พิมพ์หน้านี้ - me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย End

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: สิบสาม13 ที่ 16-11-2015 21:24:07

หัวข้อ: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย End
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 16-11-2015 21:24:07
ว่าด้วย

***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************


me die    เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย



เรื่องย่อ

ผมตายแล้ว?? เรื่องจริง
แต่ทำไมผมยังมีความรู้สึก ยังใช้ชีวิตแบบไม่มีลมหายใจได้อยู่ล่ะ 
หรือว่าเพราะคนคนนั้นกันนะ คนที่ทำให้ผมทรมานอยู่ทุกวันนี้ไง
คนที่ทำให้ผมอยากเจอ คนที่ทำให้ผมนึกถึง คนที่ทำให้ผมอยาก... หึหึหึ

แล้วเราจะได้พบกัน









Intro...

 

 
          ผมตายแล้ว ??  ใช่ๆๆ ผมจำได้  เรื่องจริง ผมสัมผัสได้ (??)

 
   คนตายยยย... ที่ผมเคยได้ยินมา มันต้องไม่มีตัวตน  ไม่มีลมหายใจ  ไม่กิน  ไม่นอน  คนอื่นๆไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสได้นิ 


 
          แต่ทำไม ?? ผมถึงยังทำได้ทุกอย่างเหมือนเดิมเลยล่ะ!!

 
 ต้องบอกว่าเกือบทุกอย่างสินะ จะยกเว้นก็แต่ ผมต้องย้ายที่อยู่เพราะชีวิตนิสิตของผมจบลงตั้งแต่วันนั้น! เปลี่ยนของใช้ประจำวันบางอย่าง
 
และที่สำคัญที่สุด  อาหาร!!  ผมต้องกินแต่พวกเนื้อดิบหรืออะไรก็ได้ที่ไม่สุก และไม่ใช่อาหารที่คนธรรมดาทั่วไปกินอีกต่อไป       
 
 

          เพราะมัน! มัน! มัน! มันคนเดียว! ไอชั่วนั่น ที่มันขับรถชนผม ถ้าไม่ใช่เพราะมันผมคงไม่ต้องอยู่แบบนี้ มันทรมานกว่าคนตายเยอะ
             


           ผมขอสาบาน ถ้าผมเจอกับมันอีกครั้งละก็ ผมจะทำให้มันทรมานกว่าคนที่ตายแล้วไม่ได้ตายแบบผมเป็นล้านๆเท่าแน่ๆ!!!!



.....
ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ ยังไงก็เม้นๆกันหน่อยนะ
นามว่า สิมสาม / 13 นะ มาใหม่ :-[
เจอกันตอนใหม่นะค้าาา :bye2:
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย ตอนที่ 1 //แก้คำผิด
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 16-11-2015 22:34:16
#แก้ไขครั้งที่ 1 7/7/59

Me die

01 : จุดเริ่มต้นของจุดจบ

 





ท่ามกลางแสงไฟหลากสีของเมืองหลวงยามคำคืน ในช่วงเวลาราวๆเกือบเที่ยงคืน สำหรับคนหลายคนคงจะเข้านอนกันแล้ว แต่สำหรับใครอีกหลายคนก็ยังคงโลดแล่นอยู่บนเมืองอันแสนวุ่นวายนี้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

ริมฟุตบาตของถนนเส้นหนึ่งที่ยังคงมีผู้คนหลากหลายเดินซื้อของกินกันมากมาย แน่นนอนว่าที่ตรงนี้คือบริเวณที่อยู่ของผู้คนวัยทำงานและยังมีหอพักของนักศึกษาซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับมหาวิทยาของรัฐชื่อดังแห่งหนึ่ง ซึ่งเวลานี้ก็ยังคงเห็นผู้คนนั่งกินหรือเลือกซื้อของกินกันไม่หยุดแม้จะเบาบางกว่าช่วงเวลาหัวค่ำก็ตาม

“พี่ครับ จอดตรงนี้แหละครับ นี่ครับเงินไม่ต้องทอน” น้ำเสียงร้อนรนของ รีส เร่งคนขับให้จอด แล้วรีบลงจากรถด้วยความรวดเร็วของเขาดังขึ้นเมื่อเห็นบริเวณที่คุ้นเคยของใครบางคน แล้วรีบเดินกึ่งวิ่งไปยังเป้าหมายที่ตนต้องการในทันที

คอนโดหรูที่ตั้งถัดจากริมฟุตบาตไปอีกซอยทำให้รีสต้องเร่งฝีเท้าเดินไปอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงก็ขึ้นไปทันทีโดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนการเข้าออกของคอนโดด้วยความเคยชิน เพราะเขาต้องมาบ่อยๆจนพนักงานทุกคนจำได้หมดและต้องทำคีร์การ์ดสำรองที่ต้องเข้าประจำติดตัวไว้อีกด้วย

วันนี้ก็คงเป็นอีกวันที่ รีเสิร์ซ หรือ  รีส หนุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยดังกล่าว ต้องนั่งรถออกมาในตอนกลางดึกเพื่อมายังคอนโดของใครบางคนในเวลานี้

 “สวัสดีครับคุณรีเสิร์ซ วันนี้มีอะไรให้ช่วยไหมครับ”พนักต้อนรับเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้มทันทีที่เจอหน้าของเขา

“สวัสดีครับคุณธนกฤษ พอดีวันนี้มีปัญหาแย่ๆนิดหน่อยครับ แต่ไม่เป็นไรครับวันนี้ผมจัดการได้ ขอตัวเลยนะครับผมรีบ”รีสตอบกลับ แล้วรีบเดินกึ่งวิ่งเข้าลิฟท์กดไปชั้นที่ต้องการทันที

คอนโด xx ชั้น 59
ภายในห้องของคอนโดหรูแห่งนี้ยังคงได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังเล็ดรอดผ่านประตูมาให้ได้ยินบ้างเล็กน้อย แต่ถึงจะดังกว่านี้ก็คงไม่มีใครสนใจเพราะชั้นนี้แบ่งโซนออกอย่างหรูหรามีเพียง2ห้องเท่านั้น

“ฮือออ...ฮือ..ฮึก..ฮือ…”

เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของเจ้าของห้องดังระงมอย่างน่าสงสารจับใจ พอจะมีใครสักคนไหมที่เขาจะพึ่งพึงได้บ้างในยามนี้

ติ๊ด…

“__ ”

เสียงของประตูเปิดหลังจากที่ทาบคีการ์ดและกดรหัสผ่านเพื่อเข้าห้องดังพร้อมๆกับเสียงของคนที่เขารักอีกคนหนึ่ง

“เตอร์ อยู่รึเปล่า” น้ำเสียงที่ดูร้อนรนดังขึ้นหลังจากเปิดประตูทันที

“รีส...ฮือ…” เสียงเรียกชื่อรีสดังขึ้นจากส่วนของห้องนั่งเล่นพร้อมกับร่างของเจ้าห้องที่ค่อยๆเดินออกมาหาอย่างหมดแรง

“ไม่เป็นไรเตอร์ มานี่มา” น้ำเสียงอ่อนโยนจากผู้ที่มาใหม่ดังขึ้น ทำให้ เตอร์ หรือ ติวเตอร์ เจ้าของห้องที่อยู่ภายในคอนโดหรูห้องนี้เดินเข้ามาหารีสด้วยหน้าตาดูแทบไม่ได้หลังผ่านการร้องไห้อย่างหนัก ตาบวมช้ำ น้ำตายังคงไหลไม่ขาดสาย เสื้อผ้ายังคงอยู่ในชุดเดียวกับเมื่อกลางวัน กับอาการที่แสนอ่อนแรงของคนตรงหน้า ทำให้รีสค่อยๆโน้มร่างบางนั้นมากอดอย่างเบามือ

“ฮือ…รีส แม่เตอร์ เขา  เขา .. ฮึก ไม่อยู่กับเตอร์แล้ว” ติวเตอร์ก้มหน้าซบไหล่ของรีสกับน้ำตาที่ไหลราวกับไม่มีวันหมด

“เตอร์ยังมีรีสนะ คุณพ่ออีก นมอ่อน ไหนจะคนที่บ้านอยู่นะ” รีสกระชับอ้อมกอดเข้าหาติวเตอร์ให้แน่นขึ้นพลางลูบหัวเบาๆอ่อนโยน

“ไม่เป็นไรนะ รีสยังอยู่ รีสจะดูแลเตอร์เองนะ ไอตัวเล็ก” รีสคายอ้อมกอดแล้วค่อยๆดันหัวไหล่ออกห่างตัวเล็กน้อยให้ติวเตอร์หันมาเผชิญหน้ากับตน

“ไม่ตัวเล็กสักหน่อย ฮึก สูงตั้ง 170 นะ รีสต่างหาก ฮึก ที่สูงเกินไป เมื่อไหร่ ฮึก จะเลิกเรียกว่าตัวเล็ก” เสียงพูดงอนๆปนสะอื่นไห้ พร้อมกับทำปากยื่นแบบไม่ค่อยพอใจดังขึ้นเบาๆ

“ครับๆ ไม่ตัวเล็กก็ได้ อย่างอนนะ แล้วก็เลิกร้องไห้ก่อนเนอะ เตอร์ ฟังรีสดีๆนะ รีส สัญญาว่าต่อไปนี้รีสจะอยู่ดูแลเตอร์ นะ จะไม่ตายจากไปไหนเด็ดขาด” น้ำเสียงมั่นคงและใบหน้าที่พูดออกมาด้วยความจริงจังของรีสทำให้ติวเตอร์พยักหน้าเบาๆอย่างเชื่อใจ เขารู้สึกตื้นตันและดีใจมากที่สุดที่เขามีรีสเป็นเพื่อน

“ขอบใจรีสนะ แล้วขอเลยอย่าพูดเรื่องความตายอีกนะ มันไม่ดี แล้วตอนนี้เตอร์ก็ไม่พร้อมจะฟังมันอีกแล้ว” เขาพูดด้วยยิ้มเหนื่อยๆ ใบหน้าที่แสนเศร้าสร้อยกับมาอีกครั้งเมื่อพูดถึงคำนี้ รีสจึงรีบโอบร่างติวเตอร์มากอดคนตัวเล็กที่กำลังสั่นเทาไปทั้งตัวที่เริ่มร้องไห้น้ำตาไหลอีกครั้งจนต้องคอยปลอบใจเรื่อยๆ

เวลาผ่านไปอีกสักพักใหญ่ๆก็ดีขึ้น แต่ก็ยังมีสะอื้นให้ได้ยินบ่อยๆ

“รีส..ฮึก พ่อ..คุณพ่อละ” เสียงถามขึ้นเบาๆหลังจากที่ทั้งคู่นั่งลงบนโซฟา

“จัดการทางนั้นอยู่ ท่านเป็นห่วงเตอร์มากรู้รึเปล่า ถึงได้โทรตามให้รีสมาช่วยดูอีกแรง ดีขึ้นรึยัง”

“นิดหน่อย ขอบใจรีสมากนะ รีสดีกับเตอร์ตลอด ดีกับเตอร์มาก ทั้งๆที่เตอร์มีแต่สร้างเรื่องให้ตลอดเลย ขอโทษนะรีส” ติวเตอร์พูดกับยิ้มเล็กน้อย

“ฝืนยิ้มแบบนั้นรีสไม่อยากได้เท่าไหร่นะ แต่ไม่เป็นไรก็ยังดีกว่าไม่ยิ้มเลย แล้วอีกอย่างรีสไม่เคยโกรธเตอร์เลยนะ เอาล่ะ งั้นไปพักได้แล้ว พรุ่งนี้เช้าค่อยไปช่วยคุณลุงจัดงานคุณป้านะ”

“อื้ม พรุ่งนี้เช้าเตอร์จะกลับไปช่วยคุณพ่อจัดงานให้คุณแม่เป็นครั้งสุดท้ายอย่างดีที่สุด รีสไปกับเตอร์นะ” ร่างบางพูดด้วยสีหน้าที่ดีขึ้น

“ได้ครับ” รีสยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ยังคงเปื้อนแก้มของเพื่อนรักของตนออกเบาๆ ดวงตาสีฟ้าของรีสที่แสดงอาการเป็นห่วงออกมามากมายจ้องมองตรงไปสบกับดวงตาของติวเตอร์อยู่นาน

“งะ งั้น เตอร์ไปอาบน้ำก่อนนะ อากาศร้อนๆแล้วล่ะ” ติวเตอร์พูดยิ้มๆ ยกมือเกาท้ายทอยแล้วทำท่าจะลุกขึ้นทันที แต่รีสคว้าแขนไว้ก่อน

“นั่นสิ คงร้อนจริงๆ ดูสิ หน้าเตอร์เริ่มแดงๆเเล้วด้วย ให้เร่งแอร์ให้ไหมครับ รีสยิ่งเป็นห่วงอยู่ด้วย” ดวงตาสีฟ้ามีเสน่ห์ที่ทอประกายแววตาของคนขี้เล่นออกมาหยอกล้อดึงดูดให้น่ามองมากขึ้นกับใบหน้ายิ้มแย้มบวกอมยิ้มนิดๆอย่างหยอกล้อ พาเอาคนถูกมองเขินจนหน้าแดงไปหมด

“บ้ารีส เล่นอะไร เลิกทำหน้าตาแบบนั้นนะ งอนแล้ว บู่” คนตัวเล็กว่าพรางทำปากยื่นอย่างหน้ารักแบบที่ชอบทำเป็นประจำ

“งั้นอาบน้ำเสร็จแล้วออกมาทานโจ๊กรองท้องสักหน่อย เดี๋ยวรีสไปซื้อมาให้” รีสพูด พรางคิดในใจ ว่าไอตัวเล็กมันจะน่ารักเกินไปแล้ว แบบนี้จะไม่ให้เป็นห่วงได้ยังไง

“อื้ม ขอบใจรีสมากเลยนะ” แล้วร่างบางก็รีบเดินเข้าห้องไปจัดการธุระส่วนตัวของตัวเองในทันที

“ต่อไปนี้รีสจะดูแลเตอร์เองนะ รีสสัญญาไว้แล้ว รีสไม่ผิดคำพูดหรอก” รีสพูดด้วยเสียงจริงจังแล้วยิ้มให้กับตนเองเบาๆ

แล้วก็จัดการโทรไปรายงานคุณลุง กิตติศักดิ์ พ่อของเตอร์ทันทีว่าดีขึ้นแล้ว หลังจากโทรเสร็จก็ลุกขึ้นเดินลงไปซื้อโจ๊กให้กับเพื่อนรักเพียงคนเดียวของเขา
.
.
อีกด้าน ในเวลาเดียวกันนั้น

ตุบ! ผลัก!

“โอ๊ย ปล่อยผมไปเถอะ”

หลังโกดังYYYของเจ้าของธุรกิจชื่อดังแห่งหนึ่ง มีผู้โชคร้ายหนึ่งคนกำลังโดนรุมทำร้ายอย่างสาหัส

“พอ เดี๋ยวมันตายซะก่อน ลากมันมานี่” เสียงเข้มน่ากลัวดังขึ้นสั่งลูกน้องให้หยุดการกระทำนั้น ลูกน้องตัวใหญ่คนหนึ่งลากผู้โชคร้ายมาวางตรงหน้า

“ค คุณวิรัชน์ ขอเวลาผมอีกหน่อยนะครับ ผมไม่มีเงินจริงๆ”  ผู้โชคร้ายว่าพร้อมกับคานมายกมือกราบแทบเท้า ขอความเมตตาจากคนตรงหน้า

“หึ ขอเวลางั้นหรอ ฉันให้แกมากเกินไปแล้ว แล้วอีกอย่าง แกทำรองเท้าฉันเปื้อนเลือดสวะแบบแก” เสียงเข้มน่ากลัวพูดแล้วแสยะยิ้ม ยกมือเป็นสัญญาณให้ลูกน้องคนสนิท แล้วลุกออกจากตรงนั้นทันที

“คุณ คุณวิรัชน์ครับ กรุณาผมเถอะ ผมมีลูกเมียต้องดูแล คุณวิรัชน์ คุณวิรัชน์ เมตตาผมด้วย ขอเวลาผมด้วย คุณวิรัชน์” เสียงพูดขาดๆหายๆรนรานด้วยความกลัวตายดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างโหยหวน ตามหลังของคนที่เพิ่งเดินจากมาขึ้นรถลีมูซีนของตนแล้วออกรถออกไปทันที

ปั้งงงง!!!
.
.
รถลีมูซีนคันดังกล่าวเคลื่อนตัวเข้าภายในบ้าน กิจจาวัฒนาพันธ์ ที่ยิ่งใหญ่ราวๆคฤหาสน์ ความร่ำรวยอันดับต้นๆของประเทศ เป็นเจ้าของธุรกิจนำเข้ารถหรูจากต่างประเทศ และการเป็นมาเฟียในเบื้องหลังที่หลายๆคนรู้ดีถึงความยากที่เข้าต่อกร แต่ก็ยังคงมีผู้คนที่โลภมากหลายคนหลงเข้ามาเป็นเหยื่อกู้ยืมเงินและอีกหลายๆสาเหตุทำให้ต้องจบชีวิตลงอย่างน่าสมเพช โดยที่ไม่มีใครเอาผิดได้ เพราะหลักฐานทั้งหลายชี้ว่าผู้ตายนั้นฆ่าตัวตายเองทั้งนั้น หรือไม่ก็ยังคงหายสาบสูญ

“ทำไมพ่อจะต้องลากผมมาดูการทำธุรกิจนี้ของพ่อ ก็บอกไปแล้วว่าไม่เอาด้วย” เฟิร์ส

“แกจะบ่นทำไมนักหนาห๊ะ ฉันต้องการให้พวกแกสืบทอดกิจการ การเป็นมาเฟียมันเสียหายตรงไหนกัน อย่าเรื่องมากนักเลยเฟิร์ส” พ่อ

“มันไม่อยากทำก็ไม่ต้องไปบังคับมันสิครับพ่อ” แลมป์

“เรื่องของฉันแลมป์ แกอย่ามายุ่ง” พ่อ

เสียงของลูกชายฝาแฝด เฟิร์ส (มาจากเฟอร์รารี่) และ แลมป์ (มาจากแลมโบกินี่) 2 คนแห่งบ้าน กิจจาวัฒนาพันธ์ 2รถหรูทำจากทองที่ทีค่ามากของบ้านหลังนี้ ยังคงส่งเสียงดังไม่หยุดตั้งแต่บนรถจนเข้ามาภายในบ้านจนคุณวิรัชน์ทนไม่ได้อีกต่อไป

“หยุดพูดกันสักที ฉันเคยบอกพวกแกแล้ว ถึงพวกแกถึงจะชอบหรือไม่ชอบแต่ก็ต้องยอมรับกับธุรกิจนี้ไปจนตาย หนีไปไหนไม่พ้นทั้งนั้น”

“ทำไมผมจะหนีไม่ได้ ดูอย่างแม่สิ” เฟิร์ส

เพี๊ยะ!

“เลิกพูดถึงเรื่องนี้ซะ!”เสียงตบและตวาดดังสนั่นทันที

“พ่อ!” เสียงของแลมป์ดังขึ้นหลังจากที่พ่อของตนนั้นตบลงไปบนหน้าฝาแฝดของเค้าเสียงดัง อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“พอเลยทั้งคู่ แยกย้ายกันไปซะ ยังไง แกก็หนีไม่พ้น!” พูดจบก็เดินขึ้นห้องทำงานตนเองทันที เหลือแค่2พี่น้องตามลำพัง

“ฉันว่า พ่อ คงไม่ได้ตั้งใจจะตบแก” ผู้พี่เอ่ยขึ้นเสียงนิ่ง แม้สายตาจะบ่งบอกว่ารู้สึกหลากหลายเช่นไรแต่ก็คงไม่พูดออกมา

“หึ อย่าพูดเลยวะ วันนี้ ฉันจะออกไปข้างนอก ไปนะ” เอ่ยขึ้นเรียบๆแล้วคว้ากุญแจรถเดินออกไปทันที ด้วยอารมณ์ที่ไม่คงที่นัก

“...เฟิร์ส ขับรถดีๆ อย่าใจร้อนล่ะ” เสียงของอีกคนดังขึ้นเบาๆหลังจากคนแรกเดินออกไปไกลพอสมควร

ข้อเสียของคนบ้านนี้ สงสัยจะเป็น รักกันแต่ไม่พูดออกมา คิดอีกอย่างทำอีกอย่าง ก็อย่างว่าบ้านที่ไม่มีผู้หญิงอยู่ดูแล คนในบ้านก็แข็งกระด้างเป็นธรรมดา
.
.
.
เวลาตี2กว่าๆ

หลังจากรีสลงซื้อโจ๊กมาให้ติวเตอร์ทานเรียบร้อย รีสขอตัวกลับมาเก็บของปิดบ้านพักตัวเองให้เรียบร้อยเพราะตอนออกไปรีบจนทิ้งทุกอย่างไว้อย่างนั้นแล้วออกมาเลย ‘ดีที่ไม่ได้ทำไรที่เสี่ยงต่ออุบัติเหตุไว้ เหลือแต่เรื่องล็อกบ้านพักแต่ก็ไม่ต้องห่วงว่าขโมยจะเข้าเพราะไม่มีอะไรให้เอาไป’ รีซคิดพลางถอนหายใจในความโชคร้ายในฐานะของตนไปขณะนั่งรถแท็กซี่กลับบ้านพัก

เอี๊ยด~~

“เอ้า ไอหนู ลุงส่งได้แค่ตรงนี้นะ ต้องเอารถไปบราๆๆ” คนขับรถจอดรถหน้าตาเฉยแล้วให้รีซลงเดินเข้าไปเอง

“เอ่อ ครับ นี่ค่ารถ” หลังลงรถก็รีบเคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็วทิ้งรีสไว้กลับความเงียบของสองข้างทาง

“เห้อ~” รีซถอนหายใจทันทีที่ลงยืน ‘ก็ยังดีที่มาส่งถึงหน้าซอย’ ว่าแล้วก็เดินต่อไปอีกหน่อย เพื่อที่จะเลี้ยวเข้าซอยบ้านพักของตนเองทันที

บ้านพักของรีซนั้นเป็นบ้านเช่าที่เขาเช่าอาศัยอยู่เพียงลำพัง อยู่ห่างไกลออกจากบริเวณมหาวิทยาลัยพอสมควร เพราะบ้านเเถวนี้มันมีค่าเช่าที่ที่เขาพอจะจ่ายไหวยังไงละ ถึงคุณลุงคุณป้าพ่อแม่ของติวเตอร์รวมถึงเจ้าตัวชวนให้ไปอาศัยอยู่ด้วยกันแต่ก็ยังคงปฏิเสธอยู่ร่ำไป ‘ช่วงนี้มีแต่เรื่อง สงสัยต้องคิดทบทวนเรื่องไปอยู่กับไอตัวเล็กใหม่ล่ะมั้ง”คิดแล้วเครียด แต่ก็เดินจ้ำต่อไปไม่หยุด แต่กว่าจะถึง ทางเข้ามันก็เงียบซะจนน่าหวั่น แม้จะมีแสงไฟสว่างตลอดทางก็ตาม

รีส ผู้มีหน้าใบหน้าหล่อเหล่าคมคาย ตาสีฟ้าสวยงามดังชาวต่างชาติ ส่วนสูง185ซม. หนุ่มคณะบริหาร มหาวิทยาลัยรัฐชื่อดัง ผู้ที่มีดีกรีเรียนดีด้วยคะแนนที่สอบเข้าสูงสุดและเกียรติบัตรเรียนดี2ปีซ้อนตั้งแต่เข้าเรียนมา มีเพื่อนที่เขารักมากๆชื่อติวเตอร์ ด้วยรูปร่างหน้าตาที่ดูดี เหมือนจะเป็นเพอร์เฟกบอยคนหนึ่งก็ว่าได้

แต่ติดตรงที่เขาเป็นเด็กกำพร้าฐานะจนๆ ที่ต้องออกมาส่งเสียเลี้ยงดูตัวเองจนทุกวันนี้ทำงานและเรียนจนไม่มีเวลาเหลืออีก สาวๆหลายคนที่สนใจเขาไม่ว่าจะที่รูปร่างหน้าตาหรือรักเขาจริงมากแค่ไหนก็ต้องถอยห่างออกมาในไม่ช้า เพราะสิ่งที่รีสสนใจมีแค่เรื่องเรียนทำงานและติวเตอร์เท่านั้น
.
.
.
เอี๊ยดดดดดด

เสียงเบรคของรถดังขึ้นสนั่น ซึ่งเกิดขึ้นข้างหน้าเขาห่างไปไม่ถึงเมตร พร้อมกับแสงไฟหน้ารถยนต์คันหรูที่เพิ่งเปิดขึ้นมาสาดส่องไปทั่วบริเวณ สว่างวาบเข้าตาของคนมอง

“เห้ยยยยยยย!!!”

เสียงตะโกนทั้งของคนที่อยู่หลังพวงมาลัยและคนที่อยู่ข้างหน้ารถดังขึ้นพร้อมกัน ท่ามกลางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ ไม่มีใครมีสติหลงเหลือมากพอที่จะหักหลบหรือวิ่งหนี ทำได้เพียงเหยียบเบรกตามสัญชาติญาณที่ใช้บ่อยๆกับอีกคนที่ยืนนิ่งตกตะลึงกับตัวรถที่กำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้ ในขณะนั้นได้ยินแต่เสียงเบรกของรถดังสนั่นแต่แก้ไขอะไรไม่ทันการซะแล้ว

ปั้งงงง!

ทุกอย่างหมุนคว้าง ราวกับภาพสโลวอย่างที่เห็นละครหลังข่าว หน้ารถด้านข้างขวาชนเข้าช่วงเกือบถึงกลางลำตัว ทำให้ตัวของรีสลอยติดไปกับรถตามแรงเหวี่ยงและกระชากไปไกล หน้าของเขาติดกระจกหน้ารถด้านคนขับ เลือดเริ่มไหลทะลักออกจากปาก จมูก ดวงตาเหลือกโลนเบิกกว้างอย่างตกใจจ้องมองไปที่หน้าคนขับ เป็นที่น่าสยดสยองสำหรับคนที่ได้เห็นอย่างยิ่ง

‘ผมทำผิดอะไร ทำไมผมถึงต้องมาเจออะไรแบบนี้ ทั้งๆที่เป็นเพราะความประมาทของไอหน้าไหนก็ไม่รู้’ จิตสำนึกกู่ก้องตะโกนเรียกรองอยู่ภายในใจ

‘แล้วไหนจะคำสัญญาที่่บอกว่าจะดูแลติวเตอร์เพื่อนรักของผมอีก  ผมยังไม่อยากตาย ผมจะไม่ตาย ผมจะไม่ตาย! เพราะมึง!’ ความคิดของรีสดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกภายในหัวสมองพร้อมกับดวงตาที่จ้องมองคนที่อยู่หลังพวงมาลัยเขม็งไม่ละสายตาไปไหน

เอี๊ยด!! 

 กึก!!

เมื่อรถหยุดหมุนร่างของรีสทั้งร่างก็ล่วงลงไปกองอยู่กับพื้นด้านล่างอย่างแรง ลำตัวกระทบพื้นถนนเสียงดัง ตุบ ส่งผลให้คอของเขาฟาดกับริมฟุตบาตหักเอียง เลือดมากมายไหลทะลักออกจากทุกส่วนของร่างกายที่จะออกได้ ขณะที่ดวงตายังคงเหลือกมองจดจ้องไปที่คนในรถหรูนั้นตลอดเวลา

ขณะเดียวกันคนที่อยู่บนรถก็สติแตกทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน ยิ่งเมื่อเหลือบสายตามองเห็นผู้โชคร้ายที่ตนชนนั้นสภาพเป็นเช่นไร ก็ยิ่งตกใจตาเบิกโพรงตามไปด้วย ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้าไม่หยุด ขนลุกเกรียวด้วยความกลัว เขาเคยเห็นคนตายแต่ไม่บ่อยนักแล้วก็ทำใจไม่เคยได้เวลาที่พ่อเขาพาไปด้วย

แต่ตอนนี้  ‘เขาฆ่าคน’  นี่คงเป็นคำๆเดียวที่เขาคิดออกตอนนี้ เขาสติแตกไปแล้ว

หลังจากทำอะไรไม่ถูก มีเพียงความคิดเดียวที่สั่งให้เขาทำในตอนนี้คือ  “หนี”  เขารีบขับรถหรูที่เปื้อนเลือดของเขาออกไปทันทีที่คิดได้ โดยจากไปทั้งๆที่มีคนตายเพราะเขา ทั้งๆที่เขาควรลงไปช่วย ทั้งๆที่เขาควรแจ้งตำรวจแล้วมอบตัว แต่ เขาไม่หันกลับมาอีกเลย ขับรถทะยานออกนอกเมืองไปไกลมุ่งสู่ความมืดมิดข้างหน้า
.
.
.
‘เพราะมึง!  มึงฆ่ากู!  กูไม่ปล่อยมึงไว้แน่ กูจะเอามึงไปอยู่ด้วย!’

น้ำเสียงทุ้มต่ำตวาดดังขึ้น พร้อมกับยื่นมือมาข้างหน้าหมายจะบีบคอให้ตายตามกันไป เนื้อตัวที่มอมแมม แขนขาม่วงคล้ำ รอบลำคอเขียวอมม่วง หน้าตาบูดบวม บาดแผลเต็มตัว กับเลือดที่ไหลไม่หยุดราวเขื่อนแตก แล้ว ยิ่งทะลักออกมามากยิ่งขึ้นเมื่อมีการเอ่ยคำใดออกมา

“ไม่ กูไม่ได้ตั้งใจ” เฟิร์สได้แต่ลนลานถอยหนีจนหลังชิดกำแพง

‘มึงฆ่ากู! กูจะลากมึงมาลงนรกกับกู!! ฮ้าฮ้าฮ้าฮ้า’ เสียงหัวเราะดังก้องพร้อมกับเลือดที่ทะลักออกจะปาก กระเด็นมาโดนเขา มือที่กดบีบที่คอแรงขึ้น ยิ่งเข้าใกล้เลือดยิ่งไหลท่วมตัวเขามากขึ้น คอของมันเอียงหักดวงตาเหลือกมองจ้องด้วยความอาฆาตแค้น

“อ อึก ป ปล่อย ขอร้...อึก” แรงกดบีบที่ลำคอของเฟิร์สแรงขึ้นจนลมหายใจของเขาเริ่มจะหมดลง กับสายตาและแรงบีบของอีกคนที่ยังคงอาฆาตเขาไม่จากหายไป

“เฮือก~~ แฮ่กๆๆ” เขาสะดุ้งตื่น หายใจโกยอากาศเข้าปอดรุนแรง อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หัวใจเต้นแรง รัวและเร็ว จนเหมือนมันจะหลุดออกมาข้างนอกให้ได้

“เช้าแล้ว..ขอให้ทั้งหมดเป็นแค่ฝัน...” หลังจากโกยอากาศเข้าปอดจนพอมีสติแล้ว เขาก็มองรอบตัวเห็นแต่ทุ่งหญ้าสองข้างทางไม่มีรถวิ่งผ่านไปมาซึ่งดีสำหรับเขาในตอนนี้ แล้วภาวนาให้ทุกอย่างเป็นเพียงฝันไปเท่านั้น

ทั้งๆ ที่ดวงตาสีฟ้าที่เหลือกโลนจ้องเขม็งคู่นั้นยังติดตาเขาอยู่ทุกวินาที
เขาขับเคลื่อนรถตัวเองต่อไปอีกข้างหน้าอย่างระแวงคนรอบตัวเป้าหมายคือบ้านพักต่างจังหวัดของครอบครัวเขานั่นเอง



...

เม้นๆบ้างน้าาา
เจอกันตอนหน้าค้าาาา :bye2:
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย ตอนที่ 2 //แก้
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 17-11-2015 03:28:09
#แก้ไขครั้งที่1 7/7/59

medie 


02 : สายน้ำไม่ไหลย้อนกลับ




ย้านกลับไปเมื่อเกิดเหตุ
แสงไฟจากหน้ารถที่สาดส่องไปเบื้องหน้า ไฟจากรถยนต์คันนั้น ดูราวกับจางหายไปเรื่อยๆ แต่ดวงตาจากคนที่ยังคงนอนคอหักพับก็ยังคงจ้องมองตามไปอย่างเหลือกโลน

สิ้นเสียงและแสงไฟจากเหตุการณ์กะทันหันที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ทำให้บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัดและวังเวงมากกว่าที่เป็นอยู่ ช่วงเวลานี้คนทั่วไปคนจะนอนหลับกันหมดเเล้ว รีสก็ยังคงนอนอยู่ในสภาพเลือดท่วมตัว ตาเหลือกอย่างน่ากลัว คอหักพับ และกระดูกภายในตัวของเขาก็หักแทบทุกชิ้น ดวงตาคู่นี้อาฆาตแค้นจนน่าขนลุกไปตามๆกัน สภาพแบบนี้ถ้ามีผู้ใดผ่านมาพบเห็น คงจะติดตานอนไม่หลับไปอีกนาน

‘ฉันยังไม่อยากตาย! ฉันจะไม่ตาย! จะไม่ตาย! ไม่ตาย!’

จู่ๆก็เกิดลมกระโชกอย่างรุนแรง จากบรรยากาศเงียบสงัดวังเวง เป็นลมพัดโหมกระหน่ำดูราวกับโมโหอะไรบางสิ่งอย่างน่ากลัวผิดธรรมชาติ เกิดเสียงแปลกๆคล้ายเสียงคนพูดเสียงหัวเราะเสียงร้องไห้หรือเสียงอื่นๆที่ไม่เหมือนคนผสมปนเปมาตามสายลม ไหลวนเวียนไปมาเกิดเป็นลมบ้าหมูสูงเกือบ2เมตร

ลมบ้าหมูลูกนี้หมุนวนเข้าไปหารีสด้วยความเร็วบวกกับความสูงที่เกิดขึ้นอย่างบ้าคลั่ง รอบข้างก็ยังคงมีเสียงต่างๆดังเเข่งกับสายลมนี้ ยิ่งรุนแรงเท่าไหร่เสียงนั้นก็เหมือนจะดังขึ้นตามๆกันไป ลมที่เคลื่อนตัวด้วยความเกี้ยวกราดปะทะเข้ากับร่างของรีสทันที

“อึก!”

เสียงของรีสดังขึ้นเมื่อลมนั้นปะทะเข้ากับตัวของเขา ทุกอย่างในร่างกายชาวาบ ดวงตาลุกวาว แล้วหลับลงไปช้าๆ

พลันทุกอย่างก็หยุดลง นิ่งเสียราวกับเมื่อครู่ไม่เคยเกิดอะไรขึ้น ไม่เคยมีลมกระโชกรุนแรง ไม่เคยมีเสียงดังเกรียวกราดต่างๆ เหมืิอนสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเพียงจิตนาการเท่านั้น บรรยากาศรอบด้านกับไปเงียบและมืดมิด มีเพียงแสงไฟจากหลอดไฟข้างทางเหมือนเดิม

ร่างของรีสกับไปสู่สภาพปกติ เลือดหดหายกลับเข้าร่างกาย คอที่หักและบาดแผลต่างๆหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เหมือนเขาเพียงแค่หลับไปอยู่ข้างถนนตรงนั้นเท่านั้นเอง

.
.

เวลา 9:00 น. ณ วัดxxx
ภาพบรรยากาศของการเตรียมงานศพจันทภาหรือแม่ของติวเตอร์ เป็นไปอย่างเศร้าสร้อย ศพถูกวางไปบนเตียงคลุมด้วยผ้าตั้งแต่เท้ายันอก วางมือไว้ด้านข้าง เตรียมรดน้ำศพสำหรับวันนี้ ทุกสิ่งรอบๆถูกแต่งแต้มอย่างยิ่งใหญ่สวยงาม แต่มันคงจะดีกว่านี้ถ้านี่ไม่ใช่งานที่มีแต่น้ำตา

“เตอร์ รีสยังไม่มาหรอลูก” เสียงของกิตติศักดิ์หรือพ่อของติวเตอร์ ดังขึ้นข้างๆ หน้าตาที่บ่งบอกถึงวัยนั้นดูเศร้าสร้อย อิดโรยลงไป แต่ก็ยังคงน้ำเสียงและหน้าตาที่ใจดีไว้เสมอ

“ยังเลยครับพ่อ แล้วพ่อมีอะไรจะให้เตอร์ทำรึเปล่าครับ” ติวเตอร์หันไปมอง พูดตอบผู้เป็นพ่อ ด้วยหน้าตาที่แสนเศร้าสร้อยเช่นกัน

”ไม่มีอะไรหรอกลูก พ่อแค่เป็นห่วงน่ะ เห็นมายืนชะเง้อมองออกไปด้านนอกนานแล้ว พ่อเลยเดินมาดูหน่อย” ดวงหน้าที่ใจดีของผู้เป็นพ่อมองลงไปมองลูกชายสุดรักสุดหวงด้วยความเป็นห่วงมากมาย

“ขอบคุณครับพ่อ ผมมองหารีสน่ะครับ เห็นบอกว่าจะมา ...ความจริง เมื่อวานรีสบอกจะมาอยู่เป็นเพื่อน ขอกลับไปเช็คความเรียบร้อยที่ห้องก่อนน่ะครับ ผมรอจนเผลอหลับไป คิดว่ารีสเขาน่าจะเข้ามาได้ แต่ตื่นเช้ามาก็ยังไม่เห็นเลยครับ ไม่รู้ว่าจะเป็นอะไรไปอีกคนรึเปล่า” ติวเตอร์พูดด้วยน่ำเสียงเป็นห่วงเพื่อนรักของตนมากมาย ดวงตาดูกังวนและเศร้าลงไปอีก

“ไม่มีอะไรมากหรอกลูกไม่ต้องกังวนไปนะ บางทีพ่อว่ารีสอาจจะผลอหลับไปก็ได้ ก็พ่อเล่นโทรฯไปรบกวนให้ไปช่วยดูเราซะดึกดื่นขนาดนั้น ลองโทรฯหารีสรึยังละลูก” น้ำเสียงและหน้าตายังคงใจดีเหมือนเดิมทำให้คนฟังรู้สึกดีขึ้นตามไปด้วย

“อ้อ นั่นสิครับ ทำไมผมไม่ลองโทรหารีซนะ ขอบคุณมากนะครับพ่อ”ติวเตอร์ดีใจ ใบหน้ายิ้มแย้มขึ้นมากระทันหัน แต่ก็ชะงักมือที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเงยหน้ามองผู้เป็นพ่อ

“พ่อครับ ...เตอร์ขอโทษนะครับ ที่เมื่อวานช่วยอะไรแม่ไม่ได้ ผมดูแลแม่ไม่ดี เตอร์ผิดเองครับพ่อ เตอร์ขอโทษนะครับ” ติวเตอร์เอ่ยเสียงเบา มองผู้เป็นพ่อดวงตาเริ่มคลอน้ำใสๆ ก่อนที่จะหยดลงมาอีกครั้ง

“เตอร์ไม่ผิดหรอกนะลูก อย่าโทษตัวเองสิ พ่อรักลูกมากนะ รักแม่ด้วย ใครก็รู้ว่าเรื่องนี้มันเป็นอุบัติเหตุ ลูกไม่ผิดสักหน่อย” กิตติศักดิ์พูดด้วยน่ำเสียงเบาลงตามไปด้วย พร้อมดึงลูกชายสุดรักสุดหวงเข้ามากอด

ลูกชายที่เขาและจันทภาเฝ้าถนอมฟูมฟักมาด้วยความรักตลอด20ปี ลูกชายที่เขาสัญญากับตัวเองว่าจะดูแลอย่างดีไม่ให้อันตรายใดๆมาทำร้ายลูกของเขาได้ ลูกชายที่ถ้าใครมาพรากจากเขาไปโดยไม่ชอบเขาคงทำทุกวิถีทางที่จะขีดขวางไม่ให้ทำสำเร็จแม้เขาจะต้องร้ายเพียงใดก็ตาม

“เตอร์รักพ่อนะครับ รักแม่ด้วย แถมรีสอีกคนนะครับพ่อ”

“ได้สิลูก พ่อตามใจเรา อีกอย่างรีสเป็นเด็กดีพ่อก็รักเหมือนลูกอีกคนเหมือนกัน”
สองพ่อลูกกอดกันกลม น้ำตาใสๆของติวเตอร์ยังคงไหลไม่หยุด พูดพร่ำขอบคุณและรักสลับกันไปมา พาเอาคนที่อยู่ในงานมองและบางคนถึงกลับร้องไห้ตามไปด้วย

เวลาผ่านไปสักพัก สอลพ่อลูกก็ผละออกจากกัน ผู้เป็นพ่อจึงเดินจากไปเพื่อเตรียมงานต่อ ส่วนคนเป็นลูกรีบต่อสายหาเพื่อนรักของตนทันที

ตู๊ดดดดดดด
ตู๊ดดดดดดด

“ทำไมรีสไม่รับสาย”

ตู๊ดดดดดดด
ตู๊ดดดดดดด

“อาจจะหลับอย่างที่พ่อพูดก็ได้ คงจะเพลียมาก ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวค่อยโทรฯไปหาใหม่ก็แล้วกัน” ติวเตอร์พ่นลมหายใจทิ้ง พูดเสียงเบาลงอย่างพยายามปลอบใจตนเองอีกครั้ง แล้วเดินตามผู้เป็นพ่อเข้าไปภายในงาน ไปนั่งอยู่ข้างๆร่างผู้เป็นแม่อีกคน

.
.

บ้านศิระสกุลวงษ์

“ฉันว่าเราควรจะไปแสดงความเสียใจกับคุณกิตติศักดิ์สักหน่อยดีไหม ฉันอุตส่าห์หยุดงานเลยนะเนี่ย หรือแกว่ายังไงเจ้าทาม” นายพงพัทธ์ เอ่ยขึ้น ขณะนั่งจิบกาแฟสบายใจอยู่ในบ้านวันนี้

“ผมว่าก็ดีครับพ่อ บางทีเราอาจจะได้รู้อะไรดีๆเข้าก็ได้ ใครจะไปรู้ว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นมันเป็นอุบัติเหตุจริงหรือเปล่า อีกอย่างผมก็อยากจะเจอกับลูกชายของคุณกิตติศักดิ์เหมือนกัน”

ทาม ลูกชายคนโตของบ้านนี้ิ ทามผู้มีนิสัยรักสนุก เป็นคาสโนว่า กินเที่ยวใช้ชีวิตกลางคืน แต่ก็เอาการเอางาน เป็นลูกรักของพ่อเลยทีเดียว บ่อยครั้งทั้งผู้หญิงผู้ชายเข้าหาเขาเป็นว่าเล่นแต่เขาก็ไม่พอใจอยู่ดี เขาไม่ชอบคนที่วิ่งเข้าหาถวายตัวให้เขาง่ายๆ เขาชอบคนที่ท้าทายความสามารถไม่ยอมเขา ดื้อแบบลูกชายคุณกิตติศักดิ์ เขาเอ่ยขึ้น ยิ้มมุมปาก คิดถึงเรื่องสนุกๆที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้านี้

“ในฐานะเพื่อนร่วมธุรกิจ คงจะดูดีไม่น้อย ว่าแต่แกเถอะ สนใจลูกชายของมันขนาดนั้นเลยรึไง อยากได้มากขนาดนั้น?” ผู้เป็นพ่อเหล่มองลูกชายของตนอย่างรู้ทัน

“หึ แล้วถ้าผมอยากได้ พ่อจะจัดการให้ผมได้รึเปล่าล่ะครับ” ทามยิ้มตอบพ่อ ทำหน้าตาเจ้าเล่ห์พรางคิดถึงเรื่องของไอตัวเล็กจอมแสบนั่นทันที ถ้าเขาได้มาละก็ จะทำให้หลงจนลืมไปเลยว่าเคยพูดว่าเกลียดกัน


“หึหึ ถ้าอยากได้ขนาดนั้น ฉันก็ไม่ขัดแก มีอะไรให้ฉันช่วยก็บอกละกัน แต่ถ้าแกพลาดโปรเจคที่จะเสนอบอร์ดบริหารละก็ อย่าว่าแต่เรื่องลูกชายไอ้กิตติศักดิ์เลย บัตรเครดิตแกทุกใบที่ใช้อยู่ฉันจะยึดให้หมด และเงินที่แกใช้ทุกๆวัน แกก็จะไม่ได้เพิ่มแม้แต่บาทเดียว”

“อย่าห่วงเลยพ่อ ผมทำได้อยู่แล้ว ไม่เคยทำให้ผิดหวังหรอก อย่าลืมของขวัญผมเท่านั้นก็พอ งั้นผมออกไปข้างนอกเลยละกัน จะไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ใส่ไปงานสักหน่อย” ทามพูดจบก็ออกไปทันที

“ฮ่าฮ่าฮ่า ให้มันได้อย่างงี้สิลูกชายฉัน ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ” ผู้เป็นนายใหญ่ของบ้านหัวเราะด้วยความชอบใจ มองลูกชายสุดรักเดินออกไป สงสัยเย็นนี้เขาคงต้องกวนประสาทเจ้าของงานไม่แพ้ให้ไอ้ลูกบ้านี่แน่ๆ


บ้านศิระสกุลวงษ์ กับบ้านธนโชติพิมุกข์(พ่อของติวเตอร์) สองตระกูลเป็นเพื่อนทางธุรกิจหรือคู่แข่งทางธุรกิจนั่นเอง ครอบครัวของทามเป็นเจ้าของธุรกิจที่อยู่มานาน แต่ครอบครัวของติวเตอร์เป็นมือใหม่ เเต่ผลงานดี หุ้นส่วนและสปอนเซอร์บางรายที่เคยสนับสนุนบริษัทบ้านศิระสกุลวงษ์เลยหันไปเข้าร่วมกับทางนั้น ทั้งนี้เลยเป็นที่มาทำให้นายพงพัทธ์กับลูกชาย(ทาม)

ที่ร้ายเป็นทุนเดิมกัดอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อย จนกว่าจะเห็นอีกฝ่ายล่มจมอย่างที่ตั้งใจไว้ เพื่อหวังว่าธุรกิจของตนจะกลับไปยิ่งใหญ่เช่นแต่ก่อน ไม่มีคู่แข่งที่สูสีกันมาทำให้ปวดหัวอีก

.
.

เวลา 19:00 น. วัดxxx

เวลาเดินไปอย่างเชื่องช้า ทุกอย่างภายในงานมีแต่ความเศร้าสร้อย สำหรับผู้ที่มาใหม่ เดินไปเคารพศพโดยรับธูปจากลูกชายของเธอ ผู้ที่นั่งเงียบ น้ำตายังคงไหลซึมอย่างช้าๆ บางครั้งก็เหม่อลอยซะจนต้องมีคนมาทำหน้าที่แทน เป็นที่น่าหดหู่สำหรับผู้พบเห็นยิ่งนัก

ขณะนี้เป็นเวลาของการสวดมนต์เย็นในงานคืนแรก แขกทุกคนที่มาร่วมงานทั้งที่อยู่ตั้งแต่รดน้ำศพเมื่อช่วง4โมงที่ผ่านมาและแขกที่มาเพิ่มช่วงนี้ต่างก็ใส่ชุดดำหรือสีสุภาพเพื่อให้เกรียติแก่ผู้ที่จากไป นั่งพนมมือฟังพระสวด บรรยากาศแสนเศร้าสร้อยหดหู่ยังคงดำเนินต่อไป หลังพระสวดจบก็มีการบรรเลงดนตรีไทยประกอบงานศพที่ฟังดูวังเวงเศร้าสร้อยจับใจ

“คุณกิติศักดิ์ พวกเราขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ ขอโทษนะครับที่ดันมาช้าไปหน่อย แต่ผมก็ตั้งใจที่จะมาแสดงความเสียใจด้วยจริงๆ”

“สวัสดีครับคุณอากิตติศักดิ์”
พงพัทธ์และทามเดินเข้ามาภายในงานด้วยชุดสูทสีดำเนียบทั้งคู่ หน้าตาผมเผ้าเซ็ตมาเรียบร้อย ดูดีจนบางครั้งอาจจะไม่ได้คิดว่ามางานแบบนี้ เดินมาพร้อมนักข่าว2-3คน ยื่นพวงรีดให้กับกิตติศักดิ์แล้วพูดแสดงความเสียใจ

“สวัสดีธนบดินธ์(ทาม)ขอบใจนะที่มา และขอบคุณคุณพงพัทธ์ แต่งานนี้ผมไม่เชิญนักข่าวมาทำข่าว ถ้าคุณจะกรุณาแล้วเสียใจกับผมจริงๆ คุณควรให้เขากลับไปซะแล้วลบภาพที่นี่ออกไปด้วย” กิตติศักดิ์พูดกับทามแล้วหันกับไปบอกนายพงพัทธ์ด้วยสีหน้านิ่งเฉย เสียงเข้มขึ้น

“คุณอาครับ งั้นผมขอตัวไปเคารพศพก่อนดีกว่านะครับ บางทีพ่อกับคุณอาอาจมีธุระต้องคุยกัน” ทามรีบขอตัวแยกออกมา ปล่อยให้พ่อของเขารับมือคุณอากิตหรือกิตติศักดิ์ไปเองคนเดียว เมื่อกิตติศักดิ์พยักหน้า ทามก็รีบเดินออกมาจากตรงนั้นทันที แล้วเดินตรงไปยังเป้าหมายที่ต้องการตรงหน้า

“พี่ขอธูปไปเคารพศพคุณน้าจันทภาหน่อยได้มั้ยครับ น้องติวเตอร์ที่รัก”
ทามเอ่ยขึ้นพร้มนั่งลงตรงหน้าของคนที่ดวงตายังคงเหม่อลอย ใบหน้าฐานะรูปร่างหน้าตาที่หล่อบาดใจ เกินกว่าทุกคนในงาน ดึงดูดสายตาหลายคู่ให้จับจ้องมองเขาไม่ขาด เมื่อทามหันไปสบตาบางคนถึงกับหน้าแดงทำตัวไม่ถูก ทั้งๆที่อยู่ในงานที่มีบรรยากาศแสนเศร้าก็ตาม

“อะ ไอ้... นายทาม” ติวเตอร์สะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงกวนประสาทคุ้นหูดังขึ้น ดวงหน้าและแววตากลับมาจ้องมองคนที่อยู่ตรงหน้าไม่วางตา

“เรียกพี่ทามว่าพี่สิครับน้องติวเตอร์ พี่อายุมากกว่าเราตั้ง4ปีนะ”ทามพูดไปยิ้มมุมปากจ้องมองคนตรงหน้า แม้สภาพของคนตรงหน้าอาจจะไม่ได้เรียกว่าคนเลยก็ได้ ตาบวมกับหน้าซีดๆที่ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักไหนจะคิ้วที่ขมวดติดกันในตอนนี้ ไม่ได้น่ามองเลยสักนิด
“นายมาทำอะไรที่นี่ ฉันว่าพวกนายไม่น่าจะได้รับคำเชิญ เพราะเราเชิญเฉพาะคนที่สนิทเท่านั้น” เสียงของติวเตอร์พูดย้ำน้ำเสียงในตอนท้ายเพื่อให้คนฟังรู้สึกเสียหน้า

“ที่รักจะไม่ใจร้ายไปหน่อยหรอครับ พูดเหมือนไล่พี่ทามเลย แต่พี่ไม่ไปหรอกนะ เพราะยังไงอีกหน่อยเราก็ต้องสนิทกัน พี่เลยต้องมาบอกคุณอาจันไว้ก่อนที่จะไม่ทัน ว่าจะมาขอน้องติวเตอร์ไปเป็นเมียไงครับ” พูดด้วยน้ำเสียงและส่งสายตาที่แสนเจ้าเล่ห์มาให้ติวเตอร์

สายตาหลายสิบคู่ที่เผอิญได้ยินบทสนทนาดังกล่าว หันมามองกันเป็นตาเดียว อย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน แม้ติวเตอร์จะมีผิวขาว เนียน ใบหน้าเรียวสวยหวานได้ทางแม่ซะส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเป็นเกย์ และไม่มีใครเคยเห็นด้านอ่อนแอนอกจากครอบครัวและรีสเท่านั้น ยกเว้นก็แต่เพียงเวลานี้ที่แม่ได้จากเขาไป

“หยุดเรียกฉันว่าที่รักอะไรนั่นซะ ฉันเกลียดนาย แล้วก็อย่ามาพูดอะไรทุเรศๆเเถวนี้ ถ้านายว่างนัก ก็กลับไปนั่งคิดงานของนายนู้น กลับไปคิดอะไรที่มันเป็นประโยชน์ จะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายกับครอบครัวของฉัน”ติวเตอร์พูดกลับไปด้วยความโมโห โมโหที่ถูกเรียกว่าที่รักจากคนที่เกลียด โมโหที่อาจถูกมองว่าเป็นคู่รักกับคนแบบนั้น โมโหที่บอกว่าจะมาขอเขาจากแม่ ทั้งโมโหทั้ง อาย

“มันจะไม่มากไปหน่อยรึไงติวเตอร์” ทามสวนกลับด้วยน้ำเสียงที่เริ่มทนไม่ไหวเช่นกัน ไม่ใช่เพราะครอบครัวนี้หรอที่มาแย่งคู่ค้าทางธุรกิจของเขาไปทำให้ต้องขายหุ้นในราคาที่ถูกลงเสียหายไปหลายสิบล้าน ดีที่เขากลับมาช่วยพ่อบริหารจนดีขึ้น ถึงได้ขึ้นแท่นเป็นลูกรักจนทุกวันนี้

“ก็แล้วทำไม รึมันไม่จริง พวกสร้างแต่ปัญหาให้คนอื่น” ติวเตอร์เริ่มขึ้นเสียง ลุกขึ้นยืนพูดข่ม ทำให้ทามลุกขึ้นยืนประจันหน้าเช่นกัน

“มีอะไรกันลูก ติวเตอร์ ทาม เกิดอะไรขึ้น แขกตกใจหมดแล้ว” กิตติศักดิ์เดินเข้ามาห้ามทัพระหว่างทั้งคู่

“ขอโทษครับพ่อ ไม่มีอะไรหรอก” ติวเตอร์รีบหันไปพูดกับพ่อและขอโทษคนอื่นๆด้วยที่ตนเสียงดัง

“ขอโทษครับคุณอากิต ผมผิดเองที่แหย่น้องติวเอตร์แรงไปหน่อย น้องเขาเลยโมโหนิดๆน่ะครับ” ทามพูดบอกกิตติศักดิ์ด้วยสีหน้ารู้สึกผิด

“ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว ติวเตอร์ลูกจุดธูปส่งให้พี่เขาไปเคารพแม่สิ คุณพงพัทธ์ด้วย” กิตติศักดิ์มองหน้าลูกชายตนด้วยสายตาที่บ่งบอกอย่างขอให้ยอมลงให้ในเวลานี้

“งั้นผมและลูกชาย ขอตัวกลับเลยดีกว่า ไว้วันหลังถ้าว่าง ผมจะมาร่วมงานอีก ขอแสดงความเสียใจอีกครั้งนะครับ” พงพันธ์กล่าวขึ้นมาหลังจากไปเคารพศพเรียบร้อย แล้วพากันเดินออกไปนอกงานทันที

“หึ แกไปทำอะไรเขาล่ะ ถึงได้ลุกขึ้นมาโวยวายได้ขนาดนั้น ทั้งๆที่สภาพแบบนั้นจะยืน ยังดูจะไม่ไหวเลย” พงพันธ์ถามลูกชายของตนทนทีที่ขึ้นนั่งบนรถ เหล่มองลูกชายของตนที่นั่งยิ้มมุมปากมองไปยังศาลาวัด

“ก็แค่พูดเล่นนิดๆหน่อยๆทำเป็นโมโห แต่พ่อเห็นสภาพแบบนั้น ปากก็ยังคงดี้หมือนเดิม ตอบกลับมาได้เจ็บแสบเชียว แต่ครั้งนี้ผมอุตส่าห์ช่วยให้มีชีวิตชีวาเลยนะ ยังจะมาไม่พอใจกันอีก เด็กดื้อจริงๆ” ทามหันกลับไปตอบพ่อของตนก่อนหันกลับมาและองไปยังศาลาวัดอีกครั้ง

“ฮ่าฮ่า พอกันทั้งพ่อทั้งลูก นิดๆหน่อยๆทำเป็นขึ้น น่าสนุกขึ้นทุกวัน” พงพัทธ์พูดขึ้นตามองตามทามไปยังศาลาวัดอีกคน

‘หึ อยากจะรู้เร็วๆจัง ว่าจะยังปากดีได้อีกนานแค่ไหน ถ้าได้มานอนอยู่ใต้ร่างฉันนะติวเตอร์’ ทามพูดกับตัวเองเบาๆแต่มีหรอจะเล็ดรอดหูของผู้เป็นพ่อที่ดันคิดแบบเดียวกันพอดี การแก้แค้นแสนหวานที่พวกเขารอคอยมันกำลังจะเริ่มต้นขึ้น
รถค่อยๆทะยานตัวออกไปสู่ถนนด้านนอก กลับสู่บ้านศิระสกุลวงษ์อีกครั้ง
.
.
7 วันหลังจากเกิดอุบัติเหตุ
บ้าน กิจจาวัฒนาพันธ์

“ไอู้ลกชายตัวดีฉันมันหายหัวไปไหนกันหมด มีใครพอจะตอบฉันได้ไหม
!”น้ำเสียงทรงอำนาจดังขึ้นภายในบ้าน ทำให้แม่บ้านและลูกน้องทั้งหลายยืนกันไม่ติดพื้น ฟังจากน้ำเสียงก็รู้ได้ทันทีว่ากำลังโมโหแน่นอน ซึ่งถ้าคนคนนี้โมโหทีไร ก็มีจะมีคนตายไม่ก็บาดเจ็บทุกครั้งไป

“เมื่อตอนเช้าคุณๆโทรมาบอกว่าไปบ้านพักตากอากาศของคุณท่านค่ะ ให้ดิฉันมารายงานคุณท่านด้วย” หนึ่งในคนรับใช้พูดอย่างกล้าๆกลัวๆ

“แล้วทำไมไม่รายงานฉัน!” เสียงเข้มนั้นดังขึ้นอีก

“ฉ ฉัน กำลังจะไปรายงานคุณท่านค่ะ แต่คุณท่านขอรับมื้อเช้าก่อน ฉ ฉันเลยยังไม่ได้รายงานให้คุณท่านทราบค่ะ” คนเดิมพูดเสียงตะกุกตะกัก ลนลานด้วยความกลัวในความผิด

“นี่เธอจะบอกว่าฉันผิดงั้นหรอ?” สายตาคมกริบปาดไปมองยังสาวใช้ผู้โชคร้ายคนเดิมที่เอาแต่สั่นกลัว

“ป เปล่าเลยค่ะ ฉ ฉันผิดเอง ขออภัยด้วยค่ะนายท่าน” พูดรัวเร็วก้มต้มไหว้ผงกหัวแทบจะกราบเสียงทรงอำนาจนั่นทันที

“หึ เดี๋ยวจะหาว่าฉันใจร้าย ฉันให้โอกาสคนเสมอแหละ แต่ถ้ามีคราวหน้าอีก ฉันก็ไม่รับประกันว่าเธอจะเจอกลับอะไร” เสียงเข้มดังขึ้นเรียบๆแต่หนาวจับขั้วใจคนฟังทุกคน

“ข ขอบคุณค่ะท่าน ขอบคุณค่ะ” สาวใช้คนเดิมรีบก้มหัวยกมืิไหว้เป็นการใหญ่ที่วันนี้ตนไม่โดนอะไรเข้า
อย่าถามว่าทำไมคนรับใช้เหล่านี้ถึงยอมเสี่ยงที่จะอยู่ให้เป็นอันตรายต่อตนเอง ก็เพราะพวกเขามีฐานะยากจนมีภาระที่ต้องกินต้องใช้ ซึ่งที่นี่ถึงจะเสี่ยงแต่เงินเดือนที่ได้รับมันมากกว่าแรงงานขั้นตา4-5เท่าต่อเดืีอนยังไงล่ะ






...

เปิดตัวตัวละครใหม่ คงจะเป็นคู่รองของเรา

พี่ทาม พระเอกคู่รองดูนิสัยไม่เหมาะจะเป็นพระเอกนิดหน่อย 555 ใครคิดบ้าง

บางที13ก็คิดนะ ว่าตอนนี้มันเรื่องของพวกพ่อๆเยอะเกินไปรึเปล่า

...

ขอบคุณคนที่ติดตามนะคะ และยินดีต้อนรับคนใหม่ๆเข้ามาเสมอ :3123:
เม้นๆบ้างนะ ติชมกันได้ จะรับฟังด้วยความยินดีเลยค่ะ :impress2:
เจอกันตอนหน้สนะคะ :bye2:

[/size]
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย ตอนที่ 3 //แก้
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 18-11-2015 00:06:55



medie



 03 : ทุกสิ่งที่กระทำ



ฝาแฝด มักจะมีพลังงานบางอย่าง ที่เชื่อมพวกเขาเข้าด้วยกันและมีสายใยอันแนบแน่น รวมไปถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งเกินคำบรรยายที่ยากจะแยกออกจากกันได้ตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิต

“หากคุณเป็นฝาแฝด ย่อมไม่มีวันแยกจากกัน... คุณเดินทางมาสู่โลกนี้ด้วยกัน จึงควรอยู่ด้วยกันชั่วชีวิตที่เหลืออยู่” คำกล่าวของคู่แฝด ฟิโลมินา และกลอเรีย ซินิสคัลคี
คงเป็นเครืองยืนยันถึงภาวะแห่งความผูกพันที่แสนจะพิเศษนี้ได้เป็นอย่างดี ฝาแฝดทุกคู่เกิดมาพร้อมกับชะตากรรมที่ต้องยอมรับแบบไม่มีเงื่อนไข เสมือนการได้รับของขวัญล้ำค่าจากธรรมชาติที่น้อยคนนักจะมีโอกาสเช่นนี้ และพวกเขาทั้งสองก็มีสิ่งมหัศจรรย์นี้เช่นกัน

แรมป์ say

3 วันมานี้ผมติดต่อเฟิร์สไม่ได้เลย พยายามตามหาตามที่พักต่างๆแต่ก็ยังไม่พบ ให้คนของตนช่วยตามหาก็แล้วก็ไม่พบ บางทีผมอาจจะลืมอะไรที่ใกล้ตัวไปรึเปล่านะ

ที่ผมพยายามตามหาเฟิร์สมากขนาดนี้ เพราะผมเป็นห่วงมากๆ ผมรู้สึกได้ว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นกับเฟิร์สแน่ๆ ตั้งแต่คืนนั้นที่เฟิร์สเดินออกจากบ้านไป ทั้งคืนผมนอนไม่หลับเลย
ผมใจเต้นแรงผิดปกติ เหงื่อออกท่วมตัวทั้งๆที่อยู่ในห้องแอร์ ทั้งๆที่นอนอยู่บนเตียงเฉยๆเท่านั้น ผมรู้สึกใจหายกับเรื่องอะไรสักอย่าง

เหตุการณ์แบบนี้มันเคยเกิดขึ้นเมื่อพวกผมยังเป็นเด็ก เฟิร์สเคยจะจมน้ำตาย แต่ความรู้สึกของผมมันบอกว่าให้ไปช่วย เฟิร์สถึงรอดมาได้ มันเป็นแบบนี้อยู่หลายครั้ง แต่ก็มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมไปช่วยเฟิร์สไม่ทันจนเกิดสูญเสียความทรงจำช่วงนั้นไปซึ่งเป็นช่วงที่เจ็บปวด เฟิร์สเองก็เคยมาช่วยชีวิตผมเหมือนกัน

ทั้งผมและเฟิร์สจะสื่อถึงกันได้แบบนี้ทุกครั้งที่เกิดเหตุแปลกๆ เรามั่นใจว่าเหตุการณ์ทุกอย่างจะผ่านม้นไปได้ถ้าเราช่วยเหลือกัน เรารักกันผูกพันธ์แน่นยิ่งกว่าพี่น้องธรรมดา เพราะเราคือแฝด

เรามีความเหมือนกันในหลายๆอย่าง บางสิ่งที่เกลียดบางสิ่งที่ชอบจะเหมือนกันบ้าง ต่างกันบ้างที่รสนิยมเรื่องการแต่งตัว และนิสัยในการแสดงออกบางอย่าง อาจจะแตกต่างกันเยอะ แต่ก็คล้ายๆกันอยู่เหมือนกัน ‘ในความแตกต่างก็มีความเหมือนที่เรารู้กันทุกอย่าง’

ซึ่งความรู้สึกที่ทำให้ใจไม่สงบนั่น มันไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ แต่ครั้งนี้ความรู้สึกมันชั่งรุนแรง ชัดเหลือเกินในอก ทำให้ต้องรีบตามหาเจ้าแฝดนั่นตั้งแต่รุ่งเช้า แต่พอนานเข้าก็หาไม่เจอ ให้คนช่วยกันตามหาเงียบๆไม่ให้พ่อรู้ก็แล้ว แต่ก็ไม่เจอ จนผ่านมาจะเข้าไปวันที่3 ทำให้ต้องคิดใหม่ทำใหม่ บางทีอาจจะมองข้ามอะไรไปรึเปล่า
...แล้วก็เจอจนได้

.
.
.

7 วัน หลังเกิดอุบัติเหตุ

“ที่นี่ที่ไหน’ รีสคิดได้ทันทีที่เริ่มรู้สึกตัว ขยับดวงตาพยายามจะลืมขึ้นอย่างยากลำบาก พร้อมจะขยับร่างกายของตนจะลุกขึ้น ภาพที่เห็นเบื้องหน้า ช่างไม่คุ้นเคยเลย เพดานห้องสีขาว เตียงสีขาว ทุกอย่างเป็นสีขาว แม้กระทั่งผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงข้างๆเขา ภาพทุกอย่างมันเบลอไปหมด

“เขาฟื้นแล้วค่ะ คุณคะอย่าพึ่งขยับตัวสิคะ” เสียงของผู้หญิงคนนั้นเอ่ยขึ้นแล้วหันไปมองยังชายอีกคนที่ใส่ชุดสีขาวที่ยืนอยู่อีกมุมนึงของห้อง แล้วหันมาดันตัวของเขาให้นอนลงอีกครั้ง

“พ พวก คุณ เป็น ใคร” น้ำเสียงแหบพร่าพูดถามอย่างยากลำบาก พยายามดันกายจะลุกขึ้น แต่ก็ไม่มีแรงแม้แต่จะขัดขืนแรงที่กดให้นอนลงเช่นเดิม ทุกอย่างรอบตัวของเขายังคงหมุนวน พาเอามึนไปหมด

“เจสสิกา คุณช่วยเอาน้ำให้เขาดื่มที สวัสดีครับคุณภัทรพล(รีส) ผมชื่อดอม เป็นหมอผู้ดูแลคุณตอนนี้ครับ คุณสงบสติอารมณ์ก่อนนะครับ ใจเย็นๆ พวกเราไม่ทำร้ายคุณแน่นอน” หมอหนุ่มเอ่ยแนะนำตนเอง

“ที่นี่ที่ไหน” หลังจากที่รีสดื่มน้ำ แล้วนอนลงที่เดิมอีกครั้ง ก็เอ่ยถามหมอต่อทันทีี้ ดวงตามองด้วยความสงสัย และยังคงมึนงงกับเหตุการณ์ก่อนหน้าที่ยังคิดไม่ออก

“ที่นี่เป็นที่ที่คุณอยู่แล้วปลอดภัยที่สุดในตอนนี้ พวกเราช่วยคุณมาจากข้างทางนั่น คุณจำได้หรือเปล่าว่าคุณเป็นใคร แล้วก่อนหน้านี้ไปทำอะไรมา?” หมอดอมพูดแล้วหันมองหน้ารีซ ถามเป็นเชิงทดสอบ

“ข้างทาง? ผมไปทำอะไรข้างทาง จำอะไรได้ไม่ได้ หมายความว่ายังไง หรือมันมีเรื่องเกิดขึ้น” รีสพึมพัมกับตัวเอง พยายามที่จะทบทวนตามคำถามที่รับฟังมา

“ผมชื่อรีส แต่ ก่อนหน้านี้ผมทำอะไรมาอย่างงั้นหรอ” รีสถามตนเองเสียงเบาในตอนท้าย คำถามที่เขายังคงตอบตนเองไม่ได้เช่นกัน เขาพยายามคิดทุกอย่าง ปวดหัวไปหมด ทุกสิ่งทุกอย่างในสมองตีกันวุ่นวายไปหมด ใบหน้าเริ่มเครียด หัวคิ้วติดกัน

“คุณภัทรพลคุณใจเย็นๆก่อน ผมไม่ได้ต้องการให้คุณฝืนเพื่อให้จำมันได้ขนาดนั้น คุณยังไม่ต้องรีบคิดตอนนี้ก็ได้ครับ เจสสิกาคุณมาช่วยผมที” หมอดอมหันไปเรียกเจสสิกาให้มาช่วยกันห้ามรีส เพราะตอนนี้เขาทรมานตนเองเต็มที่ เขาพยายามที่จะนึกทุกอย่างให้ออก ค่อยๆยกมือขึ้นกุมหัวทั้งๆที่มันปวดมากมาย เพราะทุกสิ่งตีกันวุ่นวาย ภาพต่างๆที่เห็นไม่รู้ว่าเกิดขึ้นจริงไหม มันกำลังวิ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง

“อึก! มันคืออะไร มันคืออะไร! อย่ามายุ่งกับผม! ปล่อย!” รีสพยายามคิด มือกดหัวจิกดึงเส้นผมของตนเพื่อลดอาการปวดหัวที่เขาเผชิญอยู่ ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความทรมาน

“โอ้ยยยยย!!”
รีสร้องออกมาอย่างเจ็บปวด ทิ้งตัวดิ้นทุรนทุรายอย่างทรมาน เหตุการณ์ทุกอย่างไหลทะลักเข้าหาเขาอย่างกับน้ำหลาก ความจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้น!

ทั้งเรื่องครอบครัวของติวเตอร์ และเรื่องนั้น ที่เขาถูกใครคนนั้นที่ขับรถชนเขาด้วยความเร็ว และเขาจำได้ว่าเขาไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว เขาโดนชนกลางลำตัวอย่างจัง ถลาติดรถตามไปด้วยความเร็วของรถนั่น เมื่อรถหยุดเขาก็ร่วงหัวกระเเทกพื้น เขาจำได้ทุกวินาทีบันทึกภาพทุกอย่างไว้แล้วฉายซ้ำวนไปมาก่อนที่เขาจะฟื้นขึ้นมา เขา...เขาตายแล้วนี่? แต่ทำไม ตอนนี้เขายังอยู่

“หึ หึหึหึ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...นายทำอะไร!” เมื่อความทรงจำทุกอย่างไหลเข้ามาภาพทุกอย่างฉายชัดอยู่ในความทรงจำของเขา ทำให้เขาหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ไม่รู้ว่าดีใจที่เขาไม่ตาย ที่เขายังอยู่ ที่เขายังมีโอกาสทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับติวเตอร์ หรือ ที่สัญญากับตัวเองที่จะได้แก้แค้น

ป๊อก!

เสียงของเข็มฉีดยาขนาดใหญ่หักเสียงดัง หลังจากที่ดอมและเจสสิกาพยายามจะหยุดไม่ให้รีสทำร้ายตัวเอง พยายามที่จะฉีดยาอะไรสักอย่างเข้าแขนของเขา แต่ เข็มดันหัก!

“คุณ! คุณภัทรพล? เอ่อ ไม่น่าเชื่อ เจสสิกาบันทึกผลด่วน” “ค่ะ คุณหมอ” ชายหญิงชุดขาวเมื่อเห็นดังนั้นก็ทำหน้าตกใจดีใจผสมปนเปกันไปหมด พรางรีบบอกให้อีกคนจดบันทึกแล้วตนก็เดินเข้ามาหารีสทันที

“คุณรู้สึกยังไงบ้าง คุณรู้รึเปล่าว่านั่นมันเป็นเข็มฉีดยาที่ทำมาเฉพาะคนแบบพวกคุณ แต่คุณดันใช้มันไม่ได้ เมื่อกี้ที่อารมณ์ของคุณไม่แน่นอน อาจจะเรียกว่าเหมือนแค้นอะไรสักอย่าง” ดอมเดินทำหน้าดีใจกับอะไรสักอย่างเข้ามาหารีส

“จดบันทึกอะไร? เข็มสั่งทำพิเศษบ้าอะไร? พวกคุณดีใจอะไรกัน? พวกคุณเป็นใคร? แล้วนี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกันแน่? ใครก็ได้ตอบผมมาเดี๋ยวนี้!!!” รีสมึนงงทันที เข็มเล่มยักษ์ขนาดนั้นทิ่มแขนของเขาไม่เข้าตอนนั้น มันน่าดีใจมากเลยรึไง แล้วอะไรกันเข็มสั่งทำพิเศษสำหรับคนอบบพวกเขา คนแบบพวกเขา?

“หมายความว่ายังไง คนแบบพวกผม อธิบายทุกอย่างให้ผมฟังให้หมดเดี๋ยวนี้! ไม่งั้นอย่าหาว่าผมไม่เตือน!” รีสจ้องมองทั้งคู่เขม่ง บรรยากาศรอบๆดูตึงเครียดขึ้นมาทันที คล้ายมีรังสีพิฆาตอนุภาพรุนแรงออกมาจากรอบๆตัวของรีส

“เอ่อ งั้นผมจะเล่าให้คุณฟังคร่าวๆนะครับ คือว่า........
.
.
.
เรื่องมันก็ประมาณนี้ครับ จากเหตุการณ์ที่คุณเจอ มันทำให้ตัวตนของคุณเปิดเผยออกมา เอ่อ คุณอย่าทำอะไรพวกเรานะครับ พวกเราเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา ที่ได้เข้ามาคอยดูแลพวกคุณเท่านั้น โดยเฉพาะมือใหม่แบบคุณ” ดอมอธิบายยืดยาวให้รีซพยายามเข้าใจ เจสสิกาก็ขยับหลบหลังของดอมมากขึ้น

“...มัน เรื่องบ้าอะไรกัน” รีซกำลังช็อคกับทุกอย่างที่เขาได้รับรู้มา มันใหม่ทากสำหรับเขา มันเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง

“ที่นี่มันที่ไหน บ้ากันไปหมดแล้วรึไง! พวกคุณพูดความจริงมาเดี๋ยวนี้! อย่ามาโกหก! มันไม่ใช่เรื่องจริง!”
   
โครม!!

รีซโวยวายขึ้นทันทีที่ได้ยินเรื่องราวทั้งหมด เขาดึงรั้งสายและทำลายโต๊ะทุกอย่างที่อยู่ใกล้ๆตัวอย่างบ้าคั่ง ดวงตาแข็งกร้าวอย่างโมโหยิ่งนีก จะไม่ให้โมโหได้ยังไงก็เรื่องทุกอย่างมันบ้า มันไม่ใช่เรื่องจริง คนพวกนี้โกหกเขาแน่นอน มีจริงที่ไหนกันล่ะ ‘พวกกลายพันธุ์!’

“มันเป็นเรื่องจริง รีส” เสียงของบุคคลปริศนาดังขึ้นในทันที หลังจากเปิดประตูเข้ามาเมื่อรีสลุกขึ้นโวยวายด้วยความโมโห

“ทุกอย่าง มันคือเรื่องจริง” ชายใส่เสื้อกราวด์สีขาวที่ยังดูหนุ่มอยู่เอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“คุณเป็นใคร!”

“ใครสักคน ที่ช่วยเหลือคุณได้ ผม ศ.ดร.แม็ทธิว นี่หมอพอลจะเป็นคนดูแลคุณต่อไป” ชายใส่เสื้อกราวด์สวมแว่นตาอีกคนที่ดูมีอายุกว่าเอ่ยขึ้น
.
.
.

บ้าน กิจจาวัฒนาพันธ์
เวลา 20:00 น.

“ไหวมั้ยเฟิร์ส” แลมป์ เอ่ยถามน้องชายฝาแฝดของตนทันทีที่ประคองตัวเดินเข้าประตูบ้านมา เป็นการกลับมาในครั้งแรกตั้งแต่สัปดาห์ก่อนในคืนนั้นที่เขาออกจากบ้านไป

“อืม”เสียงของเฟิร์สเอ่ยตอบอย่างเบาแรง สภาพดูโทรมไปเยอะ ซูบผอมลงเหมือนไม่ค่อยได้รับสารอาหาร เเรงจะเดินยังเหมือนจะหมดลงเช่นกัน จึงได้แต่ต้องพึ่งพาแฝดของเขาพยุงเดินเข้ามา

“เอ่อ คุณๆทั้งสองคะ นายท่านให้แจ้งว่าถ้ากลับมาแล้ว ให้ขึ้นไปหาด้วยค่ะ” หญิงคนใช้เมื่อเห็นทั้งคู่กลับเข้ามาในบ้าน จึงรีบไปรายงานทันที

“ขอบใจ”แลมป์เอ่ยกับสาวใช้ แล้วค่อยๆพยุงพาเฟิร์สขึ้นไปด้านบนทันที บรรดาคนใช้ทั้งหลายเห็นจะเข้ามาช่วยแต่ก็โดนปฏิเสธซะหมด


ก๊อก ก๊อก

“พ่อครับ ผมแลมป์”

“เข้ามา”

เมื่อแลมป์เปิดประตูเข้ามา มองตรงไปยังพ่อของเขา รังสีของความโกรธจากตัวของพ่อไหลล้นออกมา ถ้าเป็นคนอื่นคงจะกลัวแต่สำหรับแลมป์นั้นก็คงเรียกว่าชินแล้ว

“แกกลับมาคนเดียวหรอ” เสียงเข้มดังขึ้น แม้จะพยายามคงน้ำเสียงให้นิ่งไว้ แต่ทำไมคนใกล้ตัวอย่างเเลมป์จะไม่รู้ว่าพ่อของเขาไม่พอใจมาก

“เฟิร์สด้วยครับ แต่เขาไม่ไหว ผมเลยพาไปพักที่ห้อง แล้วมาพบพ่อคนเดียว” แรมป์เอ่ยตอบพ่ออย่างเกรงๆ เวลาที่พ่อของเขาอารมณ์ไม่ดีไม่ว่าใครก็หยุดเขาไม่ได้ทั้งนั้น

“มันเป็นอะไร! แล้วพวกแกหายไปไหนมา! รู้บ้างมั้ยว่าฉันเป็น!”(ห่วง)เกือบจะหลุดออกมาจากปากผู้เป็นพ่อ ด้วยอารมณ์ที่ไม่มั่นคงในตอนนี้ ทำให้หลงลืมตัวตนไปชั่วขณะ

“ขอโทษครับพ่อ ที่่พวกผมหายไปไม่ได้บอกเป็นอาทิตย์ แล้วผมก็จะมาคุยกับพ่อเรื่องของเฟิร์สเหมือนกัน” แลมป์พูดช้าๆหวังให้พ่อของเขาไม่อารมณ์ขึ้นอีก

“ว่ามา ถ้าพวกแกมีเหตุผลที่ดีพอ ฉันจะไม่ลงโทษพวกแกทั้งคู่”

“ครับพ่อ คือ เฟิร์ส ขับรถชนคนตาย”เเรมป์ค่อยๆเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่ได้ฟังมาจากเฟิร์สให้พ่อของเขาฟังโดยละเอียด

...

“มันเลยสติแตก ไม่เป็นอันจะทำอะไร เดือดร้อนแกต้องไปดูแล เสียการเสียงานไปหมดงั้นสินะ” พ่อพูดเยาะ รู้สึกสมเพชลูกชายตัวเองขึ้นมา

“ฉันต้องการให้พวกแกสืบทอดกิจการ แล้วการเห็นคนตายมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรในวงการนี้ ทำอย่างกับไม่เคยเห็น ทำไมเฟิร์สมันถึงเป็นบ้าไปขนาดนั้น หึ พวกแกสองพี่น้องนี่มันน่าสมเพชจริงๆ แกควรจะจัดการให้มันหายเร็วๆนี้ ไม่งั้นฉันจะใช้วิธีของฉันเอง ฉันให้เวลา 7 วัน ทำให้มันเข็มแข็งแล้วหายบ้าซะ ถ้าแกไม่อยากให้น้องแกตกนรกทั้งเป็นแบบแก”

ผู้เป็นพ่อกล่าวยิ้มมุมปาก อย่างพอใจ ในแผนการของตน นี่เป็นการดีที่จะทำให้ลูกชายทั้งสองสืบทอดกิจการของเขาทั้งหมด

“7 วัน! มันไม่น้อยไปหน่อยหรอครับ” แลมป์เอ่ยขึ้นเสียงดังอย่างตกใจ เาเพียงแค่นี้เขาจะทำได้จริงหรอ ทั้งๆที่สัปดาห์ที่ผ่านมาเขากว่าจะให้เฟิร์สดีขึ้นจนไว้ใจ พูดเล่าทุกอย่างให้เขาฟังก็กินเวลาไปหลายวันแล้ว

“หรือแกไม่มีปัญญา?”

“ผมทำได้! ผมไม่ยอมให้พ่อบังคับเฟิร์สมันหรอก” พ่อของเขาแผนสูงจริงๆ ถ้าผมทำไม่สำเร็จเจ้าเฟิร์สผู้ไร้เดียงสาคงจะแข็งกร้าวไม่น่ารักอย่างตอนนี้แน่นอน ฝาแฝดของผม ผมรักมัน ผมไม่อยากให้มันเผชิญกับสิ่งเลวร้ายที่พ่อเขาทำอีก

“แกออกไปได้แล้ว” ผู้เป็นพ่อพูดจบก็ไล่ให้ออกไปทันที มือจะจรดปากกาลงบนเอกสารแต่ก็ต้องชะงักมือเมื่อได้ยินคำถาม

“ที่พ่อต้องการให้เฟิร์สมันสืบทอดกิจการทั้งหมดของพ่อนักหนา มันเป็นเพราะผมใช่มั้ยครับ ผมที่เป็นเกย์แต่ผมก็ยอมเลิกกับทุกคนแล้ว ทั้งๆที่ผมก็ยอมทำตามพ่อทุกอย่าง พ่อถึงกับต้องดึงเฟิร์สเข้ามารับหน้าที่ด้วย หรือจะเป็นเพราะเรื่องแม่” แลมป์พูดขึ้นมาเสียงเบา ดวงตาจ้องมองไปยังพ่อของตนที่ตอนนี้นั่งนิ่ง

ปั้ง!!

“ออกไปซะ ก่อนที่ฉันจะหมดความอดทน” ผู้เป็นพ่อวางปากกาลงบนโต๊ะเสียงดัง เอ่ยปากไล่แลมป์ออกจากห้องทำงานตนอีกครั้ง ด้วยไปหน้านิ่งเฉย แต่ดวงตานั้นแข็งกร้าว เกร็งมือจนแข็งเส้นเลือดขึ้นไปหมด

“ครับ ผมขอตัว” แลมป์เอ่ยขึ้นแล้วรีบเดินออกจากห้องทำงานของพ่อ ตรงไปยังห้องตัวเองทันที

‘เมื่อไหร่พ่อจะยอมรับ หรือเราต้องเลือก”

.
.
.

เอี๊ยดดดดด!!

โครมมม!!

‘มึงฆ่ากู กูจะเอามึงไปอยู่ด้วย’

“ไม่ อย่า”

‘ฮ่าฮ่าฮ่า มาสิ มาด้วยกัน มาอยู่กับกู เดินลงนรกไปพร้อมกับกู’


“ไม่!!!!”

ภาพเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น กำลังย้อนกลับมาทำร้ายเขาในความฝันครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นราวกับของจริงที่ตั้งให้เห็นอยู่ตรงหน้า พร้อมทั้งเรื่องใหม่ที่ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่เกิดขึ้นต่อๆกันมา ภาพของชายคนนั้นที่เดินเข้ามาหาเขาด้วยสภาพเละเทะดูไม่ได้ ไม่มีความเหมือนคนอีกต่อไป เขายังคงเดินเข้ามาหาเฟิร์สเสมอ เลือดที่ท่วมกาย ดวงตาที่ยังคงเหลือกโลน นัยตาแข็งกร้าวเต็มไปด้วยความแค้น ทุกๆอย่างดูน่ากลัวสมจริงไปซะหมด เขาไม่รู้และไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าทุกอย่างนั้น เป็นเพียงแค่ความฝันเหมือนที่แลมป์ปลอบเขา เขาสติแตก หวาดระเเวงทุกอย่างรอบตัวไปหมด

‘ทุกอย่าง มันน่ากลัวเหลือเกิน’

เฟิร์สได้แต่นอนขดตัว หอบหายใจรัวเเรง เอามือกอดแขนขาตนเองไว้อย่างหนาแน่น คลุมผ้าห่มมิดหัว ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า เหงื่อท่วมเต็มตัว อย่างน่าสงสาร

เขาไม่คิดว่าเขาจะเป็นได้ขนาดนี้ เพราะทุกครั้งที่พ่อพาไปดูงานมักจะมีคนตายเกิดขึ้นเสมอ แต่ก็นะ เขาไม่ได้เห็นกับตาทุกครั้งได้ยินแต่เสียงที่ค่อยๆเงียบหายไป

เมื่อเฟิร์สจมอยู่กับความคิดอันหวาดกลัวของเขาเป็นเวลานาน เขาก็เพลียหลับไปในท่านั้นทันที

เขาทรมานแบบนี้ทุกวัน ตั้งแต่คืนนั้น ทุกวันที่หลับฝันจะต้องเกิดเหตุการณ์เดิมซ้ำไปซ้ำมา ทั้งเรื่องที่เขาขับรถออกมาจากบ้านไปจนถึงตอนที่เขาขับรถชนคนตาย จนไปถึงเหตุการณ์ังจากนั้นที่เขาเห็นชายคนนั้นตามมาหลอกหลอนเขา มาทวงชีวิตเขา จะพาเขาไปอยู่ด้วย เป็นแบบนี้ทุกๆวันทุกลมหายใจ เขาไม่สามารถลบภาพทุกอย่างออกจากหัวได้เลยซักครั้ง จนวันที่แลมป์มาถึงเขาเหมือนได้ที่พึ่ง คอยดูแลเขาสารพัด จนเขาดีขึ้นมากแล้วได้กลับมาที่บ้านในตอนนี้

แต่ยังไง ตอนนี้ เขาก็ยังคงทรมาน และไม่รู้ว่าจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่
.
.
.

ความทุกข์ในหลากหลายรูปแบบกำลังหมุนวน ความเจ็บปวดที่ทุกฝ่ายกำลังได้รับ มันจะยังคงทำหน้าที่ของมันต่อไป อย่างไม่มีบกพร่อง มีแต่จะทวีโหมพัดใส่อย่างรุนแรงขึ้น หรือจะลดน้อยลง เมื่อมีสิ่งขั้นเวลาเรียกว่า ความสุข ก็ตาม แต่ในท้ายที่สุดของชีวิต ก็ยังคงเจ็บปวด



...ขอบคุณข้อมูลเรื่องแฝดจาก www.vcharkarn.com/varticle/32243



.....

อ่านแล้วเม้นๆบ้างนะคะ

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย ตอนที่ 4 //แก้
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 18-11-2015 14:54:48



medie



04 : ข้อตกลง


 


เคร้ง!!

“อ้วกกกก”

รีสรีบวิ่งไปเข้าห้องน้ำทันทีหลังจากที่เขากินอาหารไปได้เพียงเล็กน้อย เท่านั้น เขานั่งอ้วกเอาทุกสิ่งทุกอย่างออกมา นั่งก้มหน้าติดกับชักโครก มันเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่เขากินมันเข้าไป อาหารธรรมดาที่เขาเคยกินทุกวัน แต่ตอนนี้เขากลับกินมันไม่ได้แล้ว กินเข้าไปทีไรก็เอาออกมาหมดไส้หมดพุง มันเป็นแบบนี้มาสองวันเเล้วที่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องของเขา

“อะไรกันวะ! เป็นแบบนี้อีกแล้วหรอ หิวจนตาลายไปหมดแล้ว แต่แม่งก็เสือกกินไม่ได้! เหี้ยเอ้ย!”

“อ้วกกกก” รีสยังคงโก่งคออ้วกอย่างทรมานต่อไป เมื่อกินเข้าไปเท่าไหร่ก็ออกมากว่าที่เข้า ซึ่งแทบไม่มีอะไรจะออกแล้ว ทรมานเกินจะทนแล้ว

รีส : นี่เป็นเช้าวันที่สองหลังจากผมออกมาจากองค์กรบ้าอะไรนั่น ที่ที่ผมไปฟื้นนั่นแหละ ตอนนี้ก็อยู่บ้านเดี่ยวที่น่าจะซื้อมาที่ทางองค์กรนั่นช่วยหาให้อยู่เป็นบ้านที่เหมือนประกาศขายในใบปลิวที่เขาไม่คิดว่าจะมีปัญญาซื้ออยู่เองได้ จัดของใช้จำเป็นต่างๆให้ครบถ้วน เพื่อกันคนที่เขารู้จักไว้ก่อนพวกไม่รู้จักก็ด้วยแหละ เพราะว่าต้องรอดูอาการว่าเขาจะเข้ากับมนุษย์ทั่วไปได้ไหม บ้าสิ้นดี!

แต่ผมก็ดันเชื่อ แต่ก็นะ เพื่อเหตุผลบางประการที่จะเป็นประโยชน์กับผมที่จะสามารถยืมมือพวกนี้มาใช้ได้ในภายภาคหน้า จึงได้ยอมบ้าทำตามข้อตกลงต่างๆ แต่ที่ที่บ้าๆแบบนั้นใครจะไปอยู่กันล่ะ แต่ก็ยังดีที่มันให้ออกมาถึงจะยังติดต่อคนรู้จักไม่ได้แต่ก็ไม่ทำให้ประสาทเสียเท่าอยู่ที่นั่นแน่ๆ แต่มันจะดีกว่านี้มาก ถ้าร่างกายผมมันกลับไปปกติ

“หรือต้องกลับไปพึ่งที่นั่นอีก ไม่ๆ ถามมันก็จบว่าให้เรากินอะไร ไม่ดี ไม่ดีแน่ๆ เดี๋ยวพวกนั้นจะหาว่าเราไม่มีปัญญา” รีสนั่งเถียงตัวเองอยู่ภายในห้องน้ำที่เขาไปนั่งอ้วกนั่น เถียงไปโวยวายไป ทึ้งหัวตังเองไปด้วย เสื้อผ้าที่ใส่ก็ยับยู่ยี่ไปตามๆกัน

“โว้ย หิวโว้ย ออกได้เดินหาไรมากินก็ได้วะ แดดก็ร้อน ตาก็ลายไปหมด เอาวะ! ไปก็ไป” เมื่อคิดได้ดังนั้นรีสก็เดินไปจัดการตัวเองแล้วออกไปข้างนอกบ้านทันที

เขาเดินไปขึ้นแท็กซี่หน้าหมู่บ้าน(มันเป็นหมู่บ้านจัดสรร)ตรงไปยังตลาดสดแถวนั้นทันที

เดินไปเดินมา วนรอบตลาดจนครบรอบ แล้วหยุดยืนอยู่หน้าร้านขายเนื้อสดเจ้าหนึ่ง มองอย่างชั่งใจสักพัก แล้วตัดสินใจซื้อกลับมาหลายกิโลอย่างอดไม่ได้

เมื่อกลับมาถึงบ้าน เขาจัดการเทเนื้อพวกนั้นใส่จาน หยิบซ่อมและมีดมาหั่นกินอย่างเอร็ดอร่อย ลืมอะไรไปบางอย่างจนหมดสิ้น

ฟู~~

“เห้อออ~ ต่อชีวิตไปได้อีกหน่อย แดดพวกนั้นสูบพลังงานในตัวไปหมดเลย” เมื่อกินอิ่ม ก็นั่งพิงเก้าอี้หงายหน้าพ่นลมออกมาอย่างโล่งใจ พูดคำที่เคยใช้พูดประจำเวลาไม่ค่อยมีจะกินตอนที่เขาอยู่หอพัก บ่นนู้นบ่นนี่ไปเรื่อย พาลให้คิดถึงชีวิตก่อนหน้านี้ คิดถึงเพื่อนรัก

‘เตอร์จะเป็นยังไงบ้างนะ ถ้าร้องไห้อีก ใครจะปลอบกันล่ะ โทรหาก็ไม่ได้ ไปหาก็ไม่ได้ สัญญาที่เคยให้ไว้ ไม่ได้ลืมหรอกนะแต่เพราะมันเกิดเหตุการณ์บ้าๆแบบนี้ขึ้นซะก่อน เลยยังไม่มีโอกาสได้ทำ ขอโทษนะเตอร์ รีสผิดเอง’

รีสพูดจบก็ก้มหน้าลงมามองจานอาหารของตน ดวงตาจากที่เคยอ่อนโยนเมื่อครู่จ้องเขม่งแข็งกร้าวมองลงไปราวกับตรงนั้นเป็นใบหน้าของใครอีกคนที่ชวนให้คับแค้นใจ

“ใครว่าเราผิด หึ! ไม่ใช่เพราะเราสักหน่อย มันเป็นเพราะไอบ้านั่นต่างหากที่ขับรถมาชนเรา! ทำให้ชีวิตเรากลับไปเป็นเหมืนเดิมไม่ได้อีกต่อไป! เพราะมัน! มันต้องชดใช้!”

เคร้งงง!!

รีสปัดจานอาหารของตนทิ้งทันที คาบเลือดจากเนื้อสดยังคงติดให้เห็นภายในจานและทุกๆที่ที่มันไปสัมผัสโดน กลิ่นคาวของมันยังคงคลุ้งอยู่ในอากาศ ทุกอย่างที่น่าสะอิดสะเอียน เขารับตัวเองไม่ได้ เป็นใครก็คงรับไม่ได้เช่นกัน ที่เขาดันรู้สึกว่ามันอร่อย หวาน มากกว่าอาหารครั้งไหนๆที่เขาเคยได้กินมา ตั้งแต่กลิ่นและสีสันที่เขาถูกมันดึงดูดตั้งแต่ที่ตลาด ทำให้เขาอดใจไม่ไหวที่จะต้องซื้อมันกลับมาในปริมาณที่มากมาย แล้วจัดการกับมันภายในระยะเวลาอันสั้น

เขารู้สึกขยะแขยงตัวเองสุดๆ เขาเกลียดตัวเองในตอนนี้ที่สุด และเขาจะพยายามให้ความเกลียดทั้งหมด ถ่ายทอดไปสู่อีกคน ให้ได้มากที่สุด เช่นกัน
.
.
เวลา 9:00 น.

3 วัน ที่เขาออกมาจากองค์กร

อีกหนึ่งข้อตกลง คือ เขาจะต้องตรวจร่างกายทุกๆ 3 วัน และในวันตรวจร่างกายซึ่งอาจจะต้องมีทดสอบอะไรก็ตามแต่ที่เขาอยากจะรู้ เพื่อผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย ทำให้รีสยอมโดยไม่มีข้อแม้อะไร
ประตูรั้วบ้านเปิดออกต้อนรับ ขณะที่มีรถยนต์คันหนึ่งวิ่งเจ้ามาจอด คนทั้งสองใส่ชุดสีขาวในรูปแบบเหมือนหมอกับพยาบาลทั่วๆไป มือถือกระเป๋าสัมภาระต่างๆของแพทย์ไว้ครบถ้วน

“สวัสดีครับคุณรีส พบกันอีกแล้วนะครับ ผมหมอพอล จำผมได้ไหมครับ” ทันทีที่ลงจากรถ พอลก็พูดขึ้นทันที ใบหน้ายิ้มแย้ม ทำให้รีสนึกหมั่นไส้ในใจ

“จำได้สิครับ พวกคุณเป็นคนแรกๆที่ผมเจอตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาทำไมจะจำไม่ได้” รีสพูดประชดกับไปด้วยความหมั่นไส้นิดหน่อย

“อารมณ์ดีจังนะครับ แสดงว่าทุกอย่างผ่านไปด้วยดีสินะ”

“อย่ามัวพูดอยู่เลยครับ เข้าไปในบ้านเถอะ”

‘ยิ้ม ยิ้มอยู่นั้นแหละ ยิ้มบ้าอะไรของมัน รำคาญตาจริงๆ’ รีสบ่นในใจอย่างทนไม่ไหว แล้วเดินนำเข้าไปในตัวบ้านทันที

เมื่อเข้ามาภายในตัวบ้านพอลก็จัดการตรวจร่างกาย ดูดเลือดไปเช็คผล ทำต่างๆนาๆอยู่สักพัก เสร็จแล้วก็เก็บเครื่องมือส่วนนี้ลงกระเป๋า พอลหันมามองหน้ารีสแล้วพูดขึ้น

“คุณรีส ก่อนหน้าที่ผมจะมาที่นี่ทางองค์กรได้ทบทวนสิ่งที่คุณขอใหม่ ซึ่งข้อตกลงของคุณจะยังเหมือนเดิม แต่ผมไม่ต้องมาตรวจคุณทุกๆ 3 วันอีกแล้ว”

“ก็ดีสิ หวังว่าคงไม่มี แต่ อะไรนะครับ” รีสยิ้มมุมปากดีใจอย่างอดไม่ได้ เขารำคาญคนพวกนี้จะแย่อยู่แล้ว

“มีครับ เพราะทางองค์กรต้องการให้ผมมาอาศัยอยู่ที่นี่กับคุณ เพื่อเก็บข้อมูล เพราะจากข้อมูลที่ทางเรารับรู้จากเมื่อ3วันที่คุณได้ออกมานั้น มันน่าสนใจ ทางเราจึงต้องขอให้คุณเข้าใจและทำตามด้วยนะครับ” พอลพูดพร้อมกับจ้องรีสด้วยใบหน้านิ่งเฉยบ่งบอกว่าจริงจังไม่มีใบหน้าทะเล้นออกมาเหมือนก่อนหน้านี้เลย แต่ดันยิ้มตบท้ายซะนี้

‘ไอ้หมอนี่ รับมือยากจริงๆ’ นี่คือความคิดแรกที่คิดออกมาได้ทันทีทีที่ได้เห็นปฏิกิริยานั่นในความคิดของรีส

”ผมมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธไหมล่ะ ถ้าผมบอกว่าไม่ พวกคุณก็คงเอาผมไปดองในองค์กรนั่นทันที เพราะถึงผมจะอยู่ไหน ผมก็ขึ้นชื่อว่าตายแล้วอยู่ดี อย่างที่พวกคุณบิดเบือนประวัติผมไง” เขาไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธอยู่แล้ว ถึงจะทำอะไรก็แล้วแต่ มันก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไร ถึงจะรำคาญไอ้บ้านี่ก็เถอะ แต่ข้อตกลงของผมมันยิ่งใหญ่เกินจะปฏิเสธ

“คุณคิดแบบนั้นก็ดีแล้ว ผมจะย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ในวันพรุ่งนี้ ส่วนนี่ ประวัติใหม่ของคุณ วันนี้ผมขอตัวก่อน สวัสดีครับ” พอลพูดจบก็เดินออกไปทันที โดยไม่วายที่จะหันมาส่งยิ้มกวนประสาทให้เขาก่อนออกไป

“มันจะปวดหัวไปถึงไหนวะเนี่ย ลำพังเรื่องของตัวเองก็รับมือจะไม่ไหวอยู่แล้ว ยังจะเอาเรื่องไอ้หมอบ้านี่มาให้ต้องคิดระวังตัวอีก หงุดหงิดจริงๆ”  รีสบ่นทิ้งท้ายก่อนจะเดินขึ้นห้องของตัวเองไปทันที
.
.
“เขายอมรับข้อเสนอใหม่ของเราครับดอกเตอร์ ได้ครับ พรุ่งนี้ผมจะพยายามให้เต็มที่”
.
.
.
1 เดือน ผ่านไป

“ฮือออ พ่อครับ พ่อครับ” ติวเตอร์นั่งกอดพ่อร้องไห้อีกครั้ง เมื่อข่าวที่ได้รับยังคงเป็นข่าวร้าย รีสหายไปตั้งแต่วันที่แม่ของเขาจากไป เขาเสียใจมาก แล้วยังจะมาเรื่องของรีสอีก หายไปโดยติดต่ออะไรไม่ได้ เขาใจหายคนสำคัญของเขาหายไปอีกแล้ว

พ่อแนะนำติวเตอร์ให้ไปแจ้งความคนหายไว้ตั้งแต่2วันให้หลัง เพราะไปหาที่หอพักก็ไม่ก็ไม่เจอ ให้ทั้งตำรวจและนักสืบช่วยกันค้นหา แต่ก็หาไม่พบ

จนเมื่อวานนี้ทางตำรวจได้มาแจ้งข่าวว่ารีสเสียชีวิตแล้ว และไม่สามารถรับศพกลับไปได้เพราะต้องชันสูตร เขาเสียใจอย่างมาก ติวเตอร์อ่อนแอลง ตอนนี้เขาแทบจะไม่มีอารมณ์จะทำอะไร เขาสูญเสียคนที่รักถึงสองคน ในเวลาใกล้กัน

“พ่อครับ ฮึก พ่ออย่าจากผมไปอีกคนนะครับ” ติวเตอร์นั่งร้องไห้กอดพ่อของเขาอย่างอ่อนแรง เขาไม่พร้อมรับมือกับปัญหาอื่นๆในเวลาตอนนี้อีกแล้ว

“พ่อรักติวเตอร์นะลูก พ่อไม่จากติวเตอร์ไปไหนครับ พ่อจะอยู่กับติวเตอร์นะ อย่าร้องไห้นะครับ อย่าร้องนะ” กิตติศักดิ์พูดปลอบลูกชาย พยายามอย่างมากที่จะไม่ให้ลูกของเขาเศร้ามากไปกว่านี้ เขาเองก็เสียใจ ที่ภรรยาที่รักหรือแม่ของติวเตอร์ที่เขารักมากเป็นคู่ชีวิตของเขาจากไป และ รีสเขาก็เอ็นดูเหมือนลูกเหมือนหลานก็จากไปอีกคนทั้งที่ยังหนุ่มแน่น เขาก็ทำใจยอมรับได้ยากเช่นกัน แต่เขาไม่มีเวลามาอ่อนแอ เพราะลูกของเขาต้องการที่พึ่ง เขาต้องเป็นที่พึ่งให้ลูก เขารักลูกชายคนนี้ที่สุด ‘แก้วตาดวงใจของพ่อกับแม่’ ก้มลงมองลูกชายด้วยสายตาอ่อนโยนเปี่ยมด้วยรักและโอบกอดไว้แน่นขึ้น

“โอ๋ๆ เด็กดีของพ่อ ไหนดูสิ ร้องไห้จนหน้าบวมไปหมดแล้วนะ ไม่น่ารักเหมือนแม่แล้วนะ” พ่อของติวเตอร์พยายามพูดหยอกเย้าให้ลูกหายเศร้า

“ฮึก พ่ออ่า เตอร์ เตอร์หล่อหรอก” ติวเตอร์เงยหน้าขึ้นมองพ่อของเขา ใบหน้างอล้ำแบบงอนๆ ทั้งที่หน้าตายยังคงโทรม ตาบวมไปหมด

“ยังจะมาอ้อนนะเรา ครับติวเตอร์ของพ่อหล่อที่สุด ฮ่าฮ่า แต่จะหล่อกว่านี้นะ ลูกชายพ่อต้องเข็มแข็งเร็วๆนะครับ พ่อเป็นกำลังใจให้นะครับ”

“ครับพ่อ ฮืออออ” ด้วยดวงตาที่เป็นห่วงของพ่อที่ส่งมายังเขา เขารับรู้ทั้งหมด น้ำเสียงและใบหน้าทั้งหมดของพ่อที่กำลังทุกข์ใจไปพร้อมกับเขา

“เตอร์รักพ่อนะครับ เตอร์จะเข็มแข็งเร็วๆ ขอเวลาเตอร์อีกนิดนะครับพ่อ เตอร์จะทำใจยอมรับให้ได้ เตอร์รักพ่อมากๆนะครับ ขอบคุณนะครับพ่อที่เป็นห่วงเตอร์ เตอร์ทำให้พ่อทุกข์ใจเพราะเตอร์อีกแล้ว ขอโทษนะครับพ่อ” ติวเตอร์พูดแล้วกอดเข้าไปเต็มรักกับพ่อของเขาอีกครั้ง เขารักพ่อมาก มากเท่ากับแม่ ท่านทั้งสองก็เป็นดวงใจของเขาเช่นกัน เขาจะไม่ทำให้พ่อทุกข์ใจอีก เขาจะตอบแทนพ่อทุกอย่าง เขาจะทำทุกอย่างให้พ่อมีความสุข
.
.
.
บริษัท abs สาขาหลักของ บ้าน ศิระสกุลวงษ์

ก๊อก ก๊อก

“ขออนุญาตครับท่านประธาน” เสียงของทามดังขึ้น เมื่อเคาะประตูแล้วเปิดเข้ามาภายในห้องทำงานของพ่อเขาหลังจากนั้น

“ฉันมีแผนที่จะได้เอาคืนพวกมันแล้ว แกสนใจที่จะฟังมันไหมเจ้าทาม”พงพัทธ์ เงยหน้าขึ้นเอ่ยถามลูกชายของเขาหลังที่เข้ามานั่งเรียบร้อย

“แผน? อย่าบอกนะว่าพ่อจะเล่นพวกนั้นตอนอ่อนแอแบบนี้ ผมว่ามันไม่แฟร์เท่าไหร่” ทามแย้งพ่อนิดหน่อย แต่ดวงตาก็เป็นประการสนุกขึ้นมาเช่นกันกับผู้เป็นพ่อ

“ก็อย่างที่แกคิด ได้ทั้งกำไร ได้ทั้งความสะใจ แถม แกยังได้ลูกชายของไอกิตติศักดิ์มันไง หึหึ หรือแกไม่สนใจ?” พงพัทธ์ยิ้มมุมปาก จ้องหน้าลูกชายอย่างรู้ทัน

“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรถ้าพ่อจะทำ” ทามยิ้มมากขึ้น ทำหน้าเจ้าเล่ห์คิดไปไกล

”แล้วแผนของพ่อว่ายังไง”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ไอ้ฉันก็คิดว่าไม่สนใจ แกนี่มันเชื้อไม่ทิ้งแถว ถูกใจฉันจริงๆ ฟังฉันให้ดีๆละ” พงพัทธ์เอ่ยเล่าแผนของตนให้ลูกชายฟังอย่างสบายๆ ใบหน้าเจ้าเล่ห์ของทั้งสองพ่อลูก พร้อมเสียงหัวเราะดังมาเป็นระยะๆ ตามแผนที่ผู้เป็นพ่อของตนได้วางไว้

“ผมจะตั้งหน้าตั้งตารอวันนั้นเลย หึ อยากจะรู้นักว่าไอ้ตัวแสบนั่นจะทำหน้ายังไง” ทามพูดกับพ่อ แล้วเอ่ยเบาๆกับตัวเอง ลุกเดินออกจากห้องไปด้วยความอารมณ์ดี
.
.
.
บ้าน กิจจาวัฒนาพันธ์

“แกทำตามที่ตกลงกับฉันไม่ได้! แล้วแกจะมาโวยวายทำไม!” เสียงทรงอำนาจของเจ้าของบ้านดังสนั่นห้องทำงานชั้น 2 ของบ้านนี้ ทำเอาคนที่ได้ยินสะดุ้งไปตามๆกัน

“พ พ่อ ขอเวลาผมอีกหน่อย อย่าทำร้ายเฟิร์สแบบนี้” แลมป์พูดตะกุกตะกัก พยายามต่อรองอำนาจของพ่อตนอีกครั้ง

“ฉันให้เวลาแกนานมาจนถึงตอนนี้ แกยังจะมีหน้ามาขอเวลาเพิ่มอีกหรอห๊ะ!!” เสียงทรงอำนาจดังขึ้นจนตะคอกเสียงดัง
คนฟังได้แต่เงียบ พยายามกลืนน้ำลางคออย่างอยากลำบาก พยายามเก็บอาการสั่นของร่างกายตนได้อย่างยากลำบาก

“แล้วอีกอย่าง ฉันไม่ได้จะทำร้ายพวกแก ฉันจะฝึกให้พวกแกไม่อ่อนต่อโลกแบบนี้ หึหึ พวกแกต้องขอบคุณในน้ำใจของฉันทีหลังแน่นอน” เสียงทรงอำนาจนั่นเบาเสียงลง แต่ยังคงความเข้มไว้ จ้องมองลูกชายของตนเขม็ง เป็นเชิงบังคับให้ยอมรับ

“ล แล้ว พ่อจะ ให้พวกผม ไปทำอะไร ครับ” แลมป์พยายามจะเก็บอาการเกร็ง พูดเป็นปกติ แต่ก็ได้ไม่ดีพอ เพราะตัวเขานั้นไม่กลัวงานอะไรของพ่อแล้ว แต่จะห่วงก็แต่น้องชายที่ไม่ถนัดในงานแบบนี้เลยแม้แต่น้อย

“หึ! แค่นี้ก็กลัว นี่ฉันเลี้ยงลูกได้อ่อนแอขนาดนี้เลยรึไง” วิรัชน์มองหน้าลูกชายของตน ดวงตาที่คาดเดาอะไรไม่ได้นั่นยังคงจ้องมองตรงมาอย่างน่าหวาดกลัว

“พ่อจะ ให้พวกผมไปทำอะไร” แลมป์สูดลมหายใจ แล้วเงยหน้ามองพ่อของตน พูดด้วยเสียงดังและชัดเจนขึ้น

“ดี! ต่อจากนี้ไป พวกแกจะต้องไปเรียนรู้งานทั้งหมดของฉันไม่ว่าจะงานไหนก็ตาม พวกแกมีแต่ต้องทำตาม ห้ามปฏิเสธ และพวกแก จะต้องไม่อ่อนแอให้ฉันอีก” วิรัชน์มองหน้าลูกชายทั้งสองของตนจ้องเขม็งอย่างบีบคั้น ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ ไม่มีสิทธิ์ขัดคำสั่ง ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม

“แลมป์ฉันไหว พ่อครับ ผมจะทำตามที่พ่อบอก ต่อไปผมจะไม่อ่อนแอให้พ่อเห็นอีก” เฟิร์สพูดขึ้น หลังจากเปิดประตูเข้ามา หลังจากฟังพี่ชายตนทนรับแทนมานาน

“เฟิร์ส ไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอกนะ” แลมป์พูดขึ้นอย่างตกใจหันหน้าไปพูดกับผู้มาใหม่ทันที

“ฉันไหวแลมป์ ฉันก็ไม่อยากทนอีกแล้ว ฉันอยากกำจัดเรื่องบ้าๆนั่นออกไปซักที” เฟิร์สมองหน้าแฝดของตน ดวงตาแน่วแน่ที่ส่องผ่านไป ทำให้แลมป์นึกหวั่นใจอยู่ลึกๆว่าแฝดเขานั้นจะเจ็บในภายหลังที่ตัดสินใจแบบนี้

สภาพของเฟิร์สตอนนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับแต่ก่อนมากนัก จะมีก็แต่ดวงตาที่คล้ำไปอย่างหน้ากลัวเหมือนอดหลับอดนอนเป็นเวลานาน ใบหน้าที่ซีดเซียว รูปร่างที่ผอมลงไปเล็กน้อย ไม่ต่างจากแต่ก่อน แต่โทรมลงไปเยอะ

“ก็ดี แกอย่ามาพูดต่อรองกับฉันเรื่องนี้อีกเจ้าแลมป์ ในเมื่อเจ้าเฟิร์สมันตกลงที่จะรับข้อเสนอของฉันเอง ดังนั้น พวกแกไปเตรียมตัว ฉันจะพาพวกแกเข้าฝึกงานตั้งแต่เย็นวันนี้”

“ครับ” เสียงลูกชายทั้งสองดังขึ้นพร้อมกัน จะพากันก้าวออกจากห้องทำงานของพ่อตน แต่ก็ต้องชะงักเท้าตามเสียงที่เรียกไว้ แล้วค่อยๆหันไปมองหน้าพ่อของตน

“เดี๋ยว พวกแกต้องไม่เอาอะไรติดตัวไป แม้แต่บัตรปชช.ก็ห้าม ทุกๆอย่าง ห้ามเอาไปเด็ดขาด”


เวลา 22:30 น.

สามพ่อลูกแห่งบ้าน กิจจาวัฒนาพันธ์ นั่งรถลีมูซีนคันโต เคลื่อนตัวออกจากบ้านของตนอย่างช้าๆ ตรงไปยังเป้าหมายทันที

“คาสิโน?” แลมป์พูดขึ้น หลังจากที่รถลีมูซีนคันหรู จอดใกล้กับคาสิโนชื่อดังแห่งหนึ่ง

“ใช่ นี่เงิน 500,000 เอาไป และประวิติใหม่ แกไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฉันเด็ดขาด” วิรัชน์ยื่นเงินตามจำนวนที่ถูกบรรจุอยู่ในกระเป๋าให้กับแลมป์

“500,000? เอาไปทำอะไรครับพ่อ” พ่อของเขาจะให้เขาเอาเงินไปเล่นการพนันรึไงกัน ถึงได้ให้เงินสดตั้งมากมายขนาดนี้มา หรือว่านัดส่งของอะไรกันที่นี่

“แลมป์ นี่งานชิ้นแรกของแก ...แกจะต้องเอาเงินห้าแสนนี่ ไปเพิ่มจำนวนเป็น 20ล้าน ให้ได้ภายในเวลา 1เดือนก่อนเวลาเที่ยงคืน ไม่ว่าจะทำวิธีใดก็ได้แค่เอามาให้ฉันตามกำหนดเวลาก็พอ ...ถ้าแกทำไม่ได้ ฉันมีของขวัญจะมอบให้กับคนที่ไร้ประสิทธิภาพแบบนั้นแน่นอนไอ้ลูกชาย ลงไปได้แล้ว เริ่มได้!” ผู้เป็นพ่อเริ่มกำหนดเวลา ก้มมองนาฬิกาข้อมือของตน

ทุกคนในรถ เมื่อได้ยินดังนั้น ไม่มีใครเอ่ยเสียงใดๆออกมาเลยแม้แต่น้อย เฟิร์สอยู่ในอาการตกใจ แต่แลมป์นิ่งเงียบไม่คิดว่าพ่อจะให้เขาอะไรง่ายแบบนี้ต่างหาก วิรัชน์เงยหน้าขึ้นจากนาฬิกาข้อมือตน นั่งเอนกายพิงเบาะรถอย่างสบายใจ ดวงตาก็เหลือบมองนาฬิกาที่ข้อมือของตนเช่นเดิม

“พ่อ แล้วเฟิร์ส?” เงียบ ไม่มีเสียงตอบรับ มีแต่ปฏิกิริยานั่งเฉย นั่งเหลือบตามองนาฬิกาข้อมือเฉกเช่นเดิม

“แลมป์ไปทำที่พ่อบอก ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น นายดู(แล)ตัวเองดีๆล่ะ” เฟิร์สพูดบอกเเลมป์ โดยที่ไม่เอ่ยคำในวงเล็บ เพราะรู้ดีในอาการของพ่อตนที่เริ่มไม่พใจเมื่ออเห็นแบมป์ห่วงตนเกินไป

“ฉันไปละ พ่อ ผมจะเอาเงิน20ล้านกลับไปคืนครับ” แลมป์เองก็รู้ดีกับอาการที่พ่อของตนนั้นกดดันเขา ยิ่งเขาออกไปช้าเท่าไหร่ พ่อก็จะยิ่งโมโหมากขึ้นเท่านั้น แต่เขา ห่วง

เมื่อไม่มีเสียงตอบรับจากผู้เป็นพ่อ เฟิร์สก็เพียงมองหน้าแล้วยิ้มน้อยๆให้ แลมป์ก็ก้าวลงจากรถพร้อมหิ้วกระเป๋าใส่เงินนั้นไปด้วยทันที เขาก้าวไปข้างหน้าโดยที่ไม่หันกลับมามองที่รถลีมูซีนคันนั้นอีกเลย
เมื่อแลมป์ก้าวออกจากรถไป รถลีมูซีนก็เคลื่อนตัวออกจากที่บริเวณนั้นทันที ไปยังอีกเป้าหมาย

“พ่อจะให้ผมทำอะไรครับ” ระหว่างทาง เฟิร์ส อดที่จะถามสิ่งที่เขาสงสัยไม่ได้เลย ตั้งแต่ที่พ่อให้พวกเขาไม่พกอะไรติดตัวก่อนออกมา ให้แลมป์ไปเพิ่มเงินจาก5แสนเป็น20ล้านโดยให้เวลา1เดือน แล้วนี่พ่อคิดจะให้เขาทำอะไร เป็นใครใครก็ต้องสงสัยเป็นธรรมดา

“ถึงเดี๋ยวแกก็รู้เอง นั่นไง ถึงพอดี” พ่อของเขาพูดขึ้น มองออกไปด้านหน้ารถ ทำให้เฟิร์สต้องมองตามไปทันที ทำตาโตขึ้นเล็กน้อยอย่างตกใจ

“โฮสต์คลับ??” เฟิร์สหันหน้ามามองผู้เป็นพ่อด้วยใบหน้าตกใจปนสงสัย
“ใช่ ลงไป นี่เป็นประวัติปลอมของแกและเงิน5,000บาท แกเป็นคนจนที่มาขอสมัครงานเท่านั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฉันเด็ดขาด ฉันต้องการให้แกอยู่ที่นี่และขึ้นเป็นโฮสต์ชายอันดับหนึ่งทำยอดให้ได้20ล้าน กติกาทุกอย่างเหมือนกัน 1 เดือนเท่านั้น” ผู้เป็นพ่อพูดเอ่ยในสิ่งที่เฟิร์สอยากรู้ แล้วนั่งพิงเบาะรถสบายอารมณ์ดวงตาเฉียดมองไปยังนาฬิกาตนเอง

“ครับพ่อ” เฟิร์สรับคำพร้อมกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอ แต่เขาต้องทำให้ได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นมือก็ถือเอกสารของตนและเก็บเงิน5,000บาทลงกระเป๋ากางเกง ก้าวลงจากรถเดินไปโดยที่ไม่หันกลับมามองที่รถของตนเช่นเดียวกับแลมป์
.
.
เจตนาแท้จริงของผู้เป็นพ่อ เขาเพียงแค่อยากให้ลูกของตนเข็มแข็งเท่านั้น อาจจะมีวิธีที่แตกต่างจากคนทั่วไปก็ตาม ก็เพราะพวกเขามันมาเฟีย การเลี้ยงดูลูกเลยต้องสอนแบบไร้หัวใจให้ดิ้นรนกันเอาเอง เพื่อความอยู่รอด แต่เขาก็รักลูกของเขามากเช่นเดียวกับพวกคุณ
หากถามว่าลูกชายของเขาจะไม่มีอันตรายหรอ ตอบได้เลยว่ายาก ยากที่จะไม่มี แต่มันต้องเสี่ยง อีกอย่างเรื่องความปลอดภัยต่างๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับงาน เขาให้ลูกน้องและเส้นสายตามสีต่างๆคอยดูแลความอดภัยจากศัตรูให้อยู่แล้ว บอกแล้วไง ยังไงซะ เขาก็รักลูกของพวกเขาเช่นเดียวกับพวกคุณ





...

เนื้อเรื่องช่วงนี้ดำเนินไปงงๆหน่อยนะคะ ต่อไปจะเริ่มเข้าเนื้อหาเเล้ว



อย่าลืมคอมเมนต์บ้างนะคะ แนะนำติเตือนได้ตลอด

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: ิิbow ที่ 18-11-2015 19:49:27
ติดตามๆ มาต่อไวไวนะ  :katai4:
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย ตอนที่ 5 //แก้
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 18-11-2015 21:24:41
 

me die

 

05 : คืนนั้น (ครึ่งแรก)




มหาวิทยาลัย xx

ตอนนี้ ติวเตอร์ เรียนอยู่ปี 3 เทอมแรก ช่วงที่เขาขาดไปเป็นเพียงช่วงปิดเทอมและวัดแรกๆที่เริ่มเรียนจึงยังไม่ต้องห่วงอะไรมากนัก
วันนี้ก็เป็นอีกวันในชีวิตมหาวิทยาลัยของติวเตอร์ที่เขาขาดเพื่อนสนิทอย่างรีสไป เขามาเรียนอีกครั้ง จากที่ล้มป่วยเพราะความเสียใจไปหลายครั้งก่อนหน้านี้

“เตอร์มาเรียนได้แล้วหรอ มาร์คเป็นห่วงแทบแย่ เป็นยังไงบ้าง” มาร์ค เพื่อนในสาขาเดียวกับเขาเดินเข้ามาหาทันทีที่ติวเตอร์เดินเข้ามาในห้อง

“เราดีขึ้นแล้วล่ะ ขอบใจมาร์คมาก” ติวเตอร์ยังคงอ่อนแรง เนื่องจากเพิ่งหายป่วย เพิ่งทำใจให้เข็มแข็งแล้วมาเรียนได้ แต่เขาก็ยังคงดวงตาที่เศร้าสร้อย และรูปร่างที่ผอมลงอย่างเห็นได้ชัด

“ไหวแล้วแน่หรอ หน้ายังซีดๆอยู่เลย” หวานเอ่ยขึ้น

“ไหวสิ ขอบใจมากนะหวาน” หวานและมาร์คเป็นเพื่อนในกลุ่มเดียวกันที่สาขา รวมรีสด้วยทั้งหมดมี 8 คน ขาดแพรวา เฟิร์น คีน และ ลม กลุ่มเรามีผู้หญิง3คน คือหวาน เฟิร์น และเเพรวา ที่เหลือผู้ชายทั้งหมด

“เดี๋ยวเรียนคาบนี้จบ เอาสรุปเราไปดูนะ เราเอามาพอดี” แพรวาพูดยิ้มหวานกับติวเตอร์

“เอามาพอดีหรือแพรวา ตั้งใจติดมาทุกวันมากกว่ามั้ง” เฟิร์นพูดแซวแพรวาขึ้นมา ทำให้เธอแก้มแดงขึ้นมา

“บ้าหรอ พูดอะไรน่ะเฟิร์น เดี๋ยวติวเตอร์เข้าใจผิดหรอก” แพรวาพูดเสียงดังขึ้นเล็กน้อย แก้เธอแดงขึ้นอีกแล้ว

“พูดความจริงไง ฮ่าๆๆ” แล้วทั้งคู่ก็วิ่งไล่ตีกันเข้าไปในห้องเรียน ตามประสา คนแก้เขิน

“น่ารักดีนะ ว่าไหมเตอร์” ลม เอ่ย ถามเพื่อนกลาย

“ก็น่ารักดี แต่ตอนนี้เรายังไม่พร้อมมีเรื่องแบบนี้ พวกนายเข้าใจนะ” ติวเตอร์พูดกับไปเสียงบางเบา มองหน้าเพื่อนๆเป็นเชิงให้เห็นใจ

“ไม่มีใครบังคับนายหรอกติวเตอร์ อย่าไปฟังไอลมมัน” เสียง คีน เทวดาน้อยประจำกลุ่มพูดออกมา แล้วหันไปทำตาดุใส่ลม

“ขอบใจทุกคนมากที่เข้าใจ ไปเข้าเรียนกันเถอะ อาจารย์จะเริ่มแล้ว”ติวเตอร์ชวนเพื่อนๆเดินเข้าห้องทันที

เมื่อเข้ามาในห้องเรียนอาจารย์ก็เริ่มเลกเชอร์ทันที ติวเตอร์เป็นเด็กเรียนเก่งแต่ก็ไม่ได้เก่งมากเท่ารีสที่ไม่ต้องนั่งฟังตลอดแต่ก็ทำข้อสอบได้ดีทุกครั้ง แต่สำหรับติวเตอร์ เป็นคนเข้าใจง่าย ฟังนิดหน่อยก็รู้เรื่องว่าพูดเกี่ยวกับอะไร ที่เหลือก็แค่ไปอ่านสรุปแล้วอ่านเสริมเอาเขาก็ทำข้อสอบได้แล้ว

“ติวเตอร์ รีสหายไปไหนหรอ ที่ติวเตอร์เคยบอกว่าไปเยี่ยมครอบครัวที่ต่างจังหวัดยังไม่กลับมาอีกหรอ ติดต่อก็ไม่ได้น่ะ นานแล้วนะ” เฟิร์นถามขึ้นมาทันที หลังจากจบคาบเรียน ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงวันทุกๆคนกำลังจะไปกินข้าวก็ต้องหยุดชะงัก แล้วรอคอยคำตอบนี้จากติวเตอร์เช่นกัน

“รีส... ฮึก!” จู่ๆน้ำตาที่ว่าเหือดหายไปได้แล้ว ก็กลับมาอีกครั้ง สายน้ำใสๆที่ไหลล่วงหล่นจากดวงตาที่ดูช้ำโทรมอยู่ก่อนแล้ว ทำให้ดูน่าสงสารยิ่งนัก

“เอ้ย ติวเตอร์เป็นไร เราพูดอะไรผิดรึเปล่า ร้องไห้ทำไม” เฟิร์นร้องถามอย่างตกใจที่จู่ๆติวเตอร์ก็ร้องไห้ออกมา ทุกๆคนต่างก็ตกใจเช่นเดียวกันพากันมองหน้าทำอะไรไม่ถูก

“ทุกคน ขอโทษนะที่ไม่ได้บอก จริงๆแล้ว รีส...จากพวกเราไปแล้วน่ะ” ติวเตอร์ก้มหน้าพูดเสียงเบาพร้อมกับหยาดน้ำคาที่ล่วงหล่นลงมาช้าๆ

ทุกคนได้ยินดังนั้น ทุกอย่างก็เหมือนจะหยุดทันที แล้วค่อยๆหันไปมองทางติวเตอร์

“วะ ว่า ไงนะ เตอร์ พวกเราไม่ค่อยได้ยิน” มาร์ค ที่ดูจะมีสติดีสุด พูดถามขึ้นมา น้ำเสียงตะกุกตะกัก

“นั่นสิ รีส ไปเยี่ยมครอบครัวที่ต่างจังหวัดไม่ใช่หรอที่ติวเตอร์บอกพวกเราไง”  คีนพูดเสริม

“นั่นสิๆ” ทุกคนได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วยทันที

“ติวเตอร์ ล้อพวกเราเล่นแน่ๆ ไม่ดีเลยนะล้อเล่นกันแบบนี้” หวานพูดเสียงเบา แม้น้ำตาของเธอจะเริ่มคลอที่ดวงตาก็ตาม

“ได้ยินไม่ผิดหรอก แล้วก็ไม่ได้ล้อเล่นด้วย จริงๆแล้วรีสไม่มีญาติเหลือแล้วล่ะ ขอโทษนะทุกคนที่บอกข่าวช้า เตอร์ ฮึก ขอโทษนะ เตอร์ยังทำใจที่จะพูดไม่ได้น่ะ ทั้งแม่ ทั้งรีส...ฮือ ”

เมื่อติวเตอร์พูดจบ ทุกคนต่างก็เสียใจบางคนถึงกับน้ำตาไหลออกมาตามติวเตอร์ นั่งปลอบ นั่งเศร้ากันอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานานพอสมควร มิตรภาพที่พวกเขาอยู่ด้วยกันมา2ปีกว่า มันไม่ได้สั้นเลยแม้แต่น้อย มิตรภาพไม่เคยตายจากพวกเขาไป เหมือนที่พวกเขาสัญญากันไว้ว่าจะไม่มีวันลืมกัน

   

ห้าง    W ชื่อดังแห่งหนึ่งใกล้มหาลัย
เวลา 17.30 น.

“ดีแล้วนะที่ติวเตอร์ออกมาเที่ยวบ้าง ถือว่าเรามาคลายเครียดกันเนอะ ” แพรวาเอ่ยขึ้นขณะเดินเข้ามานั่งภายในร้านไอศกรีม

“ยิ้มหน่อยสิเตอร์ พวกราพานายมาผ่อนคลายนะ ถึงพวกเราจะเศร้ากัน แต่พวกราก็ไม่อยากให้นายล้มป่วยอีกนะ” ลมพูดเสริมแพรวา

“ใช่ พวกเราทุกคนห่วงเตอร์มากเลยนะ ยิ้มหน่อยสิ เสาร์นี้เราก็จะไปทำบุญให้รีสกันแล้วด้วย” มาร์คเสริมอีกคน  สีหน้าแววตาทุกคนเป็นห่วงมาก หลายคนก็เศร้าตามติวเตอร์ไปอีก

“ขอโทษที่ทำให้เสียบรรยากาศนะ งั้นเราสั่งกันเลยดีว่า เยวจะไม่ทันรอบหนังเอา” ติวเตอร์ยิ้มเล็กๆให้เพื่อนๆ ทำให้บรรยากาศรอบๆดีขึ้นหน่อย ทุกคนได้ยินดังนั้นจึงยิ้มตามกันไป แล้วพากันสั่งเมนู พูดคุยกันสนุกสนาน
   
...

“โลกกลมจังนะครับน้องติวเตอร์” เสียงคุ้นหูดังขึ้นด้านหลังของติวเตอร์ทำให้เขาต้องชะงัก

ทาม หนุ่มหล่อมาดแบดบอยทะเล้นนิดๆ แต่งตัวอย่างนายแบบหลุดมาจาดแม็กกาซีน บวกกับหน้าตาส่วนสูงผิวขาวและฐานะต่างๆทำให้เขาเป็นที่จับตามองของผู้หญิงผู้ชายในสังคมไฮโซ เดินควงมากับผู้หญิงสุดเซ็กซี่คนใหม่ในรอบสัปดาห์ มาหยุดอยู่ตรงโต๊ะนี้ทันทีที่เห็นติวเตอร์

“ขอพี่นั่งด้วยได้ไหมครับน้องติวเตอร์ เห็นมากันหลายคนน่าจะสนุก”
 
“ไม่ได้” ติวเตอร์หันไปตามเสียง ทันทีที่เห็นหน้า ทาม ก็ตอบไปทันทีโดยไม่ต้องคิดอะไรเยอะ หน้าแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาชัดเจน

“ชิ ไม่มีมารยาท น้องเขาไม่ให้ งั้นเราไปนั่งตรงมุมด้านนู้นดีไหมคะทาม เชอร์รี่อยากนั่งกับทามสองคนด้วย” เธอคนนั้นพูดเสียงเบาหันไปทางพวกติวเตอร์ที่นั่งอยู่ แล้วหันไปพูดออดอ้อนทาม ส่งเสียงเรียกร้องอย่างเอาแต่ใจเล็กๆ

“หึ ครับ ไม่ได้ก็ไม่ได้ พี่ทามไม่รบกวนน้องติวเตอร์กับเพื่อนๆหรอกครับ ยังไงเราก็ต้องได้เจอกันอีกแน่ๆครับและอีกอย่างไม่แน่นะติวเตอร์อาจจะต้องมาขอให้พี่ช่วยก็ได้นะครับ” ทามพูดอย่างอารมณ์ดี และก้มลงไปกระซิบข้างหูติวเตอร์ในประโยคสุดท้าย

“พูดบ้าอะไร ไม่มีทาง!” ติวเตอร์พูดสวนกลับไปอย่างรวดเร็ว สีหน้าไม่พอใจทามเป็นอย่างมาก คิ้วขมวดติดกันเป็นปม

“ไปกับครับเชอร์รี่” ทามเดินออกไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ผิดกับติวเตอร์ที่ตอนนี้อารมณ์เสียมากแทบไม่อยากจะอยู่ตรงนี้ต่อแม้แต่วินาทีเดียว

“ใครหรอเตอร์ ดูเตอร์ไม่ค่อยชอบหน้านะ มีปัญหาอะไรกันรึเปล่า” เสียงของมาร์คถามขึ้น เพื่อนคนอื่นๆก็พยักหน้าเห็นด้วย

“เคยมีปัญหากันนิดหน่อยน่ะ แล้วเราก็ไม่ค่อยชอบขี้หน้าหมอนั่นด้วย นิสัยไม่ค่อยโอเค แต่ไม่มีอะไรหรอก ถ้าไม่ยุ่งด้วยก็ไม่มีปัญหา” ติวเตอร์พูดตอบไป พยายามจะทำให้ใจตัวเองเย็นลงไปด้วย

“แน่ใจนะ ดูนายสีหน้าไม่ค่อยโอเคอย่างที่บอก” ลมพูดเสริมขึ้นอีก

“แน่ใจสิ พวกเราไปกันเลยไหม ไปรอนานหน่อยคงไม่เป็นไร 30นาทีเอง” ติวเตอร์พูดแล้วลุกขึ้นทันที เพื่อไม่ให้เพื่อนๆได้ถามต่อ

“เห้ย เตอร์ รอด้วย” เมื่อติวเตอร์ลุกขึ้น คนอื่นๆก็ลุกตามไปทีละคน เหลือลมกับคีน รอเช็คบิลแล้วเดินตามออกไปทีหลัง หลังจากที่เพื่อนคนอื่นๆเดินออกไปรอทั้งสองด้านนอกร้านแล้ว

แน่นอนที่ติวเตอร์ไม่ชอบหน้าทาม อาจจะเป็นเพราะพ่อของเขาเป็นคู่แข่งทางธุรกิจกัน หรืออาจจะเป็นเพราะ คืนนั้น ก็ได้
   


ย้อนกลับไป คืนนั้น

ขณะนี้ติวเตอร์เป็นนิสิตปี 1  ของมหาลัยฯแห่งนี้ คืนนี้เป็นคืนที่สายรหัสของติวเตอร์นัดมาเลี้ยงที่ผับแห่งนี้ และติวเตอร์ไม่เคยเข้าผับ ตอนนี้เขาเพิ่ง18เอง

“น้องติวเตอร์ครับทางนี้ๆ”รุ่นพี่คนหนึ่งออกมายืนรอรับติวเตอร์เข้าไปด้านในของผับเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นรถคุ้นตาและน้องรหัสของเขาก้าวลงมาจากรถ

“สวัสดีครับพี่เฟลม” ทั้งติวเตอร์และคนมาส่งเอ่ยขึ้นพร้อมกัน

“พี่เฟลมครับ ผมไม่เข้าไปได้ไหมอ่ะ คือ ผมยังไม่พร้อมอ่ะพี่” ติวเตอร์พูดออกมา สีหน้าแสดงความกังวน ไม่มั่นใจในตัวเองเอาเสียเลย

“ได้สิ แต่พวกพี่ไม่รับเข้าสายแค่นั้น” พี่เฟลม พี่รหัสของติวเตอร์พูดขึ้น ปากก็ยิ้มพอใจเมื่อเห็นท่าทางของติวเตอร์พร้อมกับคิดในใจ

‘มันเป็นแบบนี้ล่ะนะ ใครๆถึงอยากแกล้งนัก ไอ้ท่าทางอายไม่มั่นใจกับสีหน้าแบบนี้ ไหนจะตัวขาวๆเล็กดูยังไงก็ไม่ถึง170นั่น มันน่ารักจะตายไป ถึงได้ระวังและกันท่ามันจากผู้ชายที่จะเข้ามาจีบเยอะแยะจนเหนื่อย’

“เข้าไปด้วยกันมั้ยรีส” แล้วหันมาพูดกับรีสที่ขับรถของติวเตอร์มาส่งถึงที่

“ไม่ดีกว่าครับพี่ แค่แวะมาส่งแล้วก็มารับอีกที ผมฝากด้วยนะครับพี่ อย่าให้เตอร์ไปซนโต๊ะอื่นนะพี่ ไอ้นี่มันแสบ เดี๋ยวมีเรื่อง” รีสพูดหยอกล้อติวเตอร์เล่น

“เตอร์ไม่ใช่เด็กนะรีส” ติวเตอร์พูดไปด้วยทำงอนๆปากยื่นไม่พอใจไปด้วย เรียกรอยยิ้มจากคนทั้งคู่ที่มองได้ดี น่ารักแบบนี้จะไม่ให้ห่วงได้ไง       
“ไปนะเตอร์ เดี๋ยวมารับ” รีสพูดตอบเฟลมไป หันไปพูดแล้วโยกหัวติวเตอร์เล่นด้วยความเอ็นดู แล้วขับรถออกไป

“ป่ะ งั้นเราเข้าไปกันไอ้น้องรหัสของพี่ พวกพี่ๆรออยู่ ฮ่าๆๆ แล้วก็นะ ไม่ต้องกลัวขนาดนั้น พี่เฟลมนะเว้ย มีพี่เฟลมอยู่ แกจะกลัวไร”
เฟลมพูดขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ต่างจากติวเตอร์ที่กังวลมาก แล้วทั้งคู่เดินเข้าไปด้านใน



เมื่อเข้ามาด้านใน
ความรู้สึกของติวเตอร์ตอนนี้คืออยากจะวิ่งออกไปแล้วโทรตามให้รีสกลับมารับเขาโดยทันที แสงสีต่างๆที่สะท้อนจนแสบตา เสียงเพลงที่ดังกระหึ่ม กลิ่นแอลกอฮอล์ต่างๆที่ผสมปนเปไปกับความมืด ทุกๆอย่างพาให้เขาเวียนหัวอย่างมาก เลยต้องขอให้เฟลมจับมือดึงเข้ามาด้วย

“สวัสดีครับ พี่กัซ เจ๊พลอย เฮียปอน” เมื่อเดินตามเฟลมเข้ามาถึงโต๊ะ โซน VIP ชั้น 2 เฟลมก็สะกิดติวเตอร์ ให้ไหว้ลุง ย่า และปู่รหัสของตนทันที

“หวัดดีหลานรหัส นั่งลงก่อนๆ มาช้านะเรา อย่างงี้มันต้องโดนลงโทษใช่ไหมครับเฮียปอน” พี่กัซ หรือลุงรหัส เอ่ยขึ้นทันทีที่เห็นหน้าติวเตอร์ ท่าทางจะเมานิดๆแล้ว

“ขอโทษครับพวกพี่ๆ แล้วผมจะโดนโทษอะไรล่ะครับ” ติวเตอร์หน้าเสียทันทีที่ได้ยิน คิ้วขมวดมุ่นด้วยความกังวนมองหน้ากัซทันที

“ไอ้กัซอย่าไปแกล้งหลานดิวะ” เจ๊พลอย สาวสวยประจำสายพูดสีหน้ายิ้มๆ

“อะไรอ่าเจ๊ มันเป็นธรรมเนียมไม่ใช่หรอ” พี่กัซพูดแย้งด้วยเสียงยาน

“งั้นเอางี้ เจ๊ลงเอง ติวเตอร์” เจ๊พลอยยิ้มเจ้าเล่ห์มองหน้าติวเตอร์

“ค ครับเจ๊พลอย” ติวเตอร์สะดุ้งเล็กน้อย ค่อยๆเงยหน้ามองเจ๊พลอยช้าๆ เม้มปากด้วยความตื่นเต้น

“ไอ้พลอย อย่าบอกนะว่าจะเล่นแบบที่ลงไอ้กัซ ฮ่าๆๆ” ปอนพูดขึ้นมาจากที่นั่งดื่มมองเหตุการณ์ยิ้มๆมาตลอด

เพราะสิ่งที่กัซโดนเจ๊พลอยลงคือ สั่งให้ไปจูบกับกระเทยควายตัวล่ำๆที่มานั่งอ่อยเหยื่อในผับนี้ จนกัซต้องวิ่งหนีออกนอกผับแทบไม่ทัน เพราะแค่ไปขอชนแก้วเท่านั้น เธอผู้ตัวใหญ่กว่ากัซก็พยายามจะพาไปเข้าห้องน้ำส่วนตัวกันสองคนซะแล้ว แล้วพลาดอีกก็ตรงที่กระเทยที่ว่าดันอยากรุกกัซ เลยต้องวิ่งกันป่าราบกันมาแล้ว แค่คิด กัซก็สยองจนขนลุกซู่

“ยึ๋ยยย สงสารว่ะเตอร์ ที่เจ๊ลง” พี่เฟลมพูดทำท่าแหยงๆเช่นเดียวกับคนที่ถูกพูดถึง

“อย่ารู้ทันดิเฮียปอน ไม่ขนาดนั้นหรอกน่า ติวเตอร์เจ๊มีให้เลือก 2 ข้อ” เจ๊พลอยพูดช้าๆ ทำให้คนที่ฟังทั้งหมด ลุ้นไปตามๆกัน โดยเฉพาะติวเตอร์ที่เกร็งมือตัวเองด้วความตื่นเต้น

“ก่อนอื่น เห็นโต๊ะนั้นไหม ที่อยู่ห่างจากเราไปสองโต๊ะติดกับระเบียงด้านหน้าที่มองลงไปเห็นโซนกลาง(โซนปกติที่กิน ดื่ม เต้นกัน)ด้านล่างพอดี  เห็นไหมๆ” เมื่อติวเตอร์มองตามและพยักหน้า เจ๊พลอยจึงพูดต่อ

”เตอร์ ข้อแรก จะต้องเดินไปตรงโต๊ะนั้นแล้วไปขอชนแก้วกับผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงกลางคนที่คลุมเสื้อปลดกระดุม2เม็ดด้านบนโชว์แผงอกสุดเซ็กซี่  ท่าทางดูแบดบอยคนนั่นและนั่งอยู่กับเขาจนกว่าเจ๊จะให้กลับมาโต๊ะ พร้อมกับขอไลน์มาให้เจ๊ด้วย กับ ข้อสอง แกจะต้องลงไปเต้นยั่วที่บนโต๊ะกลางฟอล์เต้นนั่น นี่แค่ลงโทษเรื่องที่แกมาสายนะ อย่าลืมแกจะต้องมาให้พวกพี่ๆรับเข้าสายตามธรรมเนียมก่อน” เจ๊พลอยพูดยิ้มเจ้าเล่ห์มองไปทางชายคนนั้นแล้วหันมากดดันติวเตอร์

“โหยยย ไอเจ๊บ้าผู้ชายวะ ยังงี้บังคับให้ทำข้อแรกชัดๆก็รู้ว่าเตอร์มันขี้อายในที่แบบนี้ด้วย” พี่กัซพูดขัดทันทีที่ได้ยินจนจบ คนอื่นพยักหน้าเห็นด้วย ยกเว้นติวเตอร์ที่กลังนั่งมองผู้ชายคนนั้นกับข้างล่างสลับกันไปมา

“หรือแกจะทำแทน ห๊ะ ไอ้กัซ เดี๋ยวเจ๊ก็ลงให้อีกคน เดี๋ยวเหอะว่าฉันบ้าผู้ชาย”เจ๊พลอยหันไปว่ากัซ เมื่อกัซได้ยินดังนั้นก็หันหน้าหนี ส่ายหัวรัวๆ

“เปล่าเจ๊ ผมแค่กลัวว่าชายในฝันเจ๊จะไม่สนเตอร์มัน แล้วเกิดต่อยมันปากแตกทำไงอ่ะ”

“เชื่อสายตาฉันสิ เรด้าฉันไม่ผิดแน่ แบบนี้ หญิงก็ได้ชายก็ดี ชัวร์” พลอยพูดด้วยท่าทางมั่นใจเต็มร้อย

“สเปกหนิพลอย ชอบนักวะไอ้พวกแบดบอยแปลกๆแบบนี้เนี่ย ร้ายจริงๆสงสารหลานหว่ะ” เฮียปอนพูดยิ้มๆตามแบบฉบับผู้ชายอบอุ่น

“เฮีย...พลอยขอเหอะนะ อยากแกล้งด้วย หรือใครจะขัดกัน” เจ๊พลอยพูดขอเฮียปอนอย่างอ้อนๆ แล้วหันหน้ามาพูดเสียงเข้มกับคนที่เหลือ

“ใครว่า เอาดิ” เฮียปอนยิ้มเล็กๆ เมื่อได้ยิน ส่วนที่เหลือเมื่อได้ฟังก็ส่ายหัวไม่มีใครห้าม ซึ่งเจ้าตัวก็ยังมองไม่เลิก ขี้แกล้งกันทั้งสาย

“เตอร์ เตอร์ แกเอาไง ตัดสินใจได้ยัง ถ้าไม่ทำ แกก็กลับเลยก็ได้นะ แต่อดเข้าสาย น่าเสียดายน้า วันนี้วันสุดท้ายละด้วย” เจ๊พลอยกลั้นขำสุดๆ สีหน้าที่เป็นกังวลสุดๆของติวเตอร์ คิ้วผูกกันเป็นปม กระพริบตาปริบๆ ดูน่าสงสาร และน่ารักน่าแกล้งสุดๆ

“ผม ผมจะทำ ข้อ ข้อแรกครับ เจ๊พลอย” ติวเตอร์พูดออกไปช้าๆ กังวนสุดๆที่ต้องทำอะไรน่าอายแบบนี้ แต่ก็ยังดีกว่าให้ออกไปเต้นยั่วกลางสายตาคนเยอะๆ

“ให้มันได้แบบนี้สิ มานี่มาเจ๊จัดระเบียบให้ก่อนไป เอาแว่นปลอมๆแกออกไว้ก่อน อ่ะเสร็จละ เอาแก้วนี้ไป อ๊ะๆนี่ ห้ามปิดเอาไว้แบบนั้นแหละ ไปๆเจ๊จะรอดูผลงาน อิอิ” พลอยพูดออกมาด้วยสีหน้าดีใจที่ได้แกล้งสุดๆ แล้วบางทีเขาอาจจะได้ของแถมเป็นไลน์หนุ่มในสเปกคนนั้นอีก



ติวเตอร์ในลุคที่พลอยจัดให้ นั้นดูน่ารักขึ้นไปกว่าเดิมอีก ใบหน้าใสๆขึ้นสีแดงน้อยๆดวงตาที่หวานเด่นชัดเพราะไม่มีแว่นปลอมๆบดบังขับให้ใบหน้านั้นน่ามองกว่าเดิม ผมก็ถูกยีและจัดเป็นทรงใหม่เข้ากับเสื้อผ้าที่เป็นเสื้อเชิ๊ตที่ถูกพลอยปลดกระดุมลงให้2เม็ด จากเดิมที่ติดยันคอ ดูเป็นหนุ่มน้อยน่ารักบอบบางสเปคของใครหลายๆคนทันที

“อ เอ่อ” ติวเตอร์เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของชายคนดังกล่าว มือที่ถือแก้วนั่นสั่นอยู่ตลอด

“มีอะไรให้พวกพี่ช่วยไหมครับน้อง” ชายคนที่นั่งข้างๆเป้าหมายยิ้มหล่อทันที เก๊กหน้าในแบบที่สาวๆเห็นก็หลงไหลกันทุกราย ยกเว้นที่ติวเตอร์ไม่ได้มองเลยแม้แต่นิดเดียว เอาแต่จ้องไปที่เป้าหมายที่เขาได้รับมา

“เอ่อ พี่ครับ ผ ผม ขอชนแก้ว กับพี่ได้ไหมครับ” ติวเตอร์พูดขัดๆ แล้วเร่งคำพูดในตอนท้ายให้จบๆไป

“เอ้ย! ไอ้ ทาม มึงอีกแล้วหรอวะ กูมากับมึงกูนี่อดของดีๆตลอด เซ็งว่ะ กูไปหาของกูบ้างก็ได้วะ” ชายคนที่แล้วพูดขึ้นอีก

“พี่หรอครับ ได้สิ ว่าแต่น้องชื่ออะไรล่ะครับมานั่งคุยกันข้างๆก่อนมา” พูดจบก็ตบลงที่นั่งว่างๆข้างตัวเบาๆทันที พร้อมกับไล่หญิงสาวที่เกาะกับตนอยู่ก่อนทิ้งไป

“เอ่อ ครับ” ติวเตอร์หันไปมองที่โต๊ะตัวเอง แล้วหันไปตอบตกลง เดินลงไปนั่งเกร็งๆอยู่ข้างๆตัวผู้ชายที่ชื่อ ทาม คนนี้

“พี่ชื่อ ทาม นะครับ ยินดีที่ได้รู้จักน้อง...” ทามพูดยิ้มๆ ดวงตาจ้องมองไปที่เหยื่อรายใหม่หยาดเยิ้ม พรางยกแก้วขึ้นพร้อมจะทำตามคำขออีกฝ่าย

“ต ติวเตอร์ครับ” ติวเตอร์ได้แต่นั่งเกร็ง พูดตะกุกตะกัก ไม่สบสายตา เอาแต่มองขึ้นไปที่โต๊ะตน

ทั้งสองนั่งคุยกันไปเรื่อยๆโดยส่วนใหญ่ ทาม จะเป็นฝ่ายชวนคุยเสียมากกว่า ด้วยความที่เขาสนใจเด็กคนนี้พอดีเหมือนกัน เขาเห็นตั้งแต่ที่เข้ามาในผับโดยมีผู้ชายอีกคนเดินจับมือพาเข้ามา เขาไม่สนว่าคนนั้นเป็นใครหรอก ในเมื่อตอนนี้เหยื่ออยู่ในมือเขา

ลักษณะที่ดูเด่นของเด็กคนนี้คงไม่พ้นท่าทางน่ารักๆขี้อายไม่เหมาะกับสถานที่นี้อย่างมาก หน้าใสๆภายใต้กรอบแว่น เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนติดกระดุมยันคอทับกับกางเกงสีขาว ผมที่หวีมาเรียบๆ ถึงตอนนั้นเขาจะไม่ได้สนใจในแบบชู้สาว

แต่ในตอนนี้ เขาเห็นเพียงเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้ม ตัวเล็กๆขาวๆ ไม่มีแว่นตาบังเผยให้เห็นดวงตาที่กลมโต เสื้อเชิ้ตปลดกระดุมเม็ดบน ผมยีๆออกพอดูน่ารัก ไร้เดียงสา สเปคเขาสุดๆ มันทำให้เขาอยากได้
พอเริ่มคุยกันไปได้สักพัก

ทามก็พูดจาล่อลวงเหยื่อแบบที่เขาทำบ่อยๆกับเหยื่อที่ไร้เดียงสาแบบนี้ พยายามลวงและล้วงลวนจับนู้นนิดจับนี่หน่อย ไอ้เจ้าตัวก็เกร็งทุกทีที่ทามเริ่มรุก แล้วก็เอาแต่มองไปที่โต๊ะๆหนึ่งบ่อยๆ เขาชอบจริงๆ แบบนี้มันหลอกง่ายสุดๆ แต่ก็ไม่คิดว่าจะมาเจอในที่แบบนี้

“อ เอ่อ ขอโทษนะครับ ผมต้องขอตัวก่อน” ติวเตอร์ลุกขึ้นยืนทันทีที่เห็นเจ๊พลอยให้สัญลักษณ์ให้พอแล้ว ดีใจจนลุกขึ้นเร็วไปหน่อยลืมคนที่นั่งอยู่ข้างไปสนิท แล้วจะเดินกลับโต๊ะทันที แต่มือของทามก็ดึงเอาไว้เสียก่อน

“รีบไปไหนครับน้องติวเตอร์ ไม่ไปต่อกับพี่หรอครับ”
 
“ม ไม่ครับ ผมขอตัว”   

ทั้งคู่ยื้อกันอยู่สักพักจนทามเริ่มออกแรงดึงให้ติวเตอร์ล้มลงไปนั่งที่เดิม ติวเตอร์ก็ท่าทางอย่างกับจะร้องไห้เพราะเจ็บที่แขนที่ทามกระชาก

“เตอร์ กลับไปโต๊ะได้แล้ว”เสียงเฮียปอนพูดขึ้นข้างหน้าของทั้งคู่

“เฮียปอน...” ติวเตอร์ยิ้มกว้างออกมาทันทีที่เห็นหน้าปอน   

“คุณเป็นใคร”ทามอารมณ์เสียขึ้นมา เมื่อมีคนมาขัดตน

“ผมเป็นพี่ชายเขา และผมมารับน้องกลับ ขออนุญาตครับ เตอร์ป่ะ ปล่อยแขนน้องผมด้วยครับ” ปอนพูดเสียงเข้มขึ้น ทามหันไปมองเตอร์พอเตอร์หลบหน้าก็เลยปล่อยไปก่อน

เขาอารมณ์เสียสุดๆมีที่ไหนพี่ชายมาตามกลับ ไม่ใช่ว่ากลัวจะมีเรื่อง แต่ไม่อยากให้เหยื่อหนีกระเจิงไม่กล้าสมองหน้าเขาอีกต่างหากเลยปล่อยกับไปก่อน ทามเดินออกจากโต๊ะทันที ไปรอเวลาสำหรับอะไรที่เหมาะและสงบสติอารมณ์ที่ด้านนอกสักพัก



โต๊ะ ของติวเตอร์

“เตอร์ หลานรัก เจ๊ขอโทษนะ อย่าโกรธเจ๊เลยนะ ไอหมอนั่นมันเสือไบชัดๆ ร้ายมาก เจ๊ไม่น่าแกล้งเราเลย ไม่คิดว่าจะเหมือนส่งเหยื่อเข้าปากมันแบบนี้” เจ๊พลอยพูดขึ้นเมื่อติวเตอร์เดินมานั่งที่โต๊ะแล้ว


“ชั่งมันเถอะครับเจ๊ ผมไม่เป็นอะไรครับ”ติวเตอร์พูด เบาเสียงในตอนท้าย ทำให้ไม่มีใครได้ยิน

“เฮียว่ากลับกันเลยดีกว่า ค่อยว่ากันใหม่ เฮียรับเราเข้าสาย ใครไม่รับมาบอกเฮีย” เมื่อทุกคนได้ยินเฮียปอนพูดแบบนั้นก็ไม่มีใครกล้าเถียง พยักหน้าเห็นด้วย หมดสนุกไปตามๆกันตั้งแต่เห็นหน้าติวเตอร์แล้ว สงสาร



ทุกคนเดินออกมาด้านนอก ติวเตอร์โทรให้รีสมารับทันที เฮียปอนกับพี่เฟลมไปเอารถ ติวเตอร์ยืนรออยู่กับเจ๊พลอยและพี่กัซที่ท่าทางจะเดินไม่ค่อยจะไหวนัก แล้วพี่กัซดันปวดท้องแล้ววิ่งเซๆเข้าไปห้องน้ำด้านในทันที

เมื่อเฮียปอนกับพี่เฟลมเอารถมาจอดรับ ติวเตอร์ก็ให้เฮียปอนไปส่งเจ๊เลยทันที โดยเฟลมขออยู่เป็นเพื่อนติวเตอร์เองเพราะยังไงก็ต้องรอพาพี่กัซกลับไปด้วย

“พี่ๆ เพื่อนพี่มีเรื่องอยู่ข้างใน ช่วยพากลับไปด้วยครับ” ยืนรออยู่สักพักก็มีพนักงานที่ร้ายวิ่งออกมาตามพวกเขาที่ยืนอยู่ด้วยกันหน้าร้าน

“เตอร์รอนี่แหละ พี่ไปดูพี่กัซเอง แม่งเอ้ย เมาแล้วหาแต่เรื่องนะ” เฟลมหันไปพูดกับตัวเตอร์ แล้วหันหลังวิ่งตามพนักงานคนนั้นเข้าไปทันที พร้อมๆกับบ่นพี่รหัสของตนเองไปด้วย

“พี่กัซ นะ พี่กัซ ให้มันได้แบบนี้สิวะ”

ผ่านไปสักพัก

“เป็นยังไงบ้างนะ” ติวเตอร์ยืนกังวน คอยชะเง้อหน้ามองเข้าไปด้านในและมองไปด้านนอกหารีสอีก

“มีอะไรรึเปล่าครับ น้องติวเตอร์” เสียงคุ้นหูเหมือนเพิ่งเคยได้ยินมาไม่นานนี้กระซิบเสียงขึ้นด้านหลังหู

“พ พี่ทาม ไม่มีอะไรครับ” ติวเตอร์หันไปตอบทาม ถอยหลังก้าวหนึ่งให้ห่างจากพฤติกรรมที่เขาไม่ชอบจากผู้ชายคนนี้

“แต่พี่มี ไปคุยกันหน่อยสิ”

“ไม่ ไม่ พี่ทามปล่อยนะ จะไปไหน ไม่ไปนะ”

เมื่อทามพูดจบก็จับแขนติวเตอร์กระชากขึ้นรถ ขับรถออกไปทันที







 

....
ยังไงก็เม้นๆกันหน่อยนะคะ
ไม่รู้ว่าจะถ่ายทอดออกมาให้ทุกคนเข้าใจกันเหมือนที่ตั้งใจรึเปล่า

ให้กำลังใจกันด้วยนะคะ ++

 
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 18-11-2015 22:53:51
ลากกันไปไหนละนั่น  :hao4:

คนเขียนสู้ๆ เป็นกำลังใจให้ :L2:
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย ตอนที่ 6 //แก้
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 19-11-2015 12:14:14
medie

 

06 : คืนนั้น (ครึ่งหลัง)






“พี่จะพาผมไปไหน”

“ปล่อยผมลงนะ”

“จอดรถสิ”

“อะไรก็ได้ ทำสักอย่างสิ อย่างน้อยก็ช่วยบอกอะไรผมหน่อย พี่ทาม!”

ติวเตอร์ยังคงโวยวายไม่หยุดเมื่อรถเคลื่อนตัวออกมาพ้นบริเวณหน้าผับนั้น แต่อีกฝ่ายยังคงเอาแต่เงียบ จองมองตรงไปยังถนนด้านหน้าเพียงอย่างเดียว จะทำก็เพียงแค่หันหน้ามามองและยิ้มมุมปากบ้างกับบางคำถามที่ได้ยินเท่านั้น

“พี่ทาม ผมบอกให้จอด” ติวเตอร์เริ่มทนไม่ไหวกับปฏิกิริยาที่เอาแต่เลียบของทามจึงโวยวายหนักขึ้น พูดพร้อมกับเอื้อมมือไปจับพวงมาลัยหักเลี้ยว


เอี๊ยด~~

การกระทำเช่นนั้น ทำให้รถที่ขับมาด้วยความเร็ว เซไถลลงด้านข้าง บาทต้องเบรกรถกะทันหันและหักเลี้ยวกลับมาอีกด้าน ตอนนี้รถก็จอดสนิทอยู่ข้างทาง

“ทำอะไรห๊ะ! อยากตายรึไง!”ทามตะคอกเสียงดังพร้อมหันไปจ้องหน้าติวเตอร์ทันทีที่จอดรถสนิท สีหน้าแสดงความโกรธออกมาชัดเจน

“ อ อึก เฮือก!” ติวเตอร์สะดุ้งเฮือก หน้าซีดมากขึ้น เขายังคงตื่นตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่ เพราะเขาเป็นคนทำให้รถเสียหลัก แล้วไหนจะมาโดนทามตะคอกอีก ตอนนี้เขาทำอะไรไม่ออก พูดไม่ถูก ได้แต่อึกอัก

“ได้! ไม่ตอบสินะ  พี่จัดให้ตามนั้นครับ แต่ในแบบของพี่เท่านั้น!” พูดจบทามก็ถอยรถกลับเข้าสู่ถนน ขับรถด้วยความเร็วที่มากขึ้น มุ่งสู่เป้าหมายที่วางไว้เพื่อลงโทษคนที่คิดจะทำร้ายเขา ‘คิดว่าจะอ่อนโยนด้วยสักหน่อย แต่คิดจะทำให้ตายกันแบบนี้ ต้องสั่งสอนสักหน่อย หึ’ ยิ่งคิดยิ่งอารมณ์เสีย ทำให้ทามเหยียบคันเร่งเพิ่มขึ้นอีก

ฝ่ายติวเตอร์ก็ได้นั่งหน้าซีดด้วยความตกใจ คิดอะไรไม่ทัน ทุกอย่างยังหยุดนั่งอยู่ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่รถกระชากตัวออกอย่างแรง ทำให้ผวาหนักคว้าจับเข็มขัดนิรภัยแน่น

“ลงมา!”

เมื่อรถเคลื่อนตัวเข้าจอดภายในม่านรูดแห่งหนึ่ง(ระยะทางใกล้สุด) ทามก็ขับรถเข้าไปจอดทันที เดินลงจากรถให้ทิปพนักงานหนักและกำชับอย่าให้ใครเข้าไปกวน แล้วเดินอ้อมไปเปิดประตูและตะคอกติวเตอร์ให้จากรถ

“เฮือก พ พี่ พาผม มาทำอะไรที่นี่ ผมไม่ลง” เมื่อติวเตอร์รู้ตัวว่าที่นี่ที่ไหน ก็พยายามขืนตัวเอาไว้บนรถ มือจัดสายนิรภัยแน่น หน้าตาตื่นตะหนก

“กูบอกให้ลงมา! ดื้อใช่มั้ยมึง ตามกูมานี่!” ทามไม่พูดเปล่า เอื้อมมือกระชากแขนติวเตอร์ทันที อีกมือก็ปลดสายนิรภัยเพื่อให้หลุดออก ก็กระชากตัวของติวเตอร์ปลิวตามแรงของตัวเอง ที่เดินลากเข้าห้องไป

ตุบ!

เมื่อเห็นเตียงสีขาวกลางห้อง ทามก็เหวี่ยงติวเตอร์ลงไปที่เตียงทันที ด้วยความแรงทำให้ติวเตอร์ถึงกลับร้องออกมาด้วยความเจ็บ

“อ โอ๊ย พี่ทามจะทำอะไรผม ปล่อย ปล่อยนะ”

ติวเตอร์ดิ้นขัดขืนทามอย่างเต็มที่ ทามไม่ฟังอะไรติวเตอร์อีก หลังจากเหวี่ยงที่นอนก็ตามขึ้นไปคร่อม กดแขนขาเล็กๆนั่น ตึงไว้กลับเตียง

“พี่ทาม ปล่อยผม ฮึก ปล่อย”

ทามล็อกแขนติวเตอร์ไว้ด้วยมือข้างเดียว อีกมือก็พยายามปลดกระดุมออก ติวเตอร์ก็ดิ้นขัดขืนมากขึ้น ดวงตาเริ่มมีน้ำใสๆไหลรินลงมา

“แม่งเอ้ย ชักช้า!” ทามว่าเสร็จก็กระชากเสื้อเชิ้ตของติวเตอร์ออกทันที กระดุมกระเด็นหายไปด้วยความแรงที่ถูกกระทำ เมื่อโดนทำแบบนี้ ติวเตอร์ก็ดิ้นมากขึ้น พยายามจะพลิกตัวหนี เอามือและขาของตนที่ถูกอีกคนทับออก

“อย่าดิ้นสิครับพี่ไม่อยากให้น้องเจ็บตัวนะ” ทามยิ้มมุมปากมองไปยังติวเตอร์

“อื้มมมม อ่อย อ้า” (ปล่อยน้า) ทามกดจูบลงไปที่ปากเล็กของติวเตอร์ด้วยความกระหาย ทั้งรุนแรงและวาบหวาม จนติวเตอร์ทนไม่ไหว หน้าแดงเถือกไปหมด เมื่อตั้งสติได้ก็พยายามดันทามออกจากตนทันที

“แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก ปล่อยนะ” เมื่อทามปล่อยให้ติวเตอร์ได้หายใจ ติวเตอร์ก็เริ่มดิ้นมากขึ้นอีก

“อย่าดิ้นสิวะ อยากให้พี่ใช้ความรุนแรงหรอครับ น้องติวเตอร์ หึหึหึ”

“ไม่ ปล่อย ไอโรคจิต ปล่อยนะ ฮือ ช่วยด้วย ใครก็ได้”

ทามก้มลงเลียยอดอกของติวเตอร์ ที่ชูชันล่อหน้าล่อตาเขาเหลือเกิน สีชมพูๆนั่น ทำให้เขาคลั่ง ติวเตอร์ก็ได้ร้องห้าม น้ำตาไหลอาบ2แก้ม ดิ้นทุรนทุรายหนีความทุเรศในครั้งนี้

ปั้ก!

“พี่บอกว่าอย่าดิ้นไงครับ ชอบแบบเจ็บตัวรึไง”

“อ อึก”

ทามชกลงไปที่ท้องด้วยความแรง ทำให้ติวเตอร์เจ็บจนร้องไม่ออก มีแค่น้ำตาที่ไหลไม่ขาดสาย

“หึ ก็แค่นี้ ยอมตั้งแต่แรกจะได้ไม่เจ็บตัวไม่ชอบ” ทามเงยหน้าขึ้นมองหน้าติวเตอร์ ยิ้มมุมปากมองอย่างสมเพช ก็ใครใช้ให้ขัดใจเขาล่ะ

ดวงหน้าที่มีแต่น้ำตาไม่ได้เรียกร้องความเห็นใจของทามเลยแม้แต่น้อย กับทำให้ทามตื่นตัวมากขึ้นไปอีก หน้าขาวๆแดงไปหมด  เมื่อเห็นดังนั้นก็ก้มหน้าลงไปดูดดุนยอดออกสีชมพูต่อ มือที่ว่างสองข้างเริ่มลูบคลำ ไล้วนไปทั่วลำตัวขาว ผิวเนียนละเอียดลื่นมือ มือด้านหนึ่งลูบไล้ลงต่ำเริ่มปลดกางเกงออกช้าๆ ขณะที่ปากและมือก็ทำหน้าที่ของมันต่อไป

“ป ปล่อย ผม นะ ฮึก” ติวเตอร์พยายามจะขัดขืนปกป้องร่างกายตังเองอย่างเต็มที่ ด้วยแรงที่มีเหลืออยู่ไม่เพียงพอที่จะขัดขืนทามได้เลย เมื่อทามเริ่มดึงกางเกงของเขาลง ยิ่งทำได้เพียงแค่ร้องไห้หนักขึ้นก็เท่านั้น

“ขอร้อง อย่า ทำผม ปล่อย” ทามยังคงทำแบบนั้นต่อไป เขาเล้าโลมติวเตอร์อย่างเต็มความสามารถ เมื่อปลดกางเกงตัวนอกของติวเตอร์ได้ตามต้องการ ก็พยายามจะปลดปราการด่านสุดท้ายลงอีก ‘เป็นร่างกายที่สวยงามจริงๆ หึ’

“ปากบอกห้าม แต่ตรงนี้...มันแข็งแล้วนะครับ” ทามว่าพลางเอานิ้วไล้วนส่วนปลายของติวเตอร์ที่ตื่นตัว

“อึก ไม่ อย่าพูดถึงมันนะ โกหก ผมไม่ได้รู้สึกอะไรทั้งนั้น ปล่อยได้แล้ว” ยิ่งฟังติวเตอร์ยิ่งเกลียดตัวเองทั้งๆที่ไม่ได้อยากให้มันเกิดอารมณ์แบบนั้นขึ้นมาสักนิดเลย เมื่อฟังแบบนั้นทำให้ติวเตอร์รวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายดิ้นให้หลุดออก และถีบทามให้เต็มแรง

“หึ ยังไม่หมดฤทธิ์อีกหรอไง ชอบความเจ็บปวดจริงๆสินะ ถึงได้กล้าที่จะทำร้ายคนอย่างฉัน!” ด้วยความไวกว่าทำให้ทามคว้าข้อเท้าของติวเตอร์ไว้ได้ก่อนที่จะถึงตัว แล้วกระชากให้กลับมาอยู่ใต้ร่างของเขาอีกครั้ง มือกำหมัดขึ้นจะชกไปที่หน้าท้องของติวเตอร์อีกครั้ง

“ไม่ ไม่ ผมขอโทษ อย่าทำผมนะ ฮือ” ติวเตอร์หลับตาปี๋ เมื่อเห็นทามกำหมัดง้างมือขึ้นจะชกลงมาที่ตนอีกครั้ง ความเจ็บครั้งทั้งมันทำให้เขากลัวเกินกว่าจะลืมตามอง


ปั๊ก!

ปึก!

“โอ๊ย หมานี่หว่าเข้าข้างหลัง มึงเป็นใคร! เข้ามาได้ยังไง! ไอ้เหี้ยนั้นปล่อยให้มันเข้ามาได้ไงวะทำงานไม่ได้เรื่อง” ทามโดนถีบตัวปลิวออกมาตกลงข้างเตียงนอนทันที ขณะที่กำลังง้างหมัดจะชกติวเตอร์ จากใครสักคนที่เขาไม่รู้จัก

“กล้าดียังไงมาทำเพื่อนกู”

“รีส!!!”เมื่อได้ยินเสียงคุ้นหูดังขึ้นใกล้ๆ ติวเตอร์รีบลืมตามอง น้ำตาแห่งความดีใจไหลพราก

“หึ เพื่อนมึง แต่มันกำลังจะเป็นเมียกู” ทามยิ้มเย้ย หยัดตัวลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับคนมาใหม่เซๆ

ปั๊ก!

ทามโดนรีสต่อยล่วงไปอักครั้ง ด้วยสรีระร่างกายที่สูงใหญ่กว่าชายเอเชียทั่วไป ส่วนสูงเกือบ190 ทำให้เขามีกำลังที่มากกว่า
เขาอัดทามสลบคาปากเน่าๆนั่นกองอยู่ที่พื้นห้อง สภาพสะบักสะบอมเกินทน ด้วยแรงโกรธ

“มันไม่ทางเกิดขึ้นอีกแน่ ถ้ากูยังอยู่ ถุย! มึงมันก็แค่นี้ล่ะวะ” รีสเหลือบสายตามองทามอย่างสมเพช ดวงตาสีฟ้าที่ยามนี้ดุดันน่ากลัวเหลือเกินมองคนที่ตอนนี้อยู่เบื้องล่างยิ่งกว่าเศษขยะที่ควรขจัดทิ้ง ทามสู้เขาไม่ไหวในวันนี้ไม่ว่าจะด้วยอะไรก็แล้วแต่ รีสจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีกแน่นอน

“รีส...” เสียงของติวเตอร์ดังขึ้นเรียกสติของรีสให้กลับสู่ปกติ

“เตอร์ รีสมาช่วยแล้ว ลุกไหวไหม?” แล้วหันมาช่วยพยุงติวเตอร์ทันที สีหน้าและดวงตามีแค่ความเป็นห่วงเป็นใย ใจดีเสมอ ไม่หลงเหลือความดุดันน่ากลัวไว้แม้แต่น้อยกระทั่งแววตาหรือเศษเสี้ยวความคิด เหมือนมันเป็นเพียงสัญชาติญาณที่แสดงออกในยามที่เขาโกรธจัดเพียงเท่านั้น

“ไหว เราไปจากที่นี่กันเถอะ เตอร์ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ฮึก” เมื่อรีสได้ยินติวเตอร์พูดดังนั้นก็ถอดเสื้อคลุมของตนมาห่อหุ้มกายของติวเตอร์ไว้ และอุ้มออกไปจากตรงนั้นทันที...



บางที ครั้งนี้อาจจะเป็นสาเหตุของความเกลียดชังที่ติวเตอร์มีให้กับทามก็เป็นได้

แต่หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นติวเตอร์ก็ไม่เคยเจอกับทามอีกเลย จนเมื่อวันที่แม่เขาเสีย ไม่รู้ว่าโชคชะตาหรืออะไรดลบันดาลก็ไม่รู้ ทำให้ติวเตอร์ต้องรู้จักทามในฐานะลูกของนักธุรกิจชื่อดังที่เป็นคู่ค้าคู่แข่งกับพ่อตน ซึ่งในหน้าสังคมเขาก็ต้องทำเป็นดีกัน ทั้งๆที่เขาไม่อยากทำแบบนั้นเลยสักนิด

และยิ่งนับวัน ยิ่งเจอกัน ทามมากวนประสาทติวเตอร์มากขึ้น นั่นมันเพราะ ทามรู้ว่า ข้างกายติวเตอร์ไม่มีผู้ช่วยปีศาจอย่างรีสอยู่แล้วนั่นเอง
ทามติดใจในตัวของติวเตอร์นับจากนั้น วันที่รู้ข่าวว่าติวเตอร์ไม่มีมันอยู่ข้างกาย มันทำให้เขาปลุกความอยากที่จะครอบครองขึ้นมา ให้มันปะทุรอวันระเบิดออกมาในสักวัน ได้ทั้งตัวมาเป็นของเล่น ได้ทั้งเอาคืนที่เพื่อนของติวเตอร์ทำร้ายทามสะบักสะบอมในวันนั้น

.
.
.

กลับมาที่ปัจจุบัน

หลังจากที่ติวเตอร์และเพื่อนๆเดินออกมาจากไอศกรีมนั้น ก็พากันมานั่งรอที่หน้าโรงภาพยนตร์ ใกล้เวลาก็พากันไปซื้อป๊อปคอน น้ำ และขนมขบเคี้ยวต่างๆรอไว้ เมื่อถึงเวลาพวกเขาทั้งหกคนก็เดินเข้าไปนั่งที่นั่งของตัวเองทันที พวกเขาทุกคนเลือกที่นั่งธรรมดา เหตุผลเพียงเพราะว่าพวกเขาจะได้นั่งใกล้กันทุกคน ยิ่งมีเรื่องไม่สบายใจแบบนี้ทำให้กลุ่มเพื่อนของพวกเขาสนิทและรักกันมากขึ้นไปอีก

...

โซน VIP แถวบนสุด
ไม่รู้ว่าเพราะบังเอิญหรือว่าอะไรดลใจ ทามและเชอร์รี่ ก็เข้ามาดูหนังเรื่องเดียวกันอีก พวกเขาคงไม่เห็นกันหรอกมั้งถึงจะดูเรื่องเดียวกันก็ตาม คงจะไม่บังเอิญอะไรขนาดนั้น


ผ่านไปสักพัก

“เชอร์รี่พี่ห้องน้ำเดี๋ยวนะครับ” ทามหันไปบอกหญิงสาว ที่ตอนนี้มือของเธอแทบจะกุมเป้าของเขาอยู่แล้ว

“ให้เชอร์รี่ไปด้วยไหมคะทาม” หญิงสาวชายตามองตามทามขณะที่ลุกขึ้นยืน ส่งสายตายั่วยวนเรียกร้องอะไรบางอย่างกับทาม

“ไม่ครับ พี่ปวดจริงๆ เชอร์รี่นั่งดูไปก่อนนะครับ เรื่องนั้นเราค่อยว่ากัน เดี๋ยวพี่มานะครับ” ทามยิ้มหวานให้หญิงสาว เธอจึงพยักหน้า ยินยอมให้ทามไปด้วยความเต็มใจ ทามจึงเดินออกไปเพื่อจะเข้าห้องน้ำทันที

“ขอเดินนิดนะครับ ผมจะไปห้องน้ำ”

“นาย! มาทำอะไรในนี้”

“ถามได้ พี่ก็เข้ามาดูหนังสิครับ น้องติวเตอร์”

ทามเดินวนจากทางออกด้านหนึ่งเพื่อหลอกเชอร์รี่ว่าเขาออกมาเข้าห้องน้ำจริงๆ แล้วรอเวลาสักพัก เดินเข้ามาอีกด้านบวกกับมีคน2คนเดินเข้ามาพอดี จึงก้มๆอาศัยความมืดเดินตรงมายังแถวที่พวกติวเตอร์นั่งอยู่ แล้วด้วยความบังเอิญติวเตอร์นั่งอยู่ริมแถวของเพื่อนซึ่งมีที่ว่างพอดี

ทามจึงเดินเข้าไปแกล้งถามแบบนั้น เมื่อติวเตอร์ได้เห็นเขา ปฏิกิริยาเหมือนอย่างที่ทามคิดเอาไว้ ไม่มีผิด โวยวายตกใจแล้วเบาเสียงลงกลัวคนอื่นได้ยินเหลือบมองเพื่อนของตนอย่างระเเวง ขู่ฟ่อเป็นเเมว เป็นสิ่งที่เขาชอบจากตัวติวเตอร์ที่สุดจึงได้แกล้งเอาๆติดใจหลายๆอย่าง จนอยากได้มาครอบครองจนตัวสั่น ไม่ว่าจ้องใช้วิธีใดก็ตาม

“หลบหน่อยสิครับขอพี่เดินหน่อย” ทามถามตื้อติวเตอร์ต่อ ดีที่นั่งมันว่างไม่งั้นคงต้องยืนจนเชอร์รี่เห็นอีก เดี๋ยวจะมาโวยวายอีก น่ารำคาญ

“ไม่หลบ นายก็ไปทางอื่นสิ ไม่เห็นหรอว่ามันว่าง ฝั่งนี้มีคนนั่งเต็มไปหมด” ติวเตอร์เอียงหน้าเล็กน้อยพูดกระซิบให้ทามได้ยิน กลัวเพื่อนที่นั่งข้างๆของตนจะได้ยิน ‘ดีนะที่ได้เสียงของหนังที่กำลังดูช่วยไว้’

“หึหึ” ‘อะไรล่ะนั่น’ ทามยิ้มขำกับปฏิกิริยาที่แสดงออกของติวเตอร์ อะไรมันจะกลัวขนาดนั้น

“ขำบ้าอะไร”ติวเตอร์สะบัดหน้าไปตะคอกทามเสียงดังขึ้นอีกนิด ขมวดคิ้วไม่พอใจ

“มีอะไรรึเปล่าติวเตอร์” เสียงของแพรวาที่นั่งข้างๆดังถามขึ้นเมื่อติวเตอร์ไม่ได้มองไปที่จอเมื่อเธอหันมามอง

“ไม่มีอะไรแพรวา ดูต่อเถอะ”ติวเตอร์รีบหันไปตอบ แล้วหันไปมองจอเพื่อไม่ให้แพรวาสงสัยอีก

“ไม่หลบ งั้นพี่ก็นั่งตรงนี้แหละ”

ติวเตอร์สะบัดหน้าไปมองอีกครั้ง สีหน้าไม่พอใจอย่างมาก แตกต่างจากอีกคนที่นั่งเอนสบายใจสบายกายไม่ทุกข์ร้อยกับสายตาคู่ข้างๆที่ส่งความเกลียดชังมายังตนเลยแม้แต่น้อย

“หึ้ย!” ติวเตอร์ได้แต่ส่งเสียงไม่พอใจออกมาในลำคอ พยายามไม่สนใจอีก นั่งมองจออย่างเดียว แต่ก็ทำไม่ได้เมื่อทามก็กวนบ่อยๆจนติวเตอร์ดูไม่รู้เรื่อง ยิ่งทำให้อารมณ์เสียมากขึ้น ติวเตอร์อยากจะให้ทามจมหายไปตอนนี้จริงๆ


“ติวเตอร์หนังไม่สนุกหรอ หน้าเครียดเชียว”แพรวาถามขึ้นเมื่อทั้งหมดเดินออกมาจากโรงหนัง ทุกคนเมื่อได้ยินแพรวาพูดแบบนั้นก็หันมารอฟังคำตอบจากติวเตอร์ด้วยเช่นกัน

“เอ่อ ไม่หรอก สนุกดี แต่เราคิดถึงเรื่องการบ้านน่ะ หยุดไปตั้งหลายวัน ตามไม่ทันแน่ๆ” ติวเตอร์เอ่ยขึ้น นึกเอาเหตุผลนี้มาอ้างเมื่อนึกขึ้นได้ทันที แล้วทั้งหมดก็ต้องหยุดสนทนากันไปเมื่อได้ยินเสียงโวยวายดังขึ้นตรงทางออก

“ทาม ทามหายไปไหนมาคะ เชอร์รี่โทรไปก็ไม่รับสาย ทามปล่อยให้เชอร์รี่รอจนหนังจบเรื่อง ทามเพิ่งจะโผล่มา เชอร์รี่ไม่พอใจนะคะ ทามทำแบบนี้กับเชอร์รี่ได้ยังไง” เธอโวยวายเสียงดัง แว๊ดเสียงขึ้นไม่พอใจทันทีที่เห็นหน้าของทาม

“เชอร์รี่หยุดโวยวาย ไปเคลียร์กันที่อื่นนะครับ” ทามพูดเมื่อคนอื่นๆเริ่มหันมาสนใจ

“ทุกคนไปกันเถอะ ผู้หญิงแบบนี้ไม่มีมารยาทเลยจริงๆ ฉันละไม่ชอบ ถ้าทนไม่ไหวขึ้นมาจริงๆเดี๋ยวได้ไปกระชากมาตบสักฉาด” เฟิร์นพูดขึ้น ทำให้เพื่อนๆทุกคนพยักหน้าแล้วเดินออกไปข้างนอกทันที

“ติวเตอร์ไปไหน” มาร์คทักขึ้นเมื่อเห็นติวเตอร์เดินเข้าไปตรงนั้น

“ไปทักเพื่อนหน่อยน่ะ เดี๋ยวตามไปนะ” ติวเตอร์ยิ้มให้มาร์คแล้วหันเดินเข้าไปยังเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นพอดี

“พี่ทามครับ วันนี้หนังสนุกมากเลยนะครับ ขอบคุณนะครับที่ทำตามสัญญามาดูหนังกับผม” ติวเตอร์เดินไปคล้องแขนทาม พูดเพราะทำน้ำเสียงออดอ้อน

“ทาม ที่มันพูดหมายความว่าไงหมายความว่าไง” เชอร์รี่อารมณ์เสีย แผดเสียงออกมาเสียงดังกว่าเดิม

“เอ่อ” ทามที่ตามไม่ทันได้แต่ใบ้รับประทานเพราะไม่ทันคิดว่าติวเตอร์จะยอมเล่นแบบนี้

“ใครหรอครับพี่ทาม สวัสดีครับผมติวเตอร์เป็นแฟนพี่ทามนะครับ” ติวเตอร์เอียงคอหันไปถามทามอย่างน่าเอ็นดู แล้วหันมาสวัสดีเธอคนนั้นแนะนำว่าตนเองเป็นแฟนเสร็จสับ แล้วดูปฏิกิริยาเธอด้วยความสมเพช

“กรี๊ดดดดด ทาม มันพูดแบบนี้ หมายความว่าไงคะ แก พี่ทามเป็นแฟนของฉัน แก แกเป็นใคร” เธอเก็บอารมณ์ไม่อยู่อีกต่อไป ได้แต่กรี๊ดร้องเสียงแหลมออกมาอย่างสุดจะทน ติวเตอร์ก็ยกมือปิดหูทำท่าทางร้ายเดียงสาต่อไป

“เชอร์รี่ เชอร์รี่หยุด”ทามห้ามเสียงเธอไว้แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ยอม


“หยุดทำไมคะทาม ทามตอบเชอร์รี่มา ไอ้กระเทยนี่มันเป็นอะไรกับทาม แล้วทามหายไปกลับมันมาใช่ไหม” เธอตะโกนโวยวาย หน้าแดงไปหมดเพราะความโกรธเคือง

“หึ เล่นแบบนี้ใช่ไหมครับติวเตอร์” ทามก้มลงไปกระซิบที่หูของติวเตอร์ เมื่อติวเตอร์ได้ยินดังนั้นก็เลิกคิ้วทำหน้าไม่เข้าใจ

“ใช่ครับเชอร์รี่ นี่น้องติวเตอร์ตัวจริงของพี่เอง” ทามบอกเชอร์รี่ เอื้อมมือไปกอดกระชับตัวติวเตอร์เข้ามาหาตน ติวเตอร์ก็พยายามขัดขืนนิดๆ แต่ก็ยังคงทำหน้าเศร้าต่อไป

“กรี๊ดดดดดด ทาม ทามทำกับเชอร์รี่แบบนี้ได้ยังไงคะ ไหนทามบอกว่าวันนี้เป็นวันของเชอร์รี่ไงคะ แล้วอะไรกัน ตัวจริง ไอ้กระเทยนี่น่ะหรอ เชอร์รี่ไม่ยอมนะคะ”เธอกรีดร้องโวยวายไม่ยอมรับต่อไป

“พี่ทามครับ พาเธอไปส่งเถอะครับ พี่เชอร์รี่ครับเตอร์ขอโทษนะครับ เตอร์ไม่ได้อยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้” ติวเเตอร์ทำหน้าเศร้า ขืนตัวออกจากทาม เดินเข้าไปหาเชอร์รี่พร้อมพนมมือขอโทษเธอ

เพี๊ยะ!

“ไอตอแ_ล อย่ามาแสแสร้งนะ ทาม ทามไปกับเชอร์รี่นะคะ” เธอตบหน้าติวเตอร์ไปฉาดหนึ่งด้วยความเเรง แล้วเดินมาหาทามทันที

“หึ! สมน้ำหน้า เชอร์รี่ทำแบบนี้กับแฟนพี่ได้ยังไงครับ” ทาม พูดเบาๆประโยคแรกให้ติวเตอร์ได้ยิน ติวเตอร์หันมาค้อนใส่ แล้วหันหน้าไปทางหญิงสาวอีกครั้ง

“พี่เชอร์รี่ พี่เชอร์รี่ ผมขอโทษนะครับ ฮึก” ติวเตอร์เอามือกุมหน้าหน้าด้านที่โดนตบ แล้วเดินน้ำตาหยดตามเธอมา

“กรี๊ดดดดด”

“พวกคุณครับ กรุณาเลิกส่งเสียงโวยวายเถอะครับ เพราะถ้าไม่หยุดพวกผมจะให้รปภ.มาเชิญพวกคุณออกไป” ผู้จัดการของโรงภาพยนตร์นี้มาขอเคลียร์ด้วยตังเองทันทีที่ลูกน้องของตนวิ่งมาตาม เพราะพวกนี้มีหน้ามีตาในสังคมทั้งนั้น

“เอ้อ ได้ครับ พวกเราเคลียร์กันแล้วครับ ผู้จัดการครับผมมีอะไรอยากจะขอร้องสักหน่อยได้ไหมครับ” ทามพูดขึ้นเพื่อจบปัญหาทั้งหมด ทุกคนหยุดโวยวายแม้ใบหน้าของเธอจะแสดงออกว่าไม่พอใจอย่างมาก

“ครับ มีเรื่องอะไรครับ” ผู้จัดการเอ่ยถาม

“ช่วยจัดการกับคนที่บันทึกเหตุการณ์เมื้อกี้ด้วยนะครับ เพราะถ้ามันหลุดออกไป พวกผมเสียหายน่ะครับ โดยเฉพาะน้องเขา เดี๋ยวจะหาน้องเขาเป็นเกย์ สังคมรังเกลียดแย่เลยครับ แค่นี้ก็น่าสงสารแล้ว ช่วยหน่อยนะครับ ทุกคนด้วยนะครับ” ทามพูดยิ้มๆ

ทุกคนที่ได้ฟังรู้สึกปลาบปลื้มแทนติวเตอร์ไม่ได้ที่มีผู้ชายที่ดีคอยห่วงใย เข้าใจความรู้สึกของเขาจนต้องออกตัวปกป้องแบบนี้ แต่สำหรับติวเตอร์นี่มันคือการหักหน้ากันชัดๆขายเขากับคนกลุ่มนี้ว่าเขาว่าเป็นเกย์อีก โดยที่ตัวเองกลายเป็นพระเอกของเรื่อง ทั้งๆที่เป็นตัวต้นเหตุแท้ๆ และอีกมุมหนึ่งที่เผยรอยยิ้มร้ายเย้ยหยันของเธอที่ไม่เห็นด้วยกับเหตุการณ์นี้ แล้วเธอก็เดินปึงปังออกไปทันที

“ผมหวังว่าทุกคนคงเข้าใจนะครับ” ทามยิ้มให้ทุกคน ก้มหัวขอบคุณ แสดงความจริงใจออกมาให้ทุกคนเห็นแล้วพาติวเตอร์เดินออกมาจากตรงนั้นทันที


“ปล่อย! เหอะ! คงจะถนัดเรื่องปั้นน้ำเป็นตัวมากสินะ ถึงได้โกหกทุกคนได้แนบเนียนขนาดนั้น” เมื่อพ้นสายตาคนกลุ่มนั้น ติวเตอร์ก็สะบัดตัวออกจากทามทันที พร้อมถอยห่าง2ก้าว ปากก็พูดว่าทาม หน้างอง้ำไม่พอใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่อย่างมาก

“ใครว่าพี่ถนัดคนเดียว น้องติวเตอร์เองก็เปลี่ยนไปเยอะนะครับ จากเด็กไร้เดียงสาในคืนนั้น ร้ายขึ้นนะเรา หึหึ”

“หยุดนะ! อย่าได้พูดถึงมันอีก ฉันขยะแขยง” ติวเตอร์ว่า ทำท่าทางขยะแขยงนักหนา เบะปากไม่พอใจ สีหน้าก็รังเกียจเต็มทน เสร็จแล้วก็หันหลังเดินออกมา

หมับ!

“จะรีบไปไหนครับ เป็นแฟนพี่ไม่ใช่หรอ ทำไมไม่ทำหน้าที่แฟนสักหน่อยล่ะ” ทามคว้าแขนติวเตอร์ไว้ได้ทัน มองติวเตอร์ด้วยสายตาโลมเลีย

“ติวเตอร์ พวกเรามาตามเห็นหายไปนานแล้ว มีปัญหาอะไรกันรึเปล่า” กลุ่มเพื่อนของติวเตอร์เดินออกมาตามแล้วเจอเข้ากับตอนที่ทามคว้าแขนของติวเตอร์ไว้ทันที จึงรีบเดินเข้ามาช่วย หลายสายตาจับจ้องไปที่ทามด้วยความสงสัยบ้างไม่พอใจทันที

“จะปล่อยไปก่อนละกัน เจอกันใหม่นะครับน้องติวเตอร์” ทามก้มลงกระซับข้างหู แล้วหันหลังเดินออกไปทันที

“ไม่มีอะไร ขอบใจทุกคนมากนะที่เป็นห่วง พวกเรากลับดีกว่านะ” ว่าแล้วทุกคนก็กลับกันทันที

‘เฮ้อ ไม่ใช่เพราะแกรึไง ที่ทำให้ฉันต้องร้าย เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว ไม่รู้ฉันจะหมดแรงสู้ตอนไหน’ เมื่อพ้นสายตาทุกคนติวเตอร์ถอยหายใจอย่างหนักพลางคิดในใจทำสีหน้าเหนื่อยหน่าย

.
.

