ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
..................................................
Drift
verb [ I usually + adv/prep ]
UK /drɪft/ US /drɪft/
to move slowly, especially as a result of outside forces, with no control over direction:
Table of Contents
1st drift - And you make me fall (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71090.msg4009795#msg4009795)
2nd drift - In three heartbeats (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71090.msg4010884#msg4010884)
3rd drift - Three seconds rule (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71090.msg4012109#msg4012109)
4th drift - Symmetry (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71090.msg4015904#msg4015904)
5th drift - See you never (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71090.msg4016438#msg4016438)
6th drift - Hello strangers (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71090.msg4016941#msg4016941)
7th drift - Yes boss (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71090.msg4018247#msg4018247)
8th drift - Strangers party (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71090.msg4019727#msg4019727)
9th drift - Hi daddy (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71090.msg4022299#msg4022299)
10th drift - Liar liar liar (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71090.msg4055409#msg4055409)
11th drift - Oh mine (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71090.msg4055441#msg4055441)
12th drift - Please don't (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71090.msg4055636#msg4055636)
13th drift - Hiccups (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71090.msg4056165#msg4056165)
14th drift - Still you (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71090.msg4056420#msg4056420)
15th drift - New normal (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71090.msg4056945#msg4056945)
16th drift - Same old me (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71090.msg4057735#msg4057735)
17th drift - Teasers (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71090.msg4058032#msg4058032)
18th drift - J (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71090.msg4058702#msg4058702)
I’m all laid up with you, sentimental trickster
Maybe in another lifetime
Strange Land - NIKI & Phum Viphurit (https://www.youtube.com/watch?v=nR-Z16_MoEI)
1st drift - And you make me fall
ลอนดอน, ประเทศอังกฤษ
“หนาวเชี่ย”
ทำไมอากาศที่นี่มันหนาวอย่างนี้วะ! ผมบ่นในใจ ก่อนจะสูดอากาศให้เต็มปอดเป็นครั้งแรกในรอบเกือบสิบชั่วโมง
ประเทศอังกฤษยังคงหนาวเหมือนกับที่ผมจำได้ไม่มีผิด ครั้งสุดท้ายที่ผมมาเหยียบประเทศนี้ก็ซัก 8 ปีมาได้ละมั้ง ... ผมเกลียดการนั่งเครียดบิน มันเลยทำให้ผมเกลียดการเดินทางไปต่างประเทศไปซะหมด แต่รอบนี้มันต่างกันออกไป
นี่เป็นการมาต่างประเทศคนเดียวครั้งแรกของผม!
ไม่ใช่แค่นั้น นี่เป็นการมาเรียนต่างประเทศเป็นครั้งแรกของผมด้วย!
ผมเลยโครตตื่นเต้นเลย ด้วยความเป็นน้องเล็กของบ้าน การได้ไปไหนมาไหนคนเดียวอย่างอิสระนี่เป็นความฝันสูงสุดของผมแล้ว แล้วนี่คือมาแลกเปลี่ยนตั้งเทอมนึงแหนะ ผมจะทำแม่งทุกอย่างที่ตอนอยู่ที่ไทยทำได้ยาก (เหอๆ) ล้อเล่นครับ ผมอะเด็กดีจะตาย อย่างมากผมก็จะสูบบุหรี่ในห้องนอนแม่งทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม่ไม่มีพี่มาบ่นนี่ครับ
ผมลืมแนะนำตัวเลย ผมชื่อวาฬครับ อายุเพิ่งครบ 18 ไปหมาดๆ และตอนนี้ ผมกำลังมาเป็นเด็กแลกเปลี่ยนที่เมืองลอนดอน ประเทศอังกฤษ พอดีคณะสถาปัตย์ของมหาลัยผมที่ไทยมีโครงการแลกเปลี่ยน แล้วด้วยความเก่งของผม ผมเลยสอบชนะทุกคนจนได้มาเป็นหนึ่งในสองตัวแทนที่ได้รับเลือก ซึ่งเอาจริงๆ แม่งเป็นเรื่องใหญ่สำหรับผมมาก เพราะอย่างที่บอก การมาที่นี่มันหมายถึงอิสระ! ผมมีพี่ชายอยู่คนนึงครับ ชื่อพี่นนท์ ซึ่งพี่แม่งเป็นเด็กเพอร์เฟคในอุดมคติของพ่อแม่ทุกคน มันเลยเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ที่ทุกคนในบ้านจะคาดหวังให้ผมเดินตามรอยพี่นนท์ อิสระในบ้านผมก็มีแหละ แค่มันไม่มากพอเท่าที่ผมต้องการ จะย้ายออกมาอยู่หอผมยังทำไม่ได้เลยครับ พาสาวมานอนที่บ้านยิ่งไม่ต้องพูดถึง
“มึงเช็คขนาดเตียงด้วย พาหญิงมานอนจะได้ไม่ลำบาก สำส่อนอย่างมึงคงเยอะอยู่”
“คร้าบบบบ คุณเพื่อนปริน ดูเป็นห่วงจัง แต่มึงหลอกด่ากูว่าสำส่อนนี่หว่าไอ้ควาย!”
นั่นคือบทสนทนาตอนที่ผมนั่งหน้าคอมดูข้อมูลหอพัก ไอ้คุณปรินนั่นเพื่อนผมเอง สนิทกันมาตั้งแต่อนุบาล จนเข้ามหาลัยแล้วยังตามมาหลอกหลอนเรียนคณะเดียวกัน จริงๆ ที่ผมสอบมาแลกเปลี่ยนนี่ แผนของพวกผมคือจะสอบให้ได้ทั้งคู่แล้วมาด้วยกัน แต่ไอ้ปรินเสือกสอบไม่ติด เลยกลายว่าผมได้ไปคนเดียว
“ไอ้เมธร เมตรธรนี่คือใครวะ กูไม่เห็นจะรู้จัก หมั่นไส้แม่งชิบหาย อย่าให้กูรู้ว่ามึงไปเป็นเพื่อนกับมันที่นั่นนะเว้ย”
“ถ้ากูหาเพื่อนไม่ได้ก็ต้องคบกับมันปะวะสัส”
เมธร เมตรธรคือเด็กอีกคนที่ได้ไปแลกเปลี่ยนกับผม ไอ้หมอนี่มันบุคคลลึกลับ คนทั้งคณะไม่เคยได้ยินชื่อมันจนแม่งสอบได้นี่แหละ ไอ้ปรินยิ่งเกลียดมันเข้าไปใหญ่เพราะแม่งมั่นใจว่าจริงๆ มันต้องได้ไปกับผม ถ้าไม่ใช่เพราะเมธรดันสอบได้
“มึงไม่ต้องห่วงปริน เมธรแม่งไม่สิ้นคิดคบไอ้วาฬแน่”
“ถุยมึงอะรีรัก ถ้าว่างช่วยไอ้ปรินเอาของเข้ากระเป๋ากูไป”
ส่วนเจ้าของเสียงยานๆ นี่คือเพื่อนสนิทผมอีกคน มันชื่อรีรักครับ รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยมอปลายเพราะผมเคยไปฟันแฟนเก่ามันแล้วแม่งมาหาเรื่อง ไปๆ มาๆ เคลียร์ได้แถมสนิทกันเฉย จากที่มีกันแค่ผมกับปรินเลยมีมันมาร่วมด้วยเฉยเป็นสามคน คนในคณะชอบเรียกพวกผมว่าแก๊งเก๊ก หาว่าพวกผมชอบเก๊ก แต่คือพวกผมไม่ได้เก๊กไง คือเกิดมาหล่อกันอยู่แล้ว ก็เลยปล่อยให้คนเข้าใจกันไปแบบนั้น 55555 จริงๆ พวกผมเป็นแก๊งแฮร์รี่ พอตเตอร์ต่างหาก ไอ้รักแม่งฉลาดสุด ปล่อยแม่งเป็นเฮอร์ไมโอนี่ไป ส่วนไอ้ปรินคือรอนเพราะแม่งสูงกว่าผม ส่วนผมก็พระเอกสิครับ คนมันหล่อสุดอยู่แล้ว
จริงๆ ก็คิดถึงพวกมันแล้วนะเนี่ย ...
และผมก็มาถึงหอพัก อยู่ใจกลางเมืองพอดี จะได้สะดวกต่อการไปไหนต่อไหนได้ง่ายๆ ผมเข้ารับกุญแจมาจากพนักงาน เอากระเป๋าไปเก็บดีกว่าจะได้ออกไปดูเมือง วันแรกทั้งทีเนอะ
พนักงานสวยชิบหายเลยวุ้ย!
ผมเหลือบดูชื่อ เธอชื่อเซลีน ต้องเป็นลูกครึ่งเอเชียแน่ๆ ตาชั้นเดียวเฉียบขนาดนี้
“คุณทราบใช่ไหมคะว่าห้องพักของคุณเป็นแบบแชร์ค่ะ”
“ไม่ทราบเลยครับ หมายความว่า?”
“คือ หมายเลขอพาร์ทเมนท์ของคุณคือ 17 ค่ะ ซึ่งในโซน 17 นี่จะมีห้องแยกออกไปอีก 6 ห้อง และ 6 ห้องนี้จะแชร์ห้องครัวกันค่ะ”
คือ ผมไม่กะจะทำอาหารอยู่แล้ว แชร์ไปก็ไม่มีปัญหาอะไรอยู่ดี
“คือทางมหาวิทยาลัยของคุณจองมาให้แบบนี้ค่ะ ถ้าทางคุณไม่—“
“ไม่เป็นไรครับ ผมโอเค ถือว่าได้หาเพื่อนด้วย” ผมยิ้มหวาน “มาคนเดียวก็เหงาแบบนี้ละครับ”
“ถ้าเหงามาหาฉันได้นะคะ อยู่ตรงเคาท์เตอร์ตรงนี้ทุกหกโมงเย็นถึงสองทุ่มค่ะ”
เซลีนยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตร ผมขอเบอร์ไว้เลยจะดีปะวะ อ้างไปว่าเผื่อไว้มีปัญหาจะได้ถามได้อะไรแบบนี้ หรือแม่งจะหาว่าผมหื่นปะวะ ก็ยังอยากจะรักษาภาพลักษณ์ตัวเองหน่อย—
“เอ่อ นาวาฬรึเปล่า .. ครับ”
ใครวะ แม่งเรียกชื่อผมซะเต็มยศขนาดนี้ แต่แม่งพูดภาษาไทยนี่หว่า!
ผมหันกลับไปเจอผู้ชาย น่าจะอายุประมาณผม เตี้ยกว่าผมหน่อยนึง ผมหยิกยุ่งๆ เหมือนแอบหลับมา จะว่าไปผมว่ามันน่าจะเป็น ..
“เราชื่อฟาร์นะ เราเป็นเด็กแลกเปลี่ยนอีกคนจากมหาลัยของนาวาฬนั่นแหละ พอดีเรามาถึงตั้งแต่สามวันก่อน อาจารย์เลยวานให้เรามาช่วยดูนาวาฬน่ะ”
ไอ้เหี้ยปริน กูขอโทษนะ แต่แม่งดูคนดีจังว่ะ กูว่ากูจะคบแม่งเป็นเพื่อนนี่แหละ!
“เรียกเราว่าวาฬเหอะ ฟาร์นี่คือเมธรปะ”
“555 วาฬก็วาฬ เออ เรานี่แหละเมธร เรียกฟาร์เหอะ เซลีน เดี๋ยวผมพาเขาขึ้นไปเองครับ”
ผมเดินตามฟาร์ข้ามสนามไปยังตึกหลังสุด ระหว่างนั้นก็คุยกันไปด้วย แม่ง น่ารักชิบหาย น่ารักเหมือนลูกหมา ผมไม่เคยเห็นมันในมอได้ไงวะ ไม่งั้นเจอผมกับไอ้ปรินจับเล่นหัวไปนานแล้ว
“วาฬกับเราอยู่อพาร์ทเมนท์ 17 เหมือนกันแหละ เราอยู่ห้องหนึ่งวาฬอยู่ห้องหก”
“คุยกูมึงเหอะ เรียกเราแล้วมันแปลกๆ แฟลตเมทเป็นไงบ้างวะ มึงเจอบ้างรึยัง” คือก็ต้องสืบข้อมูลก่อนมั้ย ต้องอยู่กับคนกลุ่มนี้ไปอีกนาน อีกอย่าง ฟาร์น่าจะมีข้อมูลแนวนี้อยู่ละ มันบอกว่ามันมาก่อนผมสามวันนิ
“5555 ก็ได้ กูเจอหมดละนะ ก็โอเคมากๆ วันนี้มันบอกจะจัดปาร์ตี้ต้อนรับที่มึงมาให้”
โอโห ผมรักแฟลตเมทผมครับ ยังไม่ได้เจอหรอก แต่ใครก็ตามที่จะเลี้ยงเหล้าผมผมรักหมดแหละ
ฟาร์ไขประตูเข้าอพาร์ทเมนท์ก่อนจะพาผมไปที่ห้อง ห้องผมเป็นห้องที่อยู่ไกลที่สุดจากประตูอพาร์ทเมนท์ ติดกับห้องแค่ห้องเดียวคือห้องหมายเลขห้าที่อยู่ข้างๆ สภาพภายในห้องเรียบร้อยดี ไม่ใหญ่อย่างที่ผมคิดไว้แต่ก็ไม่เล็กเกินไป ผมโถมตัวลงบนเตียง นี่คือกลิ่นอิสระในการพาสาวมานอนห้องของกู!
“มึงโอเคกับห้องมั้ย”
“โอดิวะไอ้ฟาร์ ห้องแย่ขนาดไหนถ้ากูพาสาวมานอนได้กูโอหมดอะ” ฟาร์ยิ้มขำเฉยๆ มันคงได้ยินชื่อเสียงด้านฟันสาวของผมในคณะมาไม่มากก็น้อย
“ยินดีต้อนรับบบบบ”
สามคนที่มาออกันอยู่ที่หน้าประตูห้องนี่คงเป็นแฟลตเมทของผม
“วาฬ นี่แฟลตเมทนะ คนนี้แมกซ์” ผู้ชายฝรั่งตัวสูงชิบหายโบกมือให้ผม “นี่เคลวิน” หมอนี่เป็นคนเอเชียตัวเล็กลงมาหน่อย มองก็รู้ว่าใส่แบรนด์เนมตั้งแต่หัวจรดเท้า “ส่วนนี่โจเอล” ฝรั่งผิวคล้ำใส่แว่นส่งยิ้มให้ผม “นี่วาฬ” ผมยิ้มตอบกลับทุกคน
“ไงวาฬ ยินดีต้อนรับเข้าสู่อพาร์ทเมนท์ของพวกเรา”
“มีปัญหาอะไรบอกพวกเราได้นะ พวกเรามาอยู่ก่อน แน่นอนว่าต้องรู้อะไรมากกว่านายอยู่แล้ว”
“ทำไมเหินห่างอย่างนั้นวะเคลวิน เฮ้ยวาฬ ยินดีต้อนรับว่ะ เล่าอะไรเกี่ยวกับตัวนายให้พวกเราฟังหน่อย มาทำอะไร เรียนอะไร เกิดที่ไหน อะไรแบบเนี้ย”
แมกซ์นี่ดูเฟรนด์ลี่โครตๆ กูยังไม่ชวนเข้าห้องยังเดินเข้ามาเองเฉยเลย 555 มีเคลวินเดินหน้ามุ่ยๆ ตามมาข้างหลัง
“ขี้เสือกว่ะแมกซ์ ให้เขาเล่าเองดีกว่ามั้ย จะไปถามเพื่อ”
“เฮ้ย เราโอเคว่ะ ไม่ต้องห่วงๆ 555”
บ่ายวันนั้นทั้งวันพวกมันก็มานั่งช่วยผมจัดของใส่ห้องใหม่ เลยได้คุยกันไปด้วย แมกซ์เป็นคนเยอรมัน มาเรียนปริญญาโทด้านวิศวะ ซึ่งก็ดูเหมาะกับมันดี ส่วนเคลวินเป็นนักศึกษาแพทย์มาจากฮ่องกง สองคนนี้รู้จักกันมาตั้งแต่แมกซ์ยังเรียนปริญญาตรี สาเหตุนึงที่แมกซ์มาเรียนที่นี่เพราะตามเคลวินมานี่แหละ โจเอลเป็นเด็กป. ตรีเหมือนกับผม แต่มันเรียนดนตรี เลยออกติสต์ๆ หน่อย ส่วนฟาร์ที่ผมเคยบอกว่าแม่งเป็นบุคคลลึกลับ แม่งก็เป็นบุคคลลึกลับจริงๆ นั่นแหละ
“ทำไมกูไม่เคยเห็นมึงที่คณะเลยวะ”
“กูไม่ค่อยมีเพื่อนที่คณะเท่าไหร่เลยเรียนเสร็จกลับเลย แต่จริงๆ กูรู้จักกับรีรักนะ”
“ถึงว่าทำไมไอ้รักแม่งเหมือนรู้จักมึง ทำไมแม่งไม่เคยพามึงมาเจอพวกกูวะ”
“ก็รักบอกว่าพวกมึงเป็นแก๊งแฮร์รี่ พอตเตอร์ ไม่มีที่ให้บุคคลที่สี่อย่างกูหรอก”
ไอ้รัก .. เหตุผลมึงแม่งงี่เง่าชิบหาย
อย่างน้อยระหว่างจัดห้อง ผมใจชื้นขึ้นนิดหน่อยว่ากูหาเพื่อนได้แล้วว่ะ อย่างน้อยก็กลุ่มนี้แหละ ทุกคนดูโอเคมากๆ แมกซ์ชวนผมไปยิม ในขณะที่โจเอลเสนอว่าจะพาผมไปเดินเล่นรอบเมืองพรุ่งนี้ พอเก็บของเสร็จเคลวินก็ทำอาหารให้พวกผมกิน ไอ้ฟาร์ก็เฮฮา คือแม่งอบอุ่นมากๆ สี่คนนี้ แต่เดี๋ยวนะ
“มันมีหกห้องไม่ใช่หรอ ทำไมมีกันแค่ห้าคนอะฟาร์”
“มันมีอีกคนกำลังกลับมา อยู่ห้องห้า พอดีมันมีเรียนวันนี้เลยกลับช้าหน่อย”
ห้องห้า .. ก็ห้องข้างผมเลยนี่หว่า
“แม่งเด็กเรียนเลยไปเรียนทุกวัน แต่นิสัยโอเคนะเว้ย นายน่าจะชอบมันอยู่มากๆ” แมกซ์ยืนยันกับผม ก่อนจะหันไปทางประตู “พูดถึงก็มาเลย โคล! พวกเราอยู่กันในห้องครัว”
“มีเบียร์มาเต็มเลย มาช่วยยกหน่อย”
“วาฬไม่ต้องมาหรอก รออยู่นี่แหละ” โจเอลพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนจะตามคนอื่นเดินออกไปนอกห้องครัวเพื่อไปช่วยผู้มาใหม่ยกของ ผมเลยที่จะออกไปด้วยเลยนั่งอยู่ที่เดิม ไถมือถือไปเรื่อยๆ เช็คว่ามีใครที่บ้านคิดถึงผมบ้างรึยัง
Priné - เป็นไงบ้างวะมึง เจอสาวบ้างยัง
Nawhale - เจอแล้วคนนึง
R. - ไม่รู้ทำไมว่ะ แต่กูรู้สึกว่าวาฬแม่งมีสิทธิ์จะเจอเมียในอนาคตรอบนี้ว่ะ
Nawhale - เพ้อเจ้อใหญ่ละมึง
Priné - กูนึกภาพแม่งมีเมียไม่ออก
Nawhale - กูก็นึกไม่ออก
R. - แต่กูนึกออก ไม่รู้ว่ะ กูมีเซนส์
Priné - ถ้าจะมีเมียเอาเพื่อนเมียมาฝากกูด้วยละกัน 5555
“สวัสดีครับคุณห้องหก”
ผมเงยหน้าขึ้นมองที่ประตูตามเสียงทัก ผู้ชายคนหนึ่งกับกระเป๋าเป้ยืนอยู่ตรงนั้น เขากำลังก้มหน้าลง พยายามถอดรองเท้า ผมเลยไม่เห็นหน้าเขา
“ชื่อวาฬใช่ไหมครับ”
“ครับ”
แม่งเป็นผู้ชายที่สูง แต่งตัวเรียบร้อย เสื้อเชิร์ตแขนยาวสีขาวถูกเอาปลายเข้าในกางเกงสีดำเรียบร้อย เสียงมันทุ้มมาก แถมภาษาอังกฤษสำเนียงลอนดอนชัดเจน แสดงว่ามาจากที่นี่ แต่แม่งคงไม่ฉลาดเท่าไหร่ แค่ถอดรองเท้ามันจะยากอะไรหนักหนา!
“นั่งถอดดีไหม” ผมรีบลุกจากเก้าอี้ให้ พอดีกับที่มันถอดเสร็จพอดี
“ไม่เป็นไรครับ เสร็จพอดี” มันเอามือเช็ดกางเกงก่อนจะส่งมือมาให้ผมจับ ดีมาก ผมไม่อยากจับมือที่โดนรองเท้ามาหรอก ..
เหี้ย
ผมเป็นอะไรวะ
เกิดอะไรขึ้น
ผู้ชายลูกครึ่งเอเชียหน้าตาดีกำลังส่งยิ้มมาให้ผม ผมสีน้ำตาลอ่อนปรกตาอยู่ข้างหนึ่ง ตาสีเขียวหม่นของเขามองจ้องเข้ามาในตาของผมเหมือนรู้จักกันมาเป็นสิบปี เขาคว้ามือผมที่ลอยค้างอยู่กลางอากาศไปจับ
ผมรู้สึกได้ถึงชีพจรที่เต้นอยู่ตรงปลายนิ้วของเขา
“เราชื่อโคล อยู่ห้องห้า หวังว่าเราจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันในอนาคตนะครับ”
ณ นาทีนั้น ผมรู้สึกได้ถึงชีพจรของตัวผมเองที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกับผู้ชายตรงหน้าของผม
ฝากด้วยนะคะ ^________^
Have I misread the way I feel about you
Have I misread the way I feel about you
Misread - Fazerdaze (https://www.youtube.com/watch?v=6Td4jtPz4PM)
2nd drift - In three heartbeats
หิว
นั่นคือความคิดแรกที่เข้ามาในสมองทันทีที่ผมลืมตาตื่น ฟ้าข้างนอกยังมืดอยู่ ทำให้ผมสรุปได้ว่าการที่ผมตื่นมานี่ต้องเป็นเพราะเจทแลกแน่ๆ ไม่ก็นอนไม่หลับซึ่งเป็นอะไรที่โคตรผิดวิสัยผม
ผมนอนไม่หลับทั้งคืน ได้แต่พลิกตัวไปมา เหมือนมีอะไรติดอยู่ในหัวที่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไรนับตั้งแต่นาทีที่เจอหมอนั่น มันชื่ออะไรนะ ... โคล ใช่ มันชื่อโคล น่าจะอายุมากกว่าผม มันสูงกว่าผมแน่ๆ ล่ะ และตามันอีก ตามันที่มองผมทีเหมือนกับถูกเอกซ์เรย์เข้าไปถึงสมองและหัวใจ ..
ผมไม่กล้ามองหน้ามันเมื่อวาน
“เราชื่อโคล อยู่ห้องห้า หวังว่าเราจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันในอนาคตนะครับ”
“ค—ครับ”
ผมหาคำพูดได้แค่นั้น ก่อนจะรู้สึกเหมือน .. แบบ .. ผมมองหน้ามันไม่ได้ ผมไม่รู้ทำไม ได้แต่ตอบไปเก้อๆ เสียงที่ออกมาแม่งก็โคตรเย็นชาแบบที่ไม่ใช่ผมเลย ชีพจรผมที่อยู่ๆ ไป sync กับมันได้ไงก็ไม่รู้ก็ดังชิบหาย
ผมไม่เคยเป็นแบบนี้
แบบไหนล่ะ เสียงเล็กๆ ในหัวของผมกระซิบเหมือนจะกวนตีน แบบที่เห็นหน้าใครแล้วหัวใจเต้นแรงอะนะ
“วาฬ มาช่วยยกของหน่อยยย” เสียงไอ้ฟาร์ช่วยชีวิต ผมรีบพุ่งตัวออกไปช่วยมันทันที ปล่อยโคลให้ยืนอยู่ตรงนั้น ในใจมันคงด่าผมว่าไร้มารยาทสัส คนจะชวนคุยเสือกชิ่ง ซึ่งผมยอมรับเลยว่าผมชิ่ง ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน คือแม่งไม่ใช่ผมเลย
แค่ผมรู้สึกว่าไม่พร้อมที่จะไปยืนให้มันใช้สายตาเอกซ์เรย์คู่นั้นมองผม
ผมกับมันคุยกันแค่นั้นจริงๆ ทั้งคืน พอเบียร์มาผมก็ดื่มไปคุยกับแมกซ์ไปเพราะมันคุยเก่ง พอเริ่มเมาผมก็ชิ่งขอตัวไปนอน แล้วก็มาบิดตัวพลิกไปมาค่อนคืนเพราะหาคำตอบไม่ได้ว่าตัวเองเป็นอะไร
ผมเหลือบหันไปดูนาฬิกา เจ็ดโมงเช้าเองหรอวะ สงสัยเป็นเพราะเจทแลกจริงๆ ด้วยนั่นแหละ แต่ว่าตอนนี้โคตรหิวเลย คุ้นๆ เหมือนมีโดนัทที่โคลซื้อเข้ามาให้เหลืออยู่ในตู้เย็น ไหนๆ ก็ตื่นแล้ว ลุกเลยละกัน ห้องครัวก็แค่นี้เอง
“สวัสดีครับ”
ผมมองตามเสียง โคลยืนอยู่ตรงหน้าเตา แต่งตัวเรียบร้อยเหมือนเตรียมตัวจะออกไปข้างนอก ตอนเจ็ดโมงเช้านี่นะ? มันส่งยิ้มให้ผมที่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองส่งสีหน้าแบบไหนออกไปให้มัน
กูยังไม่ได้เตรียมใจจะเจอมึงเลย!
“อ่า หวัดดี ตื่นเช้าจัง”
“เราเป็นคนตื่นเช้าน่ะ กินไรหน่อยไหม” ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่ามันถือถ้วยใส่ overnight oats ไว้
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเรากินโดนัทที่เหลือเมื่อวาน”
“กินโดนัทตอนเช้าไม่ดีนะ นั่งๆ เดี๋ยวเราทำอะไรให้กิน”
แล้วคุณมึงจะถามผมทำไมครับ มันค้นของกุกๆ กักๆ ในตู้เย็นอยู่แป้บนึงก่อนจะหยิบ overnight oats อีกถ้วยออกมาตั้งตรงหน้าผม ส่วนตัวเองก็นั่งบนเคาท์เตอร์ กินไปด้วยดูทีวีที่เปิดไว้อยู่ไปด้วยมั้ง ผมเองก็ไม่กล้าสบตามัน ได้แต่พึมพำขอบคุณก่อนจะเหลือบมองมันเป็นพักๆ
มันเป็นคนสูงมากครับ ขายาวมากจนผมแม่งเสียความมั่นใจ หน้ามันบ่งบอกว่าเป็นลูกครึ่งเอเชียชัดเจน น่าจะเป็นลูกครึ่งฮ่องกง ไม่ก็ไต้หวัน ... หรือไทย? ไม่สิ ถ้ามันเป็นลูกครึ่งไทยมันก็น่าจะพูดภาษาไทยกับผมไม่ก็ฟาร์ไปแล้ว ผมมันสีน้ำตาลอ่อนๆ แบบธรรมชาติ ปอยผมข้างหนึ่งปรกตาข้างขวาของมันเสมอ ผมโคตรชอบสีผมของมันเลย ต่างกับผมสีชมพูอ่อนของผมเองมากๆ แม่งดูเป็นผู้ชายเพอร์เฟคแบบที่ทำให้ผมคิดถึงพี่ชายของผมเองที่บ้านเล็กๆ
แต่แปลกแฮะ .. วันนี้ผมไม่มีอาการเหมือนเมื่อวาน
เมื่อวานผมอาจจะมโนไปเองก็ได้มั้ง
“พอกินได้มั้ย โอ๊ตน่ะ” จู่ๆ มันก็มานั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามกับผมจนผมแอบสะดุ้ง “พอดีเราแพ้นมวัวเลยใช้เป็นนมถั่วเหลืองแทน ไม่รู้นายจะชินกับรสชาติรึเปล่า”
“กินได้ อร่อยดี ขอบใจมากเลย”
“เอาล่ะ เมื่อวานไม่ค่อยได้คุยกันเลย มารู้จักกันหน่อย” เหี้ย “นายชื่อวาฬใช่มั้ย วาฬที่หมายถึงปลาวาฬอะนะ”
“ใช่”
“น่าสนใจ คงไม่ได้มีพี่น้องชื่อโลมาอะไรแบบนี้ใช่เปล่า”
มันชวนผมคุยเรื่อยๆ ระหว่างที่นั่งกินข้าวโอ๊ตไปด้วยกัน ผมเลยได้รู้ว่ามันอายุยี่สิบสาม กำลังเรียนกฎหมายแบบเดียวกับพี่ชายผม เคยใช้ชีวิตอยู่ฮ่องกงในช่วงวัยเด็ก (ผมบอกแล้วไม่ผิดว่ามันต้องเป็นลูกครึ่งฮ่องกง) และมาอยู่ลอนดอนคนเดียวตั้งแต่วัยรุ่น มีพี่สาวอยู่หนึ่งคนที่อายุห่างกันสิบกว่าปีเลยไม่สนิทกันเท่าไหร่ ผมก็เล่าเรื่องตัวเองบ้างว่าอายุเท่าไหร่ มาทำอะไร เล่าเรื่องพี่นนท์ พี่ชายผมให้มันฟังว่าเพอร์เฟคขนาดไหน ลามไปจนถึงเรื่องหนัง เรื่องดนตรี เพื่อที่จะพบว่ามันกับผมมีรสนิยมที่คล้ายกันจนน่าแปลกใจ ผมชอบวาดรูป มันชอบปั้นดิน ผมชอบปีนเขา มันชอบเดินป่า เรานั่งคุยกันอยู่ประมาณหนึ่งชั่วโมง ใจผมไม่เต้นขนาดนั้นอีกแล้ว ผมสบตามันได้เหมือนคนปกติ แสดงว่าเมื่อวานอาจจะไม่ใช่เพราะมันที่ทำให้ใจผมเต้นแรง อาจจะเป็นเพราะผมเหนื่อยจากการเดินทาง ต้องใช่แน่ๆ
ผมจะมาใจเต้นกับผู้ชายด้วยกันได้ไง
“วันนี้มีอะไรทำไหม”
“ไม่มีแพลนเลยครับ”
“งั้นไปแต่งตัว เดี๋ยวเราพาไปดูเมือง”
“เอ้ย รบกวนรึเปล่า”
“ไม่หรอก ที่แต่งตัวเรียบร้อยก็เพราะกะว่าถ้านายตื่นจะพาไปอยู่แล้วนี่แหละ” มันดุนหลังผมให้ออกจากห้องครัว “จะพาไปดูลอนดอนในแบบที่คนอื่นไม่รู้ให้ดู”
ก็ดีเหมือนกันนะ มีคนพาไปดูเมืองเนี้ย
Nawhale - ไม่อยู่นะ จะออกไปดูเมืองกับโคลว่ะ
ผมไลน์หาฟาร์ ซึ่งแม่งคงยังไม่ตื่นเหมือนคนอื่นๆ ในอพาร์ทเมนท์ที่คงนั่งแดกเหล้ากันทั้งคืนหลังจากที่ผมชิ่งไปนอน ถ้าผมไม่บอกไว้มันคงเป็นห่วงผมน่าดู ผมอาบน้ำเสร็จก็คว้าเสื้อยืดกางเกงยีนส์มาใส่ แจ๊กเกทอีกตัวนึงไว้กันหนาวเป็นอันเรียบร้อย เช็คอากาศมาแล้วว่าแค่นี้น่าจะเอาอยู่
“โคล ไปกัน”
ผมเรียกโคลที่นั่งรอผมอยู่ในห้องครัว มันคิ้วขมวดทันทีที่เห็นผม
“จะใส่แค่นั้นออกไปเนี้ยนะ”
“ก็เช็คมาแล้วว่าไม่น่าจะหนาว”
“นายดูถูกอากาศลอนดอนมากเกินไปนะวาฬ” มันเดินออกจากห้องครัวก่อนจะกลับมาพร้อมกับแจ๊กเกทยีนส์หนาๆ หนึ่งตัว
“ใส่ตัวนี้ดีกว่า”
โคลเดินมาหยุดตรงหน้าผม ก่อนจะดึงแจ๊กเกทของผมเองออกทางด้านหลัง ทำเหมือนผมเป็นเด็กถอดเสื้อเองไม่ได้อย่างนั้นแหละ!
