Chapter 12 เราสองคน
“ไม่ได้อยู่กรุงเทพแล้วเหรอครับ”
“อืม ย้ายมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เรียนจบ”
“แล้วบ้านที่กรุงเทพ?”
“พ่อแม่พี่น้องก็อยู่เหมือนเดิม”
“พอกลับไปเรียนแล้วจะได้เจอพี่ใจอีกเมื่อไหร่” ผมถามคนที่ผมนอนทับอยู่เสียงเศร้า ตอนนี้เป็นเช้าของอีกวันที่ผมยังอยู่ที่เชียงราย ผมกับพี่ใจตื่นสักพักแล้วแต่ยังไม่ยอมลุกออกจากเตียงกัน ผมปืนขึ้นมานอนทับบนตัวพี่ใจตั้งแต่เขาตื่น เรานอนคุยกันไปเรื่อย ๆ มีหลายเรื่องของพี่ใจที่ผมยังไม่รู้
“วันหยุดไง ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนิ เชียงรายกับกรุงเทพห่างกันแค่นี้เอง” ผมอมยิ้มกับคำพูดของพี่ใจ ผมยื่นหน้าเข้าไปจูบที่ปลายคางพี่ใจเบา ๆ อย่างออดอ้อน เมื่อก่อนตอนที่เป็นแฟนกันผมก็ทำแบบนี้กับพี่ใจถึงจะนาน ๆ ครั้งแต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคย แค่ไม่บ่อยแค่นั้นเอง
“อ้อนเหรอ?” พี่ใจถามผมพร้อมกับอมยิ้มที่มุมปาก อย่างหล่ออะบอกเลย
“ก็ปกติ” ผมปฏิเสธทั้ง ๆ ที่หลักฐานมันคาตา
“พี่ชอบความปกติแบบนี้” พี่ใจวาดวงตาสะท้อนความชอบเหมือนที่ปากพูดอย่างปิดไม่มิด มือหนาข้างซ้ายก็ลูบอยู่ที่เอวผม ส่วนข้างขวาเขาใช้มันลูบอยู่ที่ใบหน้าของผม ผมเอียงหน้าเข้าฝ่ามือใหญ่ของพี่ใจอย่างไม่รู้ตัว
“เดี๋ยวผมก็เปิดเทอมแล้ว” ผมบอกพี่ใจที่นอนลูบไม้ลูบมือไปทั่วหน้าและตัวผม
ผมกำลังจะขึ้นปีสามแล้ว เหลือเวลาอีกสองปีก็เรียนจบ ถึงเวลานั้นคนที่จะดีใจในการเรียนจบของผมที่สุดคงไม่พ้นแม่ ครอบครัวผมเรามีกันแค่นี้ แค่ผมกับแม่ ท่านเลี้ยงผมมาตัวคนเดียว ผมยอมรับเลยว่าเก่งมากที่เลี้ยงผมมาได้ถึงขนาดนี้ ผมจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง ผมเคยบอกกับแม่ไว้ตอนผมกำลังจะเรียนมหาลัยว่าผมจะตั้งใจเรียนให้จบ จะได้ทำงานหาเงินช่วยแม่ ครอบครัวผมเป็นคนจังหวัดน่าน ในตอนนี้ที่ผมไปเรียนที่กรุงเทพ ท่านอยู่บ้านคนเดียวแม่ผมเป็นนักเขียนคนหนึ่งเท่านั้น รายได้ไม่ได้มากมายแต่ก็ไม่ได้น้อย มันพอดีมากสำหรับครอบครัวเรา
“พี่จะลงไปส่งดิ๊กเอง” พี่ใจบอกผม
“แวะบ้านแม่ผมก่อนได้มั้ย” ผมบอกเขาในสิ่งที่ผมนอนคิดมาตั้งแต่เมื่อคืน ไหน ๆ ก็มีคนขับรถให้แล้วผมก็อยากใช้ให้คุ้มกับที่พี่ใจลากผมมาถึงที่นี่
“ได้สิ แวะเอาชาสูตรใหม่ไปให้ท่านด้วยดีมั้ย” พี่ใจลูบหัวผมไปด้วยพร้อมกับพูด ในตอนนี้เขาดูเหมือนคนใจดีขึ้นมาหน่อยในระดับนึง คงเพราะเป็นตอนเช้าอยู่ถึงได้ไม่ทำหน้าดุ ๆ