แต่ใครจะรู้ว่าจะเกิดเรื่องบังเอิญแบบนั้นขึ้นจริง
ไม่ว่าจะเป็น ความบังเอิญ หรือ ตั้งใจ ของใครบางคนก็ตาม แต่มันก็กำลังค่อยๆคุกคามอีกฝ่ายทีละนิดๆไม่รู้ว่าจนสุดท้ายแล้วสงครามประสาทแบบนี้มันจะจบลงแบบไหน ไม่รู้ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ ไม่รู้ว่าใครจะเป็นฝ่ายแพ้ ไม่รู้ว่าจะมีใครอ่อนแรงล้มลงไปก่อนไหม หรือจะมีใครตกหลุมพรางตัวเองรึเปล่า
 [size]



....

ยังไงก็คอมเม้นติชมกันได้นะคะ ยังใหม่เลยไม่รู้ว่ามันจะออกมาดีอย่างที่ตั้งใจไว้รึเปล่า

คอมเม้น เป็นกำลังใจกันด้วยนะคะ เห็นแล้วยิ้มได้

ขอบคุณสำหรับคนที่ติดตามนะ  :3123:
ไม่รู้ว่าตอนนี้มันจะออกมาเหมือนที่ใครๆคาดหวังรึเปล่า
เจอกันตอนหน้านะ :bye2:
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: PFlove ที่ 20-11-2015 18:53:32
เข้ามาอ่านยาวมากสนุกค่ะ แต่ไอ้พี่ทามนี้เหมือนจะเจ้าชู้นะ กะล่อนซะด้วยซิ  แต่ชอบๆพระเอกกะล่อนไม่น่าเบื่อดี อิ อิ น้องติวเตอร์ก็น่ารัก อันนี้คู่หลักหรือคุ่รองนะ   :hao3:
แล้วรีซละคู่ใคร ? คนที่ขับรถชนหรือเปล่า ?  (รอคู่รีซ มันค้างอะค่ะ ) แต่ก็ชอบคู่น้องติวเตอร์กับพี่ทามนะ มันน่ารักน่าหยิก
มาต่อไวไวนะค่ะ เป็นกำลังใจให้คนแต่งค่ะ  :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: ิิbow ที่ 20-11-2015 19:16:53
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 28-11-2015 23:45:13
เข้ามาอ่านยาวมากสนุกค่ะ แต่ไอ้พี่ทามนี้เหมือนจะเจ้าชู้นะ กะล่อนซะด้วยซิ  แต่ชอบๆพระเอกกะล่อนไม่น่าเบื่อดี อิ อิ น้องติวเตอร์ก็น่ารัก อันนี้คู่หลักหรือคุ่รองนะ   :hao3:
แล้วรีซละคู่ใคร ? คนที่ขับรถชนหรือเปล่า ?  (รอคู่รีซ มันค้างอะค่ะ ) แต่ก็ชอบคู่น้องติวเตอร์กับพี่ทามนะ มันน่ารักน่าหยิก
มาต่อไวไวนะค่ะ เป็นกำลังใจให้คนแต่งค่ะ  :L2: :L2: :L2:

คู่พี่ทาม น้องติวเตอร์ เป็นคู่รองนะคะ
ส่วนรีซกำลังจะมาปรากฏในไม่ช้าค่ะ :impress2:

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ เห็นคอมเม้นเเล้วยิ้มได้เลย

ขอบคุณสำหรับกำลังใจจากคุณ  #PFlove  # ิิbow  #|ทพอสูร และทุกทุกๆที่ติดตาม มากๆเลยนะคะ :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย 07 โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 29-11-2015 00:04:03
Me die
07 : ชีวิตใหม่กำลังจะเริ่มขึ้น


Host Cub    

สถานที่ที่บรรจุหนุ่มๆหน้าตาดี หุ่นดี ไม่ว่าจะเป็นชนชาติใดๆหลากหลายอายุขนาดไหน แต่ถ้าสามารถเอาใจใส่ ดูแลลูกค้าได้เป็นอย่างดี สามารถพูดคุยและเชียร์ลูกค้าให้ซื้อดื่ม เทคแคร์ลูกค้าเยี่ยงราชินี ก็จะสามารถทำงานได้ยาวนานและรุ่งเรืองได้ในเวลาไม่นาน

แต่ทุกๆอย่างที่ทำได้ก็ต้องขึ้นอยู่กับคลับและลูกค้าเป็นส่วนใหญ่ รายได้หลักๆของโฮสต์ก็ขึ้นอยู่กับการออดอ้อนกับบรรดาลูกค้าสาวๆที่มาใช้บริการ หมายความว่ารายได้ขึ้นอยู่กับสกิลของแต่ละบุคคลนั่นเอง


เวลาตี2กว่าๆ
เป็นเวลาที่ลูกค้าจะเริ่มเยอะเป็นพิเศษ ลูกค้าเหล่านั้นมาจากสถานที่ท่องเที่ยวอื่น และลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นพนักงานบริษัทหรือบุคคลขี้เหงาที่ไม่ค่อยมีเวลาหาความสุข จึงมักจะมาที่นี่ มาซื้อ ‘ความสุขชั่วคราว’

“ถึงเวลาทำงานของเราแล้วสินะ”

เฟิร์สพูดกับตัวเองอยู่หน้ากระจกภายในห้องแต่งตัว หน้าและผมที่ถูกเซ็ตมาอย่างดี สไตล์การแต่งตัวเสื้อเชิ้ตสีขาวปลดกระดุม2-3เห็นหน้าอกเซ็กซี่ื่ทับด้วยเสื้อคลุมสีฟ้าอ่อนกับกางเกงสีขาว ดูอ่อนโยนและเซ็กซี่ไปในตัว

“ยู ลูกค้าโต๊ะ17 โซน B ต้องการนาย” พนักงานเข้ามาตามตัวออกไปพบลูกค้า ‘ยู’ คือชื่อของเฟิร์สตลอดที่ทำงานที่นี่
“โซน B ?  นายก็รู้ว่าฉันไม่รับลูกค้าผู้ชาย แล้วจะให้ไปโซนนั้นทำไม”ยูหรือเฟิร์สถามขึ้น

“หัวหน้าคุยเรียบร้อยเเล้ว เขาแล้วแต่นายจะรับ แต่ถ้านายไม่ยอม ผู้ชายคนนั้นฝากมาบอกนายว่า ‘ได้เวลากลับบ้าน’ นายเอายังไง แล้วหมอนั่นพูดถึงอะไร”

“ตกลง ฉันจะไป เดี๋ยวตามไปรับออเดอร์ได้เลย”พูดจบเฟิร์สก็เดินออกไปทันที โดยไม่ตอบคำถามกับพนักงานคนดังกล่าว


ท่ามกลางแสงไฟสลัวๆของสถานที่อันคุ้นเคยโซนลูกค้าหญิงและชายกับโฮสต์ทั้งหน้าเก่าใหม่ โซฟา เครื่องดื่มตามโต๊ะ และเสียงพูดคุยที่หลากหลายอารมณ์ ของหลายๆคนยังคงดังปะปนกันภายในร้าน

เฟิร์สยังคงทำงานอยู่ที่โฮสต์อยู่ตั้งแต่วันนั้น วันที่เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตเขาวันที่พ่อตัดสินใจให้เขาเดินลงจากรถ เขาไม่ได้อยากจะทำงานแบบนี้แต่เขาต้องเอาตัวรอด เลยต้องกลายมาเป็นตัวตลกโดนรับน้อง โดนมอมเหล้า โดนต่อว่าต่างๆทั้งจากลูกค้าและพนักงานด้วยกัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยจะต้องพบเจอ กว่าจะผ่านช่วงเวลานั้นมาเรียกได้ว่าสาหัสมากเลยทีเดียว


โซน B
“นาย เป็น ใคร” เฟิร์สพูดขึ้นช้าๆชัดๆ หลังจากที่รีบเดินออกมาจากห้องแต่งตัวตรงมายังโต๊ะ17ในโซนที่เขาไม่เคยเข้ามา เพราะถึงเขาจะเป็นโฮสต์แต่เขาไม่เคยรับลูกค้าผู้ชาย เมื่อมาถึงโต๊ะเขาเจอชายใส่สูทสีดำ สวมหมวกและแว่นตาสีดำนั่งอยู่ที่โซฟา จึงตรงไปนั่งด้านข้างอย่างไม่กลัวอันตราย แน่ล่ะ ระบบรักษาความปลอดภัยที่นี่เยี่ยมตรวจอาวุธเข้าออกทุกครั้ง

“ฉัน มารับนายกลับบ้าน เฟิร์ส” ชายคนนั้นค่อยๆถอดหมวก ตามด้วยแว่นตา เงยหน้าขึ้นมองผู้มาเยือน แล้วพูดขึ้นช้าๆ

อึก!

“แรมป์! น นาย” เฟิร์สตกใจ พูดอะไรไม่ออก ทุกอย่างรอบตัวนิ่งสนิท เขาไม่คิดว่าคนที่จะมารับเขาจะกลายเป็นแฝดผู้พี่ที่โดนพ่อปล่อยแบบเขาเช่นกัน

“หึ แทนที่จะดีใจ เลิกตกใจแล้วไปกันได้แล้ว ฉันอุตส่าห์มารับด้วยตัวเองเลยนะน้องชาย” แรมป์พูดยิ้มมุมปากนิดๆ

“ทำไมเป็นนายล่ะ ไม่สิ นายเป็นยังไงบ้าง ไม่ๆ ฉ ฉันไม่รู้จะถามอะไรนายก่อนดี ฉันคิดว่านายจะไม่น่า...” เฟิร์สทำหน้าไม่ถูก ยังดูตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า สับสนไปหมด

“นายยังรอด แล้วทำไมฉันจะไม่รอด อย่าลืมสิ ว่าฉันเก่งกว่านายนะไอน้องชาย ที่เหลือค่อยว่ากัน เราไปกันได้แล้ว”่ แรมป์พูดสรุป

“ขอเวลา10นาที ฉันมีของสำคัญ”

“ได้ ฉันจะรอตรงนี้ ค่อยออกไปพร้อมกัน”

“โอเค” เฟิร์สรับคำ แล้วเดินออกไปจากโต๊ะทันที


10 นาที ต่อมา
ทั้งคู่เดินไปขึ้นรถแล้วขับออกไปทันที โดยที่เฟิร์สได้ลาออกจากจากเป็น ยู โดยถาวร ออกมาทั้งๆที่ไม่ได้บอกกล่าวใคร แค่ทิ้งกระดาษเล็กๆเขียนว่า ลาออก ไว้เพียงใบเดียว ทั้งคู่มุ่งตรงไปยังเป้าหมาย นั่นคือ บ้าน ของพวกเขานั่นเอง

“เปลี่ยนไปเยอะนะ เฟิร์ส ฉันคิดว่านายจะไม่ไหวซะอีก”่ แรมป์พูดขึ้น ขณะที่ขับรถเคลื่อนออกจากบริเวณคลับ

“แรกๆก็เป็นงั้นแหละ กว่าจะปรับตัวได้ก็ลำบากพอสมควร แต่ดีที่งานแบบนี้มันสบาย แค่ใช้หน้าตากับสกิลส่วนตัวก็ผ่านฉลุย ตอนนี้ฉันเลยเป็นอันดับ1ไงล่ะ แล้วนายล่ะก่อนหน้านี้เป็นยังไงบ้าง”เฟิร์สพูดชิวๆถึงงานโฮสต์

“ของฉัน เรียกได้ว่าลำบากสุดๆเลยก็ได้นะ กว่าฉันจะขึ้นมาอยู่ระดับที่ทำเงินไ่ด้ก็ปาเข้าไปครึ่งเดือน”

“เล่าหน่อยสิ”ด้วยความอยากรู้ของเฟิร์สจึงถามต่อ

“ก็ที่นั่นมีแต่เจ้าถิ่น แรกๆก็กระอักเลือดปางตาย เฉียดคุกครั้งแล้วครั้งเล่า กว่าจะมีเส้นสายได้ แต่ฉันก็ทำมันสำเร็จล่ะนะ”แรมป์พูดยิ้มให้กับตัวเองนิดๆ เขาสงสารตัวเอง แต่เพราะความไม่ยอมแพ้ให้กับคำสบประมาทของผู้เป็นพ่อเขาถึงผ่านมาได้

“อะไรกัน พูดแค่นี้อ่ะนะ ฉันอยากรู้รายละเอียดนะแรมป์ ว่านายผ่านมันมาได้ยังไง”

“ไว้ก่อน ว่าแต่เรื่องนั้น ยังเป็นอยู่รึเปล่า”แรมป์ตัดบท แล้วถามถึงเรื่องอื่นต่อ

“พูดน้อยจังนะนาย เรื่องนั้นนี่เรื่องไหนงั้นหรอ อ๋อ หรือว่า จะเรื่องฝันร้ายของฉัน”เฟิร์สเลิกคิ้วด้วยความสงสัยแล้วหันมองหน้าแรมป์

“ใช่ เรื่องนั้น”แรมป์ยังคงหน้านิ่ง แล้วขับรถต่อไป ไม่ได้มีท่าทีที่เปลี่ยนไปเลย

“ก็เหมือนเดิม แต่ฉันก็ฝันน้อยลงแล้วล่ะ อีกอย่าง เพราะฉันเจอคนเยอะแล้วทำงานตอนกลางคืนด้วยล่ะมั้ง นอนกลางวันแล้วมันไม่เป็นไรน่ะ มันเหมือนไม่ค่อยจะมีอิทธิพลกับฉันเท่าไหร่แล้ว มั้ง”เฟิร์สพูดด้วยท่าทีสบายๆนึกถึงเรื่องฝันร้ายดังกล่าว

“ก็ดี แต่นายนี่พูดมากจังนะ หึ”แรมป์ยิ้มมุมปากนิดๆสีหน้าผ่อนคลายลงเมื่อได้พูดคุยกับคนที่ไว้ใจได้ ตลอดเวลาที่ผ่านมาที่้ขาอยู่ข้างนอกนั่น เขาไว้ใจใครไม่ได้สักคนเดียว ทุกอย่างตรึงเครียด ต่างจากเฟิร์สที่ดูอะไรๆก็สบายๆสำหรับเขาทั้งนั้น

แล้วทั้งคู่ก็ยังพูดคุยกันไปอีกหลายเรื่องตลอดระยะทาง ส่วนใหญ่จะเป็นฝ่ายเฟิร์สพูดซะมากกว่า แรมป์ก็เล่าบ้างแล้วแต่สถานการณ์

.

.

บ้าน กิจจาวัฒนาพันธ์
“ทุกอย่าง ยังคงเหมือนเดิมสินะ”  เฟิร์สเอ่ยขึ้นเมื่อรถเคลื่อนตัวเข้ามาภายในบริเวณบ้าน

“คงงั้น อันที่จริง ฉันมาถึงก่อนนายเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนเท่านั้น เพื่อเตรียมตัวไปรับนาย ...ต่างจากฉันแค่เพียงส่งรถไปรับเท่านั้น” แรมป์ตอบกลับ แล้วเอ่ยเบาๆในประโยคท้าย


“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน ลูกชายทั้งสองคนของฉัน”เสียงทรงอำนาจดังขึ้น หลังจากลูกชายทั้งสองก้าวเท้าเข้าประตูบ้านมา

“ไปนั่งคุยกันหน่อยสิ ไม่ได้เจอกันตั้ง 1 เดือนเต็มๆ แล้วมาดูกันสิว่าพวกแกทำตามที่ตกลงกันได้รึเปล่า” ผู้เป็นพ่อเดินลงมาจากชั้นสองของตัวบ้านแล้วนำลูกชายไปนั่งที่โซฟาตัวยาวที่ห้องรับแขก

“สวัสดีครับ พ่อ” เฟิร์ส/แรมป์ เอ่ยขึ้นพร้อมกัน หลังจากเดินตามผู้เป็นพ่อ

“เอาหลักฐานมาสิ จำกันได้ใช่มั้ยว่าฉันต้องการอะไรจากพวกแกบ้าง” ผู้เป็นพ่อยิ้มมุมปาก พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังทันที
“นี่ของผม” แรมป์

“คาสิโน?” แรมป์พูดขึ้น หลังจากที่รถลีมูซีนคันหรู จอดใกล้กับคาสิโนชื่อดังแห่งหนึ่ง

“ใช่ นี่เงิน 500,000 เอาไป และประวิติใหม่ แกไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฉันเด็ดขาด” วิรัชน์ยื่นเงินตามจำนวนที่ถูกบรรจะอยู่ในกระเป๋าให้กับแรมป์

“500,000? เอาไปทำอะไรครับพ่อ” พ่อของเขาจะให้เขาเอาเงินไปเล่นการพนันรึไงกัน ถึงได้ให้เงินสดตั้งมากมายขนาดนี้มา หรือว่านัดส่งของอะไรกันที่นี่

“แรมป์ นี่งานชิ้นแรกของแก ...แกจะต้องเอาเงินห้าแสนนี่ ไปเพิ่มจำนวนเป็น 20ล้าน ให้ได้ภายในเวลา 1เดือนก่อนเวลาเที่ยงคืน ไม่ว่าจะทำวิธีใดก็ได้แค่เอามาให้ฉันตามกำหนดเวลาก็พอ ...ถ้าแกทำไม่ได้ ฉันมีของขวัญจะมอบให้กับคนที่ไร้ประสิทธิภาพแบบนั้นแน่นอนไอลูกชาย ลงไปได้แล้ว เริ่มได้!” ผู้เป็นพ่อเริ่มกำหนดเวลา ก้มมองนาฬิกาข้อมือของตน


“ส่วนนี่ของผม” เฟิร์ส

“โฮสต์คลับ??” เฟริสหันหน้ามามองผู้เป็นพ่อด้วยใบหน้าตกใจปนสงสัย

“ใช่ ลงไป นี่เป็นประวัติปลอมของแกและเงิน5,000บาท แกเป็นคนจนที่มาขอสมัครงานเท่านั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฉันเด็ดขาด ฉันต้องการให้แกอยู่ที่นี่และขึ้นเป็นโฮสต์ชายอันดับหนึ่งทำยอดให้ได้20ล้าน กติกาทุกอย่างเหมือนกัน 1 เดือนเท่านั้น” ผู้เป็นพ่อพูดเอ่ยในสิ่งที่เฟริสอยากรู้ แล้วนั่งพิงเบาะรถสบายอารมณ์ดวงตาเฉียดมองไปยังนาฬิกาตนเอง

“ครับพ่อ” เฟริสรับคำและถือเอกสารของตนและเก็บเงิน5,000บาทลงกระเป๋ากางเกง ก้าวลงจากรถเดินไปโดยที่ไม่หันกลับมามองที่รถของตนเช่นเดียวกับแรมป์

เฟิร์สและแรมป์วางกระเป๋าลงตรงหน้า พร้อมเปิดออก ข้างในมีสมุดบัญชีธนคาร กุญแจ และรหัสเปิดเซฟของธนาคาร

“สำหรับเงินส่วนที่พ่อกรุณาให้ผมมา ผมไม่ได้ใช้ กุญแจดอกนี้คือเงินส่วนนั้น ส่วนในบัญชีวงเงินทั้งหมดคือเงินส่วนที่พ่อต้องการจากผม” แรมป์พูดบอกพ่อของตนในประโยคยาวรางหยิบกุญแจและบัญชีเงินที่กล่าวให้กับพ่อของตน

“แล้วที่เหลือล่ะ”ผู้เป็นพ่อเลิกคิ้วสงสัย

“กำไร” แรมป์ตอบสั้นๆุแล้วหันหน้าหนีไปอีกด้าน

“หึหึ ดี! แกล่ะเจ้าเฟิร์ส”ผู้เป็นพ่อยิ้มมุมปาก แล้วหันมากดดันเฟิร์สต่อ

“ทั้งหมดก็คือจำนวนที่พ่ออยากได้ไงล่ะครับ บวกอีกไม่กี่สิบล้านจากความเก่งของผม ซึ่งส่วนนั้นผมก็ต้องขอเก็บไว้เช่นเดียวกัน” เฟิร์สพูดยิ้มๆให้ผู้เป็นพ่อ อันที่จริงเขาเพิ่งจะหายตะลึงจากเหตุการณ์กะทันหันที่เกิดขึ้นก็เมื่อได้ยินพ่อของเขาทวงสัญญูา

“ฮ่าฮ่าฮ่า นิสัยพวกแกเปลี่ยนไปขนาดนี้เลยรึเนี่ย คนแรกก็กลายเป็นพวกเย็นชา พูดน้อยต่อยหนัก อีกคนก็ดันกลายเป็นพวกรู้มากเจ้าเล่ห์โปรยเสน่ห์หวังผล ล่ะสินะ เดือนเดียวฉันทำให้ลูกชายเข้มแข็งขนาดนี้ ฉันควรดีใจสินะ ฮ่าฮ่าฮ่า ถูกใจฉันจริงๆ” ผู้เป็นพ่อหัวเราะเสียงดังก้องบ้านมองหน้าลูกชายทั้งสองสลับกันไปมา

“ต่อไปพวกแกต้องเริ่มเรียนรู้ธุรกิจครอบครัวสักที ก่อนฉันจะให้พวกแกเปิดตัวในนามของลูกชายที่น่าภูมิใจของฉันต่อไป ฮ่าฮ่าฮ่า”

.
.
.

สถาบันวิจัยใต้ดินแห่งหนึ่ง
“ดร.ครับ ผมว่า เราควรจะให้ในสิ่งที่เขาขอได้แล้วนะครับ”

“ฉันก็คิดว่าอย่างนั้นนะ แต่ฉันอยากให้นายไปอยู่กับเขาด้วย”

"ได้ครับดร.”

“ดูแลเขาดีๆล่ะ พวกเราติดหนี้เขาครั้งใหญ่ สถาบันเราจะได้พัฒนาต่อไป”

“ครับดร.ผมจะดูแลเขาอย่างดีไม่ให้คาดสายตาเลยครับ”

“นายพาเขาไปพักห้องธรรมดาได้แล้วล่ะพอล วันนี้ทำได้ดีมาก เอ้อ อย่าลืมว่าเขาต้องไม่รู้เรื่องฉัน”

“ครับดร.”

บทสนทนาของคนสองคนดังขึ้นภายในห้องทดลองที่มีชายอีกคนที่มีเพียงผ้าสีขาวปิดบังส่วนนั้นเอาไว้ได้นอนหลับอยู่บนเตียงพร้อมกับเข็มยาที่ปักอยู่บนตัว สายยางที่ห้อยเต็มไปหมด กับอุปกรณ์ทางการแพทย์มากมายที่ใช้ทดสอบกับร่างกายนี้ตลอดระยะเวลาเกือบสองสัปดาห์ ก่อนหน้าที่เขาได้ออกไปอยู่ข้างนอกได้เพียงไม่นานร่างกายก็เกิดการเปลี่ยนแปลงจนต้องเอากลับมาอยู่ภายใต้การทดลองนี้ ซึ่งเขายังคงหลับตลอดการทดลองสองสัปดาห์


“คุณน่าจะฟื้นได้แล้วนะครับ ผมว่าคุณน่าจะออกไปทำตามความตั้งใจได้แล้ว”

เมื่อย้ายรีซเข้ามาอยู่ในห้องพักธรรมดาขององค์กร หมอพอล ก็ย้ายอุปกรณ์แพทย์ฉุกเฉินเข้ามาด้วย แล้วก็ยังเอาตัวเองมาอยู่ในนี้ คอยเช็คอาการต่างๆ แล้วคอยเวียนมาพูดใกล้ๆ

“ผมรู้นะครับว่าคุณให้ผมไปสืบประวัติคนคนนั้นมาทำไม คุณรู้มั้ยครับ ว่าตอนนี้เขากำลังใช้ชีวิตสบายอยู่ข้างนอกนั่น แต่คุณกลับมานอนอยู่ในนี้ตั้งสองสัปดาห์”

อึก!

เมื่อเห็นรีซมีปฏิกิริยาจึงเร่งพูดต่อ ร่างกายของรีซเริ่มเกร็ง บรรยากาศรอบๆตัวเริ่มเย็นลงทั้งๆที่เครื่องปรับอากาศก็ยังทำงานเท่าเดิม

“คุณนี่มันใช้ไม่ได้จริงๆ ที่ไปให้คำสัญญากับใครบางคนเอาไว้ทั้งๆที่ทำไม่ได้ แล้วยังต้องมาทำตัวเองให้ตายจากไปอีก สงสารเขาจริงๆนะคุณว่ามั้ย แต่ผมน่ะ สมเพช คุณจริงๆ”

ปึง!!

“นายรู้ได้ยังไง! บอกมาสิหมอ!” รีซได้ยินทุกคำที่หมอนี่พูดมาสักพัก เขาจึงพยายามลุกขึ้น
“อึก! ป ปล่อยมือสิ”   

เมื่อลุกขึ้นได้ รีซก็ลงจากเตียงกระโจนใส่หมอทันที มือทั้งสองคว้าเข้าที่คอของหมอกดอย่างแรง พร้อมกับตะโกนเสียงดัง จ้องหน้าเขม็ง แล้วปล่อยออกจากที่ได้ยินคำบอกให้ปล่อย

“แรงดีจริงๆนะครับ ผมคิดว่าคุณจะไม่มีแรงจะลุกขึ้นมาซะอีก”

“อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง บอกมา!” รีวตะคอกเสียงดัง ดวงตายังจ้องไปที่หมอหนุ่มอย่างต้องการคำตอบ

“ครับ แต่ก่อนอื่นผมอยากให้คุณอารมณ์เย็นลงกว่านี้สักหน่อย อากาศมันเย็นมากนะครับ แล้วผมก็อยากจะบอกข่าวดีอะไรบางอย่างกับคุณก่อน” หมอพอลพูดยิ้มๆตามบุคลิกของตน ท่าทีที่สบายๆผิดกับบรรยากาศรอบตัว

“ข่าวดีอะไร”

“ทางองค์กรจะทำตามคำขอของคุณทันทีที่คุณร้องขอ แต่ในฐานะที่ผมเป็นเ
จ้าของเคสคุณผมต้องติดตามคุณด้วย หวังว่าคุณคงจะไม่ขัดข้องนะครับ”

“ตามสบาย เอานายไปด้วยก็ดี จะได้ไปเป็นลูกมือให้ฉัน แล้วจะเล่าได้รึยัง นายเปลี่ยนเรื่องเยอะเกินไปแล้ว อย่าทำให้ฉันโมโหจะดีกว่า”

“ครับ เล่าแล้วครับ ใจร้อนจริงๆ”

แล้วหมอก็เล่าเหตุการณ์ที่รีซอยากรู้ให้ฟัง ซึ่งความลับนี้เขารู้กันสองคน หมอให้นักสืบไปสืบมาส่วนตัว ส่วนบางเรื่องที่ลึกซึ้งก็รู้จากเจ้าตัวเองแต่รีซคงไม่รู้ตัว ซึ่งก็เป็นผลดีกับหมอ เขาจึงตกลงเป็นคู่หูชั่วคราว สืบเรื่องคนคนนั้นให้รีซต่อ

.
.

2-3เดือนถัดมา
หลังจากที่ออกมาจากองค์กร หมอและรีซ ก็สนิทกันมากขึ้นตามลำดับ ทั้งคู่อยู่คอนโดหรูที่ชั้นหนึ่งมีเพียงสองห้อง คือเขากับหมอ เท่านั้น

“รีซ ได้เรื่องแล้ว หมอนั่นถูกเปิดตัวในฐานะลูกชายของเจ้าพ่อมาเฟียคนดัง นายจะเริ่มเลยมั้ย”

“ยังก่อน แต่เร็วๆนี้หมอ”

“ผมว่านายเล่นกับพวกคนใหญ่คนโตมากเกินตัวไปรึเปล่า”

“ยังไงซะ ผมก็ไม่ตาย หมอไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอกน่า”

“เอาที่คุณสบายใจนะครับ ยังไงผมก็เป็นแค่คนกลาง ไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะขัดขวางแค่ทำตามเท่านั้น”

.
.

“หึหึหึ เราจะเจอกันแล้วนะ เฟิร์ส”


 

....Next Time….



....
 :call: :call:ต้องขออภัยที่หายไปนานนะคะ แวะมาลงตอนนี้ให้ แล้วขออนุญาติหายไปอีกประมาณ1สัปดาห์เลยค่า
สัปดาห์สอบบบบบ ขออนุญาตินะคะ :o12:


สำหรับตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะแก้ขัดไปก่อนได้มั้ย มันคิดไม่ออกจริงๆค่า  ปั่นตอนนี้2วันเต็ม  :ling2:
ขอแก้ตัวตอนหน้านะคะ :katai4:

เจอกันตอนหน้าค่า :bye2:
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: PFlove ที่ 29-11-2015 18:15:39
ริซใกล้จะได้เจอคู่แล้วใช่ไหมค่ะ...ลุ้นๆ ... :katai1:
แอบสงสารเฟิร์สกับแรมป์ ที่มีพ่อคอยบังคับลูกแบบนี้ ...  :mew6:
เป็นกำลังใจค่ะ ...อย่าหายไปนานนะเขาอยากอ่าน... :katai4:
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย 08 โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 07-12-2015 10:37:59
me die


08 : Are You Ready


“ขอเชิญ คุณวิรัชน์ กิจจาวัฒนาพันธ์ ขึ้นมาบนเวทีครับ”

ท่ามกลางบรรยากาศงานเลี้ยงสุดหรูบนโรงแรมชื่อดังใจกลางเมืองแห่งหนึ่ง ที่มีมุมสำหรับตักอาหารและโต๊ะสำหรับนั่งทานสีขาวเข้ากับบรรยากาศของงาน มุมด้านหน้าจะมีเวทีและมีฟอร์สำหรับเต้นรำเบื้องหน้า งานที่ดำเนินมาสักระยะ จนถึงเวลาสำคัญของงานในครั้งนี้ พิธีกรจึงประกาศเรียกเจ้าภาพของงานขึ้นมาบนเวที

“สวัสดีครับแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ผมรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ทุกท่านมาร่วมงานนี้นะครับ ผมขอเข้ารื่องเลยนะครับ งานในวันนี้ผมจัดขึ้นเพื่อเปิดตัวลูกชายของผม ซึ่งพวกเขาหนึ่งในนั้นจะกลายมาเป็นผู้สืบทอดกิจการสำคัญของผมในอนาคต ขอบคุณครับ” เจ้าภาพของงานเดินขึ้นบนเวทีด้วยท่วงท่าที่สง่าการแต่งกายดูภูมิฐานน่าเกรงขาม เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สุขุมดังบุคคลิก

“คุณวิรัชน์นี่พูดน้อยจังเลยนะครับ งั้นเรามาต่อในขึ้นต่อไปกันเลยดีกว่านะครับ ขอเชิญ คุณ แรมป์ และคุณ เฟิร์ส กิจจาวัฒนาพันธ์ ทายาทของคุณวิรัชน์ แขกคนสำคัญของงานขึ้นมาบนเวทีด้วยนะครับ” พิธีกรเอ่ยหนอกเย้าให้บรรยากาศดูครื้นเครง และดำเนินการในขั้นต่อไป


แสงไฟรอบๆมืดดับลง เหลือเพียงแสงไฟสปอร์ตไลท์สีขาวนวลสอดวงฉายขึ้นทั้งสองข้างเวที เสียงบรรเลงของวงดนตรีดังขึ้นเบาๆขับให้เสียงไวโอลินเด่นไพเราะขึ้น พร้อมๆกับทายาททั้งสองคนในชุดสูท คนหนึ่งสีขาวและอีกคนสีดำ เดินมาอย่างงามสง่าและดูเท่ห์ไปในตัว คนละฝั่งของเวที แล้วมาหยุดขนาบข้างกับคุณวิรัชน์ตรงหน้าเวทีพอดี เสียงปรบมือดังขึ้นสนั่นพร้อมกับเสียงกรีดร้องเบาๆและรอยยิ้มจากหญิงสาวทั้งหลายที่มาร่วมงาน

“แขกทุกๆท่าน ช่วยเงียบเสียงลงนิดหน่อยนะครับ เพื่อที่จะได้ฟังเสียงทายาทสุดหล่อทั้งสองของคุณวิรัชน์เอ่ยอะไรนิดหน่อย เอาล่ะครับเรามาช่วยกันลุ้นนะครับสาวๆว่าทายาททั้งสองน้ำเสียงจะไพเราะเหมือนรูปร่างหน้าตาสุดเพอร์เฟ็คที่ขโมยใจของสาวๆหลายคนไปรึเปล่าครับผม เชิญคุณ แรมป์ ก่อนเลยครับ” พิธีกรผู้อารมณ์ดีเอ่ยทีเล่นทีจริงกับเเขกสาวๆ แล้วส่งต่อให้แขกคนพิเศษของงานเอ่ยแนะนำตนเอง

“สวัสดีครับแขกทุกท่าน ผม แรมป์ กิจจาวัฒนาพันธ์ แฝดพี่ ขอฝากตัวด้วยนะครับ ขอบคุณครับ” แรมป์ ในชุดสูทสีดำ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสุขุม ใบหน้านิ่ง แต่บุคคลิสุขุมน่าค้นหาแบบนี้กับทำให้สาวๆหลายคนมองตาไม่กระพริบ

“ฮ่าฮ่าฮ่า คุณแรมป์นี่พูดน้อยจังนะครับ แต่แค่นี้ก็ทำให้สาวๆหลายคนใจเต้นแรงแล้วนะครับ เชิญคุณ เฟิร์ส พูดต่อได้เลยนะครับ์”

“สวัสดีครับแขกทุกท่าน โดยเฉพาะสาวๆ ผม เฟิร์ส นะครับ ก่อนอื่นต้องขออภัยแทนแฝดผู้พี่ของผมด้วยนะครับพอดีเขาเป็นคนพูดไม่ค่อยเก่งเหมือนกับคุณพ่อนะครับ จริงมั้ยครับคุณพ่อ จริงมั้ยแรมป์ คิกคิก”

“ครับ/ครับ” เสียงพ่อลูกที่ถูกพูดถึงเอ่ยขึ้นพร้อมกัน ใบหน้าของพ่อยิ้กยิ้มขึ้นน้อยๆตามมารยาท ต่างจากลูกชายคนโตที่หน้ายังคงนิ่งเช่นเดิม

“ต่อกันเลยครับ ผมเป็นแฝดน้อง หรือง่ายๆก็คือ ลูกชายคนเล็กครับ จริงๆผมก็พูดเป็นทางการไม่ค่อยเป็นสักเท่าไหร่นะครับเนี่ย ถนัดแต่พูดกับสาวๆมากกว่า คิกคิก เอาเป็นว่าผมขอฝากเนื้อฝากตัวกับทุกๆท่านด้วยนะครับ ผมจะพยายามทำงานให้เต็มที่ให้สมกับที่พ่อของผมทำไงเป็นแบบอย่างนะครับ ขอบคุณมากครับ” เฟิร์สในชุดสูทสีขาว พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม และดวงหน้ามีความสุข ท่าทางขี้เล่นทำให้แขกทุกคนยิ้มไปตามๆกัน และกลายเป็นที่หมายปองของสาวๆ ด้วยรอยยิ้มที่น่ารักและท่าทางเป็นกันเองนั่นเอง

พิธีกรและเฟิร์สพูดรับส่งกันบนเวที รวมถึงผู้เป็นพ่อบางครั้ง ส่วนแรมป์ก็แค่พูดเล็กน้อยหรือพยักหน้าตามไป เหตุการณ์ดำเนินต่อไปอีกเล็กน้อย เพื่อไม่ให้งานหน้าเบื่อ

“สำหรับวันนี้  ผมรู้สึกขอบคุณแขกทุกท่านมากเลยนะครับ ที่มาร่วมเปิดตัวทายาทของผมทั้งสองคนในวันนี้ ต่อไปพวกเขาจะก้าวเข้ามามีบทบาทแทนที่ตัวผมที่เริ่มแกตัวลง ผมพูดไม่ค่อยเก่งนะครับ เอาเป็นว่าขอให้ทุกท่านสนุกกับงานของเราต่อไปนะครับ” วิรัชน์พูดจบหน้าที่ของตนบนเวที ปล่อยให้การแสดงประกอบงานส่วนอื่นขึ้นมาดำเนินแทนที ส่วนตนก็เดินนำลูกชายทั้งสองลงไปพบกับบรรดาแขกผู้ใหญ่เพื่อฝากเนื้อฝากตัวต่อไป

.

.

อีกมุมหนึ่งของงานมีชายหนุ่มลูกครึ่งหน้าตาดียืนอยู่ในโซนตักอาหา อยู่ในชุดสูทสีดำ สวมถุงมือสีดำถือแก้วไวน์ ยืนมองไปด้านเวทีด้วยใบหน้านิ่งสงบ เมื่อทายาททั้งสองขึ้นเวทีรอยยิ้มก็พุดขึ้นเล็กๆบนใบหน้าทันที
ด้วยบุคลิกและหน้าตาลูกครึ่ง ถึงแม้จะสวมแว่นตาทำให้ให้ใบหน้าดูสุขุมขึ้น แต่ก็ไม่สามรถบดบังความหล่อของเขา รวมถึงส่วนสูงเกือบๆ195ซม.ของเขา ทำให้เขาดูเด่นพอๆกับเจ้าของงาน ทำให้หญิงสาว ลูกสาวของแจกในงานแวะเวียนมาตักอาหารใกล้ตลอดเวลา

“สวัสดีครับ ผม ไมค์ เป็นเจ้าของธุรกิจเล็กๆที่ชื่อ MNU ที่คุณวิรัชน์เพิ่งตกลงเซ็นสัญญาร่วมธุรกิจกับผมเมื่อไม่นานมานี้ครับ” ชายหนุ่มลูกครึ่งเดินออกมาทักทายเจ้าของงาน พร้อมยื่นแก้วไวน์ที่ถือมาอีกแก้วให้เจ้าของงาน

“สวัสดีครับคุณไมค์ ผมจำคุณได้ แล้วอีกอย่างบริษัทของคุณก็ไม่ได้เล็กๆเลยนะครับ ถือว่าเป็นนักธุรกิจหน้าใหม่ไฟแรงที่เก่งมากๆ ผมถึงเลือกบริษัทคุณ” วิรัชน์รับแก้วไวน์มาและยื่นมือออกไปจับทักทายตามมารยาท

“ขอบคุณครับคุณวิรัชน์ก็ชมผมเกินไป วันนี้ผมขอแสดงความยินดีด้วยนะครับคุณวิรัชน์ ลูกชายของคุณดูดีเหมือนคุณจริงๆ”

“ขอบคุณครับคุณไมค์ นี่ลูกชายผม ต่อไปคงต้องฝากคุณไมค์ช่วยส่งเสริมลูกชายทั้งสองผมด้วยนะครับ”

“ได้เลยครับผมจะช่วยส่งเสริมอย่างเต็มที่”

ทั้งคู่ยืนคุยกันสักพัก วิรัชน์จึงขอตัวออกไปคุยกับแขกท่านอื่น แนะนำให้รู้จักกับลูกชายตนก่อนแยกออกไป โดยให้ลูกชายไปทำความรู้จักกับแขกคนๆอื่นๆด้วยตนเอง

“สวัสดีนะครับ คุณแรมป์ และคุณเฟิร์ส ใช่มั้ยครับ” ไมค์เอ่ยทักทายทายาททั้งสองก่อน

“สวัสดีครับคุณไมค์ ผมแรมป์ ยินดีที่ได้รู้จักครับ” แรมป์แนะนำตัวเองพร้อมยื่นมือไปจับทักทาย

“คุณแรมป์คะ รบกวนไปกับดิฉันได้มั้ยคะ คุณพ่อดิฉันให้มาเชิญค่ะ” จู่ๆก็มีหญิงสาวสวยคนหนึ่งเดินมาข้างๆแล้วเอ่ยชวนแรมป์ออกไปอีกด้าน

“ได้ครับ คุณไมค์ผมขอตัวนะครับ เฟิร์สดูแลต่อทีนะ เชิญครับ”แรมป์ หันไปกล่าวลาไมค์ ตกลงกับเฟิร์ส แล้วหันไปเขิญหญิงสาวให้เดินไปพร้อมกัน

“สวัสดีครับ ผมเฟิร์ส ยินดีที่ได้รู้จัก ผมได้ยินเรื่องของคุณมาพอสมควร คุณเป็นคนที่มีความสามารถมากนะครับ” เฟิร์สทักทาย พร้อมยื่นมือออกไปจับทักทาย

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ขอบคุณมากครับ คุณเฟิร์สก็พูดเกินไปนะครับ ผมแค่ทำบริษัทเล็กๆไม่ได้ใหญ่โตอะไร เทียบกับบริษัทของที่บ้านคุณไม่ติดเลยครับ” ไมค์ยืนมือไปจับทักทายบ้าง

“ถ่อมตัวจังนะครับ” เฟิร์สพูดด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา

“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ” ไมค์ตอบกลับ พร้อมยกมือขึ้นจับขาแว่นตาที่สวมเล็กน้อย

“อะ ขออนุญาติพูดถึงสีของดวงตาคุณได้มั้ยครับเนี่ย”เมื่อมองตามไป เฟิร์สก็ไปสะดุดบางอย่างเข้า

“ได้ครับ ผมไม่ได้กังวลอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้” ไมค์อนุญาติด้วยท่าทางสบายๆดังคำพูด ใบหน้าก็ยิ้มน้อยๆตลอดการสนทนา

“ดวงตาคุณดูมีเสน่ห์มากเลยนะครับเนี่ย ข้างหนึ่งสีเทา ส่วนอีกข้างดันออกสีน้ำเงิน จะเป็นการเสียมารยาทมั้ยครับ ถ้าผมจะขอให้คุณช่วยถอดแว่นสักหน่อย”

“ได้สิครับ ถ้าคุณต้องการ”

ไมค์ค่อยๆขยับถอดเเว่นออกจากหน้าของตน แล้วก้มหน้งให้เฟิร์สมองได้ถนัด เมื่อถอดแว่นทำให้ดวงหน้าของเขาเด่นชัดเจนขึ้น ดวงตาสองสีสวยงาม จมูกโด่งสัน ใบหน้าหล่อคม บวกกับส่วนสูงที่สูงเกือบสองร้อยซม.ยิ่งทำให้ดูเด่นขึ้นไปอีก แต่ส่วนนั้นไม่ได้ทำให้เฟิร์สสนใจเท่ากับดวงตาสองสีคู่นั้นเลย

“ว้าว~~ มันดูสวยมากจริงๆนะครับ โดยเฉพาะข้างที่เป็นสีน้ำเงินมันดูแวววาวยังกับอัญมณีเลย” เฟิร์สยังคงยืนจ้องค้างอยู่ที่ดวงตาคู่นั้นด้วยความหลงไหล และอยากรู้

“ส่วนอีกข้างดูเหมือนไม่มีชีวิตเลยใช่มั้ยล่ะครับ”

“ว่าไงนะครับ ผมไม่ทันฟังน่ะ”

“เปล่าครับ ผมขอสวมแว่นนะครับคุณเฟิร์ส คุณอยากได้ไวน์สักแก้วมั้ยครับ เดี๋ยวผมหยิบให้”

“อะแฮ่ม ผมนี่เสียมารยาทจริงๆ ดีเลยครับ แต่เดี๋ยวผมหยิบเองดีกว่า คุยกับคุณไมค์นี่สนุกดีนะครับ ผมขอคุยกับคุณอีกสักพักดีกว่า คุณรีบไปที่อื่นรึเปล่าครับ แขกของคุณพ่อเยอะจริงๆ ผมชักเหนื่อยแล้วสิ” เมื่อรู้สึกตัวว่าจ้องมากเกินไป เฟิร์สจึงหยุด และหยิบแก้วไวน์มายืนคุยกับไมค์อีกสักพัก

“ไม่หรอกครับ ผมก็ใหม่ในวงการ ยังไม่ค่อยมีใครให้รู้จักเหมือนกันครับ”

“งั้น ไว้สักพักคุณไมค์ก็ไปกับผมเลยสิครับ ไปทำความรู้จักกับผู้ใหญ่ท่านอื่นพร้อมกัน จะได้รู้จักกับคนอื่นๆด้วย”

“ดีเลยครับ ขอบคุณคุณเฟิร์สมากนะครับ ทั้งหล่อรวยแถมยังมีน้ำใจแบบนี้ ผมอิจฉาจังเลยนะครับ คุณคงจะมีความสุข’มาก’เลย”

“ไม่ขนาดนั้นหรอกคร้าบ แต่เรื่องหล่อรวยนี่ ผมก็ไม่รู้จะปฏิเสธยังไงจริงๆนะครับ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า” ทั้งคู่ยืนหัวเราะอยู่ด้วยกัน ด้วยหน้าตาและฐานะต่างๆ รวมทั้งใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุขทั้งสองคน ยิ่งดึงดูดสายตาของคนรอบข้างมากขึ้นอีก โดยที่ทั้งคู่ไม่รู้ตัว สาวๆหลายคนอย่างจะมีส่วนร่วมในบทสนทนาด้วยแต่ก็ทำได้เพียงแค่ยืนมองแล้วยิ้มตามไป

.

.

“แรมป์ บอกพ่อด้วยว่าฉันจะไม่กลับ แล้วก็ขอโทษนายด้วยนะ ที่ต้องให้รับหน้าคนเดียว วันนี้ฉันก็เล่นมากไป ไว้จะกลับไปไถ่โทษละกัน” เมื่องานเลิก บรรดาแขกต่างๆก็เริ่มกลับ เหลือผู้เป็นพ่อยืนส่งแขกคนท้ายๆ เฟิร์สจึกลากเเรมป์ออกมาบอกก่อน

“ได้” แรมป์รับปากสั้นๆแล้วจะเดินออกไป

“แรมป์ นายไม่ถามหน่อยหรอ ว่าฉันจะไปไหน”เป็นฝ่ายเฟิร์สเองที่ดึงไว้

“ถ้านายอยากบอก ฉันก็จะฟัง” แรมป์ตอบกลับหน้านิ่งๆ

“อะไรกัน ไม่ห่วงฉันเลยรึไง”

“ไปเที่ยว??”

“ถูกต้องนะคร้าบ ไว้จะกลับเร็วๆนะครับพี่ชาย” เฟิร์สว่าจบก็เดินปีกตัวออกไปอีกด้าน ไม่ให้พ่อเห็น ไปขึ้นรถของตนที่จอดไว้ด้านนอกเพื่อจะขับออกไป

.

.

เมื่อเดินออกจากห้องจัดงานมา เฟิร์สก็ลงไปชั้นที่จอดรถของตนทันที ซึ่งเป็นชั้นใต้ดินของตึกนี้

“ไฟมีปัญหารึไง ติดๆดับๆมาตลอดทาง บรรยากาศก็เย็นแปลกๆทั้งๆที่เป็นหน้าร้อนเนี่ยนะ สงสัยคงต้องแจ้งให้โรงแรมปรับปรุงชุดใหญ่”

ตึก
ตึก

กึก! เฟิร์สชะงักหยุดเดิน เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินตามชัดเจนขึ้น จริงๆเขาได้ยินมาสักพักแค่คิดว่าคนเดินมาเอารถเหมือนเขา แต่พอหลายๆครั้งเข้าเขาจึงหันไปมองด้านหลังแต่ก็ไม่พบอะไร จึงเดินต่อ

‘อีกนิดเดียวน่า มันไม่มีอะไร ลองเป็นโจรสิ พ่อจะอัดให้ยับ’เฟิร์สพูดเบาๆปลอบใจตัวเองขณะเดิน

ตึก
ตึก

ไฟที่ติดๆดับๆตลอดทางเดิน ที่จอดรถที่ไม่มีรถ ยามหรือใครสักคนไม่เห็น พร้อมๆกับเสียงเดินของใครสักคนที่เขามองไม่เห็น ทำให้บรรยากาศตรงนี้ไม่น่าอยู่นัก

ตึก
ตึก


เสียงเดิน และหยุด ตามจังหวะที่เฟิร์สก้าวเดินทุกก้าว ยังคงดังสะท้อนไปทั่ว ทำให้เฟิร์สเร่งเดินไปที่รถของตน


ปึง!/ปึง!

เมื่อถึงรถเขาก็เปิดรถขึ้นไปนั่งอย่างรวดเร็ว เอื้อมมือดึงประตูรถปิด แต่เสียงปิดประตูรถของเขาเองกับดังขึ้นซ้อนกันพร้อมๆกับแรงสะเทือนจากแรงปิดที่ประตูรถด้านหลังของเขา

ตึก ตัก ตึก ตัก

หัวใจของเฟิร์สเต้นเร็วขึ้นมากระทันหัน ขนแขนเริ่มลุกเกรียว เขาค่อยๆเหลือบตาขึ้นไปมองกระจกมองหลังช้าๆ มือเกร็งไปหมด ลมหายใจติดๆขัดๆอย่างตื่นเต้น

....

“ฟู่~ สงสัยจะคิดไปเอง” เฟิร์ส ถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อไม่มีอะไร แล้วขับรถออกจากบริเวณนี้ทันที

.
.
.

เมื่อเกินเหตุการณ์แบบเมื่อกี้ขึ้นทำให้เฟิร์สตัดสินใจไม่ไปเที่ยวผับดังที่ตั้งใจไว้ เขาเลือกที่จะขับรถไปเรื่อยๆเพื่อผ่อนคลายอารมณ์มากกว่า

‘ครืด~ ครืด~’

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจากกระเป๋ากางเกงของเขา แต่ก็ต้องขมวดคิ้วเพราะเป็นเบอร์แปลกโทรฯเข้ามา

“สวัสดีครับ”

“สวัสดีครับ เฟิร์สพูดครับ ไม่ทราบว่านั่นใครพูด”

ไม่มีเสียงใครตอยกลับมา แต่สายยังต่ออยู่ หลายๆครั้งเข้ากับความเงียบเฟิร์สจึงเริ่มอารมณ์เสีย

“นี่คุณ! ถ้าคุณไม่พูด ผมจะวางผมจะวางแล้วนะครับ”

“Are! You! Ready!” เสียงเข้มๆตอบกลับมาช้าๆเน้นๆทีละคำ เมื่อได้ยินปลายสายตอบ กับยิ่งทำให้เฟิร์สโมโหเพิ่มขึ้นไปอีก

“บ้าอะไรวะ! อะ หะ เห้ย หลบไป!!!”

เอี๊ยด!!

“บ้าเอ้ย อะไรกันวะ ดีนะที่ขับไม่เร็ว” เมื่อหยุดรถได้ เฟิร์สก็ลงจากรถไปดูอีกคนด้วยอารมณ์โมโห

‘นี่ขับรถชนคนอีกแล้วหรอวะ’ เฟิร์สคิดในใจไปด้วย

“คุณ คุณ เป็นอะไรรึเปล่า อย่ามาเป็นลมตรงนี้นะเว้ย ไม่ได้อารมณ์ดีพอจะพาไปส่งโรงบาลฯหรอกนะ”

“คุณ ตอบมาสิวะ มันมาทำอะไรดึกๆแถวนี้วะ ซวยกูด้วยเลย”

“ชะ ช่วย ด ด้ วย”

คู่กรณีของเขานอนนิ่งอยู่ข้างทาง หน้าคว่ำลงกับพื้นทำให้มองไม่เห็นว่าเป็นยังไงบ้าง เฟิร์สยืนนิ่งตัดสินใจอยู่สักพัก จึงค่อยๆเอื้อมมือไปจับแแขนเสื้อของคู่กรณียึดขึ้นให้นอนหงายขึ้นมา

“อึก!”

เมื่อจับหงายหน้าขึ้น กลับเป็นเฟิร์สเองที่ตกใจจนหงายหลังก้นจั้มเบ้าลงกับพื้นข้างๆ ภาพเหตุการณ์เก่าในอดีตที่ยากจะลืมเลือนเด่นชัดขึ้นทันตาเห็น ทับซ้อนกลับภาพข้างหน้า ที่มีเลือดไหลทะลัก บาดแผลถลอกมากมาย เลือดสีแดงฉานที่เริ่มไหลอาบร่างกายคนเจ็บเหม็นคาวชวนจะอ้วก

ภาพต่างๆที่ไหลวนทำให้เฟิร์สเวียนหัวอย่างหนัก เริ่มหายใจไม่ออก อยากจะอ้วกแต่อ้วกไม่ออกได้แต่พะอืดพะอม และพยายามถอยหนีให้ห่างออกมา

“ช ชะ ช่ วย ด ด้ วย” มือของคนเจ็บพยายามจะยื่นออกมาข้างหน้า เพื่อขอความช่วยเหลือจากเฟิร์ส แต่เฟิร์สก็ยังไม่สามารถช่วยใครได้ในตอนนี้ จึงได้แต่กรอกตาไปมาอย่างสับสนแต่ขยับถอยห่างมากขึ้นอีก

“ไม่ ไม่! อย่ามายุ่งกับฉัน! ฉัน แฮ่ก ฉัน ไม่ไม่!”

“ทำไมถึงไม่ช่วยกู!”

ท่ามกลางความสับสนของเฟิร์ส จู่ๆคนบาดเจ็บก็ลุกขึ้นนั่ง แล้วก้มลงค่อยๆคลานเข้ามาหาเขา

“มึงฆ่ากู! มึงจำกูได้มั้ย! มึงขับรถชนกู!”

“ไม่ ไม่”

เลือดที่ไหลออกตามร่างอีกคน ทำให้เฟิร์สแทบไม่หลงเหลือสติเพียงพออยู่แล้ว หัวใจที่เต้นแรงจนแทบจะหลุด ลมหายใจที่ขาดๆหายๆ แล้วยังตอนนี้ร่างนั้นกำลังกระโจนเข้าหาเฟิร์สอย่างจัง

“มึงฆ่ากู ถึงเวลาที่กูจะต้องเอาคืนมึงแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่า”

“ไม่!!!!”







....Next time....



....
ตอนใหม่มาแล้วจ้าาาา
หวังว่าคงจะสนุกนะคะ :mew2:

แล้วก็ สำหรับคอมเม้นต่างๆที่ไม่ได้ตอบ คงจะไม่เคืองกันนะค้า เค้ายังใหม่กับเว็บนี้ ไม่เคยลงอ่า เลยตอบไม่เป็น 555 :mew5: :ling2:

ขอบคุณสำหรับทุกคนที่ติดตามนะคะ :pig4: :pig4:
เจอกันตอนหน้าค่า :bye2:
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: PFlove ที่ 07-12-2015 10:56:30
เย้มาต่อแล้ว..ตัวเอกกำลังจะเจอกันแล้วใช่ไหมค่ะ...สงสารเฟิร์สนะเขาก็ฝังใจและเสียใจกับการกระทำของเขาในอดีตแต่อีกคนซิกับจำฝังใจว่าเฟิร์สไม่ยอมกันกลับไปดูดำดูดีเขาเลย....จะเกิดศึกอะไรกันขึ้นตอ่ไปนะ
ค้างมากที่สุด....พลีส!!!   :impress3: :impress3:
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 07-12-2015 14:42:57
รีซจะเข้าสู่วังวนของการแก้แค้นแล้วเหรอ ไหนว่าจะอยู่เพื่อดูแลติวเตอร์ไง ทำไมปล่อยให้ติวเตอร์ต้องเจอคนนิสัยไม่ดีอย่างทามล่ะ
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: padloms ที่ 07-12-2015 17:51:02
คู่หลักนี่มองไม่ออกเลยแหะว่าใครเป็นพระเอกนายเอก  ส่วนคู่รองนี่ทามรักเตอร์เมื่อไหร่คงขี้หึงมากแน่ๆ
รอตอนต่อไปเน้อ  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 07-12-2015 18:44:52
สนุกครับ ค่อนข้างดาร์ค
ตัวละครแต่ละคนมีปมกันทั้งนั้น
เวลาขมวดปมแต่ละที คงเข้มข้นน่าดู
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย 09 >>30% โดย13
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 13-12-2015 03:42:48
Me die
09 : Start



เมื่อคืนผมฝันร้าย ฝันว่าขับรถชนคน แล้วดันกลายเป็นคนๆเดียวกันที่ผมทำเขาตาย เขาตามมาทวงชีวิตผมในฝันอีกแล้ว เรื่องพวกนี้มันตามมาวนเวียนอยู่รอบๆตัวผมไม่หายไปสักที เมื่อไหร่นะ มันจะดีขึ้น

“อืออ หนาว”

ทำไมรู้สึกว่าบรรยากาศรอบๆตัวผมมันเย็นเหลือเกิน หนาวจนกัดกินถึงหัวใจ รู้สึกทรมานจนยากจะหลับตานอนต่อได้

 ‘ที่นี่มันที่ไหน ละ แล้ว !!’

 “มะ ไม่ ได้ฝัน!!”   

เมื่อลืมตาตื่น ผมก็พบว่าผมไม่ได้ฝันไป มันเกิดขึ้นจริงๆ มันเกิดจริงๆ ชายคนนั้น มันตามมาทวงชีวิตผม ผมอยู่ที่ไหนสักแห่งเป็นห้องโล่งๆมีแค่ผมคนเดียวในห้องนี้ ผมต้องออกไปจากที่นี่

“นะ นี่มันอะไรวะ”

“เชือก! กูถูกมัดหรอวะเนี่ย เอ้ย! ใครอยู่ข้างนอกบ้าง ปล่อยนะเว้ย! ช่วยด้วย!”

อะไรกันเนี่ย ผมถูกมัดมือไขว้ไปด้านหลัง และมััดเท้าไว้กับเก้าอี้ตัวหนึึ่ง มีสายโซ่คล้องยาวออกไปด้านนอกประตูตรงหน้า  เมื่อมองไปรอบๆห้องไม่มีอะไรเลย ที่นี่ดูจะเก่าด้วยซ้ำ แต่อากาศทีานี่เย็นแบบแปลกๆจนผมขนลุกไปหมด

พรึ่บ!

“เห้ย ไฟดับ”

จู่ๆไฟในห้องก็ดับวูบลง รอบๆตัวเย็นยะเยือก หนาวไปหมดทั่วทุกส่วนของร่างกาย แม้ไม่มีสายลมใดๆพัดผ่าน เสียงหัวใจของผมเต้นรัวและแรงขึ้น ลมหายใจอุ่นร้อน ความรู้สึกทั้งกลัวและสับสนปนกันวุ่นวายไปหมด

“ปล่อยนะเว้ย มึงต้องการอะไร ออกมาสิวะ อย่ามาเล่นแบบนี้ ออกมาเจอซึ่งๆหน้าดิวะ”

คำถามมากมายดังขึ้นในสมอง ลมหายใจติดๆขัดๆ ดวงตาก็มองซ้ายขวาสับสนไปหมด มันต้องการอะไร ทำไมไม่ออกมาล่ะ เล่นสงครามประสาทกันงั้นหรอ หรือว่า มันจะเป็น ผี!!

“ม มึงเป็นตัวอะไรวะ ต้องการอะไร บอกกูมา ถ้า ถ้ากูทำได้ กูจะทำให้”

ถ้ามันเป็น ผี! มันต้องการอะไร ชีวิตผมงั้นหรอ ไม่ ผมไม่พร้อมจะตาย ผมต้องออกไปจากที่นี่

“ออกมาสิ ไม่ๆไม่ต้องมา บอกกู บอกกูสิ กูจะทำให้ แค่มึงปล่อยกูไป กูทำให้ทุกอย่าง แค่มึงไม่เอาชีวิตกู”


คลิ๊ก!

อึก!

ใจของเฟิร์สเต้นเร็วขึ้นอีก เมื่อได้ยินเสียงหมุนลูกบิดประตูที่ดังขึ้นตรงหน้า ‘ผมรู้สึกกลัวเสมอเมื่อได้ยินหรือรู้สึกเกี่ยวกับชายคนนั้น แล้วตอนนี้มันกำลังจะเข้ามาจัดการกับผม’


แอ๊ดดด
เสียงประตูดังขึ้นพร้อมๆกับบานประตูที่ค่อยๆเปิดออกช้าๆ หัวใจเต้นดังสนั่นเพราะความตื่นกลัวตามไปด้วย

ปึง!

พรึ่บ!

เฮือก!!

เมื่อประตูเปิดจนสุดบานประตูกระทบกับฝาผนังดังสนั่น แสงของไฟขนาดใหญ่ฉายรอดเข้ามากระทบตัวของเฟิร์ส พร้อมๆกัน ทำให้เฟิร์สสะดุ้งตกใจ ลมหายใจแทบหยุด หัวใจเต้นเร็วแรง และรู้สึกขนลุกขึ้นมาอีก เมื่อรู้สึกเย็นยะเยือกไล่ตั้งแต่ด้านล่างขึ้นไปยันศรีษะ

“ฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า”

จู่ๆก็มีเสียงหัวเราะดังสนั่น ก้องสะท้อนไปทั่วห้อง ได้ยินเสียงนั้นชัดเจนราวกับอยู่ใกล้ๆหูของเฟิร์ส ทำให้เฟิร์สแทบไม่เหลือสติ ความกลัวเริ่มครอบงำมากยิ่งขึ้ิน เขาหันมองด้านไหนก็ไม่เจออะไร ทุกสิ่งรอบด้านน่ากลัว มีแต่ความมืดที่มีเสียงหัวเราะน่าขนลุก

“ตะ ต้อง การ อะ อะไร”

เมื่อเฟิร์สพูดขึ้น เสียงหัวเราะนั่นก็หยุดไป แต่ก็ไม่นานเมื่อมีเสียงๆหนึ่งดังลอดขึ้นมา

‘มันต้องการอะไรจากผม ทำไมต้องทำแบบนี้ ผมจะไม่ไหวแล้ว’

“คิดว่ามึงทำได้งั้นหรอ!!!”

เสียงใหญ่ๆเล็กๆสองเสียงดังซ้อนทับกันดังขึ้นรอบๆตัวอีกครั้ง น้ำเสียงโมโหโกธา ตวาดลั่น จนเฟิร์สสะดุ้งตกใจอีกครั้ง มือเท้าเกร็งไปหมด ลมหายใจขาดช่วง หัวใจเต้นรัว เหงื่อรอบซึมออกจากร่างกายแม้อากาศรอบๆจะเย็นยะเยือก แต่เขาก็ต้องเลือกที่จะถามเพื่อต้องการรู้เจตนาของเจ้าของเสียงที่น่ากลัวนั่น

“เฮือก! ละ ลอง บอกมาสิ ถะ ถ้า ฉันทำได้ ฉันจะทำ”

“กู! ต้องการ ชีวิตมึง!”

“อึก มะ ไม่ ฉันยังไม่อยากตาย ขอร้องเถอะ”

“แล้วกูอยากตายรึไง! ตอนมึงฆ่ากูทำไมมึงไม่คิด! มึงจะต้องตาย!”

“ไม่ ขอร้อง ให้ฉันทำอะไรก็ได้ แต่อย่าฆ่าฉันเลย”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ได้! มึงเลือกเองนะ! มึงเลือกที่จะมีชีวิต! แต่กูขอเตือนมึงไว้ ว่าชีวิตมึงจะไม่มีวันสงบสุขอีกต่อไป! ฮ่าฮ่าฮ่า”

“ขอบคุณ ขอบคุณที่ไม่ฆ่าฉัน ขอบคุณ เห้ย!! อะไร! เลือด!!”

เลือดจำนวนมากมายค่อยๆไหลเข้ามาหาเฟิร์สทุกทิศทุกทางรอบตัวเขา กลิ่นของมันเหม็นคาวฟุ้งกระจายเต็มห้อง จิตใจของเฟิร์สยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ


เคร้ง! ขืด~ 

เคร้ง! ขืด~

เสียงโซ่เหล็กกระทบพื้นและเสียงลาก ดังขึ้นมาจากทางประตูที่มีเเสงไฟเพียงแสงเดัยวของที่นี่ ดังชัดขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ เฟิร์สเกร็งร่างกายโดยอัตโนมัติ ห่อตัวเข้าหากันด้วยความหนาวเย็นที่มีเพิ่มมากขึ้นรอบตัว ความกลัวถาโถมเข้าใส่ จู่โจมซ้ำแล้วซ้ำอีก

เคร้ง!

“เฮือก! นะ นาย เป็น ใคร”

เสียงโซ่หยุดลงเมื่อร่างนั้นเดินเข้ามาหยุดอยู่หน้าไฟฉายใหญ่ ฉายเป็นเงาของร่างอันใหญ่โตเกือบสองเมตร กระทบกับตัวของเฟิร์ส เขาตกใจจนช็อคสลบไปทันที จะจำได้ก็แค่ความสยดสยองที่พบเจอ

“ฮ่าฮ่าฮ่า”

เสียงหัวเราะของเสียงทั้งใหญ่และเล็กดังซ้อนกันดังสนั่น เมื่อเห็นอีกฝ่ายเป็นลมไป ตอนเห็นเขาเดินมาถึง
“หึ คงจะกลัวมากสินะ หวังว่าคงจะมีชีวิตอยู่ต่อไป เพื่อให้ฉันแก้แค้นให้สาแก่ใจกว่านี้สักหน่อยแล้วกัน ตอนนี้ฉันคงปล่อยให้นายมีความสุขไม่ได้”
.
.
.

“ฉันว่านายทำเกินไปนะ”

“หมออยู่ข้างใครกันแน่?”

“ฉันอยู่ข้างตัวเอง แค่ตอนนี้ฉันต้องช่วยนายเท่านั้น ฉันเตือนด้วยความหวังดี ก็แล้วแต่นายจะพิจารณา”

“แค่นี้มันไม่ตายหรอกน่า หมอก็อยู่ จะกลัวไรนักหนา”

“ไม่ได้กลัวเขาจะตาย แต่กลัวเขาจะเป็นบ้าไปซะก่อนที่นายจะหายแค้น ถ้าถึงตอนนั้น นายทำอะไรเขาไป เขาก็คงไม่รู้สึกอยู่ดี”

“หึ..หมอพอล หมอช่วยเอามันไปทิ้งไว้ข้างรถมันด้วยล่ะ ผมไปละ อย่าลืมเรียกคนมาเก็บกวาดที่นี่"

"ไม่ล่ะ ขอบาย นายพาหมอนั่นมา ก็ควรจะรับผิดชอบ"

"หึ่ย ก็ได้วะ"

“นายนี่น่าสงสารจริงๆนะรีซ”
.
.
.
"ให้จัดการเองงั้นหรอ งั้น...จะเอามันไปส่งเร็วๆทำไมล่ะ หึหึหึ"





>>>35%<<<

...
30% เจ้าคะ ไว้จะมาต่อให้นะ

ขออภัยที่หายไปนานเลยนะคะ แล้วก็ไม่ได้มาต่อให้เลย จริงๆแล้วเค้ามาดูบ่อยๆนะ แต่ไม่ได้ตอบคอมเม้นเลย ขออภัยด้วยนะคะ

สำหรับคนที่เม้น เค้าต้องขอบคุณมากเลย เข้ามาอ่านตั้งหลายครั้งแหน่ะ เห็นแล้วสุขใจจจจ

เนื้อเรื่องก็คงต้องขอให้ติดตามกันต่อไปนะคะ ว่าจะเป็นยังไง

ช่วงนี้เครียดเจ้าค่ะ สอบยังไม่หมดสักทีเหลือตัวนึง งานก็เพิ่งเคลียร์หมดไป แย่เจ้าค่ะ

เม้นๆบ้างนะ เจอกันนะ :bye2:
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: PFlove ที่ 13-12-2015 13:33:14
ริชจะแก้แค้นยังไงนะ..ที่บอกว่าต่อไปจะไม่มีความสุข..สัมผัสได้ถึงความดาร์ก..เฟิร์สเองก็เสียใจไม่น้อยที่ขับรถชนริช
แล้วมันจะลงเอ่ยกันยังไงละคู่นี้.... รอตอนต่อไปมาลงอีกนะ... :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย jสิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: princeofdark ที่ 13-12-2015 20:09:35
ชอบแนวนี้อ่ะ รีซแก้แค้นแล้วรู้สึกสะใจ แต่อย่ามากไปล่ะเดี๋ยวเฟิร์สบ้า55
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย 09 >>100% โดย13
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 15-12-2015 00:24:46
Me die

09 : Start



เมื่อคืนผมฝันร้าย ฝันว่าขับรถชนคน แล้วดันกลายเป็นคนๆเดียวกันที่ผมทำเขาตาย เขาตามมาทวงชีวิตผมในฝันอีกแล้ว เรื่องพวกนี้มันตามมาวนเวียนอยู่รอบๆตัวผมไม่หายไปสักที เมื่อไหร่นะ มันจะดีขึ้น

“อืออ หนาว”

ทำไมรู้สึกว่าบรรยากาศรอบๆตัวผมมันเย็นเหลือเกิน หนาวจนกัดกินถึงหัวใจ รู้สึกทรมานจนยากจะหลับตานอนต่อได้

 ‘ที่นี่มันที่ไหน ละ แล้ว !!’

 “มะ ไม่ ได้ฝัน!!”   

เมื่อลืมตาตื่น ผมก็พบว่าผมไม่ได้ฝันไป มันเกิดขึ้นจริงๆ มันเกิดจริงๆ ชายคนนั้น มันตามมาทวงชีวิตผม ผมอยู่ที่ไหนสักแห่งเป็นห้องโล่งๆมีแค่ผมคนเดียวในห้องนี้ ผมต้องออกไปจากที่นี่

“นะ นี่มันอะไรวะ”

“เชือก! กูถูกมัดหรอวะเนี่ย เอ้ย! ใครอยู่ข้างนอกบ้าง ปล่อยนะเว้ย! ช่วยด้วย!”

อะไรกันเนี่ย ผมถูกมัดมือไขว้ไปด้านหลัง และมััดเท้าไว้กับเก้าอี้ตัวหนึึ่ง มีสายโซ่คล้องยาวออกไปด้านนอกประตูตรงหน้า  เมื่อมองไปรอบๆห้องไม่มีอะไรเลย ที่นี่ดูจะเก่าด้วยซ้ำ แต่อากาศทีานี่เย็นแบบแปลกๆจนผมขนลุกไปหมด

พรึ่บ!

“เห้ย ไฟดับ”

จู่ๆไฟในห้องก็ดับวูบลง รอบๆตัวเย็นยะเยือก หนาวไปหมดทั่วทุกส่วนของร่างกาย แม้ไม่มีสายลมใดๆพัดผ่าน เสียงหัวใจของผมเต้นรัวและแรงขึ้น ลมหายใจอุ่นร้อน ความรู้สึกทั้งกลัวและสับสนปนกันวุ่นวายไปหมด

“ปล่อยนะเว้ย มึงต้องการอะไร ออกมาสิวะ อย่ามาเล่นแบบนี้ ออกมาเจอซึ่งๆหน้าดิวะ”

คำถามมากมายดังขึ้นในสมอง ลมหายใจติดๆขัดๆ ดวงตาก็มองซ้ายขวาสับสนไปหมด มันต้องการอะไร ทำไมไม่ออกมาล่ะ เล่นสงครามประสาทกันงั้นหรอ หรือว่า มันจะเป็น ผี!!

“ม มึงเป็นตัวอะไรวะ ต้องการอะไร บอกกูมา ถ้า ถ้ากูทำได้ กูจะทำให้”

ถ้ามันเป็น ผี! มันต้องการอะไร ชีวิตผมงั้นหรอ ไม่ ผมไม่พร้อมจะตาย ผมต้องออกไปจากที่นี่

“ออกมาสิ ไม่ๆไม่ต้องมา บอกกู บอกกูสิ กูจะทำให้ แค่มึงปล่อยกูไป กูทำให้ทุกอย่าง แค่มึงไม่เอาชีวิตกู”


คลิ๊ก!

อึก!

ใจของเฟิร์สเต้นเร็วขึ้นอีก เมื่อได้ยินเสียงหมุนลูกบิดประตูที่ดังขึ้นตรงหน้า ‘ผมรู้สึกกลัวเสมอเมื่อได้ยินหรือรู้สึกเกี่ยวกับชายคนนั้น แล้วตอนนี้มันกำลังจะเข้ามาจัดการกับผม’


แอ๊ดดด
เสียงประตูดังขึ้นพร้อมๆกับบานประตูที่ค่อยๆเปิดออกช้าๆ หัวใจเต้นดังสนั่นเพราะความตื่นกลัวตามไปด้วย

ปึง!

พรึ่บ!

เฮือก!!

เมื่อประตูเปิดจนสุดบานประตูกระทบกับฝาผนังดังสนั่น แสงของไฟขนาดใหญ่ฉายรอดเข้ามากระทบตัวของเฟิร์ส พร้อมๆกัน ทำให้เฟิร์สสะดุ้งตกใจ ลมหายใจแทบหยุด หัวใจเต้นเร็วแรง และรู้สึกขนลุกขึ้นมาอีก เมื่อรู้สึกเย็นยะเยือกไล่ตั้งแต่ด้านล่างขึ้นไปยันศรีษะ

“ฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า”

จู่ๆก็มีเสียงหัวเราะดังสนั่น ก้องสะท้อนไปทั่วห้อง ได้ยินเสียงนั้นชัดเจนราวกับอยู่ใกล้ๆหูของเฟิร์ส ทำให้เฟิร์สแทบไม่เหลือสติ ความกลัวเริ่มครอบงำมากยิ่งขึ้ิน เขาหันมองด้านไหนก็ไม่เจออะไร ทุกสิ่งรอบด้านน่ากลัว มีแต่ความมืดที่มีเสียงหัวเราะน่าขนลุก

“ตะ ต้อง การ อะ อะไร”

เมื่อเฟิร์สพูดขึ้น เสียงหัวเราะนั่นก็หยุดไป แต่ก็ไม่นานเมื่อมีเสียงๆหนึ่งดังลอดขึ้นมา

‘มันต้องการอะไรจากผม ทำไมต้องทำแบบนี้ ผมจะไม่ไหวแล้ว’

“คิดว่ามึงทำได้งั้นหรอ!!!”

เสียงใหญ่ๆเล็กๆสองเสียงดังซ้อนทับกันดังขึ้นรอบๆตัวอีกครั้ง น้ำเสียงโมโหโกธา ตวาดลั่น จนเฟิร์สสะดุ้งตกใจอีกครั้ง มือเท้าเกร็งไปหมด ลมหายใจขาดช่วง หัวใจเต้นรัว เหงื่อรอบซึมออกจากร่างกายแม้อากาศรอบๆจะเย็นยะเยือก แต่เขาก็ต้องเลือกที่จะถามเพื่อต้องการรู้เจตนาของเจ้าของเสียงที่น่ากลัวนั่น

“เฮือก! ละ ลอง บอกมาสิ ถะ ถ้า ฉันทำได้ ฉันจะทำ”

“กู! ต้องการ ชีวิตมึง!”

“อึก มะ ไม่ ฉันยังไม่อยากตาย ขอร้องเถอะ”

“แล้วกูอยากตายรึไง! ตอนมึงฆ่ากูทำไมมึงไม่คิด! มึงจะต้องตาย!”

“ไม่ ขอร้อง ให้ฉันทำอะไรก็ได้ แต่อย่าฆ่าฉันเลย”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ได้! มึงเลือกเองนะ! มึงเลือกที่จะมีชีวิต! แต่กูขอเตือนมึงไว้ ว่าชีวิตมึงจะไม่มีวันสงบสุขอีกต่อไป! ฮ่าฮ่าฮ่า”

“ขอบคุณ ขอบคุณที่ไม่ฆ่าฉัน ขอบคุณ เห้ย!! อะไร! เลือด!!”

เลือดจำนวนมากมายค่อยๆไหลเข้ามาหาเฟิร์สทุกทิศทุกทางรอบตัวเขา กลิ่นของมันเหม็นคาวฟุ้งกระจายเต็มห้อง จิตใจของเฟิร์สยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ


เคร้ง! ขืด~ 

เคร้ง! ขืด~

เสียงโซ่เหล็กกระทบพื้นและเสียงลาก ดังขึ้นมาจากทางประตูที่มีเเสงไฟเพียงแสงเดัยวของที่นี่ ดังชัดขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ เฟิร์สเกร็งร่างกายโดยอัตโนมัติ ห่อตัวเข้าหากันด้วยความหนาวเย็นที่มีเพิ่มมากขึ้นรอบตัว ความกลัวถาโถมเข้าใส่ จู่โจมซ้ำแล้วซ้ำอีก

เคร้ง!

“เฮือก! นะ นาย เป็น ใคร”

เสียงโซ่หยุดลงเมื่อร่างนั้นเดินเข้ามาหยุดอยู่หน้าไฟฉายใหญ่ ฉายเป็นเงาของร่างอันใหญ่โตเกือบสองเมตร กระทบกับตัวของเฟิร์ส เขาตกใจจนช็อคสลบไปทันที จะจำได้ก็แค่ความสยดสยองที่พบเจอ

“ฮ่าฮ่าฮ่า”

เสียงหัวเราะของเสียงทั้งใหญ่และเล็กดังซ้อนกันดังสนั่น เมื่อเห็นอีกฝ่ายเป็นลมไป ตอนเห็นเขาเดินมาถึง
“หึ คงจะกลัวมากสินะ หวังว่าคงจะมีชีวิตอยู่ต่อไป เพื่อให้ฉันแก้แค้นให้สาแก่ใจกว่านี้สักหน่อยแล้วกัน ตอนนี้ฉันคงปล่อยให้นายมีความสุขไม่ได้”
.
.
.

“ฉันว่านายทำเกินไปนะ”

“หมออยู่ข้างใครกันแน่?”

“ฉันอยู่ข้างตัวเอง แค่ตอนนี้ฉันต้องช่วยนายเท่านั้น ฉันเตือนด้วยความหวังดี ก็แล้วแต่นายจะพิจารณา”

“แค่นี้มันไม่ตายหรอกน่า หมอก็อยู่ จะกลัวไรนักหนา”

“ไม่ได้กลัวเขาจะตาย แต่กลัวเขาจะเป็นบ้าไปซะก่อนที่นายจะหายแค้น ถ้าถึงตอนนั้น นายทำอะไรเขาไป เขาก็คงไม่รู้สึกอยู่ดี”

“หึ..หมอพอล หมอช่วยเอามันไปทิ้งไว้ข้างรถมันด้วยล่ะ ผมไปละ อย่าลืมเรียกคนมาเก็บกวาดที่นี่"

"ไม่ล่ะ ขอบาย นายพาหมอนั่นมา ก็ควรจะรับผิดชอบ"

"หึ่ย ก็ได้วะ"

“นายนี่น่าสงสารจริงๆนะรีซ”
.
.
.
"ให้จัดการเองงั้นหรอ งั้น...จะเอามันไปส่งเร็วๆทำไมล่ะ หึหึหึ"




...




ต่ออออออๆๆๆๆ





"ให้จัดการเองงั้นหรอ งั้น...จะเอามันไปส่งเร็วๆทำไมล่ะ หึหึหึ"

.

.

04:00 น.

“อะ อืม”

เสียงของเฟิร์สดังขึ้น เมื่อรู้สึกตัวตื่นอีกครั้ง

“อะ เมื่อคืนนี้! แล้ว นี่กูอยู่ที่ไหนอีกวะ”

เมื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ความรู้สึกกลัวก็กลับมาอีกครั้ง เฟิร์สเริ่มมองสำรวจรอบๆด้าน โดยได้แสงจากท้องฟ้าที่เริ่มสว่าง ทำให้เห็นสถานที่ดูคล้ายกับสุสานแบบฝรั่ง ใช่ มันคือ สุสาน!

“อึก!”

ความสยดสยองที่เขาได้พบเจอและความกลัวที่เกิดจากจิตใต้สำนึกพากันไหลเข้ามาหาเขาอย่างมหาศาล เฟิร์สหันมองซ้ายขวาอย่างหวาดกลัว ถอยหลังชนเข้ากับกำแพง แต่เมื่อหันไปมองก็ต้องตกใจอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าด้านหลังตนนั้นก็เป็นหลุมศพ มองไปด้านไหนก็หลุมศพ

“เฮือก!”

เฟิร์สตกใจลนลาน หันซ้ายขวา มองไปทางไหนก็มีแต่สุสาน บรรยากาศก็ชวนขนหัวลุก ถึงแม้ท้องฟ้าในยามนี้จะให้แสงนิดๆแต่ก็เป็นแสงสีส้มที่ขับให้บรรยากาศดูสยองขึ้นไปอีก

“โอ้ย!!”

เมื่อดิ้นมากๆเข้า เขาก็รู้สึกเจ็บแปล๊บขึ้นมาจากบริเวณโคนขาอ่อนด้านใน เมื่อมองลงไปก็ยิ่งตกใจที่เห็นเลือดของเขาไหลเยิ้มออกมา

เฟิร์สค่อยๆยื่นมือลงไปจับทิี่บริเวณแผล ค่อยๆฉีกกางเกงใกล้ๆแผลออกเล็กน้อย เผยให้เห็นแผลชัดเจนยิ่งขึ้น

‘ R ‘

แผลนั่นถูกกีดเป็นรูปตัวอักษรชัดเจน แม้จะมีเลือดของเขาไหลเยิ้มออกมาก็ตาม มันเป็นตราสัญลักษณ์เป็นเหมือนเครื่องหมายที่มันจงใจทำไว้เพื่อไม่ให้ผมลืมมัน


‘ฮึก! ฮือ”

เฟิร์สกอดเข่าก้มหน้าลงสบกับขา สะอื้นไห้ หนีจากความจริงอันน่ากลัว และความน่าสมเพชที่เขาได้รับ น้ำตาไหลริน ตัวสั่น เฟิร์สยิ่งกอดตัวเองแน่นขึ้นอีก เมื่อได้ยินเสียงแมลงหรือแม้แต่กระทั่งตอนลมพัด นั่งอยู่แบบนั้นจนกระทั่งผลอยหลับไปอีกครั้ง


เมื่ออยู่คนเดียว เขาก็เป็นแค่คนอ่อนแอ ไม่ได้เข้มแข็งเหมือนเปลือกภายนอกเลยแม้แต่น้อย เป็นแค่เด็กน้อยที่น่าสงสารคนหนึ่งเท่านั้น โดยเฉพาะผ่านเรื่องขนหัวลุกแบบคืนนี้มา


.

.

“คุณครับ คุณ เป็นอะไรรึเปล่าครับ”

“อือ ไม่นะ! อย่าเข้ามา!”

เฟิร์สรู้สึกตัวตื่นรู้สึกเหมือนมีใครมาสกิด เขาสะดุ้ง ผวาไม่ไว้ใจใคร มือไม้ปัดป้อง ป้องกันตนเอง

“คุณ! คุณเฟิร์ส ใช่มั้ยครับ ผมไมค์เองครับ ไม่ต้องกลัว”

“คุณไมค์! ฮือ~”

เมื่อลืมตาดูให้แน่ใจว่าเป็นไมค์จริงๆ เฟิร์สก็โผเข้ากอดไมค์ทั้งตัว ร้องไห้สะอื้นอยู่ภายในอ้อมอก

“ดีขึ้นรึยังครับ งั้นเดี๋ยวผมไปส่งนะ ลุกไหวมั้ยครับ”
ผ่านไปสักพัก หลังจากปล่อยให้เฟิร์สร้องไห้ ไมค์ก็พยุงตัวเฟิร์สยืนขึ้น แล้วพากันเดินไปที่รถที่จอดอยู่อีกด้าน


“เอ่อ คุณเฟิร์ส จะให้ผมไปส่งที่ไหนครับ”

ขึ้นรถมาไมค์ก็เปิดประเด็นถามขึ้นเป็นคนแรก

“คอนโด MN แถว... ครับ”

“คุณเฟิร์สเป็นอะไรมากรึเปล่าครับ ไปหาหมอก่อนมั้ย็ แผลคุณมัน...”

“ไม่! เอ่อ ผมอยากพักเองมากกว่าครับ ขอบคุณที่คุณไปส่ง”

เฟิร์สเผลอตะคอกออกมาด้วยความตกใจ เอามือเอื้อมลงไปปิดบังแผลเอาไว้ ตอนนี้เขายากไปในที่ของเขา เขาไม่อยากหลับแล้วไปโผล่ที่อื่นอีก เขาอยากพักผ่อน จิตใจเหนื่อยล้ามากแล้วในเวลานี้

“...ครับ”

“ขอโทษด้วยนะครับ ไว้มีโอกาศผมจะตอบแทน”

เฟิร์สพูดยิ้มฝืนๆส่งไปให้ไมค์ แล้วเหม่อมองออกไปนอกรถทันที เขาเหนื่อยอยากพักผ่อนเต็มที

“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจว่าคุณคงเจอมาหนัก แต่ก็ดูไม่หนักเท่าที่ควรจะเป็น้พราะคุณยังดูสบายดี”

ไมค์พูดเบาๆกับตัวเองในประโยคท้าย แล้วทำหน้าที่ขับรถต่อไปเรื่อยๆ

.

.

“คุณเฟิร์สครับ ผมส่งคุณได้แค่นี้นะครับ ต้องขอโทษด้วยผมมีงานด่วนเข้ามากระทันหัน จากนี้นั่งรถต่อไปอีกหน่อยก็ถึงแล้วใช่มั้ยครับ ขอโทษจริงๆนะครับ”

“ครับ ผมเข้าใจ ขอบคุณคุณไมค์มากนะครับที่พาผมมาส่ง”

แล้วเฟิร์สก็ลงจากรถ ไมค์ขับรถเลี้ยวออกไปทันที

“เห้อ~  ไม่เป็นไรเฟิร์ส นี่กลางวัน อีกนิดเดียวเอง”

จริงๆแล้วเฟิร์สไม่มีอะไรเหลือติดตัวเลยแม้แต่ชิ้นเดียว กระเป๋าเงินโทรศัพท์มือถือทุกๆหายไปหมดเกลี้ยง เขาพยายามกลั้นใจพาร่างกายอันอ่อนเพลียเดินไปตามถนนริมฟุตบาทช้าๆ กำมือจิกจนข้อขาว เขาไม่เคยลำบากและทุเรศแบบนี้มาก่อน ไม่เคยกลัวในสิ่งที่ไม่มีจริงที่ตอนนี้มันตามมาหลอกหลอน และไม่เคย!ร้องไห้ให้ใครเห็นมาก่อน

‘ทำไม ความผิดพลาดที่ฉันไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น ถึงได้ตามมาหลอกหลอนฉันแบบนี้ ทำให้ฉันอ่อนแอต่อหน้าคนอื่น ทำไมทำให้ฉันดูน่าสมเพชได้ยังไงกัน มันต้องมีทางแก้สิ!’

.

.

เมื่อกลับถึงห้องเฟิร์สก็เข้าอาบน้ำชำระร่างกายทันที เขานอนแช่ในอ่างเปิดน้ำอุ่นเพื่อให้ผ่อนคลาย มือก็ลูบไล้บริเวณแผล ถึงแม้มันจะแสบร้อนแต่ ก็คงไม่เจ็บใจเท่าที่มีมันสัญลักษณ์ตัว R ที่ถึงแม้มันจะหายจนเป็นรอยแผลเป็นและจางหายไปตามกาลเวลา แต่มันคงจะฝั่งลึกสู่จิตใจของเขาเหมือนแผลที่โดนกีดลึกเช่นตอนที่ได้รับมา




....Next Time....


...
มาต่อให้แล้วววค่าาาา :katai2-1:

จะถูกใจรึเปล่านะ กังวลเหลือเกินนนนน มันสั้นๆไงไม่รู้

ยินดีต้อนรับนักอ่านคนใหม่ และขอบคุณสำหรับคอมเม้นให้กำลังใจเสมอนะคะ

ปล.อยากให้เรื่องนี้มี NC มั้ยคะ เม้นๆบอกหน่อยน้าา

เจอกันตอนหน้านะคะ :bye2:
รักทุกคนนะคะ :L1:
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: shannara ที่ 15-12-2015 02:28:43
คำผิดเยอะมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก :katai1:

ก่อนลงลากเข้าเวิร์ด แก้ตัวแดง และอ่านทวนนะคะ

นิยายคุณสนุก แต่เราอ่านแล้วอารมณ์ร่วมสะดุด เพราะคำผิดบานตะไทค่ะ
 :hao3:
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 15-12-2015 10:10:01
คำผิดเยอะมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก :katai1:

ก่อนลงลากเข้าเวิร์ด แก้ตัวแดง และอ่านทวนนะคะ

นิยายคุณสนุก แต่เราอ่านแล้วอารมณ์ร่วมสะดุด เพราะคำผิดบานตะไทค่ะ
 :hao3:


ต้องอภัยด้วยนะคะ จะรีบแก้ไขโดยด่วนเลยค่ะ
ขอบคุณมากที่แนะนำค่ะ
แต่งในเวิดโทรศัพท์มันไม่ขึ้นเตือนน่ะค่ะ

ขออภัยนักอ่านทุกท่านด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 15-12-2015 15:46:03
ชอบจริงๆ จะไปรักกันอีท่าไหนเนี่ย?
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: PFlove ที่ 26-12-2015 19:10:50
ก็เข้าใจริชนะถ้าเฟิร์สลงไปดูเขาตั้งแต่ตอนนั้นก็คงไม่เป็นแบบนี้...นึกไม่ออกว่าจะมารักกันได้ตอนไหนนะ.. :mew2: :mew2:
ปล.มีก็ดีนะค่ะ NC..(อิ อิ สายหื่นค่ะ)  :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย >>>>แจ้ง!!!<<<<
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 03-01-2016 22:49:48
มีปัญหาเล็กน้อย จะกลับมาอัพให้ หลังวันที่15นะ
อย่าทิ้งกันไปไหนนะคะ
อย่าลืมกันนะ มีเหตุจำเป็นจริงๆค่ะ
#ขออภัยอย่างสูง  :call: :call: :call:

ทักทาย ทวงนิยาย หรือพูดคุยกันได้ที่เพจนี้นะคะ
 https://m.facebook.com/AkumaBK/ (https://m.facebook.com/AkumaBK/)
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย 10 :
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 11-02-2016 14:26:58
me die
10 : เช้าที่สงบ ก่อนพายุจะมา
[/color][/size]



‘ฉันจะให้พวกแกสองคนฝึกงานนอกบริษัทอีก 1 สัปดาห์ โดยงานนอกบริษัทพวกแกจะต้องไปเป็นลูกน้องเขา แล้วแต่จะสามารถไปเป็นพนักงานส่วนไหนได้ละกัน และค่อยมาฝึกในบริษัท พวกบอร์ดบริหารถึงจะเห็นด้วยกับที่ฉันจะแต่งตั้งตำแหน่งใหญ่ๆให้’


นั่นเป็นคำพูดของพ่อที่พูดสั่งไว้เมื่อคืนที่ฝ่านมา ทำให้ตอนนี้เฟิร์สต้องตื่นแต่เช้าไปสมัครงาน แต่เขาไม่มีแผนการจะเข้าไปเดินหางานตามบริษัทต่างๆหรอกนะ แต่อาจจะเป็นเพราะความเจ้าเล่ห์ที่ติดมาจากครั้งไปเป็นโฮสต์ละมั้ง ทำให้ตอนนี้เขาขับรถมุ่งหน้าไปที่ที่นึงทันที


บริษัท MNU

ถ้าคุณพอจะคุ้นๆชื่อบริษัทละก็ ใช่เลย นี่เป็นบริษัทของคุณ ไมค์ (อ้างอิงจาก me die 08) นั่นเอง ก็พ่อไม่ได้ห้ามนี่นะว่าจะต้องเป็นบริษัทที่ไม่รู้จัก ไหนๆก็รู้จักกันอยู่แล้ว จะได้ทำงานได้ง่ายๆหน่อย


อย่าหาว่าผมเจ้าเล่ห์เลยนะครับ ก็เพราะว่าถ้าไปทำงานบริษัทที่เราไม่รู้จักละก็เราก็ลำบากเป็นได้แค่ลูกจ้างชั่วคราวไม่ก็เด็กฝึกงานธรรมดาๆนะสิ งานนี้เลยต้องหัวหมอกันหน่อยไม่งั้นลำบาก ส่วนไอ้พี่แรมป์มันจะคิดได้แบบผมรึเปล่านั้นก็อีกเรื่อง


“สวัสดีครับ มาพบคุณไมค์ครับ”เฟิร์สเดินมาถึงก็ตรงไปยังชั้นผู้บริหารทันที


“คุณเฟิร์สใช่มั้ยคะ”เมื่อได้ฟังเฟิร์สก็พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม เลขาสาวเห็นดังนั้นก็โทรเข้าไปรายงานด้านในทันที


“เชิญเข้าไปด้านในเลยค่ะ ท่านประธานรออยู่” “ขอบคุณครับ”เฟิร์สยิ้มเล็กน้อยแล้วเดินไปยังประตูทันที


บริษัทMNUอาจจะเรียกได้ว่าเล็กจริงๆนั่นแหละ ถ้าเทียบกับบริษัทของบ้านเขา แต่ก็ไม่ได้เล็กจนขยับขยายไม่ได้ ดูแล้วบริษัทเกิดใหญ่ที่นี่คงจะไปได้ไกลพอสมควร แต่ก็ยังมีเรื่องหน้าสงสัยคือบริษัทนี้จู่ๆก็เกิดขึ้นมาและเติบโตมาได้ขนาดนี้ในเวลาไม่นาน บางทีอาจจะมีเบื้องหลังไม่ดีอยู่ก็ได้ แต่ก็เป็นแค่ข้อสงสัยซึ่งพิสูจน์ไม่ได้ และเขาก็ไม่ใช่นักสืบหรือตำรวจอะไรที่จะต้องใส่ใจด้วย


“สวัสดีครับคุณเฟิร์ส เชิญครับ”


เสียงกล่าวทักทายของคุณไมค์ดังขัดขึ้นซะก่อน ทำให้เฟิร์สหยุดความคิดไว้แค่นั้น แล้วเดินเข้าไปนั่งตามคำเชิญตรงข้ามกับโต๊ะประธานทันที


“สวัสดีครับคุณไมค์ ไม่ใช่สิ ท่านประธาน ถูกต้องไหมครับผม”เฟิร์สพูดทักทายด้วยสีหน้าเปื้อนรอยยิ้ม


“ครับ เชิญเรียกได้ตามสบายเลยครับ แต่อนุญาติเฉพาะที่ทำงานนะครับ แล้วก็งานที่คุณเฟิร์สขอมาถ้าไม่รังเกียจผมจะให้ไปช่วยฝ่่ายการตลาดนะครับ ทางเรากำลังขาดคนพอดี”ไมค์ก็พูดด้วยรอยยิ้มเช่นกัน


“ได้หมดเลยครับ แล้วจะให้ผมเริ่มงานได้วันไหนครับท่านประธาน ผมมีเวลาให้ท่านประธานแค่เพียงสัปดาห์เดียวเท่านั้นนะครับ”


“เริ่มพรุ่งนี้ครับได้เลยครับ งานเอกสารผมจะให้เลขาทำส่งให้ฝ่ายการตลาดวันนี้เลยครับ”


“โอ้ ได้เลยครับท่านประธาน เพียงแต่ผมสงสัยว่าทำไมไม่ให้ผมเริ่มงานวันนี้เลยล่ะครับ”


“เพราะวันนี้คุณต้องไปกับผมไงครับ และห้ามปฏิเสธผมด้วยนะครับ”


“เอ~ ท่านประธานจะพาผมไปเที่ยวหรอครับเนี่ย ผมปฏิเสธไม่ได้ด้วยนี่เนอะ งั้นก็ได้ครับ ผมตกลง ว่าแต่จะพาผมไปไหนครับเนี่ย”


“เดี๋ยวก็รู้ครับ^^” “คุณเฟิร์สครับผมเรียกคุณเฟิร์สว่า เฟิร์ส เฉยๆได้ไหมครับ และคุณก็เรียกผมว่า ไมค์ ไม่ต้องมีคุณหรือประธานได้ไหมครับ”


“ครับ ไมค์”
หลังจากทั้งสองตกลงกันเป็นที่เรียบร้อย สักพักก็พากันออกไปด้านนอกตามที่ไมค์ได้บอกเอาไว้ตอนต้น
 
.

.

เฟิร์ส : ไม่รู้ทำไมเวลาสบตากับไมค์ทีไร หัวใจผมจะเต้นแรงแปลกๆ ความรู้สึกเย็นวูบวาบตามลำตัวในบางครั้งมันคืออะไร ในบางทีผมก็รู้สึกขนลุกและเกิดความกลัวขึ้นในใจนิดๆ ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าผมจะกลัวเขาทำไม และในครั้งนี้ก็เหมือนกันผมรู้สึกหวั่นใจยังไงก็ไม่รู้.

.

.

“เอ่อ ไม่ทราบว่าใกล้ถึงหรือยังครับไมค์”ความรู้สึกหวั่นใจเริ่มก่อตัวขึ้นหลังได้สบตากับไมค์ตอนที่ขอให้เรียกชื่อเล่นของอีกฝ่ายเฉยๆ ทั้งๆที่ไม่ได้แปลกอะไรเลยสำหรับคนเป็นเพื่อนกัน เฟิร์สจึงถามขึ้นหลังออกตัวมาได้สักพักใหญ่ๆ ออกทางเลี่ยงเมืองไปทางอยุธยาแล้ว


“เฟิร์สเป็นอะไรหรือครับ สีหน้าไม่ค่อยดี ถ้าไม่สบายผมไม่ไปแล้วก็ได้นะครับ”ไมค์เห็นสีหน้าผิดปกติของเฟิร์สก็เรื่มกังวลใจ เลี้ยวรถจอดดูอาการข้างทางทันที


“เปล่า เปล่าครับ ผมสบายดี เพียงแค่ผมอยากรู้ว่าคุณ เอ่อ ไมค์จะพาผมไปไหน”สีหน้าวิตกกังวลของเฟิร์สฉายชัดในใบหน้า เหงื่อกาฬเริ่มซึมออกมา ทั้งๆที่ไมค์ไม่ได้แสดงท่าทีที่หน้ากลัวออกมาเลยสักนิด
“เฟิร์สแน่ใจนะว่าไม่เป็นไร” ว่าจบเฟิร์สก็พยักหน้ารับ ทำให์ไมค์ได้แต่ถอนหายใจ


“เห้อ ครับ ไม่เป็นก็ไม่เป็น แล้วก็ตอนนี้น่ะ ผมจะพาเฟิร์สไปวัด พอดีวันนี้วันเกิดผม ผมไม่อยากไปคนเดียวน่ะครับ พอดีผมไม่ค่อยรู้ทางศาสนาพุทธเท่าไหร่ด้วย”เห็นสีหน้าลำบากใจของเฟิร์สทำให้ไมค์ตัดสินใจพูดออกมา


“ว วัด?”เฟิร์สอึ้งที่ได้ยิน หันมาสบตากับไมค์ สีหน้าคลายกังวลไปเปราะนึง


“ครับ วัดทางอยุธยาน่ะครับ เลขาผมเเนะนำมา เธอบอกว่าสวย ผมเลยอยากลองไปดู ตอนนี้เฟิร์สสบายใจขึ้นหรือยังครับ”ไมค์ยิ้มน้อยๆค่อยๆอธิบายให้เฟิรสฟัง


“อ่อ ครับ ผมขอโทษที่เสียมารยาทนะครับ แล้วก็ผมไม่ได้กังวลอะไรด้วยครับ อีกอย่างไมค์ไม่ทำให้ตกอยู่ในอันตรายหรอก ถึงเราจะรู้จักกันไม่นานแต่ผมรู้ไมค์เป็นคนดี”เมื่อได้ฟังเฟิร์สก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก แต่ก็ปากแข็งบอกปฏิเสธไปว่าไม่ได้เป็นอะไร


“ครับ เฟิร์สนี่เป็นคนแปลกๆดีนะครับ”ไมค์ว่าพลางยิ้มพอใจไปด้วย


“แปลก?”ด้วยความสงสัยว่าไมค์พูดจาแปลกๆเฟิร์สจึงหันไปสบตากับไมค์อีก


“ครับ แต่ผมชอบ”
ว่าจบทั้งคู่ก็สบตากันนิ่งอยู่พักนึง สายตาของไมค์ไม่ได้บ่งบอกเลยว่าคิดอะไรอยู่ ส่วนเฟิร์สก็ได้แต่จ้องมองนิ่งด้วยความสงสัย ‘เอ~ หรือว่า ไมค์จะจีบเรา’


“โอ๊ย”


จู่ๆระหว่างที่สบตากัน เฟิร์สก็รู้สึกเจ็บจี๊ดบริเวณแผลที่โคนขาด้านในจนต้องร้องออกมา รอยแผลที่ได้มาจากเจ้ากรรมนายเวรเขาฝากไว้ให้เมื่อสองคืนก่อน กว่าจะผ่านมาจนวันนี้ได้ เขาประสาทแทบกิน จนแม่บ้านจะจับผมส่งโรงพยาบาลประสาทอีกรอบแล้ว


“เป็นอะไรครับเฟิร์ส”


“เปล่าครับ เราไปกันเถอะ”

.

.

.

เมื่อขับรถเลี้ยวเข้ามาบริเวณวัด เฟิร์สก็พาไมค์ไปไหว้พระพุทธรูปองค์หนึ่งซึ่งตั้งตะง่านสง่างามอยู่ด้านหน้าวัด เมื่อเสร็จก็พากันเดินออกมาเดินเล่นบริเวณรอบๆวัด


“รู้สึกดีจริงๆนะครับ ถึงแม้ว่าผมจะไม่ค่อยรู้อะไรก็เหอะ ขอบคุณนะครับเฟิร์สไม่งั้นผมคงทำอะไรไม่ถูก แค่นี้ก็โดนคนอื่นขำแล้ว”ไมค์เอ่ยขึ้น ขณะพากันเดินออกมา สีหน้ามีความสุข รอยยิ้มถูกประดับไว้กับใบหน้าตลอดเวลา


“ไม่หรอกครับ คนอื่นเขาก็คิดว่าไมค์เป็นชาวต่างชาติแถมยังดีใจซะอีกที่สนใจในศาสนาน่ะ แต่ก็สบายใจจริงๆนะครับ”เฟิร์สยิ้มมีความสุข ตอนนี้เขารู้สึกสบายใจไม่เครียดเลย


“เราเดินไปดูด้านอื่นกันบ้างนะครับ ผมยังไม่อยากกลับน่ะ”เฟิร์สพูดบอกไมค์ อีกฝ่ายก็พยักหน้าเห็นด้วย แล้วพากันเดินไปตามทางดูไปเรื่อยๆ


วัดแห่งนี้เป็นวัดเก่าสมัยอยุธยา เมื่อเดินออกมาด้านนอก สองข้างทางเดินมีต้นหญ้าสีเขียวขจีขึ้น บ้างก็มีต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาขยายให้ร่มเงาเป็นบริเวณกว้าง ทางเดินเป็นอิฐแดงก้อนโตวางเรียงกันอยู่ เงยหน้ามองขึ้นไปด้านบนก็จะเห็นยอดพระปรางค์ต่างๆ


“สวยจังนะครับ”เฟิร์สเดินดูรอบๆแล้วหันมาพูดกับไมค์บ้างเป็นบางครั้ง เพราะมัวแต่สนใจรอบๆตัว หน้าตาดูมีความสุขสบายใจมาก รอยยิ้มกว้างประดับใบหน้าตลอดเวลา


เมื่อเดินเข้าไปภายในตัวทางเดินก่อนเข้าถึงโบสถ์ก็จะเห็นพระพุทธรูปตั้งแต่สมัยอยุธยาอยู่ข้างๆระหว่างทางเดิน บางรูปก็จะมีส่วนแตกหักเสียหายไปบ้างตามกาลเวลา ทั้งโบสถ์ทั้งทางเดิน ทุกอย่างถูกบรรจงปั้นแต่งขึ้นมาโดยช่างฝีมือที่ใส่ใจทุกรายละเอียด แม้หลายๆอย่างจะค่อยๆจางหายแต่ก็ยังคงหลงเหลือร่องรอยให้ได้ทราบกันว่างานเหล่านั้นถูกใส่ใจเพัยงใด


เมื่อเข้ามาภายในตัวโบสถ์รอบๆด้านก็พบจิตรกรรมฝาผนังที่ถูกขีดเขียนเล่าเรื่องราวในพระพุทธศาสนาด้วยความปรานีต งานทุกส่วนถูกวิจิตรบรรจงถ่ายทอดผ่านปลายพูกันได้เป็นอย่างดี ด้านหน้ามีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่มีอายุเก่าแก่ตามสมัย แต่ก็ได้รับการบูรณะไม่ให้พุพัง ถูกหล่อหลอมรวมเป็นองค์พระที่สวยงาม ให้ผู้คนได้กราบไหว้บูชา


“ที่นี่สวยมากเลยนะครับ นี่เป็นครั้งแรกของผมเลย ผมไม่มีโอกาสมาเที่ยวที่แบบนี้เลย ส่วนใหญ่ก็เจอแต่ตึกและแสงสี ขอบคุณนะครับที่พาผมมาวันนี้ไมค์”เฟิร์สพูดไปยิ้มไป


“ยินดีครับ ผมดีใจที่คุณชอบ ปกติผมก็ชอบเที่ยวโบราณสถานแบบนี้แหละครับ ที่นี่ก็ครั้งแรกของผมเหมือนกันนะ แต่เดี๋ยวนี้ผมก็ไม่ค่อยมีโอกาสได้เที่ยวเหมือนกัน”ไมค์ยิ้มตอบ


“อื้ม~ อากาศบริสุทธิ์ด้วยนะครับ รู้สึกสบายจัง ไม่น่าเชื่อนะครับว่าจะอยู่ใกล้กรุงเทพฯแค่นี้เอง”เฟิร์สว่าพรางยืดตัวตรง หลับตาพริ้ม สูดอากาศเข้าเต็มปอดอย่างสดชื่น


“ผมดีใจนะที่เฟิร์สชอบ คราวหน้าไว้ผมจะพาไปที่อื่นดูบ้างนะครับ”เมื่อได้ฟังไมค์พูด เฟิร์สก็พยักหน้ารัว ทั้งที่ยังหลับตาอยู่


“เฟิร์สรู้ไหมครับ ทำไมผมไม่ให้เฟิร์สเริ่มงานวันนี้เลย...”


“เพราะอะไรล่ะครับ”เฟิร์สยังลืมหลับตาพริ้ม รอยยิ้มประดับใบหน้ามีความสุข


“...เพราะ ผมคิดว่า ถ้าเฟิร์สเริ่มงานช้า ก็จะครบ 1 สัปดาห์ช้า เฟิร์ส..ก็จะอยู่กับผมนานขึ้นน่ะ ฟังดูแปลกๆไหมครับ”ไมค์พูดไปก็ยิ้มไป ดวงตามองตรงไปยังอีกร่างที่ยืนหลับตาพริ้มสบายใจอยู่


“!! ว่าไงนะครับ”เฟิร์สได้ฟังก็สะดุดกึก ยืนนิ่ง ค่อยๆลืมตาขึ้น รอยยิ้มก็ค่อยๆหุบลง แล้วหันมองไปยังอีกคนที่ยืนอยู่ข้างตน


“ผมล้อเล่นน่ะครับ ผมแค่หาเพื่อนมาวัดด้วยเฉยๆแหละ แล้วก็ผมดีใจนะครับที่ผมทำให้เฟิร์สหายเครียดได้บ้าง”ไมค์ยิ้มน้อยๆแล้วพูดขึ้น


“ขอบคุณนะครับ งั้นเรากลับกันเถอะ” ไมค์พยักหน้ารับทันทีที่ได้ยิน แล้วทั้งคู่ก็พากันเดินกลับไปขึ้นรถ เคลื่อนตัวออกจากวัดแห่งนี้ทันที

.

.

.

“เอ่อ ไมค์จะไปไหนอีกหรือเปล่าครับ ถ้าไม่มีช่วยไปส่งผมที่คอนโดหน่อยนะครับ”หลังจากนั่งรถกลับเข้ามาในกรุงเทพฯแล้วเฟิร์สก็พูดขึ้น


“ไม่กลับไปเอารถที่บริษัทผมก่อนหรอครับ”


“ไม่ครับ ผมให้คนขับรถมาให้ที่คอนโดแล้ว” เมื่อได้ฟังดังนั้น ไมค์ก็ขับรถตรงไปยังคอนโดของเฟิร์สทันที.


“วันนี้ขอบคุณมากนะครับ”ว่าแล้วก็ลากันสักพัก ไมค์ก็ขับรถออกไป เฟิร์สก็เดินเข้าไปด้านใน แตายังไม่มันได้ขึ้นไปห้องของตังเอง พนักงานต้อนรับก็เรียกไง้ แล้วยื่นซองกระดาษสีดำให้


“พนักงานเปืดประตูเอามาฝากไว้น่ะค่ะ บอกว่ามีผู้ชายท่าทางแปลกๆคนนึงเอามาให้ เขาเห็นว่าเป็นแค่ซองกระดาษไม่เป็นอันตรายเลยรับไว้ค่ะ”


“ขอบคุณมากครับ”

.

‘มาเจอฉันที่xxx เวลา22.00 น. (R)’

.

เมื่อเปิดซองอ่านก็รู้ได้ทันทีว่าใครส่งมา คืนนี้เขาต้องไปหามัน หลังจากที่เฟิร์สรู้แล้วว่ามันไม่ใช่ผีแต่มันเป็นคน เพียงแต่เป็นคนที่แปลกมากๆไม่อย่างงั้นตัวคงไม่เย็นดุจน้ำแข็งขนาดนั้น แต่เฟิร์สก็ไม่รู้ว่าการที่มันเป็นคนมันจะน่ากลัวกว่าหรือเปล่า

.

.

.

เฟิร์ส :
ย้อนกลับไปสองคืนก่อน

ในคืนเดียวกับที่มันมาปรากฎตัววันแรก วันที่มันทำให้เขาเเทบประสาทเสียคิดว่าโดนผีหลอก และนี่เป็นเหตุการณ์ก่อนที่มันจะเอาผมไปทิ้งไว้ที่สุสานที่ไมค์มาเจอผมนั่นแหละ (ไม่อยากเล่าจริงๆผมไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ที่วันนั้นประสาทเสียจนหลอนขนาดนั้น)


‘ซ่า!’

“แค่ก แค่ก” หลังจากที่ช็อคจนสลบไปก่อนหน้านี้ ผมรู้สึกสำลักหายใจไม่ออกเมื่อโดนน้ำอะไรไม่รู้สาดใส่ตัว จนต้องลืมตาขึ้นมองหาต้นตอ


บรรยากาศรอบด้านยังคงเหมือนเดิม หนาวเย็น เหม็นสาบเลือด และมืดมิด ทุกสิ่งยังคงเรียกความกลัวในใจผมให้ตื่นขึ้นตลอดเวลา


“แค่ก ออกมา”หลังจากมองหาไปสักพักไม่เจออะไร จนผมทนไม่ไหว ต้องเรียกมันออกมาอีกครั้ง ความกลัวก็ยังคงทำหน้าที่ได้ดีตลอดเวลา ทำให้ขนตามลำตัวเริ่มลุกเกรียว เหงือกาฬไหลปนอยู่กับน้ำที่เพิ่งโดนสาดใส่มา ประกอบกับความเย็นเยียบรอบๆตัวเมื่อสัมผัสกับผิวหนังที่เปียกทำให้รู้สึกหนาวเข้าไปจนถึงกระดูก


เคร้ง!!


“เฮือก!”


เสียงอะไรสักอย่างหล่นกระทบพื้นเสียงดัง ทำให้ผมสะดุ้งตกใจ ใจหล่นวูบลงไปด้านล่าง นิ้วมือเกร็งเข้าหากันอัตโนมัติ เอ้อ ผมยังโดนมัดติดเก้าอี้อยู่เพียงแต่เพิ่มเติมคือขาถูกมัดติดกับเก้าอี้ข้างละฝั่งจากที่ตอนแรกโดนมัดติดกันไว้ทั้งสองขา


“อยากเจอฉันงั้นหรอ”เสียงเล็กใหญ่ที่ผสมกันฟังดูน่ากลัว ดังขึ้นด้านหลัง ผมได้แต่เกร็งตัว หายใจเข้าออกไม่เป็นจังหวะด้วยความตื่นเต้น


“ช ใช่ ส แสดง แสดงตัวออกมาสิ!”ผมตัดสินใจพูดออกไป แต่เสียงมันดันสั่นติดๆขัดๆจนต้อง สูดลมหายใจเข้าแล้วตัดสินใจตะโกนออกไปในตอนท้าย


พรึ่บ!


“หึ ก็ดีเหมือนกัน”


จู่ๆแสงไฟรอบด้านก็เปิดสว่างขึ้น ผมหลับตาลงอัตโนมัติ แล้วค่อยๆลืมตาขึ้นมองรอบๆช้าๆ ห้องสี่เหลี่ยมที่ว่างเปล่า ที่พื้นเปียกเปื้อนไปด้วยเลือดและน้ำ


“เฮือก!” ผมตกใจตาโต พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นร่างๆหนึ่งยืนอยู่มุมห้องด้านซ้าย ชายคนนั้นรูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดคลุมสีดำทั้งตัว(ชุดคล้ายนักบวชคริสต์สีดำ) ดึงหมวกสีดำขึ้นมาปกปิดใบหน้าอย่างจงใจ
ร่างนั้นค่อยๆเดินเข้ามาหาผมช้าๆ ทีละก้าว ทีละก้าว แล้วมาหยุดยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าผม


ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก


ใจผมเต้นระรัวจนแทบจะหลุดออกมาจากอก มือเกร็งกำจนข้อขาว เหงื่อมากมายพุดขึ้นมาจนเปียกชุ่ม ดวงตาจ้องเขม็งไปยังร่างของอีกคนที่อยู่ภายใต้ชุดคลุมสีดำ


ร่างใหญ่โตนั้นค่อยๆเงยหน้าขึ้น จนผมเห็น หน้ากากสีขาว ที่เขาสวมอยู่ภายใต้ฮูทชุดคลุมนั่น กับ ดวงตาสีแดง ที่จ้องมองมายังผม จนรู้สึกเย็นเยียบขึ้นมาอีกเท่าตัว


“น นายต้องการอะไรจากฉัน”ผมกลัวจนเริ่มลนลาน คิดอะไรได้ก็พูดไปก่อน


“เราตกลงกันไปแล้ว”


“อ๊ะ!! เสียง นายเป็นคน!” เสียงของร่างนั้นดังรอดใต้หน้ากากออกมาช้าๆ เสียงทุ้มใหญ่นั้นบ่งบอกว่านั่นเป็นเสียงของผู้ชายไม่ผิดแน่ จนลืมคำที่พูดคุยกันซะสนิท


“ฉัน จะเริ่มเดี๋ยวนี้”


ชิ้ง!

เสียงมีดด้ามคมที่ถูกดึงออกจากฝักดังขึ้น ประกายวาววับของมันสะท้อนกับแสงไฟเข้าตาผมทันที


“เดี๋ยว! เริ่มอะไร! ไม่นะ! อย่า!”ผมตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่เกร็งตัว พยายามจะทอยหนี แต่ทำไม่ได้ เพราะติดเก้าอี้ มันค่อยๆเอามีดตัดกางเกงออกเป็นวง ผมได้แต่ใจหาย หน้าขาวซีดดเวยความตกใจสุดขีด


“โอ้ยยยย~~”ผมทำได้แต่ร้องโหยหวน


มีดด้านคมนั้นค่อยๆบรรจงกรีดลงบนต้นขาด้านในด้วยความประณีต กรีดลึกลงให้คมเส้นแต่ละเส้นชัดเจน เมื่อใดที่ปลายมีดลงสัมผัสกับต้นขาขาวๆของเฟิร์ส เลือดก็จะซึมและไหลเยิ้มจนกระทั้งกระฉูด สีแดงฉานของเลือดชั่งตัดกับเรียวขาขาวๆของเฟิร์ส


ดวงตาสีแดงของมันมองมาอย่างหลงไหล เอื้อมเอามืออีกข้างที่ว่างอยู่มาลูบไล้บริเวณรอบปากแผล จนผมต้องสะดุ้งแผลที่บาดเจ็บร้อนราวกับเปลวไฟแผดเผา แต่เมื่อโดนฝ่ามือขาวซีดเย็นเฉียบนั้นสัมผัส ดังเอาน้ำเเข็งที่เยือกเย็นมาลูบไล้ขาของผมเลยทีเดียว
มันขยับมีดกรีดลึกลงบนเนื้อวนไปวนมา จนกลายเป็นรูปตัว R แล้วลงซ้ำไปที่รอยเดิมอีกครั้ง เพื่อให้บาดแผลนี้ฝังลึกจนผมไม่อาจลบมันออกไปจากหัวใจตลอดกาล





. . . Next Time. . .



. . .
สวัสดีค่า~~~ :laugh:
เค้ากลับมาแล้ว ต้องขออภัยอย่างมากๆเลยนะคะที่หายไปนานเลย :hao5: :hao5:
ไหนๆก็หายไปนานตอนต่อไปจะรีบบบปั่นมาลงเลยนะเจ้าคะ
คงไม่โกรธไม่เคืองกันนะคะ  :call: :call:
แล้วเจอกันน้า :bye2:
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย 11 : พายุลูกแรก
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 12-02-2016 23:04:02

me die

11 : พายุลูกแรก
[/size][/color]


โรงแรม vv เวลา 21:20 น.


ท่ามกลางแสงไฟที่สาดส่องกับบรรดาแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานเลี้ยงบอร์ดบริหารและแขกผู้ใหญ่ทั้งหลาย เรียกได้ว่างานชุมนุมระดับผู้บริหารก็ว่าได้
เฟิร์สยืนหลบอยู่คนเดียวที่มุมอาหารด้านนึง ก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือด้วยสีหน้าวิตกกังวล


“สามทุ่มยี่สิบแล้วหรอวะเนี่ย ถ้าไปไม่ทันกูจะตายมั้ยเนี่ย”เฟิร์สยืนพูดกับตัวเองเบาๆ


“บ่นอะไรของแกเฟิร์ส ไปได้แล้ว พ่อให้มาตาม”แรมป์เดินมาตาม เฟิร์สสะดุ้งเบาๆเมื่อได้ยินเสียง


“เมื่อไหร่งานจะเลิกวะแรมป์ ฉันอยากกลับแล้ว”เฟิร์สถามขึ้น เดินตามหลังแรมป์ไปช้าๆ สีหน้าแสดงออกว่ากังวลตลอดเวลา


“ฉันไม่รู้”แรมป์หยุดแล้วหันมาพูดด้วยสีหน้านิ่งๆแล้วหันหลังเดินนำหน้าไปทางผู้เป็นพ่อ


“หึ่ย! ให้มันได้แบบนี้สิวะ”


เฟิร์สกับแรมป์มาออกงานประชุมระดับผู้บริหารเพื่อผูกมิตรกับพวกผู้หลักผู้ใหญ่ที่ต้องทำธุรกิจร่วมกันในฐานะผู้มีสิทธิสืบทอดกิจการ งานนี้เป็นงานบังคับ ถ้าเขาคนใดคนหนึ่งไม่มา จะต้องมีบทลงโทษอย่าง

สาหัสจากผู้เป็นพ่ออย่างแน่นอน ซึ่งพวกเขาทั้งสองคนก็ขยาดกับบทลงโทษต่างๆของพ่อเต็มทน จึงต้องมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


ทั้งคู่ต้องปั้นยิ้ม เดินตามพ่อพูดคุยกับแขกหลายต่อหลายคนเกือบทั้งาน จนเฟิร์สลืมเวลาไปซะสนิท

.

.

โกดังA สถานที่นัดพบ เวลา 22.10 น.


“ทำไมยังไม่มา เลยเวลานัดเเล้วนี่”เสียงของรีซดังขึ้นเมื่อเขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู จริงๆเขามานั่งรอที่มุมมืดๆด้านหนึ่งได้เกือบยี่สิบนาทีแล้ว


“ฉันจะให้เวลาตายแกเพิ่ม ถ้าสี่ทุ่มครึ่งยังไม่มาล่ะก็ อย่าหาว่าฉันไม่เตือน เฟิร์ส!”


.

.

เวลา 23:01 น .


“พอที! กล้าลองดีกับฉันงั้นหรอ...แกอย่าหาว่าฉันใจร้ายล่ะ ฉันจะเป็นพายุพัดถล่มแกให้พังทั้งชีวิตเลย! เฟิร์ส!”


ดวงตาสีแดงฉานภายใต้หน้ากากขาวข้างหนึ่งประกายออกมาอย่างน่ากลัว ฉายแววความโกรธที่คุกกรุ่น ไอเย็นแผ่ขยายรอบตัวเป็นบริเวณกว้าง


“ทั้งที่ตัดสินใจใหม่ว่าจะไม่เอาชีวิตทั้งชีวิตแกมาล้อเล่นแล้วเชียว แต่หลังจากนี้ไปอย่าหาว่าฉันไม่เตือน!!”


.

.

ในเวลาเดียวกัน


“ทำไมฉันต้องมาที่นี่ด้วยเนี่ย โง่รึเปล่าวะเรา แล้วนี่เลยเวลามาขนาดนี้ ใครมันจะบ้ามารออยู่วะ”กว่าเฟิร์สจะหนีจากพ่อมาได้สำเร็จก็รีบเหยียบรถถขับออกไปทันที โดยมุ่งหน้าไปสถานที่ที่นัดหมายไว้ เขารู้สึกว่าถึงยังไงเขาก็ต้องไป ถ้าไม่ไปความรู้สึกมันบอกเขาว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงมากๆกับเขาแน่


“อะไรวะเนี่ย! เลยมาตั้งชั่วโมงเลย แล้วมันไปไหนของมันแล้ว มึงก็บ้ารึเปล่าวะเฟิร์ส..จนป่านนี้ใครมันจะไปรอเล่า! แล้วเป็นแบบนี้ชีวิตกูจะเป็นยังไงต่อเนี่ย เดี๋ยวแม่งก็หาว่ากูหนีอีก!”เฟิร์สรู้สึกโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง เดินวนไปวนมาเมื่อมาถึงที่หมาย อารมณ์เสียขึ้นทุกนาที เขาบ่นกับตัวเองจนแล้วจนเล่า สุดท้ายก็ตัดสินใจจะเดินออกไปจากโกดังทันที


“อ๊ะ! มึง..ยังอยู่หรอ”เฟิร์สหันหลังจะเดินกลับก็ต้องสะดุ้งตกใจกับชายร่างใหญ่ที่มายืนขวางทางอยู่ ไอเย็นแผ่ออกเป็นวงกว้างจนเฟิร์สเริ่มสั่น ใจหวิวแปลกๆ
ชายคนนั้นไม่พูดอะไร แต่ดวงตาสีแดงฉานภายใต้หน้ากากขาวที่เขาสวมใส่จ้องมองตรงลงมาที่เฟิร์สไม่กระพริบ จู่ๆมือขาวซีดที่เย็นเฉียบของชายคนนั้นก็ยื่นมาตรงเฟิร์ส แล้วรวบตัวของเฟิร์สขึ้นไว้บนบ่าแบกออกไปจากตรงนั้นทันที


“เฮ้ยๆ ทำไรวะ วางลงนะเว้ย~”


เฟิร์สดิ้นไปมาอยู่อย่างนั้น โดยไม่มีทีท่าว่าจะหลุดแต่อย่างใด ทั้งที่ชายคนนี้แค่เพียงล็อคตัวเขาด้วยท่าทีสบายๆเท่านั้น


ตลอดทางเดินเฟิร์สก็ได้แต่ดิ้นขลุก หัวสั่นไปมาตามแรงเดินเรียกอาการมึนงงได้อย่างดี จนเฟิร์สเริ่มร้อนเพิ่มอาการหงุดหงิดขึ้น แต่ที่น่าเเปลกคือเขากับรู้สึกว่าเหมือนถูกอะไรเย็นๆห่อหุ้มตัวเขาอยู่ รู้สึก...หนาว มากกว่าจะ ร้อน ซะอีก




พลัก!


“ขึ้นไป!”


“โอ้ย! เจ็บนะเว้ย!”


เมื่อมาถึงรถก็จับเฟิร์สทิ้งลงที่พื้นแล้ว ตะคอกเสียงดัง เฟิร์สถูกโยนลงก้นกระเเทกกับพื้น หลังกระแทกโดนรถเจ็บจนต้องโวยวายออกมา แต่อีกฝ่ายดูท่าจะไม่ใส่ใจอะไร


เฟิร์สแสดงสีหน้าไม่พอใจ คิ้วขมวดกันเป็นปม แต่เมื่อมองสบกับดวงตาสีแดงที่มองลงมาอย่างเย็นชา ทำให้เขาต้องยันตัวลุกขึ้น แล้วเข้าไปนั่งในรถ


.

.

“เฮ้ยๆ ขับรถให้มันเบาๆหน่อยสิวะ อยากตายรึไง!”รถเคลื่อนตัวทะยานออกสู่ถนนด้วยความเร็ว กระชากตัวเฟิร์สติดเบาะจนต้องลนลานรีบคว้าเข็มขัดนิรภัยมาคาดไว้ ด้วยสีหน้าตื่นตกใจ


“หึ กล้าพูดนะมึง ไม่ใช่มึงหรอที่ขับรถเร็วจนชนกูตายน่ะห้ะ!”อีกฝ่ายได้แต่ตะโกนสวนกลับมา เหมือนยิ่งห้ามเขากับยิ่งโมโหขึ้นไปอีก ทำให้เหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็วขึ้นไปอีก


“มึงก็ไม่ตายไม่ใช่รึไงห้ะ! ถ้ามึงตาย หมาที่ไหนจะมาเถียงกับกูอยู่แบบนี้กันวะ หยุดรถนะเว้ย!~”เฟิร์สได้แต่นั่งตัวเกร็งมือจับเข็มขัดนิรภัยแน่น ดวงตาตื่นตะหนก มองถนนและคนขับไปมา ปากก็ตะโกนเถียงไม่หยุด


“ฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่า!”อีกฝ่ายเมื่อได้ยินดังนั้นก็หัวเราะไม่หยุด รถก็ไม่ได้ลดความเร็วลงสักนิดเดียว มีแต่จะเร่งขึ้นๆไปอีก


“หัวเราะบ้าไรวะ! แค่นี้ประสาทเสียไม่พอรึไง หยุดรถเดี๋ยวนี้นะมึง!”



เอี๊ยดดดดด!!

เสียงล้อรถบดไปกับถนนเสียงดังด้วยแรงเบรคกะทันหัน ตัวรถหมุนเคว้งเป็นวงกลม ควันสีขาวพวยพุ่งออกมามากมาย


เฟิร์สได้แต่นั่งหลับตา มือจับเข็มขัดนิรภัยเกร็งไปทั้งตัว ตกใจจนหยุดหายใจไปชั่วขณะ กระทั่งรถได้หยุดสนิทเขาจึงค่อยๆลืมตาขึ้นมามอง


“ทำไรของมึงวะ อยากตายมากนักรึไง!”พอรถหยุด สติกลับมา ปากก็ทำงานทันที เฟิร์สด่าทออีกฝ่ายเสียงดังลั่น แต่หัวใจยังคงเต้นโครมครามด้วยความดังกลองรัว สีหน้าตื่นตะหนกไม่จางหาย


“หึ! ฉันชื่อ รีซ จำฉัน...ได้ไหม?”จู่ๆอีกฝ่ายก็พูดขึ้นมา ด้วยท่าทีที่ยังคงนั่งนิ่งหน้ามองตรงไปข้างหน้าในท่าเดิม


“ร รีซ หรือว่า คงไม่ใช่หรอก นั่นมันตายแล้วนี่หว่า”เมื่อเฟิร์สได้ฟัง ดวงตาก็เบิกโพรงด้วยความตกใจ ปากก็พึมพำกับตัวเองไปเบาๆ


“ฉัน...คือคนที่นายขับรถชนจนตาย ยังไงล่ะ”อีกฝ่ายก็พูดสวนขึ้นมาทำลายความคิดที่สับสนของเฟิร์สอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงเย็นชาช้าๆ


“ม มึงพูดบ้าอะไร”เฟิร์สหัวใจเต้นรัวขึ้น สีหน้าหวาดหวั่น ค่อยๆหันหน้ามองไปยังอีกฝ่าย มือกำเข็มขัดนิรภัยเกร็งแน่น


“ไม่เชื่อรึไง ว่า ฉัน! ตาย! แล้ว!”จู่ๆอีกฝ่ายก็ค่อยๆหันหน้ามามองแล้วพูดกับเฟิร์สอย่างช้าๆอีกครั้ง ดวงตาสีแดงฉานมองตรงสบเข้ากับดวงตาของเฟิร์สที่กำลังสั้นระริก


“ม มึงมันบ้า คนตายที่ไหนจะมาคุยกับคนได้ เลิกเล่นละครทำให้กูประสาทเสียสักทีได้ไหมห๊ะ!”ใจที่ยังเต้นแรง สีหน้าที่ยังหวั่นวิตก ยิ่งซีดขึ้นไปอีก เมื่อได้ยินจากคนข้างๆ แต่ก็ทำใจกล้าตะโกนกลบความกลัวที่ก่อตัวกลับไป


“เดี๋ยวมึงก็พิสูจน์ได้เอง เพราะมึงต้องอยู่กับกู...อีกนาน”รอบยิ้มร้ายกาจผุดขึ้นที่มุมปากของรีซภายใต้หน้ากากโดยที่เฟิร์สไม่มีทางมองเห็น


“พิสูจน์เหี้ยไร แล้วใครจะไปอยู่กับห้ะ! มึงมันบ้า แม่งเอ้ย กูโดนคนบ้าหลอกหรอวะ”ทำใจกล้าต่อว่ากลับไป ด้วยใจสั่นๆ เมื่อปลอบตัวเองได้ดังนั้น จึงค่อยๆปล่อยมือจากเข็มขัดนิรภัยแล้วก็จะเปิดประตูลงจากรถทันที แต่อีกฝ่ายดันรู้ทัน ใช้มือเย็นเยียบกระชากแขนเฟิร์สกับมาจนสะดุ้งตัวโยน


“ป ปล่อยกู!”ด้วยตากำลังสบกับดวงตาสีแดงฉานราวกับปีศาจ หัวใจของเฟิร์สก็ยิ่งเต้นระส่ำ พูดติดขัด มือก็ขืนให้อีกฝ่ายปล่อย แต่มือที่แข็งแกร่งนั้นไม่แม้จะขยับหลุด เฟิร์สรู้สึกราวโดนคีมเหล็กที่เย็นเยียบล็อคแขนเขาเอาไว้


“กูไม่มีวันปล่อยมึง!”


ยังไม่มันได้ตอบกลับก็โดนรีซตะคอกสวนกลับมาเสียงดังลั่น ทำให้เฟิร์สได้แต่ตกใจทำอะไรไม่ถูก แล้วรีซก็ขับรถออกไปด้วยความเร็วอีกครั้ง

.

.

.

“เดินลงมาแล้วอย่ามีพิรุธ”ทันทีที่มาถึงคอนโดของรีซ รีซก็เข้าจอดรถแล้วเดินอ้อมมาอีกฝั่งอย่างเร็ว เปิดประตูแล้วกระชากตัวของเฟิร์สออกมา


“เหอะ! คนที่มีพิรุธอะ มึงต่างหากล่ะ คนดีๆที่ไหนเขาจะใส่หน้ากากกัน โอ้ย! เจ็บนะเว้ย บอกกูดีๆกูก็เดินแล้วจะกระชากทำไมนักหนา”เฟิร์สเดินตามมาอย่างช่วยไม่ได้ ปากก็ยังต่อปากต่อคำไม่หยุด แต่ใจก็ยังคงเต็นรัว ตัวสั่นไปหมดทั้งกลัวทั้งสับสน


“ขอโทษครับขอตรวจบัตรด้วย”พนักงานชายคนหนึ่งเดินเข้ามายังพวกเขาทันที เฟิร์สเห็นดังนั้นก็เริ่มยิ้มอย่างมีความหวังแอบยิ้มนิดๆ


‘อย่าคิดจะพูดมากนะมึง ไม่งั้นมึงตายแน่’รีซกระซิบข้างหูเฟิร์สจากทางด้านหลัง


“ผมพักอยู่ที่นี่ ถ้าไม่ใช่ผมก็คงเข้ามาไม่ได้จริงมั้ย แล้วถ้าไม่มั่นใจจะเดินไปดูตอนผมกดเลขห้องเพื่อขึ้นลิฟต์ก็ได้นะครับ มันใช้รหัสผ่านหนิ”รีซตอบกลับพนักงงานไปเสียงเข้มด้วยน่ำเสียงไม่พอใจ แล้วก็ลากเฟิร์สเดินตรงมาที่ลิฟต์ทันที พนักงานก็เดินตามมาดูด้วย ความโมโหยิ่งทำให้รีซโมโหทวีคูณขึ้นไปอีก เมื่อเห็นว่าถูกต้องพนักงานคนนั้นรีบก้มหัวขอโทษเป็นการใหญ่ รีซไม่สนใจกระชากแขนเฟิร์สให้เดินเข้าลิฟต์ตามไปอย่างรวดเร็ว


ไม่ใช่เฟิร์สไม่อยากหนี แต่ข้อมือที่โดนกำไว้ ทำยังไงก็ไม่มีทางที่จะหลุด นอกเสียจากต้องตัดแขนของตัวเองออก เขารู้สึกแบบนั้นจริงๆ

.

.

คลิ๊ก

พลัก!


“โอ้ย! กูคนนะเว้ย จะกระชากอะไรนักหนาวะไอ้บ้า!”ทันทีที่เปิดประตูห้องรีซก็เหวี่ยงเฟิร์สเข้าไปในห้องอย่างแรง


“หึ! เจ็บงั้นหรอ แต่มึงรู้ไหมว่ากูไม่มีความรู้สึกนั้นอยู่แล้ว! และ มันเป็นเพราะมึง!!”รีซก้าวท้าวเข้ามาหาเฟิร์สอย่างรวดเร็ว มือข้างหนึ่งกระชากคอเสื้อเชิตของเฟิร์สอย่างแรงจนตัวของเฟิร์สลอยขึ้นจากพื้น


“ม มึงมันบ้า! เสียสติ! โรคจิต! หลุดออกมาจากรพ.บ้ารึไงห๊ะ! มึงรู้ไว้นะ ไอ้รีซอะไรนั่นกูชนมันจริง และมันก็ตายห่าไปแล้ว กูเห็นกับตาว่ามันคอหักตายคาที่! มึงไม่ใช่มัน!!”เฟิร์สตะโกนออกไปสุดเสียง มือก็ยื้อยุดให้แขนนั้นปล่อยคอเสื้อตน ใจเต้นรัวเร็วขึ้นมากกว่าเดิม แต่ดวงตากับจ้องสบกับดวงตาสีแดงฉานคู่ตรงหน้าไม่หลบไปไหน


“หึ! ใช่! คอหักตายคนที่! แต่มึง มึงก็ไม่คิดจะลงไปแลเลยสักนิด!”


“อะ”เฟิร์สตกใจผวา หน้าซีดเผือด ปากได้แต่พะงาบๆเถียงไม่ออก


ทันทีที่รีซพูดจบ บรรยากาศรอบด้านเริ่มเย็นเยียบขึ้น ไอความเย็นแผ่กระจายเป็นวงกว้าง ห้องทั้งห้องหนาวเหน็บทั้งที่ไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศเลยแม้แต่น้อย


หนาว...ไปทั่วบริเวณ โดยเฉพาะที่ตัวของรีซ ที่เริ่มเย็นดุจน้ำเเข็ง ดวงตาสีแดงใต้หน้ากากทั้งสองข้างมีข้างหนึ่งที่เปล่งแสงสีแดงวาบขึ้นมาแล้วจางหายไปดังเดิม


“ป ปีศาจ”เสียงแผ่วเบาที่ออกจากปากของเฟิร์สนั่นสั่นเคลือ ดวงตาได้แต่เบิกโตอย่างตกใจกับแสงสีแดงวาบเมื่อครู่ ร่างกายรู้สึกชาวาบ ทำอะไรไม่ถูก
“คนอย่างมึง! ใช้สมองคงไม่ทำให้จำได้มากเท่าไหร่หรอก ว่าความเจ็บปวดมันเป็นยังไง คงต้องใช้...ร่างกาย!”ดวงตาสีแดงฉานภายใต้หน้ากากขาว มองอย่างจงใจโลมเลียไปทั่วหน้าของเฟิร์ส


“ม มึง หมายความว่ายังไง โอ๊ย!!”เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูด กว่าจะคิดได้ก็ช้าไป มัวแต่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก


แคว่ก!!


เฟิร์สถูกรีซเหวี่ยงแผ่นหลังกระทบผนังห้องอย่างแรงด้วยมือข้างที่จับคอเสื้ออยู่ ทำให้กระดุมเสื้อของเฟิร์สขาดเผยให้เห็นหน้าอกขาวๆด้านหนึ่ง รีซไม่รอช้าใช้มือดึงกระชากเสื้อที่เหลือของเฟิร์สจนหลุดติดมือมา เฟิร์สก็ได้แต่ตาโตตกใจจนนิ่งงันคิดอะไรไม่ทัน


“อ๊ะ! ห เห้ย! ปล่อย!”


กว่าจะรู้สึกตัว ก็เมื่อโดนอีกฝ่ายปลดซิบกางเกงตัวเองออก เฟิร์สใช้มือหยุดมือแกร่งไว้ไม่ให้ถอดกางเกง แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้สนใจ สองมือแกร่งจับกางเกงในรูดลงมาพร้อมกับกางเกงไปกองที่ข้อเท้าทันที


“อ๊ะ อย่า! ปล่อยกู!”เฟิร์สใช้มือปัดป้องร่างกายที่เปลือยเปล่าของตนไปมา ดิ้นขัดขืนอย่างแรงเพื่อให้หลุดจากอ้อมแขนแกร่งนั่น แต่แรงมหาศาลของอีกคนที่กดทับไว้ทำให้แทบไม่ส่งผลอะไร แผ่นหลังที่กระทบผนังห้องก็เย็นเยือกราวกับทาบอยู่บนน้ำแข็ง จนมือที่ปัดป้องปัดไปโดนหน้ากากจนแทบหลุดร่วงลงมา


“น่ารำคาญ!”เสียงรีซตะคอกดังขึ้นด้วยความโมโห เสียงดังก้องไปทั่วบริเวณ มือเข้าจับที่หน้ากากโดยเร็วก่อนจะร่วงหลุด ลำตัวของรีซเย็นเฉียบ ไอเย็นแผ่กระจายออกมาแม้ยังใส่เสื้อผ้าครบ


“อึก!”เฟิร์สตกใจนิ่งงัน ร่างกายสั่นด้วยความหนาวเหน็บ ดวงหน้าตื่นตะลึง ใจเต้นรัวกระหน่ำราวตีกลอง
‘ปีศาจ ปีศาจชัดๆ ฉันจะตายไหม มันจะฆ่าฉันไหม’ภายในใจก็ได้แต่หวาดกลัว


“ยังงี้สิ แสดงสีหน้าหวาดกลัวฉันออกมาสิ แสดงออกมาซะ!”ดวงตาข้างหนึ่งเปล่งแสงสีแดงวาบออกมาอีกครั้ง


“ปีศาจ มึงมันปีศาจ”คำพูดและแสงสีแดงจากดวงตาของรีซหลอนอยู่ในความคิดของเฟิร์สไม่อาจหยุดได้ ดวงตาเขาเบิกค้าง เหงื่อท่วม หน้าซีดเผือด ความกลัวครอบงำจนปิดไม่มิด


“ฮ่าฮ่าฮ่า!”เสียงหัวเราะของรีซดังไปทั้งห้อง สะท้อนเข้าไปในหัวของเฟิร์สเล่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า


“อ๊ะ!”รีซกระชากมือทั้งสองข้างของเฟิร์สรวบเข้าหากัน กดไว้ด้านบนด้วยมือข้างเดียว มือน้ำแข็งนั้นเย็นจนเฟิร์สต้องสะดุ้ง


“โอ๊ย! จ เจ็บ! อึก!”รีซใช้มือเย็นเยียบอีกข้างจับขาของเฟิร์สยกขึ้น แล้วแทรกเข้าไปในร่างกายเฟิร์สอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้ผ่านการเบิกทางใดๆ เฟิร์สได้แต่แสดงสีหน้าเจ็บปวดทรมาน ถึงแม้จะเข้าไปได้เพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น


“หึ! ไม่คิดว่ากูคนแรก อย่าเกร็ง!”รีซพูดข้างหูให้เฟิร์สได้ยินอย่างจงใจ แล้วกระแทกแก่นกายเย็นของตนเข้าในร่างกายที่ร้อนวาบของเฟิร์สด้วยความแรง รีซขยับทันที เข้าสุดออกสุดและหนักหน่วง


“ฮึก เจ็บ! เอาออกไป!”เฟิร์สกระตุกวาบสั่นไหวตามแรงที่โหมกระหน่ำใส่อย่างบ้าคลั่ง ร่างกายท่อนร่างเจ็บแปล๊บ น้ำตาเริ่มไหลออกจากใบหน้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ


“หึหึ แสดงสีหน้าได้ดีมาก ทำต่อไปล่ะ”รีซมองใบหน้าเฟิร์สด้วยท่าทีที่พอใจสุดๆ แล้วกระแทกฝั่งกายของตนลงอย่างแรง


“อ๊ะ! ไม่! ฮือ เจ็บ!”


“พอ อ๊ะ! พอแล้ว อ๊า! ขอร้อง ฮึก! มันทรมาน”


เฟิร์สได้แต่ร้องไห้น้ำตาไหลท่วม ปากพร่ำขอร้องให้หยุดด้วยสีหน้าแสนทรมาน แรงที่มีหดหาย สติเริ่มจะดับวูบ ร่างกายร้อนวูบแต่กลับขนลุกกับความเย็นที่อีกฝ่ายมอบให้อย่าง...ทรมาน


“อ่า!”ในที่สุดรีซก็ปลดปล่อยออกมา แต่เห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไปจึงก้มลงดู เฟิร์สได้สลบไปแล้ว จึงถอนร่างกายของตนออกมา แล้วปล่อยให้ร่างของเฟิร์สร่วงลงไปนอนกองอยู่ที่พื้น


“หึ! ไม่คิดว่ามึงจะทำให้กูกลับมามีความรู้สึกทางร่างกายได้ มึง...ก็คงมีประโยชน์กับกูอยู่บ้าง งั้นเอาเป็นว่า มึงต้องอยู่กับกูจนกว่ากูจะปล่อยมึงละกัน”รีซค่อยๆลดหน้ากากลง เผยใบหน้าคมสันที่ยกยิ้มมุมปากพอใจ ดวงตาจ้องลงไปยังร่างที่นอนกองอยู่ที่พื้น พูดขึ้นกับตัวเองเบาๆ แล้วเดินออกไปโดยไม่หันมาสนใจอีกร่างเลยแม้แต่น้อย







......
มาแล้วๆ มาเร็วตามที่บอก  :katai4:
ขอโทษที่หายไปนาน ปั่นมาให้อ่าน2เลยทีเดียว ถึงจะลงคนละวันอ่ะนะ :mew2: :mew2:

ตอนนี้ก็...ความจริงพระเอกเราใสๆนะ แต่ทำไมมันคลอดออกมาโรคจิตแบบนี้ก็ไม่รู้  :hao3: :hao4:
 
เอ่อ ถ้าตอนนี้ nc กากๆ ต้องขออภัยด้วยนะ :hao7:

เม้นๆกันบ้างงงงง  :impress2:

แล้วเจอกันตอนหน้า :bye2:

พูดคุยกันได้ตลอดที่เพจนี้นะ :
 https://m.facebook.com/AkumaBK/ (https://m.facebook.com/AkumaBK/)
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย ตอนที่ 23
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 08-03-2016 13:39:55

me die

12 : ความเจ็บปวดที่แสนยาวนาน I


‘ที่นี่ ที่ไหนกัน’   

เรียวเท้าเปลือยเปล่าเดินเหยียบย่ำไปบนกองหิมะสีขาวโพลน เสมองไปด้านไหนก็เจอแต่พื้นดินสีขาวสุดลูกหูลูกตา ไม่มีสัญญาณใดบ่งบอกได้เลยว่ามีสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากเขา ไม่มีเลย แม้แต่สายลมก็ยังไม่พัดผ่าน ไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหวนอกจากเขาเพียงผู้เดียว

‘หนาว หนาวเหลือเกิน ทำไมถึงรู้สึกหนาวขนาดนี้นะ’

เฟิร์สเอ่ยขึ้นขณะยังเดินไปเรื่อยๆเพื่อหาทางออก เขายกเเขนทั้งสองข้างกอดตัวเองเพื่อป้องกันความเย็นแม้จะแทบไม่ช่วยอะไรเลย เขายังคงเดินต่อไปเรื่อยๆโดยที่ไม่รู้ว่าจะเดินไปที่ใด

‘เอ๊ะ! นั่นอะไรน่ะ’
จู่ๆก็มีบางสิ่งเล็กๆเคลื่อนไหวอยู่ถัดไปจากตรงหน้าไม่ไกลนัก เฟิร์สเร่งฝีเท้าเดินตรงไปยังสิ่งนั้น เมื่อไปถึงก็ได้พบกับดอกไม้สีแดงเลือดดอกหนึ่งกำลังแตกยอดขึ้นมาจากพื้นน้ำแข็งสีขาว และเบ่งบานเป็นดอกไม้สีสดที่งดงามตัดกับสีขาวของน้ำแข็งช่างงดงามยิ่งนัก

‘สวยจัง’
เฟิร์สยิ้มออกมา พร้อมกับน้ำตาที่เริ่มปริ่มจากดวงตาคู่งาม เมื่อแพขนตายาวกระพริบน้ำตาหนึ่งหยดก็ไหลรินลงสู่พื้น สองมือค่อยๆยื่นลงจะไปประคองดอกไม้สีแดงเลือดดอกนั้นอย่างทะนุถนอม

‘เฮือก!’
เเต่เมื่อสองมือนั้นแตะโดนดอกไม้แค่ปลายเล็บ ความรู้สึกเจ็บปวดก็แล่นริ้วไปทั่วทุกอณูของร่างกาย แต่ในความรู้สึกเจ็บปวดนั้นเขากลับรู้สึกมีความสุขและอบอุ่นอย่างประหลาดไปด้วย

ดอกไม้นั้นเเปรเปลี่ยนเป็นสีดำและมีกิ่งก้านที่มีหนามแหลมคมเลื้อยพันตั้งแต่แขนไปจนทั่วร่างกาย เจ็บและชาไปทั้งตัว จนร่างทั้งร่างของเฟิร์สนั้นล้มลงกับพื้น หนามแหลมทิ่มแทงเข้าไปในผิวกาย เลือดสีแดงฉานไหลนองไปทั่วบริเวณ น้ำตายังคงไหลไม่หยุดราวเขื่อนแตก แต่เขายังคงมีรอยยิ้มที่ดูมีความสุขประดับใบหน้าดังเดิม...เป็นดัง...ความเจ็บปวดที่งดงาม

“เฮือก!”
เฟิร์สสะดุ้งตื่น เบิกตาโพรง ใจเต้นรัว เหงื่อไหลท่วม ร่างกายสั่นไหวไปหมด ‘ฝันนั่น มันอะไรกัน’
เขาไม่เคยฝันแบบนั้นมาก่อน มันคืออะไร มันดู...สวยงาม แต่ก็...เศร้าสร้อย

“ตื่นสักทีนะ”
เสียงทุ้มใหญ่ดังขึ้นอีกด้านหนึ่งของเตียงนอน เฟิร์สหันควับไปมองด้วยความตกใจ คำว่าปีศาจดังเตือนเขา พร้อมกับภาพเหตุการณ์เลวร้ายที่เพิ่งเกิดขึ้นมากมาย

“ปีศาจ! อย่าทำอะไรกูอีกเลยนะ ปล่อยกูไปเถอะ”
เฟิร์สตาเหลือกด้วยความตกใจ ร่างกายขยับถอยห่างให้ได้มากที่สุด

“โอ๊ย!”

แต่เมื่อขยับแม้เพียงน้อยนิดความเจ็บปวดจากช่องทางด้านล่างที่ฉีกขาดก็ส่งผล แต่เฟิร์สก็ยังพยายามขยับหนีให้ห่างจากปีศาจตรงหน้ามากที่สุด ดวงตาสั่นไหวยังคงจ้องมองไปยังชายสวมหน้ากากตรงหน้าไม่ลดละ

“หึ! โง่!”
เมื่อเห็นปฏิกิริยาที่ลนลานและหวาดกลัวของอีกฝ่าย รีซก็เริ่มสนุกรอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นภายใต้หน้ากาก รีซเดินเข้าไปหาเฟิร์สช้าๆ ดังเสือที่จ้องจะเขมือบลูกกวาง

“ยะ อย่าเข้ามา”

เมื่อเฟิร์สเห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามา ก็เร่งฝืนขยับกายให้ถอยห่างมากยิ่งขึ้น ดวงตาที่สั่นไหวยังคงจ้องมองอีกฝ่าย ริมฝีปากที่กัดจนห้อเลือดเพื่อลดความเจ็บที่ช่วงล่าง มือดันที่นอนช่วยกันประคองไม่ให้ร่างกายล้มลง เรียวขาไหวสั่นอ่อนแรงค่อยๆขยับเคลื่อนตามไป

รีซขยับเคลื่อนกายเข้าหา มากขึ้น มากขึ้นและมากขึ้น เมื่อใกล้จะถึงเตียง รีซก็ทำท่ากระโจนขึ้นไปยังมุมหนึ่งของเตียงอย่างเร็ว เฟิร์สตกใจตาโตขยับกายถอยหนีอัตโนมัติด้วยความแรง

กึง!!

“โอ้ย! นี่มัน...โซ่?”
เมื่อขยับเร็วไปจนสุดขอบเตียงก็เกิดเสียงโซ่เหล็กดังขึ้นและมันก็กระชากคอของเฟิร์สกับอัตโนมัติเพื่อลดแรงตึงของมัน จนทำให้เฟิร์สเกือบหน้าทิ่มลงที่นอนรู้สึกเจ็บทั้งคอและช่วงล่างจนต้องร้องออกมา

หลังจากนั้นจึงก้มลงไปดูก็เห็นเป็นโซ่เหล็ก อีกทั้งร่างกายก็มีเพียงเสื้อยืดสีขาวตัวยาวปกคลุมร่างกายเพียงตัวเดียว ทั้งเจ็บทั้งอายทั้งโมโหแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลยแม้แต่ลุกยืน จึงได้แต่ส่งดวงตาโกรธเเค้นไปยังอีกคนแทน

“หึหึ ชอบไหมล่ะ ของขวัญ”

รีซเอ่ยขึ้นหลังขยับกายไปยืนข้างเตียงเเทน รอยยิ้มปรากฏขึ้นภายใต้หน้ากากอีกครั้ง ดวงตาสีแดงที่ไร้แววนั้นก็ขยับเย้ยไล่ไปตามร่างกายอีกฝ่ายจนน่าขนลุกชัน

“มะ มอง อะไร”
เฟิร์สขยับแขนทั้งสองข้างขึ้นปกปิดร่างกาย มือนึงดึงชายเสื้อยืดเพื่อให้ปกปิดส่วนนั้น อีกมือนึงก็กอดแขนของตนอีกข้าง ริมฝีปากโดนกัดไว้จนช้ำม่วงไปทั่ว ดวงตาสั่นไหวเหลือบมองอีกคนเขม็ง

“ตื่นก็ดี เสียเวลาไปตั้งเป็นวัน ฉันว่า...ฉันอยากสนุกกับร่างกายของนายอีก” รีซพูดอย่างอารมณ์ดี

“ไม่!!”
เฟิร์สตะโกนเสียงดัง ขยับกายหนีอีกครั้ง มือสองข้างก็กระชากโซ่ที่ล่ามคออย่างแรงหวังให้หลุดออก

รีซก้าวเท้าเข้าหาเฟิร์สรวดเดียวถึง มือแกร่งกระชากอีกร่างเข้าหาตนอย่างแรง เมื่อกายที่เริ่มร้อนจากไข้ที่กำลังก่อตัวปะทะเข้ากับร่างกายที่เย็นดุจน้ำเเข็งเฟิร์สใจเต้นกระหน่ำ ตกตะลึงตาเหลือกโต ฟันขาวขบกัดที่ริมฝีปากตนอีกครั้งฝืนขยับกายหนีขืนตัวออกสุดแรง

“หยุดดิ้น!”
เสียงตะคอกดังลั่น ดวงตาปีศาจข้างนั้นเริ่มเปล่งแสงสีแดงวาวโรจน์ด้วยความโกรธ บรรยากาศรอบตัวเย็นวาบ

“อึก! ป ปล่อย!”
เฟิร์สยังคงดิ้นหนี ไม่มีหยุด แม้จะสะดุ้งตกใจกับน้ำเสียงน่ากลัวนั่น

“กูบอกว่าอย่าดิ้น!”

“โอ๊ย!”

รีซรวบมือทั้งสองข้างของเฟิร์สขึ้นไว้เหนือหัวกดลงกับที่นอนด้วยแรงที่มหาศาล ถาโถมร่างกายเย็นเหยียบขึ้นทับอีกร่างไว้ไม่ให้ดิ้นหนี มืออีกข้างที่ว่างก็ปลดซิปกางเกงตัวเองลง ล้วงเอาแก่นกายตนเองออกมารูดขึ้นลงสองสามครั้ง ขาแข็งดันขาของอีกคนใต้ร่างให้อ้าออกกว้าง แล้วจ่อกายแกร่งของตนตรงช่องทางที่แดงช้ำแล้วกระแทกตัวลงอย่างเร็วและแรงทันที

“อ๊าาาาา!!! เจ็บ!!”

เฟิร์สกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส เกร็งตัวสั่นไหวไปทั่วทั้งร่าง กัดปากกลั้นความเจ็บปวดจนเลือดไหลซึม

“ปล่อยกูนะ ฮึก!”

น้ำตาไหลนองไปทั่วหน้า ช่องทางด้านล่างฉีกขาดเลือดไหลเยิ้มตามเรียวขาขาว ร่างทั้งร่างสั่นเทิ้มไปด้วยความเจ็บปวด

“อ่า ดี หน้าตามึงเจ็บปวดดีหนิ อืม”

รีซโถมฝังแก่นกายเข้าออกรุนแรง มือใหญ่นวดเฝ้นไปตามกายขาวจนขึ้นสีแดงเป็นรอยมือ

“อ๊ะ เจ็บ! อึก! ฮือออ เอาออกไป”

เฟิร์สร่างกายสั่นไหว่ตามแรงกระแทก เรี่ยวแรงต่อต้านเริ่มหมดไป ความรู้สึกแปลกๆทั้งเสียวทั้งเจ็บหมุนวนไปหมด ไร้หนทางจะหลีกหนี มีแต่น้ำตาและจิตใจที่แหลกสลายกำลังทำงานต่อไปจนสุดทาง

“อืม อ่า”
รีซกระแทกกายเข้าออกโดยไม่ได้สนใจร่างข้างใต้ ปลดปล่อยเข้าไปภายในตัวของเฟิร์ส

กิจกรรมดำเนินขึ้นอีกครั้ง รีซปล่อยมือทั้งสองของเฟิร์สเป็นอิสระ จับเรียวขาบางขึ้นชิดอก โน้มกายลงใกล้กัน ดันกายแกร่งออกช้าๆแล้วฝั่งกายกลับลงไปใหม่สุดแรง

“อ๊า! พอ มันเจ็บ อึก!”

ดวงตาคู่สวยที่ตอนนี้บวมช้ำน้ำตาท่วม จ้องมองไปยังหน้ากากตรงหน้า แวบหนึ่งที่เขาสงสัยว่าใบหน้าใต้หน้ากากนี้เป็นใคร ใช่คนที่อ้างตัวแล้วมาทำร้ายเขารึเปล่า ทำให้เฟิร์สค่อยๆยกแขนที่อ่อนแรงขึ้นหวังจะปลดหน้ากากนั้น

“หึ เลิกซนแล้วอยู่เฉยๆดีกว่านะ”

มือใหญ่ยกตัวของเฟิร์สขึ้นคร่อมตักแกร่ง รวบมือที่ซนทั้งสองข้างไขว้ไปไว้ด้านหลัง ทำให้ช่วงล่างของทั้งคู่เชื่อมติดกันมากขึ้น รีซใช้มือที่ว่างอีกข้างประคองแล้วกระแทกกายสวนขึ้นไปอย่างแรง

“ฮึก! อ๊า! ไม่! มันลึกเกินไป ไม่เอาท่านี้”

เฟิร์สได้แต่น้ำตานองหน้า กัดปากเเรงจนเลือดไหลซ้ำแล้วซ้ำเล่า ร่างกายก็ได้แต่รองรับอารมณ์ของคนกายเย็นดุจน้ำแข็ง กิจกรรมที่ทำปกติจะเหงื่อท่วมแต่เขากลับเหน็บหนาวไปจนถึงขั้วหัวใจ

กิจกรรมยังคงดำเนินต่อไปครั้งแล้วครั้งเล่าเรื่อยๆ จนกระทั่งเฟิร์สสลบไปอีกครั้ง อีกฝ่ายถึงได้หยุดลงเมื่อเสร็จกิจกามรอบนั้น แล้วลุกจากไปทันที โดยให้อีกร่างที่สลบไปก่อนนั้นนอนอยู่บนที่นอนโดยไม่ได้ทำอะไรเลย

.
.
.

“หมอ เข้ามาที่ห้องหน่อย เอาอุปกรณ์มาด้วย”

[มีปัญหาอะไร ร่างกายของนายมีอะไรผิดปกติ?]

“เปล่า ไม่ใช่ฉัน”

[...อีกสักพักฉันจะเข้าไป]

เมื่อเช้าของอีกวันมาถึง รีซเดินเข้าไปหาอีกคนที่เขาทิ้งไว้เมื่อคืนบนเตียงนอนใหญ่ หวังจะเรียกให้ตื่น แต่พอจับโดนตัวอีกร่างที่นอนสลบไสลอยู่นั้น แม้เขาจะไม่รู้สึกถึงความร้อนที่ว่านั่นแล้วก็ตาม แต่เพราะเขาเรียกเท่าไหร่หมอนี้ก็ไม่ยอมตื่น แถมใบหน้ายังซีดเซียว ได้แต่เพ้ออะไรฟังไม่รู้เรื่อง จนเขาต้องตัดสินใจโทรไปตามหมอพอลมา

.
.
.

เมื่อหมอพอลมาถึงรีซก็เปิดประตูให้เข้ามาดูอาการทันที ตอนแรกก็ให้ตรวจแค่ด้านนอกธรรมดา แต่เจ้าหมอนี่มันบอกว่าไข้ขึ้นสูงแถมยังอ่อนเพลีย กลัวจะตายไปซะก่อนเลยบอกอีกเรื่องและให้ตรวจด้านล่างด้วย

“ไม่คิดว่าครั้งนี้มันเกินไปรึไงครับ”

หมอพอลถอนหายใจ แล้วพูดขึ้นขณะคีบสำลีชุบยาบรรจงทาลงบนร่างกายของเฟิร์สที่ตอนนี้ ดวงตาที่ปิดนั้นดูบวมช้ำจนหน้าสงสาร ริมฝีปากเเตกเลือดแห้งกรัง ลำตัวเป็นริ้วแดง ลำตัวยังเป็นขนาดนี้ไม่อยากจะคิดถึงช่วงล่างที่เขายังทำใจตรวจไม่ลง

“ฉันรู้หน่ะ ว่าทำอะไรอยู่ แค่อยากพิสูจน์อะไรนิดหน่อย”
รีซที่ยืนมองอยู่ตรงปลายเตียง พูดขึ้นแล้วทำท่าจะเดินออกไป แต่ก็ต้องชะงักเท้าไว้เมื่อหมอพอลพูดขึ้นอีกครั้ง

,,ผมไม่ยุ่งเรื่องของนายอยู่แล้ว อยากทำอะไรก็ทำไป แต่ขอพูดอะไรหน่อยได้ไหมครับ ระวังนายจะตกหลุมตัวเองนะครับ”
หมอพอลพูดขึ้นทิ้งท้าย ยิ้มตาหยีตามแบบฉบับของตนส่งไปให้ แล้วพูดต่อช้าๆในใจ ‘...เพราะ ตอนนั้น คุณจะน่าสงสารจริงๆนะครับรีซ’

“ไม่มีทางหรอกหมอ เพราะผมน่ะ ...มันตายไปแล้ว” ว่าแล้วก็เดินจากไป ทิ้งให้หมอทำหน้าที่ของตนต่อไป



….

1 คอมเม้น = 1 กำลังใจนะคะ

หายไปไหนกันหมดนะคนอ่านคนเม้น :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 08-03-2016 14:00:05



me die

13 : แรงกดดัน กับข้อเสนอที่หมดอายุเร็ว


เช้าวันนี้เป็นเช้าที่สดใส ติวเตอร์ขับรถจากคอนโดกลับมาหาพ่อที่บ้านหลังจากเรียนช่วงเช้าจบ เพราะวันนี้เป็นวันเกิดพ่อของเขา หลังจากที่เศร้าเกือบสองเดือนที่ผ่านมาทั้งเรื่องแม่ทั้งเรื่องรีซเพื่อนรักที่เสียไปอยู่นานนับเดือน ติวเตอร์ก็ดีขึ้นบ้าง แต่วันนี้เป็นวันพิเศษ ติวเตอร์จึงยิ้มแย้ม อารมณ์ดี สดใสตลอดตั้งแต่เช้า เขาหวังว่างันนี้คงจะเจอแต่เรื่องดีๆทั้งวัน เขาจะทำให้พ่อของเขามีความสุขแม้จะอยู่ฉลองกันเพียงสองคน

“พ่อครับ อยู่รึเปล่าครับ เตอร์กลับมาแล้ว” ติวเตอร์พูดเสียงดัังตั้งแต่เดินเข้าบ้าน

“อะ อ้าว คุณหนู วันนี้วันอังคารกลับมาค้างที่บ้านหรอคะ”เสียงสาวใช้ในบ้านดังทักขึ้น

“เปล่าหรอกครับพี่แมว พอดีวันนี้วันเกิดคุณพ่อน่ะ เตอร์ก็เลยอยากพาคุณพ่อไปเที่ยว วันนี้คุณพ่อหยุดงานพอดีด้วยครับ แล้วนี่คุณพ่ออยู่ที่ไหนหรอครับ”ติวเตอร์พูดไปยิ้มไป ชะง้อคอมองหาพ่อในตอนท้าย

“อ เอ่อ คือ อยู่ห้องทำงานค่ะ ต แต่ คุณท่านมีแขก”น้ำเสียงตะกุกตะกักแปลกๆจากพี่แมว แล้วไหนจะหลบสายตายิ่งทำให้สงสัย

“ปกติวันหยุดคุณพ่อไม่คุยเรื่องงานนี่ครับ มีเรื่องอะไรที่เตอร์ไม่รู้รึเปล่า”ติวเตอเอียงคอถามสาวใช้อย่างน่าเอ็นดู สงสัยเพราะปกติถ้าวันหยุดพ่อของเขาจะไม่การนัดพบใครที่บ้านถ้าเป็นธุระทางธุรกิจ ถ้าถามว่ารู้ได้ยังไงก็คงจะเป็นเพราะคุณพ่อใช้ห้องทำงานรับแขกทั้งๆที่ไม่เคยน่ะสิ

“อ เอ่อ...”สาวใช้บ่ายเบี่ยง ตาลุกลิกไปมาดูน่าสงสัย

“ถ้าพี่แมวไม่บอกผมจะขึ้นไปดูนะฮะ”ติวเตอร์ขมวดคิ้วทำหน้าง้ำงอ

“คุณหนูอย่างอนพี่แมวเลยนะคะ คุณหนูคะ อย่าค่ะ คุณท่านห้ามใครรบกวนนะคะคุณหนู อย่าเลยค่ะ”

ติวเตอร์เดินขึ้นไปที่ห้องทำงานของพ่อตนทันที สาวใช้ทำหน้าตาตื่นตกใจวิ่งตาม แต่โดนติวเตอร์ห้ามตามขึ้นไปจึงต้องหยุดแค่ชั้นล่าง ได้แต่ทำสีหน้าไม่สู้ดีเหมือนจะร้องไห้ให้ได้


‘นายทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง’

‘เอาน่า นายจะเรื่องมากไปทำไม ตอนนี้นายทำได้แค่ทำตามที่ฉันบอกเท่านั้นแหละน่า ถ้านายไม่อยากล้มละลายน่ะ’

‘ไม่! นั่นลูกชายของฉัน ฉันจะไม่ให้ลูกชายฉันไปอยู่กับพวกเลวๆอย่างแกเเน่’

“คุณพ่อคุยกับใครอยู่เสียงดังออกมาข้างนอก แล้ว...ล้มละลาย?”ติวเตอร์ได้ยินเสียงดังแว่วออกมาจากห้องทำงานของพ่อเขา น้ำเสียงที่ฟังดูโกธรเกี้ยวทำให้ติวเตอร์เร่งฝีเท้าเดินตรงไปยังห้องทำงานของพ่อตนทันที

ก๊อก ก๊อก

“พ่อครับ นี่เตอร์เอง ขอเข้าไปได้ไหมครับ”อย่าหาว่าเขาเสียมารยาทเลย แต่คำว่าล้มละลายกับอีกหลายคำที่ได้ยิน ทำให้ไม่อาจทนฟังเฉยๆได้ มันต้องเกี่ยวกับบ้านเขาแน่นอย ไม่อย่างนั้น พ่อคงไม่โกรธหนักแน่ พ่อไม่ใช่คนที่จะตะคอกใครเด็ดขาด

“ไม่! ลูก! คือ เตอร์ครับ พ่อคุยธุระอยู่อย่าพึ่งเข้ามา”มือที่กำลังจะเอื้อมไปหมุนลูกบิดหยุดชะงัก คิ้วขมวดเข้าหากันอัตโนมัติ พ่อของเขาไม่เคยเสียงดังใส่เขาแบบนี้

“ฮ่าฮ่าฮ่า มาได้ถูกจังหวะพอดีเลยไอ้หนู ฉันว่านายควรให้ลูกชายสุดที่รักของนายมารับรู้นะว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกับบ้านหลังนี้”

“อย่า!...”

แกร๊ก!

“เข้ามาสิไอ้หนู” เสียงของชายคนนั้นดังขึ้น ติงเตอร์ตกใจผงะถอยหลังไปเล็กน้อยเพราะชายใส่สูทสีดำที่ไม่คุ้นหน้าที่มาเปิดประตู

“พ่อครับ ...มันเกิดอะไรขึ้น”หลังจากที่ประตูเปิด ติวเตอร์ก็ต้องตาโตอย่างตกใจ เมื่อเห็นพ่อของตนกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าชายอีกคนที่เขาจำได้ไม่เคยลืม นาย พงพัฒน์ พ่อของทาม ที่เป็นคู่ค้าคู่เเข่งกับพ่อของตนมาตั้งนานแล้ว ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้โซฟา ข้างๆคือ ทาม และชายใส่สูทสวมแว่นดำอีกสองคนยืนอยู่ด้านหลัง

“ไง~~ เจอกันอีกแล้วนะที่รัก ^^”ทามทักทายขึ้นทันทีเมื่อเห็นหน้าติวเตอร์ แล้วทำท่าจะเดินเข้ามาหา

“หยุด! อย่ายุ่งกับลูกชายฉัน!”ผู้เป็นพ่อลุกขึ้นวิ่งมายืนขวางติวเตอร์กับทามไว้ทันที

“พ่อครับ...”เสียงของติวเตอร์ดังขึ้นอีกครั้ง ดวงหน้ายังคงตกใจทั้งงุนงงกับเหตุการณ์ตรงหน้าไม่หาย

“อธิบายให้ลูกของนายฟังสิ กิติศักดิ์ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ลูกชายของนายคงจะอยากรู้ว่าทำไมพ่อของตัวเองถึงต้องนั่งคุกเข่าให้ฉันด้วย”เสียงของพงพัทธ์ดังขึ้นช้าๆ พร้อมกับใบหน้าที่แย้มยิ้มแทบจะตลอดเวลา สีหน้าแววตายียวนเหมือนกันทั้งพ่อทั้งลูก

เมื่อได้ยินดังนั้น ติวเตอร์ก็มองตามไปยังพ่อของตนอีกครั้ง รอคอยตำตอบจากพ่อดังนั้นเช่นกัน เขาก็อยากรู้มากๆเหมือนกัน ทั้งๆที่พ่อไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน

“อ เอ่อ คือ...คือลูกไม่น่าเข้ามาเลย คือ...เรื่องนี้พ่อจัดการเองได้”กิตติศักดิ์หลบสายตาติวเตอร์ที่มองมายังตน พูดตะกุกตะกัก สีหน้าบ่งบอกว่าลำบากใจที่จะพูด

“แล้วทำไมพ่อถึง...”

“บ้านนี้กำลังจะล้มละลาย พ่อของพี่เข้ามายื่นข้อเสนอให้ดีๆแต่พ่อของน้องติวเตอร์ไม่ยอมรับความช่วยเหลือน่ะสิ”

เมื่อเห็นว่าพ่อของติวเตอร์ไม่ยอมบอกแน่ๆจึงพูดให้ ด้วยใบหน้าที่แย้มยิ้มคล้ายๆจะสะใจไปด้วย สีหน้าของผู้ชนะ!

“อึก! ว ว่าไงนะ พ พ่อครับ ไม่จริงใช่ไหมครับ”หลังจากที่โดนเเทรกพูดไม่พอยังต้องตกใจหนักขึ้นเมื่อรู้ความจริง

“พ พ่อครับ”ติวเตอร์พูดด้วยเสียงสั่นคลอน น้ำตาเริ่มคลอในดวงตา

“พ่อจะจัดการเรื่องนี้เอง เตอร์ไม่ต้องห่วงนะลูก ขอพ่อจัดการเองนะครับ เตอร์ออกไปก่อนนะลูก”กิตติศักดิ์เองก็เริ่มดวงตาสั่นคลอน ได้แต่เก็บไว้แล้วพยายามดันหลังลูกชายออกจากห้อง

“น้องติวเตอร์ไม่อยากฟังข้อเสนอที่พ่อพี่ช่วยเหลือหรอครับ ครอบครัวของน้องติวเตอร์จะกลับมาอยู่สุขสบายเหมือนเดิมเลยนะ”

ติวเตอร์ที่กำลังจะเดินออกไปตามที่พ่อดันตนเองออกไป แต่เมื่อได้ฟังดังนั้น ขาก็หยุดชะงักทันที ติวเตอร์ค่อยๆเบนหน้าไปมองทาม

“ไม่ ติวเตอร์ เรื่องนี้พ่อจัดการเองได้จริงๆนะลูก”

“พ่อครับ เตอร์อยากฟัง...”

“ฉันจะรอคำตอบจากพวกนายละกัน ตอนนี้ฉันให้พวกนายสองพ่อลูกตัดสินใจกันเอาละกันนะ อ้อ อย่านานนักล่ะ ข้อเสนอของฉันมันทีหมดอายุ”ยังไม่ทันที่ทามจะอ้าปากบอก พงพัทธ์ก็ตัดบทพูดออกมาดื้อๆแล้วลุกขึ้นเดินนำออกไปคนแรก

“อ้าวกลับซะแล้ว งั้นไว้เจอกันนะครับ หวังว่าจะเลือกทางออกที่ดีนะที่รัก”ทามเดินผ่านแล้วก้มลงกระซิบข้างใบหูของติวเตอร์แล้วเดินตามพ่อของตนออกไป

“พ่อครับ ฮึก พ่อเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผมฟังได้ไหมครับ”หลังจากที่คนพวกนั้นเดินออกไปหมด ติวเตอร์น้ำตาไหลอย่างกลั้นไม่อยู่ สับสนงุนงงกับเรื่องทั้งหมด เอ่ยถามพ่อของตนทั้งน้ำตา พ่อของเขาก็ได้แต่โอบกอด แล้วค่อยๆเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมาให้ลูกของตนฟัง

ติวเตอร์รู้ดีว่าที่ครอบครับเขาล้มละลาย ต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับครอบครัวของทามแน่นอน

.
.
.

วันรุ่งขึ้นติวเตอร์กลับไปเรียนตามปกติ พ่อบอกให้เขาไม่ต้องห่วงเดี๋ยวจะจัดการเอง แต่ติวเตอร์ก็อดกังวลไปด้วยไม่ได้อยู่ดี

“เห้อ~ ถึงจะไม่ให้กังวลก็เถอะนะ แต่นี่มันก็จะ3วันแล้ว ในเวลาแบบนี้ ถ้า รีซ อยู่ด้วยก็คงดีสินะ”
ติวเตอร์นั่งถอนหายใจทิ้งมาทั้งวันตลอดตั้งแต่วันอังคารแล้ว เพื่อนๆในกลุ่มคอยพลัดกันอยู่ด้วยตลอดพยายามให้อยู่คนเดียวกระทั่งจะไปพักเป็นเพื่อนที่คอนโดด้วยซ้ำ แต่เพราะติวเตอร์บอกไม่เป็นไรจึงได้แต่ปล่อยไป ติวเตอร์เวลาเศร้าจะแสดงออกมาทางสีหน้าหมดแม้จะพยายามเก็บแค่ไหนก็ตาม

“ติวเตอร์จ๊ะ เห็นข่าวนี้รึยัง”
หญิงสาวเพื่อนในกลุ่มเดินเข้ามาหาแล้วนั่งลงข้างๆ ยื่นมือถือให้ติวเตอร์ดู

“!!” เมื่อเห็นหน้าข่าวธุรกิจก็ต้องตะลึง

[บริษัทธุรกิจพันล้าน...เตรียมเข้าสู่ขาลง นักร่วมทุนแห่ขายหุ้นบริษัท ลูกค้าถอดความไว้ใจเตรียมจ่อคิวอำลา กำไรหด ขาดทุนย่อยยับ จ่อแววล้มละลาย ...]

“เอ่อ มันเป็นข่าวลือน่ะ แต่เห็นว่าเตอร์น่าจะบอกให้พ่อจัดการคนปล่อยข่าวลือพวกนี้นะ แพรวาเห็นข่าวนี้จากคุณแม่ คุณแม่บอกว่าข่าวมันเริ่มกระจายจากงานประชุมบอร์ดบริหารเมื่อวาน เตอร์อย่าคิดมากนะ รีบจัดการคนปล่อยข่าวเดี๋ยวเรื่องมันก็ดีขึ้นเอง” เพื่อนสาวทำสีหน้าลำบากใจ หรือว่าบางทีเขาอาจจะไม่น่าเอามาให้ติวเตอร์อ่านกันนะ

“ติวเตอร์ โกรธแพรวารึเปล่า คือแพรวาขอโทษนะ” ยิ่งเห็นติวเตอร์นิ่งเท่าไหร่ หญิงสาวก็เริ่มทำตัวไม่ถูก สีหน้าบ่งบอกว่าจะร้องไห้ให้ได้

“อ๊ะ ไม่ ไม่โกรธหรอก เตอร์จะโกรธแพรวทำไม เตอร์ขอบคุณแพรวามากกว่านะที่มาบอกข่าว”

ติวเตอร์ตื่นจากภวังค์ตกใจ แล้วตอบหญิงสาวกลับ พยักหน้าตัดสินใจอะไรบางอย่างจึงเอ่ยปากออกไปอีก

“แพรวาช่วยเตอร์อีกอย่างได้ไหม”

“อะไรจ๊ะ ถ้าช่วยได้จะช่วยให้เต็มที่เลย” หญิงสาวแย้มยิ้มสดใส ใบหน้าแสดงอาการดีใจจนปิดไม่มิดด้วยหัวใจที่พองโต

“แพรวาช่วยบอกคุณแม่ให้ช่วยแก้ข่าวลือพวกนี้หน่อยนะ มันไม่ใช่เรื่องจริง ทางเตอร์เองก็จะจัดการจับคนร้ายให้ได้เลย” ติวเตอร์แย้มยิ้มเล็กน้อย จับมือหญิงสาวมากุมไว้เพื่อฝากความหวัง

“อ่ะ จ๊ะ แพรวาจะช่วยเต็มที่เลย แพรวาจะช่วยสืบนะว่าข่าวมาจากไหน ^///^” ใบหน้าขึ้นสีแดงเรื่อด้วยความเขินอาย เพื่อนสนิทคนนี้คิดมากกว่าเพื่อน แต่เธอก็พยายามปิดซ่อนความในใจเสมอมา

“ขอบคุณแพรวามากนะ เตอร์ก็จะทำให้เต็มที่เหมือนกัน” ว่าแล้วก็วางมือของหญิงสาวลง เธอก็ขอตัวเดินออกไป ติวเตอร์ยังคงนั่งนิ่ง เสมองออกไปด้านนอกอย่างไม่มั่นใจ แต่ในเมื่อเขาตัดสินใจแล้ว เขาก็ต้องลงมือทำ

‘เล่นกันแบบนี้ใช่ไหม ถ้าอยากได้ตัวผมนัก ผมจะจัดให้นายเอง ทาม”



1 คอมเม้น = 1 กำลังใจ นะคะ
 :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย ตอนที่ 14
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 14-03-2016 20:32:19


Me Die


14 : ความเจ็บปวดที่แสนยาวนาน II



ท่ามกลางแสงแดดที่สาดแสงส่องสว่างยามเที่ยงวัน ที่คนธรรมดาทั่วไปเวลาแบบนี้ไม่อยากจะมีใครอยากโดนแสงแดดที่ร้อนแรงนั้นแผดเผาเป็นแน่

รีซ ชายหนุ่มลูกครึ่งผู้มีใบหน้าหล่อเหลาคมคาย นั่งทอดกายอาบแสงแดดที่ร้อนแรงอยู่ที่ระเบียงห้อง ผิวสีขาวค่อนไปทางซีดสะท้อนแสงที่กระทบผิวหนังอย่างไม่รู้สึกถึงไอร้อนใดๆ ดวงหน้าเหม่อมองออกไปด้านหน้าอย่างไร้จุดหมาย

“แดดที่เคยร้อนมาก ทำไมเราถึงไม่รู้สึกถึงมันเลยนะ”

รีซยกแขนตนขึ้นมาดู พลิกซ้ายขวาไปมาช้าๆ แล้วยื่นมือออกไปไขว่คว้าแสงแดดตรงหน้า ใบหน้าเขาแสดงออกอย่างสิ้นหวัง แล้วค่อยๆลดมือลงวางในท่าเดิม

“ฉันกลายเป็นตัวอะไร...”

พูดออกมาช้าๆเสียงแผ่วเบา ดวงตาหม่นหมองไร้หนทางที่จะแก้ไขให้เป็นดังเดิม แล้วนั่งเหม่อมองออกไปด้านนอกโดยให้แสงอาทิตย์อันร้อนแรงแผดเผาให้เขารู้สึกได้บ้างเหมือนกับที่เคยเป็น เขาทำเช่นนี้ทุกวันด้วยความหวังที่ยากจะเป็นจริง


โครม!

“หึ! แต่ตอนนี้ฉันมีบางสิ่งที่ฉันรู้สึก สนุก ได้”

รีซยกยิ้มมุมปาก มือแกร่งหยิบหน้ากากสีขาวอันเดิมสวมใบหน้า แล้วลุกเดินย้ายกายตนเข้าไปในทันทีที่ได้ยินเสียง

.
.
.

ด้านเฟิร์ส

เมื่อลืมตาตื่น เปลือกตาที่หนักอึ้งทำให้อยากจะหลับลงไปอีกครั้ง แต่ไม่สามารถทำมันได้ เพราะเฟิร์สรู้ดีว่าเขายังอยู่ในที่ที่มีปีศาจอย่างมันอยู่ ไม่รู้ว่ามันผ่านมากี่วันกี่คืนที่เขาต้องอยู่ที่นี่ แต่เขาต้องหนี ต้องหนีเท่านั้น

เฟิร์สขยับกายลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก มือขาวลูบคลำบริเวณคอที่เคยมีโซ่เหล็กคล้องแต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว ใบหน้าฉายแววดีใจอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาสาดส่องมองหาไอ้ปีศาจนั่นด้วยใจระทึก เมื่อไม่เห็นแม้แต่เงาก็เเทบอาการลิงโลด

“อึก!”

มือขาวดันตัวเองขึ้น ยื่นเท้าลงวางที่พื้นอย่างรวดเร็ว ช่องทางด้านหลังที่อักเสพยังคงส่งผลทำให้รู้จักเจ็บแปลบไปทั้งร่าง ทั้งยังเวียนหัวที่นอนบ้างไม่นอนบ้างบวกกับร้องไห้มากเกินไป ไหนจะข้าวที่ไม่มีตกถึงท้องเลย ทำให้ไม่มีแรงเซจวนจะล้มเพราะลุกเร็วเกินไป เฟิร์สกัดฟันฝืนกายตัวเอง แล้วก้าวเท้าออกเดินตรงไปยังประตู ดวงตาก็สอดส่องไปมา ใบหน้าหันซ้ายขวาไปมาคอยระแวงว่าตนจะเจอกับไอ้ปีศาจนั่น

‘ใกล้แล้ว หลังประตูนั่นฉันจะเป็นอิสระ อีกนิดเดียว อดทนไว้’

เสียงร้องเตือนตัวเองดังขึ้นภายในใจ มือบางอ่อนแรงเอื้อมตรงไปด้านหน้า หวังจะให้ถึงลูกบิดประตู


โครม!

แต่ก็ไม่สามารถเอื้อมถึง ร่างกายอันอ่อนแรงที่สั่นไหว หมดแรงล้มลงใส่ชั้นวางของก่อนถึงหน้าประตูนิดเดียว เขาพร่ำบอกตัวเองในใจให้อดทน ขยับมือหยิบยกของที่ล้มระเนระนาดใส่ตนเองเสียงดังโครมก่อนหน้าออก แล้วค่อยๆยันกายตนเองยืนขึ้นอีกครั้ง เลือดข้นสีแดงฉานไหลออกจากหางคิ้วกลิ่นคาวเลือดเริ่มส่งกลิ่น รู้สึกวิงเวียนจะเป็นลมล้มไปอีกครั้ง ทำให้ต้องใช้มือดันผนังช่วยประคองร่างกายอีกแรง

“อิ อิสระ”

เสียงพร่ำบอกเตือนสติตนเองอีกครั้ง ดวงตามองไปยังประตูตรงหน้าอย่างแน่วแน่ เขาต้องเดินอีกไม่กี่ก้าว อิสระอยู่ไม่ไกล ต้องอดทน แม้คิ้วจะแตก รู้สึกหมดแรงอยากล้มลงนอนเหลือเกิน แต่ก็ต้องกัดฟันอดทน ขาเรียวก้าวเท้าออกเดิน

“อยากได้มากหรออิสระ” เสียงทุ้มใหญ่ดังขึ้นด้านหลัง

“เฮือก!!”

เฟิร์สตกใจตาโต ขาเรียวชะงักค้าง กายสั่นไหวด้วยความกลัว ขนลุกชันโดยไม่ทราบสาเหตุ ค่อยๆหันใบหน้าซีดเซียวกลับมามองช้าๆ ดวงตาสั่นระริก น้ำใสๆเรื่มคลอเต็มหน่วยตา ความหวังของเขามันหมดลงแล้ว

“มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกนะ”

รีซเอื้อมมือดุจน่ำแข็งไปกระชากแขนเฟิร์สแล้วลากกลับมาไว้ที่เตียงนอนด้วยความเร็ว เฟิร์สที่ร่างกายอ่อนแรงไม่อาจปฏิเสธได้จึงได้แต่กัดปากอดทนให้เดินตามไปทัน ดวงหน้าฉายแววสิ้นหวังอีกครั้ง น้ำตาใสๆเริ่มหยดลง เฟิร์สใช้หลังมือปาดน้ำตาทิ้งอย่างรวดเร็วไม่อยากให้ไอ้ปีศาจนี้มันดูถูกได้อีก

“คงจะไม่มีแรงสินะถึงไม่ต่อต้านอะไร ทั้งๆที่ปากเก่งมาตลอด หึ!”

เมื่อถึงห้องนอนรีซก็ผลักเฟิร์สไปด้านหน้า ร่างกายที่อ่อนแอหล่นไปกระทบกับที่นอนจึงไม่เจ็บเพิ่มมากมายนัก

เฟิร์สได้ยินดังนั้น ก็หันควับถลึ่งตาใส่อย่างไม่พอใจ แต่กลับเงียบไม่พูดอะไรออกมา

“ตอนนี้ฉันใจดี จะให้นายได้กินอะไรรองท้องละกัน...แต่ฉันคงต้องล่ามไว้เหมือนหมาสินะ นายถึงจะไม่หนี”

ใบหน้าเยาะเย้ยแสดงขึ้นภายใต้หน้ากาก ซึ่งนี่อาจจะดีสำหรับเฟิร์สเพราะมองไม่เห็นใบหน้าของรีซก็ได้ น้ำเสียงพอใจดังขึ้นช้าๆ ดวงตาสีแดงเสมองอย่างสะใจ มือแกร่งหยิบโซ่เหล็กขึ้นมาถือไว้ในมือ แต่โซ่ที่เตรียมไว้คราวนี้ยาวกว่าครั้งที่แล้วน่าจะถึงห้องน้ำได้

“ไม่ อย่าล่ามกู กูเป็นคนไม่ใช่หมูใช่หมา”
เสียงของโซ่เหล็กที่ก้องไปทั้งหัวหวนให้คิดถึงเหตุการณ์ที่เขาตกนรกทั้งเป็นก่อนที่สติจะดับวูบไป มันทรมานและยาวนานเกินจะทนรับไหวอีกแล้ว เฟิร์สยกมือขึ้นปฏิเสธพัลวัน ขยับกายถอยหนีอัตโนมัติ

“ก็เพราะเป็นคน โดยเฉพาะคนอย่างนาย หึหึ”

“ไม่!!”

มือแกร่งเอื้อมมือออกไปตรงหน้า เฟิร์สตาเหลือกโต ใช้มือปัดป่ายไปมา แต่สุดท้ายก็โดยล่ามไว้อีกครั้งอยู่ดี

เมื่อล่ามเสร็จรีซก็ถอยห่าง ลูกกุญแจถูกใส่สายยาวสวมคล้องคอตน ดวงตาเสมองเย้ยหยันในท่าทีที่หวาดกลัวของเฟิร์สแล้วเดินออกไป ส่วนเฟิร์สก็ได้ยกมือกอดตนเอง ความหวาดกลัวมันหนาวเหน็บจนทรมานไปหมด

เลือดสีแดงอุ่นยังคงไหลรินออกมาเรื่อยๆจากหางคิ้ว แม่ว่าแผลนั้นจะไม่ใหญ่มากนัก แต่สำหรับเฟิร์สแล้วมันเพิ่มความทรมานให้กับเขาอย่างมาก หลังจากนั่งกอดตัวเองมาสักพัก เขาก็คลายลง แต่ความเจ็บปวดทั้งหลายกับทวีขึ้น เฟิร์สรู้สึกวิงเวียนจนอยากจะหลับตาลงอีกครั้งให้ได้ แต่เขาหลับอีกไม่ได้ ไม่เช่นนั้นอาจจะพลาดโอกาสหนีอีกครั้ง

“คิดหนีอีกรึไง”

เสียงทุ้มใหญ่ดังขึ้นอีกครั้ง ในมือถือถาดใส่อาหารโดยมีฝาครอบปิดอยู่ น้ำหนึ่งขวด และผ้าสีขาวผืนเล็ก

“มะ ไม่ใช่”

เฟิร์สขยับกายถอยห่างเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามา ใบหน้ายังคงสงสัยในท่าทีที่นิ่งผิดจากปกติและหวาดกลัวไม่รู้ว่าอีกคนจะมาไม้ไหน

“กินสิ หึหึ”

รีซเดินไปวางถาดอาหารไว้ข้างๆเฟิร์สที่นั่งอยู่บนที่นอน เขารู้สึกดีที่เห็นท่าทางหวาดกลัวนั่น แล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ห่างจากเตียงนอนไปเพื่อรอเวลา

ดวงหน้ายังคงฉายแววไม่ไว้ใจ แต่ยังไงเขาก็ต้องกินเพื่อให้อยู่รอด มือเรียวเอื้อมออกไปตรงหน้า แต่ก็ต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายพูดขึ้นอีกครั้ง

“เดี๋ยว ซับเลือดนั่นซะ เห็นแล้วฉันอยากจะทำอย่างอื่นมากกว่าให้นายกินข้าวธรรมดา ไม่รู้รึไง ว่านาย..ดู..ดี...เวลาที่มีเลือดอยู่บนตัว หึหึ” รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นอีกครั้ง ทำไมเขารู้สึกสนุกจริงๆที่ได้เห็นท่าทางหวาดกลัวและเจ็บปวดเจียนตายจากมัน และที่พูดออกไปไม่ใช่แค่แกล้งแต่เขาอยากทำจริง แค่ยังไม่ใช่เวลานี้

“อ่ะ! โรคจิต!”