“ถอดเองได้”
“แต่เราถอดให้ง่ายกว่า ใส่ตัวนี้ซะ” มันใส่แจ๊กเกทตัวใหม่ให้ผม โคตร oversize อะ ไม่เท่เลย ลองคิดดูสิว่าขนาดตัวของผมกับมันต่างกันขนาดไหน พอเสื้อมันมาอยู่บนตัวผมเลยรู้สึกหลวมไปเลย
“มันใหญ่ไปอะ”
“เดี๋ยวก็ชิน ใส่ไว้อย่างนั้นแหละ เดี๋ยวอุ่นไม่พอก็ไม่สบายกันพอดี”
เข้ามาใกล้เกินไปแล้ว
มันก้มตัวลงมาดึงเสื้อผมให้พอดีตัวมากขึ้น มันใกล้มาก ใกล้จนผมได้กลิ่นน้ำหอมจางๆ จากตัวมัน มันช้อนตาขึ้นมาหน้าผม ดวงตาข้างขวาที่มักจะถูกปอยผมสีอ่อนปรกไว้ถูกปัดออกไป ทำให้เห็นไฝจางๆ สองเม็ดที่เรียงกันอยู่ใต้ปลายขอบตาล่างของมันอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก พร้อมๆ กับดวงตาสีเขียวหม่นคู่นั้นที่จ้องเข้ามาในดวงตาเหมือนจะเอกซเรย์ทุกอย่างของผม
ตึก
หัวใจผมเต้นผิดจังหวะขึ้นมาอีกครั้ง
ตึก
สองครั้ง
ตึก
สามครั้ง
ผมไม่ได้คิดไปเองเรื่องที่ผมใจเต้นกับมันเมื่อวาน
………
โคลพาผมไปหลายที่ ทั้ง Notting Hill ตลาด Borough รวมไปถึงหลายเขตที่ไม่เป็นที่รู้จักมากขนาดนั้นอย่าง Dalston (ที่ผมชอบมาก เขตอะไรไม่รู้อาร์ตชิบหาย) ผมซื้อของอาร์ตๆ แบบที่หาที่ไทยไม่ได้มาเยอะแยะจนมันต้องช่วยผมถือ แต่มันก็ไม่ได้บ่นนะ แถมช่วยผมเลือกอีกตั้งเยอะ อย่างหมวกตลกๆ ที่ผมใส่อยู่นี่ก็ฝีมือมันเลือก
“ไม่อยากใส่”
“ใส่ไปเหอะ จะได้ไม่หนาวหู ทันสมัยดีด้วย”
ผมฟังก็รู้ว่ามันแกล้ง ใครที่ไหนเขาใส่หมวกโบราณศตวรรษที่ยี่สิบแบบนี้กัน แต่ด้วยความขี้เกียจเถียงเลยยอมใส่ไป
อาการใจเต้นแปลกๆ ของผมยังอยู่ แม้จะน้อยลงกว่าเมื่อเช้าตอนที่ถูกมันจ้องตา น่ารำคาญชิบหาย เจ้าตัวก็ดูเหมือนจะไม่รู้อะไรเลยว่าทำความคิดผมปั่นป่วนขนาดไหน ผมจะมาใจเต้นกับมันได้ไงล่ะ นี่ผู้ชายนะ! ผมไม่เคยมีประวัติชอบเพศเดียวกัน ยิ่งเป็นคนแปลกหน้าด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง คนรักทุกคนในชีวิตผมที่ผ่านมาเป็นผู้หญิงหมด ฮอตด้วยเพราะผมมันพวกเลือกได้ (ครับ ยอมรับว่าน่าหมั่นไส้) ไม่เคยมีอารมณ์กับผู้ชายด้วยกัน ผมเห็นไอ้ปรินไอ้รักนอนเมาแก้ผ้ามาเยอะขนาดไหนก็ไม่เคยรู้สึกอะไร (ขนาดไอ้ปรินเป็นเดือนมหาลัยนะครับ หล่อคมเหี้ยๆ) อยู่ๆ ผมจะมาใจเต้นเป็นสาวน้อยกับคนที่ผมเพิ่งรู้จักได้ไม่ถึงวันนี่นะ
แล้วผมก็นึกถึงพี่เบนขึ้นมา พี่เบนเป็นเพื่อนสนิทพี่ชายผมตั้งแต่สมัยประถม เลยเหมือนโตมาด้วยกันเป็นพี่ชายอีกคน ถ้านับเรื่องความเคารพ ผมว่าผมน่าจะเคารพพี่เบนมากกว่าพี่นนท์ พี่ชายแท้ๆ ของผมเสียอีก เพราะพี่เบนเป็นคนใจดีที่ดูพึ่งพาได้ ส่วนพี่นนท์ดุกว่า แถมจุ้นจ้านผมไปหมดเสียทุกอย่างตั้งแต่เด็กๆ สองคนนี้มาเรียนที่ลอนดอนตั้งแต่อายุสิบสี่ ตอนนั้นผมเด็กๆ เลยไม่ได้อะไรมาก จนกระทั่งวันที่พี่ทั้งสองกลับไทยมาช่วงปิดเทอมตอนอายุสิบหก
ผมจำได้ว่าพี่เบนเท่มากในสายตาผม เหมือนไม่ใช่พี่เบนที่ผมจำได้ ย้อมผมสีเทา ไว้ผมยาวมัดเป็นจุดไว้ด้านหลัง สูบบุหรี่กลิ่นมิ้นต์ เจาะหูข้างเดียว ทำเอาผมกับไอ้ปรินประหม่าไปเลยว่าพี่กูเท่ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ (ส่วนพี่นนท์ก็ยิ่งเพิ่มความเป็นคุณชายเรียบร้อยเต็มขั้น ไม่มีความเท่) ตอนนั้นถ้าผมจำได้ผมก็เป็นแบบนี้แหละ หัวใจเต้นผิดจังหวะนิดหน่อย ปนกับความรู้สึกนับถือแบบเป็นลูกพี่กูเหอะตามฉบับเด็กอายุสิบสอง มันคือความรู้สึก admire แบบเด็กๆ ที่ผมไม่ได้สัมผัสมันมานานมากจนเกือบลืมไปแล้วว่ารู้สึกยังไง
มันคือความรู้สึกเดียวกันนั่นแหละ โคลแม่งเท่จะตาย ไม่แปลกที่ผมจะรู้สึกได้ถึง vibe แบบเดียวกับของพี่เบนมาจากตัวมัน
“เป็นไง ลอนดอนในแบบของเรา”
“อือ ดีมากเลย ไม่เหมือนกับที่คิดไว้ดี”
ตอนนี้ผมกับมันนั่งกันอยู่ในร้านกาแฟที่พิพิธภัณฑ์ Tate Modern หลังจากที่ดูงานอาร์ตกันมาจนขาลาก ผมนั่งไลน์หาฟาร์ที่เอาแต่ถามผมว่าจะกลับเมื่อไหร่ ก่อนจะตอบไลน์พี่นนท์ที่เอาแต่พยายามให้ผมไปกินข้าวกับเพื่อนสนิทพี่แม่งที่ผมไม่เคยเจอเพื่อเป็นการขอบคุณที่หาหอพักให้ผม (ผมไม่ไปแน่ๆ ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน จะให้ไปนั่งกินข้าวด้วยกันนี่นะ) ส่วนโคล เท่าที่เห็นจากหางตา ก็นั่งอ่านนิตยสารในร้านอยู่เงียบๆ
Priné - คิดถึงมึงละว่ะ
R. - กูก็อยู่ข้างมึงเนี่ย
Priné - กูหมายถึงเหี้ยวาฬเว้ยไอ้ห่า!
Nawhale - ไม่ต้องมาคิดถึงกูครับคุณเพื่อน กูสยอง
“คุยกับแฟนหรอ” จู่ๆ โคลแม่งก็ถามแทรกขึ้นมา
“ฮะ?”
“ก็เห็นดูมือถือไปยิ้มไปแบบนั้น” หน้าผมมันออกขนาดนั้นเลยอ่อวะ
“คุยกับเพื่อน โสดอยู่ๆ”
“ดีแล้ว อย่างเพิ่งรีบมีแฟนเลย อายุแค่นี้เอง” ขี้เสือกชิบหาย ถามกลับแม่งเลย
“นายอะโคล มีแฟนรึยัง”
“เรียนขนาดนี้จะเอาเวลาไหนไปมีแฟน จริงๆ วันนี้” มันก้มหน้าดูนาฬิกา “มีนัดเดทตอนบ่ายโมง”
“อ้าว แล้วทำไมไม่ไปอะ”
“ก็พาวาฬมาเดินดูเมืองสนุกกว่ากันตั้งเยอะ”
เอาอีกแล้ว ดวงตาคู่นั้นอีกแล้ว จ้องผมแบบนี้อีกแล้ว
“เราสงสารผู้หญิงว่ะ ยกเลิกนัดเดทง่ายๆ แค่เพราะจะพาเราเที่ยวนี่นะ ถ้านายไม่พามาฟาร์ก็ต้องพามาอยู่แล้ว”
“ไม่อะ แบบนี้ก็สนุกดี” มันยิ้มให้ผม ก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ จนผมหายใจไม่ทั่วท้อง “ถือว่านี่ก็เป็นเดทละกัน”
ตึก ตึก ตึก ตึก ..
มันพูดเล่น แต่ร่างกายผมกลับตอบสนองแบบจริงจัง อีเหี้ย อีเหี้ยยยยยยยยยย แล้วจะเข้ามาใกล้ขนาดนี้ทำไม! มันเอื้อมแขนมาหยิบนิตยสารอีกเล่มที่อยู่ข้างๆ ผมก่อนจะถอยกลับออกไป ผมจะไม่แปลกใจเลยถ้ามันได้ยินเสียงหัวใจผมในตอนนี้ นี่มันไม่ปกติแล้ว
ผมเหลือบมองริมฝีปากมัน
อยากจูบ ..
“ทำไมหน้าแดงจัง ร้อนหรอ ไปข้างนอกมั้ย”
เพราะมึงนั่นแหละไอ้ควาย
……
“เป็นไรอะวาฬ เงียบตั้งแต่กลับมาแล้ว”
ผมมานั่งเล่นเกมส์ที่ห้องฟาร์ตั้งแต่กลับมา โคลมาส่งผมที่หอ ก่อนจะรีบออกไปห้องสมุดเพื่อไปปั่นรายงานต่อให้เสร็จ ก่อนมันไปยังอุส่าห์ชวนผมไปยิมด้วยกันตอนเย็นทุกวันกับมันและแมกซ์ ซึ่งผมก็ตอบตกลงไป แม้ในใจยังงงๆ ว่าวันนี้มันเกิดอะไรขึ้นวะ
“ไม่เป็นไรๆ กูเหนื่อยนิดหน่อย เมื่อเช้าตื่นเช้า”
“แล้วไป คิดว่าอกหัก เห็นหน้าอึนๆ แต่อย่างนาวาฬเนี่ย” มันยิ้มกวน “อกหักคงยากเนอะ”
“ทำไมวะ”
“ใครๆ ก็รู้เรื่องเปรี้ยวป้ะ”
เปรี้ยวเป็นแฟนคนล่าสุดของผม เป็นดาวคณะข้างๆ ที่ผมไปตามจีบอยู่สองอาทิตย์กว่าจะติด ก่อนผมมานี่ก็เพิ่งเลิกกันไปด้วยเหตุผลที่งี่เง่ามากๆ
“วาฬทำงี้ได้ไงอะ ทำอย่างงี้กับเปรี้ยวได้ไง!” ฟาร์ทำเสียงแว้ดแบบผู้หญิงจ๋าแถมยังทำท่าสะดิดสะดิ้ง “วาฬไม่เคยรักใครเลยนอกจากตัวเองใช่มั้ย!”
“พอมึง พอ พูดแล้วกูยังเจ็บไม่หาย”
เรื่องคือเปรี้ยวมาหาผมที่คณะระหว่างที่ผมกับเพื่อนกำลังเมาค้างจากวันก่อนกันอยู่ แล้วผมกับไอ้ปรินที่ใครๆ ก็รู้ว่าสนิทกันมากดันถูกเพื่อนอีกคน (ไม่ใช่รัก หมอนั่นโรคจิตกว่านี้เยอะ) ยุให้จูบกันแล้วจะช่วยต่อโมเดลให้
“ไอ้ปรินกูไม่เอา!”
“กลัวไรวะ ตอนเด็กๆ มึงก็หอมแก้มกูเป็นปกติ”
“นั่นมันตอนเด็กเว้ย ไม่เอ้า ไม่—“
และผมก็เจอมันจูบปากไปตามระเบียบ แค่แป้บเดียวจริงๆ ครับ แค่ปากแตะกัน แต่เปรี้ยวดันมาเจอจังหวะนั้นพอดี เท่านั้นแหละ ผมโดนตบก่อนจะโดนหาว่าชอบผู้ชายแล้วไปหลอกเปรี้ยวเพื่อเอาเป็นแฟนบังหน้า เปรี้ยวร้องไห้เสียงดังมากจนคนทั้งคณะมามุงดู น่าอายชิบหาย สิ่งที่น่าโมโหที่สุดคือไอ้เพื่อนเหี้ยๆ ของผมทั้งสองตัวที่นั่งยิ้มกริ่มเพราะแม่งไม่ชอบเปรี้ยวกันอยู่แล้ว
“แต่กูรักเค้าจริงๆ นะเว้ย”
“แต่มึงก็ไม่ได้วิ่งตามเค้าไปอ่า กูเห็นอยู่ ถ้ามึงรักเค้ามึงต้องพยายามเอาเค้ากลับมาป้ะ นี่กูเห็นมึงบ่นเจ็บหน้าแล้วก็กลับบ้านเฉย”
มันก็ถูก ผมไม่ได้เศร้าที่โดนเปรี้ยวบอกเลิก มันเป็นความรู้สึก ‘อีกแล้วหรอวะ’ มากกว่า ไม่มีความรักครั้งไหนของผมที่จะไม่จบโดยไม่มีเพื่อนผมมาเกี่ยว แต่ก็ไม่มีครั้งไหนที่ผมโกรธเพื่อนและไปง้อผู้หญิง สิ่งที่เกิดขึ้นคือพวกผมก็ขำๆ กันไปแล้วก็จบ
วาฬไม่เคยรักใครเลยนอกจากตัวเองใช่มั้ย!
ตกลงผมเคยรักใครรึเปล่า
“ฟาร์ เวลารักใครสักคนนี่รู้สึกยังไงวะ”
“ก็ เอาแบบกูนะ กูประหม่า”
“...”
“แล้วแบบ หัวใจเต้นไม่ปกติ เดี๋ยวแรง เดี๋ยวผิดจังหวะ”
“นั่นมันโรคหัวใจเปล่า”
“ใช่ก็แย่ละ มันจะรู้เองอะ ว่าแต่ถามทำไม” มันขมวดคิ้วมองผมที่เงียบไป “มึงไปชอบใครเปล่า”
“... เปล่าเว้ย! แล้วที่หัวใจเต้นอะไรของมึงเนี่ยเต้นตอนไหน ตอนเห็นหน้าอะไรอย่างนี้อ่อ”
“เอาจริงๆ แค่การมีตัวตนของเค้าอยู่ก็ทำให้รู้สึกได้แล้ว เห็นของที่เขาให้ แค่คิดถึง มึงก็รู้สึกแล้ว”
ผมเหลือบมองหมวกโง่ๆ ที่มันซื้อให้เมื่อเช้าก่อนจะรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นเร็วขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ ผมหลับตาเพื่อที่จะเห็นภาพริมฝีปากมันขึ้นมาในหัว
ผมอยากจูบมันเมื่อบ่าย
ผม อยาก จูบ มัน เมื่อ บ่าย
ผมไม่เคยรู้สึกแบบนั้นกับพี่เบน
“จะไปไหนวะมึง” ฟาร์ตะโกนไล่หลังผมที่ลุกพรวดขึ้นมา ผมรู้แล้ว ผมคิดออกแล้วว่าผมต้องทำอะไร
“เดี๋ยวกูมา แป้บนึง”
ผมอยากจูบมัน ผมอยากจูบมันแน่ๆ ตอนที่หน้ามันยื่นเข้ามาใกล้ๆ ตอนที่ผมเห็นขนตามันทุกเส้น ไฝจางๆ ที่ข้างตาขวา ตาสีเขียวที่ผมยังคงสลัดมันไม่หลุดจากสมอง ยังไม่นับหัวใจที่เต้นไม่เป็นแพทเทิร์นของผมอีก
ผมอาจจะไม่ได้รักมัน แต่มันไม่ใช่แค่คนรู้จัก หรือแม้แต่เพื่อนทั่วไปสำหรับผม
ผมต้องทำอะไรสักอย่าง
“เซลีนครับ”
“คะ” เซลีนหันมาทำหน้างงใส่ผมที่วิ่งพรวดพราดเข้าไปที่ล็อบบี้หอ ใบหน้าคมของเธอดูงงงวยจนผมแอบสงสาร
“มีอะไรรึเปล่าคะ ห้องคุณเรียบร้อยมั้ย”
“สนใจไปออกเดทกับผมพรุ่งนี้ไหมครับ?”
ตอนที่สองค่าาาา ยังงงๆ หาสไตล์การเขียนของตัวเองอยู่ ฝากด้วยนะคะะะ :)
Against her hips I find some help
But I know it's not the truth
No matter what I tell myself
Valentine's Day - LANY (https://www.youtube.com/watch?v=ER4Q1DPsg8M)
3rd drift - Three seconds rule
“กูขึ้นห้องก่อนเลยนะ โคตรหิว จะให้เหลืออะไรไว้กินป่ะ”
“ไม่เป็นไรอะ เดี๋ยวกูหากินข้างนอกเอา”
ฟาร์โบกมือบ๊ายบายให้ผมก็จะขึ้นลิฟท์ไป ผมเหลือบมองนาฬิกาข้อมือก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งที่โซฟาหน้าล็อบบี้หอ
ผมกับฟาร์มาอยู่ลอนดอนได้สามเดือนแล้ว เราสองคนปรับตัวได้เป็นอย่างดี อยู่จนรู้สึกไม่อยากกลับทั้งคู่ ไอ้ปรินกับรีรักบินมาเยี่ยมผมเมื่อเดือนที่แล้ว กวนตีนเหมือนเดิมทั้งคู่ โดยเฉพาะไอ้ปรินที่หาทาร์เกตในการแกล้งใหม่เป็นเพื่อนฟาร์ผู้แสนน่ารักของผม
“เนียร์~~~ฟาร์~~~แวร์เอฟเวอร์ยูอาร์~~~” มันร้องของมันทั้งวัน จนวันนึงที่ฟาร์ทนไม่ไหวว้ากใส่มันขึ้นมานั่นแหละ ที่มันตัดสินใจร้องจนจบเพลงแทนที่จะเป็นแค่ท่อนฮุกเฉยๆ แต่รวมๆ แล้วฟาร์เข้ากับเพื่อนผมได้ดี จนแก๊งแฮร์รี่ พอตเตอร์ของผมต้องเรียกประชุมกันเพื่อขอความเห็นชอบในการรับฟาร์เป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่ม ก่อนที่มติคณะจะผ่านด้วยคะแนนโหวตสองต่อหนึ่ง (แน่นอนว่าคะแนนคัดค้านคะแนนเดียวนั้นมาจากไอ้ปรินที่บอกว่าฟาร์เรียบร้อยเกินไป อยากได้เพื่อน ไม่ใช่น้องชาย) และฟาร์ก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มผม ซึ่งผมว่าแม่งช่วยบาลานซ์ความบ้าบอของไอ้ปริน แถมแม่งมีความอดทนสูงมากในการดีลกับความโรคจิตอ่อนๆ ของไอ้รักแบบที่ผมก็ยังไม่เข้าใจว่าทำได้ไง
“หวัดดีวาฬ”
ผมหันไปยิ้มหวานให้เซลีนที่นั่งอยู่ข้างหลังเคาท์เตอร์ล็อบบี้ “หวัดดีครับ”
เซลีนส่งยิ้มตาหยีให้ผม “รอโคลอยู่หรอ”
“อื้ม วันนี้มันช้าจัง มานี่มา”
ผมจูบเธอ เซลีนหัวเราะกิ๊กก่อนจะพยายามผลักผมออกไป เธอเป็นคนน่ารักแบบนี้แหละ ตั้งแต่วันนี้ที่ผมชวนเธอออกเดทครั้งแรก เราก็คุยกันมาตลอด (จะไม่อธิบายว่าคุยแบบไหนนะ) ทำให้ผมได้รู้จักเธอมากขึ้น เธอเป็นคนสิงคโปร์ อายุมากกว่าผมหนึ่งปี เรียนแฟชั่นดีไซน์อยู่ที่มหาวิทยาลัยข้างๆ ผม การดูแลล็อบบี้เป็นงานพาร์ทไทม์ของเธอหลังเลิกเรียน เราไปไหนมาไหนด้วยกันเป็นประจำ เธอมักพาผมไปเดินไชน่าทาวน์ด้วยกันกับเพื่อนๆ ของเธอ เคมีเราทั้งสองคนเข้ากันเป็นอย่างดี แม้ว่าเราจะไม่ได้มีสถานะเป็นแฟนการอย่างจริงจัง (เธอบอกว่าความสัมพันธ์ไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการ) เซลีนกลายเป็นหนึ่งในคนที่ผมอยู่ด้วยแล้วสบายใจที่สุดที่นี่รองลงมาจากฟาร์
“ไม่เอาแล้ววาฬฬฬ~”
“ไม่เอาอะไร ก็อยากจูบอะ ผิดด้วยหรอ”
ผมพยายามจูบเธออีกครั้ง เสียงหัวเราะของเธอน่ารักเมื่อเธอดิ้นไปดิ้นมาเพื่อหลบจูบจากผม
“ทำงานนนนน รอก่อน~~”
“วาฬ พร้อมรึยัง”
ผมปล่อยเซลีนออกจากอ้อมแขน โคลที่มาจากไหนไม่รู้ยืนส่งยิ้มให้ผมอยู่หน้าประตูหอ ผมส่งยิ้มตอบกลับไป
“สวัสดีครับเซลีน”
“สวัสดีค่ะโคล มารับวาฬหรอคะ”
“ครับ พอดีวันนี้เลิกเรียนช้าหน่อยเลยสายนิดนึง วาฬไปกัน ไม่งั้นจะมืดละนะ”
“ปะ ไปกัน เซลีนครับ ไว้เจอกันนะ”
ผมหอมแก้มเซลีนเร็วๆ หนึ่งครั้งก่อนจะเดินตามโคลออกไป แม่งเดินเร็วชิบหาย ผมถึงกับขนาดต้องวิ่งตาม
“เดินช้าหน่อยดิ ใครจะไปขายาวเหมือนนายทุกคนกัน” ผมบ่น ก่อนจะเจอแม่งหัวเราะใส่หน้า
“ยังไม่ชินอีกหรอ เดินด้วยกันทุกวันแบบเนี้ย”
มันเอื้อมมือมาขยี้หัวผม ผมหลับตาก่อนจะนับหนึ่งถึงสามในใจ หนึ่ง สอง สาม ..
ตึก
ตลอดสามเดือนที่ผ่านมา ผมเจอโคลทุกวัน เราไปยิมด้วยกันเหมือนกับวันนี้ กินข้าวเย็นด้วยกันเกือบทุกวัน วันไหนที่ผมกับฟาร์เลิกเรียนพร้อมๆ กับมัน มันก็จะมานั่งรอกลับกับพวกผมตลอด วันหยุดสุดสัปดาห์ผมกับมัน (บางทีก็มีแมกซ์ร่วมด้วย ถ้ามันงานไม่ยุ่ง) ก็มักจะออกไปฟังวงดนตรีสมัครเล่น ไม่ก็ไปดูพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ด้วยกันเสมอ
สามเดือนที่ผ่านมานี้ ผมไม่เคยหยุดใจเต้นกับมันเลยแม้แต่วันเดียว บางทีแค่เพราะมันมองตา บางทีเพราะมันแตะตัวผม บางทีแค่เพราะผมได้ยินมันพูดชื่อผมให้คนอื่นฟัง บางครั้งที่มันชัดเจนมากๆ มันก็จะหันมาถามผมว่าทำไมหน้าแดงเหมือนเป็นไข้ และทุกครั้งที่มันถามอย่างนั้น ผมก็อยากจะตะโกนใส่หน้ามันว่าเป็นเพราะมึงอะละที่ทำให้กูเป็นแบบนี้ไม่มีสาเหตุ แต่ก็ไม่กล้าทำสักที และผมก็เสือกไม่อยากหาสาเหตุเองว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนี้
ถึงว่าผมจะหยุดให้ใจตัวเองไม่เต้นบ้าบอแบบนั้นไม่ได้ แต่ผมก็เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันได้ดี ทุกครั้งที่มันมองตา หรือแตะตัว หรืออะไรก็ตามแต่ที่ผมรู้ว่าเสี่ยง ผมมีเวลาสามวินาทีที่จะพยายามคงอาการตัวเองให้ปกติที่สุดก่อนที่หัวใจจะเต้นแรงขึ้นมา ผมเรียกมันว่าระยะสามวิ และมันมักจะเป็นสามวินาทีที่รวดเร็วที่สุดในชีวิตผมเสมอ
และพักหลังนี้ มันก็ดูเหมือนจะเร็วขึ้นกว่าเดิมทุกวัน
………
“นายจะกลับเดือนหน้าแล้วใช่เปล่า” โคลถามผมที่เพิ่งตักโยเกิร์ตคำเบ้อเร่อเข้าปาก ผมพยักหน้า เดือนหน้าก็จะถึงกำหนดที่ผมกับฟาร์ต้องกลับไทยแล้ว บางทีก็ลืมคิดไปเลยว่าเวลามันผ่านไปเร็วแค่ไหน
ตอนนี้ผมกับมันนั่งอยู่กันที่ร้านคาเฟ่สุขภาพใน Borough Market หลังจากที่เสร็จจากยิมมาหมาดๆ อยู่กับมันมากๆ ทำให้ผมกลายเป็นพวกบ้าอาหารสุขภาพ ไลฟ์สไตล์ฮิปสเตอร์นิดๆ แบบมันไปด้วย นี่ก็เป็นหนึ่งในกิจวัตรประจำของผมที่หลังจากออกกำลังกายเสร็จต้องมากินข้าวเย็นกับมันต่อแบบนี้ ช่วงแรกๆ ผมก็เกรงใจเซลีนที่ไม่เคยกินข้าวเย็นด้วยกัน จนรู้ว่าเธอต้องทำงานเวลานี้เลยสบายใจขึ้นมาบ้าง อีกอย่าง การได้ใช้เวลากับโคลแบบนี้ ผมว่ามันก็ดีเหมือนกัน แค่ต้องนับหนึ่งถึงสามมากขึ้นกว่าเวลาอื่นหน่อยแค่นั้น
“ไม่อยู่เที่ยวก่อนหรอ”
“ก็เที่ยวมาหมดแล้วนะ หรือว่ามีที่อื่นแนะนำ”
ผมกับฟาร์ตระเวนเที่ยวกันเกือบทุกอาทิตย์ ขึ้นเหนือ ลงใต้ ไปสกอตแลนด์ ไอรแลนด์ เวลส์ บางทีเซลีนก็ไปกับพวกผมด้วย
“ไปแมนเชสเตอร์กันไหม”
“แมนเชสเตอร์?” แมนเชสเตอร์เป็นเมืองใหญ่เมืองเดียวที่ผมยังไม่เคยไป คือรู้สึกส่วนตัวว่าจะให้ผมไปดูอะไรอะ บอลหรอ ผมก็ไม่ได้ดูกีฬาอะไรเยอะขนาดนั้น ฟาร์ยิ่งไม่แตะ เลยกลายเป็นเมืองที่พวกผมไม่เคยไปเสียที
“พอดี Colouring จะไปเล่นที่แมนเชสเตอร์ แล้วเราหาบัตรมาได้สองใบพอดี เลยคิดว่านายน่าจะสนใจ”
Colouring เป็นวงดนตรีเล็กๆ ที่ไม่ดังเท่าไหร่ของที่นี่ แต่แม่งเป็นเรื่องโคตรบังเอิญที่ทั้งผมและโคลชื่นชอบเหมือนกัน (ที่รู้เพราะมันตั้งเพลงของวงนี้เป็นเสียงเรียกเข้าแล้วผมเสือกไปได้ยินพอดี) และแม่งก็ไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่วงนี้จะแสดงที่ไหนสักที (ผมบอกแล้วว่าไม่ดัง) แน่นอนว่าผมต้องอยากไป แต่จะให้ไปกับมันสองคนก็ ..
ผมจะลากฟาร์ไปด้วย
“เราอยากไปนะ แต่ขอถามฟาร์ก่อน เดี๋ยวเอาฟาร์ไปด้วย”
Nawhale - มึงว่างศุกร์หน้าปะวะ
farr” - มีไรเปล่าวะ ฟาร์ตอบกลับมาเร็วทันใจ
Nawhale - ไปแมนเชสเตอร์กับกูกับโคลหน่อย
farr” - ไม่ไปอ้ะ ว่าจะไป oxford กับเคลวิน
เหี้ยฟาร์
“ฟาร์ไม่ไปอะ เราว่าเราก็คง—“
“ทำไมต้องเอาฟาร์ไปด้วย ไม่อยากไปกับเราหรอ” ถามกูได้ตรงประเด็นมากโคล เออ กูไม่อยากไปกับมึงสองต่อสอง อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนที่กูยังงงตัวเองกับการมีตัวตนของมึงอยู่
“ไม่ใช่อย่างนั้น แค่แบบ เอ่อ ก็อยากให้ฟาร์ไปด้วยอะ มันก็ยังไม่เคยไปแมนเชสเตอร์เหมือนกัน”
“แต่ฟาร์ไม่ไปนิ วาฬก็คงต้องไปกับเราสองคนแล้วล่ะ ตกลงไปนะ”
มึง ทำไมต้องพูดเหมือนบังคับกูกลายๆ วะโคล
“เอ่อ แต่—“
อย่ามองตากูแบบนั้น
“ไปนะวาฬ”
หนึ่ง สอง สาม
ตึก
ระยะสามวิอีกแล้ว
“ไป เราไม่อยากไปคนเดียว”
“เรายุ่งๆ อะ กลัวจะไม่มีเวลาจองรถไฟอะไรแบบนี้—“
“เดี๋ยวเราจองให้ ตกลงว่าไป”
พูดเหมือนตื้อ แต่จริงๆ มันคือบังคับ สายตาที่มองผมก็ไม่ใช่สายตาขอร้อง แต่เป็นสายตาแบบที่รู้ว่ายังไงผมก็ต้องไป ซึ่งเอาจริงๆ ผมก็รู้แหละว่าผมก็ต้องไปอยู่ดี ไอ้เหี้ย บางทีผมก็เกลียดตัวเองชิบหาย เกลียดสายตาเหี้ยๆ ที่เหมือนจะรู้ว่าต้องมองยังไงผมถึงจะยอม
“ก็ได้”
หน้ามันสว่างขึ้นมาทันที “แอบตื่นเต้นนะเนี้ย จะได้ดู Colouring แล้ว แถม” มันขยี้หัวผม “จะได้ดูกับแฟนคลับด้วยกัน ดีเลย ถือว่าเป็นของขวัญอำลาจากเราละกัน”
พระเจ้า ถ้ามีจริง ช่วยให้ผมรอดชีวิตหลังกลับมาจากแมนเชสเตอร์ที
………
เอาจริงๆ มันก็ไม่ใช่ว่าผมโง่ขนาดที่จะไม่รู้ว่าที่รู้สึกอยู่นี่คือความรัก
“คิดอะไรอยู่หรอ”
ผมเงยหน้ามองเซลีนที่ส่งยิ้มให้สะท้อนเงากระจกบานใหญ่ รอยยิ้มของเธอน่ารักเสมอ ผมชอบผมสีดำของเธอที่คลอเคลียอยู่ที่บ่า ร่างสูงโปร่งของเธอที่ดูจะเข้าได้กับเสื้อผ้าทุกชุด เสียงของเธอที่เหมือนกันร้องเพลงอยู่ตลอดเวลาที่เรียกชื่อผม รวมไปถึงการก้าวเท้าเยื้องย่างของเธอเวลาที่เดินเข้ามาหาผม
แต่ผมไม่เคยใจเต้นกับเธอ
“กำลังคิดอยู่ว่าตอนเรากลับไปแล้ว เราคงคิดถึงเธอน่าดู”
ผมซุกหน้าลงกับหน้าอกที่เปลือยเปล่าของเธอ ผมพาเซลีนมาที่ห้องผมบ้างเป็นครั้งคราว เวลาที่รู้แน่ๆ ว่าไม่มีใครอื่นอยู่ในอพาร์ทเมนท์เพราะว่า .. เอ่อ .. กำแพงหอพักที่นี่มันไม่ได้หนาอะไรขนาดนั้น
“เราก็คงคิดถึงวาฬ แต่” จู่ๆ เสียงของเธอก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง “เราเคยบอกวาฬแล้วใช่ไหมว่าเรายังไม่พร้อมกับการมีความสัมพันธ์แบบจริงจัง”
“เรารู้” เซลีนเคยบอกผมแล้ว นั่นคือสาเหตุที่ผมไม่เคยคาดหวังให้ความสัมพันธ์เราไปไกลมากกว่ากินข้าวด้วยกัน คุยเล่นกัน และมีความสัมพันธ์ทางกายบ้างเป็นครั้งคราว แม้จริงๆ ก็แอบคิดว่าการมีเธอเป็นแฟนก็น่าจะดี
“ก็นั่นแหละ เราแค่คิดว่าวาฬอาจจะ—“
“เราไม่อะไรเลย แต่เราคงคิดถึงเธออยู่ดีแหละ ยังไงก็เพื่อนกัน”
“เราก็เหมือนกัน วาฬฬฬฬฬฬ—-“
เซลีนครางเมื่อผมเริ่มเล่นกับปลายอกที่ชูชันขึ้นมา มือข้างหนึ่งเลื่อนลงไปสัมผัสความชื้นด้านล่างของเธอก่อนจะดึงเธอขึ้นมานอนบนตัวผม ร่างการของเซลีนเป็นอะไรที่ยั่วสัสๆ นั่นเป็นสิ่งแรกที่ผมสังเกตเกี่ยวกับเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน ขนาดตอนไอ้ปรินไอ้รักมาหา ไอ้รัก (ที่ปกติแม่งแทบไม่มองผู้หญิง) ยังมองแบบที่ผมก็รู้ว่ามันยังสนใจ
แต่อย่างที่บอก แต่ผมไม่เคยใจเต้นกับเธอ
แต่ผมใจเต้นกับโคล
“อา..”
ผมครางเมื่อเซลีนก้มลง เริ่มใช้ลิ้นเล็กๆ ของเธอโลมเลียแกนกายของผม ก่อนจะครอบริมฝีปากของเธอลงรอบมัน เธอเป็นคนที่ใช้ปากได้เก่งที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมา แม่งโคตรเสียว ยิ่งเวลาที่เธอช้อนสายตาขึ้นมองผมทั้งๆ ที่มีอย่างอื่นของผมอยู่เต็มปากโคตรทำให้ผมอยากจะกดหัวเธอลงให้ลึกลงไปอีก
อย่างน้อยกูก็มีอารมณ์กับผู้หญิงละวะ ทุกครั้งที่ผมคิดแบบนี้ ผมก็จะรู้สึกสบายใจขึ้นมานิดหน่อยเรื่องที่ตัวเองใจเต้นกับโคล ผมน่ะ รู้แบบโคตรดีว่าที่ผมรู้สึกกับโคลอยู่นี่มันคือรูปแบบความรู้สึกบางอย่างที่มีสิทธิ์ที่จะพัฒนาไปเป็นความรัก แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้ว่าไม่ใช่แน่ๆ คือการที่ผมยังคงมีอารมณ์กับผู้หญิงทั่วไป และไม่เคยคิดที่อยากจะ — เอ่อ — เอากับมัน ให้ผมตายเหอะ แค่ลองคิดภาพมันก้มตัวลงต่อหน้าผมระหว่างที่ผมกระแทกเอวใส่มันแรงๆ แล้วผมแม่งจะ ..