“ผมจะรีบเรียนให้จบ อย่าเพิ่งมีกิ๊กนะ” ผมบอกพี่ใจติดตลก พี่ใจเองเมื่อได้ยินที่ผมพูดเขาก็หัวเราะเบา ๆ แต่ก็สะเทือนไปทั้งตัวผมที่นอนทับเอาอยู่ แนบแน่นได้กลิ่นอายความอบอุ่นจนผมไม่อยากลุกจากเตียงเลย เขาคือต้นเหตุที่ทำให้ผมเป็นตัวขี้เกียจติดเตียง
“กิ๊กไม่มีแน่นอน ไม่ต้องรีบเรียนเท่าที่ไหว ยิ่งสมองอื้อ ๆ อยู่ด้วยเราน่ะ พี่เป็นห่วง” เป็นประโยคที่ทำให้ผมมีหลากหลายอารมณ์เสียจริง ทั้งแอบปลื้มที่เขาบอกว่าจะไม่มีคนอื่น ทั้งหงุดหงิดเบา ๆ ที่เขาว่าผมสมองอื้ ทั้งเขาที่บอกว่าเป็นห่วงผม เป็นประโยคที่รวมแล้วก็ถือว่าได้ใจผมไประดับนึงอะนะ
“ตกลงจะบอกใช่มั้ยว่าผมโง่” ผมแกล้งเม้มปากให้เขา ทั้งที่จริงไม่ได้เป็นอะไรกับคำที่เขาบอกว่าผมโง่หรอกนะ ก็มันความจริงทั้งนั้นจะไปว่าเขาจริงจังได้ยัง…
“ไม่ได้พูดว่าโง่สักคำ” แค่รูปประโยคเปลี่ยนแต่ความหมายเดียวกัน ผมไม่ได้โง่ขนาดนั้นสักหน่อยเหอะ
“เราจะลุกจากที่นอนเมื่อไหร่” ผมถามพี่ใจ เริ่มบทสนทนาเรื่อยเปื่อยอีกครั้ง อยากให้เป็นแบบนี้ไปตลอด ผมอยากมีช่วงเวลาแบบนี้กับพี่ใจให้เยอะ ๆ ไม่ใช่เพื่อทดแทนที่เมื่อก่อนเราไม่ได้ใส่ใจกันมากเท่าที่ควร แต่อยากทำเพราะมันคือความสุข ผมมีความสุขที่ได้นอนคุยกับพี่ใจ ถามในหลาย ๆ เรื่องที่เรายังไม่รู้ของกันและกัน เหมือนเราได้เรียนรู้กันไปเรื่อย ๆ ผมชอบแบบนี้ มันมีความสุขอยากบอกไม่ถูก หรือส่วนหนึ่งอาจจะมาจากที่ผมเสียใจมาตลอดหกเดือนที่ผ่านมา มันเลยทำให้ผมโหยหาเขามากขึ้นไปอีก บอกไม่ถูกรู้แค่ว่าแบบนี้ดีที่สุด คิดแล้วผมก็เผลอเอียงซบใบหน้าลงที่อกหนาตำแหน่งที่สัมผัสได้ถึงการเต้นของหัวใจของคนที่ชื่อว่าหัวใจได้อย่างชัดเจน
“งานที่ไร่ไม่ยุ่งเท่าไหร่ นอนแบบนี้ทั้งวันยังได้ถ้าดิ๊กไหว” ผมอมยิ้มกับคำพูดของพี่ใจ รู้สึกได้ถึงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอเหนือหัวผม
“คนที่ไม่ไหวน่าจะเป็นพี่ใจมากกว่า ให้ผมนอนทับมาตั้งแต่เช้า” ผมพูดตามความจริง ผมก็ผู้ชายคนนึงถึงจะเตี้ยยังไง ก็น่าจะหนักพอสมควรอยู่นะ
“มีอะไรให้ไม่ไหว ชั่งน้ำหนักครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ไหนบอกพี่ซิ” พี่ใจอมยิ้มมองผม
“ประมาณเจ็ดเดือนก่อน น้ำหนัก 56 ถ้าจำไม่ผิด” ไม่แน่ใจเหมือนกันกับน้ำหนักตัวของตัวเอง ผมจำได้ว่าตอนที่ชั่งคือเข้าโรงพยาบาลเพราะเป็นไข้หวัดใหญ่ หลังจากนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจตัวเองนับตั้งแต่เลิกกับพี่ใจ เอ๊ะ ใช้คำนี้ได้หรือเปล่านะหรือต้องบอกว่าหลังจากที่โดนพี่ใจดัดนิสัยให้ห่างกันสักพัก
“อืมมม ตอนนี้ก็น่าจะสัก…53?” พี่ใจจับ ๆ ลูบคลำไปทั่วตัวผมก่อนจะเดาน้ำหนักผมตอนนี้ตามความรู้สึกของตัวเอง