เฟิร์สรีบหมุนมือเปลี่ยนทิศทางไปคว้าผ้าสีขาวผืนเล็กนั่นมากดซับเลือดที่บาดแผล คิ้วขมวดชนกัน โมโหอย่างมากที่สุดที่ไม่สามารถตอบโต้ได้ แต่ก็ยังอดเบนสายตาไปมองอีกฝ่ายอย่างระแวงไม่ได้

“เสร็จแล้วก็กินซะ มื้อนี้ฉันอุตส่าห์แบ่งอาหารของฉันให้นายกินเลยนะ”
 
ดวงตาสีแดงจ้องมองมายังคนบนที่นอน ท่าทีนิ่งสงบผิดแปลกจากปกติที่โมโหร้ายเป็นประจำ

ดวงตายังคงมองสบกับอีกฝ่ายอย่างหวาดระแวง มือของเฟิร์สค่อยๆเอื้อมไปหยิบฝาครอบให้ค่อยๆเปิดออก

“นี่มัน ...เนื้อ ดิบ?” สีหน้างงงวยถูกส่งไปยังอีกคนที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้

“ใช่ นี่แหละอาหาร กินซะสิ”

น้ำเสียงเริ่มแปรเปลี่ยน ทุ้มใหญ่ช้าและเนิบ น่ากลัว

“กินไม่ได้ งั้น...กูกินแต่น้ำก็พอ...ขอบใจสำหรับอาหาร”

มือเรียววางฝาครอบอาหารลง เลิกโต้เถียง วันนี้เขาก็คงไม่ได้กินอะไร คงถูกมันแกล้งให้หิวอีกซินะ แล้วยื่นแขนจะไปหยิบขวดน้ำมาดื่มแทน

ตุบ!

“อ๊ะ!”

กายใหญ่ลุกจากเก้าอี้ ก้าวขารวดเดียวถึงตัวเฟิร์ส ปัดขวดน้ำหล่นจากมือล่วงลงสู่พื้น หกราดพื้นเปียกไปทั่ว เฟิร์สได้สะดุ้งตกใจผงะถอยหลัง

“กูบอกให้มึงกิน!”

เสียงใหญ่น่ากลัว ตวาดลั่น ยืนจ้องหน้าของเฟิร์สนิ่งงัน

“ไม่ได้ เนื้อมันดิบ กูกินไม่ได้ นี่หรออาหารมึง อยากทรมานกูมากกว่าล่ะสิ!” เฟิร์สทำใจกล้าเถียงกลับไป

“ใช่! นี่อาหารกู! เพราะมึงทำให้กูต้องกินแบบนี้ กลายเป็นตัวเหี้ยอะไรไม่รู้! กูกินได้มึงก็ต้องกินได้!”

บรรยากาศรอบด้านเริ่มเย็น อุณหภูมิลดต่ำลง รู้สึกถึงไอเย็นที่แผ่กระจายออกมาจากร่างกายสูงใหญ่ตรงหน้า มือแกร่งบีบแขนอีกร่างที่เล็กกว่าอย่างแรง

“โอ๊ย! พูดเรื่องเหี้ยๆพวกนี้อยู่ได้ กูรำคาญ! หยุดซักที! ปล่อยกู! กูเจ็บ! ปล่อย!”

แรงบีบที่มหาศาลทำให้เฟิร์สเจ็บจนน้ำตาคลอ เขาหงุดหงิดรำคาญเขาสับสนไปหมด เขาทนไม่ไหวแล้ว จนระเบิดอารมณ์กับไป ก้มหน้าปิดตาส่ายหัวไปมาอย่างกับคนบ้าที่ไม่ต้องการจะฟังอะไรแล้ว แขนที่ถูกบีบแรงขึ้นๆจนแทบจะหัก

“งั้นก็ไม่ต้องกิน!!”

“ทำเหี้ยอะไร! ไม่!!”

รีซคว้าถาดอาหารเหวี่ยงลงพื้นอย่างไม่ใยดี มือใหญ่คลายออกแล้วคว้าตัวเฟิร์สขึ้นโยนไปกลางที่นอนตามไปคล่อมทับทันที

“ไม่! ไม่เอาแบบนี้! กูจะกินแล้ว กูจะกิน”

เฟิร์สได้แต่กรีดร้อง ดิ้นไปมา ร่างกายที่อ่อนแรงก็แทบจะขยับต่อต้านไม่ไหว มือปัดป่ายไปมา ในใจก็ได้แต่ภาวนาให้อีกฝ่ายปล่อยตนไป

“หึ มึงไม่คิดว่า ‘ทุกอย่าง’ มันสายไปรึไง!”

รีซตวาดลั่นด้วยความโมโห ดวงตาสีแดงของเขาเปล่งแสงน่ากลัวออกมา

แคว่ก!!

“ไม่! ป ปล่อยกู!”

มือใหญ่กระชากเสื้อยืดเพียงตัวเดียวที่เฟิร์สสวมใส่ขาดออก เอาผ้าที่ขาดหลุดออกมาไปผูกตาของเฟิร์สไว้แน่น จับกายคนใต้ร่างให้พลิกคว่ำ มือถอดหน้ากากที่ใบหน้าตัวเองออกโยนลงพื้นอย่างไม่ใยดี

“ชันเข่าขึ้นมา! แล้วอย่าได้คิดจะเอาผ้านั่นออก”

เสียงเข้มดังลั่นขึ้นข้างหลังอีกคน มือที่ว่างก็ปลดเสื้อผ้าตัวเองออกจากตัวจนเปลือยเปล่า

“ฮึก! ไม่!”

น้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาเปียกชุ่มผ้าที่ปิดตาเป็นวงกว้าง ร่างกายอ่อนแรงสั่นระริก

“อยากเจ็บตัวเพิ่มรึไง! ชันเข่าเดี๋ยวนี้!!” เสียงเข้มตวาดลั่นอีกครั้ง

“ฮึก! ฮือ!”

ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ มีเพียงแค่เสียงสะอื้นไห้ กับร่างกายที่สั่นเทาไม่หยุด

“ได้! มึงเลือกเองนะ!”

มือใหญ่ที่เย็นดุจน้ำแข็งคว้าหมับเข้าที่เอวยกขึ้นอย่างรวดเร็ว ขาแกร่งก็ดันขาเรียวให้ถ่างออก แต่อีกฝ่ายก็พยายามจะหุบขากลับ แล้วเอามือมาปกปิดดันเขาออกจากด้านหลัง มืออีกข้างที่ว่างอยู่ของรีซก็จับแขนบางทั้งสองข้างรวบไว้ที่หลังแล้วกดให้ช่วงบนลงติดกับพื้นที่นอน

“โอ๊ย! เจ็บ! มันเจ็บ! ปล่อยกูนะ ฮึก!”

มือแกร่งอีกข้างจับมั่นที่เอวบาง ขาถูกดันให้อ้ากว้างกว่าเดิม แล้วกระแทกแก่นกายที่แข็งขืนเข้าไปรวดเดียวจนมิดด้าม

“อ๊าาาาา!!!!  เจ็บ! เอาออกไป ฮือ”

ความเจ็บปวดที่เเล่นริ้วจากช่องทางด้านหลังบวมช่ำที่ถูกกระแทกลงไปอย่างแรง กลิ่นคาวเลือดเริ่มฟุ้งกระจายจากการฉีกขาดเพิ่มขึ้น ร่างกายชาไปทั้งร่าง น่ำตาไหลเปียกท่วมผ้าผูกตา น้ำใสๆไหลย้อยจากปากลงสู่ที่นอนเป็นทางยาว

“หึ!”

เมื่อสอดใส่เข้าไปก็ไม่รอช้า เริ่มขยับแก่นกายตัวเองเข้าออกทันที ทุกครั้งมันรุนแรงและป่าเถื่อน

“อะ อ๊ะ อือ ฮึก”

ร่างกายสั่นระริก น้ำตาไหลเปียกท่วมไปทั้งหัวใจ ผิวกายสีขาวเริ่มแดงจากมือใหญ่ที่คอยนวดเฟ้น

“อืม ดีหนิ”

มือใหญ่ปล่อยสองมือของคนใต้ร่างออก จับมั่นเข้าที่สะโพกมนแล้วกระแทกอย่างบ้าครั่ง

“จ เจ็บ อะ ฮือ”

ร่างกายที่ไม่อาจต่อต้านหรือหลีกหนี ได้แต่โอนอ่อนทำตามที่อีกคนต้องการ ทั้งกายสั่นสะเทือน ขยับไหวตามแรงกระแทกของคนด้านบนเจ็บปวดไปจนถึงขั้วหัวใจ ได้แต่ร้องครวญครางภาวนาให้เรื่องจบลงเร็วๆ

“อ๊ะ จะ จะเสร็จ อือ”

ร่างกายของเฟิร์สไหวสั่นต้องการจะปลดปล่อย

“หึหึ ยังก่อน”

มือแกร่งเอื้อมไปคว้าแก่นกายของเฟิร์สแล้วกำไว้ ไม่ให้ปลดปล่อย ร่างกายของเฟิร์สกระตุกเกร็งอย่างทรมาน

“อ้อนวอนกูสิ ขอร้องกู ถ้ามึงยากปลดปล่อยพูดออกมาซะ!”

รีซยกยิ้มมุมปากรู้สึกสนุกสนาน มือที่กำแก่นกายของเฟิร์สไว้ก็ขยับไหวอย่างกลั่นแกล้ง

“อ๊า ข ขอร้อง ให้กูปล่อย”

“ไม่ผ่าน พูดเพราะๆหน่อยสิ หึหึ”

น้ำเสียงที่ฟังดูสนุกสนาน ยังคงดังขึ้นต่อเนื่อง กลั้นแกล้งคนใต้ร่างที่ต้องการหลุดพ้นจากความปรารถนาอันทรมาน

“อือ ฮึก ให้กู อึ้ก!”

ได้ยินคำที่ไม่ถูกใจตน มือใหญ่ก็บีบกดแก่นกายของเฟิร์สอย่างแรง จนขึ้นสีแดงระเรื่อไปหมด น้ำใสๆไหลย้อยจากมุมปาก ครางฮือด้วยความเสียวและเจ็บปวด

“ให้ผม ปล่อย เถอะครับ ขอร้อง”

“ก็ทำได้หนิ”

“อ๊าาาา!”

ร่างกายของเฟิร์สกระตุก ปลดปล่อยสายน้ำขาวขุ่นพวยพุ่งเต็มที่นอน ไม่หลงเหลือเรี่ยวเเรงต่อต้าน โอนอ่อนไปตามที่ถูกชักนำ ภายในใจได้แต่ร่ำร้องเจ็บปวด สร้างบาดแผลที่ไม่อาจลืมเลือนครั้งแล้วครั้งเล่า

“หึ ทำหน้าตาใช้ได้ ต่อไปตากูแล้วนะ”

“อ๊ะ!”

“จำไว้! ว่าตอนนี้กูเป็นเจ้าของชีวิตมึง”

เฟิร์สสลบไปในรอบที่สองเพราะร่างกายที่อ่อนแอจนรับอะไรไม่ไหว แต่กิจกรรมอันหนักหน่วงก็ดำเนินต่อไปอีกพักใหญ่ๆ กว่าจะสงบลง




....
เม้นๆกันบ้างสิตัวเอง คิดถึง :mew2: :mew2:

หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: rosetears ที่ 23-03-2016 21:47:27
 :mew6:นายเอกน่าสงสารมากค่าไรเตอร์
แนวเรื่องแปลกแหวกแนวแต่สนุกแล้วก็น่าติดตาม
#เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 23-03-2016 22:43:50


me die

 

15 : ปีศาจกินฝัน

 

 

ภายในห้องนอนบนคอนโดชั้นสูงแห่งหนึ่ง มีชายหนุ่มร่างสูงผู้มีนัยตาสวยงาม ใบหน้าคมสันเกลี้ยงเกลา ผิวขาวซีด อุณหภูมิภายในที่ต่ำกว่าคนธรรมดา และอาจจะมีพละกำลังที่มากกว่าคนทั่วไป กำลังยืนนิ่งค้างอยู่ปลายเตียงมาเป็นเวลานานหลายชั่วโมงแล้ว

 

ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังอีกคนที่นอนหลับตาสนิท ใบหน้าซีดเซียว ร่างกายเปลือยเปล่าที่บอบช้ำเป็นจ้ำแดงๆ บ้างก็ขึ้นสีเขียว หรือช้ำม่วงเลยก็มี ผ้าห่มผืนหนาที่ปกคลุมร่างกายแต่ก็โผล่พ้นออกมาให้เห็นเด่นชัดอยู่ดี ร่างบางสั่นสะท้าน เหงื่อไหลท่วมกาย แต่ปากยังคงละเมอว่าหนาวๆอยู่ตลอดเวลาดูน่าสงสารจับใจ ยกแขนสั่นๆกกกอดร่างกายตน กันความหนาวเย็นจากพิษไข้ตลอดเวลา

 

ไม่รู้ว่าชายร่างสูงนั้นยืนอยู่แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่รู้ว่านานแค่ไหน เขาไม่รู้เท่านั้นเองว่าจะต้องทำอย่างไร สมองไตร่ตรองคิดไปมาสับสนว่าเขาควรปล่อยให้อีกคนที่นอนหลับไหลอยู่บนเตียงหายไปไหม หรือจะสงเคราะห์ไม่ทรมานมากไปกว่านี้

 

“อย่าให้ถึงตายนะครับ ถือว่าผมขอ ยังไงเขาก็เป็นคน ...คุณเองก็เคยเป็น น่าจะพอยังจำได้ ว่าคนข้างหลังที่เหลืออยู่เขาต้องเจ็บปวดแค่ไหน”

 

รอยยิ้มที่ประดับใบหน้าและน้ำเสียงเคร่งขรึมที่คล้ายๆจะสอนของหมอหนุ่มก่อนกลับออกไปในครั้งนั้น ยังคงดังขึ้นต่อเนื่องอยู่ภายในหัวเขาตอนนี้

 

“แล้ว...ฉันจะรู้ได้ไงวะหมอ ว่าตัวมันหายร้อนแล้ว...”

 

เขาพูดออกมาเบาๆกับตัวเองเท่านั้น ชายหนุ่มร่างสูงที่สูญเสียความรู้สึกทางกาย ไม่ว่าจะเกิดบาดแผลใดๆทางร่างกายเขาก็ไม่รู้สึกเช่นเดิมอีก ร่างกายของเขาเป็นเพียงก้อนน้ำเเข็งที่เดินได้เท่านั้น แต่มันก็พิเศษอยู่บ้างตรงที่เขาสั่งให้ทำอะไรมันก็ยังคงเคลื่อนไหวได้ดี ซึ่งอาจจะดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะชอบมัน เขาต้องการเพียงชีวิตที่สุขสงบเหมือนเดิมกับมาเท่านั้น

 

“...ช่างมันสิ ไม่ใช่เรื่องของฉันสักหน่อย”

 

ดวงตาจ้องมองไปยังอีกคนที่นอนอยู่อย่างสงบนิ่งสักพักใหญ่ แล้วจึงเอ่ยน้ำเสียงเย็นชาออกจากปากอีกครั้ง จากนั้นก็หันหลังก้าวเท้าเดินออกจากห้องนอน

 

“...ฉัน...ไม่ได้ ตั้งใจ...อึก”

 

เสียงแหบสั่นบางเบาที่ดังขึ้นมาจากอีกร่างที่ยังคงนอนหลับสนิทอยู่บนที่นอน ทำให้ขายาวที่กำลังจะก้าวออกไปหยุดชะงัก ภายในหัวเริ่มตีกันอีกครั้ง เขารู้ว่าเขาอาจจะทำเกินไป แต่อีกนัยหนึ่ง เขายิ่งเห็นมันเจ็บปวดเขาก็ยิ่งมีความสุข ยิ่งเห็นน้ำตาเขายิ่งรู้สึกสนุก ตอนนี้ภายในหัวของเขากำลังตัดสินใจเลือกบางอย่างอยู่...เขายังให้อภัยไม่ได้

 

“หึ! ก็ได้ ฉันจะใจดีกับนายหน่อยแล้วกันนะ เดี๋ยวจะตายไปซะ”

 

ดวงตาเหล่มองไปยังคนบนที่นอน หัวเราะหึออกมา ยกยิ้มขึ้นมุมปาก เหมือนตัดสินใจได้ แล้วหันหลังเดินออกจากห้องไป

 

.

.

 

รีซเดินกลับเข้ามาภายในห้องอีกครั้งด้วยสภาพเปลือยเปล่าผ้าขนหนูพันขอบเอวหมิ่นเหม่ ในมือถือหน้ากากใบเดิมเข้ามาด้วย แล้ววามันลงไว้หัวเตียง สองมือใหญ่ยื่นลงไปปลดโซ่ที่คล้องคออีกคนออก แกะผ้าที่ปืดตา ถอดเสื้อยืดที่ขาดรุ่งริ่งทิ้งอย่างช้าๆ จนเฟิร์สเหลือแต่ร่างกายเปลือยเปล่าที่เต็มไปด้วยรอยแดงทั้งยังเขียวช้ำจากการถูกย่ำยี

 

“หึหึ ฉันรู้สึก สนุก จนหุบยิ้มไม่ได้แล้วสิ”

 

สองมือค่อยๆประคองร่างอีกคนอย่างเบามือเท่าที่เขาจะคิดว่ามันจะเบาได้ เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะตื่นขึ้นมาก่อนที่แผนเขาจะสำเร็จ แล้วช้อนตัวบางอุ้มขึ้นในท่าเจ้าหญิง เดินตรงไปยังห้องน้ำ

 

สองมือแกร่งค่อยๆบรรจงวางร่างกายเปลือยเปล่าที่บอบช้ำลงที่อ่างน้ำช้าๆ ยืนขึ้นเต็มความสูง แล้วเหลือบตาลงต่ำจ้องอีกคน มุมปากถูกยกยิ้มอย่างสนุกสนาน

 

“ดูดีจริงๆ นายต้องขอบคุณฉันนะที่ให้นายได้อาบน้ำ เวลาต่อจากนี้แค่นายต้องตื่นมาก่อน จะ จม น้ำ ตาย หึหึ”

 

.

.

.

 

[เฟิร์ส]

ดวงตาคู่สวยกระพริบตื่นขึ้น ท่วมกลางเมฆหมอกสีขาวที่อบอุ่น เหลือบมองซ้ายขวาอย่างช้าๆ ภายในห้องนี้เป็นสีขาว เฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดล้วนเป็นดังปุยเมฆสวยงาม

 

“ที่นี่สวยจัง เอ๊ะ นั่น...”

 

ผมได้แต่จ้องมองไปยังตัวเองอีกคนที่นั่งเล่นอยู่บนเตียงนอนอย่างตะลึง กายบางสวมเสื้อเชิ้ตตัวยาวคลุมกายเพียงตัวเดียวเท่านั้น แต่เขาคนนี้กับดูมีชีวิตชีวา สวยงามราวกับคนละคน เหมือนไม่ใช่ผม

 

ด้วยความแปลกใจผมจึงตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้ๆอีกคน เอ่ยปากเรียกเบาๆ

 

“นี่นาย ฉันอีกคนน่ะ ได้ยินรึเปล่า ตอบฉันสิ”

 

จากเบาๆจนดังขึ้น ดังขึ้น เรียกอยู่นาน แต่ร่างนั้นก็ไม่ตอบโต้ใดๆ รอยยิ้มเศร้าพุดขึ้นบนใบหน้า ‘ที่นี่ ความฝันสินะ’ กับความคิดที่ดังขึ้นภายใน ความฝันที่เขาแค่เล่นตามบท ความฝันที่มีความสุขแต่เมื่อตื่นขึ้นเขาต้องเจอกับสิ่งเลวร้าย

 

 

ก๊อก ก๊อก

 

{ผมเข้าไปได้ไหมเฟิร์ส}

 

{เชิญครับ}

 

ผมยืนเหม่อจมอยู่กับความคิดตัวเองสักพักหนึ่งก็สะดุ้งตกใจเมื่อได้ยินเสียงคนอื่นอีก ผมหันไปมองอีกคนที่ตอนนี้ ทันทีที่ได้ยินเสียง อีกคนที่อยู่บนที่นอนก็เอ่ยตอบรับไปความเคยชินพร้อมกับรอยยิ้มมีความสุข จนผมแปลกใจ แล้วค่อยๆขยับกายหย่อนตัวนั่งริมเตียงนอนเหมือนรอให้อีกฝ่ายเปิดประตูเข้ามาเองด้วยความเคยชิน ใบหน้าก็แสดงอาการดีใจจนปิดไม่มิด

 

“ใครกัน? ทำไมเราถึงดีใจขนาดนั้น”

 ด้วยความสงสัยผมจึงเบนสายตาจ้องมองไปยังประตูนั่นเขม็ง คิ้วเรียวขมวดนิดๆ

 

 

แอ๊ดดดด

 

เมื่อประตูถูกเปิดออกช้าๆ ก็ปรากฎชายหนุ่มร่างสูงคุ้นหน้า ผมรู้สึกแปลกใจหนักขึ้นไปอีกจนคิ้วขมวดกันเป็นปม จ้องเขม็งไปยังชายผู้มีรอยยิ้มประดับหน้า ดวงตาสองสีเปี่ยมเสน่ห์เด่นชัด กายใหญ่สวมผ้ากันเปื้ิอนน่ารัก เดินถือถาดอาหารหอมฟุ้งเข้ามาให้อีกคนที่นั่งรออยู่ริมเตียงนอน

 

“คุณ...ไมค์ หรอ ทำไม...ผมกับคุณถึง อะไรกัน...”

 

ผมยืนนิ่งค้างด้วยความตกตะลึงได้แต่มองดูทั้งคู่สนทนากันต่อไป

 

{ทำอะไรอยู่ครับคนเก่ง ผมทำอาหารมาให้}

 

รอยยิ้มดูมีความสุขถูกฉีกยิ้มกว้างขึ้น เอ่ยถาม ขณะวางถาดอาหารลงบนโต๊ะข้างเตียง

 

{ขอบคุณนะครับ}

 

รอยยิ้มหวานจากผมอีกคนยิ้มส่งกับไปอย่างเคย ด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุข ตาเป็นประกายแวววาว

 

คนทั้งสองมองตากันหยาดเยิ้ม สายตาดึงดูดกันและกันให้เข้าใกล้ แล้วค่อยๆโน้มกายเข้าหากันช้าๆ ประทับรอยจูบแสนหวานลงบนริมฝีปากของกันและกันเนิ่นนาน และผละออกจากกันอย่างอ้อยอิ่ง ใบหน้าเปี่ยมสุขและเสียดายในรสจูบนั้นที่แสดงออกอย่างชัดเจน

 

ตอนนี้ผมทำได้แค่ตลึง อึ้ง และงุงงง จ้องมองทั้งคู่ตาค้าง “นี่คือความฝัน แต่...คุณไมค์ ทำไมผมกับคุณถึงดูรักกันขนาดนี้”

 

{ทำไมยังแต่งตัวเเบบนี้อยู่ล่ะครับ หรือว่าเฟิร์สยังไม่อยากกินข้าว อยากกินอย่างอื่นมากกว่า}

 

รอยยิ้มเจ้าเล่ห์จากชายหนุ่มร่างสูงถูกส่งไปยังอีกฝ่ายที่เมื่อได้ยินคำเชิญชวนก็จงใจยิ้มให้อย่างยั่วๆ มือบางลูบไล้ต้นขาของตนขึ้นมาช้าๆจนมาหยุดอยู่ที่ชายเสื้อแล้วไล้ให้มันเปิดขึ้นอีกเผยให้เห็นต้นขาขาวเนียน

 

“เฮ้ย! ฉันไม่มีทางทำแบบนั้นเด็ดขาด”

 

ผมอึ้งทันทีที่เห็นภาพนั่น จากที่ตกใจจนอึ้งก็พลันขนลุกเกรียว สะบัดหัวไปมาไล่ภาพน่าเกลียดออกไป “ทุกอย่างที่นี่ตอนนี้เป็นแค่ฝัน ถึงจะเหมือนเรื่องจริงก็เหอะ ฉันก็ไม่คิดจะทำแบบนั้นเด็ดขาด”

 

{หึหึ เข้าใจแล้วครับคนดี}

 

มือแกร่งของไมค์ลดผ้ากันเปื้อนตนลง ไล่ปลดกระดุมเสื้อตนช้าๆจนหมด สบัดออกจนเผยให้เห็นกล้ามหน้าท้องเป็นรอนสวยงามตัดกับผิวขาวดูเซ็กซี่ ผมได้แต่ตะลึงงัน ตาโตเท่าไข่ห่านไปแล้ว

 

แต่ทว่าเท้าแกร่งที่ขยับออกมาด้านหน้ากับไม่ได้ตรงไปยังคนบนที่นอน แต่ตรงมายังผม! ผมที่เป็นผมตัวจริง!

 ดวงตาสองสีดังเปลวไฟที่ร้อนแรงและน้ำทะเลอันสงบสุขกำลังจ้องมองมายังผม พร้อมกับรอยยิ้มอบอุ่นแสนยั่วเย้าที่ส่งมาทำให้ใจเต้นแรง

 

“เฮ้ยๆ ผิดคนแล้ว”

 

ผมได้แต่เบิกตาให้กว้างขึ้นอีก ขยับกายถอยหลัง เขาไม่เห็นผมไม่ใช่หรอ

 

{ไม่ผิดแน่นอน เฟิร์สของผมมีคนเดียวผมจำไม่ผิดหรอก แล้วก็เฟิร์สครับ จะหนีผมไปไหน เป็นคนยั่วเองแท้ๆนะ หึหึ”

 

ด้วยความตื่นตะลึง ผมจึงหันหลังและกำลังจะวิ่งหนี แต่โดนอีกฝ่ายจับได้ซะก่อน ไมค์จับผมขึ้นพาดบ่าแล้วก้าวตรงไปยังเตียงกว้าง ผมก็ได้แต่ร้องโวยวาย พอถึงเตียงผมก็ถูกโยนลงเตียงโดยอีกฝ่ายตามมาคร่อมทันที

 

ร่างสูงก้มลงซุกไซร้ซอกคอ ขบเม้มไล้วนแถวหน้าอก ผมได้แต่หลับตาปี๋ครางฮือในลำคอด้วยความสยิว

 

สองมือของผมถูกรวบขึ้นไปไว้ด้านบนโดยอีกฝ่ายใช้มือข้างเดียวกดทับไว้ ลิ้นเย็นๆของเขาลากไล้ผ่านทั่วลำคอ ไล่ลงมาด้านล่างช้าๆ จนมาหยุดอยู่ตรงตุ่มไตที่แข็งขืนสู้ ไล้วนไปมาพร้อมทั้งขบเม้มจนเกิดรอย มือก็ไล้วนผ่านลำตัว ทั้งเสียวทั้งเย็น สยิวจนผมหยุดครางไม่ได้

 

แต่...เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมไมค์ตัวเย็นเหมือนกับ...

 

“มะ มึง! ไอ้ปีศาจ!”

 

“ว่าไง กำลังสนุกเลยไม่ใช่หรอ หยุดครางทำไมล่ะ หึหึหึ”

 

“ป ปล่อย ทำไมเป็นมึง ไม่ใช่สิ ช่างมัน ปล่อยกูนะ”

 

“คิดจะหนีไปจากกูมันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกนะ ไม่ว่ามึงจะฝันสวยหรูแค่ไหนกูก็จะลากมึงออกมา แม้ว่ามึงจะตายกูก็จะตามไปฉุด และไม่ว่ามึงจะหนีไปไหนกูสาบาน! ไม่ว่าจะนานแค่ไหนกูจะตามล่ามึงให้เจอ เพราะกูบอกมึงแล้ว กูเป็นเจ้าของชีวิตมึง! ถ้ากูไม่อนุญาติให้มึงไปไหนมึงต้องอยู่กับกู! หึหึหึ”

 

“แล้ว คุณไมค์ล่ะ คุณไมค์!”

 

ผมสบัดตัวออกจากการถูกคร่อมจากปีศาจนั่น มันก็ปล่อยโดนดี ผมหวาดหวั่นถอยหนี ดวงตาสาดส่องซ้ายขวามองหาคุณไมค์

 

โครม!

 

“เลือด! เลือด!!”

 

ผมถอยหลังไปเรื่อยๆจนลื่นล้ม มองต่ำลงไปก็ต้องตกใจ มีกองเลือดไหลเจิ่งนองเต็มพื้น ใจผมสั่นระรัว ทำใจกล้าค่อยๆมองตามเลือดที่ไหลขึ้นไปยังที่มันไหลมาช้าๆ ช้าๆ

 

เฮือก!!

 

“คะ คุณ ไมค์”

 

ภาพของคุณไมค์นอนจมกองเลือด ดวงตาสองข้างมองมายังผม มือยื่นตรงมาหาผมช้าๆสั่นอย่างอ่อนแรง ปากพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ไม่มีเสียง บริเวณคอถูกปาดขาดครึ่งเป็นทางยาวปากแผลเปิดกว้างเห็นด้านใน เลือดไหลทะลักราวเขื่อนแตก คุณไมค์พยายามใช้แรงเฮือกสุดท้ายเปล่งเสียงออกมา เลือดไหลออกจากหูปากและตาของคุณไมค์เป็นทางยาวดูน่ากลัว สายตาเป็นห่วงจับจ้องมาที่ผม แล้วสิ้นลมลงต่อหน้าต่อตาผมไป

 

“ห หนี ปะ”

 

เสียงของคุณไมค์ยังคงดังก้องในหัวของผม แต่ผมไม่มีสติพอที่จะทำอะไร นอกเสียจากยืนตะลึง

 

เคร้ง! (เสียงโซ่เหล็กกระทบพื้น)

 

“ได้เวลากลับไปที่ของเราแล้ว ทาสของฉัน หึหึหึ”

 

“ไม่!!!!”

 

[เฟิร์สจบ]

 

 

 

“อึก! O.O”

 

จ๋อม จ๋อม

 

เฟิร์สที่สะดุ้งตื่นจากฝัน ด้วยความที่มีน้ำอยู่เต็มอ่าง จากที่จะหายใจเอาอากาศเข้ากลายเป็นเอาน้ำเข้าปอดเต็มๆ จนต้องตะเกียดตะกายด้วยความกลัวตายขึ้นมาหายใจ

 

“เฮือก! แห่ก แห่ก”

 

เขาหอบหายใจโยน ตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ มือไขว่คว้าออกไปด้านหน้าหาอิสรภาพอย่างโหยหา ตัวเซถลาเพราะร่างกายอ่อนแรง จนต้องเกาะขอบอ่างน้ำเอาไว้แน่นกันล้ม น้ำในอ่างไหลล้นออกมาจากอ่างลงสู่พื้นเจิ่งนองไปหมด

 

“อึก ฮึก ฮือ”

 

ร่างบางสำลักน้ำ หูตาแดงไปหมด หายใจเอาอากาศเข้าปอดอย่างแรงกลัวว่าจะไม่ได้หายใจอีก เขาขยับกายชิดขอบอ่าง หันหลังพิงอ่างอย่างหาที่พึ่งพิง สองมือค่อยๆปล่อยจากขอบอ่างมากอดตัวเองไว้ ร่างบางสั่นไหวไปทั้งร่าง ก้มหน้าร้องไห้ น้ำไหลปนไปกับน้ำอย่างน่าสงสาร


 

 







...

*โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

เนื้อหามีความรุนแรง โปรดแยกแยะด้วย

เนื้อหาและตัวละครเป็นเพียงเรื่องที่เเต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น



...

1 คอมเม้น = 1 กำลังใจ



 เม้นๆบ้างนะคะ จะได้นำมาปรับปรุง




:mew6:นายเอกน่าสงสารมากค่าไรเตอร์
แนวเรื่องแปลกแหวกแนวแต่สนุกแล้วก็น่าติดตาม
#เป็นกำลังใจให้ค่ะ
จริงๆแล้วพระเอกเราไม่ได้ใจร้ายนะ เชื่อมั้ย

- ขอบคุณสำหรับคอมเม้นนะคะ
เกือบถอดใจไม่ลงแล้วเชียว ^^
แอบน้อยใจ  :mew2:
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: shannara ที่ 24-03-2016 01:36:05
รออ่านค่ะ
 :katai4:
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: ปุกปิกกุกกิกไปตามสไต ที่ 24-03-2016 19:01:34
นอนนี้ชักจะสงสารเฟิร์สเเล้วง่าไม่เเรงไปหน่อยหรอรีซ
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: rosetears ที่ 25-03-2016 00:05:40
มารอลุ้นนู๋เฟริส เราว่าคุณไมค์เนี้ยกับรีซเนี้ยต้ิองมีอะไรเกี่ยวข้องกันแน่นอน ลุ้นๆ
#ไม่ทิ้งนิยายเรื่องนี้แน่นอนค่ะ
#พระเอกนิยายเรื่องนี้ไม่โหดร้าย~ จาเชื่อดีไหมน๊า อิอิ แต่เราชอบพระเอกแนวนี้นะ ^____^
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 25-03-2016 21:49:47


me die


16 : ใจดี?



“ฉันไม่ควรอ่อนแอ เลิกร้องไห้ได้แล้ว”

เฟิร์สพร่ำบอกกับตัวเองซ้ำไปซ้ำมา สักพักพอได้สติก็เลิกร้องไห้เงยหน้ามองไปรอบๆไม่เห็นใคร จึงรีบล้างตัวหลังจากไม่ได้อาบน้ำมานาน พอสติกับมาครบ บริเวณด้านล่างและแผลอื่นๆตามตัว แสบร้อนไปหมดเมื่อสัมผัสกับน้ำ

มือเรียวลูบไล้ไปตามร่างกายตัวเองเพื่อทำความสะอาดอย่างเร่งรีบ ยันกายขึ้นนั่งขอบอ่างช้าๆ บีบสบู่ถูบนเรือนร่างจนเกิดฟอง ไล้วนผ่านผิวกายขาวๆตั้งแต่ลำคอผ่านหน้าอกจนทั่วร่าง ใบหน้าเหยเกทุกครั้งเมื่อฟองสบู่บาดโดนแผลตามร่างกาย

สองมือที่ชุ่มฟองค่อยๆประคองร่างตนเองลงไปแช่น้ำในอ่างอีกครั้งเพื่อล้างตัว ซี๊ดปากกัดฟันทนทุกครั้งที่เเสบแผล เมื่อลงไปทั้งตัว สองมือก็ทำหน้าที่ล้างคาบไคลสบู่ออกจากกายอย่างเร่งรีบ เมื่อจัดการทุกส่วนเสร็จ เขาก็นั่งทำใจ ใบหน้าเป็นกังวลฉายชัดออกมา ดวงตามองต่ำลงด้านล่างอย่างลังเล

เฟิร์สขยับกายถอยชิดขอบอ่าง อ้าขาตนออกกว้าง มือบางค่อยๆหย่อนลงไปใต้น้ำ นิ้วเรียวค่อยๆขยับแทรกผ่านช่องทางบวมช้ำทีละน้อยๆ

“อ๊าา”

ขยับเข้าไปควานวนหาน้ำขาวขุ่นที่อีกฝ่ายปลดปล่อยในร่างกายตนออกมา ใบหน้าเหยเกกัดปากสกัดกั้นความเจ็บปวด ทุกๆครั้งที่นิ้วเรียวผ่านเข้าออกจะผสมความเจ็บปวดและน่าอับอายออกมาด้วย จนน่ำตาแห่งความอับอายไหลรินออกมาจากดวงตาอีกครั้ง

“ทำไมเป็นแบบนี้ ฮือ...ฉันไม่ควรอ่อนแอ ฮึก ฉันต้องเข็มแข็ง”

.
.
.

เฟิร์สลุกจากอ่างน้ำ โดยมีผ้าขนหนูห่อหุ้มกาย หยาดน้ำมากมายหยดเปียกเต็มพื้น มือเรียวสั่นไหวค่อยๆยื่นไปจับลูกบิดประตู ใจเต้นโครมครามด้วยความตื่นเต้น

‘มันจะอยู่ไหม’ คำถามที่ถามตัวเองในใจก็ดังวนไปมา ค่อยๆหมุนบิดประตูแง้มดูเล็กน้อย ใช้สายตาสอดส่องไปมา เมื่อไม่เห็นอีกคนจึงเปิดกว้างขึ้น ยื่นหน้าออกไปมองหาอีกครั้ง ก็ยังไม่เห็น อีกมือกระชับผ้าเช็ดตัวที่ห่อหุ้มกายแน่นขึ้น หมุนจับประตูเปิดกว้างแทรกกายตัวเองมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตู ใจเต้นแรง สายตาก็กวาดไปทั่วหาอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา จนแน่ใจว่าไม่ได้อยู่บริเวณนี้ จึงเร่งสาวเท้าเดินตรงไปยังเตียงนอนทันที

“เอ๊ะ นั่นมัน ชุด? เตรียมให้ฉัน? ...ไม่ใช่หรอก”

บนเตียงนอนมีชุดๆหนึ่งวางปลายเตียง แต่เขาเลือกที่จะไม่หยิบใส่ เดินไปคว้าเสื้อยืดตัวเก่าที่ขาดรุ่งริ่งขึ้นมาดู

“เฮ้อ~ ก็ยังดีที่มันปิดส่วนนั้นได้”

เขาสวมเสื้อตัวเดิมกับเข้ากายอีกครั้ง ยืนมองตนเองในกระจก เสื้อยืดสีขาวที่ไม่ขาวอีกต่อไป ด้านหน้าขาดรุ่งริ่งเผยให้เห็นช่วงอกที่มันแต่รอยช้ำรอยบีบทั้งแดงทั้งเขียวไปหมด ใบหน้าซีดเซียว ร่างกายผอมบางลงไป ดวงตาก็ช้ำจากการร้องไห้หนัก ปากก็แตก แผลเต็มตัวไปหมด โดยเฉพาะแผลรูปตัว R ที่แม้จะผ่านมานานแล้วแต่รอยแผลกับเด่นชัด ขาก็สั่นไหวยืนเเทบไม่อยู่ และขา...ถ่าง เดินแปลกๆ

“ฮึก ฮึก”

ดวงตายังคงจ้องมองไปที่กระจก น้ำใสๆเริ่มปริ่มขอบตา เฟิร์สกัดปากกลั้นความรู้สึกและน้ำตาไม่ให้ไหลลงมา สั่งตัวเองให้เลิกร้องไห้ สมองเริ่มเบลออาการไข้กำเริบ วิงเวียนจนจะล้ม

.
.
.

สักพักผ่านไป เฟิร์สเลิกคร่ำครวญสงสารตัวเอง ใจเขาฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง เขาจะมัวมาร้องไห้อยู่ไม่ได้ เขาต้องมีชีวิตอยู่ เขาต้องหนีมันไปให้ได้ ไม่ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนก็ตาม ขาเรียวก้ามออกมาจากห้องนอน ยื่นใบหน้าออกมาสาดส่องสำรวจไปทั่วก็ไม่เห็นใครแม้แต่เงา คิ้วเรียวได้แต่ขมวดคิ้วสงสัย

ด้วยอาการวิงเวียนเฟิร์สจึงเดินจับผนังประคองร่างตนเองเดิน ดวงตาก็คอยมองหา เหงื่อกาฬไหลย้อย ใจเต้นโครมครามด้วยความตื่นเต้น

“จะไปไหน?”

“เฮือก!”

โครม!

เสียงทุ้มใหญ่ดังขึ้้นด้านหลัง ทำให้เฟิร์สอ่อนแรง ขาสั่นๆประคองร่างตนไม่ไหว ล้มลงไปกองกับพื้น ค่อยๆหันหน้ากลับไปมอง ปีศาจร่างใหญ่สวมหน้ากากยืนอยู่ด้านหลังดูน่ากลัว

“อ่ะ เอ่อ”

เฟิร์สได้แต่อ้ำอึ้งพูดไม่ออก ใจหายวาบเมื่อเห็นสองมือใหญ่ยื่นลงมา หลับตาปี๋เกร็งจนตัวสั่นไปหมด

“ลุกขึ้นมา”

รีซเห็นอีกฝ่ายทำท่าทางกลัวตนแบบนั้นก็ยกยิ้มมุมปาก หดมือตัวเองกลับ แล้วเอ่ยเสียงเย็นๆบอกอีกฝ่ายแทน

“อยากออกไปตายรึไง ถึงไม่ยอมกินอาหารที่ฉันเตรียมไว้ให้ก่อน”
รีซบอกตัวเองอยู่ในใจตลอดเวลาให้ใจเย็น เมื่อกี้เขาเกือบหลุดอยากกระชาก อยากตะคอกเหลือเกิน มันน่าโมโห เขาอุตส่าห์เตรียมชุดให้เปลี่ยนแต่ดันใส่ชุดเก่า แต่เก็บไว้ก่อน ค่อยชำระทีเดียว ถ้าตายไปฉันคงหมดสนุก

“ไม่ต้องมองฉันแบบนั้น เดินตามฉันมา”
อีกฝ่ายได้แต่พยักหน้าตกลง ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ดูน่าสงสาร แต่สำหรับรีซมันเป็นใบหน้าที่ดูดีแต่จะให้ดีกว่านี้ถ้ามีน้ำตาสักหน่อย
เฟิร์สค่อยๆเดินตามหลังรีซ ทิ้งห่างพอสมควร ดวงตาก็หันไปมาเรื่อยๆระหว่างที่เดินกับประตูทางออกที่ห่างไกลกันเรื่อยๆ

“นั่งสิ”

เฟิร์สได้แต่เงียบพูดอะไรไม่ออก สีหน้ากังวน ในใจก็ว้าวุ่นตลอดเวลา ไม่รู้ว่ามันจะมาไม้ไหนอีก แต่ก็ได้แต่ทำตาม มือเรียวสั่นไหวค่อยๆเลื่อยเก้าอี้อออก เคลื่อนกายลงนั่ง ใบหน้าเหยเกเจ็บปวดช่องทางด้านหลัง อีกฝ่ายนั่งอยู่ตรงข้ามของโต๊ะยาวก็มองเงียบๆรอยยิ้มมุมปากพุดขึ้นเรื่อยๆเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำสีหน้าเจ็บปวด

“กิน”

รีซเอ่ยเสียงเข้มสั่งอีกคน ที่เมื่อได้ยินกับสะดุ้งเฮือกจนตัวโยน เรียกรอยยิ้มโรคจิตจากเขาได้อีกครั้ง

ดวงตาของเฟิร์สได้มองไปยังอีกฝ่ายที่จ้องเขม็งมา จนต้องหลบสายตา มองต่ำลงไปที่จานเสต็กตรงหน้า จ้องมองมีดหั่นสเต็กค้างเหมือนคิดอะไรได้

“มีอะไรดีๆงั้นหรอ ทำหน้าเหมือนดีใจ”

“ป่ะ เปล่า แค่ดีใจ ที่นายให้ฉันกินอะไรบ้าง”

“แน่ใจ?”

“ช ใช่”

เฟิร์สหลบตา ไม่อยากพูดต่อบทสนทนา จึงใช้สองมือหยิบมีดและช้อนซ่อมขึ้นหั่นสเต็ก ใส่ปากตนทันที

อ้วก!

“มึงคายทิ้งทำไม!”

“มะ มัน ดิบ”

ทันทีที่เนื้อเข้าปาก เฟิร์สก็คายชิ้นเนื้อทิ้งทันที ทั้งยังอยากจะอ้วกเอาก่อนหน้านี้ออกมาด้วย แต่ติดที่ไม่มี น้ำตาปริ่มคลอเต็มหน่วยตา เสียงอีกฝ่ายก็ก้องกังวานฟังดูโมโหมาก จนเฟิร์สสั่นกลัว

ปัง!

“มึงอย่ามาโกหกกู! กินเข้าไป! อย่าเรื่องมาก!”

“อึก!”

รีซทุบโต๊ะระบายแรงโมโห เขาทำเองกับมือ ถึงมันจะสุกไม่หมดแต่มันก็ไม่เหมือนกับที่เขากินดิบๆ มันกินได้ เฟิร์สก็ได้แต่สะดุ้ง ทำหน้าหวาดหวั่นสั่นเป็นลูกนก

“น เนื้อ กูแพ้...เนื้อวัว แค่ก!”

เฟิร์สหน้าแดง ผื่นขึ้นเต็มตัว หายใจเริ่มติดขัด เกร็งจนสั่นไหวไปทั่วร่าง

“เฮ้ย!”

รีซรีบลุกวิ่งมาฝั่งตรงข้าม หยิบแก้วน้ำให้กินหวังช่วยบรรเทา

“พรวด!! แค่ก แค่ก อึก!”

ทันทีที่น้ำเข้าปากเฟิร์สก็พ่นออกมาอีก เพราะน้ำที่กินดันเป็นเลือดที่รีซจะเอาไว้แกล้งให้เฟิร์สตกใจเล่นในตอนท้าย

“โธ่เว้ย!”

“แค่ก แค่ก”

เฟิร์สเริ่มไอเเรงขึ้น หน้าแดงไปหมด จนล้มพับลงต่อหน้า รีซได้นิ่งงันแต่ทำอะไรไม่ถูก มือแกร่งข้างหนึ่งหยิบโทรศัพท์โทรเรียกหมอหนุ่มนาม พอล มาโดยด่วน

“หมอ! มาที่นี่เดี๋ยวนี้!”

(เขาเป็นอะไรครับ)

“มันแพ้อาหาร แล้วไม่ต้องใจเย็นอยู่ได้มั้ย รีบมาหน่อย”

(ผมกำลังไป คุณใจเย็นก่อน เขายังหายใจอยู่ใช่ไหม”

มือแกร่งอีกข้างอื่นไปอังที่จมูก เพราะเขาจับไม่รู้สึกทาบหน้าอกก็ไม่รู้สึกอะไร ตกใจคิ้วหนาขมวดมุ่น ถอดหน้ากากเขวี้ยงทิ้งไป

“ม ไม่รู้สึก หมอ!”

(รีซใจเย็นๆ ไปหากระจกหรือของจำพวกเนื้อแก้วมาอังดูใหม่”

รีซหันไปหันมา มือคว้าเอาแก้วน้ำใสขึ้นมา อังไปที่จมูกดูอีกครั้ง

“แล้วไงหมอ”

(ถ้ามีไอขึ้นที่แก้วแสดงว่าเขายังหายใจ เขาหายใจอยู่ใช่มั้ยครับ)

“อือ”

(ช่วยพาเขาไปที่เตียงทีนะครับ ผมใกล้ถึงแล้ว)

“ได้”

คิ้วหนาคลายตัว ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เขาเป็นบ้าอะไร เขาลืมตัวไปได้ยังไงกัน ทำอะไรลงไป เขารู้สึก...เป็นห่วง คิ้วหนาขมวดมุ่นอีกครั้ง สับสนในใจ ยื่นมือออกมามองนิ่งค้างอยู่นาน จึงอุ้มอีกร่างไปวางบนที่นอน ยืนจ้องสักพักก็หายออกจากห้องไป




[หมอพอล]

เมื่อมาถึงผมถึงกับตกตะลึงกับสภาพที่แปลกไปจากวันแรกที่ผมเจอมากมายนัก ผมมองหารีซไม่เจอ แต่เอาไว้ก่อน ผมจึงรีบไปตรวจคุณเฟิร์สทันที

ร่างกายคุณเฟิร์สซูบโทรมผิดจากวันนั้นอย่างมาก ซ้ำร้ายเหมือนจะมีไข้หนัก อาจจะเพราะร่างกายที่อ่อนแอ ไหนจะกิจกรรมที่ี่ร้อนแรงแต่หนาวเหน็บครั้งแล้วครั้งเล่า หรือจะเป็นเรื่องโรคจิตอื่นๆที่มันแปลกและน่ากลัวที่เขาที่่มีหัวใจเย็นชาตอนนี้จะคิดออกมาได้

ผมตรวจไปตามร่างกายที่ตอนนี้บอบช้ำมาก ราวกับว่าถ้าถูกจับต้อง ร่างกายนี้อาจจะบุบสลายไปต่อหน้าต่อตา ดวงตาไหวสั่นระริก ผมเจอคนไข้มาก็มาก แต่คนๆนี้น่าสงสารเหลือเกิน

‘นี่มัน...มากเกินไป ผมสงสารคุณแล้วสิ’

ความคิดนี้ดังขึ้นหลังจากที่ได้ตรวจและรักษาร่างกายให้กับเฟิร์ส สภาพร่างกายของคนๆนี้มันร้ายแรงมาก คนธรรมดาที่มารองรับอารมณ์คนที่มีเลือดของ...อยู่ คงจะไม่ไหวอีกแล้วล่ะ ถ้ามากกว่านี้อาจถึงตายได้ ยังไงก็เป็นหนึ่งในคนไข้ของเขาและเป็นน้องชายของไอ้บ้านั่นถึงเขาจะมีหน้าที่ดูแลและคอยช่วยเหลือรีซก็ตาม แต่ด้วยหัวใจของคนเป็นหมอทำให้เขาปล่อยไว้ไม่ได้อีกต่อไป

.
.
.

“รีซครับ พรุ่งนี้คุณต้องไปตรวจร่างกายกับดร.เขาอยากเห็นพัฒนาการด้านร่างกายของคุณด้วยตัวเอง” หมอพอลพูดยิ้มๆตามเเบบฉบับตน แต่ส่งสายตากดดันไปให้รีซที่เพิ่งเดินกลับเข้ามามองได้สักพัก

“แต่ฉันไม่ว่าง” รีซปฏิเสธทันที ไม่ได้สนใจแรงกดดันที่หมอพอลส่งมาให้แม้แต่น้อย ดวงตาจ้องมองไปยังอีกคนที่นอนอยู่บนเตียงนิ่ง

“ผมจะดูทางนี้ให้ ยังไงก็แค่ชั่วคราว คุณคงไม่อยากให้ดร.โกรธแล้วจับคุณกลับไปที่แลปอีกหรอกนะครับ คุณก็น่าจะจำได้ว่าจะโดนอะไรไปบ้างถ้าผมรายงานว่าคุณมีพัฒนาการขึ้นมาก ดร.คงทนไม่ไหวจับคุณใส่โหลแล้วตรวจคุณอย่างละเอียดแน่ๆ คุณคงรู้ว่าผมหมายถึงอะไร”

ดวงตาแน่วแน่ที่ฉายชัดออกมา แต่ถูกกลบเกลื่อนด้วยการยิ้มจนตาหยีปิดบังความจริงที่เขาต้องการ ตามแบบฉบับของตน

“ไม่ต้องมาขู่ ฉันไม่กลัวหรอกนะตอนนี้ ...แค่อยากเห็นด้วยตาเท่านั้นใช่มั้ย”

“ครับผม”

“...ฉันจะไปละกัน แต่ถ้าทางนี้ไม่เรียบร้อย อย่าหาว่าฉันไม่เตือนนะหมอ นายก็รู้ว่าผมพูดจริง” รีซพูดจบก็เดินออกไปทันที หมอพอลหุบยิ้มช้าๆแล้วหันไปมองร่างกายที่บอบช้ำของเฟิร์สนิ่ง


“ผมจะพยายามนะครับ”

สักพักก็ยกมือถือกดโทรออกไปยังปลายสายทันที

“ดร.ครับ R โปรเจค มีพัฒนาการเพิ่มขึ้นมาก ดูเหมือนว่าเลือดนั่นเริ่มจะแสดงตัวตนแห่งเผ่าพันธุ์แล้วครับ ผมให้เขาเข้าไปที่แลปวันพรุ่งนี้ ส่วนเอกสารผมจะส่งไปให้ดูหลังจากนี้ครับ”

.
.
.

วันรุ่งขึ้น

“อ่ะ อือ คะ คุณเป็นใคร”

เสียงแหบๆแผ่วเบาถูกเอ่ยขึ้นจากร่างบางที่นอนอยู่บนเตียง ดวงตาบวมช้ำที่เปิดขึ้นปรือมองอย่างหวาดกลัว ร่างกายบางที่่สั่นไหวเหมือนจะขยับหนีแต่ไม่มีแรงได้แต่นอนมองอีกฝ่ายนิ่งงัน

“ผมเป็นหมอ คุณไม่ต้องกลัวนะครับ”

เสียงนุ่มจากปากหมอหนุ่มดังขึ้น รอยยิ้มประดับบนใบหน้าดูอบอุ่นน่ามอง

“อึก!! ผมอยู่ที่ไหน! แล้วคุณเป็นพวกเดียวกับมันรึเปล่า!”

ร่างบางเบิกตาโพรง ทำท่าจะลุกหนี แต่ร่างกายที่อ่อนเพลียทำให้หมอหนุ่มต้องเข้าไปประคอง

“คลีนิคครับ แล้วผมก็ไม่ได้เป็นพวกใครทั้งนั้น ผมบอกแล้วว่าผมเป็นหมอ”

เสียงนุ่มถูกเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ค่อยๆประคองร่างบางให้นอนลงกับที่นอน

“ไม่! ผมอยู่ที่นี่ไม่ได้! ผมต้องไป! ผมต้องหนีไปให้ไกลที่สุด!”

แต่อีกฝ่ายกลับสติแตกหนักกว่าเดิม ตาลุกวาวอย่างตกใจเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ หุนหันจะลงจากเตียง

“ใจเย็นๆครับ คุณปลอดภัยแล้ว”

จนหมอหนุ่มต้องจับร่างบางลงกับที่นอน แล้วฉีดยาสลบเข้าสายน้ำเกลือไป

“ไม่!! คุณไม่ เข้า ใจ”

ดวงตาสั่นไหวไล่สายตามองไปรอบๆ ด้านหนึ่งเขาเห็น ผนังห้องสีขาว ผ้าม่านที่พริ้วไหวไปมาช้าๆ อีกด้านมีเครื่องมือเเพทย์เต็มไปหมดซึ่งเขาไม่รู้ว่ามันคืออะไรบ้าง หันมามองตนเองที่สวมใส่ชุดของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่เขาไม่รู้จัก และหมอหนุ่มตรงหน้าที่เขาไม่รู้จัก สวมชุดกราวด์สีขาวที่คอสวมหูฟังชีพจร ยืนส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้เขา ถ้านี้เป็นความฝันอีกละก็ คงเป็นฝันที่ผมอยากได้มากที่สุด อิสรภาพ

“ขอบคุณ...ฮึก”

เสียงแผ่วเบาถูกเอ่ยออกไปอีกครั้ง ก่อนที่ดวงตาช้ำจะค่อยๆปิดลง ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ


“ยินดีครับ ถ้ามันจะยืดเวลาเจ็บปวดของคุณออกไป ผมยินดีจะช่วยคุณ ทั้งสองคน”

เสียงนุ่มถูกเอ่ยออกมาอีกครั้ง หมอหนุ่มพูดเสร็จแล้วเดินจากไป ทิ้งให้อีกคนได้นอนหลับอย่างสบาย





....
1 คอมเม้น = 1 กำลังใจน้าาาาา
พูดคุยกันได้นะทุกคน แนะนำติชมได้ทุกอย่างเลยยยย
....
รออ่านค่ะ
 :katai4:
ขอบคุณที่ติดตามผลงานน้า จะพยายามทำให้ดีที่สุดจ้า ^^
ตอนใหม่มาเสริฟแล้ว ถูกใจไหมเอ่ย

นอนนี้ชักจะสงสารเฟิร์สเเล้วง่าไม่เเรงไปหน่อยหรอรีซ
พระเอกเราใจดีน้า ไม่เชื่อดูตอนนี้สิ
ใจดีมากเลย ^^
ขอบคุณที่ติดตามน้า

มารอลุ้นนู๋เฟริส เราว่าคุณไมค์เนี้ยกับรีซเนี้ยต้ิองมีอะไรเกี่ยวข้องกันแน่นอน ลุ้นๆ
#ไม่ทิ้งนิยายเรื่องนี้แน่นอนค่ะ
#พระเอกนิยายเรื่องนี้ไม่โหดร้าย~ จาเชื่อดีไหมน๊า อิอิ แต่เราชอบพระเอกแนวนี้นะ ^____^
เอ๊ะๆจะเป็นยังไงต้องรอลุ้นต่อไปนะคะ ไม่บอกหรอกกก หุหุ ^^
#ขอบคุณมากนะคะที่ไม่ทิ้งกันไปไหนนนน
#ขอบคุณที่ชอบพระเอกเรานะ ส่วนใหญ่โดนหาว่าใจร้ายทั้งนั้นเลย
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: rosetears ที่ 26-03-2016 00:57:57
พระเอกของเราเริ่มเป็นห่วงนายเอกบ้างแแล้ว ฮิ้ว อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกอบอุ่นนิดๆ

#เอ๊ะๆจะเป็นยังไงต้องรอลุ้นต่อไปนะคะ ไม่บอกหรอกกก หุหุ ^^ >> 555 แน่นอนค่า
#ขอบคุณมากนะคะที่ไม่ทิ้งกันไปไหนนนน
ขอบคุณที่ชอบพระเอกเรานะ ส่วนใหญ่โดนหาว่าใจร้ายทั้งนั้นเลย >> ด้วยความยินดีค่า ^^
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: rosetears ที่ 26-03-2016 01:04:21
พระเอกของเราเริ่มเป็นห่วงนายเอกบ้างแแล้ว ฮิ้ว อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกอบอุ่นนิดๆ

#เอ๊ะๆจะเป็นยังไงต้องรอลุ้นต่อไปนะคะ ไม่บอกหรอกกก หุหุ ^^ >> 555 แน่นอนค่า
#ขอบคุณมากนะคะที่ไม่ทิ้งกันไปไหนนนน
ขอบคุณที่ชอบพระเอกเรานะ ส่วนใหญ่โดนหาว่าใจร้ายทั้งนั้นเลย >> ด้วยความยินดีค่า ^^
[/quote]
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 26-03-2016 23:15:52
ลุ้นๆ เดาเรื่องไม่ถูกเลยจริงๆค่ะ  รีสกับไมค์เป็นคนๆ เดียวกัน แล้วตอนนี้ดูจากในฝัน เฟิร์สก็ชอบไมค์ แต่เกลียดรีส
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: rosetears ที่ 02-04-2016 19:59:17
คิดถึงนะคะไรท์เตอร์ ฮือๆ
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 08-04-2016 23:43:31


me die


17 : ห้อง ทดลอง


“อะไรกัน...ห่วง งั้นหรอ อย่ามาตลกน่ะ!”

รีส ออกรถมาจากคอนโดใจกลางเมืองของเขาหลังจากตกลงกับหมอหนุ่ม ด้วยความโมโหในตัวเขาเอง สมองก็ครุ่นคิดไปถึงเรื่องของใครอีกคน ตลอดทาง คิ้วหนาขมวดมุ่นข้องใจ มือขับรถ ขาก็เหยียบคันเร่งไปเรื่อยๆ จนรถเคลื่อนตัวห่างออกมาจากคอนโดไปไกล โดยที่ไม่รู้ว่าขับไปที่ใดเหมือนกัน

“...เห้อ”

เสียงถอนหายใจดังผ่านริมฝีปากหนา ดวงตามองตรงไปข้างหน้าอย่างเหม่อลอย เสมองสองข้างทางด้วยความว่างเปล่าที่เกิดขึ้นในจิตใจ

ความดำมืดของค่ำคืนที่หลายๆคนไม่ถูกชะตา แต่สำหรับเขากลางคืนคือเพื่อนแท้ที่คอยให้ที่พักพิงทางใจแก่เขา กลางคืนเท่านั้นที่เขารู้สึกว่าตัวเองยังคงเหมือนปกติ เขากายเย็นเพราะกลางคืนมันหนาว เขากายซีดเพราะต้องแสงจันทร์ ดวงตาเป็นสีแดงเพราะต้องแสงไฟ เขา...เหมือนคนปกติที่สุดก็เฉพาะตอนกลางคืน เขารัก กลางคืน...

ไม่ เขาเพียงแค่ต้องการหลอกตัวเองเท่านั้น !

รีส ชายหนุ่มผู้นี้ชอบแสงอาทิตย์ในยามเช้า เขาโหยหาความอบอุ่นจากดวงอาทิตย์ที่เคยสัมผัส เสียงนกร้องผสานกันเป็นเพลงปลุกให้เขาตื่นจากการหลับไหล แสงแดด...ที่ช่วยให้เหล่าต้นไม้สีเขียวขจีที่เขาชื่นชอบได้เติบโต แสง...ที่เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตในวันใหม่ เพียงแต่...ตอนนี้มันไม่เป็นเช่นนั้นได้อีกต่อไป เขาไม่สามารถสัมผัสสิ่งเหล่านั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ ตอนนี้ เขาแค่เลือกที่จะทิ้งมันไว้เพียงด้านหลัง...ก็เท่านั้น

.
.
.

“หรือว่าฉันจะ...ห่วง นายจริงๆ”

สุดท้ายความคิดที่ว้าวุ่นก็จบลงด้วยการที่ชายหนุ่มร่างสูงมายืนจ้องอีกคนที่นอนอยู่บนเตียงในความมืด ผิวกายขาวล้อเเสงจันทร์ขบให้ดูนวลเนียนน่าสัมผัสแม้จะเห็นรอยเขียวช้ำเป็นจ้ำก็ตามที ใบหน้าใสขาวผ่อง ดวงตาดูช้ำบวม แขนข้างซ้ายที่มีเข็มน้ำเกลือเจาะห้อยระโยงระยางอยู่ข้างเตียง

ดวงตาสีแดงสวยมองจ้องไปยังอีกคนอยู่นานสองนาน แต่ภายในดวงตาที่ไร้แววกับไม่สื่ออารมณ์ใดๆออกมา ต่างจากสมองที่ครุ่นคิดไม่ตกกับเรื่องความรู้สึกที่เหมือนจะเกิดขึ้น

“...ไม่มีทาง”

จนแล้วจนรอดชายหนุ่มร่างสูงก็เลือกที่จะปัดความคิดฟุ้งซ่านเหล่านั้นทิ้ง เลือกเดินหันหลังไกลออกไปโดยไม่หันกลับมาอีกเลย

.
.
.

รุ่งเช้า

รีสเข้ามาภายในห้องทดลองลับ ขาแกร่งก้าวเดินตามการ์ด(ผู้ดูแลความปลอดภัยขององค์กร)คนหนึ่งที่สวมชุดดำหน้าตาเคร่งขึม ไปตามเส้นทางที่คุ้นเคย ดวงตามองตรงไปด้านหน้า ใบหน้านิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ ผ่านทางเดินเรียบ สองข้างเป็นพนังสีขาวโล่ง เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาตามการ์ดไปก็เจอลิฟต์ลงมายังห้องอีกที่มีผู้ช่วยหญิงในชุดสีขาวยืนรออยู่ เธอจึงนำเขาไปต่ออีกที

ก๊อก ก๊อก

“ดร.คะ คุณรีสมาแล้วค่ะ”

“ขอบใจมาก มารีน”

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ผู้ช่วยสาววัยสามสิบกว่าเดินนำหน้า รีซ เข้ามาภายในห้องส่วนตัวของดร. ให้รีสได้เข้าไป เธอจึงกล่าวลาและขอตัวออกไป

“นั่งคุยกันก่อนสิ”

ดร.หนุ่มใหญ่ผู้มีใบหน้าดูใจดีสวมแว่นตากรอบหนากับชุดทดลองสีขาวที่สวมทับเสื้อเชิ๊ตสีครีมดูสุภาพ ก้มหน้าลงอ่านเอกสารบนโต๊ะทำงานตนอีกครั้ง หลังเงยหน้าต้อนรับ ปากก็พูดเชิญชวนให้รีสนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามกับตน

“ผมมาตรวจร่างกายตามที่คุณขอ ไปที่เตียงเลยจะเร็วกว่านะครับดร.”

ด้วยความรีบร้อนอยากจะกลับ และความกังวลแปลกๆที่เกิดขึ้นข้างในทำให้เขาไม่สงบตั้งแต่ก้าวเท้าออกจากคอนโด ส่งผลให้รีสไม่แม้แต่จะยอมนั่งตามคำเชิญชวน

“ความจริงเราน่าจะคุยกันก่อน แต่ในเมื่อเธอเองก็รีบร้อน งั้นฟังดีๆนะ ฉันต้องการตรวจร่างกายเธออย่างละเอียด เพราะฉะนั้น ฉันจะให้เวลาเธอเตรียมตัว 10 นาที เราจะได้เริ่มกัน”

ดร.เงยหน้าจากกองเอกสารการแพทย์ตรงหน้า มือขยับแว่นสายตาเล็กน้อย แล้วพูดช้าๆด้วยประโยคที่ยาวๆให้รีสฟัง

“ว่าไงนะ! ดร.หมายถึงให้ผม... ไหนคุณบอกแค่ตรวจไงเล่าดร. ทำไมผมต้องเข้าไปอยู่ในตู้เหมือนปลาอีกครั้งล่ะ ร่างกายผมปกติดี ไม่มีอะไรผิดปกติแน่นอน จะตรวจละเอียดไปทำไมกันครับ”

รีสหันขวับทันทีที่ได้ยินว่าต้องตรวจละเอียด คำๆนี้เขารู้ความหมายดีว่ามันเป็นอย่างไร มันไม่ได้ยินดีอะไรเลยสักนิด แถมยังน่ารำคาญสุดๆ

“ผมแค่ต้องการให้แน่ใจ”

ดร.วางเอกสารตรงหน้าไว้แบบนั้น กุมมือตนเองประสานกันไว้ ดวงตามองสบไปยังอีกฝ่าย ด้วยท่าทีที่นิ่งสงบ

“แน่ใจอะไรครับ ก็บอกว่าผมยังปกติ เหมือนเดิมทุกอย่าง”

ด้วยความคับข้องใจ และความกังวนที่เกิดขึ้นในใจ ทั้งยังความรู้สึกเกลียดที่เขาจะต้องเข้าตู้ทดลองแสนทรมานนั้นอีก ทำให้รีสไม่พอใจ คิ้วหนาขมวดมุ่นชนกันแน่น ไอเย็นเรื่มแผ่กระจายเป็นหมอกจางๆโดยไม่รู้ตัว เมื่อความโกรธได้เริ่มเกิดขึ้น

“ใจเย็นๆสิ ฉันไม่ได้จะทำอะไรเธอเหมือนเมื่อก่อนหรอกนะ ฉันแค่ต้องการรู้พัฒนาการเธอจริงๆ ฉันสัญญาว่าจะไม่ทรมานแบบก่อนที่เธอตื่นแน่ๆ”

ดร.หนุ่มใหญ่ ยิ้มในใจที่เห็นท่าทีตามที่ได้รับข้อมูลมาจริงๆ แต่ยังคงรักษาภาพพจน์นิ่งเฉยไว้เป็นอย่างดี สนทนากลับอย่างใจเย็น ค่อยๆใช้มือกดเรียกการ์ดเข้ามาเบาๆโดนไม่ให้รีสสังเกตเห็น เมื่อเห็นท่าทีว่ารีสจะขัดขืน

“ผมไม่พร้อม! ขอวันอื่นละกัน”

คิ้วหนาของรีสขมวดมุ่น ไม่พอใจ หันหลังจะเดินกลับออกไปทันที เพราะปัญหาในใจที่เกิดขึ้นทำให้เขาไม่อยากจะอยู่ตรงนี้นานกว่านี้ อีกทั้งยังความกังวนบ้าๆถึงใครอีกคนที่คอนโด ทำให้เขาดูอารมณ์ร้อนมากกว่าปกติเป็นสองเท่า

ผลัก!

รีสเปิดประตูออกไปชนกับการ์ด2คนพอดี แต่สองคนนั้นกับเซถอยห่างออกไปแทนรีสที่แค่ดันตัวเองพ้นประตูมา

“ดร.คุณคิดจะทำอะไรครับ”

รีสหันกลับมามองดร.ด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ดวงตาสีแดงเริ่มแวววาว บรรยากาศรอบด้านเริ่มกดดัน ความเย็นแผ่กระจายเป็นวงกว้าง จนการ์ดทั้งสองคนยืนสั่นมองหน้ากันเลิกลั่กด้วยความกลัวที่เกิดขึ้นรอบๆตัวอย่างไม่เคยเจอ

ยิ่งเห็นดังนั้นดร.ก็รอบยิ้มมุมปาก ดวงตาใต้กรอบแว่นวาวไปด้วยความอยากรู้อยากทดลอง กระแอมไอเล็กน้อย ยืนตัวตรงรักษาท่าที แล้วค่อยๆเอื้อมแขนไปหยิบอะไรขึ้นมา โยนมันลงบนโต๊ะจนเกิดเสียง

ปึก

“ถ้ายอม ฉันมีข้อมูลดีๆจะบอก ถ้าเธอต้องการมัน”

“อึก!! รู้เรื่องนี้ได้ยังไง ไปเอามาจากไหน”

เมื่อเห็นร่างบางคุ้นตาในรูป คิ้วหนาขมวดกันแน่นขึ้น เดินมาคว้ารูปขึ้นไปดูมือกำภาพแน่น ดวงตาแข็งกร้าวจ้องมองดร. ต้องการความจริง

“คิดว่าฉันไม่รู้หรือไงว่าพวกเธอสองคนทำอะไรใต้จมูกฉัน! อึ่ม! เด็กนี่ชื่อ ติวเตอร์ สินะ เป็นคนที่เธอรักและตายแทนได้เลยใช่ไหมล่ะ หึหึ อยากรู้อะไรดีๆไหมล่ะ เด็กคนนี้กำลังจะแต่งงานกับเด็กเลวๆอีกคนเพราะเหตุผลบางอย่าง อยากช่วยไหมล่ะ ยอมร่วมมือกันดีๆซะ ก่อนที่ฉันจะหมดความอดทนยึดทุกอย่างที่นายร้องขอกับฉันคืน อย่าขัดขืนอีก พาไปที่แลป!”

ดร.เอ่ยเสียงเข้มจนแทบตะโกนด้วยความไม่พอใจในคราแรก แต่ก็กระแอมไอให้ปกติเมื่อรู้ตัว นั่งสงบนิ่ง แล้ว พูดออกไปยาวเยียดด้วยแววตาไม่พอใจ สุดท้ายก็หันไปสั่งลูกน้องให้พารีสไปที่ห้องทดลองทันที

“เดี๋ยวก่อนครับ บอกผมหน่อยสาเหตุน่ะ”

เท้าแกร่งชะงักกึก ยืนนิ่งอิ้ง ปากค่อยๆเอ่ยถามคำถามช้าๆ

“ไว้ไปถามกันเอาเองดีกว่านะ”

รีสเถียงไม่ออก ได้แต่เดินตามแรงลากของการ์ดไปตามทางเดิน จนถึงห้องทดลอง เขาปฏิเสธไม่ได้หรอก ไม่ใช่เพราะเกรงกลัวอย่างเดียว แต่ที่สุดแล้วดร.ก็ยังเป็นผู้มีพระคุณอยู่ดี

ในใจของรีสตอนนี้มีเพียง ติวเตอร์เท่านั้น เขาลืม! ลืมได้ยังไงกัน มัวแต่แก้แค้นจนลืมสิ่งที่ต้องการจะรักษาไว้จนมันเกือบจะสายไป ในใจได้แต่ร่ำร้อง

‘รอก่อนนะติวเตอร์ รอรีสก่อน อย่าพึ่งอ่อนแอ อย่าพึ่งยอมแพ้  อย่าพึ่งเป็นอะไรไป รอรีสก่อน รีสจะไปช่วยไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน ตามสัญญาของเรา’

.
.
.

ภายใต้ห้องทดลองกว้างใหญ่ ภายในบรรจุไปด้วยเครื่องมือล้ำสมัยมากมายที่รู้จักและไม่รู้จัก รีสถูกพาเข้าไปด้านในสุดด้านในที่มีเพียงตู้กระจกหนาใสใหญ่โตเพียงตู้เดียวตั้งอยู่ ภายนอกถูกกั้นด้วยกระจกนิรภัยหนาอีกชั้น ซึ่งเป็นชั้นที่ดร.และคนอื่นๆยืนอยู่

รีส ที่บัดนี้ถูกปลดเปื้องเสื้อผ้าออกหมด เดินตามผู้ช่วยสวมชุดกราวด์สีขาวอีกสองคนเข้ามาด้านใน ผู้ช่วยหนึ่งในสองที่เข็นรถอุปกรณ์เข้ามา ให้เขายืนนิ่งๆแล้วทำการติดอุปกรณ์แผ่นบางๆตามจุดชีพจร อีกคนยกเข็มฉีดยาปลายแหลมยักษ์เจาะเข้าแขนของรีสดูดเอาเลือดออกไปทดสอบเต็มหลอด

“เชิญเข้าด้านในได้ครับ”

รีสพยักหน้ารับรู้ แล้วเดินเข้าไปภายในตู้ทดลองช้าๆ ใบหน้านิ่งสงบราวกับไม่ได้ทุกข์ร้อน แต่ภายในใจกับร้อนรุ่มกับความกังวลที่เข้ามาเกาะกินหัวใจ

ประตูตู้ทดลองหนาเลื่อนปิด แล้วมีกระจกหนาใสด้านในอีกชั้นเลื่อนขึ้นรอบด้านมาจากด้านล่างเป็นเหมือนกระบอกขังรีสไว้ด้านใน วิทยาการลำยุคสมัยดำเนินงาน แผงวงจรต่างๆเรืองแสง ดร.ที่ยืนอยู่อีกด้านของห้องภายใต้กระจกกั้นดวงตาภายใต้กรอบแว่นแวววาว แต่ยังคงรักษาท่าทีสงบนิ่งไว้อยู่ได้ เมื่อเห็นท่าทีที่ไม่ต่อต้านของอีกฝ่ายก็ยิ้มมุมปากถูกใจ

“เอาล่ะ เรามาเริ่มทำการทดลองขั้นต่อไปกันดีกว่า”

“ครับ/ค่ะ”

ดร.หันไปเอ่ยกับผู้ช่วยทั้งหลาย เอื้อมมือช้าๆไปกดปุ่มเริ่มกระบวนการ ทุกๆคนมีดวงตาแวววาวที่เปี่ยมไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นอยากทดลองทดสอบ ถ้าโครงการนี้ได้ผลก็สามารถนำไปปรีบใช้ในการต่ออายุมวลมนุษยชาติได้ในอนาคต ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยก็สามารถมีความเป็นไปได้แน่นอน

{เริ่มกระบวนการทดสอบขั้นที่ 1}

สายยาวๆจากเข็มไฮเทคเริ่มเลื้อยลงจากด้านบนของหลอดแก้วทรงกระบอกยั๊วเยี๊ยะเต็มไปทั่ว ถอยห่างจากตัวรีสเล็กน้อย แล้วปักเจาะฝังปลายแหลมยาวเข้าตามจุดชีพจรที่ได้ติดแผ่นบางๆไว้ก่อนหน้าด้วยความเเรงจนตัวรีสเซไปด้านหน้าเล็กน้อยเป็นคู่ๆ ถ้าเป็นคนธรรมดาคงทนไม่ได้เป็นแน่ที่เข็มแหลมยาวๆเจาะเข้าร่างกายหลายๆจุดในเวลาเดียวกัน คงได้ร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดลั่นเป็นแน่

รีส ทำได้เพียงยืนนิ่งๆเหมือนเดิม ใบหน้าสงบนิ่ง ดวงตาสวยงามจ้องมองไปยังทางออก ความกังวลภายในใจที่ยังไม่จางหาย ไหนจะเรื่องของติวเตอร์ที่ยังคงรอการกลับมาของเขาอีกครั้ง

{สารทดสอบตัวที่ 1 กำลังถูกฉีดเข้า}

เข็มยาวที่ปักเข้าร่างกายของรัสเริ่มทำหน้าที่ของมัน ในหนึ่งคู่ หนึ่งฉีดยาทดสอบแสนเจ็บปวดเข้าอีกหนึ่งรอคอยเวลาดูดเลือดออกมาเมื่อต้องการตัวอย่างเลือด เป็นความทรมานอีกหนึ่งที่มนุษย์ธรรมดาคงทนไม่ได้อีกเช่นกัน

“อึก!”

รีสร่างกระตุกเกร็งเมื่อตัวยาถูกฉีดเข้าไปภายในร่างกาย สารทดสอบสีฟ้าเข้มข้นไหลผ่านผิวหนังขาวซีดของรีสทีละเล็กละน้อยแล้วเริ่มแผ่กระจายเต็มร่างกาย ร่างกายของรีสแปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้าตามตัวยาเมื่อมันเริ่มแพร่กระจายเต็มร่างกาย กระตุกเกร็งจนเส้นเอ็นปูดโปน

{เริ่มเก็บตัวอย่างเลือดครั้งที่ 1}

สักพักร่างกายก็กลับเป็นปกติรวมทั้งสีของร่างกายก็กับไปเป็นผิดหนังขาวซีดเช่นเดิม

“ว๊าว... ร่างกายเขาน่าทึ่งมากเลยนะครับดร.”

“ใช่ ขอให้มันได้ผลทีเถอะ”

ดร.รอบยิ้มเมื่อได้ยินเสียงบรรดาผู้ช่วยและผู้ร่วมงานของเจาคุยกัน ดวงตาภายใต้กรอบแว่นยังคงจ้องมองไปยังอีกคนที่อยู่ในตู้ทดสอบอย่างตั้งใจ

“นั่นสิ งั้นเราควรทดสอบขั้นต่อไปเลยดีกว่า”

{เริ่มกระบวนการทดสอบขั้นที่ 2}

เมื่อเริ่มกระบวนการ มีน้ำที่ผสมสารทดสอบบางอย่างไหลเข้าจากด้านล่าง ระดับน้ำสูงขึ้นเรื่อยๆจนท่วมมิดร่างของรีส

สายยายาวที่เจาะฝังเข็มลงบนร่างกายของรีสถูกหดล่นขึ้นด้านบน แต่ยึดกับร่างกายรีสไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ทำให้ร่างทั้งร่างลอยอยู่ภายในทรงกระบอกแก้วใสที่บรรจุน้ำไว้เต็มเปี่ยม

“สารทดสอบตัวที่ 2 กำลังถูกฉีดเข้า}

สารทดสอบตัวที่สอง สีเขียวเข้มข้นถูกฉีดเข้าไปแทนที่ยาตัวแรก ยาตัวนี้มีความเข้มข้นของสารทดสอบมากกว่าตัวแรก ถ้ารีสเป็นคนธรรมดาเขาคงรู้สึกเหมือนกับหัวใจที่กำลังเต้นรัวแรงของเขาถูกบีบให้แหลกคามือของพระเจ้าที่ไม่ปราณีแก่เขาเลย

“อึก!!”

ร่างกายของเขากระตุกเกร็ง ดิ้นไปมาอยู่ภายใต้น่ำและยาทดสอบเข้มข้นที่ถูกฉีดเข้าร่างกายอย่างต่อเนื่อง

{เริ่มเก็บตัวอย่าเลือดครั้งที่ 2}

และกระบวนการทดสอบต่างๆยังคงดำเนินต่อไปอีกยาวนาน โดยที่รีสไม่รู้ว่ามันผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว ร่างกายของเขายังคงถูกเข็มปักคาร่างกายและยังลอยเคว้งอยู่ในกระบอกแก้วใสที่บรรจุน้ำเต็มตู้ ปรับเปลี่ยนตัวยาทดสอบและเก็บตัวอย่างเลือดไปอีกมากมายหลายต่อหลายครั้ง

.
.
.

‘ติวเตอร์รอรีสก่อนนะ’

ความคิดดังขึ้นในสมองสั่งตัวเองให้คิดเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ภายในลึกๆกับมีแต่ใบหน้าของอีกคน กังวนตลอดเวลาว่าอีกฝ่ายจะหนีตนเองไปไหม เขาจะจัดการกับความรู้สึกแปลกๆที่เกิดขึ้น แต่ จนแล้วจนรอดร่างกายที่ผ่านการทดสอบมากมายจนเผลอหลับไปเอง แต่การทดลองก็ยังคงไม่หยุด ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆไม่รู้ว่านานเเค่ไหน และตัวยามากมายอีกนับไม่ถ้วนที่ส่งผลทำให้ร่างกายของรีสเกิดอาการแปลกๆ ไม่รู้จักจบสิ้น



....
งานยังเคลียไม่เสร็จเลย แต่แอบเอามาลงให้ก่อน :katai4:
หวังว่าคงถูกใจกันนะ ขอโทษที่หายไปนะคะ


มีข่าวอะไรเค้าจะแจ้งไว้ที่แฟนเพจนะ
ขอโทษด้วยนะคะที่ไม่ได้เอามาเเปะไว้เรื่อยๆ
https://www.facebook.com/AkumaBK/ (https://www.facebook.com/AkumaBK/)


พระเอกของเราเริ่มเป็นห่วงนายเอกบ้างแแล้ว ฮิ้ว อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกอบอุ่นนิดๆ

คิดถึงนะคะไรท์เตอร์ ฮือๆ

เค้ากลับมาแล้ว จริงๆแล้วแอบมาค่ะ งานยังท่วมอยู่เลย แต่แอบเเวะมาปันให้อ่านก่อน

ลุ้นๆ เดาเรื่องไม่ถูกเลยจริงๆค่ะ  รีสกับไมค์เป็นคนๆ เดียวกัน แล้วตอนนี้ดูจากในฝัน เฟิร์สก็ชอบไมค์ แต่เกลียดรีส
เรื่องอาจจะไม่เป็นแบบนั้นก็ได้นะค้าาา ^^  ขอบคุณที่ติดตามกันนะ ตอนใหม่หวังว่าจะถูกใจนะคะ หายไปสักพักขอโทษด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 09-04-2016 00:54:36
พล็อตแปลกมากอ่ะค่ะ ตอนนี้รีสเริ่มชอบเฟิร์สแล้วสิ ไม่รู้ดร.จะทำอะไรกับร่างกายของรีสบาง รู้สึกสงสารค่ะ เหมือรีสเป็นหุ่นเชิด
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: rosetears ที่ 11-04-2016 22:27:05
ไรต์เตอร์สู้ๆนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 27-04-2016 02:36:23
me die

 

18 : แฟน (ทาม x ติวเตอร์)


“เล่นกันแบบนี้ใช่ไหม ถ้านายต้องการตัวผมนัก ผมจะจัดให้นายเอง ทาม”

 

ห้าง z



“น้องติวเตอร์มีอะไรจะบอกพี่ทามหรอครับ ถึงได้นัดออกมาทานอาหารกันสองคนแบบนี้”



น้ำเสียงที่หยอกเย้าอีกฝ่ายดังออกจากปากทาม เมื่อติวเตอร์มาถึงร้านอาหารที่ตนเป็นคนนัดไว้ หน้าตายิ้มแย้มที่ดูเหมือนดีใจซะเว่อร์ ทำให้ติวเตอร์ถึงกับแบะปาก หันหน้าหนีด้วยความหมั่นไส้



“ผมมีเรื่องที่จะต้องตกลงกับนาย”



ติวเตอร์หันกับไปมองทาม ทำสีหน้าจริงจัง แล้วเอ่ยออกไป



“เรื่องอะไรครับ อ่อ เรื่องนั้นสินะ หวังว่าคำตอบคงจะเป็นที่น่าพอใจสำหรับพี่”



ทามอมยิ้ม ตาหนีพูดทีเล่นทีจริงตามเดิม



“ผม..ผมต้องการ ให้นายช่วย..”



“อ๊ะ ขอร้องพี่ดีๆสิครับ แล้วก็ช่วยเรียกพี่ว่า พี่ทาม ลงท้ายด้วยคำว่า ครับ ด้วยสิที่รัก พูดไม่เพราะระวังพี่ไม่ช่วยนะ ^^”



ติวเตอร์ยังพูดไม่ทันจบประโยคก็โดนทามพูดแทรกขึ้นมา เมื่อฟังจบติวเตอร์โมโหจนหน้าแดงแต่ก็กัดฟันทนไว้ เบือนหน้าหนีไม่อยากมองใบหน้าที่ยิ้มยียวนกับท่าทางที่มีชัยเหนือตนเองนัก



“แหม่ หน้าแดงเชียว ไม่ต้องเขินพี่หรอกครับที่รัก คนกันเอง หึหึ”



ยิ่งเห็นติวเตอร์แสดงสีหน้าไม่พอใจตน ทามก็ยิ่งอยากแกล้งให้โมโหเข้าไปอีก เรียกใบหน้าแดงๆที่น่ารักมากกว่าน่ากลัวให้ยิ่งแดงมากขึ้น



“ผม..ต้องการ..ให้ พี่ เอ่อ พี่ทาม ช่วยเหลือ อึก ครอบครัวของผมฮะ”



ติวเตอร์พูดติดๆขัดๆ กัดฟันพูดแน่นจนปวดไปหมด หน้าแดงด้วยความโมโหและความอาย ที่จะต้องมาขอความช่วยเหลือจากคนที่ไม่ชอบขี้หน้าและทั้งๆที่เป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้ครอบครัวของเขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากแบบนี้เองแท้ๆกลับมานั่งยิ้มสบายใจอยู่ตรงหน้านี่ได้



“หึหึ น้องติวเตอร์รู้รึเปล่าครับ ว่าเงื่อนไขคืออะไร”



รอยยิ้มมุมปากของทามพุดขึ้นแล้วเลือนหายไปแทนที่ด้วยใบหน้าและรอยยิ้มยียวนเหมือนเดิม เมื่อได้ยินอีกฝ่ายที่ยอมอ่อนข้อจนต้องยอมทำตามคำที่เขาบอกทุกอย่าง



“ระ รู้ฮะ”



ติวเตอร์พยักหน้าเข้าใจในความหมาย มือกุมกันแน่นเกร็งไปทั้งตัว ในใจอยากจะชกหน้าแล้วตาว่าให้หายโมโห แต่ก็ต้องได้แต่อดทน เขาคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยครอบครัวได้ แล้วถ้าจะถามว่าทำไมต้องยอมทำตามก็เพราะอำนาจทางสังคมของพวกมันบีบบังคับไม่ให้ใครช่วยเหลือครอบครัวของผมเพราะข่าววงในบ้าๆนั่น ทั้งยังซื้อคนของพ่อผมด้วยอำนาจเงินที่มากกว่าไปอีก ทางนี้คงเป็นทางเดียวที่ผมจะแก้แค้นได้ละมั้ง รวมถึงเรื่องที่ผมได้ยินมา ถ้าผมไม่ทำซะเอง พ่อของผมคงจะเดือดร้อนแน่ๆ ผมรักพ่อมาก เราเหลือกันอยู่แค่สองคน ผมจะข่วยเหลือพ่อบ้าง



“งั้นพี่่ทาม จะยอมช่วยนะครับ ถ้า น้องติวเตอร์ทำตัวเป็นแฟนที่ดีของพี่”



“แฟน!”



ติวเตอร์ตกใจตาโต ตะโกนเสียงดังจนคนรอบข้างหันมามอง เมื่อรู้ตัวจึงหันไปก้มหน้าขอโทษขอโพยคนอื่นเป็นการใหญ่



“ใช่ครับ แฟน ไหนว่ารู้ข้อตกลง หึหึ แต่ต้องทำให้พี่เชื่อนะ แต่ถ้าพี่ไม่เชื่อ...คงรู้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้น เอาล่ะ! ตอนนี้น้องติวเตอร์ช่วยไปดูหนังกับสักเรื่องก่อนละกัน”



“เดี๋ยว ผมอยากรู้เงื่อนไข”



“หึ ครับ งั้นฟังดีๆพี่จะบอกคร่าวๆละกันนะ น้องติวเตอร์จะต้องไปอยู่บ้านพี่เป็นเวลา 3 เดือน”



“ฐานะอะไร”



“นางบำเรอ!”



“อึก!”



“ไม่รู้แล้วยังจะมาขอ แล้วยังไง ยังเหมือนเดิมอยู่ไหมครับ”



“มะ เหมือนเดิม ผมยอมรับเงื่ิอนไขนั่น”



“งั้นก็ดีครับ ไปกันได้รึยัง”



ใบหน้าทามยังยิ้มดั่งผู้ชนะตลอดเวลาดวงตาแพรวพราวดูเจ้าเล่ห์ ต่างจากติวเตอร์ที่หน้าซีดเผือด ได้แต่ยอมรับ พยักหน้าตกลง แต่ในใจแค้นมากจึงได้แต่กัดฟันทนจนปวดไปหมด หน้าแดงก่ำด้วยความโมโหและอาย อยากจะลุกหนีไปแต่ทำไม่ได้ ว่าแล้วทามก็ลุกขึ้นยืน ยื่นมือออกไปหาติวเตอร์ รอให้อีกฝ่ายจับ



“มือครับที่รัก เราจะได้ไปกัน”



เมื่อติวเตอร์ไม่เข้าใจ ทามจึงเอ่ยออกไป พร้อมกับพยักหน้าด้วยสายตากึ่งบังคับ ติวเตอร์จึงจำเป็นต้องยื่นแขนของตนออกไปจับกับคนตัวสูงกว่ามากช้าๆ ทามจึงลากแขนติวเตอร์ออกนอกร้านไปทันทีที่ยอมจับมือ โดยที่ไม่ลืมวางเงินไม้บนโต๊ะก่อนออกไป



 

“เดี๋ยวสิ ผมยังพูดไม่จบนะ”



ระหว่างที่เดินไป ติวเตอร์ขืนตัวไว้ได้ในที่สุด แล้วรีบพูดอย่างรวดเร็ว เมื่อทามได้ยินจึงหยุดชะงักแล้วหันหน้ามาฟังติวเตอร์พูดอีกครั้ง ด้วยท่าทีสบายๆตามแบบตน ตาคมมองติวเตอร์นิ่งๆ รอฟังอีกคนพูด



“ผม มีเงื่อนไขอื่นอีก”



ติวเตอร์ที่มัวแต่อ้ำอึ้ง ทำสีหน้าลำบากใจที่จะพูด หลบสายตาเขาไปมาอย่างระแวงกลัวจะโดนดุ ทามยกยิ้มมุมปากพอใจและนึกขำกับท่าทางเด็กๆของอีกฝ่าย จึงพูดขึ้นเป็นเชิงอนุญาต แล้วก็ได้ผลติวเตอร์ดูผ่อนคลายขึ้น



“เอ่อ...ข้อแรก พี่ พี่ทามห้ามเรียกผมว่าที่รักและชมว่าน่ารักทั้งก่อนและหลังวันนั้น”



จู่ๆแก้มใสๆของติวเตอร์เปลี่ยนเป็นสีอมชมพูเมื่อตนพูดจบ หันใบหน้าหนีไปอีกข้าง ติวเตอร์ไม่เคยชอบพวกนี้เลย ไม่ว่าจะที่รักหรือน่ารักก็ตาม เพราะเขามักจะเขินอายเสมอ ทามได้มองอีกฝ่ายนิ่งๆอย่างตะลึงเพราะไม่เคยเห็นมาก่อน ทุกครั้งจะมีแต่ทำหน้างอไม่ก็โมโหใส่เขาตลอดเวลา



“อ๊ะ ตะ ตกลงไหมฮะ พี่ ทาม”



เห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไปจึงหันกลับมา สบตากับตาคมของทามพอดี จึงสะดุ้งแล้วตะโกนถามทามอีกครั้ง ซ่อนใบหน้าอมชมพูของตนด้วยใบหน้าหงิกไม่พอใจเช่นเดิม รอยยิ้มแสดงความพอใจถูกยกขึ้นมุมปากทาม แล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มหล่อแบบเดิมแบบที่สาวๆมักเรียกว่ายิ้มใจละลาย มองคนตัวเล็กกว่าที่หลบสายตาไปมา



“อืม...ข้อนี้ พี่จะพยายามไม่เรียกน้องติวเตอร์ว่าที่รักอีก แต่ก่อนอื่นน้องติวเตอร์ต้องแทนตัวเองด้วยชื่อ รวมทั้งถ้าน้องติวเตอร์ลืมเรียกพี่ว่า พี่ทาม ลืมคำลงท้าย และหลุดคำหยาบที่ทำให้พี่หัวใจดวงน้อยๆของพี่สั่นกลัวออกมาละก็ พี่จะทำโทษน้องติวเตอร์ด้วยวิธีการของพี่ตกลงไหมครับ”



“เหอะ หัวใจดวงน้อยๆหรอ พูดออกมาได้นะตัวยังกับยักษ์ ถ้าเป็นเด็กตัวเล็กๆน่ารักๆก็ว่าไปอย่าง แล้วคนอย่างพี่หรอจะสั่นกลัวผม ไม่มีทาง”



ติวเตอร์ถึงกับเบะปากเมื่อฟังทามพูดจบ อดที่จะแขวะกับไปไม่ได้



“อ๊ะๆ ไม่ทันไร ก็ผิดคำพูดซะแล้ว พี่ทำโทษเลยดีไหมนะ”



ทามทำท่าโน้มใบหน้าหล่อที่มีรอยยิ้มกวนประสาทติวเตอร์ยิ่งนักลงมาใกล้ ใบหน้าที่อมชมพูของติวเตอร์หายไปแทนที่ด้วยการทำหน้างงๆปนไม่พอใจกับการกระทำของอีกฝ่าย ใบหน้าหล่อที่มีรอยยิ้มมัดใจสาวๆหนุ่มๆมานักต่อนักถูกก้มลงแทบชิดกับใบหน้าใสของติวเตอร์ ใกล้ขึ้นๆ จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนของอีกฝ่าย ติวเตอร์ได้แต่ตาโต เกร็งไปทั้งตัว ทำอะไรไม่ถูก หัวใจเต้นรัวด้วยความตื่นตกใจ



ทามพ่นลมหายใจอุ่นๆของตนออกทางจมูกไล่ตั้งแต่จมูกเล็กๆไปยังแก้มใสโดยตั้งใจให้ติวเตอร์ตกใจตกใจเล่น แล้วเลื่อนใบหน้าตนไปกระซิบเบาๆที่ข้างหูของติวเตอร์



“เอาเป็นว่าครั้งนี้ปล่อยไปก่อนล่ะกันนะครับคนดี หึหึ”



“อ๊ะ ปล่อยผม! ไม่ หยุดอยู่นั้นนะ แค่จะพูดว่า ปะ ปล่อยเตอร์นะฮะ!”



พอตั้งสติได้จึงผลักทามให้ออกห่าง ใบหน้าใสขึ้นสีชมพูจางๆอีกครั้งที่ข้างแก้มโดยไม่รู้ตัว พูดผิดจนทามทำท่าจะเดินเข้ามาหาอีกครั้ง จึงรีบแก้ใหม่พร้อมถอยกายหนีทันที



“แค่นี้ใช่ไหม เราจะได้ไปดูหนังกันสักที”



“ยังฮะ ข้อ2 ช่วยพยายามห้ามถูกเนื้อต้องตัวผมจนกว่าจะถึงวันนั้น รวมทั้งแบบเมื่อกี้ด้วย”



ติวเตอร์เงยหน้าขึ้นมองสบตากับทามแล้วจึงหันหนีด้วยความอายเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ ได้แต่หันไปมองด้านอื่น



“พี่ว่าพี่จำเป็นต้องถูกเนื้อต้องตัวน้องติวเตอร์เพราะน้องติวเตอร์ต้องเป็นแฟนให้กับพี่ ดังนั้นพี่ไม่รับปาก พูดข้ออื่นมาได้เลย”



“แต่...”



“ไม่มีแต่ครับ เว้นแต่ว่าน้องติวเตอร์ไม่ต้องการความช่วยเหลือ”



ทามทำท่าสบายๆไม่สนใจท่าทีของติวเตอร์ที่ไม่พอใจ คิ้วที่ขมวดมุ่น ปากจู๋ยื่นออกมาเมื่อคนตัวเล็กชอบทำเมื่อถูกขัดใจอะไรสักอย่าง ทามจ้องมองปฏิกิริยาอีกฝ่ายนิ่งๆอย่างสนใจ



“งั้นข้อ3 เมื่อครบ3เดือนตามข้อตกลง ครอบครัวของเตอร์ต้องเหมือนเดิมทุกอย่าง และทั้งพี่ทั้งครอบครัวต้องเลิกยุ่งวุ่นวายกับเตอร์และครอบครัวของเตอร์อีกเด็ดขาด!”



“อืม..ข้อนี้พี่ทามตกลงแน่นอนครับ ไม่ต้องห่วงไป ระยะเวลาตั้ง3เดือนที่น้องติวเตอร์ต้องมารับใช้พี่ ร่างกายของติวเตอร์คง...”



ทามเหลือบตามองต่ำลงไปที่บั้นท้ายของติวเตอร์นิ่งๆ ติวเตอร์มองตามไปก็รู้ว่าอีกฝ่ายถึงอะไร ‘คงจะว่าเขาหลวมสินะ คนอย่างมันนี่น่าโมโหจริงๆ หยาบคายชะมัด’ แต่ก็ได้แค่คิดในใจไม่กล้าต่อว่าออกไป



“พี่ก็คงเบื่อแย่แล้วแหละ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวไป บางทีถ้าพี่เบื่อติวเตอร์เร็วมันก็คงจบเร็วไปด้วย ส่วนเรื่องธุรกิจของพ่อๆก็ปล่อยให้เขาไปเคลียร์กันเอาเองอีกทีละกันโดยไม่มีเรื่องของเราไปเกี่ยวอีก เงื่อนไขทั้งหมดตามนี้ถ้าไม่ตกลง พี่ไม่ช่วย”



“ได้ฮะ ตามนั้น”



“แต่ว่านะ กฎมันเยอะเกินไป บางทีข้อ2อาจจะต้องตัดทิ้งไปเลยนะ ถ้าน้องติวเตอร์อยากให้พี่รู้สึกว่าเราเป็นแฟนจริงๆละก็คงต้องยอมเปลืองตัวกันหน่อย”



ว่าจบทามก็หันหลังเดินนำไปก่อน มือล้วงกระเป๋าด้วยท่าทีสบายๆ อีกข้างยกขึ้นหยิบแว่นตาสีชามาสวม



“เท่ห์ตายแหละ บู่”



ติวเตอร์ทำปากจู๋ยื่นออกไปให้คนที่เดินนำไปก่อนอย่างไม่ค่อยพอใจนัก ถอนหายใจเฮือกใหญ่



“เอาล่ะ ฮึบ สู้ๆติวเตอร์ ละครฉากใหญ่กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว”



มือบางกำยกขึ้นสูงระดับหน้าอก ให้กำลังใจตนเอง แล้วจึงวิ่งตามไปจนทัน สองมือบางของติวเตอร์คว้าหมับเข้าที่แขนแข็งแกร่งของทามแล้วเดินนวยนาดออกไปด้วยกัน



.

.

.

 

‘แตงโม นั่นพี่ทามของเธอรึเปล่า ไหนว่าคั่วกันอยู่ไง ทำไมมากับคนอื่นซะล่ะ’



‘นั่นสิยะ แล้วเด็กนั่นก็หน้าตาน่ารักซะด้วยสิ ถึงจะเป็นเด็กผู้ชายก็เถอะ’



‘ว่าไงนะ! พวกเธอพูดบ้าอะไร ทามกับฉันรักกันหวานชื่นจะตาย เมื่อวานนะเราทั้งคู่ยังขึ้นสวรรค์กันอยู่เลย’



‘นู้นไง/หันไปดูสิยะ’



กรี๊ดดดด

 

 

[Tuter part]

ตอนนี้เราทั้งคู่มาอยู่กันที่หน้าโรงภาพยนตร์แล้วครับ ผมก็เดินเกาะแขนไอ้พี่ทามมาตามเงื่อนไขทาสนั่น บทละครบทนี้ผมคงเหนื่อยเอามากๆแต่ก็คงได้แค่ทนรอให้มันจบๆไป ถ้าทำได้ดีแล้วพี่มันตกลง ผมก็ทนไปอีก3เดือน พ่อของผมก็คงจะมีความสุขมากกว่านี้ ท่านเหนื่อยเพราะผมมาเยอะแล้ว เพราะฉะนั้น แค่นี้ผมทำได้ แค่ทำตัวให้สบายไม่ต้องคิดมาก เฉยไปซะพี่มันก็ไม่ค่อยแกล้งผมเท่าไหร่ คงแค่อยากเอาชนะมากกว่า



“อยากดูเรื่องอะไรครับติวเตอร์”



“พี่มีแนะนำไหม ผมไม่ค่อยได้ดูเท่าไหร่ช่วงนี้”



“หนังผีไหมครับ”



“ทำไมต้องหนังผี พี่ชอบดูหรอ”



“ก็เปล่า แค่เวลามากับสาวๆพวกเธอชอบดูหนังผี เพราะเวลาตกใจก็ชอบมาซบไหล่พี่ สนใจไหมล่ะ พูดกันทั้งนั้นว่ามันอบอุ่นมาก”



“เชิญมโนไปคนเดียวเถอะฮะ ถ้าพี่ไม่เลือกผมเลือกที่ชอบนะ”



“เรื่องอะไรครับ”



“The Jungle Book 2016 ฮะ”



“เมาคลี?”



“ฮะ ทำไม ไม่ชอบหรอ”



“เปล่า พี่แค่แปลกใจ แต่ก็เหมาะดี”



นั่นเป็นอีกบทสนทนาที่ผมกับไอพี่ทามคุยกันอย่างปกติมากที่สุด พี่มันก็กวนประสาทผมไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือหน้าตาท่าทาง ไม่รู้ว่ามีความสุขมากนักรึไงก็ไม่รู้ ผมต้องทำตัวสบายเข้าไว้ เล่นละครให้สมบทบาทๆ

 

“พี่ทามฮะ รู้จักผู้หญิงคนนั้นรึเปล่า”



จู่ๆได้ยินเสียงคนกรีดร้องแว่วๆผมจึงหันไปมอง แต่ดันเจอผู้หญิงแต่งตัวเปรี้ยวหน้าตาสวยคนหนึ่ง เธอเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่บ่งบอกว่าไม่พอใจผมอย่างแรง เพราะอะไรน่ะหรอ ก็คงเพราะไอคนข้างตัวผมละมั้งเห็นพูดบ่อยๆว่าตัวเองกิ๊กเยอะ ให้ผมจัดการเอาเอง เหอะ ตาโตๆที่กรีดมาสคร่ามาซะเข้มของเธอจิกมาที่ผม ถ้าสายตาเธอเป็นมีดผมคงโดนเธอแทงเป็นรูพรุนไปทั้งร่างกายแล้วแหละ



“ไหนครับ อ่อ...คู่นอนคนล่าสุดของพี่เองครับ”



ไอพี่ทามพูดไปยิ้มไปหลังจากหันไปมองหน้าเธอคนนั้นแล้วหันกลับมาหาผม ถ้าไม่บีบให้ต้องขอร้อง ผมล่ะอยากกระทืบพี่มันตรงนี้จริงๆ แต่ผมก็ได้แค่คิดแหละ



“ทามคะ แตงโม กำลังจะโทรฯหาทามพอดีเลยค่ะ ไม่คิดว่าจะเจอกันที่นี่ บังเอิญจัง เมื่อคืนแตงโมมีความสุขมากเลยนะคะ แล้ว..คืนนี้แตงโมว่างอีกแล้วนะคะ ถ้าทามสนใจ...”



เธอเดินเข้ามาแล้วคว้าหมับที่แขนไอพี่ทามอีกข้าง พูดไปออเซาะไปเบียดหน้าอกตูมๆสมกับชื่อเข้ากับแขนข้างนั้น ส่งสายตาหวานยาดเยิ้มให้กัน ผมว่าใจจริงเธอคงอยากเบียดผมให้ออกจากไอพี่ทามมากกว่าแต่ก็คงจะดูจงใจเกินไป ผมจึงปล่อยมือออกจากแขนพี่ทาม ทำหน้านิ่งๆเข้าไว้เดี๋ยวรู้กันหมดว่าผมรำคาญ แล้วหันหลังจะเดินหนีไปที่อื่นก่อนสักพัก



“ผมขอตัวสักครู่นะฮะ เชิญคุยกันตามสบาย”



“เดี๋ยวครับน้องติวเตอร์ จะรีบไปไหนครับ จัดการไล่เธอสิในฐานะแฟนของพี่”



พี่ทามคว้าแขนผมไว้ แล้วก้มลงกระซิบเบาๆที่หูในประโยคท้าย เลวจริงๆนั่นเป็นคำพูดที่ผมฟังแล้วถึงกับสะอึก เมื่อผมหมดประโยชน์ก็คงจะต้องโดนแบบเธอคนนี้สินะ



“ให้ผมไล่เธอเนี่ยนะ พี่นี่เลวจริงๆ ยังไงเธอก็เป็นผู้หญิงนะผมไม่ทำหรอก”



“ไม่ทำก็ตามใจ ยังไงพี่ก็ยังไม่ได้ตกลงจะช่วย พี่ไม่เดือดร้อนอยู่เเล้ว”



“หึ่ย! ก็ได้ ผมจะทำ”



“เดี๋ยว ครับ รู้ตัวหรือเปล่าครับว่าหลุดคำหยาบออกมา ไหนจะลืมแทนชื่อตัวเองอีก ไว้ค่อยว่ากันนะ”



ไอพี่ทามกระซิบที่ข้างหูของผม สีหน้ายิ้มแย้มนั่นคืออะไร เหอๆ ผมได้ยินขำกับตัวเองเบาๆ นี่ผมต้องเล่นบทร้ายสินะ แล้วไอพี่ทามก็เงยหน้าขึ้นหันไปยิ้มหวานให้กับเธอคนนั้น น่าหมั่นไส้ซะจริง



“มีอะไรกันรึเปล่าคะ แล้วนี่ใครหรอคะทาม น้องชายหรอ”



เธอทำหน้าสงสัยเอียงคอถามไอพี่ทามอย่างน่ารัก หันมามองทางผมแต่สายตาเสียดแทงซะเจ็บปวด ผมถึงกับสะอึก เอาก็เอา แปปเดียวเดี๋ยวมันก็จบ ผมจะเล่นละครตามที่พี่อยากเองไอพี่ทาม ผมเดินไปเกาะแขนพี่ทามเอาหัวเอนไปซบไหล่กว้างนั่น เอียงคอขึ้นมองพี่ทาม ส่งสายตาเศร้าๆไปบ้าง



“ทำไมกิ๊กพี่เยอะแบบนี้เนี่ย ผมเหนื่อยนะ”



ผมแกล้งทำหน้างอ ยกมือตีไปที่แขนพี่ทามแรงๆแกล้งงอนซะหน่อย ได้เอาคืนให้พี่มันเจ็บตัวก็ดีเหมือนกันนะ ผมยิ้มให้ตัวเองอย่างพอใจ แล้วก็เงยหน้ามองเธอที่ทำหน้าลุ้นซะ แล้วตัดสินใจเล่นบทต่อไป ในใจเธอคงกำลังสาปแช่งไม่ก็กำลังด่าไล่ผมทางสายตาแน่เลย ดุน่ากลัวซะมัดเลย



“ผมไม่ใช่น้องชายพี่ทามหรอกฮะพี่สาว แต่เป็นแฟนต่างหาก แล้วผมก็ไม่พอใจมากที่พี่สาวมาเกาะแกะแฟนผม พี่สาวก็สวยนะฮะ แต่ทำไมต้องมาแย่งของของคนอื่นด้วยล่ะฮะ พี่ทามเป็นของผม พี่สาวควรจะเลิกเข้ามาวุ่นวายได้แล้วนะฮะ ไม่งั้นอย่าหาว่าผมไม่เตือนนะ เราสองคนรักกันมากนะฮะ แต่ผมก็เข้าใจที่พี่ทามมีกิ๊กเพราะผมบอกเองแหละว่าผมยังไม่พร้อมเรื่องเซ็กส์  คงเข้าใจนะฮะว่าผมหมายถึงอะไร ยังไงผมก็ตัวจริง เข้าใจไว้ด้วยนะฮะ”



ผมพูดออกไปไม่ดังนัก ก็กลัวเธออายเหมือนกัน ยังไงก็ผู้หญิง อย่าหาว่าผมใจร้ายเลยนะ แต่มันต้องม้วนเดียวจบ แค่นี้ผมก็เกร็งจะแย่แล้ว พูดไปมือจิกมือตัวเองไป ถึงจะทำใจกล้า ยืนเผชิญหน้ากับเธอแต่ข้างในมันสั่นไปหมดแล้ว ‘อยากให้รีสพาออกไปจากตรงนี้จัง’



“กรี๊ดดดดด อะไรกันทาม ทำไมไอเด็กนี่พูดจาร้ายกาจเเบบนี้คะ แล้วทำไมมันอ้างว่าเป็นแฟนของทามล่ะคะ เรามีความสุขกันมากนะคะทาม ไอเด็กบ้านี่มันเป็นผู้ชายนะคะ ทามคะ ตอบแตงโมมานะคะ!”



เธอที่ดูช็อกไป ทำตาโตเมื่อฟังผมพูดจบ ริมฝีปากสีแดงจัดกรีดร้องออกมาเสียงดังจนคนละแวกนี้หันมามองกันใหญ่ ปากเธอโวยวายลั่น ตาโตๆที่กรีดมาสคร่าเข้มมองจิกมาที่ผม แขนเธอก็เกาะแขนพี่ทามแน่นพร้อมเขย่าแรงๆไปด้วย หน้าเธอแดงไปด้วยความโกรธและอาย จนผมรู้สึกผิด ผมจึงปล่อยมือจากแขนพี่ทาม ก้มหน้าลงกัดปากล่างตัวเองจนเลือดซิบ



“ทามคะ! อย่าเงียบนะ บอกแตงโมมาเดี๋ยวนี้!”



“อย่างที่แฟนพี่พูดเลยครับแตงโม”



“กรี๊ดดดด ทำไมล่ะคะทาม เด็กบ้านี่มันดีตรงไหนคะ ไหนทามบอกว่าชอบแบบแตงโมไงคะ อกตูมๆแบบนี้สเปคทามไม่ใช่หรอคะ แต่นี่มันเด็กผู้ชายชัดๆนะคะไม่มีแม้แต่หน้าอก ทำไมทามถึงบอกว่าเป็นแฟนได้ ทั้งๆที่ทามไม่เคยคิดจะคบกับใครจริงจังเลยล่ะคะ”



ผมเงยหน้ามองเธออีกครั้ง หน้าเธอดูแดงไปหมดอย่างหน้าสงสาร ผม เล่นแรงไปรึเปล่านะ แต่ ผมถอยไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นอย่าใจอ่อนทั้งๆที่เพิ่งเริ่มต้นสิติวเตอร์ ละครเรื่องนี้ยังอีกยาวไกล



“พี่ทามฮะ เตอร์ไม่อยากดูหนังแล้ว”



“อ่า พี่ขอตัวนะครับแตงโม ไปกันเถอะครับน้องติวเตอร์”



ว่าจบผมก็เดินลากแขนไอพี่ทามออกมาจากตรงนั้น ซึ่งก็เป็นเรื่องดีที่ผมไม่ต้องเข้าไปนั่งดูหนังกับไอพี่ทามกันสองคน เธอก็ได้แต่กรีดร้องโวยวายเสียงดังลั่น จนคนรอบข้างหันมามองมากขึ้น ไอ้พี่ทามก็เอาแต่ยิ้มจนปากจะฉีกถึงหูเดินลอยหน้าลอยตาไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร แตกต่างจากผมที่กัดริมฝีปากตัวเองแน่น ต้องจบเร็วๆ ต้องจบเร็วๆ



“เดี๋ยวสิคะทาม เรายังเคลียร์กันไม่จบเลยนะคะ ทามคะ!”



“อ่อ เดี๋ยวฮะพี่ทาม... พี่สาวฮะ เป็นไปได้อย่าติดต่อกับพี่ทามอีกเลยนะฮะ เพราะพี่ทามคงเบื่อพี่แล้ว อีกอย่างพี่ทามมีผมเป็นเเฟนอยู่แล้วคงไม่ต้องการพี่สาวอีก เรารักกันมากฮะ ขอโทษนะฮะพี่สาว”



เธอโวยวายเสียงดััง ทำท่าจะเดินตามมา ผมหยุดเท้าไว้แล้วหันกับไปมองพูดกับเธออีกครั้ง เพราะเรื่องมันต้องจบเร็วๆ กับคำพูดขอโทษในประโยคสุดท้ายที่ผมพูดออกไปจากใจ แต่เธอคงไม่เข้าใจ แล้วผมก็ตัดสินใจเดินควงไอพี่ทามเดินออกไปจากตรงนั้นทันที ผมคงไม่กล้ามาแถวนี้อีกนานเลย น่าอายชะมัด แถมรู้สึกผิดเอามากๆ



.

.

.



เดินออกมาได้สักพัก ผมก็สะบัดแขนพี่ทามทิ้งถูมือไปมาอย่างรังเกียจ เพราะพี่ทามคนเดียวผมถึงต้องทำร้ายจิตใจคนอื่นแบบนี้ พี่ทามก็หยุดเดินแล้วพูดออกมา หน้าตายิ้มแย้มมีความสุขเว่อร์จนน่าหมั่นไส้ พูดเเขวะผมออกมา



“หึหึ เล่นพี่อึ้งไปเลยนะครับเนี่ยที่น้องติวเตอร์เล่นได้ขนาดนี้ พี่เกือบเชื่อเลยนะครับว่าน้องติวเตอร์รักพี่จริง และหวงพี่มาก แล้วแบบนี้พี่ก็คงอดกินเธออีกเลย แตงโมเธอเด็ดซะด้วย”



“งั้้นหรอฮะ ก็ดี พี่จะได้ตกลงช่วยผมเร็วๆไง แล้วช่วยพูดถึงคนอื่นดีๆหน่อยได้ไหมครับ เธอเป็นผู้หญิงควรให้เกียรติเธอบ้างสิฮะ”



ผมยิ้มหวานส่งไปให้พร้อมคำพูดที่จงใจประชดประชัน



“เดี๋ยว! นี่หยุดนะ! พี่ทามจะลากผมไปไหน”



จู่ๆพี่ทามก็หยุด หันมามองหน้าผมนิ่งๆ แล้วคว้าหมับเข้าที่แขนข้างซ้ายผม ออกแรงกระชากให้ผมเดินตามไปจนเจ็บแขนไปหมด



“พี่ทามฮะ! ปล่อยผมนะ ผมเจ็บ! จะพาผมไปไหน”



“พี่ก็พาเด็กดื้อไปลงโทษไงครับ รู้ตัวรึเปล่าว่าทำผิดอะไรไว้ตั้งเยอะ”



“เดี๋ยวฮะ ผมทำผิดอะไรพี่ก็พูดมาสิ ทำไมต้องลากมาแบบนี้ด้วยเล่า มันเจ็บนะ เดี๋ยวสิ จะผลักผมเข้าไปทำไม!”



ปึง!!



พี่ทามลากผมมาถึงห้องน้ำ มือก็ผลักประตูหาห้องที่ว่าง เมื่อเจอก็เหวี่ยงผมเข้าไปด้านในห้องส้วมอย่างแรง จนตัวผมเซไปนั่งอยู่บนส้วม เจ็บชะมัด



แกร๊ก!!



“พี่จะเข้ามาทำอะไร แล้วทำไมต้องล็อคประตูด้วย ปล่อยผมออกไปนะ ถ้าอยากเข้าห้องน้ำก็เข้าไปคนเดียวสิ หลบ! ผมจะออก!”



เมื่อได้ยินเสียงล็อคประตูผมก็รีบหันไปมอง ดันตัวเองขึ้นก้าวขาจะออกไปด้านนอก มือก็ผลักพี่ทามออกให้พ้นทาง



พี่ทามคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของผมขณะที่ผมกำลังผลักพี่มันออก สายตาเจ้าเล่ห์กับรอยยิ้มแปลกๆนั่น ทำให้ผมทำตัวไม่ถูก ได้แต่ขมวดคิ้วแน่น พี่ทามดันตัวผมให้ชิดผนังห้องน้ำ โดยเอาตัวใหญ่ๆของตัวเองดันตามมาด้วย เพื่อกันให้ผมหลบออกไปได้ ตามด้วยใบหน้าของพี่แกที่ก้มลงมาอย่างจงใจ บดเบียดปากหนาลงกับปากผมอย่างรวดเร็ว ผมได้แต่ตกตะลึงไม่คิดว่าพี่มันจะทำแบบนี้



“อื้อออออ อ่อย อ๋มนะ อ๋มเอ็บ” (ปล่อยผมนะ ผมเจ็บ)



พี่ทามถอนปากออกมองที่ริมฝีปากผม พูดขึ้นเบาๆ แล้วก้มหน้าลงมาใกล้ผมอีกครั้ง จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจ



“เเฮ่ก จะ จูบผมทำไม”



ใบหน้าผมตอนนี้ร้อนไปหมด คงจะแดงมากแน่ๆไม่รู้ว่าเพราะจะหมดอากาศหายใจเพราะโกรธหรือเพราะอายกันแน่ จูบแรกของผม ทำไมต้องเป็นคนแบบนี้นะ



“อ่า ไม่รู้ตัวหรอครับว่าทำผิดอะไร”



พี่ทามยังคงยิ้มแย้มจนหน้าหมั่นไส้เหมือนเดิม ใบหน้านั่นก็ยังคงก้มมาเรื่อยๆทำท่าจะจูบผมอีกครั้ง ผมจึงเบือนหน้าหนีตะโกนต่อว่าออกไป มือก็ผลักพี่ทามออกห่างจากตัว ดันตัวเองให้หลุดจากอ้อมแขนพี่ทาม



“อะไรเล่า! นี่! ปล่อยผมนะ”



“อื้อ อ่อยน้า”



ผลัก!



พี่ทามเบียดตัวเข้าหาผมมากขึ้น จนผมขยับไม่ได้แล้ว ผมจึงรวบรวมแรงแล้วผลักพี่ทามออกห่างจากตัวอีกครั้ง ดันตัวเองออกจากผนังสำเร็จ แต่อยู่คนละด้านกับประตู มือก็ยื่นดันพี่ทามเอาไว้ตลอดเพราะพี่ทามขยับเข้ามาหาผมตลอดเวลา



“พูดสิ บอกผมว่าผิดอะไร ทำไมต้องจูบผมด้วยเล่า”



“หึหึ น่ารักจังนะครับ”



นะ น่ารัก น่ารักอีกแล้ว ผมไม่ชอบคำนี้จริงๆนะ ผมว่าตอนนี้หน้าผมคงแดงขึ้นอีกแน่ๆ แย่ละสิ ต้องโมโห ติวเตอร์ข้อตกลง



“นี่! ข้อตกลงว่ายังไง บอกแล้วใช่ไหมฮะว่าอย่าพูดว่าผมน่ารักน่ะ”



“ครับ ข้อตกลงว่าไง พี่ก็บอกติวเตอร์แล้วใช่ไหม ว่าถ้าไม่เรียก พี่ทาม แทนตัวเองด้วยชื่อ พี่จะทำโทษเราในแบบของพี่ มาให้พี่ทำโทษดีๆดีกว่านะครับ พี่รับปากเลยว่าจะให้คำตอบว่าจะตกลงไหมภายในอาทิตย์นี้”



“ฮึ่ย! พี่พูดแล้วนะ อีก 6 วันผมต้องได้คำตอบ!”



ทำไมผมต้องยอมขนาดนี้นะ เปลืองตัวซะมัด แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องนั้นละก็ ถ้าผมไม่ทำพ่อก็ต้องเดือดร้อน ผมต้องทำ



“อยู่นิ่งๆนะครับ แฟน ของพี่”



“อ้ะ มะ อื้มมมม”



พี่ทามเอื้อมมือขึ้นมาวงทาบไว้ที่แก้มของผม นิ้วโป้ไล้เบาๆที่แผลบนปากของผม ดวงตาเราประสานกันนิ่ง ใจผมเต้นโครมครามด้วยความตื่นเต้นบ้าๆ ใบหน้าพี่ทามก้มลงมาเรื่อยๆ จนจมูกโด่งชิดกับจมูกผมลมหายใจอุ่นร้อนเป่าลดเบาๆ แล้วค่อยๆทาบริมฝีปากหนาของพี่ทามลงที่ริมฝีปากของผมอีกครั้งอย่างช้าๆ ผมได้แต่หลับตาปี๋ เกร็งไปทั้งตัวและหัวใจที่เต้นระรัว พี่ทามไล้ชิมตั้งแต่ริมฝีปากล่าง ไล้วนตรงแผลที่ผมกัดปากตัวเองจนแตกอย่างเบาๆ ไล้ริมฝีปากบน ลิ้นร้อนค่อยๆดุนดันเข้าไปในปากผม ตวัดไล้ชิมทุกส่วนภายในปากผมอย่างเล่าร้อน ทุกอย่างดำเนินไปอย่างนุ่มนวล หอมหวานเหมือนลูกกวาดรสอร่อย จนมีน้ำใสๆไหลเยิ้มมุมปากอย่างไม่ได้ตั้งใจ สมองผมขาวโพลนไปหมด จูบ...มันเป็นแบบนี้เองสินะ

 





...

สวัสดีค่า เอาคู่ พี่ทาม น้องติวเตอร์ มาลงให้อ่านกันไปพรางๆ น่ารักกันไหมคะ

จริงๆกลัวคนอ่านลืมTT แง

เม้นๆเค้าด้วยน้า ไว้จะมาอัพให้เรื่อยนะ ให้ผ่านช่วงมรสุมนี้ไปก่อน อย่าทิ้งเค้าน้า

ปลล.เรื่องแก้คำผิดต่างๆเอาไว้หลังๆค่อยแก้นะคะ ตอนแรกๆ
ปลลล.นิยายเรื่องนี้สดนะคะ ถ้ามีไรผิดพลาดก็ขออภัยด้วยค่ะ
แฟนเพจค่า
https://www.facebook.com/AkumaBK/ (https://www.facebook.com/AkumaBK/)

 
พล็อตแปลกมากอ่ะค่ะ ตอนนี้รีสเริ่มชอบเฟิร์สแล้วสิ ไม่รู้ดร.จะทำอะไรกับร่างกายของรีสบาง รู้สึกสงสารค่ะ เหมือรีสเป็นหุ่นเชิด
พล็อตอปลกยังไงหรอคะ แล้มมันดีหรือไม่ดี มีอะไรเม้นๆบอกกันได้เลยน้า อ่านพี่ทามน้องติวเตอร์ก่อนน้า ไว้คราวหน้ามาดูคู่หลักกันต่อ

ไรต์เตอร์สู้ๆนะคะ ^^
ขอบคุณนะคะ มีกำลังขึ้นมาเลย เข้ามาอ่านคอมเม้นทีไร ชื่นใจทุกที ต้องขอิภัยในความล่าช้าด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: rosetears ที่ 30-04-2016 17:51:05
ทามแอบร้ายนะนั่น555 ส่วนเตอร์ก็เด็ดเหมาะกันดีนะ
#ด้วยความยินดีค่าไรต์ ส่วนเรื่องล่าช้ารอได้ค่า ^^
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: rosetears ที่ 12-05-2016 20:31:15
 :mew2: รอนะคะไรต์  :mew1:
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 19-05-2016 21:28:06


me die

19 : ความสุขแสนสั้น

แสงแดดอ่อนในยามเช้าไล้ไปตามชายคาบ้านเล็กๆหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ท้ายสุดของหมู่บ้านในชนบท รอบๆตัวบ้านเป็นป่า จะมีก็แต่ด้านหน้าของบ้านหลังเล็กเท่านั้นที่เป็นทางเดินเชื่อมไปสู่ถนนเข้าหมู่บ้าน ถัดออกไปไม่ไกลจะมีน้ำตกเล็กๆที่มีน้ำตลอดปีไว้ให้ชาวบ้านได้ใช้งาน ยามเช้าจะได้ยินเสียงนกน้อยร้องเพลงขับกล่อมประสานไปกับเสียงป่าเขาลำเนาไพรเสนาะหู

ภายในบ้านหลังเล็กที่ภายในมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ยังมีชายหนุ่มคนหนึ่งอาศัยอยู่เป็นเวลากว่า5วันแล้ว ชีวิตประจำวันที่นี่ของเขาก็เหมือนเช่นช่วงแรกๆที่ยังปรับตัวให้คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมยังไม่ได้มาก เวลากลางคืนที่นอนหลับเป็นต้องผวาตื่นมาหลายๆรอบทุกครั้ง จากฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนเขานั่นเอง

“เช้านี้ก็สดชื่นเหมือนเดิมสินะ ที่นี่สวยและสงบมากเลย อยากอยู่ที่นี่นานกว่านี้จัง”

ดวงหน้าเรียวหลับตาพริ้มยืดตัวตรง กางเเขนสองข้างออกกว้างสูดอากาศบริสุทธิ์ อยู่หน้าบ้าน แล้วลืมตามองสำรวจรอบๆบ้านอย่างสดชื่น บรรยากาศที่นี่ทำให้เขาสงบลงมากในเวลาอันสั้น เวลาที่ได้เห็นธรรมชาติที่สวยงามมักทำให้เขาลืมหน้าปีศาจร้ายในความทรงจำได้ เขาเลยเลือกที่จะออกมายืนเช่นนี้ในทุกๆวันเป็นเวลานาน

“อ๊ะ สร้างรังยังไม่เสร็จหรอเจ้านกน้อย น่าอิจฉาจังที่ใช้ชีวิตของตัวเองได้อย่างอิสระ”

เขาเดินไปพูดคุยกับนกน้อยคู่หนึ่งที่มาสร้างรังอยู่ใกล้ๆอย่างชื่นชม และอิจฉาไปด้วย อิสระที่กำหนดชีวิตตัวเองได้ สามารถดำเนินทุกอย่างอย่างที่ใจอยากจะทำ ถึงปีกจะเล็กเพียงใดแต่ก็พยุงและพาตัวของมันไปได้ทุกแห่งหนดังใจนึก

“แต่ถึงจะอิสระเพียงใด ก็ย่อมมีหน้าที่ที่ต้องพึงกระทำ นกยังรู้ตัวเอง ฉันก็ควรรู้ตัวเองได้แล้วสินะ”

ดวงตาคู่งามหม่นลงเล็กน้อย เขาสูดลมหายใจเข้าปอด บอกตัวเองสู้!ในใจ แล้วจึงยิ้มน้อยๆให้กับนกคู่นั้น และเดินไปชมรอบๆบ้านสักพักจึงเข้าไปเตรียมอาหารเช้าอย่างเช่นทุกวัน

บางวันสายๆหน่อยก็จะเดินเข้าป่าไปน้ำตกพร้อมกับชาวบ้านคนอื่นๆ หรือไปนั่งเล่นกับเด็กๆในหมู่บ้าน พอตกเย็นก็จะกลับมาอยู่ในบ้าน และเตรียมเข้านอน


ชายหนุ่มที่ว่าก็คือ เฟิร์ส เขาได้มาอาศัยอยู่ที่บ้านเล็กๆแห่งนี้โดยความช่วยเหลือของหมอพอลที่บอกว่าเจอเขาสลบอยู่หน้าคลีนิค ให้เขามาพักรักษาที่นี่โดยใช้วิธีธรรมชาติบำบัด ให้ธรรมชาติช่วยเหลือจิตใจที่ว้าวุ่นของเขาให้กลับมาปกติ เขาก็อยากจะอยู่ที่นี่ต่อ ชีวิตที่สงบสุขของคนที่นี่น่าอิจฉาเหลือเกิน แต่เขาอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว เลยกำหนดเวลาที่พ่อให้ 7 วันมาแล้ว ไม่รู้ว่ากลับไปจะโดนลงโทษยังไงบ้าง และที่ผ่านมาเขายังไม่ได้เรียนรู้งานอะไรเลย แต่ยังไงก็ต้องกลับถ้าไม่อยากให้คนอื่นเดือดร้อน โดยเฉพาะไอพี่บ้านั่นที่ยอมรับหลายๆอย่างแทนเขามามากเเล้ว

“สวัสดีครับ เฟิร์ส เช้านี้เป็นยังไงบ้างครับ”

“อ่า สวัสดีครับพี่หมอ ก็ปกติครับสดชื่นเหมือนเดิม”

หมอหนุ่มในชุดไปรเวทสบายๆเสื้อเชิ๊ตสีฟ้าอ่อนพับแขนกับกางเกงสามส่วนสีครีมดูสุภาพ เดินลงจากรถแล้วตรงมายังอีกคนที่อยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้นเลยเข่าขึ้นมาหน่อยสีน้ำเงินเข้มที่ได้รับจากคนที่เดินมาซื้อให้ระหว่างทางก่อนมาอยู่ที่นี่ หมอพอลยิ้มให้กับเฟิร์สจนตาหยีตามแบบฉบับหนุ่มหน้าตี๋ของตน แล้วนั่งลงข้างๆพูดคุยกันเรื่อยเปื่อย

“วันนี้ดูแปลกตานะครับพี่หมอ ปกติเห็นแต่เสื้อกราวด์เต็มยศ”

“ครับผม วันนี้วันหยุดพี่น่ะครับ นานๆทีกว่าจะมี เฮ้อ เป็นหมอนี่เหนื่อยจริงๆ”

หมอพอลบ่นอุบ แต่ใบหน้ากับยิ้มแย้มดูภูมิใจ จนเฟิร์สอดแซวกับไม่ได้

“เหนื่อยแน่หรอครับ บ่นไปยิ้มไปแบบนี้ พี่หมอนี่เป็นคนยิ้มง่ายนะครับ ใจดีแถมยังสุภาพ เป็นคนดีสุดๆ ถ้าเป็นสมัยที่ผมยังเป็นโฮสต์อยู่ ผมคงจีบพี่ไปแล้ว”

“พี่ไม่ใช่คนดีหรอกครับ ถ้าเฟิร์สรู้บางเรื่องเฟิร์สอาจจะไม่อยากคุยกับพี่ก็ได้นะครับ ฮ่ะๆ ว่าแต่ เฟิร์สเคยเป็นโฮสต์ด้วยหรอครับ เล่าให้พี่ฟังหน่อยสิ”

“ได้เลย ตอนนั้นนะ ผม...”


ทั้งสองนั่งคุยกันเรื่อยเปื่อยไปสักพัก เฟิร์สดูอาการดีขึ้นมาก ดูสบายใจคิ้วไม่ขมวดตลอดเวลาแล้ว จะมีก็แต่บางครั้งที่หมอพอลสังเกตเห็นเองว่าเฟสคอยมองรอบๆอย่างหวาดระเเวงเสมอแต่จะยิ้มกลบเกลื่อนทุกครั้งไป

หลังจากวันนั้นที่หมอพอลพาเฟิร์สหนีออกมาจากคอนโดรีสได้ ก็พามาอยู่ที่นี่เพื่อให้สงบจิตใจ ซึ่งช่วยเฟิร์สได้อย่างมากทีเดียว ซึ่งที่นี่ไม่ได้ไกลจากคลีนิคมากนักเพียงแค่เฟิร์สไม่รู้ว่าคือที่ไหน หมอจะมาหาเขาทุกวันตอนเช้าก่อนเข้างาน และตอนเย็นบางวันที่มีเวลา จัดยาและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆมาให้เขา แรกๆก็อยู่พูดคุยกับเฟิร์สจนเฟิร์สรู้สึกดีขึ้น ทั้งตอนอยู่ในคลีนิคและตอนนี้ จึงได้เชื่อและยอมทำตามวิธีรักษาของหมอ จนใจสงบขึ้นไม่ฟุ้งซ่านและหวาดกลัวเหมือนวันแรกๆที่ยังอยู่ในคลีนิค ซึ่งตอนนั้นยังคงต้องฉีดยาระงับประสาทให้สงบลงหลายต่อหลายเข็ม และนานเลยทีเดียวกว่าจะยอมเปิดปากเล่าเรื่องน่ากลัวที่พบเจอมาให้ฟัง ถึงจะไม่หมดแต่หมอพอลก็รู้อยู่ดี

“แล้ว...เฟิร์สไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อแล้วหรอครับ ทำไมถึงได้รีบอยากจะกลับจัง”

ใบหน้าของเฟิร์สหม่นลงเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำถาม ดวงตามองออกไปไกล เอ่ยตอบเสียงแผ่วเบา

“มันถึงเวลาแล้วน่ะครับ ...ผมไม่อยากให้ใครเดือดร้อน ไม่รู้ว่าทุกคนจะเป็นยังไงกันบ้างแล้ว”

หมอพอลเงียบไปสักพัก รอดูปฏิกิริยาของเฟิร์ส ในเมื่อเห็นว่าแค่เศร้าหมองไม่ได้ร้ายแรงจึงพูดต่อ

“แล้วเรื่องนั้น...โอเคแล้วหรอครับ”

ดวงตาไหวสั่นเล็กน้อย ปากเม้มเข้ากัน มือเรียวเกร็งเหมือนจะยกขึ้นมากอดตัวเอง แต่ก็ฝืนวางลงที่เดิมได้ และค่อยๆคลายลงผ่อนลมหายใจไม่เกร็งจนเห็นได้ชัดเกินไป แล้วจึงเอ่ยตอบ

“...ถ้าไม่คิดถึงผมก็ไม่กลัวแล้วครับ...ที่นี่ช่วยผมได้มากทีเดียว ขอบคุณพี่หมอนะครับ ผมอยากกลับเลยเราไปลาคนในหมู่บ้านแล้วกลับกันเลยดีกว่านะครับพี่หมอ”

“ได้ครับ”

“ผมขอเข้าไปเอาของก่อนนะครับ”

ว่าจบเฟิร์สก็เดินเข้าไปในบ้านทันที ปฏิกิริยาตอบโต้เมื่อพูดถึงฝันร้ายนั้นดูสงบขึ้น หมอพอลได้ยิ้มพอใจ และดีใจที่ได้ช่วย ถ้ามีเวลามากกว่านี้ก็คงดี จะได้ดูแลใกล้ชิดแบบนี้ได้ หมอพอลได้แต่พึมพำกับตัวเอง

“ฝันร้ายมันจะตามหลอกหลอนไปตลอดเพราะมันฝังเข้าไปในจิตสำนึกแล้ว ไม่มีทางที่มันจะดีขึ้นภายในระยะเวลาสั้นๆได้หรอก พี่เป็นหมอนะเฟิร์ส ทำไมถึงได้หลอกหมอกันนะ แต่ดีขึ้นได้ขนาดนี้ก็เก่งมากแล้ว ถ้ามีเวลามากกว่านี้คงดีว่าแท้ๆ”

...

“ไปกันเถอะครับ บางอย่างผมทิ้งไว้ที่นี่นะครับ เผื่อมีโอกาสกลับมาอีก”

“ครับ”

เฟิร์สเดินออกมาจากบ้าน คำพูดดูมีความสุข รอยยิ้มประดับหน้าเมื่อหันกลับไปมองบ้านเป็นครั้งสุดท้าย โดยที่ทุกอย่างอยู่ในสายตาของหมอหนุ่มตลอดเวลา และ ‘คงไม่มีโอกาสได้กลับมา’ ที่ดังในใจหมอหนุ่มแต่ไม่กล้าพูดออกไป

.
.
.

หมอขับรถออกมาจากหมู่บ้านและขับวนให้ดูไกล เพราะเฟิร์สไม่รู้ว่าจริงๆแล้วหมู่บ้านอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองเท่าไหร่ เฟิร์สผู้ไม่รู้เส้นทางก็ได้แต่นั่งจนผล็อยหลับไปในที่สุด หมอพอลเหลือบมองเสี้ยวหน้าของเฟิร์สนิ่งพรางถอนหายใจ ไล่สายตาสำรวจ ใบหน้ายามหลับของเฟิร์สที่ดูทรมาน คิ้วที่ขมวดชนกัน เหมือนทุกครั้งในยามหลับ บางครั้งก็จะมีอาการเกร็ง มือยกกอดร่างกายที่กำลังสั่นไหว ลมหายใจที่บางครั้งก็ติดขัดเหมือนคนขาดอากาศ แล้วไหนจะเสียงละเมอพึมพำขอชีวิตขออิสระ ที่หมอเห็นจนบ่อย แต่ก็ไม่ชินสักที

“แม้แต่ยามหลับก็ยังดูทรมาน แล้วผมจะไม่สงสารได้ยังไงกัน”

หมอพอลได้แต่พึมพำ และคิดไปถึงวันแรกๆที่รักษาเฟิร์สที่คลินิก

...

[หมอพอล]
วันนั้นผมตัดสินใจพาเฟิร์สออกมาจากคอนโด ซึ่งผมไม่รู้ว่าคืดถูกหรือผิด แต่ก็ทำมันลงไปแล้ว ผมพาเฟิร์สมาที่คลินิคที่ผมเปิดไว้บังหน้าเวลามาทำงานหาข่าวข้างนอก ที่นี่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวมีผมและพยาบาลที่ไว้ใจได้อีกคน

พอมาถึงผมก็ให้พยาบาลปิดคลินิคทันที จัดการพาเขามานอนพักที่ห้องฉุกเฉิน ตรวจร่างกายเขาโดยละเอียดอีกครั้ง และจัดการให้น้ำเกลือ ที่เหลือก็รอให้เขาตื่นขึ้นมา ผมอยู่เฝ้าเฟิร์สที่คลินิคต่อและให้พยาบาลกลับบ้าน เธอไม่ถามถึงรายละเอียดสักคำ ได้แต่ยิ้มอ่อนๆให้ผมและจัดการทำหน้าที่ของตนอย่างขยัน จนกลับไป

ร่างกายของเฟิร์สอ่อนแอมาก อุณหภูมิร่างกายขึ้นสูงจนน่ากลัว ดูโทรมและซูบลงไปอย่างเห็นได้ชัด แม้ในเวลาไม่กี่วันเท่านั้น รอยบีบเค้นและจุดแดงๆบนผิวดูช้ำจนเป็นสีม่วง รอยบาดแผลฉีกขาดที่ช่องทางด้านหลังยังคงมีเลือดซึมออกมาตลอดเวลา ผมจึงให้เฟิร์สสวมชุดคนไข้แบบตัวยาวแทนที่จะเป็นกางเกงเพราะต้องคอยดูแลส่วนนั้นตลอดเวลา

“เห้อ น่าสงสารจริงๆ พักผ่อนไปก่อนนะครับคุณเฟิร์ส ผมขอตัวไปชงกาแฟสักครู่ แล้วจะกลับมาอยู่เป็นเพื่อนนะครับ”

ผมยืนมองคนไข้เคสพิเศษของผม ยื่นมือออกไปลูบหัวเบาๆด้วยความสงสาร แต่อีกคนกับสะดุ้งนิดๆเมื่อผมสัมผัสโดน ผมได้แต่ถอนหายใจยาว และเดินไปชงกาแฟ คืนนี้ผมคงไม่ได้นอนแน่ๆเลย

“อ๊ากกก! ปีศาจ! ปีศาจ! ปล่อย!”

เคร้ง!

“คุณเฟิร์ส! หรือว่ารีส...”

เสียงช้อนกาแฟหล่นกระทบพื้นดังลั่น มือวางกาแฟลงบนโต๊ะ ขาเก้านำไปข้างหน้าอัตโนมัติ

“คุณเฟิร์สครับ ไม่มีอะไร ไม่ใครทำอะไรคุณนะครับ ใจเย็นๆครับ”

ร่างกายของคุณเฟิร์สสั่นเทิ้มไปทั้งตัว มือเท้าเกร็งแน่น คิ้วขมวดกันเป็นปม แต่ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ได้แต่เกร็งหดตัวให้เล็กลง่กับที่นอน ผมจึงเอื้อมมือไปจับแขนทั้งสองข้างของคุณเพื่อให้สงบลง แต่ปฏิกิริยากับตรงกันข้าม

“ฮึก! ไม่นะ เจ็บ! เจ็บ! ปล่อยนะ!”

คุณเฟิร์สลืมตาขึ้นมามองตรงมายังผม พยายามดิ้นขัดขืนแต่ไม่แรงมากเหมือนกลัวว่าผมจะทำร้ายเขามากขึ้น น้ำตาใสเริ่มไหลเอ่อล้นออกมามากมายจากดวงตาช้ำบวม ร่างกายสั่นเทามากขึ้น ยกมือกกกอดตัวเองแทนที่จะป้องกัน

“คุณเฟิร์สครับ ใจเย็นๆ ผมเป็นหมอนะ หมอพอลไงครับ ไม่ใช่ปีศาจ ใจเย็นๆนะครับ”

ผมพยายามปลอบให้คุณเฟิร์สสงบลง ยิ่งจะเข้าไปสวมกอดเพื่อให้สงบ แต่ผลตรงกันข้ามหมด คุณเฟิร์สร้องไห้จนตาแดงช้ำบวมมากกว่าเดิม ปากก็พึมพำให้ปล่อยตนเอง ไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ท่าทางน่าสงสารและเวทนาที่สุด คุณเฟิร์สในตอนนี้ไม่มีสติหลงเหลืออยู่เลย

“ฮือออ ขอร้อง อย่าทำกู ปล่อยกูไป เจ็บ ฮือ”

“คุณเฟิร์ส...”

ผมจึงปล่อยมือออกและถอยห่างออกมา หยิบยาระงับประสาทฉีดเข้าไปในสายน้ำเกลือ คุณเฟิร์สก็ได้ขยับกายหนีจนชิดหัวเตียง ยกมือปิดหูตัวเองก้มหน้าลงกับชันเข่าขึ้น ไม่รับรู้อะไรแล้ว ผมไม่รู้ว่าคุณเฟิร์สเห็นและได้ยินอะไรอยู่จนเป็นถึงขนาดนั้น้จนยาออกฤทธิ์คุณเฟิร์สถึงสงบลงและหลับไปในที่สุด คุณเฟิร์สเป็นแบบนี้อยู่ทุกคืนจนวันที่คุณเฟิร์สรู้สึกตัวในเช้าวันนั้นเอง

...

หมอพอลจอดรถเข้าที่เรียบร้อย มองหน้าเฟิร์สสักพัก จนตัดสินใจปลุกขึ้นมา เพราะเฟิร์สเหมือนจะเริ่มฝันร้ายอีก

“เฟิร์สครับ ตื่นเถอะครับ ถึงแล้ว”

“อ๊ะ! อืม..พี่หมอเองหรอครับ ผมหลับไปหรอเนี่ย ขอโทษนะครับ เรามาถึงคลีนิคพี่หมอแล้วหรอครับ”

เฟิร์สสะดุ้ง ปัดมือของหมอพอลที่เอื้อมมาเขย่าเบาๆเพื่อปลุกเขาออก แต่หมอพอลก็ยิ้มบางๆให้และพูดคุยด้วย น้ำเสียงของหมอยังนุ่มนวลน่าฟังเหมือนเดิม ในบางครั้งเสียงของหมอพอลก็ทำให้เฟิร์สหลับเร็วได้อย่างน่าประหลาด เป็นเสียงที่เพราะและเป็นเหมือนดังยากล่อมให้ฝันดีสำหรับเฟิร์สจริงๆและเขาก็เชื่อว่าถ้าเเรมป์มาเจอก็ต้องคิดแบบเดียวกับเขา ก็เพราะทั้งคู่มักชอบอะไรเหมือนๆกัน

“ไม่ใช่คลินิกหรอกครับ แต่เป็น...”

.
.
.

“สวนสนุก! ว้าว~ ผมไม่เคยมาเลยนะเนี่ย ดูน่าสนุกจัง น่าเล่นไปหมดเลย พี่หมอไปเร็วครับ”

เฟิร์สยิ้มกว้างดูตื่นเต้นมากๆกับการมาเที่ยวสวนสนุกในครั้งนี้ มองซ้ายมองขวาทุกอย่างดูแปลกใหม่ไปหมด ชี้เครื่องเล่นเครื่องต่างๆและจะจูงมือของหมอพอลไปทันที

“ใจเย็นๆครับเฟิร์ส ไหนบอกเคยเป็นโฮสต์ ทำไมดีใจเป็นเด็กๆไปได้ ไม่เห็นเหมือนเลยนะโฮสต์น่ะ ฮ่ะๆ”

หมอพอลเห็นดังนั้นก็ยิเมมีความสุขตามไปด้วย คืดในใจตลอดว่าตัดสินใจถูกที่พาเฟิร์สมา เพราะเฟิร์สดูผ่อนคลายมากๆ

แต่พอหมอพอลพูดออกไป เฟิร์สกับหุบยิ้มทันที ใบหน้าดูเจื่อนลง ก้มหน้าลงพูดเสียงเศร้าออกมาเบาๆ

“ขอโทษครับ ผมดีใจเกินไปหน่อย ก็ผม ไม่เคยได้มาเล่นสนุกกับเพื่อนๆข้างนอกบ้านเลย...นอกจากโรงเรียน พ่อของผมบอกว่ามันอันตราย พวกเราเลยอยู่แต่ในบ้าน”

“พี่ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อยครับ อย่าเศร้าสิ แล้วก็ไม่ต้องขอโทษด้วยนะ”

หมอพอลเห็นดังนั้นก็ยิ้มเอ็นดู พูดเสียงนุ่มออกมาปลอบประโลม ซึ่งก็ได้ผลดีเกินคาดที่เฟิร์สยิเมได้อีกครั้ง

“ผมไม่ได้เศร้าสักหน่อย แล้วก็พอผมอายุ18ปี ผมก็ได้เห็นอะไรหลายๆอย่างจากพ่อที่เด็กคนอื่นไม่มีวันจะได้เห็น”...ก็ผมน่ะ เห็นคนตายต่อหน้าต่อตาเลยน่ะสิ แต่ก็ไม่สามารถช่วยได้เลย ทำได้แค่หนีออกจากความจริงตรงนั้นชั่วคราว ถึงมันจะกลายเป็นฝันร้ายในทุกๆครั้งก็ตาม แต่ใครจะไปบอกพี่หมอกัน พี่หมอเป็นคนดีเรื่องแบบนี้ไม่เหมาะหรอก
เฟิร์สได้แต่เก็บไว้ในใจไม่ได้เอ่ยออกมา เฟิร์สคิดมาตลอดว่าที่เขาเจ็บปวดเพราะเขาเองก็มีส่วนโดยเฉพาะเรื่องที่ปีศาจตามมาทวงเอาคืน

“ช่างมันเถอะครับ ตอนนี้ผมอยากเล่นมากกว่า ไปกันเลยมั้ยครับ ผมอยากเล่นแล้ว!”

เฟิร์สเก็บความข่มขื่นเข้าไปในใจ แล้วยิ้มออกมา เขาขอมีความสุขตรงนี้ก่อนดีกว่า

“ฮ่าๆๆ ครับๆ เราไปเล่นกันเถอะ วันนี้เล่นให้สุดเหวี่ยงไปเลย เดี๋ยวพี่จะเป็นไกด์ให้เอง”

แล้วทั้งคู่ก็เดินเข้าไปในสวนสนุก เฟิร์สดูตื่นเต้นและสนุกไปหมดทุกอย่าง แตกต่างจากหมอพอลบอกว่าจะเป็นไกด์ให้ แต่เขาก็เคยมาที่นี่แค่ครั้งเดียว แถมยังขี้กลัวเอามากๆเสียด้วย ดันกลายเป็นตัวเฟิร์สเองที่เดินนำไปเล่นเครื่องนู้นเครื่องนี่ ใบหน้าเปื้อนยิ้มมีความสุข จนหมอพอลยิ้มตามไปด้วยใจจริง

เฟิร์สเดินนำไปขึ้นรถไฟเหาะ หมอพอลก็ดูหน้าซีดๆแต่ก็เดินตามไป พอรถไฟเริ่มเคลื่อนตัว หมอพอลก็เกาะราวจับแน่น จนเฟิร์สแอบขำ พอรถเคลื่อนตัวลงตามรางที่ทอดยาวหมอพอลก็เอาแต่ร้องโวยวายไม่เหลือมาดนิ่งๆตอนเป็นคุณหมอเลยแม้แต่น้อย แตกต่างจากเฟิร์สที่ดูสนุกกับการแกล้งหมอพอลสุดๆ จนทั้งคู่ลงมาจากเครื่องเล่น เฟิร์สก็เริ่มพูดยอกล้อทันที

“ฮ่าๆๆ พี่หมอนี่ขี้กลัวจังเลย”

“โธ่ เฟิร์สครับ อย่าล้อพี่ได้มั้ย คนแก่ก็งี้แหละ หัวใจจะวาย”

หมอพอบพูไปมืออีกข้างก็จับราวไว้กันล้ม อีกมือก็เอายาดมที่ไม่รู้เอามาจากไหน ขึ้นมาดม

“พี่หมอก็พูดซะอายุห่างกับผมเป็น10ปี เราก็ใกล้ๆกันเอง ขี้กลัวก็ยอมรับมาเถอะครับ ฮ่าๆๆ”

“พี่แก่เเล้วจริงๆนี่นา”

หมอพอลยังคงไม่ยอมรับ จนเฟิร์สต้องท้าให้ไปขึ้นอีกรอบ

“งั้นเราไปเล่นกันอีกรอบ พิสูจน์ไปเลย”

“โอยยยย พี่ยอมแล้วครับ ขี้กลัวก็ขี้กลัว พี่ไม่ไหวแล้ว~”

“ฮ่าๆๆ หน้าพี่หมอตอนกลัวนี่น่ารักดีนะครับ แกล้งพี่หมอสนุกจัง งั้น..เราไปเล่นอันนั้นกัน”

“เดี๋ยว..พี่ขอพักก่อนนนนน”

“ผมล้อเล่น...งั้นไปนั่งตรงนั้นกัน ผมจะไปซื้อน้ำมาให้”

เฟิร์สจูงมือหมอพอลไปนั่งพัก แล้วแวะไปซื้อน้ำและพัดลมมาให้ หมอพอลกินน้ำไป ซับเหงื่อไป เฟิร์สก็ถือพัดลมให้ แล้วหัวเราะมีความสุขไปด้วย จนคนอื่นเข้าใจผิดคิดว่าสองคนนี้เป็นแฟนกัน สาวๆบางคนก็หยิบยกมือถือมาถ่ายรูปบ้างมองยิ้มๆบ้างบางคนถึงกับกรี๊ดออกมาเบาๆ

ด้วยความสูงและรูปร่างของทั้งคู่นั้นพอๆกัน แต่เพราะหน้าตี๋ๆตัวขาวๆของหมอเลยทำให้ดูน่ารักมากกว่าเฟิร์สที่ดูจะดุเพราะตาเรียวคมนั่น สาวๆทั้งหลายเลยพากันแอบอิจฉาหมอที่มีเเฟนหล่อและเทคแคร์ดีแบบนี้ ทั้งคู่เลยดูเหมือนคู่เเฟนที่มีความสุขมากๆคู่หนึ่ง

“พี่หมอเป็นยังไงบ้างครับ”

“ดีขึ้นแล้วครับ พี่ว่า...คนอื่นมองเราแปลกๆนะ”

หมอพอลตอบกลับไป และกระซิบถามเบาๆในประโยคหลัง โดยค่อยๆเหลือบสายตามองรอบๆ

“งั้นหรอครับ ผมว่าไม่เห็นมีอะไรเลยนะ”

เฟิร์สเห็นทุกอย่างมาตลอด ด้วยอาชีพเก่าเลยรู้ว่าคนพวกนี้ต้องการอะไรกันบ้าง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้อยู่ดี และหมอพอลก็ดูน่าเเกล้งมากๆ

“งั้นหรอ...สงสัยพี่จะคิดไปเอง”

ฟอด~

เฟิร์สก้มลงหอมแก้มหมอพอลเบาๆ หมอพอลที่โดนจู่โจมกระทันหันก็ได้แต่ใบ้กิน อ้าปากหวอ ยาดมที่ถืออยู่ล่วงหลุดจากมือ

///กรี๊ด แกพวกพี่เขาหอมกันด้วย,ลาตายค่ะ,ฉันฟิน~/// เสียงจากสาวๆที่อยู่รอบๆ

“ฮ่าๆๆ พี่หมอ หน้าอย่างเหวอเลย”

“หนอย~ โฮสต์เจ้าเล่ห์ อย่าหนีนะ ทำให้คนอื่นเข้าใจผิด แล้วจะหนีงั้นหรอ มานี่เลย”

“ฮ่าฮ่าฮ่า”


(ผม ขอมีความสุข ก่อนกลับไปเผชิญหน้ากับปัญหาอีกมากมายในอนาคต พี่หมอช่วยผมได้เยอะเลย ขอบคุณนะครับ...พี่ชาย ผมจะตอบแทนพี่แน่ๆไม่ทางใดก็ทางนึง ผมจะไม่ทำให้พี่เดือดร้อนเพราะผมแน่ๆครับ ถ้ามันกลับมา...ผมจะรับมือเอง แม้จะเจ็บปวดทรมานเพียงใดผมจะไม่หนีอีกแล้ว เพราะมาคิดดูแล้วทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะผมเป็นคนก่อเอง __เฟิร์ส)



...
มาแล้วจ้้าาาาาา ขอบคุณทุกคนที่รอ รีบปั่นเอามาลงเลยค่ะ จริงๆว่าจะให้2ตอนเลย แต่อีกตอนยังไม่เสร็จเลยเอามาลงก่อน  :katai4: :katai2-1:

ทามแอบร้ายนะนั่น555 ส่วนเตอร์ก็เด็ดเหมาะกันดีนะ
#ด้วยความยินดีค่าไรต์ ส่วนเรื่องล่าช้ารอได้ค่า ^^
ดีใจๆที่ชอบคู่รองบ้าง 555
ขอบโทษนะคะที่หายไปนานหน่อย

:mew2: รอนะคะไรต์  :mew1:
ขอบคุณมากๆเลยนะคะ เม้นให้ทุกตอนเลย รักที่สุดเลยค่าแบบนี้  :กอด1:
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: rosetears ที่ 19-05-2016 22:17:23
ให้เฟริส์ของเราได้พักใจบ้างอะไรบ้างอิอิ
พี่หมอนี้ลุคอบอุ่นมาก มุ้งมิง
^^ด้วยความยินดีค่ะไรต์
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย ตอนที่ 20 มาเฟียกับหมอ
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 20-05-2016 13:25:45


me die

20 : มาเฟียกับหมอ


หมอพอลขับรถออกมาจากสวนสนุกได้สักพัก เฟิร์สหลับไปเพราะเล่นจนเหนื่อยหมดแรงไปก่อน หมอที่หลังๆได้แต่นั่งดูเฟิร์สเล่นอย่างเดียวเพราะทนไม่ไหว และเพราะเฟิร์สไม่รู้เส้นทางด้วยจึงไม่ได้เป็นคนขับ

หมอพอลจึงขับรถดิ่งไปยังคลีนิคของเขา ที่วันนี้ปิดทำการ แต่เขานัดกับใครบางคนไว้

เฟิร์สไม่รู้เส้นทางนอกจากในตัวเมืองเลยเพราะตั้งแต่เด็กเพราะพ่อรักและหวงมากไม่ยอมให้ขับรถเองตั้งแต่เด็กจะมีคนขับรถส่วนตัวตลอด เมื่อโตมาถึงได้ตามใจซื้อรถให้ขับ แต่ก็ใจร้ายคอยบังคับทางเดินให้ตลอด ซึ่งจะแตกต่างจากผู้เป็นพี่ ที่ถึงจะให้รถให้ทุกอย่างเหมือนกันแต่ให้ความรักที่บิดเบือนไปมาก ถ้าถามว่าผมรู้ได้ยังไงก็คงเพราะไปอ่านประวัติของครอบครัวนี้มาบ้างตอนไปสืบเรื่องให้รีส บ้านที่มีธุรกิจใหญ่โตเงินทองมากมาย แต่มันก็เป็นประวัติขาวสะอาดที่สืบค้นได้ทั่วไปเท่านั้น ซึ่งผมก็ไม่ได้สืบค้นเบื้องหลังอื่นๆอีกเพราะไม่ได้สนใจอะไร ก็แค่เรื่องบางเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตวัยเด็กจนพ่อลูกไม่เข้าใจกันบางเรื่องเท่านั้นที่บังเอิญไปได้ยินมาเอง จนสนใจแฝดคู่นี้จนละสายตาไม่ได้ โดยเฉพาะแฝดพี่ ที่อดทนได้มากขนาดนั้นทั้งๆที่ยังเด็ก เพราะเจออะไรๆมาก่อนเฟิร์สมากมายนัก

“ฮ่ะๆ เรานี่น่าจะไปเป็นนักสืบจริงๆ คงช่วยงานตำรวจได้เยอะ ไม่น่าสนใจด้านวิจัยพวกนี้เลยเรา น่าจะเป็นแค่ หมอหนุ่มอัจฉริยะอายุน้อยที่ได้เกรียตินิยมอันดับหนึ่ง และเลือกทำงานโรงพยาบาลดังๆก็พอ คงจะมีความสุขมากกว่านี้ ฮ่ะๆๆ”

หมอพอลแอบขำกับการยอตัวเองเบาๆ เฟิร์สขยับตัวเล็กน้อยจึงหันไปมอง แล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่

“เอาตัวเข้ามาเกี่ยวเรื่องยุ่งยากอีกแล้วสินะ เห้อ แต่ก็อดไม่ได้ ไปๆมาๆก็ดันหยุดสนใจเรื่องของแฝดคู่นี้ไม่ได้ซะแล้ว และงานวิจัยของดร.ที่หยุดความอยากรู้อยากเห็นของคนที่ชอบวิทยาศาสตร์แบบเราไม่ได้สักที รู้ตัวอีกทีก็ถลำลึกไปหมดทุกเรื่องแล้ว”

หมอพึมพำพูดกับตัวเองมาตลอดทาง เที่ยวสวนสนุกกับเฟิร์สในครั้งนี้เขามีความสุขจริงๆและดูเฟิร์สก็ไม่ได้เสแสร้งด้วย หมอพอลจึงเหลือบมองไปยังเฟิร์สเล็กน้อยแล้วหันกลับมองตรงไปยังถนน คิดถึงใบหน้าของอีกคนที่กำลังถูกทดลองต่อเพราะไปแผลงฤทธิ์จะหนีออกมา จนดร.เห็นพัฒนาการมากมายจึงใช้อาวุธที่ทำขึ้นมาเฉพาะกับเขาจับเอาไว้ เสร็จธุระที่นี่ก็ต้องกลับเข้าไปที่องค์กรอีก ที่หมอออกมาหาเฟิร์สทำนู้นทำนี่ได้ทุกวันเพราะบอกว่าติดเครสพิเศษบ้างหมอไม่พอบ้างเพราะที่องค์กรก็มีอัจฉริยะแบบหมอพอลเองอยู่หลายคน แล้วดร.ก็ไม่มีเวลามาใส่ใจเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้ด้วย แค่หมอพอลทำงานให้ดร.เสร็จสิ้นก็พอ

“รีส...ถ้านายออกมาจากหองทดลองเมื่อไหร่ จะด่าจะว่าฉันก็ทำไป แต่อย่า...ทำร้ายเฟิร์สเลยอีกนะ”

หมอพอลนิ่งคิดไปเรื่อยๆ ภาพภายในดวงตาก็ยังคงมีเรื่องราวพวกนี้ผ่านเข้ามามากจากทั้งคนไข้คนอื่นๆหนือแม้กระทั่งที่ใกล้ตัวมากๆตอนนี้ จนหมอพอลพึมพำบางอย่างออกมาเองเบาๆ

“...พวกมนุษย์ น่าสงสารแบบนี้กันทุกคนเลยรึเปล่านะ...เอ๊ะ เราพูดไรออกไป ช่างเถอะ รีบไปดีกว่า”

.
.
.

เมื่อมาถึงที่หมายก็จอดรถ หมอพอลเหลือบมองคนที่นอนอยู่ข้างๆ ที่นอนหลไม่มีอาการหวาดกลัวละเมอออกมา คงเพราะเหนื่อยและสนุกจนลืมเรื่องร้ายไปชั่วขณะ บางครั้งก็เผลอยิ้มเล็กๆ จนหมอพอลแอบยิ้มตามไปด้วย

“สวัสดีครับ ผมมาถึงที่คลีนิคแล้ว คุณอยู่ที่ไหน ... ได้ เดี๋ยวเจอกัน งั้นผมเอาเขาเข้าไปพักผ่อนในคลีนิคก่อนละกัน”

...

“น้องผมอยู่ไหนหมอ”

“นอนหลับอยู่ในห้องนอนผมครับ แต่ตอนนี้กำลังหลับสบาย ผมเลยไม่อยากปลุก”

“ผมจะเข้าไปดูหน่อย”

แรมป์มาถึงคลินิกก็รีบพุ่งจะเข้าไปดูเฟิร์สทันที ด้วยความเป็นห่วงที่ไม่ยอมแม้แต่จะเอ่ยปากบอกออกไป ทั้งๆที่แรมป์รักเฟิร์สมากที่สุด เป็นพี่ชายแสนดีที่ยอมรับเรื่องราวมากมายเข้ามาแทนเพียงเพื่อน้องจะได้ไม่เจ็บปวด แต่ครั้งนี้เขากับไม่รู้เรื่องราวอะไร จนต้องพึ่งพาหมอคนนี้อีกครั้ง แรมป์ได้แต่เจ็บใจตัวเองอยู่ลึกๆที่ไม่สามารถปกป้องคนที่ตัวเองรักทุกคนได้

“อย่าเพิ่งเลยครับ คุณไม่รีบไปไหนไม่ใช่หรอ นานๆทีจะได้เห็นเขาหลับแบบสบายได้แบบนี้โดยที่ไม่ต้องเพิ่งยา ผมว่าควรให้เขาพักผ่อนอีกนะครับ”

“อืม”

หมอพอลช่วยห้ามไว้ได้ทัน ถึงจะรู้ว่าแรมป์นั้นรู้สึกยังไง สีหน้าของแรมป์ที่ดูจะนิ่งสงบไม่แสดงปฏิริยาความรู้สึกแต่ดวงตาที่เจ็บปวดลึกเข้าไปในใจนั้นไม่อาจรอดพ้นสายตาของหมอพอลไปได้ แต่เฟิร์สยังไม่พร้อม โดยเฉพาะเวลาที่มีความสุขแบบนี้ได้จึงอยากจะให้มันยาวออกไปสักนาทีก็ยังดี

“เชิญนั่งรอทางนี้ก่อนครับ เดี๋ยวผมเอากาแฟมาให้”

“ขอน้ำเปล่าก็พอครับ”

หมอพอลเชิญให้แรมป์นั่งลงที่โซฟาโซนรับแขกที่เป็นส่วนของห้องพักชั่วคราวเขา แรมป์ก็นั่งลงเงียบๆแต่แววตาที่เจ็บปวดนั้นแสดงออกมาอย่างกังวลตลอดเวลา ทุกกิริยาอยู่ในการสังเกตของหมอพอลตลอดเวลาตั้งแต่รู้เรื่องครั้งแรก จนตอนนี้ที่ดูจะกังวลมากกว่าเดิม

“อย่าเครียดไปเลยครับ ผมว่าน้องชายคุณก็ดีขึ้นมากแล้ว ไม่งั้นไม่ขอให้ผมพากลับมาเองหรอก”

“อืม”

หมอพอลพยักหน้าเข้าใจ เสร็จจึงเดินไปเอาน้ำเปล่ามาให้แรมป์ และกาแฟของตนอีกหนึ่งแก้ว

“น้ำครับ คุณแรมป์”

“...ขอบคุณครับ”

แรมป์ดูกังวลมากจนหมอพอลผิดสังเกต เพราะปกติเเรมป์เป็นคนมีสมาธิ จะระวังตัวเองอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อสักครู่ที่หมอพอลเดินมากลับไม่รู้สึกตัวจนกระทั่งเสียงเรียกของหมอดังขึ้น แล้วแรมป์เหมือนจะดูตกใจ หมอพอลสังเกตุเอาจากดวงตาที่โตขึ้นเล็กน้อย จึงต้องพูดขึ้นเพื่อให้ผ่อนคลาย แต่เหมือนจะกลายเป็นหาเรื่องใส่ตัวเองมากกว่า

“คุณแรมป์รักน้องจังนะครับ^^ ถ้าเฟิร์สรู้เรื่องคง”

“อย่าพูดอะไรแบบนั้นอีกนะหมอ! ไม่งั้นอย่าหาว่าผมไม่เตือน!”

“เสียงดุเชียวนะครับ ฮ่ะๆ”

แรมป์พูดเสียงดุและตวัดสายตาคมกริบที่ดูน่ากลัวกว่าของเฟิร์สเพราะกรีดขอบตาสีดำบางๆเพื่อให้ดูคม จนหมอพอลสะดุ้งจนต้องยกมือขึ้นสองข้างขึ้นมาป้องกันตนเองแบบยอมยกธงขาวให้ และยิ้มแห้งๆจนตาหยีตามแบบของตนส่งไปให้

“งั้นผมขอตัวไปเอาของว่างละกัน ดูแล้วน่าจะหลับอีกนาน”

แรมป์เงียบไปพักใหญ่ หมอก็เลยจะลุกไปเอาของว่างมาให้ระหว่างรอ และให้แรมป์อยู่กับความคิดตัวเอง แต่ยังไม่ทันลุกก็ต้องสะดุ้งกับคำถามและเสียงเย็นๆจากปากแรมป์ซะก่อน

“คุณหมอไม่รู้จริงๆหรอครับ ว่าคนที่ทำร้ายเฟิร์สเป็นใคร”

“อึก! ไม่รู้...หรอกครับ ก็อยากที่บอกทั้งคุณแรมป์ทั้งเฟิร์สไปว่าผมเจอเขาหน้าคลีนิค”

หมอพอลอึกอักเล็กน้อย แล้วจึงเรียบเรียงคำพูดบอกออกไป ไม่ให้น้ำเสียงผิดปกติ ดีที่แรมป์ยังคงนั่งเครียดไม่ได้สบตาหมอ เลยไม่ได้สังเกตุท่าทีที่ผิด ไม่เช่นนั้นหมอพอบก็คงโดนเค้นความจริงอีก

“อย่างนอยเขาก็ยังพาน้องคุณมารักษานะครับ”

“พูดเหมือนมันเป็นคนดี! อย่าพูดเข้าข้างมันให้ผมได้ยินหมอ! ไม่ว่ามันจะเป็นใคร ผมจะลากมันลงนรกด้วยมือของผมเองแน่”

เสียงเข้มๆของแรมป์ดังขึ้น เสียงดังจนเกือบตวาด จนหมอพอลสะดุ้งเฮือก แรมป์จึงลดโทนเสียงลง แต่ก็ยังคงเสียงเข้มๆเย็นๆไว้เหมือนเดิม

“อย่าเลยครับ อาฆาตแค้นมันไม่ดีนะครับ แก้แค้นกันไปมา มีแต่เสียทั้งสองฝ่าย”...

เพราะเดี๋ยวคุณจะลงนรกไปแทนน่ะสิ คุณฆ่าเขาไม่ได้หรอกคุณแรมป์ เสียงเย็นๆของคุณถ้าพูดถึงคนอื่นผมก็คงจะเชื่อว่าอีกไม่นานมันได้หายไปจากโลกนี้แน่ แต่ไม่ใช่กับรีสแน่นอน

“พูดเหมือนรู้อะไรนะครับคุณหมอ”

แรมป์พูดเสียงเข้ม จ้องหน้าหมอพอลนิ่ง หมอพอลจึงเอาแต่ยิ้มกลบเกลื่อนแล้วเบนไปพูดเรื่องอื่นเหมือนทุกที และครั้งนี้ก็ยังคงได้ผลเหมือนเดิม

“อย่าทำเสียงแบบนั้นเลยครับ มันทำให้ผมนึกถึงเรื่องคืนนั้นที่ผับ”

“เรื่องคืนนั้น ...อ่อ เรื่องที่ผม...”

...

ผับ ccy

แรมป์ในชุดสูทแฟชั่นสีดำพับแขนถึงข้อศอกไม่ได้ติดกระดุมเสื้อสูท เสื้อด้านในเป็นเสื้อเชิ๊ตสีขาวที่ถูกปล่อยชายออกมาและปลดกระดุมสองเม็ดบนโชว์แผงอกดูเซ็กซี่ ต่างจากหมอพอลที่ยังอยู่ในชุดผ่าตัดสีฟ้า แค่สวมเสื้อโค้ตตัวยาวสีดำที่ติดรถของแรมป์เข้ามาเท่านั้น ที่ออกมาแบบนั้นเพราะแรมป์ดันไปรอรับเข้าหน้าห้องผ่าตัดไม่ยอมให้เปลี่ยนชุดแล้วลากออกมาเลย

“คุณคิดยังไงถึงได้ชวนผมมาดื่มครับ คุณแรมป์ เอ่อ...ผมว่าผมแต่งตัวไม่เหมาะเท่าไหร่”

หมอพอลเหลือบมองการแต่งตัวของแรมป์ และของเขาเทียบกันไปมา แล้วหน้าเสียคิ้วขมวดเดินตัวลีบตามหลังแรมป์เข้าไปด้านใน เพราะแรมป์ไม่ได้บอกล่วงหน้าว่าจะไปที่ไหน ไม่คิดว่าจะมาในที่แบบนี้มันช่วงไม่เข้ากันเลย โดนแกล้งชัดๆเลย

“ผมก็แค่อยากจะตอบแทนที่คุณช่วยชีวิตผมไว้เท่านั้นแหละครับ ผมดีใจมากเลยนะครับที่ได้มีโอกาส ก็คุณหมอไม่ว่างสักที ผมเลยไปดักรอคุณ หรือคุณไม่ชอบที่นี่หรอครับ ผมเสียใจนะ”

แรมป์หยุดเดินกระทันหัน แล้วหมุนกลับมา โน้มหน้าก้มลงกระซิบข้างหูของหมอพอล ที่ได้แต่ยืนนิ่งงันทำตัวไม่ถูก

“อ่ะ เอ่อ คือผม” หมอพอลอึกอัก กลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก เมื่อแรมป์ขยับเข้าชิดมากขึ้น

“ครับ”

“ผมแค่แต่งตัวไม่ค่อยเหมาะน่ะครับ แต่ที่นี่ผมโอเคครับ เชิญคุณแรมป์นำต่อได้เลยครับ”

หมอพอลรีบรวบรัด ก้าวเท้าถอยหลังเล็กน้อย และผายมือเป็นเชิงให้แรมป์นำตนไปต่อ

ห้อง vip

“คุณไม่ดื่มเหล้าหรอครับ งั้นผมสั่งคอกเทลให้มั้ยครับ”

“ดื่มได้ครับ แต่ไม่ค่อยได้ดื่ม ปกติทำงานก็หมดเวลามาเที่ยวแล้วล่ะครับ เอาแบบคุณนี่แหละครับ ผมดื่มได้”

“ครับ”

แรมป์หันไปบอกให้บริกรออกไป จนกว่าจะเรียก เพราะต้องการความเป็นส่วนตัว ก่อนจะออกก็ยังเสนอผู้หญิงสาวสวยหุ่นดีให้มารับเเขกแต่แรมป์ปฏิเสธเสียงเย็น จนบริกรรีบก้มหัวขอโทษ แล้วรีบวิ่งออกไป

“ว่าแต่ ทำไมถึงเลือกมาดื่มกันในห้องสองคนละครับ ไม่กลัวคนอื่นเข้าใจผิดว่าเราเป็นเกย์หรอครับ ฮ่ะๆ”

หมอพอลก็แค่แกล้งถามออกไปเพื่อความสะบายใจจากเหตุการณ์เมื่อครู่ที่บริกรหันมามองหน้าเขาแปลกๆตอนที่แรมป์บอกว่าไม่ต้องการผู้หญิงมาบริการ

“ผมไม่สนหรอกครับ จริงๆผมก็แค่เห็นว่าคุณเป็นหมอรู้เรื่องด้านจิตเวชด้วย ก็แค่อยากจะขอคำปรึกษา ผมเครียดๆจนจะบ้าเพราะงานอยู่แล้วน่ะครับ เผื่อหมอจะมีไอเดียดีๆแนะนำผมบ้าง”

“อ้อ เรื่องนี้เอง ได้เลยครับ”

แรมป์พูดด้วยท่าทีสบายๆ จัดการรินเหล้าใส่แก้ว เมื่อได้ยินดังนั้นหมอพอลก็รู้สึกโล่งอกดีใจนิดๆ จึงยิ้มจนตาหยีตามลุคของตน เตรียมให้คำปรึกษาแก่คนไข้เคสพิเศษนี้เต็มที่

แรมป์จึงเริ่มเล่าเรื่องงานที่บริษัทของตนให้ฟัง ตั้งแต่เรื่องลูกน้องจนถึงเรื่องผู้ถือหุ้นกับทัศนคติความคิดของตนที่ติดลบให้หมอพอลฟัง ซึ่งอีกฝ่ายก็ตั้งใจฟังเต็มที่ไม่ได้คิดเลยว่ามันเป็นเรื่องหรือแต่งเพราะมันมีความรู้สึกด้านลบจากความคิดแย่ๆของแรมป์ออกมาจริงๆ แรมป์เล่าไปดื่มไป ยิ่งเรื่องเหมือนจะหนักก็ยิ่งยกดื่มเอาๆ หมอก็กินบ้างตอนที่แรมป์ยกชนแก้ว จนตอนนี้แรมป์เริ่มเมามาย คอตก มือยกแก้วแทบไม่ขึ้น เอนหลังพิงโซฟาตัวหรูไว้เป็นที่พึ่งเดียว

“ไหวมั้ยครับคุณแรมป์”

จนหมออดเป็นห่วงหนักกว่าเดิมไม่ได้ จึงพยายามแย่งแก้วเพื่อไม่ให้แรมป์ดื่มเพิ่มอีก แต่ก็โดนแย่งกลับไปไม่ก็โดนแย่งแก้วของหมอไปรินดื่มแทน

“ไหวสิครับ ผมไหวอยู่แล้ว ผมไหวทุกเรื่อง ผมจัดการทุกอย่างได้ดีเสมอ แต่...กลับไม่เคยอยู่ในสายตา...”

“ในสายตาของใครหรอครับ”

ด้วยความสนใจ จึงรีบถามออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ต้องกลับมานั่งรักษาท่าทีไว้ ดีที่แรมป์ไม่รับรู้อะไรแล้ว

“ก็ในสายตาของพ่...ทุกคนแหละครับ พวกเขาไม่ไว้ใจผม ทั้งๆที่ผมทำงานหนัก จัดการได้ดีทุกอย่าง แต่ดันจะสนับสนุนให้น้องชายผมขึ้นรับตำแหน่งแทน”

แรมป์ตอบออกมาเสียงยานๆ คอตกจนเกือบจะล้มใส่โต๊ะ เอนไปเอนมา แต่ในใจของหมอพอลตอนนี้กำลังดีใจจนเนื้อเต้นในที่สุดเขาก็จะถามเรื่องของเฟิร์สจากคนใกล้ตัวได้แล้ว จะได้รักษาให้ถูกต้อง

“อย่าหาว่าผมอยากรู้อยากเห็นเลยนะครับ แต่ผมช่วยรับฟังปัญหาได้นะครับ ผมยินดี”

แรมป์ขยับเข้าไปใกล้หมอช้าๆ เอื้อมมือออกไปจับมือหมอมากุมไว้พร้อมเขย่าเบาๆ ส่งยิ้มหวานไปให้ในแสงสลัวๆ

“คุณหมอใจดีจังเลยนะครับ อิจฉาแฟนของคุณหมอจริงๆนะครับที่มีคนดีแบบนี้คอยดูแล แตกต่างจากผมที่ทำดีเท่าไหร่ก็ไม่ได้ดี”

“ผมไม่มีแฟนหรอกครับ ฮ่ะๆ เอ่อว่าแต่ น้องชายของคุณแรมป์เป็นคนแบบไหนหรอครับ”

แรมป์ปล่อยมือออก มือยกแก้วขึ้นดื่มรวดเดียวหมด หมอพอลก็ได้แต่นั่งรอคำตอบเงียบๆไม่ได้ห้าม แรมป์ถอนหายใจเฮือกใหญ่

“น้องของผมมันก็เป็นแค่เด็กเอาแต่ใจ ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง เอาแต่ขอนู้นขอนี่ วันๆก็เอาแต่เที่ยว งานที่พ่อสั่งก็โยนมาให้ผมทำ แต่ก็ดันได้หน้าไปคนเดียว”

เมื่อพูดถึงน้องชายแรมป์ก็ทำเป็นเสียงดังไม่พอใจขึ้นมา แต่เพราะนิสัยต่างจากที่เจอมามากเกินไป หมอพอลเลยถามออกไปเพื่อความแน่ใจ

“เอ่อ น้องชายคุณแรมป์อายุเท่าไหร่หรอครับ คงเด็กน่าดูถึงได้เอาแต่เล่นแบบนนั้น”

“เราเป็นแฝดกันครับ เพราะหน้าเหมือนผมเลยโยนงานให้ผมทำได้โดยที่คนอื่นไม่สงสัย”

“เหมือนคนละคนเลยเเหะ...ไม่ค่อยอยากเชื่อเลย”
หมอพอลพึมพำเบาๆกับตัวเอง

“ว่าไงนะครับ”

“อ่อ เปล่าครับ ว่าแต่เขามีสิ่งที่กลัวจนต้องฝันร้ายมั้ยครับ”

“มี...สิครับ”

แรมป์ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มอีก ซึ่งคราวนี้หมดหมอพอลก็จัดการเทเติมให้เพียวๆเลยด้วย

“เขาชอบสัตว์ใช่มั้ยครับ โดยเฉพาะสุนัข แต่ไม่กล้าเข้าใกล้”

“ช่ายครับ คุณหมอนี่...เก่งงง จังนะครับ”

แรมป์เมาพูดเสียงยานฟังไม่รู้เรื่อง เขาทิ้งน้ำหนักตัวลงโซฟาเอนพิงอย่างคนที่พยุงตัวเองไม่ได้เต็มที คอตกชิดกับลำตัวมองไม่เห็นแม้แต่หน้า

“คุณแรมป์เมาแล้วนะครับ ยังจะดื่มอีกหรอครับ”

ปากถามแต่มือริมเหล้าใส่แก้วต่อไป แรมป์ก็ได้แต่โบกมือไปมาช้าๆปฏิเสธและยกแก้วดื่มใหม่ช้าๆ

“มันดูขัดๆกับที่นิสัยที่ผมเห็นมาจังเหะ ว่าแต่เขาฝันร้ายเพราะอะไรครับ ใช่...เรื่อง...ฆ่าคนตาย มารึเปล่าครับ อ๊ะ!”

หมับ!

แรมป์คว้าหมับที่ลำคอ ดันตัวเองยืนคร่อมหมอไว้ กดมือลงที่ลำคออย่างแรง ดวงตาแข็งกร้าวจ้องเขม็ง ไม่มีท่าทีของอาการเมาเลยสักนิด

“กูว่าแล้วว่าแปลกๆ มึงเป็นใคร!”

“อ่ะ คะ คุณแรมป์ คุณไม่ได้เมาหรอครับ”

หมอพอลได้แต่ตกใจนิ่งงัน ขยับตัวตามที่อีกคนกระทำไร้ทางขัดขืน แม้แต่จะอ้าปากพูดยังพูดได้ไม่เต็มปาก

“มึงเป็นใคร ตอบมา! อย่าให้กูต้องพูดมากไปกว่านี้”

แรงกดที่ลำคอแรงขึ้นจนเริ่มหายใจไม่ออก ใบหน้าของหมอเริ่มแดง จึงยกมือขึ้นแกะมือแกร่งของอีกฝ่ายออก แต่ก็ไม่ได้อยู่ดี แรงต่างกันเกินไป

“ปะ ปล่อยผมก่อน อ่ะ อึก”

“หึ เลิกคร่ำครวญแล้วบอกมาได้แล้ว หรือมึงเป็นสายตำราจ ที่ช่วยชีวิตกูเพราะจุดประสงค์บางอย่างสินะ!”

“ม ไม่ใช่นะ ผ ผมเป็นหมอ ป ปล่อยก่อนสิ อึก! ผมหายใจไม่ออก”

หมอเริ่มหายใจติดขัดแรงขึ้น หน้าแดงก่ำเห็นได้ขัดแม้ในที่แสงน้อยแบบนี้ ดวงตาเริ่มคลอไปด้วยน้ำใสๆมองไปยังแรมป์ไร้การเสแสร้ง

“ก็บอกกูมาสิ ว่ามึงเป็นใคร!”

เสียงเย็นๆจากแรมป์ดังขึ้นอีกกับน้ำหนักมือที่เพิ่มแรงกดลงที่คอหมอพอล

“ผมช่วยชีวิต น้อง คุณ อึก!”

เมื่อได้ยินแรมป์จึงปล่อยมือออกจากลำคอ แต่ยังยื่นอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน เพื่อรอคอยคำตอบที่ดีกว่านี้

“เฮือก แค่กๆ แค่กๆ”

หมอจับที่ลำคอของตน ไอแค่ก และต้องการอากาศหายใจ จึงได้แต่หอบโกยอากาศเข้าปอดเป็นการใหญ่

“เล่ามา!”

เสียงเข้มดังขึ้นอีกครั้ง หมอสะดุ้งเล็กน้อย มือรีบปัดป่ายบนไปหน้าไล่น้ำตาแบบไม่ให้อีกคนเห็น ทั้งๆที่ไม่ทัน ออกจากหน้า แล้วเก็บอาการทำเป็นสงบเหมือนเดิม รอยยิ้มกว้างกับตาหยีแบบฉบับของหมอกลับมาอีกครั้ง ทำสบายๆทั้งๆที่เมื่อกี้หลุดด้านอ่อนแอออกไปแล้ว

“ก็ได้ ผมจะเล่าให้ฟัง...”

...

“ผมไม่คิดจะฆ่าผู้มีพระคุณจริงๆหรอกครับ ก็แค่ขู่เท่านั้นแหละ คุณหมอไม่ต้องกลัวไป”

“...งั้นหรอครับ ผมก็ว่างั้น ฮ่ะๆๆ”

‘ถ้าผมตอบช้าไปนิดเดียว ผมก็คงตายไปแล้วสินะ คนพวกนี้น่ากลัวจริงๆ แล้วไหนจะตัวปัญหาหลักที่ดันแหย่มือเข้าไปยุ่ง ชีวิตผมสั่นลงอีกแล้วสิ’

หมอได้แต่คร่ำครวญแล้วร้องไห้อยู่ในใจ เพราะนิสัยชอบช่วยเหลือคนนู้นคนนี้ทั้งๆที่เขาไม่ได้ร้องขอมันมักจะย้อนกับมาหาเขาทุกที

แรมป์เงียบไป หมอพลก็เดอนไปเอาของว่างมา และนั่งคุยด้วยอีก

“ถามจริงเถอะครับ ถ้าวันนั้นผมไม่เล่าให้คุณฟัง คุณจะฆ่าผมรึเปล่าคุณแรมป์”

หมอพอลทำหน้าจริง มองไปยังแรมป์ที่กำลังยกแก้วน้ำขึ้นจิบ เมื่อได้ยินมือนั้นก็หยุดชะงัก ใบหน้านิ่งๆของแรมป์เบนไปมองใบหน้าของหมอที่กำลังจ้องมาอย่างสงบนิ่ง

“ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่ทำร้ายผู้มีพระคุณหรอก แต่ใช้คืนหมดแล้วก็ไม่แน่”

หมอพอลแอบกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอช้าๆ รู้สึกเย็นวายๆที่แผ่นหลังของตน แรมป์วางแก้วลงที่โต๊ะแล้วหันไปเต็มหน้า จ้องมองหน้าหมอนิ่งๆแล้วเอ่ยคำบางอย่างออกมา

“...อีกอย่าง ผมไม่ฆ่าคุณหรอก...”

ดวงตาที่คมเข้มของแรมป์จ้องลึกเข้าไปในตาตี่ๆของหมอนิ่งงัน จนหมอพอลต้องเบนหน้าหลบสายตานั้นเสียเอง

“ทำไมล่ะครับ”

หมอพอลเผลอจ้องกับไป ดวงตาของทั้งคู่ประสานกันนิ่งงัน

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แค่ว่า ผมฆ่าคุณไม่ลงแน่ๆ”

“งะ งั้น..หรอครับ ผมโชคดีสินะ ฮ่ะๆ”

เสัยงเข้มที่ดังขึ้นช้าๆของแรมป์ดังก้องอยู่ในหัวของหมอพอล แล้วอาการหน้าร้อนแปลกๆที่เกิดขึ้น ทำให้หมอรู้สึกตัวเลิกจ้องตาแรมป์หันไปทางอื่นกระพริบตาปริบๆไล่สายตาให้เป็นปกติ แล้วถามเรื่องอื่นออกไป แต่ก็ไม่รู้ตัวเลยว่ามันก็ไม่ดีต่ออาการแปลกๆที่เกิดขึ้นเช่นกัน

“...ว่าแต่ ทำไมคุณถึงไว้ใจผม ให้ผมรักษาเฟิร์สแบบตัวต่อตัวล่ะ”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แค่รู้สึกว่า ผมสามารถฝากน้องผมไม้ที่คุณได้”

‘มันหมายถึง เขาไว้ใจเรามากถึงได้ฝากสิ่งสำคัญที่สุดอย่างน้องของเขาไว้ที่เรางั้นหรอ’

หมอพอลเรียบเรียงคำพูดของแรมป์อยู่ในใจ แล้วก็เกิดอาการร้อนๆที่ใบหน้าขึ้นมาอีกครั้ง จึงได้แต่ยกยิ้มจนตาหนีส่งไปแทน มือก็ยกขึ้นเกาศรีษะแก้เก้อ

ไม่มีเสียงพูดคุยเกินขึ้นอีก ระหว่างสองคนนี้ แรมป์ยังคงใบหน้านิ่งสงบไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ในแบบนั้น ส่วนหมอพอลก็ได้แต่ยิ้มจนตาหยี๋ปิดบังบรรยากาศแปลกๆที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งไม่มีใครรู้ว่า มันกลายเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ หรืออาจจะตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาเจอกัน




...
มาแล้วตามสัญญา เขียนเสร็จละลงเลยจ้าา

เม้นๆกันด้วยน้าาา   ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ

ปล.เรื่องแก้คำผิด จะมาตรวจสอบและแก้ไขอีกทีตอนเสร็จเรื่องเลยนะคะ


ให้เฟริส์ของเราได้พักใจบ้างอะไรบ้างอิอิ
พี่หมอนี้ลุคอบอุ่นมาก มุ้งมิง
^^ด้วยความยินดีค่ะไรต์
ใช่ม้า เราก็ชอบพี่หมอที่สุด 555 :mew1:

เย้ ลงปุปเม้นปัปเลย ขอบคุณที่ตามงานของเรานะคะ
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: rosetears ที่ 20-05-2016 21:32:12
แรมป์คู่กับพี่หมอพอลนะๆ 555
#ยินดีค่า ^^
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย 21 : พี่ชาย
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 09-06-2016 18:06:25
 

me die



21 : พี่ชาย



ในบ้านของเศรษฐีหลังหนึ่ง ได้มีเด็กแฝดที่มีชื่อว่า แรมป์และเฟิร์ส ถูกเลี้ยงดูอยู่ในกรอบและกฏเกณฑ์ของผู้เป็นบิดามาตลอด พวกเด็กคนอื่นๆไม่ว่าจะที่โรงเรียนหรือระแวกบ้านก็ไม่กล้าเข้ามาเล่นด้วย เอาแต่คอยรังแกเมื่อมีโอกาส ขับไล่ หรือกลัวจนไม่ยอมเป็นเพื่อนด้วย และถูกล้อเลียนอยู่เสมอว่าเป็นลูกมาเฟีย



วันนั้น เฟิร์ส น้องชายตัวเล็กผู้ขี้กลัวและขี้แยที่ไขว่คว้าอยากจะมีเพื่อนและเล่นสนุกไปด้วยกัน ดันมีความกล้าแอบหนีออกจากบ้าน ตรงมายังสวนสนุกที่ได้ยินเสียงของเด็กคนอื่นๆทั้งหญิงชายเล่นกันอยู่อย่างสนุกสนาน เด็กชายตัวน้อยค่อยๆเดินเข้าไปหาอย่างกล้าๆกลัวๆ เอ่ยขอเป็นเพื่อนเล่นด้วย แต่เด็กพวกนั้นกลับทำหน้ากลัวและรังเกียจเขาจึงไล่เขาออกมา เด็กชายตัวน้อยเดินก้มหน้าร้องไห้เสียใจสะอึกสะอื้นยกมือเล็กๆขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลเปียกท่วมใบหน้าใสนั้น



“ฮือ ทำไมไม่ใครเล่นกับเฟิร์สเลยล่ะ เฟิร์สไม่ได้เป็นตัวประหลาดสักหน่อย ฮือ”

เด็กน้อยเดินร้องไห้ตรงกลับบ้านเรื่อยๆ แต่ดันโชคร้ายเจอกับเด็กเกเรที่ตัวโตกว่าเขา กำลังใช้ไม้ไล่ตีแมวน้อยอย่างสนุกสนาน



“ฮึก หยุดนะ! อย่าแกล้งน้องแมวนะ! พวกนิสัยไม่ดี!”