“วาฬ เอาลึกกว่านี้มั้ย”
เสืยงเซลีนที่ดังขัดจังหวะความคิดของผมทำให้ผมปรือตามองเธอทั้งๆ ที่ความคิดยังค้างอยู่ในสมอง
“ได้นะเซ—“
สัส
ณ วินาทีเล็กๆ ที่โคลผมยังไม่หายไปจากสมองดีนั้น ผมเห็นหน้าโคลซ้อนกับหน้าเซลีน
สิ่งที่เหี้ยไปกว่านั้นคือ ผมแม่งยิ่งแข็งขึ้นกว่าเดิมจนเซลีนต้องร้องประท้วง
“วาฬ”
“ต่อเลยครับเซลีน”
ผมหลับตา พยายามสลัดภาพโคลออกไปจากสมอง แต่เหมือนยิ่งทำภาพหน้ามันก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
ไอ้เหี้ย ไอ้เหี้ย ไอ้เหี้ย
ผมกระแทกเอวเร็วขึ้น มือข้างหนึ่งจับผมของเซลีนไว้ ภาพที่มันใช้ลิ้นเลียแกนกายของผม วนอยู่ที่หัวซ้ำๆ ริมฝีปากดูดดึงไปมาทำให้ผมแทบคลั่ง ไหล่กว้างของมันที่โยกไปมาตามจังหวะศีรษะที่ขยับขึ้นลง ตาสีเขียวของมันที่ช้อนขึ้นมองผมโดยที่มีน้ำรักของผมไหลลงข้างมุมปาก—
ตาสีเขียวของมันที่เหมือนกับจะเอกซ์เรย์ผมคู่นั้น
“อา..”
ผมกดสะโพกขึ้น ก่อนจะปลดปล่อยออกมาในปากของเซลีนเต็มแรง ผมยังคงหลับตา จินตนาการภาพใบหน้าโคลที่เต็มไปด้วยเหงื่อ หอบเล็กๆ ยังคงจ้องตาผมอยู่ เหมือนจะบังคับให้ผมมองมันกลืนน้ำรักผมทุกหยาดหยด
ผมรู้สึกได้ถึงส่วนนั้นของตัวเองที่แข็งขึ้นมาอีกครั้ง
“ขึ้นให้หน่อยนะครับเซลีน”
มันไม่ใช่แค่ว่าผมมีอารมณ์กับผู้หญิงอย่างเดียวแล้ว ผมมีอารมณ์กับโคลด้วย
พระเจ้า ผมไม่มีข้ออ้างอะไรให้ตัวเองแล้ว
สวัสดีค่าาา ยังมีคนอ่านอยู่มั้ย 5555 ฝากด้วยนะคะ :)
You're shaping into the bones of me
And we're falling into symmetry
Symmetry - Colouring (https://www.youtube.com/watch?v=6JtaAAkVDmc)
4th drift - Symmetry
แมนเชสเตอร์, ประเทศอังกฤษ
แมนเชสเตออออออออออร์!!
เมืองที่คนไม่ดูบอลอย่างผม don’t give a fuck about
“เอาของไปเก็บที่โรงแรมก่อน แล้วเดี๋ยวออกไปหาอะไรกินกัน”
โคลเดินมาขยี้หัวผมก่อนจะเดินนำออกจากสถานีรถไฟ พวกผมมาถึงแมนเชสเตอร์แล้วครับ เท่าที่เห็น เมืองดูเหมือนเป็นลอนดอนย่อส่วน แต่ที่แตกต่างกันมากคืออากาศ ที่นี่หนาวกว่ามาก อาจจะเป็นเพราะมันอยู่ค่อนไปทางเหนือมากกว่าค่อนข้างเยอะ แถมฟ้าก็ดูครึ้มๆ เหมือนฝนจะตก แต่ผมว่าเมืองสวยดีนะ ไม่วุ่นวายเหมือนลอนดอน แถมตึกราบ้านช่องก็ดูดี
“โรงแรมอยู่ไหนอะโคล”
“นี่ไง ถึงแล้ว เดี๋ยวเราเช็คอินให้ รอตรงนี้แป้บนึง”
สิ่งเดียวที่ผมกังวลเกี่ยวกับทริปนี้คือการที่ผมมากับโคลแค่สองคน คือใช่ ผมยังงงกับเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างที่ผม—เอ่อ— อยู่กับเซลีนเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว งงขนาดที่ว่าพอเซลีนกลับไปแล้ว ผมถึงกับขนาดต้องเฟสไทม์ไปหาพี่เบนเพื่อขอคำแนะนำ
ทำไมไม่ปรึกษาเพื่อนตัวเองน่ะหรอครับ เพราะ 1. รีรักแม่งฉลาด ถ้าผมเล่ามันต้องหาทางบี้ผมให้บอกแน่ๆ ว่าคนที่ผมพูดถึงคือใคร ต่อให้ผมบอกว่าเป็นผู้หญิงก็เหอะ 2. ถ้ารักบี้ มีสิทธิ์ที่คนสมองไหลอย่างไอ้ปรินจะคิดว่าผมพูดถึงฟาร์ ซึ่งแม่งจะทำให้เรื่องวุ่นวายมากขึ้นไปอีก 3. ฟาร์แม่งดูจะมีสิทธิ์เดาได้ เพราะคนที่ผมไปไหนมาไหนด้วยที่นี่นอกจากมันกับเซลีนก็มีแค่โคลคนเดียว
ส่วนทำไมไม่ปรึกษาพี่นนท์? คุณชายเพอร์เฟคแบบนั้นไม่ฟังผมเล่าอะไรไร้สาระแบบนี้หรอกครับ
“พี่เบนว่าไงอะ คือมันหมายว่าเราชอบคนนี้อ่อ แต่คนนี้มันเป็นคนที่เราไม่ควรชอบอะ”
“คือไงนะ มึงตื่นเต้นเวลาอยู่กับเค้า ตอนมีอะไรกับแฟนก็นึกถึงหน้าเค้าไรงี้?”
“ก็ประมานนั้นแหละ”
“พูดได้หลายอย่าง พี่รู้อย่างเดียวว่าถ้ามึงชอบเค้าจริง มึงจะไม่มีคำว่าไม่ควรชอบอยู่ในหัว”
“...”
“พี่เลยคิดว่ามึงอะไม่ได้ชอบเขา”
“แต่คิดถึงหน้าแม่งแล้วแตกเลยนะเว้ย!”
“เอางี้ หลังจากวันนั้น ได้เจอเขาบ้างป่ะ”
“เจอ บ่อยด้วย”
“สองต่อสอง?”
“เออ”
“แล้วมีอารมณ์มะ อยู่กับแม่งสองต่อสองเนี้ย”
“ไม่มีอะ เฉยมาก ปกติมาก”
“งั้นพี่เข้าใจละ มึงฟังพี่นะ” หน้าพี่เบนแม่งเปลี่ยนเป็นจริงจังจนผิดวิสัย “ตอนพี่อยู่มหาลัย พี่ นนท์ ไอ้จุน” พี่จุนเป็นเพื่อนอีกคนหนึ่งในแก๊งพี่ชายผม “กับไอ้คิน” คินเป็นอีกคนในแก๊งนี้ที่ผมไม่เคยเห็นหน้า เพราะเหมือนว่ามาเจอกับพวกพี่ผมที่อังกฤษตอนเรียนมหาลัย “พวกพี่สี่คนแม่งโคตรชอบเอ็มม่า โรเบิร์ตส พี่ก็—เอ่อ— นึกหน้าเขาบ่อยๆ เวลาชักว่าว จนวันนึงพวกพี่ไปเที่ยวแล้วเจอเขาที่ผับ”
“พี่เจอเอ็มม่า โรเบิร์ตส์ที่ผับเนี้ยนะ”
“เออ พวกพี่ก็คุยกับเค้านะ ยกเว้นพี่มึงอะที่หลบไม่กล้าคุย นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือพี่เฉยมากเลยว่ะ คือพี่ตื่นเต้นแหละที่เจอ แต่พี่ไม่ได้รู้สึกอยากอะไรมากกว่านั้น”
“...”
“พี่ก็เลยเข้าใจว่าที่พี่ว่าวไปคิดถึงเขาไปเนี้ย คือพี่แค่ชอบเค้าในจินตนาการแบบที่พี่อยากให้เค้าเป็น แต่ในชีวิตจริงก็แค่ตื่นเต้น ไม่มีอะไร”
“พี่ว่ามันใช่หรอวะ”
“ใช่ดิ ความรักมันคือการที่สมองกับร่างกายมันไปด้วยกัน ถ้าเกิดเราไม่มีอารมณ์กับเขาในชีวิตจริง นั่นเพราะเราไม่ได้รักเขาแบบนั้น เราแค่คิดถึงเขาในความคิดหื่นๆ ในตอนนั้น การจะรู้ว่าชอบใครจริงๆ ก็ตอนที่มีอารมณ์อย่างว่าไปพร้อมๆ กับใจเต้นเวลาอยู่กับเขานั่นแหละ”
“เชื่อพี่ก็ได้วะ”
“เออ เชื่อพี่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องมีอารมณ์กับเค้าตลอดเวลานะเว้ย ดูสถานการณ์ด้วย”
“ทำไมชอบเหม่อจัง”
โคลยืนกอดอกมองผม ในมือถือคีย์การ์ดไว้ แสดงว่ามันเช็คอินเรียบร้อยแล้ว
“ไม่ได้เหม่อเหอะ”
“เห็นอยู่ว่าเหม่อ เอาของไปเก็บที่ห้องกัน เดี๋ยวพาไปกินข้าว”
ผมกระเด้งตัวขึ้นจากที่นั่ง มันหันมาขยี้หัวผม (อีกแล้ว) พักหลังผมสังเกตว่ามันชอบจับหัวผมเป็นพิเศษ ขยี้บ้าง จับโยกไปมาบ้าง ซึ้งถ้าเป็นคนอื่นทำผมคงด่าพ่อไปแล้ว แต่นี่พอเป็นโคลผมก็เลย ... นั่นแหละ ซึ่งเอาจริงๆ แม่งไม่ดีกับระยะสามวิของผมเลยแม้แต่นิดเดียว ยิ่งทริปนี้ผมตั้งใจว่าจะอยู่ห่างๆ มันถ้าไม่จำเป็น แต่ดูท่าจะยาก
“ทำไมเราอยู่ห้องเดียวกันอะ!!!”
ตาย ตาย ตายยยยย เพิ่งพูดไปยกๆ ว่าจะอยู่ห่างๆ มันถ้าไม่จำเป็น
“นอนห้องเดียวกันก็ไม่เป็นไรนิ แถมมีสองเตียงด้วย” มันทำหน้าเศร้าๆ แบบที่ผมดูก็รู้ว่ามันกวนตีน อย่ามาทำหน้าใส่ผมแบบนั้นนะ! “ถ้าวาฬไม่โอเคเดี๋ยวเราลงไปจองอีกห้องให้ก็ได้นะ เราแค่คิดว่าวาฬคงไม่ซีเรียสอะ”
“เปล่าาาาาา”
ผมแอบถอนหายใจโล่งอกที่เห็นว่าในห้องมีเตียงอยู่สองเตียงแยกกัน มันก็ไม่แย่เท่าไหร่หรอกงั้น เตียงก็ใหญ่ดี ผมวางของลงบนเตียงเป็นการประกาศความเป็นเจ้าของไว้ก่อน
“ไปเดินเล่นดูเมือง หาข้าวกินกันมั้ย แล้วค่อยไปฮอลที่แสดงกัน”
“ได้นะ โคลนำเลย”
“จะสอนอะไรให้นะวาฬ” จู่ๆ โคลก็ทำหน้าจริงจัง “วันหลังไปเดทอะ เลือกสถานที่เองบ้าง อย่าอะไรก็ได้ไปหมด มัน—“
“ก็นี่มันเดทซะที่ไหนล่ะ!”
มันแกล้งผมอีกแล้ว ผมรู้สึกได้ถึงความร้อนที่หน้าตัวเองในขณะที่มันหัวเราะเสียงดังจนผมแอบหมั่นไส้
รู้แหละว่ามันแกล้ง แต่แกล้งไม่ถูกจังหวะเอามากๆ
หัวใจนะหัวใจ
......
หลังกินข้าวเสร็จ พวกผมมีเวลาประมาน 2 ชม. ก่อนที่คอนเสิร์ตจะเริ่ม เลยตัดสินใจมานั่งที่ห้องสมุด John Rylands กัน มันเป็นห้องสมุดเก่าแก่ของที่นี่ครับ ข้างในสวยมาก ดูขลังสุด ขลังจนแอบทำให้ผมง่วงนอน ส่วนโคลน่ะหรอครับ หมอนั่นควักสมุดกับดินสอออกมาทันทีที่หาที่นั่งกันได้ ก่อนจะนั่งวาดรูปงกๆ ไม่สนใจผมเลย ผมเลยได้แต่เอาหัวผิงโต๊ะจะหลับ แอบมองมันเป็นพักๆ ไปด้วย
ผมชอบสายตามันเวลามันจริงจังกับอะไรสักอย่าง เหมือนกับเวลาที่มันอ่านหนังสือสอบระหว่างกินข้าวด้วยกัน หรือไม่สายตาแบบนั้นก็โผล่ขึ้นมาเวลาที่มันเหม่อ ผมอยากรู้ว่ามันคิดอะไรอยู่ในเวลาแบบนั้นเสมอ
อย่างที่ผมบอก ผมไม่ได้โง่ขนาดที่ไม่รู้ว่าที่ตัวเองรู้สึกอยู่นี่คืออะไร แต่พอฟังพี่เบนพูดแล้วผมก็เห็นด้วยนิดหน่อย ผมไม่เคยมีอารมณ์กับมัน แสดงว่าต่อให้หัวใจผมไปแล้วส่วนหนึ่ง อาจจะเป็นส่วนความสบายใจ แต่ส่วนหนึ่งที่ยังอยู่กับตัวผมอยู่นั้นคือส่วนความรัก
ดีแล้ว ผมไม่อยากชอบผู้ชาย
ไม่ใช่ว่าผมรังเกียจเพศเดียวกัน หรือเป็น homophobic อะไร ไม่ ไม่ใช่เลย เพียงแต่ .. ผมไม่อยากทำให้ชีวิตผมยุ่งยากจากตอนนี้ ไม่เกี่ยวกับครอบครัวหรืออะไร แต่ในชีวิตผม ผมเห็นตัวอย่างคนเพศที่สามมากมายที่ต่อให้สังคมไม่ได้รังเกียจ แต่ก็มักที่จะโดนสังคม evaluate ตัวตนด้วยเพศเสมอ ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็ญาติพี่จุนที่ชอบผู้ชายด้วยกัน ต่อให้มันฉลาดได้ไปเป็นตัวแทนประเทศแข่งโอลิมปิคคณิตศาสตร์โลกยังไง สิ่งที่คนให้ความสนใจคือเรื่องที่ว่ามันเป็นเด็กนักเรียนเพศที่สามคนแรกที่ได้ไปแข่งอยู่ดี นั่นขนาดว่ามันไม่ได้ชอบผู้ชายแค่เพศเดียวนะ ผมแค่ไม่อยากให้ทุกอย่างในชีวิตผมจะต้องถูกคนอื่นโฟกัสแค่ว่าผม ผู้เป็นคน accomplished สิ่งเหล่านั้นเป็นเพศอะไร ผมก็คือผม สนใจแค่นี้พอ
บางทีผมก็อยากรู้ว่าโคลจะคิดเรื่องเกี่ยวพวกนี้บ้างรึเปล่า
เวลาไปไหนมาไหนกัน มันชอบแซวว่ามันไปเดทกับผม คือก็รู้ว่าแซวแหละ แต่ ต้องแซวกันกี่ครั้งถึงจะเริ่มคิดได้ว่าเป็นเรื่องจริงวะ
“ตื่นได้แล้ววาฬ”
ผมคงหลับไปหน่อยนึง เพราะโคลกำลังเขย่าตัวปลุกผม ก่อนจะเป่าลมเบาๆ เข้ามาในหูผม
ฟู่ ..
เท่านั้นก็ทำให้ประสาทสัมผัสผมตื่นเสียยิ่งกว่าตื่น
“ตื่นแล้วๆ”
“ไปกัน คอนเสิร์ตจะเริ่มแล้วนะ”
“ไปๆ”
ผมลุกขึ้น รอยยิ้มที่มันส่งมาก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย แถมไอ้การขยี้หัวผมนี่ด้วย
.......
Colouring เป็นวงดนตรีเล็กๆ จากลอนดอนที่ตามมาตรฐานแล้วไม่ค่อยดังเท่าไหร่ แต่นั่นก็เป็นเสน่ห์ของมัน คอนเสิร์ตที่พวกผมมาดูในวันนี้ถูกจัดขึ้นในฮอลล์เล็กๆ ของมหาลัยที่นี่ ดูจากจำนวนคนที่มาแล้วน่าจะมีอยู่ไม่เกิน 400 คน ซึ่งผมเป็นพวกที่ชอบอะไรแนวนี้มากๆ เพราะความ intimate ของมัน ยิ่งได้กินเบียร์ไปด้วย ยืนดูไปด้วย มองคนรอบข้างที่มาดูเพราะดนตรีจริงๆ ไม่มีหน้าตานักร้องมาเกี่ยวไปด้วย .. แค่นี้ผมก็มีความสุขแล้ว
โคลก็ดูท่าจะชอบบรรยากาศแบบนี้เหมือนกัน
“ร้องสดดีมากเลย”
“อืม” ผมตอบ สายตายังจับจ้องไปที่วงที่ยังคงบรรเลงอยู่ ตัวแกว่งเบาๆ ไปตามเสียงเพลง ผมรักทุกอย่างที่เกิดขึ้น ณ นาทีนี้ นี่เป็นสิ่งที่ผมไม่มีทางหาได้ที่ไทย และนั่นก็แอบทำให้ผมใจหายเมื่อนึกขึ้นได้ว่าอีกไม่ถึงเดือนบรรยากาศแบบนี้ก็จะหายไป
“ถ้าเราไปเที่ยวไทย วาฬจะพาเราเที่ยวมั้ย” โคลพูดเหมือนจะรู้ว่าผมคิดเรื่องอะไรอยู่ มันเอื้อมแขนมาโอบคอผมจากด้านหลัง แกว่งตัวผมไปมาเบาๆ
อีกแล้ว ใจผมเต้นอีกแล้ว
“จะมาก็บอก เดี๋ยวจัดโปรแกรมเที่ยวให้เลย”
โคลหัวเราะเบาๆ ก่อนจะก้มลงดื่มเบียร์จากแก้วในมือผมจนหมด ผมชอบเสียงหัวเราะมันแบบนี้
“ใครบอกให้กินเบียร์เราหมดอะ”
“เหลืออยู่ นี่ไง”
มันชี้ไปที่ฟองเบียร์ข้างปากก่อนจะยักคิ้วให้ ส่งรอยยิ้มกวนตีนใส่ผมอย่างล้อเล่น แต่ตาสีเขียวของมันที่จ้องเข้ามาในตาของผมนั้นมีอะไรบางอย่างที่ผมอ่านไม่ออก มันมองผมนิ่งๆ เหมือนเอกซ์เรย์แบบทุกครั้งที่ผ่านมา ต่อให้มุมปากยังคงยกยิ้มอยู่อย่างนั้น
ตึก
หัวใจผมเริ่มเต้นแรงอีกครั้ง
Into the blue glow
Jump in the unknown
Crossing into a new frontier
And it's turning everything crystal clear
Colouring เริ่มเล่นเพลงโปรดของผม แต่ผมไม่ได้หันไปมอง นี่เป็นครั้งแรกที่ผมไม่ได้หลบสายตาโคล หากแต่จ้องกลับเข้าไปแทน แสงสีน้ำเงินจากบนเวทีตกกระทบเสี้ยวหน้าของมันทำให้ผมเห็นว่ามันก็ไม่ได้หลบตาผมเช่นกัน
เหมือนกับว่า มันกำลังรอให้ผมทำอะไรอยู่
All that you are is true
All of the things you do
There's color in every part of me
And we're falling into symmetry
ตึก
อาจจะเป็นเพราะสายตาแบบนั้นที่มันส่งให้ผม หรืออาจจะเป็นเพราะเพลงที่เข้ากับบรรยากาศ ทำให้ผมดึงเสื้อมันเข้ามาหาตัว ใบหน้าของมันใกล้กับผมเสียจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจเบาๆ ที่รดผิวหน้าของกันและกันอยู่
ตึก
ก่อนที่ผมจะรู้ตัว ฟองเบียร์ที่มุมปากมันก็หายไปโดยปลายลิ้นของผม
It’s colouring everything
Everything is coming alive
It’s so beautiful, everything
And it’s all because of you
ผมปล่อยชายเสื้อมันออกจากมือ ณ วินาทีนั้น ผมคาดหวังให้มันผลักผมออก ต่อยผม ดุผมว่าเล่นอะไรไม่เข้าเรื่อง หรือไม่ก็หันหลังเดินออกจากฮอลล์คอนเสิร์ตไปเลย เพราะใครก็ตามก็ต้องหาว่าผมล้ำเส้นเกินไปถ้าเจอแบบนี้ ไม่ก็ตั้งคำถามกับเพศสภาพผมว่าชอบเพศเดียวกันรึเปล่า
นาวาฬ มึงทำเหี้ยอะไรวะ
ในหูของผมมีแต่เสียงอื้ออึงที่ผมฟังไม่ออก ผมทำมันไปแล้ว ทำในสิ่งที่ผมอยากจะทำตั้งแต่วันแรกๆ ที่เจอกัน ผมหันหลังให้มันก่อนจะเดินฝ่าฝูงคนเข้าไปใกล้เวทีให้มากยิ่งขึ้น ปลายลิ้นยังร้อนจากสัมผัสเมื่อครู่ จะหาว่าผมหนีก็ได้ แต่ผมไม่กล้ามองหน้ามัน ผมไม่อยากตอบคำถามอะไรทั้งสิ้นถ้ามันถาม ไม่ใช่ตอนนี้ที่แม้แต่ผมเองยังงงๆ ว่าคืออะไรกันแน่
Into this new light
The future is a turning tide
Where everything’s falling into place
Like the architects of a perfect day
จู่ๆ ผมก็รู้สึกได้ถึงอ้อมกอดจากด้านหลัง อ้อมแขนแข็งแกร่งแบบนี้เป็นโคลที่คงเดินตามผมมาแน่ๆ แขนของมันโอบรอบเอวของผม ลมหายใจที่รอต้นคอผมบอกให้ผมรู้ว่ามันกำลังเอาคางเกยไหล่ผมอยู่ มันไม่ได้พูดอะไร ได้แต่แกว่งตัวผมไปมาเบาๆ ในอ้อมแขนมันแบบนั้น แม่งจะมาไม้ไหนวะ มึงจะไม่ถามอะไรกูซักคำเลยหรอ หรือที่กูทำไปเมื่อกี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ในสายตามึง
เจ็บว่ะถ้ามันจะคิดแบบนั้น
แล้วทำไมกูต้องเจ็บวะ ผมถามตัวเอง
All that you are is true
Every corner of you
Is shaping into the bones of me
And we’re falling into symmetry
“เบียร์เมื่อกี้อร่อยมั้ย” มันพูดเสียงกวนๆ อยู่ข้างหูผมทำให้ผมใจชื้นขึ้นนิดนึงที่มันไม่ได้ดูโมโหอะไร แต่ผมก็ยังไม่กล้ามองหน้ามันอยู่ดี
“วันหลังก็อย่าท้า”
“ถ้าวาฬจะกินแบบนั้นอีก เราคงจะท้าทั้งวันแหละ”
ผมเลือกที่จะไม่ตอบ มันรัดอ้อมแขนมันให้แน่นขึ้น ผมกับมันไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลย แต่เลือกที่จะยืนฟังเพลงอย่างนั้นไปด้วยกันเรื่อยๆ
It’s colouring everything
Everything is coming alive
It’s so beautiful everything
And it’s all because of you
ความทรงจำของผมที่เกิดขึ้นที่ประเทศอังกฤษคงมีแต่มันเต็มไปหมด เที่ยวลอนดอนครั้งแรก กินเบียร์สดครั้งแรก ฟังดนตรีจากวงที่อยู่ที่ไทยไม่มีทางได้ฟังแน่ๆ การได้ลองทำอะไรใหม่ๆ หัดทำอาหารเอง ไปยิมทุกวันแบบที่ไม่คิดว่าตัวเองจะไป จูบคนในคอนเสิร์ตครั้งแรก ..
And it’s all because of you
And it’s all because of you
เรื่องพวกนี้จะไม่มีทางได้เกิดขึ้นถ้าผมไม่ได้เจอกับโคล
......
ผมกลับมาถึงโรงแรมตอนตีหนึ่งกว่าๆ ใช่ครับ แค่ผมคนเดียว หลังจากที่คอนเสิร์ตจบผมก็ชิ่งออกไปก่อน แล้วค่อยส่งข้อความบอกโคลว่าจะขอเดินเล่นคนเดียวก่อนแป้บนึง กลับไปก่อนได้เลย จริงๆ ก็เป็นเพราะว่าผมไม่อยากเปิดช่องให้มันถามผมได้ว่าอะไรเป็นอะไรนั่นแหละครับ ผมเดินเตร่อยู่ประมานชั่วโมงนึง นั่งในผับเล็กๆ อีกชั่วโมงก็ได้ฤกษ์ยามกลับโรงแรม โคลมันเป็นเด็กอนามัย เที่ยงคืนหัวต้องถึงหมอน ผมกลับไปมันก็น่าจะหลับไปแล้ว ส่วนตอนเช้า ผมก็แค่จะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็แค่นั้น
“อะไรวะเนี้ย”
โคลหลับไปแล้วตามที่ผมคาด แต่บนเตียงผมนี่สิมีรอยเปื้อนเปียกๆ ขนาดใหญ่อยู่กลางเตียง ดูจากกลิ่นและขวดน้ำอัดลมที่อยู่ในขยะแล้ว สรุปได้ว่าโคลแม่งคงจะพยายามเปิดโค้กกินแล้วแก๊สมันล้นออกมา ซึ่งเปิดที่ไหนไม่เปิดมาเปิดบนเตียงผม แล้วทีนี้ผมจะนอนยังไงวะเนี้ย โซฟาก็ไม่มี นอนพื้นก็ลำบาก ผมเหลือบไปมองที่เตียงมัน ก็ดูใหญ่พอที่ผมจะนอนด้วยได้ มันคงกะจะให้ผมทำอย่างนั้นเพราะเตียงมันมีหมอนตั้งไว้อยู่สองใบ
จะนอนข้างโคลจริงๆ หรอ เสียงเล็กๆ ในหัวของผมพูดอย่างกวนตีน ผมสะบัดความคิดนั้นออกไป
แม่งไม่มีทางเลือกแล้วนี่หว่า
ผมล้มตัวนอนลงข้างโคลหลังจากอาบน้ำเสร็จ ไฟสลัวๆ ข้างหัวเตียงทำให้ผมมองเห็นหน้ามันอย่างชัดเจน ใบหน้าคมของมันดูสงบอย่างบอกไม่ถูก ไฝสามเม็ดข้างตาที่แปลกตาของมันนั้นยิ่งดูชัดเข้าไปใหญ่กลางไฟสีอุ่น ผมจ้องหน้ามันอยู่พักใหญ่ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อมันพลิกตัว
มันนอนหันข้างมาทางผม เสื้อยืดสีขาวของมันเลิกขึ้นเล็กน้อยทำให้ผมเห็นมัดกล้ามเนื้อที่ท้องของมัน รวมไปถึงกล้ามแขนที่ปกติไม่ค่อยได้เห็น เซ็กซี่ชิบหาย ผมมองไล่ไปเรื่อยๆ ก่อนจะไปหยุดที่กลางลำตัวของมัน
แค่ผ่านกางเกงที่มันใส่อยู่ ผมก็รู้ว่ามันคนละไซส์กับผมแค่ไหน
ผมบังคับให้ตัวเองกลับไปมองใบหน้าของมัน คนอะไรวะ sex appeal สูงชิบ ริมฝีปากอิ่มของมันไม่เคยทำให้ผมไม่ใจเต้น ยิ่งเวลาที่มันเม้มปากไปมายิ่งทำให้ผมจะเป็นบ้า
อยากรู้ว่าเวลาที่มันใช้ปากให้ผู้หญิง ผู้หญิงจะดิ้นครางขนาดไหน
เหี้ย
ผมรู้สึกได้ถึงแกนกายตัวเองที่เริ่มตื่นตัวขึ้นมาทันทีที่จินตนาการภาพโคลแบบนั้น ผมพยายามหยุดมันแต่ก็ไม่สำเร็จ รู้ตัวอีกที น้องผมแม่งก็โตเต็มวัยขึ้นมาเต็มกางเกงนอนที่ผมใส่อยู่จนแม่งอยากทำให้ผมตบหัวแม่งแรงๆ สักที
ไปว่าวในห้องน้ำก็ได้วะ
ก่อนที่ผมจะได้ลุกจากเตียง ขาของโคลข้างนึงกลับมาพาดกับขาของผมในท่าที่ถ้าผมลุกมันต้องตื่นแน่นอน เลือกเวลาได้ดีชิบหายยยยยยย ผมนั่งตัวแข็ง ก้มลงมองน้องในกางเกงตัวเองที่ร่ำร้องอยากโดนปลดปล่อย สลับกับมองโคลที่นอนหลับไม่รู้เรื่อง เบือนหน้าไปทางตรงข้ามกับผม กางเกงที่เลื่อนลงเล็กน้อยทำให้ผมเห็นไรขนบางๆ ใต้สะดือของมันได้อย่างง่ายดาย
ไม่ไหวแล้ว
ผมเลื่อนมือเข้าไปในกางเกง ค่อยๆ สาวความยาวของตัวเองอย่างเบามือที่สุด ถ้ามันตื่นมาตอนนี้คือผมตาย ไม่มีข้อแก้ตัวอะไรให้กับสถานการเหี้ยๆ แบบนี้แน่ๆ ผมมองใบหน้าของมัน จินตนาการว่าสิ่งที่ล้อมรอบแกนกายผมอยู่ในตอนนี้คือริมฝีปากของมันและไม่ใช่มือตัวเอง อีกใจนึงก็รู้สึกแย่เหี้ยๆ เหมือนตัวเองกำลังลักหลับคนที่ไม่รู้เรื่อง แต่จะทำไงได้ ผมมันอยากจนเหมือนกับแกนกายจะระเบิดออกมาได้ตลอดเวลา ไม่ต่างกับหัวใจตัวเองที่เหมือนจะระเบิดออกมาได้เหมือนกัน
ผมเริ่มโยกเอวขึ้นลงตามมือเบาๆ เสียวสัส เสียวเหี้ยๆ ขนาดมือตัวเองยังเสียวขนาดนี้ ถ้าเป็นมือมันจะเสียวขนาดไหน
จะเสร็จแล้ว
การจะรู้ว่าชอบใครจริงๆ ก็ตอนที่มีอารมณ์อย่างว่าไปพร้อมๆ กับใจเต้นเวลาอยู่กับเขานั่นแหละ
แค่เสี้ยวนาทีก่อนที่ผมจะเสร็จ จู่ๆ คำที่พี่เบนพูดไว้กับผมก็ดังขึ้นมาในหัว ผมเสร็จแรงที่สุดอย่างที่ไม่เคยเสร็จมาก่อน น้ำรักไหลลงมาตามข้อมือเมื่อผมปลดปล่อยมันออกมาสุดแรง หอบหายใจไปด้วย มองหน้าโคลที่หลับสนิทไปด้วย ผมหลับตา
ณ วินาทีนั้นเอง ที่ผมเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร
“กูรักมึงว่ะโคล”
ภาษาไทยที่ไม่ได้พูดมานานหลุดออกจากปากเบาๆ แต่ฟังดูดังเหลือเกินในห้องที่มีแต่เสียงลมหายใจของคนสองคน ผมไม่มีข้ออ้างอะไรให้ตัวเองอีกแล้ว ผมรักมัน รักตั้งแต่วันแรกที่เจอ รักทุกวินาทีที่ผมได้ใช้ร่วมกับมัน รักความกวนตีนของมัน รักความห่วงใยของมัน รักตัวตนของมันทุกอย่าง รักแม้กระทั่งความเป็นผู้ชายของมัน รักอย่างที่ผมไม่เคยรักใครมาก่อน
แล้วผมควรต้องทำยังไงต่อ ไม่มีอะไรบอกผมว่าโคลจะรักผมกลับ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคิดกับความรักของเพศเดียวกันยังไง มันอาจจะไม่ได้เห็นผมเป็นเพื่อนด้วยซ้ำ หากแต่เป็นน้องที่สนิทกัน ล้อเล่น กวนตีนกันได้ ผมมันก็แค่เด็กแลกเปลี่ยน อีกไม่กี่วันก็จะกลับประเทศไทย ผมต้องทำยังไงเพื่อให้มันสานสัมพันธ์กับผมต่อ ถ้าผมบอกมันว่าผมรักมันมันจะรังเกียจผมไหม คำถามมากมายตีกันอยู่ในหัวของผมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนกับใคร กับผู้หญิงคนอื่นผมอาจจะรู้ว่าต้องทำอย่างไง แต่โคลไม่ใช่ผู้หญิง และโคลไม่ใช่คนอื่นๆ ทั่วไป แน่นอนว่าผมต้องไปไม่เป็น
ผมลุกจากเตียงไปล้างมือ ก่อนจะจบด้วยการอาบน้ำอีกรอบ สมองยังคงวิ่งวุ่นจากสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น ผมควรต้องพูดเรื่องนี้ให้ใครสักคนฟัง คนที่ผมไว้ใจได้ และคนที่จะไม่ทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่กว่าที่มันเป็นอยู่
รีรักไง
ครืน ครืน ..
คนที่โทรเข้ามาไม่ใช่คนที่ผมคิดอยู่ หากแต่เป็นเบอร์พี่เบนที่โชว์อยู่หน้าจอ พี่เบนโทรมาหาผมตอนตี่สองกว่านี่นะ? ที่ไทยยังเช้าอยู่เลย พี่เบนก็ไม่ใช่คนตื่นเช้า ต้องมีอะไรแน่ๆ
“ว่าไงพี่”
“วาฬอยู่ไหน” เสียงพี่เบนนิ่งอย่างที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน
“อยู่แมนเชสเตอร์ พี่เบนมีไรปะ โทรมาดึกเชียว”
“วาฬหาที่นั่ง ทำใจเย็นๆ แล้วฟังพี่ดีๆ นะ” ผมนั่งลงบนชักโครก เริ่มเซนส์ได้ว่ามีอะไรไม่ปกติในเสียงของพี่เบน
ผมไม่รู้เลยว่าประโยคต่อมาของพี่เบนจะเป็นประโยคที่เปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาล
“บ้านวาฬเกิดอุบัติเหตุ นนท์มันโอเค ไม่เป็นอะไร แต่คุณอากับคุณน้า .. ไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
“...”
“พี่อยากให้วาฬกลับไทยทันที เดี๋ยวพี่จะส่งคนไปรับที่สนามบินแมนเชสเตอร์ วาฬขึ้นเครื่องได้เลย เร็วที่สุดยิ่งดี”
ความทรงจำของผมในประเทศอังกฤษหยุดลง ณ วินาทีนั้น
สวัสดีค่าา มีใครอ่านอยู่มั้ย 55555 นี่แอบหนีอ่านสอบมาต่อ ยังไงเรื่องนี้ก็ต้องเขียนให้จบ!
What if I can't get you out of my thoughts?
What if my seasons don't change?
What if you forget to forget me not
Flower - Johnny Stimson (https://youtu.be/sgNkCrAhTGc)
5th drift - See you never
4 ปีผ่านไป
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย
Lane24 เป็นบาร์หรูขนาดเล็กริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ขึ้นชื่อว่ายากในการจองคิวเข้ามาชื่นชมบรรยากาศและการตกแต่งที่ไม่เหมือนใคร พร้อมกับเครื่องดื่มที่มีสูตรเฉพาะหาไม่ได้ทั่วไป ทำให้ Lane24 นับได้ว่าเป็นบาร์ที่สามารถคงตัวให้อยู่ในเทรนด์ได้แม้ว่าราคาจะแพงกว่าบาร์ปกติทั่วไป ความพิเศษอีกอย่างของ Lane24 คือเจ้าของที่มีดีกรีเป็นถึงลูกชายคนเดียวของครอบครัวนักแสดงแถวหน้าของประเทศอย่างรีรัก ขรวัตร์ ผู้ถือได้ว่าเป็นที่หาจับตัวได้ยาก แม้ว่าจะถูกจับตามองว่าอาจจะเข้ามาเป็นคลื่นรุ่นใหม่ของวงการนักแสดงไทยก็ตาม
เที่ยงคืนครึ่ง เลยเวลาร้านปิดไปครึ่งชั่วโมงแล้ว กว่าที่รถ Ford Blanco 1977 สีฟ้าจะถูกขับเข้ามาจอดหน้าร้านข้างรถที่ถูกจอดเอาไว้แล้วสองคัน ชายหนุ่มก้าวลงจากรถ ผมสีดำสะบัดตามลมแม่น้ำที่ลอยเข้ามาประทะใบหน้า เขาปัดมันออกอย่างลวกๆ
นาวาฬไม่ได้ดูต่างจากเมื่อสี่ปีที่แล้วมากนัก นอกจากผมที่เป็นสีธรรมชาติและรอยเจาะมากมายที่หูและจิวที่ปาก ใบหน้าของเขาดูโตขึ้นตามวัยยี่สิบสองย่างยี่สิบสาม ไม่ได้ดูเป็นเด็กเหมือนอย่างที่ผ่านมา
ป้ายที่เขียนว่า ‘ปิด’ ที่ประตูหน้าร้านไม่ได้หยุดเขาให้ไม่เดินเข้าไป ประตูถูกเตะให้เปิดออก
“ไอ้วาฬมาแล้ว!”
ปรินวิ่งเข้ามากอดคอเพื่อนอย่างสนิทสนม ก่อนจะกึ่งลากกึงดึงให้เข้าไปข้างในร้าน เป็นท่าทางที่แสดงให้เห็นถึงมิตรภาพอันยาวนานระหว่างทั้งสองคน
“มึงช้า กูกับฟาร์มาเป็นชั่วโมงละ”
“มึงกินไรป้ะ มีไก่ย่างกับหมูปิ้งให้เลือก”
ฟาร์ถาม ชายหนุ่มตัวเล็กชูถุงใส่อาหารในมือทั้งสองข้างขึ้น ปรินทำเสียงจึ๊
“แกะมาหมดนั่นแหละ แม่งไม่กินกูกินเอง”
“มึงอะกินน้อยๆ อ้วนจะเป็นหมูอยู่แล้ว”
“ไอ้ฟาร์ ปากดีนะ”
ปรินกระโจนเข้าไปหาฟาร์ที่วิ่งหนีไปรอบๆ วาฬนั่งลง หัวเราะไปด้วยระหว่างที่มองเพื่อนทั้งสองคนวิ่งไล่กัน เป็นเวลาสี่ปีแล้วที่ฟาร์กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มที่เคยมีอยู่กันแค่สามและทำให้ภาพที่ฟาร์กับปรินตีกันกลายเป็นเรื่องปกติจนชินตาของคนอื่นที่มองเข้ามา
“ทำไมมึงช้านักวะ”
รักวางแก้วลงตรงหน้าเพื่อนผู้มาใหม่ แก้วที่มองก็รู้ได้ทันทีว่าชามินต์ เครื่องดื่มโปรดของวาฬผู้ไม่ค่อยดื่ม วาฬเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เจ้าของร้านหนุ่ม
“พอดีกูต้องไปช่วยพี่เบนเก็บห้องทำงานว่ะ ของเยอะชิบหาย กูจะบ้า”
“เออ ลืมไป ชีวิตเด็กฝึกงานบังคับนี่หว่า 5555”
“ทำไมมึงต้องไปทำด้วยวะ เลยไปเที่ยวกับพวกกูไม่ได้เลยเนี่ยแม่ง”
ปรินบ่น ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้างๆ เพื่อนทั้งสองโดยมีฟาร์ที่หอบเหนื่อยอยู่บนตักเพราะเก้าอี้ไม่พอ ชายหนุ่มหน้าคมทำหน้ามุ่ยเพราะเพื่อนตรงหน้าเพิ่งบอกเมื่อเช้าว่าทริปที่จัดกันทั้งแก๊งต้องโดนยกเลิกเพราะตัวเองไปไม่ได้
“กูไม่ทำพี่กูก็ไม่ให้ตังกูแดก ไม่ให้เงินกูเรียน กูมีช้อยส์มั้ยล่ะ”
“มึงก็บอกมึงไม่ทำแค่นั้น”
“มึงรู้จักพี่กูดีมั้ยล่ะ จ่ายค่าเทอมแทนกูดิ”
วาฬถอนหายใจ นอกจากรักที่เรียนจบแล้ว เขา ปริน และฟาร์ยังคงมีสถานภาพเป็นนักศึกษาปีห้าสาขาสถาปัตย์ด้วยกันทั้งหมด (รักเรียนเคมีเลยได้จบก่อนเพื่อนคนอื่นๆ) ง่ายๆ คือยังคงต้องพึ่งพิงเงินจากทางบ้านอยู่ไม่มากก็น้อย
“ปรินมึงเงียบ”
ฟาร์ปรามปรินเบาๆ มองวาฬไปด้วยอย่างเห็นใจ ตั้งแต่พ่อแม่เพื่อนเขาเสียอย่างกระทันหันเมื่อสี่ปีก่อน นนท์สกุล พี่ชายของวาฬต้องเข้ามาดูแลกิจการสำนักงานกฎหมายข้ามชาติชื่อดังของทื่บ้านทั้งหมด รวมถึงเป็นคนควบคุมค่าใช้จ่ายและมรดกส่วนของวาฬจนกว่าจะเรียนจบ หนึ่งในข้อตกลงที่เพื่อนเขาทำไว้นั้นคือ การเข้าไปช่วยเหลือเป็นเด็กฝึกงานในสำนักงานใหญ่ระหว่างปิดเทอม เพื่อแลกกับค่าใช้จ่ายทุกอย่างที่นนท์จะเป็นคนจัดการให้เป็นการตอบแทน
“จริงๆ กูไปก็ไม่ได้ไปทำอะไรมาก นั่งๆ นอนๆ ถ่ายเอกสารแค่นั้น กูไม่ได้เรียนกฎหมายมานิ จะไปทำเหี้ยอะไรได้”
“เพราะพี่เบนแม่งใจดีด้วยแหละ”
“เออ” เบญจมินทร์ ทนายหุ้นส่วนของสำนักงาน ซึ่งเป็นเจ้านายโดยตรงของวาฬนั้นเป็นเพื่อนสนิทของนนทสกุลที่วาฬเติบโตมาด้วยตั้งแต่เด็ก ทำให้การทำงานที่ไม่คุ้นเคยนั้นไม่ได้แย่เสียจนเกินไป
“อย่างวันนี้ก็งานหนักครั้งแรก คนอะไรของแม่งเยอะชิบหาย”
“เออ วันนี้พี่เบนทำงานวันสุดท้ายนี่หว่า” รักทำเสียงนึกขึ้นได้
“ใช่” วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เบญจมินทร์จะทำงานในบริษัทกฎหมายในสถานะหุ้นส่วน และนั่นทำให้วาฬต้องอยู่จนดึกเพื่อช่วยเก็บของเคลียร์ห้องทำงานที่จะถูกส่งต่อให้หุ้นส่วนคนใหม่แทน
“พี่นนท์จะเอาใครมาแทนวะ”
“กูก็ไม่รู้ เห็นบอกว่าเป็นเพื่อนที่เรียนมอปลายกับกฎหมายด้วยกันมั้ง”
“มึงเคยเจอปะวะ”
“ไม่เคยว่ะ เห็นบอกว่าชื่อคิน”
ปรินทำหน้าครุ่นคิด “แสดงว่าต้องสนิทกับพี่มึงมาก ทนายหุ้นส่วนนี่คือมีสิทธิ์ในบริษัทเท่ากับพี่มึงเลยนี่หว่า”
“เออ ก็แก๊งเดียวกันอะ รวมพี่จุนเข้าไปด้วยก็เป็นสี่คน แต่เหมือนคนนี้ไม่ค่อยกลับไทยเท่าไหร่กูก็เลยไม่เคยเจอ”
“คนนี้ใช่คนที่หาหอให้มึงตอนไปลอนดอนกับกูปล่าว” ฟาร์แทรก วาฬทำท่านึกได้
“เออ คนนี้แหละ ที่พี่นนท์แม่งจะให้กูไปเลี้ยงข้าวขอบคุณอยู่ได้ แต่กูก็ไม่ได้ไป ..”
เสียงวาฬค่อยๆ เบาลง ฟาร์มองปรินหน้ากันเลิ่กลั่ก ตลอดสี่ปีที่ผ่านมา ลอนดอนกลายเป็นหัวข้อต้องห้ามในวงสนทนาที่มีวาฬอยู่โดยที่พวกเขาก็ไม่รู้สาเหตุ ได้แต่เดาว่าน่าจะเป็นเพราะการจากไปอย่างกระทันหันของพ่อแม่วาฬที่เกิดขึ้น ณ ช่วงที่วาฬอยู่ที่ลอนดอน ที่อาจทำให้ชื่อเมืองดังกล่าวนั้นยากต่อการรับฟังของวาฬ
เพื่อนที่สนิทกับวาฬรู้ดีว่าวาฬเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหนหลังจากที่สูญเสียพ่อแม่ไปในอุบัติเหตุเมื่อสี่ปีก่อน จากที่เคยเป็นคนร่าเริงเฮฮาต่อหน้าทุกคน วาฬกลับนิ่งมากกว่าที่ผ่านมา จากที่เคยเปลี่ยนผู้หญิงเป็นว่าเล่น วาฬกลับไม่เคยยุ่งกับผู้หญิงคนไหนอีกเลยนับตั้งแต่กลับมาที่ไทย เขาไม่เคยโดดเรียนอีกเลย ดื่มเหล้าน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด และที่สำคัญที่สุดคือรูปลักษณ์ภายนอกที่เปลี่ยนไป ผมของเขากลับมาเป็นสีดำสนิท ใบหูเต็มไปด้วยรอยเจาะที่ไม่เคยมีมาก่อน จิวที่ริมฝีปากที่เคยบอกว่าจะไม่มีวันเจาะเด็ดขาดกลับกลายเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ทุกคนจำได้ แม้ว่าอยู่กับเพื่อนสนิทวาฬจะยังคงเป็นวาฬที่เฮฮาร่าเริง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เพื่อนหยุดเป็นห่วงเขา
ทุกคนรับรู้แม้ว่าไม่เห็นด้วยว่าวาฬโทษตัวเองไม่มากก็น้อยว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้อุบัติเหตุครั้งนั้นเกิดขึ้น รถที่ครอบครัวของเขาใช้ในวันนั้นเป็นรถที่วาฬใช้ตอนอยู่ที่ไทย ด้วยความที่รถไม่ได้ใช้มาหลายเดือน ประกอบกับคนขับรถที่ไม่ชำนาญในการขับรถสปอร์ต ทำให้อุบัติเหตุดังกล่าวเกิดขึ้น ในสายตาของวาฬ เรื่องเหล่านี้จะไม่เกิดหากเขาไม่ได้อนุญาตให้ที่บ้านใช้รถของเขาในวันนั้น มันเป็นความคิดที่อาจจะดูไม่เกี่ยวข้องในสายตาคนอื่น แต่ในของผู้ที่อยู่ข้างหลังอย่างวาฬ ครึ่งหนึ่งนั้นมันเป็นความผิดของเขา
“แล้วพวกมึงเป็นไงบ้างวะ คอนโดใหม่” รักเปลี่ยนเรื่อง ปรินกับฟาร์เพิ่งย้ายเข้าไปอยู่ในคอนโดใหม่ด้วยกันเป็นครั้งแรกมาได้ประมานหนึ่งอาทิตย์แล้ว
“กูอยากย้ายออกแล้ว กูอยู่เหมือนเป็นคนใช้ปริน” ฟาร์บ่น
“กูไม่ให้มึงย้าย”
“ถ้ากูต้องทำข้าวให้มึงกินอีกรอบกูย้ายแน่”
“แล้วมึงยอมย้ายไปอยู่กับมันเพื่อ” วาฬหัวเราะใส่หน้ามุ่ยๆ ของฟาร์ที่ยิ่งทำหน้ามุ่ยเข้าไปใหญ่ ฟาร์เป็นคนใจดีและปฏิเสธคนไม่เป็นมาเสมอต้นเสมอปลาย ดังนั้นการที่ฟาร์ยอมย้ายเข้าไปอยู่คอนโดเดียวกับปรินเพราะโดนตื้อเป็นอาทิตย์ไม่ได้ทำให้เขาแปลกใจมากนัก
“ก็พี่ชายกูมีแฟน เค้าเลยขอให้กูออกไปอยู่คนเดียว แล้วไม่ให้เวลากูหาที่อยู่ใหม่เลย—“
“เออๆ กูรู้ละ ไอ้ปรินให้มึงอยู่ฟรีมึงก็เลยอยู่ว่างั้น”
“เออ แต่กูไม่อยากอยู่แล้ว!” ฟาร์ทำเสียงวีน “กูต้องทำข้าวให้มันกิน ล้างจาน เก็บที่นอน มันใช่หน้าที่กูมั้ย!”
“กูลืมไปเลย” ปรินไม่สนใจฟาร์แม้ว่าจะเพิ่งโดนวีนไปหยกๆ “ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ผมขอเรียนเชิญคุณเพื่อนไปแดกเหล้าต่อกันที่บ้านผมเพื่อเป็นการเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่ครับ” ชายหนุ่มโค้งคำนับอย่างกวนตีน
“วันนี้นี่นะ! นี่แม่งจะตีหนึ่งอยู่แล้ว” ฟาร์ร้องเสียงหลง
“ไปเหอะหน่าาา ไหนๆ ก็รวมตัวกันได้ซักที แถมไอ้รักพรุ่งนี้ร้านแม่งก็หยุด”
“แต่วาฬต้องไปทำงานนี่ป้ะๆๆๆ”
วาฬหัวเราะก่อนจะทำเป็นไม่เห็นสายตาเว้าวอนของฟาร์ที่ส่งมาว่า ‘มึงอย่าไปนะ’ “กูได้หยุดงานพรุ่งนี้ว่ะ พี่เบนบอกว่าวันนี้กูดึกเลยให้หยุด”
“ไอ้วาฬ” ฟาร์คราง
“โอเค งั้นไปกันต่อเลยครับเพื่อน!” ปรินกระโดดลุกขึ้นจากเก้าอี้ กอดคอฟาร์ที่ทำหน้าแบะเพราะรู้ดีว่าหลังจากดื่มเสร็จใครจะต้องเป็นคนเก็บกวาดทำความสะอาดคอนโด รักหัวเราะก่อนจะเริ่มไล่ปิดไฟในร้านโดยมีวาฬเป็นผู้ช่วย
......
ครืน ครืน ..
วาฬพลิกตัวเมื่อรู้สึกได้ถึงเครื่องมือสื่อสารที่สั่นอยู่ข้างตัว เขาลืมตาขึ้น บิดขี้เกียจพร้อมกับกวาดสายตามองบรรยากาศรอบตัวไปด้วย เขานอนอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น ก้อนกลมๆ บนพื้นข้างตัวมีใบหน้าของรักโผล่ออกมาเล็กน้อย ฟาร์กับปรินที่ไม่อยู่ทำให้วาฬเดาได้ว่าคงเข้าไปนอนในห้องตัวเองตั้งแต่เมื่อคืน
หลังจากมาถึงคอนโดของปรินกับฟาร์ วาฬก็ได้แต่กินเบียร์ไปพร้อมกับนั่งดูเพื่อนเล่นเกมส์ FIFA กัน ก่อนจะหลับก่อนใครเพราะเหนื่อยจากการต้องขนของไปมาทั้งวัน แสงที่ส่องเข้ามาในห้องสลัวๆ ผ่านผ้าม่านทำให้เขารู้ว่าเป็นเวลาเช้าแล้ว วาฬกดรับสาย
“ฮัลโหล”
“อาวาฬตื่นแล้ว!” เสียงเด็กผู้ชายที่ตะโกนผ่านโทรศัพท์ทำให้วาฬยิ้มออกมาน้อยๆ
“ลัลตื่นก่อนอาอีก” วาฬหาว ก่อนจะเหลือบดูนาฬิกา แปดโมงเช้าแล้ว
“พ่อ! อาวาฬตื่นแล้ว”
เสียงหลานชายที่เจื้อแจ้วทำให้วาฬหัวเราะเบาๆ ลัลเป็นลูกชายของนนท์สกุล อายุสามขวบ ด้วยความที่นนท์สกุลเป็นคนดูแลลูกเพียงแค่คนเดียว ทำให้วาฬที่อยู่ในสถานะน้องชายกลายเป็นหนึ่งในคนที่มีส่วนร่วมในการเลี้ยงดูลัลมากที่สุดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“วาฬ” เสียงพี่ชายจากปลายสายทำให้วาฬรู้ว่าหลานชายได้ส่งสายต่อให้ผู้เป็นพ่อเรียบร้อยแล้ว
“ว่าไงพี่นนท์”
“วันนี้ไปทำงานด้วยนะ”
“เอ้า พี่เบนบอกให้วาฬหยุดวันนี้ วาฬเลยออกมากินเหล้ากับพวกไอ้ปรินมันเมื่อคืน”
“เพื่อนพี่จะมาทำงานวันนี้วันแรก พี่อยากให้มันเจอทุกคน จะได้รู้ว่าใครอยู่หน้าที่ไหนตำแหน่งไหนกันบ้าง”
“วาฬไปพรุ่งนี้ไม่ได้อ่อ”
“ไปวันนี้แหละ โผล่ไปแค่ตอนพี่แนะนำมันก็ได้ อย่างน้อยแค่ให้มันเห็นหน้า”
“แต่วาฬเมาค้างเหี้ยๆ เลยนะ”
“โผล่ไปแค่ห้านาที แล้วไปนอนต่อที่ห้องทำงานพี่ก็ได้”
ชายหนุ่มถอนหายใจ “โอเค วาฬคงไปถึงซักสิบโมง”
“ได้ อีกอย่าง คืนนี้พี่ฝากวาฬดูลัลให้หน่อย พอดีจะพาไอ้คินไปกินข้าว มันเพิ่งมาทั้งที”
“อาวาฬ ลัลอยากกินคุ้กกี้” วาฬยิ้มให้กับเสียงหลานชายที่เปรียบเสมือนดวงใจของเขาและนนท์
“เดี๋ยวอาทำให้กินเลยคืนนี้”
“เย้!”
“ถึงออฟฟิศแล้วไลน์มานะ พี่จะได้พาไอ้คินเข้าไปที่แผนก”
“ได้พี่นนท์ เจอกันครับ”
......
“บอกกูอีกทีว่าทำไมมึงต้องเข้าไปที่ออฟฟิศวันนี้นะ” ปรินบ่น ก่อนจะเลี้ยวรถเข้าถนนสุขุมวิท อ้าปากหาวไปด้วยอย่างคนนอนไม่พอ “ไหนมึงบอกว่าวันนี้หยุด”
“พี่นนท์อยากให้กูไปเจอเพื่อนเขาที่จะมาเป็นหุ้นส่วนคนใหม่อะ เพราะแม่งจะมาแทนพี่เบน คงอยากให้กูเป็นคนช่วยแนะนำนู่นนี่เกี่ยวกับบริษัทละมั้ง”
สำนักงานกฎหมาย Legal Wara เป็นสำนักงานกฎหมายนานาชาติอันดับต้นๆ ของประเทศไทย ที่รับงานกฎหมายทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นในประเทศและนอกประเทศ คดีแพ่งหรือคดีอาญา หรือแม้กระทั่งให้คำปรึกษาทางกฎหมาย Legal Wara ถูกก่อตั้งขึ้นมาโดยพ่อของนนท์และวาฬ ด้วนเรทการชนะคดีที่สูง บวกกับค่าบริการที่สูงกว่าสำนักงานกฎหมายทั่วไป ทำให้สำนักงานประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง รวมถึงผลักให้ตระกูลวธนการกลายเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงโด่งดังทางด้านกฎหมายไปโดยปริยาย
หลังจากที่สำนักงานต้องสูญเสียผู้ก่อตั้งไปอย่างกระทันหัน ทำให้นนท์สกุล ที่ในขณะนั้นเพิ่งจบเนติบัณฑิตจากอังกฤษมาใหม่ๆ ต้องเข้ามารับช่วงต่อ โดยปรับเปลี่ยนให้สำนักงานมีความเป็นสากลมากขึ้นกว่าเดิม มุ่งเป้าหมายไปที่คดีที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศ และนำระบบสำนักงานกฎหมายต่างชาติมาใช้ เช่นการบริหารโดยใช้ระบบหุ้นส่วนแทนที่จะมีผู้บริหารเพียงแค่คนเดียว หุ้นส่วนคนแรกนั้นแน่นอนว่าไม่พ้นเบญจมินทร์ ที่เข้ามารับหน้าที่คู่กันกับนนท์สกุลในช่วงสี่ปีแรกของสำนักงานภายใต้การนำของ ‘รุ่นสอง’ ดังนั้น การลาออกของเบญจมินทร์และผู้ที่จะเข้ามาเป็นหุ้นส่วนคนใหม่จึงถือได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ของตัวสำนักงาน Legal Wara เอง และวงการกฎหมายในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่หุ้นส่วนคนใหม่นั้นไม่ได้เป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง และไม่มีใครรู้จักเขาอย่างจริงจังว่าเป็นใคร แม้แต่ชื่อก็ไม่ได้ถูกปล่อยออกมาให้ได้รับรู้กัน
“แปลกที่ทั้งกูทั้งมึงไม่เคยเจอพี่คินอะไรนี่เลย ทั้งๆ ที่แม่งอยู่แก๊งเดียวกับพี่มึงนี่นะ”
“เออ กูก็งง แม่งไม่กลับไทยเลยหรอวะ คือถ้ากลับกูไม่ก็มึงก็ต้องเคยเห็นอะ”
ปรินเป็นเพื่อนบ้านของวาฬ จึงไม่แปลกที่จะรู้จักและสนิทสนมกับครอบครัววธนการมาตั้งแต่เด็ก
“ตอนงานพ่อแม่มึง—-“
“กูว่าไม่ได้มา ถ้ามากูก็ต้องเห็น”
วาฬตัดบทเรียบๆ ปรินถอนหายใจ
“วาฬ มึงรู้ใช่ปะวะ—-“
“มึงส่งกูลงตรงนี้แหละ” ชายหนุ่มไม่รอให้เพื่อนพูดจบจน หากแต่ชี้ไปที่ตึกสำนักงานหรูที่ตั้งตระหง่านอยู่ข้างถนน “ขอบใจที่มาส่งมึง กูเมาค้างมากแม่ง”
“เออๆ ไม่เป็นไร จะเข้าไปเอารถมึงเมื่อไหร่ก็บอกละกัน” ปรินพูดถึงรถสีฟ้าของเพื่อนที่ถูกจอดในโรงจอดรถที่คอนโดตัวเอง
“คงคืนนี้ดึกๆ กูต้องเลี้ยงลัลคืนนี้ว่ะ ไม่ก็พรุ่งนี้เช้าถ้ากูนอนบ้านพี่กูเลย”
“บอกกูหน่อยละกัน”
ปรินโบกมือลาเพื่อนสนิทที่หันหลังเดินเข้าไปในตึกก่อนจะถอนหายใจออกมาหนักๆ หลังของวาฬเวลาเดินคนเดียวนั้นช่างดูอ่อนแอเหลือเกิน เขาเกลียดตัวเองที่ไม่สามารถช่วยเหลือเพื่อนจากความรู้สึกผิดลึกๆ ที่กัดกินหัวใจมาตั้งแต่สี่ปีก่อน สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือการพยายามทำให้เพื่อนยอมรับว่าการสูญเสียเป็นเรื่องปกติที่สามารถพูดคุยกันได้ แต่ก็มักจะโดนฟาร์ที่คอยระวังไม่ให้ความรู้สึกวาฬโดนกระทบคอยกันเอาไว้เสมอ
ขอให้วันนี้มีเรื่องอะไรดีๆ เกิดขึ้นกับวาฬ เขาภาวนาในใจเหมือนทุกครั้งที่ต้องมาส่งเพื่อนเข้าทำงาน
......
Nawhale - ถึงแล้วนะ
วาฬไลน์หาพี่ชายตัวเองก่อนจะนั่งลงที่หน้าโต๊ะทำงานตัวเอง แผนกที่เขาประจำอยู่คือแผนกนิติกร เพราะเป็นแผนกเดียวที่ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านกฎหมายก็มีงานให้พอทำได้เช่นกัน
“อ้าว วาฬ หวัดดี”
“พี่ปีย์สวัสดีครับ” เขายกมือขึ้นไหว้รุ่นพี่ในแผนกที่สนิทกันเป็นอย่างดี ปีย์เป็นชายหนุ่มอายุสามสิบต้นๆ และเป็นผู้ชายคนเดียวในแผนกที่เต็มไปด้วยผู้หญิง ทำให้สนิทกับวาฬที่เป็นผู้ชายเหมือนกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ไหนคุณเบญจมินทร์บอกว่าวันนี้วาฬจะหยุด”
“พี่นนท์ให้ผมมา บอกว่าอย่างน้อยให้มาเจอหุ้นส่วนคนใหม่สักครั้ง”
“ไหน ใครพูดอะไรถึงหุ้นส่วนใหม่”
“สวัสดีครับพี่ปราง”
หญิงสาวผมสั้นมาใหม่รับไหว้อย่างลวกๆ ก่อนจะพูดต่ออย่างสนใจกับประเด็นที่พูดค้างไว้ “พี่นะอยากเห็นหน้าหุ้นส่วนใหม่มากเลย วาฬพอจะรู้มั้ยว่าเป็นใครอะ”
“ทำไมเธอต้องสนใจขนาดนั้น จะเป็นใครก็ตามก็ต้องเป็นคนที่คุณนนท์คัดมาแล้ว ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเราเลย”
“แกอะเงียบปีย์ รู้มั้ยว่าเรื่องนี้เป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์มากเลยนะยะ” ปรางส่งสายตาอืมระอาใส่ปีย์ “เพื่อนชั้นทำงานอยู่ที่ Thompson’s” Thompson’s เป็นสำนักงานกฎหมายอีกที่หนึ่งที่เรียกได้ว่าเป็นคู่แข่งกัน “แล้วหุ้นส่วนของ Thompson’s น่ะลาออก แถมตอนออกบอกว่ายังไงเราอะต้องไปทาบทามจ้างเค้ามาแน่นอน ปรากฎว่าเราไม่ แถมคุณนนท์สกุลก็ไปหาคนมาจากไหนไม่รู้ ไม่คิดว่ามันจะปริศนามากเกินไปหน่อยหรอ”
“มันก็เรื่องของเจ้านายหน่าปราง” ปีย์ปราม แต่นั่นก็ไม่สามารถหยุดหญิงสาวได้
“ชั้นอะแอบได้ยินแพรแผนก HR บอกว่าคนนี้จบมาด้วยคะแนนเพอร์เฟคเลยนะยะ ถ้าหน้าตาดีด้วยชั้นจะกรี๊ดให้ วาฬเคยเห็นหน้าหุ้นส่วนใหม่นี่มั้ยอะ”
“ไม่เลยครับ เคยได้ยินแต่ชื่อ”
“เห็นบอกว่าเป็นลูกครึ่งใช่มะ แบบลูกครึ่ง—-“
“ทุกคนคะ” คำพูดของปรางถูกขัดจังหวะโดยหญิงสาวมาใหม่ที่เปิดประตูแผนกเข้ามาด้วยท่าทางเร่งรีบ วาฬยกมือขึ้นไหว้เลขาของพี่ชาย
“สวัสดีค่ะคุณวาฬ ทุกคนคะ เดี๋ยวอีกห้านาทีคุณนนท์สกุลจะพาหุ้นส่วนคนใหม่มาแนะนำนะคะ รบกวนทุกคนช่วยยืนประจำที่ตัวเองด้วยค่ะ”
“งั้นพวกพี่กลับเข้าที่ก่อนนะวาฬ”
“โอเคครับ”
farr” - มึง
Nawhale - ว่า
วาฬพิมพ์ตอบกลับไปเร็วทันใจ ตาเหลือบมองประตูแผนกเป็นพักๆ เผื่อว่าพี่ชายตนจะโผล่เข้ามาแบบไม่ให้ตั้งตัว
farr” - กูเพิ่งคุยกับแมกซ์มา เห็นว่าโคลอยู่ไทยนะตอนนี้
โคล
ชื่อที่เขาไม่ได้ยินมานานฟังดูแปร่งหู สิ่งสุดท้ายที่เขาจำได้เกี่ยวกับโคลคือใบหน้าหล่อเหลาที่หลับสนิทเมื่อเขาคว้ากระเป๋าสตางค์และพาสปอร์ตออกมาจากห้องพักที่พวกเขาแชร์ด้วยกันในคืนนั้น ณ แมนเชสเตอร์ พวกเขาไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย หรือพูดได้อีกอย่างว่าวาฬไม่เคยติดต่อโคลกลับ ไม่ว่าจะเป็นทางข้อความหรือโทรศัพท์ ก่อนจะเปลี่ยนเบอร์เมื่อกลับมาอยู่ที่ไทยอย่างถาวร ชีวิตวาฬเปลี่ยนไปมากหลังวันนั้น จนเรื่องของโคลกลายเป็นเรื่องที่ถูกเก็บไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของสมอง ลึกเสียจนวาฬไม่เคยค้นออกมาให้ต้องคิด
Nawhale - แล้วไง
วาฬถอนหายใจ อาจเป็นเพราะความรู้สึกที่ตกตะกอนแล้ว ที่ทำให้โคลเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งในความทรงจำจากลอนดอนที่วาฬไม่อยากจำ
“สวัสดีครับทุกคน” เสียงของนนท์ทำให้วาฬลุกขึ้นยืน สายตายังคงจับจ้องที่โทรศัพท์
farr” - ก็ไม่แล้วไง แค่แปลกใจนิดหน่อย มึงรู้ปะวะว่าโคลแม่งเป็นลูกครึ่งไทยไม่ใช่ฮ่องกงอะ ทำไมแม่งไม่บอกพวกเราวะ
“ผมพาหุ้นส่วนใหม่มาแนะนำครับ ต่อไปนี้เขาจะมาคนที่มาแทนตำแหน่งของคุณเบญจมินทร์ จะมีเพิ่มมานิดหน่อยคือจะเข้ามาดูแลพวกคดีที่ดินและคดีทางทะเลเองโดยตรงครับ ส่วนผมจะไปดูพวกคดีอาญาอะไรอย่างนี้แทน”
farr” - มันมีชื่อไทยด้วยนะมึง พูดไทยได้ทุกอย่าง
วาฬแทบไม่ได้ยินเสียงของนนท์สกุล ในสมองอ่านข้อความสั้นๆ ของเพื่อนที่ถูกส่งมาใหม่ซ้ำไปซ้ำมา
โคลรู้ภาษาไทย
กูรักมึงว่ะโคล
วาฬยังจำได้ดีว่าประโยคนั้นดังก้องในห้องที่เงียบสงันคืนนั้นมากแค่ไหน คำที่เขาคิดว่าต่อให้โคลได้ยินก็ฟังไม่ออก คำที่เหมือนทำให้เขายอมรับความรู้สึกตัวเองออกมาในวันนั้น
คำที่ตอนนี้เขาก็ยังนึกไม่ออกว่าตัวเองอยู่ในอารมณ์ไหนถึงได้พูดมันออกไปง่ายๆ อย่างนั้น
Nawhale - มีชื่อไทยด้วยหรอวะ
“สวัสดีครับ ผมอนาคินนะครับ ต่อไปนี้คงต้องทำงานด้วยกันอีกนาน อย่างไรก็ฝากตัวด้วยครับ”
เสียงนี้
วาฬเงยหน้าจากโทรศัพท์ขึ้นมาทันที เขารู้สึกได้ถึงหัวใจตัวเองที่เป็นโครมคราม ผู้ชายในเสื้อเชิร์ตสีขาวคนนั้นเป็นพี่ชายเขาไม่ผิดแน่ แต่คนใส่สูทที่ยืนอยู่ข้างๆ นนท์สกุลนั้น ..
เหมือนจะรู้ว่าถูกจ้องมองอยู่ ผู้มาใหม่หันมาสบตากับวาฬที่ยืนนิ่งไม่กล้าหายใจ
โคลยืนส่งยิ้มให้เขา รอยยิ้มที่เหมือนเมื่อสี่ปีก่อนไม่ผิดเพี้ยน ปอยผมสีน้ำตาลอ่อนยังคงปรกตาอยู่ข้างหนึ่งไม่เปลี่ยน สิ่งที่ทำให้วาฬลืมหายใจนั้นไม่ใช่ชุดสูทแปลกตาที่ชายหนุ่มนั้นใส่อยู่ หรือภาษาไทยสำเนียงชัดเจนที่ถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากสวย หากแต่เป็นสายตาผ่านดวงตาสีเขียวหม่นคู่นั้นที่กำลังจับจ้องเขาเหมือนอย่างที่ผ่านมา
farr” - อนาคิน ชื่อแปลกชิบหาย
มือถือของวาฬสั่นขึ้นอีกรอบ แต่วาฬไม่มีเวลาสนใจมัน เขากระพริบตา เหมือนจะให้ภาพตรงหน้าหายไป หากแต่โคลยังคงยืนอยู่ตรงนั้น คนในอดีตของเขายังคงยืนอยู่ตรงนั้น
วาฬรู้สึกได้ถึงความทรงจำในอดีตที่เริ่มไหลออกมาล้นสมองอีกครั้ง
“ฝากตัวกับเด็กฝึกงานด้วยนะครับ ไม่ใช่แค่พนักงานอย่างเดียว”
สำหรับนาวาฬแล้ว ณ เสี้ยวนาทีนั้น เหมือนโลกที่เขารู้จักมาตลอดสี่ปีกำลังหยุดหมุนไปทั้งใบ
:)
And I do not want to be cold to you
You left me no choice again
Small Talk - Briston Maroney (https://www.youtube.com/watch?v=Z-cM-EfcFEk)
6th drift - Hello strangers
“อาวาฬฬฬฬ ลัลยังไม่อยากนอน”
“เลยเวลานอนปกติของลัลแล้วนะ มานี่เลย”
“แต่ลัลยังไม่อยากนอนถ้าพ่อยังไม่กลับนี่นา” นาวาฬยิ้มให้กับหลานชายที่ทำหน้ามุ่ย ปากเล็กๆ นั้นเบ้ลงเหมือนจะร้องไห้ วาฬแอบเรียกหน้านี้ของหลานชายในใจว่า ‘ลัลแอทแทค’ เพราะมันทำให้เขาต้องแอบหัวเราะทุกที
“ถ้าลัลหลับตานะ อาสัญญาว่าพอลืมตาปุ๊บพ่อจะกลับมาทันทีเลยรู้มั้ย”
ลัลปีนขึ้นเตียงก่อนจะเอนตัวนอนข้างๆ วาฬ ร่างเล็กๆ ขดลงก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอาด้วยตาใสแป๋ว
“ลัลเชื่ออาก็ได้”
วาฬลูบหัวหลานเบาๆ เหมือนจะกล่อมให้หลับไป สายตาจับจ้องไปยังใบหน้ากลมของเด็กชายด้วยความรัก
หลังจากอุบัติเหตุครั้งนั้น นนท์สกุล พี่ชายที่เพอร์เฟคไปเสียทุกอย่างในสายตาของเขากลับเตลิดเปิดเปิงไปในแบบที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน เหล้าที่ปกติแทบไม่เคยแตะกลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ผู้หญิงที่เคยระวังมาตลอดกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ภาพที่ชินตาของวาฬในช่วงปีแรกนั้นคือพี่ชายที่กลับบ้านมาด้วยสภาพที่เมามาย มีผู้หญิงมากหน้าหลายตาติดมาด้วยเหมือนจะแยกจากกันไม่ได้ สำนักงานกฎหมายของที่บ้านที่รอให้นนท์สกุลเข้าไปรับช่วงต่อนั้นต้องพึ่งพิงเบญจมินทร์และจุนน์ เพื่อนสนิททั้งสองคนที่เข้าไปดูแลแทนในช่วงปีแรก จนกระทั่งวันที่ดาราหน้าใหม่ที่มีความสัมพันธ์กับนนท์สกุลแค่เพียงชั่วคืนบอกกับพี่ชายของเขาว่าตนกำลังตั้งครรภ์ ที่ทำให้นนท์สกุลตื่นขึ้นมาในโลกความเป็นจริงอีกครั้ง ไม่เพียงแค่นนท์สกุล ลัลได้กลายมาเป็นแสงสว่างในชีวิตของนาวาฬเช่นเดียวกัน บ้านวธนการที่เคยเงียบสงัดกลับมาสดใสอีกครั้งด้วยเสียงหัวเราะของเด็กชายที่เปรียบเสมือนกับกล่องดวงใจของพี่น้องทั้งสองคน
ลัลหลับไปแล้ว วาฬยังคงนอนอยู่ตรงนั้น ฟังเสียงหายใจของหลานที่ดังค่อยๆ อย่างคนหลับสนิท ในใจนึกไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้า
โคล
อนาคินคือโคลไม่ผิดแน่ ยกเว้นโลกนี้จะเล่นตลกให้มีคนสองคนที่หน้าเหมือนกัน เสียงเหมือนกัน ความสูงเท่ากัน มีดวงตาที่เหมือนกันไม่ผิดเพี้ยนแบบนั้น วาฬจำได้ดีถึงหัวใจตัวเองที่เต้นโครมครามเมื่อเช้า มันไม่ได้เต้นเหมือนอย่างเก่า แต่เต้นด้วยความตกใจและคาดไม่ถึง ใครๆ ก็ต้องตกใจกันทั้งนั้นถ้าเหตุการณ์อย่างนั้นเกิดขึ้นกับตัวเอง
โคลเป็นเพื่อนพี่นนท์ วาฬคิดในใจ โคลรู้แต่แรกแล้วว่าเราเป็นใคร
แหงสิ มันไม่มีทางที่โคลจะไม่รู้มาก่อน โคลเป็นคนหาที่พักให้เขาที่ลอนดอนตามคำขอของพี่ชาย โคลคือคนที่นนท์สกุลพยายามให้เขาไปเจอในตอนนั้น โคลรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเขาคือใครแน่นอน
“ฝากตัวกับเด็กฝึกงานด้วยนะครับ ไม่ใช่พนักงานอย่างเดียว”
คำพูดเมื่อเช้าของโคลยังคงก้องอยู่ในหูของเขา คำพูดสุดท้ายที่วาฬได้ยินจากโคลก่อนที่เขาจะพุ่งตัวออกไปจากแผนกโดยใช้ประตูหลัง
แสดงว่าโคลรู้อยู่แล้วว่าเราเป็นเด็กฝึกงานอยู่ที่นี่ แต่ทำไมล่ะ ทำไมต้องทำให้มันเป็นเรื่องยุ่งยาก บอกมาตั้งแต่แรกว่าเป็นเพื่อนพี่นนท์ก็จบแล้ว
สิ่งเดียวที่วาฬดีใจคือการที่หัวใจเขาไม่เต้นในแบบที่เคยเป็น อาจจะเป็นเพราะเวลาที่ผ่านไปนาน บวกกับอะไรหลายๆ อย่างที่ทำให้เขาไม่ใช่วาฬคนเดิม ทำให้นอกเหนือจากการตกใจและไม่เข้าใจแล้ว (โอเค เขายอมรับก็ได้ว่ามีความโมโหที่โดนหลอกอยู่นิดหน่อย) การได้มาเจอกับโคลอีกครั้งไม่ได้ทำให้ความรู้สึกเก่าๆ กลับคืนมา อย่างน้อยก็ไม่ได้กลับมาในแบบที่เขากลัว
แต่จะเป็นแบบนี้ได้อีกนานแค่ไหนล่ะ เสียงเล็กๆ ในหัวดังขึ้น
วาฬสะบัดศีรษะเหมือนจะไล่ความคิดนี้ทิ้งไป เขาจะป้องกันไว้ก่อน ให้แน่ใจว่าตัวเองจะไม่กลับไปรู้สึกแบบนั้นอีก
เขาจะขีดเส้นให้ความรู้สึก
สี่ปีที่ผ่านมา เขาได้สร้างชีวิตใหม่ของตัวเองขึ้นมาจากชีวิตที่ปรักหักพัง อย่าคิดว่าเขาจะยอมให้อะไรจากอดีตมาหยุดเขาได้อีกเลย
....
วาฬคงเผลอหลับไป เขากระพริบตาปริบๆ เมื่อรู้สึกได้ถึงลมเบาๆ ที่พัดผ่านหน้า แต่ยังคงนอนอยู่ที่เดิม เอาหน้าซุกเข้ากับหลานชายที่นอนขดตัวในอ้อมแขน เขาเหนื่อย บวกกับอาการเมาค้างเมื่อเช้าทำให้วาฬไม่อยากลุก
“วาฬครับ”
“....”
“นาวาฬ”
วาฬลืมตาขึ้นทันทีที่จำได้ว่าเสียงนั้นเป็นของใคร สิ่งแรกที่เขาเห็นคือไฝข้างตาสามเม็ดของบุคคลตรงหน้าที่ก้มลงมาเขย่าตัวเขาให้ตื่น วาฬอ้าปาก
“ชู่ว์”
อนาคินรีบเอานิ้วแตะปากไม่ให้วาฬร้อง ส่งสัญญาณบุ้ยใบ้ไปยังเด็กชายที่ยังนอนหลับสนิทเหมือนจะบอกว่าอย่าทำให้ลัลตื่น วาฬจ้องไปยังใบหน้าหล่อเหลาของผู้มาใหม่อย่างว่างเปล่าก่อนจะพยักหน้าค่อยๆ อย่างรับรู้ ยังคงไม่ละสายตาไปจากดวงตาคมคู่นั้น
“มาทำอะไรที่นี่”
“นนท์บอกให้พี่มาดูว่าวาฬอยู่ไหน มันหาวาฬข้างล่างไม่เจอ” ชายหนุ่มร่างสูงเอื้อมมือไปช่วยพาวาฬที่ยังคงสะลึมสะลือลงจากเตียง
พูดไทยได้จริงด้วย
ภาษาไทยสำเนียงชัดเจนที่ออกมาจากปากของอนาคินนั้นฟังดูแปลกหูจนวาฬได้แต่จ้องไปที่ปากของคนข้างหน้า พยายามทำให้สายตาตัวเองชินกับสิ่งที่เห็น
“มันเมามาก พี่เลยให้มันนั่งที่โซฟาข้างล่างไปก่อน พี่ไม่แน่ใจว่าห้องนอนมันคือห้องไหน”
“ไม่ เราหมายความว่า มาทำอะไรที่ไทย มาทำอะไรที่บริษัท มาทำอะไรที่นี่กันแน่”
วาฬถามออกไปแล้ว อนาคินดูเซอร์ไพรซ์นิดหน่อยที่ได้ยินคำถามนั้น แต่รอยยิ้มของเขาก็กลบเกลื่อนความแปลกใจเหล่านั้นไปได้อย่างง่ายดาย
“พี่—-“
แต่ก่อนที่อนาคินจะได้ตอบอะไร เสียงนนท์สกุลก็ลอยขึ้นมาเสียก่อน
“ทำไมโลกมันหมุนแบบนี้วะะะะ”
วาฬวิ่งลงบันไดไปตามเสียงพี่ชาย โดยมีอนาคินวิ่งตามลงมาติดๆ ตั้งแต่นนท์กลับตัวกลับใจ เหล้าก็เป็นสิ่งที่นานๆ ทีจะได้แตะ ทำให้การกินเหล้าแต่ละทีกลายเป็นเรื่องพิเศษที่นนท์ต้องกินให้คุ้มจนเมาเละทุกที “พี่นนท์ไปนอน เดี๋ยววาฬพาไป” วาฬพยุงพี่ชายที่เมาคอพับคออ่อนขึ้นบันไดไป ท่าทางที่ดูชำนาญทำให้อนาคินทัก
“นนท์มันเมาแบบนี้บ่อยหรอ”
“ไม่รู้หรอ เป็นเพื่อนสนิทกันไม่ใช่หรอครับ” วาฬตอบกลับแบบเย็นๆ อนาคินไม่ได้ถามอะไรอีก หากแต่หายออกไปจากห้องนอนที่วาฬพานนท์ไปวางไว้บนเตียง ก่อนจะกลับมาพร้อมกับลัลที่อยู่ในอ้อมแขน เขาวางลัลไว้ที่เตียงคอกข้างๆ เตียงใหญ่ที่ดูเหมือนไม่ได้ถูกใช้มานาน
“นนท์บอกคิดถึงลูก ให้มันได้เห็นลูกเป็นอย่างแรกตอนเช้าก็น่าจะดี” เขาตอบสายตาสงสัยของวาฬ
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วกลับเลยครับ” วาฬตอบแบบแอบไล่ โคลเวอร์ชั่นที่เขาเจออยู่นี่กำลังทำให้เขาหงุดหงิด อยู่ๆ ก็โผล่มา ทำตัวสนิทสนมกับเขาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แถมยังเป็นเพื่อนสนิทพี่ชาย ทั้งๆ ที่ตอนพี่ชายเขาประสบปัญหาทางจิตใจไม่เคยโผล่หน้ามาหาเลยสักครั้งเดียว ที่สำคัญ เขายอมรับว่าความรู้สึกงุนงงในตอนแรกกำลังเริ่มเปลี่ยนไปเป็นความโกรธ เขาโดนไอ้หมอนี่หลอกเรื่องสัญชาติตัวเองอยู่หลายเดือนนี่นะ? โอเค มันอาจจะไม่ได้ดูเป็นเรื่องใหญ่ แต่จะหลอกทำไมวะ? สนุก?
โคลมันอาจจะรู้เรื่องที่แกชอบมันตอนนั้นก็ได้นะ เสียงกระซิบในหัวกระซิบอีกแล้ว แล้วมันก็เล่นกับแกเพราะสนุกเหมือนที่หลอกแกกับฟาร์ไง
“เดี๋ยวพี่ไปส่ง เห็นนนท์บอกว่าไม่ได้เอารถมานิ” อนาคินเสนอ
“ไม่เป็นไร เราเรียกอูเบอร์ได้”
“เที่ยงคืนแล้ว อูเบอร์เรียกยากนะ” ชายหนุ่มดูนาฬิกาข้อมือ “พี่ไปส่งเราดีกว่า ถ้านนท์รู้ว่าพี่ปล่อยน้องมันขึ้นอูเบอร์คนเดียวดึกๆ เดี๋ยวมันจะมาว่าพี่เอา”
“...”
“อีกอย่าง ถ้านนท์ถามว่าทำไมวาฬไม่ไปกับพี่ วาฬจะตอบว่าอะไรล่ะ”
ตาสีเขียวหม่นนั้นแพรวพราวเหมือนสนุกที่เห็นฟันเฟืองในสมองวาฬกำลังหมุนไปมา ใช่ .. เขาไม่เคยมีปัญหากับเพื่อนพี่ชายไม่ว่าจะเป็นคนไหน ถ้าเขาปฏิเสธที่จะไปกับอนาคิน เขาจะต้องถูกถามแน่นอนว่าทำไม
“พี่ไม่มีปัญหากับการที่จะบอกนนท์ว่าเรารู้จักกันอยู่แล้วนะ แต่เหมือนวาฬ—“
“เออ เราไปด้วย” วาฬตัดบท หันไปขว้ากระเป๋าเป้ประจำตัวขึ้นสะพายอย่างรวดเร็ว เขายังไม่พร้อมจะบอกนนท์หรือใครตอนนี้ (บางทีเบญจมินทร์กับปรินอาจจะเป็นกรณียกเว้น) ยังไม่ใช่ตอนนี้ที่ยังมีหลายๆ เรื่องที่เขายังไม่เข้าใจอยู่
ยังไม่ใช่ตอนนี้ เมื่อชีวิตใหม่ของเขาเหมือนจะกลับมาวุ่นวายอีกครั้ง
.....
นาวาฬเป็นคนไม่ฟังเพลงคลาสสิค เพลงคลาสสิคทำให้เขาง่วงนอน แถมมันยังชอบเล่นวนไปวนมาแบบที่เขาไม่เข้าใจ
แต่ไม่ใช่วันนี้ ที่วาฬต้องทำเป็นนั่งฟังมันอย่างสนอกสนใจเพื่อกันไม่ให้คนข้างๆ หันมาชวนคุย
พวกเขานั่งอยู่ในรถ Tesla คันสวยที่มีอนาคินเป็นคนขับมาได้ห้านาทีแล้ว เพลงคลาสสิคเบาๆ ที่ถูกเปิดคลออยู่นั้นเป็นสิ่งเดียวที่ดังพอที่จะกลบเสียงหายใจของทั้งสองคน วาฬมองออกไปนอกรถบนถนนกรุงเทพที่โล่งจนแปลกตา ณ เวลาเที่ยงคืน ในสมองมีแต่คำภาวนาไม่ให้คนข้างๆ หันมาสนใจตัวเอง
ทำไมเราต้องกลัวด้วยวะ วาฬคิดในใจ เขาไม่ใช่คนที่ไปหลอกคนอื่นว่าจริงๆ แล้วตัวเองเป็นใคร ไม่ใช่คนที่อยู่ดีๆ โผล่มาไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยแล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างที่โคลทำ แล้วทำไมเขาต้องกลัว
บางที อาจจะเป็นเพราะว่าเขาเป็นฝ่ายตัดขาดการติดต่อกับโคลในวันนั้นโดยไม่มีคำอธิบายอะไรให้อีกคน
ถ้าโคลถาม เขาจะอธิบายว่าอย่างไร
เรื่องคำบอกรักโง่ๆ นั่นอีกล่ะ ถ้าโคลแอบได้ยินที่เขาพูด แน่นอนว่าโคลต้องเข้าใจ
แถมเรื่องก่อนหน้าคำบอกรักนั่นอีก
วาฬรู้สึกได้ถึงความร้อนที่พุ่งขึ้นใบหน้าเมื่อนึกถึงเรื่องที่ทำไปในวันนั้น
“บอกทางพี่ด้วยนะ พี่ไม่ค่อยชินทางที่นี่เท่าไหร่”
“อาฮะ” วาฬตอบสั้นๆ อนาคินหันมาทางคู่สนทนาที่ยังคงจ้องออกไปนอกหน้าต่างเหมือนสนใจบรรยากาศข้างนอกมากกว่าปกติ
“กลัวพี่หรอ”
“ฮะ?”
“ก็ไม่มองหน้าพี่เลย เหมือนกลัวพี่อย่างนั้นแหละ” ชายหนุ่มหัวเราะ “ทำไม ไม่ดีใจเลยหรอที่เจอพี่ที่นี่น่ะ”
“ไม่” วาฬตอบไปตรงๆ อนาคินเบ้ปากลงเล็กน้อยเหมือนจะกวน
“เสียใจนะเนี้ย พี่ดีใจมากเลยตอนที่รู้ว่าจะได้เจอวาฬที่นี่”
ดีใจไปคนเดียวสิ
“แต่พอเห็นวาฬเป็นแบบนี้เลยแอบคิดว่าพี่ทำให้วาฬอึดอัดรึเปล่า”
“ใครพี่” วาฬสวนอย่างหาเรื่องเต็มที เขารำคาญมานานแล้วกับการที่อนาคินเรียกตัวเองว่าพี่เวลาพูดกับเขา มันเหมือนกับเป็นการบังคับให้เขาต้องเคารพกลายๆ ยังไงก็ไม่รู้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่อะไรเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ ..
อนาคินหัวเราะ
“ก็ พี่อายุเท่ากับนนท์ ก็เลยเป็นพี่ไง”
“ไม่ให้เรียก”
อนาคินยิ้ม ชูมือสองข้างขึ้นจรดอกแบบยอมแพ้ “โอเค แล้ววาฬอยากเรียกพี่ว่าอะไรล่ะ”
นั่นสิ เขาอยากเรียกคนตรงหน้าว่าอะไรล่ะ
“คุณมาแทนพี่เบน คุณเลยเป็นเจ้านายผม” วาฬเปลี่ยนสรรพนามทันที “เรียกกันผม-คุณ ตามหน้าที่การงานก็โอเคแล้ว”
“ได้ ผมไม่มีปัญหา” โคลเปลี่ยนสรรพนามตนเองเช่นกัน เขาทำสีหน้าขึงขังให้เข้ากับสรรพนามใหม่ แม้ว่าดวงตาจะยังคงมีแววหัวเราะแบบที่วาฬเห็นแล้วหมั่นไส้ “ผมต้องเรียกคุณว่านาวาฬด้วยไหม”
“แล้วแต่คุณอนาคินเลยครับ”
“ให้ผมเดาคือคุณคงไม่อยากให้คนอื่นรู้เท่าไหร่ว่าเรารู้จักกันมาก่อนใช่ไหม”
“ครับ”
“งั้นผมก็จะไม่พูดตราบใดที่คุณไม่โอเคกับมัน แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะไม่เจอกับฟาร์ระหว่างอยู่ที่นี่” อนาคินเลี้ยวรถเข้าถนนเลียบทางด่วนตามที่วาฬชี้ “คุณไปบอกกับฟาร์เองละกันว่าทำไม”
วาฬพยักหน้า
“ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี แต่โอเค” อนาคินยักไหล่ “คุณเพิ่งเรียกเบนว่าพี่ไปหยกๆ แต่กับผมกลับเป็นปัญหาว่าเรียกไม่ได้ อธิบายให้ผมฟังที”
ก็เพราะมึงเป็นโคลไง วาฬกรีดร้องในใจ
“เพราะพี่เบนพิเศษ เรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ผมเพิ่งรู้จักกับคุณ”
“พูดแบบนี้ ผมก็รู้จักคุณมาตั้งสี่ปีแล้วนะ”
อนาคินเอื้อมมือมาขยี้หัวคนข้างๆ อย่างที่เคยทำทุกวันเมื่อสี่ปีก่อน วาฬนั่งตัวแข็ง ภาวนาให้หัวใจตัวเองไม่เต้นแรงอย่างที่เคยเป็นมา ก่อนจะถอนหายใจออกมาเมื่อมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น เขาร้องประท้วง
“เจ้านายจะจับหัวลูกน้องไม่ได้นะ!”
“จะฟ้องผมกับ HR รึไง” อนาคินหัวเราะ “หรือจะฟ้องพี่ชายคุณ แต่ผมว่าคุณไม่กล้าหรอก”
วาฬนั่งเงียบ แต่ยอมปล่อยให้ผมของตัวเองนั้นโดนขยี้ไปด้วยฝีมือของเจ้านายคนใหม่ อนาคินยิ้มใส่หน้าบึ้งๆ ของเขา
“คุณผมสีดำแล้วไม่ชินเลย แล้วหูเนี้ย” มือของเขาเลื่อนไปจับที่หูของคนข้างๆ “ผมไม่ให้เจาะแล้วนะ ถ้าจะเจาะอีกคุณต้องบอกผมก่อน นี่เป็นคำสั่ง”
“ที่บริษัทไม่มีกฎนี้”
“อย่างที่คุณบอกว่าผมเป็นเจ้านายคุณ ทำตามที่เจ้านายบอกก็พอครับคุณนาวาฬ เอาล่ะถึงแล้ว”
รถคันสวยถูกจอดไว้ ณ หน้าบ้านสไตล์โมเดิร์นหรูหลังหนึ่ง วาฬเปิดประตูเตรียมก้าวลงจากรถเมื่ออนาคินสังเกตุเห็นคนที่ยืนสูบบุหรี่อยู่บนระเบียงชั้นสองของบ้าน
“อ้าวเบน อยู่นี่ได้ไงวะ”
“มึงหมายความว่าไง ก็ที่นี่บ้านกู” เบญจมินทร์พ่นควันบุหรี่ออกจากปาก ก่อนจะสะบัดผมที่ยาวประบ่าออกไปอย่างลวกๆ เขาก็ดูแปลกใจเช่นเดียวกัน “แล้วมึงมาได้ไงวะ”
“กูพาวาฬมาส่งบ้าน นี่มึง—“
“ขอบคุณที่มาส่งครับ” วาฬใช้กุญแจรีโมตในมือเปิดประตูบ้านออกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะยืนส่งยิ้มให้คนตรงหน้าเป็นทำนองให้รีบกลับไปได้แล้ว อนาคินเงยหน้ามองเบนที่ยักไหล่ให้ ก่อนจะมองกลับไปที่วาฬ
“งั้น พรุ่งนี้เจอกันนะ”
“ครับ”
ชายหนุ่มขยี้หัวคนตรงหน้าอีกครั้งก่อนจะขึ้นรถไปโดยที่วาฬไม่ได้ประท้วง เขายืนมองรถที่ค่อยๆ ถอยออกไป ก่อนจะถอนหายใจเมื่อได้ยินเสียงเบญจมินทร์ตะโกนลงมาจากบนระเบียง
“เข้าบ้านเดี๋ยวนี้เลยตัวแสบ เล่าให้พี่ฟังเดี๋ยวนี้”
......
“เดี๋ยวนี้มีเรื่องอะไรไม่เล่าให้พี่ฟังรึไง” เบญจมินทร์ถือแก้วสองใบที่เต็มไปด้วยโกโก้ร้อนก่อนจะยื่นหนึ่งในนั้นให้กับรุ่นน้องที่นั่งจุ้มปุ๊กอยู่บนโซฟาหน้าทีวี โดยที่มีเจ้าโล้น แมวสฟิงส์ไร้ขนของเขานั่งอยู่บนตักอีกที “ไปรู้จักกับไอ้คินมันตั้งแต่ตอนไหน”
“รู้จักกันวันนี้แหละ พี่นนท์ให้มันพาเรามาส่งบ้าน พอดีมันไกล เราเกรงใจเลยให้มาที่นี่แทนอะ”
“อย่ามาโกหก มึงยอมให้ใครเล่นหัวมึงง่ายๆ ที่ไหน เล่ามา ไม่งั้นพี่จะถามไอ้คินมันเอง”
เบญจมินทร์ขู่ เขารู้จักกับวาฬดีจนสามารถบอกได้ว่าคำแก้ตัวที่วาฬบอกมันคือคำโกหกหน้าตาย วาฬคราง
“พี่เบนปล่อยเราไปครั้งเดียวได้ป้ะขอร้อง”
“ไม่ เพราะพี่สงสัยของพี่มาตั้งนานแล้วว่ามึงกับไอ้คินอะรู้จักกันมาก่อน”
“ทำไมวะ”
“ก่อนพี่ลาออก พี่เป็นคนไปคุยกับไอ้คินเองว่าจะให้มันมาแทนตำแหน่งพี่ คำแรกเลยที่มันถามคือขอดูชื่อพนักงานทุกคนก่อนแล้วจะตัดสินใจ พี่ก็ให้ HR ส่งชื่อให้มันไป วันต่อมามันบอกขอดูชื่อเด็กฝึกงาน” วาฬนั่งฟังอย่างตั้งใจ จิบโกโก้ในมือไปด้วย “ซึ่งมึงก็รู้ว่าบริษัทเราไม่รับเด็กฝึกงานเพราะยุ่งยาก ชื่อเดียวที่มีอยู่คือชื่อมึงอะละ แค่นั้นแหละ มันตอบรับยอมมาทำทันที ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไอ้นนท์เคยชวนมันมาทำตั้งนานแม่งไม่มา”
“...”
“พี่เลยเดาว่าต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับมึง แต่ก็นึกไม่ออกว่าจะไปเกี่ยวกันตอนไหน เพราะตอนที่มึงอยู่ลอนดอนมึงก็ไม่ได้ไปกินข้าวกับมันตามที่ไอ้นนท์บอกนี่หว่า”
วาฬถอนใจ เขามองหน้ารุ่นพี่สนิทตรงหน้าอย่างชั่งใจ เขารู้จักนิสัยเบนดี เขารู้ดีว่าต่อให้เขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่อังกฤษทุกอย่างให้เบนฟัง มันก็จะไม่ทำให้เบนมองเขาแตกต่างไปจากเดิม แต่อีกใจหนึ่ง การที่จะมีอีกคนหนึ่งบนโลกมารับรู้เรื่องพวกนี้กับเขา มันก็จะไม่เป็นความลับที่มีแค่เขารู้อีกต่อไป
เอาวะ
“พี่เบนสาบานก่อนว่าถ้าเราเล่าพี่จะไม่บอกใคร โดยเฉพาะพี่นนท์ หรือแม้โคลพี่ก็ห้ามบอกว่าพี่รู้”
“โคล?” เบญจมินทร์ทำหน้างงเมื่อได้ยินชื่อที่ไม่คุ้นหูของเพื่อนสนิท “มันให้มึงเรียกมันว่าโคลเนี้ยนะ”
“ก็นี่ไง ที่จะเล่าอะ”
นาวาฬเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมด ตั้งแต่ตอนที่เจอกับอนาคินครั้งแรก หัวใจเต้นครั้งแรก ระยะสามวิที่เกิดขึ้น เซลีน ไปจนถึงเรื่องคืนนั้นที่แมนเชสเตอร์ วาฬเล่าข้ามการจูบในคอนเสิร์ตไปเพราะมันยังทำให้ใบหน้าของเขาร้อนผ่าวอยู่ทุกครั้งที่นึกถึง เบญจมินทร์นั่งฟังอย่างตั้งใจ จนกระทั่งวาฬซบหน้าลงกับฝ่ามือตัวเองเป็นสัญญาณว่าเล่าจบแล้ว
“คนที่มึงโทรมาขอคำแนะนำจากพี่คือมันใช่ปะตกลง”
“ใช่”
“แล้วมึงก็ไม่ฟังคำกู ไปว่าวข้างๆ มันตอนมันหลับนี่นะ”
“พี่ลืมๆ พาร์ทนั้นไปได้ป้ะ ขอร้อง” วาฬโวยวาย
“จะว่าไป ตอนงานคุณอาคุณน้า มันก็มานะ” เบญจมินทร์เป็นคนเดียวที่สามารถพูดถึงการสูญเสียในวันนั้นต่อหน้าวาฬได้โดยที่วาฬไม่รู้สึกอะไร อาจจะเป็นเพราะความมั่นคงทางอารมณ์ของเบญจมินทร์เองที่มีมาตั้งแต่เด็กๆ และทำให้ใครก็ตามรู้สึกปลอดภัยเวลาที่อยู่ด้วย “มันมาช่วยงานทุกวัน ทำทุกอย่าง วิ่งรับแขก ส่งแขก ดูแลพระทั้งๆ ที่แม่งไม่มีศาสนา คุมอาหาร ช่วยกูปลอบไอ้นนท์ที่แม่งเหมือนจะตายจริงๆ ตอนนั้น”
“ทำไมเราไม่เห็นอะ”
“มึงจะไปเห็นได้ไง ไม่โอเคขนาดนั้น” ชายหนุ่มยังจำได้ดีถึงภาพวาฬ ที่ในขณะนั้นยังเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มอายุสิบแปด นั่งอยู่ตรงหน้าโลงศพของผู้ให้กำเนิดทั้งสองเหมือนวิญญาณได้หลุดออกจากร่างไปแล้วเช่นกัน โดยมีปรินเป็นผู้ปลอบตลอดทั้งเจ็ดวันไม่ขยับไปไหน “หรือถ้ามันเห็นมึงมันคงไม่อยากเข้าไปกวน ไอ้คินมันอย่างนี้แหละ เข้าอกเข้าใจคนอื่นไปทั่ว พี่ไม่ว่ามันหรอกนะ”
อย่างนี้นี่เอง ทั้งเราทั้งปรินเลยไม่เห็นโคล วาฬคิดในใจเมื่อนึกขึ้นได้ว่าปรินไม่ได้ละไปไหนจากข้างกายเขาเลยในช่วงนั้น
“แล้วทำไมมันต้องไม่บอกเราว่ารู้จักกับพวกพี่แถมเป็นคนไทยด้วยอะ”
“กูจะไปรู้หรอ มันคงมีเหตุผลของมันอะละ”
“มีเหตุผลหรือเหี้ยชอบเห็นคนอื่นโง่” วาฬทำเสียงเคลือบแคลงก่อนจะโดนเบญจมินทร์ดุ
“พี่รู้จักเพื่อนพี่ดี แม่งเป็นหนึ่งในคนที่ดีที่สุดที่พี่เคยเจอมา พูดตรงๆ เลย พี่เลยเชื่อว่าแม่งมีเหตุผลแหละ แค่มันยังไม่บอกเหตุผลให้มึงฟังแค่นั้น”
“พี่เบนก็เข้าข้างมันไปสิ” วาฬซุกหน้าลงกับเจ้าโล้นเหมือนที่ทำเป็นประจำเวลาเถียงพี่ชายคนนี้ไม่ออก เบญจมินทร์หัวเราะ
“ไม่ได้เข้าข้าง ถ้ามันไม่ใช่คนดี มึงก็คงไม่ชอบมันหรอกจริงมั้ย” ชายหนุ่มลูบหัวบุคคลผู้เปรียบเสมือนเป็นน้องชายแท้ๆ เบาๆ อย่างเอ็นดู นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขาเห็นวาฬเดือดเนื้อร้อนใจเพราะอะไรสักอย่าง แทนที่จะปล่อยให้อารมณ์ความรู้สึกของตัวเองถูกฝังจนลึกเหมือนตลอดสี่ปีที่ผ่านมา
วาฬลุกขึ้นนั่ง สายตาจับจ้องไปที่คนตรงหน้าอย่างจริงจัง
“พี่เบนไม่รู้สึกอะไรเลยหรอ กับการที่เราเคยชอบผู้ชายเนี้ย”
“ไม่อะ ทำไมพี่ต้องรู้สึก”
“ก็มันไม่ปกติ ..” เสียงของวาฬแผ่วลง นี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาภาวนาไม่อยากใจเต้นกับอนาคินอีก ตัวเขาเมื่อสี่ปีที่แล้วอาจจะพร้อมยอมรับตัวเองในข้อนี้ แต่เขาตอนนี้ กับชีวิตใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นมาตลอดสี่ปีนี้ เขาไม่พร้อมที่จะให้ตัวเองกลับไปรู้สึกอย่างนั้นอีก
นี่คือสาเหตุที่เขาจะขีดเส้นให้ความรู้สึกตัวเอง
“ไม่กลัวเราอ่อ แบบ นั่งอยู่ด้วยกันสองคนแบบนี้ ปกติเค้าต้องกลัวกันแล้วว่าเราจะปล้ำพี่รึเปล่า”
“พี่นั่งกับผู้หญิงไม่เห็นจะรู้สึกว่าพี่ต้องปล้ำใครเลย เกี่ยวกันที่ไหน”
“...”
“พี่ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปบอกให้มึงเห็นว่าอะไรปกติหรือไม่ปกติในโลกของมึงนะ แต่สำหรับพี่” เบญจมินทร์ยิ้ม “มึงจะชอบใครเพศไหนแม่งไม่ได้ทำให้มึงเปลี่ยนไปในสายตาพี่เลย”
“...”
“บางอย่าง บางความรู้สึก ไม่ต้องไปติดตราให้มันก็ได้นะวาฬ ปล่อยชีวิตมันไหลของมันไปบ้าง ไม่ต้องไปวางแผนให้มันหมดว่าต้องเป็นแบบนี้ๆ ก็ได้”
จะได้ไงล่ะ เขาเคยใช้ชีวิตแบบนั้นมาแล้ว และเห็นทุกอย่างพังทลายลงต่อหน้าต่อตาเมื่อมีอะไรผิดพลาดไป
นี่คือชีวิตใหม่ของเขา เขาจะไม่ทำซ้ำแบบนั้นอีก
“ไม่รู้อะ เราไม่ได้ชอบมันแล้วละกัน ตอนนั้นแค่หลงผิด”
“ก็แล้วแต่ บอกพี่หน่อยละกันถ้าจะให้พี่ช่วยอะไร” เบญจมินทร์ลุกขึ้นเพื่อเอาแก้วไปล้างในห้องครัว “แต่แบบวันนี้ไม่เอาละนะ ไอ้คินมันต้องคิดว่าพี่อยู่บ้านเดียวกับมึงแหงเลย”
“ให้มันเข้าใจไปยังงั้น เราไม่ให้มันไปส่งบ้านเพราะไม่อยากให้มันรู้ว่าเราอยู่ไหนนี่แหละ”
“เลวสัส” ชายหนุ่มบ่นก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้ม “ตกลงคืนนี้นอนนี่ใช่มั้ย”
“ได้ป้ะ”
“ได้ เดี๋ยวพี่ไปส่งที่บริษัทตอนเช้าให้ จะดูหนังมั้ย ถ้าจะดูก็เลือกในเนทฟลิกซ์เลย เดี๋ยวพี่ล้างแก้วเสร็จเดี๋ยวไปดูด้วย”
วาฬไล่ดูรายชื่อหนังระหว่างรอเบญจมินทร์ล้างแก้ว ก่อนจะตะโกนเข้าไปในห้องครัวเหมือนเพิ่งนึกได้
“ไม่ต้องไปบอกใครนะที่เราเล่าวันนี้อะ โดยเฉพาะพี่นนท์กับไอ้รัก ไม่งั้นเราโดนเค้นตายแน่”
“สาบานครับว่าจะไม่บอก” ชายหนุ่มทำท่าตะเบ๊ะรับคำสั่งก่อนจะยิ้มน้อยๆ กับตัวเอง
แสดงว่าวาฬก็ยังมีหัวใจอยู่สินะ ..
อังกฤษหนาวแล้วค่ะ มากเลยด้วย :/ รู้สึกได้ถึงความขี้เกียจที่เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง 555
Why'd we run away
Pretend to be chased
Trust Fall - Wallows (https://www.youtube.com/watch?v=liZ2Wz6r9rg)
8th drift - Strangers party
Nawhale - กูกำลังเข้าไปเอารถนะ พวกมึงอยู่บ้านใช่ป้ะ
farr” - กูอยู่ ไอ้ปรินไปร้านรัก แต่กุญแจรถมึงอะอยู่กับกู
ด้วยความเมาค้างในวันนั้นทำให้นาวาฬลืมกุญแจรถไว้ที่บ้านเพื่อน
Nawhale - เออฟาร์ กูมีเรื่องจะขอมึงนิดนึงว่ะ
นาวาฬเหลือบมองอนาคินที่ขับรถอยู่ พูดคุยกับจุนน์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ไปด้วย ทั้งสองคนดูเหมือนจะไม่ได้สนใจเขา
farr” - ว่า
Nawhale - หุ้นส่วนใหม่พี่กูอะ แม่งคือไอ้โคล แล้วกูอยู่ในรถกับมันเนี้ย มีเพื่อนพี่กูอีกคนมาด้วย
farr” - แป้บ โคลลอนดอนอะนะ
Nawhale - เออ โคลนั่นแหละ
farr” - พีคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคค
เขารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงฟาร์กรีดร้องผ่านตัวอักษร แหงสิ เป็นใครก็ต้องตกใจทั้งนั้นแหละ
farr” - แต่ก็ดีแล้วนิ กูก็อยากเจอมันอยู่
Nawhale - นั่นแหละที่กูจะขอมึง คืออออออ กูไม่ค่อยอยากให้คนรู้เท่าไหร่ว่ากูรู้จักมันมาก่อนว่ะ
farr” - ไมอะ
Nawhale - โมโหแม่ง หลอกกูกับมึงมาเป็นชาติ
farr” - มันก็คงมีเหตุผลของมันป้ะ
ฟาร์เป็นคนที่จิตใจดีเสมอ เขารู้ข้อนี้ดี
Nawhale - กูไม่สน
farr” - ตามใจ แล้วจะให้กูช่วยอะไรอะ
Nawhale - มึงช่วยทำเป็นเหมือนกูไม่เคยรู้จักกับแม่งต่อหน้าเพื่อนพี่กูหน่อยดิ
เขากลั้นหายใจรอคำตอบของเพื่อน
farr” - เออ มึงบอกมันแล้วใช่มะ
Nawhale - มันบอกให้กูมาบอกมึงเอง
farr” - มึงรู้ป้ะว่ามึงชอบทำให้ชีวิตตัวเองยุ่งยากอะ
“ถึงแล้วครับน้องวาฬ”
“อ่าาา เดี๋ยววาฬบอกเพื่อนแป้บ”
Nawhale - เออๆ กูถึงละ มึงลงมาดิ๊
“คุณจะไปไหน” ชายหนุ่มเรียกทันทีที่ผู้มีสถานะเป็นเลขาเปิดประตูรถ วาฬก้าวลงจากรถก่อนจะหันไปตอบ
“เดี๋ยวเพื่อนจะเอากุญแจรถลงมาให้ พอดีผมลืมไว้ กลับก่อนเลยก็ได้ครับ”
“ไม่เป็นไรครับน้องวาฬฬฬ พวกพี่รอเพื่อนน้องวาฬมาก่อนก็ได้ เนอะไอ้คิน” จุนน์หันไปสะกิดเพื่อนที่เปิดประตูรถออกเช่นกัน
“เดี๋ยวผมไปกับคุณ ไอ้จุนน์มึงรออยู่นี่แหละ”
“กูโดนทิ้งคนเดียวตลอดไอ้สัส” จุนน์บ่นเสียงดังแต่ไม่มีใครสนใจ อนาคินเดินตามหลังวาฬที่ตรงไปยังรถสีฟ้าที่สะดุดตาท่ามกลางรถหรูมากมาย สายตาสอดส่ายไปมาเหมือนจะหาใครสักคน
“คุณรอในรถเหมือนพี่จุนน์ก็ได้ ไม่เห็นต้องลงมากับผมเลย” วาฬบ่น
“ผมอยากเจอฟาร์น่ะ ไม่ได้เจอตั้งนาน”
“คุณรู้ได้ไงว่าเพื่อนผมคือฟาร์”
“เพราะมันคงไม่มีเหตุผลอื่นแล้วที่คุณจะพยายามไม่ให้ผมมาส่งที่นี่ ไม่ต้องห่วง ผมจำข้อตกลงของเราได้” เขารีบพูดเมื่อเห็นสีหน้าของคู่สนทนา “ผมเลยให้จุนน์รอในรถไงครับ”
แม่งจริงจังกับข้อตกลงมากกว่าที่คิด
“ไอ้วาฬ” ฟาร์เดินออกมาจากลิฟต์ โบกมือแหยงๆ ให้เพื่อนที่โบกตอบ อนาคินหันไปตามเสียงก่อนจะยิ้มกว้างให้กับผู้มาใหม่
“ฟาร์ เป็นไงบ้าง”
“พูดไทยได้จริงด้วย ไม่ชินเลยอะ” ฟาร์ทำเสียงง้องแง้งก่อนจะส่งกุญแจให้วาฬที่กรอกตาขึ้นมองเพดานอย่างห้ามไม่ได้ “วาฬเล่าให้ฟังแล้ว ปล่อยให้คิดอยู่ตั้งนานว่าเป็นฮ่องกง บ้าบอออออ”
“เฮ้ย ขอโทษจริงๆ ก็เห็นเข้าใจไปแล้วเลยปล่อยไป” ชายหนุ่มหัวเราะให้เพื่อนที่ไม่เจอกันนาน “แล้วนี่เป็นไงบ้าง ว่างๆ กินข้าวกัน”
“ได้ๆ ขอไลน์หน่อย มีป้ะๆ”
วาฬกรอกตาขึ้นฟ้ารอบที่สอง จะใจดีไปไหนวะฟาร์
“ถ้าจะคุยกันนานกูขอกุญแจ”
“เอ้า จะกลับแล้วอ่อ”
“กูจะไปหาข้าวกิน หิวมาก พูดจริงๆ”
“ขึ้นไปกินห้องกูดิ โคลมาด้วยกันๆ”
“ทิ้งกูไว้ในรถแล้วก็มายืนคุยกัน แม่ง”
ก่อนที่มีใครได้ทันตอบรับหรือปฏิเสธคำชวนของฟาร์ จุนน์ที่ถูกทิ้งไว้ในรถก็ปรากฎตัวขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นมาแต่ไกล ใบหน้าอ่อนกว่าวัยนั้นมุ่ยลงอย่างเห็นได้ชัด เขากวาดสายตามองเพื่อนและน้องชายเพื่อนที่ยืนอยู่ตรงนั้น ก่อนที่จะหยุดลงที่ฟาร์ที่วาฬไม่เคยพามารู้จัก
“เอ่อ— ฟาร์ป้ะ?”
วาฬหันขวับไปมองเพื่อนตัวเองที่ก็ดูประหลาดใจไม่แพ้กัน
“พี่จุนน์หรอ”
“ใช่ๆ พี่เองๆ เฮ้ยยย ฟาร์จริงๆ ด้วยว่ะ!” ชายหนุ่มกระโดดโลดเต้นไปรอบๆ ขว้าคอฟาร์ที่ยังดูงงๆ อยู่เข้ามากอด อนาคินส่งสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามให้วาฬที่ส่งสายตาแบบเดียวกันกลับไป
“ไอ้พี่จุนน์ เจ็บว้อย ปล่อยฟารรรรรรรรรร์”
ฟาร์ดิ้นพราดๆ พยายามเอาตัวเองให้หลุดจากอ้อมแขนของชายที่แก่กว่า แต่สีหน้าของเขากลับดูดีใจไม่แพ้กัน
“โตขึ้นเยอะชิบหาย เจอสุดท้ายยังใส่แว่นอยู่เลย” จุนน์ปล่อยคอรุ่นน้องออก แต่ยังคงมีสีหน้าตื่นเต้น “ไม่ได้เจอกันกี่ปีละวะเนี้ย”
“ก็ตั้งแต่—เออ นั่นแหละ ซักห้าปีได้ละมั้ง” ฟาร์นับนิ้ว
“พี่จุนน์รู้จักมันอ่อ ไม่คิดว่าเคยแนะนำให้รู้จักนะไอ้ฟาร์เนี้ย” วาฬถามงงๆ
“เออ มันเป็น—เพื่อนญาติพี่ตั้งแต่เด็กๆ เลย พี่เลยเจอมันประจำ แต่พอมันจะเข้ามหาลัยก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย นี่คอนโดมึงอ่อฟาร์”
“ใช่ๆ ฟาร์อยู่กับเพื่อนอีกคน ก็เพื่อนๆ กันหมดนี่แหละ... ฟาร์ก็รู้จักโค—พี่คินตอนไปแลกเปลี่ยนสมัยปีหนึ่ง” ฟาร์รีบแก้อย่างรวดเร็ว เหลือบมองเพื่อนที่ส่งสายตาเตือนมาให้นึกถึงข้อความในไลน์ที่คุยกัน จุนน์อ้าปากค้าง
“พระเจ้า โลกกลมสัส”
วาฬมองไปที่เพื่อนตัวเองที่ดูดีใจแบบที่เขาเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน มองกลับไปที่จุนน์ที่ยังดูช็อคกับความบังเอิญที่เกิดขึ้นตรงหน้า ก่อนจะหันไปยังอนาคินผู้ยืนมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เหมือนกับรู้ว่าถูกจ้องอยู่ ชายหนุ่มหันกลับมาหลิ่วตาให้วาฬที่ก้มลงมองรองเท้าตัวเองด้วยความเร็วแสง
โลกมันกลมได้มากกว่าที่พี่คิดเยอะพี่จุนน์ วาฬคิดในใจ
......
“อร่อยมากเลยฟาร์” อนาคินชม ใช้ส้อมม้วนเส้นผัดไทยในช้อนตัวเองไปด้วย
“แต้งกิ้ววว พอดีเราทำให้เพื่อนอะ มันชอบรสแบบนี้เลยไม่แน่ใจว่าจะโอเคกันป่าว” ฟาร์ยิ้มรับ ก่อนจะหันไปดุเพื่อนที่ตั้งหน้าตั้งตากินอย่างหิวโหย “กินช้าๆ ติดคอตายแล้วเดี๋ยวลำบากกูอีก”
พวกเขากำลังอยู่กันในคอนโดที่ฟาร์แชร์ร่วมกับปรินที่ยังคงไม่กลับมา ชามผัดไทยขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงหน้านั้นถูกตักแจกให้วาฬ อนาคิน และจุนน์ที่หิวกันสุดขีดทาน จุนน์มองเพื่อนตัวเองที่กินผัดไทยด้วยท่าทางแปลกๆ ก่อนจะโวยวาย
“ไอ้ฝรั่ง ใครแดกผัดไทยกันแบบนั้น น้องวาฬสอนมันหน่อยครับ”
“ทำไมพี่จุนน์ไม่สอนเพื่อนพี่เองอะ”
“น้องวาฬนั่งใกล้มันก็สอนมันให้พี่หน่อย”
วาฬถอนหายใจใส่เพื่อนพี่ชายที่หันไปคุยกับฟาร์ต่อ ตั้งแต่ที่จุนน์เจอกับฟาร์ ทั้งสองคนก็นั่งคุยกันไม่หยุดแม้แต่นาทีเดียวตามประสาคนที่ไม่ได้เจอกันมานาน เท่าที่วาฬจับใจความได้ จุนน์กำลังโวยวายฟาร์ที่อยู่ๆ ก็หายตัวไปแล้วตัดการติดต่อทุกอย่างกับคนรู้จักตอนกำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย
“ก็รู้ไง แต่ไม่จำเป็นต้องตัดพี่นี่หว่า พี่ช่วยมึงอยู่แล้ว”
“ก็ฟาร์ไม่อยากให้พี่ลำบาก”
“นั่นข้ออ้างมึงหรอ สัส คนเค้าก็หากัน”
“สองสามวันนี้โลกกลมเนอะ คุณว่าไหม” อนาคินยิ้มให้วาฬที่ทำหน้ามุ่ยอยู่ข้างๆ มือถือส้อมที่หยุดค้างอยู่กลางอากาศ “ตกลงคุณต้องสอนผมกินไหม หรือไง”
“โลกคุณกับผมมันกลมมาตั้งแต่ตอนลอนดอนแล้วครับ แค่ผมเพิ่งมารู้ตอนนี้” วาฬบ่นพึมพำ อนาคินหัวเราะ
“ผมบอกคุณแล้วไงว่าตอนนั้นผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”
“ไม่รู้อะ ผมรู้แค่ว่าในโลกนี้ไม่มีใครกินผัดไทยแบบพาสต้า เอาส้อมโกยเส้นเข้าปากก็พอครับ” วาฬใช้ส้อมตักเส้นผัดไทยเข้าปากเป็นตัวอย่าง อนาคินเลิกคิ้ว
“ผมว่าเลอะเทอะ”
“นี่คือคุณบอกว่าผมเลอะเทอะหรือผมกินเลอะเทอะ”
“โห ใครจะกล้าไปว่าคุณเลอะเทอะครับคุณนาวาฬ แค่นี้คุณก็เกลียดผมจะตายอยู่แล้ว” ชายหนุ่มยกมือยอมแพ้ก่อนจะตักเส้นเข้าปากอย่างที่วาฬสอนด้วยท่าที่ไม่ชิน ด้วยความไม่ชินทำให้มีเศษอาหารกระเด็นออกมาเล็กน้อย
“กินเหมือนเด็ก” วาฬหลุดหัวเราะ โคลที่เขารู้จักมาโดยตลอดคือผู้ชายที่เนี้ยบไม่มีที่ติ การได้เห็นคนตรงหน้ากินอาหารด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ ทำให้ดูน่าขำชอบกล อนาคินขำตาม ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าท่าทางตัวเองนั้นคงดูตลกพิลึก เขาวางส้อมลง
“ผมทำอาหารกระเด็นใส่คุณ ขอโทษที” นิ้วมือเรียวยาวเอื้อมมาปัดที่ข้างแก้มของวาฬที่นั่งตัวแข็งก่อนจะถอนหายใจออกช้าๆ
“ไม่เห็นมีเลย” เขามองนิ้วที่ควรจะมีเศษอาหารติดอยู่ ชายหนุ่มหัวเราะ
“ไม่มีหรอก ผมแกล้งคุณเล่น”
ก่อนที่วาฬจะได้ทันโวยวาย ประตูคอนโดก็ถูกเปิดออก ตามมาด้วยเสียงของปรินที่ตะโกนเข้ามาก่อนตัว
“ฟาร์กูกลับมาละ อ้าว คนเยอะแยะเลย ว่าไงมึง พี่จุนน์สวัสดีครับ”
ปรินยกมือไหว้รุ่นพี่ที่รู้จักกันมาก่อนอยู่แล้ว ใบหน้าที่แดงน้อยๆ นั้นบ่งบอกให้รู้ว่าชายหนุ่มนั้นดื่มมาก่อนที่จะกลับมา ฟาร์ทำหน้าเซ็งทันที
“เมาแล้วขับรถกลับมาเนี้ยนะ”
“กูเป็นคนขับๆ” รีรักโผล่ตามหลังเข้ามา ในมือถือขนมพะรุงพะรังเข้ามาอย่างที่ทำให้วาฬรู้ว่าคงหนีไม่พ้นกะจะมานอนเล่นเกมส์ที่นี่อย่างเคย “ว่าจะโทรตามมึงมาเล่นเกมส์พอดี หวัดดีครับพี่ ฟาร์พวกกูโคตรหิว มีอะไรกินมั่ง”
“ทำผัดไทยไว้ให้ปรินแต่พวกนี้กินกันไปบ้างละ” ฟาร์บุ้ยใบ้ไปยังทั้งสามคนที่ยังนั่งอยู่บนโต๊ะอาหาร อนาคินยิ้มให้ปรินและรีรักที่เพิ่งสังเกตุเห็นการมีตัวตนอยู่ของเขาเป็นครั้งแรกตั้งแต่ก้าวเข้าห้องมา
ใครวะ ปรินทำปากถามวาฬที่ถอนหายใจ
“พวกมึง นี่คุณอนาคิน เป็นหุ้นส่วนใหม่พี่กู—“
“เป็นเพื่อนพี่ด้วย” จุนน์แทรก
“—เป็นเพื่อนพี่จุนน์ด้วย และตอนนี้เป็นเจ้านายกูเพราะมาแทนที่พี่เบน แล้วด้วยความโลกกลมพรหมลิขิตอะไรก็ไม่รู้ก็เป็นเพื่อนไอ้ฟาร์มาก่อนด้วย” ทำหน้าเฉยเข้าไว้วาฬ อย่าให้ปรินจับได้ว่ามึงพูดความจริงไม่หมด “ส่วนคนเสื้อดำนี่ปริน คนสูงๆ นั่นรีรักครับ”
“สวัสดีครับ” ผู้มาใหม่ทั้งสองยกมือไหว้ ชายหนุ่มยกมือรับไหว้ตอบพร้อมรอยยิ้ม
วาฬตักผัดไทยที่เหลืออยู่ใส่จานตัวเองก่อนจะส่งให้ปริน ด้วยความที่สนิทกันมานาน การกินข้าวจานเดียวกันและใช้ช้อนส้อมคู่เดียวกันนั้นไม่ใช่เรื่องที่ทั้งคู่มองว่าเป็นเรื่องประหลาด ยิ่งปรินเป็นโรคกระเพราะอยู่ด้วยนั้น ทำให้วาฬเรียนรู้ที่จะหาอะไรให้ปรินกินทันทีที่อีกฝ่ายบ่นหิว จนกลายเป็นนิสัยที่ติดตัวมาโดยตลอด อนาคินเลิกคิ้วเมื่อเห็นปรินที่ดูไม่สนใจเริ่มตักเส้นผัดไทยเข้าปากทักที
“ฟาร์ ไปเอาจานใหม่ให้เพื่อนดีกว่ามั้ย”
“สองคนนั้นมันก็อย่างนั้นตลอดแหละ เออฟาร์ มึงยังเล่นบาสอยู่ป้ะ เดี๋ยววันไหนไปเล่นกัน”
จุนน์กับฟาร์คุยกับเจื้อยแจ้ว ไม่สนใจวาฬที่เดินเก็บจานที่ใช้เสร็จแล้วเพื่อเอาไปล้าง
“ผมช่วย” อนาคินพับแขนเสื้อขึ้น ทำเอาวาฬที่ไม่ทันสังเกตุว่ามีคนเดินตามหลังเข้าครัวมาสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจ ตัวต้นเหตุหัวเราะ
“ขวัญอ่อนจัง”
“ก็คุณเดินมาเงียบๆ ใครจะไปทันสังเกตุ” วาฬบ่น “ไม่ต้องช่วยหรอกครับ แค่สองสามใบ ผมล้างเองได้”
“งั้นผมเช็ดจานให้ละกัน” ชายหนุ่มคว้าผ้าเช็ดจานที่ตากอยู่ข้างๆ มาถือเอาไว้ “คุณสนิทกับปรินมากเลยหรอ”
“ก็ใช่ มีอะไรรึเปล่าครับ”
“เปล่า ผมแค่เห็นพวกคุณใช้จานเดียวกันเหมือนเป็นเรื่องปกติเลยสงสัยขึ้นมาแค่นั้น”
“มันกับผมสนิทกันมาตั้งแต่อนุบาล เลยชินๆ กันไปพวกเรื่องแบบนี้” วาฬอธิบาย “เหมือนพี่นนท์กับพี่เบน คล้ายๆ กัน”
“จริงสิ บางทีผมก็ลืมว่าสองคนนั่นสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก”
“สนิทยังน้อยไปครับ ตอนผมเด็กๆ พี่เบนกินนอนที่บ้านผมจนพ่อแม่พี่เบนเลิกตามให้กลับบ้าน” วาฬหัวเราะน้อยๆ เมื่อนึกถึงอดีตที่เบญจมินทร์มักจะแอบปีนรั้วเข้าบ้านเขาตอนดึกๆ เพื่อที่จะมานอนในห้องเขาบ้าง ห้องนั่งเล่นบ้าง เพราะนนท์สกุลมักจะไล่ให้เพื่อนกลับไปนอนบ้านตัวเองอยู่เรื่อยๆ แต่เขาไม่เคยฟัง จนในที่สุดพ่อแม่ของเขาต้องหาฟูกมาปูให้ถาวรในห้องของนาวาฬที่ตื่นเต้นทุกครั้งที่เบญจมินทร์แอบเข้ามา
“คุณกับเบนเลยเป็นเพื่อนกันด้วยสินะ”
“จะเรียกว่าเพื่อนก็ไม่ถูกครับ เหมือนเป็น—“
“ไอ้วาฬ”
“อ้าว มาไมวะ” วาฬหันคอไปถามปรินที่เดินเข้าห้องครัวมาด้วยสีหน้าที่เขาเองก็อ่านไม่ออก บทสนทนาที่เขากำลังมีกับอนาคินถูกขัดจังหวะลงทันที “กูล้างจานอยู่ เดี๋ยวกูก็ออกไปละ”
“ไอ้รักแม่งแดกหมดละผัดไทย กูจะต้มมาม่า แล้วคุณ—เอ่อ—“ เขามองอนาคินอย่างไม่แน่ใจ “คุณอนาคินไม่ต้องช่วยมันล้างหรอกครับ เดี๋ยวผมช่วยมันเอง”
“ไม่เป็นไรครับ”
“มึงเป็นไรวะ ทำหน้าแปลกๆ” นาวาฬทักเพื่อนที่ยืนรอน้ำที่เพิ่งต้มนั้นเดือด ปรินทำท่าอึกอัก
“เอ่อ—“
“คุยกันได้เลยครับ ไม่ต้องเกรงใจผม” อนาคินยิ้มให้ปรินที่เหลือบมองเขาก่อนจะยิ้มอย่างเกรงใจน้อยๆ วาฬเลิกคิ้ว
“มีไรมึง”
“ไอ้ฟาร์กับพี่จุนน์ไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”
“กูก็ไม่รู้ วันนี้กูก็งงเหมือนกัน คิดว่าต้องแนะนำให้รู้จักกลายเป็นว่าสนิทกันมาก่อนซะงั้น”
“หมายความว่าอะไรวะ สนิทกันมาก่อน?”
“เห็นพี่จุนน์บอกว่ามันเป็นเพื่อนญาติหรืออะไรซักอย่าง แต่เหมือนไม่ได้คุยกันเลยไรงี้”
“จะไม่ได้คุยกันเลยได้ไงวะถ้าสนิทกันมาก่อน” ปรินทำท่าไม่เชื่อ
“กูจะไปรู้หรอ แต่ที่เห็นคุยๆ กันเหมือนว่าฟาร์อยู่ดีๆ ก็ตัดการติดต่อกับคนที่รู้จักช่วงนั้นไปเลยไรงี้ เห็นพี่แม่งบ่นอยู่ว่าปล่อยให้หากันแทบตาย”
“พวกคุณนี่ชอบเล่นซ่อนแอบเนอะ” อนาคินบ่นค่อยๆ วาฬหันขวับทันที
“เมื่อกี้คุณพูดอะไรรึเปล่าครับ”
“เปล่าครับ เปล่าๆ" ชายหนุ่มไอ ปรินที่เหมือนไม่ได้ยินพูดต่ออย่างเคลือบแคลง
“หากันท่าไหนไม่เจอ ฟอลโลเวอร์ไอจีแม่งรวมกันเป็นแสน”
“กูต้องรู้หรอ แล้วมึงอะไปยุ่งอะไรฟาร์มัน”
“กูหมั่นไส้ แม่งยังไม่คุยกับกูซักคำเลย คุยแต่กับไอ้พี่จุนน์”
“เป็นเมียมันรึไงมาน้อยใจนู่นนี่ ถ้าว่างมึงไปทำมาม่าไป๊ น้ำเดือดแล้ว” วาฬไล่ ส่งจานใบสุดท้ายให้อนาคินที่ยืนเช็ดจานเงียบๆ นั้นเช็ดต่อ ปรินกอดคอเพื่อนเร็วๆ ก่อนจะหันไปแกะมาม่าใส่จาน
“แดกเสร็จตามกูออกไปนะ”
“เออๆ”
......
“ถ้ามึงหายไปอีกรอบนะเว้ยฟาร์ พี่จะไปแจ้งความคนหายให้มึงเห็นเลยคอยดู”
“โหหหห พี่แม่งพูดแบบนี้แล้วใครจะไปกล้าหายวะ”
ตีสอง ขวดเบียร์ที่วางอยู่เกลื่อนกลาดนั้นบ่งบอกได้ดีถึงจำนวนแอลกอฮอลที่ถูกดื่มไปในระหว่างนั้น จุนน์และฟาร์ยังคุยกันอยู่ไม่หยุด พร้อมกับถ่ายรูปคู่กันเป็นระยะๆ เพื่อหาภาพที่ดีที่สุดไปลงอินสตาแกรมของตัวเอง รีรักและปรินนั้นกำลังดวล FIFA กันอยู่ในท่าทางเมามาย โดยมีอนาคินผู้ซึ่งเป็นคนเดียวที่ไม่ดื่มนั่งเชียร์อยู่ข้างๆ นาวาฬที่กดมือถืออยู่อย่างไม่สนใจ
CeL~ - หวัดดี เราจะไปเที่ยวไทยช่วงเดือนหน้าอะ ว่างมาเจอกันหน่อยมั้ย?
เซลีนเป็นคนเดียวจากลอนดอนที่วาฬยังคงติดต่ออยู่อย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยคบกัน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเซลีนได้พัฒนาจนกลายมาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ต่อให้พวกเขาได้คุยกันแค่เดือนและครั้งสองครั้ง ข้อความแค่สองสามข้อความ เท่านั้นก็เพียงพอที่จะทำให้วาฬรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเขา เซลีนจะเป็นหนึ่งในคนที่พร้อมช่วยอย่างสุดความสามารถแม้ว่าจะต้องเจอกับอะไรก็ตาม และเขาคงทำแบบเดียวกันเพื่อเธอ
Nawhale - ได้ๆ มาแล้วบอกนะ เดี๋ยวจะพาเที่ยวให้ทั่วเลย
CeL~ - มีโรงแรมแนะนำป้ะ
Nawhale - ถ้าไม่มายด์ นอนคอนโดเราได้นะ มีห้องนอนเหลืออยู่ห้องนึง
CeL~ - จะรบกวนปล่าว
Nawhale - ถ้ารบกวนเราก็คงไม่ชวนแล้ว คิดมาก
CeL~ - 5555 งั้นตามนั้นจ้ะ รบกวนด้วยนะ
“กูกลับนะ” วาฬลุกขึ้นคว้ากระเป๋าท่ามกลางเสียงประท้วงของคนอื่นๆ
“มึงนอนนี่แหละะะะ แดกเบียร์ไปเยอะอย่างนั้นมึงจะขับรถกลับได้ไง”
“ไม่ กูอยากนอนเตียง ไม่อยากนอนโซฟา เดี๋ยวกูเรียกอูเบอร์กลับก็ได้ ส่วนรถค่อยมาเอาพรุ่งนี้ สัสรถกูไม่ได้กลับบ้านซักที” เขาบ่น อนาคินลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวผมไปส่ง”
วาฬที่เริ่มรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ที่จะเถียงกับบุคคลตรงหน้าในเรื่องนี้ถอนหายใจ
“แล้วรถคุณล่ะ คุณจะเอารถคุณกลับยังไง”
“ก็ให้มันขับรถน้องวาฬไปส่งที่บ้าน แล้วให้มันเรียกอูเบอร์กลับ ส่วนรถมันเดี๋ยวพี่ขับไปให้มันที่บ้านพรุ่งนี้ ยังไงพี่ก็ต้องไปบ้านมันอยู่แล้ว” จุนน์อธิบาย
“ถ้าคุณโอเคกับการนั่งอูเบอร์กลับ—“
“ผมโอเค”
“งั้นตกลงครับ”
“เดินดีๆ คุณ” ชายหนุ่มพยุงนาวาฬที่เดินเซนิดๆ เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล เขายิ้มกับตัวเองเมื่อมองไปยังคนที่ทำหน้าตาง่วงนอน พยายามเดินให้เป็นปกติไปด้วย เขาจัดท่างทางให้วาฬนั่งเรียบร้อยก่อนจะออกรถช้าๆ ไปยังความมืดของกรุงเทพในกลางดึก
“คุณฟังเพลงไหม”
“ไม่เอาเพลงคลาสสิกครับ” วาฬบอกพึมพำ อนาคินหัวเราะก่อนส่งโทรศัพท์ของตัวเองให้
“งั้นคุณเลือกจากเครื่องผมเอาเองเลย”
วาฬรับมา สิ่งที่สะดุดตาเขาเป็นอย่างแรกคือภาพหน้าจอโทรศัพท์ที่เป็นรูปแสงไฟสีม่วงในห้องมืดสลัว อย่างที่สองคือจำนวนเพลงในเครื่องที่มีแค่ไม่กี่เพลงจนวาฬประหลาดใจ
“คุณมีเพลงแค่แปดเพลง?”
“ผมเก็บไว้แต่เพลงที่ผมฟังประจำครับ เลยมีอยู่แค่นั้น”
วาฬไล่ดูเพลงที่ชายหนุ่มมีอย่างสนใจ บางเพลงเขาเองก็จำได้ว่าเป็นเพลงที่เคยแลกกันฟังกันอนาคินสมัยที่อยู่ลอนดอน จนกระทั่งสายตาเขาไปสะดุดอยู่ที่เพลงสุดท้ายที่เขาเกือบจะลืมไปแล้ว
Symmetry
“ถ้าวาฬจะกินแบบนั้นอีก เราคงจะท้าทั้งวันแหละ”
เขากัดริมฝีปากตัวเองที่เหมือนจะจำสัมผัสในคืนนั้นได้ดี
เขาไม่เคยฟังเพลงนี้อีกเลยหลังจากคอนเสิร์ตในคืนนั้น
“เลือกได้รึยังครับ”
“ด—ได้แล้วครับๆ” วาฬรีบกดเล่นเพลงที่อยู่ใกล้นิ้วของตัวเองที่สุด รู้สึกได้ถึงหัวใจของตัวเองที่เริ่มเต้นแรงเมื่อนึกถึงคืนนั้น โคลยังฟังเพลงนี้อยู่ เขาคิดในใจ มันยังฟังอยู่ สี่ปีมาแล้วยังฟังอยู่
หรือมันอาจจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างคืนนั้น
และไม่รู้ทำไม ความคิดนั้นทำให้เขารู้สึกขัดใจอย่างแปลกๆ
บอกเธอเอาไว้ก่อน
ว่าตัวฉันนั้นเป็นคนอ่อนไหว
แต่ใจมันเหมือนว่าชินและชา
บอกเธอเอาไว้บ้าง
หากวันไหนฉันเองดูเปลี่ยนไป
อย่าไว้ใจฉันเหมือนวันผ่านมา
เสียงเพลงดังขึ้นเบาๆ เหมือนเป็นเสียงซาวด์แทรคประกอบฉากขับรถฝ่าความมืดในหนังเรื่องอะไรสักเรื่องที่ฉายในทีวีหลังเที่ยงคืน แสงสีส้มจากป่าคอนกรีตที่ส่องเข้ามาผ่านกระจกสะท้อนเสี้ยวใบหน้าของนาวาฬที่ยังคงหลงอยู่ในความคิดของตัวเองจนเหมือนไม่ได้ยินเสียงรอบตัว ต่างกับอนาคินที่เชยตามองคนข้างๆ เมื่อเสียงโน้ตตัวแรกของเพลงดังขึ้น
เพราะว่าฉันรู้ว่าเธอควรพบใครที่ดีกว่า
ส่วนตัวฉันแค่ผ่านมา จากวันนั้นไม่เหมือนเดิม
ดวงตาสีเขียวหม่นจับจ้องใบหน้านิ่งคิดของคนข้างๆ อย่างอ้อยอิ่งเหมือนจะเก็บทุกรายละเอียดเอาไว้ในความคิด ดวงตาเรียวยาวคู่นั้น ปลายจมูกที่เชิดรั้น ใบหูที่เต็มไปด้วยรอยเจาะมากมาย ริมฝีปากอิ่มสีเรื่อที่คุ้นตา แม้แต่ผมหยักศกสีดำที่คลอเคลียอยู่ที่ต้นคอ
ชายหนุ่มยกยิ้มเบาๆ ให้กับตัวเอง
อย่าเลย อย่าไว้ใจฉันเลย
เพราะฉันไม่เหมือนที่เคยผ่านมา
ยิ่งนานสักเท่าไหร่ ฉันเองยิ่งรู้ว่า
คิดถึงเธอมากกว่าเดิม
“ไม่ว่าคุณจะคิดอะไรอยู่ ผมอยากให้คุณรู้ว่า ผมดีใจมากที่ได้เจอคุณที่นี่”
นาวาฬหันตามเสียงทุ้มนุ่มของคนข้างๆ ที่ดังขึ้นฝ่าเสียงเพลง เขาก้มลงมองมือตัวเอง
“แต่ผมไม่ดีใจ”
“ผมเข้าใจ คุณผ่านอะไรมาเยอะในช่วงที่เราไม่ได้เจอกัน มันคงจะฟังดูบ้าถ้าผมบอกว่าคุณไม่มีสิทธิ์ที่จะโกรธผมที่ผมทำเป็นไม่รู้จักพี่ชายคุณ”
“...”
“อย่างที่บอก ผมดีใจที่ได้กลับมาเจอคุณอีกครั้ง ผมคงไม่มีสิทธิ์ที่จะไปบอกให้คุณคิดแบบเดียวกัน หรือกลับมาเป็นเพื่อนกับผม สิ่งเดียวที่ผมทำได้คือการเป็นเจ้านายที่ดีที่สุดของคุณ เพราะนั่นคือสิ่งที่คุณต้องการให้ผมเป็น”
อนาคินยิ้มให้นาวาฬที่หันมาสบตากับเขา
ไม่อยากให้ความไว้ใจ ทำร้ายเธอ
แต่ทุกครั้งที่เธอสบตา
มันทำฉันรู้สึก ลึกเกินไปกว่า
สิ่งที่เธอต้องการ ให้ฉันเป็น
ประโยคสุดท้ายของเพลงลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ วาฬหลบสายตาคนข้างๆ ก่อน เขากลับไปจ้องมือตัวเองเหมือนเดิม พยายามซ่อนความรู้สึกแปลกๆ ที่เขาไม่เข้าใจไว้ภายใต้ใบหน้านิ่ง
โคลไม่เปลี่ยนเลย
ความคิดของเขาถูกขัดจังหวะเมื่อรถจอดลงเร็วกว่าที่เขาคิดไว้
“ถึงแล้วครับ”
รถคันสวยจอดที่หน้าบ้านของเบญจมินทร์ ทำให้นาวาฬนึกขึ้นได้ถึงความจริงที่อนาคินไม่รู้ว่าเขาอาศัยอยู่ที่ไหน และคงคิดไปเองว่าเขาและเบญจมินทร์อาศัยอยู่ด้วยกัน บ้านที่ดูมืดมิดกว่าปกตินั้นบ่งบอกให้เขารู้ดีว่าเจ้าของบ้านนั้นคงนอนที่บ้านเพื่อนสนิทตามเคย เขาก้าวลงจากรถ ใช้รีโมตที่มีอยู่ให้ประตูเปิดออก
“เหมือนพี่เบนยังไม่กลับ” เขาพูดอย่างลังเลเมื่ออนาคินจอดรถของเขาในโรงรถเรียบร้อยแล้ว “คุณเข้ามาเรียกอูเบอร์ในบ้านก่อนก็ได้นะครับ”
“ผมกดเรียกไปแล้วครับ อีกแค่ไม่กี่นาทีเอง” อนาคินชูโทรศัพท์ให้เขาดู “ผมไม่เคยเข้ามาที่นี่เลย ครั้งสุดท้ายที่ผมกลับไทยเบนมันยังอยู่คอนโดอยู่เลย”
“พี่เบนย้ายมาอยู่ที่นี่เพราะนี่ครับ” เขาชี้ไปยังเรือนหลังเล็กท้ายสวนที่โดนต้นไม้บดบังจนเกือบมิด อนาคินหัวเราะ
“เตาเผาเครื่องปั้นมันใช่ไหม”
“ครับ”
ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไปในเรือนที่ไม่ได้ล็อค เขากวาดสายตาไปรอบๆ อย่างสนใจ เครื่องปั้นทั้งแบบเซรามิคและดินเหนียวถูกตั้งไว้รอบๆ มีทั้งแบบแก้ว จาน ชาม โถ หรือแม้แต่รูปปั้นต่างๆ บนแป้นปั้นมีงานที่ยังไม่เสร็จคาไว้อยู่ วาฬก้มลงดู
“เพิ่งรู้ว่าพี่เบนปั้นรูปคนด้วย”
“มันอาจจะปั้นรูปคุณอยู่ก็ได้”
วาฬหัวเราะ “โห พี่เบนไม่ขนาดนั้นหรอก”
“คุณรู้ไหมว่าตอนสมัยที่พวกผมอยู่ไฮสคูล ผมได้ยินเรื่องคุณจากเบนเยอะมากเลยนะ” อนาคินเล่าเรื่อยๆ เดินดูเครื่องปั้นตามผนังไปด้วย “พาวาฬไปทะเลมา สอนวาฬขี่จักรยาน วาฬมีแฟนคนแรก พวกผมทุกคนยกเว้นนนท์ฟังชื่อคุณจนติดหู ปรินก็ด้วย วันนี้ที่เจอปรินเลยรู้สึกเหมือนจริงๆ แล้วรู้จักกันมาก่อน ตอนที่ผมเจอคุณก็เหมือนกัน”
“พี่เบนแม่งนินทา”
“มันชอบคุณตั้งแต่ตอนนั้นหน่า อย่าไปมองแบบนั้น” เขาก้มลงมือโทรศัพท์ที่สั่นขึ้น “อูเบอร์ผมมาแล้ว คุณไม่ต้องเดินไปส่งหรอก เข้าไปนอนเถอะครับ”
วาฬดูไม่แน่ใจ “แน่ใจหรอครับ”
“ครับ แค่อย่าลืมปิดประตูก็พอ” เขายิ้ม หันมาขยี้ผมวาฬเร็วๆ อย่างที่เคยทำ “เจอกันวันจันทร์นะ”
“ครับ”
นาวาฬมองหลังของคนที่ค่อยๆ เดินห่างออกไปจนลับตาเมื่อออกประตูไป ก่อนจะยกมือขึ้นจับศีรษะตัวเองที่ผมยังคงยุ่งเหยิงจากการขยี้อยู่ มุมปากยกขึ้นน้อยๆ อย่างไม่ได้ตั้งใจ
ห่าร่างกาย อย่าเสือกยิ้มนะ
“ไม่ยิ้มหรอก” เขาพูดออกมาดังๆ เสียงของเขาที่ลอยออกไปในความมืดมิดยามตีสามเหมือนจะทำให้ตัวเองแน่ใจในอะไรบางอย่างที่ยังคงมาไม่ถึง
......
I'm sorry I get jealous or if I ever act selfish
But it's only 'cause I've got a hard time sharing you
Sharing You - LANY (https://www.youtube.com/watch?v=sjsrU2ssGDo)
10th drift - Liar liar liar
“เดี๋ยวพี่เข้าไปก่อน ได้ยินเสียงเรียกแล้วเราค่อยตามเข้าไปนะ”
วาฬหันไปบอกนีรที่ยกไหล่ขึ้นเป็นสัญญาณว่าตกลง
“พี่จะเข้าไปเมื่อไหร่อะ ยืนอยู่ตรงนี้มาจะสามนาทีละ”
นีรพูดถูก พวกเขายืนอยู่หน้าประตูห้องผู้ป่วยที่มีอนาคินอยู่ข้างในมาได้สักพักแล้ว นาวาฬก้มลงมองพื้น หลบสายตาเบื่อหน่ายของเด็กหนุ่มที่ถูกส่งมาให้ เขารู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นแรกขึ้นกว่าปกติ อาการร้อนๆ หนาวๆ ที่เริ่มกระจายไปทั่วร่างกาย เขาใช้เวลาอยู่หลายนาทีกว่าจะรู้ตัวว่าอาการที่เขารู้สึกอยู่คือความกลัว
กลัวหรอ แต่กลัวอะไรล่ะ
คำถามในสมองเขาได้รับคำตอบทันทีเมื่อหญิงสาวร่างเล็กเดินตรงมาทางพวกเขา
ไม่ อย่ารู้สิวะ
“ทำไมมันมาอยู่ที่นี่คะคุณนาวาฬ”
“ติดเชื้อไข้เลือดออกครับ อยู่โรงพยาบาลมาได้เกือบอาทิตย์แล้ว คิดว่าน่าจะกลับบ้านได้อีกสักวันสองวันครับ”
“แล้วทำไมคุณถึงไม่บอกฉัน ฉันเป็นครอบครัวเขานะ”
“คุณอนาคินสั่งไว้ว่าอย่าแจ้งใครครับ ผมแค่ทำตามหน้าที่” เขาแปลกใจนิดหน่อยที่ได้ยินน้ำเสียงประชดประชันแฝงอยู่ในปลายเสียงของตัวเอง มันช่วยไม่ได้นิ ครอบครัวประสาอะไรกันถึงโดนห้ามไม่ให้เจอ ดารินทร์ยิ่งทำท่าหงุดหงิดมากขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินคำตอบ
“กล้าสั่งไม่ให้ชั้นมาหาหรอโคล ตายแน่” เธอส่งกระเป๋าให้ลูกชายที่ยังคงยืนทำหน้าเฉยเหมือนนี่เป็นเรื่องปกติ “ไม่ต้องมาห้ามแม่นะ ห้ามเข้าข้างมันด้วย”
เธอเรียกอนาคินว่าโคล วาฬรู้สึกได้ถึงหัวใจของตัวเองที่ตกลงไปที่ตาตุ่มอีกครั้ง
ฟาร์ก็เรียกมันว่าโคลเหมือนกันนะ เสียงที่วาฬเกลียดนักหนาดังขึ้นอีก ทำไมแค่ผู้หญิงคนนี้เรียกชื่อนั้นแล้วนายต้องกลัวนักหนาด้วยล่ะ
“ใจเย็นๆ ดีกว่านะครับ ให้ผมเข้าไปก่อน เดี๋ยวพอผมเรียกแล้วค่อยตามเข้าไป” วาฬรีบห้ามแม้รู้สึกได้ถึงริมฝีปากที่แห้งผาก แต่ดารินทร์ไม่สนใจ
“ไม่ค่ะคุณนาวาฬ ฉันบินมาถึงที่นี่ ยังไงวันนี้ก็ต้องคุยให้รู้เรื่อง”
ก่อนที่ใครจะทันได้พูดอะไร หญิงสาวเปิดประตูเข้าไปอย่างแรงจนอนาคินที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียงสะดุ้งสุดตัว
“คิดว่าชั้นจะหาแกไม่เจอหรอ”
“แคลร์”
อนาคินเรียกชื่อหญิงสาวที่ยืนอยู่ปลายเตียงผู้ป่วยด้วยสายตาพิฆาตอย่างงงงวย เบนสายตาไปมองเด็กหนุ่มยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอ ก่อนที่จะหยุดลงที่นาวาฬที่ยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า ปากขยับเป็นคำว่า โทษทีคุณ
“มาได้ไง”
“แกบอกเลขาแกว่าไม่ให้ชั้นมาหา ชั้นไปนั่งๆ นอนๆ ที่ที่ทำงานแกมาตั้งหลายวัน ทำไมไม่รับโทรศัพท์”
“รู้ว่ารับไปก็มีแต่เรื่องเดิมๆ ผมเดาได้ด้วยว่าจะมา”
“แล้วจะทำท่าดีใจที่ชั้นมาหน่อยไม่ได้รึไงยะ” ดารินทร์คว้าลูกองุ่นในถ้วยข้างๆ ออกมาปาใส่ศีรษะอนาคินที่พยายามก้มหลบ นาวาฬมองการสนทนาของทั้งสองคนด้วยความรู้สึกที่ยิ่งแปลกมากขึ้นไปอีก พวกเขาไม่ได้ดูเกลียดกัน เหมือนกันคนที่รู้จักกันดีมากๆ มามากกว่า เขารู้สึกโหวงในอกขึ้นมาอีกครั้ง
รู้สึกเหมือนจะอ้วก
“วันหลังรับนะโทรศัพท์อะ”
“ถ้าผมไม่รับผมก็ไม่รับ”
“แกนี่” ดารินทร์ขึ้นเสียง ก่อนจะหันมาทางนาวาฬที่พยายามมองไปทางอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงการมีส่วนร่วมกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเหมือนจะฟ้อง “คุณนาวาฬดูมันสิ ถ้าคุณไม่พามาวันนี้ ชาตินี้ฉันก็ไม่ได้เจอมันแน่”
“ค่อยๆ พูดกันดีกว่าครับ ให้นีรมาดูพ่อแม่เขาทะเลาะคงไม่ดีเท่าไหร่” วาฬเตือน เหลือบมองไปทางนีรที่มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยสายตาเบื่อหน่ายตั้งแต่วินาทีแรกที่ก้าวเท้าเข้ามาในห้อง ดารินทร์ทำหน้างงเมื่อได้ยิน
“คืออะไรคะ”
วาฬก้มลงมองพื้นอย่างไม่แน่ใจอีกครั้ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาตอบ
“ก็พวกคุณ—“
เขาหยุดพูดกลางคันเมื่อเห็นสีหน้าขบขันของผู้เป็นเจ้านาย นีรหัวเราะออกมาอย่างไม่ปิดบัง สีหน้าที่ปกติเรียบเฉยนั้นมีรอยยิ้มกว้างที่เหมือนของอนาคินอย่างไม่ผิดเพี้ยน แววตาที่เคยเฉยชานั้นเต้นพริ้วอย่างสนุกสนาน เด็กหนุ่มแทบจะสำลักคำพูดตัวเองออกมาเมื่อไม่สามารถหยุดเสียงหัวเราะไม่ให้ออกมาจากปากได้
“คุณเลขาเขาคิดว่าพวกเราเป็นพ่อแม่ลูกกันแหละอา”
ไอ้เด็กเปรต วาฬกรีดร้องในใจ
........
เสียงโทรทัศน์ดังเบาๆ ในห้องที่กลับมาสงบเหมือนเมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้วไม่เคยมีคนเข้ามาตะโกนใส่กันในนี้ ดารินทร์นอนขดตัวหลับอยู่บนโซฟาหลังจากที่โวยวายจนเหนื่อย นีรที่กลับกลายเป็นคนละคนหลังจากได้หัวเราะให้ความสำเร็จของตัวเองที่หลอกเลขาของอาตัวเองได้ออกไปคุยโทรศัพท์นอกห้อง ทิ้งไว้แค่วาฬที่นั่งอยู่ข้างเตียงผู้ป่วย ก้มหน้างุดมองแต่เครื่องมือสื่อสารในมือตัวเอง ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตาอนาคินที่ยังคงกลั้นขำอยู่เป็นระยะๆ เมื่อมองมาทางเขา
“คุณคิดจริงๆ หรอว่าผมทำผู้หญิงท้องตอนสิบสาม”
“คุณจะพูดขึ้นมาอีกทำไมเนี่ย ผมก็ขอโทษแล้วไง” นาวาฬโอดครวญ รู้สึกโง่ขึ้นมาอีกครั้งเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“คุณเลขาเขาคิดว่าพวกเราเป็นพ่อแม่ลูกกันแหละอา”
“ฮะ?” ดารินทร์อ้าปากค้าง ก่อนจะรีบโบกมือปฏิเสธไปมาพัลวัน คำพูดของเธอถูกกลบด้วยเสียงหัวเราะลั่นของผู้ชายทั้งสองในห้อง โดยเฉพาะนีรที่หัวเราะจนตัวโยนจนต้องจับไหล่วาฬไว้ข้างหนึ่งเพื่อไม่ให้ล้ม อนาคินเช็ดน้ำตาตัวเองที่ไกลออกมาจากการหัวเราะ ก่อนจะอธิบายให้วาฬที่เริ่มปะติปะต่อได้จากรีแอคชั่นของทั้งสองคน
“นี่แคลร์ พี่สาวผม ส่วนนีรก็เป็นหลานผมเองครับ ไม่ใช่ลูกอะไรทั้งนั้นล่ะ”
“ตอนสิบสามผมยังสะสมโปเกม่อนการ์ดอยู่เลยคุณ คุณมีเซ็กส์ครั้งแรกตอนสิบสามรึไง” อนาคินยิ้มล้อให้กับสีหน้าอยากตายของนาวาฬ “อะไรทำให้คุณคิดได้ขนาดนั้น”
“ก็คุณห้ามไม่ให้คุณแคลร์มาหา แถมนีรก็หน้าคล้ายคุณ..”
“หลานผมก็ต้องหน้าคล้ายผม ไม่เห็นจะแปลก อีกอย่าง ผมจำได้ว่าผมเคยบอกคุณไปแล้วนะว่าผมมีพี่สาว”
วาฬนิ่งคิด ใช่ ... เขาก็เริ่มคุ้นๆ ว่าอนาคินเคยบอกเขาแล้วเหมือนกัน
“แล้วทำไมคุณถึงไม่อนุญาตให้คุณแคลร์มาหาละครับ” วาฬถามตรงๆ ชายหนุ่มเหลือบมองพี่สาวที่ยังคงหลับอยู่ก่อนจะอธิบายเบาๆ
“ตอนเด็กๆ ผมกับแคลร์ไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่ เขาอายุมากกว่าผมสิบเอ็ดปี ไม่เหมือนคุณกับนนท์ที่อายุใกล้ๆ กันเลยสนิทกันได้ง่าย” วาฬนิ่งฟังอย่างตั้งใจ “ตอนผมเจ็ดขวบเขาก็ไปเรียนต่างประเทศแล้ว ความทรงจำในวัยเด็กของผมคือพี่สาวที่เอาของเล่นมาฝากเวลากลับมาเยี่ยมบ้านที แต่นอกนั้นเราไม่ได้โตมาด้วยกันเลยครับ
พอผมสิบสามเขาก็แต่งงาน สิบสี่ผมก็กลายเป็นอาของนีร จะว่าไป ผมกับเขาเพิ่งจะมาเริ่มมีความสัมพันธ์แบบพี่น้องกันจริงจังก็เพราะนีร ช่วงนีรเริ่มโตผมก็อยู่อังกฤษแล้ว แต่ก็แวบไปมาตลอดเพราะผมไม่อยากให้นีรจำผมได้ในแบบที่ผมจำแคลร์ตอนเด็กๆ หลานเลยติดผมเอามากๆ ยิ่งหน้าคล้ายกันด้วย เชื่อผมเถอะว่าคุณไม่ใช่คนแรกที่คิดว่าเป็นพ่อลูกกัน”
“พี่เบนบอกว่าคุณเคยมีแฟนชื่อแคลร์ ผมก็เลย—“
“นี่คุณถึงขั้นไปถามเบนมันเลยหรอ” อนาคินหัวเราะเบาๆ วาฬมองพื้นอีกครั้งอย่างรู้สึกผิด
“ก็ผมไม่รู้ว่าต้องทำไง ไม่กล้าถามคุณด้วย เลยคิดว่าพี่เบนน่าจะรู้—“
“แคลร์ชอบส่งข้อความมาหาผมเยอะๆ ตั้งแต่ไหนแต่ไร จุนน์มันเห็นเลยถามผม ผมบอกเป็นพี่สาวก็ไม่เชื่อ เลยปล่อยให้เข้าใจว่าเป็นแฟนไปอย่างนั้นครับ” เขาอธิบาย มุมปากยกขึ้นยิ้มน้อยๆ นาวาฬแอบสังเกตุว่าเขาเหลือบมองที่ประตูเร็วๆ เหมือนระวังว่าจะไม่มีใครเข้ามา
“คุณมองอะไร”
“ตอบผมหน่อย” ชายหนุ่มดึงมือนาวาฬไปจับ แขนแข็งแกร่งอีกข้างโอบไหล่ผู้ที่นั่งอยู่ข้างเตียงเข้ามาแนบตัวเหมือนไม่ยอมให้หนี “ถ้ากลายเป็นว่านีรเป็นลูกผมจริงๆ แล้วแคลร์เป็นแฟนเก่าผมจริงๆ มาตามผมที่นี่จริงๆ เพราะผมหนีมา คุณจะรู้สึกยังไง”
นาวาฬนั่งตัวแข็ง เขาเงยหน้าขึ้นสบตาสีเขียวหม่นตรงหน้าที่ยื่นเข้ามาใกล้จนเขารู้สึกเหมือนจะหยุดหายใจ เหมือนเคยที่แม้มุมปากจะยกยิ้ม สายตาของเขานั้นกลับดูจริงจังเหมือนรอฟังอะไรก็ตามที่นาวาฬจะพูดออกมา เขารู้สึกได้ถึงหัวใจของตัวเองที่อยู่ๆ ก็เหมือนจะเบาเป็นปุยนุ่นขึ้นมาเสียอย่างนั้น
อยากเสือกเต้นนะเว้ย
“ผ—ผมก็คงพามาเจอคุณอยู่ดีครับ เพราะยังไงผมก็อยากให้ครอบครัวได้เจอหน้ากันก่อนที่นีรจะกลับอังกฤษ”
“ผมไม่ได้ถามว่าคุณจะทำยังไง ผมถามว่าคุณจะรู้สึกยังไงครับคุณนาวาฬ”
น้ำเสียงล้อเลียนที่นาวาฬไม่เข้าใจคำถามนั้นมาพร้อมกับรอยยิ้มแบบเดียวกัน นาวาฬพยายามดึงมือออกจากมือใหญ่ของชายตรงหน้าแต่ก็ไม่เป็นผล
“ตอบผมก่อนแล้วจะปล่อย”
“ก—ก็ไม่รู้สึกอะไร ก็แค่คุณมีลูกมีแฟนแล้วแค่นั้น”
“ถ้าผมไม่เชื่อ—“
“คุณไม่เชื่อก็เรื่องของคุณ ปล่อยผมได้แล้ว”
อนาคินปล่อยมือทื่จับไว้ออก แต่ยังคงโอบไหล่ของนาวาฬเอาไว้อีกข้างหนึ่ง นาวาฬพยายามดิ้นให้พ้นจากอ้อมแขนของคนข้างๆ
“ปล่อยนี่ด้วย”
“ไม่ ตัวคุณหอมดี ผมเบื่อกลิ่นโรงบาลแล้ว ให้ผมอยู่อย่างนี่นิดนึงนะคุณ” ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆ นาวาฬมองจมูกของเขาที่ยื่นเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ เขาหลับตาปี๋ ยังคงพยายามผลักอ้อมแขนแข็งแกร่งนั้นให้ออกไปพ้นทาง
“นี่มัน sexual harassment ผมจะฟ้อง HR”
“ผมไม่เคยห้ามคุณไม่ให้ฟ้องเลยนะ เชิญครับ”
คำตอบแกมหัวเราะนั้นดังขึ้นในระยะที่ใกล้มากกว่าเดิม นาวาฬยังคงหลับตาปี๋ ไม่กล้ามองใบหน้าหล่อเหลาที่ถูกยื่นเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ณ วินาทีหนึ่ง เขารู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่รดหลังคอของเขาอยู่เบาๆ
ถ้าหัวใจลอยได้มันคงไม่ลอยออกนอกร่างกายใช่มั้ย
“คุณยังไม่บอกผมเลยว่าทำไมคุณถึงไม่ยอมให้คุณแคลร์เข้าพบ” นาวาฬโพล่งออกมาทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่ ในใจภาวนาให้มันเป็นคำถามที่ช่วยเบี่ยงเบนความสนใจออกไปได้ ในสมองของเขามีแต่คำภาวนาที่ดังวนไปวนมา
อย่าเลือกเต้นนะหัวใจ ถ้ามึงเต้นมึงโดนไอ้สัส
อนาคินหัวเราะเหมือนรู้ทัน แต่เขาก็ตอบมันอยู่ดี
“เพราะ—“
“อา พ่อมาแล้ว”
“โอ้ย!”
เสียงนีรที่ดังเข้ามาก่อนตัวเมื่อประตูเปิดนั้นทำให้นาวาฬสะดุ้งสุดตัว มือที่ตกอยู่ข้างตัวนั้นสะบัดขึ้นด้วยความตกใจจนฟาดเข้ากับใบหน้าของอนาคินที่อยู่ข้างๆ เข้า ชายหนุ่มปล่อยอ้อมแขนที่รัดคนข้างๆ ไว้ออกกระทันหันจนเขาล้มลงกับพื้นอย่างแรงเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว
นีรมองเหตุการณ์อลหม่านที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยสายตาเบื่อหน่าย ก่อนจะหันไปพูดกับอนาคินที่กำลังใช้ทิชชู่ซับเลือดกำเดาที่ไหลซิบๆ ออกมาจากจมูกที่โดนฟาด
“พ่อมาแล้ว”
“ก็ให้เข้ามาได้เลย คุณเป็นไรมากมั้ย” อนาคินก้มลงถามนาวาฬที่ยังอยู่ที่พื้นอย่างตกใจ เขาส่ายศีรษะไปมา ดีใจเสียอีกที่ในที่สุดอนาคินก็ปล่อยเขาเสียที แต่ความดีใจนั้นอยู่ได้ไม่นานเมื่อเขาเห็นรอยเลือดบนทิชชู่ที่อนาคินถือไว้
“คุณเลือดออก”
“ไม่ต้องห่วงผม ขึ้นมานั่งดีกว่าครับ” เขาบอก เอามือตบที่เก้าอี้ข้างๆ ตัว “คุณจะได้เห็นสาเหตุที่ผมไม่ยอมให้พี่สาวผมมาหาแล้วล่ะ”
เขาบุ้ยใบ้ไปทางประตู นาวาฬมองตามไปยังชายร่างสูงผอมที่เดินกำลังเดินเข้ามา ใบหน้าบ่งบอกได้ว่าเป็นเอเชียอย่างชัดเจน เขาหันมาโบกมือให้อนาคินที่โบกตอบ แม้ว่าจะอยู่ในระยะไกล เขาก็สังเกตุได้ว่าชายผู้มาใหม่นั้นมีรูปจมูกและท่าเดินที่เหมือนกับนีรอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
เขาทรุดตัวลงนั่นข้างๆ ดารินทร์ที่ยังคงหลับสนิท ก่อนจะเรียกเธอเบาๆ
“แคลร์”
เธอยังคงไม่ตื่น เขาเรียกอีกครั้ง
“แคลร์ครับ”
และอีกครั้ง
“แคลร์”
“แม่ พ่อมา”
ทันทีที่เสียงเบื่อหน่ายอันดังของนีรดังขึ้น ดารินทร์ลืมตาขึ้นก่อนจะกระโดดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ไตร มาได้ไง ...”
“ผมเป็นคนให้คุณไตรมาเอง พี่จะได้เลิกหนีซักที” อนาคินบอก ดารินทร์ทำท่าฮึดฮัดไม่พอใจ ก่อนจะถูกไตรดึงเข้าไปก่อน
“คุณนี่น้า ... งอนผมก็หนีออกจากบ้าน รอบนี้หนีมาไกลด้วยนะ ผมก็หาแทบแย่”
“ไม่ได้งอน ก็คุณไม่สนใจชั้นแล้ว”
“อะไรกัน แค่เพราะคิดว่าผมลืมวันครบรอบแต่งงานนี่นะ” ไตรหัวเราะ เขาก้มลงหอมแก้มคนตัวเล็กที่มุดหน้าซุกอยู่ในอ้อมแขน “ผมไม่ได้ลืมเสียหน่อย แต่ผมต้องเข้างานจริงๆ วันนั้น นิลเนตรมานี่มา”
นาวาฬมองพ่อแม่ลูกที่ยืนกอดกันกลมอยู่กลางห้องอย่างงงๆ แม้ว่าจะแอบขำในใจที่เห็นนีรกรอกตาไปมาใส่พ่อแม่ตัวเองไปด้วย อนาคินอธิบายค่อยๆ ให้กับสีหน้างุนงงของคนข้างตัว
“นั่นสามีพี่สาวผมครับ เป็นพ่อของนีร เวลาแคลร์งอนเขาก็จะหนีมาหาผมทุกที รอบนี้ผมรู้จากคุณไตรอยู่แล้วว่าแคลร์น่าจะพยายามมาหลบอยู่กับผม เลยบอกไว้ก่อนว่าไม่ให้เข้าพบครับ พี่ผมต้องโตพอที่จะหัดเผชิญหน้ากับปัญหาเสียที ไม่ใช่มีอะไรก็หนีมาให้ผมช่วย”
“ชั้นได้ยินแกนะ” แคลร์พูดลอดออกมาจากใต้อ้อมแขนของสามี อนาคินยักไหล่อย่างไม่สนใจ
......
“ผมกลับก่อนนะครับ พอดียังมีงานค้างอยู่เยอะเลย” นาวาฬยกมือไหว้ทุกคนที่อยู่ในห้องพักผู้ป่วย ก่อนจะหันมาทางอนาคิน
“ไว้เจอกันนะครับ”
“คุณจะมารับผมออกจากโรงพยาบาลพรุ่งนี้รึเปล่า”
นาวาฬโกหกออกไปอย่างรวดเร็วทันใจ “พวกพี่นนท์จะมา พอดีผมมีเรื่องต้องทำนิดหน่อยพรุ่งนี้ครับ”
เขาโบกมือให้นีรที่โบกกลับก่อนจะออกจากห้องไป ดารินทร์ลุกขึ้นยืนพร้อมกับไตรเช่นเดียวกัน
“พวกชั้นจะออกไปหาข้าวกินกันนิดหน่อยนะ นีรไปด้วยกัน”
“สามีมาแล้วลืมผมเลยรึไง โอ้ย!” อนาคินร้องเมื่อพี่สาวฟาดหมอนเข้าที่ข้างตัวเขาอย่างจังจนไตรต้องปราม
“เบาๆ หน่อย คิน พี่ต้องขอบคุณมากเลยนะวันนี้”
“ไม่เป็นไรครับคุณไตร การที่คุณมานี่ก็ช่วยผมได้เยอะเหมือนกัน”
“แกนี่”
“ผมไม่ไป พ่อแม่ไปกันเถอะ” นีรบอก เขากดมือถือดูอย่างไม่สนใจ “ผมอยากอยู่กับอา เดี๋ยวก็ต้องกลับแล้ว”
“ได้ งั้นเดี๋ยวพ่อแม่มานะ”
ทั้งสองเดินออกจากห้องไป นีรรอจนมั่นใจว่าพ่อแม่ของตนนั้นได้เดินออกห่างไปไกลแล้วก่อนที่จะหันมาทางผู้เป็นอา
“มีอะไรจะบอกผมมั้ย”
“ขึ้นกับว่าเป็นเรื่องอะไร”
“คุณเลขา” นีรพูดทันที อนาคินตอบยิ้มๆ
“งั้นก็ไม่มี”
“อย่ามาโกหก คนนี้ใช่มั้ยที่อามีรูปสเกทช์ของเขาอยู่ในห้องนอนน่ะ”
“อาเพิ่งเจอเขาที่นี่ รูปนั้นวาดไว้หลายปีแล้ว”
“อะไรจะเหมือนกันขนาดนั้น ตาหูจมูกปากแบบเดียวกันหมด”
“มันก็บังเอิญกันได้ อายังไม่เห็นว่ามันจะเหมือนกันตรงไหนเลย”
“อาแม่งแถว่ะ เอาเถอะ ถ้าไม่อยากตอบข้อนั้นงั้นตอบอันนี้แทนละกัน” นีรทำท่าไม่เชื่อ เขาเปิดมือถือขึ้นมาเลือกหารูป ก่อนจะโยนมือถือให้อนาคินที่รับไว้ได้ทัน มันเป็นรูปตู้เย็นที่อพาร์ทเมนท์เก่าของเขาที่อังกฤษ
“ไอ้ e-ticket เน่าๆ สองแผ่นที่อาแปะไว้ที่ตู้เย็นเนี้ย คิดจริงๆ หรอว่าผมจะไม่อ่าน”
ชื่อที่ปรากฎอยู่บนกระดาษทั้งสองแผ่นนั้นเลือนรางจากความเก่าและแสงที่ไม่ชัดเจนจากการถ่ายรูป แต่อนาคินก็อ่านมันได้จากหน้าจอเครื่องมือสื่อสารของหลายชาย อันหนึ่งนั้นเป็นชื่อเขา ส่วนอีกอันหนึ่งนั้นมีคำว่า Mr. Navale Vathanakarn ปรากฎอยู่อย่างชัดเจน
“นั่นชื่อคุณเลขา”
“...”
“ยังกล้าบอกผมอีกหรอว่าเพิ่งเจอกันที่นี่”
“นาวาฬเป็นน้องชายของเพื่อนสนิทอา อาใช้ชื่อเขามาซื้อบัตรคอนเสิร์ตให้เพื่อนอาก็แค่นั้น เพื่อนอาเขาลืมหมายเลขพาสปอร์ตเลยยืมของน้องมันมาใช้หลอกคนเฝ้าประตูไปก่อน”
“แล้วไง คอนเสิร์ตนี้มันน่าประทับใจมากขนาดที่อาต้องเก็บบัตรคอนเสิร์ตเอาไว้ประดับตู้เย็นเป็นปีๆ เลยหรอ”
“มันเป็นคอนเสิร์ตแรกที่อาได้ดูกับเพื่อนคนนี้ เลยเก็บไว้เป็นที่ระลึก”
นีรมองหน้าอนาคินอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“อาแม่งคิดจริงๆ หรอว่าผมจะเชื่อ ข้ออ้างโง่ๆ แบบนี้เนี้ยนะ”
“เชื่อให้หน่อยก็ดี ไม่รู้จะพูดอะไรต่อละ” อนาคินหัวเราะ มองหลานชายที่ยังคงจ้องหน้าเขาอย่างเคลือบแคลง “อาพูดได้แค่นี้จริงๆ”
เด็กหนุ่มถอนหายใจ แต่ยังคงไม่ลดละความพยายามที่จะให้ผู้เป็นอาพูดความจริงออกมาให้ได้
“คุณเลขาเป็นสาเหตุที่ทำให้อาย้ายมาอยู่ที่ไทยรึเปล่า”
“ที่นี่เป็นบ้านอา อาก็กะจะกลับมาอยู่อยู่แล้ว”
“ตลก อาไม่ได้โตที่นี่ด้วยซ้ำ ถ้าจำไม่ผิดอาอยู่ที่ไทยแค่สองปีเองช่วงก่อนผมเกิดไม่ใช่หรอ แถมตอนนั้นอาก็อยู่เชียงรายไม่ได้อยู่กรุงเทพ” นีรกรอกตาขึ้นฟ้า “ผมรู้นะว่าตอนแรกอาบอกแม่ว่าพอจบบาร์แล้วอาจะไปทำงานที่ฝรั่งเศส แต่อยู่ๆ ก็เปลี่ยนมาไทยกระทันหันซะงั้น ใช้เวลาในการย้ายอาทิตย์เดียว เป็นเพราะคุณเลขาแน่นอน”
“อาแค่มาช่วยงานเพื่อนเฉยๆ ส่วนนาวาฬก็มาฝึกงาน อาก็เพิ่งมาเจอเขานี่แหละ”
นีรไม่สนใจ
“เอาที่ผมคิดนะ อาเคยเจอคุณเลขามาก่อนแล้ว อาชอบเค้า แต่เพราะอะไรไม่รู้อาไม่ได้เจอเค้าหลายปีมากๆ พอเพื่อนอาชวนมาทำงานที่นี่ อาเลยตกลง ที่ต้องย้ายมาปุบปับเพราะอากลัวเพื่อนเปลี่ยนใจแล้วจะไม่ได้ทำงานที่นี่แล้วก็จะไม่ได้เจอคุณเลขา” เขาดีดนิ้ว “ผมพูดผิดตรงไหน”
ชายหนุ่มปรบมือให้หลานชายพร้อมกับหัวเราะไปด้วย
“ที่บอกอยากเป็นวิศวะ อาว่าเราลองเปลี่ยนมาเรียนอักษรดีไหม”
“ตอบผมสิว่าพูดผิดตรงไหน”
“อามีสองคำถามกับทฤษฎีของเรา” อนาคินชูนิ้วขึ้นสองนิ้ว “ข้อแรก อาจะไปเจอนาวาฬก่อนหน้าที่จะมานี่ยังไง ในเมื่อเขาเรียนที่นี่ ส่วนอาก็ไม่ได้มาไทยเลยก่อนที่จะย้ายมา”
“ผมจะไปรู้หรอ อาอาจจะเห็นเค้าจากไอจงไอจีอะไรก็ได้”
“นี่เราคิดว่าอาจะชอบคนแค่เพราะเห็นผ่านๆ ในแอปที่อาก็ไม่เล่นด้วยอะนะ” เขาส่ายศีรษะไปมา ก่อนจะพับนิ้วนึงลง “ข้อที่สอง เราคิดหรอว่าอาชอบผู้ชายน่ะ”
คำถามข้อสุดท้ายล่องลอยอยู่ในอากาศ อนาคินยิ้ม แต่สายตาของเขานั้นไม่ยิ้มอีกแล้ว หากแต่มองหลานชายอย่างจริงจังเหมือนจะรอคำตอบ นีรถอนหายใจ
“ผมไม่คิดว่าอาชอบผู้ชายหรอก แต่ผมว่าอาชอบคุณเลขา”
“...”
“อาโคลที่ผมรู้จักเป็นคนมองโลกลึกซึ้งไม่เหมือนคนอื่น อามักจะชอบรายละเอียดต่างๆ ที่คนอื่นไม่สนใจ แล้วก็สนใจอะไรใหญ่ๆ ไปด้วย แล้วก็เอามันมารวมกันเพื่อให้ได้มุมมองที่อาชอบมากที่สุดในของสิ่งนั้นๆ โดยที่ไม่มีกรอบของอะไรมากั้นมัน” เขาถอนใจ “ผมว่าเรื่องความรักอาก็คงเป็นแบบนั้น อาไม่ได้คิดหรอกว่าคนนี้เป็นเพศอะไร อาคงจ้องมองที่รายละเอียดของความเป็นตัวตนของเขาและชื่นชมในส่วนนั้นจนเพศไม่ใช่เรื่องสำคัญ ที่อาถามว่าผมคิดว่าอาจะชอบผู้ชายมั้ย ผมตอบว่าใช่ ถ้าผู้ชายคนนั้นคือคุณเลขาที่อาจับจ้องมองมาหลายปีอย่างที่ผมเห็น”
ชายหนุ่มมองนีรที่มีสีหน้าจริงจัง เขาไม่เคยสังเกตเลยว่าเด็กอายุสิบสี่ที่อยู่ตรงหน้านั้นมีความเป็นผู้ใหญ่มากเพียงใด
“อาไม่อยากตอบไม่เป็นไร ผมออกไปหาข้าวกินละ” เขายักไหล่ คว้ากระเป๋าขึ้นสะพานบ่า “อาอยากกินอะไรมั้ย เดี๋ยวผมซื้อเข้ามาให้”
“ซื้อองุ่นเข้ามาให้หน่อยก็ดี”
“ได้ ผมไปแป้บเดียวนะ เดี๋ยวกลับมา” นีรเดินออกจากห้อง อนาคินเอนหลังลงกับเตียงอีกครั้งก่อนจะถอนหายใจ
“เออ อา”
“อ้าว ยังไม่ไปอีกหรอ” อนาคินทักเมื่อประตูถูกเปิดออก ใบหน้าของเด็กหนุ่มโผล่เข้ามาอีกครั้ง
“ตอนตกใจ คุณเลขาเรียกอาว่าโคลนะ เลขาที่ไหนกล้าเรียกเจ้านายด้วยชื่อเล่นกัน ไปละ”
ประตูถูกเหวี่ยงให้ปิดลง ทิ้งให้อนาคินที่นั่งอยู่บนเตียงนิ่งคิดถึงคำพูดทิ้งท้ายของหลานชาย เขายิ้มกว้างให้กับตัวเองเมื่อเข้าใจความหมายของมัน
หายไปปีนึง 5555555
I let out too many feelings
Shit I should've kept in
Probably should've left them all unsaid
Too Many Feelings - Ruel (https://www.youtube.com/watch?v=6JxihloQ3AU)
12th drift - Please don't
“วาฬครับ”
“ครับ”
“อีกยี่สิบนาทีผมต้องไปประชุมกับลูกความรายใหม่แทนนนท์ คุณช่วยเอาสูทเข้ามาให้ผมหน่อย”
พวกเขาทำงานร่วมกันมาได้สองอาทิตย์แล้วตั้งแต่อนาคินออกจากโรงพยาบาลมา นาวาฬเรียนรู้งานได้อย่างรวดเร็วและเริ่มที่จะสนุกไปกับมัน หน้าที่หลักๆ ของเลขาอย่างเขาคือการเตรียมเอกสารและจัดตารางงานให้อนาคินทุกวัน ติดตามไปยังสถานที่ต่างๆ หรือแม้แต่จัดการเรื่องสัพเพเหระตามที่โดนสั่ง
อนาคินเป็นเจ้านายที่ดี และแม้ว่านาวาฬจะไม่อยากยอมรับเท่าไหร่นัก แต่ชายหนุ่มก็เป็นนักกฎหมายที่เก่งเช่นกัน ท่าทางภูมิฐาน การให้เกียรติคนทำงานคนอื่น ความเฉียบคมในการวิเคราะห์และให้คำแนะนำทางกฎหมายนั้นแอบทำให้นาวาฬต้องแอบมองด้วยความชื่นชม ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ได้ทำงานร่วมกันนั้นทำให้นาวาฬเข้าใจคำพูดชื่นชมอย่างเว่อวังที่เบญจมินทร์และนนท์สกุลมีให้ผู้มาใหม่ที่เขาเคยรู้สึกว่าเยอะจนน่าหมั่นไส้ มันไม่ได้เว่อเกินไปเลยเมื่อเขาได้มาสัมผัสกับมันจริงๆ
สิ่งเดียวที่เขาไม่ชอบ คือการโดนใช้งานในแบบที่ทำให้เขาหมั่นไส้
“นาวาฬ ผูกไทค์ให้ผมหน่อย”
ผูกเองไม่เป็นรึไง
นาวาฬแอบย่นจมูกใส่ผู้เป็นเจ้านายแต่ก็ยอมเดินไปทำให้แต่โดยดี ร่างสูงโปร่งดูภูมิฐานในชุดสูทสีดำเรียบร้อย ผมสีน้ำตาลอ่อนที่เริ่มยาวปรกอยู่ที่ตาข้างหนึ่ง ดวงตาสีเขียวหม่นส่งยิ้มให้เขาเป็นเชิงล้อเลียน
“ผมเห็นนะ”
“เห็นอะไรครับ”
“คุณย่นจมูกใส่ผม”
“แล้วมันทำไมครับ” นาวาฬย่นจมูกใส่ผู้ชายตรงหน้าอีกรอบด้วยความหมั่นไส้ อนาคินหัวเราะก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้
“ไม่มีอะไร ผมแค่ว่ามันน่ารักดี”
นาวาฬรู้สึกได้ถึงเลือดที่ฉีดพุ่งขึ้นหน้านิดหน่อย ไอ้บ้า เขาแอบด่าในใจ รีบถอยหลังกรูดเพื่อหลบใบหน้าของอีกฝ่ายที่หัวเราะเบาๆ
“ผมแค่ชมคุณว่าน่ารัก คุณกลัวอะไร”
“ใครบอกกลัว”
“คุณกลัวชัดๆ นี่ไง หนีผมอีกแล้ว”
อนาคินเดินเข้าไปใกล้คนตรงหน้าที่ถอยหลังหนีอีกครั้ง ใบหน้ามีรอยยิ้มทะเล้นเมื่อผู้เป็นเลขาเริ่มเดินหนีไปทั่วห้อง
“ไม่ได้หนี ไหนคุณบอกคุณมีประชุมไงครับ คุณต้องลงไปรอในห้องก่อนไหม”
“รีบเปลี่ยนเรื่องเลย คุณหยุดหนีผมก่อนสิ”
ต่อให้อนาคินเป็นเจ้านายที่ดี แต่นาวาฬก็ยังไม่ชินกับความล้อเล่นที่ดูไม่ล้อเล่นของเขาอยู่ดี เขาแอบรู้สึกว่ามันเป็นมิชชั่นของอนาคินที่จะเข้ามาใกล้เขาจนเกินพอดีอย่างน้อยวันละครั้ง และทุกครั้งที่มันเกิดขึ้น เขาต้องภาวนาให้หัวใจตัวเองไม่เต้นออกมานอกอกทุกที
“เล่นเป็นเด็ก” เขาบ่น
“อยู่กับเด็กผมก็ต้องเล่นกับเด็กสิ แต่เอาล่ะ เล่นพอแล้ว” ร่างสูงดูนาฬิกาข้อมือ วาฬถอนหายใจอย่างโล่งอก เขารู้ว่าต่อให้อนาคินจะอยากแกล้งต่ออย่างไร แต่งานก็ยังเป็นงานอยู่ดี “ผมอาจจะประชุมเสร็จช้าหน่อย คุณกลับไปได้ก่อนเลยนะถ้าได้เวลาเลิกงานแล้ว”
“ได้เลยครับ” วาฬแอบยิ้มดีใจ แต่เหมือนมันจะโดนแสดงออกมาทางสีหน้าเพราะผู้เป็นเจ้านายถามต่อทันที
“คุณมีนัดหรอ”
“กับปรินครับ” เขาตอบ
ตั้งแต่วันที่ปรินรู้ตัวว่าชอบฟาร์ อะไรหลายอย่างก็เปลี่ยนไปเยอะจนทำให้นาวาฬหนักใจ ปรินทะเลาะกับฟาร์อย่างหนักเรื่องการพาคนอื่นมาที่คอนโดที่ทั้งสองคนแชร์ร่วมกัน และการที่ฟาร์ไปไหนมาไหนโดยไม่บอกแถมโกหกซ้ำซ้อน แม้ว่าชื่อจุนน์จะไม่ได้ถูกเอ่ยออกไป แต่มันก็ทำให้ฟาร์เกรี้ยวกราดไม่ใช่น้อย จนวาฬและรักที่ไม่เคยเห็นเพื่อนตัวเล็กโกรธจัดขนาดนี้มาก่อนได้แต่ส่งสายตาหวาดๆ ให้แก่กันอยู่ข้างหลังเพื่อนอีกคนที่ดีกรีความเกรี้ยวกราดก็ไม่ได้ต่ำไปกว่ากันเท่าไหร่
“ทำไมแค่มึงจะไปไหนกับใครถึงไม่คิดจะบอกกูบ้างวะฟาร์!”
“ทำไมกูจะไปไหนของกูเองไม่ได้ มึงเป็นอะไรกับกูทำไมกูต้องรายงานมึงหา!”
ปรินเงียบ ผลที่ได้จากการทะเลาะกันในครั้งนั้นคือฟาร์ย้ายออกไปอยู่กับรีรัก ซึ่งยิ่งทำให้ปรินหงุดหงิดขึ้นไปอีกเพราะไม่ได้เจอหน้าฟาร์ทุกวันเหมือนที่เคย แล้วใครที่ต้องเป็นคนมานั่งฟังปรินบ่น? ก็นาวาฬนี่ไงล่ะ ปรินมักจะมานั่งหมกตัวอยู่ที่คอนโดวาฬนานๆ ไม่ก็ชวนเพื่อนออกไปกินเหล้าแทบจะวันเว้นวัน ทุกครั้งที่เหล้าเข้าปาก ปรินมักจะวางแผนฆ่าจุนน์อย่างเป็นตุเป็นตะทุกครั้ง มันไม่ทำหรอก วาฬรู้ดี แต่การปล่อยให้มันได้พูดไปเรื่อยอย่างนั้นก็ดูจะทำให้ปรินรู้สึกดีขึ้นไม่มากก็น้อย เขากลับมาเที่ยวผู้หญิงอีกครั้ง ซึ่งมันทำให้วาฬแอบกังวล
“มึงเพลาๆ เรื่องผู้หญิงก็ดีนะว้อย”
“ไม่ กูอยากลืมแม่ง ไอ้เหี้ยฟาร์มีดีเหี้ยไรวะทำไมกูต้องไปชอบ นมก็ไม่มี”
นาวาฬนิ่งเงียบทุกครั้งที่ปรินพูดแบบนั้นออกมา ในใจก็สงสารเพื่อนสนิทจับใจ จากที่ปรินเล่าให้ฟัง เพื่อนของเขาเริ่มสงสัยว่าตัวเองชอบฟาร์มาตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ไม่เคยกล้าพอที่จะยอมรับกับตัวเองออกมาดังๆ จนกระทั่งวันนั้น พวกเขารู้จักกันมานาน การมีความรักไม่ใช่เรื่องปกติของปรินที่นานๆ ทีจะมีแฟนเป็นตัวเป็นตนสักที เมื่อมีแล้วก็ไม่เคยคบกันได้นาน ยิ่งปรินเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องการเปลี่ยนเพื่อนเป็นแฟน ต่อให้เป็นแค่เพื่อนเรียนชั้นเดียวกันคุณชายเรื่องมากอย่างปรินก็จะไม่มีวันสนใจ มากไปกว่านั้น การชอบผู้ชายเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับปรินเช่นกัน แต่เมื่อทั้งสามประเด็นนั้นเกิดขึ้นพร้อมกันในสถานการณ์เดียวเหมือนในตอนนี้ กลายเป็นว่าตัวต้นเรื่องอย่างฟาร์กลับกำลังมีความสัมพันธ์กับรุ่นพี่ที่สนิทกับปรินมานานอย่างจุนน์ที่อยู่ๆ ก็โผล่เข้ามาในชีวิตฟาร์อีกครั้งจากไหนก็ไม่รู้เสียอีก
มีหลายครั้งที่วาฬอยากจะยุเพื่อนไปให้จบว่า มึงก็บอกฟาร์ไปสิวะว่ามึงรักมัน ทำตัวเหมือนพระเอกนิยายกระชากผมมันมาจูบเหมือนที่มึงทำกับกูวันนั้นก็เหมาะกับมึงดีออก แต่เขาก็ไม่เคยพูดออกไป ต่อให้ไอเดียที่ปรินจะตีหัวจุนน์แล้วลากศพขึ้นเรือประมงไปถ่วงทิ้งในอ่าวไทยจะถูกพูดเหนือแก้วเหล้ามากแค่ไหน แต่วาฬก็รู้ดีว่าปรินยังคงรักและเคารพจุนน์เหมือนกับเขา ภาพฟาร์กับจุนน์ที่ยืนจูบกันในวันนั้นเป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขานั้นไม่ธรรมดา ทำให้ต่อให้รักฟาร์มากแค่ไหน ปรินก็ไม่มีทางที่จะเข้าไปแทรกแซงถ้านั่นหมายถึงการทำร้ายรุ่นพี่ที่คอยช่วยเหลือและดูแลพวกเขามาตลอดตั้งแต่อายุยังอยู่แค่สิบต้นๆ
สิ่งเดียวที่มันจะทำ คือหนีจากการแอบรักฟาร์ให้ได้
ไม่ต่างอะไรกับที่วาฬเคยทำเมื่อสี่ปีก่อน
การได้เห็นเพื่อนมีรีแอคชั่นกับการชอบผู้ชายอย่างรุนแรงของตัวเอง มันยิ่งทำให้วาฬไม่กล้าเล่าให้เพื่อนฟังเรื่องที่ตัวเองเคยชอบอนาคิน แม้ว่าเขาจะรู้สึกผิดที่ปกปิดเพื่อนต่อให้มันอาจจะทำให้เพื่อนรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้ฟัง มันไม่ใช่ว่าเขากลัวเพื่อนรับไม่ได้หรอก แต่เขาแค่ยังไม่อยากยอมรับในสิ่งที่ตัวเองรู้สึกจนถึงตอนนี้ เขาแค่ไม่อยากฟังตัวเองพูดมันออกมาดังๆ มันก็เหมือนทุกครั้งที่มีเรื่องอะไร ปรินมักจะกล้ากว่าเขาเสมอ เรื่องนี้ก็เช่นกัน ปรินมีความกล้าที่จะยอมรับความรู้สึกตัวเองออกมาดังๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่นาวาฬไม่มี ต่อให้มันเป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้วหลายปีก็ตาม
เขาก็ต้องนั่งรับฟังฟาร์เช่นกัน เพื่อนตัวเล็กของเขามักจะโผล่มาโวยวายให้ฟังเป็นประจำว่าปรินมันเป็นบ้าอะไรของมันวะ แม้ว่าจะมีการเลียบๆ เคียงๆ ถามไปด้วยว่าเพื่อนที่ตัวเองมีปัญหาอยู่ด้วยนั้นอยู่ยังไง กินข้าวได้ปกติมั้ย และมีบางครั้งที่วาฬรู้สึกได้ว่าฟาร์อยากถามว่ามันจะย้ายกลับเข้าไปอยู่กับปรินได้เมื่อไหร่ตามประสาคนที่ไม่เคยโกรธใครจริงจังท่ามกลางสายตาเบื่อหน่ายแบบ กูฟังมาเยอะแล้ว ตามึงบ้าง ของรีรัก ฟาร์ไม่เคยพูดถึงจุนน์ให้เขาฟัง และนาวาฬก็ไม่เคยถามหรือเล่าว่าคืนนั้นเขากับปรินเห็นอะไร ถ้าฟาร์พร้อมที่จะเล่าฟาร์ก็คงจะเล่าเอง เขาเชื่อแบบนั้น
เป็นเพื่อนกันยิ่งต้องเคารพกัน ถ้ามันยังไม่อยากเล่า เขาก็ไม่มีสิทธิ์ไปบังคับให้มันเล่า
กลับมาที่ปัจจุบัน อนาคินหยุดกึกเมื่อได้ยินคำตอบของเขา
“ผมลืมไป คุณอยู่รอผมหลังเลิกงานละกัน ผมมีงานที่อาจจะต้องให้คุณช่วยเคลียร์นิดหน่อย คุณยกเลิกนัดเพื่อนคุณไปก่อนละกันนะ”
ชายหนุ่มยิ้มก่อนจะเดินออกไปจากห้องทันที นาวาฬแทบจะกรีดร้องในใจ พักหลังเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเป็นประจำจนเขาเชื่อเสียแล้วว่าผู้เป็นเจ้านายตั้งใจให้เขาต้องกลับบ้านดึกทุกวัน
ขอถอนคำพูดว่าอนาคินเป็นเจ้านายที่ดี
........
“ขอบคุณที่มาส่งครับ”
“ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะคุณ ฝากทักเบนให้ผมด้วยล่ะ”
อนาคินเอื้อมมือมาขยี้ผมเขาจากที่นั่งคนขับเหมือนทุกทีก่อนจะขับออกไป นาวาฬมองตามรถสีขาวคันนั้นไปจนสุดตาก่อนจะกัดปากตัวเองเบาๆ เมื่อรู้สึกได้ถึงรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปากตัวเอง
เจ้านายที่ไหนก็ต้องมาส่งลูกน้องทั้งนั้นแหละ สามทุ่มแล้วนี่นา
แต่จริงๆ นายขับรถกลับมาเองก็ได้นิ เสียงเล็กๆ ที่เขาเกลียดดังขึ้นในหัวอีกครั้งจนนาวาฬแทบอยากจะปาเอกสารพะรุงพะรังที่ตัวเองถืออยู่ลงพื้นด้วยความขัดใจเมื่อนึกถึงรถ Ford Blanco สีฟ้าคู่ใจของตัวเองที่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ใช้งานเท่าไหร่และถูกจอดทิ้งไว้ที่คอนโด
“จะหลอกมันไปถึงเมื่อไหร่ว่ามึงอยู่กับพี่”
วาฬสะดุ้งโหยงจนเอกสารตกกระจัดกระจายอยู่บนพื้นด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเสียงเบญจมินทร์ ชายหนุ่มที่วาฬไม่ทันสังเกตว่านั่งอยู่ข้างประตูหัวเราะ ปากคาบบุหรี่ไว้ข้างๆ อย่างที่วาฬและปรินพยายามเลียนแบบทุกทีเมื่อตอนยังเป็นเด็ก มือสองข้างพยายามมัดผมยาวประบ่าของตัวเองขึ้นให้เป็นระเบียบอย่าทุลักทุเล
“พี่เบนนั่งทำไมเงียบๆ ตกใจหมด”
“มึงเอ๋อไม่เห็นเอง มานั่งนี่ เอกสารเดี๋ยวค่อยเก็บ” เบญจมินทร์ตบที่ว่างข้างๆ ตัวเองให้รุ่นน้องคนสนิทเข้ามานั่ง วาฬทำตามอย่างว่าง่าย ต่อให้โตๆ กันแล้ว นาวาฬก็ยังเชื่อฟังเบญจมินทร์เหมือนเด็กประถม
“ตอบพี่ได้ยังว่าจะให้ไอ้คินมันเข้าใจไปถึงเมื่อไหร่ว่ามึงอยู่ที่นี่”
บุหรี่ถูกส่งต่อ วาฬรับมาเข้าปากก่อนจะพ่นควันออกไปช้าๆ อย่างใช้ความคิดกับคำถาม
“เอาจริงๆ เลยพี่เบน ตอบไม่ได้”
“คือพี่ไม่ได้อะไรกับการที่มึงมานอนบ้านพี่หรอกนะ แค่ไม่เข้าใจว่ะ จะอะไรกับมันนักหนา แฟนเก่าก็ไม่ใช่ แค่มึงไปจูบมันสิบปีที่แล้ว”
“สี่ปีไม่ใช่สิบปี” วาฬแก้ แต่คำพูดของเบญจมินทร์ทำให้เขานิ่งคิดไปได้นิดหน่อย เอาจริงๆ จุดนี้เขาก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอะไรทำให้เขากลัวกับการที่อนาคินจะเข้ามาใกล้เขาเกินไป ในเมื่อคนๆ นั้นก็พิสูจน์ให้เขาเห็นแล้วว่าไม่ว่าเรื่องอะไรจะเกิดขึ้นในอดีต แต่ปัจจุบันพวกเขาก็ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันได้ (อาจจะดีเกินไปนิดนึง วาฬแอบคิดในใจ) อนาคินไม่เคยพยายามจะเข้ามาประชิดตัวเขาด้วยซ้ำ
ลึกๆ แล้ว นาวาฬก็รู้ดีว่าเขากลัวตัวเองมากกว่า ตราบใดที่เขายังสามารถเห็นภาพตัวเองเชิญชวนอนาคินเข้ามานั่งดูหนังเล่นเกมส์ด้วยกันเหมือนในอดีต เขาก็ไม่ไว้ใจตัวเองอะไรทั้งนั้น หัวใจเขายังเต้นอยู่นิดๆ หน่อยๆ เมื่ออยู่ใกล้คนตัวปัญหา แต่เขาก็บอกตัวเองทุกครั้งว่ามันเป็นเรื่องปกติ คนมันยังมีชีวิตอยู่นะเว้ย จะไม่ให้หัวใจเต้นเลยเหมือนคนตายมันก็คงเป็นไปไม่ได้หรอก
แต่ก็นั่นแหละ เขายังไม่คิดว่าเขาพร้อมที่จะให้อีกคนเข้ามาใกล้ได้มากกว่านี้ อย่างน้อยก็ในตอนนี้
“น้องพี่แม่งกลัวใจตัวเองว่ะ” หนุ่มผมยาวพูดอย่างรู้ทัน
“เปล่าเว้ย”
“ใช่”
“ก็บอกว่าเปล่า”
“เถียงอะไรกัน” ร่างสูงอีกร่างที่ไม่มีใครทันสังเกตปรากฎตัวขึ้นจากประตูอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียงจนนาวาฬสะดุ้งอีกครั้ง ก่อนจะยิ้มให้อย่างงงๆ เมื่อเห็นว่าเป็นพี่ชายของตัวเอง
“ทำไมพี่นนท์อยู่นี่อะครับ”
“ลัลอยากเล่นกับแมว พี่เลยพามาเล่น แล้วดูเวลาผิดไปหน่อยเลยนอนที่นี่ไปเลย นี่เพิ่งกล่อมเสร็จ” นนท์สกุลอ้าปากหาว “แล้ววาฬมานี่ทำไม ไม่ใช่ว่าพรุ่งนี้ต้องทำงานเช้า?”
“กูเห็นทั้งมึงทั้งลัลมานอนนี่ เลยโทรเรียกวาฬให้มาด้วย” เบญจมินทร์ตอบแทนก่อนที่วาฬจะหาคำแก้ตัวดีๆ ให้ตัวเองได้ นนท์สกุลขมวดคิ้ว
“แล้วเอกสารอะไรเต็มพื้น เก็บด้วยนะ ส่วนมึงไอ้เบน แค่มัดผมมันจะยากอะไรนักหนา” ชายหนุ่มบ่นก่อนจะเริ่มมัดผมให้เพื่อนสนิทที่หัวเราะหึๆ แต่ก็ยอมส่งยางให้มัดแต่โดยดี
“บ่นอย่างกับเป็นเมียกู”
“ก็หาเมียซะกูจะได้ไม่ต้องลำบากมาบ่นแทน”
เสียงพี่ๆ ทั้งสองที่กัดกันเป็นประจำต่อให้เป็นเพื่อนสนิทกันมาเป็นยี่สิบกว่าปีนั้นเป็นที่เคยชินของหูนาวาฬ เขาก้มลงเอกสารตามที่โดนสั่งก่อนจะขมวดคิ้วไปนิดเมื่อเห็นว่าข้อความบนเอกสารที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นนั้นดูไม่คุ้นตา
แทนที่จะเป็นรายละเอียดเคสใหม่ที่วาฬจะต้องมาทำสรุปเหมือนที่เคย กระดาษที่กระจายอยู่รอบตัวเขานั้นกลับเต็มไปด้วยข้อมูลแปลกๆ ที่ถูกลิสต์ออกมาในแบบที่เขาไม่เข้าใจ ชื่อจริง นามสกุล ส่วนสูง การศึกษา รวมไปถึง ..
“รูปใครเยอะแยะ” เบญจมินทร์คว้ากระดาษที่นาวาฬถืออยู่ไปดู นนท์สกุลชะโงกข้ามไหล่เพื่อนมามองด้วยความสนใจ
“ผู้หญิงที่ไหนวะ”
“อชิตา วริศรา .. คนนี้กูก็รู้จักนี่หว่า” ชายหนุ่มใช้นิ้วจิ้มย้ำๆ ไปยังผู้หญิงผมยาวหน้าหมวยที่ส่งยิ้มหวานออกมาจากในรูป “ชิชา ลูกสาว SP Shipping ไง เห็นมีคนบอกว่าเพิ่งกลับจากเมกา มึงจำได้ปะวะ”
จริงอย่างที่เบญจมินทร์พูด ทุกข้อมูลในเอกสารพวกนั้นมีรูปผู้หญิงกำกับมาด้วยเสมอ เขาแอบเห็นรูปผู้หญิงบางคนที่เคยมีความสัมพันธ์กับเขาแซมอยู่ประปราย วาฬรู้สึกได้ถึงหัวใจตัวเองที่เต้นตึกตักด้วยความไม่พอใจอะไรบางอย่าง ทำไมโคลถึงมีรูปพวกนี้ล่ะ
“กูรู้แล้ว” นนท์สกุลพยักหน้า สายตาไล่อ่านข้อมูลบนกระดาษไปด้วยอย่างสนใจ “มึงจำที่ไอ้คินมันบ่นเร็วๆ นี้ได้ปะวะ เรื่องที่สามีพี่มันแอบมาบอกมันที่โรงบาลอะ”
“จำไม่ได้”
“ก็นั่งฟังอยู่ด้วยกัน ทำไมจะจำไม่ได้”
“กูไม่จำเพราะรู้ว่ามึงจะจำให้กูไง”
“สัสเบนมึงด่ากูขี้เสือก”
“กูชมว่ามึงเป็นคนเก็บข้อมูลเก่ง”
“ก็คือเสือก”
“กูไม่ได้พูด มึงพูดเอง”
“กูไม่เล่าแล้ว”
“งอนอะไรกูวะเนี้ยครับคุณนนท์สกุล”
“พี่นนท์จะเล่าได้ยังครับ” วาฬถามค่อยๆ เป็นการขัดจังหวะพี่ทั้งสองที่ดูเหมือนจะไม่หยุดเถียงกันไปมาง่ายๆ เบญจมินทร์ส่งสายตาหัวเราะกวนบาทาให้เขา
“มึงอยากรู้ขนาดนั้นเลยหรอ”
“แล้วพี่เบนอยากรู้ปะละ” เขาตอบกลับแบบข้างๆ คูๆ แม้ว่าจะปฏิเสธไม่ได้เต็มปากว่าตอนนี้คือโคตรอยากรู้ เบญจมินทร์หัวเราะ
“มึงเล่ามาเหอะนนท์ เลขาไอ้คินอยากรู้จะตายอยู่แล้วเนี้ย”
“...”
“เออกูขอโทษที่ทำให้มึงคิดว่ากูด่ามึงเสือกต่อให้กูตั้งใจจะชมมึงก็เหอะ จะเล่าได้ยัง” ชายหนุ่มผมยาวยอมแพ้ในที่สุด นนท์สกุลถึงยอมเปิดปากเล่า
คำพูดที่ออกมาจากปากของพี่ชายทำให้นาวาฬต้องยืนตัวแข็ง
“ไอ้คินมันบ่นๆ ตอนที่มึงแดกเหล้าอยู่กับไอ้จุนน์ไงว่าแม่มันกลัวมันหาเมียไม่ได้เลยจะหาให้ ลิสต์พวกนี้ก็คงเป็นพวกผู้หญิงที่แม่มันพยายามจับคู่ให้นั่นแหละ คงส่งมาให้มันดูก่อนเป็นแคตตาล็อค”
“ต้องขนาดนั้นเลยหรอวะ”
นนท์สกุลถอนหายใจ ดูเหมือนจะไม่ทันสังเกตเห็นอาการของน้องชายตัวเองที่กำลังกลั้นหายใจฟังประโยคต่อไป “มึงก็รู้ว่าแม่งไม่เที่ยว ไม่จีบคน ไม่ชอบมีแฟน หรือถ้าจะมีก็คงซุกเมียไว้ที่ไหนซักที่ ถ้ากูเป็นแม่มันกูก็คงกังวลลูกกูเหมือนกันว่ะ ไอ้ห่าจะสามสิบแล้วแฟนคนสุดท้ายที่มีคือตอนปอตรี”
วาฬนิ่งเงียบ เขาไม่เคยคิดเรื่องอนาคินมีแฟนมาก่อน
“ไอ้คินแม่งสุภาพบุรุษจะตาย ผู้หญิงมาอ่อยตรงหน้าเป็นสิบแม่งยังไม่เคยทำอะไรเลย ต่อให้เป็นก่อนหน้าที่มันจะ ... เออนั่นแหละ พ้อยท์กูคือมันยังไม่อยากมีใครแล้วแม่มันจะมาเดือดร้อนอะไรแทนมันวะ
“แล้วส่งมาเป็นลิสต์อย่างงี้คิดว่ามันจะสนหรอ” เบญจมินทร์พลิกหน้ากระดาษไปมา สายตาไล่อ่านข้อความที่อยู่บนนั้นอย่างรวดเร็ว “นิสัยอย่างมันต้องคิดแน่ๆ ว่าลิสต์แบบนี้ทำให้ผู้หญิงดูเหมือนสิ่งของ กูคิดว่าคุณชายเฟมินิสต์อย่างมันน่าจะโยนกระดาษพวกนี้ทิ้งไปด้วยซ้ำ ไม่น่าจะเก็บไว้อย่างนี้”
“เราน่าจะหยิบมาผิดเองพี่เบน เห็นอยู่หลังรถเลยกวาดเอามา” วาฬบอกค่อยๆ
“กูสงสัยมากกว่าว่าทำไมชิชาอะไรนี่ต้องเป็นตัวเอียง” จริงอย่างที่นนท์ว่า ชื่อ ชิชา วาสณาวณิช นั้นถูกตีพิมพ์ด้วยตัวเอียงในแบบที่แตกต่างกับคนอื่นอย่างชัดเจน “แม่ไอ้คินเน้นไว้ให้หรอ คนนี้หรอวะที่จะเป็นเพื่อนสะใภ้กู”
ตึก
ใจนาวาฬตกลงไปเต้นอยู่ที่ตาตุ่ม แต่เจ้าของมันไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะหาเหตุผลว่าเป็นเพราะอะไร เขายืนนิ่ง จ้องมองไปยังรูปภาพผู้หญิงที่ส่งยิ้มตอบมาให้เขาเงียบๆ
เธอสวย เขาไม่ปฏิเสธ ผมยาวสีบลอนด์ของเธอนั้นถูกดัดให้คลอเคลียอยู่ที่บ่า ดวงตาเรียวยาวนั่นดูน่ารักเหมือนตุ๊กตา ถ้าเป็นในอดีต อดีตเสือผู้หญิงอย่างวาฬคงไม่ลังเลที่จะเข้าหาเธอหรือทำให้เธอเข้าหาเขาเองเหมือนอย่างที่เคยทำ แต่ในตอนนี้มันไม่ใช่
แค่รูปของเธอก็ทำให้เขารู้สึกใจหายแบบแปลกๆ
“ไอ้คินไม่เลือกคนที่เจอกันเพราะแม่จับคู่ให้หรอก”
“เป็นกูหน้าตาแบบนี้กูเอา ใครเลือกให้กูก็เอา”
“มึงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ้คินชอบคนแบบไหน”
“แล้วมึงรู้?”
“เออ อย่างน้อยกูก็รู้ว่ามันชอบคนผมสั้นๆ ปากแข็ง—“
“หา”
นนท์สกุลทำหน้างงเมื่อได้ยินคำตอบของเพื่อนสนิทที่แอบส่งยิ้มแพรวพราวให้น้องชายของตัวเอง แต่นาวาฬไม่ทันได้สังเกต เขาไม่ได้ฟังเสียด้วยซ้ำ ชายหนุ่มยืนอยู่ตรงนั้น ภาวนาให้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในอกไม่ใช่ความหึงหวง
แม่งไม่ใช่หรอก เขาบอกกับตัวเอง โคลจะแต่งกับใครก็เรื่องของมันสิ ใครจะสน
......................