“ถ้าใช่นี่ผมอึ้งเลยนะ” ผมบอกพี่ใจอย่างขำ ๆ
“เดี๋ยวก็รู้ว่าจะอึ้งไม่อึ้ง” มั่นใจอะไรขนาดนั้นพ่อคุณเอ้ยยย
“แต่ตอนนี้ผมหิวอะ”
“งั้นลุกไปอาบน้ำ จะได้ไปโรงอาหารกลาง” พี่ใจบอกผมพร้อมกับจับเอวผมไว้ให้ลุกขึ้น กลายเป็นว่าตอนนี้ผมนั่งทับอยู่หน้าท้องพี่ใจ เอ๊ะ ท่ามันยั่ว ๆ ป่ะวะ
“มองอย่างนี้ ไม่อยากไปกินข้าว?” พี่ใจพูดแซวผม เล่นเอาซะผมเขินแทบโดดลงจากเตียงแทบไม่ทัน
“ผมจะไปอาบอีกห้อง ส่วนพี่ใจรีบลุกเลยนะ” ผมบอกพี่ใจตอนที่กำลังจะเดินออกจากห้อง คนตัวสูงนอนมองผมอยู่บนเตียงสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“จ้าาา” อารมณ์ดีนักเชียวถ้าได้แกล้งผมอะ
เมื่ออาบน้ำเสร็จผมกับพี่ใจก็เดินออกจากบ้านพร้อมกัน ทางที่ได้เดินไปเป็นทางเดียวกันกับที่เลขาพี่ใจพาผมมาคราวก่อน
อากาศตอนเช้าของที่นี่กำลังดีเลย ลมพัดนิดหน่อยให้พอเย็นผิวกาย พระอาทิตย์ขึ้นแล้วถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ร้อนอย่างกรุงเทพเลย
“อีกสองปีก็เรียนจบแล้วใช่มั้ย” พี่ใจถามผมในขณะที่ฝ่ามือใหญ่ก็เอื้อมมากุมมือผมไว้ด้วย ผมอมยิ้มอย่างคนทำอะไรไม่ถูกเมื่อพี่ใจเล่นบทหวานๆ แบบนี้
“ใช่ครับ” ผมตอบพี่ใจเสียงเบา สองขาก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงพร้อมกับพี่ใจ ผมมองไปข้างหน้าเห็นหลังคาโรงอาหารกลางอยู่อีกไม่ไกลนักจึงกะว่าจะรีบเร่งฝีเท้าให้ไปถึงเร็วๆ
แต่ก็โดนมือพี่ใจที่กุมมือผมไว้อยู่ดึงให้ผมหยุดเดิน ผมหันกลับไปมองหน้าพี่ใจอย่างสงสัยว่ามีอะไร
เขาไม่ตอบจนผมตั้งท่าจะเอ่ยปากถามออกไปเอง แต่พี่ใจก็ชิงพูดประโยคที่ทำให้ผมต้องอ้าปากค้างขึ้นมาก่อน
“เรียนจบแล้วก็มาทำงานที่นี่นะ มาอยู่ด้วยกัน” ไอ้คนพูดมันก็พูดด้วยน้ำเสียงธรรมด๊าธรรมดา แต่ทำไมไอ้คนฟังอย่างผมถึงได้เขิ๊นเขินวะ งงตัวเอง
ผมเผลอตัวบีบมือพี่ใจข้างที่เขากุมมือผมไว้แน่น นี่พี่ใจจะรู้ตัวมั้ยว่าคำถามนี้มันชวนให้ผมคิดไปไกลว่านี่เป็นประโยคสู่ขอแฟนล่วงหน้าด้วยตัวเอง
“ตำแหน่งไหนว่างแล้วน่าสนใจบ้าง ผมจะสมัครล่วงหน้าไว้เลย” ผมทำใจกล้าเงยหน้าขึ้นถามพี่ใจ ปากก็ยิ้มกว้างอย่างไม่เกรงกลัวต่อสายตาเจ้าเล่ห์
“ภรรยาเจ้าของไร่” ตอบได้หน้าตาเฉยสมกับเป็นพี่ใจจริงๆ
“โอ๊ยยย ตำแหน่งนี้ไม่ต้องสมัครก็ได้มั้งงง” ผมอมยิ้มตอบพี่ใจ
“ทำไมล่ะ?” พี่ใจเลิกคิ้วถามผม
“เอ้า ก็เป็นอยู่นี่ไง จะให้สมัครอะไรอีก” หน้าด้านไปอีกไอ้ดิ๊กเอ้ยยย
“หึ ร้ายนัก” ว่าจบก็ก้มตัวลงมาจุ๊บปากผมอย่างแรงจนเลือดปากผมกระเด็นเลย เป็นจังหวะที่ปากมันสามัคคีกับฟันพอดีไง
TBC.
ยิ้มกรุบบบบ