ด้วยความขี้สงสารเด็กน้อยจึงวิ่งเข้าไปนั่งโอบอุ้มแมวตัวนั้นไว้ในอ้อมอกโดยไม่ทันคิด หลบตาตะโกนร้องห้ามเสียงดัง ทั้งๆที่น้ำตาบนใบหน้ายังคงไม่แห้งเหือดไป



“หลบไปนะเว้ยไอ้ลูกมาเฟีย ชอบแย่งของคนอื่น แมวนั่นเป็นของพวกเรา เอามา!”

เด็กเกเรคนหนึ่งตะโกนออกมาด้วยความไม่พอใจที่ถูกขัดขวางความสนุกของเขา

“อย่าแกล้งน้องแมวนะ!”



อ้อมแขนเล็กๆของเฟิร์สยังคงกระชับกอดแมวตัวน้อยที่แม้จะกำลังข่วนและกัดด้วยความกลัว น้ำตาและน้ำมูกใสๆยังคงไหลนอง ใบหน้าขาวๆแดงจากการร้องไห้ ดวงตาปูดบวม และกำลังสั่่นด้วยความกลัวเช่นเดียวกับแมวตัวน้อย แต่ก็ยังคงตะโกนร้องห้ามไม่หยุด



“ลูกพี่ไอ้นี่มันมาขวางพวกเรา ทำไงดี”

“ข้าว่าเราเปลี่ยนเป้าหมายกันดีกว่าว่ะ เอ็งดูหน้ามันสิวะ อย่างฮา พวกเรามาช่วยกันเอามันไปทิ้งขยะดีกว่า พวกมาเฟียน่ารังเกียจ”

“ได้เลยลูกพี่ ฮ่าๆๆ ทุกคนเร็ว!”



เสียงแหลมเล็กของลูกพี่ดังขึ้นสั่งลูกน้อง ที่เหลือก็ทำตาม และหัวเราะสนุกสนาน ทุกคนเดินดุ่มๆเข้ามาหาเฟิร์สที่นั่งอยู่พื้นด้วยสายตาหวาดระแวงและกลัวจนลนลาน



“อย่านะ ปล่อย! อย่าแกล้งเฟิร์สนะ ฮึก!”



เสียงเล็กๆของเฟิร์สดังขึ้น เด็กน้อยผวาเมื่อถูกยกลอยขึ้นจากพื้นที่นั่งอยู่ มือพยายามคว้าจับแต่ก็โดนปัดออก พยายามดิ้นให้หลุดแต่ก็สู้แรงของเด็กที่โตกว่าไม่ได้ จึงได้แต่ร้องไห้โวยวาย



“ปล่อยเฟิร์สนะ!”



ผลัก!



“โอ้ย มึงเป็นใครวะ”

แรมป์วิ่งถือท่อนไม้เล็กๆเข้ามาและฟาดเข้าไปขาของคนที่จับเฟิร์สอยู่ แต่ด้วยแรงอันน้อยนิดจึงเหมือนแค่ไปสะกิดเท่านั้น



“ฮีโร่หรอมึง เล่นแม่งทั้งคู่”

“อย่ายุ่งกับเฟิร์ส!”

ดวงตาแข็งกร้าวของแรมป์จ้องตรงไปยังชายโตกว่าอย่างไม่เกรงกลัวและท้าทายอีกฝ่าย

“ได้ รุมมัน!”



ตุบ! ผลัก! โอ๊ย! ปึก! อัก!



พวกนั้นจึงพากันรุมแกล้งเด็กน้อยทั้งสอง และทุบตีแรมป์จนได้รับบาดเจ็บ ตามตัวก็ช่ำไปหมด แล้วไหนจะตัวที่เหม็นกลิ่นขยะเพราะพวกเด็กนั่นจับทั้งคู่ลงถังขยะจริงๆ จนเมื่อพอใจแล้วจึงจากไป



แรมป์ ที่ตามใบหน้าและลำตัวเขียวช้ำ ปากแตกจนเลือดออก แต่กลับไม่มีน้ำตาไหลออกมาแม้แต่น้อย เอาแต่กัดฟันทนแล้วเดินโอบน้องชายตัวน้อยที่กำลังร้องไห้ขวัญเสียกลับบ้านพร้อมกัน



“ไม่เป็นไรแล้วเฟิร์ส”

“ฮึก ฮึก พี่แรมป์ เฟิร์สเจ็บ ทำไมพวกนั้นต้องแกล้งพวกเราด้วย เฟิร์สแค่อยากช่วยน้องแมวเฉยๆ”

“เงียบได้แล้ว เดี๋ยวพ่อมาเห็นก็ถูกตีซ้ำอีกหรอก จะเข้าบ้านแล้วนะ”

“ฮือ ก็เฟิร์สเจ็บนี่นา เฟิร์สอยากสู้พวกมันได้ ฮึก พวกมันจะได้ไม่ต้องไปแกล้งใครอีก”

“อืม ก็ช่วยได้แล้วไม่ใช่หรอแมวน่ะ เลิกร้องเถอะ เดี๋ยวเราเข้าทางหลังบ้านพ่อจะได้ไม่เห็น”



“ฮึก พี่แรมป์ฮับ ขอบคุณมากนะฮับ ที่มาช่วยเฟิร์สทันทุกทีเลย พี่แรมป์เก่งจังเลย ไม่เคยร้องไห้เลยด้วย ฮึก ไม่เหมือนเฟิร์สที่ทำอะไรไม่เคยได้เลย คอยแต่สร้างปัญหา”



“พี่เคยบอกแล้วไง ว่าจะไม่ให้ใครมารังแกเฟิร์สได้ พี่จะปกป้องเฟิร์สเอง พี่จะไม่ให้เฟิร์สต้องเจ็บปวด พี่สัญญา”



“ฮือ เฟิร์สรักพี่แรมป์นะฮับ รักมากๆเลย”

“พี่ก็รักเฟิร์ส”



พี่ชายที่แสนดี ไม่เคยร้องไห้ออกมาแม้แต่ครั้งเดียว ตั้งแต่สัญญาเอาไว้ว่าจะปกป้องดูแลคนเป็นน้อง แม้ว่าเรื่องนั้นจะหนักหนาขนาดไหนก็ตาม และวันนั้นแรมป์ก็ถูกพ่อลงโทษซ้ำเพราะยอมรับว่าเป็นคนมีเรื่องเองเพราะหนีออกไปเล่นข้างนอกเลยโดนพวกเกเรรังแกเอา เฟิร์สแค่ตามออกไปเท่านั้น ซึ่งเฟิร์สก็ได้แค่ยืนดูพี่ชายถูกทำโทษอีกครั้งถึงแม้จะยอมรับว่าตัวเองเป็นคนทำแต่พ่อก็ไม่เชื่อ และเด็กทั้งสองถูกกักบริเวณให้อยู่ในตัวบ้านไม่ให้ออกมาเล่นแม้สวนหลังบ้านไปหนึ่งอาทิตย์



...



“ทั้งๆที่สัญญาไว้ แต่ฉันกลับทำไม่ได้”



แรมป์นั่งมองเฟิร์สที่นอนหลับอยู่บนเตียงมาสักพัก แล้วจึงตัดสินใจปลุก คงรอให้ตื่นเองไม่ได้ เพราะมีเรื่องที่ต้องจัดการโดยด่วนที่สุด



“อืม พี่หมอ ผมหลับไปนานแค่ไหน”



เฟิร์สสลึมสลือเมื่อรับรู้ถึงแรงที่เขย่าเพื่อปลุกตนเบาๆเหมือนก่อนหน้านี้ จึงเอ่ยออกไปก่อนที่จะลืมตาขึ้นมาดู



“ฉันเอง แรมป์”



“อ๊ะ! แรมป์! มะ มาได้ไง”



เฟิร์สลืมตาโพรงอย่างตกใจ ลุกขึ้นนั่งอัตโนมัติ แล้วหันควับไปยังแรมป์ที่นั่งมองนิ่งๆอยู่ข้างเตียง เมื่อได้ยินชื่อและน้ำเสียงเข้มๆที่คุ้นเคย



“ไม่มีเวลาแล้ว กลับบ้าน”



“แล้วพี่หมออยู่ที่ไหน” เอ่ยถามถึงอีกคนที่พาเขามาที่นี่



“เตรียมตัวเสร็จแล้วออกมา ฉันจะรออยู่กับหมอข้างนอก”



เฟิร์สพยักหน้าเข้าใจ ก้าวขาลงจากเตียงได้ข้างแต่ก็ชงักไว้ เอ่ยถามถึงผู้เป็นบิดาที่รอเขาอยู่ที่บ้าน ไม่รู้ว่าจะโดนอะไรบ้าง



“เดี๋ยว แล้วพ่อ...”



“ฉันจะอธิบายทุกเรื่องทีหลัง”



แรมป์ว่าจบก็ลุกขึ้นเดินหันหลังออกไป รออยู่กับหมอพอลตรงโต๊ะที่คุยกันก่อนหน้านี้ เฟิร์สได้แต่ขมวดคื้วสงสัยแต่ก็ได้แต่เก็บไว้ในใจ เพราะถ้าแรมป์พร้อมจะพูดเมื่อไหร่เขาจะได้รู้ทุกเรื่องเอง แต่ตอนนี้ที่เขาทำได้เพียงแค่เตรียมตัวเตรียมใจพร้อมรับกับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดต่อไป



...



ระวางทางที่นั่งรถกลับมา ทั้งคู่แทบไม่พูดอะไรออกมาเลย แรมป์เอาแต่เงียบ เฟิร์สก็กังวลจนแสดงออกมาทางสีหน้าจนหมด เมื่อมาถึงบ้าน แรใป์ก็ให้เฟิร์สไปรอที่ห้องตัวเอง ส่วนเขาจะไปคุยกับพ่อให้เอง



“ไปตามมันมาคุยกับฉัน!” เสียงทรงอำนาจดังขึ้นทันทีที่เห็นหน้าแรมป์แทนที่จะเป็นคนก่อเรื่อง



“ผมให้น้องพักผ่อนเองครับ ผมแค่มารายงานข่าว” แรมป์ได้นิ่งเฉยทนรับอารมณ์ ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับน้องชายเขามักจะอดทนได้มากกว่าปกติ



“พูดมา” เจ้าบ้านเอนหลังพิงเก้าอี้ แต่ดวงตาดุคมยังคงจ้องมองแรมป์ไม่วางตา



“เฟิร์สโดนจับตัวไป ไม่ได้ไปเที่ยวเล่น เรื่องนี้มันเกี่ยวกับแก๊งอินทรีดำ” แรมป์รายงานออกไปด้วยท่าทีที่นิ่งสงบ ยังไงน้องชายเขาต้องรอด ก็แค่เสียหมากเล็กๆไป ไหนๆก็จ้องจะแทงข้างหลังอยู่แล้ว สู้เด็ดปีกมันทิ้งซะตั้งแต่ยังเด็กดีกว่า



ปึง!!



“พวกมันกล้าดียังไง! เป็นแค่นกตัวเล็กๆบังอาจมาเทียบพญาเสือ! หยามกันมากเกินไปแล้ว!”



เจ้าบ้านลุกขึ้นยืน มือตบลงบนโต๊ะเสียงดังสนั่น ใบหน้านิ่งนั้นฉายแววโมโหออกมาชัดเจน เข้าทางแรมป์จนได้



“ผมขอจัดการเด็ดปีกมันเองครับ จะทำให้อินทรีไม่เหลือแม้แต่เถ้าถ่านให้ฟุ้งในอากาศ”



“จัดการให้เรียบร้อย ภายในคืนนี้”



“ครับ” แรมป์โค้งคำนับให้พ่อตนแล้วหมุนตัวเดินออกมา ถ้าเป็นเรื่องธุรกิจพ่อของเขามักจะเชื่อสนิทใจเพราะศัตรูที่ก่อทำให้เขาไม่ใจใครแม้แต่ตัวเอง



....



ฝ่ายเฟิร์ส เมื่อเข้ามาในห้องก็นั่งได้ไม่ติดที่ เดินไปเดินมาด้วยความกังวน ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ซึ่งปกติเขาจะต้องถูกตามตัวไปพบ แต่ครั้งนี้กลับเงียบ จึงได้แต่แอบแง้มประตูดู แต่ก็ไม่มีใคร จึงได้แต่กังวนหนัก เพราะเขารู้ดี ว่าแรมป์ชอบรับแทนเขาเสมอ



“ทำไมนานแบบนี้” เฟิร์สได้แต่กังวนแล้วกังวนอีก หลังจากที่เดินไปเดินม ก็ไปนั่งเล่นนอนเล่น เดินไประเบียง ทำนู้นทำนี่ฆ่าเวลา แต่ก็ยังไม่มีใครมาตาม



จนเวลาผ่านไปพักใหญ่ รอนานๆเข้า ความง่วงก็ควบคุมร่างกายให้ปิดตาลงไปด้วยใบหน้าเป็นกังวน



....



ด้านแรมป์



ที่ตึกสูงหลังหนึ่ง ที่เป็นที่สุมหัวกันของพวกแก๊ง อินทรีดำ เกือบทั้งหมด พวกมันเป็นพวกใต้ดินระดับกลางที่ปีนขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วเพราะอาศัยบารมีเสือของบ้านแรมป์และอื่นๆบ้าง แต่พวกมันก็ยังคงจ้องแทงข้างหลังเสือเสมอเมื่อมีโอกาส ทั้งโกงเงินนายหน้า ทั้งรับของราคาถูกใส่ปนเอาของแท้ออกไปขายอีกที ทั้งทำเรื่องชั่วๆระรานคนอื่นแต่ดันอ้างบารมีเสือให้คุ้มกะลาหัว แต่เมื่อมีหน้ามีตาหรือคุยโว้กับแก๊งอื่นที่เป็นปรปักษ์กับเสือก็บอกว่าเป็นความดีความชอบตัวเองล้วนๆ



พวกแบบนี้เป็นเสี้ยนหนามที่สมควรกำจัดทิ้งนานแล้ว แต่ที่ยังเก็บไว้ไม่ใช่ว่าใจดี แต่พวกนกสองหัวแบบนี้ เลี้ยงเก็บไว้ดูเล่นมันก็เอาประโยชน์ของคู่แข่งมาเป็นประโยชน์อยู่ดี หรือจะเอาไว้ให้มันขยายฐานลูกค้า หรือรับหน้าตำรวจได้อย่างดี แล้วถ้าพวกมันถูกจับได้ก็แค่ตายสถานเดียวเท่านั้น



ฉึบ! ฉั๊ว!



“ถือว่าเป็นคราวซวยของพวกแกก็แล้วกัน ที่ฉันดันคิดถึงพวกแกเป็นชื่อแรกในหัว หึ”



แรมป์และคนสนิทอีกสองคนในชุดดำทั้งตัวปิดหน้าปิดตา แต่อาวุธครบมือ เดินย่องเงียบๆแฝงกายในความมืดไปตามทางเดิน แล้วจัดการปลิดชีพเหล่าสมาชิกอินทรีดำรายตัว



แรมป์ถูกพ่อของเขาฝึกมาให้เป็นนักฆ่าในคราบลูกชายนักธุรกิจ เขาถนัดในมีดสั้นและการกำจัดศัตรูเข้าจุดตายภายในครั้งเดียว เขาทั้งฝึกทรมานร่างกายตัวเองมานักต่อนัก ตั้งแต่5ขวบก็เริ่มจับปืน เขารับทุกอย่างและทำมันอย่างไม่ปริปากบ่นสักคำเพื่อที่น้องชายจะได้ไม่ต้องเจอแลบเดียวกัน แม้ว่าเขาจะเกือบตายในแทบทุกครั้ง แม้ว่าเขาจะแอบร้องไห้มากเพียงใด แต่เพื่อคนที่เขาอยากปกป้องเขาจึงต้องเข้มแข็ง



เขาฝึกหนักมากถึงมากที่สุด จนในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ เขาฆ่าคนตายได้ตั้งแต่อายุ10ขวบ ภาพของคนที่เขากำลังจ่อปืนที่ขมับร้องไห้อ้อนวอนเขาแทบขาดใจน้ำหูน้ำตาท่วมยกมือกราบแทบเท้าแม้อายุจะมากกว่า แต่สุดท้ายร่างนั้นก็ได้แต่แน่นิ่งไป พร้อมกับเลือดที่กระเด็ดติดเสื้อและร่างกายที่สั่นเทากับหัวใจที่ตีบตันจนแทบอยากตายของแรมป์กำลังแหลกสลาย



ปึง! อัก!



“ขอโทษค่ะ!”



จู่ๆก็มีคนร้ายย่องเข้าทางด้านหลังลูกน้องของแรมป์เกือบพลาดท่า จนต้องต่อสู้กันเกิดเสียงดัง ทำให้ลูกน้องแรมป์อีกคนต้องฆ่าทิ้งก่อนที่จะเกิดเสียงดังมากกว่านี้ เธอจึงรีบก้มหัวขอโทษในความผิดพลาด



“อย่าให้มีอีก”



ลูกน้องที่มาด้วยคนหนึ่งเธอเป็นผู้หญิง ถนัดปืน เธอจึงต้องคอยตามหลัง จัดการในระยะไกลกว่า ถ้าต่อสู้ระยะปะชิดกับผู้ชายร่างยักษ์สรีระมันต่างกันมากเกินไปเลยยาก จนต้องให้อีกคนที่ถนัดระเบิดต้องใช้การต่อสู้มือเปล่าจัดการได้ทันการ เพราะงานคืนนี้แรมป์ต้องการให้เซอไพร์แก่แก็งค์อินทรีดำทุกตัว



แรมป์และอีก2คนขยับกายเป็นเงาดำ เก็บลูกน้องของแก็งค์ขึ้นมาสูงเรื่อยๆจนเกือบจะถึงบอส แต่กลับได้รับรายงานจากอีก1ในทีม มือสไนเปอร์ ว่าบอสมันไม่อยู่ที่นี่ เป็นตัวปลอมที่โดนเขาเก็บไปแล้ว จึงทำให้แรมป์หัวเสีย



วี๊~ ว่อ~ วิ๊~ ว่อ~



“ท่านครับ เราต้องไปแล้ว”

“หึ่ย!”



ด้วยความโมโห แรมป์จึงได้แต่วิ่งถอยกลับออกมา ผ่านกองศพนับร้อยที่มีแต่กองเลือดเต็มไปหมด กับเสียงไซเร็นรถตำรวจที่ไกล้เข้ามาเรื่อยๆ เมื่อหลบมาจุดปลอดภัยแล้ว มือแรมป์ก็จัดการกดปุ่มระเบิดที่ติดไว้ตามตัวอาคารตอนเข้าไป เกิดเสียงดังสนั่น โดยที่ไม่ได้สนใจว่าจะมีพวกตำรวจเข้าไปด้านในแล้วรึยัง



ตู้ม!!



“ขอโทษทีนะคุณตำตวจ ที่ทำหลักฐานคุณหายไปซะแล้ว” เสียงหนึ่งในทีมพูดขึ้นหลังจากมองดูดอกไม้ไฟที่กำลังลุกกระพรืออย่างสวยงาม

.

.

.

พอรุ่งเช้ามาถึง คนที่โดนตำรวจรวบตัวกับเป็นหัวหน้าแก๊งที่อินทรีดำซะเอง ทั้งๆที่เมื่อคืนมันหนีไปได้ แต่มีหรือว่าแรมป์จะปล่อยมันให้ลอยนวล อีก1ในทีมคนสุดท้ายของเขาคือ แฮกเกอร์ ทำงานอิสระแต่สังกัดเสืออย่างลับๆ คอยเก็บรวบรวมข่าวสารและแฮกเข้าระบบส่งหลักฐานทำชั่วแถมหาที่ซ่อนตัวเสิร์ฟให้ตำรวจถึงที่ แถมอาคารสถานที่เข้าและออกก็เป็นคนจัดการให้ รวมถึงกล้องวงจรปิดทุกตัว



ส่วนเรื่องตึกระเบิดก็จับมือใครดมไม่ได้ แจ้งแค่ว่าคนในแก๊งเข่นฆ่ากันเองและเกิดไฟฟ้าลัดวงจรจนถังแก๊สในตัวอาคารระเบิด เกิิดความเสียหายและเสียใจอย่างมาก กล้องวงจรปิดทั้งก่อนและหลังถูกทำลาย ที่นอกอาคารกล้องก็เสียพร้อมกันทุกตัวไม่มีใครสามารถรู้เห็นได้เลย



“ทำงานได้ดีตามเคย ฉันจะให้รางวัลเด็กๆแกทีหลัง”



“ขอบคุณครับ”



พอทำงานเสร็จทุกคนก็แยกย้าย กลับไปใช้ชีวิตปกติสุขอย่างคนทั่วไป ส่วนเงินรางวัลจะถูกโอนให้เมื่อเห็นผลงานเรียบร้อย



“เฟิร์สพร้อมทำงานเมื่อไหร่”



“อีก2วันครับ”



“งั้นแกก็คอยสอนงานในส่วนที่ไม่รู้ อีก2วันเอาไปทำงานในตำแหน่งสูงๆ ฉันจะได้ไม่ขายหน้าใคร"



“ครับ”



“ออกไปได้แล้ว”



แรมป์รับคำ แล้วโค้งให้ หมุนตัวเดินออกไปจากห้องทันที แล้วตรงไปยังห้องเฟิร์สเพื่อบอกให้เตรียมตัวไว้ ส่วนไหนไม่ได้จะได้ให้คนมาสอน



...



“แรมป์ ไม่บอกจริงๆหรอ ว่าคุยกับพ่อว่าอะไร”



“เรื่องที่แกควรสนใจคือเอกสารตรงหน้านั่น”



ตั้งแต่เฟิร์สเห็นแรมป์ในวันรุ่งขึ้นคืนนั้น เขาก็คอยถามเกี่ยวกับรายละเอียดเรื่องนั้นในทุกครั้งที่มีโอกาส แต่แรมป์เลี่ยงไม่ตอบเขาในทุกครั้ง แถมยังส่งสายตาโหดๆมาให้ พร้อมกับเอกสารของบริษัทกองโตยิ่งเหมือนถามมากขึ้นเท่าไหร่งานก็เยอะขึ้นเท่านั้น เฟิร์สเลยเลี่ยงที่จะถามแล้ว



...



ตกเย็นเฟิร์สมีเวลาว่างจากการศึกษาเอกสาร ก็นั่งเช็คมือถือของตน หลังชาร์จไว้เพิ่งเปิดเครื่องใช้งานตอนนี้ เพราะก่อนหน้าที่ติดต่อกับหมอพอลใช้โทรศัพท์ชาวบ้านทั้งนั้น



“พอเช็คไล่ๆดูสายแรกๆก็เป็นของคุณไมค์ เพราะติดต่อเราไม่ได้ก่อนใครสินะ แต่หลังจากนั้นส่วนมากก็เป็นของเแรมป์ แล้วก็ที่บ้าน มีเพื่อนบ้างป่ะปาย แรมป์...คงเป็นห่วงผมมากสินะ พี่ชาย ผมรักพี่นะ แต่ทำไมพี่ไม่ยอมเล่าอะไรให้ผมฟังเลย เราไม่สนิทกันหรอ”



เฟิร์สนั่งมองจอโทรศัพท์แล้วคิดถึงใบหน้าพี่ชาย เขาไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงไม่สนิทกันเท่าที่ควรทั้งๆที่อยู่ด้วยกันตลอด ทั้งๆที่เป็นแฝด



แต่ตั้งแต่เฟิร์สประสบอุบัติเหตุตอนอายุ10ขวบ หลังจากนั้นพอตื่นขึ้นมาก็จำเหตุการณ์อะไรก่อนหน้าไม่ได้ ต้องพักรักษาตัวและให้ทำความรู้จักกับทุกสิ่งรอบตัวใหม่ทั้งหมด จนเมื่ออายุ15ที่เขาได้รู้จักด้านมืดของธุรกิจของพ่อ ที่เขารับไม่ได้ แต่หลังจากนั้นพ่อก็ไม่ค่อยเรียกเขา แต่ถ้าจะเรียกก็เรียกไปฝึกปืนและฝึกต่อสู้ ตอนแรมป์ไม่อยู่ด้วย แต่เฟิร์สก็ไม่ค่อยสนใจ ส่วนใหญ่จะโดนลากไปดูซะมากกว่า ดูคนตายต่อหน้าบ้าง ดูคนโดนซ้อม ดูวิธีการทำงานต่างๆนาๆ แต่สุดท้ายเฟิร์สก็เครียดหนักจนอ้วกแทบทุกครั้ง หลังๆพ่อเลยไม่ค่อยเรียกเขานัก



“เห้อ...เหมือนทุกคนมีความลับกับฉันสักอย่าง ที่ฉันไม่อาจรู้ได้”

เมื่อคิดไปก็เครียดเปล่าๆ เฟิร์สเลยกลับมาสนใจมือถือตนอีกครั้ง



“คุณไมค์ โทรมาหลายสายเลย ข้อความอีกนับไม่ถ้วน ทุกวันตั้งแต่เราหายไป โทรกลับไปก็ดันไม่รับสายด้วย เราควรไปขอโทษด้วยตัวเองดีกว่าสินะ พรุ่งนี้แสะไปที่บริษัทละกัน”





รุ่งเช้า

เฟิร์สแวะไปหาไมค์ที่บริษัทตอน9โมงก่อนกลับไปดูเอกสารบริษัทตัวเองต่อ เมื่อมาถึงติดต่อเรขาส่วนตัวเพื่ิอนัดไม่ได้อีก จึงไปหาพี่หัวหน้าแผนกตามที่ได้รับแจ้ง



“สวัสดีครับพี่พลอย ผมเฟิร์สนะครับ จำได้ไหม”



“ได้สิคะ มีธุระอะไรให้พี่รับใช้รับเปล่าคะ”



“คือว่า พอดีผมติดต่อคุณไมค์ไม่ได้ครับ แล้วคุณเรขาก็ไม่อยู่ เขาเลยให้มาติดต่อที่พี่ คือว่าผมอยากจะขอเข้าพบคุณไมค์วันนี้สักหน่อย พอมีเวลาว่างไหมครับ”



“ตายจริง ทำไมไม่โทรฯเข้าบริษัทก่อนละคะ คือว่าคุณไมค์ไปดูงานที่ต่างประเทศค่ะ ติดต่อไม่ได้หรอกค่ะ งดๆ ประชุมกันทั้งวัน จะสั่งงานยังได้แค่ให้คุณเรขาสั่งให้เลยค่ะ”



“แย่เลยนะครับ”

คุยกันอีกสองสามประโยค แล้วก็บอกลากันแล้วเรียบร้อยแล้ว และในจังหวะที่ฝั่งนู้นมีสายเข้าพอดี เฟิร์สเลยผันตัวจะเดินกลับ แต่พี่หัวหน้าแผนกก็เรียกไว้อีกครั้ง



“เดี๋ยวค่ะๆ น้องเฟิร์สคะ เรขาคุณไมค์ติดต่อมาพอดี เชิญคุยได้เลยค่ะ พี่บอกให้แล้ว”



“ขอบคุณครับ”

เฟิร์สดีใจยิ้มแก้มปริ ตื่นเต้นนิดๆทั้งๆที่แค่คุยกับเรขาไม่ใช่ตัวจริงๆของไมค์



“สวัสดีครับ เฟิร์สพูดครับ”



“สวัสดีครับคุณเฟิร์ส ผมเป็นเรขาของท่านประธานนะครับ คุณอยากพบท่านใช่ไหมครับ แต่ทางเราไม่สะดวกจริงๆ ต้องขออภัยอีกครั้ง”



“ไม่เป็นครับ ผมต่างหากที่มาโดยไม่ได้แจ้งไว้ก่อน”



“ครับ กเดี๋ยวผมจะเรียนให้ท่านทราบนะครับ ว่าผมติดต่อคุณได้แล้ว และคุณสบายดีใช่มั้ยครับ”



“ครับ สบายดีครับ ฝากขอโทษคุณไมค์ด้วยนะครับที่ไม่ได้บอก และก็ช่วยนัดวันให้ผมด้วยนะครับ ผมอยากขอโทษอย่างเป็นทางการ”



“ได้ครับคุณเฟิร์ส ท่านเป็นห่วงคุณมากเลยนะครับ พยายามติดต่อคุณตลอดทุกทาง จนวันที่เราไปดูงานที่ต่างประเทศ ท่านก็ยังให้ผมเป็นคนคอยติดต่อคุณให้”



และก็คุยกันอีกสักพัก เฟิร์สยิ้มดีใจไปด้วยทุกครั้ง ที่รู้ว่าไมค์ห่วงเขามากขนาดนี้ ทั้งพยายามติดต่อเขาทุกทางด้วยตัวเอง แถมพอไม่ว่างยังให้เรขาจัดดารเรื่องเขาให้

.

.

.

“งานเสร็จแล้ว จ่ายผมเท่าไหร่”

“อ่ะ”

“ใบเดียวหรอ ขี้งกจังนะ”

“แค่งานคุยโทรศัพท์ใครๆก็ทำได้ 500นั่นเยอะเกินไปด้วยซ้ำ หรือจะไม่เอา”

“เอาสิครับ ใจร้อนจริง ไว้วันหลังมาใช้บริการผมได้ใหม่”

และบทสนทนาปริศนาพวกนี้ พวกเขาเป็นใคร แล้วต้องการอะไรกัน



...

มาแล้วค่ะ ขอโทษที่หายไปนานนะคะ



*ตอบเม้นเว้นไว้ก่อนนะ ไว้โน๊ตบุคใช้ได้แล้วจะตอบให้หน้าตอนนะ

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: rosetears ที่ 10-06-2016 00:17:40
พี่นู๋เฟริส์นี้โหดได้อยู่นะแต่ทำเพราะรักน้อง น่าสงสารพี่น้องคู่นี้  :mew6:
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย ตอนที่ 22 : I'm Back
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 30-06-2016 13:26:31


me die

22 : I’m Back


ตึกสูงใจกลางเมือง ชั้นบนสุดของผู้บริหาร เฟิร์สนั่งดูเอกสาร หน้าตาเคร่งเครียดมาตั้งแต่เช้า โดยมีแลมป์นั่งเช็คเอกสารที่เหลืออยู่ข้างๆ
 
ครืด... ครืด...

เสียงโทรศัพท์ของเฟิร์สดังขึ้น มือเรียวหยิบขึ้นมาแนบหูโดยไม่ได้ดูเบอร์ที่โทรเข้า ดวงตาและคิ้วยังคงขมวดแน่นอยู่กับเอกสารตรงหน้าอย่างเดียว

“สวัสดีครับ เฟิร์สพูดครับ”

{สวัสดีครับเฟิร์ส}

“คุณไมค์! กลับมาแล้วหรอครับ”

{ครับ ผมอยากเจอเฟิร์ส มาพบกันหน่อยได้ไหมครับ ที่...}

“ได้เลยครับ ครับ ตอนนี้เลยใช่ไหมครับ ครับ เดี๋ยวผมออกไปเลย”

เฟิร์สรับโทรศัพท์ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หลังรู้ว่าสายที่โทรเข้ามาเป็นคนที่เขาอยากคุยมาตั้งแต่กลับมา ตอนนี้หลังจากหน้ามุ่ยมาทั้งวันตอนทำงาน แม้งานจะไม่ยากนัก แค่ไปไหนมาไหนกับแลมป์เพื่อดูงาน แต่เขาก็ไม่ค่อยถนัดนัก จึงได้แต่เบื่อๆ แต่เมื่อไมค์โทรมาก็ดีใจยกใหญ่ พูดล่ำลากับแลมป์แล้วออกไปเลย

“แลมป์ เดี๋ยวฉันมานะ”

“จะไปไหน ทำไมไม่รับผิดชอบแบบนี้”

“ขอโทษ แต่ขอเวลาแปปเดียวนะ ไปละ”

“เฟิร์ส! เฮ้อ...เป็นแบบเดิมมันก็ดีอยู่หรอก แต่อย่าให้มันบ่อยนัก ไอ้อยู่ๆก็หายไปแบบนี้ คนอื่นเขาลำบาก”

แลมป์ได้แต่ถอนหายใจไล่หลังน้องชายของเขาไป พูดกับตัวเองเบาๆอย่างอดไม่ได้ เขาหนักใจว่าถ้าพ่อรู้เข้าจะยังโอเคอยู่รึเปล่าที่เฟิร์สยังใช้ชีวิตตามใจตัวเองอยู่แบบนี้ แต่เขารู้ว่าไมค์เป็นเพียงคนเดียวที่ช่วยให้เฟิร์สดีขึ้นได้จึงปล่อยให้ไปอีกตามเคย

...

“ไมค์ รอนานไหมครับ”

“ไม่นานเท่าไหร่ครับ มายากไหมครับร้านนี้”

เฟิร์สเดินเข้ามาหาไมค์ที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว ในร้านอาหารที่ไมค์นัดมา ไมค์สั่งอาหารไว้ก่อนแล้ว มุมโต๊ะของทั้งคู่เป็นมุมส่วนตัว ไมค์ในชุดสูทสีดำสนิทพร้อมถุงมือสีดำคู่เดิมผายมือเชิญให้เฟิร์สนั่ง เฟิร์สในชุดเสื้อโปโลสีครีมกางเกงสีดำจากที่ใส่ไปทำงานก็นั่งลงและพูดคุยกันตามปกติ

"เฟิร์สครับ เพื่อเป็นการไถ่โทษที่หายไปจนให้ผมเป็นห่วง ทานอาหารเสร็จแล้ว ช่วยไปที่ๆนึงกับผมได้ไหมครับ" ไมค์มองตรงไปยังอีกคนนิ่งและยิ้มนิดๆไปที่นั่งทานอาหารอยู่ตรงข้ามตน

"หืม ไปที่ไหนหรอครับ” เฟิร์สวางช้อนแล้วมองสบกับไมค์ เลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย

“ไปถึงก็รู้ครับ แต่ขอบอกว่าค้างคืนนะ” ไมค์ยิ้มกว้างขึ้น ดวงตายังคงมองจ้องไปสบกับเฟิร์สนิ่ง

“ได้เลยครับ ถือว่าแอบอู้งานเลยล่ะกัน ฮ่าๆๆ”    ทั้งคู่หัวเราะพร้อมกัน และยิ้มให้กันแทนคำตอบว่าใจตรงกัน ในใจเฟิร์สก็ได้แต่หวังเพียงแค่ว่าแลมป์จะเข้าใจที่เขาหนีงานอีกแล้ว

...

แสงอาทิตย์สุดท้ายของวันสาดแสงสีเหลืองนวลดวงกลมสะท้อนกับผืนน้ำเป็นทางยาวมาสู่คนมอง แลเงาต้นไม้เป็นสีดำแต่กับแลดูสวยงามลึกลับ ลมริมชายหาดที่ยังคงพัดเอื่อยๆให้ผู้คนเย็นฉ่ำ กิ่งไม้โบกไหวไปมาตามแรงลม หาดทรายสีขาวที่บัดนี้กลายเป็นสีน้ำตาลน่าค้นหา

ทั้งสองเดินเล่นกันมาเรื่อยๆตามริมหาด และแวะนั่งดูพระอาทิตย์ตกดินด้วยกันเงียบๆ ดื่มด่ำกับบรรยากาศแสนอบอุ่นนี้ด้วยกัน

“ฮ้า... รู้สึกดีจังนะครับ นั่งดูพระอาทิตย์ตกดิน ดื่มด่ำบรรยากาศแบบนี้ ผมไม่มีโอกาสมาเที่ยวที่แบบนี้บ่อยๆ ขอบคุณที่พามานะครับไมค์”

เฟิร์สยื่นมือออกไปด้านหน้า คว้าจับดวงอาทิตย์ที่เหมือนกำลังจะตกลงมาสู่กำมือเขา แล้วยิ้มน้อยๆ

“...คงจะดีกว่านี้นะครับ ถ้าเรามาดูตอนพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกัน”

ไมค์พูดขึ้นเบาๆแล้วขยับเข้าไปใกล้เฟิร์ส ยื่นมือออกไปให้เงามือของเขาทั้งสองทาบทับกัน เหมือนกำลังกอบกุมพระอาทิตย์ดวงโตสีเหลืองนั้นไว้ภายใต้ฝ่ามือเดียวกัน

เฟิร์สก็ได้แต่นิ่งงันอยู่แบบนั้น จนไมค์ขยับมือเปลี่ยนจากเงามือที่ทาบทับเป็นฝ่ามือให้ชิดใกล้แล้วกอบกุมไว้ในมือเบาๆ แล้วค่อยๆดึงมือของเฟิร์สเข้าหาตัวไมค์ช้าๆ จนหน้าหันมาตรงกัน ดวงตาสีนิลและสีฟ้าเทาแวววาวมองสบกันนิ่ง

“...เฟิร์สครับ ช่วงที่เฟิร์สหายตัวไป เป็นข้อพิสูจน์ว่าผมห่วงเฟิร์สมากเกินกว่าเพื่อนคนนึง ผม..คิดถึง และคอยเฝ้าตามหาเฟิร์สไปทั่ว แต่ผมแทบไม่รู้จักเฟิร์สเลยมากกว่าที่เราคุยกัน ผมบอกได้เลยว่าผมรู้สึกดีๆกับเฟิร์สจริงๆนะครับ และผม...อยากจะขอโอกาสจากเฟิร์ส ...ขอให้ผม ได้รู้จักตัวตนของเฟิร์สมากขึ้นกว่านี้ได้ไหมครับ”

เฟิร์สอึ้งนิ่งไป ไม่คิดว่าไมค์จะสารภาพแบบนี้ และตัวเขาเองก็ยอมรับว่าก็รู้สึกดีๆกับไมค์เหมือนกัน เพราะเป็นเป็นคนที่เขาอยู่ด้วยแล้วสบายใจ ยิ่งเมื่อได้สบกับนัยน์ตาสองสีที่มีเสน่ห์ของไมค์ทำให้เขาเหมือนถูกดึงดูดให้ละสายตาไม่ได้

ไมค์ดึงมือที่กอบกุมไว้เข้ามาแนบอก โน้มใบหน้าเข้าหาเข้าหาเฟิร์สเรื่อยๆ ดวงตาทั้งสองคู่สบประสานกันนิ่ง เงาของทั้งคู่ทาบทับรวมกันท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับขอบฟ้า กับบรรยากาศที่สุดแสนจะโรแมนติกและเป็นใจ 

แต่แล้วเฟิร์สก็ชะงักดึงออกมาจากการกอบกุมแล้วดันหน้าอกหยุดไมค์ไว้แค่นั้น เพราะดวงหน้าและร่างกายที่คุ้นเคยของปีศาจร้ายทับซ้อนขึ้นมา

“…เอ่อ ผม ผมขอคิดดูก่อนนะครับ” (ขอเวลาผมหน่อย ให้ผมลืมปีศาจใจร้ายบางตนที่ยังคงฝังลึกอยู่ในใจผมตลอดมา)  เฟิร์สสับสน ดวงตาไหวสั่น ไม่เข้าใจทำไมเขาถึงต้องคิดถึงสัมผัสและคำพูดที่ผูกมัดเขาไว้ของปีศาจร้ายนั้น ทั้งๆที่ใจเขาและไมค์ตรงกัน

“ครับ ผมขอโทษด้วยนะครับ ที่ผมรีบร้อนเกินไป” ไมค์ยอมถอนกายห่างออกมา ยิ่งมองใบหน้าของเฟิร์สที่สับสนเขาก็เลยเลือกที่จะเป็นฝ่ายรอ ดวงตาสองสีจึงเสมองไปยังผืนน้ำทะเลที่บัดนี้ดำสนิท

“ขอบคุณนะครับที่เข้าใจ” เมื่อเห็นไมค์เงียบไป เฟิร์สเลยเงยหน้ามอง เห็นอีกฝ่ายนิ่งๆเมื่อรู้ตัวว่าเฟิร์สมองอยู่ก็ได้แต่ยิ้มน้อยๆส่งกลับมาแทน แต่เพราะความมืดของผืนฟ้าที่ลาลับไปแล้วทำให้เฟิร์สรู้ว่าตัวเขาเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ เพียงแค่สับสนและขอเวลาลืมปีศาจร้ายบางตนเท่านั้นเอง

22.30 น.

หลังจากเฟิร์สกับไมค์ออกไปทานอาหารและซื้อเสื้อผ้าของใช้จำเป็นกันเสร็จแล้ว ก็แยกย้ายกันกลับเข้าห้อง ทั้งสองเปิดห้องพักกันคนละห้องข้างๆกัน เฟิร์สเข้าไปอาบน้ำ เมื่อเสร็จแล้วก็ออกไปยืนรับลมที่ริมระเบียง พรางถอนหายใจด้วยความสับสนและเหนื่อยใจ

“เฮ้อ…ทำไมเราต้องไปคิดถึงฝันร้ายนั่นด้วย ปีศาจร้ายตนนั้น เราก็หนีมันมาได้สักพักแล้วนะ ทำไมถึงได้เห็นหน้าปีศาจนั่นทับซ้อนกลับไมค์ตลอดเวลา ...นั่น ไม่ใช่คนเดียวกันสักหน่อย”

เฟิร์สมักจะคิดถึงสัมผัสและคำพูดที่ผูกมัดตัวตนของเขาไว้กับปีศาจนั่นเสมอ ยามหลับก็ฝันถึง ยามตื่นก็ยังคงหวาดกลัว แต่หลายๆอย่างเหมือนจะดีขึ้น แต่จิตสำนึกภายในจิตใจของเขาก็มักร้องเตือนบางอย่างเสมอ

ทุกๆครั้งที่เขาอยู่ใกล้ไมค์เขาก็มักจะรู้สึกอบอุ่นไว้ใจวางใจไมค์ได้เสมอ แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็มักจะเห็นภาพของปีศาจร้ายดวงตาสีแดงภายใต้หน้ากากขาวทับซ้อนด้านหลังไมค์เสมอ ทั้งอบอุ่นและหนาวเหน็บทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ แต่เขามักจะเลือกบอกตัวเองซ้ำๆว่าไม่ใช่คนๆเดียวกัน และมองข้ามมันไปให้เห็นตัวตนของไมค์เสมอ

“คืนนี้ อากาศหนาวๆจัง” เฟิร์สยกมือลูบแขนตัวเองไปมา เมื่อลมเบาๆเมื่อครู่ แปรเปลี่ยนเป็นลมเย็นทำให้รู้สึกหนาวไปถึงใจแปลกๆ เฟิร์สเลยเลือกที่จะกลับเข้าไปภายในห้องนอน

วูบ...

ลมเย็นพาดพัดผ้าม่านที่หน้าต่างห้องนอนไหวปลิววูบหนึ่ง ทั้งๆที่เฟิร์สปิดประตูกับมือตอนที่เข้ามาภายในห้อง

“อึก”

เฟิร์สขมวดคิ้ว กลืนน้ำลายอึกใหญ่ ค่อยๆก้าวเดินไปยังม่านเพื่อเช็คดูอีกครั้ง มือเรียวเอื้อมออกไปจับผ้าม่านผืนหนานั้นขึ้นช้าๆ แต่ปรากฏว่าเขาเพียงแค่ปิดประตูไม่สนิท จนมันแง้มอ้าออกให้ลมเล็ดรอดเข้ามาภายในได้ จึงจัดการล็อคประตูลงกลอนอีกครั้ง และให้เหตุผลกับตัวเองว่าตนลืมล็อคมัน 

พรึบ!

“เฮือก! อะ อะไรวะ”

ไฟในห้องที่จู่ๆก็ดับลง ภายในห้องมืดและเงียบสนิทจนได้ยินเสียงลมหายใจของเฟิร์สที่กำลังเข้าออกอย่างเร็วด้วยความตื่นเต้น เฟิร์สได้แต่ยืนนิ่งงันอยู่กับที่ ใจเริ่มเต้นแรงขึ้นกว่าเดิม เมื่อสัมผัสกับบรรยากาศที่แสนจะคุ้นเคยอีกครั้ง บรรยากาศรอบตัวที่จู่ๆก็หนาวเย็น กลิ่นคาวจากเลือดฟุ้งขึ้นใกล้จมูกจางๆ ขาเฟิร์สเริ่มอ่อนแรงจนร่างกายรับน้ำหนักไม่ไหวค่อยๆไหลลงสู่พื้นดิน ยกมือขึ้นปิดปากตนเองกลั้นเสียง สั่นไปหมด เมื่อความกลัวเริ่มครอบงำจิตใจของเขาอีกครั้ง

พรึบ!

“อึก! อือ”

แต่แล้วจู่ๆไฟก็กับมาปกติ สว่างไสวไปทั่วทั้งห้องเช่นเดิม ขณะที่เฟิร์สกำลังจะสติแตก จึงได้แต่นั่งเอามือปิดปากนิ่งกายสั่นไหว น้ำตาคลอเบ้าด้วยความกลัว

แต่แล้วสายตาก็มองเห็นบางสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะในระดับสายตาของเฟิร์ส ที่เป็นที่มาของกลิ่นคาวของเลือดที่ได้กลิ่นตอนไฟดับ จึงรวบรวมสติและความกล้าค่อยๆย้ายกายเข้าไปใกล้สิ่งๆนั้น แต่ยิ่งใกล้จนเห็นสิ่งๆนั้น หัวใจก็เต้นโครมครามไม่หยุด น้ำตาคลอจนจะไหลออกมา

ไพ่การ์ดสีดำ ที่มีตัว R อยู่ด้านหลัง

มือเรียวที่สั่นไม่หยุดค่อยๆเอื้อมมือไปหยิบการ์ดใบนั้นขึ้นมา พลิกอีกด้านขึ้นมาอ่านข้อความ การ์ดใบนั้นล่วงล่นจากมือเฟิร์ส น้ำตาไหลหยดลงพื้น หน้าซีดขาวไร้สี ร่างกายไร้เรี่ยวแรงล้มลงกองอยู่ที่พื้นห้องเย็นเฉียบ พร้อมกับคำในข้อความที่ดังก้องซ้ำไปมาอยู่ในหัว และกลิ่นเลือดที่ประทับมาบนการ์ดยังคงติดจมูกไม่จางหายไป

‘ฉันกลับมาแล้ว’

...


ด้วยความหวาดกลัวเฟิร์สจึงหนีออกจากห้องไปตั้งแต่คืนนั้นโดยไม่ได้บอกไมค์ ไปเปิดห้องที่โรงแรม4ดาวแห่งหนึ่งแถบชานเมืองใกล้กรุงเทพ เพราะไม่อยากให้ไมค์มาเห็นตัวเองสภาพนี้ และกลัวจะรู้ความจริงเข้า เฟิร์สกังวลมากและหวาดระแวงไปหมด ปิดประตูหน้าต่างผ้าม่านแน่นแถมยังสั่นห้ามรบกวนอีก

“จริงสิ พี่หมอ”

ตู๊ด... ตู๊ด...

เฟิร์สตัดสินใจโทรหาหมอพอล เพราะคิดถึงครั้งนั้นที่หมอช่วยดูแลเขาและให้ขอความช่วยเหลือได้ พ่อเป็นคนสุดท้ายในโลกที่เขาจะขอความช่วยเหลือเพราะถ้าเป็นพ่ออาจจะต้องมีการสูญเสียชีวิตเกิดขึ้นอีก

“สวัสดีครับ ผมเฟิร์สนะ พี่หมอพอลอยู่ไหมครับ” เฟิร์สยิ้มออกเมื่ออีกฝ่ายรับสาย

“คุณหมอไม่อยู่ค่ะคุณเฟิร์ส คุณหมอได้แจ้งฉันไว้ว่าทางโรงพยาบาลให้ไปทำวิจัยที่ต่างประเทศ ไม่รู้กำหนดกลับค่ะ จนกว่างานจะเสร็จเรียบร้อย”

“ขอบคุณมากครับคุณพยาบาล” 

เฟิร์สทรุดตัวนั่งกลับพื้นอย่างอ่อนแรง ดวงตามองจ้องโทรศัพท์นิ่งงัน ในใจเพียงแค่คิดว่าทำไมคนที่พอจะพึ่งพาได้กลับหายไปกันหมด เพราะแลมป์พี่ชายของตนก็ส่งความมาบอกตั้งแต่เมื่อวานว่าพ่อสั่งให้ไปต่างจังหวัดเหมือนกัน

“ทำยังไงดี...ฮือ”

เฟิร์สจึงเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง ไม่ออกไปไหน ข้าวปลาก็ไม่ยอมสั่งขึ้นมากิน กินแต่ยาระงับระสารทที่ตัวเองซื้อไว้ติดกระเป๋าให้หายกังวล นอนก็ไม่ยอมนอนเพราะกลัวว่าจะตื่นขึ้นมาเจอกับปีศาจนั่น เฟิร์สได้แต่ประสาทหลอน ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังก็ปิดเสียงแล้วปาทิ้งไปให้ไกลตัว ได้แต่ยกแขนอ่อนแรงกอดตัวเองอยู่มุมห้องอย่างน่าสงสาร จนนานเข้าก็หลับไปในห้องนั้น

รุ่งเช้า

ไมค์ออกจากห้องตน มาเรียกเฟิร์สไปทานอาหารเช้า เพราะโทรหาตั้งแต่เมื่อคืนไม่ยอมรับสายเลย ออกมาดูด้วยความเป็นห่วงแต่ที่ห้องก็ดันแขวนป้ายห้ามรบกวนไว้ เขาจึงล้มความคิดแล้วกลับเข้าห้องไป

แต่เพราะเฟิร์สไม่ใช่คนตื่นสายขนาดนี้ และทั้งๆที่สัญญากันไว้ว่าจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกัน แต่กลับหายเงียบไปเลย ไมค์ก็ได้แต่คิดว่าเฟิร์สยังไม่พร้อมจึงไม่อยากเร่งรัดมากเกินไป แต่จนแล้วจนรอดก็ยังคงเงียบ จึงต้องมาเคาะเรียก

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“เฟิร์สครับ อยู่รึเปล่าครับ เปิดประตูให้ผมหน่อย”

ก๊อก ก๊อก ปึง! ปึง!

“เฟิร์สครับ ผมไมค์เอง เฟิร์สอยู่ไหม! เฟิร์ส! เปิดประตูให้ผมหน่อย!”

เมื่อเห็นว่าเฟิร์สยังคงเงียบ ก็เปลี่ยนจากเคาะมาทุบประตูดังลั่น จนห้องๆข้างๆออกมาโวยวายแต่ไมค์ก็ยังคงทุบต่อไป แต่จนแล้วจนรอดเฟิร์สก็ยังคงเงียบ ไมค์ได้แต่ขมวดคิ้วแน่น มือกำลูกบิดหมุนไปหมุนมาให้มันหลุดออกตามแรงอารมณ์ จนมันหักคามือ แล้วจึงผลักประตูเข้าไปภายในห้อง

“เฟิร์ส! คุณอยู่ที่ไหน”   

ไมค์วิ่งเข้าห้องนอนตะโกนลั่นทันที ทั้งห่วงทั้งกังวล แต่เมื่อไม่เห็นแม้แต่เงา แถมที่นอนยังคงเรียบตึงเหมือนไม่เคยถูกใช้งาน จึงวิ่งดูตามห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น ก็ยังไม่มี จึงย้อนกลับไปเปิดตู้ดูก็พบว่ากระเป๋าเสื้อผ้าได้หายไปด้วย จึงได้แต่หัวเสีย สบถคำหยาบคายออกมา

“เหี้ย! หายไปไหนอีกแล้ววะ!”

ไมค์หันรีหันขวาง โวยวายและสบถหยาบคายออกมาอีกหลายครั้ง แต่แล้วก็เหลือบสายตามองไปยังกระจกที่สะท้อนโทรศัพท์ภายในห้องให้เห็น

“หึ! จริงสิ GPS คราวนี้ไม่ว่าจะที่ไหนก็เจอแน่นอน ยังไงก็ต้องเจอ ก็บอกไว้แล้วว่า หนีกูไปไหนไม่พ้นหรอก กูจะตามไปทุกที่ เฟิร์ส! หึหึหึ”

เมื่อคิดได้ดังนั้น ไมค์ก็ยิ้มออก รอยยิ้มร้ายถูกยกขึ้นมุมปาก แล้ววิ่งออกไปเพื่อตามหาทันที

ไม่รู้ว่าเพราะความเป็นห่วงจนทำให้เขาเผยด้านร้ายๆพูดหยาบคายออกมา หรือเพราะอะไรกันแน่



“เฮือก!”

เย็นของอีกวันเฟิร์สสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากฝันร้ายแบบเดิมๆที่ตามหลอกหลอนเขาทุกครั้งยากคิดถึงชายใส่หน้ากากคนนั้น เขาหลับไปนานจากฤทธิ์ยากล่อมประสาทนี่ก็เกือบเย็นของวันหนึ่งแล้ว ท่ามกลางความมืดมิดของห้องพักยามกลางดึกที่มีเพียงแสงไฟจากด้านนอกลอดช่องใต้ประตูเข้ามาเล็กน้อยเท่านั้น ภายในห้องดูสงบเงียบแต่ก็วังเวง  อุณหภูมิห้องเริ่มเย็นขึ้นจนเขาต้องขยับกายขดตัวใต้ผ้าห่มทั้งๆที่เหงื่อจากฝันร้ายยังคงไหลริน  เฟิร์สมองหารีโมทแอร์แต่อุณหภูมิในนั้นเพียง25องศาเท่านั้น กายเฟิร์สเย็นเชียบจนเสียวสันหลังวาบขนลุกเกรียว เขายกมือขึ้นลูบแขนตัวเองไปมาและเลื่อนผ้าห่มคลุมกายและขดกายอยู่ใต้ผ้าห่มมากขึ้นพยายามข่มตาให้หลับลงหนีความจริงไปอีกครั้ง

แต่อากาศก็เย็นลงมากขึ้นๆ คิ้วของเฟิร์สขมวดอีกเมื่อมองที่รีโมทแอร์ก็ยังคงเท่าเดิม หน้าต่างก็ไม่ได้เปิด ไม่มีลมพัดเข้ามาเลยสักน้อย แต่จู่ๆก็ได้เสียงลมพัดอื้ออึงจากด้านนอกทั้งที่ท้องฟ้ายามกลางคืนจากหน้าต่างอีกบานที่ไม่ได้ปิดม่านยังคงนิ่งสงบ แต่แล้วจู่ๆภาพของปีศาจนั่นลอยขึ้นมาในหัวของเฟิร์ส กายแข็งทื่อแล้วสั่นไหวอย่างห้ามไม่อยู่ ใจเต้นโครมครามด้วยความวิตกกังวล มือเรียวเลื่อนผ้าห่มขึ้นมาคลุมกายขยำมันไว้แน่นเป็นเครื่องป้องกัน

ซ่า!!!

“เฮือก!”

แต่ยังไม่ทันได้คิดอะไร ทีวีในห้องก็ถูกเปิดขึ้นทั้งๆที่เฟิร์สนอนอยู่บนเตียง เสียงซ่าไร้สัญญาณของทีวีดังขึ้นไม่หยุด เฟิร์สได้แต่หันรีหันขวางหาทางหนี ลุกลี้ลุกลน แต่ร่างกายที่สั่นไหวอ่อนแรงกับใจที่เต้นรัวกับทำให้คิดอะไรไม่ออก สัญญาณทีวีกับมาชัดปกติ แล้วก็ซ่าไร้สัญญาณสลับกันไปมา และจู่ๆภาพก็กลายเป็นสีขาวเสียงซ่าหายไป

แต๊ก แต๊ก    แต๊ก แต๊ก
ภายในห้องเงียบสงัด แล้วในหน้าจอก็มีตัวหนังสือถูกพิมพ์ขึ้นมาให้อ่านทีละตัวอักษร เสียงพิมพ์แต่ละตัวดังก้องทั่วทั้งห้องเหมือนกดพิมพ์ดีด เฟิร์สใจหายวาบตาโตอย่างตกใจ  ยกมือกุมหน้าอกเอาไว้เพราะกลัวว่าหัวใจที่เต้นรัวเร็วจะหลุดออกมา ทันทีที่ข้อความทั้งหมดถูกพิมพ์จนหมดเสียงนั้นก็หายไป เมื่อจับใจความได้ทั้งหมด เฟิร์สก็หน้าซีดเผือด ตาเหลือกตกใจ มือกำผ้าห่มแน่น ทั้งร่างกายเกร็งไปหมด ‘มันเข้ามาได้ยังไง’ คิดไม่ตกกับข้อความที่ขึ้นหลาอยู่ในจอ จนละสายตาไปไหนไม่ได้ ลมหายใจขาดช่วงหายใจไม่ทั่วท้อง เขาจะมีทางไหนให้หนีจากมันได้บ้างไหม

“มึงหนีกูไปไหนไม่พ้นหรอก กูบอกมึงแล้วว่าจะตามมึงไปทุกที กูกลับมาแล้ว เตรียมตัวดีๆ      …R”

เฟิร์สจึงถูกความกลัวเข้าครอบงำอีกครั้ง จึงรีบเก็บข้าวของลงไปเช็คเอ้าท์ เมื่อโทรเรียกแท็กซี่มาไว้แล้วรีบแอบย่องออกทางด้านหลังโรงแรมเตรียมหนีทันที
“คุณเฟิร์สที่โทรเรียกใช่ไหม จะไปไหนครับ”

“ไปที่โรงแรมUZ”

เมื่อแท็กซี่สีเหลืองมาจอดเทียบ ก็สอบถามกันเรียบร้อย เฟิร์สกำลังจะก้าวขาขึ้นรถ จู่ๆก็มีรถตู้สีดำขับมาเทียบข้างๆ แล้วชายชุดดำสวมไอ้โม่งปิดหน้า2คนก็เดินเข้ามาหาเฟิร์สพร้อมกระชากออกจากรถ

เอี๊ยด!! ปึ้ง!

“จะไปไหน ไปกับพวกเราเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่อยากเจ็บตัว” ชายร่างใหญ่เข้ามาทางด้านหลัง และจับล็อคแขนเฟิร์สไขว้หลังไว้ทั้งสองข้าง

“เฮ้ย ไรวะ” เฟิร์สตกใจ ข้าวของที่หอบมาด้วยล่วงหล่น รู้สึกเจ็บจี๊ดที่แขน พยายามขืนตัวออก แต่ขนาดตัวที่ต่างกันจึงต้องรอจังหวะ

“จะทำอะไรกัน ปล่อยคุณคนนี้เดี๋ยวนี้ ไม่งั้นจะแจ้งตำรวจ” คนขับแท็กซี่เห็นก็ตกใจ ลุกพรวดพลาดออกจากรถมาตะโกนไล่พวกคนชุดดำ และยกโทรศัพท์จะกดหาตำรวจ เฟิร์สเห็นดังนั้นก็เตรียมยกขาถีบ โดยอาศัยแรงจากคนด้านหลังให้รับน้ำหนักตน แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อชายชุดดำตรงหน้า หยิบปืนสั้นสีดำเงาออกมาจ่อตรงหน้า

“อย่าฤทธิ์เยอะนะมึง แล้วก็มึง ไม่ต้องเสือก ถ้าไม่อยากตาย ไปซะ!” มันหันมาพูดกับเฟิร์ส แล้วหันไปตะคอกคนขับแท็กซี่พลเมืองดีคนนั้น โดนปืนก็เลื่อนมาจ่อที่ขมับเฟิร์ส

“คุณครับ ผมขอโทษนะ” เมื่อแท็กซี่เห็นปืนก็รีบก้มหลบในรถ แล้วยิ่งได้ยินคำขู่ก็กลัวหนักไปอีก แต่ถึงจะอยากช่วยขนาดไหนเขาก็ยังมีลูกเมียต้องดูแลจึงได้แต่ตะโกนบอกเฟิร์สเสียงสั่นแล้วขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว

บรื้นนนน!!

“พวกมึงเป็นใคร” เฟิร์สพยายามมีสติ พูดกับพวกมันเสียงแข็ง

“ไปถามพ่อมึงสิ ว่าส่งคนไปถล่มแก๊งไหนไว้ ถ้ามึงรอดไปได้นะ” ไอ้คนที่ถือปืนเอาปืนจี้ลงที่ขมับซ้ำๆแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เครียดแค้น แล้วยกด้ามปืนสั้นตบลงไปที่ปากเฟิร์สเมื่อเฟิร์สถ่มน้ำลายใส่มัน

“อย่ามัวพูดมาก โป๊ะยามัน แล้วลากขึ้นรถซะ” อีกคนที่นั่งอยู่ในรถด้านหน้าชะโงกหน้าที่มีโม่งดำออกมาตะคอก2คนที่อยู่ข้างล่าง ชายคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าก็เก็บปืนเหน็บที่เอว แล้วคว้าเอาผ้าสีขาวออกมาแล้วโบ๊ะเข้าที่จมูกเฟิร์สทันที

“อื้ออออ อ่อยนะเอ้ย อ่อย...อึก” เฟิร์สออกแรงดิ้นหนี ผ้าสีขาวที่ปิดลงมาที่จมูกแน่น แต่เขาก็กลั้นหายใจไว้ แล้วดิ้นต่อไป แต่ก็ไม่สามารถหลุดออกจากชายร่างใหญ่คนที่ล็อคแขนเขาไว้เลย จนแล้วจนรอดก็ทนไม่ไหวจนต้องสูดหายใจเอาอากาศเข้าปอด จนสูดยาสลบที่ใส่มาในผ้าเข้าไปเต็มแรง ภาพรอบๆเริ่มเบลอ ร่างกายอ่อนแรง จนในที่สุดเขาก็ไม่รับรู้อะไร 


...

กลับมาแล้ว ไม่มีคำแก้ตัวใดๆค่ะ
ขอโทษคนที่ติดตามนะคะ
แต่สัญญาจะแต่งให้จบแน่นอน


...
แรมป์คู่กับพี่หมอพอลนะๆ 555
#ยินดีค่า ^^
คู่นี้ ไม่แน่ใจว่าจะเขียนรึเปล่านะคะ แต่ก็แอบแทรกมาเรื่อยๆทุกที

พี่นู๋เฟริส์นี้โหดได้อยู่นะแต่ทำเพราะรักน้อง น่าสงสารพี่น้องคู่นี้  :mew6:
เขียนไปเขียนมา เริ่มรู้สึกสงสารแล้วล่ะค่ะ ชีวิตจะรวยแต่รันทดขนาดนี้

ขอบคุณที่ติดตามตลอดนะคะ ไม่ทิ้งกันไปไหน คอมเม้นให้ตลอดเลยด้วย
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย ตอนที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 01-07-2016 21:53:24

Me die

23 : ความจริง



ย้อนกลับไปวันที่รีสโดนทดลองอยู่ที่องค์กรลับ ภายใต้การดูแลของดร.

‘ฉันเป็นใคร... ฉันมาทำอะไรอยู่ที่นี่…’

ความสำนึกคิดเริ่มดังในหัวสมองของ รีส ที่ตอนนี้เพิ่งฟื้นคืนสติจากการถูกยาหลากหลายชนิดที่ฉีดเข้าสู่ร่างกาย ทำให้สติเขาเลือนลางจนไม่รับรู้อะไรไป เขาคิดว่ามันเป็นเพียงครู่หนึ่งแต่จริงๆแล้วผ่านมาหลายวัน

‘เฟิร์ส...ชื่อใครกัน...อึก! ฉันต้องออกไปจากตรงนี้’

บุ๋ง บุ๋ง บุ๋ง

เมื่อสติกลับมาเต็มร้อย จดจำทุกเรื่องราวได้ครบถ้วน ร่างกายที่ถูกจองจำในโหลแก้วบรรจุยาน้ำขนาดยักษ์ก็ดิ้นพ่าน มือหนาปัดป่ายที่ผนังแก้ว อีกข้างก็ดึงรั้งสายยากับเข็มยักษ์ให้หลุดออกจากร่างกาย สายที่ถูกดึงจนหลุดออกยาในหลอดทะลักออกมาทำให้สีสันในน้ำเริ่มเปลี่ยน ไหนจะเลือดสีแดงฉานที่ไหลออกตามผิวหนัง

รีสหันรีหันขวาง มือแหวกว่ายยาน้ำในถังแก้ว เมื่อเห็นไม่มีใครอยู่ เท้าก็ถีบส่งแรงของตนเข้าหาผนัง กระแทกลำตัวเข้าหาโหลแก้ว

เพล้ง!!

ซ่า!

กระจกใสของโหลแก้วแตกกระจายเป็นชิ้น น้ำในโหลแก้วไหลออกพาลำตัวเปลือยเปล่าของรีสหล่นออกมาด้วย รีสชันเข่าขึ้นจากน้ำ จะลุกออกจากห้อง แต่ก็ต้องล้มลงไปกองกับพื้นพร้อมอ้วกเอายาที่ร่างกายต่อต้านออกมาเต็มไปหมด

“อ้วกกกก อ้วกกกก”

สายตาของรีสพร่าเลือนไปชั่วครู่ แต่เมื่ออ้วกเอายาออกมาหมดก็ดีขึ้น ร่างกายกำยำเปลือยเปล่า ลุกขึ้นยืน ใบหน้าแน่นิ่ง เรี่ยวแรงกลับมาครบถ้วน บาดแผลจากรอยเจาะของเข็มก็หายไป เหมือนเมื่อสักครู่ไม่เคยเกิดขึ้น ขายาวก้าวออกจากกองยาน้ำสีต่างๆ ตรงไปหยิบผ้าม่านสีขาวที่ขึงกั้นระหว่างโหลแก้วยักษ์กับอุปกรณ์ทดสอบย่อย มาพันไว้รอบเอวแล้วเดินตรงออกไปยังประตู

วื้ด! วื้ด! มีผู้ทดลองหลบหนี! มีผู้ทดลองหลบหนี!

กรี๊ดดดดดด!!!      อ้ากกกก!!!

รีสเดินนิ่งตรงดิ่งออกมา จนเกือบถึงประตูทางออก สวมเสื้อเชิ้ตสีดำและกางเกงสีดำที่ยึดมาจากเหล่าผู้รักษาความปลอดภัยขององค์กรที่เข้ามารุมจับเขา ไหนจะผ่านทั้งพวกคนใส่ชุดกราวด์และผู้ช่วยทั้งหลาย แต่ก็ไม่มีใครจับเขาได้ ได้แต่นอนสลบไม่ก็เจ็บตัวอยู่ด้านหลังมากมาย เสียงสัญญาณเตือนภัยยังคงดังไม่หยุด พวกผู้รักษาความปลอดภัยที่มีอาวุธก็ยังคงวิ่งตามเขาไม่หยุดหย่อน

บื้นนน!!

รีสขยับกาย ขึ้นบนรถ หลังออกมาได้ถึงลานจอดรถ แล้วขับออกไปทันที เมื่อไปถึงประตูด้านนอก ชายชุดดำพวกผู้รักษาความปลอดภัยที่พกอาวุธก็กั้นประตูไม่ให้เขาออก สอบถามข้อมูลอยู่นาน เพราะได้ยินเสียสัญญาณเตือนภัยเมื่อครู่ที่ตอนนี้ดับไปแล้ว รีสก็ยังคงนิ่ง ดวงตามองตรงไปข้างนอกอย่างเดียว จนเมื่อพวกชายชุดดำรับสายโทรศัพท์สายหนึ่ง มันก็เปิดที่กั้นประตูและปล่อยให้รีสขับรถออกไป

...

ขณะเดียวกัน

“ปล่อยมันออกไป”

ดร.ยกหูโทรศัพท์ภายในสั่งผู้รักษาความปลอดภัยที่ประตู ขณะดวงตาภายใต้กรอบแว่นจ้องนิ่งมองกล้องวงจรปิดที่กำลังฉายเหตุการณ์ที่รีสกำลังนั่งนิ่งอยู่ในรถคนนั้น รอยยิ้มชื่นชมและตื่นเต้นของดร.แสดงออกมาชัดเจน ที่ตัวทดลองของเขานั้นมาไกลมาก เขาดีใจที่ได้ศึกษา ‘ปีศาจ’ สายเลือดบริสุทธิ์ขนาดนี้ เผ่าพันธุ์หายากที่หายสาบสูญของปีศาจในตำนาน อยู่ในมือของเขาจริงๆ และเขาเป็นคนแรกที่ได้ศึกษาหลังจากเฝ้าติดตามเรื่องนี้มาหลายชั่วอายุคน เขาเป็นคนแรกและคนเดียวในตอนนี้! ไม่ผิดหวังที่เขาเจอชายคนนี้

...


รีสขับรถกลับมาที่คอนโด หวังจะเจอใครบางคนที่เขาเอามาทรมาน คนที่ฆ่าเขา แต่ก็เป็นคนที่ทำให้ร่างกายเขารู้สึกขึ้นมาบ้างเวลาได้สัมผัส คนที่เขาแค้น คนที่เขาอยากฆ่าและทิ้งขว้างให้เหมือนกับที่เขาโดน แต่ก็เป็นคนที่มีเรื่องวนเวียนอยู่ในหัวเขาตลอดเวลา แม้กระทั่งยาที่ได้รับไปทำให้เขาพร่าเลือน แต่ยังจำชื่อของคนๆนี้ได้เสมอ คนที่เขา...คิดถึงสัมผัสจากร่างกายที่เนียนนุ่ม รอยยิ้ม และมุมอ่อนโยนที่เขาอีกคนได้สัมผัสมา

ปึง!

“ไม่มี! นี่ก็ไม่มี! มึงหายไปไหนวะ! เฟิร์ส!”

แต่ตอนนี้รีสได้แต่หัวเสีย เขาวิ่งวนไปรอบห้อง ไม่เห็นแม้แต่เงาใครสักคน สภาพห้องทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมก่อนที่เขาจะออกไป ข้าวของที่อีกคนล้มใส่ยังคงระเนระนาดไม่ได้เก็บ น้ำในอ่างน้ำที่ยังคงเต็ม แม้แต่รอยยับย่นและรอยเลือดแห้งกรังบนที่นอนก็ยังคงเดิม แต่ที่ต่างออกไปก็คือตอนนี้มีแค่เขาคนเดียวในห้อง ส่วนอีกคนไม่ว่าจะหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ

“มึงหนีกูไปไหน! ชีวิตมึงเป็นของกูแล้ว! กูไม่อนุญาต มึงออกจากได้ยังไงกัน! เหี้ยเอ้ย!”

รีสนั่งลงบนที่นอน ถอยหายใจเพื่อลดอารมณ์ที่รุนแรงของตนลง เริ่มมองหาเบาะแส เผื่อว่าอีกคนจะออกไปไม่ไกล หรือจะแค่ลงไปหาอะไรกิน เพราะคิดว่าเชื่อฟังคำสั่งตนจากที่โดนลงโทษไปเยอะพอสมควร มือหนาลูบไล้บนที่นอนเย็นเฉียบเพื่อหาความอบอุ่นจากร่างกายอีกคนที่เคยนอนอนอยู่ตรงนี้แต่ก็ไม่รู้สึกอะไร

“คิดบ้าอะไร!” รีสสะบัดความคิดไร้สาระของตนทิ้งไป สงสัยเพราะอิทธิพลจากการที่รู้จักเฟิร์สจากอีกตัวตนหนึ่งทำให้เขาเริ่มมีความคิดแปลกๆ เช่น คิดถึง

คิ้วหนาเริ่มขมวดคิ้วคิดไม่ตก เมื่อลองประติดประต่อเรื่องราว มันอาจจะเป็นไปได้ที่หมอพอลจะช่วยเปิดทางให้มันหนีไป และถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆล่ะก็ ต้องได้เห็นดีกัน ยิ่งคิดทบทวนทุกอย่าง อารมณ์โมโหร้ายก็เพิ่มพูน เขาได้แต่ทำหน้านิ่งๆ แผ่ไอเย็นจางๆรอบตัว มือหนาจึงยกโทรศัพท์ของตนโทรเรียกหมอพอลมาที่ห้องนี้โดยด่วน

ตู๊ดดด ตู๊ดดดด

[หมอพอล]

‘รีส! หมอนั่นกลับออกมาตอนไหน ทำไมดร.ไม่บอกเรา’

หมอพอลใจหายวาบ เมื่อเห็นเบอร์ของรีสโทรเข้า มือของหมอพอลสั่นไหว เขากดรับสายแล้วยกแนบหูช้าๆ ใจเต้นโครมคราม กลืนน้ำลายเหนียวๆลงคออย่างยากลำบาก

“...รีส นั่นนายหรอ” เมื่ออีกฝ่ายเงียบไป หมอพอลจึงเอ่ยออกมาเบาๆก่อน
 
“ใช่ แล้วตอนนี้หมอรู้ไหมว่าผมอยู่ที่ไหน คอนโดไง ผมอยากให้หมอมาอธิบายเดี๋ยวนี้!” หมอพอลใจหายวาบ ตอนที่รีสตะคอกใส่เขาตอนประโยคสุดท้าย

“อึก เรื่องอะไร ถ้าหมายถึง เฟิร์ส ผมอธิบาย” ใจของพอลเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น พูดติดๆขัดๆพยายามจะอธิบาย แต่อีกฝ่ายดันตัดสายซะก่อน

ติ๊ด!

“ถึงเวลาแล้วสินะ ที่ผมจะต้องโดนความร้ายกาจนั่นบ้าง เฟิร์สผมอาจจะช่วยคุณหนีไม่ได้อีกแล้ว”

เขาพูดกับตัวเองเบาๆ คิดถึงหน้าเฟิร์สที่เป็นเหมือนน้องชาย ใบหน้าเนียนๆ รอยยิ้มคงจะจากหายไป อาจจะต้องเห็นแต่น้ำตาอีกแล้วสินะ น่าสงสารจับใจ แต่คงทำอะไรไม่ได้แล้ว แล้วรีบเก็บข้าวของเดินออกจากคลีนิคไปยังคอนโดเพื่อรับผลที่ตัวเองยื่นมือเข้าไปยุ่ง รีสคงกำลังโมโหร้ายน่าดู

...

“เอาล่ะ” เมื่อมาถึงคอนโด หมอพอลยืนทำใจอยู่หน้าประตูสักพัก ก่อนยื่นมือไปกดกริ่งหน้าห้อง

ดิ๊งด่อง ดิ๊งด่อง

“อ๊ะ เร็วจังนะ” ไม่ต้องรอนานอย่างที่คาดเอาไว้ รีสเปิดประตูออกอย่างรวดเร็ว เร็วซะจนประตูแทบจะหลุดติดมือเขาไปด้วย หมอพอลสะดุ้งตกใจ ก่อนรักษาภาพพจน์กับมายิ้มแย้มเหมือนทุกครั้งที่รีสเจอหน้า

รีสไม่พูดอะไร ไม่แสดงออกทางสีหน้าว่ารำคาญเขา ไม่ขมวดคิ้วในความหมั่นไส้เหมือนทุกครั้งเมื่อเจอหน้าและเห็นขายิ้ม รีสวันนี้น่ากลัวมากในความคิดหมอพอล เหมือนวันแรกที่เขาตื่นขึ้นมา น่าขนหัวลุก ได้แต่เดินนำเข้าไปในห้องที่อากาศเย็นเหมือนห้องดับจิตในหัวของหมอพอล

“รีส นายออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่พูดอะไร เดินตรงไปยืนนิ่งอยู่กลางห้องเย็น

“หมอน่าจะรู้ ว่านี่ ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะถามตอนนี้”

รีสหันหน้ามาสบตากับหมอพอล แล้วเอ่ยช้าๆชัดๆ เสียงที่น่าขนลุกเวลาโมโหมากๆของรีสที่เขาเคยได้ยินตอนพูดถึงเฟิร์สแรกๆแต่ตอนนี้รีสกำลังพูดกับเขา แล้วไหนจะไอเย็นที่แผ่กระจายออกมาจากตัวรีสมากขึ้น แต่หมอพอลก็เลือกที่จะหุบยิ้มเพียงแค่นั้น แล้วยื่นนิ่งทนความหนาวเย็น ตอบกลับไปด้วยสีหน้าจริงจัง

“งั้นก็ได้ เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า ผม...เป็นคนช่วยเฟิร์สออกไปเอง อึก!” หมอพอลยังพูดไม่ทันจบ แต่แค่ได้ยินว่าหมอพอล ที่เขาคิดว่าไว้ใจได้หักหลังแถมยังเป็นคนพาเฟิร์สออกไปเอง ตาปีศาจสีแดงวาบขึ้นจ้องเขม็งตรงไป มือหนายื่นไปบีบคอของหมออย่างเร็ว แต่หมอพอลก็ยังคงอธิบายต่อไป

“ผม ผมทนไม่ได้ที่เห็นคนไข้ของผมในสภาพแบบนั้น อึก! ผมเตือนคุณแล้วว่าอย่าทำแบบนั้น มันรุนแรงเกินไป ทำไมคุณไม่คิดถึงใจของเขาบ้าง อะ ฮึก!” แรงบีบจากมือของรีสเพิ่มแรงขึ้น มืออีกข้างดันหน้าอกแล้วดันหมอพอลเข้าชิดกับกำแพง ออกแรงบีบมากขึ้นจนหายใจติดขัด มือที่ดันหน้าอกเลื่อนมาจับที่หัวไหล่แล้วจิกลงอย่างแรง

“กูคิดว่ามึงไว้ใจมึงได้... หึ! ไม่คิดว่าจะสงสารมันง่ายไปหน่อยรึไง ลืมไปแล้วหรอ ว่ามึงเป็นคนหาข้อมูลมันมาให้กู วันแรกมึงก็เป็นคนช่วยกูทำร้ายจิตใจมัน แล้วก็เป็นมึงอีก ที่ช่วยกูจับมันมา ให้กูทรมานในห้องนี้ มึงลืมรึไง! แล้วจะมาใจดีอะไรตอนนี้วะ! มึงจะพามันหนีไปจากกูทำไม!” รีสพูดออกมาเสียงเบาในประโยคแรก แล้วก็ตะคอกออกมาอีกในคำต่อมา รีสโมโหขึ้นอีกเท่าตัว

ดวงตาปีศาจสีแดงข้างหนึ่งแวววาวจ้องเขม็ง ไอเย็นจากตัวรีสแผ่กระจายตามความโมโห มือที่จิกไหล่เริ่มลงแรงมากขึ้นจนเลือดซึม ไหลออกมาตาเล็บที่จิกแรงลง มืออีกข้างที่บีบคออยู่ ความเย็นบาดผิวอ่อนๆตรงลำคอจนขึ้นเป็นรอยนิ้วมือแดงช้ำและกัดผิวจนเป็นแผล ถ้าดึงออกคงหลุดติดนิ้วของรีสมาดูน่าสยองแน่

“ไม่มีทาง อึก! ที่ผมจะลืม ว่าผมช่วยคุณทำร้ายเขา แต่ผมก็อยากช่วยคุณทั้งสองคน ไม่อยากให้ทำร้ายจิตใจของแต่ละคนมากไปกว่านี้ อือ อึก! การที่ปลอมตัวไปเป็นอีกคน ก็น่าจะรู้จักตัวตนของเฟิร์สบ้างแล้ว ว่าเขาใจดีจนคุณก็เริ่มเห็นใจแล้วนี่” หมอพอลหน้าแดงก่ำ พยายามหายใจเอาอากาศเข้าปลอดอย่างอยากลำบาก เลือดก็ไหลมากขึ้นๆ แต่ก็ไม่ห้าม ไม่ปัดออกเอาแต่พูดอย่างเดียว

“อึก! อึก! เอือก!” หมอพอลตาเหลือกมองขึ้นบน หน้าแดงจนเริ่มขาวซีด ขอบตาแดงน้ำตาไหลริน อ้าปากค้าง สะอึกสำลักน้ำลายตัวเอง ทนพิษบาดแผลไม่ไหว มือสั่นๆของหมอพอลขยับมาจับมือของรีสให้ปล่อยออก ดวงตาแดงก่ำจ้องมองให้รีสเมตตาแต่ไม่ยอมพูดขอร้อง เพราะรู้ว่าตัวเองผิด จนดวงตาของหมอพอลเริ่มปิดลง เรี่ยวแรงที่มีหดหาย มือที่จับอยู่ล่วงหล่นลงพร้อมกับร่างกายที่ต้านทานไม่ได้ สลบไปทั้งๆท่ยืนอยู่
 
“…ไม่ว่าใคร ถ้าพามันหนีไปจากกู กูก็ไม่ให้อภัยแน่ แม้แต่หมอก็ไม่เว้น” รีสปล่อยมือออกจาคอและไหล่ของหมอพอล ปล่อยให้ร่างนั้นล่วงหล่นลงสู้พื้น

รีสยังคงยืนนิ่ง มองต่ำลงไปที่หมอพอลที่สลบอยู่ข้างล่าง ยกมือตัวเองดูเห็นเลือดที่เล็บ และผิวเนื้อลำคอติดตามมือมาด้วย แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงต่อ ได้แต่เดินออกไปจากห้อง เพราะถ้าอยู่ต่อแล้วยังคงคุยอีก คงได้ฆ่าหมอพอลไปจริงๆแน่ ยังคุยกันไม่รู้เรื่องแท้ๆดันสลบไป แถมไม่รู้ว่าสองคนนี้มีอะไรกันมากกว่าหมอกับคนไข้รึเปล่า ถึงได้ห่วงใยออกรับแทนขนาดนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห จึงได้แต่เร่งฝีเท้าออกจากห้อง ไปหาที่อยู่ใหม่ ไม่ให้องค์กรจับได้ แถมยังต้องตามหาเฟิร์สกลับมา แต่เรื่องตามตัวไม่ได้อยากอะไร แค่เป็นอีกคน ก็คงตอบตกลงมาเจอกันง่ายๆอยู่แล้ว

...

บนคอนโดรีส หลังจากรีสเดินออกไปแล้วสักพัก

ครืดดดด   ครืดดดด    ติ๊ด!

“โทรมาได้จังหวะเลยนะครับคุณแลมป์ ได้เวลาที่คุณต้องตอบแทนผมบ้างแล้วล่ะ”

“งั้นหรอครับ นี่ครั้งแรกเลยนะที่คุณขอให้ผมช่วย หลังจากช่วยชีวิตผมไว้ตั้งหลายครั้ง”

“ครับ หักกับครั้งแรกละกัน ช่วยมารับผมที่คอนโด..ทีนะครับ”

“รอผมอีกแค่ 5 นาที”

มือของหมอพอลอ่อนแรง ปล่อยทิ้งลงสู่พื้นอีกครั้ง หลังจากยกมือรับโทรศัพท์ รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า แล้วหลับตาลงสลบไปจริงๆเมื่อคนที่เขากำลังคิดถึงใบหน้าโทรมาพอดี แถมยังไม่ถามมากความและมาช่วยเขาทันที


     

...

สั้นไปหน่อยนะคะตอนนี้

+เป็ดให้บ้างนะจ้ะ เม้นๆกันด้วย
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: daboo ที่ 02-07-2016 20:49:34
รอติดตามต่อครับ
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย ตอนที่ 24
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 04-07-2016 12:34:15


Me die

24 : ช่วยเหลือ



รีสวางแผนจะพาเฟิร์สกลับมาอย่างใจเย็น เล่นสงครามประสาทให้เฟิร์สหวาดวิตกเช่นเคย โดยการปลอมตัวเพื่อเรียกให้อีกคนออกมา และก็สำเร็จเมื่อเฟิร์สยอมมาเที่ยวทะเลกับไมค์ เมื่อเฟิร์สแยกเขาห้องไปนอนแล้ว รีสอาศัยจังหวะที่เฟิร์สเข้าอาบน้ำ ไขเข้าห้องเฟิร์สที่ตนเอากุญแจสำรองมา ทำตามแผนจนเฟิร์สถูกความกลัวครอบงำอีกครั้ง

แต่เมื่อตื่นเช้ามา เฟิร์สกับหนีออกไปจากห้องพัก จนเขาได้แต่โมโหทั้งที่ใจเย็นขนาดนี้แต่ยังหนีหายไป จึงได้แต่ตามสัญญาณGPSไปถึงโรงแรม4ดาวนั่น ที่ระบบรักษาความปลอดภัยหละหลวมอย่างมาก เขาจึงทำให้เฟิร์สหวาดวิตกได้อีกครั้ง

เมื่อเฟิร์สกำลังตกหลุมตามแผนที่วางไว้ จนเรียกแท็กซี่มา รีสกำลังจะเข้าไปลากตัวออกมา ก็มีรถตู้ปริศนาและชายชุดดำลงมาตัดหน้าเขาไป

“เห้ย พวกมึง รีบๆลากตัวมันขึ้นรถได้แล้ว ลูกพี่รออยู่” คนที่นั่งอยู่ด้านหน้าโผล่หัวออกจากรถมาเรียก2คนด้านล่างที่กำลังพากันอุ้มเฟิร์สขึ้นรถ ชายร่างยักษ์จัดการอุ้มเฟิร์สจากพื้นแล้วโยนตัวเฟิร์สตามอีกคนเข้าไก่อนจะตามขึ้นไปประกบ แล้วปิดประตูเสียงดัง

ปึง!!

“ออกรถเลย!!” ชายคนข้างหน้าเมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จึงรีบตะโดนบอกคนขับรถให้รีบออกรถโดยด่วน

บรื้น!!!

เสียงพวกชายชุดดำบอกกล่าวกันก่อนจะรีบลากเฟิร์สขึ้นรถตู้ แล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว รีสเดินออกมาจากเสาข้างๆ โมโหยิ่งนัก ที่มีคนอื่นมาตัดหน้าไปต่อหน้าต่อตาเขา แถมเฟิร์สยังไม่ขัดขืนพวกนั้นกว่านี้ เหมือนเต็มใจโดนจับตัวไปมากกว่า ยิ่งคิดยิ่งอารมณ์เสีย จึงหันหลังกลับไป เอารถของตัวเองขับออกตามรถตึคันนั้นไปเงียบๆ

พวกมันขับรถไปแถบชานเมือง ไปตามเส้นทางที่สองข้างทางรกร้างไร้ผู้คนสันจร ตรงไปยังเป้าหมาย แต่คนขับรถกับสังเกตเห็นว่ามีรถอีกคันกำลังขับตาม ด้วยความชำนาญในพื้นที่ จึงต้องการทดสอบว่ารถดังกล่าวตามมาจริงไหม จึงได้เลี้ยวเข้าอีกซอยที่ทางแยกหลายทางแล้วขับวนไปรอดูว่าจะตามมาได้อีกรึเปล่า แต่รถของรีสก็ติดกับขับวนอยู่ในนั้นหาทางออกมาไม่เจอ

...

โกดังร้าง ที่กบดานเก่าของแก๊งอินทรีดำ

เฟิร์สถูกชายตัวใหญ่ที่ลงไปจับมาแบกพาดบ่าเดินตามหลังอีกสองคนที่ไปด้วยกัน พวกมันถอดหน้ากากออก พร้อมกับวางเฟิร์สแทบเท้าชายอีกคนที่นั่งไขว้ห้างรออยู่ก่อนแล้ว ซึ่งก็คือมือขวาและลูกสมุนที่เหลือรอดจากการทลายแก๊งครั้งนั้น ทำให้พวกมันคับแค้นที่หัวหน้าและคนอื่นๆโดนจับไป จึงหาทางแก้แค้น และเฟิร์สก็บังเอิญอยู่คนเดียวพอดี จึงได้โอกาสพวกมันจะลงมือ

“ลูกพี่ พวกผมพาลูกไอ้วิรัชน์มาแล้วครับ” ลูกน้องที่ก่อนหน้านั่งอยู่ในรถ เอ่ยบอกลูกพี่ตนทันทีที่ชายร่างยักษ์วางเฟิร์สลงตรงหน้า

“ดีมาก จับมัดแก้ผ้าแล้วไปมันไว้ที่เสานั่น เตรียมกล้องให้พร้อม ได้เวลาพวกเราแก้แค้นให้หัวหน้าเราแล้ว”

หลังชายที่เป็นลูกพี่ตอนนี้สั่ง ชายร่างยักษ์คนเดิมก็มาจัดการอุ้มเฟิร์สขึ้นจากพื้น พร้อมกับชายอีก2-3คนมาช่วยกับจับเฟิร์สแก้ผ้าออกจนเหลือแต่ชั้นในสีขาว ผิวขาวเนียนที่เคยถูกสัมผัสจากผู้ชายมาก่อน ดูมีเสน่ห์น่าดึงดูด ทำให้เฟิร์สถูกมือหยาบๆลูบไล้และสายตาหลายคู่ที่คอยแทะโลมตลอดเวลา   

“กล้องพร้อมรึยังวะ ถ้าพร้อมแล้วก็ปลุกมันสักที” ลูกพี่ของพวกมันถามขึ้นอีกครั้ง

ทุกคนสวมหมวกไอ้โม่งสีดำปิดบังใบหน้าพร้อมกันทุกคน ลูกน้องคนที่ถือกล้องวิดีโอเตรียมถ่ายก็กดปุ่มเริ่มทำงานทันที อีกคนก็เตรียมถังน้ำไว้ พร้อมกับออกแรงเหวี่ยงเตรียมแรง สาดน้ำใส่เฟิร์สที่ถูกมัดเอวมัดมือไขว้หลังไว้กับเสาในท่ายืนจนเปียกไปทั้งตัว

ซ่า!!!

“แค่ก แค่ก”

เฟิร์สสำลักน้ำที่เข้าจมูกเต็มๆ ค่อยๆลืมตาฟื้นจากฤทธิ์ยาสลบ น้ำที่สาดมาเข้าตาจมูกจนแดงไปหมด จะยกมือขึ้นเช็ดแต่ก็ทำไม่ได้ จึงเงยหน้ามองสำรวจรอบๆตัว เห็นชายชุดดำสวมหมวกไอ้โม่งหลายคนยืนอยู่รอบๆตัว แต่ก็ยังไม่ชัดเท่าไหร่จึงได้แต่สะบัดหัวไล่ความมึนงง

ใบหน้าขาวๆของเฟิร์สที่บัดนี้ขึ้นสีแดงจากการสำลักน้ำ ขนตาขนคิ้วเปียกชื้น ผมด้านหน้าที่ถูกน้ำเปียกลู่ลงมาแนบใบหน้า หยดน้ำไหลหยดลงพื้นเรื่อยๆ ริมฝีปากบางสีชมพูที่ขยับไอและหายใจตลอดเวลา เรียกสายตาหลายคู่ให้คิดอยากฉกชิม ร่างกายขาวที่ไม่ค่อยมีกล้ามเนื้อกับหัวนมสีชมพูที่มีหยดน้ำเกาะพราวทั่วร่างกาย น่าสัมผัสลูบไล้และขยำให้ขึ้นรอยมือ ไหนจะชั้นในสีขาวที่เปียกแนบกับเนื้อดูเซ็กซี่น่าฉุดกระชากให้หลุดออกดูด้านใน

ชายชุดดำทั้งหลายได้แต่ยืนกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอส่งสายตมองเฟิร์สอย่างหื่นหระหาย แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรมากไปกว่าคำสั่ง ถึงหลายคนจะไม่นิยมผู้ชายด้วยกันแต่ร่างกายของเฟิร์สกลับดึงดูดสายตาและน่าสัมผัส

“...พวกแก เป็นใคร” เฟิร์สที่ยังไม่รู้ว่าตนถูกปลดเสื้อผ้าออก เห็นพวกชายชุดดำพวกนี้ยืนกันนิ่ง จึงเป็นฝ่ายเอ่ยถามออกไปเอง

“อึ่ม! ...เป็นคำถามที่ดี แกรู้จักแก๊งอินทรีย์ดำรึเปล่า แต่ถึงแกจะไม่รู้จักก็ตาม แกก็ต้องรับผิดแทนไอ้วิรัชน์พ่อของแกที่ส่งคนมาทลายแก๊งของเรา จนหัวหน้าต้องถูกพวกตำรวจเฮงซวยนั่นรวบเข้าตาราง” ชายที่เป็นลูกพี่กระแอมเรียกสติ แล้วตอบกลับไปอย่างยืดยาว

“ไม่ใช่ว่าพวกแกหักหลังพ่อของฉันอยู่รึไง พ่อฉันไม่เก็บพวกทรยศไว้อยู่แล้ว” เฟิร์สพูดขึ้น เพราะรู้นิสับพ่อตนเอง ว่าจะไม่เก็บพวกทรยศและหมดประโยชน์ไว้แน่ๆ ถึงเขาจะไม่รู้ว่าเรื่องอะไร แต่ยังไงพวกนี้มันต้องทำอะไรผิดมาแน่ๆ ไม่อย่างนั้น พ่อคงไม่ถล่มฐานมันซะย่อยยับไม่เหลือแม้แต่ชื่อแก๊งแบบนี้ รู้แค่ว่าเรื่องคงร้ายแรงมาก

“ปากดีนัก แก๊งพวกเราทำประโยชน์ให้ขนาดไหน ทั้งรับหน้าแทน ทั้งปล่อยของให้ ยังจะมาหาว่าทรยศ แล้วถล่มฐานเราซะราบ พวกเราจัดการซัดมัน”

ลูกกระจ๊อกที่ยืนอยู่ข้างหลังลูกพี่ พูดขึ้นแทนอย่างเดือดดาน เอ่ยปากบอกแล้วกวักมือเรียกคนที่อยู่ด้านหลังเดินเข้ามาหาเฟิร์สพร้อมกัน ลูกพี่ก็ไม่ได้ห้ามปรามเพราะถือว่าได้โอกาสสั่งสอนซะเลย ได้แต่กระชับคนที่ถือกล้องวิดีโอถ่ายไว้ดีๆให้ครบทุกช็อค

ตุบ! ตับ! ผว๊ะ!

เฟิร์สโดนพวกนั้นเข้ามารุมทำร้าย เฟิร์สยกขาที่ไม่ได้ถูกมัดถีบพวกมันแต่ก็ดันถูกจับไว้โดนไม้หน้าสามฟาดเข้าที่ขาข้างซ้ายจนยกไม่ขึ้น ถูกต่อยเข้าที่ท้องเต็มแรงหลายครั้งจนจุกไปหมด ได้แต่งอตัวมองร่างกายตัวเอง เมื่อเห็นก็ผงะที่ตนเปลือยเหลือแต่ชั้นในตัวเดียว แต่พอเงยหน้าจะอ้าปากถามออกไปก็โดนหมัดหนักๆสวนเข้ามาที่มุมปากเต็มแรงจนเลือดออก รู้สึกชาไปครึ่งหน้า

“ไงล่ะมึง พูดไม่ออกเลยดิ” พวกนั้นรุมทำร้ายจนพอใจเพราะเฟิร์สแทบไม่มีแรงต่อต้านแล้ว ได้แต่ยืนพยุงร่างกายตัวเองด้วยขาข้างเดียว

“ถุย!”

เฟิร์สถุยน้ำลายใส่หน้าคนพูด เพราะเขาไม่ได้อ่อนแอ เมื่อยู่ต่อหน้าคนพวกนี้เฟิร์สไม่เคยเกิดความกลัวเลย ยกเว้นต่อหน้าปีศาจนั่นคนเดียว และเรื่องนี้เขาแน่ใจว่าเขาไม่ผิด ถ้าหลุดออกไปได้ พวกมันต่างหากล่ะที่จะเจ็บหนักกว่าเขา

“มึง!”

คนที่ถูกถุยน้ำลายใส่ พูดด้วยความโมโห ถึงจะใส่หมวกไอ้โม่งอยู่แต่น้ำลายก็กระเด็นเปื้อนไปยังตาของมัน มันเลยเดือดอย่างมาก มือคว้าไม้หน้าสามจากคนที่ยืนข้างๆง้างฟาดเข้าที่หัวเฟิร์สเต็มแรง จนเลือดไหลอาบ กำลังจะย้ำอีกครั้ง แต่ลูกพี่ก็พูดห้ามไว้ก่อน มันเลยได้แต่ฮึดฮัดไม่พอใจ แล้วถอยหลังเดินออกไปยืนห่างๆ โยนหน้าสามทิ้งไปตามคำสั่ง มองหน้าเฟิร์สที่กำลังยิ้มเยาะอย่างโมโห

“หยุด! พวกมึงไม่คิดว่า เราจะทำอย่างอื่นกับมันแทนหรอวะ ในเมื่ออัดมันไปก็ไม่ได้เจ็บอะไร ...พวกมึงต้องการอะไรกันทำไมกูจะไม่รู้ ร่างกายขาวๆเซ็กซี่ของมัน แม่งยั่วฉิบหาย ขนาดกูมีเมียเป็นผู้หญิงเห็นแล้วยังเสียว” แต่แล้วจากใบหน้าที่โมโหร้ายกลับกลายเป็นหื่นกระหายทันทีที่ลูกพี่มันพูดต่อ สายตาหลายคู่จ้องมองมายังเฟิร์สอย่างลวนลาม

“ผมขอก่อนได้ไหมพี่ อยากจะอัดแม่งให้ร้องไม่ออก จะได้ไม่ใช้ปากถุยน้ำลายใส่กูอีก แต่เปลี่ยนเสียงครางกับอมอย่างอื่นแทน หึ”

“ก็เอาดิวะ พวกเราอินทรีย์ดำมีอะไรก็แบ่งกันอยู่แล้ว ส่วนมึงอ่ะถ่ายให้ครบให้ชัดนะมึง ไม่งั้นมึงจะโดนแบบนี้บ้าง เอ้า! รอไรวะ จัดการดิ กูจะนั่งดู”

คนที่โดนเฟิร์สถุยน้ำลายใส่ย่างสามขุมเข้ามายืนอยู่ตรงหน้า เปิดโม่งออกครึ่งใบหน้าค้างไว้ที่จมูก ยกมือขึ้นมาหักนิ้วมือเสียงดังขู่ ยกยิ้มชั่วร้ายมองใบหน้าเฟิร์สอย่างโลมเลีย

“พวกมึงจะทำเหี้ยอะไร!” เฟิร์สที่แทบไม่มีแรงต่อต้านเหลือ ได้แต่ตะโกนลั่น ด่านทอพวกมันอีกหลายหน แต่พวกมันก็ไม่ฟัง หลายคนที่เดินเข้ามาหาเขา แต่อีกหลายคนก็เอาแต่ยืนมองเฉยๆเช่นกัน

“อื้อ! อ่อย! อวกเอี้ย อ่อยอู!” (อื้อ ปล่อย พวกเหี้ย ปล่อยกู)

ชายคนนั้นพยักหน้าให้ชายชุดดำที่พากันกรูเข้ามา4-5คนช่วยกันจับกดไม่ให้เขาต่อต้าน มันเอามือหยาบหนาปิดปากเฟิร์สไว้ แลบลิ้นเลียเลือดที่ไหลข้างใบหน้าเฟิร์สช้าๆ เฟิร์สได้แต่รังเกียจสัมผัสนั้นและพยายามจะต่อต้าน สองคนกดไหล่ซ้ายขวากันไม่ให้เขาดิ้นมือที่ว่างก็ลูบไล้ผิวขาวๆบริเวณหัวไหล่แล้วเริ่มไล้เข้าหาหน้าอกมากขึ้นๆ มือก็โดนมัดไขว้ไว้ข้างหลัง ได้แต่สะบัดต่อต้านยามมันสัมผัสโดน อีกคนจับล็อคขาเฟิร์สไว้กับขามันมือก็ลูบไล้บริเวณหน้าท้องและล้วงเข้าไปใต้ชั้นในสีขาวของเฟิร์สช้าๆ อีกจับขาข้างที่ถูกตีจนยืนไม่ไหวยกขึ้นพาดบ่าตนที่นั่งย่องๆอยู่ลากลิ้นไล้เลียตั้งแต่โคนขาเข้าเข้าหาจุดสำคัญ

เฟิร์สได้แต่ดิ้นรนขัดขืนกับสัมผัสที่น่าขยะแขยงของพวกมันอย่างเต็มที่ แต่ทำอะไรแทบไม่ได้ ในเวลาแบบนี้ เขาดันคิดถึงปีศาจใจร้ายบางคนที่บอกกับเขาว่าจะไม่ปล่อยเขา ไม่ว่าเขาอยู่ที่ไหนจะตามไปเอาตัวกลับมา ในเวลาแบบนี้เขาอยากให้ปีศาจร้ายนั่นมาเอาตัวเขาออกไปจากตรงนี้ คิดถึงสัมผัสเย็นเฉียบที่สัมผัสเขาคนเดียวแทนที่จะเป็นร้อนแต่น่าขยะแขยงแบบนี้ คิดถึง...ตนน้ำตาไหลออกมานาบแก้มทั้งสองข้างช้าๆ

เผล้ง!!

“อะไรวะ! กูบอกให้มึงถือกล้องดีๆ แล้วโยนมาทำเหี้ยอะไร เหวอ...อ้ากกกก”

จู่ๆกล้องเพียงตัวเดียวที่กำลังบันทึกภาพกระเด็นลงพื้นถลามาตรงหน้าลูกพี่ที่กำลังนั่งมองการกระทำของลูกน้องตาไม่กระพริบ เป็นต้องหยุดมอง หันมาอามรณ์เสียใส่ลูกน้องที่ถือกล้อง เมื่อหันไปตะคอก แต่ตนกับต้องชะตาขาดซะเอง เมื่อเจอกับบางสิ่งบางอย่างที่น่ากลัว

ชายรูปร่างสูใหญ่กับหน้ากากสีขาวดวงตาสีแดงวาวโรจน์กับไอเย็นที่แผ่กระจายเป็นหมอกควันสีขาวจางๆ กำลังใช้มือกำลังจับเศษซากของลูกน้องเขาโยนให้ห่างจากตัวเอง ลูกน้องอีกคนของเขาที่ถูกจับไว้อีกมือลำคอถูกหักห้อยต่องแต่งจนไม่มีโอกาสแม้แต่จะร้องขอชีวิตก็ตายอย่างไม่รู้ตัว แต่ชายสูงใหญ่คนนี้กับไม่พอใจกำลังฉีกทึ้งร่างกายลูกน้องเขาออกเป็นเสี่ยงๆจนตามตัวถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉาน ไม้เว้นแม้แต่หน้ากาก ทุกๆส่วนกำลังแดงไปด้วยเลือดของลูกน้องเขา พื้นก็ถูกย้อมให้แดงไปทั่วทั้งบริเวณ

“อย่านะเว้ย อย่าเข้ามา พวกมึงมาช่วยกูด้วย!”

เมื่อรีสได้ยินเสียงลูกพี่ตะโกนก็หยุดการกระทำนั้น แล้วหันมาหาเป้าหมายใหม่ทันที ค่อยๆเดินเข้าหาช้าๆ อีกฝ่ายก็กระถดกายถอยหนีอย่างรวดเร็ว ปากตะโกนเรียกพวกที่เหลือให้มาช่วยตน พวกที่กำลังรุมเฟิร์สก็หยุดการกระทำและมองลูกพี่ตน เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง จึงได้แต่นิ่งอึ้ง และได้สติวิ่งป่าราบตามลูกพี่ของตนที่วิ่งเข้าหา แต่สุดท้ายทุกคนก็หนีไปไหนไม่รอด ได้แต่นอนตายจมกองเลือดหาชิ้นส่วนมาต่อใหม่ไม่เจอ

“รีส...”

เฟิร์สที่ได้มองดูภาพเหตุการณ์ทุกอย่างเบลอๆจากบาดแผลที่ถูกตีที่หัวเริ่มออกอาการ ภาพที่เห็นนั้นติดๆดับๆ กลิ่นคาวเลือดที่ฟุ้งขึ้นจมูกก็ชินไป ไม่รู้ว่าเรื่องจริงหรือฝัน แต่เขาก็รู้ว่าชายคนนี้เป็นใคร จึงได้แต่เอ่ยปากเรียกไปเบาๆ ในใจเขารู้สึกดีใจที่ปีศาจร้ายของเขามาช่วยจริงๆแต่อีกใจก็ดันเสียใจมากๆที่หนีปีศาจร้ายนี้ไม่พ้นจริงๆ สุดท้ายเขาก็วนอยู่กับฝันร้ายที่ไม่เคยได้ตื่นอีกแล้ว แล้วภาพทุกอย่างก็ดับวูบไปอีกครั้ง เฟิร์สไม่รับรู้อะไรอีก

รีสไม่พูดอะไร ดวงตาสีแดงยังคงวาว ไม่ยอใสงบลง ไอเย็นจากร่างกายยังคงแผ่ไอบางๆออกมา เขาแค่เดินไปกระชากเชือกที่มัดเฟิร์สออก แล้วอ้าแขนรับร่างกายของเฟิร์สที่สะบักสะบอมล้มลงมาสู่แขน อุ้มขึ้นในท่าเจ้าสาว ก้าวเท้าเดินหันหลังออกไป เอาเฟิร์สขึ้นไปวางบนรถ แล้วเดินกลับเข้าไปด้านในจัดการจุดไฟเผาทำลายหลักฐานทิ้งทั้งโกดัง

...

รีสพาเฟิร์สกลับมาอยู่บ้านหลังเก่าของตนที่ทิ้งว่างไว้ ก่อนจะเข้าไปเรียน แล้วเกิดเรืองขึ้นก็ยังไม่ได้กลับมา เป็นบ้านหลังแรกและหลังเดียวตั้งแต่ออกมาจากบ้านเด็กกำพร้า แต่ก็ไม่มีคนรู้จักบ้านนี้ แม้กระทั่งติวเตอร์เองก็ตาม บ้านถูกทำความสะอาดใหม่หมด แต่ก็เป็นเพียงบ้านโล่งๆชั้นเดียว มีห้องนอน ห้องน้ำ และพื้นที่นั่งเล่นไว้ทำครัวเล็กๆ

ร่างกายของเฟิร์สถูกวางไว้บนที่นอนอย่างเบามือ รีสจัดการเข้าไปล้างมือของตัวเองและออกมาทำแผลที่หัวให้เฟิร์สทันที เขาใช้เครื่องมือทำแผลที่มักจะใช้ทำตัวเองสมัยตอนเรียนที่ต้องคอยไปชกต่อยเพื่อให้เรื่องราวจบ บ้างก็ป้องกันคนที่ไม่หวังดีต่อติวเตอร์ แม้เจ้าตัวจะไม่รู้

มือใหญ่ที่ไร้ความรู้สึกจับสำลีด้วยความเคยชิน บรรจงเช็ดเลือดที่ไหลย้อยตามใบหน้าเท่าที่คิดว่าจะเบามือได้ จัดการฆ่าเชื้อทำความสะอาดเรียบร้อย จากนั้นก็เย็บแผลที่เปิดกว้างเป็นทางยาวคอยซับเลือดที่ไหลจากแผลสดๆนั่นตลอดเวลา  จากนั้นก็ความสะอาดส่วนอื่นให้เฟิร์สต่อ เขาจัดการชุบน้ำเช็ดใบหน้าให้เฟิร์สเบาๆ เน้นย้ำตรงจุดที่โดนไอ้หมอนั่นมันไล้เลียใบหน้าขาวนี่ เช็ดไปตามลำคอม ไล้ผ่านหน้าอก ไปจนทั่วลำตัว ถูย้ำๆวนๆทุกที่ที่โดนคนอื่นสัมผัส รีสขมวดคิ้วแน่นไม่พอใจทุกครั้งที่คิดถึงตอนที่เห็นเฟิร์สโดนลวนลาม

แค่เขาขับรถตามพวกมันไปไม่ทันเพราะเลี้ยวผิดซอย กว่าจะตามมาเจออีกทีก็ตอนเห็นรถพวกมันที่โกดังร้างจึงรีบตามเข้าไป แต่สุดท้ายพอเห็นที่พวกมันกำลังทำ กำลังสัมผัสของๆเขา ก็เลือดขึ้นหน้ารู้สึกเหมือนหัวใจโดนบีบทั้งๆที่มันไม่เต้นแล้ว แค่คิดว่าถ้ามาช้ากว่านี้ของชิ้นนี้จะเป็นยังไง เขาจึงทำทุกอย่างลงไปเองอย่างไม่รู้ตัว

รีสจัดการนำเสื้อผ้าของเขาที่คิดว่าตัวเล็กที่สุดออกมาสวมใส่ให้เฟิร์ส หยิบผ้าห่มคลุมมิดคอ เมื่อจัดการเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เฟิร์สเสร็จเรียบร้อย ตัวเขาเองก็เข้าห้องน้ำไปจัดการตัวเอง รีสยืนมองตัวเองในกระจก แล้วภาพเหตุการณ์ก่อนหน้าก็ฉายชัดขึ้นมา เป็นฉากๆ ไม่ว่าจะที่เขาฆ่าคนตาย ไหนจะฉีกทึ้งร่างกายพวกนั้นอย่างง่ายดายเหมือนไม่ใช่คน

ดวงตาเขาไล่มองเสื้อผ้าที่ถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉาน มือใหญ่รีบปลดเสื้อผ้าออกจากกายจนเปลือยเปล่า ดวงตาของรีสเผยสบกับตัวเองในกระจกอีกครั้ง เห็นดวงตาสีแดงที่วาวทุกครั้งที่ภาพเหตุการณ์ก่อนหน้าชัดขึ้นมา

“เรากลายเป็น ปีศาจ ไปแล้วใช่ไหม”

รีสได้แต่สะบัดหัวไล่ความคิดตนออกไป แล้วเข้าจัดการตัวเอง อาบน้ำล้างตัวเองทั้งฟอกสบู่ทั้งขัดหลายรอบแม้จะไม่รู้ว่าจะสะอาดพอรึเปล่า ได้แต่ยืนนิ่งงันอยู่ใต้ฝักบัวปล่อยให้สายน้ำชำระล้างอยู่นาน ถ้ายังเป็นคนปกติน้ำตาลูกผู้ชายของเขาคงจะไหลออกมาท่วมแล้ว แต่ตอนนี้แม้สักหยดก็ไม่เคยไหล

หลังอาบน้ำเสร็จ รีสก็พันผ้าเช็ดตัวที่ขอบเอว ปล่อยให้น้ำยังคงเกาะตามร่างกายที่สมบูรณ์แบบของเขา ไม่ได้เช็ดออก รีบจัดการเอาเสื้อผ้าเปื้อนเลือดไปจัดการไปเผาทิ้ง แต่เสื้อผ้านั้นกลับเปียกชุ่มไปด้วยเลือด รีสจึงเอาน้ำมันก๊าดมาเทใส่ แล้วยืนดูไฟลุกเสื้อผ้าสีแดงเลือดนั่นไปอบ่างช้าๆ ดวงตาเฉยชาไม่แสดงออกมาว่าคิดอะไรอยู่ ทั้งๆที่ในใจของเขากำลังเศร้าใจอย่างมาก

รีสไปยืนมองเฟิร์สที่ข้างเตียง ความคิดหลายๆอย่างเขาสับสน การที่ได้รู้จักคนๆนี้ในหลายตัวตนทำให้เขายิ่งสับสน วันนี้ก็เป็นเหมือนข้อพิสูจน์เหมือนเขานั้นจะเป็นห่วง... รีสหยุดคิดเพียงแค่นั้น แล้วพูดย้ำเจตนารมณ์ของตนเองใหม่

“ไม่หรอก ...แค่ร่างกายของคนๆนี้ต้องเป็นของเราคนเดียว เราถึงได้โมโห แล้วทำแบบนั้นลงไป...แค่นั้น”

หลังจากนั้นรีสเอาหน้ากากไปล้างและใส่กล่องยัดไว้ใต้เตียง คอนแทคเลนส์สีฟ้าถูกหยิบขึ้นมาใส่แต่เมื่อมองมันก็กลายเป็นสีเทา เขาจะกลายเป็นอีกคนเพื่อดูแลเฟิร์สก่อน แล้วค่อยเจอกันในฐานะรีสในสงครามประสาทครั้งหน้าใหม่




...
มาแล้วจ้าาาา ตอนนี้เป็นยังไงกันบ้างเอ่ย

แล้วตกลงรีสปลอมตัวเป็นใครรู้กันรึยังเอ่ย



ขอบคุณทุกๆแรงใจนะคะ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามค่ะ




....

รอติดตามต่อครับ

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ดีใจมากเลยค่าาา
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: daboo ที่ 04-07-2016 19:47:43
เต็มอิ่มเลยครับ
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย ตอนที่ 25
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 06-07-2016 20:08:34

Me die

25 : You will be in my heart forever




“โอ้ย!”

เฟิร์สตื่นขึ้นมา มองซ้ายมองขวาในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย เขาจึงจะลุกขึ้นจากเตียงนอน แต่แผลที่หัวเจ็บจี๊ดขึ้นมาจนต้องยกมือกุมไว้ที่หัว หน้าเหยเกเพราะความเจ็บ เห็นร่างกายตัวเองที่มีแต่รอยฟกช้ำดำเขียวปวดไปหมด มุมปากยังคงเจ็บ หัวก็ปวดตรงที่โดนฟาดเต็มแรง ไหนจะขาที่ไม่รู้จะหักรึเปล่าแต่คงหักเพราะเห็นใส่เฝือกอ่อนไว้ ปวดสุดๆ

“อย่าพึ่งลุกเลยครับเฟิร์ส นอนลงก่อนเถอะ” ไมค์เดินถือถาดน้ำจะเข้ามาเช็ดตัวตามปกติ พอเห็นเฟิร์สฟื้นแล้วก็รีบรุดเอาถาดวางลง แล้วเข้าไปประคองให้เฟิร์สนอนลงที่เตียงอีกครั้ง

“...ไมค์ ที่นี่ที่ไหนครับ” เฟิร์สค่อยๆนอนลง ตามแขนที่เข้าประคองเขาที่หลัง เงยหน้ามองไปที่หน้าของไมค์ เอ่ยถามเสียงแหบ

“บ้านเก่าผมเองครับ เดี๋ยวผมเอาน้ำมาให้รอเดี๋ยวนะ” ไมค์ตอบเฟิร์สโดยไม่ได้มองหน้า แล้วขอตัวออกไปเตรียมน้ำมาให้เฟิร์สกิน เพราะกลัวจะหิว

เฟิร์สนอนมองเพดานนิ่ง มือขยับผ้าห่มขึ้นคลุมกาย นึกย้อนไปก่อนที่เขาจะมานอนอยู่ที่นี่ ภาพน่ารังเกียจและสัมผัสน่าขยะแขยงจากชายชุดดำที่โกดังยังคงติดตา อาการปวดและแผลตามร่างกายยังคงบอกชัดว่ามันคือเรื่องจริง แต่หลังจากนั้นภาพทุกอย่างกับติดๆดับๆไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นจริงหรือไม่ แต่คนๆนั้นที่เขาเห็นเป็นรีส ชายที่สวมหน้ากากสีขาวตาสีแดง ที่เข้ามาช่วยเขา ...ไม่ใช่ไมค์ แล้วเขามาเจอกับไมค์ได้ยังไง

“น้ำครับเฟิร์ส” ไมค์เดินเข้ามาซะก่อน เบรกความคิดฟุ้งซ่านของเฟิร์สให้หยุดลง ไมค์วางแก้วน้ำลงที่โต๊ะข้างเตียง เข้ามาประคองร่างกายที่บอบช้ำของเฟิร์สให้นั่งพิงหัวเตียง ดื่มน้ำไม่ให้คอแห้ง

“ขอบคุณครับ ...ไมค์คุณทำแผลให้ผมหรอ” เฟิร์สถามขึ้นหลังดื่มน้ำเสร็จ

“ครับ” ไมค์ได้แต่ตอบสั้นๆ แล้วยิ้มให้ มือหยิบแก้วน้ำมาถือไว้เตรียมออกไป

“แล้วผมมาอยู่กับไมค์ได้” เฟิร์สกำลังจะถามสิ่งที่สงสัย แต่ไมค์กับพูดตัดบทขึ้นอย่างเร็ว

“เฟิร์สจะทานอาหารก่อนหรือจะเช็ดตัวทำแผลก่อนดี งั้น ทานอาหารก่อนดีกว่านะครับ รออีกเดี๋ยวนะ” พูดเสร็จไมค์ก็เดินหันหลังออกไปทันที

“อ่ะ” เฟิร์สได้แต่มองตามไปอย่างช่วยไม่ได้ เขาได้แต่คิดว่าเดี๋ยวไมค์ก็บอกเขาเอง

เฟิร์สนั่งเหม่อคิดถึงเรื่องเมื่อวานอีกครั้ง ‘ชายคนนั้น รีส หายไปไหน เขาไม่ได้ฝันไปแน่ๆเพราะบาดแผลตามร่างกายของเขาก็บ่งบอกได้ว่ามันคือเรื่องจริง แต่...เลือดและเศษซากของบางอย่างที่เหมือนมนุษย์ แขนขาหรือหัวต่างๆ ที่เขาเห็นตอนเบลอๆมันคือเรื่องจริงรึเปล่า มัน น่ากลัวมาก’ ยิ่งคิดยิ่งหนาว กลิ่นคาวเลือดฟุ้งในความคิดให้รู้สึกเหม็นไปจริงๆ เฟิร์สได้แต่ขยับผ้าห่มขึ้นคลุมกาย มืออีกข้างปิดจมูกไว้ รู้สึกหวาดกลัวและสับสน เรื่องไหนคือเรื่องจริง เรื่องไหนคือความฝัน หรือว่าเขาแค่คิดไปเอง

...

กลิ่นของอาหารเช้าที่ไมค์กำลังเตรียม ลอยเข้ามาในห้อง เรียกน้ำย่อยของเฟิร์สให้ทำงาน เฟิร์สกลืนน้ำลายมองหาด้วยความหิว ชะเง้อมองออกไปข้างนอกห้องนอน เห็นไมค์กำลังทำข้าวต้มให้ ได้แต่คิดแล้วยิ้มไปว่าตอนไมค์ใส่ผ้ากันเปื้อนอันนั้นทำไมดูน่ารัก คุ้นๆเหมือนในฝันวันนั้นเลย ยิ่งคิดยิ่งเขินแปลกๆ ยิ่งรู้ว่าไมค์คิดกับตัวเองยังไง ยิ่งเขินมากขึ้นไปอีก ทำให้ลืมคิดเรื่องเครียดๆที่เกิดขึ้นเมื่วานไปสนิท

เมื่อมองไปสักพัก เหมือนไมค์จะเสร็จแล้วจึงได้ถอดผ้ากันเปื้อนวางไว้ แล้วเห็นไมค์เดินมา เฟิร์สก็รีบนั่งนิ่งๆไม่ให้น่าเกลียด แต่ยิ่งเดินเข้ามาใกล้ กลิ่นหอมๆนั้น ทำให้เฟิร์สท้องร้องเสียงดังพอดีตอนไมค์เดินเข้ามา

“หิวมากเลยหรอครับ” ไมค์หันมามองแล้วยิ้มนิดๆ พูดแซวขึ้น แล้ววางถาดชามข้าวต้มหอมๆลงตรงหน้าเฟิร์ส  เฟิร์สก็ได้แต่หน้าแดงเพราะอาย ไม่พูดอะไร หันหน้าหนีออกไปอีกทาง

“ทานเลยนะครับ โอ้ย ร้อนๆ” เมื่อไมค์ยังมองและยิ้มอยู่ เฟิร์สจึงหันกลับมาแล้วพูดขึ้น มือรีบหยิบช้อนตักข้าวเข้าปากอย่างรวดเร็ว

“ทานช้าๆก็ได้ครับ ผมไม่แย่งหรอก หึหึ” ไมค์เอ่ยแซว แล้วขำในลำคอเบาๆ มือหยิบกระดาษเช็ดชู่มาค่อยๆเช็ดปากให้เบาๆ เฟิร์สก็นิ่งไป แล้วเหมือนจะรู้ตัว สะดุ้งแล้วหยิบผ้าไปเช็ดเอง

“ให้ผมป้อนไหมครับ เป่าให้ด้วย จะได้ไม่ร้อน” ไมค์ยิ้มเบาๆแล้วเอ่ยแซวอีกครั้ง

“ไม่ ไม่เป็นไรครับ ผมทานเองได้” เฟิร์สก็ได้แต่ตาโด รีบบอกปฏิเสธอย่างเร็ว

เมื่อทานอาหารเสร็จเรียบร้อย ไมค์ก็ให้เฟิร์สกินยาอีกหลายเม็ด โดยเฉพาะแก้ปวดอักเสบ เพราะร่างกายของเฟิร์สบอบช้ำมาก

“ไมค์จะทำอะไรครับ” เฟิร์สถามขึ้น เมื่อเห็นไมค์ถือกะละมังเล็กๆใส่น้ำแล้วมีผ้าผืนเล็กๆ พาดที่แขนมาด้วย ดูยังไงก็คุ้นๆเหมือนจะเอามาเช็ดตัว ไม่มีทางที่เขาจะยอมให้ไมค์ทำแน่ ยิ่งคิดมากกว่าเพื่อนด้วย เขินตาย

“เช็ดตัวไงครับ” ไมค์เลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย แล้ววางมันลงข้างที่นอน มือขยับตรงไปดึงผ้าห่มออกจากตัวเฟิร์ส ส่วนเฟิร์สก็ได้แต่ตาโต มองตาไม่กระพริบ แต่เมื่อเห็นไมค์ขยับนั่งบนเตียง ยื่นมือออกมาจะถอดเสื้อให้ เฟิร์สก็ตาโตตกใจกว่าเดิม รีบตะครุบจับมือไมค์ไว้ แล้วบอกออกไปอย่างรวดเร็ว

“ไมค์! ผมทำเองได้ อันที่จริงอาบน้ำได้ด้วย”

“แผลเต็มตัวขนาดนี้ อาบไม่ได้หรอกครับ รีบเช็ดตัวดีกว่าจะได้ทำแผลอีกครั้งด้วย” ไมค์บอกปฏิเสธเอามือของเฟิร์สออกไปวางไว้ข้างลำตัว จะยื่นมือไปถอดเสื้ออีกครั้ง แต่เจ้าตัวก็ยังคงปฏิเสธเสียงแข็งกลับมา ด้วยใบหน้าตื่นๆ แก้มแดงเทือกไปหมด ไม่รู้คิดอะไรอยู่

“ผมจะทำเอง ผมเช็ดเองนะไมค์ แล้วก็ไมค์ช่วยไปรอที่อื่นก่อนได้ไหม”

“ได้ครับ เอาแบบนั้นก็ได้ แต่เฟิร์สจะทำลำบาก เดี๋ยวผมช่วยถอดเสื้อผ้าเฟิร์สออกให้ก่อนดีกว่าครับ”

“ไม่!!”

เฟิร์สได้แต่ปฏิเสธ แต่ไมค์ก็ยังคงทำหน้านิ่ง ไม่รู้คิดอะไรอยู่ คว้ามือเฟิร์สออกแล้วจัดการถอกเสื้อผ้าตัวเก่าของเฟิร์สออกจนหมด เหลือแต่ตัวเปลือยเปล่าใต้ผ้าห่ม เฟิร์สทั้งขัดขืนทั้งปฏิเสธเสียงแทบแห้ง แต่ก็ไม่เป็นผล ยิ่งขัดขืนมากก็ไม่ได้ ร่างกายปวดหนึบไปหมดจนแทบไม่อยากขยับไปไหน สุดท้ายเมื่อทำเสร็จไมค์ก็ออกไปรอด้านนอก ทิ้งไว้แต่เฟิร์สที่นั่งหน้าแดงก่ำอยู่บนเตียง ให้จัดการตัวเองต่อตามที่ขอ



[เฟิร์ส]

ถ้าจะถอดขนาดนี้ เช็ดตัวให้เลยก็ได้มั้ง ไมค์นะไมค์ ไม่รู้ตัวรึไงว่าไม่น่าทำแบบนี้ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เพิ่งจะสารภาพว่าคิดยังไงกับเรา ถึงสภาพเรามันจะน่าช่วยเหลือมากก็ตามเถอะ โอย อายสุดๆ ยิ่งคิดยิ่งอาย แล้วเสื้อผ้านี่อีกให้ใส่แต่ชุดคลุมอาบน้ำเนี่ยนะ จะวาบหวิวไปไหน ถึงเราจะผู้ชายทั้งคู่ก็เถอะ อายเว้ย!

“เป็นอะไรครับเฟิร์ส หน้าแดงๆ”

“ปะ เปล่าครับ”

ไมค์มาตอนไหนเนี่ย แล้วมายืนมองเราทำไม หน้าแดงหรอ ก็มันอายนี่นา ถามได้ พอดีกว่าไม่คิดแล้ว ว่าแต่ไมค์มาทำไม

“ผมมาทำแผลให้น่ะ เช็ดตัวเสร็จแล้วใช่ไหมครับ”

ไมค์จะเก่งไปแล้วนะ แค่อ้าปากจะถามก็ดันตอบมาแล้ว แต่เอ...เหมือนเราลืมอะไรไปรึเปล่านะ เมื่อเช้านี้เราสงสัยเรื่องอะไรอยู่

ไมค์เดินเข้ามานั่งข้างเตียง  วางอุปกรณ์ลงข้างๆ ผมในชุดอาบน้ำสีขาว ได้แต่นั่งนิ่งมองไมค์ทำ ไมค์ช่วยจับให้ผมมานั่งอยู่ริมเตียงเพื่อสะดวกในการทำแผลส่วนที่ทำได้ลำบากถ้าหากนอนอยู่ ขาข้างที่ใส่เฝือกอ่อนถูกไมค์ค่อยๆบรรจงวางลงที่พื้นแผ่วเบา ไมค์หยิบสำลีและขวดยาล้างแผลชุบแล้วมาแต้มที่มุมปากผมเบาๆ ดวงตาสีฟ้ากับเทาวาววับมองมาที่ผมนิ่ง

“เจ็บรึเปล่า” น้ำเสียงของไมค์อ่อนโยนมาก ดวงตาข้างที่เป็นสีฟ้าเป็นประกาย บางอย่างบอกผมว่าไมค์เป็นห่วงผมมาก แต่ว่า ไมค์เป็นห่วงผมเรื่องอะไร ในเมื่อคนที่ไปช่วยผมออกมาคือ รีส ใช่สิ!!

“ไม่เจ็บครับ ไมค์ทำต่อเลย …ว่าแต่ ผม มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” ผมถามออกไป หวังว่าไมค์จะให้คำตอบได้นะ ผมมาเจอกับไมค์ได้ยังไง

“ผมพามาเอง” ไมค์พูดขึ้นเบาๆ แล้วหันหน้าหนีไปอีกทาง มือหยิบสำลีอันใหม่ชุบยามาทาซ้ำที่มุมปาก ไมค์พาผมมาได้ยังไง ก็ในเมื่อวันนั้นไม่ใช่ไมค์ ผมจำได้นะก่อนจะสลบไป แถมได้ยินเต็มสองหูที่พวกนั้นกรีดร้องด้วยความกลัว อย่าหาว่าผมจู้จี้เลยนะไมค์ ในเมื่อคุณไม่ยอมเล่าให้กระจ่าง ผมก็จะถามต่อไปเรื่อยๆ

“ไมค์พาผมมาหรอ จากไหน โอ้ย!” ผมถามออกไป แต่แรงของไมค์กับลงหนัก กดลงที่มุมปากผมอย่างแรงจนต้องสะดุ้งร้องออกมาเสียงดัง

“เจ็บมากไหมครับ ผมไม่เคยทำแผลให้ใครแบบนี้หลังจาก... เลยไม่รู้ว่ามันแรงหรือเบาไป” ไมค์ทำหน้าเศร้า หลังจากอะไรทำไมไมค์เงียบไปล่ะ แต่ทำไมผมต้องรู้สึกดีใจนิดๆด้วยนะ ที่ไมค์ไม่เคยทำให้ใครเลย

“ไม่เป็นไรครับ ไม่เจ็บมากเท่าไหร่” ผมยิ้มน้อยๆส่งไปให้ ไมค์จึงยิ้มออกมาบ้าง

ดวงตาสองสีของไมค์จ้องมองผมนิ่งงัน ผมก็ไม่กล้าหันหน้าหนีไปไหน จึงได้แต่มองสบกันนิ่งอยู่แบบนั้น ไมค์วางสำลีในมือลง แล้วเอือมมาจับมือของผมไว้ข้างหนึ่งไปกุมไว้ มือของไมค์เย็นจัง ! ทำไมผมเพิ่งสังเกตนะว่าไมค์ถอดถุงมือออก ทั้งๆที่ปกติไม่ว่าเจอตอนไหนก็มักจะใส่มันไว้ตลอดเวลา จนผมคิดว่ามือน่าจะเป็นแผลหรืออะไรสักอย่าง แต่เปล่าเลย มือของไมค์มีรูปร่างปกติ ไม่มีบาดแผล แต่สีของมันกับขาวซีดยังกับกระดาษ แถมยังเย็นๆ ขนาดมือก็ใหญ่...เหมือนมือของใครบางคน

“เฟิร์ส ผมเป็นห่วงเฟิร์สมากนะครับ ผมตามรถตู้คันนั้นไปเพื่อช่วยเฟิร์ส แต่ดันพลาด แต่ผมก็หาเฟิร์สจนเจอ” ดวงตาของไมค์เศร้ามาก ยิ่งมองยิ่งมีเสน่ห์แปลกๆทำให้ไม่สามารถละสายตาไม่ได้ ไมค์ตามมาช่วยผมหรอ ไมค์ขยับกายใหญ่เข้ามาใกล้ผม ไมค์ยกมืออีกข้างช้อนจับมาที่ใบหน้าผม

“เฮือก!” เย็น เย็นมาก ทำไมยิ่งเหมือนสัมผัสนั้น ผมเริ่มสั่นอย่างช่วยไม่ได้ ความกลัวและสับสนกัดกินผมมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ได้แต่นิ่งงัน ขยับไปไหนไม่ได้ ไมค์ขยับใบหน้าเข้าหาผมเรื่อยๆ จนจมูกของเราเกือบชิดกัน หัวใจผมเต้นรัวมากราวกับจะหลุดออกมา ลมหายใจของผมเข้าออกอย่างแรง ผิดกับของไมค์ที่ยังคงสงบ สงบเกินไป

“แต่มันก็เกือบสายไปอีก เมื่อเฟิร์สโดนพวกมันรุมทำร้ายหนักจนสลบไป ผมโมโหมาก ยิ่งเห็นพวกมันกำลังลวนลามเฟิร์ส ผมคุมสติเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป จนเข้าไปอาระวาด ยังดีที่ตำรวจไปช่วยพวกเราทัน ผมจึงพาเฟิร์สมาที่นี่” ไมค์พูดจบก็จะโน้มใบหน้าเข้าหาผม เรื่อยๆ จนริมฝีปากเราแทบจะชิดกัน ส่วนผมก็ได้แต่นิ่งงัน สติไม่อยู่กับตัว สมองคิดไปต่างๆนาๆ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ ไม่มีเหตุผลอะไรเลย เมื่อวานนี้ผมไม่ได้ฝันไปแน่นอน และอีกอย่างตอนที่พวกมันทำร้าย ผมยังไม่สลบ! ถึงจะเลือดออกจนเบลอ แต่ผมจำได้แน่นอนว่าคนที่เข้ามาจัดการทุกอย่าง เป็น รีส ชายรูปร่างสูงใหญ่สวมหน้ากากสีขาวดวงตาสีแดงและเสียงกรีดร้องของพวกชายชุดดำนั่น คือเรื่องจริง แน่นอน

“เดี๋ยว ไมค์ อ๊ะ!!” ผมได้สติ ยกมือทาบหน้าอกไมค์ไว้ทั้งสองข้าง เพื่อดันออกห่าง ไม่ใช่รังเกียจแต่ผมอยากจะรู้เหตุผลว่าทำไมไมค์ต้องโกหก แต่แล้วผมต้องยกมือออก ถอยตัวหนีอย่างตกใจอีกครั้ง เมื่อรู้สึกว่าในอกของไมค์นิ่งสงบ ราวกับไม่มีอะไรเต้นอยู่เลย แถมร่างกายของไมค์ยังเย็นซีดขาวเหมือนตรงมือ และไหนจะบรรยากาศรอบๆตัวเริ่มเย็นลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ ดูวังเวงคล้ายตอนอยู่กับรีสมาก

“เป็นอะไรรึเปล่า ขอผมดูหน่อย”

“ไม่! อ๊ะ!”

ไมค์ตกใจที่ผมผลักออก คงคิดว่าผมเจ็บมือ ทำหน้าตื่นและรีบร้อนขอดูมือของผม มือเย็นซีดของไมค์จับมือของผมขึ้น ผมได้แต่ตาโตเมื่อเงยมองหน้าไมค์แต่เห็นเป็นใครอีกคนซ้อนทับอยู่ด้านหลัง ด้วยความตกใจและสับสน ผมจึงสะบัดมือออกและปฏิเสธเสียงดัง ขยับกายถอยห่าง ลุกขึ้นยืน แต่ด้วยขาของผมข้างที่ใส่เฝือกอ่อนเอาไว้นั้น ทำให้ยืนไม่ถนัด จึงเซถลาจะล้มลงสู่พื้น ไมค์ตกใจรีบลุกมาจับผม แต่ก็ไม่ทัน

โครม!!

“โอ้ย!!” ผมได้แต่ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บที่ก้นกระแทกลงกับพื้น แถมมือยังไปฟาดกับกล่องอะไรสักอย่างที่อยู่ใกล้ๆใต้เตียงจนฝามันกระเด็นหลุดออก และกล่องนั่นคว่ำลงไป

“เป็นอะไรรึเปล่าครับ อย่า!” ไมค์ก้าวขามาใกล้ แต่กับทำหน้าตกใจเมื่อผมกำลังจะหยิบกล่องนั้นขึ้น แล้วตะโกนเสียงดังจนผมสะดุ้ง

“อะ อะไร! ...หน้ากาก สีขาว” เมื่อยกกล่องนั้นขึ้น สิ่งที่พบอยู่ตรงพื้นนั้น คือหน้ากากสีขาว ที่แสนจะคุ้นตา ผมได้แต่มองมันนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น ส่วนไมค์ก็เงียบไป ทำไมไมค์ไม่อธิบาย ถ้าไมค์พูดว่ามันไม่ใช่อย่างที่ผมคิด ผมก็เลือกที่จะเชื่อไมค์ แต่ทำไมไมค์ถึงเงียบ ผมค่อยๆเงยหน้ามองไมค์ช้าๆ ไมค์ดูสงบมากจนน่ากลัว ยืนนิ่งเป็นรูปปั้นแต่ดวงตานั้นจ้องมาที่ผม บรรยากาศแบบนี้ทำเอาผมขนหัวลุก ผมได้กลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอก่อนเอ่ยถามออกไป

“มะ ไมค์ หน้ากากนี่...” ไมค์ซื้อไว้เล่นๆใช่ไหม ไม่ใช่อย่างที่ผมกำลังคิด ไมค์ไม่ใช่คนๆเดียวกับรีสใช่ไหม ไมค์ไม่ใช่ปีศาจ ผมได้แต่คิดแต่ก็พูดออกไปไม่ได้ คำพูดเหล่านั้นถูกกลืนลงคอ เพราะมันมีความรู้สึกบางอย่างกำลังร้องบอกอันตรายแก่ผม ว่าสิ่งเหล่าคือเรื่องจริง สิ่งที่ผมคิดมันเป็นจริง และมันกำลังเกิดขึ้นจริงๆ

บรรยากาศรอบๆเย็นขึ้นอีก หนาวไปหมด หนาวไปจนสุดขั้วหัวใจ รอบๆตัวไมค์มีไอสีขาวจางๆแผ่ออกมา ใบหน้าไมค์ยังคงนิ่งสงบแต่ดูน่ากลัวขึ้น อาจจะเพราะบรรยากาศที่แสนกดดันนี้ ไม่มีคำพูดอะไรออกมาจากปากของผมและไมค์อีก ใจของผมเต้นระรัว ร่างกายสั่นไหวด้วยความกลัว ลมหายใจติดขัด หน้าผมต้องซีดมากๆแน่ ทำไมมันเป็นแบบนี้ ไมค์อธิบายมาสิ ผมได้แต่นั่งสั่นมองจ้องไปที่ไมค์ที่ยืนอยู่ด้านหน้า เงาสูงใหญ่ทาบทับลงมาราวกับจะกลืนกินผมให้หายไป ทำไมผมถึงรู้สึกว่าไมค์เย็นชาขึ้น น่ากลัวขึ้น นี่ไม่ใช่ไมค์ที่ผมรู้จักอีกแล้ว...ราวกับปีศาจ

“หึ! รู้แล้วก็ดี จะได้เลิกเล่นละครกันสักที” หลังจากนิ่งอยู่นาน ไมค์ก็พูดขึ้น น้ำเสียงแปลกไปเย็นชาขึ้น แววตาเปลี่ยนไป หรือมันไม่เคยมีอยู่แล้ว ผมแค่คิดไปเองงั้นหรอไมค์ ว่าคุณเป็นห่วงผม

“ว่าไงนะ...ไมค์” ผมได้แต่ถามย้ำออกไป มันไม่จริงใช่ไหม ไมค์บอกผมสิว่าล้อผมเล่น ท่าทางเย็นชาเมื่อกี้คืออะไร

“กู คือ รีส” ไมค์หรือรีส ผู้ชายคนนี้ ยืนยันด้วยกันประกาศตนแน่ชัด ให้ผมได้รู้ว่าเขาไม่ได้พูดล้อเล่น และอีกครั้งกลับคำยืนยัน เมื่อชายคนนี้ยกมือขึ้นหยิบคอนเทคเลนส์ด้านสีเทาออก เผยให้เห็นดวงตาสีแดงดังเลือดภายใต้เปลือกตาสีขาวซีดนั่น

“เฮือก!!” ผมได้แต่ตาโตตกใจ ใจเต้นรัวเร็วมากขึ้น ทั้งกลัวทั้งตกใจ คือคนๆเดียวกันจริงๆสินะ แต่ทำไมผมถึงรู้สึกเจ็บมากกว่ากลัว  ‘นี่สินะ ความรู้สึกที่โดน หักหลัง จากคนที่ไว้ใจ’ แล้วจู่ๆน้ำตาของผมมันก็ไหลรินลงมาช้าๆ ใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยน้ำตาของผมก็ได้แต่มองสบดวงตาสองสีของเขานิ่งงัน ดวงตาที่ทั้งน่ากลัวและมีเสน่ห์ ที่ดึงดูดผมให้จมลงไปในความเชื่อใจที่โกหก ที่ตอนนี้มันกำลังแหลกสลายลง

[เฟิร์ส จบ]



[รีส]

ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ ผมตั้งใจจะไม่รุนแรงกับมันแล้ว ตั้งแต่เห็นมันในโกดัง ผมก็รู้ได้ทันทีว่ารู้สึกแบบไหน ผมเป็นห่วงมันมาก หวงมันมาก ถึงจะไม่รู้ว่าชอบหรือเปล่า แต่ผมก็ไม่มีวันปล่อยให้มันหลุดมือผมไป ไม่มีวันให้มันกับคนอื่น แต่ทำไมเรื่องราวกับเลวร้ายลง ผมตั้งใจจะเป็นไมค์ เป็นผู้ชายที่มันอยู่ด้วยแล้วยิ้มให้ ไม่ใช่รีส ปีศาจร้ายที่มันหวาดกลัว รีสกำลังจะตายลงไปอย่างช้าๆ เหลือแค่ไมค์ที่ทำดีกับมัน แต่แล้วทำไม มันถึงต้องมารู้เรื่อง ทำไมผมถึงรู้สึกจุกข้างใน เจ็บร้าวไปหมดที่หัวใจ ทั้งๆที่หัวใจของผมมันตายไปนานแล้ว

“กู คือ รีส” อย่ามองกูแบบนั้นเฟิร์ส กูไม่อยากโกหกแล้ว ไหนๆก็รู้เรืองทั้งหมดแล้ว...มาจบเรื่องนี้กันเถอะ
 
“เฮือก!!” เฟิร์สมันตกใจตาโตมองมาที่ผม แล้วน้ำตามันก็ไหลลงมาช้าๆ แววตาของมันที่มองมา ทำไมมันรู้สึกหน่วงในใจแบบนี้นะ

“ในเมื่อรู้แล้ว...เรา มาทำอะไรที่ถนัดกันดีกว่า กูคิดถึงร่างกายมึงแทบแย่ เฟิร์ส” ผมยกยิ้มมุกปาก แลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเองอย่างหื่นกระหาย ค่อยๆก้มลงจะขยับเข้าไปใกล้มัน

“ไม่! อย่ามายุ่งกับกู กูจะกลับ” เฟิร์สทำหน้ารังเกียจในท่าทีแบบนั้นของผม ก็รีสหยาบคายและใจร้ายกับเฟิร์สเสมอ แตกต่างจากไมค์ที่มันแอบหวั่นไหวด้วย ผมดูออก มันคงเจ็บปวดสินะ ที่ผมใจร้ายด้วยใบหน้าของชายผู้แสนใจดีของมัน

“มึงคิดว่ากูจะปล่อยมึงไปง่ายๆรึไง!” ผมตะคอกเสียงดังทั้งที่ในใจหน่วงๆ จนเฟิร์สสะดุ้ง ผมก้าวขาเดินไปใกล้ แล้วนั่งลงประชิดตัวเฟิร์ส

“อย่ามายุ่งกับกู โอ๊ย!” เฟิร์สมันขยับถอยหนีให้ห่างออก ทำท่าจะลุกขึ้น แต่ติดเฝือกที่ขาทำให้ไม่ถนัด จึงล้มลงไปอีกครั้ง จริงๆแล้วเฟิร์สไม่ได้ขาหักแต่ผมต้องการรั้งตัวมันไว้โดยที่มันจะได้ไม่เจ็บตัวไปมากกว่านี้

“หึ สำออย มึงชอบให้กูเป็นไมค์มากกว่างั้นสินะ ชอบหรอแบบนั้นน่ะ ชอบกูแบบอ่อนโยนสินะ ตอนนี้กูจะเป็นให้ก็แล้วกัน” ผมจะเข้าไปช่วยประคองมัน แต่ก็ต้องฝืนร่างกายไม่ให้ขยับตามใจ ยืนนิ่งใช้สายตาสมเพชแทนที่จะสงสาร พูดจาดูถูกให้เจ็บทั้งผมทั้งผม แล้วอุ้มมันขึ้นจากพื้นในท่าเจ้าสาว

“ปล่อยกูนะ! อย่ามาใช้ใบหน้าของไมค์ ทำตัวเหี้ยๆแบบนี้กับกู ปล่อยกูลง! ไอ้ปีศาจ!” มันดิ้นสุดแรง โดยไม่กลัวว่าจะหล่นลงไปที่พื้น ทั้งที่ส่วนสูงของผมเกือบสองเมตร มันไม่สนที่จะเจ็บตัวเพิ่ม ไม่สนว่าขามันจะหักไปจริงๆ มันแค่ต้องการหนีออกจากอ้อมกอดของปีศาจอย่างผม แต่มันยังไม่ใช่ตอนนี้

“ใช่ กูมันปีศาจ!” กูต้องทำให้มึงเกลียดกูกว่านี้สิ เกลียด ทั้งรีส ทั้งไมค์ เมื่อกูหายไปมึงจะได้ดีใจ แต่กูก็ยังคงติดอยู่ในหัวใจมึง ถึงจะเป็นแค่ฝันร้าย แต่มึงก็ไม่มีวันลืมกู เหมือนที่กู ไม่มีวันลืมมึงเหมือนกัน กูว่านะเฟิร์ส กูคงจะรักมึงแล้ว แต่กูจะไม่พูดมันออกไป เพราะกูไม่อยากได้ยินคำว่าเกลียดจากปากมึงแล้ว

ผมโยนมันลงบนเตียงนอนอย่างแรง แล้วขึ้นคร่อมมันทันที ใบหน้าของมันหวาดกลัวผมมาก น้ำเสียงที่อ่อนแอ ร่างกายสั่นระริกที่อยู่ใต้ร่างผม ยิ่งมองยิ่งเจ็บหน่วงในใจ แต่แล้วก็ไล่ความคิดนั้นออกไป ตอนนี้ผมต้องร้าย ร้ายให้ถึงที่สุด ผมคว้ามือของมันทั้งสองข้างรวบไว้เหนือหัวมันด้วยมือข้างเดียว อีกมือล็อคหน้าของมันไว้แล้วกระแทกปากลงไปจูบอย่างแรง ผมได้กลิ่นคาวเลือดหอมๆของมันฟุ้ง ผมคงทำมันปากแตกเพิ่มอีกแล้ว

“ปล่อยกูนะ! ไม่! อย่าเข้ามานะ! อื้ออออ”

ผมถอนจูบออก ฉีกกระชากเสื้อคลุมอาบน้ำที่มันใส่อยู่ให้หลุดออก เผยให้เห็นร่างกายเปลือยเปล่าที่มีรอยแดงเป็นจ้ำ แต่แล้วภาพเมื่อวานก็ฉายชัดขึ้นมา ‘สัมผัสจากมือจากปากพวกมันที่ทำให้ร่างกายนี้ต้องแปดเปื้อน กูจะลบมันออกเอง'

“อื้อ อ่า ปล่อยกู ฮือออ”

ผมหยุดมือที่กำลังลูบไล้ ดูดเม้มสร้างรอยรักบนร่างกายมันทันที ที่ได้ยินเสียงร้องไห้ของมัน น้ำตามันไหลอีกแล้ว ‘กูขอโทษเฟิร์ส’ ผมไม่สนใจน้ำตาของมันโดยการไม่มอง ก้มต่ำลงไปสร้างรอยรัก มือก็ปล่อยจากที่กดมือมันไว้ มานวดเฟ้นตามร่างกายมันอย่างหนักมือ

“อะ โอ๊ย ไม่!”

ผมก้มกัดที่ตุ่มไตสีชมพูของมัน จนมันร้องอย่างเจ็บ ผมจึงเปลี่ยนจากกัดมาไล้เลียไปมา และวนรอบๆเบา มันขนลุกชันขึ้นมา ผมจึงได้ใจ เปลี่ยนไปอีกข้างทั้งดูดเม้มทั้งเลียจนทั้งสองข้างแข็งเป็นไต ขนลุกชันไปด้วยความเสียวซ่าน

ผมลากลิ้นลงต่ำไปเรื่อยๆ ตามหน้าท้องของมัน ให้มันได้เสียวและขนลุกไปทุกที่ที่ผมลากไป มือก็ไม่ได้อยู่เฉยนวดเฟ้นไปทั่วทุกส่วนตามร่างกาย ส่วนอีกมือก็ลากผ่านไผมาตรงน้องชายของมันที่ตั้งชูชัน ล่อหน้าล่อตาผม

“ไม่ ปล่อยกูนะ อือ ตรงนั้นอย่านะ! อื้มมมม!”

ผมเปลี่ยนเป้าหมายไปตรงกลางขาของมัน น้องชายของมันกำลังเรียกร้องปากของผม ผมได้แต่แลบลิ้นเลียริมฝีปากที่แห้งผากของตัวเอง แล้วค่อยๆบรรจงครอบครองลงไปที่ส่วนปลายยันสุดทาง ได้ยินเสียงครางหวานของมันดังสนั่น จนผมทนไม่ไหวอีกต่อไป

“อ๊า!!! จะ เจ็บ ฮือ”

ผมทำกับมันไปจนสุดทาง หลายต่อหลายครั้งจนมันสลบไปในที่สุด อุณหภูมิร่างกายของผมเริ่มกลับมาปกติ แต่ก็ต่ำกว่าคนทั่วไปอยู่ดี ผมควบคุมร่างกายตัวเองยังไม่ได้ ถึงได้ไม่เคยยังแรงที่ทำลงไปกับมัน มันถึงได้เลือดออกทุกครั้ง พละกำลังก็มีมากเกินไป ไหนจะบางอย่างที่มันแปลกไป รวมถึงความคิดที่โรคจิตมากขึ้น ใจร้ายมากขึ้น โหดเหี้ยม มันถึงได้หวาดกลัวผมทุกครั้งแม้ยังไม่เห็นหน้า ไมแปลกที่มันจะเกลียดผม

สายตาของมันที่มองมาช่างน่าสงสาร ผมรู้ว่ามันต้องการได้ยินอะไร มันอยากให้ผมโกหกว่าไม่ใช่ ถึงแม้บางสิ่งบางอย่างจะบอกเป็นนัย ว่ามันเป็นเรื่องจริง ผมไม่อยากเห็นน้ำตาของมันอีก ร่างกายที่บอบช้ำกว่าเดิมที่เกิดขึ้นจากฝีมือผมที่ไม่รู้ว่าลงแรงไปเท่าไหร่ เพราะผมไม่อาจรู้สึกได้ เสียงร้องไห้คร่ำครวญและดวงตาที่บวมช้ำ แววตาที่มองมาที่ผมช่างเจ็บปวด ผมไม่อยากเห็นแบบนั้น

ไหนจะร่างกายของผมที่เย็นซีดไม่อาจให้ความอบอุ่นมันได้ ไหนจะไอเย็นสีขาวจางๆที่แผ่รอบตัวเมื่อความรู้สึกโกรธและสับสนของผมมีขึ้น ดวงตาสีแดงเลือดที่น่ากลัว ไหนจะผละกำลังและความเหี้ยมโหดที่ฆ่าคนได้ ผมยังกลัวพลังของตัวเอง ผมไม่อยากให้มันมาเสี่ยงตายถ้าผมโมโหอีก ปีศาจไร้หัวใจอย่างผม ไม่คู่ควรกับใครทั้งนั้น ...ผมควรจะหายไป

“ผมขอโทษเฟิร์ส แต่ต่อไปคุณไม่ต้องร้องไห้เพราะผมอีกแล้ว ผมจะหายไปจากชีวิตของคุณเอง” ผมกำลังทำความสะอาดให้มันและหาเสื้อผ้ามาให้ใส่ อุ้มมันขึ้นรถและส่งโรงพยาบาล และบอกกับพ่อมันว่ามันโดนแก๊งคู่อริเล่นงาน จนพ่อมันส่งคนมาเฝ้าถึงโรงพยาบาล และผมก็หลบออกมา และจะหายไปจากชีวิตมันตลอดกาล ผมให้อิสระแก่มัน ตามที่มันต้องการตั้งนานแล้ว

“ลาก่อน เฟิร์ส คุณจะอยู่ในใจผมตลอดไป”



...

จบแล้ววว พระเอกหายไป อิอิ

เชื่อไหม เค้าล้อเล่นนะ  o13


ตอนนี้เป็นไงกันบ้าง nc เล็กๆกับความเจ็บปวด
รู้ความคิดของพระเอกปีศาจเราบ้างแล้วนะคะ ออกจะน่ารักเนอะ

ตอนต่อไป เดี๋ยวจะมาแก้คำผิดตอนเก่าๆก่อน ตอนใหม่ออกนะจ้ะ

เต็มอิ่มเลยครับ

แล้วตอนนี้ล่ะคะ อิ่มเลยมั้ยย 

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: rosetears ที่ 06-07-2016 23:21:00
รีสก็รักเฟริส์นี้เองแค่ไม่อยากให้เฟริส์ลืมตัวเอง โธ่ๆ
แอบมาอ่านทีเดียวสองตอนรวด อิอิ #ฟิน  :mew1:
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: sosi ที่ 07-07-2016 00:26:40
รีสน่าสงสารคนนะไม่ใช่หนูทดลองถึงตายแล้วก็เถอะ ใจร้ายมากเลยดร.
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: daboo ที่ 08-07-2016 06:09:43
อิ่มมอีกแล้ววว   


แล้วก้เริ่มอยากอ่านตอนต่อไปเร็วๆซะแล้วซิ่ครับ
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย ตอนที่ 26
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 11-07-2016 16:46:36


Me die

 
26 : หลังจากนั้น

 


“อืม.. ขอน้ำหน่อย”

 

“ครับ คุณเฟิร์ส เอ็งไปแจ้งคุณท่านเร็วๆว่าคุณเฟิร์สฟื้นแล้ว”

 

เฟิร์สตื่นขึ้นมาอีกครั้งในโรงพยาบาล ดูเหมือนจะเป็นห้องพิเศษ และพ่อคงรู้เรื่องแล้วลูกน้องถึงมาเฝ้าตนเต็มห้องแบบนี้ เพราะคิดว่าเขาโดนพวกฝ่ายศัตรูที่ไปถล่มมาเมื่อวันก่อนคิดจะตลบหลังไล่ล่าเอาคืนจึงไม่ยอมออกไปไหน โดยอาศัยตอนที่1ในคนที่จะได้ขึ้นเป็นหัวหน้าอ่อนแอ โดยลูกน้องพ่อของเขาที่เอาน้ำให้เล่าให้ฟัง

 

แต่สิ่งที่พ่อรู้มันไม่ถูกต้องสะทีเดียว เขาไม่ได้โดนพวกนั้นทำร้ายจนต้องเข้าโรงพยาบาลแบบนี้ และคนพวกนั้นก็คาดว่าน่าจะถูกกำจัดไปหมดแล้ว โดยฝีมือของรีสที่มาช่วยเขา ซึ่งภาพที่เห็นพวกนั้นเขาไม่ได้ฝันไป ถึงภาพมันจะโหดร้ายมากก็ตาม

 

รีสกับไมค์เป็นคนๆเดียวกัน...

 

แล้วรีสไปไหน...ทำไมถึงยอมปล่อยเขาออกมา

 

เฟิร์สนอนคิดและพูดคุยกับตัวเองอยู่นาน เขาเอาแต่คิดถึงเรื่องก่อนหน้า คิดถึงคนสองคนที่ไม่เหมือนกันเลย ไม่น่าจะมาเป็นคนๆเดียวกันได้ แต่ก็เป็นไปแล้ว แต่ก็มีจุดสังเกตหลายอย่างที่เขาไม่เคยคิด รีสก็ใบ้บอกเขาหลายอย่างเหมือนกัน ทั้งคำพูดแปลกๆตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน ไหนจะยังขอบพูดเรื่องความตาย ถุงมือและร่างกายของไมค์ที่ต่ำกว่าปกติ ผิวซีดๆที่ไม่ได้เอะใจอะไร ไหนจะดวงตาที่มองไม่เห็นแววอะไรประกายอยู่ในดวงตาเลย ทำไมคิดไม่ออกเลยนะ ไม่คิดว่าจะเล่นแบบนี้ จนพ่อของเขาเดินเข้ามาก็ยังไม่รู้สึกตัว

 

“ฟื้นแล้วหรอ แกต้องขอบคุณคุณไมค์เขาที่ไปช่วยแกออกมาจากไอ้พวกนั้น แล้วแกโดนอะไรบ้าง ทำไมถึงสลบไป” พ่อของเฟิร์สเมื่อเดินเข้ามาถึง ก็ยืนสำรวจลูกชายนิ่ง หน้าตาก็ไม่ได้ฟกช้ำ แต่ทำไมถึงสลบ แถมยังโดนพวกนั้นเอาตัวไปได้ง่ายๆ

 

“อ๊ะ... คือว่า” เฟิร์สสะดุ้งตกใจเมื่อได้ยินเสียงของพ่อตน ส่วนพ่อได้จ้องเขาเขม็งราวจับผิด เฟิร์สก็ได้แน่นิ่ง อึ้ง คิดไม่ทันไม่รู้จะตอบอะไร ก็ในเมื่อเรื่องมันไม่ได้เป็นอย่างที่พ่อเข้าใจ แต่จะให้พูดไปก็คงไม่เชื่อ 

 

ดวงตาคมของพ่อจ้องลึกเข้าไปในดวงตาเฟิร์ส ซึ่งเฟิร์สก็ได้แต่อึกอัก เพราะไม่รู้จะโกหกพ่อยังไง เขาไม่ได้เป็นคนคิดแผนนี้ขึ้นมาแต่แรก และไม่รู้จะทำยังไงต่อไป จนชายอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆพ่อพูดออกมาให้เขา

 

“คือว่า ตามที่ผมเล่าไปนะครับคุณวิรัชน์ คุณเฟิร์สโดนพวกมันโปะยาสลบ แต่ท่านประธานกับผมไปทันซะก่อนเลยพาตัวออกมา แต่ผมก็ไม่แน่ใจนะครับ ว่าพวกนั้นมันเป็นใคร เพียงแต่ท่านประธานบอกว่าให้ผมช่วยพาคุณเฟิร์สมาส่งโรงพยาบาลก่อน”

 

ชายแปลกหน้านั่นพูดออกมาให้เขาแทน เฟิร์สได้แต่นั่งนิ่ง มองทั้งพ่อและชายคนนั้นสลับกันไปมา ชายคนนี้เป็นใคร เขาไม่รู้จักและไม่เคยเห็นหน้า

 

“เดี๋ยวผมจัดการต่อเองครับ ขอบคุณคุณมากที่ช่วยพาลูกชายผมมาส่งที่นี่ และฝากขอบคุณคุณไมค์ที่ช่วยพาลูกผมออกมาได้ทัน ไว้มีโอกาสผมจะหาทางตอบแทนให้”

 

“ยินดีครับ งั้นผมขอตัวก่อนเลยนะครับท่าน”

 

เฟิร์สได้แต่มองทั้งพ่อและชายแปลกหน้าคุยกัน ยิ่งคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก ชายคนนี้ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์และไม่เคยเห็นหน้าด้วยซ้ำ ทำไมถึงพูดเหมือนรู้ทุกอย่าง จนเขาเก็บความสงสัยไว้ไม่ได้ ยกมือข้างหนึ่งห้ามชายแปลกหน้าที่กำลังจะออกไป แล้วเอ่ยเรียกไว้พร้อมถามสิ่งที่ค้างคาในใจ

 

“เดี๋ยวครับ คุณเป็นใคร แล้ว...รีส เอ่อ ไมค์ไปไหน”

 

ทั้งพ่อทั้งชายแปลกหน้าหันมามองเขา ชายคนนั้นนิ่งไป พ่อของเขาก็เบนสายตาไปมองชายแปลกหน้านั่นแทน ชายคนนั้นกับทำท่าทีสบายๆยกมือขึ้นขยับขาแว่นที่ตนสวมไว้ และยกยิ้มขึ้น เดินมายื่นมือออกไปจับกับเฟิร์สพร้อมแนะนำตัว

 

“ขอโทษทีนะครับที่ไม่ได้แนะนำตัวกับคุณเฟิร์สอย่างเป็นทางการ ผม นพภดลครับ เรียก เชน ก็ได้ เป็นเรขาส่วนตัวของท่านประธาน ท่านไมค์น่ะครับ ยินดีที่ได้รู้จัก พอดีวันนั้นผมกับท่านประธานผ่านไปทางโรงแรมนั้นพอดีแล้วเห็นเหตุการณ์เข้าเลยช่วยเหลือและพาคุณมาส่งที่นี่ เสียใจจังนะครับที่จำได้แค่ท่านไมค์คนเดียวที่ไปช่วย แล้วก็...ไม่มีคนที่ชื่อรีสนะครับ” เชนพูดออกมายาวเหยียดและกระซิบประโยคท้ายเบาๆกับเฟิร์ส ใบหน้าขี้เล่นเจ้าเล่ห์ฉายชัดออกมา แว่นที่สวมไม่ได้ช่วงพรางตาได้เลยว่าเขารู้อะไรบางอย่าง

 

“เรื่องจริงรึเปล่า แลมป์กลับมาเมื่อไหร่ จะให้มันไปตรวจสอบดูอีกที” พ่อของเฟิร์สหันมามองหน้าเฟิร์สเป็นเชิงต้องการคำตอบ เฟิร์สก็ได้แต่พยักหน้างึกงัก พ่อของเฟิร์สจึงพยักหน้ายอมเชื่อ จึงพูดต่อว่าจะให้แลมป์จัดการเอง

 

‘ขอโทษนะแลมป์ ฉันปฏิเสธไม่ได้จริงๆ’ เฟิร์สได้แต่ขอโทษแลป์ในใจ เพราะแบบนี้คือแลมป์ทำงานพลาด ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแน่นอน และพ่อของเขาก็คงสงสัย เดี๋ยวจะหาโอกาสพูดกับพ่ออีกครั้งละกัน ไม่งั้นแลมป์เดือดร้อนแทนแน่ๆ

 

พ่อพูดคุยเพิ่มอีกเล็กน้อย พอลูกน้องเดินเข้ามากระซิบบางอย่างก็กลับไป บอกว่ามีงานต่อ เหลือลูกน้องพ่อไว้แค่เฝ้าประตูเท่านั้น ส่วนเฟิร์สก็ได้มีตั้งคำถามกับตัวเองมากมาย โดยเฉพาะ เรื่องที่รีส ปล่อยตนออกมา

 

...

 

เชน ผู้มีใบหน้าอ่อนเยาว์ดังเด็กอายุ17 ดวงตากลมโตสีฟ้า ผมสั้นสีน้ำตาล จมูกสวยรับกับริมฝีปากสีส้มอ่อน สวมแว่นกรอบสีเหลี่ยมเพียงพรางสายตาให้ดูโตขึ้น เขายิ้มกว้างและก้มหัวกล่าวอำลาอีกครั้ง พร้อมกับเดินออกจากห้องนั้นไป ทิ้งไว้แต่คำถามมากมายภายในใจของเฟิร์ส

 

เชน เดินหน้านิ่งมาตลอดทางลงถึงรถแล้วขับออกไป เขารู้ว่ามีคนตามเขาอยู่ อาจจะเป็นคนของพ่อเฟิร์ส แต่พอพ้นจากเขตโรงพยาบาลมาแล้วก็ไม่ตาม

 

เชนได้จอดรถตรงซอกแคบไร้ผู้คน มือต่อสายโทรศัพท์ถึงใครบางคน หยิบหูฟังบลูทูธมาสวมไว้ ปรับกระจกเพื่อมองตัวเอง ยกมือถอดแว่นและคอนเทคเลนส์สีฟ้าออก รวมถึงวิกผมสีน้ำตาล เผยให้เห็นใบหน้าของหนุ่มน้อยผู้มีใบหน้าน่ารัก ผมสีดำหน้าม้า ดวงตาสีดำกลมโตไร้ขอบแว่น  ริวฝีปากสีส้มอ่อน ดูแล้วน่ารักสดใสราวเด็กหนุ่มวัยมัธยมธรรมดา

 

แต่มันไม่เป็นเช่นนั้น ถึงจะเป็นเพียงเด็กมัธยมปลายที่เบื้องหน้าธรรมดาแต่เบื้องหลังเขาคือแฮกเกอร์มืออาชีพที่รับงานจากทุกคนที่จ่ายหนักๆ โดยเฉพาะการอยู่ในทีมเดียวกับแลมป์ แต่อย่างที่บอกเขาไม่ผูกขาดกับใคร เขาทำงานให้ทุกคน แต่จะทำเพียงการนั่งอยู่หน้าคอมเท่านั้น ไม่ออกนอกสนามแต่ครั้งนี้เขายกเว้นเพราะหาคนให้ไม่ทันจริงๆ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ถูกยกยิ้มขึ้น หลังได้ยินเสียงสัญญาณมือถือจากปลายสายที่กดรับสายแล้ว

 

“งานสำเร็จไหม เชน” เสียงปลายสายพูดมาอย่างร้อนใจ ทำให้เขายิ่งยกยิ้มมากขึ้นไปอีก อยากจะแกล้งตามนิสัยของตน

 

“รับสายก็ถามถึงแต่เป้าหมายที่อยากรู้ ไม่คิดจะถามถึงผมบ้างหรอครับ ว่าจะเป็นอะไรรึเปล่า เพราะถ้าไม่ใช่พี่ผมไม่ออกงานนอกสนามแบบนี้นะครับ” เชนยิ้มขำ เพราะได้ยินเสียงอีกฝ่ายคำราม พ่นลมหายใจและกำลังควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ให้โกรธอยู่

 

“อย่ามาเล่นลิ้น เชน” เสียงจากปลายสายดุขึ้น ส่วนเชนก็ได้แต่ขบขัน ที่ได้แกล้งคนอื่นเล่น

 

“คร้าบๆ สำเร็จสิ เรื่องแค่นี้ ผมส่งคนของพี่สู่มือหมออยากปลอดภัยครับ ทางนั้นเชื่อสนิทใจ”

 

“แล้วหมอล่ะ”

 

“กำลังติดต่อครับ ใกล้แล้วแหละ ว่าแต่ คนๆนี้คือคนพิเศษของพี่หรอครับ ถึงได้ห่วงใยมากขนาดนี้ ไหนว่าปีสาจอย่างพี่ไร้หัวใจไง พี่รีส”

 

ตู๊ดๆๆ

 

“อ่าว วางไปซะแล้ว เขินเป็นด้วยหรอ เพิ่งเคยเห็นปีศาจมีหัวใจแฮะ อิอิอิ”

 

เชนเก็บหูฟังบลูทูธลง ยกยิ้มขำกับรีส เขารู้จักกับรีสจากการเข้าไปสอดแนมทางองค์กรและทำงานลับๆให้กับหมอพอล ด้วยนิสัยที่ชอบอะไรแปลกใหม่เห็นผลงานวิจัยที่ทำกับรีสแล้วเขาเลยยิ่งสนใจ วันที่รีสหลบหนีจากองค์กรออกมาเขาก็ดูเหตุการณ์นั้นผ่านกล้องวงจรปิด และติดต่อไปหารีสโดยตรง และทำงานให้ด้วยความเต็มใจแลกเปลี่ยนกับข้อมูลของการที่ร่างกายนั้นกลายเป็นปีศาจมากกว่าที่องค์กรนั่นรู้ และครั้งนี้เขาก็อาสาที่จะพาเฟิร์สมาส่งและออกงานนอกสนามเอง เขาไม่ได้บอกเรื่องนี้กับหมอพอลหรือคนอื่นๆที่ทำงานร่วมกันจึงต้องลงมือเอง

 

เขาทำงานให้กับหลายคน แต่ก็ไม่เคยพร่างพรายเรื่องส่วนตัวของใคร ไม่ว่าเรื่องนั้นจะผิดกฎหมายหรือผิดกฎความเป็นมนุษย์แค่ไหน เขาแค่รู้สิ่งที่เขาควรรู้และอยากรู้เท่านั้น นี่เป็นอีกหนึ่งที่ใครๆต่างก็ต้องการทำงานกับเขา ยังไม่รวมฝีมือที่เก่งกาจเทียบชั้นแนวหน้าของหลายๆประเทศ แต่คนที่จะทำงานกับเขาได้นั้น เขาจะต้องมีความชอบส่วนตัวและเขาเป็นคนติดต่อไปเองเท่านั้น เพราะเช่นนี้จึงไม่มีใครจับเขาได้ มือแฮกเกอร์ที่มีนามกระฉ่อนว่า ซี

 

...

 

อีกด้าน

 

เวลา 25:45 น.

 

กลางคืน สำหรับบางคนมันคือสิ่งที่ดำมืดน่ากลัว ทุกสิ่งอย่างมีแต่เงา ไม่น่าพิสมัย มองไปทางใดก็มืดมิดหาสิ่งใดไม่เจอ พบเจอแต่สิ่งที่น่าขนหัวลุกให้พาหัวใจจินตนาการ แต่สิ่งที่น่ากลัวและสยดสยอง

 

แต่สำหรับบางคนความมืดมิดคือเสน่ห์อย่างหนึ่ง ความเงียบสงัด สงบนิ่ง สายลมเย็นที่พัดบางเบาคลายความตึงเครียด พระจันทร์กลมโตส่องสว่างสวยงาม ดวงดาวสุกสกาวโดดเด่นอยู่บนท้องนภาสีนิล

 

“เราขับรถมาถึงที่นี่เลยหรอ”

 

เมื่อดวงตามองสบไปด้านหน้าพบกับสถานที่อันคุ้นเคยเมื่อก่อนอยู่ด้านหน้า เขาก็จอดรถไว้หลังจากขับรถไปเรื่อยอย่างเหม่อลอย เพื่อจะเดินผ่านทางเปลี่ยวไปยังที่ที่เขาชอบมาเป็นประจำเวลาทุกข์ใจเมื่อก่อน

 

ริมฟุตบาทข้างถนนเปลี่ยวยามค่ำคืน แสงไฟหรี่จากเสาที่ห่างกันพอควรต้นไม้พลิ้วไหวลู่ลมเกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าด สายลมเย็นพัดเอื่อย แมลงกรีดร้องดังระงม มองไปด้านไหนก็มืดมิด บรรยากาศน่าขนหัวลุก ถ้าใครต้องผ่านแถวนี้คงต้องรีบจ้ำอ้าวกลับที่พักเป็นแน่ เพราะกลัวจะเจอกับบางสิ่งที่น่ากลัวเกินจินตนาการได้

 

แต่สำหรับรีส ความมืดมิดที่คุ้นเคยทำให้สองขาแกร่งยังคงก้าวเดินตรงไปข้างหน้าอย่างไม่เกรงกลัว

 

“ที่นี่เปลี่ยนไปเยอะเลยนะ”

 

ดวงตาคมมองสำรวจไปทั่ว หลังเดินมานั่งลงที่ม้านั่งตัวเดิมที่เคยนั่ง ที่ตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ มองเห็นใจกลางสวมหย่อมที่เขียวขจีงดงามสบายตายิ่งนักเมื่อก่อน แต่บัดนี้มันเหลือเพียงกิ่งไม้แห้งตายขาดคนดูแล

 

“...เฟิร์ส” รีสนั่งเหม่อ มองออกไปด้านหน้าอย่างไร้จุดหมาย เรียกชื่อเฟิร์สออกมาเบาๆ

 

มือยกสร้อยข้อมือที่มีจี้ตัวอักษรFอยู่ ตัวอักษรที่เป็นตัวย่อของชื่อเฟิร์ส ที่เขาตั้งใจจะให้เฟิร์สวันที่ขอเฟิร์สเป็นแฟนได้สำเร็จ ขณะที่ตนยังเป็นไมค์อยู่ ดวงจาไร้แววนั้นมองนิ่งแล้วได้แต่ถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ภายในใจเป็นทุกข์รู้สึกเจ็บปวดแปลกๆทั้งๆ อยากพูดขอโทษอีกคนขนาดไหนก็ทำไม่ได้ แต่สิ่งที่เขาทำได้ตอนนี้ก็เพียงแค่สัญญาว่าจะปล่อยไปจริงๆก็เท่านั้น

 

มือนั้นยกสร้อยข้อมือขึ้นมาดูอีกครั้ง ยกมันขึ้นจูบเบาๆให้ริมฝีปากสัมผัสไปถึงถึงอีกคนที่อยากจะให้ รีสหลับตาลงช้าๆ จูบอยู่เนิ่นนานแล้วลืมตาขึ้น รีสคายมือออกช้าๆปล่อยให้สร้อยข้อมือล่วงหล่นลงที่พื้นข้างม้านั่งตัวนี้ ตามอารมณ์และความรู้สึกต่างๆที่มีต่อเฟิร์สให้จบสิ้นไป

 

รีสเงยหน้ามองดวงจันทร์นิ่ง เขาจะทำอะไรต่อไปดี จบสิ้นความแค้น จบสิ้นสิ่งที่อยากจะทำ ให้อิสระแก่คนๆนั้น แล้วเขาควรทำยังไงต่อไป หรือจะกลลับไปทดลอง ให้ดร.ศึกษาร่างกาย ทิ้งความรู้สึกของตนให้ตายตามหัวใจไป หรือเขาควรจะทำอะไรต่อไปดี… ในเมื่อไม่มีจุดหมาย...ไม่มีคนให้ห่วงใย...ไม่มีคนให้ดูแล...

 

“เตอร์!!”

 

รีสลุกพรวดจากม้านั่ง เมื่อจู่ๆภาพของคนบางคนที่เขารักที่เขาสัญญาว่าจะดูแลลอยเข้ามาในห้วงความคิด แทรกกับใบหน้าของเฟิร์ส เขาลืมสิ่งที่เขาตั้งใจไป สิ่งที่ทำให้เขาไมอยากตาย ไม่ใช่การแก้แค้น แต่เป็นสิ่งสำคัญที่เขาควรต้องดูแล และควรคิดได้ให้นานกว่านี้ คนๆนี้อ่อนแอ ตอนนี้จะร้องไห้ขนาดไหนแล้วนะ

 

“เตอร์ รีสขอโทษ” เขาได้แต่กล่าวขอโทษเบาๆ แล้วลุกจากม้านั่ง เดินออกไปจากสวนสาธารณะนี่ทันที สวนกับชายที่มีท่าทางเมามายที่กลับจากการไปยื่นฉี่หลังต้นไม้ใหญ่ที่หันกลับมามองรีสทำหน้าเสียดาย และเดินกลับไปเข้ากลุ่มของตนที่นั่งสุ่มหัวกันอยู่ใกล้ๆบริเวณนั้น

 

...

 

รีสตามสืบเรื่องของทามกับติวเตอร์ จนรู้เรื่อง อยากช่วยแต่ยังทำอะไรไม่ได้ เพราะเรื่องของตัวเองยังไม่รู้จะจัดการยังไง และจะใช้เงินมากมายเหมือนตอนเป็นไมค์แรกๆไม่ได้ เพราะไม่ให้ความร่วมมือกับดร.เต็มที่ จึงแค่ตามช่วยไม่ให้ติวเตอร์โดนรังแกตอนอยู่ในที่สาธารณะเงียบๆ เหมือนวันนี้

 

รีสเดินตามเข้าไปในห้องน้ำสาธารณะที่ทามลากติวเตอร์เข้าไป จากนั้นก็เงียบไป และมีเสียงแปลลกๆดังรอดออกมา แต่เมื่อได้ยินเสียงขอให้ช่วยจากติวเตอร์ รีสก็เดินไปหยุดอยู่หน้าห้องน้ำ และเคาะประตูเสียงดัง

 

อีกด้านหนึ่ง


วันนี้ทามกับติวเตอร์ ไปเดินเที่ยว หรือเดทกันเหมือนที่ทามบอกก่อนถึงวันจริง ทามใช้คำพูดที่จะช่วยมาบังคับติวเตอร์และคำนี้ใช้ได้เสมอ จึงยอมตกลงมาด้วย

 

พอมาถึง พวกเขาก็เดินเที่ยวกัน จากที่ติวเตอร์หน้าบูดไม่ยอมพูด ก็เริ่มสนุกขึ้น จนทามยิ้มได้ ทั้งสองคนเล่นเครื่องเล่นอย่างมีความสุข จนลืมตัวไปเพราะติวเตอร์ไม่ได้มาเที่ยวสวนสนุกนานมาก

 

[ทาม]

 

รอยยิ้มของติวเตอร์นั้นสดใส เป็นรอยยิ้มที่ผมชอบมองมัน ตั้งแต่วันแรกที่เห็นที่ผับนั่น รอยยิ้มที่มีเสน่ห์ดึงดูดให้เขามองตามอย่างห้ามใจไม่ได้ แต่ยิ่งพอเข้าใกล้รอยยิ้มนี่ก็เหมือนจะจางหายไปมากขึ้นเท่านั้น

 

และก็เหมือนจะไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่คิดแบบั้น รอยยิ้มแสนน่ารักของติวเตอร์ก็ยังมีเสน่ห์ต่อคนรอบข้าง ผู้ชายหลายคนเริ่มมองคนของผมอย่างไม่ปิดบัง แต่บางคนก็หลบสายตาไปเพราะผมจ้องพวกนั้นอย่างบอกเป็นนัยๆว่านี่ของผม แต่จนแล้วจนรอดก็ยังมีจนได้ ชายคนหนึ่งเดินมาหาพวกเรา ขณะที่กำลังนั่งพักกินน้ำกันอยู่ สายตามันมองหน้าติวเตอร์อย่างบ่งบอกความต้องการชัดเจน

 

“ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าน้องสองคนเป็นแฟนกันรึเปล่า ถ้าไม่ใช่ พี่จะขอเบอร์น้องคนนี้ได้รึเปล่า”

 

ผมหันขวับไปจ้องหน้ามันอย่างไม่พอใจ แต่มันก็ทำหน้ามึนไม่สนใจ เอาแต่มองหน้าติวเตอร์อย่างรอคอยคำตอบ

 

“เอ่อ มะ ไม่ใช่แฟ”

 

“ไม่ได้! เราเป็นแฟนกัน! ถ้ามีเรื่องอะไรสงสัยอีก ถามผมดีกว่า”

 

ผมลุกพรวดขึ้นยืนประจันหน้ากับไอ้หน้าด้านนั่น โมโหเว้ย ที่ของเล่นดันบอกว่าไม่ใช่แฟน เดี๋ยวเราได้เจอดีกันติวเตอร์ ไอ้ตัวเล็กนี่ก็ได้แต่ทำตาปริบๆไม่รู้เรื่องอะไรอีก

 

“ก็น้องคนนั้นบอกว่าไม่ใช่” ไอ้นั่นยังกล้าพูดมาต่อ มันยืดอกยืนตัวตรงหน้าผมอย่างท้าทาย

 

“มึงจะเอาไง!” ผมคว้าคอเสื้อกระชากมันเข้าหา ง้างหมัดหนักๆเตรียมไว้เข้าตั๊นหน้ามัน แต่กลับถูกคนต้นเรื่องห้ามไว้ซะก่อน

 

“หยุดเถอะครับพี่ทาม ต้องขอโทษด้วยนะครับพี่” ติวเตอร์มันทำหน้าดุใส่ผม หลังผมเอามือลง ฟึดฟัดไม่พอใจมันอยู่ แต่มันกับไม่รู้เรื่อง ยังไปก้มหัวขอโทษไอ้หน้าด้านนั่นอีก ผมก็ได้แต่เลือดขึ้นหน้าอีกครั้ง เตรียมจะวิ่งเข้าใส่มัน ส่วนมันก็ตั้งท่ารออยู่ก่อนแล้ว แต่ก็อีกแหละ ติวเตอร์วิ่งเข้ามาขว้างไว้ จนต้องเลิกรากันไป

 

ผมได้แต่โมโหมันมากที่ทำแบบนี้ ผมจึงลากมันมาที่ห้องน้ำสาธารณะเพื่อทำโทษ ส่วนติวเตอร์ก็ได้แต่หน้าบูดไม่พอใจ ปากก็บ่นผมสลับกับโวยวายบ้างเจ็บบ้างให้ปล่อยบ้าง จนมาถึงห้องน้ำ ผมผลักมันเข้าไปข้างในห้องน้ำแล้วเบียดตัวเองแทรกเตามเข้าไป ล็อคกลอนทันที

 

“จะทำอะไร!” ติวเตอร์หน้าเสียครับ น่าแกล้งจังวะ แต่ตอนนี้ น่าโมโหมากกว่า มาให้ลงโทษซะดีๆ

 

“อื้อ อะ อ่อยยย”

 

ผมไม่พูดอะไร เดินตรงไปจับหน้ามันล็อคไว้ แล้วก้มลงชิมริมฝีปากที่เอาแต่โวยวายนั่น ส่งลิ้นร้อนชอนไชชิมน้ำหวานในปากบางอย่างช้าๆจนทั่ว มือเล็กๆนั่นก็เอาแต่ทุบผม และร้องบอกให้ปล่อย สักพักใหญ่ๆผมก็ลพออกมา ใบหน้าของติวเตอร์ขึ้นสีแดง หอบหายใจหนัก น่ารักชะมัด

 

เพี๊ยะ!! เสียงตบจากฝ่ามือเล็กนั่นดังสนั่น

 

“ติวเตอร์!” ผมนิ่งอึ้งไปสักพัก ยกมือจับหน้าตัวเองที่เริ่มชา ตะโกนออกไปด้วยความโมโห จนร่างเล็กนั้นสะดุ้งตกใจ ร่างกายสั่นไหวไม่หยุด

 

“หึ สมน้ำหน้า ตกลงกันแล้วไม่ใช่หรอว่าจะไม่ทำแบบนี้ แต่นายก็ยัง อ๊ะ ปล่อยนะ เจ็บ ช่วยด้วย” ติวเตอร์ทำใจสู้ ทั้งๆที่ไม่กล้าสบตาด้วยซ้ำ พูดออกมาด้วยความไม่พอใจ ที่ผมผิดสัญญา ใช่ผมผิดสัญญาแต่ผมก็เคยจะเอามันก่อนวันนั้นจะมาถึง และอีกอย่างของเล่นไม่มีสิทธิ์ทำร้ายเจ้านาย

 

“ร้องไปเถอะ ไม่อายรึไง ที่อยู่ในห้องน้ำกับผู้ชายในที่สาธารณะ”

ผมยกมือบีบกแขนติวเตอร์กดมันลงกับกำแพงแน่น ติวเตอร์ก็ได้แต่ดิ้นขัดขืน มือที่ว่างก็ทุบหน้าอกผมรัว ปากถูกกัดไว้กั้นเสียงเพราะความอาย มือผมอีกข้างพยายามแหวกเสื้อเพื่อทำสัญลักษณ์ให้เห็นเด่นชัดตรงคอเพื่อกันพวกหมาหิวพวกนั้นอีก

 

แคว่ก!

 

เหมือนผมจะกระชากแรงไปหน่อย เสื้อที่ติวเตอร์ใส่มา กระดุมกระเด็นหลุด ทำให้เสื้อนั้นแหวกกว้างจนเห็นตุ่มไตสีชมพูน่าชิม ผมมองตรงยอดอกนั้นค้าง กลืนน้ำลายเหนียวลงคอ รวบเอามือของติวเตอร์อีกข้างที่น่ารำคาญเก็บไว้เหนือหัวด้วยกัน เสียงสะอื้นไห้ของคนตัวเล็กไม่ได้เข้าสู่ประสาทผม ผมค่อยๆก้มหน้าลงต่ำเรื่อยๆ ลำคอแห้งผาก อยากลิ้มลองเป็นที่สุด แต่แล้วอารมณ์ก็ต้องสะดุดเมื่อได้ยินเสียงคนเคาะประตูห้องน้ำ

 

ก๊อก ก๊อก

 

“หึ่ย ใครวะ!” ผมได้แต่ถอนหายใจอารมณ์เสียอย่างหนัก ยกนิ้วมือจ่อปากติวเตอร์ไม่ให้ส่งเสียง และตะกอนถามออกไป แต่จนแล้วจนรอดก็เงียบไม่มีเสียงตอบรับ แต่พอผมจะทำต่อก็มีคนมาเคาะประตูอีกหลายครั้ง จนผมทนไม่ไหวออกไปเปิดหาตัวการทีละห้องแต่ก็ไม่เจอใคร แต่ผมก็หมดอารมณ์จะทำต่อ ได้แต่ลากติวเตอร์ออกมาและถอดเสื้อตัวนอกของตัวเองคลุมคนตัวเล็กที่เอาแต่สะอื้นไปจนถึงรถ
 



...



มาแล้วจ้าาา ^^



ตอนใหม่ พร้อมตัวละครใหม่อีกตัว ที่จะมีความสำคัญในช่วงต่อๆไปค่ะ



ตอนนี้เป็นยังไงกันบ้างค้าา



...มีความรู้สึกอยากเปลี่ยนชือเรื่องเลยค่ะ ยิ่งเขียนยิ่งออกแฟนตาซีมากๆ



....



ขอบคุณทุกๆแรงกำลังใจ และทุกท่านที่ติดตามไม่ทิ้งไปไหนนะคะ

 

...

 

ปล.มีใครจะสนใจอยากให้เค้ารวมเล่มบ้างมั้ยน้ออออ มือใหม่หัดคุย


...

รีสก็รักเฟริส์นี้เองแค่ไม่อยากให้เฟริส์ลืมตัวเอง โธ่ๆ
แอบมาอ่านทีเดียวสองตอนรวด อิอิ #ฟิน  :mew1:

ค่าาา รักหรือไม่รัก แต่ดุเหมือนจะยังไม่รู้ใจตัวเองล่ะมั้งคะ
คิดว่าทิ้งกันไปซะแล้วนะคะเนี่ย ยังกลับมาเม้นให้กันอยู่ ขอบคุณค่า

รีสน่าสงสารคนนะไม่ใช่หนูทดลองถึงตายแล้วก็เถอะ ใจร้ายมากเลยดร.
ใช่ค่า ดร.ใจร้ายมากเลย มาช่วยกันลุ้นนะคะว่าดร.จะดีหรือร้ายกันแน่ แล้วจะมรจุดจบแบบไหน
ขอบคุณที่ติดตามนะค้าา

อิ่มมอีกแล้ววว   


แล้วก้เริ่มอยากอ่านตอนต่อไปเร็วๆซะแล้วซิ่ครับ
มาแล้วค้าาาา ตอนใหม่ ชอบรึเปล่าไม่รู้ :mew2:
แต่ตั้งใจเขียนมาให้อ่านกันนะคะ
ขอบคุณที่ติดตามค่า
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: rosetears ที่ 12-07-2016 23:24:29
#ไม่หนีๆแน่นอนค่า
พี่ทามอย่าใจร้ายกะน้องมากนะ
รีสแอบน่าสงสารอ่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 14-07-2016 16:16:13


Me die

 

27 : คำคืนอันยาวนาน

 



สวนสาธารณะแห่งหนึ่งยามค่ำคืน ที่ไม่มีผู้ใดใช้งานมานานแล้ว รอบข้างเงียบสงัด บรรยากาศวังเวงดูน่ากลัว มีดวงไฟสลัวๆตามทางเดินเพียงเท่านั้นที่ส่องแสงอยู่ร่ำไร เสาไฟแต่ละต้นก็ห่างกันไกลพอสมควร

 

พื้นถนนเล็กๆที่เคยขาวสะอาดบัดนี้กลับทั้งดำมีหลุมขรุขระเต็มไปหมด เศษใบไม้แห้งไหวปลิวทั่วบริเวณบ้างก็ทับถมกันเป็นกอง ต้นไม้ดอกไม้เล็กใหญ่ที่เคยใช้ประดับก็เหี่ยวเฉาตายลง เศษดินแห้งเป็นผง กระถางแตกกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อย นางฟ้าน้อยในน้ำพุที่เคยสวยงามบัดนี้กลับกระดำกระด่างมองคล้ายว่าเธอจะร้องไห้ดูน่าเวทนา

 

มุมหนึ่งซึ่งก่อนเคยเป็นที่นั่งพักผ่อนมีชายฉกรรจ์ 4-5 คน จับกลุ่มมั่วสุมกันอยู่ในสวนสาธารณะแห่งนี้เป็นประจำทุกคืน บางครั้งชายกลุ่มนี้ก็เอายามามั่วสุมกันจนเมามายคอยดักปล้นและก่อกวนผู้คนที่ผ่านไปมาจนผู้คนหวาดระแวงแทบไม่กล้าผ่านไปมา จนที่แห่งนี้จะกลายเป็นแหล่งมั่วสุมยานรกและของมึนเมาทั้งหลายของกลุ่มชายชั่วพวกนี้เต็มตัว

 

“เห้ย! มีเหยื่อหลงเข้ามาอีกแล้วว่ะพวก” ชายหนึ่งในนั้นเอ่ยบอกแก่พวกที่เหลือด้วยน้ำเสียงมึนเมา เมื่อเห็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายหลงเดินอยู่คนเดียว ห่างจากพวกมันไปพอสมควร

 

“หวานหมูอีกแล้วว่ะพวก แต่เสียดายที่แม่งเป็นผู้ชาย ถ้าเป็นผู้หญิงนะมึง แค่คิดก็เสียวแล้วว่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า” ชายอีกคนพูดขึ้นน้ำเสียงยานคางและอาการมึนเมา ยกมือขึ้นลูบปากเช็ดน้ำลายเมื่อพูดถึงหญิงสาวด้วยอารมณ์หื่นกาม เรียกเสียงหัวเราะจากพวกที่อยู่ในอาการมึนเมาจากสิ่งเสพติดทั้งหลายเป็นอย่างดี

 

และแล้วพวกมันทั้ง 5 คนก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ในมือหยิบคว้าของใกล้ตัวมาเป็นอาวุธ ยกยิ้มชั่วร้ายมองหน้ากันไปมา แล้วพยักหน้าตกลงกันได้ ก็เดินแบ่งเป็นสองกลุ่มเดินไปหาชายผู้เคราะห์ร้ายที่กำลังก้มๆเงยๆบริเวณม้านั่งข้างหน้าเหมือนกำลังหาอะไรอยู่

 

“น้องชาย มีอะไรให้พวกพี่ช่วยไหม”หนึ่งในสามที่เดินแยกกลุ่มออกไป เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าชายคนนั้น กระจายตัวกันออกห่างเพื่อกันไม่ให้หนีได้ ยกยิ้มแสยะและทำท่าทางนักเลงผิดกับคำพูดที่พูดถามออกไป

 

“อ่าวเห้ย! พี่อ๊อดเขาถามด้วยความหวังดี ทำไมเอ็งไม่ตอบวะ” ชายมึนเมาที่ยืนอยู่ข้างซ้ายคนที่ชื่ออ๊อดพูดขึ้นด้วยท่าทีที่เริ่มโมโห เมื่อคนที่ถูกถามยังคงก้มหน้าไม่พูดไม่จา แถมยังไม่ยอมเงยหน้าสบตาพวกมัน

 

“ใจเย็น เด็กมันคงไม่ได้ตั้งใจ” ชายที่ชื่ออ๊อดยกมือกันทั้งสองคนที่อยู่ซ้ายขวา ที่ทำท่าจะเข้าไปรุมขายแปลกหน้าคนนั้น

 

“ฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือจากพวกแก ถ้าไม่อยากตายไปซะ” ชายคนนั้นยังคงก้มหน้าในความมืดตรงม้านั่งตัวยาวนั้น ไม่เงยไม่หันหน้าไปสบตาพวกมันเช่นเคย ทำแค่เพียงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงแสนเย็นชา

 

ถ้าพวกมันอยู่ในสถานะเช่นคนปกติคงจะรู้สึกขนลุกและหวาดกลัวในแรงกดดันจากเสียงนั้นได้ดี เว้นแต่พวกนี้ก็ยังคงมึนเมาในสิ่งเสพติดที่พวกมันเสพเข้าไป ทำให้รู้สึกโมโหมากกว่าที่จะหวาดกลัวและหลีกหนีไป แต่พวกมันกลับพากันเรียกพรรคพวกที่แอบซ่อนอยู่อีกสองคนเพื่อหวังชิงทรัพย์ก่อนหน้าให้ออกมารุมชายแปลกหน้าคนนี้ ทั้งๆที่ไม่รู้เลยว่าพวกมันอาจจะจบชีวิตที่บัดซบลงตอนนี้

 

“ไอ้เหี้ยนี่! พูดจาแบบนี้ แสดงว่าเอ็งไม่อยากมีชีวิตอยู่สินะ”

“พวกเราเล่นมันเลยดีมั้ยพี่อ๊อด แล้วเอาของมันไปขายเอาเงินไปซื้อยามาเสพดูดกันดีกว่า ”

 

ชายสี่คนที่ออกมายืนล้อมชายแปลกหน้าที่พูดจ้าท้าทายเจ้าถิ่นอย่างพวกมัน ทำท่าพร้อมจะลุยกันเต็มที่ แค่รอคำสั่งจากพี่ใหญ่ที่ชื่ออ๊อด บ้างยกขวดเหล้าที่พวกกินหมดง้างมือรอฟาดเต็มแรง อีกคนก็พับแขนเสื้อยกมือตั้งการ์ดท่ามวยปลอมๆ อีกคนก็โน้มตัวเตรียมปรี่ใส่หักมือกร๊อบแกร็บแล้วหยิบไม้ที่ตนเหน็บไว้ที่เอวมาถือไว้ อีกคนก็ควงมีดพกเล่มเล็กๆเอียงคอไปมาเตรียมตัวเต็มที่ ส่วนคนที่ชื่ออ๊อดยังคงมองนิ่งๆเหมือนให้โอกาส เมื่อชายแปลกหน้ากำลังยืนขึ้นช้าๆ

 

“อยากตายกันนักรึไง ถึงไม่ไสหัวของพวกแกไปจากตรงนี้กันสักที” ชายแปลกหน้าผู้เคราะห์ร้ายลุกขึ้นยืน แต่ยังคงก้มหน้านิ่ง พูดเสียงน่าขนลุกช้าๆ อย่างไม่เกรงกลัวใส่พวกนั้นที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังจะกลายเป็นผู้เคราะห์ร้ายแทนซะเอง

 

“ไอ้เหี้ยนี่! พวกเราลุยเลย!” ชายที่ชื่ออ๊อดเลือดขึ้นหน้าด้วยความไม่พอใจอย่างแรง สั่งพวกที่เหลือให้ลงมือเข้ารุม พวกมันทั้ง 5 คนวิ่งกรูเข้าหาชายคนนั้นด้วยความรวดเร็ว ง้างมือที่ถืออาวุธเข้าหา บ้างก็กระโดดถีบ หวังให้ล้มเพื่อรุมกระทืบและเตะซ้ำตามลำตัว

 

แต่หากเป็นพวกมันที่คิดผิด เข้าโจมตีบางสิ่งบางอย่างที่พวกมันไม่สมควรเข้าไปยุ่งด้วยเลยสักนิด หากยังอยากมีชีวิตมีลมหายใจต่อไป

 

ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองหน้าพวกมันนิ่งงัน แล้วยกยิ้มมุมปาก แยกเขี้ยวเห็นฟันแหลมคมสองคู่บนล่าง ดวงตาสีเหลืองเรืองรอง นัยน์ตารีเรียวดังสัตว์ป่า เล็บมือทั้งสิบนิ้วงอกยาวแหลมดังคมมีด ง้างมือกวาดออกไปข้างหน้าโดนชายคนหนึ่งที่กำลังง้างไม้ยาวจะฟาดใส่จนแขนข้างนั้นหลุดกระเด็น ได้ยินแต่เสียงร้องโอดโอยอย่างเจ็บปวด

 

ร่างกายของชายคนนี้ก็เริ่มเปลี่ยนไปด้วยความรวดเร็ว ใบหน้าของเขานั้นขยับไปมาเปลี่ยนรูป จมูกดำใหญ่สีดำ พ่นลมหายใจจนเป็นไอสีขาว รวมช่วงปากยื่นออกไปข้างหน้า หูมนุษย์แปรเปลี่ยนเป็นงอกยาวแหลมขึ้นสองข้างด้านบนศีรษะ มีเขาแหลมยาวสีดำงอกแทรกขึ้นบนหัวสองข้าง แขนขาแปรเปลี่ยนเป็นลำตัวคล้ายหมาป่าตัวมหึมาสูงกว่าหัวพวกชายกลุ่มนั้น ขนยาวสีน้ำตาลหนาปกคลุมทั่วร่างกาย ยาวพองฟูตั้งแต่ช่วงหลังคอไปจนถึงพวงหางที่ยาวใหญ่เป็นพวงบัดป่ายไปมา

 

ปีศาจหมาป่าร่างยักษ์เข้าโจมตีชายกลุ่มนั้นด้วยความรวดเร็ว กงเล็บใหญ่ตะปมฉีกกระชากร่างกายพวกมันออกจากกัน เขาแหลมพุ่งเสียบคายกชายอีกคนลอยและตกลงสู่พื้น ปากหนาที่อ้ากว้างเผยให้เห็นเขี้ยวแหลมคมขบงับลงและดึงกระชากให้เนื้อหนังตรงนั้นหลุดออก เลือดของชายพวกนั้นกระจายไปทั่ว เสียงร้องโหยหวนจากพวกนั้นดังขึ้นและหยุดเงียบลงด้วยความรวดเร็ว

 

ภายในเวลาไม่กี่นาที ชายพวกนั้นก็เหลือเพียงแค่ชื่อ และเศษซากของร่างกายที่หลุดกระจายไปตามพื้นหญ้าแห้ง เลือดชั่วสีแดงฉานไหลนองและซึมลงดินเป็นวงกว้าง ปีศาจหมาป่าร่างยักษ์เดินเก็บกินเศษซากเครื่องในพวกนั้นจนหมดเกลี้ยง เหลือไว้แต่เศษเนื้อหนังและกระดูก กับส่วนที่เหลือของร่างกายภายนอกที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณ 

 

หมาป่าร่างยักษ์สีน้ำตาลกลับสู่ร่างมนุษย์เช่นเดิม เป็นชายร่างสูงใหญ่ ผิวขาวในร่างเปลือยเปล่า ใบหน้าคล้ายชายชาวยุโรป จมูกโด่งสวย ผมสีน้ำตาล ดวงตาสีอำพัน ริมฝีปากได้รูปมีเขี้ยวเล็กๆและคาบเลือดสีแดงติดมุมปาก แลบลิ้นของตนเลียเก็บเลือดที่เลอะนั้นจนหมดเกลี้ยง จากนั้นก็เดินไปหยิบเสื้อผ้าของตนที่หลุดออกจากร่างกายตอนกลายร่างมาสวมใส่ เดินไปหยิบของบางสิ่งที่เขาเจอตรงม้านั่งขึ้นมาชูไว้เหนือหัว

 

“ได้ทั้งเบาะแส ได้ทั้งกินอิ่ม หึ! พวกหน้าโง่ อุตส่าห์บอกให้หนีไปง่ายๆแล้วยังไม่ยอมไป โทษฉันไม่ได้นะ แต่ยังไง ฉัน ไมเคิล ก็ต้องขอบใจสำหรับอาหารมื้อนี้”

 

เขายกยิ้มขึ้นเมื่อได้สิ่งที่ต้องการ แล้วหันกลับไปยืนมองพวกนั้น พูดขึ้นมาเบาๆกับตัวเอง ทำท่าโค้งคำนับให้เกียรติที่ได้รับอาหาร จากนั้นก็เหลือบตามองสิ่งที่อยู่ในมือ ‘สร้อยข้อมือที่มีจี้ตัวษรF’ ที่มีกลิ่นของปีศาจในตำนานที่เขาตามหามานาน  มือนั้นกำมันแล้วยัดลงกระเป๋ากางเกงตนเอง และเดินจากไปในความมืดมิด ทิ้งสิ่งที่น่าสยดสยองไว้ข้างหลัง

 

...

 

อีกด้านหนึ่ง

 

งานเลี้ยงเล็กๆถูกจัดขึ้นที่บ้านของทาม เชิญเฉพาะเพื่อน แขกที่สนิททางธุรกิจและเครือญาติไม่กี่คน ให้อ้างและถูกจัดฉากว่าเป็นงานแสดงความยินดีที่ทั้งสองครอบครัวได้ร่วมทำธุรกิจกัน

 

แต่แท้จริงถูกจัดขึ้นเพื่อเป็นการประกาศงานหมั้นทั้งๆที่ทั้งคู่ก็ไม่ต้องการ แต่พ่อทั้งสองไปตกลงกันลับหลังเมื่อไหร่ยังไงก็ไม่รู้ ทามและติวเตอร์ถึงได้ยอมทำตาม แต่ความลับมักไม่มีในโลกเสมอ แขกหลายคนที่มาได้แต่ซุบซิบและรู้ถึงเจตนาในการจัดงานครั้งนี้ เพียงแค่ร่วมกันยิ้มปกปิดและเล่นไปตามๆกัน

 

ทามในชุดสูทสีขาวยืนเด่นสง่ารับกับหน้าตาและความสูงที่เพอร์เฟคอยู่หน้างานต้อนรับแขกที่มาเข้างาน รวมทั้งเพื่อนๆที่มาร่วมยินดี และสาวๆของเขาที่ไม่รู้ว่าใครเชิญมางานและมายื้อแย่งอยากจะเป็นคู่ควงในคืนนี้ ซึ่งทามเองก็เอาแต่ยิ้มและไม่ได้ปฏิเสธใครปล่อยให้สาวๆยื้อแย่งตนไปมา เอ๊ะอะเสียงดังอยู่หน้าทางเข้างาน แต่สาวๆก็ต้องจำใจปล่อยเมื่อเห็นพ่อของทามที่เดินยิ้มตรงเข้ามา

 

“สวัสดีค่ะคุณพ่อ หนูชื่อเชอร์เอมค่ะ ลูกสาวของคุณแม่มารตีมาแสดงความยินดีแทนคุณแม่ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”

 

หญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างซ้ายของทามรีบปล่อยมือออกจากแขนของทาม และเก็บท่าทางให้ดูเรียบร้อย ยิ้มกว้าง และเดินไปหา  ยื่นมือออกไปทำความรู้จักกับพ่อของทามทันที

 

“สวัสดีจ่ะ ฝากขอบคุณคุณหญิงด้วยนะ แต่พ่อขอยืมตัวทามก่อนนะ ทุกคนคงจะไม่ว่าอะไร”

 

พ่อของทามหันไปยิ้มด้วย และยื่นมือออกจับ พรางคิดไม่ค่อยพอใจกับมารยาทการไหว้ของไทยที่เด็กๆพวกนี้หลงลืมกัน และรีบเอ่ยตัดหน้าชิงตัวทามออกมาซะก่อนที่คนอื่นๆจะพูดขึ้นมาอีก ได้ยินแต่เสียงวี๊ดว๊ายว่ากล่าวกันของสาวๆทั้งหลายเบาๆที่อิจฉาไม่ได้ทำความรู้จักกับพ่อของทามผู้ที่ซึ่งวาดหวังอยากจะเกี่ยวดองกัน

 

เมื่อทามเดินตามพ่อของตนห่างออกมาอยู่กันสองคน พ่อของตนก็ชิงพูดขึ้นมา ทำเสียงเข้มแต่กับมีรอยยิ้มประดับหน้าเช่นเดียวกับลูกชาย

 

“มีอะไรกันรึเปล่าทาม เสียงดังไปจนถึงข้างใน แขกท่านอื่นเขาตกใจกันหมด”

 

“ไม่มีอะไรครับ สาวๆเขาแย่งผมเอง ว่าแต่พ่อมีอะไรรึเปล่าถึงได้ออกมาตามเอง”

 

“ใกล้ถึงเวลาแล้ว ไปตามน้องไป แล้วก็เรื่องพวกนี้อย่าให้มีปัญหาตอนนี้”

 

“ไม่มีปัญหาอยู่แล้วครับพ่อ แล้วอีกอย่างวันนี้ผมมีความสุขเป็นพิเศษ ไม่ให้เสียฤกษ์หรอกครับ”

 

“แกนี่มันโรคจิตเหมือนใครนะ มีความสุขที่ได้เห็นน้ำตาพวกมันซะจริง ฮ่าๆๆ”

 

“หึ พ่อไงครับ”

 

ทามเดินเบี่ยงหลบจากพ่อ เดินล้วงกระเป๋าอารมณ์ดีเข้าไปในงาน และตรงไปยังห้องแต่งตัวทันที แต่ก็เดินสวนกับพ่อของติวเตอร์ที่เดินทำหน้าเครียดๆผ่านมาซะก่อน จึงเอ่ยทักออกไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

 

“คุณพ่อเป็นอะไรรึเปล่าครับ หน้าตาดูเครียดๆ ยิ้มหน่อยไม่ดีกว่าหรอครับ เรากำลังจะได้ร่วมธุรกิจกันนี่นะ”

 

“หึ ธุรกิจ ที่พวกแกสองพ่อลูกสร้างสถานการณ์มาบีบบ้านเราน่ะหรอ อย่ามาพูดดีไปหน่อยเลย แล้วถ้าแกล่วงเกินลูกฉันล่ะก็ แกจะต้องเสียใจ”

 

พ่อของติวเตอร์พูดสวนออกมา แค่นี้เขาก็ทนจะไม่ไหวอยู่แล้ว ยิ่งทามมาพูดแบบนี้ยิ่งทำให้เขาอารมณ์เสียเข้าไปใหญ่ แต่ก็ไม่ได้โวยวายอะไรเสียงดังแค่พูดเสียงเข้มให้ได้ยินกันสองคน

 

“ใจเย็นๆก่อนครับคุณพ่อ ผมว่าผมไปตามน้องมาหมั้น เอ้ย ทำสัญญาร่วมงานกันดีกว่านะครับ” ทามพูดยิ้มๆไม่ได้รู้สึกผิดหรือทุกข์ร้อนอะไรกับคำขู่นั่นเลยแม้แต่น้อย แต่กลับสบายๆ

 

แล้วเดินเบี่ยงหลบไปยังห้องแต่งตัวเพื่อหาติวเตอร์อีกครั้ง พ่อของติวเตอร์ได้แต่ทำหน้าเครียดโมโหแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะข้อผูกมัดที่ติวเตอร์ยอมเพื่อตนเอง ได้แต่แอบร้องไห้อยู่เงียบๆทุกครั้งไป แต่วันนี้ก็ดันถูกบังคับให้มาร่วมงานโดยที่ปฏิเสธไม่ได้ ถึงจะไม่ได้ต้องการจะให้จัดงานแบบนี้ แต่เพราะสัญญาที่พ่อของทามให้ไว้กับเขาที่ว่าจะไม่ทำให้เรื่องที่ติวเตอร์ยอมเข้าไปอยู่กับทามแพร่งพรายออกไป เพื่อตัวของลูกเขาเองจะได้ไม่อายและเป็นที่นินทาของคนอื่น

 

...

 

ก๊อก ก๊อก

 

“ได้เวลาแล้ว มัวทำอะไรอยู่ เปิดประตูให้พี่หน่อยติวเตอร์”

 

ทามเคาะประตูอย่างแรงจนเกิดเสียงดัง ติวเตอร์ที่นั่งเศร้าอยู่หน้ากระจกในห้องแต่งตัวสะดุ้งเฮือก แล้วค่อยๆลุกขึ้นไปเปิดประตูให้ทาม

 

ติวเตอร์ค่อยๆเปิดประตูช้าๆ แต่ไม่ทันใจทามจึงคว้าบานประตู แล้วดันตัวเองเข้ามาในห้องแทน ติวเตอร์ในชุดสูทสีขาวเช่นเดียวกับทาม เครื่องสำอางถูกแต่งแต้มบนใบหน้าขาวใสเล็กน้อยดูน่ารัก ทรงผมก็ถูกจัดแต่งให้ดูดีเข้ากับชุด

 

แม้ชุดนี้จะเป็นเพียงแค่ชุดสูทธรรมดาแต่เมื่อมันอยู่บนตัวของติวเตอร์กับดูพิเศษมากกว่าคนทั่วไปในสายตาของทาม จนทามหยุดสายตาที่จะมองติวเตอร์ไม่ได้

 

“เอ่อ พี่ทามครับ ไหนว่าได้เวลา...อ๊ะ! พี่ทามจะทำอะไร!”

 

ติวเตอร์ที่ตัวเล็กกว่ามองขึ้นไปบนใบหน้าของทามที่ขยับเข้ามาชิดตัว ยกมือขึ้นดันให้ทามถอยห่าง พูดให้ทามถอยจากตนเพื่อลีกเลี่ยงแต่ดูเหมือนจะไม่เป็นดังคิด เมื่อทามขยับตัวให้เบียดชิดติวเตอร์มากขึ้น จนตัวของติวเตอร์ถอยติดผนังหมดทางหนี

 

“เงียบน่า ก็อยากยั่วสายตาพี่ทำไมล่ะ”

 

“ว่าไงนะครั อ๊ะ คะ แค่นี้เองหรอ”

 

ทามยกมือของติวเตอร์ออกจากที่ดันตัวเองอยู่ แล้วก้มลงจุ๊บที่ริมฝีปากบางนั่นแผ่วเบา แล้วยกออก ยกยิ้มกรุ้มกริ่ม ทำสายตาหยอกล้อเป็นประกายมองไปยังอีกคน ที่ตอนนี้ตาโตด้วยความตกใจ จากที่คิดว่าจะโดนทำมากกว่านี้ เพราะแต่ละครั้งมันไม่เคยน้อยกว่าการจูบที่ดูดดื่มเลย แต่มันไม่ใช่ จึงได้แต่นิ่งอึ้งไป พูดกับตัวเองแผ่วเบา ทำหน้าเหวอจนทามอยากแกล้งขึ้นไปอีก

 

“ทำไมครับ อยากให้พี่ทำมากกว่านี้หรอ” ทามยกยิ้มพอใจที่ได้เห็นสีหน้าที่น่ารักนั่น แกล้งยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีก จนจมูกแทบชิดกัน แล้วพูดขึ้นแผ่วเบา

 

“ป่ะ เปล่าสักหน่อย” ติวเตอร์หน้าแดงขึ้นมา ไม่กล้าสบตาคนที่ขยับเข้ามาใกล้ เบนหน้าหนีและยกมือดันหน้าอกหนักๆนั้นให้ถอยห่างตน

“เอาไว้...คืนนี้ เราค่อยต่อกัน ฟู่...” ทามรวบมือติวเตอร์มาจับไว้หลวมๆ ยื่นหน้าเข้าไปใกล้แก้มของคนที่หันหน้าไปข้างๆและค่อยๆไล่ไปที่หู ปากพูดกระซิบเบาๆ และเป่าลมร้อนๆลงไปอย่างแผ่วเบา ติวเตอร์ได้แต่ตัวเกร็ง ขนลุกซู่ หน้าเห่อร้อนขึ้นมากกว่าเดิม อ้าปากตะงาบๆพูดไม่ออก ที่ทามมีท่าทีแปลกๆ มาแกล้งตนแบบนี้ ปกติได้แต่บังคับ จนทามที่เอาแต่ยิ้ม จับมือติวเตอร์ออกไปในงานพร้อมกัน 

 

ทามจูงมือติวเตอร์ออกมานั่งที่โซฟายาวที่จัดงาน เพราะได้ฤกษ์พอดี พ่อของทั้งสองนั่งอยู่คนละฝั่งที่เก้าอี้โซฟาตัวเดี่ยว มีโต๊ะเล็กวางเอกสารซึ่งไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดงานแก่คนทั่วไปวางอยู่ แท้จริงแล้ว นั่นคือ สัญญาที่จะจ่ายค่าเสียหายที่ทำครอบครัวของติวเตอร์ล้มละลาย  แต่จนกว่าติวเตอร์จะอยู่ครบถึงจะคืนให้ทั้งหมด ระหว่างนี้ก็นำมาเข้าหุ้นร่วมกันทำโปรเจคร่วมกันไปก่อน แต่ถ้าติวเตอร์อยู่ไม่ครบกำหนด3เดือน ทั้งคู่จะไม่ได้สมบัติทั้งหมดคืน รวมทั้งจะต้องจ่ายค่าเสียเวลาอีกสามสิบล้านให้ครอบครัวของทาม และทามจะไม่สามารถยุ่งเกี่ยวกับติวเตอร์ได้อีกถ้าติวเตอร์อยู่ครบกำหนดสัญญา

 

ติวเตอร์รู้ดีว่าทางครอบครัวเขาเสียเปรียบ แต่ยังไงก็ต้องทำ แค่ครั้งนี้ เขาแค่ยอมเป็นของเล่นไปเป็นทาสให้กับทาม แค่3เดือน เขากับพ่อจะเป็นอิสระต่อครอบครัวนี้ทั้งหมด ทามจะไม่มายุ่งเกี่ยวกับเขาได้อีก พ่อของเขาจะได้สบาย ส่วนความรู้สึกของเขา ก็แค่...ช่างมัน

 

ติวเตอร์จัดการจรดปากกาลงบนแผ่นเอกสาร เป็นคนสุดท้าย เมื่อเสร็จสิ้นเสียงปรบมือของแขกที่มาร่วมงานทั้งหมดก็ดังขึ้น ติวเตอร์ได้แต่ฝืนยิ้มออกไป เพราะเสียงของทามที่กระซิบข้างหูเมื่อครั้งถ่ายรูป แต่เมื่อเขาหันไปมองหน้าบิดา น้ำตาก็แทบไหลออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

ใบหน้าแสนเศร้าและเจ็บใจที่ไม่อาจช่วยลูกชายได้ ได้แต่มองตามไปเงียบๆเก็บความขมขื่นไว้ภายใน มองตามลูกชายที่ถูกทามจูงมือไปร่วมพูดคุยกับแขกที่อยู่ในช่วงงานเลี้ยง ทางเวทีก็มีนักร้องและวงดนตรีมาร้องคลอในวงต่อไปแทน ส่วนตนก็ลุกจากเก้าอี้ไปแอบร้องไห้อยู่ด้านหลังงานทันที

 

...

 

“เตอร์ รีสขอโทษ” รีสในคราบไมค์มาร่วมงานเลี้ยง เพราะได้รับข้อมูลจากเชน เขารู้ทั้งหมด แต่ตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้เลย ยิ่งเห็นใบหน้าที่แสนเจ็บปวดของทั้งติวเตอร์ทั้งคุณอาพ่อของติวเตอร์ บุคคลทั้งสองที่เขารักกำลังเดือดร้อน ก็ยิ่งรู้สึกผิดหวังในตัวเอง เขาได้แต่ยืนมองเหตุการณ์นั้นเงียบๆ

 

“นั่น! รีสหรอ...” ติวเตอร์เห็นชายร่างสูงใหญ่ที่มีใบหน้าคล้ายคนที่เขาเคยรู้จัก ยืนมองเขาอยู่ไกลๆ จึงปล่อยมือทามจะเดินเข้าไปหา

 

“จะไปไหนเตอร์ เราต้องไปคุยกับแขกตรงนั้น” ทามห้ามไว้ และลากติวเตอร์ไปอีกด้าน คนตัวเล็กที่โดนลากก็ได้แต่ชะเง้อมองคนตัวสูงที่ยืนมองตนนิ่งๆในมุมนั้น แต่ก็ต้องหันกลับไปคุยกับแขก แต่พอหันไปมองหาอีกที เขากลับไม่พบใครคนนั้นแล้ว

 

“มองหาใครอยู่ได้ติวเตอร์” ทามทนไม่ไหว ที่ติวเตอร์ไม่มีสมาธิ เอาแต่คอยชะเง้อคอมองหาใครบางคนอยู่ได้

 

“เปล่า” ติวเตอร์ได้แต่ปฏิเสธเสียงแข็ง แล้วเดินไปทำความรู้จักกับคนอื่นๆ แต่ก็เหลือบสายตามองหาคนๆนั้นอยู่เสมอ แต่ก็ไม่เจอ ติวเตอร์ได้แต่ยอมแพ้ เลิกมองหา และคิดแค่ว่าเขาฟุ้งซ่านไปเอง

 

...

 

หลังจากงานเลี้ยงจบลง แขกทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้านของตน ปกติเองติวเตอร์และพ่อก็คงต้องกลับไปพักผ่อนที่บ้านของตน แต่แน่นอนว่านี่คือวันแรกที่ติวเตอร์จะต้องเข้าไปอยู่ในบ้านของทาม ซึ่งเป็นเวลาที่เขาและพ่อไม่อยากให้มาถึง

 

ทามพาติวเตอร์กลับมาที่บ้าน ส่วนพ่อของติวเตอร์นั้นถูกกันไม่ให้เข้ามายุ่ง หลังจากไปโวยวายจะฉีกสัญญาอีกครั้ง ติวเตอร์และพ่อได้แต่กอดกันร้องไห้ จนเสื้อสูทนั้นเปื้อนไปด้วยน้ำตา จนตนเองถูกทามลากออกมา และตรงมายังบ้านที่เขาจะต้องใช้ชีวิตจากนนี้อีกสามเดือน บ้านที่เปรียบเสมือนขุมนรกของเขา

 

“นับตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบเข้าไปในบ้าน คือเวลาเริ่มต้นสัญญาของเรา  และ3เดือนหลังจากนี้ ถึงจะเป็นอิสระ เข้าใจนะครับติวเตอร์”

 

ทามพูดขึ้นเมื่ออยู่หน้าประตูบ้าน ยกยิ้มที่ได้ชัยชนะอีกครั้งแล้วเดินเข้าไปรอในบ้าน หันหน้าออกมาคอยมองคนที่ยังคงยืนนิ่งอยู่หน้าประตู

 

“เข้ามาสิ” จนทามต้องพูดขึ้นอีกครั้ง ติวเตอร์สะดุ้ง แล้วพยักหน้า ไม่พูดอะไร ติวเตอร์มีสีหน้าลำบากใจ คิ้วขมวดกันเป็นปมแน่น แต่ก็ยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ในใจภาวนาให้เวลาเดินเร็วขึ้น ‘แค่3เดือน เขาจะทำตัวเป็นหุ่นยนต์ทำตามคำสั่งของไอ้บ้าทาม แล้วหลังจากนั้น เราจะเป็นอิสระ’ ติวเตอร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยกขาค่อยๆก้าวเข้าไปในตัวบ้าน

 

“มานี่สิของเล่นของพี่” เมื่อเข้ามาแล้วติวเตอร์ก็ได้แต่ยืนนิ่ง ทั้งหน้าตาท่าทางก็เปลี่ยนไป เอาแต่นิ่งเฉยๆไม่แสดงอาการอะไร เป็นหุ่นยนต์ดังที่ตนต้องการจะทำ  จนทามกวักมือเรียกให้มายืนอยู่ตรงหน้าเขา ทามยิ้มร้าย ยกมือขึ้นลูบใบหน้าของติวเตอร์แผ่วเบาอย่างเอ็นดูในของเล่นชิ้นใหม่ที่เขาได้มาอยู่ในมือแล้ว

 

“ไปข้างบนกันดีกว่า พี่เตรียมอะไรดีๆไว้รอติวเตอร์เยอะเลยนะครับ” ทามพูดไปยิ้มไป มือโอบไหล่ติวเตอร์เดินขึ้นไปที่ห้องตน ดวงตานั้นมองจ้องของเล่นชิ้นใหม่ ที่จะกลายเป็นของเล่นชิ้นโปรดหรือจะพังตั้งแต่ครั้งแรกที่เล่นไม่วางตา แม้ใบหน้าที่สวยราวตุ๊กตานี้จะนิ่งงัน แต่ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับทาม เพราะอีกไม่นานสีหน้าของติวเตอร์นั้นจะต้องเปลี่ยนไป


 







....



ตัดฉับๆๆๆ เอา NC พี่ทามน้องติวเตอร์ ต่อตอนหน้านะคะ



เปิดตัวตัวละครใหม่อีกตัวแล้วววว น่ากลัว จะมาเป็นฝ่ายร้ายหรือฝ่ายดีกันนะ



ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม และให้กำลังใจกันตลอดมาค่า


#ไม่หนีๆแน่นอนค่า
พี่ทามอย่าใจร้ายกะน้องมากนะ
รีสแอบน่าสงสารอ่ะ  :mew1:

ขอบคุณนะคะที่ติดตามตลอด  :กอด1:

พี่ทามไม่ใจร้ายหรอกค่า พี่ทามแค่แอบโรคจิตเบาๆเอง
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: rosetears ที่ 20-07-2016 11:42:27
ตัวละครใหม่เหมือนจะโหดเสียด้วย ร้ายแน่ๆ 555
พี่ทามระวังเตอร์ช้ำนะ อิอิ  :mew1:
#ด้วยความยินดีค่า
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: rosetears ที่ 20-08-2016 21:44:32
แอบแวะมาส่อง อิอิ  :mew1:
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย ตอนที่ 28 nc20++ ทามxติวเตอร์
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 05-09-2016 11:51:07
Me die
28 : คำคืนที่ยาวนาน II




มือหนาของทามยกขึ้นลูบไล้ตามร่างกายขาวของติวเตอร์ที่ถูกดันให้นอนราบลงที่เตียงกว้าง อีกมือก็ปลดกระดุมเสื้อด้านในช้าๆเผยให้เห็นยอดอกสีหวาน รอยยิ้มมุมปากยังคงประดับบนใบหน้าของทาม สายตาแวววาวที่บ่งบอกว่าต้องการจ้องมองคนตัวเล็กที่อยู่ด้านล่างตนไม่วางตา ค่อยๆก้มลงลิ้มเลียผิวละเอียดนั่นช้าๆ ‘หวาน’ ยิ่งชิมยิ่งหยุดไม่ได้ แต่ยิ่งเล้าโลมเท่าไหร่คนด้านล่างก็เอาแต่นอนนิ่ง ทามจึงเริ่มไม่พอใจ

 

‘เดี๋ยวมันก็จบติวเตอร์ ทนไป’ คนตัวเล็กได้แต่นอนนิ่งเฉยปล่อยให้คนด้านบนกระทำสิ่งที่ต้องการ ทำเพียงเบือนหน้าหนีและหลับตาลงยอมรับชะตากรรม พร่ำบอกตัวเองให้อดทนอยู่ในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

“จะนอนนิ่งไปอีกนานแค่ไหน พี่อยากได้คู่นอนที่มีชีวิตนะครับ ไม่ใช่...ตุ๊กตายาง” ทามหยุดการกระทำ แล้วนิ่งมองคนที่อยู่ด้านล่าง เขาไม่พอใจที่คนปากเก่งชอบต่อต้านแบบติวเตอร์กับทำตัวนิ่งเป็นหุ่นใส่เขาแบบนี้ คนแบบทามมีแต่คนอยากเข้าหา ประเคนร่างกายให้ถึงที่ แต่กับคนๆนี้ ทำไมถึงเข้าหายาก พอได้มากับได้แค่ร่างกาย ทั้งๆที่เขาสนใจและอยากได้มากกว่านั้น

 

“ได้! เลือกแบบนี้เองนะ คิดว่าจะอ่อนโยนด้วยเพราะเห็นว่าเป็นครั้งแรก แต่คงไม่ต้องมันแล้ว!” ติวเตอร์ก็เอาแต่นิ่งอยู่แบบเดิม จนทามทนไม่ไหว ตะโกนใส่หน้าติวเตอร์จนสะดุ้งตกใจแต่ยังคงหลับตาแน่น

 

“ฮึก!” ติวเตอร์ได้แต่สะดุ้ง หวาดกลัวจนตัวสั่นไหว แต่ยังคงข่มตาหลับให้แน่นกว่าเดิมเพื่อไม่ให้อีกคนเห็นว่าตนกลัว มือเล็กกำไว้แน่นจนข้อขาว ในใจกับเต้นโครมครามตรงข้ามกับท่าทางนิ่งเฉยที่แสดงออก

 

ทามนิ่งมองคนตัวเล็กยิ่งเห็นท่าทียิ่งคิ้วขมวดไม่พอใจหนักขึ้น เพราะแทนที่จะกลัวจนต้องยอมแต่กลับไม่เป็นเข่นนั้น แต่ทามยังคงนิ่งดูปฏิกิริยาต่อต้านบ้าๆที่ติวเตอร์กำลังทำว่าจะทำได้นานแค่ไหน เวลาผ่านไปสักพักด้วยความเงียบที่ไม่จางหายไป ติวเตอร์ก็ยังคงนิ่งอยู่ท่านั้นไม่เปลี่ยน

 

‘แต่ก็นี่แหละเสน่ห์ของเด็กดื้อ ทำให้เขายิ่งอยากจะเอาชนะมากขึ้นไปอีก’

 

ทามยกยิ้มมุมปาก เมื่อคิดอะไรดีๆได้ จริงๆก็ไม่ได้โมโหอะไร แค่อยากเห็นปฏิกิริยาอย่างอื่นของคนตัวเล็กบ้าง คนอะไรยิ่งโมโหยิ่งน่ารัก เขาถึงได้แกล้งเอาๆ แต่ตอนนี้เขาอยากจะเห็นสีหน้าแบบอื่นมากกว่า ใครจะว่าเขาโรคจิตก็ไม่ปฏิเสธแต่เขาก็เป็นแค่กับคนตัวเล็กนี่คนเดียว เอาแต่นิ่งเฉยหลบสายตาคิดว่าจะพ้นหรอ คิดอะไรตื้นๆ อยากจะรู้จริงๆว่าเวลาคนดื้อด้านแบบนี้มีอารมณ์จะเป็นยังไง

 

“หึ เรามาดูกันว่าจะนิ่งไปอีกนานแค่ไหน ไม่ลืมตาขึ้นบอกเลยว่าจะเสียใจนะครับน้องติวเตอร์” ทามหัวเราะในลำคอ ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ แลบลิ้นเลียริมฝีปากที่แห้งผากเมื่อจินตนาการถึงสิ่งที่เขาจะทำกับคนตัวเล็กต่อจากนี้

 

ทามลุกออกจากที่คร่อมติวเตอร์อยู่ไปยืนข้างเตียง มือปลดเสื้อผ้าตัวเองออกอย่างรวดเร็ว ดวงตายังคงจ้องคนที่นอนนิ่งไม่วางตา ทามที่เปลือยกายจนหมดค่อยๆคลานขึ้นเตียงไปช้าๆ เตียงยุบตรงไหนติวเตอร์ก็สะดุ้งทุกครั้ง เรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากทามได้เป็นอย่างดี เมื่อถึงตัวคนที่นอนนิ่งอยู่มือหนาก็จัดการปลดเสื้อผ้าออกอย่างรวดเร็ว จนตอนนี้เปลือยทั้งคู่

 

“หึหึหึ พร้อมรึยังครับ...ที่รัก” ทามคุกเข่ายืดตัวตรงอยู่ด้านบนติวเตอร์ ดวงตาเจ้าเล่ห์มองต่ำลง มือข้างหนึ่งจับแขนดึงให้ติวเตอร์ลุกขึ้นมานั่งในตำแหน่งที่เขาต้องการ ติวเตอร์ก็เอาแต่หลับตาปี๋ ส่วนทามก็เอาแต่ยิ้มสนุก จับมือติวเตอร์ไปแตะที่แท่งร้อนของตนที่กำลังสั่นระริก ติวเตอร์ชะงักมือไว้เมื่อสัมผัสได้ว่าตนสัมผัสอะไรอยู่แล้วพยายามดึงมือออก แต่ทามก็กระชากกลับมา พร้อมพูดขู่ แถมให้มือเล็กนั้นจับไว้ให้แน่นและรูดแท่งร้อนของตนขึ้นลงไปเรื่อยๆ

 

แต่ติวเตอร์ก็ยังคงหลับตาแน่นแถมยังเบือนหน้าหนีเหมือนไม่รับรู้ทั้งที่ในใจตนอยากจะหายไปจากตรงนี้ ทามเห็นติวเตอร์ยังคงนิ่งจึงเริ่มแกล้งต่อไป ให้ติวเตอร์ปล่อยมือออกตากแท่งร้อนตนแล้วรูดรั้งเอง พร้ออมๆกับยกมือตนอีกข้างเอื้อมไปจับที่ท้ายทอยติวเตอร์หันหน้ากับมา ค่อยๆโน้มให้ใบหน้าของคนตัวเล็กเข้ามาใกล้เป้าหมายที่ตนต้องการ จับทามน้อยจ่อไว้ตรงปากติวเตอร์แล้วพูดช้าๆ

 

“จัด การ ซะ”

 

แต่ตัวเตอร์ยังคงนิ่งเฉย ทามขมวดคิ้วไม่พอใจ จึงเอ่ยเช่นเดิมอีกครั้ง แต่ปฏิกิริยาของคนตัวเล็กก็เป็นเช่นเดิม เขาจึงเปลี่ยนจากที่จับท้ายทอยมากดบีบปากติวเตอร์ให้อ้าออกอย่างแรงจนติวเตอร์ต้องร้องออกมาอย่างทนความเจ็บไม่ไหว

 

“โอ้ย!! อึก ไม่ ไม่มีทาง” ติวเตอร์ยู่หน้าด้วยความเจ็บ จะอ้าปากด่าเมื่อทามปล่อยปากตน แต่ก็ได้แต่ทำตาโต จ้องมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าตนเขม็ง ยิ่งเห็นมันกำลังพองโตใหญ่ขึ้นได้อีกแถมยังกระตุกอยู่ตรงหน้า ก็ได้แต่อึ้งค้าง ทามเห็นติวเตอร์ทำท่าแบบนั้นก็ได้แต่หัวเราะในลำคอภูมิใจในขนดของตน พอติวเตอร์ได้สติจะถอยหนีแต่ก็ไม่ทันเพราะมือทามกดหัวไว้แน่นและโน้มเข้าเรื่อยๆ ได้แต่ยกมือดันไม่ให้มันเข้ามาชิดและพูดปฏิเสธตะกุกตะกัก ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ตนเองได้ยินได้เห็น แค่คิดว่าอยู่นิ่งๆเดี๋ยวพายุมันก็ผ่านไป แต่นี่เขาต้องทำมัน ต้องเอาสิ่งนี้เข้ามาในปาก เขาจะไม่ยอมทำเด็ดขาด!   

 

“ไม่ยอมดีๆงั้นหรอ เอ...หรืออยากฉีกสัญญา? เลือกเอาเองนะ พี่ให้เวลาคิด5วินาที” ทามปล่อยมือออก ยกขึ้นทำท่ายอม แล้วเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงมองอีกคนที่ขมวดคิ้วเหมือนไม่แคร์ และเริ่มนับ ทั้งๆที่แท่งร้อนของตนที่อยู่ตรงหว่างขายังคงยืนตรงพองโตชี้หน้าติวเตอร์อยู่แบบนั้น

 

“ห้า สี่ สาม เอาไงครับ  สอง  จะหมดเวลาแล้วนะ ...หน”

 

“ผะ ผม ผมต้องทำยังไง” ติวเตอร์คิดหนัก แต่ก็ไม่อาจฉีกสัญญาได้ จึงได้แค่ทำตามที่คนใจร้ายต้องการตามแผน พูดออกไปอย่างเร็วก่อนหมดเวลา สีหน้าลำบากใจจนแทบร้องไห้ เมื่อทามได้ยินก็ได้แต่หัวเราะ หึหึ ยกยิ้มอย่างพออกพอใจ เอนหลังพิงหัวเตียงอย่างสบายๆ

 

“คลานเข่าเข้ามา แล้วใช้ปากทำให้พี่สิติวเตอร์” ดวงตาคมจ้องมองไปที่ติวเตอร์ที่กำลังค่อยๆคลานเข้ามา ดวงตาคู่เล็กนั่นสั่นไหว เม้มปากไว้แน่น มองลงต่ำบ้างเสไปด้านข้างบ้าง ไม่กล้ามองตรงมาที่ส่วนนั้นของทามที่กำลังชี้หน้าเขาอยู่

 

“อ๊ะ!”

 

“ช้า”

 

ทามกระชากแขนให้ติวเตอร์เข้ามาใกล้ จนหน้าเกือบชนกับแท่งร้อนของตนที่แข็งและกระตุกรับหงึกๆอยู่ตรงหน้าติวเตอร์ ดวงตาติวเตอร์เหลือกโตตกใจจ้องอยู่อย่างนั้นนิ่ง ยิ่งทามเห็นท่าทางตื่นๆแบบนั้นแท่งร้อนของเขาก็ยิ่งพองโตสู้สายตาของติวเตอร์ที่จ้องมาอย่างตื่นเต้น

 

“ทำสิ” ติวเตอร์ยังคงจ้องนิ่ง จนทามต้องพูดเตือนสติ ติวเตอร์จึงสะดุ้งแล้วจะยกหน้าออกห่าง แต่ทามไวกว่าจึงกดท้ายทอยให้ต่ำลง จนส่วนนั้นสัมผัสกับริมฝีปากบาง ทามได้แต่ขนลุกตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนกับคู่นอนคนไหนๆ ส่วนนั้นก็แข็งปั๋งต้องการอย่างมาก

 

ติวเตอร์หลับตาลงปิดบังความจริง อ้าปากออกค่อยๆก้มลงครอบครองส่วนที่แข็งขืนของทามเข้าปากตนอย่างฝืนทน แต่เพราะความที่ไม่เคยทำให้ใครและไม่เคยมีใครทำให้มาก่อน ฟันเล็กๆจึงครูดกับแท่งร้อนของทามเป็นระยะๆเมื่อขยับขึ้นลง แต่ปากเล็กๆที่ร้อนและชุ่มน้ำในปากทำให้ทามครางฮือพอใจออกมาเบาๆเป็นระยะๆ จนน้ำลายใสๆเริ่มไหลรินเยิ้มออกจากริมฝีปากบางเพิ่มความลื่นไหลและสร้างความเสียวซ่านมากขึ้นไปอีก

 

“ไม่ได้เรื่อง” ทามปล่อยมือออกไปวางไว้ข้างลำตัว ใจแข็งเก็บอาการทั้งๆที่ขนลุกซู่ด้วยความเสียวซ่านกับความไม่ประสาของติวเตอร์ แอบกลืนน้ำลายเบาๆแล้วพูดขึ้นช้าๆ จนติวเตอร์ถอนปากออกจ้องมองอย่างงงๆ แต่เขากับไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองตอนนี้เซ็กซี่แค่ไหน ทั้งดวงตาที่จ้องมองมานั้นช่ำเยิ้มนิดๆทำให้ดูยั่วยวน ทั้งน้ำใสๆที่ไหลย้อยมุมปากของติวเตอร์ทามนั้นอยากเข้าไปแลบเลียให้หมด แล้วไหนจะท่าทางที่แขนบางๆนั้นยกขึ้นเช็ดน้ำใสที่ไหลเยิ้มจากมุมปากด้วยร่างกายขาวเปลือยเปล่า ยิ่งเห็นในมุมมองของทามแล้ว ยากมากจริงๆที่จะอดทนไม่ให้เข้าไปขย้ำและสาดสีให้เปรอะเปื้อนไปทั่วทั้งกาย

 

“ผะ ผม เตอร์ทำไม่เป็นนี่ครับ พี่ทาม” ติวเตอร์นั่งนิ่งมองคนที่ไม่พอใจกับสิ่งที่เขาทำให้ แถมยังโดนดุเรื่องที่ไม่เรียกว่าพี่อีก แล้วเขาต้องทำยังไงก็ในเมื่อเขาทำไม่เป็นจริงๆ มันก็ต้องไม่ได้เรื่องอยู่แล้ว ใช่ไม่ได้เรื่อง ก็แน่สิ เขาไม่เคยทำให้ใคร จะทำเป็นได้ยังไง

 

“มานี่” ทามเรียกติวเตอร์ให้เข้าไปใกล้ ให้นั่งบนขาของเขาและเอนหลังพิงไปบนตัวด้านหนึ่งของทาม ติวเตอร์จะขัดขืนเบี่ยงตัวหลบออกแต่ทามก็พูดขู่จึงได้แต่นิ่งและทำตามไป เมื่อติวเตอร์นั่งซ้อนอยู่บนตัวเองแล้ว ทามยกมือขึ้นไปลูบไล้เบาๆตั้งแต่แขนบาง ลำคอ คาง และไปหยุดอยู่ที่ปากเล็ก ยื่นนิ้วชี้กับนิ้วกลางออกไปจ่อที่ริมฝีปาก ติวเตอร์ก็เอาแต่มองแล้วงง นิ้วจะให้เขาทำเป็นได้ยังไง

 

“อ้าปากออกสิครับเด็กดี” ติวเตอร์ทำตามอย่างว่าง่าย ค่อยๆอ้าปากออกช้าๆ ทามก็ยื่นนิ้วของตนเข้าไปข้างในปากร้อนๆของติวเตอร์ทันที

 

“ดูดมัน ช้าๆ ค่อยๆเลียครับ ใช้ลิ้นด้วย อืม ใช่ แบบนั้นแหละ ง่ายใช่ไหมล่ะ” ทามพูดสอนไปช้าๆ ติวเตอร์ก็ทำตามอย่างว่าง่าย ค่อยๆดูดค่อยๆเลียนิ้วนั้นอย่างตั้งใจจนมันชุ่มไปด้วยน้ำลาย ทามก็ได้แต่อดกลั้น เขาคิดดีแล้วที่ไม่ต้องมองหน้าติวเตอร์ตอนนี้ไม่งั้นเขาทนต่อไปไม่ไหวแน่ๆ

 

“เข้าใจแล้วใช่ไหม ทำมันต่อสิ” ทามถอนนิ้วออกจากปากร้อนช้าๆที่ดูเหมือนจะติดใจดูดมันกับเข้าไปอีกครั้ง แต่ทามก็ขืนดึงออกอย่างเร็ว และพูดขึ้น พร้อมชี้นิ้วลงไปยังส่วนแข็งขืนของตนที่กำลังพองใหญ่จนมีน้ำใสๆไหลออกจากส่วยปลายนิดๆ ติวเตอร์พยักหน้างึกหงักเข้าใจสิ่งที่ทามพูด มองตามนนิ้วมือนั้นจนไปยังแท่งร้อนของทาม จากนั้นก็ก้มลงเอาปากครอบครองแท่งร้อนของทามอีกครั้ง ทามก็ได้แต่ครางฮือ มือขยุ้มกลุ่มผมของติวเตอร์ช้าๆเพื่อคลายความเสียวซ่านที่ตนได้รับจากร่างบางตรงหน้า

 

“อ๊ะ อือ” ทามยื่นมืออีกข้างไปลูบไล้ที่สะโพกมนของคนตัวเล็กที่ก้มโค้งปากต่ำลงทำหน้าที่ แต่สะโพกดันแอ่นขึ้นเพราะเข่าที่ชันไว้กับที่นอน เหมือนจงใจวางท่าทียั่วยวนให้ทามเข้าไปสัมผัส มือหนาค้นคลึงตามแรงอารมณ์ที่กำลังโหมกระพือจนติวเตอร์สะดุ้งตกใจ จะถอนปากออก แต่ทามก็กดหัวลงไปทำหน้าที่ตามเดิม ติวเตอร์ได้แต่เอามือปัดป่ายมือที่เค้นสะโพกตนอยู่แต่ก็ไม่พ้น ทามที่เค้นสะโพกจนขึ้นรอยมือแดงไปทั่วนั้นไล้วนบริเวณปากทางสีชมพูถูวนไปวนมาอยู่นาน แล้วจึงยกออก ติวเตอร์จึงโล่งใจเพราะคิดว่าไม่ทำแล้ว

 

“อ้า! เจ็บ เอาออกไปนะ อึ้ก!” แต่เขาก็คิดผิดจนต้องสะดุ้งตัวโยนร้องตะโกนออกมา ทามเพียงแค่เอานิ้วมือออกมาชโลมน้ำจากปากตนเองจนเปียกชุ่ม แล้วกับไปค่อยๆกดลงตรงช่างทางสีชมพูนั้น จนติวเตอร์สะดุ้งเฮือก เด้งตัวถอยหนี แต่ทามไวกว่าจึงจับกดติวเตอร์จนนอนหงายลงกับที่นอนผสานดวงตากัน ร่างเล็กนั้นเอาแต่ขยับถอยหนีจากสัมผัสจากช่วงล่าง ทามจึงต้องจับขาเล็กข้างหนึ่งดันแนบอกแล้วกดมือบางทั้งสองข้างมาตรึงไว้ด้วยกันตรงอกคนตัวเล็กด้วยความรวดเร็ว ขาอีกข้างที่ว่างก็ขยับไม่ถนัดจึงแทบจะทำอะไรไม่ได้นอกจากวางไว้เฉยๆ

 

“อะ อือ” นิ้วยาวที่อยู่ภายในช่องทางสีสวยเริ่มทำหน้าที่ของตน กดเข้าไปลึกขึ้นเรื่อยๆ เมื่อไปจนสุดทางก็ขยับไล้วนไปมาอยู่ภายในเพ่อหาจุดของร่างบาง แล้วเริ่มขยับเข้าออกทีช้าๆทันที ติวเตอร์ได้แต่ทำหน้าเหยเกกับสัมผัสแปลกใหม่ แรกๆก็เจ็บ แต่ตอนนี้เขาเริ่มที่มีความรู้สึกเสียวซ่านแปลกๆ ทามเห็นท่าทีนั้นก็ได้แต่ยิ้มพอใจที่เห็นท่าทีของคนตัวเล็กที่ก่อนนี้ยังดื้อรั้น แต่ตอนนี้ดันทำสีหน้ายั่วยวนไม่รู้ตัว เขาเพิ่มนิ้วใส่เข้าไปทีละนิ้วแล้วขยับเข้าออกไปเรื่อยๆจนคนตัวเล็กชิน ได้แต่ครางฮือหอบหายใจขนลุกซู่เสียวซ่านกับความสุขที่เขามอบให้ จนไม่ต้องจับแขนขากดไว้เพราะไร้เรียวแรงต่อต้าน

 

“ฮึ่ม! ทนไม่ไหวแล้วเว้ย ยั่วฉิบหาย” ทามตะโกนออกมาอย่างทนไม่ไหว ยิ่งมองยิ่งอยากเข้าไปในตัวของคนตัวเล็กเร็วๆ ยิ่งมองยั่วสายตาเขาจนทนอีกต่อไปไม่ไหวแล้ว ทามจึงลุกขึ้นไปคร่อมบนตัวของติวเตอร์ที่ถูกดันให้นอนราบไปกับเตียง แล้วจัดการแยกขาเรียวของตัวเตอร์ออกกว้าง ถอดถอนนิ้วยาวออกแล้วแทรกตัวเข้าไปอย่างรวดเร็วแม้จะไม่ได้รุนแรงมากนักแต่เพราะรู้สึกดีเลยขยับตัวเข้าไปเร็วทั้งที่ไม่อยากทำให้เจ็บ

 

“อ๊า!! อือ จะ เจ็บ อ๊ะ พี่ทาม ปล่อย เอาออกไปนะ อึก....” ติวเตอร์ได้แต่นิ่วหน้าด้วยความเจ็บเพราะสิ่งที่เข้าไปแทนที่นั้นขนาดต่างจากนิ้วมาก จากที่เสียวซ่านกลับจุกและเจ็บจนแทบพูดไม่ออกเมื่อทามกระแทกเข้ามาจนสุดในทีเดียวจนมิดด้าม

 

“อืม ทนหน่อย อย่าเกร็ง” เมื่อได้เข้าไปในตัวของคนตัวเล็กแล้ว ทามยิ่งละโมบอยากจะได้มากกว่านี้ ช่องทางอุ่นจนร้อนทั้งคับแคบทั้งตอดตุบๆจนเขาเสียวจนอยากจะเสร็จจึงได้แต่แช่ค้างไว้ภายในกัดปากอดกลั้นไว้ ทำไมรู้สึกดีขนาดนี้ ทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่เคยเสียวขนาดนี้ ไม่เคยอยากได้ขนาดนี้ ไม่เคยละโมบอยากครอบครองเอาไว้คนเดียวขนาดนี้ ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเจ็บแค่ไหนจะมีความสุขเพียงใดขอเพียงแค่เขาพอใจและได้ปลดปล่อย แต่กับคนๆนี้ทำไมอยาก ถะนุถนอม อยากกอดเอาไว้ด้วยสองแขนนี้ไม่ให้คนอื่นได้แตะต้อง อยากถูก...รัก

 

“อ่ะ อืม อื้อ” เมื่อแช่ค้างไว้สักพัก มือของทามก็ยังคงทำหน้าที่ลูบไล้ทั่วร่างกายแถมยังมอบจูบที่แสนหวานดังเช่นคำปลอบประโลม ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนติวเตอร์รู้สึกผ่อนคลาย ทามจึงเริ่มขยับกายส่วนล่างช้าๆแล้วค่อยเพิ่มแรงจนโหมกระพือ แม้แรกๆติวเตอร์จะขัดขืน แต่ไปๆมาๆสมองกับขาวโพลนไม่รับรู้อะไรทำเพียงแค่ปลดปล่อยร่างกายให้เป็นไปตามที่ถูกอีกคนชักจูงด้วยท่าทีที่อ่อนโยน ชั่ววูบหนึ่งในความคิด เขากับโหยหา รัก จากคนๆนี้

 

ค่ำคืนที่ยาวนานของทั้งคู่ก็ยังคงดำเนินต่อไป พายุที่ติวเตอร์คิดว่าจะสงบเมื่อรอบแรกผ่านพ้นไป แต่มันกับพัดโหมกระหน่ำใส่เขาตลอดทั้งคืน สายน้ำมากมายไหลหยดเปราะเปื้อนครั้งแล้วครั้งเล่า รอยรักสีกุหลาบบนร่างกายก็มีขึ้นเรื่อยๆแม้รอยเก่ายังไม่จางหายไป เสียงครางหวานของทั้งคู่ดังระงมลั่นห้องดังเพลงขับประสาน และยังคงดังต่อเนื่องแม้เสียงนั้นจะแหบแห้งหรือเวลาหมุนเวียนไปจนเช้ามืดแล้วก็ตาม

 

อีกทั้งเสียงที่ดังแว่วออกไปออกไปด้านนอกห้องให้คนที่ได้ยินหน้าแดงไปตามๆกันอีกด้วย จนใครๆต่างก็พากันถอยห่าง แม้กระทั่งพ่อของทามที่ตอนนี้เพิ่งคิดได้ว่าตนไม่ควรให้คู่บ่าวสาวมาเข้าหอที่บ้านของตนเลย ทำเอาคนในบ้านพลอยเดือดร้อนหน้าหูแดงเขินไปกันหมด ทำรักกันดีแบบนี้สงสัยเขาคงต้องจะต้องแบกหน้าไปขอโทษพ่อของเด็กคนนี้ พร้อมกับสู่ขอกันดีๆแล้วละมั้ง

 



 

อีกด้าน ณ สถานเริงรมณ์แห่งหนึ่ง

 

เฟิร์สที่กำลังนั่งอยู่ที่เคาเตอร์บาร์กระดกแก้วเหล้าดีกลีแรงเข้าปากแก้วแล้วแก้วเล่าตั้งแต่มาถึงช่วงหัวค่ำ แทนที่จะออกไปหาเหยื่อสาวๆอย่างเขาควรจะทำ ตั้งแต่เขาหลุดออกจากขุมนรกจากปีศาจที่ชื่อ รีส นั้นมา เขาพยายามที่จะทำให้ตัวเองเหมือนปกติ ไม่เอาแต่ซึมและหวาดกลัวอยู่ในห้อง ออกมาเที่ยวตามสถานที่เริงรมณ์เป็นผีเสื้อราตรีตามที่เคยเป็น

 

แต่เมื่อมาถึงเขากลับทำตามที่ใจอยากจะทำไม่ได้ มองไปทางไหนมันก็น่าเบื่อ ทั้งๆที่มีทั้งหญิงสาวที่หุ่นเอ็กซ์เซ็กซี่เกินพิกัดไปจนถึงหนุ่มน้อยน่ารักมองมาอย่างมีความหมายที่รู้ๆกันอยู่ แต่เขากับเลือกที่จะเมิน แล้วหลบมานั่งดื่มเหล้าดีกลีแรงๆเพื่อให้ตัวเองเมาแทน

 

“เอามาอีกแก้ว” เฟิร์สที่เริ่มเมา หน้าแดงจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ แต่ก็ยังคงไม่หยุดดื่ม เอาแต่ร้องสั่งขอเพิ่มมาเรื่อยๆ ดวงหน้าได้แต่เหม่อลอย ในสมองว่างป่าวไม่รู้จะคิดอะไร แต่ภายในใจลึกๆกับคิดถึงแต่ใบหน้าของปีศาจร้ายตนนั้น เพียงแต่เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงติดอยู่ในใจ กลัว? แค้น? หรืออะไร เพียงแค่ในแวบเล็กๆของเศษเสี้ยวความคิดเขากลับมีความคิดว่า เขา คิดถึง ทั้งๆที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ เลยทำให้เขาฟุ้งซ่านยกแก้วเหล้านั้นดื่มเอาๆจนหมดไปอีกหลายแก้ว

 

[เฟิร์ส]

 

“เอามาอีก” ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจตนเอง ทั้งๆที่มันเลิกยุ่งแล้ว เลิกวุ่นวาย เลิกแค้น เลิกก่อกวน จนเราแทบเป็นบ้าตามมันไป อีกอย่างเรื่องมันก็ผ่านมาจะเป็นเดือนแล้ว แต่ทำไมยังคิดถึงแต่เรื่องเดิมๆ ฉันควรจะดีใจสิถึงจะถูกแต่ทำไมถึงสมองว่างเปล่าไม่รู้ว่าจะทำอะไรดีแบบนี้วะ ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ โว้ย! เครียด เครียดเพราะไม่รู้ว่าเครียดอะไรเนี่ยแหละ

 

“คุณเมาแล้วนะครับ” เสียงใครวะ ไอ้ปีศาจรีส ไม่ใช่ เสียงมันไม่ใช่แบบนี้แน่นอน แถมบรรยากาศก็ไม่ใช่ ผมจึงเงยหน้าไปมองมันทั้งๆที่ตัวเองแทบเมาจนกลิ้งยกหัวไม่ขึ้น อ่อ บริกร พนักงาน เรียกว่าไรวะ ช่างแม่ง เด็กชงเหล้าละกัน

 

“เสือกไรด้วยวะ กูมีเงินจ่าย เอาเหล้ามา!” แม่งวุ่นวายจริงๆ หลังจากผมด่ามันไปมันก็เงียบไม่กวนผมอีก ซึ่งก็ดี อย่าเสือกให้มากจะดีที่สุด ทำหน้าที่ของตัวเองไปพอ ผมก็เอาแต่ยกแก้วเหล้าเข้าปากเรื่อยๆ จนเวลาผ่านไปจนดึก เสียงเพลงรอบด้านจากที่เปิดจังหวะสบายๆตอนนี้กับเป็นจังหวะดนตรีไม่มีเนื้อร้องที่โคตรมันเมื่อก่อน แต่สำหรับผมกับนั่งนิ่งเฉย แถมแทบเรียกได้ว่าเมาเหมือนหมา ยิ่งสมองคิดเรื่องแปลกๆอย่างคิดถึงรสสัมผัสหรืออะไรก็ตามแต่ของไอ้ปีศาจนั่น ผมก็ยกแก้วเหล้าใส่ปากเอาเป็นเอาตาย จนตอนนี้ผมเทเหล้าแทบไม่เข้าปากปล่อยให้พื้นมันกินไปแทน แต่ก็ยังคงสั่งมาเรื่อยๆ สติการรับรู้ด้านร่างกายผมตอนนี้เทียบเท่ากับศูนย์จนล้มฟุบหน้าลงกับโต๊ะที่กิน แต่ทำไมสมองผมยังคงคิดแต่เรื่องเดิมๆ แม้กระทั่งเปลือกตาที่กำลังจะปิดตอนนี้กับมีภาพใบหน้าของปีศาจนั่นฉายชัดขึ้นมา ก่อนที่อะไรๆจะเงียบและมืดสนิท

 

[เฟิร์ส จบ]

 

“หึ ไม่คิดว่าเหยื่อจะมาติดกับซะเองแบบนี้ ฉันจะรอให้นายมาเอาของๆนายคืนไป” จู่ๆบริกรที่ยืนชงเหล้าให้กับเฟิร์สก่อนหน้า ก็ก้มหน้าลงมาจ้องนิ่งๆใกล้หน้าเฟิร์ส ก่อนจะถอยออกมาแล้วพูดเบาๆกับตัวเอง ดวงตาของพนักงานหนุ่มแวบเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเรืองรองดังสัตว์ป่าก่อนจะกลับมาดำสนิทเหมือนอย่างเคย รอยยิ้มมุมปากถูกยกยิ้มน้อยๆ แล้วเขาก็เดินอ้อมออกมายกแขนเฟิร์สพาดบ่าตนข้างหนึ่งก่อนจะพาเดินออกมาด้านนอกอย่างไร้คนสงสัย


 
 

 





...

เอา nc มาเสริฟให้อ่านกันนะคะ หวังว่าคงจะชอบกันนะ



ใครที่รู้สึกว่าบางอย่างมันแปลกๆก็มองขข้ามไปนะคะ ยังไม่ได้ทวน เนื่องจากหายไปนาน รีบ กลัวรอนานค่ะ เลยเอามาลงให้ก่อน



ต้องขออภัยที่หายไปนาน จัดการเรื่องเรียนที่แสนวุ่นวายได้เมื่อไม่นานมานี้เองล่ะค่ะ



ขอบคุณทุกท่านที่ยังติดตามอ่านกันอยู่นะคะ



ตัวละครใหม่เหมือนจะโหดเสียด้วย ร้ายแน่ๆ 555
พี่ทามระวังเตอร์ช้ำนะ อิอิ  :mew1:
#ด้วยความยินดีค่า

แอบแวะมาส่อง อิอิ  :mew1:

ขอบคุณเช่นเดิมนะคะที่ยังติดตาม และต้องขออถัยที่หายไปนานมาก ขอมอบ nc ให้อ่านชดเชยที่หายไปนานนะคะ
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: rosetears ที่ 14-09-2016 00:39:34
เค้าก้อแอบหายไปนานเลยพอดีช่วงนี้ยุ่งๆ
ทามแรงส์ 555
#เอาใจช่วยนะไรท์ หลังจากเห็นเม้นก่อนหน้าฮือๆ
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย ตอนที่ 29
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 14-09-2016 21:07:23

Me die
29 : ปีศาจ


เวลา 20.30 น.
บนตึกร้างแห่งหนึ่ง เฟิร์สที่หลับยาวข้ามวันจนเวลาล่วงเลยมาจนมืดจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปจนฟุบหลับไปก่อนหน้า กำลังงัวเงียตื่นขึ้นจากการนอนบนที่นอนที่เขารู้สึกว่าแข็งเหมือนกับพื้นปูน แต่แล้วเขาก็ตกใจตื่นเต็มตา ถอยกรูไปจนหลังชิดกับกำแพงด้วยความตื่นตะลึงกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า จากแสงของตะเกียงไฟฟ้าสลัวๆใกล้ๆตัวเขา

“ซากพวกนี้...มันอะไรกันวะ อุบ! อ้วก”

เศษซากชิ้นส่วนทั้งที่ยังคงมีเนื้อหนังติดอยู่ เครื่องใน รวมถึงโครงกระดูกมากมายที่กองรวมๆกันที่ไม่รู้ว่าเป็นของมนุษย์หรือสัตว์ แต่ดูจากจำนวนแล้ว น่าจะมีมากกว่า10ชีวิตที่น่าจบลงที่นี่ บางชิ้นก็ยังคงดูสดใหม่มีเลือดไหลเยิ้มออกมา บ้างก็ดูจะเน่าเหวะหวะส่งกลิ่นเหม็นเน่าน่าสะอิดสะเอียดชวนให้อ้วกออกมา

“ตื่นแล้วงั้นหรอ หลับนานจังเลยนะ” จู่ๆก็มีเสียงของใครบางคนดังออกมาจากอีกมุมมืดๆของซากตึกที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จ โดยที่ได้ยินแค่เสียงจากมุมนั้น แต่ยังไม่เห็นแม้แต่หน้าตาหรือตัวตน

“ใคร!!” ด้วยความกลัวเฟิร์สจึงถอยหลังชิดกำแพงแน่นขึ้น มองหาสิ่งของใกล้ตัวเพื่อเป็นอาวุธ แต่ก็เจอเพียงกระดูกท่อนแขนของมนุษย์อยู่ใกล้ๆ เขาลังเลอยู่นานว่าจะหยิบสิ่งนั้นมาหรือไม่ เพราะมันน่าจะเป็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียดมากกว่าอาวุธ คนที่กลัวเจ้าสิ่งนี้น่าจะเป็นเขาเองมากกว่า ภายในใจก็คิดโทษโชคชะตาที่ทำให้เขาต้องเข้ามาพัวพันกับสิ่งเร้นลับและปีศาจพวกนี้บ่อยนัก

แต่สายตาที่คอยจ้องเจ้ากระดูกท่อนแขนมนุษย์กับสิ่งเร้นลับที่อยู่มุมมืดของกำแพงที่มันกำลังเคลื่อนไหว ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆกำลังก้าวเดินมาหาเขา และแววตาที่เรืองรองในความมืดมิด แววตาสีเหลืองในตารีเรียวสีดำ แววตาของสัตว์ร้าย ที่กำลังจ้องมอที่เขาเขม็ง ทำให้ไม่ลังเลที่จะหยิบกระดูกมนุษย์มาเป็นอาวุธป้องกัน เพื่อความอุ่นใจทันที แม้ว่าตอนนี้ตัวเขาจะสั่นไหวและหวาดกลัวจนแทบขยับกายไปไหนไม่ได้ ลมหายใจติดขัด หัวใจเต้นระรัวด้วยความตื่นกลัว ได้แต่หันหลังเข้าหากำแพงเพราะคิดว่าปลอดภัย จนตอนนี้เขาไม่แน่ใจว่าจะมีแรงยกขึ้นมาสู้เพื่อป้องกันตัวก็ตามที

“ฮ่าๆๆ กลัวอะไรกัน ก่อนหน้านี้ที่ผับ คุณยังตวาดให้ขผมเอาเหล้าให้อยู่เลย” ชายในมุมมืดก้าวเท้าหนักๆออกมา ดวงตาเรืองรองดังสัตว์ป่าที่เห็นในความมืดนั้น บัดนี้กลับเป็นแค่ดวงตาสีอำพันสวยงาม ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผมสีน้ำตาล คล้ายชาวยุโรป ยิ้มโชว์เขี้ยวเล็กๆ ที่ดูรวมๆแล้วกลับลงตัวอย่างประหลาด ยืนเต็มความสูงถัดจากเฟิร์สไปไม่ไกล

“ไอ้พนักงานชงเหล้า! มึง!” เมื่อเห็นหน้าเต็มตาเฟิร์สก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เพราะกลายเป็นคนคุ้นตาที่ก่อนหน้านี้ยังยืนชงเหล้าตามที่เขาสั่งอยู่ในผับ แต่เวลานี้กลับพาเขามาในที่สยองๆแบบนี้ แล้วยังจะโผล่ออกมาจากมุมมืดๆให้เขาสติแตกอีก หรือเพราะเขามีประสบการณ์แย่ๆแบบนี้จากปีศาจตัวแรกที่เจอในชีวิตก็เป็นได้ ด้วยความกลัวทั้งหมดเลยกลายเป็นความโกรธ เฟิร์สขว้างกระดูกในมือไปหาชายคนนั้นแต่มันดันหลบได้  พร้อมกับลุกขึ้น วิ่งเข้าไปหา หมายจะต่อยหน้าให้คว่ำ โทษฐานที่ทำให้เขากลัว

ปึก!!

“ทำแบบนี้ ไม่น่ารักเลยนะครับ” เฟิร์สหน้าถอดสี เมื่อหมัดที่ง้างขึ้นหมายจะต่อยลงที่หน้าชายหนุ่มตาสีอำพันคนนี้ กลับถูกจับไว้อย่างง่ายดายด้วยมือเพียงข้างเดียว แถมยังกดมือเขาให้ต่ำลงไปอยู่ระดับอกด้วยท่าทีสบายๆเหมือนไม่ได้ออกแรงทั้งที่เขาเองใช้กำลังที่มีทั้งหมดในการฝืนแล้วดันกลับไป     

“โอ๊ย!”

ชายหนุ่มตาสีอำพัน ยกยิ้มมุมปาก จ้องมองไปที่เฟิร์สที่ทำสีหน้าเจ็บปวดจากการถูกบีบมือที่โดนจับไว้ก่อนหน้า ชายหนุ่มค่อยๆก้มหน้าเข้ามาจนเกือบชิดใบหน้าของเฟิร์ส ใบหน้าปกติเมื่อครู่กับกลายเป็นปีศาจร้าย ตารีเรียวดังสัตว์ป่า จมูกและช่วงปากงอกยาวออกมาพร้อมเขี้ยวที่คมใหญ่ ก่อนจะกลับกายเป็นใบหน้ามนุษย์อีกครั้ง แล้วพูดออกมาด้วยเสียงเย็นๆที่ส่งผลให้คนฟังถึงกับขนลุกเกรียวกับสิ่งเหนือธรรมชาติตรงหน้า

“ถ้าคิดจะทำร้ายร่างกายผม มันยังเร็วไปสิบปี!”

“อึก! มะ มึงต้องการอะไร หรือมึงเป็นพวกเดียวกันกับ...รีส” เฟิร์สใจเต้นโครมคราม ตาเหลือกโตตกใจ ร่างกายเกร็งแข็งไปชั่วขณะ เมื่อสติเริ่มกับมาภาพของรีสกับแวบขึ้นมาในหัว ทำให้เขากล้าที่จะถามคำถามบ้าๆพวกนี้ออกไป

“ไม่! ผมไม่มีทางเป็นพวกเดียวกับมัน! ผมแค่อยากได้บางอย่างเท่านั้น”

“โอ๊ย! จะ เจ็บ ปล่อย”

สิ่งที่ได้กลับกลายเป็นว่าปีศาจอีกตนที่อยู่ตรงหน้าเฟิร์สกับโมโหจนลมออกหู ตะโกนปฏิเสธเสียงดังลั่นรวมถึงเปลี่ยนมากระชากร่างกายเขาแล้วเขย่าไปมาอย่างแรง จากนั้นก็เหวี่ยงเขาจนล้มลงไปบนพื้นปูนทับเศษกระดูกบางชิ้นจนมันแตกแล้วบาดเขาจนเลือดออก

โครม!

“อึก! มึงต้องการอะไร” เฟิร์สยกมือขึ้นกุมบาดแผลของตนที่เลือดกำลังไหลทะลัก แม้แผลที่ได้จะไม่ใหญ่แต่เลือดกับไหลไม่ยอมหยุด นิ่วหน้าด้วยความเจ็บ แต่ก็ยังคงขยับร่างกายของตนถอยหนีปีศาจตัวนี้จนหลังไปชิดกำแพงหมดทางไป เขารู้สึกว่าทำไมชีวิตจะต้องมาถามคำถามซ้ำซากแบบนี้บ่อยๆกับพวกสิ่งผิดปกติพวกนี้กัน

แต่ปีศาจนั้นก็ไม่ได้ตามเขามา มันทำเพียงแค่เหลือบตามองเฟิร์สนิ่งๆ แล้วยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะเปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าครั่ง อยู่นานสองนาน ก่อนที่จะเงียบลง แล้วเอ่ยบางอย่างออกมาอีกครั้ง

“ผมจะเล่านิทานให้คุณฟังสักเรื่องแล้วกันนะ ...เมื่อพันปีก่อน โลกใบนี้มีสิ่งมีชีวิตหลากหลายรูปแบบ รวมถึงปีศาจ บางสิ่งที่มีเวทมนต์อำนาจในการควบคุมสิ่งต่างๆโดยง่าย มนุษย์นั้นก็เป็นเพียงแค่สิ่งมีชีวิตเล็กๆ แต่ก็เพราะความเจ้าเล่ห์เพทุบายที่อ้างข้อสัญญาบางอย่างกับพระเจ้า ขอเข้าร่วมในสงครามการกวาดล้างปีศาจครั้งใหญ่ จนในที่สุดปีศาจก็พ่ายแพ้ให้แก่พระเจ้า ขณะที่พวกมนุษย์กับได้ยึดครองโลกใบนี้อย่างเช่นทุกวันนี้ โดยที่พระเจ้าไม่เข้ามาข้องเกี่ยว พวกขปีศาจก็ได้แต่หลบซ่อน”

“นายเป็นปีศาจ งั้น...นายแค้นมนุษย์หรอ แล้วทำไมถึงเป็นผม” เฟิร์สได้ฟังเรื่องราก็พยายามทำใจให้สงบ แม้จะสงบไม่ได้ เรื่องนี้มันชักจะใหญ่เกินตัวแล้ว ใหญ่เกินไป

“สุภาพเชียวนะครับ แล้วอารมณ์โกรธเกี้ยวก่อนหน้าหายไปไหนกัน ผมอุตส่าห์ชอบมันแท้ๆ หึหึ ผมบอกแล้วว่ามันคือนิทาน คุณพร้อมจะฟังต่อไหม” เฟิร์สได้แต่ถอยชิดกำแพงแน่นขึ้น จนแทบจะเข้าไปอยู่ข้างใน ปีกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอพยักหน้าตอบรับกับปีศาจตรงหน้า ปีศาจที่ดูน่ากลัว สยดสยอง ที่มาพร้อมกับกลิ่นคาวเลือด แตกต่างจากปีศาจน้ำแข็งอย่างรีส ที่แม้จะหนาวเหน็บร่างกายแต่หัวใจกับร้อนจนแทบละลาย

“อ้อ แล้วผมไม่ได้แค้นมนุษย์หรอกนะ เรื่องพวกนี้มันไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆกับผม แม้ผมจะเดือดร้อนอยู่บ้างที่ต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ แต่ผมไม่ได้เดือดร้อนเรื่องของกิน ซึ่งคุณก็เห็น” เฟิร์สมองตามสายตาของปีศาจตนนี้ไป ซึ่งมันไปหยุดอยู่ที่โครงกระดูกและเศษซากที่ถูกกัดกินตนแทบไม่เหลือซาก จนหน้าแทบถอดสี ‘น่ากลัว ปีศาจตรงหน้านี้ช่างหน้ากลัว ไม่เหมือน ไม่เหมือนกัน’ เขาได้เปรียบเทียบกับรีส ซึ่งแม้จะน่ากลัวแต่เขาเชื่อว่าเขาจะไม่ตาย ต่างจากตนนี้ ส่วยชายหนุ่มดวงตาสีอำพันที่ได้เห็นท่าทีของอีกคนที่เริ่มสติแตกก็ยิ่งยิ้มกว้างแล้วเล่าเรื่องของต่อไป

“สิ่งที่ผมต้องการจริงๆแล้ว มันคือการต่อสู้กับใครบางคนในตำนานสงครามครั้งนั้น ปีศาจที่เป็นเจ้าสงครามผู้มีพละกำลังมหาศาลและได้ยืนหยัดต่อสู้กับเหล่าเทวาทั้งหลายตั้งแต่ต้นจนจบ ปีศาจที่ถูกจารึกว่าเป็นปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุด แม้ว่าหลังจบสงครามปีศาจจะพ่ายแพ้ แต่ก็ไม่มีผู้ใดที่เห็นแม้แต่เงาของปีศาจผู้ยิ่งใหญ่นั้นเลย ...แม้ว่าตัวผมเองก็หลบหนีออกมาจากสงครามนั้นเหมือนกัน แต่เพื่อความยิ่งใหญ่เหนือปีศาจอื่นทั้งปวง ผมจำเป็นต้องเอาชนะปีศาจสงครามเรื่องชื่อตนนั้นลงให้ได้ซะก่อน”

“นายแค้นพระเจ้า? แล้วปีศาจสงครามที่ว่าหมายถึงใคร มองยังไงเรื่องนี้ก็ไม่เห็นเกี่ยวกับผม นายน่าจะปล่อยผมไปมากกว่า หรือว่าจับผมมาเป็นอาหาร” เฟิร์สที่นั่งฟังอย่างระแวงมาสักพัก เริ่มตรองหาเหตุผลที่มันบ้าพอๆกับนิทานที่ปีศาจตนนี้เล่าให้ฟัง แล้วก็ได้ข้อสรุป ว่าเขาคืออาหาร แต่ปีศาจนี่จะเล่าเรื่องพวกนี้ให้เขาฟังทำไม

“คุณไม่เข้าใจสินะ ก่อนอื่นคงต้องบอกว่าผมไม่ได้แค้นพระเจ้า ตอนนี้พวกเราแยกกันอยู่ พระเจ้า มนุษย์ ปีศาจ ไม่เกี่ยวข้องใดๆกันอีก แล้วคุณก็ไม่ใช่อาหาร ที่ผมต้องการเพียงการขึ้นเป็นเจ้าปีศาจผู้แข็งแกร่ง ผมเพียงอยากสร้างตำนานใหม่ขึ้นมาแทนที่ปีศาจสงครามนั้น โดยผมไล่ล่าและฆ่าฟันปีศาจมามากมาย จนตอนนี้ผมแข็งแกร่งที่สุด แต่ก็ยังคงลบตำนานนั้นไม่ได้อยู่ดี ผมจึงต้องออกมาตามหาปีศาจสงครามตนนั้น ออกจากโลกของปีศาจมาสู่โลกมนุษย์ จนเวลาผ่านมาเกือบ50ปีมนุษย์ จนในที่สุด ผมก็ได้กลิ่น ปีศาจสงคราม ที่ตอนนี้มีนามว่า รีส ...รู้รึยังว่าทำไมผมถึงพาคุณมา” ปีศาจตนนี้เล่าเรื่องราวไป พร้อมกับแสดงสีหน้าหลากหลายอารมณ์ตามไปด้วย ทั้งภูมิใจ ทั้งกราดเกรี้ยว

“...รีส โกหกน่า อึก แต่ยังไงก็ไม่เกี่ยวกับผม ถึงจะจับผมมา นายก็ไม่ได้เจอกับรีสหรอกนะ ผมกับเขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน” ใบหน้าของรีสลอยขึ้นมาในมโนความคิด เฟิร์สพึมพำกับตัวเอง อย่างไม่เชื่อที่ได้ยิน แต่ก็ยังทำใจแข็งยืนกรานว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตน

“ไม่เกี่ยว? คุณรู้ไหมว่าทำไมข้าถึงตามหาปีศาจสงครามเจอ มันเป็นเพราะกลิ่น แม้ว่าก่อนหน้านี้กลิ่นมันจะจางหายไป แต่ตอนนี้กับรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะรอบๆกายคุณ กลิ่นที่แสดงถึงความเป็นเจ้าของ แล้วคุณยังจะบอกปฏิเสธอีกงั้นหรอว่าเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับมัน!”

“อึก! ปล่อย! ห หายใจ ไม่ออก จะทำอะไรวะ”

ปีศาจตนนี้แสดงท่าทีที่ดูโมโหจนควันออกหู มันตะคอกเสียงดังลั่น ดวงตาสีอำพันกับกลายเป็นรีเรียวดุจสัตว์ป่า เขี้ยวแหลมงอกยาวออกมา มันก้าวเท้าเข้ามาหาเฟิร์สพรางแยกเขี้ยวพร้อมครางขู่ในลำคอ ยกมือหนาใหญ่ขึ้นขยำผมของเฟิร์สไว้แน่นพร้อมอีกข้างกดหัวไหล่เฟิร์สไว้ติดกำแพง

“โฮกกก!” มันค่อยๆใช้มือที่จับกลุ่มผมของเฟิร์สบังคับให้หัวของเฟิร์สเอียงไปด้านข้าง เปิดให้เห็นลำคอขาวกับเส้นเลือดที่เต้นตุบๆตามลำคอ พร้อมๆกับโน้มหน้าลงไป จะฝั่งเขี้ยวยาวนั้นลงลำคอ เฟิร์สได้แต่ปฏิเสธขัดขืนเต็มกำลังและพยายามจะเบี่ยงตัวหลบให้พ้นคมเขี้ยวนั่น

"ปล่อยเฟิร์สเดี๋ยวนี้"

เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นด้านหลังของปีศาจหมาป่าตรงหน้าเฟิร์สที่แทบจะหมดลมหายใจ ปีศาจหมาป่าชะงักกึก ราวกับตกใจกับการมาของรีสที่มันแทบจะไม่ได้ตั้งตัว มันคลายมือที่กอบกุมรอบลำคอเฟิร์สออกช้าๆแต่ยังไม่ละออกจากลำคอ พร้อมกับเงยหน้ายืดตัวมองซ้ายขวาน้อยๆเพื่อหาต้นตอของเสียง

“ร รีส หรอ...”เฟิร์สได้แต่หอบหายใจเข้าปอดยกใหญ่ ดวงตาได้แต่ปรือมองไปด้านหน้ามองหาเจ้าของเสียงอีกคนที่ยังไม่เห็นแม้แต่เงา

[ปีศาจหมาป่า]

"หึ มาแล้วงั้นหรอ เก่งเหมือนกันนี่ ที่มาถึงที่แล้วข้าอย่างผมยังไม่รู้ตัวเลย”
ปีศาจสงคราม มันมาตอนไหนกันนะ ทำไมข้าไม่ได้กลิ่นมันก่อนหน้านี้ แล้วนี่มันอยู่ตรงไหนกัน มองหาไปรอบก็ยังไม่เห็นหัว ถึงแม้ที่นี่จะเป็นถิ่นข้าเองก็ตาม ทำไมกัน ข้าทำได้แค่ส่งเสียงร้องเรียกมันให้ออกมาพร้อมๆกับเปลี่ยนสรรพนามใช้แทนเมื่อคุยกับพวกเดียวกัน

“ออกมาเจอกันหน่อยเป็นไง ถ้าไม่อยากให้มนุษย์น่าโง่นี่ตายไป" ข้ายกมือเปลี่ยนจากกดรอบลำคอไอ้มนุษย์น่ารำคาญนี่ มากระชากที่กลุ่มผมของมันแน่น

“โอ๊ย ปล่อยนะเว้ย ปล่อยกู มันเจ็บ” ส่วนมันได้แต่นิ่วหน้ายกมือขึ้นไปแกะให้ข้าปล่อยมือจากจากผมของมัน ทั้งทุบทั้งหยิกทั้งออกแรงยืดยุด น่ารำคาญจริง คิดว่าข้าจะเจ็บรึไง น่าหงุดหงิดซะมากกว่า ข้าจึงได้แต่แยกเขี้ยวใส่มันและจิกผมมันแรงขึ้นไปอีก อุตส่าห์ใจเย็นเล่านิทานสนุกๆให้ฟังตั้งนาน ถ้าไม่ติดว่าใช้ล่อปีศาจสงครามออกมา ข้าจะกินมันเป็นอาหารไปนานแล้ว ว่าแต่ไอ้ปีศาจสงครามนั้นมันตรงส่วนไหนกันวะ

พรึ่บ!

นั้นไง มุมนั้น กลิ่นนี้ไม่ผิดแน่ กลิ่นอายของความตาย ความเย็บเหยียบที่แม้แค่เดินผ่านก็ดอกไม้ก็เหี่ยวเฉา ความวังเวงหดหู่ และสิ้นหวัง ใจของข้าเต้นรัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มือของข้าจึงดึงทึ้งกลุ่มผมของมนุษย์ในมือแรงขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้

"มันเจ็บนะเว้ย ปล่อยสักทีสิวะ” ส่วนมันก็ได้แต่สงเสียงน่ารำคาญทำหน้าปานจะร้องไห้ ข้าไม่กระชากหัวของมันไออกมาก็บุญเท่าไหร่แล้ว หึหึ ในที่สุด เป้าหมายที่ข้าตามหามานานก็อยู่ตรงหน้าข้าแล้ว

"ผมอยู่นี่ ปล่อยเฟิร์สไปเถอะ" ปีศาจสงครามนั่นค่อยๆย่างกายออกมาจากมุมมืดตรงกำแพงถัดจากข้าไปนิดเดียวแล้วออกมายืนประจันหน้ากับข้า อะไรกัน ภัยอยู่แค่ตรงหน้าทำไมข้าถึงสัมผัสถึงกลิ่นอายมันไม่ได้ ที่ได้กลิ่นน่าจะอยู่ไกลกว่าตรงที่มันออกมาไม่ใช่รึไง หึ ข้าจะประมาทไม่ได้จริงๆสินะ

“ข้าปล่อยมันแน่ แค่เจ้ายอมสิโรราบให้แก่ข้า เจ้าแห่งสงคราม” จะว่าข้าใช้กลโกงก็ตามใจ แต่ถ้าไม่ใช้วิธีนี้ ก็เหลือแค่ทางเลือกเดียว คือ ความตาย

“ผมไม่รู้หรอกนะว่า เจ้าแห่งสงคราม ที่คุณพูดหมายถึงใคร แต่ผมอยากให้คุณ ปล่อย เฟิร์ส ไป และผม แค่มาช่วยเขา” มันพูดออกมาช้าๆเน้นคำว่าปล่อย มนุษย์นี่สำคัญกับมันมากเลยสินะ ท่าทางนั้นเย็นชาเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิด ใบหน้าก็ไม่ได้แปรเปลี่ยน ยังจะมาทำเป็นไม่รู้เรื่องราว แถมยังเปลี่ยนนามเรียก จนเสียเวลาตามหาตั้งนาน

“อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่อง ยอมรับมาซะ ว่าเจ้าคือ ปีศาจที่เป็นเจ้าสงครามเมื่อพันปีก่อนตนนั้น และข้ามาเพื่อชนะเจ้า” ข้าจำใบหน้านี้ได้แม่นยำไม่มีทางจำผิดหรอกน่า ไหนจะกลิ่นของความตายมากมายที่รายล้อมตัวเจ้า

“พูดบ้าอะไร! ปล่อยเฟิร์สเดี๋ยวนี้!” เจ้าสงครามมองหน้าข้าอย่างเหลืออดจนต้องตะโกนออกมาเสียงดัง ทำเอาทั้งข้าทั้งมนุษย์นี่สะดุ้ง มนุษย์ที่ชื่อเฟิร์สตัวสั่นอย่างหวาดกลัว หายใจติดขัด ทั้งยังรนรานจนถอยชิดกำแพงด้านหลัง ทั้งที่ต่อหน้าข้าไม่เคยมีท่าทีเช่นนี้

“อึก! ไม่! ถ้าเจ้าไม่ยอมรับ ข้าจะฆ่ามันซะ” ข้าเลยปล่อยมือจากกลุ่มผมของมนุษย์นี่แล้วไปกุมคอเช่นก่อนหน้า ผลักดันตัวของของมันออกไปริมขอบตึกที่เปิดกว้างเพื่อใช้ขู่เจ้าสงครามนั่น ถ้ามันไม่ยอมรับชื่อของมันข้าก็จะท้าดวลไม่ได้ นั่นเป็นกฎของโลกปีศาจ

“บอกว่า! ให้ปล่อยเฟิร์สไปเดี๋ยวนี้!!” ดวงตาของมันวาวโรจน์ขึ้นมา ข้างหนึ่งแดงวาบดั่งแต่กาลก่อน ส่วนอีกข้างช่างแปลกที่สีมันกลับทาดูหม่นหมอง กลิ่นอายแห่งความตายของเจ้าปีศาจพุ่งทะยานขึ้น แผ่ไอเย็นจนรอบๆขึ้นเป็นไอขาว แม้แต่หมาป่าอย่างข้าที่อุณหภูมิร่างกายสูงมากยังรู้สึกหนาวเหน็บ

“หึ นั่นก็เพราะเจ้าไม่ยอมรับชื่อของเจ้า เจ้าแห่งสงคราม” แต่ในเมื่อเจ้าไม่ยอมรับ ข้าก็จะเชือดเจ้ามนุษย์นี่ให้ดู ข้าพูดพร้อมๆกับกำรอบคอของมนุษย์นั่นแน่นขึ้นและผลักมันออกไปนอกอาคารจนขาไม่มีที่ยืน มันได้แต่ตาเหลือกโลน ทั้งหวาดกลัวทั้งเจียนตาย จนน้ำตาของมันไหลออกมาจากดวงตาดวงนั้น พร้อมๆกับมือที่ปัดป่ายและหาที่ยึดจับแล้ว อ้าปากก็พะงาบๆเอาอากาศเข้าปอด โอกาสรอดตายอันน้อยนิดทั้งๆที่ข้าไม่คิดจะให้มัน ในเมื่อเจ้าสงครามไม่ยอมรับก็จงดูคู่ชีวิตที่ตรีตราจองเอาไว้ตายไปต่อหน้าต่อตาซะ

ข้าค่อยๆคลายมือออกจากคอของมนุษย์ที่ยึดจับมือข้าไว้แน่น แล้วมองไปยังใบหน้าที่แสนเย็นชาของเจ้าสงคราม แสยะยิ้มอย่างผู้ที่อยู่เหนือกว่า

พรึ่บ!

เฮือก! อะไรกัน... ทั้งรวดเร็วทั้งน่าหวาดกลัว ทั้งๆที่ยังไม่ทันตั้งตัวปีศาจสงครามตนนี้ก็เข้ามายืนอยู่ข้างกายข้าทั้งๆที่ข้าไม่ทันรู้ตัว คว้าหมับเข้าที่เอวของมนุษย์นั้นแล้วเอาเข้ามาไว้ข้างกายโดยที่มนุษย์คนนั้นก็โผลกอดมันไว้อย่างกลัวตาย ในขณะเดียวกันมันก็กลับกลายเป็นตัวของข้าเองที่ไม่มีที่ยืนล่วงหล่นจากขอบอาคาร

หมับ!

“ถึงจะไม่รู้ว่าคุณทำแบบนี้ไปทำไม แต่ผมก็ปล่อยให้คุณตายไม่ได้”

ขณะที่ข้ากำลังล่วงหล่น มือเย็นเชียบนั่นก็คว้าจับมือของข้าเอาไว้ด้วยมือข้างเดียว ดวงตาสีแดงก่ำกลับมาดังปกติไม่วาวโรจน์จนน่ากลัว เว้นเสียแต่ไอเย็นสีขาวที่แผ่ออกมาจางๆรอบลำตัว อีกข้างก็โอบกอดมนุษย์นั่นไว้แน่น ดวงตาสองสีคู่นั้นจับจ้องมาที่ข้า ใบหน้านิ่งเฉยราวกับไม่รู้สึกใดๆทั้งๆที่ตรงข้ากับสิ่งที่พูดออกมา

“ช่วยชีวิตข้าไว้ทำไม ปล่อย!” ข้ามองมือที่ช่วยชีวิตข้าไว้ด้วยแขนข้างเดียวที่มีแรงมหาศาล ข้าได้แต่สมเพชตัวเองที่ได้คนที่คิดจะเอาชีวิตมาช่วยชีวิตตัวเองไว้แทน หึ ตายไปดีกว่า จะมามีบุญคุณ ข้าจึงสะบัดแขนและใช้อีกข้างแกะมือของเจ้าสงครามออก เพราะตึกแค่7ชั้นข้าไม่ทางตายแน่นอนแค่ต้องพักฟื้นและกินมากขึ้นหน่อย แต่มือนั้นกลับจับแน่น และค่อยๆดึงข้าที่ลอยอยู่กลางอากาศขึ้นมายืนบนขอบตึก แรงมหาศาลขนาดนี้ยังคิดจะปฏิเสธอีกรึไงว่าไม่ใช่คนที่ข้าตามหา

“ผมแค่เสียดาย...ที่ไม่ได้ฆ่าคุณด้วยตัวเองเท่านั้น” ว่าเสร็จแล้วมันก็กลับมาเป็นปกติเช่นมนุษย์ทั่วๆไป โอบอุ้มมนุษย์ผู้แสนอ่อนแอที่ตอนนี้สลบไปตั้งแต่มันช่วยออกไปจากมือข้า แล้วหันหลังกลับเดินจากไป

ส่วนข้าก็ได้แต่ยืนนิ่ง กลายเป็นบุญคุณโดยที่ไม่ได้ร้องขอ จนข้าต้องหาทางตอบแทนให้ได้ซะก่อน ที่จะคิดท้าชิงเจ้าปีศาจใหม่ ถึงดูๆไปแล้วข้าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าสงครามสักเท่าไหร่ แต่ก่อนอื่น ข้ามีอย่างอื่นที่อยากจะรู้มากกว่า

“ทำไมเจ้าถึงช่วยมนุษย์ผู้แสนอ่อนแอคนนั้น ทำไม...ถึงโอบอุ้ม ทำไมถึงตามหาทั้งๆที่เจ้าก็รู้ว่ามนุษย์นั่นเกลียดชังเจ้า ทำไมถึงตามมาช่วยทั้งๆที่มันเป็นแผนของข้า ข้ารู้ว่าเจ้ารู้ แต่เจ้าไม่มีความกลัวใดๆหลงเหลืออยู่ เมื่อเจ้าเห็นหน้ามนุษย์คนนี้”

เจ้าสงครามหยุดเท้าไว้ทันที แล้วเอ่ยตอบในสิ่งที่ข้าไม่มีวันเข้าใจ และไม่รู้ว่าจะมีโอกาสเข้าใจเมื่อไหร่ ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งข้าไว้ตามลำพังกับความมืดมิดที่คุ้นชิน

“เพราะ รัก ไงล่ะ รักคำเดียวเท่านั้น ถึงแม้เฟิร์สจะเกลียดผม แต่ต่อจากนี้ไปผมจะไม่ปล่อยเฟิร์สไปอีกแล้ว”

รัก...งั้นหรอ




...
ตอนนี้ท้ายๆไม่รู้จะมึนกันรึเปล่านะ

ปล. ไม่รู้ว่าจะผิดกฎเล้ามากน้อยขนาดไหน จากตอนที่แล้วที่มีเอ็นซีไว้ ถ้าไอดีโดนลบหรือว่าย้ายไปไว้ทีไว้ที่ไหน ค่อยว่ากันที่เพจเด้อจ้า

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม

เค้าก้อแอบหายไปนานเลยพอดีช่วงนี้ยุ่งๆ
ทามแรงส์ 555
#เอาใจช่วยนะไรท์ หลังจากเห็นเม้นก่อนหน้าฮือๆ
ขอบคุณที่ติดตามค้า ปล่อยเอ็นซีไปผิดกฏเล้าใหม่แน่เลย ถ้านิยายนี้โดนลบหรือยังไง ดุที่เพจได้นะคะ มีลิ้งให้อ่านกัน ขอบคุณหลายๆที่ยังอยู่  :mew1:
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 15-09-2016 23:08:12
“เพราะ รัก ไงล่ะ รักคำเดียวเท่านั้น" เชรดดดดดดดดดดดดยอมรับหมดซึ่งหัวใจแล้วสิถึงได้พูดคำนี้ออกม๊า อ๊างงง :-[ 5555 //รวดเดียว 29 ตอนยาวๆอ่านตั้งแต่เมื่อวานยันตอนนี้ละค่ะ F5รัวๆ 5555 สนุกกกกมากกกกก เข้ามาเพราะสนใจชื่อเรื่อง me die???อารมณ์ประมาณ กูตายแล้วหรอ?? ยังไม่พร้อมตายอะแต่ก็ต้องมาตายก็เพราะมึ๊งงงงงง 55555 เลยคิดว่าแล้วยังไงต่อว่ะ หัวข้อไม่เห็นมีจำนวนตอน เห็น 3 หน้า คงไม่เยอะตอนมั้ง ไม่ได้เปิดมาหน้าสุดท้ายไง 555 พอเริ่มอ่านไป เฮ้ย!!สนุกกกว่ะ ระดับความสนุกมันค่อยๆเพิ่ม ตอนนี้งอมแงมค่ะ ติด 5555 //ริส เป็นเจ้าปีศาจแห่งสงครามแบบไม่รู้ตัว ปีศาจหลังความตาย ถ้าไม่ตายคงไม่เผยตัวตนออกมา สงสารริสอ่ะ ไร้ซึ่งรับรู้รสสัมผัส กินเนื้อดิบ ถูกจับไปทดลองทรมานอีก แถมยังต้องมารักคนที่ตัวเองแก้แค้นซึ่งก็กลัวตัวเอง ไม่เคยโกรธริสเลยที่ทำร้ายทรมานเฟิร์สทั้งร่างกายและจิตใจ เล่นประสาทสงครามจนจิตหลอน หวาดผวา นอนไม่หลับ ระแวง กลัว บลาๆ แค่หมั่นไส้ริสเองอ่ะ 5555 ก็นะ ชนแล้วหนีแล้วทำให้ตัวเองมาเป็นไรก็ไม่รู้ แต่สงสารเฟิร์สไหม สงสารเหมือนกัน ถูกกดดันจากพ่อไม่พอก็ต้องมารับกรรมแก้แค้นคืนจากริสอีก ก็นะริสมันไม่รู้ว่าลงแรงไปเท่าไหร่ พลังมากขนาดไหน ยังควบคุมไม่ได้ไง เฟิร์สสลบแล้วสลบอี๊ก 555555555555 สุดๆ เฟิร์สสตรองมาก ยอมเลย แล้วยังมาหวั่นไหวกับริสอีก ชอบอ่ะ 55555555555 หวั่นไหวกันทั้งคู่แล้ว ต่างก็โหยหา ชอบบบบมากความรู้สึกนี้ เฟิร์สอย่ามองริสด้วยสายตาแบบนั้นเลยนะ เจ็บปวดใจแทนริส รับตัวตนริสให้ได่นะ งื้ออออออออ!!! ชอบหมอกไอเย็นรอบกายริสที่แผ่ออกมา กลิ่นอายความตาย เท่ห์อ่ะ ชอบบบบบบบบบบ ริสเท่ห์จริงๆนะเออ 5555555 //ดีที่ไม่สู้กันไรมาก ไมเคิลอย่าคิดเป็นเจ้าปีศาจเลยนะ ปล่อยริสไปตามทางเหอะ ลำพังต้องจับไปทดลองก็แย่พอละ จะหลุดออกได้ไหมหรือยังไงต่อนะ //แรมป์กับหมอพอลนี้ยังไง หมอแค่มองหน้ายังวูบวาบ 555555 //ทามมมมมมมมแกได้ติวเตอร์แล้ว ช่วยทำตัวดีๆยอมรับใจตัวเองทีเห๊อะว่ารักว่าหลง ติวเตอร์จะได้ไม่ดื้อด้วย(มั้ง) 5555555 //NC+ ดีทุกคู่ค่ะ มีเท่าไหร่ปล่อยมาค่ะ ไม่ว่ากัน หูยยยยยยยยยยยยยย  :oo1: :haun4: :pighaun: :jul1: ชอบบบบบบ 55555555555 //เฟิร์สตื่นมาจะเป็นยังไงมั้งเนี้ยพอเจอหน้าริส ริสบอกจะไม่ปล่อยไปอีกชะมะ เง้อออออออออออทำให้เฟิร์สรับรักให้ได้นะ เอาใจช่วยว่ะ ต่อไปจะเป็นไงมั้งเนี้ย เพิ่งอ่านจบก็อยากอ่านต่ออีกเลยอะค่ะ 55555 //ขอเป็น FC เรื่องนี้อีกคนนะคะ จะติดตามตลอดเลยทีนี้ถ้าอัพ ชอบอะเพราะมันสนุกกมากกกกก ชอบลุคปีศาจริสจัง ชอบไอความตายเย็นๆ 55555555 แง่งงงอยากเห็นริสเฟิร์สหวาน แค่คิดก็เขินมากแล้วอ่ะ สัส 5555555 //ขอบคุณนะคะที่แต่งและมาอัพให้ รอตอนต่อไปใจจดจ่อนะค่ะ ร๊อออออออออออออออออออ สู้ๆค่ะไรท์ ฮึบ  :katai4: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย ตอนที่ 30
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 19-09-2016 13:50:32

Me die
30 : ฟื้นสติ


[เฟิร์ส]

“อึก! ที่นี่มัน...” เมื่อผมลืมตาตื่นขึ้นจากฝันร้ายเมื่อวานที่มีสัตว์ประหลาดมาเล่านิทานบ้าๆให้ฟังแล้วยังจะฆ่าผมทิ้ง จนรีสมาช่วย รีส...ผมมองซ้ายขวาเห็นสถานที่คุ้นเคยก็อดสั่นไม่ได้ คอนโดนี้ที่รีสมันจับผมมาทรมานจนเกือบตาย ไหนมันบอกว่าจะปล่อยผมไป แล้วจับมาไว้ที่นี่อีกทำไม

“รีส...รีส! อยู่รึเปล่า” ผมชั่งใจลองเรียกชื่อปีศาจตัวจริงที่ทำให้ผมต้องหวาดกลัวออกไป เฝ้ารอมันตอบกลับมาอยู่นาน ด้วยใจที่เต้นระรัว ถ้ามันอยู่ผมควรทำยังไงต่อไปดี แต่ผมเรียกมันซ้ำอยู่นานแต่มันก็ไม่ตอบกลับมาสักที ผมก็ได้แต่เบาใจ ถอนหายใจทิ้งอย่างโล่งอก ลุกขึ้นขยับตัวจะลงจากเตียงนอน เพราะก่อนหน้าเอาแต่เกร็งจนไม่กล้าขยับไปไหน

“มันเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กูด้วยหรอวะ” ผมก้มสำรวจตัวเอง ก็ได้แต่ถอยหายใจอย่างเบื่อหน่าย มันเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ผม ทั้งๆที่ผมไม่ต้องการ แล้วนี่มันหายไปไหนวะ เงียบไปแบบนี้หมายความว่าถ้าตื่นก็ให้ออกไปได้ใช่มั้ย

เมื่อคิดได้แบบนั้นผมก็เข้าไปจัดการตัวเองในห้องน้ำทันที แล้วค่อยๆเดินสำรวจภายในห้องว่ามันไม่อยู่จริงมั้ยอย่างรีบร้อน จากนั้นก็ไปหยุดอยู่ที่บานประตูห้องนอนที่ผมกำลังจะเปิดอกไป ถ้าเปิดไปเจอมันจะทำยังไงดีวะ มันจะให้ผมออกไปไหม แล้วมันจะเปิดได้จริงหรอ ประตูบานนี้มันไม่เคยเปิดออกเลยตลอดจนเวลาที่ผมอยู่ตั้งที่คิดจะหนีออกไปครั้งนั้น

ผมค่อยๆเอื้อมมือที่กำลังสั่นเพราะความตื่นเต้นไปจับลูกบิดประตู จับมันค้างไว้อย่างนั้น ชั่งใจตัวเองดูอีกทีว่าจะกล้าเปิดมั้ย สุดท้ายผมก็ยังไม่กล้าเปิด ได้แต่เดินวนอยู่ตรงนั้นอยู่นาน จนในท้ายที่สุดก็ตัดสินใจได้

“เอาวะ!” มือของผมสั่นอย่างเห็นได้ชัด ภายในอกได้แต่ตื่นเต้นจนแทบลืมหายใจไปชั่วขณะ

คลิ๊ก!

เปิดได้! มันเปิดได้ จริงๆด้วย ผมยิ้มดีใจอยู่เงียบๆคนเดียว เพราะกลัวมันได้ยินทั้งที่มันไม่ได้อยู่แถวนี้ ตั้งแต่เจอมันผมกลายเป็นพวกสงบปากสงบคำลงมาก เพราะถ้าเถียงหรือด่าแม้แต่คำเดียว ผมจะโดนลงโทษทุกครั้ง ไม่เจ็บตัวก็จบลงที่เตียง

เมื่อเปิดประตูออกมา ผมยืนพิงประตูห้องนอนนิ่งอยู่อย่างนั้น ยังไม่กล้าขยับไปไหน ผมก็ได้กลิ่นของอาหารบางอย่างทำให้ภายในท้องผมเรียกร้อง ก็แน่สิ ผมยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เมื่อวาน แต่จะให้ไปกินก็ใช่เรื่อง มันจะเอาอาหารมาให้ผมกินจริงหรอ ครั้งก่อนยังแทบตายทั้งของดิบทั้งเนื้อวัว หิวไปก่อนดีกว่า แม้จะเวียนหัวจนตาลาย แทบไม่มีแรงเดินก็เถอะ ผมจึงก้าวเท้าออกเดินเพื่อตรงไปยังประตูโดยไม่หันกลับไปสนใจอาหารพวกนั้น แต่ก็ต้องชะงักเท้าไว้ พร้อมกับใจที่ล่วงลงไปที่พื้น ชาดิกไปโดยอัตโนมัติ

“เฟิร์ส” แม้คำเรียกนั้นจะไม่ได้ตะคอก ไม่เสียงดัง ไม่มีแรงกดดันในน้ำเสียง ทำให้หวาดกลัวเหมือนที่ผ่านๆมา แม้เป็นเพียงคำสั้นๆเบาๆที่เอ่ยออกมาเรียกรั้งผมไว้ก็ตาม แต่ผมกลับขยับไปไหนไม่ได้ จะก้าวเดินหรือจะหันกลับไปก็ทำไม่ได้ เพราะผมจำได้ขึ้นใจ ว่าเสียงนี้ คือเสียงของมัน ที่บอกว่ามันเป็นเจ้าของชีวิตผม

“อึก!” ผมใจหายวาบเมื่อจู่ๆมือเย็นๆของมันก็คว้าจับเข้าที่แขนผม ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางชินกับความหนาวเย็นนี้ได้ ผมได้แต่นิ่งงันตัวแข็งค้างยิ่งไม่กล้าขยับเข้าไปใหญ่ กลัว ถ้าต่อต้านผมต้องโดนอีกแน่ ไม่เอาแล้ว มันน่ากลัวเกินไป

“...ไปกินข้าวเถอะ” เมื่อมันเห็นว่าผมเกร็งจนแทบไม่หายใจ มันเลยค่อยๆปล่อยมือออกจากแขนผม แล้วเดินนำไปก่อน ทิ้งระยะห่างพอสมควรแล้วค่อยหันมาบอกให้ผมไปกินข้าวด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง ผมไม่รู้หรอกว่ามันทำหน้ายังไง แต่ผมกลัว กลัวมาก จนมันเดินห่างออกไปนั่นแหละ ถึงได้กลับมาหายใจได้สะดวกอีกครั้ง

ผมยืนนิ่งงันอยู่ตรงนั้นอยู่นานพอสมควร ไม่กล้าเข้าไปตามที่มันบอก แต่ก็ไม่กล้าเดินหนีออกไปนอกห้องเช่นกัน จะมีก็แต่ความกลัวที่เริ่มกัดกินในใจของผมมากขึ้น จนสักพักรีสมันเลยเดินออกมาเรียกผมให้ไปกินอีกครั้งด้วยใบหน้านิ่งๆที่ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ นิ่งมากเหมือนเซลล์ประสาทหน้ามันตายไปหมด ตั้งแต่ครั้งก่อนแล้วแม้กระทั่งดวงตามันยังไม่เคยกระพริบเลย มีขยับก็อย่างเดียวคือริมฝีปากสีคล้ำนั่น

“เข้าไปกินเถอะ เดี๋ยวผมจะออกไปข้างนอก ผมกลับมาต้องเจอนายอยู่ที่นี่ห้ามออกไปไหน เพราะถ้าหนี นายจะรู้ว่าจะเจอกับอะไร ผมไม่อยากตรึงนายด้วยโซ่หรอกนะเฟิร์ส ...เอ้อ อาหารกินได้ตามสบาย ผมไม่ได้แกล้งอะไรหรอก” ว่าจบแล้วมันก็เดินออกไปเงียบๆ โดยเลี่ยงไม่สบตาผม เดินก็ห่างจากตัวผมไปอีกด้าน เหมือนรู้ว่าผมกลัวมัน จนมันปิดประตูล็อกกลอนแล้วก็หายเงียบไป

เห้อ... โล่งอก! ว่าแต่เมื่อกี้มันอะไรวะ ผมนาย ไม่ มึงกู แล้วแล้วหรอ แถมยังไม่ตะคอก ไม่โกรธ ยอมหนีหายไปเฉยๆทั้งที่เมื่อก่อนผมไม่ยอมทำตามแบบนี้แทบจะกระชากจนแขนหลุดติดมือมันไป ไม่ก็แกล้งจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด หรือจบลงที่เตียงโดยที่ไม่ต้องกินอะไรเหมือนเดิม อะไรกันวะ แล้วไหนจะดวงตาที่ไม่แสงวาววาบออกมาให้น่ากลัว สุภาพเหมือนตอนมันเป็นไมค์ มันดูเศร้ารึเปล่านะ ทำไมถึงรู้สึกว่ามันเศร้าแม้ใบหน้าของมันยังนิ่งเหมือนเดิม... เลิกคิดเถอะ แล้วผมก็เดินไปกินข้าวที่มันเตรียมเอาไว้ให้

แรกๆก็ลังเลที่จะกินทั้งเขี่ยทั้งดูแล้วดูอีกแต่ก็ไม่มีอะไรแปลก อาหารสุกหอมเรียกเสียงในท้องผมให้ทำงานแต่ก็ยังไม่กล้ากิน หรือมันจะใส่อะไรแปลกๆลงไปให้ผมท้องเสียมั้ย ผมลังเลอยู่นาน เขี่ยมันจนเย็นชืด แต่สุดท้ายก็ทนความหิวไม่ไหวจนต้องกินมันลงไป ซึ่งมันก็เป็นเพียงอาหารธรรมดาเท่านั้น มันไม่ได้แกล้งอะไรผม ไม่ได้ท้องเสีย หรืออาหารเป็นพิษแต่อย่างใด

กินเสร็จผมก็ได้แต่เดินไปเดินมาอยู่หน้าประตูห้องอยู่พักใหญ่ แต่เสียงคำสั่งของมันก็ดังในหัวผมตลอกเวลา จนผมต้องถอยไปนั่งอยู่เงียบๆที่โซฟาห้องนั่งเล่น ไม่กล้าแม้แต่จะเปิดทีวีดูด้วยซ้ำ กลัวมันโมโหแล้วอยากฆ่าผมตายอีก เห้อ...เอาไงต่อดีวะชีวิต เจ้ากรรมนายเวรเยอะซะจริง หนีก็ไม่ได้ ตายก็ไม่อยาก ยิ่งถ้าทำอะไรผิดไป ผมไม่อยากโดยลงโทษหรอกนะ

[เฟิร์ส จบ]

อีกด้าน

เมื่อรีสที่ยอมออกมมาจากคอนโดเพราะรู้ตัวว่าเฟิร์สนั้นทั้งเกลียดทั้งกลัวตนขนาดไหน ภายในใจของเขารู้สึกเจ็บปวดทั้งที่มันใช้งานไม่ได้มานานมากแล้ว ถ้ากล้ามเนื้อหน้าของเขายังใช้งานได้ ป่านนี้หน้าทั้งหน้าของเขาคงจะย่นยู่ดังคนอมทุกข์ให้เห็นไปแล้ว

เขาตัดสินใจยอมแพ้เฟิร์ส ไม่อยากอยู่ให้อีกคนต้องอึดอัด แล้วมาทำหน้าที่ของเพื่อนแทน ตอนนี้รีสเลยได้แต่ตามติวเตอร์ที่โดนทามลากมากินข้าวข้างนอกจากข่าวสารที่ได้รับจากเชนมือเฮกเกอร์ของเขา เพื่อเป็นข้ออ้างให้เขาโทรตามหมอพอลที่ปรับความเข้าใจกันกันแล้วก่อนหน้าไปช่วยดูแลเฟิร์สแทน แต่เน้นย้ำว่าห้ามพาออกไปไหน เพราะห่วง

“ว่าไงเชน” รีสที่กำลังเดินตามติวเตอร์เพื่อหาช่องทางเข้าไปพูดคุยบางอย่างเมื่อติวเตอร์อยู่คนเดียวอยู่นั้น เสียงเรียกเข้าจากคนคุ้นเคยก็ดังขึ้นมาซะก่อน รีสเลยหลบเข้ามุมเพื่อรับสาย เมื่อทามหันมามองทางเขาพอดี

“พอคืนดีกับพี่หมอก็โทรหาแต่พี่หมอนะครับ ไม่โทรมาหาผมบ้างเลยนะเนี่ย” เชนพูดจาทะเล้นตอบกลับให้รุ่นพี่ที่เขายอมรับในความแปลกนั้นโมโหเล่นด้วยรอยยิ้มที่ยียวนประดับใบหน้าของเขาผ่านทางหูฟังบูลธูท ขณะที่มือทั้งสองข้างนั้นกดยิกๆลงบนคีร์บอร์ด ดวงตาทั้งสองข้างจับจ้องบนจอตรงหน้าของตนไม่วางตา

“อย่ามากวนประสาทฉัน มีอะไรว่ามา” แต่รีสกลับไม่เล่นด้วย ได้แต่ถามกลับไปนิ่งๆ เพราะถ้าเชนจะโทรมาหาเขาต้องมีอะไรบางอย่างแน่นอน

“ว้า เล่นมาก จนรุ่นพี่ไม่โมโหผมแล้ว น่าเบื่อจัง ...พี่รีส มีบางอย่างกำลังตามพี่อยู่” เชนทำเสียงเสียดายมากมาย แต่ดวงตาที่มองจอผ่านเลนส์แว่นอยู่นั้นกับจ้องไม่วางตา แล้วว่าด้วยน้ำเสียจริงขึ้นมาทันที

“พวกดร.?” รีสถามกลับด้วยความสงสัย เพราะถ้าแค่พวกของดร.ก็ชั่งมัน พวกนั้นแอบตามเขามาตั้งแต่วันที่เขาหนีออกมาแล้ว แต่แค่ตามอยู่ห่างๆเท่านั้น

“ไม่ใช่ครับ พวกนั้นก็ตามอยู่เหมือนเดิม แต่อันนี้ไม่ใช่ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคืออะไร มันไม่ปรากฏบนจอผมชัดเจน แค่เป็นเหมือนกลุ่มก้อนดำๆอะไรบางอย่าง ถ้าบอกว่าเหมือนคนก็ไม่เชิงเหมือนหมาก็ไม่ใช่” เชนจ้องเขม็งที่จอภาพ อธิบายสิ่งที่เขาเห็นว่าตามรุ่นพี่เขาอยู่ อย่างละเอียด

“หมาหรอ...งั้นติดต่อมาบอกพิกัดมันให้อีกทีเมื่อติดต่อไป ตอนนี้ขอจัดการตรงนี้ก่อน ขอบใจ เชน”    

“ยินดีช่วยครับผม^^”

ว่าจบรีสก็วางสายไปทันที ประจวบเหมาะกับติวเตอร์ที่นั่งอยู่คนเดียวตรงม้านั่ง ส่วนทามก็อยู่ตรงร้านไอศกรีมที่คนกำลังหนาแน่น รีสจึงเดินเข้าไปหาติวเตอร์ทันที

“นั่งด้วยได้มั้ยครับ” รีสไปหยุดยืนอยู่ข้างๆติวเตอร์ พูดขึ้นเบาๆเพื่อเรียกความสนใจจากคนตัวเล็กที่แทบไม่ได้เห็นใกล้ๆมานาน

“เชิญเลยครับ” แต่ติวเตอร์นั้นไม่ได้มองหน้าเขาเลย ได้แต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนเครียดกับอะไรบางอย่างอยู่ ในความคิดรีสก้คงไม่พ้นเรื่องของคนที่ไอ้ตัเล้กของเขากำลังมองอยู่

“เป็นอะไรรึเปล่าครับ” รีสแสร้งถามออกไปอีกครั้ง เพื่อให้ไอ้ตัวเล็กของเขาตอบกลับมา ถ้าเป็นติวเตอร์ที่เขารู้จักมันจะต้องรำคาญแล้วหันมาด่าแน่ๆถ้าเป็นไม่รู้จักแล้วอยากจะไปยุ่งเรื่องของมัน

“ยุ่งไรด้วยวะ รู้จักกันด้วย หรอ ...รีส” แล้วก็ได้ผลเกินคาด ติวเตอร์หันหน้ามาเหวี่ยงใส่เขาแทบจะทันที คิ้วที่ผูกกันแน่นนั้นกับแน่นยิ่งกว่าเดิม แต่พอเห็นหน้ารีสกลับพูดไม่ออกแทน ได้แต่ทำหน้าอึ้งๆไป

“ครับ? คุณรู้จักผมด้วยหรอ หรือรู้จักใครที่หน้าตาเหมือนผม” รีสแสร้งทำเป็นไม่รู้จัก เพราะตัวเขานั้นไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แต่เขาสามารถทำตามสัญญาได้ ถ้าเขาเป็นอีกคน

“เอ่อ เปล่าครับ ขอโทษนะครับ แต่คุณหน้าตาเหมือนเพื่อนของผมมาก มากเสียจนผมยังอดแปลกใจไม่ได้ จะไม่เหมือนก็คงแค่สีของดวงตา ดวงตาเพื่อนของผมสีฟ้าครับ มองทีไรเป็นละสายตาไปไหนไม่ได้ตลอดเลย” ติวเตอร์พูดพรรณนาถึงรีสเพื่อนสนิทของเขาอย่างมีความความสุข ใบหน้าประดับแต่รอยยิ้ม จนรีสที่นั่งอยู่ข้างๆได้แต่พร่ำขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ในใจ

“แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหนหรอครับ ผมอยากเห็นใบหน้าของเขาแล้วสิ” รีสพูดกลับไปสีหน้านิ่งงันทั้งที่ภายในนั้นรู้สึกผิดมหันต์

“คงเจอไม่ได้หรอกครับ เพื่อนของผมไปสวรรค์แล้วแหละ” ใบหน้าของติวเตอร์กลับมาเศร้าหมองจนเห็นได้ชัด

“ผมขอโทษนะครับ ผมลืมแนะนำตัวไป ผมชื่อไมค์ อันที่จริงผมกำลังตามหาญาติ เพราะผมเป็นเด็กกำพร้าแต่ออกมาได้ดี จนกลับไปทดแทนเลยได้รู้ว่าผมมีฝาแฝด ถ้าใบหน้าของเพื่อนคุณเหมือนผมจริงช่วยติดต่อกลับมาหาผมทีหลังหน่อยได้มั้ยครับ คุณ...” รีสรีบพูดรวบรัด เมื่อมองไปยังทามที่ถึงคิวแล้ว และกำลังจะได้ของ ว่าจบก็ยื่นนานบัตร ไมค์ ไปพร้อมอธิบาย ติวเตอร์ก็ได้แต่พยักหน้าพร้อมทำหน้างงๆไปด้วย

“ผมติวเตอร์ครับ ได้ครับผมจะทักไปคุยนะครับ ถ้าคุณเป็นญาติกับรีสจริงก็ดีสิครับ ถ้ารีสรู้ว่ามีญาติละก็ ดีใจมากๆแน่เลยครับ รีสอยู่คนเดียวมาตลอดเลย” ติวเตอร์ยกยิ้มอบอุ่นที่แสนคุ้นเคยส่งมาให้กับเขา ท่าทางที่แสดงถึงความห่วงใย และเข้าใจในความเหงาของเขาเมื่อก่อนยิ่งทำให้รีสรู้สึกผิดและอยากจะขอโทษติวเตอร์หลายๆรอบ แต่ก็ทำได้เพียงแค่คิด

“ครับ ผมขอตัวนะครับ” ว่าจบก็หันหลังเดินจากมา ภายในใจก็พูดแต่คำขอโทษส่งไปเผื่อถึงไอ้ตัวเล็กเพื่อนรักของเขา

“เตอร์ คุยกับใคร” ทามเดินกลับมาเห็นหลังของใครบางคนที่ใส่สูทสีดำเดินจากไป ดูก็รู้ว่ามาคุยกับติวเตอร์เขาเลยถามไปด้วยเสียงไม่พอใจอีกครั้ง จากที่ยอมไปซื้อไอศกรีมเพื่อมาง้อที่ลากติวเตอร์ออกมาทั้งที่ไม่เต็มใจแล้วแท้ๆ

“เปล่าครับ แค่มาถามทาง” ติวเตอร์รีบซ่อนนามบัตรนั้นไว้แนบตัวก่อนค่อยๆหย่อนมันลงกระเป๋ากางเกงเมื่อลุกขึ้นคุยกับทามที่เอาไอศกรีมมาให้ แต่ก็ทำเป็นนิ่งเฉยพูดเฉไฉไปว่ามาถามทาง

“ถามทางบ้าไรวะในห้าง มันเข้ามาจีบใช่มั้ย!”

“พี่ทามอย่ามาหาเรื่องผมได้มั้ย”

แต่ทามกลับเข้าใจไปคนละทาง ตั้งแต่คืนแรกของเขาสองคนทามก็หึงหวงติวเตอร์ออกหน้าออกตาแบบไม่มีเหตุผลมากขึ้น ซึ่งทำให้ติวเตอร์รำคาญมาก แต่ตอนนี้มันกลับเข้าทางเขา เขาเลยทำเป็นโมโหกลับไปแทน จนทั้งคู่ก็ยืนเถียงกันในห้างอยู่นาน จนหลายคนมอง ทามจึงลากติวเตอร์กลับบ้าน ท่าทางคืนนี้จะเคลียร์ยาวยันเตียง

ด้านรีสที่เดินเลี่ยงออกมาก็จัดการโทรกลับไปหาทางเชนเพื่อสิ่งที่ต้องการและนัดแนะบางอย่างทันที

...

[เชน]

สวัสดีครับผม ผมคือเด็กเนิร์ดเอ๋อๆติดเรียนเป็นเด็กม.ปลายธรรมดาๆคนหนึ่งเท่าที่หลายๆคนจะรู้จักผมละนะ ทุกคนเรียกผมเชน คุณก็เรียกแบบนั้นละกัน แต่อีกหนึ่งหน้าที่หลังกรอบแว่นของผมคือเป็นโปรแกรมเมอร์มือฉมังที่หากินอิสระแล้วแต่เงินตราเรียกร้องไม่ว่าจะถูกหรือผิดกฎหมายก็ตาม รหัสของผมคือ C แต่นั้นก็เอาไว้ก่อน หลายๆคนน่าจะรู้จักผมบ้างแล้วก่อนหน้านี้

ตอนนี้ผมงานเข้าเป็นครั้งที่สองตั้งแต่รู้จักกับพี่คนนั้นมา รุ่นพี่ที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นอำมตะไม่เจ็บไม่ตายดังซุปเปอร์ฮีโร่ที่ผมชอบดู ผมเลยอยากจะเก็บพี่แกไว้ดูเล่น เผื่อเอาไว้แก้เหงาเอามีดปลักเล่นก็คงสนุกดี ถ้าพี่แกยอมอะนะ

แต่ชั่งเถอะ เอาเป็นว่าวันนี้ผมต้องลงภาคสนามอีกแล้วน่ะสิ นี่แหละสิ่งที่ผมเกลียดจริงๆ ผมน่ะก็แค่นักเลงคีร์บอร์ดที่เก่งแค่หลังไมค์ไม่ชอบออกภาคสนามนะเห้ย มันตื่นเต้น ตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว คิดว่าพ่อคุณเฟิร์สจะจับได้ เห็นบอกว่าเป็นมาเฟียซะด้วย ผมนี่เหงื่อแตกท่วม ถึงจะทำเป็นชิลเพื่อไม่ให้โดนดูถูกก็เถอะ แต่ภายในน่ะเกร็งสุดๆ

แต่ถึงผมจะไม่เก่งภาคสนามแต่ผมก็ชอบอะไรที่มันบันเทิงในสายตาผม ที่บางคนเรียกว่าโรคจิต ชั่งมัน ผมไม่สน ซึ่งผมชอบอะไรแปลกๆ ทั้งเรื่องรุ่นพี่ ของสะสม รวมถึงการปลอมตัวที่ผมมั่นใจว่าจะไม่มีใครจำผมได้ ก็บอกอยู่ว่าผมนักเลงคีร์บอร์ด ออกข้างนอกก็แค่ไอ้เนิร์ดเอ๋อ ยกเว้นเสียแต่ปลอมตัวออกมา โดยเฉพาะปลอมตัวเป็นผู้หญิง ผมนี่ชอบมาก...

หลังจากผมวางสายจากรุ่นพี่ที่ติดต่อกลับมา และขอร้องให้ผมลงภาคสนามเพื่อช่วยกันสกัดสิ่งที่ตามรุ่นพี่มา ซึ่งผมก็ตอบตกลงทันที เพราะอะไรน่ะหรอ ของมันแน่อยู่แล้ว จะเอามาสะสมสิวะ อะไรที่มันแปลกๆขนาดจอภาพลูกรักของผมยังจับไม่ได้ มันต้องเสร็จผม

ผมเลยลุกขึ้นมาจัดการแต่งแต้มหน้าตาและปลอมแปลงเสื้อผ้าของผมซะใหม่ ถอดแว่นตาที่ใส่ไว้หลอกๆตอนเป็นเด็กนักเรียนและนั่งอยู่หน้าคอมออก แล้วทารองพื้นลงแป้งแต่งเติมเครื่องสำอางซะยกใหญ่ รวมถึงติดขนตาปลอมกรีดอายให้ดวงตาของผมดูกลมโตสวยสะพรั่ง มือรวบผมหน้าม้าทรงกะลาครอบของผมขึ้นจนเปิดเหม่งแล้วหยิบวิกผมสีน้ำตาลยาวสวยที่วางอยู่ข้างๆขึ้นมาใส่ จัดทรงเล็กน้อย มือหยิบอายขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะจรดทำจุดบางอย่างที่อยู่เหนือริมฝีปากขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็เดินไปสวมชั้นใน แน่นอนผมใส่จริง พร้อมๆกับเลือกชุดเดรทกระโปรงพอดีเข่ามาสวมใส่ ก่อนที่จะออกไปยังที่ที่นัดหมายกับรุ่นพี่ไว้ทันที

[เชน จบ]

หลังจากวางสายจากเชนรีสก็ออกมาจากห้างที่ตามติวเตอร์ไปทันที เพื่อล่อให้บางสิ่งบางอย่างที่เชนเห็นตามออกมาด้วย ส่วนพวกของดร.ก็พาไปหลงไว้ตรงไหนสักแห่งก่อนหน้า เขาต้องการสถานที่ปลอดคนเพื่อล่อมาออกมา เชนจึงจัดให้โดยเป็นตรอกเล็กๆที่เป็นทางเข้าของโรงงานผลิตเหล้าเถื่อนผิดกฎหมายที่วันนี้ไม่เปิดทำการพอดิบพอดี

รีสลงจากรถแล้วเดินไปเรื่อยๆตามถนนซอยแล้วซอยเล่า เพื่อไปยังเป้าหมายที่เป็นตรอกเล็กๆที่อยู่ด้านหลังของซอยสุดท้าย สิ่งที่ตามเขาอยู่นั้นก็ตามมาใกล้เรื่อยๆ จนรีสรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่เขาคุ้นเคย ยิ่งเขาเข้าใกล้ตรอกนั้นมากขึ้น คนรอบๆก็น้อยลงจนแทบไม่เหลือใคร สิ่งนั้นก็เข้าใกล้เขามากขึ้น มากขึ้น จนแทบจะแตะลงที่หัวไหล่เขา แต่แล้วก็จางหายไปโดยไว พลังงานนั้นถอยห่างไกลออกไปเมื่อมีผู้หญิงสวยผมสีน้ำตาลมีไฝเหนือริมฝีปากคนหนึ่งเดินเข้ามาหารีส

“มาคนเดียวหรอคะ” เธอคนนั้นเดินเข้ามาพูดคุยกับรีสพร้อมเข้าประชิดตัว รีสเองก็แปลกใจที่เธอไม่สะดุ้งที่ร่างกายเขาเย็นชืด แต่กลับจับแน่น รีสจะสะบัดออกไปเพราะจะทำให้แผนเขาเสียแต่แล้วเธอคนนั้นก็เข้ามากระซิบข้างหูของเขาให้หายสงสัยซะก่อน

“รุ่นพี่ ผมเอง เชน มันอยู่ไหน” เชนก้มไปกระซิบเบาๆพร้อมกับเหลือบดวงตาไปมาช้าๆหาสิ่งนั้นอย่างไม่ให้เป็นพิรุธ

“แต่งตัวแบบนี้ทำไม?” รีสได้แต่ระอา เขาแค่ให้มันมาเป็นพยานรู้เห็นกับสิ่งที่เขาจะตกลงกับสิ่งนั้นเพราะเขารู้ว่ามันเป็นใคร แล้วทำไมถึงต้องปลอมตัว รีสไม่เคยเข้าใจในความชอบแปลกๆส่วนของเชนเลย แต่เขายังต้องพึ่งพาเชนนั่นเอง

“เอาน่าพี่ ผมสนุกของผมละกัน แล้วมันอยู่ไหนอ่ะ” รีสไม่ตอบแต่เดินนำเข้าไปในตรอกที่ว่านั่น เชนก็ไม่สนแค่เดินเกาะแขนรีสตามไป แม้เขาจะเย็นๆที่จับแต่เขาชอบรู้สึกดีมากเหมือนได้แอร์เคลื่อนที่ แต่ได้ยินจากหมอพอลมาอีกทีว่าเวลาโกรธหนาวยิ่งกว่าอยู่ขั้วโลก

รีสกับเชนเดินเข้าตรอกนั้นไป สิ่งนั้นก็ได้แต่ตามดูอยู่ห่างๆเพราะรีสไม่ได้อยู่คนเดียว จึงไม่รู้ว่าทั้งคู่คุยอะไรกัน ทั้งสองนัดแนะกันเพิ่มเติม เชนยื่นถุงบางสิ่งให้แก่รีส ก่อนที่จะเดินนวยนาดเยี่ยงสตรีจากออกมา จนเชนเลี้ยวเข้าตรอกข้างๆกันไปนานพอสมควรสิ่งนั้นก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง

[ไมเคิล]

“ตามผมมาทำไม” ข้าเดินตามเจ้าสงครามเข้าไปในตรอกเล็กๆหลังจากหญิงสาวมนุษย์เดินจากไป แต่เมื่อปรากฏกายไม่ทันไร ก็พบเจ้าสงครามรออยู่ก่อนหน้า พร้อมเอ่ยถามอย่างสงบ หึ รู้ตัวจริงๆสินะว่าข้าตามอยู่

“ข้าแค่ตามเจ้าเพื่อรอเวลาตอบแทนบุญคุณ” พูดไปก็อายเปล่า ตั้งใจจะมาท้าทายดันเป็นบุญคุณกันแทน ข้าได้แต่ยืนกอดอกพิงกำแพงเงยหน้าขึ้นเพื่อหาที่มองแทนที่จะไปมองหน้าเจ้าสงครามแทน แต่ดันเห็นอะไรแปลกๆกลมๆที่อยู่บนกำแพงด้านเดียวกับที่หญิงสาวนางนั้นเดินเข้าไป ลักษณะมันเหมือนกล้องในยุคนี้ ถ้าก็มาที่นี่นานพอที่จะรู้จัก แต่เหมือนข้าจะจ้องนานเกินไป เจ้าสงครามเลยเดินมาอยู่ตรงหน้าข้าแล้วเอ่ยถามขึ้น

“คุณชื่ออะไร ผมรีส” เจ้าสงครามไปยืนพิงกำแพงอีกข้างตรงข้ามข้าชวนพูดคุยเพื่อเบี่ยงประเด็นทำไมข้าจะไม่รู้ เล่นตุกติกอะไรกัน

“ไมเคิล แล้วก็ให้คนของเจ้าออกมาสักทีพร้อมกับกล้องนั่นด้วย ก่อนที่ข้าจะไปกระชากหัวมันหลุดจากบ่า” ข้าพูดออกมาอย่างรำคาญ คิดว่าข้าโง่รึไง ถึงข้าจะไม่ได้กลิ่นเจ้าสงคราม แต่กลิ่นคนอื่นข้าก็ได้กลิ่น โดยเฉพาะหอมเฉพาะของนางคนเมื่อกี้ ที่มีกลิ่นคล้ายใครบางคนที่ข้าเคยเจอเมื่อสิบปีก่อน แต่นั่นเป็นเด็กผู้ชาย แล้วอีกอย่างข้าตาไม่บอดสักหน่อย

“อืม เชนได้ยินแล้วก็ออกมาสักทีน่ะ” เจ้าสงครามปล่อยมือออกจากที่กอดอกมองข้า ยกมือขึ้นขยับบางอย่างที่หู หูฟังบูลธูทขนาดเล็กงั้นสิ น่าจะเป็นความคิดของมนุษย์นั่นสินะ ไร้ประโยชน์สิ้นดี

“ไฮ ̴  ̴̴  ̴ ” ผู้หญิงตัวเล็กๆผมสีน้ำตาลมีไฝเหนือริมฝีปากหน้าตาจัดว่าน่ารักเข้ากับผิวขาวๆนั่นกับชุดเดรทกระโปรงลายลูกไม้น่ารัก เดินออกมาจากกำแพงด้านที่เพิ่งเดินเข้าไป พร้อมๆกับยกมือขึ้นทักทาย ส่วนอีกข้างก็ยังยกกล้องตัวเมื่อกี้ที่ข้าเห็นอยู่ แล้วค่อยๆย่างเท้าเข้ามา กลิ่นนี้ ยิ่งใกล้ยิ่งเหมือนเด็กคนนั้น

“คุณจะทำอะไรเชน” ข้าชะงักเท้ากึก หลังจากเพิ่งรู้ตัวเข้าไปหาผู้หญิงตรงหน้านี้ที่นางได้ส่งยิ้มมาให้หาได้เกรงกลัวใดๆ ตรงข้ามกับเจ้าสงครามที่พูดเตือนสติข้า เหมือนมาก เจ้าเด็กนั่นเมื่อสิบปีก่อนก็ไม่ได้เกรงกลัวตอนเห็นข้าครั้งแรกเหมือนกัน

“เจ้า เป็นหญิงหรือชาย” ข้าหลงลืมสิ่งที่จะมาพูดคุยกับเจ้าสงครามหมดสิ้น เอาแต่จ้องไปที่นาง หลงไปกับกลิ่นที่คุ้นเคยจากเด็กคนหนึ่งเมื่อสิบปีก่อน

“ไมเคิล ผมไม่ต้องการอะไรจากคุณ บุญคุณอะไรที่ว่าก็ไม่ต้องตอบแทนผมทั้งนั้น หยุดสะกดรอยตามผมสักที” เจ้าสงครามพูดปฏิเสธสิ่งที่ข้าออกมาเพื่อขัดข้าที่กำลังสนใจคนมาใหม่ คงจะรู้ว่าข้าไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ หลังจากที่ข้าจับตัวคู่ชีวิตเจ้าสงครามไป

“หึ งั้นสินะ เจ้าสงครามอย่างเจ้าคงไม่ต้องการผู้ใดให้มาช่วย ก็คงไม่พลาดพลั้งใดๆ แต่สำหับข้าบุญคุณก็ต้องทดแทน ไม่ว่าเจ้าจะร้องขอ  หรือไม่ ข้าจะตอบแทนเจ้าให้ได้” ว่าจบข้าก็กระโดดออกมาจากตรงนั้นโดยเร็ว ฉุนชะมัด ถ้าเจ้าไม่ช่วยข้าวันนั้นข้าก็ไม่ต้องแบกหน้าติดตามเจ้าเพื่อหาวิธีตอบแทนแบบนี้หรอกนะ

[ไมเคิล จบ]

“ทำไมรุ่นพี่ไม่เอาเข้ามาไว้ใกล้ตัวละครับ อยากจะตอบแทนขนาดนั้น” เชนว่าออกมาหลังจากที่ไมเคิลกระโดดหนีไป เขามองความเร็วเกินมนุษย์นั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดออกมาโดยที่ยังไม่ละสายตาไปยังทางที่ไมเคิลหายวับไป

“อยากรู้ว่าหมอนั่นทำอะไรได้มากกว่าล่ะสิ” รีสพูดสวนออกมา พรางเดินเข้ามาหาเชนพร้อมยื่นมือขอดูวิดีโอที่เอามาก็แทบไม่มีประโยชน์

“ว๊า รู้ทันตลอดนะครับรุ่นพี่ ว่าแต่เขาเป็นตัวอะไรกันแน่ครับ” เชนทำหน้าแอ๊บแบ๊วใส่รีสซึ่งก็ไม่รู้สึกอะไรเช่นเคย

“ไม่ต้องห่วงหรอก หมอนั้นวนเวียนอยู่ใกล้ๆฉันนี่แหละ หมอนั่นก็แค่ หมาบ้านั่นแหละ แต่ถ้าอยากรู้มากกว่านี้...ก็ตามดูเอาสิ” รีสตอบออกไปอย่างรู้ทันเชนอีก พร้อมๆกับแกล้งให้เชนอยากรู้แต่ก็ทำให้หน้ามุ่ยแทน แต่ก็มุ่ยได้แปปเดียว ก่อนจะเดินนำออกจากซอยไป ที่เลือกตรอกเล็กไร้ผู้คนก็แค่เผื่อว่าหมาบ้านั้นจะกลายร่างเท่านั้น

แต่เด็กบ้าอย่างเชนก็คือเด็กบ้าวันยังค่ำ ก็ยังคงยิ้มได้ แถมยังชอบใจมากขึ้นอีกที่จะได้เจอสัตว์ประหลาด ‘หมาบ้าจะเหมือนหมาป่าที่ฉันเจอตอนเด็กๆรึเปล่านะ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นเลยนะที่ทำให้ผมเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ และยังสะสมอะไรแปลกๆอีก’

“แยกย้ายกันตรงนี้เลยก็ได้นะเชน” รีสไปหยุดยืนอยู่ข้างหน้าเชนก่อนจะเอ่ยออกมาเบาๆแล้วกำลังจะก้าวออกไปอยู่ที่ไหนสักแห่งเพื่อรอเวลากลับเข้าไปในคอนโดหลังเฟิร์สหลับเพื่อไม่ให้กลัวเขา

“รุ่นพี่ยังกลับไปไม่ได้ไม่ใช่หรอครับ ปานนี้หมอพอลคงไปถึงไม่นานเอง งั้น...ไปเที่ยวกับซีดีกว่ามั้ยคะ” เชนหยุดความคิดนั้นลงพร้อมๆกับยิ้มแป้นแล้วเอ่ยแกล้งรีสด้วยน้ำเสียงที่ดัดให้เล็กเป็นผู้หญิงอีกครั้ง ก่อนจะเดินควงแขนกันออกไปเมื่อเห็นว่ารีสไม่ปฏิเสธ


...
ตอนนี้มาเบาๆก่อนนะคะ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะ รักทุกคน  :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย ตอบทู้จ้า
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 19-09-2016 13:52:25
ตอบทู้จ้า


เค้าก้อแอบหายไปนานเลยพอดีช่วงนี้ยุ่งๆ
ทามแรงส์ 555
#เอาใจช่วยนะไรท์ หลังจากเห็นเม้นก่อนหน้าฮือๆ
ตอบใหม่จ้า อันที่แล้วสงสัยจะมึนเอง 555
ขอบคุณที่เป็นกำลังใจให้นะคะ

“เพราะ รัก ไงล่ะ รักคำเดียวเท่านั้น" เชรดดดดดดดดดดดดยอมรับหมดซึ่งหัวใจแล้วสิถึงได้พูดคำนี้ออกม๊า อ๊างงง :-[ 5555 //รวดเดียว 29 ตอนยาวๆอ่านตั้งแต่เมื่อวานยันตอนนี้ละค่ะ F5รัวๆ 5555 สนุกกกกมากกกกก เข้ามาเพราะสนใจชื่อเรื่อง me die???อารมณ์ประมาณ กูตายแล้วหรอ?? ยังไม่พร้อมตายอะแต่ก็ต้องมาตายก็เพราะมึ๊งงงงงง 55555 เลยคิดว่าแล้วยังไงต่อว่ะ หัวข้อไม่เห็นมีจำนวนตอน เห็น 3 หน้า คงไม่เยอะตอนมั้ง ไม่ได้เปิดมาหน้าสุดท้ายไง 555 พอเริ่มอ่านไป เฮ้ย!!สนุกกกว่ะ ระดับความสนุกมันค่อยๆเพิ่ม ตอนนี้งอมแงมค่ะ ติด 5555 //ริส เป็นเจ้าปีศาจแห่งสงครามแบบไม่รู้ตัว ปีศาจหลังความตาย ถ้าไม่ตายคงไม่เผยตัวตนออกมา สงสารริสอ่ะ ไร้ซึ่งรับรู้รสสัมผัส กินเนื้อดิบ ถูกจับไปทดลองทรมานอีก แถมยังต้องมารักคนที่ตัวเองแก้แค้นซึ่งก็กลัวตัวเอง ไม่เคยโกรธริสเลยที่ทำร้ายทรมานเฟิร์สทั้งร่างกายและจิตใจ เล่นประสาทสงครามจนจิตหลอน หวาดผวา นอนไม่หลับ ระแวง กลัว บลาๆ แค่หมั่นไส้ริสเองอ่ะ 5555 ก็นะ ชนแล้วหนีแล้วทำให้ตัวเองมาเป็นไรก็ไม่รู้ แต่สงสารเฟิร์สไหม สงสารเหมือนกัน ถูกกดดันจากพ่อไม่พอก็ต้องมารับกรรมแก้แค้นคืนจากริสอีก ก็นะริสมันไม่รู้ว่าลงแรงไปเท่าไหร่ พลังมากขนาดไหน ยังควบคุมไม่ได้ไง เฟิร์สสลบแล้วสลบอี๊ก 555555555555 สุดๆ เฟิร์สสตรองมาก ยอมเลย แล้วยังมาหวั่นไหวกับริสอีก ชอบอ่ะ 55555555555 หวั่นไหวกันทั้งคู่แล้ว ต่างก็โหยหา ชอบบบบมากความรู้สึกนี้ เฟิร์สอย่ามองริสด้วยสายตาแบบนั้นเลยนะ เจ็บปวดใจแทนริส รับตัวตนริสให้ได่นะ งื้ออออออออ!!! ชอบหมอกไอเย็นรอบกายริสที่แผ่ออกมา กลิ่นอายความตาย เท่ห์อ่ะ ชอบบบบบบบบบบ ริสเท่ห์จริงๆนะเออ 5555555 //ดีที่ไม่สู้กันไรมาก ไมเคิลอย่าคิดเป็นเจ้าปีศาจเลยนะ ปล่อยริสไปตามทางเหอะ ลำพังต้องจับไปทดลองก็แย่พอละ จะหลุดออกได้ไหมหรือยังไงต่อนะ //แรมป์กับหมอพอลนี้ยังไง หมอแค่มองหน้ายังวูบวาบ 555555 //ทามมมมมมมมแกได้ติวเตอร์แล้ว ช่วยทำตัวดีๆยอมรับใจตัวเองทีเห๊อะว่ารักว่าหลง ติวเตอร์จะได้ไม่ดื้อด้วย(มั้ง) 5555555 //NC+ ดีทุกคู่ค่ะ มีเท่าไหร่ปล่อยมาค่ะ ไม่ว่ากัน หูยยยยยยยยยยยยยย  :oo1: :haun4: :pighaun: :jul1: ชอบบบบบบ 55555555555 //เฟิร์สตื่นมาจะเป็นยังไงมั้งเนี้ยพอเจอหน้าริส ริสบอกจะไม่ปล่อยไปอีกชะมะ เง้อออออออออออทำให้เฟิร์สรับรักให้ได้นะ เอาใจช่วยว่ะ ต่อไปจะเป็นไงมั้งเนี้ย เพิ่งอ่านจบก็อยากอ่านต่ออีกเลยอะค่ะ 55555 //ขอเป็น FC เรื่องนี้อีกคนนะคะ จะติดตามตลอดเลยทีนี้ถ้าอัพ ชอบอะเพราะมันสนุกกมากกกกก ชอบลุคปีศาจริสจัง ชอบไอความตายเย็นๆ 55555555 แง่งงงอยากเห็นริสเฟิร์สหวาน แค่คิดก็เขินมากแล้วอ่ะ สัส 5555555 //ขอบคุณนะคะที่แต่งและมาอัพให้ รอตอนต่อไปใจจดจ่อนะค่ะ ร๊อออออออออออออออออออ สู้ๆค่ะไรท์ ฮึบ  :katai4: :katai2-1:
โหยยย แบบ ไม่รู้จะตอบยังไงเลยค่าาา อ่านแล้วยิ้มไม่หุบเลยล่ะ ดีใจมากกก ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ดีใจที่ชอบน้า //แบบว่ารีสเท่จริงๆแหละ ชอบแบบนี้เหมือนกันค่ะ ฮาาา ไอเย็นๆรอบๆปีศาจที่มีกลิ่นอายความตาย  :mew1:  //เฟิร์สแบบ ก็สตรองจริงๆแหละ ฮา แต่เฟิร์สก็น่าสงสารนะ //ทามกับติวเตอร์คู่นี้แค่เบาๆ พี่ทามมันเจ้าเล่ห์ไปหน่อย อิอิ // คู่แลมป์กับพี่หมอ นี่สงวนนะคะ ไม่ได้เขียนมาก เผื่อไว้บ้าง //สนับสนุนไมเคิล กับเชนกันด้วยนะค้าาา 555 // แบบว่าไม่รู้จะตอบไงอีกอ่ะ เอาเป็นว่าขอบคุณมากๆเลยนะคะ


ทุกท่านที่ติดตามด้วยนะคะ ขอบคุณมากเลยที่ติดตามกันมาขนาดนี้  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 19-09-2016 17:46:30
รีสว่ามาแนวโหดแล้วนะ เจอเชนเข้าไปโรคจิตจริง 5555555 และอ๋ออออ ที่โรคจิตแบบนี้ก็เพราะเห็นหมาป่ากลายร่างแต่เด็กนี่เองเลยเชื่อพวกเหนือธรรมชาติละเริ่มสะสมของแปลก อะไรแปลกแนวจิตๆนี้ เชนชอบบบบ 555555 ว๊ายยยไมเคิลเชนจำกลิ่นได้แต่เด็กเลย เชนกำลังทำให้ไมเคิบสับสนในเพศนะนั่น 555//ไอ้เราก็นึกว่าใครตามมาล่ารีสอี๊ก ไมเคิลนี่เอง ตามมาทดแทนบุญคุณ ตัดแล้วไม่คืนคำจริง  o13 คงตามวอแวอยู่อย่างนี้สินะ 55555 แล้วยังจำกลิ่นเชนได้อีก อิอิรอฟิน ทำให้ไมเคิลเจอคำว่ารัก คำเดียวอย่างที่ริสบอกเถอะ 555// ก็เข้าใจเฟิร์สนะ ยังกลัวอยู่ ทำให้หลอนซะขนาดนั้น จะทำอะไรก็กลัวแต่จะโดนว๊าก 5555 แต่รีสก็พยายามในแบบของรีสละ บอกจะไม่ยอมปล่อยไปชะ เพราะงั้นก่อนออกจากห้อง เลยสั่งอย่างเยือกเย็น ห้ามออกไปไหน ไม่อยากล่ามโซ่นะ 555555 พยายามจะอ่อนโยนแล้วใช่ไหมนี้ ไม่อยากทำให้กลัวเลยนะ  รีสแม่งฮา  555555 คำพูดคำจาก็ดีขึ้น เฟิร์ส ริสพยายามปรับปรุงตัวอยู่นะ อย่ากลัวเลยเจ็บปวดใจไปกับรีส งื้ออออ สู้ๆนะรีส ไรท์ก็เช่นกันค่ะ สู้ๆปั่นตอนต่อไปนะคะ รออ่านอยู่คะ ดีใจที่มาอัพ ชอบบบบบค่ะชอบบบบบ จะเกิดไรขึ้นต่อไปรอลุ้นค่ะ โอ๊ยยยชอบรีสอยู่กับเฟิร์สจัง รีสจะทำตัวให้เฟิร์สงงๆแบบไหนอีก จะปรับปรุงตัวยังไง รอดูค่ะ 555555
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย ตอนที่ 31 // ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 25-09-2016 11:44:56

Me die

31 : หน่วง

 
หมอพอลรับหน้าที่ไปดูแลเฟิร์สให้ แต่ไม่ได้เข้าไปทักทายในห้องนอน เฟิร์สก็ไม่รู้ตัวว่ามีคนเข้ามาในห้อง หมอพอลได้แค่เตรียมอาหารเที่ยงอาหารเย็นที่ซื้อสำเร็จมาวางไว้และซื้อวัตถุดิบขึ้นมาให้ และออกไปเงียบๆเพราะดันมีงานด่วนจากดร. จากนั้นรีสจึงกลับมาคอนโดแทน
 
หลังจากรีสกลับมาได้สักพักเฟิร์สก็ตื่นขึ้น ทั้งสองคนได้แต่จ้องหน้ากันอยู่นานไม่มีใครยอมพูดอะไรออกมา เฟิร์สได้แต่อึกอัก จนสุดท้ายก็หลบหน้าไป รีสเห็นดังนั้นก็เดินเลี่ยงไปเพื่อเตรียมอุ่นอาหารให้ จากนั้นก็เดินมาตาม
 
“เฟิร์ส ไปกินข้าวกลางวันสิ” รีสเดินมาหยุดอยู่ห่างๆเฟิร์สที่ยังนิ่งอยู่ที่เตียงเหมือนเดิมไม่ขยับไปไหน แต่เมื่อเฟิร์สได้ยินเสียงรีสกลับสะดุ้งจนตัวโยนแล้วค่อยๆหันหน้ามาหารีสช้าๆ ทำท่าอึกอักอยู่นานจนในที่สุดก็ตัดสินใจพูดออกมา
 
“คะ คือ ยังไม่หิว อ๊ะ อย่า!” พอเฟิร์สพูดจบอย่างกล้าๆกลัวๆ รีสที่ยืนอยู่ก็ขยับตัวจะเดินเข้ามาหาเฟิร์ส ด้วยในอดีตที่มักเจ็บตัวที่ปฏิเสธรีส จึงทำให้เฟิร์สกลัวจนถอยหลังหนีอัตโนมัติ แม้ว่าแท้จริงรีสไม่ได้จะทำอะไรทั้งสิ้น รีสที่เห็นเฟิร์สหวาดกลัวตนแบบนั้น จึงได้แต่นิ่งค้างไม่เคลื่อนไหว ในใจรู้สึกปวดหนึบ ดวงตาได้แต่จ้องมองเฟิร์สนิ่งอย่างท้อใจ จนสักพักก็เดินห่างออกไปพร้อมกับพูดทิ้งท้ายไว้เบาๆ
 
“อาหารวางไว้บนโต๊ะ ผมจะกลับมาอีกทีตอนเย็น”
 
จนเฟิร์สได้ยินเสียงล็อกประตูหน้านั้นแล้ว จึงขยับตัว ถอนหายใจโล่งอีกครั้ง แต่สายตาเฟิร์สนั้นก็ได้แต่มองไปยังทางที่รีสเดินออกไป ภายในใจก็ได้แต่สับสนงุนงงกับท่าทีที่แปรเปลี่ยนไปของรีส เพราะถ้าเขาปฏิเสธสิ่งที่รีสต้องการเฟิร์สเจ็บตัวทุกครั้ง ไม่ว่าจะกระชากเขาไป บังคับต่างๆนาๆ พูดร้ายตะคอกโมโหเขา แต่ครั้งนี้กลับนิ่งเงียบแล้วยอมจากออกไปเอง
 
จากนั้นเวลาที่เหลืออยู่เฟิร์สก็ได้แต่เดินวนอยู่ในห้อง ไม่กล้าจะทำอะไร ออกไปไหนก็ไม่ได้อีก บ้างก็ไปนั่งอยู่เฉยๆ บ้างก็ไปนอนเล่นจนเวลาผ่านไปอย่างน่าเบื่อ แต่ตลอดเวลาเขาจะหยุดคิดเรื่องของรีสไม่ได้ ทั้งท่าทีที่เปลี่ยนไป ทั้งสงบเงียบ ไม่โมโหใส่เขา ไม่รุนแรง แถมยังหนีหน้าไปเพราะรู้ว่าเขากลัว แต่ทำไมถึงไม่ยอมปล่อยเขาไปสักทีจะขังไว้ทำไมกัน
 
[รีส]
 
ผมขับรถออกไปเรื่อยๆจนสุดท้ายก็มาหยุดอยู่ที่สวนสาธารณะที่เก่าที่ผมเคยมาเมื่อครั้งทุกข์ใจตอนยังเป็นมนุษย์ จนปัจจุบันที่ตัวของผมนั้นกลายเป็นปีศาจหรือมนุษย์ทดลองที่ดร.ใช้เรียก ที่นี่ดูเก่าและวังเวงขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะเลย
ผมเดินไปนั่งนิ่งที่เก้าอี้ข้างๆที่ยังไม่ผุพังเท่าไหร่ เหม่อมองออกไปรอบๆ สำรวจไปทั่วไม่ได้เจาะจงอยากจะดูอะไร มองไปเรื่อยเปื่อยเพื่อให้เวลามันเดินไปเรื่อยๆ สิ่งต่างๆที่เคยสวยงามเมื่อเวลาพ้นผ่านมันก็ย่อมดับสลายไป แล้วตัวของผมล่ะ ร่างกายที่คุ้นเคยแต่ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป มันจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมรึเปล่า ผมไม่อยากเป็นตัวประหลาดแบบนี้หรอกนะ
 
ร่างกายของผมเปลี่ยนไปจากแต่ก่อน ดวงตาที่เคยเป็นสีฟ้าสว่างจนแปรเปลี่ยนมาเป็นสองสีจนบัดนี้กลายเป็นสีแดงดังสัตว์ร้ายไปทั้งสองข้าง มองยังไงก็ไม่คุ้น ผิวที่ขาวอยู่แล้วแต่บัดนี้ซีดเผือดเหมือนซากศพเดินได้ อีกทั้งรอบๆตัวยังมีไอเย็นสีขาวจางๆอยู่รอบตัวตลอดเวลา จากอุณหภูมิร่างกายที่เย็นจัด แม้ไม่สังเกตจะไม่เห็นก็ตาม แต่เมื่อผมรู้สึกโกรธหรือโมโหขึ้นมาเมื่อไหร่ เหมือนบางอย่างในร่างกายมันจะปะทุออกมารอบๆเหมือนจะมีไอเย็นจากตัวผมแผ่ไปปกคลุมจนมันเย็นจัดเหมือนดอกไม้ดอกนี้
มือของผมหยิบดอกหญ้าสีเหลืองขึ้นมาถือไว้ในมือ ดวงตาได้แต่จ้องมองมันนิ่งๆ แต่ความงามของดอกไม้ในมือผมก็มีให้เห็นแค่เพียงแวบเดียว ไอเย็นจากร่างกายผมไหลออกไปเคลือบมันไว้จนทั่วทั้งดอกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งบางๆ
แกรบ!
และแค่เพียงขยับมือจับมันเบาๆ ดอกไม้ในมือผมก็แตกสลายไป เป็นเพียงแค่เศษน้ำแข็งที่ล่วงหล่นลงสู่พื้นดินและละลายหมดไปในที่สุด
นับวันไอเย็นจากร่างกายที่ผมมี เหมือนจะคุมมันได้มากขึ้น เหมือนที่ผมทำให้ดอกไม้เมื่อกี้กลายเป็นน้ำแข็ง แต่บางทีมันก็คุมไม่ได้ ยิ่งเมื่อมีความโกรธ หรืออารมณ์ของผมรุนแรงขึ้นเมื่อไหร่ ความเย็นที่มีมักจะทวีขึ้นตามแรงอารมณ์เท่าตัว ยิ่งคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ผมยิ่งจะกลายเป็นคนเย็นชา และทำลายล้างทุกอย่างให้แตกสลายไปดังแผ่นน้ำแข็งที่เปราะบาง
การที่เฟิร์สปฏิเสธและกลัวผม อารมณ์ของผมก็เริ่มแปรปรวน แต่มันไม่ใช่ความโกรธ แต่มันดันรู้สึกปวดหนึบบางอย่างภายในจิตใจ จนผมต้องปลีกตัวออกห่าง เพราะไม่รู้ว่าถ้าอารมณ์นั้นมันมากขึ้น เฟิร์สจะเป็นอันตรายจากผมอีกรึเปล่า...
 
ส่วนอาหารที่ผมต้องกินนั้นก็ยังเหมือนเดิม เนื้อดิบ เลือดสด อาหารมนุษย์ทั่วไปก็ยังคงกินไม่ได้ ร่างกายของผมจะต่อต้านมันทุกครั้ง ยิ่งฝืนกินเข้าไปเท่าไหร่ยิ่งออกมามากเท่านั้น แถมยังกระหายเลือดเพิ่มขึ้น ผมสะอิดสะเอียนตัวเองจากอาหารจนไม่อยากกิน แต่เมื่อไม่กินร่างกายของผมมันดันทรุด เรี่ยวแรงที่เคยมีมากกว่ามนุษย์กลับไม่มีเหลือแม้แต่แรงพยุงตัวเอง จนร่างกายทนไม่ไหวต่อความหิวที่มี ทำให้ต้อง กิน บางอย่างที่ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะกินมาก่อน
 
เหมือนตอนนั้น ก่อนที่ผม จะไปช่วยเฟิร์สจากปีศาจหมาป่าไมเคิล
 
วันนั้นผมทราบข่าวว่าเฟิร์สหายไป และรู้ตำแหน่งจากเชนว่าอยู่ที่ตึกร้างแห่งหนึ่ง ก่อนหน้านั้นผมที่ฝืนไม่ยอมกินไม่ยอมนอนจนร่างกายแทบรับไม่ไหว ทั้งๆที่ได้รับคำเตือนจากพี่หมอพอลแล้วก็ตาม แต่ผมก็ยังดันทุรังออกไป
 
ในระหว่างที่ผมกำลังจะถึงเป้าหมาย ลูกน้องของดร.ที่ส่งมาสังเกตการณ์อยู่ห่างๆมาตลอดได้เข้ามาหาเมื่อเห็นว่าผมนั้นแทบหมดแรงเดินและพยายามจะพาตัวผมขึ้นรถตู้ขับออกไปที่ห้องทดลองอีกครั้ง แต่ตอนนั้นสติที่ผมแทบไม่รู้อะไร หิวจนตาลาย ภายในท้องร้องเรียกแต่บางสิ่งที่อยากจะกัดกินให้เต็มอิ่ม ผมแทบไม่รู้ว่าตอนนั้นโดนพวกนั้นลากขึ้นรถหรือทำอะไรไปบ้าง รู้แค่ว่ากลิ่นเลือดเนื้อของพวกนั้นมันหอมจนผมทนไม่ไหว จากนั้นผมก็ไม่รับรู้อะไรอีก ได้ยินแต่เสียงแว่วของใครสักคนในกลุ่มนั้นร้องออกมาอย่างทรมาน และตามมาด้วยอีกหลายๆเสียงที่ร้องขอชีวิตอย่างโหยหวน และเงาจางๆสีขาวที่ปกคลุมกลุ่มคนพวกนั้นภายในรถตู้
 
เมื่อผมฟื้นสติขึ้นมา ผมยังอยู่ในรถตู้คันเดิมที่พวกนั้นจับมาแน่นอน ไอสีขาวที่แผ่ปกคลุมนั้นหายไปจนมองเห็นทุกอย่างชัดเจน ชัดเจนมากจนเกินไป จนผมเองนั้นยังอดตะลึงค้างกับสิ่งที่เห็นตรงหน้าไม่ได้ ผมเหลือบสายตามองไปรอบๆมองทุกอย่างที่สยดสยองเกินบรรยายตรงหน้า นิ้วมือของผมนั้นยังจิกกำบางอย่างของมนุษย์อยู่ ซึ่งสิ่งนั้นก็คือเศษชิ้นเนื้อมนุษย์!  ผมสะบัดมันออกอย่างตกใจ จากนั้นก็เหลือบมองคนอื่นๆมันสยดสยองเกินกว่าผมจะรับมือไหว ทั้งเลือดทั้งเศษชิ้นส่วนต่างๆกระจัดกระจายอยู่เต็มรถ เหมือนๆกับโดนพวกสัตว์กินเนื้อเข้ามากัดกิน แทะโลมจนเนื้อหนังหลุดลุ่ยกระดูกหลุดเส้นเอ็นเส้นเลือดฉีกขาด แม้กระทั่งหัวและตัวแทบจะอยู่กันคนละที่ ดวงตาในหัวนั้นเหลือกโลนจ้องค้างไม่หลับนิ่ง แต่บางหัวดวงตากลับเหลือแค่เพียงหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็นอนนิ่งอยู่ข้างๆปลายเท้าผม
อึก! ผมได้แต่นิ่งค้าง อารมณ์ไม่คงที่ ทั้งตกใจทั้งสับสนและขยะแขยงในตัวเอง ในหัวของผมนั้นคิดอะไรไม่ออก ได้แต่มองเศษซากส่วนใหญ่ที่กองอยู่ตรงหน้า  เป็นฝีมือของผมไม่ผิดแน่ ราชาติหวานๆจากเลือดของคนกลุ่มนี้ผมยังรู้สึกถึงมันที่อยู่ในลำคอ  ท้องของผมถูกเติมเต็มจนอิ่มโดยเลือดเนื้อมนุษย์ แต่ที่น่าแปลกคือ ร่างกายของผมกลับมีแรงขึ้นมา มีมากกว่าตอนที่กินเลือดกินเนื้อหมูไก่จากตลาดซะอีก แต่ผมกลับไม่ได้ดีใจเลยแม้แต่น้อย ได้แต่รังเกียจร่างกายนี้มากขึ้นไปอีกเท่าตัว
 
ผมมองไปยังเศษซากมนุษย์พวกนี้อย่างชั่งใจจนในที่สุดอารมณ์แปรปรวนของผม  ก็ทำให้ความคิดด้านลบผมชนะ ผมต้องทำลายหลักฐาน! ผมนั่งนิ่งค้างอยู่กับที่ จ้องมองไปยังกองเลือดเนื้อที่กระจัดกระจายอยู่ภายในรถ ไอเย็นสีขาวจางๆไหลออกจากตัวแผ่ปกคลุมจนภายในรถตู้มองไม่เห็นอะไรอีก มากขึ้น แผ่ไอเย็นออกไปอีก ออกไปจนเคลือบเกาะทุกชิ้นส่วน จนมันแตกสลายไปเหมือนดอกไม้ดอกนั้น
ผมค้างอยู่อย่างนั้นไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ จนสติของผมดับวูบไปจนล้มลงกองอยู่ที่พื้นรถ จนเมื่อมีสายเรียกเข้ายืนยันตำแหน่งจากเชนดังเตือนสติ ผมจึงตื่นขึ้นพร้อมกับแรงที่กลับมามากเหมือนก่อน ไอเย็นรอบๆจางหายไป เศษซากชิ้นส่วนต่างๆถูกสต๊าฟไว้จนแข็ง ถ้าเพียงแค่จับต้องก็สลายหายไป ผมจึงทำความสะอาดร่างกายเท่าที่จะทำได้ ปัดแผ่นน้ำแข็งที่เกาะเพื่อทำลายหลักฐานทิ้งจนมันแตกออกเป็นผงน้ำแข็งจางๆแล้วละลายหายไปเมื่อลงสู่พื้น เหมือนๆกับซากอื่นที่เหลือ ในเวลาไม่นานมันก็จะละลายหายไปเองจนหมด
จากนั้นผมก็รุดหน้าออกจากรถไปช่วยเฟิร์สทันทีด้วยร่างกายที่ยังคงกลิ่นคาวความตายและเสียงร้องขอชีวิตที่ยังดังอยู่ในหัว ได้แต่ทิ้งเศษซากพวกนั้นไว้เพื่อรอเวลาละลาย จนเหลือแต่รถตู้เปล่าๆ คนพวกนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย ผมได้แต่พร่ำเตือนสติตัวเอง ว่าผมไม่ควรที่จะละเลยการกินอาหาร แม้ว่าอาหารนั้นจะน่าสะอิดสะเอียดขนาดไหน แต่ถ้าผมไม่อยากจะกิดเลือดเนื้อมนุษย์โดยเฉพาะเฟิร์ส ที่ใกล้ตัวที่สุด เพราะผมไม่อยากจะทำร้ายเฟิร์สมากไปกว่านี้อีกแล้ว ผมควรอยู่ให้ห่างเฟิร์สไว้เมื่อรู้สึกถึงความแปรปรวนที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ
 
ผมได้แต่นั่งมองตรงไปข้างหน้านิ่งงัน จมอยู่กับความคิดที่เตลิดไปไกล ผมยังรังเกียจและหวาดกลัวตัวเอง แล้วทำไมเฟิร์สจะไม่รู้สึก ยิ่งเมื่อก่อนผมทำร้ายเฟิร์สไว้มากขนาดนั้น ผมเข้าใจดีที่เฟิร์สมีสายตาและท่าทางที่หวาดกลัวผม แต่ทำไมมันถึงทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวด ภายในใจมันปวดหนึบจนทำให้ผมนึกท้อใจ อยากจะปล่อยเฟิร์สแล้วหายหน้าไป กลายเป็นที่คนที่เฟิร์สไม่เคยรู้จักจะดีรึเปล่า และตัวของผมเองนั้นควรจะไปเป็นมนุษย์ทดลองไร้ความรู้สึกไม่ก็ให้ไมเคิลช่วยฆ่าผมให้ตายเพื่อทดแทนบุญคุณ ยังไงหมอนั้นก็อยากฆ่าผมอยู่แล้ว แต่ที่ยังวนเวียนอยู่ใกล้ๆเพียงเพราะจะชดใช้ทั้งที่ในใจนั้นไม่ปราถนา
แต่เสียงของพี่หมอที่ยังคอยย้ำไม่ให้ผมปล่อยชีวิตให้เป็นแบบนั้น บอกว่าอย่างน้อยๆควรจะทำให้เฟิร์สหายโกรธ และยอมรับความรู้สึกของตัวเอง ที่รักเฟิร์สไปแล้ว ไปไถ่โทษ อย่างน้อยๆก็ให้เฟิร์สได้ชีวิตปกติลืมปีศาจอย่างผมไป ไม่เป็นโรคหวาดระแวงกลัวอะไรต่างๆนาๆที่เกิดจากฝีมือของผมทั้งนั้น
 
แต่ถึงผมจะรักเฟิร์ส ผมนั้นก็ไม่ต้องการให้เฟิร์สรักตอบกลับมา และยอมทิ้งตัวตนมาจมอยู่กับตัวประหลาดแบบผม แต่สิ่งที่ผมต้องการ มีเพียงแค่ อยากให้เฟิร์สปลอดภัย และให้อภัยในสิ่งเลวร้ายที่ผ่านมาบ้างสักนิดก็ยังดี เลิกหวาดกลัว ใช้ชีวิตปกติ แต่...เพียงแค่ผมลืมไปแล้วว่าควรจะแสดงท่าทางแบบไหน ควรพูดอะไร ทำได้เพียงแค่ถอยห่างออกมาทั้งที่ในใจนั้นปวดหนึบ ผมไม่รู้เลยว่าต้องทำยังไงต่อไป
 
ผมรู้เฟิร์สได้แต่กลัวและหวาดระแวงในตัวผม ยิ่งเมื่อจะเข้าใกล้เฟิร์สจะขยับตัวถอยห่างออกไปเสมอ การที่เอาเฟิร์สมาไว้ที่นี่จะเป็นความคิดที่ดีรึเปล่า ผมคิดซ้ำไปซ้ำมาอยู่ตลอด แต่ผมก็ยังเก็บเฟิร์สไว้ใกล้ตัวทั้งที่ตังอันตรายที่สุดสำหรับเฟิร์สน่าจะเป็นผม ทำไมกันนะ ภายในใจของผมมันเจ็บปวด เจ็บมากเหลือเกินที่เห็นท่าทางหวาดกลัวจนลนลานของเฟิร์ส ทั้งที่แม้แต่หัวใจมันก็ไม่ทำงานมานานมากแล้ว บางครั้งผมอยากจะร้องไห้ออกมา แต่ร่างกายที่เปลี่ยนไปนั้น กลับทำให้มันไม่มีแม้แต่น้ำตาที่คลอในดวงตา จะมีก็แต่ไอเย็นจางๆสีขาวกับอุณหภูมิร่างกายที่เย็นขึ้นไปอีกเท่าตัว
 
ผมกลับมาถึงคอนโดอีกครั้งของรอบวัน เมื่อเวลาตอนนี้วนมาเกือบเที่ยงคืน ผมเดินเข้ามาในห้อง มองไปยังเฟิร์สที่นอนหลับอยู่บนเตียง ผมจึงหยุดมองใกล้ๆประตูห้องนอนห่างจากเตียงมา ใบหน้าของเฟิร์สแม้ยามหลับก็ดูไม่มีความสุขเอาซะเลย ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ ไม่ว่าครั้งไหน เฟิร์สมีแต่ความระแวงและกลัวจนลนลาน ผมอยากขอโทษเฟิร์ส อยากให้ใบหน้านี้มีแต่รอยยิ้ม ไม่ใช่ซีดเผือดอย่างหวาดกลัว ผมอยากเป็นคนทำให้เฟิร์สมีความสุขมีรอยยิ้มบ้างสักนิดก็ยังดี
 
“อือ”
ขาผมที่เดินเข้ามาหาเฟิร์สตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เฟิร์สขยับตัวและครางฮือออกมาเบาๆจากไอเย็นของมือผมที่ยังคงมีออกมาอยู่ตลอดเวลานั้นกระทบกับผิวหน้าของเฟิร์สเมื่อผมค่อยๆขยับเข้าใกล้ใบหน้าเฟิร์สช้าๆ ลากนิ้วชี้ผ่านปลายคางขึ้นไปยังผิวแก้มเฟิร์สไล้ไปตามโครงหน้าผ่านหน้าผากเนียนแล้วหยุดลงที่กลางหว่างคิ้ว
เฟิร์สครางฮือออกมาเบาๆอีกครั้งเมื่อนิ้วเย็นๆของผมจิ้มค้างอยู่ตรงหว่างคิ้วนานเกินไป ผมจึงขยับนิ้วมือลากเบาๆไปตามแนวสันคิ้วที่ขมวดมุ่นของเฟิร์สจึงค่อยๆคลายออก ใบหน้าที่ย่นยู่นั้นดูผ่อนคลายลงช้าๆตามสัมผัสที่ผมไล้นิ้วมือผ่าน  ผมค่อยๆลูบไล้ไปตามโครงหน้าสวยของเฟิร์สอย่างเบามือที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ รู้สึกเหมือนผมจะยิ้มออกมายังไงยังงั้นเลยแหะ แต่ก็ไม่หรอกกล้ามเนื้อหน้ามันตายนิ่งสนิทไปนานแล้ว ถ้าทำได้ก็คงจะแค่ขยับปาก แต่ทำไมผมถึงรู้สึกอบอุ่นในหัวใจมากมายเหลือเกินในตอนนี้
 
‘อุ่น?’ ยิ่งลูบไล้ยิ่งรู้สึกถึงความอบอุ่นบางอย่างจากใบหน้านั้น ทำไมผมถึงรู้สึกถึงความอุ่นของใบหน้าเฟิร์สกัน ผมรีบยกมือขึ้นมามองอย่างสงสัย จากนั้นจะลองลูบไล้เพื่อพิสูจน์ใหม่อีกครั้ง แต่เฟิร์สดันขยับตัวซะก่อน ผมจึงรีบถอยตัวออกมายืนมองใกล้ๆแทน แต่เฟิร์สก็แค่เพียงขยับตัวให้นอนสบายมากขึ้น จากนั้นก็หลับสนิทไป ใบหน้าไม่ย่นยู่ดูผ่อนคลาย ดีแล้ว...แล้วผมก็ยืนดูเฟิร์สอยู่อย่างนั้นตลอดทั้งคืน
"อ่ะ อึก! ไม่! อย่าเข้ามา!" เฟิร์สละเมอจากฝันร้ายขึ้นมากลางดึก ยกมือปัดป่ายและกอดปกป้องตัวเอง น้ำตาคลอจนขนตาเปียกชุ่มแม้ไม่ได้ลืมขึ้น ร่างกายสั่นไหว ใบหน้าเครียดตึงอย่างหวาดกลัว มือเรียวนั้นขยุ้มผ้าห่มแน่นจับไว้แน่นกกกอดแขนตัวเองกดไว้จนขึ้นข้อขาว ฝันร้ายที่ผมเป็นคนทำ ฝันร้ายจากการที่ถูกสัมผัสมันยังคงตามหลอกหลอนเฟิร์ส
ร่างกายผมขยับเข้าหาเฟิร์สอัตโนมัติ แม้ใจจะปวดหนึบ แทรกกายใหญ่โตเข้าไปนอนข้างๆ ช้อนหัวของเฟิร์สเข้ามาในอ้อมแขน ยกมือเย็นเฉียบกกกอด ลูบไล้เบาๆอย่างปลอบโยน ไม่นานเฟิร์สก็ดูผ่อนคลายขึ้น สงบลงไม่ละเมอตะโกนออกมาอย่างหวาดกลัว เฟิร์สครางฮือเบาๆเมื่อขยับกายชิดผม คงจะเย็น แต่ก็ยังคงเข้ามาแนบชิด สีหน้านั้นดูผ่อนคลาย ผมได้แต่เกร็งนิ่งทำตัวไม่ถูกเมื่อเฟิร์สนั้นขยับเข้ามากอดเอวผมไว้แล้วนิ่งจนหลับสนิทไป แต่พอผมจะขยับตัวเฟิร์สกลับส่งเสียงไม่พอใจและยื้อยุดไว้ จนผมได้แต่นอนนิ่ง ข่มตาหลับไม่ลงนอนจ้องเพดานไปตลอดทั้งคืน รุ่งเช้ามาถึงเฟิร์สคงตกใจแน่นอน
รุ่งเช้า
 
“อ่ะ! ร รีส” เฟิร์สที่ตื่นขึ้นมาเห็นหน้าผมก็ผวาถอยกรูจนชิดกับขอบเตียงอีกด้านมือหยิบยกผ้าห่มขึ้นมาคลุมกายไว้แล้วขยำมันจนแน่น มองหน้าผมอย่างตื่นๆ ผมจึงขยับตัวออกมายืนห่างจากเตียงนอนไปเงียบๆแทน ได้แต่มองสบไปยังดวงตาที่ไหวระริกนั้นนิ่งๆ...เฟิร์สกลัวผม แม้ผมจะรู้ว่าเป็นปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติทุกครั้งที่เฟิร์สเห็นหน้าผมโดยที่ไม่รู้ตัว แต่ทำไม หัวใจของผมมันเจ็บปวดทุกที
 
แปร๊บ!
 
“อึก!” ในใจของผมปวดหนึบขึ้นมากะทันหัน เจ็บจนผมเองนั้นต้องยกมือขึ้นมากุมหน้าอกไว้ แต่มันก็เจ็บเพียงแค่แวบเดียว จากนั้นก็กลับไปไร้ความรู้สึกเหมือนเก่า เฟิร์สได้แต่มองมาอย่างงงๆปนหวาดกลัว ทั้งที่ยังกลัวจนเกร็งไปหมด ทำปากพะงาบๆเบาๆเหมือนอยากจะถามบางอย่างแต่ไม่กล้า ผมยืดตัวขึ้นตรงเหมือนเดิมเมื่อหายเจ็บ แล้วถอยห่างออกไปอีกนิด เฟิร์สจึงเลิกเกร็งและค่อยๆลุกขึ้นยืนชิดเตียงอีกด้านพรางถามออกมา
 
“ปะ เป็นอะไร งั้นหรอ... เอ่อ คือว่า คือ หิวแล้วน่ะ” เฟิร์สพูดประโยคแรกออกมาเบาๆพรางมองมาที่ผม ผมที่ได้ยินดังนั้นก็รีบมองตรงไปที่เฟิร์สอย่างแปลกใจ แต่เฟิร์สกับสะดุ้งและรีบลนลานเปลี่ยนท่าทีและพูดอย่างอื่นแทน
 
จากนั้นผมและเฟิร์สก็เงียบไปอีกครั้ง ได้แต่มองหน้ากันไม่มีใครพูดอะไรออกมา ผมได้แต่มองจ้องไปนิ่งๆ เฟิร์สก็จ้องมาบ้างหลบสายตาบ้าง มองไปมองมา จนเฟิร์สเบี่ยงหน้าหลบและพูดว่าหิวออกมาอีกครั้ง ผมจึงหันไปเตรียมอาหารให้เหมือนเคย จากนั้นก็เดินออกมาตามเฟิร์สที่ล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อย แต่เมื่อผมเรียกเฟิร์สก็ดันสะดุ้งและหน้าซีดเผือดกลัวผมเหมือนเคย ผมก็ได้แต่เดินเลี่ยงออกห่างให้เฟิร์สไปกินอาหาร ผมก็เข้าไปจัดการธุระส่วนตัว
 
จนเวลาผ่านไปสักพัก เพราะผมยังคงอยู่ในห้องเฟิร์สเลยได้แต่ระแวง แม้ว่าผมจะแค่ขยับตัวเฟิร์สก็ดูจะผวาไป ผมจึงได้แต่เงียบและจากออกมาข้างนอก เพื่อไปกินอาหารที่ผมสะอิดสะเอียด แอบกลับเข้ามาดูบ้างและออกไปเพราะวันนี้พี่หมอไม่ว่างมาช่วยดู แต่ถึงผมไม่กลับเข้ามาเฟิร์สก็ออกไปไหนไม่ได้อยู่ดี แต่ผมก็ยังกลับเข้าออกคอนโดอยู่ตลอดเวลา โดยที่ก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องซื้อของใช้กลับไปบ้างของกอนบ้างบ้างก็วัตถุดิบอาหารเครื่องใช้เพื่อเป็นข้ออ้างกลับเข้าไปเมื่อเจอหน้าเฟิร์สที่เอาแต่นั่งนิ่งอยู่ที่โซฟา พอผมเปิดประตูเข้าไปเฟิร์สเห็นผมก็จะสะดุ้งไม่ก็หวาดกลัวนิดๆทุกครั้งแต่ผมก็จะพูดแค่ว่าเอาอะไรกลับเข้าไป แล้วก็เดินวนอยู่ในที่เก็บของ มองออกมาเห็นเฟิร์สที่มองมาอยู่เหมือนกัน พอผมขยับตัวเฟิร์สก็ดูตื่นๆทุกครั้งไป ผมจึงเดินออกมาอีก และกลับเข้าไปใหม่ วนเวียนอยู่หลายรอบ
จนช่วงหัวค่ำจนดึกผมไม่ได้กลับเข้าไป ล่าสุดก็เอาอาหารไปให้เฟิร์สแล้วออกมา สายตาที่เฟิร์สมองมาที่ผมพักหลังๆมักจะมีความสงสัยตืดมาด้วย เฟิร์สคงจะแปลกใจว่าทำไมผมเข้าๆออกๆห้องละมั้ง ผมเองก็แปลกใจตัวเองเหมือนกัน
รอบนี้ที่ผมออกมานานก็เป็นเพราะมาเจอกับไมเคิลที่กำลังจะหาออกมาหาอาหารซึ่งเหยื่อก็คือมนุษย์ไร้ญาติพอดี ผมจึงเข้าไปห้ามไว้โดยอัตโนมัติเมื่อเห็นมนุษย์คนนั้นกำลังจะโดนกัดเข้าที่ลำคอเพื่อให้ตายคาที่และหยุดดิ้นโดยเร็ว ไมเคิลมองมาที่ผมอย่างไม่พอใจ แล้วคำรามใส่ จนมนุษย์คนนั้นวิ่งหนีหายไปอย่างสติแตก จากนั้นไมเคิลก็พูดทิ้งท้ายไว้อย่างหัวเสียว่า
"เจ้าทำอาหารของข้าหายไปทั้งที่ข้าไม่ได้กินมานาน ตั้งแต่เจอเจ้ากับเด็กนั่น มันตามติดแถมยังสะกดรอยข้าไม่เว้นวัน จนข้าจะบ้าตายอยู่แล้ว นี่ก็เพิ่งจะหนีได้ พอจะกินอาหารเจ้ากลับมาทำให้อาหารหลุดมือไปอีก เหอะ! ไหนๆจะช่วยชีวิตข้า ตอนนี้ข้าอยากจะให้เจ้าเอาเด็กบ้านั้นออกห่างๆข้ามากกว่า ไม่อยากรู้แล้วว่ามันเป็นเด็กคนเดียวกับเมื่อ10ปีก่อนรึเปล่า กลิ่นอ่ะใช่ แต่นิสัยต่างกันลิบลับ เด็กบ้านี่ทั้งเจ้าเล่ห์ทั้งโรคจิต ฮึ่ย!" หลังๆไมเคิลก็เอาแต่พูดๆกับตัวเอง เดินวนไปวนมาไม่ได่มองมาที่ผม แล้วกระโดดหนีไปในความมืดมิดอีกครั้ง ผมก็ได้ยืนงงไปสักพัก เด็กที่ว่านั่นหมายถึงเชนสินะ กัดไม่ปล่อยจริงๆ ผมเคยเจอแล้วแหละ จนปฏิเสธไม่ได้เลยเอามาใช้งานแบบนี้ไง มิน่าล่ะช่วงนี้เหมือนไมเคิลจะหายไปไม่ได้ตามผมอีกเลยตั้งแต่วันที่เจอเชน
จากนั้นเกือบเที่ยงคืนผมก็กลับเข้าไปคอนโดอีกครั้งเห็นเฟิร์สหลับอยู่ที่เตียงนอนใบหน้าดูผ่อนคลายไม่เครียดตึงเท่าเมื่อวาน และผมก็ยืนมองอยู่อย่างนั้นตลอดคืน เมื่อเฟิร์สละเมอจากฝันร้ายที่ผมเป็นคนก่อผมก็เข้าไปลูบไล้ปลอบโยนจนสงบ ไม่กล้าขึ้นไปนอนแทรกกลัวจะเป็นดังเช่นคืนแรกที่ได้รับผลตอบแทนคือสายตาที่หวาดกลัวของเฟิร์ส แต่พอจะขยับตัวออกห่างเฟิร์สกับจับมือของเขาไปกุมไว้แน่นจากนั้นค่อยหลับสนิทไป
 
จนกระทั่งเช้ามืดมาเยือน ผมจึงรีบแกะมือเฟิร์สออก กลัวเฟิร์สตื่นมาจะตกใจอีกครั้ง แล้วไปจัดการธุระส่วนตัวของตัวเอง จากนั้นก็ไปเตรียมอาหารและออกไปเช่นเคย เมื่อเฟิร์สตื่น ผมก็โทรตามพี่หมอพอลมาช่วยดูแลเฟิร์สอีกที เพราะอยู่คนเดียวไม่มีอะไรทำคงจะเบื่อ ส่วนผมก็คงจะไปที่ไหนสักแห่งเพื่อรอเวลากลับมาดูเฟิร์สตอนกลางคืนเช่นเคย
 
[รีส จบ]
 

// ตัด //
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย ตอนที่ 31 // ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 25-09-2016 11:47:38
ต่อๆๆๆ


หลังวางสายจากรีสไปไม่นาน หมอพอลก็โทรฯยกเลิกแลมป์ที่กำลังจะชวนกันไปทานข้าวเย็น โดยหาเหตุผลว่ามีงานด่วน แลมป์จึงไม่ได้สงสัยอะไร ก่อนจะเตรียมเก็บข้าวของ เพื่อจะเดินทางไปคอนโดรีสหาใครบางคนที่รีสไหว้วานให้ดูแล
 
หมอพอลได้แต่ยิ้มในใจมาตลอดทาง กับคำตอบที่เขาได้จากรีส ที่ถามถึงความรู้สึกที่มีต่อเฟิร์ส ซึ่งบอกว่า ยังไม่แน่ใจ ทั้งๆที่รู้ตัวเองแน่อยู่แล้วว่ารักเฟิร์ส หมอพอลได้แต่ถอยหายใจแล้วส่ายหน้าเบาๆกับความไร้เดียงสาเรื่องรักใคร่ของปีศาจตนนี้ เพราะเคยเตือนแล้วแท้ๆว่าให้ระวังจะตกหลุมพรางตัวเอง สุดท้ายก็ตกจนได้ จนตัวเองถอนตัวไม่ขึ้นอีกด้วย   
 
เมื่อหมอพอลมาถึงคอนโดก็เดินตรงมายังห้องของรีสที่ตนมีกุญแจอยู่ ไขเปิดเข้าไปทันที สายตาก็สอดส่องมองหาเฟิร์สที่ได้รับฝากมาดูแล ไม่นานหมอพอลก็พลันเหลือบสายตาไปเห็นเฟิร์สที่นอนหลับตะแคงตัวขดขาไว้เกือบชิดอก ใบหน้าก็ยุ่งๆคิ้วชนกันแน่นเหมือนๆกับที่เวลาเฟิร์สชอบฝันร้ายบ่อยๆ เพราะจิดใจไม่สงบ
 
“จะช่วยพูดเท่าที่ทำได้ละกันนะรีส พวกนายจะได้เข้าใจกันบ้างสักนิดก็ยังดี” หมอพอลได้แต่ระบายยิ้มอ่อนๆออกมา พร้อมกับพูดเบาๆกับตัวเอง ก่อนจะเดินเข้าไปหาเฟิร์สพร้อมกับย่อตัวลงนั่งข้างหน้า วางถุง7-๑๑ที่ตนแวะซื้อมาให้เฟิร์สไว้ข้างๆ เพื่อจะปลุกให้ตื่นขึ้น
 
“เฟิร์สครับ เฟิร์ส...” หมอพอลยกยิ้มอ่อน แล้วเขย่าเบาๆที่แขนซ้ายของเฟิร์ส ด้วยน้ำเสียงนุ่มๆน่าฟังเหมือนที่เขาชอบใช้ปลอบคนไข้ที่ขวัญเสียประจำ
 
‘อืม.. เสียงใครน่ะ ทั้งเพราะทั้งนุ่มฟังสบายจัง คุ้นด้วย แล้วไหนจะแรงเขย่าเบาๆที่แขนของผม... มืออุ่นแหะ ไม่ใช่รีสหรอก งั้นก็คงฝันแน่ๆ ฝันดีเหมือนกับทุกๆคืน มือที่อบอุ่นนั่น’ เฟิร์สได้แต่คิดอยู่เงียบๆ เพราะดันคิดว่าตัวเองนั้นฝันไป ได้แต่ขมวดคิ้วสงสัย แล้วก็ทำหน้าเหมือนโล่งใจ สุดท้ายก็นิ่งไปอีกครั้ง
 
“เฟิร์ส ตื่นสิ พี่ซื้อน้ำผลไม้เย็นๆมาฝาก ถ้าไม่ตื่น โดนนะ” หมอพอลเห็นท่าทางแบบนั้นของเฟิร์สที่แทบจะเหมือนเด็กแล้วก็อดที่จะอยากแกล้งไม่ได้ จึงจัดการหยิบกระป๋องน้ำผลไม้ที่เพิ่งหยิบจากตู้แช่ในร้านสะดวกซื้อมาถือไว้ในมือ
 
‘เสียงใครกัน น่ารำคาญ พูดมากไปแล้วนะ คนจะนอน มือก็ไม่เหมือน ไม่เหมือนคนในฝันทุกคืนที่ตื่นมากี่ครั้งกลับจำหน้าไม่ได้แต่สัมผัสที่มือนั้นอุ่นเสมอ’ เฟิร์สได้แต่ทำยุ่งอีก ทำเสียงจิ๊จ๊ะติดจะรำคาญ จนหมอพอลหลุดขำเบาๆ จากนั้นจึงค่อยๆยื่นกระป๋องน้ำผลไม้ไปแนบที่แก้มซ้ายเฟิร์สเบาๆ
 
“เฮือก!” แต่เฟิร์สกับสะดุ้งตื่นทันทีที่โดนกระป๋องเย็นๆแตะโดนที่แก้ม แล้วยกขาขึ้นกอดไว้แนบอกโดยอัตโนมัติก้มหน้าเอามือกอดตัวเองไว้อัตโนมัติ ด้วยความกลัวที่โดนสัมผัสยังหลงเหลืออยู่ในจิตใจ ในใจเฟิร์สได้แต่กลัว เพระคิดว่าความเย็นนั้นมาจากรีส
 
“ขอโทษครับเฟิร์ส พี่ไม่คิดว่าเราจะตกใจขนาดนั้น” หมอพอลรีบวางกระป๋องน้ำอัดลมลงกับพื้นอย่างเร็ว แล้วเข้ามาปลอบ โดยจับที่ตัวเฟิร์สเบาๆแล้วเอ่ยขอโทษ เฟิร์สนั้นได้แต่สั่นจนหมอพอลรู้สึกผิดในใจ และหนักใจที่เห็นท่าทีแบบนี้
 
 
“พี่หมอ! ตัวจริงใช่มั้ยครับ เฟิร์สดีใจมากเลยครับที่เจอพี่อีก ผมติดต่อพี่ไม่ได้เลย พี่มาช่วยผมอีกแล้วใช่รึเปล่า” เมื่อได้ยินเสียงหมอพอลอีกครั้ง เฟิร์สรีบเงยหน้าขึ้นมองไปหมอพอลที่ไม่รู้มาตอนไหนอย่างตกตะลึง เมื่อได้สติเฟิร์สก็รัวคำถามใส่หมอพอลไม่ยั้ง พรางเอื้อมมือไปจับแขนหมอพอลเขย่าอย่างดีใจ ส่งทั้งรอยยิ้มกว้างและท่าทางที่ดีใจสุดๆไปให้ หมอพอลเลยได้แต่ทำใจลำบาก แล้วค่อยๆพูดอย่างใจเย็น
 
“ใจเย็นๆนะเฟิร์ส พี่...คงพาเฟิร์สหนีไปไม่ได้ คือวันนี้พี่มาดูแลเรา”
 
[เฟิร์ส]
 
“งั้นหรอครับ...” พี่หมอไม่ได้มาช่วย มาดูแลงั้นหรอ รีสสั่งให้พี่หมอมาคุมเราหรอ ทำไมพี่หมอถึงไม่ช่วยล่ะ
 
“กินอะไรมั้ย เที่ยงแล้ว พี่ซื้อของกินมาให้เยอะเลย” ขณะที่ผมกำลังนั่งคิดอะไรเพลินๆ พี่หมอก็ยังพูดมาเรื่อยๆเพื่อไม่ให้ผมคิดมาก แล้วก็เปลี่ยนเรื่องไปเป็นหาของกินให้ผมเพราะแกคงจะรู้ว่าผมหงอยไปที่แกช่วยอะไรไม่ได้ แม้เดี๋ยวนี้ผมจะไม่ได้กลัวอะไรรีสมากขนาดนั้นแต่อยู่ในนี้มีแต่อึดอัด ผมอยากออกไป รีสแปลกๆจนผมสับสนไปหมด จะดีก็แค่ความอบอุ่นจากฝ่ามือของใครบางคนในความฝันที่มาช่วยปลอบประโลมผมทุกครั้งที่ฝันร้ายในยามหลับ
 
“ผมยังไม่หิวหรอกครับ” ผมยังคงนั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย จะว่าคิดคงไม่ใช่ เหม่อมากกว่า ผมได้นั่งมองไปนอกหน้าต่างอย่างเบื่อหน่าย ทำไมรีสมันต้องขังผมไว้ในห้องนี้กัน
 
“เฟิร์ส พี่หมอขอโทษนะครับ ที่ช่วยอะไรเราไม่ได้...” พี่หมอที่ยังคงนั่งอยู่ที่พื้นหยุดหยิบของกินในถุง7-๑๑ แล้วหันมาพูดกับผมเสียงอ่อน อย่างรู้สึกผิด
 
“อย่าขอโทษเลยครับ เฟิร์สไม่ได้โกรธอะไรพี่หมอหรอก แค่กำลังคิด ว่าทำไม ผมถึงมาอยู่ที่นี่...เอ๊ะ พี่หมอครับตรงหน้าอกพี่เป็นอะไรน่ะ” ผมตอบกลับไปอย่างเศร้าๆพรางหันหน้าไปมอง จนต้องสะดุดเห็นผ้าพันแผลสีขาวที่โผล่พ้นคอเสื้อเชิ้ตของพี่หมอที่กระดุมเม็ดบนหลุดออกตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
 
“เอ่อคือ..ไม่มีอะไรหรอก” พี่หมอตกใจเมื่อผมทักขึ้นรีบรนรานจับคอเสื้อตัวเองตืดกนะดุมเข้าไปใหม่ ทำท่าอึกอัก เหมือนจะเล่าให้ผมฟังแต่แล้วก็ตัดสินใจไม่เล่า กลืนไม่เข้าคลายไม่ออกอยู่นาน จนผมทนไม่ไหวเอื้อมมือไปยื้อยุดเปิดเสื้อของพี่หมอเพื่อดูแผลด้านในว่ามันกว้างขนาดไหน สุดท้ายพี่หมอก็ยอมให้ปลดเสื้อของตัวเองออกแต่โดยดี
 
อึก! ผ้าก็อตพันแผลที่ยังคงมีเลือดไหลซึมออกมาจนแดงเป็นจุดจางๆที่ไหล่ของพี่หมอพันทบไว้กว้างตั้งแต่โคนแขนด้านในยันใต้หน้าอกเพื่อประคอง ไหนจะรอยช้ำม่วงรอบๆคอที่เหมือนทาบางอย่างปกปิดไว้ ผมจึงเอื้อมมือไปเช็ดมันออกขณะที่พี่หมอก็ขืนตัวหนี แต่ยังไงพี่แกตัวเล็กกว่าผมก็สู้แรงผมไม่ได้อยู่ดี นี่มัน...รอยนิ้วมือ แล้วไหนจะรอยเล็บจิกจนเป็นรอยแผลอยู่ที่ปลายรอยนิ้วมือนั่น น่ากลัว
 
“เรื่องที่พาผมหนีรึเปล่า ...ฝีมือรีสงั้นหรอครับ” ผมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาพี่หมอ จนสุดท้ายพี่แกก็ถอนหายใจทิ้ง และเงียบอยู่นานเหมือนตัดสินใจ ในที่สุดก็เล่าให้ผมฟัง บอกว่าเป็นฝีมือของรีส เพราะพี่หมอพาผมหนีไป ผมได้แต่รู้สึกผิดเอ่ยขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่า และรัสโหดร้ายแม้กระทั่งพี่หมอ แล้วอย่างผมก็เลยเกือบตายขนาดนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมแผลที่แขนพี่หมแยังไม่แห้งสักที คงจะลึกน่าดู พี่หมอที่เห็นท่าทีนั้นของผมก็เลยเล่าบางอย่างที่เกินจะน่าเชื่อให้ผมฟัง
 
“ใช่ครับเรื่องนั้น และนี่เป็นฝีมือรีสจริง เพราะพี่พาเฟิร์สหนีออกไป แต่ที่พี่เจ็บจนได้แผลขนาดนี้เป็นเพราะพี่ไม่ขัดขืนเอง เฟิร์สไม่จำเป็นต้องขอโทษนะครับ แล้วที่รีสทำลงไปเพียงเพราะโกรธที่พี่หักหลังเขา และที่สำคัญรีสเป็นห่วงเฟิร์สมากนะครับ” เป็นห่วงหรอ ห่วงตัวเองที่จะไมได้แก้แค้นมากกว่า และโกรธมากที่ผมขัดคำสั่ง และยังหนีไป ห่วงอะไรนั่นไม่จริงหรอ ทั้งตอนที่ไปช่วยจากพวกเดนมนุษย์พวกนั้น ทั้งที่ไปช่วยจากปีศาจหมาป่านั้น มันเป็นเรื่องโกหกทั้งหมด แท้จริงแล้วมันก็แค่อยากลงโทษโดยการกักขังผมไว้ที่นี่ใช่มั้ย
 
“เฟิร์สคิดว่ามันไม่จริงใช่มั้ย” อยู่ๆพี่หมอก็พูดขึ้นเมื่อเห็นผมจมอยู่กับความคิดแง่ลบของตัวเอง พี่หมอลุกขึ้นมั่งที่โซฟาข้างๆผม มือนุ่มๆนั้นเอื้อมมาวางบนหัวผมไว้เบาๆพรางปลอบโยนเหมือนผมเป็นเด็กๆ แต่มันกลับได้ผลผมใจเย็นลง จิตใจที่กำลังหวาดกลัวเหมือนได้รับความอบอุ่นจากมือพี่หมอนั้นปลอบโยน ผมได้แต่พยักหน้าน้อยๆกลับไปเท่านั้น
 
“เฟิร์สฟังนะ ครั้งนั้นที่พี่พาเฟิร์สหนีออกมาจากรีส เฟิร์สรู้มั้ยว่าตอนนั้นรีสเป็นยังไง รีสตามหาเฟิร์สไปทั่ว ทั้งๆที่พี่เองก็ห้ามแล้ว แต่หายังไงก็หาไม่พบ รีสไม่ยอมกินอะไรเลยทั้งตอนกลางคืนยังนอนไม่เคยหลับอีกเลย แต่นั่นกลับไม่ทำให้รีสเป็นอะไร เว้นเสียว่าเรี่ยวแรงที่จะพยุงตัวเองนั้นถดถอยไป จนเวลาผ่านไปพวกของดร.ที่ทำการทดลองเกี่ยวกับอาการเหนือมนุษย์ของรีส ก็มาจับเขากลับไปเข้าตู้ทดลองด้วยยาทรมานๆอีกครั้ง จนพี่ช่วยให้หนีออกมาได้” พี่หมอเงียบไปสักขณะที่ผมกำลังอึ้งและงุนงงแล้วเล่าออกมาอีกเรื่อยๆ
 
“แล้วรีสก็รู้ความจริงว่าพี่เป็นคนช่วยเฟิร์สหนีไป รีสคงจะรู้สึกผิดหวังมากและโกรธจนหน้ามืดเลยได้ทำร้ายพี่ แต่เพราะพี่ไม่ขัดขืนและยอมรับผิดเลยได้แผลหนักแต่รีสก็ฆ่าพี่ไม่ลงอยู่ดี รีสเป็นคนใจดีกว่าที่เฟิร์สคิดนะ เพียงแค่อาการแปลกๆจากที่เขาตื่นขึ้นจากความตายมานั้น ทำให้เขาคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ ทำอะไรอารมณ์จะทวีความรุนแรงขึ้นเท่าตัว สุดท้ายรีสก็หนีหายไปที่ไหนก็ไม่รู้ จนผ่านไปนานพี่ให้คนสืบหาเขาและพอดีกับที่รีสอยากเจอพี่พอดีจากความช่วยเหลือจากคนๆเดียวกัน เลยได้มาเจอกันในที่สุด รีสเป็นคนปากหนักเรื่องคำขอโทษแต่พี่เข้าใจเลยไม่โกรธจนสุดท้ายรีสก็กลับมาไว้ใจพี่อีกครั้งเพราะเรารู้ว่าอีกฝ่ายมีเหตุผลเสมอ พี่รู้จักกับรีสไม่นานแต่พี่ก็รักรีสพอๆกับเฟิร์สพี่รักมากเหมือนกับคนในครอบครัวที่พี่ไม่มีเหลือแล้ว พี่จึงอยากให้ทั้งรีสและเฟิร์สมีความสุข" พี่หมอพูดไปแล้วมองมาที่ผมไปเรื่อยๆ ผมก็ได้แต่นิ่งอึ้งและฟังต่อไป
"จากนั้นรีสก็คอยตามดูเฟิร์สอยู่ห่างๆตลอดเวลา และคอยกำจัดพวกลูกสมุนแก๊งที่เคยทำร้ายเฟิร์สอยู่เรื่อยๆแม้เฟิร์สจะมีแรงสู้ไหวและมีลูกน้องพ่อตามดูอยู่ห่างๆเสมอ แต่สุดท้ายเฟิร์สดันพลาดเพราะเรื่องรีสที่ทำให้เฟิร์สหวาดระเวงจนโดนจับตัวไป รีสเลยตามไปจัดการพวกมัน รีสก็ลำบากเหมือนกันนะต้องคอยหลบพวกของดร.ที่จะจับเขาไปทดลองเถื่อนเหมือนเขาไม่ใช่มนุษย์ด้วย ถึงพี่จะรู้จักกับรีสผ่านโครงการนั้นแต่รีสน่าสงสารเกินไปดร.ใจดำขึ้นทุกที จนพี่พยายามจะออกจากที่นั่น เหลือเพียงแค่จัดการบางอย่างให้เสร็จสิ้นพี่ก็จะอแกมาพร้อมกับอิสระของรีส  จนกระทั่งเรื่องที่พี่เพิ่งมารู้เรื่องวันนี้นี่เอง ว่ามีปีศาจหมาป่าจับตัวเฟิร์สไป พี่รู้แค่ว่าเมื่อรีสรู้ก็รีบออกไปช่วยเฟิร์สทันทีแม้ตอนนั้นร่างกายของรีสแทบไม่เหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย”
 
พี่หมออธิบายออกมายืดยาว ผมก็ได้แต่แต่อึ้งๆ เรื่องนี้มันใหญ่กว่าที่ผมคิด มันไม่ใช่แค่ผมกับรีสแต่มันกับเชื่อมโยงถึงคนอื่นๆ มันเรื่องบ้าอะไรกันแน่ ตอนนี้ผมยังไม่รู้ว่าจะเชื่อมั้ย แล้วเรื่องนี้จะเป็นเรื่องจริงรึเปล่า เรื่องจริงหรือโกหกผมก็ไม่รู้ ถึงเรื่องนี้พี่หมอจะเป็นคนเล่าเองก็เถอะ แต่ผมก็เชื่อยากอยู่ ผมยังกลัวอยู่ และสับสน รีสเป็นห่วงผมจริงๆงั้นหรอ มันก็จริงอยู่ที่ก่อนหน้านี้ผมไม่มีเรื่องเดือดร้อนเลย ทั้งที่แลมป์ก็ไม่อยู่ด้วย หรือจะเป็นเพราะรีสจริงๆ แต่...ไม่! ผมไม่อยากรับรู้อะไรแล้ว
 
“พี่ไม่รู้ว่าเฟิร์สจะเชื่อที่พี่พูดมากน้อยแค่ไหน แต่พี่อยากให้เฟิร์สลองทบทวนดูว่าเฟิร์สรู้สึกยังไงบ้างและอยากให้ลองพูดออกมาให้พี่ฟัง” พี่หมอถามผมขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นผมจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ผมค่อยๆเงยหน้ามองออกไปด้านข้างไม่ได้จับจ้องไปที่อะไรแค่มองออกไปเท่านั้น ส่วนปากก็เริ่มพร่ำพรรณนาสิ่งที่สับสนอยู่ในใจออกไปยาวเหยียด
 
“รีสเป็นคนมาช่วยผมทุกครั้งก็จริงอยู่ แต่..ผมไม่รู้ ผมสับสนไปหมด ผมขอเวลาก่อนได้มั้ยครับ พี่หมออย่ามาถามตอนนี้เลยว่ารู้สึกยังไง ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเชื่อเรื่องพวกนี้ได้มากมายขนาดไหน จู่ๆผมก็มารับรู้เรื่องเหนือธรรมชาติ มีทั้งปีศาจ ทั้งพลังเหนือธรรมชาติ ไหนจะวิทยาศาตร์บ้าๆ ที่วนเวียนอยู่กับความเป็นความตายและความทรมานกับความคิดคน มารู้จักกับรีส มาเห็นความโหดร้ายและอีกมายมายที่รีสทำจนผมเกือบตาย แต่แล้วจู่ๆพอผมหนีออกไป ทุกอย่างเงียบสงบราวกับผมไม่เคยรู้จักรีส ทำให้ผมรู้สึกโหวงเหวงและโหยหาบางอย่างแปลกๆทั้งที่ไม่ต้องการมันเลย ...ผมไม่ต้องคอยกังวล ไม่ต้องคอยกลัวจนสติแตก แต่เมื่อเกิดเรื่องร้ายๆตามมาโดยที่ไม่ใช่ฝีมือรีส รีสกลับโผล่ไปช่วยผมแทบทุกครั้ง จนกระทั่งผมได้กลับมาที่คอนโดนี้อีก คอนโดที่เป็นฝันร้ายคอยหลอกหลอนผมทุกครั้งที่ตื่นกับความร้ายกาจในอดีตที่รีสกับผม ฮึก แต่จู่ๆรีสก็เปลี่ยนไปเหมือนคนละคน เงียบ หลีกเลี่ยงไม่เข้าใกล้ผมเมื่อเห็นผมหวาดกลัว ไม่บังคับ ไม่ขู่ ไม่ตะคอก ไม่แกล้งหรือคิดจะเอาชีวิตผม ไม่แตะต้องไม่ล่วงเกินแม้แต่จะโดนตัวผมก็ไม่ทำ แถมยังยอมหนีหน้าไป แล้วไหนจะพี่หมอมาพูดแบบนี้อีก เรื่องพวกนี้มันบ้าอะไรกัน ฮึก ผมจะรับไม่ไหวแล้วนะ ฮือ...” ผมพูดไปสะอื้นร้องไห้ไปอย่างทนไม่ไหว มันอัดอั้นจุกอยู่ภายในอกของผมจนมันจะระเบิดออกมา ผมทนไม่ไหวแล้ว
 
“ใจเย็นครับเฟิร์ส ไม่เป็นอะไรนะ ใจเย็นๆ พี่แค่อยากให้เรารับรู้ไว้เท่านั้นเอง ว่ารีสเป็นห่วงเฟิร์สจริงๆ และอยากจะขอโทษเฟิร์สที่ทำเรื่องโหดร้ายกับเฟิร์สลงไป เพราะรีสเองก็สับสนไม่แพ้เฟิร์สเหมือนกัน พี่ไม่ได้เข้าข้างใครเพียงแค่อยากจะให้ทั้งคู่รู้เรื่องของกันบ้าง พี่หมอขอโทษนะครับที่เอามาพูดให้ฟัง เฟิร์สใจเย็นๆนะครับ” พี่หมอได้แต่กอดปลอบผมอยู่อย่างนั้น มือนุ่มนั้นลูบเบาๆที่หัวผมช้าๆ ส่วนผมก็ได้แต่จมอยู่กับตัวเอง และปล่อยให้น่ำตาไหลนองทั่วหน้า ปลดปล่อยความคิดต่างๆและสิ่งที่ได้รับรู้มาใหม่ทำให้ผมสับสน และยิ่งไม่เข้าใจตัวเองไปตามเวลาที่หมุนผ่านไปเรื่อยๆ
ซึ่งไม่รู้ว่า ที่ผมร้องไห้ เป็นเพราะ ผมอัดอั้นที่รีสทำร้ายผมแล้วรับรู้ความจริง หรือว่า ที่รีสปล่อยผมสุดท้ายก็เอากลับมาไว้แต่ตีตัวออกห่างแล้วผมดันโหยหาเขาแม้ว่าจะกลัว กันแน่
 
[เฟิร์ส จบ]
 
และสุดท้ายหมอพอลก็อยู่ด้วยกันจนดึก หมอพอลพาเฟิร์สเข้านอนเพราะเฟิร์สนั้นร้องไห้จนเพลียหลับไป ดวงตาปูดบวมคราบน้ำตามากมายยังคงเกาะที่ใบหน้าเฟิร์ส หมอพอลกำลังจะดูแลต่อแต่รีสกลับมาพอดี  หมอพอลจึงกลับออกไปและอาสาจะไปบอกแลมป์ให้ว่าเฟิร์สไปเที่ยวต่างจังหวัดจะได้ไม่ต้องตามหากันให้วุ่นวาย จากนั้นรีสก็ทำหน้าที่ดูแลเฟิร์สต่อไปอย่างเบามือที่สุดเท่าที่เขาจะพยายามได้
 

 

...

ขอบคุณที่ติดตามกันตลอดนะค้าาา



รีสว่ามาแนวโหดแล้วนะ เจอเชนเข้าไปโรคจิตจริง 5555555 และอ๋ออออ ที่โรคจิตแบบนี้ก็เพราะเห็นหมาป่ากลายร่างแต่เด็กนี่เองเลยเชื่อพวกเหนือธรรมชาติละเริ่มสะสมของแปลก อะไรแปลกแนวจิตๆนี้ เชนชอบบบบ 555555 ว๊ายยยไมเคิลเชนจำกลิ่นได้แต่เด็กเลย เชนกำลังทำให้ไมเคิบสับสนในเพศนะนั่น 555//ไอ้เราก็นึกว่าใครตามมาล่ารีสอี๊ก ไมเคิลนี่เอง ตามมาทดแทนบุญคุณ ตัดแล้วไม่คืนคำจริง  o13 คงตามวอแวอยู่อย่างนี้สินะ 55555 แล้วยังจำกลิ่นเชนได้อีก อิอิรอฟิน ทำให้ไมเคิลเจอคำว่ารัก คำเดียวอย่างที่ริสบอกเถอะ 555// ก็เข้าใจเฟิร์สนะ ยังกลัวอยู่ ทำให้หลอนซะขนาดนั้น จะทำอะไรก็กลัวแต่จะโดนว๊าก 5555 แต่รีสก็พยายามในแบบของรีสละ บอกจะไม่ยอมปล่อยไปชะ เพราะงั้นก่อนออกจากห้อง เลยสั่งอย่างเยือกเย็น ห้ามออกไปไหน ไม่อยากล่ามโซ่นะ 555555 พยายามจะอ่อนโยนแล้วใช่ไหมนี้ ไม่อยากทำให้กลัวเลยนะ  รีสแม่งฮา  555555 คำพูดคำจาก็ดีขึ้น เฟิร์ส ริสพยายามปรับปรุงตัวอยู่นะ อย่ากลัวเลยเจ็บปวดใจไปกับรีส งื้ออออ สู้ๆนะรีส ไรท์ก็เช่นกันค่ะ สู้ๆปั่นตอนต่อไปนะคะ รออ่านอยู่คะ ดีใจที่มาอัพ ชอบบบบบค่ะชอบบบบบ จะเกิดไรขึ้นต่อไปรอลุ้นค่ะ โอ๊ยยยชอบรีสอยู่กับเฟิร์สจัง รีสจะทำตัวให้เฟิร์สงงๆแบบไหนอีก จะปรับปรุงตัวยังไง รอดูค่ะ 555555

 :mew1: มายาวววอีกแล้ว ชอบค่ะชอบแบบนี้ ขอบคุณนะคะ  // จิตๆแบบเชนนี่ไรท์ชอบมากเลยนะ 555 // ตอนนี้เริ่มสงสารไมเคิลนิดๆแล้วด้วยค่า // ตอนนี้เป็นไงบ้างคะ รีสเริ่มๆทำตัวดีจนเฟิร์สสับสนแล้ว ไม่รู้จะเร็วไปเปล่าด้วย 555
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 25-09-2016 20:37:40
งื้อออออออ รีสสสสสสสสสสสส :mew2: เอออออออออมันหน่วงจริงงงงง อึดอัด เจ็บแปล๊บ หายใจไม่ออก แบบว่าอินค่ะอิน 555555 //แต่ก็นะ เข้าใจเฟิร์สอะ หวาดกลัวไม่พอ ต้องมาสับสนความรู้สึกตัวเองและรีสเปลี่ยนไปดีแบบนี้อีก ละยังมารู้ความจริงรับรู้เรื่องอะไรหลายๆเรื่อง มันก็นะ อืมมม ดีที่ได้ระบายพูดออกมา ต้องใช้เวลาตั้งสติแพร่บละเฟิร์ส เลิกหายกลัวรีสนะ งื้ออสงสารรีส ทั้งเรื่องตัวเองและเฟิร์ส หน่วงไปอี๊ก แต่ถามว่าชอบไหม ชอบค่ะ 555 เออมันใช่อ่ะที่รีสคิดมา ก็รู้นะว่ากลัวแต่ก็อยากให้ปลอดภัยและอยากขอให้อภัยแล้วค่อยปล่อย แล้วก็นะรีส อย่าอดอาหารนะ เดี๋ยวไม่มีแรงไปปกป้องเฟิร์ส //ตาแดง ผิวซีด มีไอเย็นรอบๆ เท่ห์นะรีสอย่าเกลียดตัวเองเลยเดี๋ยวเฟิร์สก็จะหลงเหมือนเรา เชื่อดิ 5555555 //ตลกไมเคิลเจอไอ้เด็กเชนตามยิกๆ จนไม่มีเวลามาวอแวกับรีส 5555555 //ต้องขอบคุณหมอพอลเลยที่มาช่วยพูด ไม่งั้นไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจกันสักที//โอ๊ยยยชอบบบบบบ แต่งดีแล้วค่ะ แบบนี้แหละแบบนี้ ลุ้นกันต่อไป อ่านอย่างช้า กลัวจบ มันสนุกอะ 555 ขอบคุณนะค่ะที่มาอัพต่อออออ รอทุกตอนต่อไปเลยคะ F5 รัว 5555
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย ตอนที่ 32 ครึ่งแรก
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 27-09-2016 16:51:41


Me die

32 : หวั่นไหว

 

เมื่อรุ่งเช้ามาเยือน

รีสออกไปจากห้องก่อนเฟิร์สตื่น และจากไปพร้อมๆกับอาหารเช้ามากมายที่วางบนโต๊ะทุกๆวัน เฟิร์สก็ตื่นมาเจอกับอาหารเช้าแต่ไม่เจอรีสทุกครั้งแม้ว่าเขาจะตื่นเช้าเพียงใด จนเฟิร์สเองนั้นได้แต่สับสนมากขึ้นๆกับท่าทีของรีสที่แปลกไป คำพูดของหมอพอลนั้นคอยวนเวียนอยู่ในหัวให้สับสนอยู่เสมอ

 

กลางวันหมอพอลก็ยังแวะเวียนมาทุกๆวันอยู่กับเฟิร์สตั้งแต่เที่ยงยันเย็นแล้วก็กลับไป ตกกลางคืนดึกๆรีสก็กลับมาและยืนดูเฟิร์สหลับเหมือนเดิมไม่ยอมไปพักผ่อน และเมื่อใดที่เฟิร์สละเมอจากฝันร้ายที่ยังคงวนเวียนไม่ยอมหายไปรีสก็มักจะเข้าไปปลอบโยนให้เฟิร์สสงบลงทุกๆครั้ง

 

ในบางวันที่รีสกลับมาตอนกลางคืนแม้ว่าจะดึกมากแล้วก็ตามแต่รีสก็มักจะเจอเฟิร์สนั่งอยู่ที่โซฟาพร้อมกับเปิดทีวีทิ้งไว้ แต่ไม่นานเท่าไหร่เฟิร์สก็มักจะมองมาที่รีสเงียบๆโดยไม่พูดอะไร แต่คิ้วของเฟิร์สนั้นขมวดติดกันเหมือนในหัวคิดอะไรตลอดเวลา แล้วหันกลับไปมองทีวีต่อ ไม่นานนักก็กลับเข้าห้องปิดไฟนอนเงียบๆไป แต่ในบางทีเมื่อรีสกับมาเฟิร์สยังนั่งอยู่ไม่เข้าไปนอนสักที จะมีบ้างที่ทั้งคู่สบตากันเพราะต่างฝ่ายต่างมองมาพร้อมกัน แต่ก็มักจะเป็นเฟิร์สที่ละใบหน้าหันไปมองทางอื่น และไม่นานก็กลับเข้าห้องนอนด้วยใบหน้าที่ยังคงเหมือนคนที่คิดอะไรอยู่ตลอดเวลา 

 

จนคืนหนึ่ง เฟิร์สที่กำลังนอนคิดทบทวนเรื่องของรีสและคำพูดมากมายที่ได้ยินมาจากหมอพอลบนที่นอนที่ปิดไฟมืดหมดแล้ว ในตอนนี้เฟิร์สเริ่มมีความคิดที่ลองคุยกับรีสดีๆบ้าง เลิกระแวง เลิกกลัวที่จะโดนทำร้าย เพราะเท่าที่เห็นรีสไม่ใจร้ายกับเขาเหมือนก่อน แถมยังใจดียอมหลบหน้าหายไปเพราะเขากลัว แต่ยังไงความกลัวที่ยังคงฝังรากลึกในจิตใจนั้นก็ยากที่จะตัดขาด ทำให้ความคิดสองด้านของเฟิร์สตีกันวุ่นวาย สุดท้ายก็ได้แต่คิดไม่ตกและยังคงสับสนเหมือนเดิม

 

จู่ๆเฟิร์สก็ได้ยินเสียงปลดล็อคกลอนประตูที่ได้ยินบ่อยๆยามกลางดึก เขาจึงรีบล้มตัวลงนอนตะแคงข้างหันหลังไปทางปประตู ข่มตาหลับแน่น มือกำชายเสื้อตัวเองแน่นทั้งที่ไม่รู้ว่าเขากลัวอะไร รู้แค่ว่าถ้ารีสไม่เจอเขานั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยที่โซฟา ไม่นานก็จะมายืนอยู่ที่ประตู เพราะงั้นจะให้รีสรู้ไม่ได้ว่าเขายังไม่หลับ

 

รีสที่กลับเข้าห้องมาได้สักพัก ก็ทำเหมือนเช่นทุกวัน เขาไปยืนจ้องมองเฟิร์สหลับที่ประตูห้องนอน ไฟในห้องก็ไม่ได้เปิดขึ้น แต่เพราะดวงตาสีแดงของเขานั้นสามารถมองเห็นได้ในที่มืด รีสยืนอยู่อย่างนั้นมานานสองนาน ทั้งที่ในหัวก็ไม่ได้คิดอะไร ว่างเปล่าไปหมด เขารู้เพียงแค่ว่าอย่างจะมองไปที่เฟิร์สอย่างเดียว เขาอยากจะเห็นเฟิร์สปลอดภัย และอยู่ในสายตาของเขา จนมันกลายเป็นเหมือนกิจวัตรที่เขาต้องทำในทุกๆวัน

 

เฟิร์สที่เริ่มทนไม่ไหว เอาแต่เกร็งเพราะไม่คิดว่ารีสจะจ้องตนนานมากขนาดนี้ และยังไม่มีทีท่าว่าจะไปไหน ในหัวก็เอาแต่คิดว่ารีสจะรู้รึเปล่าว่าตนไม่หลับ แล้วจะทำอะไรมั้ย ทั้งที่รีสไม่ได้ทำร้ายตนมานานก็ตาม แต่เขาก็ยังคงจิตตก  และอึดอัดอยู่ในใจ คิ้วของเฟิร์สนั้นขมวดเข้าหากันแน่น มือนั้นยังคงขยำที่ชายเสื้อตน เหงื่อกาฬเริ่มพุดขึ้น เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของรีสขยับเข้ามาใกล้ ร่างกายสั่นไหวจนเห็นได้ชัด

 

“ใจเย็นๆนะครับเฟิร์ส ไม่มีอะไรแล้ว ไม่ต้องกลัว ผมอยู่ตรงนี้ จะอยู่ข้างๆไม่ทิ้งคุณไปไหน ไม่มีใครจะมาทำร้ายคุณได้แน่นอน เชื่อรีสนะครับ...”

 

รีสที่เดินเข้ามาใกล้ นั่งลงบนที่นอนข้างๆเฟิร์สที่ตะแคงข้างหันหลังให้อยู่ ยกมือใหญ่ที่เย็นชืดขึ้นลูบที่ศีรษะเฟิร์สเบาๆ แล้วก้มหน้าพูดกระซิบคำปลอบประโลมแสนอ่อนโยนให้เฟิร์สฟัง เขาทำเช่นนี้ทุกๆวันเมื่อเห็นว่าเฟิร์สนั้นเริ่มละเมอจากฝันร้าย จนกว่าเฟิร์สจะสงบถึงจะผละออกมายืนห่างๆ กันเฟิร์สจะตื่นมากลางดึกแล้วตกใจกลัวที่เห็นเขาอยู่ข้างๆ

 

ในวันนี้รีสนั้นคงจะไม่รู้ว่าเฟิร์สยังคงไม่หลับ และรับรู้การกระทำแสนอ่อนโยนในครั้งนี้ เฟิร์สเอาแต่นิ่งค้าง หยุดลมหายใจไปช่วงหนึ่งเมื่อรีสก้มลงกระซิบข้างหู ใจของเขาเต้นรัวขึ้นมากะทันหัน ใบหน้าขึ้นสีห่อร้อนไปหมด แต่เมื่อได้สติก็ลอบโกยอากาศเข้าปอดเกร็งๆ แต่ก็ยังคงนอนนิ่งๆให้มือเย็นนั้นลูบไล้ศีรษะของตัวเองต่อไป ในใจของเขาเกิดความสงบและผ่อนคลาย เขาเชื่อในคำพูดนั้นของรีส ใบหน้าของเฟิร์สระบายยิ้มอ่อนๆแล้วผล็อยหลับไปอย่างนั้น ทั้งที่เขาก็นึกสงสัยในตัวเองว่าทำไม ถึงไม่ปัดมือนี้ออกไป แล้วทำไม มันถึงได้คุ้นเคย ทำไม มือเย็นๆคู่นี้ทำให้เขารู้สึก อบอุ่นในหัวใจ...

 

อีกวันพ้นผ่านกับกิจวัตรเดิมๆ จนตอนนี้ก็ตกดึกอีกครั้ง และในคืนนี้เฟิร์สก็นอนไม่หลับเช่นเคย เมื่อเขาจะล้มตัวลงนอนเหตุการณ์เมื่อวานก็พลันขึ้นมา เสียงกระซิบคำหวานเหล่านั้นยังดังก้องอยู่ในหู เฟิร์สรู้สึกขนลุกซู่เมื่อนึกถึงคำเหล่านั้น ใบหน้าของเฟิร์สระบายยิ้มออกมาไม่รู้ตัว พร้อมกับแก้มใสที่ห่อร้อนจนขึ้นสีแดง ใจเต้นแรงขึ้นมาจนเฟิร์สต้องยกขึ้นมาก้มมันไว้ พรางพร่ำบอกตัวเองให้สงบสติอารมณ์และทั้งหมดนั้น เขาเพียงฝันไป แม้ฝันนั้นจะยังชัดเจนในความทรงจำตลอดเวลา

 

แต่แล้วไม่นานเสียงปลดล็อคกลอนประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง เฟิร์สที่กำลังฟุ้งซ่านจัดการกับความคิดตนยังไม่เข้าที่ ก็ได้แต่สะดุ้งและรนรานสุดท้ายก็ได้แต่ล้มตัวลงนอน หลับตาเกร็งเบนหน้าไปคนละทางกับประตูห้องนอนอยู่ใต้ผ้าห่มที่คลุมมาถึงคอ ทั้งที่ไฟในห้องนอนนั้นยังเปิดสว่าง

 

รีสที่กลับเข้ามาด้วยสภาพไม่สู้ดีนัก มีแต่ฝุ่นเลอะเต็มตัวก็รีบเข้าไปจัดการตัวเองในห้องน้ำ เฟิร์สเมื่อรู้ว่ารีสนั้นเดินผ่านเตียงไปก็ถอนหายใจทิ้งอย่างโล่งอกที่ไม่โดนจับได้ จากนั้นก็ลุกขึ้นมานั่งพิงหัวเตียงมองไปทางรีสอย่างสงสัย เพราะรีสไม่เคยรีบร้อนจะเข้าห้องน้ำขนาดนั้น ทุกครั้งที่กลับเข้ามาก็แค่เอาของที่ซื้อมาไปเก็บ จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้า ไปนั่งเล่นที่โซฟา จากนั้นก็ปิดไฟนอนไปเงียบๆ แต่เขาก็เพิ่งจะมารู้เมื่อวานที่รีสไม่ได้ปิดไฟนอน แต่มายืนมองเขาทั้งคืนแถมยังมาปลอบเขาอย่างอ่อนโยนแบบนั้นอีก เฟิร์สสะบัดหัวไล่ความคิดตัวเองอีกครั้ง และนึกสงสัยตัวเองว่าเขาไปจำกิจวัตรของรีสตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วจำไปทำไม

 

แต่ไม่นานความคิดนั้นก็ตกหยุดลง เมื่อรีสเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำในสภาพผ้าขนหนูพันกาย ผิวซีดๆทั้งร่ายกายนั้นถูกน้ำชำระร้างจนฝุ่นที่เกาะตามตัวก่อนหน้านี้หายออกหมด เผยให้เห็นกล้ามเนื้อหน้าท้องที่เรียงตัวเป็นรอนสวย และสัดส่วนที่งดงามดังคนที่ดูแลตัวเองอย่างดีและออกกำลังกายเป็นประจำ แม้ผิวนั้นจะซีดจนขาวแต่มันดันเข้ากับหน้าตาและรูปร่างดังคนยุโรปของรีส ทั้งดวงตาที่กลายเป็นสีแดงแต่ดันขับให้รีสนั้นดูดียิ่งขึ้น ไม่นานหยดน้ำที่เกาะพราวตามตัวของรีสก็ระเหยจนกลายเป็นไอค่อยๆลอยออกจากตัวรีสไปจนแห้งหมด

 

เฟิร์สได้แต่มองตาค้าง และนิ่งจนอึ้งไป ทั้งที่กำลังจะอ้าปากถามบางอย่าง แม้เขาจะเป็นผู้ชายแต่สิ่งที่เขาเห็นตรงหน้าดันดูดีจนละใบหน้าหนีไม่ได้ รีสดูดีดังเทวาที่ปั่นสลักไว้ตามสวนที่โบสถ์ ถึงตัวจริงของเขานั้นจะเป็นปีศาจก็ตาม และถึงแม้ว่าเขาจะเคยมีอะไรกัน แต่เขาก็ไม่เคยมองร่างกายรีสอย่างจริง ใบหน้าของเฟิร์สที่กำลังร้อนขึ้นเมื่อคิดอะไรแปลกๆ แต่แล้วก็ดันซีดลงและตาโตอึ้งเข้าไปอีก ก็เมื่อรีสที่ยังไม่รู้ว่าเฟิร์สนั้นไม่หลับและกำลังจ้องตนอยู่ หันหลังเข้าห้องน้ำไปหยิบเสื้อผ้าที่ถอดทิ้งไว้ทั้งที่เพิ่งเดินออกมา

 

แผ่นหลังขาวซีดของรีสมีรอยแผลยาวที่เกิดจากของมีคมฟันเข้ากลางหลัง มันยาวตั้งแต่หัวไหล่ซ้ายยันสะโพกขวา แผลทั้งกว้างทั้งแหวะหวะ แถมยังมีรอยแผลอื่นๆให้เห็น ไม่ว่าจะเป็นเหมือนลอยกระสุนปืนที่ทำให้หลังเป็นรูลึก รอยฟันตามส่วนต่างๆ และรอยฟกช้ำ แผลพวกนี้ไม่มีแม้แต่เลือดที่ไหลออก และพวกมันกำลังสมานตัวเอง! เนื้อเยื่อที่โดนสับเละกำลังหดกลับเข้าที่ของมัน บาดแผลที่เคยเหวอะวะ ใช้เวลาไม่นานมันก็กลับมาเป็นปกติ ที่เป็นรูลึกเหมือนกระสุนยังฝังอยู่ข้างในเนื้อเยื่อก็ดันสิ่งแปลกปลอมออกมาจนมันหล่นลงพื้นดัง ตุบ! และสร้างใหม่ปิดทับไป เหมือนแผ่นหลังใหญ่นี้ไม่เคยได้รับบาดแผลใดๆมาก่อนเลย มันยังคงเนียนใสซีดขาวดูดีเหมือนเดิม   

 

“เฟิร์ส” รีสที่หันกลับมาจะก้มเก็บกระสุนที่หล่นลงพื้น เพราะเขาก็ไม่คิดว่าแผลของเขายิ่งนับวันยิ่งหายเร็วเกินคาด ยิ่งวันนี้มันหายไปในเวลาไม่กี่นาที รีสชะงักมือที่กำลังจะเอื้อมหยิบค้างไว้กลางอากาศ เมื่อสายตาของรีสนั้นเหลือบมองขึ้นไปบนที่นอน ก็เจอกับใบหน้าของเฟิร์สที่กำลังตกตะลึงจนตาโต จึงได้แต่ครางเรียกชื่อเฟิร์สออกมาเบาๆ และเอาแต่โทษตัวเองอยู่ในใจที่ประมาท ทำให้เฟิร์สเห็นและกลัวตัวเองอีกจนได้

 

“อึก! กะ กลับมาแล้ว งั้นหรอ” เฟิร์สที่ได้สติเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อ ก็สะดุ้งและรนรานจนพูดติดขัด เก็บท่าทางหน้าตาและสติที่กำลังเตลิด พยายามทำตัวปกติ ทั้งที่สายตาที่มองมายังรีสนั้นสั่นไหวดูหวาดกลัวและระแวง

 
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย ตอนที่ 32 ครึ่งหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 27-09-2016 16:59:12
ต่อๆๆๆๆ



“...เดี๋ยวผมจะออกไปข้างนอก” ในใจของรีสปวดหนึบที่เห็นท่าทางของเฟิร์สทั้งที่พยายามทำให้กลัวมาหลายวัน จนเฟิร์สนั้นสงบลงไม่มีท่าทีที่หวาดกลัวต่อเขา แต่สุดท้ายตัวเขาเองก็ดันประมาทจนเฟิร์สกลับมารู้สึกเหมือนเดิมจนได้ ทั้งคู่เงียบและจ้องกันอยู่นาน จนรีสทนไม่ไหวกับข้างในที่เริ่มปวดหนึบจึงเป็นคนพูดออกมาเอง แล้วกำลังจะหันหลังกลับออกไปทางประตู แต่ก็ต้องชะงักเมื่อรู้สึกถึงแรงจับที่ดึงมือเขาไว้เบาๆ

 

“มะ ไม่ต้องหรอก มันดึกมากแล้ว” เฟิร์สที่ในใจก็เอาแต่สับสน ถึงเขาจะรู้ว่ารีสไปเหมือนมนุษย์แต่ก็ไม่เคยเห็นจะๆคาตาตัวเองแบบนี้ พอเห็นเองเขาก็เลยสติแตก แต่กลับไม่ได้หวาดกลัวมากมายดังที่คิดเพราะรู้ว่าที่เห็นตรงหน้านี้คือรีส เฟิร์สได้มองสบไปยังดวงตาสีแดงที่เขารู้สึกว่ามันกำลังสั่นไหวและดูเศร้ามากมาย ทั้งที่ดวงตานั้นยังคงนิ่งเฉยไม่ขยับเขยื้อนก็ตาม แต่นั่นก็ทำให้เฟิร์สรู้สึกหดหู่และเศร้าตามไปด้วย ทั้งที่ในหัวยังคิดไม่ตก แต่ร่างกายกับขยับลุกออกไป คว้าเอามือเย็นนั้นเอาไว้เบาๆและพลั้งปากพูดออกมารวดเร็วเมื่อเห็นแผ่นหลังนั้นกำลังจะเดินจากไป ต่างจากรีสที่รีบหันมามองเฟิร์สอย่างตกใจและงุนงงไม่คิดว่าจะได้ยินคำทักท้วงและปฏิกิริยาที่เกิดคาด

 

“เฟิร์ส ไม่กลัวผมหรอ” รีสที่ยืนฟังอยู่ก็ตกใจเมื่อได้ยินเฟิร์สอนุญาตให้อยู่ เลยถามออกไปอย่างแปลกใจ แล้วมองตรงไปยังดวงตาของเฟิร์สที่กำลังสั่นระริก สีหน้าลำบากใจอย่างคนที่ยังคิดไม่ตก มือเรียวที่จับมือเย็นของรีสอยู่นั้นบีบเกร็งอย่างเห็นได้ชัด เฟิร์สขมวดคิ้วคิดหนัก ขบเม้มริมฝีปากแน่นจนมันเป็นเส้นตรง

 

“...กลัวสิ ...แต่ฉันรู้ ว่านายไม่เหมือนเมื่อก่อน ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่ฉันคิดว่า ตอนนี้ฉันสามารถไว้ใจนายได้ ฉันรู้สึกว่านายจะไม่ทำร้ายฉัน ไม่ทำเรื่องโหดร้ายเหมือนก่อน ไม่ทำให้ฉันสติแตกและหวาดกลัว นายอ่อนโยนขึ้น และใจดี นายยอมหลบหน้าหายไปจากคอนโดเมื่อรู้ว่าฉันกลัวทุกครั้ง และฉันรู้ว่านายมามายืนจ้องและปลอบโยนฉันกลางดึก ฉ ฉันก็ไม่รู้อีกเหมือนกัน ว่าทำไม ที่ฉันเห็นแผลนายสมานตัวอย่างไม่ปกติเมื่อกี้ นั่น ไม่ได้ทำให้ฉันกลัวดังที่คิด ฉันแค่ตะลึง แต่เมื่อมองฉันมันบอกว่านี่คือนาย ความกลัวเหล่านั้นก็แทบจะหายไป ฉันไม่รู้ ทำไมฉันรู้สึกแบบนี้ ความรู้สึกพวกนี้มันแปลก ฉันเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน” เฟิร์สพูดออกมาเบาๆ ก้มหน้ามองลงต่ำ มือนั้นก็ยังคงบีบเกร็งแน่นขึ้นไม่ยอมปล่อยออก เฟิร์สคงไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรออกมาบ้าง แต่สำหรับรีสนั้นเขารู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ริมฝีปากของเขาเผยรอยยิ้มออกมาเกร็งๆที่ใบหน้า แม้ว่ามันจะดูไม่เหมือนคนยิ้มก็ตามที

 

หัวใจของรีสเหมือนได้รับการเติมเต็มบางอย่าง เขารู้สึกมีความสุข ภายในอกรู้สึกเหมือนเหมือนหัวใจของเขาจะกลับมาเต้นอีกครั้ง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม

 

รีสค่อยๆยกมืออีกข้างของเขาลูบไปที่ศีรษะของเฟิร์สเบาๆอย่างอ่อนโยนเหมือนทุกๆครั้งที่เขาต้องปลอบประโลมให้เฟิร์สสงบลง ดวงหน้าของเฟิร์สนั้นกลับไปเป็นปกติเหมือนเพิ่งได้สติกลับคืนมา เฟิร์สสะดุ้งรีบปล่อยมือออกและถอยหลังไปยืนห่างๆรีสแทน ดวงหน้าขึ้นสีแดงจางๆอ้าปากพะงาบๆเหมือนอยากจะหาคำแก้ตัว ดวงตาและมือไม้ไม่อยู่กับที่หาที่จับวางไม่ได้ จนสุดท้ายก็หันหลังกลับขึ้นที่นอนสะบัดผ้าห่มคลุมโปงทันที รีสยืนมองเฟิร์สอย่างมีความสุขอยู่ครู่หนึ่ง จนเห็นเฟิร์สที่เลื่อนผ้าห่มลงมามองที่เขาแต่เมื่อเห็นว่ายังไม่ไปก็เลื่อนปิดอย่างไวแล้วออกปากไล่เขาออกมาพร้อมบอกให้ปิดไฟจะนอนแล้ว รีสจึงเดินเลี่ยงออกมานั่งอยู่ที่โซฟาแทน ปากยังคงยกยิ้มเกร็งๆที่ใบหน้าเวลายิ้มดูแปลกๆเหมือนเดิม แต่รีสก็ไม่สนใจ เพราะในใจของเขาตอนนี้รู้สึกดีเหลือเกิน ทำไมกัน เหมือนใจของเขามันจะกับมาเต้นรัวจริงๆ

 .

.

ไม่นานนักหลังจากที่รีสไม่เคยหลับตอนกลางคืนมานานมาก แต่ในวันนี้เขากลับหลับไป หลับลึกมาก จนไม่รู้ตัวเลยว่าเฟิร์สเดินเข้ามาหาพร้อมกับห่มผ้าให้เขา จนกระทั่งรุ่งเช้ามาถึงนั้นเอง

 

“ขอบคุณครับเฟิร์ส สำหรับผ้าห่ม” รีสเดินไปหยุดอยู่ที่ข้างๆเตียง ย่อตัวลงให้อยู่ระดับเดียวกับที่เฟิร์สนอนหลับอยู่บนเตียง แล้วเอ่ยขอบคุณเบาๆข้างหู จากนั้นก็เดินออกไป โดยที่รีสนั้นก็ไม่รู้ว่าเฟิร์สนั้นตื่นนอนแล้ว แต่แค่หลับตาอยู่เพราะรู้ว่ารีสเดินมาใกล้ตน พอรีสเดินออกไปจากห้องจนได้ยินเสียงกลอนประตูปิดล็อก เฟิร์สได้แต่ถอยหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพราะตนได้แต่เกร็งอยู่นาน แต่เมื่อนึกถึงคำขอบคุณเมื่อกี้เขาก็ขนลุกซู่ใจเต้นไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง เฟิร์สเผยรอยยิ้มออกมาน้อยๆทั้งที่เขาเองนั้นก็ไม่รู้ตัว แต่ยิ่งคิดเรื่องคืนก่อนๆก็ยิ่งทำให้เฟิร์สรู้สึกเขินขึ้นมา จนหน้าเริ่มแดงจัด ใจเต้นตูมตาม

 

เช้านี้เฟิร์สเอาแต่จมอยู่กับความคิดและเขินขึ้นมาเองหลายๆครั้ง จนหมอพอลที่ยังคงมาอยู่ด้วยตอนกลางวันเอาแต่รอบยิ้มและบางครั้งก็แกล้งเอ่ยแซวบ้าง เพียงแต่เฟิร์สก็ยังคงบอกปัดว่าไม่มีอะไรพิเศษเกิดขึ้นแน่นอน

 

กิจวัตรประจำวันต่างๆก็ยังคงเหมือนเดิมไปอีกหลายวัน เพียงแต่ตกเย็นมารีสก็กลับเข้ามาคอนโดก่อนที่หมอพอลจะกลับซะอีก หมอพอลเห็นหน้ารีสที่มาก่อนเวลาปกติทีไรก็เอาแต่อมยิ้มและรีบเก็บข้าวของออกจากห้องไป ทั้งที่เฟิร์สเรียกท้วงไว้ และสุดท้ายเฟิร์สและรีสก็อยู่ด้วยกันไปสองคน จะมีบ้างที่สบตากันโดยบังเอิญหรือแตะเนื้อต้องตัวกัน เช่นโดนมือบ้างเวลาหยิบของก็รีบผละออกจากกันโดยไว โดยที่ส่วนใหญ่นั้นเฟิร์สจะหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุกและลนลานเปลี่ยนเรื่องบ้างก้หนีไปทำอย่างอื่นแทน และเดี๋ยวนี้ก็ชวนพูดชวนคุยกันมากขึ้นไม่ค่อยจะเงียบใส่กันเหมือนก่อน

 

เฟิร์สนั้นอาการก็ดีขึ้นมาก ไม่เกร็งไม่กลัวจนสติแตกและลนลาน พูดคุยกับรีสมากขึ้น แค่มีบางครั้งเท่านั้นที่เขาปรับตัวไม่ทัน เมื่อรีสเข้ามาเงียบๆหรือใกล้เกินไป แต่เมื่ออยู่กับหมอพอลเฟิร์สก็ยิ้มได้จนเป็นปกติ หมอพอลก็ได้แต่แอบยิ้มดีใจ ที่อีกไม่นานเฟิร์สจะให้อภัยรีสจนหมดใจแน่นอน และบางทีอาจจะมีความรู้สึกอย่างอื่นแทรกมาด้วย หมอพอลช่วยๆพูดช่วยๆปลอบใจเฟิร์สไปเรื่อยๆ ทั้งเล่าเรื่องชีววิตรีสบ้าง เล่าเรื่องที่รีสซื้อนู้นนี่ให้เฟิร์สบ้าง ไปช่วยบ้าง เรื่องเป็นปีศาจบ้าง รวมทั้งเชนทั้งไมเคิลรวมถึงดร.และงานทดลองเล็กๆน้อยๆที่พอจะพูดได้ รวมถึงเรื่องเหนือมนุษย์ทั้งหลายให้เฟิร์สฟัง ตอนแรกๆเฟิร์สนั้นดูต่อต้านและไม่อยากฟัง ทั้งตกใจบ้างอึ้งบ้าง บางครั้งก็ดูสนุก จนหลายๆวันให้หลัง เฟิร์สกลับสนใจจนเป็นคนถามออกมาเอง

 

...

 

"รีส เช้านี้ไม่ต้องให้พี่หมอมาก็ได้นะ" จู่ๆเฟิร์สที่วันนี้ตื่นนอนเร็วกว่าปกติก็เดินมาหยุดอยู่ไม่ไกลจากรีสพูดขึ้นมาเบาๆ ทำท่าทางแปลกๆพูดแล้วก็เบี่ยงหน้าหลบมองไปทางอื่นไม่สบตากับรีส

 

"ไม่เบื่อหรอถ้าอยู่คนเดียว" รีสที่กำลังเก็บของอยู่ก็ชะงัก และแปลกใจที่จู่ๆวันนี้เฟิร์สดันตื่นขึ้นมาแต่เช้ามืดก่อนเขาจะออกไป จึงหันหน้าไปมองเฟิร์สที่หันไปมองอย่างอื่น

 

"เอ่อ...ฉันหมายถึง...นายอยู่ที่นี่ก็ได้ ไม่ต้องให้พี่หมอมาแทน" เฟิร์สยกมือขึ้นเกาท้ายทอยท่าทางเก้อเขิน มองไปทางนู้นทีทางนี้ที เม้มปากแน่นแล้วพูดอ้อมแอ้มเบาๆในลำคอ พวงแก้มขึ้นสีแดงจางๆอย่างอายๆ แล้วทำท่าจะเดินกลับเข้าห้องนอนไป แต่ก็ต้องชะงักเท้าเมื่อได้ยินคำพูดของรีส ได้แต่ยืนนิ่งหันหลังให้อย่างนั้นอยู่นาน โดยที่ก็ไม่รู้ว่าจะตอบกลับไปยังไง จะบอกว่าเขาไม่กลัวแล้วก็ดูจะไม่น่าเชื่อเกินไป แล้วเขาจะบอกยังไงดี

 

"เฟิร์สเลิกกลัวที่จะอยู่ผมสองคนแล้วหรอ" รีสเองก็ยืนนิ่งเช่นเดียวกับเฟิร์ส รีสได้มองไปยังแผ่นหลังบางๆของเฟิร์สที่ขยับเบาๆจากการถอนหายใจ เมื่อเฟิร์สตัดสินใจได้ว่าจะพูดแบบไหน

 

"คือ ฉันก็ไม่ได้กลัวขนาดนั้น ฉันรู้ว่านายไม่ทำอะไรฉันหรอกถ้าฉันกลัว  อย่างที่ฉันเคยบอกนายไปเมื่อคืนนั้น...นายไม่ต้องหนีหน้าหลบออกไปทุกๆวันก็ได้ นายจะอยู่ก็อยู่ และฉันก็ ไม่คิดจะหนีถึงกลับให้พี่หมอมาเฝ้าทุกวันหรอกนะ ฉัน...จะอยู่ที่นี่กับนาย...จนกว่านาย...จะให้ฉันออกไปนั่นแหละ" เฟิร์สพูดออกมาแล้วเม้มปากแน่นตัวเองไปด้วยความตื่นเต้นทั้งที่เป็นคำพูดธรรมดาๆ พวงแก้มเฟิร์สกับขึ้นสีแดงจัด มือไม้หาที่วางไม่ถูก ดวงตาก็เหลือบมองนู้นนี่ไปเรื่อยๆ เก้ๆกังๆอยู่นานแล้วก็เดินกลับเข้าห้องนอนไปโดยที่ไม่ได้หันหน้ากลับมามองหน้ารีส ที่ตอนนี้ก็เหมือนจะยกยิ้มจนกล้ามเนื้อหน้านิ่งค้างกับความสุขที่เหมือนจะทำให้ใจของเขานั้นชุ่มชื้นขึ้นมาอีกครั้ง จนเหมือนมันอยากจะกลับมาเต้นเร็วอีกแล้ว

 

...

 

จากนั้นรีสก็อยู่ในห้องไม่ออกไปไหน โทรยกเลิกกับหมอพอลที่ไม่ต้องมาแล้วก็ได้ เขาอยากจะจัดการต่อเอง เพียงแค่ทั้งคู่จะเงียบไปบ้างไม่มีอะไรให้พูดคุยกันมาก เพราะเท่าที่อยู่ด้วยกันมาจะเอาแต่เงียบเข้าใส่ แม้ก่อนหน้าจะดีขึ้น แต่มันก็แค่แปบเดียวก่อนนอน ตอนแรกที่เจอกันก็จะสัมผัสกันผ่านร่างกายเท่านั้น ไม่เคยคุยกันอยู่แล้ว แต่ก็มีบ้างที่ทั้งคู่เหงาๆเบื่อจากการอยู่คนเดียวก็จะมานั่งอยู่ด้วยกันหน้าทีวี ให้เสียงของรายการในทีวีที่เปิดไว้เป็นสื่อกลาง บ้างก็จะชวนคุยกันเรื่องต่างๆเรื่อยเปื่อย แต่ยังไม่มีใครกล้าถามถึงเรื่องส่วนตัวของกันและกันเลย แม้ว่าจะอยากรู้จากปากของอีกฝ่ายมากเหลือเกิน

 

เวลากินอาหารทั้งสองก็จะแยกกันกิน รีสจะหายออกไปช่วงเวลานี้ เพราะรีสกลัวเฟิร์สกินไม่ได้ที่เห็นอาหารของตัวเขาเอง เพราะที่รู้ๆกันอยู่ว่าอาหารของรีสนั้นเกินกว่าคนธรรมดาจะทนเห็นได้ แล้วยิ่งแต่ก่อนรีสก็ดันแกล้งเอาอะไรแปลกๆให้เฟิร์สกินเยอะไป เขาเลยเลิกที่จะผละออกมา เพราะรู้ว่าตอนนี้สิ่งที่เขาได้รับจากเฟิร์สนั้นมากเกินไปอยู่แล้ว เพียงแค่ต่อๆไปเขาต้องหาโอกาสเอ่ยปากขอโทษจากใจสักที

 

จนเวลาผ่านไปเรื่อยๆทั้งคู่ก็เริ่มปรับตัวเข้าหากันมากขึ้น เฟิร์สเป็นคนชวนคุยเรื่องต่างๆบ้าง เปลี่ยนเป็นรีสบ้างคนละประโยคสองประโยค จนนานวันยิ่งพูดคุยกันมากขึ้น  และตอนนี้เฟิร์สกล้าให้รีสมากินข้าวโต๊ะเดียวกัน แม้จะรู้สึกแปลกๆที่เห็นอาหารของรีส ที่คิดว่าแค่ล้อเล่นแต่กลับเป็นเรื่องจริง

 

"...นายกินแบบนี้มาตลอดเลยงั้นหรอรีส" เฟิร์สที่ยังคงนิ่งค้างตั้งแต่เห็นอาหารของเฟิร์สเต็มตา ไม่ยอมตักอาหารตัวเองเข้าปากสักที จนในที่สุดทนไม่ไหวก็ถามออกมา

 

"ผมบอกแล้วเฟิร์สจะกินข้าวไม่ลง" รีสเงยหน้าขึ้นมองสบตาของเฟิร์สที่เอาแต่จ้องอาหารเขาตาไม่กระพริบ ตั้งแต่เขาจัดมันลงจานแล้วเอามาวางบนโต๊ะเดียวกัน ก็แน่ล่ะ เนื้อดิบเลือดเยิ้มๆ มีดตัดลงไปตรงไหนก็ทะลักเยิ้มออกมา ไหนจะมันในไขกระดูก ที่บางทียังเห็นเส้นเลือดฝอยติดมา แล้วก็น้ำดื่มที่เป็นเลือดข้นๆสีแดง ขนาดตัวเขาเองที่ต้องกินทุกๆมื้อยังทนรับไม่ได้เลย รีสพูดเสร็จจึงทำท่าจะลุกขึ้นและยกจานข้าวขึ้นถือ

 

"เดี๋ยว อึก! ฉ ฉันแค่แปลกใจ นายนั่งลงเถอะ ฉันขอโทษ" เฟิร์สเอื้อมมือคว้าหมับเข้าที่แขนรีสแต่ก็ต้องตกใจจนปล่อยออกอัตโนมัติเพราะความเย็นที่แม้ในเวลาปกติจะไม่เย็นมากแต่ตอนนี้ที่รีสรู้สึกหดหู่ก็มันเย็นขึ้นมา มันก็เลยแปลกๆอยู่ดีจนเขาตั้งตัวไม่ทัน จากนั้นก็รีบพูดท้วงให้รีสนั่งลงเหมือนเดิม และเอ่ยขอโทษอย่างรู้สึกผิดเพราะแทนที่เขาจะประหลาดใจและกลับสมควรต้องเห็นใจและสำนึกผิดมากกว่า เพราะเรื่องทั้งหมดมันเริ่มมาจากเขา

 

จากนั้นทั้งคู่ก็เงียบเข้าใส่กันอีก จมอยู่กับความคิดของตัวเอง เฟิร์สนั่งกินข้าวของเขาไปเงียบๆพร้อมๆกับเหลือบมองไปยังรีสที่ก้มหน้าก้มตาเฉือนเนื้อดิบๆเข้าปากและยกเลือดขึ้นดื่มไปอย่างเร็วเพราะอยากจะให้หมด เฟิร์สจะได้กินอย่างมีความสุข เฟิร์สก็เอาแต่รู้สึกผิดที่พูดมาก บางครั้งรีสก็เงยหน้ามามอหน้าเฟิร์สบ้างเพราะรู้สึกว่าโดนจ้องนานเกินไป จนเมื่อรีสที่กำลังกัดเนื้อก็เงยหน้ามองเฟิร์สที่สบตามาพอดีก็เงียบไปแล้วเคี้ยวต่อด้วยหน้าตาที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกทั้งคู่

 

หลังกินข้าวทั้งคู่แยกกันไปนั่งเงียบๆ รีสนั่งอยู่ที่โซฟาเปิดทีวีให้เสียงกลบความคิดของเขา เฟิร์สก็แยกไปนั่งเงียบๆอยู่ที่เตียงนอน ไม่นานเฟิร์สที่เงียบไปนาน หลังคิดหนักกับเรื่องก่อนหน้า จนทนไม่ไหว อยากจะรู้ให้แน่ชัดว่าเป็นเพราะตนที่ทำให้รีสเป็นแบบนี้รึเปล่า ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจ แต่ก็อยากให้เรื่องทุกอย่างกระจ่างและอยากจะขอโทษ

 

เฟิร์สค่อยๆเดินไปที่โซฟานั่งลงข้างรีสที่นั่งอยู่ก่อนช้าๆ ทำตัวลีบนั่งเงียบๆไปอีกสักพัก จนรีสหันมาถามเฟิร์สเองว่ามีอะไร

 

"รีส นายช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้มั้ย ว่าตั้งแต่ที่ฉันฆ่า เอ่อ ขับรถชนนายวันนั้น ร่างกายของนายเปลี่ยนไปยังไงบ้าง" เฟิร์สถอนหายใจทิ้ง แล้วตัดสินใจพูดออกไป ดวงตาสั่นระริกจ้องไปยังตาสีแดงของรีสอย่างเว้าวอน ความรู้สึกที่เห็นอาหารที่รีสต้องกินทำให้ความคิดเขาเริ่มรวน ภายในใจรู้สึกผิด แต่ก็อยากรู้ให้แน่ชัดอีกทีว่าเรื่องพวกนี้เกิดจากฝีมือตนเอง

 

"ก็ได้ครับ ถ้าเฟิร์สอยากรู้ จากวันนั้นผมตื่นขึ้นมาอีกทีที่ห้องทดลองแล้วเจอกลับพี่หมอ........จนตอนนี้ร่างกายของผมก็เป็นอย่างที่เฟิร์สเห็น ตัวของผมเย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็งเดินได้ มีไอเย็นสีขาวจางๆแผ่ออกมาตลอดเวลาถ้าเฟิร์สลองสังเกตดูดีๆก็จะเห็น แต่ถ้าจะให้ชัดก็คงต้องเป็นเวลาที่ผมอารมณ์แปรปรวนหรือโกรธจัด อาหารก็ต้องกินแบบนั้นมาตลอด กล้ามเนื้อทุกส่วนรวมถึงอวัยวะภายในของผมก็ไม่ทำงาน  รวมถึงหัวใจก็ไม่เต้นแล้วด้วยนะครับ ดวงตาของผมเคยเป็นสีฟ้าเหมือนฝรั่ง จนมันกลายเป็นสีแดงข้างสีเทาข้างเพราะเนื้อเยื่อมันตาย แต่ตอนนี้มันก็เป็นสีแดงแบบนี้แหละครับ แต่ผมว่ามันก็ดูดีไปอีกแบบ เข้ากับผมดีด้วยนะ ...เฟิร์สไม่ต้องกังวลนะ ผมชินกับมันแล้ว ไม่ต้องโทษตัวเอง"

 

รีสเล่าเรื่องต่างๆให้เฟิร์สฟังยาวเหยียดแล้วมาจบท้ายด้วยการอธิบายร่างกายพร้อมชี้ให้เฟิร์สที่เริ่มขยับเข้ามาใกล้ๆดูตามร่างกายไปเรื่อยๆ เฟิร์สอยากจะสัมผัสดูว่าหัวใจเฟิร์สไม่เต้นจริงมั้ย อยากจะจับร่างกายที่เย็นของรีสจริงๆจังสักที แต่ก็ไม่กล้า ได้แต่มองตามนิ้วที่รีสชี้บอกว่าส่วนไหนเป็นยังไงเท่านั้น และทำหน้ารู้สึกผิดจนรีสต้องเอ่ยบอกไม่ต้องกังวลในตอนท้าย

 

แต่รีสก็เล่าไม่หมดอยู่ดี เขายกเว้นเรื่องที่เขานั้นกัดกินมนุษย์และทำลายโดยการทำให้ทุกอย่างกลายเป็นน้ำแข็งจนแตกเป็นผงและละลายหายไปได้ รวมถึงการควบคุมพลังที่มากมายนั้นได้ดีขึ้นทุกๆวัน

 

"ฉันขอโทษจริงๆนะ มันเป็นเพราะฉันเอง" เฟิร์สที่ฟังจบ แม้ว่ารีสจะเล่าด้วยท่าทีสบายๆ แต่ต่างจากคนฟังที่ตอนนี้รู้สึกผิดซะเต็มประดา เฟิร์สก็ได้แต่โทษตัวเองแล้วเข้าใจรีสทันทีที่โมโหจนแทบจะฆ่าเขาทิ้งแบบนั้น ถ้าเป็นเขาเองเขาอาจจะยิงมันทิ้งไปแล้วก็ได้ไม่ต้องมานั่งใส่ใจถึงความรู้สึกเหมือนที่รีสทำให้เขาในตอนนี้ด้วยซ้ำ

 

"ผมบอกว่ามันไม่ใช่ความผิดเฟิร์สไง แล้วอีกอย่าง ผมเองก็เชื่อว่าถึงแม้วันนั้นเฟิร์สจะไม่ได้เป็นคนเปลี่ยนผม แต่สักวัน ร่างกายของผมมันก็เปลี่ยนเป็นแบบนี้อยู่ดี เพราะผมอาจจะเป็นปีศาจจริงๆอย่างที่ไมเคิลบอกมา เพราะฉะนั้นเฟิร์สเลิกรู้สึกผิดและโทษตัวเองได้แล้วครับ ผมเองต่างหากที่ต้องขอโทษเฟิร์สที่ทำเรื่องโหดร้ายมากมายกับเฟิร์สไป" รีสได้แต่พูดไปนิ่งๆดวงตาสีแดงมองสบกับเฟิร์สที่ส่ายหัวดิกปฏิเสธคำที่รีสพูดออกมาด้วยท่าทางที่จริงจัง เมื่อได้เวลาเอ่ยขออภัยจากเฟิร์สที่รีสรอคอยมานาน

 

"ไม่จริงหรอก ถ้าวันนั้นฉันไม่ชนนาย นายอาจจะมีชีวิตปกติเรียนจบมีงานทำแต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว ไม่ต้องมาเจอกับเรื่องพวกนี้ เพราะถ้าปีศาจในตัวนายไม่ตื่นขึ้น ดร.อะไรนั้นก็จะไม่ทำการทดลองกับนาย แล้วไมเคิลก็จะตามกลิ่นนายไม่เจอเหมือนกัน เรื่องทั้งหมดมันเป็นเพราะฉันเป็นต้นเหตุ"

 

“ชู่ว ̴ ”

 

 เฟิร์สชะงักไปไม่พูดต่อ เพราะรีสนั้นยกนิ้วมือเย็นๆมาแนบที่ริมฝีปากเขาเบาๆ ดวงตาสีแดงนั้นจ้องมาที่เฟิร์สเหมือนสะกดให้นิ่งงัน

 

ดวงหน้าของทั้งคู่ๆค่อยๆโน้มเข้าหากันตาสอดประสานบอกความในอย่างโหยหาบางสิ่ง นิ้วของรีสที่ยกขึ้นทาบริมฝีปากเฟิร์สค่อยๆปล่อยออก ดวงตาของเฟิร์สสั่นไหวแต่ก็ยังคงจ้องกับดวงตาสีแดงของรีสไม่ละออก ดวงหน้าของทั้งคู่ขยับเข้าใกล้กันมากขึ้น เรื่อยๆ ปลายจมูกเย็นๆของรีสแทบจะชนกับของเฟิร์ส แต่เขาก็เบี่ยงหน้าออกเล็กน้อยให้ช่วงหน้าของเขาทั้งสองให้แนบสนิทกันได้ จากนั้นก็ค่อยๆประทับริมฝีปากลงวางเบาๆบนริมฝีปากสีชมพูของเฟิร์ส ทั้งที่ดวงตายังคงไม่ละจากกัน รีสทำเพียงแค่วางปากประกบกันไว้เบาๆไม่ได้ลุกล้ำ ดวงตาของเฟิร์สหลับพริ้มลงอย่างเปี่ยมสุข ริมฝีปากของทั้งคู่ที่ยังทาบทับกันไว้เนิ่นนานบ่งบอกถึงความรู้สึกคิดถึงและโหยหากันและกัน ความรู้สึกใจใจวาบหวามและอ่อนหวานจนไม่อยากละจาก...

 

รีสค่อยๆผละออกมาช้าๆ จ้องมองไปยันดวงหน้าของเฟิร์สที่พวงแก้มใสขึ้นสีแดงจางๆน่าเอ็นดู รีสยกยิ้มมีความสุขแล้วค่อยโน้มตัวเข้ามาจนชิดหูเฟิร์ส ให้ลมที่ออกจากปากเป่ารดและเฉียดริมฝีปากเย็นให้กระทบกับใบหูเฟิร์สเบาๆจนขนลุกชัน พร้อมกระซิบเสียงสั่นเบาๆ

 

"รีส...คิดถึงเฟิร์สมากนะครับ"

 

เฟิร์สตกใจตเบิกโตขึ้นในคำที่ได้ยินและขวยเขินอย่างถึงที่สุด ใจของเขาเต้นแรงและเร็วจนน่ากลัว แก้มใสแดงปลั่งน่ารัก ดวงตาหลุกหลิกหาที่จับไม่ได้ ไม่กล้าสบมองไปยังคนต้นเหตุ ยิ่งรีสยังคงมองมาที่เฟิร์สนิ่งๆด้วยดวงตาสีแดงที่น่าหลงไหล เฟิร์สยิ่งเขินจนทนไม่ได้ในที่สุดก็ลุกหนีวิ่งเข้าไปในห้องนอนปิดประตูเงียบไป เฟิร์สได้ยืนพิงประตูที่ปิดเข้ามาไว้ไม่ได้วิ่งไปไหนต่อ ขาแข้งอ่อนแรงอ่อนยวบดังใจที่กำลังถูกหลอมละลาย พร้อมกับยกมือกุมหัวใจของตัวเองที่ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงได้เต้นรัวขึ้นมาจนมันแทบจะหลุดออกมานอก...

 

ส่วนรีสที่เพิ่งรู้ตัวว่าทำอะไรลงไปก็ได้แต่นิ่งงันทำตัวไม่ถูก ในหัวเห็นแต่ใบหน้าของเฟิร์สที่ขึ้นสีแดงจัดอย่างขวยเขิน รีสยกยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง ภายในอกรู้สึกอบอุ่นกับความสุขที่กำลังเอ่อล้นออกมา จนเหมือนดวงใจที่ตายด้านของเขากำลังอยากจะกลับมามีชีวิตอีกครั้งเพื่อให้เสียงของมันดังสอดประสานโครมครามแข่งกับของเฟิร์สที่มันยังคงดังก้องอยู่ในหัวเขาตลอดเวลา...

 

ตึกตัก!

 

“อึก!”

 

จู่ๆจังหวะหัวใจที่หยุดเต้นไปนานของรีสก็เกิดเสียงดังขึ้นมาครู่หนึ่งและปวดหนึบจนร่างกายกระตุกวูบ รีสตกใจยกมือกุมหน้าอกไว้แน่นขยำมันไวเพราะรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่ไม่ได้เป็นมานาน แต่มันก็แค่แวบเดียว แล้วความเจ็บปวดและเสียงหัวใจของเขาก็จางหายไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นเลย


 ...

ตอนนี้มาเร็วหน่อยนะคะ แต่รอบหน้าอาจจะมาช้ามาก เข้าสู่ช่วงสอบแล้ว ไรท์แต่งสดเนอะ รอได้กันได้เปล่าค้า อย่าทิ้งกันเน้อ
ตอนนี้ หวานนิดๆป่าว รีสเฟิร์สเริ่มใจตรงกันแว้วน้าา

...

งื้อออออออ รีสสสสสสสสสสสส :mew2: เอออออออออมันหน่วงจริงงงงง อึดอัด เจ็บแปล๊บ หายใจไม่ออก แบบว่าอินค่ะอิน 555555 //แต่ก็นะ เข้าใจเฟิร์สอะ หวาดกลัวไม่พอ ต้องมาสับสนความรู้สึกตัวเองและรีสเปลี่ยนไปดีแบบนี้อีก ละยังมารู้ความจริงรับรู้เรื่องอะไรหลายๆเรื่อง มันก็นะ อืมมม ดีที่ได้ระบายพูดออกมา ต้องใช้เวลาตั้งสติแพร่บละเฟิร์ส เลิกหายกลัวรีสนะ งื้ออสงสารรีส ทั้งเรื่องตัวเองและเฟิร์ส หน่วงไปอี๊ก แต่ถามว่าชอบไหม ชอบค่ะ 555 เออมันใช่อ่ะที่รีสคิดมา ก็รู้นะว่ากลัวแต่ก็อยากให้ปลอดภัยและอยากขอให้อภัยแล้วค่อยปล่อย แล้วก็นะรีส อย่าอดอาหารนะ เดี๋ยวไม่มีแรงไปปกป้องเฟิร์ส //ตาแดง ผิวซีด มีไอเย็นรอบๆ เท่ห์นะรีสอย่าเกลียดตัวเองเลยเดี๋ยวเฟิร์สก็จะหลงเหมือนเรา เชื่อดิ 5555555 //ตลกไมเคิลเจอไอ้เด็กเชนตามยิกๆ จนไม่มีเวลามาวอแวกับรีส 5555555 //ต้องขอบคุณหมอพอลเลยที่มาช่วยพูด ไม่งั้นไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจกันสักที//โอ๊ยยยชอบบบบบบ แต่งดีแล้วค่ะ แบบนี้แหละแบบนี้ ลุ้นกันต่อไป อ่านอย่างช้า กลัวจบ มันสนุกอะ 555 ขอบคุณนะค่ะที่มาอัพต่อออออ รอทุกตอนต่อไปเลยคะ F5 รัว 5555

ชอบค่ะชอบ หลงค่ะหลง ขอบคุณมากๆเลยนะค้า เม้นยาวตลอดๆๆๆ อิอิ

ไรท์ยังหลงรีสเลย ยิ่งตอนนี้ยิ่งหลง พระเอกจริ๊งงงง 555 

เฟิร์สก็น่าสงสารตอนนี้น่าจู้อะไรมาเพิ่มๆบ้างแล้ว รักเฟิร์สยังค้าา

ชอบไมเคิลเชนมาก เริ่มๆอยากแต่งละ ไรท์จิตนิดๆ(ม้ัง) 55 แต่จริงๆแล้วคู่นี้ฮา

พี่หมอคนนี้เขาคนดีอยู่แล้ว เลยเจอแลมป์ที่โคตรเสียสละทั้งคู่ พระเลยเจอพระเคมีเข้ากันค่า 555
มาต่อแล้วนะค้าา แต่ตอนต่อไปอาจจะช้านิดดดดด
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 04-10-2016 17:12:43
เฮ้ยๆๆรีสสสส หัวใจเต้นหว่ะ มีลุ้นจะกลับคืนเป็นคนเหมือนเดิมปะวะ ความรักทำให้ใจเต้นเว้ย เฟิร์สมาอ้อนรีสหน่อยเร็ว ทดลองๆเผื่อใช่จะได้ใช้ใจรักษา เบ้ยส์ 555 ตามจริงเป็นปีศาจก็เท่ห์นะ มากเลยละ แต่อยากให้รับรู้สัมผัสหรือกินปกติได้ไรงี้ //เป็นไงเฟิร์สจ้องหุ่นรีสเคลิ้มเลย หลงแล้วใช่ไหมละ แค่มองยังใจสั่น บอกแล้วรีสอย่างเท่ห์ 555//ปีศาจอมตะชัดๆ ฟันแทงยิงเข้าแต่ไม่ตาย แผลหายเองโคตรเจ๋ง เป็นใครก็เบิกตาค้างอะเจอแบบนั้น ดีที่เฟิร์สไม่กลัวอย่างที่คิด หูยยยยยยยยดีไปอีก //เฟิร์สสับสนอย่างแรง บอกความรู้สึกตัวเองไม่ถูกเลยทีเดียว แค่อยากรั้งไว้ก่อน แต่พอตอนท้าย เจอ "รีส...คิดถึงเฟิร์สมากนะครับ" โว้ยยยยยยยยยยยยย ไม่ใช่เฟิร์สคนเดียวที่เข่าอ่อน กูนี่มวนตัวอยู่สามตลบ ปากฉีกยิ้มมอย่างกว้างงงงง มือปิดหน้า ไอ่หยา กูอายกูเขินนนนนนหนักกกมากกกกกกกกกกกก สัส!!!!!!! 55555555 ฉากจุ๊บนี้นะมันแบบสองคนเขาโหยหากันมาก เราก็เอ้อ กูก็โหยหาอยากเห็นหวานบ้าง มาเจอฉากนี้แบบ ดีกับใจจริงๆ รีสไอ้บ้า แกเล่นเฟิร์สกับฉันแล้วไหมละ 55555 //เฟิร์สสสน่ารักมากกก เรียบๆเคียงๆทำตัวรีบๆกล้าๆกลัวๆสั่นๆสู้ๆ 555 จนได้คุยปรับความเข้าใจกัน เออดีอ่ะ เคลียร์ให้รู้เรื่อง เริ่มคุ้นชินหวาดหวั่นน้อยลง แต่หวั่นไหวด้วยใจมากขึ้นนน เลิกสับสนนะเฟิร์ส 555555 //เฟิร์สก็รับรู้เรื่องทุกอย่างของรีสแล้ว อยู่กับรีสนะเฟิร์ส เวลาที่เฟิร์สมองตารีสแล้วรู้สึกมันว่างเปล่า ดูเศร้า เราก็ปวดหนึบหน่วงใจไปกับรีส TT //ว่าแต่รีสไปทำไรมา ไปต่อสู้กับใครถึงได้แผลเหวอะแหวะมาแบบนั้น ใครบังอาจมาแหย่ปีศาจว่ะ ไม่เป็นศพแล้วหรอปานนี้ หรือว่าที่แผลหายเร็วเพราะกินคนมา 555555555 โอ๊ยยยยสนุกกอ่ะ รอลุ้นต่อไป #รีสเฟิร์ส จะยังไงอะไรทำไมต่อ รอออออออ กลั้นใจไว้เกือบนานกว่าจะเข้ามาอ่าน กลัวจบเร็ว แล้วจะรอนาน เลยมาอ่านช้า 555555 ตอนนี้ดีจริงๆ เขินประโยคนั้นไม่หาย กระซิบชิดหูบอกคิดถึง กูตาย เฟิร์สยังมีชีวิตอยู่ไหม รีสแม่ง 555555 //เห็นว่ามีสอบขอให้โชคดีนะคะ ว่างๆค่อยมาแต่งและอัพต่อค่ะ ยังไงก็รอ กำลังคิดว่าอยากจะรีรีดอีกรอบ รองานซาก่อน อ่านแน่ๆอ่ะ ชอบรีส 5555555 // :pig4:
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 05-10-2016 17:41:28

Me die



33 : คำหวาน




ทุกๆอย่างยังคงหมุนวนไปเหมือนเดิม ต่างจากเดิมก็คือความรู้สึกของทั้งสองคนที่มีแต่จะใจตรงกันมากขึ้นเรื่อยๆ ทำอะไรก็เอาแต่ลอบมองกันเป็นพักๆแต่เมื่อสบตาก็กันก็ได้แต่ทำตัวไม่ถูกและหลบตามองไปทางอื่น ทั้งสองคนเอาแต่เขินจนไม่ยอมพูดไม่ยอมมองหน้ากันตรงๆ

 

รุ่งเช้าของอีกวันมาเยือนอีกครั้ง รีสออกไปจากห้องตั้งแต่ช่วงตี3กว่าๆ ด้วยเหตุผลบางอย่าง เฟิร์สที่ตื่นนอนขึ้นมาไม่เห็นรีสก็เอาแต่มองหาและรอคอยเวลารีสกลับมา แต่จนสายรีสก็ยังไม่มาแถมเช้านี้ก็ไม่มีอาหารเตรียมรอไว้ เฟิร์สจึงล้มเลิกที่จะนั่งคอยมองประตู ไปจัดการหากับข้าวกินเองทั้งที่ก็ไม่เคยทำมาก่อนด้วยความหิว

 

เฟิร์สเดินไปหยุดอยู่ที่ครัว มองนู้นนี่อยู่นาน มือเรียวเปิดตู้เย็นดูของสดที่แช่อยู่เต็มตู้ แต่ก็เอาแต่ถอนหายใจทิ้ง เพราะทำกับข้าวไม่เป็นสักอย่าง สุดท้ายก็หันไปพึ่งบะหมี่สำเร็จรูปที่อยู่ในชั้นเก็บของ นี่เป็นเพียงอย่างเดียวที่เขาคิดว่าน่าจะทำเป็น

 

เฟิร์สหยิบบะหมี่ออกมาจากชั้นวางของ มองไปมองมาจนเจอถ้วยจึงหยิบออกมาวางไว้ข้างๆเพื่อรอใส่ มือเรียวแกะซองมันออก แต่อาจจะออกแรงมากเกินไป ก้อนบะหมี่จึงกระเด็นหลุดออกจากซองไปกลิ้งอยู่ข้างๆถ้วยที่เตรียมไว้ใส่บนโต๊ะแทน เฟิร์สได้แต่กระพริบตาปริบๆมองไปยังบะหมี่ก้อนนั้นแล้วจึงหยิบขึ้นมาใส่ไว้ในถ้วยอย่างเซ็งๆ แต่แล้วไม่นานเหมือนเขาจะนึกอะไรบางอย่างออกว่าเขาลืมต้มน้ำก่อนแกะซอง เพราะเขาจำได้แค่รางๆเวลาที่เห็นเพื่อนสมัยมหาลัยกินมัน เฟิร์สจึงหยุดกิจกรรมตรงนั้น แล้วหันไปมองหาอะไรบางอย่างที่เขาสามารถใส่น้ำเพื่อต้มได้ ในที่สุดเขาก็เจอ เฟิร์สหยิบหมอใบเล็กขึ้นมากดน้ำใส่แล้วยกขึ้นไปไว้บนเตา ปัญหาสำหรับเขาจึงตามมาอีกเมื่อเขาไม่เคยใช้เตา แต่ไม่นานนักหลังจากที่ก้มๆเงยๆกับเตาไฟฟ้าอยู่นาน เฟิร์สก็จัดการเปิดมันได้สำเร็จ พร้อมๆกับเทบะหมี่ที่แกะออกจากซองไว้แล้วลงไปในหม้อ คิ้วสวยนั้นขมวดเข้าหากันอยู่นานใบหน้าก็เคร่งเครียด แต่ในที่สุดก็ระบายยิ้มออกมาจนได้ เมื่อในเวลาไม่นานนัก บะหมี่ในหม้อที่ต้มเดือดปุดๆก็ปล่อยควันพวยพุ่ง ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายคนหิวอย่างเฟิร์สได้เป็นอย่างดี

 

เฟิร์สได้ยืนยิ้มมองอาหารมื้อแรกที่เขาทำสำเร็จ จนไม่รู้ตัวเลยว่ารีสมายืนมองอยู่เงียบๆตั้งแต่เมื่อไหร่ รีสยกยิ้มอ่อนๆตามเฟิร์ส เขาไม่เคยเห็นใบหน้าเฟิร์สแบบนี้ จนหยุดมองไม่ได้ และไม่อยากจะเข้าไปขัดช่วงเวลาที่เฟิร์สดูสุขใจขนาดนี้ ใบหน้านั้นดูดีใจภูมิใจเหมือนสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เขาตั้งใจทำมากและในที่สุดเขาก็ทำมันได้สำเร็จ แม้มันจะเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับคนอื่น แต่สำหรับคนที่ทำอะไรสำเร็จชิ้นแรกนั้นมีความหมายมากมาย เขานั้นเข้าใจดี

 

รีสที่ยืนดูเฟิร์สที่ยังคงอมยิ้มอยู่ แต่คิ้วกับเริ่มขมวดเข้าหากันอย่างทำอะไรไม่ถูก มือเรียวนั้นยกขึ้นแตะลงที่หม้อร้อนๆที่เพิ่งปิดไฟไปไม่นาน จนต้องปล่อยมือออกแล้วจับไปที่ใบหู ซึ่งเฟิร์สก็ไม่รู้ว่ามันจะช่วยให้หายร้อนยังไง จากนั้นจึงเอามือมาเป่าเบาๆ ดวงตายังคงจ้องไปยังหม้อบะหมี่นั้นไม่วางตา สายตาของเฟิร์สมุ่งมั่นอยากจะเอาชนะและกินมันให้หายแค้น

 

“เฟิร์สครับ ให้ผมช่วยมั้ย” รีสเห็นดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะแอบขำเบาๆในความไร้เดียงสานั่น ไม่นานจึงพูดขึ้นและเดินเข้าไปหา

 

เคร้ง!!

 

“โอ๊ย! ร้อนๆ” แต่เพราะความตกใจ จึงทำให้เฟิร์สที่หันมามองทางรีสนั้น ถอยหลังจนมือนั้นไปปัดโดยหม้อร้อนๆนั้นหล่นลงจากเตาแถมยังหกรดเฟิร์สที่เสียหลักล้มลงพื้นครัว ลวกโดนมือและแขนขวาเฟิร์สเต็มๆ

 

“เฟิร์ส! เป็นอะไรรึเปล่าครับ ขอผมดูหน่อย” รีสเห็นดังนั้นก็ตกใจไปด้วย รีบวิ่งเข้าไปหาเฟิร์ส ปัดป่ายเอาเส้นบะหมี่สำเร็จรูปออกจากเฟิร์ส แล้วพยุงตัวขึ้นจากพื้น ยกแขนขึ้นดู ก็พบว่ามันบวมแดงจนน่ากลัว รีสก็รีบเอาแขนและมือของเฟิร์สไปแช่น้ำเย็นๆที่เปิดให้ไหลทิ้งเพื่อช่วยบรรเทา

 

“อือ เจ็บ มันร้อน...” เฟิร์สน้ำตาคลอ ใบหน้าเหยเกเพราะความแสบร้อนตรงแขนที่มันกำลังทวีขึ้น แม้จะเบาบางลงเมื่อสัมผัสกับน้ำ แต่มันก็ช่วยได้เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น

 

“ขอโทษนะครับเฟิร์ส...รีสทำให้เจ็บตัวอีกแล้ว” รีสเห็นใบหน้าเจ็บปวดของเฟิร์สก็ยิ่งรู้สึกผิด เพราะเขาเข้ามาเงียบๆแท้ๆทำให้เฟิร์สเจ็บตัวอีกแล้ว ดวงตาสีแดงของรีสหมองลง แต่ยังคงจ้องไปที่แขนที่กำลังบวมช้ำนั้นไม่วางตา รีสยกมือเย็นของตนขึ้นมาลูบแขนที่โดนลวกไปมาเบาๆ ไอเย็นจากมือรีสนั้นแผ่ออกมาจนเฟิร์สครางฮือในลำคอ อาการแสบร้อนนั้นเบาบางลงเมื่อถูกมือเย็นนั้นลากผ่าน แม้ว่าสายน้ำจะช่วยบรรเทา แต่ก็ยังแสบร้อน แตกต่างจากมือของรีส ที่แม้แค่ลากผ่านเบาๆก็ยังคงรู้สึกดี มันทั้งเย็นทั้งวาบหวามบ่งบอกถึงความรู้สึกห่วงใยของคนที่สัมผัสจนขนลุกซู่

 

“อือ ไม่เป็นไร” น้ำตาที่คลอหน่วยนั้นหยุดไหลเพราะสัมผัสที่ได้มานั้นมันล้นอยู่ข้างใน ความรู้สึกของรีสถูกส่งผ่านมือเย็นๆนั้นมาอย่างแผ่วเบา แม้น้ำร้อนที่ลวกโดนแขนจะทำให้แสบร้อนจนอยากร้องไห้ แต่เพราะสัมผัสห่วงใยที่ได้มา ทำให้เฟิร์สเอาแต่มองตรงไปที่ดวงหน้าของรีสที่อยู่ใกล้ๆนิ่งงัน

 

“ขอโทษนะครับ... จุ๊บ!” รีสยังคงมองไปที่แขนของเฟิร์ส แขนมันแดงขึ้นเรื่อยๆ บวมจนเริ่มน่ากลัวในเวลาไม่นาน ในใจก็เอาแต่รู้สึกผิด และเป็นห่วง อยากจะให้เฟิร์สหายเจ็บปวดโดยเร็ว มือเย็นนั้นยังคงลูบด้วยสัมผัสที่แผ่วเบาไปเรื่อยๆ ลากไล้ผ่านแขนไปช้าๆให้ความเย็นจากปลายนิ้วทำให้เฟิร์สขนลุกซู่ รีสลากนิ้วเย็นๆไปจนสุดปลายนิ้ว แล้วลากกลับมา พร้อมกอบกุมมือเรียวเอาไว้ ดวงตายังคงมองจ้องไปไม่ลดละ มือที่กุมมือเฟิร์สและใบหน้าของรีสค่อยๆโน้มเข้าหากัน รีสค่อยๆบรรจงจุมพิตลงไปบนหลังฝ่ามือเรียวนั้นอย่างแผ่วเบา แล้วก็ละออกมา

 

“อ๊ะ!” เฟิร์สที่เอาแต่เบิกตากว้าง ร้องออกมาอย่างตกใจ กับสัมผัสเย็นๆแต่อบอุ่นหัวใจที่ได้รับมาจากรีส ไหนจะจุมพิตที่หลังฝ่ามือมันคงยังรับรู้ถึงความรู้สึกนั้น จนใบหน้าของเฟิร์สนั้นเห่อร้อนขึ้นมา ใจของเขาเต้นโครมคราม ยิ่งเมื่อรีสที่ไม่รู้สึกตัวว่าทำอะไรอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมาสบมองนิ่งๆนัยน์ตาเหมือนจะบ่งบอกความรู้สึกในใจก็ยิ่งพาลให้เฟิร์สรู้สึกร้อนหน้ามากขึ้น เขาจึงรีบดึงมือกลับโดยอัตโนมัติ เบนหน้าออกไปด้านข้าง และยกมืออีกข้างของตนมากุมไว้เบาๆตรงที่โดนสัมผัสที่หลังฝ่ามือ

 

“...เดี๋ยวไปทำแผลกันดีกว่าครับ” ไม่นานรีสก็รู้สึกตัวว่าเผลอไผลทำอะไรตามใจ เขาทำอะไรไม่ถูกไปอีกครั้ง ทำได้แค่เบี่ยงสายตาหลบไปและลอบมองใบหน้าแดงๆที่เบนมามองเขาเป็นระยะๆเช่นกัน รอยยิ้มของรีสปรากฏอีกครั้งพร้อมกับใจที่อยากจะเต้นโครมครามแข่งกับเฟิร์ส

 

รีสเห็นว่าแผลของเฟิร์สดูท่าจะหนัก และเรียกหมอพอลมาไม่ได้ พวกเขาไม่ได้เจอกันมาสักพัก เพราะเหตุผลบางอย่างที่ยังเคลียร์ไม่ได้ รีสไม่มีเวลาให้คิดมากนัก เพราะยิ่งปล่อย อาการบวมแดงก็ยิ่งมากขึ้น แม้จะเอาน้ำแข็งประคบเรื่อยๆก็ตาม จนในที่สุดรีสก็ตัดสินใจพาเฟิร์สไปหาหมอที่ไกลออกไปจากตัวเมืองเพื่อหนีคนบางกลุ่ม แต่สุดท้ายเขาก็หนีไม่พ้นสายตาพวกมันอยู่ดี เมื่อรู้ว่าโดนจับได้รีสก็รีบพาเฟิร์สกลับทันที แม้จะหลอกล่อให้พวกมันหลงทางกัน แต่รีสก็ยังคงวางใจถึงความสามารถของพวกมันที่เขาประมาทมาแล้วไม่ได้ และรีสเอาแต่หนักใจเพราะเขาซ่อนเฟิร์สยังไงก็ยังไม่รอดพ้นจากพวกมันอยู่ดี ถ้าพวกมันรู้ว่าเขามีจุดอ่อนมันจะต้องเล่นงานเฟิร์สแน่นอน เห็นทีเขาจะต้องจัดการให้เด็ดขาด 

 

เมื่อกลับมาถึงห้อง เฟิร์สก็อยากจะอาบน้ำ จึงเอาถุงหุ้มไว้กันเปียก ด้วยความที่มีมือข้างเดียวก็เลยทำไม่สะดวก แถมเขายังเป็นคนถนัดขวาอีกด้วย เฟิร์สจึงได้แต่เก้ๆกังๆอยู่นานสองนาน  จนรีสทนไม่ไหวเดินเข้ามาช่วย แรกๆเฟิร์สก็ปฏิเสธแต่เพราะทำเองไม่ได้จึงต้องยอมโดยดี รีสอาสาจะช่วยถอดเสื้อผ้าให้โดยไม่คิดอะไรคิดแค่เพียงว่าเฟิร์สคงจะลำบากทำเองไม่ได้ แต่เฟิร์สกลับไปได้คิดแบบนั้นรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน แถมยังหน้าขึ้นสีแดงจางๆอีก

 

เฟิร์สที่เดินไปเข้าห้องน้ำ และบอกว่าจะถอดเสื้อข้างใน รีสก็ดันเดินตามมาด้วย และบอกว่าให้แช่น้ำในอ่างแทนการอาบฝักบัวทั้งๆที่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเฟิร์สตรงไหน และห้ามล็อกประตูอีก อ้างว่าเผื่อมีเรื่องฉุกเฉินเฟิร์สไม่เอาด้วยแต่เพราะรีสจะเข้าไปด้วยจึงได้แต่ปฏิเสธและยอมไม่ล็อกประตูแทน

 

เฟิร์สยกมือเจ็บด้านบน แล้วถอดเสื้อผ้า แต่เพราะยังเจ็บเลยติดๆขัดๆจนโดนแผลทำให้ร้องออกมา แต่ก็แค่เล็กน้อย และก็เสียงเบามาก รีสที่ยืนอยู่หน้าประตูก็ไม่ยอมไปไหน และจะเข้ามาทุกครั้ง จนเฟิร์สถึงกับปาดเหงื่อ 

 

แต่พอคุยกันรู้เรื่อง เฟิร์สก็จัดการกับเสื้อผ้าตัวเองเสร็จและลงไปแช่อ่างเรียบร้อย รีสที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูก็เบาใจ และยอมเดินออกไปนั่งรอที่เตียงนอน ซึ่งก็ตรงกับประตูห้องน้ำพอดี

 

“โอ๊ย” เสียงของเฟิร์สดังขึ้นมาอีกครั้ง จากที่เงียบไปนาน รีสที่นั่งอยู่ เด้งตัวเองขึ้นและรีบวิ่งไปดูทันที รีสเปิดประตูเข้าไปไม่ทันได้ถามก่อนเหมือนก่อนหน้า ก็เจอเฟิร์สที่กำลังโป๊เพราะลุกขึ้นยืนเร็วจะไปเพียงเพราะจะเอายาสระผมมาเท่านั้น จึงทำให้มือกระแทกโดนกำแพงจนร้อง รีสตะลึงและพูดไม่ออก ยืนนิ่งค้างอยู่ตรงประตูพร้อมกับมือที่จับลูกบิดเปิดอ้าไว้อย่างนั้น เฟิร์สที่หันมาเห็นรีสพอดีก็อึ้งค้าง

 

แต่ยิ่งนานเข้าเฟิร์สก็เห็นสายตารีสที่มองมามันเหมือนมีอะไรแอบแฝงแปลกๆซะจนเขาสั่นไหวในใจ มันทำให้เขาวูบวาบ รีสไล่สายตามองตั้งแต่บนลงล่างและค้างไว้ที่ต่ำกว่าสะดือ เฟิร์สที่มองตามสายตาที่ไล่มองช้าๆนั้นก็รู้ตัวว่าตัวเองโป๊ รีบยกมือปกปิดร่างกาย และฉวยหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กมาช่วยพรางสายตาแม้จะช่วยไม่ได้มากเท่าไหร่ แต่เพราะฝืนเกินไป แขนขวาที่เป็นแผลบวมจนขยับเคลื่อนไหวลำบากนั้นตึงจนปวด จึงต้องร้องอีก และซวนเซจะล้มออกมานอกอ่าง

 

รีสเห็นจึงเข้าไปคว้าเอวตะคองกอดไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง ใบหน้าของเฟิร์สเหวออย่างตกใจ ผ้าที่ถือไว้ปกปิดร่างกายถูกปล่อยทิ้งเพื่อจับยึดรีสไม่ให้ตัวเองล้มลง ร่างกายโถมทิ้งน้ำหนักทั้งตัวลงบนตัวรีสที่เข้ามารับพอดี ตอนนี้ภาพของทั้งคู่เลยเหมือนคนที่โอบกอดกันกันและกัน เฟิร์สตัวแข็งค้างตาเบิกโตตกใจ ยิ่งเมื่อรู้สึกว่าน้ำจากตัวเขากำลังซึมผ่านเสื้อผ้ารีส และไอเย็นๆจากตัวรีสก็แผ่ออกมาจางๆ ยิ่งด้านหลังยิ่งรู้สึกถึง ฝ่ามือเย็นใหญ่ทั้งสองข้างที่คว้าหมับเข้าที่เอวและสะโพกเนียน แถมไม่นานมือนั้นก็ยังขยับลูบไล้ไปมาเบาๆ มันยิ่งทำให้สติเฟิร์สเปิดเปิง เฟิร์สดันกายตัวเองออกมาจกรีสโดยเร็ว แล้วนั่งลงในอ่างให้น้ำพรางสายตาพร้อมๆกับหันหลังให้รีสที่ยืนแผ่ไอเย็นอยู่ข้างหลัง เฟิร์สได้แต่ใบหน้าห่อร้อน ใจเต้นโครมครามจนมันแทบหลุดออกมา เขาเชื่อว่าหน้าของเขาตอนนี้คงต้องแดงมากแน่ๆ

 

“...เอ่อ เฟิร์สเป็นอะไรรึเปล่าครับ” รีสที่เงียบไปนาน หลังจากคุมสติไม่ให้เตลิดออกจะเข้าไปสัมผัสเฟิร์สมากกว่านี้ได้ แต่ยิ่งมองเขาก็ยิ่งเตลิด รีสก้มลงนั่งยองๆยื่นหน้าเข้าไปกระซิบถามใกล้ๆหูเฟิร์สอีกครั้ง

 

“เฮือก! มะ ไม่ ไม่เป็น แค่อยากจะสระผม” เฟิร์สตาเบิกกว้างอีกครั้ง ใจเขาเต้นแรงจนแทบทะลุออกมา รีสเป็นแบบนี้อีกแล้ว จุดอ่อนของเขาคืบในหู ยิ่งโดนแบบนี้ก็ยิ่งเข่าอ่อน เฟิร์สลิ้นพันกันพูดผิดพูดถูก ขนลุกซู่ จนต้องห่อตัว และขยับถอยห่างออกจากรีสโดยไม่หันไปมองหน้าเพราะกลัวรีสจะรู้ว่าเขารู้สึกยังไง

 

“มือเฟิร์สยังเจ็บ งั้น...เดี๋ยวรีสช่วย” รีสพูดขึ้นเบาๆอีกครั้ง เขายังไม่ลุกจากตรงนั้น ซึ่งก็ไม่ได้ห่างจากเฟิร์สไกลเลย น้ำเสียงของรีสแหบพร่าจนเฟิร์สใจสั่น เม้นปากเข้าหากัน นิ้วเกร็งเพราะความวูบไหวในน้ำเสียง

 

“มะ ไม่ ไม่เป็นไร” เฟิร์สพูดปฏิเสธอีกครั้ง แต่ก็ช้าไป รีสลุกขึ้นจากตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แถมยังไปเอายาสระผมมาไว้ข้างๆเรียบร้อยแล้ว

   

“เฟิร์สครับ ขยับมานั่งตรงนี้สิ” รีสขึ้นไปนั่งตรงขอบอ่าง เอ่ยเรียกเฟิร์สด้วยน้ำเสียงแบบเดิม ยิ่งทำให้เฟิร์สสยิวเข้าไปใหญ่ เฟิร์สได้แต่นิ่งค้างไม่ยอมขยับไปอย่างที่รีสบอก จนรีสที่กำลังอมยิ้มใบหน้าเปื้อนสุข ก็เอื้อมมือลงไปใต้น้ำและคว้าหมับเข้าที่เอวบางๆของเฟิร์สทันที

 

“อ๊ะ!” เฟิร์สสะดุ้ง แต่ก็ไม่สามารถขัดขืนได้เลย ได้แต่โอนอ่อนตามที่รีสชักนำ ขาแข้งอ่อนแรงยวบยาบยิ่งกว่าขี้ผึ้งรนไฟ แม้ว่ารีสจะไม่ได้ทำอะไรมาก แต่เพราะหัวใจที่หวั่นไหว ยิ่งทำให้เฟิร์สต้านทานความหวาบหวามนี้ไม่ได้เลย

 

“นั่งตรงนี้นะครับ พิงมาที่รีสเลย” รีสยกเอวบางขึ้นเหนือน้ำ แล้วจับให้นั่งลงติดขอบอ่างที่ตนอยู่ ขารีสลงไปแอยู่ในน้ำตั้งแต่ลงไปจับอุ้มเอวบางนั่นขึ้นมา ผิวเนียนลื่นมือและขาวใสของเฟิร์สปรากฏต่อสายตาของรีสเต็มๆ รีสไม่อยากปล่อยมือออกจากตรงเอวคอดนี้เลย เขายังคงไล้วนอยู่อย่างนั้น จนเฟิร์สเริ่มท้วง เพราะรีสที่กำลังเตลิดเริ่มไล้มือลงต่ำเกินไป

 

“ฮึ่ม...สระผม นะครับ” รีสครางฮือในลำคออย่างอดกลั้น รีบปล่อยมือออกจากเอวบางที่ดึงดูดนั่น แล้วขยับเฟิร์สให้นั่งตรงๆอีกครั้ง รีสค่อยๆเหยียดขาออกให้ยาวไปในอ่างน้ำ ขยับเบาๆเพื่อให้ศีรษะของเฟิร์สที่จับพิงมาเอนทับไว้ได้

 

“ ดะ เดี๋ยวเสื้อผ้านายจะเปียก ฉันว่า ฉันสระเองดีกว่านะ” เฟิร์สผงกหัวขึ้นจากขาแกร่ง แล้วพูดเบาๆโดยที่ไม่ได้มองหน้าตรงๆ เพราะทำไม่ได้ หน้าเขาเห่อร้อนจนแทบระเบิดอยู่แล้วในตอนนี้ แล้วยิ่งถ้ารีสสระผมให้อีก เขาก็ต้องเงยหน้ามองหน้ารีส แล้วเขาจะทำหน้ายังไง

 

“ไม่เป็นไรครับ รีสเต็มใจ” รีสระบายยิ้มอ่อนๆ ดวงตามองสบไปยังดวงตาของเฟิร์สที่สู้ไม่ไหวจนต้องหลบสายตาไป รีสประคองศีรษะเฟิร์สให้นอนลงบนขาตัวเองอีกครั้ง เฟิร์สก็ไม่ขัดขืนอีกเอาแต่นอนนิ่งๆ ใบหน้าแดงจนสุก เม้มปากแน่น และเบนสายตาไปมองทางอื่นแทน รีสเห็นแบบนั้นก็ยิ่งยิ้มกว้างขึ้น เขาเอื้อมมือไปหยิบฝักบัวมาเปิดน้ำเบาๆแล้วลูบไล้ให้น้ำชโลมลงบนผมของเฟิร์สและคอยกันไม่ให้เข้าตาอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็บีบยาสระผมลงบนฝ่ามือตนเองและชโลมลงที่เส้นผมนิ่มสีดำอย่างเบามือที่สุด รีสค่อยๆนวดคลึงและลูบไล้ยาสระผมไปทั่วศีรษะเฟิร์สอย่างอ่อนโยน จะมีบ้างที่เฟิร์สแอบเหลือบสายตามามองรีสแต่ก็ต้องหลบตาไปทุกครั้งเพราะรีสมองอยู่ตลอดเวลาแถมดวงตาสีแดงคู่นี้ก็ดูร้อนแรงจนทำให้เฟิร์สยิ่งใจเต้นแรงแปลกๆ

 

...

 

หลังจากนั้นไม่กี่วันแขนเฟิร์สก็เริ่มดีขึ้น จะเหลือก็แต่บริเวณฝ่ามือที่คว้าเอาหม้อน้ำเข้าอย่างจังเลยยังบวมแดงและแสบอยู่ แต่เฟิร์สก็สามารถทำเองได้สะดวกขึ้น แต่ก็ยังคงรบกวนรีสตอนเปลี่ยนผ้าพันแผลใหม่ เฟิร์สนั้นรู้สึกแปลกๆกับใจตัวเองขึ้นทุกวัน ยิ่งเข้าใกล้รีสเข้ายิ่งใจเต้น หน้าร้อนจนแดง ตื่นเต้นจนสั่นทำอะไรแปลกๆไปหมด และยังไม่กล้าสบตา เวลามองดวงตาสีแดงทรงเสน่ห์นั้นทีไร มันเหมือนจะดึงดูดให้เขาหลงใหลจนเผลอตัวทุกทีไป

 

“เฟิร์สครับ เปลี่ยนผ้าพันแผลครับ” ครั้งนี้ก็เหมือนกัน หลังจากเฟิร์สอาบน้ำเสร็จรีสก็จะมารอเขาที่เตียงพร้อมกับกล่องพยาบาลเพื่อรอเปลี่ยนผ้าพันแผลให้กับเขา ฟิร์สจึงเดินไปหาพร้อมกับนั่งลงข้างๆด้วยความเคยชิน เพราะถึงปฏิเสธไปก็ไม่มีประโยชน์แถมรีสยังทำให้เขาต้องใจเต้นแปลกๆด้วย เช่นวันก่อนที่เขาไม่ยอมรีสก็เดินดุ่มๆเข้ามาหาตอนแรกคิดว่าโกรธเลยหลับตาปี๋ยอมรับชะตากรรม แต่เปล่าเลย รีสเดินมาอุ้มเขาขึ้นแล้วมาวางยิ่งพอเฟิร์สดิ้น รีสก็แกล้งกระซิบข้างๆหูทุกครั้ง ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยเกร็งไม่ค่อยกลัวเวลาได้อยู่ใกล้ๆแล้วก็เถอะ แต่มันกลับไม่ดีต่อใจกว่าแบบก่อนซะอีก

 

รีสยกมือเฟิร์สขึ้นมาแกะผ้าพันแผลอันเก่าออกหลังจากเปิดกล่องพยาบาลเช็คยาเรียบร้อย เขาค่อยๆปลดผ้าเก่าออกจนหมด จากนั้นก็หยิบยาทาขึ้นมาบีบและนวดคลึงที่แผลบวมแดงเบาๆ

 

“แสบ ร้อนๆ ยาอะไรยิ่งทายิ่งร้อน ฉันไม่ทาแล้วได้มั้ยรีส” เฟิร์สบ่นแสบแผลจากยาทาตัวหนึ่งที่มันทำให้รู้สึกแสบร้อนขึ้น  จนใบหน้าเฟิร์สเหยเก รีบเอ่ยขอรีสอย่างเอาแต่ใจ เวลาเจ็บคือเวลาที่เขาอ่อนแอที่สุด เขาไม่ลังเลเลยสักนิดถ้าเขาจะต้องอ้อนวอน

 

รีสมองหน้าเฟิร์สที่บิดเบี้ยวด้วยความแสบร้อน และท่าทางที่อ้อนเอาแต่ใจที่เขาไม่เคยเห็นของเฟิร์สที่คงจะลืมตัว รีสลอบมองไปยังใบหน้าย่นยู่นั่นแล้วระบายยิ้มออกมาอ่อนๆ รีสวางยาและผ้าลงกับพื้นเตียง จากนั้นก็ค่อยๆช้อนเอามือนั้นขึ้นมากุมไว้ และหันเข้าตัวเอง เฟิร์สที่เพิ่งได้สติและกำลังแปลกใจที่รีสกำลังทำ ก็ได้แต่มองตาม และกังวลจะชักมือกลับ แต่สุดท้ายรีสก็แค่เอามือของเฟิร์สไปวางไว้ที่หน้าอกตัวเองให้มือนั้นแบแล้วทาบทับลงไปบนอกแกร่งรับรู้ความเย็นที่กำลังแผ่ซ่านไหลเวียนอยู่ในกายรีส พร้อมซ้อนทับกุมมือเรียวไว้ด้วยมือของตัวเองอีกชั้นหนึ่ง พร้อมถามเบาๆทั้งที่ดวงตาจ้องมองอย่างมีเลิศนัยน์

 

“ไม่ร้อนแล้วนะครับ…”

 

เฟิร์สก็ได้แต่หน้าห่อร้อนอีกครั้ง หันมองไปทางอื่นอยู่นาน จนรีสเลิกแกล้งเอามือลงมาทำแผลให้อีกครั้ง แต่ก็ไม่วายดวงตาสีแดงคู่นั้นก็ยังมองสบไม่หลบสายตาไปไหน จนเฟิร์สที่รู้สึกร้อนหน้าหนักเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนีทุกทีไป

 

...

 

ริงงงงงงง ริงงงงงงง

 

จู่ๆก็มีสายเรียกเข้าดังเข้ามาในเย็นวันหนึ่ง รีสลุกเดินออกไปรับสายที่ระเบียงห้อง ไม่ให้เฟิร์สที่นอนเล่นอยู่ได้ยิน

 

“รีส เมื่อคืนก่อนมีคนรอบทำร้ายนายด้วยใช่มั้ย” เสียงของหมอพอลดังรอดมาด้วยความรีบร้อนเมื่อรีสกดรับสาย

 

“!! พี่รู้ได้ยังไง หรือว่า...” รีสนิ่งอึ้งไปสักพัก เรื่องที่เค้าโดนทำร้ายมาเมื่อคืนก่อนไม่มีใครรู้เรื่อง และเขาก็ไม่คิดว่าจะเป็นพวกของดร.แต่ดูเหมือนเขาจะคาดการณ์ผิดไป ดร.อันตรายกว่าเขาคิดไว้ เพราะพวกที่ทำร้ายเขาคืนนั้น มีอาวุธหนักครบมือแม้แรกๆจะทำท่าทางเหมือนพวกติดยาละแวกนั้น แต่พอเขาเผลอพวกมันกลับแทบจะฆ่าเขาตาย จะเรียกว่าโชคดีรึเปล่าที่เขาคุมพลังไม่ได้แล้วทำลายพวกมันไปเกือบหมด จากนั้นสติก็เรียกร้องให้กลับมาหาเฟิร์สที่คอนโด พอเจอเฟิร์สที่นอนหลับอยู่ถึงได้รีบวิ่งเข้าไปทำความสะอาดร่างกาย แต่ก็เพราะเขาประมาทไม่ได้คิดให้รอบคอบจนทำให้เฟิร์สตกใจกลัว

 

“ใช่! พี่ได้ยินดร.คุยกัน นายระวังตัวไว้ก็ดีนะ หลังจากที่นายทำให้คนของพวกนั้นที่คอยจับตาดูนาย หายสาบสูญ แล้วไหนจะกลุ่มคนที่รอบทำร้ายนายบาดเจ็บสาหัส บ้างคนก็หายไป บางคนถึงกับเสียสติ ดร.ไม่ปล่อยนายไปแน่ ตอนนี้พี่รู้แค่ว่าดร.กำลังทดลองผลิตอะไรขึ้นมาบางอย่างเพื่อใช้จัดการกับนาย เพราะฉะนั้นจะทำอะไรก็ระวังตัวดีๆ แล้วก็ช่วงนี้อย่าติดต่อมาหาพี่ดร.เริ่มสงสัยแล้ว ไว้พี่จะติดต่อไปเอง อ๊ะ! แค่นี้ก่อนนะ!” หมอพอลพูดมาอย่างรนๆ น้ำเสียงเหมือนระแวงอะไรบางอย่าง จากนั้นก็เหมือนจะตกใจอะไรแล้วก็วางสายไปอย่างรีบร้อน รีสก็ได้แต่มองมือถือในมือตนนิ่ง ขออย่าให้พี่หมอเป็นอะไรไป อย่าเอาชีวิตมาเสี่ยงเพราะเลือกช่วยปีศาจแบบตนอีก

 

รีสมองตรงเข้าไปที่ห้องนอนเห็นเฟิร์สหลับไปแล้ว แต่ยิ่งมองยิ่งรู้สึกปวดหนึบ เขาไม่อยากให้ใครมาเสี่ยงชีวิตเพราะเค้าอีก โดยเฉพาะเฟิร์ส คนที่เขาห่วงยิ่งกว่าใครในตอนนี้ เขาไม่อยากปล่อยมือไปจากเฟิร์ส แต่ก็ต้องทำเพราะความปลอดภัยในอนาคตข้างหน้า ถ้าเรื่องของดร.ผ่านไปหมดเมื่อไหร่ เขาจะปล่อยเฟิร์สไป และเขาจะหายไปพร้อมกับปีศาจทุกตัว เฟิร์สจะปลอดภัย

 

“อีกไม่นาน ผมจะให้อิสระแก่คุณ ดวงใจของผม”





...



แอบมาแต่งให้อ่าน เว้นว่างจากการอ่านหนังสือเครียดๆ มาเครียดเพราะกลัวเขียนให้ทุกคนไม่ถูกใจ

จริงๆไร้ไม่ถนัดบทหวานๆเลยเหอะ แต่รู้สึกแบบว่า แต่งไปเขินไป ไม่รู้คิดเหมือนเค้าป่าวน้อออ



ตอนท้ายๆตอนนี่ไม่น่ามาอยู่ขัดอารมณืฟินเลยว่ามะ 555 แต่ไรท์เห็นว่ามันสั้น เลยเอาปัญหาใหญ่ในภายภาคหน้ามาให้อ่านกัน


ขอบคุณทุกแรงเชียร์แรงใจ ยิ่งคอมเม้นยิ่งต่อยอดเป็นใจฮึดมากเลย แอบมาแต่ง อิอิ


ตอนต่อไปนี่อาจจะช้าจริง เริ่มสอบแล้ว หวังว่าจะรอกันอยู่น้า

...

เฮ้ยๆๆรีสสสส หัวใจเต้นหว่ะ มีลุ้นจะกลับคืนเป็นคนเหมือนเดิมปะวะ ความรักทำให้ใจเต้นเว้ย เฟิร์สมาอ้อนรีสหน่อยเร็ว ทดลองๆเผื่อใช่จะได้ใช้ใจรักษา เบ้ยส์ 555 ตามจริงเป็นปีศาจก็เท่ห์นะ มากเลยละ แต่อยากให้รับรู้สัมผัสหรือกินปกติได้ไรงี้ //เป็นไงเฟิร์สจ้องหุ่นรีสเคลิ้มเลย หลงแล้วใช่ไหมละ แค่มองยังใจสั่น บอกแล้วรีสอย่างเท่ห์ 555//ปีศาจอมตะชัดๆ ฟันแทงยิงเข้าแต่ไม่ตาย แผลหายเองโคตรเจ๋ง เป็นใครก็เบิกตาค้างอะเจอแบบนั้น ดีที่เฟิร์สไม่กลัวอย่างที่คิด หูยยยยยยยยดีไปอีก //เฟิร์สสับสนอย่างแรง บอกความรู้สึกตัวเองไม่ถูกเลยทีเดียว แค่อยากรั้งไว้ก่อน แต่พอตอนท้าย เจอ "รีส...คิดถึงเฟิร์สมากนะครับ" โว้ยยยยยยยยยยยยย ไม่ใช่เฟิร์สคนเดียวที่เข่าอ่อน กูนี่มวนตัวอยู่สามตลบ ปากฉีกยิ้มมอย่างกว้างงงงง มือปิดหน้า ไอ่หยา กูอายกูเขินนนนนนหนักกกมากกกกกกกกกกกก สัส!!!!!!! 55555555 ฉากจุ๊บนี้นะมันแบบสองคนเขาโหยหากันมาก เราก็เอ้อ กูก็โหยหาอยากเห็นหวานบ้าง มาเจอฉากนี้แบบ ดีกับใจจริงๆ รีสไอ้บ้า แกเล่นเฟิร์สกับฉันแล้วไหมละ 55555 //เฟิร์สสสน่ารักมากกก เรียบๆเคียงๆทำตัวรีบๆกล้าๆกลัวๆสั่นๆสู้ๆ 555 จนได้คุยปรับความเข้าใจกัน เออดีอ่ะ เคลียร์ให้รู้เรื่อง เริ่มคุ้นชินหวาดหวั่นน้อยลง แต่หวั่นไหวด้วยใจมากขึ้นนน เลิกสับสนนะเฟิร์ส 555555 //เฟิร์สก็รับรู้เรื่องทุกอย่างของรีสแล้ว อยู่กับรีสนะเฟิร์ส เวลาที่เฟิร์สมองตารีสแล้วรู้สึกมันว่างเปล่า ดูเศร้า เราก็ปวดหนึบหน่วงใจไปกับรีส TT //ว่าแต่รีสไปทำไรมา ไปต่อสู้กับใครถึงได้แผลเหวอะแหวะมาแบบนั้น ใครบังอาจมาแหย่ปีศาจว่ะ ไม่เป็นศพแล้วหรอปานนี้ หรือว่าที่แผลหายเร็วเพราะกินคนมา 555555555 โอ๊ยยยยสนุกกอ่ะ รอลุ้นต่อไป #รีสเฟิร์ส จะยังไงอะไรทำไมต่อ รอออออออ กลั้นใจไว้เกือบนานกว่าจะเข้ามาอ่าน กลัวจบเร็ว แล้วจะรอนาน เลยมาอ่านช้า 555555 ตอนนี้ดีจริงๆ เขินประโยคนั้นไม่หาย กระซิบชิดหูบอกคิดถึง กูตาย เฟิร์สยังมีชีวิตอยู่ไหม รีสแม่ง 555555 //เห็นว่ามีสอบขอให้โชคดีนะคะ ว่างๆค่อยมาแต่งและอัพต่อค่ะ ยังไงก็รอ กำลังคิดว่าอยากจะรีรีดอีกรอบ รองานซาก่อน อ่านแน่ๆอ่ะ ชอบรีส 5555555 // :pig4:
ว้าวๆ มายาวอีกแล้ว ชอบจังเลยค่าาาา //แอบคิดว่าหายไปไหน 555 รักน้า :mew1:

แบบว่าอย่าว่าแต่เฟิร์สเขินเลย ไรท์เองก็เขินเขียนไปยิ้มไป คนข้างๆนี่เหล่ถามเลย มันต้องยิ้มขนาดนั้นป่ะวะ บ้าป่าว 555 พวกนี้มันไม่เข้าใจเลย

รีสเท่ห์มากเลยเนอะ ไรท์รักไรท์หลงพอๆกัน 555  เฟิร์สนี่กน่ารักขึ้นทุกวัน

ตอนนี้เลยจัดไปเบาๆ เอาหวานนิดดดดด ไม่ต้องดาร์กมาก แต่ก็ดันตอนจบมาดาร์กอีก 555 จะดาร์กมั้ยถามใจดู เอ้ย ไม่ใช่ รอตอนต่อไปนะค้าา มันจะมาพร้อมปัญหาใหญ่รึเปล่าน้อ

ขอบคุณที่เม้นนะคะ ตอนนี้ยังไม่สอบแอบเอามาลงให้อ่าน แต่รอบหน้านี่จะพยาบาลแอบๆมาแต่งให้อ่านกันนะคะ รอเค้าน้าาาา  :กอด1: :กอด1:



 

 
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 10-10-2016 00:29:31
คิดว่าจะปล่อยแล้วหายไปง่ายๆหรอรีส เห๊อะ เฟิร์สไม่ยอมมมหรอกกกกกก ใช่ไหมเฟิร์สสสสส โฮรรรไม่นะ *ส่ายหัวรัวๆ* //ดร.ไอ้บ้านี่ท่าจะกัดไม่ปล่อยง่ายๆหว่ะ เล่นยากด้วย อาวุธยาและคนก็เยอะ ถึงจะราชาปีศาจก็มีพลาดอ่ะ เฮ้ย!! ไมเคิลมาช่วยรีสทีดิ เดี๋ยวช่วยเรื่องเชน (ช่วยให้ได้กันเร็วขึ้นอะสิ 555) //ฉากทำแผลน้ำร้อนลวก อาร๊ายยยอะไรมันจะอ่อนโยนละมุนอบอุ่นเบอร์นั้นรีส *จุ๊บมือ* เขาอ้อนไม่อยากทายา เอามือทาบหน้าอก “ไม่ร้อนแล้วนะครับ…” เชรดดดดดดถึงกับสตั้นไป 3 วิ เหี้ยคิดได้ไง เขินนนหนักมาก555  :o8: //แล้วอะไรในห้องน้ำ อาบน้ำสระผม คือ พวกมึงค่ะ ทนกันได้ไงงงว่ะ เจอไปแบบนั้น กูนี้จะแตกแทนอยู่แล้ววว(ใจแตก) นั่งเลือดกำเดาไหล 555 อารมณ์ต่างคนก็มาแล้วนะ แต่ทนกันจั๊ง 5555 //รีสชอบแกล้งเฟิร์สให้เตลิดตลอด รู้จุดอ่อนเขาอะเด่ กระซิบริมหูไรงี้ 555 ได้ผลดีด้วยนะ หูแดหน้าแดง เขินไปอี๊กเฟิร์ส น่ารักอ่ะ 55 //โอ๊ยๆๆๆ รีสจะเจอไรบ้างเนี้ยจะรอดไหม ต้องรอดดิ(มั้ง) เฮ้ยๆแอบหวัง 555 เครียดแทน ยิ่งดร.ห่านี่ทดลองอะไรใหม่ด้วยก็ไม่รู้ เดี๊ยะๆมึง เจอราชาปีศาจไป Dr.จะกลายเป็น Dog หรอก 55555555 มาแหยมรีสตรู  :z6: //สนุกกกกกกกคร้ามาเท่าไหร่ก็สนุก ยังรอเหมือนเดิม ที่เพิ่มเติมคืออ่านวนไปค่ะ 5555  :katai4: :katai2-1: o13 ไฟท์ติ้งกับทุกสิ่งอย่างค่ะ ฮึบ!! 
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: rosetears ที่ 26-10-2016 22:10:10
อยากให้รีสกับเฟริส์อยู่ด้วยกัน แอบมีความละมุมและมีความหน่วง *-* เริ่มสงสารทั้งคู่
#โชคดีกับการสอบนะคะไรท์
หัวข้อ: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย ตอนที่ 34 (70%)
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 11-11-2016 20:01:21

Me die
34 : สารภาพ


คำว่า จะปล่อยมือจากไป พูดง่าย แต่ทำได้ยาก

วันนี้หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จทั้งคู่ก็มานั่งอยู่ด้วยกันที่โซฟาตัวเดิมและเปิดทีวีไว้ทำลายความเงียบ ก่อนเฟิร์สจะเป็นฝ่ายเปิดปากชวนคุย

"รีส ฉันขอออกไปข้างนอกบ้างได้รึเปล่า"จู่ๆเฟิร์สเอ่ยขอแทรกเสียงทีวีที่ทั้งคู่เปิดไว้เฉยๆขึ้นมา ทั้งที่ดวงตาก็เอาแต่จ้องจอทีวีนั้นทั้งที่ไม่ได้ใส่ใจจะดู ใจก็ตื่นเต้นมือไม้อยู่ไม่สุก เพราะรู้ทั้งรู้ว่ารีสไม่ให้ออกไปไหน แต่ก็ยังเสี่ยงที่จะขอ

"ไม่ครับ เดี๋ยวเฟิร์สออกไปแล้วเกินอันตรายขึ้นจะทำยังไง ไมเคิลก็ยังวนเวียนอยู่ เฟิร์สไม่กลัวหรอ" แต่รีสก็ไม่ให้ออกไปอยู่ดีและบอกเรื่องที่เฟิร์สจะเป็นอันตราย โดยอ้างเรื่องไมเคิลมา แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเฟิร์สรู้จากพี่หมอพอลแล้วว่าตอนนี้ไมเคิลไม่มีทางทำอันตรายเขาและรีสถ้ายังไม่ชดใช้บุญคุณแม้จะอยากทำมากก็ตาม

"ฉันรู้เรื่องของไมเคิลแล้ว...จากพี่หมอ" เฟิร์สละจากหน้าจอหันมามองเสี้ยวหน้าของรีสที่ยังคงมองตรงไปที่จอ แล้วพูดออกมาเบาๆอย่างกลัวว่าตนจะโดนว่า ใจก็เต้นไม่เป็นส่ำเพราะการที่เขาพูดเถียงเรื่องนี้ขึ้นมาทำให้รีสเริ่มไม่พอใจ ไอเย็นๆจากตัวของรีสไหลออกมาจางๆจนสังเกตเห็น แล้วเท่าที่เฟิร์สรู้คือตอนนี้รีสกำลังอารมณ์แปรปรวน

"ครับ ผมก็คิดว่าเฟิร์สรู้แล้วว่าเขาไม่มีทางทำร้ายเฟิร์สอีก แต่ยังไงผมก็ยังให้เฟิร์สออกไปไม่ได้" รีสยังคงนั้งนิ่งๆดวงตาจ้องไปที่ทีวีไม่หันมา ไอเย็นจากตัวก็พวยพุ่งออกมามากขึ้น ตามแรงอารมณ์ แม้จะพยายามข่มไว้ แต่รีสนั้นไม่ได้โมโหอย่างที่เฟิร์สเข้าใจ เพียงแค่รู้สึกหนักใจที่จะอธิบายเหตุผลที่ไม่ให้เฟิร์สออกไปข้างนอก เพราะมันยังไม่ปลอดภัย

"ทำไมล่ะ แล้วเมื่อไหร่ฉันจะได้ออกไปข้างนอก..." เฟิร์สเริ่มคิ้วขมวดทำหน้าง้ำงอไม่พอใจใส่รีส แต่ก็พลันหายไปแล้วสะดุ้งเบาๆเมื่อจู่ๆรีสก็หันหน้ามาจ้องเฟิร์สนิ่ง ไอเย็นก็พวยพุ่งออกมามากขึ้น ใจเฟิร์สเริ่มเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น รีสจ้องหน้าเฟิร์สนิ่งๆสักพักๆแล้วพูดออกมาท่าทางจังจังจนเฟิร์สนิ่งไป

"ผมเป็นห่วงเฟิร์ส...จนกว่าผมจะแน่ใจว่าเฟิร์สไม่มีอันตราย ถึงไม่มีไมเคิล แต่ผม...ยังมีพวกของดร.ตามอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้พวกนั้นรู้แล้วว่าเฟิร์สอยู่กับผม ผมไม่อยากให้เฟิร์สกลายเป็นเหยื่อล่อผมออกไปอีก รอเวลาอีกนิดนะครับ ผมจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย จากนั้นผมจะปล่อยเฟิร์สให้เป็นอิสระ"

เฟิร์สเงียบไปนานเมื่อได้ยินคำจากรีส สายตาที่จ้องมาดูจริงจังจนน่ากลัว คำว่าอิสระที่เขาอยากได้ยินมานาน แต่เมื่อได้ยินตอนนี้เขากลับไปรู้สึกยินดี ภายในใจรู้สึกหวิวๆ ลำคอแห้งผากจนรู้สึกว่าน้ำตามันอยากจะไหลออกมาระบายความอัดอั้นนั้นออก แล้วค่อยๆถามกลับไปบ้าง

"ปล่อยฉันให้เป็นอิสระ หมายความว่ายังไง นายจะหายไปตลอดกาลงั้นหรอ รีส..." เฟิร์สถามออกมาเสียงสั่น จ้องตรงไปยังดวงตาสีแดงของรีสที่จ้องมานิ่งๆ น้ำใสๆเริ่มคลอในหน่วยตาของเฟิร์สจนมองหน้ารีสแทบไม่ชัด ทั้งที่เขาไม่อยากให้มันออกมา เพราะแทนที่เขาจะดีใจแต่เขากลับรู้สึกเคว้งคว้างจนหายใจผิดจังหวะ
 
"...ครับ ถึงผมจะไม่อยากปล่อยมือจากเฟิร์สไปก็ตาม" รีสพูดมันออกมาช้าๆ แล้วหันหน้ากลับไปมองทีวีนิ่งงัน ไม่อยากจะสบมองไปยังดวงหน้าเฟิร์สที่กำลังเจ็บปวด ดวงตาสั่นระริกมีน้ำใสๆคลอเต็มจนแทบจะล้นออกมาจนดูน่าสงสาร ยิ่งเห็นใบหน้าเฟิร์สแบบนั้นเขาก็ยิ่งเจ็บแปร๊บภายในใจและไม่อยากจะตัดใจจากเฟิร์ส จึงทำได้แค่เบี่ยงหน้าหนีไปมองอย่างอื่น แม้ว่ารีสจะหันมาแต่เขาก็ยังคงเห็นเฟิร์สที่ยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่หยดลงมาทิ้งไปแล้วสะอื้นไห้เงียบๆ

ทั้งคู่เอาแต่เงียบใส่กันไปพักใหญ่ มีแต่เสียงของทีวีดังแว่วมา กับใจของทั้งสองคนที่กำลังเจ็บปวด ใจที่เริ่มหวั่นไหวและความสุขที่หลอมละลายก่อนหน้าหายวาบไปทันทีเมื่อได้ยินคำว่าปล่อยมือทิ้งกันให้ห่างหายจากกันไป

"รีส...นายคิดยังไงกับฉัน" เฟิร์สที่เงียบไปนาน เอาแต่ก้มหน้านั่งมองมือตัวเอง ในหัวมีแต่คำพูดของหมอพอลที่เอาแต่พูดว่ารีสนั้นรู้สึกกับตนแบบไหน แต่เมื่อได้ยินรีสบอกว่าจะปล่อยไป มันทำให้เขาไม่ดีใจเอาซะเลย แถมน้ำตาบ้าๆจากตาของเขามันดันตอบรับดีเกินเหตุจนไหลออกมา จู่ๆเฟิร์สก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ปาดน้ำตาบนหน้าทิ้งกัดปากแน่น แล้วเผยริมฝีปากถามคำถามออกไป

รีสยังคงเงียบไม่พูดออกมา เฟิร์สเอาแต่กำมือแน่นก้มหน้ามองลงพื้นไม่กล้าเงยหน้า ทั้งตื่นเต้นทั้งสับสนและหวาดกลัวในคำตอบที่รีสจะตอบออกมา ไม่รู้ว่าทำไมแค่คำถามง่ายๆแบบนี้เขาถึงอยากจะรู้คำตอบมากกว่าอิสระที่เคยอยากได้

จู่ๆรีสก็ลุกขึ้นจากโซฟาเงียบๆ เฟิร์สใจหาบวูบ หน้าซีดเผือดอย่างผิดหวัง ไมทันได้มองตามไป เอาแต่ก้มหน้ากัดปากแน่นจนเลือดออก กลั้นเสียงและน้ำตาเพราะไม่อยากให้มันดังลอดไปให้รีสฟัง เขาได้แต่โทษตัวเองที่คิดมากไปเองหวั่นไหวไปเองและเอาคำพูดเอาความอ่อนหวานใจดีและเป็นห่วงต่างๆมาคิดมาก จนเกิดความรู้สึกดีๆ ทำให้สับสนแทบบ้า สุดท้ายเขามันก็แค่คิดไปเอง ไม่นานอิสระที่อยากได้ก็จะมาอยู่ตรงหน้า พร้อมกับชีวิตปกติที่ไม่เคยรู้จักผู้ชายที่ชื่อรีส

ไม่นานรีสก็เดินกลับมานั่งคุกเข่าให้ใบหน้าอยู่ระดับเดียวกันกับเฟิร์สที่กำลังก้มหน้าจมอยู่กับความคิดตัวเอง รีสจ้องมองเฟิร์สอยู่นานพร้อมๆกับเสียงทีวีที่เงียบไป รีสค่อยๆยกมือเย็นของตนนั้นมาจับมือของเฟิร์สพร้อมบีบเบาๆให้คลายการเกร็ง อีกมือก็ช้อนดวงหน้าของเฟิร์สที่กำลังตกใจขึ้นมองสบ ดวงตาสีแดงจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเฟิร์สที่กำลังไหวสั่น ดวงหน้าของเฟิร์สนั้นเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตา ดวงตาเริ่มปูดบวม สะอื้นเบาๆ ริมฝีปากผลิแตกจากการที่เฟิร์สขบกัดมันแน่น

รีสไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเวลาที่เฟิร์สร้องไห้นั้นจะน่าสงสารถึงเพียงนี้ แม้ว่านี่จะแค่ร้องไห้เงียบๆก็ตาม เขาเอาแต่นึกถึงเรื่องเมื่อก่อนที่ได้ทำร้ายเฟิร์ส แม้ว่าเฟิร์สจะร้องไห้ ทรมานแทบหยุดหายใจ ร้องขอให้เขาเลิกทำร้ายมากมาย แต่เขาก็เอาแต่ใจร้ายไม่เคยคิดถึงความรู้สึกของเฟิร์สมาก่อนเลยเอาแต่สะใจที่ได้เอาคืน แต่ไม่เคยคิดเลยว่าความใจร้ายของตัวเองจะย้อนกลับมาทำให้ตัวเองต้องเจ็บมากมายขนาดนี้ ในใจของรีสนั้นปวดหนึบ อยากจะเอ่ยขอโทษให้มากกว่านี้อีกล้านๆครั้ง อยากจะไถ่โทษให้เฟิร์สอีกหลายๆหน เขาไม่อยากปล่อยมือเฟิร์ส อยากจะทำอะไรหลายๆอย่างไปด้วยกันกับเฟิร์ส ใจของเขานั้นอยากจะผูกมัดอยากจะครอบครองถะนุถนอมและดูแล ไม่อยากจะปล่อยเฟิร์สไปอีกแล้ว เขายอมแล้ว ยอมสิ้นทุกอย่าง เพียงเพื่อได้รักเฟิร์ส เขาจะบอกความในใจออกไปให้เฟิร์สได้ยิน และจะพร่ำบอกทุกครั้งแม้เขาไม่เรียกร้อง แต่ถ้าบอกไปแล้วเฟิร์สไม่ยอมรับมัน เขาก็ยินดี แม้ว่าเฟิร์สอยากให้เขาตายจากไปก็ยอม

“…รีสรักเฟิร์สนะครับ"

ดวงตาที่ไหวสั่นของเฟิร์สรื้นไปด้วยน้ำตาอีกครั้ง หยาดใสหยดแล้วหยดเล่าไหลลงตามแก้มใสท่วมใบหน้า เฟิร์สรีบยกมือขึ้นปาดมันออกโดยไว เพราะต้องการมองหน้าคนใจร้ายที่บอกรักเขาแต่จะทิ้งเขา เฟิร์สสะบัดมือที่รีสเกาะกุมอยู่ออกแล้วทุบลงที่บ่าเย็นของรีสรัว อีกมือก็ปาดน้ำตาที่ไหลออกมาทิ้งไปร้องไห้สะอึกสะอื้น ตอนนี้เฟิร์สรู้แล้วว่าหัวใจเขาอยากได้อะไร มันไม่ใช่อิสระ แต่มันคือการถูกผูกมัดโดยผู้ชายคนนี้

"ฮึก! งั้น...ก็ไม่ต้องปล่อยสิ! ไอ้บ้า ไอ้ปีศาจบ้า ไอ้บ้ารีส ฮือ ไม่รู้รึไงว่ามันยากขนาดไหนที่จะยอมรับว่าตัวฉันเองก็ชอบนายเหมือนกัน จะทำแบบนั้นฉันไม่ยอมหรอกนะ ไม่มีทางซะหรอก ฉันไม่ยอมแน่ๆ ฮือ ไอ้บ้าเอ้ย นายทำฉันร้องไห้มาเยอะแล้วนะ นี่จะทำอีกแล้วรึไง"

“เฟิร์ส...ว่าไงนะครับ เฟิร์สก็ชอบผมหรอ” รีสว่าขึ้นอย่างตกตะลึง เขาไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้จากปากเฟิร์สไม่เคยคิด รู้แต่เพียงตัวเองทำให้เฟร์สเจ็บปวด แต่ไม่เคยคิดเลย ว่าเฟิร์สจะคิดเหมือนเขา

“ไม่รู้ ฉันไม่พูดแล้ว รู้แค่ว่าฉันไม่ยอมง่ายๆหรอกนะ ถ้านายจะปล่อยมือจากฉันไป ฉันไม่อยากได้แล้วอิสระอะไรนั่น ไอ้บ้า!” เฟิร์สพูดตะโกนร้องไห้ไม่ยอมลืมตา เอาแต่ทุบรัวๆลงบนบ่าเย็นของรีส

“ขอโทษครับเฟิร์ส รีสขอโทษ” รีสที่เอาแต่ปล่อยให้เฟิร์สทุบเอาๆ เอ่ยปากขอโทษทั้งๆที่ยิ้มไม่หุบ ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เห็นมุมนี้ เขาจะไม่ทำให้เฟิร์สร้องไห้อีกแล้ว

รีสยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้เฟิร์สอย่างอ่อนโยน และลูบหัวของเขาเบาๆ สัมผัสอ่อนโยนของรีสยิ่งทำให้เฟิร์สร้องไห้หนักขึ้น มือที่ทุบไหลรีสหยุดลงพร้อมๆกับทิ้งตัวลงพื้นระดับเดียวกันแล้วโผเข้าซบที่หัวไหล่แกร่งยกมือโอบกอดรอบคอรีส ให้น้ำตาเปียกชุ่มไปทั่วบริเวณ


...
เนื่องจากมาช้าและมาไม่ครบ ขอโทษคร้าบบ อีก30เปอร์หลัง คือเอนซีนะ เดี๋ยวแวะมาเสริฟให้อ่านหลังจากนี้จ้า
คอมเม้นนี่ก็อ่านวนไป แบบว่าเห้ย นี่กุวทำบุญมาน้อยหรืออย่างไร นิยา นิยายเรื่องไหนก็คนเม้นน้อย
...

คิดว่าจะปล่อยแล้วหายไปง่ายๆหรอรีส เห๊อะ เฟิร์สไม่ยอมมมหรอกกกกกก ใช่ไหมเฟิร์สสสสส โฮรรรไม่นะ *ส่ายหัวรัวๆ* //ดร.ไอ้บ้านี่ท่าจะกัดไม่ปล่อยง่ายๆหว่ะ เล่นยากด้วย อาวุธยาและคนก็เยอะ ถึงจะราชาปีศาจก็มีพลาดอ่ะ เฮ้ย!! ไมเคิลมาช่วยรีสทีดิ เดี๋ยวช่วยเรื่องเชน (ช่วยให้ได้กันเร็วขึ้นอะสิ 555) //ฉากทำแผลน้ำร้อนลวก อาร๊ายยยอะไรมันจะอ่อนโยนละมุนอบอุ่นเบอร์นั้นรีส *จุ๊บมือ* เขาอ้อนไม่อยากทายา เอามือทาบหน้าอก “ไม่ร้อนแล้วนะครับ…” เชรดดดดดดถึงกับสตั้นไป 3 วิ เหี้ยคิดได้ไง เขินนนหนักมาก555  :o8: //แล้วอะไรในห้องน้ำ อาบน้ำสระผม คือ พวกมึงค่ะ ทนกันได้ไงงงว่ะ เจอไปแบบนั้น กูนี้จะแตกแทนอยู่แล้ววว(ใจแตก) นั่งเลือดกำเดาไหล 555 อารมณ์ต่างคนก็มาแล้วนะ แต่ทนกันจั๊ง 5555 //รีสชอบแกล้งเฟิร์สให้เตลิดตลอด รู้จุดอ่อนเขาอะเด่ กระซิบริมหูไรงี้ 555 ได้ผลดีด้วยนะ หูแดหน้าแดง เขินไปอี๊กเฟิร์ส น่ารักอ่ะ 55 //โอ๊ยๆๆๆ รีสจะเจอไรบ้างเนี้ยจะรอดไหม ต้องรอดดิ(มั้ง) เฮ้ยๆแอบหวัง 555 เครียดแทน ยิ่งดร.ห่านี่ทดลองอะไรใหม่ด้วยก็ไม่รู้ เดี๊ยะๆมึง เจอราชาปีศาจไป Dr.จะกลายเป็น Dog หรอก 55555555 มาแหยมรีสตรู  :z6: //สนุกกกกกกกคร้ามาเท่าไหร่ก็สนุก ยังรอเหมือนเดิม ที่เพิ่มเติมคืออ่านวนไปค่ะ 5555  :katai4: :katai2-1: o13 ไฟท์ติ้งกับทุกสิ่งอย่างค่ะ ฮึบ!!
ขอโทษอย่างแรงที่หายไปนาน แล้วมาช้ากว่าที่บอก แถมไม่ครบอีก แต่เอามาให้อ่านก่อนกลัวรอนาน ขอบคุณสำหรับคอมเม้นมากเลยค่ะ อ่านวนเหมือนกัน 555
ต่อไปนี้ไม่ดราม่าละ จะพยายาม 555 จัดการดร.เลย เอาถึงตายเลยมะ /นี่ตกลงเชียร์ไมเคิลให้เชนเอาไปเก็บในคอเลคชั่นใช่ป่าว จะได้จัด555
อยากให้รีสกับเฟริส์อยู่ด้วยกัน แอบมีความละมุมและมีความหน่วง *-* เริ่มสงสารทั้งคู่
#โชคดีกับการสอบนะคะไรท์
ขอบคุณที่เม้นๆน้า อ่านวนเป็นกำลังใจเหมือนกันเลย อีก30เปอร์แจกเอนซีน้า
อยากเห็นสองคนอยุ่ด้วยกันใช่มะ เดี๋ยวจัดฉากหวานๆมาเสริฟน้า
หัวข้อ: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย ตอนที่ 34 (ครบ100%)
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 12-11-2016 21:16:54
...ต่อจ้า


รีสยกมือเย็นดันตัวเฟิร์สให้ห่างออก ช้อนใบหน้าที่มีแต่น้ำตาขึ้นมามองสบ โน้มเข้าหาจูบซับน้ำตาที่ไหลออกอย่างแผ่วเบา รีสพรมจูบอ่อนโยนไปทั่วทั้งเปือกตา ไล่ลงไปยังแก้มเนียน รีสค่อยๆกดจูบลงไปช้าๆและย้ำหลายๆครั้งเหมือนหยอกล้อเมื่อใกล้ถึงปาก จูบเบาๆให้เฉียดริมฝีปากบางที่เผยอคล้ายรอคอย เฟิร์สจากที่ร้องไห้น้ำตาท่วมก็กลับกลายเป็นเขินอาย แก้มใสเริ่มแดงปลั่งเมื่อย้อนถึงคำที่ตัวเองเอ่ยปากออกไป แถมยังโดนรีสหยอกล้อจูบเฉียดริมฝีปากตนไปมาจนเคลิ้มอยากจะได้จุมพิษจากริมฝีปากเย็นๆนั้นซะเอง

“ขอจูบได้มั้ยครับ...” เสียงหวานๆที่คล้ายออดอ้อนดังรอดออกมาจากปากรีส แถมไม่พูดเปล่ายังคงโน้มใบหน้าเข้าแนบชิด ให้ปากเย็นๆเบียดเสียดกับแก้มเนียนไปมาพาลให้ใจเต้นไม่เป็นส่ำ

“อะ อือ...” แก้มใสแดงสุก ใจเต้นโครมครามยังไม่เคยเป็น มีทั้งความตื่นเต้นและแปลกใหม่ แปลกใจในท่าทีอ่อนโยนและน้ำเสียงออดอ้อน ทำให้เขาตกอยู่ในภวังค์นี้จนถอนตัวไม่ขึ้นซะแล้ว

รีสยกยิ้มเบาๆแล้วดันหน้าผากของตนให้แนบชิดกับหน้าผากเฟิร์ส ดวงตาสีแดงจ้องมองไปไม่วางตา เสน่ห์แห่งความอ่อนโยนที่รีสมอบให้ทำให้เฟิร์สแทบหลอมละลาย จนมองสบตากันแทบไม่ไหวได้แต่เบียนสายตาออกห่าง แต่ก็ดันขัดใจคนตัวสูงที่ไม่ทันไรก็คว้าใบหน้าบางนั้นหันมามองอีกครั้ง ดวงตานั้นจ้องลึกเข้าไปเพื่อสื่อความหมาย เงาของทั้งคู่ฉายชัดในดวงตาของฝ่ายตรงข้าม บ่งบอกว่าตอนนี้มีแค่เราสอง พาลเอาเขินขึ้นอีกเท่าตัว รีสโน้มหน้าเข้าชิดมากขึ้น จนจมูกชนกัน ตามด้วยริมฝีปากที่แตะกันอย่างแผ่วเบา ความเย็นจากรีสยังคงทำให้เฟิรร์สสะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็หาได้ปฏิเสธกับโหยหาที่จะอยากได้

เฟิร์สเผยอริมฝีปากออกเล็กน้อยเพื่อให้รีสดเข้าไปชิมความหวานจากด้านใน แต่รีสกลับเอาแต่หยอกล้อดูดดุนริมฝีปากด้านนอกจนบวมเจ่อ กลายเป็นเฟิร์สเองที่ทนไม่ไหวต่อไป ยกมือขึ้นคว้าหมับรวบลำคอโน้มให้เข้ามาชิดใกล้แล้วมอบจูบอย่างที่รอคอยให้แทน ได้ยินแต่เสียงหัวเราะหึหึในลำคอของคนเจ้าเล่ห์เบาๆ เฟิร์สอ้าปากครอบลงไปบนปากเย็นของรีสแล้วดันลิ้นเข้าไปอย่างเก้ๆกังๆกวาดต้อนลิ้นเย็นของอีกฝ่ายอย่างหวาบหวาม รีสก็ยอมให้เฟิร์สนำแต่โดยดีทำเพียงแค่ดูดดุนลิ้นนั้นกลับจนได้ยินเสียงจ๊วบจ๊าบดังลั่นห้อง

ยิ่งได้ยินยิ่งรู้สึกจั๊กจี๊ เฟิร์สเลยจะถอนจูบออกเมื่อรู้สึกว่าพอใจ แต่คนเจ้าเล่ห์ดันไม่ต้องการเช่นนั้น รีสกลับกลายเป็นฝ่ายนำจูบนั้นอย่างดูดดื่น และเนิ่มนานทำเอาเฟิร์สแทบหายใจไม่ออก มือเรียวทุบที่บ่าเพื่อขออากาศหายใจ

“อะ อืม แฮ่ก...”

รีสปล่อยปากให้เฟิร์สได้หายใจ แต่รสจูบที่หวานหอมอยากที่จะถอนตัวก็ผลักดันทั้งคู่ให้โผเข้าหากันอีก ยิ่งนานรสจูบอ่อนโยนก็ยิ่งรุนแรงและวาบหวามขึ้นตามอารมณ์ที่พวยพุ่ง ไอเย็นๆจากตัวรีสก็เริ่มแผ่กระจาย ไม่ต่างจากเฟิร์สที่ร่างกายร้อนขึ้นๆ เมื่อเครื่องติดทั้งคู่ก็ยากที่ดับลงง่ายๆ มือเย็นเริ่มปัดป่ายลงต่ำ ไล้แกะกระดุมพร้อมๆกับสัมผัสที่ผิวเนียนเป็นระยะๆจนปลดออกหมดในเวลาอันสั้น แขนเรียวของเฟิร์สก็เกาะกุมอยู่ที่ลำคอและขยำกลุ่มผมของรีสเพื่อระบาย มือรีสที่ไล้ลงต่ำปลดตะขอกางเกงเฟิร์สออกอย่างง่ายดายแล้วจับแก่นกายออกมารูดรั้ง มืออีกข้างก็ลูบไล้แผ่นหลังเนียนให้ความเย็นแผ่ซ่านให้เฟิร์สเสียวสันหลังเบาๆ

เมื่อจูบจนพอใจ ก็ถอนริมฝีปากออกจากกัน แต่ก็ไม่ได้ให้ว่างนานก็ขบเม้มลงตามซอกคอเนียนจนเป็นจ้ำหลายๆจุดทุกครั้งที่ลากผ่าน จนมาถึงจุดตุ่มไตที่บัดนี้แข็งสู้มือเป็นที่เรียนร้อย รีสใช้ปากคอบลงที่ตุ่มไตนั้นใช้ลิ้นเลียวนดุนจนมันแข็งเต็มที่ มือข้างล่างรีสก็ไม่ปล่อยให้ว่างงานยังคงรูดรั้งเร็วขึ้นๆตามอารมณ์ของเฟิร์สที่พุ่งสูง เฟิร์สก็เอาแต่ครางฮือเชิดหน้าขึ้นสูง หัวหมุนตาลายทุกอย่างขาวโพลนไปหมด แล้วไม่นานเสียงครางใสก็เปร่งออกมาสุดเสียงพร้อมๆกับร่างกายที่กระตุกเกร็งปลดปล่อยออกมาเต็มมือรีส แล้วซบลงบนบ่าแกร่งหอบหายใจแฮ่กโกยอากาศเข้าปอดพักใหญ่

“อ่ะ อ๊า!”

เมื่อเฟิร์สเสร็จและซบหน้าลงที่ไหล่แกร่งอยู่นาน ก็ไม่มีท่าทีว่ารีสจะทำต่อ ด้วยความสงสัยเฟิร์สจึงช้อนใบหน้าที่หวานหยดดูยั่วยวนอย่างมากในสายตารีสขึ้นมองพรางหอบหายใจ โชว์เลือนร่างท่อนบนที่เปือยเปล่ามีริ้วรอยแดงจ้ำจากการกระทำเมื่อครู่ดูเซ็กซี่ แล้วถามคำถามที่รีสฟังแล้วแทบจะจับเฟิร์สกดลงตรงพื้นนี้และกระทำซ้ำๆย้ำๆให้เฟิร์สเป็นของตัวเองแทบทันที

“มะ ไม่ต่อหรอ ทุกที...ทุกทีนายจะ...ทำอย่างนั้นกับฉะ ฉัน” เฟิร์สถามไปกัดริมฝีปากเขินอายในสิ่งที่ตนพูด แต่หารู้ไม่ว่านั้นเหมือนการยั่วยวนอีกคนที่พยายามสะกดกลั้นอย่างเอาเป็นเอาตายเพราะตอนนี้เขามีความคิดที่อยากจะทำรุนแรงและป่าเถื่อนกับอีกคน เขาไม่อยากให้เฟิร์สหวาดกลัวต่อการมีเซ็กส์กับเขาอีก เพราะปัญหาที่เขาควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ไม่ดีนัก
“ตะ ตรงนี้ของนายแข็งแล้ว” แต่ดูเหมือนเฟิร์สจะไม่ได้รู้ปัญหานั้น และมันยังกระทบต่อเฟิร์สโดยตรงอีกด้วย เฟิร์สที่เห็นรีสยังคงนิ่ง ทำหน้ากลืนไม่เข้าคลายไม่ออกเอาแต่ยิ้มบางๆมาให้เขาฝ่ายเดียว ด้วยความที่อยากให้อีกคนปลดปล่อยบ้าง มือเรียวเลยคว้าหมับเข้าที่เป้ากางเกงของรีส ที่ตอนนี้มันกำลังแข็งปั๋งเต็มที่สู้มือเขาเต็มที่

“ฮึ่ม! ไม่ทนแล้วเว้ย” รีสคำรามลั่น แล้วยกเฟิร์สขึ้นจับทุ่มลงบนโซฟาด้านหลัง มือจับถอดเสื้อผ้าของตนออกอย่างรวดเร็วจนตอนนี้ร่างกายของรีสเปลือยเปล่า เผยให้เห็นร่างกายที่แข็งแกร่งกล้ามเนื้อเรียงตัวสวยดูสง่าทุกระเบียบนิ้ว แล้วไหนจะไอจางๆสีขาวที่พวยพุ่งออกมาไม่หยุดเป็นตัวขับให้รีสนั้นดูดีขึ้นอีกเท่าตัว เฟิร์สที่เอาแต่เหวอตามอารมณ์ของอีกคนไม่ทัน ปากยังไม่ทันได้พูดปฏิเสธก็ถูกจูบปิดไว้พร้อมๆกับกางเกงด้านล่างที่ถูกดึงกระชากให้ออกจากห่างจากตัว

ร่างกายเปลือยเปล่าของทั้งคู่โถมเข้าหากันตามแรงอารมณ์ เสียงจูบแลกลิ้นดังขึ้นลั่นห้องอย่างไม่มีใครยอมใคร มือต่างก็ปัดป่ายลูบไล้ไปตามร่างกายของอีกฝ่ายด้วยความเสน่ห์หา หยอกล้อตามจุดอ่อน ขบเม้มสร้างรอยกุหลาบ และเล่นกับตุ่มไตจนคนด้านล่างที่โดนกระทำครางฮือไม่หยุดหย่อน

มือหนาจับรวบกายแกร่งของทั้งคู่เข้าด้วยกันพร้อมรูดรั้งปลุกอารมณ์ให้มากยิ่งขึ้น อีกมือก็ไม่รอช้าจับขาเรียวแยกออก แล้วแทรกนิ้วยาวเข้าไปรวดเดียวสองนิ้วให้อีกฝ่ายกระตุกเกร็ง

“ฮ้า! จะ เจ็บนะ”

“ฮึ่ม! ผ่อนคลายนะครับ..เฟิร์สเชื่อรีสนะ”

น้ำเสียงที่บอกล่าวแม้จะสะกดกลั้นอารมณ์วาบหวาม แต่ฝ่ายที่ได้ฟังกับรู้สึกอบอุ่นและเชื่อคำๆนั้นหมดหัวใจ เฟิร์สคลายอาการเกร็งลง รีสก็รูดรั้งด้านหน้า และสอดนิ้วเข้าออกด้านหลังช้าๆ ปากก็ทำหน้าที่ดูดดุนตามผิวเนียนเพื่อช่วยคลายอารมณ์ของอีกฝ่ายไปด้วย ไม่นานนักนิ้วยาวก็เพิ่มจำนวนจากสองเป็นสาม กดย้ำตรงจุดให้ร่างข้างใต้ครางไม่หยุด มันรู้สึกวาบหวามเสียจนอยากจะปลดปล่อย

คนเจ้าเล่ห์เห็นอีกฝ่ายสุขสมจนแทบทนไม่ไหว แต่ก็ไม่ยอมให้ไปถึงฝั่ง กดปิดปลายกลั้นอารมณ์ไว้ แล้วเอาแก่นกายตัวเองจ่อที่ด้านหลังแล้วกดเข้าไป แล้วไม่รอนาน ดันเข้าออกจากช้าๆ ก็เริ่มรุนแรงขึ้นๆ จนแถบโถมกระหน่ำใส่แรงของตัวเองไปจนแทบหมด คนด้านใต้ก็ได้แต่ร่างกายสั่นไหวตามแรงชักนำของอีกคน ปากก็ครางฮือหยุดไม่ได้ กระตุกสุขสมอารมณ์ไปถึงสองครั้งสองคราทั้งที่คนด้านบนพึ่งมาได้แค่ครึ่งทาง

“ฟ เฟิร์ส เรียกชื่อผม เร็วสิ!”
“อ่ะ รีส รีส.. อ๊า! ฮ้า…”
“อ่า เฟิร์ส อื้ม...รีสรักเฟิร์สนะครับ”

ไม่นานก็ขึ้นถึงสวรรค์ชั้นฟ้าพร้อมๆกัน กายแกร่งของรีสยังคงกระตุกเกร็งปลดปล่อยน้ำกามออกมาไม่หยุด ปากก็พร่ำบอกรักพร้อมๆกับพรมจูบไปตามหน้าของอีกฝ่ายที่น้ำตาไหลออกมาตอนไหนไม่รู้ ด้วยความสุขสม เฟิร์สที่แทบสลบจากการที่ตัวเองปลดปล่อยไปตั้งหลายต่อหลายครั้ง แต่รีสก็ดันไม่ยอมสงบ จนต้องเดือดร้อนคนตัวเล็กรวบรวมแรงขึ้นมาบอกปัดอย่างเสียไม่ได้

“อือ มะ ไม่ไหว พอเถอะนะ...รีส”
“ครับที่รัก”

เมื่อเมียรักเอ่ยขอด้วยท่าทีที่อ่อนแรงขนาดนั้น ก็ต้องยอมทำตามอย่างเสียไม่ได้ เนื่องจากอยากถะนุถนอมเมียรักให้นานและไม่อยากทำร้ายมากไปกว่าที่เคยทำ ถึงแม้ว่าหน้าตาที่เอ่ยขอนั้นจะดูยั่วยวนจนกายของเขากับแข็งขืนได้อีกครั้งก็ตาม รีสทำเพียงยกรวบร่างกายของเฟิร์สที่สลบไสลอย่างเหนื่อยอ่อนขึ้นในท่าเจ้าหญิงแล้วไปวางไว้บนเตียงอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็ขอตัวทำร้ายตัวเองด้วยการมองหน้าเมียรักอีกสักหนสองหน ก่อนจะทำความสะอาดร่างกายทั้งคู่ แล้วมาล้มตัวลงนอนกกกอดกันภายใต้ผืนผ้าห่มแห่งรักผืนเดียวกัน


...

มาครบ 100% แล้วจ้า เม้นบ้างน้าต้องการกำลังจาย
หัวข้อ: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย ตอนที่ 35
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 14-11-2016 14:22:57

Me die 35 : เริ่มต้นด้วยรัก
[/size][/color]

 

เมื่อยามเช้ามาเยือน รีสลืมตาตื่นขึ้น หลังจากหลับไปอย่างเปี่ยมสุขเมื่อคืนนี้ ทั้งที่ไม่เคยแม้แต่จะหลับลงเลยสักครั้งตั้งแต่หลังความตายในครั้งนั้น ดวงตาสีแดงยังคงมองไปตามใบหน้าขาวเนียนของอีกคนที่ยังคงหลับตาพริ้มในอ้อมแขน รอยยิ้มถูกยกขึ้นอย่างอ่อนโยน เอื้อมมือขยับดึงผ้าห่มให้คลุมกายบางอย่างแผ่วเบา แล้วขยับโน้มใบหน้าเข้าใกล้ จุมพิษบางเบาที่หน้าผากมนด้วยความรัก

 

“อ่ะ อือ รีส ตื่นแล้วงั้นหรอ” เฟิร์สรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ก็พบใบหน้าของรีสในระดับชิดใกล้ ใจของเขาเต้นโครมคราม หน้าแดงงุดทันที ยิ่งเมื่อความทรงจำในฉากรักที่อ่อนโยนและผสมไปด้วยความรัก แม้จะยังคงรุนแรงแต่เขาก็ดันพอใจที่มันเป็นแบบนั้น ของเมื่อวานยังคงเน้นย้ำในความทรงจำชัดเจน

 

“ขอ morning kiss สักครั้งได้มั้ยครับ” รีสพอใจที่ได้เห็นใบหน้านั้นแดงปลั่ง ยกยิ้มพอใจมองไป แล้วเกิดนึกอยากจะแกล้งให้อีกคนเขินอายกว่าเดิมสักหน่อย เลยช้อนปลายคางของอีกคนขึ้นมาจ้องลึกเข้าไปในดวงตานั้นอย่างอ่อนโยน แล้วเอ่ยขอจูบอรุณสวัสดิ์จากคนข้างใต้ดื้อๆ

 

เฟิร์สที่ได้ยินก็ตาโต ทั้งตกใจทั้งเขินอาย ไม่รู้จะทำตัวอย่างไร ทำได้แค่หลบตาก้มงุด ยกผ้าห่มปิดหน้า ซุกตัวลงไปในที่นอนสีขาว ใบหน้านั้นสุกแดง เขินจนไม่รู้จะเขินยังไง รีสไม่เคยทำตัวแบบนี้ แค่เพียงได้รู้ว่าใจตรงกันก็ไม่คิดว่าจะกลายเป็นคนอ่อนโยนทำอะไรชวนใจเต้นแรงแบบนี้เลย แล้วไหนจะฉากรักเมื่อวานที่ทำซะเขาหัวหมุนโล่งไปหมดเพราะอารมณ์วาบหวามและความเสียวซ่านที่รีสมอบให้ แถมบอกให้พอก็พอไม่บังคับอีก

 

 

“ถ้าเฟิร์สไม่ให้ งั้นรีสขอทำเองละกันนะครับ จุ๊บ! จุ๊บ!” รีสพูดขึ้นไม่ว่าเปล่ายังพลิกตัวขึ้นคร่อม แล้วก้มลงจูบไปทั่วผ่านผ้าห่มให้โดนคนข้างล่างอย่างตั้งใจ แล้วคนเจ้าเล่ห์ก็คว้าดึงผ้าห่มที่คลุมกายออก พร้อมกับก้มลงประทับริมฝีปากขอจูบอรุณสวัสดิ์จากอีกคนอย่างแผ่วเบา

 

“อ่ะ อืม พอก่อน” แต่จากที่จะพอเท่านั้น รีสกลับรุกคืบจับดวงหน้าของเฟิร์สขึ้นสบตาแล้วมอบจูบลงไปอีกนับครั้งไม่ถ้วน จากจูบแผ่วเบาปากแตะปากก็เริ่มรุกล้ำมากขึ้นๆ จนกลายเป็นจูบดูดดื่มแลกลิ้นกันเป็นพัลวันจนน้ำใสๆไหลลงจากมุมปาก

 

ดวงตาของเฟิร์สฉ่ำเยิ้ม ปากเผยออ้าค้างจากการถอนจูบดูเชิญชวน เนื้อตัวเปลือยเปล่าที่ประดับไปด้วยรอยกุหลาบมากมายปรากฏต่อสายตารีสทั้งที่เจ้าตัวยังไม่รู้ว่าผ้าห่มที่คลุมกายตนนั้นหลุดออกไปตอนไหน รีสไล่สายตามองไปตามร่างกายที่เซ็กซี่นั่นแล้วโน้มตัวชิดใกล้ลูบไล้พรมจูบไปตามทั่วทุกที่ของร่างกายดูดเม้มสร้างรอยรักขึ้นอีกครั้ง

 

“ดะ เดี๋ยว”

“ชู่ว...เด็กดี รีสขอนะครับ”

 

รีสเอ่ยขึ้นชิดใบหูแล้วแลบลิ้นเลียให้เกิดความเสียวซ่าน เฟิร์สที่โดนกระทำที่จุดอ่อนเช่นนั้น ก็ได้แต่ขนลุกเกรียวทั่วตัว หน้าแดงเป็นตำลึงสุกเขินอายอย่างหนัก รีสอ่อนโยนมาก เสียงที่จะปฏิเสธพอเจอคำพูดที่หวานหูกับการกระทำอ่อนโยน ดวงตาสีแดงมีเสน่ห์ที่สะกดเขานั่งงัน ได้แต่นอนนิ่งปล่อยให้อีกคนทำตามใจ

 

“อ๊ะ อ๊า! อื้อ...”

 

นิ้วยาวที่กดลงไปในช่องทางสีหวานที่เร่งรัดให้จมลงลึกค่อยๆถอดถอนและกระทำเข้าออกอย่างเชื่องช้า เมื่อได้ยินคำขอร้องจากคนข้างใต้ แต่ยิ่งทำยิ่งฝืดเคืองไร้สารหล่อลื่นจนเฟิร์สทำหน้าเหยเกด้วยความเจ็บแต่ดันไม่พูดออกมา รีสถอดถอนนิ้วยาวออกมาอีกครั้ง แล้วจูบซับลงบนเปือกตาที่มีน้ำตาคลอของเฟิร์สอย่างอ่อนโยน เมื่อถอนจูบออกก็จุ่มนิ้วแทรกเข้าปากเฟิร์สไปแทนชักเข้าชักออกให้คนข้างใต้ดูดดุนนิ้วนั้น น้ำใสไหลเยิ้มตามมุมปาก มืออีกข้างก็ลูบไล้ไปตามผิวเนียน ริมฝีปากจูบไล้วนจนตุ่มไตแข็งขืน  ใบหน้าหวานเริ่มฉ่ำปรือ ร่างกายโอนอ่อนไร้เรี่ยวแรงเสียวซ่านไปทั่วร่างกาย

 

“อืม..”

รีสถอนนิ้วมือที่เปียกชุ่มออกจากปาก แล้วจ่อที่ทางเข้าสีหวานอีกครั้ง นิ้วชุ่มนั้นค่อยๆกดลงเชื่องช้า เรียกเสียงครางฮือได้อีกครั้ง มืออีกข้างก็หยิบยกขาเรียวขึ้นสูงจูบไล้เลียที่โคนขาสร้างความวาบหวามขึ้นอีกเท่าตัว

 

“เข้าไปแล้วนะครับ”

เสียงหวานออดอ้อนดังขึ้น รีสถอนมือที่ชุ่มนั้นนอกเมื่อช่องทางขยายได้ดั่งใจ จากนั้นก็จับแก่นกายของตนที่แข็งจนรอแทบไม่ไหวจ่อที่ช่องทางนั้นแล้วกดตัวลงไป

 

“อ้า...ฮ้า”

เสียงหวานครางฮือ การกระทำเชื่องช้า ขยับกายเข้าออกสุดอย่างแผ่วเบานี้ กลับรู้สึกเสียวซ่านมากกว่าเดิม ความอ่อนโยนนี้เติมเต็มหัวใจจนแทบหลอมละลาย สะโพกมนโยกสวนรับแรงกระแทกจากคนด้านบนโดยอัตโนมัติ ความเสียวซ่านยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนใกล้สุดทาง แรงกระแทกเข้าออกเริ่มรุนแรงขึ้นเมื่อใกล้ปลดปล่อย

 

“อ้า.../อืม”

เสียงครางระงมดังสอดประสานกันเมื่อปลดปล่อย น้ำสีขาวพวยพุ่งเปรอะเปื้อนไปทั่วหน้าท้องของเฟิร์ส รีสถอนกายแกร่งของตัวเองออกมาช้าๆ น้ำรักขาวขุ่นไหลทะลักออกมาทางช่องทางสีหวานที่ยังขมิบตอดไม่ยอมหยุด

 

“รีสรักเฟิร์สนะครับ” ใบหน้าใสแดงสุกเขินอายรับมอบจูบอ่อนโยน ได้ยินคำบอกรักหวานหูอีกครั้ง หัวใจของเฟิร์สพองโตมันเต้นกระหน่ำจจนแทบหลุดออกมา

 

“ฉ ฉันก็เหมือนกันนะ” เฟิร์สพูดตอบกลับไปแล้วหลบสายตาดึงเอาผ้าห่มมาคลุมหน้าปิดบังใบหน้าที่ขึ้นริ้วแดงอย่างเขินจัด รีสมองไปยิ้มไป ความสุขที่ได้รับมันมากมายซะจนคิดว่าเป็นเพียงฝันไป แต่มันคือเรื่องจริง ยิ่งได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นโครมครามของเฟิร์สดังลั่น เขาก็ยิ่งสุขใจ รอยยิ้มที่แสดงออกจากใบหน้าที่ตายนิ่งสนิทก็เหมือนคนปกติทั่วไปเข้าไปทุกที มันดูจริงใจไม่เสแสร้างพอๆกับหัวใจของทั้งคู่ที่ไม่มีการต่อต้านและเริ่มผูกพันกันจริงๆ

 

ตึกตัก!

เสียงของหัวใจรีสที่ดังสอดประสานขึ้นมากับเสียงของเฟิร์ส มันแทบไม่รู้สึกตัว ใจเขาไม่กระตุกเกร็งจนเจ็บเหมือนครั้งก่อน เพียงแค่ดังขึ้นมาดื้อๆ เสียงของหัวใจของคนตายดังขึ้นมาหลายต่อหลายครั้งเมื่อได้ยินคำรักและการกระทำที่ตรงกับใจของทั้งคู่ เพียงแค่เขาไม่รู้ตัวเท่านั้น เพราะทุกครั้งที่มันเต้น เสียงหัวใจเฟิร์สก็ดังกระหน่ำเช่นกัน แถมทุกครั้งที่มันดังมันเต้นดัง มันดังขึ้นเพราะมันได้รับความรักมาเติมเต็มหัวใจ ได้แต่เฝ้ารอคอยว่าสักวันมันจะกลับมาเต้นได้ปกติอีกครั้งเมื่อมันได้รับความรักมากพอ หัวใจสีแดงฉานเริ่มผสานกับกล้ามเนื้อสูบฉีดเลือดให้เริ่มไหลเวียนอีกครั้ง มันค่อยๆกระตุก ค่อยๆผสานตัว อวัยวะภายในร่างกายค่อยๆตื่นขึ้นช้าๆจากการที่ตายไปนาน แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ความรักที่ได้รับมาหล่อเลี้ยงไม่มากพอ หัวใจดวงนี้ก็ตายลงได้อีกเช่นกัน

 

...

 

เฟิร์สตื่นขึ้นมาอีกครั้งของวัน หลังจากหลับลงไปเพราะความเพลียในกิจกรรมช่วงเช้า ขนตายาวกระพริบถี่ไล่ความง่วงงุน ท้องเริ่มประท้วงด้วยความหิว เฟิร์สมองหาคนข้างเตียงไม่เจอก็เรียกหา แต่เมื่อไม่ได้รับเสียงตอบกลับก็จะเดินออกไปหาดู แต่พอลุกขึ้นความเสียวแปร๊บจากด้านล่างก็แล่นริ้วขึ้นมา ใบหน้าเฟิร์สแดงขึ้นมาอีกเมื่อน้ำบางส่วนยังคงไหลย้อนออกมาจากช่องทางด้านล่าง แม้ว่าเขานั้นจะได้รับการทำความสะอาดร่างกายจากอีกคนมาบ้างแล้ว จึงเปลี่ยนความคิดที่จะเดินหาเข้าไปชำระร่างกายในห้องน้ำโดยไว

 

เฟิร์สที่เรียกหารีสอยู่นานแต่หาไม่พบก็ได้แต่ถอนหายใจทิ้ง เพราะรู้ว่ารีสออกไปด้านนอก เพียงแค่รู้สึกน้อยใจนิดๆที่ออกไปไหนไม่บอกล้าวกันบ้าง ทั้งๆที่ใจตรงกันแล้วแท้ๆ แต่ความน้อยใจนั้นก็เกิดได้ไม่นาน กลับกลายเป็นแก้มที่แดงจากการขวยเขินอีกครั้ง เมื่อเดินไปถึงห้องครัวเห็นบางสิ่งบางอย่างที่วางอยู่บนโต๊ะ มือบางยังคงถือโน้ตนั้นไว้ในมือ และอ่านมันซ้ำๆ ใบหน้าก็แดงเขินอายอยู่อย่างนั้น

 

 “รีสไม่รู้ว่าเฟิร์สชอบกินอะไรบ้าง ขอโทษนะครับ เลยเตรียมอาหารง่ายๆไว้ให้ รักเฟิร์สนะครับ”

 

หลังจากกินข้าวนั้นเสร็จ ก็เข้าไปนอนรอในห้องนอนเหมือนเดิม หยิบยกกระดาษใบนั้นขึ้นมาอ่านอีกบ่อยครั้ง มือเรียวลูบไล้ที่นอนแล้วเผลอมองมันอยู่อย่างนั้น จู่ๆใบหน้าก็แดงขึ้นกว่าเดิม เฟิร์สได้แต่สะบัดหัวไล่ความคิดทะลึ่งๆของเขาไปมา เมื่อคิดถึงกิจกรรมเมื่อเช้าที่แสนอ่อนโยน นับวันเขายิ่งรักรีสมากขึ้นจนถอนตัวไม่ได้ เหมือนกับว่าความโหดร้ายป่าเถื่อนที่ได้รับมาก่อนหน้านี้คือสิ่งที่ฝันไป เขาได้แต่หวังว่าต่อจากนี้จะมีแต่เรื่องดีๆเกิดขึ้นตลอดไป

 

...

 

ด้านรีส

หมอพอลบอกข่าวผ่านเชนมาถึงรีส เชนมาบอกเองถึงคอนโดเพราะโทรหาอีกคนไม่ได้ ว่า ดร.ให้คนมาเชิญรีสกลับไปห้องทดลอง โชคยังดีที่เฟิร์สนอนหลับไปเพราะความเพลีย รีสเลยลากเชนให้ออกไปคุยกันที่อื่น  ซึ่งก็จบลงที่รังของเชนเอง ตลอดทางเชนก็เอาแต่แซวเขาไม่หยุดปาก ว่าดูมีเลือดฝาดเหมือนมนุษย์มากขึ้นบ้าง ใบหน้ายิ้มตลอดบ้างทั้งๆที่ก่อนหน้านี่หน้าตายตลอด คำพูดการกระทำก็ดูมุ้งมิ้ง(?)ทั้งที่ก่อนหน้าทำไรก็ดุก็โหดตลอดเวลา ดูมีความสุขแตกต่างจากปีศาจไร้หัวใจที่เชนปลาบปลื้ม ซึ่งทั้งหมดก็คงจะเกิดขึ้นเพราะใครบางคนที่นอนอยู่ในคอนโด ซึ่งเชนก็ได้รับสายตาจิกกัดจากรีสกลับไปแทน แต่เชนซะอย่าง เขาไม่แคร์อะไรอยู่แล้ว แถมยังหัวเราะกวนประสาทรีสไปตลอดทางอีก แค่ในใจเชนแอบเสียดายที่รีสเริ่มหมดความดาร์กในการเป็นปีศาจน้ำแข็งในสายตาของเขาไปบ้างแต่ถึงยังไงมันก็ยังคงน่าสนใจอยู่ดี ความตายไม่ได้ตายที่น่าอิจฉานั่น

 

เมื่อมาถึงรังของเชน เชนก็เล่าข้อมูลที่ได้รับรู้มา และเปิดบางส่วนที่เขาแฮ็กระบบขององค์กรมาได้ให้รีสดู ซึ่งเป็นไปตามที่ได้ยินมาจากหมอพอลว่าดร.พยายามใช้ยาหลายๆอย่างที่วิจัยขึ้นมาเป็นอาวุธในการจับรีสแต่ที่ผ่านมาก็ไม่ประสบผลสำเร็จ และการที่เขาได้เลือดของรีสไปวิจัยในก่อนหน้านั้นทำให้ดร.ผลิตบางอย่างขึ้นมาได้ เพื่อสร้าง ‘มนุษย์ทดลอง’ หรือ ‘อาวุธสังหาร’ แล้วดูเหมือนจะสำเร็จแล้ว ซึ่งขาดการแค่การทดสอบกับมนุษย์เท่านั้น หรืออาจจะทดสอบไปแล้วก็ได้ ซึ่งนั้นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาติดต่อหมอพอลไม่ได้อีกเลย

 

เมื่อได้ยินคำบอกเล่าจากเชนรีสก็เอาแค่คิดหนัก ดวงตาจ้องไปยังจอมอนิเตอร์ที่ฉายประตูทางเข้าห้องทดลองที่เขาคุ้นเคย เรื่องของหมอพอลก็เป็นความผิดของเขาถ้าหมอไม่มายุ่งก็คงไม่เดือดร้อน แต่ดันช่วยอาจจะเพราะคำๆนั้นที่เคยบอกแก่กัน ว่ารีสนั้นเหมือนครอบครัว ทั้งที่ไม่เคยรู้สึกผูกพันกับใคร แล้วไหนจะพวกที่คอยตามเขาอยู่บ่อยๆ ซึ่งก่อนหน้าก็เพิ่งจัดการไปกลุ่มหนึ่งที่คอยเฝ้าอยู่ที่หน้าคอนโด หลอกล่อพวกมันให้คิดว่าเขาอยู่ที่อื่นเพื่อให้เฟิร์สปลอดภัย เขาต้องจัดการกับดร.ให้เด็ดขาด

 

“ตัดสินใจได้แล้วสินะครับรุ่นพี่ ต้องการความช่วยเหลืออ้ะป่าว ผมมีคนที่จะช่วยรุ่นพี่ได้นะ” เชนพูดทีเล่นทีจริง เมื่อสังเกตว่ารีสเริ่มยิ้มออกมานิดๆหลังจากที่มองจอนั่นอยู่นาน

 

“ตัวช่วย? ใคร?” รีสหันมาสบมองไปที่เชน ถามอย่างงงๆ จะมีใครอีก นอกจากเขาและเชน หมอพอลก็ติดต่อไม่ได้ หวังว่าคงไม่เกี่ยวกับเฟิร์สไม่งั้นเขาไม่ยอมแน่ๆ

 

“ไม่ต้องหน้าดุขนาดนั้นครับ ไม่เกี่ยวกับหัวใจคนนั้นของรุ่นพี่หรอก ...ไมเคิลออกมาสิครับ” เชนพูดขึ้นขำๆ พรางขยับเข้าไปเล่นไอเย็นๆที่กำลังแผ่ออกมาจากความกังวลที่ว่าจะเกี่ยวของเฟิร์ส ซึ่งไอเย็นและลำตัวดังน้ำแข็งนี่แหละที่เชนชอบ จึงเอาแต่ถูไปถูมา แล้วยิ้มกว้างมองตรงไปยังมุมมืดๆที่อยู่ด้านนอกถัดออกจากหน้าต่างไปไม่ไกล

 

“หึ รู้มาตลอดสินะว่าฉันอยู่ตรงนี้ มิน่าล่ะ ถึงได้ยั่ว..” ไมเคิลที่กระโดดออกมาจากมุมมืดเข้าทางหน้าต่างมายืนจังห้าจ้องหน้าเชนที่เอาแต่ยิ้มขำอย่างเป็นเอาตาย ท่าทางโกรธเคืองที่โดนล้อเล่น เขาคิดว่าตรงที่อยู่รอดพ้นสายตาสัปรดของเชนแล้วแต่ก็เปล่าประโยชน์อยู่ดี แถมโดนยั่วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว ร้ายกาจนัก แต่ถ้าถามว่าทำไมถึงตามเชนมาถึงรังลับนี้อาจจะเป็นเพราะความสงสัยเนื่องจากอยู่ๆเชนก็เลิกตามตื้อเลิกติดตามดูเขาจนขั้นสตอกร์เกอร์ดื้อๆ แต่สุดท้ายดันติดกับเด็กรู้มากจนได้

 

“ชั่งเถอะ จะให้ทำไรก็ว่า จะได้หมดบุญคุณกันสักที ยอมเป็นมิตรชั่วคราวเพื่อขัดขวางตัวน่ารำคาญแบบดร.นั่นให้” ไมเคิลเลิกหัวเสียจากการมองหน้าเด็กกวนประสาทอย่างเชน แล้วหันไปหารีส ท่าทางจริงจังที่อยากจะตอบแทนบุญคุณนั้นเต็มแก่ จนยอมเป็นมิตรชั่วคราวด้วย ทำให้รีสนั้นวางใจ และยิ้มออกเมื่อได้แผนดีๆ เพราะเขารู้ว่าปีศาจอย่างไมเคิลไม่ใช่คนกลับกลอกกลืนน้ำลายตัวเองที่พูดออกแล้วก็ตาม รวมถึงเรื่องที่อยากจะสู้กับเขาด้วย แต่นั้นชั่งมันก่อน

 

“ดี งั้นเอาตามนี้...” รีสวางแผนการและแบ่งหน้าที่ให้อีกสองคนรับทราบ แผนในครั้งนี้ทำได้ครั้งเดียว ทุกอย่างต้องรัดกุม ห้ามมีอะไรผิดพลาด เพราะอันตรายถึงชีวิต

 

ติ๊ด! ติ๊ด!

การเข้าระบบถูกยกเลิก! คอมพิวเตอร์จะทำลายตัวเองอัตโนมัติภายใน10วินาที!

 

“อันตรายออกจากที่นี่เร็วเข้า!” เชนตะโกนออกมาเมื่อหันไปมองจอคอมพิวเตอร์ของตัวเอง

10 9 8 7...1 0 ติ๊ดดดด!

ตู้ม!!!

ควันไฟพวยพุ่งออกมาทางหน้าต่างมากมาย แถมด้วยเสียงจากอีกหลายๆอย่างระเบิดตามมานับไม่ถ้วน ไฟก็ลุกไหม้โถมกระหน่ำไปทั่วทั้งตึก เดือดร้อนคนอื่นๆที่อาศัยอยู่วิ่งหนีตายกันจ้าละหวั่น ไม่นานรถตำรวจรถดับเพลิงก็มากันมากมายพ่างด้วยนักข่าวอีกหลายสำนักที่ต้องการข่าวเหตุระเบิดไม่ทราบสาเหตุในครั้งนี้

 

ถัดไปจากที่เกิดเหตุไม่ไกล

“มันอะไรกัน” รีสถามขึ้นเมื่อออกได้ ยืนมองนิ่งๆไปยังอีกสองคนที่เพิ่งออกมา ไมเคิลกระโดดหนีแรงระเบิดอย่างแรงออกมาอย่างเร็วแต่ก็ยังคงช้ากว่ารีสที่หนีออกมายืนนิ่งๆข้างล่างตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ พรางปล่อยมือที่คว้าอุ้มเอาเด็กเจ้าเล่ห์ติดมาด้วยลงที่พื้น เชนก็หอบไปยิ้มไปตามประสาพวกไม่กลัวตายแถมยังน่าปวดหัว

 

“ระเบิดไงครับ ตู้ม! เมื่อโดนจับได้ว่าแฮ็กข้อมูลคนอื่น ผมตั้งระบบทำลายตัวเองไว้ แต่ดันคิดน้อยไปหน่อยว่าแค่10วิเนี่ย คนที่ซวยจะเป็นผมเอง ดีนะครับเนี่ยที่ได้ไมเคิลช่วยไว้” เชนว่ายิ้มๆอธิบายเหตุผลแก่รีส จากนั้นก็หันไปมองเชนแล้วยิ้มอย่างมีเลิศนัย รีสที่พอจะดูออกก็หันหน้าไปทางอื่นอย่างรำคาญ

 

“ไมเคิล...ขอบคุณที่ช่วยนะครับ จุ้บ!”

“หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะ อย่าเข้ามาเด็กบ้านี่”

เชนว่ายิ้มๆ แล้วเดินเข้าหาไมเคิลที่ถอยห่างเรื่อยๆกระโดดคว้าหมับโน้มคอไมเคิลลงต่ำแล้วจุ๊มริมฝีปากบอกขอบคุณ ไมเคิลที่ไม่ทันได้ตั้งตัวก็เอาแต่เหวอ เชนก็เอาแต่หัวเราะคิดคัก พอรู้ตัวก็เด้งตัวออกห่างแล้วเอาแต่บ่นแถมยังวนเวียนๆรอบๆเพราะไม่ไว้ใจเชน เป็นหมาขี้ระแวง เด็กเจ้าเล่ห์มีโอกาสเป็นไม่ได้ เข้าถึงตัวเขาตลอด ว่างๆก็ยั่วเอาๆ กวนประสาทจนไมเคิลแทบบ้า

 

“เลิกไร้สาระ แล้วไปกันได้แล้ว เชนพาไปที่ฐานอื่นเร็ว เป็นไปได้พรุ่งนี้เราจะทำตามแผน”

“ว้า...ทำยังไงก็ไม่ให้ไปสินะคอนโดเนี่ยยยย”

 

รีสส่ายหัวระอากับสองคนนี้ เดินนำหน้าไปก่อนแล้วเอ่ยบอกเชน เชนก็เอาแต่บ่นเสียดายที่ไม่ได้เข้าไปดูหน้าเจ้าของหัวใจปีศาจจริงๆสักครั้ง เพราะรีสดันรู้ทันว่าตนไม่ได้มีฐานลับแค่ที่เดียวจริงๆ แต่หลังจากนี้เขาคงทำยากขึ้น เพราะพวกมันรู้แล้วมีคนแฮ็กระบบ คงเพิ่มระบบรักษาความปลอดภัย แต่เชนซะเอง เรื่องพวกนี้จิ๊บๆ

 

...

 

 “รีสจะจัดการทุกเรื่องให้เรียบร้อย เฟิร์สเชื่อใจและรอรีสอีกหน่อยนะครับ” รีสกลับมาคอนโดในยามดึก เฟิร์สนอนหลับตาพริ้มอยู่บนที่นอน เขาก็ได้แต่เดินเข้าไปนั่งใกล้ๆ แล้วจูบที่หน้าผากแผ่วเบา

 

 “อือ..” เฟิร์สขยับตัวเล็กน้อย มือเรียวคว้ากอดแขนเย็นเอาไว้แนบกาย ยกยิ้มเปี่ยมสุขแล้วหลับพริ้มจมสู่ฝันดีอีกครั้ง

 

“รักเฟิร์สนะครับ แต่รีสคงต้องหายไปสักพัก กลับมาคราวหน้าเฟิร์สจะปลอดภัยจากทุกสิ่ง รีสสัญญา” รีสยิ้มกว้างเมื่อเห็นท่าทีที่น่ารักของเฟิร์ส เขามองดวงหน้าของคนรักอยู่นานสองนาน ความรู้สึกที่อยากจะปกป้องอยู่เต็มอก ความรักที่เขาไม่เคยคิดจะให้ใคร เขาได้มอบให้คนๆนี้ไปและสัญญาว่าจะทำให้เขาปลอดภัยจากอันตรายรอบตัวและมีความสุข แม้ว่าทุกสิ่งเหล่านั้นจะต้องแลกมาด้วยอะไร ไม่ว่าจะแลกด้วยชีวิตของใครก็ตาม 

.

.

.

“นายไม่คิดจะบอกอะไรฉันเลยหรอ” เฟิร์สลืมตาขึ้นช้าๆ หลังจากที่รีสเดินจากไปนานแล้ว เขานอนรอรีสอยู่นานจนเผลอหลับไป แต่ก็ไม่คิดว่ารีสจะกลับมาดึกขนาดนี้แถมไม่บอกอะไรเขาเลย แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ถาม เพราะรู้ว่าถามก็คงไม่ได้คำตอบ ตอนนี้เขาทำได้แค่เชื่อใจและรอคอยรีสอย่างที่เขาบอกต่อไป

 

 ...

nc นี้ได้แต่ใดมา 555

ปล.ทำไมไรท์แอบคิดว่าการเขียนncของไรท์ เริ่มรู้สึกเสียว(สันหลังว่าจะมีคนเห็น)น้อยลง แก้ยังไงใครช่วยที

...

ชอบกันมั้ย ขอบคุณทุกๆแรงใจจ้า  ง่า หายไปรอบนนี้คนเม้นหายเลย ยู้หูวมีคนอยู่มั้ย
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 14-11-2016 16:31:09
สองตอนรวด จุใจ อร๊ายยยยยย NC18+ >.,< โบกมือลาไปสวรรค์ชั้น 7จ๊ะ ฟินแรง อ๊างงงง  :pighaun: 5555 (หื่นกว่ารีสก็meนี้ละ55) //อ่านตอน 34 จบกำลังจะเม้นท์ F5 เห็นอัพ 35 พอดี๊ ยาวเลยทีนี้ 55 //ตลอดตอน 34 ยัน 35 ตอนต้น หุบยิ้มไม่ลงเลย แก้มปริอ่ะ เขินนนนจริง 5555 เฟิร์สน่าร๊ากก อื้ออ ยอมแล้วรีส อ่อยไปอีกยั่วไม่รู้ตัว มีหรือจะทนกดเช้าเย็น สุขใจมากพอสารภาพกันแล้ว 5555 //เอาแล้วววววไอ้ดร.เริ่มล่า มาเลยมามึง!! อยากรู้เหมือนกันมันจะมาท่าไหนว่ะ ยังไงฝั่งนี้ก็มีผู้ช่วยเว้ย ไมเคิลสู้ไหวนะ? ถ้ารอดปลอดภัยยกตำแหน่งราชาปีศาจให้แทนรีสเลยอ่ะ 555555 เพราะรีสดูเหมือนหัวใจเต้นเลือดสูบชีดคล้ายคนฟื้นคืนชีพเข้าไปทุกที ความรักช่วยได้จริงๆ amazinggg!!! 55 //หมั่นนนนนไส้เชนนนนน หน้าตาท่าทางกวนบาทาสุดๆ ความคิดนี้ก็ไม่มีใครเกิ๊น เกือบวางแผนฆ่าตัวตายแล้วไหมนั่น 5555  ตลกเวลาเข้าไปวอแวไมเคิล เจ้าเล่ห์งี้ไมเคิลพลาดตลอดอ่ะ รีสเอือมระอา 555555 มีเสียดายความเป็นปีศาจไร้หัวใจของรีสอีก ไมเคิลดิสืบถอดต่อ เพลียกับเชนหมั่นไส้ แต่ก็นะ ยอมรับฝีมือแฮ็กและวางแผน พอจะไม่ตืบได้ 555555 //เฟิร์ส อย่าเข้าใจรีสผิดนะ รีสมันก็ห่วงละถึงไม่ยอมบอก กลัวว่าจะกังวลไปไรงี้ โดนกดหนักๆก็พักผ่อนก่อนนะ 555 รีสเคลียร์เอง ราชาปีศาจนะเว้ยยยย!!! มาเล้ยยย!! รอออตอนต่อไปเลยค่ะ ลุ้นนนจะเป็นไรเจอไรบ้าง //เออ นาน แต่ก็รอค่ะ ก่อนหน้าเกือบไปตามแล้ว ติดเกรงใจ 555 คิดถึง #เฟิร์สรีส มาก ขอบคุณนะคะที่มาต่อ ยังรอเสมอ ^^ ไฟท์ติ้งงงงงงงตอนต่อไปค่ะ ฮึบๆ โย่วววว!!
หัวข้อ: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย ตอนพิเศษ ลอยกระทง + ฮัลโลวีนย้อนหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 14-11-2016 21:03:32

ตอนพิเศษ ลอยกระทง + ฮัลโลวีนย้อนหลัง
[/size][/color]



ณ คอนโดหรู



ร่างบางของเฟิร์สที่ยังคงง่วนอยู่กับการจัดข้าวของที่ซื้อมาลงบนโต๊ะ เพราะวันนี้รีสสัญญากับเขาว่าหลังจากกินข้าวมื้อเย็นในวันนี้เสร็จจะพาเขาไปลอยกระทงขอขมาพระแม่คงคาตามธรรมเนียมไทย และดูSuperMoon ใกล้โลกมากที่สุดในคืนนี้ เห็นบอกว่าจะหามุมเงียบๆสุดโรแมนติกไว้เซอร์ไพร์ซึ่งเฟิร์สก็ไม่รู้ว่ารีสจะบอกทำไม แล้วมันจะเซอร์ไพร์ตรงไหนกัน



เมื่อทุกๆอย่างถูกจัดลงบนโต๊ะอย่างสมบูรณ์แบบ เฟิร์สยืนพิจารณามองผลงานของตนเองอย่างภูมิใจ เชิงเทียนตั้งเด่นอยู่กลางโต๊ะ ประกอบกับอาหารสองสามอย่าง เครื่องจานอีกคนละชุด แก้วน้ำเปล่าและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์อีกคนละสอง วางสง่าหรูหราอยู่บนผ้าปูโต๊ะสีขาวมันวาว กับเก้าอี้ที่ถูกคลุมด้วยผ้าสีขาวมันวาวเช่นเดียวกันเข้าคู่กับความกว้างยาวของโต๊ะที่เป็นสีเหลี่ยมจตุรัส เป็นโต๊ะที่เหมาะสำหรับปาร์ตี้เล็กๆของสองคนเป็นอย่างมาก



"โถ่ ของแค่นี้ ถ้าฉันจะทำก็ทำได้หรอก ดูสิ ใครทำนะ สวยงามมาก"



"ที่รักของผมทำไงครับ เก่งที่สุดเลย ฟอด~" รีสเดินเข้ามาสวมกอดจากด้านหลัง แล้วลักหอมแก้มให้ชื่นใจไปฟอดใหญ่



"รีส ตกใจหมด กลับมาตอนไหนน่ะ นี่แน่ะๆอย่ามาแตะอั๋งนะ" ทำเอาเฟิร์สที่ยืนอยู่สะดุ้งเฮือก แล้วหยิกแขนรีสไปเบาๆแก้เขิน ดวงหน้าขึ้นสีระเรื่อดูน่ารัก



"โอ๊ยๆ รีสเจ็บนะครับ" รีสทำหน้าเจ็บปวด ร้องโอดโอยเรียกคะแนนความสงสาร แต่ที่ได้ทำมากลับกลายเป็นแรงหยิกที่มากขึ้นด้วยความหมั่นไส้



"พูดอย่างกับนายเจ็บเป็นงั้นแหละ อย่ามาเยอะนะ" เฟิร์สพูดแก้เขินแล้วเดินหนีไปเตรียมไฟแช็กเพื่อมาจุดเทียน



"รีสเจ็บเป็นนะครับ เฟิร์สก็รู้ว่าหัวใจของรีสกลับมาเต้นแล้วนี่นา นี่ไงได้ยินเสียงมันมั้ยครับ" รีสเดินตามไป กอดซ้อนข้างหลังอีกครั้ง มือนั้นก็สอดประสานกุมมือของอีกคนไว้ไม่ปล่อย แล้วจับหันมาเผชิญหน้ากันตรงๆ ดวงตาสบมองไม่วางตา คว้าเอามือนั้นขึ้นมากุมที่ตำแหน่งของหัวใจ ให้ได้ยินทุกสัมผัสของมันที่เต้นตุบตับผ่านฝ่ามือ



"แล้วที่มันเต้นได้เนี่ย ก็เพราะมันได้รับความรักจากเฟิร์สนะ" รีสที่เห็นท่าทีที่เขินอายจนพูดไม่ออกของเฟิร์ส ก็เอาใหญ่ ความอยากแกล้งคนน่ารักก็เพิ่มขึ้นมา เขาเอ่ยเสียงหวานหยด ออดอ้อดข้างใบหูของเฟิร์สอย่างจงใจ ดวงตาก็ยังต้องมองไม่ยอมห่าง



"อือ...อ๊ะ ไอ้คนฉวยโอกาส พอได้แล้ว ฉันหิวแล้วนะ" เฟิร์สที่กำลังจะเคลิบเคลิ้มไปกับการชักนำของปีศาจเจ้าเล่ห์ก็รู้สึกตัวเมื่อมือเย็นนั้นเข้าไปสัมผัสกับตุ่มไตของเขา หน้าเฟิร์สนั้นแดงสุก สะบัดตัวออกจากกรงแขนปีศาจเบาๆ แล้วเดินหนีพรางติดกระดุมเสื้อตัวที่ไม่รู้ว่าหลุดออกไปตอนไหน ได้ยินแต่เสียงหัวเราะ หึ อย่างพอใจดังตามมาให้ได้ยิน



แสงไฟของห้องถูกดับลง ปล่อยให้แสงเทียนสีนวลสว่างทำหน้าที่ ดินเนอร์ที่มีเราสองถูกดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ฝ่ายคนตัวสูงก็เอาแต่พูดหยอกล้อโลมเลียด้วยสายตาและคำพูดจนคนตัวเล็กเขินหน้าแดงไปหมด ทั้งสายตาทั้งมือก็ไม่รู้จะวางไว้ตรงไหนถูก เลยกลับกลายเป็นว่ารีบตักอาหารเข้าปากจนสำลัก คนแกล้งก็ยังไม่วายหัวเราะ แต่ก็ส่งน้ำให้ดื่มอย่างเห็นใจ แต่แก้วที่ส่งดันกลายเป็นแก้วไวน์ จากที่จะหายสำลักเลยพุ่งพลวดออกจากปาก ไอโครกจนน้ำตาซึม คนขี้แกล้งเลยรู้สึกผิดแล้วเอาแต่จอโทษยกใหญ่ กว่าจะหายก็เป็นเวลาของหวานที่รีสแอบซื้อขนมสุดโปรดอย่างเค้กสตอเบอร์รี่กับพุดดิ้งนมสดถ้วยเล็กๆมาวางง้อ แล้วการดินเนอร์ใต้แสงเทียนก็ดำเนินต่อไปจนจบ



"รีสเสื้อผ้าที่ออกไปซื้อมาอยู่ไหนล่ะ ฉันจะไปอาบน้ำก่อน แล้วค่อยไปลอยกระทงกัน" หลังจากกินอาหารเสร็จเฟิร์สก็เดินไปค้นหาถุงเสื้อผ้าที่เขาให้รีสซื้อมาเพื่อให้ให้สุภาพเหมาะกับงานลอยกระทงในปีนี้



"ถุงสีเทาที่วางอยู่ตรงนั้นครับ เฟิร์สไม่รอให้ผมล้างจานเสร็จก่อนหรอ ไว้อาบด้วยกันไง" รีสส่งเสียงมาหยอกล้อให้เฟิร์สหน้าแดงอีกครั้ง มือก็ยังคงล้างจานไม่หยุด เพราะถ้าให้เฟิร์สทำคนไม่เหลือจานไว้ใช้ในครั้งต่อไป แต่ก็ไม่คิดว่าเฟิร์สจะจัดโต๊ะดินเนอร์ออกมาได้ดีเกินคาด



"ไม่ต้องมาทะลึ่งเลยนะ ไอ้บ้า! ฉันไปละ" เฟิร์สเขินจัดอีกตามเคย มือคว้าถุงสีเทาที่มีอยู่ถุงเดียวแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำไปอย่างรวดเร็ว



รีสที่ล้างจานเสร็จก็มายืนอยู่หน้าห้องน้ำ ริมฝีปากก็ยกยิ้มอย่างคนเจ้าเล่ห์ กลั้นขำจนตัวสั่น ซึ่งไม่นานเกินรอเขาก็ได้ยินเสียงของเฟิร์สดังลั่นรอดออกมาจากห้องน้ำให้ได้ยินดังที่คาดไว้



"ไอ้บ้ารีส!!! นี่มันชุดอะไรกันห้ะ! เอาชุดบ้าไรมาให้ฉันใส่! แล้วเสื้อผ้าฉันหายไปไหนเนี่ย" เฟิร์สโวยวายลั่นห้องน้ำเมื่อเห็นชุดที่เขาหยิบออกมาจากถุงสีเทาเจ้าปัญหา จะอะไรซะอีก ก็ชุดนี้มัน เอ่อ...ชุดหนังสีดำ ตัวเสื้อเป็นเสื้อกั๊กครั่งตัวผูกโบว์ง่ายต่อการกระตุกอีก แถมกางเกงก็สั้นซะจนแทบมองเห็นข้างใน ถุงเท้าตาข่ายยาวสีดำ ถุงมือสั้น ปอกคอ? ยังมีหูแหลมๆเหมือนปีศาจให้สวมหัวด้วย แล้วไหนจะไอ้ชิ้นสำคัญอย่างกางเกงใน ไอ้บ้ารีส!! อยากจะฆ่าให้ตายซะ จีสตริงแบบเชือกผูก อะไรมันจะต้องการที่จะกระตุกออกง่ายปานนั้น ไม่เอาอุปกรณ์เสริมมาให้เขาด้วยเลยล่ะ จะsmไปไหน แล้วยังแอบเข้ามาเอาเสื้อผ้าเก่าเขาออกไปอีก ส่วนตัวสักนิดมีมั้ย



"หึหึ ก็ชุดฮัลโลวีนไงครับ วันนั้นเราไม่ได้ฉลองกัน ก็เลยซื้อมาใส่ในงานลอยกระทงแทน จะได้ควบคู่ไปเลยสองงานไงครับ" รีสยังคงหัวเราะร่า ยืนยิ้มพอใจอย่างสนุกสนานอยู่หน้าห้องน้ำ ยังไงเขาก็ไม่ยอมถ้าเฟิร์สไม่ใส่ก็อดไปลอย



"จะบ้าหรอ! ฉันไม่มีทางใส่มันแน่!" เฟิร์สที่ทั้งโกรธทั้งอายยังคงโวยวายไม่หยุด



"ถ้าเฟิร์สไม่ใส่ ก็...โป๊ไปลอยกระทงก็แล้วกันนะครับ" รีสก็ยังคงไม่หยุดแกล้ง เอาสิ ใครจะชนะ



"งะ งั้น งั้นฉันใส่ก็ได้ ฮือ ไอ้บ้ารีสเอ้ย อย่าให้ถึงทีฉันบ้างนะ แล้วแบบนี้จะไปลอยยังไง หาชุดคลุมให้ฉันด้วยนะ แล้วก็#?%7*2;=#98%+..." สุดท้ายคนที่แพ้ก็ยังคงเป็นเฟิร์สจากน้ำเสียงโวยวายแรกๆก็กลับกลายเป็นบ่นอุบไม่เลิกรา



"หึหึ รออยู่นะครับ เร็วๆเข้าล่ะ" เมื่อได้รับชัยชนะ รีสก็เดินไปเตรียมของสำหรับคืนนี้ที่ยังคงอีกยาวไกล แล้วก็ยังคงหัวเราะต่อไป เมื่อคิดถึงสิ่งที่จะตามมาข้างหน้า ซึ่งเขาคิดภาพใบหน้าของเฟิร์สออกเลยว่าจะต้องแดงและโมโหอาจจะมีควันออกหูด้วยนะ หึหึ

.
.
.

"น่ะ นี่ รีส... อย่าหัวเราะนะ" เฟิร์สที่หายเงียบไปนาน ค่อยๆเปิดแง้มประตูออกมาชะโงกมองคนที่นั่งรออยู่ที่เตียงนอนในสภาพชุดคลุมอาบน้ำหลังชั่งใจในการใส่ชุดนี้อยู่นาน



"ไอ้บ้ารีส...อย่าเงียบสิ มันแปลกๆใช่มั้ย ฉันว่าแล้วว่ามันไม่โอเค" เฟิร์สที่ออกมายืนเต็มตัวในสภาพชุดหนังเต็มยศสุดเซ็กซี่ ยืนหมุนไปหมุนมา ดึงตรงนู้นตรงนี้มาปิดบังผิวกายที่โผล่พ้นเพราะความหวาบหวิวของชุด สีหน้าก็มีความกังวลฉายชัด แล้วยิ่งวิตกหนักไปอีก เมื่อรีสที่เห็นเจาใส่ชุดแล้วก็เอาแต่จ้องมาแล้วก็เงียบไป เฟิร์สได้แต่อายที่เขาดูน่าเกลียดจนแทบจะวิ่งไปเปลี่ยนชุดไม่ทัน แต่แค่หมุนตัวกลับไปยังไม่ทันจะเข้าห้องน่ำไปเปลี่ยนเท่านั้น ก็ได้ยินเสียงของรีสพูดกับมาคล้ายละเมอจนต้องตะแคงหูฟังแต่ก็ได้ยินไม่ถนัดอยู่ดี



"ซะ...เซ็กซี่ มากกกกก..." รีสที่พูดออกมาคล้ายละเมอ ดวงตาสีแดงจ้องเอาๆ ไล่มองตั้งแต่หัวยันเท้าเท้ายันหัวเน้นมองจุดสำคัญๆที่แอบหวังว่าเมื่อเฟิร์สขยับตัวมันจะเผยส่วนเล้นลับมาให้เห็นบ้าง ใจจริงรีสนั้นแค่จะแกล้งเฟิร์สเท่านั้น ก็แค่ให้ใส่เล่นๆเดี๋ยวก็ให้เปลี่ยนแล้วพาไปลอยกระทงก่อนจะกลับมาฉลองต่อกันสองคนที่ห้อง แต่เห็นทีเขาต้องเปลี่ยนแผนกระทันหัว เมื่อความหื่นนั้นจุดประกายขึ้นมาแล้ว



"ว่าไงนะ แล้วนั่นนายทำอะไร เปิดคอมทำไม แล้วทำไมไม่แต่งตัวล่ะ" เฟิร์สที่แทบไม่ได้ยินเสียงรีสพูดเลย ก็เอาแต่ฉงน แต่ยังไม่ได้คำตอบดีเลย ก็ต้องมีเรื่องให้สงสัยต่อ เมื่อเห็นรีสนั้นเดินไปเปิดคอมพิวเตอร์

"ก็ลอยกระทงไงครับ ลอย ใน...เว็บ" รีสพูดขึ้นช้าๆแล้วหันมามองพร้อมยิ้มหวานให้ เมื่อพูดเสร็จก็เดินเข้าไปประชิดตัวเฟิร์สที่ตั้งท่าจะโวยวาย



"ห๊าาาา??...จะบ้าหรอ แล้วให้ฉันแต่งตัวทำไมห้ะ เหวอๆ จะทำอะไร๊!!" หลังจากเดินไปประชิดตัวคนขี้โวยวายเสร็จ รีสก็ฉกตัวเฟิร์สมาไว้ในอ้อมแขน อุ้มขึ้นพาดบ่า แล้วปล่อยลงเมื่อถึงโต๊ะคอมฯ



"เอาน่าๆ เร็วสิ อธิฐานก่อน แล้วกดปล่อยตรงนี้นะ"
รีสนั่งลงที่เก้าอี้ก่อน แล้วจับคนขี้งอนที่ตอนนี้หน้าง้ำงอไปหมดมานั่งตัก มือกุมซ้อนมือของเฟิร์สที่ให้จับเมาส์แล้วกดปล่อยกระทงใบสวยที่กดเลือกไว้ เฟิร์สที่สีหน้าดีขึ้นมาหน่อย นั่งหลับตาพริ้มอธิฐานอย่างตั้งใจ แม้จะไม่ใช่ของจริงแต่ความตั้งใจเขาไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เรียกรอยยิ้มเล็กๆจากคนตังใหญ่ไม่น้อย



"กดปล่อยพร้อมกันนะ" เฟิร์สพูดยิ้มๆออกมาอย่างเขินอาย รีสก็ทำตามนั้นอย่างว่าง่าย เมื่อกดปล่อยเสร็จก็ยังดูกระทงนั้นลอยอยู่ในหน้าจอสักพัก เฟิร์สก็หันไปยิ้มระบายสุขกับรีสที่ส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้พอดีเหมือนกัน



"เฟิร์สอธิฐานว่าอะไรหรอครับ ของรีส รีสขอบคุณพระแม่คงคาที่ให้เราได้ใช้น้ำ และขอให้เฟิร์สของผมมีความสุขและปลอดภัยจากทุกสิ่ง แล้วก็บอกท่านว่า รีสรักเฟิร์สที่สุด" รีสพูดขึ้นมาเบาๆ มือสวมกอดที่เอวเฟิร์สหลวมๆ แล้วจับหมุนให้เฟิร์สนั่งตะแคงข้างจะได้มองหน้ากันชัดๆ



"ไอ้บ้า ตอนท้ายนี่มันไม่ได้เกี่ยวกันสักหน่อย ...ของฉัน ฉันก็ขอขมาและขอบคุณพระแม่คงคาปกตินั่นแหละ แล้วก็ปล่อยทุกข์โศกที่มีให้ลอยไปกับสายน้ำ แล้วก็...ขอให้ปีหน้าและปีต่อๆไปฉันได้ลอยกระทงพร้อมๆกับนายอีก" เฟิร์สพูดขึ้นอย่างเขินอาย ใบหน้าขึ้นสีแดงเป็นริ้วๆ ก้มหน้างุดไม่กล้าสบตากับดวงตาสีแดงทรงเสน่ห์คู่นั้นโดยตรง ตอนเอ่ยประโยคถ้ายก็เอาแต่กัดปากเพราะความตื่นเต้น ใจก็เต้นโครมครามจนดังออกมาให้ได้ยินกันลั่นห้อง



"รักเฟิร์สนะครับ จุ๊บ" รีสที่ได้เห็นท่าทีนั้นก็ยิ้มพอใจ ใจของเขาก็เต้นตึกตักแข่งกับของเฟิร์สไม่หยุด รีสยกมือเย็นนั้นคว้าหมับเข้าที่ใบหน้าให้เงยขึ้นสบมองกันนิ่ง แล้วค่อยๆจุ๊บลงไปบนริมฝีปากบางอย่างแผ่วเบา



แต่พอจุ๊บเสร็จก็ไม่ได้ละดวงหน้าออกไปไหนไกล ยังคงคลอเคลียให้ลมหายใจร้อนๆของเฟิร์สผสมกับไอเย็นของรีสมั่วไปหมด แต่เมื่อรีสที่ดูท่าจะต้องการมากกว่านั้นเริ่มก้มหน้าเข้ามาใกล้อีก เฟิร์สก็รีบโผลงออกไปอย่างรู้ทัน แล้วเบือนหน้าพร้อมขนับตัวถอยห่าง ได้ยินแต่เสียง หึ่ม! ไม่พอใจเบาๆจากอีกคนที่โดนขัดใจ



"อ่ะ...ปล่อยได้แล้ว...นี่ ลอยเสร็จแล้วก็ปล่อยสิ แล้วไหนบอกว่าจะหามุมเงียบๆดูพระจันทร์กันไง ไหนล่ะ" เฟิร์สที่เห็นเหมือนรีสกำลังจะหน้ามุ่ยไม่ค่อยพอใจที่ตนหนี ก็รีบเปลี่ยนเรื่อง ท้วงติงสิ่งที่เจารอคอยจากรีสแทน



"นู้นไงครับ ดูSuperMoon อย่างที่เฟิร์สอยากดูไง ระเบียงนี้วิวดีมากเลยนะ ป่ะ ไปกันเถอะ พี้อมหมดแล้วนี่" รีสยกยิ้มเจ้าเล่ห์ทันทีที่ได้ยินคำท้วงติงนั่น เพราะจากที่เฟิร์สจะรอด แต่อาจจะต้องจำอีกนานเลยก็เป็นได้



"วะ ว่าไงนะ นายจะให้ฉันแต่งตัวแบบนี้ออกไปดูพระจันทร์ที่ระเบียงเนี่ยนะ นายคิดได้ไง นี่ถ้าฉันถือแซ่กับเทียนมีกุญแจมือนี่ครบเครื่องมือsmเลยนะไอ้บ้า!" เฟิร์สที่ไม่ได้รู้แผนการอะไรนั่นของรีส ก็เปลี่ยนเป็นอารมณ์จะเสียอีกจนได้ เมื่อนึกได้ว่าถ้าเป็นระเบียง มันคือนนอกห้อง อาจจะมีคนเห็น แล้วเขาดันใส่ชุดหนังแบบนี้อีก

"หึหึ" รีสก็ไม่ได้พูดอะไร เอาแต่หัวเราะหึและยิ้มอย่างมีเลสนัยให้เฟิร์สคอยระแวงเข้าไปใหญ่ ตามประสาคนขี้แกล้ง



"ยะ อย่าบอกนะ ว่าที่ระเบียงมี...แล้ว แล้วนายจะทำมันที่ระเบียง..." เฟิร์สที่เริ่มฉุกคิดขึ้นมาได้ เพิ่งจะมาระวังตัว ทำหน้าตาตื่นตะหนก ไม่ไว้ใจ ขาก้าวถอยหลังหนีอีกคนที่ก้าวตามเข้ามา



"ตามนั้นครับผม" รีสพูดขึ้นแล้วก้าวเท้าทีเดี๋ยวถึงตัวเฟิร์ส คว้าหมับที่เอวบางแล้วอุ้มขึ้นในท่าเจ้าหญิง พาเดินออกไปที่ระเบียงเพื่อดูพระจันทร์ หรืออาจจะทำกิจกรรมบางอย่างให้พระจันทร์ดูแทน



"ไม่นะ! ไม่!!!!! อ่ะ อ๊า!!"



และแล้วคืนนี้ก็จบลงที่ระเบียง1ที่เตียงอีก2 อาจจะแถมอีกนิดหน่อย พร้อมๆกับเสียงครางระงมของเฟิร์สที่แหบลงๆตามประสาคนเริ่มหมดแรงกับกิจกรรมเข้าจังหวะที่หนักหน่วงและตื่นเต้น





...จบจ้า

สุขสันต์วันลอยกระทง อย่าลืมลอยกันอย่างมีสติ ใช้วิจารณญาณ และความไม่มาทถือถรองสติอยู่กับตัว ขับขี่ปลอดภัย ใส่ใจคนรอบข้าง ระวังอุบัตติเหตุ และระวังตกน้ำด้วยนะคะ

อย่าลืม วันนี้ Super Moon พระจันทร์ใกล้โลกมากที่สุด ดวงใหญ่ที่สุด เห็นชัดที่สุด สว่างที่สุด เอาเป็นว่า สวยและดวงใหญ่เว่อร์จ้า

และสุดท้าย ฮัลโลวีนย้อนหลัง แม้ไม่มี Trick or that อย่างที่ตั้งใจ แต่เอาหวานปนหื่นของรีสในลุคมนุษย์แฟนกันบ้างจ้า

ท้ายนี้หวังว่าคงชอบกันน้าา...บ้ายจ้า เจอกันตามเนื้อเรื่องปกติตอนต่อไป

...
สองตอนรวด จุใจ อร๊ายยยยยย NC18+ >.,< โบกมือลาไปสวรรค์ชั้น 7จ๊ะ ฟินแรง อ๊างงงง  :pighaun: 5555 (หื่นกว่ารีสก็meนี้ละ55) //อ่านตอน 34 จบกำลังจะเม้นท์ F5 เห็นอัพ 35 พอดี๊ ยาวเลยทีนี้ 55 //ตลอดตอน 34 ยัน 35 ตอนต้น หุบยิ้มไม่ลงเลย แก้มปริอ่ะ เขินนนนจริง 5555 เฟิร์สน่าร๊ากก อื้ออ ยอมแล้วรีส อ่อยไปอีกยั่วไม่รู้ตัว มีหรือจะทนกดเช้าเย็น สุขใจมากพอสารภาพกันแล้ว 5555 //เอาแล้วววววไอ้ดร.เริ่มล่า มาเลยมามึง!! อยากรู้เหมือนกันมันจะมาท่าไหนว่ะ ยังไงฝั่งนี้ก็มีผู้ช่วยเว้ย ไมเคิลสู้ไหวนะ? ถ้ารอดปลอดภัยยกตำแหน่งราชาปีศาจให้แทนรีสเลยอ่ะ 555555 เพราะรีสดูเหมือนหัวใจเต้นเลือดสูบชีดคล้ายคนฟื้นคืนชีพเข้าไปทุกที ความรักช่วยได้จริงๆ amazinggg!!! 55 //หมั่นนนนนไส้เชนนนนน หน้าตาท่าทางกวนบาทาสุดๆ ความคิดนี้ก็ไม่มีใครเกิ๊น เกือบวางแผนฆ่าตัวตายแล้วไหมนั่น 5555  ตลกเวลาเข้าไปวอแวไมเคิล เจ้าเล่ห์งี้ไมเคิลพลาดตลอดอ่ะ รีสเอือมระอา 555555 มีเสียดายความเป็นปีศาจไร้หัวใจของรีสอีก ไมเคิลดิสืบถอดต่อ เพลียกับเชนหมั่นไส้ แต่ก็นะ ยอมรับฝีมือแฮ็กและวางแผน พอจะไม่ตืบได้ 555555 //เฟิร์ส อย่าเข้าใจรีสผิดนะ รีสมันก็ห่วงละถึงไม่ยอมบอก กลัวว่าจะกังวลไปไรงี้ โดนกดหนักๆก็พักผ่อนก่อนนะ 555 รีสเคลียร์เอง ราชาปีศาจนะเว้ยยยย!!! มาเล้ยยย!! รอออตอนต่อไปเลยค่ะ ลุ้นนนจะเป็นไรเจอไรบ้าง //เออ นาน แต่ก็รอค่ะ ก่อนหน้าเกือบไปตามแล้ว ติดเกรงใจ 555 คิดถึง #เฟิร์สรีส มาก ขอบคุณนะคะที่มาต่อ ยังรอเสมอ ^^ ไฟท์ติ้งงงงงงงตอนต่อไปค่ะ ฮึบๆ โย่วววว!!
แอร้ย มาแล้วๆ ขอบใจแรงจ้าที่เม้นมา แรงใจพุ่งพรวด 555
ว่าncมันไม่ค่อยเท่าไหร่ว่ามะ ทำงี้ดีให้เขียนได้จุใจกว่านั้น อุอิ
เอาตอนพิเศษมาให้อ่าน เนื่องจากจะลงตั้งแต่หลังฮัลโลวีน สุดท้ายมางานลอยกระทงอีก เลย *2 เลยจ้า ชอบมั้ยนะ  :ling3:

เฟิร์สน่ารักมากเลยเนอะๆ 555 แอบยิ่วปีศาจหื่นกามอย่างรีสจังๆเลย ตอนหน้าเจอกันตอนปกติตามเนื้อเรื่องเนอะ
มาดูกันว่าดร.จะทำไรร้ายแรงสะเทือนชีวิตคนอื่นบ้างมั้ย จะจัดการดร.ไงดีน้าาา
แล้วก็เชน นี่เด็กดีนะ ถึงมันจะบ้าแต่ก็เป็นคนดี ป่าววะ สักวันแหละ อาจจะช่วยคนอื่นจากใจบ้าง เลิกกวนประสาทชาวบ้านบ้าง ไรท์หวังว่าจะให้ไมเคิลช่วยอบรมให้หายกวนประสาทซักหน่อย (ถ้าได้นะ)

รักน้าาา เม้นตลอดเลย ขอบคุณค่า
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 14-11-2016 23:10:50
ฟ้าเหลืองอ่ะรวบสองเทศกาล หื่นๆอย่างนั้น 5555 โอ๊ยยยยยยยไอ้รีสสสสไอ้บ้า ขำหนักมากก โคตรขี้แกล้ง แต่เฟิร์สมันก็ยอมใส่นะเออ 55555 ซื้อมาให้เขาใส่นะ แล้วเป็นไงละกลายเป็นนางแมวดำยั่วสวาท ถึงกับพูดตะกุกตะกัก "ซะ เซ็กซี่มากกกก" หื่นไปอี๊ก 555555 //โด่ววววววนึกว่าจะพาเฟิร์สไปลอยข้างนอก ที่ไหนได้ เฮ้ยยยยยย!!! กูก็ อืมมม ลอยออนไลน์เหมือนกันว่ะรีส หลายเว็บเลย 55555555  เพื่อนไปเลื่อยกระทง ตัวเองโดนเพื่อนลอยแพ อะไร๊ยยย 5555 นั่งลอยหน้าคอม อย่างเยอะ 55555 ตัวเองเลิกงานช้าไงรถก็โคตรติดคนก็เยอะกว่าจะถึงที่นัด เลยให้พวกมันลอยก่อนซะ 5555 //ฟินนนนนนนกับ #รีสเฟิร์ส ท้างงงงวัน ยิ้มแก้มปริ ^__________________^
หัวข้อ: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย ตอนที่ 36
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 18-11-2016 14:53:16

Me die 36 : ร่วมมือ
[/size][/color]

แลมป์ติดต่อหมอพอลไม่ได้เป็นเวลานาน แถมตามหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ หายไปไร้ร่องรอยเหมือนกับน้องชายของเขาที่ถึงขนาดใช้แฮกเกอร์มือดีอย่างเชนก็ตามหาไม่พบ นานวันเข้าเขาก็เอาแต่ท้อ ตอนนี้พ่อก็ยิ่งสงสัยว่าเฟิร์สหายไปไหนไม่เห็นหน้าเป็นเดือนๆ นานวันเข้ายิ่งหมดข้ออ้างจะบอกแก่พ่อ ทั้งที่สัญญากับตัวเองไว้ว่าจะปกป้องและหาให้เจอในเร็ววัน แต่นั่นแลมป์ก็ไม่ได้รู้สึกร้อนใจเท่าที่ควร ใจมันสงบเหมือนน้องชายของเขาปลอดภัยดี เพียงแค่ไม่ได้หยุดตามหา



แต่ครั้งนี้กลับแตกต่าง เมื่อหมอพอลหายไป แลมป์รู้สึกร้อนใจมาก กังวลว่าจะเกิดบางอย่างที่ร้ายแรงตลอดเวลา ความกลัวที่เกิดขึ้นลึกๆในจิตใจ ว่าเขาอาจจะไม่มีโอกาสเจอหมอพอลอีก ความเป็นห่วงที่มีมากเกินไปทั้งที่ไม่ได้ผูกพันธ์กันเกินกว่าผู้มีพระคุณ จะมีก็แต่ครั้งนั้นที่มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น...ทำให้แลมป์แทบไม่มีสมาธิและจิตตกตลอดเวลา วันๆก็เอาแต่จ้องโทรศัพท์รอคอยสายโทรฯเข้า และแวะเวียนไปหาที่คลินิกเป็นประจำ แม้ไปทุกครั้งจะเจอกับคำว่าปิดกิจการก็ตามที



แล้ววันนี้ก็เป็นอีกวันที่เขารู้สึกร้อนใจเรื่องหมอพอล ความรู้สึกของเขามันบอกว่าหมอพอลกำลังต่อสู้กับบางสิ่งอยู่คนเดียวอย่างทรมาน แลมป์จึงร้อนใจนัดเชนมาปรึกษาและตกลงเรื่องราคากันใหม่อีกที



แลมป์เดินเข้าไปยังห้องวีไอพีที่จองไว้เพื่อความเป็นส่วนตัวของร้านอาหารแห่งหนึ่งและเขาเดาว่าเชนคงแต่งหญิงมาอีกตามเคย เพราะไอ้เด็กเพี้ยนที่เขารู้จักผ่านงานเวลาออกมาเจรจารายละเอียดและราคางานกันทีไรมักจะปลอมตัวมาเสมอ ส่วนใหญ่จะแต่งหญิง และยังไม่เคยเห็นหน้าสดๆมันสักที



เมื่อเดินเข้ามาแลมป์ก็เปิดประตูเข้าไปเงียบๆ แล้วยิ่งเห็นเด็กหนุ่มซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นเชนนั่งหันหลังคุยโทรศัพท์อยู่ก็เลือกที่เงียบไว้ รอเสร็จแล้วค่อยเอ่ยถาม เผื่อจะผิดคนขึ้นมา แล้วเป็นสายของศัตรูเขาอาจจะเอาชีวิตมาทิ้งไว้ก็ได้ แถมข้อมูลยังรั่วไหลอีก เขาต้องระวังตัวตลอดเวลา แล้วนิ่งฟังบทสนทนานั่นไปเงียบๆอย่างเลือกไม่ได้



"รุ่นพี่ไม่คิดบ้างหรอครับ ถ้าเราเข้าไปแล้วไม่เจอพี่หมอพอลจำทำยังไง ดร.นั่นอาจจะจับพี่เขาไปขังไว้ที่อื่นก็นะ" เสียงเชนดังขึ้นและเน้นย้ำชื่อของหมอพอล แลมป์ที่ยืนฟังอยู่ก็ได้แค่คิดว่ามันแปลกๆ ถ้านี่เชน แล้วทำไมถึงพูดเหมือนกับรู้ว่าหมอพอลอยู่ไหน ทั้งที่บอกกับเขาว่าหาไม่พบ แล้วยังมีใครอีกคนที่อยู่ในสายที่ต้องการตามหาหมอพอลเช่นกัน



[ฉันก็กลัวแบบนั้น เพราะฉะนั้นฉันถึงให้นายเจาะระบบขององค์กรดูใหม่ อย่างน้อยๆถ้าเราจัดการดร.ไม่ได้ ก็ต้องพาพี่หมอออกมาอย่างปลอดภัย]



เสียงของคนในสายดังรอดออกมา แลมป์เลยเอาแต่งงง คิ้วขมวดติดกันคิดอย่างหนัก เพราะเสียงที่เขาได้ยินมันคือเสียงของ ไมค์ เพื่อนของเฟิร์สที่คอยไปไหนมาไหนด้วยกันก่อนหน้าที่เฟิร์สมันจะสติแตกอีกรอบ...แล้วหมอพอล...



"เข้าใจแล้วครับผม ไว้ใจได้เลย เรื่องแค่นี้สบายมาก ฮิฮิ ว่าแต่ รุ่นพี่อย่าลืมข้อตกลงนะครับ ถ้าแผนนี้สำเร็จ ผมสามารถ..."



[ตกลง]



ติ๊ด!



"ฮิฮิฮิ งานนี้กินหมูอีกแล้วสินะ จัดการดร.เจ้าเล่ห์นั่นได้เราก็สบายไปด้วย ชอบมาวุ่นวายจะดึงเข้าไปใช้งานอยู่เรื่อยทั้งที่ไม่เห็นมีอะไรให้สนใจเท่าทางนี้ รุ่นพี่...ปีศาจ ร่างกายที่พิเศษขนาดนั้นจะมีความลับอะไรอยู่น้าาา อยากจะเฉือนพิสูจน์เร็วๆแล้วสิ ว่าแต่รุ่นพี่จะยอมจริงรึเปล่า ถึงจะยอมแล้วคนที่อยู่ที่คอนโด ที่ชื่อเฟิร์สนั่น จะยอมรึเปล่า อยากจะตรวจดูอีกคนเหมือนกันนะเนี่ยว่ามีเคล็ดลับอะไรถึงคว้าเอาหัวใจของปีศาจแบบนี้ไว้ได้ หน้าตาดี ก็อาจใช่เห็นว่าหน้าเหมือนเจ้านายนี่นะ นิสัยดี ก็อืม อาจจะ เห็นพี่หมอพอลว่างั้นนะ อา...จริงสิ ลืมเลย เรื่องพี่หมอนี่ต้องมาก่อน อืมๆ" เชนว่าเหมือนนึกขึ้นได้ก็คว้าจอสีเหลี่ยมของตัวเองออกมาจากกระเป๋ากดไรยุกยิก



"ว่าแต่เมื่อไหร่เจ้านายจะมา รอนานเป็นบ้าเลย" หลังจากที่กดเสร็จก็วางมันไว้ แล้วพูดขึ้นอีกครั้งเหมือนเตือนสติใครบางคนที่เอาแต่เรียบเรียงเรื่องราวเงียบๆอยู่ด้านหลังให้รู้สึกตัวสักที แลมป์มั่นใจว่าเรื่องทุกอย่างมันเกี่ยวข้องกันเพียงแค่ยังไม่รู้รายละเอียด และรู้ว่าจะหาคนทั้งสองคนได้ที่ไหน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังมือแปดด้าน แล้วไอ้คนที่มันรู้เรื่องทั้งหมดดีอยู่แล้วก็อยู่ตรงหน้าเขา คนๆเดียวกับที่ตีหน้าซื่อเล่าเรื่องโกหกให้เขาฟังอยู่นาน



คลิ๊ก!



"ฉันมาได้สักพักแล้ว เชน...นายรู้ทุกอย่างสินะ ทั้งเรื่องน้องชายของฉัน ทั้งคนที่ฉันให้สืบหา!" เสียงขึ้นไกปืนดังขึ้นพร้อมกับปลายกระบอกสำดำมันวาวจ่อติดอยู่ที่หัวด้านหลังของเชน พร้อมๆกับน้ำเสียงของแลมป์ที่เปร่งออกมาอย่างเดือดดาน ถ้าเชนไม่รู้เรื่องทุกอย่าง เขาคงจะฆ่าเชนทิ้งไปแล้ว แต่เขาไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล อีกอย่างเชนคือเบาะแสเดียวของเขา



"โอ๊ะโอ โดนจับได้อีกละ ฮิฮิ ใจเย็นครับเจ้านาย ถ้าอยากรู้รายละเอียดละก็เดี๋ยวผมพาไปพบใครบางคน" เชนที่แกล้งทำหน้าตาตกใจ ก็หันมามองด้านหลัง แล้วหัวเราะปิดท้ายจนตาหยี๋ ยกมือขึ้นดันปลายกระบอกปืนให้หันห่างจากตัวเอง แล้วเอ่ยปากบอกตกลงจะทำตามที่เจ้านายสั่ง



แต่ใครจะรู้ว่าที่แลมป์ได้ยินเรื่องนี้ เป็นเพราะเชนจงใจ จงใจที่รับงานจากแลมป์ จงใจที่จะนัดมาคุยกันที่นี่ จงใจไม่แต่งตังปิดบังเปิดหน้าจริงให้เห็นเพื่อความจริงใจที่มีต่อกัน และจงใจอยากให้แลมป์ได้ยิน เพื่องานที่ง่ายขึ้น ในเมื่อบอกว่าจะช่วย ก็หาตัวช่วยให้มันเก่งครบด้านสิ จะได้ไม่เกิดปัญหาคราวหลัง เจ้านายของเขาคนนี้ เก่งหลายอย่างถ้าอยู่กับทีมยิ่งไม่ต้องพูดถึง เสียอย่างเดียวถ้าเป็นเรื่องของคนสำคัญเมื่อไหร่ความคิดจะไขว้เขวจนโดนหลอกใช้แบบไม่รู้ตัวแบบนี้ไง ถึงจะระวังตัวขนาดไหน แต่เจ้านายของเขาก็ประมาทกับคนใกล้ตัว เพราะคิดว่าทุกคนคือทีม แต่ถึงจะโดนหลอกใช้หรือไม่ เรื่องนี้ เชนก็มั่นใจว่ายังไงแลมป์ก็เข้าร่วมอยู่ดี เพราะคนสำคัญที่ตามหาตั้งสองคนนี่นา ถึงแผนนี้จะเสี่ยงที่จะโดนยิงทิ้งแต่เขาคิดว่าเขารู้จักเจ้านานคนนี้ของเขาดี และเพราะว่ารู้จักดีเชนถึงยอมก้มหัวรับใช้และทำงานด้วยทุกครั้งแม้จะมีอีกฝ่ายที่เสนอผลประโยชน์มาให้เขามากกว่า



...



ถัดมาที่ฐานลับอีกแห่งของเชน

รีสมาอยู่ที่นี่ได้สามวันเต็มๆและไม่ได้กลับไปที่คอนโดอีกนับตั้งแต่ครั้งนั้น แต่ถึงไม่ได้กลับไปก็ยังคอยส่งข้อความไปหาและสั่งนู้นนี่ไปให้เฟิร์สตลอด ซึ่งเฟิร์สเองก็ดันเข้าใจและไม่ว่าอะไรที่เขาหายหน้าหายตามา จะมีบ้างที่โทรฯมาแล้วบอกว่านอนคนเดียวไม่หลับ กินข้าวไม่ลงบ้าง ซึ่งรีสก็ได้แต่ยิ้มกับตัวเองแล้วก็เงียบไปอย่างตัดสินใจไม่ถูก แต่ไม่นานเฟิร์สก็ดันร่าเริงขึ้นมาแล้วบอกว่าไม่เป็นอะไรแล้วไม่ต้องห่วง แล้วก็วางสายไปอย่างเข้าใจ แล้วหลังจากนั้นรีสก็มานั้งกังวลกลัวเฟิร์สเหงา แต่พอเชนเกิดแซวบอกให้กลับไปหา ก็ดันบอกว่าต้องรีบจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จแล้วก็เปลี่ยนเป็นโหมดจริงจัง



ทุกๆอย่างที่เกี่ยวข้องกับความรักของรีสอยู่ในสายตาของไมเคิลตลอด ด้วยความสงสัยในคำว่ารักของรีสตั้งแต่ครั้งนั้น เขาเลยเลือกที่จะคอยแอบฟังและสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ ทั้งฉงนทั้งงุนงงที่บางครั้งปีศาจหน้าตายแบบรีสกลับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่บ้างก็นั่งถอนหายใจเมื่อคุยกับเฟิร์สเสร็จ แต่พอโดนเชนแซวก็ดันเปลี่ยนโหมดกะทันหันมาทำงานดื้อๆ แต่เมื่อไมเคิลจ้องเอาๆก็มักจะโดนเชนเข้ามาก่อกวนทุกครั้งไป



"ทุกคนผมกลับมาแล้วววววววว~" เชนที่หายออกไปในช่วงเช้าของวันเดินกลับเข้ามาด้วยท่าทีสบายๆ ทั้งที่เหมือนจะมีตัวอันตรายที่มีแต่รังสีความขุ่นเคืองบางอย่างเดินตามมาด้วย



"เจ้าพาใครมาด้วยน่ะ นั่น...มนุษย์ที่เป็นคนรักของเจ้าปีศาจงั้นรึ ตอนนี้ไม่อยู่หรอกนะ เห็นว่าจะออกไปข้างนอกเสียหน่อย" ไมเคิลที่เงยหน้าจากงานตรงหน้ามามองทันทีเห็นเข้า ก็ได้แต่เลิกคิ้วสงสัยและถามออกไปฉงน



"เฟิร์ส...ไม่ใช่ แลมป์สินะ เชนนายพาเขามาทำไม" รีสที่เดินกลับเข้ามาพอดี เมื่อเห็นหน้าแลมป์ก็หยุดมองนิ่งเผลอกเรียกชื่อเฟิร์สออกไป แต่ครู่เดียวก็รู้ว่าไม่ใช่ จึงได้ส่งเสียงถามเชน



"ผมโดนจับได้น่ะสิ แย่จังเลย" เชนว่ายิ้มๆ



"หึ งั้นหรอ ฉันควรเชื่อนายสินะ" รีสหัวเราะในลำคอ แต่เชนก็ไม่ได้ใส่ใจ ยักไหล่ข้างหนึ่งแล้วเดินแทรกตัวหนีออกมาไปนั่งวุ่นวายอยู่ข้างๆไมเคิล ไม่ทำงาน รอดูสถานการณ์น่าตื่นเต้นต่อจากนี้




"คุณไมค์ คุณดูเปลี่ยนไปเยอะนะครับ ผมเกือบจำคุณไม่ได้" เป็นแลมป์ที่เปิดบทสนทนาขึ้นมาก่อน ดวงตาที่มองมาบ่งบอกชัดเจนเลยว่าไม่พอใจและไม่เชื่อใจเขาเท่าไหร่



"ครับ แต่คุณไม่เปลี่ยนไปเลย ผมอยากให้คุณใจเย็นก่อน ผมจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้คุณฟัง ไม่เว้นแม้แต่ความสัมพันธ์ของเราตอนนี้ด้วย" รีสมองอย่างชั่งใจสุดท้ายก็เอาความใจเย็นเข้าข่ม และพยายามหาวิธีที่ประนีประนอมมากที่สุดเพื่อไม่ให้แลมป์ไม่พอใจไปมากกว่านี้ ว่าแล้วก็เชิญแลมป์ให้ไปนั่งที่เก้าอี้ที่ไว้รับแขกข้างๆ แล้วเริ่มเล่าเรื่องราวคร่าวๆที่เขารู้จักกับเฟิร์สและหมอพอลรวมถึงเรื่องของดร.นั่นด้วย แลมป์นั่งฟังนิ่งท่าทางชั่งใจอย่างหนัก เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง



"แล้วก็ จริงๆแล้ว ผมชื่อรีส ไม่ใช่ไมค์ แล้วตอนนี้ผมเป็นคนรักของน้องชายคุณ ถึงก่อนหน้านั้นผมจะทรมานและข่มขืนเขาก็ตาม แล้วผมก็ไม่ใช่มนุษย์ ผมเคยตายมาแล้วหลายครั้งแต่ก็ฟื้นขึ้นมาตลอด แถมบาดแผลก็หายสนิท มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่ผมฟื้นคืนมาจากอุบัติเหตที่น้องชายคุณเป็นคนทำ" เมื่อเล่าจบแลมป์ก็เงียบไป รีสเลยพูดเรื่องแบบสรุปให้ฟังอีกครั้งในความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเฟิร์ส



"เพราะแบบนั้นสินะ นายเลยเลิกที่จะข่มขืนและทรมานเฟิร์ส? ...จนน้องฉันเกือบจะเป็นบ้า" แลมป์นั่งนิ่งไปนาน จู่ๆก็พูดถามออกมา น้ำเสียงนั่นเข้มดุ จนเชนที่แอบนั่งฟังอยู่ห่างๆถึงกับขนลุกเพราะไม่เคยได้ยินมาก่อน



"...ใช่ครับ" รีสเงียบไปนาน แต่ก็มองเผชิญหน้าไม่หลบสายตาเกรงกลัว แล้วยอมรับออกไปอย่างลูกผู้ชาย


คลิ๊ก!!

แลมป์ลุกขึ้นยืนจ่อปืนไปทางรีสอย่างเดือดดาน ไมเคิลและเชนก็เด้งลุกขึ้นจากพื้นด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่าแลมป์จะขาดสติจนถึงกับคว้าปืนมายิงแบบนี้ แต่ก็ได้รีสที่ยกมือห้ามไว้ แถมยังมองหน้าแลมป์อย่างไม่เกรงกลัว กล้าทำกล้ารับ แต่แลมป์กลับแปลกใจที่เชนและไมเคิลยอมนั่งลแถมไมเคิลยังก้มหน้าทำงานตัวเองไปอย่างเคยไม่สนใจอะไรทั้งที่รีสอาจจะตายถ้าเขายิง



“เชิญครับ”



“หึ ไม่กลัวตายงั้นสิ” แลมป์ที่ได้ยินรีสพูดเชิญชวนให้เขาทำตามสบายก็ตกใจไปนิดๆแต่ก็นิ่งไว้ ยกยิ้มพอใจนิดๆที่มุมปาก


ปัง!
"นี่สำหรับที่นายข่มขืนเฟิร์ส และทำให้เฟิร์สจิตตก" แลมป์เบนปลายกระบอกปืนมาจ่อที่อกขวาจากที่เล็งที่หน้าผากแบบกะให้สิ้นใจในนัดเดียว ลั่นไกปืนออกไปลองเชิงและระบายความโกรธใส่ตามประสามาเฟียที่ติดตัวมา และเพราะยิ่งรีสท้าทายและไม่เจ็บเลยทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกท้าทาย และก็รู้สึกพอใจอยู่ด้วยที่ยอมรับชะตาที่ตัวเองเป็นคนก่อ



ปัง!
"นี่สำหรับหมอพอลที่นายกำลังทำให้เขาเดือดร้อน" รีสที่รับกระสุนไปนัดหนึ่งที่ถูกยิงเข้าที่หน้าอกข้างขวาก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่กับที่ ทำแค่เงยหน้ารับฟังคำของแลมป์อย่างท้าทายนิ่งๆ อีกนัดก็ฝังเข้าที่เดิมซ้ำรอยไม่บิดเบียวบ่งบอกความแม่นยำของคนยิงได้เป็นอย่างดี โดยแลมป์ไม่สนว่าเรื่องที่ไม่ใช่มนุษย์จะเรื่องจริงมั้ย แต่ความโกรธของเขาคือของจริง แล้วถ้าคิดพูดเล่นก็แค่ ตาย! แต่ในเมื่อความจริงที่ว่ามันกำลังปรากฏต่อหน้ามนุษย์ธรรมดาอย่างเขาก็ได้แต่นิ่งตกใจไปสักพักใหญ่ๆ



ควันจากกระบอกปืนยังไม่ทันจาง กระสุนนัดนั้นก็ถูกดันออกจากร่างกายล่วงสู้พื้นกลิ้งขลุกๆไปที่ปลายเท้าแลมป์ ที่ได้มองตาค้าง แต่เมื่อผ่านไปพักใหญ่แลมป์ก็หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งในภายหลัง



"หึหึหึ ไม่ใช่มนุษย์อย่างที่บอกจริงๆ ...น่าสนใจไม่น้อย" แลมป์ยกยิ้มพอใจแบบปิดไม่มิด ในหัวคิดไปไกลถึงขนาดว่าถ้าได้รีสมาร่วมงานธุรกิจบ้านเขาคงดีไม่น้อย


"ใช่มั้ยล่ะครับเจ้านาย ร่างกายรุ่นพี่น่าสนใจม๊ากมาก" เชนที่นั่งมองเหตุการณ์นั้นก็ตาโต ตื่นเต้นที่ได้เห็นด้วยสองตาไม่ใช่จอมอนิเตอร์เล็กๆของตัว ยกมือขึ้นชูนิ้วโป่ง กดไลค์มาให้รีสด้วยความขื่นชอบแบบสุดๆ



"นี่ ผู้ใหญ่เขาคุยกัน เด็กบ้าอย่างนายไม่ควรไปยุ่งนะ" ไมเคิลเงยหน้าจากงานมาลากคอเชนที่แทบจะลุกแล้ววิ่งมาเข้าร่วมวงสนทนาของแลมป์และรีสกลับไปนั่งที่ตัวเอง



"ว่าไงนะ! เอ...งั้น ผมยุ่งกับคุณได้งั้นสิไมเคิล ฮิฮิ" เชนแทบตั้งตัวไม่ทันดีดตัวหนีออกจากแขนแกร่งนั้นแล้วตั้งท่าจะโวยลั่น แต่เมื่อมองหน้าไมเคิบไปก็หยุดความคิดนั้น แล้วเดินเข้าไปซุกไซพยายามจะปีนขึ้นไปนั่งตักไมเคิล แล้วหัวเราะกวนประสาทไมเคิลไปด้วย



"ไปไกลๆเลยเด็กบ้านี่ ฉันจะทำงาน" และก็อีกตามเคย ไมเคิลผู้ขี้รำคาญก็ได้แต่ดันหัวเชนให้หลบออกห่าง ปากก็เริ่มบ่น แต่สุดท้ายก็ให้เชนนอนหนุนตักตัวเองแล้วนั่งทำงานต่อไป

 

"ไม่ต้องสนใจสองคนนั้นหรอกคุณแลมป์ ถึงตอนนี้คุณจะชื่อใจผมได้รึยัง" รีสที่เอือมกับสองคนนั้นเต็มทนก็ไม่อยากให้แลมป์ที่มาใหม่รู้สึกแบบเขาเร็วนักก็เปลี่ยนเรื่องมาคุยกันต่อ



"หึ นายนี่น่าสนใจจริงๆ ฟุบ! จะให้ฉันทำอะไรบอกมาได้เลย เรียกฉันพี่แลมป์ละกันนะดูนายน่าจะอายุน้อยกว่าฉัน แต่เรื่องของเฟิร์สฉันไม่ใช่คนที่จะตัดสินใจนายก็รู้ดี แค่อย่าทำให้น้องฉันเสียใจอีกก็พอ" แลมป์ยกยิ้มพอใจไปให้รีส ยกมือตบเบาๆที่บ่าเป็นการยอมรับ



“ขอบคุณครับพี่แลมป์ ส่วนเรื่องที่จะให้ช่วย แผนมีดังนี้ครับ...”





เวลาดึกสงัด หน้าตึกร้างแห่งหนึ่ง ที่ค่อนข้างเปลี่ยวและห่างไกลผู้คน ตอนนี้มีกลุ่มคน4-5คนที่นำทีมโดยรีส สะพายเป้ที่มีอาวุธหนักที่พวกเขาทำขึ้นรวมถึงอาวุธปัจจุบันที่ทีมของแลมป์จะใช้มาด้วย เสื้อผ้าที่สวมเป็นชุดสีดำที่เหมือนกับพวกกลุ่มคนที่คอยรักษาความปลอดภัยขององค์กรเพื่อความกลมกลืน มายืนซุ่มอยู่ที่ข้างหน้าเพื่อรอเวลาที่เหมาะสมแก่การแอบลอบเข้าไปในองค์กรเพื่อจัดการกับดร.และทีมวิจัย เพราะที่นี่ด้านล่างมีท่อระบายน้ำเก่าที่สามารถเชื่อมเข้าสู่ท่อน้ำขององค์กรด้านหนึ่งได้ ตามที่แฮกเกอร์มือดีอย่างเชนแจ้งมา



“เชน เจ้าแน่ใจรึว่าที่นี่” ไมเคิลขยับไมค์จิ๋วที่ติดอยู่ที่หูไว้เป็นเครื่องมือสื่อสารระหว่างกันไปมาอย่างไม่คุ้นชิน แล้วถามขึ้นอย่างสงสัยเมื่อเขาสำรวจรอบๆบริเวณ ตาสีเหลืองเรืองรองดังสัตว์ที่มองเห็นตอนกลางคืนได้ไม่สามารถตรวงพบสิ่งมีชีวิตใดๆนอกเหนือจากพวกเขาเลย  ที่นี่มันเงียบเกินไป เงียบเสียจนแม้แต่แมลงก็ไม่ส่งเสียงร้อง และเขาก็รู้สึกแปลกๆว่าจะมีบางสิ่งที่รออยู่ข้างใน ซึ่งรีสเองก็รับรู้ความรู้สึกนี้เช่นกัน



"อย่าห่วงเลยคร้าบ ที่นี่น่ะ คนเป็นส่วนน้อยที่จะทราบว่ามีอยู่ แต่ผมแน่ใจว่ามันต่อถึงองค์กรจริงๆ เอาล่ะๆ ทุกคนพร้อมนะครับ เดินเข้าไปกันเลย" เชนว่าจบก็ร่ายยาวต่อบอกทางให้เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาเพื่อตรงไปยังท่อระบายน้ำด้านล่าง



ไมเคิลได้ยินก็ไม่ได้ท้วงอะไรอีก แต่ทั้งเขาและรีสมั่นใจว่าต้องมีบางอย่างรออยู่ด้านใน เพราะกลิ่นที่พวกเขารับรู้นั่น แม้จะบางเบาแต่มันคือกลิ่นของสัตว์อันตราย ส่วนแลมป์และทีมเมื่อได้ยินไมเคิลพูดแบบนีั้นก็เริ่มทำใจและเตรียมระวังตัวกันมากขึ้นเพราะตั้งแต่ทำงานร่วมกับเชนมา ก็รู้ว่าข้อมูลที่ได้มักแม่นยำ หนทางที่ได้ก็กระชับและเข้าถึงไวที่สุด แต่ทางที่เชนเลือกมักจะเป็นทางที่มีตัวอันตรายมากๆรออยู่ เพราะไม่อยากเสี่ยงไปเสียเวลากับพวกแมงเม่าเยอะแยะ ปต่ก็เพราะเชื่อฝีมือของกันและกันเลยผ่านไปได้ง่ายทุกครั้งไป



กลุ่มของรีสเดินเท้าย่ำไปในท่อน้ำเก่าที่มีน้ำสกปรกขังอยู่บางส่วน แต่ไม่มีแม้แต่หนูท่อหรือแมลงสาปวิ่งกันวุ่นเหมือนท่อร้างอื่นๆ เดินตามทางไปตามที่เชนบอก จนไปจนทางแยกที่จะเข้าสู่องค์กรซึ่งท่อนั่นใหญ่กว่าที่เดินเข้ามาเป็นสองเท่า และทางมันแบ่งออกเป็นสามทาง แลมป์ที่กำลังจะขยับไมค์ถามทางเชนก็เป็นอันต้องหยุดเท้าเพราะรีสซะก่อน



"หยุดก่อน" แต่จู่ๆรีสก็หยุดเดิน ตามด้วยไมเคิลก่อนจะพูดเบลกทีมของแลมป์ที่กระชับปืนที่ถือแน่นขึ้นแล้วจ่อไปข้างหน้าตามสัญชาตญาณ ทุกคนมองตรงไปยังข้างหน้าเป็นตาเดียว รีสและไมเคิลเริ่มมีปฏิกิริยา ดวงตาของทั้งคู่เรืองรองในความมืดมิด



"ทุกคน! ข้างหน้ามีบางอย่างอยู่ แต่ผมไม่รู้ว่ามันคือตัวอะไร มันเคลื่อนตัวเร็วมากและมันกำลังไปหาพวก และตอนนี้มันอยู่...ข้างหน้า" เชนที่พูดขึ้นมาทีหลังจากรีสและไมเคิลรู้ตัว รายงานมาอย่างตื่นเต้นเพราะมีสัตว์บางอย่างเคลื่อนตัวไปหาพวกเขาอย่างเร็ว



โฮกกก!!!

...



อีกด้านหนึ่ง

"ดร.ครับ แน่ใจนะครับว่าจะส่งพวกมันเข้าไป พวกมันเป็นสัตว์ทดลองที่ผิดพลาดและควบคุมไม่ได้นะครับ"



"นั่นแหละที่ฉันต้องการ"



ดร.ที่นั่งดูกล้องวงจรปิดที่ติดไว้ตามท่อระบายน้ำเพราะรู้ว่ายังไงรีสก็ต้องมา พรางยิ้มเยาะเมื่อสัตว์เลี้ยงที่หิวกระหายของเขากำลังกระโจนเข้าไปหาพวกนั้นอย่างเร็วตามแผนที่วางไว้เพื่อถ่วงเวลา

...



“มันมาแล้ว!” แลมป์ตะโกนขึ้นมาเสียงดังเมื่อเห็นเงานั้นกระโดดออกมาจากความมืดมิดของท่อน้ำข้างหน้า



โฮก!!!



ปัง! ปัง! ปัง!



สัตว์ประหลาดที่มีสี่ขากงเล็บคมแหลมยาว รูปร่างคล้ายสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ตัวใหญ่โต ผิวตามตัวดูตะปุ่มตะป่ำหน้าเกลียด ปากมันอ้ากว้าง แลบลิ้นเรียวยาวตวัดไปมา พร้อมเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วกระโจนตัวเข้าหากลุ่มของรีสโดยที่ยังตั้งตัวไม่ทัน แต่เพราะความเป็นมืออาชีพของทีมแลมป์ ทำให้พวกเขาวิ่งหลบหลีก และสาดห่ากระสุนใส่พวกมันอย่างรวดเร็ว และสัญชาตญาณของปีศาจของทั้งรีสและไมเคิลที่แม้จะยืนอยู่ข้างหน้าแต่ก็หลบหลีกและฆ่าพวกมันได้ไม่น้อย



แฮ่.. โฮก!



โอ๊กกกกก! แหมะ! ฉ่า!!!



“ระวัง! น้ำลายมันเป็นกรด” รีสที่สู้อยู่ตรงกลางพลาดโดนน้ำลายของสัตว์ประหลาดที่อ้วกโดนที่แขน เพราะกำลังโรมรันเข้าจับมันฉีกปากให้หลุดออกจากกันด้วยแรงที่ตนมี น้ำลายที่ฤทธิ์เป็นกรดทำให้เนื้อแขนของรีสหลุดแหว่งออก แต่ไม่นานมันก็สร้างใหม่ได้ พร้อมๆกับปากและอีกครึ่งของส่วนหัวของสัตว์ประหลาดนั่นหลุดกระเด็นออกจากตัว



ไมเคิลที่อยู่ด้านซ้ายได้ยินพอดีก็เปลี่ยนจุดโจมตีจากฟาดฟันกันตรงหน้า ก็กระโดดขึ้นไปขี่หลังสัตว์ประหลาดนั่นและใช้กงเล็บดุจสัตว์ป่าของตนกระหน่ำแทง ฉีกดึงแขนขากระจุยกระจายตามใจชอบ ได้ยินแต่เสียงร้องคำรามจากความเจ็บปวดดังมาให้ได้ยินเป็นระยะจากสองคนนี้



ปัง!ปัง!ปัง!



ท่อทางด้านขวา แลมป์และทีมที่ได้ยินก็เปลี่ยนจากการใช่อาวุธที่อาจพลาดอย่างมีด มาใช้ปืนกันทุกคน พวกเขาสาดห่ากระสุนปลิดชีวิตสัตว์ประหลาดที่เข้ามากองพะเนิน แลมป์วิ่งสวนกับมันสไลด์ตัวลงด้านล่างหลบลิ้นที่มีน้ำลายที่เป็นพิษและใช้มีดกว้านตั้งแต่ใต้คอยันท้องก่อนจะหลบไปอีกทางเพื่อฆ่าตัวอื่น 



สัตว์ประหลาดนั่นกระโจนออกมาจากท่อระบายน้ำไม่หยุดหย่อน ไม่สามารถนับจำนวนได้ แต่ไม่นานพวกเขาก็สามารถฆ่ามันหมด สภาพทุกคนเปราะเปื้อนเลือดสีดำคล้ำของสัตว์ประหลาดนั้น จะมีบ้างที่พลาดโดนน้ำลายของมันแต่ก็กำจัดออกได้ทันจนเหลือแค่รอยแดงหรือรอยขาดของเสื้อผ้า จะมีก็แต่รีสที่ดูปกติกว่าใครเพื่อน แต่ไม่ใช่เพราะว่าสู้น้อย สัตว์ประหลาดกระหายเลือดนั่นถูกเขาฆ่ามากที่สุดและโหดร้ายจนบางคนในทีมไม่อาจทนดูเพราะส่วนใหญ่ปากจะถูกดึงกระชากฉีกจนหลุดออกจากหัวเห็นมันสมองเต้นตุบๆเกือบทุกตัว แต่เป็นเพราะบาดแผลของเขานั้นหายเร็ว จนร่างกายนั่นดูสมบูรณ์ไม่เคยผ่ายการสู้รบ จะยกเว้นก็แต่เลือดของพวกมันที่เปรอะเปื้อนตามตัว ไมเคิลที่เก็บเขี้ยวเล็บเข้าที่ยืนดูผลงานของตัวเองที่เศษซากก็กระจัดกระจายน่ากลัวเช่นกัน แต่เขาก็ได้แต่ยืนมองมันเงียบๆ เพราะก่อนหน้าเขาดันเกือบพลาดแต่รีสมาช่วยเขาอีกครั้ง และจับปากมันกระชากจนหลุดออกจากหัว จนเมื่อแน่ใจว่าไม่มีพวกมันอีก พวกเขาก็เก็บและเช็คอาวุธรีบรุดหน้าเข้าสู่องค์กรไปถล่มตามแผนทันที


 ...

เรามาเครียดกันนึดนึงเนาะ ขอบคุณที่ติดตามจ้า

...
ฟ้าเหลืองอ่ะรวบสองเทศกาล หื่นๆอย่างนั้น 5555 โอ๊ยยยยยยยไอ้รีสสสสไอ้บ้า ขำหนักมากก โคตรขี้แกล้ง แต่เฟิร์สมันก็ยอมใส่นะเออ 55555 ซื้อมาให้เขาใส่นะ แล้วเป็นไงละกลายเป็นนางแมวดำยั่วสวาท ถึงกับพูดตะกุกตะกัก "ซะ เซ็กซี่มากกกก" หื่นไปอี๊ก 555555 //โด่ววววววนึกว่าจะพาเฟิร์สไปลอยข้างนอก ที่ไหนได้ เฮ้ยยยยยย!!! กูก็ อืมมม ลอยออนไลน์เหมือนกันว่ะรีส หลายเว็บเลย 55555555  เพื่อนไปเลื่อยกระทง ตัวเองโดนเพื่อนลอยแพ อะไร๊ยยย 5555 นั่งลอยหน้าคอม อย่างเยอะ 55555 ตัวเองเลิกงานช้าไงรถก็โคตรติดคนก็เยอะกว่าจะถึงที่นัด เลยให้พวกมันลอยก่อนซะ 5555 //ฟินนนนนนนกับ #รีสเฟิร์ส ท้างงงงวัน ยิ้มแก้มปริ ^__________________^
555 ชอบคอมเม้นมากเลย หื่นๆกัันไปสองคนนี้ หวานๆหื่นๆตามประสา / ไรท์ก็ลอยในเว็บเลยจัดให้สองคนนี้ลอยเว็บเหมือนกัน ข้อหาอิจฉา ฮาาาา // ตอนนี้มาเคลียดนิดนึง จะไปถล่มรังดร.แล้ววว
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 19-11-2016 23:16:47
โฮวววว พรู~~~~*เป่าลมออกจากปาก* โล่งงงงงง เชี้ยยยยยโคตรลุ้น!!เผลอกั้นหายใจ 55555 มันตัวอะไรวะเนี้ย แหวะขยะแขยง แม่งเยอะสัส! ดีที่กำจัดพวกมันได้ ไอ้ดร.นี้แสบหว่ะ //คาดไม่ถึงเลยจริงๆว่าจะได้เฮียแลมป์มาร่วมขบวนด้วย ดีไปอี๊ก 55 เชนแม่งกะล่อนเจ้าเล่ห์ เดี๋ยวจะโดนเฮียแกเอาคืนไม่น้อย หลอกเก็บงำกันมาตั้งนาน คนยิ่งห่วงหมอพอลน้องเฟิร์สอยู่ ระวังไว้เถอะ เดี๊ยะๆหลังแหวน 555555 เกลียดเสียงหัวเราะ "ฮิฮิฮิ..." หมั่นไส้ 555555 ชอบความไม่เห็นแก่เงิน ถ้าใครมาเสนออะไรที่มันไม่สุดโต่งอย่าหวังว่าเชนมันจะไปร่วมงานด้วย มันบ้ามันโรคจิต มันคลั่งปีศาจ (เหมือนตรู) 55555555 //ตลกไมเคิลแอบส่องอาการคนมีรัก โคตรจะเนียน เชนเข้าไปดักก่อกวนตลอด 55555555555 ขำสองคนนี้จริงๆ //เฟิร์สมีพิรุธ แอบไปซนไหนป่าวว่ะ ฮิฮิฮิ //หมอพอลลลลลลลล เป็นไงบ้างละเนี้ยยยยย โอ๊ยๆ ลุ้น //รอออออออ F5 F5 ฮิๆๆ  :pig4:
หัวข้อ: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย ตอนที่ 37
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 23-11-2016 22:15:16
 

Me die 37 : ถล่ม
[/color]



“ทุกคนเดินเข้าไปทางนั้นก็จะทะลุเข้าตัวตึกแล้ว ระวังกันด้วยนะครับ มีคนรอต้อนรับพวกเราเพียบเลย ขอให้สนุกกันทุกคนนะครับ ฮิฮิฮิ” กลุ่มของรีสที่เดินตามท่อมืดๆเข้าไปใกล้ตึกทดลองมากขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าเรียบตึงออกจะเครียดๆกันทุกคน ยกเว้นแต่รีสที่แค่ขมวดคิ้ว กับไมเคิลที่เริ่มเบื่อหน่าย แล้วที่เครียดไม่ใช่เพราะศัตรูที่รออยู่ แต่เป็นเพราะเสียงของเชนที่เอาพูดนู้นพูดนี่มาให้ฟังอยู่เรื่อย ทั้งที่แลมป์ก็บอกเสียงเข้มๆว่าให้เงียบหน่อย แต่เชนซะอย่าง...สนที่ไหน



“ตรงนี้สินะ” ไมเคิลที่เดินตามรีสที่มาหยุดตรงกับประตูทางเข้าเก่าที่ขึ้นสนิมพูดขึ้นแล้วหยุดตาม ทุกๆคนในทีมแลมป์ที่เดินมาด้วยก็หยุดเท้าตามและกำลังจะเตรียมอุปกรณ์ระเบิดติดตั้งเพื่อให้ประตูบานนั้นหลุดออก จากที่รู้จากเชนมาอีกด้านของประตูมันเป็นผนังห้องทดลองที่ค่อนข้างหนาพอสมควร



“ผมเปิดเอง ทุกคนหลบออกไปข้างๆก่อน” รีสที่นิ่งอยู่พูดขึ้นมาแล้วเดินไปหยุดที่ประตู ยกมือผลักมันเพียงเล็กน้อยก็เกิดการสั่นไหว ทุกๆที่เห็นก็รีบเก็บของเข้ากระเป๋าเดินเข้าข้างๆแล้วยกปืนขึ้นแนบกายเตรียมลุย ไมเคิลก็ตั้งท่าอยู่อีกมุม



คลื่นนน!    โครม!



ปัง!  ปัง! ปังๆๆๆๆ



ห่ากระสุนทั้งหลายแหล่สาดเข้าพวกของรีสทันทีที่กำแพงพังถล่ม แม้ควันจากเศษซากปูนยังไม่จากหายไป เหล่ากลุ่มคนติดอาวุธของฝ่ายองค์กรที่ตั้งหน้ารออยู่ก่อนแล้วก็กดกระสุนเข้าใส่ไม่ยั้ง ฟากของทีมรีสที่หลบอยู่ข้างๆก็ยิงสวนกับไป เสียงดวนปืนดังสนั่น พอๆกับเสียงหวีดของสัญญาณเตือนภัยที่ดังกระหึ่ม



“ระเบิด! หลบเร็ว!”



คลิ๊ก ตูม!



เสียงของกลุ่มชายติดอาวุธบางคนดังขึ้นเมื่อเห็นวัตถุระเบิดขนาดย่อมที่ถูกโยนออกมาจากด้านหลังควันที่มาจากผู้ที่บุกรุก แต่ก็ช้าเกิดไป ขายังไม่ทันได้ก้าวหนี หาที่กำบัง บางคนก็ยังไม่รู้สึกตัว เสียงระเบิดก็ดังขึ้นตูมตามติดต่อกันหลายๆลูก อานุภาพของมันมีรัศมีกว้าง1-2เมตร เพราะพวกเขาประดิษฐ์เองเพื่อนำมาใช้งานในลักษณะเสียเปรียบในที่ใกล้และมีที่กำบังตน แรงระเบิดทำให้ทำลายกลุ่มคนติดอาวุธและข้าวของเสียหายเป็นจำนวนมาก



“ลุย!”



“สัตว์ประหลาด! เราฆ่ามันไม่ได้ โอย ไม่!!! เอือก!!”



สิ้นเสียงแลมป์ดังขึ้นเป็นสัญญาณออกลุยหลังจากนั้น รีสและไมเคิลกระโดดออกจากควันเข้าโรมรันกลุ่มคนเพราะความไวที่มีมากกว่าก็เลยง่ายดายเพียงครู่เดียวก็ฆ่าล้างไปได้มากมาย ทีมที่เหลือก็เดินตามแลมป์ที่นำหน้าออกมายกปืนแนบอกพร้อมจ่อยิงเดินดุ่มออกไป ยิงใส่ไม่ยั้งและไม่มีพลาดเป้าด้วยความชำนานที่มีมานาน ได้ยินได้เสียงร้องโหยหวนของกลุ่มคนและเลือดที่สาดกระเซ็นเปราะเปื้อน บ้างก็แขนขาแม้แต่หัวก็หลุดกระเด็นตามความบ้าคลั่งดุจปีศาจของทั้งรีสและไมเคิลที่ยิ่งเมื่อเห็นเลือดก็ยิ่งเดือด



อดฆ่าฟันจนแทบไม่หลงเหลือความเป็นมนุษย์ ไม่นานกลุ่มคนติดอาวุธทั้งหลายก็ล้มตายจมกองเลือดที่เจิ่งนองเต็มพื้นสีขาว



“กำลังเสริม ขอกำลังเสริมด่วน อ๊าก!”



ติ๊ด! ติ๊ด! ติ๊ด!



“เจ้านาย! พวกคุณไปกันก่อน พวกผมรับมือกับพวกที่เหลือเอง” หนึ่งในทีมของแลมป์ดังขึ้น  เมื่อได้ยินสัญญาณเตือนภัยกับไฟสีแดงที่สว่างวาบตามสัญญาณนั่นเป็นระยะๆ บ่งบอกว่าอีกไม่นานกลุ่มคนติดอาวุธที่มีมากเกินกว่าครั้งแรกนั้นจะมาอีกในไม่ช้านี้



“ตกลง! อย่าลืมรักษาชีวิตพวกนายไว้ด้วยล่ะ” แลมป์พูดขึ้นพร้อมสบตากับลูกทีมที่เหลือ ทุกคนต่างก็รู้ดีว่างานนี้เสี่ยงชีวิตแค่ไหนแต่ก็ยังเลือกที่มาด้วย ด้วยความที่มีหัวใจที่เป็นทีมเดียวกัน พวกเขาเลยเชื่อใจกันเสมอ และสิ่งสำคัญที่จะพูดทุกครั้ง คือการรักษาชีวิตรอดไว้เพื่อมาฉลองกันทีหลัง พวกเขาทำมันสำเร็จเรื่อยมา และจะยังคงทำสำเร็จต่อไป



“เชน! ขอทางที่ใกล้ที่สุด” แลมป์ยกปืนขึ้นแนบกับตัวเองแน่นขึ้น แล้วหันไปพยักหน้ากับรีสและไมเคิลที่รออยู่ก่อนหน้า และหันหลังวิ่งเข้าไปข้างใน



“ได้เลยครับ เจ้านายเดินตรงไป แล้วเลี้ยวซ้ายข้างหน้า จากนั้น...” เชนก็ทำหน้าที่ต่อไปอย่างชำนาน กดเปิดไมค์ตัวนั้นตัวนี้เพื่อคุยกับบางคนบางกลุ่มเฉพาะ มือก็กดแฮกระบบ สายตาสอดส่องบนจอมอนิเตอร์ 5 จอข้างหน้าที่มีภาพแบ่งเล็กๆตามมุมต่างๆอีกมากมาย อีกทั้งส่วนอื่นในห้องที่มีจอภาพและอุปกรณ์ไฮเทคของเขาอีกมากมาย เชนพูดบอกทางให้กับกลุ่มที่แลมป์นำไปเรื่อยๆ สลับกับทางทีมที่กำลังต่อสู้กับกลุ่มติดอาวุธที่พกอาวุธใหญ่มาจนพวกเขาต้องยิ้มสนุกและกระจายตัวทำหน้าที่ตามที่ตนถนัด วิ่งไล่ล่าฆ่าฟัน ติดตั้งระเบิดตามจุดต่างๆที่ตนแฝงกายไปเรื่อยๆ หวังทำลายตึกนี่ทิ้งไม่ให้เหลือซาก



โฮก!!   



โครม!!



“ไมเคิลระวัง! ผมขอโทษ มันมาเร็วมาก จอมอนิเตอร์ผมจับมันไม่ทัน” เชนที่หันไปบอกทางนั้นอยู่ เพราะทางที่เขาบอกแลมป์มันเป็นทางยาวที่แม้มีประตูก็มีแค่ทางเดียวที่จะไปได้ และจอภาพของเขาก็ไม่พบการเคลื่อนไหวใดๆ จนเมื่อมันเข้ามาใกล้ตัวก็ไม่ทันการได้แต่ตะโกนบอกไมเคิลที่โดนสิ่งนั้นกระโจนเข้าใส่จนลอยกระแทกผนังจนเสียงดังโครมครามด้วยความที่ตั้งตัวไม่ทัน



ไมเคิลที่ลุกออกจากผนังทั้งที่ดวงตาที่เรืองรองยังคงจ้องนิ่งกับสัตว์ประหลาดตัวนั้น ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับมนุษย์หมาป่า หูที่งอกแหลม ปากและจมูกที่งอกยาวออกมา หางและขนมากมายที่ขึ้นปกคลุมตามตัว ผิวหนังที่เคยเป็นมนุษย์ก็ดำคล้ำน่าเกลียดย่นยู่เข้าหากัน มันใช้สายตาที่ดำโตไม่มีนัยน์ตาจ้องสบกับไมเคิล พร้อมแยกเขี้ยวที่งอกแทงสลับกันมาขู่ไปพร้อมๆกัน



“ข้าจัดการเองพวกเจ้าไปต่อได้เลย หึ! แค่มีหูหางและขนเพิ่มขึ้นมา ใช่ว่าเจ้าจะสู้ได้หรอกนะ ไอ้สัตว์ประหลาด โฮก!” ไมเคิลที่พบเจอกับสิ่งที่ชวนสนุก ก็ยกยิ้มพอใจ ปากบอกปัดให้รีสและแลมป์ไปต่อ ดวงตาของเขารีเรียวดังสัตว์กินเนื้อที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อ กงเล็บงอกยาวพร้อมต่อสู้ พูดขึ้นพรางเยาะเย้ย แยกเขี้ยวที่คมสวยขู่กระโชก แล้วกระโดดเข้าใส่โรมรันกับมันด้วยความรวดเร็ว

 



 “เชน! ทางแยก!” รีสที่เห็นไมเคิลสนุก ก็ออกวิ่งสู่จุดหมายไม่สนใจไมเคิล แลมป์ก็ออกวิ่งตาม แต่วิ่งมาไม่นานก็เจอเข้ากับทางแยกที่มันไม่มีในแผนที่ที่พวกเขาดูมาก่อนหน้านี้



“ขอเวลาสักครู่ครับ!” เชนหันกลับมาทันที มือกดลงบนแป้นพิมพ์รัวๆเพื่อหาหนทาง เพราะมันเป็นทางใหม่ที่ไม่ในในตอนแรก เชนกดยกมันไปมาเข้าสู่ระบบล็อกอีกชั้น แต่ยังไม่ทันที่จะสำเร็จ เสียงรีสที่เงียบมานานก็พูดขึ้น



“เชน ดร.นั่นอยู่ทางขวาใช่ไหม”



“รุ่นพี่รู้ได้ไงครับ แต่ทางซ้ายนั่นมีพี่หมอ รุ่นพี่คงไม่คิดจะไปคนเดียว รุ่นพี่! มันไม่ได้มีคนเดียวนะครับ!” ทางซ้ายคือทางหลักที่พวกเขาจะไป เพราะคิดว่าดร.นั่นจะรออยู่ที่เดียวกับที่ขังหมอพอลไว้ แต่มันกับผิดถนัด แต่รีสก็ไม่ได้ฟังคำเตือนจากเขา เมื่อการดาวน์โหลดแผนที่ใหม่เสร็จสิ้น เชนก็ต้องเบิกตาโตเพราะที่นั้นมันมีคนอยู่ 4 คน และที่เขาตกใจมันเป็นเพราะแต่ละคนไม่น่าจะเป็นมนุษย์กันอีกแล้ว และพละกำลังก็น่าจะมีมากกว่าตัวที่ไมเคิลกำลังต่อสู้อยู่ตอนนี้ ถึงหนึ่งในนั้นจะเป็นดร.นั่นที่เหมือนจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาก็ตาม



“ไว้ใจหมอนั่นเถอะเชน พอลอยู่ทางซ้ายใช่ไหม บอกทางด้วย ...หวังว่าทางฉันจะไม่มีตัวบ้าอะไรรออยู่หรอกนะ” แลมป์ที่พูดขึ้นอย่างมั่นใจในตัวของรีส ที่แม้ไม่ต้องพูดออกมา เขาก็มั่นใจว่ารีสจะไม่เป็นอะไร แถมดวงตานั่นก็แน่วแน่เสียจนเขาเองก็ไม่อาจห้าม ทำได้เพียงทำตาม และบอกให้เชนเชื่อมั่นดังที่เขาทำ จากนั้นก็เดินไปตามที่เชนบอกต่อไป พรางพูดกับตัวเองเบาๆพร้อมกระชับปืนในแน่นขึ้น เตรียมกระสุนและและแอบวางระเบิดช่วยลูกทีมอีกแรง



 

รีสที่เร่งเท้ามาจนถึงประตูที่มีระบบล็อกและป้องกันแน่นหนา ประตูมีความหนาแน่น เปรียบเสมือนห้องที่เป็นดังหลุมหลบภัยและแน่นหนาที่สุดขององค์กรนี้ เขาเตรียมจะออกแรงพังมันเข้าไป แต่เชนก็ดันใช้ความสามารถนั้นปลดล็อกระบบที่ยากที่สุดสำเร็จพอดี ซึ่งเขาทำมันมาตั้งแต่ที่แลมป์แยกกับรีส ซึ่งนั้นก็ผ่านมาพักใหญ่ จนเล่นเอาเหงื่อตก แล้วหันไปสนใจด้านอื่นต่อรวมถึงทางแลมป์ที่มาถึงประตูทางเข้าเหมือนกันพอดี



‘ระบบดาวน์โหลดเสร็จสิ้น จะออกเดินทางภายใน 5 4’



แต่แค่ก้าวเท้าเข้ามาก็ทำให้เขาต้องอารมณ์เสียดร.นั้นเข้าไปในแคปซูนขนย้ายที่ทำหน้าที่พาเขาออกไปด้านนอกผ่านทางท่อลับที่ไม่มีอยู่ในแผนที่ใดๆมีแต่คนในไม่กี่คนที่รู้พร้อมๆกับอีกสองคนที่ใส่ชุดนักบวชคลุมปิดใบหน้ายืนอยู่ขนาบข้าง แม้กระจกแคปซูนจะเป็นเพียงแก้วใสที่เหมือนแตกง่าย แต่นั่นมันแน่นหนา แต่ถึงจะทำลายได้ แต่เขาก็มาไม่ทันการ



“เก่งมาก รีส นายยังคงเป็นที่ภูมิใจที่สุด แต่นายมาช้าไป ลาก่อน” ดร.ที่ยืนมองรีส สายตาที่มองมามีทั้งความภูมิใจและเกลียดชัง พร้อมคำพูดเสียดแทงเมื่อเห็นรีสที่กำลังก้าวเข้าประตูนั่นมา รอยยิ้มร้ายของตัวอันตรายที่อยากกำจัดที่สุดของรีสเคลื่อนย้ายตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงความเจ็บใจของรีสที่โมโหซะจนดวงตาแดงวาบไอเย็นแผ่กระจายไปรอบตัว



“แกไม่มีทางได้ไปเจอดร.หรอก แต่ไม่ต้องเสียใจไป ฉันคนนี้จะให้เกรียติฆ่าแกเอง เนี่ยนะคนที่ดร.ภูมิใจ อยากจะรู้จริงๆว่ามีอะไรให้ภูมิใจนัก” ชายสูงใหญ่มีร่างกายท่อนล่างไม่เป็นมนุษย์อีกต่อไป มีแต่เหล็กกล้าที่แข็งแกร่งแต่น้ำหนักเบาปกคลุมเขามีร่างกายเป็นไซบอกที่มีกลไกติดอาวุธไว้มากมายตามร่างกาย แต่ส่วนหัวนั้นกลับยังคงเป็นมนุษย์ ที่ยืนอยู่อีกมุมของห้องพูดกับตัวเองเบาๆ และกระโจนเข้าโจมตีรีสที่ยืนมองดร.จากไปด้วยแรงมหาศาลทันที



ตึง!!



“อึก! หึ เจ๋งดีนี่หว่า”



รีสที่ไม่ได้ตั้งตัวโดนโจมตีเข้าข้างหลัง แต่ด้วยกำลังและความโกรธที่เขาจัดการกับดร.ไม่ได้สะสม แม้โดนโจมตีเข้าอย่างจังแต่เขานั้นไม่แม้แต่จะขยับ ทำให้อีกฝ่ายถึงกับกลืนน้ำลาย แต่ก็คิดว่ามันบังเอิญและเขาโจมตีไม่แรงพอเลยเอาแต่หัวเราะเยาะและตั้งท่าต่อสู้ต่อไป



“หึ!” รีสที่ขยับปากหัวเราะหึอย่างสมเพช อารมณ์ครุกกรุ่นใกล้ระเบิดออกเต็มที่ มันมีมากพอที่เขาจะถล่มที่นี่ได้ด้วยแรงของเขา อารมณ์ตอนนี้เขาไม่อาจจะเก็บมันไว้อีกต่อไป เหมือนๆกับไอเย็นที่แผ่กระจายรอบตัวเขาจนอากาศรอบๆเย็นจัด ความโมโหและโกรธเคืองที่ไม่สามารถจัดการตัวต้นเหตุของเขาทำให้เขาเกือบคุมสติไม่อยู่ แต่เมื่อโดนโจมตีเมื่อครู่ มันยิ่งเหมือนไปกระตุ้นต่อมทำลายล้างของเขาให้ตื่นขึ้นและบ้าคลั่งจนคุมสติไม่อยู่ เผลอพูดบางอย่างออกมา ดวงตาและสีหน้าของรีสตอนนี้น่ากลัว ในใจกระหายอยากแต่สงคราม อยากจะสูดดมกลิ่นเลือด อยากทำลายล้างให้หมดสิ้น!



‘พวกมนุษย์น่าสมเพช ในเมื่อต้องการ ข้าจะสนองให้ หึ!’ 



ตูม!



...

ขณะเดียวกัน

แลมป์ที่เดินมาถึงประตูก็หยุดรอหน้าประตูอย่างใจจดใจจ่อ เมื่อประตูเปิดออก แลมป์ยื่นปลายกระบอกปืนนำเข้าไปก่อน จากนั้นก็ก้าวเท้าตามเข้าไป ส่ายกระบอกปืนไปซ้ายขวาหลบตามตู้และผนัง แล้วค่อยๆสำรวจไปรอบๆอย่างมีสติ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีอะไร และเงียบเชียบจนเขาใจไม่ดี ในห้องนี้เป็นห้องสีเหลี่ยมขนาด 3*5 เมตรที่แทบไม่ค่อยมีอะไรน่าสงสัย เป็นเพียงห้องที่บรรจุคอมพิวเตอร์ ตู้เก็บเอกสาร และหนังสือมากมาย ไม่มีอะไรน่าสงสัย และไม่น่าจะมีหมอพอลอยู่เช่นกัน



“เชน ที่นี่ไม่เห็นมีอะไรอย่างที่นายบอก หมอพอลอยู่ที่นี่แน่หรอ”



“แน่สิครับ ตำแหน่งข้างหน้าเจ้านายมีคนอยู่แน่ๆ แต่ทำไมผมถึงหาทางเข้าไม่เจอนะ รอสักครู่นะครับ”



แลมป์เดินมาหยุดและเอามือวางทาบบนกำแพงที่มีชั้นเก็บเอกสารอยู่ข้างๆ พูดขึ้นอย่างผิดหวังเล็กน้อยที่เข้ามาที่นี่ไม่เจออะไร คิ้วก็ขมวดคิดหนัก ทั้งที่ได้รับการยืนยันแล้วว่าข้างหน้านี้มีคนที่เขาต้องการเจอมากที่สุดอยู่ แต่มันเป็นเพียงกำแพงโล่งๆที่ไม่มีทางเข้า ทำเอาทั้งเขาและเชนสับสนไปเหมือนกัน



คลิ๊ก!



“...ฉันเจอมันแล้ว ขอรหัสด่วน”



“รอสักครู่ครับเจ้านาย ฮิฮิฮิ ไม่คิดเลยนะเนี่ยว่าดร.นั่นจะชอบอะไรแบบนี้ นี่สินะที่ทำให้องค์นี้ถูกกฎหมายมาตั้งนาน เอาล่ะ มาดูกันว่าดร.นั่นซ่อนอะไรไว้หลังกำแพง รหัสคือ...”



แลมป์ยกยิ้มพอใจเมื่อเจอเข้ากับกลไกลับที่ดร.นั่นสร้างขึ้นมาปิดบังคนภายนอกให้รับรู้ เมื่อมือขยับไปกดโดนตำแหน่งหนึ่งในกำแพงที่ทำให้ระบบมันเปิดขึ้นมาให้ใส่รหัสผ่าน เชนหัวเราะชอบใจที่เห็นระบบนั่นเด้งขึ้นมาที่จอมอนิเตอร์ของเขา รีบกดลงบนคีบอร์ดหารหัสผ่านโดยไว และไม่นานมือแฮกเกอร์อย่างเชนก็ทำสำเร็จ เขาถอดรหัสออกมาได้ และบอกมันแก่แลมป์ เพราะมันเป็นระบบกดด้วยมือ ระบบแบบนี้มันเป็นแบบเก่าแต่ก็ไม่คิดว่าจะใช้ได้ผล ดีที่ในโปรแกรมรักษาความปลอดภัยขององค์มีบันทึกไว้ถึงได้หามันเจอ



กึก! ครืดดดด!



แลมป์ยกปืนขึ้นพร้อมเล็งอัตโนมัต แต่สิ่งที่เขาและเชนได้เห็นผ่านกล้องจากตัวแลมป์ กลับไม่ใช่กลุ่มคนติดอาวุธหรือสัตว์ประหลาดอย่างที่รีสและไมเคิลเจอ แต่มันก็อาจจะอันตรายกว่านั้นได้ ถ้าสิ่งนี้ตื่นขึ้นมา เพราะที่เห็นมันคือ มนุษย์ทดลองมากมายที่หลับไหลอยู่ในโหลแก้วขนาดยักษ์ที่มีน้ำสีต่างๆอยู่ภายในสุดลูกหูลูกตา สีของน้ำแบ่งตามสภาพร่างกายของร่างที่ถูกบรรจุอยู่ ตั้งแต่ที่ยังคงเป็นร่างกายปกติเช่นมนุษย์ธรรมดา ไปจนถึงมีสภาพแตกต่าง มีบางสิ่งงอกเงยเกินออกมาตามร่างกาย บางร่างก็เหี่ยวย่น ร่างกายแปรเปลี่ยนไปจนน่าเกลียดน่ากลัว บางร่างก็มีร่างกายที่ถูกดัดแปลงเอาสิ่งที่ไม่ใช่ชิ้นส่วนมนุษย์มาประกอบใส่ กลายเป็นอาวุธสังหารที่น่ากลัว



“พวกนี้มัน...ดร.นั่นจะสร้างอาวุธสังหารรึไงกัน” เชนที่มองตามไปด้วยอย่างตกตะลึง จนเผลออุทานออกมาไม่ได้ เขาไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิดถ้าเทียบกับดร.นี่



“ฉันเคยได้ยินจากพอลว่าดร.ต้องการที่จะสร้างโลกขึ้นมาใหม่ แต่ฉันไม่คิดมาก่อนว่าจะสร้างใหม่โดยการทำลายโลกเก่าทิ้งแบบนี้” แลมป์มองสำรวจไปเรื่อยๆ สายตาสอดส่องหาหมอพอล แล้วพูดไปด้วยหลังนึกคำพูดของหมอพอลที่เล่าเรื่องดร.ที่ทำงานด้วยให้ฟัง แต่ไม่เคยคาดคิดว่าจะโหดร้ายป่าเถื่อนขนาดนี้ คาดว่าหมอพอลเองก็ยังคงไม่รู้ ถึงได้โดนจับได้และหายเงียบมาแบบนี้



“เจ้านาย ประตูซ้ายมือนั่น ขอให้โชคดีนะครับ ดูเหมือนจะไม่มีใครอยู่เลยนอกจากพี่หมอ ผมขอรวบรวมข้อมูลและเก็บภาพพวกนี้ก่อน เป็นไปได้จะส่งไปที่สำนักงานแห่งชาติให้ตาสว่างบ้างเล็กๆน้อยๆ”



“ตามสบาย”

แลมป์เดินผ่านเหล่าโหลทดลองขนาดยักษ์หลากหลายโหล ตรงไปยังบานประตูที่อยู่ทางซ้ายมือตามที่เชนบอก มีบ้างที่สะดุ้งเพราะเหล่ามนุษย์ทดลองขยับร่างกาย เขากลัวมันตื่นแล้วหลุดจากโหลทดลอง เพราะเท่าที่มองเห็นกระสุนของเขาไม่น่าจะรับมือพวกมันได้หมด



“อือ... ไม่ไหวแล้ว...ทรมาน...”



“พอล!”



เสียงของหมอพอลที่ดังเบาบางรอดมาจากห้องข้างๆ ทำให้แลมป์วิ่งเข้าไปหา หัวใจของเขาปวดหนึบ เมื่อเจอหมอพอลนอนร้องโอดควนอย่างทรมาน เหงื่อไหลเป็นน้ำ หน้าซีดจนแทบไร้สี หมดเรี่ยวแรงแม้แต่จะขยับปาก เบลอจนถึงกับแลมป์เขย่าตัวเรียกอยู่นานยังไม่รู้สึกตัว ถูกมัดมือเท้าและลำตัวติดตึงไว้กับเตียงคนไข้อย่างแน่นหนา มีสายระโยงรยางค์เจอะตามตัว ข้างๆมีจอวัดชีพจรที่เต้นอย่างแผ่วเบา และจอบันทึกผลให้เห็น



“พอล ผมมาช่วยคุณแล้ว เราออกไปจากนรกนี่กันเถอะ” แลมป์ปลดสายต่างๆตามตัวหมอพอลออกด้วยหัวใจที่เริ่มปวดหนึบ ทุกอย่างมันหน่วงจนเขาแทบหมดเรี่ยวแรงที่เห็นอีกคนแทบจะหมดลมหายใจไปต่อหน้าต่อตา เมื่อปลดออกหมดเขาก็อุ้มหมอพอลขึ้นจากเตียงมากกกอดไว้ด้วยความเป็นห่วง แต่เมื่อได้ยินเสียงครางออกมาอย่างเจ็บปวดก็คลายอ้อมกอดนั้นให้เบาลง แล้วจำใจอุ้มพาดบ่าให้หมอพอลทนเจ็บไปก่อนเพื่อความสะดวกในการหลบหนีออกไปอย่างปลอดภัย แลมป์วางวัตถุระเบิดที่มีอันตรายไว้ตรงนั้น และหิ้วออกมาวางที่โหลทดลองทั้งหมด จากนั้นก็อุ้มหมอพอลเดินออกไป พร้อมกับปืนที่บรรจุกระสุนเต็มแม็ค 2-3 กระบอก เดินออกไป

...



“ทุกคนครับ ระเบิดถูกติดตั้งทั้งหมดแล้ว กรุณาออกจากที่นั้นได้แล้วครับ” เสียงเชนดังขึ้นเมื่อเห็นคนในทีมทำงานสำเร็จ แลมป์ก็เจอหมอพอล เขาก็ได้ข้อมูล ไมเคิลก็สู้ชนะและกำลังกัดกินซากมันอยู่ ส่วนรีส เชนได้แต่เป็นกังวนเพราะพูดอะไรไปก็เหมือนจะไม่ได้ยินเลยแม้แต่น้อย เหมือนดั่งคนที่กำลังสติแตกจนควบคุมไม่อยู่ ซึ่งนั่นทำให้เขาต้องตัดสินใจหาตัวช่วยคนสำคัญ ที่ตอนนี้เหมือนจะนั่งแท็กซี่มาวนเวียนอยู่แถวนี้เหมือนรู้ว่าตำแหน่งของรีสอยู่ที่ไหน แล้วเขาก็กระจ่างเมื่อเห็นโทรศัพท์ของรีสที่วางอยู่ตรงนั้น



“อ่อ GPS นี่เอง ฮิฮิฮิ ร้ายเหมือนกันนะครับเนี่ยแฟนรุ่นพี่ เอาล่ะ เชิญขึ้นมาเลยครับ”

...



ตูม!!



รีสที่ควบคุมสติไม่อยู่ได้แต่แยกเขี้ยวหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เมื่อตนเองสามารถทำลายสิ่งต่างๆรอบตัวได้ สัตว์ประหลาดตัวนั้นหนีตาย หลบหนีไปทั่วบริเวณ ตัวของมันขาดหายไปหลายท่อน แต่ยังคงมีลมหายใจ มันตอกย้ำกับตัวเองว่ามันคือมนุษย์ แต่รีสก็เอาแต่หัวเราะเยาะและบอกความจริงที่ว่ามันคือหุ่นยนต์ แถมยังตามไปดึงกระชาก ทุบทำลายชิ้นส่วนอย่างแหลกเหลว ตามพื้นผนังและสิ่งของรอบข้างถูกทำลายล้มระเนระนาดไม่เหลือชิ้นดี



ประกายไฟที่เกิดจากการพังของเครื่องใช้ไฟฟ้ารั่วไหล ทำให้เกิดการรุกไหม้ของเปลวไฟลามไปทั่วห้อง ระบบป้องกันไฟไหม้ปล่อยน้ำลงมาช่วยดับไฟ แต่สิ่งนั้นกลับกลายเป็นน้ำแข็งที่มีความแหลมคม จากพลังของรีส และหล่นจากเพดานทิ่มแทงลงตามชิ้นส่วนหุ่นยนต์นั้น เปลวไฟที่ร้อนเริ่มเผาไหม้สิ่งรอบๆตัว โหมควันจากไฟและจากพลังของรีสให้คลุ้งจนแทบมองสิ่งต่างๆไม่ชัดเจน



“แกมันก็เป็นเพียงหุ่นยนต์น่าสมเพช ฮ่าๆๆๆ” รีสที่ตามมาจนทันสัตว์ประหลาดตัวนั้น คว้าจับมันยกขึ้นด้วยมือข้างเดียว ดวงตาและใบหน้าของเขามีความเครียดแค้นชิงชัง แล้วยกหยิบมันขว้างลงพื้น แล้วตามกระทืบซ้ำจนชิ้นส่วนหุ่นยนต์นั่นกำลังจะแหลกเหลว



“รีส!!!” เสียงของเฟิร์สที่ไม่รู้มาจากไหน ดังก้องภายในหูข้างที่ติดไมค์ของเขา รีสชะงักเท้าที่กำลังจะกระทืบค้างไว้กลางอากาศ



“รีส! ได้ยินฉันไหม ฮึก! ฉันอยากให้นายมีสติ แล้วฟังฉัน ฮือ กลับมาได้แล้ว รีส..” เสียงของเฟิร์สที่สั่น และเสียงสะอื้นไห้ดังแว่วมาให้ได้ยิน



“เฟิร์ส...อ๊าก!”รีสได้แต่มึนงง ครางชื่อคนรักออกมาอย่างแผ่วเบา สะบัดหัวไล่ให้หายจากความคุ้มคลั่ง ร้องโหยหวนทิ้งตัวลงนั่งอย่างทรมานอยู่พักใหญ่

.

.



“ฉัน เป็น มนุษย์...ใช่ไหม” หุ่นยนต์ที่ปากและดวงตาอยู่คนละที่เอ่ยเสียงสุดท้ายของมันพร้อมกับดวงตาที่ยังคงเปิดอยู่ ภายในของมันเจ็บปวดที่รู้ว่ามันไม่เคยเป็นมนุษย์ ความทรงจำทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องแต่ง ซึ่งก่อนหน้ามันไม่รู้ตัวเลยว่านั่นเป็นเพียงไมโครชิฟที่ผังความทรงจำของมนุษย์ไว้ มันเป็นเพียงหุ่นยนต์ที่ไม่มีใครต้องการ



“นี่ฉัน...ต้องทำถึงขนาดนี้เลยหรอ”รีสที่สติกลับมาครบถ้วน ค่อยๆลุกขึ้นจากพื้นยืนมองผลงานของตัวเองที่ไม่รู้ว่า ถ้าเขาไม่ได้ยินเสียงเฟิร์สซะก่อน เขาจะทำลายทุกๆอย่างมากไปกว่านี้ไหม ดวงตานั้นมีทั้งความสงสารและเห็นใจในความคิดของหุ่นยนต์ที่นอนครางอยู่ตรงหน้า และเจ็บปวดในสิ่งที่ตัวเองทำลายลงไป ห้องนี้เละเทะจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม แล้วไหนจะศพมนุษย์ที่ถูกดึงกระชากร่างกายไปคนละทิศทางอีกเกือบสิบคนที่ไม่รู้ว่าเข้ามาตอนไหน ไฟบรรลัยกัณฑ์ที่กำลังลุกไหม้ก็เริ่มมอดดับลงหลงเหลือเพียงควันไฟ เพราะน้ำที่ล่วงหล่นลงมาจากระบบป้องกันไฟไหม้ทำงานได้เป็นปกติ หลงเหลือเพียงเศษเถ้าถ่านสีดำและน้ำที่เจิ่งนองหลังสิ้นสุดทุกอย่าง



“รีส...ได้ยินฉันไหม...ฮือ…ทุกคนออกมาจากที่นั่นกันจะหมดแล้วนะ...ออกมาสิ รีส...พูดอะไรบ้างสิ ฮือ...” เฟิร์สที่นั่งกอดจอมอนิเตอร์แน่น ยกไมค์ขึ้นพูดเอาๆไม่หยุด และยังคงร้องไห้ไม่หยุด ยิ่งไม่ได้ยินเสียงตอบกลับจากรีสยิ่งใจคอไม่ดี น้ำตาไหลหนักกว่าเดิม บดบังทัศนวิสัยจากที่ก็มองอะไรไม่เห็นอยู่แล้ว ทั่วทั้งห้องมีแต่เปลวควันสีขาวฟุ้งกระจาย เสียงที่ได้ยินมีเพียงเสียงร้องอย่างทรมานเมื่อครู่ใหญ่จากนั้นก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรดังรอดออกมาอีกเลย



“ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงครับเฟิร์ส จะออกไปเดี๋ยวนี้”



“ฮึก! ไอ้บ้ารีส ฉันเป็นห่วงแทบแย่ ฮือ รีบออกมาเลยนะ ไม่งั้นฉันโกรธจริงๆด้วย”



รีสยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นของเฟิร์ส คำพูดที่มีแต่ความเป็นห่วง น้ำตาที่ไม่อาจอดกลั้นเมื่อเสียใจ เขาเลือกที่จะทิ้งทุกสิ่งเหล่านี้ไว้ข้างหลัง พร้อมคำบางคำที่เอ่ยมาจากใจ ‘ขอโทษ’ แล้วเดินออกไปหาคนที่เฝ้ารอคอยและเป็นห่วงเขาจากหัวใจ
 


 ...

เครียดดดด กว่าเดิมไหมน้อ แต่เพราะฉากนี้ไรท์เก็บข้อมูลมาพอควร อะไรไม่ถูกก็แนะกันได้นะคะ หวังว่า อยากให้ฉากสมจริงที่สุด

ขอบคุณทุกๆแรงใจนะคะ ตอนหน้าเสริฟnc หนักๆ(น่าจะหนักนะ)

ปล.สักวันเราจะมารีไรท์ตอนแรกๆที่มันค่อนข้างน่าเบื่อ แบะเอาตัวท่ไม่เกี่ยวข้องออก ให้อ่านง่ายขึ้น

โฮวววว พรู~~~~*เป่าลมออกจากปาก* โล่งงงงงง เชี้ยยยยยโคตรลุ้น!!เผลอกั้นหายใจ 55555 มันตัวอะไรวะเนี้ย แหวะขยะแขยง แม่งเยอะสัส! ดีที่กำจัดพวกมันได้ ไอ้ดร.นี้แสบหว่ะ //คาดไม่ถึงเลยจริงๆว่าจะได้เฮียแลมป์มาร่วมขบวนด้วย ดีไปอี๊ก 55 เชนแม่งกะล่อนเจ้าเล่ห์ เดี๋ยวจะโดนเฮียแกเอาคืนไม่น้อย หลอกเก็บงำกันมาตั้งนาน คนยิ่งห่วงหมอพอลน้องเฟิร์สอยู่ ระวังไว้เถอะ เดี๊ยะๆหลังแหวน 555555 เกลียดเสียงหัวเราะ "ฮิฮิฮิ..." หมั่นไส้ 555555 ชอบความไม่เห็นแก่เงิน ถ้าใครมาเสนออะไรที่มันไม่สุดโต่งอย่าหวังว่าเชนมันจะไปร่วมงานด้วย มันบ้ามันโรคจิต มันคลั่งปีศาจ (เหมือนตรู) 55555555 //ตลกไมเคิลแอบส่องอาการคนมีรัก โคตรจะเนียน เชนเข้าไปดักก่อกวนตลอด 55555555555 ขำสองคนนี้จริงๆ //เฟิร์สมีพิรุธ แอบไปซนไหนป่าวว่ะ ฮิฮิฮิ //หมอพอลลลลลลลล เป็นไงบ้างละเนี้ยยยยย โอ๊ยๆ ลุ้น //รอออออออ F5 F5 ฮิๆๆ  :pig4:
ขนาดไรท์อ่านทวนยังแขยง 555 //สุดท้ายดร.ก็ยังรอดไปได้เนอะ อย่าฆ่าไรท์นะ //ตอนนี้เครียดๆหน่อยไหวเปล่า ตอนหน้าแจกnc อิอิ // เดี๋ยวให้เฮียแลมป์จัดการเชนยังไงดี 555 เชนเก่งนะให้อภัยมันเถอะ คิดสภาพเชนทำตาปริบๆขอร้องสิ แต่อาจจะเหมือนอ้อนตีนก็ได้นะ 555 //ไมเคิลเราก็ยังคงบ้าดีเดือด // รีสสติแตกแล้วน่ากลัวมะ เป็นอีกแล้วคุมพลังตัวเองไม่ได้ ดีนะได้เฟิร์สมาเรียกสติ 555 // ขอบคุณที่เม้นมาตลอดน้า กำลังใจชั้นดีเลย
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: Soda.wine ที่ 30-11-2016 06:58:55
 :call: สนุกมาก เราจะรอ แล้วเป็นกำลังใจให้ สู้สู้
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 01-12-2016 04:18:50
รีบออกมาเลยรีส! เชรี้ยยย!โคตรมันส์ ลุ้นมากกกก แสรดดด!!ไอ้ดร.มันยังรอดไปได้อีก ไหลซะจริงนะมึง แต่ยังไงก็เถอะเจอสนง.ตร.แห่งชาติ ตามล่าหาตัวแน่เพราะเชนมันเก็บภาพหลักฐานจะส่งไปให้แล้ว ไม่โดนรีสฆ่าก็หนีหัวซุกหัวซุนละว่ะงานนี้!! เหี้ยโหดร้ายมากเอาคนไปทดลองเถื่อน!!ตั้งเยอะ มโนแล้วกูกลัวนะไอ้ห่า คนในตู้อ่ะ 5555555 //หมอพอลลลลลลลอย่าเป็นไรนะ มันทำอะไรกับหมอว่ะ แลมป์รีบๆพาไปรักษาเลย อย่าช้าๆทรมานแทน //ไมเคิลใช่ย่อย เจอสัตว์ประหลาดแล้วตาวาว นานๆได้เจอแบบนี้ใช่ไหม คึกเลยตรู จัดการแม่งเรียบ แดก 5555 //เฮ้ยยเฟิร์สฉลาดคิดได้ ตรูก็ลืมไปเลยว่าตาม GPS มาก็ได้ แบบเออว่ะ 55555 ดีที่ตามมารั้งรีสไว้ทัน ไม่งั้นนี้พังพินาศฤทธิ์ราชาปีศาจ ไอเย็นๆแม่งเท่ห์ไปอี๊ก ชอบบ 5555 เหออค่อยยังชั่วสู้กับตัวอื่นได้ รีบๆออกมาเล้ยยย เฟิร์สรออยู่ ห่วงจนร้องไห้หนักรีบมาปลอบเลย >///< //ตามล่าดร.กันต่อไปกบดานที่ไหนก็เจอเถอะ ฮิฮิฮิ 5555 //งานนี้ถ้าไม่ได้เชนแย่เลยถ้าจะแฮกระบบได้ขนาดนั้นทันทุกโปรแกรม เอาไปสิบดาว พวกนี้มันทำงานเคมีกันดีมากเข้าขารู้เรื่อง เหมาะร่วมงานกันแล้วละ 55555 //มันส์มากแต่ละคน ลุ้นก็ลุ้น พาๆกันออกไปให้ปลอดภัยนะ จากนั้นค่อยว่ากัน รอๆตอนต่อไปค่ะ ขอบคุณค่ะที่มาต่อ อ่านเร็วจบเร็วเลยเข้ามาช้า 555555
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: QmanBaaa ที่ 02-12-2016 20:25:29
เพิ่งได้เจอฟิคค่ะ สนุกมากกกกก
เรื่องสนุกมากค่ะ ตัวละครหลากหลายดี
หุ่นยนต์น่าสงสาร
น้องเชนน่ากลัว 5555
ติดตามและเป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย ตอนที่ 38 (100%)
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 03-12-2016 14:56:39

me die 38 : คิดถึง

 
เมื่อทุกอย่างจบลง ทุกคนออกมาจากที่นั่นได้อย่างปลอดภัย นอกเสียจากหมอพอลที่ยังคงไม่ได้สติและยังคงครางฮืออย่างเจ็บปวดเป็นระยะตลอดการเดินทาง ทุกคนในทีมแยกย้ายจากกันเมื่องานจบ จะนัดฉลองกันอีกครั้งเมื่อทุกอย่างลงตัว

ข้อมูลทุกอย่างถูกเชนรวบรวมมาได้ และกำลังส่งข้อมูลบางส่วนไปที่บางคนที่ไว้ใจได้ในสำนักงานความปลอดภัยของชาติทั้งในและนอกประเทศ โดยมีหน้าตาของดร.และผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ยกเว้นรายละเอียดวิธีการทดลองต่างๆเพื่อป้องกันการนำไปใช้ เรื่องหมอพอลและรีส เหล่ามนุษย์ทดลองปริศนาที่ไม่ทราบชื่อมากมายถูกส่งไป โดยลงนามแค่ผู้หวังดี และปิดไอดีแอดเดรสทิ้งจนไม่เหลือร่องรอย แม้จะทำอะไรไม่ได้มากที่จะตามหาดร.กับพวกอีก2ตอนนี้ แต่ก็ทำให้ดร.นั่นไม่สามารถโผล่ออกมายังโลกภายนอกได้สักระยะ

นอกเหนือจากนั้นหลายคนจะได้รับรู้ว่ามีคนคิดจะทำลายโลกใบนี้ สงครามที่ไม่ใช่แค่ทำลายคนที่ขัดผลประโยชน์ แต่เป็นมนุษย์ทั้งหมด จากองค์กรที่ไม่ได้ขึ้นตรงต่อใครหรือเข้าข้างใครทั้งนั้น ซึ่งเป็นเพียงแค่มนุษย์โลภมากที่อยากจะเป็นพระเจ้าของโลกใบใหม่

 
หมอพอลถูกนำไปที่คลินิก เรียกนางพยาบาลที่เคยทำงานกับหมอพอลมารักษาเท่าที่ทำได้ แต่เมื่อเธอมาถึงเธอกับยิ้มและบอกว่าหมอพอลติดต่อเธอมาก่อนหน้าแล้ว และต้องการเพียงให้เธอทำการนำตัวของเขาลงที่เตียงคนไข้ ติดตั้งอุปกรณ์วัดชีพจรและบันทึกข้อมูลต่อเนื่อง จากนั้นแค่เปลี่ยนถ่ายน้ำเกลือจนกว่าตัวเขาจะฟื้นและบอกวิธีนั้นแก่แลมป์

“แบบนี้เจ้านายก็มีสิทธ์พิเศษดูแลพี่หมอคนเดียวสิเนี่ย ทำไมพี่หมอถึงไว้ใจเจ้านายขนาดนี้กันน้า...” เชนที่ได้ยินก็อดปากเอ่ยแซวไปไม่ได้ ซึ่งคำถามนั้นก้ไปตรงกับใจหลายๆคนแต่ไม่กล้าเอ่ยถาม โดยเฉพาะเฟิร์สที่มองหน้าพี่ชายตัวเองสลับกับพี่ชายที่แสนดีอีกคนไปมา ทั้งที่ก่อนหน้าทั้งคู่ไม่ได้มีท่าทีอะไรต่อกันแถมยังแทบไม่รู้จัก ไปมีซัมติงกันตอนไหน

“เอ่อ...คือ...ว่าแต่เฟิร์สมาที่ฐานลับได้ยังไง” แลมป์ที่ทำหน้าไม่ถูก อึกอักไปมาอยู่นาน เพราะทุกสายตาจ้องมาที่เขาแถมยังยิ้มแปลกๆ แม้กระทั่งรีสที่ไม่ค่อยจะสนใจยังแอบชำเรืองมอง จะพูดเล่าก็ไม่ใช่ตัวเขา จึงหาเรื่องเบี่ยงประเด็นไป ซึ่งคนที่ซวยก็ใช่ใครอื่น น้องชายของเขา ซึ่งเมื่อพูดไปแล้ว เฟิร์สก็สะดุ้งเฮือกหน้าซีดเผือดค่อยๆเหลือบมองไปทางรีสที่กำลังจ้องมาด้วยท่าทีนิ่งๆพอดี ‘พี่ขอโทษเฟิร์ส’แลมป์ก็ได้แต่เอ่ยขอโทษในใจเบาๆ

“เรากลับกันเถอะ” รีสที่ยืนนิ่งอยู่ก็พูดขึ้นทำลายความเงียบ เฟิร์สก็ได้แต่สะดุ้งเบาๆอีกครั้งพร้อมกับกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอ แม้จะไม่รู้ว่าจะโดนอะไรไหม ที่ออกมาแบบนี้แถมยังไปห้ามไปร้องไห้โฮโชว์คนมากมายก่อนหน้า แถมยังกอดรีสแน่นโดยไม่เกรงใจพี่ชายตัวเองที่พอมารู้ว่ารู้เรื่องแล้วก็แอบเบาใจ แต่หลังจากนี้สิ รีสจะว่าอะไรเขาอีกไหม ทั้งกลัวทั้งโล่งใจที่ตัวเองตัดสินใจออกมาตามหารีส แต่ในเมื่อออกมาแล้วก็ต้องยอมรับในสิ่งที่จะตามมา

“เดี๋ยวก่อนสิรุ่นพี่! ลืมอะไรรึเปล่าเอ่ย...ฮิฮิฮิ” เชนรีบวิ่งไปขวางหน้ารีสอย่างเร็ว จนไมเคิลที่ยืนอยู่ข้างๆยังจับเอาไว้ไม่ทัน แถมยังมายืนยิ้มแป้นแร้นหัวเราะโรคจิตใส่อีก

“ไม่ลืม แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ ฉันต้องไปจัดการกับบางคนก่อน” รีสพูดขึ้นนิ่งๆพรางเหลือบมองไปที่เฟิร์สที่แอบหลบสายตาไปก่อนหน้าแถมยังสะดุ้งเบาๆเรียกรอยยิ้มจากรีสได้เป็นอย่างดี

“ได้ไงกันคร้าบบบบ สัญญาต้องเป็นสัญญาสิ” เชนที่บอกปฏิเสธทั้งที่ใบหน้านั้นสนุกสนานที่ได้แกล้ง แถมยังเข้าไปเกาะแขนรีสเบียดตัวเข้าหาลอบมองใบหน้าเฟิร์สที่ขึ้นสีด้วยความโกรธและสงสัย ที่ลอบมองทั้งรีสและเชนสลับกันไปมา แต่รีสก็ยังคงนิ่งไม่ผลักออก เหมือนจงใจจะแกล้งให้คนหึง สุดท้ายดันกลายเป็นเชนที่ทนรำคาญไม่ได้เลยเข้าไปขวางแทน

“เด็กบ้านี่ ไม่รู้เรื่องเอาซะเลย เอางี้ เป็นฉันแทนได้รึเปล่า” ไมเคิลที่เดินเข้ามาแยกรีสและเชนออกจากกัน มองหน้ารีสนิดหน่อย แล้วหันมาหาเชน เอ่ยพูดออกไป ในใจตนนั้นก็สับสนและคุกกรุนนิดๆที่เห็นสองคนนั้นสนิทกัน แต่เขาก็คิดเพียงแค่ว่า นั่นคือการชดใช้บุญคุณที่รีสมาช่วยเหลือเขา จึงจะช่วยกันตัวน่ารำคาญออกไปให้เท่านั้น

“ห๋า...ตกลง แต่ว่าไมเคิล คุณต้องไปกับผมเดี๋ยวนี้และอยู่ที่ฐานลับกับผมจนกว่าผมจะให้คุณไป ยอมรึเปล่าล่ะครับ” เชนที่ได้ยินก็อึ้งจนร้องเสียงดังอย่างตกใจ แต่ก็แค่ไม่นานเด็กเจ้าเล่ห์อย่างเขาก็คิดแผนดีๆออก ซึ่งการที่ไมเคิลทำแบบนี้ก็ดันเข้าทางเขาพอดี เพียงแค่ไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้ ...หมาป่าที่เห็นตอนเด็ก จะใช่ไมเคิลอย่างที่เขาสงสัยรึเปล่า...

“ตกลง” ไมเคิลตกหลุมพรางทันที ตอบโดยไม่คิดก่อนหลัง บางทีเขาก็ลืมคิดไปว่าคนที่จะไปอยู่ด้วยมันเป็นเด็กประหลาดที่เจ้าเล่ห์เสียกว่าปีศาจหมาป่าอย่างเขา

“ดี! งั้นกันไปกันเลย ทุกคนผมไปก่อนนะ เจ้านายอย่าลืมค่าจ้างนะครับแล้วจะมาเยี่ยมบ่อยๆ ผมจะส่งข้อมูลที่พวกมันทำที่องค์มาให้นะครับคุณพยาบาล แล้วก็รุ่นพี่...อย่าหักโหมนะครับ ฮิฮิฮิ โชคดีครับพี่เฟิร์ส” เชนสั่งลาทุกคนอย่างรวดเร็ว แถมยังทิ้งระเบิดไว้ตูมใหญ่เพื่อให้ทุกคนหัวเสียและหมั่นไส้ตามสไตร์ จากนั้นก็ลากไมเคิลที่ยังไม่ทันได้พูดอะไรออกไปอย่างรวดเร็ว เวลาของเขาสองคนต่อจากนี้จะเป็นยังไงก็ตามแต่ แม้มันจะต้องน่าปวดหัวมากสำหรับไมเคิล แต่เท่าที่เห็นเชนไม่น่าจะให้ไมเคิลจากไปในเร็วๆนี้แน่ เพราะสายตาที่ลอบมองไมเคิลนั้นแตกต่างจากทุกคน มันมีความโหยหาและมีชมพูจางๆที่เกิดจากความรัก...
 

“ไอ้เด็กบ้าดันรู้ทัน...” รีสที่เหวอไปสักพักก็ยิ้มแล้วพูดกับตัวเองเบาๆอย่างไม่ถือสา ต่างจากเฟิร์สที่ความรู้สึกปนเปกันมากมาย จากที่มีความกลัวปะปนอยู่ กับกลายเป็นสงสัยและขุ่นเคือง เกิดความน้อยใจ ข้องใจ และอีกมากมายในความลับทั้งหลายของรีส อีกทั้งที่ตัวเขานั้นรู้เรื่องทุกอย่างทีหลังเสมอ จนกลายเป็นใบหน้างอง้ำ เงียบเชียบไม่พูดไม่จา เอาแต่ยกมือกอดอกแล้วเดินไปรอที่ประตูแทน แลมป์ที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ส่ายหน้าระอา ...น้องชายของเขามีคนที่รักหมดใจแล้วสินะ...

“อ่าว เฟิร์ส พี่แลมป์ผมขอตัวไปก่อนนะครับ เดี๋ยวจะพาเฟิร์สมาเยี่ยม ขอให้พี่หมอไม่เป็นอะไรอย่างที่ตัวเขาคาดการณ์ด้วยเถอะ แต่ถ้ามีอะไรเรียกผมได้ตลอดเวลานะครับ” รีสที่งุนงงที่จู่ๆเฟิร์สก็เดินหนีออกไปก่อน ตะโกนเรียกก็ไม่หยุด จนต้องรีบหันมาบอกแลมป์แล้วจะวิ่งตามออกไป แต่ก็ต้องหยุดเมื่อเสียงแลมป์อีกครั้ง

“ขอบใจ แต่จะดี ถ้านายถนอมน้องฉันหน่อย อย่าให้หนักจนลุกมาเยี่ยมพอลไม่ได้ล่ะ หึหึ ฝากน้องชายฉันด้วย”

“...ครับ”

รีสรับปากอย่างแน่วแน่ แม้จะอายๆอยู่บ้างที่โดนรู้ทันว่าเขาจะทำให้เฟิร์สลุกไม่ขึ้น แต่เรื่องดูแลเฟิร์สมั่นใจและจะทำมันให้ดีกว่าเดิมแน่นอน แล้ววิ่งจากออกไปหาเฟิร์สที่งอนต่ก็รออยู่ที่ประตู ทิ้งไว้แต่แลมป์ที่นั่งยิ้ม จนพยาบาลกระแอมไอเรียกสติเพื่อสอนวิธีการดูแลหมอพอลต่อไป



เมื่อมาถึงคอนโด เฟิร์สก็เดินนำเข้ามาก่อนแล้ว ใบหน้าง้ำงองอนตุบป่องรอคนมาง้อ ตลอดทางที่มาด้วยกันเฟิร์สเงียบมาตลอด รีสก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ทั้งที่เฟิร์สอยากได้ยินคำอธิบาย แต่ที่ไม่พูดก็ใช่ว่าจะไม่สนใจอย่างที่เฟิร์สเข้าใจ เพียงแค่อยากมาอธิบายเมื่อถึงห้องมากกว่า เผื่อว่าคุยด้วยคำพูดไม่เข้าใจก็คุยด้วยร่างกายไปเลย.. 

แต่เมื่อมาถึงห้องรีสก็ยังมีทีท่าไม่สนใจอยู่ดี เมื่อถึงก็เดินเข้าห้องน้ำไปชำระล้างร่างกายทันที ปล่อยให้เฟิร์สที่เดินนำมาก่อนเหวอสักพัก จากนั้นก็ได้แต่ความง้ำงอของใบหน้าที่มากขึ้น เนื่องจากถูกเมินไม่สนใจ จึงได้แต่นั่งอยู่ที่โซฟาคนเดียวๆ ในใจก็ทั้งบ่นทั้งด่าอีกคนที่ไม่สนใจ
 

ฟอด!

รีสที่ยิ้มอยู่นาน เมื่อมองคนงอนที่ยืนกอดอกเรียกร้องความสนใจอยู่ที่โซฟา เมื่อเขาไปอาบน้ำมาเพราะตัวเขาสกปกรกไม่อยากให้เฟิร์สเปื้อนไปด้วยไม่ใช่ไม่สนใจอย่างที่โดนใส่ร้าย รีสเดินเข้าไปหาจากทางด้านหลังแล้วเอียงตัวขโมยหอมแก้มคนงอนไปฟอดใหญ่ เฟิร์สตกใจสะดุ้งเฮือก ลุกขึ้นยืนประจันหน้า แต่ก็ต้องหน้าแดงสุกเพราะรีสมีแค่ผ้าเช็ดตัวพันไว้รอบกาย โชว์เรือนร่างผิวพรรณที่ไม่ว่ามองกี่ครั้งๆก็ทำให้ใจอดสั่นไหวไม่ได้ แต่ไม่นานเมื่อเฟิร์สได้สติก็ดันตัวเองให้พ้นระยะโดยใช้โซฟาเป็นตัวกั้นระหว่างเขาทั้งสอง แล้วเบะปากใส่อย่างงอนๆ

“งอนรีสหรอครับคนดี หืม” รีสยิ้มเบาๆมองคนที่บ่นๆว่าตัวเองอายุมากกว่าเมื่อไม่นานมานี้ทั้งที่ท่าทีที่กำลังทำอยู่มันเด็กชัดๆ แถมยังเป็นเด็กน่ารักน่ากดซะด้วย

“ฉันเปล่า ง่วงแล้ว จะขอตัวไปนอน”เฟิร์สพูดเสียงแข็งอย่างงอนไม่เลิกรา แต่ดวงตากับเหลือบมองไปยังรีสบางครั้งแล้วหน้าแดงไปด้วย ทำยังไงก็อดมองไม่ได้ จึงเปลี่ยนเป้าหมายลุกจะเดินเลี่ยงเข้าห้องนอนไป

“เดี๋ยวครับ เฟิร์สช่วยทำแผลให้รีสก่อนได้ไหม” รีสคว้าจับแขนเฟิร์สไว้เบาๆ เอ่ยร้องขอความเห็นใจเบาๆ ดวงตานั้นสบมองอย่างอ้อนวอน ทั้งที่ข้างในนั้นทะเล้นที่ได้เห็นด้านน่ารักๆของเฟิร์ส แถมยังนึกอยากแกล้งเพิ่มขึ้นไปอีก

“แต่นายไม่ได้เป็นอะไรไม่ใช่หรอ” เฟิร์สนั้นพูดออกมาอย่างไม่สนใจ เสมองไปทางอื่นอย่างงอนๆไม่หันไปมองทางรีสให้ชวนใจอ่อน แต่เมื่อพูดไปแล้วรีสยังเงียบ จากที่งอนก็เริ่มใจคอไม่ค่อยดี จากนั้นจึงหันมาสบมองดวงตาสีแดงที่เว้าวอน แล้วพูดออกไปอย่างลนลานพร้อมๆกับวิ่งไปทางที่รีสยืนอยู่จับร่างกายรีสหมุนไปหมุนมาด้วยความเป็นห่วง

“...หรือว่าเป็น ตรงไหน รีส นายเจ็บตรงไหน! ไปนั่งรอที่โซฟาก่อนนะเดี๋ยวฉันไปเอายา...อืม...” รีสคว้าตัวของเฟิร์สเข้ามาไว้ในอ้อมกอด มืออีกข้างประคองท้ายทอย แล้วมอบจูบไปให้เฟิร์สอย่างนุ่มนวล ลิ้นร้อนค่อยๆแทรกเปิดพัวพันกันอย่างละมุน แลกเปลี่ยนความหอมหวานและความคิดถึงให้กันและกันเนิ่นนาน จนคนที่โกรธงอนในตอนแรกได้แต่หัวหมุนว่างเปล่า ใจอ่อนยวบ หน้าแดงซ่าน แล้วแดงขึ้นไปอีกเมื่อได้สบมองกับดวงตาสีแดงที่แสนมีเสน่ห์

“แฮ่ก แฮ่ก อือ...” รีสปล่อยปากออกเมื่อเห็นอีกคนเริ่มหายใจไม่ทัน ทันทีที่ถูกปล่อยออกเฟิร์สก็ทำหน้าไม่ถูก ได้แต่เบนหลบสายตาของรีสที่มองมาอย่างเร่าร้อนไปมา ความคุกกรุ่นโกรธเคืองในตอนแรกตอนนี้แทบละลายหายไปหมดสิ้น เมื่อรับรู้ความรู้สึกที่ถูกถ่ายทอดผ่านจูบแสนละมุนเมื่อครู่

“ตรงนี้ไงครับ แล้วยังมีตรงนี้ด้วย” รีสพูดออกไปเสียงหวาน แล้วคว้าจับเอามือเฟิร์สขึ้นไปแนบอก ส่งสายตาอ้อนวอนขอให้เฟิร์สช่วยรักษาไข้ใจ

“เอ่อ ห หัวใจของนายเป็นอะไรงั้นหรอ” เฟิร์สพูดผิดๆถูกๆ หน้าแดงซ่านหนักกว่าเดิม ยิ่งเห็นสายตานั้นมองมายิ่งหวั่นไหว

“หัวใจของรีสมันคิดถึงเฟิร์สจนปวดหนึบไปหมด เฟิร์สช่วยรักษามันได้ไหมครับ” รีสขยับเข้าชิดใกล้จนจมูกชนกัน เอ่ยเสียงพูดอ้อนหวานหยด ดวงตาสีแดงจับจ้องมายังดวงตาของเฟิร์สนิ่งงัน เงาสะท้อนของทั้งคู่สะท้อนอยู่ในดวงตาของกันและกัน แล้วจุมพิตเบาบางลงที่ริมฝีปากของอีกฝ่าย

เฟิร์สที่ถูกมนต์สะกดให้นิ่งงันทำอะไรไม่ถูก ได้แต่หน้าแดงสุกด้วยความขวยเขิน ขาแข้งอ่อนแรงจนอีกคนต้องโอบกอดไว้แผ่วเบา แม้จะแค่คำที่หวานหูแต่สำหรับเขาทั้งคู่ที่ไม่ค่อยได้ยินคำพูดอะไรแบบนี้มากนัก มันกลับกินใจที่โกรธงอนให้อ่อนยวบยาบไม่หลงเหลือถ้อยคำใดๆ นอกจากความโหยหา

เฟิร์สยกแขนโอบรอบลำคอของรีส โน้มให้ใบหน้าของคนสูงกว่าลงมาใกล้อีก แล้วจูบไปด้วยความคิดถึงแทนคำพูดที่ไม่ต้องเอ่ยคำใดๆออกมา ดวงตาที่แสนเว้นวอนสะท้อนเงาของรีสในระยะใกล้ กลับหลายเป็นจอมปีศาจเองที่สั่นไหวกับท่าทีนั้น จูบที่คนใต้ร่างเป็นคนนำเองแถมยังเต็มใจ แม้จูบนั้นจะไม่ได้ร้อนแรงแต่กลับวาบหวามชวนใจเต้น จูบที่ส่งมอบความในใจว่าคิดถึงมากเพียงใด... รักมากเพียงใด... โหยหาเขามากเพียงใด... จูบที่ดีต่อใจสองคนมากที่สุด

ตึกตัก! ตึกตัก! ตึกตัก!

เสียงหัวใจเต้นรัวเป็นจังหวะเดียวกัน จังหวะของความรัก จังหวะของความสุข ความเข้าใจ จังหวะของหัวใจที่นำพาความสุขมาให้พร้อมกัน

รีสโอบอุ้มตัวของเฟิร์สขึ้น ทั้งที่ปากนั้นยังไม่ปล่อยออกจากกัน เมื่อถึงที่นอนรีสก็ถอนจูบนั้นออกอย่างเสียดาย แล้ววางเฟิร์สลงบนเตียงนุ่มอย่างแผ่วเบา แม้ไม่มีคำพูดใดๆออกมาจากปากของทั้งคู่ก็รับรู้ได้ว่าต้องการสิ่งใด

เฟิร์สสบมองเรียกร้องสัมผัสจากรีสโดยไม่รู้ตัว สายตาดูยั่วยวน มุมปากมีน้ำใสๆไหลย้อยลงมา กายสั่นไหวขนลุกชันทุกเมื่อที่รีสสัมผัสโดน มือหนาค่อยๆบรรจงปลดเสื้อผ้าของคนข้างใต้ออกเชื่องช้า เผยผิวกายขาวใสน่าสัมผัส

รีสค่อยๆขยับเคลื่อนกายขึ้นคร่อมด้านบน ปลดเปลื้องผ้าเช็ดตัวที่ให้ให้หลุดออก เผยสัดส่วนน่ามองและ แกนกายที่กำลังลุกชันใหญ่โต จนคนข้างล่างเสมองไปทางอื่นอย่างเขินอาย แต่มือหนาก็เอื้อมจับให้หันหน้ามามองใหม่ พร้อมกับอีกข้างที่ลากไล้ตามโคนขาเรียวเฉียดแกนกายสีชมพูที่ตั้งชันอยู่ตรงหน้า แล้วค่อยๆใช้นิ้วลากผ่านท่อนลำเล็กแผ่วเบาสร้างความสยิว แล้วกอบกุมมันไว้ในมือรูดรั้งขึ้นลงแผ่วเบา

“เฟิร์สครับ ทำให้รีสด้วยได้ไหม” รีสโน้มกายเข้าใกล้กระซิบข้างหูคนที่นอนบิดกายอย่างเล่าร้อนใต้ร่างอย่างใจเย็นที่สุด ทั้งที่ไอเย็นๆรอบกายเข้าแผ่กระจายออกมาตามอารมณ์ที่คุกกรุ่น

“อะ อืม...” เฟิร์สที่แทบไม่หลงเหลือสติ นอกจากความวาบหวามและความสุขที่กำลังได้รับ ทำให้หลงลืมตัว ทั้งยั่วยวนทั้งทำตามปรารถนาส่วนลึกทุกอย่าง มือเรียวคว้าจับท่อนลำแข็งแกร่งแล้วรูดรั้งจนได้ยินเสียงครางฮือของคนข้างบนดังสลับกับของตนไปมา

“อะ อื้อ” รีสจับมือของเฟิร์สออกเมื่อสุขมากพอแต่ไม่ยอมปลดปล่อย มืออีกข้างก็ปล่อยออกได้ยินแต่เสียงฮึดฮัดของคนข้างล่างเมื่อโดนใจ จึงคว้าเอามือของเฟิร์สเองมารูดรั้งให้ตัวเอง รีสยกยิ้มพอใจเมื่อเฟิร์สนั้นดูสุขสม แถมยังเย้ายวน กายบิดเร้าเชิญชวนแต่เขาก็ต้องใจเย็น

“อืม...อ่า...อ๊า!” รีสโน้มกายเข้าใกล้จูบซับตามกายจนเป็นรอยกุหลาบทั่วตัว ทั้งยังลูบไล้จนคนใต้ร่างขนลกชันด้วยความซ่านเสียว มือที่ว่างก็ขยับเข้าหาบั้นท้ายทั้งกำทั้งขยำมันจนขึ้นรอยแดง บดจูบสร้างความวาบหวามที่มากขึ้น

“อะ อึก! มะ ไม่ ไม่นะ ห้ามทำแบบนั้นนะ มันน่าอาย ห้ามทำนะ อ๊า!” มือหนายกบั้นท้ายลอยขึ้นแทรกตัวเข้าหา ก้มลงเลียชิมที่ช่องทางสีหวานเป็นการเบิกทาง ไม่ได้ฟังคำทัดทานของอีกคน

“อะ อือ พอแล้ว ส ใส่เข้ามาสิ” หน้าหวานแดงซ่าน เอ่ยขอเสียงตะกุกตะกักด้วยความอาย เมื่อถูกเบิกทางอยู่นานจนทนไม่ไหว ได้แต่ส่ายสะโพกยั่วยวน มือเท้าจิกเกร็ง กัดริมฝีปากล่างแล้วเสมองไปทางอื่น ท่าทางแสนยั่วยวนแบบนั้นยิ่งทำให้คนข้างบนทนไม่ไหวอีกต่อไป รีบทำตามคำร้องขอนั้นอย่างไม่ขัดศร้ทธา

“อึก! อ๊า! ห๊า! เบา เบาหน่อยรีส มันเสียว...อ๊า!”

“อืม...อย่ายั่วนักสิ รีสจะไปทนไหวได้ยังไง”

เสียงครางระงมสอดประสาน เสียงหัวใจดังแข่งกันไม่หยุด เสียงน่าอายของการสอดใส่และเสียดสีที่ทั้งเบาทั้งรุนแรงสลับกันให้ได้ยิน จนปลดปล่อยออกมา เสียงเหล่านั้นดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดทั้งคืน แม้จะเหนื่อยหอบจนต้องหยุดพัก แต่ก็ยังคงทำกันต่อเนื่องตลอดคืน แม้ว่าฝ่ายโดนกอดจะหมดแรงแต่อีกคนยังคงโหมใส่ปลุกเร้าอารมณ์อยู่สักพักใหญ่

จนรุ่งเช้ามาเยือนเสียงเหล่านั้นก็เงียบหายไป มีเพียงร่างกายของคนสองคนที่นอนกอดกันอย่างเปี่ยมสุขมีผ้าห่มผืนบางคลุมกายไว้ โดยหลักฐานของความสุขยังกระจัดกระจายอยู่ทั่ว หวังแค่ว่าเมื่อบางคนตื่นขึ้นจะไม่เขินอายหน้าแดงซ่าน ไม่เช่นนั้น ตัวของเขาเองคงต้องทำในสิ่งที่ใจเรียกร้องให้กกกอดคนน่ารักเช่นวันนี้อย่างหนักหน่วงในหลายๆเวลาเพื่อชดเชยวันเวลาที่ผ่านมาแน่นอน


...
เป็นไงกันบ้าง มันเหมือนNC มั้ย ไรท์ชอบแบบนี้เค้าว่ามันวาบหวามกว่าตอนสอดใส่อีก หรืออยากได้แบบสอดใส่ด้วยก็เม้นมานะ บอกกันได้ อยากเห็นฉากแบบนี้ ใสให้ได้จะใส้จ้า
แล้วก็ ถ้าตอนนี้สั้นไป ขออภัยด้วยน้า แล้วก็ หัวใจรีสมันเต้นแล้วโว้ย...ถึงจะมีอาการมานานแล้วก็เถอะ แล้วจะเต้นไปตลอดมั้ย หรือจะแค่อาการอีก ลุ้นๆ
ตอนหน้าเรามาลุ้นอาการของหมอพอลกัน จะกลายเป็นอะไรน้อ...
ขอบคุณทุกแรงใจ แรงเม้น แรงเชียร์นะ มีกำลังเขียนต่อไป...
...
:call: สนุกมาก เราจะรอ แล้วเป็นกำลังใจให้ สู้สู้
ขอบคุณสำหรับแรงใจจ้า ดีใจที่ชอบน้า เย้ๆ:mew1: :mew1: :mew1:
รีบออกมาเลยรีส! เชรี้ยยย!โคตรมันส์ ลุ้นมากกกก แสรดดด!!ไอ้ดร.มันยังรอดไปได้อีก ไหลซะจริงนะมึง แต่ยังไงก็เถอะเจอสนง.ตร.แห่งชาติ ตามล่าหาตัวแน่เพราะเชนมันเก็บภาพหลักฐานจะส่งไปให้แล้ว ไม่โดนรีสฆ่าก็หนีหัวซุกหัวซุนละว่ะงานนี้!! เหี้ยโหดร้ายมากเอาคนไปทดลองเถื่อน!!ตั้งเยอะ มโนแล้วกูกลัวนะไอ้ห่า คนในตู้อ่ะ 5555555 //หมอพอลลลลลลลอย่าเป็นไรนะ มันทำอะไรกับหมอว่ะ แลมป์รีบๆพาไปรักษาเลย อย่าช้าๆทรมานแทน //ไมเคิลใช่ย่อย เจอสัตว์ประหลาดแล้วตาวาว นานๆได้เจอแบบนี้ใช่ไหม คึกเลยตรู จัดการแม่งเรียบ แดก 5555 //เฮ้ยยเฟิร์สฉลาดคิดได้ ตรูก็ลืมไปเลยว่าตาม GPS มาก็ได้ แบบเออว่ะ 55555 ดีที่ตามมารั้งรีสไว้ทัน ไม่งั้นนี้พังพินาศฤทธิ์ราชาปีศาจ ไอเย็นๆแม่งเท่ห์ไปอี๊ก ชอบบ 5555 เหออค่อยยังชั่วสู้กับตัวอื่นได้ รีบๆออกมาเล้ยยย เฟิร์สรออยู่ ห่วงจนร้องไห้หนักรีบมาปลอบเลย >///< //ตามล่าดร.กันต่อไปกบดานที่ไหนก็เจอเถอะ ฮิฮิฮิ 5555 //งานนี้ถ้าไม่ได้เชนแย่เลยถ้าจะแฮกระบบได้ขนาดนั้นทันทุกโปรแกรม เอาไปสิบดาว พวกนี้มันทำงานเคมีกันดีมากเข้าขารู้เรื่อง เหมาะร่วมงานกันแล้วละ 55555 //มันส์มากแต่ละคน ลุ้นก็ลุ้น พาๆกันออกไปให้ปลอดภัยนะ จากนั้นค่อยว่ากัน รอๆตอนต่อไปค่ะ ขอบคุณค่ะที่มาต่อ อ่านเร็วจบเร็วเลยเข้ามาช้า 555555
ดีใจมากกกกกกกที่ชอบแล้วลุ้นตามขนาดนั้น 555 ขอบคุณน้าที่ตามตลอดเลย / เราควรฆ่าดร.ยังไงดี 555 ตายยากมาก /หมอพอลนี่ลุ้นตอนหน้าน้า จะให้กลายพันหรือตายดี 555 /ไรท์บอกแล้วว่าเชนมันร้าย 555 ไมเคิลจะเสร็จเชนละ ตกหลุมพรางจนได้ 555/ รีสเฟิร์สตอนนี้หวานยังน้อ...
เพิ่งได้เจอฟิคค่ะ สนุกมากกกกก
เรื่องสนุกมากค่ะ ตัวละครหลากหลายดี
หุ่นยนต์น่าสงสาร
น้องเชนน่ากลัว 5555
ติดตามและเป็นกำลังใจให้นะคะ
ขอบคุณจ้าสำหรับแรงใจ แรงเชียน์ อิอิ แสดงว่าหลงเข้ามาอีกแล้ว 555 แต่ดีใจน้า ที่ยังอยู่...และชอบ // เชนนี่น่ารักและน่ากลัวไปในตัวค่ะ สุดท้ายก็ได้กินปีศาจหมาป่าเลย 555
หัวข้อ: Re: me die ?? ตอนที่ 39 25%
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 21-12-2016 16:07:56
Me die 39 : ติดเชื้อ NC 20+ [แลมป์xพอล] 25%

ทางด้านหมอพอลที่ยังคงนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงคนไข้ อาการยังคงหนัก50/50 บอกไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเมื่อไหร่จะดีขึ้น แต่ต้องทำตามความต้องการที่บอกกล่าวไว้ล่วงหน้า รวมถึงแจ้งแก่คนอื่นๆว่าไม่เป็นอะไร คนที่รู้เรื่องก็คงมีเพียงแค่แลมป์ และพยาบาลที่ตอนนี้กลับไปตามคำสั่งของหมอพอลที่บอกกล่าวไว้ล่วงหน้า เกิดเรื่องนี้ในสักวันคนที่จะเห็นเขาสภาพแบบนี้มีแค่แลมป์คนเดียว เมื่อได้รับยาและน้ำเกลือพร้อมทั้งจัดแจงให้นอนพักบนเตียงก็ยังคงนอนหลับอย่างสงบ แต่ไม่นานหลังจากทุกคนกลับไปกันหมด หมอพอลที่ดูเหมือนจะสงบไปแล้วก็เริ่มมีอาการ เหงื่อเม็ดเล็กๆเริ่มผุดตามใบหน้า คิ้วเริ่มขมวดใบหน้าเหยเก กายบิดเร้าไปมาอย่างทรมาน

แลมป์เดินออกไปหาอะไรกินห้องข้างๆได้ยินเสียงครางฮืออย่างทรมานของหมอพอล เท้าก็ก้าวเดินจนแทบจะวิ่งทั้งที่มือนั้นยังไม่ทันได้วางแก้วน้ำลงบนโต๊ะเลย ด้วยความรีบร้อนนั้นทำให้แก้วน้ำนั้นล่วงลงมากระทบพื้นจนแตกออก แลมป์กำลังจะวิ่งเป็นต้องสะดุ้งหยุดมองสิ่งนั้นไปสักพัก จนเสียงครางทรมานของหมอพอลดังขึ้นมา จึงจำเป็นต้องทิ้งเศษแก้วนั้นไว้ก่อน แล้ววิ่งเข้าไปดูคนที่เขาห่วงจับใจ

“อือ...เจ็บ..อื้อ อ๊ากก” มือบางๆนั่นกำแน่นเข้าหากัน เส้นเลือดปูดโปนอย่างทรมาน ร่างกายเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ไข้ขึ้นสูงแต่ก็หนาวสั่น ใบหน้ายับยู่ยี่และซีดเผือด ดิ้นไปมาไม่มีทางจะสงบลงแถมยังทวีความรุนแรงขึ้น

“พอลๆ คุณทำใจดีๆนะ” แลมป์
วิ่งเข้ามา เอ่ยเรียกสติอีกคนเสียงดัง ทั้งตะลึงทั้งเจ็บปวดที่เห็นคนๆนี้ต้องทรมาน ขยับเคลื่อนกายตัวเองเข้าไปใกล้ หันรีหันขวางมองหาสิ่งที่จะช่วยทำให้หมอพอลดีขึ้น แล้วเขาก็นึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่พยาบาลสั่งเขาทิ้งไว้

‘ถ้าคุณหมอมีอาการอีก ให้ฉีดสิ่งนี้ลงไปในสายน้ำเกลือตรงนี้นะคะ มันคือยาระงับอาการปวดและทำให้ง่วง ไม่นานคุณหมอจะสงบลง’

ไม่ต้องรอนาน เขาคว้าหยิบเข็มฉีดยาที่บรรจุยาไว้เต็มเรียงรายอยู่นับสิบข้างเตียงขึ้นมาถือไว้ เขาพยายามนึกวิธีใช้และทำมันอย่างประหม่า พรางนึกในใจว่าให้เขาจับปืนฆ่าคนยังจะง่ายกว่า มือของเขาสั่นไปหมด แต่ก็ต้องรีบทำเพราะทนเห็นอีกคนนอนดิ้นอย่างทรมานไม่ไหว เมื่อฉีดลงไปไม่นานหมอพอลก็สงบลงในที่สุด แลมป์ถึงกับถอนหายใจโล่งอกแล้วจัดแจงเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ให้เสร็จ แล้วก็ไปจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ตัวเองบ้าง

แต่อาการหนักแบบนี้ ก็เลยวางใจไม่ได้ แลมป์รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วก็ยังไม่ทัน อาการทรมานของหมอพอลก็เริ่มเกิดขึ้นอีกครั้งทั้งที่ยาเข็มแรกเพิ่งจะฉีดไปไม่ถึง 15 นาที เหงื่อกาฬเม็ดเล็กๆก็เริ่มผุดพายขึ้นมาอีกครั้ง สีหน้านั้นก็ยังไม่หายซีด เพียงแค่อาการยังไม่หนักเท่าก่อนหน้าเพราะเพิ่งได้รับยาไป แลมป์จึงต้องกลายเป็นพยาบาลจำเป็นนั่งอยู่ข้างๆคอยซับเหงื่อที่เริ่มมีมากขึ้นตามเวลา

แต่ไม่นานพอครึ่งชั่วโมงผ่านไปอาการก็เริ่มกลับมาหนักเหมือนตอนแรก อาจจะหนักกว่าด้วยซ้ำ หมอพอลดิ้นทุรนทุรายหน้าซีดหนักกว่าเดิม ร้องครางระงมอย่างเจ็บปวด แลมป์ก็หยิบยาฉีดให้อีกเหมือนเคย อีกทั้งยังคอยพยาบาลอยู่ข้างๆเช็ดตัวดูแลอยู่ตลอดเวลา ยาก็ฉีดให้ทุกๆครึ่งชั่วโมง อีกดึกขึ้นๆยาก็ยิ่งหมดฤทธิ์เร็วมากขึ้น จึงต้องฉีดถี่ขึ้น

เวลาผ่านไปยังไม่ถึงเที่ยงคืนยาก็ถูกใช้ไปเกือบหมดเหลืออีกเพียงแค่เข็มเดียวเท่านั้น อาการยิ่งทรุดหนักไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นตามที่คาดหวังเลยสักนิด ทำให้แลมป์เป็นกังวลอย่างมาก ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี จึงจะโทรศัพท์หาพยาบาลที่ดูแลว่ามียาอยู่ตรงส่วนไหนอีกบ้าง แต่ก็ยังไม่ทันได้ทำ เพราะอีกคนดิ้นน้อยๆให้แลมป์ตกใจคิดว่าอากรกำเริบอีก จึงรีบวางโทรศัพท์ลงเตรียมหยิบเข็มฉีดยาขึ้นมาถืออย่างชำนาญ แต่กับมีบางอย่างแปลกออกไป หมอพอลที่เวลานี้ควรจะเริ่มออกอาการและไม่นานอาการคงจะทรุดหนักอีก กับหลับตาพริ้ม  หน้าที่ซีดเริ่มมีสีขึ้นมา หายใจสม่ำเสมอเหมือนคนที่กำลังนอนหลับสนิทเท่านั้น แลมป์เห็นแบบนั้นก็เริ่มยิ้มออก แต่ก็ยังไม่วางใจ

“ผมดีใจนะพอลที่คุณดีขึ้น ตอนนี้ผมเข้าใจความคิดของตัวเองแล้ว ที่คอยห่วงคอยหวงมันไม่ใช่ฐานะเพื่อนหรือผู้มีพระคุณ แต่คุณเป็นยิ่งกว่า คนพิเศษ สำหรับผมซะอีก”



แต่มันกลับไม่ได้เป็นแบบนั้น อาการของหมอพอลที่เหมือนจะดีขึ้นก่อนหน้ากลับทรุดลงอีกในกลางดึก แลมป์ที่เผลอหลับไปข้างๆต้องสะดุ้งขึ้นมา เขาหยิบยาเข็มสุดท้ายฉีดเข้าไปที่สายน้ำเกลือ สีหน้าเป็นกังวลหนัก เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่ทราบได้ ยาเข็มนั้นไม่ได้ผลเลยสักนิด ทั้งโทรหาพยาบาลถามหายาสำรองมาให้ต่างๆนาๆก็ไม่มีทีท่าว่าอาการในรอบนี้จะลดลง 

“อึก อือ... เจ็บ ทะ ทนไม่ไหวแล้ว ทะ ทรมาน เหลือเกิน อ๊ากกก! ละ แลมป์ช่วยด้วย...อือ...” หมอพอลเหงื่อไหลท่วมกาย ใบหน้าขาวซีดยิ่งกว่ากระดาษ ริมฝีปากคล้ำม่วงไปหมด มือเท้าเกร็งแข็ง ตัวเย็นจัดและสั่นไหว น้ำตาไหลเป็นทาง สีหน้าดูทรมาน แถมยังส่งเสียงร้องดังระงมฟังไม่ค่อยรู้เรื่องอย่างเจ็บปวด

“พอล พอล ไหวไหม ผมจะทำยังไงดี โว้ย! กูทำเหี้ยอะไรไม่ได้เลยรึไง ไอ้แลมป์! ไอ้โง่เอ้ย! พอล!” แลมป์ที่ทำอะไรไม่ได้ นอกจากมองดูความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากอีกคน ในใจขมขื่นเจ็บจนหน้าชา คับแค้นใจตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่โทษตัวเอง มือที่คอยซับเหงื่อดูแล ขาที่วิ่งพล่านหายาที่พอจะช่วยได้ หน้าตาอิดโรยวิ่งเวนจนแทบจะล้ม ไหนจะบาดแผลที่ได้รับมาก่อนหน้าก็เริ่มกำเริบ แต่นั่นก็ไม่ได้หยุดเขาที่คอยดูแลคนบนเตียงได้เลย เขายังคงทำหน้าที่นั้นต่อไป ภายในใจภาวนาให้หาย แล้วบอกกับตัวเองให้ทนความเจ็บปวดเสมอ เพราะคนที่เจ็บกว่านอนอยู่ตรงหน้า จะต้องดูแล จะต้องดูแล...

“อึก! ฮือ ไม ไห ว ทะ ทน ต่ ไป ฮ๊ากกกกกกกก!!!!” เสียงพึมพำฟังไม่ได้ศัพท์  ไม่นานปากอ้าออกกว้างกรีดร้องออกมาเวียงดังลั่น ร่างกายกระตุกเกร็งจนตัวเด้งขึ้นจากที่นอน ดวงตาที่หลับเบิกกว้างขึ้นเผยให้เห็นดวงตาสีเหลืองเต็มดวงที่มีจุดสีดำเล็กเป็นนัยน์ตา จากนั้นก็หลับลงพร้อมกับร่างกายที่ล้มนอนกับที่นอนเหมือนเดิม เสียงร้องเงียบไปแล้ว แต่ร่างกายยังคงกระตุกเกร็ง แลมป์ที่ไม่รู้จะทำยังไงได้แต่รวบร่างที่อ่อนแอนั้นขึ้นมากอดแนบอก หมอพอลยังคงดิ้นพล่านบิดเร้ากายอย่างทรมาน ตัวสั่นงันงก อุณหภูมิร่างกายที่เคยเย็นซีดกลับกลายเป็นร้อนรุ่มดังสัตว์เลือดอุ่น ไม่นานหูที่เคยเหมือนมนุษย์ก็ค่อยๆงอกแหลม หลังที่ถูกโอบกอดก็มีเสียงกระดูกที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนรูปร่างไม่นานกระดูกนั้นก็ปูดโปนแทงทะลุผิวหนังขึ้นมาสองชิ้น แลมป์ได้แต่กระชับอ้อมกอดเปื้อนเลือดนั้นแน่นขึ้นด้วยใจที่เจ็บปวด ไม่นานเสียงกรีดร้องสุดท้ายดังระงมอย่างทรมาน ร่างกายของหมอพอลกระตุกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะแน่นิ่งไป จนคนที่กอดอยู่ใจไม่ดี

“พอล! ผมขอโทษที่ช่วยคุณไม่ได้! ผมมันแย่เองพอล...ตื่นขึ้นมาต่อว่าผมสิ ...อย่าเป็นแบบนี้ ...ให้ผมเจ็บแทนคุณสิ ฮือ…ตื่นขึ้นมาฟังคำว่า รัก จากผมก่อนได้ไหม...” น้ำตาลูกผู้ชายไหลรินอย่างไม่อาย อ้อมแขนสั่นไหวนั้นยกเจ้าของหัวใจขึ้นมากอดแนบอก ภายในใจร้องขอความเจ็บปวดนั้นไว้เอง ความข่มขื่นที่เห็นคนที่รักเจ็บปวดมันเจ็บมากกว่าเป็นร้อยเท่าพันเท่า
แม้ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์แบบนี้มันก่อขึ้นมาเมื่อไหร่ แต่เขาก็แน่ใจว่าคนตรงหน้านี้คือคนสุดท้ายที่เขาเลือกจะใช้ชีวิตด้วย ยิ่งกว่าคนพิเศษใดๆ สำคัญมากกว่าสิ่งไหนในโลกนี้ คนๆเดียวเท่านั้นที่กอบกุมหัวใจเขาตั้งแต่เจอกัน ความตื่นเต้นและแปลกไปของใจตั้งแต่แรกเริ่มที่เขาไม่เคยได้คำตอบ บัดนี้เขาได้คำตอบแล้ว ...เพียงแค่หวังว่ามันคงจะไม่สายไปที่จะสารภาพ



ขณะเดียวกัน

รีสที่นอนกอดเฟิร์สในสภาพเปลือยเปล่าภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน ต้องสะดุ้งตื่นเพราะเสียงแผดร้องของโทรศัพท์ ต่างจากอีกคนที่ยังคงนอนหลับสนิทเพราะความเหนื่อยอ่อนจากกิจกรรมหนักหน่วงที่เพิ่งจบลงไปไม่นาน เขาขยับร่างของคนตัวเล็กกว่าออกห่างเบาๆแล้วลุกขึ้นจากเตียงนอนมารับโทรศัพท์ ในใจภาวนาว่าอย่าเป็นเรื่องที่หมอพอลอาการทรุดหนักเลย แต่เมื่อเห็นเบอร์กับต้องแปลกใจ เบอร์ไม่รู้จักโทรเข้า ไม่น่าจะใช่ของแลมป์ที่เขาแลกเบอร์กันไว้ สายตาของรีสเหลือบมองนาฬิกาที่บอกเวลา ตี3 ดึกขนาดนี้ใครกันที่โทรหาเขา แถมสายตัดไปแล้วยังโทรมาอีกสายแล้วสายเล่า รีสจึงเลิกสงสัยแล้วกดรับโทรศัพท์ทันที

“สวัสดีครับ”

“นั่นเบอร์คุณไมค์รึเปล่าฮะ นี่ผมติวเตอร์นะ เพื่อนรีส ที่คุณบอกว่ามีเรื่องเดือดร้อนอะไรให้โทรมาเบอร์นี้ จำได้ไหมฮะ”

รีสคิดหนักทันที เมื่อได้ยินเสียงและชื่อที่คุ้นเคย ใจอยากจะตะโกนบอกว่าตนคือรีสเพื่อนรักคนเดิม แต่ก็ต้องเก็บเงียบ แล้วฟังเรื่องต่ออย่างร้อนใจ เพราะคนอย่างติวเตอร์ถ้าไม่เดือดร้อนหมดหนทางหรือทนไม่ไหวจริงๆคงไม่ขอความช่วยเหลือใครง่ายๆ

“ครับ ผมจำได้ มีอะไรรึเปล่าครับถึงโทรมาดึกขนาดนี้ หรือคุณกำลังเดือนร้อน”

“ขอโทษด้วยนะฮะที่ต้องโทรมารบกวนคุณไมค์ตอนนี้ ใช่ฮะ ผมกำลังเดือดร้อน ผมมีเรื่องให้คุณไมค์ช่วย คือ ตอนนี้คุณไมค์ช่วยออกมารับผมที่...ได้ไหมครับ ผมไม่มีที่ไปจริงๆ”

“ครับ ...รออยู่ตรงนั้นนะครับ ผมกำลังออกไป” รีสหยุดมองใบหน้าของเฟิร์สสักพัก แต่ก็ตอบตกลงและรีบออกไปทันที ได้แต่ภาวนาว่าเฟิร์สคงจะไม่โกรธถ้าจะมีสามาชิกมาอยู่ที่นี่เพิ่มอีกสักคน


...
ครึ่งหลังมี nc เบาๆนะจ้ะ
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: oiruop ที่ 21-12-2016 16:38:59
 :mew2: :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย { Yaoi } โดย สิบสาม [13]
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 23-12-2016 08:09:52
ต่อจ้าาาาา


รุ่งเช้า แลมป์ที่เผลอหลับไปอย่างเหนื่อยล้า ทันทีที่สะดุ้งตื่นก็เด้งตัวขึ้นจากหมอน มองไปด้านข้างเพื่อหาบางคน แต่กับต้องขมวดคิ้ว เมื่อเห็นก้อนผ้าห่มสีขาวอยู่ข้างๆแทน ย้ำว่าก้อน เพราะลักษณะของมันไม่ใช่รูปร่างคน กลมเรียวเหมือนลูกลักบี้ยักษ์มาวางอยู่ข้างๆแทน ด้วยความสงสัยแลมป์เลยใช้มือเอื้อมเข้าไปใกล้หมายจะหยิบดึงผ้าห่มที่ห่อสิ่งนั้นไว้ แต่ก็ต้องสะดุ้งเด้งตัวออกจากที่นอนจนตกเตียง เพียงเพราะสิ่งนั้นขยับไหว

“เห้ย! เอ่อ พอล...นี่คุณรึเปล่า?” แลมป์เอ่ยขึ้นขณะที่จ้องสิ่งนั้นตาเขม็ง ขยับกายลุกขึ้นจากพื้น มองซ้ายขวาหาอีกคนไม่เจอก็ต้องเป็นสิ่งนี้แน่ ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นเดินเข้าไปใกล้ แล้วตัดสินใจดึงผ้าห่มที่คลุมอยู่ออกอย่างรวดเร็ว จากที่จะยิ้มออกเพราะหมอพอลหายแล้ว แลมป์กลับต้องขยับกายวิ่งไปหยิบปืนพกที่เก็บไว้ไม่ห่างมาจ่อสิ่งนั้นไว้ แล้วตะโกนเรียกหาหมอพอลด้วยความเป็นห่วง เพราะสิ่งที่หลงเหลืออยู่ของหมอพอลมีเพียงเศษเสื้อผ้าที่ถูกฉีกออกกระจัดกระจาย

“พอล พอล! คุณอยู่ที่ไหน! แล้วไอ้นี้มันตัวอะไรวะ”
จะไม่ให้เขาสติแตกพูดมากจนเอาปืนมาจ่อเตรียมยิงได้ยังไง ก็ตื่นขึ้นมาก็เห็นอะไรบ้าๆแบบนี้แล้ว สิ่งๆนี้มันแปลกประหลาด แปลกว่าน้องเขยของเขาอีกอย่างน้อยมันก็รูปร่างคน ถึงจะยังไม่เห็นข้างในก็เถอะนะ ก็บางอย่างที่รูปร่างคล้ายปีกค้างคาวขนาดใหญ่ห่อหุ้มปิดคลุมสิ่งที่อยู่ด้านในมิดชิด

“พอล! คุณอยู่ไหน พอล! พอล... อึก!” ยิ่งเรียกชื่อหมอพอลดังขึ้น แลมป์กับต้องสะอึกและเงียบลงอย่างตกใจ เมื่อทุกครั้งที่เอ่ยเรียกชื่อของอีกคน สิ่งๆนี้กับตอบรับ ราวกับเป็นชื่อของตน ปีกขนาดใหญ่นั้นขยับไหว ยิ่งเรียกยิ่งขยับและกระตุก ไม่นานสิ่งๆนั้นก็ขยับเคลื่อนไหวให้แลมป์ต้องตาโต ก้อนกลมๆนั่นขยับลุกจากที่นอนอยู่เหมือนให้คนภายในได้ลุกขึ้นนั่ง แลมป์ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากตาโต แต่ก็ยังมีสติถือปืนเตรียมลั่นไก

ปีกค้างคาวสีเดียวกับผิวหนังมนุษย์ขยับไหว ค่อยๆเปิดออก เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ภายใน ดังดักแด้ที่กลายเป็นผีเสื้อแสนสวยงาม เช่นเดียวกับคนๆนี้ที่ทำเอาแลมป์ที่ยืนมองมาตาโตตกใจอย่างที่ไม่เคยมีใครได้เห็น

“คุณจะยิงผมหรอ แลมป์...” เปือกตาบางขยับเปิดให้ขนแพรหนาหนุ่มพลิ้วไหวช้าๆให้เห็นดวงตาสีน้ำตาลอ่อนดังแก้วใสที่มีอัญมณีเม็ดงามสีนิลอยู่ตรงกลางกำลังจ้องมองตรงไปข้างหน้า ริมฝีปากบางขยับเอ่ยเสียงนุ่มคุ้นหูพรางยิ้มบางๆอย่างอบอุ่น ปีกใหญ่ขยับช้าพลิ้วสวยขับให้เจ้าตัวดูเด่น ไหนจะหูแหลมๆและเขี้ยวเล็กที่งอกยาวขึ้นมารวมถึงท่านั่งที่แม้จะใช้แขนปิดบังส่วนลับเอาไว้ แต่มันยิ่งดูเหมือนปีศาจเซ็กซี่จอมยั่วยวนคนมองให้ไปไม่เป็น

“ปะ เปล่า เปล่า พะ พอล คุณ คุณเปลี่ยนไปนะ” แลมป์ที่ทำอะไรไม่ได้อีกตามเคย นอกจากสายตาซุกซนที่กำลังมองสำรวจตามร่างกายที่เขาคิดว่ามันกำลังเปลี่ยนไป แต่ยังไงดีล่ะ มันไม่ได้เปลี่ยนไปในทางที่ไม่ดี แถมยังดู มีเสน่ห์.. ดึงดูด.. แถมยังหลงไหล.. น่าสัมผัสไปหมดทุกส่วน”

“เปลี่ยนหรอ.. แล้วนายชอบรึเปล่า...” เสียงใสแผ่วลงสีหน้าดูกังวลนิดๆ แต่เมื่อเหลือบขึ้นมองคนที่เอาแต่จ้องสำรวจไม่วางตาก็ยิ้มออก ผิวกายเปลือยเปล่าขาวเนียนแลดูนุ่มนิ่มน่าสัมผัสทุกสัดส่วน ขยับเยื้องกายนวยนาดเข้าหาคนที่ยืนอยู่ในท่าคลานเข่า ตาหวานหยาดเยิ้มสบมองไม่วางตา ริมฝีปากบางถูกเผยอเล็กน้อยให้ลิ้นเล็กออกมาแลบเลียอย่างยั่วเย้า มือบางลากไล้อย่างเชื่องช้าไปบนผืนผ้าปูสีขาวแล้วกดลงเพื่อเปลี่ยนข้าง ปีกใหญ่ขยับไหวเล็กน้อยเพื่อช่วยทรงตัว ถัดไปนิดก็เป็นสะโพกเนียนที่กำลังส่ายไปมาโชว์ก้มงอนสวยน่าสัมผัส กับหางยาวมีปลายแหลมตะหวัดไปมา ทำเอาคนที่มองถึงกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่

“พ พอล ค คุณจะทำอะไร” เสียงใหญ่เอ่ยตะกุกตะกักทำตัวไม่ถูก เมื่อปีศาจเซ็กซี่ตรงหน้าเยื้องกายเข้ามาใกล้ ไหนจะท่าทางที่ยั่วยวน สีหน้าที่ชวนให้ให้คิดลึก พาเอาใจที่ตื่นตะหนกตื่นกลัวแปรเปลี่ยนเป็นเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้น แล้วไหนจะมือขาวเนียนที่กำลังยื่นตรงมาหาหมายที่จะแตะตัวเขา แลมป์ได้แต่คิดเพ้อๆไปว่า ถ้าเขาเอื้อมมือออกไปจับบ้าง สิ่งตรงหน้าจะหายไปไหม เพราะคนอย่างหมอพอลตัวจริงไม่มีทางที่จะมายั่วยวนเขาแบบนี้แน่

หมับ!

“เห้ย! ทำอะไรน่ะ” แลมป์สะดุ้งโหยง ถอยหลังหนีห่างออกมาอย่างตกใจ ไม่ใช่เพราะกลัวหรืออะไรหรอก แต่ถ้าโดนของอันตรายนี้เข้า คนที่จะเดือดร้อนก็คือคนที่จับมันนั่นแหละ ให้ตาย อยู่ดีๆมือบางนั่นก็คว้าหมับเข้าที่กลางเป้าเลย จะไม่อะไรหรอกนะ ถ้ามันไม่กำลังตื่นตัวอยู่น่ะสิ เล่นยั่วกันขนาดนั้นไม่ขึ้นก็บ้าแล้ว

“คิกคิก ไม่เห็นจะต้องตกใจขนาดนั้นเลย ผมแค่อยากจะช่วยคุณเท่านั้นเอง ดูสิ.. ผมว่ามันอยากออกมาข้างนอกนะ อยู่ในนั้นท่าทางจะอึดอัดแย่” ปีศาจแสนยั่วก็ยังคงทำหน้าที่อย่างดี พูดไปขำไปอย่างน่ารัก แต่ดันแอบเซ็กซี่และยั่วยวนไปในตัว ปากบางๆที่หยอกเย้าเอ่ยพ่นยาพิษร้ายที่ส่งผลโดยตรงต่อใจคนฟัง แถมยังแลบลิ้นเลียวนขบกัดริมฝีปากบางของตนเบาๆ ดวงตาหวานเยิ้มจ้องมองเรียกสายตาอีกคนไม่ให้มองไปทางไหนได้นอกจากตน มือบางค่อยๆถูกยกขึ้นมาไล้ตามร่างกายเนียนช้าๆปรับเปลี่ยนสายตาคนมองให้มองตามมันไป

“คุณ...ไม่คิดแบบผมหรอ” ยาพิษแสนหวานถูกเอ่ยออกไปอีกครั้ง พร้อมๆกับปีกใหญ่ของตนที่ขยายออกไปโอบดันเอาอีกคนให้ขยับเข้ามาใกล้ดังโดนมนต์สะกดที่ไม่มีทางแก้

“ว้าว... ดูขนาดของมันสิ แถมยังแข็งกับหินแหน่ะ แลมป์คุณมีของดีอยู่กับตัวจริงๆสินะ” มือบางเคลื่อนไปกอบกุมแล้วลูบไล้ผ่านเนื้อผ้าให้ส่วนแข็งแรงที่กำลังโป่งนูนดันเนื้อผ้ากระตุกเล่น นิ้วเรียวค่อยๆลากไล้ตามรูปร่างของมันขึ้นลงจนมันแข็งเป็นหิน จากนั้นก็ขยับรูดซิบพร้อมดึงกางเกงลง จนส่วนแข็งแรงนั้นโผล่พ้นเนื้อผ้าออกมาชี้หน้าไม่ลดละ เผยให้เห็นริมฝีปากที่กำลังยิ้มเหมือนได้เจอของถูกใจ มือเรียวนั้นยังไม่หยุดซุกซนลากนิ้วผ่านมาให้กายอีกคนกระตุกเกร็งด้วยความอยากแกล้ง ยิ่งกระตุกมากเท่าไหร่ปากบางนั่นก็ขำเบาๆตามมันไปทุกครั้งอย่างสนุกสนาน ต่างจากอีกคนที่กำลังกรีดร้องเถียงกับความดีความชั่วของตนในใจ

“ที่จริงผมเป็นสุภาพบุรุษ แต่ในเมื่อคุณยั่วขนาดนี้...เอาสิ ผมว่ามันยังไม่เปียกพอ คุณรู้ใช่ไหมว่าต้องทำยังไง”

“งั้น...ขอทานละนะครับ”
มือบางขยับรูดรั้งเหลือพื้นที่ว่างส่วนบนให้ริมฝีปากบางเข้าครอบครองในเวลาต่อมา ช่องปากเล็กๆกับน้ำลายสีใสช่วยหล่อลื่นจนเปียกชุ่ม ขณะที่ดวงตาพราวเสน่ห์ยังคงจ้องมองกันไม่คาดสายตา ร่างเล็กขยับกายเข้าหามากขึ้น แลบลิ้นออกมาทำหน้าที่ตวัดโดยรอบลากไล้ตั้งแต่ปลายถึงโคนแล้วก็เข้าครอบครองไว้ทั้งปากอีกครั้ง มืออีกข้างตนก็ไม่ยอมให้ว่างหยอกล้อตุ่มไตบนหน้าอกเนียนของตนไปมา หางยาวก็ไม่น้อยหน้าอ้อมมาพันส่วนหน้าของตนที่แข็งขืนแล้วรูดขึ้นลงแผ่วเบา สร้างความวาบหวามมากมายแก่ตนเองและอีกคนที่โดนสัมผัส

“อืม...” มือหนาขยำกุมผมคนตัวเล็กตรงหน้า เงยหน้าครางฮือแผ่วเบาพึงพอใจกับสิ่งที่ได้รับ เอวเริ่มขยับโยกกระแทกเข้าปากเล็กแคบเชื่องช้า เหลือบสายตามองต่ำเห็นคนตัวเล็กเล่นกับร่างกายตัวเองจึงยิ้มออก แลบเลียริมฝีปากกระหายอยากกว่าครั้งอื่นใด เอื้อมมือลูบไล้ปลายปีกสู่หลังขาวเนียน นวดเฝ้นสะโพกบางจนขึ้นรอยมือ อีกข้างก็เอาเข้าปากให้เปียกชุ่มแล้วยื่นมาลูบวนเวียนผ่านช่องทางคับแคบด้านหลังแล้วกดลงไป

“อื้อ! ฮ้า มะ มัน” ร่างบางสะดุ้งเฮือก ปล่อยปากออกจากแท่งร้อนแข็งขืนตรงหน้า ครางฮือเมื่อรับรู้ถึงบางที่เข้ามาภายใน แม้แค่เพียงปลายนิ้วก็ทำให้อึดอัด แต่ร่างกายกับรู้สึกร้อนรุ่มและอยากได้สิ่งที่ใหญ่กว่านี้กระแทกเข้ามา ทำให้ปลายหางที่ทำหน้าที่รัดกายตนด้านหน้าบีบแน่นและรูดรั้งตัวเองแรงขึ้น

“ทำต่อไปสิ” มือใหญ่คว้าจับเอากลุ่มผมโน้มเข้าหาแก่นกายตนแล้วขยับโยกควบคุมจังหวะที่สวนเข้าออกกับสะโพกตน อีกมือก็เพิ่มนิ้วจากหนึ่งเป็นสองและสามตามลำดับขยับเข้าออกที่ช่องทางคับแคบเปียกชุ่มจากน้ำสีใสจนมันเริ่มนุ่มและขยายออกเพียงพอ

“พอก่อน” มือหนาดึงนิ้วทั้งสามออกจนร่างกายของอีกคนกระตุก คว้าจับไหล่ดันร่างเล็กออกห่างอย่างเสียดาย

“อื้อ ไม่นะ!” ร่างบางสะดุ้งเฮือกเอื้อมมือคว้าจับขนมหวานที่ถูกดึงให้หลุดจากปากเอาไว้ ขมวดคิ้วทำสีหน้าแสนเสียดาย ยิ่งส่วนล่างที่ถูกปล่อยให้โล่งก็คลายหางตนมาเล่นกับข้างหลังขยับเข้าออก เพียงเพราะพอใจตรงส่วนนั้นมากกว่า และในใจตอนนี้ก็อยากจะได้บางสิ่งกระแทกเข้ามาโดยไว

“หึ ใจเย็นๆหน่อยที่รัก ผมแค่จะมอบบางสิ่งที่คุณต้องพอใจมากกว่าเดิมให้เท่านั้น นอนลงสิ ช้าๆ...” แลมป์ยิ้มพอใจยิ่งเห็นท่าทางอยากได้ของร่างเล็กตรงหน้าก็ยิ่งหื่นกระหาย ใจจริงอยากจับอีกคนกดลงเตียงและกระแทกซะให้หายอยาก แต่ต้องทำใจเย็นเพราะอยากรู้ว่าอีกคนจะทำอะไรได้มากกว่านี้ไหม แต่เมื่อเห็นหางปลายแหลมนั่นเปลี่ยนที่จากส่วนหน้าที่คอยรูดรั้งไปแทงเข้าออกด้านหลังนั่นทำให้เขาแอบหึงและกระหายอยากจนทนไม่ได้ มือหนาคว้าจับเอาหางนั้นไว้ในมือไม่ให้มันเข้าไปยุ่มย่ามด้านหลัง รวมถึงรวบมือบางเอาไว้ทั้งสองข้าง ให้ร่างบางต้องรออย่างทรมาน แล้วเอ่ยบอกกล่าวสิ่งที่อยากให้กระทำ ปล่อยมือร่างบางให้นอนหงายราบไปกับที่นอนพร้อมกับปีกด้านหลังที่ขยายเต็ม

ร่างเล็กที่ทำตามคำสั่ง นอนสั่นไหวอย่างกระหายอยาก ดวงตาหวานเยิ้มมีน้ำตาคลอในหน่วยตา ปากบางอ้ากว้างโชว์เขี้ยวเล็กแหลมดูน่ารัก แลบลิ้นเลียริมฝีปากไปมาจนน้ำสีใสไหลย้อยมุมปาก แก้มแดงปลั่งดังลูกตำตึงสุก มือไม้เริ่มอยู่ไม่สุขขยับเข้ากอบกุมแกนกายตนเองอย่างแรงจนน่ากลัวว่าเล็บยาวแหลมนั่นจะขูดจนเลือดออกและอีกข้างดึงอีกคนเข้าหาอย่างเชิญชวนเต็มที่ คนถูกดึงก็หาได้ปฏิเสธโอนอ่อนทิ้งกายลงค่อมด้านบนหลังจากถอดเสื้อผ้าจนหมดสิ้น

“ข เข้ามาสิ เร็วๆ” ขาเล็กถูกยกขึ้นชิดอกโดยเจ้าตัว มือบางที่มีเล็บแหลมคมลูบไล้วนเวียนอยู่ตรงช่องทางแคบที่ถูกขยายจนนุ่ม ปลายนิ้วเล็กเปิดขยายช่องทางนั้นจนเห็นภายในที่ขมิบตอดอย่างรุนแรง

“อย่ายั่วนักสิ คุณหมอ” แลมป์ขบกามแน่นกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ในใจก็เอาแต่บอกตัวเองว่าอย่าใจร้อน ไม่งั้นอีกคนเจ็บตัวแน่ แต่ยิ่งเห็นแบบนั้นใครจะทนไหวกัน เล่นยั่วกันขนาดนี้มีหรือจะทนได้ มือหนาคว้าจับเอามือเล็กทั้งคู่ออกไปกดเข่าให้ชิดอกไว้ เพื่อที่ตนจะได้มอบบางสิ่งที่อีกคนต้องการได้ถนัด แกนกายแข็งใหญ่ถูกจับมาจ่อไว้ที่ช่องทางสีสวยแล้วค่อยๆกดใส่มันเข้าไปเชื่องช้า แม้จะถูกขยายแล้วก็ตามแต่ภายในนั้นขมิบตอดรุนแรงและเขาก็ไม่อยากกระแทกฝืนเข้าไป จึงทำการดันเข้าไปให้ลึกเท่าที่ได้แล้วดึงออกมาเล็กน้อยเพื่อตั้งหลักและกระแทกดันเข้าไปใหม่ ยิ่งเขากระทำแบบนี้เพื่อไม่ให้ร่างเล็กเจ็บปวด ใช่ไม่เจ็บปวด แต่กลับสร้างความวาบหวามให้อีกคนมากมายจนหน้าตาแดงก่ำร่างกายบิดเกร็งสั่นสะท้าน

“อะ อ๊า! ฮ้า...ผม ผมเสร็จซะแล้ว” แรงกระแทกสุดท้ายพร้อมแช่กายไว้ภายในยังไม่ได้ขยับ ร่างทั้งสองก็ขนลุกวาบ เมื่อร่างเล็กเสียวซ่านกระตุกเกร็งปลดปล่อยความต้องการจนเปราะเปื้อนหน้าท้องขาวเนียน หอบหายใจแฮ่กใหญ่ ดวงตายังหวานหยดสบมองอย่างต้องการอีกไม่รู้จบ ภายในช่องทางเล็กก็ขมิบตอดจนอีกคนแทบทนไม่ไหว

“แค่เสียบก็เสร็จแล้ว คุณน่ารักมากเลย แบบนี้ผมต้องให้รางวัลกับคุณจนกว่าคุณจะพอใจแล้วสิ” รอยยิ้มน่าเอ็นดูถูกส่งมอบไปให้ปีศาจน้อยชั่งยั่วที่กระตุกเกร็งตอดรัดแกนกายเขาแน่นจนขยับไม่ได้ มือหนาถูกยื่นไปลูบไล้ใบหน้าพร้อมก้มลงจุมพิษที่หน้าผากแผ่วเบา มืออีกข้างไม่ปล่อยว่างหยอกล้อตามร่างกายปัดผ่านตุ่มไตแล้วตามมาด้วยริมฝีปากหนาร้อนเข้ามาครอบครองแทนที่ ส่วนมือก็นวดเฝ้นตามส่วนอื่นของร่างกายไปเรื่อยๆ ไม่นานร่างกายขาวเนียนก็เต็มไปด้วยรอยกุหลาบแดง กายเล็กก็แข็งขืนอีกครั้ง ช่องทางด้านหลังที่ขมิบแน่นก็คลายลงให้อีกคนขยับเข้าออกสร้างความเสียวซ่านได้

“อะ อื้ม เสียว มากเลย ช้าลงหน่อย อ๊า” จากที่ขยับเข้าออกเชื่องช้าถะนุถนอม ไม่นานร่างบนก็ขยับกระแทกรุนแรงตามอารมณ์จนสั่นไหวไปทั้งเตียง ริมฝีปากบางก็บวมเจ่อจากการถูกถูกจูบ ร่างกายก็ถูกนวดเฝ้นแรงขึ้น แต่กลับแปลกเขากลับยิ่งรู้สึกรุนแรงขึ้นตามไป จนร่างบางต้องเอ่ยปากให้ผ่อนแรงลงเพราะทนความหวาบหวามนั่นไม่ไหว

“ว่าไงนะ เร็วขึ้นงั้นหรอ” รอยยิ้มร้ายถูกประดับขึ้นมุมปาก เสือร้ายเมื่อได้กินเนื้อแล้วมีหรือจะยอมปล่อยให้หลุดมือไป เขาก้มลงจูบปิดปากดูดดึงให้อีกคนทำอย่างอื่นไม่ได้นอกเสียจากร้องคราง ขณะที่ตัวเองกระแทกตามแรงอารมณ์ อาจจะเป็นเพราะแบบนี้เขาถึงต้องห้ามรีบร้อน เขานั้นทั้งอึดทั้งนานแถมยังรุนแรงจนผู้หญิงหลายคนรับไม่ไหว จึงกลัวคนสำคัญคนนี้จะเจ็บไปด้วย แต่กลับแปลกยิ่งรุนแรงยิ่งตอดรัดมากขึ้นจนเขาได้ใจกระแทกรุนแรงปลดปล่อยตัวตนออกมาเต็มที่

“ม่าย.. ไม่นะ อะ อื้อ อื้มมม เสียวจัง อา...ผมจะ เสร็จอีกแล้ว...อื้อ” ร่างบางที่สั่นไหว ร้องครางเสียงแหบแห้งมือทั้งสองถูกปล่อยทิ้งไว้ข้างตัวอย่างหมดแรง

“พร้อมกันนะ เรียกชื่อผมสิ พอล ผมรักคุณ อืม...” ร่างหนาเอ่ยขอร้องเอาแต่ใจ กระแทกเข้าออกรุนแรงหนักเมื่ออารมณ์ใกล้จะถึงขีดสุด เอ่ยปากบอกรักครั้งแรกขณะทำเรื่องน่าอายไม่ทันคิดว่าไม่สมควรเท่าไหร่ แต่กลับแปลกที่อีกคนพอได้ยินก็ตอดรุนแรง แถมยังมีเรี่ยวแรงยกมือขึ้นมากอบกุมแกนกายของตนรูดรั้งอย่างบ้าคลั่ง แถมยังเอ่ยคำบางคำออกมาพร้อมโน้มมาจูบปิดปาก และปลดปล่อยไปพร้อมๆกัน

“แลมป์ แลมป์ อ ผม ผมก็รักคุณ อะ อ๊า!!!...อือ..อือ..” ร่างบางหอบแฮ่กอย่างเหนื่อยอ่อน ทิ้งกายแผ่หลาบนที่นอน หน้าท้องเปรอะเปื้อนน้ำกามสีขาวขุ่นของตนจนเปียกชุ่ม ช่องทางด้านหลังก็ขมิบไม่หยุดอีกทั้งร่างกายยังกระตุกเรื่อยๆเมื่อน้ำรักจากอีกคนไหลล้นออกมาปะปนกับเลือดสีแดงเล็กน้อยที่แม้จะเตรียมตัวมาดีก็ยังมีปนออกมา เพราะมันเป็นครั้งแรก

“หายเหนื่อยรึยังครับ พร้อมจะต่อกันเลยไหมคุณหมอที่รัก”

“แฮ่ก แค่นี้เรียกเหนื่อยหรอ ถึงผมจะอายุมากกว่าคุณแต่ก็ยังไม่แก่นะ คุณเถอะ ไหวรึเปล่า...”

“ไหวไม่ไหวก็ดูสิครับ น้องชายของผมลุกขึ้นตั้งพร้อมทำงานแล้วนะ”

“งั้นก็เข้ามาสิ...”
จากนั้นเสียงกระทบกันของเนื้อดังลั่นอย่างน่าอาย ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ นานแค่ไหน ท่วงท่ามากมายเช่นไร เรารู้แต่ว่าปีศาจช่างยั่วตนนี้แม้จะเหนื่อยจนแทบไม่มีแรง แต่ก็ยังมีดีที่ ปาก ที่ใช้ทำงานได้ทุกอย่างตั้งแต่ พูดยั่วยวน ไปจนถึงครอบครองสิ่งใหญ่โตไว้ภายใน แล้วมันก็ทำได้ดีไม่แพ้ส่วนใดของร่างกายเลยด้วยสิ

...

รุ่งเช้ามาเยือนทั้งสองอีกครั้ง อาจจะเรียกว่าเช้าของอีกวันไปเลยก็ว่าได้ ร่างบางหลับลงหลังจากเสร็จกิจเช้าวันนั้นแล้วหลับใหลไปอีกหนึ่งวันเต็มๆ เดือดร้อนคนกระทำที่วิ่งพล่านคิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุเป็นต้องให้พยาบาลมาดูให้อับอายกันไปเมื่อเธอต้องตรวจดูทุกสิ่งและรู้ความจริงเข้า แต่ก็โล่งใจเมื่อคนๆนี้ไม่เป็นอะไร ถึงขั้นหายดีเลยก็ว่าได้ แม้ว่าร่างกายภายนอกจะแปรเปลี่ยนไปบ้างก็ตาม เอ้อ รวมถึงอุณหภูมิร่างกายด้วยที่ร้อนรุ่มเหมือนคนเป็นไข้ให้แลมป์ตกใจก่อนหน้า มันกลายเป็นอุณหภูมิปกติของร่างกายหมอพอลไปเสียแล้ว

ร่างบางลืมตาตื่นขึ้น ก็พบกับความเมื่อยขบของร่างกายตน ลุกขึ้นนั่งอย่างอยากลำบากบิดซ้ายขวาพร้อมเอามือปิดปากหาวหวอด แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นร่างกายที่เปลี่ยนไปของตนหยิบยกหันซ้ายขวาดูร่างกายที่เปลี่ยนไปตาโต พร้อมกับเถียงตัวเองในความคิดไปมา

‘เล็บก็งอกแหลม น่ากลัว.. ไหนจะปีกค้างคาวใหญ่โตที่อยู่ด้านหลัง อะไรเนี่ย.. แล้วนี่อะไรมาโดนหน้าเขา หาง! มาได้ไง.. หูทำไมมันแหลมแบบนี้ ไม่นะ.. แล้วทำไมปากเจ็บๆ เขี้ยวแหลมมาได้ไง ไม่ใช่สิ ทำไมปากเจ่อ แล้วตัวเราเป็นอะไร โรคหรอ.. หรือผลข้างเคียงของยา.. ทำไมถึงมีรอยแดงเต็มตัวไปหมด ไหนจะรอยกัด เริ่มแปลกๆแล้วนะ ที่หัวนมก็มี! เห้ย! ผลข้างเคียงไม่น่าจะขนาดนี้นะ แล้วข้างล่างล่ะ’

“โอ้ย! ทำไมเจ็บ...ที่ ก้น...” เสียงแหบ... โห่ เราเป็นอะไร แล้วทำไมด้านหลังมันเจ็บระบมแบบนี้...

“พอล! ตื่นแล้วหรอ ผมกังวลแทบแย่ว่าคุณจะฟื้นตอนไหน แล้วคุณเป็นยังไงบ้าง พยาบาลของคุณเธอบอกผมว่าคุณให้บันทึกความรู้สึกแรกของคุณด้วยอย่าลืมซะล่ะ แล้วคุณหิวไหม คุณต้องการอะ” แลมป์วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหาอีกคน นั่งลงบนที่นอนจะคว้าอีกคนมากอด แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นอีกคนผวา เพราะเขาดันถือทัพพีร้อนที่อุ่นข้าวต้มควันยังขึ้นฉุยอยู่เลยเข้ามาด้วย จึงวางมันลงแล้วเข้าไปโน้มอีกคนมากอดทีนึงแล้วปล่อยออกมาเผชิญหน้ากัน ถามใส่เป็นชุดอย่างลืมตัวว่าตัวเองเป็นคนพูดน้อย ว่าแต่ทำไม พอลของเขาถึงหน้าซีดเผือดเหมือนช็อกอะไรบางอย่างแบบสุดๆกัน

“เดี๋ยว! แลมป์ คุณพูดมากจังนะวันนี้ แล้วทำไมคุณมาอยู่ที่นี่ล่ะ นั่นผ้ากันเปื้อนใช่ไหมไม่เข้ากับนายเลยนะ นั่นชั่งมัน ผมสับสนไปหมดแล้ว ทำไมผมถึงกลายเป็นแบบนี้..ยาใช่ไหม คงใช่ แต่ทำไมถึงมีรอยพวกนี้ และผมยังเจ็บ เอ่อ เจ็บ...” หมอพอลพ่นคำถามออกมาเป็นชุดเหมือนกัน สีหน้าสับสนอย่างแรง แถมยังซีดเผือดเหมือนคนช็อกสุดขีด แต่ก็ยังจะแดงก่ำเขินกับคำถามสุดท้ายของตัวเองอีก

“คุณจำไม่ได้หรอ” แต่ต่างจากอีกคน ที่บัดนี้ชะงักค้างกลางอากาศ ถ้อยคำมากมายถูกลืนกลับลงคอ

“จำ จำเรื่องอะไร ผมจำไม่เห็น ดะ ได้…เลย...มะ ไม่จริงใช่ไหม” สีหน้างุนงงแสดงออกชัดเจน พยายามนึกย้อนแต่ก็ยังตั้งคำถามมากมายในใจตน แต่ไม่นานจนพูดจบประโยค ภาพและเสียงต่างๆของเช้าวันก่อนที่เขาคิดเพียงว่ามันคือฝันชัดเจนขึ้นมาในความทรงจำยิ่งกว่าภาพ HD ทำเอาหน้าหวานแดงก่ำ พูดอะไรไม่ออกอีกทำได้เพียงพะงาบๆค้าง มองหน้าอีกคนสลับกับร่างกายตัวเองไปมา

“จริงแน่นอนครับคุณหมอทีรักของผม” รอยยิ้มมุมปากถูกประดับขึ้น เมื่อรู้ว่าอีกคนจำได้ แถมยังเอ่ยตอกย้ำให้อีกคนปฏิเสธไม่ได้อีกครั้ง ยิ่งมองยิ่งสนุกเพราะกิริยาท่าทางสองสามวันนี้เขาไม่เคยได้เห็นมาก่อน ตั้งแต่ปีศาจชั่งยั่ว จนถึงแมวน้อยแสนขี้อายที่ยกผ้าห่มขึ้นมาคลุมกายเตรียมจะโวยวาย

“แลมป์ นายบ้าไปแล้ว ไอ้คนเสียสติ แล้วนายมาทำกับผมทำไม แล้วไม่ต้องมาเรียกที่รักนะ ผมยังไม่เคยสารภาพกับคุณ...เอ่อ ไม่ ไม่ ไม่เคยสารภาพ” เสียงโวยวายดังที่แลมป์คาดการณ์ดังขึ้นในเวลาต่อมา ผ้าห่มสีขาวถูกดึงขึ้นมาปกปิดร่างกาย พูดรวนสับสนกับความคิดตนเอง แถมยังขยับถอยห่างแม้จะยากลำบากจากการเจ็บสะเทือนถึงช่องทางด้านหลัง แต่ก็ถอยหนี แถมยังยกมือชี้หน้ากันท่าไม่ให้เข้าใกล้ ปีกกว้างขยายห่อหุ้มกันด้านข้างไว้ เขี้ยวเล็กขู่ฟ่อให้กลัว ดวงตาน้ำตาลสบมองอย่างไม่ไว้ใจ

จุ๊บ!!

“เฮือก ทะ ทำอะไร” ร่างบางหดมือกลับอย่างรวดเร็ว เมื่อคนที่คิดว่าขู่ไปแบบั้นแล้วจะกลัว ก้มลงจุมที่หลังมือของเขา แถมยังยิ้มชั่วร้ายสุดๆมองเขาอย่างไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด

“ใจเย็นๆครับที่รัก ผมไม่เร่งรัดคุณหรอก ถึงแม้ตอนนี้เราจะมาถึงขั้นที่เห็นข้างในกันหมดแล้วก็เถอะ” แลมป์ที่ทนมองแมวน้อยขู่ฟ่ออย่างน่ารักไม่ไหว เลยจุ๊บเข้าให้ แต่นั่นกลับตื่นกลัวไปใหญ่ เขาเลยต้องถอยห่าง แม้ว่าจะอยากเข้าไปขย้ำมากมายก็ตาม สงสัยเมื่อวันนั้นจะเป็นข้างเคียงจากยา แม้จะดีต่อใจแต่อย่ามีอีกเลยก่อนหน้านั้นแทบหยุดหายใจตามไปด้วย ว่าแล้วก็เอ่ยทิ้งท้ายด้วยประโยคกำกวมแล้ววิ่งหนีออกไปทำอาหารต่อ ได้ยินเสียงโวยวายจากคนแก่?แต่เด็ด?บนเตียงดังตามมาอีกพักใหญ่

...

เต็มแล้ววววว 100%
หมอพอลกลายเป็นปีศาจค้างคาวชั่งยั่วไปซะละ 555 นี่ผลข้างเคียงยา น่าจะเป็นหลายๆวันให้แลมป์ได้อิ่มเอิบไปเลยเนอะ
ขอบคุณทุกแรงสนับสนุน และติดตามรับชม ให้กำลังใจกันเสมอนะคะ

****อย่าลืมเม้นตอนที่อยากเห็น ของขวัญปีใหม่น้า ในนี้ก็ได้ ในเพจก็ดี อิอิ****

:mew2: :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:
ขอบคุณน้าาา  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย ตอนที่ 40/1
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 04-06-2017 19:17:50
Me die 40 : ความสุขอยู่ใกล้แค่เอื้อม

[เฟิร์ส]
“ชิ น่าโมโหจริง แล้วนี่ยังไม่ตามมาง้ออีกสินะ ไอ้บ้า” งอน น่าจะเป็นคำจำกัดความเดียวสำหรับตอนนี้มากที่สุด หรือไม่ก็คำว่า ไม่พอใจ มาก ล่ะนะถึงจะสื่อถึงอารมณ์ของผมที่นั่งหน้าบูดบึ้งอยู่ในห้องนอนคนเดียว แถมตัวต้นเหตุที่สร้างเรื่องก็ไม่มีทีท่าว่าจะเข้ามาง้อเขาด้วย ก็จะอะไรซะอีกล่ะ ถ้าไม่ใช่ว่าพอตื่นเช้าขึ้นมาเตียงก็ว่างเปล่า ในห้องก็ไม่มี สิ่งที่เรียกว่าคนรักก็หายหัว ทั้งๆที่เพิ่งจะคืนดีกันเมื่อคืน อุตส่าห์หายเคืองที่ไปทำเรื่องเสี่ยงตายกันมายกทีมไปแล้ว เช้านี้ก็ยังทำอีก แถมกว่าจะกลับมาก็เล่นไปครึ่งค่อนวัน ดีที่สั่งอาหารขึ้นมาให้ เลยพอจะทำลืมๆคงคิดว่ามีธุระจริงๆ แต่ไอ้โรคไปไหนไม่บอกกล่าวเขาคงจะต้องตักเตือนกันบ้างเมื่อกลับมา
แต่พอกลับมาถึงห้องเล่นเอาพูดไม่ออก เพราะดันพาใครไม่รู้มาด้วยแล้วบอกว่าจะอยู่ด้วยสักพัก ผมก็อึ้งสิครับ ก็หมอนั่นใครก็ไม่รู้ไม่เคยพูดถึงเลย แต่เอาจริงๆผมก็ไม่เคยรู้เรื่องราวของเขามากกว่าการกลายร่างเป็นปีศาจแบบนี้ แล้วชีวิตก่อนหน้านี้ล่ะ เพื่อนเขา ครอบครัว ผมไม่รู้เลย ยิ่งคิดยิ่งน่าน้อยใจตัวเอง แต่นั่นชั่งมันก่อน เรื่องตรงนี้สิมีปัญหา พวกคุณเข้าใจไหมว่าห้องนี่เป็นห้องส่วนตัวของเราสองคน เราสองคนนะ จะมีเข้ามาบ้างก็แค่พี่หมอ แต่นั่นหมอไงไม่ใช่คนอื่น ผมก็เลยไม่พอใจ พอโวยวายก็หาว่าไม่มีเหตุผลไม่มีน้ำใจ จนกลายเป็นทะเลาะใหญ่โต หมอนั่นถึงจะหน้าตายไม่แสดงท่าทางแต่ผมก็เดาออกว่ารู้สึกยังไง แถมยังถอนใจ ผมมันน่าเบื่อซะเต็มประดาเลยสินะ ว่าแล้วก็หงุดหงิดโว้ยยยย
และเพื่อหนีปัญหาที่จะเกิดอีกผมก็เลยพาตัวเองเข้ามาขังในห้อง ไม่ใช่เพราะกลัวหรืออะไรหรอก กลัวคนนอกนั่นตกใจมากกว่า เห็นไอเย็นๆมันฟุ้งตานี่ก็แดงก่ำอย่างโมโห อะไร มาโมโหผมทำไม เลยกะจะเข้ามาเคลียร์กันข้างใน ไม่ได้กลัวโดนทำร้ายเพราะหมอนั่นสัญญาไว้แล้วว่าจะไม่ทำร้าย แต่ก็นะของแบบนี้เอาแต่ใจกันหน่อยไม่ได้เลยรึไง ไอ้เราก็หวังว่าอีกคนจะตามมา แต่จนแล้วจนรอดไอ้บ้านั่นก็ไม่ตามเข้ามาสักที เด็กนั่นเป็นใครเนี่ย ทำไมถึงได้สำคัญกับรีสมากขนาดนี้ เดี๋ยวนะ! ตอนเข้ามาเด็กนั่นบอกว่า ไม่มีที่ไปเลยมาขอความช่วยเหลือจากคุณไมค์ คุณไมค์!
ปึง!
เห้ย! เสียงประตูนี่ และไม่ใช่ประตูห้องเรา เดี๋ยวก่อนถ้าเป็นชื่อนั้นก็คงไม่สนิทเท่าไหร่ มั้ง.. แล้วเดี๋ยวถ้าพากันไปอยู่ที่อื่นทำอะไรบ้างเราก็ไม่รู้สิ ไอ้โง่เฟิร์ส ไปตามมันมาเลย วิ่ง!
“เดี๋ยว! นั่นนายสองคนกำลังจะไปไหน” ผมวิ่งสุดแรงเกิดหมุนบิดประตูออกไปชะโงกถาม หัวใจเต้นแรงมากเพราะเหนื่อย แต่ไม่เท่าไหร่หรอก เรื่องนี้มันสำคัญกว่า เราจะปล่อยให้คนของเราไปอยู่นอกลู่นอกทางไม่ได้ ว่าแต่ทำไม ความคิดผมเปลี่ยนไปขนาดนี้ นี่ผมเป็นสาวแล้วหรอ? คิดบ้าอะไรเนี่ย
“ก็คุณไม่เต็มใจให้เพื่อนผมอยู่ด้วย ผมเลยจะพาเขาไปอยู่ที่อื่น” โอโห สรรพนามเปลี่ยน ผมต้องเล่นด้วยใช่ไหม ท่องไว้ ไอ้บ้านี่ชื่อไมค์ แล้วเดี๋ยวทำไมมันต้องจับมือถือแขนขนาดนั้น นี่เรียกว่าหึงจนควันออกหูรึเปล่า ระบบความคิดของผมถึงเพี้ยนแบบนี้ แล้วทำไมต้องออกมายืนบัง ผมแค่จ้องไอ้เด็กนั่นมากไปหน่อยเท่านั้นเอง นี่ บ้ารีสเห็นผมเป็นยักษ์มารรึไง ตัวเองน่ากลัวกว่าตั้งเยอะ งอนหนักมากกก แต่ใจเย็น ต้องเอาศัตรูมาไว้ใกล้ตัวเองให้มากที่สุดก่อน
“ฉันไม่ได้พูดแบบนั้นสักหน่อย จะอยู่ก็อยู่ แต่..ต้องเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฉันฟังพร้อมรีส เข้าใจไหม!” ผมพูดเย้ยๆไปทางเด็กนั่น เข้าใจไหมๆ เด็กน้อย แม้จะหน้าสวยหวานขนาดไหน แต่ฉันนี่ตัวจริง สงสัยผมเพี้ยนแน่นอน ว่าแต่พูดอะไรผิดไป รีสมันถึงได้ทำหน้าเหมือนว่าตกใจอะไรบางอย่างจนปล่อยมือเล็กๆนั่นออกห่างตัว โอ๊ะ! ตายห่า โดนหนักแน่กูคราวนี้ แล้วผมก็ส่งสายตาไปหารีสประมาณว่า รีสฉันขอโทษ แม้ว่าสายตาที่ได้รับกลับมาทำเอาผมกลืนน้ำลายฝืดๆไม่ลงกันพอดี ฮือ...
“คุณไม่ใช่ญาติ...แล้วก็ไม่ได้ชื่อไมค์...หรอครับ ค คุณ คือ...รีส งั้นหรอ” แล้วเด็กหน้าหวานนั่นก็พูดออกมาช้าๆ คงช็อกแหละ หว๋า...มันจ้องใหญ่เลย ผมดูออกนะ สายตานั่น ทั้งผิดหวัง ทั้งเสียใจ ทั้งดีใจ แถมยัง รัก ด้วยงั้นหรอ สองคนนี้ยังไงกันแน่
“เอาเป็นว่าเข้าห้องกันก่อน ผมจะอธิบายให้ฟังทั้งสองคน” ใจเย็นๆ รู้ว่าผิด ไม่ต้องทำตาดุขนาดนั้นนนนน
[เฟิร์ส จบ]


“เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละ เตอร์รีสขอโทษนะครับ” รีสเล่าเรื่องเกือบทั้งหมดเกี่ยวกับตัวเขาให้ติวเตอร์ฟัง ทั้งเรื่องที่ตายแล้วกลายเป็นแบบนี้แล้วไม่กล้าบอก เรื่องที่คอยสังเกตแอบตามช่วย แล้วก็ขอโทษที่พึ่งมารู้ข่าวเลยช่วยไม่ทัน ติวเตอร์กระโดดกอดคอรีสดีใจยกใหญ่ที่เพื่อนรักเขากลับมา รีสก็เล่าต่อไปเรื่อยๆบอกว่าตัวเองโดนจับไปทดลองตอนนี้กำลังล่าดร.นั่นอยู่ แล้วก็รำลึกความหลังกันอีกพักใหญ่ แต่ไม่พูดถึงเรื่องของเฟิร์สทำเอาเจ้าตัวเริ่มทำหน้าตูม ปึงบังเดินหนีเข้าห้องไปอีก
“รีส เตอร์ดีใจที่สุดเลย ฮึก น่าจะบอกกันบ้างก็รู้ว่ารับได้อยู่แล้ว ว่าแต่คนเมื่อกี้คือ?” ติวเตอร์ผละออกมาหลังจากร้องไห้แล้วทุบอีกคนจนพอใจแล้ว ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาตัวเอง พูดยิ้มๆแต่ก็ยังแกล้งถาม เพราะดูก็รู้ว่าหึงขนาดนั้นจะเป็นอะไรกันได้ แต่เขาก็อยากได้ยินจากปากเพื่อนสนิทที่ไม่เคยคิดจะมีความรักกับเขาสักที
“คือ นั่นเฟิร์ส เป็น เอ่อ ”
“ไม่บอกก็ไม่เป็นไร เตอร์เข้าใจ”
รีสเอาแต่อ้ำอึ้งไม่กล้าบอก ถึงหน้าตายด้านนั่นจะขยับไม่ได้ แก้มีสีเลือดเพราะเขินไม่ได้ แต่ติวเตอร์ก็รู้ดีว่ารีสกำลังเขินอาย แถมเสียงหัวใจก็ดังลั่น ใครไม่ได้ยินก็แปลก แต่คนที่แอบฟังอยู่ที่ประตูไม่ได้รู้เรื่องด้วยว่าอีกคนเขินอาย ได้แต่ทำหน้าตูมงอนเข้าไปอีก
“ว่าแต่เตอร์เถอะ เล่าให้รีสฟังได้รึยังว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมถึงออกมากลางดึกแบบนั้น” รีสกลับเข้าสู่โหมดจริงจัง เพื่อให้เพื่อนเลิกทำหน้าล้อเลียนเขาสักที แต่นั่นเหมือนเขาจะคิดผิดรึเปล่า แต่เขาอยากรู้ ถึงแม้หน้าติวเตอร์จะสลดลงก็ตาม
“คือ เตอร์ เรื่องมันจบแล้วแหละ ครบ3เดือนอย่างที่พี่เขาต้องการ เตอร์ก็หมดประโยชน์ พี่เค้าพาผู้หญิงมานอนที่คอนโด เตอร์เสียใจมากเลย.. ฮึก ถึงพี่เขาจะยื้อ ฮึก แต่เตอร์ก็อยู่ไม่ได้ ถึงคราวนี้พี่เขาจะขู่ว่าจะให้ล้มละลาย แต่เตอร์ก็อยู่ไม่ได้ เราไม่ได้รักกันอย่างที่พี่เขาเข้าใจหรอก เพราะถ้ามันเป็นแบบนั้น พี่ทามคงไม่ทำแบบนั้น ฮือ... รีส..เตอร์ไม่กล้ากลับไปหาพ่อด้วยซ้ำ เพราะมันจะทำให้ท่านเดือดร้อน” ติวเตอร์พูดไปก็ร้องไห้ไป สีหน้าของเขาเจ็บปวดเพราะถูกคนรักหักหลัง รีสคว้าเจ้าตัวเข้ามากอดปลอบอยู่พักใหญ่ และคุยกันไปเรื่อยๆ ติวเตอร์ก็เล่าเรื่องให้รีสฟังไปเรื่อยๆ จนเหนื่อยและหลับลงไป
เฟิร์สที่ยืนฟังอยู่ไม่ห่างก็เอาแต่คิดหนัก แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ยังไม่เปลี่ยนใจที่จะบอกอีกฝ่ายว่าติวเตอร์อยู่ที่นี่ เพราะว่าฟังๆแล้ว เพื่อนของรีสเองก็รักอีกฝ่ายอยู่เหมือนกัน แต่ยืดเวลาออกไปสักนิดก็ดีเหมือนกัน


“ว่าไง มาทำอะไรตรงนี้ครับเฟิร์ส”  รีสที่เดินเข้ามาตอนไหนไม่รู้กอดอกจ้องมาที่คนรักของตนที่ยืนแอบฟังอยู่ เฟิร์สสะดุ้งเฮือก แต่ก็ทำงอนกลบเกลื่อนแล้วเดินไปนอนที่เตียง
“เด็กคนนั้นหลับไปแล้วหรอ ถึงได้เข้ามาได้” เสียงประชดประชันดังขึ้นเมื่อเห็นอีกคนไม่เดินตามมาสักที
“ครับ หลับไปแล้ว เลยเข้ามาหาคนงอนได้นี่ไง” รีสพูดยิ้มนิดๆเดินเข้าไปหา สวมกอดอีกคนจากทางด้านหลัง
“งอนบ้าอะไร ไม่มี แล้วนี่จะกอดทำไม เด็กคนนั้นก็อยู่ข้างห้องนะ นี่จะทำ” เฟิร์สดิ้นหนีไปไกล แต่คนข้างหลังก็กระชับกอดแน่นขึ้น พูดเสียงงอนๆไม่หาย แต่ก็เบาในประโยคหลัง แถมหน้ายังขึ้นสี พูดเองเขินเอง
“หึหึ ผมไม่ทำหรอก หรือว่าเฟิร์สอยาก ก็ได้นะครับ แต่ต้องให้เงียบสุดๆจะส่งเสียงดังเหมือนทุกทีก็ไม่ได้นะ” รีสแกล้งแหย่กลับไป พูดช้าๆแล้วไล้ปลายจมูกเย็นๆของตัวเองผ่านกกหู ทำเอาอีกคนตัวแข็งทำท่าจะโวยวายรีสเลยจูบปิดปากแน่น เฟิร์สได้แต่หน้าแดงแปร๊ดพูดไม่ออก จนในที่สุดรีสก็ทนไม่ไหว ทำขั้นต่อไป ทั้งที่ไม่รู้ว่าจะเงียบได้ดังใจรึเปล่า
“ไอ้บ้า ไหนว่าไม่ทำไง อ๊ะ”
“ชู่... เงียบไว้ครับเฟิร์ส อ่าห์”


   ห้าวันผ่านไป เฟิร์สและติวเตอร์เข้ากันเป็นอย่างดี จนกลายเป็นรีสที่เหมือนหมาหัวเน่าแทน ระหว่างนั้นก็พากันไปเยี่ยมเยียนหมอพอลที่ได้ข่าวว่าหายดีแล้ว จนไปถึงก็ได้แต่พากันตะลึง พี่หมอแสนดีของพวกเขาเปลี่ยนไปเหลือแต่ปีศาจแสนเซ็กซี่จอมยั่วยวนที่เอาแต่ติดหนึบอยู่กับแลมป์จนเฟิร์สเอาแต่บ่นว่าหมั่นไส้ เฟิร์สลืมความคิดที่จะส่งติวเตอร์ที่กลายเป็นเพื่อนสนิทกับไปเจอความเศร้าในขณะที่เจ้าตัวยังไม่พร้อม จนรีสที่โดนเมินหลายต่อหลายครั้งเป็นฝ่ายติดต่อกับแลมป์แทน พวกเขาแอบวางแผนกันลับหลังเฟิร์ส ทั้งสังเกตและลองใจทาม จนในที่สุดก็ยอมบอกความจริงว่าติวเตอร์อยู่ที่ไหน ทามก็มาเอาตัวติวเตอร์ไป แม้ว่ากว่าจะยอมกันได้ก็เล่นปล่อยน้ำตากันท่วมทั้งคู่ เดือดร้อนคนนอกอย่างพวกเขาต้องเข้าไปช่วยอีกตามเคย
   “รีส ให้ติวเตอร์ดีแล้วหรอ” เฟิร์สพูดขึ้นอีกครั้งหลังจากเงียบมานาน ตาเอาแต่มองจ้องไปทางประตูกำลังคิดถึงเพื่อนสนิทคนใหม่ที่เพิ่งได้มาไม่นานก็ต้องปล่อยจากไปอีก
   “ดีแล้วครับ อย่างที่บอก คนรักกันน่าจะเข้าใจกันดีที่สุด ปล่อยให้พวกเขาได้เคลียร์กันเองถูกแล้ว พวกเราก็แค่คนนอก ทำได้แค่ดูต่อไปเท่านั้นครับ” รีสเดินเข้ามาหาโอบกอดมอบไออุ่นให้อีกคน เฟิร์สได้ฟังก็พยักหน้าเข้าใจ ทั้งคู่ยิ้มให้กันเบาๆ รีสกำลังจะก้มหน้าลงจูบ แต่ก็ต้องชะงักเพราะเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน
   “ฮัลโหล ครับ ครับ เจอแล้ว ดีใจด้วยนะครับพี่! ...ผมพร้อมตลอด ผมจะพาเฟิร์สไปเดี๋ยวนี้ครับ” เสียงรีสพูดออกมาเสียงดังรอยยิ้มก็เปลี่ยนไปตามอารมณ์ตอนพูด ทั้งดีใจ จริงจัง ตื่นเต้น จนคนที่มองอยู่เอาแต่งง
   “รีสมีอะไรงั้นหรอ แล้ว เดี๋ยว! จะพาฉันไปไหน” รีสวางสายจบก็จูงมือเฟิร์สจะพาเดินออกไปทันที เฟิร์สก็ได้แต่เดินตามอย่างงงๆเช่นกัน
   “เราจะไปพบคุณพ่อเฟิร์สกัน” รีสพูดขึ้นขณะเดียวกันก็ลากเฟิร์สไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
   “เดี๋ยวสิ!” เฟิร์สได้ยินก็ชะงักเท้ามองหน้าอีกคนด้วยความหวาดกลัวนิดๆ ก็พ่อของเขาโหดมากๆน่ะสิ นี่รีสไม่คิดจะกลัวเลยใช่ไหม แต่รีสกับหันมาหาเขา ดวงตาเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น แถมน้ำเสียงที่ส่งมาให้เฟิร์สมันฟังดูอบอุ่นจนคนขี้กลัวเบาใจไปได้เยอะ
   “เฟิร์สเชื่อใจรีสนะครับ”


ด้านแลมป์
   แลมป์ขับรถไปกับหมอพอลตรงไปยังสถานที่หนึ่งตามที่ได้รับเบาะแสมาว่ามีคนหน้าเหมือนแม่ของเขาที่ตายจากไปในอุบัติเหตุครั้งเมื่อเขายังเด็ก แต่ทั้งเขาและพ่อเชื่อว่าแม่ยังไม่ตาย และออกตามหากันเงียบๆตลอดเวลา จนในที่สุดเหมือนฝันจะเป็นจริง เขาได้รับข่าวดีที่ได้รับการยืนยันใบหน้าว่าคล้ายกันถึง70% ทำให้เขารีบรุดออกมาแม้ว่าครั้งก่อนๆจะผิดหวังไปหลายต่อหลายครั้งแล้วก็ตาม ดีที่ได้กำลังใจจากคนข้างๆ รอยยิ้มอบอุ่นยังถูกส่งมาเสมอแม้ว่ารูปลักษณ์จะเปลี่ยนไปก็ยังคือคนรักคนเดิมของเขา แต่ในครั้งนี้มันแตกต่าง แลมป์รู้ว่ามันมีบางอย่าง เขารู้สึกตื่นเต้นจนทำตัวไม่ถูก ครั้งนี้มันมีบางอย่างที่แปลกไปจริงๆ แปลกมากจนเขาต้องเหม่อและนึกถึงเรื่องราวเก่าๆ อีกทั้งภาพและความรู้สึกในวันวานที่เหมือนผ่านมาเมื่อวานขึ้นมาในหัวตลอดเวลา
   แลมป์รู้เรื่องที่แม่มีคนรักอยู่ก่อนแล้ว ท้องมาก่อน รู้ว่าเขาและเฟิร์สไม่ใช่ลูกพ่อโดยบังเอิญ เฟิร์สไม่รู้เรื่อง  แต่พ่อรักแลมป์เฟิร์สและแม่มาก พ่อมีรอยยิ้มอบอุ่นมีอ้อมกอดอบอุ่นแม้ว่าหน้าของพ่อจะดุมาก แต่เราก็รักพ่อเหมือนที่พ่อรักเรา พ่อให้เราทุกๆอย่างที่อยากได้ ในวันวานเขาเคยมีความสุขมาก ในความทรงจำมีแต่รอยยิ้มของทุกคนในครอบครัว
แต่แล้วในวันนั้น วันที่ฟ้าครึ้ม บรรยากาศหม่นหมอง เสียงของพ่อและแม่ทะเลาะกันดังลั่นแข่งกับเสียงฟ้าที่ร้องดังกระหึ่ม แม่ทนพ่อไม่ไหวอีกต่อไป พ่อไม่ไว้ใจแม่เลยเอาแต่ระแวง ทั้งๆที่แม่รับปากและทำตามทุกอย่างทั้งยังรักหมดใจแล้วตอนนี้ อีกทั้งพ่อยังไม่เลิกยุ่งกับโลกมืดทั้งที่รับปากแต่จนลูกเข้าอนุบาลได้ขนาดนี้ก็ยังทำไม่ได้ ผ่านมาหลายปีเกินไป ที่หลายๆครั้งแม่รู้สึกเหมือนเป็นคนโง่และผิดอยู่ตลอดเวลา ในบางครั้งพ่อไม่เคยโทษตัวเองเลย อีกทั้งยังเสี่ยงตายจากศัตรูโยที่ไม่รู้ว่าเป็นใครบ้าง จนสุดท้ายก็ยื้อต่อไปไม่ไหวแล้ว  แม่ขอให้ทั้งคู่ ‘แยกกันอยู่’ หรือ ‘อย่า’ กัน โดยที่จะพาลูกไปด้วย
 แลมป์บังเอิญได้ยินยืนขาแข็งฟังอยู่อย่างนั้นอย่าไม่ได้ตั้งใจแต่มันขยับขาไม่ออก ทั้งที่อายุยังน้อยแต่เขาเข้าใจว่านี้มันไม่ใช่เรื่องที่ดี ไม่มีความสุข และเขาไม่ต้องการแบบนั้น เขาอยากให้พ่อกับแม่มีรอยยิ้มเหมือนที่ยิ้มให้เขาและเฟิร์สในทุกๆวัน ความทรงจำตอนนั้นมันกลายเป็นสีจางๆหลังเจอเหตุการณ์ในตอนนี้ แม่และพ่อหันมาเห็นแลมป์ยืนมองอยู่ ทั้งคู่ตกใจหน้าซีด พ่อกำลังจะให้ขนมหวานโดยบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง แต่แม่ที่เคยมีแต่รอยยิ้มของเขากลับหันมามองหน้าเขาทั้งน้ำตา  พูดเสียงสั่นๆว่า ‘ไหนๆลูกก็รู้แล้ว แม่จะพาไปอยู่ด้วย’ แม่จูงมือแลมป์ที่เงียบไม่พูดไม่จา และไปอุ้มเฟิร์สที่นอนหลับอยู่บนเตียงขึ้นบ่าพาไปขึ้นรถ  พ่อไม่ยอมส่งเสียงห้ามลั่น กระชากแขนแม่ไว้ได้สำเร็จ คิดว่าแม่จะยอมถอย แต่ไม่ แม่สะบัดแขนพ่อออกและนั่นทำให้เฟิร์สตื่นและเริ่มร้องไห้ พ่อที่โดนแม่สะบัดหลุดก็เข้ามาจับใหม่อีกมือก็จับแลมป์ไว้ ส่งสายตาอ้อนวอนและเอ่ยขอร้องแม่อย่างหมดแรงในที่สุด หวังให้ใจอ่อน แลมป์ก็หวังแบบนั้นในใจเขาบีบมือของพ่อและแม่แน่น ทั้งคู่กระตุกและหันมามองหน้าเขา แต่แม่ที่น้ำตาไหลพรากไม่หยุดลงแค่นั้น แม่บีบมือของเขากลับ และเอ่ยขอโทษเบาๆ ปล่อยมือเขาและสะบัดมือพ่อหลุดวิ่งเข้ารถล็อคประตูขับออกไปอย่างรวดเร็ว  พ่อของเขาผู้ไม่เคยต้องง้อใคร แต่ตอนนี้กลับวิ่งด้วยแรงทั้งหมดที่มีตามรถของแม่ไปจนถึงรั้วบ้านแต่แม่ไม่ทีท่าแม้แต่จะหยุดรถ พ่อเดินคอตกกลับมาในสภาพเปียกปอนไปทั้งตัว  แลมป์ที่ยืนอยู่เดิมได้เห็นทั้งหมดนั่น น้ำตาของพ่อไหลรินออกมาปนกับสายฝนทั้งที่ไม่เคยมีใครได้เห็น พ่อหันมามองหน้าแลมป์ที่ยืนอยู่ที่เดิมพักใหญ่พยักหน้ากับตัวเองยกมือเช็ดน้ำตาและบอกให้เขาไปรอในบ้านโดยรับปากอย่างมั่นใจว่า ‘พ่อจะไปตามแม่กับน้องกลับมาให้ได้’ แลมป์พยักหน้ารับเบาๆส่งยิ้มให้กำลังใจแก่พ่อของเขาและเดินเข้าบ้านเป็นเด็กดีว่าง่ายแต่ตัวเขารู้ว่าพ่อนั้นเจ็บปวดเพียงใด รักแม่เพียงใด คล้อยหลังแลมป์เดินเข้าบ้านเขาได้หันกลับไปมองทางพ่อที่รีบเร่งไปขึ้นรถทังที่เปียกไปทั้งตัว และขับตามออกไป 
...สุดท้ายก็เกิดอุบัติเหตุ รถมีบางอย่างผิดปกติบวกกับถนนลื่นเพราะฝนตก รถเสียหลักคว่ำไถลตกหน้าผาสูง คาดว่าแม่น่าจะช่วยให้เฟิร์สออกมาจากตัวรถก่อนที่รถจะล่วงลงไปที่หน้าผา พ่อเจอเฟิร์สนอนสลบอยู่ที่พื้นดินในสภาพทั้งเปียกทั้งเปื้อนมีแผลใหญ่ที่หัวเลือดไหลท่วมตัวใกล้กับหน้าผา มองลงไปเห็นเป็นทางแฉลบของรถที่หล่นลงไปข้างล่าง คาดว่าแม่ของพวกเขาติดอยู่ในรถขณะที่มันหล่นลงไปด้วยและคงทรมาน สุดท้ายแม้แต่ตำรวจก็หาศพแม่ไม่เจอเพราะหน้าผาที่สูงชัน พบเจอเพียงเศษรถที่ลงไปอยู่ที่ก้นแม่น้ำกับรอยเลือดและรอยเท้าของสัตว์ขนาดใหญ่ เราไม่อยากจิตนาการณ์กันต่อจากนั้นได้แต่หลอกตัวเองว่าแม่ยังไม่ตายอาจจะได้เทวดาใจดีช่วยไว้ได้ทัน ถ้านั่นเป็นเรื่องจริงคงจะดี...
เฟิร์สที่ถูกแม่พาออกมาจากรถได้ก่อนแต่อาการก็หนัก เมื่อพ่อไปเจอแทบใจสลายรีบอุ้มไว้ในอ้อมกอดแต่ก็ยังคงร้องเรียกแม่แข่งกับเสียงฟ้าที่ดังกระหึ่ม พ่อคุกเข่ามองหน้าผากออดเฟิร์สไว้แน่นแบบนั้นอยู่พักใหญ่จนตำรวจที่ได้รับเรื่องจากพลเมืองดีมา และพาออกไปส่งรพ. เฟิร์สได้รับบาดแผลหนักจากการที่หัวถูกกระแทกอย่างแรงเลยความจำเสื่อมลืมเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ไปซะหมด และเติบโตขึ้น โดยที่ไม่รู้เลยว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นมายังไง หลังจากนั้นแลมป์ต้องทนรับอารมณ์ของคนเป็นพ่อที่เปลี่ยนไป แต่เพราะอะไรไม่รู้ทั้งพ่อและแลมป์ไม่อยากให้เฟิร์สต้องฝืนใจในการทำอะไร ทั้งสองจะมีข้ออ้างมาขัดกันเองและเลือกที่จะกระทำแทนเองเกือบทุกอย่าง เฟิร์สได้กลายเป็นเด็กมีปัญหาใช้เงินพ่อไปวันๆอย่างที่เห็นก่อนหน้านี้ดีแต่กินเที่ยวบ้านไม่กลับงานไม่เอา  แต่สำหรับแลมป์แล้ว เฟิร์สก็แค่ขี้เหงาและอยากได้รับความรักความสนใจ แต่ด้วยนิสัยส่วนตัวของเขาก็ไม่รู้จะปลอบยังไงดี เลยได้แต่ตามใจ พ่อก็ได้แต่ใช้เงินซื้อความสุขให้กับเขา สุดท้ายก็แก้ไม่ได้ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้หลายๆอย่างจะดีขึ้น
ส่วนพ่อหลังจากนั้น คนที่เคยมีรอยยิ้มอบอุ่นรักครอบครัว ก็กลายเป็นคนเย็นชา และโหดเหี้ยมขึ้น ฝึกแลมป์ให้เป็นนักฆ่าและสืบทอดกิจการด้านมืดทั้งๆที่ตั้งใจจะเลิก ให้เป็นของขวัญแก่แม่ และเลือกแลมป์ที่เป็นลูกรักแม่ให้ลงมือทำ อีกทั้งแลมป์ดันเสียสระยอมรับชะตากรรมนี้แทน แต่ที่แลมป์ทำตามใจของพ่อนั้น เพราะเขารู้ว่าพ่อแค่เจ็บปวด พ่อรับมือกับมันไม่ถูกเลยได้แต่แสดงออกด้านที่เคยทำมา แลมป์รู้ว่าลับหลังพวกเขาทั้งสองคน พ่อมักจะเก็บตัวอยู่ในห้องทำงานทั้งวันทั้งคืน และในคืนหนึ่งที่แลมป์ดันไปเห็นว่าพ่อผู้เคยเนี๊ยบทุกระเบียบนิ้วรักสะอาดและไม่เคยให้คนอื่นเห็นด้านอ่อนแออีก กับกลายเป็นเพียงผู้ชายคนหนึ่งที่อ่อนแอ เสื้อสูทถูกถอดออกเนคไทปลดหลวมกระดุมติดไม่ตรงทรงผมที่เคยเซตมาอย่างดียุ่งเหยิง พ่อของเขาร้องไห้เงียบๆแต่ดวงตานั้นบวมแดง ในมือถือกรอบรูปของแม่เล็กๆที่เคยวางอยู่บนโต๊ะไว้ ดวงตาแสนอิดโรยนั้นมองที่รูปอย่างอาลัยอาวรณ์ ข้างๆมีเหล้าขวดใหญ่ที่พร่องไปกว่าครึ่ง กับบุหรี่กองใหญ่ที่บ่งบอกว่าคนตรงหน้าเครียดมากขนาดไหน สุดท้ายก็พ่ายแพ้ต่อความอ่อนแอจนต้องจ้องมองคนที่จากไปอีกเนิ่นนาน
แลมป์ที่ได้เห็นเหตุการณ์นั้น ด้วยความฉลาดแม้อายุจะถึง10ขวบ ความโกรธเคืองในตัวของพ่อที่รักตัวลำเอียงใจร้ายสารพัดก่อนหน้านี้หายไปหมดเกลี้ยง เหลือไว้เพียงความสงสารและเห็นใจในตัวของพ่อเขาเอง จึงได้แต่ทำตามใจพ่อนับจากนั้นโดยไม่ปริปากบ่นอะไร แต่ไม่นานเมื่อแลมป์เริ่มขึ้น ม.ปลาย รักแรกของเขาทำให้เขามีความสุขหลังจากที่อยู่ความมืดมานาน แต่เมื่อพ่อรู้ว่าแลมป์มีความรัก และโชคร้ายที่เด็กผู้หญิงคนนั้นกลายเป็นลูกสาวของคนที่เคยรักกับแม่ พ่อโมโหมากแถมยังด่าทออย่างเลือดขึ้นหน้าทั้งที่ไม่เคยออกปากด่าทอเขาขนาดนั้น แลมป์ที่เลือกจะปฏิเสธคำสั่งนั้นเป็นครั้งแรก ขัดขืนทุกวิถีทางเขาได้กำลังใจจากผู้หญิงคนนั้นแม้ว่าพวกเขาจะอายุน้อยแต่ก็เชื่อกันว่านั่นคือรักแท้ สุดท้ายเรื่องทุกอย่างจบลงเศร้า พ่อออกคำสั่งเด็ดขาดอย่างใจร้ายว่า ให้เลือกระหว่าง ฆ่าคนๆนั้นทิ้ง หรือ จะให้เฟิร์สเจอแบบที่ตนเจอ แลมป์จึงเลือกที่จะฆ่าคนรักอย่างเจ็บปวดทั้งที่เธอไม่มีส่วนผิดอะไรแถมยังเป็นคนดี หลังจากนั้นเขาก็ไม่อาจรักใครได้อีก จนกระทั่งเจอหมอพอล
   “ไม่เป็นไรนะครับแลมป์ เรื่องมันผ่านไปแล้ว และตอนนี้ผมเชื่อว่าอะไรหลายๆอย่างจะดีขึ้น ครั้งนี้จะต้องเป็นแม่แน่นอน” หมอพอลที่เห็นว่าแลมป์ตกไปอยู่ในความคิดเก่าๆอีกครั้ง ก็เอื้อมมือมาจับมืออีกคนไว้และบีบมันเบาๆ ส่งยิ้มไปให้อย่างเคย ทำให้แลมป์ที่คิ้วขมวดก็คลายลง
   “ครับ ผมก็เชื่อแบบนั้น ขอบคุณครับ...ที่รัก” แลมป์หันไปยิ้มให้อีกคน บอกตัวเองในใจให้เข้มแข็ง แม้ว่าอยู่ต่อหน้าคนนี้ๆทีไร ความอ่อนแอที่เขาพยายามปิดจะถูกเปิดเผยก็ตาม แต่เขาไม่อยากให้คนรักตัวเอมากังวลไปด้วย ทั้งที่อีกฝ่ายให้กำลังใจมาตลอด



...
ต่อข้างล่าง
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย ตอนที่ 40/2
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 04-06-2017 19:24:21
ต่อๆๆ


บ้าน กิจจาวัฒนาพันธ์
   วิรัชน์ที่กำลังนั่งทำงานอย่างเคร่งเครียดในห้องทำงาน แต่ในใจกับรู้สึกดีใจแปลกๆเหมือนจะได้รับข่าวดีบางอย่าง แต่สำหรับเขาข่าวดีมันหายไปพร้อมกับสายฝนในวันนั้นแล้ว จึงได้แต่สะบัดหัวไล่ความคิดไร้สาระทิ้งไป แต่สักพักก็ยกมือดูนาฬิกาทั้งๆที่ไม่ได้นัดใครไว้ กระวนกระวายจนทำงานไม่ได้ จนเขาต้องทิ้งงานตรงหน้า เดินลงมาชงกาแฟเองให้หายฟุ้งซ่าน 
   เมื่อเดินลงมาก็เจอกับแลมป์ที่เดินยิ้มเข้ามาหา ตัวเขารู้ทันทีว่าวันนี้คงมีอะไรผิดปกติ เด็กคนนี้ไม่ยิ้มให้เขามานานหลังจากวันที่เขารับปากว่าจะพาแม่ของเขากลับมา แต่ก็ทำไม่ได้ จนตัวเขาเองได้แต่โทษตัวเองและพาลไปหมดทุกสิ่ง เมื่อคิดได้มันก็สายไปเสียทุกอย่าง ตัวเขาเองถลำลึก อีกทั้งทำร้ายลูกชายไปสารพัด โดยเฉพาะคนโตที่ดึงเข้าสู่ความมืดที่คิดจะวางมือ รอยยิ้มมีความสุขแบบนี้ ทำไมมันรู้สึก...คิดถึง
   “แกเป็นอะไร” ปากกับใจไม่เคยตรงกัน ทั้งที่อยากถามอย่างอื่น อยากแสดงความเป็นห่วง อยากแสดงความรัก อยากทำหน้าที่พ่อ แม้ว่าจะสายไป ก็อยากจะ...ขอโทษ
   “ผมมีคนสำคัญบางคนที่อยากให้พ่อพบครับ” แลมป์เองก็ตื่นเต้น อีกทั้งเพราะตัวเขาไม่ได้ยิ้มให้คนที่ตัวเองเรียกว่าพ่อแบบจริงใจมานาน แต่ด้วยกำลังใจที่ได้มาทำให้กล้าขึ้นเยอะ และตอนนี้เขาก็รู้ว่ามันไม่ได้ยากเลย แทนที่จะทำตามคำสั่งเหมือนหุ่นยนต์ เขาน่าจะมอบความรักทดแทนสิ่งที่พ่อเขาขาดหายไป เพราะความคิดเด็กๆนั่นแท้ๆเลย
   “เชิญทางนี้ครับ ผมให้นั่งรอที่ห้องรับแขกแล้ว” แลมป์ยังคงยิ้ม ยืนมองพ่อของตนที่เหมือนจะอึ้งอะไรสักอย่างจากความรู้สึกส่วนตัว ได้ยินเสียงพึมพำในลำคอเบาๆ คนสำคัญๆ อย่างเหม่อๆทั้งที่ไม่เคยเห็นคนๆนี้อยู่ในสภาพมาดหลุดมานาน และคงจะหลุดกว่านี้แน่ๆเลยถ้าเจอคนสำคัญคนนี้ คนที่เปรียบเสมือนความสุขทั้งชีวิตของพ่อ แลมป์เลยต้องเดินหลบข้างหน้าแล้วผายมือเชิญให้พ่อเดินนำตนไปยังห้องรับแขก
   

   ในห้องรับแขก ผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยเป็นนายหญิงของบ้านนี้ แต่ตอนนี้กลับโทรม ใส่เสื้อผ้าเก่าๆเท่าที่มี ในวันนี้เธอเลือกชุดที่ดูดีที่สุดมาแล้ว ใบหน้าของเธอถูกปิดด้วยผ้าเพราะเสียโฉมจากอุบัติเหตุรถยนต์ในครั้งนั้น แถมยังเสียแขนซ้ายไปเพราะช่วยลูกชายคนเล็กในวันนั้น ขาซ้ายก็บาดเจ็บเป็นแผลเป็นขนาดใหญ่ แต่นั่นไม่ได้ทำให้ความรักของคนในครอบครัวลดลงเลย   
   “คุณ...” วิรัชน์เดินมาถึงห้องรับแขก ได้เห็นเพียงเสี้ยวหน้า เขาก็จำได้ทันที ว่าคนๆนี้คือใคร คนสำคัญที่ห่างหายจากชีวิตเขาไปเกือบ20ปี คนที่เขาคิดถึง คนที่คิดว่าชาตินี้คงไม่มีทางได้พบกันอีก
   “วิรัชน์คะ ฉันกลับมาแล้ว ฉันขอโทษที่หายไปนาน ฉันคิดถึงคุณและลูกที่สุด” แม้เสียงจะบางเบา แต่นั่นคือเสียงที่เธอคิดถึงมานาน จึงลุกขึ้นยืนแล้วส่งยิ้มกว้างที่สุดเท่าที่เธอทำได้ไปให้
“ไม่ ผมสิ ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ ผมขอโทษที่ทำให้คุณเสียใจ ที่ทำให้คุณทิ้งผมและลูกไป ผมมันแย่ ผมมันไม่เอาไหน ผมมัน ผมมัน ฮึก! ผมดีใจนะที่คุณกลับมา...” วิรัชน์วิ่งเข้าไปสวมกอดแม่ของแลมป์และเฟิร์สเต็มรัก กอดแน่นขึ้นพอๆกับคำพูดที่พร่างพลูออกมาทั้งที่ไม่ใช่คนช่างพูด แถมเสียงที่เปล่งออกมายังสั่นคลอน ท้ายที่สุดก็ร้องไห้ด้วยความดีใจทั้งคู่
แลมป์ที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆทั้งสองโดยมีพอลที่ยืนอยู่ด้วยบีบมือเป็นกำลังใจให้กันเบาๆว่าที่ทำถูกต้องแล้ว แลมป์หันไปยิ้มให้พอล ในใจก็นึกโทษรีสที่ยังพาเฟิร์สมาไม่ถึงสักทีทั้งที่โทรมาบอกเองว่าให้เริ่มเลย แล้วนี่อยู่ไหนกัน และยังไม่ทันได้ทำอะไร รีสก็พาเฟิร์สที่ยังกล้าๆกลัวๆเข้ามาในบ้าน พอลเห็นทั้งคู่ก็กวักมือเรียกมา แต่เมื่อเฟิร์สมาเห็นกลับไม่รู้อะไร แถมยังทำหน้างงๆ จนแม่ที่ถูกพ่อกอดอยู่ เอ่ยเรียกทั้งคู่เข้าไปหา มีแต่แลมป์ที่เดินเข้าไปกอด คนเป็นแม่ยังคงเป็นแม่อยู่วันยังค่ำ เธอจับและแยกแฝดทั้งสองได้ตั้งแต่ที่เห็นแลมป์ในครั้งแรก จะมีแต่เฟิร์สที่ยังคงงง
“ผู้หญิงคนนี้...เป็นใคร” เสียงพูดคุยทักทายและรอยยิ้มทั้งหมดหยุดชะงักเมื่อสิ้นเสียงเฟิร์ส ผู้หญิงคนหนึ่งในสายตาเฟิร์สมองมาที่เขาน้ำตาคลอเบ้าคิดว่าลูกโกรธตน
“แม่ของเราไง แม่ครับอุบัติเหตุวันนั้นทำให้เฟิร์สความจำเสื่อม จำเรื่องราวก่อนหน้านั้นไม่ได้อีกเลย และผมกับพ่อก็ไม่คิดจะเล่าความจริงให้เขาฟัง แต่ในวันนี้แม่กลับมาแล้ว ผมอยากให้แม่กลับพ่อค่อยๆบอกน้องเอง” แลมป์พูดบางอย่างในใจออกไป แม้ว่าน้องชายของเขาจะอึ้ง แม่จะร้องไห้ และพ่อมองหน้าเฟิร์สไม่ติดเหมือนเขาก็ตาม
หลังจากนั้นแม่ก็เล่าความจริงเกี่ยวกับตัวเขาให้ฟัง พอลกับรีสขอตัวออกไปรอที่ห้องรับแขกเล็กตั้งแต่เฟิร์สมา แม่ที่หน้าเสียโฉมไปครึ่งหน้า ร่างกายผอมลงไป เสื้อผ้าเก่าๆของลูกสาวตายายที่ช่วยชีวิต เล่าความจริงที่ว่าวันนั้นตนไม่ตาย หลังจากที่ช่วยเฟิร์สออกไปจากรถก่อนที่มันจะไถลลงเหว ตอนที่รถได้ไถลลงไปนั้นแม่ยังคงไม่สลบแต่ก็เจ็บหนักเพราะตัวรถเหวี่ยงจนตัวรถลงไปติดต้นไม้ โชคดีมากที่รถไม่เกิดระเบิด แม่พยายามพาตัวเองออกมาจากรถจนได้แล้วพยายามพาตัวเองกลับขึ้นไปข้างบนในสภาพล่อแล่เต็มทน นึกโทษตัวเองตลอดที่ทำให้เกิดเรื่องและห่วงว่าเฟิร์สจะปลอดภัยไหม แม่พาตัวเองเดินไปเรื่อยๆทั้งที่ไม่มีแรงเหลือจนในที่สุดก็สลบและคิดว่าตัวเองคงหมดโอกาสที่จะมีลมหายใจแล้ว แต่เมื่อพอตื่นขึ้นมาเจอสองตายายมาช่วยไว้ สองตายายไปเก็บของป่าและเจอเข้า เสื้อผ้าที่ใส่ก็เป็นของลูกสาวแกที่เสียไปก่อนหน้านี้ไม่กี่ปีด้วยโรคร้าย จึงได้อยู่ที่นั่น สองตายายดูแลแม่ดีจนหายเจ็บแต่ก็หมดเวลาไปหลายปีเพราะกระดูกแม่หักหลายท่อน รักษาแค่วิธีชาวบ้านอยู่ไกลจากหมอและแม่เดินทางไม่ได้ แต่พอหายดีแม่ก็เลยอยู่ตอบแทนสองตายาย รวมถึงไม่กล้ากลับไปสู้หน้าใครอีก อีกทั้งใบหน้าและร่างกายตนก็ไม่เหมือนเดิม จึงไม่อยากมาสร้างความลำบากให้ครอบครัว แต่จนแล้วจนรอดก็ตัดไม่ขาด แม่ขอวิธีเข้าเมืองและยังวนเวียนไปเฝ้ามองดูคนในบ้านเป็นบางครั้ง แต่ก็ไม่ได้เข้าไป ได้แต่ตัดใจและหันหลังกลับ หลายต่อหลายรอบตลอดเกือบ20ปีนี้
แม่เล่าความจริงว่าตอนนั้นโกรธพ่อที่ไม่ยอมฟังตน ทั้งที่มันหลายครั้ง รวมถึงปัญหาเดิมๆอีกหลายเรืองที่คอยกวนใจ วันนั้นเลยตัดสินใจทิ้งความรู้สึกดี ประชดประชันโกหกออกไป แถมยังดึงดัน จนในที่สุดก็สูญเสีย และบอกความจริงว่า แฝดสองคนนี้เป็นลูกของวิรัชน์ ไม่ใช่ใครอื่นตั้งแต่วันนั้นที่พวกเขามีอะไรกันก่อนวิรัชน์บังคับเขามาแต่งงาน แต่เพราะโกรธที่โดนเล่นไม่ซื่อก็บังคับขืนใจเลยบอกว่ามีคนรักอยู่ก่อนแล้วรวมถึงเด็กสองคนนี้เป็นลูกคนอื่น อีกใจหนึ่งคือเขาไม่ชอบพวกมาเฟียนักเลงต่างๆอยากให้พ่อเดินออกจากด้านมืดเพื่อครอบครัวแต่พ่อก็ไม่รับปาสักที จึงประชดประชันไปแบบนั้น นานวันเข้า ปัญหาก็มากขึ้น จนสุดท้ายก็เกิดเรื่องขึ้น และขอโทษที่กลับมาเอาตอนนี้
พ่อก็ยอมเล่าเรื่องของตนหลังจากนั้นเบาๆว่าตนเองก็รู้สึกผิด กล่าวขอโทษแม่แลมป์และเฟิร์ส บอกว่าที่เขาทำไปเพราะคิดน้อย ทำให้ลูกต้องเจอแต่เรื่องอันตราย แต่พ่อไม่ยอมเล่าถึงเรื่องที่ตัวเองเศร้าจนต้องแอบร้องไห้คนเดียว แลมป์เลยพูดบอกออกไป พ่อได้แต่กระแอมขัดคอ แต่แม่รู้ว่านั่นคือความจริง มีแต่เฟิร์สที่ยังคงตามเรื่องไม่ค่อยทัน เพราะรู้เรื่องน้อยที่สุด แต่โดยส่วนตัวแล้วเขารู้ว่าเขามีความสุข และเกิดอาการอยากจะเป็นลูกคนเล็กที่เอาแต่ใจสุดๆขึ้นมา
ในที่สุด 20 ปีที่โดนพรากความสุข จากการที่ต่างคนต่างไม่ยอมรับไม่พุดความจริง และประชดประชันกัน เมื่อกล้าพูดกล้าทำในสิ่งที่ถูก ครอบครัวก็เข้าใจกัน คืนดีกัน และในที่สุดก็พบความสุข พ่อขอให้แม่กลับมาอยู่ด้วย และช่วยเหลือสองตายายตอบแทนบุญคุณจะพามาอยู่ด้วยกันแต่สองตายายปฏิเสธเลยเลือกที่จะส่งเงินช่วยเหลือสร้างบ้านและแวะไปเยี่ยมเยียนบ่อยๆแทน ตอนนี้พ่อออกจากวงการด้านมืดไม่ได้ แต่ก็ไม่อยากให้ลูกมาเสี่ยงอีกต่อไป ให้แลมป์เลิกเป็นนักฆ่า และค่อยๆถอยห่างออกมาจากวงการได้ในที่สุด จริงๆแล้วพ่อแอบเคลียร์เรื่องพวกนี้มาสักพัก จึงต้องส่งลูกๆไปทำงานแม้วิธีการจะแปลกไปสักหน่อย แต่ก็ช่วยให้เฟิร์สที่ไม่เอาไหนแถมยังสติแตกตอนนั้นได้กลับมาเป็นคนปกติได้


2วันผ่านไป
   ในเมื่อครอบครัวเข้ากันได้ดี  แถมมีแม่อยู่คอยห้าม เพราะฉะนั้นพวกเขาไม่ตายแน่นอน แลมป์และรีสก็อาศัยจังหวะนี้ ให้รีสไปแนะนำตัวในฐานะลูกเขย ส่วนตัวเองก็จะแนะนำลูกสะใภ้ ตามที่ได้ลองปรึกษากับแม่มาบ้างแล้ว แม่เลยช่วยแนะนำว่าสองวันข้างหน้านี้พ่อหยุดและแม่ขอเวลาทำสวยหน่อย พอสองวันถัดมานี้ทั้ง4ก็เข้ามาหา และจะฝากตัวกับพ่อดีไม่ดีจะได้แต่งงานพร้อมกัน เมื่อทุกคนรู้เรื่อง แม่เอาแต่ยิ้มดีใจใหญ่จับไม้จับมือบอกรับได้ๆแถมยังคิดว่าหมอพอลที่ตอนนี้ไว้ผมยาวปิดหูที่สวมเสื้อมีหมวกคลุมหัมอยู่ทำให้ดูเหมือนผู้หญิง บอกว่าอย่างน้อยก็มีหลานให้อุ้มโดยที่ไม่รอฟังรายละเอียด หมอพอลได้แต่หน้าซีดหันมามองหน้าแลมป์เป็นพักๆ ส่วนเฟิร์สก็ซีดเพราะพ่อเอาแต่จ้อง ลูกชายคนเล็กสุดรักสุดหวงดันกลายไปเป็นเมียคนอื่น
พ่อก็ยังคงเป็นพ่อ เมื่อรู้ว่าใครเป็นใครก็ขอคุยเป็นการส่วนตัว บอกหน้ายิ้มกลับแม่ว่าไม่มีอะไรไม่ต้องกังวลถ้าแม่รับได้พ่อก็รับได้ แต่คล้อยหลังแม่ขึ้นไปพักด้านบน ก็หน้ากลับมานิ่ง ดูดุ กว่าแต่ก่อน ตาดุๆก็จ้องเอาๆ ลูกสาว?และลูกสะใภ้ต้องหันหน้าหนีกลืนน้ำลายลงคือฝืดๆ บ้านทั้งบ้านกลับมาอยู่บรรยากาศมาคุกว่าแต่ก่อน ตอนนี้ทั้ง4คนอยากจะไปเรียกให้แม่ลงมาก่อนสุดๆ พ่อกระแอมออกมาทั้งเฟิร์สและพอลก็สะดุ้งหน้าซีดหนักกว่าเดิม เอ่ยออกมาเบาๆแต่เสียงกดดัน ยิ่งกว่าตอนจะสั่งฆ่าใครสักคนเสียอีก
“สารภาพมา จะเริ่มจากใครก่อน”
“ผมชื่อ รีส ครับ ผมเป็นแฟนของเฟิร์ส แต่ก่อนที่จะรักกันผม ข่มขืนเฟิร์สแล้วผมก็...” รีสสารภาพทุกอย่างออกมาหมด แม้ว่าในบางเรื่องเฟิร์สเองจะร้องห้ามเพราะกลัวพ่อจะโกรธไปมากกว่านี้ แต่ก็โดนสาตากดดันจากพ่อและโดนลากมาไว้ข้างๆ รวมถึงเรื่องแรกเริ่ม เรื่องที่เป็นปีศาจ เรื่องที่หัวใจหยุดเต้น มีพลังวิเศษที่ฟังดูไม่น่าเชื่อ ทั้งยังแผ่ไอเย็นๆให้ดูอย่างชวนตะลึงในสายตาของคนอื่น  และพูดถึงหัวใจน้ำแข็งของเขาที่ตอนนี้กลับมาเต้นได้เพราะได้รับความรักจากลเฟิร์ส แม้ว่าอาหารจะยังต้องพิเศษเหมือนเดิมแก้ไม่ได้ก็ตาม
“ผมรักเฟิร์สจริงๆ และสัญญาว่าจะดูแลอย่างดี ถ้าคุณพ่ออนุญาตให้เรารักกัน ผมยินดีสู่ขอตามประเพณีแม้เราจะเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ก็ตาม” ไม่มีเสียงตอบรับ ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆกลับมา ไม่มีแม้แต่เสียงเย้ยหยันห้ามเรียกตัวเองว่าพ่อเหมือนในละครที่ได้ยินมา มีเพียงความเงียบเข้าปกคลุม
ปัง!
“รีส!!”
เสียงลั่นไกปืนและเสียงตะโกนเรียกชื่อคนที่ล้มลงไปนอนกองกับพื้น ด้วยความตื่นตะลึงตกใจของทุกคน พ่อเก็บปืนเข้าที่แล้วยืนมองผลงานเงียบๆ เฟิร์สถลาเข้าไปประคองตัวรีสที่ล้มลงขึ้นมากอด แลมป์คว้าตัวพอลที่สะดุ้งตกใจเข้ามากอดไว้ แม่ที่ยืนฟังเรื่องราวอยู่ตรงบันไดไม่ได้ขึ้นไปพักดังที่กล่าว วิ่งลงมาดูด้วยความตกใจ อย่าปากจะว่าพ่อ แต่แล้วเสียงของคนที่ถูกยิงทะลุก็ดังขึ้นมาทำลายความเงียบนั้นเป็นความตื่นตกใจมากกว่าเดิม เพราะไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริง ที่ฆ่าไม่ตาย บาดแผลก็หายราวปราติหารย์
“กระสุนลูกนั้นคุณพ่อหมายถึงอะไรครับ” รีสลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าอีกครั้ง สบตาประชันหน้ากับพ่อโดยที่สองแขนกอดเฟิร์สที่ยังคงตัวสั่นเอาไว้แน่น
“ฉันจะพิจารณาเรื่องของพวกแกทั้งสองคน เร็วๆนี้” พ่อยิ้มออกมาในที่สุด จริงๆแล้วก็ไม่ได้อยากจะยิงให้ทุกคนต้องตกใจกันแบบนี้ แต่เหมือนถูกสายตาสีแดงนั่นท้าทายบางอย่าง ปีศาจในตัวของเขาเองเลยตื่นขึ้น และลั่นไกลออกไป อีกทั้งไม่คิดว่าเด็กคนนี้จะยอมให้เขาพิสูจน์ด้วยกระสุนปืน ซึ่งหมายถึงว่า ถ้าพลาดหรือเรื่องทุกอย่างโกหก หมอนั่นจะตาย เพราะคนอย่างเขาลองได้ยิงใครต้องโดนจุดตายในกระสุนลูกเดียวเท่านั้น ในเมื่อยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อลูกชายของเขาขนาดนี้ก็คงต้องรับไว้พิจารณา แม้จะต้องยอมรับว่าลูกชายแสนรักจะกลายเป็นเจ้าสาวก็ตาม ...บางทีเขาอาจจะไม่ต้องวางมือจากด้านมืดและอาจจะขยายกิจการได้ด้วยซ้ำไป
“ขออนุญาตครับ ถึงตาผมแล้ว” แลมป์ที่ดูเหตุการณ์มานานก็เบาใจ และอยากแนะนำลูกสะใภ้กับพ่อบ้าง ดูท่าแล้วจะไม่ต้องเสี่ยงตายแค่ยอมรับอย่างลูกผู้ชายก็พอ พ่อของเขาเป็นคนตรงๆและยอมรับความจริงได้ ท่านจะรู้ทันทีเมื่อมีคนโกหก และจะไม่ฟังอีกต่อไป แต่จริงๆก็รู้มาว่าพ่อฮาร์ตคอแต่ไม่คิดว่าจะโหดขนาดนี้ ที่แนะนำให้รีสโดนกระสุนสักลูกสองลูกก็ไม่คิดว่าจะเอาจริงกันทั้งคู่ เพราะคิดไม่ถึงว่าพ่อจะบ้าจี้ตามไป แต่ก็ลืมไปว่าพ่อเขากับคนอื่นก็ปีศาจดีๆนี่เอง ดีที่หมอนั่นไม่ตายจริงๆ ไม่งั้นแลมป์คงโดนเฟิร์สโกรธเอาแน่ๆที่เป็นตัวต้นคิดเรื่องสารภาพทั้งหมดนี่
“ได้ แต่ฉันอยากฟังเสียงคนที่จะมาเป็นลูกสะใภ้ของฉันเอง” พ่อนั่งลงที่โซฟาข้างๆมีแม่ที่ทนไม่ไหวกลัวเกิดเหตุหัวใจวายแบบเมื่อกี้อีกครั้ง
“ผม เอ่อ ผมชื่อ พอลครับ เป็นหมอและนักวิจัย ผมเป็นมนุษย์แต่มีเหตุบางอย่างที่ทำให้ร่างกายของผมเป็นแบบที่ทุกคนเห็น” พอลค่อยๆขยับเข้าไปใกล้พ่อและแม่ที่โซฟา ถอดหมวกคลุมผมออกเห็นหูแหลมๆนั่นโผล่พ้นเส้นผม บวกกับผมที่ถูกปล่อยไว้ยาวหน้าตาเลยดูขาวสวยน่ารักแบบหมวยๆแม้ว่าจะแล้วว่าเป็นผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิงอย่างที่เข้าใจตอนแรก เมื่อผ้าคลุมถูกทอดออกหมด สายตาของพ่อและแม่ก็จับจ้องไปยังปีกคางคาวที่หลังโดยอัตโนมัติ แต่ไม่รู้ทำไม ดูรวมๆแล้ว กลับลงตัวในเด็กหนุ่มคนนี้มากซะจนแม่อดไม่ได้ที่จะเอ็นดูโอบอุ้มและช่วยส่งสายตาขอร้องพ่ออีกคน ตอนนี้เลยกลายเป็นพ่อที่อยู่ตรงข้าม อีกทั้งแม่ยังงอนๆที่ยิงลูกเขยสุดหล่อของแม่ไปเมื่อครู่ พ่อเลยต้องเลยปั้นหน้าดุ ยิ้มรับตามที่แม่ขอและไปแย่งแม่มากอดไว้แทน พอลก็โดนแลมป์คว้าสู่อ้อมกอดอย่างหวงเช่นกัน เฟิร์สก็กอดรีสแน่นขึ้นทั้งคู่ยิ้มให้กัน ในใจรู้สึกเบาใจและมีความสุขที่สุดเท่าเคยมีมา แม้ว่าเหตุการณ์ต่างๆจะหมุนไวซะจนแทบตั้งตัวไม่ทัน



...
ห่างหายไปนาน แต่ไม่ทิ้งกัน ไม่มีเม้นไม่เป็นไรมียอดวิวก้พอ ยังไงก็จบจ่ะเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย ตอนที่ 41
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 06-06-2017 17:33:03
​​

Me die 41 : In the End

​สิ้นสุด





เชนและพวกนักสืบที่ช่วยกันสือเรื่องของดร.ตั้งแต่วันที่เข้าไปถล่มรังทดลองของมันวันนั้นยังคงทำงานกันต่อเนื่อง พบเจอเบาะแสต่างๆที่บ่งบอกที่อยู่แต่เมื่อไปดูก็ไม่พบมีเพียงหลักฐานว่าพวกมันหนีไปได้หลายต่อหลายครั้ง เมื่อนำเส้นทางทั้งหมดมาประติดประต่อกันดูเหมือนว่าดร.นั้นจะมุ่งหน้าออกนอกประเทศโดยใช้เส้นทางส่วนมากเป็นแหล่งชนบทและป่าเขา และถ้าปล่อยให้พวกนั้นออกนอกประเทศไปได้สำเร็จล่ะก็คงจะจัดการพวกมันไม่ได้ ตอนนี้จึงต้องเร่งมือแข่งกับเวลา เมื่อพบเบาะแสไมเคิลอาสาไปยังสถานที่นั้นก่อนเพื่อถ่วงเวลารอเชนติดต่อกับพวกรีสแล้วตามมา แม้ว่าช่วงนี้จะติดต่อรีสและแลมป์ยากเพราะต้องการปิดบังเรื่องพวกนี้กับคนรักตัวเองอยู่ก็ตาม

“สำเร็จ! ในตอนนี้ผมมั่นใจเลยว่าเป็นของจริง แต่เราต้องรีบแล้ว ไม่งั้นพวกดร.นั่นคงออกนอกเขตไปแน่ๆ ไมเคิลช่วยติดต่อเจ้านายให้ทีนะครับ ผมจะติดต่อรุ่นพี่เอง” เชนที่นั่งจ้องจอตาไม่กระพริบอยู่ๆก็กระโดดดีใจจนไมเคิลและพวกที่เหลือที่นั่งอยู่ข้างๆตกใจ

“ให้ตายสิ ทีเวลากับติดต่อไม่ได้ เจ้านายล่ะครับ” เชนที่ตอนนี้คิ้วผูกเป็นโบว์ มีแต่ความเครียดอยู่ในหัวตั้งแต่มาช่วยเรื่องดร. จะมีก็แต่คนที่เขาหันไปถามเท่านั้นที่บางเวลาจะกวนตีนเรียกเสียงหัวเราะได้บ้าง

“ทางข้าก็ไม่ เจ้าควรไปบอกพวกนั้นด้วยตัวเอง ข้าจะไปถ่วงเวลาไว้ให้” ไมเคิลส่ายหัวประกอบและอาสาออกไปเองคนเดียวเพื่อหาทางออกให้เด็กน้อยของเขาที่ตอนนี้เครียดมากเกินไป

“แต่...” เชนไม่อยากทิ้งให้ไมเคิลไปคนเดียว เพราะครั้งนี้รู้สึกเป็นห่วงแปลกๆ เหมือนความรู้สึกของเขารับรู้ถึงอันตรายบางอย่างที่รออยู่ข้างหน้า

"เราตกลงกันไว้แล้วจำได้ไหม เจ้าเชื่อข้าบ้างสิเด็กน้อย ถ้าเจ้าเป็นห่วงก็แค่รีบตามไปก็พอ" ไมเคิลยิ้มส่งไปให้เชนมั่นใจในการตัดสินใจนั้น เชนพยักหน้าตกลงอย่างช่วยไม่ได้ เขารู้ว่าไมเคิลเก่งพอตัว แต่ถ้าพวกดร.มันสู้กันตรงๆเขาจะไม่ห่วงเท่านี้เลย แต่พวกนั้นมันลอบกัดเล่ห์เหลี่ยมเยอะจนเกินไป ไมเคิลก็รู้ตัวว่าข้างหน้ามีอันตรายบางอย่างที่อาจส่งผลต่อตัวเขาแต่เขาก็ยังเลือกที่จะไปเมื่อทางนั้นมันคือทางออกสุดท้ายเพราะเขาไม่มีทางให้เด็กน้อยของเขาไปเสี่ยงแทนเด็ดขาด

เชนออกจากฐานลับ ปล่อยให้คนอื่นตามสัญญาณดร.ต่อไป เชนตรงไปยังที่อยู่ของเจ้านายเขาทันที เพราะถ้าไปทางรุ่นพี่ของเขาคงมีปัญหาหนักกว่าอย่างน้อยพี่หมอก็รู้เรื่องอยู่บ้าง และเป็นเรื่องโชคดีจริงๆที่รีสมาอยู่ที่คอนโดแลมป์เพื่อพูดคุยกันตามประสาพี่ชายน้องเขย?ที่เจ้าตัวบอก แต่จริงๆแล้วก็แค่หลบเฟิร์สออกมาปรึกษากันเรื่องสัญญาณที่เชนส่งไปก่อนหน้านี้กัน และที่เลือกมาที่นี่เพราะพี่หมอไปคลินิคตัวเอง ซึ่งนั้นก็เข้าทางเชนพอดี เชนจึงเล่ารายละเอียดทั้งหมดให้สองคนฟัง

"ในที่สุดก็ตามเจอแล้วสินะ" แลมป์พูดขึ้นมาเมื่อฟังเชนเล่าจบแล้วทำหน้านึกอะไรบางอย่างคิ้วผูกกันเครียดกว่าเดิม รีสก็ด้วย ทั้งสองมองหน้าอย่างรู้อะไรกันสักอย่าง เชนที่ร้อนใจเพราะห่วงไมเคิลก็เร่งเอาๆ

"ผมไม่อยากให้เฟิร์สรู้เรื่องนี้"       "อืม พี่ก็ด้วย"

สองคนพูดรับส่งกันเสียงเครียด เชนที่ยืนฟังอยู่แทบอยากฆ่าเจ้านายกับรุ่นพี่ของเขาเอง ‘รู้ว่าห่วงเมียแต่ช่วยรีบหน่อย คนที่เป็นอันตรายตอนนี้คือไมเคิลนะครับ’ แต่นั่นแค่เสียงในใจ ถึงเขาจะกวนตีน แต่ยังไม่อยากตายก่อนกำหนด ได้แต่ยืนเท้าเอวมองหน้าคนที่เครียดผิดเรื่อง

แซ่ด.. แซ่ด..

สัญญาณการติดต่อถูกส่งมาจากไมเคิล เชนที่พกเครื่องติดตามไว้กับตัวตลอดก็เริ่มตื่นตะหนก ส่งเสียงตอบรับไป แต่ดูเหมือนฝั่งนั้นจะไม่ได้ยิน

"เชน ได้ยินเสียง ข้าไห- ข้า- แซ่ด.. รู้สึกแปลกๆ พวกมันทำ- แซ่ด.. อ้าก!!!!... ซ่าาาาาา!!!"

"ไมเคิล! คุณเป็นอะไร ได้ยินไหม ไมเคิล!!!!"

เสียงของไมเคิลขาดช่วง ต้องการความช่วยเหลือ ไหนจะเสียงร้องทรมานก่อนสัญญาณจะขาดหายไปนั่น แม้แต่มอนิเตอร์ของเชนก็จับตำแหน่งไม่เจอ ทั้งห้องเงียบงัน เชนหน้าตื่นและดูเหมือนจะร้องไห้ ควบคุมตัวเองไม่ได้ รีสและแลมป์จึงให้เชนรออยู่ที่นี่ เพื่อบอกพอลและห้ามให้ตามไป รวมถึงปิดเรื่องนี้กับเฟิร์ส แม้ว่าเชนจะดื้อเพื่อไปหาไมเคิลแต่ก็ต้องยอมจำนนกับเหตุผลเพราะตัวเขาตอนนี้ก็แทบไม่มีสติ

ตำแหน่งหนึ่งในจอมอนิเตอร์บอกว่านั่นคือดร.ที่เชนตามเจอก่อนหน้ารวมถึงตำแหน่งที่เชนหายไปถูกส่งถึงมือของรีสและแลมป์ที่ตามไปจนถึง ซึ่งที่นั่นเป็นชนบทติดภูเขาสูงถัดไปไม่กี่ลูกจะถึงป่าที่เป็นทางติดกับประเทศเพื่อนบ้าน พวกเขาต้องจัดการพวกนี้ตั้งแต่ตรงนี้

ด้านเชนเมื่อหมอพอลกลับมาเชนก็เล่ารายละเอียดให้ฟัง บอกว่าตนจะไปที่ฐานลับ ส่วนหมอพอลก็ให้ช่วยไปกันทางเฟิร์ส และจะติดต่อกันเป็นระยะๆ

รีสและแลมป์เกือบไปถึงตำแหน่งที่เจอดร.รวมถึงมนุษย์ทดลองสองคนที่ออกมาจากแลปพร้อมกัน แต่ไม่เห็นวี่แววของไมเคิลที่สัญญาณขาดหายไป ดร.ไหวตัวทันหลบหนีออกไปจากตรงนั้นตั้งแต่ยังไม่เห็นพวกเขาเหมือนมีเส้นสายคอยจับตาดูอยู่ไกลๆ ทำเพียงทิ้งพวกลิ่วล้อที่รวบรวมมาได้ไว้กลุ่มหนึ่ง พวกมันกรูกันเข้ามากั้นไม่ให้ผ่านเส้นทางที่จะไปเจอเจ้านายพวกมันได้ตามคำสั่ง

"ไปสิ แค่นี้สบาย" แลมป์ยกยิ้มส่งซิกให้รีสวางใจรีบตามไป ตัวเขาจะรับมือเอง รีสเห็นแบบนั้นก็รีบตามตำแหน่งพวกดร.ไป คล้อยหลังรีส แลมป์ก็เก็บปืนเข้าซอง ยกมือขึ้นมาหักนิ้วข่มขวัญพวกกระจอก กำหมัดเตรียมเตะต่อย เพราะดูจากลักษณะแล้วพวกนี้ไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธเขาก็ล้มได้แน่นอน

ด้านเชน ที่ยังคงตามสัญญาณดร.ไปเรื่อยๆเพื่อนำทางให้รีส แต่แล้วก็มีสัญญาณรบกวนจากกลุ่มควันสีดำที่คุ้นเคย แต่ครั้งนี้แชนรู้สึกแตกต่าง เหมือนนั่นไม่ใช่ไมเคิลที่เขารู้จัก

"มันต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับไมเคิลแน่ๆ" เชนรีบให้คนอื่นมาทำแทนตน ส่วนตัวเขานั้นรีบร้อนออกไปหาไมเคิลแทน เพราะรู้สึกถึงความผิดปกติ ทำไมไมเคิลไม่ติดต่อมาหาเขา แถมตำแหน่งในตอนนี้ยังเคลื่อนไหวช้าเร็วเหมือนรอจังหวะบางอย่างอยู่

"เชนพี่ขอไปด้วย" หมอพอลที่รู้เรื่องด้วยก็อยากจะตามไปพร้อมกัน คนเดียวหัวหายสองคนเพื่อนตาย อีกอย่างเขารู้จักดร.ดีมันต้องมีอะไรซ่อนไว้อีก ไม่งั้นไม่เดินทางช้าทิ้งช่วงให้รีสตามได้ง่ายๆแบบนี้

"แล้วพี่เฟิร์สพี่หมอจะทำไงครับ" เชนตอบกลับตามสายขณะที่มือหยิบอุปกรณ์ต่อสู้ของตัวเองเข้ากระเป๋าสะพาย

"นั่นสิ อ๊ะ พี่นึกออกแล้ว เชนค้นเบอร์ของติวเตอร์ให้ทีสิ"

ระหว่างรอสองคนนั้นมาถึง หมอพอลก็กระวนกระวายจนเฟิร์สเริ่มเอะใจ หมอพอลอยากจะไปช่วยเต็มแก่ เมื่อสองคนนั้นมาถึงยังทันได้พักทักทายกันก็รีบร้อนออกไปบอกว่ามีเคสผ่าตัดด่วนแทน

"เชนพี่ออกมาได้แล้ว นายอยู่ตรงไหน" หมอพอลรีบวิ่งออกมาจากคอนโดอย่างรีบร้อน

"ครับพี่หมอ จำรถผมได้ไหม เดินออกมาหน้าคอนโดเห็นเลยครับ เจอกันพี่" เชนกดวางโทรศัพท์คิ้วขมวด ตลกไม่ออกได้แต่กังวลสุดๆ ไมเคิลแปลกไปแน่นอน แต่เขาไม่รู้ว่าไมเคิลคิดจะทำอะไร อาจจะโดนหลอกใช้หรือปั่นหัว ถ้าเป็นไมเคิลไม่ทำร้ายรุ่นพี่อีกแน่นอน พวกเขาสัญญากันไว้แล้ว

เมื่อเชนและหมอพอลมาถึงตำแหน่งของแลมป์ แลมป์ที่จัดการทุกคนหมอบหมดแล้วหันมาเจอก็ได้แต่ตีหน้ายักษ์ใส่เชนและหันไปมองทางหมอพอล เชนที่เห็นว่าเสียเวลา ก็รีบวิ่งไปยังตำแหน่งที่ตนมั่นใจว่านั่นคือไมเคิลที่ตรวจเจอตำแหน่งไม่นานก่อนมาที่นี่อย่างรีบร้อนทั้งที่ปกติตัวเขาเองจะต้องเปิดตัวทีหลัง และที่กังวลตำแหน่งนั้นกำลังตามรีสไปด้านหลังทิ้งช่วงไม่ใกล้ไม่ไกล มันแปลกๆอะไรบางอย่างในใจบอกว่าไมเคิลนั้นทรยศ แต่เขาก็เป็นห่วงทั้งสองคน

แลมป์หันมาไม่เจอเชนหลังจากหันไปดุหมอพอลก็ทำงง แต่หมอพอลรีบอธิบายเพราะเป็นห่วและหาเรื่องผิดปากแลมป์ที่นับวันยิ่งพูดมาก ว่าเชนเจอไมเคิลและหมอนั่นกำลังตามหลังรีสไปห่างๆ มีบางอย่างแปลๆและพวกเขาควรรีบไปอย่ามัวเสียเวลา แลมป์ที่ขัดอะไรไม่ได้แล้วก็ได้แต่ตามใจ แค่ให้หมอพอลสัญญาว่าจะไม่เอาตัวเองเข้าหาอันตรายแล้วคอยช่วยเหลืออยู่ด้านหลังเขา หมอพอลพยักหน้ารับส่งๆแล้วออกวิ่งนำไป ในใจอยากจะตะโกนบอกแลมป์เหลือเกินว่าเขาไม่ได้มีดีแค่เป็นหมอ

ด้านรีส ที่วิ่งตามมาทันพวกดร.จนได้ แต่ก็รู้สึกผิดปกติจากรอยยิ้มนั่นที่ส่งมา สายตาภายใต้กรอบแว่นมีแต่ความอำมหิตและความสนุก? มนุษย์ทดลองสองคนที่ยืนอยู่ข้างๆก็นิ่งซะจนเหมือนหุ่นยนต์ที่รอรับคำสั่ง

"หยุดนี้ได้แล้วดร.ผมว่าเราควรมาจบเรื่องนี้กันได้แล้ว" แม้จะมีบางอย่างผิดปกติ แต่ก็ยังเลือกที่จะพูดคุยเพื่อลองเชิง

"จบเร็วก็ไม่สนุกสิ ฉันยังอยากเห็นพลังของเธออยู่นะ รีส ตอนนี้เธอยังเป็นมนุษย์ทดลองที่ดีที่สุดของฉัน ฉันอยากให้เธอมาเป็นสมบัติของฉัน แต่ในเมื่อไม่ตกลงเธอก็ต้องถูกลำลาย และฉันอยากจะทดสอบอะไรบางอย่าง ว่าเธอจะฆ่าปีศาจที่เรียกว่าเพื่อนได้รึเปล่า ...ออกมาได้แล้ว!"

ฉึก!

ไมเคิลกระโดดออกมาจากด้านหลังทำให้รีสที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเซไป หัวไหล่ของเขาเป็นแผลยาวตามรอยเล็บของไมเคิลจากการกระโดดโจมตีเมื่อครู่ เลือดไหลออกชุ่มเสื้อ แต่ไม่นานบาดแผลก็สมานเหลือไว้เพียงคราบเลือดที่เปื่อนเสื้ออยู่

"ไมเคิล..." รีสที่มองหน้าไมเคิลแต่ก็เห็นสิ่งผิดปกติ ดวงตาที่เคยส่องแสงเรืองรอง แต่ตอนนี้กลับขุ่นมัวเหมือนมองไม่เห็นสิ่งใด

"พูดกับมันไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ในหัวของหมอนี่มีแต่ฆ่าทุกคนตามคำสั่งฉันเท่านั้น ...ตามฉันต่อสิ ถ้าเธอสามารถฆ่าเพื่อนของตัวเองได้" ดร.พูดอย่างเหนือกว่ามองดูรีสที่หนักใจเลือกไม่ได้ แววตาใต้กรอบแว่นยังคงสนุกกับเรื่องโรคจิตสุดๆ ดร.ไม่ได้เลิกล้มที่จะเอารีสมาไว้ใช้งาน แต่ต้องการทดสอบ ถ้ารีสแพ้รีสอาจจะตกอยู่ภายใต้อำนาจบางจนควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่ถ้าแพ้ก็เท่ากับว่าฆ่าเพื่อนตัวเอง

"ไมเคิลหยุดนะ!" เชนที่วิ่งตามมาทันและเห็นไมเคิลกำลังจะกระโดดใส่รีสอีกครั้ง เมื่อไมเคิลได้ยินเสียงเชน ร่างกายก็กระตุกหยุดลงอัตโนมัติและหันไปมองทางต้นเสียง ดร.หัวเสียที่มีตัวเสือกเข้ามาวุ่นวายเยอะเกินไป เขาคงต้องเลือกทิ้งสิ่งทดลองมีชีวิตและเอาตัวรอดซะก่อน จึงออกเสียงสั่งให้ไมเคิลฆ่าทุกคนที่ขัดขวางตัวเอง รวมถึงให้มนุษย์ทดลองสองคนข้างๆ ส่วนตัวเองก็รีบร้อนหลบหนีออกไปด้านหลัง

"พวกเราจัดการพวกนี้ให้ รีสนายรีบไปเถอะ" แลมป์ที่วิ่งตามมาตะโกนบอกรีสและไปยืนประชันหน้ากับพวกมนุษย์ทดลอง รีสขยับวิ่งตามไปสองคนนั้นก็ขยับจะตามไปกันแต่แลมป์และหมอพอลก็เข้ามาขวาง เช่นเดียวกับไมเคิลที่เห็นรีสขยับก็ทำท่าจะกระโจนออกไปแต่เชนก็เข้ามาขวาง ยิงสวนไปด้วยปืนเข้าหัวไหล่ขวา ไมเคิลที่โดนยิงใส่ก็เปลี่ยนเป้าหมายมาโจมตีเชน เชนเห็นว่าไมเคิลติดกับก็พาวิ่งออกไปอีกด้านเพื่อลดการเข้าโจมตีเป็นกลุ่มกับอีกสองคน และตัวเขาเองก็ต้องการพื้นที่เพราะเป็นพวกถนัดไกล

พอลและแลมป์หันหน้ามองกันโดยอัตโนมัติ แลมป์รู้ว่าเขาคงสู้พวกตัวทดลองพวกนี้ไม่ไหว และไม่คิดว่าหมอพอลจะไหวด้วย แต่ก็เพื่อถ่วงเวลาฆ่าดร.ได้สิ่งเลวร้ายจะได้จบลง แค่สละชีวิตส่วนน้อย และชีวิตนั้นจะเป็นเขาเองคนรักของเขาทุกคนต้องปลอดภัย เมื่อตัดสินใจก็หันไปยิ้มให้หมอพอลบอกว่าเขาจะล่อให้และรีบหนีไป จากนั้นก็กระโจนเข้าใส่มนุษย์ทดลองที่ยืนอยู่ตรงหน้าตน ยกปืนขึ้นยิงไปที่ทั้งสองตัวเพื่อล่อให้มาสนใจตัวเขาคนเดียว แต่หมอพอลรู้ว่าแลมป์คิดจะทำอะไรก็เข้าโจมตีพวกนั้นเช่นกัน แลมป์ที่รู้ว่าพอลไม่ยอมแต่ไม่มีเวลามาพูดมากแล้ว ได้แต่รับมือพวกมนุษย์ทดลองที่เริ่มขยับกายเตรียมโจมตีกลับ

ปัง! ปัง!

“ยิงไม่เข้างั้นหรอ” แลมป์ที่ยิงลูกปืนเจาะกะโหลกไปสองนัดติดๆต้องถอยกลับเพราะกระสุนที่ยิงไปถึงเป้าหมายโดน แต่ไม่เข้า!

“ทางนี้เข้าแต่มันไม่รู้สึกอะไรเลย” หมอพอลที่ถอยกลับมาเหมือนกันพูดขึ้น เพราะกระสุนนัดที่เขายิงออกไปใหม่เจาะเข้ากลางลำตัว มีของเหลวสีเหลืองคล้ายน้ำมันไหลเยิ้มออกมา แต่ตัวของมนุษย์ทดลองทั้งสองก็ยังเดินหน้าเข้ามาโจมตี เหมือนไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใดๆ

มนุษย์ทดลองตัวหนึ่งร่างกายใหญ่โตแต่งกายด้วยชุดคล้ายทหารคลุมด้วยผ้าคลุมสีดำที่ถูกถอดออก และนั่นทำให้กระจ่างทันทีเมื่อหน้าผากทุถูกกระสุนถากไปนั้นด้านในผิวหนังมีแต่เหล็ก แต่ยังไงมันก็เป็นมนุษย์ทดลอง มันจะต้องมีจุดอ่อนเพียงแค่ตอนนี้แลมป์หามันไม่เจอ มันเข้ามาโจมตีแลมป์ ขณะที่อีกตัวหยุดยืนและจ้องหน้าหมอพอลนิ่งๆ แลมป์วิ่งไปอีกทางและยิงปืนกระหน่ำใส่มันไปด้วยและตอนนี้เขารู้แล้วว่ามันเคลื่อนไหวช้า มันคือหนึ่งในจุดอ่อน แต่ในเมื่อมีจุดอ่อนก็ต้องมีจุดแข็งที่มากขึ้น และเขาจะต้องไม่ประมาท เพราะถ้าแค่นี้เขาเอาอยู่แน่นอน เพียงแค่ยื้อให้รีสไปฆ่าดร.นั่นได้ก็เป็นพอ

หมอพอลที่ยังคงยืนจ้องหน้ากับมนุษย์ทดลองหมายเลข03 ที่ถูกยิงก่อนหน้าแล้วป้ายชื่อออกมาด้านนอก มันทำแค่ยืนนิ่งๆและจ้องเขา ตัวนี้สภาพร่างกายแตกต่างส่วนสูงของมันเกิน2เมตรแน่ๆ และดูท่าใต้ผ้าคลุมนั่นขาของมันน่าจะมีมากกว่าสองและไม่ใช่ขามนุษย์แน่นอน อีกทั้งปลายเท้าของของมันยังแหลมคม  มันไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยนอกจากมองจ้องตัวเขาเหมือนกำลังสำรวจอะไรบางอย่าง... ใช่! สำรวจ มันจะต้องมีระบบอะไรบางอย่างที่ตรวจสอบอาวุธหรือความแข็งแก่งของคู่ต่อสู้!

หมับ!

หมายเลย03เคลื่อนตัวมายืนซ้อนทับอยู่ข้างหลังหมอพอลด้วยความรวดเร็ว ขาเส้นหนึ่งถูกยกออกมาและแทงเข้ากลางท้องของหมอพอลจนกระอักเลือด มันยกตัวหมอพอลขึ้นสูงเหนือหัวและทำท่าจะทุ่มลงมาที่พื้นให้ตายอย่างทรมาน และคงจะทำแบบนั้นต่อไปเรื่อยๆจนกว่าอีกฝ่ายจะหมดลมหายใจ

“เอ้ย! อึก!” หมอพอลรู้ตัวช้าไป และกำลังแย่สุดๆ เพราะเอาแต่คอยกังวลไม่ได้หาจุดอ่อนของมันเหมือนที่มันทำ อีกทั้งยังด้อยประสบการณ์ต่อสู้ มีแต่เสียเปรียบกับเสียเปรียบ มันเคลื่อนไหวเร็วเกินไปแม้แต่จะหลีกหนียังไม่ทัน

“พอล!”

ปัง! ปัง!

แลมป์ที่หันมาเห็นหมอพอลกำลังแย่ๆ เขาหันมาสนใจทางหมอพอลวิ่งเข้าหาหมายเลข03ยกปืนยิงที่ขาเส้นนั้นจนมันเสียหายรับน้ำหนักไม่ไหว ค่อยๆเอนลงมาให้ร่างหมอพอลลงสู่พื้นโดยไม่เจ็บมาก แต่มันไม่ได้มีแค่ขาเดียว ขาอีกหลายเส้นขยับหยุบยับจะออกมาจะกระหน่ำแทงร่างหมอพอล แลมป์ที่เห็นแบบนั้นก็ตาเบิกโพรงจะวิ่งเข้าหาโดยที่เขาลืมไปว่าตัวเองกำลังต่อสู่อยู่เช่นกัน มนุษย์ทดลองทหารนั้นเข้าโจมตีแลมป์ด้วยการวิ่งชนจนตัวเขากระเด็นไถลออกไปไกลคลุกฝุ่น จุกจนแทบลุกไม่ขึ้น และรู้สึกถึงกระดูกแขนข้างซ้ายที่ถูกชนจังๆจนหักได้ยินเสียงดังกร๊อบ...เขาประมาท และประมาท = ตาย

ด้านเชนที่ล่อไมเคิลออกไปอีกด้านได้สำเร็จ เขาบรรจุกระสุนพิเศษที่คิดค้นขึ้นเพื่อกำจัดพวกมนุษย์ทดลองแบบนี้ลงในปืนสั้นและเหน็บไว้ขางเอวเผื่อฉุกเฉิน หยิบปืนที่บรรจุกระสุนธรรมดาขึ้นมา ส่วนอีกข้างบรรจุกระสุนช็อตไฟฟ้าสำเร็จรูปที่ไม่รู้จะได้ผลไหมแต่อย่างน้อยก็คงช่วยให้ช้าลงได้ ส่วนในกระเป๋าก็มีกระสุนพิเศษที่ยังไม่เคยทดลองอยู่เต็มกระเป๋าหวังว่ามันจะช่วยเขาดึงสติไมเคิลได้ เขาไม่ได้ต้องการฆ่าไมเคิลแค่จะหยุดเท่านั้น แต่ถ้าหยุดไม่ได้ก็ต้องสูญเสียหนึ่งเพื่อรักษาอีกหลายชีวิต

ตอนนี้ไมเคิลกลายร่างสมบูรณ์ อยู่ในร่างหมาป่าตัวใหญ่เขาแหลมเล็บคม แต่ดวงตากลับหม่นหมองปากอ้ากว้างน้ำลายหยดพ่นลมหายใจออกมาเหมือนหมาบ้าที่ควบคุมสติตัวเองไม่ได้ และเพราะอยู่ในร่างนี้ทำให้เชนเสียเปรียบ แม้ว่าจะเร็วแค่ไหนก็ยังคงเป็นแค่มนุษย์ ย่อมเสียเปรียบเป็นธรรมดา เชนกระโดดไปตามกิ่งไม้ใหญ่พยายามขึ้นที่สูงให้ไมเคิลเสียเปรียบ แต่ก็ยากลำบากเพราะป่าไม้ที่นี่ไม่คุ้นเคย เกือบทำให้ตัวของเขาตกลงมาหลายต่อหลายรอบ

เชนเคลื่อนไหวกายไปเรื่อยๆและยิงกระสุนธรรมดาสวนไป ทุกครั้งที่ยิงโดนหัวใจของเขาเจ็บปวดเพราะเสียงร้องของอีกฝีกฝ่ายทั้งยังเลือดที่ไหลออกมาจากตำแหน่งที่ถูกยิง แต่ร่างนั้นก็ยังไม่หยุดทำให้เชนต้องทำต่อไป

ไมเคิลที่โกรธจนควันออกหูเพราะตอนนี้ตัวเขาเสียเปรียบ พยายามหาวิธีตามให้ทันและกระชากมันลงมาขย้ำที่พื้น แต่เมื่อเร่งสปีด ตัวเขาก็โดนเชนยิงกระสุนไฟฟ้าใส่ทำให้การเคลื่อนไหวหยุดชะงักเป็นช่วงๆเพราะโดนช็อต ยิ่งสร้างความรำคาญให้แก่ไมเคิลเพิ่มความโกรธเป็นทวีคูณ

โฮก!!

เชนกำลังเสียเปรียบเพราะกระสุนไฟฟ้าหมด ไมเคิลกระโจนใส่ขณะที่กำลังจะเคลื่อนกายไปยังกิ่งไม้อีกกิ่งที่สูงกว่า หมาป่าตัวสูงใช้อุ้งมือใหญ่โตตบร่างเชนจนล่วงลงพื้น ความเจ็บจุกแล่นแปร๊ดถึงกระดูกขยับตัวไม่ได้ ไมเคิลที่เป้าหมายล่วงลงพื้นตามตรงการ แต่ยังไม่อยากฆ่าทิ้งต้องการเล่นกับเหยื่อตามประสาสัตว์นักล่า ขาหน้าที่มีเล็บแหลมยาวเข้าตะปบเขี่ยร่างเชนที่นอนฟุบคว่ำอยู่ที่พื้น เขี่ยไปเขี่ยมาอยู่อย่างนั้น แต่ยิ่งเขี่ยเชนยิ่งสะบักสะบอมกว่าเดิม ด้วยน้ำหนักเท้าและเล็บแหลมๆนั่นทำให้เขาเลือดออก เชนเริ่มหายใจรวยรินสติจะครองตนก็แทบไม่มีเหลืออยู่กับตัว มองออกไปด้านข้างเห็นกระเป๋าใส่อาวุธที่หลุดออกไปตนล่วงลงมา อาศัยแรงเท่าที่มีค่อยๆยืดแขนออกไปคว้ามันไว้ เมื่อเอื้อมถึงพยายามล้วงมือเข้าไปหยิบปืนที่บรรจุกระสุนพิเศษกำไว้แน่นและรอเวลา

ไมเคิลที่เล่นกับเหยื่อจนแน่นิ่งก็เบื่อและอยากกิน อุ้งเท้าหนาใช้แรงตบเข้าที่ข้างลำตัว ตัวของเชนพลิกกลับด้านมานอนหงาย ดวงตากลมโตที่เคยสดใสยังคงจ้องมองร่างหมาป่าตัวใหญ่ตรงหน้า เอ่ยเรียกเสียงแผ่วเบาในลำคอหวังเรียกสติ แม้ว่าจะไม่มีหวังเลยก็ตาม

“ม ไมเคิล..ไมเคิล..”

ไมเคิลไม่แม้แต่จะสนใจฟังเสียงน่ารำคาญนั่น เคลื่อนกายใหญ่โตมาคร่อมทับ ก้มหัวหมายักษ์ลงต่ำสูดดมและสังเกตเหยื่อเพื่อความแน่ใจว่าเหยื่อยังมีชีวิตอยู่แม้จะหายใจรวยริน ปากถูกอ้ากว้างโชว์เขี้ยวคมน่ากลัว น้ำลายเหนียวข้นหยดย้อยโดนตัวของเชนที่อยู่ด้านล่าง เชนอาศัยจังหวะนี้กระชากแขนตัวเองออกจากกระเป๋าเอาปืนจ่อกลางหน้าอกหมาป่าตัวเขื่องและเหนี่ยวไกทันที

ปัง!

“โฮกกกกกก!!!”

เสียงร้องคำรามลั่นด้วยความเจ็บปวดดังก้องป่า หน้าของหมาป่ายักษ์เชิดขึ้นถอยตัวออกห่างจากเชน ยกขาหน้าปัดหน้าอกตรงตำแหน่งที่ถูกยิงเข้าไปเหมือนต้องการจะเอาออกและบรรเทาความเจ็บปวดที่มี กระสุนพิเศษที่ไม่เคยได้ทดลองแต่ดูเหมือนมันจะทำงานได้ดีเกินคาด ลำตัวของหมาป่ายักษ์กระตุก ชักดิ้นชักงอ กลิ้งตัวอยู่บนพื้นด้วยความทรมาน ส่งเสียงครางหงิงด้วยความเจ็บปวด ไม่นานลำตัวก็หดลงเรื่อยๆจนอยู่ในร่างมนุษย์ที่นิ่งไม่ไหวติงจนที่มองอยู่ใจเสีย

เชนที่นอนหายใจรวยรินมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยใจที่เจ็บปวดไม่ต่างกัน ทั้งยังเจ็บกว่าที่ต้องตัดสินใจลงมือยิงไป ตอนนี้เขาทำได้แค่ภาวนาว่าการที่ตัดสินใจลงไปแบบนั้นแล้วจะไม่เป็นการปลิดชีวิตปีศาจที่เขารัก แต่ยิ่งมองคนๆนั้นดิ้นด้วยความทรมานก็ไม่อาจทนดูได้ นอกจากหลับตาแต่เสียงโหยหวนขอความช่วยเหลือก้องอยู่ในหู เมื่อเสียงเหล่านั้นเงียบลงไป เชนกลับใจไม่ดีกว่าเดิม เพราะมันเงียบเกินไป

“...ไม เคิล…”

เชนขยับลากร่างกายตัวเองด้วยแรงที่มีเข้าไปหาไมเคิลที่นอนนิ่งงัน เอ่ยเสียงเรียกแผ่วเบาแต่ก็ยังไม่มีปฏิกิริยา น้ำตากำลังเอ่อท้นดวงตากลมโต แขนเล็กขยับกอดร่างนั้น แนบใบหน้าซบอกเปลือย และเอ่ยคำบางคำออกมาที่มันส่งผลทำให้ร่างที่แน่นิ่งขยับ...

“...ผมรักคุณ”

ขณะเดียวกัน

รีสที่ตามดร.ไปทัน แต่เห็นว่าเป็นเพียงคนธรรมดาไม่มีลูกน้อง เลยพยายามไม่ใช้กำลังเข้าไปจับตัวเพื่อเอากลับไปตัดสิน เพราะคำสัญญากับเฟิร์สว่าเขาจะไม่ฆ่าคน ดร.จนมุมเอ่ยร้องขอชีวิต พยายามหลีกหนีไม่พ้นแต่ก็ยังคงยิ้มชวนสยองเหมือนเดิม ทำให้รีสแปลกใจและระวังตัว ดร.แอบหยิบยาบางอย่างออกมาจากกระเป๋าถือและจะแทงเข้าที่ตัวรีสเพื่อให้รีสกลายเป็นทาสเหมือนที่ไมเคิลโดน แต่รีสไวกว่าใช้มือใหญ่ปัดยาหลอดนั้นตกพื้นแตก ดร.ที่ถอยออกไปไกลเห็นแบบนั้นก็หัวเสียเพราะนั่นคือหลอดสุดท้ายที่มี นั่นทำให้ดร.เลือกไม่ได้ เขาหยิบยาอีกหลอดแต่สีไม่เหมือนกันจากในกระเป๋ากางเกงตัวเองออกมา รีสตั้งรับการโจมตี แต่คาดไม่ถึงที่ดร.นั่นปักยาหลอดนั้นเข้าที่กลางอกตัวเอง

“หึหึ ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ อึก ฮ่าฮ่าฮ่า”

เสียงหัวเราะของดร.ดังลั่น ร่างกายสูงใหญ่และแข็งแรงขึ้นมากกว่ามนุษย์ปกติ ฟันแทงไม่เข้า ดร.เข้าโจมตีรีสทันที รีสเสียหลักไม่ได้ตั้งตัวล้มลงกับพื้น ดร.เห็นดังนั้นก็เข้าโจมตีต่อเนื่อง รีสพยายามปัดป้องและหาทางลุกขึ้นจากพื้น เมื่อลุกขึ้นได้รีสก็ดึงพลังในตัวเองออกมา ไอเย็นแผ่ไปรอบๆ ดวงตาแดงก่ำ เล็บยาวเข้าไปกระชากแขนหมายให้หลุดเพื่อตัดกำลัง แขนของดร.ไม่หลุดออกมาดังคาด รีสที่ตะลึงที่ได้เห็นมนุษย์ธรรมดาทนแรงเขาได้ขนาดนี้ก็พลาดให้กับดร.อีกครั้ง ดร.ใช้อาวุธปลายแหลมที่รีสไม่รู้ว่ามันมาจากไหนฟันเข้าที่แขนรีสข้างที่จับจนขาดหลุดจากกัน แต่เมื่อหายอึ้งเสียงหัวเราะของดร.ในคราแรกก็หายไป รีสเข้าต่อสู้กับดร.อย่างจริงจัง จนเห็นจุดอ่อนที่ด้านหลังเมื่อโดนโจมตีร่างนั้นจะกระตุกและหยุดไปเสี้ยววิ รีสทุบเข้าที่กลางกระดูกสันหลังด้วยแรงที่มีและติดต่อกันหลายครั้ง จนดร.ล้มลงกับพื้นพนมมือไหวเอ่ยขอร้องเสียงสั่น

“ขะ ขอร้อง ไว้ชีวิตฉันด้วยเถอะ” รีสเห็นดังนั้นก็เกิดลังเล ซ้ำคำสัญญากับเฟิร์สที่ว่าจะไม่ฆ่าคนอีกผุดขึ้นมา ลักษณะของดร.ตอนนี้ก็ไม่ต่างจากมนุษย์เพียงแค่หนุ่มขึ้น

ฉึก!

“อ้ากกกก!!!”

ขณะที่รีสเกิดลังเลเพียงเสี้ยววิ แต่เป็นการเผยจุดอ่อนครั้งใหญ่ ดร.เปลี่ยนแขนของตัวเองข้างหนึ่งเป็นใบมีดที่ยาวและคม เสียบแทงเข้าที่หัวใจของรีสอย่างรวดเร็ว ร่างรีสกระตุกเพราะความเจ็บปวดที่ไม่ได้สัมผัสมานาน และมันกำลังเกิดขึ้นตอนนี้ โดยฝีมือของงูเห่าที่เขาพยายามไว้ชีวิต ดร.กดย้ำใบมีดเข้าเข้าลึกจนเลือดไหลเยิ้มทะลักบาดแผลออกมาอย่างหยุดไม่ได้ ...หัวใจที่กลับมาเต้น ...จุดอ่อนที่เจ็บปวดเพียงจุดเดียว...

“แกมันโง่เอง คิดหรอว่าการที่หัวใจกลับมาเต้นได้จะทำให้แกมีชีวิตปกติ ในเมื่อแกไม่ยอมก้มหัวให้ฉัน ฉันก็ไม่จำเป็นต้องเก็บแกไว้ให้เป็นเสี้ยนหนามอีกต่อไป ลาก่อน”

“ไม่!!!!!!!!!!”

เฟิร์สที่นอนหลับอยู่ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา ตะโกนร้องเสียงหลงพร้อมกับมือที่เอื้อมไปคว้าบางอย่างในอากาศที่ว่างเปล่า ทั้งน้ำตายังไหลท่วม หัวใจบีบรัดเจ็บปวดเมื่อในฝันเห็นคนรักของตนสิ้นใจตรงหน้า แต่กลับช่วยอะไรไม่ได้เลย ติวเตอร์และทามที่อยู่นอกห้องได้ยินดังนั้นก็รีบเข้ามาดู ติวเตอร์เห็นเฟิร์สแย่ก็เข้าไปกอดปลอบอยู่นานกว่าจะสงบลง

เฟิร์สนั่งไม่ติดเก้าอี้เอาแต่กังวลเรื่องที่ฝัน ติวเตอร์ที่ได้ฟังด้วยก็กังวลตาม ทามก็นั่งรอฟังเงียบๆ แต่แล้วจู่ๆเฟิร์สก็ผุดลุกขึ้นลง เดินไปเดินมาเหมือนคิดอะไรบางอย่าง จนทามที่ความอดทนต่ำเริ่มรำคาญ จนโพล่งปากออกไปว่าอยากรู้อะไรก็ไปหาคำตอบอย่ามาเดินวนไปวนมา เฟิร์สหันไปยิ้มให้ทามที่ชี้ทางสว่างและทำท่าจะออกไปยังฐานลับของเชนเพื่อถามข่าว ติวเตอร์ลุกขึ้นห้ามไว้แทบไม่ทันได้แต่ส่งสายตาอาฆาตไปให้ทามที่ปากไม่ดี เพราะเขารับปากตอนคุยโทรศัพท์กับหมอพอลแล้วว่าอย่าให้เฟิร์สออกจากห้องเพราะนั่นหมายถึงชีวิตเฟิร์สและรีสจะไม่ปลอดภัย





...

เก็บไว้ให้ลุ้น 555

ขอบคุณทุกกำลังใจมากๆเลยค่ะ และไม่ทิ้งกันด้วยขอบคุณมาก

แบ่งหน้าแล้วได้2ตอน แต่สั้นยาวอาจไม่เท่ากันเล็กน้อยนะจ้ะ

เราจะเหลือตอนจบตอนหน้า ตอนพิเศษถ้าอยากอ่าน และคู่พิเศษไมเคิลเชน2,3,ถ้าต้องการร


...
มีคนอ่านป่าวว้าเนี่ยยยย
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย ตอนที่ 42/1
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 14-06-2017 15:11:54
Me die 42 : ความสวยงามของการจากลา
   
ปัง!!
“ไม่ไหวก็ไม่น่าฝืนนะครับเจ้านาย” เชนที่โดนไมเคิลประคองมาพูดขึ้นเมื่อยิงใส่มนุษย์ทดลองทหารที่กำลังจะเข้ามาโจมตีแลมป์ ไมเคิลที่ร่างกายฟื้นฟูเร็วกลายร่างกระโจนเข้าไปช่วยเหลือหมอพอลที่กำลังเสียเปรียบจะโดนขาหลากหลายเส้นแทงตายออกมาได้ทัน
“ควรบอกตัวเองมากกว่านะ เจ็บหนักไม่เบาหนิ” แลมป์พักหายใจพูดขึ้นโดยที่ดวงตายังไม่ละจากคู่ต่อสู้ ความมุ่งมั่นและอดทนพวกนี้ของแลมป์ทำให้พักดี เชนยิ้มให้กลับภาพที่เห็นและเข้าไปร่วมต่อสู้ระยะไกลตามที่ตัวเขาถนัด
ทั้งสองคนทีมเดียวกันย่อมรู้ใจและทำงานเข้าขากัน แลมป์เข้าประจันหน้าโจมตีระยะประชิด แต่เมื่อจะเสียเปรียบเชนก็ใช้อาวุธของเขากระหน่ำยิงเข้าใส่ น่าเสียดายที่กระสุนพิเศษของเขาที่เคยใช้กับไมเคิลได้ผลแต่ยิงมนุษย์ทดลองตัวนี้ไม่เข้า เชนจึงโยนอาวุธขึ้นฟ้าเมื่อเห็นว่าหมอพอลสยายปีกตัวเองบินโฉบไปโฉบมาเพื่อล่อแล้วให้ไมเคิลลอบโจมตี แล้วตัวเขาเองก็ใช้กระสุนธรรมดาที่ยิงไม่เข้าแต่สร้างความรำคาญได้กระหน่ำเข้าใส่มัน และนั่นทำให้รู้ว่ามันมีจุดอ่อนอยู่ด้านหลังคอผิวหนังมันเป็นรูกระสุนและร้องเจ็บปวด มันจึงหันมาสนใจเชนที่ลอบยิงอยู่ แลมป์ที่รอจังหวะก็เข้าประชิดตัว ใช้มีดสั้นแทงลงไปตรงนั้นขยับมีดหมุนคว้านจนเป็นรูกว้างเห็นไมโครชิพด้านใน มนุษย์ทดลองทหารเมื่อโดนรู้จุดตายก็หันมาสนใจแลมป์ คว้าตัวของแลมป์ล่วงสู่พื้นและยกเท้าเหล็กกระทืบเข้าที่แขนอีกข้างหวังให้หักตามอีกข้างไป เสียงปืนของเชนดังขึ้นอีกครั้ง ร่างเหล็กใหญ่ยักษ์หยุดนิ่งกระแสไฟฟ้าช็อตทั้งระบบเมื่อไมโครชิพโดนทำลาย ขาที่ยกหวังจะกระทืบค้างกลางอากาศ และนั่นทำให้ร่างของมันเอนลงมาทางนี้ แลมป์เห็นแบบนั้นก็ตาโตสุดขีดเห็นทางไปสวรรค์อยู่รำไรเหล็กเป็นตันๆขนาดนั้นระยะแค่นี้ตายแน่
ตึง!
“ฟู่ว... กว่าจะยิงได้ ฉันแทบกระอักเลือดตาย” แลมป์ถอนหายใจโล่งอกเฮือกใหญ่ หันไปดุเชนนิดๆเพื่อเปลี่ยนเรื่องกันเด็กมันล้อเลียนที่เขาตกใจขนาดนั้
“โทษคร้าบเจ้านาย เอาเป็นว่าเมื่อครู่ผมไม่เห็นล่ะกัน” เชนเดินมาหาแลมป์ยิ้มๆ โชคดีที่แผนของพวกเขาสำเร็จด้วยดี เพราะรอยมีดนั้นคือการมาร์กจุดตายและคนที่จะทำลายไมโครชิพนั่นคือตัวเขานั่นเอง


ทางด้านหมายเลย03 ที่ได้ยินเสียงล้มตึงของยักษ์ใหญ่ทีมตัวเอง แม้พวกเขาจะเป็นมนุษย์ทดลองแต่ทุกคนมีจิตสำนึกเป็นของตัวเองและรักพี่น้อง เพียงแต่ฝืนร่างกายทำตามคำสั่งที่ได้รับมาไม่ได้ ดร.นั่นหลอกให้พวกเขามาทดลองและกลายเป็นสัตว์ประหลาด เขาอยากจะหยุดมัน แต่ร่างกายไม่ยอมฟัง และไม่มีใครรู้เพราะพวกเขาพูดไม่ได้อีกต่อไป โชคดีแล้วที่จะได้ตายในวันนี้...ขอบคุณ
“เพื่อนของนายตายไปแล้ว นายพร้อมรึยัง” พอลพูดขึ้นเมื่อเห็นหมายเลย03หันไปมองทางเพื่อน เขาเคยมีส่วนร่วมกับการทดลองทำไมจะไม่รู้ว่าพวกนี้ยังคงรับรู้ทุกอย่าง แต่ถ้าเขาไม่ฆ่าคนที่ถูกฆ่าก็คือพวกเขาเอง โปรแกรมมันมีแค่นั้นไม่มียกเลิก
หมายเลย03หันมามองทางพอล พอลรู้สึกเหมือนเขาได้คำตอบจากดวงตานั้นว่าพร้อมแล้ว จากตอนแรกจะเข้าโจมตีพร้อมไมเคิลทำให้ทุกอย่างหยุดชะงักลง หรือมันจะมีทางแก้ไข แต่ก็สายไปที่จะคิดอะไรตอนนี้ ไมเคิลกระโดดเข้าทางด้านหลังจนหมายเลข03ล้มลงพร้อมเข้างับคอกระชากสายไฟต่างๆออกมาเละเทะส่วนหัวหลุดออกจากตัวกลิ้งไปทางพอล เพราะคาดว่าจุดอ่อนน่าจะอยู่ตำแหน่งเดียวกัน
“ดร.เจ้าเล่ห์นั่น!” พอลสบถอย่างหัวเสีย แบบนี้สินะดร.ถึงไม่ให้เขาเข้าไปตอนประกอบร่าง เพราะหมายเลข03มันไม่ตาย ขาหลากหลายเส้นพยายามดิ้นและดันร่างกายของมันขึ้น และนั่นทำให้รู้ว่าด้านบนเป็นเพียงแค่หุ่น ผ้าคลุมสีดำหลุดออกพร้อมกับพลาสติกด้านบน สมองของมันเต้นตุบตับอยู่ในกระจกแก้วทรงกลมล้อมรอบด้วยขาหยุบหยับน่ากลัว ดูเหมือนจะง่าย แต่การที่จะฝ่าขาแสนอันตรายนั่นเข้าไปมันไม่ง่ายเลย เหมือนเอาผิวตัวเองไปให้มีดแล่เนื้อสับเอาก็เท่านั้น
โฮก!!
ไมเคิลที่อยู่ใกล้มันโดนขาแหลมเสียบเข้าที่แผลเดิมเพื่อเป็นที่พยุงตัวขึ้น ไมเคิลปวดหนึบที่หน้าอก เพราะพิษจากกระสุนพิเศษของเชนยังเล่นงานอยู่เนืองๆแถมพอมันยืนขึ้นได้มันก็กระหน่ำแทงแผลเขาจนทนไม่ไหว เชนที่อยู่ไม่ไกลล้มลงกับพื้นเจ็บปวดเช่นเดียวกับไมเคิล สองคนนี้ทำพันธสัญญากันก่อนจะมาที่นี่ สัญญานี้คือการผูกชีวิต ใครเจ็บอีกคนก็รู้สึก แต่ถ้าอีกคนมีพลังอีกคนก็จะมีเช่นกัน เรียกง่ายๆคือการถ่ายโอนพลังชีวิตของทั้งสองฝ่าย ร่างของหมาป่ากลายเป็นคนด้วยความเจ็บจนทนไม่ไหวอีกต่อไป 
“อย่ามาดูถูกพวกเราหน่อยเลยไอ้สัตว์ประหลาด” แลมป์ที่ไม่รู้ว่ามาอยู่ข้างหลังมันได้ยังไง ยกปืนประดิษฐ์ลักษณะคล้ายหัวRPG จ่อไปที่สมองในกระจกแก้วของมัน พอลที่รออยู่แล้วก็บินเข้าไปลากไมเคิลที่นอนอยู่ออกมา กระสุนถูกยิงออกไปด้วยความแม่นยำเจาะทะลุแก้วหนาที่ครอบสมองของมันเกิดแรงระเบิดตูม เมื่อควันจางลงร่างทดลองล้มอยู่บนพื้น สมองของมันไม่ได้รับความเสียหายเพราะกระจกแก้วร้าวเป็นรูเล็ก ขาเหล่านั้นเริมขยับอีกครั้งและดูว่ามันจะเกรี้ยวกราดมากกว่าเดิม เชนที่เริ่มขยับกายไหวก็ลุกขึ้นหามุมยิงกระสุนพิเศษเข้าเจาะสมองเพื่อไม่ให้มันลุกขึ้นมาได้อีก และก็สำเร็จจนได้ ทุกคนถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ทิ้งกายลงสู่พื้นด้วยความเหนื่อย


"เฮ้ ไมเคิล ไม่ยักรู้นะว่านายเองก็ชอบใส่กระโปรง ติดความโรคจิตลูกน้องฉันมารึไง" เมื่อจัดการมนุษย์ทดลองสองคนนั้นเสร็จสิ้น แลมป์ก็ออดไม่ได้ที่จะถามออกไป พอลได้ยินก็หันมาตีแขนเบาๆเชิงดุ สองคนนี้มาช่วยมันก็ดีอยู่หรอกดีมากๆ แต่มันติดตาตั้งแต่ตอนนั้นละ หมาป่าใส่กระโปรง? หมดกันภาพลักษณ์ดุร้าย
"เจ้านาย! หยุดพูดไปเลยนะครับ แค่นี้ไมเคิลก็อายจะแย่แล้ว แต่ถ้าไม่ให้ใส่จะให้เปลือยหรอ หรืออยากเห็นจะได้ให้ทำ ให้พี่หมอดูด้วยดีไหมครับ ห้ะๆ" เชนได้ยินเจ้านายตัวเองแซวปีศาจสุดรักสุดหวงก็อดไม่ได้ที่จะเลือดขึ้นหน้าออกโรงปกป้องแทน แต่ยิ่งพูดเหมือนยิ่งทำให้ไมเคิลอายกว่าเดิมซะอีก
"เจ้านั่นแหละหยุดพูดเชน จะให้ข้าเปลือยน่ะเจ้าไม่หวงรึไง" ไมเคิลหน้าแดงก่ำอายในเรื่องไม่เป็นเรื่อง เอาจริงๆเขาก็อ่อนไหวเรื่องแบบนี้มาตั้งนานแล้วนะ
"ผมไม่หวงหรอก ก็รู้หนิว่าชอบโชว์ อีกอย่างไอ้เนี่ยน่ะ ก็จับมาตั้งแต่เด็กๆ จำไม่ได้รึไง" ยิ่งเชนพูดไมเคิลยิ่งหน้าแดง นึกย้อนไปหลายสิบปี เด็กประหลาดที่โบสถ์ในวันนั้นก็เจ้าเด็กโรคจิตคนนี้นี่เอง ส่วนเชนเมื่อแกล้งได้ก็เอาแต่หัวเราะคิกคักจนเจ็บแผล ได้รับเสียงสมน้ำหน้าตามๆกันไป
หมาป่าตัวโตที่มีความสุขเมื่อโดนเด็กโรคจิตตัวเตี้ยแกล้งเอาๆ ช่างเป็นภาพที่...เอือม 
"ไปหารีสกันเถอะแลมป์ ผมว่าปล่อยคู่รักโรคจิตไว้ตรงนี้แหละ" หมอพอลและแลมป์ส่ายหัวอย่างระอากับภาพที่เห็นแล้วออกเดินด้วยแรงที่มีไปหารีส แม้แรงจะไม่มีเหลือแต่ก็ต้องไปเพราะพวกเขาจะไม่ทิ้งให้คนในครอบครัวต้องตายเพียงลำพัง


ด้านรีสที่กำลังเสียเปรียบ ถูกดร.ผลักออกจากตัวให้หลุดจากอาวุธปลายแหลมที่สร้างจากแขนของตัวเอง รีสล้มลงกับพื้นยกมือสั่นเทาขึ้นกุมหัวใจที่กำลังเต้นรัวและปวดหนึบ สายตาจ้องไปยังดร.ที่เล่นไม่ซื่อตาเขม็ง ดร.ยิ้มเยาะชายตามองรีสที่สภาพน่าสมเพช ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตกเป็นรองเขาเสมอ และเปลี่ยนแขนทั้งสองข้างของตนเป็นอาวุธปลายแหลม
“ในเมื่อฉันเป็นคนเก็บแกขึ้นมาจากพื้น ฉันก็จะเป็นคนส่งแกกลับไปเหมือนกัน!”
ฉึก!!    ฉัวะ!!
“อ๊าก!!!”
ดร .กระหน่ำแทงที่แผลเดิมซ้ำๆ รีสได้แต่ดิ้นทุรนทุราย ความเจ็บปวดที่เขาไม่ได้สัมผัสมานานเมื่อกลับมารู้สึกอีกครั้งมันกลับรู้สึกทรมานมากกว่าเดิม หัวใจของเขาเต้นระรัว ร่างกายเริ่มชาดิกจากการที่ยังโดนกระหน่ำแทงลงมาไม่ยั้ง  แผลของเขาแม้มันจะสมานตัวเลือดที่ไหลย้อนกลับเข้าไปแต่มันก็ไม่เพียงพอ มันยังคงช้าเกินไป ช้าเกินกว่าสิ่งที่กำลังออกมา ภายในกายเขาปวดหนึบ ร่างกายเย็นซีดกว่าเดิม มือเท้าเริ่มแข็งขยับตัวยาก ไอน้ำแข็งที่แผ่ออกมาจากตัวก็มากขึ้นทำให้รอบๆกลายเป็นหมอกหนาหนาวเย็น
“ฮ่าฮ่าฮ่า” ดร.ยังคงไม่หยุดมือจ้วงแทงเร็วกว่าเดิม อ้าปากหัวเราะบ้าครั่งอย่างคนเสียสติ
รีสเลือดไหลทะลักออกจากทวารทั้ง9* มือที่เริ่มแข็งกำหมัดแน่นลดความเจ็บปวดและความแค้นคลึง สีหน้าบ่งบอกถึงความทรมานสุดชีวิต และเขากำลังหมดแรงลง ดร.หยุดมือเมื่อเห็นรีสเริ่มแน่นิ่ง บาดแผลไม่มี ทางสมานตัวได้ทัน อีกทั้งเลือดยังคงไหลออกมาไม่หมด ร่างกายขาวซีดถูกย้อมไปด้วยเลือดสีแดง ดร.มองสภาพรีสในตอนนี้อย่างสมเพชถึงที่สุด ปากยังคงอ้ากว้างหัวเราะเสียงดัง ดวงตาของรีสมองตรงไปยังดร.ทั้งอาคาตแค้นทั้งเจ็บใจที่เสียรู้จนต้องมาจบชีวิตลงโดยง่าย อากาศรอบๆแย่ลงเรื่อยๆจากที่เป็นแค่หมอกหนาหนาวเย็นต้นไม้ใบหญ้าเริ่มมีน้ำแข็งเกาะ ยิ่งตัวรีสเย็นซีดลงเท่าไหร่ รอบตัวก็แย่ลงตามเขาเท่านั้น รีสหมดแรงลงนอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้น เลือดที่ทะลักออกมาเริ่มหยุดและแข็งตัวไม่นานก็กลายเป็นน้ำแข็งเริ่มปกคลุมไปทั่วร่างกาย ดวงตาแข็งกร้าวยังคงจ้องปิดไม่ลงอยู่ภายใต้แผ่นน้ำแข็งที่โอบอุ้มตัวเขาจนกลายเป็นผลึกน้ำแข็งหนาใสดังโรงแก้วที่สร้างไว้เป็นอนุสรณ์ไว้อาลัย พื้นดินก็เริ่มมีน้ำแข็งจับตัวกันเป็นแผ่นแผ่ออกไปรอบๆจากตัวเขา หมอกหนาก็มีลมพัดรุนแรงอีกทั้งยังมีหิมะตกลงมา ไม่นานก็ก่อเกิดพายุหิมะขนาดย่อมๆบริเวณนั้น 
ดร.ยืนมองปรากฏการณ์ตรงหน้าอย่างตื่นตะลึง และเขาก็หัวเราะเหมือนคนบ้าอีกครั้ง ทั้งยังตะโกนว่าเขานั้นเอาชนะปีศาจในตำนานได้ แม้จะเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง เรื่องเล่าเก่งกาจมันเป็นเพียงตำนานที่ถูกสร้างขึ้น แต่ความจริงไม่ได้เป็นแบบนั้น ปีศาจสำหรับเขาก็แค่พวกกระจอกที่เอาชนะได้ด้วยน้ำยาเพียงหลอดเดียว
“เสียดายที่แกกลายเป็นน้ำแข็ง ไม่เช่นนั้นเลือดของแก ฉันคงเอามาใช้ประโยชน์ได้มากกว่าปล่อยให้มันไหลทิ้ง แกนี่มันน่าสมเพชจริงๆ หึหึหึ”
“รีส!!! ไม่นะ! ฮือ มันไม่จริงใช่ไหม ฟื้นสิ ฟื้นขึ้นมา!” เฟิร์สที่ไม่รู้วิ่งมาจากไหนตรงเข้าไปหารีสที่แน่นิ่งอยู่ใต้น้ำแข็งหนา ร่างบางที่ไม่กลัวความหนาวเย็นคุกเข่าก้มลงโอบกอดร้องไห้น้ำตาท่วม ยกมือขึ้นทุบก้อนน้ำแข็งเพื่อปลุกอีกคนไม่ยอมหยุดแม้ว่าร่างกายของเขาจะเริ่มชาจากความหนาวเย็น มือของเขาจะแสบและปริแตกจากการที่โดนน้ำแข็งกัดกิน ดร.เห็นสภาพไร้สติของเฟิร์สก็เบื่อหน่ายหันหลังเดินจากไป
“แก! ไอ้ดร.ชั่ว เพราะแกทำให้รีสต้องตาย!” เฟิร์สหันไปเห็นศัตรูกำลังเดินหนีไป ก็คว้าหยิบมีดปลายแหลมที่ตนพกมาวิ่งเข้าหา ยกสูงขึ้นท่วมหัวแล้วปักลงด้วยแรงทั้งหมดที่มี
ปึก!
ปลายคมของมีดปักคาอยู่กับกระดูกสันหลังช่วงต้นคอ** เลือดกระฉูดออกมา หน้าตาดร.บิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวด หันมาหาเฟิร์สด้วยความแค้นคลึง เพราะจุดที่ปักโดนคือจุดอ่อนของร่างกาย ถ้ามีดนั้นหลุดออกหรือสร้างความเสียหายตำแหน่งนั้นมากกว่าที่เป็นอยู่ สมองและร่างกายของเขาจะถูกตัดออกจากกัน และจะให้ร่างกายใช้งานไม่ได้หรือทำให้เขาตายนั่นเอง ซึ่งนั่นดร.ผู้ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ก็ไม่มีทางจะยอมรับมันเด็ดขาด
“น่ารำคาญ!” ดร.หันมาหาเฟิร์สที่ยืนขาสั่นด้วยความกลัว ยกแขนสะบัดเฟิร์สออกห่างด้วยความรำคาญ ยกมือกุมต้นคอและประคองมีดเล่มนั้นไว้นิ่งๆ ค่อยๆดึงมันออก บาดแผลเวอะหวะส่งผลต่อแรงที่เริ่มถดถอย ดร.ไม่ยอมตายตรงนี้ มือคว้าหยิบยาอีกหลอดปักเข้าที่ร่างกายตัวเองทันที
“โอ๊ย...” เฟิร์สกระเด็นล้มลงพื้นไถลครูดไปกับพื้นน้ำแข็ง แรงก็แทบไม่มี นอนก็ไม่ได้นอน แถมกว่าจะหนีมาที่นี่ได้ก็แทบตาย ไหนจะความหนาวเย็นและบาดแผลที่ได้รับ ล้มกระแทกแบบนี้ยิ่งทั้งจุกทั้งเจ็บ ดวงตาอ่อนล้าเหลือบลืมขึ้นแต่ก็ผงะเล็กน้อยเพราะมันตรงตำแหน่งเดียวกับที่รีสนอนอยู่ด้านล่าง มือสั่นเทาค่อยๆยกสัมผัสน้ำแข็งตำแหน่งใบหน้าคนรัก และฮึดสู้อีกครั้ง แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าสู้ไม่ได้ แต่เมื่อหันไปทางดร.ก็ได้แต่ยืนมองนิ่งอึ้ง ไม่นานก็สั่นไหวไปทั้งร่างเพราะความหวาดกลัว
ดร.ขยับกายถอยหลังหาที่จับยึดกันล้ม แต่ปากกลับยิ้มแถมยังหัวเราะเหมือนคนโรคจิต มือเหี่ยวๆนั่นขยับถอดแว่นที่สวมใส่ออกโยนมันทิ้งไป ผิวหนังเริ่มเต่งตึงขึ้น ร่างกายที่เหมือนจะผุพังตามกาลเวลาเริ่มกลับมาแข็งแรง แผลเหวอะหวะที่คอก็หยุดแสดงอาการแค่นั้น ร่างกายก็สูงใหญ่ขึ้น แต่มันไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ผิวหนังที่เต่งก็บวมตึงจนเกือบแตก แถมยังมีบางอย่างปูดออกมาที่หัวไหล่ข้างหนึ่ง มือข้างนั้นก็บวมใหญ่จนคล้ายค้อน แต่แขนอีกข้างกับเล็กลีบลงปลายนิ้วแหลมยาวเหมือนอาวุธ ด้านหลังมีหนามแหลมงอกออกมา ท้องก็ยืดย้วยออกมาแถมยังมีบางอย่างที่คล้ายหน้าคนอีกคนอยู่ตรงนั้น และมันขยับพูดและหัวเราะได้!
...สยอง
“อึก!” เฟิร์สกลืนน้ำลายเหนียวข้นลงคออย่างยากลำบาก ขนลุกไปทั่วร่าง สั่นเทิ้มจนคลุมไม่ได้ ได้แต่มองสัตว์ประหลาดด้วยตาเหลือกโลน
“อยากตายนัก ฉันจะสงเคราะห์ให้ ฮ่าฮ่าฮ่า”
เสียงหัวเราะประสานกันทั้งหน้าบนหน้าล่าง เฟิร์สมองสลับไปมาอย่างหวาดกลัว ดร.ขยับร่างกายน่าเกลียดน่ากลัวเข้าหาเฟิร์สช้าๆ เฟิร์สขยับเท้าหนักอึ้งถอยหลัง สะดุดขาตัวเองล้มลงพิงกับก้อนน้ำแข็งที่โอบตัวรีสเอาไว้แน่น
“อ๊าก!!!”
“เพราะแกทำให้ฉันกลายเป็นสัตว์ประหลาด! ดูให้เต็มตา!”
มือเล็กแหลมคว้าจับลำคอเฟิร์สขึ้นโน้มเข้ามาใกล้ใบหน้าน่าขยะแขยง มองดูผิวหนังตึงๆที่เริ่มแตกโผละ ใกล้ๆกับหน้าของเขา ทั้งเลือดทั้งน้ำเหลืองน้ำหนองส่งกลิ่นเหม็น เฟิร์สทั้งดิ้น ขาดอากาศหายใจและเหม็นจนทรมานไปหมด หน้าของเขาแดงก่ำขนลุกขนพอง ทั้งรังเกลียดขยะแขยงและจะตาย มือเฟิร์สใกล้หมดลมดร.ก็เหวี่ยงเฟิร์สลงพื้นกระแทกเสียงดัง ยิ้มเยาะสมเพช แต่ก็ไม่หยุดอยู่แค่นั้น ยกมือใหญ่คล้ายค้อนขึ้นสูงทุบลงกลางลำตัวของเฟิร์ส เสียงกระดูกแตกร้าวดังลั่น เลือดกระอักทะลักออกจากร่างกาย ไม่เหลือเรี่ยวแรงจะดิ้นต่อต้านหรือหลีหนี ไม่นานก็หมดลมหายใจลงร่างกายแหลกระเอียดจากการโดนของหนักทุบจนหักแทบไม่หลงเหลือเค้าเดิม
 
 


ต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย 42/2
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 14-06-2017 15:13:14
ด้านทามที่ถูกเฟิร์สบอกให้ไปซื้อข้าวต้มมาให้จากที่ไกลแสนไกลกลับมาถึงห้อง เรียกหาใครก็ไม่มีใครตอบ ทั่วทั้งห้องเงียบงัน รีบวางข้าวต้มไว้บนโต๊ะและวิ่งหาคนรักด้วยความเป็นห่วง ได้ยินเสียงอู้อี้ดังออกมาจากห้องน้ำก็เปิดประตูเข้าไปโดยเร็ว เห็นติวเตอร์คนรักของตนโดนมัดมือไขว้หลังยึดกับเท้าตัวเองมีเทปกาวปิดปากขยับยุกยิกอยู่ในอ่างอาบน้ำไปไหนไม่ได้ ทามยืนมองอึ้งๆอยู่อย่างนั้นนานพอควรกลืนน้ำลายลงคอช้าๆเกิดความรู้สึกแปลกๆ แต่ก่อนที่ความคิดจะเตลิดไปไกลติวเตอร์ก็ดิ้นและส่งเสียงเรียกอีกครั้งจึงได้สติรีบวิ่งเข้ามาแกะเทปกาวให้
“เกิดอะไรขึ้นตัวเตอร์ทำไมถึงโดนมัดไว้แบบนี้” ทามเอ่ยถามขณะมือยังแกะเทปกาวเหนียวๆออกจากแขนข้างหลังหลังจากแกะที่ปิดปากไว้แล้ว
“พี่เฟิร์สอ่ะสิมัดผมไว้ แล้วหนีออกไปแล้ว เราต้องรีบบอกพี่หมอนะ เร็วเข้าพี่ทามรีบๆแก้มัดสิ รออะไรอยู่เล่า” ติวเตอร์พูดขึ้นเจ็บใจนิดๆที่ตัวเองเสียรู้จนได้ แถมยังมาโดนมัดไว้ด้วยท่าทรมานๆนี่อีก ถ้าทามไม่กลับมาคงแย่กว่านี้
“พี่ก็แค่คิดว่าติวเตอร์โนมัดแบบนี้ก็อิโรติกดี ไว้คราวหลังเราลองเล่นแบบนี้ดูไหม” ทามพูดหื่นๆลูบไล้ไปตามขาที่โดนมัด ติวเตอร์หันมามองค้อนหน้าแดงๆโวยวายเสียงลั่น แต่นั่นทำให้ทามได้คำตอบและรอคอยที่จะถึง ‘คราวหลัง’ นั้นไวๆ
 
 
“ขอบใจมากติวเตอร์ที่บอกและจะช่วยหาอีกแรง พี่จะหาทางนี้อีกทีด้วย” พอลกดวางสายจากติวเตอร์ที่โทรมาบอกว่าเฟิร์สหายไป และกำลังออกตามหาอยู่ ยกมือขึ้นกุมขมับหน้าเครียดจนแลมป์ที่เดินมาใกล้อดสงสัยไม่ได้
“มีอะไรพอล หารีสไม่เจอหรอ”
“เปล่า รีสและดร.ยังอยู่จุดเดิมไม่หายไปไหนตอนนี้ยังไม่เคลื่อนไหวมากคาดว่าน่าจะต่อสู้กันอยู่ แต่ที่กังวลเพราะ เฟิร์สหายไป” พอลพูดจบทันไมเคิลและเชนที่เดินมาสมทบพอดี ทั้งหมดก็พากันกลุ้มหนัก โดยเฉพาะแลมป์ที่ห่วงน้องชายมาก เร่งกันหา และบอกเชนติดต่อคนที่ฐานหาตำแหน่งเฟิร์สจากสัญญาณโทรศัพท์ แต่เมื่อเรื่องแจ้งกลับมาปรากฎว่ามันอยู่ที่คอนโดเฟิร์สไม่ได้เอาไป ติดต่อกับทางติวเตอร์ที่ขับรถหาก็ไม่เจอ ร่างกายพวกเขาที่บาดเจ็บก็เริ่มอ่อนแรงลง แถมบรรยากาศรอบตัวเริ่มเย็นลงเรื่อยๆทั้งที่เป็นหน้าร้อน
“กลิ่นเจ้าสงครามเริ่มจางลง ข้าเริ่มสัมผัสถึงตำแหน่งของเขาไม่ได้” ไมเคิลที่เอาแต่เงียบมานอน พูดออกมาในที่สุด หลังจากเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกตินี้ตั้งแต่ที่อากาศเย็นตัวลง ว่าแล้วว่ามันต้องมาจากเจ้าแห่งสงคราม แต่ที่ไม่ปักใจเชื่อเพราะไม่คิดว่าจะพ่ายแพ้ ทุกคนได้ยินดังนั้นก็มองหน้าเป็นอันรู้กัน เร่งฝีเท้าเดินไปยังตำแหน่งของรีส และภาวนาในใจว่าอย่าให้เฟิร์สมาที่นี่
แต่เมื่อยิ่งเข้าใกล้ความเย็นเยียบความรู้สึกปวดร้าวและหน่วงในใจก็มากขึ้น ทุกคนไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาราวกับตกอยู่ในภวังค์ของตัวเอง เสียงเหมือนของแข็งกำลังทุบบางอย่างดังขึ้นใกล้ๆ แลมป์ที่รู้สึกใจเสียราวกับเสียงนั้นทุบลงที่กลางใจเขาอย่างแรง วิ่งเข้าหาที่มาของเสียงนั้นโดยเร็ว เสียงมันดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ เหมือนน้ำตาของเขาที่มันเริ่มไหลออกมาเช่นกัน คนอื่นเห็นแลมป์วิ่งก็รีบตามไปทันที
“...เฟิร์ส!” เสียงของแลมป์ตะโกนขึ้นสุดเสียงเมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า เป็นน้องชายของเขาที่กำลังโดนทำร้าย สัตว์ประหลาดร่างกายใหญ่โตง้างมือขึ้นสูงและทุบลงที่ร่างกายผอมบางของเฟิร์ส ร่างนั้นชักกระตุกมีเลือดนอง ไม่แม้แต่จะหันมามองทางเขาสักนิด และไม่นานก็นิ่งไม่ไหวติงหมดลมหายใจลงตรงนั้น โดยมีดวงใจของคนมองแหลกสลายตามไปอีกดวง
ทั้งสามที่วิ่งตามมาเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าก็ได้แต่อึ้ง รีสที่นอนตายอยู่ภายใต้แผ่นน้ำแข็ง เฟิร์สที่ยังโดนทุบไม่หยุดแม้ว่าจะสิ้นลมหายใจเลือดไหลฉโลมแผ่นน้ำแข็งเหมือนต้องการจะปกป้องคนด้านล่างอีกชั้น คนเป็นพี่ชายที่กำลังใจสลาย หัวใจทุกตัวกระตุกวาบรับรู้ความเจ็บปวดนั้นทั้งหมด พอลเดินไปหาแลมป์ที่ทิ้งตัวคุกเข่าโอบกอดปลอบใจและน้ำตาไหลไปด้วยกัน เชนอึ้งจนพูดไม่ออกทำอะไรไม่ถูกได้ไมเคิลจับหันหน้าเข้าซบอกโดยที่ตัวเขาหันไปมองทางอื่น
ดร.นั่นบ้าครั่งและยังไม่หยุดทุบเฟิร์สที่กระดูกเริ่มแหลกระเอียดผิดรูป เสียงตุบ ตุบ นั่นทรมานจิตใจของพวกเขาไม่ยอมหยุด ไมเคิลที่ทนมองไม่ไหวดันเชนออกห่างกลายร่างเป็นหมาป่าอีกครั้งแม้แรงจะไม่เหลือ เชนกลืนลูกสะอื้นไห้ลงคอยกมือแตะที่ขาหน้าไมเคิลเบาๆ พยักหน้าให้และวิ่งเข้าหาดร.นั่นเพื่อหยุดการกระทำที่แสนน่ารังเกียจพร้อมกันทันที
แต่ด้วยสภาพร่างกายที่ไม่พร้อมสาหัสมา และดร.ก็แข็งแกร่งขึ้น เมื่อกระโดดเข้าโจมตีอีกทั้งยังได้เชนยิงช่วยเบนความสนใจแต่ก็ยังไม่พอ ไมเคิลโดนซัดกระเด็นไปหลายต่อหลายรอบ เชนแม้จะวิ่งไปมาและยิงกระสุนพิเศษใส่หลายนัดแต่ก็ไม่เห็นผลมันเพียงแค่ทำให้ผิวหนังที่โดนนั้นแตกเป็นรูโบ๋ แต่ว่าก็หยุดดร.บ้าครั่งไม่ได้ทำได้เพียงล่อให้ออกห่างจากศพของสองคนนั่นเท่านั้น พอลและแลมป์เห็นสองคนนั้นสู้ก็วิ่งเข้าใส่ แลมป์ที่เลือดขึ้นหน้าเช็ดน้ำตาและขี้มูกทิ้ง หยิบระเบิดและปืนกลขึ้นมาถือ พอลก็ขยับปีกกางออกบินขึ้นฟ้าและสาดกระสุนจากปืนใส่ แต่ร่างกายที่แข็งแกร่งกระสุนธรรมดาทำอะไรมันไม่ได้ แลมป์ส่งสัญญาณให้ทุกคนถอยให้พ้นรัศมีและขว้างระเบิดมือใส่ ควันจากระเบิดลอยคลุ้งไอร้อนทำให้น้ำแข็งบริเวณนั้นละลายเป็นวงกว้าง ทั้งหมอคิดว่าเรื่องจะจบแต่กลายเป็นว่าได้ยินเสียหัวเราะลั่นของดร.บ้านั่นและร่างกายที่ไม่เสียหายใดๆเดินออกมา แถมสิ่งนั้นทำให้มันรำคาญและคลั่งกว่าเดิมหลายเท่า
ไมเคิลที่ต่อสู้ระยะประชิดพลาดอีกครั้ง โดนค้อนยักษ์ซัดเข้าที่กลางลำตัวกระเด็นลอยตกลงที่แอ่งน้ำเย็นๆที่อยู่ห่างออกไป ได้แต่นอนร้องครางด้วยความทรมานขยับกายไม่ขึ้น หมาป่าเป็นสัตว์เลือดอุ่นเมื่อโดนน้ำเย็นจนเป็นน้ำแข็งแบบนี้ก็ทำให้เขาเกิดอาการช็อค ถ้าเขาไม่ขึ้นจากน้ำและหาความอบอุ่นเขาจะต้องตาย เชนที่รู้กฎธรรมชาตินั่นดีก็เร่งจะไปช่วย แต่ดร.นั้นหันมาสนใจเขาใช้แขนที่แหลมเหมือนมีดฟันมาทางเขาโชคดีที่ใช้ปืนกันไว้ ปืนขาดสองท่อน เชนไม่เหลืออาวุธต่อสู้ พอลเห็นแบบนั้นก็บินโฉบต่ำล่อสายตาของดร.หันมาสนใจ เชนที่ได้จังหวะพอลช่วยก็วิ่งมาหาไมเคิลที่คืนร่างมนุษย์พยุงขึ้นมาจากแหล่งน้ำ กวาดหิมะที่ติดโคนต้นไม้ออกและพยุงให้นอนตรงนั้น ข้าวของเครื่องใช้ที่มีก็เอามาสุมกองเพื่อให้ความอบอุ่น ตัวเองก็เข้าไปกอดร่างกายของไมเคิลที่สั่นไหวและเย็นเฉียบอัตาการเต้นของหัวใจแผ่วลงเรื่อยๆ
พอลที่บินโฉบไปใกล้เป็นความคิดที่แย่เพราะดร.นั้นคว้าจับไว้และเหวี่ยงลงกระแทกพื้นจนปีกเสียหาย ดร.ทำแบบนั้นซ้ำๆแม้แลมป์จะเบนความสนใจไปเท่าไหร่ก็ไร้ผล ความรู้สึกเจ็บปวดที่จะเสียคนที่รักไปอีกคนทำให้เขาเสียสติ แลมป์วิ่งเข้าดร.นั่นด้วยตัวเอง โดยมีแค่มีดเล่มเดียว เสียงร้องห้ามของพอลดังลั่นพร้อมกับแรงกระแทกสุดท้ายที่ทำให้เขาลุกไม่ขึ้น แลมป์โดนซัดกระเด็นออกไปไกลแต่ก็ยังวิ่งเข้าหาไม่หยุด
ทุกคนต่อสู้ไม่หยุด โดยลืมสังเกตุบรรยากาศรอบตัวที่ไม่รู้เปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ มันอุ่นขึ้น หิมะและน้ำแข็งที่พื้นรอบนอกเริ่มละลายกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!
เสียงปริแตกของแผ่นน้ำแข็งก้อนยักษ์ที่ห่อหุ้มตัวของรีสดังลั่น มันปริแตกตามรอยเลือดสีแดงฉานของเฟิร์สที่ย้อมไว้
คลืน!!
เสียงดังลั่นพร้อมกับพื้นน้ำแข็งเกิดสั่นไหว ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นหยุดขยับโดยอัตโนมัติไม่เว้นแม้แต่คนที่เสียสติอย่างดร.และแลมป์ ตำแหน่งที่พวกเขายืนหรอนั่งทับมันละลายจนเหลือแต่พื้นดินเฉอะแฉะ แตกต่างจากไอควันสีขาวที่พวยพุ่งมากขึ้น เสียงปริแตกและสั่นไหลของแผ่นน้ำแข็งส่วนอื่นยังคงไม่หยุด รอยแตกนั่นกว้างขึ้นๆแต่มันกับเว้นตำแหน่งที่เฟิร์สอยู่ที่ยังคงเป็นแผ่นน้ำแข็งหนา
ทุกคนต่างตกตะลึงมองไปยังจุดเดียวกัน เสียงน้ำแข็งแตกกระจายเป็นครั้งสุดท้าย เศษของมันกระเด็นบาดทุกสิ่งได้รับบาดแผลไปตามๆกัน ดร.ที่อยู่ใกล้สุดโดนมันทิ่มแทงทะลุเนื้อปักคาไว้กหลายอัน ไอควันสีขาววพวยพุ่งสูงจากตำแหน่งนั้น ควันนั่นเย็นขึ้นๆแตกต่างจากอากาศโดยรอบที่กลับมาร้อนอ้าว ไม่นานควันนั่นก็ค่อยๆจางลงเห็นสิ่งที่ทำให้เกิดปรากฎการณ์นี้ ทุกคนตะลึงมองตาค้าง
รีสที่ตายไปแล้วลุกขึ้นยืนอยู่นิ่งๆ เหมือนดักแด้ที่รอเวลากลายเป็นผีเสื้อแสนสวย ร่างกายของเขาซีดลงกว่าเดิมซีดจนกลมกลืนกับสีของหิมะ ดวงตาแดงดั่งทับทิมทั้งสองข้าง ผมและขนทุกเส้นกลายเป็นสีขาวทั้งหมด แต่นั่นกับดูเข้ากันดีเกินคาด และทำให้รีสดูสง่างามขึ้นไปอีก ดวงตานั้นกระพริบช้าเหลือบมองไปรอบๆเหมือนกำลังสำรวจ
“ไม่! แกตายไปแล้ว ฉันเป็นคนฆ่าแกเองกลับมือ ฉันต่างหากที่จะกลายเป็นตำนาน ฉันจะเป็นผู้สร้างโลกนี้ใหม่ ฉันจะเป็นพระเจ้า และแกทุกคนต้องตาย อึก! อ่อก!!”
ดร.ที่พร่ามไม่หยุดต้องเงียบลง รีสทำเพียงแค่ชายตาไปมองด้วยสายตาที่ไม่บ่งบอกอารมณ์แตกต่างจากการกระทำ เพราะแค่มองร่างกายดร.ก็ต้องหยุดนิ่งกระอักเลือด แท่งน้ำแข็งปลายแหลมหลายแท่งโผล่ขึ้นมาจากพื้นเสียบแทงสลับกันไปมาทั่วร่างกายจนดร.ขยับไม่ได้ เสียงร้องด้วยความทรมานดังขึ้นจากปากดร.อีกครั้งเพราะแท่งน้ำแข็งที่ทิ่มแทงนั้นเหมือนอาบดด้วยยาพิษมันเข้าไปทำลายข้างในโดนกัดกินจากความเย็นช้าๆจนหมดสิ้น ความทรมานไม่สิ้นสุด จนกว่าจะตายไปทั้งหมดทิ้งเปลือกภายนอกไว้ให้เน่าเปลือยและกลายเป็นอาหารสัตว์…
รีสเดินไปหาเฟิร์ส นั่งลงชันเข่าแล้วช้อนตัวของเฟิร์สขึ้นมาไว้แนบอก ร่างกายของเฟิร์สบิดเบี้ยวผิดรูป เลือดหยุดไหลเพราะได้ความเย็นช่วยรักษา ร่างกายเย็นซีดปากม่วงคล้ำ แต่รอบดวงตายังคงมีคราบน้ำตาซ้อนทับกับคราบเลือดที่ไหลออกมาบนใบหน้า รีสก้มลงจุมพิษแผ่วเบาบนริมฝีปากเรียวร่างทั้งร่างค่อยๆมีไอเย็นโอบอุ้มดั่งบาเรียป้องกันภัย มือใหญ่กระชับร่างนั้นขึ้นมากอดแน่นขึ้นแนบใบหูเรียวแหลมแนบอกคนที่อยู่ข้างใต้อยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน เหมือนที่เขาชอบทำบ่อยๆตอนที่ได้อยู่กับเฟิร์ส แนบฟังเสียงหัวใจที่ครั้งหนึ่งเคยเต้นแรงเมื่อเขาเข้าใกล้ แต่บัดนี้เพียงแค่อีกสักนิด ให้มันส่งเสียงอีกสักครั้งก็ยังดี ดวงตาสีแดงถูกปิดลงช้าๆ รอยยิ้มบางเบาปรากฎขึ้น พร้อมกับน้ำใสๆที่ล่วงหล่นลงมาและกลายเป็นน้ำแข็งเม็ดเล็กกระทบพื้นแตกสลายไป
“ข้าต้องทำเช่นไร ถึงจะได้ครองคู่กับเจ้าอีกครั้ง ยอดดวงใจของข้า...”
พอลที่มองก็ร้องไห้ตามเงียบๆ แลมป์ได้สติอีกครั้งมองเหตุการณ์นั้นเขายิ้มออกมาทั้งน้ำตา ในใจนึกดีใจแทนเฟิร์สที่มีคนรักพิเศษขนาดนี้ แต่ก็ต้องหุบยิ้มอีกครั้งเมื่อรู้ว่ามันไม่มีโอกาสที่จะได้เห็นทั้งคู่ครองรักกันอีกในชาตินี้ เชนประคองไมเคิลที่ดีขึ้นเดินมาหาทุกคน เห็นรีสก็ยิ้มดีใจและจะวิ่งเข้าไปหาแต่ก็ต้องสะดุดเมื่อมองเห็นคนที่อยู่ในอ้อมแขน กายปีศาจรูปงามนั้นสั่นเทา น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าถูกปล่อยออกมาโดยไม่อาย
“ท่านราเชน...เจ้าแห่งสงครามครั้งนั้น..” ไมเคิลที่นิ่งเงียบอยู่นานเอ่ยขึ้นมาเบาๆ แลมป์พอลและเชนหันมามองไมเคิลว่ากำลังพูดถึงใคร แต่ไมเคิลกลับพยุงร่างกายตัวเองเดินเข้าไปใกล้และคุกเข่าลงโน้มคำนับยำเกรงต่อพลังที่กดดันบรรยากาศรอบๆและตัวของเขาเองของคนตรงหน้า แม้ไม่เคยเจอแต่เขาแน่ใจว่านี่คือคนผู้นั้นที่เขาตามหา
ความทรงจำของรีสนับตั้งแต่ครั้งอตีดที่เขาเคยใช้ชีวิตปีศาจนามว่าราเชนอย่างสงบสุขในถ้ำแห่งหนึ่งจนมีเหตุต้องเข้าร่วมสงครามครั้งนั้นอย่างไม่เต็มใจ ความทรงจำที่เขาพลาดพลั้งและจากโลกนี้ไป รวมถึงตอนนี้หัวใจของปีศาจน้ำแข็งชาติก่อนที่หล่อหลอมจนเป็นตัวเขาในปัจจุบัน เขาจำมันได้ทั้งหมด และจะไม่หนีจากมันอีกเหมือนเช่นอดีต
รีสหันมายิ้มเบาๆส่งไปให้และบอกว่าไม่ต้องกลัว พวกเขาเป็นเพื่อนกัน คนอื่นที่ได้ฟังบทสนทนาก็พอจะเข้าใจเหตุการณ์ แต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก นอกจากเสียใจและเฝ้าดูการกระทำของเขาต่อไป
“ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานแค่ไหน ข้าก็จะเฝ้ารอ รอจนกว่าเจ้าจะกลับมาข้า...ยอดรัก”
 
 

*ทวารทั้ง 9 คือช่องทางของร่างกาย 9 แห่งที่ธรรมชาติเจาะไว้ 9 ช่อง คือ ตา 2 หู 2 จมูก 2 ปาก 1 ช่องปัสสาวะ 1 ช่องอุจาระ 1 รวมเป็น ทวารทั้ง9
-ในที่ใช้แทนช่องทางที่ของเหลวสามารถไหลออกได้เมื่อร่างกายคนเราสิ้นลมหายใจเจ้าค่ะ
**กระดูกสันหลังส่วนคอ (Cervical vertebrae) ลักษณะทั่วไปของกระดูกสันหลังส่วนคอคือจะค่อนข้างเล็กและเตี้ย รูปร่างของ body เมื่อมองจากด้านบนจะออกเป็นรูปสี่เหลี่ยม ซึ่งจะเว้าทางด้านบน แต่นูนออกทางด้านล่าง vertebral foramen จะเป็นรูปสามเหลี่ยม มี spinous process ที่สั้นและแยกเป็นสองแฉก (bifid) ที่สำคัญคือมีช่องที่ transverse process ที่เรียกว่า ฟอราเมน ทรานส์เวอร์สซาเรียม (foramen transversarium) ซึ่งภายในเป็นที่อยู่ของหลอดเลือดแดงเวอร์ทีบรัล (Vertebral artery) ซึ่งนำเลือดขึ้นไปเลี้ยงบริเวณก้านสมองและไขสันหลัง กระดูกสันหลังส่วนคอที่มีลักษณะเฉพาะคือชิ้นแรกและชิ้นที่สอง ซึ่งเรียกว่า แอตลาส (atlas) และแอกซิส (axis) ตามลำดับ
-ในที่นี่ ที่ใช้จุดอ่อนของดร.เป็นก้านคอด้านหลังซึ่งเป็นกระดูกสันหลังที่เปรียบเสมือนเกราะนี้ เพราะถ้าถูกทำลายลง มันจะส่งผลถึงการทำงานของร่างกาย ลักษณะคล้ายกับเป็นการตัดขาด สมองกับร่างหาย
ปล.ทั้งนี้ผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้เจ้าค่ะ
….
ที่มาของชื่อตอน ที่ปิ๊งขึ้นมาตอนเขียนจบ เพราะอยากแสดงให้เห็นว่าการจากลามันไม่ได้มีแค่ความเศร้า เหมือนที่ตัวละครของเรามีความสุขที่จะรอคอย แม้ไม่ได้สื่อมาก แต่หลายคนคงเข้าใจอารมณ์ตัวละครมาตั้งแต่โอบกอดร่างสิ้นลมของคนรักขึ้นมาแอบอกแล้ว เพราะตัวละครมีความเชื่อ และไม่กลัวต่อวันเวลาที่ผ่านไปในแต่ละวัน แม้จะเหงา แต่ยังไงเขาก็ยังมีความเชื่อมั่นในจิตใจ ว่าสักวัน คนรักของเขาจะต้องกลับมา
....
จบกันไปอีกตอน เย้ๆ เอาตามจริงตามที่บอกไว้ก่อนหน้าว่าจะจบตอนนี้ แต่นึกไปนึกมา อา...นิยายเราจบ happy end นี่นา เลยเอาสปเชียวมาทำเป็นตอนจบแทน แต่อาจจะสั้นไปนิด ใครชอบจนโหดจบแค่ตอนนี้ได้นะจ้ะ
ขอบคุณทุกๆแรงใจ แรงสนับสนุน และความรักจากรีดเดอร์ที่ส่งมานะคะ
 เอ้อ อีกเรื่องค่ะ บทนำ ไรท์เอาฉบับรีไรท์ลงแล้วเน้อ กันงง มันเป็นเรื่องเล่าถึงชีวิตในอดีตตอนเป็นปีศาจของพรเอกเรา
 
 

 

หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย ตอนที่ 43 End
เริ่มหัวข้อโดย: สิบสาม13 ที่ 14-06-2017 15:14:26
Me die 43 : รางวัลรักแท้
   
   วันเวลาผ่านพ้นไปวันแล้ววันเล่า รีส หรือ ราเชน ปีศาจน้ำแข็งคนนี้ก็ยังเฝ้ารอคอยคนรักของตนกลับชาติมาเกิดอย่างไม่เบื่อหน่าย เขาสร้างบ้านไว้รอคนรักของเขาหนึ่งหลังมันถูกออกแบบโดยเขาทั้งหมด เครื่องใช้ก็เลือกแบบที่คนรักของตนเคยชอบมาประดับบ้านไว้เต็มไปหมด มันอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากคอนโดรังรักเก่าของพวกเขาที่บัดนี้กลายเป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ในบ้านมีห้องเย็นที่ปกคลุมไปด้วยหิมะอุณหภูมิติดลบอยู่ ในห้องนั่นมีร่างของเฟิร์ส คนรักของเขาถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีบนเตียงน้ำแข็งที่ถูกประดับด้วยดอกไม้สีขาว ร่างกายนั้นแม้จะซีดเซียวแต่ก็ดูสดใสเหมือนคนเพียงนอนหลับไป รอบๆตัวมีบาเรียน้ำแข็งที่เกิดจากพลังของรีสตั้งแต่วันที่จากไปห่อหุ้มเอาไว้เพื่อป้องกันภัย แม้มันจะดูเบาเบาแต่กลับแข็งแรงเหลือเชื่อ และถ้ามันมีอะไรมากระทบแตะต้องเจ้าของพลังอย่างรีสจะรู้ได้ทันที
   แต่ถ้าถามถึงคนอื่นๆ พวกเขามีความสุขดี แลมป์และพอลกลับไปอยู่ที่บ้านทดแทนบุญคุณพ่อกับแม่และทดแทนคนที่เสียไป พวกเขาทั้งสองใช้ชีวิตคุ้มค่าถึงที่สุด พ่อของเขาเดินออกจากวงการด้านมืดอย่างสมบูรณ์แบบใช้ชีวิตอยู่กับภรรยาที่กลับมาอยู่ด้วยกันอย่างสงบในชีวิตบั้นปลาย บริษัทของพวกเขากำลังรุ่งโรจน์เพราะได้ผู้บริหารมือทองอย่างแลมป์มาสืบทอด หมอพอลก็ได้ทำสิ่งที่อยากทำ เขาได้เปิดโรงพยาบาลและทำการวิจัยสิ่งต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ ซึ่งต่อมามันสำเสร็จและได้รับการยอมรับในวงกว้าง แต่พวกเขาก็ไม่ทิ้งเวลาที่จะให้กันและกันทิ้งไป พวกเขาเลือกเส้นทางที่ชอบแต่ก็เจอเส้นทางที่ใช่สำหรับพวกเขา ใน1สัปดาห์พวกเขาจะต้องเจอกัน1วันและไม่คิดเรื่องงาน พวกเขาทำมันได้และมีความสุขกับมันมากที่สุด
   ส่วนไมเคิลกับเชน หลังจากวันนั้น คนอื่นๆก็ได้รู้ข่าวดีว่าทั้งทำพันธสัญญาต่อกันแล้ว ซึ่งในภาษาปีศาจหมายถึงพวกเขาได้แต่งงานกันเรียบร้อยแล้ว ไมเคิลได้พาเชนกลับไปอยู่โลกปีศาจ แต่พวกเขาก็ไม่ขาดการติดต่อ ส่งจดหมายมาบ่อยครั้ง ซึ่งในแต่ละครั้งจะจดหมายแยกถึงหมอพอลเรื่องยาและสิ่งๆต่างที่สามารถนำมาพัฒนาร่างกายมนุษย์ได้ด้วย นานๆทีพวกเขาจะกลับมาเจอตัวเป็นๆกันสักที นานมากๆเพราะเวลาในโลกปีศาจมันยืนยาวกว่าเวลาในโลกมนุษย์มาก จู่ๆพวกเขาก็ขาดการติดต่อไปเป็นเวลาหลายต่อหลายปี กลับมาอีกครั้งพวกเขาเดินทางขึ้นมาด้วยตัวเอง และสิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องแปลกใจคือเชนตั้งท้องลูกของไมเคิลอยู่ด้วย เมื่อเจอเหตุการณ์แบบนั้นแลมป์ที่กลัวน้อยหน้าก็เร่งวันเร่งคืนทำลูกกันใหญ่ แม้ว่ามนุษย์จะยังทำให้เพศชายท้องโดยธรรมชาติไม่ได้ แต่ตอนนี้สิ่งที่หมอพอลทำวิจัยได้สำเร็จแล้วก็คือ การฝากมดลูกและฉีดน้ำเชื่อในร่างเพศชาย ซึ่งกว่าจะสำเร็จได้นั้นก็กินเวลาหลายสิบปี
   ทุกๆคนมีความสุขดี ตัวของรีสเองก็มีความสุขดีเช่นกัน ไม่ใช่ว่าทุกคนไม่ชวนเขาไปอยู่ด้วย แต่เขากลับให้เหตุผลว่าต้องการรอคอยอย่างสงบเท่านั้น ทุกคนมาเยี่ยมเขาบ่อยในช่วงแรกๆแต่ยิ่งนานวันงานเยอะขึ้น พวกนั้นอายุก็มากขึ้น ไม่ค่อยมีเวลาเขาไม่ได้โกรธเคืองมันแม้แต่น้อย ได้แต่มองดูทุกอย่างหมุนเปลี่ยนด้วยรอยยิ้มสงบๆเท่านั้น บริษัทหมุนเปลี่ยนเป็นคนรุ่นหลัง คนที่เขาได้รู้จักจากหายไป แม้แต่ปีศาจหรือคนที่ไปอยู่โลกปีศาจยังดูโตขึ้น
   “ตั้งแต่วันที่เจ้าจากข้าไป วันนี้ก็ครบรอบ100ปีพอดี เจ้าอยากได้อะไรเป็นพิเศษไหมยอดรัก” รอยยิ้มเบาบางถูกส่งไปให้คนที่นอนสงบอยู่บนแผ่นน้ำแข็ง ฝ่ามือหนายกขึ้นลูบไล้ใบหน้านวลแผ่วเบา เขามักจะขังตัวเองอยู่ในห้องนี้เกือบทั้งวัน เข้ามาพูดคุย มากินอาหารด้วย มาเช็ดตัว มาเปลี่ยนเสื้อผ้า มาเล่านิทาน หรือเรื่องที่เคยพบเจอมา จนนานวันเข้าเรื่องทั้งหลายก็เริ่มลดน้อยลง เมื่อเขาเข้ามาที่ห้องนี้ เขาจะพูดด้วยเล็กน้อยราวหมดคำพูด แต่เขาไม่เคยเบื่อเลยที่จะทำมันเช่นนี้ซ้ำๆ เพราะในบางครั้ง เขาจะเขามาจับมือหรือมองคนรักของเขาอยู่เนิ่นนาน...หรือแม้ในบางครั้งเขาไม่กล้าสู้หน้าคนรัก ทำเพียงยืนร้องไห้อยู่เงียบๆในมุมหนึ่งของห้องเย็นเฉียบ...
   ในเวลาที่เหลือของวัน เขามักจะท่องไปตามที่ต่างๆไม่เคยซ้ำกัน เพื่อตามหาคนรักของเขา เมื่อครั้งที่คนรู้จักยังมีชีวิตอยู่ผู้คนเหล่านั้นเคยถามเขาว่าทำเช่นนี้ทุกวันไม่เบื่อบ้างหรอ เขาตอบว่าไม่และส่งยิ้มไปหาพวกเขาอย่างอ่อนโยน คนผู้นั้นยิ้มเป็นกำลังใจส่งมาให้เขา จนเมื่อคนพวกนั้นไม่อยู่เขาก็เริ่มท่องไกลขึ้นเรื่อยๆจนรอบโลก แต่ก็ยังไม่เจออยู่ดี
   วันเวลาผ่านพ้นแต่หน้าตาและร่างกายของเขายังไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย อาจจะเป็นเพราะผมของหัวใจน้ำแข็งที่อยู่ในกายเขา เขาตื่นขึ้นมาในร่างของปีศาจเต็มตัว และไม่อาจจะแก้ไขมันได้อีก ทำได้เพียงหลบซ่อนผู้คนใกล้ๆที่เริ่มสงสัย ใช้ชีวิตนอกบ้านผิดเวลาดังคนผิดปกติ เขารอดมาถึง100ปี แต่บ้านที่เคยสวยงามบัดนี้มันผุพังและล้าสมัยอีกครั้งแม้ว่าเขาจะปรับปรุงมันเสมอก็ตาม โลกมนุษย์ผันเปลี่ยนหมุนเวียนไปเสียทุกอย่าง มีแต่เขาเท่านั้นที่ยังคงเดิม


   ก๊อก ก๊อก
กลางดึกสงัดคืนหนึ่งเสียงเคาะประตูปริศนาดังขึ้นหน้าบ้านของเขา ชายหนุ่มได้แต่แปลกใจเพราะหลังจากคนที่รู้จักจากไปก็ไม่มีผู้ใดมาเยี่ยมเขาอีก นอกเสียจากจดหมายจากเชนและไมเคิลที่มักจะถูกส่งมาหาเขาทุกๆ10ปี แต่เขาก็ไม่เคยเห็นคนส่งจดหมายเลยสักครั้ง เขามักจะออกไปข้างนอกและเมื่อกลับมาจดหมายก็วางอยู่หน้าประตูบ้านทุกครั้ง และสาเหตุที่สองคนนั้นไม่สามารถมาเยี่ยมเขาได้ เป็นเพราะมิติระหว่างสามโลกได้ปิดลงไม่มีกำหนดเปิด เพราะต้องการรักษาสันติสุขและสมดุลระหว่างโลกนั้นๆ เพราะก่อนหน้ามีคนต่างมิติเข้าๆออกๆมากเกินไปจนชั้นบรรยากาศแปรปรวนสิ่งมีชีวิตเริ่มอยู่ไม่ได้
“รอข้าเดี๋ยวนะ ข้าจะรีบกลับมา” ชายหนุ่มส่งยิ้มให้ร่างของคนรักที่นอนนิ่งบนเตียง ค่อยๆวางมือเรียวนั่นลงข้างลำตัวอย่างเบามือ และลุกออกไปยังประตูเพื่อดูว่าใครมา
เด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนหลังให้ประตู เขายังคงยืนดูเงียบๆรอให้คนนี้หันหน้ามา เพื่อความแน่ใจว่าไม่ใช่พวกสอดรู้สอดเห็น แต่ดูจากการแต่งกายน่าจะเป็นปีศาจ แต่ปีศาจมาทำอะไรที่นี่ ยิ่งคิดยิ่งฉงนมิติเปิดออกอีกครั้งแล้วงั้นหรอ
เด็กหนุ่มตรงหน้าเขาใส่ชุดคลุมสีดำยาวกรอมพื้นดั่งชุดเดินทาง เมื่อเปิดออกเห็นเส้นผมสีดำคลับดังรัตกาลในคืนเดือนมืด ใบหูเรียวแหลมเจาะห่วงไว้ข้างละสอง ผิวเนียนสีแทนถูกประดับด้วยกำไรข้อมือสีดำทั้งสองข้าง ลำคอห้อยสร้อยสัญลักษณ์บางอย่างที่มีจี้เป็นสีดำ เด็กหนุ่มค่อยๆหันหน้ามาทางประตูอย่างหงุดหงิดที่รอคอยนาน ยกมือขึ้นทุบประตูอีกครั้ง แต่นั่นทำให้คนที่มองอยู่ตกตะลึง แม้ว่าบางอย่างจะเปลี่ยนไปแต่ต้องใช่คนเดียวกันแน่ๆ คิ้วหนาผูกติด ดวงตาคมขีดเข้มขับนัยน์ตาสีดำให้ดูสวยคม จมูกโด่งรั้นดังเด็กดื้อดึง ริมฝีปากอิ่มอวบสีดำ แต่กลับน่าดึงดูด น่าสัมผัสถึงที่สุด
แอ๊ด...
เสียงประตูถูกเปิดออกเชื่องช้า ต่างจากดวงใจของเจ้าของบ้านที่บัดนี้เริ่มเต้นระรัว เมื่อคนที่มาเคาะประตูหน้าบ้านเขา หน้าเหมือนกับคนรักที่นอนหลับใหลอยู่บนเตียงกว้างไม่มีผิด
“ฟ เฟิร์ส... เจ้า... เจ้ามาหาข้า แล้วหรือข้าฝันไป” ชายหนุ่มมือยังคงคว้าจับลูกบิดประตูไม่ยอมปล่อยมือ ส่งเสียงทักทายแผ่วเบาดังคนหาเสียงไม่เจอ แต่มันกลับดังพอให้คนที่อยู่ตรงหน้าหันมาสนใจ
“ฝันอะไรของท่านกัน ข้าตัวเป็นๆนี่แหละที่มาหาท่านตอนนี้ และข้านำจดหมายจากโลกปีศาจมาส่งให้ท่าน ตามคำแนะนำของท่านลุง อ่ะ ท่าน! ปล่อยข้านะ! จะทำอะไร!” เด็กหนุ่มผู้ส่งจดหมายดิ้นเร่าๆขัดขืนเต็มกำลัง ทั้งผลัก ทั้งเตะ ทั้งต่อย ทั้งทุบตีสารพัด ไม่ว่าจะใส่เต็มแรงขนาดไหนก็ไม่หลุดจากอ้อมกอดแข็งแกร่งนั่นสักนิด แถมยังทำให้ชายเจ้าของบ้านแปลกหน้ากอดรัดตัวของเขาแน่นขึ้น มือหนาใหญ่เย็นเฉียบก็เริ่มลูบไล้ไปตามตัวทำเอาขนลุกเกรียวไปหมด ข้อเสียเปรียบพวกเขาคือขนาดลำตัว ชายแปลกหน้าสำหรับเด็กหนุ่มก็เป็นลุงร่างยักษ์ที่ชอบลวนลามเขาเท่านั้น ไวเท่าความคิดเมื่อรู้ตัวว่ากำลังโดนลวนลาม ปากเล็กๆที่มีเขี้ยวน่ารักสองเขี้ยวงอกยาวก็งับเข้าที่หัวไหล่เต็มแรง
“ขอโทษที ข้าดีใจเกินไป จนลืมตัว” ชายแปลกหน้าไม่มีท่าทีของความเจ็บทั้งที่เลือดนั้นซึมออกมาเต็มหัวไหล่ เด็กหนุ่มเห็นดังนั้นทั้งสงสารทั้งสมน้ำหน้า ชอบมาลวนลามเขาก็สมควรแล้ว แต่ข้าทำแรงไปรึเปล่าเลือดออกเลย
ขณะที่เด็กหนุ่มตีหน้ายุ่งเหยิง อีกคนก็ยืนมองเหตุการณ์นั้นอย่างเย็นใจ เขายิ้มอย่างมีความสุข หัวใจที่ห่อเหี่ยวกลับมาเต้นแรงในรอบ100ปีที่ผ่านมา
เด็กหนุ่มเหลือบตาขึ้นมองชายแปลกหน้าช้าๆ แต่กลับเห็นรอยยิ้มและดวงตาที่เอาแต่จ้องมองแทน เขาที่เริ่มรู้สึกร้อนหน้า และทำตัวไม่ถูกเลยตั้งใจจะบังคับส่งมอบจดหมายใส่มือแล้วรีบเผ่นกลับ มือเล็กเอื้อมออกไปคว้ามือใหญ่ขึ้นมาจับหมายทำดังใจนึก
“เอาจดหมายของท่านไป ข้าจะกลับ อ๊ะ!”
เปรี๊ยะ!
เด็กหนุ่มตาโตเมื่อกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านมือของพวกเขาทั้งสองพร้อมกัน ความคิดทุกอย่างหยุดชะงักลง นิ่งอึ้ง พาลให้ในหัวคิดเรื่องไร้สาระอย่างเรื่องเล่าการเจอเนื้อคู่ที่รู้สึกเหมือนกระแสไฟแล่นผ่านนั่นทำเอารู้สึกแปลกๆในใจ เด็กหนุ่มตั้งใจจะปล่อยมือออก แต่กลับถูกมือใหญ่อีกคนจับไว้แน่นขึ้น จ้องมองด้วยหน้านิ่งๆไม่มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แต่ดวงตานั้นมีประกายบางอย่าง ตลอด20ปีที่เขาเกิดมา เจอคนมากมายทั้งปีศาจมนุษย์ไม่เว้นเทพก็ยังรู้สึกเฉยๆ แต่กลับคนๆนี้อดยอมรับไม่ได้ว่ารู้สึกคันๆในหัวใจ เขินอายไม่ทราบสาเหตุ ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาพาลเอาหน้าร้อนผ่าว ไม่เป็นตัวของตัวเองเลยสักนิด
“ข้าขออภัย ข้างนอกอากาศหนาว เชิญเข้ามาดื่มอะไรอุ่นๆในบ้านของข้าก่อน” ชายแปลกหน้าปล่อยมือของเขาลงช้าๆ ผายมือเชิญเข้าไปด้านใน เด็กหนุ่มตั้งใจจะปฏิเสธเพราะความหนาวเย็นเป็นสิ่งที่เขาชอบ แต่เมื่อดวงตาสบกันเขาก็ปฏิเสธไม่ออกทั้งยังเดินตามชายแปลกหน้าเข้าไปอย่างไม่รู้ตัว
“ข้าชื่อ รีส หรือเจ้าจะเรียก ราเชน ก็แล้วแต่เจ้า” เจ้าของบ้านแนะนำตัวเองด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนทำให้ใจที่สับสนและกล่าวโทษตัวเองที่เดินตามคนแปลกหน้าเข้าบ้านทั้งที่ไม่รู้จักก็สงบลงเสียดื้อๆ แถมยังรู้สึกว่าเสียงนั้นมันเสนาะหูฟังแล้วสบายใจซะจนอยากฟังอีก
“ขะ ข้าชื่อ เฟรีล เป็นคนส่งจดหมาย...” ความคิดเตลิดเปิดเปิง หน้าของเด็กหนุ่มขึ้นสีแดงจัด พูดจาติดขัดไม่กล้ามองหน้าคู่สนทนาเลยแม้แต่นิด
“เฟรีล เป็นนามที่ไพเราะมาก ...เจ้านั่งรอก่อนข้าจะไปหาเครื่องดื่มอุ่นๆมาให้” ชายแปลกหน้าเอ่ยชมชื่อของเด็กหนุ่มสายตาก็ยังคงจดจ้องไม่วางตา เด็กหนุ่มที่เขินอายในความคิดก็อายยิ่งกว่าเก่า จนทิ้งช่วงไปนานเหมือนแกล้งจนพอใจ ชายคนนั้นก็ขอตัวออกไป ทิ้งให้เขาจมอยู่กับความคิดที่เริ่มควบคุมไม่ได้
“ที่นี่สวยงามมาก แม้การตกแต่งจะเป็นแบบของมนุษย์ที่ข้าไม่เคยเห็น แต่ทำไม มันถึง รู้สึกคุ้นเคยถึงเพียงนี้” คล้อยหลังคนที่จากไป เขาเริ่มได้สติกลับมาเป็นของตน เด็กหนุ่มเดินไปทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟา และเริ่มทำการสำรวจบ้านอย่างละเอียด แต่ยิ่งมองความรู้สึกของเขาก็เหมือนยิ่งถูกดูดกลืน ในใจของเขาหน่วงไปหมด ทั้งรัก ทั้งเศร้า โกรธเกลียด ห่วงหา เจ็บปวด แต่ก็มีความสุขด้วย ความรู้สึกทั้งหลายปนเปและกำลังจะเอ่อท้นออกมาเป็นหยดน้ำตาโดยที่ไม่รู้ตัว
"เครื่องดื่มได้แล้ว เฟรีลเจ้า...เป็นอะไรรึเปล่า" ชายเจ้าของบ้านเดินออกมาพร้อมเครื่องดื่มอุ่นในมือ เขาวางมันลงทันทีเมื่อเห็นอีกฝ่ายร้องไห้ร่างกายสั่นเทิ้มอย่างน่าสงสาร ขยับเดินเข้าไปนั่งข้างกายเล็กช้าๆยกมือขึ้นเกลี่ยน้ำใสออกจากตากลมอย่างแผ่วเบา
"ข้าเปล่า ข้า ข้าแค่ ฮือ..." คำพูดทั้งหลายแหล่จุกอยู่ที่ลำคอไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำใดๆออกไปได้อีกนอกจากปล่อยให้น้ำตาลไหลรินเรื่อยๆ หนุ่มใหญ่ไม่ลุกไปไหนยังขยับนั่งชิดใกล้โอบหัวไหล่บางเข้าซบอกแกร่งลูบเบาๆเชิงปลอบใจ เด็กหนุ่มยิ่งได้รับการปลอบแสนอ่อนโยนของคนข้างกายน้ำตาก็ยิ่งไหลรินไม่ขาดสาย โผลเข้ากอดแน่นปล่อยโฮไม่หยุด...


"ขอบคุณครับ แล้วก็ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้เดือดร้อนทั้งๆที่ข้าเป็นแค่คนนอก... แต่ข้าไม่รู้จริงๆว่าทำไมถึงร้องไห้ ทุกอย่างมันรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด ข้าสับสน และน้ำตามันก็ไหลออกมาเองอย่างห้ามไม่ได้..." พักใหญ่ผ่านไปเด็กหนุ่มหยุดร้องไห้ เช็ดน้ำตาออก ก้มหน้าซ่อนสีแดงจางๆที่แก้มตนขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ หนุ่มใหญ่ไม่ได้ว่าอะไร นอกเสียจากมองอย่างอ่อนโยนและส่งยิ้มอบอุ่นไปให้ แต่นั่นทำให้เด็กหนุ่มหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม
ทั้งคู่นั่งเงียบกันอีกพักใหญ่ คนที่มองก็เอาแต่จ้องไม่ละสายตาไปไหนแถมยังมีรอยยิ้มจางๆที่ให้ทั้งความรู้สึกอบอุ่นและความรักหลายรูปแบบ คนที่โดนจ้องเอาๆก็ยิ่งเขินทำตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่ เขาเขินทั้งๆที่เพิ่งรู้จักกันเพียงไม่นาน ทั้งที่ไม่น่าเป็นไปได้ แต่ส่วนลึกในใจเขากลับรู้สึกว่าแววตาคู่นี้ที่มองมามันคุ้นเคยอย่างประหลาด มันสื่อความรู้สึกบางอย่างส่งมาหาเขา
...สุข ...เศร้า ...รัก ...ปรารถนา ...โหยหา ...คิดถึง ...ไม่มีสิ้นสุด
และที่น่าแปลกใจมากกว่านั้น คือ ตัวเขาเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน...


"เฟรีล เจ้าจะสามารถช่วยนำทางข้าไปยังที่อยู่ในจดหมายได้หรือไม่" เสียงนุ่มเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้มเมื่อตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ พร้อมมือที่ยื่นซองจดหมายที่ได้รับมาก่อนหน้าให้คนที่นั่งจิบเครื่องดื่มแก้เขินอยู่ข้างๆหลังจากผ่านไปได้สักพักใหญ่
"ได้สิท่าน แต่ก่อนที่ข้าจะพาท่านไปยังโลกปีศาจได้ ท่านต้องรอข้าเสียหน่อย ข้ายังส่งจดหมายไปยังปีศาจที่อาศัยอยู่มิตินี้ไม่ครบทุกตน" เด็กหนุ่มยิ้มกว้างตอบรับทันที ใจเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น รู้สึกดีใจอย่างที่สุดที่ได้ยินอีกคนบอกให้นำทาง ถ้าคนๆนั้นไปอยู่โลกปีศาจตัวเขานั้นก็จะได้เจอบ่อยๆ ถ้าเจอบ่อยๆก็อาจจะรู้ก็ได้ว่าความรู้สึกตอนนี้เขาเรียกว่าอะไร ซึ่งมันอาจจะเรียกว่า 'รัก' ก็ได้ และเขาอยากจะรู้จักกับมันเร็วๆ
"ข้ายินดีตัวติดกับเจ้าตลอดเวลา" คำพูดสองแง่สองง่ามถูกส่งออกไป ดวงตาเป็นประกายรอยยิ้มติดเจ้าเล่ห์ของหนุ่มใหญ่ ทำให้เด็กหนุ่มเขินหนัก หน้าแดงก่ำรามไปถึงหู แม้ว่าจะเสหลบไปด้านใด ก็โดนรู้อยู่ดี
"ทะ ท่าน หมายถึงเช่นไร” คำพูดติดขัด ทำตัวไม่ถูก มือไม้ยังไม่รู้จะวางไว้ที่ใดเลยต้องยกขึ้นมาเก้าท้ายทอยแก้เก้อ ยิ่งลอบมองดวงตาแดงเป็นประกายของอีกคน ยิ่งเขินเข้าไปอีกจนต้องหันไปมองอย่างอื่น แต่เมื่อลอบมองทีไรดวงตานั้นก็ยังจ้องอย่างมีความหมาย ไหนจะรอยยิ้มที่ถูกส่งมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า พาลเอาใจดวงน้อยเต้นระรัวจนแทบจะหลุดจากอก
“ข้าหมายถึง... ข้าพร้อมจะเดินทางไปพร้อมเจ้า ...ในทุกๆที่...เจ้าจะอนุญาตหรือไม่” หนุ่มใหญ่ขยับกายเข้าใกล้ ก้มลงเกือบชิดใบหูอมชมพู น้ำเสียงนุ่มลื่นถูกเอื้อนเอ่ยช้าๆ พร้อมแลบลิ้นเลียริมฝีปากตนเบาๆอย่างจงใจเชิงหยอกล้อ ให้ไอเย็นจากกายใหญ่ไล้เลียคนที่อยู่ใกล้ๆตื่นเต้นเพิ่มไปอีกเท่าตัว  หัวใจพองโตมองหน้าเด็กหนุ่มละสายตาไปไหนไม่ได้ ยิ่งมองใกล้ยิ่ง...น่ารัก
“ละ แล้ว แต่ ท่านสิ ถ้าท่านต้องการเช่นนั้น ข้าก็ ขัดท่านไม่ได้ แต่ยะ อย่ามาบ่นให้ข้าได้ยินก็แล้วกันว่ามันลำบาก” เด็กหนุ่มหน้าขึ้นสีแดงจัด มือกุมบีบไว้แน่นอย่างตื่นเต้น หัวใจเต้นระรัว หูอื้อ ขนลุกชันไปทั่วร่าง จั๊กจี้ในหัวใจไม่หยุด ยิ่งอีกคนขยับใกล้ ไอเย็นๆจากกายอีกคนกลับยิ่งทำให้ตื่นเต้น ไหนจะจงใจแลบเลียริมฝีปากที่ยิ่งมองยิ่งดูเซ็กซี่ พาลกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ร่างกายอ่อนระทวยติดกับดักหัวใจไปเต็มๆ เกิดมา20ปีเจอปีศาจมนุษย์เทพมามากมาย แต่ไม่เคยมีใครดูมีเสน่ห์มากมายเท่านี้

แม้จะเจอกันไม่กี่นาที แต่ความคุ้นเคยที่มีมันเรียกร้อง ให้ยอมจำนน...เฟรีล
แม้จะอีกกี่ร้อยกี่พันครั้ง เขาก็พร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่กับคนๆเดิมอย่างเต็มใจเสมอ…ราเชน/รีส
.
.
.
ก่อนหน้านั้น
ขณะที่หนุ่มใหญ่เดินไปชงเครื่องดื่มอุ่นมาให้คนที่รออยู่ภายในห้องรับแขก เขาได้เปิดอ่านจดหมายที่ถูกส่งมาถึงเขา จดหมายที่ถูกส่งมาโดยคนที่รู้จักที่ย้ายไปอยู่โลกปีศาจ กำชับว่าต้องอ่านให้ได้มาบนหน้าซอง
‘ถึง รุ่นพี่ที่รัก , ท่านราเชนที่เคารพ
ในที่สุด!!! ก็สิ้นสุดเวลารอคอยสักทีนะครับรุ่นพี่ คนที่รุ่นพี่ตามหาและรอคอยมาตลอด100ปีที่ผ่านมา ผมได้ทำการส่ง ‘ตัวเขา’ ไปหารุ่นพี่ด้วยตัวเองแล้ว ตรวจสอบแล้วว่าเป็นคนๆเดียวกัน ดีใจด้วยนะครับรุ่นพี่ ;p
ข้อมูลส่วยตัวของเขาในชาตินี้ เขาชื่อ เฟรีล (ชื่อยังคล้ายพี่เฟิร์สเลยนะครับ) เป็นปีศาจอายุน้อยที่เพิ่งเกิดมาได้20ปี และที่สำคัญเขาเป็นเพื่อนของลูกชายผมเอง เขาทำงานส่งจดหมายไปทุกมิติ รวมถึงโลกด้วย แต่ก่อนหน้านี้ทีหาไม่เจอพวกผมยังไม่ทราบว่าเขาอยู่ที่ไหนก่อนมาที่นี่ เพราะข้อมูลส่วนตัวของเขาก็ยังไม่แน่ชัด และเป็นปีศาจประเภทไหนก็ยังไม่ทราบเหมือนกันนะครับ แต่แค่นี้ก็พอแล้วแหละ ผมว่ารุ่นพี่ต้องดีใจจนหน้ารุ่นพี่ต้องบานเป็นกระด้งแน่ๆเลย เอ๊ะ ภาษาปีศาจเขาเรียกว่าอะไรไม่รู้ ชั่งเถอะ เอาเป็นว่า...
ยินดีต้อนรับกลับโลกปีศาจนะครับรุ่นพี่ โอกาสครั้งนี้มาถึงแล้ว ใช้ให้คุ้มค่าและมีความสุขกับมันให้มากที่สุดนะครับ
ปล.พาเขากลับมาอย่างปลอดภัยด้วยนะครับ และผมยังไม่อนุญาตให้รุ่นพี่ล่วงเกินเขา บอกไว้ก่อนนะครับว่าตอนนี้ผมและไมเคิลเป็นผู้ปกครองของเด็กคนนั้นอยู่ เพราะฉะนั้น ห้าม!
ด้วยรักและคิดถึง
    เชน , ไมเคิล’
จดหมายถูกพับเก็บลงอย่างนุ่มนวล ใบหน้าของหนุ่มใหญ่เปื้อนยิ้มดังที่โดนเปรียบเทียบก่อนหน้า ใจของเขาเต้นโครมครามอีกครั้งจากที่ไม่ได้เป็นมานาน ในที่สุดการรอคอยก็สิ้นสุดลง 100 ปีที่ผ่านมา ในที่สุดฟ้าก็ตอบรับคำขอของคนที่ซื่อสัตย์และรอคอยในรักเดียวอย่างเขาสักครา
ไม่นานก็เกิดแสงสว่างวาบออกจากห้องที่เขาไว้เก็บรักษาร่างคนรัก หนุ่มใหญ่ค่อยๆก้าวเข้าไปใกล้มองดูปรากฏการณ์แสนวิเศษที่กำลังเกิดช้าๆด้วยรอยยิ้ม
ร่างกายของเฟิร์สนั้นค่อยๆโปร่งแสงขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเพียงแค่ละอองใสสีขาวแวววาว รวมตัวกันเป็นมวลก้อนหนึ่งและลอยขึ้นในอากาศ ทั้งสง่างามและแวววาว แสงนั้นลอยวนอยู่ในอากาศสักพักและลอยลงต่ำมาวนรอบตัวเขา รู้สึกถึงความอบอุ่นที่แสงนั้นมอบให้ เขาได้แต่ยิ้มและผายมือออกไปหาแสงนั้นอย่างคิดถึง แต่แสงกลับลอยออกห่างจากตัวเขาและค่อยๆลอยนำทางเขาไปทางห้องนั่งเล่นที่มีใครบางคนนั่งอยู่ เมื่อหนุ่มใหญ่เดินตามมาถึงห้องนั่งเล่นมองเห็นอีกคนที่กำลังมองสำรวจรอบห้องช้าๆและไม่นานน้ำตาก็คลอท่วมดวงตาใสปริ่มจนจะเอ่อล้นออกมา หนุ่มใหญ่มองค้างอยู่อย่างนั้นและแสงสว่างแวววาวก็เคลื่อนเข้าไปหาเด็กหนุ่มพร้อมกับค่อยๆจางหายไปในอากาศ...
“ยอดดวงใจของข้า ในที่สุดก็กลับมาหาข้าเสียที”


…หนุ่มใหญ่ยืนมองอยูเช่นนั้นสักพัก และเดินกลับไปยกเครื่องดื่มมาให้อีกคน พร้อมเริ่มต้นบทสนทนากับคนๆนี้ที่เขาตัดสินใจจะ เริ่มต้นใหม่ด้วยรัก อีกสักครา
"เครื่องดื่มได้แล้ว เฟรีลเจ้า...เป็นอะไรรึเปล่า"


..... 
จบกันไปแล้วววววววววววววว พอใจกันไหมคะ 555 สั้นไปหน่อยไหมน้อ...
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันมาจนถึงทุกวันนี้มากๆเลยค่ะ ขอบคุณทุกแรงใจ แรงสนับสนุน แรงเชียร์ และความรักที่ส่งมาจากรีดเดอร์ที่น่ารักทุกคน ขอบคุณมากจริงๆค่า
ปล.อยากอ่านอีก บอกได้นะเออ แต่งได้จะแต่งมาให้อ่านกัน แต่ถ้าไม่มีก็ลากันตอนนี้นะคะ บายบาย รักทุกคน ขอบคุณมากจ้า
บทรีไรท์ รอก่อนเน้อ กำลังทำการเรียบเรียง แต่เนื้อเรื่องก็ไม่ได้แตกต่างมากเท่าไหร่พยายามคงเดิม แต่วิธีการเล่าคงไม่เหมือนช่วงแรกๆ ไรท์จะพยายามทำไม่ให้งงและอ่านได้ง่ายขึ้น 555
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย End
เริ่มหัวข้อโดย: Psycho ที่ 14-06-2017 16:04:43
 :mew1:
หัวข้อ: Re: me die ?? เพราะคุณ...ทำให้ผมตาย End
เริ่มหัวข้อโดย: TaemyG ที่ 15-06-2017 10:20:06
 :katai2-1: :mew6: