พิมพ์หน้านี้ - SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (21.03.21) ตอนพิเศษ อาถรรพ์ดินเนอร์ (1) [Updated]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Caramella ที่ 28-05-2016 12:53:01

หัวข้อ: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (21.03.21) ตอนพิเศษ อาถรรพ์ดินเนอร์ (1) [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 28-05-2016 12:53:01
อ้างถึง
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.เรื่องสั้นให้จั่วคนว่าเรื่องสั้นด้วยนะครับ และนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ



คำโปรย

“ความฝันของเด็กขายอย่างพวกเขา คือ การถูกรับเลี้ยงจากเสี่ยที่เพียบพร้อมทั้ง ‘รูปลักษณ์’ และ ‘ทุนทรัพย์’”


ขอโทษเถอะ นั่นมันงมหาเพชรในโคลมตม นอกจากเสี่ยที่รับเลี้ยงเขา จะอายุราวคราวเป็น ‘พ่อ’  ได้ รูปร่างหน้าตายังจัดได้ว่า ห่างไกลจากคำว่า ‘เทพบุตร’ ไปมากโข หน้าตาธรรมดาทั่วไป หุ่นก็อย่างชายวัยกลางคนที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย แถมยังชอบกินเด็กเอ๊าะๆ เห็นทีจะเข้าท่าอยู่อย่างเดียวตรงที่กระเป๋าหนัก

เอาเถอะ ในเมื่อฝ่ายนั้นพร้อมจ่าย เขายินดีมอบร่ายกายให้ ยังไงเสียเขาก็หมดศรัทธาต่อความรักตั้งแต่วันที่ก้าวเข้าสู่วงการนี้แล้ว

-----------------------------------------------------------

สารบัญ

1st Night (บทนำ) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54053.msg3389164#msg3389164)
2nd Night : "จูบ"  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54053.msg3389626#msg3389626)
3rd Night : นายหน้า (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54053.msg3391154#msg3391154)
4th Night : แขกคนสำคัญ  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54053.msg3394755#msg3394755)
5th Night : ข้อตกลงใหม่ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54053.msg3400671#msg3400671)
6th Night : ไร้ทางสู้ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54053.msg3415300#msg3415300)
7th Night : 'เสี่ย' (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54053.msg3428422#msg3428422)
Friday Night : ปล่อยมือ {ธวัตร}  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54053.msg3455675#msg3455675)
8th Night : สอน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54053.msg3490210#msg3490210)
9th Night : ราคาที่ต้องจ่าย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54053.msg3545177#msg3545177)
10th Night : ยั่ว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54053.msg3553996#msg3553996)
11th Night : เลยเถิด (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54053.msg3576866#msg3576866)
12thNight : ให้สัญญา (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54053.msg3614295#msg3614295)
13th Night : สตอล์คเกอร์ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54053.msg3655009#msg3655009)
14th Night : โอกาส (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54053.msg3764077#msg3764077)
15th Night : สปอนเซอร์ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54053.msg3819661#msg3819661)
16th Night : หลบหนี (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54053.msg3852180#msg3852180)
17th Night : ปาร์ตี้วันเกิด (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54053.msg3858883#msg3858883)
18th Night : ความลับ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54053.msg3875835#msg3875835)
Friday Night : เศษความทรงจำ {ศานนท์} (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54053.msg3930063#msg3930063)
19th Night : สารภาพ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54053.msg4002689#msg4002689)
20th Night : มองได้ แต่อย่าชอบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54053.msg4008911#msg4008911)
21st Night : กรึ่ม (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54053.msg4020607#msg4020607)
22nd Night : ถ่ายทำ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54053.msg4021038#msg4021038)
23rd Night : สปอยล์ (1)  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54053.msg4023316#msg4023316)
24th Night : สปอยล์ (2)  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54053.msg4025619#msg4025619)
-----------------------------------------------------------
   

กราบสวัสดีนักอ่าน Caramella ค่ะ
 เมลล่าเป็นมือใหม่ จริงๆ ก็ไม่ค่อยใหม่แล้ว แค่เขียนไม่เคยจบสักเรื่อง ถถถถถถ
อยากขอคำวิจารณ์จากนักอ่านนิ๊ดนึงงง ไม่ว่าจะคำผิด หรือแค่แซวตัวละคร ไปจนถึงด่าเรื่องตรรกะวิบัติ / พล็อตง่อย
เมลล่าน้อมรับทุกคำวิจารณ์ ที่กลับมาครั้งนี้อยากแก้ตัวกับงานที่ทำไว้ไม่เสร็จ แถมอัพแบบไร้สติ ไม่มีตรวจทาน
ส่วนกำลังใจเป็นผลพลอยได้ที่ดีย์ อิอิ


**คำเตือน**

- สำหรับผู้อ่านที่มองหาความดาร์กและดราม่า มันอยู่ไม่นานค่ะ เดี๋ยวก็ฟรุ้งฟริ้ง ถถถถ
- สำหรับผู้อ่านที่มองหาความฟรุ้งฟริ้งในช่วงแรก ยังก่อนค่ะยังง มันง่ายไป #โดนตบ
- สำหรับผู้อ่านมีมองหา NC เมลล่าอ่อนด้อยเรื่องนี้ อย่าหวังอะไรมากค่ะ 5555+
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 28.5.16 [เกริ่นนำ] {ตอนแรกสองทุ่มเจ้าค่ะ}
เริ่มหัวข้อโดย: ::ppppop:: ที่ 28-05-2016 13:25:40
 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 28.5.16 [เกริ่นนำ] {ตอนแรกสองทุ่มเจ้าค่ะ}
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 28-05-2016 19:43:08
1st Night



“ You’re the only light in the night when I almost lost my mind ”
[คุณคือแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในค่ำคืนที่ผมเกือบสูญเสียตัวเอง]



   ทันทีที่เขาเดินเข้ามาในโซนสำหรับนั่งดื่มของบาร์ กีตาร์โปร่งใสๆ กับเพลงรักเบาๆ ก็เปลี่ยนความเร่งรีบให้เป็นผ่อนคลายและสงบ รอบๆ โซนมีแขกกระจายนั่งดื่มกันประปราย ข้างๆ พวกเขาก็มักจะพบสาวเชียร์อยู่ใกล้ๆ



   แต่คุณคิดเหรอว่าบรรยากาศในบาร์จะอบอุ่นและเป็นสงบเสงี่ยมขนาดนี้ รอให้ดึกกว่านี่อีกสักหน่อยเถอะ พวกเขาถึงจะเผยธาตุแท้



   กวาดตาสำรวจจนพอใจ ร่างโปร่งก็ตรงเข้าไปยังเคาท์เตอร์นั่งดื่มอย่างไม่รีบร้อน ระหว่างทางมีสายตาหลายคู่จับจ้องเป็นระยะ คงเพราะเขาอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีขาวที่จัดว่าค่อนข้างบางกับกางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้ม แค่โดนแสงไฟสลัวก็มากพอให้เห็นเค้าโครงรูปร่างใต้เนื้อผ้า



   “รับอะไรดีครับ คุณชายตุลย์“


        ไม่ทันได้นั่ง คำทักทายติดตลกของบาร์เทนเดอร์ก็ลอยมา ตามด้วยเสียงใสๆ ของสาวในชุดกระโปรงสั้นที่นั่งตรงข้าม
   


         “คุณชายตุลย์จะนั่งตรงไหนเพคะ หม่อมฉันจะได้จัดที่รับเสด็จให้ถูก”



   เธอแสร้งทำท่ากุลีกุจอเจ้ามาเลื่อนเก้าอี้ให้เขา ส่งสายตาหวานล้ำเหมือนที่ใช้เวลารับแขกหนุ่มๆ ก่อนจะหัวเราะออกมาเมื่อเขาแกล้งถอนหายใจเหมือนรำคาญเธอเสียเต็มประดา



   “มานั่งเร็วๆ สิ” แซวเขาจนพอใจเธอถึงได้ตบเบาะนั่งตำแหน่งข้างๆ “ทำหน้าแบบนั้นคืออะไร กลัวฉันมอมยาลากเข้าห้องเหรอ?”



   “ผมก็สมควรกลัวอยู่” เขานั่งลง



        “พูดจาอย่างนี้มันหน้าตีจริงๆ”



       เธอคนนี้มีชื่อว่า ‘บี’ เป็นสาวที่รับตั้งแต่งานนั่งดริ้งค์ไปจนถึงอะไรๆ อย่างอื่นนอกเหนือจากนั้น เธออายุแก่กว่าเขาสามปีและทำงานที่นี่มานานกว่า



       ไม่รู้ว่าจริงๆ เธอเป็นใครมาจากไหน หรือชื่อแซ่อะไร เพราะที่นี่ไม่เปิดเผยความลับของพนักงาน แต่มันไม่สำคัญในเมื่อทุกคนเรียกเธอว่า ‘บี’ เธอก็คือ ‘บี’ และเป็นเพื่อนร่วมงานของเขา



       ส่วนหนุ่มอายุน้อยหน้าตาดีที่รับหน้าที่เป็นบาร์เทนเดอร์ของวันนี้คือ ‘เก้า’ หมอนี่อายุพอๆ กับเขา เรียกว่ามหาลัยปีเดียวกันแต่คนละที่ ผิดกันอย่างเดียวคือเก้าเป็นแค่เด็กพาร์ทไทม์ที่มาทำเล่นๆ เพราะแค่อยากทำ ส่วนตัวเขานั้นทำเพราะ ‘จำเป็น’



       จะว่าจำเป็นก็คงไม่ถูกนัก ไม่ว่าฐานะยากจนแค่ไหน ขอแค่คุณขยันทำงานสักวันก็จะมีเงินใช้ ส่วนการแลก ‘ร่างกาย’ เพื่อเงินนั้น จริงๆ มันก็แค่หนทางของคนโง่ที่อยากรวยทางลัด



       นั่นเป็นหลักการที่เขายึดถือมาตลอดจนกระทั่งวันหนึ่ง ความทะเยอทะยานที่มากเกินทำให้ ‘คนโง่’ คนนั้นกลายมาเป็นตัวเอง



       เดิมทีเขาเกิดที่ชุมชดแออัดแห่งหนึ่งในย่านเสื่อมโทรม โตมาในครอบครัวที่มีแค่แม่เป็นคนเลี้ยงดู โชคร้ายอยู่หน่อยก็ตรงที่เธอชอบติดเหล้าเมายา วันๆ ไม่ทำอะไรนอกจากนั่งๆ นอนๆ ในบ้าน กว่าจะส่งตัวเองเรียนมัธยมได้ เขาก็ต้องดิ้นรนรับงานทุกอย่างที่พอเป็นเงินเป็นทอง



       แต่ใครๆ ก็รู้ว่าอยู่ที่นั่นมันไร้อนาคต…



       จะว่าเนรคุณที่ทิ้งแม่หนีมาก็คงไม่ผิด หลังจากนั้นเขาย้ายออกมาตัวคนเดียว ทำงานหาเงินเรียนไปเรื่อยจนกระทั่งจบมัธยม ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย ตอนนั้นเขาตั้งใจอ่านหนังสือจนสุดท้ายก็สอบติดมหาวิทยาลัยย่านคนรวยชื่อดังที่มีคุณภาพแห่งหนึ่ง มหาลัยแห่งนี้คือสิ่งที่เขาวาดฝันมาตลอดชีวิต ขอแค่มีโอกาสเข้าเรียน เขาจะสามารถถีบตัวเองขึ้นมาจากคนที่ไม่มีอะไรเลยในชีวิต



       แต่ขอโทษเถอะ ค่าแรกเข้าเขายังไม่มีปัญญาจ่ายก็อย่าคิดว่าจะได้เหยียบเข้าไปแม้แต่ครึ่งก้าว...



       ในขณะที่เวลากระชั้นเข้ามาทุกที เขารู้ว่าต้องตัดสินใจทำบางอย่าง อะไรสักอย่างที่สามารถแลกเงินได้ภายในระยะเวลาไม่กี่สัปดาห์ แล้วโชคร้ายก็เข้าข้าง วันนั้นเขาได้พบคนๆ หนึ่ง



       “ร้อนเงินใช่ไหม? สนใจมาเป็น ‘เด็ก’ ของฉันไหมล่ะ”
   


       ชายคนนั้นตบปากรับคำว่าจะ ‘เลี้ยง’ เขา ซึ่งเขาก็ไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร มันคือการขาย ‘ร่างกาย’ ให้คนอื่น แต่สิ่งที่เขาไม่รู้คือ หลังจากวันนั้น เขาได้ขาย ‘วิญญาณ’ ไปด้วย
   


       ตุลย์เซ็นสัญญาฉบับหนึ่งด้วยความรีบร้อนโดยไม่รู้ว่าสัญญาฉบับนั้นจะทำลายชีวิตเขาในภายหลัง



   อ๋อ จริงๆ ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก เพราะยังไงเขาก็ไม่มีสมบัติอะไรติดตวตั้งแต่เริ่มต้นอยู่แล้ว



       “คืนนี้พวกนายเลิกดึกกว่า ฉันเลี้ยงเหล้าเอง อยากสั่งอะไรก็สั่ง ไม่ต้องเกรงใจ”


       “ผมขอวิสกี้”



       ในเมื่อบีออกปากจะเลี้ยง แถมยังกำชับว่าสั่งอะไรก็ได้ เขาจึงเลือกวิสกี้แบรนด์ระดับบนๆ ที่ราคาไม่ถูกหรือแพงเกินไปเมื่อเทียบกันรสชาติ



       บาร์เทนเดอร์หนุ่มหายไปพัก ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับวิสกี้แก้วหนึ่งกับค็อกเทลล์ผลไม้สีส้มสวย


       “แก้วนี้ของนาย ...ส่วนอันนี้สำหรับคุณผู้หญิงคนสวยครับ”



       “ปากหวาน” เธอดีดนิ้วเปาะ “มามะ มาหาพี่ มันน่าให้รางวัล”



       “ไม่ดีกว่า ผมผ่าน พี่เอาไปให้ไอ้ตุลย์มันเหอะ” คนถูกคะยั้นคะยอโบ้ยมาทางเขา



       ตุลย์จิบของเหลวในแก้ว ยิ้มขำๆ “ไม่ล่ะครับ เกรงใจ”



       “โอ้ย ไอ้เด็กพวกนี้ หยาบคายจริงๆ กล้าปฏิเสธสาวสวยอย่างฉันได้ยังไง เดี๋ยวแม่จับฟาดให้ตายคาเตียง!”



       ท่าทางเอาจริงเอาจังเกินเหตุของเธอเรียกเสียงหัวเราะพรืดจากผู้ร่วมสนทนา ก่อนที่เธอเริ่มอวดอ้างสรรพคุณว่าเชี่ยวชาญอย่างโน้นอย่างนี้เสียราวกับเป็นเรื่องจริงจัง



       ที่นี่พวกเขาคุยเรื่องใต้สะดือกันเป็นปกติ ช่วงแรกๆ ที่เก้ามาทำงานใหม่ๆ เจอมุกพี่บีเข้าไปเขาก็ถึงกับเหวอ หลบหน้าหลบตากันไปหลายวัน หลังๆ มาถึงปรับตัวได้จนชินและกลายมาเป็นเพื่อนคุยเวลาว่างจากลูกค้า



       เห็นแบบนี้แต่บีก็เป็นคนดีคนหนึ่งที่ไว้ใจได้ หากตัดเรื่อง ‘งาน’ ที่ทำออกไป เธอก็แค่หญิงสาวธรรมดาที่ออกจะก๋ากั่นอยู่สักหน่อยเท่านั้น



       บางครั้งการเหยียบบันไดพลาดเพียงก้าวเดียวก็เปลี่ยนชีวิตคนๆ หนึ่งได้จริงๆ ตุลย์รู้ซึ่งถึงความจริงข้อนั้นดี
   


       ปล่อยให้เธอพูดพล่ามใส่เก้าไปเรื่อยเปื่อย ตุลย์เบนสายตา หมุนเก้าอี้ออกไปมาอีกทาง ยิ่งดึกแขกก็ยิ่งคึกคัก จากตอนแรกที่เขาเห็นลูกค้าปะปราย ตอนนี้เพิ่มจำนวนขึ้นเป็นทวีคูณ บางคนก็เริ่มควงสาวๆ มานั่งดื่ม มือไม้เริ่มป่ายโน้นทีนี่ทีอยู่ไม่สุข เดาว่าอีกไม่นานคงมีการนัวเนียกันเกิดขึ้น



   ‘เด็กๆ’ หลายคนก็เริ่มออกมา ‘รับแขก’ บ้างแล้ว ไม่นานพื้นที่โซนนี้ก็คงกลายเป็นป่าซึ่งเต็มไปด้วยเสือสิงกระทิงแรดอย่างทุกคืน



   “โอ้ตายแล้ว!” อยู่ดีๆ บีก็เด้งตัวลุกขึ้น เก็บโทรศัพท์มือถือเธอใส่กระเป๋าอย่างเร็ว  “แขกเยอะละ ฉันไปก่อนล่ะ เจอกันอีกทีหลังเลิกงาน อา... แต่นายคงไม่อยู่แล้วล่ะสิ?”



   ตุลย์พยักหน้า “คงได้เจอกันพรุ่งนี้ แล้วผมจะมาทวงค่าเหล้ากับพี่”



   “อื้ม ได้! ตั้งใจทำงานเข้าล่ะ คุณชาย” ระเบิดเสียงหัวเราะร่าตบท้ายก่อนจะลุกออกไป



   ฉายา ‘คุณชาย’ ตุลย์ได้มาเพราะโชคดีกว่าคนอื่นนิดหน่อยตรงที่ เขาไม่ต้องรับแขกระดับล่าง อย่างเช่น พวกลูกค้าขาจร หรือนักท่องเที่ยว ที่พิเศษกว่าเด็กๆ คนอื่น ก็เพราะ ‘คนๆ นั้น’ ถูกใจเขา แขกส่วนใหญ่จึงมักเป็นระดับวิไอพี หรือพวกเงินทุนหนา พูดให้ชัดๆ ก็คือ เขาเป็น ‘หน้าตา’ ของที่นี่ จะได้คิวแต่ละทีก็ต้องโทรจองล่วงหน้าผ่าน ‘คนๆ นั้น’



   ปากก็บอกว่าจะ ‘เลี้ยง’ เขา แต่สุดท้ายมันก็แค่แมงดาดีๆ นั่นแหละ!



       ครั้งหนึ่งเขาเคยตะเกียกตะกายเพื่อไล่ตามความฝัน ทุกวันนี้เขาได้ในสิ่งที่อยากได้ แต่ในขณะเดียวกันก็สูญเสียทุกอย่างที่เคยเป็นของๆ ตัวเอง



       เขากระดกวิสกี้ทีเดียวหมดแก้ว



       ให้ฝืนกล้ำกลืนทำสิ่งที่ไม่อยากมันยาก และแอลกอฮอล์คือตัวช่วยที่ได้ผลดี



       “เก้า เซ็นเป็นชื่อพี่บีให้ที”



       “ได้” เจ้าตัวว่าพลางจดอะไรบางอย่างลงสมุด “เฮ้ย จะไปแล้วเหรอไอ้ตุลย์”



       “อืม วันนี้นัดแขกไว้ชั้นบน ใกล้ได้เวลาละ”



       “อ่อ งั้นก็โชคดี คุณชาย”



       ตุลย์ลาเพื่อนง่ายๆ ก่อนจะปลีกออกมาเพื่อมุ่งหน้าไปยังบันได เป็นอีกครั้งที่ถูกสายตาหลายคู่จับจ้อง ซึ่งเขาก็ชินชาเมื่อมันเป็นแบบนี้ประจำ ตุลย์ไม่ได้หน้าตาสวยหมดจด หรือหุ่นเพรียวลมแบบที่สาวๆ วาดภาพไว้ในใจ ไม่มีอะไรใกล้เคียงทำนองนั้นเลยด้วยซ้ำ แต่หลายคนกลับอยากได้เขา จนบางครั้งถึงกับเดินมาติดต่อซึ่งๆ หน้าก็มี


       พอถามหาเหตุผล คนพวกนั้นก็แค่อ้างว่า ‘เขาโดดเด่นกว่าเมื่อเทียบกับคนอื่น’ จากนั้นก็โดนปฏิเสธไปตามระเบียบ



       เขาไม่รับงานอะไรนอกจากงานที่ ‘คนๆ นั้น’ จัดหาให้ มันเป็นข้อตกลงในสัญญา



       ตุลย์ขึ้นมาถึงชั้นสองซึ่งเป็นห้องวีไอพี แบ่งเป็นสัดส่วน ก่อนจะผลักประตูเข้ามายังห้องหนึ่งในนั้น ปกติเขามาก่อนเวลาเสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน ตุลย์ทิ้งตัวลงบนโซฟายาว ผนังฝากหนึ่งของห้องเป็นบานกระจกขนาดใหญ่สามารถมองทะลุลงไปฟลอร์ข้างล่างที่เต็มไปด้วยฝูงชนหลากหลายวัยกำลังโยกย้ายไปตามบีทเพลงหนักๆ



       เขาเอื้อมไปคว้าขวดไวน์ผลไม้ เปิดมันแล้วรินใส่แก้วหนึ่งไปพลางๆ โดยไม่ลืมเตรียมแก้วเปล่าอีกแก้วสำหรับ ‘แขก’



       จู่ๆ เสียง ‘คลิ๊ก’ ก็ดังขึ้น พอหันไปด้านหลังถึงรู้ว่ามีใครคนหนึ่งกำลังเปิดประตูเข้ามา ตุลย์รินไวน์ใส่อีกแก้วตามมารยาท ก่อนจะถือมัน ลุกขึ้นไปหาผู้มาเยือน แต่เขาก็ต้องตะลึงงัน...



       ปกติแล้วเขาจะรับแขกแค่คนเดียวต่อครั้ง แต่คืนนี้จำนวนกลับกลายเป็น ‘สอง’ มิหน้ำซ้ำคนพวกนี้...



       “ว่าไง ทำหน้าเหมือนไม่เคยเจอกันไปได้”


       หนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับเขายื่นมือมารับแก้วที่ค้างกลางอากาศ กระดกพรวดเดียวหมดก่อนวางมันลงบนถาดเปล่าใกล้ๆ


       “คงไม่สองมาตราฐานหรอกใช่ไหม เพราะฉันก็ ‘จ่ายเงิน’ มาเหมือนกัน”



       แถมยังจ่ายหนักซะด้วย... ถ้าไม่ทุนหนาจริงๆ ไม่มีทางที่ ‘คนๆ นั้น’ จะปล่อยแขกแบบนี้มาถึงเขา และที่สำคัญคือมีถึงสองคน!



       “แน่นอนครับ จะสองมาตราฐานได้ยังไง”


       รอยยิ้มฉาบฉวยถูกหยิบขึ้นมาใช้ราวกับจำไม่ได้ว่าแขกทั้งสอง คือ ‘เพื่อนร่วมคณะ’ ของตนเอง ในขณะเดียวกันก็พยายามปรับอารมณ์ให้สงบ



       ความนิ่ง คือสิ่งจำเป็นสำหรับงานนี้ ถ้าแม้แต่ควบคุมอารมณ์ตัวเองยังไม่ได้ เขาจะควบคุมสถานการณ์ที่ต้องอยู่กับแขกสองต่อสองได้ยังไง



       การปล่อยให้ ‘อารมณ์’ มาอยู่เหนือ ‘หน้าที่’ เป็นสิ่งที่โง่และสิ้นคิดมาก



       จู่ๆ ข้อมืออีกข้างที่ถือแก้วไวน์ถูกยืดไว้ เป็นแกมบังคับให้เขาวางมันลง ซึ่งตุลย์ก็ทำตามง่ายๆ



       แขกแต่ละคนต้องใช้วิธีรับมือต่างกัน ในกรณีนี้ ยอมๆ ไปน่าจะปลอดภัยต่อตัวเขามากกว่า



       เขาวางแก้วไว้ในถาด ข้างๆ แก้วของคู่สนทนา จังหวะนั้นผู้มาเยือนอีกคนก็ก้าวเข้ามาประชิดร่าง



       “เอาล่ะ ทีนี้ก็แสดงให้เห็นหน่อย ทำอีท่าไหนนายถึงกลายเป็น ‘หน้าตา’ ของที่นี่ได้”




-------------------------
มือใหม่เจ้าค่ะ น้อมรับทุกคำติชมเช่นเคย ถถถ
เพิ่งได้กลับมาเล่นฟอรัมนี้หลังหายไปสองปีกว่า จัดหน้ายากเหมือนกันนะเนี๊ยยย :hao5:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 29.5.16 {2nd Night} [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 29-05-2016 10:27:33
2nd Night



‘กลางคืนจะยังไงก็ช่าง แต่กลางวันเขาเป็นแค่เด็กนักศึกษาคณะนิเทศธรรมดาๆ คนหนึ่ง’
   


อ๋อ คำพูดนั่นสำหรับเมื่อสามเดือนที่แล้วก่อนทุกอย่างจะเริ่ม...



“โอ้ ดูซิ ใครมา”



แค่ปลายเท้าเหยียบธรณีประตูล่องหนเข้ามาในห้องบรรยาย สายตาทุกคู่ก็มองตรงมายังเขาเป็นจุดเดียว ก่อนที่เริ่มซุบซิบนิทา แม้แต่อาจารย์ก็ยังต้องหยุดบรรยายแล้วหันมามอง



ไม่ว่าเขาจะเข้าคลาสตรงเวลา สายสิบห้านาที หรือสายหนึ่งชั่วโมง ปฏิกิริยาเช่นนี้ก็เกิดขึ้นทุกครั้ง



ที่นี่เขาป็อปปุล่ามากจนกระทั่งหากล้มนิดเดียว ก็มีคนต่อคิวรอเหยียบซ้ำยาวเป็นหางว่าว



ว่ากันว่าเรื่องฉาวโฉ่ปิดให้ตายยังไงก็ไม่มิด ขอเพียงสงสัย คนเหล่านั้นก็พยายามทำทุกวิธีทางเผื่อจะรู้ความจริงให้ได้ อีกอย่างไนท์คลับที่เขาทำงานอยู่ก็ไม่ไกลจากที่มหาวิทยาลัย ขับรถไปราวสองหัวมุมถนนก็ถึง



เด็กที่นี่ส่วนใหญ่ หากไม่ฐานะปานกลางมีใช้จ่าย ก็รวยระดับที่สามารถซื้อของแพงๆ ทิ้งขว้างชนิดไม่ยี่หระ ไม่แปลกถ้าบางครั้งเขาจะเดินชนไหล่ ‘คนรู้จัก’ ในคลับเป็นครั้งเป็นคราว



ตุลย์แสร้งทำเป็นว่ามองไม่เห็นสายตาเหล่านั้น แต่ระหว่างที่กวาดตามองหาที่นั่งก็เหลือบไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นเข้า


....ผู้ชายสองคนที่ ‘ซื้อ’ เขาเมื่อวานนั่งอยู่โซนด้านหลัง พวกนั้นมองเขาอยู่แต่แรกแล้ว พอสบตากันฝ่ายนั้นถึงได้ส่งยิ้มกระเหี้ยนกระหือให้ราวกับต้องการซ้ำเติมเหตุการที่เกิดขึ้นเมื่อวาน



มองแล้วก็แสลงใจดีพิลึก



ที่นั่งโซนหลังว่างก็จริง แต่ส่วนใหญ่เป็นถิ่นของพวกหลังห้องที่สักแต่เข้าเช็คชื่อซึ่งคงไม่ปลอดภัยเท่าไรนัก ตุลย์จึงเลือกนั่งตรงโซนหน้าๆ ที่เหลือว่างอยู่ประปราย



“โอ๊ย ทำไมต้องมานั่งตรงนี้ด้วยฮะ ที่อื่นว่างก็มี” สาวสวยข้างๆ เขาบ่นกระปอดกระแปดตอนที่เขานั่งลงที่นั่งข้างเธอ



นี่ยังนับว่าดีหน่อย ครั้งก่อนที่นั่งข้างสาวคนหนึ่ง เธอถึงขนาดลุกเดินหนี แถบยังทิ้งคำด่าไว้เป็นของตบท้าย



“ฉันไม่คบอีตัวเป็นเพื่อน จำใส่กะโหลกไว้!”



ถามว่ารู้สึกยังไง? ก็คงรู้สึกแย่ล่ะมั้ง ใครจะทนการถูกคนเกือบทั้งมหาลัยเกลียดได้โดยไม่หดหู่หรือเสียความมั่นใจบ้าง ตัวเขาก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง จะให้ไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยก็คงเวอร์ไปหน่อย



เมื่อก่อนตุลย์แทบไม่กล้าเสนอหน้ามามหาลัย กลัวคำนินทาด่าทอต่างๆ นาๆ แต่พอนานเข้ามันก็ชักทนรับไหว จากที่เจ็บปวดก็กลายเป็นชินชา และยอมรับไปเองโดยธรรมาชาติ



แต่ก็ไม่รู้จะทนได้อีกนานไหม…


   คำพูดเหล่านั้นไม่ได้ฆ่าเขา แต่กระแสในแง่ลบทำให้คบเพื่อนเป็นตัวเป็นตนไม่ได้เลยสักคน ทุกครั้งที่มีงานกลุ่ม เขาก็จะกลายเป็นเศษเหลือ บางครั้งโชคดีหน่อยก็มีคนอาสารับเข้ากลุ่ม ในขณะที่บางกลุ่มไม่ฟังความคิดเห็นเขาด้วยซ้ำ



ไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะทนอยู่คนเดียวได้ตลอดสี่ปี และเช่นกัน เขาไม่อยากใช้ชีวิตในรั้วมหาลัยที่ใฝ่ฝันอย่างทรมาน…
   


แต่จะให้ทำยังได้ เมื่อในสายตาคนที่นี่ เขาไม่ต่างหาก ‘ อีกา’ ในฝูงหงส์ เป็นกาฝากบนต้นไม้ใหญ่ที่ทุกคนจ้องจะถอนทิ้ง นี่คือสิ่งที่เขาต้องจ่ายให้กับความทะเยอทะยานเกินกำลังตัวเอง...


ได้อยู่ในมหาลัยที่ฝัน มีเงินพอใช้จ่ายกับสิ่งสุรุ่ยสุร่าย เขามีทุกอย่างที่อยากมี ขณะเดียวก็สูญเสียทุกอย่างที่เคยมี โทษใครไม่ได้ เพราะนี่เป็นเส้นทางที่เขาเลือกเองแต่แรก



ตุลย์นั่งจดเล็กเชอร์ไปเรื่อยๆ อย่างไม่ค่อยมีสมาธินัก การเรียนคือสิ่งสุดท้ายที่เขาพอจะทำได้ และหวังว่าพอจบมหาลัยเขาจะสามารถหางานทำและมีชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นความฝันลมๆ แล้งๆ



ใครๆ ก็รู้ว่า ‘งาน’ ที่เขาทำอยู่ไม่มีทางหันหลังกลับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมี ‘คนๆ นั้น’ ติดตามอยู่ทุกฝีก้าว
   


ตุลย์ไม่ค่อยมีสมาธิตลอดช่วงเช้ากระทั่งคลาสเรียนจบลง จนนักศึกษาจำนวนหนึ่งทะยอยออกจากห้องแล้วถึงได้รู้สึกตัว เขาออกจากห้องเป็นคนท้ายๆ แต่ไม่วาย ตอนลุกขึ้นก็ถอยหลังไปชนไหล่ใครบางคน



“แกล้งชน... นี่วิธีเรียกลูกค้าแบบใหม่เหรอ” ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเป็นคนเดียวกับแขกเมื่อวาน



ดูเหมือนคนพวกนี้จะมีความสุขและสนุกมากกับการตอแยเขา ถึงได้เจอหน้ากันบ่อยอย่างกับเจ้ากรรมนายเวร


“ไม่ตอบหมายความว่าไง?”



เห็นเขานิ่ง ฝ่ายนั้นก็แสดงท่าทีคุกคามด้วยการใช้แขนกั้นระหว่างโต๊ะเลกเชอร์และทางเดินไว้



อ๋อ คงคิดว่าเขาโง่ด้วยล่ะสิ



ไม่ให้ออกด้านหน้า ก็เดินไปออกอีกฝากไงยากอะไร ทางออกไม่ได้มีทางเดียวสักหน่อย...



“จะไปไหน!”



หมอนั่นดูเหมือนจะโกรธมากที่อยู่ๆ เขาหมุนตัวกลับไปออกทางเดินอีกฝาก ถึงได้ตะโกนไล่หลัง เพื่อนของชายคนนั้นทำท่าจะเข้ามาขวางทาง แต่โชคร้ายหน่อยที่เผอิญเขานั่งแถวหน้า ถึงจ้ำอ้าวออกจากห้องได้ก่อน หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงสถบตามหลังมาเป็นชุด



สงสัยว่าคนพวกนี้คงถูกตามใจจนเคยตัว ไม่ถูกใจอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็กราดด่าซะยาว



ตุลย์เดินออกมาหน่อย เห็นว่าคนพวกนั้นไม่ได้ตามมา เขาเลยนึกคนองตะโกนกลับ



“คิดว่าเมื่อวานพูดชัดแล้วนะ ถ้าอยากได้คิวโทรจองล่วงหน้า มัดจำครึ่งราคา ติดต่อนายหน้าแล้วรับบัตรคิว!”



ว่าจบก็จ้ำอ้าวออกนอกอาคารอย่างเร็ว เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและหน้าที่การงาน



 ใครเล่าชอบโดนด่าอยู่ฝ่ายเดียว?



เขาไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่จะนั่งนิ่งๆ ทำหน้าเฉยเมยกับเสียงด่าทอได้ทั้งวัน เสียก็อย่างเดียวตรง การหาเรื่องพวกกระเป๋าหนักอาจทำให้ชีวิตต่อจากนี้ยากลำบากขึ้นอีกหน่อย...



------------------------



วันนี้เขามีเรียนแค่ตอนเช้า พอทานข้าวกลางวันเสร็จ เดินเอื่อยเฉื่อยต่ออีกนิดหน่อย ตุลย์ก็โบกแท็กซี่ไปคลับตามปกติ วันนี้เขามาถึงแต่หัววัน ร้านต่างๆ ย่านนี้จึงยังปิดอยู่ ผู้คนก็เงียบเหงาผิดกับช่วงการคีนที่คึกคนองเหมือนอยู่ในบ้านป่าเมืองเถื่อน


แน่นอนว่าที่ใดขึ้นชื่อว่า ‘ไม่เคยหลับใหล’ ที่นั่นมักมีอัตราการเกิดอาชญากรรมสูงเช่นกัน ซึ่งก็รวมถึงย่านนี้ด้วย



บางวันเขาเดินผ่านตรอกซอยตอนดึกๆ นอกจากจะเจอคนเมานอนแอ้งแม้ง หรือชายหญิงนัวนัยกันในที่มืดๆ ก็มักจะเห็นวัยรุ่นใส่เสื้อผ้าดีๆ ถือไม้หน้าสามตีหรือชกต่อยกันอยู่บ่อยๆ



ต่อให้ขึ้นชื่อว่าเป็นย่านผู้มีอันจะกิน มนุษย์ก็คือ มนุษย์ที่ยังไม่ทิ้งสันดานดิบอันสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ



คืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่ตุลย์ใช้ชีวิตตามปกติ นั่งคุยกับบาเทนเดอร์ ดื่มสักสองสามแก้วเรียกความมั่นใจ รอจนกระทั่งแขกมา แล้วก็ ‘รับแขก’ ตามปกติ ไม่รู้เพราะโดนชวนให้เล่นพิเรนทร์ หรือ ถูกใช้งานเกินกำลังไปหน่อย พอจบ ‘งาน’ เขาถึงได้เหนื่อยเหมือนจะตายให้ได้



ลากสังขารออกจากคลับ เขาก็โบกแท็กซี่กลับอพาร์ทเม้นท์ทันที ถึงห้องก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่มอย่างเนือยๆ ไม่มีแรงเหลือจะสนใจอะไร สวนหนึ่งคงเพราะวันนี้เขาผ่านอะไรแย่ๆ จริงๆ เขาก็รู้สึกแย่ทุกครั้งที่ไปมหาลัยนั่นแหละ



ถามว่าเด็กๆ อย่างเขาถ้าไม่หาเงินด้วยวิธีแบบนั้น มีปัญญาเช่าอพาร์ทเม้นท์ดีๆ ด้วยเหรอ? ตอบเลยว่าไม่



ที่จริงอพาร์ทเม้นท์นี้ไม่ได้เช่าโดยเขา แต่เป็น ‘ของกำนัล’ ที่ ‘คนๆ นั้น’ เช่าไว้ให้ตอนที่เขาขึ้นมาเป็น ‘หน้าตา’ ของคลับใหม่ๆ



“ทำงานดี ถือว่านี่เป็นของกำนัล ต่อจากนี้ก็ย้ายมาอยู่ที่นี่”
   

ตราบใดที่ ‘คนๆ นั้น’ ยังตามติดเขาทุกฝีก้าว ก็อย่าหวังจะออกจากวงการนี้ไปได้ง่ายๆ



ตุลย์งัวเงีย นอนมองเพดานไปสักพัก เขาก็เคลิ้มจะหลับ ระหว่างทางไปเฝ้าพระอินทร์ ความคิดก็ฟุ้งกระจายล่องลอยเรื่อยเปื่อย เขาฝันเห็นตัวเองตอนยังเป็นเด็ก ฝันถึงช่วงชีวิตที่ยากลำบากขณะเดียวกันก็เจือความสุข มันเป็นช่วงเวลาที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด ส่งตัวเองเรียน ล้มไม่รู้กี่รอบ แต่ภายใต้วิกฤตเหล่านั้น เขาก็มีเพื่อนพ้องและอีกหลายคนที่คอยให้การสนับสนุน



แล้วภาพก็ตัดมาที่ไหนสักแห่ง มีตึกสูง และผู้คนเดินสวนมากมาย เขากำลังข้ามถนนไปยังดีใดที่หนึ่งที่ตนเองไม่รู้จัก สายตาเขามองตรงไปเพียงตึกสูงเสียดฟ้าที่อยู่อีกฝ่ายหนึ่ง ทุกก้าวมีแต่ ‘ความมุ่นมั่น’และ ’ความทะเยอทะยาน’ เปี่ยมล้น แต่แล้วก็มีเสียงกรนด่าจากด้านหลัง ตามด้วยคำสบประมาทต่างๆ นาๆ



“เฮอะ! จะหนีออกจากบ้านแล้วทิ้งฉันไว้นี่ตัวคนเดียวเนี่ยนะ คิดว่าแกจะมีปัญญาไปได้สักกี่น้ำถ้าไม่มีฉัน!”



ตุลย์สะดุ้งตื่นเพราะเสียงแหบของผู้หญิงคนหนึ่ง เสียงของแม่ที่เกรี้ยวกราด



ความไม่สบายตัวทำให้เขาพลิกร่างนอนคว่ำ ก่อนจะเริ่มจมสู่นิทราอีกครั้ง ไม่ทันสังเกตเห็นเงารางๆ ที่ทอดผ่านร่าง จนกระทั่งเสียงเหมือนบางอย่างกระแทกโต๊ะใกล้ๆ หู เขาถึงสะดุ้งเฮือกอีกที



“ทำไมวันนี้ไม่มารับเงิน”



น้ำเสียงนั้นราบเรียบไร้โทสะ แต่กลับแฝงด้วยการคาดคั้นเอาคำตอบ



ตุลย์ขยี้ตา โงหัวขึ้นมามองก็เห็น ‘คนๆ นั้น’ ยืนอยู่ข้างเตียง เขาเป็นชายหนุ่มร่างสมส่วน อายุราวยี่สิบกลางๆ มีใบหน้าหล่อเหลาแบบเอเชียที่สามารถทำให้สาวๆ ลุ่มหลงได้เพียงการมองตา ฝ่ายนั้นคงมานั่งได้สักพักใหญ่ๆ เขาถึงไม่เห็นสูทตัวเก่งที่อีกฝ่ายชอบสวม


เขามักตกใจที่ ‘คนๆ นั้น’ ผลุบๆ โผล่ๆ ในห้องเงียบๆ บ่อยครั้ง ฝ่ายนั้นมีกุญแจย่อมเข้าออกเมื่อไหร่ตามใจ มีแต่เขาที่ทำใจให้ชินไม่ได้สักที



“วันนี้ผมเหนื่อย วางไว้แถวนี้ได้ไหม”



“........”



ไร้เสียงตอบกลับ ตุลย์ก็คร้านจะมอง เขาฟุบหัวลงกับหมอนต่อ กระทั่งอยู่ๆ ถูกจับคางให้หันมานั่นแหละ ถึงตื่นเต็มตา
   


ปกติแล้วเขาจะต้องรอรับ ‘ค่าจ้าง’ อยู่ที่คลับหลังร้านปิด ‘คนๆ นั้น’ จะจ่ายค่าตอบแทนเป็นเงินสด ก็แน่ล่ะ ธุรกิจผิดกฏหมาย ย่อมต้องรอบคอบเป็นธรรมดา แต่วันนี้เขาไม่ไหวจริงๆ ถึงได้หนีกลับมาก่อน


“ขอโทษที่ไม่ได้อยู่รอ วันนี้ผมเหนื่อยเลยกลับมาก่อน”



จากประสบการณ์ พูดให้น้อย และโอนอ่อนให้มากกับคนประเภทนี้เป็นผลดีกับเขามากกว่า
   


ใช่ว่าอยู่ๆ ปุบปับเขาจะกลายมาเป็น ‘หน้าตา’ ของคลับได้เสียเมื่อไหร่ ฝ่ายนั้นไม่ใช่คนพอใจอะไรง่ายๆ ก่อนจะได้ ‘งานสบาย’ มา เขาก็ต้องเสียอะไรไปหลายอย่าง ซึ่งนั่นรวมถึง ‘ศักดิ์ศรี’ ด้วย


“ร้อนเงินใช่ไหม? สนใจมาเป็น ‘เด็ก’ ของฉันไหมล่ะ”



เมื่อก่อนเขาก็เป็นแค่เด็กที่มีเถ้าแก่เงินทุนหนาคอยเลี้ยงดูปูเสื้อ ไม่มีการแลกเปลี่ยนอะไรนอกจาก ‘เงิน’ กับ ‘เรื่องบนเตียง’ จนกระทั่งวันหนึ่งที่ ‘คนๆ นั้น’ บิดเบือนข้อตกลงด้วยการแบล็กเมล์เขาให้เซ็นสัญญา



“ลงชื่อตรงนี้ แล้วฉันจะให้จัดการเรื่องมหาลัยให้ แต่ถ้าปฏิเสธ...” ชายหนุ่มดิ้นนิ้วเปาะด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อน  “ก็ตัดใจทิ้งความฝันที่จะเรียนต่อไปได้เลย”
   


หลักจากนั้น ชีวิตเขาก็เปลี่ยนจากหน้าเป็นหลังมือ จมดิ่งลงในหลุมดำที่ไม่มีทางหวนกลับ บางทีตอนนั้นเขาควรเลือกทิ้งฝันโง่ๆ แล้วกลับมาสู่ความเป็นจริง แทนที่จะขายวิญญาณ ให้สิ่งเหล่านั้นกัดกินตัวตนทีละนิดอย่างทุกวันนี้



คร่ำครวญไปตอนนี้ก็ไม่ได้อะไร


ตุลย์เขยิบตัวออกมาเมื่อผู้มาเยือนทิ้งตัวลงตำแหน่งข้างๆ ที่เขานอน ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง ขณะที่ชายคนนั้นแค่หยิบไฟแช็กขึ้นมาจุดบุหรี่ ควันสีเทาพุ่งพวยออกมาจากปากฝีปากคู่นั้น ยามที่เขาพ่นมันออก



‘ธวัตร’ เป็นผู้ชายที่มีสเน่ห์เหลือร้าย และเป็นสุภาพบุรุษภายใต้สายตาของคนนอกก็จริง แต่ไส้ในเขาก็แค่คนโลภมากคนหนึ่งที่หาประโยชน์จากคนอื่น หาได้อ่อนโยนและหลงใหลอย่างรูปลักษณ์ไม่



“แขกวันนี้เป็นยังไง”


“ก็ไม่แย่ครับ”


“งั้นเหรอ”



“.......”



หลังจากนั้นความเงียบก็โรยตัวในห้อง ธวัตรสูบบุหรี่ไปครึ่งมวน ฝ่ายนั้นก็ขยี้ปลายติดไฟสีส้มกับโต๊ะข้างๆ อย่างมักง่าย แล้วถึงหันมาพูดกับเขา


“เร็วๆ นี้จะมี ‘แขกพิเศษ’ มาเยี่ยมคลับ ฉันกับเขาจะคุยธุรกิจอะไรกันนิดหน่อย เสียดายที่เขาไม่ชอบผู้ชาย ไม่งั้นฉันคงใช้นายดึงเขาไว้”
   


ประโยคนั้นคล้ายบ่นมากกว่าขอความเห็น บางครั้งธวัตรก็เปรยอะไรให้เขาฟังเรื่อยเปื่อย ซึ่งเป็นผลดี เพราะอย่างน้อย ‘ลูกจ้าง’ อย่างเขาก็ควรรู้ ‘ความเป็นไป’ ของตัวเองบ้าง



อยู่ๆ ชายคนนั้นก็คว้าแขนตุลย์ ออกแรงนิดหน่อยให้เซเข้ามาหา แล้วพูดคำเดียวสั้นๆ


“จูบ”



เขาแค่โน้มหน้าไปหาตามคำสั่ง กดจูบลงบนริมฝีปากอีกฝ่ายเชื่องช้าทว่าอ้อยอิ่ง ดูดเม้มริมฝากล่างเบาๆ ก่อนจะผละออกไม่เร็วนัก



“ว่าง่ายเหมือนเดิม”


ธวัตรแสดงสีหน้าพอใจออกมาชัดเจน เขาวางเงินปึกหนึ่งไปบนโต๊ะข้างมวนบุหรี่ ก่อนที่ชายหนุ่มจะลุกไป คว้าสูทที่แขวนไว้หน้าประตูแล้วออกจากห้องโดยไม่มีคำพูดทิ้งท้าย



กับผู้ชายคนนี้ ไม่ว่าอะไรขอแค่โอนอ่อนผ่อนตามไป เขาก็จะได้ค่าตอบแทนสำหรับการกระทำนั้นเสมอ
   

---------------
มาอัพให้เท่าในเด็กดีค่า  :z2:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 29.5.16 {2nd Night} [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 31-05-2016 09:36:00
3rd Night
[/b]



หลังเสร็จจากมหาวิทยาลัย ตุลย์ไปทำงานที่คลับตามปกติ เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองซึ่งก็คือ เสื้อเชิ้ตบางๆ กางเกงยีนส์เข้ารูปแบรนด์ดังที่ธวัตรจัดไว้ให้ในล็อกเกอร์ด้านหลังร้าน เขาเป็น ‘หน้าตา’ ของที่นี่ ย่อมต้องแต่งตัวดีเพื่อสร้างภาพลักษณ์เป็นธรรมดา


ระหว่างทางที่เดินออกจากห้องน้ำ ก็บังเอิญสวนกับ ‘นายจ้าง’ เขาเพียงปรายตามองผ่านๆ กลับเป็นฝ่ายนั้นที่รั้งต้นแขนไว้ให้หยุด


“ไปทำอะไรไว้กับ ‘เด็กพวกนั้น’ มันถึงได้ตามตื้อจะเอาคิวไม่เลิก?”


ไม่ต้องซักไซร้มากความ ก็เข้าใจว่าชายหนุ่มพูดถึงกลุ่มเพื่อนร่วมคณะที่เคยซื้อคิวเขาไว้ครั้งหนึ่ง


ถึงว่าล่ะ ตอนคนพวกนั้นเจอเขาที่มหาลัยถึงได้กระหึ่มยิ้มย่อง แถมยังส่งยิ้มมีเล่ห์นัยมาให้อีก ที่แท้ก็กะแก้เผ็ดเขาในเวลางานจะได้ไร้ทางสู้...


“สงสัยพวกนั้นคงติดใจล่ะมั้ง”


สีหน้าธวัตรดูไม่เชื่อคำโกหกเขา “ไม่น่าใช่ ตอนรับสายเด็กนั่นฉันไม่คิดว่าน้ำเสียงมันเข้าข่าย ‘ติดใจ’ มันออกจะ...”


“เคียดแค้น?”


“ไม่ใช่”


“ย่ามใจ?”


“อาจใกล้เคียง”


“อืม... โอหัง? หรืออยากเอาชนะ?”


คราวนี้เป็นธวัตรที่มองหน้าเขาตรงๆ “ไปมีเรื่องมาใช่ไหม?”



“ครับ” ไม่จำเป็นต้องขยายความ


ชายหนุ่มเป็นผู้มีอิธิพลย่านนี้ จึงไม่มีประโยชน์ที่จะปกปิดความลับ เพราะยังไงท้ายที่สุดธวัตรก็จะหาวิธีสืบจนรู้ความจริงอยู่ดี เขาจึงเลือกจะ ‘ตอบ’ แค่ในสิ่งที่อีกฝ่ายถามเท่านั้น

อันที่จริงฝ่ายนั้นคงไม่คิดซักไซร้ถามเรื่องส่วนตัวเขาอยู่แล้ว ถึงพยักหน้าผ่านๆ


“แล้วคิว ‘พวกเขา’ อยู่วันไหน”


“สุดสัปดาห์นี้” ว่าไปก็ยกยิ้มอ่อนๆ  รอยยิ้มที่ทำให้เขาสยองทุกครั้งที่เห็น “จองคิว ‘ทั้งวัน’”


เขาคนนี้ยิ้มทีไรไม่วายต้องเป็นเคสแย่ๆ ที่ฝ่ายนั้นไม่ยอมปฏิเสธเพราะค่าตอบแทนล่อตาล่อใจทุกที


ฟังแล้วได้แต่ถอนหายใจ... พวกนั้นคงเสนอจำนวนที่น่าสนใจมากสำหรับธวัตร ร่างสูงถึงได้ตอบตกลงง่ายดายขนาดนั้น แถมยังกำชับให้ทำตัวดีๆ กับ ‘แขก’


มันคือผลกำไรสำหรับผู้ชายคนนี้ แต่กับเขา บอกได้คำเดียวว่าไอ้ทั้งวันเนี่ย... ไม่ได้กลับมาสภาพครบสามสิบสองแน่ๆ!


----------------


หลังแยกกับธวัตรพร้อมข่าวร้ายชวนขนหัวลุก เขาก็ตัดสินใจนั่งสงบสติสักพักแถวบาร์ ได้ข่าวมาเลาๆ บาร์เทนเดอร์ที่ประจำอยู่วันนี้ มีธุระกระทันหัน เก้าจึงอาสาเข้ามาผลัดเวรแทน


“เฮ้ย ว่าไง ทำไมมาช้า”


“เมื่อกี้เจอ ‘เขา’ เลยคุยอะไรกันหน่อย” ตุลย์ทิ้งตัวนั่งตรงข้าม อย่างน้อยวันนี้เขาก็ยังโชคดีที่มีเพื่อนรู้ใจคุยแก้เหงาปาก “แล้วพี่บีล่ะ ยังไม่มาเหรอ”


“ยังไม่เห็นแต่หัวค่ำเลยว่ะ หายหัวกันไปทั้งเอ็งทั้งพี่เขา” ว่าพลางมองนาฬิกา “เออ วันนี้ฉันแอบทำคอกเทลล์สูตรใหม่กะไว้ว่าจะเสิร์ฟตอนมากันครบ แต่ทิ้งไว้นานกว่านี้คงไม่อร่อย มาเป็นหนูทดลองให้หน่อยดิ”


“เออ อย่าทำฉันอาหารเป็นพิษก็พอ”


ตุลย์หัวเราะร่วน คู่สู่สนทนาโบกมืออย่างขอไปที ก่อนจะเดินหนีหายเข้าไปหลังบาร์พักใหญ่ๆ


ระหว่างนั้นก็เบนสายตาเหม่อออกไปยังโซนนั่งดื่มข้างๆ อย่างหน่ายๆ คืนนี้คึกครื้นด้วยเสียงสวนเสเฮฮาไม่ได้ศัพท์ของคนกรึ่มเหล้า มีเสียงหัวเราะคิกคักของสาวๆ แซมเป็นระยะ


พวกนี้มานั่งดื่มก็หวังจะหิ้วหญิงกัน สุดท้ายก็เมาแอ๋ อ้วกกลับบ้านทุกคน วงจรเหล่านี้เขาเห็นทุกวันจนเบื่อ ยิ่งกว่าคนเกิดแก่เจ็บตายเสียอีก


มนุษย์นี่ก็แปลก... คนที่อยู่ท่ามกลางแสงสว่างเฝ้าใฝ่ฝันหาอบายมุขราวกับเห็นเป็นขนมหวานล่อตา ตรงกันข้ามคนที่ตกอยู่ภายใต้เงาของอบายมุข กลับใฝ่ฝันถึงโอกาสที่จะคว้าแสงสว่างเหล่านั้นกลับมาไว้ในอุ้งมือ


กำลังคิดเพลินๆ เสียงแก้วกระแทกเค้าท์เตอร์ก็เรียกสติเขา


“เฮ้ย หลับในเรอะ!? ผสมยาสักหน่อยไหมจะได้ครึกครื้น”


“ยังว่ะ ไม่อยากโลกหมุน” ขืนเมายาตอนนี้เขาคงไม่ต้องทำมาหากินกันพอดี “แล้วนี่อะไรเนี่ย อย่างกับน้ำล้างสี”


“ดูถูกกันนี่หว่า นี่คอกเทลล์โคล่าสูตรใหม่ไฉไลกว่าเดิมเลยนะเว้ย แก้วเดียวรับรอง...”


“แอดมิดโรงบาล?”


“บ้ารึไง!” เก้าทำท่าจะยึดแก้วค็อกเทลล์คืน “ไม่กินก็ไม่ต้อง!”


ตุลย์หลุดหัวเราะ ประนีประนอมให้เพื่อนส่งแก้วมา ก่อนจะยก ‘โคล่าสูตรใหม่ไฉไลกว่าเดิม’ส่องกับแสงไฟ มันเป็นสีน้ำตาลขุ่นออกเทา ข้างในมีผลไม้อะไรสักอย่างน่าตาพิกลจมอยู่ก้นแก้ว ถ้าเกิดมันเปลี่ยนสีได้ด้วยเขาคงนึกว่าเป็นปฏิกิริยาจากสารเคมีอันตรายหรือก้อนกัมมันตภาพรังสี


มองแก้วสลับกับสายตาคาดหวังจากเจ้าของผลงานได้ครู่หนึ่ง เขาก็รู้ว่าไม่เหลือทางเลือกอื่นนอกจากยกแก้วที่ชะงักกลางอากาศขึ้นดื่ม


“สูตรนี้ผสมรูทเบียร์ด้วยนะ”


“.....”


นึกภาพจุดจบหลังสังหารตัวเองด้วยยาพิษแก้วนี้ไม่ออกเลยจริงๆ บางทีศพเขาอาจถูกเอาไว้โยนทิ้งไว้แถวตรอก หรือไม่แน่ก็โดนยัดใส่ตู้น้ำแข็ง เก็บไว้ส่งต่อให้พวกค้าอวัยวะถ้าบังเอิญธวัตรมาพบเข้า


คงยกแก้วสูงไปหน่อย จังหวะที่กำลังจะส่งมันเข้าปาก แรงชนเบาๆ ตรงต้นแขนก็ทำให้ข้อมือที่ไม่ค่อยมั่นคงแต่เดิมเสียศูนย์จึงทำของเหลวในแก้วหกเกือบหมด ตามหลักแล้ว แรงแค่นี้อย่างมากคงทำให้กระฉอก แต่พอผสมเข้ากับความเอนเอียงของเขา ข้อมือก็เลยอ่อนแรง แก้วตะแคงหกหมด และเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถืออีกนิด เขาเลยตั้งใจทำครึ่งหนึ่งหกใส่ตัวเองด้วย


แค่นี้ก็มีชีวิตอยู่ต่ออีกวัน...


“เฮ้ย!”


เก้าอุทานเสียงดังเกินเหตุ ผู้คนในระยะกระจายเสียงเลยหันมามองเป็นตาเดียว ซึ่งนั่นก็รวมถึงคนที่ชายวัยกลางคนที่บังเอิญแตะแขนเขาโดยไม่ตั้งใจด้วย


“ผมชนคุณเหรอ ...เป็นอะไรหรือเปล่า?”


สีหน้าฝ่ายนั้นเปลี่ยนไปเล็กน้อยตอนที่เห็นว่าเสื้อเขาเลอะเครื่องดื่ม ...เหมือนจะพูดว่ามันไม่น่าหกเยอะขนาดนั้น


ก็แน่ล่ะ ถึงเขาอยากจะแก้ตัวว่าไม่ได้ ‘อ่อย’ แต่ทำเพื่อ ‘เอาชีวิตรอด’ ก็คงได้แต่พูดในใจ เมื่อเจ้ากรรมนายเวรยังยืนอยู่ตรงข้ามโดยมีเคาท์เตอร์คั่นอยู่


“ไม่หรอกครับ ความผิดผมต่างหากที่ไม่ทันระวัง”


“เป็นอะไรมากไหม เสื้อคุณเปียกไม่ใช่เหรอ”


เขาส่ายหน้าให้กับสายตาที่กำลังประเมินความเสียหาย “ไม่เป็นไรหรอก ผมมีชุดสำรองไว้ คุณไม่ได้โดนลูกหลงใช่ไหม”


“ผมไม่เป็นไร”


“งั้นก็ดีแล้วครับ ขอโทษที่ทำให้เสียจังหวะ หวังว่าคุณจะสนุกกับที่นี่” เขาอวยพรตบท้ายตามประสาพนักงานที่ดี


กลับเป็นคู่สนทนาที่ใช้สายตาประเมินเสื้อผ้าที่สวมใส่ พร้อมตั้งคำถามด้วยสีหน้ายุ่งๆ เหมือนผู้สูงอายุเวลาที่เห็นเด็กอายุรุ่นราวคราวลูกทำตัวแก่แดดนอกลู่นอกทาง


“คุณเป็นเด็กเสิร์ฟที่นี่เหรอ?”


ตุลย์หัวเราะกลั้วหัวเราะเบาๆ เขาก็อยากเป็นอยู่ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาส...


“เปล่าครับ ผมเป็น ‘เด็กขาย’ ถ้าอยากได้คิวคุณต้องติดต่อเจ้าของที่นี่”


เห็นความสะเทือนใจบนใบหน้าคนถาม เขาเริ่มรู้สึกผิดที่พลั้งปากทำร้ายจิตใจผู้สูงวัย


ขอโทษครับ พอดีข้อตกลงในสัญญาระบุไว้ว่า ห้ามปกปิด ‘สถานะของตนเอง’ กับลูกค้าในเวลางาน ไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น ตราบใดที่ยังอยากเห็นแสงตะวันของพรุ่งนี้ เขาต้องหลับหูหลับตา ก้มหน้าทำงานต่อไป


----------------


หลังจากนั้นชายวัยกลางคนที่ตกเป็นเหยื่อทางคำพูดก็อ้างว่ามีธุระ แล้วปลีกตัวจากไปอย่างรวดเร็วเหมือนไม่อยากเห็นหน้าเขาต่อสักวินาที เก้าดูเสียดายนิดหน่อยที่เขาไม่มีโอกาสดื่มคอกเทลล์ชั้นเลิศ เจ้าตัวเลยเสนอทางแก้...


“รอแป๊บ เดี๋ยวฉันไปเอาแก้วใหม่มาให้”


“เดี๋ยวๆๆ!” เขาดึงแขนเพื่อนแทบไม่ทัน “ที่เหลือให้พี่บีชิมน่าจะดี เธอดื่มบ่อยกว่าฉันน่าจะมีประสบการณ์มากกว่า”


“ไม่ต้องแย่งกันเว้ย ได้ทุกคน ในตู้มีอีกเหลือเฟือไม่อั้น!”


หมายความว่ามีมากพอจะฆ่าเขาให้ตายได้พันครั้งหรือเปล่า...


ตุลย์หน้าซีด แต่สายตาก็เร็วพอจะเห็นผู้มาเยือนรายใหม่ที่กำลังจะกลายเป็น ‘เหยื่อ’ ในอีกสองวินาทีข้างหน้า สิ่งที่เขาต้องทำคือตีหน้าใสซื่อและจริงใจ


“อ้าว หวัดดีครับพี่บี วันนี้มาช้าจัง”


“วันนี้รถติดหน้าร้าน ไม่รู้มีเรื่องอะไรกัน” เธอบ่นกระปอดกระแปด เสื้อผ้าที่ค่อนข้างยับบ่งบอกว่าหญิงสาวคงงีบหลับระหว่างทาง “แล้วนี่มีอะไรกัน ทำไมมองฉันเป็นตาเดียวแบบนั้น มีแผนอะไรกัน?”


“เปล่า... พอดีเก้าเพิ่งลองทำค็อกเทลล์สูตรใหม่ มันอยากให้พี่ลองชิม”


“ไหนๆ เอามาซิ” เธอไถลมานั่งข้างเขาอย่างกระตือร้น พอๆ กับคนที่หายไปหลังบาร์ ส่วนเขาได้แต่ปั้นหน้ายิ้มอย่างที่ใช้ในเวลางาน และอวยพรให้เธอโชคดี...


ไม่นานแก้ว ‘ยาพิษ’ ก็ถูกนำมาตั้งตรงหน้า “แก้วนี้สำหรับสาวโสดที่สวยที่สุดของวันนี้”


“โถ พ่อคุ๊ณ ปากหวานไม่มีใครเกิน” บีหัวเราะคิกคัก ก่อนจะหยิบแก้วกระดกเข้าปากอย่างเร็ว


แล้วเธอก็ต้องสำลักแทบไม่ทัน หญิงสาวปิดปากไอโครกๆ อยู่นานจนตาแดง เธอพยายามพูดอยู่หลายครั้ง แต่ไม่สำเร็จ ถึงได้ถลึงตามองเก้าอย่างโกรธๆ


“เดี๋ยวนี้พวกแกเหิมเกริมขนาดเอายาหม่องผสมน้ำให้ฉันกินแล้วเหรอเนี่ย!” เธอดันแก้วไปที่มุมโต๊ะ “ไปเลย เอาคืนไปเลย! ฉันไม่พูดด้วยแล้ว”


คราวนี้กลับเป็นเก้าที่อึ้งๆ ไปจนกระทั่งเขาเสนอให้ฝ่ายนั้นลองชิม ‘ผลงานชิ้นเอก’ ของตัวเอง บาร์เทนเดอร์หนุ่มถึงรู้ซึ้ง ...ขนาดเจ้าตัวยังต้องไอ้แค่กๆ


“ไอ้ตุลย์!” มองเขาอย่างคาดโทษ “ทำไมไม่บอกก่อนวะ!?”


“นายดูภูมิใจนำเสนอมาก” เห็นแล้วไม่อยากหักหารน้ำใจจริงๆ


“โอ้ย เอ็งมันน่าจับกรอกปากให้ตาย!” เก้าถือแก้วค้างไว้ มืออีกข้างก็คว้าเสื้อเขา เหมือนจะทำอย่างที่ออกปากพูดจริงๆ หากไม่ใช่ว่าบังเอิญ ‘คนๆ นั้น’ เดินผ่านมาพอดี พวกเขาจึงต้องรีบเก็บไม้เก็บมือ กลับสู่สภาวะปกติด่วนจี๋ชนิดที่ราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น


ธวัตรหยุดยืนระหว่างใกล้ๆ บี ปรายมองเก้ากับเขานิดหน่อยเหมือนคาดโทษเรื่องเมื่อครู่ ก่อนหันไปคุยกับหญิงสาว


“เดี๋ยวอีกพักสักขึ้นไปหาฉันโซนวีไอพี ตาม ‘เด็กๆ’ คนอื่นแถวนี้ด้วย วันนี้มีแขกสำคัญ”


“ได้ค่ะ”


“ตามเฉพาะ ‘เด็กสาวๆ’ ล่ะ”


“ตามสั่งเลยค่ะ” ถูกกำชับมาแบบนั้น เธอก็ส่งยิ้มหวานๆ ให้ รอจนกระทั่งธวัตรเดินห่างออกไป เก้าที่ทนความสงสัยไม่ไหวถึงเป็นฝ่ายถาม


“วันนี้เขามีอะไรเหรอพี่”


“แขกพิเศษน่ะ คุณวัตรเคยเกริ่นให้ฟังอยู่ เหมือนจะเป็นว่าที่หุ้นส่วนทางธุรกิจที่ดูๆ ลาดเลาไว้”


“หือ ไม่ใช่ว่าคลับนี้อยู่ตัวแล้วเหรอครับ”


“ไม่รู้สิ”


“เหมือน ‘เขา’ กำลังคิดจะขยายคลับลูก เท่าที่ฉันได้ยินมา” คราวนี้เป็นตุลย์อธิบาย “แต่เงินทุนกับเส้นสายไม่พอเลยต้องหาหุ้นส่วน”


ผลพลอยได้จากการต้องนอนกับธวัตรให้บางคืน ส่งผลให้เขาพอรู้ข่าวคราววงในบางเรื่องเกี่ยวกับเจ้าตัวอยู่เหมือนกัน


“หืม... นายนี่รู้เยอะกว่าที่คิดแฮะ” เก้าหยีตาใส่


หมอนี่คงไม่รู้ว่าตัวเองโชคดีแค่ไหนที่ได้มีชีวิตปกติแบบคนธรรมดา
“เอาล่ะ ฉันขึ้นไปข้างบนก่อนนะ แล้วเจอกัน” เธอบอกลา ไม่วายหันไปกำชับสาวเสิร์ฟที่บังเอิญเดินผ่านให้ตาม ‘เด็กๆ’ ขึ้นไปชั้นบน


“แล้วค่าเหล้าผมคราวก่อนล่ะครับ”


“เออน่า เดี๋ยวมาจ่ายให้ ไม่ลืมหรอก อย่าลืมทวงแล้วกัน” บีหัวเราะเสียงใส ก่อนเดินตัวปลิวขึ้นบันได


ตุลย์มองตามขึ้นไปชั้นบนก็พบว่าวันนี้โซนนั่งดื่มวีไอพีซึ่งอยู่ติดระเบียงเปิดโล่งมีผู้พำนักแค่สองคน คนหนึ่งคือธวัตร เจ้าของคลับ เดาว่าอีกคนเป็น ‘แขกพิเศษ’ ที่กล่าวถึงกัน


หลายครั้งที่นักธุรกิจในวงการใต้ดินมักมีรสนิยมทางเพศผิดแผกจากคนธรรมดา จากประสบการณ์เขา พวกนี้ยอมจ่ายแพงแสนแพงเพื่อให้ได้เล่นอะไรแผลงๆ กับ ‘เด็กขาย’ เขาเพียงภาวนาให้บีไม่ถูกเลือกโดย ‘แขก’ ในครั้งนี้


ผู้หญิง ไม่ว่ายังไงก็คือผู้หญิง เธออ่อนไหว บอบบาง และต้องการการทะนุถนอม ไม่ใช่สัญชาตญาณดิบเถื่อนหรือหื่นกระหาย ถ้าเป็นไปได้ เขาอยากเป็นฝ่ายไปแทนเธอมากกว่า สำหรับเขามันไม่มีคำว่า ‘ตกเป็นฝ่ายเสียหาย’ อย่างมากก็แค่ถูกความรู้สึกแย่ๆ เหล่านั้นกัดกินตัวตนไปบ้าง


“ตุลย์ พี่บีลืมกระเป๋าเปล่าวะ” คนถามพยักพะเยิดไปใส่กระเป๋าถือสีชมพูข้างๆ เขา “ลืมของสำคัญขนาดนี้ได้ยังไงเนี่ย...”


เห็นสีหน้ากังวลใจของเพื่อน ตุลย์ก็ลุกขึ้น


“เดี๋ยวฉันตามเอาไปให้ข้างบน” เขาก็เป็นห่วงเธอไม่น้อยไปกว่าเก้า  ปกติบีจะหนีบกระเป๋าติดหนึบกับตัวเหมือนอวัยวะที่สามสิบสาม แต่อยู่ๆ วันนี้เธอเกิดลืมแขนขาขึ้นมาเหรอ บังเอิญขนาดนั้นเชียว?


“ฝากดูเธอด้วยนะ”


เขาพยักหน้ารับ ‘อื้ม’ ในคอ ก่อนจะพาตัวเองขึ้นไปชั้นบนพร้อมกระเป๋าที่ถูกลืมไว้ คงดีไม่น้อยถ้าเขาได้เห็นหน้าคร่าตา ‘แขกพิเศษ’ ของธวัตรสักหน่อย จะได้ประเมินความระดับความอันตรายของคนๆ นั้น


ประสบการณ์ชีวิตเขาอาจไม่มากเท่าผู้ใหญ่เต็มวัย แต่การพบเจอคนหลากหลายรูปแบบตลอดชีวิตที่ผ่านมา ทำให้เขาพอมองอะไรออกบ้าง บางทีเขาอาจหาวิธีเบี่ยงเบนความสนใจของแขกจากเธอได้


“ผมอยากให้คุณเข้ามาร่วมเป็นหุ้นส่วนของเรา ภาวะเศรษฐกิจแบบนี้เอื้อต่อการลงทุนมาก อีกอย่างย่านที่ผมหมายตาไว้เป็นย่านใหม่ที่นักท่องเที่ยวจับตามอง นี่อาจเป็นโอกาสดีสำหรับการขยายธุรกิจ รับรองว่า ‘ผลกำไร’ จะไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน”


นั่นเป็นเสียงของธวัตร ตุลย์หยุดแนบหลังกับกำแพงตอนขึ้นมาถึงขั้นบน พยายามจับใจความบนสนทนาเหล่านั้น


“แผนคุณก็น่าสนใจอยู่หรอก แต่ผมไม่อยากยุ่งกับธุรกิจมืดเท่าไหร่” คราวนี้เป็นเสียงของคนมีอายุหน่อย


แขกพิเศษที่ว่าเป็นลุงแก่ๆ ที่ชอบเคี้ยวเด็กเอ๊าะๆ งั้นสิ?


“คุณไม่จำเป็นต้องกังวลหรอก รับรองว่าผมจะไม่ปล่อยให้มี ‘ปัญหา’ อะไรหลุดไปถึงคุณแน่นอน ที่เหลือก็ต้องการแค่เงินทุนกับเส้นสายอีกนิดหน่อย ซึ่งผมก็หวังว่าจะได้จากคุณ”


“ผมขอตัดสินใจดูก่อนแล้วกัน”


ฟังจากน้ำเสียงที่ดูไม่ค่อยสนใจข้อเสนออย่างปากว่า เขาเดาได้ทันทีว่าธวัตรต้องใช้ ‘เด็กๆ’ ดึงความสนใจว่าที่หุ้นส่วนไว้แน่นอน


ที่ไหนมีเหล้า ที่นั่นก็ย่อมมีผู้หญิงเอาไว้แกล้ม...


“ได้ข่าวว่าคุณชอบเด็กสาวๆ เป็นพิเศษ ผมเลยให้คนจัดไว้ให้ สนใจคนไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า?”


ตุลย์ใช้จังหวะที่ธวัตรเปิดช่องให้คู่สนทนาตอบ ผละจากหลังกำแพงเดินเข้าไปหา ขณะเดียวกันก็ลอบมอง ‘แขกพิเศษ’ ที่นั่งหันหลังให้เขา ชายคนนั้นสวมสูทผ้าไหมราคาแพง สังเกตจากผมหงอกที่ขึ้นแซมบนศีรษะคงค่อนข้างมีอายุ แผ่นหลังเหยียดตรงดูสุขุมเหมือนคนเจนโลกมานาน


ตรงกันข้ามคือธวัตรที่กำลังนั่งไขว่ห้างโอบไหล่บี ด้านหลังก็มีสาวๆ รายล้อมอีกเพียบ แถมแต่ละคนก็ราวสิบเจ็ดสิบแปดทั้งนั้น


“เป็นยังไงครับ ถ้าคุณไม่ชอบ ข้างล่างก็ยังมีสาวนั่งดริ้งค์อีกเพียบ ”


“ขอโทษนะครับ” ตุลย์ขัดจังหวะ เขาหยุดอยู่ข้างที่นั่งของชายวัยกลางคน ก่อนจะส่งกระเป๋าให้บี “คุณผู้หญิงลืมกระเป๋าไว้”


“อา... ขอบคุณค่ะ” เธอขยิบตาขอบคุณให้ทีหนึ่ง


แน่นอนว่าการขัดจังหวะของเขาย่อมทำให้ตกเป็นเป้าสนใจของวงสนทนา ตุลย์จึงส่งยิ้มขอโทษให้กับ ‘แขกพิเศษ’ แต่แล้วยิ้มนั้นก็ค้างกลางอากาศ เช่นเดียวกันกับ ‘แขก’ ที่จ้องเขาเขม็งเหมือนไม่เชื่อว่ายังอุตส่าห์เจอกันอีก


เดี๋ยวก่อนนะ ใครปล่อยให้ลุงแกเดินหลงทางขึ้นมาชั้นวีไอพีตัวคนเดียว...


“เป็นเด็กของที่นี่ใช่ไหม”


พอถามแบบนั้น เขาก็ได้เพียงพยักหน้าตอบ


“ผมสนใจคนนี้” มือที่วางบนแขนเก้าอี้สอดโอบเอวเขาหลวมๆ เหมือนยืนยันเจตนารมณ์ ไม่วายเอื้อมมาไล้ตำแหน่งที่คราบเปื้อนแห้งกลัง “กาแฟนี่ผมทำหกใส่เขาเลยอยากชดเชย หวังว่าคุณคงไม่ว่าอะไร”


“นึกว่าคุณไม่สนใจเด็กผู้ชายเสียอีก ปกติแล้วเด็กคนนี้ค่าตัวแพงทีเดียว แต่สำหรับคุณ คืนนี้ผมยอมยกให้เป็นพิเศษ ถือซะว่าเป็นของกำนัลของ ‘หุ้นส่วนคนใหม่’”


ใบหน้าเปื้อนยิ้มของธวัตรเจือแววพอใจเหมือนมั่นใจว่าปลาฮุบเหยื่อแน่นอน ก่อนถีบความรับผิดชอบทั้งหมดมาที่เขาด้วยสายตาคมกริบราวกลับจะพูดว่า ‘ห้ามปล่อยให้หลุดมือเชียว ไม่งั้นแกตาย’


“ผมสั่งให้คนเตรียมห้องไว้เรียบร้อย ตุลย์จะพาคุณไป”


ถูกเร่งเร้าเขาก็ได้แต่สวมหน้ากากฉาบรอยยิ้มแสนสวยเหมือนปั้นหน้าตุ๊กตาแล้วเดินนำ


“ทางนี้ครับ”


ฝ่ายนั้นจะรู้ไหมว่าไอ้ที่หกน่ะ ไม่ใช่กาแฟแต่เป็นโคล่า ยิ่งกว่านั้นคือเขา ‘ตั้งใจ’ ทำหกเอง ไม่ได้พึ่งพาแรงชนแต่อย่างใด คิดถึงตรงนี้ก็รู้สึกผิดขึ้นมาตงิดๆ

นอกจากจะทำร้ายจิตใจผู้สูงวัย เขายังเข้าข่ายสิบแปดมงกุฏล่อลวงคนแก่เป็นเหยื่ออีกสินะ บาปกรรมดีแท้ๆ...


-------------
ปั่นไส้แตกกก  :katai4: อัพแล้วค่า *กราบ*
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 31.5.16 {3rd Night} [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 31-05-2016 11:07:56
ใครเป็นพระเอกหนอ...
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 31.5.16 {3rd Night} [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 31-05-2016 20:18:29

รู้สึกถูกชะตาคุณธวัตร5555555555
นางไม่ใช่ป๋า ไม่ใช่แค่เสี่ย แต่นางเป็นนายหน้าค่ะทุกท่าน
เป็นคนจัดคิวให้นายเอกเราขายตัว อื้อหือ แม่เจ้าโว้ย!
เรื่องอื่นเขามีอะไรแบบนี้กันซะที่ไหนล่ะ น่าสนใจเกินไปแล้ว!
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 31.5.16 {3rd Night} [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 01-06-2016 06:00:02
หรือว่าลุงแกเป็นพระเอกกันล่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 31.5.16 {3rd Night} [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: exo_yaoi ที่ 01-06-2016 22:02:40
คือ )&@@""!?)@&" มัน ฿฿)))฿&@@""  ชอบจนบอกไม่ถูก ดีเว่อร์  :hao5:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 31.5.16 {3rd Night} [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Soda.wine ที่ 02-06-2016 07:47:45
 o13 เรื่องราวต่อไปจะเป็นไงนะอยากรู้จัง เค้ารออยู่นะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 31.5.16 {3rd Night} [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: pipoo ที่ 02-06-2016 09:48:15
 สนุกๆๆๆๆ อยากรู้ใครคือพระเอก หรือลุง เป็น
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 31.5.16 {3rd Night} [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 02-06-2016 15:57:12
 :pig4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 31.5.16 {3rd Night} [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 05-06-2016 14:00:27
4th Night
[/b]



ทันทีที่มาถึงห้องร่างสูงก็ถอดสูทออก ตุลย์เอื้อมมือไปรับมันมาแขวน ตกใจนิดหน่อยตอนที่หมุนตัวกลับมาแล้วพบเจ้าของสูทยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน ซ้ำยังเข้ามาประชิดตัวเขา



“ตัวผมเปื้อนค็อกเทลล์ ยังไม่ได้อาบน้ำ” ยิ้มเชิงขอโทษ แล้วเดินเลี่ยงสวนไป



ไม่ต้องรีบร้อน... ใช่ว่าอีกนาทีสองนาที ร่างเขาจะระเหยเป็นธาตุอากาศลอยหายไปตามซอกประตูเสียเมื่อไหร่



ราวกับไม่ได้ฟัง ชายคนนั้นใช้แขนเท้ากำแพงกั้นเขาไว้หลังประตู กลายเป็นถูกบังคับให้นิ่งอยู่กับที่ แต่นอกเหนือจากนั้น อีกฝ่ายก็ไม่แสดงการคุกคามใดๆ เพิ่มเติม



ไม่ใช่ครั้งแรกที่สถานการณ์ชักนอกเหนือการควบคุม



‘แขก’ ที่มีอายุไม่ใช่จะรับมือได้ง่ายเสมอไป เขาเคยเจอตั้งแต่พวกเจ้ากี้เจ้าการ ทำอะไรต้องได้ตามใจสั่งทุกอย่าง ไปจนถึงพวกนิยม ‘ความเป็นใหญ่แบบสุดโต่ง’ หนักเข้าหน่อยก็จำพวกชอบเล่น ‘นายกับทาส’ หรืออะไรเทือกนั้น
   


แต่สิ่งที่คนพวกนี้ต้องการเหมือนกันคือ ‘ผู้ตามที่ดี’ดังนั้นขอแค่เขา ‘สงบ’ และทำตัว ‘ว่าง่าย’ โอกาสเจ็บตัวเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องก็น้อยลงจนแทบเป็นศูนย์



เห็นเขายืนนิ่งๆ ไม่ขัดขืน ฝ่ายตรงข้ามถึงได้ลดแขน ท่าทีก็ผ่อนคลายลงด้วย



“ทำให้กลัวหรือเปล่า? ขอโทษที่ดึงเธอเข้ามาเอี่ยว แต่พวกผู้หญิงพวกนั้นเด็กเกินไปสำหรับเรื่องแบบนี้ ...แล้วตอนนั้นเธอบังเอิญผ่านเข้ามาได้จังหวะพอดี ฉันเลยใช้กาแฟเป็นข้ออ้าง”



เรียบเรียงลำดับความคิดอยู่ครู่ก็ถึงบางอ้อ



ที่แท้ก็ไม่อยากมีพันธะอะไรกับพวกผู้หญิง ถึงได้ใช้เขาซึ่งเป็น ‘เด็กขายผู้ชาย’ เพียงคนเดียวในตอนนั้น และบังเอิญเข้ามาเสี้ยมถูกจังหวะเพื่อเลี่ยงข้อเสนอที่ธวัตรพยายามผูกมัดตัวเองไว้



อืม ร้ายกาจสมเป็นนักธุรกิจดีอยู่หรอก… ถ้าไม่ใช่ว่า ‘เด็กคนนั้น’ บังเอิญเป็นเขาที่ยังไม่อยากตกงาน



“ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอก ตามสบายเถอะ” ร่างสูงทิ้งตัวบนโซฟา คลายเนคไท ก่อนจะหยิบรีบโมทไล่ดูช่องทีวีด้วยท่าทีผ่อนคลาย



ตามสบายเหรอ... น่าเสียดายที่เขาได้แค่ฝันถึง ขืนปล่อยให้ ‘ว่าที่หุ้นส่วนธุรกิจ’ ของธวัตรหลุดมือไปโดยที่ไม่ทำอะไร บางทีพอเขาตื่นเช้ามาอาจพบว่าตัวเองนอนดิ้นอยู่ในโลงที่ถูกฝังใต้พื้นดินลึกหกฟุตก็เป็นได้



ถึงตอนนั้นคร่ำครวญอะไรไปคงไม่ได้ความ



ตุลย์เดินตามเข้าไปในห้องนั่งเล่น หยุดตรงบาร์เล็กๆ มุมห้อง “คุณอยากดื่มอะไรหน่อยไหม อะไรเป็นพิเศษอย่างเช่นพวกไวน์ หรือเบียร์?”



“อะไรก็ได้”



เมื่อไม่จำเพราะเจาะจง เขาจึงเลือกไวน์ขวดหนึ่งจากจำนวนหลายสิบบนชั้นตามความชอบส่วนตัว ก่อนจะหยิบที่เปิดจุกไม้ก็อก ระหว่างนั้นก็ลอบสังเกตหนุ่มใหญ่ไปพลางคิดหาวิธีดึงความสนใจ



คนๆ นี้ดูถูกใจอะไรยาก แถมยังมีวิธีปฏิเสธอย่างแยบยลอีก จะให้เข้าไปออดอ้อนตรงๆ คงไม่ใช่เรื่อง เห็นทีต้องเอาใจด้วยวิธีอื่น...



บังเอิญเหลือบไปเห็นร่างสูงที่นั่งหลับตานวดขมับ เขาก็เกิดปิ๊งไอเดียดีๆ เลยเปลี่ยนใจหยิบแก้วมาตินี่จากชั้น เปิดตู้เย็นค้นบางอย่างมารินใส่แทน ก่อนจะเดินถือแก้วไปส่งให้ฝ่ายนั้น



หนุ่มใหญ่รับแก้วมาก็แปลกใจ เมื่อของเหลวข้างในห่างไกลจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไปมากโข



“น้ำผลไม้?”



“ครับ คุณดูเหนื่อยๆ เป็นน้ำผลไม้น่าจะดีกับร่างกายมากกว่า แต่ถ้าไม่ชอบผมจะไปเปลี่ยนเป็นน้ำเปล่าให้ก็ได้”



“ไม่เป็นไรหรอก...”



ฝ่ายนั้นโบกมือไหวๆ เขาจึงถือโอกาสเดินไปหยิบไวน์ที่รินค้างไว้ แล้ววกกลับมาที่โซฟาตัวเดิม



“ผมนั่งด้วยได้ไหม ถ้าคุณไม่ว่าอะไร”



คู่สนทนามองเขาเหมือนประเมินท่าทีอยู่พักก็อนุญาต “เอาสิ”



ได้ยินเช่นนั้น เขาจึงนั่งลงข้างๆ แต่คุยกันได้สองสามคำ ฝ่ายนั้นจะหันกลับไปสนใจโทรทัศน์  แล้วยกแก้วมาตินี่ขึ้นจิบเหมือนตั้งใจหมางเมินกัน เขาจึงเหลือบมองเงียบๆ ขณะจิบไวน์ในแก้วของตน



 ริ้วย่นตรงหางตาและบริเวณโหนกแก้มบ่งบอกว่าชายคนนี้คงอายุราวสี่สิบต้นๆ  หน้าตาธรรมดาทั่วไป ส่วนรูปร่างเรียกว่าตามประสาชายวัยกลางคนที่ทำงานนั่งโต๊ะเป็นประจำ พูดให้ถูกคือในทางกายภาพ หนุ่มใหญ่ไม่มีอะไรโดดเด่น



แต่สิ่งที่ต้องตาเป็นพิเศษ คือ การวางตัวและเสน่ห์แบบคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้วครึ่งชีวิต



เหม่อมองคู่สนทนาได้พักเดียว ก็ไม่อาจปล่อยให้ความเงียบโรยตัวนานกว่านี้



“เรื่องค็อกเทลล์หก คุณไม่ได้ติดค้างอะไรกับผมหรอก ...จริงๆ แล้วผมตั้งใจ”



ได้ผลเมื่อหนุ่มใหญ่หันขวับจ้องเขม็ง “หมายความว่ายังไง ตั้งใจเรียกร้องความสนใจแต่แรก?”



เขาส่ายหน้าพัลวัน


ทำไมต้อง ‘อ่อย’ ในเมื่อเขามีแขกต่อคิวยาวเหยียดชนิดที่ต่อให้ไม่อยากก็ต้องรับ ไม่จำเป็นต้องหาเหาใส่หัวเพิ่มสักนิด



“คือผม ‘มีปัญหากับเพื่อน’ เรื่องเครื่องดื่มแก้วนั้นนิดหน่อย ถึงคุณไม่ชน ผมก็ตั้งใจทำหกอยู่ดี เรื่องเสื้อเลอะไม่ความผิดของคุณหรอก คุณแค่บังเอิญผ่านมาตอนที่มันหก ...ผมแค่อยากบอกเท่านี้”



“แปลว่าจริงๆ แล้ว ฉันป็น ‘เหยื่อ’ ของเธอสินะ?”



“คุณจะพูดแบบนั้นก็ไม่ผิด... ขอโทษที่ทำให้วุ่นวายตอนนั้น” เขายิ้มเจือน



ถ้าจะให้เก็บความรู้สึกผิดที่รังแกคนแก่ถึงสองครั้งไว้ในใจ สักวันคงได้อกแตกตายจริงๆ



หากแทนที่จะตำหนิ หนุ่มใหญ่กลับหยิบรีโมทปิดทีวี



“เธอชื่ออะไร”



“ตุลย์... แล้วผมควรเรียกคุณว่าอะไร”



“เรียกศาน“ ว่าแล้วก็ขยับเอียงมาทางเขาเล็กน้อย “เธออยากคุยกับฉันเหรอ?”



พอถูกจับได้คาหนังคาเขาว่าเรียกร้องความสนใจ ตุลย์ก็ได้แต่รับ ‘ครับ’ ไปตามเรื่องตามราว ดีไม่ดีปฏิเสธไปอาจกลายเป็นการขุดหลุมฝังตัวเองก็ได้...



“แล้วจะชวนฉันคุยเรื่องอะไรล่ะ” ศานยิ้มให้เขา ...ยิ้มคาดคั้นเหมือนจะพูดว่า ‘อย่างเธอจะเอาอะไรมาชวนฉันคุย’ ซึ่งนั่นก็จริง...



เขาจะเอาเรื่องอะไรไปชวนคุยกับคนที่ไม่ยักกะสนใจมีอะไรกับเด็กขาย แถมยังอายุต่างกันยี่สิบปี พอจะนับเป็นพ่อกับลูกได้ มันออกจะเกินความสามารถไปหน่อยจริงไหม?



ดูเหมือนศานจะตั้งใจแกล้งแต่แรก พอเห็นเขานิ่งคิดไปนาน หนุ่มใหญ่ถึงเป็นฝ่ายเปิดประเด็นขึ้นก่อน เริ่มจากเรื่องสัพเพเหระ และข่าวดินฟ้าอากาศประจำวัน วนหาหัวเรื่องกันอยู่นานจนกระทั่งไปลงเอยที่กีฬา ทีแรกเขาคิดว่าศานทำแต่งานนั่งโต๊ะเป็นส่วนใหญ่ แต่เอาเข้าจริง ฝ่ายนั้นกลับสนใจกีฬาเป็นพิเศษโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘กอล์ฟ’ กีฬาที่คนรวยมักเล่นกระชับมิตรกันบ่อยๆ เหมือนในละครหลังข่าว



“แล้วเธอล่ะ ชอบเล่นอะไรไหม?”



พูดถึงกีฬาแล้ว นอกจากถ่ายทอดสดฟุตบอล มวย หรือกีฬาพื้นๆ อะไรเทือกนั้น เขาก็ไม่สนใจอย่างอื่น ที่พอได้จับเป็นชิ้นเป็นอันก็มีแต่โต๊ะพูลหลังร้านนี่แหละ



“ผมไม่ค่อยได้เล่นกีฬาอะไรประเภทนั้นหรอก ที่พอเล่นเป็นก็มีแต่พูล”



“เมื่อก่อนฉันก็เคยเล่นพูล เดี๋ยวนี้ชักลืมๆ ไปบ้าง เอาไว้ว่างๆ ก็ไปเล่นกับฉันหน่อยสิ”



ถูกออกปากเชิญก็ถือเป็นโอกาสดีสำหรับทำแต้ม


 “ครับ ผมเล่นไม่เก่งหรอก ก็หวังว่าคุณคงไม่เบื่อซะก่อน”



“เอาน่า ลองดูก่อนค่อยตัดสินทีหลัง” ศานหัวเราะ



คุยกันต่ออีกสองสามประโยค ตุลย์ก็อาสารับแก้วไปเติมเครื่องดื่ม คราวนี้พอถามว่าอยากดื่มอะไรอีกไหม หนุ่มใหญ่ก็เจาะจงบรั่นดีมายี่ห้อหนึ่ง



ระหว่างที่กำลังไล่ดูชื่อขวดจำนวนลานตาวางเรียงรายอยู่บนชั้น จู่ๆ คนที่ควรนั่งเอกเขนกบนโซฟาก็ปรากฏตัวอยู่ข้างเขา



“ทำแบบนี้บ่อยเหรอ?”



“หมายถึงยังไงครับ”



“ก็ชวนแขกคุย... นั่งเป็นเพื่อน...  รินเหล้าให้ดื่ม...”



ตุลย์หัวเราะเบาๆ กวาดตาไล่จนเจอยี่ห้อที่ใช่ ก็ดึงขวดหนึ่งออกมาจากชั้น



 “ผมรับแขกบ่อย เจอคนหลายประเภท ถ้าช่างสังเกตหน่อย นานๆ เข้าก็พอรู้ว่าควรทำตัวยังไง ถ้าไม่ปรับตัวบ้าง คงอยู่ไม่รอดหรอกจริงไหม?”



จู่ๆ ตอนเอื้อมไปหยิบที่เปิดขวด ข้อมือก็ถึงหยุดให้ค้างเติ่งอยู่เพียงครึ่งทาง



“แล้วเธอคิดว่า ฉันเป็นคนประเภทไหนล่ะ” น้ำเสียงทุ่มและนุ่มขึ้นกว่าเก่า



เขาหมุนตัว หันหน้าเข้าหาหนุ่มใหญ่ ขณะที่ฝ่ายนั้นเท้ามือกับขอบเคาท์เตอร์โดยมีตัวเขาคั่นกลาง ใกล้ชิดจนเหมือนตกอยู่ในอ้อมกอดหลวมๆ



“คงเป็นประเภทที่รับมือยากเป็นพิเศษล่ะมั้ง...”



-------------------------



   ไม่บ่อยครั้งที่เซ็กซ์กับ ‘ลูกค้า’ เริ่มต้นจากการจูบ



ริมฝีปากทั้งคู่ดูดดึงกันจนเกิดเสียง ศานประคองคางเขา จับให้แหงนหงายเล็กน้อยเพื่อจะได้รับจูบได้ถนัด ตุลย์ปล่อยให้ลิ้นของอีกฝ่ายแทรกเข้ามาในโพรงปาก กวาดสำรวจทั่ว แล้วขบตอบเบาๆ เหมือนหยอกล้อ



เริ่มต้นจากความวาบหวานก็จริง แต่เมื่ออารมณ์ถูกจุดขึ้นถึงระดับหนึ่ง ก็ไม่อาจหยุดลงเพียงแค่จูบ ศานสอดมือเข้ามาลูบไล้แผ่นหลังใต้เนื้อผ้าก่อนเลื่อนลงไปยังบั้นท้ายแล้วเค้นคลึง อดไม่ได้ที่จะแวะเยี่ยมส่วนที่อยู่ต่ำอีกหน่อยอย่างอดใจไม่ไหว



“อา...”



ตุลย์ร้องออกมาเบาๆ ตอนที่นิ้วถูกสอดเข้ามาขยับขยายช่องทาง อาจเพราะร่างกายคุ้นชินกับเรื่องแบบนี้จึงไวต่อสัมผัส แค่กวาดสำรวจเพียงเล็กน้อยก็เริ่มสร้างความสุขให้ สติที่ยังพอมีทำได้แต่ดันลิ้นชักให้เปิด แล้วควานหาถุงยางไซส์มาตราฐานมาซองหนึ่งส่งให้หนุ่มใหญ่ ตอนที่กางเกงถูกดึงลงไปกองกับพื้น



ศานปลดเข็มขัดเสร็จก็ทาบน้ำหนักทั้งหมดลงมาบนร่างแล้วรั้งเอวเขาเข้ามา ส่วนที่แข็งขืนและอุ่นร้อนด้านล่างเสียดสีกับช่องทางด้านนอกตอนที่เจ้าของหยัดเอวน้อยๆ เหมือนพยายามกระตุ้นอารมณ์ให้จนเขาต้องยึดไหล่ร่างสูงไว้เป็นที่มั่น แยกขาที่ถูกคั่นไปด้วยสะโพกฝ่ายนั้นกว้างอีกนิด เพื่อให้เสียดสีได้สะดวกขึ้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าการถูกสัมผัสเพียงด้านนอกก็ทำให้รู้สึกดีจนยากจะควบคุมความต้องการ



จวบจนไฟปรารถนาถูกจุดติดโดยสมบูรณ์ เขาถึงเป็นฝ่ายร้องขอการสอดใส่



เพื่อตอบสนองคำขอนั้น หนุ่มใหญ่จัดสะโพกเขาให้พาดอยู่บนขอบโต๊ะแค่หมิ่นเหม่ ก่อนจะยกขึ้นแล้วสอดดันแก่นกายที่จ่ออยู่หน้าช่องทางเข้ามาด้านในทีเดียวทั้งหมด สารหล่อลื่นจากถุงยางช่วยให้มันเป็นอย่างราบรื่น ความอึดอัดในทีแรกจึงเปลี่ยนเป็นเสี่ยวซ่านก่อนจะทวีความรุนแรงขึ้นจนต้องร้องครางกระเส่าเหมือนฝ่ายตรงข้ามกระทั้นกายเข้ามาลึกและเร็วจนนั่งไม่ติด



ตุลย์เกี่ยวขากับเอวหนุ่มใหญ่ ใช้มือข้างหนึ่งยันตัวไว้กับเคาท์เตอร์ไม่ให้หงายหลังหัวฟาดชั้นวางขวดไวน์เพราะการร่วมรักที่ทวีความเร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่วายแรงกระแทกกระเทือนจากคนด้านบนจนร่างไหวก็ทำเอาต้องใช้มืออีกข้างเกี่ยวชั้นที่อยู่เหนือหัวไว้ด้วยกลัวว่าจะหัวโขกเข้าสักวัน



“ฮา... แรงอีกหน่อย” ขอร้องทั้งที่พูดบนเสียงหอบกระเส่า



พอศานสนองด้วยการกดสะโพกเข้าหาตัวถี่ๆ เขาก็มองเห็นขอบสวรรค์อยู่รำไร ส่วนมือที่จับขอบชั้นอยู่ก็เริ่มปะป่ายเหมือนควานหาอะไรไปตามเรื่องหวังระบายความเสี่ยวซ่านจากสิ่งที่เสียดสีอยู่ในกาย รู้สึกตัวว่าอยู่ๆ มีบางอย่างอุ่นๆ สอดรองท้ายทอยไม่ให้กระแทกขอบชั้นก็ครู่เดียวก่อนที่ร่างกระตุกเกร็ง ปลดปลอยความต้องการออกมาจนหมด



ตุลย์หอบหายใจ รู้สึกว่าทั้งร่างกายชื้นแฉะไปด้วยเหงื่อ ขายังแยกกว้างเมื่อถูกสะโพกหนุ่มใหญ่คั้นไว้ แม้ว่าจะถอนกายออกไปแล้ว ฝ่ายนั้นก็ดูเหนื่อยไม่น้อยถึงได้ใช้แขนที่ยังรองใต้ศีรษะเขาไว้เป็นหลักยันร่าง สีหน้าบ่งบอกว่าค่อนข้างพอใจ



แบบนี้แปลว่าเขาจับศานได้อยู่หมัดแล้วสินะ?



ตุลย์ถอนหายใจเบาๆ  นอกจากการวางตัวกับทริคเล็กๆ น้อยๆ ลีลาบนเตียงเขาก็สุดแสนจะธรรมดา ไม่ใช่เซ็กซ์เผ็ดร้อนลืมโลกแบบเด็กขายหลายคน มีดีหน่อยก็ต้องเอาใจเก่ง และไม่เรื่องมาก



ความที่เขายอมรับอะไรง่ายๆ และตอบสนองให้ทุกครั้งที่คู่นอนร้องขอ ทำให้มีแขกติดพันบ่อยๆ ธวัตรถึงมองว่าเหมาะ ‘เป็นหน้าเป็นตา’ ของคลับนี้ เพราะไว้ใจให้อยู่กับแขกสองต่อสองได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะเสียหน้า



ถึงลีลาเขาจะจัดว่าห่วยเมื่อเทียบชั้นกับเด็กขาย แต่อย่างน้อยผลงานวันนี้ก็คุ้มค่าความพยายามล่ะนะ...



--------------------




แล้วก็เป็นตุลย์ที่ต้องมานั่งพะวักพะวงกับคำพูดตัวเอง...



หลังจากคืนนั้น ‘ศาน’ หรือที่ธวัตรเรียกว่า ‘ศานนท์’ก็หายหน้าหายตาไปราวกับเจ้าตัวได้สลายกลายเป็นสสารในมิติอื่นแล้ว ส่วนเขาก็ถูกธวัตรมองด้วยสายตาคาดโทษทุกครั้งที่เจอหน้า ข้อหาทำให้ชวดว่าที่หุ้นส่วน ติดแค่ยังไม่มีโอกาสได้ลงมือ เขาจึงยังครบถ้วนสามสิบสองดี



นับว่าสวรรค์ทรงเมตตา ช่วงเวลาแห่งความกดดันจึงอยู่เพียงไม่นาน สองสามวันหลังจากนั้น ศานนท์ก็ติดต่อมาขอคิวเขา จากนั้นก็บุ๊คคิววันต่อมา ตามด้วยวันต่อๆ มา... แล้วก็อีกหลายวันต่อๆๆ มา จนกลายเป็นว่าตารางทั้งสัปดาห์กลายเป็นของหนุ่มใหญ่ชนิดที่แทบเรียกได้ว่า ‘โดยสมบูรณ์’ ส่วนคิวอื่นๆ ที่ ‘ไม่สำคัญเท่า’ ก็ถูกเลื่อนออกไปไม่มีกำหนดการแน่นอน ซึ่งนั่นก็รวมถึงคิวของเพื่อนร่วมคณะที่พยายามเล่นพิเรนทร์กับเขาด้วย



ทีแรกศานนท์นัดเจอเขาที่คลับ สักพักก็เริ่มขยับขยายเป็นโรงแรมใกล้ๆ แล้วก็ไกลขึ้นอีกหน่อย จนหลังๆ มาหนุ่มใหญ่ก็ชวนเขาไปค้างที่คอนโด บางคืนพวกเขาก็มีเซ็กซ์กัน ขณะที่บางคืนก็แค่นั่งดื่ม คุยเรื่องสัพเพเหระเล่นจนกระทั่งเกือบฟ้าสาง



เรียกว่าใกล้ชิดกันรวดเร็วจนน่าใจหาย



“ตุลย์”




เช้าตรู่วันหนึ่ง ตอนที่เขากำลังแต่งตัวออกจากคอนโดเพื่อกลับอพาร์ทเม้นท์ตามปกติ ก็ถูกคนที่นอนจมกอดผ้าห่มอยู่บนเตียงร้องเรียก



“ครับ?”



“สุดสัปดาห์นี้ไปเล่นพูลกับฉันหน่อยสิ” คล้ายประโยคบอกเล่ามากกว่าคำถาม



ว่ากันตามตรงแล้ว ในเวลางาน เขา ‘ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ’ ว่าจะควรทำอย่างโน้นหรืออย่างไหน เขาแค่ ‘ทำ’ เมื่อมีสั่ง และ ‘หยุดทำ’ เมื่อไร้คำสั่ง ถ้าศานนท์ต้องการให้เขาเล่นพูลเป็นเพื่อนไม่ว่าเมื่อไหร่ หนุ่มใหญ่ย่อมรู้ดีว่าควรทำอย่างไร



“ได้ครับ ถ้าคุณ ‘อยาก’ ให้เล่นเป็นเพื่อนล่ะก็นะ”



ฝ่ายนั้นคราง ‘อืม’ ในคอเมื่อได้ฟังคำตอบ



“ฉันจะโทรไปคุยกับ ‘เขา’ แค่ถามความสมัครใจเธอก่อน”



------------------------




แล้วก็เป็นไปตามที่ศานนท์ออกปากเหมือนสั่งได้ สุดสัปดาห์นั้น หนุ่มใหญ่นัดเจอเขาตรงโซนด้านหลังที่ลูกค้านิยมมาเล่นพูล แต่คราวนี้ไม่ได้ปิดห้องเหมือนครั้งก่อนตอนที่มาคุยธุระกับธวัตร พวกเขาใช้ห้องร่วมกับลูกค้าคนอื่นๆ แค่จองโต๊ะหนึ่งเอาไว้สำหรับสองคนเท่านั้น



ตุลย์หยิบไม้คิว[1] ที่วางพาดอยู่ข้างโต๊ะ ส่งอันหนึ่งให้หนุ่มใหญ่ ก่อนจะเริ่มเรียงลูกสีต่างๆ ใส่ในกรอบสามเหลี่ยม



เจ้าบ้านที่ดี ควรดูแลแขกไม่ให้ขาดตกพกพร่องจริงไหม?



พอจัดโต๊ะเสร็จ เห็นว่าศานนท์เหลาหัวไม้ด้วยชอล์กเหมือนพร้อมแล้ว ตุลย์ก็ไม่รีรอที่จะเปิดเกม เขาไม่ได้เล่นพูลมาสักพักใหญ่ๆ พอมีโอกาสได้จับไม้แทงลูกจึงรู้สึกคึกคักเป็นพิเศษ



“คุณอยากเริ่มก่อนไหม” ว่าพลางโยนลูกขาวในมือ



ฝ่ายหนุ่มใหญ่แค่ยิ้มบางๆ “เธอก่อน”



ในเมื่อฝ่ายนั้นเสนอมาเขาก็สนองให้ตามสั่ง ตุลย์พาดไม้บนขอบโต๊ะ ก้มตัวต่ำ มือข้างหนึ่งจับโคนไม้ ส่วนอีกข้างประคองปลายเล็งหัวคิว[2] ที่ลูกขาวแล้วแทงด้วยแรงประมาณหนึ่ง ลูกขาวก็กลิ้งไปกระแทกลูกสีจนพวกมันแตกกระจายออกเป็นหลายทิศทาง



“ตาคุณ”



“ฉันไม่ออมมือนะ”


หนุ่มใหญ่อ้อมไปอีกมุมโต๊ะที่ลูกขาวหยุด ก่อนจะจัดเก็บลูกสีลงหลุมติดต่อกันสามลูก แทงถูกมากๆ คงกลัวเขาจะเบื่อเสียก่อน ฝ่ายนั้นถึงตั้งใจทำพลาดลูกหนึ่ง เพื่อเปลี่ยนไม้ให้เขาได้เล่น



“แล้วคุณจะเสียใจ” พอเหลาหัวคิวด้วยชอร์ก ก็จัดการส่งลูกลายลงหลุมตามหนุ่มใหญ่ไปติดๆ



เขาไม่ได้แตะไม้นาน ครั้งนี้จึงไม่คิดออมมือด้วยเช่นนั้น แม้จะจดจ่อกับเกมเป็นพิเศษก็ไม่ลืมที่จะชวนอีกฝ่ายคุย เพราะเดิมทีสิ่งที่ทำให้พูลมีเสน่ห์ไม่ใช่การประลองฝีมือระหว่างผู้เล่น แต่เป็นการหยิบเรื่องใกล้ตัวต่างๆ มาพูดคุยเล่นระหว่างเกมต่างหาก ซึ่งเรียกให้ถูกก็คือการสังสรรค์อย่างหนึ่งนั่นแหละ



“เธอเรียนอยู่แถวนี้เหรอ”



ครั้งนี้เขาใจแปลกใจนิดหน่อย ไม่บ่อยที่ศานนท์จะซักถามเรื่องส่วนตัว ปกติถ้าไม่คุยกันเรื่องดินฟ้าอากาศ หนุ่มใหญ่ถามความคิดเห็นเขาต่อเรื่องโน้นเรื่องนี้เรื่อยเปื่อย



“ครับ ถัดไปสองหัวมุมถนน”


“แล้วตอนนี้ยังเรียนอยู่หรือเปล่า”



ตุลย์พยักหน้า แทงพลาดลูกหนึ่งเพราะไม่ได้ตั้งใจกะระยะให้ดี



การจริงจังกับเกมมากเกินไปมีแต่จะทำให้กร่อยเปล่าๆ



“ทำไมมาทำงานแบบนี้ล่ะ”



คำถามของศานนท์ ทำเขานิ่งไปครู่ “ถ้าผมบอกว่า ‘จำเป็น’ คงไม่เชื่อหรอกใช่ไหม”



“บางครั้งคนเราก็นิยาม ‘ความจำเป็น’ ต่างกันนะ”



ตุลย์แทบหัวเราะพรืด การได้คุยกันมาระยะหนึ่งทำให้เขารู้ว่า ศานนท์เป็นคนเปิดกว้าง ไม่ค่อยยึดติดกับกรอบความคิดเดิมๆ เหมือนผู้ใหญ่หลายคน แต่ในสายเขา ประโยคเหมือนครู่กลับให้ความรู้สึกเหมือนลุงพยายามลูบหัวปลอบใจเด็กที่ทำแจกันราคาแพงของแม่แตกเสียมากกว่า



“คุณก็รู้ว่ามันเป็นแค่ข้ออ้าง อยากได้อะไรรวดเร็วทันใจก็ต้องใช้ทางลัด ผมก็แค่ต้อง ‘จ่ายแพง’ กว่าปกติเพื่อแลกมันมาเท่านั้น”



พอได้เปลี่ยนฝั่งเล่น ตุลย์ก็พาดไม้ เล็งลูกหนึ่งลวกๆ อย่างไม่ใส่ใจอะไรนัก แอบสังเกตว่าศานนท์มองคอเสื้อเชิ้ตที่รั้งต่ำ ตอนเขาก้มแทงลูกขาว



“เธอดูไม่เหมือนคนแบบนั้น”



“บางทีคุณอาจพูดถูก มันอาจมีทางเลือกอื่น เพียงแต่ว่า...”



พอหางตาเหลือบเห็นธวัตรยืนมองอยู่จากอีกห้องหนึ่ง เขาก็ยกยิ้มเหมือนสมเพชตัวเอง



“วันนั้นผมไม่ได้เลือกมัน ผมเลือกที่เดินทางนี้ทั้งที่รู้ว่าอยากได้ก็ต้องเสี่ยง ไม่มีใครอยากขายตัวหรอก คุณก็รู้...”



และการที่เขายืนอยู่ตรงนี้ ก็เป็นผลจากการกระทำของตัวเอง ในเมื่อเลือกที่จะ ‘เสี่ยง’ ก็ต้องยอมรับ ‘ผลความเสี่ยง’ นักธุรกิจอย่างศานนท์น่าจะเข้าใจกฏข้อนี้ถ่องแท้ดี เช่นเดียวกัน ชีวิตของคนๆ หนึ่ง หากจะโทษใครที่ทำให้มันล้มเหลวก็เห็นแต่จะมีแค่ ‘ตัวเอง’



ตุลย์เอื้อมมือไปหยิบชอร์กบนขอบโต๊ะ งุนงงเล็กน้อยเมื่อมือหนุ่มใหญ่วางทับหลังมือเขา



“สงสารผมหรือจะจีบผม”



“แล้วถ้าฉันจีบล่ะ เธอจะตกลงไหม”



แรกเขาตั้งใจแซวติดตลก แต่พอเจอแบบนี้มุกนี้กับสีหน้าแสนจริงจังของหนุ่มใหญ่ก็ทำเอาอึ้งไปสองสามวิ สุดท้ายก็หัวเราะกลบเกลื่อนเพื่อให้บทสนทนาเดินต่อได้อย่างไม่กระอักกระอั่วนัก



พวกเขาเล่นกันต่อจบเกมจบ น่าเสียดายไม่น้อยที่ศานนท์บังเอิญแทงลูกสีดำซึ่งตามกฏต้องเหลือไว้เป็นลูกสุดท้ายลงหลุมก่อนโดยไม่ตั้งใจ หนุ่มใหญ่จึงแพ้ไปตามระเบียบ ทั้งที่ยังเหลือลูกสีวางกระจายอยู่บนโต๊ะ



“คุณจะเอาอะไรไหม ผมว่าจะออกไปเข้าห้องน้ำสักหน่อย”


“อะไรก็ได้”



ตุลย์พยักหน้า ก่อนจะขอตัวออกมา เขาตั้งใจจะเดินไปทำธุระส่วนตัวก่อนแล้วค่อยหาอะไรกลับไปให้หนุ่มใหญ่สักแก้ว ระหว่างทางก็สวนกับธวัตรอีกเช่นเคย ต่างกันตรงครั้งนี้ชายหนุ่มเหมือนรอเขาอยู่ก่อนแล้ว



“งานเป็นยังไง เขาชอบนายไหม?”



“ผมคิดว่าอย่างนั้น” จะให้ยืนยันอะไรคงเร็วไปสำหรับตอนนี้ “แต่เขาคงไม่ไปไหนเร็วๆ นี้”



“อื้ม อย่าปล่อยให้ ‘หุ้นส่วน’ ฉันหลุดมือไปเด็ดขาด เข้าใจไหม” ครั้งนี้ธวัตรย้ำชัดทุกคำในประโยคราวกับจงใจไม่เว้นที่ว่างเหลือสำหรับความผิดพลาดให้เขา “อย่าทำให้ฉันผิดหวังล่ะ”



ตุลย์พยักหน้า เขาทุ่มเทให้กับงานเสมอ แม้ว่าใจจริงเกลียดมันแค่ไหนก็ตาม แต่ก่อนอื่นยังมีปัญหาคาใจอยู่เรื่องหนึ่ง...



“ผมจะไม่ปล่อยเขาหลุดมือแน่นอน แต่คุณช่วยยกเลิกคิวของ ‘เด็กพวกนั้น’ ได้ไหม”



เรื่องนี้เขายอมเอาหน้าที่การงานตัวเองไปแขวนไว้บนเส้นดาย ขอแค่สามารถรอดจากเงื้อมือเพื่อนร่วมคณะที่กำลังอาฆาตแค้นปานจะฆ่าจะแกงกันมันก็คุ้มที่จะเสี่ยง เอาเข้าจริง เขาไม่คิดว่าตัวเองจะกลับมาให้สภาพ ‘ครบถ้วนสมบูรณ์’ ถ้าถูกส่งไปอยู่ในมือพวกนั้นด้วยซ้ำ



คราวนี้สายตาของธวัตรเข้มขึ้นเหมือนตั้งคำถามว่า ‘รู้จักต่อรองสัญญาแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่’แต่พอถูกรบเร้าเข้าร่างสูงก็ยอมอ่อนข้อให้



“ก็ได้ แต่ฉันต้องการ ‘หลักค้ำประกัน’ ว่านายทำตามที่พูดได้ ถ้าเล่นเสร็จแล้ว คืนนี้ตามไปหาฉันที่คอนโด”



สั่งจบธวัตรก็เดินหนีทันที ไม่ปล่อยให้เขาซักไซร้ลายละเอียดต่อเหมือนทุกครั้ง แม้จะแอบสังหรณ์ใจไม่ดีเรื่อง ‘หลักประกัน’ อะไรนั้นของอีกฝ่ายก็ตาม



แต่ก็เอาเถอะ... ในเมื่อเขาเป็น ‘ตุ๊กตา’ ที่ไม่ว่าใครจับแต่งตัว ฉีกแขนฉีกขาก็ได้แต่ปั้นหน้าสวมหน้ากากฉาบรอยยิ้ม ก็ไม่ควรทุกข์ร้อนกับชะตากรรมที่นอกเหนือสิทธิ์การควบคุมของตัวเองนัก



 มันเป็นสิ่งที่เขาพล่ามเตือนตัวเองอยู่ทุกวี่ทุกวัน



เจ็บปวดให้น้อย ปล่อยวางให้มาก... ‘ตุ๊กตา’ ตัวนี้ไร้เยือใย ไร้ข้อผูกมัด และที่สำคัญคือ ‘ไร้รัก’




---------------------
[1] ไม้คิวคือ ไม้สนุ๊ก/พูลนั่นแหละค่ะ
[2] หัวคิว เป็นส่วนหุ้มตรงปลายของไม้เนอะ ถอดเปลี่ยนได้ เอาไว้เหลากับชอล์ก
--------------------
โปรดให้อภัยความอ่อนต่อโลกของข้าน้อยด้วยยยยย *คารวะแบบหนังจีน*
เมลล่าไม่ค่อยถนัด nc ฮรือๆๆ
แอบตกใจค่ะ เม้นท์เยอะ *กอด* เมลล่าดราฟประมาณ 5 ครั้งกว่าได้เปิดตัวคุณลุงได้ในแบบที่พอใจ หวังว่าจะชอบค่ะ

พระเอกเรื่องนี้วัดที่ความอาวุโสเนอะ ถถถถถ
ถ้าใครสนใจธวัตร ก็มีข่าวดีคือ นางยังไม่ไปไหนเร็วๆ นี้ค่ะ อิอิ ถ้ากระแสดีอาจมีตอนพิเศษโผล่มา
พยายามไม่เขียนทอล์กเยอะแล้ว แต่เมลล่าชอบเฟื่องง เค้าพูดมากกกก และมันติด 55+
เจอกันตอนหน้าเจ้าค่า ไม่ช้าไม่เร็ว *กราบสวัสดี*
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 5.6.16 {4th Night} [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: meeoldly ที่ 05-06-2016 14:40:14
 :pig4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 5.6.16 {4th Night} [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 05-06-2016 17:32:52

สรุปลุงศานเป็นพระเอกสินะคะ งั้นเราขอคุณนายหน้านะตุลย์(ฮา)
อืมมมมมมม ไม่รู้สิ เรารู้สึกว่าลุงช่างธรรมด๊าธรรมดา 555
บางทีอาจเพราะเราเจอแต่คุณธวัตรมาหลายตอนก็เลยไม่คุ้นกับลุงก็ได้
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 5.6.16 {4th Night} [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 07-06-2016 13:30:53
อ่านตอนท้ายนี่หน่วงเลย
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 5.6.16 {4th Night} [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: MonkeYMauS ที่ 07-06-2016 19:53:38
ปักครับ รออ่านต่อ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 5.6.16 {4th Night} [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 07-06-2016 21:21:22
น่าติดตามมากค่ะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 5.6.16 {4th Night} [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 08-06-2016 00:03:21
เริ่มชอบลุงศานแล้วล่ะ ดูเป็นผู้ใหญ่แบบ...ผู้ใหญ่ๆอะ บอกไม่ถูก ฮาาาา

เอาใจช่วยนะตุลย์ หลุดจาก "เขา" ได้เร็วๆเนอะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 5.6.16 {4th Night} [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 08-06-2016 01:14:23
 o13
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 5.6.16 {4th Night} [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: nasa_risa ที่ 08-06-2016 02:33:05
อยากบนคนเขียนถ้าหากจะแต่งบทของธวัตร อยากให้นางเป็นรับดูบ้าง  :z13:  จะได้รู้ซะบ้างว่าต้องรับบทแบบนั้นแล้วมันเป็นยังไง
อินจัด  :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 5.6.16 {4th Night} [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 13-06-2016 20:15:56
5th Night [5.1]



“อ๊ะ อ้า... ฮา...”



เสียงหอบปนครางกระเส่าดังระงมจนแยกไม่ออกว่าของใครเป็นของใคร เตียงไหวตามแรงโยกคลอนของร่างเบื้องบนที่กระทั้นสะโพก สอดแทรกส่วนที่แข็งขึงและอุ่นร้อนเข้าออกในกายของคนที่ถูกทับด้วยน้ำหนักจนแทบจมหายไปกับเตียงซ้ำๆ อดไม่ได้ที่จะครางในคอด้วยความพอใจ เมื่อช่องทางนั้นตอดรัดตอบ ตอนแก่นกายกระตุ้นโดนจุดที่ไวต่อสัมผัสเป็นพิเศษ



“ลีลาแบบนี้น่ะเหรอ จะมาใช้ต่อรองคิวกับฉัน”



 ธวัตรยึดไหล่คนที่นอนหอบอยู่ใต้ร่าง จงใจกดสะโพกหนักๆ หลายครั้งเพื่อย้ำจุดกระสันจนอีกฝ่ายถึงกับหลุดเสียงครางพร่า



“เรื่องแค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วจะอะไรมาเป็นหลักประกัน?”



“......”



ธวัตรมองใบหน้าชื้นเหงื่อของคนเบื้องล่าง ดวงตาติดปรือแสดงออกถึงความปรารถนาที่ยังไม่ถูกปลดปล่อย ฝ่ายนั้นหอบหายใจระรัวจนหน้าท้องที่มีกล้ามเนื้อสมส่วนสะท้อนขึ้นลงชัดเจน ท่าทางเหนื่อยเหมือนจะตายให้ได้



ไอ้เรื่องรูปร่างหน้าตา มันก็ยั่วยวนใช้ได้อยู่หรอก แต่เด็กนี่ดันไม่มีจริตจะกร้านบนเตียงเลยสักนิด



“นอนครางเป็นอย่างเดียวหรือไง!”



“.......”


ไม่มีคำตอบเป็นรูปธรรม แต่แววตาที่เข้มขึ้นของตุลย์ก็ทำให้เขารู้ว่าอีกฝ่ายไม่พอใจ



ใครเห็นแค่เปลือกนอกคงคิดว่าเด็กคนนี้ซื่อๆ และว่านอนสอนง่าย ไม่ว่าออกคำสั่ง ร้องขอ หรือเปรยอะไร อีกฝ่ายก็สนองให้ทุกครั้ง หารู้ไม่ว่าภายในมันกลับกัน



ลึกๆ แล้วตุลย์เป็นคนหัวแข็ง และไม่ซื่อบื้ออย่างที่แสดงออก ออกจะมีไหวพริบเสียด้วยซ้ำ เขาฝึกมากับมือ มีหรือจะไม่รู้? เสียอยู่อย่างเดียว คือ เรื่องลีลาบนเตียง ที่สอนกี่ครั้งๆ  ก็ไม่เคยจำสักที!



จู่ๆ เขาก็ถูกรั้งคอลงไปหา ก่อนที่ริมฝีปากคู่นั้นจะทาบลงบน บดจูบอย่างดุเดือดเหมือนพยายามเอาชนะคำสบประมาทเมื่อครู่



ธวัตรกดร่างนั้นไว้ด้วยน้ำหนักทั้งหมด ใช้มือยึดกราม แล้วแทรกลิ้นเข้าไปในโพรงปากตวัดเกี่ยวลิ้นอีกฝ่ายที่พยายามรุกไล่เขา นำอยู่ได้ไม่นานตุลย์ก็ตกเป็นรองเมื่อจูบดุดันขึ้นตามลำดับ ธวัตรครอบครองจังหวะลมหายใจอีกฝ่ายไว้ได้อยู่หมัดจนคนถูกจู่โจมหนักเข้าต้องดันไหล่เขาออก ผละหาจังหวะตักตวงอากาศคืนสู่ปอด



“ห่วยกว่าเมื่อก่อน ช่วงนี้ฉันคงปล่อยปะละเลยเกินไปล่ะสิ”    



ว่าแล้วก็จับต้นขาแยกกว้างขึ้น ดึงสะโพกฝ่ายนั้นเข้ามาชิดตัว ส่งผลให้แก่นกายที่เชื่อมต่ออยู่ถูกดันเข้าไปจนสุด ยิ่งเห็นว่าตุลย์หลุดเสียงครางหนักๆ เขาก็จงใจกระทั้นกายย้ำใส่จุดเดิมซ้ำๆ จนร่างนั้นบิดเกลียว กระตุก และถึงจุดสุดยอดในไม่กี่วินาทีถัดมา



ให้ตายเถอะ... ลีลาห่วยแล้วยังจะเสร็จก่อนอีก



เขาไม่รู้จะพูดอะไร จึงได้แต่ขมวดคิ้ว เค้นบั้นท้ายกระตุ้นให้ช่องทางรัดแน่นขึ้นอีกหน่อย ก่อนจะเร่งจังหวะตามมา จวบจนอารมณ์พุ่งสูงถึงขีดสุด เขาก็ปลดปล่อยด้านใน แช่ไว้สักพักถึงถอนกายออก ดึงถุงยางทิ้งถังขยะข้างหัวนอน แล้วลุกจากเตียง



“คุณจะไปไหน?”



“สูบบุหรี่”



ว่าจบเขาก็เดินหนี ทิ้งอีกฝ่ายไว้บนเตียงเหมือนทุกครั้ง



--------------------



ตุลย์ขยับตัว การสอดใส่เมื่อครู่ยังทิ้งสัมผัสตกค้างไว้ในร่าง พอลุกขึ้นนั่งดีๆ ถึงรู้สึกแปลกๆ จะว่าเจ็บก็ไม่ใช่ รู้สึกดีก็ไม่เชิง เขาไถลตัวมานั่งห้อยขาข้างเตียง รอสักพักจวบจนร่างกายพร้อม แล้วค่อยลุกขึ้นยืน แต่พอคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก็รู้สึกมืดแปดด้านขึ้นมาเฉยๆ



เดิมทีเรื่องเซ็กซ์ เขาก็ทำได้ไม่ดีอยู่แล้ว แต่ที่คาดไม่ถึงคือ ธวัตรจะนำส่วนด้อยข้อนี้มาเป็นข้ออ้างเพื่อปฏิเสธคำขอเขา ราวกับตั้งใจให้เขาลงเดิมพันกับเกมที่รู้ผลแพ้ชนะอยู่แล้ว



ตอนนี้เขาไม่มีอำนาจต่อรองก็จริง แต่จะถอยกลับก็ไม่ได้เช่นกัน ตุลย์รวบรวมความกล้าอยู่สักพัก ก่อนจะผลักประตูออกไปห้องนั่งเล่น



“ลองอีกรอบได้ไหม”



ธวัตรปรายตามองแวบหนึ่ง “อีกรอบแล้วได้อะไร ผลมันต่างกันตรงไหน?”



“ผมอยากแก้ตัว”



“......”



ร่างสูงไม่ตอบ แต่เดินหนีออกไปสูบบุหรี่ริมระเบียงคล้ายไม่ต้องการให้ต่อรองอะไรเพิ่มเติม



ตุลย์กลืนน้ำลาย ตัดสินใจจะตามออกไป “ลองให้โอกาสผมดูสักครั้งไม่ได้เหรอ”



“แล้วนายรับประกันได้ไหมล่ะว่า ศานนท์จะร่วมลงทุนกับฉัน งานนี้มันผิดพลาดไม่ได้ ถ้าฉันรับปากเอาคิวไอ้เด็กพวกนั้นออก แล้วนายทำ ‘เขา’ หลุดมืออีกคน ฉันไม่ขาดทุนแย่หรือไง? เด็กพวกนั้นลงมัดจำไว้น้อยเสียเมื่อไหร่” ธวัตรเอี้ยวตัวมาด้านหลัง “จะไม่เหลือกำไรไว้ให้ฉันหน่อยเหรอ?”



 ตุลย์กำมือแน่น



ที่ผ่านมาไม่ใช่ ‘เงิน’ เหรอที่ธวัตรกอบโกยจากการบิดเบือนสัญญาเพื่อให้เขาขายตัว ในขณะที่ฝ่ายนั้นนอนกินค่านายหน้า ส่วนเขาได้ส่วนแบ่งแค่สามสิบเปอร์เซ็นท์จากค่าคิวแต่ละครั้ง เมื่อก่อนเขาเคยมีอำนาจสิทธิ์ขาดในการตัดสินชีวิตตัวเอง จนกระทั่งวันหนึ่งที่ธวัตรบังคับเอามันไป!



“ยังไงตอนนี้คุณก็มีแค่ผมที่ใกล้ชิดกับเขาที่สุด...”



ธวัตรส่ายหน้า ยิ้มเหมือนเหยียดหยันคำพูดเขา “คิดว่าฉันหาคนอื่นมาแทนไม่ได้เหรอ คนที่มีความสามารถกว่านี้? เพรียบพร้อมกว่านี้? ต่อให้ไม่มีนายฉันก็ปั้นคนอื่นขึ้นมาใหม่ได้”



เขาพูดไม่ออก รู้ทั้งรู้ว่าวงการนี้ฉาบฉวยแค่ไหน หากยิ่งถลำลึกก็ยิ่งถอนตัวยาก ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเฝ้าฝันหาชีวิตปกติแบบเด็กมหาลัยธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ต้องมีอะไรกับ ‘คนแปลกหน้า’ เพื่อแลก ‘เงิน’ ในแต่ละคืน...



“ผมไม่มีหลักประกันให้คุณก็จริง แต่ขอโอกาสครั้งนี้เถอะ”



“แล้วถ้าฉันไม่ให้ล่ะ...”



ตุลย์เม้มปาก “ผมขอแค่ครั้งนี้เท่านั้น ส่วนเรื่องคุณศานนท์ ผมบอกได้แค่ว่าจะทำเต็มที่ ยังไงตอนนี้คุณก็ปั้นใครขึ้นมาไม่ทัน...”



ธวัตรเค้นเสียง ‘หึ’ “อวดดีจริงนะ”



อวดดี? เมื่อไม่มีทางเลือก ไม่มีทางหนี เขาก็หมาจนตรอกดีๆ นี่แหละ ต่อให้ต้องบากหน้าขอร้องอีกฝ่ายสักกี่ครั้งก็จะทำเพื่อความอยู่รอด...



ร่างสูงมองลึกเข้ามาในดวงตา ใช้ความเงียบที่ก่อตัวขึ้นรอบๆ สร้างแรงกดดัน ก่อนจะหลุดหัวเราะในคอเหมือนเขายังนิ่งยืนยันเจตนารมณ์เดิม



“ถูกของนาย มันเร็วไปที่จะปั้นเด็กสักคนขึ้นมาแทน ...ก็ลองดู แต่ถ้าผิดพลาด คงรู้ใช่ไหมว่ามันจะจบไม่สวย?”



ตุลย์พยักหน้า


 กระทั่งวิญญาณเขาก็ขายไปเมื่อนานมาแล้ว ถ้าต้องเสียอะไรเพิ่มอีกหน่อยเพื่อให้ได้บางอย่างมาก็นับว่าคุ้มค่า ว่าไหม?



-------------------------



นับจากวันที่ตกลงเรื่องข้อเสนอกันใหม่ ตุลย์ใช้ชีวิตตามปกติ ทำกิจวัตรประจำวันอย่างเคย คือ ช่วงเช้าเรียนมหาวิทยาลัย พอตกเย็นนั่งรถไปที่คลับ หรือไม่ก็ตามสถานที่ที่ศานนท์นัดเจอ ทุกอย่างวนเวียนซ้ำลูปเดิมๆ



วันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันธรรมดา พอเสร็จจากคลาสที่มหาลัย เขาออกมาเดินเตร็ดเตร่ดูร้านโน้นร้านนี้ตามทางเท้า มันเป็นนิสัยส่วนตัวที่ชอบสำรวจอะไรๆ ฆ่าเวลาเรื่อยเปื่อย ปกติกลางวันเรียนมหาลัย ตกกลางคืนก็ทำงาน พอได้ทำอะไรแบบนี้บ้างเลยรู้สึกเหมือนเปิดโลกกว้างอย่างที่ไม่ค่อยมีโอกาสบ่อยๆ



ปิ๊บๆ!



เสียงแตรรถยนตร์จากด้านหลังทำให้เขาถอยขึ้นมาบนทางเท้าด้านในตามสัญชาตญาณ พอหันไปก็พบซีดานยี่ห้อดังสีดำวิ่งชะลอเรียบฟุตบาทด้วยความเร็วต่ำเหมือนจะหยุดแหล่มิหยุดแหล่ ฟิล์มดำทำให้มองไม่เห็นหน้าคนขับ แต่จากท่าทีลับๆ ล่อๆ แล้วคงไม่ได้มาดี



เดิมทีเขาก็มีคนกว่าครึ่งมหาลัยเป็นศัตรูอยู่แล้ว ออกมาเดินเตร็ดเตร่ย่านนักศึกษาพลุกพล่านตัวคนเดียว ยิ่งตกเป็นเป้าง่ายขึ้นอีก



 ตุลย์เร่งฝีเท้า หวังเนียนปะปนไปกับกลุ่มฝูงชนที่กำลังรุมทึ้งของลดราคาในอีกไม่กี่ล็อกข้างหน้าแต่เหมือนฝ่ายนั้นจะรู้ทันจึงลดกระจกทั้งที่รถยังเคลื่อนที่...



“ไม่หยุดรอหน่อยเหรอ”



“.......”



“ไม่อยากคุยกับฉันแล้วเหรอ”



“.......” เขาแกล้งทำเป็นหูทวนลม ชักตงิดใจเมื่อน้ำเสียงและประโยคคุ้นหู



“ตุลย์”



คราวนี้พอถูกเรียกชื่อเท่านั้น เขาก็หัน



“คุณ? มาทำอะไรที่นี่...”


อึ้งนิดหน่อยตอนพบว่าคนส่งยิ้มให้คือ ‘ลูกค้าคนสำคัญ’ ที่เพิ่งทำข้อตกลงกับธวัตรไปหยกๆ


“ไม่ใช่ๆ คุณรู้ได้ยังไงว่าผมเดินอยู่แถวนี้”



เคยเปรยเรื่องมหาลัยไปก็จริง แต่ย่านนี้ก็ออกกว้างใหญ่ไพศาล ตัวเขาก็ไม่ได้อยู่ในเขตมหาวิทลัย อยู่ๆ จะมาจ๊ะเอ๋กันคงไม่บังเอิญเท่าไหร่...



“ทางผ่านน่ะ ฉันแค่อยากรู้ว่าเธออยู่มหาลัยนี้จริงไหม แล้วก็ ‘บังเอิญเจอ’ พอดี”



บังเอิญขนาดนี้ คงไม่ใช่ว่าให้ใครตามดูเขาอยู่หรอกเรอะ



“ผมเรียนที่นี่ ไม่ได้โกหกคุณหรอก”



“ไม่ใช่ว่าฉันไม่เชื่อ... แค่อยากให้แน่ใจน่ะ” หนุ่มใหญ่ยกยิ้ม ก่อนจะกวักมือเรียกเขา “ขึ้นมาก่อนสิ ฉันจะไปส่ง”



เขาก้มมองนาฬิกา อีกตั้งราวชั่วโมงกว่าจถึงเวลานัด



“’โทษครับ ถ้าคุณยังไม่รู้ ผมไม่รับแขกนอกเวลางาน คุณไปรอที่คลับน่าจะดีกว่า”



ว่าจบก็เดินหนีมาอย่างเร็ว เขาไม่ทำโอที และ ‘ไม่’ ก็คือ ‘ไม่อย่างเด็ดขาด’ ไม่ว่าลูกค้าจะเป็นใคร ใหญ่โตมาจากไหน ถ้าไม่อยู่ในเวลางาน ก็อย่าหวังว่าเขาจะหารายได้พิเศษลับหลังธวัตร นั่นเป็นอีกหนึ่งข้อตกลงในสัญญาซึ่งให้ประโยชน์กับทั้งเขาและฝ่ายนั้น ไม่มียกเว้นแม้ว่าคนที่กำลังคุยกับเขาคือ ‘ว่าที่หุ้นส่วนคนสำคัญ’ ก็ตาม



เขาไม่อยากเอาเรื่องงาน กับชีวิตความเป็นอยู่มาข้องแวะกัน ทุกวันนี้มันก็แย่พอแล้ว



เขาเดินปะปนกับกระแสมวลชนคับคั่งที่มะรุมมะตุ้มอยู่หน้าร้านเครื่องประดับเล็กๆ เบียดเสียดกับคนพวกนั้นจนแน่ใจว่าศานนท์ทำตามคำแนะนำถึงค่อยแทรกตัวหนีออกมา กว่าจะรู้ตัวว่าคิดผิดก็ตอนที่เดินลิ่วๆ เลี้ยวตรงมุมถนนแล้วเห็นรถคันเดิมจอดอยู่ข้างทาง ที่ยิ่งกว่าคือ คราวนี้เจ้าของรถเปิดประตูลงมาดักรอด้วย



“วันนี้เธอดูรีบๆ นะ”



ตุลย์ยืนนิ่ง คร้านจะยิ้ม “ผมพูดชัดเจนแล้วนะครับ ว่าไม่รับ ‘ลูกค้า’ นอกเวลางาน”



นั่นรวมถึงจะไม่มีการวางตัว และคำพูดคำจาที่ต้องระมัดระวังตลอดเวลาเหมือนตอนรับแขก เดิมทีเขาไม่ใช่คนช่างเอาอกเอาใจใครอยู่แล้ว จะให้สวมหน้ากากตลอดเวลาก็ดูน่าอึดอัดเกินไปหน่อย



ขอแค่ไม่กระโตกกระตากมากไปจนเสียเรื่องก็นับว่าใช้ได้ล่ะนะ



คงจับความเปลี่ยนแปลงได้ หนุ่มถึงหัวเราะ “แล้วถ้าฉันไม่ได้มาในฐานะ ‘ลูกค้า’ แต่เป็น ‘เพื่อน’ เธอคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม?”



“อย่าเลยครับ อีกเดี๋ยวผมก็กลับ เอาไว้เจอกันที่คลับเถอะ”



“ทางเดียวกัน งั้นไปพร้อมฉันสิ”



“ไม่ล่ะครับ ผมเกรงใจ”



“ไม่ต้องเกรงใจ ฉันยินดีไปส่ง”



ยังไงก็จะตื้อเขาจนกว่าจะได้ในสิ่งที่ต้องการสินะ?



“.......”



ตุลย์เลือกจะเงียบ เมื่อการต่อปากต่อคำระหว่างเขากับหนุ่มใหญ่ เริ่มทำให้หลายคนหันมามองอย่างสนอกสนใจ



ปกติเขาไม่นิยมมีพันธะกับลูกค้าก็จริง แต่พอรู้ว่าเถียงไปไม่ชนะก็ล้มเลิกความคิดที่สิ้นเปลืองน้ำลายโดยใช้เหตุ หยักหน้าอือออไปกับฝ่ายนั้น



เมื่อเขาเลิกปฏิเสธ ศานนท์ก็ถามอย่างใจดี



“ทานอะไรหรือยัง?”



เขาส่ายหน้า


“มาสิ ฉันจะพาไปหาอะไรทาน”


เขาส่ายหน้าอีกครั้ง



แบบนี้มันชักจะเกินขอบเขตไปหน่อย



“ถ้าอย่างนั้นไปทานเป็นเพื่อนฉันหน่อย”



เขาส่ายหน้ารอบที่สาม “คุณทานเถอะ”



คราวนี้เป็นศานนท์ที่หัวเราะ ไม่มีท่าทีอารมณ์เสียสักนิด “เธอนี่หัวดื้อใช้ได้นะ”



“......” ตุลย์หน้ากระตุก



จะถือว่าเป็นคำชมจากลุงที่อายุห่างจากเขายี่สิบปีแล้วกัน



“ถ้าอย่างงั้น... ถือซะว่าไปทานกับฉันในฐานะ ‘เพื่อนคุยที่ดี’ คนหนึ่งเป็นยังไง”



บอกตามตรง คำว่า ‘เพื่อนคุยที่ดี’ ฟังดูลื่นหูไม่หยอก ชนิดที่สามารถทำให้เขาเอนเอียงไปตามเจตนารมณ์ของหนุ่มใหญ่ได้ทั้งที่รู้ว่า อีกฝ่ายจงใจใช้วาทะศิลป์เพียงเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการก็ตาม



เขาลังเลอยู่ครู่ สุดท้ายก็พยักหน้า



“อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหม”



ถูกถามเจาะจง เขาก็คร้านจะซ่อนความต้องการ    “สเต็ก... ถ้าคุณไม่ว่าอะไร”   



ศานนท์คราง ‘อืม’ ในคอคล้ายไม่ถือสา หนุ่มใหญ่เดินนำเข้าไปในร้านอาหารระดับสูงแห่งหนึ่ง ดูราคาแพงและหรูหราชนิดที่ชาตินี้ไม่คิดจะย่างเท้าเข้าเหยียบ แค่ยื่นบัตรให้พนักงานต้อนรับ เธอก็เดินนำไปที่โต๊ะอย่างไม่อิดออด



เป็นครั้งแรกที่เขาได้เหยียบ ‘ภัตตาคาร’ ในฐานะ ‘ลูกค้าคนหนึ่ง’ ไม่ใช่คู่ขาที่บังเอิญตกถังข้าวสารชั่วคืนเดียว มันชวนให้รู้สึกดีไม่หยอก ทว่าก็ขัดกับหลักการที่เขายึดถือมาโดยตลอด



เห็นเขานิ่ง มือหน้าก็แตะเบาๆ ที่หลังคล้ายให้เดินมาด้วยกัน “มาเถอะ ทานอาหารเป็นเพื่อนฉันหน่อย”



กับลูกค้า ไม่ควรมีพันธะ เยื่อใย หรือความสัมพันธ์อื่นใดต่อกันนอกเหนือจาก ‘เซ็กส์’ และ ‘เงิน’



แต่ก็เอาเถอะ ครั้งนี้จะยอมหย่อนยานบ้างแล้วกัน...



-----------------------------



เหมือนว่าเขาจะคิดผิดมหันต์ที่ปล่อยตัวเองเล่นตามเกมของศานนท์ วันหนึ่งขณะที่กำลังนั่งจดเล็กเชอร์อยู่ในคลาส เสียงสั่นในกระเป๋าก็เตือนให้เขารับโทรศัพท์



[ฮัลโหล เย็นนี้ว่างไหม ไปทานข้าวกับฉันหน่อย]



“.......”



ฟังจบก็กดตัดสายทิ้งด้วยความสยดสยอง ภาวนาให้ปลายสายโทรผิด



วันต่อมาขณะที่เขากำลังเก็บของใส่กระเป๋าเพื่อเตรียมตัวไปไนท์คลับ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก



[ตุลย์ พรุ่งนี้ว่างไหม ไปดูหนังเป็นเพื่อนฉันหน่อย]



เขานิ่งไปครู่ “’โทษครับ ผมไม่ว่าง” แล้วตัดสายทันที



ศานนท์ไปค้นเบอร์เขามาจากไหน!?



อีกสองวันต่อมา ตอนที่กำลังเดินออกจากมหาลัย จู่ๆ ก็ซีดานสีดำก็เบรกดักหน้า พอเจ้าของรถชะโงกผ่านกระจกที่ลดต่ำ เขาก็ถอนหายใจ



“ตุลย์สุดสัปดาห์นี้ว่างไหม ไป ‘ช็อปปิ้ง’ กับฉันหน่อย”



“......”



เป็นคนแก่ขี้เหงาหรือไง ถึงได้สรรหาเรื่องชวนเขาไปโน้นนี่ได้ทุกวี่ทุกวัน



พอถูกรบเร้าหนักๆ ติดต่อกันหลายวัน หาข้ออ้างเลี่ยงไปก็หลายอย่าง สุดท้ายเขาก็เหนื่อยจะต่อล้อต่อเถียง ปล่อยให้หนุ่มใหญ่พาไปโน้นมานี่ตามแต่ใจเจ้าตัว ในเมื่อไม่มี ‘เซ็กส์’ ไม่มี ‘เงิน’ แลกเปลี่ยน ก็ไม่นับว่าเป็นการทำงานนอกเวลา อีกอย่างเขาไม่เสียอะไร ติดจะได้ประโยชน์ด้วยซ้ำ



สุดสัปดาห์ หนุ่มใหญ่รับเขาออกมาแถวย่านการค้าเก่าแก่แห่งหนึ่ง โดยเจ้าตัวอ้างว่า ‘มาช็อปปิ้ง’ สองข้างตึกแถวบนถนนเส้นนี้เก่าแก่มีอายุ ดูราวกับมีมนตร์ขลังเหมือนได้ย้อนกลับไปในวันวาน เดิมทีได้แต่อุดอู้อยู่ในอพาร์ทเม้นท์ไม่ก็ไนท์คลับ พอได้มาเหยียบสถานที่ใหม่ๆ ตุลย์ก็สนอกสนใจสิ่งแวดล้อมรอบตัวเป็นพิเศษ .



..สนใจเสียจนคนข้างๆ กลายเป็นหมัน



นอกเวลางาน เขาไม่ต้องคอยบริการ เอาอกเอาใจ หรือหาหัวเรื่องชวนศานนท์พูดคุย เขาแค่เดินตามหนุ่มใหญ่เข้าร้านโน้นออกร้านนี้ ระหว่างทางถ้าเจอหัวข้อที่สนใจตรงกันก็แค่ซักถามจนกระทั่งหมดข้อสงสัยและเลิกไปเอง ฝ่ายศานนท์เห็นว่าเขาไม่เข้ามาเกาแกะ หนุ่มใหญ่ก็เดินดูของสะสมตามประสา ไม่ได้เข้ามาดูแลใกล้ชิด



เรียกว่าต่างคนต่างเดินก็ไม่ผิด



เขาตามศานนท์เข้ามาในร้านค้าของสะสมร้านหนึ่ง สะดุดตาเข้ากับเหยือกก้นกลมสีทองเหลืองเก่าๆ ในตู้โชว์ สีของมันซีดจางเป็นหมอก มองมุมไหนก็หมอง แถมด้านในด้ามจับรูปแพะมีเครายังเขลอะสนิม เขาย่อเข่าลงอีกนิดเพื่อมองให้ชัด



ดูยังไงก็ไม่มีตรงไหนควรค่าแก่การเก็บสะสมสักนิด



“มีคนซื้อของแบบนี้ไปตั้งโชว์ด้วยหรือไง...”



พึมพำคนเดียว ไม่ทันสังเกตเงาหนุ่มใหญ่ที่พาดทับจากด้านหลัง จนกระทั่งฝ่ายนั้นหลุดหัวเราะ



“นี่เป็นเหยือกที่พวกเชื้อพระวงศ์ใช้ในสมัยโรมัน ราคาแพงเอาเรื่องเชียวล่ะ”



“แต่มันหมองหมดแล้ว ไม่เห็นน่าสะสมตรงไหน”



“ศิลปะขึ้นอยู่กับมุมมองของคนสะสม ภาพวาดบางภาพเหมือนจิตกรทำสีหกใส่ แต่ประมูลได้หลักล้านก็มีถมไป”



“ก็จริงของคุณ” เขาไหวไหล่



น้ำหน้าอย่างเขาไม่มีปัญญาซื้อของที่ไม่สวยแถมยังแพงหูฉี่พวกนี้หรอก แล้วจะทุกข์ร้อนแทบเงินในกระเป๋าคนอื่นไปทำไม



หนุ่มใหญ่คุยกับเจ้าของร้านอยู่ครู่ สักพักก็เปิดตู้โชว์ หยิบเหรียญทองแดงเก่าๆ รูปร่างแปลกๆ ออกมาส่องดู ฝ่ายเขาที่ไม่ค่อยสนใจงานอดิเรกเก็บของสะสมแบบคนแก่เท่าไหร่ เลยเดินดูของสะสมแปลกๆ รอ กระทั่งหนุ่มใหญ่จ่ายเงิน ถือถุงกระดาษเดินมานั่นแหละ ถึงได้เวลาออกจากร้านไปดูสิ่งน่าสนใจอื่นๆ ต่อ



“จะเข้าไปด้วยกันไหม ถ้าเธอเบื่อ จะเดินดูอะไรรอข้างนอกก็ได้” ศานนท์หยุดถามเขา หน้าร้านที่เต็มไปด้วยโพสเตอร์วงดนตรีเก่าหลายยุคสมัย



ตุลย์ส่ายหน้า ด้านนอกร้อนอยู่เอาการ ขืนเขายืนต้องยืนรอตั้งสิบยี่สิบนาทีคงได้หลอมละลายกลายเป็นน้ำของจริง



 เขาตามศานนท์เข้าไป ด้านในของร้านตกแต่งด้วยของสะสมเกี่ยวกับวงดนตรี ไม่ว่าจะเป็นแผ่นภาพ อัลบั้ม แผ่นเสียงเก่า หรือกระทั่งเสื้อยืดสกรีนสัญลักษณ์ประจำวง พอหนุ่มใหญ่ทักทายเจ้าของร้านเป็นพิธี ฝ่ายนั้นก็กุลีกุจอเข้ามาให้ช่วยเหลือ



“อ๋อ อัลบั้มที่คุณศานนท์สั่งเอาไว้เพิ่งมาถึงเมื่อวาน”


ลุงเจ้าของร้านหันไปค้นอะไรในกล่องพัสดุด้านหลัง ก่อนจะกลับออกมาพร้อมกับกล่องใส่ซีดีสามสี่กล่อง


“อัลบั้มช่วงยุคเก้าศูนย์ ไล่มาจนถึงปีสองพัน”



ศานนท์ไม่รีรอ พอได้ในสิ่งที่ต้องการหนุ่มใหญ่ก็จ่ายเงินทันที เจ้าของร้านเก็บกล่องซีดีใส่ถุง ยื่นให้ลูกค้าก็เป็นอันเสร็จการรายซื้อขาย



บังเอิญตาดีเกินเหตุ ตุลย์เหลือบไปเห็นปกซีดีเข้าก็ตาโต เมื่อพบว่าเป็นรูปคู่ของหญิงวัยรุ่นสองคน คนหนึ่งผมบลอน ส่วนอีกคนผมดำ แถมพวกเธอยังกอดกันกลม



“ทำไมล่ะ ฉันชอบพวกเธอมันแปลกตรงไหน? สมัยหนุ่มๆ ก็ต้องชอบวงสาวๆ เป็นปกติ เด็กรุ่นเธอน่าจะเข้าใจดีกว่าฉัน”



“เปล่า... แค่คิดว่าคนที่ชอบสะสมของเก่าอย่างคุณน่าจะชอบอะไรที่...”


เขาพยายามหาคำที่สุภาพกว่า ‘โบราณคร่ำครึ’


 “เอ่อ ดูเก่าแก่กว่านี้สักหน่อย”



หนุ่มใหญ่หลุดหัวเราะ “จะบอกว่าฉันแก่เกินไปสำหรับของพวกนี้ล่ะสิ”



 “...อันนั้นคุณพูดเองนะ”



พวกเขาเดินเข้าร้านโน้นออกร้านนี้จนกระทั่งโพล้เพล้ ศานนท์ก็อาสาไปส่งเขาที่อพาร์ทเม้นท์ พอขึ้นมาถึงชั้นสี่ ตุลน์ก็ไขกุญแจห้อง



“คุณจะเข้ามาก่อนไหม”



หนุ่มใหญ่พยักหน้า ทว่าตามเข้ามาเพียงหน้าประตู “ฉันอยู่ไม่นาน มีธุระนิดหน่อย”



งั้นก็แปลว่าคิวสองทุ่มของวันนี้ที่จองในชื่ออีกฝ่ายกลายเป็นชั่วโมงว่าง?



เห็นเขาทำหน้าแปลกใจระคนสงสัย ศานนท์ไขให้กระจ่าง “วางใจเถอะ ฉันไม่ได้โทรไปยกเลิกกับธวัตร แค่คืนนี้คงไม่ได้มาอยู่กับเธอ”



“ถ้าคุณไม่ว่าง ยกเลิกไปก็ได้ คุณไม่จำเป็นต้องเสียเงินพร่ำเพรือถ้าไม่มา”



อีกฝ่ายส่ายหน้า “แบบนี้น่าจะดีกับเธอมากกว่า”



“.....”



“จะว่าไปบ้านเธอก็กว้างใช้ได้นะ” ศานนท์กวาดตาไปรอบๆ “อยู่ที่นี่คงมีความสุขดี”



บ้าน? ช่างฟังราวดูราวกับมุกตลกร้ายเสียจริง



“ไม่ใช่ของผมหรอก...” ตุลย์ยิ้มบางๆ ไม่อธิบายต่อ



ไม่บ่อยที่มีคนถามถึงความเป็นอยู่ของเขา ลูกค้าส่วนใหญ่ต่างรู้ดีว่า เหตุผลที่คนๆ หนึ่งเลือกจะเป็น ‘เด็กขาย’ก็เพราะต้องการหาเงินทางลัด หรือรายได้แบบเร่งด่วนทันใจ ดังนั้นเรื่องราว ‘เบื้องหลัง’ อะไรนั่น ไม่จำเป็นต้องสนใจสักนิด ในเมื่อข้อแลกเปลี่ยนมันก็ ‘แฟร์’ พอสำหรับทั้งสองฝ่าย



“ขอบคุณ” เขาแค่รู้สึกอย่างพูดคำนั้น... “ที่มาส่งผม”



“ไม่เป็นไร เอาไว้ขอบคุณฉันด้วยการอยู่เป็นเพื่อนคราวหน้าเถอะ”



หนุ่มใหญ่ยิ้มส่งท้าย ก่อนฝ่ายนั้นจะขอตัวออกไปทำธุระตามที่อ้าง ส่วนเขาก็ได้เวลากลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่เขาต้องตะเกียกตะกายให้พ้นไปแต่ละวัน ไหนจะปัญหาอีกมากมายต้องขบคิด ซึ่งรวมถึงข้อตกลงใหม่ที่เพิ่งทำไว้กับธวัตรด้วย



ช่วงหลังมานี้ ศานนท์ให้ความสนใจกับการมีอยู่ของเขามากจนน่ากลัว แต่จะแน่ใจได้อย่างไรว่า นี่ไม่ใช่ความสนใจเพียงชั่วครั้งชั่วคราว?



จู่ๆ ก็ปิ๊งไอเดีย โชคดีที่จำหน้าผู้หญิงบนปกอัลบั้มได้ แค่เปิดโน๊ตบุ๊ค ค้นหาไม่นานก็รู้ว่าพวกเธอเป็นใคร เขาเริ่มค้นควาข้อมูล ไล่ดูตั้งแต่ชีวประวัติ รูปถ่าย ชื่ออัลบั้ม ไปจนถึงการนั่งฟังแต่ละเพลงอย่างตั้งอกตั้งใจ



‘อายุ’ คือช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างเขากับศานนท์ เรื่องที่อีกฝ่ายสนใจ เขาอาจเข้าไม่ถึง กลับกัน เรื่องที่เขาชอบ ฝ่ายนั้นอาจไม่เข้าใจ และถ้าการสละเวลาสักสองสามชั่วโมงเพื่อศึกษาในสิ่งที่ศานนท์ชอบเป็นประโยชน์ เขาก็พร้อมจะลอง แม้ว่างานอดิเรกของฝ่ายนั้นน่าง่วงนอนมากๆ ก็ตาม...


-----------------
ขออนุญาติอัพเป็น .1 .2 เนอะ ไม่งั้นคงอีกนานกว่าจะได้ลง 70% แล้วค่ะ มาต่ออีกนิดก็จบตอน แต่เมลล่าหายไปเป็นสัปดาห์แล้ว กลัวหลายคนลืม อิอิ
ส่องความเห็นแล้วว ขอบคุณที่ให้ความสนใจค่ะ 555+ เก็บทุกความเห็นไว้เป็นข้อมูลเนอะ อิอิ
เมลล่าเขียนช้าจริงค่ะ ถ้าไม่ชอบซีนไหนจะแก้ใหม่จนกว่าจะชอบ ก็เลยช้า 55+
สุดท้ายขอบคุณทุกเม้นท์ค่ะ #รักนักอ่านเสมอ  :mew1:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 13.06.16 {5th Night ข้อตกลงใหม่ l 5.1 } [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: autopilot ที่ 13-06-2016 22:42:20
สงสารนายเอกของเรื่องจังงง อยากอ่านต่อแว้ววววววว
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 13.06.16 {5th Night ข้อตกลงใหม่ l 5.1 } [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 13-06-2016 23:40:38
ไม่ชอบธวัตร...เอาเปรียบเกินไปแล้ว

และลุงนี่สนใจตุลย์จริงจังใช่ไหมอ่าาา? จริงจังเหอะ เนอะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 13.06.16 {5th Night ข้อตกลงใหม่ l 5.1 } [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 14-06-2016 00:33:08
เพลียอิลุงธวัตร น้องไปทำอะไรให้คะะ ลุงศานเดินหน้าาา :katai2-1:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 13.06.16 {5th Night ข้อตกลงใหม่ l 5.1 } [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 25-06-2016 18:06:45
[ต่อ 5.2]



“เธอสนใจเพลงพวกนี้เหรอ?”



นั่นเป็นคำถามของศานนท์ หลังจากที่การพูดคุยสัพเพเหระถูกดึงมายังหัวข้อที่เฉพาะเจาะจงอย่างเช่นเพลง



“มันก็เพราะดีนี่ครับ”



“อย่างเธอคงไม่ได้สนใจเพลงยุคเก้าศูนย์ ‘จริงๆ’ หรอกใช่ไหม” ฝ่ายนั้นหรี่ตาคล้ายจับผิดคำโกหกในประโยคเมื่อครู่ “จะมีเด็กที่ไหนสนใจฟังเพลงยุคเก่ารุ่นฉัน”



ทำไมคุณถึงคิดว่าไม่น่าสนใจล่ะครับ” ตุลย์จิบไวน์ในแก้ว



คืนนี้เขาอยู่ที่คอนโดศานนท์เหมือนอีกหลายๆ คืนที่ผ่านมา พักนี้นอกจากพูดคุยเรื่องทั่วไป และดื่มอีกนิดหน่อยก็ไม่มีเรื่องเกินเลยกว่านั้น จนบางทีอดคิดไม่ได้ว่า จริงๆ ศานนท์อาจเป็นแค่คนแก่อายุมากที่เหงาปากอยากมีเพื่อนคุยเล่นก็เท่านั้น



“เธอไปค้นอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อนใช่ไหม?”



ถูกจับได้เร็วกว่าที่คิด ตุลย์ก็คร้านจะปิดบัง



 “ก็... ถ้ามันเปิดโอกาสให้ผมได้คุยกับคุณนะ”



ศานนท์ไหวไหล่เหมือนไม่สนใจความจริงดังกล่าว ก่อนลุกขึ้นไปเปิดตู้ หยิบซีดีขึ้นมาแผ่นหนึ่งส่งเข้าเครื่องเสียง ไม่นานเพลงป็อบจังหวะสบายๆ ก็ถูกเล่น



“รู้ไหม อะไรคือเสน่ห์ของเพลงป็อป”



“.....”



ฝ่ายนั้นนั่งลงบนโซฟาข้างเขา “มันฟังได้เรื่อยๆ ไม่รู้เบื่อไง”



“ก็จริงของคุณ”



ว่ากันว่าคนเราเวลาทำอะไรซ้ำๆ เป็นประจำจะซึมซับสิ่งเหล่านั้นไปโดยปริยาย หลังใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับเพลงเหล่านี้สักพักหนึ่ง แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ไม่อาจปฏิเสธความจริงที่ว่า โน๊ตเปียโน เสียงเขย่าลูกแซ็คเบาๆ คลอกับเนื้อร้องหวานๆ ของสองสาว ช่างกลมกล่อมลงตัวและติดหูดีเสียจริง



“ผมว่าผมชอบเพลงนี้” ตุลย์เอนหลังพิงโซฟา “แล้วคุณชอบเพลงไหนเป็นพิเศษไหม”



ศานนท์เลิกคิ้วคล้ายไม่คิดฝันว่าเขาจะชวนคุยจริง ก่อนเปลี่ยนเป็นยิ้มบางๆ เหมือนเอ็นดูเขาเสียเต็มประดา



“ฉันชอบอีกอัลบั้มมากกว่า...”



พอเป็นหัวข้อที่สนใจเป็นพิเศษ หนุ่มใหญ่ก็กระตือรื้อล้นถามความคิดเห็นเขาต่อเรื่องโน้นเรื่องงนี้มากกว่าปกติ ขอแค่เอ่ยปากถามหากสงสัย ศานนท์ก็เล่าลายละเอียดตื้นลึกหนาบางให้ฟังแบบไม่มีกั๊ก ปกติพวกเขาไม่คุยเรื่องส่วนตัวของกันและกัน


แต่พอบทสนทนาชักออกรส บวกกับฤทธิ์เครื่องดื่มมึนเมาอีกนิดหน่อย หลังๆ อีกฝ่ายถึงยอมเล่าประสบการณ์สมัยที่ตนเองยังรุ่นๆ ให้ฟังบ้างประปราย



ไม่อาจคาดคะเนว่านานแค่ไหน รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ยกแก้วไวน์ขึ้นจิบแล้วตระหนักว่าไร้ของเหลวที่ตนเองโปรดปราน



“ผมขอตัวไปเติมไวน์ได้ไหม ถ้าคุณไม่ว่าอะไร”



“ตามใจเธอ”



เจ้าของห้องไม่มีวี่แววปฏิเสธ เขาเลยถือโอกาสลุกไปยืดเส้นยืดสายด้วย



จะว่าไปคอนโดของศานนท์ก็ดูเงียบเหงาไม่น้อย นอกจากเฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็นต่อการดำรงค์ชีวิตอย่างเช่น ทีวี เก้าอี้ ตู้เย็น หรืออะไรเทือกนั้น กับตู้ซีดีของหนุ่มใหญ่ ก็ไม่มีของตกแต่งอื่นๆ ที่ชวนให้ระลึกถึงเรื่องราวในอดีตแม้แต่ชิ้นเดียว เหมือนมีไว้แค่ ‘อาศัยอยู่’ ไปวันๆ ไร้กลิ่นอายความเป็นบ้านโดยสิ้นเชิง



ตุลย์เดินทะลุมายังห้องครัว ก่อนจะพบว่ามันจืดชืดไม่แพ้กัน นอกจากขวดไวน์ผลไม้เปิดทิ้งไว้ตั้งเด่นเป็นสง่าบนเคาท์เตอร์หินอ่อน ไม่ว่าจะเครื่องครัวที่วางเรียงบนชั้นเอย หรือบรรดาจานในตู้เอยก็ล้วนแต่ไร้ชีวิตชีวาราวกับเป็นแบล็กกราวด์สวยๆ ไว้ประดับห้อง ไม่เคยใช้งานจริง



ไม่ยักกะรู้ว่าคนรวยนิยมแต่งบ้านสไตล์นี้



คร้านจะใส่ใจ ตุลย์หยิบขวดไวน์ แกว่งเบาๆ ให้ของเหลวด้านในผสมเข้ากันอย่างที่ชอบทำ แต่ตอนที่ยกรินใส่แก้วก็สะดุ้งเฮือก เมื่อมือไม่มีที่มาที่ไปเอื้อมมาจับทับตำแหน่งที่เดียวกับมือเขา ความตกใจทำให้ปล่อยขวด ชักมือกลับตามสัญชาตญาณ หากไม่ใช่มือปริศานาจับก้นขวดไว้แต่แรก งานนี้คงได้เก็บกวาดกันบาน



“...คุณ!”



อยู่ๆ ก็วาปมาโผล่ข้างหลังไม่ให้ซุ่มให้เสียง ถ้าของในมือไม่ใช่ขวดแต่เป็นมีด ป่านนี้ท้องอีกฝ่ายอาจเป็นรูพรุนไปแล้วก็ได้!



ศานนท์ยกมือยอมแพ้ แต่ใบหน้าเบื้อนยิ้มทำให้เขาเชื่อไม่ลง



 “คุณมีอะไรหรือเปล่า...?”



“เปล่า ฉันแค่ตามมาดู กลัวเธอจะหาห้องครัวไม่เจอ”



มันข้ออ้างเห็นๆ



“แต่ฉันไม่ตั้งใจให้เธอตกใจหรอกนะ”



“งั้นผมขอไวน์คืนได้ไหม” ตุลย์ฝืนยิ้ม สาบานว่ากำลังสุภาพที่สุดแล้วในเวลานี้



กลับกันหนุ่มใหญ่กุมมือข้างที่ถือแก้วของเขา ส่วนตัวเองก็ค่อยๆ รินไวน์ผลไม้ใส่ให้ในปริมาณพอเหมาะ ถูกจู่โจมเข้าแบบนี้ตุลย์ก็ได้เพียงรับว่า ‘ขอบคุณ’



“ชอบมันเหรอ ฉันเห็นเธอดื่มแทบทุกครั้ง”



ตุลย์ส่ายหน้า “มันทำให้ผ่อนคลายมากกว่า...”



เขาไม่ได้ชอบของมึนเมา แต่มันเป็นนิสัยเสียๆ ติดมาจากช่วงแรกๆ ที่มักดื่มเรียกความกล้าก่อนรับแขก



“ขอบใจที่นั่งเป็นเพื่อนฉันคืนนี้ ไม่ได้คุยเรื่องส่วนตัวกับใครนานแล้ว รู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปเมื่อก่อน ...แต่เธอไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้รู้ใช่ไหม?”



“ยังไงครับ”



ศานนท์เงียบไปพักเหมือนต้องการให้เขาทบทวนประโยคนั้นอีกครั้ง


 “ฉันชอบเธอที่ใน ‘วันนั้น’ มากกว่า”



ถ้า ‘วันนั้น’ หมายถึงช่วงเวลาที่หนุ่มใหญ่ให้เกียรติเขาในฐานะ ‘เพื่อนคุย’ ซึ่งอีกฝ่ายโบ้ยให้ เขาก็มีคำตอบเดียวสำหรับคำถาม



“ผมทำไม่ได้”



ชีวิตเขาแขวนอยู่บนเส้นด้ายที่มี ‘ธวัตร’ เป็นคนกำหนด หากวันใดพยายามไม่มากพอ ผลลัพธ์อาจแย่กว่าจะนึกภาพตาม วงการนี้ไม่ได้วนเวียนอยู่เพียงเงิน เหล้าเบียร์ และเซ็กส์ มันมีเบื้องหลังที่ลึกและดำมืด มีผลประโยชน์และอิธิพลใต้ดินเข้ามาเกี่ยวข้อง เพียงแค่ทุกวันนี้เขาหลับหูหลับตา ไม่ขุดคุ้ยเรื่องเหล่านั้น ‘ซื่อ’ อย่างที่ธวัตรต้องการให้เป็น



นี่คือโลกที่เขาอยู่ ..เป็นสิ่งที่ศานนท์ไม่มีทางเข้าใจ



หนุ่มใหญ่สบลึกเข้ามาในตาเขา แววตาแน่นิ่งราวกับผิวทะเลสาป ไม่อาจคาดเดาอารมณ์ที่ซุกซ่อนอยู่ข้างใต้นั้น ความเงียบที่โรยตัวเริ่มสร้างแรงกดดันให้ หากแต่ไม่มีใครยอมเปิดปากพูด...



“มานี่”



 จนกระทั่งศานนท์ลากแขนเขาออกจากครัว ไปหยุดที่หน้าโซฟาทั้งที่มือยังถือแก้วไวน์ค้างไว้



“ถอดเสื้อผ้า”



ห๊ะ?


ไม่แน่ใจว่าหูฟาดหรือเปล่า แต่พอเงยหน้ามองศานนท์เหมือนต้องการคำตอบกลับพบเพียงแววตานิ่งอ่านไม่ออก



“ไม่ได้ยินเหรอ ฉันบอกให้ ‘ถอดเสื้อผ้า’” น้ำเสียงทุ้มต่ำปราศจากการหยอกล้ออย่างเคย “ถอดให้หมดด้วย”



“......”



เขาพูดไม่ออก มันเหมือนถูกตบหน้าแรงๆ ด้วยคำพูด ทั้งรู้สึกคับแค้นใจและเหมือนถูกหักหลังในเวลา



นี่เขาคาดหวังอะไรอยู่? หวังว่าศานนท์จะต่างจากคนอื่นๆ หรือหวังว่าตัวเองจะมีค่ามากกว่า ‘ตุ๊กตา’ ตัวหนึ่ง



สิ่งที่เกิดขึ้นในเวลาไม่กี่สัปดาห์ทิ้งเยื่อใยทิ้งไว้โดยไม่รู้ตัว บางทีเขาอาจไม่ควรมีความสัมพันธ์อื่นใดกับศานนท์นอกจากการแลกเปลี่ยนทางกายและเงินแต่แรก หากว่ามันเป็นสิ่งฉาบฉวยเหมือนที่เกิดขึ้นระหว่างเด็กขายและลูกค้า ...ไม่มีความเชื่อใจ บางทีเขาอาจรู้สึก ‘เจ็บปวด’ น้อยกว่า



ตุลย์กระดกไวน์พรวดเดียวหมดแก้ว กลืนความรู้สึกที่คั่งค้างอยู่ภายในกลับลงไปด้วย นิ้วมือที่เลื่อนไปแกะกระดุมเสื้อเย็นชืด ไม่ต่างจากหน้าที่ชาดิก เขาแกะมันทีละเม็ดจนหมด ปลดเชิ้ตจากไหล่แล้วโยนทิ้งไปบนพื้นข้างตัว ผิวที่สัมผัสอากาศหนาวโดยตรงเย็นยะเยือกไปถึงกระดูก ก่อนจะขยับไปรูดซิปกางเกงลง



หากว่านี่เป็นแผนหลอกให้เชื่อใจแต่แรก ก็นับว่าศานนท์ทำสำเร็จ หวังว่าฝ่ายนั้นจะพอใจที่ได้เห็นเขาในสภาพน่าสมเพชแบบนี้



 “พอแล้ว”



อยู่ๆ ศานนท์ก็เปลี่ยนใจดึงมือที่กำลังจะเกี่ยวกางเกงลงไปกองกับพื้นไว้ ก่อนก้มหยิบเสื้อเชิ้ตมาคลุมร่างเขาไว้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อครู่



คิดว่าตบหัวแล้วลูบหลังก็ได้หรือไง!



“เธอบอกฉันว่าเธอเกลียดที่ต้องขายร่างกายให้คนอื่น แล้วทำไมถึงยอมทำสิ่งที่เกลียดง่ายๆ?”



เขาหัวเราะ ‘หึ’ อย่างห้ามไม่อยู่ “คุณไม่เข้าใจหรอก...”



“ฉันเข้าใจ แต่เธอไม่ต้องให้ทุกสิ่งที่ ‘พวกเขา’ ต้องการก็ได้”



“อย่างคุณจะไปเข้าใจอะไรผม!”



คนที่เกิดมาบนกองเงินกองทองอย่างศานนท์ไม่รู้หรอกว่าเขาต้องเผชิญกับอะไรบ้างตลอดสามเดือนมานี้ การมีชีวิตแต่ละวันเพียงเพื่อให้เห็นวันใหม่ ทั้งที่ยังไร้จุดหมาย



เขาเดินหนีฝ่ายนั้น เพราะต่อให้อยากออกจากที่นี่แค่ไหนก็ได้เพียงกลั้นใจไว้



“เดี๋ยว” มือหนารั้งต้นแขนให้หันกลับมา  “ฉันอาจไม่รู้ว่า ‘การเป็นเธอ’ มันรู้สึกยังไง แต่ไม่ต้องพยายามขนาดนั้นเพื่อให้คนสนใจหรือฝืนทำสิ่งที่เกลียดถ้าเธอไม่ชอบ อย่างน้อยก็ตอนที่อยู่กับฉัน...”



“หึ แล้วคุณจะเสียใจกับสิ่งที่พูด”




“ไม่... ฉันไม่เสียใจ”



พูดจบหนุ่มใหญ่ก็แนบจูบบนริมฝีปากเขา ดูดเม้มจนเกิดเสียง นิ้วที่สัมผัสท้ายทอยวนคลึงเบาๆ เหมือนกระตุ้นให้จูบตอบ พอเขาเอียงหน้าหนีอย่างไม่ชอบพอใจ อีกฝ่ายก็ไม่รุกไล่ต่อ แต่เปลี่ยนมาเล้าโลมด้วยการลูบไล้ผิวกายใต้เสื้อเชิ้ตหมิ่นเหม่




แค่ศานนท์ออกแรงดันไหล่เบาๆ เขาก็หงายหลังลงไปนั่งบนโซฟา ก่อนฝ่ายนั้นจะลดความสูงลงมาจูบปาก เลื่อนไปยังซอกคอ แผ่นอก และไล่ต่ำลงมาเรื่อยๆ ทุกจุดที่ริมฝีปากคู่นั้นลากผ่านทิ้งไออุ่นไว้บางเบา


“คุณศานนท์!”



 ตุลย์สะดุ้งเมื่อถูกจูบหน้าท้อง ใบหน้าเจ้าของชื่อก้มต่ำแทบติดขอบกางเกง ชักรู้สึกวาบหวิวตรงท้องน้อยตอนที่เจ้าของมือก้มไปปลดขอกางเกงเขา ถกมันลงให้เหลือเพียงชั้นในตัวเดียว



“อย่าเรียกศานนท์ เรียกศาน...” ไม่ย้ำเปล่า นัยน์ตาคู่นั้นยังปรายขึ้นสบกลับ



จะอะไรก็ช่าง เอาหน้าออกไปจากเป้ากางเกงได้แล้ว!



ตุลย์อยากพลักหัวอีกฝ่ายออกเต็มแก่ แต่พอมือหนาเปลี่ยนตำแหน่งสอดเข้าไปใต้ชั้นใน เค้นคลึงส่วนที่อ่อนไหวต่อสัมผัส เขาได้แต่ครางเสียงต่ำ ยิ่งตอนที่ถูกขยี้ส่วนปลายหนักๆ แรงอารมณ์ก็พุ่งสูงจนคุมจังหวะหายใจไว้ไม่อยู่



ฝ่ายศานนท์เห็นเขาเริ่มหอบเร็ว หนุ่มใหญ่ก็ขยับมือที่กอบกุมส่วนนั้น เร่งจังหวะเร็วจนเขาตัวหดเกร็ง จิกเบาะหนังระบายความเสียวซ่าน แล้วก็ผ่อนแรงลงเปลี่ยนเป็นเชื่องช้าแต่หนักแน่นสลับกันเหมือนไม่อยากให้ไปถึงสวรรค์เร็วนัก



“ไม่เอาแบบนี้...”



ท้วงอย่างอดไม่ได้ ถ้าขืนทำต่อไปเรื่อยๆ จากเสียวซ่านคงกลายเป็นทรมานเพราะไม่ได้ปลดปล่อยแทน



พอบอกว่าไม่ชอบ ศานนท์ก็ยอมปล่อยส่วนนั้นให้เป็นอิสระ การปรนเปรอเมื่อครู่ทำให้เขาตื่นตัวเต็มที่ ต่อให้ใจไม่อยาก แต่ถ้าร่างกายถูกปลุกปั่นจนเกิดความต้องการระดับนี้ก็ไม่มีทางเลือกอื่น ตุลย์ชันเข่าข้างหนึ่ง เขาต้องการมากกว่าการกระตุ้นด้วยมือ ต้องการ ‘ตัวตนของอีกฝ่าย’...



แต่ไม่ทันเอ่ยปากสักคำก็เปลี่ยนมาจิกเท้าตัวเกร็ง ตอนที่อยู่ๆ หนุ่มใหญ่โน้มหน้าลงมาครอบครองแก่นกายที่ตื่นตัวเต็มที่ไว้ในโพรงปาก



“อื้อ!”



มันอุ่นระอุเสียจนพูดอะไรไม่ออก นอกจากระบายลงหายใจหนักๆ สลับกับเสียงครางแหบพร่า พลางขยุ้มผมศานนท์ไว้



“อย่า อ้า!”



ลิ้นอุ่นตวัดไล่ผ่านแก่นกายแต่ละส่วน ก่อนใช้ริมฝีปาก ดูดดึงและขบเบาๆ ตรงปลายที่ไวต่อสัมผัสกว่าส่วนอื่นตุลย์บิดเกร็ง มันเสียวซ่านเกินจะรับไหวจนเขาชักทรมาน ร่างกายเกร็งไปหมดเหมือนอยากปลดปล่อยเต็มแก่



แต่การที่หนุ่มใหญ่ทำเพียงลากไล้และกระตุ้นย้ำส่วนที่สร้างความกระสันให้เพียงไม่กี่ครั้ง มันไม่พอจะพาเขาไปถึงปลายทาง



“ขะ ฮา...ขยับหน่อยได้ไหม” หอบจนพูดไม่รู้เรื่อง



ศานนท์เงยหน้ามองทีหนึ่ง ก่อนจะดันแก่นกายเข้าไปในโพรงปากจนมิด คงกลัวจะเติมเต็มเขาไม่มากพอ ถึงได้ดันสองนิ้วเข้ามาในช่องทางด้วย ตุลย์กระตุก ตอดรัดหนักๆ เพราะไม่ทันตั้งตัวก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงครางเมื่อถูกอีกฝ่ายกดย้ำจุดกระสันหลังจากกวาดหาเพียงไม่กี่ครั้ง



เห็นเขาตอบสนองการเร่งเร้ามากกว่าเดิม หนุ่มใหญ่ก็ดูจะชอบใจ โพรงปากที่ครอบครองส่วนนั้นเริ่มขยับรูดรั้งแก่นกาย เช่นเดียวกับนิ้วที่อยู่ในช่องทางด้านหลัง พอถูกความเสียวซ่านจู่โจมจวนเจียนจะคุ้มคลั่ง ตุลย์ก็เริ่มฉุดสติไว้ไม่อยู่ ไม่รับรู้อะไรอีกนอกจากสัมผัสของอีกฝ่ายที่ตอบสนองความปรารถนาจากร่างกายของตน และเสียงครางจับความไม่ได้



จวบจนร่างกระตุกน้อยๆ พร้อมสมองที่ขาวโพลนตามด้วยการปลดปล่อย ถึงรับรู้ว่าช่วงเวลาที่ทรมานระคนสุขสมเพิ่งสิ้นสุดลง



ตุลย์แหงนมองเพดาน ภาพทุกอย่างเบลอไปหมด ต้องค่อยๆ ใช้เวลาปรับลมหายใจเป็นปกติและเรียกสติสัมปชัญญะ กลับเป็นหนุ่มใหญ่ที่จู่ๆ ก็ลุกมาจูบหน้าผากเขาเบาๆ อย่างไม่ทันตั้งตัว



“รอนี่นะ...”




ไม่ทันจะได้เอ่ยปากพูด ฝ่ายนั้นก็ชิงเดินหายไปก่อน ทิ้งความงุนงงและเงียบกริบไว้ให้เขาคาดเดาไปต่างๆ นาๆ



“แล้วถ้าฉันจีบล่ะ เธอจะตกลงไหม”



จีบ...?  พอนึกถึงประโยคที่ศานนท์พูดเมื่อวันนั้นจู่ๆ ก็เกิดอยากหัวเราะขึ้นมา



หนุ่มไฮโซที่ตกหลุมรักโสเภณีสาวแล้วหนีไปอยู่ด้วยกัน ก็มีแต่ในนิยายหรือไม่ก็ละครน้ำเน่าเท่านั้น ซึ่งต่อให้ศานนท์สนใจหรือรู้สึกดีๆ กับเขาจริง มันก็เป็นได้เพียงความรู้สึกฝ่ายเดียวของหนุ่มใหญ่



เขา ‘ขายตัวตน’ ทิ้งไปตั้งแต่วันแรกที่ตัดสินใจก้าวเข้ามาในวงการนี้ เพราะฉะนั้น ‘ความรู้สึกพิเศษ’ อะไรนั่น มันไม่มีหรอก อย่างมากก็เป็นเล่ห์เหลี่ยมใช้ดึงอีกฝ่ายไว้นานกว่าอีกหน่อยเท่านั้น



-------------------



“เก้า ตัวอะไรใหญ่กว่าปลาวาฬ” ก้งเหล้าไปสองสามแก้ว จู่ๆ บีก็ถามคำถามแปลกๆ



“ปลาวาฬชุบแป้งทอด!”



“บ้า ผิด ปลาวาฬห่อไข่ชุบเกล็ดขนมปังทอดต่างหาก ฮ่าๆๆๆ” เธอระเบิดเสียงหัวเราะยกใหญ่



“เฮ้ย ฉันว่าพี่บีไม่ไหวแล้วว่ะ”



บาร์เทนเดอร์หนุ่มเอียงหน้ามากระซิบกระซาบกับตุลย์ ในขณะที่เจ้าของปัญหาเชาว์ยังหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังเหมือนคนเสียสติที่หลุดออกมาจากโรงพยาบาลบ้า



“พี่เมาหรือเปล่า” เขาหันไปถามสาวเจ้า



“โอ๊ย อะไรของพวกแก! แค่ถามตอบปัญหาเชาว์นิดหน่อยต้องหาว่าฉันเมาด้วย!?”



“ก็ปกติพี่ไม่เป็นงี้ที่หว่า!” เก้าสวน



วันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันธรรมดาที่ตุลย์เข้าคลับทำงานตามปกติ นั่งสังสรรค์กับเพื่อนจนดึกก่อนจะแยกย้ายไปทำงานของตัวเอง หลังๆ มานี้ พวกเขาไม่ค่อยอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน ส่วนหนึ่งเพราะถูกศานนท์จองตัวอยู่บ่อยๆ



ตุลย์เหลือมองนาฬิกาข้อมือ พบว่าสองทุ่มครึ่งแล้ว จึงขอตัวกับเพื่อน


“ใกล้ได้เวลานัดลูกค้าแล้ว ฉันออกไปก่อนนะ”



“โชคดีจ้ะ คุณชาย ตั้งใจทำงานนะ จุ๊บุ” คราวนี้เป็นสาวเจ้าที่หันมาแซว พลางโปรยยิ้มแบบที่เธอคิดว่าทรงเสน่ห์หนักหนา



“ครับๆๆ”



เขาพยักหน้าอือออไปเพราะไม่อยากรังแกน้ำใจคนเมา ก่อนจะเดินเลี่ยงออกมา แปลกใจนิดหน่อยตอนกดดูหน้าจอโทรศัพท์แต่ไม่พบแม้แต่ข้อความหรือมิสคอลล์เดียว ไม่มีทั้งของศานนท์และธวัตร...



ระหว่างที่กำลังลังเลว่าควรทำอย่างไรต่อ จู่ๆ ก็ถูกเสียงทุ้มคุ้นเคยเรียกไว้



“จะไปไหน?”



ตุลย์หันตามเสียง “ครับ?”



“ไปไหน” ธวัตรถามย้ำเหมือนต้องการคำตอบที่ชัดเจนจากปากเขา



“ออกไปหาคุณศานนท์”



“ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น เลิกยุ่งกับศานนท์ซะ” อีกฝ่ายสั่งเสียงนิ่งและเด็ดขาด



“อะไรนะ...?”



“นับจากนี้ ‘มัน’ ไม่ใช่ลูกค้าของนายอีกแล้ว กลับไปนั่ง คืนนี้นายต้อง ‘รับแขก’”



ประโยคนั้นเหมือนถูกฟ้าผ่ากลางหัว มึนงงไปหมด กว่าสมองจะกลับมาประมวลผลได้ก็เกือบนาที



ความพยายามที่เขาทุ่มเทไปเหมือนกับเมล็ดพันธ์ค่อยๆ ผลิดอกออกผล ทุกอย่างกำลังงอกงามไปได้สวย แต่จู่ๆ ธวัตรก็ราดน้ำมันรดและเผาทิ้งสิ้นซากอย่างไม่ใยดี



“ทำไม...?”



-------------------------
อุ้ยย หายไปนาน ต้นเดือนหน้าเมล่าจจะเปิดเทอมแล้ววว  :katai1:
พยายามไม่ขี้เกียจค่ะ จะมาให้ทันทุกสัปดาห์ของหน้าปฏิทินเนอะ
ขอบคุณที่ติดตามกันมาค่า  :bye2:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 25.06.16 {5th Night ข้อตกลงใหม่ (สมบุรณ์) } [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: P.PIM ที่ 25-06-2016 19:15:59
ว๊อท? เกิดอะไรขึ้นเนี่ยยยยย  :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 25.06.16 {5th Night ข้อตกลงใหม่ (สมบุรณ์) } [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 25-06-2016 19:49:45
อ้าว เกิดอะไรขึ้น
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 25.06.16 {5th Night ข้อตกลงใหม่ (สมบุรณ์) } [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: hibatsumoe ที่ 25-06-2016 20:04:05
มารอลุงด้วยคนนนนน สงสารตุลย์อ่า :hao5:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 25.06.16 {5th Night ข้อตกลงใหม่ (สมบุรณ์) } [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: autopilot ที่ 26-06-2016 05:55:35
เหวยยยยย ลุ้นไปอิ๊กกกกกก คุณศานไปทำอัลไลลลลลลล
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 25.06.16 {5th Night ข้อตกลงใหม่ (สมบุรณ์) } [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 26-06-2016 09:41:17
 :mew1:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 25.06.16 {5th Night ข้อตกลงใหม่ (สมบุรณ์) } [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 26-06-2016 09:44:01
อะไรอ่ะ ทำไมเป็นอย่างนี้
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 25.06.16 {5th Night ข้อตกลงใหม่ (สมบุรณ์) } [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 03-07-2016 20:31:58
6th Night  [6.1]   
ไร้ทางสู้


“นับจากนี้ ‘มัน’ ไม่ใช่ลูกค้าของนายอีกแล้ว กลับไปนั่ง คืนนี้นายต้อง ‘รับแขก’”



“ทำไม...?”



“ไม่ใช่เรื่องที่นายต้องรู้” ธวัตรเดินหนีโดยไม่ให้คำตอบเหมือนทุกที




ตุลย์กำมือแน่น “เดี๋ยว! แล้วข้อตกลงคืนนั้นล่ะ”



ที่ผ่านมาเขายอมสวมหน้ากากแกล้งโง่เมื่อต้องโง่ ยอมขายร่างกายและศักดิ์ศรีจนกลายเป็นแค่ตุ๊กตา ยอมทำตามใจคนอื่นทุกอย่าง




ถ้าธวัตรคิดจะคืนคำแล้วถีบเขากลับลงไปในหลุมอีกครั้งล่ะก็ มันไม่ง่ายแบบนั้นแน่!




“ครั้งนี้คุณต้องตอบผม!”



ตุลย์กระชากแขนคนที่เดินสวนไปไม่แยแส ‘เจ็บใจ’ เกินกว่าจะควบคุมตัวเองเหมือนทุกครั้ง



“ปล่อย”



“ตอบคำถามผมก่อน”




ธวัตรมองคนที่เป็นฝ่ายท้าทายหาเรื่องด้วยแววตาคุกรุ่นเหมือนจะพูดว่า ‘เอาแบบนี้ใช่ไหม’




แล้ววินาทีต่อมาเขาก็ถูกจับเหวี่ยงจนเซไปชนโต๊ะว่างที่อยู่ด้านข้าง ความเจ็บจี๊ดตรงสะโพกแล่นแปล๊บจนต้องนิ่วหน้า ไม่เปิดช่องว่างให้ตั้งตัว ธวัตรก็เข้ามาตรึงร่างไว้กับโต๊ะ ปิดทางหนีด้วยแขนทั้งสอง ใบหน้าบิดเบี้ยวเพราะแรงอารมณ์บอกว่ากำลังโมโหจัด



“ปกติไม่เห็นละลาบละล้วงแบบนี้นี่ เป็นอะไรขึ้นมา? เกิดรู้สึกชอบมันหรือไง!”



“ผมจะชอบเขาหรือไม่ ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ แต่ข้อตกลงคืนนั้น ผมไม่ได้ละเมิดสัญญาสักข้อ คุณจะเดินหนี ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้!”




ธวัตรเลิกคิ้วกวนประสาท “ทำไมฉันจะทำไม่ได้ มีหลักฐานอะไรหือ? ไหนล่ะเอกสาร!?”




“ที่ผ่านมาคุณกอบโกยจากผมมากเกินไปแล้ว!” ตุลย์เค้นเขี้ยว




“ทำไม จะทำอะไรฉัน?” จับปลายคางเขาพลิกซ้ายพลิกขวาเหมือนเล่นตุ๊กตา “รู้ไหม ตอนนี้นายไม่อยู่ในสถานะที่ต่อรองด้วยซ้ำ ได้สิทธิ์พิเศษมากกว่าคนอื่นหน่อยอย่ามาเหิมเกริม”



ประโยคนั้นทำเขาฟิวส์ขาด คว้าคอเสื้อคนที่สูงกว่า



“ขาดผมหรือผู้หญิงพวกนั้น คุณมันก็แค่ ‘แมงดา’ ที่ดีแต่เกาะคนอื่นกินไปวันๆ!”



“ปากดี!”



“ใช่ ก็ดีกว่าคนกลับกรอกอย่างคุณ ...อั่ก!”



นิ้วแม่โป่งขยี้หลอดลมแรงจนสำลัก ตามด้วยฝ่ามือที่เปลี่ยนมากำรอบคอเขาแล้วบีบช้าๆ เหมือนอยากให้ลิ้มรสความทรมาน ตุลย์ดิ้นรนแกะมือที่บีบแรงขึ้นเรื่อยๆ อากาศในปอดเริ่มขาดหายเป็นพัก วินาทีนั้นมัจจุราชก็โน้มหน้าเข้ามา




“จำได้ไหม นายเป็นคนเข้าหาฉันวันนั้น เสนอจะขายตัวให้เพราะร้อนเงิน ฉันก็ตกปากรับคำว่าจะดูแล ให้ทุกอย่างที่ต้องการ ทั้งเงิน ทั้งเรื่องเรียน ถ้าไม่ใช่เพราะฉันตอนนั้น นายคงไม่มายืนอยู่ตรงนี้!”




“หึ” ฝืนหัวเราะทั้งที่แสบคอไปหมด “อย่าพูดเหมือนคุณช่วยชีวิตผม ยอมรับเถอะว่าทั้งหมดคุณทำเพื่อประโยชน์ของตัวเอง ถ้าไม่ใช่เพราะสัญญาวันนั้น บางทีชีวิตผมอาจดีกว่านี้ก็ได้ แค่กๆๆ!”




ถูกยัวะจนเลือดขึ้นหน้า ธวัตรก็ขย้ำคอแบบไม่คิดออมแรงจนเขาไอโขลกๆ ติดกันยกใหญ่ ตุลย์พยายามงัดกรงเล็บที่หมายจะเอาชีวิตเขา แต่กลับได้เพียงถ่วงเวลาหายใจเอาเสี้ยวอากาศ




การทะเลาะวิวาทที่เอิกเริกทำให้มีคนมุงดูจำนวนมาก ทว่ากลับไม่สักคนที่เข้ามาห้ามเมื่อเห็นว่าคู่กรณีคือ ‘ธวัตร’ ไม่รู้ว่าเพราะน้ำตาหรือสติที่ใกล้ขาด ภาพรอบตัวถึงพร่ามัวจับโฟกัสไม่ได้ เห็นแค่เงาร่างหนึ่งที่เบียดฝ่าวงล้อมตรงเข้ามาหาพวกเขา




“คุณวัตร! พอแล้ว พอเถอะค่ะ!”



บีขอร้องเสียงหลง ยิ่งเห็นคนในกำมือดิ้นทุรนทุรายเพราะขาดอากาศหายใจ ยิ่งยืนไม่ติด



“ทำขนาดนี้ตุลย์ก็ตายพอดี หยุดเถอะค่ะ บีขอร้อง! ปล่อยน้องเถอะ”




เธอพุ่งไปคว้าแขนธวัตรที่โมโหจนหน้ามืด เสี่ยงก็จริงแต่อย่างน้อยคนๆ นี้ก็ไม่เคยทำร้ายผู้หญิงมาก่อน เพราะไม่ว่าใครก็ไม่อาจทนมองคนที่ตัวเองรักทรมานแทบตายต่อหน้าโดยไม่ลงมือทำอะไรสักอย่าง



“คุณวัตร ปล่อยก่อน! ถ้านานกว่านี้ตุลย์ไม่ไหวแน่ หยุดแค่นี้เถอะค่ะ... บีข้อร้องจริงๆ”



“........”



คราวนี้ธวัตรเหลือบมองเธอด้วยหาง หญิงสาวใจหล่นไปอยู่ตาตุ่มเพราะมันเป็นแววตาเหี้ยมเกรียมไม่ผู้ชายหล่อเหลาสมบูรณ์แบบอย่างที่เคยพบ



“ปล่อยเถอะนะคะ ครั้งนี้ถือว่าบีขอร้องจริงๆ” เธอว่ากล้าๆ กลัวๆ



ยิ่งแล้วใหญ่ตอนที่ฝ่ายนั้นชักสีหน้าไม่พอใจ แต่สุดท้ายชายหนุ่มก็ยอมคลายมือปล่อยให้คู่กรณีให้เป็นอิสระ พอหลุดจากพันธนาการ ตุลย์ก็ทรุดฮวบ หอบหายใจอย่างตะกละตะกลาม ก่อนจะไอโขลกๆ อีกครั้งเพราะแสบระบมทั้งคอเหมือนมีมีดนับสิบอยู่ภายใน



“เก้า มาช่วยพี่เร็วเข้า!” บีตะโกนเรียกคนที่ยืนเก้ๆ กัง เหมือนไม่แน่ใจว่าควรเข้ามาไหม ก่อนจะถามเขาทั้งน้ำตา “ไหวไหม ไม่เป็นไรใช่ไหม?”




“.......” ตุลย์ได้แต่พยักหน้าเพราะไม่มีเสียง



เก้าเข้ามาพยุงเขาที่ตรงตัวไม่ติดฝ่าวงล้อมของคนมุงออกไป ไม่ก้มมองก็รู้ว่าแรงบีบขนาดนั้นต้องทิ้งรอยแดงริ้วๆ ไว้บนคอเขา ยิ่งพอสบตากับธวัตร ฝ่ายนั้นก็จ้องกลับเหมือนพร้อมที่จะเปิดศึกทุกเมื่อหากลงมือทำอะไรอีก




“ครั้งนี้ถือว่าโชคดี แต่อย่าให้มีใครหน้า เพราะฉันไม่เลี้ยงงูเห่าไว้ในบ้าน!”



ตุลย์เค้นยิ้ม ไม่รู้ว่าเพราะอยากเอาชนะหรือสมเพชสภาพตัวเองตอนนี้กันแน่



เก้าพยุงมาด้านหลังร้าน โดยมีบีเดินตามหลัง ก่อนจะจับคนหัวดื้อนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งส่วนตัวเองก็หายไปหยิบกล้องปฐมพยาบาล



“เอ็งไปมีเรื่องอะไรกับ ‘เขา’ วะ ไม่กลัวตายหรือไง” แกะกล่องไปปากก็บ่นกระปอดกระแปด



ใครๆ ก็ล้วนแต่หวาดกลัวธวัตร เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่าผู้ชายคนนั้นมีอิธิพลต่อการขับเคลื่อนธุรกิจย่านนี้มากแค่ไหน การที่จู่ๆ เขาไปหาเรื่องก็ไม่ต่างจากรนหาที่ตายแบบศพไม่สวย



“ทนไม่ไหวว่ะ...”



“แน่เหรอวะ หรือแค่นึกคะนองอยากท้าทายอำนาจมืด?”



“ก็อาจจะ”



คิดมาถึงตรงนี้ก็เริ่มหวั่นใจกับผลลัพธ์ที่อาจตามมา



“อย่าไปว่าตุลย์เลยน่า” บีสวนขึ้น เอาน้ำแข็งมาประคบคอเขา



“โห่ พี่ก็เข้าข้างมัน ถ้าเกิดโดนบีบจนไม่หายใจขึ้นมา ผมไม่ต้องผายปอดพอดีเหรอ!” เก้าจับคอคนเจ็บหันอย่างเร็วจนต้องร้อง ‘โอ๊ย’ ก่อนจะใส่ยาตรงรอยข่วนใต้กกหู “จะมีเรื่องทีก็ให้มันน้อยๆ หน่อยไอ้ตุลย์ ห่วงสวัสดิภาพตัวเองบ้าง”



“ไม่เอาน่า เก้า คนเราทำเพราะมีเหตุผลทั้งนั้นแหละ”



“เหอะ” คนถูกเตือนเค้นเสียง ก่อนจะแปะพาสเตอร์บนแผล “เอ้า เสร็จแล้ว!”



“ขอบใจ”



“เออ พักผ่อนเยอะๆ เดี๋ยวเสียงก็กลับมาเอง”



เก้าตบหัวเขาสองทีเหมือนเล่นกับหมา ก่อนจะขอตัวออกไปทำงานต่อเพราะสถานการณ์ด้านนอกกลับมาสู่สภาพเกือบเป็นปกติแล้ว ทิ้งเขาไว้กับบีสองคน หญิงสาวมองตามหลังเก้าจนแน่ใจว่าฝ่ายนั้นไปแล้วแน่ๆ จึงถาม



“เขาทำอะไรแย่ๆ กับนายอีกแล้วใช่ไหม อยากเล่าให้หรือเปล่า?”



“.........” ตุลย์ส่ายหน้า



บางครั้งการเก็บเรื่องส่วนตัวไว้กับตัวก็ส่งผลดีกว่า บีมีเรื่องให้คิดมากพอแล้ว ไม่ควรต้องมาพะวักพะวกกับปัญหาของเขาอีก



 “ถ้ามีปัญหามันหนักเกินไปหรือต้องการคนรับฟัง พี่ก็อยู่ตรงนี้นะ พร้อมคุยเสมอ”



“เอาไว้ถึงตอนนั้นผมจะมาหาพี่คนแรก” ตุลย์ยิ้ม ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าจะไม่มีวันนั้น



----------------------------


บ่ายนี้อากาศค่อนข้างอึมครึมเป็นพิเศษ เพราะไม่พกร่มมา หลังจบคลาสบรรยายตุลย์จึงเร่งรีบกว่าปกติ เขากระชับกระเป๋า สาวเท้าเร็วๆ ลงบันไดอย่างว่อง หน้าฝนแบบนี้ขืนช้าไม่กี่นาทีมีหวังโดนพระพิรุณสาดใส่จนกลับบ้านกลับช่องไม่ถูก



พอวิ่งออกจากตึก กำลังตั้งท่าจะข้ามถนนไปยังลานอีกฝาก อยู่ๆ ซีดานปริศนาก็จอดเอี๊ยดกลางทางม้าลาย บีบแตรสองทีเรียกคนรู้จัก แล้วเลื่อนกระจกลงมาทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแบบไร้จิตสำนึกต่อรถคันหลังอย่างสิ้นเชิง



“คุณศานนท์...” ตุลย์กรอกตา ไม่รู้จะสรรหาอะไรมาใช้ด่ามารยาทการจอดรถที่เข้าขั้นติดลบ



คนแบบนี้สอบใบขับขี่ผ่านได้ยังไง?



“ขึ้นมาเร็ว รถติดอยู่นะ”



“ไปหาที่จอดสิครับ”



“ไม่ล่ะ เสียเวลา”



พูดไม่ทันจบเสียงบีบแตรจากคันหลังก็ลั่นเต็มสองหู



“มาสิ ฉันไปส่ง” ศานนท์เร่งเร้า รักษาความนิ่งได้อย่างน่าโมโหแม้จะถูกด่าพ่อล่อแม่อยู่แว่วๆ



ตุลย์ประเมินอยู่ครู่ ก่อนเดินอ้อมไปเปิดประตูและสอดตัวเข้าไปนั่งข้างคนขับ ยังไงเขาก็มีเรื่องข้องใจอยากถามศานนท์อยู่แล้ว การพูดคุยเล็กๆ น้อยๆ แค่ครั้งเดียวคงไม่เป็นปัญหา



“เรียนวันนี้เป็นยังไงบ้าง?” เอ่ยถามหลังขับออกมาสักพัก



 “คุณจะไม่กลับไปที่คลับอีกแล้วเหรอ?”



“อื้ม... ใช่” ศานนท์ตอบเหมือนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ



“งั้นคุณก็ไม่ควรตามหาผมอีก”



“ทำไมล่ะ?”



“เพราะคุณไม่ใช่ลูกค้าของผม และผมก็ไม่รับงานนอกเหนือจากที่ผ่านคุณธวัตร เรื่องนี้ผมอธิบายให้ฟังชัดเจนแล้วไม่ใช่เหรอ?”




ศานนท์ไม่เกี่ยวข้องกับเขา และไม่มีความจำเป็นต้องมาข้องแวะอีก หากไม่ยืนยันจุดนี้ให้ชัดเจน เขาอาจโดนหางเลขฟรีๆ หากธวัตรรู้เข้า



“แต่ก็ยังไปรับไปส่งเธอได้ไม่ใช่เหรอ?”



“ เขา’ คงไม่ชอบให้คุณทำแบบนั้นแน่”



“ก็จริง”หนุ่มใหญ่ยอมรับอย่างเสียไม่ได้ “ดูเหมือนฉันจะสร้างปัญหาให้เธอสินะ?”



“ใช่... งั้นคุณบอกผมได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น” ตุลย์หันไปมองคู่สนทนา สิ่งที่เขาต้องการรู้มีแค่เรื่องนี้เท่านั้น



รอจนกระทั่งซีดานสีดำลดความเร็วและจอดสนิท พร้อมกับรถอีกหลายคันบนท้องถนนตอนที่ไฟเขียวเปลี่ยนเป็นสีแดง ศานนท์ถึงถอนหายใจเบาๆ



“ฉันคงบอกอะไรเธอไม่ได้มาก... เอาเป็นว่า ฉันกับ ‘เขา’ มีปัญหากัน และมันจบไม่สวยนัก”



ตุลย์พยักหน้า นั่นอธิบายว่าทำไมธวัตรดูไม่สบอารมณ์ในคืนนั้น ส่วนเขาเซ้าซี้มากไปก็แค่พาลโดนลูกหลงไปด้วย



...เอาตัวเองไปเสี่ยง นอกจากไม่ได้คำตอบที่ต้องการแล้ว ยังเจ็บตัวฟรีอีก น่าขันดีแท้ๆ 



“แค่นั้นก็พอแล้วล่ะ...”



ฝนเริ่มลงเม็ดบางๆ ละอองใสเกาะกระจกดูระยิบระยับ ศานนท์เปิดที่ปัดน้ำฝนทีหนึ่งก็ได้ยินเสียงยางเสียดกระจกเบาๆ ดังเอี๊ยด ก่อนที่ละอองน้ำจะถูกปัดทิ้งไปด้านข้าง รวมตัวกันไหลลงมาตามขอบกระจก



“คุณจะพาผมไปไหน” ออกอาการหวาดระแวงนิดหน่อยเมื่อจู่ๆ หนุ่มใหญ่ก็หักรถเลี้ยวไปตามทางที่ไม่คุ้นนัก “ทางนี้ไม่ใช่ทางไปคลับ มัน...”



...อ้อม??



“รถติดจะตายชัก เลี่ยงหน่อยคงไม่เป็นไรใช่ไหม?” ฝ่ายนั้นมองเขาสลับกับถนนเหมือนจะขอความเห็น



“มันอ้อมเป็นกิโลๆ ไม่ใช่เหรอ?” ตุลย์เลิ่กลั่ก ก่อนจะกรอกตาเมื่อศานนท์หลุดยิ้ม “ถ้าบ้านคุณเรียกสามกิโลว่า  ‘นิดหน่อย’ ก็น่าจะขายรถทิ้งแล้วเดินเอานะ”



 “เอาน่าๆ สัญญาว่าฉันไม่พาเธอไปทิ้งไว้ข้างทางที่ไหนหรอก จะนอนก็ได้ ใกล้ถึงแล้วฉันจะปลุก”



ว่าแล้วก็เอื้อมมือไปเปิดวิทยุฟังเพลงสากลสบายๆ


ตลอดเวลาที่รู้จักกัน ศานนท์ไม่เคยทำอะไรจาบจ้วงหรือพูดจาหยาบคายกับเขา แต่เหตุการณ์คืนนั้นที่จู่ๆ สั่งให้ถอดเสื้อผ้าต่อหน้าก็นับว่าบั่นทอนความรู้สึกไปมาก ถึงมารู้ทีหลังว่าทำเพื่อทดสอบแต่บทเรียนครั้งนั้นทำให้เขาไม่อยากไว้วางใจใครจนอาจต้องรู้สึกเหมือนถูกไม้ตีแสกหน้าแบบนั้นอีก



บางทีเขาควรสะบั้นความสัมพันธ์ครึ่งๆ กลางๆ อย่างนี้ให้ขาดเสีย



ตุลย์เอนหลัง เหม่อไปนอกหน้าต่างมองละอองฝนพร่ำและรถยนต์ที่วิ่งสวนไปมา การจราจรแถวนี้ไม่คับคั่งเท่าในย่านตัวเมือง จนบางครั้งรู้สึกเหมือนได้พักจากเรื่องชวนหนักใจ



“นี่ตุลย์....”



“ครับ?”



“ต่อจากนี้ให้ฉันไปรับเธอที่ ’มหาลัยได้ไหม?”




-------------------------
อย่าตบเค้าที่มาเป็นจุด ถถถถถถ
เมลล่าไม่อยากหายไปนานค่ะ กลัวร้างจริงๆ เขียนไว้จบตอนแล้ว แต่ยังไม่ได้ขัดเกลา เวลาขัดแก้เยอะมากๆๆๆ
มาอัพฉลองก่อนไปเรียน ไม่รู้ว่าพอเรียนแล้วจะได้เข้ามาบ่อยขนาดไหน #กระซิกก
.2 มาอย่างช้าสุดไม่เกิน 4 วันค่ะ ให้สัญญา
ขอบคุณที่ยังติดตามค่ะ ดีใจมากที่มาถึงหน้า 2 แล้ว ความสำเร็จแรกเลย อิอิ :hao5:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 3.07.16 {6th Night ไร้ทางสู้ l 6.1 } P.2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 03-07-2016 23:47:01
อ่านไปแล้วลุ้น เรื่องนี้มีพระเอกมั้ยน
น๊อออ~ :hao4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 3.07.16 {6th Night ไร้ทางสู้ l 6.1 } P.2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 04-07-2016 07:32:03
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 3.07.16 {6th Night ไร้ทางสู้ l 6.1 } P.2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: thyme812 ที่ 05-07-2016 23:53:04
 o18
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 3.07.16 {6th Night ไร้ทางสู้ l 6.1 } P.2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Pakeleiei ที่ 06-07-2016 01:27:18
สนุก เราชอบบบบบบ

แต่ว่ามาอัพต่อเลยได้ไหม :katai1:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 3.07.16 {6th Night ไร้ทางสู้ l 6.1 } P.2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: autopilot ที่ 06-07-2016 06:02:34
นายเอกเรื่องนี้รันทดเหลือใจจจเฮ้อออ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 3.07.16 {6th Night ไร้ทางสู้ l 6.1 } P.2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 06-07-2016 09:22:28
สงสารนายเอกเรื่องยี้ อ่านแล้วอึดอัดแทน
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 8.07.16 {6th Night ไร้ทางสู้ l 100% } P.2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 08-07-2016 18:40:23
[ต่อ 6.2]



จนแล้วจนเล่าเขาก็ไม่เด็ดขาดพอ...



“คุณส่งผมแค่ตรงนี้เถอะ”



ตุลย์บอกเจ้าของรถตอนที่ซีดานวิ่งชะลอความเร็วเข้ามายังตรอกปลอดคนแห่งหนึ่ง



หลังวันที่ศานนท์เสนอตัวไปรับถึงหน้ามหาวิทยาลัย หนุ่มใหญ่จะมาส่งเขาในตรอกซึ่งห่างจากคลับพอสมควรทุกครั้ง เพราะความคนไม่พลุกพล่านมันจึงปลอดหูตาปลอดตาคนของธวัตร



เอาเข้าจริงมหาลัยเขาอยู่ห่างจากที่นี่แค่สองมุมถนน ไม่ได้จัดว่าไกลสักนิด แต่ที่ช้าและเสียเวลาเพราะศานนท์ดันพาอ้อมเป็นกิโลๆ ยิ่งวันไหนเบื่อหรือครึ้มอกครึ้มใจอะไรมาก็จะขับออกนอกเส้นทางเป็นชั่วโมงๆ กว่าจะวกกลับมาส่งที่ประจำ



วันนี้ฝนตกหนัก จราจรติดขัดหนาแน่นเต็มท้องถนน กว่าพวกเขาจะมาถึงตรอกก็กินเวลาปาไปฟ้ามืด ตุลย์ลงจากรถ เดินเลาะไปตามชายคาทั้งที่ฝนยังตก ถนนที่มีน้ำขังชวนให้รู้สึกเฉอะแฉะไปด้วย



“ตุลย์!” จู่ๆ หนุ่มใหญ่ก็เปิดกระจก ยื่นแท่งอะไรสักอย่างให้ “เอาร่มติดมือไปด้วย เดี๋ยวเธอก็เป็นหวัดแย่”



ตอนที่ร่มมานิ้วมือของศานนท์ลอบสัมผัสเบาๆ ตรงกลางฝ่ามือเขา ทำเอาชักมือกลับอย่างเร็ว



“ขอบคุณ” ตุลย์ยิ้มน้อยๆ “...แต่ผมว่าอายุอย่างคุณน่าจะห่วงสุขภาพตัวเองมากกว่า”



โดนตอกกลับแรงๆ แบบไม่ตั้งตัวหนุ่มใหญ่ก็นิ่งอึ้งทั้งที่ถือร่มค้างไว้ในมือ กระทั่งเขาพูดว่า ‘ล้อเล่นครับ’ แล้วหยิบร่มมากางนั่นแหละ ฝ่ายนั้นถึงบอกลาพร้อมรอยยิ้มอีกครั้งแล้วขับรถออกไป



ส่วนเขาก็อดจะขำเบาๆ ไม่ได้



ดูเหมือนเลขอายุจะไม่ใช่เรื่องเล่นๆ สำหรับศานนท์ล่ะสิ...



 พอแยกกับหนุ่มใหญ่ก็ต้องใช้เวลาพักกว่าจะเดินมาถึงไนท์คลับ ฝูงชนยังคึกคักแม้ฝนตกหนัก หน้าคลับก็มีผู้คนเข้าออกไม่ขาด คืนนี้เขาสายกว่าปกติ พอเก็บร่มดินผ่านเข้ามาด้านใน พื้นที่โซนต่างๆ ก็ครึกครื้นไปด้วยกลุ่มลูกค้าแล้ว



“คุณตุลย์”


ถูกการ์ดคนหนึ่งเรียกไว้ตอนกำลังจะเดินไปเก็บของเปลี่ยนเสื้อผ้า อาจเพราะปกติเขาใกล้ชิดกับธวัตร คำพูดคำจาจึงค่อนข้างให้เกียรติเป็นพิเศษ



“ครับ?”



“คุณธวัตรรออยู่ที่ ‘ห้องทำงาน’ เขาอยากพบคุณ”



“ครับ เอาไว้หลังรับแขกเสร็จ ผมจะไป”



“ไม่ได้ครับ เขาอยากพบคุณทันที” ชายร่างใหญ่ย้ำทุกคำชัดเจน


และเมื่อไม่มีทางอื่นตุลย์ก็แค่ตอบตกลง



เรื่องวิวาทเมื่อคราวก่อนเป็นเหมือนชนักติดหลังที่ทำให้เขาไม่อยากเจอหน้าธวัตร พอถูกเรียกตัวแบบเฉพาะเจาะจงเป็นพิเศษก็ยิ่งประหม่า



ธวัตรไม่ใช่คนจุกจิก ชายหนุ่มไม่เรียกเขาเข้าไปด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เว้นเสียแต่มันสร้างผลกระทบบางอย่างให้ธวัตร หรือไนท์คลับที่เจ้าตัวทุ่มเทสร้างมากับมือ



ซึ่งไม่เคยเป็นเรื่องดี...   



ตุลย์สาวเท้าขึ้นบรรไดมาชั้นบน ส่วนที่แยกออกมาจากโซนวีไอพี คือฝั่งที่พักอันประกอบด้วยห้องชุดหลากหลายราคา สร้างให้ดูคล้ายกับโรมแรม โถงทางเดินตกแต่งอย่างเรียบหรูด้วยเครื่องแก้วและเซรามิก เช่น โหล หรือแจกันลายวิจิตร แซมด้วยไม้ประดับเป็นระยะ ใช้แค่คอมมอนเซนส์ก็น่าจะรู้ว่าพื้นที่นี้มีไว้ใช้สอยอะไร



ส่วนห้องของธวัตรอยู่สุดปลายทาง ค่อนข้างเป็นส่วนตัว มักจะถูกใช้ทำงานเอกสารหรือพักผ่อนบางคืน ตุลย์สูดหายใจลึก รู้สึกหวั่นๆ กับการเผชิญหน้าสองต่อสองอย่างอดไม่ได้ แต่สุดท้ายเขาก็รวบรวมความกล้า เคาะประตูแล้วผลักเข้าไป



“แผลหายดีแล้วสิ?”



 แค่ย่างเท้าเข้ามาก็ถูกจู่โจมด้วยคำถาม ธวัตรนิ่งเอกขเนกอยู่บนโซฟา วางโทรศัพท์ที่หยิบมาเล่นฆ่าเวลารอเขา



ตุลย์เผลอลูบคอโดยไม่ตั้งใจ ที่จริงมันยังเหลือรอยม่วงริ้วๆ อยู่บ้าง แต่บีให้เขาใช้เครื่องสำอางพรางไว้จะได้ไม่สะดุดตาคน



“นั่งก่อนสิ”



“ไม่เป็นไรครับ อีกเดี๋ยวผมจะไปรับแขก”



“นั่งสิ” ร่างสูงย้ำ “ฉันมีเรื่องอยากคุยกับนายนิดหน่อย”



เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นก็ได้แต่นั่งลงตรงข้าม เขาไม่อยากเหยียบห้องนี้นานนักจึงพยายามกระชับบทสนทนาให้สั้นกระทัดรัดที่สุด



“นายไม่ทำตามที่ฉันสั่ง รู้ไหม?”



“เรื่องอะไรครับ” เขาตีหน้าซื่อ หากไม่กระโตกกระตาก ธวัตรก็จับโกหกได้ยาก “ถ้าคืนนั้นผมไปทำอะไรให้คุณไม่ชอบใจอีก ผมขอโทษ”



จู่ๆ ธวัตรก็ลุกยืนขึ้นเต็มความสูง เดินอ้อมมาด้านหลังเก้าอี้เขา ก่อนทาบมือบนไหปลาร้าซึ่งใกล้กับคอ ทำเอาสะดุ้งโหยงขืนตัวกลับเร็วจนมือข้างนั้นเลื่อนหลุดไป



“ศานนท์ยังมาวอแวกับนายอยู่หรือเปล่า” ชายหนุ่มจ้องตาเขาตอนที่ถาม



ตราบใดที่ยังมาทำงานตรงเวลาและอยู่รับเงินทุกครั้ง เรื่องที่เขายังติดต่อกับศานนท์ก็ถูกซ่อนไว้ใต้พรมอย่างมิดชิด ทุกครั้งหนุ่มใหญ่จะส่งเขาในตรอกที่ไกลพอสมควร ไม่มีทางที่กลิ่นทะแม่งๆ จะหลุดไปถึงจมูกธวัตรจนเรื่องแดง ยิ่งถ้าอีกฝ่ายไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่



ถ้าหากนี่เป็นแผนลองใจ ก็บอกได้เลยว่าประเมินเขาผิดถนัด!



“ก็ยังมีบ้าง แต่ผมเลิกติดต่อกับเขาแล้ว”



“งั้นช่วยอธิบายให้ฉันฟังว่านี่คืออะไร?” พอซองกระดาษถูกโยนแปะบนโต๊ะหน้าเขา รูปด้านในก็ไหลออกมา



“.......”



ตุลย์หน้าเสียตอนที่เห็นว่ามันคือ ปึกรูปตอนเขากำลังขึ้นรถไปกับศานนท์ ภาพถูกถ่ายรัวเป็นช็อตๆ ในอิริยาบถที่เปลี่ยนไปทีละเล็กน้อย หากเอามาเรียงต่อกันคงคล้ายภาพเคลื่อนไหว



ธวัตรชูรูปสองใบเปรียบเทียบ มันถูกถ่ายในสถานที่ต่างกัน ต่างวันเวลา ที่สำคัญคือเห็นใบหน้าคนใบภาพชัดเจน



“ไม่ใช่ครั้งเดียวด้วยนี่...” ธวัตรยิ้มเหี้ยม



 “คืนนั้นนายออกอาการจนหน้าสงสัย ฉันก็เลยให้คนตามสืบดู ถึงได้รู้ว่านายทำอะไรใต้จมูกฉันบ้าง ชอบมันมากเหรอ ถึงได้ยอมแหกกฏไปไหนมาไหนกับมันทั้งที่ฉันไม่อนุญาติ?”



สำหรับคนที่ขลุกอยู่แต่ในมุมมืด ไร้อิสระ และถูก ‘ตีค่า’ ด้วย ‘เงินตรา’ พอถูกใครทำดีเข้าหน่อยก็ย่อมต้องอยากไขว่คว้าแสงสว่างนั้นเอาไว้เป็นธรรมดา



“.......”



“อย่าเงียบใส่ฉัน!” ฝ่ายนั้นตวาดอย่างเหลืออด ก่อนจะคว้าคอเสื้อ



ตุลย์นิ่วหน้าเพราะยังเจ็บแผล ได้แต่ยึดข้อมือที่แข็งแกร่งเหมือนคีมเหล็กไว้เป็นปราการด่านสุดท้ายก่อนถึงตัว ธวัตรมีหลักฐานตำตา ต่อให้เขากุเรื่อง เล่าอะไรไปก็ไร้ประโยชน์



“ตอบ!”



แรงกระชากที่ปกเสื้อทำให้ตุลย์แหงนหน้ามองธวัตร แววตาเกรี้ยวกราดจ้องทะลุทะลวงจนเขาเสหลบอย่างหวาดๆ แค่ปราดเดียวเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ดี...



ว่าหากคิดเล่นไม่ซื่อเป็นครั้งที่สอง จะไม่มีโอกาสสำหรับแก้ตัวเหลืออีก



 “ครั้งนี้ผมผิดเอง จะไม่มีครั้งหน้า...”



“คิดว่าพูดแค่นี้เรื่องจะจบง่ายๆ หรือไง” มือหนาขยุ้มเสื้อแน่นขึ้นอีก



“ผมขอโทษ ครั้งต่อไปจะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก ผมให้สัญญา”



“แน่ใจ?” ธวัตรจ้องหน้าเขา ประเมินความจริงในแววตา ก่อนปล่อยมือจากเสื้อเมื่อไม่พบคำโกหกเสแสร้ง “กลับไปทำงานซะ”



ถูกไล่ ตุลย์ไม่คิดจะเหยียบห้องนี้ต่อสักวินาทีเดียว เพราะยิ่งอยู่นานก็ยิ่งเป็นอันตรายต่อตนเอง เขาสาวเท้าเร็วๆ กลับออกไปทางประตู



“เดี๋ยว”



ตุลย์เม้มปาก หยุดฝีเท้าโดยไม่มองย้อนกลับไป



“วันอาทิตย์นี้ ที่โรงแรม A ไปที่ห้อง 4XX” ธวัตรเว้นหายใจ “ ‘เด็กพวกนั้น’ เป็นแขกของนาย”


ในที่สุดก็ได้คำตอบสำหรับสิ่งที่เขาพะวักพะวงมาเป็นสัปดาห์ ...ซึ่งก็คือ ‘ไม่’ ไม่มีสัญญาอะไรทั้งนั้นระหว่างเขากับธวัตร ความพยายามทั้งหมดสูญเปล่า ที่เขาทุ่มเทไปมันเปล่าประโยชน์!



สำหรับ ‘ธวัตร’ คงไม่อะไรสำคัญไปกว่าอิธิพลและเงินทอง นั่นคือโลกทั้งใบของคนๆ นั้น ส่วนเขาเป็นแค่ ‘หมาก’ ตัวหนึ่งบนเกมที่ชื่อว่าธุรกิจ ถูกใช้เพียงเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ให้ผู้เล่นอย่างธวัตร ตราบที่กำไรคุ้มค่าความเสี่ยง เขาจะเป็นหรือตายไม่สำคัญสักนิด!



ตุลย์กัดฟันกรอด พอเดินออกจากห้อง มือที่กำแน่นก็ทุบกำแพงระบายสิ่งที่อัดอั้นกักเก็บไว้ภายใน



สิ่งที่เกิดขึ้นมันทำให้รู้ว่าที่จริงเขาไร้ทางสู้แค่ไหน ธวัตรมีทุกอย่างที่ต้องใช้เพื่อควบคุมเขา ในขณะที่เขาไร้อำนาจแม้กระทั่งเปลี่ยนชะตาชีวิตตัวเอง หลงคิดว่าตัวเองมีอำนาจพอจะต่อรองสร้างเงื่อนไข แต่สุดท้ายก็แค่ลูกไก่ในกำมืออีกฝ่ายเท่านั้น!



-----------------------


“หิวน้ำรึไงวะ”



เก้าขมวดคิ้วเป็นปมหลังจากมองเพื่อนซัดเหล้าเอือกๆ เหมือนกระหายตายอดตายอยากมาจากไหน พอถามอะไรตอบสั้นๆ



“หยุดกินได้แล้วมั้ง ซัดเป็นน้ำเปล่าขนาดนี้เดี๋ยวคืนนี้ก็ได้ไปนอนข้างถนน”



“........”



“ถ้าจะตายก็บอกล่วงหน้าก่อนนะเว้ย จะได้เตรียมของชำร่วยไว้เผื่อเหลือเผื่อขาด” บาร์เทนเดอร์หนุ่มเอานิ้วจิ้มๆ คนที่นั่งหน้าแดง เงียบเป็นเป่าสาก เห็นหน้าเพื่อนไม่สู้ดีก็อดถามไม่ได้ “เครียดอะไรมาหรือเปล่าวะ หมู่นี้เอ็งดูไม่ค่อยแฮปปี้ดี้ด้า หรือเพราะไม่ได้เจอพี่บีเลยเหงา?”



ตุลย์ส่ายหน้า “หมู่นี้นายมือตก ชงเหล้าไม่อร่อยก็เลยไม่แฮปปี้”



“ห๊ะ?” เก้ารีบหยิบแก้วเขาไม่ยกซดทันที “ก็ปกตินี่หว่า มือตกจริงเหรอวะ!?”



เขาแกล้งหัวเราะ ยกยิ้มเสแสร้งที่ฝึกมานานจนดูจริงใจ



เก้าเป็นคนเดียวที่ยุ่งเกี่ยวกับมุมมืดของที่นี่น้อยที่สุด มุมมองของฝ่ายนั้นบางครั้งจึงอาจเรียกได้ว่าอ่อนต่อโลกไปมาก ซึ่งเขาและบีเห็นตรงกันว่าควรให้เป็นแอย่างนั้นต่อไป



อยู่ที่นี่ ยิ่งรู้ตื้นลึกหน้าบางน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น



ตุลย์จัดการส่งเหล้าแก้วสุดท้ายลงท้องเสร็จก็ขอตัวกับเพื่อน เก้าบอกลาเขาเหมือนปกติด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนเป็นแค่คืนวันอาทิตย์ในสัปดาห์ที่แสนรื่นเริงอีกคืนหนึ่ง แล้วกลับไปบริการลูกค้าอย่างยิ้มแย้ม



หมอนั่นดูมีความสุขจนหน้าอิจฉา...



พอออกจากไนท์คลับตุลย์ก็เรียกแท็กซี่ไปยังโรงแรม A เดินผ่านล็อบบี้แล้วตรงขึ้นลิฟท์ไปยังชั้นสี่ตามที่ได้หมายเลขห้องมาจากคนๆ นั้น ทุกย่างก้าวหนักอึ้งเหมือนถูกหินถ่วง ปลายทางคือประตูเรียบๆ บานหนึ่งที่ไม่อาจคาดเดาว่ามีอะไรอยู่เบื้องหลัง ตุลย์มองเลขห้อง เช็คอยู่เกือบนาทีจนแน่ใจถึงเคาะมัน



ก๊อกๆๆ



ประตูเปิดออกแทบในทันทีที่สิ้นเสียง เบื้องหลังบานไม้คือหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน เค้าโครงหน้าที่จัดว่าดูดีกับสายตาที่ประเมินเขาราวกับสิ่งของนั่น ไม่มีทางที่เขาจะลืมเมื่อเห็นกันแทบทุกวัน



โลกแห่งความจริงไม่มีปาฏิหารย์ ไม่ว่าวิงวอนร้องขอยังไงก็ตาม เรื่องนั้นเขารู้ดี...



“กำลังรออยู่พอดี ...ตุลย์”



พูดพร้อมเสียงหัวเราะในคอ ก่อนคนที่สวมเพียงเสื้อคลุมอาบน้ำจะกระชากแขนเขาเข้าไปด้านใน


“ต้องจองล่วงหน้าตั้งนานกว่าจะได้คิว นานจนฉันแทบหมดความอดทนแหนะ”



ตุลย์เซแซดๆ ตามแรงลากถูไปที่เตียง เสียงประตูปิดทำให้เขาหันกลับไปมองก่อนจะพบว่ามี ‘แขก’ อีกสองคนอยู่ด้านหลัง



แค่นั้นหัวใจก็เต้นผิดจังหวะ



เห็นแววตาหวาดหวั่น เจ้าของห้องก็ถามเย้ย “เพื่อนฉันเอง... คงไม่มากไปหรอกใช่ไหม รับแขกออกจะบ่อยไม่ใช่เหรอ?”


แรงผลักทำให้เขาหงายหลังลงบนเตียง ตามด้วยเจ้าของประโยคที่ขึ้นมาคร่อม พลางปลดผ้าคาดเอวที่ผูกไว้หมิ่นเหม่ 



“เดี๋ยวก่อน!”



ตุลย์ดันไหล่คนที่พยายามจู่โจมด้วยการถอดเสื้อผ้าเขา สอดสายตาไปรอบๆ หาทางถ่วงเวลาด้วยอะไรสักอย่าง แต่จู่ๆ แขนสองข้างก็ถูกจับยึดไว้กับเตียงด้วยแรงของใครบางคน ตุลย์ขืนตัวให้หลุดจากพันธนาการอย่างยากลำบาก



“อย่าดื้อน่า...!”


เสียงที่ต่างไปกระซิบข้างหู รวบแขนแล้วกดไว้อีกครั้งด้วยน้ำหนักที่มากกว่าเดิม ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ชายหนุ่มอีกคนอ้อมมาข้างหลังเขา เหลือแค่คนเดียวที่ยืนกอดอกพิงโซฟามองมาอย่างเพลิดเพลินเหมือนดูละคร



“ถ้าทำตัวดี สัญญาว่าผลัดกันทีละคน...”



ดูเหมือนบางคนคงหมดความอดทนกับการแกะกระตุมเสื้อเขา ถึงเปลี่ยนมากระชากกางเกงโยนทิ้งไปอีกทาง ก่อนใช้มือลูบสะโพก บีบบั้นท้ายและต้นขาด้านในอย่างหยาบโลน คนด้านบนโยนเสื้อคลุมทิ้ง ปากก็ฉีกถุงยาง แล้วแยกขาเขา



“เอ้อ เมื่อกี้ที่ว่าทีละคนน่ะ ล้อเล่นนะ”


กระตุกยิ้มเหมือนสะใจเมื่อเขาเบิกตากว้าง แทนที่ด้วยเสียงครางต่ำๆ  ตอนที่ถูกรั้งขึ้นให้แก่นกายของคนด้านบนชำแหลกเข้ามาทีเดียวสุดทางโดยที่ขัดขืนอะไรไม่ได้เลย



-----------------------------
มีใครสงสัยไหมคะ ว่าทำไมไม่เข้าธีมเด็กเสี่ยซะที ฮาาาา
เรื่องในสามเดือนนี้มีผลกับการตัดสินใจในอนาคตของหนูตุลย์และเนื้อเรื่องที่เหลือมากๆๆ เพราะสามเดือนที่อยู่กับธวัตรเปลี่ยนตัวตนนางไปมากกก #จะเล่าในตอนพิเศษที่ 8
เมลล่าไม่อยากเขียนแบบยกเมฆ เลยค่อยๆ ปูพื้น เบื่อกันหรือเปล่า ถถถ #ยกโทษให้มือใหม่ด้วย #แต่จริงๆ เรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรมากนะคะ #ค่อนข้างใส #อันนี้พูดจริงๆเพราะมีดราม่าน้อยมากส่วนใหญ่จะทึมๆ
ตอนหน้าทึมกว่าเก่านิดเนอะ แต่ก็ฟ้าหลังฝนค่ะ เดี๋ยวลั้นล้ากว่าเดิม ขอบคุณนักอ่านที่ติดตามกันค่า ^-^
ช้าหน่อยเก๊าขอโต๊ด เค้ามันกลับกรอกเอง ฮรืออออ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 8.07.16 {6th Night ไร้ทางสู้ l 100% } P.2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 08-07-2016 19:40:59
จะมีเสี่ยขับรถหรูมาช่วยตุลย?ใช่มั้ยคะ :mew2:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 8.07.16 {6th Night ไร้ทางสู้ l 100% } P.2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 08-07-2016 20:21:09
 :hao5: :hao5:


สงสารอ่ะ  เมื่อไหร่จะมีเสี่ยเลี้ยง มีเสี่ยมาจัดกาเรื่องแบบนี้ให้ งื้ออออ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 20.07.16 {7th Night 'เสี่ย' l 7.1 } P.2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 20-07-2016 19:18:40
7th Night
‘เสี่ย’



7.1

ใครบางคนที่เป็นภาพสะท้อนในกระจกกำลังถอดเสื้อเชิ้ตออก รอยจ้ำแดงๆ ปรากฏให้เห็นทั่วคอ ลามมายังลาดไหล่และไหปลาร้า พอเอี้ยวตัวจึงได้เห็นว่ามันไม่หยุดแค่นั้น แต่กระจายทั่วแผ่นหลังสลับกับแผลฟันกัดซึ่งบางจุดที่เลือดซึมก็แห้งเป้รสะเก็ดสีน้ำตาลเข้ม คนอีกฝากกระจกจ้องตาเขา ก่อนจะระบายลมหายใจหนักๆ เผินหน้าหนีเหมือนไม่อยากเห็นภาพนั้นต่อสักวินาที


“ถ้าพยศดีนักก็จับไปมันไปขึงไว้กับเตียงสิวะ เดี๋ยวก็รู้ว่าจะแรงดีไปได้อีกกี่ยก”


น้ำเสียง และการกระทำ... มันวนเวียนอยู่ในหัวราวกับฝันร้ายทุกครั้งที่อยู่ตามลำพัง


ตุลย์เปิดฟักบัว น้ำเย็นๆ ไหล่ชโลมทั่วเรือนร่างที่เต็มไปด้วยรอยแผล


มันจะเกิดขึ้นอีก...


ตราบใดที่พวกนั้นยังจ่ายหนัก เขาจะตกเป็นเหยื่ออีกครั้งแล้วครั้งเล่า


ตุลย์แหงนมองฝักบัว ความเย็นเคลื่อนผ่านใบหน้าลงมาตามคอและลำตัว สิ้นสุดที่ปลายเท้า พร้อมทั้งร่างที่ทิ้งตัวนั่งพิงกำแพงบนพื้นกระเบื้องเย็นเชียบ


ครั้งนี้เขาเหนื่อยจริงๆ มันเกินกว่าจะรับไหวโดยไม่รู้สึกอะไร...


ชั่วชีวิตเขาล้มลุกคุกคลานไม่รู้กี่สิบครั้ง แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่หัวใจชินกับความเจ็บปวด กลับกันยิ่งเหมือนแผลเก่าถูกมีดกรีดซ้ำ ทิ้งร่องลึกโทรมเลือดไว้ดูต่างหน้า
   

แค่อยากให้ความรู้สึกแบบนี้มันหยุดเสียที...


เป็นเรื่องไร้สาระที่ภาวนา แทนที่จะลงมือทำ แต่บางครั้งมนุษย์ตัวคนเดียว ลำพังก็ไม่แข็งแรงพอจะแบกโลกทั้งใบไว้บนบ่า ลึกๆ แม้แต่เขาก็หวังให้มีปาฏิหารย์เหมือนที่จดจ่ออรอสุริยันต์มาเยือนขอบฟ้า ทอแสงแรงผ่านม่านราตรี


แค่ละอองแสงรำไรก็ยังดี...


ความคิดที่เตลิดเปิดเปิงทำให้เขานั่งนิ่งอยู่บนพื้นร่วมชั่วโมง กระทั่งหนาวจนริมฝีปากสั่น ตุลย์จึงลุกขึ้นปิดผักบัว เช็ดตัวให้แห้ง สวมเสื้อผ้าที่ใส่สบาย แล้วออกมาเปิดทีวีตรงปลายเตียงทิ้งไว้แทนความเงียบ


ถึงอพาร์ทเม้นท์จะไม่ใช่ของเขา แต่ก็ใกล้เคียงกับคำว่า ‘บ้าน’ ที่สุดในตอนนี้


ตุลย์หยิบไวน์จากตู้เย็น เปิดฝาแล้วกระดกพรวด รสชาติฝาดร้อนแบบแอลกอฮอล์คงกลิ่นอายของผลไม้อบอวลในโพรงปาก ก่อนจะทิ้งตัวนั่งเหม่อปลายเตียง


“กลืนลงไป”


ใครบางคนสั่งพร้อมบีบคาง บังคับให้กลืนทั้งที่ยังมีบางสิ่งอยู่ในปาก “ว่าง่ายๆ เหมือนครั้งแรกก็เป็น หมดแรงพยศแล้วล่ะสิ”


“ขนาดนี้ก็สมควรอยู่หรอกว่ะ” เจ้าของเสียงหัวเราะ เรียกสติเขาด้วยการตบหน้าเขาสองที “เฮ้ย อย่าพึ่งหลับสิ ยังไม่หนำใจเลย”



ตุลย์สลัดหัว กระดกไวน์เข้าปาก หวังให้แอลกอฮอล์ช่วยสมองลืมสิ่งที่เกิดขึ้นเสีย ทุกคืนเขาไม่อาจนอนหลับสนิทโดยไม่มีไวน์สักขวด แต่สำหรับคืนนี้ต่อให้มีก็น่ากลัวว่าจะข่มตาหลับไม่ลง ในเมื่อทุกครั้งที่มองเข้าไปในความมืดยังเห็นภาพเดิมๆ ฉายซ้ำไปมา


หัวที่เริ่มมึนงงจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้เขาไม่รู้สึกอะไรนอกจาก ‘อยากนอน’ พอล้มตัวบนเตียง เปลือกตาก็ปิดลง พร้อมสติที่ลอยฟุ้งไปในอากาศ


เขาฝันว่าอยู่กลางวงล้อมของคนมากมาย บางคนรู้จักในขณะที่บางคนไม่ ใบหน้าเหล่านั้นแสดงอารมณ์หลากหลายแตกต่างกัน ตั้งแต่โกรธเกรี้ยวไปจนถึงร้องไห้เสียใจ เขาพยายามเงียหูฟังสิ่งที่ผู้คนกำลังพูด


“เธอทำอะไรได้บ้าง?”


“ทำแรงๆ สิ ไม่ต้องไปกลัวมันเจ็บหรอกน่า”


“ฉันไม่เคยมีเพื่อนเป็นอีตัวอย่างแก!”
   


จากหนึ่งเสียงกลายเป็นสอง จากสองเป็นสาม...


“โอ้ย! ให้ตายเหอะ เดินดูทางบ้างไหมเนี่ย หรือดีแต่อ่อยแขกไปวันๆ!”


“เธอทำแบบนี้บ่อยเหรอ? ...ก็ชวนแขกคุย นั่งเป็นเพื่อน รินเหล้าให้ดื่ม”


“ปากดี!”


“แกมันอยู่ผิดที่ผิดทางเอง ไม่รู้จักเจียมตัว!”



จนสุดท้ายมันก็ตีกันมั่วฟังไม่ได้ศัพท์ แล้วทันใดนั้นแขนก็ถูกกระชากจนร่างเซล้มลงบนพื้น ตุลย์เหลียวหลังมอง เจ้าของมือคือหญิงอายุสามสิบต้นๆ คนหนึ่งที่เขารู้จักดีกว่าใคร


“แม่...”


ไม่รู้ว่าเรียกด้วยน้ำเสียงแบบไหน เธอถึงปั้นยิ้มเหยียด


“สม-น้ำ-หน้า แกมันเนรคุณที่ทิ้งฉันไว้นี่แล้วไปเสวยสุขกับพวกคนรวย แกสมควรโดน!”


เขาส่ายหน้า มันไม่เหมือนที่คิดไว้เลยสักนิด! แต่ตอนอ้าปากแก้ตัว กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดจากลำคอ


เธอมองสภาพเขา ก่อนจะหัวเราะ “ที่เป็นอยู่นี่มันทรมานเหรอ? แล้วแต่ละวันที่แกทิ้งฉันไว้ในสลัมคนเดียว มันทรมานน้อยกว่าแกหรือไง!?”


ตุลย์สะดุ้งเฮือก หัวใจเต้นถี่ระรัว เขากุมหน้าผากเพราะมึนหัวก่อนจะพบว่ามีไข้ เสียงผู้ประกาศข่าวรอบดึกยังคงดังต่อเนื่องจากทีวี เลขนาฬิกาตรงมุมจอบอกว่าเขาหลับไปไม่ถึงชั่วโมง เขาเอี้ยวตัวหยิบรีโมททีวีเพื่อปิดทีวี ก่อนจะรู้สึกร้าวระบมจนต้องขดตัวงอเป็นกุ้ง แค่ขยับนิดเดียวก็เหมือนร่างจะแหลกเสียให้ได้


 เขานอนนิ่งอย่างนั้นเป็นสิบนาที จู่ๆ ก็รู้สึกคลื่นไส้อยากอาเจียนกระทันหัน ลากสังขารลงจากเตียงอย่างทุลักทุเล พอพาตัวเองมาถึงชักโครกก็อาเจียนเอาของเก่าที่กินเมื่อเย็นออกจนหมด


พิษไข้ทำให้เขาหายใจถี่ ศีรษะเวียนตื้อ พอออกแรงมากๆ ก็รู้สึกเหมือนจะหน้ามืดทั้งยืน หากไม่ได้ยาแก้ไข้สักเม็ดคงแย่


ช่วงล่างที่ไม่ค่อยเอื้ออำนวยทำให้ตุลย์เคลื่อนไหวลำบาก กว่าจะพาตัวเองกลับไปนอนบนเตียงก็เล่นเอาหอบ เวียนหัวอยากอาเจียนซ้ำสอง เขาค้นลิ้นชักข้างหัวเตียง แกะยาออกมาเม็ดหนึ่งจากแผง ส่งเข้าปากพร้อมไวน์ที่ดื่มค้างไว้ครึ่งขวด


ยอมเสี่ยงเป็นโรคกระเพาะ ก็ย่อมดีกว่าชักเพราะไข้ขึ้นสูง


ตุลย์เอนหลัง ข่มตาหลับอีกครั้ง คราวนี้เขาพลิกตัวกระสับกระส่าย เดี๋ยวหนาวเดี๋ยวร้อน วูบวาบไปทั้งตัวจนต้องเปลี่ยนมาซุกใต้ผ้านวม กอดตัวเองให้อุ่นขึ้น พอสติจมสู่ภวังค์นิทราก็เริ่มฝันถึงเรื่องเลวร้าย ไม่ถึงชั่วโมงก็สะดุ้งตื่นอีก เป็นอย่างนั้นแทบทั้งคืนกระทั่งฟ้าสาง เห็นแสงแรกของวันใหม่ถึงคลายกังวลและหลับสนิท


-----------------------


ตุลย์กระพริบตาตื่นอีกครั้งเพราะถูกแสงแยง แขนโดนแดดเผาจนแสบ พอหยีตามองไปนอกหน้าต่างเห็นตะวันเด่นกลางหัวถึงรู้ว่าปาไปเกือบเที่ยง รู้สึกวิงเวียนศีรษะอยู่บ้างเพราะยังมีไข้ แต่โดยรวมก็ดีขึ้นมากเทียบกับเมื่อวาน


ตุลย์ไถลตัวลงจากเตียง กระเบื้องใต้ฝ่าเท้าเย็นเชียบผิดกับอุณหภูมิภายนอก ดูเหมือนเขาเพิ่งพลาดคาบเช้าไปหมาดๆ ถ้าโชคดีอาจไปถึงทันคาบบ่าย


หลังอาบน้ำ แต่งตัว และจัดของใส่กระเป๋าลวกๆ เท่าที่พอทำได้ ตุลย์ก็ซัดยาแก้ปวดไปหนึ่งเม็ด แล้วลงจากอพาร์ทเม้นท์ โบกแท็กซี่ไปมหาลัย ตอนบ่ายการจราจรไม่หนาแน่น ชั่วครู่เดียวจึงถึงที่หมาย


ตุลย์ลงจากรถ แดดแรงทำให้รู้สึกเหมือนจะหน้ามืดอยู่รอมร่อ เขาตั้งท่าจะข้ามถนนไปตึกเรียนซึ่งอยู่อีกฝั่ง จู่ๆ แขนข้างหนึ่งก็ถูกดึงไว้ให้หยุด


เขาดึงมือปริศนาทิ้ง ฮึดฮัดติดรำคาญ แล้วต้องแปลกใจเมื่อหันไปมองชัดๆ


“เธอหลบหน้าฉันตลอดตั้งแต่วันนั้น โทรไปก็ติดต่อไม่ได้ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”


ขาดการติดต่อไปเป็นสัปดาห์ๆ แต่ศานนท์ก็ยังอุตส่าห์มาตามหา เขาควรดีใจที่ยังมีใครห่วงใยสวัสดิภาพ หรือเสียใจที่คนๆ นี้กำลังสร้างความยุ่งยากให้ดี...


“ผมเปลี่ยนเบอร์น่ะ ช่วงนี้ใกล้สอบก็เลยยุ่งๆ”


ตั้งแต่คืนนั้น ธวัตรสั่งให้คนจับตาดูเขาอย่างเปิดเผย แต่สายของชายหนุ่มเป็นใคร ซ่อนอยู่ตรงไหน ไม่บอกให้เขารู้ บางทีอาจเป็นใครก็ได้ในบรรดานักศึกษาที่นั่งจับกลุ่มกันใต้ตึก หรือคนนอกที่เดินสวนไปมาตอนนี้


ไม่มีทางเลือกนอกจากแสดงท่าทีชัดแจนและตรงไปตรงมาที่สุด แม้ว่ามันคือ การดับเทียนเล่มสุดท้ายในความมืดก็ตาม...


 “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวไปเรียน”


“เดี๋ยว เธอกำลังหลบหน้าฉัน” หนุ่มใหญ่ดึงตัวเขา ครั้งนี้ทำเอาเซไปพิงรถเพราะหน้ามืด ศานนท์เข้ามาประคอง แต่เขาเบี่ยงตัวหนี


“ระหว่างผมกับคุณ เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องอีกแล้ว พอผมเลิกสนใจคุณก็จบแค่นั้น ทำไมต้องตามหาผมอีกทั้งๆ ที่คุณก็รู้คำตอบของคำถามดี"


“ฉันต้องการคำตอบจริงๆ”


“ผมก็ตอบคุณไปหมดแล้ว” เขาสบตายืนยัน “หรือถ้าคุณอยากได้คำตอบแบบอื่น ผมก็จะพูดให้ตามความสบายใจ ว่ายังไง?”


“ฉันไม่เชื่อว่าอยู่ๆ เธอจะหมดความสนใจดื้อๆ แบบนี้ ทั้งที่เธอพยายามมากมายแค่ให้ได้คุยกับฉัน”


“นั่นเป็น ‘หน้าที่’ ที่ผมต้องทำเพื่อความอยู่รอด ก็เท่านั้น ...ผมต้องเข้าเรียนแล้ว ขอตัว” ว่าจบก็ข้ามถนนมาอีกฝั่ง


 การถกเถียงระหว่างเขากับศานนท์เริ่มหันเหความสนใจของผู้คน จนมีนักศึกษาหลายคนเริ่มจับกลุ่มยืนมุง ซุบซิบกัน


“ตุลย์ คุยกับฉันให้รู้เรื่องก่อน” ศานนท์สาวเท้าตามมาติดๆ แต่ก่อนจะเข้าถึงตัว...


“ถ้าคุณคิดว่าไม่มีใครรู้เห็นเรื่องนี้ ผมอยากให้มองดูรอบๆ ...คุณว่าเท่านี้ผมยังกลายเป็นเรื่องสนุกปากชาวบ้านไม่พออีกเหรอ?”


ได้ผลเมื่ออีกฝ่ายชะงักฝีเท้า สีหน้านิ่งเรียบทำให้ไม่อาจคาดเดามาศานนท์รู้สึกยังไงตอนนี้


“เลิกยุ่งกับผมซะ มันไม่ดีต่อใครทั้งนั้น คุณน่าจะรู้ดี...”


สิ้นประโยค เขาก็เดินหายเข้าไปในตึก พร้อมความรู้สึกผิดที่กัดกินอยู่ในใจ...


ศานนท์ดีกับเขาเสมอ ทุกครั้งที่อยู่ด้วยกันเขาเหมือนได้ตัวตนที่หายไปกลับคืนมา หากสิ่งสุดท้ายที่เขาตอบแทน ไม่ใช่ ‘ขอบคุณ’ กลับเป็นถ้อยคำโหดร้ายต่างๆ นาๆ


ไม่ใช่เพราะอยากทำ แต่ไม่มีทางเลือกต่างหาก... ตราบใดที่เขายังเหลือเยื่อใย ศานนท์จะกลับมาอีก และถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นตอนนี้ เขาคงไม่เข้มแข็งพอที่รับผลการกระทำของตัวเอง...


ชีวิตเขายังต้องเดินต่อไป ต่อให้ไม่เหลือใครสักคนก็ตาม...


-----------------
ชอบแบบสั้นแต่เร็วหรือ ยาวแต่ช้าบอกได้นะคะ
เมลล่ามาอัพ พรุ่งนี้ไปสอบ วันมะรืนก็เรียนปรับพื้นฐาน ฮรือๆๆ
วันนี้อยากถามนักอ่านว่า อยากอ่านตอนพิเศษของธวัตรไหมคะ นางจะเล่าเรื่องตั้งแต่เจอหนูตุลย์ เป็นตอนสุดท้ายของนางละ อิอิ ถ้าไม่อยากจะข้ามไปตอนที่ 8 เลยค่ะ ^-^
>>READ 7.2 'เสี่ย'<< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54053.msg3444092#msg3444092)
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 20.07.16 {7th Night 'เสี่ย' l 7.1 } P.2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 20-07-2016 19:59:54
งื้อออออสงสารอ่ะ


คนเขียนเขียนไรอ่านหมด จัดมาเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 20.07.16 {7th Night 'เสี่ย' l 7.1 } P.2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 20-07-2016 20:07:49
 :mew4: :sad4:. ตุลย์~~~ :hao5:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 20.07.16 {7th Night 'เสี่ย' l 7.1 } P.2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: autopilot ที่ 20-07-2016 21:44:37
โอยยยย อ่านละเกลียด อิเด็กคนร่วมคลาสน้องตุลย์ โอยยยยย
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 20.07.16 {7th Night 'เสี่ย' l 7.1 } P.2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: netich ที่ 20-07-2016 22:24:10
 :hao4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 20.07.16 {7th Night 'เสี่ย' l 7.1 } P.2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 20-07-2016 22:25:13
รู้สึกดราม่าหน่วงในอกอะคือก็รู้แหละว่าขายตัวมันไม่ดีหรอกแต่จำเป็นต้องรังเกียจและซ้ำเติมกันขนาดนี้มั้ยวะไอ่พวกเพื่อนรวมคณะอะ แม่ง อยากลองโดนเองมั้ยว่ามันรู้สึกยังไง เกลียดดด ไอ่ธวัตรก็ด้วยเห็นแก่ตัวมากอะขอให้ใครมาข่มมันคืนบ้างดิจะได้สำนึก
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 20.07.16 {7th Night 'เสี่ย' l 7.1 } P.2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 20-07-2016 23:31:48
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 20.07.16 {7th Night 'เสี่ย' l 7.1 } P.2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: kimkidoy ที่ 21-07-2016 01:09:54
สงสารนายเอกมากกกกกกชีวิตเจอแต่คนเลว

อยากอ่านตอนพิเศษมากกกก พลีสสสสสสสส

ปล.ขอแบบยาวๆจุใจเถอะน้าาาาา :katai4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 20.07.16 {7th Night 'เสี่ย' l 7.1 } P.2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 21-07-2016 02:03:29
น่าสงสารอ่ะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 20.07.16 {7th Night 'เสี่ย' l 7.1 } P.2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: 1amKYN ที่ 21-07-2016 05:23:01
ทีมลุงศาน  :o12:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 20.07.16 {7th Night 'เสี่ย' l 7.1 } P.2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 22-07-2016 18:46:32
ศานนท์จะช่วยตุลย์ไหมอ่ะ  :m15:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 20.07.16 {7th Night 'เสี่ย' l 7.1 } P.2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 22-07-2016 19:20:01
บีบคั้นหัวใจมากค่ะ
สงสารตุลย์  :sad4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 20.07.16 {7th Night 'เสี่ย' l 7.1 } P.2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Soda.wine ที่ 23-07-2016 13:21:15
 :monkeysad: :monkeysad:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 20.07.16 {7th Night 'เสี่ย' l 7.1 } P.2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 24-07-2016 20:14:56
ชีวิตมันโหดร้ายนะ

อยากอ่านในมุมธวัตรบ้าง นางจะได้หายไปเร็ว ๆ  :laugh:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 20.07.16 {7th Night 'เสี่ย' l 7.1 } P.2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: lightseeker ที่ 30-07-2016 22:23:11
เนื้อเรื่องหม่นๆ แต่เล่าออกมาให้ไม่เครียดมาก เราชอบสำนวนการเขียนของคุณคนแต่งมากเลยค่ะ อ่านชวนติดตามมาก
สงสารตุลย์ทุกตอน รอวันที่จะมีชีวิตที่ดีกับเขาบ้าง  :sad4: พระเอกปรากฎตัวออกมาแล้วยัง หรือจะเป็นคุณศานนจริงๆ
มาอัพบ่อยอีกนะคะจะรออ่านค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 20.07.16 {7th Night 'เสี่ย' l 7.1 } P.2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: kimkidoy ที่ 31-07-2016 13:13:29
มารอตุลย์กับเสี่ยศานค้าบบบยยยบ  :katai4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 09.08.16 {7th Night 'เสี่ย' l 7.2 } P.2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 09-08-2016 17:22:23
[ต่อ]
7.2


ศานนท์เคารพการตัดสินใจของเขา หลังจากเรื่องวันนั้น หนุ่มใหญ่ก็หายไปจากสารระบบ ส่วนตุลย์ก็กลับมาใช้ชีวิตแบบเดิม วนเวียนอยู่กับสิ่งเดิมๆ เหมือนก่อนที่จะพบกัน


ไม่รู้อะไรดลใจ วันนี้ตุลย์จึงออกมาเดินตลาดกลางคืนหลังเลิกเรียนแทนที่จะตรงเข้าคลับเหมือนทุกวัน รอจนตะวันตกดิน บรรดาร้านค้าก็ออกมาตั้งเต็มสองข้างทาง ทุกร้านแน่นคน ถนนที่ว่ากว้างจึงดูแคบลงถนัดตาเทียบกับปริมาณฝูงชน ดูคึกคักมีสีสันไม่น้อย


ระหว่างทางเขาแวะซื้อขนมเผือกเส้นถุงหนึ่ง รสชาติหวานๆ มันๆ เป็นอะไรที่ถูกปากอย่างไม่ได้กินมานาน


ทุกวันนี้ชีวิตราบรื่นดี... ทุกอย่างกลับสู่ครรลองของมันเหมือนก่อนที่ศานนท์จะเข้ามาพัวพันในชีวิต



ทั้งที่ควรพอใจที่ปลอดภัย แต่ลึกๆ เขารู้สึกเหนื่อยหน่ายเพิ่มขึ้นทุกที ... เหนื่อยที่จะต้องหายใจทิ้งไปวันๆ ใต้ชะตาที่คนอื่นกำหนดให้โดยไม่อาจคัดค้านอะไร


นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมเขาถึงเลือกทำตามใจตัวเองในคืนนี้


ที่นี่... เขามองเห็นสีสันแห่งชีวิต เห็นอิสระเล็กๆ ในกรอบชีวิตที่เร่งรีบวุ่นวายราวกับได้ย้อนกลับไปเป็นตัวเองก่อนที่ธวัตรจะเข้ามาพลิกทุกอย่างเป็นหลังมือ


แค่สามเดือน แต่เรื่องราวมากมายที่ผ่านเข้ามาทำให้รู้สึกยาวนานเป็นปี จนเกือบลืมไปแล้วว่าเมื่อก่อนเขาชอบความรู้สึกนี้แค่ไหน ที่ได้มองค่ำคืน... แสงสี... และผู้คน


ความรู้สึกที่ราวกับเป็นอิสระจากโซ่ตรวนทุกอย่างแม้เพียงช่วงเวลาสั้นๆ


ตุลย์มัวเอ้อระเหยอยู่นาน คืนนั้นจึงกลับดึกกว่าทุกครั้ง พอเข้าคลับมาถึงพบธวัตรนั่งไขว่ห้างสูบบุหรี่รออยู่ตรงล็อบบี้ก่อนแล้ว แค่เห็นหน้าก็ถูกยิงคำถามใส่


“ไปไหนมา”


“ผมขอโทษที่มาช้า คืนนี้รถติด”


“งั้นเหรอ?”


“.......” ตุลย์พยักหน้า เดินเลี่ยงเข้าไปด้านใน


“เดี๋ยวก่อนจะรีบไปไหน?”


“รับแขก...”


ถึงเกลียดงานนี้ แต่เขาก็มีความรับผิดชอบมากพอ


“ไม่ต้อง ไปเก็บของซะ”


ประโยคนั้นเล่นเอาตุลย์ชะงักฝีเท้า “...ทำไม? คุณ...ไล่ผมออก?”


เขาควรรู้สึกดีใจที่ได้เป็นอิสระ แต่อะไรบางอย่างกลับบอกว่ามันจะไม่จบง่ายๆ และสิ่งต่อมาก็เหมือนประกาศิตยืนยัน


“นายถูกขายแล้ว”


ราวกับถูกค้อนปอนฟาดลงกลางกระหม่อม สมองมึนตื้อจมจ่ออยู่ในภวังค์ ความคิดสิ้นสุดลงตรงนั้น เหลือแค่เสียงจังหวะหัวใจถี่ระรัว


“อะ อะไรนะ...?”


“ฉันขายนายแล้ว ต่อไปนี้นายไม่อยู่ในความดูแลของฉันอีก”


 “ดะ เดี๋ยวก่อน!” เขายืนขวางธวัตรที่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ “คุณขายผมไม่ได้! ในสัญญามัน...”


“สัญญานี่เหรอ?” ชายหนุ่มหยิบบางอย่างจากแฟ้ม ก่อนจะฉีกมันต่อหน้าต่อตา “ทีนี้ก็ไม่มีสัญญาอะไรต่อกันแล้ว ไปเก็บของที่อพาร์ทเมนท์ คืนนี้นายต้องไปหา ‘เจ้าของใหม่’


พูดจบก็เดินสวนไปราวกับไม่ใช่เรื่องของตน ขณะที่ตุลย์ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น


...หลงคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่าง ‘เจ้านาย’ กับ ‘ลูกจ้าง’ ที่รู้จักนิสัยใจคอกัน จะทิ้งเยื่อใยอะไรไว้บ้างในฐานะคนรู้จัก แต่ก็เปล่าเลย พอเจอข้อเสนอที่ดีกว่า ธวัตรก็พร้อมโยนเขาให้คนอื่นเหมือนหมูเหมือนหมา


“คุณวัตร...” เขาเรียกชื่อแผ่นหลังที่ไกลออกไป “ให้ผมทำอะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่แบบนี้...”


เขาไม่อยากถูกขายเหมือนสินค้าที่มีราคาแค่ ‘ค่าเงิน’ พอเก่าหรือเปอะเปื้อนก็ขว้างทิ้ง โยนให้คนอื่นใช้ระบายอารมณ์


ตุลย์เม้มปาก คว้าแขนคนที่เหมือนความหวังสุดท้าย


เขาไม่อยากเสียแม้กระทั่งตัวตนของตัวเอง...


“ผมขอโทษ ขอร้อง... อย่าทำแบบนี้”


พวกเขาสบตากัน ชั่วครู่หนึ่งที่ตุลย์เห็นบางอย่าง... บางอย่างที่บอกว่าคนๆ นี้อาจเปลี่ยนใจ แต่แล้วมันก็ถูกกลืนหายไปในดวงตา


“...ไปเก็บของซะ ฉันจะให้คนไปส่ง”


“...........”


เลือดเย็นจริงๆ...


มาถึงจุดนี้ตุลย์ไม่หวังอะไรอีก เขาไม่จำเป็นต้องกลับไปที่อพาร์ทเมนท์ ในเมื่อไม่มีของมีค่าอะไร ‘สิ่งของ’ อย่างไม่ต้องการอดีตหรืออนาคต แล้วจะเอาของที่ชวนให้นึกถึงอะไรแบบนั้นไปทำไม!


“ถ้าคุณอยากให้ผมไป ผมจะไปตอนนี้...”


ธวัตรขยับปากเหมือนจะพูด แต่สุดท้ายก็แค่สั่งให้คนเตรียมรถ แล้วเดินไปส่งเขาที่คลับโดยปราศจากถ้อยคำเพิ่มเติม


ตุลย์สอดตัวเข้าไปนั่งเบาะหลัง กระจกมองหลังฉายภาพคนขับ ผู้ชายคนนี้คือหนึ่งใบบอดี้การ์ดที่ทำงานให้คลับ ซึ่งตุลย์คุ้นหน้าคุ้นตา แต่ไม่เคย ‘รู้จัก’


ชั่ววินาทีนั้น เขาก็เข้าใจความหมายของคำว่า ‘ฉาบฉวย’


ยังมีผู้คนอีกมากมายที่พร้อมขายวิญญาณแทนเขา ไม่ว่าเพื่อค่าตอบแทนแสนล่อใจ หรือเพื่อบรรไดสู่ชีวิตทีดีกว่า ส่วนตัวเขาก็แค่คนผ่านทางโชคร้ายที่บังเอิญหลงเข้ามาบนเส้นทางสายนี้อย่างไม่ตั้งใจ


พอรถเคลื่อนตัว ทิวทัศน์นอกหน้าต่างก็แปรเปลี่ยน จากที่เคยคุ้นกลับกลายเป็นไม่รู้จัก ตุลย์เทินหัวบนขอบหน้าต่าง หลับตาลง ขยำชายเสื้อเพราะอารมณ์กระสับกระส่ายที่ฟุ้งซ่าน


กลัว...


กลัวปลายทางที่ไม่รู้จัก กลัวสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น กลัวความจริงที่ต้องเผชิญหน้า...


กลัวไปหมดทุกอย่าง...


จากนี้เขาควรทำยังไง...?


เขาไม่เข้มแข็งพอจะผ่านเรื่องหนักหนาแบบนี้ด้วยตัวคนเดียว


ขั่วครู่ที่ภาพของแม่แวบขึ้นมาในหัว


ถ้าเป็นผู้หญิงคนนั้น เธอจะทำยังไง....? จะกลัว จะทรมาณเหมือนกันไหม ตอนที่เขาทิ้งเธอไว้ข้างหลังอย่างเห็นแก่ตัว...


เขาผิดต่อเธอ เรื่องนั้นเขารู้...


 แต่ขอร้อง ได้โปรดเถอะ ให้ความทรมานที่เขาต้องเผชิญแต่ละวันหยุดลงเสียที...


“ถึงแล้ว”


ตุลย์ลืมตาตื่นจากภวังค์ กลับสู่ความเป็นจริง บัดนี้ที่อยู่ตรงหน้าเขาคือ บ้านหลังใหญ่โตโอ่อ่าแบบที่ชีวิตนี้ไม่หวังเอื้อม ยิ่งพอถูกนำเข้ามาด้านใน ความหรูหรามีราคาก็ยิ่งปรากฏชัดบนแครื่องเรือน


ซ้ำเติมความจริงที่ว่า เขาแค่มดตัวจ้อยบนโลกอันกว้างใหญ่ไพศาล ไร้อำนาจใดๆ ในมือ


“เชิญค่ะ”


ถึงตรงนี้ สาวใช้ก็รับช่วงต่อ ตุลย์ไม่ทางเลือกนอกจากตามเธอ แม้ว่าทุกก้าวให้ความรู้สึกเหมือนไกลห่างความเป็นจริงมากขึ้นทุกที


ความคิดร้อยแปดพันอย่างลอยฟุ้งในหัว ไหลเลยเถิดไปไกลจนควบคุมไม่อยู่ กระทั่งสาวใช้ส่งเขาในห้องๆ หนึ่งขอตัวออกไป ตุลย์จึงรู้สึกตัว


ที่นี่ที่ไหน?


เขากวาดตามองห้องโถงกว้าง ดูคล้ายกับห้องรับแขกทว่ามีกลิ่นอายของความเป็นส่วนตัวเจือบนอยู่ไม่น้อย ทีวีถูกเปิดช่องหนังทิ้งไว้ แต่ปราศจากผู้ชม เฟอนิเจอร์และข้าวของต่างๆ ไม่เป็นระเบียบนัก เหมือนถูกใช้งานสม่ำเสมอเสียมากกว่า


เทียบกับการตกแต่งอย่างหรูหราด้านนอก ที่นี่ให้ความรู้สึกเรียบง่าย และมีชีวิตชีวากว่าหลายเท่า ราวกับมันถูกสร้างจากตัวตนเจ้าของห้อง


แต่ก่อนที่ความคิดจะเตลิดไปมากกว่านี้ เสียงก๊อกแก๊กก็ดังจากอีกห้องที่เชื่อมกัน ความสงสัยที่มีมากกว่าทำให้เขาชะโงกมองเข้าไป ใกล้ๆ กับเคาท์เตอร์มีชายคนหนึ่งยืนหันหลังให้ กำลังง่วนอยู่กับบางอย่าง หาได้ตระหนักถึงการมาของเขาไม่


มือข้างที่ถือแก้วเปล่า... แผ่นหลังเหยียดตรง... ทุกท่วงท่าที่เคลื่อนไหว..


บางอย่างในตัวชายคนนั้นกำลังบอกเขาว่า ‘คุ้นเคย’


“ศานนท์...?”


ตุลย์พลั้งปากเรียกชื่อคนในความคิดห้วนๆ นึกเสียใจแต่ก็สายไปที่จะเรียกคืนคำ เมื่อเจ้าของห้องกำลังหันกลับมา...


----------------------
เม้นท์เยอะจุงเลยยย แอร๊ยยย เขิลลล ขอบคุณนักอ่าน #กอดๆๆๆ :-[
เมลล่าไม่ชอบดราม่าเวิ่นเว้อ ตอนเขียนไม่มั่นใจเลย กลัวคนอื่นจะไม่ชอบด้วย ถถถถ
ในที่สุดเราก็จะเข้าธีมเด็กเสี่ยกันแล้ววว เย้!!
ขอชี้แจงว่าเนื้อเรื่องต่อจากนี้มีความดาร์กน้อยลง เน้นพัฒนาการตัวละครค่ะ เป็นคอนเซปท์ที่วางไว้แต่แรกแล้ว อิอิ
เรื่องนี้ออกจิฟรุ้งฟริ้งจริงๆ นะเออ  #พูดด้วยความสัตย์จริง

ส่วนคนที่อยากรู้ว่าเมลล่าที่มุดหัวอยู่ดอยไหนมา 20 กว่าวัน
ตอบ: ที่ม. มีซัมเมอร์มาราธอนค่ะ แบบเรียนตั้งแต่ตะวันขึ้นยันตกดิน เริ่มจันทร์ยาวยันอาทิตย์ ไม่ไหวจะเคลียร์จริงๆ ค่ะ กลับบ้านมาก็นอนแหม็บ เสียพลังงานเยอะมากก #ปกติเป็นคนเหนื่อยง่ายพลังงานน้อยค่ะ ถถถ
ตอนนี้ซัมเมอร์จบแล้ว เริ่มว่างแต่ 12-14 เมลล่าก็ไม่อยู่ ไปตจว. จะพยายามปั่นตอนพิเศษให้เสร็จ รู้ตัวค่ะ ว่าอู้งานจนตัวขึ้นขนแล้ว 5555+
ทีนี้ก็มาลุ้นกันว่าเปิดเทอมจะมีกิจกรรมเยอะไหม + เมลล่าจะหนีเที่ยวหรือเปล่า #โดนตบ  :beat:
บ่นยาวค่ะ อัดอั้นน สุดท้ายขอบคุณที่ติดตามกันมาค่ะ ^-^
ตอนหน้าพบกับเรื่องเลาของธวัตร ส่วนตอนหน้าของตอนหน้า (ตอนมะรีน?) ที่8 หนูตุลย์เป็นเด็กเสี่ยเต็มตัวแล้ว อรั้ยยย   :hao7:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 09.08.16 {7th Night 'เสี่ย' (100%) } P.2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 09-08-2016 17:44:35
เธอกลับมาแล้ว~ ไรท์กลับมา~~ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 09.08.16 {7th Night 'เสี่ย' (100%) } P.2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 09-08-2016 17:57:45
ห๊ะ! มากดดันหน้กหน่วงแล้วก็ทิ้งเราไป
ฮือออออออออ

อยากรู้แล้วววว 'เสี่ย' คนนี้ใช่ศานนท์หรือเปล่า

รีบ ๆ มานะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 09.08.16 {7th Night 'เสี่ย' (100%) } P.2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: autopilot ที่ 09-08-2016 18:43:41
มาต่อเลยได้มั้ยนนนนนยสน
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 09.08.16 {7th Night 'เสี่ย' (100%) } P.2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 09-08-2016 19:45:47
งื้ออออออ...ลุ้นอ่ะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 09.08.16 {7th Night 'เสี่ย' (100%) } P.2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 09-08-2016 21:38:32
เหยย เกือบลืมไปแล้ววว ตกลงลุงเป็นพระเอกจริงๆใช่ไหม
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 09.08.16 {7th Night 'เสี่ย' (100%) } P.2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: kimkidoy ที่ 10-08-2016 01:33:00
มันจะฟรุ้งฟริ๊งจริงๆใช่ไหมมมมมมมมม??!!!!!!!
สงสารตุลย์ อยากให้นางเลิกเครียดเรื่องแม่สักที
ส่วนเสี่ยคนนี้ขอให้เป็นศานเถอะนะ

ปล.วัตรนี่ยังไง ตอนแรกคิดว่าจะพระเอกนะเนี่ยยยย :z6:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 09.08.16 {7th Night 'เสี่ย' (100%) } P.2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 10-08-2016 02:09:15
ใช่เหรอ.. ระแวงง
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 09.08.16 {7th Night 'เสี่ย' (100%) } P.2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: youuue ที่ 14-08-2016 02:14:11
 :sad4:   ขอให้ใช่ทีเถอะ :ling2:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 09.08.16 {7th Night 'เสี่ย' (100%) } P.2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: ราตรีสีน้ำเงิน ที่ 14-08-2016 12:29:20
 :hao3: :hao3: :hao3: :hao3: :hao3:

ค้าง!!!!!!!

มาต่อเร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 09.08.16 {7th Night 'เสี่ย' (100%) } P.2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: tnkgif ที่ 14-08-2016 20:34:44
กรี๊ดดดด :katai4: :mew1: คุณศานมาช่วยน้องเเล้วใช่มั้ย
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 09.08.16 {7th Night 'เสี่ย' (100%) } P.2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Pakeleiei ที่ 15-08-2016 10:31:05
ตุลย์ :กอด1:

มาอัพได้แล้ว :katai1:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 09.08.16 {7th Night 'เสี่ย' (100%) } P.2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าเชียงชุน ที่ 15-08-2016 14:33:50
อ่านตอนแรกๆเหมือนใจจะขาด อึดอัดใจแทนตุลย์ หวังว่าลุงศานจะเป็นที่พึงให้น้องได้นะคะ เกลียดธวัตร
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 09.08.16 {7th Night 'เสี่ย' (100%) } P.2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: ShadeoftheMoon ที่ 15-08-2016 21:34:30
เพิ่งเข้ามาตามอ่าน รู้สึกว่าดราม่าอึนๆ ทึมๆ ทุกตอน จะสงสารตุลย์ก็สงสารไม่สุดเพราะไม่รู้เหตุผลจริงๆ ว่าทำไม
ถึงมาทำอาชีพนี้ มีคำถามผุดขึ้นมาทุกครั้งที่อ่านและเริ่มจะสงสารตุลย์ว่าทำไมต้องยอมนายธวัตร ทำไมต้องกลัวนาย
ธวัตรมากขนาดนั้น และที่ผู้แต่งบอกว่าเรื่องนี้จะฟรุ้งฟริ้งไม่ดาร์ก ยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ เพราะเท่าที่อ่านมามันดาร์กตลอด
ถึงตอนสุดท้ายจะทิ้งชื่อ ศานนท์ไว้ แต่เราก็ยังไม่วางใจกลัวผู้แต่งหักมุม ว่าเป็นคนอื่นที่ซื้อตุลย์ไป ส่วนธวัตรนี่เห็นแก่ตัวสุดๆ
และเพื่อนที่ซื้อตุลย์มาทำร้าย ก็อยากเห็นว่าคนพวกนั้นน่าจะได้รับบทลงโทษบ้าง ติดตามต่อจ้า
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 09.08.16 {7th Night 'เสี่ย' (100%) } P.2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: supernaturalgay ที่ 15-08-2016 22:54:44
ขอเตะผ่าหมากธวัตรได้มั้ย :fire:  แถมเผื่อกระทืบไอ้สองตัวเชี่ยสองตัวนั่นด้วย  :fire:  เอาแม่งให้เป็นหมันเลย :angry2:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 09.08.16 {7th Night 'เสี่ย' (100%) } P.2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: kimkidoy ที่ 19-08-2016 20:42:00
ตุลย์จ๋าาาาาเมื่อไรจะมาาาาาา :ling1: :katai4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 09.08.16 {7th Night 'เสี่ย' (100%) } P.2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: lightseeker ที่ 20-08-2016 23:35:52
มารอค่ะ  :o12: ในที่สุดน้องก็จะหลุดบ่วงกรรมแล้ววมีเสี่ยมาเลี้ยงแล้ว
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 25.08.16 {Friday Night : ปล่อยมือ l 1} P.3 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 25-08-2016 20:00:11
Friday Night : ปล่อยมือ {ธวัตร}


“ไม่นึกว่าจะได้พบกันอีกเป็นครั้งที่สองนะ คุณศานนท์”


ธวัตรเปรยพร้อมยกรอยยิ้มจอมปลอมเป็นการต้อนรับ เมื่อเห็นร่างสูงของชายวัยกลางคนสวมสูทสีดำภูมิฐานแบบนักธุรกิจอยู่ในระยะสายตา แม้ว่าใจจริงเขาอยากสั่งบอดี้การ์ดด้านหลังให้โยนไอ้แก่นี่ออกนอกคลับพ้นๆตาไปเสีย


ศานนท์เพิ่งหักหน้าเขาปลายสัปดาห์ที่แล้ว ด้วยการเขี่ยข้อเสนอทิ้งแบบไม่ใยดี แต่แล้วจู่ๆ ก็ฝ่ายนั้นก็เปลี่ยนใจเสนอหน้ามาหาเขาถึงถิ่น ทั้งยังอ้างว่า ‘มีข้อเสนอที่ดีกว่า’ แบบนี้ไม่เรียกว่าหยามหน้า ก็ไม่รู้ว่าควรนิยามด้วยคำว่าอะไร


“นั่งสิ” เขาผายมือเชิญ ก่อนจะทรุดตัวลงตรงข้าม


ที่นี่ธวัตรเป็น ‘เจ้าบ้าน’ ไนท์คลับคือปราการของเขา ถ้าหากศานนท์เล่นนอกกติกา ก็ถือว่ากล้าเอาชีวิตมาทิ้งในถ้ำเสือ


“หวังว่าข้อเสนอที่คุณว่า จะน่าสนใจมากพอสำหรับค่าเสียเวลาของผม”


“ผมก็หวังว่าคุณจะตอบตกลง”


ธวัตรมองนาฬิกา “ถ้าอย่างนั้นเข้าเรื่องเถอะครับ ผมมีเวลาไม่มาก”


เขาไม่อยากเสียเวลาฟังนานนัก เพราะยังไงก็ไม่คิดจะรับข้อเสนออยู่แต่แรกแล้ว สิ่งที่เขาสนใจในตัวศานนท์มีเพียง 'ความมั่นคงทางการเงิน' ที่สามารถเป็นฐานรองรังให้คลับเท่านั้น ซึ่งก็ได้ถูกปฏิเสธชัดเจนไปแล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน


ถูกบีบเข้าประเด็น หนุ่มใหญ่ก็ไม่อ้อมคอม


“ที่ผมมาวันนี้เพราะอยากได้ ‘เด็กคนนั้น’”


“เด็กคนนั้น? คุณหมายถึงตุลย์น่ะเหรอ” ธวัตรกลั้นหัวเราะแทบไม่อยู่ “เหมือนคุณจะปักใจอะไรกับมากกว่าที่ผมคิดนะ”


“...........”


“แต่เรื่องนี้ผมคงต้องปฏิเสธ... รายได้ส่วนหนึ่งของคลับมาจากเด็กคนนั้น จะให้ผมยกคุณให้เขาง่ายๆ เห็นทีจะไม่ได้”


ธวัตรเกี่ยวบุหรี่มวนหนึ่งจากกล่องบนโต๊ะ จุดไฟและยกขึ้นจ่อริมฝีปาก เขาเงยหน้าสูดกลิ่นและรสชาติที่คุ้นเคย ก่อนจะพ่นลมหายใจสีควันออกช้าๆ ยกยิ้มอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า


“ยกเว้นว่าคุณจะร่วมทุนกับผมอย่างที่ตกลงกันไว้ตอนแรก”


ศานนท์มีสีหน้ายุ่งยาก “ผมไม่ยุ่งกับธุรกิจค้าประเวณี”


“ถ้าอย่างเราคงไม่มีธุระต้องคุยกันอีก” ธวัตรขยี้ก้นบุหรี่ ก่อนจะลุกขึ้น


ดูเหมือนการเจรจาจะจบลงเร็วกว่าที่คิด แต่...


“ผมจะจ่ายเป็นเงินสด”


ประโยคนั้นดึงคววามสนใจเขาได้ชะงัด


“แต่จะจ่ายสดก็ต่อเมื่อคุณตกลงว่ามันจะเป็นการซื้อขาด สิทธิ์ในตัวเขาทั้งหมดจะเป็นของผม”


“นั่นขึ้นอยู่กับว่า ‘จำนวน’ ของมันมากพอจะเปลี่ยนใจผมไหม...” เขายกยิ้ม


“หกหลักเป็นยังไง?”


“ต่ำไป... น้อยกว่าที่เด็กคนนั้นทำได้”


“แปดล่ะ?”


“ก็น่าสนใจ...” เขาลูบคาง “แต่ไม่มากพอจะทำให้ผมตัดสินใจขายเขา”


“หรือครับ” หนุ่มใหญ่กอดอก“แต่ผมว่าตอนนี้คุณมีทางเลือกไม่มากนัก...”


“หมายความว่ายังไง” คำพูดของอีกฝ่ายทำเขาฉุนไม่น้อย


“จากสถานภาพทางการเงินของคลับตอนนี้ เดาว่าแผนขยายสาขาของคุณที่ไม่มีเงินทุนจากผมคงไม่ราบรื่นเท่าไหร่ ซึ่งผมคิดว่านั่นคงไม่ส่งผลดีต่ออิธิพลใต้ดินของคุณ ว่าไหม?”


“........!” ธวัตรกำมือแน่น


ทุกอย่างที่พูดมาไม่มีข้อไหนผิดจากความจริง ระยะนี้การเงินคลับฝืดเคืองกว่าทุกครั้ง เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่ถูกนำไปหมุนใช้ในการลงทุนกับสาขาใหม่ บีบบังคับให้เขาต้องหยิบจับทุกอย่างในมือมาใช้ประโยชน์ นานเข้าอำนาจใต้ดินก็เริ่มถูกท้าทายโดยพวกนักเลงคุมถิ่น หากปล่อยไว้ คงหมดความเชื่อถือต่อลูกค้าในไม่ช้า


“ถ้าคุณจะหยิบประเด็นนั้นมาขู่เพื่อให้ผมขายเด็กคนนั้น คงต้องบอกว่าคุณคิดผิด”


ตอนนี้การเงินเขาย่ำแย่มาก หากเสียตุลย์ไปอีกก็เสมือนการฆ่าตัวตาย


“แล้วถ้าผมเสนอจะออกทุนให้คุณฟรีๆ แลกกับตุลย์ล่ะ?”


ธวัตรตะลึง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง แต่ก็แค่เสี้ยวนาทีก่อนที่เขาจะหัวเราะอย่างห้ามไม่อยู่



“นี่ผมคงฟังไม่ผิดหรอกใช่ไหม!? คุณยอมจ่ายเงินเป็นล้านๆ เพื่อซื้อเด็กขายที่เพิ่งรู้จักกันไม่กี่เดือน? เด็กคนนั้นมีอะไรดีนัก คุณถึงได้ปักใจกับเขาไม่เลิก?”


 “เรื่องนั้นผมให้คำตอบคุณไม่ได้ เพราะผมก็ยังไม่รู้”


ศานนท์เอนตัวพิงพนัก


 “แต่สิ่งที่ผมตอบคุณได้คือ เขา ‘ดีเกินไป’ กว่าจะใช้ชีวิตอยู่ในที่แบบนี้


“ดูเหมือนผมคงประเมินคุณสูงไป” ชายหนุ่มเค้นยิ้มอย่างเย้ยหยัน


อีกฝ่ายแค่ไหวไหล่ “แล้วคุณจะตกลงไหม”


“เรื่องนั้นผมขอคิดดูก่อน แล้วจะติดต่อกลับไป”


กับเรื่องธุรกิจ ธวัตรไม่รีบร้อนตัดสินใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับข้อเสนอที่เป็นประโยชน์ต่อเขามากเกินไปจนเรียกได้ว่าแทบจะให้กันฟรีๆ


“อย่านานนักนะครับ ผมรอคำตอบอยู่”


เสร็จธุระศานนท์ก็ขอตัวกลับทันที ธวัตรมองตามร่างของชายวัยกลางคนจนกระทั่งฝ่ายนั้นเดินออกประตูไปโดยมีคนของเขาคอยจับตาอยู่ไม่ห่าง วินาทีนั้นประโยคหนึ่งก็ฝุดขึ้นในหัว


“สิ่งที่ผมตอบคุณได้คือ  เขา ‘ดีเกินไป’ กว่าจะใช้ชีวิตอยู่ในที่แบบนี้”


เขาหมุนแก้วเปล่าในมือที่เหลือเพียงน้ำแข็ง พวกมันสะท้อนระยิบระยับยามต้องแสงไฟ ความสงสัยฝุดขึ้นในใจ...


‘เงิน’ คือสิ่งที่เด็กคนนั้นเรียกหามาตลอด... เรื่องนั้นเขามั่นใจ


แต่ถ้าหากว่าจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ล่ะ...


แล้วชีวิตแบบไหนที่เด็กคนนั้นต้องการ?


ชายหนุ่มทอดมองไปไกล คำถามนั้นชวนให้ย้อนนึกถึงครั้งแรกที่พบกัน คืนนั้นเขาอยู่ในงานสังสรรค์...


-----------------------------


“ดื่ม!”


เสียงแก้วกระทบกันดังกังวาลไปทั่วห้องอาหาร ดนตรีบรรเลงเลงกลายเป็นหมันเมื่อถูกกลบด้วยเสียงสวนเสเฮฮอาคึกคักของแขกผู้ร่วมงานทั้งชายหญิง ซึ่งส่วนใหญ่ก็ดื่มจนกรึ่มได้ที่


ดินเนอร์คืนนี้ เขาเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นเพื่อกระชับมิตรกับคู่ค้าและบริษัทต่างๆ ในฐานะนักธุรกิจอายุน้อย การผูกมิตรกันเหล่านี้ถือเป็นโอกาสที่ไม่ควรละเลย


คงเพราะเวลาล่วงเลยมากกว่าค่อนคืนแล้ว คนส่วนใหญ่หากไม่เมามาย ก็ทะยอยกลับไปเกินกว่าครึ่ง ธวัตรคุยกับผู้ร่วมโต๊ะไปตามเรื่องตามราว ทุกประเด็นฟังดูครื้นเครงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ แม้ว่ามันจะไม่มีสาระอะไรเลยก็ตาม


แขกที่ยังอยู่ล้วนเป็นขาดื่มทั้งนั้น เขาก็เช่นกัน แม้ว่าร่างกายจะบอกสิ่งตรงข้าม...


เส้นเลือดตรงขมับเต้นตุบๆ เป็นสัญญาณบอกว่าใกล้ถึงขีดจำกัดที่รับไหวเต็มที ชายหนุ่มจึงลุกจากโต๊ะ ขอตัวกับผู้ร่วมงานออกมาสูดอากาศนอกห้องอาหาร หวังให้ความเงียบสงบช่วยเยียวยาศีรษะที่ปวดหนึบ


จากตรงนี้เขามองเห็นพระจันทร์เต็มดวงผ่านหน้าต่าง แสงสีนวลของมันสวยและชวนให้ผ่อนคลาย แต่ก็เพียงไม่กี่นาทีก่อนบรรยากาศดีๆ จะถูกรบกวนด้วยเสียงหัวเราะร่วนจากอีกฝากขหนึ่งของโถง


ชายสองคนยืนอยู่หน้าห้องน้ำ ท่าทางเพิ่งสร่างเมากำลังหัวเราะเสียงดังเหมือนได้ฟังเรื่องตลกโดนใจ ตรงข้ามคนพวกนั้นคือ เด็กผู้ชายในชุดนักเรียนรัฐบาลกำลังพูดอะไรบางอย่าง ดูยังไงก็อายุไม่น่าถึงสิบแปด


“ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าห้ามใครขึ้นมาถ้าไม่ใช่แขก?”ธวัตรปรายตามองพนักงงานที่รับผิดชอบดูแลงาน


คงกลัวจะเป็นเรื่องใหญ่โต ฝ่ายนั้นพอเห็นเขาก็รีบขอโทษขอโพย กำชับชัดว่าจะจัดการไล่เด็กคนนั้นให้ทันที แต่ถูกเขาไล่เสียก่อน


“วันหลังถ้าจะจัดการก็ทำก่อนที่ฉันจะมา”


ธวัตรพูดทิ้งทาย ไม่คิดติดใจเอาความกับเรื่องเล็กน้อย ก่อนเดินตรงไปหากลุ่มคนพวกนั้น เขาไม่สนว่าเด็กคนนั้นมาเพื่ออะไร ตราบใดที่เขาไม่ได้เชิญ ก็ไม่มีใครมีสิทธิ์เข้ามาในพื้นที่งาน


แต่ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ก็ได้ยินเสียงสนทนาชัด


“ผมอยากได้คนเลี้ยง”


ชายพวกนั้นยิ่งหัวเราะชอบใจ


 “เดี๋ยวนี้เด็กมันกล้าขนาดมาหาถึงที่แล้วเหรอ  รีบกลับไปก่อนดีกว่าน่า ถ้าเจ้าของงานมาแล้วจะไม่สวยเอานะ”


หนึ่งในนั้นปรายหางตามาทางเขา ก่อนจะเอ่ยทักทายอย่างสุภาพ ในขณะที่เด็กคนนั้นยังยืนนิ่งที่เดิม มีแค่ดวงตาสีเข้มที่มองมาทางเขา


“มีป้ายอันไหนบอกว่าที่นี่เป็นที่ขายตัวหรือไง?”


“..........!”


“จะออกไปดีๆ หรือจะให้ฉันโยนออกไป”


“ผมไม่ไปไหนทั้งนั้น”


เด็กหนุ่มยืนยันคำเดิม ดวงตาคู่ที่มองมายังเขาเต็มไปด้วยความหมายหลากหลาย


“มีคนบอกว่า ผมจะหา ‘คนเลี้ยง’ ที่นี่ได้...”


“ไม่มีใครเลี้ยงที่ไหนทั้งนั้น กลับไป” เขาขู่ด้วยน้ำเสียงคุกคาม


“ใจเย็นๆ ก่อนสิครับ คุณธวัตร” หนึ่งในสองเตือนสติ “ก็แค่เด็กไม่ประสีประสา ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ไม่มีใครยอมจ่ายเงินเป็นหมื่นๆ เพื่อนอนกับเด็กคืนเดียวหรอก หึๆ”


ฝ่ายนั้นพูดติดตลก หันไปเล่นหูเล่นตากับเด็กคนนั้น แล้วแตะแก้มเบาๆ อย่างฉวยโอกาส


“แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นก็ไม่แน่...”


“อย่างอื่นคืออะไร...?”


สายตาคาดคั้นนั้นเรียกเสียงหัวเราะลั่นจากเจ้าของประโยค


“ฮ่าๆๆ คงไม่คิดว่าฉันจะพูดจริงหรอกนะ เจ้าหนู ไม่มีใครยอมจ่ายเงินขนาดนั้นเพื่อเซ็กส์คืนเดียวหรอก ต่อให้เป็นฉันก็เถอะ”


“เท่าไหร่?”


“ห๊ะ?”


เห็นเด็กหนุ่มทำหน้างง ธวัตรก็ย้ำคำถาม “เรียกเท่าไหร่?”


“...เจ็ดหมื่น” เหมือนจะเกรงเขาพอสมควร ถึงได้คิดอยู่นานกว่าจะตอบ


“ร้อนเงินใช่ไหม? สนใจมาเป็นเด็กของฉันไหมล่ะ” เขายิ้มมุมปาก มันเป็นรอยยิ้มของความพึงพอใจ...


ไม่ว่าโครงหน้า ผิวพรรณ หรือรูปร่าง... ไม่มีสิ่งไหนไกลเคียงกับคำว่า ‘น่ารักน่าถนุถนอม’

ทว่าพอมองใกล้ๆ กลับมีเสน่ห์แปลกๆ ที่น่าค้นหา ยิ่งไปกว่านั้นคือ ดวงตาที่สะท้อนความมุ่งมั่นชัดเจน


นี่ต่างหากที่น่าสนใจ....


“ว่ายังไง?” เขากอดอก มองคนที่ส่วนสูงน้อยกว่า “นิสัยฉันคือ ไม่รอคำตอบนาน”


พอเขาพูดแบบนั้น อีกฝ่ายก็ร้อนรนทันตาเหมือนกลัวจะถูกปฏิเสธ


“ก็ได้ ตกลง”


-------------------------------
เค้ารู้ เค้าผิด เค้าเสียจุยยยย ฮรือออ มาอัพช้า
มาเช็คคำผิดคร่าวๆ แล้วค่ะ อ่านพอได้กันไหมม ฮืออพรุ่งนี้ไปค่ายแล้ว ไม่อยากให้ค้างนาน อยู่ในช่วงวุ่นวายมากกกกๆๆๆ
อ่านคอมเม้นท์นักอ่านทุกคนแล้วน้า ยกยอดไปเขียน talk ครึ่งหลังเลยนะคะ เมลล่าไปจัดกระเป๋าล่ะ ฮรือออๆๆๆๆ :z3: :heaven
 >>Friday Night Part 2<< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54053.msg3476856#msg3476856)
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 25.08.16 {Friday Night : ปล่อยมือ l 1} P.3 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 25-08-2016 20:50:38
อยากรู้ปมของนางแล้วสิ...งุ๊ยยยย...ลุ้นจุง
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 25.08.16 {Friday Night : ปล่อยมือ l 1} P.3 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 25-08-2016 21:09:07
ไปค่ายให้สนุกสนานนะจ๊ะ

ฉันจะอดทนรอพี่ธวัตรมาเฉลยปมอยู่ตรงนี้
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 25.08.16 {Friday Night : ปล่อยมือ l 1} P.3 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: kimkidoy ที่ 26-08-2016 02:13:37
ก็ยังไม่รรู้อยู่ดีว่าวัตรมองตุลย์ยังไง
ค้างจ้าาาาาา มาต่อเร็วๆน้าาาาาาา
คิอถึงลุงศานนนนนนมากๆๆๆๆๆๆๆ :mew1:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 25.08.16 {Friday Night : ปล่อยมือ l 1} P.3 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 26-08-2016 05:16:30
สงสาร T^T
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 25.08.16 {Friday Night : ปล่อยมือ l 1} P.3 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 26-08-2016 06:51:20
ธวัตนี่ดีมั้ยน้า :hao4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 25.08.16 {Friday Night : ปล่อยมือ l 1} P.3 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: ราตรีสีน้ำเงิน ที่ 26-08-2016 10:23:19
:a5: :a5: :a5:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 25.08.16 {Friday Night : ปล่อยมือ l 1} P.3 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: lightseeker ที่ 26-08-2016 13:50:58
อ่านมุมธวัตแล้วคุณศานนดูแก่มากๆไปเลย ชายวัยกลางคนไปอีกก 555  :m20:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 25.08.16 {Friday Night : ปล่อยมือ l 1} P.3 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าเชียงชุน ที่ 26-08-2016 15:36:44
เราสัมผัสได้ถึงเยื่อใยของวัตรต่อตุลย์ แต่ความเลวของมันก็ไม่อาจลบล้างได้  :hao3: :hao3:

ขอบคุณลุงศานนะคะที่ทุ่มเทให้กับน้องขนาดนี้ แต่แอบกลัวจะออกลายทีหลังยังไงไม่รู้ เพราะทุกคนย่อมมี2ด้านเสมอ หรือเราจะคิดมากไป :katai5:

วัตรเจอเด็กปั้นคนใหม่สินะเลยตกลงยอมรับข้อเสนอลุง

ปล.ไปค่ายให้สนุกนะค้าาาา
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 25.08.16 {Friday Night : ปล่อยมือ l 1} P.3 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: autopilot ที่ 26-08-2016 18:20:35
รอค่ะรอออออ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 25.08.16 {Friday Night : ปล่อยมือ l 1} P.3 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Snimsoi ที่ 27-08-2016 07:53:54
ขอบคุณค่ะ เพิ่งเข้ามาอ่าน อยากอ่านตอนต่อไปแล้วมาเร็วๆนะคะ ธวัตรนี่มัน หึ่ย เรื่องอื่นไม่เท่าไหร่แต่เรื่องให้ตุลย์รับเด็กพวกน้ันทั้งที่ตุลย์ขอ ทั้งที่ตุลย์ทำตามสัญญาแล้ว แล้วเป็นไงตุลย์ก็ทำได้จริงๆ ไอ้ธวัตรนี่ แกจะชดใช้คืนให้ตุลย์ได้ไหมอ่ะฮะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 25.08.16 {Friday Night : ปล่อยมือ l 1} P.3 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: kimkidoy ที่ 05-09-2016 20:44:36
เข้ามารอๆๆๆจ้าาาาาา
รอตุลย์น้าาาาา :katai4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 22.09.16 {Friday Night : ปล่อยมือ 100%} P.3 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 22-09-2016 17:45:11
...และนั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับตุลย์


เด็กหนุ่มไม่มีอะไรโดดเด่นสักอย่าง ส่วนเรื่องเซ็กส์ก็เข้าขั้นห่วยแตก คุณสมบัติแค่นี้อาจถูกเขี่ยทิ้งจากสารระบบเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ที่น่าแปลกใจคือฝ่ายนั้นยังกล้าพอจะต่อรองเงินก้อนกับเขา


คงจะมีแค่ ‘ความมุ่งมั่น’ นี่แหละ ที่ธวัตรรู้สึกว่าเขาไม่ได้มองคนผิดซะทีเดียว


“นายอยากได้เงินก้อนนี้ไปทำไม”


ในฐานะคนเลี้ยง เขามีสิทธิ์รู้ปลายทางของมัน


ตุลย์อาจเป็นเด็กหนุ่มรักสบายที่อยากหาเงินทางลัด หรือแค่รักสนุกและชอบความเสี่ยง ถึงได้เลือกให้ ‘เขา’ ซึ่งเป็นผู้มีอิธิพลในย่านนี้เป็นคนเลี้ยง


แต่สำหรับตอนนี้ แบบไหนไม่สำคัญ ในเมื่อเขาตกปากรับคำว่าจะ ‘ให้ตามที่เรียกร้อง’ ทุกอย่างก็จะเป็นไปตามสัญญา


“ผมอยากเรียนที่ม.A ผมต้องการเงินจ่ายค่าเทอม”


คำตอบนั้นทำเอาธวัตรขมวดคิ้ว


“ทำไมต้องม.A”


มหาลัยวิทยาลัย A ขึ้นชื่อเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ แต่ก็แลกกับค่าเทอมแพงหูฉื่ ไม่ใช่ที่ที่นักศึกษาธรรมดาๆ คนหนึ่งจะแบกรับภาระทางการเงินไหว


เด็กหนุ่มแค่เหยียดยิ้ม


“เพราะชีวิตผมมีแค่นี้ไง คุณคิดว่าเด็กที่เกิดและโตในสลัม เรียนมหาวิทยาลัยธรรมดาจะไปได้ไกลสักแค่ไหนกันเชียว ผมแค่อยากอยู่ให้ห่างจากที่นั่น ยิ่งไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ถ้าคุณเป็นผม คุณจะเข้าใจว่าทำไมผมถึงเกลียดมัน...”


ธวัตรไม่แปลกใจกับคำตอบเท่าไร เพราะตุลย์ไม่ใช่คนแรกที่พูดแบบนี้กับเขา


ยังมีคนอีกมากมายที่พลัดหลงเข้ามาในมุมมืดของสังคม หวังใช้มันเป็นหนทางเพื่อทีบตัวเองให้พ้นจากสิ่งที่เคยเป็น ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็ล้วนแตกต่างกันไปอีกอย่างเขาไม่สนว่าเด็กหนุ่มมาที่นี่ด้วยเหตุผลใด



เขาแค่ถูกใจความทะเยอทะยานและมุ่งมั่นในดวงตาคู่นั้น มันน่ามองและชวนให้หวนนึกถึงตัวเองตอนเป็นวัยรุ่น บ้าบิ่น ซึ่งมากพอจะทำให้ยอมรับอีกฝ่ายในฐานะ ‘เด็กของเขา’ ได้ไม่ยาก


“ฉันจะจัดการให้ตามที่ต้องการ”


เป็นอันว่าข้อตกลงระหว่างพวกเขาเริ่มต้นขึ้นจากตรงนั้น



แต่หลังจากตุลย์ย้ายข้าวของมาอยู่ที่คอนโดได้ไม่นาน ธวัตรก็ได้รู้ว่าเขาตัดสินใจผิดมหันต์ พอเงินเจ็ดหมื่นก้อนแรกถูกจ่ายออกจากมือ เด็กหนุ่มก็แทบสลายหายไปเป็นสสารในห้วงอวกาศ ร่างโปร่งโผล่มาให้เห็นหน้าชนิดนับครั้งได้และกลับดึกจนเป็นนิสัย บางคืนถึงกับโผล่มาเช้าวันถัดไปก็มี จนเขาต้องแก้ปัญหาด้วยการส่งคนไปรอรับทุกเย็น แต่ก็ใช่ว่าจะได้ผลทุกครั้งร่ำไป


เมื่อเย็นคนของเขาโทรมาแจ้งว่าไม่พบตุลย์ตั้งแต่บ่าย และเด็กหนุ่มไม่ได้กลับคอนโดตอนเย็น


ด้วยเส้นสายของธวัตร  จะหาเบาะแสไม่ใช่รื่องที่ต้องใช้ความพยายาม ดังนั้นหากอีกฝ่ายคิดเบี้ยวหนี ขอแค่ออกปากสั่ง จะจับเด็กคนนั้นกลับมาตอนไหนหรือเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ แต่ครั้งนี้เขาเลือกที่ลองใจด้วยการ ‘รอ’ จนกระทั่งเด็กหนุ่มกลับมาเพื่อขีดเส้นแบ่ง ‘ขอบเขต’ ให้ชัดเจนด้วยตัวเอง


ประตูห้องเปิดออกในตอนดึก ร่างโปร่งในความมืดแทรกตัวผ่านเข้ามาโดยไม่เปิดไฟ แล้วค่อยๆ ปิดประตูอย่างเงียบเชียบราวกับกลัวว่าเสียงเพียงเล็กน้อยอาจรบกวนเจ้าของห้องจนตื่น ธวัตรเฝ้ามองเงาที่เคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วผ่านห้องนั่งเล่น ก่อนจะสับสวิตช์ไฟให้ห้องทั้งห้องสว่าง


สีหน้าของตุลย์เรียกได้เต็มปากว่าตกใจจนทำอะไรไม่ถูกตอนที่เห็นเขายืนพิงบานกบกอดอกอยู่ตรงหน้า


“...ผมนึกว่าคุณหลับไปแล้ว”


“ถ้าหลับแล้ว ฉันคงไม่ยืนตรงนี้จริงไหม?” ธวัตรเหยียดยิ้ม    “หายหัวไปไหนมา”


“ผมเปล่า...”


“อย่ามาเล่นลิ้นกับฉัน” ชายหนุ่มกดเสียงต่ำ พูดขณะที่มองตาเด็กหนุ่มไปพร้อมกันจนฝ่ายนั้นหลุบตา


“...ไปหาเพื่อนเก่า”


“ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่นายมีสิทธิ์ตัดสินใจทำทุกอย่างตามใจ?”


“ไม่ใช่แบบนั้น! ผมแค่...”


ไม่ปล่อยให้พูดจนจบ ธวัตรก็ยึดกรอบหน้าเด็กหนุ่ม บังคับให้มองตา


“นายเป็น ‘ของ’ ของฉัน จะทำอะไรก็ต้องเห็นหัวฉันถ้าไม่อยากถูกตัดหางปล่อยวัด”


“..........”


เด็กหนุ่มปิดปากเงียบ แต่สายตาที่มองมากลับท้าทายเชือดเฉือนอย่างไม่ยอมจำนน


ธวัตรเค้นเสียง ‘หึ’ “หรือถ้าไม่ชอบวิธีของฉันก็เดินออกไปซะ แล้วทุกอย่างก็จะจบลงตรงนี้”


เขาจงใจยื่นข้อเสนอที่อีกฝ่ายไม่มีทางตอบตกลง มหาวิทยาลัย คือสิ่งที่ตุลย์ใฝ่ฝันหามาตลอด เด็กหนุ่มถึงกับยอม ‘เสียสละ’ เพื่อคว้าโอกาสนั้นมาไว้ในกำมือ ไม่มีทางที่อยู่ๆ จะยอมทิ้ง ‘เงินของเขา’แล้วเสี่ยงไปหาเอาดาบหน้าอย่างแน่นอน


และก็ไม่ผิดจากที่เขาคิด...


“ไม่... ผมไม่ไป” เด็กหนุ่มยืนกราน “ผมไม่ยกเลิกข้อตกลง”


สิ่งเดียวที่เขาให้ในแววตาตอนที่ตุลย์พูดประโยคนั้น คือ ‘ความแน่วแน่’


เขาละมือจากใบหน้าเด็กหนุ่ม แล้วยิ้มอย่างพึพอใจ


“ถ้าอย่างงั้นก็จำสิ่งที่ฉันพูดไว้ แล้วอย่างให้มันเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง เพราะฉันไม่ใช่คนให้โอกาสใครซ้ำซาก”


...โดยทิ้งทายพื้นที่ว่างไว้ให้อีกฝ่ายขบคิด


อาจใช้เวลาคิดอยู่กว่าครึ่งค่อนคืน  เช้าวัดถัดมาตุลย์ถึงมีสีหน้าไม่สดชื่นคล้ายคนนอนไม่พอ แต่ถึงอย่างนั้นวิธีของเขาก็นับว่าได้ผลชะงัด เด็กหนุ่มยอมเข้ามาอยู่ภายใต้ขอบเขตที่วาดไว้โดยไม่สร้างปัญหาเหมือนก่อน หากมองข้ามสายตาที่แสดงออกเวลาไม่พอใจ กับคำพูดประชดประชันที่มักหลุดมาบ่อยๆ ก็นับว่าเป็นคนเข้าใจอะไรง่ายดี


ตราบเท่าที่ตุลย์ไม่ล้ำเส้นจนเกินไป เขาก็ยังให้อิสระในการตัดสินใจกับฝ่ายนั้น


ว่ากันว่า ‘คนอยู่ร่วมชายคาย่อมรู้จักนิสัยใจคอกันไม่มากก็น้อย’ เรื่องราวต่อจากนั้นก็เช่นกัน


เวลาผ่านไป เด็กหนุ่มเริ่มเรียนรู้ที่จะสังเกตและจดจำลายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของเขา ในขณะที่เขาก็เริ่มชินกับการมีตุลย์อยู่ข้างกาย ติดตามไปยังที่ต่างๆ จนถึงขนาดที่บางเรื่องไม่ต้องพูดตรงๆ ตุลย์ก็รับรู้ได้ว่าเขาต้องการอะไร


ทุกครั้งที่ธวัตรพาเข้าไนท์คลับ หรือไปพบลูกค้าด้วย ตุลย์จะนั่งเงียบๆ ข้างเขา ฟังบทสนทนาที่ดำเนินไปและรินเรื่องดื่มให้เป็นครั้งคราว หากต้องการความเป็นส่วนตัว แค่บอกเป็นนัยหรือมองตา เด็กหนุ่มก็จะขอตัวออกไปเองโดยไม่ต้องให้เขาสั่ง


หลายครั้งเขาเห็นสายตากรุ้มกริ่มที่มองตามการเคลื่อนไหวของตุลย์ เหตุผลเดียวที่คนพวกนั้นไม่ทำอะไรเกินกว่าแค่ใช้สายตาโลมเลีย ก็เพราะตุลย์เป็น ‘เด็กของเขา’ ไม่ใช่ ‘เด็กขาย’ ในคลับที่จะใช้เงินซื้อไปสนองความใคร่เมื่อไหร่ก็ได้


ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นแบบนั้นจนกระทั่งคืนหนึ่ง...


คืนนั้น ธวัตรเข้ามาตรวจดูความเรียบร้อยของคลับตามปกติ ตามด้วยสังสรรค์เล็กๆ น้อยๆ กับลูกค้าเก่าแก่ชั้นดีที่ทำธุรกิจร่วมกันมานาน ตุลย์อยู่ข้างๆ เขา นั่งเงียบๆ เล่นโทรศัพท์เครื่องใหม่ฆ่าเวลาไปพลาง ก่อนจะลุกขึ้นรินเบียร์เติมให้แก้วที่เหลือเพียงน้ำแข็งเปล่าของลูกค้าอย่างไม่กระโตกกระตาก


ชายคนนั้นมองตามทุกอิริยาบถของตุลย์ไม่คลาดสายตา จนเด็กหนุ่มเบียร์เสร็จ ฝ่ายนั้นถึงพูดขึ้น


“ในฐานะลูกค้าเก่าแก่ของคุณ อย่าหาว่าผมจุ้นจ้านไม่เข้าเรื่องเลย  เด็กคนนี้รูปร่างหน้าตาก็ดีใช้ได้ แถมยังเป็นงาน คุณไม่คิดจะดันเขาขึ้นมาเป็น ‘หน้าตาของคลับ’ หรือ?”



ประโยคนั้นทำเอาคนถูกพาดพิงซึ่งๆ หน้าชะงักไปครู่ แต่ก็ยังรักษาความลื่นไหลเป็นธรรมชาติ กลับมานั่งข้างเขาได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


ในฐานะ ‘คนเลี้ยง’ เขาต้องปกป้องเด็กหนุ่ม


“คุณก็ประเมินเขาสูงไป”


ธวัตรหัวเราะในคอ พาดแขนบนพนักโซฟาที่เด็กหนุ่มพิงอยู่ให้ดูคล้ายโอบไหล่แสดงความเป็นเจ้าของกลายๆ


 “เด็กคนนี้ลีลาบนเตียงได้เรื่องซะทีไหน ขืนผมเอามาเป็นหน้าตาของที่นี่ ธุรกิจคงเจ๊งกันพอดี”


“แต่คุณก็ถูกใจเขาไม่ใช่เหรอ?” คู่สนทนาหัวเราะ


นั่นก็ไม่ผิด...


 “คุณธวัตร... บางครั้งเซ็กก็ไม่ใช่นิยามทั้งหมดของการหาความสุขใส่ตัวหรอกนะครับ ลึกๆ แล้วคนส่วนใหญ่ที่นี่ก็แค่ต้องการความผ่อนคลายเท่านั้น” ชายคนนั้นทอดสายตาลงไปยังด้านล่างบริเวณบาร์เครื่องดื่มที่แน่นลูกค้าและเสียงสวนเสเฮฮา ก่อนจะเผินหน้ากลับมามองเขา “เรื่องนั้นคุณที่มีเขาอยู่ข้างๆ ตลอด น่าจะรู้ดีที่สุด...”


“.........” ธวัตรแค่ยิ้มตอบ ไม่พูดอะไร


โดยที่เด็กหนุ่มไม่อาจรู้ชะตากรรม  เขาเก็บคำพูดคืนนั้นไปขบคิดและประมาณการณ์อย่างเงียบๆ


‘เงิน’ และ ‘ชื่อเสียง’ คือ ‘อำนาจ’ ไม่ว่าอะไร ขอแค่ทำเงินได้ เขาพร้อมจะแลกเพื่อให้ได้มันมาโดยไม่สนวิธีการ


 ...นั่นเป็นนิสัยที่ติดตัวเขามาตั้งแต่วัยรุ่น และถูกบ่มเพาะจากประสบการณ์เกือบสิบปีในวงการนี้


มันคือกฏของ ‘ธุรกิจ’ สนามรบไร้ศพ ที่เบื้องหลังเต็มไปด้วยเรื่องสกปรกและการห้ำหั่นเพื่ออำนาจ เป็นเรื่องยากที่จะมีชีวิตรอดในขณะที่คนมากมายล้มตาย ดังนั้น หากเขามีโอกาสแค่เล็กน้อย ก็ต้องเลือกใช้มันอย่างเหมาะสม


“เซ็นซะ” กระดาษแผ่นหนึ่งถูกวางทาบลงบนโต๊ะตรงหน้าตุลย์


“นี่คืออะไร...?”


“........” เขาไม่ตอบ แต่ปล่อยให้เด็กหนุ่มไล่อ่านตัวอักษรที่ละบรรทัดอย่างละเอียด ยิ่งเลื่อนสายตาต่ำลงเท่าไหร่ คิ้วก็ยิ่งขมวดเข้าหากัน


“...เราไม่ได้ตกลงกันไว้แบบนี้!” ตุลย์เลื่อนเอกสารทิ้งไปข้างๆ ก่อนจะลุกผึง “ผมไม่เซ็น”


ธวัตรมองตามคนที่ทำท่าจะเดินหนีไปอีกห้อง ก่อนจะสั่งเสียงต่ำ “นั่ง”


ได้ผลเมื่อร่างโปร่งหยุดฝีเท้า ดวงตาที่จ้องเขม็งกลับมาสื่ออารมณ์หลากหลาย มันมากกว่าความโกรธ หรือไม่พอใจอย่างทุกครั้ง


“คุณเชื่อสิ่งที่เขาพูด เพราะเขาเป็นลูกค้าของคุณ แล้วผมที่อยู่กับคุณล่ะ ผมเป็นอะไร ตัวตลกหรือไง!?”


“...กลับมานั่ง”


“ไม่! ตอนแรกคุณบอกว่าจะเลี้ยงผม แค่เซ็กส์แลกเงิน ไม่มีอะไรเกินกว่านั้น ต่อมาก็จำกัดความเป็นส่วนตัว แล้วไง ทีนี้จะให้ผมไปเป็น ‘หน้าตา’ ของคลับอีก! ผม-ไม่-เซ็น และถ้าคุณไม่พอใจล่ะก็ ผมก็จะเก็บของออกไปจากที่นี่ ตอน-นี้!”


เด็กหนุ่มหายใจถี่ด้วยแรงอารมณ์ พวกเขาจ้องตากันนานเป็นนาทีๆ โดยไม่พูดอะไรจนกระทั่งธวัตรหยิบสัญญาขึ้นมา เลื่อนมันไปตรงมุมโต๊ะพร้อมปากกา


“ลงชื่อตรงนี้ แล้วฉันจะให้จัดการเรื่องมหาลัยให้ แต่ถ้าปฏิเสธ...” เขาดีดนิ้ว เรียกสติคนที่อยู่ในห้วงภวังค์ “ก็ตัดใจทิ้งความฝันที่จะเรียนต่อไปได้เลย”


“กูไม่ได้ขายตัวนะโว้ย!” คนฟังตวาดอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้


 “แต่ฉันว่านายไม่มีทางเลือก”ธวัตรเค้นเสียง ‘หึ’ “ว่าไง? จะเซ็นหรือไม่เซ็น ถ้าไม่... จะเก็บของเดินออกไปตอนนี้ก็ได้ ประตูไม่ได้ล็อค ก็แค่ต่อไปนี้นายต้องหาเงินเรียนเอง”


“..........” เด็กหนุ่มกัดริมฝีปาก กำมือแน่น ดวงตาแดงก่ำมองเขาอย่างจงเกลียดจงชังเหมือนศัตรู


“ว่ายังไง ฉันไม่ชอบรอนาน?”


สถานนะของตุลย์ตอนนี้ไม่ต่างจากคนอับจนไร้หนทาง อีกฝ่ายทั้งโกรธและเสียใจที่ถูกเขาหักหลัง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเดินกลับมา หยิบปากกาจรดปลายลงบนกระดาษและค่อยๆ ตวัดเป็นตัวอักษร


“พอใจหรือยัง”


ตุลย์วางปากกาเมื่ออักษรตัวสุดท้ายถูกเขียนลงบนกระดาษ สีหน้าขมขื่นและเจ็บปวดที่กำลังโทษว่าเป็นความผิดของเขา เป็นสิ่งเดียวที่ชายหนุ่มจำได้ในตอนนั้น และไม่เคยลืม


“ต่อจากนี้ ‘สิทธิ์ในตัวนาย’ ทั้งหมดเป็นของฉัน แต่นายจะไม่ใช่ ‘ของฉันคนเดียว’ อีกต่อไป”



--------------------------


หลังจากเรื่องคืนนั้น นอกจากเรื่องที่ตุลย์คุยกับเขาน้อยลง ต่างคนก็ทำตัวราวกับว่าไม่มีเคยอะไรเกิดขึ้น ความสัมพันธ์ครึ่งๆ กลางๆ แบบนั้นดำเนินต่อไป


และทลายลงในวันที่เขาส่งเด็กหนุ่มไปทำ ‘งานแรก’...


เย็นนั้นตุลย์เปิดประตูเข้ามาโดยไม่พูดอะไร เขากำลังดูข่าว ก็คร้านจะสนใจจึงแค่ปรายตามองผ่านๆ เห็นอีกฝ่ายเดินเข้าห้องน้ำไปเงียบๆ ราวครึ่งชั่วโมงถึงเดินออกมาในชุดลำลอง เข้าห้องนอนและปิดไฟ


คืนนี้กว่าธวัตรจะเข้านอนก็เกือบตีหนึ่ง เขาเข้าห้องมาเห็นว่าตุลย์กลับไปแล้ว ชายหนุ่มจึงแค่ทิ้งตัวลงข้างๆ แล้วผล็อยหลับไป


เขารู้สึกตัวอีกครั้งกลางดึก เพราะพื้นที่ข้างๆ ตัวยวบยาบไปมา ตามด้วยเสียงฝีเท้าเมื่อร่างโปร่งลุกออกจากเตียง ชายหนุ่มพลิกตัวมอง ในห้องมืดจนเห็นเพียงแค่เงาทมึนของคนที่เดินออกไปยังห้องครัว แสงสีส้มเหลืองสลัวๆ คงมาจากที่อีกฝ่ายเปิดตู้เย็น พอมันดับลง ร่างโปรงก็กลับออกมาพร้อมกับขวดทรงสูงบรรจุอะไรสักอย่างคล้ายเครื่องดื่มแอลกฮอล์


เด็กหนุ่มตรงเข้ามาหยิบบุหรี่บนโต๊ะในห้องนอนและไฟแช็คของเขา ก่อนจะเปิดม่าน เลื่อนประตูกระจกออกไปนั่งบนขอบระเบียงอย่างน่าหวาดเสียว


คิดจะทำอะไร....?


คืนนี้ดวงจันทร์เด่นตระหง่านกลางฟ้า แสงเหลืองนวลของมันมากพอจะทำให้เห็นทุกอย่าง ธวัตรเด้งตัวขึ้น แต่เลือกที่นั่งมองจากด้านในซึ่งมืดกว่าเมื่อเด็กหนุ่มแค่กระดกขวดเหล้าแล้วจุดบุหรี่ แต่ตอนที่คีบจ่อริมฝีปาก สูดเอาควันเขม่าเข้าสู่ปอด ร่างโปร่งกลับสำลัก จนต้องไถลตัวลงมายืนไอโขลกๆ พักใหญ่ ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็ยังเวียนสูบบุหรี่ซ้ำๆ จนหยุดไอไปเอง


ตุลย์หันหลัง เท้าแขนบนขอบระเบียง เหม่อมองออกไปไกลแสนไกล ก่อนมือข้างที่คีบบุหรี่จะเปลี่ยนมากุมหน้าผาก ควันสีเขม่าลอยฟุ้งไปในอากาศ เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะมันมืดเกินกว่าจะสังเกตเห็นสีหน้าของเด็กหนุ่ม จนไหล่และแผ่นหลังเริ่มสั่นเทาเพราะแรงสะอื้น เขาถึงเข้าใจว่าคนๆ นี้พยายามซ่อนอะไรไว้...


น้ำตา


สิ่งที่เขาทำ... บังคับให้ขายตัว มันโหดร้ายสำหรับเด็กหนุ่ม... เรื่องนั้นเขารู้ แต่หากสามารถย้อนเวลากลับไปตัดสินใจใหม่ เขาก็ยังเลือกทำแบบเดิม...


เขาต้อง ‘เสียสละ’ อะไรมากมายกว่าจะสร้างไนท์คลับและขยายอิธิพลครอบคลุมย่านนี้ได้ มันเทียบไม่ติดกับเด็กคนเดียวที่เพิ่งรู้จักกันแค่ไม่กี่เดือน


แต่ก็เพราะความเห็นแก่ตัวนั่นแหละ เขาถึงยังครองบรรลังก์อยู่ได้จนทุกวันนี้


ธวัตรเผินหน้ากลับมา ล้มตัวลงนอนมองเพดานก่อนจะหลับตา


เขาไม่อาจแก้ไขการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว แม้ว่าอาจต้องทำร้ายคนที่เขาไว้ใจมากที่สุดก็ตาม


หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 22.09.16 {Friday Night : ปล่อยมือ 100%} P.3 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 22-09-2016 17:49:35



ธวัตรสังเกตความเปลี่ยนแปลงหลังจากคืนนั้นได้ชัดเจน หลายครั้งตุลย์เลือกจะเงียบเพื่อจบการต่อปากต่อคำ หรือรับคำเพียงสั้นๆ เพื่อให้เขาหยุดซักไซร้ เด็กหนุ่มจะตอบแค่ต่อเมื่อเขาถาม ตีตัวออกห่างราวกับอึดอัดการมีอยู่ของเขา และอยากไปให้พ้นๆ เสีย


จริงอยู่ ที่ตุลย์ไม่เคยร้องไห้นับจากวันนั้น ...แต่ก็ไม่เคยยิ้มอีกเช่นกัน


หลายครั้งที่อีกฝ่ายจะลุกมากลางดึกเวลานอนไม่หลับ หยิบไวน์ในตู้เย็นมาดื่มนั่งเงียบๆ จนหมดขวดแล้วกลับเข้ามานอนข้างเขาเหมือนไม่มีอะไร แต่พอรุ่งสางก็ลุกออกไปก่อน



ความสัมพันธ์ของพวกเขาเปลี่ยนแปลงจากคนชิดใกล้กลายเป็นไม่รู้จักอย่างรวดเร็วน่าใจหาย ทำราวกับว่ามีหน้าที่แค่อยู่ร่วมชายคาคลายเหงา และสนองเรื่องบนเตียงให้เวลาที่เขาต้องการเท่านั้น


ถ้าการมีอยู่ของเขาทำให้ฝ่ายนั้นลำบากใจ เขาก็จะให้ทางเลือกกับอีกฝ่ายอย่างที่เคยทำตอนที่เด็กคนนั้นยังเป็น ‘คนเก่า’


“ทำงานดี ถือว่านี่เป็นของกำนัล ต่อจากนี้ก็ย้ายมาอยู่ที่นี่”


เขาเช่าอพาร์ทเม้นคุณภาพดีให้ตุลย์ห้องหนึ่ง พร้อมซื้อข้าวของเครื่องใช้ และเฟอร์นิเจอร์ที่ให้ความรู้สึกเหมือนบ้าน มันกว้างพอที่เด็กหนุ่มจะใช้ชีวิตอยู่อย่างสบาย โดยที่ตกลงกันว่าเขามีกุญแจดอกหนึ่ง และตุลย์มีกุญแจอีกดอกหนึ่ง


แต่นั่นก็ไม่อาจลบความขมขื่นที่สะท้อนในแววตาเวลาที่เด็กหนุ่มมองเขาได้


ระยะหลังตุลย์เข้าคลับบ่อยขึ้นเพราะคิวงานเพิ่ม เป็นสิ่งยืนยันว่าเขาคิดไม่ผิดที่เลือกอีกฝ่ายเป็น ‘หน้าตา’ ของคลับ เด็กหนุ่มเข้ากับลูกจ้างคนอื่นๆ ได้ดี แต่กับเขาตีตัวออกห่างชัดเจน



 ถึงอย่างนั้น นอกจากความไม่ไว้ใจที่แสดงออกผ่านแววตาและการวางตัว เด็กหนุ่มก็ไม่สร้างปัญหาใดๆ ให้อ ชายหนุ่มจึงไม่เข้าไปยุ่มย่ามในชีวิตอีกฝ่ายมากมาย


จนกระทั่งเมื่อศานนท์ก้าวเข้ามาในฐานะนายทุนที่ลูกค้ารายหนึ่งเป็นผู้ติดต่อให้กับเขา ตุลย์ก็กลายมาเป็นเครื่องมือชั้นดีที่สามารถใช้ยื้อชายวัยกลางคนเอาไว้


...แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะกลายเป็นดาบสองคม


“ทั้งหมดคุณทำเพื่อประโยชน์ของตัวเอง ถ้าไม่ใช่เพราะสัญญาวันนั้น บางทีชีวิตผมอาจดีกว่านี้ก็ได้!”


ประโยคในคืนนั้นทำให้เขาฟิวส์ขาด เมื่อปราศจากการควบคุมอารมณ์ธวัตรก็เป็นแค่สัตว์ร้าย พร้อมจะลงมือทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้าโดยไม่สนผิดชอบชั่วดี


เงิน... สิ่งอำนวยความสะดวก... มหาวิทยาลัยในฝัน  หรืออพาร์ทเม้นท์...


ทุกสิ่งที่ตุลย์ขอ ธวัตรจะไม่ให้ก็ได้ แต่เขาก็เลือกที่จะทำตามความต้องการของเด็กหนุ่ม ด้วยการ ‘ให้’ ในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยให้กับใคร ทำอะไรโง่งมยิ่งกว่าการเอาทองไปเทลงในแม่น้ำ


เขาต้องการให้ตุลย์ถอนคำพูด!


ไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไปหลังจากนั้น มันเหนือการควบคุมของสติสัมปะชัญญะ


 จู่ๆ บีก็ปรี่เข้ามาขวางระหว่างเขากับตุลย์เอาไว้ วิงวอนขอให้ปล่อยมือจากคนที่อยู่เบื้องหน้าทั้งน้ำตา เวลานั้นเขาโมโหจัดเกินกว่าจะทำตามคำขอของเธอโดยดี จึงยื้อกันอยู่พักใหญ่ กว่าอารมณ์จะเย็นลงจนเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ถนัดตา หญิงสาวกับบาร์เทนเดอร์เด็กใหม่ก็กำลังช่วยกันพยุงร่างตุลย์ฝ่าฝูงชนมุงอยู่ออกไป


เด็กหนุ่มตาแดงก่ำ ไอแห้งๆ หลายที ลำคอมีริ้วแด'ๆ พาดยาวเหยียด ส่วนเสื้อผ้าก็ยับยู่ยี่ดูไม่ได้ ดวงตาคู่นั้นสบสานกับเขาพร้อมรอยยิ้มเหยียดหยันอย่างไม่ยอมแพ้ การถูกท้าทายซึ่งๆ หน้าทำให้เขาตะโกนบางอย่างไล่หลังไป หากไม่กี่นาทีหลังจบเรื่อง ฝูงชนที่ยืนมุงเป็นกลุ่มๆ ก็สลายตัวอย่างรวดเร็ว


และเมื่อปราศจากความโกรธ อารมณ์มากมายก็หลั่งไหลเข้ามาแทนที่


ธวัตรมองฝ่ามือทั้งสองข้างของตัวเองก่อนจะกำแน่น  ไม่กี่นาทีที่แล้วมันคือเครื่องมือที่อาจปลิดชีพใครบางคนไปแล้ว หากเขาออกแรงมากพอ...


ตุลย์พูดถูก ...ไส้ในเขามันก็แค่คนชั่วช้าที่ดีแต่ขูดรีดผลประโยชน์จากคนอื่นเท่านั้น!




หลังจากที่ศานนท์ถอนตัวออกจากธุรกิจของเขา เสถียรภาพทางการเงินของคลับก็เสียสมดุล เพื่อจะรักษาอิธิพลและชื่อเสียงที่มีต่อลูกค้า เขาต้องการรายได้บางส่วนมาชดเชยเงินที่นำไปหมุนกับการลงทุน และตุลย์ก็เป็นตัวเลือกที่ดี


เขาต้องการให้อีกฝ่ายรับ ‘เด็กพวกนั้น’ เป็นแขก


แต่จะทำยังไง เมื่อให้สัญญากับเด็กหนุ่มไปแล้วว่าจะไม่ยอมให้ฝ่ายนั้นเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเพื่อนร่วมคณะอีก?


ชายหนุ่มรู้มาสักพักแล้วว่าตุลย์ยังติดต่อกับศานนท์อยู่ แต่เหตุผลที่เขาเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ก็เพราะสิ่งที่ฝ่ายนั้นทำไม่ส่งผลกระทบต่องาน


ครั้งนี้เขาจะใช้ ‘ช่องโหว่’ ที่ตุลย์สร้างขึ้นลับหลัง เป็นเครื่องมือไล่ต้อนฝ่ายนั้นให้จนมุม
   


เป็นเวลาสองสัปดาห์ถ้วนที่ธวัตรสั่งให้คนตามสอดแนมตุลย์เพื่อเก็บภาพต่างวันเวลาในอิริยาบถต่างๆ ระหว่างที่อีกฝ่ายอยู่กับศานนท์ หลังจากนั้นก็ทำตามแผนด้วยการเรียกเด็กหนุ่มขึ้นมาคุยที่ห้อง


ตอนที่ตุลย์เปิดประตูเข้ามา ท่าทางของฝ่ายนั้นคล้ายกับไม่อยากเหยียบห้องเขาต่อสักวินาที มันยัวะอารมณ์มากจนพูดจาร้ายกาจใส่ ยิ่งได้เห็นสีหน้าเฉยเมยตอนที่ ‘ปฏิเสธ’ เรื่องศานนท์ราวกับมันไม่เคยเกินขึ้น เขาก็ยิ่งไม่สบอารมณ์มากขึ้น จนเกือบพลั้งลงไม้ลงมือ


“วันอาทิตย์นี้ ที่โรงแรม A ไปที่ห้อง 4XX ‘เด็กพวกนั้น’ เป็นแขกของนาย”


นั่นคือสิ่งที่เขาพูดก่อนที่เด็กหนุ่มจะเปิดประตูเดินออกไปจากห้อง ตุลย์ไม่แม้แต่หันกลับมามอง แค่เดินออกไปเฉยๆ ทันทีที่เขาพูดจบแล้วปิดประตูลงเงียบๆ โดยที่ธวัตรไม่มีโอกาสได้เห็นสีหน้าและแววตา


คงไม่ต่างจากตอนที่เขาบังคับให้เด็กคนนั้นเซ็นสัญญาเท่าไหร่


พวกเขาเคยเข้ากันได้ดี แต่ตอนนี้ทุกอย่างเป็นแค่ความทรงจำที่เลือนลางเต็มทน ราวกับว่าเยื่อใยทั้งหมดได้ขาดสะบั้นลง ตั้งแต่วันที่เด็กหนุ่มหยิบปากกาเขียนชื่อลงบนกระดาษแผ่นนั้น


เหมือนกับว่าคนๆ นั้นได้ขาย ‘ตัวตนในอดีต’ ทิ้งไปด้วย


-------------------------------------


ธวัตรหยิบโทรศัพท์มืถือ มองหน้าจอที่ว่างเปล่าอย่างช่างใจ สุดท้ายก็กดเบอร์แล้วโทรออก รอจนปลายสายรับโทรศัพท์ จึงเอ่ยเรียบๆ


“คุณศานนท์... ข้อเสนอของคุณเมื่อเย็น ผมตกลง”


เขามีเหตุผลมากมายที่รั้งตุลย์เอาไว้ แต่การยื้อและยึดติดกับสิ่งที่หวนกลับมาไม่ได้ จะให้อะไรได้อีกนอกเสียจาก ‘ทำร้ายกันและกัน’





ธวัตรนั่งรอตุลย์จนดึก กว่าเด็กหนุ่มจะเข้ามาที่คลับก็จวนเจียนจะได้เวลารับแขก หากเป็นวันปกติ เขาคงตำหนิอีกฝ่าย แต่ไม่ใช่สำหรับครั้งนี้


 “ไปไหนมา”


ถามคนที่เดินผ่านล็อบบี้โดยทำเป็นไม่สังเกตุเห็น


ตุลย์ไม่แม้แต่มองหน้าตอนที่เอ่ยตอบเขา “ผมขอโทษที่มาช้า คืนนี้รถติด”


“งั้นเหรอ?”


เด็กหนุ่มพยักหน้าก่อนจะเดินผ่านไปเฉยๆ


“เดี๋ยวก่อนจะรีบไปไหน?”


“รับแขก...”


“ไม่ต้อง ไปเก็บของซะ”


เด็กหนุ่มเบิกตากว้าง ดูตกใจไม่น้อยตอนที่ได้ยินเขาพูดแบบนั้น


 “ทะ...ทำไม? คุณ...ไล่ผมออก?”


น้ำเสียงนั้นตะกุกตะกักชัดเจนคล้ายไม่แน่ใจว่าเขาต้องการสื่อความหมายอะไรในประโยค


ธวัตรเงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนจะเอ่ยปากพูดในสิ่งที่เขา ‘รู้ดี’ ว่าทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายแค่ไหน


 “นายถูกขายแล้ว”


เป็นอีกครั้งที่เขาเห็นสีหน้าเหมือนโลกทั้งใบทลายราบเป็นหน้ากอง เด็กหนุ่มยืนแน่นิ่งอยู่กับที อ้าปากคล้ายจะพูดบางอย่างแต่กลับไม่มีเสียงเปล่งออกจากลำคอแม้แต่คำเดียว


“อะ อะไรนะ...?”


นานเหลือเกิน กว่าความเงียบจะเปลี่ยนกลายเป็นคำถามด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น


“ฉันขายนายแล้ว ต่อไปนี้นายไม่อยู่ในความดูแลของฉันอีก”


 “ดะ เดี๋ยวก่อน! คุณขายผมไม่ได้! ในสัญญามัน...”


“สัญญานี่เหรอ?” เขาหยิบบางอย่างจากแฟ้ม ก่อนจะฉีกกระดาษแผ่นนั้นทิ้งต่อหน้าต่อตา “ทีนี้ก็ไม่มีสัญญาอะไรต่อกันแล้ว ไปเก็บของที่อพาร์ทเมนท์ คืนนี้นายต้องไปหา ‘เจ้าของใหม่’”


ธวัตรเดินสวนออกมาทันที ไม่ใช่ว่าเขาอยากฉีกหน้าตุลย์เพราะโมโห แต่ไม่มีทางเลือกต่างหาก


การที่เขาตัดสินใจขายเด็กหนุ่มให้กับศานนท์มันไม่ต่างจากการเสี่ยงทายโยนหัวก้อย ถึงแม้ว่าฝ่ายนั้นมีประวัติขาวสะอาด ก็ไม่อาจการันตีได้ว่าชายคนนั้นไม่มีอะไรซ่อนไว้เบื้องหลัง คนที่ยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจมืดอย่างเขาย่อมรู้ดีว่าการสร้างชื่อเสียง ‘ปลอมๆ’ นั้นง่ายดายแค่ไหนเมื่อมีสิ่งที่เรียกว่า ‘เงิน’


ถึงอย่างนั้นก็นับว่าคุ้มค่าที่จะเสี่ยง...


“คุณวัตร... ให้ผมทำอะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่แบบนี้...” ตุลย์เรียกเขาด้วยน้ำเสียงวิงวอนเต็มที ก่อนจะคว้าไว้ราวกับหวังพึ่งเยื่อใยสุดท้ายที่ยังพอหลงเหลืออยู่ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา


 “ผมขอโทษ ขอร้อง... อย่าทำแบบนี้”


แววตาของเด็กหนุ่มแสดงความอ่อนแอชัดเจนพอๆ กับคาดหวังให้เขากลับคำพูดอีกสักครั้ง


“...ไปเก็บของซะ ฉันจะให้คนไปส่ง


คงไม่มีอะไรที่เขาจะให้ตุลย์ได้อีกเมื่อเด็กหนุ่มกลายเป็นของคนอื่น นี่คงเป็น ความอ่อนโยนเสี้ยวสุดท้ายที่ชายหนุ่มมีให้เพื่อตอบแทนเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ไม่ว่ามันจะส่งไปถึงอีกฝ่ายไหม


‘อนาคต’ คือสิ่งเดียวที่สำคัญที่สุดสำหรับตุลย์ และเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ธวัตรให้กับเด็กหนุ่มไม่ได้ ตราบใดที่อีกฝ่ายยังอยู่กับเขาในฐานะ ‘หน้าตาของคลับ’ ชายหนุ่มคงไม่อาจหักห้ามใจตัวเองให้หยุดใช้อีกฝ่ายเป็นเครื่องมือ


เพราะนั่นเป็นนิสัยของเขา


สิ่งที่เขาทำได้ตอนนื้คือ ‘ปล่อยมือ’ และสะบั้นเยื่อใยทั้งหมดให้ขาดลง พร้อมๆ กับเรื่องราวในอดีต ตอนที่สถานการณ์ทุกอย่างลงตัวที่สุด


ไม่เช่นนั้น เขาอาจไม่มีวันปล่อยมือจากตุลย์ได้อีก...

-------------------------------


[Talk] (ยาวค่ะ ข้ามได้ ไม่ว่ากัน ถถถ)



อ่านทุกคอมเม้นท์แล้วนะคะ ดีใจมากที่ทุกคนอิน 555+ ตัวเมลล่าเองคิดว่าเรื่องนี้เดินช้าพอสมควรเลย กลัวจะเบื่อกัน

บางคนเชียร์ให้ธวัตรได้รับกรรม แต่นางยังอยู่รอดปลอดภัยดี ถถถ
(ตอบ) ตรงนี้ต้องบอกก่อนว่าตอนแรกไม่คิดจะให้ธวัตรขึ้นมามีบทบาทจนกระทั่งมีคนทักนี่แหละค่ะ ว่านางน่าเป็นพระเอก 5555+ พอเมลล่าเลยเกินปึ๊งไอเดีย
ทีนี้มาตอบคำถามที่ทุกคนยังสงสัยกันก่อน:


(1)   เรื่องนี้ใครเป็นพระเอก
(ตอบ) ศานนท์ค่ะ ศานนท์ ดังนั้นความท้าทายต่อไปของเมลล่าคือทำให้ทุกคนรักลุงค่ะ คอนเซปท์แรกของเรื่องนี้คือคำถามที่ว่า ‘ถ้าเสี่ย (พระเอก) ไม่หล่อไม่รวย หุ่นไม่ดี แถมยังแก่ เด็กเสี่ยไม่ใสซื่อ และไม่ได้ทำเพราะจำเป็นล่ะ จะเป็นยังไงต่อ?’ แต่รู้สึกไปๆ มาๆ ก็หลุดคอนเซปท์ไปเยอะ 5555+


(2)   ทำไมตุลย์มาทำงานนี้
(ตอบ) ตามแลปบนค่ะ ไม่ได้จำเป็นแค่ทำเพราะอยากได้เงินเรียนม.แพงๆ อยากถีบตัวเองขึ้นจากสภาพชีวิตเดิมๆ นางเลือกเรียนมหาลัยธรรมดาได้ค่ะ แต่นางไม่ทำ นางฝันสูง เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมหนูตุลย์ถึงยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นง่าย นั่นเพราะส่วนหนึ่งคือนางทำตัวเองด้วย [อ้างอิงจากตอนที่ 1 และตอนพิเศษเนอะ]


(3)   ทำไมตุลย์ไม่หนี
(ตอบ) ธวัตรมีเส้นสาย + สัญญาที่นางเซ็น ต่อให้หนีก็หนีไม่รอด จะเสี่ยงกับตัวนางเปล่าๆ  ในขณะที่ถ้านางเลือกจะอยู่และทำตัวดี ธวัตรจะไม่เข้ามายุ่มย่ามเลย จะเห็นว่า ‘ในความจริง’ แล้วคุณภาพชีวิตหนูตุลย์จัดอยู่ในระดับที่ ‘ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายได้’  นางมีอพาร์ทเม้นท์ เรียนม.ดีๆ มีเงินใช้ เพียงแต่นางไร้อิสระ ตัดสินใจอะไรเองไม่ได้ เหมือนกับเลี้ยงไว้ใช้งาน แค่มีชีวิตผ่านๆ ไปแต่ละวัน นางเลยไม่มีความสุข จนทำให้รู้สึกว่าทุกอย่างมันแย่ไปหมด


(4)   ธวัตรลอยนวล?
(ตอบ) ใช่ค่ะ ตามนั้นเลย เรื่องนี้ทุกตัวละครมีเหตุลของตัวเอง แต่นางก็ยังเป็นคนเลวเนอะ


(5)   เรื่องนี้ฟรุ้งฟริ้ง ไม่ดาร์กจริงเหรอ
(ตอบ) ก็... ฟรุ้งฟริ้งนะ? ถถถถถ โดยสันดานแล้ว เมลล่าชอบใส่ปัญหา + ดราม่า ลงไปในเรื่องเยอะๆ ทำแล้วรู้สึกว่ามันอัดแน่นไปด้วยอารมณ์ดี เคยพยายามเขียนสโลว์ไลฟ์แล้วค่ะ รู้สึกว่าโลกสวยไป ดราม่าอยู่ไหน กระหายเหลือเกิน!
สำหรับเรื่องนี้ก็จะมีปัญหาตามมาบ้างค่ะ แต่ไม่หนักหนาสาหัสอะไร (คิดว่านะ) ที่เมลล่าบอกได้คือ หวานๆ เยอะกว่า และไม่มีดราม่าพ่อแง่แม่งอน ตบจูบ ทำร้ายร่างกาย นายเอกเป็นง่อย พระเอกพูดจาหมาๆ และอื่นๆ แน่นอน ดังนั้นใครหวังจะเจอแนว rape ตบจูบสวรรค์เบี่ยง หรือแนวมาเฟียยิงกันแย่งผู้หญิง บอกเลยว่าไม่มี ตอนนี้ยังไสยไสยค่ะ #โดนแม่ยกรุมตบ ดราม่าเรื่องนี้มีความหน่วงเบาๆ แค่นั้นเนอะ หนูตุลย์นางสตรองงง ถถถถ


(6)   เพื่อนร่วมคลาสของตุลย์จะเป็นยังไงต่อ
(ตอบ) อันนี้ต้องตามดูกันไปค่ะ อิอิ ธวัตรไปแล้ว แต่พวกนางยังอยู่ต่อ เมลล่ายังเล็งๆ ไว้เหมือนกันว่าจะทำคู่พิเศษดีไหม 555 แต่ตอนนี้ยังมองไม่ออกค่ะ ดูๆ กันไปก่อนเนอะ ถถถถ เรื่องนี้จะมีตัวละครเข้ามาเรื่อยๆ ค่ะ อยากให้มองว่าทุกตัวเป็น ‘สีเทา’ ไม่ว่าจะฝั่งของพระเอกนายเอก ตัวร้าย หรือตัวประกอบ ชีวิตเรามีเข้ามาและผ่านไป ทุกตัวละครอาจไม่ได้รับผลกรรมครบ แต่ก็เสียอะไรบางอย่างไปเหมือนกัน อิอิ

ต้องขอโทษนักอ่านที่เมลล่าต้องตอบคำถามนอกรอบ ซึ่งแปลว่าหลายจุดเมลล่าอาจลงลายละเอียดไม่ดี และไม่มากพอจะทำให้นักอ่านเข้าใจเนื้อเรื่องทั้งหมด จุดนี้เมลล่าต้องปรับปรุงค่ะ ขอบคุณทุกคอมเม้นท์จริงๆ สำหรับกำลังใจ ดีใจมากๆ ค่ะ ไม่ได้เขียนพร้อมๆ กับรอคอมเม้นท์มานานจนลืมไปแล้วว่ามันฟินแค่ไหน ถถถถ


อัพช้าหน่อย เรื่องนี้ต้องขอโทษจริงๆ เพราะพยายามที่สุดแล้วค่ะ 555+ รู้ว่ามันช้าขนาดครึ่งเดือนครึ่งตอน แล้วอีกกี่ปีมันจะจบล่ะเนี่ย!? แต่ช่วยทนกับเมลล่าหน่อยเถอะเนอะ ถถถถ พยายามเร่งแล้วจริงๆๆๆ

สุดท้ายรักนักอ่านทุกคนเนอะ ขอบคุณที่เป็นกำลังใจให้กัน มันสำคัญมากจริงๆ ค่ะ 

หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 22.09.16 {Friday Night : ปล่อยมือ 100%} P.3 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 22-09-2016 18:05:44
สารภาพว่าไม่ได้เข้ามาอ่านเสียนาน กลัวใจเหลือเกินว่าจะมาเจออะไรหนักหน่วง
วันนี้นึกครึ้มเลยโฉบมาดูสถานการณ์เสียหน่อย
ไว้ถ้าฟ้าสว่างกว่านี้จะเข้ามาอ่านจริงจังนะคะ
ให้กำลังใจคนเขียนค่ะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 22.09.16 {Friday Night : ปล่อยมือ 100%} P.3 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 22-09-2016 18:19:39
 :pig4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 22.09.16 {Friday Night : ปล่อยมือ 100%} P.3 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 22-09-2016 19:36:13
บางทีความถูกใจก็ไม่ได้เกิดจากความโดดเด่นเสมอไป

ธวัตรก็คือ...ธวัตรนั่นแหละ

รู้จักตัวเองดี ไม่เลวจนไร้ทางออก และไม่ดี
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 22.09.16 {Friday Night : ปล่อยมือ 100%} P.3 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 22-09-2016 20:52:27
 :z3:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 22.09.16 {Friday Night : ปล่อยมือ 100%} P.3 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Snimsoi ที่ 22-09-2016 22:15:31
เกลียดธวัตรที่สุดตอนที่ให้ตุลย์รับไอ้เด็กพวกนั้นนี่แหละ นางก็รู้ว่าตุลย์จะแย่แต่นางก็ยังทำ นางก็รู้ว่าตุลย์ไม่เหมือนคนอื่นแต่นางก็ยังทำ คนแบบนี้จะมีความรักจริงได้หรอ ขอให้นางหลงรักเด็กขายสักคนแล้วกัน แต่ต้องเป็นเด็กคนอื่นนะ เอาคนที่นางจะไม่มีทางเอื้อมมือไปถึงน่ะ หึ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 22.09.16 {Friday Night : ปล่อยมือ 100%} P.3 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: kimkidoy ที่ 22-09-2016 23:05:47
ทำไมถึงรู้สึกว่าธวัตรก็มีความรัก?หรือผูกพันธ์กะตุลย์?
แต่ด้วยความที่หัวธุรกิจมากกกกกเลยเห็นแก่ตัวมากกกกก
แต่นางก็ยอมปล่อยตุลย์ไป เพราะอยากให้ไปเจอสิ่งที่ดีๆรึเปล่า
เพราะรู้ว่าอยุ่กับตัวเองก็ต้องเป็นเหมือนเดิม
ขอให้เสี่ยรักเสี่ยหลงนะตุลย์ สู้ๆๆน้าาา

ปล.คนแต่งสู้ๆค่าาาาา แต่มาทุกอาทิตย์เลยได้ไหมทมม
สองอาทิตย์ครั้งก็ยังดี นี่รอจนลืมมมม5555555
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 22.09.16 {Friday Night : ปล่อยมือ 100%} P.3 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: autopilot ที่ 23-09-2016 19:11:33
่โอยยยย สงสารตุลย์ แต่รอดูตาลุงศานนท์ คุคุ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 22.09.16 {Friday Night : ปล่อยมือ 100%} P.3 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 23-09-2016 19:52:42
ขอตบธวัตรหน่อยเถอะเงินสำคัญกว่าความรู้สึกสินะแต่ก็นะถ้าตุลย์ไม่หัวสูงหวังสบายก็คงไม่เซ็นตั้งแต่แรก จริงๆเรียนมอแพงๆมันก็ยังมีกองทุนให้กู้นะตุลย์นะแต่ตุลย์เลือกสบายไงเลยต้องเจอแบบนี้ แล้วลุงละลุงดีจริงใช่ไหม
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 22.09.16 {Friday Night : ปล่อยมือ 100%} P.3 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: sincere13 ที่ 05-10-2016 02:33:27
พลาดแล้ววววมาอ่านตอนยังไม่จบบบ รู้สึกอยากอ่านต่อมากกก เป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กเสี่ยที่ดูหม่นดูจริงที่สุด ขอบคุณสำหรับนิยายนะคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 22.09.16 {Friday Night : ปล่อยมือ 100%} P.3 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: kimkidoy ที่ 06-10-2016 20:13:01
มารอตุลย์ทุกวันเลยยยยยย มาเถอะน้าาาา :katai4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 22.09.16 {Friday Night : ปล่อยมือ 100%} P.3 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: lightseeker ที่ 06-10-2016 23:50:49
มาเถอะน้า คิดถึงแล้ว  :กอด1:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 11.10.16 {8th Night : 'สอน' l 8.1} P.4 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 11-10-2016 18:00:33
8th Night : สอน


“ศานนท์...?” พอรู้สึกตัวตุลย์ก็พลั้งปากเรียกชื่อไปแล้ว


เจ้าของแผ่นหลังชะงักราวกับเพิ่งรู้สึกถึงการมาของเขา เสี้ยววินาทีที่ฝ่ายนั้นหมุนตัวหันมา หัวใจเขาเต้นระส่ำ ในหัวเต็มไปด้วยความคิดเตลิดเปิดเปิงมากมาย


ใช่จริงๆ...


ไม่ว่าใบหน้า หรือท่าทาง คนที่ยืนอยู่ตรงข้ามเขาตอนนี้ก็คือ ‘ศานนท์’ ในความทรงจำ ผิดกันกับตอนนั้นเพียงแค่อีกฝ่ายสวมเสื้อผ้าที่สบายกว่า


ภาพที่อยู่ตรงหน้าทำให้เขามึนงงอย่างมาก ความสับสนประเดประดังเข้ามาจนสมองประมวลผลตามเรื่องทั้งหมดไม่ทัน


ศานนท์ ‘ซื้อ’ เขามาที่นี่เพื่ออะไร...?


เอาเข้าจริงๆ นอกเหนือจากเวลาเกือบเดือนที่ตุลย์คลุกคลีกับหนุ่มใหญ่ในฐานะลูกค้า และบทสนทนาผิวเผินเล็กน้อย เรื่องที่อีกฝ่ายเป็นใคร มาจากไหน หรือทำงานอะไร เขาไม่รู้สักอย่าง


ตอนนี้เขาไม่ต่างจากลูกนกในกำมือเลยอีกฝ่ายเลยจริงๆ...


ตุลย์ยืนนิ่ง เม้มปากแน่น หากการที่เขาอยู่กับที่กลับทำให้ศานนท์เลือกที่จะเดินเข้ามาหาเสียเอง ทุกฝีก้าวของหนุ่มใหญ่สร้างความกดดันให้ บีบบังคับให้เขาถอยหลังไปชนโต๊ะวางแจกันเพื่อรักษาระยะห่างที่น้อยลงทุกที


เขาไม่ไว้ใจศานนท์ในตอนนี้...


ท่าทีหวาดระแวงของเขาทำให้หนุ่มใหญ่หยุดฝีเท้า ตุลย์เผลอสบตากับอีกฝ่ายแว่บหนึ่งก็เลือกที่จะเสมองไปอีกทางเพราะมันเป็นแววตาที่ล้ำลึกจนอ่านอารมณ์ไม่ออก


ความเงียบที่โรยตัวเนื่องจากไม่มีใครพูดอะไร สร้างความกังวลให้เขาต่างๆ นาๆ จวบจนกระทั่งหนุ่มใหญ่เป็นฝ่ายหยิบแก้วสองใบใกล้ๆ เคาท์เตอร์ แล้วรินน้ำผลไม้ใส่ลงไปก่อนส่งให้เขาแก้วหนึ่ง


“ดื่มเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ”


“........” ตุลย์เหลือบมองแก้วที่ถูกยื่นมา เขาเลือกใช้ความเงียบแทนการปฏิเสธ



“ไม่ชอบเหรอ?”


“...เปล่า ผมแค่ไม่อยากดื่ม”


“ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะวางยาหรอก” ศานนท์พูดติดตลก  ก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะคลายลงเมื่อคู่สนทนายังคงเงียบ “ฉันไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก วางใจเถอะ แค่ดื่มเป็นเพื่อนฉันหน่อย”


หนุ่มใหญ่ยังยืนกรานด้วยการยื่นแก้วใบเดิมให้เขา และหากยัดมันใส่มือได้ก็คงทำ สุดท้ายเมื่อไม่มีทางเลือกตุลย์ก็ได้แต่รับมันมาถือโดยไม่คิดแตะต้องของเหลวที่อยู่ด้านใน


“มานั่งก่อนสิ”


เขามองแผ่นหลังของหนุ่มใหญ่ที่เดินสวนออกไปหยุดในห้องนั่งเล่น อีกฝ่ายหยิบรีโมทกดปิดโทรทัศน์ ก่อนจะค่อยๆ ทิ้งตัวนั่งบนโซฟาข้างทีวีด้วยท่าทีผ่อนคลายกว่าทุกครั้ง ไม่มีคำพูดอื่นใดอีกนอกจากสายตาที่มองตรงมายังเขาแล้วเผินกลับไปยังที่เก้าอี้ว่างฝั่งตรงข้ามเป็นการเชื้อเชิญกึ่งบังคับให้นั่งลง


“นึกว่าเธอคงลืมฉันไปแล้ว” หนุ่มใหญ่เปรยขึ้นตอนที่เขาทิ้งก้นบนเก้าอี้ “ตอนนั้นมันจบไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ว่าไหม?”


ตุลย์มองตามการเคลื่อนไหวของผู้พูด มันไหลลื่นและสงบเสียจนไม่อาจสัมผัสเจตนารมณ์แฝงอยู่ใต้น้ำเสียง


เขาจะลืมได้ยังไง ในเมื่อการตัดสินใจวันนั้นยังทิ้งความรู้สึกผิดลึกๆ ไว้ในใจ


ช่วงเวลาเกือบหนึ่งเดือนหนึ่งได้สร้าง ‘ความคุ้นเคย’ ทิ้งไว้ หากตอนนั้นเขามีทางเลือกมากกว่านี้ ก็คงไม่ต้องตัดสัมพันธ์ด้วยคำพูดร้ายกาจ แม้ว่าสุดท้ายจะต้องมาลงเอยในฐานะ ‘สิ่งของ’ ที่ถูกขายทิ้ง แต่ความจริงก็คือเขาย้อนกลับไปแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วไม่ได้...


เขาไม่รู้ว่าคนตรงหน้ากำลังคิดอะไร หรือรู้สึกอย่างไร


ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาทำไป สร้างเยื่อใยหรือความเกลียดชังทิ้งไว้ในใจอีกฝ่าย


แต่ตอนนี้ศานนท์คือ ‘เจ้าของ’ ชีวิต และเมื่อไหร่ที่อีกฝ่ายไม่พอใจ จะฆ่าเขาให้ตายก็ย่อมได้


 “...ผมจะได้เรียนต่อไหม” เขาถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ


เพราะหากคำตอบคือ ‘ไม่’ ชะตากรรมของเขาจากนี้ก็คงไม่ต่างจากคนที่ตายไปแล้ว


“เธอทำสัญญาแบบไหนไว้กับธวัตร ฉันก็จะให้เธอแบบนั้น”


“ถ้าอย่างนั้น... ตอนนี้ผมอยู่ในสถานอะไรสำหรับคุณ?”


“เรื่องนั้นฉันยังไม่ได้คิด”


“.............”


เมื่อคำตอบเหล่านั้นคลุมเครือเกินกว่าจะทำความเข้าใจ ตุลย์จึงหยุดซัก


นี่เขากำลังคาดหวังให้อีกฝ่ายพูดอะไร? หรือแค่ปลอบใจว่าทั้งหมดแค่เรื่องบังเอิญ?


“เธอจะไม่ดื่มก็ได้นะ ถ้ามันทำให้รู้สึกไม่ดี” ศานนท์มองแก้วที่เขาถือค้างในมือ


ได้ยินแบบนั้น ตุลย์ก็ไม่ลังเลที่จะวางมันบนโต๊ะ ในเมื่อตอนนี้ปลายนิ้วของเขาชาและเย็นชืดพอๆ กับความรู้สึกข้างใน


เห็นเขานั่งนิ่ง หนุ่มใหญ่ไม่รบเร้าต่อ แต่วางแก้วลงตรงข้ามแล้วลุกขึ้น


“...เธอคงยังไม่พร้อมจะคุย ให้ฉันไปส่งที่ห้องเถอะ”


----------------




ห้องที่ศานนท์พามาอยู่ไม่ไกลจากห้องเดิมนัก แต่ระหว่างทางความใหญ่โตโอ่อ่าของบ้านก็ทำให้เขาอึดอัดเสียจนต้องลอบถอนหายใจเป็นระยะ


“ฉันส่งเธอตรงนี้คงดีกว่า”


อาจเพราะความระแวดระวังที่เขาแสดงออกชัดเจน อีกฝ่ายจึงเดินมาส่งแค่หน้าห้องแล้วขอตัวกลับไป ไม่ได้ตามเข้าใจอย่างที่คิด ซึ่งนั่นก็นับว่าดีต่อตัวเขา


พอเปิดประตูเข้ามาด้านใน ตุลย์ล้มตัวลงนอนบนเตียง เพราะกำลังล้าทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่นานเขาก็จมสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว


ร่างโปร่งสะดุ้งตื่นอีกครั้งเพราะฝันร้าย ระยะหลังมานี้ความเครียดสะสมจากสถานการณ์ต่างๆ ที่เริ่มเลวร้ายลงทำให้เขานอนหลับได้ยากขึ้น และทุกครั้งที่ตื่นขึ้นกลางดึกเพราะฝันร้ายก็มักรู้สึกเหนื่อยกว่าปกติ แต่พอล้มตัวลงนอนต่อกลับไม่ยอมหลับ


ทุกครั้งที่เขามีปัญหากับการนอน ‘ไวน์’ คือเพื่อนที่ดีที่สุด มันเป็นเหมือนสิ่งเสพติดที่ช่วยให้ผ่อนคลาย ทำให้เลิกคิดถึงเรื่องวุ่นวายต่างๆ


เขาเดินไปเปิดตู้เย็น และต้องถอนหายใจอย่างผิดหวังเมื่อมีเพียงน้ำเปล่าสองสามขวดแช่อยู่เท่านั้น


เอาเถอะ ไม่มีก็ไม่มี...


ในเมื่อไม่มีตัวเลือกอื่น ก็คงได้เพียงทำใจยอมรับว่า คืนนี้คงยาวนานกว่าทุกคืน เขาเดินไปเปิดม่านอย่างไม่กระตือรือร้นนัก ให้แสงสลัวจากภายนอกผ่านเข้ามาด้านในห้องอันมืดมิด ทว่าเปิดได้เพียงครึ่งเดียวก็ต้องชะงักมือเพราะเสียงสั่นจากโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง ตุลย์หยิบมันขึ้นมา ก่อนจะพบว่าเป็นเสียงจากข้อความของผู้หญิงที่เขาห่วงใยเหมือนพี่สาวคนหนึ่ง


‘นายอยู่ไหน ทำไมไม่ตอบไลน์ กับข้อความฮะ โทรไปก็ไม่รับ รับเดี๋ยวนี้เลยนะ’


บีพิมพ์สระอะต่อท้ายประโยคเป็นสิบๆ ตัว จนล้นบรรทัด ความห่วงใยที่แฝงมากับข้อความทำให้เขาลอบยิ้มในความมืด ...แค่ครู่เดียวก่อนจะรู้สึกวูบโหวงในอก


น่าเสียดายที่ตอนจากมา เขาไม่มีโอกาสได้บอกลาใครสักคน...


ตุลย์ไล่ดูรายการแจ้งเตือนทั้งหมดที่ค้างอยู่ในโทรศัพท์ รวมทั้งโปรแกรมแชทต่างๆ  นอกจากข้อความยาวเหยียดของหญิงสาว ก็ยังมีเบอร์ของกล้าและคนอื่นๆ ในคลับขึ้นโชว์หราอยู่อีกเป็นสิบสาย


เขามองหน้าจอโทรศัพท์อย่างช่างใจครู่หนึ่ง ก่อนจะกดปิดเครื่อง


ป่านนี้ข่าวเรื่องที่เขาถูกขายน่าจะกระจายไปถึงคนในคลับแล้ว ต่อจากนี้เขาคงไม่ได้กลับไปเหยียบที่นั่นอีก จึงไม่มีประโยชน์หากจะเก็บของที่ทำให้นึกถึงเรื่องในอดีตไว้...


ป๊อก…!


ร่างโปร่งตัดสินใจหักซิมโทรศัพท์ทิ้ง เสียงของมันเบาพอๆ กับหยดน้ำกระทบหิน ทว่าพออยู่ภายใต้ความเงียบกลับก้องกังวาลให้ห้วงอารมณ์กว่าครั้งไหนๆ ชีวิตเขาพบเจอคนมากมาย แต่ไม่มีครั้งไหนที่การจากลาทั้งสั้นและง่าย ทว่าเจ็บปวดลึกๆ ในใจเท่าครั้งนี้


โทรศัพท์ คือ ของอย่างเดียวที่เขาพกติดต่อมา และตอนนี้มันก็โทรออกไม่ได้...


เขาแหงนหน้ามองท้องฟ้าคืนเดือนมืด พอปราศจากดวงจันทร์นภาที่เคยงดงามก็ดูเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย ตุลย์ใช้เวลาพักใหญ่ๆ เดินหยิบจับของกระจุกกระจิกในห้องเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งรู้สึกง่วงจึงล้มตัวลงนอนและหลับไปถึงเช้า


เขาถูกปลุกให้ตื่นอีกครั้งด้วยเสียงเคาะประตู ความง่วงสะสมจากเมื่อคืนทำให้หงุดหงิดเป็นพิเศษ แต่พอระลึกว่าไม่ได้อยู่ที่อพาร์ทเม้นท์เหมือนเมื่อก่อน เขาก็ถอนหายใจยาว ก่อนจะลุกไปที่ประตูด้วยสภาพงัวงเงีย หัวฟูเหมือนคนเพิ่งตื่น


ตุลย์แง้มประตูเปิดเพียงครึ่งเดียวพอให้เห็นใบหน้าของผู้มาเยือน แสงจากด้านนอกทำให้เขาหยีตามองอยู่นานกว่าจะรู้ว่าคนตรงหน้าคือ ศานนท์


 “มีอะไรหรือเปล่าครับ?”


เจ้าของเสียงเคาะประตูมองสำรวจเขาซึ่งในอยู่ชุดเดียวกับเมื่อวานตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนหลุดยิ้มบางๆ


“ฉันคงไม่ได้มากวนเวลานอนของเธอหรอกใช่ไหม?”


“...........” ตุลย์ไม่พูด แต่ปั้นยิ้มแทนคำตอบ


จริงอยู่ที่เขาหงุดหงิดกับคำถามและใบหน้าเปื้อนยิ้มนั่น ...แต่ก็ไม่โง่พอจะยั่วโมโหคนที่มีอำนาจขนาดซื้อขายคนได้เหมือนผักปลา


ศานนท์แกล้งเมินรอยยิ้มจอมปลอม แล้วพูดต่อ


“วันนี้ฉันอยากให้เธอออกไปด้วยกันหน่อย ฉันจะรออยู่ข้างล่าง”


“ครับ ล้างหน้าแปรงฟันแล้วผมจะลงไป”


หนุ่มใหญ่พยักหน้าเบาๆ เชิงเข้าใจ เขาก็ดันประตูอย่างไม่รอช้า


“เดี๋ยว”


ตุลย์ผงะไปเล็กน้อยตอนที่จู่ๆ ศานนท์สอดมือพรวดพราดเข้ามารั้งขอบประตูที่กำลังจะปิดสนิทไว้ เขาทำอะไรไม่ถูกนอกจากออกแรงต้านไม่ให้อีกฝ่ายผลักเข้ามา ซึ่งทำเอาหนุ่มใหญ่อึ้งไปไม่น้อย


“...อีกสักพักฉันจะให้คนเอาเสื้อผ้าขึ้นมาให้”


เขาพูดแค่ ‘ขอบคุณ’ ก่อนจะปิดประตูใส่ทันที


----------------------------------
พจมานเพิ่งย้ายเข้าคฤหาสน์ครั้งแรกก็อย่างงี้ ขี้ระแวงไปหมด 555+
ขอบคุณนักอ่านที่อุตส่าห์ไม่ลืมเค้า ย้อนมาเม้นท์ทั้งที่เม้นท์ไปแล้วว เมลล่าดีใจมากกก ขอบคุณที่ยังไม่ลืมกันค่ะ
เค้ามาอัพช้า เค้ารู้ ฮืออ เค้ามีสอบด้วยยย แต่เค้าจะไม่แก้ตัววว
ตอนหน้ามี NC อี้อี้ แต่อย่าคาดหวังอะไรมากค่ะ เท่าที่อ่านกันมาคงรู้ว่า sex scene ของเมลล่าสุดจะกากขนาดไหน 555+
วันนี้ขอลาก่อนค่า ปวดหัวว ฮือๆๆ ยังสอบไปเสร็จ แต่หวังว่าจะผ่านมันไปได้  :z3:
>>READ8.2<< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54053.msg3542864#msg3542864)
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 11.10.16 {8th Night : 'สอน' l 8.1} P.4 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 11-10-2016 18:16:40
สู้ๆนะคะคนเขียน
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 11.10.16 {8th Night : 'สอน' l 8.1} P.4 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 11-10-2016 18:46:02
ขอให้สอบผ่านนะจ๊ะ

อารมณ์ตุลย์นี่อย่างกับเดินเข้าบ้านผีสิง ระแวงทุกสิ่งอย่าง

เริ่มจีบใหม่แล้วกันนะพี่ศานนท์

ปล. ถ้ามีเวลาก็กลับไปอ่านทวนอีกครั้งนะคะ มีคำผิดและประโยคแปลก ๆ เล็กน้อย

สู้ ๆ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 11.10.16 {8th Night : 'สอน' l 8.1} P.4 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 11-10-2016 20:29:41
เรื่องนี้สนุกมากๆ เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ
:hao7: :pig4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 11.10.16 {8th Night : 'สอน' l 8.1} P.4 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: GAZESL ที่ 12-10-2016 22:06:36
ศานนท์ต้องการอะไรร
จะหนีเสือปะจรเข้ป่าวเนี่ย
สงสานนน ตุลย์น่าจะเครียด  :hao5:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 11.10.16 {8th Night : 'สอน' l 8.1} P.4 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Snimsoi ที่ 12-10-2016 23:05:02
ไม่เห็นจะต้องตัดการติดต่อกับคนที่เก่าเลยนะตุลย์ บอกลาสักนิดก็ยังดี จะได้ไม่ต้องโดดเดี่ยวอย่างนี้ จะหักดิบหรอ  :mew6:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 11.10.16 {8th Night : 'สอน' l 8.1} P.4 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: kimkidoy ที่ 12-10-2016 23:48:59
ตุลย์เอ้ยยยนนนชีวิตนี้จะมีความสุขกะเค้าสักทีไหมมมม
คุณศานก็ไม่พูดอะไรเลยยยยยย คือไรรรร 55555
 
ปล.สั้นจังงงง เอาอีกๆๆๆเถอะจ่ะนักเขียนจ๋าาาา :hao7:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 11.10.16 {8th Night : 'สอน' l 8.1} P.4 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: lightseeker ที่ 13-10-2016 00:21:05
กดเข้ามาอ่านด้วยใจปลื้มปริ่ม อยากให้ตุลย์ได้เจอแสงสว่างจริงๆกับเค้าสักที อยากให้ศานนเป็นคนดี  :mew4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 11.10.16 {8th Night : 'สอน' l 8.1} P.4 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 13-10-2016 00:24:34
ตุลย์กลายเป็นสัตว์น้อยขี้นะแวงไปแล้ว~ :hao4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 11.10.16 {8th Night : 'สอน' l 8.1} P.4 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: kuciiq ที่ 16-10-2016 10:05:24
รอๆค่าา อารมณ์ค้างมากเลย
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 11.10.16 {8th Night : 'สอน' l 8.1} P.4 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: mimo ที่ 22-10-2016 20:10:18
รอติดตามอยู่นะค่ะ 
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 11.10.16 {8th Night : 'สอน' l 8.1} P.4 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 22-10-2016 22:07:32
อ่า......มาต่ออีกนะครับ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 11.10.16 {8th Night : 'สอน' l 8.1} P.4 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: alien.aiiwz ที่ 25-10-2016 15:05:17
อ่านรวดเดียวจนถึงตอนนี่เลย
ชอบอ่าา
หวังว่าตุลล์จะเลิกระแวงได้นะ
ศานนท์ดูไม่ใช่คนเลวร้ายอ่ะ
แต่เราว่าตัวแปรน่าจะมาจากที่อื่น
รอๆ ค่า
 :hao6: :กอด1:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 11.10.16 {8th Night : 'สอน' l 8.1} P.4 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Biwty... ที่ 25-10-2016 16:45:34
ดันเชียร์ธวัตรไปซะด้ายย :ling1:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 11.10.16 {8th Night : 'สอน' l 8.1} P.4 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 26-10-2016 08:40:54
น่าสงสารตุลย์ แต่ชีวิตบางครั้งก็ไม่มีทางเลือกมากจริงๆนั่นล่ะ ศานนท์ดูไม่ใช่คนเลวร้ายเท่าไหร่ น่าจะดีกว่า...
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 11.10.16 {8th Night : 'สอน' l 8.1} P.4 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: korinasai ที่ 26-10-2016 23:32:05
ทะเยอทะยาน คำเดียวจริงๆ ที่พาตุลย์มาถึงจุดนี้
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 11.10.16 {8th Night : 'สอน' l 8.1} P.4 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 27-10-2016 13:00:12
สนุกมากกกกค่ะ อ่านรวดเดียวเลย สนุกกว่าที่คิดไว้เยอะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 13.11.16 ประกาศ(ค่อนข้าง)สำคัญ P.4 [no update]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 13-11-2016 19:21:11
**มีข่าวร้ายมาแจ้งค่ะ**

เมลล่าคงไม่ได้มาอัพจนหลังวันที่ 20 ธันวา นอกจากจะหายไปเป็นเดือนแล้วยังจะหยุดเพิ่มอีก ฮืออออ สอบมิดเทอมเสร็จไม่ได้รู้สึกว่าว่างขึ้นเลยซักกะติ๊ดดด คือมันยุ่งจนคิดงานไม่ออก เศร้าค่ะ อุตส่าห์หนีวิทย์หนีคณิต ก็ยังต้องมาเจอคณะงานเยอะอีก ถถถถ
เดือนนี้ต้องเคลียร์งานอย่างรัวๆ เพราะเดือนหน้าสอบอีกล้าว ถถถถ แต่ปีใหม่เมลล่าหยุดค่ะ จะกลับบ้านไปอยู่กับป๊า คงมีเวลาให้กับนิยายมากขึ้น #ไปหัดซิ่งมอไซด์ 55555+

สรุปก็คือ ช่วงนี้จะไม่ได้เข้ามาเล้าบ่อยๆ ค่ะ ขอโทษคนที่รอด้วยนะคะ  รู้สึกผิดจุงงงงงง 555+ และจะกลับมาช่วงหลังสอบคือ ราวๆ วันที่20 ค่ะ

*ส่วนใครกลัวว่าเมลล่าจะไปแล้วไปลับ ขอตอบว่า ไม่หายค่ะ กลับมาแน่นอน อยากที่สัญญาไว้ตอนแรกๆ คือจะเขียนให้จบแน่นอน เพราะวางพล็อตทั้งหมดไว้ในระดับที่ค่อนข้างละเอียด ส่วนที่เหลือมีแค่ต้องต่อเติม สร้างซีน ใส่อารมณเข้าไปเท่านั้น อีกอย่างงานนี้เขียนเผื่อแก้มือเรื่องนิสัยทำงานไม่จบกับไม่ยอมตรวจทานของตัวเอง ดังนั้นเลาจะไม่ยอมไปไหนน แม้ว่าคนอ่านจะหนีเลาไปหมดแล้ว ถถถ
สุดท้ายขอบคุณสำหรับทุกกำลังสนับสนุนและโอกาส บอกตามตรงว่าในชีวิตไม่เคยขึ้นมาเหยียบ 100+ เม้นท์ รู้สึกเป็นความสำเร็จอีกก้าว เมื่อก่อนอย่างเจ๋งก็ 60  ถถถถถถถ

**** ถ้าเลาผิดสัญญาสแปมข้อความใส่ PM เลาได้****

-Caramella-
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 13.11.16 ประกาศ(ค่อนข้าง)สำคัญ P.4 [no update]
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 13-11-2016 19:23:18
อย่างทิ้งเรื่องนี้นะคะ รออ่านอยู่ สู้ๆ ค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 13.11.16 ประกาศ(ค่อนข้าง)สำคัญ P.4 [no update]
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 13-11-2016 21:39:34
เลาจะรออย่างตั้งใจ~~ :hao7:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 13.11.16 ประกาศ(ค่อนข้าง)สำคัญ P.4 [no update]
เริ่มหัวข้อโดย: kimkidoy ที่ 13-11-2016 21:48:50
รอน้าาาาาาาาอย่าทิ้งกันจริงๆนะจ่ะ
คิดถึงตุลย์และคุณศานนท์มากมายยย :ling1:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 13.11.16 ประกาศ(ค่อนข้าง)สำคัญ P.4 [no update]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 14-11-2016 01:29:23
ติดตามค่าาา ชอบมากกก เรื่องดูไม่หวือหวา แต่ดูมีอะไรน่าค้นหา ชอบนายเอกแบบนี้  :mew1:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 13.11.16 ประกาศ(ค่อนข้าง)สำคัญ P.4 [no update]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 15-11-2016 22:25:15
ขอเป็นกำงใจให้เรื่องการเรียนค่ะ

ใช้ชีวิตมหาวิทยาลัยให้คุ้มที่สุด อยากเรียนอะไรก็ไปลงเรียน อยากออกค่ายก็ไป ทำกิจกรรมต่าง ๆ ให้เต็มที่ หาเพื่อนต่างคณะ

เชื่อพี่เถอะ ชีวิตช่วงนี้ไร้กังวลมากที่สุดแล้ว รับผิดชอบหน้าที่ของตนเองให้ดีและครบถ้วน

จบไปแล้วโอกาสจะได้อิสระอย่างนี้ต้องรออีกหลายปี

ชีวิตต้องใช้ให้คุ้ม
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 13.11.16 ประกาศ(ค่อนข้าง)สำคัญ P.4 [no update]
เริ่มหัวข้อโดย: ooomukooo ที่ 17-11-2016 11:47:11
ติดตามค่ะ อ่านสนุกดีค่ะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 13.11.16 ประกาศ(ค่อนข้าง)สำคัญ P.4 [no update]
เริ่มหัวข้อโดย: YANIZAxx™ ที่ 22-11-2016 22:56:43
โอ้ววว นานๆทีมีฟิคถูกเสปค นายเอกไม่น่ารำคาญมาก
รอตอนต่อไปนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่า
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 13.11.16 ประกาศ(ค่อนข้าง)สำคัญ P.4 [no update]
เริ่มหัวข้อโดย: lightseeker ที่ 22-11-2016 23:19:28
รอนะคะ สัญญากันแล้วห้ามหลอกกันน้าา  :hao5:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 13.11.16 ประกาศ(ค่อนข้าง)สำคัญ P.4 [no update]
เริ่มหัวข้อโดย: ooomukooo ที่ 23-11-2016 04:06:42
จะรอน่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 13.11.16 ประกาศ(ค่อนข้าง)สำคัญ P.4 [no update]
เริ่มหัวข้อโดย: .hnk ที่ 24-11-2016 01:16:46
โอเอ็มจี้ .. ยังไม่ทันได้อ่านตอนตุลย์?มีความสุขเลยง่ะ แง๊ จะรอนะคะ
อย่าทิ้งเรื่องนี้น้า ฮื่ออออออออ
ส่วนตัวชอบคุณศาน? โอ้ย ชอบเสน่ห์คนแก ถ้ามีตอหนวดนิดๆพอซุกไซร้ซอกคอให้ครูดผิวคงฟินดี /โอ้ยแค่คิดกำเดาก็จิไหล แฮ่กๆ (ทำไมหื่น....)

 :haun4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 13.11.16 ประกาศ(ค่อนข้าง)สำคัญ P.4 [no update]
เริ่มหัวข้อโดย: Snimsoi ที่ 25-11-2016 03:25:56
รอนะคะ เรารอได้ เลารอเก่งนะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 13.11.16 ประกาศ(ค่อนข้าง)สำคัญ P.4 [no update]
เริ่มหัวข้อโดย: kimkidoy ที่ 24-12-2016 19:24:51
มายังน้าาาาาาา มาได้แล้วน้าาาาาาาาาา
 :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 25.12.16 8th Night l 8.2 'สอน' (100%) P.5 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 25-12-2016 19:02:59
โดนดันแล้วววว แอร๊ยยยยยยย เอ้า! ลงก็ลง ถถถถถ ตอนนี้คิดว่าจะตุนไว้ถึงวันที่ 30 ค่อยทะยอยปั่นฟีตลงให้รัวๆ 555+ แต่ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ อย่างน้อยทุกคนก็ยังไม่ลืมเลา #ยิ้มหวาน
-----------------------------------------------

[8.2]

เช้านั้น ศานนท์พาเขามายังห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ก่อนจะโยนทิ้งให้แฮร์สไตล์ลิสที่เจ้าตัวรู้จักมักจี้โดยไม่พูดพล่ามทำเพลง ส่วนตัวเองก็รีบร้อนออกจากร้านไป ครึ่งวันนั้นตุลย์ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการถูกจับหันซ้ายหันขวา ย้ายไปตรงโน้นทีตรงนี้ที มีคนมารุมมาตุมยิ่งกว่าดาราหนังในทีวี


ไอ้ที่พูดว่า ‘ไปด้วยกันหน่อย’ เอาเข้าจริงกลับเป็นเขาที่ต้องเค้นสมองสรรหาวิธีร้อยแปดอย่างมารับมือช่างผมที่พยายามยัดเยียดไอเดียแปลกๆ ใส่บนตัวเขาประหนึ่งรังสรรค์ผลงานชิ้นเอกอย่างสุภาพ ไม่ให้เสียชื่อศานนท์ในฐาน ‘ลูกค้าประจำ’ ซึ่งพอย้อนคิดถึงหน้าของเขาคนที่ทำให้เขาต้องมาจุ้มปุกอยู่นี่ มันก็น่าหงุดหงิดไม่น้อย


แต่ถึงแม้ว่าจะกินเวลาไปหลายชั่วโมง และนั่งจนชนิดที่ว่าก้นระรม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผลลัพธ์ออกมาดีเกินคาดไว้มาก


ภาพสะท้อนในกระจกเงาที่ตั้งอยู่ตรงข้าม คือ ใบหน้าผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่จัดว่าหวาน แต่องค์ประกอบต่างๆ ก็สะดุดตามากพอจะทำให้คนเหลียวหลังกลับมามอง ผมรองทรงต่ำแฟชั่นถูกตัดและย้อมเป็นน้ำตาลเทา เผยให้เห็นต้นคอและไหปลาร้าที่โผล่พ้นคอเสื้อยืดขลับให้ชายที่จ้องกลับมานั้นดูมีเสน่ห์กว่าเคย


“เป็นยังไงคะ ชอบหรือเปล่า” สไตล์ลิสถาม ขณะที่หมุนเก้าอี้เขาช้าๆ เพื่อให้เห็นใบหน้าในองศาที่ต่างกัน


ตุลย์ยิ้มบางๆ เขายังตอบไม่ได้ว่าชอบหรือไม่ หากจะอธิบายความรู้สึกตอนนี้คงต้องพูดว่า ‘แปลกตา’ เสียมากกว่า


“แบบนี้ต้องถูกใจคุณศานนท์แน่ๆ”


“........”


ยังไม่ทันขาดคำ เจ้าของชื่อที่หายหน้าหายตาไปกว่าครึ่งค่อนวันก็โผล่มาหน้าร้านราวกับกะเวลาไว้พอดิบพอดี ฝ่ายนั้นสาวเท้ายาวๆ เข้ามาหา คลี่ยิ้มอย่างหน้าหมั่นไส้ตอนที่เห็นเขา


“เธอดูดีขึ้นนะ”


ตุลย์หน้ากระตุก


จะบอกว่าเมื่อก่อนเขาหน้าตาทุเรศงั้นสิ?


ไม่รู้จะเอ่ยปากพูดอะไร นอกจากฉีกยิ้มรับแกนๆ เป็นคำตอบ ศานนท์เห็นอย่างนั้นก็แกล้งทำทีเมินผ่าน หันไปคุยกับแคชเชียร์แล้วยื่นบัตรเครดิตใบหนึ่งให้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


“ไม่ชอบอย่างนั้นสิ?”


 ฝ่ายนั้นถามด้วยระดับน้ำเสียงแค่พอได้ยินระหว่างที่กำลังรอพนักงงานทำรายการ


“เปล่า...”


“จริงเหรอ”


“ผมจะโกหกคุณทำไม?”


“ก็สีหน้าเธอมันฟ้องว่าโกหก”


ห๊ะ?


ตุลย์ยกมือลูบหน้าตามที่ศานนท์พูดแทบจะในทันที กว่าจะรู้ว่าตกหลุมพรางหนุ่มใหญ่เข้าให้ก็ตอนที่อีกฝ่ายหัวเราะในคอให้กับมือที่ค้างเติ่งกลางอย่างอากาศอย่างคนวางไม่ถูกของเขา


การถูกปั่นหัวทำให้เขารู้สึกงุ่นง่านจนต้องเบนสายตาไปทางอื่นเพื่อตัดบทก่อนที่จะเผลอแสดงสีหน้าไม่พอใจชัดเจนไปกว่านี้ จนกระทั่งแคชเชียร์ส่งบัตรคืนพร้อมใบเสร็จ ศานนท์จึงพาเขาออกจากร้าน


เดินออกมาได้สักพัก จู่ๆ อีกฝ่ายก็โพล่งขึ้น


“ขอโทษที่ทิ้งเธอไว้ เมื่อเช้าฉันติดธุระกับลูกค้า”


“ทำไมครับ?” ตุลย์เลิกคิ้ว “คุณไม่จำเป็นต้องบอกผมก็ได้นี่”


คนฟังถอนหายใจอ่อน “ฉันก็แค่อยากให้เธอรู้ เพราะครั้งนี้ ‘เรา’ เริ่มต้นไม่สวย”


เรา?


ตุลย์เค้นเสียงในคอ “สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว ผมไม่ใช่เด็กขายคนนั้นแล้ว อีกอย่างเรื่องระหว่างคุณกับผมก่อนหน้านี้ก็ไม่มีอะไรลึกซึ้งมากพอจะเรียกว่า ‘เรา’”



ประโยคนั้นทำเอาศานนท์เงียบไปอึดใจ


“เย็นชาจังนะ”


มันยากที่จะคาดเดาเจตนารมณ์อีกฝ่ายภายใต้น้ำเสียงคล้ายล้อเล่นนั้น คงดีกว่าถ้าเดินตามเงียบๆ แล้วทำเหมือนไม่เคยพูดอะไรออกไป


แต่จู่ๆ หนุ่มใหญ่ก็เอื้อมมือมาโอบเอวหลวมๆ แล้วรั้งเขาให้เดินตามเข้าไปในร้านเสื้อผ้าบุรุษแห่งหนึ่ง สภาพร้านคุ้นตาจนน่าแปลกใจ หากไม่นานเขาก็ระลึกได้ตอนที่มองปราดผ่านชื่อร้านว่ามันคือร้านประจำของธวัตรตอนที่เขามักติดสอยห้อยตามอีกฝ่ายไปไหนมาไหนช่วงแรกๆ


“เมื่อคืนเธอไม่ได้เก็บเสื้อผ้ามาไม่ใช่เหรอ เลือกเอาสักหน่อยสิ” ไม่ว่าเปล่าฝ่ายนั้นยังดันหลังเบาๆ เป็นเชิงให้ตัดสินใจ


เขาเดินเมียงมองอยู่สักพัก พอไม่รู้จะทำอะไรต่อก็หันไปถามคนด้านหลัง


“คุณชอบแบบไหน?”


ปกติแล้วเรื่องเสื้อผ้าธวัตรจะเป็นคนจัดการหามาให้ น้อยครั้งที่เขาจะเป็นฝ่ายเลือกเอง ซึ่งครั้งสุดท้ายมันก็นานมากจนแทบจำไม่ได้


“ถามความเห็นฉันเหรอ?” ศานนท์เลิกคิ้วเล็กน้อย เข้ามาหยิบเสื้อตัวหนึ่งจากราวตรงหน้าเขา “ตัวนี้เป็นยังไง”


เขารับเสื้อตัวนั้นมาโดยไม่คิดอะไรมาก จังหวะนั้นศานนท์ก็เดินหายฝั่งตรงข้าม ก่อนจะกลับมาพร้อมเสื้อผ้าใส่ไม้แขวนสองสามตัวโดยมีพนักงานของร้านเดินตามหลังอยู่ไม่ห่าง


“ลองแบบนี้ดู”


ตุลย์พยักหน้าหงึกหงัก รับเสื้อผ้าพวกนั้นมา ก่อนเดินตามพนักงานเข้าไปในห้องลองชุด เขาใช้เวลาลองไม่นาน แค่เช็คให้แน่ใจว่าทุกตัวใส่ได้พอดีก็เดินกลับออกมา แปลกใจนิดหน่อยตอนที่เห็นศานนท์ยืนกอดอกอยู่ด้านหน้าคล้ายกำลังรออะไรสักอย่าง


“เป็นยังไง ใส่ได้ไหม?”


“ครับ อยากให้ผมลองให้ดูไหม”


 หนุ่มใหญ่ส่ายหน้าช้าๆ “ไม่เป็นไร ไว้คราวหลังเถอะ”


ศานนท์ปล่อยเขาเลือกกางเกงและชุดลำลองเพิ่มอีกสามสี่ชุด โดยที่คราวนี้อีกฝ่ายขอให้พนักงานเป็นคนจัดการให้ ส่วนตัวเองก็นั่งรออยู่ตรงมุมร้าน กดโทรศัพท์ฆ่าเวลา ตุลย์เวียนไปกลับห้องลองอยู่สองสามครั้ง พอได้เสื้อผ้าพอสำหรับที่จำเป็น เขาก็คร้านจะเลือกต่อ ส่วนค่าใช้จ่ายหนุ่มใหญ่ก็เป็นคนจัดการให้เหมือนเคย


ศานนท์แวะทำธุรอีกสองสามอย่าง ก่อนจะออกจากห้างสรรพสินค้าช่วงเย็นๆ ระหว่างทางพวกเขาไม่ได้คุยอะไรกัน นอกจากถามตอบเป็นพิธี ความเงียบยิ่งทำให้รู้สึกกระอักกระอ่วน พอกลับถึงบ้าน ตุลย์ก็ขอตัวขึ้นมาที่ห้อง วางข้าวของระเกะระกะไว้บนโซฟาแล้วทิ้งตัวนอนหงายตามแบบคนหมดอาลัยตายอยาก


จะว่าไปห้องนี้ก็กว้างขวางอยู่พอตัว ดูไม่เหมือนห้องเดี่ยวสักนิด เฟอนิเจอร์หลายชิ้นอย่างพวกตู้โต๊ะดูมีอายุ ทว่ากลับยังอยู่ในสภาพดีเหมือนถูกดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ ระหว่างที่กำลังนอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อย พลันก็สะดุดตาเข้ากับวัตถุทรงสูงบนโซฟาข้างศีรีษะ


“...ไอ้นี่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ตอนแรกนี่?”


ถึงแม้เมื่อคืนจะมืดมาก แต่เขาก็มั่นใจว่าบนโต๊ะตัวนี้ไม่เคยมีแก้วลายหินอ่อนวางไว้


ตุลย์เด้งตัวนั่ง หยิบมันขึ้นมา ก่อนจะพบว่าด้านในมีเครื่องเขียนสามสี่ชิ้นใส่ไว้ เขาลุกขึ้น เดินดูรอบๆ แล้วก็เป็นไปดังคาด มีข้าวของเครื่องใช้จำนวนหนึ่งถูกนำมาเติมในครัว ห้องนอน และห้องนั่งเล่น พอชะโงกหน้าเข้าไปในห้องน้ำ ก็ได้กลิ่นอ่อนๆ ของน้ำหอมและสบู่ บนชั้นวางของมีแปรง ยาสีฟัน และข้าวของส่วนตัวอีกจำนวนหนึ่งที่โผล่มาจากไหนไม่รู้


บางทีนี่อาจเป็นเรื่องดีที่สุดของวันนี้


ตุลย์คว้าผ้าเช็ดตัวบนจากในตู้ ตัดสินใจอาบน้ำชำระร่างกายแล้วเปลี่ยนมาสวมชุดนอน ชั่วครู่ที่เดินออกมาเห็นถุงกระดาษระเกะระกะก็เกิดความคิดอยากจะหยิบของข้างในออกมาลองเสียอย่างนั้น เขาสุ่มหยิบเสื้อออกมาตัวหนึ่ง มันเป็นเชิ้ตสีน้ำเงินเข้ม ปลายแขนเป็นสีฟ้าเกือบขาว ร่างโปรงยกขึ้นทาบลำตัว แล้วมองภาพที่สะท้อนจากอยู่ในจอทีวี 


ก็ดูไม่เลว...


เขายิ้มมุมปาก


จะว่าไปศานนท์ก็เข้าใจเลือก


ก๊อก ก๊อก ก๊อก!


ไม่ทันไรเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ตุลย์เก็บเชิ้ตที่อยู่ในมือใส่ลงถุง ก่อนจะเดินลิ่วๆ ไปเปิดประตูรับแขกยามวิกาล  ซึ่งก็ไม่อาจเป็นใครอื่นนอกจากเจ้าของบ้าน ศานนท์อยู่ในชุดเตรียมนอนไม่ต่างจากเขา หากสิ่งที่บ่งบอกตรงกันข้ามเห็นทีจะเป็นขวดไวน์ในมือซ้ายของอีกฝ่าย


“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”


แทนคำตอบ หนุ่มใหญ่ยื่นไวน์ขวดนั้นให้เขา


“ขอเข้าไปได้ไหม”


ตุลย์รับมาถืออย่างงงๆ


ของก็อยู่ในมือ แถมเจ้าตัวก็ยังยืนกรานจะเข้ามาให้ได้ เห็นทีเขาคงไม่มีทางเลือกมากนัก


“ครับ ยังไงที่นี่ก็บ้านคุณอยู่แล้ว”


ร่างโปร่งถอยหลังให้ก้าวหนึ่ง ให้คนด้านนอกผ่านเข้ามาแล้วงับประตูเบาๆ ครั้นหันกลับมาก็เห็นว่าอีกฝ่ายทิ้งตัวนั่งบนโซฟายาวที่เขาวางถุงระเกะระกะเอาไว้ครึ่งหนึ่ง แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไร ฝ่ายนั้นก็ชิงเริ่ม


“ฉันว่าจะหาโอกาสคุยกับเธอตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”


ประโยคนั้นชักทำให้ตุลย์ไม่แน่ใจ “ผมทำอะไรให้คุณไม่ชอบหรือเปล่า ถ้ามี ผม...”


“ก็นั่นแหละที่ฉันไม่ชอบ เธอไม่เป็นตัวของตัวเอง” ศานนท์สบตาเขานิ่งๆ


“แต่ผมว่าคุณคงไม่ชอบเวลาที่ผมเป็นตัวของตัวเองมากกว่า”


ความเงียบโรยตัวอย่างน่ากระอักกระอั่ว หากหนุ่มใหญ่ยังคงนิ่งฟังเหมือนรอให้เขาพูดบางอย่าง จนสุดท้ายตุลย์ก็เป็นฝ่ายวางขวดไวน์ในมือลงบนโต๊ะตรงหน้าศานนท์


“ถ้าอยากให้ผมเป็นเผม คุณก็ต้องตอบคำถามว่าผมมาอยู่ที่นี่เพื่ออะไร”


 “เป็นแบบนี้มันก็ดีต่อตัวเธอไม่ใช่หรือ”


“ผมไม่ได้อยากรู้เรื่องนั้น...” ตุลย์เม้มปาก รู้ว่าต่อให้เค้นยังไงอีกฝ่ายก็คงไม่ยอมพูด “ก็ได้ ยังไงตอนนี้คุณก็เป็นเจ้าชีวิตผม ถ้าคุณไม่อยากตอบ ผมจะเลิกถาม”


เขาเดินเลี่ยงร่างสูงไปอีกทาง ทว่าประโยคต่อมากลับทำให้ต้องชะงักฝีเท้า


“ฉันไม่เคยพูดว่าเธอเป็นของฉัน”


กระแสเสียงของศานนท์นิ่งเรียบและจริงจังกว่าทุกครั้ง ยิ่งตอนที่หันไปสบตาฝ่ายนั้น เขาก็ยิ่งหวาดหวั่น


“ถ้าเธอยังไม่เข้าใจ ฉันไม่ได้ซื้อเธอ แต่ซื้อ ‘โอกาส’ ให้เธอออกมาจากที่นั่น ตัวเธอเองน่าจะเข้าใจที่ดีสุด ว่ามันแทบ ‘ไม่มีโอกาส’ ที่จะก้าวออกมาจากที่ตรงนั้น โดยไม่สูญเสียบางอย่างแลกเปลี่ยน”


“แล้วทำไมเป็นผม?”


มันช่างงี่เง่าที่คนๆ หนึ่งจะตัดสินใจฉุดใครสักคนขึ้นจากหลุมดำโดยอ้างถึงความสัมพันธ์แบบคนรู้จักที่ดำเนินไปได้ไม่ถึงเดือน ทั้งที่ยังมีคนอื่นที่ดีกว่า ฉลาดและเก่งกาจกว่าเขาอีกตั้งมากมาย แล้วทำไมถึงไม่เลือกคนเหล่านั้นแทนที่จะเป็นเขา


“ฉันรู้ว่าเธอมีค่ามากกว่านั้น แต่เธอแค่... อยู่ผิดที่ผิดทาง”


ตุลย์เบ้ปาก  “เผื่อคุณยังไม่รู้ ผมไม่เชื่อข้ออ้างงี่เง่าอะไรแบบนั้นหรอก”


“เฮ้”


หนุ่มใหญ่จับแขนเขาไว้หลวมๆ แต่แรงนั้นไม่มากพอจะรั้งไว้ หากเขาขัดขืน


“ถ้าไม่เชื่อคำพูดฉัน ก็ลองเชื่อใจฉัน “


“จะให้ผมเชื่อคุณยังไง”


“เชื่อสิ เพราะฉันไม่คิดจะโกหกเธอ...”


ว่าจบฝ่ายนั้นก็ยึดมือเขาไปจูบ สัมผัสอุ่นๆ ระคนชื้นที่แตะลงบนหลังมือชวนให้รู้สึกวาบวาม กริมฝีปากลากผ่านมาหยุดที่ท้องแขน และผละออกอย่างอ่อยอิ่งในตอนที่ดวงตาของฝ่ายนั้นสบสานกับเขาด้วยความรู้สึกที่ต่างกัน ศานนท์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ก่อนจะรั้งใบหน้าเขามาจูบ มือหนาช้อนหลังท้ายท้อย เค้นคลึงเร่งเร้าให้จูบตอบ


ริมฝีปากของพวกเขาดูดดึงกันจนเกิดเสียงเบาๆ ผละออกเชื่องช้า และเปลี่ยนองศาเพื่อลิ้มรสอีกฝ่ายในมุมที่แตกต่าง  ทุกครั้งที่สัมผัส มันอ่อยอิ่งและวาบวาม ชวนให้ไขว่เขว่อย่างบอกไม่ถูก รู้สึกว่าชักจะไปกันใหญ่ก็ตอนที่สะโพกถูกลูบไล้ผ่านเนื้อผ้าด้วยมือของใครบางคน


ตุลย์ผละริมฝีปาก ดันไหล่ศานนท์ข้างที่ลูบสะโพกเขาออก แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อจู่ๆ  ถูกหนุ่มใหญ่คว้าลงมาบนโซฟาทั้งตัว ก่อนพลิกตลบให้เขาลงมาอยู่ใต้ร่างโดยมีอีกฝ่ายคร่อมทับ


“คุณ!”


ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไร ศานนท์แนบริมฝีปากลงมาอีกครั้ง จูบนั้นเชื่องช้าและวาบหวานทว่ากลับคุมเขาได้อยู่หมัด ตุลย์ครางในคอเมื่อส่วนที่อ่อนไหวด้านล่างถูกกอบกุมผ่านเนื้อกางเกง เขาแค่ปรือตามอง เสพสมอารมณ์ซาบซ่านที่แล่นพล่านทุกครั้งที่อีกฝ่ายเค้นคลึงมัน อดไม่ได้ที่จะครางอือในคอตอนที่ศานนท์แทรกลิ้นเข้ามาในโพรงปาก เสื้อยืดถูกถกขึ้น ก่อนจะมือหนาจะสอดเข้าไปลูบไล้แผ่นอก พวกเขาแลกลิ้นกัน จูบและดูดเม้มริมฝีปากกันและกัน โดยที่มีต้นขาของหนุ่มใหญ่เสียดสีเป้ากางเกงอย่างจงใจปลุกปั่นอารมณ์


จู่ๆ ศานนท์ผละออก แล้วแนบจูบลงอีกครั้งตรงหน้าท้องที่สะท้อนขึ้นลงเพราะจังหวะหายใจหอบติด ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มีมืออีกฝ่ายแทรกอยู่ในกางเกง กุมบั้นท้ายเขาเหมือนพร้อมจะถลกกางเกงทิ้งได้ทุกเมื่อ ส่วนอีกข้างก็ล้วงเอาถุงยางในกระเป๋า ขณะที่ปากพูดยังประโยคตรงกันข้าม


“ฉันไม่บังคับ... ถ้าเธอไม่อยากก็จะหยุดตรงนี้”


ตุลย์ถลึงตาใส่อีกฝ่าย


มาไกลขนาดนี้ ให้หยุดกับผีสิ!


อารมณ์งุ่นง่านทำให้เขาคว้าท้ายทอยอีกฝ่ายมาบดจูบ ศานนท์แปลกใจกับความปุบปับแต่ก็แค่ชั่ววินาทีก่อนที่กางเกงเขาจะถูกถลกไปกองกับพื้น ขาถูกยกขึ้นพาดบ่าก่อนส่วนอุ่นร้อนที่จ่ออยู่ตรงปากทางจะถูกสอดใส่เข้ามาภายในกาย ทิ้งช่วงอยู่ไม่นานอีกฝ่ายก็ขยับสะโพกบดเบียดส่วนที่แข็งขืนเข้ามาลึกยิ่งขึ้น


“อะ อ้า...”


เขาครางตอนที่มันเสียดสีถูกจุดอ่อนไหวภายใน ก่อนอารมณ์เสียวซ่านจะยิ่งแล่นพล่านเมื่อหนุ่มใหญ่จงใจย้ำสะโพกใส่จุดเดิมแล้วแช่ค้างไว้ ขณะที่ทาบน้ำหนักเกือบทั้งหมดลงบนร่างเขา


“ตรงนี้เหรอ”


อีกฝ่ายไม่รอคำตอบ แต่เรียกเสียงครางจากเขาด้วยการเร่งรัดจังหวะผ่อนหนักเบา เล่นเอาสติเขากระเจิงกระเจิงเมื่อจุดกระสันถูกบดเบียดซ้ำๆ ด้วยจังหวะที่เอาแน่เอานอนไม่ได้


ร่างเขาถูกดันขึ้นติดที่พักแขน หนุ่มใหญ่ถอนกายออก ก่อนจะแทรกเข้ามาอีกครั้ง แล้วเริ่มเดินสะโพกเร่งถี่กระชั้น ต้นขาเขาถูกกดลงแนบกับเบาะ อ้าออกกว้างให้เอื้อต่อการสอดใส่ ครั้นจะขยับตัวหนีแรงกระทั้นที่จงใจย้ำจุดกระสันจนแทบคุ้มคลั่ง พื้นที่ของโซฟาก็แคบจนไม่อาจกระดิกกระเดี้ยไปไหนเกินสองเซ็น ได้แค่บิดเร้าตามแรงอารมณ์ เสพสมความรู้สึกเสียวซ่านที่ร่างสูงยัดเยียดให้กลายๆ แล้วฝังเล็บลงบนลาดไหล่เพื่อระบายออกเป็นระยะ ไม่นานเขาก็ไปถึงฝั่งฝันด้วยสติกระเจิดกระเจิง ช่องทางตอดรัดกระชั้นทำให้อีกฝ่ายเสร็จสมตามมาติดๆ


พวกเขาต่างก็หอบกันทั้งคู่ หลังที่แนบติดเบาะแฉะเหงื่อจนได้เสียงเอี๊ยดอ๊าดเวลาขยับตัว หนุ่มใหญ่เกลี้ยผมเขา ก่อนจะยึดท้องแขนไปจูบเบาๆ แต่ครั้งนี้เขาดันไหล่คนที่คร่อมอยู่ด้านบนด้วยเสื้อผ้าเกือบครบเพื่อให้อีกฝ่ายถอนกายออก ซึ่งหนุ่มใหญ่ก็ยอมลุกไปนั่งข้างๆ โดยไม่ดึงดัน


ดูเหมือนกิจกรรมเมื่อสักครู่จะทำถุงกระดาษที่กินพื้นที่บนโซฟาหล่นไปกองระเกะระกะบนพื้น แต่ร่างโปร่งคร้านจะสนใจ ตุลย์หยิบกางเกงขึ้นมาสวมลวกๆ ไม่ลืมคว้าขวดไวน์เดินหายเข้าไปในครัว ทิ้งให้อีกฝ่ายจัดการตัวเอง


เขาไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องเซ็กส์ เพราะตราบใดที่ทั้งสองฝ่ายตกลงปลงใจ มันก็คือความสัมพันธ์ทางกายรูปแบบหนึ่งซึ่งดีกว่าขายตัวแลกเงินเป็นไหนๆ 


ตุลย์หมุนขวดดำสนิทในมือ ตรายี่ห้อสีทองสะท้อนวิบวับยามต้องแสงไฟ


ส่วนไวน์นี่... ถือเป็นบรรณาการของเขาก็แล้วกัน


แต่ไหนแต่ไรมาเขาชอบรสชาติของไวน์อยู่แล้ว พอเห็นว่าเป็นของดีจึงอดจะหยิบเครื่องไม้เครืองมือมาเปิดลองไม่ได้


ของเหลวสีน้ำตาลอมแดงถูกรินใส่แก้ว เนื้อสีคล้ายกับบรั่นดีทว่าไม่เข้มเท่า พอยกขึ้นจรดริมฝีปากก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้โอ๊ค บางทีก็คล้ายลูกเกด หากพอแตะปลายลิ้นกลับไร้ความหวานโดยสิ้นเชิง ผิดกับความเข้มโดดเด่นของแอลกอฮอล์


“ขวดนั้นคือ Sherry” เขาไม่แปลกใจที่ศานนท์เดินตามเข้ามา “...ดื่มกับน้ำแข็งเข้าท่ากว่า”


ไม่ว่าเปล่า ฝ่ายนั้นยื่นมือมารับแก้วไวน์จากเขา เปิดช่องฟรีซ ตักน้ำแข็งใส่ลงไปสองสามก้อนพอให้เนื้อไวน์ดูดซับความเย็น แล้วส่งคืนให้


“ลองดูสิ”


ตุลย์รับมาดื่ม ต้องยอมรับว่าพอความเข้มข้นเจือจางลง รสชาติของมันก็กลมกล่อมขึ้นมาก


ร่างโปร่งเดินสวนเจ้าของบ้านออกไปยังห้องนั่งเล่น เมื่อครู่ข้าวของยังกระจัดกระจาย แต่ตอนนี้มันถูกเก็บแอบไว้ตรงมุมกำแพง ศานนท์เดินตามหลังเขามา ก่อนจะทิ้งตัวลงที่โซฟาตัวเดิม


“เธอไม่ชอบเซ็กส์เหรอ?”


ตุลย์ชะงักเล็กน้อยเมื่อจู่ๆ ฝ่ายนั้นโพล่งขึ้น


“ทำไมครับ”


“สังเกตุตั้งแต่ตอนอยู่ที่คลับแล้ว เธอไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วม”


เขาขมวดคิ้ว ประโยคนั้นพาลให้นึกถึงคำพูดที่ธวัตรเคยว่าไว้ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว


“หัดมีจริตบนเตียงซะบ้าง”


“ผมไม่เก่งเรื่องบนเตียงหรอก ที่ผ่านมาส่วนใหญ่มันเป็นงานฉาบฉวย ผมแค่รองรับอารมณ์ลูกค้า ไม่จำเป็นต้องเสร็จทุกครั้งก็ได้”


ว่าแล้วลอบถอนหายใจเบาๆ ขนาดนายหน้ายังบ่นว่าเขาห่วยเรื่องบนเตียงบ่อยๆ แล้วนับประสาอะไรกับหนุ่มใหญ่ที่ลงเงินลงแรงซื้อเขามา


“มาสิ” ศานนท์ตบหน้าขาเบาๆ “ฉันจะสอน”


เขาส่ายหน้า “ผมเพิ่งทำกับคุณไปเมื่อกี้ อีกอย่าง... ผมไม่ทำถ้าไม่มีถุงยาง”


สองครั้งยังพอว่า แต่เรื่องถุงยางเขาไม่อรุ่มอร่วยเด็ดขาด โดยเฉพาะหลังจากประเมินแล้วว่า ศานนท์คงไม่ใช่พวกบ้าเซ็กส์ถึงขนาดพกถุงยางหลายๆ ชิ้นติดตัว


มือหนาเอื้อมมาโอบเอวหลวมๆ “ไม่สอดใส่ ตกลงไหม?”


อยู่ต่อหน้าศานนท์สองต่อสอง เขาคงไม่มีทางเลือกมากนัก


“...งั้นก็ได้”


ตุลย์ทิ้งลงนั่งคร่อมหน้าขา ก่อนเป็นฝ่ายเอียงศีรษะแนบริมปากแลกจูบกับหนุ่มใหญ่ มือหนาเสยผมเขาขึ้นทีหนึ่ง ก่อนจะลดมากอบสะโพก รั้งขอบเกงกางลงอย่างลื่นไหลไม่สะดุดขณะที่ยังจูบนัวเนียกัน แล้วถลกเสื้อยืดเขาออก


ศานนท์ถอนจูบ เปลี่ยนมาซุกซอกคอ ปลายคางและกกหู ไม่ว่าลากจูบผ่านตรงไหน เขาจะรู้สึกถึงสัมผัสสากๆ จากไรหนวดทุกครั้งจนอดย่นคอไม่ได้ เห็นแบบนั้นหนุ่มใหญ่ก็หัวเราะเบาๆ ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะจับแขนเขาตวัดโอบรอบคอตัวเอง แล้วกระซิบเสียงพร่า


“ทำแบบที่ฉันทำกับเธอ”


ตุลย์ไม่แน่ใจนักว่ามันหมายถึงอะไร สิ่งที่แรกที่เขาทำคือ แหงนหน้าจูบปลายคางหนุ่มใหญ่ หยุดดูดเม้มไรหนวดเล็กน้อย แล้วเลื่อนลงมาคลอเคลียไหปลาร้า กดจูบลงเบาๆ ขณะที่มือลากไล้ไปตามแผ่นหลังอีกฝ่าย


ศานนท์ก็แค่นักธุรกิจหน้าตาธรรมดาที่วันๆ ทำแต่งานนั่งโต๊ะ ไม่มีเวลาพอรักษาหุ่นให้เฟิร์มตลอดเวลาเหมือนคนรุ่นๆ ดังนั้นแผ่นหลังของเขาจึงไม่ได้เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแน่นๆ น่าสัมผัส


จะเอาอะไรมากกับคนอายุสี่สิบ สำหรับเขา ศานนท์ก็แค่ผู้ชายวัยกลางคนธรรมดา ไม่มีอะไรที่แปลกใหม่จากคนธรรมดาหรือน่าสนใจเป็นพิเศษ...


“อ้ะ อา...”


นิ้วที่กดลากจากต้นคอค่อยๆ ลดหลั่นลงมาแนวกระดูกสันจรดก้นกบ ก่อนจะสอดลึกเข้ามาในช่องทางคับแทบในเวลาเดียวกัน กวาดต้อนเร่งให้เขาตอดรัดสิ่งแปลกปลอมนั้นจนต้องครางระบายอารมณ์ปั่นป่วนในช่องท้อง ร้อนรุมราวกับถูกแผดเผาทุกครั้งที่สัมผัสถูกผิวกายอีกฝ่าย ยิ่งตอนที่มือหนาฟ้อนเฟ้นไปตามร่างกาย พร้อมกับความเบียดเสียดตรงหว่างขาตอนที่สะโพกถูกกดให้ส่วนล่างของทั้งคู่เสียดสีกัน สติก็ฟุ้งกระเจิง ลืมคำสบประมาทเมื่อครู่สนิท 


แล้วเรื่องราวต่อจากนั้นก็ชักจะไร้สติขึ้นทุกที....
.
.
.
.
.
.
.
“ฮา... ฮา... ใส่เข้ามา”


ไม่ว่าเปล่า มือยังกำส่วนที่แข็งขึงของอีกฝ่ายไว้แน่น


ศานนท์ย่นคิ้ว มองคนร่างโทรมเหงื่อหอบที่แฮ่กๆ บนตักเขาด้วยอารมณ์เตลิด ค่อยๆ ยันตัวคุกเข่า ให้ส่วนนั้นของเขาจ่อจดอยู่ตรงบั้นท้าย เห็นแบบนั้นศานนท์ก็รีบยึดสะโพกอีกฝ่ายไว้


“เธอไม่ทำ ถ้าไม่ใส่ถุง...”


แต่ก็ช้าเกินกว่าจะเตือนสติเมื่อร่างโปร่งจงใจทิ้งน้ำหนักลงมา ช่องทางถูกหล่อลื่นจากครั้งที่แล้วจึงไม่ยากที่เริ่มขยับทันที กระทันหันจนคิ้วหนุ่มใหญ่ขมวดแน่นขึ้น ครางในคอเมื่อช่องทางสอดรับเขาเป็นอย่างดี


ความแข็งขึงที่คับแน่นอยู่ภายในคงทำให้ฝ่ายนั้นอึดอัดพอตัว ถึงเท้าแขนบนไหล่เขาเป็นตัวช่วย แต่อย่างนั้นก็ตุลย์ดูจะพอใจกับการได้คุมเกมด้านบน และเลือกถูกสอดใส่ในระดับความลึกที่ตัวเองรู้สึกดี เพราะยิ่งเขากระตุ้น ฟ้อนเฟ้นหนักเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้เสียงหอบปนครางจากปากเจ้าตัวถี่ข้างหู ก่อนจะถูกข่วนหลังสองสามครั้ง ไม่นานก็ตุลย์ก็ครางหนักๆ ปลดปล่อยอย่างรวดเร็วบนหน้าท้องเขา ในขณะที่ตัวเขาเพิ่งไต่อารมณ์ไปได้ไม่เท่าไหร่


คงรับรู้สึกสิ่งที่ยังแข็งคับอยู่ในร่าง เจ้าตัวถึงได้ปริปากบอกเสียงแหบพร่า


“จะทำต่อก็ได้ อย่าเสร็จในตัวผมก็พอ...”


------------------------------------------
ติได้ตามสะดวกนะเจ้าค้า อิอิ เมลล่าไม่ถนัดซีนตัวละครคุยกันธรรมดา แต่ถ้าด่ากัน ไฝว้กัน ทะเลาะกันนี่ถนัดนักแล ถถถถ 
คือบางครั้งเมลล่าก็ไม่แน่ใจว่าเขียนออกมาดีเท่าที่หลายคนหวังไหม ถ้ามีตรงไหนที่รู้สึกว่าดรอปไป แนะนำได้เลยเจ้าค่ะ น้อมรับทุกคำติชมจริงๆ ถถถถถ
ตอนนี้เมลล่ากำลังเขียนตอน 9 แต่มันไม่กระดิก...... ผลาญเวลา 5 ชม. ไปฟรีๆ กับสามหน้า โอ้วววว แล้วมันจะจบเมื่อไหร่กันเนี่ยยยย ไม่ต้องเขียนเรื่องใหม่กันพอดี! #crycry
ขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ ถึงแม้ว่าหลายคนอาจลืมเลาไปล้าวววว ถถถถถ
ขอบคุณ คุณ Alternative สำหรับคำแนะนำเรื่องชีวิตการเรียนด้วยค่า เมลล่าก็ยังอยู่ในช่วงรอยต่อ บางครั้งก็สงสัยว่าอะไรคือสิ่งดีที่สุดสำหรับตัวเรา แต่เอาเข้าจริงสรุปแล้ว มันก็ไม่มีสิ่งที่ดีที่สุด มีแต่ต้องลองทำดูก่อนถึงจะรู้ว่าผลลัพธ์มันดีต่อเราไหม #พูดอัลไลไม่รู้เรื่อง
และ ขอขอบคุณ คุณ Kimkidoy สำหรับการดันกระทู้แบบรัวๆ ถถถถถถ เมลล่ายังไม่รู้เลยว่านิยายตัวเองมันสนุกตรงไหน 55555+ แต่ก็ขอบคุณมากๆ ที่ติดตามกันมาแม้ว่าเนื้อเรื่องจะวนๆ อยู่ในอ่าง
สุดท้ายนี้ Merry Christmas นะคะ มีความสุขมากๆ ในช่วงคริสมาสและปีใหม่ และขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจอีกครั้งค่ะ #ลงไปหมอบกราบ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 25.12.16 8th Night l 8.2 'สอน' (100%) P.5 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: lightseeker ที่ 26-12-2016 08:13:46
เย้ๆๆมาแล้ว

ตุลย์ยังเด็กไม่เดียงสาพอเจอลีลาคนแก่ถึงกับสติแตกเลย ชั่วโมงบินมันต่างกันอ่ะเนอะ :hao7:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 25.12.16 8th Night l 8.2 'สอน' (100%) P.5 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 26-12-2016 12:02:42
หึหึ   ไม่ทำถ้าไม่มีถุง แต่ไม่ทนเมื่อเจอลีลาผู้ใหญ่  อั๊ยยยย
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 25.12.16 8th Night l 8.2 'สอน' (100%) P.5 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 26-12-2016 12:28:22
เห็นด้วยกับความเห็นข้างบน

เงื่อนไขมันเปลี่ยนแปลงได้เมื่อร้อนแรงเกินทนไหว อิอิ

ลุงควรไปฟิตหุ่นบ้างนะ มีเมียเด็กต้องหมั่นตรวจเช็คร่างกายนะลุง

อยากให้ลุงจีบตุลย์ไปเรื่อย ๆ ฉันชอบตอนเขาจีบ เขาเขินกัน อร๊ายยยยย

ปล.1 รู้สึกว่าห้องของตุลย์มันมีลักษณะเหมือนคอนโดมากกว่าห้องในบ้านหลังใหญ่ จากประสบการณ์ที่ชอบดูหนังสือตกแต่งบ้านแล้ว ห้องในบ้านหรู ๆ มักจะมีแค่เคาน์เตอร์เครื่องดื่มและตู้เย็นคล้าย ๆ ในโรงแรม มากกว่าจะเป็นครัวแบบเป็นกิจลักษณะ ฉันอาจจะเข้าใจผิดก็ได้ เพราะเมลล่าอาจจะหมายถึงแบบนี้อยู่แล้ว แต่พอใช้คำว่า 'ครัว' ใจมันก็ไพล่ไปนึกถึงหม้อชามรามไห เตา ตู้เย็น ตู้กับข้าวขึ้นมาทุกที

ปล. 2 เรื่องเรียนเรื่องชีวิตมันไม่มีดีที่สุดหรอกค่ะ มันดีที่สุด ณ ตอนนั้นที่ตัดสินใจ ภายใต้สภาพการณ์และเงื่อนไขตอนนั้น
พิจารณา ไตร่ตรองให้รอบคอบ แล้วลงมือทำไปเลย เราถึงจะรู้คำตอบ

หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 25.12.16 8th Night l 8.2 'สอน' (100%) P.5 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 26-12-2016 19:59:57
เรารู้แล้วๆ คุณ(ลุง)ศานซื้อน้องมาเพื่อจะลดหุ่นใช่ไหม? แหมๆๆหุ่นจะฟิตสมใจไหมต้องรอดู ฮ่าๆๆ :hao7:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 25.12.16 8th Night l 8.2 'สอน' (100%) P.5 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: kimkidoy ที่ 26-12-2016 21:54:12
ว้ากกกกกกกกกกดีใจจจจมาต่อแล้ววววววว
แหม่ เปย์เชียวนะคะคุณศาน รักในความเปย์
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมชอบเรื่องนี้นะ สงสัยชอบคนแก่เหมือนตุลย์มั้ง อิอิ
รอดูต่อไปว่าเค้าจะอยู่กันยังไงน้าาาคู่นี้ :mew1:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 25.12.16 8th Night l 8.2 'สอน' (100%) P.5 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: korinasai ที่ 26-12-2016 23:36:45
อ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึกว่าชอบคนแก่  :hao7:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 25.12.16 8th Night l 8.2 'สอน' (100%) P.5 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Kaewkaew ที่ 27-12-2016 00:22:51
พึ่งกลับมาเล้า เปิดเจอเรื่องนี้ ชอบชื่อ ลองเข้ามาอ่าน
ติดใจขั้นสุดดดด ตอนแรกก็ชอบธวัตร ชั้นรู้จักนิสัยเธอดี พ่อแบดบอยยย
แต่เกมพลิกจ้า เมื่อคนเขียนประกาศแล้วว่าตาลุงเป็นพระเอก
ก็เริ่มรักตาลุง นางดีมากกกก หูยยยย รักเลยยย
ชอบบบบ รอตอนต่อไปอยู่นะ สู้ๆ นะคะ

ปล. ขอแบบคุณศานนท์สักคนได้มั้ย ดีแบบนี้!!! (ตะกี้ยังตาลุงอยู่เลย!!)
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 25.12.16 8th Night l 8.2 'สอน' (100%) P.5 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 27-12-2016 09:31:16
 :z2:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 25.12.16 8th Night l 8.2 'สอน' (100%) P.5 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: LoveIsMe ที่ 27-12-2016 17:04:41
อ่านแปดตอนรวดพึ่งจะได้เข้ามาเม้นต์บอกก่อนว่าชอบมากกกกกกกกก ตุลย์ไม่ได้ใสซื่อจนน่ารำคาญแล้วก็ไม่ได้กร้านโลกจนต้องควักยาดมมาดม มีเหตุผลให้เข้าใจได้ ธวัตรเห็นแก่ตัวได้ใจเรามาก พอได้มาอ่านพาร์ทของเฮียแกเรารู้สึกว่าจริงๆธวัตรก็รู้สึกดีๆกับตุลย์นะ มีความห่วงความผูกพันธ์ถ้าเห็นแก่ตัวเองน้อยกว่านี้นึกถึงใจคนอื่นบ้างตุลย์กับธวัตรก็คงไม่เป็นแบบนี้แต่ก็ดีแล้วล่ะ ตุลย์จะได้เจอลุงศาน :hao7: ลุงศานเป็นพระเอกแบบที่อยากอ่านมาก ไม่หล่อ ไม่ห่นดี ลุงแก่แล้วนะ ดูเป็นอะไรที่จับต้องได้ อ่านไปก็ยิ้มไป หลุด อิลุงมึงงงง ก็หลายครั้ง 55555 คนเขียนสู้ๆนะคะจะกลับไปอ่านตอนเก่ารอ  :bye2:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 28.12.16 9th Night l 9.1 ราคาที่ต้องจ่าย P.5 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 28-12-2016 18:50:38
9th Night: ราคาที่ต้องจ่าย


ตุลย์ไม่แน่ใจนักว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง จำได้เลาๆ ว่าเขาเป็นฝ่ายร้องขอ หลังจากนั้นเรื่องราวต่างๆ ก็ชักเลยเถิดไปใหญ่ ก่อนจะมาจบลงบนเตียงในสภาพเปลือยเปล่าทั้งคู่ รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนรุ่งสาง


เขาขยับตัวลุกขึ้นนั่งตรงขอบเตียง โล่งใจที่หว่างขาไม่ชื้นแฉะ แปลว่าหนุ่มใหญ่ไม่ได้ตีตราไว้ในร่างตามที่ให้สัญญาเป๊ะ แต่กระนั้นการทิ้งเวลานอนเกือบครึ่งค่อนคืนไปกับเรื่องอย่างว่าก็ทำให้เขางัวเงียและปวดหัว ไม่ต่างจากคนข้างๆ ที่ยังนอนหลับสนิทใต้ผ้านวม


จะว่าไปดูเหมือนห้องนี้ไม่ได้ถูกสร้างสำหรับอยู่คนเดียวจริงๆ นั่นแหละ...


ตุลย์กวาดสายตามองรอบๆ พื้นที่สี่เหลี่ยมที่ยังไม่คุ้นชินดีนัก นอกจากขนาดที่กว้างขว้างเกินไป เตียงคิงไซส์ที่เขานั่งอยู่ และคนข้างๆ ก็สรุปเสร็จสรรพได้ว่า ศานนท์วางแผนมาอย่างดีเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ปากเพิ่งบอกให้เชื่อใจอยู่หยกๆ แต่การกระทำกลับตรงกันข้าม


ส่วนเมื่อคืน... เขาก็เสียท่าเข้าให้เต็มเปา


ตุลย์หย่อนตัวลงจากเตียงเงียบๆ แต่กระนั้นแรงยวบยาบก็ยังทำให้ผู้ร่วมเตียงรู้สึกตัว ศานนท์พลิกตัว ลืมตางัวเงียไม่ต่างกัน


“กี่โมงแล้ว...?”


 น้ำเสียงแหบอย่างคนเพิ่งตื่นถาม แล้วถอนหายใจแรงครั้งหนึ่ง


“คงประมาณตีห้าครึ่งได้ครับ วันนี้ผมมีเช็คชื่อคาบเช้า คุณจะนอนต่อก็ได้”


“เช้าขนาดนี้เลยเหรอ?”


“เปล่าครับ จากที่นี่ผมไม่แน่ใจว่าใช้เวลาเท่าไหร่”


เขาเพิ่งย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้ได้เพียงไม่กี่วัน ออกข้างนอกก็แทบนับครั้งได้ จู่ๆ จะให้ดิ่งตรงไปมหาลัยทันเวลาโดยที่ไม่ชำนาญเส้นทางก็คงจะเหลือเชื่อเกินไป


ศานนท์เกยหน้าผาก นอนมองเพดานอยู่ชั่วอึดใจ


“ถ้าอย่างนั้นอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วเดี๋ยวฉันไปส่ง เธอจะได้ไม่ต้องเสียเวลานั่งรถประจำทาง”


“ก็ได้ครับ” ตอบอย่างไม่ลังเลนัก


ก็ในเมื่ออีกฝ่ายยื่นโอกาสให้ เขาจะถือว่าเป็นสิ่งที่สมควรได้แล้วกัน


ตุลย์คว้าผ้าเช็ดตัว หยิบเสื้อผ้ามาสวมลวกๆ  พอเป็นพิธี แต่จังหวะที่จะเข้าห้องน้ำ ก็ถูกคนบนเตียงเรียกชื่อไว้


“ไม่เป็นไรใช่ไหม?”


“ครับ?” เขาเลิกคิ้ว “...ถ้าหมายถึงเรื่องเมื่อคืน คุณไม่ต้องห่วงหรอก ผมสบายดี”


ว่าจบก็ทิ้งความเงียบไว้ให้คนเบื้องหลัง ก่อนจะเดินลิ่วๆ ไปอาบน้ำแต่งตัว


 โชคร้ายที่ก่อนมาเขาหุนหันเกินไปจนไม่ทันคิดถึงเครื่องแบบนักศึกษา ถึงตอนนี้เลยทำได้แค่เลือกเสื้อและกางเกงคู่หนึ่งที่ดูสุภาพจากบรรดาเสื้อผ้าในตู้ที่ศานนท์เป็นคนซื้อและส่งขึ้นมาให้ในสภาพซักรีดเรียบร้อยพร้อมใส่


ตุลย์แต่งตัวขณะที่มองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก นับเป็นเรื่องดีที่ศานนท์ไม่ได้ทิ้งร่องรอยความเป็นเจ้าของไว้ตามตัว เขาจึงไม่ต้องปกปิดอะไรเพิ่มเหมือนช่วงที่ทำงานไนท์คลับ


หลังจัดการตัวเองลวกๆ ประมาณหนึ่ง เขาก็ออกมาจากห้องน้ำ แปลกใจเมื่อพบว่าเตียงนอนว่างเปล่าปราศจากผู้อาศัยอีกคน  แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเปิดประตูจากอีกห้อง พอชะโงกหน้าไปดูก็เห็นศานนท์ในสูทสีน้ำเงิน นั่งเอกขเนกรออยู่บนโซฟาตัวเดียวกับที่เพิ่งมีอะไรกันไปเมื่อวาน


“เรียบร้อยแล้วครับ” ว่าพลางกลัดกระดุมเสื้อที่เหลือไปพลาง


กลับเป็นหนุ่มใหญ่ที่พอเห็นเขาก็มองตามตาไม่กระพริบ


“มีอะไรหรือเปล่า?” เขาเลิกคิ้ว กลัดกระดุมเม็ดสุดท้ายอย่างไม่แน่ใจนัก


คราวนี้เป็นศานนท์ที่หลุดยิ้มให้กับท่าทีนั้น คล้ายปฏิเสธไม่ได้ว่ากำลังมองอยู่จริงๆ


“เปล่า... แค่คิดว่าเธอดูเข้ากับเสื้อผ้าแบบนี้จริงๆ ดูดีขึ้นกว่าที่คิดไว้ตอนแรกเสียอีก”


ถูกทักแบบนั้น เขาก็ก้มมองสภาพตัวเองก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามันเป็นเสื้อสีขาวแบบที่มักใส่เป็นประจำที่คลับ และเป็นสีที่ศานนท์ชินตาที่สุด เพียงแต่ครั้งนี้มันถูกตัดเย็บปราณีตกว่า และเข้ากับรูปร่างเขาอย่างพอดิบพอดี


“ขอบคุณ”


ตุลย์หลบตา สบกับสายตาแบบนั้นนานๆ จะพาลให้ทำตัวไม่ถูกเปล่าๆ


“มาเถอะ” อีกฝ่ายเข้ามาโอบเอวเขาไว้หลวมๆ โดยที่ไม่สัมผัสถูกตัวเกินไป “ทานอะไรก่อนไปไหม”


“เช้าขนาดนี้ผมยังทานอะไรไม่ลงหรอก”




พวกเขาลงบรรไดมาชั้นล่าง ก่อนจะพบว่ามีผู้หญิงอายุราวสามสิบสี่สิบเดินวุ่นวายขวักไขว่อยู่กับเก็บกวาดข้าวของและจัดโต๊ะอาหาร พอหนึ่งในสองเห็นศานนท์ก็หยุดเอ่ยทัก ‘คุณผู้ชายของบ้าน’ อย่างสุภาพ


“เช้านี้ผมคงไม่อยู่ทาน ส่วนตอนสายๆ จะมีคนเอาชุดนักศึกษามาส่ง ผมอยากให้ช่วยจัดการซักรีดหน่อย”


หนุ่มใหญ่ปรายมาทางเขาแว่บหนึ่งเหมือนจะพูดว่า ‘เตรียมเอาไว้หมดแล้ว’ หลังจากนั้นก็คุยอะไรกับพวกเธอสองสามอย่างแล้วเดินออกไปสตาร์ทรถ ส่วนเขาก็แค่เปิดประตูสอดตัวเข้าไปนั่งข้างคนขับโดยไม่มีคำถามอะไรเพิ่มเติม ไม่นานรถก็ค่อยๆ เคลื่อนผ่านตัวบ้านออกไปสู่ถนนใหญ่ที่การจราจรคับคั่ง


ตุลย์มองรถติดแหงกเรียงเป็นแถวยาวทั้งที่เพิ่งขับออกมาได้เพียงสองสามนาทีอย่างเบื่อหน่าย


 “คุณไม่ต้องไปทำงานเหรอ?”


“ไปสิ แต่ไปส่งเธอก่อนก็ไม่ได้ช้ากว่ากันเท่าไหร่”


ได้ฟังแบบนั้น เขาก็ไม่รู้จะซักอะไรต่อ


ความเงียบนั้นน่าอึดอัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องติดอยู่บนรถกับคนที่ไม่รู้ว่าควรวางตัวในฐานะอะไร เขาเลยแก้ปัญหาด้วยการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นโน้นเล่นนี่ไปพลาง ถึงแม้ว่าจะต้องกดเข้าๆ ออกๆ โปรแกรมเดิมซ้ำฆ่าเวลา ก็ดีกว่าการนั่งเฉยๆ จนกระทั่งสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว รถด้านหน้าหลายคันก็เริ่มเคลื่อนตัว


“ก้มหน้าก้มตา ไม่คุยกับฉันเลยนะ”


ตุลย์เหลือบตามองคนที่จู่ๆ ก็เอ่ยทำลายความเงียบ ก่อนจะกดปิดหน้าจอ


“ผมไม่รู้จะคุยอะไรกับคุณ”


“ไม่ได้โกรธฉันเพราะเรื่องเมื่อคืนหรอกใช่ไหม”


“อ๋อ หมายถึงเรื่องคุณตั้งใจพกถุงยางมาอึ๊บผมน่ะเหรอ?”


ถูกจี้ตรงๆ หนุ่มใหญ่ก็คล้ายจะอึกอักอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเปลี่ยนไปจดจ่อกับการขับรถโดยไม่มองหน้าเขา


“ถ้าเป็นเรื่องนั้นผมไม่ได้โกรธอะไร มันก็แฟร์ทั้งกับผมและคุณอยู่แล้ว”


ศานนท์ได้เขาเป็นคู่นอน ในขณะที่ตัวเขาก็ได้สิ่งของบรรณาการจากอีกฝ่ายเป็นค่าตอบแทน ซึ่งนับว่าสมน้ำสมเนื้อ และที่สำคัญคือไม่มีใครต้องเสียอะไรฟรีๆ


มาถึงตรงนี้ หนุ่มใหญ่ก็เงียบไปหลายอึดใจ...


“...ฉันชอบเธอนะ”


ตุลย์หันขวับ สมองยังช็อคและมึนงงกับความกะทันหัน เขาเหลอหลาพูดอะไรไม่ออก แล้วนาทีต่อมาก็ขมวดคิ้วเป็นปมคล้ายไม่แน่ใจว่าหูเพิ่งได้ยินอะไรไปหมาดๆ


“ฉันพูดจริงๆ” ศานนท์ปรายหางตากลับมาแว่บหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองทาง


เห็นแบบนั้น ตุลย์ก็หน้าแหย “คงไม่ใช่เพราะว่าคุณอายุมากขึ้น แล้วขี้เหงาหรอกนะ”


ฝ่ายนั้นเลิกคิ้วแปลกใจกับคำตอบของเขา ก่อนหัวเราะเบาๆ 


“เธอนี่ช่างประชดประชันเหลือเกินนะ”


“...เรื่องนั้นผมนึกว่าคุณรู้นานแล้วเสียอีก คุณศานนท์”


หนุ่มใหญ่อมยิ้มขำขัน เลือกจะจบบทสนทนาไว้แค่นั้นเมื่อรถแล่นเข้ามาในเขตมหาลัยวิทยาลัยอันคุ้นเคย ก่อนจะจอดลงตรงหน้าตึกขณะที่มีคนประมาณหนึ่งเดินขวักไขว่สวนกันไปมา


ตุลย์หยิบโทรศัพท์ใส่กระเป๋าเกงเกง แต่จังหวะที่จะลงรถก็อดสะดุดกับสายตาของคนขับมองตามประหนึ่งว่าเขาเผลอไปหยิบของมีค่ามหาศาลอะไรมาจากตู้เซฟอีกฝ่าย


“ทำไมครับ? ต้องจูบก่อนลงด้วยหรือเปล่า”


“..........”


คราวนี้หนุ่มใหญ่ไม่ตอบ แต่ยึดหลังมือขวาเอาไว้แทน


ตุลย์ถอนหายใจทีหนึ่งเมื่อตัวเองพลิกกลายมาเป็นฝ่ายเสนอโดยไม่ตั้งใจ แล้วชะโงกหน้าไปจูบอีกฝ่าย แตะริมฝีปากเบาๆ แค่พอเป็นพิธี แต่ความหมั่นไส้ก็ทำให้อดลอบกัดปากล่างหนุ่มใหญ่เบาๆ ไม่ได้ ครั้นแล้วตุลย์ก็ลงจากรถมุ่งหน้าไปยังตึกอีกฝากเหมือนทุกวัน


เป็นเรื่องปกติที่เขามักจะถูกมองด้วยสายตาหลากหลายเวลาเดินผ่านกลุ่มคน จากที่เคยต้องรวบรวมความกล้ามากมาย ทุกวันนี้ก็กลายเป็นชินชา


เขาเดินสวนกับหญิงสาวกลุ่มหนึ่งโดยไม่ได้สนใจอะไร พอลับหางตา พวกเธอก็เริ่มคุยกันเจื้อยแจ้ว หนึ่งในนั้นถามเสียงดังฟังชัดว่า ‘คนนั้นใครอ่ะ’ ซึ่งดังพอจะทำให้เขาหันไปแว่บหนึ่งตามสัญชาตญาณ พวกเธอก็ยิ่งหัวเราะคิกคักกันใหญ่


“แก เมื่อกี้เขาหันมาด้วยแหละ โคตรดูดีเลย!”


ตุลย์เกือบชะงักแต่ครู่เดียวก็ร้อง ‘อ๋อ’ ในใจ


...ไม่ว่าเสื้อผ้า รองเท้า ทรงผม หรือแม้กระทั่งสีผม ก็ถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดในวันเดียว คงไม่แปลกถ้าคนที่เห็นเขาในภาพลักษณ์เก่าแค่สองสามครั้งจะจำไม่ได้ว่าเป็นใคร


หากจังหวะที่กำลังจะขึ้นบันไดไปยังห้องบรรยาย กลุ่มคนที่เดินสวนลงมาก็ทำให้รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว


พวกคนที่ไนท์คลับ... คนที่เคยจ่ายเงินเพื่อให้ได้ตัวเขา


ชั่ววินาทีนั้นเหมือนร่างกายนิ่งแข็งเป็นหิน พอรู้สึกตัวก็ไม่เหลือทางเลือกนอกจากเปลี่ยนเป้าหมายไปยังลิฟท์กะทันหัน ถึงไม่บอกก็รู้อาการเลิ่กลั่กของตัวเองตกอยู่ในสายตาคนกลุ่มนั้นอย่างเสี่ยงไม่ได้


เขาไม่พร้อมเผชิญหน้าตรงๆ ต่อให้คนพวกนั้นลืมว่าเขาเป็นใครก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้นก็มากกว่าจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และไม่ว่าจะอยากปฏิเสธเท่าไหร่ ก็ยังต้องยอมรับความจริงที่ว่าเรื่องในวันที่ธวัตรส่งเขาไปให้คนพวกนั้น มันได้สร้างบาดแผลและความหวาดหวั่นทิ้งไว้ลึกๆ ในใจ


คงไม่มีใครทนมองตัวเองถูกย่ำยีเหมือนสิ่งของได้โดยไม่คิดอะไรหรอกจริงไหม...


“ขอโทษครับๆ ๆ”


ร่างโปร่งสอดตัวเข้าไปในลิฟท์วินาทีสุดท้ายก่อนที่จะประตูจะปิด ถึงแม้ว่าจะต้องเบียดเสียดกับคนด้านใน แต่อย่างน้อยการรักษาระยะให้ห่างจากคนพวกนั้น มันก็ทำให้เขารู้สึกปลอดภัย


เอาเข้าจริงแล้ว เขาในตอนนีก็ไม่ต่างจากพวกชุบตัวใหม่ ที่หวังจะให้ผู้คนลืมเรื่องราวแย่ๆ ในอดีตของตัวเอง...


พอพาร่างมาถึงชั้นบรรยาย ตุลย์ก็เลือกที่นั่งค่อนไปทางมุมหนึ่งก่อนจะทิ้งตัวลง นักศึกษาจำนวนไม่น้อยเริ่มทะยอยเข้ามาในห้อง อีกไม่นานพื้นที่โล่งๆ คงเต็มไปด้วยผู้คน ระหว่างที่กำลังรอเวลา เขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นไปพลาง


บังเอิญสบตากับนักศึกษาหญิงคนหนึ่ง ก่อนจะเธอจะยิ้มให้แล้วเดินไปหากลุ่มเพื่อน เป็นเครื่องการันต์ดีชั้นดีว่าภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปครั้งนี้ทำให้หลายคนหลงลืมตัวตนเขาไปจริงๆ


ได้ยินแว่วๆ ว่าหนึ่งในนั้นพูดชื่อเขา จากนั้นหญิงสาวก็ร้อง ‘ห๊ะ’ เสียงดัง ก่อนที่เธอจะเริ่มสันนิษฐานต่างๆ นาๆ ถึงเหตุผลที่เขาเปลี่ยนไปอย่างปุบปับ แทบทุกถ้อยคำมันถากถางเสียดสีเกินกว่าจะตั้งใจฟัง


แต่ก็เป็นเช่นนั้นอยู่นานก่อนที่อาจารย์เจ้าของวิชาจะเข้ามาทำให้ทุกอย่างอยู่ในความสงบอีกครั้ง


แต่ทว่าดูเหมือนจะเป็นโชคร้ายสำหรับเขาเสียอย่างนั้น...


“วันนี้อาจารย์ไม่สอน แต่จะให้นักศึกษาจับกลุ่มกันสามถึงสี่คนทำหนังสั้น”


พดสั่งงานและอธิบายลายละเอียดเพิ่มอีกไม่มาก เจ้าของวิชาก็เดินลิ่วๆ ออกจากห้องไป หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีก็เกิดความโกลหลขนาดย่อมๆ ขึ้นเมื่อนักศึกษาพากันจับกลุ่มของตัวเอง ตะโกนโหวกเหวกไปทั่ว เห็นแบบนี้เขาก็ลอบถอนใจ


ต่อให้ทำเป็นไม่แสแยยังไง การอยู่และทำงานในที่ที่ถูกคนกว่าครึ่งค่อนเกลียดชังก็ยังเป็นเรื่องที่ยาก...


“ตรงนี้ขาดคนหนึ่ง มีใครยังไม่มีกลุ่มไหม!?” ผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนจากอีกมุมของห้อง


แต่ในจังหวะที่ตั้งใจลุกเดินไปหาเธอ จู่ๆ ก็ถูกสะกิดไหล่โดยใครบางคน พอหันไปถึงพบว่าเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่เขาออกจะคุ้นหน้าอยู่บ้าง


“นายๆ มีกลุ่มหรือยัง กลุ่มฉันขาดคนนึง”


“ยัง”


“งั้นตามมานี่ว่องๆ เลย”


ฝ่ายนั้นเดินนำฝ่าผู้คนขึ้นไปยังโต๊ะชั้นที่อยู่บนกว่าหน่อย จนกระทั่งเห็นว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งยืนโบกมือหยอยๆ อยู่ข้างสาวอีกคนนั่นแหละ


“ได้คนครบแล้ว”


“ดีเลย ขอบคุณมากนะแม็ก” ผู้หญิงคนนั้นยิ้มให้เพื่อนชายของเธอ ก่อนจะหันมาทางเขาด้วยสีหน้าสนอกสนใจประหนึ่งเจอของแปลกใหม่ “เธอชื่ออะไร?”


“ตุลย์”


พอได้ยินชื่อเขาเธอก็ร้อง ‘อ๋อ’ ออกมาทันที ในขณะที่คนชื่อแม็กถึงกับหน้าเปลี่ยนสี แต่ก่อนที่เพื่อนชายของเธอจะพูดอะไร หญิงสาวก็ชิงทักทายเสียก่อน


“เราชื่อจีจี้นะ ยินดีที่ได้รู้จัก ส่วนสองคนนี้คือ แม็กกับฟ้า เป็นเพื่อนร่วมกลุ่มโปรเจ็คหนังสั้น อยู่กับเรางานอาจจะหนักหน่อย”


เธอยิ้มแหยเหมือนกลัวเขาเปลี่ยนใจ ก่อนจะปรบทีหนึ่งด้วยท่าทีขยันขันแข็งไฟแรงสุดๆ


“เอาล่ะ คนครบแล้ว ทีนี้ก็จะได้เริ่มวางแผนกันสักที!” 


------------------------------------------------


เปิดตัวตัวละครใหม่ใสๆ กุ๊กกิ๊กค่ะ ถถถถ เขิลจัง มีคนรักเรื่องนี้ อร๊ายย เขิลตัวลอยแล้วจริงๆ นะ ดีใจที่คนรักลุงศานนท์ค่ะ #เลาคือทีมคนแก่ เดี๋ยวๆๆๆ ผิดๆๆๆ! แอบกังวลว่าคาแรกเตอร์ลุงจะอ่อนไปไหม อิมเมจอีก ความมีมิติอีก ถถถ คิดไปถึงสุไหงโกลกแล้วว

 ส่วนเรื่องครัวที่คุณ Alternative ติงมา เมลล่าพลาดมากกกกกกกกกกกก  :ling1: ไม่ได้พลาดแค่ห้องเดียวด้วย พลาดยกเซ็ตเลย ถถถถ #ปล่อยไก่สุดๆ บ้าน = สิ่งปลูกสร้างที่แบ่งเป็นห้องๆ ชัดเจน แล้วชุ้นจะเอาห้องทุกอย่างไปรวมๆๆ กันไว้เหมือนในคอนโดได้ไง แอ๊กกกกก แก้ไม่ทันแล้วด้วย แอร๊ยยย ต้องรอรีไรท์เลยค่ะ เพราะบางฉากอาจะต้องเปลี่ยนทั้ง location และลายละเอียด ฮือออ ล้างสมองกันไปก่อนเนอะ ลืมๆๆๆๆ 55 ยังไงขอบคุณที่เตือนมากๆ ค่ะ สงสัยต้องวาดแปลนบ้านละทีนี้ เข้าสุภาษิตคบเด็กสร้างบ้าน 5555+ไก่วิ่งออกจากเล้ารัวๆ #ตีๆๆๆ :hao7:

สุดท้ายมาเหมือนเดิมค่ะ เมลล่ารักทุกคลลล ถถถถถ รักจริงๆ น้า ขอบคุณที่เป็นกำลังใจให้กันค่ะ  :mew3:
>>READ9.2<< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54053.msg3548012#msg3548012)
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 28.12.16 9th Night l 9.1 ราคาที่ต้องจ่าย P.5 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: mimo ที่ 28-12-2016 20:38:20
ดีใจค่ะ กลับมาต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ :impress3:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 28.12.16 9th Night l 9.1 ราคาที่ต้องจ่าย P.5 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 28-12-2016 20:57:09
หวังว่าอะไรๆ จะดีขึ้น ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องดราม่าแล้วนะ รออ่านตอนหน้าค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 28.12.16 9th Night l 9.1 ราคาที่ต้องจ่าย P.5 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 28-12-2016 22:10:35
ตุลย์ใจร้าย ตีแสกหน้าเลยว่า ลุงตั้งใจพกถุงมากินเด็ก 555

บ้า ๆๆ ๆ จะวห้บอกตรง ๆ หรือไง ลุงก็หน้าบางเป็นนะเฟ้ย

คราวหน้าพกเป็นโหลเลยนะ อิอิ

ขอให้ตุลย์ได้เจอเพื่อน ๆ ดี ๆ บ้างนะ

ปล. โอเค เรื่องครัวฉันจะทำเบลอ ๆ ลืมฉากลุงจีบเด็กด้วยไวน์ ฉากฟาดฟันบนโซฟา และฉากอื่น ๆ ...
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 28.12.16 9th Night l 9.1 ราคาที่ต้องจ่าย P.5 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: l2_in* ที่ 28-12-2016 22:46:03
รอค่าาาา นานๆจะเจอแนวนี้
เชียร์ให้ลุงฟิตหุ่นมาล่อเด็ก 55555555
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 28.12.16 9th Night l 9.1 ราคาที่ต้องจ่าย P.5 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: helpmeiiz ที่ 29-12-2016 02:31:36
ลุงจะมัดใจ ตุลได้ไหม อัพเร็วๆน๊า รออยู่
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 28.12.16 9th Night l 9.1 ราคาที่ต้องจ่าย P.5 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Biwty... ที่ 29-12-2016 08:31:11
 :impress2:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 28.12.16 9th Night l 9.1 ราคาที่ต้องจ่าย P.5 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 29-12-2016 08:50:44
 :3123: เอาใจช่วยทั้งสงคน
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 28.12.16 9th Night l 9.1 ราคาที่ต้องจ่าย P.5 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 29-12-2016 08:56:25
ลุงเคอะ ลุงกำลังอ่อยเด็กใช่ไหมเคอะ :katai3: แอร๊ยยยยย
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 28.12.16 9th Night l 9.1 ราคาที่ต้องจ่าย P.5 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: myd3ar ที่ 29-12-2016 16:02:11
ลุงนี่เอาใจน้องตุลเต็มที่เลย
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 28.12.16 9th Night l 9.1 ราคาที่ต้องจ่าย P.5 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: made in june ที่ 29-12-2016 16:34:43
ทำไมคุณศานนดูแพรวพราวจังอ่ะ ทรีทดีมากกก แถมแอบเจ้าเล่ห์ด้วย 5555

ไหนๆอะไรก็เปลี่ยนแปลงแล้วอยากให้ตุลย์ได้มีเพื่อนกับเค้าสักที :mew6:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 28.12.16 9th Night l 9.1 ราคาที่ต้องจ่าย P.5 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: kimkidoy ที่ 29-12-2016 20:51:57
อิพวกนั้นมันจะจองเวรจองกรรมตุลย์ไหมเนี่ย กลัว
คุณศานนนน เค้าบอกชอบกันแล้วววว กริ๊ดดดดดดด
 :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 28.12.16 9th Night l 9.1 ราคาที่ต้องจ่าย P.5 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: skyberry ที่ 30-12-2016 21:39:53
รักลุง   :กอด1:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 28.12.16 9th Night l 9.1 ราคาที่ต้องจ่าย P.5 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: lightseeker ที่ 30-12-2016 22:25:04
ลุงงงงงง ออกกำลังด่วน ตุลย์นี่ย้ำเรื่องรูปร่างลุงบ่อยมากเลยอ่ะ :m20:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 01.01.17 9th Night l 9.2 (100%) P.6 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 01-01-2017 22:06:20
[9.2]

นับว่าเป็นโชคดีของเขาที่เรื่องวันนี้ดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าสิ่งที่ได้มาจะไม่มีราคาที่ต้องจ่าย...


หูได้ยินเสียงแซ่ดแซ่แว่วมาจากทีวี แต่กลับฟังได้ศัพท์สักประโยคเดียว เมื่อต้องเบนความสนใจส่วนใหญ่มาให้สิ่งที่กำลังทำอยู่ตรงหน้า 


ตุลย์นั่งคุกเข่าบนพื้นที่เล็กๆ ระหว่างโซฟากับโต๊ะซึ่งพูดได้เต็มปากว่าคับแคบสุดๆ ในขณะที่ใช้ปลายลิ้นดูดดุนครอบครองส่วนที่อุ่นร้อนไว้ในโพรงปากโดยมีอุ้งมือหนาช้อนท้ายทอยไว้ ลูบไล้กลุ่มผมช้าๆ ไม่ได้รีบร้อนบังคับให้เขาทำจนเสร็จสม ถึงกระนั้นหลายครั้งที่อารมณ์พุ่งสูง ศานนท์ก็มักพลั้งมือหนักจนเกือบทำให้การลูบไล้กลายเป็นขยำ


เขาปรนเปรอหนุ่มใหญ่ด้วยลิ้นสลับกับใช้มือรูดรั้ง ดึงอารมณ์ให้พุ่งสูงจนคนด้านบนปลดปล่อยทั้งที่ยังไม่ได้ถอนกายออกจากปาก 


ธวัตรเคยพูดว่า ในบรรดาลีลาบนเตียงอันแสนห่วยแตก การใช้ปากเป็นอย่างเดียวที่เขาทำได้ดี ซึ่งก็น่าจะจริงเพราะอีกฝ่ายไปถึงเร็วกว่าที่คิด


ตุลย์ผละริมฝีปากออก เบี่ยงหน้าเล็กน้อยเพื่อหลบเจ้าของมือถือทิชชู่ที่หวังซับคราบเลอะๆ ตรงมุมปากให้อย่างหวังดี


“...ผมทำเองได้”


เขาหยิบทิชชู่จากมือฝ่ายนั้น ก่อนจะตรงเข้าห้องน้ำ กลั้วปากล้างเอารสชาติขมเฝื่อนคอออก


ที่จริงแล้ว หากศานนท์ต้องการ มันก็เป็นหน้าที่ที่เขาต้องสนองให้ เสมือนกับราคาที่ต้องจ่ายแลกกับความสะดวกสบายที่ฝ่ายนั้นกระเคนให้ในฐานะเด็กเสี่ย ถ้าไม่ติดว่าเขาเพิ่งจะกลับถึงบ้านหมาดๆ เมื่อห้านาทีที่ก่อน พอถูกเรียกร้องปุบปับ สิ่งที่พอจะนึกออกก็มีแค่นี้


นับว่าโชคดีที่ศานนท์ไม่ดึงดันเหมือนพวกลูกค้า


หลังจากส่องกระจกจนแน่ใจว่าจัดการตัวเองเรียบร้อย ตุลย์ก็ออกจากห้องน้ำ เดินลิ่วๆ อ้อมไปยังบาร์เล็กๆ ตรงมุมห้องนั่งเล่น เปิดตู้แช่ไวน์แล้วสุ่มหยิบหนึ่งในบรรดาขวดเหล่านั้นออกมาโดยไม่สนว่ามันคืออะไร ก่อนจะรินใส่แก้วอย่างที่ชอบทำเป็นประจำ


ตัวเขาก็แค่คนที่ชอบไวน์เพราะหลงใหลกลิ่นและรสชาติของมัน แต่การชอบดื่มก็ไม่ได้แปลว่าต้องรู้จักไปเสียทุกชนิดสักหน่อย


เขาคว้าแก้วเดินอ้อมโซฟากลับไปหาหนุ่มใหญ่โดยไม่ลืมหิ้วขวดติดมือไปด้วย ก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะหน้าคนที่กำลังเอนหลังหลับตาพิงผนักด้วยสีหน้าเหนื่อยๆ ขณะที่ใช้มือคลายเนคไทไปพลาง 


“ดื่มหน่อยไหมครับ ถ้าคุณไม่ถือ?” เขายื่นแก้วไวน์ที่เพิ่งจิบไปเล็กน้อยให้


ศานนท์ลืมตาขึ้นเนือยๆ ก่อนจะคลี่ยิ้มจนเห็นริ้วตรงหางตา


“ไม่ล่ะ วันนี้ขอผ่านดีกว่า”


ได้ฟังแบบนั้นเขาก็ชักมือที่ค้างเติ่งกลับ ก่อนจะทรุดตัวนั่งตรงพื้นที่โล่งๆ ข้างหนุ่มใหญ่ที่จุคนเพิ่มได้อีกสามคนสบายๆ


 “...แล้วเธอล่ะ วันนี้เป็นยังไงบ้าง”


ประโยคนั้นช่างให้ความรู้สึกราวกับพ่อแม่ถามลูกตอนที่กลับจากโรงเรียนเสียจริงๆ...


 “ก็เหมือนทุกวันครับ แค่โชคดีกว่าหน่อย แล้วคุณล่ะ”


“...คงเหมือนเธอ”


เมื่อต่างคนต่างเงียบ ก็เหลือเพียงเสียงทีวี แม้ไม่ถึงกับวังเวง แต่พูดได้เต็มปากว่าบรรยากาศตอนนี้ช่างเปล่าเปลี่ยวเงียบเหงาต่างจากเมื่อตอนเช้าโดยสิ้นเชิง


“แม่บ้านล่ะครับ ไม่ได้อยู่ที่นี่เหรอ?”


ตุลย์โพล่งขึ้นดื้อๆ เพราะตั้งแต่กลับมาเมื่อเย็นก็ยังไม่เห็นวี่แววใครเลยนอกจากเจ้าของบ้าน


“กลับไปตั้งแต่บ่ายแล้วล่ะ  ฉันจ้างพวกเธอให้แค่ให้คอยจัดการเรื่องอาหารเช้า ซักรีด กับงานจิปาถะบางอย่างเท่านั้น ไม่ได้พักที่นี่หรอก”


“งั้นแปลว่าคุณอยู่คนเดียวเหรอ”


“ใช่”


“ไม่เหงาบ้างเหรอครับ?”


ถึงตรงนี้หนุ่มใหญ่ก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะเฉไฉเปลี่ยนหัวข้ออย่างรวดเร็วชนิดที่ไม่ว่าใครก็จับได้ พวกเขาพูดคุยกันต่ออีกแค่สองสามคำ จากนั้นศานนท์ก็เป็นฝ่ายขอตัวลุกขึ้นโดยอ้างว่า ‘ง่วง’


“นี่ก็เริ่มดึกแล้ว เธอน่าจะไปอาบน้ำก่อน แล้ว ‘ที่เหลือ’ ค่อยว่ากันคราวหลัง...”


ไม่พูดเปล่า ยังส่งสายตามาที่แก้วไวน์ในมือเขา ครั้นแล้วอารมณ์ที่กำลังดื่มด่ำก็พาลกร่อยไปทันที


แต่คิดว่าจะบังคับให้เขายอมวางครึ่งค่อนขวดที่เหลือได้ง่ายๆ น่ะเหรอ หึ... ไม่มีวัน!


 “ถ้าคุณง่วงก็ไปนอนเถอะ ผมจะอยู่ต่ออีกหน่อย”


ไม่ว่าเปล่า ยังยืนกรานด้วยการหยิบไวน์มารินเพิ่มแล้วดื่มจะๆ ให้เห็นต่อหน้า จากนั้นพวกเขาก็จ้องตากันเงียบๆ อยู่หลายวินาที จวบจนกระทั่งศานนท์เป็นฝ่ายยอมแพ้เองเพราะกลั้นขำไม่อยู่


“ก็ได้ๆ ๆ”


ทว่าไม่ปล่อยให้เขาดีใจนานนัก


“แต่คืนนี้เธอมานอนห้องฉัน”


ตุลย์ปลายตามองแก้วทีหนึ่งก็ตอบอย่างไม่ลังเล “อื้ม ถ้าคุณว่าอย่างงั้น”


ต่อให้ต้องมีอะไรกัน เขาก็ไม่เสียอะไรเพิ่มอยู่แล้วนี่


ได้คำตอบที่พอใจปุ๊บ หนุ่มใหญ่ก็เดินลิ่วๆ ขึ้นบันไดไป ทิ้งเขาไว้กับไวน์หนึ่งขวดที่แสนโปรดปราน ตุลย์นั่งดื่มไปเรื่อยๆ ขณะที่เปิดทีวีแวะดูช่องโน้นช่องนี้ตามประสา แต่ไม่นานเขาก็รู้สึกเบื่อ อาจเพราะพื้นที่ของบ้านกว้างขวางเกินไปมันถึงให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวเวลาอยู่คนเดียวอย่างบอกไม่ถูก จนอดคิดไม่ได้ว่าศานนท์มีรสนิยมชมชอบการแต่งบ้านแบบนี้หรืออย่างไร ทุกๆ ที่ที่อีกฝ่ายเคยพาเขาไปถึงได้ให้ความรู้สึกคล้ายกันไปหมด



...หรือบางทีอาจเป็นเพราะช่วงที่อยู่อพาร์ทเม้นท์ของธวัตร เขามัววุ่นวายกับเรื่องหนักสมองต่างๆ จนลืมวันลืมคืน พอทุกอย่างว่างลง ก็รู้สึกราวกับอะไรบางอย่างในชีวิตขาดหายไป


ดื่มไปก็คิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปพลาง หลุดจากภวังค์ฟุ้งซ่านอีกทีก็ตอนที่พบว่าไวน์หมดขวดแล้ว ตุลย์กระดกส่วนที่เหลือในแก้วทั้งหมดลงคอ แล้วลุกตามหนุ่มใหญ่ขึ้นไปชั้นบนเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนที่ห้อง ก่อนจะออกมาเคาะประตูห้องศานนท์


หวังว่าคงไม่นานเกินไปจนหลับเสียก่อน มิฉะนั้นเขาคงได้กลายเป็นฝ่ายผิดสัญญาเอง


“เปิดเข้ามาเลย ไม่ล็อคไว้”


พอได้ยินเสียงขานรับจากเบื้องหลังประตู ก็โล่งใจไปเปาะ


ตุลย์ผลักประตูเข้าไป แล้วก็พบว่ามันออกจะคับแคบกว่าของเขาสักหน่อย เนื่องจากห้องศานนท์เป็นห้องเดี่ยวที่มีห้องน้ำในตัว ถัดมาจากเตียง คือร่างของหนุ่มใหญ่ในชุดนอนสีพื้น นั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงาน ขณะที่มือถือเอกสารจำนวนหนึ่ง ทว่าพอเขาเดินเข้าไปใกล้ ฝ่ายนั้นกลับถอดแว่นสายตา ก่อนจะปิดโคมไฟลง เท่านั้นก็พอให้ตุลย์เข้าใจนัยยะที่แฝงมากับการกระทำ


ว่ากันว่าคนเรามักจะหันด้านใดด้านหนึ่งเข้าหาผู้คนและปกปิดตัวตนที่เหลือไว้ เพื่อแสดงออกให้เห็นแค่ในสิ่งที่คนอื่นอยากให้เป็น


เช่นเดียวกับการที่หนุ่มใหญ่เลือกปกปิดชีวิตส่วนตัวไว้เป็นความลับจากเขา ในขณะที่เขาเลือกที่จะไม่เอาความรู้สึกเกินกว่า ‘คนรู้จัก’ ไปข้องเกี่ยวกับอีกฝ่าย


“คุณทำต่อเถอะ ผมจะนอนแล้ว”


เขาหย่อนก้นนั่งบนเตียง แสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่คิดจะสาระแนในสิ่งที่อีกฝ่ายไม่ต้องการให้รับรู้ แต่ศานนท์กลับดึงดันจะขึ้นมาบนเตียง


 “เปล่า ฉันแค่ทำฆ่าเวลารอเธอเท่านั้นล่ะ”


เห็นแบบนั้นตุลย์ก็คร้านจะพูดอะไรนอกจากล้มตัวลงนอนหันหลังให้อีกฝ่าย ก่อนที่หนุ่มใหญ่จะเอื้อมไปปิดไฟจน เกิดเสียง ‘คลิ๊ก’ เบาๆ ครั้นแล้วห้องที่เคยสว่างก็มืดลง เหลือเพียงแสงไฟรำไรจากด้านอกที่เล็ดลอดผ่านม่านพอให้เห็นรอบตัวแค่ลางๆ


ตุลย์หลับตาลง ฤทธิ์ไวน์ทำให้เขาเคลิบเคลิ้มจมสู่ห้วงภวังค์ระหว่างความจริงและความฝันอย่างรวดเร็ว รู้สึกได้เลาๆ ว่าตำแหน่งของคนด้านหลังขยับยวบยาบเข้ามาใกล้ ก่อนจะหยุดโดยเว้นระยะประมาณหนึ่งคล้ายระวังไม่ให้ใกล้จนเกินไป แต่กระนั้นเสียงทุ้มนุ่มปานกระซิบก็ยังซึมผ่านเข้ามาในรอยต่อความฝัน


“...ราตรีสวัสดิ์”


เขาได้ยินทุกพยางค์ได้ชัดเจน เพียงแต่เปลือกตาหนักอึ้งเกินกว่าจะตอบรับอะไรไป จึงได้แค่ปล่อยให้มันกลืนหายไปพร้อมกับความฝัน...


--------------------------------


ดูเหมือนหลายอย่างจะเริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นหลังเรื่องที่ไนท์คลับซาลง แต่หลังจากนั้นไม่นาน การที่ศานนท์มารับมาส่งเขาถึงมหาวิทยาลัยเป็นประจำก็ชักถูกจับตามอง จนหลายคนเริ่มตั้งข้อสงสัยถึงเรื่องที่เขาอาจเปลี่ยนวิธีหาเงิน หรือแม้กระทั่งกลายเป็นเด็กเสี่ยของใครคนใดคนหนึ่ง ซึ่งอย่างหลังก็ไม่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงนัก จากนั้นก็เริ่มรุกรามไปไกลเกินกว่าจะตีความ


วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่ตุลย์มาเรียนตามปกติ พออ๊อดดัง นักศึกษาส่วนใหญ่ก็เร่งรีบทยอยออกจากห้อง ซึ่งตัวเขาก็เป็นหนึ่งในนั้น ขณะที่กำลังคิดถึงว่าจะหาอะไรใส่ท้องในช่วงกลางวันฆ่าเวลา ตุลย์ก็บังเอิญเหลือบไปเห็นกลุ่มนักศึกษาชายสามคนยืมล้อมวงกันอยู่หน้าประตู หนึ่งในนั้นก็เป็นคนที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาดีแม้จะไม่รู้จักชื่อ...


และราวกับสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของเขา  ผู้ชายคนนั้นหันมองกลับมา ชั่ววินาทีที่ดวงตาสบสานกัน ความรู้สึกบางอย่างลึกๆ ก็บังคับให้เขาเสมองไปทางอื่นทันที


ตุลย์แสร้งทำเป็นไม่รู้จักโดยหวังว่าภาพลักษณ์ใหม่จะช่วยอะไรได้บ้าง ก่อนจะเดินสวนออกไปพร้อมๆ กับฝูงชน แต่กระนั้นดูเหมือนโชคจะไม่เป็นใจนัก เมื่อมือของใครคนหนึ่งคว้าหมับเข้าที่ไหล่ ครั้นพอหันกลับไป ในหัวก็พลันว่างเปล่าลง



“ไม่ได้เจอกันนาน เปลี่ยนไปจนแทบจำไม่ได้เลยนี่หว่า...”


 เจ้าของใบหน้าที่เขาคุ้นเคยที่สุด เดาะลิ้นทีหนึ่งกับรอให้เวลานี้อยู่นานแล้ว ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะดึงเขาเข้าไปในวงล้อม ท่ามกลางคนจำนวนมากที่กรูกันออกจากห้องบรรยาย


“เอาน่า ฉันมีเรื่องจะถามนายสองสามข้อก็เท่านั้น”


การถูกคุกคามอย่างกะทันหันทำให้ตุลย์เก็บอารมณ์พลุกพล่านไม่อยู่ จนต้องสอดสายตาไปรอบๆ ตามสัญชาตญาณโดยหวังว่าจะพอมี ‘อะไรสักอย่าง’ ที่ใช้เบี่ยงเบนความสนใจคนพวกนี้จากเขาได้ อย่างน้อยก็แค่ชั่วครู่หนึ่ง


แต่แล้วก็สะดุ้งเมื่อคอเสื้อถูกกระชากให้หันมา


“เวลาคุยก็มองหน้ากูสิวะ!”


 คนเป็นหัวโจกเค้นเสียงรอดไรฟัน ผลักร่างเข้าติดกำแพงแล้วดันไว้ด้วยแขนข้างที่คว้าคอ


“ได้ข่าวว่ามึงไม่ได้ทำงานที่คลับแล้วนี่... เลิกขายตัวแล้วทำไมไม่บอก จะหลอกฟันเงินกูฟรีๆ หรือไง!?”


“...........”


ตอนนี้ในหัวเขาทั้งโล่งและสับสนจนคิดอะไรไม่ออก บางทีคำตอบสำหรับปัญหาอาจเป็นเรื่องง่ายดายเพียงปลายนิ้วสัมผัส แต่ทุกครั้งๆ ที่อยู่ใกล้คนพวกนี้ เขากลับรู้สึกไร้กำลังราวกับไม่ว่าจะทำยังไงหรือใช้วิธีไหนก็ไม่อาจต่อกรได้เลย...


---------------------------------------

เจ้าตุลย์ เจ้าเด็กติดเหล้า ถถถถถถถถ
ตอนนี้เหมือนจะสั้นหน่อยเจ้าค่ะ ถ้าชอบแบบยาวเมลล่าต้องใช้ประมาณ 7-8 วันสำหรับ 1 ตอนเป็นอย่างน้อย อยากให้มาสั้นมายาว รีเควสได้เจ้าค่ะ
ตอนหน้าพบกับบทบาทนุ้งจี้กับนุ้งแม็ก ส่วนเจ้าตัวร้ายพวกนี้ดูกันไปยาวๆ ค่ะ ไม่มีดราม่าเศร๊าเศร้านะ แต่มีทึมๆ เหมือนเดิม ถถถถถ
HNY นะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 01.01.17 9th Night l 9.2 (100%) P.6 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: lighter ที่ 02-01-2017 01:13:13
เย้ๆ ดีใจที่ลุงเป็นพระเอกนะคะ
เราเชียร์ลุงตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ผมขาวแซมๆ มีเสน่ห์จะตาย ของอยู่ทีมลุงด้วยคนนะคะ จีบตุลย์ให้ติดไวไวน้าลุง พาเด็กไปเจ้าฟิตเนสด้วยกันบ้าง ลุงจะได้แซ่บๆกว่าเดิมน้า
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 01.01.17 9th Night l 9.2 (100%) P.6 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Biwty... ที่ 02-01-2017 04:38:11
 :mew3:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 01.01.17 9th Night l 9.2 (100%) P.6 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 02-01-2017 07:24:04
ตอนนี้ลุงไม่น่ารัก เรียกให้ตุลย์มาทำทั้ง ๆ ที่เพิ่งมาถึง
ใครเขาจีบกันแบบนี้เล่าลุง!

หรือจริง ๆ นี่แค่มองจากมุมของตุลย์ เลยทำให้รู้สึกเหมือนถูกบังคับ ???

ขอให้ตุลย์เอาตัวรอดจากไอ้พวกนิสัยไม่ดีได้นะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 01.01.17 9th Night l 9.2 (100%) P.6 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 02-01-2017 08:00:12
  ธวัตรสร้างปัญหาให้แล้วสิตุลล์ บอกพวกนั้นไปอัดธวัตรเลย
  รออ อ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 01.01.17 9th Night l 9.2 (100%) P.6 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 02-01-2017 08:11:14
 :z6:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 01.01.17 9th Night l 9.2 (100%) P.6 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 02-01-2017 09:45:45
สงสารตุลย์อ่ะ อุตส่าห์ที่จะเริ่มต้นใหม่ ถึงจะไม่ได้เปลี่ยนเป็นหน้ามือหลังมือก็เถอะ แต่ก็ดีกว่าเดิมแล้ว ดันเจอพวกบ้าแบบนี้อีก
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 01.01.17 9th Night l 9.2 (100%) P.6 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 02-01-2017 14:45:28
ง๊อออออ   มารยังตามอี๊ก
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 01.01.17 9th Night l 9.2 (100%) P.6 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: kimkidoy ที่ 02-01-2017 15:51:10
ลุงงงงมาช่วยตุลย์เร็วววว ทำตัวให้สมเป็พระเอกหน่อย
ตอนนี้ยังไม่รู้สึกถึงัศมีความเป็นพระเอกของลุงเลยนะ :ling1:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 01.01.17 9th Night l 9.2 (100%) P.6 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: 1amKYN ที่ 03-01-2017 20:51:45
ตุลย์ทำไมใจร้ายกะลุงเขาขนาดนั้นหละ  :mew2:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 01.01.17 9th Night l 9.2 (100%) P.6 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 04-01-2017 18:13:48
ดูสองคนนี้หาทางบรรจบกันยังไม่ได้ :ling3:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย 01.01.17 9th Night l 9.2 (100%) P.6 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: lightseeker ที่ 05-01-2017 21:28:53
ง่ะะะ ตัวมารมาอีกแล้ววว ชีวิตตุลย์กำลังจะดีขึ้น ต้องวนมาเจอพวกบ้านี่อีกละ ตุลย์สู้มันอย่าไปยอม :3125:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (09.01.17) 10th Night ยั่ว l 10.1 P.6 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 09-01-2017 22:36:26
10th Night : ยั่ว



มือข้างที่คว้าคอเสื้อดันร่างตุลย์ติดกำแพง


“ได้ข่าวว่ามึงไม่ได้ทำงานที่คลับแล้วนี่... เลิกขายตัวแล้วทำไมไม่บอก จะหลอกฟันเงินกูฟรีๆ หรือไง!?”


“...........”


เห็นแบบนั้นอีกฝ่ายก็ยิ่งได้ใจ “...คิดว่าเงียบอย่างเดียวแล้วกูจะปล่อยไปง่ายๆ เหรอ?”


ไม่พูดปากเปล่า แต่ยังลากไล้ปลายนิ้วไปตามกรอบหน้าคนฟัง จากหางตาเลื่อนลงไปปลายคางอย่างเชื่องช้าและยั่วยุ จนต้องเขาสะบัดหน้าหนีอย่างทนไม่ไหว


หากปฏิกิริยนั้นกลับทำให้อีกฝ่ายก็เลิกคิ้วยียวน


“ทำไม หรือไม่ชอบ? เห็นว่าตอนนั้นก็ออกจะสมยอมดีแท้ๆ”


ตุลย์ได้แต่กัดฟันแน่น ความรู้สึกทั้งโมโหและหวาดหวั่นตีรวนผสมกันมั่ว แต่ในสถานการณ์ที่ตกเป็นรองทั้งด้านพละกำลังและจำนวนคน เขาทำได้แค่ยื้อแรงไว้ ประคองสติให้อยู่ครบถ้วน และพยายามหาทางออกก่อนที่ตัวเองตกเป็นฝ่ายเจ็บตัว...


แต่แล้วก่อนที่ทุกอย่างจะเลิกเถิดเกินควบคุม จู่ๆ ชายคนนั้นก็ปล่อยมือที่ยึดคอเสื้อเขา เปลี่ยนมาตีสีหน้าเรียบฉาบรอยยิ้ม ขณะที่ทอดสายตามองผ่านกลุ่มคนทางด้านซ้าย


ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเดินฝ่าผู้คนเข้ามาทางนี้ด้วยท่าทางเร่งรีบ เธอหันรีหันขวางราวกับกำลังมองหาใครบางคน ก่อนที่ดวงตาคู่นั้นจะหยุดตรงกลุ่มคนกำลังหาเรื่องเขา ตามด้วยฝีเท้าสาวฉับๆ ดิ่งตรงมา


โดยที่รอจังหวะอยู่แล้ว เจ้าของรอยยิ้มกรุ่มกริ้มโบกมือทักทายหล่อน แต่ทว่าแทนที่เธอจะหยุดทักคู่สนทนา กลับเดินเลยมาหาเขาเสียนี่


“เราเดินวนหาตั้งนานแหนะ นึกว่ากลับไปแล้วซะอีก” ผู้หญิงที่มีใบหน้าจิ้มลิ้มแบบสาวจีนยิ้มราวกับโล่งใจที่หาเขาพบ โดยไม่หันไปมองคนที่ยืนเก้อด้านหลังแม้แต่หางตา


กระทั่งทนการหมางเมินต่อไปไม่ไหว ชายคนนั้นก็เอ่ยทัก


“หวัดดี จีจี้”


“อ๋อ ว่าไง กาย” หญิงสาวหันมายิ้มให้ราวกับเพิ่งนึกได้ว่าอีกฝ่ายมีตัวตน “พอดีวันนี้เรามีธุระกับตุลย์น่ะ ถ้ากายไม่ได้มีอะไรสำคัญกับเขาแล้ว เราขอยืมตัวหน่อยได้ไหม”


ผู้ชายชื่อ ‘กาย’ ปรายตามองเขาที่หนึ่งอย่างลังเลราวกับกลัวเสียเครื่องมือต่อรองไป


“คุยกันตรงนี้ไม่ได้เหรอ”


“ไม่ได้หรอก ตุลย์กับเราทำโปรเจ็คด้วยกัน วันนี้เราจะวางแผนงาน คุยกันสั้นๆ ตรงนี้ไม่รู้เรื่องหรอก กายก็น่าจะรู้ว่าเราไม่ใช่คนทำงานชุ่ยๆ ทีนี้เราขอตัวเขาหรือยัง?”


กายครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตอบด้วยน้ำเสียงนุ้ม “ก็ได้ครับ ถ้าจี้อยากได้เขา ก็เอาไป”


“อื้ม ขอบใจ” ออกจะห้วนไปสักหน่อยสำหรับคำขอบคุณ แต่กระนั้นผู้ฟังก็ดูจะพอใจกับคำตอบที่ได้รับ


“มากับเราเร็ว แม็กกับฟ้าอยู่ด้านนอกนานแล้ว”


จีจี้กวักมือเรียกเขาก่อนจะถือวิสาสะจูงฝ่าฝูงชนลงบันไดไปชั้นล่างอย่างเร่งรีบ และต่อให้ไม่หันกลับไปมอง ตุลย์ก็รู้สึกถึงสายตาเฉือดเฉือนของผู้ชายคนนั้นมองตามไม่ห่าง


ดูเหมือนเขาเพิ่งจะหาเหาใส่หัวเพิ่มให้ตัวเองอีกหนึ่งแล้ว...


เดินลงมาจนคนเริ่มซาลงบ้าง เธอก็ปล่อยมือ ลดฝีเท้าที่แสร้งทำเป็นเร่งรีบหนักหนาลง เปลี่ยนเป็นการเดินสบายๆ โดยที่สายตาจับจ้องมายังร่างเขาไม่วาง


“พวกนั้นหาเรื่องเธอเหรอ?”


ตุลย์เลิกคิ้วงงๆ แต่พอก้มมองเห็นปกเสื้อยับยู่ยี่เขาก็เข้าใจคำถาม “เหมือนพวกนั้นจะไม่ค่อยชอบฉันเท่าไหร่”


“แหงล่ะ พวกนั้นไม่เคยชอบใครอยู่แล้ว” เธอว่าราวกับเป็นเรื่องปกติ “ทางที่ดีเราว่าเธออย่าไปยุ่งกับอัธพาลแบบนั้นดีกว่า หาเรื่องคนอื่นไปทั่วคิดว่าเท่นักหรือไงก็ไม่รู้”


“เธอก็ไม่ชอบพวกนั้นเหรอ?”


เท่าที่เขาเคยได้ยินมาสมัยมัธยม ปกติแล้วผู้หญิงมักจะชอบคนที่ทำให้รู้สึกโลดโผนโจนทะยานได้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักเป็นผู้ชายชอบมีเรื่องต่อยตีหรืออะไรเทือกนั้น


แต่ผู้หญิงตรงหน้าเขากลับส่ายหน้าหวือ “หือ? ใครจะไปชอบลงกัน ตามตื้อจนน่ารำคาญแบบนั้น เราล่ะเบื่อจะตาย!”


“..........”


“เจอเราที ก็ทักทุกห้านาทีอย่างกับไม่ได้เจอกันห้าปีงั้นล่ะ ยิ่งตอนยิ้มนะ เราขนลุกเลยรู้หรือเปล่า หลอนติดตาจนจะเก็บไปฝันร้ายอยู่แล้ว แค่พูดถึงยังขนลุกเลยเนี่ยเห็นไหม” ว่าไปเธอก็ถูกแขนแรงๆ ประกอบ


“..........”


“รู้หรือเปล่า ตอนเปิดเทอมแรกๆ กายอ่ะตามติดเราแจ เรียกว่ามีเราที่ไหนต้องมีนายคนนั้นที่นั่น อย่างกับวิญญาณแค้นรอสิงร่างเวลาเผลอเลยนะ มีช่วงหนี่งหนักจนเราแทบจะหยุดเรียนไปเข้าวัดฟังธรรม เพื่อว่าจะช่วยแผ่ส่วนกุศลให้ได้บ้าง”


“.........”


ว่ากันว่าจีจี้ที่ทุกคนรู้จัก เป็นนักกิจกรรมสดใสน่ารัก ด้วยภาพลักษณ์แบบสาวจีนผิวขาว และความที่เธอเข้ากับคนง่ายจึงทำให้ตกเป็นที่หมายปองของผู้ชายหลายคน แต่ทว่าจีจี้คนนี้ที่กำลังคุยกับเขา ดูจะผิดจากภาพลักษณ์ที่ทุกคนนิยามไว้มาก เพราะนอกจากเธอจะพูดเป็นต่อยหอยแล้ว วาจาจะค่อนไปทางเฉือดเฉือนเสียด้วย


ตุลย์ฟังเธอบ่นกระปอดกระแปดไม่หยุดตลอดทางเดินลงบันได ส่วนใหญ่ก็มักเป็นเรื่องวีรกรรมทั้งหลายที่ผู้ชายชื่อกายสร้างไว้ไม่หยุดหย่อนราวกับเก็บกดมายังไงอย่างงั้น จวบจนพวกเขาทั้งคู่ลงมาถึงใต้ตึก เธอก็ตรงเข้าไปทักทายเพื่อนชายที่นั่งเท้าคางเล่นโทรศัพท์อยู่บนโต้ะม้าหินด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย แต่พอทั้งคู่สบตาเท่านั้น โลกทั้งใบก็สดใสขึ้นทันที


“หาฟ้าไม่เจอเหรอ?”


แม็กส่ายหน้าเหนื่อยๆ “ฟ้ากลับไปแล้ว เพิ่งโทรมาบอกเมื่อกี้เลย ปล่อยให้รอซะตั้งนาน”


“เอาเถอะ อย่างน้อยก็เจอตุลย์”


ฝ่ายนั้นดูแปลกใจเมื่อได้ยินชื่อ ก่อนจะมองเลยมายังที่เขาเดินรั้งท้ายจีจี้


“นึกว่านายไม่ได้เขาเรียนซะอีก ไม่เห็นหน้าในคาบเลย”


นั่นเพราะเขาตั้งใจไม่ทำตัวให้เป็นจุดสังเกตของคนอื่นต่างหาก


“เปล่า ฉันอยู่แถวหลังๆ” ตุลย์ตอบอย่างขอไปที


“เออ ก็ยังดี อย่างน้อยก็พอมีคนมา ดีกว่ามารอฟรีๆ เป็นชั่วโมง”


 “ทีนี้จะเอายังไงดี” คราวนี้เป็นจีจี้ที่ถอนหายใจ “ถ้าฟ้าไม่มาก็ต้องบรีฟงานใหม่ทั้งหมดอีกรอบ แต่เราจองร้านอาหารเอาไว้แล้ว ไม่อยากโทรยกเลิกนัดเลย...”


“งั้นก็ไปกันทั้งสามคนนี้แหละ” แม็กปรายมองเขาแว่บหนึ่งเหมือนไม่มีทางเลือก “ยังไงก็จองเอาไว้แล้ว เราก็หิวแล้วด้วย จะคุยงานหรือไม่คุยเอาไว้กินอะไรก่อนค่อยว่ากันทีหลังก็ได้”


“ก็ได้ ตกลงตามนั้น”




ร้านอาหารที่จีจี้โทรจองไว้เป็นร้านที่คนไม่ค่อยพลุกพล่านนัก อาจเพราะราคาที่จัดว่าค่อนข้างแพงพวกกับทำเลในซอกซอยที่เข้าถึงได้ยาก จึงนับว่าเหมาะสำหรับการทำงานในระหนึ่งทีเดียว พอหย่อนก้นลงบนเก้าอี้เสร็จสับ เจ้าหล่อนก็เริ่มสั่งอาหารโน้นนี่อย่างสบายใจ พอๆ แม็กที่หยิบจับอะไรคล่องแคล่วเพราะคุ้นเคยกับร้านนี้เป็นอย่างดี


แต่พอสั่งอาหารเสร็จเท่านั้น เธอก็ยิงคำถามเกี่ยวกับตัวเขาใส่รัวๆ ราวกับเห็นเป็นเรื่องแปลกใหม่ มันเริ่มต้นจากความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับโรงเรียนมัธยมที่เขาจบมา ซึ่งพอเขาตอบตามความเป็นจริงว่า เป็นโรงเรียนที่ตั้งอยู่ห่างจากเขตตัวเมืองพอสมควร และไม่สะดวกสบายนัก เธอก็ร้องโอ้โหใหญ่โต ก่อนจะเริ่มถามคำถามอื่นๆ อย่างสนอกสนใจเป็นพิเศษ อย่างเช่น ชีวิตที่โน้นเป็นยังไง วิวสวยไหม ตลอดไปจนถึงเหตุผลที่ทำไมเขาเลือกเรียนที่นี่


ซึ่งดูสนอกสนใจเอามากๆ เสียจนคนข้างๆ กลายเป็นหมัน...


ตุลย์ชำเลืองมองเพื่อนชายที่ตีสีหน้าเอือมกึ่งไม่พอใจทุกครั้งที่เขาคุยกับจีจี้ บางครั้งเผลอมองนานเกินไป อีกฝ่ายก็ถลึงตาใส่เหมือนไม่สบอารมณ์หนักหนา


“นี่ๆ ตุลย์”


หญิงสาวสะกิดเขาทีหนึ่ง ขณะเลื่อนจานอาหารที่เพิ่งมาเสิร์ฟให้พร้อมๆ กับของแม็ก


“ถามอะไรอย่างสิ แต่เธอจะไม่ตอบก็ได้นะ”


“อะไรเหรอ”


“จากที่ได้ยินมา... เรื่องที่เธอเป็นเด็กเสี่ยอ่ะ จริงเหรอ...?”


สิ้นประโยคคำถามโต๊ะทั้งโต๊ะก็เงียบกริบ แม้แต่แม็กที่นั่งนิ่ง ตีหน้าเบื่อหน่ายไม่สนใจอะไรนอกจากขึงตาใส่เขาเวลาคุยกับจีจี้ก็ยังหันมองด้วยแววตาใคร่รู้


ดูเหมือนนี่คงเป็นหนึ่งในคำถามสุดป็อปปูล่าที่ทุกคนอยากรู้คำตอบจากเขาล่ะมั้ง...


พอเห็นว่าชักเงียบนานเกินไปผู้ร่วมโต๊ะเริ่มกระอักกระอั่ว ตุลย์ก็เลือกตามความเป็นจริง ยังไงเสียก็ยังมีคนอีกมากมายต่อคิวรอขุดคุ้ยเบื้องหลังของเขาอยู่ แทนที่จะโกหก สู้ตอบแบบเปิดเผยไปเลยไม่ง่ายกว่าหรือ?


“ก็ใช่ ถ้าจะเรียกแบบนั้น”


คราวนี้เป็นแม็กที่ร้อง ‘ห๋า’ เหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ฟัง เจ้าตัวทำท่าจะพูดอะไรต่อ แต่สุดท้ายก็ปิดปากเงียบก่อนจะเอ่ย ‘ขอโทษ’ ที่เสียมารยาททีแรก


 กลับกัน เป็นจีจี้ที่ดูไม่ระแคะระคายอะไรเลย หลังจากฟังเรื่องของเขาจบ เธอก็พูดจ้อ เล่าเรื่องโน้นเรื่องนี่ให้ฟังต่ออย่างสนุกสนาน ไม่ลืมพาดพิงถึงผู้ชายคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขา


“จำที่เราเล่าเรื่องกายตามตื้อแรกๆ ได้ไหม ตอนนั้นเราอยู่กับกลุ่มเพื่อนผู้หญิงก็พาลระแวงไปหมด ไปไหนก็ต้องไปด้วยกันหลายๆ คนเวลาเจอพวกนั้นจะได้ช่วยกันแก้ปัญหา บอกตรงๆ ว่าตอนนั้นเราหัวเสียมากเลย จนกระทั่งแม็กอาสาช่วยนี่แหละ ได้ผลดีอย่างกับไม้กันหมา หลังจากนั้นเราก็สนิทกันเร็วมากๆ เห็นขี้เก็กมีมาดแบบนี้แต่จริงๆ แม็กอ่ะ เป็นคนดีแล้วก็รั่วมากเลยนะ! วันนั้นยังไปช่วงอาจารย์เป็นแรงงานยกของอยู่เลย เสร็จแล้วก็มานอนแผ่อยู่บนม้าหิน บ่นใส่เราไม่หยุดว่าเหนื่อยๆ ๆ ไม่น่าไปอาสาทำ”



“โถ่ จี้!” คนถูกพาดพิงร้องเสียงดังประท้วง “ไปเล่าให้คนอื่นฟังทำไม”


“ก็มันตลกดีนี่ ขนาดทำเสร็จไปแล้วก็ยังจะบ่นอีก ฮ่าๆ ๆ” ว่าไปเธอก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากไปพลาง 


หลังจากคุยสัพเพเหระกันเสร็จ พวกเขาก็คุยเรื่องแผนงานต่ออีกเล็กน้อยพอเป็นพิธี คงเพราะจู่ๆ ฝนหลงฤดูก็ทำท่าจะตกเสียอย่างนั้น จึงทำให้ต้องรีบแยกย้ายกันกลับเร็วกว่าปกติ


ระหว่างที่รอเช็คบิล จีจี้ก็ขอตัวไปเขาห้องน้ำ ทิ้งเขาไว้กับแม็กแค่สองคน พอลับสายตาจากเธอ ชายหนุ่มก็เผินหน้าออกไปนอกหน้าต่างเหมือนตกอยู่ในห้วงภวังค์ ขณะที่ตุลย์นั่งหยิบจับอะไรบนโต๊ะฆ่าเวลาไปพลาง


“จะทำไงให้เธอรู้ว่าชอบดีวะ”


คงอัดอั้นตันใจมากหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ จู่ๆ คนที่วางตัวไม่ใส่ใจอะไรตั้งแต่แรก กลับหันมาหาเขา แล้วขยี้หัวแรงๆ พึมพำกับตัวเองเหมือนเสียสติ


“โอ้ย แล้วนี่กูไปพูดกับคนแปลกหน้าทำไมวะเนี่ย!”


“จีจี้น่ะเหรอ”


“..........” อีกฝ่ายไม่ตอบ แต่เม้มปาก มองไปทางด้วยใบหน้าขึ้นสี


ไม่ผิดจากที่คาดไว้จริงๆ


ว่ากันตามตรงเขาไม่ใช่กูรูเรื่องความรักความสัมพันธ์อะไร แต่สายตาที่แม็กมองเธอ ต่อให้เป็นคนเพิ่งเจอกันก็เดาออกได้ง่ายๆ ว่าคิดเกินกว่าเพื่อน เพราะมันมักจะเจือด้วยความห่วงใยมากเกินไปเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทุกสิ่งที่อีกฝ่ายคิดแทบทะลุผ่านสีหน้า แววตาและการกระทำทั้งหมด


“ถ้าอยากให้เธอรู้นายก็ต้องแสดงออก”


“แสดงออกยังไง?”


“ผู้หญิงไม่ชอบผู้ชายที่ไม่ชัดเจน นายต้องแสดงให้เธอรู้ว่าชอบ แต่ก็อย่ารุกจนเกินไป มันทำให้รู้สึกเหมือนถูกคุกคามมากกว่า”


“แล้วมันต้องเริ่มยังไง?”


 ชายหนุ่มลากเก้าอี้ นั่งหลังตรงชิดโต๊ะเหมือนกำลังฟังภาระกิจยิ่งใหญ่ที่หากพลาดลายละเอียดยิบย่อยก็อาจล้มเหลวทั้งหมด


ตุลย์เกาคาง บังเอิญว่าสายตาเหลือบไปเห็นร้านดอกไม้ฝังตรงข้ามเข้าพอดิบพอดี


“ดอกไม้เป็นยังไง? ผู้หญิงน่ะชอบให้คนใส่ใจ”


ฝ่ายนั้นดูลังเลลังชำเลืองมองกลุ่มเมฆสีเทาเข้ม “มันจะใช้ได้แน่เหรอวะ อีกอย่างฝนก็จะตกแล้ว ถ้าข้ามถนนออกไปตอนนี้อาจจะกลับมาแบบตัวแห้งไม่ทันก็ได้”


“เรื่องนั้นนายก็ลองดู อีกสักพักเธอคงกลับมาแล้ว” ตุลย์จงใจทิ้งช่องว่างไว้ให้อีกฝ่ายขบคิด


ชายหนุ่มมองร้านดอกไม้สลับกับห้องน้ำหญิง ก่อนจะลุกพรวดขึ้น “ก็ได้ เอาวะ!”


ว่าแล้วเจ้าตัวก็วิ่งอย่างรีบร้อนข้ามถนน พรวดพราดเข้าไปในร้านดอกไม้โดยเร็ว ตุลย์มองตามหลังคนที่วิ่งหายเข้าไปด้านใน ก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้รอไปพลาง


จำได้ว่าผู้หญิงคนหนึ่งที่เขารู้จักก็เคยบอกว่าชอบดอกไม้


ผู้หญิงคนนั้นชื่อว่า ‘บี’... คนที่เขารักเหมือนพี่สาว แต่กลับไม่มีโอกาสได้พูดอะไรก่อนจากมา...



ต่อให้อยากจะกลับไปที่นั่นเท่าไหร่ เขาก็ไม่อยู่ในสถานะที่จะทำได้ ตอนนี้เขาคือ ‘เด็ก’ ของศานนท์ ไม่ว่าตัดสินทำอะไรก็ย่อมต้องบอกให้อีกฝ่ายรู้ และยิ่งเป็นไปไม่ได้เมื่อเรื่องนั้นเกี่ยวข้องกับไนท์คลับของธวัตร ซึ่งหนุ่มใหญ่ไม่คิดจะเข้าไปยุ่มย่ามแต่แรกแล้ว


เพื่อป้องกันเรื่องวุ่นวายที่อาจเกิดตามมาเพราะความเข้าใจผิด คืนที่ออกมาเขาจึงหักซิมทิ้ง


อย่างน้อยๆ ก็เป็นเครื่องการันตีว่าศานนท์ไม่อาจนำมันมาเป็นข้ออ้างใช้ประโยชน์จากเขาได้อีก


จะว่าขี้ระแวงก็ไม่ผิด ประสบการณ์ที่ได้จากธวัตรเป็นสอนให้เขาระมัดระวังตัวมากกว่าเดิม เพราะหากการกระทำใดมีช่องโหว่ แม้เพียงนิดเดียวคนๆ นั้นก็พร้อมจะใช้ประโยชน์จากรอยแตกเล็กๆ เหล่านั้น เล่นงาน บีบบังคับให้เขาเดินตามตาหมากที่อีกฝ่ายกำหนด เป็นเช่นนั้นทุกครั้งแม้แต่วันที่เขาจากมา


ดังนั้น เขาจะไม่กลับไปหาคนๆ นั้นอีก...


“อ้าว แม็กรีบกลับไปแล้วเหรอ?” ตกอยู่ในภวังค์จนไม่ทันรู้สึกตัวว่าจีจี้ยืนอยู่ข้างๆ


ตุลย์ปรายมองไปทางร้านดอกไม้ ก็เห็นประตูเปิดพร้อมกับร่างที่วิ่งพรวดออกมาตอนฝนเริ่มลงเม็ด เขาจึงเลือกจะถ่วงเวลาต่อ


“เห็นว่าออกไปซื้อของใกล้ๆ นี้ อีกเดี๋ยวก็คงกลับมาแล้วล่ะ”


“เหรอ” เธอทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ข้าง พร้อมมุ่ยหน้า “นึกว่าหนีกลับไปไม่บอกเราเสียอีก หมู่นี้ยิ่งทำตัวแปลกๆ อยู่ด้วย”


ยังไม่ทันที่ตุลย์จะพูดต่อ เสียงกระดิ่งร้านก็ดังขึ้น ชายหนุ่มก้าวฉับๆ มาที่โต๊ะทั้งร่างโทรมเหงื่อ ในมือถือดอกไม้ช่อหนึ่ง ก่อนจะยื่นดอกไม้ช่อนั้นให้เธอ เห็นเธอยืนอึ้ง แม็กก็เกาหัวแก้เก้อเขิน ไม่วายชำเลืองมองเขาแบบขอความช่วยเหลือ


“เอ่อ... ไม่ได้ให้เนื่องในโอกาสพิเศษอะไรหรอก แค่...”


คงกลัวว่าจะปล่อยให้รอนานเกินไป หญิงสาวจึงรับช่อดอกไม้มา “ขอบคุณนะแม็ก ไม่เห็นต้องซื้อให้เลย”


“เอ่อ...” เจ้าของชื่อยิ้มแหย แล้วโบ้ยมาทางเขา “หมอนี่บอกว่าเธอน่าจะชอบดอกไม้”


ตุลย์แทบสำลักน้ำที่กำลังจิบ โชคดีที่เขายังพอมีสติรู้ตัวจึงกลืนมวลน้ำลงคอได้โดยไม่เผลอไอขัดจังหวะบรรยากาศสีชมพูของทั้งคู่เสียก่อน


“อ๋อ ชะ ชอบสิ ...ชอบๆ” จีจี้กอดช่อดอกไม้ไว้แทนคำตอบ “ขอบคุณมากนะแม็ก มันสวยมากเลย”


“...ไม่เป็นไร”


หลังใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะปรับอารมณ์สู่สภาวะปกติ และคุยกันได้โดยไม่เก้อเขิน ทั้งสองคนขอกลับโดยที่แม็กอาสาไปส่งจีจี้ที่ลานจอดรถ แต่ก่อนไปก็ไม่วายเหวี่ยงแขนพาดคอเขา


“แผนเจ๋งว่ะ ขอบคุณนะโว้ยไอ้เพื่อนรัก!”





หลังจากเหตุการณ์วันนั้น ทั้งคู่ก็มักป่วนเปี้ยนอยู่ในวงจรชีวิตเขาไม่ห่าง ทีแรกเริ่มจากการย้ายมานั่งข้างๆ ต่อมาก็ชวนกินข้าว และเริ่มออกไปไหนมาไหนด้วยกันนอกเวลาเรียน ความสัมพันธ์ระหว่างตุลย์และทั้งสองก็ดูจะไปได้ดีเกินคาด และยิ่งกว่านั้น เมื่อมีสาวป็อปอย่างจีจี้อยู่รอบกาย บรรยากาศที่เคยน่าอึดอัดในมหาวิทยาลัยก็พาลดูดีขึ้น จนถึงขั้นว่าหลายคนที่ไม่เคยเข้าหาก็เริ่มพูดคุยกับเขาเป็นกิจลักษณะ


เนื่องจากวันพรุ่งนี้มีสอบควิสคาบเช้า จีจี้เลยอาสาติวให้พวกเขาทั้งคู่หลังเลิกเรียน แต่ด้วยความที่เป็นวิชาท่องจำ หญิงสาวจึงช่วยได้เพียงแค่เล่าลายละเอียดคร่าวๆ ให้พอเข้าใจ ส่วนที่เหลือก็เป็นหน้าที่ที่พวกเขาต้องไปจำเอาเอง ซึ่งมันไม่ควรมีอะไรยากไปกว่านั้น


 ทว่าดูเหมือนใครบางคนจะไม่ยอมทำความเข้าใจเสียที


 “จี้ ตรงนี้มันยังไง เราไม่เข้าใจ”


แม็กเกาหัวแกรกๆ ใช้เวลาวนเวียนอยู่ตรงจุดเดิมราวครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่เจ้าตัวก็ยัง ‘ยืนกราน’ ว่างง จนต้องหญิงสาวต้องอธิบายซ้ำอีกรอบ


“ทีนี้เข้าใจมากขึ้นไหม?”


“...ก็อาจจะ”


คนฟังได้ยินก็มุ่ยหน้าเท้าคางเหนื่อยๆ “ถ้ายังงงตรงนี้อยู่ เราจะติวให้อีกรอบตอนเย็นแล้วกัน ตุลย์ล่ะ โอเคไหม เข้าใจหรือเปล่า อยู่ติวกับเราอีกรอบไหม?”


เขามองเธอสลับกับอีกคนที่ทำเหมือนเข้าใจอะไรยาก ก่อนจะลอบขำ


ต่อให้หมอนี่สมองช้ายังไง ก็ไม่มีทางช้าขนาดเรียงเคียงอะไรไม่ได้เลยหากเจ้าตัวไม่แสร้งทำ


เห็นแบบนั้นตุลย์จึงคิดว่าควรเปิดโอกาสให้คนสองคนสานสัมพันธ์กันมากกว่าจะอยู่เป็นส่วนเกินเกะกะคนมีความรัก


“ไม่ดีกว่า ฉันว่าจะกลับเลย ถามไอ้แม็กมันเถอะ อีกนานไหมกว่าจะเข้าใจ”


คนถูกพาดพิงตาโตเหมือนไม่เชื่อว่าเขาจะรู้ทัน ก่อนจะส่งสายตาระยิบระยับเมื่อตุลย์คว้ากระเป๋าสะพายพาดไหล่


“ทำเป็นพูดไปเหอะว่ะ เดี๋ยวจะเอาคะแนนสอบมาโชว์”


“เออ เอาที่อยู่หน้านั้นให้รู้เรื่องก่อนเหอะ” เขาทิ้งท้ายก่อนเดินแยกมา


หลังจากผ่านเรื่องราวแย่ๆ มาตลอดช่วงสองสามเดือน บางทีนี่อาจเป็นฟ้าหลังฝนสำหรับเขาก็ได้


----------------------

ขัดหยาบๆ เลยค่ะ ไม่ได้เช็คละเอียดก่อนลง ขออภัยล่วงหน้าเลย ที่หายไปนานคือเพลียเดินทาง + ติด webcomic ของ lezhin ถถถถถ มีแต่งานดีๆ สตอรี่แน่นๆ อร่อยทั้งนั้น แอร๊ยยย
แต่ทุกคนอย่าเพิ่งลืมน้องกายนะคะ ถถถถ นางเป็นหนึ่งในตัวละครสำคัญ เผลอๆ อาจจะสำคัญกว่า จี้กับแม็กเสียอีกและอีกสักพักนางจะก่อเรื่องค่ะ 555+ มาบอกไว้ก่อนเพราะยังมีอีก 4 ตัวละครที่มีบทบาทสำคัญกับชีวิตหนูตุลย์ เร็วๆ นี้จะเปิดตัว 1 ใน 4 ประมาณ ตอนที่ 12 เจ้าค่ะ
ตอนหน้าพบกับ คนแก่ vs คนเมา จะเกิดอะไรขึ้นต้องติดตาม อิอิ #ลงไปหมอบกราบลา
ปล.ไม่ชอบเล๊ย เวลามีแต่คนสมหวังเนี่ย ถถถถถถถถถ


>>READ10.2<< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54053.msg3553996#msg3553996)
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (09.01.17) 10th Night ยั่ว l 10.1 P.6 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 10-01-2017 08:12:10
แม็กดูเด็กน้อย ไร้เดียงสาเลยพอเจอตุลย์ ฮ่าฮ่าฮ่า

กายนี่เป็นสัมภเวสีที่ตายยากสินะ

ขอให้จีจี้ปล่อยแสงเผาให้มอดไหม้ไปเลย! ย๊ากกกกก !!!
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (09.01.17) 10th Night ยั่ว l 10.1 P.6 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Biwty... ที่ 10-01-2017 09:44:06
 :really2:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (09.01.17) 10th Night ยั่ว l 10.1 P.6 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Snimsoi ที่ 10-01-2017 10:08:35
ชีวิตดีแล้ว เย้  :z2:
ดีแบบนี้ไปนานๆนะ แต่เหมือนฟ้า(คนแต่ง)จะไม่เป็นใจ ถถถถ ไอ้กายนี่ไปแล้วไปลับเลยได้มะ น้องตุลย์ของเค้าต้องการชีวิตดีๆ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (09.01.17) 10th Night ยั่ว l 10.1 P.6 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 10-01-2017 11:29:23
ชีวิตเริ่มดีแล้ว :mew1:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (09.01.17) 10th Night ยั่ว l 10.1 P.6 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 10-01-2017 12:34:23
 ตอนนี้ไม่มีเสี่ยอะ  :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (09.01.17) 10th Night ยั่ว l 10.1 P.6 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 10-01-2017 15:15:16
เสี่ยหาย? ไปฟิตหุ่นอยู่เหรอค่ะ?ฮ่าๆๆๆ :hao7:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (09.01.17) 10th Night ยั่ว l 10.1 P.6 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Brand_Zess. ที่ 10-01-2017 20:04:45
เสี่ยต้องฟิตหุ่น
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (09.01.17) 10th Night ยั่ว l 10.1 P.6 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 10-01-2017 21:15:49
เกลียดกายมาก แย่ๆๆ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (09.01.17) 10th Night ยั่ว l 10.1 P.6 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: kimkidoy ที่ 10-01-2017 21:31:55
ดีใจจังที่ตุลย์มีเพื่อนแล้ววว
ตั้งแต่มาอยู่กะศานนท์ชีวิตเหมือนจะดีขึ้นๆนะเนี่ยยย
ตอนนี้พระเอกค่าตัวแพง? ไม่ยอมออกเลย5555
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (09.01.17) 10th Night ยั่ว l 10.1 P.6 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: lightseeker ที่ 10-01-2017 22:27:20
ตอนนี้ไม่มีคุณศานน์ แต่กลับอ่านแล้วอมยิ้ม ดีจังที่ตุลย์ได้ใช้ชีวิตแบบเด็กวัยรุ่นบ้าง  o13 :กอด1:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (09.01.17) 10th Night ยั่ว l 10.1 P.6 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: pimmyfang ที่ 18-01-2017 19:05:55
เพิ่งเข้ามาอ่าน ชอบมากกกกกก รอตอนต่อไป :hao6:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (09.01.17) 10th Night ยั่ว l 10.1 P.6 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: lightseeker ที่ 19-01-2017 00:29:20
คิดถึงแล้วค่า  :mew2:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (09.01.17) 10th Night ยั่ว l 10.1 P.6 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 19-01-2017 05:20:28
เหมือนลมสงบก่อนพายุจะมา
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (26.01.17) 10th Night l ยั่ว (100%) P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 26-01-2017 00:17:09
[10.2]

“ดูหนังด้วยกันไหม”


นั่นคำถามจากปากของคนที่เพิ่งกลับถึงบ้าน ขณะกำลังถอดเสื้อนอกพาดบนพนักเก้าอี้ ตุลย์เงยหน้ามองอีกฝ่ายแว่บหนึ่ง ก่อนจะก้มลงไปขมักขม่นกับการดึงจุกไม้คร็อกบนขวดไวน์ที่เขาโปรดปรานหนักหนา


“เรื่องอะไรครับ”


“หนังสุดสัปดาห์น่ะ ฉันก็ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร” หนุ่มใหญ่เปิดทีวีไล่ช่องไปเรื่อย และนั่งลงเมื่อยืนนานเกินไปจนชักจะเมื่อยขา “เหมือนจะเป็นหนังรักคอมเมดี้ อยากดูด้วยกันไหม”


“ก็ได้ ถ้าคุณว่างั้น”


ได้ยินแบบนั้น ศานนท์ก็ตบที่นั่งข้างๆ ปุๆ ซึ่งตุลย์ก็นั่งลงตาม โดยไม่ลืมหยิบเครื่องดื่มที่แสนโปรดปรานอย่างไวน์ติดไม้ติดมือมาด้วย


สัปดาห์ที่ผ่านมาถือว่าเป็นไปอย่างราบรื่นกว่าครั้งไหนๆ ราบรื่นเสียจนแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังแปลกใจ ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยแบบที่เฝ้าใฝ่ฝันตลอดมา พยายามไขว่คว้าก็ตั้งเท่าไร แต่สุดท้ายกลับได้มาอยู่ในกำมือง่ายๆ โดยไม่ต้องขวนขวายเกินตัว


บทจะง่ายก็ง่ายดายเสียอย่างกับตกถังข้าวสาร แต่ถึงคราวยาก ทุ่มเทเท่าไหร่ กลับเหมือนหว่านเม็ดพันธุ์บนผืนทรายทั้งที่รู้ว่าเหนื่อยเปล่า


...เพราะรู้ว่าไม่อาจหยุดช่วงเวลาในห้วงอารมณ์สุขนี้ได้ยาวนานนัก สิ่งที่เขาพอทำได้ คือตักตวงมันเอาไว้ในความทรงจำตอนที่ยังมีโอกาส จะได้ไม่เสียใจตอนที่หวนนึกย้อนมา


คิดไปก็กระดกไวน์ไปพลาง ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อรสชาติที่สัมผัสลิ้นนั้น ทั้งแรงและขมปร่ากว่าทุกที แต่กระนั้นก็ปราศจากความคิดที่จะเลิกดื่ม


จะให้ทำไงได้ในเมื่อหนังมันออกจะน่าเบื่อ ถ้าไม่มีอะไรดึงความสนใจไว้หน่อย เขาคงได้หลับตั้งแต่ห้านาทีแรกแล้ว...


ทีจริงการนั่งดูหนังเป็นเพื่อนใครคนหนึ่งสักเรื่องสองเรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหา เขาทำแบบนี้ออกบ่อยไปสมัยเรียนมัธยม แต่ด้วยความที่เดิมทีไม่ชอบคลุกคลีกับสื่อประเภทนี้อยู่แล้ว พอมาเป็นหนังโรแมนติกคอมเมดี้แนวตลกเลอะเทอะซึ่งนอกจากจะไร้สมองแล้ว ยังเข้าถึงยากอีก คราวนี้เขาเลยไม่ยักกะขำ


“ฮ่าๆ ๆ ๆ”


...ทว่าดูเหมือนคนข้างๆ จะไม่คิดเช่นนั้น หนุ่มใหญ่นอกจากจะหัวเราะร่วนเป็นพักๆ แล้วยังอินกับเนื้อเรื่อง จดจ่ออยู่กับทีวีชนิดตาไม่กระพริบจนเขาไม่อยากขัด


คงเพราะถูกจ้องนานเกินไปหน่อย ฝ่ายนั้นถึงรู้สึกตัว หันมาเลิกคิ้วแกมสงสัยใส่เขาในขณะที่ใบหน้ายังเปื้อนยิ้มไม่หาย


 “ทำไมหืม ไม่ขำเหรอ?”


 “ไม่รู้สิครับ ผมไม่ค่อยอินล่ะมั้ง”


ได้ยินแบบนั้น ศานนท์ก็หยิบรีโมทส่งให้เขาด้วยท่าทีคล้ายจะถามว่า ‘อยากดูอะไร’ ความรวดเร็วนั้นทำให้ตุลย์ได้แต่ส่ายหน้าพัลวัน


“คุณดูเถอะครับ ที่จริงผมไม่ค่อยชอบดูหนังเท่าไหร่ แต่จะนั่งเป็นเพื่อนคุณจนกว่าหนังจะจบแล้วกัน”


ไม่เห็นว่าศานนท์ค้านอะไร เขาจึงสรุปเอาเองว่าตกลง หากนิ่งอยู่ได้ไม่นานนัก พอความเบื่อหน่ายเริ่มครอบงำ ตุลย์ก็อกไม่ได้ที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตอบข้อความ เปิดดูคลิปวีดีโอต่างๆ ไปพลาง กันไม่ให้ตัวเองผล็อยหลับดื้อๆ ขณะที่มือก็ยังวนเวียนอยู่กับแก้วไวน์และขวดเหล้าไม่ห่าง


แต่ที่น่าแปลกใจ คือยิ่งดื่มมาก สิ่งอยู่ในมือกลับน่าสนใจน้อย สติสัมปชัญญะของเขาเริ่มถูกดึงกลับไปยังจอสี่เหลี่ยมของโทรทัศน์มากขึ้น จนกระทั่งตอนไหนไม่รู้ที่ตัวเองเริ่มหัวเราะไปกับมุกตลกหาสาระไม่ได้ ทั้งที่ไม่เข้าใจเนื้อเรื่องสักนิด


ตุลย์ดื่มไปก็หลุดหัวเราะไปเป็นระยะ แต่จังหวะที่เขากำลังกระดกแก้วส่งของเหลวอึกสุดท้ายเข้าปากรวดเดียว จู่ๆ แขนขวาก็ถูกยึดค้างกลางอากาศแบบไม่พูดพล่ามทำเพลง เล่นเอาตกใจจนเกือบทำไวน์หกใส่เสื้อ


ตุลย์ขมวดคิ้ว “มีอะไรครับ?”


“หาอะไรใส่ท้องสักหน่อยสิ ดื่มตอนท้องว่างเดี๋ยวจะเป็นโรคกระเพาะเปล่าๆ”


ฟังผิวเผินคล้ายการกับข้อเสนอแนะ ถ้าไม่ใช่ว่าหนุ่มใหญ่ถือวิสาสะแกะแก้วออกจากมือเขา แล้ววางปุไว้บนโต๊ะเป็นสิ่งถัดมา


สองสามวันมานี้ ศานนท์แสดงออกให้เห็นว่าไม่ค่อยพอใจที่เขาดื่มไวน์แทนน้ำเปล่าเป็นว่าเล่นทุกเย็น ถึงจะเป็นวิธีอ้อมๆ แต่มันก็ชัดเจนพอจะเข้าใจนัยยะที่แฝงว่า ซึ่งที่สำคัญคือ ‘มันน่าอารมณ์เสีย’


“ผมไม่หิว”


 เขาตอบตามตรง พยายามคุมสติ แต่คนฟังก็หาสนใจความจริงข้อนั้นไม่


“ในครัวมีขนมอยู่ในตู้ชั้นบน เลือกเอาสักอย่างทานก่อนก็แล้วกัน”


“..........”


รู้สึกว่าต่อกรไปก็ไม่มีประโยชน์ เขาก็ทำได้แค่ถอนหายใจหนักๆ ระบายอารมณ์งุ่นง่านในอกทีชักจะเริ่มปิดไม่มิดทุกที แล้วลุกเดินดุ่มๆ หายเข้าไปในครัว


เขาเปิดตู้เก็บข้าวของเหนือหัว หยิบของที่แรกที่ใกล้มือซึ่งภายหลังเห็นว่าเป็นข้าวโพดคั่วกึ่งสำเร็จรูป แล้วจับยัดใส่ไมโครเวฟ รออยู่ราวสองนาทีจนกระทั่งได้ยินเสียงข้าวโพดแตกตัวกับกลิ่นหอมเนยอ่อนๆ จึงเปิดตู้คว้าทั้งถุงกลับไปวางแป๊ะไว้หน้าทีวี แล้วทิ้งก้นลงนั่งตามเดิม


ศานนท์ปรายมองเขาแว่บหนึ่งด้วยสายตาคล้ายถามว่า ‘ทานหรือยัง’ เห็นแบบนั้นตุลย์ก็หยิบข้าวโพดคั่วใส่ปากเคี้ยวกรวมๆ อย่างไม่สบอารมณ์


“ทีนี้เผมขอแก้วคืนได้หรือยัง?”


“ก็เอาสิ ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย”


ไม่พูดปากเปล่า แต่ยังเลื่อนแก้วส่งให้เขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยประหนึ่งคนบริสุทธิ์ใจ


อ๋อ เหรอ...?


ตุลย์เค้นยิ้มอย่างนึกหมั่นไส้ อยากทำมากกว่านึกด่าในใจ ติดอยู่อย่างเดียวก็ตรงที่เขาไม่มีสิทธิ์พูดมากถ้ายังอยากได้ชีวิตราบรื่นและเรียบง่ายอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้...


คิดได้อย่างนั้นก็รินไวน์เพิ่มใส่แก้วอย่างฉุนเฉียว แต่ครู่เดียวขมวดคิ้วมุ่นเมื่อของเหลวที่เหลือเติมพื้นที่ว่างได้เพียงหนึ่งในสี่ส่วนของแก้วเท่านั้น


จำได้ว่าทีแรกมันเหลือเยอะกว่านี้ไม่ใช่เหรอ!?


สมองตื้อจนชักจะคิดอะไรไม่ออกก็หันขวับไปคาดโทษคนข้างกาย


“คุณไม่ได้แอบดื่มตอนผมออกไปเวฟป็อปคอนเมื่อกี้ใช่ไหม”


“หืม?” หนุ่มใหญ่เลิกคิ้ว สีหน้าไร้พิรุธใดๆ “เปล่านี่ คืนนี้ฉันไม่ได้ดื่ม”


“เหรอ...”


ตุลย์สูดจมูกฟุดฟิด ประสาทรับกลิ่นที่เริ่มรวนทำให้เขาต้องโน้มหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่าย หรี่ตาลงเล็กน้อยหาความจริง โดยที่มือข้างหนึ่งเท้าพนักโซฟายังน้ำหนักตัวเองไว้


“แต่ผมว่าผมได้กลิ่นเหล้า ...จากคุณ”   


“...เธอเริ่มเมาแล้วนะ”


“หือ? ผมไม่ได้เมา”


 เขาผละจากร่างหนุ่มใหญ่ ก่อนจะสาวเท้าเร็วๆ ไปเปิดไวน์อีกขวดหลังบาร์ตรงมุมห้อง แล้ววกกลับมายังโซฟา


“มีอะไรตรงไหนที่บอกว่าผมเมา คุณต่างหาก เมาหรือเปล่า?”


ดูเหมือนหนุ่มใหญ่จะทึ่งกับท่าทางเลิกคิ้วแสนจริงจังของเขาเอามากถึงพูดอะไรไม่ออก เห็นแบบนั้นตุลย์ก็ถือโอกาสรินไวน์ขวดใหม่ใส่แก้วให้เต็ม


“เดี๋ยว” คราวนี้มือของอีกฝ่ายจับทับของเขา ขืนแรงไว้ไม่ให้รินต่อ “พอแล้ว คืนนี้พอแค่นี้”


“หือ? ไม่คิดว่ามันเอาเปรียบผมเหรอที่คุณแอบดื่มครึ่งขวดที่เหลือตอนผมไม่อยู่”


“ฉันไม่ได้ดื่ม...”


“ถ้าไม่ใช่คุณแล้วใครดื่ม?”


“...ก็เธอไง”


“............”


บทสนทนาแปลเปลี่ยนเป็นเกมจ้องตาเมื่อต่างฝ่ายต่างไม่พูดอะไร แต่ยืนกรานจุดประสงค์ของตัวเองด้วยความเงียบ ดวงตาของศานนท์ที่จ้องเขากลับครั้งนี้นิ่งแข็ง เด็ดขาดไม่อรุ่ยอร่วยเหมือนเคย ขณะเดียวกันก็ไม่แข็งกร้าวถึงขั้นเคืองโกรธ


แต่แทนที่จะกลัว ตุลย์กลัวรู้สึกว่ามันช่างกระตุ้นอารมณ์อยากยั่วโมโหได้ดีเสียเหลือเกิน


พวกเขาจ้องตากันไม่รู้ว่านานแค่ไหน จนกระทั่งเริ่มเกิดแรงดึงดูดบางอย่างที่มากกว่าความอยากเอาชนะ หากแต่ก่อนที่จะถลำลึกไปในห้วงอารมณ์ประหลาดนั้น ตุลย์ก็ใช้จังหวะที่หนุ่มใหญ่เบนความสนใจมายังนัยน์ตาเขา กดคอขวดตะแคงให้ของเหลวด้านในไหลลงมาในแก้วจนเต็ม ขณะที่มองดูคนหลงกลที่ชักหน้าเข้ม ขมวดคิ้วเป็นปม


เห็นแบบนั้นเขาก็หัวเราะชอบใจเมื่ออีกฝ่ายหลงกลเข้าให้เต็มเปา


ช่างเป็นการแก้แค้นที่แสนหวาน...


 “ตุลย์” ศานนท์เรียกชื่อเขาเสียงแข็ง “เธอไม่ได้ติดเหล้าใช่ไหม?”


“อื้ม... ไม่รู้สิ”


 คำถามนั้นออกจะตอบยากอยู่สักหน่อย แต่ตอนนี้เขาไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะหาเหตุผลมาต่อล้อต่อเถียงกับหนุ่มใหญ่ พอได้ในสิ่งที่ต้องการ ตุลย์ก็แค่นั่งกระดกไวน์เข้าปากอย่างเพลินๆ


ไม่รู้ว่าท่าทีนั้นไปกระตุ้นอารมณ์โมโหหรืออย่างไร อยู่ๆ ศานนท์ถึงได้คว้าคอขวดแล้วลุกขึ้น


“เดี๋ยวก่อน! คุณจะเอาไปไหน”


“เอาไปเก็บ เธอเมาแล้วนะตุลย์”


“ผมไม่ได้เมา” เขาลุกขึ้น เดินตามไปติดๆ “เอาไปเก็บก็เสียรสชาติเปล่าๆ ให้ผม...”


ไม่ทันพูดจบ ศานนท์ก็เดินเลี่ยงเขาออกไปโดยไม่ฟังอะไรอีก คราวนี้เขาจึงอ้อมไปขวางทางอีกฝ่ายไว้ทั้งตัว ไม่เพื่อไม่เป็นการเปิดช่องหนุ่มใหญ่ได้ปฏิเสธ ตุลย์จึงเขยิบเข้าไปไกล ช้อนตามองดวงตาแข็งกร้าวคู่นั้นอีกครั้ง แล้วสะกดมันไว้ด้วยการจ้องลึกเข้าไปภายในนั้น ทว่าดูเหมือนครั้งนี้ศานนท์จะไม่โอนอ่อนตามโดยง่าย เขาจึงต้องพึ่งอย่างอื่นเข้าช่วย...


มือข้างหนึ่งอ้อมโอบต้นคอ ออกแรงรั้งศีรษะอีกฝ่ายลงมาต่ำอีกหน่อย แล้วคลอเคลียปลายจมูกใต้คางที่ปกคลุมด้วยไร้หนวดจางๆ ใกล้ชิดจนรู้สึกถึงความร้อน ไออุ่น และเสียงลมหายใจ ชั่ววินาทีนั้นแววตาของหนุ่มใหญ่ก็เป็นประกายวูบไหว


...ซึ่งนั่นเป็นโอกาสที่ดี


วินาทีนั้นร่างโปร่งก็ออกแรงกระชากประมาณ เพื่อดึงขวดไวน์ออกจากกำมืออีกข้างของศานนท์ โชคไม่ดีนักที่อีกฝ่ายความรู้สึกไวพอที่จะยื้อมันไว้ในระยะเวลาสั้นๆ ซึ่งสุดจบของการยื้อยุดฉุดกระชากครั้งนี้ก็ลงเอยด้วย ‘ไวน์หก’ เกือบทั้งหมด


ส่วนหนึ่งบนพื้น ...และอีกส่วนบนเสื้อหนุ่มใหญ่


“อ่า... เสียของเป็นบ้า”

เขาบ่นกระปอดกระแปดอย่างเสียอารมณ์ ก่อนจะเอื้อมไปดึงทิชชู่มาเช็ดชายเสื้อสีขาวเลอะคราบไวน์


“ขอโทษที ผมไม่ได้ตั้งใจทำหกใส่เสื้อผ้าคุณ”


เขาช้อนตามองศานนท์อีกทีหนึ่งเพื่อเช็คให้แน่ใจว่าไม่ได้หาเรื่องใส่ตัว น่าเสียงดายที่อ่านแววตาคู่นั้นไม่ออก จึงทำได้แค่ก้มหน้าก้มตาซับคราบของเหลวจากเสื้อและส่วนบนของกางเกง โดยเฉพาะตรงที่ใกล้ๆ เป้าและกระเป๋าข้าง แต่เช็ดไปได้ไม่เท่าไหร่ กลิ่นไวน์คลุ้งบนตัวเขาก็ทำให้ต้องผละออกมา พอก้มมองถึงพบว่าหน้าท้องตัวเองก็โดนลูกหลงไปด้วยเช่นนั้น


เห็นแบบนั้นตุลย์ก็ถอนหายใจ ถลกเสื้อขึ้นแล้วจัดการใช้ทิชชู่กลุ่มเดิมเช็ดออกลวกๆ อย่างขอไปที แต่พอจะหยิบทิชชู่เพิ่มจากกล่อง ก็สะดุดกับสายตาที่มองเขม็งมายังเขาไม่วาง


“เช็ดเสร็จแล้วก็ส่งขวดไวน์มาแล้วขึ้นไปนอนซะ”


“หือ? แล้วที่หกตรงนี้...”


“ไปนอนได้แล้ว”


คราวนี้ไม่ปล่อยให้เขาได้ต่อปากต่อคำ ศานนท์ก็แกะขวดไวน์ออกจากมือ แล้วอ้อมมือเกี่ยวร่างเขา ดันหลังบังคับให้ขึ้นบันไดไปข้างบน


ถูกต้อนเหมือนแกะ ตุลย์ก็ชักฉุน “อะไรของคุณ! ผมไม่ได้เมาสักหน่อย เดินขึ้นบันไดตรงเป๊ะ เห็นหรือเปล่า?”


ไม่พูดปากเปล่าแต่ยังสาธิตเดินขึ้นลงให้ดู จนคราวนี้หนุ่มใหญ่ต้องสั่งเสียงแข็ง


“ขึ้นไปอาบน้ำนอนได้แล้ว”


เขาเบ้หน้า อิดออดเล็กน้อย แต่พออีกฝ่ายใช้ไม้แข็งคว้าแขนจูงขึ้นไปพร้อมกันก็ได้แค่บ่นกระปอดกระแปดตลอดทางจนกระทั่งถูกศานนท์จับยัดเข้าห้องปิดประตูใส่


ลับหลังคนเมา หนุ่มใหญ่ก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ยืนละล้าละลังอย่างไม่รู้จะทำยังไง


...ภาพของเด็กคนนั้นตอนที่มองเขายังติดตา แววตาที่ดูผิวเผินคล้ายจะซื่อ และอ่อนหวาน แต่ลึกๆ กลับแฝงด้วยความไม่ยอมจำนนอันเป็นเสน่ห์ชวนให้ค้นหา เสี้ยวหน้าก็แดงระเรื่อ เหงื่อซึมเล็กน้อยตามไรผมเพราะความร้อนจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ดูเย้ายั่วไม่หยอก ยิ่งตอนที่ร่างโปร่งก้มลงไปเช็ดคราบเลอะตรงเป้ากางเกง ต่อให้ไม่ตั้งใจยั่วจริงๆ เขาก็คิดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ถ้าหากว่าตอนนั้นตุลย์ไม่ผละออกไปกะทันหัน มันจะไม่จบลงแค่นั้นอย่างแน่นอน


ขีนปล่อยให้เป็นแบบนี้ทุกครั้ง คงไม่เป็นผลดีต่อพวกเขาทั้งคู่ เห็นทีคงถึงเวลาที่เขาต้องจัดการบางอย่างกับนิสัยชอบดื่มจัดของตุลย์เสียบ้าง



-----------------------------------
ข้อดีของการเขียนตอนง่วงนอน ไร้สติคือมันออกมาเป๋อจริงๆ เพราะคนเขียนก็เอ๋อตอนเขียน 5555
ไม่ได้เช็คคำผิด ฮืออ ง่วงมากค่า ตื่นหกโมงทุกวัน ตัวจะแตกตาย เพราะตอนนี้เมลล่าเปิดเทอมแล้ว เศร้ามากก เรียน 7 วิชาค่ะ หยุดจันทร์กับอาทิตย์เท่านั้น พยายามปรับแผนการเขียนเพื่อให้อัพได้เร็วๆ หน่อย
ตอนหน้าพบกับวิธีรับมือหนูตุลย์ของลุงศาน + วีรกรรมของเจ้าเด็กกาย
กราบทุกคนขอโทษที่มาช้าค่ะ ละอายใจ ฮือออ :mew6:  :z13:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (26.01.17) 10th Night l ยั่ว (100%) P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 26-01-2017 08:02:29
ลุงศาน ตุลย์ติดเหล้า!
ต้องรักษาด้วยการทำให้ติดอย่างอื่นแทนแล้ว เช่น ติดลุงเป็นต้น อิอิ :z1:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (26.01.17) 10th Night l ยั่ว (100%) P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: คนคิ้วท์คิ้วท์ ที่ 26-01-2017 10:50:29
แอบคิดถึงลำยองตอนติดเหล้า
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (26.01.17) 10th Night l ยั่ว (100%) P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Biwty... ที่ 26-01-2017 12:11:03
 :-[
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (26.01.17) 10th Night l ยั่ว (100%) P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: J029 ที่ 26-01-2017 12:30:31
พึ่งเข้ามาอ่าน ช่วงแรกๆที่ตุลย์ยังขายตัวนี่น้ำตาตกไปหลายรอบมาก มีความหน่วงอ่ะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (26.01.17) 10th Night l ยั่ว (100%) P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: kimkidoy ที่ 05-02-2017 03:39:48
ตุลย์ตอนเมานี่มันเด็กดื้อชัดๆ
เอาใจช่วยศานนท์กำราบเด็กดื้อให้ได้น้าาา
เริ่มมีความมุ้งมิ้งเบาๆนะเนี่ย :hao6:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (12.02.17) 11th Night l ปานปลาย l11.1l P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 12-02-2017 00:39:46
11th Night :เลยเถิด
[/b]


เสียงขลุกขลักผสมกับบทสนทนาแซดแซ่ฟังไม่ได้ศัพท์แว่วเข้าหู แม้จะไม่ดังมาก แต่ระยะเวลาต่อเนื่องยาวนานของมันก็ปลุกตุลย์ให้ตื่นอย่างทนไม่ไหวในที่สุด ร่างโปร่งพลิกตัวบนเตียง ยกแขนปิดตาจากแดดยามเช้าที่ทอดผ่านรอยต่อม่าน พลางครางในคออย่างงัวเงีย


เมื่อคืนคงดื่มมากไปสักหน่อย พออาบน้ำเสร็จ หัวถึงหมอนก็หลับสนิททั้งที่ฤทธิ์แอลกอฮอลล์ยังไม่สร่างดี เช้านี้เลยตื่นมาพร้อมอาการหนักหัวชวนให้รำคาญตัวอย่างบอกไม่ถูก


แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็ไม่น่ารำคาญเท่าเสียงดังปึงปังจากชั้นล่างที่ปลุกเขาตื่นในเช้าวันเสาร์ตอนหกโมงหรอก...

อยากล้มตัวลงนอนหลับต่อด้วยความง่วงงุ่น แต่ก็รำคาญใจจนหลับไม่สนิท


พลิกตัวไปมาได้ครู่เดียว ตุลย์ก็จำใจต้องลุกขึ้นเดินลงไปชั้นล่าง กะชะโงกหน้าผ่านระเบียงบันไดดูให้คลายสงสัยหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นต้นเสียง   แทนที่จะได้คำตอบ เขากลับได้เครื่องหมายคำถามเพิ่มมาแทนเสียนี่


ด้านล่างมีชายแข็งแรงสองสามคนกำลังวุ่นกับการขนย้ายถ่ายสิ่งของจากมุมห้องนั่งเล่นไปข้างนอก ใกล้ๆ กันนั้นคือหญิงวัยกลางคน ยืนชี้นิ้วกำกับอยู่ไม่ห่าง ซึ่งถ้าจำไม่ผิด เธอคือหนึ่งในแม่บ้านที่ศานนท์จ้างไว้ดูแลตอนกลางวัน


พอเธอเหลือมาเห็นเขายืนละล้าละลังอยู่ตรงชานบันไดไม่ลงมาสักที ก็เอ่ยทักด้วยเสียงหวานสุภาพ


“คุณหนูมีอะไรหรือเปล่าคะ ข้างล่างเสียงดังรบกวนไปไหม”


อยู่ๆ ถูกเรียกด้วยสรรพนามยอยก ตุลย์ก็อดประหม่าไม่ได้


“เอ่อ... คุณศานนท์ไม่อยู่เหรอครับ?”


“ออกไปข้างนอกแต่เช้าแล้วค่ะ มีอะไรกับคุณชายหรือเปล่าคะ”


เขาส่ายหน้าเบาๆ


ศานนท์จะไปไหนก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขา


“แล้วนี่เกิดอะไรขึ้นครับ ทำไมถึงขนของออก...?”


ถามพลางมองตามชายคนที่ยกลังกระดาษด้านในบรรจุขวดจำนวนหนึ่งออกไปอย่างงุนงง แต่จากนั้นไม่นานเขาก็ค้นพบว่าบางอย่างในห้องได้หายไป...


ตำแหน่งเคยเป็นที่ตั้งของบาร์ บัดนี้กลายเป็นพื้นกระเบื้องวางเปล่าไม่เหลือแม้เหล้าสักขวด กระทั่งตู้แช่ไวน์ที่เคยวางตรงมุมห้องก็กำลังถูกสองคนที่เหลือช่วยกันยกออกไปต่อหน้าต่อตา!


“............”


ตุลย์ได้แค่ยืนนิ่ง มองการเคลื่อนไหวเหล่านั้นด้วยอารมณ์ว่างเปล่า และฟังคำตอบซ้ำเติมความจริงตรงหน้า


“อ๋อ เมื่อเช้าคุณชายสั่งให้รื้อบาร์ออกน่ะค่ะ เห็นว่า ‘เป็นปัญหา’ ‘ดูแลยาก’ เลยไม่อยากให้เอาไว้ต่อ คุณหนูมีอะไรหรือเปล่าคะ ป้าทำให้ตื่นไหม...”


สมองเขาเบลอจนฟังหูซ้ายทะลุออกหูขวา จับใจความคำพูดของแม่บ้านได้อย่างขาดๆ หายๆ แต่พอได้สติความรู้สึกแรกที่แล่นเข้ามาในหัวก็คือ ‘โมโห’


ศานนท์ คุณมันบ้าไปแล้ว!


ถึงจะรู้ตัวว่าอีกฝ่ายไม่ชอบพฤติกรรมการดื่มของเขาเป็นทุนเดิม ประกอบกับผลจากความปากพล่อยเมื่อวานที่ทำให้อะไรๆ ติดจะวุ่นวายไปสักหน่อย แต่มันไม่เกินไปหน่อยหรือ ที่นึกอยากจะแก้เผ็ดเขาก็สั่งให้คนขนบาร์ขนเหล้าออก ทั้งที่รู้ว่าเขาต้องใช้มันเพราะทำแบบนี้มานานจนติดเป็นนิสัย


นี่มันเหล้านะครับ ไม่ใช่ถุงกระดาษรักโลกที่เวลาคิดจะเลิกใช้ก็แค่เอาไปโยนทิ้ง! หักดิบกันดื้อๆ แบบนี้คิดจะฆ่าเขาหรือไง!?


“แล้วของที่เหลือจะถูกขนไปไหนต่อเหรอครับ”


เรื่องนั้นป้าก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ คุณชายโทรไปนัดคนมาขนของด้วยตัวเอง... อ๋อ แต่ก่อนไปท่านกับชับไว้ว่า ถ้าคุณสงสัยอะไรให้โทรไปถามท่านได้ค่ะ”


“.............”


ได้ฟังแบบนั้นตุลย์ก็หน้ากระตุก


คิดว่าทำแบบนี้แล้วเขายอมถอยให้ง่ายๆ เหมือนทุกครั้งเหรอ หึ สำหรับเรื่องนี้ยังเร็วไป!




ด้วยเหตุฉะนั้น ตุลย์จึงอารมณ์กรุ่นๆ ไปตลอดวัน พอตกดึกก็ยิ่งครึ้มหนักจนลงมานั่งซดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูประบายความหงุดหงิดขณะรอเจ้าของบ้านไปพลาง คืนนี้เขาเลือกนั่งขัดสมาธิอยู่บนเก้าอี้ของโต๊ะทานข้าวซึ่งติดกับกระจก เพราะจากมุมนี้ตุลย์สามารถมองเห็นไปถึงประตูรั้วด้านหน้า และเมื่อไหร่ที่หนุ่มใหญ่เปิดรั้วเข้ามา เขาก็จะเห็นทันที


ไม่ทันได้ฟุ้งซ่านไปไกล ประตูอัตโนมัติค่อยๆ เปิดออกพร้อมกับไฟหน้ารถซีดานที่ฝ่าความมืดเข้ามา เห็นแบบนั้นเขาก็เด้งตัวขึ้น ออกมายืนรอ ไม่นานก็มีเสียงกุกกักหน้าประตู ก่อนคนที่เขาเฝ้ารอจะเปิดเข้ามาด้านในดังคาด


หนุ่มใหญ่ดูไม่แปลกใจนักที่เห็นเขายืนกังก้าอยู่ตรงหน้า


“ดึกแล้ว ยังไม่ไปนอนอีกเหรอ หืม?” ว่าพลางถอดสูทพาดบนโซฟาแล้วคลายเน็กไทด์


“ยัง” เขาตอบห้วน “คุณก็น่าจะรู้อยู่ว่าเพราะอะไร... อยู่ๆ คุณย้ายบาร์ออก ทำไมไม่บอกผมก่อนสักคำ”


 “ฉันก็แค่ไม่เห็นว่ามันเกิดประโยชน์อะไรถ้าจะเอาไว้ต่อ”


ตุลย์มุ่นคิ้วมองคนที่ตีหน้านิ่งราวกับไม่สนใจอะไร


“อยู่ๆ คุณทำแบบนี้ไม่คิดว่ามันเกินไปหน่อยเหรอ? ก็ถ้าคุณไม่พอใจเรื่องเมื่อคืน คุณพูดมาตามตรงก็ได้นี่ครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะสร้างความลำบากใจให้แต่แรกอยู่แล้ว”


“............”


“ก็ได้ เอาเป็นว่าทั้งหมดเป็นความผิดผม และผมขอโทษสำหรับเรื่องเมื่อคืน แต่คุณไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้เลยนี่”


ศานนท์มองหน้าเขาเฉยๆ โดยไม่พูดอะไร ผิดกับตุลย์ที่เริ่มเสียการควบคุมอารมณ์มากขึ้นทุกที จวนจะหมดความอดทนกับการเงียบใส่กัน สุดท้ายหนุ่มใหญ่ก็เอ่ยสั้นๆ


“ฉันก็ไม่ได้ขนไปทิ้งจนไม่เหลืออะไรในตู้ไว้ให้เธอนี่?”


 มานึกขึ้นได้ว่าหงุดหงิดจนไม่ได้เปิดดูตู้เย็นเลยตั้งแต่เช้า คราวนี้เขาจึงเป็นฝ่ายเงียบ เดินเข้าครัวเปิดตู้เย็นดูของข้างใน ขณะที่ในใจก็หวังลึกๆ ว่าจะเจอเครื่องดื่มอะไรให้ชื่นใจสักขวดสองขวด แต่ปรากฏว่าสิ่งที่เขาพบพลิกโฉมจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเสียนี่!


นม... น้ำส้ม... ผลไม้... สลัด...


นี่มันแหล่งรวมเมนูเพื่อสุขภาพหรือไง!?


ตุลย์ฉีกยิ้มค้าง คว้านมติดมือออกมา พลางหักห้ามใจไม่ให้บีบขวดพลาสติกแตกคามือก่อน


 “ดื่มมากๆ คงจะสุขภาพดีนะ คุณว่าไหม”


“มันก็ดีกว่าตัวเธอมากกว่าไวน์พวกนั้นนะ...”


“อ้าวเหรอครับ ผมนึกว่าคุณซื้อมาดื่มเองซะอีก อายุปูนนี้แล้วน่าจะต้องดูแลสุขภาพเป็นพิเศษไม่ใช่เหรอ?”


“.............”


ถูกตอกกลับเรื่องอายุแบบไม่ทันตั้งตัว หนุ่มใหญ่ก็ออกอาการอึ้งๆ ไปบ้าง แต่คงเริ่มชินกับวาจาถากถางของเขาแล้วล่ะมั้ง เพราะแค่อึดเดียวก็พูดต่อ


“มันไม่ใช่แค่เพราะเรื่องที่เธอก่อไว้เมื่อคืน ฉันไม่คิดจะปล่อยให้เธอดื่มติดๆ กันแบบนั้นไปเรื่อยๆ อยู่แล้ว เสียสุขภาพ พอนึกขึ้นได้ก็โทรให้คนมาเอาออกตั้งแต่เนิ่นๆ”


“แต่คุณก็รู้ว่าผมต้องการมัน อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะ...”


คราวนี้หนุ่มใหญ่ถอนหายใจแรงทั้งที่ยังฟังไม่จบ เหมือนหมดอารมณ์จะสรรหาข้ออ้างมาต่อล้อต่อเถียงกับเขาเต็มที เลยสรุปให้เสร็จสับเป็นประโยคง่ายๆ


“ถึงเธอจะว่ายังไง ฉันก็ไม่เปลี่ยนใจย้ายมันกลับเข้ามาหรอก”


ซึ่งก็นับว่าได้ผล เมื่อมันหยุดปากเขาได้ชะงัด...


ตุลย์เม้มปากแน่น เคี้ยวฟันกรอดๆ อย่างฉุนเฉียว ก่อนจะถอนใจเฮือกแล้วเดินขึ้นข้างบนไป ยอมถอยให้ก้าวหนึ่งเพราะรู้ว่ายืดเยื้อไปก็พาลจะเสียแรงเปล่า


คืนนั้นเขานอนหลับๆ ตื่นๆ ไม่สนิททั้งคืนจนเกือบฟ้าสาง รุ่งเช้าก็ตื่นมาด้วยสีหน้างัวเงียพร้อมขอบตาคล้ำพอๆ กับหมีแพนด้า ได้ส่องกระจกดูสารรูปตัวเองปุ๊บ ในใจก็ชักกรุ่นโมโหขึ้นมาราวกับถ่านเก่าที่ยังไม่มอดไฟ

อุตส่าห์พูดตรงๆ ให้เข้าใจแล้ว แต่ศานนท์ก็ทำเฉย วิธีนี้ไม่ได้ผล เขาก็ต้องหาจนได้สักวิธีแหละน่า!




และแล้วยุทธการลักลอบก็เริ่มขึ้นหลังจากที่ศานนท์ออกไปทำงานในช่วงสายของวันนั้น ความหงุดหงิดงุ่นง่านทำให้ตุลย์นั่งไม่ติดจนสุดท้ายก็ต้องแว่บออกไปร้านสะดวกซื้อ


ด้วยความที่ตัวบ้านตั้งอยู่ในเขตผู้คนพลุกพล่านใกล้กับคอนโด และมหาวิทยาลัย มันจึงใกล้กับมินิมาร์ทต่างๆ และห้างสรรพสินค้าขนาดเล็กที่มีกลุ่มลูกค้าเป็นนักศึกษาและคนทำงาน ผลพลอยได้จากเรื่องนี้คือ มีคนจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาใช้บริการไม่ขายสาย ทำให้ไม่สามารถคัดกรองลูกค้าได้ละเอียด จึงไม่ยากที่เขาจะฉวยโอกาสนี้ซื้อไวน์ออกมาขวดสองขวด โดยอาศัยเนียนๆ ไปกับความชุลมุนนั้น


และเพื่อไม่ให้เป็นเรื่องเป็นราว ตอนที่กลับมาถึงบ้าน ตุลย์ก็ไม่ลืมจะยื่นถุงขนมทานเล่นที่ซื้อระหว่างทางให้หญิงวัยกลางคนที่กำลังยุ่งกับงานปัดกวาด ถือเป็นสินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ แม้ว่ามันจะคล้ายกับการติดสินบนไม่ให้ปากโป้งเรื่องที่เขาแอบซื้อเหล้ามากกว่าก็ตาม


แต่ก็เอาเถอะ ในเมื่อมีแต่ได้กับได้ทั้งสองฝ่าย วิธีไหนเขาก็ไม่เกี่ยงหรอก...


คิดแบบนั้นก็ทำให้ตุลย์สบายใจมากพอจะหยิบไวน์ขึ้นมาเปิดฝาเกลียวด้วยมือเปล่า พลางนึกว่าดีแค่ไหนที่ห้ามใจไม่ให้เลือกแบบฝาโลหะมางัดขอบโต๊ะราคาแพงแก้เผ็ดเจ้าของบ้าน


...ความรู้สึกแรกเมื่อของเหลวแตะลิ้นคือรสเปรี้ยวหวานที่กระจายในโพรงปาก ตามด้วยกลิ่นร้อนๆ ขึ้นจมูกแบบแอลกอฮอล์ที่เขาโปรดปรานหนักหนา มันทำให้สดชื่นราวกับได้พลังชีวิตกลับคืน และสำคัญคือ สมองที่มึนตื้อตลอดสองวัน กลับมาโปร่งโล่งสบายราวกับหินที่ถ่วงอยู่ด้านในค่อยๆ ระเหยเป็นธาตุอากาศ


ตุลย์นั่งกระดิกเท้าจิบไวน์ไปพลางอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะล้มตัวลงนอนเหยียดเต็มโซฟาอย่างง่วงๆ เมื่อดื่มไปประมาณหนึ่ง ถึงอย่างนั้นก็ไม่วายต้องพลิกตัวตะแคงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเป็นเพื่อนด้วยความเคยชิน


ตุลย์กดอ่านแชทกลุ่มที่ค้างอยู่ก่อนจะพบว่าจีจี้ส่งรูปเคลื่อนไหวตลกๆ มา เลื่อนลงมาอีกหน่อยก็เป็นข้อความคุยโต้ตอบกันระหว่างสาวเจ้ากับแม็ก เห็นแล้วน่าหมั่นไส้จนต้องกดส่งสติ๊กเกอร์รัวๆ คั้นข้อความแต่ละอัน แล้วหัวเราะเมื่อจู่ๆ ทั้งแชทกลุ่มกลายเป็นสงครามกดสติ๊กเกอร์ใส่กันซะอย่างนั้น


ฝ่ายแม่บ้านคงกลัวว่าเขาจะเหงาเพราะอยู่คนเดียว ก่อนกลับเธอจึงไม่ลืมเปิดม่านทิ้งไว้เป็นเพื่อนให้แสงแดดลอดเข้ามาบ้าง ซึ่งเขาก็ไม่ลืมขอบคุณตามมารยาท


หลังจากกระดกไวน์ไปอีกอึก หนังตาก็เริ่มหย่อนจนต้องวางโทรศัพท์ หลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อนเพราะอดนอนจากเมื่อคืน ไม่นานตุลย์ก็จมสู่ห้วงแห่งภวังค์ที่กาลเวลาดำเนินไปอย่างเชื่องช้า


บางครั้งก็มีเรื่องราวแล่นเข้ามาในหัวราวกับม้วนหนังที่ถูกกรอซ้ำ บางครั้งก็รู้สึกเหมือนลืมตาขึ้นมามองเห็นภาพเพดานบ้านหลังเดิมก่อนที่จะหลับ


ในขณะที่ความจริงและความฝันเป็นดังสีน้ำค่อยๆ ไหลมาปะปนกัน ร่างสูงของใครคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมโนภาพ


แม้กระทั่งความฝัน ศานนท์ก็ยังโผล่มาในหัวเขาเหรอเนี่ย?


ไม่เข้าใจนักว่าทำไมหนุ่มใหญ่ถึงต้องขมวดคิ้วและจ้องกลับมาด้วยแววตาแสนสงสัยราวกับใบหน้าเขามีอะไรผิดปกติ  และเหมือนจะคิดเช่นนั้นจริงๆ มือหนาจึงเอื้อมมาแตะขมับ ก่อนจะจูบซ้ำ ฝากสัมผัสร้อนชื้นไว้บนผิวหน้า ก่อนที่ลมหายใจอุ่นๆ จะเปลี่ยนเย็นชืดตอนอีกฝ่ายถอนหน้าออกไป


อดคิดไม่ได้ว่าช่างสมจริงจนน่าใจหาย


ศานนท์ค่อยๆ ยกแขนเขาไปจูบ ดูดเม้มเบาๆ จนรู้สึกจักกะจี้ ทั้งที่ยังไม่ละลายตาจากกัน ดวงตาคู่นั่นจ้องมองเขาเหมือนเคย ทว่าครั้งนี้มันกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกคล้ายเห็นใจ เอือมระอา แต่ก็ขบขันในทีเดียวกัน


บางทีเขาอาจดื่มมากไปและกำลังเมา ถึงได้รู้สึกว่าสีหน้านั้นช่างดูมีเสน่ห์น่าสัมผัสทั้งที่ฝันอยู่...


แต่แล้วจู่ๆ คนตรงหน้ากลับถอนหายใจ


 “เธอนี่จริงๆ เลย ฉันอุตส่าห์ย้ายบาร์ออกไปแล้ว ก็ยังดั้นด้นไปหาซื้อมาจนได้ ทำไมไม่ฟังกันบ้างนะ...”


.....!?


ตุลย์สะดุ้งตื่นเต็มตาเมื่อสิ้นประโยค แม้กระพริบตาติดๆ แล้วมโนภาพของคนเบื้องบนยังไม่ท่าทีว่าจะหายไป


ศานนท์กลับมาแล้ว? ทำไมไวนักล่ะ!?


ยังไม่ทันปรับตัวเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นดี วินาทีต่อมาเมื่อหางตาเหลือบไปเห็นขวดเปล่าใกล้ๆ เขาก็สรรหาคำพูดมาแก้ตัวต่อไม่ออก


“คือผม....”


แต่เหมือนว่าความลับจะไม่มีในบ้านหลังนี้...


“อื้ม มีคนบอกฉันแล้วว่าเธอแอบไปซื้อมาตอนเที่ยง...”


ไม่ว่าเปล่าแต่สอดมือลูบผิวกายใต้เสื้อยืดลดหลั่นมาตามลำตัวและสะโพก พอถูกเล้าโลมสัมผัสร่างช้าๆ อย่างเอาใจ ตุลย์ก็หมดความคิดจะปฏิเสธ


ทีแรกเขาไม่คิดว่าศานนท์จะกล้าทำอะไรมากกว่าการกอด ลูบไล้และจูบนัวเนียกันบนโซฟา เนื่องจากม่านยังเปิดทิ้งอ้าซ่าชนิดที่ถ้าตั้งใจมองก็เห็นไปถึงข้างนอกได้ แต่ก็ต้องเปลี่ยนความคิดเมื่อหนุ่มใหญ่ถลกกางเกงเขาลง แล้วทิ้งน้ำหนักกายลงมากอดก่าย ปรนเปรอด้วยจูบซ้ำอีกครั้ง


ตุลย์ครางเบาๆ  รู้สึกราวกับถูกราดด้วยน้ำมันตอนที่แก่นกายถูกชิงไปกอบกุมด้วยความร้อนจากอุ้งมือ แล้วรั้งให้เสียดสีกับส่วนนั้นของหนุ่มใหญ่ ทุกครั้งที่อีกฝ่ายขยับฝ่ามืออารมณ์เสียวซ่านก็แล่นพล่านไปทั่วทั้งสรรพางค์ รู้สึกดีจนยอมปล่อยตัวเองไปกับรสชาติแสนวาบวามที่ศานนท์มอบให้ ซึ่งฝ่ายนั้นเองก็พอใจมาก ตอนที่เขาชักมีอารมณ์ เริ่มไล่จูบหยอกเย้า เกี่ยวก่ายแขนตามร่างอีกฝ่าย


เอาเข้าจริงแล้วการเล้าโลมคู่นอนไปพร้อมกันก็นับว่าเป็นทริคที่ไม่เลว เพราะนอกจากต่างฝ่ายจะรู้สึกดี พอเริ่มเข้าขากันได้ อารมณ์ของพวกเขาทั้งคู่ก็พุ่งสูงเร็วอย่างน่าใจหาย


ไม่นานศานนท์รั้งสะโพกตุลย์เข้าหาในท่านอนหงาย แล้วหยัดกายให้แก่นกายทั้งสองเสียดสีกันเป็นจังหวะแนบแน่นหนักหน่วง หาได้อ่อนหวานซาบซ่านเหมือนครั้งก่อน แต่ก็ไม่ลืมปรนเปรอเขาด้วยการคลึงนิ้ววนเวียนตรงปลายส่วนอ่อนไหวไม่ห่าง


พอสติเริ่มขาดสิ่งที่เรียกว่า ‘ตรรกะและเหตุผล’  สมองเขาก็สั่งให้ลืมเรื่องที่เปิดม่านทิ้งไว้ไปโดยปริยาย...


ตุลย์รั้งต้นคออีกฝ่ายลงมาต่ำ เกี่ยวขาคล้องสะโพกหนุ่มใหญ่รั้งตัวเองให้เสียดแนบชิดยิ่งขึ้น แล้วกระซิบด้วยเสียงขาดห้วงเพราะแรงหอบ


“คุณ... ผมอยากได้มากกว่านี้”


ราวกับรอท่าอยู่แล้ว ศานนท์เอื้อมมือไปคว้าบางอย่าง จากนั้นหูก็ได้ยินเสียง ‘คลิ๊ก’ เบาๆ ก่อนที่หนุ่มใหญ่จะโน้มลงจูบปากเขาเป็นรอบที่ไม่รู้เท่าไหร่ ขยับต้นขาให้แยกออกกว้างขึ้น และดันบางอย่างที่จ่อจดอยู่ตรงปากทางเข้ามา...


แล้วตุลย์ก็สะดุ้งกับ ‘เจ้าสิ่งนั้น’ที่สอดใส่เข้ามาในร่าง เพราะมันทั้งแข็งและเย็นเฉียบไปถึงกระดูกจนต้องครางในคอประท้วง พยายามยันตัวเองขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเลเพราะรู้สึกไม่ดีสุดๆ แต่พื้นที่แคบของโซฟาก็บีบให้เขาขยับได้ตัวยาก


ยิ่งพอ ‘เจ้าสิ่งนั้น’ ประจักรแก่สายตา เขาก็ถึงกับหน้าเหยทำอะไรไม่ถูก


ไม่ใช่แก่นกายที่เชื่อมระหว่างเขากับหนุ่มใหญ่ แต่เป็นขวดที่มีไวน์อยู่เต็ม!

----------------------

อย่าด่าเค้าว่าสัปดน 555+ มุกนี้คิดไว้นานแล้ว มุกสำหรับเรื่องนี้โดยเฉพาะเลยค่ะ ถถถถถ
หนูตุลย์มีเหล้าเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขมานานตั้งแต่แต่สมัยธวัตค่ะ พอเป็นเรื่องนี้นางเลยดื้อเอามากๆ ถถถถ
ตอนหน้ามี NC ต่อ พยายามเขียนให้ถึงอารมณ์ ฮือๆๆ แต่มันยากเหลือเกิน
ส่วนเรื่องความล่าช้าของการอัพ ...เราจะหยุดพูดเรื่องนี้กันสักพัก... #ร้องไห้หนักมาก
กราบทุกท่านอีกครั้งค่า ลืมเลาก็ไม่เป็นไร เลาเข้าใจได้เพราะมาช้าจริงๆ #ปีนี้จะจบไหมเนี่ย!
>>READ11.2<< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54053.msg3614254#msg3614254)
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (12.02.17) 11th Night l ปานปลาย l11.1l P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 12-02-2017 01:56:36
เหวอไปเลย

ลุงร้ายมาก!

สงสัยตุลย์จะเลิกได้ก็ตอนนี้แหละ

รู้สึกระแวงว่า ลุงจะมีมุมร้ายกว่าธวัชไหม โอย...อ่านแล้วจะเป็นลม

ป้าแก่ไปแล้วสินะ T_T
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (12.02.17) 11th Night l ปานปลาย l11.1l P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 12-02-2017 06:30:09
สายโหด  อยากนักก้จัดให้ จัดไวน์ให้เป็นขวดๆ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (12.02.17) 11th Night l ปานปลาย l11.1l P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 12-02-2017 13:24:57
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (12.02.17) 11th Night l ปานปลาย l11.1l P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Snimsoi ที่ 12-02-2017 16:52:32
แหม่ ไม่คิดว่าจะเจอฉากนี้ ลุงดูนิ่งๆ เห็นวจหนูตุลย์หน่อยเถอะ ตุลย์เป็นลำยองติดเหล้า  :hao6: เอาน่ะก็ลดลงเหลือวันละ 2 แก้วเป็นไง
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (12.02.17) 11th Night l ปานปลาย l11.1l P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Biwty... ที่ 12-02-2017 17:01:51
 :impress2:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (12.02.17) 11th Night l ปานปลาย l11.1l P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: kimkidoy ที่ 13-02-2017 21:09:34
ด ดะ เดี๋ยววววววววก่อนนนนนนน นี่มันอะไรกัน!!!
คุณศานน นี่ไม่ธรรมดาละนะเนี่ยยย โหววววววว
ค้างงงงอย่างแรงงงงง ตุลย์เอาไงต่อดีอะเรา?

รอได้น้าาาา แต่อย่างให้เค้ารอเก้ออน้าา  :mew1:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (12.02.17) 11th Night l ปานปลาย l11.1l P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 14-02-2017 21:41:43
สนุกอะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (12.02.17) 11th Night l ปานปลาย l11.1l P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: skyberry ที่ 14-02-2017 23:03:10
หุหุ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (12.02.17) 11th Night l ปานปลาย l11.1l P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: lightseeker ที่ 14-02-2017 23:58:49
หัวใจจะวายยย ลุงไปอัพเลเวลมาจากไหนคะตอบ! :-[
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (12.02.17) 11th Night l ปานปลาย l11.1l P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 15-02-2017 15:19:28
ทำไมสะใจรู้สึกเป็นการแก้เป็ดที่เหมาะสมกับตุลย์ดีจริงๆ


5555

ตาแก่ ทำได้ดีมาก
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (12.02.17) 11th Night l ปานปลาย l11.1l P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 15-02-2017 18:45:20
เราชอบเรื่องนี้นะแต่มาช้าไปหน่อยจนบ้างทีลืมเนื้อ
แต่ก็รอได้คะสู้ๆนะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (12.02.17) 11th Night l ปานปลาย l11.1l P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 15-02-2017 20:19:45
ช๊อตนี้กรูตายยยยยยยยยยยยย
อ๊ายยยยยยยยมันค้างตรงนี้ไม่ได้น้าาาาาาาาา
เห็นใจด้วยยยยยย
โถถถถถถถถถถถถถถถถ!!!!
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (12.02.17) 11th Night l ปานปลาย l11.1l P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: lighter ที่ 15-02-2017 21:00:01
น้องจะยิ่งเมาหนักมั้ยอ่ะลุง
ใจเย็นๆนะ อิอิ
แต่อยากให้น้องเลิกเหล้า แล้วมาเมาลุงแทน
ลุงสู้ๆ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (12.02.17) 11th Night l ปานปลาย l11.1l P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: 。Atlas ที่ 16-02-2017 02:43:23
กรีดร้องในใจดังมากกกกก คุณศานร้ายกาจ น้องตุลย์ไม่เลิกให้มันรู้ไป 55555
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (12.02.17) 11th Night l ปานปลาย l11.1l P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Brand_Zess. ที่ 19-02-2017 10:10:47
ลุงความคิดสัปดนมาก
แต่ชอบๆ55
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (12.02.17) 11th Night l ปานปลาย l11.1l P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: aj_nsync ที่ 20-02-2017 15:53:15
ฮือ...เราอ่านทีเดียว 11 ตอนรวด  แล้วก็มาค้างตรงขวดของลุง
จะบ้าตาย ทำไมลุงร้ายเยี่ยงนี้อ่ะคะ  ไม่คิดเลยจะมีฉากอะไรแบบนี้ด้วย ตายๆ  ตายแน่น้องตุลย์
แต่ก็แอบสะใจนะ อยากดื้อด้านดีนัก 5555555555   
เราหมั่นไส้ตุลย์มาตอนสองตอนละ  พอเขาดีด้วยหน่อยก็ดื้อด้าน   ต้องโดนกันบ้าง  ฮ่าๆ จัดไปค่ะลุง

เราขอเม้นท์แบบยาว ๆ เลยนะ  เพราะเพิ่งได้อ่านวันนี้  แล้วก็อ่านแบบหยุดไม่ได้เลยจริง ๆ   
เหมือนเราจะเห็นชื่อเรื่องนี้ผ่านตาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่เคยได้เปิดเข้ามาอ่านสักที
ตอนแรกก็คิดว่าจะเหมือนนิยายพวกนายเอกเป็นเด็กเสี่ยทั่วๆไป แบบมีความจำเป็นโน่นนี่นั่นในชีวิต
แต่พออ่านตอนแรก ๆ แล้วแบบ มันไม่ใช่อ่ะ มันต่างออกไป 
คือแบบ ทำก็ยอมรับว่าทำ  ไม่ใช่จำเป็นอะไร แต่ทำเพราะรักสบาย อยากได้เงิน
เราชอบตัวละครของผู้เขียน ดูมีมิติ ดูมีหลายด้าน และเป็นสีเทาอย่างที่ผู้เขียนบอก
นอกจากน้องตุลย์ที่น่ารักพอๆกับน่าตี แล้วเราชอบ ธวัตร
ธวัตรเป็นเหมือนพวกตัวร้ายในซีรี่เกาหลี  เป็นตัวละครที่ควรเกลียดแต่เกลียดไม่ลง
“ต่อจากนี้ ‘สิทธิ์ในตัวนาย’ ทั้งหมดเป็นของฉัน แต่นายจะไม่ใช่ ‘ของฉันคนเดียว’ อีกต่อไป”
เราชอบประโยคนี้มาก มันบีบหัวใจสุดๆ ตอนที่อ่าน
หลาย ๆอย่างที่ธวัตรทำ เราสัมผัสได้ถึงเยื่อใยบางอย่างที่ธวัตรมีให้ตุลย์ 
แต่ผู้ชายคนนี้เลือกกดความรู้สึกเอาไว้ด้วยโลกแห่งความเป็นจริง คือ "เงิน" และ "อำนาจ"
เราชอบอะไรแบบนี้มาก  ตอนแรก ๆ ที่อ่านฟีลมัน down มาก บีบเราไปหมด
อ่านแล้วเราอินสงสารตุลย์  อินจนคิดว่าถ้าเราเป็นตุลย์เราอาจจะฆ่าตัวตายหนีปัญหาทุกอย่าง
แล้วพอมาอ่านพาร์ทธวัตรก็เข้าใจว่าที่คิดไว้คือเป็นจริง  ธวัตรก็รู้สึกบางอย่างกับตุลย์เหมือนกัน

เดี๋ยวนะ !!!!  แล้วอิลุงไปไหน  ขอโทษนะลุง  ลุงดีเกินไป  55555555
แต่ลุงเริ่มจะร้ายละ  ไม่งั้นจะเอาเด็กดื้อไม่อยู่
จัดหนักจัดเต็มไปเลยนะคะ  อย่าให้น้องตุลย์กล้าหือกับลุงอีก

รอตอนต่อไปนะคะ  สนุกมากค่ะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (12.02.17) 11th Night l ปานปลาย l11.1l P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 21-02-2017 22:07:01
รออออ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (12.02.17) 11th Night l ปานปลาย l11.1l P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 21-02-2017 22:28:00
รอไรท์จร้า สนุก
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (12.02.17) 11th Night l ปานปลาย l11.1l P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 03-03-2017 21:57:33
กรี๊ดดด กลับมาต่อเถอะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (12.02.17) 11th Night l ปานปลาย l11.1l P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: kimkidoy ที่ 06-03-2017 23:19:20
เฝ้ารอๆๆๆเหมือนเดิมจ้าาาาาา
พลีสสสสสส :katai4: :ling1: :katai4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (12.02.17) 11th Night l ปานปลาย l11.1l P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: lightseeker ที่ 06-03-2017 23:47:11
คิดถึงแล้วค่ะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (11.04.17) Night 11.2+12.1 l P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 11-04-2017 20:30:06
11.2
[/b]


“ทะ ทำอะไรของคุณ เอามันออกไป”



มือโอบคล้องท้ายทอยเปลี่ยนมาคว้าหมับที่หลังปกเสื้อหนุ่มใหญ่เล่นเอาเจ้าตัวเกือบหงาย แต่ก็ยังช้ากว่าใบหน้าที่ชิงโน้มลงมาป้อนจูบ กวาดต้อนเขาด้วยการสอดปลายลิ้นเข้ามารุกไล่ในปาก สัมผัสจากศานนท์เร่าร้อนกว่าเคยและออกจะแฝงด้ายการเรียกร้องเล็กๆ ซึ่งความดึงดันนั้นก็เร้าอารมณ์อย่างน่าประหลาดเสียจนเขาเริ่มจูบตอบอย่างอดไม่ไหว


“...อื้อ!!”


ไม่ทันไร มือที่วนเวียนอยู่ด้านล่างก็จับสะโพกเขายกขึ้นพาดหน้าขาทั้งที่ปากขวดยังคาอยู่ ส่งผลให้มวลน้ำปริมาณหนึ่งแทรกเข้ามาในร่าง ตุลย์ถึงกับสะดุ้งเฮือกเมื่อของเหลวที่ค่อยๆ ไหลเติมเข้ามาจนเย็นหนึบไปทั่วท้องน้อย ตามด้วยอาการเกร็งช่วงล่างแทบขยับตัวไม่ได้เหมือนจะตายเสียตรงนั้น  นั่นทำให้จูบที่กำลังนัวเนียริมฝีปากลายเป็นสิ่งน่ารำคาญจนต้องกัดปากอีกฝ่ายให้ถอยไปเสีย


“อ่า...”


แต่แทนที่จะเป็นอิสระ คอขวดดันเข้ามาช้าๆ ทั้งที่ช่องทางยังแน่นเกร็งกลับสร้างความเสียวซ่านแปลกๆ ให้เขาอจนต้องครางต่ำ ก่อนจะร้องออกมาอีกครั้งเมื่อปากขวดแก้วเย็นๆ เบียดเข้ากับจุดกระสันในกายโดยที่ไม่ทันตั้งตัว


เห็นเขาตอบสนองแบบนั้น หนุ่มใหญ่ก็ไม่ลังเลที่กดซ้ำลงมาที่จุดเดิมอีกหลายครั้งจนเขาชักเสียการควบคุม ไม่นาน ตุลย์ก็เป็นฝ่ายเบียดสะโพกเข้าหาเอง สัมผัสแปลกปลอมกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นก่อนลงเอยด้วยการเสพติด


ของเหลวนั้นเย็นเชียบในทีแรก ไม่กี่วินาทีต่อมาอุณหภูมิร่างกายก็ทำให้เริ่มอุ่น แต่พอถูกถอนออกแล้วใส่เข้ามาใหม่ทีไร มันก็เย็นเสียจนเขาต้องเกร็งหน้าท้องด้วยอาการชาหนึบระคนเสียวซ่านไปทุกที ทุกครั้งที่ขวดถูกแทรกเข้ามาในกายก็มักจะมีของเหลวบางส่วนไหลสวนทางลงมาตามหว่างขาจนโซฟาหนังแฉะไปหมด


สมองที่ถูกจู่โจมด้วยความรู้สึกมากมายในครั้งเดียวทำให้ตุลย์ได้แต่หอบกระเส่า ตอบสนองไปตามสัญชาตญาณร่างกายด้วยความปรารถนา เรื่องราวหลังจากนั้นก็เลือนลาง


จำได้ว่าศานนท์ขอให้เขาพลิกคว่ำในกึ่งคลานโดยมีอีกฝ่ายคร่อมอยู่ด้านบน มือหนากอบกุมส่วนไหว ไล่ปลายนิ้วคลึงอย่างเอาใจ แล้วจรดริมฝากอุ่นๆ ลงตรงกลางหลังเขา ลากช้าๆ ขึ้นมาคลอเคลียใกล้ต้นคอและกกหู ไรหนวดที่ขรูดไปกับผิวให้ความรู้สึกซาบซ่านระคนจั๊กจี้พิกล


ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ขวดเจ้ากรรมถูกนำออกไป กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่ถูกบางอย่างซึ่งร้อนเอามากๆ สอดใส่เข้ามาในร่างกายจนเต็มโดยไม่ทันเตรียมตัว ถึงจะไม่สร้างความเจ็บปวดเพราะมวลน้ำยังหลงเหลืออยู่ด้านใน ก็อดขยับสะโพกหน้าไม่ได้ก่อนจะเปลี่ยนมาขยำหมอนเมื่อเจ้าสิ่งนั้นแทรกเข้ามาลึกแทนที่ความเย็นเมื่อครู่จนหมด


“อา... อ้า”


 ไม่ทิ้งให้เขาได้หอบหายใจนาน หนุ่มใหญ่ก็เริ่มขยับ และราวกับรู้ว่าจะทำให้เขาพอใจได้ด้วยการกระตุ้นแบบไหน แค่กระทั้นกายเข้าตรงจุดเดิมไม่กี่ครั้ง ตุลย์ก็แทบคลั่ง ทั้งหอบทั้งครางกระเส่าปนกันมั่วไปหมด ก่อนจะก็ถึงฝั่งฝันด้วยสติกระเจิดกระเจิง


“อื้ม”


ได้ยินเสียงครางต่ำจากร่างด้านบนซึ่งตามมาติดๆ พร้อมกับกระแสบางอย่างที่ทำเอาอุ่นไปทั้งกาย


เสี้ยววินาทีนั้นตุลย์ก็แทบช็อค อ้าปากพะงาบเหมือนคนใบ้อยู่นานกว่าจะเค้นเสียงออกมาได้สักประโยค


“...คุณไม่ได้ใส่ถุงยาง?”


“..........”


สีหน้าอ้ำอึ้งกลืนไม่เข้าของศานนท์ ทำให้เขาก็พลิกตัวสลัดร่างกึ่งเปลือยของอีกฝ่ายทิ้งอย่างไม่ใยดี เล่นเอาหนุ่มใหญ่เกือบหงายหลังล้มจ้ำเบ้าไปอีกทาง


“คุณเสร็จใส่ผม!? ได้ยังไง! เราไม่ได้ตกลงไว้แบบนี้ เกิดบ้าอะไรของคุณขึ้นมาห๊ะ!?”


ทว่ายังไม่ทันก้าวขาเหยียบพื้นเต็มตัว ตุลย์ก็เซหน้าทิ่มด้วยอาการมึนงง ทัศนวิสัยรอบๆ กลายเป็นภาพเบลอ และหมุนคว้างราวกับเลนส์กล้องคุณภาพต่ำที่ถ่ายตอนอาทิตย์อับแสง นับว่าโชคดีที่ศานนท์ไวพอจะคว้าเอวร่างเปลือยนั้นไว้ ก่อนที่จะล้มหน้ากระแทกโต๊ะไปจริงๆ


“ปล่อย! เอามือออกไป!” หากแต่ความหวังนั้นกลับถูกแกะทิ้งอย่างไม่ใยดี “อย่ามายุ่งกับผม”


เขาผลักอกหนุ่มใหญ่ให้ถอยไป ก่อนจะลุกพรวด แล้ววินาทีต่อมากลับเปลี่ยนมายกมือปิดปากแทบไม่ทันเพราะคลื่นไส้กระทันหัน


“เป็นอะไรหรือเปล่า!?”  เห็นท่าไม่สู้ดีของเขา หนุ่มใหญ่ก็ปรี่เข้ามาพยุง


“...อยากอ้วก อ๊อก”


พูดได้แค่นั้นก็กลั้นหายใจ รวบรวมสติลากสังขารตัวเองไปยังห้องน้ำที่อยู่ใกล้ๆ โดยมีศานนท์ประคอง พอมาถึงชักโครกเขาก็อาเจียนเอาอาหารกลางวันเมื่อชั่วโมงที่แล้วออกจากจนหมด คงเห็นเขาอ้วกแบบเอาเป็นเอาตาย หนุ่มใหญ่ถึงทำหน้าสำนึกผิด ก่อนจะเดินอ้อมมาลูบหลังเขาด้วยสภาพเสื้อผ้าหลุดๆ รุ่ยๆ ไม่ต่างกัน


“ขอโทษ...”


“คุณไม่ได้รู้สึกเสียใจหรอก”


ว่าได้เท่านั้น วินาทีต่อมาก็คว้าขอบโถโก่งคออาเจียนอีกรอบ แต่อ้วกออกไปเท่าไหร่ก็ไม่ดีขึ้น มีแต่เขานี่แหละที่จะขาดน้ำตายก่อน


ได้ข่าวมาบ้างว่าแอลกอฮอล์เมื่อดูดซึมโดยลำไส้โดยตรงจะออกฤทธิ์เร็วและรุนแรงกว่าปกติหลายเท่า แต่เขาก็ยังไม่อยากเชื่อว่าด้วยเวลาแค่ไม่ถึงสิบห้านาทีมันจะชวนให้เวียนหัวคลื่นไส้อาเจียนจนแสบคอได้แบบนี้


ตุลย์อาเจียนหมดไส้หมดพุงจนไม่เหลืออะไรให้ออกมาอีก แต่อาการคลื่นไส้ก็ยังมีเป็นระยะ เขาหมดแรงจนไม่รู้จะหมดแรงยังไง นอกจากนั่งพิงชักโครกอย่างเหนื่อยๆ เห็นแบบนั้นศานนท์ถึงเสนอให้เขาขึ้นไปนอนพักข้างบน โดยที่มีเจ้าตัวคอยพยุงขึ้นบันได หรือถ้าจะเรียกให้ถูกก็คือ ‘หิ้ว’


 ถึงแม้ว่าระหว่างทางจะเกิดอาการอยากอ๊อกหลายครั้ง แต่ท้ายที่สุดแล้วศานนท์ก็พาเขาเข้ามาถึงห้องได้สำเร็จ


แต่จะให้นอนทั้งอย่างนั้นหลังจากที่เพิ่งมีอะไรกันก็คงไม่ใช่ หนีไม่พ้นต้องเข้าห้องน้ำไปชำระร่างกายอีกรอบ ซึ่งความที่เขาเดินเซไปเซมาเหมือนคนน้ำในหูไม่เท่ากันตลอดเวลา ทุกอย่างจึงดำเนินไปแบบหมุนคว้างไร้สติจนต้องศานนท์ต้องเข้ามาช่วยหยิบจับของต่างๆ และส่งเสื้อผ้าให้เขา แต่พอเห็นหน้าคนที่ทำให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพป้อแป้เดินลอยหน้าลอยตา มันก็นึกโมโหขึ้นมา


“มีอะไรหรือ อยากได้อะไรเพิ่มหรือเปล่า?” เห็นเขาต้องเขม็ง ศานนท์ก็ถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย


“ผมไม่มี แต่คุณต่างหากมีปัญหาอะไร”


“ฉันขอโทษ...”


ตุลย์เลือกจะข่มอารมณ์เงียบขณะสวมเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายหยิบมาให้ สำหรับเขาตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องเล็กที่แค่ขอโทษแล้วจะหายง่ายๆ


“พาราไหม?”


พอเดินออกจากห้องน้ำได้ไม่เท่าไหร่ หนุ่มใหญ่ที่รออยู่ด้านนอกก็ยื่นซองยามาให้


เขาที่เหนื่อยมากจนไม่อยากพูดอะไรจึงได้แต่รับมา ก่อนจะโยนมันไว้ตรงหัวเตียงแล้วล้มตัวลงนอนทั้งอย่างนั้น โดยที่ไม่รู้ว่าศานนท์ออกไปจากห้องตั้งแต่เมื่อไหร่




พอรู้สึกตัวอีกทีก็ถึงกับต้องร้องโอดครวญกุมหน้าผากตัวเอง เมื่อเจอกับอาการปวดปานกะโหลกจะแตกทั้งที่เพิ่งตื่น เขากวาดมือควานหายา ใช้ปากกัดฉีกซองอย่างทุลักทุเล ก่อนจะหยิบมันใส่ปากกลืนลงคอทั้งที่ยังนอนราบอยู่บนเตียง


“ให้ตายดิวะ...”


มันปวดชนิดที่แค่ตั้งศีรษะให้ตรงยังไม่ได้ ตั้งแต่งานปัจฉิมสมัยมัธยมที่กอดคอเพื่อนๆ ไปฉลองต่อยันโต้รุ่ง เขาก็ไม่เคยแฮงค์หนักขนาดนี้อีกเลย


แน่ล่ะ ไม่มีใครอยากนอนร้าวเป็นผักอยู่บนเตียงเป็นวันๆ หรอกจริงไหม


โครก...


คงเพราะอาเจียนออกทางปากไปจนหมดพุง ท้องเจ้ากรรมถึงได้หิวโกรกจนต้องจำใจลุกขึ้นไปหาอะไรกินอย่างข้างล่างอย่างอดไม่ได้ แม้ว่ามันจะน่าหงุดหงิดพอคิดว่าต้องเจอหน้าผู้ใหญ่บางคนที่บางครั้งก็ทำตัวโลดโผนโจนทะยานเหมือนเด็ก


ทันทีที่ตุลย์เดินลงมาถึงชั้นล่าง กลิ่นอาการหอมๆ ก็เตะจมูกเขาเข้าอย่างจัง ความที่หิวโซอยู่เป็นทุนเดิม ร่างกายจึงราวกับถูกดึงดูดตามกลิ่นอันยั่วยวนนั้น เดินมาถึงโต๊ะอาหารก็เห็นว่ามีกับข้าวสองสามจานวางทิ้งไว้ริมหน้าต่าง ควันขาวอ่อยอิ่งบ่งบอกมามันเพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ เป็นภาพชวนน้ำลายสอที่สุดสำหรับคนเสมือนไม่ได้กินอะไรตั้งแต่บ่ายอย่างเขา


แต่พวกนี้มันของใครกันล่ะ?


แม่บ้านก็กลับไปตั้งแต่กลางวันแล้ว เรื่องนั้นเขาแน่ใจ เสียงก๊อกแก๊กดังมาจากในครัวซึ่งอยู่เยื้องถัดไปไม่กี่ก้าว แว่บหนึ่งจึงเกิดสงสัยขึ้นมา แต่จังหวะที่กำลังชะโงกหน้ามองเข้าไป ศานนท์ก็เดินสวนออกมาพอดิบพอดี พวกเขาเกือบชนกันด้วยซ้ำ โชคดีที่ขืนตัวไว้ทัน มิเช่นนั้นจานอาหารในมือหนุ่มใหญ่อาจจะกลายเป็นสิ่งที่คว่ำอยู่บนพื้นในวินาทีต่อมา


ต่างคนต่างจ้องอยู่กันอยู่พักด้วยความสงสัยก่อนจะตุลย์จะเป็นภายถอยหลบให้ศานนท์เดินผ่านเขาไปยังโต๊ะอาหารเพื่อวางจาน


“ฉันกำลังคิดว่าทำเสร็จแล้วจะไปปลุกเธออยู่พอดี หิวหรือเปล่า?”


ถึงแม้จะขุ่นใจเรื่องที่อีกฝ่ายเป็นต้นเหตุให้ตนต้องตกอยู่ในสภาพเมาค้าง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขากำลังหิวมากจนไม่อาจหักห้ามใจในนั่งลงตรงเก้าอี้ว่างตรงข้ามศานนท์


“เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นหรือยัง”


“แล้วคุณว่าผมควรดีขึ้นยังไงครับ ลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้นเหรอ” สวนอย่างคนปากพล่อยพลางตักข้าวใส่จาน


“ยังโกรธฉันอยู่เหรอ?”


“แล้วคุณว่าผมควรดีใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นหรือไง” เงยหน้าขึ้นมาสบตาหนุ่มใหญ่ทีหนึ่ง แล้วก็เมินเสีย


“ฉันขอโทษ” เห็นเขาไม่สนใจ หนุ่มใหญ่เลยถือโอกาสตักกับข้าวใส่จานให้ “ฉันไม่ได้ตั้งใจ...”


“...แต่ผมว่าคุณตั้งใจนะ คงบังเอิญไปหน่อยถ้าอยู่ๆ คุณจะเอาขวดเหล้ายัดใส่ก้นผม แล้วไม่รู้ว่าหลังจากนั้นผมจะต้องนอนแฮงค์เป็นผักอยู่บนเตียง หรือบางทีอาจจะเป็นเตียงที่โรงพยาบาลก็ได้ถ้าโชคดี ค่ารักษาแค่สามสี่หมื่นสำหรับคุณก็ขนหน้าแข้งไม่ร่วงอยู่แล้ว อ้อ... ส่วนเรื่องที่คุณเสร็จใส่ผมทั้งที่ตกลงกันแล้วว่าผมไม่ทำถ้าไม่ใส่ คุณว่าผมควรดีใจแค่ไหนถึงจะสมเหตุสมผลล่ะ?”


ฟังเขาร่ายยาวมาเป็นชุดเหมือนเก็บกด ศานนท์ก็ถึงกับถอนหายใจ


“ก็ได้ๆ ฉันยอมรับผิด แค่ไม่ได้คิดว่ามันจะเลยเถิดจนทำให้เธอเป็นหนักขนาดนี้ ฉันขอโทษ....”


ไม่ว่าเปล่าแต่ยังเอื้อมมากุมมือ ทำเอาตุลย์อยากจะปล่อยช้อนขึ้นมาเสียดื้อๆ


“ขอโทษจริงๆ... ไม่ตั้งใจให้เธอลำบากทีหลัง”


ตุลย์กรอกตา ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตากินต่อ เขาทนการถูกกดดันมานักต่อนัก นับประสาอะไรกับแค่การหมางเมินอีกฝ่ายอันแสนจะธรรมดา


“เฮ้ ฉันขอโทษ”


“...........”


“ตุลย์...”


“..........”


“อย่าเมินกันแบบนี้สิ”


สบกับแววตารู้สึกผิดนั้นตรงๆ ก็ยอมรับว่าใจอ่อนขึ้นมาแว่บหนึ่ง


เขาเป็นฝ่ายเสียเปรียบทุกด้านแท้ๆ แต่กลับต้องมาเอาใจผู้ใหญ่ที่ทำตัวขี้เหงาแบบเด็กๆ น่ะหรือ มันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย!


ศานนท์ยังคงเฝ้ารอคำตอบจากเขา นั่นทำให้ตุลย์ได้แค่เปลี่ยนหัวข้อสนทนาลดความกระอักกระอ่วนใจที่เกิดขึ้น


“...ผมไม่รู้ว่าคุณทำอาหารเป็น”


“ปกติฉันทำไม่บ่อย เป็นครั้งเป็นคราวไป แต่ถ้าเธอชอบ จะทำให้ทานบ่อยๆ ก็ได้...”


ได้ฟังตุลย์ก็คราง ‘อื้ม’ ในคออย่างไม่รู้จะพูดอะไร


พวกเขาคุยกันเป็นประโยคสั้นๆ ระหว่างทานอาหารเย็น บางครั้งก็มองผ่านกระจกใสออกไปยังสวนหย่อมและน้ำตกเล็กๆ ซึ่งก็นับว่าเป็นมื้อที่ไม่แย่นัก เพราะหลังจากได้พูดจาพล่อยๆ ออกไปบ้าง อารมณ์ขุ่นมัวในใจที่สะสมมาก็คล้ายจะลดลง รวมถึงอคติบางส่วนที่มีต่อตัวศานนท์


“หายโกรธฉันแล้วหรือยัง หืม”


ถามขณะรอให้เขาสวาปามอาหารลงท้องเรื่อยๆ จนกว่าจะอิ่ม ซึ่งตุลย์ก็พอใจที่จะย้อนอีกฝ่ายกลับเป็นคำถาม


“แล้วตอนนี้คุณคิดว่ายังไง?”


“ไม่รู้สิ แต่ถ้าอยากได้อะไรเพิ่มอีก” ศานนท์พูดไปยิ้มไปจนเห็นรอยย่นเล็กๆ ตรงหางตา “...ฉันจะเข้าครัวไปทำให้จนกว่าเธอจะพอใจ”


“ครับ”


เด็กหนุ่มไม่ได้สบตาเขาจึงไม่รู้ว่าเป็นคำตอบสำหรับประโยคแรกหรือหลัง แต่ไม่ว่าประโยคไหนสำหรับคนฟังมันก็นับว่าน่าพอใจทั้งคู่...

-------------------
ที่รักกก ขอโทษที่หายไปสองเดือนเต็ม ฮือๆๆๆ เดี๋ยวจะเขียน talk นะคะ ขอนุญาติกินข้าวสัก 30 นาที จะกลับมาอัพ 12.1 น้า เมลล่าขอโต๊ดดดด แอ๊กกกกก
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (11.04.17) Night 11.2+12.1 l P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Rosary ที่ 11-04-2017 20:47:05
มาต่อแล้วววววว   :hao7:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (11.04.17) Night 11.2+12.1 l P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 11-04-2017 21:29:07
12th Night : ความเชื่อใจ


เพราะมีคาบเรียบแค่วิชาเดียว หลังจบคลาสตอนเช้า ทั้งวันที่เหลือจึงกลายเป็นเวลาว่างให้แหล่านักศึกษาเลือกใช้สอยตามอัฐยาศัย ไม่ว่าจะออกเที่ยวไกลๆ หรือทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัย หลายคนจึงดูครึกครื้นเป็นพิเศษ เขาและกลุ่มเพื่อนก็ควรเป็นหนึ่งในนั้น หากไม่ติดว่าแม็กมีกิจกรรมชมรมบางอย่างที่ต้องรับผิดชอบ


แต่ด้วยอยู่นิ่งไม่เป็นของจีจี้ เจ้าหล่อนก็อุตส่าห์สรรหากิจกรรมในมหาวิทยาลัยทำฆ่าเวลาจากแวดวงผองเพื่อน ซึ่งแทนที่จะได้พัก สุดท้ายก็เป็นเขาที่ถูกเธอลากถูลู่ถูกังให้ไปไหนมาไหนกับเธอ


“ได้ข่าวมาว่าวันนี้มีแคสละครของศิลปศาสตร์ ฉันอยากคัดตัว ไปสมัครด้วยกันหน่อยนะตุลย์” จีจี้ว่าไปพลางกระโดดโลดเต้นไปรอบๆ


เรื่องที่เขาว่าคนสวยทำอะไรก็ไม่น่าเกลียด เห็นว่าจะจริง


“...ฉันไม่เคยเล่นละคร”


“ก็ไปลองดูหน่อย แคสเล่นๆ น่าไม่เห็นต้องคิดอะไรมาก”


“ไม่ได้เตรียมบทมา...”


“เดี๋ยวค่อยไปคิดๆ เอาหน้าห้องก็ได้น่า”


“ร้องเพลงไม่...”


ยังไม่ทันฟังจนจบ เธอก็ตัดบทคว้าแขน ดันหลังเขาแบบมัดมือชก


“เอาเถอะๆ เดี๋ยวจี้คิดให้หมดเลย ไม่ต้องห่วงนะ มาเร็วๆ จะได้เวลาเปิดรับแล้ว!”


เอาเข้าจริงไอ้เจ้าเหตุผลที่พูดๆ ไปเมื่อกี้ก็แค่เพราะอยากพักกินลมชมวิวมากกว่าเดินสายกิจกรรม หากไม่ชอบอยู่หน้ากล้อง เขาคงไม่เลือกเรียนคณะนี้แต่แรก เดาว่าเธอก็คงรู้ แต่ตั้งใจแกล้งเขานั่นแหละ...


สุดท้ายก็เป็นอันยอมตกลงเขียนชื่อยืนรอคิวอยู่หน้าตึก ผู้สมัครส่วนใหญ่มีแต่นักศึกษาศิลปศาสตร์ ตุลย์จึงไม่รู้จักใคร ผิดกับจีจี้ ด้วยความที่เป็นนักกิจกรรมเธอจึงรู้จักคนโน้นคนนี้ไปทั่ว แม้ว่ามันจะน่ากระอักกระอ่วนสำหรับเขาที่ต้องยืนรอเธอทักทายคนนั้นคนนี้ หากใบหน้ายิ้มแย้มของหญิงสาว ก็เป็นอะไรที่ทำให้เขารู้สึกว่าคิดไม่ผิด


...แต่จู่ๆ รอยยิ้มก็หายพลันวับกลายเป็นหน้าบูดๆ เหมือนตูดลิง


“หวัดดี จีจี้”


แม้แต่ตุลย์ก็ชะงักเล็กน้อย ตอนที่เห็นว่าคนทักเป็นใคร


“มาทำอะไรที่ศิลปศาตร์ครับ?”


กายกับเพื่อนกลุ่มเดิมอีกสองคนเดินเข้ามาทักทายพร้อมคลี่ยิ้มจริงใจแบบที่หญิงสาวบ่นว่าเกลียดนักเกลียดหนา


“แคสละครคณะน่ะ”


“อืม แล้วแม็กไม่มาด้วยเหรอ ถึงมาอยู่กับ... คนนี้”


หัวโจกปรายมองเขาทีหนึ่ง สายนั้นเย็นชาและดูถูกแม้ว่าจะมียิ้มฉาบบนใบหน้าผิดกับที่มองจีจี้ลิบลับ


“แม็กไปทำงานชมรม เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง”


เธอและกายสบตากันสองสามวิ ก่อนที่ชายหนุ่มจะถือวิสาสะถามดื้อๆ


“เราจะไปกินข้าวข้างนอก กินด้วยกันไหม? ไปกันทั้งหมดนี่”


“ไม่ได้หรอก ขอโทษทีแต่เราต้องแคสละคร”


“แล้วนายล่ะ?”


พยักเพยิดมาทางเขาพร้อมแววตาไม่เป็นมิตร ตุลย์ก็รู้สึกเหมือนมือไม้เย็นอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก


“ตุลย์มาแคสเป็นเพื่อนเราน่ะ กายไปกินเถอะ เราไม่รบกวนดีกว่า ขอบคุณที่ชวนนะ”


ครั้งนี้จีจี้ตัดบทด้วยยิ้มหวานปานน้ำผึ้งที่ทำให้โลกทั้งโลกสดใสชั่วพริบตา


อีกฝ่ายดูจะพอใจกับคำตอบที่ได้รับ ถึงไม่เซ้าซี้ต่อ “อื้ม ได้ ถ้าอย่างนั้นเราไปกินข้าวกับเพื่อนก่อนแล้วกัน”


รอจนกระทั่งชายคนนั้นหมุนตัวเดินหายไปกับกลุ่มเพื่อนในระยะที่แน่ใจว่าไม่ได้ยินเสียงพวกเขา แล้วจีจี้ก็เริ่มบ่นกระปอดกระแปดเรื่องที่เธอไม่ชอบผู้ชายคนนั้นอย่างไร ในขณะเขาลอบถอนใจโล่งราวกับหินก้อนที่ถ่วงในความรู้สึกค่อยๆ จมหาย


ตุลย์ฟังเธอพูดโยงจากเรื่องโน้นสู่เรื่องนี้อย่างไม่รู้จบไปก็พยักอือออไปพลาง  โดยรวมก็นับว่าฆ่าเวลาได้ดีนัก เพราะอีกเพียงไม่กี่คิวก็จะเวียนมาถึงเธอและเขาตามลำดับ


“จี้ อยู่คนเดียวได้ไหม ไปล้างหน้าแป๊บนึง”


“หือ ตุลย์เป็นอะไรหรือเปล่า” เธอถามอย่างห่วงใย ก่อนจะเปลี่ยนมายิ้มแก่นๆ “ตื่นเต้นล่ะสิ!”


“ใช่ แค่อยากตั้งสมาธิก่อนแคสสักหน่อยน่ะ”


“ได้ แต่ต้องกลับหาให้ทันดูเราแคสด้วยนะ ไม่งั้นงอนจริงๆ ด้วยนะ”


“ต้องทันอยู่แล้วสิ”


เขาหัวเราะกับท่าแกล้งงอนปากจู๋ของเธอ ก่อนจะปลีกตัวแยกออกมา เดินลัดโถงตามหาห้องน้ำชายรวมแถวๆ นั้นเ พอเจอก็ผลักประตูเข้าไป ตรงไปที่อ่างเพื่อวักน้ำจากก็อกล้างหน้า แล้วผ่อนลมออกทางปากเผื่อระบายความเครียดระคนตื่นเต้น


มันนานสักพักแล้วที่เขาไม่ได้แสดงละครหรือออกหน้ากล้องเหมือนตอนมัธยมเพราะมีปัญหาหลายอย่างเข้ามารุมเร้า นั่นทำให้ตุลย์ไม่ค่อยมั่นใจในฝีมือการแสดงนัก ถึงจีจี้จะช่วยเตรียมสคริปบางส่วนให้เขาคร่าวๆ แต่ก็ยังนับว่าเป็นอะไรที่ไม่ชินอยู่ดี


ระหว่างที่หลับช้าๆ ตาตั้งสมาธิให้พร้อม เสียง ‘กริ๊ก’ ก็ดังข้างหูเหมือนมีใครบางคนเปิดประตูเข้ามา ตุลย์ลืมตาด้วยความสงสัย ก่อนที่จะถอยกรูดจากซิ้งค์ เมื่อหนึ่งหนึ่งในเพื่อนร่วมคณะโผเข้ามาล็อคคอจากด้านหลัง ร่างโปร่งกระทุ้งศอกใส่อีกฝ่ายอย่างแรง ก่อนใช้จังหวะนั้นดิ้นจนหลุดและถลาไปที่ประตู


“จะไปไหนวะ!?”


ทว่าก็ถูกมือของใครบางคนคว้าเข้าที่หัวไหล่ กระชากร่างกลับมาก่อนถึงเป้าหมาย แล้วจะประเคนหมัดเข้าที่แก้มซ้ายอย่างจัง ตุลย์เซไปกระแทกประตูเพราะเสียการทรงตัว ก่อนจะถูกซ้ำด้วยเข่าโดยไม่เปิดช่องว่างให้ตอบโต้ จุกท้องน้อยแทบทรุดจนต้องเท้าแขนพิงลูกบิดยันตัวไม่ให้ล้ม


“เอามันขึ้นมายืนตรงๆ ซิ”


ออกปากสั่งคำเดียว ผู้ชายที่ถูกเขาศอกใส่ในทีแรกก็เข้ามาล็อคแขนแล้วหิ้วปีกเขาขึ้นให้ยืนตรงๆ ถูกบังคับให้ขยับตัว


 ตุลย์ก็นิ่วหน้ากัดฟันเพราะความเจ็บ


เบื้องหน้าเขา คือกายในชุดนักศึกษาถกแขนเสื้อสูง ไม่ใส่เน็กไทด์หรือเข็มขัด คนเดียวกับที่เคยยืนอยู่ตรงหน้าจีจี้ แต่สีหน้าและอารมณ์กลับต่างกันลิบลับราวกับคนละคน


อารมณร้าย... ชอบความรุนแรงและกวนประสาท ...มันทำให้เขานึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นคืนนั้น


“นี่สำหรับจีจี้... เผื่อมึงจะไม่รู้ ว่าการที่มึงเข้ามาป้วนเปี้ยนในชีวิตจี้มันเกะกะลูกตากูขนาดไหน รู้ไหมมึงทำชื่อเธอเสียหาย? และกูก็ไม่ชอบใจเรื่องนั้นซะด้วย”


อีกฝ่ายบีบคางเขาแน่นจนปวดหนึบแล้วเค้นเสียงต่ำ


“อย่างมึงน่ะต่อให้ชุบตัวใหม่ก็เป็นได้แค่อีตัวอยู่วันยันค่ำ อย่าสะเออะมายุ่งกับจีจี้... ไอ้เหี้ยแม็กก็อีกคน ดูแลเพื่อนมึงให้ดีๆ หน่อย ไม่งั้นกูคงต้องสั่งสอนทั้งคู่”


โดยไม่เปิดโอกาสให้พูด หมัดสองก็ฮุกเข้ากลางลำตัวอย่างแรงจนทรงตัวไม่อยู่ จากนั้นเขาก็ถูกบังคับให้ยืนขึ้นอีกครั้งโดยคนด้านหลัง


“ส่วนนี่ ...สำหรับเงินกับเวลาที่กูเสียไปเปล่าๆ กับอีตัวอย่างมึง ที่โน้นมึงอาจจะจะเบี้ยวใครก็ได้ แต่ที่นี่กูคุม และกูไม่ปล่อยให้ตัวปัญหาที่เบี้ยวเงินกูหนีไปจับคนรวยเดินลอยหน้าลอยตาแน่!”


“กูไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้นแล้ว จะเอาอะไรอีก...” เจ็บไม่ใช่น้อยตอนที่เปล่งเสียง


ใช่... เขาไม่ใช่คนของคลับแล้ว ต่อให้ซ้อมเขาให้ตาย ฝ่ายนั้นก็ไม่มีวันได้เงินที่เสียไปคืน


“ไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย...”


ฝ่ายนั้นยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนรู้สึกถึงไอร้อนจากลมหายใจ ก่อนจะก่อนเป็นเปล่งคำสองคำเสียงดังฟังชัดช้าๆ ด้วยน้ำเสียงกวนโทสะ แค่นั้นร่างโปร่งก็ฟิวส์ขาด


“กูไม่ใช่กระหรี่!!” 


เห็นเขาพยายามเหวี่ยงตัวให้หลุดจากพันธนาการ กายก็หัวเราะร่วนราวกับเห็นเป็นเรื่องสนุก


 “ไม่ใช่? แล้วกูควรจะเรียกคนที่ขายตัวว่าอะไรถึงจะถูก?”


ไม่พูดเปล่าแต่ล้วงมือเข้าไปในสาบเสื้อตุลย์ ขยี้กำปั้นลงตรงหน้าท้องที่ถูกชกไปหมาดๆ แล้วเลื่อนลงต่ำแทรกมือผ่านขอบกางเกงชั้นใน พร้อมกับรอยยิ้มสะใจ


“...ไหนลองบอกซิ ว่ากูควรเรียกมึงว่าอะไร”


“.........!”


สิ่งที่เกิดขึ้นจากนั้นเหนือความคาดหมายของกาย เมื่อจู่ๆ ร่างโปร่งสลัดตัวหลุดจากเพื่อนของเขา แล้วถลาเข้ามาชกหน้า หากไม่ใช่เพราะว่าชายหนุ่มไวพอที่ถอยหลังตามสัญชาตญาณของคนที่ผ่านเรื่องวิวาทมาโชกโชน มันคงไม่จบเพื่อนแต่ถากหน้าเฉียดๆ แน่นอน


หนึ่งในเพื่อนเขาตะโกนเรียกอีกคนที่ดูต้นทางอยู่ด้านนอก แต่กายไม่มีเวลาสนใจเรื่องนั้นมากนัก เมื่อร่างโปร่งตามเข้ามาประชิดตัวด้วยสีหน้าโกรธแค้นปานจะฆ่าจะแกงเขาให้ตาย


“กูไม่ได้ขายตัวแล้ว! และถ้าแม่งมีปัญหา มันก็เป็นปัญหาของมึงกับที่คลับ ไม่เกี่ยวอะไรกับกูโว้ย!”


แต่หมัดที่ตั้งใจจะประเคนใส่หน้าเขาถูกขัดจังหวะโดยเพื่อนอีกคน เสียง ‘กร๊อบ’ จากกระดูกไหล่ที่ถูกหักผิดรูปก้องทั่วห้องอับ ตามด้วยเสียงคำรามด้วยความเจ็บปวดของเจ้าของ ร่างโปร่งที่ถูกล็อคจากด้านหลังลากกลับไปที่ซิ้งค์หน้ากระจก ก่อนจะต่อยซ้ำที่กลางลำตัว แล้วหิ้วปลีกขึ้นมาอีกครั้ง แต่คราวนี้โดยคนสองคน


“เฮ้ย ก็สู้เป็นนี่หว่า ไอ้ลูกหมา”


กายกระตุกยิ้มกว้าง การได้เห็นหมาจนตรอกฮึดสู้เป็นอะไรที่ยุอารมณ์อยากลงไม้ลงมือจากเขาได้สุดๆ


“นึกว่าจะเก่งแต่ตอนยั่วแขกเสียอีก”


ได้คำตอบเป็นถ้อยคำสถบด่าหยาบคายจากตุลย์ โทสะก็โหมขึ้นจนต้องทำให้อีกฝ่ายเงียบปากหลังมือ


 “อย่าลืมว่าที่นี่กูคุม! พวกเหลือเดนอย่างมึงถ้าริอาจจะอยู่ระดับเดียวกับกู มันก็ต้องสั่งสอนให้รู้ว่าใครเป็นใคร อ้อ... แล้วก็ละครน่ะ กูว่ามึงคงไม่ได้เล่นทั้งของศิลปศาตร์และของคณะ ทำใจไว้แต่เนิ่นๆ ได้เลยว่ะ”


-----------------------------


ศานนท์กลับมาถึงบ้านตามเวลาปกติ เขาล้วงกุญแจออกมาไขประตู แต่แล้วก็แปลกใจจนต้องก้มมองนาฬิกาเมื่อไฟทุกดวงปิดมืดสนิทราวกับปราศจากผู้อาศัย


เย็นขนาดนี้ตุลย์หน้าจะกลับถึงบ้านได้แล้ว...


หนุ่มใหญ่ถอดเสื้อนอก พาดไว้ตรงราวหน้าประตูเหมือนทุกวัน ขณะที่หยิบโทรศัพท์ออกมาลังเลว่าควรกดโทรหาอีกคนไหม สายตาก็เหลือบไปเห็นไฟสลัวจางๆ จากห้องครัว


“ตุลย์”


เขาเรียกหาเด็กหนุ่ม แต่ปราศจากเสียงตอบรับ นั่นทำให้ศานนท์ยิ่งเกิดความสงสัย


หากเป็นขโมยหรือผู้บุกรุก สัญญาณเตือนภัยก็จะดังอย่างแน่นอน และเขาต้องเป็นคนแรกที่ได้ข่าวจากบริษัทประกัน


ครั้นพอเดินเข้าไปใกล้ก็ได้ยินเสียงก๊อกแก๊กเบาๆ จากด้านใน เขาเห็นตุลย์นั่งอยู่บนเคาท์เตอร์หันข้างให้ ใกล้ๆ กันนั้นมีถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปว่างเปล่า ส่วนแสงที่เขาเห็นจากด้านนอกมาจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือของเจ้าตัว


“ตุลย์?”


เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ขานรับ ศานนท์จึงถือวิสาสะเปิดไฟ แต่สภาพผิดปกติของคนตรงหน้ากับทำให้เขาถึงพูดอะไรไม่ออก


ริมฝีปากแตกและช้ำเลือดบวมมาถึงช่วงแก้ม ข้อแขนก็เขียวเป็นทางยาว ไหล่ปูดโปนผิดรูป แล้วไหนจะรอยช้ำที่เขามองไม่เห็นอีก แต่กระนั้นเจ้าตัวก็แค่ประคบมันด้วยผ้าห่อน้ำแข็งที่วางอยู่ข้างๆ ก่อนจะไถลตัวลงมา เก็บขยะที่วางเกะกะบนเคาท์เตอร์ใส่ถังราวกับไม่มีอะไร จนเขาต้องเข้าไปห้ามอย่างทนไม่ไหว


“มองฉัน! เกิดอะไรขึ้นกับเธอ!?”


----------------------

ก่อนอื่นขอโทษจากใจจริงๆ ค่ะ ที่หายเหมือนตายจากไปแล้วว ฮืออออ
รู้สึกละอายใจมากๆ แต่ไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ นี่ปาเข้าไปเป็นเกือบปีแล้ว เพิ่งได้ 12 ตอนนนน แอ๊กกก
เข้าใจนักอ่านทุกท่านเลยค่ะ ว่ารอนานจนลืม ขนาดเมลล่าเองยังลืมเลยว่าเขียนอะไรไปบ้าง ย้อนกลับไปอ่านแล้วก็ร้อง โหหหหหห แบบนี้เราเคยเขียนได้แบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย
เข้าใจเลยค่ะ ถ้าจะลืมไปบ้างเมลล่าก็ไม่ว่า 5555+ แต่ก็ขอบคุณนะคะ ที่ให้กำลังใจกันมาจนครึ่งเรื่อง

ส่วนคอนเม้นท์จากหลายๆ ท่านเกี่ยวกับเนื้อเรื่อง บอกตรงๆ ว่าเขินมากๆๆๆๆๆ แอร๊ยยย
คือส่วนตัวเมลล่าชอบวิจารณ์งานคนอื่น (เป็นนิสัยที่ไม่ดี ถถถ) เคยเขียนบล็อกวิจารณ์มังงะอยู่ช่วงสั้นๆ และรู้สึกมีความสุขมากเวลาได้ด่าและชมงานที่ตัวเองรักไปพร้อมๆ กัน ถถถ ถึงจะเขียนไปได้แป๊บเดียวเพราะไม่มีเวลามาแคปรูปแต่ละตอนก็ตาม กรั่กๆๆ
พอมาเจอแบบนี้กับตัวเองเลยรู้สึกตื่นเต้น + เขินมากๆ ขอบคุณนะคะ ได้อ่านทุกคอมเม้นท์แล้วชื่นใจฝุดๆ แอร๊ยย

เอาล่ะค่ะ ไม่รู้ว่าตอนนี้อารมณ์ถึงหรือเปล่า ทุกคนเบื่อกันไหม คอมเม้นท์ไว้ได้นะคะ น้อมรับทุกคนวิจารณ์ ส่วนตอนหน้าพบกับตัวละครใหม่ที่ยังไม่ตั้งชื่อ และรีแอคชั่นของลุงศานนท์ จะเผ็ดร้อนเศร้าเหงาซึมขนาดไหน ต้องลุ้นตอนหน้าค่ะ อิอิ
สุดท้ายขอบคุณนักอ่านทุกท่านค่ะ ตื่นตันฝุดๆ กับคอนเม้นท์ #ลงไปดิ้น

อีดิดๆ เค้ามีเพจละน้าา แต่ไม่มีอะไรจะอัพเดทหรอก แอร๊ยย
https://www.facebook.com/Iamcaramella (https://www.facebook.com/Iamcaramella)
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (11.04.17) Night 11.2+12.1 l P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 11-04-2017 22:38:15
11.2 ลุงมันก็เล่นพิสดารไปนะ ดีที่ตุลย์ไม่แพ้แอลกอฮอล์ ไม่งั้นถึงตายได้เลย

สมควรสำนึกนะลุง ข้อตกลงก็ไม่รักษา แถมยังทำเขาเจ็บตัวอีก ไม่โอนะลุง

12.1 ไอ้กายสันดานเลว เพื่อนก็สารเลว  สมควรได้บทเรียนบ้างนะ

ปล. ฉันก็รออ่านจนลืมไปแล้ว ฮ่าๆๆๆ
มาต่อเรื่อย ๆ นะ อยากรู้ว่าลุงจะจีบตุลย์ยังไง
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (11.04.17) Night 11.2+12.1 l P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 11-04-2017 22:42:05
 :pig4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (11.04.17) Night 11.2+12.1 l P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: ajkub ที่ 11-04-2017 22:47:19
ติดตามตลอด ขอบคุณที่กลับมา :pig4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (11.04.17) Night 11.2+12.1 l P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 11-04-2017 23:09:05
ศานนท์ตามไปจัดการกายใก้ตุลย์เลยนะ  :fire:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (11.04.17) Night 11.2+12.1 l P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: lightseeker ที่ 12-04-2017 01:42:17
หายไปนานมากๆ พอเห็นว่าอัพแล้วรู้สึกดีใจจนหลุดกรี๊ด อย่าหายไปอย่างนี้เลยนะคะ นึกว่าจะไม่มาต่อแล้วอ่ะ :hao5:

กายนี่มันสัมภเวสีตามติดตุลย์ชัดๆ เอาจริงๆเหมือนเด็กสปอยที่แอบชอบเค้าแล้วเรียกร้องความสนใจเลยอ่ะ หมั่นไส้
สงสารตุลย์ อุตส่าห์มีเพื่อนกำลังจะมีชีวิตใหม่ทั้งทีก็ยังมีมารตามมาผจญอีก เฮ้ออ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (11.04.17) Night 11.2+12.1 l P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 12-04-2017 09:09:39
ตอนนี้เราเป้กเสี่ยไม่ใช่เด็กขาย   ตอนขายสวัสดิการมันไม่ครอบคุมแถมยังโดนเอาเปรียบ เพราะฉนั้นตอนนี้เนาต้องใช้สิทธิในการเป้นเด็กเสี่ยให้เสี่ยจัดการให้ อย่าอัดอั้นเก็บกดไว้คนเดียว  หึหึ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (11.04.17) Night 11.2+12.1 l P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: aj_nsync ที่ 12-04-2017 14:31:51
เฮ้อ...งานเข้าลุงเลย ดันไปเล่นท่ายาก เอ้ย.. ดันไปเล่นไม่รู้เรื่อง น้องอ้วกเกือบตายเลย
แต่ก็นั่นแหละ น้องอยากดื้อทำไมล่ะ  ยิ่งหลังๆมานี้เราว่าน้องดื้อหนักขึ้นอ่ะ  ไม่รู้ว่าลุงจะเอาอยู่หรือเปล่า

กายนี่เลวเสมอต้นเสมอปลายจริง ๆ นะ  แล้วลุงจะช่วยตุลย์ได้ยังไงบ้างเนี่ย
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (11.04.17) Night 11.2+12.1 l P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 12-04-2017 14:52:55
ชอบเค้าแต่เค้าไม่เอา เลยมาลงกับคนใกล้ตัวเค้า จะซ้อมตุลย์ก็ดันเล่นพวก หมาหมู่ -*- คิดเหรอว่าเหี้ยแบบนี้ จีจี้จะเอาแกน่ะกายยยย
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (11.04.17) Night 11.2+12.1 l P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: pigarea ที่ 12-04-2017 17:23:51
โอ๊ยยยยย อ่านแล้วเครัยด
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (11.04.17) Night 11.2+12.1 l P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 13-04-2017 02:33:53
อิกายเลวว่ะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (11.04.17) Night 11.2+12.1 l P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: kimkidoy ที่ 13-04-2017 03:50:57
โดนศานนท์รังแกที่บ้านแล้วววว ไปมหาลัยยังโดนรังแกอีก
สงสารตุลย์อ่าาาา ชีวิต อุตส่าเลิกทำงานอย่างว่าก็แล้ว
ศาานนท์ดูแลตุลย์ด้วยน้าาาาาาา

ปล.ดีใจจจจจ นึกว่าคนเขียนนจะไม่มาแล้วววว :katai4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (11.04.17) Night 11.2+12.1 l P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: alien.aiiwz ที่ 13-04-2017 03:57:33
รอดูฤทธิ์ลุง
เอากายให้อ่วมไปเลย
มาทำน้องแบบนี้ได้ไง หึ!
 :fire: :fire:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (11.04.17) Night 11.2+12.1 l P.7 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 13-04-2017 06:23:35
เกลียดกาย เป็นไรมากป้ะ ความแค้นโง่ๆของผู้ชาย สมองถั่ว !!!!!
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (09.05.17) คนเขียนยังไม่ตายนะ! I P.8 [no update]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 09-05-2017 22:37:03
อู้ยยยยยยย หายนานเป็นชาติจนใครๆ ก็คิดว่าตายไปแล้ว ถถถถถ

เมลล่ายังไม่ไปไหนนะคะ ยังเป็นวิญญาณที่ตามหลอกหลอนเธอมานานนน
ช่วงนี้วุ่นวานอีกแล้วค่ะ ทุกคนคงบ่นอีนี่จะวุ่นวายอะไรบ่อยๆ ฮืออออ
ข้อสงข้อสอบมันปาฏิหารย์คืนเดียวไม่ได้ค่ะ ไม่อ่านก็เตรียมดรอปเลย ถถถถ ธงหักกระจายยย ไว้รอเรียนใหม่ปีหน้า

ทั้งนี้กราบขอโทษทุกคนเลยนะคะ ที่ต้องมารอมาคอยเมลล่า คิดซะว่าเป็นนิยายอ่านเล่นสนุกๆ เวลาว่างเรื่องหนึ่งก็ได้ค่ะ เพราะกำหนดเวลามันไม่แน่นอนจริงๆ

แต่ยังให้สัญญาเหมือนเดิมว่าจะเข็นให้จบค่ะ ถึงในหัวจะมีพล้อตใหม่แว่บมาเรื่อยๆ ก็ตาม

สภาพว่าส่วนหนึ่งก็ติด rov นิดๆ แต่เก๊าไม่เล่นบ่อยนะ หลักๆ เพราะเรียนเช้ากลับดึก เดินทางไกลมากกว่า

อยากบอกทุกท่านว่า ตอนนี้เมลล่ามีเพจละน้าา เข้าไปติดตามกันได้ จะพยายามอัพเดทสิ่งที่จำเป็นค่า ถึงมันจะร้างมาก็เถอะ

https://www.facebook.com/Iamcaramella (https://www.facebook.com/Iamcaramella)

สุดท้าย ขอบคุณอีกครั้งที่พาเมลล่าเดินมาไกลถึงตรงนี้ค่ะ รักทุกคนมากจีๆ จุบุ  :mew1:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (09.05.17) คนเขียนยังไม่ตายนะ! I P.8 [no update]
เริ่มหัวข้อโดย: kimkidoy ที่ 09-05-2017 23:26:35
มาอัพพพได้แล้วน้าาาาาาาา
คิดถึงงงงง ตุลย์ ศานนท์  :laugh:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (09.05.17) คนเขียนยังไม่ตายนะ! I P.8 [no update]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 10-05-2017 13:02:29
สู้ ๆ นะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (09.05.17) คนเขียนยังไม่ตายนะ! I P.8 [no update]
เริ่มหัวข้อโดย: หนูปลวก ที่ 10-05-2017 13:14:37
อ่านรวดเดียวจบ ติดงอมแงมรอคนเขียนมาอัพต่อ ชอบมากๆเลยเรื่องนี้ :-[
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (09.05.17) คนเขียนยังไม่ตายนะ! I P.8 [no update]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 12-05-2017 08:25:47
เสี่ย เคลียให้น้องตุลย์ที
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (09.06.17) 12th Night:ความเชื่อใจ l 12.2 P.8 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 10-06-2017 01:46:52
12.2
“มองฉัน! เกิดอะไรขึ้นกับเธอ!?”


น้ำเสียงเป็นเดือดเป็นร้อนของเขากลับถูกมองข้ามด้วยการเผินหน้าหนี


“มีเรื่องนิดหน่อยครับ แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”


“ไม่ใช่เรื่องใหญ่ยังไง!? ใครทำอะไรเธอ?”


“...........” เด็กหนุ่มไม่ตอบ ซ้ำยังหลบตา ทำท่าจะเดินสวนเขาออกไปดื้อๆ


“เดี๋ยวก่อน”


ถูกมองผ่านไปเฉยๆ ศานนท์ก็เอื้อมมือรั้งเอวร่างโปร่งไว้แทนที่จะคว้าแขน เพราะเกรงว่าอาจกระทบกระเทือนไหล่ข้างที่ผิดรูป  แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังทำให้อีกฝ่ายต้องนิ่วหน้าเจ็บปวด


 “ฉันจะพาเธอไปหาหมอ ...แล้วก็แจ้งความที่โรงพัก” เขาสรุปให้แบบมัดมือชกเมื่อเริ่มอารมณ์ ก่อนจะเดินไปคว้ากุญแจรถ


 “ไม่ต้อง ผมไม่ได้เป็นอะไรมาก”


“ไม่เป็นอะไร?”

 ศานนท์ทวนคำห้วน การที่เด็กหนุ่มบ่ายเบี่ยงทำให้ความอดทนเขาเหลือน้อยลงทุกที

“เกิดอะไรขึ้นเธอก็ไม่พูด ไม่บอกอะไรฉันสักคำแล้วยังจะให้ทนดูสภาพเธอโดนซ้อมเฉยๆ โดยไม่ทำอะไรอีกหรือ คิดจะตีตัวออกห่างไปถึงเมื่อไหร่!?”


“ผมสบายดี” ร่างโปร่งพยายามแกะมือเขาออกจากสะโพก “บอกว่าผมสบายดีไง คุณ! ปล่อย! คุณกำลังทำให้เรื่องทุกอย่างมันยุ่งยากสำหรับผม!”


ศานนท์เมินเฉยต่อคำพูดนั้น ก่อนจะเกี่ยวร่างโปร่งให้เดินไปพร้อมกัน หนุ่มใหญ่ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะรีรอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ ‘คนในความดูแลของเขา’ตกอยู่ในสภาพสะบักสะบอมดูไม่ได้


“คุณไม่เข้าใจ!” ตุลย์เหวี่ยงมือทิ้ง กัดปากแน่นเพื่อสะกดอารมณ์หลากหลายที่ตีรวนอัดแน่นอยู่ภายในใจ “คุณบอกว่าอยากให้ผมได้ชีวิตใหม่ไม่ใช่เหรอ!? ผมก็พยายามรักษามันอยู่นี่ไง แต่ตอนนี้คุณนั่นแหละที่จะทำลายมัน!”


เด็กหนุ่มกัดฟัน แววตาที่ควรดึงดันอย่างทุกครั้งกลับเต็มไปด้วยความสับสนและไม่มั่นคง


“...ผมไปแจ้งความไม่ได้ ขอร้อง...”


ศานนท์นิ่ง มองคนที่พยายามปกปิดเรื่องที่เกิดขึ้นจากเขา ขณะเดียวกันก็ร้องขอให้เขาหยุดทำสิ่งที่ถูกต้องสมควร เนิ่นนานจนกระทั่งความเงียบเริ่มก่อตัว


เขาไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเด็กคนนี้ และทำไมอีกฝ่ายกลัวที่จะแจ้งความนัก แต่หนึ่งที่ชัดเจนคือ ...นี่เป็นความผิดของเขาที่ปล่อยให้มันเกิดขึ้น


ศานนท์ถอนหายใจ ลูบแผ่นหลังนั้นเบาๆ ก่อนจะรั้งร่างโปร่งเข้ามาใกล้ เกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่สุด


เรื่องคดีความเขาแสร้งทำเป็นไม่เห็นก็ย่อมได้ แต่จะให้เมินเฉยต่อสภาพร่างกายของคนตรงหน้า เรื่องนั้นเขาทำไม่ได้


 “ไปโรงพยาบาลกับฉัน... แค่โรงพยาบาล ให้หมอทำแผลสักหน่อยตกลงไหม?”


ตุลย์ออกอาการลังเลชัดเจนราวกับกลัวว่าเป็นแค่คำโป้ปด เห็นแบบนั้นเขาจึงสร้างความมั่นใจให้ร่างโปร่งด้วยการย้ำเจตนาซ้ำ


“แค่โรงพยาบาล ไม่มีอย่างอื่นฉันสัญญา”

ได้ยินแบบนั้น เด็กหนุ่มก็พยักหน้ารับ ก่อนจะยอมตามเขาขึ้นรถไปโดยไม่พูดอะไรอีก


ระหว่างการเดินทางมีแต่ความเงียบเพราะตุลย์เอาแต่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง มองอยู่ได้ไม่นานเจ้าตัวก็พิงกระจกและผล็อยหลับไปทั้งอย่างนั้น ทิ้งความสงัดไว้ให้ผู้อาศัยอีกคนตามลำพัง ศานนท์ปรายมองเด็กหนุ่มเป็นระยะ

เขาอยากแน่ใจว่าอีกฝ่ายยังปกติดี   


หนุ่มใหญ่ส่งตัวตุลย์ให้แผนกฉุนเฉินทันทีที่มาถึงโรงพยาบาล ส่วนตนเองรออยู่ด้านนอก ภาพของหมอและพยาบาลวิ่งเข้าออกห้องวุ่นวายคงเป็นอะไรที่ชินตาสำหรับเจ้าหน้าที่ แต่ไม่ใช่กับศานนท์ นั่งนิ่งอยู่ได้ไม่นาน เขาก็ลุกออกไปหาเครื่องดื่มเปลี่ยนบรรยากาศและเดินวนเวียนอยู่แถวนั้นพักใหญ่ จนกระทั่งคนที่เฝ้าคอยเดินออกมากับผ้าคล้องแขน พร้อมแพทย์ที่รับผิดชอบ


จากที่ฟังคร่าวๆ โดยรวมแล้วไม่มีอะไรร้ายแรงอะไร นอกจากไหล่ซ้ายเคลื่อนเล็กน้อย ทำให้ต้องใส่ผ้าคล้องไปสักสัปดาห์ บาดแผลอื่นๆ ที่มองเห็นได้ก็ถูกปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้ว ส่วนตัวศานนท์ไม่ติดใจอะไรเรื่องนั้น แต่สิ่งที่เขาไม่อาจมองข้าม คือความเงียบงันจากคนข้างกาย


ตุลย์เอาแต่นั่งเงียบตั้งแต่ออกมาจากห้องฉุกเฉิน ไม่สบตาเขา แต่พลิกโทรศัพท์กลับไปกลับมาซ้ำๆ ราวกับกำลังสับสนกังวลใจกับบางเรื่อง


...และเป็นเรื่องที่เขาไม่รู้ว่าคืออะไร


“ไม่มีใคร ‘ทำอะไร’ เธอใช่ไหม?” ถามขึ้นเมื่อไม่อาจละเลยความเงียบได้นานกว่านี้


“.......?”


ตุลย์สบตาเขาแว่บหนึ่งคล้ายไม่เข้าใจนัยยะของคำถาม  ต่อมาก็แค่ส่ายศีรษะ ขณะที่ตายังจ้องโทรศัพท์ในมือ


“ถ้าหมายถึงเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับอย่างว่าล่ะก็ ไม่มีหรอก...”


หนุ่มใหญ่ทอดมองร่างโปร่งอย่างชั่งใจ  แต่ยังไม่ทันได้ซักอะไรต่อ เสียงเรียกชื่อคนไข้จากแผนกธุรการก็ดังขัดเสียก่อน


“นั่งรอตรงนี้นะ เดี๋ยวฉันมา”   


ตุลย์พยักหน้ารับเนือยๆ พอเห็นแบบนั้น หนุ่มใหญ่จึงลุกออกไปจัดการเคลียร์ค่าใช้จ่ายและรับยา ก่อนจะพาเด็กหนุ่มกลับบ้านตามที่ให้สัญญาโดยเมินผ่านเรื่องคดีความไป ถึงแม้มันจะเป็นวิธีที่เขาไม่เห็นด้วยก็ตาม


พวกเขากลับบ้านโดยไม่มีใครพูดอะไร มาถึงตุลย์ทิ้งตัวบนเก้าอี้ มองออกไปยังความมืดนอกหน้าต่าง เจ้าตัวดูมีสติขึ้นมากกว่าตอนที่อยู่โรงพยาบาล แต่กระนั้นก็ยังจมจ่ออยู่แต่ในความคิด ด้วยสาเหตุนี้ศานนท์ถึงคอยวนเวียนอยู่ห่างๆ ตอนนี้เขาใจเย็นลงกว่าครั้งแรกที่เห็นสภาพเจ้าตัว แต่ก็ใช่ว่าอยากจะปล่อยผ่านไปเฉยๆ เหมือนไม่มีอะไร


“เล่าให้ฉันฟังได้ไหม?”   


พอสบตากับเจ้าของคำถาม ตุลย์ก็เสมองไปทางอื่น


“..........”


เมื่อการคาดคั้นไม่ใช่ทางออก ศานนท์จึงเดินเลี่ยงไปหาเครื่องดื่มในครัว พูดตามตรงมันก็ ‘น่าผิดหวัง’ ตอนที่เปิดตู้เย็นแล้วพบแค่นมกล่องแพ็คหนึ่งกับน้ำผลไม้ ทั้งที่ปกติจะมีเครื่องดื่มหลากหลาย เขาหยิบนมกล่องมาเทใส่แก้วสองใบ ใบหนึ่งสำหรับตุลย์ และอีกหนึ่งสำหรับตนเอง ก่อนจะอุ่นด้วยไม่โครเวฟ


กลิ่นหอมมันและไออุ่นที่ลอยฟุ้งจากปากแก้วเรียกความสนใจจากเด็กหนุ่มให้สอดส่ายมองหาต้นตอ ศานนท์ส่งแก้วหนึ่งให้ตุลย์ โดยหวังว่าทำให้อีกฝ่ายผ่อนคลายได้บ้างก่อนเขาทรุดลงนั่งตรงข้าม


“เอาเถอะ ถ้าเธอยังไม่พร้อมจะเล่าก็ไม่เป็นไร ฉันจะรอ... แค่อยากให้เข้าใจว่าถ้ามีปัญหา ต่อให้เป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหน เธอก็เล่าให้ฉันฟังได้ทุกอย่าง...”


จงใจใช้น้ำเสียงที่มั่นคงและอ่อนโยนที่สุด โดยหวังว่ามันจะช่วยสร้างความไว้ใจให้เด็กหนุ่ม แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่ออีกฝ่ายยังอมพะนัมไม่เลิก


“ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากเล่า”


นานนักกว่าจะหาต้นเสียงเจอ


 “ผมแค่มองว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับคุณ...”


“..........”


ตุลย์ไม่อยากพูดถึงมันนัก แต่ก็คล้ายกลัวว่าผู้ฟังจะผิดหวังกับคำตอบก่อนหน้า


“ไม่... คือผมก็แค่มีเรื่องชกต่อยกับคนในมหาลัย แต่มันก็ไม่ได้เกิดจากคุณ ผมเลยมองว่ามันไม่ใช่ปัญหาของคุณ เรื่องของผมมีมาตั้งแต่ก่อนหน้าจะเจอคุณด้วยซ้ำ แต่ที่ครั้งนี้มันปานปลายใหญ่โตเพราะผมไม่ทันระวังตัว”


“แล้วทำไมเธอไม่อยากให้ฉันแจ้งตำรวจ?”


“ผมไม่รู้ว่าคุณจะเข้าใจไหมนะ หลายเดือนก่อนหน้านี้ชีวิตมหาลัยผมไม่ราบรื่นนักหรอก...” ตุลย์วางแก้ว เลือนมือมากุมหน้าผาก แล้วถอนหายใจหนัก


“ผมไม่เคยรู้สึกว่ามันเป็นที่ของผม จนเดือนที่แล้ว ชีวิตผมก็เริ่มเข้าที่เข้าทางขึ้นมาบ้าง ถ้าคุณยังจำครั้งสุดท้ายตอนไปตามหาผมที่มหาลัยได้ คุณคงรู้ว่าคนที่นั่นไม่ชอบผมเท่าไหร่ และถ้าเรื่องนี้ไปถึงคณะบดีหรืออธิการ ผลมันอาจเลวร้ายกว่าที่คิด ...คุณอาจจะคิดว่าผมขี้ขลาด แต่ถ้าเลือกได้ ผมก็ไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเมื่อหลายเดือนก่อน”


ตุลย์พูดไปก็เม้มปากไปอย่างคนเก็บอาการไม่อยู่

ไม่รู้ว่าศานนท์เชื่อเขาไหม ...เพราะสิ่งที่เล่าออกไปมันก็แค่ความจริงส่วนหนึ่ง


ไม่ใช่ความรู้สึกเหมือนเป็นศัตรูกับคนทั้งโลกหรอก แต่เป็นการพ่ายแพ้ซ้ำๆ ให้กับสิ่งเดิมต่างหากที่เขากำลังหวาดกลัว


พ่ายแพ้ต่อผู้ชายคนเดิม... พ้ายแพ้ต่อกาย...


และยิ่งกว่านั้น เขาไม่อยากให้คนตรงหน้าเข้ามาทำให้มันซับซ้อนกว่านี้


ตุลย์เงยหน้าขึ้นก็พบว่าหนุ่มใหญ่กำลังมองอยู่ แล้วประโยคต่อมาก็เหมือนฝันร้ายที่กลายเป็นจริง

“แต่ฉันจัดการเรื่องเงียบๆ ได้โดยไม่กระทบเธอ”


 “ไม่ใช่... ไม่ใช่แบบนั้น” เขาส่ายศีรษะ ถูหน้าตัวเองแรงๆ ด้วยความรู้สึกที่ยิ่งตีรวน “ผมทำเองได้ คุณไม่ได้สร้างมัน คุณไม่ต้องแก้ปัญหาส่วนตัวของผม ผมขอบคุณที่คุณหวังดี แต่ผมอยากจัดการเอง ไม่รู้ว่าคุณยังเข้าใจไหมนะ...”


“...........” ศานนท์เพียงแค่รับฟังเงียบๆ


จริงอยู่ที่ตัวเขามีสิทธิ์เข้าไปจัดการอะไรก็ได้ในชีวิตตุลย์ตามต้องการ เพราะเด็กหนุ่มเป็นคนที่เขา ‘ใช้เงิน’ ‘ซื้อมา’ แต่แล้วยังไงล่ะ ถึงทำได้ แต่เขายัดเยียดสิทธิ์นั้นใส่ร่างโปร่งได้เสียเมื่อไหร่ ในเมื่อตนเองไม่ได้ขาดหวังความสัมพันธ์แค่ ‘เสี่ย’ กับ ‘เด็กเลี้ยง’ ตั้งแต่แรกแล้ว


สิ่งที่เขาอยากให้ตุลย์ คือ ‘อิสระ’ ไม่ใช่ ‘กรงขังใบใหม่’ ดังนั้นยิ่งคาดคั้น ดันทุรังอยากควบคุมเท่าไร ก็รั้งแต่จะทำลายความไว้ใจมากเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ดิ้นรนด้วยตัวคนเดียวมานานจนชิน


คงจะมีก็แต่ ‘เวลา’ ...ตัวแปรเดียวเท่านั้น ที่จะสร้างความเชื่อใจให้กับตุลย์


“อื้ม ฉันเข้าใจ”


เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มคลายกังวลถึงขนาดถอนหายใจเฮือกหลังได้ฟัง

“...แต่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นอีก จะให้ฉันนิ่งดูเธอเป็นอะไรไปเฉยๆ คงไม่ได้”


“ครับ ผมจะระวังตัว”


“แต่มันก็น่าน้อยใจนะ” ศานนท์ยกแก้วขึ้นดื่มยิ้มๆ “อยู่บ้านหลังเดียวกันแท้ๆ เห็นหน้ากันทุกวันแต่เธอกลับไม่ไว้ใจฉันสักนิด”


“เปล่า ผมไม่ได้ไม่ไว้ใจคุณ”


พูดไป มือก็ขยี้ผม


“มันแค่... ปกติแล้วผมไม่ต้องมานั่งเล่าอะไรให้ใครฟังแบบนี้”


เป็นอีกครั้งที่ตุลย์หลบตาเวลาพูดกับเขาอย่างที่เจ้าตัวทำไม่บ่อยนัก หนุ่มใหญ่เห็นแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้


จะว่าไปแบบนี้ก็น่าเอ็นดูดีเหมือนกัน...


“เอาเถอะ ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันเข้าใจ... จะไม่ถามอะไรแล้ว แต่นั่งเป็นเพื่อนเธอจนกว่าจะสบายใจก็แล้วกัน” ศานนท์ระบายยิ้ม และในเมื่ออีกฝ่ายไม่คัดค้าน เขาก็จะถือว่ามันเป็นคำตอบ ‘ตกลง’


พวกเขาคุยกันเป็นประโยคสั้นๆ แต่ด้วยเวลาที่ล่วงเลยเกือบครึ่งค่อนคืนบวกกับสภาพร่างกาย ตุลย์จึงดูอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด นั่งจนกระทั่งเครื่องดื่มหมดแก้ว ศานนท์ก็ตัดสินใจส่งอีกฝ่ายขึ้นห้อง อดเปิดประตูให้ไม่ได้ เมื่อเห็นว่าไหล่ซ้ายที่บาดเจ็บดูจะเป็นอุปสรรค์ต่อเจ้าตัว


“ถ้าเธออยากได้อะไรเพิ่มก็โทรหาฉันแล้วกันนะ”


“ครับ”


“ตอนนี้ก็อย่าฝืนใช้แรงอะไรมากล่ะ”


ตุลย์พยักหน้ารับ จนวางใจแล้ว ศานนท์ถึงค่อยๆ ดันประตูปิดให้ แต่ทว่าเจ้าของห้องกลับขืนขอบบานไม้นั้นไว้ ต่างคนต่างยืนจ้องหน้ากันหลายวิ


“เอ่อ... ขอบคุณครับ ...สำหรับวันนี้”


ศานนท์คราง ‘อื้ม’ ในคอ ยิ้มรับคำขอบคุณนั้นโดยไม่ตอบอะไร จวบจนกระทั่งปิดประตูไม้ปิดสนิทลงพร้อมกลับร่างที่หายเข้าไปด้านในห้อง หนุ่มใหญ่ก็เดินผ่านโถงออกมายังระเบียงชั้นบนที่เชื่อมติดกัน ก่อนจะกดโทรศัพท์เลื่อนหารายชื่อของใครคนหนึ่ง


จริงอยู่ที่เขารับปากว่าจะปล่อยให้เด็กหนุ่มจัดการปัญหา โดยที่ตนเองไม่ใช้อำนาจเกินเลย แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะปล่อยให้เรื่องผ่านไปหน้าตาเฉยโดยไม่ทำอะไรสักอย่าง เพราะยังไงเสียตุลย์ก็ยังอยู่ในความดูแลของเขา ไม่ว่าจะในฐานะอะไรที่เจ้าตัวเข้าใจก็ตาม


หนุ่มใหญ่ถือสายรออยู่นานจนกระทั่งมันถูกตัด พอโทรซ้ำครั้งที่สอง ไม่นานก็ได้ยินเสียงตอบรับงัวเงียราวกับคนเพิ่งตื่น


 “สวัสดีครับ ใครพูดสายครับ?”


ศานนท์ก้มมองนาฬิกา พอเห็นว่าเพิ่งเที่ยงคืนกว่า เขาก็หลุดกลั้วหัวเราะในคอ “ฉันโทรมากวนเวลานอนเธอล่ะสิ”


คำตอบของเขาทำเอาปลายสายเงียบไปนาน ก่อนจะถามกลับอย่างไม่แน่ใจนัก

“...เสี่ยศานพูดเหรอครับ?”


“อื้ม”

 สิ้นคำ เสียงกุกกักก็ดังมาจากปลายสายกลายเจ้าตัวบางอย่างตก จากน้ำเสียงที่งัวเงียพลันเปลี่ยนเป็นกระตือรือรื้นผิดกับเมื่อครู่


“ครับเสี่ย? มีอะไรหรือเปล่าครับ ผมไม่คิดว่าเสี่ยจะติดต่อกลับมาอีกตั้งแต่ที่เปลี่ยนเบอร์ ย้ายบ้านตอนนั้น”


“อื้ม ฉันก็ไม่นึกว่าจะยังมีเบอร์เธออยู่ในรายชื่อเหมือนกัน” ศานนท์ว่าติดตลก “แล้วตอนนี้ครอบครัวเป็นยังไงบ้างล่ะ?”


“ผมกับภรรยาเหรอ... ก็ราบรื่นดีครับ ลูกชายก็เพิ่งเข้า ’มหาลัยปีนี้”


“เรียนที่ไหน?”


“ม. A ครับ คณะบริหาร แต่มันไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่หรอก เรียนก็กระท่อนกระแท่น ยังดีที่มันเลิกยกพวกต่อยกันแบบเด็กมัธยมได้” คำพูดคำจานั้นดูถ่อมตัว แต่น้ำเสียงของคนเป็นพ่อกลับดูภูมิใจอย่างปิดไม่มิด



“เหรอ” เกริ่นถามสารทุกข์สุกดิบพอเป็นพิธี หนุ่มใหญ่ก็ไม่รีรอที่จะเข้าประเด็น “พอดีฉันมีเรื่องจะไหว้วานหน่อย ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไร”



“ต่อให้เป็นเรื่องใหญ่ผมก็ยินดีทำคร้าบ จะให้ปฏิเสธผู้มีพระคุณได้ยังไง ...แล้วเสี่ยอยากให้ผมทำอะไรครับ?”



 “ฉันอยากให้ลูกเธอช่วยตามใครคนนึง”


--------------------


ตอนนี้มันได้ฟิลไหมเนี่ย ถถถถถถถ ขาดอะไรเหลืออะไรติดชมได้ค่ะ กลัวไม่กลมกล่อมจริงๆ เพราะซีนนี้ก็เขียนๆ แก้ๆ นานอยู่ แต่ก็ต้องตอบตามตรงว่าไม่นานขนาดที่หายไปเป็นเดือนๆ อย่างรอบนี้ แฮ่ๆ
น่าจะสองปีเลยมั้งเนี่ย กว่าจะจบ......... #ร้องไห้

https://www.facebook.com/Iamcaramella (https://www.facebook.com/Iamcaramella)

เมลล่ามีเพจแล้วนะคะ ที่รักนักอ่านทุกท่านนน
คุยเล่น ทวงงานได้เจ้าค่ะ จะค่อยๆ อัพเดททุกอย่างรวมไว้ในนั้น
แต่ไม่รู้ทวงแล้วจะมีงานหรือเปล่านะเจ้าคะ ถถถถถ
สุดท้ายนี้ ยังรักทุกคนเหมือนเดิม ไม่รู้ลืมเลาไม่รึยังนะ 5555

หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (09.06.17) 12th Night:ความเชื่อใจ l 12.2 P.8 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: skyberry ที่ 10-06-2017 02:12:26
ยังไม่ลืมเรื่องนี้นะก๊ะคนเขียน แวะเข้ามาดูตลอดเผื่อฟลุ้คมีตอนใหม่ อิอิ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (09.06.17) 12th Night:ความเชื่อใจ l 12.2 P.8 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 10-06-2017 05:30:38
 นักเขียนหายไปนานมาก
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (09.06.17) 12th Night:ความเชื่อใจ l 12.2 P.8 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 10-06-2017 05:59:59
หายไปนานมากกกก แต่นังไม่ลืมนะค้าาา รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (09.06.17) 12th Night:ความเชื่อใจ l 12.2 P.8 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 10-06-2017 08:56:09
ติดตามต่อจ้าาาา นานก้อตาม
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (09.06.17) 12th Night:ความเชื่อใจ l 12.2 P.8 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: ่KEI_jry ที่ 10-06-2017 09:59:33
แทบจะลืมเนื้อเรื่องไปแล้ว  :mew5:

รอดูลุงจัดการกับกาย เอาให้หนักกกกก
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (09.06.17) 12th Night:ความเชื่อใจ l 12.2 P.8 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Pnomsod ที่ 10-06-2017 11:05:37
ชอบเสี่ยอ่ะ ถ้าตุลเปิดใจ น่าจะเป็นคู่ที่หวานๆ ละมุนๆ น่าดูเลย รอนะคะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (09.06.17) 12th Night:ความเชื่อใจ l 12.2 P.8 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: pattapong200320 ที่ 11-06-2017 22:04:13
ยังรออยู่ค่า อยากให้ตุลย์เปิดใจมากกว่านี้ ชีวิตจะได้มีความสุขเพิ่มขึ้น
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (09.06.17) 12th Night:ความเชื่อใจ l 12.2 P.8 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 11-06-2017 23:55:48
จะจุดใต้ตำตอไหมน๊าาาาาา
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (09.06.17) 12th Night:ความเชื่อใจ l 12.2 P.8 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 12-06-2017 16:26:04
มาช้ายังดีกว่าไม่มา
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (17.06.17) 13th Night:สโตกเกอร์ l 13.1 P.8 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 17-06-2017 00:48:27
13th Night : สตอล์คเกอร์


ตุลย์ตื่นขึ้นมาในเช้าอีกวันเพราะถูกแสงแยงตา พอขยับตัวก็ต้องจี๊ปากอย่างเสียอารมณ์เมื่อบาดแผลแผลงฤทธิ์จนปวดระบมไปทั่วร่างทำเอาอยากนอนนิ่งๆ เป็นผักอยู่บนเตียงทั้งวัน ติดอยู่อย่างเดียวก็ตรงที่คาบเช้าของวันนี้มีเช็คชื่อ ความคิดที่ว่านั่นเลยเป็นได้แค่ฝัน นอนมองฝ้าเพดานเรื่อยเปื่อยอยู่พัก สุดท้ายเขาก็จำใจต้องลุกไปอาบน้ำแต่งตัว


แม้ว่าการพักผ่อนจะทำสบายใจขึ้นกว่าเมื่อวานมาก แต่ลึกๆ ก็ยังรู้สึกหนักอึ้งอย่างบอกไม่ถูก...


หลังจัดการตัวเองเสร็จ ตุลย์ก็ส่องกระจกตรวจดูความเรียบร้อยเป็นครั้งสุดท้ายก่อนออกจากห้อง ซึ่งภาพของตัวเองที่สะท้อนในกระจกก็นับว่าดูไม่จืด


แผลตามแขนและลำตัวเปลี่ยนเป็นสีม่วงอมเขียวช้ำคล้ายห่อเลือด ถึงจะถูกพรางไว้ใต้เสื้อเชิ้ตนักศึกษาแขนยาว แต่ก็ยังมีบางส่วนที่โผล่ออกมาให้เห็นเป็นดวงจางๆ หางคิ้วแตกต้องติดพลาสเตอร์ ต่อมาก็ผ้าคล้องแขนอันใหญ่เทอะทะ สะดุดตา ชนิดที่ต่อให้ทำยังไงก็ไม่มีทางเนียนกลมกลืนไปกับฝูงชนโดยไม่ตกเป็นเป้าสนใจ


ให้ตายเถอะ... เขาไม่อยากไปเจอกายในสารรูปนี้เลยจริงๆ...


ตุลย์ถอนหายใจขณะเอื้อมหยิบโทรคัพท์ข้างหัวเตียง แต่พอเห็นมิสคอลล์จำนวนมากก็เอะใจขึ้นได้


จะว่าไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน เขายังไม่ได้ติดต่อกลับไปหาเพื่อนเลยแม้แต่คนเดียว...


หลังเกิดเรื่อง ตุลย์ก็โบกแท็กซี่หอบสังขารสะบักสะบอมของตัวเองตรงดิ่งกลับบ้านโดยทิ้งจีจี้ไว้ที่ตึกศิลปศาสตร์ จำได้ว่าหญิงสาวพยายามโทรหาอยู่หลายครั้ง แต่ด้วยความที่เขายังสับสนคิดไม่ตก จึงตัดสายและปิดเครื่อง ก่อนจะทำแผลลวกๆ ให้ตัวเอง สองสามชั่วโมงต่อมาก็ได้เจอศานนท์ จากนั้นก็ถูกอีกฝ่ายพาไปโรงพยาบาลอย่างที่เห็น


เท่ากับว่าเกิดเรื่องจนถึงเช้านี้ เขายังไม่ได้โทรหาจีจี้เลย


]ทั้งที่สัญญาว่าจะกลับไปให้ทันดูเธอแสดงละครแท้ๆ...


ร่างโปรงช่างใจอยู่ครู่ว่าควรโทรกลับไปตอนนี้หรือไม่ แต่พอเหลือบไปเห็นเลขเวลาตรงมุมจอ เขาก็เก็บมือถือใส่กระเป๋า ออกจากห้องทันทีที่ระลึกได้ว่าชักสายกว่าทุกวัน พอลงมาถึงชั้นล่างก็พบศานนท์นั่งอ่านหนังสือพิมพ์รออยู่ในสภาพที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ฝ่ายนั้นพอเห็นเขาก็ลุกขึ้นหยิบกุญแจรถ เข้ามาถามไถ่อย่างห่วงใย


“เมื่อคืนนอนหลับสบายไหม?”

 เขาพยักหน้าหน่อยๆ “ก็ไม่แย่ครับ”


“รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยัง?”


“ครับ ผมไม่เป็นไรแล้ว”


ตอบอย่างสั้นกระชับ เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายจับความกังวลในน้ำเสียงได้ ซึ่งฝ่ายศานนท์ก็ดูไม่ติดใจกับคำพูดเขา แค่พึมพำราวกับโล่งอก


“อื้ม ดีแล้วล่ะที่เธอสบายใจ...”





ศานนท์แวะจอดส่งเขาที่หน้าตึกเหมือนทุกวัน  ตุลย์บอกลาอีกฝ่ายก่อนจะลงรถมุ่งหน้าไปยังใต้ตึกตรงข้าม ซึ่งเป็นที่ที่เขาและเพื่อนนัดเจอกันประจำก่อนเข้าคลาสเรียน แต่เนื่องจากจวนเจียนได้เวลาจะเริ่มคาบเต็มแก่ ม้าหินเกือบส่วนใหญ่จึงถูกจับจองโดยนักศึกษาจำนวนมาก แน่นขนัดจนมองไม่ออกว่าใครเป็นใคร


สอดสายตาซ้ายขวาจนแน่ใจว่าหาไม่เจอแน่แล้ว ตุลย์จึงกดโทรศัพท์หาเพื่อน แต่ก่อนที่นิ้วจะสัมผัสถูกหน้าจอ แรงโถมใส่จากด้านข้างก็ทำให้เขาเซเสียหลัก โทรศัพท์เกือบหลุดมือ มันรุนแรงเสียจนเขานิ่วหน้าเจ็บแผล เกือบสลัดสิ่งที่เกาะแขนทิ้ง แต่พอเห็นกลุ่มผมสีน้ำตาลยาวสยายอยู่บนไหล่เขา ตุลย์ก็ต้องทวบทวนการกระทำใหม่


จีจี้ก้มหน้ากอดแขนเขาแน่น ตุลย์ไม่สีเห็นหน้าเธอ แต่กระนั้นความรู้สึกชื้นๆ บนเสื้อก็ทำให้เขารู้ว่าเธอกำลังร้องไห้เสียใจ


“จี้ขอโทษ... เป็นความผิดจี้เองที่ทำให้ตุลย์ต้องมาเจออะไรแบบนี้ ขอโทษนะที่จี้ไม่เคยรู้สึกตัวเลย จนสุดท้ายก็เป็นต้นเหตุให้ตุลย์ต้องลำบาก...”


พูดไปได้ครึ่งประโยคเธอก็เริ่มสะอึ้น ใจความหลังจากนั้นเขาฟังไม่ได้ศัพท์นัก รู้แค่ว่าเธอพยายามขอโทษซ้ำๆ จนเขาต้องลูบหลังปลอบให้ใจเย็นลง พร้อมกับความรู้สึกในใจที่ยิ่งทวีคูณ


“จี้ไม่ผิดอะไรสักหน่อย เราต่างหากทิ้งจี้ไว้คนเดียวทั้งที่สัญญาว่าจะกลับมาให้ทัน...”


“จะไปสนใจสัญญางี่เง่าแบบนั้นทำไม!” เธอตะคอก เงยหน้ามองเขาด้วยขอบตาแดงช้ำ


“จี้รู้แล้วว่าเรื่องมันเป็นมายังไง ไม่ต้องพยายามปลอบใจจี้แล้ว ที่ตุลย์โดนซ้อมขนาดนี้ก็เพราะอยู่ใกล้จี้ไม่ใช่เหรอ คนพวกนั้นมันเข้าหาจี้ไม่ได้ถึงได้ไปลงกับคนอื่น!”


“เอาน่า เราไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก จี้ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้น”


ตั้งใจจะปลอบ แต่หญิงสาวกลับร้องไห้หนักกว่าเก่า เห็นแบบนั้นเขาจึงอือออตามน้ำไป ปล่อยให้เธอพูดสิ่งที่คาใจออกมาจนหมด แล้วก็ค่อยให้เธอพาไปที่โต๊ะเมื่อใจเย็นลง


“แล้วจี้รู้ได้ยังไงว่าเรามีเรื่องกับพวกนั้น?”


เขาแน่ใจว่าไม่ได้ติดต่อใครเลย แม้กระทั่งเพื่อนสนิทหลังจากเรื่องเย็นนั้น ดังนั้นจึงแทบเป็นไปไม่ได้ที่สองคนนี้จะรู้ข่าว


....เว้นเสียว่ากายจะป่าวกระกาศเรื่องนั้นให้ทุกคนรู้ คิดมาถึงตรงนี้ตุลย์ก็ขนลุกอย่างห้ามตัวเองไม่ได้


ครั้งนี้จีจี้ไม่ตอบแต่พยักพะเยิดหน้าไปทางแม็กที่ยืนพิงเสาอยู่ไม่ไกล ท่าทางอีกฝ่ายก็ดูฉุนเฉียวไม่น้อย พอเห็นเขาเดินมาพร้อมสาวเจ้า ก็ใส่เสียเต็มที่


“มึงปิดโทรศัพท์อย่างงี้ กูจะรู้เหรอว่าเป็นตายร้ายดียังไง! เรื่องใหญ่ขนาดนี้ยังจะปิดพวกกูอีก จิตใจมึงเคยคิดถึงคนอื่นบ้างไหมเนี่ย!?”


“กูขอโทษ กูผิดเองที่ไม่ได้โทรบอกตั้งแต่เมื่อวาน” ตุลย์รับผิดไปตามเรื่อง หากแต่ความสงสัยมีมากกว่า “มีใครรู้เรื่องบ้าง?”


“มีแค่กูกับจี้ แล้วไอ้หมอนี่”


 คนถูกถามว่าพลางชี้นิ้วไปยังผู้ชายอีกคนบนม้าหินที่เขาไม่ได้ใส่ใจมองทีแรก


“พวกกูตามหามึงกันให้วุ่น โทรศัพท์ก็ไม่รับ ตามจนไปเจอเพื่อนเก่ามึงนี่แหละถึงได้รู้ว่ามึงโดนไอ้กายมันซ้อม รู้กันแค่สามคน แต่สารรูปมึงตอนนี้ก็อย่างกับคนอื่นเขาจะดูไม่ออกงั้นแหละ”



“เพื่อนเก่ากู?”


“เออดิวะ ก็ไอ้เต้ไง มันบอกว่าเป็นเพื่อนสมัยมัธยมของมึง”


ตรงเพ่งพินิจเจ้าของร่างบนม้าหิน รูปร่างอีกฝ่ายค่อนข้างสูงและแข็งแร็งแบบคนเล่นกีฬา สีหน้าไม่แยแส ไม่เหมือนคนที่เคยรู้จักกันสักนิด ครั้นถูกมองนานจนรู้สึกตัว ฝ่ายนั้นก็จ้องกลับด้วยแววตาเรียบสนิทไร้เยื่อใยแบบเดิม


ยิ่งสบตา ตุลย์ก็ยิ่งแน่ใจ ไม่ใช่เพียงไม่คุ้นหน้า แต่...


“กูไม่เคยมีเพื่อนชื่อเต้”


สิ้นประโยคทั้งโต๊ะเงียบลงในบัดดล ฝ่ายแม็กจากที่ขมวดคิ้วมองเขาเหมือนรำคาญ ก็พลันตวัดมองผู้มาใหม่อย่างคลางแคลงใจ แต่แทนที่จะออกอาการลุกลี้ลุกลน ผู้ชายคนนั้นกลับแก้ต่างให้ตัวเองห้วนๆ


“เป็นเพื่อนสมัยมัธยม แต่อยู่คนละห้องกัน”


หากนั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากรู้...


“กูไม่ได้บอกใครเลยว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วรู้เรื่องนี้ได้ไง?”


“เห็น”


“เห็นที่ไหน?”


“ก็เห็นแล้วกัน” ตอบสั้นๆ อย่างไม่ทุกข์ร้อน คราวนี้เป็นตุลย์ที่ขมวดคิ้ว


เขาแน่ใจว่าไม่รู้จักชายคนนี้ พอๆ กับที่ชายคนนี้ไม่รู้จักเขา แต่เพราะอะไรฝ่ายนั้นถึงอ้างว่า ‘เป็นเพื่อน’ ทั้งที่ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน?


ยังไม่ทันไขข้อข้องใจ เสียงอ๊อดก็ดังขึ้นก่อน


“ขึ้นเรียนเหอะ”


“ห๊ะ?”

 แม็กเลิกคิ้วไม่เข้าใจ เมื่อเขาตัดบทฉับแล้วหันหลังเดินขึ้นบันไดทิ้งผู้ชายชื่อ ‘เต้’ ไว้เบื้องหลัง ทั้งสองคนจึงไม่มีทางเลือกนอกจากเดินตามเขามา


“เฮ้ย มึงจะทำกับเพื่อนเก่าอย่างงี้เลยเหรอวะ เอาจริงดิ?”


“กูไม่รู้จักเขา”


“แน่ใจเหรอว่ามึงไม่ได้แค่ลืมหน้า?”


“กูไม่รู้จักเขาจริงๆ” ตุลย์ยืนยันซ้ำ


เล่นเอาคนฟังเกือบอุทานว่า ‘อะไรวะ’ แต่ก็ไม่ได้ทำมากกว่าถอนหายใจยาว


“ชีวิตมึงแม่งโคตรซวยแบบซับซ้อนเลยว่ะ”


ตุลย์ยิ้มแห้ง แม้แต่ตัวเองก็ยังเห็นด้วยกับประโยคนั้น


 “ตุลย์...” จู่ๆ จีจี้ที่เดินเงียบมาตลอดทางก็ดึงแขนเสื้อเขา “ตุลย์ไม่โกรธจี้ใช่ไหม ที่จี้ทำให้ตุลย์เป็นแบบนี้ เราจะไม่เลิกเป็นเพื่อนกันใช่ไหม...?”


พูดไปน้ำตาที่หยุดไหลก็กลับมาคลอหน่วยอีกครั้ง ดูเหมือนจีจี้จะยังรู้สึกผิดเรื่องที่ทำให้เขาตกอยู่ในสภาพแบบนี้  แต่สิ่งที่หญิงสาวไม่รู้คือ ระหว่างเขากับกาย...


มันมีแรงจูงใจอื่นนอกจากที่เขาใกล้ชิดเธอมากไป ที่ทำให้อีกฝ่ายตัดสินใจลงไม้ลงมือ


ทุกครั้งที่พอคิดถึงเรื่องเหล่านั้น ในใจก็จะรู้สึกหนักอึ้งเหมือนถูกถ่วงด้วยหิน เขาทำได้เพียงฝังมันลงไปให้ลึกจนไม่มีใครมองเห็น


“ไม่เลิกหรอก จีจี้สำคัญขนาดนี้จะให้เราไปง่ายๆ ได้ยังไง”


“จริงนะ?”


“จริงสิ” แม็กย้ำ “ไอ้ตุลย์มันจะไปอยู่กับใครได้อีกเล่า”


จีจี้คล้ายจะคลายใจหลังฟังจบ หญิงสาวยังดูเศร้าอยู่บ้างแต่ก็แค่ในช่วงคาบเช้า แต่พอตกบ่ายปุ๊บเธอก็กลับมาร่าเริงพูดจ้อเสมือนว่าไม่อะไรเกิดขึ้น


ยิ่งไปกว่านั้นโชคก็ดูจะเป็นใจ เพราะตลอดทั้งวันนั้นเขาไม่เจอกายเลยทั้งที่เรียนวิชาเดียวกัน ราวกับทุกอย่างกำลังเริ่มกลับมาไปได้สวยอีกครั้ง แต่สองสามวันต่อจากนั้นตุลย์ก็รู้ตัวว่าชีวิตเขากำลังพบเจอกับ ‘สตอล์คเกอร์’ รูปแบบหนึ่ง


“มันอีกแล้วเหรอวะ” แม็กย่นคิ้ว กระซิบกระซาบกับเขาจีจี้ระหว่างมื้อกลางวันในร้านอาหารแห่งหนึ่ง “นี่กูเห็นมันเป็นรอบที่ห้าของวันแล้วนะ เพื่อนมึงไม่ได้โรคจิตใช่เปล่า?”


“บอกไปกี่รอบแล้วว่าไม่ใช่เพื่อนกู”


ตุลย์กระซิบตอบแบบชักมีน้ำโห หลังจากโดนหยอกกึ่งเล่นกึ่งจริงเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้


เรื่องนี้มันเริ่มขึ้นมันสองวันก่อน หลังจากที่ ‘เต้’ อ้างว่าเป็นเพื่อนเก่าเขา ฝ่ายนั้นติดตามเขาไปทุกที่ ทีแรกตุลย์ก็คิดว่าอาจเป็นเพราะเขาคลางแคลงใจในตัวผู้ชายคนนั้น ถึงได้รู้สึกว่าเจอหน้ากันบ่อยทั้งที่จริงๆ แล้วเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ต่อมาเขารู้ว่าไม่ได้คิดมากไป


เพราะไม่มีทางเป็นไปได้ที่เขาจะเจอผู้ชายคนนี้ในทุกๆ ที่ที่ไป เช่น ในห้องสมุด ระหว่างเปลี่ยนคาบเรียน มื้อกลางวัน ก่อนกลับบ้าน หรือแม้กระทั่งตอนที่ไปซื้อขนมในร้านสะดวกซื้อ ก็มักจะเห็นเต้ซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งไม่ใกล้ไม่ไกล หากมองดีๆก็จะสังเกตเห็นได้ไม่ยาก


...และเช่นเดียวกับทุกครั้ง


เช้านี้พวกเขาไม่มีเรียนจึงนัดเจอกันที่ร้านอาหารหน้ามหาวิทยาลัยเพื่อทานมื้อกลางวันก่อน แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรทั้งที่จงใจหลีกเลี่ยงการพบปะทางตรงและทางอ้อม ผู้ชายคนนี้ก็ยังโผล่มาครึ่งชั่วโมงให้หลังจากที่พวกเขามาถึง จากนั้นก็สั่งเครื่องดื่มนั่งเล่นโทรศัพท์ไปตามเรื่องราว ทำราวกับมองไม่เห็น


“จี้ว่าไหนๆ ก็กินเสร็จแล้ว เราเปลี่ยนร้านดีไหม...”


 ครั้งที่เป็นสาวเจ้าที่ออกความเห็น ซึ่งตุลย์ก็เห็นด้วย


พวกเขาเช็คบิลล์แล้วออกจากร้านทันที โดยที่ตุลย์ไม่ลืมเหลี่ยวหลังมอง แต่พอเห็นว่าผู้ชายคนนั้นไม่ได้ตามมา เขาก็แอบโล่งใจ


ด้วยความที่จีจี้อ้างว่า ‘คนเรามีสองกระเพาะ’ หลังเสร็จจากมื้อกลางวัน เธอก็ชวนมาทานของหวานต่อที่ร้านเค้กเจ้าประจำ ร้านนี้ค่อนข้างเป็นส่วนตัวคนไม่พลุกพล่าน แต่รสชาติถูกใจ ระหว่างที่รอของว่างมาเสิร์ฟ พวกเขาก็คุยเรื่องโน้นนี้ตามประสา ซึ่งหัวข้อหนึ่งที่หนีไปพ้นก็คงเป็นเรื่องโปรเจ็คกลางภาคที่อาจารย์เพิ่งสั่งมาหมาดๆ เมื่อเย็นวาน


ทว่าคุยไปได้ครึ่งๆ กลางๆ เสียงกระดิ่งบนประตูก็ดังกังวาล มันดังพอจะทำให้ทั้งสามคนหันขวับตามต้นเสียง


ทันทีที่ผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาด้านใน คุณป้าที่เป็นเจ้าของก็ถามอย่างใจดี


“จะรับอะไรดีล่ะหนู”


“มอคค่าครับ”


สั่งจบเต้ก็เดินผ่านโต๊ะพวกเขาไปนั่งอีกฝั่งหนึ่งของร้าน เมินเฉยราวกับแสร้งมองไม่เห็น


คราวนี้แม็กถึงกับอุทานว่า ‘โอ้โห’ พร้อมกับมองหน้าเขาเหมือนจะพูดว่า ‘มันเอาจริงว่ะ’


บอกตามตรงว่าแม้แต่ตุลย์เองก็พูดไม่ออก เต้นั่งเฝ้าพวกเขามาหลายชั่วโมงตั้งแต่มื้อกลางวัน ไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าตัวซัดกาแฟปริมาณมากขนาดนั้นเข้าไปได้ยังไงโดยที่ไม่สำรอกของเก่าออกมาเสียก่อน


เขาโดนสตอล์คเกอร์ตามเข้าวันที่สามแล้ว...


ให้ตายเถอะ นี่เรื่องจริงใช่ไหมเนี่ย!?


-----------------------------------
เปิดตัวตัวละครใหม่ อิอิอิอิอิ
ใครที่รอเจ้ากายโดนเอาคืนอยู่ ขอบอกว่ารอยาวๆ เจ้าค่ะ ถถถถถ ระหว่างนี้ยังมีเรื่องอีกเยอะ ก่อนหนูตุลย์จะก้าวผ่านความกลัวนี้ไปได้
ส่วนใครที่รอลุงศานนท์อยู่ ก็อยากจะบอกว่าช่วงนี้ค่าตัวลุงแพงนิดนึง เลยมาออกงานไม่ดี อิอิอิอิ #โดนตบ แต่หลังกลับมาก็น่าจะคุ้มการรอคอยอยู่นะคะ หลังจากที่ขาด NC ไปหลายตอนแล้ว #เอ๊ะ
ขอบคุณที่ยังไม่ลืมเมลล่าค่า มีเพจแล้วนะ อิอิ ติดตามกันที่นี่ได้เจ้าค่ะ

https://www.facebook.com/Iamcaramella (https://www.facebook.com/Iamcaramella)

รักทุกคลลลลล

หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (17.06.17) 13th Night:สโตกเกอร์ l 13.1 P.8 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: kimkidoy ที่ 17-06-2017 19:33:50
ดีใจแทนตุลย์ที่มีเพื่อนที่น่ารัก
ศานนท์ถ้าจะเป็นห่วงกันขนาดนี้ก็ จีบดีๆสักทีเถอะนะ!
รอตอนต่อไปจ้าาาา :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (17.06.17) 13th Night:สโตกเกอร์ l 13.1 P.8 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 17-06-2017 22:05:55
บอดี้การ์ดส่วนตัว?
คิดถึงเสี่ยนะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (17.06.17) 13th Night:สโตกเกอร์ l 13.1 P.8 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 17-06-2017 23:59:35
องครักษ์ พิทักษ์คุณหนูตุลย์
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (17.06.17) 13th Night:สโตกเกอร์ l 13.1 P.8 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: nevergoodbye ที่ 18-06-2017 02:36:01
เต้นี่มาเพื่อปราบกายใช่ไหมคะ อิอิ  :hao6:
เอาให้หนักๆจนหายซ่าเลยนะคะ จะได้ไม่มารังควานตุลย์อีก
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (17.06.17) 13th Night:สโตกเกอร์ l 13.1 P.8 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 18-06-2017 07:54:28
แหม่ ตุลย์ก็เข้าใจหน่อย
ลุงเขาห่วงแบบเสี่ย ๆ ไง

จีจี้กับแม็กซ์เป็นเพื่อนที่ดีเนอะ

เต้จ๊ะ ตามให้มันเนียนหน่อยเถอะลูก....

ปล. คำว่า "สโตกเกอร์" มาจากคำว่า  stalker  มีตัว L ต้องสะกดว่า "สตอล์คเกอร์"
(มาจากคำกริยาว่า stalk ที่แปลว่า "แอบตามหรือย่อง" อีกที)
 คำนี้ใชเรียกคนที่ติดตามเฝ้ามองพฤติกรรมของบุคคลเป้าหมาย ด้วยความคลั่งใคล้ เช่นบุคคลที่มีความฝังใจในบุคคลอื่นจนผิดปกติ จะตามแอบดูทั้งที่ทำงาน ที่บ้าน หรือยามไปไหน ๆ 



หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (17.06.17) 13th Night:สโตกเกอร์ l 13.1 P.8 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: masochism2018 ที่ 18-06-2017 11:40:50
เพิ่งเข้ามาอ่านนนสนุกมากเลย :3123: :pig4:

ส่งคนมาตามแบบนี้ตุลย์จะโกรธมั้ยเนี่ย
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (17.06.17) 13th Night:สโตกเกอร์ l 13.1 P.8 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 20-06-2017 17:05:50
แปลกๆ กับความรู้สึกของ "ตุลย์" ที่มีต่อ "กาย"
ที่บอกว่า "พ่ายแพ้ต่อเขา" ทุกครั้ง
อันนี้  พ่ายแพ้ทาง "ร่างกาย" หรือ ทาง "หัวใจ"?
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (17.06.17) 13th Night:สโตกเกอร์ l 13.1 P.8 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 21-06-2017 14:44:32
คนนี่สินะ  แต่ตามแบบนี้จะดีหรอ ประเจิดประเจ้อมาก
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (17.06.17) 13th Night:สโตกเกอร์ l 13.1 P.8 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 04-07-2017 01:25:26
next episode please!

 :call:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (17.06.17) 13th Night:สโตกเกอร์ l 13.1 P.8 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: skyberry ที่ 05-07-2017 02:33:54
ฉันมารอพี่ที่ท่าน้ำทุกวันเลยยยย
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (17.06.17) 13th Night:สโตกเกอร์ l 13.1 P.8 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 06-07-2017 09:38:02
กลับมาเร็วๆนะเสี่ย เค้าคิดถึง :sad4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (17.06.17) 13th Night:สโตกเกอร์ l 13.1 P.8 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: supizpiz ที่ 07-07-2017 04:05:01
พึ่งเข้ามาอ่านสนุกดีค่ะ มาต่อเรื่อยๆนะคะอย่าพึ่งทิ้งกัน ฮ่าาา
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (17.06.17) 13th Night:สโตกเกอร์ l 13.1 P.8 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 07-07-2017 07:23:00
 :3123:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (17.06.17) 13th Night:สโตกเกอร์ l 13.1 P.8 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Minty ที่ 10-07-2017 10:15:42
เต้ สโตกเกอร์ต้องตามแบบไม่ให้คนรู้ตัวสิคะะะะ
ตามเป็นวิญญาณตามติดขนาดนี้
ต่อให้ไม่สังเกตก็ต้องเห็นบ้างแหละ
ปล.เรื่องนี้แต่งสนุกดีนะ แต่ถ้าอัพต่อเนื่องจะดีกว่านี้มาก
คนน่าจะติดตามเยอะกว่านี้ด้วยง่าาา
 :ling2: :ling2:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (17.06.17) 13th Night:สโตกเกอร์ l 13.1 P.8 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 10-07-2017 12:00:23
เกือบเดือนแล้ว ที่หายไป

 :call:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (17.06.17) 13th Night:สโตกเกอร์ l 13.1 P.8 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: aiirada ที่ 21-07-2017 16:45:22
รอ   :call:  :call:  :call:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (17.06.17) 13th Night:สโตกเกอร์ l 13.1 P.8 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 31-07-2017 07:50:44
ลุงๆ หนูเหงา หนูรอให้ลุง มาเพิ่มความอบอุ่น
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (17.06.17) 13th Night:สโตกเกอร์ l 13.1 P.8 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 16-08-2017 21:37:12

ครบ 2 เดือนที่หายไป

 :call:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (17.06.17) 13th Night:สโตกเกอร์ l 13.1 P.8 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 14-09-2017 23:47:18
[3.2]
ต่อให้ไม่อยากเชื่อ ก็ต้องยอมรับความจริง เพราะหลังจากนั้น ไม่ว่าตุลย์จะไปไหนก็ เต้ก็จะตามติดราวกับวิญญาณรอชำระแค้น  แม้จะไม่ก้าวก่ายกิจวัตรประจำวัน แต่บ่อยครั้งการเห็นหน้าผู้ชายคนเดิมซ้ำๆ ก็ทำเอาเขาหัวเสียแทบประสาท

เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่สัปดาห์แรกที่ตุลย์ใส่เฝือก จนตอนนี้แขนใช้งานได้ปกติ เรียกว่าคงเส้นคงว่าเสียจนน่ากลัว แต่เหมือนว่าเต้จะไม่ชอบกิจกรรมนักศึกษาเท่าไหร่ เขาจึงไม่เห็นอีกฝ่ายป่วนเปี้ยนอยู่ในมหาวิทยาลัยหลังเวลาเลิกเรียน ซึ่งก็ดีต่อสุขภาพจิตมากๆ


เมื่อวานฝ่ายจัดการละครเวทีเพิ่งเปิดเผยรายชื่อนักแสดงและธีมเรื่อง หัวข้อนี้จึงยังเป็นเรื่องถกเถียงในกลุ่มนักศึกษา ซึ่งแน่นอนว่า อาการบาดเจ็บที่ไหล่ทำให้พลาดโอกาสคัดตัวอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนจีจี้เกาะติดข่าวมาตลอดก็จำใจถอนชื่อออกอย่างไม่มีทางเลือก เพื่อความปลอดภัยของตัวเจ้าหล่อนเอง เพราะมีข่าวลือว่า ‘กาย’ คือหนึ่งในนักแสดงที่ถูกล็อคตัวไว้


สรุปให้เข้าใจได้ง่าย คือพวกเขาพลาดโอกาสสำคัญในปีนี้ไปเป็นที่เรียบร้อย


เดิมที่มหาวิทยาลัยก็ขึ้นชื่อเรื่องการแสดงเป็นอันดับต้นๆ ละครเวทีจึงมักเป็นที่ตามองของเอเจนซี่ คนนอก และบริษัทที่ต้องการตัวดาราหน้าใหม่สำหรับโปรเจ็คเล็กๆ ซึ่งก็มีคนจำนวนไม่น้อยก็ใช้โอกาสนี้เป็นทางผ่านเข้าสู่วงการบันเทิงเต็มตัว เรียกได้ว่า ‘ละครเวที’ เป็น ‘เป้าหมาย’ ที่นักศึกษาต่างคาดหวังจะได้ร่วมงาน


และเพื่อให้ลืมความอดสูนี้ไป พวกเขาทั้งสามจึงผันตัวมาเป็นสตาฟกีฬามหาวิทยาลัยแทน งานส่วนใหญ่ก็จำพวกแบกหาม จัดการสถานที่ และช่วยเหลือฝ่ายต่างๆ เมื่อคนขาด


ฟังดูน่ารันทดใจ แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องข้องแวะกับกาย หาเรื่องใส่ตัว


เย็นนี้พวกเขาอยู่เตรียมงานกับเพื่อนกลุ่มหนึ่งและรุ่นพี่ หน้าที่หลักๆ ก็แค่คอยวิ่งหาอุปกรณ์ต่างๆ ให้ และช่วยขนย้ายของใหญ่ๆ เท่านั้น ที่เหลือก็ปล่อยฝ่ายศิลป์ร่างฉากลงสี ขณะที่ตัวเองเดินไปเดินมาฆ่าเวลารอขนของกลับ


แต่เหมือนจีจี้จะไม่รู้จัก ‘ว่าง’ เจ้าหล่อนถึงเที่ยวไปทักทายคนโน้นคนนี้อยู่เรื่อย


“แขนมึงเป็นไงบ้าง”


แม็กถามขณะทิ้งก้นลงข้างๆ หลังจากที่พกวเขาเพิ่งช่วงกันยกแผ่นไม้ขนาดเท่าประตูเข้ามาในยิม


“ก็ไม่เป็นไร กูหายดีแล้ว”


“เออ ก็ดี”

แม็กมองร่างหญิงสาวที่เคลื่อนไหวไปมาพลางกระดกขวดน้ำ ดื่มแก้กระหาย ก่อนจะถอนหายใจทีหนึ่ง

 “มึง... กูสงสารจี้ว่ะ”


ไม่ต้องท้าวความ ตุลย์ก็เข้าใจ“เรื่องละครน่ะเหรอ?”


...จีจี้คาดหวังกับละครไว้สูง แม้กระทั่งตอนที่พวกเขาขอให้ถอนชื่อออกเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง หญิงสาวก็ยังปิดสีหน้าเสียใจไว้ไม่มิด


“เออ ละครนั่นแหละ ช่วงที่แขนมึงยังไม่หาย กูคุยกับจี้ตลอด จี้จะชอบบ่นถึงละครอย่างโน้นอย่างนี้เหมือนคาดหวังว่าจะได้แสดง พอมาเป็นแบบนี้แล้วกูไม่โอเคเลยว่ะ”


“แต่มันก็เพื่อความปลอดภัยของจี้ เรื่องนี้กูกับมึงเห็นตรงกันไม่ใช่หรือไง?”


แม็กลูบหน้าพรืด แล้วขยี้ผมตัวเองอย่างคนคิดไม่ตก “กูรู้ แต่นี่มันความฝันจี้นะเว้ย แม่ง... กูรู้สึกแย่ว่ะ อยากช่วยแต่เสือกทำอะไรไม่ได้อีก...”


“กูรู้... แต่ทำได้ดีที่สุดแค่นี้”


ไม่ทันได้อ้าปากพูดต่อ เสียงริงโทนโทรศัพท์ของตุลย์ก็ดัง  เบอร์ศานนท์โชว์ขึ้นหน้าจอหรา เห็นแบบนั้นเขาก็ได้แต่ส่งสัญญาณมือให้เพื่อนเงียบก่อนจะกดรับสาย ฝ่ายคนถูกขัดจังหวะก็ตีหน้าเซ็ง ขาน ‘เออๆๆ’ เหมือนรำคาญใจหนักหนา


“ฮัลโหลครับ มีอะไรหรือเปล่า?”


“วันนี้เธอกลับดึกเหรอ?”  ถูกยิงคำถามใส่ในประโยคแรกแบบนี้ เดาว่าหนุ่มใหญ่คงเพิ่งได้อ่านข้อความที่เขาส่งไปตั้งแต่บ่าย


“ครับ ผมติดงานมหา’ลัย อย่างที่บอก คุณไม่ต้องมารับหรอก”


“ไม่เป็นไร ฉันเพิ่งเสร็จประชุมพอดี จะอยู่เคลียร์งานต่ออีกหน่อยแล้วค่อยรับเธอกลับไปด้วยกัน”


“แต่วันนี้ผมกลับดึก ไม่อยากรบกวนคุณ”


“...ไม่รบกวน ฉันจะเป็นห่วงมากกว่าถ้าให้เธอกลับเองคนเดียว”


ท้ายประโยคอ่อนลงชัดเจน คล้ายเอาอกเอาใจอยากให้เขาตอบตกลงนักหนา


พูดถึงขนาดนี้ ตุลย์ไม่รู้จะปฏิเสธไปทำไมอีก...


“ก็ได้ครับ ถ้าคุณมาผมก็จะรอ เสร็จงานแล้วจะโทรบอกอีกทีครับ”


ได้ยินเสียงอีกฝ่ายขาน ‘อื้ม’ รับ ตุลย์จะกดวางสาย ก่อนจะหันไปหาคนที่นั่งเท้าคางเอียงคอจ้องมาตั้งแต่แรกเพื่อสานต่อเรื่องค้างคาให้จบ


“เมื่อกี้มึงว่าไงนะ?”


“พูดเพราะจังวะ เสี่ยโทรมาหรือไง”


มันหยอกทีเล่นทีจริง แต่พอเขาตอบ ‘เออ’ ไปคำเดียว แม็กก็ทำหน้าเซ็งโลกกึ่งรำคาญกึ่งไม่อยากจะเชื่อ “อะไรวะ ชีวิตมึงนี่แม่งวุ่นวายจัง เดี๋ยวก็โดนกระทืบ เดี๋ยวก็เจอคนโรคจิต เดี๋ยวเสี่ยก็ตามตัว คิวแน่นจริงๆ ไอ้เรื่องซวยๆ เนี่ย”


“เหอะ มึงเงียบไปเลย!”


ตุลย์เค้นเสียงตอบอย่างเสียอารมณ์ จังหวะเดียวกันนั้น รุ่นพี่คนหนึ่งก็ตะโกนเรียกพวกเขา ไม่วางกวักมือยิกๆ


“น้องๆ พี่ขอคนนึงอ่ะ มาช่วยยกลังไปเก็บหลังค่ายมวยที จะทยอยเก็บของแล้ว!”


“มึงไปทำดิ กูจะอยู่เฝ้าจี้”


เมื่อคนข้างๆ รากงอกติดเก้าอี้ ทั้งยังเอาเท้าเขี่ยไล่ เขาก็จำใจต้องลุกอย่างเสียไม่ได้


เอาเถอะ ถือว่าปล่อยให้คนมีความรักเขาดูแลกันไปก็แล้วกัน...!
 


ถึงจะมืดแล้ว แต่ภายในมหาวิทยาลัยก็ยังมีคนพลุกพล่านเดินสวนกันไม่ขาด ส่วนใหญ่มักเป็นสตาฟจากกิจกรรมอื่น แต่ส่วนที่คึกคักที่สุดเห็นจะเป็นค่ายมวยที่ด้านหลังแบ่งเป็นห้องเก็บของสำหรับชมรมกิจกรรมต่างๆ จึงมีนักศึกษาจำนวนไม่น้อยจับกลุ่มกันอยู่ตามทาง แม้แต่หน้าค่ายก็มีนักกีฬาบางส่วนฝึกซ้อมอยู่


ตุลย์วางลังไว้ตรงที่มุมหนึ่งของห้องเก็บ ก่อนจะกลับออกทางหน้าค่าย เสียงโวยวายโหวกเหวกด้านหลังดังจนเขาหันกลับไปมองด้วยความสงสัย สตาฟกลุ่มหนึ่งพยายามดันแผ่นไม้ยาวเข้ามาในห้อง แต่เนื่องจากมันกว้างเกินความสูงประตูไปสักหน่อย จึงต้องตะแคงกันอยู่นานสองนานเพื่อหาองศาที่เหมาะเจาะ


“เออ ดันเข้ามาเลย เร็วๆ สิโว้ย กูหนัก!”


ประโยคนั้นเรียกเสียงหัวเราะลั่นจากคนที่เหลือ ก่อนที่อีกหลายคนจะเข้ามาช่วยเคลียร์ที่ว่างให้เพื่อวางแผ่นไม้ บรรยากาศคึกครื้นดีไม่ใช่เล่น ถ้าไม่ใช่ว่าเขาดันไปเห็นคนที่ไม่ควรเห็นเข้า


กายเดินกอดคอกับเพื่อน ตบหัวหยอกกันตามปกติ เล่นเอาเขาทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ ทว่าอีกฝ่ายคล้ายไม่ทันสังเกต ตุลย์จึงเดินย้อนกลับทางเก่าแทนที่จะเดินสวนออกหน้าค่ายซึ่งใกล้กว่า


“ตุลย์?”


แต่ดูท่าโชคจะไม่เข้าข้างเมื่อจู่ๆ กายตะโกนเรียกชื่อเขาเสียงดังลั่นจนหลายคนมองตาม


ให้ตายเหอะ!


ไม่เห็นท่าทีว่าเขาจะหยุด ฝ่ายนั้นก็ตะโกนซ้ำอีกหลายครั้ง จนถึงขนาดเดินตามออกมาขวางหน้าเพื่อให้เขาหยุด


ไม่เข้าใจว่าผู้ชายคนนี้ต้องการอะไรจากเขาหนักหนา   


“เฮ้ย จะไม่ทักกันหน่อยเรอะ?”


“จะเอาอะไรอีก”


“หือ อะไรวะ? ทักทายแค่นี้ไม่ได้หรือไง?”


กายเลิกคิ้วสูงเหมือนจะเยาะเย้ยที่เขาร้อนตัวไปก่อน อีกฝ่ายแสดงท่าทีคุกคามโจ่งแจ้ง แต่แววตายังคงไม่เป็นมิตรเช่นเคย


“ก็แค่อยากรู้ว่าอาการเป็นยังไงบ้าง ...แต่ปากดีได้แบบนี้คงหายแล้วสิท่า”


“อื้ม หายแล้ว” ตุลย์ตอบตรงๆ ข่มความไม่มั่นใจที่ก่อตัวขึ้นภายใน “มึงน่าจะพอใจแล้ว ทั้งเรื่องกู ทั้งเรื่องละคร”


“ก็ใช่ แต่ช่วงนี้จี้กูไม่เจอจี้เลย...” กายเหยียดยิ้ม “เป็นเพราะมึงหรือเปล่า จี้ถึงหลบหน้ากู?”


“กูไม่รู้”   


เขาพยามตัดบทเดินหนีกาย ต่อให้อีกฝ่ายเกิดโมโหขึ้นมาก็คงไม่โง่พอที่จะก่อเรื่องในที่โล่งคนพลุกพล่าน ทว่ากายกลับดึงดันเกินความคาดหมาย ฝ่ายนั้นจับแขนเขาไว้แน่น เค้นเสียงต่ำที่แสดงชัดว่าไม่สบอารมณ์


“มึงไม่ตอบคำถามกูอีกแล้วว่ะ”


“...............” สบตาอีกฝ่ายโดยบังเอิญ  คำพูดในหัวก็พาลหายไปเสียดื้อๆ


สายตาของกายทั้งก้าวร้าวและฉุนเฉียว ราวกับหากว่าเขาริขัดใจอีกเพียงครั้งเดียว อีกฝ่ายก็พร้อมจะขย้ำแล้วฉีกเขาเป็นชิ้นๆ ด้วยกำลัง


กายมองเขาแบบนี้เสมอ... แม้แต่ครั้งแรกที่เจอกัน


ความคิดเชื่อมโยงไปสู่ภาพเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ไหลผ่านเข้ามาเป็นฉากๆ เขาจำได้แม้กระทั่งความรู้สึกตอนนั้น ราวกับทุกอย่างเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน วินาทีที่ความกลัวแล่นริ้วเข้าสู่หัวใจอย่างควบคุมไม่ได้ กระทั่งฝ่ามือและแผ่นหลังก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ


นี่เขาสูญเสียการควบคุมตัวเองต่อหน้าผู้ชายคนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่...?


 “เงียบทำไม?” กายเหยียดยิ้มอย่างได้ใจ “ทำไมไม่พูดต่อล่ะ?”


ฝ่ายนั้นกวาดตามองเขาราวกับสำรวจของชิ้นหนึ่ง ก่อนจะดึงแขนตุลย์เข้าหาตนเอง หรี่ตาเพ่งพินิจราวกับรู้ความจริงที่ซ่อนอยู่ลึกลงภายในใจ


“เป็นอะไร? กลัวฉันหรือไง?”
 

มีต่อข่าาาาาา ว๊ากกกกก :katai4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (15.09.17) 13th Night:สโตกเกอร์ l 13.2 P.9 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: skyberry ที่ 15-09-2017 00:41:59
เป็นครั้งแรกที่รอมาเนินนานนนนนนนนน
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (15.09.17) 13th Night:สโตกเกอร์ l 13.2 P.9 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 15-09-2017 00:52:16
ทว่ามือที่จับข้อแขนเขาก็ถูกกระชากออกพัลวัน ก่อนที่ร่างเขาจะถูกเซแถดๆ ถอยหลังเพราะถูกกันออกมา


“อย่าดีกว่า”


ตุลย์หันหลังขวับตามเจ้าของน้ำเสียงห้วนสั้น ก่อนจะรู้สึกเหมือนถูกตีด้วยไม้หน้าสาม เมื่อคนที่ดึงเขาออกมาคือ ‘เต้’ ที่น่าแปลกใจยิ่งไปกว่านั้นคือ ชายหนุ่มไม่ได้อยู่ในเครื่องแบบ แต่สวมแค่เสื้อยืดยับๆ กับกางเกงยืนส์ สะพายกระเป๋าเป้ใบเดียว ในขณะที่ผมเปียกซกเหมือนเพิ่งอาบน้ำมามาดๆ


คนที่จะใช้ห้องอาบน้ำในยามวิกาลแบบนี้ ถ้าไม่ใช่พวกกิจกรรมค่ายข้างคืน ก็มีแต่นักมวย...


ทั้งสองจ้องตากัน ไร้ซึ่งความเป็นมิตรโดยสิ้นเชิง หากไม่ใช่ว่าคนพลุกพล่าน บางทีอาจมีการลงไม้ลงมือเกิดขึ้น


 “แค่ผ่านมาทักทายเพื่อนไม่ได้เหรอวะ” ประโยคนั้นคล้ายหยอกเล่น ทว่าแววตากลับผิดกัน


“ไม่ได้”


“ทำไม? กูเป็นเพื่อนมัน มึงก็เป็นเพื่อนมัน มีอะไรพิเศษกว่า”


กายเลิกคิ้วท้าทาย ก่อนจะร้อง ‘อ๋อ’ เหมือนนึกขึ้นได้

“รึว่ามันเป็นเมียมึง?”


“อย่าเสือก”


“มึง!”


เส้นความอดทนของคนฟังขาดผึงด้วยคำๆ เดียว กายคว้าขอเสื้ออีกฝ่าย เงื้อหมัดต่อยเข้าที่หน้า ทว่าเต้ไหวถอยหลังออกมาตั้งหลัก หลบหมัดนั้นได้เฉียดฉิว เขาไม่สวนกลับทว่าเลือกที่ตั้งการ์ดรับฝ่ายที่บุกเข้ามาแทน


เสียงโหวกเหวกโวยวายจากหลายคนที่อยู่ใกล้เหตุการณ์ดังไปทั่ว ไม่กี่วินาทีต่อมาทั้งสองก็ถูกจับแยกออกจากกันด้วยความช่วยเหลือจากคนรอบๆ


“ถ้าอยากจะต่อยกันก็ไปต่อยในค่ายโน้นไป!”


 รุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนขึ้นอย่างฟิวส์ขาด ขณะที่ไล่ทุกคนที่มุงดูออกไป ด้านหลังจีจี้เดินตามเธอมาด้วยความสงสัย แต่พอเห็นว่าต้นเรื่องคือกาย เธอก็วิ่งน้ำตาซึมออกไปแทบในทันที


ภาพนั้นตกอยู่ในสายตาของทุกคนไม่เว้นแม้แต่กาย คนต้นเหตุคล้ายจะยั้งมืออยู่บ้าง ก่อนที่จะถูกเพื่อนเกลี้ยงกล่อมแล้วดึงออกจากให้ออกจากวงล้อมไป โดยที่ผู้ชายคนหนึ่งเป็นฝ่ายเข้ามาเคลียร์ ขอโทษเขา เต้ และทุกคนที่ทำให้วุ่นวายแทน


เรื่องทั้งหมดจบลงในเวลาไม่ถึงสิบนาที ครั้นพอกลับเข้ามาด้านใน ตุลย์ก็รับรู้บรรยากาศอึมครึม แม็กกำลังปลอบจีจี้ พร้อมกับรุ่นพี่ผู้หญิงสองคน โดยที่เขาได้แต่ยืนอยู่ห่างๆ ก่อนจะเมินหน้าหนี เมื่อความรู้สึกผิดเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ...


หากไม่ใช่เพราะเขา จีจี้คงไม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้อีก...


“นาย...”


นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ขอบคุณคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง ตุลย์ก็ตั้งท่าจะพูด หากยังไม่ทันได้เปล่งเสียง เขาก็โดนอีกฝ่ายสวนกลับด้วยประโยคที่ถึงกับสะอึก


“ถ้าฉันไม่ช่วย นายก็จะไม่ทำอะไรเลยใช่ไหม”


สายตาอีกฝ่ายสะท้อนแววเหยียดหยัน


“อ่อนแอ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมต้องเที่ยวไปเป็นเด็กเลี้ยงของคนอื่น”


ราวกับถูกทุบซ้ำลงไปในความรู้สึก ตุลย์ได้แต่เม้มปาก ปราศจากคำพูดใดๆ


“มึงไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”


แม็กเดินออกมาจากวงล้อม ปรายมองเต้ทีหนึ่ง แล้วเอ่ยถามเขาทั้งที่คิ้วยังขมวดขึง


“กูไม่เป็นไร... แต่พวกมึงอาจไม่ควรอยู่ใกล้กู...”


ได้ยินเช่นนั้น คนฟังก็หัวเสีย “เรื่องนั้นให้พวกกูตัดสินใจเองเหอะว่ะ ส่วนมึงอ่ะ รีบกลับบ้านไปไป อยู่ดึกคนเดียวเดี๋ยวก็มีปัญหาอีก มึงยิ่งไม่เป็นเรื่องต่อยตีอยู่”


อยากลบคำสบประมาทที่ว่าเขาต่อยตีไม่เป็น แต่ก็พูดอะไรได้ไม่มากกว่า...


“ก็ได้”


ตุลย์ปลีกตัวออกมาโทรศัพท์หาหนุ่มใหญ่ สูดหายใจเข้าลึกๆ ปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติตอนพูด ก่อนจะคว้ากระเป๋าเดินออกมา เสียงฝีเท้าที่ดังต่อเนื่องด้านหลัง บ่งบอกว่ามีใครสักคนตามมา ตุลย์หันกลับไปเค้นเสียงอย่างไม่พอใจ เพราะผู้ชายคนนี้เพิ่งด่าเขาไปหมาดๆ


“จะตามมาทำไม?” 


“.........”


“อย่าตามมา”


“........”


แต่ฝีเท้ากลับไม่มีท่าจะหยุดลง


 “นายจะเอาอะไร” เขาขมวดคิ้วมองเต้ที่เดินตามห่างกันแค่ช่วงเงา


“ไม่ได้เอาอะไร” สีหน้าอีกฝ่ายยังเฉยเมยต่อโลก


“แล้วจะตามมาทำไม”


“นายจะกลับบ้าน ฉันก็ไปส่ง” อีกฝ่ายพูดห้วน เหมือนไม่อยากเสวนากับเขาให้มากความนัก


“เออ เรื่องของมึง”


ตุลย์ตอบอย่างคนความอดทนต่ำ ก่อนจะเร่งฝีเท้าไปให้ถึงๆ สักที


เต้เดินตามมาถึงที่ใต้ตึกคณะ แต่ไม่ได้ข้ามตามมาตรงจุดที่รถของศานนท์จอดอยู่ ตอนที่เขาขึ้นรถ แล้วเจ้าตัวหันหลังเดินกลับไปทางเก่า อะไรบางอย่างก็ทำให้เขารู้สึกทะแม่งๆ ตุลย์ถอนหายใจ ก่อนจะเอนตัวพิงเบาะ ทว่าชั่วพริบตาที่ถอนสายตากลับเหลือบไปเห็นว่าหนุ่มใหญ่มองตามร่างนั้นอยู่เช่นกัน


“เพื่อนเหรอ?” ศานนท์ถอนสายตากลับมาหาเขา


เพื่อน? หึ โรคจิตสิไม่ว่า...


-------------------------------------
 Edit เดี๋ยวมาไล่อ่านคอมเม้นนะคะ แงงง :hao5: :hao5:

โอยยย เมลล่ากลับมาแล้วว ไม่มีข้ออ้าง ฮือออออออออออ อ้างไปหมดแล้ววว
รีบมาอัพเพราะกลัวหมดโค้วต้า 3 เดือน กระทู้โดนดูดลงคลังนิยามที่โพสไม่จบ ฮือออ แบบนั้นแย่แน่ๆๆๆๆ

ไม่มีอะไรจะอ้างค่ะ หากไปจริงๆ สามเดือน วันนี้วันที่ 89/90 เส้นยาแดงผ่าแปดดดดด
ขอบคุณนะคะที่ยังอุตส่าห์มาทวงง ฮืออ รู้สึกผิดเกินไปแล้วจริงๆๆๆ

เดี๋ยวจะก็อบไปแจ้งในเพจพรุ่งนี้นะคะ ปวดหัวจะตายแล่ววว มีสอบด้วย ว๊ากกกกกกกก
ไม่มีอะไรจะพูดค่ะ นอกจาก “เนื้อเรื่องตอนต่อไปมาออกทะเลกันเถอะ!” #ผิด
ไม่ถึงกับออกทะเลหรอกมั้งคะ เป็นพัฒนาการชีวิตของหนูตุลย์ 55555
ตอนต่อไปพบกับ nc ที่ห่างหายมานาน เฮ้ออออ รออีกกี่ชาติเนี่ยกว่าจะเขียนจบ ฮืออออ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (15.09.17) 13th Night:สโตกเกอร์ l 13.2 P.9 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 15-09-2017 01:06:52
แหมๆๆ ลาพักร้อนซะคุ้มเลยนะไรท์เตอร์ :m16:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (15.09.17) 13th Night:สโตกเกอร์ l 13.2 P.9 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Abella ที่ 15-09-2017 02:26:52
ถ้าไม่อยากแต่งก็ไม่เป็นไรไรท์อาจต้องการพักผ่อนนะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (15.09.17) 13th Night:สโตกเกอร์ l 13.2 P.9 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 15-09-2017 17:10:50
น้องตุลย์นี่ชีวิตซวยซ้ำซวยซ้อนจริงค่ะลูก อยากดึงมาซบอกป้่
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (15.09.17) 13th Night:สโตกเกอร์ l 13.2 P.9 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 15-09-2017 20:33:31
จุดพลุฉลอง  :mc4:

ยินดีต้อนรับกลับเล้าจ้ะ


เสี่ยส่งคนมาดูแล แต่เสี่ยไม่รู้จัก? หรือเสี่ยถามเพื่อหยั่งเชิง?

และตุลย์จะกลัวกายก็ไม่ผิด คนที่ทำร้ายกันมาก่อนโดยไม่มีทางสู้ย่อมฝังใจ

อีกอย่าง ตุลย์ดูเหมือนจะเป็นประเภทที่ไม่ลุกขึ้นมาท้าชนกับใคร ยอมเก็บตัวดีกว่า
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (15.09.17) 13th Night:สโตกเกอร์ l 13.2 P.9 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 16-09-2017 00:53:31
ทำไงกายจะเลิกยุ่งกับตุลย์
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (15.09.17) 13th Night:สโตกเกอร์ l 13.2 P.9 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: kimkidoy ที่ 03-12-2017 23:38:54
คิดถึงเรื่องนี้อ่าาาา ยังรอ nc อยู่นาาาา
รอว่าเต้จะมีบทบาทอัไรมากขึ้นไหมน้อในอนาคต
อิอิ กลับมานะค่าาาาา :katai4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (14.12.17) แจ้งข่าวเนื่องจากอัพล่าช้า P.9 [no update]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 14-12-2017 21:30:45
กราบสวัสดีแทบเจ้านักอ่านทุกท่านที่ยังเหลืออยู่...

เมลล่าแค่ไม่อยากปล่อยร้างเอาไว้นาน มันทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองไร้ความรับผิดชอบ ฮือออออ :o12:

ขอโทษนะคะ ที่เอานิยายมาลงไม่ได้เพราะทำไม่เสร็จจริงๆ สอบลากยาวตั้งแต่ที่อัพครั้งสุดท้าย (มิดเทอม) มาถึงปลายภาคเลยค่ะ เขียนได้มากสุดก็แค่ดราฟหยาบๆ อ่านรู้เรื่อง... แต่มันไม่ผ่าน QC แงงงงง

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ต่างๆ จริงๆ ค่ะ จะหายกันไปบ้างเมลล่าก็เข้าใจเพราะว่ามาช้าจริงๆ หายไปทีเป็นเดือนๆ แต่ก็ยังแวะเวียนเข้ามานะคะ ดีใจจริงๆ ฮืออ แล้วก็รู้สึกผิดด้วย

ช่วงคริสมาสก็มีงานสอบลากยาวต่อ แต่งานไม่รัดตัวมาก จะพยายามมาให้ได้อย่างน้อยก็สักสองตอน T_T
ยังไม่ได้ปล่อยทิ้งน้า ฮือออออ ปล่อยไม่ได้มาไกลแล้ววว   :ling3:


เพื่อไม่ให้มันเหงาเศร้าสร้อยเกินไป

วันนี้ก็เลยแวะมาาตอบคำถามก่อน... แฮร่!

อ้างถึง
เต้นี่มาเพื่อปราบกายใช่ไหมคะ อิอิ   
เอาให้หนักๆจนหายซ่าเลยนะคะ จะได้ไม่มารังควานตุลย์อีก
อ้างถึง
คิดถึงเรื่องนี้อ่าาาา ยังรอ nc อยู่นาาาา
รอว่าเต้จะมีบทบาทอัไรมากขึ้นไหมน้อในอนาคต
อิอิ กลับมานะค่าาาาา :katai4:

ใช่ค่ะ 55555+ แต่อันนั้นเป็นหน้าที่รอง  เดี๋ยวมาลุ้นกันว่าหน้าที่หลังของเจ้าเต้นี่คืออะไร บทเต้ค่อนข้างสำคัญต่อการเดินเนื้อเรื่องประมาณนึงเลยค่ะ  :katai2-1:


อ้างถึง
แปลกๆ กับความรู้สึกของ "ตุลย์" ที่มีต่อ "กาย"
ที่บอกว่า "พ่ายแพ้ต่อเขา" ทุกครั้ง
อันนี้  พ่ายแพ้ทาง "ร่างกาย" หรือ ทาง "หัวใจ"?

จุดนี้ก็แอบพูดยากค่ะ แฮ่ ตรงนี้ที่เมลล่าพยายามจะสื่อคือ ความรู้สึกเหมือนเวลาเราทำอะไรสักอย่าง แต่เราทำมันได้แย่มากๆ แม้ว่าเราก็พยายามเต็มที่ทุกครั้ง แล้วที่นี้พอทำพลาดหลายๆ ครั้ง มันก็เริ่มเกิด ‘ความกลัวที่จะทำ’ เพราะรู้สึกว่าไม่ว่าทำกี่ครั้งก็จะพลาด เป็นอะไรประมาณนี้

จะพยายามแก้เรื่องการใช้คำอีกทีค่ะ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำค่า  :really2:

อ้างถึง
แหมๆๆ ลาพักร้อนซะคุ้มเลยนะไรท์เตอร์ 
อ้างถึง
เกือบเดือนแล้ว ที่หายไป
อ้างถึง
รอ   :call:  :call:  :call:

เมลล่าขอโทษษษษ แงงงงงงง้ ผิดไปแล้วจริงๆๆๆ T_T


Edit:
-   แก้ไขคำผิดเรื่อง สโตกเกอร์ เป็น ‘สตอล์คเกอร์’ เรียบร้อยแล้วค่า ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ ที่คอยตามดูจุดผิดให้ เมลล่านี่แย่จริงๆ   :katai1:
-   Update สารบัญหน้าแรกให้แล้วค่า

Merry Christmas นะคะ ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมานานมากๆ เที่ยวเผื่อเมลล่าปีนี้ด้วยค่ะ ฮืออออออ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (2.01.18) Night 14th l 14.1 l โอกาส P.9 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 02-01-2018 00:07:48
14th Night: โอกาส


“เพื่อนเหรอ?”


“เปล่าครับ แค่คนรู้จักที่ชมรมน่ะ ไม่มีอะไรที่คุณต้องกังวลหรอก” พูดไปก็แก้ตัวไป


 “ฉันไม่ได้กังวลเรื่องนั้น”


 ศานนท์อมยิ้ม บอกไม่ถูกว่ากำลังชอบใจหรือขำเพราะเขาตีตนไปก่อนไข้กันแน่


“แค่คิดว่าเธอน่าจะทำความรู้จักกับคนใหม่ๆ บ้าง เขาอาจแค่อยากเป็นเพื่อนก็ได้”


“ผมจะได้หาเรื่องใส่ตัวน่ะสิคุณ! ถ้าต้องไปข้องแวะกับคนแบบนั้นสู้ให้ผมอยู่ตัวคนเดียวยังดีกว่า”


ตุลย์ถอนหายใจเฮือก สีหน้าท่าทางนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากหนุ่มใหญ่ได้ถนัด


“ทำไมเธอถึงคิดว่าเขาแย่นักล่ะ?”


หึ... ทำไมน่ะเหรอ?


จริงอยู่ ถ้าในตอนนั้นเต้ไม่เข้ามาขวางก่อน เขาอาจไม่ได้นั่งตากแอร์ กระดิกเท้าอยู่ในรถศานนท์โดยสวัสดิภาพ แต่จะให้เขาเชื่อใจใครง่ายๆ ทั้งที่ไม่รู้จุดประสงค์เบื้องหลังพฤติกรรมตามตื้อราวกับสโตกเกอร์ มันก็ไม่ใช่วิสัยคนปกติ


เพื่อน?


ตุลย์เค้น ‘หึ’ ในคอ

แล้วไอ้คำครหาว่า ‘เขานอนกับคนอื่นเพื่อเงินและเส้นสาย’ นั่นล่ะ จะให้ตีความเป็นการพยายามทำความรู้จักแบบหนึ่งหรือยังไง? 


ในเมื่อวิธีที่เต้ปฏิบัติตัวต่อเขามันย้อนแย้งกันเอง เขาก็สรุปได้ว่า...


“หมอนั้นไม่น่าไว้ใจ”


ศานนท์ชะงักมองหน้าเขาแล้วนิ่งขึงชั่วครู ก่อนเจ้าตัวจะละสายตาไปยังถนน


“ปกติเธอเข้ากับคนอื่นง่ายออก อีกเดี๋ยวพวกเธอก็รู้จักกันเองนั่นแหละ”


 “คุณน่ะมองโลกในแง่ดีเกินไป คุณศานนท์”


ตุลย์ถอนหายใจ เอนหลังพิงเบาอย่างเหนื่อยหน่าย โดยที่มองข้ามปฏิกิริยาอันน่าสงสัยของหนุ่มใหญ่ไปสนิท


แค่พยายามปรับตัวให้เป็นที่ยอมรับในสังคมมหาวิทยาลัยก็เป็นปัญหาใหญ่แล้ว นับประสบอะไรที่เขาจะต้องพยายามทำความรู้จักคนที่ไม่รู้กระทั่งว่าเป็น ‘มิตร’ หรือ ‘ศัตรู’


ศานนท์ปรายตามองคนที่ทำท่าเหมือนอาลัยตายอยากแว่บหนึ่ง แล้วเอื้อมมือมาลูบหัวเบาๆ


“เอาน่า เดี๋ยวเธอก็ปรับตัวได้เอง”




เรื่องวุ่นวายในวันนี้นับว่าสูบพลังงานจากร่างตุลย์จนเหือด คิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปพลาง มองทิวทัศน์ไปพลาง ตุลย์ก็เผลอหลับในรถ พอถึงบ้านก็เดินสะโหลสะเหลตรงขึ้นห้อง ความคิดสะเปะสะปะที่ยังตกค้างทำให้รู้สึกล้าจนไม่อาจจิตนาการถึงเรื่องใดนอกจากเตียงนอนนุ่มๆ กับการได้อาบน้ำเย็นๆ


ตุลย์เหวี่ยงประตูปิดแล้วโยนกระเป๋าลงบนเก้าอี้ แปลกใจเล็กน้อยที่ไม่ได้ยินเสียงกระแทกบานพับเหมือนทุกครั้ง แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ


กระทั่งมีมือปริศนาเคาะประตูสามครั้ง เขาจึงหันกลับไปมอง ก่อนจะพบว่าประตูยังเปิดอ้าซ่าราวกับว่ามันไม่ได้ปิดตั้งแต่แรก ข้างๆ กันนั้น คือศานนท์ยืนเท้ากำแพงมองเขา หลังมือยังค้างอยู่บนบานไม้เหมือนแค่เคาะตามมารยาท


“ครับ? คุณมีอะไรหรือเปล่า”


 ตุลย์เลิกคิ้วเล็กน้อยขณะพาดเช็ดตัวบนบ่า ตั้งใจจะอาบน้ำให้สบายตัวเสียหน่อย


 “ให้ฉันเข้าไปได้มั้ย?”


“อ่า... ครับ”


สบตากับผู้มาเยือนตุลย์ก็ลอบถอนหายใจ ก่อนพยักหน้า ถอยเพื่อเปิดทางให้ศานนท์เข้ามา เขารู้ดีว่าหนุ่มใหญ่ต้องการอะไร เพราะดวงตาคู่วับวามคู่นั้นมันแสดงเจตนารมณ์โจ่งจัด เจ้าตัวมาเองขนาดนี้แล้ว ถ้าเขาปฏิเสธดื้อๆ ก็คงเหมือนการหักหน้าอีกฝ่าย


จะว่าไปมันก็สักพักแล้ว...


นับจากครั้งสุดท้ายบนโซฟาที่ทำเอาตุลย์ฉุนแทบขาดก็ผ่านมาร่วมเดือน เพราะหลังจากที่ไหล่บาดเจ็บ ศานนท์ก็ยังไม่ได้เรียกร้องเรื่องอย่างว่าจากเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว


“คุณนั่งรอแป๊บนึงนะครับ เดี๋ยวผมขออาบน้ำก่อน”


อารมณ์เหนื่อยอ่อนทำให้เขาเลือกขอพื้นที่ส่วนตัว คาดไม่ถึงก็ตรงที่ศานนท์รั้งแขนเขาไว้ ร่างสูงยืนอยู่ใกล้จนสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากร่างกาย


“ฉันอยากอาบน้ำกับเธอ...”


“.......”


ประโยคไม่คาดคิดจากปากผู้ชายที่อายุมากพอจะเป็นพ่อเขาได้ ทำให้สมองที่เฉื่อยอยู่แล้วคล้ายหยุดประมวลผลดื้อๆ ไปชั่วขณะ


ตกอยู่ในอาการมึนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก หนุ่มใหญ่จึงถือวิสาสะตีความว่าเขา ‘ตกลง’ จบลงด้วยการที่เขาและศานนท์เข้ามาอยู่ในห้องน้ำพร้อมๆ กัน 


จูบจากหนุ่มใหญ่ถูกใช้เป็นเครื่องต่อรองทันทีที่ประตูปิดลง สัมผัสบนริมฝีปากนั้นอ้อยอิ่ง เอาใจคล้ายไม่อยากให้ปฏิเสธ ขณะที่มือหนาลูบบั้นเอวและสะโพกใต้ผิวผ้าอย่างเคยชิน จากนั้นตุลย์ถูกดันเข้าไปในด้านในคอกฝักบัวกระทั่งหลังสัมผัสกับกระเบื้องเย็นๆ


ศานนท์ลากริมฝีปากลงมาจรดต้นคอเขาก่อนจะเม้มจูบ ไรหนวดครูดผิวชวนให้จั๊กจี้จนต้องเอียงหน้าหนี ส่งเสียงต่ำๆ ในคอขณะที่ยึดไหล่อีกฝ่ายไว้


หากระหว่างกำลังดื่มด่ำกับอารามบทเล้าโลม จู่ๆ กางเกงเขาก็ถูกถลกลงโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ตามด้วยสัมผัสที่รุกไล่หนักหน่วงขึ้นตามลำดับราวกับความอดทนของอีกฝ่ายกำลังลดน้อยลงเต็มที


...ชั่วขณะหนึ่งที่ตุลย์นึกหมั่นไส้จนอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปคว้าวาล์วน้ำ แล้วบิดเต็มแรง


ซ่า!


น้ำเย็นเฉียบไหลพรวดพราดจากฝักบัวราดรดบนร่างพวกเขาทั้งคู่จนเปียกชุ่ม ตัวเขาหันหลังน่ะไม่เท่าไหร่ แต่หนุ่มใหญ่ที่ยืนหันเข้าหากระแสน้ำ ถูกสาดเข้าอย่างจังจนต้องยกแขนป้องใบหน้า ผละจากตัวเขาในทันที


ตุลย์มองคนที่ใช้แขนเสื้อเปียกๆ เช็ดหน้าเช็ดตา คิ้วขมวดเป็นปมเพราะถูกขัดจังหวะตอนกำลังอยู่ในอารมณ์เข้าได้เข้าเข็มก็หัวเราะในคออย่างห้ามไม่อยู่


เขาหุบยิ้มแทบไม่ทัน เมื่อถูกเจ้าของตัวตาที่ขยี้จนแดงจ้องกลับ


“ขอโทษครับ...”


รู้ว่าทำให้หนุ่มใหญ่เสียอารมณ์ เขาก็ยืนยันคำขอโทษด้วยการจูบริมฝีปากนั้นกลับ เลื่อนลงมาตรงปลายคางแล้วไล่ต่ำลงตามลำดับขณะที่ถอดเสื้อผ้าอีกฝ่ายทิ้ง ตุลย์ไล่ลงไปถึงขอบกางเกง  แล้วคุกเข่าลงให้สายตาอยู่ระดับเดียวกับเป้ากางเกง ทว่ากลับถูกอีกฝ่ายช้อนตัวยืนขึ้น


“วันนี้ไม่ต้องหรอก พื้นมันเย็นน่ะ”


 ศานนท์ไม่พูดเปล่าแต่รั้งตัวตุลย์เข้าไปในคอกฝักบัวอีกครั้ง น้ำชโลมเสื้อเขาจนเปียกชุ่มเช่นเดียวกับร่างเปลือยของหนุ่มใหญ่ จูบถูกป้อนให้อีกครั้ง แต่คราวนี้มาพร้อมกับนิ้วโป้งที่สัมผัสคลึงต้นคอเบาๆ ตุลย์ แหงนหน้าตอบรับ ขณะที่ต้นขาอีกฝ่ายสอดเข้ามาระหว่างขาเขาแล้วเสียดสีกับจุดอ่อนไหว มันวาบหวิวชวนให้อารมณ์พลุ่งพล่านจนต้องสอดแขนรั้งคออีกฝ่ายแล้วเบียดกายเข้าหา


น้ำที่ไหลลงมาจากผัวบัวบนศีรษะทำให้ตุลย์หลับตาจวบจนต่างฝ่ายต่างถอนจูบ เขาถึงเห็นหน้าหนุ่มใหญ่ชัด


ใบหน้าศานนท์อยู่ห่างจากเขาเพียงไม่ถึงนิ้ว กลุ่มผมสีดำเปียกชุ่ม ขณะที่น้ำไหลลงมาตามกรอบหน้าจนถึงปลายคางแล้วหยดลงเป็นสายเช่นเดียวกับบนร่าง ยิ่งน้ำเย็นจัดเท่าไหร่ก็ยิ่งขลับให้ไอร้อนเด่นชัดยามที่ร่างกายของคนทั้งคู่สัมผัสกัน ตุลย์ถอดเสื้อเชิ้ตซึ่งเป็นสิ่งกีดขวางชิ้นสุดท้ายออก เมื่อตัวเขาชักเสียการควบคุมให้กับไฟปรารถนามากขึ้นทุกที


“หันหลังสิ”


ตุลย์พลิกตัวตามคำสั่ง ศอกเท้ากับกำแพงเย็นๆ ขณะที่ศานนท์ก้มหยิบถุงยางจากกองผ้าที่ถูกโยนระเกะระกะบนพื้น หนุ่มใหญ่ช้อนสะโพกเขา ดันสิ่งที่อุ่นกว่าเข้ามาในร่าง ทั้งความร้อนและความเย็นที่ประเดประดังเข้าใส่ในคราวเดียวทำเอาตุลย์หลุดเสียงครางอย่างอดไม่ได้ เขาไม่ชอบความหนาวเย็น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเร่งเร้าอารมณ์เสียวซ่านได้ทุกครั้งที่อีกฝ่ายขยับกาย


หนุ่มใหญ่เอื้อมมือสัมผัสหน้าท้องเขา ไล่ลงไปตามท้องน้อย ก่อนจะกอบกุมส่วนปลายที่อ่อนไหวเป็นพิเศษ เค้นคลึงสลับหนักเบา ปั่นป่วนท้องน้อยเสียจนเขาต้องยึดข้อมืออีกฝ่ายไว้ ก่อนที่อารมณ์จะเตลิดไปถึงฝั่งฝันเสียก่อน


“คุณ... อ้า ...อย่าเพิ่ง”


“อืม”


หนุ่มใหญ่ขานรับในคอ ก่อนจะปล่อยมืออย่างว่าง่าย เปลี่ยนมาจูบที่หลังแทน ตุลย์สะดุ้งขนลุกไปทั้งตัว เมื่อไอร้อนจากจูบและลมหายใจสัมผัสถูกผิวกายอันเย็นเฉียบจนเกือบชาเพราะผลจากน้ำที่ไหลลงมา


 “อ่า... ผมหนาว”


เขาเอียงหน้ามองเป็นเชิงร้องขอคนที่ยังสอดใส่อยู่ภายในร่าง ซึ่งหนุ่มใหญ่ก็ยอมปิดน้ำให้แต่โดยดี


“งั้นเปลี่ยนที่หน่อยแล้วกัน”


ไม่ว่าเปล่าแต่ย้ายร่างเขาขึ้นไปบนพื้นที่ข้างๆ อ่างล้างหน้าซึ่งมีขวดผลิตภัณฑ์อาบน้ำวางอยู่จำนวนหนึ่ง ก่อนที่หนุ่มใหญ่จะกวาดมันลงไปกลิ้งบนพื้นเพราะเห็นว่าเกะกะ ข้อพับขาถูกช้อนขึ้นแล้วแยกออก ตามด้วยสะโพกดึงติดมือจนชิดร่างหนุ่มใหญ่


ตุลย์เท้าแขนบนอ่างล่างหน้าเพื่อยันตัวเองไว้ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน มันทุลักทุเลเอาการจนต้องเปลี่ยนมาคว้าไหล่หนุ่มใหญ่ เกี่ยวขาพันเอวอีกฝ่ายเป็นหลักยึด มันไม่ยากเลยที่จะรู้สึกดีเมื่อภายในถูกล่วงล้ำเข้ามาลึกและเสียดสีได้ตรงจุดยิ่งขึ้น ไม่รู้เมื่อไหร่ที่เขาเป็นฝ่ายเบียดสะโพกตอบรับกับจังหวะการเคลื่อนไหว อารมณ์พุ่งสูงจนต้องใช้ขารัดสะโพกอีกฝ่าย ส่งเสียงครางเป็นต่ำๆ เพื่อระบาย 


พอถูกเสียดสีติดๆ ในจุดที่สร้างความกระสันให้แก่ร่างกาย ตุลย์ไปถึงจุดหมายอย่างไม่ยากเย็น
.
.
.
.

“เธอโอเคนะ?”


ศานนท์ถามหลังเสร็จกิจ วางนิ้วโป้งบนไหล่ซ้ายเขา แล้วคลึงเบาๆ เหมือนอยากเช็คให้แน่ใจว่าเขาหายดี


“ครับ ผมไม่เจ็บแล้ว”


“แล้วลุกไหวหรือเปล่า” หนุ่มใหญ่ตั้งท่าจะพยุง แต่ตุลย์ส่ายหน้า


“ผมโอเค แค่มันยังรู้สึกแปลกๆ อยู่หน่อย”


เห็นแบบนั้นหนุ่มใหญ่ก็ไม่เซ้าซี้แต่เดินไปเปิดน้ำใส่อ่างแทน เจ้าตัวยืนพิงผนังไม่ห่างจากเขา จวบจนปริมาณน้ำสูงถึงครึ่งอ่าง ถึงเอ่ยชวน


“อาบน้ำด้วยกันมั้ย”


ตุลย์ถอนหายใจยิ้มแกนๆ


ขืนลงอ่างด้วยกันอีกรอบ มันจะไม่ได้อาบน้ำเอาน่ะสิ


“คุณอาบเถอะ ผมอาบฝักบัวดีกว่า” ว่าพลางไถลตัวลงจากซิงค์ เก็บเสื้อผ้าเปียกๆ บนพื้นที่ต่างจากต่างถอดทิ้งระเกะระกะมาพาดไว้ข้างๆ ได้ยินเสียงหนุ่มใหญ่หัวเราะแว่วๆ ตามหลัง ก่อนจะเปิดน้ำโดยที่ไม่ลืมปรับอุณหภูมิให้อุ่นพอดี แล้วอาบน้ำสระผม ‘แบบจริงๆ’ ไปตามระเบียบ


ตุลย์ออกมาสวมเสื้อลวกๆ ข้างนอกเพราะเสร็จก่อน ก่อนจะทิ้งตัวบนเตียงขนาดใหญ่ เอนกายพิงหมอนอย่างเหนื่อยอ่อน เซ็กส์เมื่อครู่ทำให้เขาหมดแรง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าช่วยให้สมองปลอดโปร่งอย่างเหลือเชื่อ


เอาเข้าจริงแล้ว เขาก็ชอบมันไม่น้อยไปกว่าศานนท์ เพราะมันไม่เคยทำให้เจ็บ หรือต้องรู้สึกเหมือนกลายเป็นที่รองรับความใคร่ของใคร ต่างจากเมื่อก่อน...


เขานั่งสมองเริ่มกลับมาทำงานเป็นปกติอีกครั้ง ตุลย์ก็เปิดอ่านข้อความในโทรศัพท์ เขายังคงติดใจเรื่องจีจี้ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะได้คุยกับแม็กคร่าวๆ ไปบ้างแล้ว


แค่อยากแน่ใจว่าเธอสบายดี... ถ้าเธอต้องติดร่างแหเพราะเรื่องในอดีตของเขา เขาคงไม่ให้อภัยตัวเอง


พิมพ์คุยกันไม่เท่าไหร่ตุลย์ก็ถอนหายใจโล่งอก นับว่าโชคดีที่เรื่องไปบานปลายเพิ่มหลังจากที่เขาแยกตัวออกมา จีจี้ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน เพียงแค่ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ส่วนแม็กก็ขับรถพาเธอไปส่งที่บ้านมาหยกๆ โดยรวมแล้วไม่มีอะไรน่ากังวล


ต่อไปนี้เขาคงต้องระวังตัวมากขึ้น...


ระหว่างยังจมจ่ออยู่ในความคิด จู่ๆ ผ้าขนหนูพื้นหนึ่งก็ร่วงลงกลางหัวเขาบังทัศนวิสัยบนจอโทรศัพท์เสียมิด ตุลย์เลิกผ้าคลุมหน้าพลางขมวดคิ้ว มันเป็นฝีมือเจ้าของบ้านผู้ซึ่งสวมเสื้อคลุม ลากรองเท้าผ้า เพิ่งออกจากห้องน้ำหมาดๆ คงเพราะไม่มีชุดที่ดีกว่านี้ใส่เนื่องจากเสื้อผ้าพวกเขาต่างก็เปียกแฉะทั้งคู่


“ปล่อยไว้เฉยๆ แบบนี้เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก”


ถูกทัก ตุลย์ก็ใช้มันเช็ดผมลวกๆ เหมือนกันกลัวคนพูดเสียน้ำใจ


“ถ้าผมป่วยก็น่าจะเพราะคุณมากกว่า”


หนุ่มใหญ่หัวเราะสองทีให้กับความช่างประชดประชันนั้น


“ฉันจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ถ้าเสร็จแล้วตามที่ห้องหน่อย ฉันมีอะไรอยากให้เธอได้ดู”


“อะไรครับ?”


“เธอมาดูเองจะดีกว่า”


ประโยคนั้นน่าฉงน แต่เมื่อศานนท์เดินลากเท้าออกไปห้องไปเฉยๆ ทิ้งไว้ให้เป็นความลับโดยปราศจากคำอธิบาย เขาคงต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง


...ก็หวังว่ามันคงไม่ใช่แผนล่อไปทำเรื่องอย่างว่าต่อจากในห้องน้ำหรอกนะ


ตุลย์เช็ดผมพอหมาด เปลี่ยนจากผ้าเช็ดตัวมาสวมกางเกงนอนแทน แล้วตามไปห้องเจ้าของบ้านแม้ว่าใจจริงจะง่วงนอนเต็มที

--------------------------
กลับมาแล้วข่าาาาาาา กีสสสสสสสสส เมลล่านั่งกลับไปย้อนอ่านงานตัวเองมา ก็เกิดความรู้สึกว่าเฮ้ย มันก็กดดันใช้ได้นี่หว่า แต่ทำไมหลังจากตอนเจ็ดมันถึงได้รู้สึกขาดตอนอะไรขนาดนี้  :sad4:
ตอนแรกว่าจะเคลียร์ให้เสร็จภายในวันที่ 1 จะได้ happy new year ด้วย
แต่นี่ดันวันที่สองแล้ว... ฮืออออ  :ling3:

HNY นักอ่านทุกท่านย้อนหลังนะคะ ปีใหม่แล้ว ขอให้ทุกท่านแฮปปี้ขึ้นเยอะๆ ค่ะ ถ้าชีวิตมีความสุขอะไรก็สนุกไปหมดดด
ขอบคุณที่ติดตามกันมา แม้เนื้อเรื่องจะกระดึ้บเป็นเต่า แต่เราก็จะอัพไปเรื่อยๆ เพราะมาไกลมากแล้วว จะไม่ทำทิ้งทำความเหมือนครั้งก่อนแน่!
#ก้มกราบแบบเบญจฯ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (2.01.18) Night 14th l 14.1 l โอกาส P.9 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 02-01-2018 05:15:13
ไม่ต้องกดดันนะไรท์ แค่....ทุกคนรออ่าน 5555
HNYจ้า
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (2.01.18) Night 14th l 14.1 l โอกาส P.9 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 02-01-2018 06:16:17
สงสารตุลย์ ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกว่าทำไมมันรันทดงี้เนี่ย
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (2.01.18) Night 14th l 14.1 l โอกาส P.9 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 02-01-2018 17:11:26
HNY ด้วยค่าา มาช้าๆก็ได้ แต่อย่าหายไปเลยก็พอค่า 5555
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (2.01.18) Night 14th l 14.1 l โอกาส P.9 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: PAtxxkMxxn ที่ 02-01-2018 21:28:49
มันก็จะค้างหน่อยๆ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (2.01.18) Night 14th l 14.1 l โอกาส P.9 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 02-01-2018 22:18:47
สวัสดีปีใหม่จ้าาา
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (2.01.18) Night 14th l 14.1 l โอกาส P.9 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 03-01-2018 00:07:37
Happy New Year!
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (2.01.18) Night 14th l 14.1 l โอกาส P.9 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: kimkidoy ที่ 03-01-2018 01:28:43
โหยยยยยดีใจสุดๆๆที่คุณเมลล่ามาต่ออออ อย่าทิ้งกันน้าาา
ยังอยากอ่านอนาคตของตุลย์ อยากเห็นชีวิตที่มีความสุขของตุลย์อ่าค่า
จะรอวันนั้น อิอิ :impress2: :katai4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (2.01.18) Night 14th l 14.1 l โอกาส P.9 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Honyuchum ที่ 04-01-2018 23:10:18
ใจอ่อนให้เสี่ยไวๆเถอะน้า จะได้มีความสุขซักที

แฮปปี้นิวเยียร์ค่ะ !!
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (2.01.18) Night 14th l 14.1 l โอกาส P.9 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: about ที่ 04-01-2018 23:46:48
 :pig4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (2.01.18) Night 14th l 14.1 l โอกาส P.9 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 07-02-2018 00:22:41
ดีใจได้อ่านต้อนรับปีใหม่เล้ย
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (2.01.18) Night 14th l 14.1 l โอกาส P.9 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 07-02-2018 08:05:08
 :pig4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (2.04.18) Night 14th l 14.1 l โอกาส P.9 [no update]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 02-04-2018 23:02:54
รอสักครู่นะคะ เมลล่าขออนุญาตปั่นงานสอบนิดนุง คืนนี้มาแน่เจ้าค่ะ ออเจ้าาา  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (2.04.18) Night 14th l 14.1 l โอกาส P.9 [no update]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 02-04-2018 23:29:44
Finally, next episode will be posted. Thanks a lot.

 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (2.04.18) Night 14th l 14.2 l โอกาส 40% P.10 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 03-04-2018 01:28:42
(14.2)


…ตุลย์เช็ดผมพอหมาด เปลี่ยนจากผ้าเช็ดตัวมาสวมกางเกงนอน แล้วตามออกไปห้องเจ้าของบ้านแม้ว่าใจจริงจะง่วงเต็มที
 
เขาเคาะแค่ทีเดียว ศานนท์ก็เปิดประตูให้


“ฉันอยากให้เธอดูนี่” ว่าพลางพยักเพยิดไปโต๊ะอ่านหนังสือเล็กๆ ข้างเตืยง


สิ่งที่ตั้งอยู่บนนั้นคือ นิตยาสารแฟชั่น หลายเล่มมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักดีในประเทศ เป็นที่เข้าใจกันดีว่าต้องมีชื่อเสียงในวงการบังเทิงระดับหนึ่ง จึงจะสามารถขึ้นปกนิตยสารชั้นนำเหล่านี้ได้


“ของสะสมของคุณหรอครับ?” ตุลย์มองหน้าศานนท์อย่างไม่ค่อยอยากเชื่อ


คงไม่ใช่ว่าเขาบังเอิญไปค้นเจองานอดิเรกแปลกๆ ของอีกฝ่ายเข้าหรอกนะ?


หนุ่มใหญ่ยิ้มๆ “แล้วเธอ สนใจ อะไรแบบนี้มั้ยล่ะ?”


“ครับ”


แน่นอนว่าเขาสนใจ

เพียงแต่สิ่งที่เขาหลงใหลไม่ใช่ตัวนิตสารเหรือทรนแฟชั่น... แต่เป็นความใฝ่ฝันที่จะได้โลดแล่นบนจอเงินต่างหาก


ฝันที่เอื้อมเท่าไหร่ก็ไม่ถึงสักที แถมพอย้อนนึก ก็ชวนให้รู้สึกเข็ดขยาดขึ้นมาซะอย่างนั้น


สะดุดตากับเล่มหนึ่งที่มีโน๊ตเตือนความจำแปะอยู่ ตุลย์ก็หยิบมันขึ้นมาพลิกดู


“เล่มนั้นยังไม่เสร็จดี ฉันเพิ่งได้ต้นฉบับมาเมื่อวาน”


 “จริงๆ แล้ว คุณเป็นบ.ก. เหรอ?” ตุลย์เลิกคิ้วฉงนอย่างผิดคาด


หลงนึกว่าศานนท์ทำงานเกี่ยวกับเรื่องเงินๆ ทองๆ น่าปวดหัวเสียอีก


“ไม่ใช่...” หนุ่มใหญ่กลั้วหัวเราะ ”แต่บางทีฉันก็เป็นสปอนเซอร์ให้นิตยสาร”


ปล่อยให้เขาเปิดดูจนพอใจ ศานนท์ถึงรับหนังสือกลับไปวางบนโต๊ะอย่างเดิม


“เธอถามเยอะแล้ว ตอนนี้ฉันถามเธอบ้าง”


“ถามเรื่องอะไรครับ?”


“อยากลงนิตยาสารหรือเปล่าล่ะ”


“.......”


ประโยคนั้นทำเอาตุลย์ชักหายใจติดขัด


“ฉันรู้จักคนๆ นึง เป็นแมวมองในวงการมานานพอสมควร ถ้าเธอสนใจฉันจะติดต่อให้”


“พะ พูดจริงเหรอเปล่า!?” เขาโพล่งไปอย่างเก็บความตื่นเต้นไม่มิด


แต่เสี้ยววินาทีต่อมาก็ขมวดคิ้วมุ่น


โอกาสนี้มันหอมหวานเกินไปกว่าจะให้เปล่าโดยไม่คิดอะไร...


“คุณอยากให้ผมทำอะไร” เขาจ้องนัยน์ตาหนุ่มใหญ่


“หมายความว่ายังไง?”


“คุณคงไม่กะให้ผมฟรีๆ หรอกจริงมั้ย?”


“แล้วทำไมฉันถึงจะให้เธอฟรีๆ ไม่ได้ล่ะ”


ถูกย้อนถาม ตุลย์ก็คิ้วขมวด ว่าเสียงแข็ง


“คุณอย่ามาล้อเล่น”


“ฉันไม่ได้ล้อเล่น” ศานนท์ไหวไหล่ “ถ้าอยากถ่าย ฉันก็จะแนะนำเธอให้ ต่อจากนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับเธอว่าทำยังไงกับโอกาสนั้น”


นัยน์ตาหนุ่มใหญ่ปราศจากคำโกหกแม้เวลาพูด


แต่ถ้าหากว่าไม่ใช่...


เขาก็คงเป็นคนที่โง่มากพอจะตกหลุมพลางเดิมซ้ำๆ อย่างไม่รู้จักจำ

เพราะต่อให้มันคือทางด่วนไปนรก โอกาสเหล่านั้นก็หอมหวานเกินจะปฏิเสธลงอยู่ดี


“แล้วผมต้องทำยังไงครับ?”


“เสาร์นี้มาเธอกับฉัน ลองเทสหน้ากล้องดูก่อน ถ้าผลงานน่าพอใจก็ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง” หนุ่มใหญ่วรรคหายใจ “...แต่ว่าคนที่ตัดสินใจเรื่องนั้นคงไม่ใช่ฉัน”


-------------------------------------------------
ขัดจะเสร็จแล้วเจ้าค่าเอยยย พรุ่งนี้จะลงส่วนที่เหลือต่อให้นะคะ ฮือออ
รู้สึกวุ่นวายทั้งปีทั้งชาติ งานหนังสือก็ไม่รู้จะได้ไปหรือเปล่า
ดีใจมากๆๆๆ ที่กลับเข้ามาแล้วทุกคนยังอยู่ T_T
ไม่นึกเลยค่ะ ว่าเมลล่าหายเหมือนตายไปแล้วก็ยังมีคนมารอ
มันสนุกตรงไหนเนี่ย เรื่องนี้ 55555+
 ยังไงจะรีบกลับมาต่อให้นะคะ ขอโทษไปหายๆ ไปๆ กลับๆ ค่ะ T_T
รักนักอ่านมากๆๆ เลย
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (2.04.18) Night 14th l 14.2 l โอกาส 40% P.10 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 03-04-2018 01:44:41
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (2.04.18) Night 14th l 14.2 l โอกาส 40% P.10 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 03-04-2018 14:38:53
คุณมาต่อ เราก็รออ่านจ้ะ

เอานะตุลย์ โอกาสมาคว้าไว้ก่อนเลย
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (2.04.18) Night 14th l 14.2 l โอกาส 40% P.10 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 06-04-2018 23:18:22
สนุกนร้า. จะรอ ตุลย์สู้ชีวิตดี เจอความผิดหวังมากมาย ก็ยังก้าวเดินไปข้างหน้า
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (7.04.18) Night 14th l 14.2 l โอกาส100% P.10 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 07-04-2018 02:19:14
-----------(100%)-------------------
ไม่รู้ว่าคิดผิดหรือถูก แต่ตอนนี้ตุลย์ก็มายืนอยู่หน้าตึกสตูดิโอเป็นที่เรียบร้อย


ศานนท์พาเขาผ่านประตูเข้ามาอย่างคุ้นเคย ก่อนที่สตาฟจะนำขึ้นลิฟท์ไปยังห้องรับรอง ซึ่งมีคนรออยู่ก่อนแล้ว ครั้นเข้ามาด้านใน หนุ่มใหญ่ก็เอ่ยทักทาย ‘แมวมอง’ สาวประเภทสองอย่างเป็นกันเอง โดยไม่ลืมแนะนำเขาให้ฝ่ายนั้นรู้จัก


 “สวัสดีครับ”


“สวัสดีค่ะ” เธอพยักหน้ารับไหว้ ก่อนจะเชิญพวกเขานั่ง “เจ้ชื่อซินดี้นะคะ เรียกเจ้ซินก็แล้วกัน”


“ครับ”


จบการแนะนำตัวสั้นๆ เธอก็หันไปคุยกับศานนท์ ดูเหมือนทั้งคู่จะสนิทกันพอสมควร เธอถึงได้เรียกชื่อเล่นหนุ่มใหญ่ตรงๆ ว่า ‘คุณศาน’ แถมยังคุยเรื่องสัพเพเหระกันอยู่นาน ก่อนจะเกริ่นเข้าประเด็นเรื่องถ่ายแบบ


งานที่ศานนท์ฝากฝังเขาไว้กับซินดี้ คืองานถ่ายเสื้อผ้าซึ่งกำลังจะเริ่มขึ้นสัปดาห์หน้า โดยทางผู้ต้นสังกัดนิตยสารได้คัดเลือกนางและนายแบบตัวเต็งไว้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เป็นปัญหา ถ้าหากเขาอยากเข้าร่วมด้วย


“ถ้าอย่างนั้น ฉันฝากเด็กคนนี้หน่อยแล้วกัน”


““โอ้ย! ได้อยู่แล้วค๊าคุณศาน” เธอจีบปากจีบคอ “ซินดี้เป็นคนปั้นทั้งทีจะมีพลาดได้ยังไงล่ะคะ อยู่ที่น้องจะโอเคหรือเปล่ามากกว่า”


ซินดี้ปรายตามองเขาแว่บหนึ่ง ก่อนที่จะปรบมือฉาดลุกขึ้นพรวดพลาด โชว์ชุดเดรสสีน้ำเงินยาวนำเทรนของเธอ


“เอาล่ะค่ะ ซินดี้ว่าเด็กๆ น่าจะเซ็ตของเสร็จแล้ว มาค่ะ เดี๋ยวจะพาไปห้องสตูฯ จะได้เริ่มถ่ายเลย Let’s go ค่ะ!”


ตุลย์แยกกับศานนท์ทันทีที่เข้ามาในสตูดิโอ บรรยากาศด้านในออกจะทึบ อยู่สักหน่อย มีก็แต่แสงจากไฟสตูดิโอสองตัวที่ส่องตรงไปยังฉากและเฟอร์นิเจอร์ประกอบสามสี่ชิ้นนั่นแหละ ที่สว่างชัดกว่าบริเวณอื่น


นับว่าการเข้ามาในฐานะ ‘เด็กเส้น’ครั้งแรก ทำให้เขารู้สึกประหม่าอย่างบอกไม่ถูก


ยืนรอเก้ๆ กังๆ อยู่ไม่นาน สตาฟก็เข้ามาชี้แจงลายละเอียดเกี่ยวกับพร็อพและธีมคร่าวๆ พอเข้าใจ จากนั้น ก็เข้าเฟรมกล้องตามลำดับ โดยที่มีกลุ่มคนยืนล้อมจับตามองอยู่ไม่ห่าง


การถูกมองมันน่าอึดอัด


ได้แต่ลำพึงในใจ ขณะที่แสร้งปั่นหน้ายิ้มแย้มเป็นธรรมชาติแบบที่เขาถนัด


แชะ!


เสียงชัทเตอร์ดังเป็นสัญญาณว่าภาพแรกถูกถ่าย


“ทีนี้ค่อยๆ เปลี่ยนท่านะครับ”


ตุลย์ขยับตัวไปทางซ้าย หันข้างเล็กน้อย ซึ่งทุกอย่างก็ไปได้สวยในช็อตที่สองและสาม เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนชักจะหมดลูกเล่น กระทั่งตอนนั้นก็ช่างกล้องเริ่มตะโกนคุยกับเขา


“น้องครับ เงยหน้าหน่อยครับ องศาไม่ได้”


เขาทำตามที่ถูกบอก แต่พอเป็นท่าเท่านั้นแหละ...


“น้องครับ เอียงข้างไปอีกหน่อยครับ”


“ครับ”


ที่แรกเขาคิดว่าเป็นเพราะยังไม่ชินกับองศากล้อง แต่พอถ่ายไปได้สักพัก ตุลย์ก็เริ่มตรัสรู้ว่าปัญหามันอยู่ที่ตัวเขาต่างหาก!


“น้องครับ ยืนพิงพร็อพไปเลยครับ ไม่ต้องก้ำๆ กึ่งๆ จะนั่งก็ได้ครับ เขาทำมาแข็งแรง”


“.....”


“แขนครับน้อง หันมาอีก หันแบบนี้ถ่ายออกมาแขนหายแน่ๆ”


“......”


“น้อง ท่านี้ถ่ายไปแล้วครับ พี่รบกวนเป็นท่าอื่นได้มั้ย จะหยิบจะจับอะไรก็ได้ครับ รับรองไม่พัง”


“......”


“น้องครับ”


“ครับๆๆ” ขานรับไป ก็ขยับขยุกขยิกตามไปพลางอย่างเริ่มหัวเสีย พนันว่าช่างกล้องเองก็คงอยู่ในอารมณ์ไม่ต่างกัน


จังหวะที่ตุลย์วาดตามองผ่านกลุ่มคนเหมือนอยากออกไปจากตรงนี้เต็มที ก็เห็นว่าศานนท์ยืนอยู่ถัดออกไปด้านหลัง อีกฝ่ายเพียงแค่นั่งมองเฉยๆ พอสายตาสบกับเขาก็แค่อมยิ้มตอบ


“เอ้า! ใครก็ได้เข้าไปจัดเสื้อผ้าหน้าผมให้น้องหน่อยซิ้”


 เสียงแหลมทรงพลังเบนความสนใจของตุลย๋กลับมายังหน้ากล้องได้ชะงัด


ซินดี้เดินตรงเข้ามาหาเขา สีหน้าบ่งบอกว่าไม่พอใจเท่าไหร่


“หนูขา ตั้งใจหน่อยนะคะ เจ้อุตส่าห์ให้เขาเซ็ตไฟเซ็ตกล้องให้ ดังนั้นแฮฟสติค่ะ หยุดเหม่อแล้วฟังเจ้พูดด้วย”


“ขอโทษครับ” ถูกว่าตรงๆ ตุลย์ก็ขอโทษไปตามระเบียบ


“เอาล่ะค่ะ ฉากพร้อม กล้องพร้อม นายแบบพร้อม สาม สอง หนึ่ง เริ่ม!” เธอสั่งอย่างไม่รอให้เขาตั้งตัว


การถ่ายชุดที่สองดำเนินต่อไป โดยที่มีซินดี้คอยกำกับเองทุกอย่างอย่างใกล้ชิด จากที่ถูกช่างกล้องติ พอเปลี่ยนเป็นเธอ กลับกลายเป็นว่าเขาถูกติแทบทุกท่วงท่าที่ขยับ เรียกว่าแค่เกิดมาหายใจได้เองก็ผิดคงผิดในสายตาคุณเธอแล้ว


“ช็อตนี้เงยหน้าขึ้นอีกนะคะ” เธอว่า


ก่อนจะหัวเสียในภาพถัดมาแทบทันที


“โอ้ย หนูขา! เจ้บอกแล้วไงว่าอย่าก้มหน้า ผมมันบัง เงยอีกๆๆ! เคยเห็นตอนแมวน้ำเล่นลูกบอลในโชว์ละครสัตว์มั้ยคะ เอาแบบนั้น เจ้ต้องการแบบนั้น!”


ตุลย์ได้แต่ขยับตามที่ออกปากสั่ง ในใจก็พยายามคุมสติ


การถูกสายตานับสิบจับจ้องนั้นสร้างความกดดันให้อยู่แล้ว พอผสมโรงกับถูกด่ามากๆ เข้า เขาก็ยิ่งเครียดและหัวเสียหนักเข้าไปใหญ่


แรงกดดันเพิ่มมากขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป กลายเป็นเรื่องยากที่คงความเป็นธรรมชาติทั้งการเคลื่อนไหว รวมถึงสีหน้าและแววตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเก็บอารมณ์...


 “พอค่ะ พอ! แบบนี้ไม่ไหว หน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างกะโกรธลูกค้า”

ซินดี้จิ๊ปาก พลางโบกมือปัดเมื่อเห็นชัดว่าเขาเก็บอาการไม่อยู่

 “เลิกกองค่ะ ปิดจ็อบ! วันนี้เอาแค่นี้พอแล้ว แยกย้าย!”


สิ้นเสียงสั่ง ซินดี้ก็สะบัดกระโปรง เดินเคาะส้นสูงเสียงดังออกจากห้อง ลับหลังเธอ สตาฟถึงเข้ามาหาเขา ยื่นน้ำยื่นขนมให้ แต่ตุลย์ปฏิเสธเพราะไม่อยู่ในอารมณ์ที่รับความหวังดีเหล่านั้นเท่าไรนัก


เขาเม้มปาก เคาะส้นเท้าระบายอารมณ์ ก่อนจะถอนหายใจหนักเมื่อระลึกได้ว่าตัวเองเพิ่งโดนตอกหน้าเพราะไม่มีความเป็นมืออาชีพมากพอที่จะเก็บสีหน้าและอารมณ์ขณะทำงาน


เมื่อสตาฟหลายคนเริ่มทะยอยเก็บข้าวของเตรียมแยกย้ายหลังเสร็จงาน ตุลย์ก็ขอตัวง่ายๆ แล้วออกจากห้องมา สอดส่ายหาหนุ่มใหญ่ ก่อนจะพบอีกฝ่ายกำลังคุยอยู่กับช่างกล้องที่ถ่ายภาพเขาเมื่อสักครู่


เขาละล้าละลังเพราะไม่รู้จะเข้าไปดีหรือไม่ โชคดีที่ศานนท์เหลือบมาเห็น คุยต่อไปถึงนาที หนุ่มใหญ่ก็เอ่ยลาและปลีกตัวออกมา


“...ผมเพิ่งฉีกหน้าคุณ”


นั่นเป็นประโยคแรกที่เขาพูด ก่อนที่อีกฝ่ายจะได้ถามอะไร


ฉีกแบบไม่เหลือชิ้นดีซะด้วย


“ไปทำอะไรเข้าล่ะ?”


“ผมหัวเสีย เลยแสดงสีหน้าไม่ดีไป...”


พูดไปได้ครึ่งนึงเขาก็ถอนหายใจ นอกจากจะทำลายเครดิตหนุ่มใหญ่ซะเหลวเป๋ว เขายังมีหน้ามาสารภาพความผิดโต้งๆ อีก


“จากนั้นคุณซินดี้โมโห สั่งหยุดถ่ายแล้วเดินออกไปเลย”


ฟังเขาเล่า ศานนท์ก็ยิ้มขำเหมือนรู้อยู่แต่แรก


“ฉันก็คิดแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้  ซินดี้ก็อารมณ์ร้ายเแบบนั้นแหละ ที่เธอไม่ทำอะไรหุนหันมากนักก็เพราะฉันนั่งอยู่ในห้องด้วย”


ถ้าที่ทำเมื่อกี้ไม่เรียกว่าหุนหัน โลกก็คงหมุนรอบตัวเองโดยใช้เวลาสามร้อยหกสิบห้าวันแล้ว!


“แปลว่าคุณตั้งใจส่งผมเข้าปากเสือแต่แรกแล้ว?” เขาย้อน


“...ก็ซินน่ะเป็นมือดี เสียอยู่อย่างเดียวก็ตรงเธออารมณ์ร้าย เจ้ากี้เจ้าการ เด็กฝึกส่วนใหญ่เลยอยู่ไม่ยืด”


“โถ่ คุณ! ผมโดนด่ายับซะขนาดนั้น ประสบการณ์ก็ไม่มี ไหนจะใช้เส้นคุณเอีก นี่คุณคิดว่าผมจะไม่ถอดใจเหรอ?” ตุลย์ถอนหายใจ


เพราะแม้แต่ตอนนี้เขาก็ไม่แน่ใจว่าควรไปต่อหรือเปล่า...


จริงอยู่ที่เขาอยากได้งานถ่ายแบบ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้มันช่างทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแค่มดตัวเล็กๆ ที่อยู่แต่ในโพรงไม้ ไม่เคยได้สัมผัสโลกกว้าง และเมื่อต้องเผชิญหน้ากับมัน เขาก็ยิ่งรู้สึกไม่มั่นใจ


คงดีกว่าถ้าเขาไม่ได้อาศัยเล่นสายของศานนท์ เพราะเมื่อล้ม อย่างน้อยเขาก็เจ็บโดยที่ไม่ต้องลากชื่อเสียงอีกฝ่ายเข้ามาเกี่ยว


“ไม่ใช่ว่าที่เธอดั้นด้นจะเรียนที่ม.นี้เพราะมันเป็นความฝันของเธอเหรอ?” คำถามนั้นทำเขาจุกอึก


ถ้าหากไม่คว้าโอกาสนี้ จะมีโอกาสไหนที่เขาคว้าได้อีก?


ถึงอย่างนั้น เขาก็ยัง...


“เฮ้” ศานนท์แตะหลังตุลย์เรียกสติ


“ไม่มีใครพร้อมสำหรับทุกเรื่องหรอก ทุกคนก็เริ่มเรียนจากศูนย์ทั้งนั้น เธออาจจะเริ่มต้นไม่พร้อมคนอื่น แต่นั่นไม่ได้แปลว่าเธอไม่ควรที่จะเริ่มต้น”


“......”


“ครั้งนึงฉันก็เคยเหมือนเธอ ...มันไม่ราบรื่นหรอก การเริ่มต้นน่ะ แต่เธอจะไม่เสียใจกับผลลัพธ์ที่ได้จากมัน”


เขาเงียบฟังและช่างใจ ศานนท์จึงถามกลับ


“เจอแบบนี้แล้ว เธอยัง ‘อยาก’ ทำต่อหรือเปล่า?”


“อยาก...” ตอบโดยไม่ต้องคิดเลยสักนิด


“ถ้าอย่างงั้น มันก็ชัดเจนอยู่แล้ว” หนุ่มใหญ่รวบรัดให้เสร็จสับ


“ครับ ผมจะทำต่อ”


“ดี”


อีกฝ่ายพยักหน้า ก่อนโอบเอวเขา แล้วยื่นน้ำดื่มให้


“ดื่มสิ แล้วค่อยไปคุยต่อที่ห้องรับรอง”



ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่เอาเข้าจริงแล้ว ตุลย์ก็ถูกเฉดหัวออกมาอ้อมๆ ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าไปยืนได้แค่ไม่กี่วินาที ด้วยประโยคว่า ‘ซินดี้อยากคุยกับคุณศานสักครู่นะคะ’ ก่อนจะปรายสายตาคมกริบปานมีดพร้ามายังเขา


ถูกไล่ เขาก็จำใจต้องมายืนมองทั้งสองคนคุยกันผ่านกระจกอยู่ข้างนอก พอจิตนการถึงบทสนทนาก็คิดออกแต่ว่าจะโดนด่าเรื่องอะไรบ้าง

ผ่านไปสักพักใหญ่ประตูก็เปิด ซินดี้เดินออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย เธอหยุดตรงหน้าเขา มองตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนประเมินราคาเสื้อผ้าที่ใส่ก็ไม่ปาน


“รู้มั้ยคะ วงการนี้ เจ้ปั้นมาหลายคนแล้ว และไม่เคยมีใครที่ไม่ดัง”


เธอเชิดคาง ก่อนจะยื่นนามบัตรให้ด้วยสายตาประหนึ่งเขาเป็นนักโทษที่ทำผิดร้ายแรงมหาศาล


“มาหาเจ้วันจันทร์ตอนเย็น เดี๋ยวเจ้จะเทรนงานให้ ปกติไม่มีเวลาให้หรอกนะคะ แต่ห็นว่าตั้งใจ”


ตุลย์กล่าวขอบคุณ


“อือฮึ” เธอขานในคอ ก่อนจะหันไปขอตัวลาหนุ่มใหญ่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มผิดกัน


“งั้นตกลงตามนี้นะคะคุณศาน ซินดี้มีดีลงานกับลูกค้าข้างนอกต่อ ขอตัวลาค่ะ hope to see you more often ค่ะ”


ล้ำลากันอย่างไม่เป็นมิตรเท่าไหร่นัก พวกเขาก็ลงลิฟท์กลับ


--------------------------------------
โอยยยย เกลียดตัวเองง หายไปนานอีกแล้วว ขัดเสร็จแล้วค่า
รบกวนฝากเพจด้วยนะคะ อุอิ

https://www.facebook.com/Iamcaramella (https://www.facebook.com/Iamcaramella)

มีใครรอซีนแนวใต้ดิน ไล่ล่ามาเฟียกันอยู่หรือเปล่าาาา 55555+
ใบว่าอีกไม่กี่ตอนนี้จะแอบมีเรื่องใต้ดินๆ เข้ามาเกี่ยว
ยังไม่บอกค่ะ เดี๋ยวไม่สนุก แต่แอบเตือนก่อนเลยว่า เรื่องนี้ไม่ค่อยมีอะไรใต้ดิน (ทั้งเรื่องนี่ยังไม่ใต้ดินอีกเรอะ?)
จะไม่มีอะไรแบบ view finder แน่นอน 555+
(พอนึกถึงงานวายทีไรเรื่องนี้แว่บมาตลอด พูดไปใครก็รู้จัก)
สุดท้ายขอบคุณนะคะที่ยังไม่ทิ้งกัน ไม่กล้าสัญญาอะไรแล้วว ฮื่อๆๆ!!
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (7.04.18) Night 14th l 14.2 l โอกาส100% P.10 [updated]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 07-04-2018 03:05:24
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (19.04.18) Night 15th l 15.1 สปอนเซอร์ P.10 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 19-04-2018 01:07:32
15th Night : สปอนเซอร์


“...คุณพูดอะไรกับคุณซินดี้เหรอครับ จู่ๆ เธอถึงได้ยอมรับผม” ถามขณะที่ลิฟท์ค่อยๆ เคลื่อนตัวลงไปยังชั้นลานอดรถ


“ไม่ได้พูดอะไรมาก แค่บอกไปว่าเธออยากได้งานนี้จริงๆ”


“เหรอครับ”


ตุลย์รำพึง คำตอบนั้นไม่น่าแปลกใจ ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นคนออกปากเสนอโอกาสให้เขาเอง...


ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้ว ผลงานจะออกมาเหลวเป๋วไม่มีชิ้นดีก็เถอะ


“...ฉันรู้จักซินดี้มานาน ก่อนที่เธอจะเข้าวงการแมวมองอีก  จะขอให้ช่วยเรื่องเล็กแค่นี้มันไม่ได้ลำบากอะไร”


“ครับ ผมก็พอเดาออกว่าพวกคุณสนิทกัน”


“ทำไมคิดแบบนั้น?” ศานนท์เหลือบมองเขา


 ก่อนจะยิ้มมุมปาก เมื่อตุลย์ยักไหล่ราวกับว่าทุกอย่างมันชัดเจนแจ่มแจ้งอยู่แล้ว


“ก็ใช่... ชัดจนเธอดูออกเลยเหรอ?”


“พวกคุณสองคนคุยกัน ปล่อยให้ผมเก้อตั้งนานสองนาน อีกอย่างเธอก็เรียกชื่อเล่นคุณชัดขนาดนั้น เป็นใครก็ดูออกว่าพวกคุณสนิทกัน”


“อือฮึ”


ศานนท์พยักหน้าคล้ายกำลังทำความเข้าใจ

“พูดแบบนี้ แปลว่าฉันทำเธอหึงเปล่า?”


สบกับแววตาขี้เล่นคู่นั้น ตุลย์ก็เค้นยิ้มแล้วเอนหลังพิงผนังลิฟท์


ศานนท์ไม่พูดอะไรแบบนี้มานานแล้ว ...วันนี้นึกยังไงจู่ๆ ถึงอยากหยอกเขาขึ้นมา


“...ก็แล้วถ้าผมหึงล่ะ คุณจะทำยังไงครับ?” 


ถูกหยอกกลับ อีกฝ่ายก็เลิกคิ้วคล้ายไม่เชื่อ “...แต่ถ้าเธอหึงจริงๆ ฉันก็ดีใจ”


“แล้วจะไม่เสียใจที่เล่นกับความรู้สึกผมหน่อยเหรอครับ? ก็คุณเป็นคนทำผมหึงแท้ๆ ฟังแบบนี้แล้วน่าน้อยใจจัง” ตุลย์แกล้งถอนหายใจยาวเสมือนประโยชน์เมื่อครู่ช่างทำร้ายจิตใจ


หนุ่มใหญ่เห็นเข้าก็ส่ายหัวทั้งที่อมยิ้ม


“เธอนี่นะ ตุลย์”


“ก็คุณหยอกผมนี่”


“..........”


คราวนี้ศานนท์หัวเราะ ไม่มีคำตอบ แต่แววตาที่มองกลับมานั้นทั้งขบขันและเอ็นดู ขณะเดียวก็แฝงความรู้สึกล้ำลึกข้างใน


เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการสื่ออะไร แต่สิ่งที่สะท้อนออกผ่านแววตานั้น มันช่างน่ามองและชวนให้รู้สึกอบอุ่นในใจอย่างบอกไม่ถูก...

ติ้ง!


จมดิ่งอยู่ในความคิดชั่วขณะเดียว เสียงลิฟท์เตือนก็ทำให้เขาถอนสายตากลับมา เพียงเสี้ยววินาทีต่อจากนั้น  ประตูก็เปิดออก ตุลย์ผงะผึงเพราะไม่ทันตั้งตัว ก่อนจะถอยหลังกรูดเข้าไปด้านในติดผนังเร็วจี๋ ตอนที่ชายอายุราวสามสิบหอบกระเป่าเอกสารสวนเข้ามา


“ลงชั้นไหนครับ?”


เป็นหนุ่มใหญ่ที่เอ่ยถามอย่างแนบเนียนไร้ที่ติ โดยไม่ลืมส่งส่งยิ้มบางๆ ให้เขา ผ่านเงาสะท้อนที่ฉายชัดบนผนังอลูมิเนียมราวกับรู้ว่ามองอยู่


ตุลย์กรอกตา


แต่ไอ้ที่เขาทำเมื่อกี้ ...มันก็น่าขันจริงๆ นั่นแหละ


พอหวนนึกถึงท่าทางที่ราวกับเด็กซ่อนความผิดจากพ่อแม่ ตุลย์ก็พาลอยากหัวเราะออกมาดื้อๆ สุดท้ายเขาเลยตีเนียนปิดปากไอกลบเกลื่อนไปตามเรื่องตามราว คนอื่นจะได้ไม่ผิดสังเกตุ


ไม่นานลิฟท์ก็ลงมาถึงลาดจอดรถ เท้าเหยียบพื้นปุ๊บ ก็ถูกหนุ่มใหญ่ถามถึงเรื่องมื้ออาหารเป็นอย่างแรก


“มื้อกลางวันนี้เธออยากทานอะไร?”


เขาส่ายหน้าเป็นเชิงว่า ‘อะไรก็ได้ไม่เรื่องมาก’


“คุณเถอะ ไม่ต้องกลับไปทำงานเหรอ?”


ปกติแล้วศานนท์ไม่คนที่มีเวลาเหลือมาเททิ้งเทขวาง


แต่...



“พาเธอหาอะไรกินก่อน เดี๋ยวค่อยกลับ”


“เอางั้นเหรอครับ” เขาเลิกคิ้ว “ถ้าคุณเสียงานเสียการเพราะผมขึ้นมาไม่รู้ด้วยนะ”


“ตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรเสียหายนี่?”


ได้รอยยิ้มมั่นอกมั่นใจเป็นคำตอบแบบนี้ ตุลย์ก็ไม่รู้มัวโอ้เอ้อีกทำไม มื้อกลางวันคราวนั้นจึงจบลงที่ร้านอาหารอิตาเลี่ยนซึ่งอยู่ถัดจากสตูดิโอไปไม่ไกลนัก




...แต่ราวกับว่าจะกลัวเสียงานเสียการเพราะเขาจริงๆ หลังจากที่ศานนท์มาส่งเขาคราวนั้น หนุ่มใหญ่ก็วุ่นกับงานจนแทบไม่มีเวลาว่างอีก ฝ่ายนั้นจึงแก้ปัญหาด้วยการส่งคนมารับเขาที่มหาวิทยาลัยในเย็นวันจันทร์แทน ก่อนจะดิ่งตรงมายังสตูดิโอ


เขามาตามเวลานัดที่รับปากกับซินดี้ไว้ ซึ่งบรรยากาศความเป็นไประหว่างพวกเขาทั้คู่ก็ยังคงตึงเครียดเหมือนครั้งที่แล้วไม่มีเปลี่ยนแปลง


เห็นทีที่ศานนท์พูดจะเป็นเรื่องจริง เพราะพอไม่มีฝ่ายนั้นแล้ว ระดับความฟาดงวงฟาดงาของซินดี้ก็คล้ายจะเพิ่มขึ้นตามเวลาที่เจ้าตัวต้องเหยียบพื้นแผ่นดินผืนเดียวกับเขา


หลังจากดันทุรังให้เขาแก้ท่าโพสอยู่นานครึ่งค่อนชั่วโมง เธอก็หัวเดินกระทืบเท้าตึงตังออกไปสงบสติอารมณ์ ทิ้งช่างภาพและสตาฟไว้กับเขา พอคุมสติได้ก็กลับเข้ามาสอนต่อ แต่ก้นติดเก้าอี้ได้ไม่เท่าไหร่ก็ปรี๊ดแตกอีก


 “โอ้ย! หยุดเลยค่ะ เจ้จะบ้าตายอยู่แล้ว นี่หนูได้เรียนอะไรจากที่ม. มาบ้างคะลูก ทำถึงได้ underqualified ขนาดนี้!”


ว่าพลางก็สับสันพัดจีนที่ถือมาเข้าคู่กับกี่เพ้ายาวใส่โต๊ะเสียงดังตึ่ง


“ฝีมือแบบนี้จะไปถ่ายคู่กับนางแบบคนอื่นได้ไงยะ นี่หล่อนเป็นเด็กคุณศานประสาอะไรเนี่ย!”


ตุลย์ได้แต่ถอนหายใจแรง เอ่ยขอโทษรอบที่สามสี่ร้อยไปตามระเบียบ เพราะตัวเขาเองก็หมดความอดทนทกับการต้องอยู่ภายใต้บรรยากาศเคร่งเครียดที่ทำให้หายใจไม่ทั่วท้องแบบนี้แล้วเช่นกัน


 “เอางี้นะคะ...”


ซินดี้ยกมือกุมหัวก่อนจะหลับตายอมจำนน


“สัปดาห์นี้ไม่ต้องทำมาหากินอะไรกันทั้งนั้น เลิกเรียนแล้วมาหาเจ้ เดี๋ยวจะเริ่มสอนใหม่ตั้งแต่พื้นฐาน ถ้าส่งหล่อนไปถ่ายสัปดาห์หน้าในสภาพแบบนี้ เครดิตเจ้คงได้หลอมละลายหมดภายในวันเดียว เข้าใจมั๊ย!?”


“.......”


ในเมื่อตกปากรับงานมาแล้ว ตุลย์ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากจำใจต้องทิ้งก๊วนเพื่อนไว้ที่ชมรม ส่วนตัวเองก็ขอตัวตรงดิ่งมาที่สตูดิโอทุกเย็น


คงเพราะต้องมาหมกตัวซ้อมอยู่เป็นประจำ โดยมีผู้ร่วมชาตากรรมเป็นช่างกล้องจำเป็นและสตาฟกลุ่มเล็กๆ พวกเขาจึงมีโอกาสได้ทานข้าวเย็นร่วมกันอยู่บ่อยๆ เนื่องจากซินดี้มักสั่งเลิกกองดึกๆ ดื่นๆ


นานวันขึ้นก็เริ่มสนิทกัน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังโดนเธอด่าว่า ‘สอนไม่จำ’ อยู่บ่อยๆ


ทีแรกก็กดดัน แต่พอถูกด่าจนชินหูนานๆ ตุลย์ก็ไม่ค่อยได้เก็บมันมาคิดนัก จนกลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญในชีวิตประจำวันๆ หนึ่ง... เรียกว่าถ้าไม่โดนเธอด่า ก็เหมือนมาไม่ถึงสตูดิโอ





“ไปลองเสื้อตัวนี้ออกมาแล้วถ่ายให้เจ้ดูหน่อย”


วันดีคืนดี จู่ๆ ซินดี้ก็ยื่นเสื้อฮู้ดหนังสีดำให้อย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ตอนที่ตุลย์เพิ่งปลดกระเป๋าโยนปุ๊บนเก้าอี้อย่างคนเพิ่งมาถึง


“วันนี้จะถ่ายธีมนี้เหรอครับ?”


ซินดี้ไม่ตอบ แค่พยักหน้า “ไปๆ รีบๆ ลอง เจ้นั่งรอหล่อนจนรากจะงอกละย่ะ!”


ถูกเธอเร่ง ตุลย์ก็รับเสื้อมาสวมทับอย่างไม่ค่อยเข้าใจอะไรนัก


แต่จากประสบการณ์ที่อยู่กับเธอมาเกือบครบสัปดาห์ เขาก็ได้เรียนรู้ว่า ...บางครั้งไม่ต้องเข้าใจก็ได้


“ช่างกล้องเตรียมพร้อมนะคะ?”


ซินดี้กวาดสายตาเช็คทุกอย่างเป็นครั้งสุดท้าย พอเขาเข้าเฟรม และช่างกล้องให้สัญญาณ เธอก็พยักหน้า


“สาม สอง หนึ่ง เริ่มค่ะ”


การถ่ายเริ่มต้นขึ้นเหมือนทุกวัน โดยที่ทุกคนต่างต่างรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเอง ตุลย์ขยับตัวไปเรื่อยๆ และหยุดเป็นพักๆ เพื่อให้ช่างภาพได้เก็บภาพของเขา ขณะที่ใช้เสื้อผ้าเป็นลูกเล่นสอดรับกับท่าทางต่างๆ


สิ่งที่น่าแปลกใจคือมันปราศจากเสียงตำหนิ... ซินดี้เพียงแค่มองการเคลื่อนไหวของเขาไปเรื่อยๆ ราวกับผู้ชมที่กำลังชมภาพยนต์ ไม่มีการพูดขัด จนกระทั่งภาพเซ็ตแรกจบลง เธอจึงเข้ามาเลื่อนดูภาพจากช่างกล้องที่ฉายขึ้นจอใหญ่


“โอเค วันนี้พอแค่นี้แหละ” ซินดี้โบกมือบัดเป็นสัญญาที่ทุกคนเข้าใจดีว่าเลิกกอง


...ซึ่งนั่นทำให้ตุลย์ขมวดคิ้ว


“วันนี้มีตรงไหนไม่โอเคหรือเปล่าครับ?”


“ไม่” ซินดี้ตอบกระชับ แต่พอเขายืนละล้าละลัง เธอก็ถลึงตาใส่ “จะยืนรออะไรล่ะยะ เลิกกองแล้ว! ไปเก็บของสิ จะได้กินข้าว ไม่มีตรงไหนต้องแก้ I’m satisfied, you know?”


พูดจบก็เดินหนี


 “เอ้า! จะตามมาก็ตาม เจ้สั่งพิซซ่าไว้ที่ออฟฟิศ ให้เด็กเอาขึ้นมาละ ใครจะกินก็ไปกินที่ออฟฟิศแล้วกัน ช้าอดหมดนะยะ”


สิ้นเสียงเธอทั้งกองก็ฮือฮา ก่อนที่ทุกคนจะเริ่มทิ้งข้าวของ แห่ตามหลังเธอกลับออฟฟิศกันอย่างเร็วเหมือนฝูงอีแร้งลงซากวัวชนิดที่แทบหายวับในพริบตา


หลังจากที่หยิบกระเป๋า ตุลย์ก็ตามทุกคนกลับไปที่ออฟฟิศประจำ


แต่พอเปิดประตูเข้ามา เขาก็เจอกับซินดี้ที่กำลังจ้องเขม็งรออยู่ พลางชี้นิ้วใส่โซฟาฝั่งตรงข้ามยิกๆ


“มานั่งๆ”


“ทำไมเหรอครับ?”


“ทำไมอะไรยะ อุตส่าห์เป็นโค้ชให้ขนาดนี้ ฉันจะอยากรู้เรื่องส่วนตัวหล่อนบ้างไม่ได้หรือไงห๊ะ?” ซินดี้ยืนกรานด้วยสีหน้าประหนึ่งนางยักษ์


ที่นั่งตรงอื่นก็เต็มหมดแล้ว ครั้นจะให้เขายืนเก้อก็เสียมารยาทเกินไป ตุลย์จึงจำใจนั่งลงอย่างเสียไม่ได้ ครั้นพอก้นเขาแตะเก้าอี้ปุ๊บ เธอก็ยิงคำถามใส่


“เธอรู้จักกับคุณศานมานานแล้วเหรอ”


“ไม่ครับ แค่ประมาณสามสี่เดือน”


เธอพยักหน้าเข้าใจ “แล้วไปเจอกันได้ยังไงล่ะเนี่ย”


“เขาช่วยผม”


“ช่วยอะไร เรื่องเงินเหรอ?”


“ครับ”


“แปลว่าหล่อนร้อนเงินเหรอ?”


ซินดี้เลิกคิ้ว ปากก็เคี้ยวพิซซ่าหมุบหมับพลางๆ


 “แล้วตอนนี้อยู่ในสถานะแบบไหนกับเขาล่ะ?”


“แล้วคุณเป็นอะไรกับคุณศานนท์ล่ะครับ คุณถึงได้อยากรู้” ตุลย์ย้อน เมื่อคำถามมันชักจะซอกแซกเรื่องส่วนตัวเกินเหตุจนเขาเริ่มอารมณ์เสีย


“ก็เขาเป็นคนที่ฉันปลื้ม จะสาระแนบ้างไม่ได้หรือไงล่ะ”


“.......”


ประโยคอันแสนจะมั่นใจนั้น ทำเอาตุลย์พูดต่อไม่ออก

“แต่ฉันไม่แข่งกับหล่อนหรอกย่ะ เพราะถ้าแข่ง หล่อนก็แพ้ไปนานแล้ว” เธอป้องปากหัวเราะเสมือนว่าได้ชนะตั้งแต่ยังไม่เริ่มเกม แล้วหยิบขวดชาสำเร็จรูปที่วางไว้ข้างๆ มารินใส่แก้ว


“ตอนนี้ฉันอยากรู้ชีวิตความเป็นไปของหล่อน”


“ผมก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องคู่แข่ง” ตุลย์ตอบตามจริง


เขาไม่มีความรู้สึกพิเศษอย่างที่เรียกว่า ‘รัก’ต่ออีกฝ่าย มันเป็นแค่การแลกเปลี่ยนความพึงพอใจระหว่างคนสองคน


ดังนั้นไม่ว่าศานนท์จะมีเด็กซุกไว้อีกกี่สิบคน หรือจริงๆ สัปดาห์นี้ เจ้าตัวจะโกหกว่าติดงานเพื่อหนีไปนั่งแอ้วสาวโดยเฉพาะ มันก็ไม่ใช่กงการอะไรของเขาอยู่ดี


“หือ แน่เหรอยะ?” ซินดี้เลิกคิ้วเหมือนไม่เชื่อ


“คุณศานน่ะออกจะดีเพรียบพร้อม ทั้งนิสัยทั้งฐานะ ถึงจะติดตรงหน้าจืดกับไม่ค่อยดูแลตัวเองไปหน่อย ...แต่ใครจะไปสนใจเรื่องนั้นในเมื่อเขาเป็นสุภาพบุรุษแล้วก็รวยขนาดนั้น”


“......”


“หล่อนน่ะมันร้ายที่จับเขาได้ โดนเทเมื่อไหร่น้ำตาจะเช็ดหัวเข่า”


พูดจบเธอก็จิ๊ปากแล้วหันไปดื่มชา ถึงจะบอกว่าไม่ใช่คู่แข่ง สายตาที่มองก็แสดงความอิจฉาไม่ปกปิด


ซินดี้อยากจะเป็นอะไรกับศานนท์ก็ช่างเถอะ เขาไม่ค่อยอินกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ อะไรของเธอหรอก


แต่พอพูดถึงหนุ่มใหญ่แล้ว ตุลย์ก็นึกได้ว่ายังมีอีกอย่างที่เขาข้องใจ


“เมื่อกี้คุณบอกว่าคุณศานนท์มีฐานะ” เขาท้าวความ “แล้วเงินที่ว่า ...เขาได้มาจากงานแบบไหนเหรอครับ”


“อะไรยะ หล่อนไม่รู้เหรอ!?” ระดับเสียงของเธอแทบจะเข้าขั้นอุทาน


 ตุลย์แค่ส่ายหน้า พลางหวังว่ามันจะไม่ใช่เรื่องต้องห้ามอะไรที่เขาไม่ควรสาระแน


“แสดงว่ายังไม่เคยตามเขาไปออฟฟิศล่ะสิ”


เธอถอนหายใจเอือมๆ ราวกับจะด่าว่า ‘นังเด็กนี่ช่างโง่เขลาเบาปัญญา’  ก่อนจะยัดขวดชาใส่มือเขา


“รู้จักไอ้นี่มั้ย”


ตุลย์พิจารณาขวดชาสำเร็จรูปในมือซึ่งมีตราดอกไม้ขาวอยู่บนฝา ยี่ห้อนี้มักจะพบได้บ่อยๆ ตามร้านสะดวกซื้อ ซึ่งแม้แต่เขาเองก็เคยซื้อดื่ม


“ครับ”


“ก็ไอ้นี่หล่อนถืออยู่นั่นแหละ คือโปรดักส์ของคุณศานเขา”


“คุณหมายถึงเจ้าของชา...?”


ห๊ะ?


ตุลย์ยิ่งคิดก็ยิ่งขมวดคิ้ว เขามองหน้าซินดี้อยู่นานราวกับเพิ่งถูกหลอกด้วยคำโป้ปดที่เป็นไปไม่ได้


เขารู้ว่าอีกฝ่ายมีฐานะก็จริง แต่คิดว่าเป็นธุรกิจขนาดกลาง ไม่ใช่ของที่ทำรายได้ปีละหลายพันล้านแบบนี้! แปลว่าตลอดเวลาที่สามสี่เดือนที่ผ่านมานี้ เขาใช้อยู่กับคนที่มีเงินมหาศาลพอจะเอาไปโปรยทิ้งในแม่น้ำเล่นได้งั้นเหรอ!?


คิดถึงวีรกรรมที่เคยทำ ตุลย์ก็พาลหนาวสันหลังขึ้นมาดื้อๆ


และราวกับรู้ว่าเขายังไม่อยากเชื่อ...


“โน่น”


เธอชี้ไปยังมุมห้องซึ่งมีชาอยู่อีกหลายลัง ส่วนข้างๆ นั้นคือน้ำดืมยี่ห้อหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนแคมเปญถ่ายภาพจะที่เริ่มขึ้นในสัปดาห์หน้า


 “พวกนั้นคือบรรณาการจากสปอนเซอร์ กินกันจนเป็นเบาหวานตายได้สิบชาติ”


เห็นแล้วก็ได้แต่เก็บความรู้สึกตื่นตะลึงที่ตีกันจนมั่วไว้ในใจ


แบบนี้เหรอ สปอนเซอร์ที่ศานนท์พูดถึง...


“ทีนี้เข้าใจหรือยัง ไอ้คำว่ารวยที่ฉันหมายถึงน่ะ?”


---------------------------
กลับมาแล้วค่าทุกคนนน สงกรานต์ที่หายวับไปเลยเพราะ ปั่นหนูตุลย์คู่กับ CV 5555+
เส้นทางความเป็นผู้ใหญ่นี่มันลำบากจริงๆ อยากกลับไปเป็นเด็กไม่รู้จักโตเกาะขาพ่อแม่ #โดนต่อยเพราะเป็นปลิง :hao5:

ทีนี้เราก็เฉลยความลับหนึ่งอย่างของลุงกันไปแล้ว มีความลับอีกหลายอย่างเลยล่ะค่ะ สำหรับคาแรกเตอร์ของศานนท์
มีใครรู้สึกหรือเปล่าว่าโปรไฟล์ลุงนี่ไม่หรูหราฟู่ฟ่าเหมือนเสี่ยคนอื่นเลยน้า! อย่างเพิ่งย่ามใจค่ะ 555+ ตอนหน้า(ตอนที่ 16 เด้ออ ไม่ใช่ 15.2 แฮร่!) :hao7:
พบกับการไล่ล่า(?) จะมันส์หรือจะกร่อยต้องรอดู
แต่งานนี้มีวิ่ง มีปืน มีดริฟท์รถ 5555+

นี่เมลล่าพานักอ่านไปจักรวาลคู่ขนานหรือไงเนี่ย ถถถถถ
ส่วนสำหรับเรื่องภูมิหลังของลุง ขอให้ดูกันไปยาวๆ ค่ะ ลุงมีเหตุผลน้า ที่ทำไมไม่ขับสปอนท์หรูๆ แพงๆ เฟี้ยวฟ้าว หรือซื้อคฤหาสเลี่ยมทองแพงๆ #โดนต่อย
แต่ตัวเหตุผลก็ไม่ได้พิเศษอะไรมากค่ะ เพียงแต่มันมีเบื้องหลังอยู่ อิอิ #ลุงปลงแล้ว

สุดท้ายขอบคุณนักอ่านทุกท่านมากค่ะ รบกวนฝากเพจเช่นเคย
https://www.facebook.com/Iamcaramella (https://www.facebook.com/Iamcaramella)
แล้วจะรีบกลับมาต่อเจ้าค่ะ
เมลล่าต้องไปเตรียมตัวสัมภาษณ์ก่อน สวัสดีสงกรานต์ย้อนหลังค่ะ  :mew1:


Edit: แก้ไขข้อมูลตามคอมเม้นท์ที่ 291 (คุณ alternative)แล้วเจ้าค่าา
เนื่องจากเมลล่าไม่มีความรู้ด้านนี้เลย หากพบจุดไหนที่ไม่สมเหตุสมผล ไม่สนุก หรือคิดว่ายืดไป
สามาถท้วงเมลล่าได้เลยค่า
 กราบขอบพระคุณอีกรอบ
  :katai5:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (19.04.18) Night 15th l 15.1 สปอนเซอร์ P.10 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 19-04-2018 01:32:55
 :pig4: :pig4: :pig4:

พอบอกว่าลุงเป็นเจ้าของน้ำใส่สีใส่กลิ่นใส่น้ำตาลแล้วเนี่ย  อิมเมจคนนั้นก็มา  ตาย ๆ รับไม่ได้
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (19.04.18) Night 15th l 15.1 สปอนเซอร์ P.10 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 19-04-2018 11:29:07
เจ้าของกิจการพันล้าน น้ำหวานดอกเก็กฮวย เสี่ยน่าจะหล่อบ้างล่ะ มองบางมุม
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (19.04.18) Night 15th l 15.1 สปอนเซอร์ P.10 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 19-04-2018 15:05:07
เจ้ซินสอนตุลย์แบบคนมีความอิจฉาในใจ หรือเจ้เกรี้ยวกราดเป็นปกติอยู่แล้วกันเนี่ย
ที่แน่ ๆ น้องตุลย์น่วม ฮ่า ๆ ๆ ๆ

รอลุ้นระทึกกับการไล่ล่า (เอ๊ะ! คุณศานไล่ล่าน้องตุลย์ป่ะ ฮ่า ๆ ๆ ๆ)

ปล. 1 "ออฟฟิศ" สะกดแบบนี้ค่ะ
ปล. 2  ขออนุญาตให้ข้อมูลเพิ่มเติมนะคะ ตลาดชาพร้อมดื่มต่อปี 2560 มีมูลค่า 14,000 - 15,000 ล้านบาท  (ทุกยี่ห้อรวมกันนะ) และตลาดน้ำดื่มบรรจุขวดมีมูลค่า 40,000 ล้าน ดังนั้นรายได้ของคุณศาน (ถ้าเป็นรายยิบย่อย) น่าจะมากกว่า "เกือบร้อยล้าน" ไปเป็น "หลายร้อยล้าน" ส่วนกำไร (ซึ่งจะเป็นรายได้จริง ๆ เขากระเป๋าส่วนตัวคุณศานแบบที่เหลือจากหักต้นทุนนู่นนี่แล้ว) อาจจะหลักหลายสิบล้านหรือร้อยล้านต้น ๆ  ค่ะ  ฝากไว้พิจารณาเพื่อความสมจริงค่ะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (19.04.18) Night 15th l 15.1 สปอนเซอร์ P.10 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: ANIKI. ที่ 19-04-2018 17:16:52
โอ้โห รวยแบบ ไม่ลืมหูลืมตาเลยคุณผู้ชม
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (19.04.18) Night 15th l 15.1 สปอนเซอร์ P.10 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: benicezii ที่ 19-04-2018 20:12:32
ทำไมแว๊บแรกนึกถึงคุณตัน 555555
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (19.04.18) Night 15th l 15.1 สปอนเซอร์ P.10 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 19-04-2018 20:35:27
บอกว่าเฮียขายสาหร่ายทอดยังจะดูดีกว่าขาย
 น้ำชาดอกไม้ขาวนะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (25.06.18) Night 15th l 15.2 (100%) P.10 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 25-06-2018 21:53:02
TALK:
รู้สึกวรั้ยยยยย สุดๆ เรื่องอิมเมจคุณศานนท์ 55555
ตอนนี้แรกเมลล่าไม่ได้คิดถึงคุณ ต. เลย พอนักอ่านพูด คิดตาม ทีนี้ฮาเฉยยยย 5555555+ นั่งหัวเราะอยู่คนเดียว
ตอนแรกนึกนานมาก ว่าจะเลือกธุรกิจอะไรดี ขนม ปากกา ตู้เย็น ยางลบ น้ำเปล่า คิดไปคิดมากลัวว่าทุกคนจะนึกภาพตามลำบาก (ไม่รวมน้ำเปล่าค่ะ น้ำเปล่านี่กลัวจะรวยเกินไป เพราะตัวเมลล่าเองก็ซื้อเยอะม๊วกกกเวลาไปข้างนอก ขวดนี่เรียงตั้งเต็มบ้าน ทำลายโลกสุดๆ ฮื่อออ)
สรุปสุดท้ายก็เอ้อ ชาละกัน เข้าใจง่ายดี ไม่ได้นึกว่าทุกคนจะนึกไปถึงคุณต. จริงๆ แต่ก็นับว่าชาเลนช์ดีค่ะ อิอิ เข้าคอนเซ็ปต้นเรื่องว่าถ้าเสี่ยไม่เฟอเฟค เนื้อเรื่องจะถูไถไปต่อได้มั้ย

ขอโทษที่หายไปนานนะคะ ว่าจะมาตั้งนานแล้ว แต่เมลล่าดันบิ้วไม่ขึ้น เขียนยังไงก็ยังรู้สึกว่าคสพ. หนูตุย์กับคุณลุงศาน ไม่บรรจบกันสักที ตอนนี้เขียนไว้ถึง 16.1 ขัดเสร็จน่าจะลงต่อได้พรุ่งนี้เลย
ด่าได้เจ้าค่ะ เมลล่าจะได้ขยัน เวลาไฟลน ถถถถ

ไม่พูดมากแล้วค่ะ ขอบคุณทุกคนที่ให้คำแนะนำนะคะ เมลล่าแก้ไขตอนที่แล้วเรียบร้อย สามารถติติงได้เรื่อยๆ หากคิดว่าไม่สมเหตุผล หรือเรื่องยืดไป ขอบคุณม๊วกๆ ค่า
-----------------------------------------------------------


15.2


 “ที่คุณซินดี้เล่ามา... เป็นเรื่องจริงเหรอครับ?”


สบโอกาสที่ศานนท์ท้าวความถึงเรื่องถ่ายแบบ ตุลย์ก็ยิงคำถามใส่คนขับทันที


เวลาที่ไม่ค่อยตรงกันทำให้พักนี้พวกเขาทั้งคู่ได้คุยกันไม่บ่อย ศานนท์ยุ่งอยู่กับเรื่องงาน ส่วนเขาก็วุ่นอยู่กับการเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับงานถ่ายแบบ ซินดี้จะได้ไม่ต้องขายหน้าทั้งในฐานะที่เขาเป็นที่เด็กเส้นเข้ามา และเด็กปั้นของเธอ


ส่วนเขากับศานนท์ จะได้เจอหน้ากันทีก็ดึกดื่น สวนกันตรงบันไดบ้าง หรือในห้องรับแขกบ้างตอนที่นึกอยากหาอะไรใส่ปากรอบดึก ซึ่งส่วนใหญ่ก็แค่ทักทายกันเป็นประโยคสั้นๆ


วันนี้เป็นงานถ่ายจริงวันแรกของตุลย์ ซึ่งตามคอนเซปต์ที่นิตยสาร จำเป็นจะต้องมีนางแบบนางและนายแบบคนอื่นๆ นอกจากเขาร่วมถ่ายด้วย คิวงานจึงยืดเยื้อจนปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน ปกติแล้วศานนท์จะให้คนมารอรับ แต่คราวนี้จังหวะเลิกเหมาะเจาะกับเวลาที่หนุ่มใหญ่เพิ่งออกจากบริษัทพอดี ฝ่ายนั้นจึงอาสามารับเขาด้วยตัวเอง


 “ใช่...” ศานนท์ตอบสั้นๆ


“แต่คุณไม่เห็นเคยบอกผม”


“ก็เธอไม่ค่อยถามถึงเรื่องของฉันนี่ ฉันเลยไม่คิดว่าเธอจะสนใจ”


น้ำเสียงไม่ใส่ใจทำเอาตุลย์ไหวไหล่ “สรุปว่าความผิดผมล่ะสิ”


“เปล่า ไม่ได้โทษเธอสักหน่อย”


คงจะชินกับวิธีพูดกึ่งประชดเสียแล้ว ใบหน้าศานนท์ถึงได้ปรากฏรอยยิ้มขบขัน


“ก็ใช่ ฉันเป็นเจ้าของชา ทำไมล่ะ ฉันดูไม่เหมือนเหรอ?”


“ก็ไม่เชิง...”


“ไม่เชิงยังไง?”


 ถูกถามแบบนี้ ตุลย์ก็เอนหลังพึงเบาะ นึกย้อนไปถึงความรู้สึกตอนที่เดินเข้าบ้านเจ้าตัวครั้งแรก


จริงอยู่ที่บ้านของศานนท์ถูกออกแบบและตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์อย่างดีชนิดที่ว่า ต่อให้เขาไม่ใช่สถาปนิกก็เดาออกว่าราคาเบ็ดเสร็จคงไม่ต่ำกว่าสามสิบล้านเป็นอย่างน้อย ไหนจะโรงจอดรถที่เป็นส่วนต่อเติม สระน้ำพุสี่เหลี่ยมผืนผ้าตรงสวนหลัง และความจริงที่ว่าบ้านหลังนี้ตั้งอยู่บนทำเลราคาแพงอีก


เขารู้ว่าศานนท์เป็นคนมีฐานะตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น เป็นสุภาพบุรุษ และแน่นอนว่าบางครั้งก็เป็นจอมฉวยโอกาส


เพียงแต่ไม่เคยคิดว่า คนที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านหลังละร้อยกว่าล้านทั้งที่หาเงินเหล่านั้นได้ในเวลาไม่กี่เดือน ไม่มีรถสปอร์ตจอดไว้เป็นคอลเลกชั่นในบ้าน แถมยังทำงานไปกลับหลายๆ วัน มันช่างดูเลือนรางเกินกว่าจะเชื่อว่าอีกฝ่ายเป็นเจ้าของธุรกิจที่กุมอำนาจทางการเงินมากมายมหาศาลขนาดนั้นเสียเหลือเกิน


แต่จะให้ตอกหน้าอีกฝ่ายว่า ‘ไม่อยากจะเชื่อ’ หรือ ‘คุณต้องล้อผมเล่นแน่’ เขาก็ไม่ขอเสี่ยงชีวิต


“คุณก็แค่... ไม่เหมือนที่ผมจิตนาการเอาไว้เท่าไหร่”
 

ตุลย์เลือกตอบอย่างคลุมเครือแทน ความเงียบโรยตัวอยู่ชั่วครู่หลังสิ้นประโยค จวบจนกระทั่งได้ยินเสียงหัวเราะในคอแกมขบขันระคนเอ็นดูจากเจ้าของรถเมื่ออีกฝ่ายทำความเข้าใจนัยยะที่เขาสื่อ


“เธอหมายถึงเรื่องที่ฉันไม่มีคฤหาสน์ใหญ่ๆ รถหรูๆ อย่างลีมูซีน หรือ สปอร์ตคาร์จอดเก็บไว้ ไม่มีบอดี้การ์ดเพ่นพ่านตอนกลางคืนเหมือนในหนังน่ะเหรอ?”


“......”


ตุลย์ได้แต่ถอนหายใจเนือยๆ


เขาอุตส่าห์สรรหาพูดให้มันพูดดูน่าอายน้อยลงสำหรับทั้งสองฝ่ายแล้วแท้ๆ!


หัวเราะจนพอใจ หนุ่มใหญ่ก็พูดต่อ


“จริงๆ แล้ว ฉัน ‘เคย’ มี แต่ว่าส่วนใหญ่ปล่อยขายไปหมดแล้ว...”


“ทำไมล่ะครับ”


รอยยิ้มบนเสียวหน้าเจือริ้วรอยคลายลง

“ฉันแค่ไม่อยากเก็บไว้ ...ก็ถ้าการเก็บอะไรสักอย่างไว้มันทำให้เธอนึกถึงเรื่องแย่ๆ ในอดีต เธอก็คงไม่อยากเห็นมันหรอกจริงมั้ย?”


“.........”


คำตอบกว้างๆ ทำให้ตุลย์ไม่อยากซักต่อ ด้วยกลัวว่าจะเผลอไปเหยียบปมอะไรของอีกฝ่ายเข้า เพราะสำหรับคนที่เคยตัดใจ ‘ทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง’ อย่างเขา ย่อมเข้าใจความรู้สึกเหล่านั้นดี...


“ว่าแต่เธอเถอะ อยากได้อะไรหื้ม ถึงได้ถามถึงเรื่องนี้?”


ศานนท์ปรายตามองเขาสลับกับถนน “รถ หรือว่าอยากได้เงินไปลงทุนอะไร?”


ประโยคที่ฟังดูเข้าข่ายสถานการณ์ ‘อาเสี่ยเปย์เด็กเลี้ยง’ ทำเอาตุลย์ได้แต่โบกมือไหวๆ ทันที


“ผมไม่มีหัวเรื่องธุรกิจ ไม่มีใบขับขี่ แล้วก็ห่วยเรื่องขับรถ แต่ก็นะ ถ้าคุณอยากหาเรื่องจ่ายเบี้ยประกันเล่นๆ ผมก็ไม่เกี่ยง”


“ไม่มีหัวด้านนี้ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรนี่ เงินแค่นิดๆ หน่อยๆ เธอเอาไปลองทำไรใหม่ๆ ดูก็ได้ ส่วนเรื่องรถ เสาร์อาทิตย์นี้ค่อยไปดูกับฉันสักคัน”


สีหน้าและน้ำเสียงของศานนท์ที่จริงจังเหมือนแยกเรื่องจริงกับมุกตลกบริโภคไม่ออก ทำเอาตุลย์ต้องสะกิดไหล่อีกฝ่ายให้หันมาคุยแบบสบตา


“ผมพูดเล่นครับ ไม่เอารงเอารถอะไรทั้งนั้น ผมขับไม่เป็นและผมไม่ขับ แต่ถ้าคุณจะกรุณา ผมก็ขอแค่คนขับรถ ซึ่งคนขับรถก็มีอยู่แล้ว”


ตุลย์สรุปรวบรัดเสร็จสับ เป็นจังหวะเดียวกับที่หนุ่มใหญ่เหยียบเบรกทำให้รถที่เคลื่อนตัวช้าเพราะการจราจลอยู่แล้ว หยุดลงเพราะติดแยกไฟแดง


“แต่ฉันมี...”


“โอเคผมรู้ว่าคุณมีเงิน คุณรวย คุณเป็นเจ้าของชา... คุณซินดี้ก็พูดแบบนั้น” ว่าไปพลางก็พยักหน้าอือออขอไปที “แต่ผมยังไม่อยากได้ค่าขนมไปลงทุน หรือ ซื้อของเล่นใหม่ตอนนี้ เอาเป็นว่า ไว้ถ้าผมอยากได้จะบอกคุณเป็นคนแรกเลย ผมสัญญา”


 หนุ่มใหญ่เผยรอยยิ้มขบขับเมื่อมันฟังดูเหมือนประโยคที่ใช้เกลี้ยกล่อมเด็กเล็ก “คนแรก?”


“ครับ คนแรก ไม่บอกใครก่อน”


“.......”


ชั่วอึดใจที่สบสานกับแววตาสงบนิ่งอันแฝงด้วยนัยยะ แต่ปราศจากการบีบบังคับ เขาก็เข้าใจได้ไม่ยากว่าศานนท์กำลังเรียกร้องให้จูบ


ตุลย์ขยับเอนกายเข้าหาหนุ่มใหญ่ ก่อนจะเอียงศีรษะ โน้มริมฝีปากจรดกลีบปากอีกฝ่าย แล้วดูดดึงเบาๆ ให้เกิดเสียง หากวินาทีต่อมาก็รู้สึกราวกับร่างถูกไฟฟ้าช็อต ตอนที่ศานนท์ดึงมือไปกุม ก่อนที่กระแสความรู้สึกนั้นจะแล่นวาบไปทั้งกาย เมื่ออีกฝ่ายสอดนิ้วเข้ามาประสานเกี่ยวฝ่ามือไว้ แล้วจูบตอบอย่างอ่อนโยน


สัมผัสนั้นลึกซึ้ง และไม่คุ้นเคย ราวกับเขากำลังชักจูงให้หลงเข้าไปในห้วงอารมณ์ที่ลุ่มลึกจนไม่อาจเข้าใจ


“คุณ...”


ตุลย์ผละออกจากหนุ่มใหญ่ เมื่อจังหวะลมหายใจเริ่มเปลี่ยน ประกอบกับรถข้างหน้าบางส่วนเคลื่อนตัวแล้ว ศานนท์ก็จำใจต้องหันกลับไปจับพวกมาลัยบังคับรถต่ออย่างเสียไม่ได้


ตุลย์เบนสายตาออกนอกกระจก เปลี่ยนมาเท้าคางกับที่พักแขน เลี่ยงบรรยากาศกระอั่กกระอั่วที่เริ่มก่อตัวขึ้นเพราะความเงียบ


แต่ไม่ทันไร หนุ่มใหญ่ก็เรียกชื่อเขาอีก


“ครับ?” ตุลย์กลับไปหาเจ้าของเสียง


“ช่วงนี้เธอติดอะไรหลังเลิกเรียนหรือเปล่า?”


“อืม... ก็มีงานถ่ายแบบของคุณ กับกิจกรรมที่มหาลัยนิดหน่อย”


ศานนท์เงียบ สีหน้าจริงจริงคล้ายกำลังประเมินคำตอบเขา “...ถ้าเป็นไปได้ช่วงนี้ฉันอยากให้เธอกลับบ้านหลังจากเลิกเรียน หรือถ้าจะไปไหน ฉันก็อยากให้เธอแจ้งฉันก่อน”


“ทำไมเหรอครับ?”


“ฉันมีปัญหากับลูกค้าเก่านิดหน่อย เลยอยากให้เธอระวังตัว เพราะฉะนั้นช่วงนี้ฉันจะให้คนคอยดูแลรับส่งหลังเลิกเรียนไปก่อน ตกลงมั้ย?”

เขาแค่พยักหน้า “ครับ ตามใจคุณเถอะ”


ยังไงเสียทุกวันนี้ เขาก็มีคนของศานนท์คอยมารับมาส่งเวลาที่หนุ่มใหญ่ไม่ว่างอยู่แล้ว หากอีกฝ่ายจะเปลี่ยนแปลงลายละเอียดยิบย่อยในชีวิตประจำวันเขาอีกสักหน่อย ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่ตุลย์ต้องเกี่ยง


ขอแค่ศานนท์ไม่บีบให้เขาตัดสินใจเลือกในสิ่งที่ไม่ชอบ เท่านั้นก็น่าจะเพียงพอแล้ว

------------------------------
หมดเรื่องจะพูดแล้ววว อิอิ
ครึ่งตอนต่อไปมาดูกันว่าคุณศานจะทำอะไรกับชีวิตประจำวันของหนูตุลย์
มีตัวละครใหม่ด้วยหนา 555+ (สปอยล์งานตัวเองเหมือนขายของ)
เมลล่าเขียนไว้แล้วพยายามขัดให้เสร็จพรุ่งนี้
ฝากเพจที่ :  https://www.facebook.com/Iamcaramella/ (https://www.facebook.com/Iamcaramella/)
ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามค่ะ
กาบแบบเบญจางค์รัวๆ 

หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (25.06.18) Night 15th l 15.2 (100%) P.10 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 25-06-2018 22:09:36
นึกว่าไรท์ทิ้งไปซะแล้ว
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (25.06.18) Night 15th l 15.2 (100%) P.10 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 25-06-2018 23:25:01
ขอบใจหลายๆ ที่ยังเขียนต่อ รักหนูตุลย์
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (25.06.18) Night 15th l 15.2 (100%) P.10 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 25-06-2018 23:41:59
 :pig4: :pig4: :pig4:

เห็นชื่อเรื่อง  เปิดดูทู้ล่าสุด   อุต้ะ   หายไปนานหลายเดือนเชียว   เกือบลืมไปแล้วว่ามีเรื่องนี้อยู่ในลิสต์ที่อ่าน

ขอต้อนรับการกลับมาโพสต์นาจา
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (26.06.18) Night 16th l 16.1 หลบหนี P.10 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 26-06-2018 20:25:44
16th Night : หลบหนี


กริ่นกรุยทางไว้กับตุลย์เรียบร้อย เช้าวันถัดมา ศานนท์ก็สั่งเปลี่ยนคนขับรถของเขาทันที ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะยุ่งและออกไปตั้งแต่ช่วงสาย


ส่วนเขาที่มีเรียนแค่คาบบ่ายก็นั่งดูทีวี หาอะไรใส่ปากพลางๆ รอจนได้เวลาที่นัดไว้ ก็คว้ากระเป๋าออกจากบ้าน


ซีดานสีเทามันยี่ห้อดังจอดรออยู่ด้านหน้าแล้ว ที่ตุลย์ต้องทำก็แค่สอดตัวเข้าไปนั่งตรงเบาะหลังอย่างทุกวัน


“เชิญครับ วันนี้ให้ไปส่งที่ไหนดีคร้าบ คุณหนู?” ไม่ทันที่มือจะกระแทกประตูปิด น้ำเสียงขี้เล่นของผู้มาใหม่ก็ทำเอาเขาชะงัก


“ครับ?”


“ก็เผื่อว่าคุณหนูอยากโดดเรียนไง”


คำตอบนั้น ทิ้งให้ตุลย์เลิกคิ้วค้างอยู่เบาะหลัง


...ปกติแล้วคนขับที่ศานนท์ส่งมา โดยมากมักไม่ค่อยยอมสนทนากับเขาตรงๆ หรือหากจำเป็นต้องถาม คำถามส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นทางการเสียจนชวนให้กระอักกระอ่วนอยู่บ่อยๆ ปกติตุลย์จะแก้ปัญหาด้วยการใส่หูฟัง นั่งเล่นโทรศัพท์ หรือไม่ก็พิงกระจกหลับไปดื้อๆ


แต่เหมือนจะไม่ใช่กับวันนี้


“สรุปว่าไปไหนดีครับ เที่ยวทะเล เดินห้างช็อปปิ้ง หรือว่าทานข้าวดี”


เพราะมองหน้าคนขับผ่านกระจกส่องหลังไม่ถนัด ประกอบกับกระแสเสียงของฝ่ายปราศจากความเป็นทางการที่มักชวนให้เขาทำตัวไม่ถูก ตุลย์จึงถือวิสาสะคว้าไหล่เบาะ ชะโงกหน้าผ่านช่องที่พักแขนคนขับ ถามอย่างอดไม่ได้


“ไม่ใช่ว่าคุณศานนท์ให้คุณคอยเช็คว่า ผมไปเรียนมั้ย กลับบ้านตรงเวลาหรือเปล่าเหรอครับ?” 


“ใช่ที่ไหนเล๊า” ว่าไป ฝ่ายนั้นก็ตบพวงมาลัยดังแปะ “เสี่ยก็แค่ให้ผมมาคอย ‘ดูแล’ คุณ ไม่ได้บอกว่าคุณห้ามโดดเรียน ห้ามไปเที่ยว ห้ามไปเถลไถลที่ไหนสักหน่อย”


“แล้วถ้าผมโดดเรียน ไปเที่ยวผับแทน คุณก็รายงานคุณศานนท์อยู่ดีไม่ใช่เหรอครับ”


“เอ้า ก็ไปอย่าให้เสี่ยจับได้สิครับคุณ”


ตุลย์มองชายอายุราวสามสิบต้นๆ ผิวคล้ำกร้านแดดปานกลาง ท่าทางดูทะมัดทะแมงสมบุกสมบันเกินกว่าจะมานั่งขับรถ ก่อนจะหลุดหัวเราะเมื่ออีกฝ่ายยักคิ้ว ไขว้นิ้วให้เป็นสัญญาณว่า จะไม่บอกหนุ่มใหญ่ถ้าเขาไปแบบเงียบๆ


“นี่สรุปว่าคุณมาดูแลผมหรือมาชวนผมโดดเรียนกันแน่ครับ?”


“ผมก็แค่แนะนำ ไม่ได้บอกให้ทำตามสักหน่อยนี่นา” ชายหนุ่มไหวไหล่


ท่าทางไม่ถือตัวเป็นกันเองนั้น ชวนให้นึกถึงบรรยากาศสมัยตอนมัธยมก่อนที่เขาจะเข้ามาตามหาความฝันที่นี่เสียจริง


“คุณชื่ออะไรครับ?” ตุลย์ถาม หลังจากขำจนพอใจ


“อเนก เรียก เอกก็ได้ครับ แล้วคุณหนู?”


“ผมชื่อตุลย์ ...เรียกผมตุลย์เฉยๆ เถอะครับ ผมไม่ชิน”


แนะนำตัวเสร็จ เขาก็ไถลร่างกลับไปนั่งแปะที่เบาะหลังอย่างเดิม
“แล้วสรุปว่าไปไหนล่ะครับ คุณตุลย์ จะไปเที่ยว หรือไปผับ เพราะถ้าไปผับผมร้านแนะนำอยู่ หรูหรา งานดี บริการใช้ได้”


ไม่ว่าเปล่ายังเสริมคำแนะนำให้เสมือนว่าห่วงใยเสียเต็มประดา เขาเลยต้องรีบเบรกด้วยการส่ายหน้า ก่อนที่อีกฝ่ายจะคิดเองว่าเขาอือออตกลง


“ไม่ครับ ไปเรียนครับ ไปเรียน ผมนัดเพื่อนไว้ ถ้าเถียงกับคุณต่อ เดี๋ยวผมจะสายแล้วนะ”


อเนกหัวเราะ “ผมขับซะอย่างไม่มีหรอก สายเสยเนี่ย”


ไม่พูดเปล่า ว่าจบเจ้าตัวก็เหยียบคันเร่งให้รถซีดานเคลื่อนตัวออกสู่ถนนใหญ่จราจลคับคั่งอย่างทุกวัน


อเนกขยายความให้เขาฟังชัดเจนว่า หน้าที่ของชายหนุ่มคือ ‘ตามดูแลเขา’ ซึ่งนั่นรวมถึงติดตามชีวิตประจำวันของเขาด้วย ฟังดูคงแล้วน่าอึดอัดที่ต้องถูกจับตามองทุกฝีเก้า จนอดคิดไม่ได้ว่าการกระทำของศานนท์อาจเข้าข่ายกระต่ายตื่นตูม


แต่พออเนกเริ่มปฏิบัติจริง เขากลับรู้สึกอิสระมากกว่าที่คิด


ชายคนนั้นตามติดเขาไปทุกที่ แต่วิธีที่อีกฝ่ายกลมกลืนกับบรรยากาศรอบตัว ราวกับเป็นคนธรรมดาที่เผอิญเดินสวนกันได้อย่างดีนั้น ทำให้ตุลย์ใช้ชีวิตประจำวันปกติได้โดยแทบไม่รู้สึกอะไร และที่สำคัญคือ ฝ่ายนั้นจะไม่ก้าวก่ายการตัดสินใจของเขา ไม่ได้บังคับให้เขากลับบ้านก่อนเวลาเคอร์ฟิลหรือทำอะไรเทือกๆ นั้น ตราบใดที่เขาไม่มีความลับปิดบังกับทั้งเจ้าตัวและศานนท์


เป็นเรื่องน่าแปลกนักที่พออเนกแทรกซึมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขา เจ้าของใบหน้าซังกะตายที่เห็นบ่อยจนปวดขมับอย่าง ‘เต้’ ก็เหมือนจะหายไปจากสารระบบด้วย


ชายคนนั้นก็เลิกตามติดชีวิตเขา เลิกเข้ามาป้วนเปี้ยนให้เห็นหน้าและถึงแม้ว่าจะเจอกันบ้างในคาบวิชาที่ต้องเรียบรวมกันหลายคณะ อีกฝ่ายก็แสดงให้เห็นว่าหมดความสนใจในตัวเขาโดยสิ้นเชิง จนแม้แต่จี้และแม็กก็ยังสังเกตุเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้


อย่าเข้าใจผิดเชียว! มันเป็นเรื่องดีมากสำหรับเขาต่างหาก
 

อเนกอำนวยความสะดวกให้เขาหลายเรื่อง แถมยังเป็น ไม้กันหมาในคราเดียวกันอีก เรียกได้ว่าอเนกประสงค์สมชื่อสุดๆ จนนึกอยากขอบคุณศานนท์ขึ้นมา


“พี่เอก”


ตุลย์ใช้แขนเท้าโต๊ะม้าหิน พลางเรียกชื่อคนที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ฆ่าเวลาอยู่ตรงข้าม


“ครับ?”


คนถูกเรียกเผยสีหน้าแปลกใจนิดหน่อย ขณะเหลือบตาจากหนังสือพิมพ์ขึ้นมามองเขา และผู้มาเยือนอีกคน


ปกติแล้วพวกเขามักทำเหมือนไม่รู้จักกันที่มหาวิทยาลัย จะพูดคุยเฮฮากันปกติก็ต่อเมื่อยู่บนรถเท่านั้น ชายหนุ่มคงไม่นึกว่าอยู่ๆ เขาจะพาเพื่อนมาแนะนำให้รู้จัก แถมยังเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้เรียกให้ใหม่เสร็จสับ


“นี่เพื่อนผม แม็ก มันจะขอติดรถไปด้วย”


“คือพี่ รถผมมันเสียอ่ะ” แม็กพูดไปก็ขยี้หัว “ผมโทรเรียกศูนย์ให้มาลากไปละ แต่ขี้เกียจไปยืนแย่งกันโบกแท็กซี่ แล้วบ้านผมมันก็ทางผ่านสตูฯ... ไหนๆ พี่ก็ต้องขับไปส่งไอ้ตุลย์มันอยู่แล้ว ผมเลยจะขอติดรถไปด้วย”


“ตามนั้นครับ ยังไงวันนี้ผมก็ต้องเข้าสตูฯ ไปถ่ายงานต่อ” ตุลย์ย้ำ ไม่ลืมขยิบตาให้อเนก


ย้อนกลับไปตั้งแต่ตอนต้น เรื่องทั้งหมดเริ่มขึ้นเพราะเขาบังเอิญพลั้งปากแนะนำเพื่อนให้รู้จักอเนกในฐานะ ‘พี่ปีสูงที่จบมาจากโรงเรียนเดียวกัน’ เหตุเพราะเจ้าสาวอย่างจีจี้ดันตาดีเห็นตอนเขาขึ้นรถกลับบ้านกับอีกฝ่าย


พอเกริ่นเรื่องนี้ให้อเนกฟัง ชายหนุ่มก็หัวเราะชอบใจถึงขนาดบอกว่า ‘สงสัยคราวหลังต้องลองกลับไปใส่ชุดนักศึกษาดู’


ตุลย์ส่งซิกให้ปุ๊บ อเนกก็ทำความเข้าใจได้ปั๊บดุจความเร็วแสง


“เออ ได้ เดี๋ยวพี่ไปส่ง จะไปเลยเปล่าล่ะ?”


“ไปเลยก็ดีพี่ รบกวนหน่อยครับ”


 แม็กว่าพลางหยิบเป้พาดบ่า เป็นจังหวะเดียวกับที่อเนกปิดหนังสือพิมพ์ ม้วนมันเป็นแผ่นกลมๆ พอดีมือเหมือนโทรโข่ง แล้วลุกขึ้น


ซีดานที่ชายหนุ่มใช้เป็นประจำจอดอยู่ไม่ไกลจากตึกที่เขาเรียนเท่าไหร่นัก พออเนกกดกุญแจปลดล็อค พวกเขาทั้งคู่ก็สอดตัวเข้าไปนั่ง พิเศษก็ตรงที่วันนี้ตุลย์เลือกนั่งเบาะหน้าเผื่อเพิ่มความสมจริงให้แก่คำโกหก


“พี่เอก พี่จบปีไหนอ่ะ”


 เท้าแตะคันเร่งให้รถเคลื่อนตัวออกไปได้ไม่กี่วินาที แม็กโผล่ก็หน้ามาจากด้านหลัง แล้วยิงคำถามแรกใส่


“ทำไมอ่ะ ถามงี้คือจะบอกว่าหน้าแก่เรอะ?”


“บ้าอ่อพี่ ผมไม่ได้พู๊ด” เจ้าของคำถามลากหางเสียงสูงปรี๊ด “แค่แปลกใจว่าคนอย่างไอ้ตุลย์มันไปรู้จักพี่ปีสูงตั้งแต่ตอนไหน วันๆ ก็เห็นมันอยู่แต่กับพวกผม ...เนี่ยๆ มึงก็ไม่เห็นเคยเล่าให้ฟัง”


ไม่วายหันมาเลิกคิ้วใส่เขาเป็นเชิงถาม


“กูก็มีสังคมของกูมั้ยล่ะ”


“ใช่เหรอว้า มึงอ่ะนะ?”


“เอ้า! ศิษย์เก่าโรงเรียนเดียวกัน เคยเห็นหน้ากันมันก็ต้องจำกันอยู่แล้วเปล่าวะ อย่างกะตุลย์มันหน้าโหล่ เดินผ่านสิบคนเหมือนกันเก้างั้นแหละ” อเนกแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงประหนึ่งรู้จักกันมานมนานปี เนียนชนิดที่ตีบทแตกกระจุย


ทีแรกตุลย์ออกจะหวั่นใจอยู่สักหน่อย เพราะเขาไม่เคยเล่าลายละเอียดเรื่องนี้กับอเนกฟังอย่างจริงจังเลย แต่เจอแบบนี้เข้าไป เขาก็โยนความกังวลทิ้ง


“อ๋อ... อ้าว! แล้วทำไมพี่ต้องไปส่งมันอ่ะ”


“บ้านอยู่ใกล้กัน แล้วก็เผอิญเป็นคนมีน้ำใจ ฮันแหละ... แลไอไร่? เขรถหยู
[บ้านอยู่ใกล้กัน แล้วก็เผอิญเป็นคนมีน้ำใจ นั่นแหละ... มองอะไร? ขับรถอยู่]


“เอ่อ...” แม็กครางในคอ ก่อนจะเกาหัวแกร็กๆ


ดูก็รู้ว่าไม่เข้าใจที่พูดสักนิด พอถามต่อ แล้วได้ประโยคปนภาษาที่ไม่เข้าใจเป็นคำตอบอีก มันก็เลิกถามแล้วหันมาคุยกับเขาแทน


“เออ พุธนี้วันเกิดจี้ มึงรู้แล้วใช่มะ”


ตุลย์คราง ‘อือ’ ในคอ


“กูจองร้านละ ได้ร้านที่ห้าง B ว่ะ อยู่ไกลจากม. เยอะเหมือนกัน มึงรีบคิดเซอไพรส์มาด้วย เซียนนักไม่ใช่เหรอเรื่องจีบผู้หญิงอ่ะ”


“เซียนอะไร มึงมันไม่มีหัวเองมากกว่า” เขาถลึงตาใส่ “ผู้หญิงชอบของจุกจิกน่ารัก มึงก็ไปดูมาให้จี้สักชิ้น ส่วนตอนเซอร์ไพรส์ก็ซื้อลูกโป่งไปด้วย เปลี่ยนจากเค้กขนมโลว์แฟตหน่อยก็ดี เพราะจี้ไดเอทอยู่”


แม็กทำตาเป็นประกายประหนึ่งว่าตุลย์ชี้ทางสว่างให้ “แล้วมึงซื้ออะไร?”


เขาไม่ตอบ แต่เปิดรูปในโทรศัพท์ให้ดูแทน ฝ่ายแม็กก็หรี่ตาชนิดเพ่งมองไข่มด


“อะไรวะเล็กจี๊ดเดียว ผลุบเข้าคอจะทำไง”


“ต่างหูบ้านมึงมีไว้แดกหรือไงล่ะ” สถบคำหยาบต่อท้าย อีกฝ่ายถึงได้ร้องอ๋อ พยักหน้าหงึกหงัก


“แล้วมึงไปกี่โมง”


“เย็นๆ ว่ะ หลังเลิก หกโมงกว่าได้ มึงไปพร้อมกู หรือพี่เอกไปส่ง?”


ตุลย์เหลือบมองอเนก สีหน้าอีกฝ่ายยังนิ่งเป็นปกติขณะที่สายตามองถนน แต่ยังไม่ทันได้ให้คำตอบแม็กก็ร้องเสียงหลงลั่น


“พี่ๆๆๆ! ซอยหน้าบ้านผมแล้ว เดี๋ยวผมลงตรงนี้แหละ!”


อเนกแทบจะเหยียบเบรกทันทีที่สิ้นเสียง ก่อนที่รถทั้งคันจะชะงักกึก แรงหน่วงทำเอาคนนั่งอย่างเขาหัวสั่นหัวคลอนได้เรื่อง ส่วนเจ้าของประโยคที่ไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยแทบหน้าทิ่ม ดีที่คว้าไหล่เบาะไว้ทัน


“โถ๊ะ! บอกช้ากว่านี้ไม่รอให้เลยไปสุไหงโก-ลกก่อนเรอะ”


“’โทษคร๊าบ คุยเพลินนิดเดียวเอง อย่าเกรี้ยวกราดดิพี่ ใจร่มๆ” แม็กโบกมือปัดไหวๆ ไม่ลืมขอบคุณก่อนลงรถ


“สรุปได้ว่ายังไงก็โทรบอกกุแล้วกัน เจอกันไอ้เพื่อนยาก!”


“เออ ได้ เจอกันพรุ่งนี้” เขาโบกมือลา ก่อนจะเบนความสนใจกลับมายังที่นั่งฝั่งคนขับ แล้วเริ่มแจกแจกตารางต่างๆ ให้อเนกฟัง


“วันพุธพี่ไปส่งผมที่ห้าง B ตอนหกโมงได้มั้ยครับ อย่างไอ้แม็กว่า ผมจะไปเซอร์ไพร์ซวันเกิดเพื่อน คงจะกลับบ้านดึกๆ”


 “อย่าหาว่าผมอย่างโน้นอย่างนี้เลยนะ” อเนกเผยรอยยิ้มแกนๆ “แต่ผมว่าเสี่ยคงไม่อนุญาต...”


“ทำไมครับ?” เขาขมวดคิ้ว


“เย็นนี้คุณลองคุยกับเสี่ยเองท่าจะดีกว่า”


-------------------------
หายแต่เค้ายังไม่ตายนะเตงงงงง ฮื่อออออ เมลล่าก็เกลียดที่ตัวเองชอบตันเหมือนกัน เศร้าจริงๆ :hao5:

เปิดตัวละคร อเนก(ประสงค์) อย่างเป็นทางการแล้วน้าพระยะค่า 55555+
หนุ่มใต้ของเฮา เรื่องภาษาใต้ด้านบน หากมีคำแนะนำสามารถชี้แนะเมลล่าได้ตลอดค่ะ
ตอนแรกเมลล่าว่าจะให้เพื่อนที่เป็นคนใต้บรู๊ฟให้ก่อน แต่บังเอิ๊ญนางติดงานบายเนียร์วันนี้พอดี เลยไม่ว่างซะงั้น
สรุปก็คืองานมัวงานแถต้องมาเหมือนเดิมค่ะ ถถถถถ
ตอนหน้า (16.2)เจอคุณศานนท์แล้วหนา มาลุ้นกันว่าหนูตุลย์จะได้ไปงานวัดเกิดนุ้งจี้มั้ย!
แล้วอะไรๆ (?) มันจะราบรื่นหรือเปล่าหนา

ฝากเพจเมลล่าไว้ที่ : https://www.facebook.com/Iamcaramella (https://www.facebook.com/Iamcaramella)

ขอบคุณที่มาเม้นท์กันนะคะ ตอนนี้ไม่สงไม่สนแล้ว ยอดเม้นท์จะมากจะน้อย สำคัญคือ
เรื่องนี้จบเหมือนไหร่? นี่มันจะสองปีแล้ว กรี๊ดดดดดดด!!
แต่ขอบคุณที่ไม่ทิ้งกันเจ้าค่ะ!
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (26.06.18) Night 16th l 16.1 หลบหนี P.10 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 26-06-2018 22:34:41
 :pig4: :pig4: :pig4:

กำจัดเต้  เปิดตัวเอนก

เอ...แสดงว่าเอนกหรือเอกฝีมือดีกว่าเต้  ชิมิ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (26.06.18) Night 16th l 16.1 หลบหนี P.10 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 26-06-2018 22:42:32
จ้างพี่เอนกกี่บาทเล่นคุ้มจัง555
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (26.06.18) Night 16th l 16.1 หลบหนี P.10 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 26-06-2018 23:07:42
พี่เอกหนุ่มใต้
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (26.06.18) Night 16th l 16.1 หลบหนี P.10 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: GMT101 ที่ 26-06-2018 23:47:11
 :pig4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (26.06.18) Night 16th l 16.1 หลบหนี P.10 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: aha_aha ที่ 27-06-2018 10:59:25
อ่านรวดเดียวตั้งแต่ต้น จนตอนล่าสุด บอกได้คำเดียวว่าแซบมาก!!!

สนุก สมจริง ไม่โลกสวย อ่านแล้วชอบมากๆ ^^
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (26.06.18) Night 16th l 16.1 หลบหนี P.10 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 27-06-2018 18:10:43
 :pig4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (26.06.18) Night 16th l 16.1 หลบหนี P.10 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 29-06-2018 23:32:49
พีเอกเป็นสีสันของเรื่องเลย มาเติมชีวิตชีวาให้ความหน่วงของสองคนนี้หน่อยเถอะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (26.06.18) Night 16th l 16.1 หลบหนี P.10 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: kimkidoy ที่ 30-06-2018 18:21:53
งื้อออออออออ แทบจะลืมไปแล้ววววว ไม่ได้เข้าเล้านานมากกกกก
คิดถึงเรื่องนี้เหมือนเดิม ดีใจที่มาต่อมากๆค่าาาาาาาา
พี่เอกเข้ามานี่จะมาดราม่าไหมน้ออออ แต่ก็ดี มาเลยๆชอบๆ
ชีวิตตุลย์กับวงการบันเทิงนี่จะยังไงน้อออออ กลัวใจเหลือเกินนนนน
สู้ๆรนะคะ ติดตามมมมม :katai4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (26.06.18) Night 16th l 16.1 หลบหนี P.10 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: skyberry ที่ 01-07-2018 10:19:32
เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ love love
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (03.7.18) Night 16th l 16.2 (100%) P.11 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 03-07-2018 00:18:13
16.2

เสร็จจากงานถ่ายแบบที่สตูดิโอตอนเย็น ตุลย์ก็ขึ้นรถตรงกลับบ้าน ระหว่างทางเขาพลั้งปากตอบ ‘ตกลง’ กับแม็ก เพราะอีกฝ่ายดันโทรเข้ามา รั้นจะเอาคำตอบให้ได้ จากนั้นก็เริ่มประสานงานกับร้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เผื่อเตรียมของสำหรับทำเซอร์ไพรส์ทั้งหมดให้เสร็จก่อนวันพุธที่จะถึง


เขาคุยโทรศัพท์กับเพื่อนไปตลอดทาง มั่นใจว่าทุกอย่างจะราบรื่นดี โดยเฉพาะเรื่องที่อเนกเกริ่นไว้เมื่อบ่าย


ศานนท์ไม่น่ามีเหตุผลอะไรที่จะห้ามเขาไม่ให้ไปห้างสรรพสินค้า เพราะมันไม่ใช่สถานที่ที่ต้องระแวดระวังตัว หรือ ว่าเสี่ยงต่ออันตรายเลยสักนิด


แต่ว่า...


“ไม่ได้”


“ห๊ะ?”


“ฉันปล่อยเธอไปเสี่ยงในที่ที่คนพลุกพล่านอย่างนั้นไม่ได้”


คำตอบของศานนท์ตอนที่ฝ่ายนั้นกลับถึงบ้าน ทำให้ตุลย์ขมวดคิ้วเป็นปม


“ทำไมล่ะครับ ที่สาธารณะ คนพลุกพล่านก็ดีออกไม่ใช่เหรอ ใช่ว่าจะมีจราจลสักหน่อย อีกอย่าง ถ้าผมไป พี่เอกก็ไปกับผมด้วย ไม่เห็นจะอันตราย”


หนุ่มใหญ่ส่ายหน้า ขณะถอดสูทโยนพาดไว้บนพนักโซฟาที่เขานั่ง “ฉันให้เธอไปไม่ได้”


“ทำไมครับ?”


“เอาไว้จัดการเรื่องพวกนี้เสร็จแล้วจะเล่าให้ฟัง ระหว่างนี้ฉันอยากให้เธอ...”


“คุณ!”


ตุลย์ขึ้นเสียงขัด เมื่อศานนท์ตอบเหมือนต้องการปัดคำถามให้พ้นตัว


“ผมวางแผนแล้ว และมันก็ไม่ใช่แผนที่อยู่ๆ คุณจะมายกเลิกแค่เพียงเพราะว่าคุณห่วงผมด้วยเรื่องไม่เป็นไรเรื่องด้วย”


“ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเธอจะให้ฉันทำยังไง?”


“คุณก็ตอบผมมาก่อนสิ ว่าทำไม การที่ผมไปเที่ยวห้าง มันอันตรายตรงไหน?”


ตุลย์ยืนกรานเอาคำตอบ ยิ่งหัวเสียเมื่อหนุ่มใหญ่ยิงคำถามกลับ


“แล้วเธอคิดว่าฉัน ‘ควรให้ความสำคัญ’ กับอะไรมากกว่ากัน ระหว่างงานวันเกิดเพื่อนเธอ กับ สวัสดิภาพของเธอเอง?”


ถูกจี้ใจดำ เขาก็เม้มปาก


“คุณรู้ว่า ‘เพื่อน’สำคัญแค่ไหนสำหรับผม ถึงพวกเขาจะไม่สำคัญสำหรับคุณ แต่คุณก็ยังพูดแบบนี้...”


“.......”


“ความจริง ผมก็ไม่ได้สำคัญต่อคุณถึงถ้าคุณมีปัญหาแล้ว ‘ลูกค้าเก่า’ ของคุณจะต้องมาตามรังควานผมอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ แล้วคุณจะมัวห่วงผมให้มันได้อะไรขึ้นมา ในเมื่อคนที่ควรระวังตัวคือคุณเองมากกว่า!”


“ตุลย์”

ศานนท์ปรามเขาด้วยการเรียกชื่อ เหมือนจะโทษว่าเขารั้นไม่มีเหตุผลเอง


“งั้นคุณก็บอกผมสิ ว่าทำไมผมถึงไม่ควรไป” ตุลย์ลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับหนุ่มใหญ่ “หรือว่าที่คุณตอบไม่ได้เพราะจริงๆ แล้วมันไม่มีเหตุผล!?”


ประโยคที่พูด ดังและเงียบหายไปพร้อมๆ กับอารมณ์คุกรุ่นที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจตุลย์ ไม่มีคำตอบใดๆ จากศานนท์นอกจากสีหน้านิ่งขรึม และแววตาที่ยืนยันคำเดิมเป็นเสมือนประกาศิต เพียงแค่นั้นตุลย์ก็รู้ว่า ไม่มีทางได้สิ่งที่ต้องการจากผู้ชายคนนี้


เขาเดินหนีขึ้นชั้นบนทันที


“ฉันห้ามเพราะเป็นห่วงสวัสดิภาพเธอนะ”


“คุณห่วงจริงๆ หรือว่าแค่อยากควบคุมชีวิตผมกันแน่เถอะ!?”


ตะคอกกลับ ก่อนกระแทกประตูห้องนอนปิดเสียงดังปังด้วยแรงโทสะ


เขาเกลียดด้านนี้ของศานนท์เสียจริง!


ไอ้ด้านที่ไม่เคยให้ความชัดเจนกับเขาได้ พอมันเป็นเรื่องส่วนตัวของฝ่ายนั้น นั่นเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมเขาถึงไม่ชอบถามซอกแซกเกี่ยวกับหศานนท์ ก็เพราะเขาไม่เคยได้คำตอบที่ชัดเจนสักครั้ง


เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน ไม่ว่าจะตอนพยายามถามถึงเจตนาที่อีกฝ่ายซื้อเขามา หรือแม้แต่เรื่องสถานะระหว่างเขาและศานนท์ หนุ่มใหญ่ไม่เคยตอบเจาะจง สิ่งที่ทำให้เขาเชื่อมั่นว่าสามารถไว้ใจอีกฝ่ายได้ล้วนแล้วแต่เป็นการกระทำที่สื่อออกมาทั้งสิ้น


และมันน่าโมโหเวลาที่ศานนท์ทำเหมือนเขาไม่ควรรู้อะไร ทั้งๆ ที่การตัดสินใจของอีกฝ่ายส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตเขา และเขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเชื่อฟัง!


“โธ่เว้ย!”


ตุลย์สบถ เม้มปากแน่น ก่อนจะทิ้งตัวหงายบนที่นอน


เขาอุตส่าห์หวังว่าจะได้ทำอะไรตอบแทนจีจี้บ้าง นอกจากสร้างปัญหาให้เธอ แต่ก็ดันต้องมาทิ้งโอกาสไปเพราะศานนท์ห่วงเขาในเรื่องไม่เป็นเรื่องงั้นเหรอ!?


ครืด... ครืด... ครืด...


คงใช้เวลานานเกินไปหลังวางสายจากเพื่อนสนิท แม็กถึงได้โทรตาม ตุลย์กดรับก่อนจะกรอกเสียงใส่โดยไม่ตอบรอให้ปลายสายถาม


“กูไปไม่ได้”

ฝ่ายคู่สนทนาถึงกับอุทานเสียงดังว่า ‘ห๊ะ อะไรวะ’ ก่อนจะเงียบหายไปพักใหญ่


“...คืออะไรวะ? ไหนบอกไม่มีปัญหาเรื่องโน้มนาวใจเสี่ยของมึงไง?”


“กูไม่รู้เหตุผลว่าทำไม รู้แต่ว่ากูไปไม่ได้”


“อะไรวะ... กูไม่เห็นจะเข้าใจว่าห้างเป็นสถานที่น่าสุ่มเสี่ยงตรงไหน ยกเว้นว่ามึงจะไปนัดบอดกับใครนั่นแหละ เฮ่อะๆ” แม็กหัวเราะประชดติดรำคาญ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่


“สรุปว่ามึงไม่ไปว่างั้น? แต่กูไม่ยกเลิกเซอร์ไพร์หรอกนะ กูโทรเตรียมงานไว้หมดแล้ว จะให้ยกเลิกเพราะมึงมาไม่ได้ กูไม่เอาด้วยว่ะ”


“มึงไม่ต้องยกเลิก เดี๋ยวกูไปแฮปปี้เบิร์ดเดย์กับจี้ย้อนหลัง”


แม็กขาน ‘อือฮึ’ ในคอเป็นอันรับคำ


“เอาจริงเถอะ มึงไม่เบื่อบ้างเหรอวะ ชีวิตนกในกรงทอง ทำอะไรเองก็ไม่ได้ต้องรอคำสั่งจากคนอื่นแบบนี่เนี่ย?”


“เบื่อดิ”


เขาตอบไม่ต้องคิด ‘อิสระ’ โดยไม่ต้องผูกติดชีวิตไว้กับใคร คือสิ่งที่เขาโปรดปรานเป็นที่สุด แต่นั่นคือก่อนที่เขาขายมันเพื่อแลกความฝันมา


“แล้วทำไมไม่เดินออกมาวะ ‘มึงเลือกได้’ ไม่ใช่เหรอ?”


“มัน...” ซับซ้อนกว่าที่มึงคิด


ตุลย์ตั้งใจจะตอบแบบนั้น แต่พูดไปไม่ถึงครึ่ง เขาก็สะดุดใจกับประโยคของปลายสาย


แม็กพูดถูก... เขามีสิทธิ์จะ ‘เลือก’ และ ‘ตัดสินใจ’ ทำในสิ่งที่ตนเองคิดว่าเหมาะสม เหมือนที่ศานนท์พูดว่าฝ่ายนั้นไม่ใช่จ้าวชีวิตเขา


ในเมื่อหนุ่มใหญ่ตีตัวไปก่อนไข้ และไม่มีเหตุอะไรที่จะห้ามเขา เขาก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องทำตามคำสั่งของฝ่ายนั้น


 “กูเปลี่ยนใจแล้ว ...กูจะไป  แต่ขอจัดการอะไรก่อน แล้วจะตามไปทีหลัง”


-------------------------------


หลังจากที่มีปากเสียงกับศานนท์เมื่อคืน ก็มีความเป็นไปได้ว่าหนุ่มใหญ่อาจคนส่งมาตามดูเขาเพิ่ม เพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะอยู่กับร่องกับรอย แต่ก็ค่อนข้างผิดคาด เพราะมีแค่อเนกที่ขับรถมารับเขาในตอนเช้าเพียงคนเดียวเหมือนๆ กับทุกวัน 


สิ่งที่พวกเขาคุยกันก็มีเรื่องสัพเพเหระปกติ ปราศจากพิรุธใดๆ เว้นเสียแต่ฝ่ายนั้นจะเอ่ยทักว่าสีหน้าเขาเหมือนคนนอนไม่พอ


แน่ล่ะ นั่นเพราะเขามีแผนจะหนีไปงานวันเกิดจี้ในวันพรุ่งนี้ และเขาก็อยากแน่ใจว่าจะไม่ทำพลาด...


ถึงแม้ว่าศานนท์จะแสดงให้เห็นว่าฝ่ายนั้นไม่ติดใจอะไรเรื่องที่เขาขึ้นเสียงใส่เมื่อคืน และไม่คิดจะตามเช็คความเป็นไปของเขา แต่ตุลย์ก็ไม่อยากวางใจเต็มร้อยนัก


ใครจะรู้ล่ะ ฝ่ายนั้นอาจจะส่งสายสืบมาเพิ่มโดยไม่บอกเขาก็เป็นได้


ดังนั้นสิ่งกำลังจะทำเขาก็คือ ‘เช็คให้แน่ใจ’ ว่ามีแค่อเนกคนเดียวเท่านั้นที่อีกฝ่ายส่งมา ‘ดูแล’ ด้วยการเดินไปซื้อเครื่องเขียนนอกเขตมหาวิทยาลัยคนเดียว โดยที่ไม่บอกอเนก


ถึงจะคิดไว้แบบนั้น แต่พอเอาเข้าจริงแล้ว โชคชะตาก็ดูจะไม่ค่อยเป็นใจเพราะฟ้ามืด ฝนตั้งเค้าจะตกมาตั้งแต่เช้าตรู่ อีกทั้งยังมีลมแรง แต่ด้วยความดันทุรัง ตุลย์จึงยืมร่มเพื่อนออกไปตามแผน


เดินมาได้ยังไม่ถึงจุดหมายดี จู่ๆ ฝนก็เทโครมลงมาพรวดเดียวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เล่นเอาคนเดินผ่านไปผ่านมาต้องวิ่งหลบใต้ชายคากันวุ่น ร่มที่เขาเตรียมมาดูจะช่วยอะไรไม่ได้เท่าไหร่เพราะลมแรงเกินไป เล่นเอาเปียกซกตั้งแต่ห้านาทีแรก ตุลย์จึงไม่มีทางเลือกนอกจากแทรกตัวเข้าไปหลบใต้ชายคาพร้อมกับคนอื่นๆ ด้วย


เขาสอดส่ายไปรอบๆ น่าเสียดายที่ไม่เจอใบหน้าคุ้นตาของคนที่อาจติดตามออกมาจากมหาวิทยาลัยเลยสักคน แต่กระนั้นก็ยังไม่วางใจ ยืนรอต่อราวๆ สิบนาที เขาถึงเดินหลบใต้ชายมั่งหน้าต่อไปยังจุดหมาย ซึ่งก็คือร้านเครื่องเขียนที่ตั้งใจไว้แต่แรก


เสียงกระดิ่งกรุ้งกริ้งดังตอนที่ตุลย์ผลักประตูเข้ามาด้านใน เขาตรงไปยังชั้นวางปากกาซึ่งเป็นจุดที่สามารถหันหน้าไปทางหน้าต่างเผื่อมองออกไปข้านอกได้ชัดเจน แต่ยังไม่เจอใครน่าสงสัย


หรือว่าเขาจะตื่นตูมไปเอง?


คิดแบบนั้นในทีแรก


...แต่ห้านาทีให้หลังก็ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ เมื่อหนึ่งในคนที่เคยยืนหลบฝนกับเขาทำท่าจะเดินผ่านร้าน แต่จู่ๆ ก็หยุดกึก แล้วย้อนกลับมาหลบฝนตรงชายคาหน้าร้านเครื่องเขียนแทน


ฝ่ายนั้นเป็นชายผิวขาว สูงราวๆ หนึ่งร้อยแปดสิบกว่า เรียกได้ว่าเกินมาตรฐานชายไทยเล็กน้อย รูปร่างค่อนข้างใหญ่ ไม่รูว่าเป็นเพราะเขาสวมแจ็คเก็ตหนังสีน้ำตาลเข้มด้วยหรือไม่


ตุลย์ยืนรออยู่ในร้านสักพัก ขณะที่พยายามจดจำหน้าตาของอีกฝ่าย จนแน่ใจว่าผู้ชายคนนั้นจะไม่ไปไหนในเวลาอันใกล้ เขาถึงซื้อปากกาสองแท่ง จ่ายเงิน รอเจ้าของหยิบใส่ถุงกระดาษให้ แล้วออกจากร้านทันที


เผื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้คิดเองเออเองไปคนเดียว เขาจึงเดินกางร่ม สลับกับหยุดพักใต้ชายคา พลางปัดหยดน้ำออกจากถุงกระดาษ แสร้งทำเป็นว่ากลัวของที่ซื้อมาเปียก สิ่งที่ยืนยันว่าคิดไม่ผิด คือชายเจ้าของแจ็คเก็ตหนังตามเขามา ถึงแม้จะทิ้งระยะห่างเยื้องหลังอยู่มาก จนดูแล้วแทบไม่ผิดสังเกตุ แต่ฝ่ายนั้นก็ตามต่อจนสุดแนวตึก


ครั้นพอพ้นตึกแถวเข้าสู่ถนนสายใหม่ ชายคนนั้นถึงหายหน้าไป เห็นแบบนั้น ตุลย์ก็หยุดพักใต้ชายคาร้านอาหารแห่งหนึ่ง ยืนละล้าละลัง อดกังวลเล็กๆ ไม่ได้


ดูเหมือนวิธีนี้จะสิ้นคิดไปหน่อย เพราะนอกจากเขาจะพิสูจน์ว่าอะไรเป็นอะไรไม่ได้แล้ว ยังต้องมาเปียกโชกไปทั้งตัวอีก เห็นทีพรุ่งนี้คงต้องวัดเพิ่งดวงสักตั้ง...


ฝนเริ่มซา ประกอบกับคนเริ่มน้อยเพราะห่างไกลจากมหาวิทยาลัยมากขึ้นทุกที เขาจึงตัดสินใจเดินกลับ แต่เพราะลมแรง จังหวะที่กางร่ม ถุงกระดาษเจ้ากรรมเลยลื่นหลุดมือ ปลิ้วตกพื้นแล้วไถลครืดไปหยุดอยู่ตรงท่อระบายน้ำข้างฟุตบาต


ตุลย์ถอนหายใจ แล้ววิ่งตามไปเก็บ แต่ก่อนจะเอื้อมถึงถุง มือปริศนาก็คว้าแขนแน่น ออกแรงรั้งเขาจนเซถอยหลังกลับมาที่ฟุตบาต


“ระวังรถครับ คุณหนู!”


...คุณหนู...


ถ้าเป็นเวลาปกติเขาคงฟังแล้วแล้วแสลงหู แต่ตอนนี้กลับรู้สึกรื่นอารมณ์อย่างบอกไม่ถูก


ตุลย์หัวเราะ ‘หึๆ’ ในใจ ก้มลงเก็บถุงกระดาษที่ตอนนี้ยับยู่ยี่เป็นก้อนจนรู้สึกเหมือนกำปากกาสองแท่งข้างใน ก่อนจะหันไปหา ‘บุคคล’ ที่เพิ่งคว้าแขนเขา


อีกฝ่ายเป็นชายร่างใหญ่เช่นกัน หากแต่ผิวสีน้ำผึ้ง สีหน้าบ่งบอกชัดว่าเซ็งจัด เพราะเพิ่งหลุดปากเรียกเขาว่า ‘คุณหนู’ หมาดๆ


ตรงมุมตึกไม่ไกลจากกันนักคือ เจ้าของแจ็คเก็ตหนังสีน้ำตาล ซึ่งฝ่ายนั้นก็จับตามองเขาอยู่เช่นกัน


นึกแล้วเชียวว่า ศานนท์เป็นคนรอบคอบ...


เห็นจะๆ แบบนี้ ตุลย์ก็คลี่ยยิ้มมุมปากอย่างอดไม่ได้


“พวกคุณนี่เอง ที่คุณศานนท์ส่งมาตามดูแลผม”


---------------------------------


เอ๊ะ ตัวละครเยอะเกินไปหรือเปล่า!? แต่ไม่ต้องสนใจเจ้าค่ะ อันนี้ตัวประกอบ ประกอบจริงๆ 5555+
ยืดไปหรือเปล่าคะ ถ้ายืดไปติได้เจ้าค่ะ เมลล่าจะนำไปปรับเนอะ
ข่าวร้ายคือ ปลาเมลล่าป่วย ฮื่อๆๆๆ เศร้ามากก น้องยังไม่ตาย แต่อาการไม่ค่อยดี นี่อัพเสร็จคิดว่าจะกลับลงไปดูอยู่เหมือนกันค่ะ ไม่รู้น้องหลับหรือยัง ถถถถ
วันนี้มาช้าไปนิดนึงนะคะ จะไม่บอกว่ายุ่งเพราะอ้างเยอะแล้ว 555+
ตอนหน้าพบกับ how to หนีคุณศานนท์สไตล์หนูตุลย์ ใบ้ว่านางไม่ได้ไปคนเดียว นางมีคนช่วย และคนช่วยเป็นหนึ่งในตัวละครที่เปิดตัวไปแล้วด้วยยย อิอิ
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ เมลล่าจะพยายามขยันมากขึ้น ฮา
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (03.7.18) Night 16th l 16.2 (100%) P.11 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 03-07-2018 06:18:00
ตุลย์ก็ดื้อด้านอยู่นะ คิดถึงแต่เพื่อน แต่ไม่คิดถึงชีวิตตัวเอง
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (03.7.18) Night 16th l 16.2 (100%) P.11 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 03-07-2018 16:29:53
โอ๊ย ตุล !!!!
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (03.7.18) Night 16th l 16.2 (100%) P.11 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 07-07-2018 12:32:11
 :pig4: :pig4: :pig4:

นู๋ตุลย์...เอาแต่ใจเกินไปหรือเปล่า?

หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (11.07.18) Night 17th l ปาร์ตี้วันเกิด P.11 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 11-07-2018 19:33:58

17th Night : ปาร์ตี้วันเกิด


“ทำแบบนี้ไม่น่ารักนะคร้าบคุณ”


ประโยคแรกที่อเนกพูดกับตุลย์พลางส่ายหน้าตอนที่กลับมาตัวเปียกซก นอกจากเขาจะแก้ตัวกับฝ่ายนั้นไม่ขึ้นแล้ว เรื่องก็ยังไปถึงหูศานนท์อีกจึงจบด้วยถูกต่อว่าไปพอประมาณ


ก่อนที่เช้าวัดถัดมา อเนกจะส่งเขาที่มหาวิทยาลัย โดยมีฝ่ายนั้นจับตาแบบคุมเข้ม ส่วนชายสองคนที่เขาเจอเมื่อวาน เข้ามาคุยกับอเนกในตอนเช้าแค่พักเดียว แล้วก็หายหน้าไปทั้งวัน


เขารู้ว่าศานนท์มีแผนอะไรสักอย่างที่ตั้งใจปิดเป็นความลับ แต่เขาก็มีแผนเหมือนกัน...


ประตูข้างยิมใกล้กับค่ายมวย เป็นตรอกเชื่อมออกไปสู่ถนนใหญ่ ปกติแล้วมหาวิทยาลัยไม่อนุญาตให้นักศึกษาเข้าออกทางดังกล่าว


แต่ตุลย์เป็นสตาฟกิจกรรม นั่นเขาทำให้ได้สิทธิ์พิเศษในการเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกหลายอย่างที่นักศึกษาทั่วไปไม่สามารถใช้งานได้ ประจวบเหมาะกับเย็นนี้มีแข่งบาสเกตบอลที่ยิมพอดี


เขามีกุญแจ... ที่ต้องการก็แค่จังหวะเหมาะๆ


“พี่เอก เย็นนี้ผมจะอยู่ดูบาส”


เขาทรุดตัวลงบนม้าหินฝั่งตรงข้าม ที่ประจำที่อเนกชอบนั่งรอ พลางซดกาแฟทื่ซื้อติดมือมาเมื่อเที่ยงหลังแยกกับเพื่อน


“อ้าว ไม่หนีตามเพื่อนไปฉลองวันเกิดแล้วเหรอครับ?” เจ้าของสีหน้าทะเล้นยักคิ้วให้ทีเหมือนลองเชิงเขา ตุลย์ก็เบ้ปาก


“ผมโดนเคอร์ฟิว ถึงต่อให้พูดอะไรไป พี่ก็ไม่พาผมไปอยู่ดี”


“ถูก”  อเนกชี้นิ้วใส่เขาเหมือนตอนคำถามในรายการเกมโชว์ถูก “แล้วจะอยู่ถึงกี่โมงล่ะครับ”


“คงจนกว่าเกมจะจบครับ”


ฝ่ายนั้นหยักหน้าเข้าใจก่อนจะขาน ‘อื้มๆ’


“งั้นเดี๋ยวจะเล่นหมากรุกรอ”


ตุลย์มองกล่องพลาสติกใสบรรจุตัวหมากรุกที่ตั้งอยู่ซ้ายมือของอเนก ก่อนจะถอนหายใจ ตั้งแต่ถูกสั่งให้มาตามติดเขาทุกวี่ทุกวัน อีกฝ่ายก็มักจะหาอะไรมาทำฆ่าเวลา


แรกๆ ก็เล่นโทรศัพท์ อ่านหนักสือพิมพ์ วาดรูปเล่นใส่สมุดฉีก หลังๆ เจ้าตัวคงเบื่อถึงได้ซื้อเลโก้มาต่อบ้าง งัดชิ้นโทรศัพท์มาประกอบใหม่บ้าง และล่าสุดก็คือ เล่นหมากรุก...


...คนเดียว


เรียกว่าเป็นวิวัฒนาการของงานอดิเรกอย่างแท้จริง


“งั้นผมไปยิมนะครับ”


ตุลย์ขอตัวกับอเนกก่อนจะลุกขึ้นตรงไปยิมก่อน โดยที่ฝ่ายนั้นเก็บของ เดินตามหลัง แล้วย้ายก้นมานั่งแปะบนม้าหินที่มีตารางหมากรุกหน้าทางเข้ายิมแทน


แน่ล่ะ ก็เมื่อวานเขาทำซะได้เรื่อง อเนกคงระแวงเป็นธรรมดา


โอ้เอ้อยู่ข้างนอกพักหนึ่งจนเกมเริ่ม ตุลย์จึงเข้าไปนั่งที่สแตนด้านใน แต่การอยู่นิ่งๆ เป็นเรื่องลำบากสำหรับคนที่กำลังเป็นกังวลว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนหรือไม่อย่างเขา นั่งขยุกขยิกได้ราวสิบนาที เขาก็ลุกอย่างคนมีความอดทนต่ำ ก่อนจะแทรกตัวผ่านผู้ชมที่เริ่มทะยอยกันเข้ามาจับจองทีด้านในเยอะขึ้นเรื่อยๆ แล้วออกไปที่ประตูด้านหลังยิม


ตุลย์หยุดใกล้ๆ ทางออก สอดส่องให้แน่ใจว่ามีแค่นักศึกษาประปรายเท่านั้น เขาถึงทำตามแผนต่อด้วยการเดินเลาะทางเดินปลอดคนมาจนใกล้ถึงค่ายมวย


น่าแปลกใจก็ตรงที่ตลอดทางไม่เห็นเงาคนของศานนท์เมื่อวานหรือเนกเลย นั่นทำให้เขาระแวง แต่ก็ได้เพียงเก็บความสนใจไว้ในใจ


ทันทีที่มาถึงประตูเป้าหมาย เขาก็หยิบกุญแจไข ความรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นขโมยที่อาจจะถูกจับคาหนังคาเขาเมื่อไหร่ก็ได้ ทำเอาไขผิดๆ ถูกๆ อยู่พักจนเริ่มโมโหตัวเอง


แกร๊ก!


ประดุจเสียงแห่งอิสระภาพ พอปลอดล็อคกุญแจได้ ตุลย์ก็คว้าประตูเหล็กเปิดทันที


“เฮ้ย!”


เขาสะดุ้งเฮือก หลุดปากอุทานเมื่อมือปริศนาวางบนไหล่ ครั้นพอกลั้นใจหันกลับไป ก็เจอกับคำถามสั้นห้วนแบบโทนเสียงระนาบเดียว


 “ไปไหน?” เต้ถามหน้าตาย


โธ่เว้ย! ตกใจหมดไอ้หมอนี่!


เขาลืมไปสนิทว่าหลังเลิกเรียนเป็นเวลาซ้อมมวยปกติของฝ่ายนั้น


“มีเรื่องต้องไปทำ อย่ายุ่ง” ตุลย์ปัดมือออกติดรำคาญ แต่ถูกเต้คว้าต้นแขนไว้อีกรอบ


“นายไปไม่ได้”


 “ไปได้ เพราะฉันมีกุญแจ ประตูค่ายก็ไม่ได้ไว้สำหรับนักมวยใช้อย่างเดียว ปล่อยน่า!”


เขายื้อ แต่แรงที่มากกว่าของอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังเล่นชักเย่อบนแขนตัวเอง


 “โธ่เว้ย ปล่อย! คนยิ่งรีบๆ อยู่ มีนัดสำคัญ!”


“ฉันให้ไปไม่ได้”


“ทำไม นายเป็นพ่อฉันหรือไง!?”


 “เขาสั่งให้นายอยู่ที่นี่”


“ห๊ะ” สรรพนามต้องสงสัย ทำให้ตุลย์ขมวดคิ้วแน่น “ ‘เขา’ คือใคร?”


ตุลย์จ้องตาฝ่ายนั้น แต่นอกจากเต้จะไม่ให้คำตอบแล้ว ยังหลบตาและลากเขาออกมาให้ห่างจากประตูเหล็ก เขาอ้าปากจะถามซ้ำด้วยความไม่เข้าใจ แต่วินาทีต่อมาก็ถึงบางอ้อ เมื่อลำดับเหตุการณ์ในหัวเริ่มประติดประต่อกันเป็นเรื่องเป็นราวสอดรับกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น


เต้ตามเขาติดแจมาเป็นเดือนๆ และจู่ๆ ก็หายไปตอนอเนกเข้ามา ไม่ใช่เพราะอเนกเป็นไม้กันหมาให้เขา แต่...


“นายก็เป็นคนที่ศานนท์สั่งให้ตามดูฉันสินะ?”


“ใช่”


นี่คงเป็นเหตุผลว่าทำไมอเนกถึงปล่อยเขาเดินเพ่นพานไปทั่ว โดยไม่กลัวว่าเขาจะหนี


ยิ่งพอนึกไปถึงคนต้นเรื่องอย่างศานนท์ ตุลย์ก็อดฉุนนิดๆ ไม่ได้ ปากบอกจะไม่ยุ่งเรื่องที่มหาวิทยาลัยของเขาแท้ๆ แต่สุดท้ายก็ส่งคนมาสอดแนม


...คุณนี่มัน!


“เฮ้ย นายจะโทรหาใคร!?” ตุลย์ร้องเสียงหลงเมื่อจู่ๆ เต้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดในขณะที่มืออีกข้างยังกำต้นแขนเขาไว้เหนียวหนึบ


“พี่เอก”


“ไม่”


ตุลย์เอี้ยวตัวฉกโทรศัพท์จากมือเต้ แต่อีกฝ่ายตอบสนองไวกว่าด้วยสัญชาตญาณนักมวย เขาถึงทำได้แค่จับข้อมือฝ่ายนั้น ออกแรงขืนไว้เผื่อท่วงเวลา


“นายฟังฉัน!”


“.......”


เต้เลิกคิ้ว ตอนที่เขาสบตาอีกฝ่ายตรงๆ

“นายจำผู้หญิงที่ร้องไห้วันที่ฉันมีเรื่องกับกายได้หรือเปล่า...? เธอชื่อจีจี้ วันนี้เป็นวันเกิดของเธอ และตอนนี้เธอก็รออยู่ที่ร้านอาหาร”


“.......”


“กายชอบเธอ และการที่คนโด่งดันในด้านลบๆ อย่างฉันไปสนิทกับเธอ มันทำให้หมอนั่นไม่พอใจ นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมมันถึงคอยหาเรื่องฉัน”


“.......”


“จีจี้ชอบละครเวที ผ่านรอบคัดเลือกก็แล้ว แต่ไม่ได้แสดง นั่นเพราะการมี ‘ฉัน’ ทำให้หมอนั่นอันตรายต่อเธอด้วย เธอถึงต้องมาเป็นสตาฟกิจกรรม แล้วยังไง? หนีมาฝ่ายกิจกรรม แต่สุดท้ายก็ยังมาเจอปัญหาคาราคาซังเดิมๆ เหมือนคืนที่นายมีช่วยฉันอีก”


“.......”


“ฉันมันตัวสร้างปัญหา...” ตุลย์เม้มปากเบาๆ ถึงตรงนี้เต้ก็ลดโทรศัพท์ลง เห็นได้ชัดว่าสนใจฟังในสิ่งที่เขากำลังเล่า


“แต่จะทำยังไงได้ ในเมื่อฉันมีเพื่อนที่ไว้ใจได้อยู่เท่านี้ ฉันแค่อยากสร้างความทรงจำอะไรดีๆ ให้เธอบ้าง ไอ้ที่มันนอกเหนือกว่าประสบการณ์เฮงซวยที่แล้วมา แผนฉันก็เตรียมไว้แล้ว เหลือแค่ต้องไปถึงที่นั่น”


“ฉันปล่อยนายคนเดียวไม่ได้” น้ำเสียงห้วนผ่อนลง


“งั้นก็ไปกับฉัน นายมีหน้าที่ดูแลฉันไม่ใช่หรือไง? อีกอย่าง... นายน่าจะเข้าใจที่สุดว่า ‘เพื่อน’ มีความหมายขนาดไหน”


ตุลย์ยืนกรานด้วยแววตาแน่วแน่ สบตากันอยู่ได้ครู่ เต้ก็เป็นฝ่ายเสหลบ แล้วถอนหายใจหน้านิ่วคิ้วขมวดเป็นปม เห็นได้ชัดว่ากำลังลังเล


แต่ยังไม่ทันได้ที่อีกฝ่ายจะได้ตกลงปลงใจ เขาก็เหลือบไปเห็นหลังไวๆ ของหนึ่งในคนของศานนท์พุ่งพรวดออกมาจากด้านหลังยิม


วินาทีนั้นตุลย์ไม่เหลือเวลาให้คิด เขาดึงแขนตัวเองคืนจากเต้ แต่แล้วกลับถูกอีกฝ่ายผลักตัวผ่านประตูเข้าไปในตรอกเวลาไล่เรี่ยกัน


“ไปเจอกันหน้าถนนใหญ่!”


ตุลย์ออกวิ่งตามที่อีกฝ่ายบอก ไม่รู้ว่าคนของศานนท์เห็นเขาหรือไม่ แต่นั่นไม่สำคัญเมื่อขาทั้งสองข้างก้าวมาถึงหน้าถนนใหญ่ จังหวะเดียวกันกับที่บิ๊กไบค์คนหนึ่งพุ่งพรวดพราดออกมาจากซอยฝั่งตรงข้าม คนขับดูเร่งรืบเอาเรื่อง เพราะมือข้างหนึ่งยังถือหมวกกันน็อค เขาจึงเห็นหน้าชัดว่าเป็นเต้


 “ขึ้นมา!”


พอรถจอดเลียบแนวฟุตบาตอย่างรีบๆ ตุลย์ก็เหวี่ยงขาขึ้นคร่อมทันที ก่อนคนขับจะเร่งเครื่องยนต์ออกไป


----------------------


ถึงจะจัดว่าเป็นรถที่มีขนาดเล็กกว่าเมื่อเทียบกับรถยนต์ แต่การต้องเสียเวลารอสัญญาณไฟสี่แยกอยู่พักใหญ่ๆ ก็ทำให้พวกเขามาถึงห้างสรรพสินค้าตอนที่จวนจะใกล้เวลานัดเต็มแก่ แม้จะพูดได้เต็มปากว่าเร็วกว่าปกติในช่วงเวลาที่จราจลคับคั่งเช่นนี้ก็ตาม


เต้วนรถมาจอดไว้ที่ชั้นสี่ซึ่งเป็นที่จอดเฉพาะสำหรับบิ๊กไบค์ เรียกว่าใหญ่โตกว้างขวางกว่าซองจอดมอเตอร์ไซค์ปกติอยู่โข


“ชั้นหก”


ลงจากรถปุ๊บ ตุลย์เข้าเดินลิ่วๆ เข้าไปในตัวอาคารอย่างคร้านจะสนใจคนเบื้องหลัง


หมดประโยชน์แล้วก็เขาก็ไม่คิดจะพูดจาเกลี่ยกล่อมประจบสอพลออะไรกับเต้ให้เปลืองน้ำลายอีก


พวกเขาขึ้นลิฟท์แก้วมายังชั้นหกซึ่งเป็นชั้นที่ตั้งของร้านคาเฟ่ที่ตุลย์นัดกับเพื่อนไว้ ครั้นพอมองเขาไปก็เห็นว่าโต๊ะริมติดกระจกถูกจับจองโดยแม็ก และกลุ่มเพื่อนสาวของจีจี้อีกสองคน


“รออยู่นี่” ตุลย์สั่ง


“ไม่ได้ ถ้านายเป็นอะไรขึ้นมา...” ...ฉันตายแน่


ท้ายประโยคของเต้กลืนหายไป เมื่อตุลย์โพล่งขัด


“ฉันไม่เป็นอะไรหรอกน่า! นายพูดอย่างกับวันนี้มีผู้ก่อการร้ายบุกยึดห้าง ติดนิสัยตื่นตูมมาจากคุณศานนท์หรือไง? อย่าตามมา! เพราะตอนนี้เพื่อนฉันคิดว่านายเป็นสโตกเกอร์กันหมด”


“ได้ไง?”


คนฟังย่นคิ้วเหมือนไม่เชื่อ ตุลย์ก็กรอกตา


“นายคิดว่าไอ้การตามติดคนอื่นเป็นแหน มันเป็นพฤติกรรมที่คนปกติเขาทำกันเหรอ? ตอนนี้แค่เห็นหน้านาย ฉันก็สยองแล้ว นายอยู่ตรงนี้แหละ”


เขาตัดบท แน่ใจว่าพูดชัดเจน แต่จะพอก้าวเท้าเดินต่อ คนเบื้องหลังก็ดื้อด้านเดินตามประหนึ่งว่าฟังไม่เข้าใจศัพท์


หมอนี่มันซื่อบื้อหรือไงเนี่ย!?


“เถอะน่า! รอตรงนี้ เดี๋ยวเสร็จแล้วฉันออกมา”


“......”


“แค่แป๊บเดียว โอเค๊?” ตุลย์ต่อรองเมื่อเต้แสดงออกว่าดึงดันจะตามให้ได้ “ให้พื้นที่ส่วนตัวฉันบ้างเหอะ”


ประเมินคำพูดเขาอยู่ชั่วอึดใจ เต้ก็พยักหน้าเบาๆ


“ก็ได้”


ตุลย์ผงกหัวตอบอย่างขอไปที ก่อนจะตรงเข้าร้าน ไปยังโต๊ะที่เพื่อนนั่งจับกลุ่มคุยกันอยู่ แล้วพบว่าคนสำคัญสำหรับเซอร์ไพร์ซในวันนี้ได้หายไป


“จี้ล่ะ?”


“ก็กูนึกว่ามึงจะมาไม่ทัน เลยให้เพื่อนพาจี้ออกไปช็อปปิ้งถ่วงเวลาก่อน เฉียดฉิวชิบหาย”


แม็กห่อไหล่ทำหน้าสยอง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ พิมพ์อะไรสักอย่างใส่โปรแกรมแชทลงไป


“กูบอกละ กำลังให้พามา”


คุยอะไรกันต่ออีกนิดหน่อย จวบจนเพื่อนที่อยู่กับจีจี้ส่งข้อความกลับมา แม็กและเขาก็ลุกขึ้นไปคุยกับพนักงานหลังเคาท์เตอร์ โดยเพื่อนผู้หญิงที่เหลือนั่งรอรับสาวเจ้าอยู่ที่โต๊ะ


เนื่องจากได้ติดต่อวางแผนเตรียมเซอร์ไพร์ซไว้กับทางร้านล่วงหน้าแล้ว ทุกอย่างจึงดำเนินไปอย่างเป็นระบบระเบียบ พนักงานเริ่มจุดเทียนบนเค้ก ในขณะที่แม็กเข้าไปหยิบลูกโป่งยักษ์บรรจุแก๊สหลังร้าน ที่เจ้าตัวอุตส่าห์ดั้นด้นไปซื้อมาตามคำแนะนำของเขา


ทันทีที่จีจี้เดินเข้ามาถึงโต๊ะ เพื่อนคนเดิมก็ส่งข้อความให้สัญญาณ จากนั้น พนักงานค่อยๆ เดินออกมาจากหลังร้าน ร้องเพลงวันเกิดตามจังหวะปรบมือ ตามด้วยแม็กเดินถือลูกโป่งออกมา และตุลย์ถือเค้กที่มีเทียนส่องสว่างปักอยู่


แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู ยู... แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู ยู...


สีหน้าของจี้เลิ่กลั่กในทีแรก แต่พอร้องไปได้ครึ่งเพลงเธอก็เริ่มหัวเราะและปาดน้ำตาไปด้วยพร้อมกัน จวบจนเพลงสิ้นสุดพร้อมกับเสียงปรบมือของเหล่าบรรดาผู้มีส่วนร่วมในเซอร์ไพร์ซครั้งนี้ ตุลย์ก็วางเค้กปอนด์เล็กลงด้านหน้าหญิงสาว


“เป่าเร็วๆ!”


ถูกเพื่อนสาวยุอย่างตื่นเต้น เธอก็ก้มหน้าเป่าเทียน


“ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลย”


“ขนาดนี้อะไรเล่า ก็วันเกิดจี้ทั้งที” แม็กเสริม


คาดไม่ถึงว่าอยู่ๆ จีจี้จะลุกขึ้นกอดฝ่ายนั้นแน่น เล่นเอาเจ้าตัวถึงกับยืนตัวแข็งท่ามกลางเสียงโห่ของเพื่อนคนอื่นๆ


“ขอบคุณมากๆ นะ แม็ก”


เธอว่า และไม่ลืมที่จะไล่กอดเพื่อนๆ ไปทีละคนพร้อมคำขอบคุณ จนมาถึงตุลย์เป็นคนสุดท้าย


“ขอบคุณที่เป็นเพื่อนที่ดีมาตลอดนะ”


“ขอบคุณเหมือนกันครับ” เขากอดตอบ


จีจี้ยิ้มให้ทีหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปหาแม็ก เห็นว่าฝ่ายนั้นหน้าแดงไปถึงหูจนเพื่อนคนอื่นเริ่มแซว เธอก็อดไม่ได้ที่จะถามขำๆ ว่า ‘เป็นอะไรหรือเปล่า?’ ทั้งที่รู้คำตอบอยู่แก่ใจ


“เป็นอะไรที่ไหน! สบายดี กินเค้กกันดีกว่า” แม็กทิ้งตัวนั่งแล้วหัวเราะฮ่าๆ กลบเกลื่อน เป็นอาการเคอะเขินแบบที่ตุลย์เห็นไม่บ่อยนัก


เขาตั้งใจจะอยู่คุยต่อสักหน่อย แต่พอมองย้อนกลับไปหน้าร้านก็เห็นว่าเต้กำลังเดินเข้ามาตาม เขาไม่มีทางเลือกนอกจากขอตัวกับเพื่อนแล้วเกี่ยวเต้ตัว ลากแขนอีกฝ่ายออกไปนอกร้านพร้อมกัน


“อะไรเล่า ฉันบอกว่ารอแป๊บนึงไง” ตุลย์ขู่เสียงเบา เห็นได้ชัดว่าสีหน้าเต้ดูไม่ผ่อนคลายเท่าไหร่


“เราต้องไปแล้ว”


“แต่ฉันยังไม่เสร็จธุระ”


เขาขมวดคิ้ว แต่ถูกเต้คว้าแขน


“นายต้องมากับฉัน มีคนมองเราอยู่”


----------------------


คุณศานค่าตัวแพงค่ะ ตอนนี้ไม่ออก ถถถถ ล้อเล่นน้า
ติชมได้เหมือนเดิมนะคะ รักนักอ่านทุกคน

ตามจริงแล้วเมลล่าว่าจะไปสอนพิเศษ แต่ไปๆ มาๆ จมอยู่กับนิยายเฉยเลย 5555+ เพราะใจนึงก็อยากเขียนให้จบ

จริงๆ แล้วทุกคนนอาจจะยังไม่รู้แต่เรื่องนี้ดำเนินมาเกินครึ่งแล้วน้า
เมลล่าคำณวนไว้ว่าน่าจะจบที่ราวๆ 30 ตอน ไม่น่าเกินไปกว่านี้ค่ะ
เราน่าจะไปถึงช่วงสุดท้ายของเรื่องกันตอนที่ราวๆ 20-21 ไปปิดปมที่ราวกับ 28-30 เจ้าค่ะ
เอ๊ะ ใบ้ไทม์ไลน์ทำไม 55555+

สำหรับตอนหน้า จะมีคนมองอยู่จริงหรือไม่ และคนมองจะเป็นใคร
หรือเป็นคนของคุณศานนท์อีกแล้ว
เอ๊ะๆๆๆ !

โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ

ลืมบอกว่า เร็วๆ นี้จะมีตอนพิเศษคั้นน้า ส่วนจะเป็นตอนพิเศษของใครโปรดติดตามเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณนักอ่านทุกทั่น #กราบแบบเบญจางค์
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (11.07.18) Night 17th l ปาร์ตี้วันเกิด P.11 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 11-07-2018 22:24:15
 :pig4: :pig4: :pig4:

ลึกลับจัง  ศัตรูจะเยอะไปไหน?
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (11.07.18) Night 17th l ปาร์ตี้วันเกิด P.11 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 11-07-2018 22:50:06
ตุลย์ก็ขยันเอาแต่ใจ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (11.07.18) Night 17th l ปาร์ตี้วันเกิด P.11 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 12-07-2018 07:26:53
ใครมอง?ศัตรู?
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (11.07.18) Night 17th l ปาร์ตี้วันเกิด P.11 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 12-07-2018 11:47:15
เรามองตุลย์ อยู่นร้า
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (11.07.18) Night 17th l ปาร์ตี้วันเกิด P.11 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: waza ที่ 13-07-2018 00:36:19
นิยายก็สนุกลุ้นทุกตอน แต่คนเขียนมาแบบกระปริบกระปรอยเหลือเกิน  :ling1: :katai1:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (23.07.18) Night 17th l 17.2 (80%) P.11 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 23-07-2018 01:57:06
17.2


“นายรู้ได้ยังไง!?”


เขาขืนตัวไว้ อยากให้แน่ใจว่าหมอนี่ไม่ได้ตื่นตูมเออออไปเอง


 “เห็นผู้ชายตรงบันไดมั้ย”


เต้พยักเพยิดไปทางขวามือ มีชายคนหนึ่งสวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นมีปก กางเกงขาสั้นสีขาว กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ใกล้ๆ บันไดเลื่อน


“ฉันเห็นเขาครั้งแรก คือตอนก่อนที่เราจะขึ้นลิฟท์”


“ใช่คนของคุณศานนท์หรือเปล่า?”


“ไม่ ถ้าใช่ฉันต้องเคยเห็น”


“นายแน่ใจนะ?”


ตุลย์หรี่ตา มองหน้าคู่สนทนาสลับกับชายคนดังกล่าว ขณะที่ถูกเต้ดึงแขนให้เดินต่อด้วยฝีเท้าที่ไม่รีบร้อนจนผิดสังเกตุ


ไม่รู้ว่าเพราะจินตนาการ หรือสัญชาตญาณบางอย่างในตัว ชั่วพริบตาที่ตุลย์หันหลังกลับไป ผู้ชายคนนั้นก็ถอนสายตากวิวทิวทัศน์ชั้นล่าง จ้องตรงมาที่เขาพอดี ทำเอาเขาขนลุกซู่อย่างห้ามไม่อยู่


“เดินปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พยายามอย่างทำตัวมีพิรุธ เราจะกลับไปที่ลานจอดรถ”


ถูกเต้ปราม เขาถึงรู้ตัวว่าตัวเองเดินเร็วผิดวิสัย ตุลย์ปรับฝีเท้าให้เป็นปกติ ข่มความกังวลไว้ในใจ ก่อนที่เต้จะนำเขาลงบันไดเลื่อน ปะปนไปกับฝูงชน


อย่างน้อยในที่พลุกพล่านพวกเขาก็ได้เปรียบกว่า


ลงมาถึงชั้นสี่ซึ่งเป็นชั้นที่จอดรถเอาไว้ พวกเขาก็ตรงไปยังทางออกที่ใกล้ที่สุด เต้คว้าแขนเขาด้วยมือข้างหนึ่งเหมือนกลัวว่าจะหลุดหาย ส่วนอีกมือผลักประตูกระจกพาทั้งคู่ออกสู่ลาดจอดรถที่ร้อนอบอ้าวต่างจากด้านใน


มอเตอร์ไซค์คู่ใจของอีกฝ่ายจอดอยู่ที่ล็อกกลางจึงต้องเดินออกไปไกลหน่อย ระหว่างทางเต้ก็เหลือบมองหลังเป็นระยะ แต่ไม่มีวี่แววว่าบุคคลคนน่าสงสัยตามมาแต่อย่างใด เช่นเดียวกับบิ๊กไบค์ของชายหนุ่มยังคงจอดอยู่ในสภาพเดิม ณ ที่เดิม ไม่มีวี่แววว่าถูกทำลายหรือขีดข่วนให้เป็นรอยใดๆ


เห็นแบบนี้ตุลย์ก็กอดอก ถอนหายใจเฮือก


...ไอ้หมอนี่แทบทำเขาหัวใจวาย!


“ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ นายคิดไปเองหรือเปล่า?”


เต้ไม่ได้สนใจที่เขาถาม แต่ก้มมองตัวถังแล้วงัดแงะอะไรของเจ้าตัวประหนึ่งคนหวงรถที่อยากเช็คให้แน่ใจว่าลูกรักของตัวเองปลอดภัยดี


“เฮ้ย! ถ้าไม่อะไรแล้วฉันจะกลับเข้าไปข้างใน” ตุลย์เรียกซ้ำ เสียงแข็ง


จู่ๆ ลากเขาออกมา แถมยังไซโครว่ามีคนตามอยู่จนต้องแยกกับเพื่อน ทั้งๆ ที่ไม่ได้ลา แต่สุดท้ายกลายเป็นว่าคิดเองเออเองทั้งหมด จะให้เขาอารมณ์ดีใส่ก็ใช่เรื่อง


“ไม่ มันไม่ปกติ”

“อะไรไม่ปกติอีก ฉันหรือสมองนาย?”


เต้พูดอะไรเข้าใจยาก จนเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ถึงพบว่าสายไฟชุดหนึ่งในมือเต้ขาดทั้งแผง


“สายสตาร์ทโดนตัด ”


ประโยคนั้นทำเอาเย็นยะเยือกไปถึงสันหลัง


...บ้าไปแล้ว...


ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง...


“เราก็ไม่มาควรยืนอยู่ตรงนี้”


ตุลย์หันหัวกลับไปที่อาคารเร็วที่สุดเท่าที่จะคิดได้ แต่ยังไม่ทันได้ก้าวออกจากจุดเดิม กลุ่มชายฉกรรจ์สามคนก็เดินออกมาจากประตูห้าง


คนพวกนั้นไม่ได้ใส่สูท แต่ใส่เสื้อยืดสีดำเหมือนกันทั้งกลุ่ม ชายเสื้อดำมองมาที่เขา ก่อนเดินตรงมาหา ไม่ได้แสดงท่าทีคุกคาม แต่สัญชาตญาณก็ร้องบอกตุลย์ว่าพวกกำลังตกอยู่ในอันตราย


“วิ่ง!”


เต้กระชากตัวเขาวิ่งให้ และทันทีที่พวกเขาออกวิ่ง ชายพวกนั้นก็วิ่งตามมาเช่นกัน


“ตามไปเร็วเข้า!”


เสียงฝีเท้าดังอึกทึกไปทั่ว เนื่องจากจุดที่เต้จอดรถไว้เป็นล็อกกลาง และทางเข้าห้างถูกดัก พวกเขาจึงถูกต้อนให้วิ่งไปที่ระเบียงลานจอดรถซึ่งเป็นทางตันโดยปริยาย พอเหลือบมองออกไปยังอากาศว่างเปล่าด้านนอก ตุลย์ก็คิดออกอย่างเดียว...


“เราต้องปีนลงไป!”


ลานจอดรถของห้างแห่งนี้ถูกสร้างให้มีระยะระหว่างชั้นน้อยกว่าปกติ เพื่อให้พื้นที่ใช้สอยเกิดประโยชน์มากที่สุด จากที่ประเมิน ระยะห่างระหว่างชั้นที่พวกเขาอยู่และชั้นถัดลงไปจึงไม่น่ากว้างเกินหนึ่งช่วงตัวคน ตัวระเบียงก็ก่อจากซีเมนต์ ด้านบนมีราวจับเส้นยาวๆ หลอมเข้ากับตัวฐานแน่นหนา ถ้าระมัดระวังหน่อย พวกเขาน่าจะใช้ราว หย่อนตัวลงไปเหยียบระเบียงชั้นล่างได้


แต่เต้กลับคว้าแขนเขา วิ่งฉีกขวาออกไปที่มุมตึกอีกด้าน ระหว่างทางก็ซอกแซ่กผ่านรถที่จอดอยู่เพื่อถ่วงเวลา จนคลาดกับชายฉกรรจ์กลุ่มนั้น หากต่างคนก็ต่างรู้ดีว่าวิธีนี้ทำได้แค่ถ่วงเวลา ตราบใดที่จุดที่พวกเขาอยู่ยังเป็นทางตัน


“ตรงมุมตึกน่าจะมีท่อน้ำ นายปืนลงไปจากตรงนั้น”


ตุลย์ชะโงกหน้าออกไปนอกระเบียงก็พบท่อเหล็กยึดติดกับสันตึก ลากยาวจากลงไปถึงพื้นดินตามที่เต้ว่า ถึงแม้ว่ามันจะดูเก่า สนิมเขลอะ แต่การมีสิ่งของให้ยึดเกาะมากกว่าหนึ่งก็ย่อมปลอดภัยกว่า


ตุลย์ก้าวขาข้ามไปได้ข้างเดียว ถูกลมหวิวๆ จากชั้นสี่พัดผ่านร่าง เขาก็รู้สึกโหวงเหวงในอก หลังระเบียงซีเมนต์คือ ธาตุอากาศและความว่างเปล่าอย่างแท้จริง ไม่มีที่ให้เหยียบหรือยึดเกาะ นอกจากอาศัยกำลังแขนยึดราวซีเมนต์แล้วหย่อนตัวเองลงไป


ยิ่งกว่านั้นพอเหลือบมองลงไปด้านล่าง สิ่งของทุกอย่างก็ดูเล็กกว่าที่เคยเป็น เช่นเดียวกับผู้คนที่เดินขวักไขว่สวนกันไปมา


ความสูงขนาดนี้ หากตกลงไป ต่อให้โชคดีก็ยังมีโอกาสตาย...


“เจอพวกมันแล้ว!!”


 “ไปๆๆ เร็วเข้า!”


เต้สีหน้าเครียดจัด ฝ่ายนั้นมองเขาสลับกับชายฉกรรจ์ที่กำลังตรงเข้ามาเหมือนเหลือเวลาน้อยเต็มที


ตุลย์สูดหายใจเข้าแล้วก้าวขาอีกข้างไปสู่ความเวิ้งว้างว่างเปล่าอย่างไม่มีทางเลือก โดยที่มือทั้งสองยึดราวระเบียงไว้แน่น


นับว่าโชคช่วยอยู่มาก ที่ชั้นถัดลงมาสูงไม่เต็มความยาวตัวของเขา ใช้กำลังแขนขืนน้ำหนักตัวเองไว้ไม่นาน เท้าก็แตะเหยียบระเบียงชั้นล่างได้สำเร็จ อาศัยความช่วยเหลือจากท่อตรงมุมเสาเป็นหลักยืดอีกหน่อย เขาก็พาตัวเอาไถลเข้ามาในอาคารได้ในเวลาอันสั้น


ดูเหมือนสถานการณ์ทางฝั่งเต้จะบีบคั้นเต็มที เจ้าตัวถึงได้ลูกลี้ลูกลนปืนตามลงมาติดๆ ตุลย์ยื่นมือให้เต้ยึดเป็นหลักทันทีที่อีกฝ่ายเท้าเหยียบถึงระเบียง ชายหนุ่มก็ตอบรับความช่วยเหลือด้วยการคว้ามือ ก่อนที่เขาจะดึงเต้กลับเข้ามาในอาคารได้อย่างปลอดภัย และออกวิ่งต่อ


วิ่งมาได้ไม่ไกล จู่ๆ เต้ก็กดหัวเขาให้หลบใต้เงารถ ขณะที่เจ้าตัวโทรศัพท์หาใครสักคนโดยไม่พูด เห็นแบบนั้นตุลย์ก็ล้วงกระเป๋าตาม แต่กลับพบว่ามันว่างเปล่า


บ้าเอ้ย เขาลืมโทรศัพท์ไว้ที่คาเฟ่!!


เสียงตึงตังจากระเบียงทำให้ตุลย์ค่อยๆ ชะโงกกลับไปมองยังจุดที่พวกเขาหย่อนตัวลงมา ก่อนจะตกใจเมื่อหนึ่งในสามชายฉกรรรจ์ปีนตามลงมาด้วย


และที่แย่ที่สุดคือ จังหวะที่ชะโงกออกไป เขาบังเอิญสบตากับชายคนนั้นอย่างพอดิบพอดี...


“เฮ้ย! พวกมันยังอยู่ข้างล่าง!”


เวรเอ้ย! ที่เห็นในหนังแม่งคือเรื่องโกหกทั้งเพ!!


ตุลย์ลุกพรวดพราด ขาแทบพันกัน เขากระชากคอเสื้อเต้ที่ยังถือโทรศัพท์ ก่อนจะวิ่งออกมาอย่างไม่คิดชีวิต


ตุลย์นำไปยังประตูห้าง แต่ไปได้ครึ่งทาง ก็ถูกชายฉกรรจ์สองคนที่วิ่งลงมาจากทางลาดขาออกสำหรับรถยนต์ดักหน้าเสียก่อน


“บันได! ลงไปให้ถึงชั้นหนึ่ง!”


เต้ชี้ไปยังบันไดหนีไฟซึ่งอยู่หลบมุม อีกฝ่ายดันให้เขาวิ่งลงไปก่อนโดยมีตนเองตามมาติดๆ  ลงไปได้แค่สามเอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าอึกทึกก็ไล่ตามหลังมา


พักหลังมานี้ตุลย์ไม่ค่อยได้แตะกีฬาเพราะติดงานถ่ายแบบ บันไดจึงทำให้เขาความเร็วตกอย่างเห็นได้ชัด ลงมาได้อีกครึ่งชั้น เขาก็ตัดสินใจเปลี่ยนทิศทางกลับเข้าห้างแทน เพราะหากใช้บันไดต่อไป กลุ่มคนพวกนั้นคงไล่ตามทันในเวลาอันสั้น


“ตุลย์ เดี๋ยว!!”


ตุลย์ถลาตัวผ่านมุมอาคารซึ่งเป็นจุดมืดอย่างเร่งรีบโดยที่เต้รั้งไว้ไม่ทัน


แต่แล้วชั่วพริบตามือใครบางคนก็คว้าหมับเข้าที่เอวจากด้านหลัง ตวัดแขนล็อคคอ ปิดปากเขาแน่น เขาตะโกนเรียกเต้ แต่กลับได้ยินแค่เสียงอู้อี้ของตัวเอง และฝีเท้าของชายฉกรรจ์ที่ใกล้ราวกับอยู่ข้างตัว มันทำให้ตุลย์ตกใจและเริ่มดิ้นอย่างคนเสียสติ


เสียงเอี๊ยดล้อยางบดถนนของรถเอสยูวีดังลั่นบาดหูจนเขาต้องหลับตาแน่นเพราะประสาทการรับรู้ใกล้ถึงขีดจำกัดเต็มที จากนั้นประตูรถดีดเปิด ก่อนที่ชายฉกรรจ์เจ้าของพันธนาการจะยัดเขาใส่รถ ตามด้วยตนเอง 


แล้วรถก็ขับออกไปแบบเหวี่ยงซ้ายจัด พร้อมกับเสียงล้อบดยาวเสียดหู จนร่างเขาและชายคนนั้นไหลไปกองรวมกันอยู่ที่เบาะอีกข้างเพราะตั้งตัวไม่ทัน


ปัง!


เสียงคล้ายปืนทำให้เขาสะดุ้ง ตุลย์คู้ตัวก้มหัวต่ำ ปิดหูตัวเองด้วยมือสองข้างตามสัญชาตญาณ ก่อนที่มันจะดังไล่หลังมาอีกสามนัดติด ตามด้วยเสียงคล้ายแก้วแตกกระจาย


ปัง! ปัง! ปัง!


“ไปโว้ยๆ ๆ !!”


ตุลย์รู้สึกได้ว่าร่างตัวเองกำลังสั่นอย่างไร้การควบคุม ลมหายใจหอบกระชั้นเพราะตกใจสุดขืด หูทั้งสองอืออึง แต่กลับมีเสียงปืนดังก้อง สะท้อนไปมาในโสตประสาทราวกับมีใครบางคนลั่นไกใส่หูเขา หลังเย็นเต็มไปด้วยเหงือกกาฬ ขณะภาพที่มองผ่านดวงตาเริ่มปรากฏจุดเล็กละเอียดกระจายอยู่เต็มภาพจนเกือบเป็นสีดำ


คล้ายกับได้เสียงสนทนา แต่กลับฟังไม่ได้ศัพท์ จากนั้นรถเหวี่ยงติดๆ กันอีกสองสามครั้ง  แล้วเขาก็ไม่รับรู้อะไรอีก...


จนกระทั่งทุกอย่างจะเริ่มนิ่ง...


นิ่งและเงียบเหมือนโลกกำลังหยุดหมุน


“มึงลองดูซิ ว่าเป็นอะไรมั้ย ช็อกไปแล้วมั้งน่ะ”


เสียงดังมาจากฝั่งคนขับ เป็นเสียงที่เค้าคุ้นเคย ตามด้วยแรงเขย่าจากมือของชายฉกรรจ์ข้างกาย


“คุณหนู” ฝ่ายนั้นเพิ่มแรงเมื่อเขาไม่ตอบสนอง แล้วตบหน้าเขาเบาๆ เรียกสติ “คุณหนูบาดเจ็บตรงหรือเปล่า?”


“อุตส่าห์บอกแล้วว่าจะไม่พามา ก็ยังหนีมาจนได้ ไอ้เด็กนั่นก็อีกคน! เกลือเป็นหนอนเฉ๊ย ให้ตามดู ไม่ใช่ให้ตามไปก่อเรื่องด้วย โอ้ย! ซ้องแซ้ง มันซามถูกผัดนัก


[อุตส่าห์บอกแล้วว่าจะไม่พามา ก็ยังหนีมาจนได้ ไอ้เด็กนั่นก็อีกคน! เกลือเป็นหนอนเฉ๊ย ให้ตามดู ไม่ใช่ให้ตามไปก่อเรื่องด้วย โอ้ย! หงุดหงิด มันน่าโดนดุนัก]


ตุลย์มองหน้าชายฉกรรจ์ ฝ่ายนั้นสวมทั้งเชิ้ตและสูทสีดำ ก่อนจะค่อยๆ ยืดตัวขึ้นนั่งอย่างไม่เข้าใจนัก เขาชะโงกมองผ่านกระจกหลังก็พบว่า เจ้าของฝีมือขับรถเหวี่ยงๆ เมื่อครู่ คืออเนก ส่วนผู้โดยสารเบาะหน้าอีกคนคือ ชายผิวสีน้ำผึ้งในสูทดำ คนเดียวกับที่เขาเจอตอนออกไปซื้อเครื่องเขียน


“ตะ เต้ล่ะครับ” เสียงเขาสั่นน่าตกใจ


“ตามออกมาแล้วครับ เพื่อนร่วมงานผมโทรมาแจ้งว่าปลอดภัยดี ไม่เป็นต้องห่วง” 


ชายผิวสีน้ำผึ้งตอบ


“สถานการณ์คร่าวๆ ตอนนี้ โดยรวมสงบดี อยู่ภายใต้การควบคุม แต่รถที่คุณกำลังนั่งกระจกข้างแตก ส่วนการ์ดถูกยิงคนหนึ่ง แต่ไม่ใช่จุดสำคัญ”


สิ่งที่ได้ฟังทำเอาเขาหาเสียงไม่เจอ “ผะ ผมไม่รู้ว่าเรื่องมันจะใหญ่ขนาดนี้ ...กะ ก็คุณศานนท์เป็นเจ้าของชาไม่ใช่เหรอครับ ผมไม่คิดว่ามันจะต้องถึงขั้น...”



ยิงกัน...


อเนกฟังเขาแล้วก็ยิ้มแห้ง


“ไอ้ปัญหาทางฝั่งพวกผมน่ะไม่เท่าไหร่หร๊อก ยังไงหน้าที่ผมก็คือดูแลคุณ ส่วนเรื่องพวกนี้ เสี่ยคงปิดคุณไปได้อีกไม่นานอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ผมว่า... คุณควรเตรียม ‘คำอธิบาย’ ให้เสี่ยก่อน เพราะผมว่าเขาคง ‘ไม่แฮปปี้’ กับเรื่องนี้เท่าไหร่”



--------------------------


เมลล่าป่วยย ฮืออออ เลยหายไปนานกว่าปกติ (เอ๊ะ ปกติหายนานกว่านี้)
ตอนนี้ไม่ได้ขัดละเอียดเท่าไหร่ มีจุดไหนที่แปลก สามารถติได้เหมือนเดิมเจ้าค่า
ตอนนี้จริงๆ แล้วค่อนข้างยาว เมลล่าเลยตัดสินใจลงก่อน 80% เพราะตอนต่อไปจะเป็น special 
ถ้าตัดแล้วเหลือเศษทิ้งไว้มันก็จะแปลกๆ
ทิ้งท้ายไว้แค่นี้ก่อนเจ้าค่า
ขอบคุณนักอ่านทุกคนที่ยังติดตามน้า
ปล. เมลล่าพยายามอัพรัวๆ ฮื่อออ มายิบๆ ย่อยๆ นิดนุง เพราะเปิดเทอมกลัวจะมาได้ไม่บ่อยเท่านี้เจ้าค่ะ
อยากปั่นหนูตุลย์ให้เสร็จ กรีสสสส

ติดตามเมลล่าได้ที่เพจ : https://www.facebook.com/Iamcaramella (https://www.facebook.com/Iamcaramella)
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (23.07.18) Night 17th l 17.2 (80%) P.11 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 23-07-2018 08:42:05
 :pig4: :pig4: :pig4:

ความลับเยอะจริงนะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (23.07.18) Night 17th l 17.2 (80%) P.11 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 23-07-2018 10:55:22
น่ากลัวมาก ชุลมุนวุ่นวายมากเลยด้วย


หรือว่าเสี่ยคนเก่าเจ้าของผับอยากได้ตุลย์คืน

หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (23.07.18) Night 17th l 17.2 (80%) P.11 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 23-07-2018 11:26:57
ตื่นเต้นๆๆ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (23.07.18) Night 17th l 17.2 (80%) P.11 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 23-07-2018 20:56:19
แย่ล่ะ

เสี่ยงอนเลย ให้เด็กง้อ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (23.07.18) Night 17th l 17.2 (80%) P.11 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 24-07-2018 00:00:31
เสี่ยฆ่าตายแน่งานนี้
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (23.07.18) Night 17th l 17.2 (80%) P.11 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: kimkidoy ที่ 24-07-2018 02:55:14
เดี๋ยววววววว ไม่คิดว่าจะมาบู๊ แอคชั่นกันขนาดเน้
เริ่มสงสัยแล้วว่าทำไมเสี่ยถึงห่วงตุลย์ขนาดนี้อ่ะ
เป็นที่ตัวเสียเองหรือที่ตัวตุลย์???????
ปล.เต้จะโดนอะไรไหมเนี่ยยยยยยยยวย :katai4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (18.08.18) Night 18th l ความลับ P.11 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 18-08-2018 23:34:04
18th Night : ความลับ


ตุลย์นั่งเงียบมาตลอดทางจนอาทิตย์ตกดิน ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำ แม้ว่าทางที่อเนกบังคับรถมุ่งหน้าไปจะไม่ใช่เส้นทางที่คุ้นเคย และเขาไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นกำลังพาตนเองไปไหน แต่ตุลย์ก็เลือกจะเงียบ


...ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขายังช็อคกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และไม่อยากพูดถึงมันเท่าไหร่


เขาเหม่อมองทิวทัศน์ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน จนกระทั่งรถเลี้ยวซ้ายเข้าไปในเขตอาคารที่มีแสงไฟสว่างโล่ วนเกาะกลางรอบหนึ่งแล้วจอดเทียบฟุตบาตหน้าตึกสูงใหญ่คล้ายบริษัทอะไรสักอย่าง เขาถึงรู้สึกตัว


“ถึงแล้วครับ คุณตุลย์”


อเนกพูดขึ้นท่ามกลางเสียงแอร์เงียบฉี่ ก่อนที่การ์ดข้างๆ จะลงจากรถ อ้อมไปเปิดประตูฝั่งเขา แล้วถือค้างไว้เป็นเชิงเชิญให้ลงจากรถ


“เขาจะพาคุณไปหาเสี่ย ส่วนผมวนรถแล้วจะตามไปนะ” ถูกกระตุ้นซ้ำ ตุลย์ก็จำใจต้องก้าวขาลงอย่างเสียไม่ได้


ชายฉกรรจ์นำเขาผ่านประตูอัตโนมัติเข้ามาด้านในดึกสวนกับผู้คนที่ไขว่ขวั่กเข้าออก โดยที่มีอีกคนหนึ่งเดินประกบหลัง 


ภายในอาคารจัดได้ว่าคึกคักด้วยผู้คน พื้นที่ตรงล็อบบี้ยังถูกจับจ่ายใช้สอยโดยกลุ่มพนักงาน แม้จะล่วงเลยมาเกือบสองทุ่มแล้ว ระหว่างทางที่ถูกการ์ดนำมุ่งหน้าไปยังลิฟท์ ตุลย์สังเกตุเห็นชายฉกรรจ์อีกหลายคนเดินปะปนอยู่ตามพื้นที่ส่วนต่างๆ


ส่วนใหญ่คนพวกนี้มักจะใส่หูฟัง และสวมสูทโทนสีเข้ม ไม่อย่างนั้นก็จะใส่ชุดทางการคล้ายๆ กัน ทำให้แยกออกจากพนังงานได้ไม่ยาก


"เชิญครับ”


หนึ่งในนั้นเดินเข้าไปภายในลิฟท์ แล้วก็ผายมือเชิญ ตุลย์จึงเบนสายตากลับมา แล้วเดินตามเข้าไปเงียบๆ ก่อนที่ลิฟท์จะมุ่งหน้าขึ้นไปยังชั้นยี่สิบเอ็ด


สักครู่ใหญ่ๆ ประตูก็เปิดออก จากนั้นชายคนเดิมนำเขาไปยังห้องๆ หนึ่งซึ่งอยู่เกือบสุดมุมของโถงด้านเดิน ด้านหน้าห้องมีโต๊ะทำงานค่อนข้างใหญ่ พร้อมคอมพิวเตอร์ และข้าวของเครื่องใช้ในสำนักงาน เขาเดาว่าคงเป็นโต๊ะเลขา ทว่าปราศจากวี่แววของเจ้าตัว


ชายฉกรรจ์คนดังกล่าวหยุดหน้าห้อง เคาะประตูห้องเบาๆ เพื่อขออนุญาต ก่อนจะเปิดมัน เชื้อเชิญเขาโดยที่ตนเองไม่ตามเข้าไป


“ใครบาดเจ็บ?”


นั่นเป็นประโยคแรกที่ตุลย์ได้ยิน ตอนที่ก้าวเท้าเข้ามาในห้อง เจ้าของเสียงคือ ศานนท์ ซึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานด้านซ้าย ตรงข้ามกันนั้นคือชายฉกรรจ์ค่อนข้างมีอายุยืนอยู่ก่อน


หนุ่มใหญ่เหลือบมองเขาแค่หางตา จากนั้นหันไปหาคู่สนทนาเป็นเชิงขอคำตอบ


“เด็กใหม่ครับ ถูกยิงที่แขน หนึ่งในคนที่ผมสั่งให้คอยตามดูคุณหนู”


หนึ่งในคนที่ตามดูเขา...?


ผู้ชายผิวขาวที่ดึงเขาไว้ตอนก้มเก็บถุงกระดาษเมื่อวานน่ะเหรอ? ว่าไปแล้ว เขาก็ยังไม่เห็นการ์ดคนนั้นเลยตั้งแต่เกิดเรื่อง...



“แล้วตอนนี้เป็นยังไง”


“ทำแผลอยู่ที่โรงพยาบาลครับ กระสุนไม่ได้โดนจุดสำคัญ”


“......”


เขารู้ไม่รู้จริงๆ ว่ามันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตจนมีคนบาดเจ็บ


ตุลย์เดินเลี่ยงเงียบๆ ไปนั่งรอบนโซฟามุมห้อง รอทั้งคู่ถกเถียงเรื่องความเสียหายที่เกิดขึ้นจนจบ ไม่นานจากนั้นชายฉกรรจ์คนดังกล่าวก็ขอตัวเดินไปออกอย่างสุภาพ ในห้องจึงเหลือแค่เขากับศานนท์ และบรรยากาศชวนกระอักกระอ่วน


“ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าไป” ศานนท์พ่นลมหายใจ หลังจากเสียงประตูปิดลง


 “......”


“ฉันจำเป็นต้องทิ้งประชุมเย็นนี้มา เพราะเรื่องเธอ ทำไมเธอถึงไม่ฟังกันบ้าง?”


น้ำเสียงและสีหน้าของหนุ่มใหญ่ปราศจากความโกรธ ราบเรียบ แต่เต็มไปด้วยการคาดคั้นเอาคำตอบเสียจนทำให้คนฟังอย่างเขารู้สึกอึดอัด


“...กะ ก็ผมไม่คิดว่าเรื่องมันจะใหญ่โตขนาดนี้”


“ฉันเตือนเแล้ว ถ้าเธอฟังแต่แรก เรื่องก็จะไม่วุ่นวายอย่างตอนนี้ ไม่มีอะไรเสียหาย ไม่มีใครบาดเจ็บ”


ตุลย์เม้มปากแน่น “แล้วคุณจะให้ผมรู้ได้ยังไงว่า กะอีแค่การไปห้าง มันจะบานปลายเป็นเรื่องที่ต้องชักปืนยิงกัน”


“ฉันบอกเธอแล้วว่า ฉัน-มี-ปัญหา-กับ-ลูกค้า คำพูดของฉันมันเชื่อถือไม่ได้เหรอ? เธอถึงต้องดันทุรังไปพิสูจน์เอง”


ศานนท์ย้ำชัดทุกพยางค์ สบกันดวงตาที่นิ่งเรียบจนอ่านไม่ออก ตุลย์ก็ชักประหวั่น ตอบอึกอัก


“ละ แล้วทำไมคุณไม่ชัดเจนกับผมตั้งแต่ล่ะครับ? ว่าลูกค้าคุณอันตราย คุณไม่บอกเหตุผล แถมยังส่งคนมาตามดูผมโดยที่ผมไม่รู้ เรื่องเต้ก็เหมือนกัน ทีแรกคุณรับปากว่าจะให้ผมจัดการปัญหาของผมเอง ถ้าไม่เกิดเรื่องวันนี้ ผมคงไม่มีวันรู้จากปากคุณ”


“ก็แล้วถ้าฉันไม่ให้คนตามเธอ ตอนนี้เธอจะอยู่ที่มหา’ ลัยอย่างที่ฉันขอหรือเปล่าล่ะ?”


“......”


ถูกสวน ทั้งที่รู้คำตอบดีอยู่แก่ใจ


“รู้มั้ย... ว่าถ้าเต้ไม่ตามเธอไปวันนี้ เธออาจไม่ได้กลับมายืนคุยกับฉัน”


ประโยคนั้นทำเอาเขาได้แต่กลืนคำพูดต่างๆ กลับลงไปพร้อมความอัดอั้นระคนรู้สึกผิด


จู่ๆ การสนทนาของพวกเขาก็ถูกขัดด้วยเสียงเคาะประตูเบาๆ ตามด้วยมาเยือนใหม่อีกสองคนจะเปิดประตูเข้ามา ซึ่งไม่ใช่ใครนอกจากอเนกและเต้ ก่อนที่ทั้งคู่ถูกศานนท์ยิงคำถามใส่แทบในทันที


“มีอะไรจะแก้ตัวมั้ย?”


“ไม่ครับ เป็นความผิดผมเองที่หละหลวม เรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าผมจับตาดูคุณหนูให้ดี ผมไม่มีอะไรจะแก้ตัว” อเนกค้อมศีรษะ “ความเสียหายที่เกิดขึ้น เป็นความรับผิดชอบของผมแต่เพียงผู้เดียว”


“นั่นไม่ใช่ข้อผิดพลาดที่ฉันหวังว่าจะได้ยิน”


“ผมทราบดีครับ ว่ามันไม่ควรเกิดขึ้น...”


“คุณ... พี่เอกไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้”


ตุลย์โพล่งขัดเรียกความสนใจจากทั้งคู่ เขารู้ดีว่ามันไม่มีมารยาท แต่จะปล่อยให้คนที่ช่วยมารับผิดแทนเขา โดยไม่ทำอะไร เขาทำไม่ได้หรอก


“ผมเป็นคนบังคับเต้ หมอนี่ขัดผมไม่ได้ถึงพาผมไปที่ห้างตามนัด ถ้าจะเป็นความผิดใคร มันก็ควรจะเป็นความผิดผม”


“ฉันเป็นคนสั่งให้พวกเขาดูแลไม่ให้เธอเป็นอันตราย ไม่ใช้ให้ไปช่วยเธอก่อเรื่อง” ศานนท์ปราดมองใส่ผู้มาเยือนใหม่ทั้งสอง “...ถ้าทำตามคำสั่งไม่ได้ก็คือ ‘พกพร่องในหน้าที่’ ส่วนเธอ... แน่นอนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของเธอมากที่สุด”


“........”


“เรื่องเธอไว้ค่อยคุยกันทีหลัง คนของฉันจะพาเธอกลับบ้านก่อน ส่วนฉันยังมีธุระอื่นต้องจัดการ”


หนุ่มใหญ่ตัดบทสั้นๆ แม้จะเป็นแค่ประโยคบอกเล่าธรรมดา อเนกก็ไถลตัว เปิดประตูเรียกการ์ดที่เฝ้าอยู่ด้านนอกให้อย่างรู้งาน ก่อนที่เขาจะถูกเชิญออกแกมบังคับ โดยอดเหลียวหลังกลับไปมองทั้งสองคนในห้องไม่ได้


...เขาเป็นต้นเหตุเองแท้ๆ แต่กลับทำให้คนอื่นต้องมาซวยไปด้วย บ้าที่สุด!





ตุลย์กลับถึงบ้านทั้งๆ ที่ความรู้สึกผิดยังตกค้างอยู่ในใจ ส่วนการ์ดที่มาส่งเขาก็ยืนกรานจะอยู่เพื่อเช็คความปลอดภัยจนถึงเช้า เดาว่าหนึ่งใน ‘ความปลอดภัย’ ที่ว่าก็คงรวมถึงการตรวจตราให้มั่นใจว่าเขาจะไม่หนีออกจากบ้านในดึกนั่นแหละ


ถึงแม้บ้านของศานนท์จะกว้างใหญ่ไพศาลขนาดจุคนได้เป็นสิบโดยเดินยังไงก็ไม่มีทางไหล่ชนกัน แต่การถูกคนนอกคอยจับตามองในระยะใกล้ชิด มันก็ทำให้เขาประหม่าอย่างบอกไม่ถูก


 ปกติเขามักแก้ปัญหาด้วยการเล่นโทรศัพท์ แต่พอนึกได้ว่าตัวเองลืมโทรศัพท์ไว้ที่คาเฟ่ เลยปลี่ยนใจขึ้นห้องไปอาบน้ำแทน


น้ำเย็นๆ จากฟักบัวที่ไหลชะโลมทั่วร่างกายทำให้ตุลย์รู้สึกสงบลง จากนั้นเขาก็ปล่อยตัวเองให้จมจ่อในภวังค์ ทบทวนภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหัวซ้ำ แม้ว่าจิตใต้สำนึกในใจจะวอนขอให้มันไม่ได้เกิดขึ้นจริง


มาคิดๆ ดูแล้วศานนท์ก็พูดถูก... บางทีเขาก็อาจเรียกร้องมากเกินไป


เรื่องที่หวังให้หนุ่มใหญ่ชัดเจนกับตัวเองทั้งๆ ที่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีความรู้สึกผูกพันธ์อื่นใดนอกเหนือจากเพื่อนร่วมชายคา 


ทำไมศานนท์จะต้องพยายามถนุถนอมความสัมพันธ์แค่คนรู้จัก ถึงขนาดปรับเปลี่ยนนิสัยตนเองตามที่เขาเรียกร้องด้วยเล่า?


บางทีถ้าหากเชื่อฟังอีกฝ่าย และอดใจ ‘รอ’ อีกนิด เรื่องวันนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น ไม่มีความเสียหาย ไม่มีใครบาดเจ็บ ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติทุกวันอย่างที่เขาพึงพอใจ


...แต่เขากลับเลือกอีกอย่าง ทั้งที่ลึกๆ ก็รู้อยู่แก่ใจว่า ศานนท์ มีความจำเป็น ถึงรั้งไม่ให้ไป ถึงอย่างนั้นเขาก็ยัง ‘ดื้อด้าน’ จะทำตามใจมากกว่าใช้เหตุผล จนสุดท้ายก็เป็นต้นเหตุให้เกิดเรื่องทั้งหมดขึ้น 


เขาควร ‘ขอโทษ’ศานนท์... ถึงแม้ว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจะบานปลายถึงขนาดที่ตัวเขาเพียงลำพัง ไม่อาจชดใช้ได้ก็ตาม...


ตัดสินใจได้แบบนั้น ตุลย์ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาแต่งตัวด้วยชุดลำลองทั้งที่ผมเปียกหมาด ตั้งใจจะลงไปชั้นล่าง รอจนอีกฝ่ายกลับมาแล้วทำให้ทุกอย่างมันถูกต้องเสีย


ทว่าจังหวะที่กำลังแง้มประตู ตุลย์ก็ต้องชะงักเมื่อเขาเกือบปะทะกับศานนท์ที่ยืนจังก้าอยู่หน้าห้อง ฝ่ายนั้นเองก็อยู่ในท่าที่เหมือนกำลังจะเคาะประตูเรียกเขาเช่นกัน


“ฉันอยากคุยกับเธอหน่อย”


“ผมอยากคุยอะไรกับคุณหน่อย”



“.........”


เพราะต่างคนต่างพูดพร้อมกัน จึงได้ความเงียบเป็นคำตอบทั้งคู่


“เธอว่าก่อนสิ”


แต่พอศานนท์เปิดช่องให้ ก็กลายเป็นเขาอึกอัก เพราะรู้สึกประหม่าเสียเอง


“คือ... ผมลองมาคิดๆ ดูแล้ว ทั้งหมดเป็นความผิดของผม ผมดันทุรังกับเรื่องไม่เป็นเรื่องเกินไปจริงๆ ทั้งที่คุณก็เตือนแล้วเพราะเป็นห่วงสวัสดิภาพ แต่ผมก็ยังดึงดันไม่เข้าเรื่อง เอ่อ... ผมแค่อยากขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้น ผมรู้ว่ามันช่วยแก้ไขอะไรไม่ได้ ...แต่ เอ่อ อย่างน้อย ผมก็คิดว่าผมควรทำอะไรสักอย่าง... ผมขอโทษจริงๆ...”


หนุ่มใหญ่แค่รับฟังเงียบๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย มันทำให้เขาไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นคิดยังไงกับคำขอโทษ จนอดเม้มปากอย่างเคยชิน


“ขอเข้าไปในห้องได้มั้ย”


“......” ตุลย์ไม่ตอบคำถาม แค่พยักหน้า


ศานนท์ก็เดินไปทิ้งตัวบนขอบเตียง ถอนหายใจหนักพลางลูบหน้าผาก


“จริงๆ มันก็เป็นความผิดของฉันครึ่งหนึ่ง อย่างที่เธอว่า ฉันไม่ชัดเจนกับเธอ...ฉันส่งคนไปตาม ปิดเรื่องเงียบกริบ แล้วยังถามหาความเชื่อใจจากเธออีก”


“......”


“ที่ฉันไม่พูดเรื่องลูกค้ากับเธอตรงๆ แต่แรก นั่นเพราะฉันไม่อยากให้เธอเป็นกังวล และก็ไม่อยากให้เธอเขามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่ก็อย่างว่า ฉันปิดเธอตลอดไปไม่ได้... ”


“.......”


ศานนท์เงียบไปอึดใจราวกับกำลังไตร่ตรองถึงสิ่งที่กำลังจะพูดในอีกวินาทีข้างหน้า ขณะที่เขาเพียงแค่ยืนรอฟังเงียบๆ จวบจนกระทั่งอีกฝ่ายเปล่งเสียง


“...จริงๆ แล้วคนที่ตามล่าเธอวันนี้ไม่ใช่ลูกค้าปัจจุบันของฉัน แต่ ‘เคยเป็น’ ลูกค้า สมัยที่ยังไม่รามือจากวงการ”


“วงการอะไรครับ?”


ตุลย์ทวนคำ แต่พอสมองเริ่มประเมินเหตุการณ์ได้ เขาก็แค่เหยียดยิ้มอ่อนๆ อย่างเอือมระอากับโชคชะตา


“อ๋อ คุณก็เคยจับธุรกิจใต้ดินเหมือนกันสินะ”


---------------------------------


ยังมีใครแปลกใจกับเรื่องนี้มั้ยคะ หรือว่าคาดการณ์กันเอาไว้แล้ว 55555
ได้เวลาเฉลยภูมิหลังของคาแรกเตอร์นี้สักที!
คุณศานตอนหนุ่มๆ นี่นิสัยเป็นยังไงกันหนออ


ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมเมลล่าไม่เอาไว้ต่อกันตอนที่ 17 ก็เพราะว่าเนื้อหามันเกินมาจะครึ่งตอนแล้ว 555
เมลล่ารู้สึกแปลกๆ ถ้าทำให้ตอนหนึ่งมีความยาว 15-17 หน้า ถถถถ ทั้งที่เขียน 9-11 ตลอด
 
สัญญาเอาไว้ว่าจะมาหลังวันที่ 1 แต่พอยุ่งแล้วก็ลากยาวเลยค่ะ จนนี่ปาไป 18 แล้วว
กราบขออภัยนักอ่านทุกท่านเป็นอย่างสูง ฮื่อๆๆๆๆๆ
แต่มาช้าก็ยังดีกว่าไม่มา!
เมลล่าเปิดเรียนแล้ว ความจริงที่โหดร้ายรออยู่ (ฮา)
สุดท้ายขอบคุณที่ยังติดตามเจ้าค่ะ
ฝากเพจไว้เหมือนเดิมที่ : https://www.facebook.com/Iamcaramella (https://www.facebook.com/Iamcaramella) 

หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (18.08.18) Night 18th l ความลับ P.11 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 18-08-2018 23:59:44
คุณศานนท์ เป็นมาเฟีย
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (18.08.18) Night 18th l ความลับ P.11 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 19-08-2018 00:54:58
ฟังที่คุณเขาพูดก่อนนนน
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (18.08.18) Night 18th l ความลับ P.11 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 19-08-2018 09:33:06
อ่านรวด้ดียวมาถึงตอนนี้ แรกๆส่งสารตุลน์มากหลังๆนี่เริ่มหทั่นไส้เหมือนกันนะกับความดื้อเนี่ยะ แรกๆมันหน่วงหน่อยเพราะทางเลือกสีเทาๆของตุล แต่หล้งๆมียิงกันด้วยนี่มันอะไรรร ตื่นเต้นไปอีก ว่าแต่ว่าตุลจะเริ่มรักเริ่มชอบลุงเค้าเมื่อไหร่ ดูไม่มีวี่แววเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (18.08.18) Night 18th l ความลับ P.11 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 19-08-2018 10:00:35
 :pig4: :pig4: :pig4:

ไม่ทำดา  ในอดีตคงทำธุรกิจมืดสินะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (18.08.18) Night 18th l ความลับ P.11 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 19-08-2018 11:33:38
ว่ามาจ้ะ

เคยระเบิดภูเขา เผากระท่อม เตะแมว แย่งขนมเด็ก  พี่ศานต์เคยทำอะไรเรารับได้หมดเลย
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (18.08.18) Night 18th l ความลับ P.11 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: SOMCHAREE ที่ 20-08-2018 01:21:09
สนุกมากค่า
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (18.08.18) Night 18th l ความลับ P.11 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 20-08-2018 06:51:50
คุลย์ทำไมดื้องี้ กี่ครั้งแล้วที่ความดื้อตะแบงเอาแต่ใจตัวเอง พาตัวเองไปในที่อันตราย
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (18.08.18) Night 18th l ความลับ P.11 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: masochism2018 ที่ 20-08-2018 17:04:45
ไม่ได้อ่านเรื่องนี้นานมาก รื้อฟื้นก้อนน
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (18.08.18) Night 18th l ความลับ P.11 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 22-08-2018 00:48:27
เด็กดื้อก็คือเด็กดื้อ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (18.08.18) Night 18th l ความลับ P.11 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 16-09-2018 08:05:08
ความลับของคุณศานนท์กำลังจะเผยออกมาแล้วววว
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (18.08.18) Night 18th l ความลับ P.11 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 30-10-2018 23:13:59
 :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (18.08.18) Night 18th l ความลับ P.11 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 11-11-2018 21:05:29
คุยเล่น

เข้ามาบอกว่ายังไม่หายไปไหนเจ้าค่าาา
ติดโปรเจ็คเยอะมาก จะตัยแล้ววว งานก็ต้องหา
จนเพื่อนได้งานกันหมดแล้ว เมลล่าก็ยังเป็นคนว่างงานต่อไป 555555555 #ชีวิตมันน่าเศร้า

ขอโทษที่อืดอาดยืดยาดไม่อัพซะที เมลล่าจะเสร็จโปรเจควันที่ 15 นี้ จะพยายามปั่นตอนพิเศษที่ค้างเอาไว้ให้จบหลังจากนั้นค่ะ

ขอบคุณที้ผ่านมาสามปีแล้วก็ยังมีขาประจำแวะเวียนเข้ามาอ่าน  :mew1:

ตอนนี้อะไรๆ รุมเร้าไปหมดเลย แต่เราจะกลับมา

แน่นอน! รบกวนรอกันอีกหน่อยนะคะ
 :bye2:

หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (11.11.18) คุย + ชี้แจง P.12 [No Update]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 11-11-2018 21:26:11
 :pig4: :pig4: :pig4:

Thanks for updated information krab.
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (11.11.18) คุย + ชี้แจง P.12 [No Update]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 12-11-2018 01:01:07
รอนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (11.11.18) คุย + ชี้แจง P.12 [No Update]
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 12-11-2018 01:37:56
เข้าใจเลย ไม่มีงานประจำทำ ขอรอต่อไป
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (11.11.18) คุย + ชี้แจง P.12 [No Update]
เริ่มหัวข้อโดย: angelninae ที่ 12-11-2018 01:44:53
รอได้ค่ะ ไม่เป็นไร ขอให้คุณเมลล่าได้งานเร็วๆนะคะ เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (11.11.18) คุย + ชี้แจง P.12 [No Update]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 12-11-2018 08:08:58
ดื้อจริงๆ ตุลย์เอ๊ย เชื่อฟังลุงบ้างก็ได้นะลูก
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (11.11.18) คุย + ชี้แจง P.12 [No Update]
เริ่มหัวข้อโดย: KS.F ที่ 21-11-2018 15:35:21
 :mew4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (11.11.18) คุย + ชี้แจง P.12 [No Update]
เริ่มหัวข้อโดย: mimasopu ที่ 01-12-2018 10:49:42
เพิ่งหลงเข้ามาอ่านรวดเียวจบและติด+ค้าง
จะรอติดตามต่อนะคะ เป็นกำลังใจให้ ^^
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (11.11.18) คุย + ชี้แจง P.12 [No Update]
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 01-12-2018 12:24:25
อย่าเครียดเรื่องหางานนะคะะะะะ พักได้ก็พักก่อนยังไงชีวิตนี้ก็ต้องทำงาน พักได้พักก่อนค่าเชื่อเรา
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (3.01.19) Friday Night: เศษความทรงจำ P.12 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 03-01-2019 22:48:33
Friday Night : เศษความทรงจำ {ศานนท์}


“ฉากหน้าแห่งความสำเร็จ เปรียบเสมือนแค่กระจกด้านหนึ่งของเรื่องราวทั้งหมด”


คนในวงการธุรกิจย่อมรู้ดี ว่าการจะได้ก้าวมาเป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่ที่มีอำนาจหันหัวเศรษฐกิจ ไม่อาจอาศัยเงินตรามหาศาลเพียงอย่างเดียว


ธุรกิจคือเกม มีผู้เล่นและมีกฏ ซึ่งกฏในเกมผวนผัน ไม่มีจุดตายตัว


และเมื่อใดที่ต้องการ ‘อำนาจ’ สร้างกฏมาไว้ในมือล่ะก็


คนๆ นั้นจะต้องพร้อมเดิมพันนอกเกม


 “เอาล่ะ คงไม่มีใครอยากให้ผมพูดมากกว่านี้แล้วล่ะมั้งครับ”


เจ้าของเสียงคือหนุ่มฐานะดีที่ยืนเด่นอยู่กลางเวที เขาหัวเราะร่วน ขณะที่มือถือแก้วเหล้าทรงสูงแกว่งไปมา


“ง่ายๆ นะครับ เอาเป็นว่า ผมขอแสดงความยินดีกับผู้บริหารคนใหม่ที่ได้สืบทอดธุรกิจของครอบครัวอย่างเป็นทางการสักที ทุกคนครับ ขอเสียงปรบมือแสดงความยินดีกับเพื่อนผมหน่อย”


น้ำเสียงทะเล้นเรียกเสียงฮือฮาจากฝูงชนโดยรอบได้กระหึ่ม บ้างก็ปรบมือบางก็ผิวปาก ก่อนที่พิธีกรจำเป็นจะคว้าไหล่เพื่อนเกลอ แล้วส่งไมค์ให้


“มีอะไรจะพูดเปิดงานมั้ยครับ คุณศาน?”


สายตาทั้งหมดล้วนจับจ้องไปที่เจ้าภาพซึ่งเป็นหนุ่มเชื้อสายจีนอายุราวยี่สิบห้า ท่าทางภูมิฐานในเสื้อเชิ้ตหลวมๆ เจ้าตัวก็เพียงรับไมค์มา แล้วคลี่ยิ้มละมุนละไมทรงเสน่ห์อย่างเคยนิสัย


“ผมอยากขอบคุณแขกที่มาร่วมแสดงความยินดีและฉลองปาร์ตี้ส่วนตัวของผม ผมให้สัญญาว่าพวกคุณจะต้องจำคืนนี้ไปอีกนาน!”


ศานนท์ชูแก้วในมือขึ้นเป็นสัญญาณ ไฟสป็อตไลท์ที่ใช้ให้แสงสว่างบนเวทีก็ดับลง เปลี่ยนเป็นแสงไฟวูบวาบสลับสี พร้อมด้วยเพลงจังหวะอีดีเอ็มสนุกสนานจากบูธดีเจซึ่งตั้งอยู่ข้างสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ ชั่วปริบตานั้นฝูงชนก็เริ่มโฮ่ร้องด้วยความตื่นเต้น ขยับโยกย้ายร่างกายตามจังหวะ แม้แต่สระว่ายก็คึกคักไปด้วยผู้คน มีทั้งที่ยืนพูดคุยสังสรรค์ และสาดน้ำหยอกล้อกัน


คืนนี้เป็นคืนที่คึกคักมากที่เดียว 


“กูจะคั่วสาวๆ ยันเช้า ฮ่าๆๆ” หนุ่มเพื่อนควบตำแหน่งพิธีกรหัวเราะ ขณะที่พวกเขากอดคอกันเดินลงเวที


“ให้จริงเถอะน่า”


“เออ คืนนี้อยู่ยันเช้าแน่นอนเว้ย งานสำคัญของพื่อนซะอย่าง กูจะหนีกลับก่อนได้ไง!”


ศานนท์ฟังแล้วก็ยิ้มมุมปาก


ปาร์ตี้คืนนี้จัดขึ้นที่คฤหาสน์ของเขาเพื่อเฉลิมฉลองการเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นบอร์ดบริหารอย่างเป็นทางการ ในธุรกิจค้าชาที่ตกทอดมาในสายเลือดตั้งแต่รุ่นทวด การเลื่อนตำแหน่งคราวนี้ถือว่าเป็นที่จับตามองในวงการ เพราะด้วยอายุเพียงยี่ห้าปี เขาก็มีส่วนในการกำหนดทิศทางของบริษัทมีชื่อเสียงเสียแล้ว


นับว่าเป็นความสำเร็จก้าวสำคัญที่รวดเร็วจนหลายคนอิจฉา ขณะเดียวกันก็ดึงดูดอีกหลายคนเข้าหาราวกับแม่เหล็ก


ชีวิตบนกองเงินกองทอง ชื่อเสียง  คฤหาสพันล้าน รถสปอตหรูหรา และสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายเท่าที่จะสรรหาได้


เขามีทุกอย่างที่เป็นนิยามคำว่า ‘ความสำเร็จ’


เพียงแค่มันไม่ได้ขาวสะอาด


“เสี่ยครับ”


เพิ่งหันหลังแยกกับเพื่อน ศานนท์ก็ถูกเรียกโดยชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าราวสองปี เจ้าของเสียงไม่ใช่คนร่างใหญ่ เขาสวมเชิ้ตคอปกติดกระดุมสุภาพ ดูขัดแย้งกับแสงไฟวิบวับและเสียงดนตรีดังกระหึ่มโดยสิ้นเชิง

“เมื่อสักครู่ผมเพิ่งได้รับโทรศัพท์จากเด็กๆ ...เรื่องที่คุณสั่งให้ปิดปากต้นตอคนที่ปล่อยข่าวเสียหาย”


ประโยคนั้นทำให้ศานนท์ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ทำไม มีปัญหาเหรอ”


“ครับ ไม่ราบรื่นเท่าไหร่ คราวนี้อาจต้องส่งคนลงไป ‘เก็บกวาด’ ให้เรื่องเงียบจริงๆ”


“อื้ม” เขาพยักหน้า “ก็เอาตามนั้น ที่เหลือเธอตัดสินใจแล้วกัน”


“ครับ” ฝ่ายนั้นรับคำปุ๊บ ก็หมุนตัวกลับเข้าไปด้านในคฤหาสน์หลังใหญ่ พร้อมการ์ดคนสนิท


เพราะเดิมทีมันก็ไม่ใช่ธุรกิจมือสะอาดมาตั้งแต่ต้น มรดกตกทอดมาถึงเขาจึงไม่ใช่เพียงเงินทองและชื่อเสียง แต่รวมถึงเรื่องสกปรก และปัญหาต่างๆ ที่คาราคาซังสะสมมาจากรุ่นสู่รุ่นอีกด้วย


แต่สำหรับคืนนี้เขาไม่มีอารมณ์นึกอยากทำงานเท่าไหร่ ตราบใดที่ปัญหาไม่ใหญ่เกินมือ เขาจะปล่อยให้ ‘มือขวา’ จัดการเสมอ โดยที่ตนเองแค่รับทราบลายละเอียด


ความจริงแล้วงานนี้ควรจะเสร็จตั้งแต่เมื่อเย็น แต่เพราะ ‘เด็กๆ’ ไม่โทรรายงานตามกำหนด ประกอบกับมือซ้ายของเขา ซึ่งเดิมทีควรเป็นคนจัดการเรื่องสกปรก มีธุระด่วนต้องกลับบ้านเกิดกะทันหัน เรื่องจึงยืดเยื้อเลยมาจวนเจียนจะเที่ยงคืน ด้วยเหตุนี้มันจึงตกเป็นภาระของมือขวาแทน แม้ว่าเดิมทีเจ้าตัวมีหน้าคอยจัดการเรื่องธุรกิจบนดินก็ตาม


พนันว่าเขาคงกำลังโดนภรรยาอีกฝ่ายสาปส่ง ข้อหาดึงตัวสามีเธอไว้จนดึกดื่น แทนที่เอาเวลาไปดูแลลูกชายที่เพิ่งอายุขวบเดียว


ศานนท์หยิบคอกเทลแก้วหนึ่งจากบริกรคนหนึ่งที่เดินผ่าน ก่อนจะเดินกลับเข้าไปท่ามกลางฝูงชนที่กำลังจับกลุ่มสังสรรค์กันอย่างออกรส เขาตรงเข้าไปหาสาวสวยกลุ่มหนึ่งตรงขอบสระ พูดคุยหยอกล้อกับพวกเธออยู่พัก หนึ่งในกลุ่มหญิงสาวก็เริ่มทำแต้มด้วยการเรียกบริกรถือถาดเครื่องดื่มเข้ามาหา


“ชนแก้วกับเราหน่อยสิคะ คุณศาน”


เธอเรียกชื่อเล่นเขาเสียงหวาน ขณะที่ยื่นค็อกเทลแก้วหนึ่งให้ แลกกับแก้วเปล่าในมือเขา และส่งที่เหลือให้กับเพื่อนๆ


“ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ”


เห็นว่าเขาตอบตกลง หนึ่งที่นั่นก็หยิบโทรศัพท์มือถือคู่ใจที่วางไว้ริมขอบสระ ขึ้นมาบันทึกวีดีโออย่างตื่นเต้น


“เอาล่ะค่ะ หมี่จะนับถึงสามนะคะ หนึ่ง สอง สาม ชนแก้ว!”


เธอลากเสียงยาว ก่อนจะหัวเราะคิกคักตอนที่ดื่มคอกเทลสีฟ้าทีเดียวจนหมดแก้วพร้อมๆ กับเขา


 “คุณศานนท์ ไม่ลงมาเล่นน้ำด้วยกันเหรอคะ” เสียงของสาวผิวแทนจากในสระเรียกความสนใจ เธอเกยคางบนแพยางรูปยูนิคอนสีขาว โดยที่ตั้งแต่ช่วงหน้าอกลงไปจมอยู่ใต้น้ำ


เขายิ้มให้เธอ


“เอาไว้ก่อนนะ ผมยังไม่อยากเปียก”


“ไม่ลงไปเล่นด้วยกันจริงเหรอคะ”


คราวนี้เป็น ‘หมี่’ สาวจีนคนสวยเจ้าของโทรศัพท์เมื่อครู่เป็นฝ่ายชวน เธอแกะเสื้อคลุมผ้าชีฟอง เผยให้เห็นชุดว่ายน้ำทูพีชสีแดงเลือดนกบนเรือนร่างมีสัดส่วนราวกับนางแบบ เห็นอย่างนั้นเพื่อนๆ ของเธอก็ถอดเสื้อคลุมกองไว้ข้างๆ ก่อนจะตรงเข้ามารุมล้อมเขาเพื่อเกลี้ยกล่อม


“ลงไปด้วยกันเถอะค่ะ แป๊บเดียวเองนะ ไม่นานหรอก”


“ผมไม่อยากลงสระครับ”


“เหรอคะ... แต่ถ้ารอให้ดึกกว่านี้ก็จะไม่สนุกแล้วน้า” สาวสวยอีกคนทำหน้าเสียดาย


ถูกหว่านล้อมเข้ามากๆ ศานนท์ก็ไม่ชักไม่อยากปฏิเสธ “งั้นผมจะส่งพวกคุณลงสระทีละคน อย่างนี้พอแทนกันได้มั้ยครับ”


ได้ยินแบบนั้นพวกเธอก็กระดี๊กระด๊าขึ้นทันตา หนึ่งในนั้นไม่รีรอที่จะคว้ามือเขา เธอหย่อนเท้าก้าวลงบันไดสระโดยใช้แขนเขาเป็นที่พยุง ก่อนจะทิ้งตัวหงายหลังในท่ากรรเชียง ส่งผลให้ผืนน้ำรอบๆ แหวกกระเซ็นเป็นวงกว้าง แน่นอนว่าเสื้อผ้าเขาก็หนีไม่พ้นรัศมีของมันเช่นกัน


ศานนท์ยิ้มให้เธออย่างไม่ถือสา ก่อนจะยื่นมือให้สาวคนต่อไปที่ยืนอยู่ข้างๆ


“เชิญครับ มาดาม”


หญิงสาวหัวเราะคิกคัก เธอคว้ามือเขา ก่อนจะก้าวลงบันไดแล้วหย่อนตัวลงในสระอย่างง่ายๆ ศานนท์ส่งพวกเธอลงสระจนครบ แต่กว่าจะครบ เสื้อผ้าเขาก็เปียกชุ่มเพราะโดนแกล้งสาดน้ำใส่อยู่หลายครั้ง


“ผมขอตัวนะ ขอให้สนุกกับคืนนี้”


เขายิ้มลาเป็นมารยาท ก่อนจะย้ายตัวเองมานั่งบนเตียงริมสระใกล้ๆ  โดยไม่ลืมสั่งเครื่องดื่มแก้วใหม่กับบริกร ระหว่างรอก็หยิบกุญแจรถและกระเป๋าตังค์ที่เปียกชุมออกวางบนโต๊ะแก้วเตี้ยๆ ข้างตัวอย่างคร้านจะถือ


“เมาแล้วขับ ระวังจะโดนจับขึ้นศาลเอานะคะ” 


น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงบริติชแท้ เรียกความสนใจจากศานนท์ได้ถนัด เจ้าประโยคคือ หญิงสาวชาวคอเคเชี่ยนที่นอนเหยียดร่างบนเตียงริมสระถัดจากเขา เธอมีผมสีน้ำตาลแดงเช่นเดียวกันดวงตา ใบหน้าค่อนไปทางหวาน ผิดกับดวงตาที่พกความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม


ระหว่างเขาและเธอมีแค่โต๊ะเตี้ยๆ ตัวเดียวคั้นกลาง

“ผมไม่ได้ขับสักหน่อยนี่ เห็นอย่างนี้ผมก็เคารพกฏหมายนะครับ”


“แล้วไปค่ะ ถ้าต้องรับมือกับคนมีชื่อเสียงอย่างคุณ ฉันต้องปวดหัวตายแน่ๆ”



เธอหัวเราะ นัยน์ตาก็ยิ้มไปด้วย ยิ่งผนวกกับน้ำเสียงอันมั่นใจ เธอก็ยิ่งดูมีเสน่ห์


“คุณศานนท์คะ ดื่มด้วยกันอีกแก้วสิคะ”


ถูกขัดจังหวะโดยสาวสวยที่เพิ่งส่งลงสระไปหยกๆ เขาก็ลอบถอนหายใจ แล้วส่ายหน้าปฏิเสธเครื่องดื่มที่เธอพยายามจะยื่นให้


“ผมพอแล้วล่ะ”


“แก้วเดียวเอง นะคะคุณ” เธอยืนกราน


ศานนท์เหลือบมองเจ้าของเรือนผมยาวสีน้ำตาลแดง หญิงสาวยิ้มให้เขาทีหนึ่ง ก่อนจะละสายตา และหันไปพูดคุยกับเพื่อนสาวผิวแทนในสระ ด้วยกลัวว่าจะเสียความสนใจของเธอให้คนอื่น เขาจึงตัดบทคนช่างเซ้าซี้ด้วยการยื่นกุญแจรถให้


“รถผมจอดอยู่ด้านหลัง คุณจะลองขับดูสักรอบสองรอบก็ได้ หรือถ้าอยากจัดปาร์ตี้ในลีมูซีน ก็เอากุญแจนี่ไปยืนให้การ์ดของผมตรงนั้นนะ”


“อ๊ะ ขอบคุณค่ะ คุณศาน!”


นับว่าแก้ปัญหาได้อยู่หมัด เมื่อเธอรีบกลับไปชวนเพื่อนๆ ในสระขึ้นจากน้ำอย่างตื่นเต้น


ศานนท์ไม่ทันสังเกตุเห็นว่าสาวผมแดงมองเขาอยู่ จนกระทั่งเธอหัวเราะเบาๆ


“โธ่ คุณนี่น้า”
 

“อา... ก็ผมอยากทำความรู้จักกับคุณมากกว่านี่นา”
เขายิ้มแหย “แล้วทำไม เมื่อครู่นี้คุณถึงอยากจะจับผมนักล่ะ


“ก็ฉันเป็นทนายนี่คะ” ?”



ได้ยินเท่านั้น ศานนท์ก็ถึงบ้างอ้อ


เพราะอย่างนี้นี่เอง เธอถึงมั่นใจนัก


“คุณเป็นทนาย ส่วนผมเป็นนักธุรกิจ”


“อือฮึ”


“ผมศานนท์ ยินดีที่ได้รู้จัก แล้วคุณล่ะครับ”
เขายื่นมือข้ามโต๊ะแก้วตัวเล็กเพื่อทักทาย หญิงสาวก็จับรับ


“ฉันชื่อนิโคลล่าค่ะ เรียกว่า นิกกี้ ก็ได้”
   .
.
.
.
.
นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบนิโคลล่า เธอเป็นคนมั่นใจ มีเสน่ห์ และพวกเขาก็เข้าขากันได้ดี คงเพราะต่างคนต่างทำงานหนักทั้งคู่ ความสัมพันธ์ของพวกเขาจึงเกิดขึ้นบนพื้นฐานของความเข้าใจมากกว่าความหลงใหลได้ปลื้ม ถึงแม้ว่างานของเขาและเธอจะดูเหมือนเส้นขนาน แต่พวกเขาก็ไม่เคยก้าวก่ายงานของกันและกัน


มันเป็นความรักที่เกิดขึ้นปุบปับ เพราะในปลายปีนั้น เขาขอเธอแต่งงาน จากนั้น เธอก็กลายมาเป็นภรรยา และคุณแม่ของลูกสาว


มันเป็นการเริ่มต้นที่สวยงามราวกับความฝัน กว่าจะค้นพบว่าชีวิตที่พัวพันกับ ‘เกมนอกกฎ’ ไม่อาจราบรื่นอย่างที่วาดไว้


ไม่ถึงปีหลังจากที่เขาประกาศแต่งงานกับเธอ นิโคลล่าก็เริ่มตกเป็น ‘เป้า’ ในเกมที่เขาเล่น บางครั้งเธอก็ถูกคนสะกดรอยตาม บางครั้งก็มีโทรศัพท์แปลกๆ โทรเข้ามา แต่ไม่มีครั้งไหนแย่เท่าคืนนั้น...


เขายังจำมันได้ดี…


มันเป็นคืนที่ฝนตกหนัก เขามาหานิโคลล่าที่คอนโดของเธออย่างเคย แต่ครั้งนี้ประตูห้องของเธอไม่ได้ล็อค พอเปิดเข้าไปด้านในหัวใจก็หล่นวูบ เมื่อพบว่าข้าวของถูกรื้อกระจัดการจายไปทั่ว บนพื้นมีรอยเลือดหยดเป็นจุดด่าง ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาไม่พบเธอในห้อง


เธอถูกลักพาตัว


คืนนั้นเขาใช้ทั้งกำลังคน เส้นสาย และทุกอย่างเท่าที่จะสรรหาได้ตามหาเธอจนรุ่งสาง สภาพของนิโคลล่าตอนที่เขาพบยังติดตา ผมของเธอเปียกโชก บนศีรษะมีรอยเลือดซึมเป็นทางลงมาถึงหางคิ้ว สีของมันจางจนแทบจะกลืนไปกับเส้นผม 


เธอหายใจแรงคล้ายกับหวาดกลัว แต่ปากก็ยังพูดว่า ‘ไม่เป็นไรๆ ๆ’ ตอนที่เห็นสีหน้าแสนเป็นกังวลของเขา


นับจากเรื่องที่เกิดขึ้นคืนนั้น เขาให้สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ยอมงานของเขาทำร้ายเธออีก และจะลากคอคนที่กล้าแตะต้องเธอมาจัดการด้วยวิธีที่สาสมแบบเดียวกัน แน่นอนว่าด้วยอำนาจที่เขามี มันไม่ยากเลยที่ ‘กำจัด’ เสี้ยมหนามเหล่านั้นทิ้งไปแบบถอนรากถอนโคน





เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่าที่ศานนท์เฝ้าดูการเติบโตของภรรยาและลูกสาว เขาตัดสินใจสร้างบ้านอีกหลังให้กับลูกสาว บ้านที่เหมาะสำหรับสร้างครอบครัว


 ...ดูอบอุ่น เรียบง่าย ไม่เหมือนคอนโดของนิโคลล่าหรือคฤหาสน์ใหญ่โตโอ่อ่าของเขา บ้านที่ให้ความรู้เหมือนบ้านจริงๆ


ใช่... เขาตั้งใจให้เป็นแบบนั้น...



 “คุณศานนท์คะ มีโทรศัพท์เข้าค่ะ” เลขาสาวเปิดประตูห้องประชุม พรวดพลาดเข้ามากระซิบข้างหูเขา


ศานนท์กำลังหารือกับคู่ค้าเพื่อตกลงแบ่งผลประโยชน์ให้ลงตัว จริงอยู่การพัวพันกับเรื่องสกปรก ทำให้เขารู้สึกเหมือนมีงานเป็นชะนักติดหลังไปเสียทุกที่ แต่มันไม่เป็นปัญหาตราบใดที่จัดการทุกอย่างในมือได้อยู่หมัด


เขาต้องการเร่งปิดดีลนี้ให้เร็วที่สุด เพื่อจบปัญหาคาราซังก่อนวันคริสต์มาส วันที่เขาตั้งใจจะพาลูกสาวอายุห้าขวบไปอังกฤษเพื่อพบครอบครัวของนิโคลล่าเป็นครั้งแรกนับแต่เธอเกิด โดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องใด


“ผมบอกแล้วไงว่าไม่รับโทรศัพท์ระหว่างประชุม”


“คุณนิกกี้โทรมาค่ะ บอกว่าอยากคุยกับคุณ” เธอถือโทรศัพท์ค้างไว้ราวกับรอเขาตัดสินใจ เห็นอย่างนั้นศานนท์จึงขอตัวกับลูกค้า ปลีกตัวออกมาคุยข้างหน้าต่าง


“ศาน คุณมารับฉันได้มั้ยคะ”


“ผมติดประชุมอยู่”
เขากรอกเสียงลงปลายสาย “มีอะไรหรือเปล่า?”


“เปล่าค่ะ... ฉันแค่เหนื่อยนิดหน่อย เลยสงสัยว่าคุณจะมารับได้หรือเปล่า”


“คุณอยู่ไหนครับ ผมจะให้คนไปรับ”


“ไม่ต้องค่ะ ไม่เป็นไร ฉันกลับเองได้”
เธอตัดบทแค่นั้น “เจอกันที่บ้านใหญ่นะคะ”



“ครับ”



เขารับคำก่อนจะวางสายรีบๆ อย่างไม่ติดใจอะไร


โดยที่ไม่รู้เลยว่า นั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้ยินเสียงเธอ


ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น เลขาคนเดิมก็เปิดประตูเข้ามาอีกครั้ง


ศานนท์ขมวดคิ้ว “ผมบอกชัดแล้วไง ว่าไม่รับโทรศัพท์”


แต่ครั้งนี้เธอเงียบกริบ


“คุณศานนท์ ฉันอยากให้คุณทำใจเย็นๆ นะคะ...”


“........”


“เมื่อกี้โรงพยาบาลโทรมา... แจ้งว่าคุณนิกกี้รถคว่ำ ตอนนี้กำลังนำส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด”


วินาทีนั้นเขาเหมือนถูกตีแสกหน้า ร่างกายชาหนึบ ศานนท์ลุกขึ้นพรวดต่อหน้าผู้ร่วมประชุม เขาไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะตกลงรับข้อเสนอหรือไม่ สิ่งที่เขาห่วงที่สุดในเวลานี้คือนิโคลล่า


“ทะ ที่ไหน!?”


“โรงพยาบาล A ค่ะ”




ศานนท์ไปถึงโรงพยาบาลในเย็นนั้น ฝนตกหนักการจราจรล่าช้าไปเกือบชั่วโมง  เขาเดินวนเวียนรอบหน้าห้องฉุกเฉินอยู่นาน ก่อนจะทิ้งตัวนั่ง กุมหน้าผากที่เหงื่อซึม


ยิ่งคิดก็ฟุ้งซ่านในห้วงความคิดร้อยแปดพันอย่างที่อาจเกิดขึ้นกับเธอ ราวกับมีคลื่นอารมณ์มหาศาลจุกอยู่ที่อก และทุกครั้งเขาต้องกลืนมันกลับลงคออย่างยากลำบาก


เขารู้ว่านิโคลล่าอยู่หลังประตูกระจกสีขาวบานนั้น เขาอยู่ไกลจากเธอแค่ไม่กี่ก้าว แต่กลับทำได้แค่เฝ้ารอ และภาวนา โดยที่หยุดเหตุการณ์ใดไว้ไม่ได้เลย


ไม่รู้ว่านานแค่ไหนจนแพทย์ออกมารายงานผลผ่าตัด


นิโคลล่ายังมีชีวิตอยู่ แต่อาการของเธอทรงตัว ต้องอยู่ในความดูแลขอแพทย์จนกว่าจะพ้นคืนนี้


สาเหตุที่เธอประสบอุบัติเหตุนั้น คาดว่ามาจากยาแก้แพ้ที่เธอใช้ก่อนขับรถ มีความเป็นไปได้ว่าเธอหลับใน บวกกับสภาพอากาศที่เลวร้าย รถจึงพุ่งผ่าเกาะกลางถนน เฉี่ยวชนกับรถยนต์คันอื่น และ พลิกคว่ำในที่สุด


หากเพียงแค่เขาใส่ใจคำพูดของเธอในตอนนั้นมากกว่างานสกปรกนั่นสักหน่อย เขาคงไม่เสียเธอในให้กับอุบัติเหตุคืนนั้น...


ศานนท์นั่งเฝ้าหน้าห้องจนผล็อยหลับ ก่อนที่เสียงตะโกนโหวกเหวกปลุกจะเขาให้ตื่นขึ้นอีกครั้งกลางดึก ภาพตรงหน้าคือบุคคลกรทางการแพทย์วิ่งเข้าออกห้องฉุกเฉินวุ่นวาย


“หมอคะ คนไข้ไม่หายใจ”


“เตรียมปั้มหัวใจ!”



“เกิดอะไรขึ้น!?” เขาพรวดพลาดเข้าไปขวาไหล่ผู้ช่วยคนหนึ่งที่อยู่ใกล้มือที่สุด


“คุณเข้าไปไม่ได้ค่ะ” ฝ่ายนั้นสลัดตัวจากมือเขา ก่อนจะเร่งฝีเท้าหายเข้าไปหลังบานประตูสีขาว


ศานนท์ได้แต่ยืนอึ้ง สมองว่างเปล่า แผ่นหลังและฝ่ามือเย็นเฉียบ นานแค่ไหนไม่รู้ที่เขารอคอยด้วยความรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังจะแตกเป็นเสี่ยง จนกระทั่งทีมแพทย์รายข่าวร้าย ว่าพวกเขาไม่สามารถยื้อชีวิตเธอไว้ได้อีก


...จากนั้นโลกทั้งใบก็แตกสลาย โดยที่เขายืนร้องไห้เหมือนคนเสียสติอยู่ตรงนั้น



หลังจากเหตุการณ์นั้น ศานนท์เฝ้าโทษตัวเองเรื่องที่เกิดขึ้นจนไม่เป็นผู้เป็นคนอยู่หลายเดือน เขาเอาแต่เก็บตัวอยู่ในบ้าน ไม่มีสมาธิพอจะทำงาน ไม่มีความสามารถพอจะดูแลแม้กระทั่งลูกสาว จนต้องฝากเธอไว้กับมือขวาคนสนิท


ทุกสิ่งที่เขามี ทุกสถานที่ที่เขาเคยไป มันเปี่ยมล้นด้วยความทรงจำของภรรยา เขาเหมือนกับคนที่จมอยู่ในห้วงภวังค์ แยกแยะระหว่างความจริงกับความทรงจำไม่ออก


แน่นอนว่าเขาไม่อาจปิดเรื่องนี้ให้พ้นจากครอบครัวของนิโคลล่าได้นาน...


แม่ของเธอและญาติบินมาที่ไทยวันถัดมาหลังจากได้ที่ข่าว สิ่งแต่คนพวกนั้นเป็นห่วงใยไม่ใช่สภาพจิตของเขา แต่เป็นเรเชล ลูกสาววัยห้าขวบที่เขาไม่มีความสามารถพอจะเลี้ยงเธอ


“ฉันไว้ใจให้คุณดูแลนิกกี้ตอนที่คุณขอเธอแต่งงาน เพราะคุณสัญญาว่างานสกปรกของคุณจะไม่มีวันทำร้ายเธอ คุณทำไม่ได้ครั้งหนึ่ง ฉันให้อภัยคุณ คุณทำไม่ได้อีกครั้ง จะให้ฉันให้อภัยอีกเหรอ?... แล้วตอนนี้คุณก็ยังดูแลเรเซลไม่ได้อีก!?”


“.........” เขามองลูกสาวอายุห้าขวบที่กำมือคุณยายของเธอไว้แน่นขณะที่ร้องไห้ฟูมฟาย


“ฉันผิดหวังในตัวคุณจริงๆ ...ถ้าคุณไม่เจอกับนิกกี้...”  หญิงวัยกลางคนเม้มปาก สะกดเสียงพูดที่สั่นเครือเพราะความโศกเศร้าและเกรี้ยวโกรธ “...บางทีเธออาจยังยืนอยู่ตรงนี้ ...ข้างๆ ฉัน กับผู้ชายสักคน ที่เป็นสามีที่ดีกว่าคุณ...”


“ผมขอโทษ... ผมขอโทษ... ผมขอโทษ...”


ศานนท์ได้แต่พูดซ้ำไปซ้ำมาทั้งที่ยังร้องไห้ เขารู้ว่าตัวเองไม่อาจชดใช้สิ่งที่เกิดขึ้น และไม่มีวันทำได้ ต่อให้เอาชีวิตตัวเองสังเวยแลกก็ตาม


“ถ้าคุณเสียใจ ..ก็ปล่อยเรเชลไปซะ ยอมรับเถอะว่าคุณไม่มีความสามารถพอจะดูแลเธอในฐานะพ่อหรอก”


เขาเงยหน้ามองแม่สะใภ้ น้ำตาทำให้ทุกอย่างพร่าเลือน แต่มันกลับไม่อาจชะล้างแววตาเจ็บปวดของเธอที่มองตรงมาได้


ความเป็นพ่อทำให้เขามีสิทธิ์โดยชอบในตัวเรเชล แต่ชีวิตที่เหลือของเธอล่ะ...?


“ปล่อยเธอไป... ฉันสัญญาจะให้คุณเจอเรเชล ทุกครั้งที่คุณมาหาเธอ...”



“.........”


อย่างน้อยเขาก็เลือกทำสิ่งที่ถูกต้องในตอนนั้น...



เกือบปีที่เขาจมจ่ออยู่กับการโทษตัวเองและความคิดอยากฆ่าตัวตายที่วนเวียนซ้ำซากในแต่ละวัน ในคฤหาสน์หลังเดิม สถานที่แห่งเดิม และความทรงจำมากที่เป็นดั่งวิญญาณร้ายหลอกหลอนให้หวนนึกถึงความผิดพลาดของตนเอง จนเช้าวันหนึ่งที่ตื่นขึ้นมาพบแสงแดดแยงตาในห้องนอนที่ปิดไฟมืดสนิท


มันทำให้เขาฉุกคิด...


งานของเขาทำให้นิกกี้บาดเจ็บ เขาเสียเธอให้กับมัน จากนั้นก็เสียเรเชลให้กลับมันอีก ตราบใดที่ยังใช้ชีวิตจ่อจมอยู่ในวงการสกปรก ยอมให้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต จะเขาจะไม่มีวันเป็นอิสระ และไม่มีวันสร้างครอบครัวแสนสุขอย่างที่โหยหาได้


มันจะเกิดความสูญเสียอีก ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม...


เขาจะรามือ


หากว่าการรามือครั้งนี้จะทำให้เขากลายเป็นคนใหม่ และพ่อที่ดีพอสำหรับลูกสาวได้


เพราะจิตใจของเขาคงไม่แข็งแกร่งพอจะแบกรับความสูญเสียได้อีก...


เจ็ดปีถ้วนที่เขาใช้เวลาสะสางปัญหาของครอบครัว ตัดขาดตัวเองจากคู่ค้าเก่า รามือจากการเป็นหุ้นส่วนธุรกิจใต้ดิน  ใช้ ‘หนี้’ ที่คั่งค้างของครับครัวให้หมด แม้ว่าบางครั้งต้องหักหารด้วยกำลัง หรือแลกมาด้วยการสูญเสีย แต่ตราบเท่าที่ล้างมือสกปรกให้สะอาดได้


ต่อให้ต้องล้างด้วยเลือด เขาก็ไม่ยี่หระ


มันเป็นเจ็ดปีที่เขาจมดื่งในก้นบึ้งที่ลึกที่สุดของวงการ และเป็นเจ็ดปีที่คุ้มแก่ความพยายาม เมื่อเขาสามารถถอนตัวจากวงการได้อย่างถาวร


เพื่อทิ้งอดีตทั้งหมดไว้ข้างหลังและเริ่มต้นใหม่ เขาประกาศขายคฤหาสน์ รถ และทรัพสินย์แทบทั้งหมด เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ และย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังเล็กที่ตั้งใจสร้างให้ลูกสาวซึ่งมีไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้จัก


เพราะมันเป็นเพียงสถานที่เดียวไม่มีความทรงจำของเขากับภรรยา


ไม่ใช่แค่เขาที่ถอนตัว ด้วยอายุที่มากขึ้น คนสนิททั้งสองคนที่เป็นดั่งแขนขาของเขาก็ถือโอกาสนี้รามือออกไปใช้ชีวิตครอบครัวอย่างคนปกติเช่นกัน


นับแต่วันนั้น เขาไม่เคยติดต่อทั้งสองอีก


ขณะเดียวกันลูกน้องบางส่วนก็เลือกจะรับใช้เขาต่อ ภายใต้กฏหนึ่งข้อ


นั่นคือ เขาจะไม่ข้องเกี่ยวกับธุรกิจใต้ดินอีก...


สามปีที่ศานนท์หันมาทำธุรกิจอย่างมือสะอาด มันเป็นเสมือนสิ่งที่ค่อยๆ เยียวยาบาดแผลและสร้างความมั่นใจว่า เขากำลังเดินหน้าเริ่มต้นชีวิตใหม่ และเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้น


เขาเข้าใกล้ชีวิตในอุดมคติมากขึ้นในแต่ละวัน ถึงอย่างนั้น ความอ้างว้างลึกๆ ในใจกลับไม่เลือนหายไป


บ้านหลังใหม่ คอนโดห้องใหม่ รถคันใหม่ การได้พบปะผู้คนใหม่ๆ หรือ แฟนสาวที่คบได้ประเดี๋ยวประด๋าวก็เป็นอันเลิกลากันไป


บางทีอาจเป็นเพราะทุกอย่างรอบตัวเขาปราศจากความทรงจำ


หรืออาจเป็นเพราะใช้เวลาง่วนอยู่กับการถอนตัวจากวงการมากเกินไปจนลืมสุดประสงค์ตอนแรกเริ่ม


เขาจึงไม่รู้สึกถึงความหมายของการมีชีวิตที่เฝ้าตามหา


จนกระทั่งเหตุการณ์ในครั้งหนึ่ง เมื่อขาถูกไหว้วานโดยอดีตเพื่อน ให้ไปพบ ‘ธวัตร’ ตามมารยาท เพราะอีกฝ่ายดันไปสันยิงสัญญาอะไรกับไว้เด็กนั่น และคืนเดียวกันนั้น เขาพบตุลย์ 


เด็กหนุ่มที่มองแว่บแรกก็รู้ในทันทีว่า อยู่ผิดที่ผิดทาง


เขาไม่เห็นอะไรในตัวเด็กคนนั้นนอกจากอดีตของตัวเอง และอนาคตของอีกฝ่ายที่กำลังจะจมดิ่งลงในมุมมืด ...เหมือนๆ คนอีกมากมายที่เลือกเดินทางลัดเส้นนี้  เขาพูดได้เต็มปากว่าไม่สนใจ


แต่นั่นคือก่อนที่จะ ‘ทำความรู้จัก’ กับอีกฝ่าย เพราะความบังเอิญจากกาแฟเพียงแก้วเดียว


-----------------------------------------------------------------
ง๊ายยยย ยืนเขินน บีดๆๆๆ แฮร่
 ขอบคุณสำหรับกำลังใจมากๆ ค่ะ หลังจากโดนเรียกแล้วโดนเทไปห้าหกที่ สุดท้ายก็ได้ที่ฝึกงานกับเข้าซะที
กลับมาต่อให้ตามสัญญาแล้วนะคะ เขินสุดคือยังมีนักอ่านเวียนมาดูทั้งที่เมลล่าอัพช้ามากก รู้สึกผิดเลยย ฮื้ออ
แต่ก็ดีใจมากๆ เลยค่ะ

ในส่วนของเนื้อเรื่องตอนนี้ เมลล่ารู้สึกว่ามันค่อนข้างเบนออกจากทิศทางหลักของเรื่องไปประมาณนึง ตอนเขียนก็แอบกลัวว่าจะทำให้นักอ่านรอเก้อหรือเปล่า เพราะตอนนี้ไม่มีบทหนูตุลย์กับคุณศานตีกันเลย ถถถถถถถถถถ


แต่คิดไปคิดมาแล้ว จะตัดออกก็ไม่ได้ เพราะภูมิหลังของตัวละคนอย่างศานนท์ก็ถือเป็นส่วนประกอบหนึ่งที่ขับเคลื่อนความสัมพันธ์ของพระ-นายด้วย เอาเป็นว่า ทนๆ กันไปก่อนนะคะ 555555+


สปอยสำหรับเรื่องราวที่กำลังจะเกืดขึ้นต่อไป : ใครที่หมั่นไส้หนูตุลย์อยู่แล้วจะต้องหมั่นไส้นางขึ้นไปอีก 55555+ จะเป็นยังไงติดตามกันตอนต่อไปเจ้าค่ะ


ช่วงนี้เมลล่ายังไม่เปิดเทอม พยายามจะมีเวลาให้งานเขียนด้วย อย่างน้อยก็ต้องเขียนให้จบก่อนเรียนจบแหละน่า!


สุดท้ายขอขอบคุณทุกคนที่มาด้วยกันไกลถึงสามปี (พูดอย่างงี้ทุกตอนเลย 5555+) เป็นประสบการณ์ที่พิเศษ และ ก็เขินมากๆ ค่ะ 5555

EDIT:

เห็นคอมเม้นท์ เมลล่าก็ตื่นเต้นอยากใบ้เพิ่มๆๆ อิอิอิ เรามานับปีเล่นๆ กันดีกว่า ฮี่ๆๆๆ

ลูกชายของมือขวาเพิ่งอายุ 1 ขวบ ตอนที่ศานนท์ อายุ 25 = 1 ปี

ศานนท์แต่งงานปลายปี = N/A เดือน

คุณภรรยาท้อง + ปัจจัยอื่นๆ ก่อนหน้านั้น ≈ 1 ปี

ลูกสาวอายุ 5 ขวบตอนคุณภรรยาเสีย = 5 ปี

เสียศูนย์ไปเกือบปี ≈ 1 ปี

ช่วงที่เป็นบ้าเป็นหลังกับการถอนตัว = 7 ปี

มือสะอาดละ แต่ชีวิตไม่เข้าที่ = 3 ปี

เจอหนูตุลย์ซะที เฮ้ = N/A เดือน

ถ้าเอาเฉพาะตัวเลขมาบวกกันไม่นับเศษเดือน ปัจจุบัน ลูกชายมือขวาก็น่าจะอายุอย่างน้อย 18...

แต่นแต้นนน นางเป็นใครกันน้าาาาา ฮี่ๆๆๆ #สปอยงานตัวเอง


ติดตามเมลล่าได้ที่เพจ : https://www.facebook.com/Iamcaramella/ (https://www.facebook.com/Iamcaramella/)
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (3.01.19) Friday Night: เศษความทรงจำ P.12 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 04-01-2019 01:46:09
โอ้โห  :hao5:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (3.01.19) Friday Night: เศษความทรงจำ P.12 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 04-01-2019 09:19:50
 :pig4: :pig4: :pig4:

อ่านตัวเอียงตอนแรก  ก็เข้าใจว่า  หนูตุลย์คือลูกของมือขวา

แต่คงไม่ใช่หล่ะ  เพราะห้วงเวลามันแค่ประมาณน่าจะสิบปีเองมั้ง

หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (3.01.19) Friday Night: เศษความทรงจำ P.12 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 04-01-2019 21:31:27
ย้อนอ่านเรื่องตุลย์ มีอิแม่ผู้เดียว อยู่ในสลัม จะใช่เด็กหนึ่งขวบมั๊ยน๊อ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (3.01.19) Friday Night: เศษความทรงจำ P.12 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 04-01-2019 22:27:28
ดีใจด้วยที่ได้ฝึกงานในบริษัทแล้ว ขอให้ได้ประสบการณ์ที่ดีค่ะ

คุณศาน ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะมากเลย
อย่างนี้จับน้องตุลย์มาตีก้นให้เชื่องเลยค่ะ!
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (3.01.19) Friday Night: เศษความทรงจำ P.12 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 06-01-2019 08:21:29
หม่นจริงๆตอนนี้
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (3.01.19) Friday Night: เศษความทรงจำ P.12 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 09-01-2019 15:13:51
รอหมั่นไส้น้องตุลย์555
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (02.04.19) Friday Night: เศษความทรงจำ P.12 [no update]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 02-04-2019 22:43:47
ตอน 19 กำลังเข็นแล้วเจ้าค่า
เมลล่าเพิ่งเสร็จโปรเจ็คหมาดๆ เลยย
 :katai4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (02.04.19) Friday Night: เศษความทรงจำ P.12 [no update]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 02-04-2019 22:49:25
 :mew1: :mew1: :mew1:

อุ้ย   ดีใจที่มาส่งข่าวดี
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (02.04.19) Friday Night: เศษความทรงจำ P.12 [no update]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 03-04-2019 02:49:48
ปูเสื่อรอจ้า
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (02.04.19) Friday Night: เศษความทรงจำ P.12 [no update]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 03-04-2019 05:11:30
ดีใจ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (02.04.19) Friday Night: เศษความทรงจำ P.12 [no update]
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 05-04-2019 17:02:35
 o13 :L2:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (02.04.19) Friday Night: เศษความทรงจำ P.12 [no update]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 25-05-2019 19:43:09
 :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (01.07.19) แจ้งข่าว: ยังไม่ได้อัพนะคะ [no update]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 26-08-2019 22:03:26
 :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (10.09.19) l 19th Night : สารภาพ P.13 (100%) [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 10-09-2019 21:06:07
19th Night : สารภาพ


นี่เป็นครั้งแรกที่ศานนท์ยอมเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวเองเป็นชิ้นเป็นอันนับตั้งแต่เขารู้จักหนุ่มใหญ่ ตุลย์ไม่คาดคิดมาก่อนว่า เบื้องหลังฉากหน้าแสนสมบูรณ์แบบนั้น จะซ่อนเรื่องราวชวนให้หดหู่ใจไว้

“เสียใจด้วยนะครับ เรื่องลูกกับภรรยาของคุณ” เขาคงไม่อาจพูดอะไรได้มาก นอกจากปลอบใจ “มันไม่ใช่ความผิดของคุณหรอก”


แต่หนุ่มใหญ่กลับเค้นเสียงหึในคอราวกับสมเพชตนเอง


“ไม่ มันเป็นความของฉันนั่นแหละ” ศานนท์กุมหน้าผาก


“นิโคล... เธอเป็นคนเข้มแข็ง ฉันรู้อยู่แก่ใจดีว่าเธอจะไม่โทรมาขอร้องให้ช่วยถ้าหากมันไม่จำเป็น  แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังเลือกงาน ทิ้งให้เธอกลับคนเดียวทั้งรู้อยู่แก่ใจว่าเธอกำลังดันทุรังเพราะไม่อยากให้ฉันต้องเสียงานเสียการเพราะเธอ จะมองมุมไหน มันก็ความผิดฉันอยู่ดี จริงมั้ยล่ะ?”


หนุ่มใหญ่เงยหน้าสบตาเขา เหยียดยิ้มเหมือเย้ยโชคชะตา ตุลย์ก็พูดอะไรไม่ออก


“เธออาจจะคิดว่า เรื่องของนิโคล มันก็แค่อุบัติเหตุไม่เกี่ยวกับฉันสักหน่อย ต่อให้ฉันไปรับเธอ บางทีเราทั้งสองคนก็อาจประสบอุบัติเหตุทั้งคู่ก็ได้ หรือต่อให้มันเป็นความผิดของฉันจริง เวลาชีวิตของฉันก็ยังเดินต่อ มันแก้ไขอะไรไม่ได้ ...ก็ใช่ ฉันพยายามลืมแล้ว แต่บางคืน พอหลับตาก็ยังฝันถึงเรื่องวันนั้น อย่างกับมันเป็นส่วนหนึ่งของฉัน...”


ศานนท์ก้มมองฝ่ามือตัวเอง “ได้ยินแบบนี้แล้ว เธอจะเกลียดฉันหรือเปล่า...”


น้ำเสียงนั้นลังเลไม่แน่ใจคล้ายกำลังพูดกับตัวเองเสียมากกว่า


เขาไม่เคยเห็นศานนท์ในมุมนี้มาก่อน ...หนุ่มใหญ่ในมุมที่ยอมเปิดเผยความรู้สึกมากมาย เบื้องหลังความเป็นผู้ใหญ่พึงพาได้ที่ฝ่ายแสดงให้เห็น เขาก็เป็นแค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น


แต่การสูญเสียคนที่รักเหรอ... ตุลย์ไม่รู้หรอกว่าเจ็บปวดทรมานแค่ไหน


จริงอยู่ในชีวิตของเขา มีคนมากมายผ่านเข้ามาและจากลาไป เขาได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่าง และสูญเสียหลายสิ่งหลายอย่างเช่นกัน แต่เหล่านั้นคงไม่อาจเทียบได้กับการจากไปอย่างถาวรของคนสำคัญ แบบที่หนุ่มใหญ่สูญเสียภรรยาให้กับอุบัติเหตุจากรถยนต์


“ผมไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินเรื่องของคุณหรอก...” ตุลย์ทรุดตัวลงนั่งบนเตียงข้างๆ ศานนท์ “ผมขอโทษที่ทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่”


ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมศานนท์ถึงได้ห่วงเขาเกินกว่าเหตุนัก


“ไม่เป็นไรหรอก เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ”

ศานนท์เขี่ยนิ้วโป้งบนฝ่ามือตนเอง ดวงตาทอดมองพื้นราวกับยังจมอยู่ในภวังค์ความรู้สึกนึกคิด พาลให้ตุลย์รู้สึกแย่ไปด้วย เขาจึงโพล่งทำลายความเงียบ


 “เอ่อ... เรื่องที่คุณพาผมมาที่นี่ คุณบอกว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ ไม่ใช่ว่าเพราะคุณอยากเก็บผมไว้เป็นคู่นอน?”


“อือฮึ ฉันไม่เคยโกหกเธอ มีแต่เธอที่ไม่เชื่อ...”


...ก็เพราะมันเป็นเหตุผลที่ฟังดูไม่น่าเชื่อไงล่ะ ตุลย์ลอบเบ้ปากในใจ


“ช่วงนั้นฉันรู้สึกว่างเปล่า ฉันเลยพยายามทำอะไรหลายอย่าง แต่มันก็ยังไม่เติมเต็มความรู้สึกข้างใน จะเรียกว่าเหงาก็ได้มั้ง จนมาเจอเธอพอดี”  หนุ่มใหญ่ยิ้มอ่อนๆ “ตอนที่ฉันคุยกับเธอครั้งแรกก็คงเรียกว่าบังเอิญนั่นแหละ ส่วนเธอ... ก็แสดงออกชัดเจนว่าสนใจฉัน”


คำพูดของศานนท์ชวนให้หวนนึกถึงเรื่องในห้องที่ไนท์คลับ สมัยที่ตุลย์ต้องแบกหน้าด้านหน้าทน หาเรื่องร้อยแปดพันอย่างมาคุยกับศานนท์เพื่อให้เจ้าตัวไม่เมินใส่เขา


“ฉันรู้ว่าเธอทำเพราะธวัตสั่งให้ทำ แต่วิธีที่เธอพยายามเข้าหาฉัน มันน่าเอ็นดูดี”


ศานนท์ปรายตามองเขา สบสายตากับหนุ่มใหญ่ขณะที่เจ้าตัวพูดคำว่า ‘น่าเอ็นดู’ ตุลย์ก็เสหลบ พลางเกาหน้าแกร่กๆ แก้เขิน


เขาไม่ได้ใจเต้นหรอก แต่อายเรื่องตอนนั้นมากกว่า...


“จากนั้นฉันก็เลยเริ่มสนใจเธอขึ้นมา พอมีเธอไปไหนมาไหนด้วยมันไม่เหงาดี อีกอย่าง... ฉันก็ชอบเวลาที่พูดกล่อมเธอ แล้วทำให้เธอยอมตามน้ำได้ มันรู้สึกดี...”


พูดถึงตรงนี้รอยยิ้มกรุ้มกริ่มเหมือนความภาคภูมิใจเล็กๆ ก็ปรากฎขึ้นบนเสี้ยวหน้า


“ตอนที่ฉันไถ่เธอมาจากธวัต ฉันก็แค่อยากให้เธอมีชีวิตแบบคนปกติทั่วไป ไม่คิดว่าจะให้เธอมาเป็นคู่นอน หรือว่าอยู่กับฉันที่นี่ ทีแรกฉันคิดว่าอยู่ที่นี่สักพัก เดี๋ยวเธอก็คงมาขอกลับไปเอง แต่พอเธอไม่เคยพูดว่าอยากกลับบ้าน แถมยังมีปัญหาเรื่องค่าเทอมคาราคาซังอีก ฉันก็เลยคิดว่าน่าเป็นเพราะเธอไม่มีที่ให้กลับไปมากกว่า...”


จี้ใจดำ แต่ก็ต้องยอมรับว่าหนุ่มใหญ่พูดถูกเผ็ง


...ในตอนนั้น นอกจากที่พักของธวัตแล้ว เขาไม่มีที่ไหนให้กลับไป เงินที่เก็บได้จากงานพวกนั้นก็แทบไม่พอจะจ่ายค่าเทอมด้วยซ้ำ นอกจากความกลัวที่เกิดจากความไม่แน่ใจแล้ว นี่ก็เป็นหนึ่งในอีกเหตุผลที่เขาไม่พยายามหนีจากอาณัติ และยอมโอนอ่อนตามอีกฝ่าย


เพราะต่อให้หนี เขาก็เอาตัวเองไม่รอดอยู่ดี...


“...ส่วนเรื่องเซ็กส์ก็เป็นผลพลอยได้เฉยๆ”


ประโยคหลังทำเอาตุลย์แทบเอาเท้าก่ายหน้าผาก


“นี่คุณจะบอกผมว่า ที่ผ่านมาเป็นเพราะผมเสนอตัวให้ เพราะเข้าใจผิดคิดเองเออเองหมดอย่างงั้นเหรอครับ?”


“ฉันก็ย้ำออกจะบ่อยว่าไม่ได้เป็นเจ้าของเธอนี่” หนุ่มใหญ่ยิ้มเจื่อนคล้ายเอ็นดูท่าทีของเขาเสียเหลือเกิน “แต่ว่าฉันชอบเธอจริงๆ นะ มันก็คงยากหน่อยถ้าจะไม่คิดอะไร...”


สายตาที่อีกฝ่ายใช้มองเขานั้นจริงใจและแฝงด้วยการขอร้องเล็กๆ ราวกับกำลังสารภาพความในใจก็ไม่ปาน ทำเอาตุลย์เป็นฝ่ายหลบตาอย่างไม่คุ้นชิน


“เอ่อ...” ตุลย์กระอักกระอั่ว “ผมไม่รู้จะพูดยังไงดี ผมดีใจที่คุณรู้สึกดีๆ กับผม ...จริงๆ นะ คุณดีกับผม คุณไม่เคยกดดันให้ผมทำสิ่งที่ไม่อยากทำ ให้โอกาสผมทำตามความฝันหลายอย่าง มันมากกว่าสิ่งที่ผมเคยได้ทั้งชีวิตรวมกันด้วยซ้ำมั้ง มากแบบที่ผมคงชดเชยให้คุณไม่ได้ แต่ว่า... เอ่อ... ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ...ผมแค่ไม่รู้สึกกับคุณในเชิงนั้น... ไม่ คือ ผมไม่ได้หมายความว่าผมไม่ชอบคุณ แต่ เอ่อ...”


“ฉันโดนปฏิเสธสินะ”


“ไม่ใช่ครับ คือ... ผมไม่ได้รังเกียจคุณ แค่... ไม่รู้สึกกับคุณลึกซึ้งจนเป็นกลายความสัมพันธ์แบบอื่นนอกจาก.. เอ่อ... ‘เพื่อน’” ตุลย์อธิบายไปก็ขยี้หัวไป


จะหมายถึงเพื่อนร่วมเตียง หรือเพื่อนร่วมชายคาก็ช่าง เขาไม่รู้จะนิยามมันยังไง ก็เลยเลือกใช่คำ ‘เพื่อน’ แทน ซึ่งทำให้มันฟังดูแย่กว่าเดิมเสียอีก


“ถูกปฏิเสธจริงด้วย” ศานนท์ยิ้มเจือน


ฝ่ายนั้นเงียบไปเหมือนปิดความผิดหวังไว้ไม่มิด ตุลย์ก็รู้สึกผิดอย่างเสียไม่ได้ “ขอโทษครับ”


“ไม่ต้องขอโทษ ...ฉันเข้าใจ” ศานนท์โบกปัด “ถ้าเธอไม่ได้รังเกียจ แปลว่าเธอยังให้โอกาสฉันล่ะสิ?”


“อา... ก็อาจจะมั้งครับ” ตุลย์ไหวไหล่ มันไม่ใช่เรื่องที่เขาจะตอบได้ในตอนนี้ “แต่ว่าจากนี้ไปคุณต้องไม่ปิดบังผม เพราะถ้าคุณไม่ปิดบัง ผมก็ไม่มีเหตุผลต้องโกหกคุณอีก”


เรื่องที่เขากำลังขอ มันไม่เกี่ยวกับว่ารัก หรือไม่รัก แต่เพราะความสัมพันธ์ ต้องพึ่งพาการเชื่อใจและ หากว่าเขาจะต้องอยู่กับศานนท์ไปอีกนาน เขาก็อยากอยู่โดยที่ไม่ต้องคลางแคลงใจเรื่องใดอีก


“ได้ ถ้าเธอสัญญาว่าจะไม่ปิดบังฉันเหมือนกัน”


“แน่นอน”


“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ฉันขออะไรอย่างสิ” จู่ๆ หนุ่มใหญ่ก็เอื้อมมาดึงมือเขาไปหาตัว ทำทีเหมือนขอร้อง ตุลย์งุนงงเล็กน้อย


“อะไรครับ?”


“สัญญาก่อนว่าเธอจะตกลง...”


สบกับแววตาที่เปิดเผยความรู้สึกให้เขาเห็นอย่างหมดเปลือก ก็กลับกลายเป็นว่าเขาปฏิเสธไม่ลงเสียอย่างนั้น


“ครับๆ คุณว่ามาสิ”


---------------------------


สายตาของตุลย์จับต้องไปยังจุดสีแดงแสดตรงกึ่งกลาง พอส่งหมัดตรงเข้ากลางเป้าล่อก็เกิดเสียงกระทบแน่นหนักเป็นจังหวะ สันมือรับแรงกระแทกกับนวมทุกครั้งที่ออกหมัด แต่ความรู้สึกเจ็บปนชานี่แหละ ที่กระตุ้นสัญชาตญาณการเอาตัวรอดได้ดีนัก


เห็นว่าตุลย์ตามการเคลื่อนไหวของเป้าได้ดีและออกหมัดได้แม่นยำ โค้ชก็สลับบทบาทรุกเข้ามาพัลวัน จังหวะกระทันหันทำให้ตุลย์โยกหลบเป้ายางที่ต่อยเข้ามาอย่างไม่ค่อยมั่นคงนัก มันจึงเฉียดผ่านหน้าเขาไปถากๆ


“ให้ไวๆ!”


เริ่มตั้งสติได้ ตุลย์ก็หลบพ้นในจังหวะที่สอง และสาม พอโค้ชเปิดโอกาสให้บุกโดยเปลี่ยนมาตั้งรับ เขาก็สวนหมัดเข้ากลางเป้าล่อได้แม่นยำ


“ทำดีมาก”


ส่วนเรื่องที่ว่าเขามาทำอะไรที่นี่น่ะเหรอ? ...มันก็ต่อเนื่องมาจากสัญญาที่เขาเผลอไปรับปากคืนนั้นนั่นแหละ


ด้วยกลัวว่าเขาจะทำอะไรแผลงๆ แล้วเอาตัวไม่รอดอีก หนุ่มใหญ่เลยแก้ปัญหาด้วยการส่งเขามาเรียนศิลปะป้องกันตัว ซึ่งบอกตามตรงว่าตุลย์ไม่เห็นด้วยความคิดนี้เท่าไหร่ แต่จะให้ทำอย่างไรได้ในเมื่อเขารับปากไปแล้ว


สองสามวันแรกที่เริ่มเรียน เขาได้แผลฟกช้ำกลับบ้านเต็มตัว ชนิดที่อ่วมจนแทบจะคลานขึ้นเตียง แม้แต่ซินดี้ก็หน้านิ่วคิ้วขมวดแทบทุกครั้ง เวลาที่เข้ากองถ่ายด้วยสารรูปที่มีรอยเขียวจ้ำๆ อยู่ตามตัว เพราะต้องให้ช่างแต่งหน้าตบรองพื้นกลบอยู่หลายนาทีกว่าจะเริ่มงานได้

ครั้นพอเจ้าหล่อนบ่นกระปอดกระแปด เขาก็ยุให้เธอไปคุยกับศานนท์ โดยหวังว่าบางทีเธออาจจะเปลี่ยนใจหนุ่มใหญ่ได้ แต่ผลที่ออกมาดันตรงกันข้ามเสียอย่างนั้น


“หน้าท้องหล่อนมันย้วยเกินไป ฉันจะส่งหล่อนให้เทรนเนอร์ส่วนตัวของฉัน แล้วก็คุมอาหารซะ” ว่าไปพลางก็ชี้หน้าเขา


กลายเป็นว่าแทนที่จะได้แนวร่วม เขากลับต้องทรมานตัวเองคูณสอง เพราะเจ้าหล่อนดันเห็นดีเห็นงามด้วยซะอย่างนั้น...


จากนั้นตารางชีวิตของตุลย์ถูกจัดใหม่แทบทั้งหมด วันปกติเขาต้องวิ่งตอนเช้า และคุมอาหาร เข้าฟิตเนสสร้างกล้ามเนื้อหน้าท้องบ้าง ขณะเดียวกันก็ต้องแบ่งเวลาให้ตารางถ่ายแบบที่ติดพันอยู่ ส่วนสุดสัปดาห์ก็เรียนศิลปะป้องกันตัวควบคู่ไป ตุลย์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจำใจหลับหูหลับตาทนทำไปตามที่ลั่นปากสัญญาไว้


...ถึงแม้ว่าไอ้ตารางบ้านี่จะทำให้เขาอยากเอาหัวฟาดผนังตายก็เถอะ


เดือนแรกเขาคิดว่าตัวเองจะขาดใจตายเสียแล้ว แต่พอให้เวลาร่างกายปรับตัวจนเคยชิน ตารางชีวิตเขาก็คล้ายจะกลับมาเข้าที่เข้าทางอีกครั้ง


“วันนี้พอแค่นี้ก่อน”


ตุลย์ลดการ์ดลง  ถอดนวม  ก่อนจะล่ำลาโค้ชและขอตัวแยกไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ล็อกเกอร์ด้านหลัง บ่ายนี้เขามีนัดกับศานนท์ที่สนามกอล์ฟของโรงแรมแห่งหนึ่ง ที่จริงแล้ว หนุ่มใหญ่ไม่ได้นัดกับเขาหรอก เพียงแต่อยากแนะนำเขากับใครบางคนก็เท่านั้น ซึ่งเขาเองก็ยังไม่ทราบลายละเอียดอะไรมาก เพราะอีกฝ่ายโทรมากระทันหัน


...แต่เดาๆ แล้ว ก็คงอารมณ์เหมือนเสี่ยใหญ่อยากหิ้วเด็กเลี้ยงไปอวดเพื่อนๆ ล่ะมั้ง


ตุลย์เก็บชุดออกกำลังกายใส่กระเป๋า เปลี่ยนมาสวมเสื้อยืดแขนยาวสีขาวคู่กับกางเกงดำเรียบๆ  ก่อนออกก็ๆไม่ลืมเช็คสารรูปตัวเองในกระจก


ถือว่าไม่เสียแรงเปล่าที่เขาอุตส่าห์จัดตารางเวลาและคุมอาหารอย่างเคร่งครัด เพราะรูปร่างของเขาตอนนี้จัดว่า ‘น่าพอใจในสายตาซินดี้ที่สุด’ เพราะแม้แต่เสื้อยืดกางเกงขายาวเรียบๆ ก็ยังใส่ออกมาแล้วจัดว่าดูดีเข้ากับรูปร่างมากทีเดียว


ครืด... ครืด... ครืด...


เสียงโทรศัพท์สั่นเรียกให้ตุลย์รีบสาวเท้าออกจากฟิตเนส ขณะที่กดรับสายไปพลาง


“ถึงแล้ว”


“โอเคๆ ฉันจะรีบออกไป”


ตุลย์ออกมานอกอาคาร เห็นว่าเต้ยืนพิงบิ๊กไบค์สีดำคู่ใจ รอเขาอยู่ใกล้กลับประตูทางออก เขาจึงตรงเข้าไปหาอีกฝ่ายกึ่งรีบร้อน พออีกฝ่ายเห็นเขาในระยะสายตาก็จ้องเขม็งไม่วาง


 “มีอะไร?” เขาเลิกคิ้วงุนงง ก่อนจะก้มมองตัวเองเพราะสงสัยว่าเสื้อเปื้อนคราบอะไรหรือเปล่า


“ห๊ะ? เปล่า” คนมองรู้สึกตัวก็ตอบปัดห้วนสั้น


“งั้นก็ส่งหมวกกันน็อคมาเร็วเข้า” ตุลย์กระดิกนิ้วยิกๆ เต้ส่งมันให้ตามสั่ง จากนั้นเขาก็สวมมันแล้วเหวี่ยงตัวขึ้นมอเตอร์ไซค์  ก่อนที่ ‘เจ้าคนขับรถจำเป็น’ จะเร่งเครื่องขับออกไปโดยไม่ปริปากสักคำ


ตุลย์ลอบยิ้มใต้หมวกกันน็อต เอาเข้าจริงๆ แล้ว เขาก็รู้สึกสนุกดีเหมือนกันที่ได้สั่งอีกฝ่าย เพราะหลังที่สถานะของเต้ถูกเปิดเผย พร้อมๆ กับการ์ดที่คอยตามเขามาเป็นสัปดาห์ ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร อีกฝ่ายก็จะยอมทำตามเสมอ อย่างมากที่สุดก็แค่หน้านิ่วขมวดคิ้วเป็นปมถ้าไม่พอใจมากๆ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลย ว่าเขาชอบที่ได้แก้เผ็ดอีกฝ่ายแบบนี้...


เฮ้อ เขานี่มันเจ้าคิดเจ้าแค้นซะจริงๆ!





บิ๊กไบค์สีดำขับฉวัดเฉวียงแทรกผ่านช่องแคบๆ ท่ามกลางจราจรติดขัด เพราะคล่องตัวกว่า พวกเขาจึงมาถึงสนามกอล์ฟโดยไม่เสียเวลามากนัก วนรอบสนามรอบใหญ่ๆ อยู่พัก


พวกเขาก็สะดุดตากับแผ่นหลังของศานนท์ไกลๆ เจ้าตัวกำลังเดินคุยกับผู้ชายอายุอ่อนกว่าเล็กน้อย ขณะที่ในมือถือไม้กอล์ฟแขว่งไปมาตามจังหวะก้าวเท้า ด้านหลังมีแคดดี้ และชายฉกรรจ์เดินตามอย่างละสองคน


เห็นแบบนั้นเต้จึงจอดรถ ปล่อยเขาลงเดินเข้าไปด้านในสนามหญ้า นับว่าศานนท์กับชายคู่สนทนาอยู่ไกลลิบจากเขาเอาเรื่องอยู่ โชคดีที่การ์ดสะดุดตากับเขาเข้าพอดี จึงเรียกให้ศานนท์หยุด พอหนุ่มใหญ่เห็นว่าเขากำลังเดินเข้ามาหา ก็หันไปคุยกับคู่สนทนาสลับกับมองเขา


“นี่ไง เด็กของซินดี้ที่ผมพูดถึง ตุลย์ นี่คุณปัญ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด” ศานนท์แนะนำฝ่ายนั้นให้เขารู้จัก ตุลย์ก็ยกมือไหว้ตามมารยาท


คู่สนทนาพยักหน้ารับรู้ “ชื่อตุลย์ใช่มั้ย คุณศานนท์เล่าเรื่องให้ฟังเยอะมาก”


“ใช่ครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ เป็นเกียรติมากๆ” ตุลย์ยิ้มรับ 


“เช่นกัน ...ดูเหมาะกับบทกว่าที่คิดไว้นะเนี่ย ยิ่งเป็นเด็กซินดี้ด้วย ท่าทางใช้ได้เชียว” คุณปัญหารือกับศานนท์ไปพลาง ก่อนจะพุ่งเป้าความสนใจมาที่เขา “ได้เรียนการแสดงมาหรือเปล่า”


“กำลังเรียนอยู่ครับ เพิ่งผ่านกลางภาคมาเมื่อเดือนที่แล้ว แต่ว่าผมพลาดละครเวทีคณะปีนี้” ตุลย์หัวเราะทีเล่นทีจริง


“ไม่มีปัญหาๆ แค่มีพื้นฐานการแสดงบ้างก็พอแล้ว” พูดกับเขาจบ ฝ่ายนั้นก็หันไปหาศานนท์ “เรื่องนี้เดี๋ยวผมขอเรียกประชุมฝ่ายก่อน จะให้คำตอบสิ้นเดือนนี้แล้วกันนะครับ คุณศาน”


“ตามสะดวกเลยครับ”


ศานนท์ปรายมองเขาแล้วยิ้มบางๆ โดยไม่พูดอะไร เป็นสัญญาณว่า ‘ธุระ’ ดังกล่าว เสร็จเรียบร้อย ตุลย์จึงขอตัวล่ำลาคุณปัญ

“เจอกันแถวล็อบบี้ตอนที่ฉันกลับไปนะ” หนุ่มใหญ่ไม่ลืมทิ้งท้าย


“ครับ เจอกันครับ”


ตุลย์แยกตัวออกมา ขณะที่สองทั้งคนนั้นเดินพลางคุยพลางไปยังจุดที่ตีลูกค้างไว้


นับว่าเป็นการสนทนาที่ทำให้เขางุนงงได้เรื่องเพราะไม่เคยทราบลายละเอียดใดๆ ล่วงหน้า แต่เดาว่าอีกฝ่ายคงกำลังพยายามดันเขาผ่านคอนเน็คของเจ้าตัวนั่นแหละ


เห็นที่เย็นนี้คงต้องถามศานนท์ให้กระจ่างเสียหน่อย


---------------------------


เต้ขับพาเขามาส่งหน้าโรงแรมก่อนที่เจ้าตัวจะเลยไปหาที่จอดมอเตอร์ไซด์คู่ใจ ตุลย์จึงเดินเข้ามารอด้านในก่อน


ล็อบบี้โรงแรมนี้จัดได้ว่าค่อนข้างใหญ่และดูโปร่งตา เนื่องจากตกแต่งด้วยกระจกใส แสงอาทิตย์ยามบ่ายที่ลอดผ่านตาม่านไม้ไผ่ทำให้ภายในสว่างนวลตา  จากมุมนี้ ซ้ายมือเขาสามารถมอเห็นสนามกอล์ฟเขียวขจีที่ทอดยาวออกไปไกล ส่วนด้านขวาเป็นโซนที่นั่งเปิดโล่งเชื่อมกับนอกอาคาร จัดไว้สำหรับลูกค้าที่มาใช้บริการโดยเฉพาะ และมีเคาท์เตอร์บาร์อยู่ด้วย แต่เนื่องจากยังเป็นช่วงกลางวัน ทางโรงแรมจึงเปิดขายแค่เครื่องดื่มธรรมดาเท่านั้น


ตุลย์สังเกตุเห็นว่ามีชายราวสี่ห้าคนจับกลุ่มกันอยู่ตรงมุมหนึ่งใกล้กับประตูเชื่อมออกไปด้านนอก บ้างก็นั่งเก้าอี้ บ้างก็ยืนพิงโต๊ะ ต่างคนต่างกำลังคุยกันออกรส ก่อนที่สายตาเขาจะสะดุดกับบุคคลหนึ่งในนั้นที่คุ้นหน้าดี นั่นก็คือ ‘อเนก’


ตุลย์ก็เข้าใจทันทีว่านี่คือ 'ล็อบบี้‘ ที่ศานนท์กล่าวถึงเมื่อครู่


เห็นว่าเต้ยังมาไม่ถึง เขาจึงถือโอกาสนี้ไปที่บาร์แล้วสั่งเครื่องดื่มราวๆ สิบขวดคละกัน ก่อนจะหิวถุงตรงไปยังโต๊ะ แต่จังหวะซื้อของเสร็จแล้วกลับหลังหันก็พบว่าเต้ยืนจังก้าอยู่ห่างจากเขาสองก้าว กอดอกมองถุงในมือด้วยสีหน้าที่เหมือนจะถามว่า ‘ซื้อมาทำไมเยอะแยะ’


เห็นแบบนั้นตุลย์จึงล้วงหยิบเกลือแร่ขวดหนึ่งส่งให้อีกฝ่าย แต่แทนจะรีบรับ เต้กลับทำหน้างุนงงกว่าเดิม


“อะไรเล่า? ก็ซื้อมาให้ไง”


“...........”


หมอนี่มันเด๋อรึไง?


ตุลย์ชักมือกลับแล้วทำท่ายื่นให้อีกรอบ คราวนี้อีกฝ่ายถึงรับ


“เอาละ ไปที่โต๊ะกัน”


เต้พนักหน้าหงึกทีนึงก่อนเดินตามเขาที่โต๊ะเป้าหมาย การ์ดคนนึงสังเกตเห็นเขาก่อน คนอื่นๆ ถึงได้หันมองตามอเนกรู้ตัวแทบจะคนสุดท้าย แต่นอกเหนือจากอเนกแล้ว ตุลย์ไม่คุ้นหน้าชายฉกรรจ์เหล่านี้เท่าไหร่นัก


“อ้าว! เด็กๆ มานั่งเร็วๆ ๆ ” อเนกกวักมือเรียกยิกๆ น้ำเสียงขี้เล่นเป็นนิสัย


ตุลย์ยิ้มขำ ก่อนจะวางถุงลงบนโต๊ะกลางวงที่ว่างอยู่ “ผมซื้อมาฝาก ขอโทษพี่ๆ ที่ทำให้วุ่นวายคราวนั้นนะครับ”


“คิดมากครับ เรื่องแค่นี้จิ๊บจอย” การ์ดคนหนึ่งว่า พร้อมจีบนิ้วทำท่าประกอบว่าเล็กน้อยแค่ไหน


“ไม่ต้องกังวลหรอกครับ ไม่มีใครบาดเจ็บอะไรแล้ว” อเนกเสริม


“เอ้า ไอ้เปี๊ยก! ไม่เจอกันนานนะเนี่ย สูงขึ้นรึเปล่าวะ” จู่ๆ หนึ่งในการ์ดตวัดมือรัดคอเต้ทีเล่นทีจริง เล่นเอาอีกฝ่ายหัวสั่นหัวคลอน


“เออ ก็โตขึ้นตามเวลา” เต้รัดคอคนที่แก่กว่ากลับ


“ตอนแรกนึกว่ามึงจะแกร็นตายเท่าแค่นี้แล้วซะอีก” คนพูดทำท่าประมาณส่วนสูงเท่าเอว “แล้วเดี๋ยวนี้เลิกไปท้าตีกับเขารึยังวะ”


“เลิกแล้ว ไปชกเวทีมวยแทน”


“เอาเว้ย เข้าท่า! ไอ้เปี๊ยกมันเป็นนักมวยแล้ว”


“เปี๊ยกตรงไหนวะ มันตัวเท่ามึงแล้วเนี่ย” การ์ดอีกคนแย้ง “อีกหน่อยมึงก็กลายเป็นไอ้เปี๊ยกแทนมันแล้วมั้งน่ะ”


“หยามกูไปแล้วโว้ย! แน่จริงมางัดข้อ แพ้กูเลี้ยงข้าวยกโต๊ะเลยอะ” คนพูดว่าจบก็ถกแขนเสื้อ วางข้อศอกตั้งฉากกับพื้นโต๊ะ “มาๆ ไอเปี๊ยก! รับคำท้าเปล่า?”


“เออ ก็เอาดิ” เต้ทิ้งตัวนั่งฝั่งตรงข้าม ตั้งข้อศอกบนพื้นโต๊ะรับคำท้า


สถานการณ์เปลี่ยนปุบปับกลายเป็นลานปะลองกำลังอย่างเร็วเสียจนตุลย์ตามไม่ทัน ตอนนี้กลายเป็นว่าพวกเขากำลังมุงดูการแข็งงัดข้อของเต้กับการ์ดคนหนึ่งโดยที่มีเดินพันเป็นมื้ออาหาร คนอื่นๆ ก็เริ่มส่งเสียงฮือฮาอย่างครึกครื้น ส่วนอเนกหยิบเครื่องดื่มขวดหนึ่งจากในถุงมากระดกตื่นเพลินๆ สบายใจ


ทีแรกเขาคิดว่าเต้เป็นคนนอก แต่ดูทว่าอีกฝ่ายจะสนิทกับพวกการ์ดมากกว่าที่เขาคาด


“เต้รู้จักกับพวกพี่เหรอครับ?” ตุลย์ถามการ์ดคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เขา ซึ่งเป็นชายมีอายุกว่าและดูไม่ฮือฮามุงเชียร์ตามคนอื่นๆ สักเท่าไหร่


คนถูกถามละลายตามมายังเขา


“อ๋อ ไอ้เต้น่ะเหรอครับ รู้จักกันมาตั้งแต่ตัวกะเปี๊ยกแหละครับ เห็นมาตั้งแต่สมัยสองขวบโน้น ส่วนใหญ่คนที่อยู่มานานก็รู้จักกันหมดนั่นแหละครับ”


ตุลย์พยักหน้าเหมือนถึงบางอ้อ เขาว่าแล้วเชียวว่ามันต้องมีอะไร


“มันเป็นลูกคุณกานต์น่ะ สมัยนั้นคุณกานต์ยุ่งตลอด เลยเอามันมาฝากให้เลี้ยงบ่อยๆ เห็นมาตั้งแต่เล็กๆ ตอนนี้ก็เลยเอ็นดูเหมือนเด็กข้างบ้านไปแล้ว”


“อ๋อ เป็นลูกชายของคนในนี้เหรอครับ”


“ครับผม ลูกคุณกานต์” เห็นเขาทำหน้าเหมือนไม่รู้ว่า ‘คุณกานต์’ คือใคร เจ้าตัวจึงขยายความต่อ “คุณหนูคงไม่รู้จักคุณกานต์เพราะเขาลาออกไปจะสี่ปีได้แล้ว คุณกานต์เป็นคนสนิทของเสี่ย...”


“เฮ้ยๆๆ เอาแล้วเว้ย”


เสียงฮือฮาดังขัดจังหวะ เมื่อการ์ดคนนั้นออกแรงงัดจนหน้าแดงหน้าดำส่งผลให้ตำแหน่งมือโอนเอียงมาอีกฝั่งและทำให้เต้ตกเป็นรอง


“หูย ไอ้ไก่แม่งตบเด็กว่ะ”
 

“เฮ้ย! ออมมือให้เด็กมันหน่อยดิวะ” การ์ดข้างตัวเขาตะโกนเชียร์


“โว้ย! เด็กห่าอะไร มึงมาลองแรงมันก่อนมั้ยล่ะ แรงเยอะเท่าควายได้มั้ง!”


เสียงหัวเราะครึกครื้นดังตามหลัง ก่อนที่การ์ดมีอายุข้างๆ เขาจะเล่าต่อ


“ถึงไหนแล้วนะครับ ..อ๋อ เรื่องคุณกานต์ เสี่ยไว้ใจคุณกานต์มาก เพราะจบนอกบริหารมา เรื่องฝั่งธุรกิจอะไรต่างๆ ของบริษัท เมื่อก่อนจะทำก็ต้องผ่านคุณกานต์หมด แต่เขาไม่ค่อยยุ่งเรื่องสีเทาเท่าไหร่ พวกนี้เสี่ยจะมีมือซ้ายอีกคนคอยจัดการแทน  ก็ถ้าให้เทียบ... ตอนนี้อเนกเป็นมือซ้าย คุณกานต์ก็เป็นอดีตมือขวาเสี่ยนั่นแหละ”


ตุลย์ขมวดคิ้วฉงนคล้ายไม่ค่อยเชื่อนัก


เต้เป็นลูกชายของมือขวาคุณศานนท์..?


เจ้าของประโยคพนักหน้าให้ เหมือนกำลังยืนยันคำถามในใจของเขา


“........”


กลายเป็นว่าคนรอบตัวเขาล้วนแต่เกี่ยวพันกับศานนท์ทั้งสิ้น แม้เต่เต้ที่คิดว่าเป็นแค่คนปากพล่อยที่เหม็นหน้าเขา ก็กลับเป็นถึงลูกชายอดีตมือขวาของศานนท์...


คิดมาถึงตรงนี้ตุลย์ก็แอบขนลุก ดูเหมือนว่า ‘โลกของศานนท์’ ที่เจ้าตัวเลิกปกปิดจากเขาจะเต็มไปด้วยเรื่องน่าพิศวงกว่าที่คิด



หลุดจากภวังค์ความคิดกลับมาจดจ่อสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ก็พบว่าเต้กำลังพยายามต้านทานแรงของคู่ต่อสู้สุดกำลัง เพื่อให้ข้อมือกลับมาอยู่ ณ จุดกึ่งกลางอีกครั้ง ทว่าต้านได้ไม่นาน ก็ถูกดันกลับลงไปในตำแหน่งที่เสียเปรียบอีก ก่อนจะหลังมือจะถูกกดแนบพื้นในเวลาต่อมา เป็นอันว่าผู้ชนะ ส่วนผู้แพ้ก็คือเต้


เต้ก็ถอนหายใจเฮือกราวกับเสียดาย “อดกินข้าวฟรีแล้วดิ”


“เออ อดบ้างเหอะ แรงเท่าควายขนาดนี้” คนชนะบ่นกระปอดกระแปด ก่อนจะมองมาที่เขา แล้วกวักมือ “คุณหนู ลองบ้างสิ”


ถูกชวนตุลย์ ตุลย์ก็ผละจากการ์ดที่มีอายุ สลับที่กับผู้ชนะแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับเต้อย่างไม่อิดออด


“พี่ว่าผมแพ้หรือชนะ?”


“หืม เต้มันหมดแรงแล้ว คุณหนูชนะสบายๆ ชัวร์!”


“พี่พนันมั้ยล่ะ ถ้าผมแพ้พี่เลี้ยงข้าวทุกคน แต่ถ้าผมชนะ... ผมเลี้ยงเอง” ตุลย์ยิ้มขำที่ข้อเสนอมันกลับตาลปัตรกัน แต่ถึงอย่างนั้นคนฟังก็ดูจะเห็นดีเห็นงามกับเขา 


“เอ้าจัดไปสิครับ! ถ้าคุณแพ้ผมเปิดโต๊ะเลี้ยงเลยอะ”


“พูดแล้วพูดให้จริงนะเว้ย”


“กูเคยเบี้ยวเหรอ”


“เออ ถ้าเบี้ยวนัดกูจะฟ้องเสี่ย” คราวนี้เป็นอเนกที่ลากเก้าอี้มานั่งคั่นข้างหว่างเขากับเต้ ผันทำหน้าที่เป็นกรรมการอย่างสนอกสนใจ ตุลย์ตั้งศอกบนโต๊ะ จับกำฝ่ามือเต้ที่หน้าตาจริงจังตลอดเวลาเป็นปกติ


 “พร้อมนะ? สาม... สอง... หนึ่ง!”



สิ้นสัญญาณ พวกเขาทั้งคู่ก็เริ่มออกแรงต้านข้อมือของกันและกัน ตุลย์สูดหายใจเข้าปอดเฮือกเหมือนเต้แรงเยอะกว่าที่เขาคิด ซึ่งมันก็แน่นอยู่หรอก ชายหนุ่มชกมวยมาไม่รู้กี่ปี จะให้เทียบกับเขาที่เพิ่งเรียนได้แค่เดือนเดียว มันก็คนละชั้นเกินไป


ตุลย์ดันข้อมือเต้ให้เอียงไปหาเจ้าตัวได้นิดเดียว เต้ก็ต้านแรงคืนกลับมาได้ทุกครั้ง กลายเป็นว่าตำแหน่งมือของพวกเขาเคลื่อนไหวไปมาแค่นิดเดียวเท่านั้น จากนั้นก็จะกลับมาอยู่ตรงกึ่งกลาง แต่ยิ่งกินเวลานานตุลย์ก็ยิ่งต้านทานพละกำลังอีกฝ่ายได้น้อยลง ไม่นานเขาก็ตกเป็นรอง ก่อนที่จะถูกกดจนหลังมือแตะพื้น เป็นอันแพ้ไปในที่สุด


“พี่แย่แล้วล่ะ”


เขาหันไปยิ้มเจือนๆ ระคนขี้เล่นให้การ์ด ฝ่ายนั้นหัวเราะตอบ ก่อนจะชูมือสองข้างขนานศีรษะเป็นเชิงยอมแพ้ ท่ามกลางเสียงหัวเราะของคนอื่นๆ


“โอเคๆ ครับ เลี้ยงก็เลี้ยง นัดวันมาเลย”

หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (10.09.19) l 19th Night : สารภาพ P.13 (100%) [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 10-09-2019 21:06:48



หลังจากน้ำในถุงที่เขาซื้อมาเริ่มขายออกไปทีละขวดๆ ตุลย์ก็ถูกชวนคุยเรื่องสัพเพเหระต่อ เพราะการ์ดดูจะสนใจเรื่องส่วนตัวเขาอยู่มาก ตุลย์จึงถูกถามอยู่เรื่อยๆ ซึ่งเขาก็ตอบเท่าที่ตอบได้ ไม่นานจากนั้น อเนกก็ขอตัวลุกขึ้นไปยืนเส้นยืดสายเพราะนั่งมานานพอสมควร พอถูกถามว่าไปไหน เจ้าตัวก็ตอบว่า


“นั่งจนปวดก้นกบแล้ว จะไปยิงปืนเล่นซะหน่อย”


ก่อนหน้าที่จะเข้ามาที่โรงแรม ตุลย์ก็หาข้อมูลมาบ้าง โรงแรมนี้ไม่ได้ให้บริการสนามกอล์ฟออกรอบเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีสนามยิงปืนขนาดเล็กอยู่ด้วย ซึ่งเขาเองก็สนใจอยู่เหมือนกัน


“พี่เอก ผมไปด้วยดิ”


“ได้ครับ มาเร็วคุณหนู ผมจะพาไปกินขนม” ชายหนุ่มกวักมือพลางหัวเราะร่วน เขาจึงขอตัวกับคนอื่นๆ และตามอเนกไป


สนามยิงปืนอยู่ลึกเข้าไปด้านหลังของโรงแรม และเป็นพื้นที่สนามหญ้าเปิดโล่ง มีเป้ากลมสีแดง และเป้าดำลักษณะคล้ายคนตั้งอยู่ไกลๆ ส่วนจุดยืนยิงนั้นถูกกั้นเป็นคอกๆ ด้วยแผ่นตาข่ายโปร่งแสง มองเห็นทะลุถึงกันได้ ข้างๆ กันเป็นห้องเช่าอุปกรณ์ที่มีเจ้าหน้าที่ของโรงแรมให้บริการอยู่


อเนกเช่าปืนพกสั้นกับที่ครอบหูชุดหนึ่ง ตั้งท่าจะหยิบอีกชุดหนึ่งให้เขา “ลองยิงมั้ยครับ? ผมสอนให้”


ตุลย์ส่ายหน้า เขาแค่อยากเห็นเท่านั้น


 “สนุกนะครับ เล่นนานๆ ไปจะติดเหมือนผม ค่ากระสุนก็แพงแทบอ้วก” ชายหนุ่มทำท่าจุกอกเหมือนอาหารติดคอ “ ผมสอนไม่มีพลาดครับ รับประกัน ยิงนกเป็นนกตาย ยิงไม้เป็นไม้พรุน”


“เอ้า แล้วถ้าผมยิงพลาดล่ะ?”


“อืม...” อเนกลูบคางครุ่นคิด “ก็ลืมๆ ไปสิครับ คิดซะว่าผมไม่ได้สอนก็แล้วกัน”


ตุลย์หัวเราะพรืดกับมุกตลกเส้นตื้นของอีกฝ่าย “พี่ยิงเถอะ ผมดูเฉยๆ ดีกว่า”


“ครับ งั้นมขอตัวซ้อมก่อนนะ คุณก็อย่าแอบหนีไปไหนอีกล่ะ”


“ค้าบ ผมเลิกแล้ว พี่วางใจเหอะ” เขาตีหน้าเซ็ง


อเนกหัวเราะร่วน ก่อนจะหยิบปืน และที่ครอบหู โดยเอากระสุนยังใส่กระเป๋า ตรงไปยังคอกยิงใกล้ๆ โดยมีเขาจับตาดูขั้นตอนต่างๆ


เอาเข้าจริงแล้ว เขารู้สึกสบายใจทีได้อยู่ท่ามกลางผู้คนเหล่านี้มากเสียกว่าที่มหาวิทยาลัยอีก


“คุณหนู?”


น้ำเสียงไม่ค่อยแน่ใจเรียกให้เขาเอี้ยวคอมอง ก่อนจะตกใจเมื่อคนที่เดินสวนมาคือชายผิวสีน้ำผึ้ง คนเดียวกับที่คอยดึงเขาไม่ให้ก้มเก็บปากกาตอนรถวิ่งผ่านที่หน้ามหาวิทยาลัย และคือ การ์ดคนที่บาดเจ็บเพราะเขา


“เอ่อ... ผมได้ข่าวแล้วว่าคุณโดนยิงเพราะผม ขอโทษนะครับที่เป็นต้นเหตุทำให้คุณบาดเจ็บ”


คู่สนทนาดูอึ้งๆ ก่อนจะส่ายหน้าพัลวัน “ไม่ครับๆ คุณไม่ต้องขอโทษหรอก มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วที่ต้องดูแลคุณ ตอนนี้คุณปลอดภัยดีผมก็ดีใจ”


อา...


รอยยิ้มและน้ำเสียงแสนจริงใจ กับท่าทีซื่อๆ นั้นยิ่งตอกย้ำให้เขารู้สึกผิดเข้าไปใหญ่


“แล้วแผลคุณ...”


“อ๋อ แผลเหรอ” ชายหนุ่มถกแขนเสื้อสีดำให้เขาดู เผยรอยแผลถูกเย็บยาวประมาณสองเซ็นบนต้นแขนที่มีกล้ามเนื้อแข็งแรง ปากแผลปิดแล้วแต่ก็ยังดูใหม่ เดาว่าเนื้อเยื่อคงยังไม่ผสานดีเท่าไหร่


“หมอบอกว่าผมโชคดีมากๆ ที่กระสุนทะลุอย่างอื่นก่อน มันเลยฝังตัวตื้นๆ แถมไม่โดนเส้นเลือดหรือเส้นเอ็นเลยด้วย งานแรกก็ซวยแบบนี้แหละครับ แต่คุณหนูไม่ต้องห่วงนะครับ”


ตุลย์ได้แต่พยักหน้าหงึกๆ ไม่รู้จะตอบยังไง


 “แล้ว... คุณหนูมายิงปืนเหรอครับ” อีกฝ่ายถามว่าขณะทำเรื่องขอเช่าปืนจากเจ้าหน้าประจำห้อง


“เปล่าครับ มาดูพี่เอกเฉยๆ ผมก็อยากลองนะ แต่ไม่เป็นจริงๆ” เขายิ้มเจือน


“ผมสอนได้นะ ถ้าคุณหนูอยากลอง”


“เมื่อกี้พี่เอกก็พูดงี้เหมือนกัน แต่พี่เขาว่าถ้าผิดยิงพลาด ก็คิดซะว่าเขาไม่ได้สอน”


ประโยคนั้นทำให้คู่สนทนาหัวเราะร่วนในคอ “พลาดก็พลาดสิครับ ไม่เป็นไรหรอก”


“เอางั้นเหรอครับ ถ้าโดนคนขึ้นมา คุกนะครับ คุก”


“ไม่โดนหรอกครับ ฝีมือผมไม่แพ้คุณเอกหรอกนะ”


ไม่ว่าเปล่า เจ้าตัวก็กวักมือเรียกให้เขาเดินตามไปที่คอกริมสุด พร้อมปืนพกกระบอกหนึ่ง  ชายหนุ่มเช็คปืนอยู่ครู่ ก่อนจะสวมแว่นตาและที่ครอบหู และยกปืนขึ้นเล็งไปยังจุดกึ่งกลางสีแดงของเป้าวงกลม จากนั้นไม่กี่วินาทีก็จะลั่นไกให้กระสุนพุ่งตรงไปยังกึ่งกลางพอดี ตามด้วยนัดที่สอง สาม สี่ และห้า ทิ้งระยะห่างจากนัดแรกที่ไม่กี่เซ็น และทุกนัดล้วนแต่ก็กระจุกตัวกันอยู่ภายในวงกลมสีแดงทั้งหมด


ตุลย์ตาวาว ดูเหมือนว่าบาดแผลที่ว่าจะไม่เป็นอุปสรรค์ต่ออีกฝ่ายจริงๆ นั่นแหละ


“ลองมั้ยครับ”


เขาพยักหน้ารับ อีกฝ่ายจึงส่งปืนให้ ตุลย์รับมา วางที่ครอบหูลงเพราะกลัวไม่ได้ยินเสียงอีกคน


“คุณหนูเห็นศูนย์ปืนนี่มั้ยครับ จุดตรงกลางสีขาว” ชายหนุ่มพยายามชี้นิ้วไปยังส่วนด้านบนก็ปืน “เล็งตรงนี้ให้อยู่ต่ำกว่าเป้าที่คุณจะยิงเล็กน้อยครับ”


“โอเคครับ”


“ใช้มือข้างที่ถนัดเหนี่ยวไกนะครับ ส่วนข้างที่ไม่ถนัดไว้ประคอง”


เขาลองทำตามคำแนะนำนั้นอย่างงงๆ ซึ่งมันก็คงดูน่างุนงงจริงๆ เพราะเมื่อเขายกปืนขึ้นเล็งด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ อีกฝ่ายก็ยิ้มแหย


“เอ่อ... ขอโทษนะครับ”


ชายหนุ่มขออนุญาตก่อนจะเข้ามาปรับท่าทางจับมือให้เขาอย่างเก้ๆ กังๆ กึ่งระมัดระวังไม่แพ้กัน “แบบนี้ครับ คุณหนูต้องจับให้มั่นนะครับ แล้วก็ขึ้นลำก่อน”


“ยังไงครับ ดึงส่วนบนขึ้นเหรอ”


“เอ่อ...” เห็นว่าหน้าเขามีแต่คำถาม ชายหนุ่มจึงเป็นช่วยขึ้นลำให้แทน กลายเป็นว่ามือพวกเขาทั้งคู่ก็วนวียน จับๆ กันอย่างงงๆ อยู่บนปืนนั่รแหละ พอได้ยินเสียง ‘กริ๊ก’ ชายหนุ่มก็ปล่อยมือจากมือเขาแทบในทันที “เอ่อ... ลองเล็งดูได้เลยครับ ระวังปืนถีบด้วยนะ”


ตุลย์พยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะลั่นไกนัดแรกออกไป แต่ด้วยความที่กะแรงถีบไม่ถูก หน้าปืนจึงปัดส่งผลให้ลูกกระสุนจึงเฉออกข้าง ไม่เฉียดเป้าเลยสักนิด การ์ดหนุ่มยุให้ตุลย์ลองดูอีกครั้ง ซึ่งเขาก็บ้าจี้ตาม แต่ผลลัพธ์ก็ยังออกมาเหมือนเดิม


เห็นทีเขาคงต้องฝึกอีกยาว


“คอกนี้คุณยิงเถอะครับ ถ้าปล่อยให้ผมยิงวืดเรื่อยๆ จะกินเวลาคุณเอา” ตุลย์ยิ้มขอตัว ไม่คิดจะกวนชายหนุ่มให้เสียความมั่นใจที่อุตส่าห์สอนเขา


เขาแยกตัวมาเช่าปืน ทดลองยิงที่คอกใกล้ๆ อย่างงูๆ ปลาๆ ผลลัพธ์ก็วืดบาง เฉียดบ้างตามประสามือใหม่หัดยิง โดยไม่ทันเห็นว่ามีผู้มาเยือนใหม่กำลังเฝ้าดูเขายิงวืดอยู่เงียบๆ


“เธอจับปืนผิดน่ะ มันเลยไม่เข้าเป้า ให้ฉันสอนมั้ย?” ศานนท์ยืนอยู่ด้านหลัง ห่างออกไปเพียงสองก้าว โดยมีการ์ดบางส่วนรออยู่นอกสนามยิงปืน และบางส่วนตามเข้ามาด้วย ดูเหมือนกับว่าทุกคนกำลังเตรียมตัวกลับ และรอพวกเขาอยู่


วันนี้ศานนท์เป็นคนที่สามแล้ว ที่อาสาสอนเขายิงปืน


“ไม่ดีกว่าครับ ผมวืดจนขายขี้หน้าแย่แล้ว” ตุลย์ว่าติดตลก ก่อนจะปลดแม็กกาซีนออก ตั้งใจจะเอาไปคืนที่ออฟฟิสเสีย เป็นจังหวะเดียวกับที่อเนกแม็กหมด และหันมาเจอพวกเขาทั้งคู่พอดี ชายหนุ่มจึงถอดที่ครอบหู ก่อนจะยิ้มมุมปาก ด้วยแววตาที่ตื่นเต้นชัดเจน


“เสี่ยแข่งกับผมตานึงสิครับ”


“เอาสิ” ศานนท์รับคำท้าแทบในทันที ก่อนหันมาหาเขา “ขอยืมปืนเธอหน่อยนะ”


“ครับ ผมกะจะเอาไปเก็บอยู่แล้วล่ะ” ตุลย์ไหวไหล่ ยื่นด้ามปืนให้


จากนั้นศานนท์ก็ตรงไปที่คอกข้างๆ คน อัดลูกกระสุนใส่แม็กกาซีนจนครบห้านัด และตรวจเช็คปืน ก่อนจะยกปืนขึ้นเล็งตรงไปที่เป้าลักษณะคล้ายคน ในเวลาไล่เลี่ยกันกับอเนกท่ามกลางสายตาของคนอื่นๆ


เสียงลั่นลูกปืนดังขึ้น เว้นจังหวะสามวินาทีและดังขึ้นอีกสลับกันไป จวบจนต่างคนต่างยิงครบห้านัด พวกเขาก็กดปุ่มเลื่อนให้เป้ากลับมาหาตนเองเพื่อเช็คคะแนน


แน่นอนว่าทั้งคู่ต่างก็เล็งโดนส่วนหัวหมดทั้งห้านัด...


“ฝีมือฉันชักจะเริ่มขึ้นสนิมแล้วมั้ง” หนุ่มใหญ่ชี้ให้ดูนัดนึงที่เฉียดผ่านส่วนหัวของเป้าไปถากๆ แต่กระนั้นก็ยังสร้างรูพรุนบนกระดาษ แม้ว่ามันจะชิดขอบจนเกือบพลาดก็ตาม


“...........”


แม่น-โคตร-โคตร


ตุลย์ถอนหายใจเฮือกใหญ่


ใช่... ดูเหมือนยังมีเรื่องน่าพิศวงมีอีกมากมายที่เขายังต้องเรียนรู้เกี่ยวกับศานนท์จริงๆ นั่นแหละ

---------------------------

เมลล่ากลับมาแล้วค่า หายไปนานมากๆๆๆๆ แบบจะครึ่งปีแล้วมั้งน่ะ
พยายามเข็นๆๆ อยู่ค่ะ *เศร้าโศรก*
เปลี่ยนสไตล์การเขียนนิดหน่อยค่ะ พยายามเน้นไปที่ความไหลลื่นของฉากแล้วก็ลดส่วนไม่จำเป็นออก
ชอบแบบเก่าหรือแบบใหม่ ออกความเห็นแนะนำได้นะค้า
รักทุกคน ขอบคุณที่ติดตามกันมาค่า
นี่เพจเมลล่าเอง เข้าไปติดตามกันได้นะคะ
https://www.facebook.com/Iamcaramella/ (https://www.facebook.com/Iamcaramella/)

ตอนต่อไปไม่รู้อีกนานมั้ย แต่พยายามมากๆ ที่จะไม่ให้นานเกินไปค่ะ ฝึกงานทรมานมาก สำนึกแล้วค่ะ ฮื้อออ

หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (10.09.19) l 19th Night : สารภาพ P.13 (100%) [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 11-09-2019 00:20:33
 :3123:
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (10.09.19) l 19th Night : สารภาพ P.13 (100%) [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 11-09-2019 02:43:07
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (10.09.19) l 19th Night : สารภาพ P.13 (100%) [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 11-09-2019 15:06:33
มาอัพแล้วววว รอนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (10.09.19) l 19th Night : สารภาพ P.13 (100%) [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 11-09-2019 23:09:34
มีเรื่องให้ว้าวเรื่อยๆเลยคุณศานนท์
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (10.09.19) l 19th Night : สารภาพ P.13 (100%) [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 16-09-2019 21:28:33
 สงสัยต้องย้อนอ่านใหม่แต่แรก ลืม  :pigha2:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (10.09.19) l 19th Night : สารภาพ P.13 (100%) [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 16-09-2019 23:05:34
ตุลย์ไม่หวั่นไหวเหรอ เราหวั่นไหวนะ อิอิ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (18.10.19) l 20th Night : มองได้ แต่อย่างชอบ [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 18-10-2019 23:37:46
20th Night : มองได้ แต่อย่าชอบ


เมื่อศานนท์กับ ‘คุณหนู’ ของบ้านแยกไปขึ้นรถอีกคันพร้อมการ์ดสองคน ก็เป็นอันจบภาระหน้าที่วันนี้ เหล่าชายฉกรรจ์ที่เหลือรวมทั้งเต้จึงทะยอยขึ้นรถยุโรปเจ็ดที่นั่งกันจนครบ เป้าหมายไม่ใช่การกลับบ้าน แต่เผื่อถลุงกระเป๋าตังค์เพื่อนร่วมงานต่างหาก


“ตกลงเย็นนี้ร้านอะไรวะ” การ์ดคนหนึ่งโพล่งขึ้นทันทีที่ก้นแตะเบาะ


“หุบปากเลย ตามสั่งคนละจานพอ!”


“เฮ้ยๆๆ อย่างงี้มันเบี้ยวนี่หว่า” หนึ่งในเพื่อนร่วมงานชี้หน้า ท่าทีขึงขัง “เดี๋ยวมึงได้ติดแบล็กลิส”


“ก็คุณหนูไม่ได้มาด้วย จะเลี้ยงหรูๆ ไปเพื่ออะระ?”


“เพื่อพวกกูไงครับ กูที่นั่งหัวโด่นี่ไงครับ”


ประชดประชันใส่กันตลอดทาง สุดท้ายก็ไปลงเอยที่ร้านอาหารระดับกลางๆ ที่มีทั้งอาหารไทยและเทศโดยมีผู้แพ้พนันเป็นฝ่ายเลี้ยง ทว่ายังไม่ทันได้มีใครก้าวขาออกจากรถ อเนกก็เรียกทุกคนไว้ บรรยากาศทั้งรถจากที่เคยครึกครื้นกลับกลายเป็นเคร่งครึมจริงจังแทบในชั่วนาทีนั้น


“เฮ้ย ไอ้น้องใหม่”


“ครับ?”


คนถูกเรียกที่กำลังนั่งพิงกระจกยืดตัวตรง ก่อนเลิกคิ้วเล็กน้อย เนื่องจากเขาเป็นเพียงคนเดียวที่เข้ามาใหม่ในช่วงเดือนนี้ และเป็นคนเดียวที่บาดเจ็บต้องเข้ารักษาตัวจากงานแรก


“ถูกชะตากับ ‘เขา’ ใช่มั้ยล่ะ?”


“.......” คู่สนทนาดูเลิกลั่ก แม้จะแค่เล็กน้อย แต่เต้ที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็จับสังเกตุได้ว่า เขากำลังถูกอเนกชี้ใจดำเข้าให้


“’คนนั้น’ น่ะ มองได้ ทำความรู้จักได้ แต่มือห้ามต้อง โอเค๊?”


คนถูกตำหนิ หน้าเหวอเล็กน้อย “แต่ผม...”


...ก็แค่สอนยิงปืนเท่านั้น ไม่ได้แตะต้องเกินเลยไปกว่านั้นเลย


“แค่เตือนไว้ จะได้ไม่เผลอทำอะไรรุ่มร่ามอีก” อเนกพูดโดยมองผ่านกระจกมองหลังด้วยสีหน้าท่าทางปกติ เนื่องเจ้าตัวนั่งอยู่ตำแหน่งข้างคนขับ


 “ถ้าเพิ่งเคยเจอคุณหนูครั้งแรก ฉันบอกไว้เลยว่าเขาเข้ากับเราง่ายเพราะคุ้นเคยกับสภาพสังคมแบบนี้ อีกอย่างมันก็ไม่ได้มีกฎข้อไหนที่ห้ามมีปฏิสัมพันธ์กับคุณหนู แต่จะมอง จะชอบ จะอยากได้ก็ให้เก็บไว้ในใจ ตามอง มืออย่างต้อง เคยฟังเพลง ‘มองได้แต่อย่างชอบ’ ของลุลาเปล่าล่ะ?”


พูดเรื่องซีเรียส แต่ไม่วายมุกทิ้งท้ายตามนิสัยของเจ้าตัว


“เอ้อ แล้วก็ไม่ได้เตือนแค่แก แต่ทุกว่าเตือนทุกคน”

ว่าจบก็กวาดสายตาผ่านกระจกจ้องนัยน์ตาของผู้โดยสารเบาะหลังทุกคนอย่างเท่าเทียม


“เข้าใจตรงกัน  เค๊? ...จบเรื่องซีเรียสครับ ปิดจ็อบแดกข้าวโลด”


ว่าจบเจ้าตัวก็เปิดประตูกระโดดลงรถทันที เสียงคุยสรวนเสเฮฮาก็กลับมาครื้นเครงอีกครั้งเมื่อทุกคนต่างทะยอยลงจากรถ ตรงเข้าไปด้านในร้านอาหาร บ้างก็ปลอบใจน้อยใหม่ผู้โชคร้ายไปด้วย

.
.

   ตุลย์ชึ้นรถมากับศานนท์หลังแยกกันเต้และการ์ด พอรถออกตัว เขาก็เริ่มถามเรื่องเมื่อบ่ายที่หนุ่มใหญ่เรียกให้ไปพบคนๆ หนึ่ง ซึ่งศานนท์ก็ยอมเล่าลายละเอียดให้ฟัง สรุปใจความได้ว่า บริษัทหนุ่มใหญ่กำลังวางแผนทำโฆษณาเพื่อโปรโมตสินค้าตัวใหม่ ซึ่งเป็นชาอังกฤษ ส่วนที่พาเขาไปพบคุณปัญก็เพื่อแนะนำตัวเขาให้อีกฝ่ายรู้จัก พูดง่ายๆ ก็คือ ศานนท์กำลังพยายามดันเขาให้ได้เป็นส่วนหนึ่งของโฆษณาชิ้นนั้นนั่นแหละ


“แต่ว่าเรื่องมันกระทันหันไปหน่อย ฉันเลยไม่ได้ให้ลายละเอียดเธอก่อน” หนุ่มใหญ่ชิงพูดเหมือนกลัวเขาจะงอนเพราะผลี้ผลามตัดสินใจเอง “ปลายสัปดาห์หนืทีมงานจะส่งบทมาให้ เธอลองอ่านดูก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าอยากรับงานนี้หรือเปล่าก็ได้ ฉันไม่บังคับ”


“ผมอยากทำ” ตุลย์ตอบไม่ลังเล


มีโอกาสมายื่นให้ต่อหน้าขนาดนี้ ยังไงๆ เขาปฏิเสธมันไม่ลง


คำตอบนั้นทำเอาศานนท์ยิ้มอย่างเอ็นดู “ฉันจะบอกเขาว่าเธอตกลงแล้วกัน”


“เอ่อ แล้วเรื่องของลูกค้าคุณ... ยังไม่ลงรอยกันเหรอครับ”


การ์ดส่วนใหญ่แยกตัวกลับไปแล้ว แต่ยังมีบางส่วนที่ติดรถมากับพวกเขา นั่นคือคนขับและตำแหน่งข้างคนขับ เมื่อก่อนพวกเขาไม่จำเป็นต้องมีคนเหล่านี้ติดตามไปไหนมาด้วย ตุลย์เลยอดสงสัยไม่ได้


หนุ่มใหญ่ครุ่นคิดอยู่ครู่เหมือนกำลังเรียบเรียงเรื่องราวในหัว “ใกล้แล้ว ฉันส่งคนเข้าไปคุยแล้วแต่ยังได้ข้อสรุปไม่ลงตัว ทีแรกฉันจะตัดความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับเขา แต่ทางนั้นอยากประนีประนอมมากกว่า ในเมื่อยังคุยกันไม่จบฉันก็ไม่อยากวางใจเท่าไหร่ กลัวว่าเธอจะโดนลูกหลงอีก...”


“อื้ม ผมก็ไม่ค่อยอยากยุ่งกันเรื่องพวกนี้เหมือนกัน” ตุลย์พูดตามตรง


ไอ้การเสี่ยงโดนลูกกระสุนเจาะกะโหลกเนีย เขาไม่คิดว่ามันเป็นเรื่อน่างตื่นเต้นสักนิด...


 ที่ผ่านมาชีวิตเขาวนเวียนเกี่ยวพันกับเรื่องพวกจนรู้สึกเอียน และจะยินดีมากหากตัวเองไม่ต้องรับรู้เรื่องพวกนี้อีก


ได้ยินแบบนั้นศานนท์ก็ยิ้มเจือนเหมือนจนใจ


“งั้นพรุ่งนี้ไปทานข้าวกับฉันมั้ย?”


“ครับ?” ตุลย์งงเล็กน้อย


ไม่ใช่ว่าช่วงนี้ ศานนท์ค่อนข้างวุ่นกับงานหรอกเหรอ พวกเขาเลยไม่ค่อยเจอหน้ากัน แต่พอสบกับแววตาแบบเดียวกับตอนที่บอกชอบเขา ตุลย์หลุดหัวเราะ เสมองไปอีกทางอย่างเสียไม่ได้


“นี่คุณกำลังง้อผมเหรอเนี่ย”


“อือฮึ แล้วสำเร็จมั้ยล่ะ?”


หากเป็นเมื่อก่อนเขาอาจตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ แต่หลังจากได้รู้ว่าหนุ่มใหญ่คิดยังไงกับเขา ก็ทำเอาปฏิเสธไม่ลงเสียอย่างนั้น


ตุลย์พยักหน้า “งั้นเป็นพรุ่งนี้ประมาณทุ่มนึงได้มั้ยครับ?”


---------------------


ตามตารางงานวันนี้เขามีคิวถ่ายโปสเตอร์โปรโมทงานโอเปร่ากาล่าให้กับโรงแรมแห่งหนึ่งย่านใจกลางกรุง ตุลย์จึงต้องเข้าสตูดิโอตามที่นัดกับกองถ่ายไว้ตั้งแต่บ่ายเพียงลำพังเนื่องจากซินดี้ติดธุระ ตอนที่เขาเข้าไปถึง ทางกองถ่ายกำลังแต่งหน้าให้นางแบบอีกหนึ่งที่ต้องถ่ายคู่กัน พอทางทีมงานเห็นเขาก็รีบดึงตัวไปตบแป้งทันที


การถ่ายดำเนินไปโดยใช้เทคนิคเล่นแสงเงาจากการสาดองศาไฟใส่ฉากพื้นสีดำ เน้นรูปร่างและโครงหน้าของโมเดลโดยให้เห็นองค์ประกอบบนใบหน้าน้อยที่สุด ด้วยเหตุนี้ตุลย์จึงต้องสวมหน้ากากเลื่อมลายทองปิดครึ่งหน้าและสูทคลาสสิก


เขาถ่ายทั้งช็อตแยก และคู่กับนางแบบสาว การถ่ายทำราบรื่นและรวดเร็วเนื่องจากทีมงานมีประสบการณ์ จึงชี้นำพวกเขาได้ตรงจุด รูปที่ออกมาจึงน่าพึงพอใจ


ใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ทางกองถ่ายก็แจ้งว่าได้รูปที่ต้องการครบหมดแล้ว เป็นอันว่างานของเขาวันนี้เสร็จสิ้น ชั่วโมงเช่าห้องสตูดิโอที่เหลืออยู่จึงกลายเป็นว่าพวกนั่งคุยเล่น ทำความรู้จักกันแทน


ครืด... ครืด... ครืด...


เสียงโทรศัพท์ทำให้ตุลย์ต้องขอปลีกออกมา พอรับปุ๊บ ปลายสายก็ยิงคำถามใส่เสียงแหลมประหนึ่งช้อนกระแทกแก้ว


“ไหน? งานเป็นยังไงบ้างยะหล่อน เจ้ขายหน้ามั้ยตอบซิ๊?”


“ไม่ขายหน้าอยู่แล้ว ราบรื่นแล้วก็สนุกดีครับ” ตุลย์หัวเราะเบาๆ


“ดีมาก เป็นเด็กเจ้ของต้องทำตัวให้สมเป็นเด็กเจ้!” น้ำเสียงซินดี้ระรื่นขึ้นทันตา


“ที่โทรมาเนี่ยไม่ได้จะมาจิก ฉันแค่จะบอกหล่อนว่า ทางนิตยสารส่งรูปที่เคยถ่ายมาให้แล้ว ทางโน้นเขากำลังจะจัดใส่รูปเล่ม แต่ฉันอยากให้คุณศานปรู๊ฟก่อน เลยเอาส่งให้แมสเซนเจอร์ไปโยนไว้ที่ออฟฟิสละ หล่อนไปเตือนเขาด้วยแล้วกัน ฉันโทรไปแล้วฝากข้อความ สงสัยจะติดประชุม”


“ได้ครับ เดี๋ยวผมจะบอกให้”


“บอกคุณศานว่าเจ้เป็นคนส่ง! ฉันอุตส่าห์คอยตาม progress ให้ หล่อนจะเอาความดีชอบไปคนเดียวไม่ได้ อย่ามากันซีน!” เธอทำเสียงจิ๊จ๊ะทีเล่นทีจริงเหมือนลำคาญเขาเสียเต็มประดา “ปรู๊ฟเสร็จแล้ว ชอบไม่ชอบก็ให้เขาโทรกลับหาฉันด้วยแล้วกัน”


“โอเคครับ รับทราบครับผม”


“ดีมาก นังเด็กหนูผี!”


ได้คำตอบที่ต้องการ ซินดี้ก็ตัดสายไป ตุลย์มองนาฬิกาบนจอโทรศัพท์ เห็นว่าหกโมงแล้ว เขาจึงกลับเข้าไปลาทีมงานและนางแบบสาว หลายคนก็ทำท่าคล้ายเสียดายเพราะกำลังเตรียมนัดจะไปกินข้าวกันต่อหลังชั่วโมงที่เช่าห้องไว้หมดลง


“พอดีเย็นนี้ผมมีธุระต่อนิดหน่อยครับ ขอโทษที”


ตุลย์ยิ้มขอโทษ จากนั้นก็ขอตัวตรงออกมาด้านนอกสตูดิโอ โทรหาเต้ให้มารับเหมือนทุกวัน ยังไงเสียเจ้าหมอนี่ก็กลายเป็นคนขับรถจำเป็นของเขาไปแล้ว


ไม่นานปลายสายก็รับ แต่พอถูกเขาถามว่าอยู่ที่ไหน ชายหนุ่มกลับให้คำตอบที่ทำให้เขาขมวดคิ้วเป็นปม


“ซ้อมมวยอยู่ที่ม.”


 เต้ตอบเรียบๆ ได้ยินเสียงหอบหายใจหนักของเจ้าตัวก็รู้ว่าไม่ได้โกหก


“ ‘เขา’ ไม่ได้บอกเหรอ ว่าจะไปรับ?”


“เขาไหน?”


เขาค้อหรือไง?


ตุลย์ถามออกไปตามสัญชาตญาณขณะที่ขาก็ก้าวฉับๆ ไปเรื่อย นาทีต่อมา เขาก็ถึงบางอ้อเมื่อรถซีดานสีดำสนิทคุ้นตาขับวนเข้ามาในที่จอดเล็กๆ ที่ตกแต่งด้วยต้นไม้ร่มรื่นสวยงาม ตุลย์วางโทรศัพท์จากเต้ทันที เดินตรงไปจุดที่รถจอดแล้วเปิดประตูสอดตัวเข้าไปนั่งข้างคนขับอย่างคุ้นเคย


“ไหนคุณว่าช่วงนี้ยุ่งไงครับ” เขาถามติดตลก ทันทีที่ก้นติดเบาะรถยนต์สีดำก็เคลื่อนตัวออกไปทันที


“จะว่ายุ่งก็ยุ่ง แต่ก็ไม่ยุ่งขนาดไม่มีเวลาขับไปรับคนที่ยอมตกลงมาทานข้าวกับฉันหรอก” ศานนท์ตอบทีเล่นทีจริง ทำเอาตุลย์ได้แต่หัวเราะร่วน


“งั้นผมก็ควรดีใจมากๆ เลยน่ะสิเนี่ย”


ศานนท์ได้ฟังก็หัวเราะตาม


“หิวรึยังล่ะ? ฉันจองร้านไว้แล้ว” ว่าพลางก็พลิกดูนาฬิกาข้อมือ “ไม่ไกลจากสตูฯ เท่าไหร่ แต่เย็นๆ แบบนี้รถคงติดหน่อย”


“ผมไม่ค่อยหิว คุณไม่ต้องห่วงหรอกครับ”


ว่าไปก็ล้วงกระเป๋าหยิบหูฟังไร้สายออกมาเชื่อมกับโทรศัพท์ฆ่าเวลา เพราะกว่าพวกเขาจะไปถึงที่หมายก็คงราวๆ ชั่วโมงได้


“ไม่ให้ห่วงเธอแล้วจะให้ฉันไปห่วงใครล่ะ”


…?


ตุลย์ผละจากจอมือถือ มองหน้าคนพูดอย่างงๆ พอเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของศานนท์ก็รู้ว่าเจ้าตัวจงใจพูดหยอดเขา ตุลย์ก็ส่ายหัวยิ้มๆ


“คุณนี่จริงๆ เลย”


ศานนท์ในมุมนี้ที่เผยเจตนาชัดเจนแบบนี้ นับว่ารับมือยากพอตัวทีเดียว

.
.

แล้วก็เป็นดังคาดไว้ ชั่วโมงต่อมาพวกเขาก็มาถึงโรงแรมแห่งห้าดาวแห่งหนึ่งย่านใจกลางเมือง ก่อนจะขึ้นลิฟท์ไปยังชั้นหกสิบเอ็ดซึ่งเมื่อเดินออกมาก็พบกับห้องอาหารกึ่งบาร์ที่เป็นด่านฟ้าเปิดโล่ง ศานนท์ตรงเข้าไปหาพนักงาน ให้ชื่อตามที่จองไว้ หนึ่งในพนักงานก็นำพวกเขาผ่านโต๊ะต่างๆ ที่มีผู้คนประปรายไปยังชั้นลอยเปิดโล่งกั้นระเบียงเป็นสัดส่วนที่อยู่สูงกว่าเล็กน้อย โดยมีโต๊ะสี่เหลี่ยมพื้นผ้าอยู่ตั้งอยู่ตรงกึ่งกลาง ตกแต่งและวางอุปกรณ์เรียบร้อยพร้อมใช้งาน เหลือก็เพียงแต่จุดเทียนที่วางอยู่ตรงกลางก็เท่านั้น


จากมุมนี้ตุลย์สามารถเห็นวิวทัศน์ของเมืองกรุงและถนนเส้นต่างๆ ได้ชัดเจน แต่เนื่องจากท้องฟ้ายังไม่มืดสนิทนัก แสงไฟจากตึกและถนนจึงสว่างบ้างไม่สว่างบ้าง พอเห็นรูปทรงเค้าโครงตึกน้อยใหญ่ได้ลางๆ ถึงอย่างนั้นก็ยังนับว่าสวยงามมากทีเดียว


บนชั้นลอยขนาดกว้างพอเดินชมวิวได้นี้ มีแค่โต๊ะพวกเขาเพียงโต๊ะเดียว เทียบกับโต๊ะอื่นๆ แล้ว นับว่าพวกเขาได้ทำเลที่ดีและเป็นส่วนตัวกว่าหลายเท่า จนอดคิดไม่ได้ศานนท์จ่ายเงินเคลียร์โต๊ะอื่นๆ บนชั้นออกไปหรือเปล่า...


ตุลย์ถอนสายตาจากทิวทัศน์กลับมาผู้ชายฝั่งตรงข้าม ขณะทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้


“คุณไม่เห็นบอกผมเลย ว่าจะพามารูฟท็อป”


จริงอยู่ที่ช่วงก่อนๆ ศานนท์ชอบชวนเขาไปทานข้าวบ่อยๆ แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่หนุ่มใหญ่พามากินหรูขนาดนี้ และเพราะคาดไม่ถึง เขาเลยเลือกเสื้อยืดแขนยาวกับกางเกงผ้าใส่ลวกๆ ออกมาเมื่อเช้า นับว่าโชคดีที่ไม่ได้ลากรองเท้าแตะมาด้วย ไม่ใช่เช่นนั้น เขาคงโดนพนักงานไล่ให้ไปเปลี่ยนก่อน


“ฉันอยากเซอร์ไพร์ซ”


“คุณก็เซอร์ไพร์ซผมจริงๆ นั่นแหละ” เขายอมรับตามตรง


หากตัดเรื่องเดรสโค้ดที่ไม่เข้าพวกของเขาออกไป ทุกอย่างที่นี่ก็ดูลงตัวเอามากๆ


“ถ้าเธอชอบ คราวครั้งฉันจะพามาบ่อยๆ”


“คุณพูดเหมือนว่างเลย”


“ฉันก็ไม่ได้ยุ่งขนาดนั้นนี่” หนุ่มใหญ่ว่าพลางก็รับเมนูจากพนักงาน ก่อนที่พนักงานคนนั้นจะจุดเทียนซึ่งวางอยู่ระหว่างพวกเขา แสงสีส้มสว่างขึ้นท่ามกลางความมืด พอให้อ่านสิ่งที่เขียนอยู่บนเมนูได้


ต่างคนต่างสั่งจานหลักของตัวเองเรียบร้อย ตุลย์ก็เลือกของทานเล่นมาอย่างสองอย่างพอให้เคี้ยวฆ่าเวลา


“อยากทานอะไรเป็นพิเศษมั้ย” ศานนท์ปิดเมนู เงยหน้ามองเขา


ถ้าหมายถึงพวกของหวานล่ะก็...


“ไม่ครับ ผมไดเอทอยู่ แค่ซี่โครงแกะกับสลัดผักแคลอรี่ผมก็จะเกินอยู่แล้ว” ตุลย์หัวเราะ ถึงจะพูดอย่างนั้น ก็อดเปิดดูรายการเครื่องดื่มไม่ได้ “อืม... แต่ถ้าคุณไม่ว่า ผมอยากได้ไวน์ดีๆ สักขวด”


“เอาสิ” หนุ่มใหญ่หันไปหาพนักงาน “ที่นี่มีอะไรแนะนำบ้าง?”


 พนักงานไล่ชื่อไวน์ต่างๆ ตั้งแต่ไวน์พื้นฐานสำหรับทานคู่กับอาหารจานหลักอย่างไวน์ขาวและไวน์แดง ไวน์ที่มีรสซ่าจำพวกแชมเปญ ไปจนถึงค็อกเทลต่างๆ ที่มีส่วนผสมของไวน์ยี่ห้อดัง


“แต่ถ้ายังไม่ถูกใจ ทางโรงแรมมีไวน์ตัวใหม่แนะนำค่ะ เป็นสปาร์คลิงไวน์กลิ่นดอกไม้จากฝรั่งเศส แต่ผลิตภายใต้แบรนด์ของโรงแรมเอง ดื่มคู่กับสลัดหรืออาหารประเภทเนื้อสัตว์ก็ได้ค่ะ”


“ครับ งั้นเอาเป็นอันนี้ล่ะ” ตุลย์ตัดสินใจรวดเร็ว


ถึงเขาจะชอบดื่ม แต่ก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องไวน์มากนัก เพียงแค่ชอบกลิ่นและรสชาติบางอย่างของมันก็เท่านั้น


ได้ลองชิมอะไรใหม่ๆ บางก็ถือว่าเปิดโลกทัศน์ดี…


พนักงานสาวรับคำ ก่อนจะปลีกตัวออกไป ทิ้งพวกเขาไว้ตามลำพังสองคนกับความมืดและแสงเทียน


“คุณไม่กลัวผมติดเหล้าแล้วเหรอ?” ตุลย์ถามอย่างไม่จริงจัง “รอบที่แล้วคุณยังขนตู้แช่ไวน์หนีผมอยู่เลยนะ”


ศานนท์ฟังแล้วก็หัวเราะ “ฉันแค่อยากตามใจเธอวันนึง ดื่มบ้างสักขวดสองขวดก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่ หรือเธอไม่ชอบบรรยากาศ?”


“คุณ... ผมไม่ได้รสนิยมสูงขนาดนั้นสักหน่อย ถ้าไม่ชอบที่นี่ ผมก็ไม่รู้จะชอบที่ไหนแล้ว”


ตุลย์หัวเราะเบาๆ เบนสายตาไปยังทิวทัศน์เมืองกรุง พอฟ้ามืดสนิทก็ปรากฎแสงสีแจ่มชัด สายลมโชยปะทะใบหน้าแผ่วๆ ไม่นานไวน์ก็ถูกนำมาเสริฟไล่เลี่ยกับของทานเล่น พวกเขาก็เริ่มลงมือทาน


“งานเมื่อบ่ายเป็นยังไงบ้างล่ะ?”


“ก็ราบรื่นครับ แล้วก็สนุกดี” เขาตอบแบบเดียวกับทีตอบซินดี้ แล้วจู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ “เอ้อ ผมเกือบลืมไปเลย คุณซินดี้โทรหาคุณเมื่อกลางวัน แต่เธอบอกว่าคุณติดประชุม”


“อืม ใช่ เมื่อกลางวันฉันไปเคลียร์เรื่องกับ ‘ลูกค้าคนนั้น’ ลงตัวเรียบร้อยแล้ว“


ตุลย์ร้องอ๋อในใจ


ถึงว่าล่ะ วันนี้ศานนท์ไม่มีบอดี้การ์ดติดตัวมาสักคน


“เรื่องรูปที่ผมถ่ายให้นิตยสาร เธอบอกว่าให้คนเอาไปส่งคุณที่ออฟฟิสแล้ว เธออยากให้คุณเช็คดูก่อนจะคอนเฟิร์มกับสำนักพิมพ์”


“อา...” หนุ่มใหญ่เกาคาง ก่อนจะถอนหายใจ “ฉันไม่ได้เข้าออฟฟิสเลยตั้งแต่บ่าย เธอมีไฟล์รูปหรือเปล่า?”


“ไม่ครับ” ตุลย์ส่ายหน้า เขาเคยเห็นจากกล้องครั้งเดียวตอนที่อยู่ในกองถ่ายเท่านั้น


“ผมแค่มาแจ้งคุณเฉยๆ ไม่ได้เร่ง ไว้ค่อยดูพรุ่งนี้ก็ทัน”


“ไม่ๆ ทานข้าวเสร็จเดี๋ยวฉันแวะกลับเข้าไปเอา” หนุ่มใหญ่ยืนกราน “เรื่องของเธอทั้งที จะให้รอถึงพรุ่งนี้ได้ยังไง”


นั่นๆ เอาอีกแล้ว...


ตุลย์ยิ้มขำ “ถ้าคุณว่างั้น ก็ตามใจคุณแล้วกัน“


จังหวะนั้น สเต็กถูกนำมาเสิร์ฟพอดี
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (18.10.19) l 20th Night : มองได้ แต่อย่าชอบ [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 18-10-2019 23:47:55
ทีแรกเขาไม่ได้ชมชอบไวน์ของโรงแรมที่สั่งมาเท่าไหร่ แต่เอาเข้าจริง พอกินคู่กับซี่โครงแกะแล้ว กลับเข้ากันได้รสชาติอย่างน่าประหลาดใจ กลิ่นดอกไม้หอมอ่อนๆ อบอวลในปาก ทิ้งความซ่าตรงปลายลิ้น ยิ่งดื่มตุลย์ก็ยิ่งชอบ ศานนท์กับเขาดื่มกันไปคนละครึ่ง พอหมดขวดแรก ตุลย์ก็สั่งบริกรเปิดขวดที่สองทันที


ครั้งนี้ศานนท์ไม่ได้ปรามอย่างเคย เพียงแค่หัวเราะกับการตัดสินใจปุบปับของเขาก็เท่านั้น


ก็เจ้าตัวบอกว่าวันนี้จะตามใจเขาหนึ่งวันนี่


“ชอบเหรอ?”


“อือฮึ” เขาขานขับในคอ ขณะยกแก้วขึ้น ‘ซด’ หลังจากยัดจานหลักและจานรองลงกระเพาะจนหมดเกลี้ยง “คุณเลี้ยงเหล้าผมแบบอดๆ อยากๆ มาตั้งนาน”


“ก็พอเปิดขวดทีไร เธอก็ดื่มเหมือนน้ำเปล่า”


คนถูกกล่าวหาว่า ‘ซดเหล้าเป็นน้ำเปล่า’ เหลือบมองศานนท์ทีหนึ่ง ขณะที่ปากก็ยังกระดกอึกๆ ประหนึ่งกระหายนัก


“คุณบอกว่าคืนนี้ตามใจผม” ตุลย์ทวงสัญญา


“ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อยนี่” ศานนท์ไหว่ไหล่ “แล้วเมาหรือยัง”


“ยัง” ตุลย์ตอบเสียงแข็ง “ผมไม่เมา นั่งได้ยันเช้า หึ คุณทำหน้าแบบนั้นแสดงว่าไม่เชื่อล่ะสิ?”


คู่สนทนาหรี่ตาอย่างจับผิด ไม่ว่าเปล่าแต่ยกแก้วตัวเองค้างเติ่งกลางอากาศไว้เหมือนอยากให้อีกฝ่ายชนแก้วด้วย ศานนท์ทำตามคนเมา ก่อนที่เขาจะหลุดขำกับประโยคถัดมาอย่างอดไม่ได้


“คืนนี้ไม่เมาไม่กลับ! ...คุณขำอะไร เมาหรือไงครับ?”


“ขำเธอ” หนุ่มใหญ่อมยิ้ม


“ผมไม่ใช่แก๊สหัวเราะ ไม่ต้องขำ” ตุลย์เบ้ปาก


“เธอเมาแล้วขี้โมโหนะ”


“ผมเปล่า ผมก็ผมคนเดิม คุณคิดไปเองทั้งนั้นแหละ”


ตุลย์กรอกตา ก่อนจะรินไวน์ใส่แก้ว แล้วยกขึ้นดื่ม ทว่าศานนท์กลับมือที่ถือแก้วของเขาไว้เหมือนจะปราม ตุลย์ก็ขมวดคิ้ว


“ขอดื่มบ้างสิ”


ตุลย์เหลือบมองแก้วศานนท์ที่ว่างเปล่า จากนั้นก็พยักหน้า ศานนท์ไม่ได้ปล่อยมือเขา แต่โน้มหน้าเข้ามาหาปากแก้ว แล้วจรดริมฝีปากดื่ม โดยที่มีเขาเอียงปากแก้วเข้าหาอีกฝ่ายอย่างระมัดระวังไม่ให้หก


“คุณว่าไง? ผมว่ามันหอมมากเลย ผมชอบมันมาก...”


“อือฮึ” ศานนท์พยักหน้า “ชอบมากกว่า Sherry ที่ฉันคือเปิดให้เธอลองหรือเปล่า”


ย้อนถามไปถึงเหตุการณ์ที่แสนนานมาแล้ว ตุลย์ก็ชักนึกไม่ออก


“อืม... ผมชอบอันนี้ที่สุดในบรรดาไวน์ที่ผ่านๆ มาของคุณ”

เสียงแจ้งเตือนไลน์ดังขัดจังหวะ ศานนท์ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ครู่เดียวเขาก็วางมันลงบนโต๊ะ พูดด้วยท่าทางสบายๆ เหมือนไม่ได้คาดหวังให้ตุลย์เข้าใจอะไรนัก


“บทโฆษณาเสร็จเร็วที่คาดการณ์ไว้ตอนแรก คิดว่าเธอคงได้อ่านบทประมาณสุดสัปดาห์นี้”


ตุลย์ตาเป็นประกาย “ธีมอะไรครับ? คุณพอเล่าเนื้อเรื่องคร่าวๆ ได้มั้ย?”


“ไว้เธอค่อยอ่านเอาทีหลังดีว่า”


“นี่คุณ... ผมบอกแล้วไงว่าไม่ได้เมา”


ตุลย์หมุ่นคิ้วจ้องคู่สนทนาเขม็ง เมื่ออีกฝ่ายกั๊กเหมือนไม่อยากเล่าให้เขาฟังตอนกำลังกรึ่มๆ


“คุณเล่ามาเดี๋ยวนี้เลย!”


“โอเคๆ ฉันจะเล่าให้เธอฟังบนรถ” ศานนท์ยอมแพ้


พอตุลย์กระดกแก้วสุดท้ายหมด และขวดว่างเปล่า หนุ่มใหญ๋ก็รูดจ่ายค่าอาหาร แล้วทั้งคู่ก็ลงจากบันไดชั้นลอยเพื่อไปยังด้านล่าง ศานนท์จับแขนตุลย์ไว้หลวมๆ ด้วยกลัวว่าอีกคนจะเหยียบพลาด แต่ตุลย์กลับสลัดตัวออก


“ไม่ต้องจับ ผมบอกแล้วไงว่าไม่ได้เมา แค่กริ่มๆ” ว่าจบก็ก้าวลงบันไดฉับๆ ซึ่งก็เป็นดังเจ้าตัวว่า เพราะนอกจากอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ของเจ้าตัวแล้ว ตุลย์ก็เดินคล่องแคล่วเหมือนคนปกติทุกอย่าง


“โอเคๆ” หนุ่มใหญ่ชูมือเป็นเชิงยอมแพ้ ก่อนเดินตามลงมา “แล้วถ้าขอจับมือเธอในฐานะที่ไม่เมาล่ะ ได้หรือเปล่า?”


“...ได้”


ตุลย์อนุญาต แต่ศานนท์ไม่ได้จับมือตามที่พูด กลับเปลี่ยนมาโอบเอวแทน สัมผัสนั้นยังให้เกียรติ มั่นคงและปราศจากการล่วงเกินเหมือนๆ กับทุกครั้ง ส่วนหนึ่งก็เพราะอยากประครองให้แน่ใจว่าตุลย์จะไม่ลงไปวัดพื้นแน่ๆ


จากนั้นพวกเขาจะลงลิฟท์กลับไปยังชั้นที่จอดรถไว้


-----------------------

EDIT: มาแก้เรื่องคำที่ผิดพลาดให้แล้วเจ้าค่าา ขอบคุณมากค่าา *กราบ*
กลับมาแล้วค่า รอกันนานหรือเปล่าเอ่ยยยยยย
เมลล่าทำพล็อตหาย ถถถถถ ต้องไล่ใหม่ทั้งหมดจนถึงตอนจบเลย 5555+ อยากร้องไห้ค่ะ
แต่ว่าตอนนี้เสร็จหมดแล้ว เย้!
ตอนนี้หนูตุลย์เหวี่ยงน่าดูเลย แต่ตอนหน้าไม่เหวี่ยงแล้วนร๊ะ น้องแค่ขาดความยับยั้งทางอารมณ์เวลาเมาค่ะ 5555+

มาย้ำอีกรอบค่ะ ว่าเปลี่ยนสไตล์การเขียนใหม่ 555+ ชอบหรือไม่ชอบ คิดว่าเคมีขาดไปหรืออะไรแปลกๆ ติชมได้ตามปกติเจ้าค่ะ เมลล่าพยายามจะทำให้ดีกว่าเดิม <3

ถ้าขี้เกียจแวะมาดูในเล้า ก็กดติดตามเพจเมลล่าได้นะคะ อัพทีก็จะแจ้งในเพจทุกครั้งค่ะ
ฝากเพจไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ ขอบคุณทุกคนที่ไม่เคยทิ้งกันไปค่ะ

https://www.facebook.com/Iamcaramella (https://www.facebook.com/Iamcaramella)
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (18.10.19) l 20th Night : มองได้ แต่อย่าชอบ [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 19-10-2019 02:04:53
ไม่เมาแค่อารมณ์ไม่คงที่นิดหน่อย 55555555555
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (18.10.19) l 20th Night : มองได้ แต่อย่าชอบ [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 19-10-2019 02:41:49
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (18.10.19) l 20th Night : มองได้ แต่อย่าชอบ [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 19-10-2019 21:25:57
เด็กขี้วีนเอ้ยย
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (18.10.19) l 20th Night : มองได้ แต่อย่าชอบ [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 20-10-2019 00:28:13
ป๋าเอาใจน่าดูเลย ตุลย์หวั่นไหวไหมมมมมมมมม เราหวั่นไหวมากกกกกก

สำนวนอ่านได้ลื่นไหลนะ ไม่สะดุดอะไร กระชับเห็นภาพดี

สะกิดนิด ๆ สองจุด:

“แต่ถ้ายังไม่ถูกใจ ทางโรงแรมมีไวน์ตัวใหม่แนะนำค่ะ เป็นสปาคกลิ้งไวน์กลิ่นดอกไม้จากฝรั่งเศส แต่ผลิตภายใต้แบรนด์ของโรงแรมเอง ทานคู่กับสลัดหรืออาหารประเภทเนื้อสัตว์ก็ได้ค่ะ”

>>> สปาร์คลิงไวน์
>>> ทานคู่กับ....   >> ดื่ม


พนักงานสาวพยักหน้า ก่อนจะปลีกตัวออกไป

>>> พนักงานสาวรับคำ >>   ร้านหรูนี่ถ้าพนักงานพยักหน้าใส่ลูกค้าคือเสียมารยาทค่ะ

รอลุ้นคุณป๋าเต๊าะเด็ก อิอิ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (18.10.19) l 20th Night : มองได้ แต่อย่าชอบ [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 20-10-2019 05:33:45
หวานกรุบกริบ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (18.10.19) l 20th Night : มองได้ แต่อย่าชอบ [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: kimkidoy ที่ 21-10-2019 02:18:53
ดีใจมากกกกกกเกือบหาเรื่องนี้ไม่เจอแล้วต้องย้อนกลับไปอ่าน
ชอบที่เค้าบอกชอบกันแล้ววววววว เขิลคุณศานนท์
รอน้าาาาาาา หวานกำลังดีเลย :katai4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (18.10.19) l 20th Night : มองได้ แต่อย่าชอบ [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: WilpeR ที่ 21-10-2019 21:45:10
กลับมาตอนนี้ดูหวานขึ้นมาหน่อย จะมีปมอะไรเพิ่มอีกไหมน้า
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (06.01.20) l 21st Night : กรึ่ม [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 06-01-2020 21:24:21
21st Night : กรึ่ม


ระหว่างทางกลับออฟฟิศ ศานนท์ก็เล่าที่สคริปคร่าวๆ ให้ฟัง ตุลย์มีสีหน้าแช่มชื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะหลังฟังจบ เจ้าตัวก็อารมณ์ดีชวนเขาคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปตลอดทาง


หนุ่มใหญ่จอดรถทิ้งไว้ในลาดจอดของบริษัท ก่อนจะพาตุลย์ขึ้นลิฟท์มายังชั้นยี่เอ็ด ขณะที่คนข้างๆ คุยเรื่อยเปื่อยกับเขาไม่หยุดตั้งแต่กลับจากร้านอาหาร


“นี่คุณ... ชั้นยี่สิบห้ามีอะไรครับ?“ มองปุ่มตัวเลขซึ่งสิ้นสุดที่เลขยี่สิบห้า ตุลย์ก็อดถามไม่ได้ ในใจคาดหวังจะได้ฝันเรื่องสยองขวัญขนหัวลุกสักเรื่องสองเรื่อง


“ส่วนใหญ่เป็นห้องประชุม เอาไว้รับรองแขกที่เป็นคนนอก มีห้องผู้บริหารบ้างประปราย ทำไมล่ะ?”


“เปล่า ผมแค่นึกว่าจะได้ฟังเรื่องน่ากลัว” ตุลย์เอนหลังผิงผนังลิฟท์ ความกว้างใหญ่พอจะอัดคนสิบสองคนรวมกันได้ “อย่างพวกตำนานสยองขวัญสมัยที่ตึกเพิ่งสร้าง...”


ศานนท์ได้ฟังก็ยิ้ม “จริงๆ ตึกนี่สร้างเสร็จก่อนฉันเกิดอีก แต่เพิ่งบูรณะต่อเติมไปเมื่อประมาณสองสามปีที่แล้ว ...ถ้าอยากฟังเรื่องผี ฉันก็พอมีเล่าให้ฟังอยู่”


ตุลย์ดูกระตือรือร้นขึ้นทันตา “เกี่ยวกับชั้นยี่สิบห้าเหรอ?”


“เปล่า... เกี่ยวกับชั้นนี้นี่แหละ”


ราวกับย้ำเตือนสิ่งที่ศานนท์พูด เสียง ‘ตึ๊ง’ ของลิฟท์ก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าพวกเขามาถึงชั้นที่หมาย ก่อนที่ประตูจะเปิดออก ศานนท์กดลิฟท์รอให้เขาเดินออกไปก่อน แล้วจึงเริ่มเล่า


“คืนนั้นมีปาร์ตี้พนักงาน ฉันเป็นเจ้าภาพเปิด ...ฉันเดินๆ อยู่ในงานต่อจนประมาณเกือบเที่ยงคืนได้มั้ง แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าลืมกุญแจรถไว้ในออฟฟิศ ต้องกลับขึ้นมาเอา” เล่าไปพลางก็เดินขนาบข้างเขาตามโถงทางเดินที่เปิดไฟสว่างโล่ง “ฉันขี้นลิฟท์ตัวเมื่อกี้มา แต่ว่าคืนนั้นไฟไม่ได้สว่างแบบนี้”


ศานนท์หยุด ชี้ให้เขาดูไฟห้องทานอาหาร และห้องเบิกอุปกรณ์สำนักงานที่ยังสว่างเห็นด้านใน “ถ้าจำไม่ผิด ดวงนั้นไม่ได้เปิดหรอก พวกนี้ด้วย เปิดแค่ตรงทางเดิน...”


“ตอนนั้นฉันไม่ได้คิดอะไร ก็เดินผ่านๆ เพราะตั้งใจจะไปหยิบกุญแจ” หนุ่มใหญ่เดินนำเขาผ่านโต๊ะพนักงานที่กั้นเป็นล็อกๆ แล้วหยุดเคาะนิ้วชี้บนโต๊ะตัวหนึ่งด้านหลังตุลย์ที่ตอนนี้ว่างเปล่า ปราศจากเอกสารเช่นโต๊ะอื่นๆ “อยู่ๆ ฉันได้ยินเสียงของตก พอหันไปมองก็เห็นผู้ชายใส่เสื้อสีขาว หัวแตก เลือดท่วมตัว ยืนอยู่ตรงนี้”


คนฟังก็ขนลุกขึ้นมาเสียดื้อๆ


“แล้วคุณทำยังไง...?”


“ฉันถามเขาว่ามีอะไรหรือเปล่า...” พูดมาถึงตรงนี้ ศานนท์ก็เผยยิ้มอ่อนๆ “พอดีว่าคืนนั้นมีปาร์ตี้ฮาโลวีน เขาบอกว่าลืมของไว้เหมือนกัน เลยแวะมาเอา”


“.........” ตุลย์หน้าตึง เขาถอนหายใจ ก่อนยิ้มมุมปากราวกับโล่งอกที่โต๊ะด้านหลังเขาไม่ได้มีผีสิงอยู่จริงๆ  “คุณจะทำผมหัวใจวาย”


หนุ่มใหญ่หัวเราะในคอ “ก็เธอบอกว่าอยากฟังเรื่องผีนี่”


“น่า! ผมก็แค่อยากรู้ คุณก็กุเรื่องซะเป็นตุเป็นตะ”


“แต่เธอก็ดูสนใจออก”


ตุลย์ได้แต่หัวเราะ “ใช่ ก็เพราะผมอยากฟังเรื่องผีไง”


หางตาเหลือบไปเห็นหัวดำๆ เขาตกใจเล็กน้อยก่อนจะเบาเสียงลงเมื่อพบว่า โต๊ะทำงานหลายแถวยังมีพนักงานประจำอยู่ บางคนยังเอ่ยทักศานนท์ตามมารยาทเมื่อพวกเขาเดินผ่านอีกด้วย


เกือบสามทุ่มครึ่งแล้ว ยังไม่กลับบ้านกันอีกเหรอ...


ศานนท์พาเขาเดินตามโถงทางเดินไปที่ห้องมุมสุดของเจ้าตัว ครั้งแรกที่มาที่นี่ คือหลังจากที่เขาหนีไปงานวันเกิดของจีจี้ ตอนนั้นเขาอยู่ในอาการตกใจ จำอะไรไมได้มาก พอได้มาเป็นรอบที่สอง ตุลย์ถึงสังเกตุเห็นว่าแม้ที่นี่จะกว้างขวาง และเป็นส่วนตัว แต่ก็มีบางพื้นที่ที่ให้บรรยากาศจอแจแบบสำนักงานอยู่เช่นกัน


“ยังไม่กลับอีกเหรอครับ เสี่ย” เสียงปริศนาไม่ดังไม่เบาจนเกินไป แต่คำว่า ‘เสี่ย’ ก็เรียกความสนใจทั้งเขาและศานนท์ให้หันตามได้ชะงัด


เจ้าของเสียงเป็นชายรูปร่างสูงอายุราวสามสิบปลาย สวมเสื้อเชิ้ตสีกรมท่า ผูกเน็คไทด์เรียบร้อยภูมิฐาน ท่าทางดูเคร่งครึมเด็ดขาดแบบที่ตุลย์ไม่นึกอยากคุยเล่นด้วย


ที่ทำให้รู้สึกขัดกันสุดๆ คือการที่ผู้ชายคนนี้เรียกศานนท์ด้วยคำว่า ‘เสี่ย’ นี่ล่ะ


“แวะมาเอาเอกสาร   น่ะ“ ศานนท์ชายตามาทางเขา ก่อนจะแนะนำอีกฝ่ายให้รู้จัก “นี่คุณอัฐ กรรมการบริหารของบริษัท เขาเป็นมือขวาของฉัน”


อ๋อ... ถึงว่า


จากที่เขาจับสังเกตุมาสักพัก มีแต่คนวงในเท่านั้นที่จะเรียกศานนท์ว่าเสี่ย


“ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณหนู” เป็นฝ่ายตรงข้ามที่ยี่นมือมาจับทักทายเขาก่อน รอยยิ้มปรากฎขึ้นบนใบหน้า ทว่าเป็นรอยยิ้มนักธุรกิจ...


“ครับ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ”


เสร็จ ‘ธุระ’ กับเขา อีกฝ่ายก็คุยกับศานนท์ต่อ


“เมื่อกลางวันมีเอกสารปิดผนึกถึงคุณ คุณไม่อยู่ออฟฟิศ เลขาก็ไม่อยู่ ผมเลยเซ็นรับให้”


“จากซินดี้หรือเปล่า? หรือจากที่อื่น”


“ครับ จากคุณซินดี้”


ศานนท์พยักหน้า “อื้ม ฉันตามหาอันนั้นอยู่”


ไม่ต้องให้ทวง ผู้บริหารคนดังกล่าวก็เดินย้อนกลับไปที่ห้องตรงของตนแล้วหายเข้าไป แค่ชั่วอึดใจเดียวก็ออกมาพร้อมซองสีน้ำตาล ยื่นให้พวกเขาที่ยืนรออยู่ด้านนอก


“ขอบใจ” หนุ่มใหญ่ว่า พลางตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ “เลิกงานแล้วรีบกลับบ้านซะล่ะ”


“ครับ อีกสักครึ่งชั่วโมง ผมคงกลับ”

ศานนท์พยักหน้า ก่อนที่พวกเขาก็แยกกับอัฐ มุ่งหน้ากลับบ้าน  ระหว่างลงลิฟท์ หนุ่มใหญ่ก็ช่างน้ำหนักพัสดุในมือไปพลาง ของที่ซินดี้ส่งมาหนาและหนักพอตัว พอเหลือบตามองตุลย์ ก็เห็นว่าร่างโปร่งมองพัสดุในมือเขาอยู่เช่นกัน


เจ้าตัวยิ้ม “ผมชักสงสัยแล้วว่ามีอะไรอยู่ข้างใน”


“ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน”


--------------------


“คุณอ้วนขึ้นหรือเปล่า?”


ไม่ว่าเปล่า เจ้าของประโยคยังเอื้อมมือมาวางแหมะตรงตำแหน่ง ‘พุง’ อุณหภูมิร่างกายที่ถ่ายทอดจากฝ่ามือผ่านเนื้อผ้านั้นอุ่นจัด พาลให้หนุ่มใหญ่รู้สึกเสียหน้านิดๆ 


หลังจากกลับถึงบ้าน ตุลย์ก็ตามศานนท์เข้ามาในห้องนอน ทีแรกเข้าใจว่าเจ้าตัวต้องการของที่อยู่ในซอง แต่พอเขายืนซองให้ ร่างโปร่งกลับวางมันทิ้งไว้บนเก้าอี้อย่างหมดความสนใจ ก่อนจะเอื้อมมือมาวางบนพุงเขา แล้วเริ่มจับๆ ไขมันส่วนเกินอย่างที่เห็น


ศานนท์ถอนหายใจ จับข้อมือคนยังไม่สร่างเมาไว้ แล้วเบี่ยงตัวออก “ช่วงนี้ฉันมัวแต่ยุ่งจนไม่ได้ดูแลตัวเอง”


“เหรอ แต่คุณส่งผมไปเทรนโน้นนี่ตั้งหลายอย่าง ทั้งฟิตเน็ส ทั้งมวย ผมคุมอาหารแทบตาย แต่คุณไม่ดูแลตัวเองก็ได้ แถมกินอะไรก็ได้ แบบนี้ไม่แฟร์เลย คุณสบายกว่าผมตั้งพันเท่า”


ตุลย์เบ้หน้า ขณะที่ศานนท์ทิ้งตัวนั่งปลายเตียงตรงข้าม


“งั้นให้ฉันลดตารางเธอลงมั้ยอย่างพวก...”


“ไม่ ลดตารางแล้วยังไง คุณก็ไม่ได้ผอมลงอยู่ดีนี่”


“แล้วอยากให้ฉันทำยังไงล่ะ?”


ได้เห็นคนฟังมุ่นคิ้วอย่างไม่ค่อยเข้าใจ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์นึกสนุกปรากฎขึ้นบนใบหน้า ตุลย์เดินเข้ามาใกล้ ลดระยะห่างระหว่างทั้งคู่เหลือเพียงยืนประจันหน้า


เจ้าตัวไม่หยุดแค่นั้นแต่ก้าวขึ้นมาคร่อมเอวศานนท์ พื้นที่ข้างหนุ่มใหญ่ยวบลงตามน้ำหนักของร่างโปร่ง ส่งผลให้เขาหงายหลังบนเตียง โดยมีศอกยันตัวไว้ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน บั้นท้ายตุลย์ตรึงส่วนกลางลำตัวเขาด้วยน้ำหนักเจ้าตัวที่โถมลงมา 


“มาเทรนให้คุณกันดีกว่า ...ผมเป็นเทรนเนอร์ ส่วนคุณเป็นลูกค้า เซ็กซ์เบิร์นแคลอรี่ดีจะตาย” ท้ายประโยคเอ่ยปนเสียงหัวเราะในคออย่างมีลับลมคมใน


อารมณ์แปรปรวนของเจ้าตัวทำเอาศานนท์หัวปั่นตั้งแต่เย็น แต่เมื่อมีอีกฝ่ายคร่อมทับอยู่ตรงหน้า เขาก็ไม่อยู่ในอารมณ์จะถือสาเอาความ


ริมฝีปากทั้งคู่สัมผัสบดเบียดกัน ดูดดึงจูบจนเกิดเสียงหลายครั้ง น้ำหนักตัวของตุลย์ที่คร่อมอยู่ทำให้ศานนท์ต้องยอมหงายหลังบนเตียงเพื่อจะได้ลูบแผ่นหลัง ฟ่อนเฟ้นเรือนร่างอีกฝ่ายได้อิสระ


ตุลย์เท้าศอกบนเตียง ทิ้งน้ำหนักทาบทับลงมา แล้วจู่โจมด้วยจูบที่เรียกร้อง ดุดันขึ้นกว่าครั้งก่อน ก่อนครางในคอตอนที่ศานนท์ขยับตัวกดบั้นท้ายให้เบียดเสียดกับส่วนนั้นช้าๆ แต่หนักแน่น


หนุ่มใหญ่เลิกเสื้อคนที่จูบนัวเนียอยู่กับเขาขึ้น ร่างโปร่งก็ผละออกในท่านั่งก่อนจะถลกเสื้อยืดถอดออกอย่างรู้ใจ อวดอกและหน้าท้องเปลือยเปล่าที่มีกล้ามเนื้อกำลังดี และแนวสะโพกที่เห็นเป็นรูปตัววีลางๆ เหนือขอบกางเกงชั้นใน นอกจากสรีระเจ้าตัวที่เขาอดใจให้ใช้มือสัมผัสไม่ได้ สีหน้าตุลย์ก็บอกชัดว่ากำลังได้อารมณ์เต็มที่


“เธอเซ็กซี่ขึ้นนะ...”


หนุ่มใหญ่เม้มจูบหนักใต้ชายโครง วินาทีต่อมาก็ขมวดคิ้วเมื่อตุลย์เมินการเล้าโลมของเขา แต่คว้าหมับที่เป้ากางเกงแล้วรูดซิบลงแทน


“ใจร้อนจัง วันนี้เป็นอะไร หืม?”


“ผมก็แค่อยากทำ ไม่ได้เหรอ?”


ศานนท์ได้แต่ยิ้มอ่อนแทนคำตอบ “มีถุงยางอยู่ในลิ้นชัก”


หนุ่มใหญ่ดันร่างโปร่งออกอย่างเบามือเพื่อสร้างระยะห่างระหว่างร่างกาย ก่อนจะพลิกตัวเปิดลิ้นชักข้างเตียง สุ่มหยิบซองสี่เหลี่ยมชิ้นหนึ่งออกมา แต่ยังไม่ทันได้แกะ เขาก็ถูกตุลย์ตามขึ้นมาคร่อมร่างไว้อีกรอบ


“ใจเย็นๆ ก่อน...”


“อื้ม”


ถึงเจ้าตัวจะครางในคอเป็นเชิงรับทราบ แต่ตายังจ้องเขม็งที่ส่วนแข็งขึงราวกับกำลังกดดันให้เขารีบสวมถุงยางเร็วๆ เพราะทันทีที่สวมใส่เสร็จ เจ้าตัวก็จับส่วนนั้นของเขาแทรกผ่านช่องทางเข้าไปในกายทันที


“อา...” ตุลย์ครางในคอ


การรีบร้อนสอดใส่โดยไม่เตรียมตัวทำให้เขาค่อนข้างอึดอัดพอสมควร จังหวะที่สะโพกขยับก็พาลหนืดหน่วงตามไปด้วย จนต้องใช้มือเท้าเตียง เอนกายมาด้านหน้าเพื่อให้ขยับสอดใส่ได้สะดวกขึ้น ถึงแม้ส่วนที่คับแน่นอยู่ข้างในจะทำให้อึดอัด แต่มันก็กระตุ้นอารมณ์ดิบได้ดี


เห็นว่าตุลย์เริ่มหายใจหนัก ศานนท์ก็สัมผัสเล้าโลมส่วนอ่อนไหวอย่างเอาใจ ก่อนจะแปลกใจเมื่อมันอยู่ในสภาพที่ยังไม่ตื่นตัวเต็มที่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายรีบร้อนเกินไปหรือฤทธิ์จากแอลกอฮอล์ แต่ถูกเขารูดรั้ง เค้นคลึงส่วนปลายหนักบ้างผ่อนบ้าง ร่างโปร่งก็ครางเครือด้วยแรงอารมณ์


สีหน้าตุลย์แสดงชัดว่าพึงพอใจในรสตัณหา ขณะเดียวกันก็ดูเอาแต่ใจที่ได้เป็นฝ่ายควบคุมจังหวะร่วมรักอย่างเด็ดขาด ถึงกระทั่งว่าบางทีเจ้าตัวก็กดบั้นท้ายเบียดให้ส่วนแข็งขึงเสียดสีกับจุดที่อ่อนไหวภายในกายซ้ำๆ โดยที่ช่องทางด้านหลังยังกลืนกินตัวตนของคนเบื้องล่างไว้มิด


ศานนท์ยอมรับว่าเขารู้สึกดี แต่ดูเหมือนคนที่กำลังหอบหายใจครางคงรู้สึกดีกว่าเขามากโข...


หางคิ้วชี้ลงนิดๆ กับนัยน์ตาแสนเชื่อม…


สีหน้าเคลิ้มเคลิ้มของตุลย์ยิ่งกระตุ้นแรงปรารถนาของเขา  จนมือหนาเอื้อมไปเกี่ยวกุมลำคอคนด้านบนราวกับถูกดึงดูด นิ้วโป้งลูบไล้ผ่านสันกราม และลูกกระเดือก ลากลงมาตามแผ่นอก หน้าท้อง ฟ้อนเฟ้นแก้มก้นก่อนจะเข้าคุมสะโพกร่างโปร่งให้เคลื่อนไหวสวนรับกับจังหวะของตน เปลี่ยนให้เขาเป็นฝ่ายนำ


“อืม อ้า...”


ตุลย์ครางประท้วงในคอเหมือนไม่ชอบใจในทีแรก  แต่แก่นกายที่ชำแรกเข้ามาเหนือการควบคุมของเขากลับทำให้รู้สึกกระสันยิ่งกว่า เขาหอบกระเส่าด้วยแรงอารมณ์ที่พุ่งสูง ก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อส่วนอ่อนไหวถูกเกาะกุมจากอุ้งมือของศานนท์


“อ้า เดี๋ยวก่อน”


ตุลย์ยึดมือหนุ่มใหญ่ที่จับสะโพกและส่วนอ่อนไหวไว้แทบไม่ทัน รีบเอ่ยทั้งที่ยังหอบหายใจ


“ยะ หยุดก่อน อา... เร็วเกินไป ผมจะเสร็จก่อนคุณ” 


จู่ๆ ถูกหยุดกลางครัน หนุ่มใหญ่ก็ขมวดคิ้ว ครางต่ำในคอ สีหน้าอึดอัดด้วยแรงปรารถนา จนร่างโปร่งต้องโน้มตัวลงมาแลกจูบแก้ขัด ศานนท์ลูบแผ่นหลังท่อนล่างและก้นกบ ขยำบั้นท้ายเจ้าตัวอย่างหมั่นเขี้ยว เรียกเสียงครางเครือจากเจ้าของจุมพิตก่อนที่มือหนาจะแตะปากช่องทางที่เชื่อมกับแก่นกายเบาๆ เอ่ยถามด้วยเสียงแหบพร่า


“เปลี่ยนท่ามั้ย?”


“อื้อ”


ตุลย์ตกลง ศานนท์ก็ถอนกาย พลิกให้ร่างโปร่งสลับลงไปนอนบนเตียงโดยที่ตนเองอยู่ที่ท่าคุกเข่า แล้วดึงรั้งสะโพกเจ้าตัว ให้บั้นท้ายเกยบนหน้าขาจากนั้นจึงสอดใส่ ช่องทางที่ไวต่อความรู้สึกอยู่แล้วทำให้ตุลย์ครางเสียงพร่าตอนที่แก่นกายแทรกเข้ามาในร่างเป็นครั้งที่สอง พอศานนท์ขยับสะโพก ร่างเบื้องล่างก็ไหวตามแรงกระทำ จนเจ้าตัวต้องกำผ้าปูเพื่อยืดตำแหน่งตัวเองไว้กับเตียง


ตุลย์ครางกระเส่า เมื่อแก่นกายอีกฝ่ายเสียดสีกับจุดอ่อนไหวภายในจนซ่านกระสันไปทั่วร่าง ต้นเขาถูกจับพับกดแนบตัว ก่อนที่คนด้านบนจะทิ้งน้ำหนักทาบทับลงมาทั้งที่ส่วนนั้นเชื่อมต่อกัน ส่งผลที่แก่นกายถูกดันลึกเข้ามาจนสุด ลึกเสียจนสับสนว่ากำลังรู้สึกดีจนแทบคลั่งหรืออึดอัดมากกันแน่ แต่ที่แน่ใจคือ มันทำให้สัมผัสที่ได้รับหนักหน่วงขึ้นกว่าเก่ามากโข


ส่วนอ่อนไหวของตุลย์เสียดสีกับหน้าท้องของอีกฝ่ายทุกครั้งที่เคลื่อนไหว จากนั้นเขาได้ยินเพียงเสียงหอบหายใจข้างหู ขณะที่สมองเหมือนใกล้จะเลือนลางว่างเปล่า  พลันก่อนที่มันจะเกิดขึ้น ตุลย์ก็ถูกฉุดกลับลงมาบนดินจากจังหวะกระทั้นที่ผ่อนลง ใบหน้าศานนท์อยู่ใกล้ข้างแก้มเขาจนรู้สึกถึงลมหายใจหอบถี่ ท่าทีคล้ายกับกำลังดื่มด่ำรสสัมผัส บ่งบอกว่าอีกฝ่ายเพิ่งชิงเสร็จสมก่อนไปหมาดๆ


อุ้งมือหนาทาบลงบนปลายส่วนอ่อนไหวกลางลำตัวเขาราวกับกำลังชดเชยให้ กอบกุมและรูดรั้งอย่างเอาอกเอาใจ ขณะที่ขยับช่วงล่างช้าๆ ตุลย์ครางหนักๆ กระตุกบิดตัวเล็กน้อยตอนที่เสร็จสมในอุ้งมือศานนท์ กระนั้นอีกฝ่ายก็ยังคลึงสัมผัสต่อคล้ายกับอยากยืดอารมณ์สุขสมให้เขาอีกหน่อย


เขาแหงนหน้าหอบหายใจ สายตาสบสานกับหนุ่มใหญ่ แต่สมองกลับว่างเปล่าขาวโพลนชนิดที่คิดอะไรไม่ออก  จำได้ว่าศานนท์เสยผมยุ่งเหยิงให้ก่อนจะที่ริมฝีปากพวกเขาจะสัมผัสกันเบาๆ


หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (06.01.20) l 21st Night : กรึ่ม [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 06-01-2020 21:39:20

นิ้วยาวกดปุ่มให้หน้าจอโทรศัพท์สว่างขึ้น เต้ก้มมองเวลาบนจอมือถือ บอกเวลาสิบเอ็ดโมงครึ่ง ก่อนจะลอบถอนหายใจเบาๆ เพราะยืนรอจนเมื่อย


สัปดาห์ก่อนตุลย์ทำจอแท็บเล็ตตกแตกละเอียด เจ้าตัวเลยเอาไปส่งศูนย์ซ่อมไว้ และบอกเขาให้ไปรับเป็นเพื่อนก่อนคาบเรียนบ่าย ซึ่งวันที่นัดรับก็คือวันนี้ เขาจึงมารับอีกฝ่ายที่บ้านเร็วกว่าปกติตามที่ตกลงไว้ แต่จนแล้วจนรอดเจ้าตัวก็ไม่มีวี่แววจะโผล่หน้าออกมาจากบ้านเสียที


“เข้ามานั่งรอข้างในก่อนมั้ยคะ คุณหนูยังไม่ลงมาเลย” คุณแม่บ้านชะโงกกวักมือเรียกเขาเป็นรอบที่สาม


“ไม่เป็นไรครับ”


เต้ตอบสั้น เอนตัวพิงบิ๊กไบค์คู่ใจที่จอดอยู่บนลานหินหน้าโรงจอดรถ รถยุโรปทั้งสองคันของเจ้าของบ้านก็ยังจอดอยู่ครบ


พูดให้ถูกคือ ไม่ใช่แค่ตุลย์ แต่ยังไม่มีใครในบ้านตื่นต่างหาก


 “งั้นเดี๋ยวป้าลองขึ้นไปเรียกคุณหนูให้มั้ย?” หญิงวัยกลางคนถามอย่างห่วงใย เพราะเห็นเขายืนรอมาจวนจะครึ่งชั่วโมงแล้ว “ป้าเพิ่งอุ่นกับข้าวรอบที่สอง ถ้าอุ่นอีกรอบจะไม่อร่อยแล้ว เลยว่าจะลองขึ้นไปเรียกคุณหนูกับคุณผู้ชายอยู่เหมือนกัน”


เต้ส่ายหน้า “ผมจะลองโทรหาเขาดูก่อน”


ว่าจบก็หยิบโทรศัพท์กดหาตุลย์ ก่อนจะถือสายรอ คงเพราะเจ้าตัวยังไม่ตื่นจริงๆ เขาจึงรอสายอยู่เกือบนาทีจนตั้งใจว่าจะตัดสายแล้ว จู่ๆ ปลายสายก็กดรับ ตามด้วยเสียงกุกกักเหมือนคนพยายามเอื้อมหยิบโทรศัพท์ที่ไม่ได้อยู่ข้างตัว


“ฮัลโหล?”


เต้ขมวดคิ้ว เสียงงัวเงียปลายสายนั้นกลับไม่ใช่เสียงตุลย์ แต่วินาทีต่อมาเขาก็ร้อง ‘อ๋อ’ ในใจ...


จะเป็นใครได้อีก ในเมื่อบ้านนี้มีผู้อาศัยแค่สองคน


“...วันนี้มีเรียนเหรอ?” น้ำเสียงนั้นเบาและฟังดูไกลเหมือนไม่ได้พูดกับเต้ แต่พูดกับเจ้าของโทรศัพท์เสียมากกว่า


ก่อนที่ปลายสายจะกรอกเสียงถามเขา “ตุลย์มีเรียนกี่โมง?” 


 “บ่ายครับ แต่ว่าเขาให้มารับก่อนเพราะจะแวะไปเอาแท็บแล็ตที่ส่งซ่อม” 


 “อ๋อ...” ศานนท์เงียบไปอึดใจ “งั้นเธอล่วงหน้าไปก่อน ไม่ต้องรอ เดี๋ยวฉันไปส่งเขาเอง”


“ครับ”


เต้รับคำ ได้ยินศานนท์เรียกชื่อตุลย์อยู่ราวสองครั้ง ก่อนที่คนถูกเรียกจะขานรับด้วยน้ำเสียงงัวเงียเหมือนเพิ่งตื่น พอเดาได้ว่า เจ้าของชื่ออยู่ไม่ไกลจากโทรศัพท์และเจ้าของบ้านนัก แต่ด้วยเหตุผลอะไรนั้น ใครจะรู้


...จากนั้นสายก็ตัดไป


เสียเวลายืนรอเกือบชั่วโมง แลกกับการถูกไล่กลับดื้อๆ เต้ก็หัวเสียนิดหน่อย


แต่จะทำไงได้ ให้เขาในเมื่อเสี่ยยืนยันแบบนั้น เขาก็ว่าตามนั้นแหละ


ตัดสินใจได้ เต้ก็ขึ้นคร่อมบิ๊กไบค์ สตาร์ทรถและขับออกไปทันที


--------------------------


ตุลย์สะดุ้งตื่นเมื่อถูกเขย่าเบาๆ ซ้ำหลายครั้ง เขาครางในคอ ขยับขยุกขยิกซุกหน้าใต้ผ้าห่มเพราะถูกปลุกตอนกำลังฝัน ก่อนจะยกแขนก่ายหน้าผากเมื่อแสงลอดผ่านม่านที่ถูกแง้มไว้ชวนให้แสบตาและปวดหัวเป็นทวีคูณ


เมื่อคืนเขากรึ่มจัดได้ที่อยู่...


เขาได้ยินศานนท์ถามคำถามบางอย่าง แต่เพราะกำลังงัวเงียจึงฟังไม่ศัพท์ คล้ายอีกฝ่ายกำลังคุยกับใครบางคน ก่อนจะเรียกชื่อเขาซ้ำอีกครั้ง แล้ววางโทรศัพท์ไว้ข้างหมอน ตุลย์พลิกตัวตะแคงข้างก็พบว่าโทรศัพท์เครื่องนั้นเป็นของเขา หน้าจอสว่างหราแสดงเวลาเกือบเที่ยงตรง...


“เวร!”


 ตุลย์อุทานก่อนจะผุดลุกขึ้น สลัดผ้าห่มออก ร่างที่เปลือยเปล่าก็เหลือเพียงผ้าคลุมต้นขา


เขาเพิ่งนึกได้ว่านัดเต้ไว้ให้มารับเร็วกว่าปกติ แถมยังย้ำนักย้ำหนาว่าต้องไปเอาแท็บเล็ตให้ทันใช้งานวันนี้ แต่กลายเป็นว่าตัวเองดันนอนซมไม่ตื่นซะอย่างนั้น!


ท่าทางเขาที่เหมือนจะพุ่งกลับห้องทั้งที่เปลือยอยู่ ทำเอาศานนท์ต้องรีบเอื้อมมาคว้าแขนไว้ “เดี๋ยวก่อน ฉันบอกเต้ให้กลับไปแล้ว เดี๋ยวฉันไปส่งเธอเอง”


“บอกเมื่อไหร่ครับ?”


ภาวนาหวังให้อีกฝ่ายตอบว่า ‘ตั้งแต่สิบโมง’ แต่...


“เมื่อกี้...”


“อ่า” ตุลย์ขยี้หัว“มันต้องเผาพริกเกลือสาปแช่งผมแน่”


ก็นี่มันเลยเวลานัดมาตั้งเกือบชั่วโมงแล้ว...


“เอ่อ ผมต้องไปเอาแท็บเล็ตที่ส่งซ่อมก่อนไป  ’มหาลัยด้วย” เขาเสริม


“อือฮึ รู้แล้ว เดี๋ยวฉันพาเธอไปเอง ไปเตรียมตัวสิ”


ศานนท์ว่าแบบนั้น ตุลย์ก็พยักหน้าหงึกๆ ความง่วงทำให้สมองเขาทำงานไม่สะดวก รู้ตัวอีกทีก็เพิ่งระลึกได้ว่าเขากำลังอาบน้ำในห้องน้ำ ‘ห้องคนอื่น’ โดยไม่มีผ้าเช็ดตัว ส่วนเสื้อผ้าที่ใส่เมื่อคืนกองอยู่ข้างเตียง ชุดนักศึกษาก็แหวนอยู่ในตู้เสื้อผ้าห้องตัวเอง...


พอนึกถึงเรื่องเมื่อวานว่าทำอะไรลงไปบ้าง ตุลย์ก็ชักจะเริ่มกลัวตัวเองขึ้นมานิดหน่อย เวลากรึ่มๆ ทีไรเขามักจะปากพล่อย ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังทุกที และดูจากทรงที่เลยเถิดมาถึงขั้นนอนค้างเตียงเดียวกันแล้ว เมื่อคืนเขาคงกรึ่มจัดใช้ได้


แต่ก็นะ... ใครใช้ให้เอาใจเขาด้วยไวน์รสชาติดีขนาดนั้น


ตุลย์ถอนหายใจเฮือก ทั้งเอือมตัวนิสัยตัวเองและโล่งใจไปพร้อมกัน ร่างเปลือยแง้มประตูห้องน้ำ ชะโงกมองเจ้าของห้องที่สวมชุดคลุมนั่งอยู่ปลายเตียงด้วยสีหน้าจนใจ


“คุณ... ถ้าไม่ว่าอะไร ผมขอยืมผ้าเช็ดตัวก่อนได้มั้ย”


หลังจากแวะรับแท็บเล็ตที่ศูน   ย์ในห้างใกล้ๆ ศานนท์ก็มาส่งเขาที่มหาวิทยาลัย ระหว่างทางพวกเขาก็คุยกันตามปกติ ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องเมื่อคืน แต่ขณะเดียวกัน ก็ไม่ได้แสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


ตุลย์แยกกับหนุ่มใหญ่ข้างๆ ลาดจอดรถ ก่อนเดินเลียบทางเท้าไปตึกคณะตามปกติ ระหว่างทางเขาเหลือบไปเห็นเต้โดยบังเอิญ แต่ฝ่ายนั้นไม่ทันสังเกตเห็นเขาเพราะมัวคุยอยู่กับเพื่อนอย่างที่เห็นไม่บ่อย


ปกติแล้วเต้มักจะอยู่คนเดียวเสมอ อาจเพราะอีกฝ่ายถูกใช้ให้ตามมารับมาส่งเขาตลอด ไหนจะวันนี้ที่โดนเขาเบี้ยวนัดอีก คิดๆ ดูก็แอบน่าสงสารอยู่เหมือนกัน... 


ครั้งนี้ ตุลย์จึงตัดสินใจเดินผ่านโดยไม่ทัก


ส่วนเรื่องเมื่อเช้า ไว้เขาค่อยไปขอโทษทีหลัง


ปี๊น!



เสียงแตรดังสั้นๆ จากด้านหลัง ทำให้ตุลย์ถอนสายตาจากใต้ตึกคณะบริหาร แล้วหันหลังกลับไปมอง ต้นเสียงมาจากรถยนตร์ที่ขับชะลอตามเขาอยู่ด้านหลังแม้ถนนข้างหน้าจะว่าง ตุลย์ขมวดคิ้วฉงน ไม่เข้าใจว่าเขาผิดอะไรเพราะขาทั้งสองข้างก็ยังเดินอยู่บนฟุตพาท


จังหวะที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ซีดานราคาแพงก็เร่งตีคู่ขึ้นมาในระดับความเร็วเดียวกับจังหวะก้าวเท้าของเขา ก่อนที่คนขับจะเลื่อนกระจกลง วินาทีนั้น หัวใจตุลย์ก็หล่นวาบไปอยู่ที่ตาตุ่ม


“ไฮ ไม่เจอกันนาน ลืมกูหรือยังล่ะ”


เป็นความรู้สึกราวกับวูบตกเหวลึก มันเกิดขึ้นเร็วกว่าสมองจะประมวลผลทัน เสมือนวันแสนสุขตลอดหลายสัปดาห์ผ่านมาเป็นแค่เรื่องโกหก


กาย…


ตุลย์หยุดกึก หันหลังถอยห่างจากถนน เลี่ยงเดินตัดใต้คณะบริหารแทน จังหวะเร่งรีบของเขาทำให้ไหล่ชนกับเต้ที่เดินสวนมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ หากอีกฝ่ายไม่เพียงแต่เดินตรงไปที่รถกาย แต่ยังรั้งตัวเขาไปด้วย


 “อะไรว้า กูทักเมียมึงแค่นี้ต้องเป็นเดือดเป็นแค้นเลยเหรอ?” กายชะโงกหน้าออกมาจากรถที่จอดแอบริมฟุตพาท ยิ้มยียวนระคนสะใจพอเห็นว่าตุลย์หน้าเสีย


“จะเอาอะไร?” เต้ถามสั้น


“ไม่ได้เอาอะไร กูก็แค่ขับรถผ่านมา บังเอิญนึกอยากคุยกับมัน” ใบหน้าของกายเปื้อนยิ้ม “หรือจะให้เอาอะไร?”


“เลิกเสือกซะ อย่ายุ่งกับตุลย์”


กายหัวเราะ ‘หึ’ “มึงนั่นแหละเสือก มึงเป็นเพื่อนมัน กูนี่ก็เพื่อนมัน มีสิทธิ์เหี้ยอะไรมาบอกกูว่าอย่าเสือก เป็นผัวมันหรือไงล่ะ?”


“.........”


“วันๆ เห็นเดินตามก้นมันต้อยๆ เอากันไปกี่ครั้งแล้ว?”


ท้ายประโยคพูดไปพลางก็เหลือบมองตุลย์ที่ยืนนิ่งอยู่ด้านหลังเพราะถูกเต้รั้งให้ย้อนกลับมา สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของเจ้าตัวนั้นดูไม่จืด


เต้สาวเท้าประชิดรถ โน้มตัวมาลงมาในระดับเดียวกับกาย มือข้างหนึ่งเท้าขอบหน้าต่าง ส่วนอีกมือเท้ากระจกข้าง


“มึงลงมาเคลียร์ อย่าดีแต่ปาก”


ยอมรับว่าพอใจที่ยั่วอารมณ์คู่สนทนาสำเร็จ แต่ท่าทีคุกคามของเต้ก็ทำให้กายรู้สึกระแคะระคายเช่นกัน ที่น่าโมโหกว่าคือมันจงใจวางมือบนรถเขา


“get your fucking hand off my car”
[เอาไอ้มือเวรนั้นออกจากรถกูเดี๋ยวนี้]


กายขู่เสียงต่ำ เต้ไม่ตอบโต้อะไร แต่จ้องเขม็งตาต่อตาราวกับจะพูดว่า ‘มีปัญญาก็มาเอาออกดิวะ’


“พอแล้ว กูจะไปเรียน”


ตุลย์ข่มน้ำเสียงโพล่งออกไปท่ามกลางบรรยากาศที่พร้อมปะทุ ก่อนดึงแขนเต้เป็นเชิงปราม แต่เจ้าของร่างกลับไม่ไหวติง เหมือนจะเอาเรื่องกายให้จนได้


“เอ้าโน้น เมียมึงสั่งแล้ว ยังไม่ไปอีก?”


คำพูดของกายทำให้เขารู้สึกอับอายขายหน้า จนอยากออกไปจากตรงนี้เต็มแก่


“อยากตีกันก็เรื่องของพวกมึง กูไปละ” เขากลั้นใจตัดบท ก่อนจะหันหลังเดินออก โดยพยายามให้จังหวะก้าวเท้าดูเป็นปกติที่สุด


เขารู้ว่าเต้มีเจตนาดี แต่นั่นยิ่งทำให้ตัวเองน่าสมเพช สมเพชที่อึ้งจนพูดอะไรไม่ออกพออยู่ต่อหน้ากาย เพราะผู้ชายคนนั้นทำให้เขารู้สึกไร้ค่าและไร้ทางสู้จนอยากหนีมากกว่าเผชิญหน้า...


เต้เหลือบหางตามองร่างที่หันหลังเดินออกไปไกลอย่างไม่เข้าใจ ก่อนยอมผละจากรถซีดาน แล้วสาวเท้าเร็วๆ ตามตุลย์ไปอย่างไม่มีทางเลือก เรียกรอยยิ้มแห่งชัยชนะและเสียงหัวเราะสะใจจากกาย


ผู้ชนะเลื่อนกระจกขึ้น ก่อนจะขับซีดานยี่ห้อหรูออกไปด้วยความรู้สึกเหนือกว่า
 


“ไม่ต้องตามมา...” ตุลย์เม้มปาก เดินฉิวเข้าไปใต้ตึกคณะนิเทศศาตร์ ก่อนขึ้นบันไดหายไป โดยที่เต้ยืนนิ่งอยู่ตรงเชิงบันได...


เขาเฝ้าดูตุลย์ตามหน้าที่มาหลายเดือน แม้ไม่ตลอด แต่อยู่ในสายตาเสมอ ร่างโปร่งไม่มีปัญหากับการที่เขาเข้าไปมีส่วนร่วมกับชีวิตส่วน แต่ไม่ใช่ครั้งนี้...


 เขาไม่เข้าใจว่าทำไมตุลย์ถึงแสดงออกเหมือนไม่ต้องการให้เขายุ่งเรื่องกาย แถมยืนนิ่งไม่ตอบโต้ ปล่อยให้ฝ่ายนั้นคุกคามเสียจนเขารู้สึกยั้วะแทน


ตุลย์เป็นมวย... ถ้าสู้ขึ้นมาไม่มีทางเป็นเหยื่อให้กายเคี้ยวเล่นได้ง่ายๆ แต่อีกฝ่ายกลับเลือกจะหนีอย่างขลาดเขลา


มันเพราะอะไร...


----------------------------------------


หลังจากส่งตุลย์เสร็จ ศานนท์ก็เข้าออฟฟิสพร้อมซองเอกสารสีน้ำตาลที่นำติดมือกลับไปเมื่อวาน เพราะไม่มีโอกาสได้ดู หนุ่มใหญ่ทรุดกายนั่งบนเก้าอี้ทำงาน ก่อนจะตัดปากซอง ด้านในเป็นคอเล็คชั่นรูปที่พิมพ์ด้วยกระดาษมันและตัวอย่างนิตยสารที่จัดรูปเล่มเกือบสมบูรณ์


ความจริงแล้วซินดี้จะส่งให้เขาดูในรูปแบบไฟล์ก็ได้ แต่เจ้าหล่อนก็ไม่ทำ ซึ่งเขาก็พอเดาได้ว่าเพราะอะไร


เอาเถอะ แบบนี้ก็ดูจับต้องง่ายดี...



ศานนท์เทรูปออกมาจากซอง ทุกรูปเป็นรูปถ่ายของตุลย์ในอิริยาบถต่างกัน เช่นเดียวกับฉากหลังที่เปลี่ยนไป แล้วไล่พินิจทีละรูป เขาถูกใจรูปอยู่สองสามใบ จึงเลือกแยกกองไว้ ก่อนจะเลื่อนไปเจอใบหนึ่งที่ ‘ชอบใจเป็นพิเศษ’


มันเป็นรูปที่ตุลย์นั่งอยู่บนเก้าอี้สีดำเรียบๆ แยกขาเป็นรูปตัววี กางเกงสีน้ำตาลอ่อนขลับท่อนขาให้โดดเด่น ตัดกับเสื้อคอจีนสีกรมท่า มือข้างซ้ายที่สวมนาฬิกายกขึ้นบังแสงสีเหลือง ส่งผลให้เกิดเงาทอดลางๆ บนเครื่องหน้า นัยน์ตาสีน้ำตาลโดดเด่น ปราศจากเงาพาดทับจึงดูน่าหลงใหลราวกับถูกมนตร์สะกด


ศานนท์ช่างใจอยู่นานว่าจะเอาอย่างไรกับรูปใบดังกล่าว สุดท้ายก็ตัดสินใจใส่ลงลิ้นชักเก็บไว้เอง ก่อนจะเลือกอีกรูปที่อิริยาบถคล้ายกันแทนใส่ลงในกองแทน จากนั้นก็กดโทรศัพท์หาซินดี้


“ฉันเพิ่งดูได้รูป...”


“สวยใช้มั้ยล้า?” ซินดี้ลากเสียงหวาน “แล้วเลือกรูปที่ถูกใจได้หรือยังคะ”


“อือฮึ เลือกแล้ว แต่ว่าอยากให้ส่งไฟล์รูปมาหน่อย”


“รูปไหนคะ”


ถูกถาม ศานนท์หัวเราะร่วน “ส่งมาทั้งเซ็ตนั่นแหละ”


“โถ คุณศาน!” เธอแกล้งทำเสียงตกใจ จากนั้นก็หัวเราะขบขัน “เก็บไว้เยอะขนาดนั้น เดี๋ยวก็เครื่องเต็มพอดี!”


--------------------------------------------
กลับมาแน้ววว หายไปนานเลยเจ้าค่ะ
เมลล่าเรียนจบแล้วว แต่นิยายยังไม่จบ ถถถถ (ตลกร้ายมากๆ)
ทีนี้ก็ว่างแล้วเจ้าค่ะ ได้ใช้เวลาปั่นเด็กๆ ให้เต็มที่

สำหรับคนที่อยากรู้ว่ามีปมอีกมั้ย บอกเลยว่ามีค่ะ
แต่เป็นปมระลอกสุดท้ายแล้ววว มาลุ้นกันค่ะ ว่าจะเป็นเรื่องอะไร


https://www.facebook.com/Iamcaramella (https://www.facebook.com/Iamcaramella)
ฝากเพจด้วยนะคะ รักทุกคนเจ้าค่ะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (06.01.20) l 21st Night : กรึ่ม [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 06-01-2020 22:50:29
 :pig4: :pig4: :pig4:

Congratulations for your graduation krab.
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (06.01.20) l 21st Night : กรึ่ม [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 07-01-2020 18:35:11
มาต่อแล้ว ดีใจ~
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (06.01.20) l 21st Night : กรึ่ม [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 07-01-2020 22:37:18
มาอ่านต่อแต่แบบลืมเรื่องไปละจับต้นชนปลายไม่ถูก สงสัยต้องอ่านใหม่ :pigha2:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (06.01.20) l 21st Night : กรึ่ม [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 08-01-2020 10:27:47
 o13 o13
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (06.01.20) l 21st Night : กรึ่ม [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: kimkidoy ที่ 09-01-2020 11:18:00
ตุลย์ใจอ่อนให้คุณศานเถอะน้าาาแกน่ารักออก นานๆจะตกหลุมรักใครสักคน
เต้นี่ยังไง อย่านะเต้ กลัวใจตุลย์ด้วยไม่ใช่อะไร ฮือๆๆๆๆๆ สงสารลุงเค้า

ดีใจมากกกกกที่คุณนักเขียนมาต่อ ยินดีด้วยน้าาาาาที่เรียบจบแบ้ววว
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (10.01.20) l 22nd Night : ถ่ายทำ (50%) [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 10-01-2020 20:16:22
22nd Night : ถ่ายทำ

สองสัปดาห์ให้หลัง นับจากวันที่ศานนท์เล่าเนื้อเรื่องโฆษณาคร่าวๆ หนุ่มใหญ่ก็ส่งบทฉบับเต็มให้เขาทางอีเมล ตุลย์แทบเก็บอาการตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ และยิ่งกระตือรื้อร้นขึ้นอีก ตอนที่ได้ข่าวว่าศานนท์รู้จักกับบริษัทรับถ่ายทำเป็นการส่วนตัว จึงถือโอกาสจัดเวิร์กชอปให้นักแสดงและทีมงานได้มีโอกาสรู้จักกันก่อนถ่ายทำจริง


เนื่องจากเวิร์กชอปจัดขึ้นช่วงบ่าย ตุลย์จึงถือโอกาสลาเรียนครึ่งเช้า เข้าบริษัทมานั่งจมปุกในออฟฟิศกับศานนท์ ทีแรกเขาก็ตื่นเต้นเพราะห้องหนุ่มใหญ่กว้างขวาง แถมยังมีของตกแต่งเก่าๆ แก่ๆ ตามรสนิยมเจ้าตัวเรียงอยู่ตามชั้นวาง แต่หลายชั่วโมงเข้า ก็ชักเบื่อเพราะได้แต่นั่งๆ นอนๆ อยู่บนโซฟาหนัง  ขณะที่ศานนท์อ่านนั่งเอกสารเงียบเฉียบที่โต๊ะอีกมุมหนึ่ง


ตุลย์ไถจอโทรศัพท์ที่มีแต่ฟีดเก่าเนือยๆ ก่อนจะลุกไปลากเก้าอี้ตรงมุมมานั่งตรงข้ามเจ้าของห้องอย่างคนไม่มีอะไรทำ


“มีอะไรหรือเปล่า”


ศานนท์เลิกคิ้ว ดวงตาหลังกรอบแว่นเหลือบมองเขา ที่หยิบก้อนทับกระดาษแบนๆ ใสๆ บนโต๊ะมาหมุนเล่น


“เปล่าครับๆ ผมแค่เบื่อนิดหน่อย เลยสงสัยว่าคุณทำอะไรอยู่”


“อ่านรายงานการประชุมน่ะ” 


เขาชะเง้อมองเอกสารที่เกยเรียงอยู่หลายแผ่น ก่อนจะวางตัวทับกระดาษลงหลังอ่านไปบรรทัดเดียว เพราะมันน่าปวดหัวสุดๆ


“งั้นผมยังไม่กวนคุณดีกว่า...”


“เดี๋ยวก่อน”


ศานนท์รีบรั้งแขนเขาที่ตั้งท่าจะลุกเอาเก้าอี้ไปเก็บ ท่าทีรีบร้อนทำเอาตุลย์เหวอไปเล็กน้อย แต่ก็ทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ตามที่อีกฝ่ายขอ


“รออีกแป๊บนึงฉันก็เสร็จแล้ว”


“ก็ได้ครับ ถ้าอยากให้ผมวุ่นวายกับโต๊ะคุณต่อ”


เขาว่าติดตลก ขณะที่ศานนท์ก้มอ่านเอกสาร


“กลางวันนี้อยากทานอะไรพิเศษมั้ย”


“อืม... ทำไมครับ คุณจะชวนผมไปทานข้าวอีกเหรอ?”


หนุ่มใหญ่คราง ‘อืม’ ในคอแทนคำตอบ...


หมู่นี้ศานนท์เอาใจเขาบ่อยเสียจริง...


“อะไรก็ได้ครับ ผมไม่ค่อยรู้จักร้านแถวนี้หรอก หรือคุณจะให้ผมลองเช็คในเว็บดูก็ได้” ตุลย์เท้าคาง เขี่ยจอโทรศัพท์ไปพลาง  “...ว่าแต่คุณเถอะครับ จะเสร็จทันกลางวันเหรอ อีกชั่วโมงกว่าเองนะ”


“ทำไมจะไม่ทันล่ะ?”


“ก็สภาพโต๊ะคุณไม่เหมือนจะว่างเลย” เห็นว่าศานนท์ไม่ว่าอะไร เขาเลยถือวิสาสะหยิบจับปึกเอกสารอีกฝ่ายมาเรียงเป็นตั้งใหม่อย่างเบื่อๆ


“ทันสิ ปึกนั้นไม่ได้รีบส่ง”


ศานนท์ตวัดปลายปากกาลงลายเซ็น จากนั้นก็วางปากกา เงยหน้าคุยกับเขาเหมือนกำลังยืนยันว่า ‘ทำเสร็จแล้ว’ จริงๆ


“จริงๆ แล้วฉันจะไม่ดูเอกสารพวกนี้ก็ได้ เพราะยังไงก็เป็นทั้งเจ้าของ ทั้งผู้ถือหุ้นอยู่แล้ว ต่อให้ฉันไม่ทำ อัฐก็ทำแทนอยู่ดี  แต่พอมาเป็นกรรมการด้วย ก็ไม่อยากบริหารงานส่งๆ”



ตุลย์พยักหน้ารับฟัง


“แล้วทำไมอยู่ๆ คุณถึงเป็นกรรมการล่ะ?”


สำหรับเขา การเกิดมาบนกองทรัพย์สินที่มากพอจะเลี้ยงปากท้องได้ โดยไม่ต้องทำงานนั้น เป็นลาภอันประเสริฐที่ได้แต่ฝันกลางวันถึง ดังนั้น ด้านรายได้แล้ว เขาจึงไม่เห็นความจำเป็นที่ศานนท์จะต้องมานั่งหลังขดหลังแข็ง อ่านเอกสารน่าปวดหัวพวกนี้เลย


แต่คำตอบหนุ่มใหญ่ออกจะเกิดคาดไปหน่อย


“อยู่เฉยๆ มันว่างน่ะ ทำงานก็ไม่ฟุ้งซ่านดี”


“.........”


คงเป็นชุดความคิดแบบคนรวยที่คนอย่างเขาไม่เข้าใจจริงๆ นั่นแหละ...


“เธอล่ะ เลือกร้านได้หรือยัง”    มัวแต่คิดตามเพลิน พอถูกทวง เขาก็เลื่อนดูรีวิวร้านอาหารต่อ ก่อนจะสะดุดตากับร้านมังสวีรัตใกล้ๆ พาลให้นึกถึงเรื่องคืนนั้นที่ดันปากเปราะพูดไป ว่า ‘จะให้อีกฝ่ายลดน้ำหนัก’ ขึ้นมาพอดี 


“แน่ใจนะว่าให้ผมเลือก?” ตุลย์อมยิ้ม


ท่าทางมีลับลมคมในของเขา เรียกสีหน้าเอ็นดูแกมระอาจากหนุ่มใหญ่


 “อือฮึ”


 “เมื่อกี้ผมเจอร้านอาหารวีแกนอยู่ในซอยใกล้ๆ พอดีเลย มาเถอะ ผมจะพาคุณไปทรมานด้วยอาหารคลีนเอง”


---------------------------------------------


ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ความจริงแล้ว อาหารร้านมังสวีรัตรสชาติดีกว่าที่คาดไว้มาก แม้ว่าหนุ่มใหญ่จะดูสับสนตอนเลือกเมนูอยู่บ้าง แต่เจ้าตัวก็ไม่มีสีหน้าทรมานใจตอนรับประทานอย่างที่เขาคิดไว้ในทีแรก นับว่าเป็นโชคดีของศานนท์ เพราะอาหารคลีนส่วนใหญ่ที่เขาเคยทานมักจืดชืดและน่าเบื่อ อย่างน้อยก็สำหรับลิ้นเขา   


หลังจากทานข้าวเสร็จ หนุ่มใหญ่ก็ขึ้นมาส่งเขา หน้าห้องประชุมที่ให้เลขาจองไว้สำหรับกิจกรรมเวิร์กชอป เนื่องจากประตูเป็นกระจกใส หนุ่มใหญ่จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะเข้าไปทักทายทีมงานและผู้กำกับตามมารยาท ก่อนจะขอตัวแยกกับเขาและทีมงานโดยอ้างว่ามีธุระต่อช่วงบ่าย


ภายในห้องประชุมมีคนนั่งกระจายกันไม่ถึงสิบคน จัดว่าเล็กกว่าที่ตุลย์คาดมากโข แต่นั่นก็ทำให้บรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเองมากเช่นกัน พอต่างคนต่างแนะนำตัวด้วยการเล่าเรื่องเกี่ยวกับตนเองสั้นๆ ผู้กำกับซึ่งเป็นชายวัยสามสิบ ก็ชวนเขาคุยเรื่องทั่วไปต่อ เช่นว่าเขามาจากมหาวิทยาลัยไหน หรือ เคยรับงานแสดงมาก่อนหรือไม่


จากนั้นก็เริ่มแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในกองถ่ายกัน โดยมีทีมงานหลายคนร่วมวงอย่างครึกครื้น


“บทน้องไม่ยากอ่ะหรอก เน้นเคลื่อนไหวเป็นธรรมชาติพอ แต่คนตัดต่ออ่ะ โต้รุ่งตายกันมาหลายรอบแล้ว”


ผู้กำกับหัวเราะร่วน ขณะโบ้ยไปทางทีมงาน เมื่อตุลย์บอกว่า เขาค่อนข้างกังวลกับการแสดง


“จริงๆ อยากบรีฟแล้วนะ แต่ก็อยากให้รอนักแสดงอีกคนก่อน ...ขานี้สายตลอด”


พูดถึง ‘นักแสดงอีกคน’ ที่จัดว่าคุ้นหน้าคุ้นตากันบนจอทีวี ตุลย์ก็ชักตื่นเต้น


“เอ้า โน้น มาพอดีเลย”


พอมองตามทิศทางที่คนในห้องชี้มือชี้ไม้ ก็เห็นร่างสูงใหญ่ของหนุ่มลูกครึ่งท่าทางภูมิฐานในเสื้อยืด กางเกงยีนสีเข้ม มือข้างหนึ่งถือแจ็กเก็ตผ้าร่มสีน้ำตาล เดินอยู่ไกลๆ ครั้นพอผู้มาใหม่ผลักประตูเข้ามา ผู้กำกับก็แซวปั๊บ


“วันนี้มาเร็วนะเนี่ย”


ดาราหนุ่มหัวเราะ “ครับ ขอโทษที่สาย ผมติดอยู่บนทางด่วนเป็นชั่วโมงเลย”


“กลับมานานหรือยังเนี่ย? สัปดาห์ที่แล้วยังเห็นอัพสตอรี่เที่ยวทะเลอยู่เลยน้า น้องวินทร์” ทีมงานสาวใหญ่ถาม   


“อยู่บาหลีจนถึงเมื่อวานครับพี่ สี่วันสามคืน อาหารอร่อย วิวดีอย่าบอกใคร เพิ่งลงเครื่องเมื่อเช้าหมาดๆ เลย”


ชายหนุ่มเล่าอย่างอารมณ์ดี พลางวางกระเป๋าเอกสารใบบางๆ ลงบนโต๊ะแล้วทรุดตัวนั่ง จังหวะนั้นเจ้าตัวเหลือบมาเห็นเขาพอดี จึงยื่นมือมาทักทายอย่างเป็นธรรมชาติ


 “ใช่ดาราที่จะแสดงโฆษณากับผมมั้ยเอ่ย?”


“ครับ ใช่” ตุลย์จับมือตอบอย่างเก็บอาการตื่นเต้นไว้ไม่ค่อยอยู่


หลังจากที่ได้ข้อมูลเกี่ยวกับโฆษณา ตุลย์ก็ค้นคว้าประวัตินักแสดงอีกคนที่ต้องร่วมแสดงโฆษณาตัวเดียวกัน


 ‘วินทร์’ เป็นทั้งแบรนด์แอมบาสเดอร์ของบริษัท และดาราที่มีผลงานละครติดตาผู้คน แม้จะไม่ได้รับบทพระเอก แต่ผู้คนก็ยังจดจำภาพลักษณ์บนหน้าจอของเขาในฐานะนักแสดงสมทบเปี่ยมความสามารถ เขาถึงกระทั่งค้นงานแสดงเก่าๆ ของอีกฝ่ายมาดูเล่นด้วยซ้ำ


ดังนั้น พอได้มาเจอตัวจริงต่อหน้า ก็เลยรู้สึกประหม่าอยู่หน่อยๆ 


“สบายๆ ครับ อย่าซีเรียส” ดาราหนุ่มหัวเราะแกมเอ็นดู “ยินดีที่ได้รู้จักครับ”


“เช่นกันครับ จริงๆ แล้วผมชอบงานแสดงพี่มากๆ”


“ขอบคุณครับ” คนถูกชมเผยยิ้ม “นานๆ ได้เจอแฟนคลับสักทีนะเนี่ย อีกเดี๋ยวเราคงได้ร่วมงานกัน”


วินทร์เป็นคนอัธยาศัยดี และเข้ากับผู้คนได้อย่างเป็นธรรมชาติ บรรยากาศการสนทนาจึงยิ่งลื่นไหลเมื่อมีเขาคอยเพิ่มสีสันให้ หลังจากทำความรู้จักกันพอประมาณ ผู้กำกับก็นำพวกเขาเข้าสู่บท


ในส่วนของโฆษณานั้น บทของตุลย์ค่อนข้างสั้น และไม่ซับซ้อน ส่วนที่ต้องพูดก็มีไม่กี่ประโยค และสามารถแยกอัดในสตูดิโอได้ สิ่งที่ผู้กำกับเน้นให้เขาจึงเป็นเรื่องอารมณ์และการเคลื่อนไหวในแต่ละฉากมากกว่า


“ฉากที่ดื่มชาตรงนี้ อยากให้ดูดื่มด่ำกับบรรยากาศ รสชาติ พอกล้องแพลนเข้าไปจับสีหน้า อยากให้แสดงอารมณ์ชัดๆ เหมือนน้องกำลังบอกผู้ชมว่าน้ำในแก้วอร่อยมาก แต่ที่สำคัญคือบอกแบบเป็นธรรมชาติด้วย พอเก็ทมั้ย?”


“ครับ” ตุลย์พยักหน้า


การแสดงเป็นเรื่องใหม่สำหรับเขา เพราะนอกจากในคลาสเรียน เขาก็ไม่เคยจับงานแสดงจริงจังมาก่อน จึงต้องซ้อมให้ดูอยู่หลายครั้ง กว่าจะเป็นที่น่าพอใจ โดยระหว่างการซ้อม ผู้กำกับก็คอยแนะนำ ให้พื้นที่เขาได้ทดลองและแก้ไขอย่างใจเย็น


ตุลย์เข้าใจแจ่มแจ้งถึงคำว่า ‘ความเป็นมืออาชีพ’ ก็ตอนที่วินทร์เริ่มทดลองแสดง บทของดาราหนุ่มซับซ้อนกว่าของเขา เพราะต้องมีปฏิสัมพันธ์กับเอ็กซ์ตร้าคนอื่นๆ ซึ่งไม่อยู่ที่นี่ แต่เจ้าตัวกลับแสดงคนเดียวได้อย่างไหลลื่น แค่ชี้แนะเล็กๆ น้อยๆ บางจุด ก็ออกมาสอดคล้องกับที่ผู้กำกับต้องการ


หลังจากไล่บรีฟทีละฉากจนครบ ก็ถึงช่วงพักเบรค ตุลย์อยู่คุยกับทีมงานต่อไม่นาน ก็ต้องออกมาชงกาแฟที่ห้องอาหารเพราะเริ่มง่วงงุน


เรื่องที่ว่า พอท้องอิ่ม หนังตาก็หย่อนนั้นเห็นจะจริง...


เขาลอบหาวระหว่างกดกาต้มให้น้ำร้อนไหลใส่แก้วกระดาษ ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อถูกเรียกชื่อโดยเสียงปริศนาที่ไม่คุ้น


ตุลย์หันไปก็พบว่า คนที่เรียกเขาคือกรรมการบริหารคนเดียวกับที่ศานนท์เคยแนะนำให้เขารู้จักในฐานะ ‘มือขวา’ ในมือผู้มาเยือนถือแก้วเซรามิกลายอักษรจีน


“ขอโทษครับถ้าผมทำให้ตกใจ”


“ไม่เป็นไรครับ ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆ ด้วย เชิญครับ...” ตุลย์ถอยออกมาด้านข้าง เปิดทางให้ผู้มาเยือนได้ใช้น้ำร้อนบ้าง จากนั้นเขาก็ตักกาแฟใส่แก้ว


“วันนี้มาเรื่องโฆษณาเหรอครับ ได้ข่าวว่ามีเวิร์กชอปด้วย”


“ครับ ใช่ครับ” ตุลย์ตอบ “คุณอัฐมาพักเหรอครับ”


“ครับ”


“ตอนบ่ายๆ อย่างนี้ ง่วงดีจังเลยนะครับ...”


“ครับ”


“แล้ว... งานยุ่งมั้ยครับช่วงนี้?”


“ครับ”


“......?”


จากนั้นก็เกิดความเงียบอันน่ากระอักกระอ่วน ชนิดที่หากตั้งใจฟังดีๆ เขาอาจได้ยินเสียงช้อนพลาสติกตีแก้วกระดาษเวลาคนกาแฟก็เป็นได้


ทีแรกเขาตั้งใจจะชวนคุย แต่เหมือนคู่สนทนาคงไม่อยากให้ความร่วมมือเท่าไหร่ ดังนั้น เพื่อสภาพแวดล้อมทางสังคมที่ดี ตุลย์เลยชิงปลีกตัวออกจากห้องก่อน


“ถ้างั้นผมกลับไปที่ห้องประชุมก่อนนะครับ” เขารีบลา


“ครับ เชิญครับ คุณหนู”


คราวนี้อัฐยิ้มให้เขา มันเป็นรอยยิ้มแบบเดียวกับตอนทำความรู้จักกันครั้งแรกแต่เยือกเย็นกว่า ตุลย์แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ก่อนเดินลิ่วๆ ออกมา พลางถูแขนตัวเองอย่างนึกสยอง

นี่เขาเผลอไปเหยียบเท้าผู้ชายคนนี้ตอนไหนเนี่ย!? 


----------------------------------
ครึ่งตอนหน้าเป็นการถ่ายทำโฆษณาแล้วน้า
ไม่รู้จะน่าเบื่อหรือเปล่าแฮะ แต่โฆษณาชิ้นนี้ก็เป็นชิ้นสำคัญที่ส่งผลต่อเนื้อเรื่องและขาดไม่ได้ซะด้วย
เมลล่าจะรีบปั่นให้เร็วที่สุดค่า เราจะอ้วกแตกกันไปข้าง!

ช่วงนี้เมลล่ารู้สึกว่าเล้าเป็ดดูซึมๆ ไป เหมือนกับว่าบอร์ด boyslove ไม่ค่อยคึกคัก
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าเพราะเมลล่าไม่ค่อยได้เข้ามาบ่อยเหมือนตอนก่อนๆ
รอบนี้แอบสังเกตเหมือนกันว่ามีทั้งนักอ่านที่ติดตามกันมานาน และนักอ่านหน้าใหม่ด้วย
แล้วก็มีนักอ่านคนเก่าๆ ที่หายไปด้วย เศร้าา ;w;

เมลล่าจะพยายามให้ทุกคนไม่ต้องกลับไปย้อนอ่านแล้วค่า ฮื้อออ
ขอบคุณทุกคนที่มาเป็นเพื่อนเมลล่าและสำหรับคำอวยพรค่า ให้หัวใจ <3

https://www.facebook.com/Iamcaramella (https://www.facebook.com/Iamcaramella)
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (10.01.20) l 22nd Night : ถ่ายทำ (50%) [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 10-01-2020 20:32:19
 :pig4: :pig4: :pig4:

อัฐ...นี่ยังไงนะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (10.01.20) l 22nd Night : ถ่ายทำ (50%) [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 10-01-2020 22:00:48
คุณอัฐมีซัมธิงแน่ๆ รอลุ้นนนนน

// เพิ่งมาอ่านเรื่องนี้ค่ะ สนุกมากกกกกกกก เป็นกำลังใจให้คุณนักเขียนนะคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (10.01.20) l 22nd Night : ถ่ายทำ (50%) [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: WilpeR ที่ 11-01-2020 10:45:22
คุณอัฐดูมีอะไรอ่ะ ตุลย์สู้ๆน้า
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (10.01.20) l 22nd Night : ถ่ายทำ (50%) [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: kimkidoy ที่ 11-01-2020 20:15:04
ปวดหัวแทนตุลย์เลยมีแต่ผู้ชายมาวุ่นวาย?
แค่คุณศาลคนเดียวก็เหนื่อยละค้าบบบบ
ทั้งเต้ ทั้งกาย และยังมีอัฐอีก น้องตุลย์ฉ้านนนน!!
สู้เค้านะลูกกกกกก
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (14.01.20) l 22nd Night : ถ่ายทำ (100%) [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 14-01-2020 19:45:05
ตุลย์มาถึงที่นัดหมายตั้งแต่เช้าตรู่ในวันถ่ายทำ เนื่องจากยังไม่มีประสบการณ์ ทีมงานจึงเลือกถ่ายทำฉากของเขาก่อนเพื่อให้มีเวลาแก้ไขหากเกิดความผิดพลาดขึ้น สถานที่ใช้ในการถ่ายทำครั้งนี้ คือ แหล่งช็อปปิ้งกึ่งท่องเที่ยวใจกลางเมืองเลียนแบบประเทศอังกฤษ ที่รวบรวมทั้งสถาปัตกรรมยุคเก่าและปัจจุบันเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว


ตามสตอรี่บอร์ดของผู้กำกับนั้น การถ่ายทำแบ่งออกเป็นสองส่วนแยกกัน คือ ส่วนที่ถ่ายโดยใช้โลเกชั่นทันสมัย มีตุลย์เป็นนักแสดงนำเดี่ยว และอีกส่วนที่ถ่ายทำแบบย้อนยุค โดยมีวินทร์สวมบทเป็นหนุ่มชนชั้นสูงชาวอังกฤษ โดยจุดที่เชื่อมโยงส่วนทั้งสองเข้าด้วยกัน และเป็นใจความของโฆษณานั้น คือ ‘รสชาติเข้มข้นและกลิ่นหอมของชาที่คงเดิม แม้จะผ่านไปหลายทศวรรษ’ นั่นเอง


เนื่องจากบทของตุลย์ค่อนข้างเรียบง่าย ใช้เวลาแต่งตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าร่วมกับเอ็กซ์ตร้าไม่นาน ก็พร้อมถ่ายทำ การที่เขาต้องเคลื่อนไหวต่อหน้ากล้องทำให้รู้สึกประหม่าบ้างในทีแรก จนหลายครั้งผู้กำกับต้องสั่งคัตเพื่อปรับอารมณ์และการแสดงของเขา การถ่ายทำในช่วงเช้าจึงคืบหน้าไปอย่างเชื่องช้า และกระท่อนกระแท่น แต่พอเขาคุ้นชินกับสิ่งต่างๆ มากขึ้น จุดที่ต้องปรับแก้ก็เริ่มน้อยลง ถึงอย่างนั้น กว่าจะถ่ายเสร็จกินเวลาเกือบบ่ายสองกว่า จนต้องสั่งพักกองทานข้าวก่อนจะเริ่มถ่ายทำฉากของวินทร์ต่อ


ด้วยความสั้นของโฆษณาบวกกับประสบการณ์ของดาราหนุ่ม การถ่ายทำในส่วนที่สองจึงใช้เวลาเพียงกี่ชั่วโมง แม้จำนวนนักแสดงเข้าฉากที่เยอะกว่าเขาเกือบเท่าตัว 


หลังจากบันทึกเทคต่างๆ ได้ตามแผนแล้ว ผู้กำกับก็สั่งพักกองครึ่งชั่วโมงเพื่อตรวจเช็คฉากที่ถ่ายออกมา โดยไม่ลืมเรียกนักแสดงอย่างตุลย์มานั่งดูด้วย


“ฉากนี้เล่นแข็งๆ ไปบ้าง แต่ว่าสายตา สีหน้าน้องที่เล่นกับกล้องมีเสน่ห์สมเป็นนายแบบดี พอลบล้างกันได้ ...สำหรับมือใหม่ ทำได้ขนาดนี้ถือว่าดีแล้ว”


ผู้กำกับเอ่ยพลางพาเขาไล่ดูเทคต่างๆ ทั้งที่ใช้ได้และใช้ไม่ได้


“จริงๆ พี่ก็ค่อนข้างพอใจแล้วนะ”


ตุลย์พยักหน้าหงึก โล่งใจกึ่งยินดี


ดูเหมือนว่าประสบการณ์งานถ่ายแบบของเขาจะไม่ไร้ประโยชน์ซะทีเดียว…


“เป็นไงบ้าง ราบรื่นมั้ย?”


วินทร์เพิ่งเดินกลับมาหลังจากพักดื่มน้ำ ดาราหนุ่มตบไหล่เขาสองทีเป็นเชิงให้กำลังใจ


“ก็พอไปวัดไปวาครับ แต่ว่าใช้เวลาถ่ายนานไปหน่อย”


“เอาน่า ยังมือใหม่นี่ ไม่เป็นไรหรอก” ชายหนุ่มให้กำลังใจเขา ก่อนจะหันไปหาผู้กำกับ “แล้วของผมโอเคมั้ย?”


ผู้ถูกถามไม่ตอบทันที แต่ค่อยๆ ไล่ดูทีละคลิป ก่อนจะย้อนเล่นซ้ำที่คลิปหนึ่งอยู่สองสามรอบ แล้วยกนิ้วโป้งให้ “เทคนี้อิมโพรไวส์จากบทได้ดี มีมิติ เป็นธรรมชาติ แต่ไม่แน่ใจว่ายาวเกินไปมั้ย คงต้องดูความยาวกับภาพรวมก่อนถึงจะตอบได้”


วินทร์พยักหน้ารับ


“อยากถ่ายแก้ตรงไหนมั้ยล่ะ?”


เจ้าตัวโคลงศีรษะเบาๆ “ถ้าพี่ว่าผ่าน ผมก็ผ่านครับ ผมเชื่อฝีมือพี่อยู่แล้ว”


“อาฮะ”


ได้คำตอบดังนั้น ผู้กำกับจึงหันไปคุยกับผู้ช่วยและทีมงานอยู่ครู่ใหญ่ๆ จากนั้นไม่นานก็สั่งเลิกกองเมื่อเห็นตรงกันว่าส่วนที่ถ่ายทำไว้เพียงพอสำหรับตัดเป็นโฆษณาแล้ว ทีมงานหลายชีวิตที่เกี่ยวข้องจึงเริ่มทยอยเก็บอุปกรณ์ข้าวของกลับ


“มีใครรีบกลับมั้ยครับ ผมอยากชวนไปทานข้าวฉลองปิดกอง” วินทร์โพล่งขึ้นท่ามกลางผู้คนที่เดินขวักไขว่ น้ำเสียงของเสียงดาราหนุ่มไม่ดังนัก แต่เรียกความสนใจคนรอบข้างได้ชะงัด “ผมจองโต๊ะร้าน M ให้ได้นะ”


...ร้าน M เป็นร้านมีชื่อเสียงขนาดกลางที่ขึ้นชื่อเรื่องอาหารทะเล แต่นอกจากวัตถุดิบสดใหม่และอาหารรสชาติดีแล้ว ร้านนี้ยังขึ้นชื่อเรื่องจองยากเป็นที่หนึ่งด้วย


“ทานอาหารทะเลบ่อยๆ ยังไม่เบื่ออีกเหรอค้า!” ทีมงานสาวตะโกนแซว


“ยังครับ ผมยังอินบาหลีอยู่เลย อยากพักนานกว่านี้ด้วยซ้ำ” วินทร์หัวเราะ ก่อนหันไปถามคนอื่นๆ “มีใครไปกับผมมั้ย? ผู้กำกับล่ะครับ?”


“เออ เอาสิๆ”



หลังจากซาวเสียงกันอยู่พักก็เป็นอันตกลงว่า จะจัดงานฉลองเล็กๆ ที่ร้าน M เนื่องจากทีมงานหลายคนเห็นพ้องต้องกันว่าควรทานข้าวเย็นร่วมกันก่อนแยกย้ายกลับ ดาราหนุ่มจึงรีบโทรจองโต๊ะอย่างกระตือรือร้น โดยไม่ลืมหันมาถามตุลย์ ขณะถือโทรศัพท์รอสาย


“น้องตุลย์ ไปด้วยกันมั้ย?”


“อืม...” เขาครุ่นคิด “เดี๋ยวผมขอโทรแจ้งผู้ปกครองก่อนครับ”


ตุลย์จงใจใช้คำว่า ‘ผู้ปกครอง’ แทนที่จะบอกว่าโทรหาศานนท์เพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต เนื่องจากอีกฝ่ายออกปากไว้ตั้งแต่เช้า ว่าจะมารับเขาหลังถ่ายทำเสร็จ


“อื้ม ได้” คนฟังผงกหัวให้ จากนั้นก็กรอกเสียงใส่ปลายสาย “ฮัลโหลครับ ร้าน M ใช่มั้ยครับ? ผมอยากจองห้องจัดเลี้ยงตอนประมาณหกโมงครึ่ง...” 


ครั้นดาราหนุ่มเดินหลังไวๆ ไปสนทนาต่อในจุดที่คนไม่พลุกพล่าน ตุลย์ก็หยิบโทรศัพท์โทรหาศานนท์บ้าง ระหว่างที่ถือสายรอเขาก็เหม่อมองผู้คนไปเรื่อยเปื่อย


ทันใดนั้น สายตาก็สะดุดที่ร่างสูงของชายคนหนึ่งสวมเสื้อเชิ้ตสีเทา ยืนหันข้างให้ ขณะกำลังพูดคุยกับทีมงานห่างออกไปไม่ไกล  ท่าทางการเคลื่อนไหวนั้นคุ้นตา จังหวะที่ล้วงหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง ชายคนนั้นก็บังเอิญหันมาทางเขาพอดี


อา... ศานนท์นั่นเอง


หนุ่มใหญ่มาถึงกองที่เขาจะโทรบอกเสียอีก



เห็นแบบนั้น ตุลย์จึงกดตัดสายเดินเข้าไปหาเจ้าตัวแทน ฝ่ายศานนท์ก็ขอตัวกับคู่สนทนาเพื่อปลีกตัวออกมา ...จะเรียกว่าพบกันคนละครึ่งทางก็ได้


“เป็นยังไงบ้าง หืม?”


“ก็สนุกดีครับ ได้อะไรใหม่ๆ นอกจากที่คุณซินดี้สอนเยอะเหมือนกัน” ตุลย์ตอบ “ที่จริง ผมไม่คิดว่าคุณจะมาเร็วขนาดนี้...”


หนุ่มใหญ่เลิกคิ้ว “ไม่ดีเหรอ?”


นั่นน่ะสิ... เขาก็ไม่รู้ว่า ในสถานการณ์แบบนี้ มันเป็นเรื่องดี หรือไม่ดีกันแน่


“คือผมกะว่า...”


แต่ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยปากถามเรื่องงานเลี้ยง วินทร์ก็เดินสวนมาพอดี ดาราหนุ่มเผยสีหน้าแปลกใจตอนที่เห็นกรรมการบริหารอย่างศานนท์ในกองถ่าย ก่อนจะเข้ามาทักทายอย่างเป็นมิตร จากนั้นก็ถามในสิ่งเขาอยากถามแทน


“ผมกับผู้กำกับเพิ่งจองร้าน M สำหรับเลี้ยงฉลองปิดกองเล็กๆ คุณศานนท์ไปด้วยกันมั้ยครับ?” ไม่วายหันมาถามตุลย์ด้วย “เป็นไง ผู้ปกครองอนุญาตมั้ย?”


คำว่า ‘ผู้ปกครอง’ เรียกสีหน้าแปลกใจจากหนุ่มใหญ่เล็กน้อย ตุลย์ยิ้มแหยๆ ส่วนศานนท์ไม่ได้ตอบทันที แต่ก็ไม่แสดงท่าทีขัด เขาจึงก็เออออห่อหมกหันไปพยักหน้าให้วินทร์ “ผมไปครับ”


“แล้วคุณศานนท์…?”


“อื้ม” ศานนท์พยักหน้าอย่างไม่ติดใจ “ไปสิ ฉันไม่ติดอะไร”


“ครับผม ผมจองร้านไว้ประมาณหกโมง ยังไงเจอกันที่โน้นนะครับ ...แล้วน้องตุลย์อ่ะ ไปยังไง?” ท้ายประโยคนั้นเจาะจงถามเขา


“เอ่อ...”


“ฉันไปส่งให้ก็แล้วกัน” ศานนท์อาสา


แต่ตุลย์รู้ดีว่า นัยยะของประโยคนั้นคืออีกฝ่ายกำลังตอบดาราหนุ่มแทนเขาเสียมากกว่า


“โอเคครับ เจอกันที่ร้านนะครับ” วินทร์พยักหน้าให้ทีหนึ่ง ก่อนจะเดินกลับไปหากลุ่มทีมงานอย่างเป็นธรรมชาติคล้ายไม่ติดใจสงสัยอะไร


 ซึ่งนั่นก็ทำให้ตุลย์โล่งอก...


----------------------------------


ห้องอาหารร้าน M ที่วินทร์จองไว้นั้น มีทั้งโต๊ะใหญ่และโต๊ะเล็ก จำนวนที่นั่งพอสำหรับรองรับจำนวนทีมงานทั้งหมด แต่พวกเขาต้องนั่งกระจายกัน  เนื่องจากจำนวนคนมากเกินจะกระจุกกันในโต๊ะเดียว จากนั้นก็สั่งอาหารหลายชนิดมาทานปะปนกันไป เช่นเดียวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์


บรรยากาศการทานอาหารเย็นดำเนินไปอย่างเรียบง่ายและอบอุ่น เสียงดนตรีคลอเบาๆ ชวนให้ผ่อนคลายสมอง ด้วยความที่โต๊ะกระจายกัน เขาจึงนั่งแยกกับศานนท์


 หนุ่มใหญ่ที่อาวุโสกว่านั่งข้างผู้กำกับที่โต๊ะใหญ่ ส่วนเขาก็มาลงเอยที่โต๊ะแอมบาสเดอร์หนุ่มแทน ซึ่งวินทร์และทีมงานคนอื่นๆ ที่อายุไล่เรี่ยกันก็ต้อนรับเขายังอบอุ่น


“ดื่มได้แล้วเหรอ เราน่ะ” ถูกแซวตอนที่หยิบบรั่นดีมาผสม เขาก็ยิ้มแหย


“หยวนๆ ให้หน่อยพี่ อีกสองปีเอง”


“อะๆ มีผู้ใหญ่อยู่ด้วย หยวนก็หยวน” คนแซวหัวเราะ “วินทร์ต้องดูแลน้องแล้วล่ะ”


“ผมเหรอ?” ดาราหนุ่มชี้นิ้วใส่ตัวเอง ก่อนจะทำหน้าเหลือเชื่อ “พี่แน่ใจเหรอว่าให้ผมดูแล”


“เออ เธอเป็นตัวอย่างที่ดีให้กันน้องมันสิ”


“โอ๊ย เจ้เลือกพลาดแล้วอ่ะ” ทีมงานสาวประเภทสองขำก๊าก “คุณวินทร์ปาร์ตี้บ่อยกว่าเจ้ไปฟิตเน็สอีกเด้อจ้า”


ได้ยินแบบนั้น ดาราหนุ่มก็หัวเราะ


“ครับ ให้ดูแลดีๆ ผมน่าจะไม่ถนัดเท่าไหร่ แต่ถ้าให้แนะนำร้าน หรือพาเที่ยว ผมไม่เกี่ยงหรอกนะ ฮ่าๆ”


“แล้วพี่แนะนำที่ไหนอ่ะ” ตุลย์ถาม ขณะกระดกเหล้าไปพลาง


เอาจริงๆ เขาก็ไม่ได้ปาร์ตี้มานานเป็นชาติแล้วเหมือนกัน


“เอาแบบไหนดีล่ะ เพลงสด นั่งชิล หรือว่าผับ? แต่ถ้าแถวๆ นี้แนะนำเป็นผับนะ มีอยู่ที่หนึ่ง ใกล้ๆ ขับต่อไม่ถึงสองกิโล นี่ผมก็ว่าจะไปต่ออยู่เหมือนกัน” เจ้าตัวร่ายยาว ไม่ลืมชวนเขากลายๆ “พี่ไปส่งที่บ้านได้นะ ถ้าจะไปต่อ ลองโทรถามผู้ปกครองดูก่อนก็ได้” 


ตุลย์ได้แต่ยิ้มเจือน


ก็ศานนท์อุตส่าห์ตามมาถึงร้าน M คืนนี้เขาคงไม่มีทางเลือกมาก


“ผมคงไม่ได้อ่ะครับ พรุ่งนี้มีเรียน ถ้ากลับเช้าแม่ฆ่าผมแน่”


“โธ่ เสียดายอ่ะ” ทีมงานหญิงที่แซวเขาถอนหายใจ “นึกว่าจะได้คุยกันนานๆ เพิ่งจะเจอกันเอง อยู่ให้ถึงโฆษณาชิ้นหน้านะน้อง”


“อย่างนี้พี่ต้องช่วยกล่อมให้เขาจ้างผมต่อแล้วล่ะ”


เธอก็หัวเราะร่ากับมุกตลกของเขา


“โอเค งั้นไว้คราวหน้าเดี๋ยวจะชวนใหม่แล้วกัน” วินทร์ตบไหล่เขาอย่างเสียดาย  “อืม... ถ้าไม่ว่าง เอาอย่างนี้มั้ยครับ ผมจัดปาร์ตี้คราวหน้าเมื่อไหร่ ผมจะโทรชวนทุกคนในโต๊ะมาเป็นแขกวีไอพีด้วย เมมเบอร์ให้ผมได้เลยนะ”


วินทร์ยื่นข้อเสนอเมื่อเห็นว่าปาร์ตี้คืนนี้ท่าจะล่มเสียแล้ว หลังจากยื่นส่งโทรศัพท์วนรอบโต๊ะให้ทุกคนเมมเบอร์โทร พวกเขาก็ทานข้าวไปคุยกันไป จนเวลาล่วงเลยไปราวๆ สามทุ่มกว่า หลายคนก็เริ่มเมา แม้แต่วินทร์เองก็หลุดเล่าเรื่องชีวิตส่วนตัวในวงสนทนาอยู่หลายครั้ง


เท่าที่จับความได้นั้น นอกจากชายหนุ่มจะชอบเที่ยวเป็นประจำ อีกฝ่ายยังปาร์ตี้สามวันครั้ง ชนิดที่บางคืนถึงขนาดไม่หลับไม่นอนแล้วตื่นมาทำงานตอนเช้าก็มี...


“แต่ผมก็ตั้งใจทำงานนะคร้าบ”


แน่นอนว่า ไม่มีใครเถียงเจ้าตัวเรื่องนี้


“พี่มันไอดอลหนูชัดๆ!” ทีมงานสาวสองตบโต๊ะฉาด



เห็นว่าเครื่องดื่มหมดเกลี้ยง เหลือแต่น้ำแข็ง ตุลย์ก็โพล่งถาม ขณะแกว่งขวดบรั่นดีเปล่าในมือ “เอาเหล้ากันมั้ยครับ ผมว่าจะไปหยิบมาเพิ่ม”


 ทุกคนในโต๊ะดูจะเห็นดีเห็นงามด้วย แต่จู่ๆ ก็เขานึกบางอย่างขึ้นได้


“มีใครเห็นคุณศานนท์มั้ยครับ?”


“คุณศานนท์เหรอ...? ไม่นะ มีอะไรหรือเปล่า?”


“ผมลืมไปว่ามีเรื่องต้องคุยกับเขานิดหน่อย งั้นเดี๋ยวผมมานะ”


ตุลย์ลุกผึงจากเก้าอี้ ก่อนจะสังเกตเห็นว่าที่นั่งหลายโต๊ะทยอยว่างลง เนื่องด้วยเวลาที่ล่วงเลยเกือบครึ่งคืน เช่นเดียวกับโต๊ะใหญ่ ซึ่งตอนนี้เหลือเพียงแค่ผู้กำกับที่เริ่มกรึ่มจัดและทีมงานบางส่วนเท่านั้น


เห็นดังนั้น ตุลย์จึงเดินเข้าไปถาม


“คุณศานนนท์เรอะ ออกไปส่งทีมงานหน้าร้าน อีกเดี๋ยวก็คงกลับมา”


ตุลย์มองประตูทางออกด้านข้างที่ผู้กำกับชี้ไม้ชี้มือ ก่อนจะเดินตามออกไป มันพาเขาไปยังสวนหย่อมที่เชื่อมกับหน้าร้าน ใกล้กันนั้นมีน้ำพุใหญ่ขนาดเท่าสี่คนโอบตั้งอยู่


บรรยากาศกลางดึกในสวนค่อนข้างเงียบและเป็นส่วนตัว นอกจากเสียงสรวลเสเฮฮาไกลๆ จากห้องอาหารแล้ว ก็เหลือเพียงเสียงร้องแหลมของแมลงกลางคืน ในส่วนทางเดิน มีแค่ไฟจากสปอร์ตไลท์ใต้พุ่มไม้ขนาดเล็กและโคมสวนคอยให้แสงสว่าง สายลมโชยเอื่อยหอบทั้งความชื้นและความเย็นปะทะใบหน้า 


ใต้ความเลือนลางยามค่ำคืน เขาก็พบร่างศานนท์ใกล้กับน้ำพุ ยืนนิ่งกลืนไปกับบรรยากาศรอบตัว


“ไม่กลับเข้าไปเหรอครับ”


ผู้ถูกเรียกเผยสีหน้าแปลกใจเมื่อเห็นเขา จากนั้นก็ส่ายหัวช้าๆ


“ฉันอยากเดินเล่นหน่อย โดนยุให้ดื่มไปหลายแก้วแล้ว เดี๋ยวก็ต้องขับรถอีก เธอกลับเข้าไปก่อนเถอะ กำลังสนุกเลยนี่”


ตุลย์ชะงักไปเล็กน้อยเหมือนเพิ่งเข้าใจบางอย่าง ก่อนสาวเข้าไปใกล้น้ำพุ ทรุดตัวลงบนม้านั่งไม้ข้างๆ หนุ่มใหญ่


 “ผมคงทำให้คุณเบื่อแย่แล้ว”


“ไม่เป็นไร ฉันรอได้” น้ำเสียงของศานนท์อ่อนลงเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเขาเป็นกังวล “ก็ฉันเป็นคนบอกว่าจะมารับเธอเองนี่ ...แค่เห็นว่าเธอสนุกก็พอแล้ว”


ไม่เพียงแต่พูด ศานนท์ยังเอื้อมมือมาลูบหัวเขาเบาๆ คล้ายอยากให้คลายกังวล การกระทำนั้นเหนือความคาดหมายตุลย์ เขาเงยมองเจ้าของมืออย่างแปลกใจ ความมืดทำให้เห็นสีหน้าผู้พูดได้เลือนราง แต่ก็พอมองออกว่ากำลังยิ้มบางๆ เขาจึงไม่ตอบโต้หรือขัดขืน


 “อืม... จะว่าสนุกก็สนุก แต่ถ้าเทียบกับรีวิวแล้ว ผมว่าอาหารร้าน M ก็ไม่ได้อร่อยขนาดนั้น ...อย่างน้อยก็ไม่อร่อยเท่าที่เคยกินตอนไปตกหมึกที่ใต้”


เล่าไปก็พาลนึกถึงตอนมัธยม สมัยที่เขาทำงานอย่างขมักเขม่นเพียงเพื่อจะนำเงินไปเช่าเรือ ออกตกปลาหมึกกับเพื่อนตอนดึกๆ ดื่นๆ


“สู้ไม่ได้เลยเหรอ”


“เทียบไม่ติดครับ ...ส่วนเหล้า ผมยังชอบไวน์ที่คุณพาไปดื่มที่รูฟท็อปวันนั้นมากกว่าอยู่ดี”


ศานนท์หัวเราะในคอ แต่ไม่ได้กล่าวอะไรเพิ่ม เช่นเดียวกับเขา ต่างคนแค่ต่างเหม่อมองธรรมชาติ ซึมซับเสียง ความมืด และสายลมที่เคลื่อนไหวอยู่รอบๆ กาย ให้ความรู้สึกราวกับคนละซีกโลกเมื่อเทียบกับข้างใน


ตุลย์หลับตา


นานเข้า เขาก็ชักขี้เกียจกลับเข้าไป...


 “...ผมว่า วันนี้ผมพอแล้วล่ะ คุณเบื่อแล้ว ส่วนผมก็เริ่มเหนื่อยเหมือนกัน”


“งั้นก็กลับบ้านกัน”


“ครับ” เขาพยักหน้าเห็นด้วย


พลันก็นึกได้ว่า ก่อนหน้านี้ตัวเองพรวดพราดขอตัวออกมาเฉยๆ จะหายไปเลย โดยไม่กลับไปที่โต๊ะก็คงกระไรอยู่


“เมื่อกี้ผมบอกที่โต๊ะว่าจะออกมาตามหาคุณ ถ้าผมไปแล้วไม่ลา มันก็คงแปลกๆ”


...แต่ขืนเข้าไป เขาก็ไม่รู้จะรับมืออย่างไรกับคำถามว่า ‘กลับยังไง’ หรือ ‘กลับกับใคร’ โดยไม่ให้เป็นที่สงสัยอยู่ดี


ราวกับอ่านใจออก...


 “งั้นบอกไปว่า เธอติดรถฉันไปหา ‘ผู้ปกครอง’ แล้วกัน”


ทีแรกเขาคิดว่า ศานนท์คงไม่ชอบใจคำว่า ‘ผู้ปกครอง’ เท่าไหร่ แต่พอเห็นว่าหนุ่มใหญ่ใช้มันแซวเขากลับ ซ้ำยังหัวเราะ เขาก็เลิกติดใจ


“ครับ เอางั้นก็ได้”

--------------------------------------------------------
มาแว้วค่า รีบเลย ถถถถถถ เวลารีบมาแล้วไม่มั่นใจเลยค่ะ
ตอนแรกว่าจะลงตั้งแต่เมื่อวาน แต่ขัดยังไงก็ยังไม่ชอบ เลยขออนุญาตดีเลย์มาวันนึงเจ้าค่ะ

สำหรับตอนที่แล้วนักอ่านดูสงสัย คุณอัฐ ถถถ นางก็มีอะไรนะ แต่ก็ไม่ใช่ปมใหญ่ค่ะ

ช่วงนี้จะโฟกัสไปที่งานหนูตุลย์ค่อนข้างเยอะหน่อย กลัวจะน่าเบื่อเหมือนกัน แต่ทั้งนี้เพื่อช่วงหลังของเรื่องเจ้าค่ะ จะได้พีคๆ ฮี่ๆๆๆๆ
ลืมบอกทุกคนว่าเมลล่าก็เปิดขายนิยายแล้วน้า อุดหนุนได้ที่ Readawrite ตามลิ้งค์ใน FB PAGE ค่า
เปิดตอนเดียว 2 บาท ถถถถถถถถถถถถถ

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามกันมา และคอยอุดหนุนนะคะ <3
https://www.facebook.com/Iamcaramella/ (https://www.facebook.com/Iamcaramella/)

หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (14.01.20) l 22nd Night : ถ่ายทำ (100%) [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 14-01-2020 22:10:05
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (14.01.20) l 22nd Night : ถ่ายทำ (100%) [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: WilpeR ที่ 14-01-2020 23:22:52
เรื่องของตุลย์ดูแล้วผู้กำกับน่าจะพอรู้บ้าง ถึงพยายามสอนให้ตุลย์เก่งขึ้นด้วย

ตอนนี้ให้ความรู้สึกตุลย์ก็พยายามปรับตัวให้ดีขึ้นตามศานนท์ด้วย
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (14.01.20) l 22nd Night : ถ่ายทำ (100%) [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 15-01-2020 01:21:29
ผู้ปกครองมารับแล้วค่า 5555555555555
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (14.01.20) l 22nd Night : ถ่ายทำ (100%) [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 15-01-2020 17:21:38
ชอบที่ตุลย์กับคุณศานนท์ยืนคุยกันที่สวน คือมันน่ารักอ่ะ ดูเข้าใจกันและกัน แคร์กัน น่ารักกกกกกกกก :o8:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (14.01.20) l 22nd Night : ถ่ายทำ (100%) [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: kimkidoy ที่ 21-01-2020 18:56:16
คุณศานคงกวงหน่อยๆ?ละเนาะ ก็น้องตุลย์หน้าตาดีนี่นาา
ยิ่งทำงานในวงการ ยิ่งเจอแต่คนน่าตาดีๆซะด้วยยยยย
สงสารรรรรรเสี่ยยยนเค้าเนอะ :hao7:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (27.01.20) l 23rd Night: สปอยล์ (50%) l P.14[Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 27-01-2020 17:35:44
23rd Night : สปอยล์


มีคนเคยพูดว่า ‘ความโด่งดังนั้น เป็นเรื่องของโชคลาภมากกว่าความพยายาม’


ประโยคนั้น ดูท่าจะจริง…


เช้านี้พวกเขานัดทำงานกลุ่มกันที่คอนโดของศานนท์ ที่จริงตุลย์ไม่คิดว่าจะต้องใช้ห้องของหนุ่มใหญ่เป็นสถานที่ทำงานด้วยซ้ำ แต่หลังจากถกเถียงกันอยู่หลายวันว่าห้องใครสะดวกกว่ากัน สุดท้ายหวยก็ออกที่เขา เพราะนอกจากคอนโดของศานนท์จะตั้งอยู่ใจกลางเมือง ติดรถไฟฟ้าแล้ว ความที่เจ้าของห้องไม่ค่อยได้แวะมา ทำให้มันมีพื้นที่โล่ง เหมาะสำหรับใช้สอยทำประโยชน์อื่นนอกจากพักอาศัยเป็นที่สุด


ด้วยเหตุนี้ ตุลย์จึงขอคีย์การ์ดจากหนุ่มใหญ่ไว้ตั้งแต่เมื่อวาน


“ตุลย์ๆ เพจนี้ตัดโฆษณาตุลย์ไปลงด้วยแหละ”


จีจี้หันจอโน้ตบุ๊กของเธอให้ดูขณะนั่งกอดหมอนอิงบนโซฟาตัวใหญ่ เป็นจังหวะเดียวกับที่แม็กโผล่หน้าออกมาจากครัว หลังโยนของว่างที่หิ้วมาจากร้านค้าใส่ตู้เย็นเขา


“ไหนๆ ๆ ”


“นี่ไง”


ตุลย์ชะโงกหน้ามองตามที่จีจี้ชี้ คลิปที่เล่นอยู่บนหน้าจอเป็นภาพเขากำลังจิบชาดื่มด่ำ ก่อนจะหันมาส่งสายตาให้กล้องแวบหนึ่งอย่างคล้ายจะยิ้ม แต่ไม่ตั้งใจยิ้ม ซึ่งเป็นฉากสั้นๆ ในโฆษณาชาที่เพิ่งออนแอร์ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ส่วนแคปชั่นมุมขวาก็สาธยายเชิงว่าเขาเป็นนักแสดงน้องใหม่หน้าตาดี ที่พอยิ้มแล้วดูมีเสน่ห์ไม่เลว


อ่านแล้วก็พาลรู้สึกเคอะเขินตัวเองอย่างบอกไม่ถูก...


“จี้ว่าฉากนี้ตุลย์ดูดีมากนะ ไม่ได้เกินจากที่โพสต์ไว้เลย อีกหน่อยตุลย์ต้องดังแน่ๆ ”


ถูกยอ เขาก็โคลงศีรษะคล้ายไม่เชื่อ “ทำไมจี้คิดงั้น”


“ก็พักนี้ตุลย์มีงานเข้ามาตั้งเยอะนี่ เราเห็นรูปตุลย์บนนิตยสารบ่อยจะตาย ...ไม่รู้อ่ะ เราก็แค่รู้สึกอย่างงั้น แต่จะบอกให้ว่าเซนส์เราอะ แรงนะ” เธอขยิบตา


ทีแรกเขาคิดว่าหญิงสาวแค่แหย่เล่น ตุลย์จึงไม่ได้ใส่ใจคำพูดของเธอ จนกระทั่งช่วงดึกคืนนั้น ขณะที่พวกเขากำลังเคลียร์ข้าวของเตรียมแยกย้ายกลับบ้าน จู่ๆ จีจี้ก็วิ่งพรวดออกมาจากครัว ทั้งที่มือยังถือขนมปังทาช็อกโกแลต


เธอชูโทรศัพท์ใส่เขา ใกล้ชนิดที่ถ้าทาบหน้าเขาได้ เธอคงทำแล้ว


“ดูนี่เร็วๆ ! จำโพสต์เมื่อเช้าได้มั้ย คลิปตุลย์ไวรัลแล้วนะ ยอดแชร์ตั้งพันกว่า ตอนนี้มีแต่คนพูดถึงตุลย์เต็มไปหมดเลย! ” พูดไปเธอก็กระโดดโลดเต้นไปรอบๆ เสมือนว่าเป็นคนดังเสียเอง


ตุลย์งุนงงไปชั่วขณะ ทีแรกเขาไม่เชื่อ แต่พอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กดูเองก็พบว่าเธอพูดความจริง โพสต์ของเพจที่นำคลิปของเขาไปลงนั้นถูกแชร์โดยอีกเพจที่มียอดผู้ติดตามหลักล้านอีกที และเป็นโชคหรืออะไรก็ไม่ทราบ ที่ผู้คนส่วนใหญ่ชมชอบและให้ความสนใจในตัวเขามากมาย จนเกิดเป็นกระแสไวรัลในอินเทอร์เน็ตอย่างรวดเร็ว


เขาพูดไม่ออก มันทั้งช็อกและท่วมท้นในความรู้สึกไปพร้อมกันๆ


ไม่ต่างจากแม็กที่ยืนหน้าเหลอหลาเหมือนสมองยังไม่ประมวลผลสิ่งที่เกิดขึ้น ชั่วครู่เดียว ก่อนที่ใบหน้าของเพื่อนสนิทก็ปรากฏรอยยิ้มแกนๆ หวดฝ่ามือใส่หลังเขาฉาดใหญ่


“เชี่ยแม่ง ไอ้เหี้ยตุลย์! อะไรของมึงเนี่ย นี่เพื่อนกูดังแล้วจริงอ่อวะ!? ”


เขาไม่รู้จะตอบอะไรเหมือนกัน ถึงได้แต่หัวเราะไม่หยุดอย่างกับคนที่เพิ่งได้ฟังเรื่องที่ดีที่สุดในชีวิต


-----------------------------------


โดยปกติแล้ว ตุลย์จะลงรูปส่วนใหญ่ในอินสตาแกรมก็ต่อเมื่อเขาได้คลิปหรือรูปจากงานถ่ายแบบ ซึ่งแต่ละครั้งได้ยอดไลก์อยู่ราวๆ สองถึงสามร้อย แต่คืนนี้ต่างไป หลังจากเกิดกระแสโด่งดังในอินเทอร์เน็ต ยอดไลก์ก็เพิ่มขึ้นสองถึงสามเท่าตัว เช่นเดียวกับยอดผู้ติดตามไหลทะลักเข้ามาไม่หยุด


เขาได้รับข้อความจากเพื่อนหลายคน ทั้งที่ไม่สนิท ไม่เคยรู้จักมาก่อน หรือกระทั่งจากบุคคลที่ติดต่อเข้ามาเสนองานต่างๆ ให้จำนวนมากอย่างไม่ทันตั้งตัว


ความกะทันหันของมันทำให้เขาตัดสินใจโทรหาซินดี้เพื่อแจ้งข่าว เธอจะพอทราบเรื่องอยู่แล้ว แต่ยังติดธุระ พวกเขาจึงได้คุยกันเพียงสั้นๆ ในทีแรก จวบจนราวๆ ห้าทุ่มครึ่ง ซินดี้ก็โทรกลับ


“หล่อนอ่านข้อความได้ ตอบข้อความได้ แต่ห้ามไปสัญญิงสัญญาอะไรกับใคร หรือตอบรับงานเด็ดขาด งานพวกนี้ต้องผ่านเจ้สกรีนก่อน ถ้ารับอะไรมั่วซั่ว ชื่อเสียงหล่อนได้พุ่งลงเหวในวันเดียวแน่! ...เอาอย่างนี้ คืนนี้ตอบแค่เท่าที่จำเป็น พรุ่งนี้หล่อนค่อยไปเจอฉันที่ออฟฟิศคุณศาน แล้วเราจะคุยเรื่องงานกัน เน้นย้ำว่าแค่เท่าที่จำเป็นนะยะ เข้าใจ๊!? ”


“ครับ เข้าใจ” ตุลย์เออออห่อหมกไปกับเธอ


ณ ตอนนี้ เขากล้ายอมรับเต็มปากว่าไม่รู้จะทำตัวยังไงการเป็นกระแส



คงเพราะมัวแต่วุ่นเกี่ยวกับเรื่องของเขาทั้งคืน เช้าวันถัดมาซินดิ้ถึงโผล่มาที่ออฟฟิศด้วยใบหน้าแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางบางๆ และเสื้อเชิ้ตกางเกงขาม้า ทั้งที่ปกติเจ้าหล่อนมักจะสวมชุดตามเทรนแฟชั่นเสมอ


ซินดี้ดูรีบร้อนอยู่พอตัว พอหย่อนก้นนั่งเก้าอี้ปุ๊บ เธอก็หยิบเอกสารประกอบจากแฟ้มส่งให้เขาและศานนท์ทันที ก่อนจะเริ่มสาธยายข้อเสนอต่างๆ ได้รับมาตลอดหนึ่งวันเต็ม


“นี่เป็นลิสต์งานที่ฉันสกรีนมาแล้วเห็นว่าน่าสนใจ และปลอดภัยกับชื่อเสียงตุลย์ แต่หล่อนต้องเพิ่งระลึกไว้ว่าหล่อนเพิ่งดัง จะทำอะไรก็ต้องรักษาชื่อเสียงและกระแสไว้ให้ดี ถ้าหล่อนทำตัวเป็นข่าวฉาว หล่อนดับ ถ้าหล่อนนอกกระแส อีกเดี๋ยวหล่อนก็ดับเหมือนกัน ดังนั้น จะเลือกงานอะไรต่อจากนี้ก็ต้องคุยกับเจ้และคุณศานก่อน ภาพลักษณ์ต้องมาก่อน เข้าใจ๊? ”


เธอตวัดหางเสียงสูง มองเขาด้วยสายตาคมกริบคล้ายต้องการแน่ใจว่าเข้าใจสถานการณ์


“อะ ลองไล่ดูลิสต์ก่อน แล้วบอกเจ้ว่าหล่อนสนใจงานไหน”


งานส่วนใหญ่ที่คนเสนอให้เขา มีทั้งการขอสัมภาษณ์ ถ่ายนิตยสาร เล่นละคร และหนังสั้น ซินดี้ต้องการให้เขามุ่งเป้าไปที่งานในวงการ เนื่องจากมันทำให้เขาอยู่ในสายตาของสังคมตลอด


ส่วนงานจิปาถะอย่างอื่นที่ไม่เป็นผลดีต่อเขานัก อย่างจำพวก โฆษณาเครื่องสำอางผ่านอินเทอร์เน็ต พิธีกรชั่วคราวตามงานอีเว้นท์ หรือเว็บพนัน เธอได้คัดออกไปเกือบหมดตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว


ตุลย์มองลิสต์บนกระดาษอย่างอึ้งๆ ...


นับแต่เข้าวงการด้วยเส้นสายของศานนท์จนถึงเมื่อคืนวาน เขาไม่เคยมีโอกาสเลือกรับหรือปฏิเสธงานใดที่ซินดี้ป้อนให้ เนื่องจากข้อเสนอในวงการนั้นมีจำกัด ยิ่งไปกว่านั้น ยังต้องวางตัวอย่างระมัดระวังไม่ให้กระทบชื่อเสียงซินดี้ในฐานะเด็กปั้นของเธอด้วย


แต่ตอนนี้ สถานการณ์มันกลับตาลปัตรไปหมด…


“ผมอยากลองอะไรใหม่ๆ ...”


ตุลย์รู้ดีว่านี่คือโอกาสครั้งสำคัญ เขาต้องทะนุถนอมมันและเลือกอย่างรอบคอบ เพราะทางเลือกต่อจากนี้อาจส่งผลกระทบต่อหน้าที่การงานของเขาในแง่บวกหรือลบก็ย่อมได้ แต่ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาดีหรือร้าย เขาก็มั่นใจว่ามันเกินคุ้มที่จะลองเสี่ยงดู


...’วงการบันเทิง’ คือสิ่งที่เขาตะเกียกตะกายมาทั้งชีวิต แต่ทุกครั้งที่นึกถึง มันกลับเหมือนฝุ่นที่ฟุ้งกระจายในความฝัน ...เลือนรางและไม่อาจจับต้องได้มาโดยตลอด จนกระทั่งวันนี้ วันที่ความฝันของเขาเป็นรูปธรรมขึ้นมา ราวกับว่าหากเอื้อมมือคว้าเอาไว้ ก็อาจสัมผัสมันด้วยอุ้งมือตัวเองได้


ราวกับอยากไขว่คว้าไว้จริงๆ ตัวเขาที่อยู่ในห้วงภวังค์ก็เอื้อมไปหยิบนิตยสารเล่มหนึ่งใต้แฟ้มเอกสารของซินดี้อย่างไม่มีสตินัก


เพี๊ยะ!


พริบตานั้น ความเจ็บตรงหลังมือก็ฉุดตุลย์กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง


“หยุดเลย! ” ซินดี้ตีมือ คว้านิตยสารเล่มนั้นจากเขา แล้ววางแหมะลงบนโต๊ะหน้าศานนท์ราวกับคุณครูที่กำลังฟ้องผู้ปกครอง “หล่อนเพิ่งจะดัง แถมยังไม่บรรลุนิติภาวะ จะถ่ายโป๊แล้วเรอะ!? ”


พอจ้องดีๆ พบว่าเป็นนิตยสารชุดชั้นใน ตุลย์ก็หน้าเหวอ ส่วนศานนท์ได้แต่ยิ้มขำกับความสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวของเขา


“เปล่านะ ที่ว่าอะไรใหม่ๆ ผมหมายถึงละครต่างหาก ผมอยากลองทำอะไรที่รู้สึกว่าเติบโตไปพร้อมกับมันได้”


ศานนท์พยักหน้าเข้าใจ ก่อนเผยสีหน้าครุ่นคิด


“อืม... ถ้าเป็นพวกซีรีส์ละครกลางๆ อย่างพวกที่สตรีมผ่านเว็บไซต์ ฉันดันเธอเป็นนักแสดงนำได้ แต่ถ้าเป็นละครช่องดังๆ อย่างดีที่สุดก็ได้แค่บทสมทบ ฉันไม่ค่อยได้สปอนเซอร์พวกละครเท่าไหร่ คอนเนกชั่นไม่แข็งแรงพอ คงจะรับปากอะไรเธอตอนนี้ไม่ได้”


ตุลย์ส่ายหน้าหวือ


เขายังไม่มีประสบการณ์เลยด้วยซ้ำ จะให้รับบทนักแสดงนำคงไม่ไหว


“ไม่ครับ ผมไม่ได้อยากแสดงนำ แค่บทตัวละครสมทบซีรียร์กลางๆ ก็พอแล้ว”


“ซีรีส์กลางๆ ก็ดีนะคะ จะได้ดูทิศทางกระแสด้วยว่าผลตอบรับเรื่องละครออกมาดีมั้ย”


ครั้นซินดี้แสดงออกว่าเห็นด้วย หนุ่มใหญ่พยักหน้ารับทีหนึ่งเป็นเชิงอนุมัติ


จากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มถกกันเรื่องข้อดีข้อเสียของงานละครและแผนรับความเสี่ยงต่อสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจกระทบต่อชื่อเสียงของเขาชนิดเป็นฉากเป็นตอน ดูจริงจังเสียจนตุลย์ได้แต่นั่งฟังทั้งสองเงียบๆ อยู่พักใหญ่ ก่อนที่ซินดี้จะค้นเอกสารส่งให้เขาอีกชุดหนึ่ง แล้วกำชับเสียงแข็ง


“คำแนะนำของเจ้ คือ หล่อนควรเริ่มจากซีรีส์สั้น กระแสกลางๆ ที่บทสมทบน่าสนใจ อย่างสองเรื่องนี้ ลองอ่านบทดูให้ละเอียดก่อน แล้วค่อยตัดสินใจ ต้องการรายละเอียดอะไรก็โทรหาเจ้ เจ้จะหามาให้ โอเค๊? ”


“ครับ”


“ดี” เธอผงกหัวทีหนึ่ง “ตารางงานต่อจากนี้จะค่อนข้างแน่น หล่อนจะมีทั้งคิวงานถ่ายแบบ และงานละคร ดังนั้น หล่อนต้องจัดเวลาให้ดี และถ้าทุกอย่างไปได้สวย บางทีอาจจะต้องดรอปเรียนบางตัวด้วย...”


-------------------------------


หลังเป็นกระแสบนอินเทอร์เน็ต ชีวิตในมหาวิทยาลัยของตุลย์คึกคักขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ก่อนหน้านั้น เขาไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก หรือหากรู้จักก็จากเรื่องเสียๆ หายๆ เป็นส่วนใหญ่ แต่พักหลังมานี้ หลายคนที่มหาวิทยาลัยเริ่มทักทายเขามากขึ้น ส่วนหนึ่งก็เพราะจำหน้าได้ มีเข้ามาขอถ่ายรูปบ้างประปราย หรือบางครั้งเขาก็ถูกเมนชั่นในไอจีสตอรี่ที่คนอื่นถ่ายติดด้วย


เห็นได้ชัดว่าผู้คนค่อยๆ ลืมภาพลักษณ์ตัวแปลกประหลาด และเริ่มจดจำเขาใหม่ในฐานะนักแสดงที่กำลังเป็นกระแสโด่งดัง


นอกจากเหนือชีวิตส่วนตัว แน่นอนว่าความโด่งดังของเขาย่อมส่งผลดีต่อยอดขายสินค้าของศานนท์ด้วย มันทำให้เขาเป็นที่รู้จักในบริษัทมากขึ้นและให้สิทธิพิเศษหลายประการ ด้วยเหตุนี้เวลาไม่มีเรียน ตุลย์จึงมาขลุกอยู่ที่ออฟฟิศหนุ่มใหญ่ และทำตัวตามสบายเหมือนอยู่บ้าน


บางวันเขาก็กดสั่งกาแฟขึ้นมาส่งหลายๆ แก้ว ดื่มเองบ้าง สั่งเผื่อศานนท์บ้าง แบ่งให้เลขาหน้าห้องของหนุ่มใหญ่บ้างเป็นการผูกมิตร พอเมนูเริ่มจำเจ ก็เปลี่ยนเป็นของทานเล่นจากร้านดังบ้าง


ที่เป็นอย่างนี้เพราะตารางงานเขาค่อนข้างวุ่น และบริษัทของศานนท์ตั้งอยู่ย่านกลางเมืองซึ่งสะดวกต่อการสัญจร มันจึงประหยัดเวลากว่าการเดินทางจากมหาวิทยาลัยหรือจากบ้านโดยตรง เวลามีคิวงานถ่ายแบบ


ฝ่ายศานนท์ก็ดูจะชมชอบความคิดนี้เอามากๆ เจ้าตัวถึงสปอยล์เขาด้วยการซื้อของติดไม้ติดมือมาฝากเวลาออกไปพบลูกค้า หรือพาเขาไปทานข้าวด้วยอยู่บ่อยๆ ส่วนวันไหนที่ไม่ว่าง ก็มักจะส่งอเนกมานั่งเล่นเป็นเพื่อน จนพักหลังนี้เขาแอบสงสารชายหนุ่มขึ้นมาหน่อยๆ


ทว่าการที่เขาเดินเพ่นพ่านทั่วชั้นยี่สิบเอ็ด หยิบจับโน่นนี่ตามอัธยาศัยจะไม่ถูกใจอัฐเท่าไหร่ เพราะชายหนุ่มเห็นเขาทีไรก็มักทักทายด้วยรอยยิ้มเย็นชาเสียทุกครั้ง


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


เสียงเคาะประตูเรียกตุลย์จากภวังค์ เขาละสายตาจากเกมในจอมือถือ ปรายมองประตูต้นเสียงทั้งที่ยังนอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟา


“คุณศานนท์ไม่อยู่ครับ”


เที่ยงนี้ หนุ่มใหญ่มีนัดทานข้าวกับลูกค้าและผู้บริหารจำนวนหนึ่ง จึงจำใจต้องทิ้งเขาไว้ที่ห้องคนเดียว ส่วนเขาก็ยังไม่ค่อยหิวนักเพราะกินข้าวเช้าสาย เลยตัดสินใจว่าจะตีป้อมรอจนบ่ายแล้วค่อยลงไปหาอะไรกินเป็นมื้อกลางวัน


แต่แทนที่ผู้มาเยือนจะเป็นคนในบริษัท กลับกลายเป็นอเนกในเสื้อฮาวายสีน้ำเงินโผล่หน้ามาจากหลังประตู


“สเต๊กอกไก่มาแล้วคร้าบ คุณหนู”


“แต่ผม...” ไม่ได้สั่ง เอ่ยได้ครึ่งประโยค ตุลย์ก็ร้อง ‘อ๋อ’ เบาๆ ราวกับเพิ่งคิดออก“...คุณศานนท์ใช้ให้พี่เอกหิ้วข้าวกลางวันขึ้นมาอีกแล้วล่ะสิ”


“ถูกต้อง” ชายหนุ่มชี้นิ้วใส่เขาเหมือนตอบคำถามเกมโชว์ถูก


อเนกทิ้งตัวลงบนโซฟาขนาดคนเดียวนั่งถัดจากเขา ก่อนจะหยิบกล่องกระดาษใส่อาหารออกมาวางพร้อมช้อนส้อมพาสติก


“ลุกขึ้นมาทานเร็วครับคุณ เดี๋ยวจะเย็นหมด”


ตุลย์ดีดตัวผึง วางโทรศัพท์ลงอย่างไม่อิดออด เพราะเดิมทีเขาก็แค่เล่นฆ่าเวลาอยู่แล้ว


“ลำบากพี่แย่”


“ไม่อ่ะ ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเรื่องเข้ามา ไอ้ผมก็ว่าง นั่งๆ นอนๆ อยู่บ้านกินเงินเดือนนานเข้าก็ชักเบื่อเหมือนกัน แต่ว่า...พักนี้ เสี่ยเอาใจคุณน่าดูเลยน้า ทั้งซื้อของฝากมาให้ ทั้งพาไปดินเนอร์ ขนาดไม่ว่างยังให้ผมมานั่งกินข้าวเป็นเพื่อน” อเนกหยีตา ยิ้มกรุ้มกริ่ม


ทีแรกตุลย์จะอ้าปากเถียง แต่พอไล่เรียงดูแล้ว เขาก็ได้แต่ยิ้มแกนๆ อย่างไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร


ก็จริงอย่างว่า... พักนี้ ศานนท์สปอยล์เขาอย่างไม่คิดจะปิดบังใคร ต่อให้ไม่ใช่คนช่างสังเกตก็ดูออก ว่าเขาได้ทั้งความสนใจและสิทธิพิเศษหลายอย่างจากหนุ่มใหญ่


“เสี่ยหลงคุณจะแย่แล้วมั้งเนี่ย ผมว่า”


เรียกว่าคำพูดของอเนกเป็นลางบอกเหตุก็คงได้


เช้าวันเสาร์นั้น ตุลย์ใส่ชุดสำหรับวิ่งออกกำลังกายเดินลงบันไดมาด้านล่างแต่เช้าตรู่ เขาทำแบบนี้เป็นกิจวัตรและค่อนข้างมั่นใจว่ามันยังเช้าเกินไปกว่าแม่บ้านหรือศานนท์จะปรากฎตัว ก่อนจะพบว่าคิดผิด ตอนที่เห็นหนุ่มใหญ่ในชุดนอนกำลังง่วนอยู่กับถุงกระดาษหลายขนาด บนตู้เก็บของสะสมของเจ้าตัวตรงชานบันได


“ขนมเหรอครับ? ผมอ้วนจะตายอยู่แล้วนะ” ตุลย์เอ่ยแซว


มือที่กำลังเปิดดูถุงต่างๆ ชะงักไปครู่ เจ้าของบ้านดูจะตกใจที่เห็นเขาเดินดุ่มๆ ลงบันไดมาแต่เช้าตรู่


“อา... ไม่ใช่หรอก”


“งั้นอะไรเหรอครับ? ” ตุลย์ชะเง้อมองด้วยความสงสัย


ศานนท์ถอนหายใจเฮือกเหมือนหมดทางเลือก จากนั้นก็กวักมือเรียกให้เขาเดินมาหา “ว่าจะรอให้สายกว่านี้หน่อยค่อยบอก แต่เธอดันลงมาเห็นซะก่อน ถ้าไม่บอกตอนนี้ก็คงไม่เซอร์ไพร์ซแล้ว”


“แกะนี่ดูสิ”


หนุ่มใหญ่ส่งถุงกระดาษทรงสูงให้เขาอย่างระมัดระวัง ตุลย์รับมาถือก็รู้สึกถึงน้ำหนักประมาณหนึ่ง เขาเปิดถุง พบว่าข้างในเป็นกล่องกระดาษที่มีตราโรงแรมคุ้นๆ ติดอยู่ ครั้นพอเปิดฝากล้อง ขวดสีชาด้านในก็สะท้อนกับแสงแดดยามเช้าเกิดเป็นประกายระยิบระยับดึงดูดสายตาผู้มอง


“คุณ...”


“นี่ไวน์จากรูฟท็อปครั้งก่อนที่เธอบ่นถึง” ศานนท์คลี่ยิ้ม เมื่อเห็นว่าเขาท่าทางดีใจเอามากๆ “ชอบมั้ย? ยังมีอีกชิ้นนะ"


คนพูดหมุนตัวหยิบกล่องหนังสีเขียวเข้มขนาดเท่าฝ่ามือจากถุงกระดาษใบเล็กกว่า ก่อนจะเปิดฝาออกตรงหน้า ปรากฏนาฬิกาเรือนหนึ่งที่มีหน้าปัดสีดำกริบ ส่วนเข็มและวงจับเวลาขนาดเล็กด้านในเป็นสีเงินยวงสว่าง เช่นเดียวกับกรอบเซรามิกและสายข้อมือ


แวบแรก ตุลย์ก็รู้ทันทีว่า ของชิ้นนี้ราคาไม่ใช่น้อยๆ


“คุณให้ผมเหรอ...”


“อือฮึ เป็นของขวัญสำหรับโฆษณาชิ้นแรก เทียบกับรายได้บริษัทเดือนนี้ จะซื้อแบบนี้สักสิบเรือนก็ยังได้” ไม่ว่าเปล่า ยังยืมข้อมือเขาไปทาบสายนาฬิกาแล้วสวมให้อีก


ตุลย์ได้แต่ยืนอ้ำๆ อึ้งๆ ระคนตื่นเต้นดีใจ ตอนนั้นเขาคิดไม่ออกว่าจะตอบแทนศานนท์ยังไง จึงรั้งคอหนุ่มใหญ่มาจูบเสีย


สีหน้าศานนท์เหลอหลาอย่างเห็นได้ชัดตอนที่เขาผละจาก บ่งบอกว่าเจ้าตัวก็ไม่ได้คาดว่าจะถูกจูบเช่นกัน เขาก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆ กลบเกลื่อน


“ขอบคุณครับ แต่คุณต้องหยุดสปอยล์ผมได้แล้วนะ เดี๋ยวผมก็เสียคนพอดี”


“ถ้าเป็นเธอ มากกว่านี้ฉันก็ให้ได้...”


แววตาลุ่มลึกที่เผยความรู้สึกให้เห็นอย่างหมดเปลือก พาลให้ตุลย์หลุบตาเล็กน้อยอย่างทำตัวไม่ถูก คราวนี้ เป็นศานนท์ที่จับข้อมือเขาข้างที่สวมนาฬิกาไว้หลวมๆ เอ่ยเสียงนุ่ม


“จูบอีกทีได้มั้ย”


เขาโน้มหน้าจูบหนุ่มใหญ่ตามที่อีกฝ่ายร้องขอ ริมฝีปากทั้งคู่บดเบียดสัมผัสกันอย่างจงใจ จนเกิดเสียงเบาๆ หลายต่อหลายครั้งเวลาที่ปรับใบหน้าเปลี่ยนองศา


“อือ...”


ตุลย์ครางในคอเมื่อถูกลิ้นสอดเข้ามารุกไล่พันเกี่ยวในโพรงปาก ก่อนจะจูบตอบแบบเดียวกัน จูบที่ดูดดื่มปลุกปั่นความต้องการได้ดี จวบจนมือหนาโอบเอวเขา ลูบก้นกบใต้เนื้อผ้า


พอเห็นสีหน้าหนุ่มใหญ่ตอนที่ถอนจูบชัดๆ ตุลย์แน่ใจว่าต่างฝ่ายต่างอารมณ์เตลิดไปเรียบร้อย เขาจึงปล่อยเลยตามเลยเพราะคร้านจะห้ามปราม


...ดูท่าว่าเช้านี้ คงได้ออกกำลังกายแบบอื่นแทนซะแล้ว

-----------------------------------------
เมลล่าไปเที่ยวเชียงรายมาค่า เลยอัพช้าเพราะเอาแต่เที่ยว
เค้าขอโต๊ดดดดด
ช่วงนี้หนูตุลย์ดูวุ่นกับงานสุดๆ และก็เป็นช่วงที่คุณศานเหมือนจะหลงหนูตุลย์สุดๆ ด้วย
จะไปได้ดีมั้ยหนอ ฮี่ๆๆๆๆๆ *ยิ้มชั่วร้าย*
สำหรับ reference นาฬิกาตอนนี้ คือ rolex daytona white gold เจ้าค่ะ เมลล่าอุตส่าห์ไปนั่งจิ้มๆ เล่นในเว็บ rolex ถถถถถถ ถามว่ามีปัญญาจะซื้อมั้ย ก็ไม่


ขอให้สนุกกับนิยายนะคะ รักนักอ่านที่สุด ฮื้ออออ <3
แต่ว่าเชียงรายหนาวจังงงง มีฝุ่นด้วยย เส้ามาก แต่ก็สนุก อีกเดี๋ยวเมลล่าก็ต้องไปใช้กรรมเพราะต้องทำงานแล้ววว แต่จะเอาเรื่องนี้ให้จบให้ได้ สู้สุดใจ!
อย่าลืมไลค์เพจน้าค้า เผิื่อเมลล่าหายไปจะได้แวะไปเอ็ดได้ ถถถถถถ

หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (27.01.20) l 23rd Night: สปอยล์ (50%) l P.14[Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 27-01-2020 21:14:36
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (27.01.20) l 23rd Night: สปอยล์ (50%) l P.14[Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: kimkidoy ที่ 27-01-2020 23:26:02
เอาแล้ววววววตุลย์อ้อนละเว้ยยยยยย เริ่มใจอ่อนเห็นความดีคุณศานละใช่ไหม?
คุณศานก็นะ เด็กอ้อนหน่อยก็ไปไม่เป็น555555 มีบ้านเสียบ้านมีรถเสียรถ!!!!
รออีกครึ่งนึงน้าาาาาาาาา เอาใจช่วยจ้าาาาา :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (27.01.20) l 23rd Night: สปอยล์ (50%) l P.14[Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 29-01-2020 14:01:35
โอ้ยๆๆๆๆ ดีต่อใจ หวานกันมากกกกกกกก อิชั้นแฮปปี้มากๆเลยค่า o13
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (27.01.20) l 23rd Night: สปอยล์ (50%) l P.14[Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 30-01-2020 01:37:10
จะสปอยล์ได้มากกว่านี้อีกมั้ย 55555555555555
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (30.01.20) l 23rd Night: สปอยล์ (100%) l P.14[Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 30-01-2020 22:44:52
23.5
ใช้เวลาทบทวนอยู่เกือบสัปดาห์ สุดท้ายตุลย์ก็ตกลงรับบทพระรองในซีรีส์เรื่องสั้นรักวัยรุ่นที่ดัดแปลงเค้าโครงจากนิยาย โดยที่ตัวเขารับบทเป็นหนุ่มน้อยหน้าใสวัยมหาวิทยาลัยที่แอบชอบสาวรุ่นพี่ แต่โชคร้ายที่เธอคนนั้นดันไปหลงรักพระเอกของเรื่อง ทำให้เขาต้องผันตัวมาเป็นที่ปรึกษาด้านความรักและคนดูแลหัวใจเธอ

ซึ่งบทบาทนี้ ศานนท์และซินดี้ต่างเห็นตรงกันว่า ไม่ซับซ้อนเกินไปและน่าจะได้ใจคนดู


วันแรกของการออกกองเป็นอะไรที่ทั้งท้าทายและโหดหินสำหรับตุลย์ ความด้อยประสบการณ์ทำให้เขาทั้งกดดันและประหม่าเวลาอยู่หน้ากล้อง แม้จะผ่านโฆษณามาแล้ว แต่การถ่ายทำละครก็ยังเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลาที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับนักแสดงอื่น หรือเคลื่อนไหวติดต่อกันเป็นเทคยาวๆ


เขาต้องใช้เวลาระยะหนึ่งทีเดียวกว่าจะเริ่มปรับตัวให้ชิน


วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่ตุลย์มีคิวถ่ายทำ สถานที่ที่ใช้ถ่ายนั้น เป็นร้านกาแฟตกแต่งสไตล์มินิมอลด้วยดอกไม้แห้ง และของกระจุกกระจิก บ่ายนี้เขาจะต้องเข้าฉากกับนักแสดงหญิงอายุใกล้เคียงกันที่รับบทเป็นสาวรุ่นพี่  เป็นฉากที่เธอนั่งทานขนมและขอคำปรึกษาเรื่องความรักจากเขา ขณะที่เขาปลอบใจเธอ


หลังจากผู้กำกับบรีฟบทให้นักแสดง การถ่ายทำก็เริ่มต้นและดำเนินไปอย่างทุกวัน บางฉากก็ราบรื่น ส่วนฉากที่ต้องใช้อารมณ์มากหน่อยก็กระท่อนกระแท่นบ้าง เพราะต่างฝ่ายต่างเป็นดาราใหม่ทั้งคู่


การถ่ายทำร่วงเลยมาราวๆ เกือบหนึ่งทุ่มครึ่ง จวบจนได้เทคครบตามที่ผู้กำกับพอใจก็สั่งเลิกกอง เหล่าทีมงานทยอยเก็บอุปกรณ์ต่างๆ ขึ้นรถอย่างกระฉับกระเฉง บางส่วนก็เร่งรีบเพราะต้องประชุมฝ่าย เตรียมความพร้อมสำหรับถ่ายทำฉากของคู่หลักต่อในวันพรุ่งนี้


เสร็จงานปุ๊บ ตุลย์ก็โทรให้เต้มารับอย่างทุกวัน แต่ถือสายรอไม่กี่วินาที เขาก็กดตัด ตอนที่เห็นป้ายแฟรนไชส์ร้านกาแฟชื่อดัง โลโก้นางเงือกที่ตนเองโปรดปรานใต้ตึกสำนักงานตรงข้ามกับคาเฟ่


วันนี้ทั้งวัน เขายังไม่ได้แตะกาแฟเลยสักแก้วเดียว มีก็แต่ขนมหวานเล็กๆ น้อยๆ ให้ชิมระหว่างเข้าฉากเท่านั้น พอเห็นร้านประจำเข้า ก็เกิดอดใจไม่ไหวขึ้นมา


จะว่าเสพติดแบรนด์ก็ได้ แต่เขาหลงรักกาแฟร้านนี้จริงๆ

กว่าจะรู้ตัว ตุลย์ก็ถูกสะกดจิตให้เดินข้ามสกายวอล์กมาลงหน้าสำนักงานเป็นที่เรียบร้อย เขาตรงไปที่เคาท์เตอร์ ต่อคิวรอสั่งเครื่องดื่มตามปกติ

ระหว่างที่รอ เขาสังเกตเห็นว่าวันนี้ มีผู้คนยืนออตรงพื้นที่ใต้ตึกหนาแน่นกว่าปกติ แต่ไม่ได้เอะใจ จนกระทั่งถูกสะกิดหลังยิกๆ ให้หลุดจากภวังค์ พอหันไปก็ต้องแปลกใจยิ่งกว่า เมื่อพบว่าเจ้าของมือคือ ดาราโทรทัศน์อย่างวินทร์

“ว่าแล้ว น้องตุลย์จริงด้วย เห็นมั้ย ผมบอกแล้วว่าใช่” ดาราหนุ่มยักไหล่ให้กลุ่มเพื่อนที่อยู่ด้านหลังราวกับจะอวดว่าทายถูก

“พี่มาทำอะไรครับเนี่ย? ”


“ถ่ายละครครับ เช่าออฟฟิศข้างบนถ่ายน่ะ เพิ่งเลิกกองเมื่อกี้เลย”


วินทร์ตอบ ไม่ลืมแนะนำเขาให้รู้จักกับกลุ่มชายหญิงห้าหกคนด้านหลัง


“นี่พี่ๆ ทีมงานจากกองถ่าย ว่าจะชวนกันไปปาร์ตี้ต่อที่คลับ”


“ปาร์ตี้บ่อยนะครับเนี่ย”


ถูกแซว วินทร์ก็หัวเราะร่วน “ใช่ ผมเป็นคนชอบปาร์ตี้ มีเงินก็ใช้ๆ ไป หาความสุขใส่ตัว น้องตุลย์ล่ะ ไปด้วยกันมั้ย? นี่ว่าจะโทรชวนคนจากกองโฆษณาคราวก่อนด้วย”


ข้อเสนอนั้นทำให้ตุลย์ลังเลอยู่บ้าง


เขามีข้ออ้างร้อยแปดพันอย่างจะปฏิเสธชายหนุ่ม แต่ลึกๆ ในใจแล้ว เขาก็อยากพักผ่อนคลายเครียดบ้างเหมือนกัน หลังจากทุ่มเทให้งานอย่างหนักติดกันมาหลายอาทิตย์


“ถ้ากลัวเดินทางไม่สะดวก นั่งรถไปด้วยกันก็ได้นะ เดี๋ยวขากลับไปส่ง”


“ครับ ก็ได้”


ยุมากๆ เข้า เขาก็พ่ายแพ้ต่อความอยากเสียหมดรูป


วินทร์พยักหน้าเชิงรับทราบ ก่อนให้เขารอที่ร้านกาแฟ ขณะที่เจ้าตัวกลับเข้าไปคุยกับทีมงานจำนวนหนึ่ง และโทรศัพท์หาใครอีกสองสามคนเพื่อบอกพิกัดร้าน จากนั้นพวกเขาก็ขึ้นรถซีดานสีขาวที่ลานจอดรถใต้สำนักงาน ขับออกมาด้วยกัน



ด้วยความเป็นคนอัธยาศัยดี ไม่ว่าหัวข้ออะไร วินทร์ก็ขุดหาเรื่องมาชวนเขาคุยอย่างไหลลื่นไม่รู้เบื่อ  เรียกว่าฆ่าเวลาระหว่างรถติดไปได้มากโข


ขณะที่กำลังรอไฟเขียว ฝ่ายนั้นก็เผอิญสะดุดตากับเครื่องประดับชิ้นใหม่บนข้อมือเขาเข้าพอดี


“หึ่ม นาฬิกาสวยนะเนี่ย เพิ่งซื้อเหรอ”


ตุลย์ชะงักเล็กน้อย


ขืนตอบตามตรงว่าใครเป็นคนซื้อให้ มีหวังได้คำถามอื่นพ่วงยาวเป็นหางว่าวแน่


 “คุณแม่ซื้อเป็นของขวัญให้น่ะครับ ในฐานะที่โฆษณาชิ้นแรกไปได้สวย”


คำตอบของเขา ทำเอาวินทร์ร้อง ‘โอ้โห’ เบาๆ อย่างแปลกใจ “แสดงว่าที่บ้านรวยน่าดูเลยนะเนี่ย”


“ไม่หรอกครับ ก็กลางๆ ชิ้นนี้ให้เนื่องในโอกาสพิเศษน่ะ ผมก็ไม่รู้ว่าราคาเท่าไหร่เหมือนกัน” ตุลย์ตอบอย่างระมัดระวัง “แล้วพี่ว่ามันต้องราคาสักเท่าไหร่อ่ะ”


“ฮ่าๆ ๆ ถามถูกคนแล้ว จริงๆ แล้วผมเป็นคนชอบเล่นนาฬิกามาก ซื้อเก็บไว้ก็หลายเรือน บางเดือนต้องกินบะหมี่ต้มเพราะเอาเงินไปซื้อนาฬิกาหมดก็มี ไหน... ลองเอามาดูก่อนซิ”


คนพูดแบมือเป็นเชิงขอดู ตุลย์ก็ถอดนาฬิกาสีเงินส่งให้ ดาราหนุ่มใช้เวลาพิจารณารูปลักษณ์ พลิกดูตัวเรือนอยู่สักครู่ใหญ่ๆ ถึงตอบด้วยน้ำเสียงค่อนข้างลังเล



“อืม... โรเล็กซ์เดโทน่า รุ่นนี้มีฟังก์ชันจับเวลา สายโลหะด้วย พูดยาก... ผมไม่ค่อยมั่นใจเรื่องราคา แต่คิดว่าในไทย เรือนนี้น่าจะตกอยู่ราวๆ ล้านสี่ ล้านห้าได้”


ล้านสี่ ล้านห้า…


ห๊า!?



วินาทีที่ได้ยินราคา สีหน้าเขาก็แข็งค้าง


...จริงอยู่ แวบแรกที่เห็น เขารู้ว่ามันเป็นของมีราคา แต่ของจำพวกเครื่องประดับ อย่างมากก็ไม่น่าเกินสามแสนใครจะรู้ว่าของที่ศานนท์ให้มาจะมีราคาพอๆ กับรถคนนึง!


ตุลย์ถอนหายใจเฮือกเพราะเหนือความคาดหมายไปมาก ก่อนจะรับ ‘นาฬิกาพิลึกที่ราคาแพงพอจะซื้อรถยุโรปดีๆ ได้’ คืนจากวินทร์อย่างด้วยท่าทางเหมือนถือระเบิดเวลาไว้ในมือ


คล้ายว่าจะขนลุกนิดๆ ตอนที่นิ้วสัมผัสถูกสายโลหะเย็นเฉียบ


“สงสัยผมคงต้องเอาไอ้เจ้านี่ไปคืนหม่อมแม่แล้ว”


ท่าทางเขาเหมือนจับโดนของร้อน เรียกเสียงหัวเราะร่าจากขนขับ


“ถ้าจะขายต่อเมื่อไหร่ก็บอกนะ ผมให้ราคาดี”


ตุลย์ได้แต่ยิ้มแหย


เขาคงไม่กล้าเอาของราคาขนาดนี้ไปขายหรอก ถ้าไม่กำลังอดตายจริงๆ


------------------------------------


พวกเขามาถึงไนต์คลับพร้อมกับทีมงานอีกจำนวนหนึ่งที่ขับตามกันมาหลังเวลาเปิดไม่นาน ลูกค้าจึงยังไม่หนาแน่น


โต๊ะที่วินทร์จองเป็นโต๊ะยาวตั้งอยู่ตรงมุมขวาใกล้กับเวทีศิลปิน และมีทางเชื่อมไปยังห้องน้ำ ทำให้เดินออกไปทำธุระได้โดยไม่ต้องเบียดเสียดกับฝูงชน


หญิงสาวสองคนนั่งจับเข่าคุยกันอยู่ที่โต๊ะก่อนแล้ว ตอนที่พวกเขามาถึง คนหนึ่งชุดเครื่องแบบยี่ห้อเบียร์ เดาว่าเป็นสาวเชียร์ ส่วนอีกคนสวมเดรสสายเดี่ยวลงกากเพชรวิบวับ หน้าตาสะสวยกว่า


ตุลย์รู้สึกคุ้นหน้าเธออยู่บ้าง แต่กลับนึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน


วินทร์เข้าไปทักทายทั้งคู่อย่างสนิทสนม ก่อนจะแนะนำพวกเธอให้ตุลย์รู้จัก สาวเชียร์เบียร์คนนั้นมีนามว่า ‘เชอร์รี่’ ส่วนอีกคนชื่อ ‘อันดา’ ซึ่งถ้าเขาจำไม่ผิด เธอคือนักแสดงสมทบจากซีรีส์ที่ไม่โด่งดังนัก


ไม่นานแขกคนอื่นๆ ที่ดาราหนุ่มเชิญไว้ก็ทยอยมา ส่วนใหญ่เป็นคนที่เขาไม่คุ้นหน้า แต่บางคนเคยคุยด้วยเพราะเป็นทีมงานจากกองถ่ายโฆษณาก็มี


“วันนี้ช่วยเปิดทาวเวอร์เยอะๆ อุดหนุนรี่หน่อยน้าค้า”


พอสาวเชียร์อ้อนเสียงหวาน เบียร์สองทาวเวอร์ถูกสั่งมาลงที่โต๊ะ โดยที่มีหลายๆ คนผลัดเวียนดื่ม


เวลาผ่านไป คนเริ่มทยอยมากันเยอะขึ้น จากสิบเพิ่มเป็นยี่สิบคน เช่นเดียวกับจำนวนลูกค้าในคลับ บรรยากาศรอบๆ ก็ครึกครื้นขึ้นถนัดตา จวบจนราวๆ สี่ทุ่มครึ่ง นักร้องนำก็ขึ้นมาร้องเพลงฮิตบนเวที เรียกให้บางคนลุกออกไปยืนโบกไม้โบกมือร้องเพลงที่ฟลอร์เต้น ขณะที่บางคนก็ยืนดื่มที่โต๊ะ ขยับโยกย้ายร่างกายไปตามจังหวะ


เขาอาจไม่มีความทรงจำดีๆ กับไนต์คลับมากนัก แต่ก็ต้องยอมรับว่าตัวเองคุ้นเคยกับบรรยากาศครื้นเครง แสงสีและอบายมุขเหล่านี้เหลือเกิน...


“วันนี้ไม่มีใครสั่งอะไรเพิ่มเหรอครับ” เดินรับแขกอยู่พักใหญ่ๆ วินทร์ก็กลับมาที่โต๊ะเพื่อเติมเหล้าและมิกเซอร์ โดยไม่ลืมหันไปยุเพื่อนขาดื่มใกล้ๆ “พี่ไม่เอาสักหน่อยเหรอครับคืนนี้ ยังไม่เมาเลยน้า”


“ไม่ไหวม้าง พรุ่งนี้พี่มีงาน”


“สักหน่อยสิคะ” สาวเชียร์ร่วมยุ ก่อนจะหันมาขยิบตาใส่ตุลย์ที่อยู่ตรงข้าม “น้องตุลย์ไม่เอาอะไรเพิ่มสักหน่อยเหรอ มาครั้งแรกนี่ ลูกค้าใหม่พี่ทำเรื่องลดให้ได้น้า”


“ไม่ดีกว่าครับ ผมยังไม่ยี่สิบเลย”


...ที่จริง เขาไม่ควรผ่านการ์ดเข้ามาได้ด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะวินทร์เป็นลูกค้าวีไอพี


หญิงสาวร้อง ‘เอ๊ะ’ เบาๆ ด้วยสีหน้าคล้ายตกใจ แต่ครู่เดียวเธอก็หันไปอ้อนขาดื่มเจ้าเก่าต่อ


“พี่ศักดา วันนี้ไม่เปย์เลยอ่ะ รี่ขาดทุนแย่แล้ว”


“โถ น้องรี่โอเค เปย์ก็ได้ๆ ถ้ามีคนดวลเหล้าด้วย... น้องตุลย์เด็กใหม่นี่นา มาดวลกันหน่อยมา ทาวเวอร์หรือช็อตก็ได้”


คนพูดดึงสาวเชียร์ไปโอบหลวมๆ ตอนที่เอ่ยท้าเขา อาจเพราะเขาดูเด็กที่สุดในบรรดาแขกและยังไม่บรรลุนิติภาวะ ฝ่ายนั้นจึงกะเอาชนะแบบหมูๆ อวดศักดาโชว์สาวสวยไปในตัว


...แต่ถ้าคิดว่าเขาเป็นไก่อ่อนล่ะก็บอกเลยว่าผิดถนัด


“ช็อตแล้วกันครับ”


“อ่า ช็อตก็ช็อต”


ศักดาหันไปสั่งสาวเชียร์ เธอเดินหายไปพักหนึ่ง จากนั้นก็กลับมาพร้อมถาดที่มีแก้วช็อตและเหล้าขวดใหญ่


“เต็มแก้วแล้วกันเนอะ?” เชอร์รี่เลิกคิ้วถาม ก่อนรินเครื่องดื่มให้จนเต็มเมื่อพวกเขาพยักหน้า


พอแก้วแรกถูกเลื่อนให้โดยสาวสวย ศักดาก็ยกดื่มรวดเดียวหมดราวกับจะเกทับ


เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเชิง แก้วต่อมาตุลย์จึงเป็นฝ่ายยกดื่มก่อนบ้าง เสียงฮือฮาดังจากแขกรอบๆ โต๊ะเมื่อเห็นว่ามีการดวลเหล้าเกิดขึ้น


“ต่อเลยๆ”


ศักดาโบกมือให้หญิงสาวรินเหล้าเพิ่ม เธอก็รินใส่ให้พวกเขาทั้งคู่ ก่อนส่งแก้วหนึ่งให้เขา อีกแก้วให้ขาดื่ม ตุลย์กระดกแก้วที่สามอย่างรวดเร็ว แล้วหยิบน้ำ ดื่มตามทันที


น้ำทำให้เมาช้าลง... เป็นวิธีที่ใช้กันบ่อยสำหรับสายดื่ม แต่เขาก็ไม่คิดว่าจะได้ผลนัก สำหรับการดวลเหล้าที่ต้องดื่มเป็นช็อตติดๆ กัน


“รู้เรื่องเหมือนกันนะเนี่ยเรา”


ถูกแซว ตุลย์ก็ส่งแก้วน้ำเปล่าให้อีกฝ่ายทั้งที่หัวเราะ “พี่ไม่เอาหน่อยเหรอครับ เดี๋ยวจะเมาเร็วนะ”


“ยังก่อน ไอ้น้องพี่มันสายแข็ง”


“เร็วอีกๆ พักนานไปแล้ว!”


เสียงจากโห่ร้องจากด้านหลังเร่งให้สาวเชียร์รินแก้วที่สี่ ก่อนที่ต่างคนจะกระดกเครื่องดื่มของตนเอง ฝ่ายศักดา


พอเหล้าหมดแก้วก็ยกน้ำดื่มตามแก้ขมคอ พลางชูแก้วเปล่าในมือเรียกเสียงโห่เชียร์จากแขกรอบๆ โต๊ะ


“เอามาอีก!”


ดูเหมือนเหล้าที่ศักดาสั่งจะแรงพอสมควร เพราะหลังจากดื่มติดต่อกันเข้าแก้วที่ห้า ตุลย์ก็เริ่มรู้สึกมึนศีรษะ ทรงตัวได้ยาก เช่นเดียวกับที่สมองตอบสนองสิ่งเร้าช้าลง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็มั่นใจว่าตัวเองยังมีสติอยู่ระดับหนึ่ง


วินทร์คงจับสังเกตได้ถึงแตะไหล่เขา “ไหวหรือเปล่า ไม่ไหวก็พอนะ”


“ไม่พี่ ผมโอเค”


ตุลย์ยืนยันด้วยการยื่นแก้วให้สาวเชียร์รินใส่เป็นครั้งที่หก รอสองสามวิจนมั่นใจว่าไหวแน่ เขาก็ดื่มมันรวดเดียวแล้วดื่มน้ำทันทีท่ามกลางเสียงเชียร์เฮฮาและเพลงสดจากเวที ก่อนที่กองเชียร์จะพุ่งเป้าไปเร่งเร้าอีกคนที่เริ่มพูดจาไม่รู้เรื่อง หมุนแก้วในมือไปๆ มาๆ ไม่ยอมดื่มเสียที


“เร็วดิพี่ ช้าแบบนี้แพ้เด็กมันนะ!”


ถูกสบประมาณ ศักดาดื่มก็กระดกแก้วที่หกตามเขา ตามด้วยแก้วที่เจ็ดติดๆ


“น้องตุลย์สู้ๆ เร็วเข้า อย่าไปยอมแพ้!”


ตุลย์ดื่มแก้วที่เจ็ดตามอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นก็เลื่อนแก้วเปล่าให้สาวเชียร์ก็รินเพิ่ม


ทว่าดูเหมือนเขาไม่จำเป็นต้องดื่มที่เหลือ เพราะไม่ถึงห้านาทีหลังจากที่ศักดาดื่มแก้วที่เจ็ด เจ้าตัวก็ลงไปนอนฟุบโต๊ะ บ่นกระปอดกระแปดว่า ‘ไม่ไหวแล้วๆ’ ก่อนจะหลับไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้


“โอ้โห น้องตุลย์คอแข็งเหมือนกันนะเนี่ย สุดยอดอ่ะ เจ็ดช็อตแล้วยังไม่ร่วงอีก ฮ่าๆ สายดื่มเหรอเรา”


รุ่นพี่ทีมงานจากกองโฆษณาตบไหล่เขาที ก่อนจะเข้ามากอดคอแรงๆ เหมือนมันเขี้ยว เล่นเอาตุลย์เซแถดๆ ไปชนโต๊ะ


“ก็นิดหน่อยอ่ะพี่ แต่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ดื่มแล้ว”


พอเหล้าที่เริ่มออกฤทธิ์หนักเข้า หัวก็มึนตึงจนต้องดื่มน้ำตามอีกหลายแก้ว มีบางคนพยายามมอมเหล้าต่อ แต่โชคดีที่เขามีสติพอปฏิเสธ ขณะบางคนก็เข้ามาชวนเต้นกอดคอร้องเพลงตามจังหวะบนเวที 


หลังจากนั้น สติสัมปชัญญะของเขาเริ่มขาดๆ หายๆ เป็นช่วง รู้ตัวอีกทีก็หัวเราะไปกับมุกตลกหาสาระไม่ได้ของใครบางคนที่ไม่เคยรู้จัก


ตุลย์ไม่รู้ว่าวินทร์หายไปจากโต๊ะตั้งแต่เมื่อไหร่ ฝ่ายนั้นโผล่มาอีกทีก็ตอนดันฝ่าฝูงชนกลางฟลอร์เต้นตรง มาที่โต๊ะเพื่อเรียกเขา


“ได้เวลากลับบ้านแล้วนะครับ น้องตุลย์ ผู้ปกครองมารับโน้นแล้ว”  เอ่ยแซวขณะที่ชี้ไปในความมืดใกล้ประตูหนีไฟ


เขาเห็นร่างสูงของใครบางคนเดินลัดเลาะผู้คนตรงมา ฤทธิ์แอลกอฮอล์บวกกับแสงสีทำให้สายตาจับภาพไม่ชัด กระทั่งร่างนั้นเดินเข้ามาใกล้จนแทบประจันหน้า ตุลย์ก็ตกใจ


“...เต้?”


“ทำไมไม่รับโทรศัพท์?”


“ห๊ะ?” หน้าตุลย์มีแต่เครื่องหมายคำถาม


เขาเงียบไปเกือบครึ่งนาทีด้วยความงุนงง กว่าจะนึกออกว่าตัวเองตัดสายเต้ที่คาเฟ่ และยังไม่ได้โทรบอกอีกฝ่ายว่าไปไหนตั้งแต่เย็น


“โทษที ลืมสนิทเลย...”


คลับคล้ายว่าคู่สนทนาถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง “ห้าทุ่มแล้ว กลับได้แล้ว”


“ฉันยังไม่เมา...”


“แต่นี่อ้อแอ้แล้วนะเรา กลับได้แล้วมั๊ง” คราวนี้เป็นวินทร์เสริม


“...ผมยังไหวนะพี่”


ตุลย์ยืนกราน ก่อนจะเซแถดๆ เมื่อเต้ผลักไหล่เขาเบาๆ คล้ายทดสอบว่ายังทรงตัวได้หรือไม่ จนต้องหันไปถลึงตาใส่ฝ่ายนั้น


“นั่นแหนะ ไม่ไหวแล้วล่ะ ไปๆ กลับได้แล้ว รอบหน้าค่อยมาใหม่ ผมจัดปาร์ตี้บ่อยจะตาย” วินทร์ตบไหล่เขา


ถูกเจ้าภาพไล่ ตุลย์ก็มีทางเลือกนอกจากยอมกลับอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก


เต้พาเขาเบียดเสียดฝูงชนหนาแน่นออกจากไนต์คลับ เรียกให้ถูกคือหิ้วปลีกเสียมากกว่า เพราะพอเหล้าแผลงฤทธิ์หนักเข้า ตุลย์ก็เดินเป๋ไปเป๋มา ทำท่าเหมือนสะดุดได้กระทั่งพื้นเปล่าๆ จบลงด้วยการที่เต้ต้องจับแขนเขาคล้องคอแล้วพยุงคนเมาอ้อแอ้ออกมา



ทีแรกชายหนุ่มกะจะพาตุลย์ซ้อนมอเตอร์ไซค์คันโปรดกลับ แต่เห็นสภาพเจ้าตัวแล้ว เขาก็ตัดใจทิ้งรถไว้ โบกแท็กซี่ แล้วหย่อนอีกฝ่ายใส่เบาะหลังรถแทน


“ขึ้นเองได้น่า ไม่ต้องจับ”


ปากพูดแบบนั้น แต่พอไม่จับ หัวคนเมาก็โขกกับขอบประตูเข้าอย่างจัง เล่นเอาเจ้าตัวมึนงงไปชั่วขณะ ก่อนจะกุมศีรษะแน่นเหมือนเจ็บนักเจ็บหนา


“ขึ้นไปเร็ว ฉันต้องกลับมาเอารถอีก”


“รู้แล้วน่าๆ ๆ เป็นแม่ฉันเหรอ” ตุลย์ตอบปัดอย่างขอไปที


ท่าทางสะลึมสะลือไม่ค่อยมีสติ โดยที่มีขาขวาคาอยู่ในแท็กซี่ ทำให้เต้ต้องจับขาอีกข้างของคนเมายัดเข้าไปในรถ โดยที่ตนเองสอดตัวตามมาแล้วปิดประตูฉับ


คาดไม่ถึงว่า จู่ๆ ตุลย์จะคว้าหมับเข้าที่คอเสื้อคล้ายโมโหฟิวส์ขาดที่เขาทำแบบนั้น แรงกระชากอย่างไม่ทันตั้งตัวส่งผลให้เต้ทรงตัวไม่อยู่จนเกือบล้มหน้าคะมำใส่อีกฝ่าย


“อย่ามาจับกูยัดใส่รถ กูไม่ใช่หมูใช่หมา”


ร่างโปร่งจ้องเขาถมึงทึงเหมือนจะเอาเรื่อง พอพยายามแกะมือออก เจ้าตัวก็ยิ่งขยำปกเสื้อแน่น จนชักคอเจ็บขึ้นมาหน่อยๆ


เขารู้ว่าตุลย์ไม่ค่อยสบอารมณ์ที่อยู่ๆ ก็ถูกลากออกมาจากคลับ แต่ไม่นึกว่าจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ...


“โอเค ขอโทษ”


นานหลังเอ่ย กว่าตุลย์จะยอมปล่อยมือจากคอเขา ร่างโปร่งบ่นกระปอดกระแปดงึมงำฟังไม่ได้ศัพท์ จากนั้นเจ้าตัวก็เขยิบไปนั่งริมหน้าต่างเหมือนรำคาญ ทั้งที่สภาพตัวเองอ้อแอ้ ชนิดที่แค่นั่งตรงๆ ยังไม่ได้


พอเจ้าตัวปัญหาซบหน้าต่างหลับไป ความเงียบก็โรยตัวขณะที่รถเคลื่อนตัวออกไปตามถนนโล่งสุดระยะสายตา ครั้นแล้ว ชายหนุ่มจึงต่อสายหาอดีตเจ้านายของพ่อ


“เจอตุลย์ที่คลับแล้วเหรอ?” ปลายสายถามเรียบๆ


“ครับ กำลังพากลับ”


“อื้ม ฉันคงถึงบ้านช้ากว่า ฝากดูแลเขาจนกว่าฉันจะกลับบ้านแล้วกัน”


เหลือบมองสภาพเมายับของคนข้างๆ เต้ก็ลอบถอนหายใจเงียบๆ


"ครับ"


ถ้าไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้มีพระคุณของพ่อ และเขาถูกคาดทัณฑ์บนอยู่ ก็คงไม่ต้องมานั่งเป็นเบ๊ให้เจ้านี่หรอก...


-----------------------------------------------

เชิญทุกคนพบว่า หนูตุลย์คอทองแดงค่ะ ถถถถถถถถถถถถถถถถ
ตอนนี้รีบขัดมากก ไม่แน่เท่าไหร่ค่ะ ว่าอารมณ์ไปถึงหรือเปล่า
แถมเมลล่า ก็ป่วยด้วย ฮา แต่ไม่ได้เป็นไข้หวัดโบโรน่า เอ้ย โคโรน่า นะคะ
ไปแค่เชียงรายเอง แถมขับรถอย่างเดียว

สำหรับช่วงหลังนี้ ไม่มีคุณศานนท์ ฮื้อๆๆๆ ออกมานิดเดียว แต่ตอนหน้าเสี่ยมาเต็มตอนแน่นอนค่ะ

มีคนถามว่าเสี่ย เปย์ได้อีกมั้ย อืม... จะว่าได้ก็ได้ แต่อาการเปย์นี้อยู่ไม่ยืดค่ะ เพราะอะไร ติดตามน้า
อีกราวสองสามตอน จะเข้าสู่คลื่นลูกสุดท้ายของเรื่องแล้ว

ขอบคุณทุกคนที่คอนเม้นท์และติดตามค่ะ <3

คงไลค์เพจหมดแล้ว แต่ก็จะแปะต่อ ถถถ
 I’m Caramella  (https://www.facebook.com/Iamcaramella)


หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (30.01.20) l 23rd Night: สปอยล์ (100%) l P.14[Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 30-01-2020 23:08:12
แอบไปเมาอีก
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (30.01.20) l 23rd Night: สปอยล์ (100%) l P.14[Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 31-01-2020 01:01:34
 :pig4: :pig4: :pig4:

แอบหนีไปปาร์ตี้แบบนี้  ระวังเจอปาร์ตี้ยาอียาเคเข้าให้หล่ะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (30.01.20) l 23rd Night: สปอยล์ (100%) l P.14[Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 06-02-2020 13:01:11
กลับถึงบ้านคุณศานนท์จะลงโทษเด็กดื้อไหมน้าาาา :-[
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (30.01.20) l 23rd Night: สปอยล์ (100%) l P.14[Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: kimkidoy ที่ 08-02-2020 09:13:12
ตุลย์เอ้ยยยยยย น่าจะบอกคุณศาลหน่อยน้าาาา
เดี๋ยวคนแก่ก็น้อยใจหรอกกกกกกกกก!!!
รอต่อไปค้าบบบบบบบ :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (30.01.20) l 23rd Night: สปอยล์ (100%) l P.14[Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 09-02-2020 03:11:19
จะโดนทำโทษมั้ย  :hao3:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (30.01.20) l 23rd Night: สปอยล์ (100%) l P.14[Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: singalone ที่ 09-02-2020 03:59:18
เมื่อไหร่ตุลย์จะรับรักคุณศานต์แบบจริงๆซักทีน๊า
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (30.01.20) l 23rd Night: สปอยล์ (100%) l P.14[Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: kratai_rabbit ที่ 09-02-2020 12:17:21
โอ้ยย สนุกกค่ะ พึ่งเข้ามาอ่านลุ้นมากก  :hao7: :z3: ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (14.02.20) l 24th Night: สปอยล์(2) (50%)lP.14[Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 14-02-2020 23:06:26
24th Night : สปอยล์ (2)


ใช้เวลาอยู่บนถนน ร่วมครึ่งชั่วโมง เต้ก็พาร่างคนเมามาถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ ท่าทางโซซัดโซเซไม่มีสติ บวกกับน้ำหนักที่ไม่น้อยของตุลย์เป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่สำหรับเขา กว่าจะกล่อมอีกฝ่ายให้เชื่อฟัง กึ่งหิ้วกึ่งลากลงจากรถผ่านลานหน้าบ้านเข้ามาได้ เต้ก็ถอนใจไปหลายต่อหลายเฮือก


มิหน้ำซ้ำเข้ามาไม่ทันไร ตุลย์ก็ยกมือปิดปากทำท่าเหมือนพร้อมอาเจียนอยู่รอมร่อ ลำบากเขาต้องรีบหิ้วอีกฝ่ายไปที่ห้องน้ำก่อนที่เจ้าตัวจะเผลออาเจียนใส่พรมห้องนั่งเล่น


หลังอาเจียนออกไปพอสมควร ตุลย์ก็เริ่มมีสติ พูดจารู้เรื่องขึ้น เขาเกือบจะวางใจแล้ว หากอีกฝ่ายไม่ลุกขึ้นมาเดินเตร็ดเตร่ไปทั่วบ้านด้วยท่าทางสะโหลสะเหล ความอยู่ไม่สุขของตุลย์ทำให้เต้ต้องลากตัวอีกฝ่ายมาจับให้นั่งนิ่งๆ บนโซฟา เพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าตัวจะไม่เดินเตะอะไรล้มโครมเข้าก่อนศานนท์มาถึง


“อย่าลุก” เต้เอ่ยเตือน กดไหล่คนที่พยายามฝืดแรงยืนขึ้นเป็นครั้งที่สอง


ตุลย์ย่นคิ้วอย่างถูกขัดใจ แต่นาทีต่อมาก็เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์


 “งั้นไปหยิบอะไรในตู้ให้กินหน่อยดิ”


“ได้ จะเอาอะไร? "


“อะไรก็ได้ หยิบๆ มาเหอะ”


เต้คราง ‘อืม’ ในคอเชิงรับรู้ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกมา แต่จวนจะถึงห้องครัวแล้วก็ยังไม่วายถูกร่างโปร่งตะโกนสั่ง


“เอานมกล่องมาให้ด้วย! ”


“เออๆ ”


ได้ทีก็ใช้งานเขาใหญ่เชียวนะ


ชายหนุ่มเปิดตู้เย็นกวาดสายตาดูของไม่กี่อย่างที่ถูกแช่ไว้ จากนั้นก็หยิบนมกล่องหนึ่งออกมา เขาไม่รู้จะเลือกของว่างอะไรให้ตุลย์จึงคว้าซีเรียลอาหารเช้าข้างตู้เย็นติดมือมาด้วย อย่างน้อยถ้ามีอะไรใส่ปากก็คงทำให้ร่างโปร่งนั่งสงบเสงี่ยมได้สักพัก


ทว่ายังไม่ทันคิดไปไหนไกล อยู่ๆ เจ้าตัวปัญหาก็ตะโกนเรียกชื่อเขาเสียงหลง เต้ชะโงกหน้าออกไปทั้งที่ยังมือถือซีเรียลและกล่องนม ก็เห็นคนบนโซฟานั่งหน้าตื่นอยู่ไกลๆ


“เต้ โทรศัพท์กูไปไหน!? ”


“โทรศัพท์อะไร? ”


“มือถือกูไง! สีดำๆ มันหายไปไหนวะ...”


สีหน้าตุลย์เลิ่กลั่กอย่างเห็นได้ชัด ร่างโปร่งลุกขึ้น ปาดป่ายมือไปทั่วโซฟาเหมือนกำลังค้นหาบางอย่าง แถมยังรื้อหมอนออกมาอีก


“เวร! ในนั้นมีเบอร์สำคัญๆ เต็มไปหมด รูปด้วย! ”


เต้หรี่ตามอง ‘วัตถุสีดำสี่เหลี่ยมทรงแบน’ ในมือซ้ายของร่างที่เคลื่อนไหวอย่างลุกลี้ลุกลน จวบจนแน่ใจว่ามันคือ ‘สิ่งที่ตุลย์ตามหา’ เขาก็เอ่ยถามอย่างเอือมระอา


“แล้วในมือนั่นอะไร”


“ในมือไหน? ” ตุลย์ขมวดคิ้ว ก่อนจะยกวัตถุในมือซ้ายขึ้น “ไอ้นี่อ่ะนะ ก็โทรศัพท์ไง”


“ก็ตามหาโทรศัพท์อยู่ไม่ใช่หรือไง”


“ห๊ะ? ...ไหน? ” พวกเขาจ้องหน้ากันโดยที่ต่างคนต่างงุนงงอยู่พักใหญ่ๆ กว่าตุลย์จะร้อง ‘อ๋อ’ เบาๆ แล้วทิ้งตัวลงนั่งตามเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


อะไรของเขา


เต้ได้แต่ถอนหายใจเฮือก


หากไม่ใช่เพราะวันนั้นเขาใจอ่อนพาตุลย์ไปฉลองวันเกิดเพื่อนที่ห้างสรรพสินค้า จนเป็นเหตุให้คนของศานนท์บาดเจ็บถึงขั้นต้องเข้ารับการผ่าตัดเล็กที่โรงพยาบาล ป่านนี้ก็คงไม่ต้องมานั่งเป็นพี่เลี้ยงให้อีกฝ่าย


เย็นวันนั้นหลังเกิดเรื่องและตุลย์ถูกเชิญออกไป เต้และอเนกก็โดนศานนท์ต่อว่าเป็นการใหญ่ ตัวเขาไม่เท่าไหร่เพราะเดิมทีแค่ถูก ‘ไหว้วาน’ มา


ถึงแม้ครอบครัวของเขาและศานนท์จะสนิทใกล้ชิดถึงขนาดที่รับใช้กันผ่านสายเลือดมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ แต่ศานนท์เป็นคนพูดคำไหนคำนั้น ในเมื่ออีกฝ่ายให้สัจจะว่า ‘จะรามือจากวงการ’ ความสนิทชิดเชื้อระหว่างครอบครัวของเขาที่เป็นดั่งแขนขาและบ้านใหญ่ก็ย่อมถูกสะบั้นลง เสมือนว่าไม่เคยเกี่ยวดองกันมาก่อน กอปรกับการตัดสินใจลาออกของบิดาเมื่อหลายปีก่อน สถานะของเขาในตอนนี้จึงจัดว่าเป็น ‘คนนอก’ โดยสมบูรณ์


หนุ่มใหญ่ไม่มีอำนาจใดๆ เกินกว่าจะต่อว่าเขาในฐานะผู้อาวุโส ซึ่งต่างจากอเนกที่เป็นคนในและรับหน้าที่ดูแลตุลย์มาตั้งแต่แรก ถึงแม้ว่าบริษัทประกันจะรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น แต่เจ้าตัวก็ยังถูกตัดเงินเดือนเหลือครึ่งเดียวยาวจนสิ้นปี โทษฐานที่ทำหน้าที่บกพร่องอยู่ดี


จะว่าปรานีก็ได้ เพราะถ้าเทียบกับวิธีบริหารแบบเก่าของหนุ่มใหญ่ที่เขาได้ยินมาจากพ่อ ความหละหลวมของอเนกในครั้งนั้น บวกกับอายุงานไม่ถึงสามปีซึ่งจัดว่ายังน้อย อาจทำให้ชายหนุ่มกลายเป็นไก่ที่ถูกเชือดเป็นแบบอย่างให้คนอื่นๆ อย่างไม่น่าเสียดาย แทนที่จะเลี้ยงไว้ให้เปลืองเบี้ย


แต่ปัจจุบันระบบเปลี่ยนไปในเชิงนายจ้าง-ลูกจ้างมากขึ้นเพราะศานนท์ต้องการทำทุกชั้นตอนแบบมือสะอาด ประกอบกับอเนกมีไหวพริบมากพอจะกู้สถานการณ์กลับมาได้โดยที่ตุลย์ปลอดภัยครบสามสิบสองดี ชายหนุ่มจึงยังอยู่ดีมีสุข ไม่โดนไล่ออกตราบใดที่ไม่ผิดพลาดซ้ำสอง


...แต่ถ้ามองในมุมกลับกัน สำหรับมนุษย์เงินเดือนอย่างอเนกที่มีภาระหนี้สิน และครอบครัวต้องดูแล จู่ๆ ต้องมาใช้ชีวิตอีกเจ็ดแปดเดือนข้างหน้าด้วยเงินเดือนเพียงครึ่งเดียว ก็หนักหนาสาหัสเอาการ


คนที่มีอำนาจคาดโทษทัณฑ์บนเขาได้ในตอนนั้น ก็เห็นจะมีแต่ผู้เป็นพ่อ หลังจากทราบเรื่องที่เกิดขึ้น พ่อก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ถึงขนาดลงโทษเขาด้วยการไล่ให้ไปทำตามคำขอของศานนท์ใหม่แทนการแก้ตัว นั่นคือตามดูแลตุลย์อย่าให้ขาดตกบกพร่อง ซึ่งก็ลามมาถึงการไปรับไปส่งทุกครั้งที่อีกฝ่ายเรียกร้อง


หากเขาปฏิเสธหรือทำพลาด พ่อจะไม่ยอมให้เขาขึ้นชกบนเวทีอีก


เมื่อก่อนเขาเที่ยวต่อยตีกับเด็กคนอื่นอยู่บ่อยๆ มาเลิกได้ก็ตอนใกล้จบมัธยมเพราะแม่ขอร้อง แต่ด้วยความที่นิสัยเก่าเลิกยาก สุดท้ายเขาก็ผันตัวไปชกมือสมัครเล่นบนสังเวียนแทนตั้งแต่นั้นมา


จู่ๆ จะให้มาทิ้งมวยเอาตอนนี้ สู้เขายอมๆ เป็นเบ๊ให้ตุลย์ไปสักระยะยังดีกว่า …


เต้ยื่นซีเรียลและนมกล่องให้คนบนโซฟา ตุลย์เงยหน้ามองเขางุนงงเหมือนสมองไม่ตอบสนอง ก่อนจะรับของทั้งสองมาวางแหมะข้างตัว ด้วยเกรงว่านั่งนิ่งไม่ได้นานคงก่อเรื่องอีก เต้จึงตัดปัญหาด้วยการหยิบรีโมต กดเปิดช่องรายการบันเทิงให้อีกฝ่ายดูฆ่าเวลา ซึ่งก็คล้ายจะได้ผลเมื่อเจ้าตัวนั่งเงียบกินขนม จดจ่อกับโทรทัศน์ไปพลาง


อยู่นิ่งๆ เป็นซะบ้างก็ดี…


เต้ถอนหายใจเหนื่อยหน่ายรอบที่หลายร้อย เขาต้องคอยวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ร่างโปร่งเพราะไม่กล้าปล่อยให้คลาดสายตานาน ในใจหวังให้เจ้าของบ้านรีบมาถึงเสียที


นับเป็นโชคดีของเต้ เพราะหลังจากนั้นไม่นานศานนท์ก็กลับมาถึงบ้าน ซีดานยุโรปเปิดไฟหน้าสว่างแล่นเข้ามาจอดในพื้นที่โรงรถ สักครู่หนึ่งเสียงเครื่องยนต์ก็ดับลง จากนั้นร่างสูงของคนที่เขารอคอยก็ปรากฏตัว


ศานนท์เปิดประตูเข้ามา ที่แปลกตา คือวันนี้หนุ่มใหญ่สวมชุดสูทอังกฤษตัดจากผ้าวูลเนื้อหนาสีกรมท่าทับเชิ้ตขาวด้านใน ผูกหูกระต่าย และสวมรองเท้าหนัง ผมที่แสกข้างปาดขึ้นไปเป็นทรงทำให้เห็นเค้าโครงหน้าเด่นชัดดูภูมิฐาน


ตุลย์ทำตาโตเหมือนประหลาดใจเมื่อเห็นเจ้าของบ้านแต่งตัวเต็มยศ


“ขอบใจที่อยู่ดูแลตุลย์ให้จนฉันกลับ” หนุ่มใหญ่ยื่นแบงก์พันสองใบให้คู่สนทนา ก่อนจะตบไหล่ทีหนึ่ง


“ขอบคุณครับ”


เต้รับค่าเสียเวลามา ก่อนเอ่ยลาอดีตเจ้านายของพ่อ แล้วเดินสวนออกไปเมื่อภาระหน้าที่พี่เลี้ยงเด็กของเขาสิ้นสุดลง


ลับหลังเงาร่างบุคคลที่สาม ศานนท์ก็ตรงไปหาคนเมาบนโซฟาด้วยสีหน้านิ่งเรียบ


เขาอยู่ที่งานกาล่าตอนที่เต้โทรมาแจ้งว่าหาตุลย์ที่กองถ่ายไม่พบและติดต่อเจ้าตัวไม่ได้ เขาจึงโทรหาคนในวงการที่ใกล้ชิดกับตุลย์หลายคน หนึ่งในนั้นก็ไม่พ้นแบรนด์แอมบาสเดอร์อย่างวินทร์ ครั้นแล้วถึงได้ทราบจากปากว่า ตุลย์อยู่ที่ไนต์คลับกลางเมืองกับเจ้าตัว และปลอดภัยดี แต่เพื่อที่จะไม่ต้องรีบออกจากงานเลี้ยงก่อนเวลา เขาจึงใช้ให้เต้ไปรับฝ่ายนั้นแทน และคอยเฝ้าไว้จนกว่าตัวเองจะกลับถึงบ้าน


แต่การที่เขาไม่เร่งรีบกลับมาไม่ได้หมายความว่า ตุลย์จะทำตามใจได้ทุกอย่าง…


กลิ่นเหล้าคลุ้งเตะจมูกจากร่างที่นั่งเท้าแขนอยู่บนโซฟา เสื้อผ้าเจ้าตัวยับย่นเป็นริ้วๆ กับแววตาที่ปรือเลื่อนลอย เป็นเครื่องการันตีอย่างดีว่า ตุลย์ดื่มมาหนักเอาเรื่อง


“วันนี้คุณกลับดึกจัง...”


ศานนท์เมินสายตาสนอกสนใจคู่นั้น แล้วถามคำถามที่รู้คำตอบอยู่แก่ใจ แต่อยากฟังจากปากเจ้าตัวมากกว่า


“ไปไหนมา”


“ไปเที่ยวคลับครับ” คนเมาตอบตามตรง


“สนุกมั้ยล่ะ”


“อา... ก็ดีนะ ผมไม่ได้ค่อยดื่มหนักแบบนี้บ่อย นานๆ ทีได้ทำสักครั้งก็สนุกดีเหมือนกันครับ ”


ตุลย์ยิ้ม ทอดสายตามองไปไกลเหมือนตกอยู่ในห้วงภวังค์ สักครู่ใหญ่ๆ กว่าหันมาหาเขาคล้ายเพิ่งนึกบางอย่างได้


“ผมขอโทษที่ไม่ได้โทรบอกคุณก่อน...”


“แล้วทำไมไม่โทรบอก กลัวฉันจะไม่ให้ไปเหรอ? ” สีหน้าของศานนท์นิ่งเรียบ แต่ฟังจากน้ำเสียงแล้วก็เดาได้ว่าไม่สบอารมณ์นัก


ตุลย์ส่ายหน้าเบาๆ “เปล่าครับ ผมมัวแต่เที่ยวจนลืมไปสนิท... ขอโทษ... ผมทำให้คุณวุ่นวายอีกหรือเปล่า? ”


เริ่มต้นเขาตั้งใจจะตำหนิตุลย์ที่เถลไถลจนลืมเวลา แถมยังไปไม่บอกกล่าวใคร แต่พอถูกร่างโปร่งช้อนตามองด้วยสีหน้าและน้ำเสียงแฝงความรู้สึกผิด เขากลับไม่อยากพูดต่อเสียอย่างนั้น


“.......”


ความไม่พอใจที่ยังคุอยู่จากทีแรกทำให้หนุ่มใหญ่เลือกเมินเฉย เขาถอดสูทตัวนอกและหูกระต่ายออก เหลือแค่เสื้อกั๊กเข้าชุดทับเชิ้ตตัวในเพื่อคลายร้อน การใส่เสื้อผ้าสามชั้นติดต่อกันตั้งแต่อาทิตย์ตกดินจนดึกดื่นทำให้อึดอัดเอาเรื่อง พอถอดออกไปชั้นหนึ่งจึงรู้สึกว่าเคลื่อนไหวได้อิสระขึ้นเป็นกอง


คราวนี้เป็นตุลย์ที่มองการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายอย่างยากจะละสายตา...


หนุ่มใหญ่เป็นคนสูง รูปร่างอีกฝ่ายจัดว่าอวบและมีส่วนเกินให้เห็นอย่างคนไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเป็นประจำ แต่ไม่ถึงกับอ้วน โดยปกติสูทเสื้อกั๊กจะถูกตัดให้รับกับไหล่และช่วงเอวผู้สวมใส่ พอมันอยู่บนร่างของคนที่สูงและไม่ผอมอย่างศานนท์ กลับขลับเสน่ห์น่าหลงใหลแบบคนมีอายุออกมาได้อย่างดี


“แล้วคุณล่ะครับสนุกมั้ย? ”


ประโยคที่ถามไม่มีนัยพิเศษ เขาไม่รู้ว่าตัวเองแสดงสีหน้าแบบไหน แต่กลับรู้สึกราวกับถูกหนุ่มใหญ่อ่านความรู้สึกออกอย่างทะลุปรุโปร่ง...


“ไม่สนุกเลย”


ศานนท์ตอบด้วยเสียงที่เบาราวกระซิบก่อนจะโน้มหน้าลงมาจูบ ริมฝีปากของทั้งคู่สัมผัสกันเบาๆ ในทีแรกคล้ายลองเชิงและผละออกอย่างไม่รีบร้อน


ตุลย์เผลอสบตากับอีกฝ่ายชั่วขณะที่ใบหน้าศานนท์อยู่ห่างเขาแค่เพียงปลายนิ้วคั่น ใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจ จูบถัดมาหนักหน่วงและเร่งเร้ากว่าครั้งแรก ตุลย์แหงนหน้าขึ้นเล็กน้อย วาดแขนโอบลำคอรั้งศีรษะหนุ่มใหญ่ต่ำลงเพื่อให้จูบตอบได้ถนัด สัมผัสของเนื้อผ้าวูลผ่านฝ่ามือตอนที่ป่ายปัดตามลาดไหล่กว้างและแผ่นหลังยิ่งกระตุ้นความต้องการ


“อ่า...”


ทำไมศานนท์ในสูทเต็มยศแบบนี้ถึงเร้าอารมณ์นักนะ..


ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ศานนท์ทิ้งน้ำหนักลงมาจูบนัวเนียกับเขาบนโซฟา กลายเป็นว่าหนุ่มใหญ่คร่อมอยู่บนร่าง โดยที่ขาข้างหนึ่งของอีกฝ่ายคั่นอยู่ตรงกลางหว่างขาเขา ความใกล้ชิดของร่างที่เบียดอัดอยู่บนโซฟาแคบๆ ทำให้ส่วนอ่อนไหวเสียดสีหน้าขาระหว่างที่แลกจูบกันอยู่หลายครั้ง


“ผมนึกว่าคุณจะโกรธซะอีก” ตุลย์พูดออกไปตามที่คิด


ไม่ใช่แค่ฤทธิ์แอลกอฮอล์ สัมผัสปลุกเร้าทางกายยก็ทำให้เขาควบคุมสติได้ยากขึ้น


“ก็เกือบจะ แต่ว่าตอนนี้คงโกรธไม่ลง...”


ศานนท์ผละจากริมฝีปาก เปลี่ยนมาไล่กดจูบที่กกหูและซอกคอของเขาแทนอย่างที่ทำไม่บ่อย ลมหายใจร้อนๆ ลากผ่านต้นคอ ทิ้งสัมผัสอุ่นชื้นไว้ที่ครั้งที่เม้มจูบ ขณะเดียวกันก็สอดมือเข้าไปสัมผัสกล้ามเนื้อหน้าท้อง แล้วลูบต่ำลงไปใต้กางเกง


“อ้า...”


ตุลย์ครางเมื่อส่วนอ่อนไหวถูกกุมไว้ในอุ้งมือของคนเบื้องบน อุณหภูมิจากปลายนนิ้วที่เค้นคลึงมัน กระตุ้นแรงปรารถนาของเขาจนทั่วทั้งร่างร้อนผะผ่าว วินาทีนั้น เขาก็รวบรวมสติเฮือกสุดท้ายก่อนที่ทุกอย่างจะเลยเถิด


“คุณ... ทำบนเตียงได้มั้ย ตรงนี้มันแคบ ผมอึดอัด”


-------------------------------------


ตอนแรกเขาแน่ใจว่ามันเป็นความคิดที่ดี... แต่ตอนนี้ชักสงสัยว่าตัดสินใจผิดหรือเปล่าที่ย้ายมาบนเตียง…


ส่วนแข็งขึงคับแน่นอยู่ด้านในขยับเสียดสีกับจุดที่อ่อนไหวในร่างทำเอาเสียวซ่านจวนเจียนจะคลั่ง พื้นที่ปลายเตียงยวบยุบลงตามน้ำหนักของร่างทั้งสอง ศานนท์คร่อมอยู่บนตัวเขาโดยจับขาทั้งสองข้างแยกออก


จังหวะที่กระทั้นสอดใส่เข้ามานั้น ติดจะเร่งเร้าและหนักหน่วงจนร่างของคนเบื้องล่างเคลื่อนไหวตามแรงกระทำ มันไม่เจ็บแต่ทำให้ชาหนึบ ...ชาจนรับรู้ได้แต่ความเสียวซ่านที่แล่นไปทั่วสรรพางค์


ตุลย์จิกเท้า บิดเกลียวอยู่หลายครั้ง เมื่อศานนท์ตั้งใจสอดใส่หนักๆ เร่งให้เขาเสร็จด้วยการบดเบียดส่วนนั้นกับจุดอ่อนไหว


“อ้า อ้า ยะ อย่าเพิ่ง... อะ ฮา อย่าเพิ่ง”


รู้ตัวว่าพูดไม่รู้เรื่อง ก็ตอนที่ปรามอีกฝ่ายให้ช้าลงเพราะตนเองกำลังจะถึงฝั่งฝันก่อน


หนุ่มใหญ่ไม่เพียงไม่ฟัง แต่ยังจับข้อเท้าเขาไว้ข้างหนึ่ง อุณหภูมิร้อนจากมือที่กำรอบข้อเท้าราวกับจะผูกมัดไว้ยิ่งทำให้ตุลย์รู้สึกเหมือนถูกกระตุ้นอารมณ์ เขาหอบกระเส่า สติยุ่งเหยิง ไม่รู้รับสิ่งอื่นนอกจากว่าอยากปลดปล่อยเต็มแก่ จนต้องเอื้อมมือรูดรั้งส่วนนั้นของตนเอง


แต่ยังไม่ทันถึงไหน หนุ่มใหญ่ก็ชิงเอาไปกอบกุมไว้ในมือนิ่งๆ โดยไม่ปรนเปรอมันต่อ เหมือนยังไม่อยากให้ปลดปล่อยตอนนี้


ตุลย์ถลึงมองคนด้านบนตาแดงก่ำ แต่เขาไม่เหลือสติมากพอจะตอบโต้อีกฝ่าย นอกจากครางและหอบหายใจสลับกันเพราะแรงอารมณ์ที่พุ่งสูง เขาจิกเท้า ร่างกายกระตุกเบาๆ สมองโล่งไปชั่วขณะ ไม่รับรู้อื่นใดเว้นแต่อารามสุขสมจากความกระหายที่ถูกเติมเต็ม และลมหายใจหอบถี่


ครั้นพอคนด้านบนละมือจากส่วนกลางลำตัว เขากลับต้องแปลกใจที่ตนเองไม่ได้ปลดปล่อยอย่างคิด มีแค่ของเหลวเล็กน้อยที่หยดเปรอะเปื้อนบนหน้าท้องเท่านั้น


“...ฉันเปลี่ยนท่านะ? ”


เห็นว่าไม่ปฏิเสธ ศานนท์จึงถือโอกาสพลิกตัวเขาที่ยังอยู่ในอาการงุนงงกับร่างกายตัวเองให้คว่ำลงในท่าคลานเข่า ตุลย์ก็ร้องห้ามแทบไม่ทัน


“คุณ! ผมเพิ่งเสร็จ”


คืนนี้ศานนท์ทำตามใจเสียจนเขาชักไม่แน่ใจแล้ว ว่าอีกฝ่ายหายโกรธจริงๆ


“อะ อ้า”


แต่พอถูกแก่นกายสอดใส่เข้ามาเป็นครั้งที่สอง เขาก็เข้าใจถ่องแท้ว่าทำไมศานนท์ยังดันทุรังจะทำต่อ ร่างกายที่เพิ่งเสร็จสมทำให้เขาไวต่อความรู้สึก และกระสันต่อการถูกสัมผัสกว่าเมื่อครู่หลายเท่า


พอถูกกระทั้นบดเบียดซ้ำที่จุดอ่อนไหวติดต่อกัน เขาก็หลุดครางอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ กระแสอารมณ์แล่นซ่านไปทั่วร่าง ไม่ว่าศานนท์สัมผัสตรงไหนเขาก็รู้สึกเหมือนถูกไฟฟ้าช็อต


ร่างโปร่งเท้าศอกลงบนเตียง ก้มหน้าครางกระเส่าเหมือนจะขาดใจ ก่อนจะสะดุ้งตอนที่ฝ่ามืออุ่นลูบไล่ตามแนวสันหลังขึ้นมาที่ท้ายทอย แล้วกดหลังคอเขาลงเบาๆ


“ถ้าเธอไม่ไหว ก้มลงไปเลยก็ได้...”


ได้ยินแบบนั้น ตุลย์ก็คว่ำตัวซุกหน้าลงกับเตียงโดยที่บั้นท้ายถูกรั้งสูงเพื่อให้อีกฝ่ายขยับได้สะดวก ศานนท์เป็นฝ่ายกุมสะโพกเขาควบคุมจังหวะสอดใส่ มันหนักหน่วงช่วงแรก ก่อนจะผ่อนลงตอนที่หนุ่มใหญ่ทาบทับลงมาบนร่างเขา ใช้มือลูบเฟ้นท้องน้อย ก่อนจะเลื่อนต่ำลงมารูดรั้งโคนส่วนอ่อนไหว ขณะที่ค่อยๆ ขยับเคลื่อนไหวสิ่งที่แข็งขึงในตัวเขาเข้าออกลึกๆ แต่เชื่องช้า


...ปราศจากความรุนแรง แต่กลับทำให้เสียวซ่านจนร่างบิดเกลียวอยู่หลายครั้ง


ตุลย์หอบหายใจถี่ ขยำผ้าปูเตียง ก่อนจะครางหนักๆ ตอนที่ปลดปล่อยทั้งหมดออกมาในอุ้งมืออีกฝ่าย เช่นเดียวกับบางส่วนที่หยดลงบนเตียง


 


“ไหวมั้ย? ” ศานนท์ถามอย่างห่วงๆ


หลังต่างฝ่ายต่างเสร็จกิจร่างโปร่งแทบไม่ขยับไปไหน นอกจากพลิกตัวหงายแล้วนอนนิ่งๆ อยู่บนเตียง


ตุลย์เหม่อมองหนุ่มใหญ่ที่นั่งอยู่ขอบเตียง ในหัวเขาว่างเปล่าและเบาหวิวหลังจากสิ่งที่เกิดขึ้น มันยากจะประคับประคองสติแม้จะผ่านมาเกือบสิบนาที


เขาไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายตัวเองด้วยซ้ำ…


“คุณ... เมื่อกี้มันอะไร? ”


ศานนท์เผยสีหน้างุนงง แต่ชั่วครู่เดียวเจ้าตัวก็เข้าใจสิ่งที่เขากังวล


“เธอแค่เสร็จโดยไม่หลั่งน่ะ”


...หือ?


สีหน้าจับต้นชนปลายไม่ถูกของตุลย์ เรียกรอยยิ้มจากคนที่มากประสบการณ์กว่า


“ถ้าเธอชอบ คราวหน้าลองใหม่ก็ได้นะ”


“มะ ไม่ครับ ไม่เอาแล้ว” เขาส่ายหน้าหวือ


ถึงตอนที่เสร็จจะรู้สึกดีมากๆ แต่ระหว่างทางเขาครางอย่างกับจะขาดใจตาย ถ้ามีคราวหน้าอีกคงได้ตายคาเตียงจริงๆ

 
----------------------------------------
happy valentines เจ้าค่าา
คิดซะว่าตอนนี้สำหรับวาเลนไทน์แล้วกันเจ้าค่ะ จะได้ได้บรรยากาศ ถถถถ


เมลล่าป่วยค่ะ ตั้งแต่กลับมาจากเที่ยว ยังไอเป็นหมาเห่าอยู่เลย แต่สุดท้ายก็ปั่นเสร็จจนได้
สำหรับตอนนี้ขอตั้งชื่อเดียวกับตอนเก่าเจ้าค่ะ เพราะแก่นเนื้อหายังอยู่ที่จุดเดียวกัน (ฮา)
ครึ่งหลังก็ยังเป็นเซอร์วิสหวานๆ น้าา ตอนนี้ไม่เครียดเจ้าค่ะ อิอิ

ขอบคุณที่ติดตามค่า มีนักอ่านใหม่ๆ เข้ามาด้วยย ซึ้งมากค่ะ แต่คนเก่าๆ ที่อยู่กันมานานก็จำได้น้า ถถถถถ
จะรีบปั่นตอนใหม่มาให้รับชมเจ้าค่ะ
แปะเพจเหมือนเดิม : Caramella (https://www.facebook.com/Iamcaramella)

PS. สำหรับ reference ในตอนนี้ก็คือ dry orgasm เจ้าค่ะ ถถถ ไปนั่งศึกษาอยู่พักนึงกว่าจะได้เขียน ฮี่ๆๆ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (14.02.20) l 24th Night: สปอยล์(2) (50%)lP.14[Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 15-02-2020 02:22:38
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (14.02.20) l 24th Night: สปอยล์(2) (50%)lP.14[Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 17-02-2020 13:07:26
หวี๊ดดดด คุณศานนท์ โซ แดม ฮอต  :sad4: // คุณเค้าเทคนิคแพรวพราวมาก ประทับใจ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (23.02.20) l 24th Night: สปอยล์(2)(100%)lP.14[Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 23-02-2020 13:54:39
24.5


ตามปกติแล้วตุลย์จะซ้อมมวยทุกช่วงสายของวันเสาร์อาทิตย์ แต่สุดสัปดาห์นั้น ตารางเรียนชกมวยของเขาถูกเลื่อนขึ้นมาเป็นเช้าตรู่เนื่องจากโค้ชติดธุระสำคัญ หลังจบคลาส และศานนท์มารับ พวกเขาจึงแวะทานมื้อกลางวันด้วยกันที่ร้านในห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง


 “คุณ ก่อนกลับผมอยากดูกล้องหน่อย” เขาบอกศานนท์ หลังออกจากร้านอาหารญี่ปุ่น


 “นำไปสิ”


ที่จริงเขาและเพื่อนๆ วางแผนจะออกเที่ยวไกลๆ ด้วยกันสักครั้ง แม้จะยังหาจังหวะเวลาว่างตรงกันไม่ได้ แต่ตุลย์ก็อยากได้กล้องตัวเล็กๆ พกพาสะดวกสักตัว เอาไว้เก็บภาพบรรยากาศระหว่างท่องเที่ยว


เขากับศานนท์เดินเตร็ดเตร่ตามหากล้องที่โซนไอทีอย่างไม่รีบร้อนจนพบของที่ต้องการ ตุลย์ใช้เวลาพินิจพิเคราะห์สินค้าครู่เดียวก็ตัดสินใจซื้อมันอย่างรวดเร็ว


“หืม อันแค่นี้น่ะเหรอ? ”


ศานนท์ถามพลางหยิบกล้องราคาหมื่นห้าขนาดเท่าฝ่ามือที่พนักงานเพิ่งแกะออกจากกล่องเพื่อให้พวกเขาตรวจเช็กสินค้ามาถือไว้


ราคาไม่ใช่สาระสำคัญ แต่รูปร่างหน้าตาที่เหมือนกับกล้องของเล่นต่างหากที่ทำให้หนุ่มใหญ่เผยสีหน้าคลางแคลงจนตุลย์เห็นแล้วได้แต่หัวเราะเบาๆ


“ครับ ใหญ่กว่านี้ก็พกลำบาก เห็นเล็กๆ แบบนี้แต่เลนส์จับแสงดีมากเลยนะ เดี๋ยวผมทำให้ดู...”


ตุลย์รับกล้องจากศานนท์ กดเลือกโหมดถ่ายภาพมาตรฐาน ก่อนจะเก็บภาพมุมหนึ่งในร้านที่ค่อนข้างมืด จากนั้นเอียงหน้าจอให้หนุ่มใหญ่ดู


ศานนท์เผยสีหน้าแปลกใจตอนที่เห็นว่าภาพที่ถ่ายได้สว่างใกล้เคียงกับแสงที่มองด้วยตาเปล่า แถมยังซูมเข้าซูมออกได้ชัดอีกด้วย


“ถ่ายวิดีโอก็ชัดนะคุณ”


เขาก็ปรับกล้องเป็นโหมดภาพเคลื่อนไหวแล้วถือโอกาสใช้คนข้างกายเป็นแบบเสีย


“คุณยิ้มให้กล้องหน่อยสิ”


ตุลย์หันกล้องไปทางคู่สนทนา หนุ่มใหญ่ยิ้มให้ทีหนึ่งตามที่เขาขอ ท่าทางไม่ตื่นกล้องอย่างที่คาดไว้ แต่ก็ไม่เป็นธรรมชาตินัก ปฏิกิริยานั้นทำให้ตุลย์ยิ้มออกมาอย่างเผลอไผล


ทดลองถ่ายอยู่หลายโหมดจนพอใจ เขาถึงเปิดสิ่งที่บันทึกได้ให้หนุ่มใหญ่ดู

   
“คุณคิดว่ายังไงครับ? ”


อีกฝ่ายก็พยักหน้าเห็นดีเห็นงามด้วย

 
“ก็ดีนี่”
 

ศานนท์ให้เวลาตุลย์เดินดูส่วนเสริมอื่นๆ ของกล้องอยู่ในร้านโดยที่มีพนักงานคอยแนะนำอีกดพักหนึ่ง โดยที่ตนเดินตามเนื่องจากไม่สันทัดเรื่องเทคโนโลยีใหม่ๆ นัก ตุลย์ดูกระตือรือร้น สนอกสนใจกับของตรงหน้า ท่าทางมีชีวิตชีวาดี บางครั้งเจ้าตัวก็หันมาขอความเห็นซึ่งเขาได้แต่ตอบอือๆ ออๆ ไปอย่างไม่เข้าใจละเอียดนัก


วิธีที่ตุลย์ปฏิบัติตัวกับเขาต่างจากเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่เขาเปิดใจยอมเล่าอดีตของตนเองให้ฟัง


ร่างโปร่งดูโอนอ่อนผ่อนตามและยอมให้เขาเป็นฝ่ายชักนำมากขึ้น ไม่หวาดระแวดระวังตั้งแง่ไปทุกเรื่องอย่างก่อน ไม่ว่ากับกิจวัตรประจำวันอย่างการยอมตามเขาไปไหนมาไหนกับเขาง่ายๆ หรือแม้แต่กับเรื่องเซ็กซ์...


ถึงแม้ว่านิสัยดื้อแพ่ง ชอบทำอะไรตัวคนเดียวโดยภาระการของเจ้าตัวจะยังสร้างเรื่องน่าปวดหัวให้บ้าง แต่ก็นับว่าเป็นพัฒนาการทางความสัมพันธ์ด้านบวกที่เขาพึงพอใจอย่างมาก


นกที่ไม่เคยถูกขังกรง หากบังคับจับใส่กรง สบโอกาสมันก็คงหนีไป


แต่ถ้าไม่กักขังไว้ ให้อาหารจนไว้ใจ ถึงจะเถลไถลไปบ้าง แต่ท้ายที่สุดมันก็บินกลับมาหาเขาทุกครั้งอยู่ดี…


 

“เอาเท่านี้แล้วกันครับ”


ตุลย์เลือกอุปกรณ์เสริมสามชิ้นส่งให้พนักงานเพื่อนำไปคิดรวมกับตัวกล้อง จากนั้นก็เดินตามไปที่เคาท์เตอร์ชำระเงิน แต่จังหวะที่หางตาเหลือบไปเห็น โน้ตบุ๊ก สีเงินยี่ห้อดังตั้งโชว์อยู่บนโต๊ะตัวข้างๆ เขาก็หันไปเมียงมองอย่างอดไม่ได้


แบรนด์ดังกล่าวขึ้นชื่อเรื่องความเบา และขนาดกะทัดรัดพกพาสะดวกเป็นหลัก ทว่าราคาแปรผกผันกับปัจจัยข้างต้นลิบลับ


…ถ้าไม่ติดว่าตัดสินใจซื้อกล้องแล้ว เขาก็อยากได้มันอยู่


“สนใจยี่ห้อนี้เหรอครับ”


เห็นว่าตุลย์ทดลองใช้งานอย่างฟังก์ชันง่ายๆ ดู พนักงานคนเดิมที่เพิ่งรับอุปกรณ์เสริมไปก็วกกลับมาหา


“ตัวนี้ใช่รุ่นล่าสุดที่ออกใหม่มั้ยครับ? ”


“อา... ไม่ใช่ครับ ออกมาราวๆ เกือบสองปีแล้ว ถ้ารุ่นล่าสุดจะเป็นตัวนี้ครับ แพงกว่า แต่สเปคดีกว่า”


พนักงานแนะนำเขาให้ดูอีกรุ่นหนึ่งซึ่งผลิตภายใต้แบรนด์เดียวกัน แต่ตัวเครื่องหนาและขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย


“เริ่มต้นที่ประมาณสี่หมื่นสามพันครับ แต่ถ้าซื้อในราคานักศึกษาก็จะลดลงอีก”


คำตอบนั้นทำให้ตุลย์ช่างใจ


ราคาที่พนักงานบอกเป็นแค่ราคาตั้งต้นของเครื่องที่มีหน่วยความจำน้อยที่สุด ซึ่งวิชาคณะที่เขาเรียนต้องใช้พื้นที่เก็บไฟล์วิดีโอจำนวนมาก ความจุแค่นี้คงไม่พอ แต่หากเพิ่มหน่วยความจำ ราคาก็เพิ่มขึ้นตาม


ซึ่งถ้าเขาจำไม่ผิด ตัวท็อปของรุ่นนี้ที่มีความจุเพียงพอราคาอยู่ราวๆ แปดเก้าหมื่นบาทได้


สังเกตเห็นว่าคนข้างกายลังเล ศานนท์ก็เอ่ยยุ


“อยากได้อะไรก็ซื้อสิ”


“ซื้อกล้องไปผมก็ถังแตกแล้วนะ” ร่างโปร่งหัวเราะร่วน


ของที่เขาเพิ่งหยิบรวมๆ กันน่าจะราคาไม่ต่ำกว่าสองหมื่นแล้วด้วย


“ทำไมครับ ถ้าผมอยากได้ คุณจะซื้อให้ผมเหรอ”


“แล้วเธออยากได้อะไร? ”


ถูกถาม ตุลย์ก็สาธยายข้อมูลในหัวเมื่อครู่ให้ผู้ถามฟัง โดยไม่ได้หวังให้หนุ่มใหญ่เข้าใจเรื่องสเป็กคอมพิวเตอร์อะไรนัก

 
ที่คาดไม่ถึงคือ พอเล่าจนจบ ศานนท์กลับหันไปบอกพนักงานว่าเอาตามที่เขาพูด โดยให้รวมค่าโน๊ตบุ๊คเครื่องใหม่ไว้ในใบเสร็จเดียวกันกับกล้องและอุปกรณ์เสริม จากนั้นก็หยิบบัตรเครดิตส่งให้พนักงาน กำชับว่าให้เปลี่ยนบัตรของตุลย์ที่รับไปเมื่อสักครู่เป็นของตนแทน


“คุณ! เดี๋ยวๆ ๆ ผมล้อเล่น”


“แต่เธอเพิ่งบอกอยากให้ฉันซื้อให้นี่” ศานนท์ยิ้มมุมปาก


“ผมแค่ล้อเล่น ไม่ได้หมายความตามนั้นจริงๆ ” ร่างโปร่งมีสีหน้ายุ่งยาก ก่อนจะยิ้มแหย ตอนที่บัตรเครดิตถูกใช้รูดซื้อของราคาเหยียบแสนโดยที่ตนเองไม่เสียเงินสักบาท

 
ศานนท์เซ็นชื่อก่อนจะรับบัตรคืนจากพนักงานด้วยสีหน้าพอใจ โดยที่ปล่อยให้ตุลย์หิ้วถุงขนาดใหญ่บนเคาท์เตอร์ออกจากร้านมาพร้อมๆ กัน


คนเพิ่งถูกสปอยล์ยังดูอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่บ้าง แต่ความตื่นเต้นที่ฉายชัดในแววตาก็ทำให้ศานนท์มองอย่างเอ็นดู


...เขาชอบเวลาได้เห็นตุลย์ตื่นเต้นดีใจ ทุกครั้งที่ให้อะไรบางอย่างกับฝ่ายนั้น


เริ่มแรกมันเป็นความพึงพอใจชั่วครู่ชั่วคราวเพราะพิศวาส แต่เวลาผ่านไป ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่การได้เฝ้าดูอีกฝ่ายเติบโตขึ้นจากสิ่งที่เขาหยิบยื่นให้ กลายเป็น ‘ความรู้สึกที่พิเศษ’ กว่าแค่พอใจ...


“ขอบคุณมากๆ นะครับ”


“ไม่ต้องขอบคุณ” ศานนท์บอกปัดอย่างไม่ถือสา “จะดูอะไรอีกมั้ย? ”


“อืม... จริงๆ ผมมีอย่างอื่นที่อยากได้อีกนิดหน่อย”


ทั้งคู่แวะต่อที่ร้านเสื้อผ้าเนื่องจากตุลย์อยากได้แจ็กเกตอุ่นๆ ไว้ใส่ไปเที่ยว ใช้เวลาเลือกอยู่ไม่นานก็ได้ตัวที่ต้องการ ทว่าเดินออกมาจากร้านได้พักเดียว ร่างโปร่งก็ขอแวะซื้อรองเท้าผ้าใบอีกคู่


“เอาแค่นี้เหรอ? ” เขามองคนที่เพิ่งเลือกรองเท้าส่งให้พนักงานชำระเงิน


“ครับ”


ตุลย์ผงกหัว ศานนท์ก็ส่งบัตรเครดิตให้พนักงานเหมือนที่ทำในร้านเสื้อผ้าอย่างไม่ใส่ใจ


“แต่ก่อนกลับผมอยากพาคุณไปที่นึงก่อน...”


-----------------------


ตุลย์พาหนุ่มใหญ่ลงลิฟต์มาชั้นหนึ่งของห้างข้างทางเข้าออกใหญ่ที่เชื่อมกับรถไฟฟ้า สองฝั่งประตูเป็นร้านเสื้อผ้าและเครื่องประดับแบรนด์เนมราคาแพง ตุลย์เข้าร้านใกล้ๆ เดินตรงไปที่ฝั่งเสื้อผ้าสุภาพบุรุษ แลซ้ายมองขวาเหมือนกำลังครุ่นคิดอยู่สักครู่ เจ้าตัวก็หยุดตรงส่วนที่ขายเนกไท


“คุณเจาะจงแบบไหนเป็นพิเศษมั้ย? ”


ถามขณะที่ไล่ดูเนกไทผ้าไหมที่ถูกม้วนเรียงกันเป็นเกลียวกลมสวยมีระเบียบ อวดสีและลายอันเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างกัน


ศานนท์เลิกคิ้ว “เธอจะซื้อให้ฉัน? ”


 “ครับ” เป็นการตอบตรงๆ ไม่อ้อมค้อมอย่างที่หนุ่มใหญ่ชอบ “วันนี้คุณซื้อของให้ผมตั้งมากมาย ถ้าไม่ซื้ออะไรตอบแทนคุณบ้าง ผมคงรู้สึกผิด”


ศานนท์ยิ้มเล็กน้อยอย่างชอบพอก่อนจะเข้ามาเลือกกับเขา


“อันนี้เป็นยังไงครับ” ตุลย์ชี้ให้ดูเนกไทโทนสีฟ้าอ่อนที่ไล่เฉดสีเป็นริ้วๆ


สีสันหลากหลายแบบเด็กๆ ของมันทำให้เขาหลุดยิ้มอีกครั้ง


“ดูแฟนซีเกินไปหน่อย ถ้าเป็นโทนน้ำเงินจะใส่ได้หลายโอกาสกว่า”


“คุณมีสีแบบนั้นตั้งหลายอันนี่นา ซื้อไปไม่ซ้ำเหรอ? ”


“แต่ฉันได้ใช้บ่อยกว่าน่ะ”


ร่างโปร่งมุ่นคิ้วช่างใจ ดูไม่ค่อยอยากจำนนกับ ‘ความซ้ำซากจำเจ’ เท่าไหร่นัก


“อืม... งั้นอันนี้ล่ะครับ? ”


เห็นว่าศานนท์คงชอบอะไรเรียบง่ายมากกว่า ตุลย์จึงเลือกเนกไทสีกรมท่าชิ้นหนึ่งที่มีตัวอักษรแรกของชื่อแบรนด์พิมพ์เป็นลวดลาย


เพราะวันนี้ต่างคนต่างสวมชุดลำลองสบายๆ ร่างโปร่งจึงต้องใช้จินตนาการมากหน่อย ตอนที่ประเมินความเข้ากันได้ของเนกไทกับคนตรงหน้า


“อันนี้ก็ดี”


“งั้นเอาอันนี้ครับ”


ตุลย์ชี้ต้นแบบให้พนักงานดู เพื่อที่ฝ่ายนั้นจะได้นำสินค้าชิ้นใหม่มาให้ จากนั้นเขาก็ตามเธอไปที่เคาท์เตอร์ชำระเงิน ก่อนจะยื่นบัตรเดบิตรูดซื้อ


หลังจากซื้อของเสร็จเรียบร้อย พวกเขาก็ออกมาที่ลานจอดรถพร้อมกัน ระหว่างทางก็เดินคุยเรื่องดินฟ้าอากาศตามปกติ แต่ครั้นพอมาถึงจุดที่จอดรถ ศานนท์กลับยืนละล้าละลัง ไปยอมขึ้นเสียที


“มีอะไรหรือเปล่าครับ”


“ขอบใจสำหรับของขวัญ” สบสายตากับหนุ่มใหญ่ตอนที่ตอบพอดิบดี


“อ่า มันไม่ได้แพงขนาดนั้นหรอกคุณ” ตุลย์เกาคางเก้อๆ ขณะชูถุงหลายขนาดในมือ “ดูของที่คุณซื้อให้ผมสิ”


เริ่มแรกเขาตั้งใจแค่มาทานและซื้อกล้อง แต่ตอนนี้สารรูปเขาเหมือนคนมาเดินช็อปปิ้งมากกว่า...


ศานนท์มองนิ่งอยู่นานหลายนาทีคล้ายกำลังพินิจพิเคราะห์บางอย่าง ก่อนจะเอื้อมมือหนาลูบศีรษะเบาๆ ทอดมองเขาด้วยแววตาลุ่มลึกอบอุ่นกว่าทุกครั้ง


“รู้มั้ย… ฉันภูมิใจนะที่เห็นเธอมาได้ไกลขนาดนี้เทียบกับตอนที่ไม่มีอะไร ...มันทำให้ฉันแน่ใจแล้วว่าให้โอกาสคนไม่ผิด”


ไม่ใช่แววตาที่ใช้มองคนที่พิศวาสชมชอบ แต่เป็นแววตาที่สะท้อนความเอ็นดูเขาในฐานะเด็กคนหนึ่งเท่านั้น


ตุลย์นิ่งงัน รู้สึกราวกับถูกกลืนกินเข้าในภวังค์ความอบอุ่นนั้น ก่อนอารมณ์หนึ่งที่เข้าไม่รู้จักจะแทรกขึ้นในอก พร้อมกับคำถาม


...เขาไม่ได้มีพรสวรรค์ ไม่ใช่คนว่านอนสอนง่าย และไม่ได้น่ารักมีเสน่ห์แบบที่ใครๆ จะเอ็นดูชมชอบ ความดึงดันหัวแข็งของเขาสร้างวีรกรรมให้ศานนท์หลายครั้ง และหลายคราเขาก็เสียใจกับการผลลัพธ์


ความด้อยประสบการณ์ทำให้เขาทำเรื่องผิดพลาดอยู่บ่อยครั้งอย่างไม่หลาบจำ...


‘แต่จากทุกสิ่งที่ผมทำลงไป คุณยังภูมิใจในตัวผมอีกเหรอ…? ’



“เป็นอะไรหรือเปล่า”


คงเห็นว่าเขายืนนิ่งไม่ตอบโต้ต่อสิ่งเร้านานเกินไป ศานนท์ถึงเอ่ยถาม ตุลย์ทำได้เพียงเสหลบตาอีกฝ่าย ยิ้มบางๆ แทนคำตอบ เพื่อไม่ให้กระแสความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นเมื่อครู่จะล้นออกมาเสียก่อน


“รีบขึ้นรถกลับบ้านเถอะ” ศานนท์ก็ดันหลังเขาไปในทิศทางตรงข้ามเบาๆ


“คุณมีนัดต่อเหรอครับ? ”


“เปล่าหรอก ฉันง่วง...” คนพูดหาววอดยืนยัน ตุลย์ก็นึกได้


เนื่องจากวันนี้คลาสเรียนของเขาจบตอนแปดโมงตรง ศานนท์คงตื่นก่อนเวลาพอสมควรเพื่อมารับเขา เพราะสถานที่ที่เขาเรียนค่อนข้างพลุกพล่าน จึงต้องใช้เวลาเดินทาง แม้ว่าการจราจรจะไม่คับคั่งเท่าวันธรรมดา


ศานนท์จะไม่มารับก็ได้ แต่อีกฝ่ายก็มา...

 
เขาได้แต่นึกขอบคุณอยู่ในใจ ก่อนจะสอดตัวเข้าไปนั่งที่นั่งข้างคนขับเพื่อไม่ให้เสียเวลาเพิ่ม
 

-------------------------

เขียนนานมากค่ะ ฮื้ออ คิดอยู่นานมากๆ จะตีความความรู้สึกของตัวละครออกมายังไง
สุดท้ายก็ออกมาเป็นแบบนี้เจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าสื่อได้ดีหรือแย่ยังไง ช่วงนี้สมองวุ่นวายสุดๆ เลยสุด
ติชมได้นะคะ

ตอนหน้าพบกับเรื่องของเต้ และ ปมที่ไม่รู้ว่าทุกคนคาดคิดไว้หรือเปล่า ถถถ
อาจจะเซอร์ไพรส์ก็ได้ค่ะ

แจ้งข่าวนิดนึงคือ ช่องทางอื่นๆ เช่น RAW Fictionlog Tunwalai dek-d เดินทางมาถึงตอนล่าสุดพร้อมๆ กับเล้าเป็ดแล้วเจ้าค่ะ
นักอ่านสามารถเลือกช่องทางที่สะดวกติดตามกันได้น้าา

เมลล่าจะทิ้งลิ้งค์ต่างๆ ไว้ในโพสต์เจ้าค่ะ


ขอบคุณทุกคนที่ติดตามเสมอมานะคะ เยิฟๆๆ

หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (23.02.20) l 24th Night: สปอยล์(2)(100%)lP.14[Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: kimkidoy ที่ 23-02-2020 20:51:38
เป็นเอ็นดูคุณศานอ่าาาา
อ่านตอนนี้และรู้สึกอบอุ่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ดีใจกับตุลย์ที่เจอคนดีๆน้าาาต่อจากนี้ก็เป็นเด็กดีนะตุลย์
รอปมเต้ต่อไปจ้าาาาาาาา
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (23.02.20) l 24th Night: สปอยล์(2)(100%)lP.14[Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 23-02-2020 22:25:35
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (23.02.20) l 24th Night: สปอยล์(2)(100%)lP.14[Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 25-02-2020 18:27:03
เอาเว้ย เห็นลุงมีวัยอย่าคิดว่าลุงจะไฟมอดนะ
จับทางน้องตุลย์ซะอยู่หมัด

เด็กน้อยจะไปไหนเสีย อิอิ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (23.02.20) l 24th Night: สปอยล์(2)(100%)lP.14[Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 01-03-2020 03:11:25
เปย์หนักมากค่ะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (23.02.20) l 24th Night: สปอยล์(2)(100%)lP.14[Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 01-03-2020 08:10:14
สายเปย์ก็มา น่ารักกันดีจัง
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (01.03.20) l 25th Night: เรื่องของความรู้สึก [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 01-03-2020 14:41:20
         ​หลังจากปิดกองละครได้ไม่นาน ตอนแรกของซีรีส์เรื่องสั้นก็ได้ออกอากาศทางเว็บไซต์ กระแสตอบรับอยู่ในเกณฑ์น่าพึงพอใจเพราะเหนือกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก ถึงแม้จะไม่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์เหมือนตอนที่ตุลย์เป็นกระแสโด่งดังในอินเทอร์เน็ต แต่ก็ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในกลุ่มผู้ชมที่ติดตามละครเป็นประจำ และทางเฟซบุ๊กเพจ



         จริงอยู่ที่ตารางงานของตุลย์ค่อนข้างแน่นจนต้องดรอปเรียนบางวิชา แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเลิกใส่ใจเรื่องมหาวิทยาลัยไปโดยสิ้นเชิง



         วันนี้เป็นอีกวันที่ตุลย์มาเรียนตามปกติ พิเศษกว่าวันอื่นๆ หน่อยตรงที่เขาและแม็กถูกจีจี้ชวนไปดูการแข่งบาสเกตบอลชายกระชับมิตรระหว่างคณะ



         การแข่งขันกีฬาเพื่อจัดอันดับคณะต่างๆ จะจัดขึ้นปีละครั้ง และเย็นนี้ก็เป็นการแข่งบาสเกตบอลระหว่างคณะนิเทศศาสตร์และคณะบริหารธุรกิจ



         หลังจากเดินซื้อของทานเล่นที่หน้ามหาวิทยาลัยอยู่ราวยี่สิบนาที ตุลย์และเพื่อนๆ ก็วกกลับมาที่ยิม การแข่งขันยังไม่เริ่มต้น แต่ก็จวนเจียนจะได้เวลาเต็มแก่ ในสนามเต็มไปด้วยนักกีฬาที่วุ่นอยู่กับการวอร์มอัปสุ่มซ้อมเพื่อปรับตัวให้ชินกับสนาม



         ตุลย์ชะงักไปเล็กน้อยตอนที่เดินผ่านนักกีฬาทีมคณะตน



         สิ่งที่เขาและจีจี้ไม่ทราบมาก่อน คือกายเป็นหนึ่งในผู้เล่นด้วย…



         “จี้โอเคมั้ย? ”



         แม็กถามหญิงสาวข้างกายคล้ายอยากให้เธอยืนยันอีกครั้ง ฝ่ายจีจี้ก็พยักหน้าหนักแน่น



         “เราไม่เป็นไร เรื่องแค่นี้เอง ทำไมเราต้องหยุดดูบาสเพราะผู้ชายคนเดียวด้วย ไม่มีทาง”



         เธอเบะปากคว่ำ ตุลย์แอบชื่นชมความกล้าหาญของเธอในใจ ก่อนจะกวักมือชวน



         “งั้นไปหาที่นั่งกัน”



         พวกเขาสามคนเดินขึ้นบันไดไปที่สแตนด์กองเชียร์ ด้านบนมีทั้งเพื่อนรุ่นเดียวกันและรุ่นพี่ปีอื่นๆ นั่งอยู่ก่อนแล้ว หลายคนเป็นคนที่พวกเขาคุ้นหน้าคร่าตา มีบางส่วนที่เอ่ยทักทายเพราะจำตุลย์ได้จากซีรีส์ละคร ความครึกครื้นเป็นกันเอง ทำให้เขาพวกเลือกนั่งใกล้ๆ กันเป็นหมู่



         “ตุลย์” จีจี้สะกิดเขายิกๆ ขณะชี้ให้ดูผู้เล่นฝั่งตรงข้าม “นั่นเต้ไม่ใช่เหรอ”



         ตุลย์หรี่มองตามก็เห็นเต้อยู่ที่ขอบสนามฝั่งซ้ายดังเธอว่า



         แต่ยังไม่ทันได้ถกเถียงกันว่าทำไมชายคนนั้นถึงผันตัวมาเป็นนักกีฬาทีมบาสเกตบอล เสียงโห่เชียร์จากสแตนด์ฝั่งพวกเขาก็ดังกระหึ่ม เมื่อผู้เล่นทั้งสองทีมเดินเข้าสู่สนาม และทักทายทายกันด้วยการแตะมือ จากนั้นนักกีฬาและกรรมการก็เข้าประจำที่โดยมีผู้เล่นฝ่ายละหนึ่งคนจากแต่ละทีมยืนประจันหน้ากันกลางสนาม เตรียมพร้อมชิงลูกเปิดเกม



         กองเชียร์ฝ่ายเขาเฮลั่นอีกครั้ง เมื่อทีมคณะนิเทศศาสตร์เป็นฝ่ายชิงลูกจากการโยนของกรรมการได้ก่อน และเริ่มเกมบุก ทว่าพาบอลรุกเข้าไปในแดนของฝ่ายตรงข้ามได้ไม่เท่าไร จังหวะที่ส่งลูกไปให้กับผู้เล่นทีมตัวเองก็เกิดพลาดท่าทำให้บอลถูกชิงไปโดยทีมคณะบริหาร จึงต้องเปลี่ยนมาตั้งรับการบุกแทน



         ทั้งสองทีมสลับกันรุกรับอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งแต้มแรกถูกซู้ตลงห่วงได้สำเร็จโดยผู้เล่นจากคณะเขา เรียกเสียงโห่ร้องและเสียงกลองชุดระรัวจากทีมเชียร์ ทว่าไม่นานแต้มที่สองและที่สามของเกมก็ตามมา ต่างฝ่ายต่างผลัดสลับกันทำคะแนนตีคู่อย่างสูสี



         เกมเริ่มคึกคักและเข้มข้นขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ล่วงเลยมานาทีที่หก ผู้เล่นทั้งสองทีมก็เหงื่อโทรมกาย กระนั้นต่างก็แข่งขันกันสุดความสามารถ



         ระหว่างเกมมีเสียงนกหวีดเป่าฟาวล์ สลับกับการได้ชู้ตลูกโทษหรือเปลี่ยนฝั่งส่งลูกอยู่หลายครั้ง และทุกครั้งที่ชู้ตลงก็จะมีเสียงโห่เชียร์จากสแตนด์ฝั่งที่ทำแต้มได้ นับว่าเป็นเกมที่สนุก โดยเฉพาะเมื่อนั่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนจำนวนมากที่เอาใจช่วยฝั่งเดียวกัน



         เกมดำเนินไปจนช่วงท้ายควอเตอร์ จู่ๆ ก็มีผู้เล่นชนกันล้มอย่างแรงทำให้กรรมการต้องเป่านกหวีดเสียงดังยาว แต่แทนที่นักกีฬาจะลุกขึ้นเล่นต่อ กายซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เล่นฝั่งพวกเขากลับขึ้นเสียงโวยวายใส่กรรมการและฝ่ายตรงข้าม



         “เมื่อกี้ผมไม่ได้ชาร์จฟาวล์ เขาเข้ามาขวางผิดจังหวะ ทีมนั้นต่างหากที่ควรจะโดนฟาวล์”



         “แต่ทีมผมได้พื้นที่ก่อน เขาถึงวิ่งเข้ามาชาร์จทีหลัง”



         ผู้เล่นทีมคณะบริหารยืนยัน อาจารย์ผู้ควบตำแหน่งกรรมการก็พยักหน้าเห็นด้วยและขานผลตัดสิน



         “ชาร์จจิ้ง ฟาวล์”



         “จารย์! เห็นๆ กันอยู่ว่ามันพุ่งเข้ามาบล็อกผม” คนถูกกล่าวหาแก้ต่างด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “แบบนี้มันไม่ได้เปล่าวะ...”



         กายยืนละล้าละลังคล้ายไม่ยอมรับผลตัดสิน ขณะที่กรรมการและนักกีฬาของทีมฝ่ายตรงข้ามที่ได้สิทธิ์ส่งลูกจากข้างสนามเข้าประจำที่เตรียมเล่นต่อ เพื่อนร่วมทีมเขาของเขาบางคนก็เดินเข้ามาตบไหล่เป็นเชิงให้ยอมรับและปล่อยไป แต่เหมือนว่าชายหนุ่มจะไม่พอใจนัก



         “แบบนี้กูไม่ยอมแน่”



         “กรรมการตัดสินไปแล้วก็จบดิ”



         คนที่สวนไม่ใช่ใคร แต่เป็นเต้ที่รอทำเกมบุกอยู่ด้านหลังคนอื่นๆ



         “ตัดสินใจก็ตัดสินดิวะก็ลูกเมื่อกี้กูไม่ได้ชาร์จ ทีมมึงทำฟาวล์ต่างหาก เห็นกันอยู่โต้งๆ ” กายเค้นเสียง ‘หึ’ ในคอ ขณะปาดเหงื่อบนหน้าผาก “แค่กรรมการไม่เห็นอย่าเพิ่งได้ใจ...”



         “ยอมรับความจริงบ้างเหอะ จะโกงให้ได้เลยหรือไง”



         “มึงว่าอะไรนะ? ”



         ประโยคง่ายๆ ของเต้ยั่วโมโหคนฟังเลือดขึ้นหน้า กายเดินปรี่เข้าไปประชิดตัวคู่สนทนา ยืนจองหน้าคุมเชิงราวกับหากอีกฝ่ายพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียวก็พร้อมจะใช้กำลัง



         “มึงหาว่าใครโกง? พูดอะไรดูสารรูปทีมมึงบ้าง แม่ง! เพิ่งโกงกูโต้งๆ อยากแดกข้าวดีๆ ก็เก็บปากเหอะว่ะ”



         “ทำไม?  มึงจะทำอะไร? ” เต้จ้องหน้ากลับอย่างเชือดเฉือน



         คำพูดพาดพิงของกายสร้างความไม่พอใจให้ผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามอย่างมาก จนบางคนถึงกับเลิกสนใจเกม เดินเข้ามาจุดที่ทั้งคู่ยืนคุมเชิงกัน ทำเอาผู้เล่นฝั่งนิเทศศาสตร์ต้องรีบเข้าไปห้ามกายด้วยกลัวว่าเรื่องจะบานปลาย



         ต่างฝ่ายต่างชุลมุนกันอยู่พักใหญ่กว่ากรรมการจะเข้ามาห้ามและสั่งให้นักกีฬาไปพัก



         ความขัดแย้งในสนามทำให้เกมต้องหลุดลงชั่วคราวทั้งที่เล่นไม่จบควอเตอร์ เกิดความโกลาหลย่อมๆ ขึ้นบนสแตนด์เชียร์ของทั้งสองฝ่ายเนื่องจากไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในสนาม ผู้ชมต่างตีความกันไปต่างๆ นานา ก่อนที่สนามจะว่างลงเมื่อผู้เล่นทั้งหมดทยอยแยกกันไปพักสงบสติอารมณ์ ทิ้งคำถามมากมายไว้ให้ผู้ชม



         “ออกไปซื้อน้ำกัน”



         อารมณ์ตึงเครียดจากการแข่งทำให้ตุลย์อึดอัด เขาจึงถือโอกาสชวนกลุ่มเพื่อนและคนอื่นที่นั่งใกล้ๆ ออกไปซื้อของและเดินเตร็ดเตร่สูดอากาศด้วยกัน ก่อนจะกลับมาบริเวณยิม



         แต่จังหวะที่กำลังจะเดินผ่านประตูก็บังเอิญพบเต้นั่งสงบสติอารมณ์อยู่ลำพังบนม้าหิน



         “เข้าไปก่อนเลย เดี๋ยวเราตามไป”



         เขาแยกตัวกับเพื่อนเดินตรงเข้าไปหาเต้ ก่อนยื่นขวดน้ำเปล่าที่ซื้อมาสำหรับตนเองให้อีกฝ่ายแล้วทรุดตัวนั่งบนม้าหินฝั่งตรงข้าม เต้ปรายตามองเขาแวบเดียว จากนั้นก็เอียงหน้าหนีไปทางอื่นคล้ายไม่อยู่ในอารมณ์อยากสนทนาด้วย



         “เอาน่า ปล่อยมันไปเถอะ ต่อยกับคนอย่างหมอนั่นไปก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้นมาหรอก”



         “นายจะไปเข้าใจอะไร อย่าพูดเหมือนรู้ดี” ผู้ฟังสวนกลับพัลวัน



         “ฉันรู้จักกายดีกว่านายแล้วกัน”



         “รู้จัก? ” เต้เค้นเสียง ‘หึ’ ในคอเยาะเย้ย สายตาปราศจากความเป็นมิตร “เจอไอ้หมอนั่นกี่ทีก็เอาแต่วิ่งหนีหางจุกตูด นี่เหรอรู้จัก? ”



         “......”



         เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ประโยคสนทนาระหว่างเขากับเต้ยาวกว่าแค่ถามคำตอบคำ และชายหนุ่มก็พูดถูกต้องทุกอย่าง



         เขามันไร้น้ำยา จะมีสิทธิ์ไปแนะนำอะไรได้...



         “ขอโทษที...” ตุลย์ถอนหายใจเบาๆ ตอนที่เอ่ยขอโทษ



         เดิมทีเขามาที่นี่เพราะเห็นใจ ไม่ใช่อยากชวนทะเลาะ



         “นายพูดถูก ฉันไม่ควรพูดเหมือนรู้ดีว่าคนอื่นควรทำยังไง ไม่ควรเอาบรรทัดฐานของตัวเองไปตัดสินใคร ฉันเข้าใจว่านายโกรธ และก็คงไม่มีสิทธิ์ห้ามอะไร ถ้านายจะต่อยกับหมอนั่นหลังเกมจบ ที่ฉันพยายามจะพูดเมื่อกี้ก็แค่อยากให้ใจเย็นลงหน่อย...”



         เขาหวังเพียงให้อีกฝ่ายอารมณ์เย็นลงจนมีสติลงเล่นต่อได้ก็เท่านั้น เพราะไม่ว่ายังไงมันก็ไม่คุ้ม หากเต้จะต้องโดนทัณฑ์บนเป็นประวัติเสียเพียงเพราะมีเรื่องชกต่อยในมหาวิทยาลัยกับนักเลงอย่างกาย...



         ความเงียบโรยตัวระหว่างพวกเขาทั้งสอง เต้ทอดมองเขาด้วยสีหน้านิ่งเรียบคล้ายพินิจพิเคราะห์ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร แต่หลังจากนั้นพักใหญ่อีกฝ่ายก็เปิดขวดน้ำ กระดกดื่มรวดเดียวครึ่งหนึ่งแล้วเอ่ยปากถามสิ่งที่จี้ใจดำที่สุด



         “นายกลัวหมอนั่นใช่มั้ย? ”



         “......”



         “ทำไม? เพราะมันเคยซ้อมนาย? ”



         ตุลย์เม้มปากอย่างเคยตัว การเอ่ยถึงสิ่งที่พยายามหลีกหนีมาโดยตลอดทำให้รู้สึกกังวล อึดอัดหายใจไม่สะดวก



         “ก็ใช่...”



         “งั้นก็อัดหน้ามันซะสิ เป็นมวยไม่ใช่หรือไง นายคว่ำหมอนั่นได้สบายๆ ถ้าเอาจริง”



         ตุลย์ส่ายหน้า “มันไม่ง่ายแบบนั้น... มันไม่เกี่ยวกับว่าฉันทำอะไรได้”



         ต่อให้ตอนนั้นถือปืนอยู่ในมือ เขาก็คงเลือกหนีให้รู้สึกปลอดภัยแทนที่เผชิญหน้ากับกายตรงๆ



         “ไม่เกี่ยว? แล้วมันยังไง? ”



         ถูกเค้นความ เขาก็ขมวดคิ้ว เม้มปากแน่น



         “ฉันไม่เหมือนนาย... สำหรับฉัน หมอนั่นทำให้รู้สึกพ่ายแพ้ อับอายทุกครั้งที่อยู่ต่อหน้า ฉันแค่... แค่...”



         กลัว



         กลัวคำพูดและสายตาที่หยามเหยียดเหมือนเขาเป็นสิ่งของราคาถูกไร้ค่า



         และกลัว... ที่สำนึกของตัวเองร่ำร้องบอกว่า ผู้ชายคนนั้นพูดถูกทุกอย่าง




         เต้ยังคงจ้องมองเขาราวกับรอคำตอบ แต่นอกจากความเงียบงันก็ไม่มีคำพูดใดที่ตุลย์เอ่ยจากปากได้อีก



         เสียงถอนหายใจยาวเหยียดดังขึ้น ก่อนที่เต้จะลุกขึ้นพร้อมขวดน้ำในมือ



         “หลังเกมจบมาหาฉันที่ค่าย ฉันจะสอนวิธีซัดหน้ามันให้”



-----------------------------------



         การแข่งขันบาสเกตบอลจบลงโดยที่แต่ละทีมพยายามเล่นให้กระทบกระทั่งกันน้อยที่สุดเพื่อให้เกมดำเนินต่อไปจนครบเวลา จากนั้นนักกีฬาก็แยกย้ายกันอย่างไม่ค่อยเป็นมิตร ถึงแม้การแข่งขันจะจบลงแล้ว แต่เหตุการณ์ชุลมุนที่เกิดขึ้นก็ยังคงเป็นประเด็นถกเถียงพูดถึงในหมู่นักศึกษา



         ตุลย์แยกย้ายกับเพื่อนร่วมคณะหลังเกมจบเพื่อมาหาเต้ที่ค่ายมวยตามนัด เขาประหลาดใจบ้างตอนที่พบว่าคนน้อยกว่าปกติมาก อาจเพราะเย็นนี้มีการแข่งกีฬาหลายประเภทระหว่างหลายคณะ นักศึกษาส่วนใหญ่จึงอยู่ชมการแข่งขันของคณะตนแทนที่จะซ้อมจนดึก



         เต้มาถึงไม่กี่นาทีให้หลังจากตุลย์ ชายหนุ่มสวมเสื้อกล้ามกีฬาโทรมเหงื่อและสะพายเป้ไหล่เดียว พนันว่าเพิ่งแยกกับทีมหลังแข่งจบหมาดๆ ฝ่ายนั้นเดินเลยเขาไปยังชั้นวางของข้างเวทีมวย ก่อนจะหยิบหนึ่งในนวมที่วางเรียงไว้โยนมาทางเขา



         “ใส่นวม”



         ตุลย์คว้าของที่ลอยคว้างกลางอากาศไว้ในมือ ขณะที่เต้สวมเป้าล่อ จากนั้นเจ้าตัวก็ย้อนกลับมาหาเขาที่ลานกว้างซึ่งบุแผ่นยางกันกระแทก แล้วตั้งการ์ดต่ำ



         “ชกมา ชกให้เหมือนชกหน้ามัน”



         ตุลย์ต่อยเข้าที่เป้าล่อด้วยแรงมากไม่มาก กังวลว่าจะพลาดโดนคู่ซ้อม



         “ชกแรงๆ อย่าลังเล! ”



         ถูกกำชับเสียงเข้ม ร่างโปร่งก็สวนหมัดเข้าเป้าเต็มๆ จนเกิดเสียงปะทะ เต้ก้าวถอยบ้าง สลับรุกกลับบ้างให้เขาได้โฟกัสทั้งการออกหมัดและเคลื่อนไหวหลบหลีก ตุลย์พลาดเสียท่าอยู่หลายครั้งเพราะไม่ชินกับการบุกของคู่ซ้อม ก่อนจะเริ่มเรียนรู้พลิกแพลง



         ชิมลางจนพอใจ เต้ก็บอกให้เขาหยุด ก่อนที่ฝ่ายนั้นถอดเป้าล่อ เปลี่ยนมาสวมนวมแล้วตรงไปที่กระสอบทราย จากนั้นก็อัดหมัดหนักๆ ใส่มันจนเกิดเสียงดังติดต่อกันหลายครั้ง



         ชายหนุ่มไม่แสดงสีหน้าใดนอกจากคิ้วมุ่นแน่นเป็นปม แต่เสียงแรงอัดหนักๆ ตอนที่ส่งหมัดปะทะกระสอบทรายจนแกว่งตามแรงก็เดาได้ไม่ยากว่า ฝ่ายนั้นคงต่อยระบายอารมณ์ที่ยังกรุ่นโกรธอยู่ในใจ เต้ซัดกระสอบทรายอยู่พักใหญ่ๆ จนหอบเหนื่อยและเหงื่อโชกถึงถอยออกมาเปิดทางให้เขา



         “ลองดู ถ้ากลัวมันก็ซัดหน้ามันหนักๆ อย่าให้ลุกขึ้นมาได้อีก”



         ตุลย์ยิ้มนิดๆ ตอนที่ได้ฟังประโยคนั้น



         เขาส่งหมัดเร็วใส่กระสอบทราย หมัดของเขาไม่ได้หนักเท่านักกีฬาอย่างเต้ แต่แรงปะทะที่สันมือก็ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังระเบิดอารมณ์ที่อัดอั้นในอกออกมา ปฏิเสธไม่ได้ว่าการซัดกระสอบทรายแบบใส่อารมณ์ทำให้รู้สึกผ่อนคลายเอามากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ต่อยซ้ำจนกระทั่งอารมณ์โกรธสลายไป



         “ก็ทำได้นี่” เต้ยิ้มมุมปาก ดูจะพอใจกับผลงานของเขา “เจอตัวที่ไหนก็ซัดหน้ามันแบบนั้นแหละ”



         หลังจากชกกระสอบทรายจนพอใจ เต้ก็ถือโอกาสทดสอบหน่วยก้านเขาอยู่หลายอย่าง ระหว่างนั้นเขาก็พูดคุยแลกเปลี่ยนกันหลายเรื่อง รวมถึงภูมิหลังและชีวิตส่วนตัว



         “นึกว่านายเป็นพวกลูกคุณหนู”



         “เปล่า ไม่ใช่”



         ไม่ได้ใกล้เคียงกับคำนั้นเลยด้วยซ้ำ



         อาจเพราะอีกฝ่ายใช้ชีวิตมัธยมอยู่ในมุมอับสายตาของโรงเรียนรัฐบาล ที่แม้จะมีชื่อเสียงแต่ก็ซ่อนเรื่องราวไม่น่าพิสมัยไว้ เขาและเต้จึงมีประสบการณ์หลายๆ เรื่องคล้ายคลึงกัน เคยเห็นคนประเภทเดียวกัน เคยทำเรื่องโง่ๆ ที่ย้อนนึกถึงแล้วชวนให้ระอาเหมือนกัน



         พวกเขาคุยกันถูกคอกันอย่างน่าเหลือเชื่อ ถึงขนาดที่ฝ่ายนั้นยอมเป็นคู่ชกบนสังเวียนให้เพื่อที่เขาจะได้ลองต่อสู้จริงๆ ไม่ใช่แค่ซ้อมกับเป้าล่อ นับว่าเป็นประสบการณ์นอกห้องเรียนที่แปลกใหม่สำหรับตุลย์



         ซ้อมเสร็จ ทั้งคู่ก็นั่งเหยียดขาหอบหายใจอยู่บนเวทีมวยซึ่งเป็นไม่กี่จุดในค่ายที่ยังสว่างอยู่ ฟ้ามืดสนิทแล้ว คนส่วนใหญ่ก็ทยอยกลับบ้าน เหลือเพียงแค่พวกเขาและสมาชิกคนอื่นๆ อีกสามสี่คนเท่านั้น



         ตุลย์เปิดขวดน้ำดื่มที่เต้ใช้ให้เพื่อนซื้อทิ้งไว้ก่อนกลับ โดยไม่ลืมส่งอีกขวดหนึ่งให้คนข้างๆ



         “ขอบคุณที่เป็นคู่ซ้อมให้ วันนี้กูสนุกมาก ไม่ได้รู้สึกแบบนี้นานแล้ว” เอ่ยตามความรู้สึก



         ที่จริงตั้งแต่ย้ายมาอยู่ในเมือง เขาก็ไม่ได้ใช้เวลากับเพื่อนชายที่สนใจอะไรคล้ายกันอีกเลย



         “เหมือนกัน”



         ตุลย์เลิกคิ้ว “เหมือนกันนี่คือยังไง สนุกหรือว่าไม่มีคู่ซ้อม”



         “ไม่ใช่ คู่ซ้อมน่ะมี แต่มันไม่สนุกแบบนี้”



         “ถ้าอย่างงั้น ศิษย์คงต้องขอฝากเนื้อฝากตัวเป็นคู่ซ้อมต่อไปยาวๆ นะขอรับ ท่านอาจารย์” ตุลย์ระเบิดเสียงหัวเราะร่วนหลังประโยคล้อเลียน เรียกยิ้มมุมปากจากเต้อย่างที่ไม่ค่อยได้เห็น



         ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเสียดายที่ ‘รู้จัก’ เต้ช้าไป คงเพราะที่ผ่านมานอกจากใช้อีกฝ่ายไปรับไปส่งเหมือนเบ๊ พวกเขาต่างก็แทบไม่คุยกัน



         “กูว่าจะไปอาบน้ำหน่อย” ตุลย์แตะไหล่เพื่อนทีหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นลงจากเวที



         เหงื่อกาฬจากการออกกำลังกายติดกันหลายชั่วโมงทำให้เขาเหนียวเนื้อเหนียวตัวจนต้องอาบน้ำ แม้จะไม่มีเสื้อผ้ามาเปลี่ยน



         จังหวะที่เดินไปทางห้องอาบน้ำเต้ก็ตะโกนเรียกชื่อ



         “มีเสื้อสองตัวอยู่ในกระเป๋ากู หยิบไปได้ตัวนึง”



         “อ่าฮะ” เขาค้นกระเป๋าเต้ก็เจอเสื้อตัวที่ว่า “ขอบใจ เดี๋ยวกูซักคืนให้”



         เต้มองแผ่นหลังก็คนที่หยิบเสื้อพาดบ่า เดินลับหายไปในโซนห้องอาบน้ำ ความรู้สึกคลุมเครือบางอย่างค่อยๆ ฝุดขึ้นในใจเขา



         ...นานแล้วที่เขาไม่ได้ทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนเป็นจริงเป็นจัง สมัยมัธยมที่ยังคลุกคลีกับการต่อยตี เขามีเพื่อนในแก๊งมากมายที่พึ่งพาได้และพร้อมเสียสละแทนกัน แต่หลังจากถูกบังคับให้แยกตัวออกมา ความห่างเหินก็ทำให้เขาเสียเพื่อนฝูงที่เคยมีไปทีละคน นานวันเข้าก็ขาดการติดต่อไปตามกาลเวลา ในตอนนั้นเขาเสียใจมาก หากไม่ใช่เพราะคำข้อของแม่ที่รั้งไว้ เขาก็คงวิ่งโร่กลับไปหาคนเหล่านั้น



         เพราะฉะนั้น เขาจึงเข้าใจความรู้สึกของตุลย์ ตอนที่พยายามกล่อมเขาหนีไปปาร์ตี้วันเกิดของเพื่อน



         ชายหนุ่มตามเข้าไปอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายและเปลี่ยนเสื้อผ้าตามกิจวัตร พอกลับออกมาเขาก็พบร่างที่สวมเสื้อยืดตนยืนสะพายกระเป๋ารออยู่ก่อนแล้ว



         “เออ เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าชาที่บ้านหมด แวะซื้อตรงแถวๆ หน้าม. ก่อนกลับได้มะ”



         เต้ขาน ‘อือ’ ในคอเป็นเชิงรับรู้ ขณะสับสวิตช์ไฟทั้งหมดลงส่งผลให้ไฟดับสนิท ท่ามกลางความมืด พวกเขาทั้งสองคนเดินออกมาด้านนอก ก่อนที่เต้จะปิดประตู คล้องแม่กุญแจล็อกมัน



         ถึงแม้ว่าความรู้สึกที่เขามีต่อตุลย์จะเปลี่ยนแปลงไป แต่ยังไงหน้าที่ของเขาต่ออีกฝ่ายก็ยังคงเดิม



         “ซื้อทำไม? ชอบแดกชา? ”



         “เปล่า ไม่ได้ชอบหรอก ของคุณศานนท์เขา กูแอบจิ๊กไปจะหมดกล่องแล้ว เลยว่าจะซื้อไปเติมให้สักหน่อย” ร่างโปร่งว่าเสมือนว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา



         ...เขาก็พอรู้อยู่แล้ว ว่าความสัมพันธ์ระหว่างตุลย์กับอดีตเจ้านายของพ่อนั้นเป็นมากกว่าผู้เลี้ยงดูปูเสื่อ



         “มาเหอะ มึงจะได้รีบกลับไปงีบ”



         เต้มองตามคนที่เดินนำลิ่วไปยังทิศทางของลาดจอดรถ พลางนึกย้อนกลับไป



         ...ในคืนเดือนมืดที่พบกันครั้งแรก เขาปรามาสตุลย์ว่าทั้งอ่อนแอและเป็นภาระอย่างไม่เคยนึกคลางแคลงใจ



         น่าแปลกที่ค่ำคืนนี้ บางอย่างในตัวของอีกฝ่ายกลับปลุกความรู้สึกหวนหาที่ฝังไว้ในส่วนลึก ให้คิดถึงคืนวันเก่าก่อน ราวกับกระจกเงาที่สะท้อนตัวตนของเขาในความทรงจำ



         พริบตานั้น ความรู้สึกบางอย่างในใจก็เริ่มแจ่มชัด ก่อนที่คำพูดของอเนกจะผุดแทรกให้ความคิดนั้นหยุดลง



        “...กับคุณหนู จะมอง จะชอบ จะอยากได้ก็ให้เก็บไว้ในใจ ตามอง มืออย่างต้อง”



         เพราะ ‘คนคนนี้เป็นของเสี่ย’



         เขาไม่อาจข้ามเส้นขีดแบ่งนี้ไปได้



         แต่หากเก็บงำซ่อนไว้เงียบๆ



         มันก็คงเป็นเรื่องของความรู้สึกในใจ...




------------------------------

 สองคนนี้คุยกันธรรมดาไม่เคยรู้เรื่องค่ะ ต้องคุยกันด้วยหมัด ถถถถถถ



เซอร์ไพร์ซมั้ยคะ หรือทุกคนคาดการณ์ไว้แล้ว

​จริงๆ มันมีเหตุผลอยู่น้า ว่าทำไมความสัมพันธ์ของตัวละครสองตัวต้องเดินมาถึงจุดนี้

แต่ไม่ใช่เหตุผลของเต้ เป็นเหตุผลของเมลล่าค่ะ ถถถถถถ

สำหรับนักอ่านที่รอคุณศานอยู่ ตอนนี้จะโผล่มานิดนึงเจ้าค่ะ แฮร่


จริงๆ ตอนนี้แค่ 50% น้า แต่เขียนหัวไม่พอเจ้าค่ะ เลยใส่เปอร์เซ็นต์ไม่ได้ ฮื้ออ

ถ้าไม่มีอะไรคลาดเคลื่อน เรื่องนี้จะจบในตอนที่ 32 เป็นบทส่งท้ายเจ้าค่ะ

จะว่าใกล้ก็ใกล้ ไกลก็ไกล 5555


แต่ก็ขอบคุณที่ติดตามมาตลอดนะคะ งื้ออ <3
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (01.03.20) l 25th Night: เรื่องของความรู้สึก [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 01-03-2020 18:46:34
 :pig4: :pig4: :pig4:

ว่าแล้วว่าเต้อ่ะต้องหลงเสน่ห์หนูตุลย์
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (01.03.20) l 25th Night: เรื่องของความรู้สึก [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 02-03-2020 01:06:38
น่านนนนนนนนนนนนนน นายเต้  :ling2:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (01.03.20) l 25th Night: เรื่องของความรู้สึก [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 02-03-2020 06:29:06
 :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (01.03.20) l 25th Night: เรื่องของความรู้สึก [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: kimkidoy ที่ 02-03-2020 20:57:00
ว่าแล้วเชียวววววววววเต้เอ้ยยยยย
หวังว่าแต่จะไม่ข้ามขีดความสัมพันธ์นั้นนะ
ไม่อยากให้เต้อสียใจจ ถ้าคุณศานนท์รู้(หรือจะรู้อยู่แล้ว)จะทำกรเต้ไหมเนี่ยยยยน เชื่อที่พี่ๆเค้าเตือนน้าาา
ดีนะเนี่ยที่ช่วงนี้ตุลย์เริ่มหวั่นไกวกะคุณศานนท์ไม่งั้นกลัวใจตับย์มากกก
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (01.03.20) l 25th Night: เรื่องของความรู้สึก [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 02-03-2020 23:55:05
โอ้ยยยย เสน่ห์แรงอีกแล้ววววว  :hao7:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (01.03.20) l 25th Night: เรื่องของความรู้สึก [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: tae1234 ที่ 04-03-2020 00:10:56
เต้้้ชอบตุุุลย์หรือเนี่ย
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (01.03.20) l 25th Night: เรื่องของความรู้สึก [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: สุนิสา ที่ 04-03-2020 01:21:07
รอออ อยากเห็นคนรักกัน
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (01.04.20) l 25th Night (Part2) + ชี้แจง [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 01-04-2020 22:52:02
25.5


        ขณะที่ชีวิตในวงการบันเทิงของตุลย์ราบรื่นไปได้สวย กระแสตอบรับของดาราหนุ่มรุ่นพี่อย่างวินทร์กลับดิ่งลงเหวชั่วข้ามคืน หลังถูกโจมตีอย่างหนักจากข่าวชู้สาว


         มูลเหตุของเรื่องเริ่มต้นจากเมื่อหลายปีก่อนที่วินทร์ประกาศพิธีหมั้นกับแฟนสาวนอกวงการที่คบหาดูใจมานานต่อหน้าสื่อ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่หวานชื่น กระทั่งมีข่าวลือว่าถูกตีท้ายครัวเพราะมีคนพบคลิปวิดีโอปริศนาของชายหน้าตาคล้ายวินทร์กำลังจูบนัวเนียกับสาวที่ไม่ใช่คู่หมั้น ณ สถานบันเทิง


         ข่าวลือนี้ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้างจนวินทร์และต้นสังกัดต้องออกแถลงการณ์ปฏิเสธ ว่าชายคนนั้นไม่ใช่ตน และเขาไม่รู้จักกับหญิงสาวที่ปรากฏในคลิป


         นับเป็นโชคดีที่คำชี้แจงของวินทร์ได้รับความเชื่อถือจากสาธารณชน ชายหนุ่มจึงสามารถกู้คืนชื่อเสียงได้สำเร็จ ประกอบคลิปวิดีโอถูกบันทึกในที่มืดด้วยกล้องโทรศัพท์ เห็นหน้าไม่ชัด จึงไม่มีใครกล้ายืนยันว่า ชายในคลิปคือวินทร์จริง


         แต่ถึงอย่างนั้นก็คลิปดังกล่าวก็ยังถูกคนบางกลุ่มนำไปใส่สีตีความต่างๆ นานา นานวันเข้าสมมุติฐานเหล่านั้นก็หายลับเข้ากลีบเมฆไป


         จนกระทั่งเมื่อเช้าวานซืน...


         จู่ๆ รูปหลุดจำนวนหนึ่งของวินทร์กับดาราสาวหน้าตาคล้าย ‘อันดา’ เดินควงกันริมชายหาดก็ถูกแชร์ว่อนหราทั่วอินเทอร์เน็ต เหตุการณ์นั้นกระตุ้นความอยากรู้ของสาธารณชน ไม่เพียงแต่ข่าวฉาวเก่าที่ถูกขุดขึ้นมาพูดถึง ความสัมพันธ์ของวินทร์และอันดาบนโลกออนไลน์ก็ถูกจับตามองและตั้งข้อสังเกตเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออินสตราแกรมของทั้งคู่ต่างก็ลงภาพสถานที่ท่องเที่ยวในบาหลีเวลาไล่เลี่ยกัน


         สมมุติฐานนี้ทำให้ดาราสาวอย่างอันดาต้องออกมาชี้แจงกับสื่อว่า เธอได้เดินทางไปบาลีในช่วงเวลาใกล้กันจริง แต่เธอไม่ได้พบวินทร์ เนื่องจากฝ่ายชายเดินทางกลับไปก่อนเธอมาถึง หญิงสาวในรูปถ่ายจึงไม่อาจเป็นเธอไปได้


         แต่เรื่องราวไม่จบแค่นั้น เมื่อเพจดังรื้อหลักฐานขึ้นมาแฉ โดยนำรูปถ่ายในชุดว่ายน้ำของอันดาที่ถ่ายเมื่อต้นปีมาเปรียบเทียบกับรูปถ่ายของสาวปริศนาที่เป็นข่าว นอกจากชุดว่ายน้ำที่ใส่จะเป็นชุดเดียวกันแล้ว ผู้หญิงในภาพทั้งสองต่างก็มีร่องรอยบนร่างกายคล้ายคลึงกันหลายจุดจนยากจะปฏิเสธว่าเป็นคนละคน


         มิหนำซ้ำ เย็นวันนั้นแฟนสาวของวินทร์ยังประกาศถอนหมั้นผ่านอินสตราแกรมอีก แม้ไม่แจงละเอียดว่าผู้หญิงในภาพคือใคร แต่เนื้อความหลายประโยคก็สรุปได้เป็นนัยว่า ระหว่างที่ทั้งคู่หมั้นกันนั้น วินทร์คบซ้อนกับหญิงอื่นจริง


         สเตตัสนี้เป็นต้นเหตุให้เกิดกระแสแอนตี้ดาราทั้งคู่อย่างรุนแรง ความนิยมในตัวดาราทั้งสองดิ่งลงเหวและสร้างผลกระทบเชิงลูกโซ่ต่อผู้เกี่ยวข้อง ถึงขนาดที่ผู้จัดละครบางเรื่องยอมตัดวินทร์ออกจากรายชื่อนักแสดงเพื่อรักษาเรตติ้ง ขณะที่งานอีเว้นท์หลายงานของชายหนุ่มก็ทยอยถูกยกเลิก


         ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในระยะเวลาเพียงแค่สองวัน...


         ตุลย์ถอนหายใจเบาๆ วางโทรศัพท์ลงหลังจากอ่านสรุปข่าวจบ


         ไม่ใช่แค่แฟนคลับของวินทร์ที่ตกใจกับข่าวนี้ เขาเอวก็ไม่เคยคิดว่าคนที่มีเงินและความสุขพร้อมแบบวินทร์ จะเลือกเล่นชู้ลับหลังคู่หมั้นตัวเอง


         แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่เพียงทำลายชื่อเสียงของดาราหนุ่ม บริษัทของศานนท์ก็เช่นกัน สองสามวันมานี้เหล่ามดงานในบริษัทต้องวุ่นวายแต่กับข่าวฉาวของวินทร์หลังกระแสแอนตี้ลุกเป็นไฟลามมาถึงผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับดาราหนุ่ม เนื่องจากทางบริษัทใช้วินทร์เป็น ‘ภาพลักษณ์’ ติดต่อกันตลอดหลายปี


         “เธอเห็นข่าววินทร์แล้วใช่มั้ย? ” ศานนท์เอ่ยถามหลังเดินเข้ามาในออฟฟิศ


         “ครับ เป็นยังไงบ้างครับ? ”


         หนุ่มใหญ่เพิ่งประชุมภายในเกี่ยวกับเรื่องข่าวฉาวของวินทร์เสร็จหมาดๆ ในฐานะที่เขาชื่นชมนับถือดาราหนุ่มเสมือนรุ่นพี่ ตุลย์ก็หวังว่ามันจะไม่ใช่ข่าวร้าย


         ศานนท์ส่ายหน้าเรียบๆ “ฉันไม่มีทางเลือกนอกจากปลดเขาออกจากตำแหน่งแบรนด์แอมบาสเดอร์”


         “ชั่วคราว? ”


         “ตอบไม่ได้... อย่างน้อยก็จนกว่ากระแสนิยมจะดีขึ้น อาจจะสามเดือน หนึ่งปี หรือนานกว่านั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าจะจัดการกับข่าวยังไง ส่วนนั้นเป็นเรื่องของนักแสดงและผู้เกี่ยวข้อง ไม่ใช่ความรับผิดชอบของฉัน สำคัญที่สุดตอนนี้คือ จะปล่อยให้ข่าวลือทำให้ภาพลักษณ์ผลิตภัณฑ์เป็นลบไม่ได้ ในฐานะเจ้าของยังไงฉันก็ต้องปลดเขา มันเขียนเอาไว้ในข้อตกลงตั้งแต่เซ็นสัญญาแล้ว”


         “.........”


         คำอธิบายของหนุ่มใหญ่ตรงประเด็นเสียจนตุลย์หวั่นใจ


         ถ้าคนที่นั่งฟังประโยคนี้คือวินทร์ ไม่อยากจินตนาการเลยว่าชายหนุ่มจะหน้าชาขนาดไหน...

 
        “วงการบันเทิงก็แบบนี้แหละ...”


         ศานนท์ฉีกยิ้มเจือนเหมือนยิ้มไม่ออก ก่อนจะทิ้งตัวนั่งเอนหลังพิงพนักโซฟาข้างตุลย์อย่างเหนื่อยอ่อนระคนเกียจคร้าน


         “แต่ก็ยังมีงานบางส่วนที่ยกเลิกไม่ได้ อย่างภาพโปรโมตตัวโปรดักที่จะออกในอีกสองเดือนข้างหน้า ...หลายฝ่ายเสนอให้เปลี่ยนตัวนักแสดง แต่แทนที่จะคัดนักแสดงใหม่ ฉันอยากให้เป็นเธอมากกว่า”


         ตุลย์ขมวดคิ้วมองผู้พูด “คุณจะให้ผมถ่ายแทนเขาเหรอ? ”


         “อือฮึ” ศานนท์พยักหน้า “กระแสเธอดีกว่าถ้าเทียบกับวินทร์ อาจจะไม่ดังเป็นพลุแตก แต่คนก็เคยเห็นหน้าค่าตาบ้างแล้ว อีกอย่างมันก็เป็นโอกาสดีที่จะดันเธอให้เป็นที่รู้จักกว้างขึ้นด้วย ”


         การถูกจับใส่แทนที่ใครอีกคนเป็นข้อเสนอที่ทำให้ตุลย์รู้สึกกระอักกระอ่วนไม่น้อย แต่ความก้าวหน้าของมันก็ทำให้ยากจะปฏิเสธ


         “ครับ ได้”


         สุดท้ายเขาก็ตอบตกลงอย่างทุกครั้ง


         “ดี... ตอนนี้คงต้องฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เธอ”


         พูดจบศานนท์ปิดเปลือกตาลงคล้ายขอเวลางีบหลับสักครู่ ด้วยไม่อยากรบกวนอีกฝ่าย ตุลย์จึงยกโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นต่อเงียบๆ


         โดยไม่รู้เลยว่า ‘ความคาดหวัง’ ที่เขารับมาอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังวันนั้น จะวกกลับมาทำร้ายตนเอง...


------------------------------------


         เนื่องจากกระแสตอบรับของละครประสบความสำเร็จเกินกว่าที่คาดไว้ และเพื่อแสดงความขอบคุณต่อนักแสดง ทีมงาน และผู้เกี่ยวข้อง ผู้จัดละครจึงตัดสินใจจัดงานฉลองส่วนตัวขึ้นบนเรือสำราญเล็ก โดยที่เรือจะออกจากท่าเพื่อล่องไปตามแม่น้ำ ผ่าใจกลางเมืองและย้อนกลับมาสิ้นสุดที่จุดเดิม


         ...แน่นอนว่าในฐานะนักแสดง ตุลย์ก็ได้รับบัตรเชิญด้วย


         เขาประหม่าอยู่บ้างตอนที่บอกเรื่องนี้กับศานนท์ด้วยกลัวว่าฝ่ายนั้นจะไม่อนุญาต แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อหนุ่มใหญ่พยักหน้ารับอย่างไม่อิดออด เพียงแค่กำชับว่า...


         “โทรบอกฉันตอนไปถึง กับตอนออกจากงานก็แล้วกัน”




         คืนนั้นรถติด ตุลย์มาถึงงานเลี้ยงอย่างเฉียดฉิวจวนจะได้เวลาออกเรือ ท่าเทียบเรือในยามราตรีสวยจับตาและคับคั่งด้วยผู้คนเนื่องจากตั้งอยู่ติดกับสถานที่ท่องเที่ยว บริเวณรอบนอกมีทั้งร้านอาหาร และร้านขายสินค้าซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ชาวต่างชาติ ตลอดแนวประดับไฟสีเหลืองนวลสว่าง


         บรรยากาศงานเลี้ยงบนเรือก็ผ่อนคลายคล้ายคลึงกัน ไฟสีเหลืองสว่างตัดกับท้องฟ้ามืดสนิท ได้ยินเสียงดนตรีคลอเป็นระยะ อาหารในงานมีทั้งบุฟเฟต์และค็อกเทลให้เลือก โดยบางส่วนจัดไว้บนโต๊ะ ขณะที่บางส่วนปรุงสดจากฝีมือเชฟ ตุลย์เดินเลยมาแถวๆ พื้นที่ส่วนหัวเรือก็พบเพื่อนดารา ผู้กำกับและทีมงานกองถ่ายยืนจับกลุ่มคุยกันอยู่ข้างโต๊ะกลม เขาจึงเข้าไปทักทายอย่างทุกครั้ง


         “อ้าว นึกว่าจะไม่มาซะอีก”


         “มาสิครับ แต่ก็เกือบจะตกเรือแล้ว” ตุลย์หัวเราะแก้เขิน


         “แหม แต่ก็ยังทันนี่นา”


         สาวผมสั้นวัยสามสิบในชุดเดรสเรียบสีครีมปาดไหล่ข้างเดียวเอ่ยแซว ขณะส่งยิ้มตาหยี มั่นใจว่าตุลย์คงไม่รู้จักแน่แล้ว ผู้กำกับจึงสะกิดข้างไหล่กระซิบบอก


         “...คนนี้ผู้จัดละครไง! ”


         ได้ยินปุ๊บ ตุลย์ร้อง ‘อ๋อ’ ทันใด


         “สวัสดีครับ เป็นเกียรติมากที่ได้พบครับ”


         “เป็นเกียรติเช่นกันค่ะ เล่นจนจบซีรีส์แล้วเพิ่งมีโอกาสเจอหน้ากันจริงๆ ครั้งแรก พี่ยินดีที่ได้นักแสดงน้ำดีอย่างพวกเธอมาร่วมงานนะ” เธอเอ่ยปากชมนักแสดงทุกคนอีกครั้ง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจัยหนึ่งที่ละครเรื่องนี้มีแฟนๆ จับตารอดูก็เพราะกระแสนิยมของตุลย์ด้วย


         “ผมก็ต้องขอบคุณที่ให้โอกาสได้เล่นละครเหมือนกันครับ”


         “ยินดีค่ะ”ผู้จัดละครสาวพยักหน้ายิ้มรับ “อ๋อ... พี่เพิ่งได้ข่าวว่า คุณศานนท์เลือกเธอขึ้นมาแทนตำแหน่งแอมบาสเดอร์คนก่อนเหรอ? ขอแสดงความยินดีด้วยนะ”


         “ขอบคุณครับ ผมก็แค่มาแทนชั่วคราวเท่านั้นแหละ”


         “ชั่วคราว แต่ก็เป็นตำแหน่งสำคัญนะ” เธอยิ้มกว้างขึ้นอีกหน่อย


         หลังสนทนาเรื่องสัพเพเหระต่ออยู่หลายนาที ผู้จัดสาวก็ขอปลีกตัวไปรับรองแขกคนอื่นๆ ต่อ ส่วนตุลย์ที่รู้สึกคอแห้งก็ถือโอกาสออกมาหาอะไรดื่มตรงโซนเครื่องดื่มใกล้ๆ กับบาร์เยื้องเข้าไปในตัวเรือ


         เขาไม่อยากดื่มหนักจนเมาเพราะมีงานตอนเช้าวันพรุ่งนี้ จึงดื่มแค่ค็อกเทลล์เป็นหลัก แต่ดื่มไปดื่มมา รสชาติหวานของมันก็ชักทำให้เริ่มกังวลเรื่องแคลอรี จนสุดท้ายก็จำใจเปลี่ยนเป็นน้ำเปล่า แล้วเลือกเอาพวกของว่างพลังงานต่ำใส่จานแทน


         จังหวะที่กำลังเดินกลับออกไปหัวเรือ หางตาเขาก็เหลือบไปเห็นร่างสูงคุ้นตานั่งอยู่ที่โต๊ะโซฟาขนาดหกที่นั่งตรงมุมโดยสี่ในห้าที่นั้น ถูกจับจองโดยบรรดาหญิงสาวที่ตุลย์ไม่เคยเห็นหน้า


         วินทร์อยู่ในสภาพเมามายโดยที่มีเหล่าสาวสวยอ้อล้อ แม้เจ้าตัวจะมีปฏิสัมพันธ์กลับพวกเธอ แต่กลับดูเชื่องช้าและเซื่องซึมกว่าทุกครั้ง


         วินทร์เพิ่งถูกถอนหมั้นมาหยกๆ ไม่แปลกถ้าเขาจะเสียศูนย์จนทำตัวแหลกเหลวแบบนี้...


         ตั้งแต่ปาร์ตี้ที่ไนต์คลับคราวนั้น ตุลย์ก็ไม่ได้พบวินทร์อีก ได้ข่าวอีกทีก็ตอนที่อีกฝ่ายถูกโจมตีอย่างหนักจากสาธารณชน เห็นสภาพชวนห่อเหี่ยวของคนที่นับถือ ตุลย์ก็ตรงเข้าไปหา หวังจะดื่มปรับทุกข์เป็นเพื่อนสักหน่อย ทว่าพอดาราหนุ่มเห็นเขา ฝ่ายนั้นกลับขมวดคิ้วแน่น


         “มาทำไม มีอะไรอยากจะได้อีกหรือไง”


         เสียงที่เปล่งออกมานั้น อ้อแอ้ไม่ชัดถ้อยชัดคำนัก ตามประสาคนเมา แต่เป็นคำถามที่ชวนให้คนฟังอย่างเขาขมวดคิ้วตามไปด้วย


         “ครับ? ”


         “อย่ามาทำไก๋ กูรู้หมดแล้ว ทั้งเรื่องอันดา เรื่องตำแหน่งแอมบาสเดอร์... เลียขาเก่งนักนะมึงเนี่ย”


         “พี่พูดถึงเรื่องอะไร? ”


         “จะให้พูดให้ได้ใช่มั้ยวะ ...กูรู้แล้วว่ามึงเป็นคนขุดเรื่องกูกับอันดาขึ้นมา คืนนั้นที่ผับมึงก็เจอเขา อยากได้งานคนอื่นจนตัวสั่น ถึงขนาดต้องใช้วิธีทุเรศๆ แบล็กเมล์กูแบบนี้เหรอ!? ”


         ประโยคนั้นเรียกให้ตุลย์หลุดปากร้อง ‘ห๊ะ’ เขาตกใจและสับสนมากกว่าโกรธคนตรงหน้าด้วยซ้ำ


         “พี่! ผมไม่รู้ว่าพี่ไปได้ยินอะไรมาจากใคร แต่ผมไม่ได้เป็นคนแบล็กเมล์พี่กับคุณอันดา ผมเพิ่งเจอเธอครั้งเดียวที่คลับคืนนั้น ก่อนหน้านั้นผมไม่รู้จักเธอด้วยซ้ำ แล้วผมจะรู้ได้ยังไงว่าพี่กับเธอ...”


         มีความสัมพันธ์พิเศษอะไรกัน...


         ยังไม่ได้ทันพูดจบ วินทร์ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ความโกรธระคนเศร้าโศกกระตุ้นให้ร่างโซเซนั้น โถมเข้าใส่เขาเต็มกำลังแล้วขยำคอเสื้อ แรงปะทะทำให้ตุลย์เซไปชนตัวอีกตัว จานอาหารหลุดมือตกแตกเสียงดังเรียกความสนใจจากคนรอบๆ หันขวับมาที่ต้นเสียง


         “ไม่ใช่มึงแล้วจะเป็นใคร? ...ถ้าไม่มีกูสักคน ป่านนี้รูปมึงคงได้ขึ้นป้ายบิลบอร์ดหราแล้ว มีแต่มึงนั่นแหละที่ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้! ใครๆ เขาก็รู้กันทั้งนั้นว่ามึงเป็นเด็กเสี่ยของตาแก่ศานนท์ หึ... นาฬิกาเรือนละเป็นล้านๆ ถ้าไม่ได้เป็นเศรษฐี ลำพังดารากิ๊กก๊อกอย่างมึงไม่มีปัญญาซื้อใส่หรอก”


         วินทร์ตะคอกใส่เสียงดังลั่นต่อหน้าคนที่ยืนมุงดูอย่างหวาดเสียว ขณะบางส่วนวิ่งเข้ามา พยายามดึงร่างดาราหนุ่มออกไปจากเขาด้วยกลัวว่าจะเกิดเรื่องชกต่อย


         “มึงทำลายชีวิตกู ไอ้เหี้ยตุลย์! ...ปล่อยกู! ”


         วินทร์สบถด่าเขาอยู่หลายคำตอนที่ถูกพนักงานและแขกช่วยกันจับแยกออกไป ทิ้งให้ตุลย์ยืนหน้าเสีย อับอายทำตัวไม่ถูกกลางวงล้อมของแขก ชั่ววินาทีหนึ่งที่เขารู้สึกอื้ออึง เหมือนหลุดจากโลกความเป็นจริงไป


         เขาคิดมาตลอด ว่าการเริ่มต้นใหม่ในวงการบันเทิงจะลบล้างชื่อเสียงเสียหายของตัวเอง


         แต่ก็เปล่าเลย... เขายังถูกมองเหมือนวัตถุไร้ราคา ต่างกันเพียงแค่ว่าตอนนี้ไม่มีใครกล้าพูดครหาต่อหน้าเขา



         “เป็นอะไรมั้ย มีใครบาดเจ็บหรือเปล่า”


         ผู้จัดละครสาววิ่งผ่าวงล้อมเข้ามาหา เธอเหลือบมองวินทร์แวบหนึ่งก่อนจะเผยสีหน้าเป็นกังวล


         “ขอโทษนะ พี่ไม่คิดว่าเชิญเขามาแล้วจะก่อเรื่องใหญ่โต วินทร์แค่เมาเลยพูดอะไรออกไปไม่คิด ช่วงนี้เขาเจอมาหนัก ทั้งกระแสโซเชียล ทั้งเรื่องงาน พี่ต้องขอโทษแทนเรื่องวุ่นวายที่เขาก่อด้วย แต่พี่อยากให้เข้าใจว่า เขาไม่ได้ตั้งใจ...”


         “.......”


         เห็นท่าทีลังเล หญิงสาวจึงดึงมือเขาไปกุม “พี่ขอร้องอย่าเอาเรื่องเขาเลย... ตอนนี้สภาพจิตใจวินทร์แย่พอแล้ว ขืนมีข่าวให้โจมตีอีก เขาต้องกู่ไม่กลับแน่ๆ แล้วก็ขอร้องอย่าเอาเรื่องนี้ไปเล่าข้างนอกเลยนะ โดยเฉพาะกับคุณศานนท์ พี่ไม่อยากให้วินทร์ไปขัดใจกับคนใหญ่คนโตแบบนั้น เดี๋ยวพี่จะกำชับทุกคนในงานไม่ให้พูดเรื่องนี้เอง สัญญาว่าจะไม่ทำให้เธอเสียหาย แต่อย่าถือสาเขาเลยนะ ถือว่าพี่ขอร้อง...”


         สายตาเว้าวอนน่าเห็นใจของเธอทำเอาตุลย์ลอบถอนหายใจเบาๆ สถานการณ์ในตอนนี้บีบให้เขาตอบได้เพียงอย่างเดียว


         “ครับ...”


         ที่ผ่านมาเขาชื่นชมวินทร์เป็นแบบอย่าง เพราะอีกฝ่ายเป็นผู้ใหญ่ รู้จักวางตัว ทุ่มเทให้กับงานและชีวิตในสัดส่วนเท่าๆ กัน แต่พอได้เห็นสภาพดาราหนุ่มในมุมที่เหลวแหลกเช่นนี้ เขากลับรู้สึกหมดความนับถือและผิดหวังอย่างมาก


         ...เขาไม่คิดเลยว่าจะถูกวินทร์ใส่ร้ายเพียงเพราะเขารับบทบาทแทนอีกฝ่ายแค่ประเดี๋ยวประด๋าว


         ตุลย์เดินออกจากวงล้อมฝูงชน ก่อนจะถูกเพื่อนดาราที่เห็นเหตุการณ์ก็เข้ามาไถ่ถามว่า ‘เกิดอะไรขึ้น’ แต่เขาไม่อยากเล่าให้ใครฟังเท่าไหร่นัก ตุลย์อยู่ในงานเลี้ยงต่ออย่างไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วม ก่อนจะขอตัวกลับทันทีที่เรือวนกลับมาจอดเทียบท่าที่ฝั่ง


------------------------


         ตุลย์ถึงกองถ่ายในรุ่งเช้าวันถัดมาด้วยสภาพงัวเงียไม่สดชื่นนักเพราะมีเรื่องให้ขบคิดทั้งตลอดคืน เขาเริ่มทำงานเหมือนทุกวัน ทว่าน่าแปลกที่เช้าวันนี้ เขาบังเอิญเจอซินดี้ขณะที่เจ้าหล่อนกำลังยืนคุยอยู่กับทีมงานในกองถ่าย


         “มีธุระเหรอครับ? ”


         “มีย่ะ แต่ไม่ใช่ของหล่อน เป็นธุระของฉัน” เธอแกล้งทำเสียงจิ๊จ๊ะ ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อเห็นใบหน้าเขาในระยะประชิด “แล้วนี่เป็นอะไร ทำไมหน้าโทรมๆ ซีดๆ อย่างกับเป็นลูคีเมียล่ะ เมื่อวานปาร์ตี้หนักเหรอ? ”


         “ก็นิดหน่อยครับ เมื่อคืนกลับดึก”


         “โธ่ ไปกับวินทร์อีกล่ะสิ นังเด็กนี่ ให้มันน้อยๆ หน่อย! เขาไม่ใช่คนที่หล่อนควรเอาเป็นแบบอย่างหรอกนะจะบอกให้”


         ถูกเตือน ตุลย์ก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ หัวเราะกลบเกลื่อนอย่างอธิบายอะไรไม่ได้มาก




         งานของตุลย์ช่วงเช้าลุล่วงไปด้วยดี หลังเลิกกอง เขาก็แวะทานข้าวใกล้กับสตูดิโอ ก่อนจะตรงกลับออฟฟิศศานนท์ กดลิฟต์ขึ้นชั้นยี่สิบเอ็ดอย่างปกติวิสัย แต่จังหวะที่กำลังจะเดินเลยห้องอาหาร ตุลย์ก็สะดุดตากับร่างสูงที่ยืนอยู่หน้าเครื่องชงกาแฟ


         “คาเฟอีนรอบบ่ายไม่พอเหรอครับ? ” ถามอย่างขี้เล่น


         มือที่กำลังเติมผงกาแฟลงในแก้วชะงักเล็กน้อย พอเหลียวหลังพบว่าเป็นตุลย์ ศานนท์ก็เผยสีหน้าแปลกใจ


         “เลิกงานแล้วเหรอ? ”


         “ครับ วันนี้เสร็จเร็ว ไม่มีอะไรมาก อีกอย่างผมไม่มีเรียนต่อแล้วด้วย เลยว่ามานั่งเล่นที่ออฟฟิศคุณ ก็...ถ้าผมไม่มารบกวนนะ”


         ตุลย์จงใจเติมท้ายประโยคให้ฟังดูเหมือนลังเล รู้แล้วว่าฝ่ายนั้นอยากให้เขามานั่งขลุกที่ออฟฟิศบ่อยๆ ด้วยซ้ำ ศานนท์ฟังก็ยิ้มมุมปากเล็กๆ อย่างรู้ทัน


         “แล้วนี่อะไรครับ? กาแฟเหรอ”


         เขาชะโงกดูผงสีน้ำตาลละเอียดที่อยู่ก้นแก้ว งุนงงเล็กน้อยที่อีกฝ่ายเลือกกาแฟผงทั้งที่เครื่องชงกาแฟก็อยู่ตรงหน้า


         “เย็นแล้ว ฉันไม่อยากดื่มอะไรที่เข้มมากๆ ” หนุ่มใหญ่น้ำร้อนใส่แก้ว “เธอล่ะ เอาอะไรมั้ย? ”


         “ไม่ครับ ผมเพิ่งกินมาเมื่อกลางวัน”


         ได้เครื่องดื่มแล้ว ศานนท์หยิบแก้วกาแฟเดินออกจากห้องอาหารโดยมีตุลย์ตามหลัง ทว่าจังหวะที่ผ่านประตู พวกเขาก็สวนกับอัฐอย่างพอดิบพอดี ผู้มาเยือนเห็นเขาก็เอ่ยทักทายสั้นๆ


         “สวัสดีครับ คุณหนูมีธุระที่นี่เหรอครับ? ”


         “เปล่าหรอกครับ ผมแค่ว่างเฉยๆ ”


         “อ๋อ เหรอครับ”


         ...? ...


         เป็นอันจบการสนทนากับตุลย์เพียงเท่านั้น จากนั้นอีกฝ่ายเอ่ยทักทายศานนท์ตามมารยาทโดยจงใจเมินผ่านเขาไป เพราะเสียงผู้พูดราบเรียบเสมือนประโยคทั่วไป ทำให้ตุลย์ใช้เวลาอยู่หลายวินาทีกว่าจะเข้าใจนัยของคำถามที่ว่า


         ‘ถ้าไม่มีธุระก็ไม่ต้องเสนอหน้ามา’


         ตุลย์มุ่นคิ้วอย่างไม่ชอบใจนัก กี่ครั้งๆ อัฐก็ทำตัวเย็นชาใส่เขาตลอด แม้ว่าเขาจะไม่เคยทำอะไรให้ฝ่ายนั้นเลย วินาทีนั้น เขาก็เหลือบไปเห็นแก้วกาแฟในมือผู้บริหารหนุ่ม มันกระตุ้นให้นึกอยากแกล้งอีกฝ่ายคืนขึ้นมา


         “ผมว่าผมดื่มอะไรหน่อยดีกว่า”


         ตุลย์วกกลับไปที่เค้าท์เตอร์ เขาหยิบแก้วตัดหน้าอัฐ แล้วตักผงโกโก้จากโหลใส่ จากนั้นก็แสร้งทำลังเลอยู่หน้าเครื่องทำน้ำร้อน ว่าจะใส่น้ำตาลกี่ช้อนดี ซึ่งการที่เขาเดินวนเวียนอยู่หน้าตู้นั้น ทำให้อัฐต้องยืนถือแก้วรอคิว


         “คุณว่าผมใส่อะไรเพิ่มดี” แสร้งหันไปถามศานนท์ ฝ่ายหนุ่มใหญ่มองเขาอย่างนึกขำ


         “ใส่น้ำตาลสิ”


         ตุลย์ตักน้ำตาลใส่ จากนั้นก็เผยสีหน้าลังเลคล้ายไม่รู้ว่าหวานแล้วหรือยัง


         “ใส่อีกดีมั้ยครับ? ”


         ถามก่อนจะตักใส่ลงไปอีกช้อนเมื่อศานนท์พยักหน้า


         “ใส่นมด้วยมั้ย”


        ถูกศานนท์แหย่อย่างรู้ทัน เขาก็พยักหน้าก่อนจะตักนมผงใส่ลงไปด้วย ตุลย์กดน้ำร้อนใส่แก้ว คนซ้ำๆ อยู่หลายนาที นานจนพอใจแล้ว เขาถึงหยิบแก้วกาแฟ ยอมถอยให้อัฐได้ชงต่อ


         “ผมเสร็จแล้วครับ ขอโทษด้วยถ้าผมทำให้รอนาน”


         “ไม่เป็นไรครับ ผมไม่รีบ” อัฐยิ้มเย็นตอบ


         “งั้นไม่รบกวนเวลาชงกาแฟคุณดีกว่า”


         พูดจบทั้งเขาและศานนท์ก็เดินออกมาจากห้องอาหารทันที หนุ่มใหญ่ถึงกับหลุดขำกับการกระทำเมื่อครู่ของเขา ส่วนตุลย์ก็ถอนหายใจเบาๆ รู้อยู่แก่ใจว่าเพิ่งทำเรื่องกวนประสาทใส่คนของหนุ่มใหญ่ โชคดีที่ฝ่ายนั้นไม่ถือสา เขาจึงเอ่ยถามสิ่งที่คาใจอยู่


         “คุณอัฐเขามีปัญหาอะไรกับผมหรือเปล่า เขาเกลียดผมเหรอ? ”


         “เปล่า ไม่ได้เกลียด เขาแค่ไม่ค่อยพอใจที่ช่วงนี้ฉันเอาใจเธอเป็นพิเศษ”


         “ทำไมครับ? ” ตุลย์มุ่นคิ้วเล็กน้อย


         “เขาว่าเธอทำให้ฉันว่อกแว่ก ซึ่งก็จริง”


         “อา...”


         รอยยิ้มจนใจของศานนท์ทำให้ตุลย์เกาหน้าเก้ออย่างสองจิตสองใจ


         ตอนนี้เขาชักสับสนแล้ว ว่าตัวเองกำลังชักจูงศานนท์ไปในทางที่ดีขึ้น หรือแย่ลงกันแน่


         “แต่เขาล่วงเกินเธอไม่ได้หรอกถ้าฉันไม่อนุญาต ไม่ว่าด้วยคำพูดหรือการกระทำ เรื่องชีวิตส่วนตัวเป็นสิทธิ์ขาดของฉัน ดังนั้นเธอไม่ต้องเป็นกังวล”

หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (01.04.20) l 25th Night (Part2) + ชี้แจง [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 01-04-2020 22:54:18
 :pig4: :pig4: :pig4:

สู้ ๆ นะครับ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (01.04.20) l 25th Night (Part2) + ชี้แจง [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 01-04-2020 22:55:36
ชี้แจ้งเรื่องความล่าช้าของการอัป (บ่นเรื่องตัวเองเจ้าค่ะ)
: Talk :



นักอ่านที่ติดตามหลายคนอาจสงสัยว่าเมลล่าหายไปไหนตั้งเดือนนึง ไหนบอกจะมาๆ ในเพจตั้งแต่ครึ่งเดือนที่แล้ว ทำไมยังไม่มา เลยอยากพอพื้นที่ตรงนี้ชี้แจงคร่าวๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ยอมรับก่อนเลยค่ะ ว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่เมลล่าหายไปนานมากๆๆ แต่เป็นครั้งที่ร้อยแล้วที่รักษาสัญญาไม่ได้ มาช้า ปล่อยให้คนอ่านรอจนแฟนคลับหาย
(นี่คือเหตุผลว่าทำไมเรื่องนี้ถึงเขียนตั้ง 4 ปี แล้วยังไม่จบ T-T)
เมลล่าขอโทษจริงๆ ค่ะ ส่วนนี้เป็นความผิดเราเอง

เกิดอะไรขึ้น ทำไมไม่มาอัพ?


ขออนุญาตเล่าค่ะ จริงๆ ปัจจัยที่ทำให้เสียศูนย์ไปก็คือเอาพลังงานไปโฟกัสเรื่องหางานนี่แหละค่ะ ถถถถ สำหรับเรามันเป็นช่วงหัวเหลียวหัวต่อชีวิต เราเรียนสี่ปีในคณะที่ไม่รู้ว่าตัวเองชอบมั้ย จนวันหนึ่งเราไปฝึกงาน แล้วก็ค้นพบว่าเราเกลียดมันค่ะ เราเกลียดชีวิตแบบนี้ เพราะมันทำให้ตัวตนเราค่อยๆ หายไป ช่วงนั้นคือตื่นมาแล้วไม่รู้ว่าตื่นมาทำไม เพื่ออะไร วันนี้ลางานดีมั้ย


จุดนั้นทำให้เราเรียนรู้ว่าเราชอบงานสาย creative มาก และเรามีความสุขที่ได้อยู่ใกล้ๆ งานหรือคนที่เกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ จากตรงนั้น เมลล่าเลยพยายามย้ายสายงานตัวเองเข้ามาอยู่ใกล้ๆ กับบริษัทที่เกี่ยวข้องกับงาน creative อย่างพวกสื่อ สิ่งพิมพ์ ธุรกิจบันเทิง คือเราก็ยังทำตำแหน่งเดิมค่ะ แต่พยายามหางานในบ. ที่เกี่ยวกับพวกนี้


ส่วนที่แย่คือ มันแทบไม่มีตำแหน่งที่เราเรียนมาเปิดให้สมัครในบริษัทพวกนี้เลย แล้วต่อให้มันเปิด คุณสมบัติเราก็ไม่ครบ ไหนจะสถานการณ์โควิด มันคือก้าวแรกของความเป็นผู้ใหญ่ของเราแต่เป็นก้าวแรกที่อะไรก็ยากไปหมด ก็เลยเสียศูนย์ไปช่วงนึง คือไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตแบบเก่าค่ะ แต่ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง ที่บ้านก็ไม่ค่อยเห็นด้วยให้ทิ้งโอกาสงานสายตรงไปเลือกบ. สื่อที่ไม่ใช่สายตรงเท่าไหร่ ถึงไม่ว่าแต่ก็ไม่ได้สนับสนุน เลยเหมือนตัวคนเดียวสุดๆ


จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ปัญหาใหญ่หรอกค่ะถ้าเทียบกับเรื่องอื่นๆ ที่หลายคนต้องเจอในช่วงโควิด แต่ก็ยอมรับว่ามันทำให้เราสับสนมากๆ ว่าจะทำยังไงต่อกับชีวิต ว่าเรามาถูกทางมั้ยที่ตัดสินใจแบบนี้ เพราะที่ผ่านมาจนอายุ 18 เป็นเด็กดีค่ะ 5555+ ใครสอนอะไรก็เชื่อหมด จนช่วงมหาวิทยาลัยที่เราได้เรียนรู้หลายเรื่องเกี่ยวกับตัวเอง เป็นตัวเองมากขึ้น การหางานครั้งนี้เลยเป็นก้าวแรกที่ต้องรับผลการกระทำของตัวเองเต็มร้อย จะได้งาน ตกงาน ไม่มีเงินให้ครอบครัวก็มาจากการตัดสินใจของตัวเองทั้งนั้น เลยกังวลไปหมด ตอนนี้ก็พยายามทำใจค่ะและรอคำตอบจากบริษัท ไม่ได้ก็ต้องมูฟออนค่ะ ถถถถ


ขอโทษนักอ่าน

ตรงนี้ เมลล่าต้องขอโทษที่ปล่อยให้รอนะคะ หลังจากนี้จะพยายามกลับมาเขียนให้มากขึ้น และจะพยายามเดินต่อค่ะ ตอนนี้ก็ตัวเองก็ใกล้จะกลับมาดี 100% เต็มแล้ว ขอบคุณนะคะที่ยังมาตามงานกัน อาจจะเข้ามาน้อย ตอบช้าไปบ้าง ต้องขออภัยด้วยค่ะ


สำหรับใครที่ชีวิตกำลังมีปัญหาในช่วงนี้ มาแชร์กัน/ ระบายกัน /พิมพ์ทิ้งไว้ ในตอนนี้ได้นะคะ (คิดซะว่าเป็นกระทู้พันทิปค่ะ ถถถ)

เมลล่าไม่รู้ว่ามันจะช่วยอะไรได้มั้ย แต่เราจะค่อยๆ มูฟออนไปพร้อมๆ กันค่ะ

เป็นกำลังใจให้นักอ่านทุกคนเช่นกันนะคะ ขอบคุณค่ะ

ให้หัวใจ <3 <3 <3 สุขสันต์ April Fool Day ค่ะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (01.04.20) l 25th Night (Part2) + ชี้แจง [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 02-04-2020 02:08:16
เป็นกำลังใจให้คุณเมลล่านะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (01.04.20) l 25th Night (Part2) + ชี้แจง [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 02-04-2020 02:36:47
ดูเขาแกล้ง 5555555555555
รู้ว่ามันไม่เก็บเอามาคิดยาก แต่ก็พยายามนะตุลย์
เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะคะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (01.04.20) l 25th Night (Part2) + ชี้แจง [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: mochi612 ที่ 02-04-2020 10:00:12
เป็นกำลังใจให้คุณไรท์ทุกๆเรื่องนะคะ รออ่านเสมอ นานแค่ไหนก็รออ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (25.04.20) l 26th Night: ซองปริศนา Part 1[Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 25-04-2020 22:35:33
26th Night : ซองปริศนา Part 1


      “เล่นโทรศัพท์ไม่สนใจเลยนะ”



      “อ่า ขอโทษครับ” ถูกคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามแซว ตุลย์ก็เงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์



      วันนี้ศานนท์พาเขามาทานมื้อเย็นที่ภัตตาคารอาหารจีนชั้นนำ เพราะไม่ได้แวะมาบ่อยๆ ตุลย์จึงไม่คุ้นเคยกับชื่อเมนูต่างๆ เท่าไหร่นัก ตรงข้ามกับหนุ่มใหญ่รู้จักทุกอย่างดีถึงขนาดสั่งแทนเขาได้ มิหน้ำซ้ำรสชาติแต่ละจานยังถูกปาก



      “ทำอะไรอยู่” เห็นว่าเขาง่วนอยู่กับโทรศัพท์ ศานนท์ก็เลียบเคียงถาม



      “อ้อ คุยกับพี่ที่กองครับ เรื่องต่อจากงานเมื่อตอนเช้าน่ะ” ตอบเลี่ยงๆ



      ความจริงเขากำลังคุยผู้จัดละครคนก่อนต่างหาก...




      ที่บ่ายเบี่ยงไม่ใช่ว่าตุลย์อยากปกปิด แต่เมื่อเช้าสาวเจ้าส่งข้อความซ้ำผ่านทางแชต ขอร้องให้เขาช่วยเก็บเหตุการณ์เมื่อคืนเป็นความลับในฐานะที่วินทร์เป็นเพื่อนที่เธอคบค้าสมาคมด้วยมานาน โดยเฉพาะกับคนที่เป็นผู้จ้างรายใหญ่ และมีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องของเขาอย่างศานนท์ เพราะเกรงว่าหากความถึงหูฝ่ายนั้น ชีวิตในวงการบังเทิงของดาราหนุ่มอาจไม่ได้ผุดได้เกิด



      วินทร์เคยแนะนำอะไรให้เขาหลายอย่าง เขาไม่อยากเห็นอีกฝ่ายอนาคตดับเพียงเพราะเรื่องเมื่อคืนจริงๆ ...



      “เครียดเชียว แน่ใจนะว่าไม่เป็นไร? ”



      ศานนท์จับสังเกตได้ ตุลย์ก็ยิ้มแห้งๆ “ไม่เป็นอะไรหรอกครับ แค่เหนื่อยนิดหน่อย ผมว่าช่วงนี้ผมคงทำงานหนักเกินไป”



      “ถ้างั้นไปเที่ยวพักร้อนกับฉันมั้ยล่ะ”



      “ที่ไหนครับ? ”



      “ฝรั่งเศสดีมั้ย อย่างปารีส หรือคานส์”



      ทีแรกตุลย์คาดว่าคงเป็นที่พักตากอากาศต่างจังหวัด แต่พอได้ยินว่าต่างประเทศซ้ำยังเป็นโซนยุโรป เขาก็ปั้นหน้าไม่ถูก ซึ่งศานนท์ก็ดูจะชอบใจสีหน้าเหลอหลาของเขาเวลาถูกเซอร์ไพร์ซเสียเหลือเกิน



      “แต่ผมพูดฝรั่งเศสไม่ได้นะ”



      “เธอพูดอังกฤษพอได้ไม่ใช่เหรอ? แค่นั้นก็ใช้ได้แล้ว”



      แน่นอนว่านอกจากค่าเทอมแพงหูฉี่แล้ว ภาษาอังกฤษก็เป็นหนึ่งในทักษะที่เขาเรียนรู้จากความดันทุรังอยากเข้าคณะอินเตอร์ สภาพแวดล้อมที่แข่งขันสูงบีบบังคับให้เขาต้องทำได้เท่ากับคนอื่นๆ ซึ่งนั่นทำให้เขาฝึกฝนจนสามารถสื่อสารและเขียนตอบภาษาที่สองได้ปานกลาง



      “ไปช่วงปิดเทอมมั้ย? เธอจะได้ว่าง ที่จริงฉันกำลังหาโอกาสลาพักร้อนอยู่พอดี ไม่ได้เที่ยวติดๆ กันนานจนจำครั้งสุดท้ายไม่ได้แล้ว เรื่องงานในวงการเธอไม่ต้องห่วง ฉันจะให้ซินดี้เคลียร์เวลาช่วงนั้นไว้ให้ แบบนี้เป็นยังไง? ”



      ตุลย์ผงกหัว “ครับ โอเคครับ”



      แค่จินตนาการถึงตอนนั้นเขาก็รู้สึกตื่นเต้นแล้ว




      “แล้วเธออยากแพลนทริปเองมั้ย ถ้าไม่ ฉันจะให้คนแพลนให้...”



      “ใครเหรอครับ? ”



      “อัฐ”



      ได้ยินชื่อตุลย์ส่ายหน้าหวือ ส่วนศานนท์ยิ้มขำเหมือนรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องปฏิเสธ



      “ผมแพลนเองดีกว่า ถ้าให้เขาแพลน ผมกลัวจะโดนหลอกไปฝังหิมะตอนคุณไม่อยู่น่ะสิ”


-------------------------



      ออกจากร้านอาหาร ตุลย์ก็นั่งจิ้มโทรศัพท์ค้นสถานที่ท่องเที่ยวมาตลอดทาง ก่อนจะย้ายมานั่งจุ้มปุกบนเตียงที่ห้องของศานนท์หลังอาบน้ำเสร็จเพราะอยากหารือกับอีกคนต่อเรื่องทริปที่คุยกันไว้



      ตุลย์เปิดรูปสถานที่ที่เขาสนใจให้เจ้าของห้องดูเป็นระยะ แต่โดยมากแล้ว ศานนท์จะเป็นฝ่ายแนะนำเขาเสียส่วนใหญ่ เพราะหลายที่เจ้าตัวเคยเดินทางไปมาแล้ว



      พวกเขานั่งคุยกันเรื่อยเฉื่อยจนกระทั่งความใกล้ชิดทำให้เผลอจูบกัน และเริ่มเลยเถิดเมื่ออารมณ์พาไปจนตุลย์ต้องยอมวางโทรศัพท์ เปลี่ยนมาทำ ‘เรื่องอย่างอื่น’ กับหนุ่มใหญ่บนเตียงแทน เซ็กซ์กับผู้ชายคนนี้ยังทำให้รู้สึกดีจนยากจะปฏิเสธเหมือนเคย



      ความขี้เกียจลุกจากเตียงหลังมีเซ็กซ์ทำให้เขานอนเล่นจนผล็อยหลับไปตอนไหนก็ไม่ทราบ รู้สึกตัวตื่นมาอีกทีก็พบว่าห้องทั้งปิดไฟมืดสนิท ได้ยินแค่เสียงเครื่องปรับอากาศเบาๆ แต่ไร้เงาเจ้าของห้อง



      การงีบหลับสั้นๆ ทำให้ตุลย์งัวเงีย ขยี้ตาไล่ความง่วงอยู่หลายนาที กว่าจะสามารถตัวเองเดินลงมาชั้นล่างที่เปิดไฟสว่างโล่งได้



      “คุณไม่ขึ้นไปดูข้างบนเหรอ? ”



      ได้ยินน้ำเสียงแหบงัวเงียของเขา เรียกให้ศานนท์เบนสายตาจากรายการทีวี เจ้าของบ้านเอกเขนกอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นโดยที่มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ และมีของกินเล่นตั้งไว้บนโต๊ะแก้ว



      “ตื่นแล้วเหรอ? เห็นว่าเธอหลับสนิทเลยไม่อยากกวนน่ะ”



      “ผมแค่งีบ ไม่ได้กะหลับจริงๆ หรอก ...แล้วทำอะไรอยู่ครับ? ”



      “ดูแนวโน้มหุ้นน่ะ”



      ตุลย์ชะโงกดูจอมือถือของหนุ่มใหญ่ก็เห็นข่าวต่างประเทศบ้าง แท่งกราฟสีแดงๆ เขียวๆ บ้าง ซึ่งเขาไม่สันทัดเอาเสียเลย



      “ขึ้นไปดูบนห้องสิครับ”



      “โอเค ก็ได้ๆ ” ศานนท์เอื้อมมือมาลูบหัวเขาทีหนึ่งเป็นเชิงว่าจะทำตาม “แล้วจองอะไรหรือยัง? ”



      “อ่า...” ถึงตรงนี้ตุลย์ก็ชะงัก



      ที่จริงเขาเลือกเที่ยวบินและที่พักเสร็จแล้ว แต่เหตุผลที่ยังไม่ได้จองเป็นเพราะบัญชีตัวเองเหลือเงินไม่พอจ่ายกระทั่งตั๋วเครื่องบินหนึ่งที่ จริงอยู่ที่เขาสามารถเงินได้จากวงการบันเทิงได้ครั้งละมากๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่า พักหลังมานี้เขาใช้จ่ายเงินไปกับปาร์ตี้และของฟุ่มเฟือยในจำนวนที่มากพอๆ กัน



      “ยังครับ คือว่า... ผมถังแตกนิดหน่อย”



      “ปาร์ตี้หนักนะเดี๋ยวนี้”



      ถูกแซวตุลย์ก็ยิ้มแหยๆ อย่างไม่มีอะไรจะแก้ตัว ศานนท์จึงบัตรเครดิตใบหนึ่งในจำนวนหลายใบยื่นให้เขา



      “เอานี่รูดไปก่อน ขาดเหลือยังไงก็บอกฉัน ส่วนเรื่องเงินฉันโอนให้สี่หมื่นก่อนแล้วจะออกบัตรเครดิตตามให้ พรุ่งนี้ว่างหรือเปล่าล่ะ? ”



      “ก็ว่างอยู่ครับ ผมมีเรียนแค่ช่วงบ่าย”



      หนุ่มใหญ่พยักหน้า “งั้นฉันยืมตัวเธอตอนเช้าแล้วกัน”



      และเป็นไปตามที่ให้สัญญาไว้ เช้าต่อมาตุลย์ตามศานนท์ไปทำเรื่องที่ธนาคาร และไม่กี่วันถัดจากนั้น ซองบัตรเครดิตจ่าหน้าเป็นชื่อเขาก็ส่งตรงมาถึงบ้าน



      วงเงินในบัตรที่ศานนท์ออกให้มากกว่าเงินในบัญชีเขาหลายเท่า แถมฝ่ายนั้นเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด เรียกว่าใจป้ำสุดๆ ชนิดที่คำว่าขอบคุณจากเขาดูจะน้อยไปเสียด้วยซ้ำ



--------------------------



      ช่วงพักเที่ยววันหนึ่งตุลย์และแม็กยืนรอจีจี้อยู่ที่หน้าคณะ เนื่องจากเธอขอเวลาคุยกับแก๊งเพื่อนสาวก่อนตามลงมา แต่ประโยคแรกที่เจ้าหล่อนพูดหลังเจอหน้ากันนั้นเล่นเอาผู้ฟังทั้งคู่ช็อกไปตามๆ กัน



      “เมื่อกี้จี้เพิ่งบอกให้กายเลิกยุ่งกับพวกเรา”



      “ห๊ะ แล้วมันว่าไง? ”



      “ก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ เขาก็นิ่งๆ ไป จี้พูดเสร็จก็เดินออกมาเลย ไม่ได้อยากหักหน้ากายต่อหน้าเพื่อนเยอะๆ หรอก แต่เราทนไม่ไหวแล้วล่ะ ทำไมต้องมานั่งระแวงเขาแทนที่จะใช้ชีวิตนักศึกษาให้เต็มที่” เธอมุ่ยหน้า ปากคว่ำ



      เห็นว่าภายนอกดูสดใสไร้พิษภัย เอาเข้าจริงจีจี้ก็ใจเด็ดใช่ย่อยที่กล้าเข้าไปเคลียร์กับกายตัวต่อตัว



      “จีจี้เก่งมาก” ตุลย์ยกนิ้วให้



      ฝ่ายหญิงสาวหัวเราะแห้งๆ เหมือนยังประหม่าอยู่ “จี้ก็ไม่แน่ใจว่าทำถูกมั้ย แต่ต่อจากนี้ถ้าเกิดเรื่องอะไรกับจี้ขึ้นมา ทุกคนต้องรู้ว่าเป็นฝีมือกายแน่นอน ถึงตอนนั้นจะเอาเรื่องให้หนักเลย! ”



      “เราไม่ปล่อยให้จี้เป็นอะไรหรอกน่า” แม็กกำชับ



      เหตุผลที่กายไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามกับเธอเหมือนที่ทำกับเขา นอกจากที่จีจี้เป็นผู้หญิงแล้ว ส่วนหนึ่งก็เพราะครอบครัวของเธอเส้นสายหนาอยู่พอตัว หากผิดใจอะไรแค่ชดเชยค่าเสียหายอย่างเดียวคงไม่พอ



     จริงสิ...



      วินาทีนั้นตุลย์ก็คิดได้



      สถานะของเขาในตอนนี้ก็ไม่ต่างจากจีจี้



      เขาไม่ได้ตัวคนเดียว และไม่ต้องพยายามให้มีชีวิตรอดไปวันๆ เหมือนเมื่อก่อน



      ...บางทีตอนนี้อาจถึงเวลาที่เขาต้องวางความรู้สึกหนักอึ้งในใจลงเสียที

 






      การสอบในคาบบ่ายเป็นไปตามปกติ แต่ไม่ได้ราบรื่นสำหรับทุกคน โดยเฉพาะแม็กที่เอาแต่กุมหัว บ่นกระปอดกระแปดว่า ‘ทำไม่ได้ๆ ’ ตลอดทางหลังออกจากห้อง ในขณะที่เขาและจีจี้เห็นตรงกันว่าข้อสอบไม่ยากขนาดนั้น และหากอีกฝ่ายยังสอบตกก็สมควรดรอปเรียนแล้วลงซ้ำปีหน้า



      “ก็มึงมันฉลาดนี่ มึงก็พูดได้! ” แม็กหันมาแขวะใส่เขา เล่นเอาจีจี้หัวเราะร่า



      ตุลย์แยกกับเพื่อนมารอเต้ที่ใต้ตึกคณะบริหารเพื่อกลับพร้อมกันเหมือนทุกครั้ง เขาเลื่อนจอโทรศัพท์ดูฟีตข่าว และคลิปสั้นๆ บนไทม์ไลน์ฆ่าเวลาพลางๆ จึงไม่ทันได้ยินเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาและหยุดลงตรงหน้าเขา



      “มึงพูดอะไรกับจีจี้? ”



      จู่ๆ ตุลย์ก็ถูกกระชากคอเสื้อให้ลุกขึ้น เขาไม่ทันตั้งตัวประกอบกับตกใจจึงทำโทรศัพท์หลุดมือ ก่อนกระชากเสื้อตนเองจากเงื้อมมือผู้กระทำตามสัญชาตญาณ



      ผู้ชายคนนั้นคือกาย...



      “อ้าปากตอบกูดอกพิกุลมันจะร่วงรึไง”



      ความกลัวที่เกิดจากความเคยชินทำให้ตุลย์พูดไม่ออกทีแรก แต่พอถูกสบประมาท เขาก็ได้สติ



      “กูไม่ได้พูดอะไร มันเป็นการตัดสินใจของจี้เอง มึงเลิกยุ่งกับกูได้แล้ว”



      “หึ ปากดีขึ้นนะพักนี้” กายเค้นยิ้ม มองเขาด้วยสายตาเหยียดหยัน “แค่มึงดัง มีไอ้เต้ตามติดแจ แล้วคิดว่าจะเหิมเกริมใส่กูได้เหรอ”



      เขาเม้มปากแน่น “มีแต่มึงนั่นแหละที่คิดว่าทำกับกูได้เหมือนเดิม...”



      กายทำให้เขารู้สึกประหม่าและไม่เป็นตัวเอง ตุลย์จึงเดินหนีออกมาเพราะไม่อยากต่อล้อต่อเถียง แต่จู่ๆ เขากลับถูกกระชากผมอย่างแรงจนหงายหลังใส่ผู้กระทำ ความเจ็บแปล๊บที่หนังศีรษะทำให้ตุลย์กระทุ้งศอกใส่กลางลำตัวอีกฝ่าย แล้วผละออกให้ตนเองเป็นอิสระ



       เขาสวนหมัดหนึ่งใส่กายด้วยความโกรธ แต่เพราะไม่ชำนาญในสนามจริงจึงถูกปลายคางคู่ต่อสู้แบบถากๆ แต่ก็ไล่ให้ถอยห่างไปได้สำเร็จ



      “ไอ้ลูกหมาเอ้ย! ” กายกุมคาง คำรามอย่างเกรี้ยวกราดและกำหมัดจะต่อยเขา



      แต่จังหวะที่กำปั้นพุ่งผ่านอากาศ กายกลับถูกโถมใส่จากด้านข้างจนเสียหลักก่อนจะโดนซัดเข้าเต็มๆ ที่แก้มซ้าย



      การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเต้ทำให้กลุ่มเพื่อนของกายที่ยืนอยู่วิ่งกรูเข้ามาแยก ก่อนที่คนพวกนั้นจะโดนลูกหลงจากการตะลุมบอนไปด้วย ตุลย์ปรี่เข้าไปตั้งใจจะช่วยเต้ แต่กลับโดนอีกฝ่ายผลักออกให้พ้นรัศมี



      เต้เหวี่ยงเพื่อนของกายที่เข้ามาขวางทิ้งก่อนถลาใส่ตัวการที่ถอยกรูดไปตั้งหลัก เขาโดนกายประเคนหมัดเข้าที่หน้า แต่ก็ได้โอกาสซัดฝ่ายตรงข้ามเต็มๆ เช่นกัน ความได้เปรียบด้านเทคนิคและพละกำลังทำให้กายถูกต้อนจนติดมุมเสา แต่ก่อนจะโดนเล่นงานจนถึงขั้นเลือดตกยางออก เสียงตะโกนห้ามก็ดังลั่นจากด้านหลัง



      “หยุดๆ ๆ ๆ! ผมบอกให้หยุด! ที่นี่สถานศึกษา พวกคุณเป็นนักศึกษานะไม่ใช่นักเลง! ”



      เจ้าของเสียงคือคณบดีที่ผ่านมาพร้อมกับเหล่าคณาจารย์จำนวนหนึ่ง



      อาจารย์หลายคนดูตื่นตกใจอย่างมาก ขณะที่บางคนรีบพุ่งมาห้ามและแยกพวกเขาออกจากกันในจังหวะที่ยังพอทำได้ ตำแหน่งคณบดีนั้นน่าเกรงขามพอให้ทั้งคู่เลิกล้มความตั้งใจวิวาทต่อ ถึงอย่างนั้นอารมณ์คุกรุ่นก็ยังไม่หายไป

 
-------------------------------



กลับมาแล้วค่าา หลังจากหายไปยี่สิบกว่าวัน T__T

เกรงใจมากเลยค่ะที่ปล่อยให้รอ คิดซะว่าเรื่องนี้ไว้อ่านค่าเวลาเล่นๆ ก็ได้ ฮือออ

ขอบคุณสำหรับกำลังใจและคอมเม้นท์จากตอนที่แล้วมากๆ นะคะ

รักนักอ่านมากๆๆๆ ค่ะ <3 <3
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (25.04.20) l 26th Night: ซองปริศนา Part 1[Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 25-04-2020 22:56:26
 :pig4: :pig4: :pig4:

อิกาย  น่าจะถูกจัดการให้สิ้นซากนะ  หลังเหตุการณ์นี้เนี่ย
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (25.04.20) l 26th Night: ซองปริศนา Part 1[Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: kimkidoy ที่ 26-04-2020 22:58:57
กายแบบพักก่อนอะไรกับตุลย์นักหนาาาาา
ตุลย์จะได้ไปเที่ยวจริงๆใช่ไหมมมขอให้ได้ไป
ส่วนซองยังไม่มาใช่ไหมนะ???????
เป็นกำลังใจให้นักเขียนน้าาาา รอเสมอจ้าาา :katai4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (25.04.20) l 26th Night: ซองปริศนา Part 1[Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 27-04-2020 02:38:18
เจ็บตัวจนได้  :ling2:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (25.04.20) l 26th Night: ซองปริศนา Part 1[Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 30-04-2020 22:43:59
เป็นเรื่องอีกแล้ว เฮ้อ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (25.04.20) l 26th Night: ซองปริศนา Part 1[Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 12-05-2020 01:54:08
ตุลย์เก่งมากลูก ซัดกายให้หน้าหงายได้ ก้าวผ่านความกลัวได้แล้วววว
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (25.04.20) l 26th Night: ซองปริศนา Part 1[Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 13-05-2020 23:02:00
อ่านได้เพลิน ๆ เสมอ มาอัพก็ดีใจ อัพช้าไม่ว่ากัน เพราะเราก็นาน ๆ มาที ฮ่าๆๆๆๆๆ

จากประสบการณ์นะ หลาย ๆ ครั้งงานที่ทำก็ไม่ได้ตรงกับสายงานที่เรียนมาหรอก เราเรียนสายภาษา ปริญญาโทก็ยังสายภาษา ได้ใช้ทำงานล่ามงานแปลเป็นอาชีพส่วนตัว

ส่วนงานหลักที่ทำอยู่ทุกวันคือบริหารกิจการของครอบครัว ทำทุกสิ่งตั้งแต่จัดการงานบริการลูกค้ารายวัน บัญชี การตลาด บริหารคน วางแผนระยะยาว ระยะสั้น ทั้งหมดนี้ไม่เคยเรียนเลย  มันท้าทายมาก

แต่เราสนุกกับทุกเรื่องที่ทำ เพราะมันคือการสั่งสมประสบการณ์และได้เรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ 

ไม่ว่าจะทำงานอะไร ต่อให้เป็นงานที่รัก มันก็จะมีมุมที่เราไม่ค่อยชอบหรือไม่ถนัด แต่ความสนุกและความสุขที่ได้ทำงานที่รักจะช่วยให้เรารู้สึกว่าสิ่งที่ไม่ชอบไม่ใช่เรื่องใหญ่ และยอมรับได้ง่ายว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เรารัก

ขอให้ได้งานที่ทำแล้วมีความสุขนะคะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (25.04.20) l 26th Night: ซองปริศนา Part 1[Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: LoveAlone ที่ 14-05-2020 01:16:13
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (25.04.20) l 26th Night: ซองปริศนา Part 1[Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 20-05-2020 17:00:57
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (24.09.20) l 26th Night: ซองปริศนา Part 2[Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 24-09-2020 18:21:03
26th Night: ซองปริศนา Part 2


เหตุการณ์ชุลมุนที่เกิดขึ้นทำให้ทั้งหมดต้องมาลงเอยอยู่ที่ห้องประชุม ก่อนที่คณบดีจะวานให้เลขาโทรหาเจ้าหน้าที่กองกิจการนักศึกษาซึ่งเป็นผู้รับชอบเรื่องระเบียบให้ดำเนินการต่อ โดยระหว่างที่รอนั้น ทั้งสองฝ่ายก็ถูกเทศสั่งสอนไปตามระเบียบเพราะต่างฝ่ายต่างไม่ยอมรับว่าตนผิด



ตุลย์ยืนกรานอยู่หลายรอบกว่าจะทำให้อาจารย์เชื่อได้ว่ากายเป็นฝ่ายเข้ามาหาเรื่องก่อนโดยที่เขาไม่ได้ยั่วยุ กระนั้นคนถูกกล่าวหาก็หาได้มีท่าทางทุกข์ร้อนไม่ จะมีก็แต่เพื่อนของกายที่เข้ามาช่วยห้ามเหตุแล้วถูกลูกหลงตอนชุลมุนเข้าที่ดูเป็นเดือดเป็นแค้นนัก



ไม่นานเจ้าหน้าที่จากกองกิจการนักศึกษาก็มาถึงพร้อมตำรวจยศผู้น้อยนายหนึ่ง ทั้งหมดถูกสอบสวนเบื้องต้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นกลับทำให้ตุลย์โกรธสุดๆ เพราะแทนที่จะแจ้งความ ตำรวจคนนั้นกลับพยายามไกล่เกลี่ยให้เรื่องจบตามกระบวนการของมหาวิทยาลัย แม้ว่าเขาจะยืนยันตรงกันข้าม



การเจรจาจบลงโดยที่เจ้าหน้าที่ไม่ยอมให้ความช่วยเหลือพวกเขาทางคดี และปล่อยให้ทางมหาวิทยาลัยเป็นผู้จัดการดูแลแทน ตุลย์กำหมัดแน่น ทำได้แค่มองคู่กรณีเดินผ่านหน้าเขาออกไปจากห้องพร้อมกับเจ้าหน้าที่และกลุ่มเพื่อนด้วยรอยยิ้มของผู้ชนะ



ลับหลังเจ้าที่หน้า คณบดีก็ตามออกมาคุยกับพวกเขา



“ทางที่ดีที่สุด คุณควรแจ้งความไว้ก่อน ผมจะช่วยตามเรื่องให้ แต่ไม่รับประกันนะว่าจะช่วยได้แค่ไหน”



ร่างโปร่งละสายตาจากกลุ่มคนที่เดินหายไป เขามองคณบดีอย่างตั้งแง่



เมื่อกี้ผู้ชายคนนี้ไม่ได้พูดเข้าข้างพวกเขาด้วยซ้ำ



รับรู้ถึงกระแสความไม่พอใจนั้น คู่สนทนาจึงรีบแก้ต่าง “อย่าเข้าใจผิด... ผมอยากทำให้มันถูกต้อง แต่เรื่องนี้อยู่เหนืออำนาจของผม กายมีประวัติเรื่องทะเลาะวิวาทยาวเป็นหางว่าว นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาโดนมหาวิทยาลัยสอบสวน แต่ก็อย่างที่คุณเห็น... เขาไม่เคยโดนลงโทษ”



“แต่มหา’ลัยควรเป็นที่ปลอดภัยสำหรับนักศึกษาไม่ใช่เหรอครับ? ”



“ก็ถูกของคุณ...” คณบดีมีสีหน้าอ่อนใจ “ถ้าคู่กรณีเป็นคนอื่น ผมมั่นใจว่าช่วยคุณได้ แต่กายเป็นลูกชายส.ส. ไชยวัฒน์... เขามีบุญคุณเส้นสายกับมหาวิทยาลัยมาตั้งแต่เก่าแต่ก่อน แม้แต่ท่านอธิการก็สนิทกับเขา พูดตามตรงเรื่องนี้เหนืออำนาจผมอยู่มาก ผมช่วยได้แค่คอยดันเรื่องคดีความให้ถ้าคุณแจ้งความ แต่คงรับประกันอะไรไม่ได้...”



ตุลย์เบ้ปาก สีหน้าผิดหวัง เขาขอแค่ความยุติธรรม แต่คำตอบของคณบดีไม่ใกล้เคียงกับสิ่งที่คาดหวังเลย



ไม่ทันได้พูดอะไรต่อไปมากกว่านั้น เขาก็ถูกเต้คว้าไหล่ไว้ สภาพของอีกฝ่ายมีแผลฟกช้ำตามใบหน้าและมุมปากประปราย แต่แววตาไร้ความกังวล



“เลิกเถียง เสียเวลา โทรหาเสี่ย”



“ห๊ะ...? ” ตุลย์มุ่นคิ้วเล็กน้อย



เดาไม่ออกว่าคนที่ถูกกล่าวถึงจะช่วยเขาอย่างไรและด้วยวิธีใด จนเต้ต้องพูดย้ำอีกรอบ



“เออน่าโทรไปก่อน... เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง เขาช่วยได้แน่”



--------------------



ฝนตั้งเค้าทะมึนก่อนจะตกกระหน่ำลงมาในเย็นวันนั้น รถซีดานยี่ห้อหรูแล่นเข้ามาจอดภายในบริเวณอาณาบริเวณบ้าน ก่อนที่ชายหนุ่มจะลงจากรถเหมือนทุกวัน



ผลจากการตะลุมบอนเมื่อเย็นทำให้กายได้แผลฟกช้ำมาหลายจุด อาการปวดหนึบที่ต้นแขนและแก้มขวาส่งผลให้เขานิ่วหน้าสบถด้วยความรำคาญ ก่อนจะจุดบุหรี่สูบตอนที่เดินเข้ามาใต้ชายคาคฤหาสน์หลังใหญ่สไตล์ยุโรปโอ่อ่าที่ด้านในเปิดไฟสลัว



“อะไรวะ... เดี๋ยวนี้แม่งถังแตกจนต้องประหยัดไฟแล้วเหรอ”



ร่างสูงสับสวิตช์เปิดไฟด้วยอารมณ์หงุดหงิด แสงจากหลอดนีออนขาวสว่างสาดทั่วพื้นที่บ้านเผยให้เห็นชายวัยกลางคนซึ่งนั่งนิ่งงันอยู่บนโซฟา โต๊ะด้านหน้าเขามีทั้งขวดบรั่นดีและขวดเบียร์วางระเกะระกะ ดวงตาคู่นั้นหยีเล็กเพราะไฟที่สาดลงมาอย่างไม่ทันตั้งตัว



“เมื่อไหร่แกจะทำตัวเป็นผู้เป็นคนเลิกสร้างปัญหาให้ฉันตามล้างตามเช็ดซะที! ”



ครั้นพอปรับสายตาได้ ผู้เป็นพ่อก็ตวาดด้วยเสียงแห้งผาก แววตาโกรธขึ้งจนสังเกตเห็นเส้นเลือดที่ขมับจ้องมายังเขา



หึ… ดูสารรูปสิ



กายเค้นเสียงในคออย่างนึกสมเพช



“มีปัญหาก็จ่ายเงินปิดปากให้มันเงียบซะสิ จะไปยากอะไร ปกติก็เลี้ยงลูกตัวเองแบบนี้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? ” เขาเหยียดยิ้ม



“ไม่… แกมันโง่ แกไม่เข้าใจว่าทำอะไรอยู่... ”



ผู้เป็นพ่อส่ายหน้าก่อนจะลุกจากโซฟา เดินเข้ามาใกล้ทั้งที่ในมือถือแก้วเป็กใส่บรั่นดี



“เมื่อไหร่สมองโง่ๆ ของแกจะรู้จักคิดเรื่องอย่างอื่นนอกจากสร้างปัญหาให้ฉันไม่เว้นวันบ้างวะ!? ”



“จะหัวเสียอะไรนักหนาวะ กะอีแค่เรื่องทะเลาะวิวาท? เพราะช่างบงการอย่างงี้ไง มิน่าเมียถึงได้ทิ้ง”



เพี๊ยะ!



คาดไม่ถึงว่าคู่สนทนาจะกล้าตบหน้าเขาหลังสิ้นประโยคนั้น แก้มที่เจ็บระบมอยู่แล้วพลันชาไปชั่วขณะ กายชักสีหน้าขึงขัง ทว่าสิ่งที่ผู้เป็นพ่อพูดต่อมาเหนือความคาดหมายเขาไปมาก



“แกโดนพักการเรียนเทอมนึงรู้มั้ย! ทีนี้เข้าใจหรือยังว่าแค่เงินมันแก้ปัญหาไม่ได้! ”



“อะไรนะ!? ” กายขมวดคิ้วแน่น “มีเส้นสายตั้งเยอะไม่ใช่เหรอ ก็ใช้เส้นสายไม่ได้รึไง จะมัวหวงอะไรนักหนา”



“หุบปาก! ”



ไชยวัฒน์ตวาดลั่นอย่างเหลืออด



“แกไม่รู้เลยใช่มั้ยว่ากำลังยุ่งอยู่กับใคร!? เด็กที่แกไปยุ่งด้วยมันเป็นเด็กของเสี่ยศาน ที่ฉันเป็นส.ส. ได้ทุกวันนี้ก็เพราะได้เงินทุนจากเขา ถ้าถูกตัดหางปล่อยวัดขึ้นมา แกยังคิดว่าจะนอนสบายใจในบ้านหลังนี้ได้อีกเหรอ ฉันถึงได้บอกว่าแกมันโง่! แกจะทำลายสิ่งที่ฉันสร้างมาทั้งชีวิต! ”



สิ่งที่ได้ฟังทำให้ตกใจไม่น้อย แต่ชั่วครู่เดียวมันก็เปลี่ยนเป็นความสมเพช



“เออ ก็เพราะสนใจแต่ชีวิตห่าเหวของตัวเอง บ้านมันถึงได้เหลือกันอยู่แค่นี้ไงล่ะวะ! ”



“กาย! ”



ผู้เป็นพ่อคว้าแขนแต่กายสะบัดตัวออก เขาสาวเท้าผ่านโถงห้องนั่งเล่นขึ้นบันไดไปยังห้องนอนชั้นบน ก่อนกระแทกประตูปิดเสียงดังสนั่นและขว้างกระเป๋าลงบนเตียง



แสบนักนะตุลย์!



กายกัดฟันกรอด เขาไม่ได้โกรธถูกร่างโปร่งตอบโต้ แต่โกรธที่ต้องปล่อยมือจากของรักของหวงต่างหาก



ที่ผ่านมา เขาเย้ยเยาะถากถางตุลย์ว่านอนกับคนนั้นคนนี้ก็เพราะถูกใจท่าทางที่ทำเป็นว่าเข้มแข็ง ทั้งที่แววตาหวาดหวั่น



...มันเป็นสิ่งที่กระตุ้นสัญชาตญาณดิบในตัวเขาได้ดีเสมอมา จนบางครั้งก็อดสงสัยไม่ได้ว่าต้องออกแรงบีบเค้นแค่ไหนก่อนที่เปลือกนอกอันเปราะบางนั้นบุบสลายเหลือแค่เพียงเนื้อในอันเปลือยเปล่า



และยิ่งอีกฝ่ายขัดขืนหรือพยายามตอบโต้กลับ เขาก็ยิ่งอยากเอาชนะ



เจ้านกตัวนี้ เขาเคยเป็นเจ้าของ เคยได้ครอบครองมัน เขาจึงไม่คิดจะปล่อยให้มันบินหนีจากกำมือไปง่ายๆ



ทว่าตอนนี้ใครไม่รู้กลับแย่งเอามันไปหน้าตาเฉย แถมคนคนนั้นยังเป็นนายทุนเงินหนาที่ลำพังอำนาจของพ่อเขาแตะต้องไม่ถึงอีก!



“โธ่เว้ย!! ” กายสบถ



ขวดแก้วน้ำดื่มที่วางทิ้งไว้บนชั้นวางถูกเขวี้ยงใส่ผนังจนแตกละเอียด ก่อนที่ร่างสูงจะกวาดของบนโต๊ะอีกตัวหล่นลงมากระจัดกระจายเต็มพื้นห้องระบายอารมณ์เกรี้ยวกราดกับไฟสุ่มอัดแน่นในอก



เขาไม่ยอมปล่อยตุลย์ไปง่ายๆ แน่ ไม่มีวัน!



ขณะที่พยายามคิดว่าจะทำอย่างไรต่อ กายก็เหลือบไปเห็นโทรศัพท์ที่หล่นออกมาจากกระเป๋าแบคว่ำอยู่บนเตียง นาทีนั้นเชาก็นึกบางอย่างขึ้นได้



คืนที่เจอตุลย์ในโรงแรม...



“หึ” หวนคิดถึงเรื่องคราวนั้น รอยยิ้มสบอารมณ์ปรากฏขึ้นที่มุมปาก



วิธีไหนก็ได้ ขอแค่เรื่องไม่ถึงหูนายทุนคนนั้นก็พออย่างงั้นสิ?



--------------------



เพราะว่างจากการเรียนและคิวถ่ายงาน ตุลย์จึงกลับถึงบ้านตั้งแต่บ่ายโมงโดยที่เต้มาส่ง และเพื่อไม่ให้เสียเที่ยวเปล่า ทั้งคู่จึงแวะทานข้าวกลางวันที่ห้างใกล้ๆ ระหว่างทางก่อนที่เต้จะแวะส่งเขาหน้าประตูบ้านและตีรถกลับไป



“คุณหนูคะ มีพัสดุมาค่ะ”



กลับมาถึงได้ครู่เดียว แม่บ้านก็ชะโงกหน้าเรียกเขาจากในห้องครัว สักพักใหญ่ๆ เธอจึงเดินออกมาพร้อมซองกระดาษสีน้ำตาลขนาดเท่าเอสี่ในมือ



“ให้ป้าวางไว้ตรงไหนดีคะ”



“ไว้กับผมก็ได้ครับ” ตุลย์รับพัสดุมาวางไว้ข้างตัว “ขอบคุณนะครับ”




“งั้น... ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ป้ากลับแล้วนะคะ”



“ครับ” ตุลย์ยิ้ม เอ่ยล่ำลาหญิงวัยกลางตามมารยาทเหมือนทุกครั้ง




เขามัวแต่แชตกับเพื่อนไม่ได้ให้ความสนใจกับพัสดุในทีแรก จนกระทั่งการอยู่บ้านคนเดียวเริ่มทำให้รู้สึกว่างเกินไป ตุลย์จึงหันมาแกะซองระหว่างที่หยิบขนมขบเคี้ยวยัดใส่ปากเล่นฆ่าเวลา



ความเบื่อหน่ายระคนงุนง่วงทำให้เขาไม่ทันสังเกตว่าหน้าซองปราศจากชื่อและที่อยู่ของผู้ส่ง เขาเริ่มเอะใจถึงความไม่ชอบมาพากลตอนที่พบแค่แฟลชไดรฟ์เล็กๆ ในซองพลาสติกกันน้ำด้านใน และที่สำคัญมันไม่ใช่ของเขา




“อะไรเนี่ย...” ตุลย์ขมวดคิ้ว



ความกังวลเริ่มก่อตัวขึ้นเล็กๆ เขาพยายามทบทวนความจำ แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าเพราะเหตุใดถึงมีแฟลชไดรฟ์จ่าหน้าซองส่งมาถึงเขา



ตุลย์ชั่งใจว่าควรทำอย่างไรกับพัสดุที่ดูไม่ชอบมาพากลตรงหน้า เพราะไม่ว่าใครก็คงไม่อยากส่งโน้ตบุ๊กเครื่องใหม่เคลมศูนย์ทั้งที่เพิ่งซื้อปีแรก แต่ลังเลอยู่พักใหญ่ที่สุดความสงสัยก็เป็นฝ่ายชนะ



ตุลย์ตัดสินใจต่อแฟลชไดรฟ์เข้ากับโน้ตบุ๊กเพื่อเปิดดูข้อมูลด้านใน ภายในโฟลเดอร์นั้นมีเพียงไฟล์วิดีโอไฟล์หนึ่งบันทึกไว้ เขาคลิกเปิดวิดีโอดังกล่าวด้วยความฉงนระคนนไม่แน่ใจ



หน้าต่างสีดำขยายใหญ่บนหน้าจอคล้ายกำลังประมวลผล วินาทีต่อมามันก็แสดงภาพเตียงคิงไซส์ในห้องเปล่าๆ ที่ตกแต่งเป็นระเบียบเรียบง่าย ดูไปดูมาแล้วคล้ายกับโรงแรมที่ยังไม่มีผู้เข้าพัก



ในคลิปมีเสียงทุ้มที่คาดว่าเป็นของผู้ชายสองสามคนกำลังคุยกันฟังไม่ได้ศัพท์ จากนั้นก็ได้ยินเสียงเคาะประตู



ก๊อก ก๊อก ก๊อก



‘มาแล้วว่ะ’



‘กำลังรออยู่เลย…’




คำพูดเหล่านั้นเป็นหนึ่งในไม่กี่ประโยคที่ตุลย์ฟังออก จากนั้นก็ได้ยินเสียงปิดงับประตูตามหลัง ปรากฏว่าร่างร่างหนึ่งถอยเข้ามาในเฟรมพร้อมกับชายอีกสามคน ก่อนที่ร่างนั้นจะถูกหนึ่งในกลุ่มผลักหงายหลังลงบนเตียงและคร่อมเอาไว้



วินาทีที่ใบหน้าของบุคคลในวิดีโอปรากฏชัด ตุลย์เย็นวาบไปถึงกระดูก ชาดิกไปทั้งตัวเหมือนถูกแช่แข็ง



ลมหายใจเข้าออกที่เคยเป็นปกติจู่ๆ เสียดแทงปอดราวกับสิ่งที่สูดเข้าไปนั้นคือคมมีด อึดอัด หายใจไม่ออกจนรู้สึกอยากอาเจียนขึ้นมา



เพราะใบหน้าของคนในคลิปนั้น คือตัวเขาเอง...





-------------------------------------



เมลล่ากลับมาแล้วน้า กลับมาแบบเงียบๆ แฮร่
เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตที่ไร้ทิศทางสุดๆ เลยค่ะ ปรับตัวให้เข้ากับอะไรไม่ได้สักอย่าง
ตอนนี้ไม่มีสติสุดๆ เลยค่ะ 5555 รู้แค่ว่าต้องเขียนต่อ เขียนไปต่อเรื่อยๆ จนกว่าจะจบค่ะ
เป้าหมายยังเหมือนเดิมและตั้งใจว่าต้องทำให้ได้
มาตรฐานงานก็ต้องแบบเดิมด้วย!
 

ขอโทษที่ปล่อยให้รอนะคะ ตอนนี้กลับมาแล้วค่ะ
ขอบคุณสำหรับฟีตแบค และโอกาสมากมายที่นักอ่านมอบให้น้า
ขอบคุณที่เข้ามาแชร์ประสบการณ์เรื่องงานด้วยค่ะ T-T

คงไม่มีแรงออกไปโปรโมตอะไรมาก แต่หวังว่านักอ่านจะเก็บเรื่องนี้เอาไว้อ่านเล่นๆ เวลาว่างกันนะคะ <3
ปีหน้าเดือนมกราจะลาออกแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะ 5555555


สำหรับตอนหน้า เมลล่าเขียนไว้ในสต๊อกแล้ว เจอกันอาทิตย์หน้าเจ้าค่ะ  *กราบ*
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (24.09.20) l 26th Night: ซองปริศนา Part 2[Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 24-09-2020 19:20:35
 :pig4: :pig4: :pig4:

 :pig2: back krab.

ป.ล. อิกายแม่งเฬวหว่ะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (24.09.20) l 26th Night: ซองปริศนา Part 2[Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 25-09-2020 01:51:15
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (24.09.20) l 26th Night: ซองปริศนา Part 2[Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 25-09-2020 22:49:01
กายเลวได้สุดจรืงๆ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (24.09.20) l 26th Night: ซองปริศนา Part 2[Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: kimkidoy ที่ 01-10-2020 16:59:25
โถ่วตุลย์เอ้ยยยยยย
อยากให้ตุลย์มีชีวิตปกติสุขสักที
แต่ก็นะอดีตลบยาก
กายคือพักกกก สรุปชอบเค้างี้เหรอ?????
 :katai4: :katai4: รอต่อไปนะค้าบบาาาา
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (04.10.20) l 27th Night: ใต้คำโกหก Part 1 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 04-10-2020 18:12:12
27th Night: ใต้คำโกหก Part 1



กายหมุนแก้วกาแฟในมือไปมาพลางนั่งกระดิกเท้าฆ่าเวลา เขากำลังรอคอยใครบางคนและมั่นใจว่าคนคนนั้นต้องปรากฏตัวตรงตามเวลานัดในไม่ช้านี้



และตามคาด ร่างโปร่งที่กำลังหวังว่าจะได้พบก็ผลักประตูเข้ามาด้านในร้านกาแฟชื่อดัง ตุลย์ปรากฏตัวโดยสวมผ้าปิดปากและแว่นดำปิดบังใบหน้า แต่งกายตัวเรียบง่ายธรรมดาราวกับกลัวว่าจะถูกใครจำได้



สารรูปผู้มาเยือนใหม่ทำให้กายเผยยิ้มมุมปากอย่างบันเทิงใจ ขณะที่ตุลย์ตรงเข้ามาหาที่โต๊ะริมหน้าต่างด้วยท่าทางเร่งร้อน



“นั่งก่อนสิ” กายแสร้งเชื้อเชิญตามมารยาท แต่ผู้มาใหม่ดูว่อกแว่กร้อนใจเกินกว่าจะสนใจเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่ตรงข้าม



“ต้องการอะไร”



“สั่งอาหารก่อน” กายเมินคำถามนั้น เลื่อนเมนูอาหารให้แทน ฝ่ายตุลย์ก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่น



“มึงต้องการอะไรจากกูกันแน่! ”



“นั่ง แล้วทำตามที่กูบอก” กายยื่นคำขาด แววตาและน้ำเสียงแข็งกร้าวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด



ระดับเสียงสนทนาที่ดังกว่าปกติของพวกเขาเริ่มทำให้ลูกค้าบางส่วนมองมา การตกเป็นจุดสนใจในเวลานี้ทำให้ตุลย์ออกอาการประหม่า เมื่อไม่อาจต่อรองได้มากกว่านี้ เขาก็จำใจต้องนั่งลงตามที่อีกฝ่ายสั่งทั้งที่อยากจะลุกจากโต๊ะแทบใจจะขาด



“มึงทำแบบนี้ทำไม”



คนถูกถามไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “ก็เพราะกูทำได้ไง อีกอย่างมึงก็เอาคืนกูไว้แสบ เล่นซะกูโดนพักการเรียนเลยนี่หว่า”



ตุลย์เม้มปากข่มอารมณ์



กายคุกคามเขาไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง โดนเอาคืนแค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ



เขาอยากพุ่งไปเขย่าคอกายใจจะขาด แต่ในสถานการณ์ที่ตกเป็นรองเช่นนี้ เงียบเสียคงเป็นประโยชน์กว่า



“มึงรู้แล้วว่ากูมีคลิป เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากให้คลิปหลุดก็ตามที่กูสั่ง”



“มึงจะให้กูทำอะไร”



กายนั่งกระดิกเท้า แสร้งทำเป็นครุ่นคิดกวนประสาทอยู่พักกว่าจะยอมพูด



“ก็ทุกอย่างตามที่กูสั่ง... หรือถ้ากูอยากให้มาหาที่ไหนเมื่อไหร่ ก็ให้มาเดี๋ยวนั้น”



ฟังดูไร้สาระเสียจนตุลย์มุ่นคิ้ว



“เพื่ออะไร...? ”



“ทำไมต้องเอาแต่ถามว่าทำไม? เพื่ออะไร? กูอยากได้อะไรจำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยเหรอวะ“ คนถูกถามชักสีหน้ารำคาญ



“แล้วถ้ากูไม่ทำ...”



“หน้าสวยๆ ของมึงก็วอนหราอยู่ตามเว็บโป๊ไง” กายเลิกยักไหล่ราวกับคำตอบมันชัดเจนอยู่แล้ว



ตุลย์ฝืนกลืนน้ำลายลงคออยากยากลำบาก ซ่อนความกังวลก่อที่ตัวไว้ใต้ใบหน้านิ่งๆ



เขากลัวจับใจ แต่ถ้ายอมให้กายชนะง่ายๆ ตอนนี้ก็เท่ากับว่า เขาเอาอนาคตของตัวเองไปเดิมพันแขวนไว้บนเส้นด้ายที่ฝ่ายนั้นขึง ซึ่งจะยิ่งทำให้ควบคุมอะไรได้ลำบากขึ้นอีก..




“มึงแบล็กเมลกูแล้วคิดว่าจะขู่ให้กูยอมทำตามอะไรก็ได้? กูไม่ใช่คนเดียวกับเมื่อก่อน แล้วก็ไม่ใช่คนที่มึงจะต่อรองอะไรก็ได้ อย่าคิดว่ากูไม่มีใครให้จัดการเรื่องนี้”



แต่แทนที่จะล่าถอย กายยิ้มกว้างเหมือนชอบใจปฏิกิริยาโต้กลับของเขาเสียด้วยซ้ำ



“หึ มึงแน่ใจแค่ไหนว่าแบ็คที่คอยคุ้มกะลาหัวของมึงจะช่วยมึงได้? ถ้ากูปล่อยคลิปให้เพจแฉยอดติดตามหลักล้าน เวลาแค่สิบห้านาทีจะมีคนกดดูกี่พันครั้ง? อะ หรือต่อให้มึงลบคลิปออกไปแล้ว คิดเหรอว่าจะไม่มีคนดูดเก็บไว้? ช่วงนี้มึงกำลังดังเป็นพลุแตกด้วยสิ ถ้าคลิปหลุดออกไปมึงได้เป็นกระแสสมใจแน่... อื้ม แต่หน้าแบบมึงเป็นดาราตามเว็บโป๊ก็ดูเข้าท่าอยู่น



คำปรามาสและสายตาพินิจพิเคราะห์ของกายทำเอาตุลย์หน้าชา



“รึไม่เชื่อ? ” กายเลิกคิ้ว หยิบโทรศัพท์ขึ้นโชว์คล้ายต้องการยืนยันว่าไม่ได้ขู่เล่นๆ “อยากให้กูปล่อยคลิปดูมั้ยล่ะ แล้วมาพิสูจน์กันว่าระหว่างเสี่ยของมึงกับชาวเน็ต ใครจะไวกว่ากัน?



“ไม่! ”



สัญชาตญาณความกลัวกระตุ้นให้ตุลย์คว้าโทรศัพท์จากอีกฝ่ายทันที กายชักมือหลบทันแบบเฉียดฉิว แต่แรงกระแทกก็ทำให้โทรศัพท์เกือบหลุดมือตกลงในแก้วกาแฟ



“เฮ้ย อย่าเหิมให้มันมาก! ”



กายขึ้นเสียงอย่างเสียอารมณ์ ลุกขึ้นติดรำคาญ นั่นทำให้ตุลย์ลุกขึ้นตามอีกฝ่ายอย่างร้อนรน ก่อนจะถูกสบประมาทในประโยคถัดมาหน้าจนหน้าเสีย



“หึ เมื่อกี้ยังทำมาเป็นปากดี พอหมดฤทธิ์ก็ตามตูดกูต้อยๆ เชียวนะ ไอ้ลูกหมา“ กายปรายมองอย่างสมเพช ก่อนจะสั่งให้เขาจ่ายค่ากาแฟสำหรับสองคน



“จำไว้ว่าถ้าไม่อยากมีปัญหาก็ทำตามที่กูสั่งง่ายๆ ”



เจ้าของคำสั่งคว้ากระเป๋า ขณะที่ตุลย์ไม่อาจทำอะไรได้มากกว่ากัดฟันและปล่อยให้อีกฝ่ายเดินออกจากร้านไปตามใจปรารถนา



-------------------------



ทันทีที่กลับถึงห้อง ตุลย์ปิดประตูโยนกระเป๋าลงบนเตียงอย่างอ่อนแรง ความรู้สึกในใจของเขาล้นบ่าราวกับกล่องต้องคำสาปที่ถูกเปิด ทั้งโกรธ กังวล และรู้สึกผิดตีรวนผสมกัน แต่ก็ได้เพียงกัดฟันลูบหน้าตัวเองแรงๆ ถอนหายใจยาวเหยียดราวกับทำเช่นนั้นแล้วจะอึดอัดน้อยลง แต่ก็เปล่าเลย



ไม่อยากเชื่อว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นจริง...




หลายเดือนที่ผ่านมานี้ เส้นทางชีวิตของเขาราบรื่นและเข้ารูปเข้ารอยทั้งในเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว ปราสาทที่แต่ก่อนทำได้เพียงวาดภาพไว้ในความฝันกลับกลายเป็นสิ่งที่จับต้องสัมผัสได้อย่างเหลือเชื่อ ทำให้เขาเกือบลืมความรู้สึกแรกเริ่มเดิมทีตอนที่ก้าวเข้ามาบนเส้นทางนี้ไป



ลืมว่าครั้งหนึ่งเขาเคยตัดสินใจขายร่างกายและศักดิ์ศรีให้คนอื่นเพราะหลงผิดคิดว่าอาจแลกอนาคตที่สวยสด เคยดิ้นรนกับความฝันลมๆ แร้งๆ มีชีวิตอยู่โดยเป็นทาสของเงิน เอาตัวรอดให้ถึงพรุ่งนี้ไปวันๆ เพียงเพื่อรอคอยการปิดฉากเงียบๆ ณ ที่ไหนสักแห่งในตรอกลับตาผู้คน แต่ชีวิตเขาก็กลับตาลปัตย์ตอนที่ศานนท์เข้ามา มอบโอกาสให้ทิ้งทุกอย่างและเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง



ทว่าอดีตกลับเปรียบเสมือนหมึกดำที่เปื้อนพอผ้าขาวครั้งหนึ่งแล้ว ก็ไม่อาจลบออกได้อีก



...มันกลายเป็นอาวุธย้อนกลับมาแทงข้างหลังในวันที่เขามีทุกอย่าง



ตุลย์ก้มมองเท้าเปลือยบนพื้นก่อนจะหลับตาลงอย่างยากลำบาก



เขาจำคลิปวิดีโอได้ติดตา...



ภาพของตนเองที่เคลื่อนไหวใต้เรือนร่างผู้อื่น ตอบสนองตามคำสั่งและความต้องการของคนเบื้องบนอย่างว่าง่ายราวกับเคลิบเคลิ้มพอใจในรสสัมผัสเหล่านั้น แว่บหนึ่งที่ทำให้รู้สึกละอายจนนึกรังเกียจตัวเองขึ้นมา



ศานนท์จะทำหน้ายังไงนะ ถ้าได้เห็นเขาในสภาพนั้น....



คงรังเกียจและผิดหวังถ้ารู้ว่าเนื้อแท้ของเขาไม่ต่างจากวินทร์ที่เจ้าตัวเคยปรามาสว่าทั้งฉาวโฉ่และโง่งม...



แสงไฟหน้ารถของศานนท์จากสวนด้านล่างวูบไหวผ่านหลังม่านฝ่าเข้ามาในตัวห้องอันมืดสนิท สว่างวาบชั่วขณะก่อนเลือนหายไปในเวลาใกล้เคียงกัน ตุลย์เงยหน้าเหม่อมองตามแสงราวแมลงกลางคืนที่ถูกดึงเข้าหาหลอดไฟ ก่อนจะสลัดหัวไล่ความคิดเมื่อครู่ทิ้งไปเหมือนได้สติ



ไม่… ไม่ใช่



ถ้าไม่ตัดสินใจทำเรื่องโสมมวันนั้น เขาอาจไม่ได้พบศานนท์...



ทั้งหมดนี้เป็นแค่ความคิดฟุ้งซ่านในหัวเขาเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น ศานนท์ดีกับเขามาโดยตลอด ที่เขาควรทำคือเชื่อใจอีกฝ่ายต่างหาก!



บางทีถ้าเขาใจเย็นลงแล้วค่อยๆ แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างมีสติ...



ศานนท์ต้องเข้าใจแน่…



ตุลย์หลับตาระบายลมหายใจยาวเหยียด นาทีนั้นความรู้สึกจุกแน่นในอกก็คล้ายจะเบาบางลงบ้าง เขารวบรวมความกล้าก่อนตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียง



เขาจะบอกเรื่องนี้กับศานนท์




ร่างโปร่งผลักประตูสาวเท้าลงบันไดไปที่ชั้นล่าง รับรู้ได้ว่าขาของตนหนักอึ้งและไม่มั่นคงนัก เขาได้เสียงสนทนาเบาๆ แว่วตามลมมาจากห้องนั่งเล่นด้านล่าง ลงไปถึงชานบันไดก็พบว่ากำลังศานนท์ยืนหันข้างคุยโทรศัพท์อยู่ สีหน้าและน้ำเสียงของหนุ่มใหญ่ราบเรียบเคร่งขรึมเป็นงานเป็นการ เพียงยิ้มทักทายเล็กๆ ตอนที่หันมาเห็นเขาพอดี



‘รอแป๊บนะ’



เขาอ่านปากศานนท์จับใจความได้อย่างนั้น



ศานนท์กำลังติดธุระอยู่กับปลายสาย แต่ท่ามกลางเสียงสนทนาที่ดำเนินต่อไป ระหว่างพวกเขาทั้งสองมีแค่ความเงียบที่ส่งผ่านทางสายตา



...เงียบนานจนได้ยินเสียงความกังวลร้องตะโกนให้เขาล้มเลิกที่จะเล่าและเดินหนีเสียตอนที่ยังมีโอกาส มันทำลายความฮึกเหิมในทีแรกจนพินาศ ปลดปล่อยความรู้สึกที่เขาพยายามกดซ่อนไว้ให้ฟุ้งเตลิดคิดไปถึงผลลัพธ์ที่แย่ที่สุด



“มีอะไรหรือเปล่า”



ชั่วขณะเดียวกับที่หนุ่มใหญ่วางสาย เลิกคิ้วถามไถ่อย่างห่วงใยเมื่อเห็นว่าสีหน้าไม่ค่อยดี วินาทีนั้น ใจเขาเต้นผิดจังหวะด้วยความกลัว



ตุลย์ยืนนิ่งงัน อ้ำอึ้งพูดไม่ออกราวกับคำพูดทั้งหมดจุกอยู่ที่หน้าอก ไม่อาจเปล่งผ่านลำคอออกมาเป็นคำได้



...เขากลัวจับใจว่า หากพูดออกไปตอนนี้ รอยยิ้มและน้ำเสียงที่ไถ่ถามอย่างห่วงใยจะอันตรธานหายไปกลายเป็นความเฉยชาอย่างคนแปลกหน้า…



“เปล่าครับ ไม่มีอะไรหรอก ผมแค่หิวน่ะ” กว่าจะพูดจนจบประโยคได้ ในความรู้สึกเขามันเหมือนนานนาที



“เธอยังไม่ทานมื้อเย็นเหรอ หื้ม? จริงๆ ฉันกำลังคิดว่าจะสั่งอะไรมากินพอดี ถ้างั้นออกไปหาอะไรทานด้วยกันดีมั้ย? ”



ตุลย์เหลือมองนาฬิกาข้อมือ “...สองทุ่มแล้ว ร้านจะยังไม่ปิดเหรอครับ”



“อืม ร้านประจำคงใกล้แล้ว แต่ฉันพอมีร้านขาจรที่อร่อยๆ อยู่” พูดจบหนุ่มใหญ่คว้าหยิบกุญแจรถบนโต๊ะหน้าโซฟา “เธอล่ะ อยากทานอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า? ”



ตุลย์ส่ายหน้า เม้มปากน้อยๆ ฝืนกลืนความรู้สึกและความพูดมากมายกลับลงไปอย่างฝืดคอ



“ไม่ครับ เอาที่คุณว่าอร่อยก็แล้วกัน” ร่างโปร่งยิ้มนิดๆ ก่อนจะเดินตามหนุ่มใหญ่ออกไปที่ลานจอดรถ พลางคุยสัพเพเหระกันอย่างทุกครั้งเสมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึัน



ท่าทางอบอุ่นเป็นมิตรของหนุ่มใหญ่ บทสนทนาเรื่องพื้นๆ ที่พวกเขามักพูดกันโดยไม่คิดอะไรมาก เขาไม่อยากทำลายบรรยากาศที่กำลังไปได้สวย…



เขาสัญญาว่าจะบอกศานนท์



แค่ยังไม่ใช่ตอนนี้...



----------------------------------

สองคนนี้กินข้าวด้วยกันบ่อยจังเนอะ หรือเป็นเพราะจริงๆ แล้วเมลล่าหิว ถถถถมาอัพตามสัญญาแล้วเจ้าค่ะ


กราบขอภัยที่ช้าไปนิดนึงเจ้าค่ะ ตอนแรกคิดว่าจะมาตั้งแต่วันพฤหัส แต่เสร็จไม่ทันเจ้าค่ะ 
นี่ก็ยังรู้สึกว่ารีบอัพไปหน่อย แฮร่
พยายามจะปรับปรุงอะไรหลายๆ อย่าง

แนะนำติชมกันได้เหมือนเคยะนะคะ
ขอบคุณสำหรับคำติชมและคอมเม้นท์นะคะ
ดีใจมากๆ ที่ยังเห็นนักอ่านเดิมแวะเวียนกันเข้ามาอ่านเจ้างานดองเค็มเรื่องนี้นะคะ T_T


ตอบหน้าพบกันสัปดาห์หน้าเช่นเคยนะคะ <3
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (04.10.20) l 27th Night: ใต้คำโกหก Part 1 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 05-10-2020 00:59:27
 :pig4: :pig4: :pig4:

คนเรานะ  ความตั้งใจแรก ล้มเหลวแทบทั้งนั้น
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (04.10.20) l 27th Night: ใต้คำโกหก Part 1 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 05-10-2020 02:42:58
อ่านไปอ่านมา ผมกลับชอบตัวละครเต้มากที่สุดในเรื่องนี้นะครับ ถ้าจะชอบคาแรกเตอร์แบบไหนหรือชอบพระเอกโทนไหน ผมชอบแบบเต้เนี่ยแหละ (หัวเราะ)

ผมว่านวนิยายเรื่องนี้น่าสนใจมากนะครับ อันดับแรกเลย เพราะคนเขียนมีความพยายามและเรียนรู้ที่จะปรับปรุงตัวเองอยู่เรื่อยๆ รวมถึงมีแนวคิดที่จะเขียนเรื่องที่มันน่าให้สังคมคิดว่า...เอ๊ะ แล้วถ้ามันไม่ traditional แบบนี้ มันจะเป็นไปได้มั้ย คนเขียนมีความคิดสร้างสรรค์ที่จะทดลองเขียนอะไรใหม่ๆขึ้นมา อันนี้เป็นทักษะและ Mindset ของผู้เขียนที่ผมชอบ สังเกตจากทอล์คหลายๆครั้งที่ผ่านมา อันดับที่สองคือ คนเขียนมีการคุยกับคนอ่านบ่อยๆ มีการอธิบายเรื่องราวของตัวเองและ clarify ในหลายๆอย่างชัดเจนครับ คือถ้ามีปัญหาแล้วทำให้หยุดการเขียนไป ก็อธิบายชัดเจน อันนี้มันเป็นสิ่งที่ดี บ่งบอกความรับผิดชอบ จะไม่เหมือนนักเขียนที่นึกจะหยุดก็หยุด ไม่บอกไม่กล่าว การมี Talk เพื่ออธิบายปม อธิบายเรื่องราว อธิบายที่มาที่ไป และพูดคุยเรื่องจิปาถะกับนักอ่าน มันทำให้การอ่านนิยายกลายเป็น Two-way communication ซึ่งสำหรับผู้ที่กำลังเขียนนิยายและพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆแล้ว มันเป็นสิ่งที่ดี เพราะมันเป็นการปรับฟีดแบ๊คที่ได้รับ และแสดงความคิดของตัวเองเพื่อให้ผู้อ่านรู้ว่าเรากำลังอยากจะสื่ออะไร

ประเด็นนึงที่ทำให้นวนิยายเรื่องนี้น่าสนใจ ก็อย่างที่ผู้เขียนบอกไว้ในทอล์คตั้งแต่แรกๆ คือ เรื่องนี้ ถ้าเสี่ยไม่หล่อ ไม่ล่ำ แล้วตัวนางนิสัยแบบนี้ มันจะรักกันได้ไหม ซึ่งนี่เป็นการตั้งประเด็นที่น่าสนใจมาก สำหรับผม นวนิยายเรื่องนี้มันไม่เหมือนนิยายที่ตอนจบมันต้องจบแฮปปี้เอ็นดิ้งสุขนิยมนะครับ เพราะเราเปิดเรื่องมาด้วยแนวคิดที่ไม่ตลาด ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องจบเรื่องแบบดาษดื่นสุขนิยม มาจนถึงตอนนี้ ผมอ่านมาจนถึงตอนปัจจุบัน ผมคิดว่านวนิยายเรื่องนี้มันเหมือนการสะท้อนการเดินทางและแนวคิดชีวิตของตุลย์มากกว่า ซึ่งการเดินเรื่องแบบนี้มันน่าสนใจ

ผมชอบที่คาแรกเตอร์ตัวละครในเรื่องนี้มีพื้นหลังที่ค่อนข้างแน่น แต่ละการกระทำก็สมเหตุสมผลในสภาพความคิดของเขาเอง พล็อตอาจจะไม่ได้มีอะไรหวือหวามาก แต่ว่าเน้นเรื่องของอารมณ์ ความรู้สึก แนวคิด ปมเรื่องและพล็อตสะท้อนผลลัพธ์ที่มีผลต่ออารมณ์และความรู้สึกของตัวละคร คาแรกเตอร์หลายๆตัวมีมิติของเขาเอง แต่ละคนมีปมของตัวเอง มีแบ็คกราวน์ชีวิตที่ส่งผลต่อการกระทำ มีมุมของเขาที่ทำให้นิสัยเขาเป็นอย่างที่เป็นในเนื้อเรื่อง ตรงนี้คือการสร้างนวนิยายให้แน่น ตัวละครสมจริง ซึ่งเป็นสิ่งที่นวนิยายที่ดีควรจะมี และเรื่องนี้ทำออกมาได้ดีครับ

มาพูดกันถึงปมเรื่องและตัวละครกันบ้าง อย่างที่บอกไปแล้ว ผมอ่านเรื่องนี้แล้วเลยรู้สึกเหมือนเป็นการสะท้อนการเดินทางชีวิตของตุลย์ ซึ่งพูดตรงๆว่าคาแรกเตอร์ตัวนางแบบนี้ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แต่คนเขียนทำออกมาได้สมจริงดีทีเดียวครับ และเขียนอธิบายไว้ในทอล์คช่วงแรกๆของนิยายไว้แล้ว ตุลย์เป็นคนที่อยากจะตะกายออกจากสภาพสังคมเดิมๆ ไม่ค่อยสนใจสายตาคนอื่น แต่ก็ยังรักศักดิ์ศรีและหัวดื้อเงียบระดับนึง (ฟิวส์ขาดว่าไม่เคยยอมจะอยากขายตัว แค่อยากจะหาเสี่ยรับเลี้ยงแลกผลประโยชน์กันเท่านั้น) เนื้อแท้ตุลย์ไม่ใช่คนสุภาพ ไม่ใช่คนที่มีความอดทนสูง อันนี้ผมคิดว่าอาจจะมาจากการที่โตมาอย่างแย่ๆและไม่ได้มีคนสั่งสอน ปัญหาของตุลย์คือ ตุลย์โตมาแบบ ‘กลวง’ เขาไม่ได้รู้สึกว่าจะมีหลักยึดอะไรในชีวิตที่ทำให้แก่นชีวิตเขารู้สึกมีคุณค่า เขาไม่เคยได้รับความรักแบบครอบครัว ไม่ได้มีเพื่อนที่โตมาด้วยกัน ยิ้มหัวเราะด้วยกัน ไม่ได้เรียนรู้ว่านอกจากเงินแล้ว มันจะมีอะไรที่ให้เป้าหมายในการดำรงชีวิตของเขา หรือมันมีอะไรที่จะทำให้การตะกายของเขามีคุณค่า ตุลย์ตอนแรกมองค่อนข้างสั้นคือจะตะกายออกไปจากสลัม และมีความฝันคือการเข้าวงการบันเทิง ซึ่งมันยากมากเพราะคุณเลือกเส้นทางเสี่ยเลี้ยงที่มันมีประวัติติดตัว ตุลย์รู้ดีว่าการตัดสินใจของเขามันสร้างผลลัพธ์อะไร แต่เขาก็อยากจะทำมันเพราะอยากจะตะกายออก ซึ่งมันไม่ได้ผิด แต่นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ตุลย์กลัวกายเอามากๆ

เพราะกาย ‘เห็น’ ตุลย์มาตั้งแต่แรก กายรู้ว่าตุลย์แท้จริง...ไม่มีอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นความภาคภูมิใจ ความรัก ความหวังดี ความเมตตา ทักษะที่ไม่ใช่ความรวยที่จะทำให้คนในสังคมชื่นชอบ ตุลย์ไม่มีมัน ดังนั้นต่อให้คนจะชุบตัวหรือเปลี่ยนตัวเองไปมากขนาดไหนก็ตาม การตัดสินใจของคนเรามันมีประวัติติดตัว อย่างน้อยตัวเองก็รู้ และถ้ามีคนที่ ‘รู้’ ว่าอดีตเราเคยทำอะไรมา และตัดสินใจอย่างนั้นเพราะอะไร รู้ว่าแท้จริงแล้วเราไม่มีอะไรเลยแล้วเลือกเส้นทางลัดเพราะอะไร แน่นอนว่าคนเราจะกลัวครับ ตุลย์จะกลัวกายเพราะตุลย์รู้ดีว่า กายรู้ ว่าถ้าไม่มีศานนท์ ไม่มีธวัตร ตุลย์ก็คือไม่มีอะไรเลย ตุลย์ไม่สามารถจะทำให้คนชอบเขาได้ด้วยซ้ำ เพราะเขาเป็นคนไม่ได้สุภาพ ไม่ได้มีความอดทนสูง แต่เขา ‘ฝึก’ มันได้ เพื่อให้ได้ในสิ่งที่เขาต้องการ มันไม่ใช่เนื้อแท้ของตุลย์

ผมชอบตรงนี้ มันล้อกับปมชีวิตของศานนท์ในระดับหนึ่งเลย ศานนท์รู้ดีว่าทุกการตัดสินใจของเขามันนำมาซึ่งผลลัพธ์ ต่อให้ไม่ใช่ประวัติ ก็เป็นเรื่องของผลกระทบ ศานนท์ใช้เวลาตั้งเจ็ดปีในการเคลียร์ตัวเองจากสถานะที่สังคมเดียดฉันท์ในเรื่องวงการธุรกิจมือเพื่อให้ล้างมือได้เต็มที่ แล้วคิดว่าตุลย์จะใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบายยิ้มรับได้ทั้งๆที่ยังมีสถานะของการเป็นเด็กเสี่ยอยู่เหรอ? สำหรับศานนท์ ผมมองว่าคาแรกเตอร์ตัวละครนี้เป็นผู้ใหญ่มาก อบอุ่น สุขุม มีความอดทน ไม่ได้หื่นกามไร้สาระแบบพระเอกนิยายเสี่ยเลี้ยงทั่วๆไป แม้ว่าจะมีปมตัวละครแบบดั้งเดิมไปหน่อย (รวย ธุรกิจใต้ดิน) แต่ผมชอบที่ผู้เขียนทำให้ศานนท์มีความเป็นมนุษย์ เขาแต่งงานกับผู้หญิงที่เข้ากันได้ดี ฉลาดเหมือนกัน คุยกันรู้เรื่อง และมีความรักให้ซึ่งกันและกัน เขามีลูกสาว และเขาก็ทำร้ายครอบครัวของตัวเองจากพฤติกรรมและความไม่รู้ของตัวเอง แม้ศานนท์จะเป็นคนฉลาดตั้งแต่หนุ่ม สุขุม รอบคอบ จนได้ขึ้นมากุมบังเหียนธุรกิจ แต่คนฉลาดส่วนมากก็ไม่เคยนึกว่าผลลัพธ์ของธุรกิจสีดำมันจะย้อนมาทำร้ายตัวเอง และที่สำคัญคือมัน ‘ทำร้ายจิตใจ’ ของตัวเองได้อย่างสาหัส ซึ่งศานนท์คงไม่เคยนึกถึงมุมนี้ มันถึงทำให้เขาพังมากเมื่อเกิดเหตุการณ์ ซึ่งหลายๆเหตุการณ์ หลายๆประโยคของอดีตศานนท์ ผมชอบมากเลยนะครับ เช่น ประโยคที่แม่ภรรยาพูดกับศานนท์ เพราะมันเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้เลย ศานนท์ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน เลยทำให้น้ำท่วมปาก และพอมานึกได้ก็คือเขาเสียสิ่งๆนั้นไปแล้วอย่างหวนกลับไม่ได้ และที่สำคัญ คาแรกเตอร์ของตัวละครนี้ก็ยังชัดในแง่มุมของความเป็นผู้ใหญ่ ฉลาด สุขุม รอบคอบ เพราะพอวันนึงที่เขาคิดได้ เขาก็วางมือ ใช้เวลาและละเอียดรอบคอบ ‘พยายาม’ จะทำมันให้ถึงที่สุด เพื่อให้ตัวเองเป็นคนใหม่ ผมนับถือความเป็นผู้ใหญ่ของเขาตรงนี้

เอาจริงๆ ผมมองไม่ออกเลยว่ามันจะมีความรักแบบหนุ่มสาวเกิดขึ้นได้ยังไง ซึ่งตรงนี้ผมก็ชอบการดำเนินเรื่องของนวนิยายอีก ตรงที่ตุลย์เคยพูดไว้ว่าเขาไม่ได้รู้สึกกับศานนท์เหมือนกับเป็นคู่รัก แต่มันก้ำกึ่งเหมือนเป็นเพื่อนอาวุโสที่สนิทกันจนเหมือนจะเป็นครอบครัว แต่ก็มีอะไรกัน มันมีความบิดเบี้ยวนิดหนึ่งตรงที่เราไม่เคยมีนิยามความสัมพันธ์อะไรแบบนี้ และสถานะความรู้สึกแบบนี้มันเกิดขึ้นได้เพราะว่าตุลย์ไม่ได้โตมาด้วยการมีครอบครัวสุขสันต์ มีบืดามารดาคอยช่วยเหลือและแนะนำแนวทาง คอยอบรม ห้ามปราม สอนในสิ่งที่เป็นจริยธรรมมาตรฐานสังคมมนุษย์ มอบความรัก ความอบอุ่น สอนให้เห็นถึงความดีงามของมนุษย์และยืนหยัดเพื่อมัน ตุลย์เองไม่มีพ่อด้วยซ้ำ ผมคิดว่าสำหรับตุลย์ ศานนท์เป็นโพสิชันที่อยู่กึ่งกลางระหว่างพ่อ กับคนรัก เพราะด้วยอายุที่ห่างกันเกือบ 20 ปี มันทำให้ศานนท์สุขุมนุ่มลึกมากกว่า และมีความเป็นห่วงและให้ความอบอุ่นแบบครอบครัวกับตุลย์

ความจริงผมไม่มายด์เลยนะครับ ถ้าสมมุติว่าตอนจบแล้วตุลย์จะไม่ได้คู่กับศานนท์ หรือตุลย์จะไม่ได้คู่กับใครเลย เพราะว่าอย่างที่บอก ประเด็นที่ตั้งมาของนวนิยายเรื่องนี้และคาแรกเตอร์มันก็โดดเด่นและเพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจอยู่แล้ว ประกอบกับความสมจริงเข้าไปอีก ตอนจบแบบสุขนิยมไม่ได้เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีเลย เพราะปัญหาของตุลย์ในอนาคตคือ ตอนนี้ตุลย์กำลังหลงในโอกาสที่ไหลเข้ามา และศานนท์เองก็หลงตุลย์พอสมควร ทำให้เกิดการเปย์แบบไม่สิ้นสุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเงินทอง โอกาสการทำงาน คอนเนคชันส่วนตัวที่ให้เพื่อนช่วยดัน ถ้าในระดับหนึ่งมันไม่เป็นไร แต่ถ้าแบ็คหนามากๆแล้วทำจนผิดสังเกต คนที่มีประวัติชนักติดหลังแบบตุลย์ไม่จบสวยแน่ เพราะว่ามันจะทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในภาพใหญ่อย่างเห็นได้ชัด ในความเป็นจริงเราช่วยทุกคนไม่ได้ แต่การช่วยแค่คนๆเดียวให้สุดจนผิดสังเกตุ มันจะยิ่งเพิ่มความเหลื่อมล้ำให้กับสังคมและเป็นเป้าในการโจมตี ยิ่งตุลย์มีเรื่องมาก่อนอยู่แล้ว ไม่แปลกใจเลยที่จะดับได้ง่ายๆ และการใช้คอนเนคชันศานนท์มาจบเรื่องก็ไม่ใช่ทางออกที่สวย เพราะคุณปิดความจริงไม่ได้ แค่ในคณะที่ตุลย์เรียน ถ้าตุลย์ดังมากขึ้นเรื่อยๆกว่าคนอื่นจนผิดหูผิดตา ก็ย่อมหลบเสียงนินทาไม่ได้ เพราะเอาจริงๆฝีมือตุลย์ด้านการแสดงก็ไม่ได้โดดเด่น อย่างที่บอกไปว่าตุลย์ไม่ได้โดดเด่นด้านไหนเลย ไม่ว่าจะเป็นการเรียน หรือการใช้ชีวิต ที่เด่นขึ้นมาได้ก็เพราะศานนท์ใช้คอนเนคชันมาโค้ชส่วนตัวกับดันเป็นกระแสจุดสนใจให้คนอื่นเห็น หรือปรับปรุงลุคกับรูปร่าง ใช้เงินทุ่มเอา ซึ่งมันเป็นข้อได้เปรียบของกลุ่มทุน

จุดเด่นของตุลย์ที่เป็นตัวเขาจริงๆ ผมกลับมองว่าคือสิ่งที่ธวัตรสอนให้ตุลย์ทำมาตั้งแต่ในอดีต คือการปรับตัวให้เข้ากับคู่ค้าหรือคู่สนทนา แล้วก็ดูแล เพื่อให้การเจรจาเป็นไปได้อย่างราบรื่น ดังนั้นถ้าเกิดมีการเปรียบเทียบหลายๆด้านในปัจจุบันของตุลย์กับคนอื่นที่มีพรสวรรค์จริงๆแต่ไม่ได้รับโอกาสขึ้นมา (การแสดง การเรียน) มันจะเห็นชัดมาก และหลบเลี่ยงการสูญเสียภาพลักษณ์ในวงใหญ่ไปไม่ได้เลย จะเกิดการเสียหายในภาพใหญ่เป็นลูกโซ่ คราวนี้ล่ะเสียกันทั้งเครือข่าย

ตอนนี้ที่ผมมองจริงๆคือ ศักยภาพของคนที่เป็นพระเอก (ตัวเอกที่แสดงคาแรกเตอร์แบบพระเอก) เป็นเต้นะครับ บุคลิกเต้เป็นอะไรที่ผมชอบ เขาพูดน้อย ไม่ค่อยเรื่องมาก ทำงานที่มอบหมายออกมาได้ดี สำหรับมิติตัวละครก็ใช้ได้ มีเรื่องราวในอดีตที่ส่งผลต่อนิสัยปัจจุบัน เต้เป็นเด็กที่ห่ามๆมาก่อน ไม่แปลกใจเพราะต้องเรียนรู้เรื่องในวงการจากพ่อ ซึ่งเป็นมือขวาของศานนท์มาก่อน และจากการที่อยู่ในแวดวงบอดี้การ์ด ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเต้ต้องฝึกฝนเรื่องแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ทำให้นิสัยเขาค่อนข้างเงียบ สุขุม พูดน้อย แต่ต่อยหนัก ซึ่งการที่มีชีวิตวัยรุ่นตีไปทั่วหน่อย อาจจะเพราะด้วยฮอร์โมนพลุ่งพล่าน และความสามารถที่เกินวัยจากการบ่มเพาะของสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับผู้นำ พระเอกในที่นี้ไม่ได้แปลว่าจำเป็นต้องคู่กับตุลย์ แต่หมายถึงตัวเอกชายที่ดำเนินเรื่องแบบสุดท้ายผงาดแบบ Heroic เอาจริงๆผมคิดว่าเต้เป็นคนที่เรียนรู้และเป็นทายาทของศานนท์ต่อแทบจะได้เลย อาจจะไม่ได้ฉลาดมาก แต่มีความคม ความนิ่ง และศักยภาพรูปร่างกับความสามารถทางกายภาพของเขาก็โดดเด่น ซึ่งเป็นเสน่ห์สำหรับผู้นำในช่วงวัยรุ่น (เอาจริง ผมอยากเห็นการบรรยายที่เน้นเต้สักบทสองบทนะครับ เพราะเรื่องปูมาว่าเขาเป็นนักมวยเพราะเอาความสามารถในอดีตที่ถูกบ่มเพาะมาใช้กับสังเวียนแทนเนื่องจากแม่ขอไว้ แต่ก็ยังไม่เห็นแท้จริงว่าศักยภาพเป็นยังไง เห็นแค่ว่าหยุดหมัดกายได้ แล้วก็มีตะลุมบอนกับหมาหมู่ของพวกกายเท่านั้น แต่ไม่เห็นผลสรุปเพราะว่ามีคนเข้ามาห้ามไว้ก่อน)

จุดสุดท้ายที่ต้องชมมากๆคือการเขียนบทบรรยายของนวนิยายเรื่องนี้ครับ อย่างที่บอกว่าบรรยายเน้นอารมณ์ ความรู้สึก ของตัวละครที่สะท้อนมาจากปมเรื่องและพล็อตเรื่อง (การตัดสินใจ) ได้ดีมาก เขียนบรรยายอารมณ์ตัวละครที่โมโห โกรธ เขียนบรรยายความรู้สึก หรือว่าดำเนินเหตุการณ์ ก็ทำได้ดี อีกทั้งฉากอัศจรรย์ก็ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมไม่น้อย ก็อยากให้คงความพยายามและ Mindset ในการพัฒนาปรับปรุงการเขียนขึ้นไปเรื่อยๆแบบนี้ครับ เป็นกำลังใจให้
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (04.10.20) l 27th Night: ใต้คำโกหก Part 1 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: kimkidoy ที่ 07-10-2020 20:52:55
ตุลย์รีบบอกคุณศาลเถอะ ก่อนที่จะมาจับได้เองทีหลัง
ส่วนกายคือสู่ขิตแน่ๆถ้าคุณศาลรู้
รอวันที่ฟ้าสดใสนะตุลย์ เอาใจช่วย :mew2:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (22.11.20) l 27th Night: ใต้คำโกหก Part 2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 22-11-2020 21:23:20
(27.5)



ครืด… ครืด…



เสียงโทรศัพท์สั่นครืดคราดปลุกตุลย์ให้ตื่นจากภวังค์นิทราอย่างไม่เต็มใจ เขาเพิ่งงีบหลับตอนบ่ายไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงจึงอยู่ในสภาพงัวเงียตื่นไม่เต็มตา คิ้วยาวขมวดมุ่นเป็นปมขณะไถลตัวหยิบโทรศัพท์ที่ชาร์ททิ้งไว้ข้างหัวเตียง กดรับโดยคร้านจะดูชื่อ



“ฮัลโหล”



“เฮ้ย มึงไปซื้อเบอร์เกอร์ที่ร้านดังๆ ตรงถนน Y ให้หน่อยดิ” เสียงปลายสายฟังดูคล้ายจะคุ้นแต่ก็ไม่คุ้น



ตุลย์ย่นคิ้ว ไม่เข้าใจว่าผู้พูดต้องการอะไร แต่คำสั่งห้วนของคนแปลกหน้าก็ทำให้เขาหงุดหงิดจนมองข้ามความงุนงงระคนสังสัย สบถด่าอีกฝ่ายไปคำใหญ่



“อยากกินก็สั่งดิวะ โทรหาคนส่งโน้น กูจะนอน”



ปลายสายหัวเราะต่ำๆ “มึงจะไปหรือไม่ไป ต้องให้กูเตือนมั้ยว่ามึงติดค้างอะไรไว้กับกู? ”



คำขู่ของกายดูจะทำให้สมองของเขาแจ่มชัดขึ้นโข ตุลย์เงียบพ่นหายใจแรง ก่อนจะยอมยันตัวลุกจากเตียงอย่างไม่มีทางเลือก



“เออๆ รู้แล้ว เดี๋ยวไปซื้อให้ จะเอาอะไร? ”



“เมนูซิกเนเจอร์ร้าน แล้วก็...”



ขณะที่ฟังกายร่ายรายการอาหาร เขาก็เดินไปคว้าเสื้อยืดกางเกงขายาวจากในตู้มาสวมอย่างขอไปทีโดยที่ตาครึ่งเปิดครึ่งปิด



“จะให้ไปส่งที่ไหน”



“คอนโด กูจะส่งโลฯ ไปในแชต รีบมาเร็วๆ กูให้สนธยาเวลาสามสิบนาทีเริ่มนับตั้งแต่ตอนนี้เลย”



“เออๆๆ ” ความง่วงงุนทำให้ตุลย์ขานรับห้วนๆ ก่อนจะวางสายอย่างหงุดหงิดระคนเร่งรีบ



เขาคว้ากระเป๋าสตางค์กับโทรศัพท์บนโต๊ะข้างหัวเตียงแล้วออกจากบ้านเรียกแท็กซี่มุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางที่กายสั่ง ผ่านพักใหญ่ให้หลังกว่าตุลย์จะตื่นเต็มตา พอมีสตินึกย้อนได้แจ่มชัดว่าพลั้งปากพูดอะไรไป เขาชักพะวักพะวนกับปากช่างพล่อยของตัวเองขึ้นมา





โลเคชั่นที่กายส่งมาทางแชทเป็นที่ตั้งของคอนโดราคาแพงสูงตระหง่านซึ่งอยู่ติดกับสถานีรถไฟฟ้ากลางเมือง ตุลย์เช็กข้อมูลในมือถือซ้ำอีกหน จนแน่ใจว่าเขามาถูกถึงค่อยถามหากุญแจที่กายฝากไว้จากพนักงานประจำอินเทอร์เน็ตท์เตอร์ตรงมุมหนึ่งของล็อบบี้หรูหรา หลังจากนั้นก็ขึ้นลิฟต์มาตามชั้นที่ตกลงกัน



พูดตามตรงว่าการเดินทางมาหากายถึงรังทำให้อึดอัดใจไม่น้อย ถ้าเป็นไปได้เขายอมเจอฝ่ายนั้นในที่สาธารณะแล้วเสี่ยงให้คนมาเห็นเอายังดีกว่าเผชิญหน้ากันสองต่อสองในที่อับสายตาแบบนี้...



ประตูลิฟต์เปิดออกอีกครั้งเมื่อถึงชั้นที่หมาย สัญชาตญาณย์สาวเท้าตามโถงทางยาวไล่มาหยุดตรงหน้าเลขห้องของกาย แต่แทนที่ใช้คีย์การ์ดปลดล็อกประตูเข้าไปทันที เขาเลือกจะโทรหาเจ้าของห้องผ่านโปรแกรมแชตก่อนเพื่อเลี่ยงการเผชิญหน้าโต้งๆ



ฝ่ายคู่สายกดรับแทบในทันที



“กูถึงแล้ว”



“ไหนวะ? ”



เสียงตอบดังจากหลังประตูก่อนที่บานไม้เรียบหรูตรงหน้าจะเปิดออก กายยังสวมชุดนอน หัวยุ่งดูราวกับเพิ่งตื่นผิดความคาดหมายผู้มาเยือน



“เร็วดีนี่หว่า...”



“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว กูกลับละ” ตุลย์ยื่นอาหารที่บรรจุในถุงกระดาษให้อีกฝ่าย แต่กายปฏิเสธที่จะรับมัน



“เดี๋ยวดิวะ จะรีบกลับไปไหน”



“อะไรอีก”



ร่างสูงไม่ตอบแต่กระดิกนิ้วเรียกเป็นเชิงให้เข้ามาข้างใน ตุลย์ขมวดคิ้วแน่น ท่าทีของกายทำให้เขาเคลือบแคลงในจุดประสงค์ แต่ด้วยแต้มไพ่ในมือที่ด้อยกว่า จึงต้องยอมตามเข้าไปอย่างไม่เต็มใจนัก



เสียงประตูปิดดังไล่หลัง พอหันกลับไปเขาก็เกือบชนเข้ากับกายจังๆ ตุลย์ผงะเล็กน้อยตามสัญชาตญาณก่อนจะเบี่ยงตัวหลบคนที่ประชิดเข้ามาในระยะใกล้เกินไปอย่างไม่ไว้ใจ ขณะที่กายเข้ามาดึงถุงเบอร์เกอร์และคีย์การ์ดไปจากมือดื้อๆ



“ระแวงอะไรของมึง? ”



เจ้าของห้องมองด้วยสายตาเหยียดหยันระคนขบขัน ก่อนเดินเฉียดไหล่เขาไป ทรุดตัวนั่งบนโซฟาแล้วหยิบเบอร์เกอร์ออกมากินลอยหน้าลอยตาขณะดูโทรทัศน์ที่เปิดไว้ ทิ้งให้ผู้มาเยือนยืนเก้ออยู่ด้านหลัง



ไม่นานตุลย์ก็เปรยถามอย่างหมดความอดทน



“ไม่มีอะไรแล้วจะให้กูอยู่ทำไม? ”



“เห็นมึงทำหน้ากล้ำกลืนแล้วมันสนุกดีไง” กายเอี้ยวตัวมามองเขาก่อนจะฉีกยิ้มหยัน ดูสะใจเล็กๆ



ไอ้หมอนี่มันตั้งใจเรียกโทรเรียกเขามาปั่นประสาทชัดๆ!



“แต่มึงก็ใจกล้ากว่าที่คิดนะ… มาหากูถึงคอนโดคนเดียว ไม่กลัวโดนกูซ้อมหรือบังคับให้ทำเรื่องต่ำๆ อีกหรือไง”



“ซ้อมกูไปจะมีประโยชน์อะไรกับมึง”



“หึ ถามหาเหตุผลจากกูเนี่ยนะ? ” ร่างสูงเลิกคิ้ว เหยียดแขนยาวพาดพนักโซฟา “ทำไมวะ? กูดูเหมือนคนมีเหตุผลนักเหรอ”



สบสายตากัน นาทีนั้นความทรงจำเก่าๆ ที่เคยถูกกายทำร้ายก็ไหลเข้ามาในหัวเป็นช่องฉากราวกับเนื้อที่ในปอดถูกบีบเล็กลงจนหายใจลำบาก ความรู้สึกอึดอัดกระตุ้นให้ตุลย์เม้มปากแน่น โพล่งออกไปด้วยสัญชาตญาณการปกป้องตนเอง



“กูไม่อยู่เฉยๆ ให้มึงซ้อมแน่ และกูก็ไม่ทำเรื่องอย่างนั้นอีกเด็ดขาด ถ้ากูทำมึงก็จะใช้คลิปพวกนั้นแบล็กเมล์กูอีก กูไม่ยอมเป็นทาสมึงไปตลอดแน่! ”



ทีแรกก็หวั่นว่าผู้ฟังจะเกิดฉุนขาด แต่ต้องประหลาดใจเมื่อกายแค่กระตุกยิ้ม เมินผ่านคำพูดเมื่อครู่ แล้วหันกลับไปสนใจรายการทีวีต่อราวกับเขาเป็นอากาศ กระทั่งจัดการมื้อกลางวันเสร็จ เจ้าของห้องก็ลุกขึ้นจากโซฟา



“กูไปอาบน้ำละ”



ร่างสูงหยิบผ้าขนหนูในห้องนอน ก่อนจะหายเข้าไปทางห้องน้ำโดยไม่ใส่ใจ ปฏิกิริยานั้นยิ่งทำให้เขาสับสนไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร



ลับหลังเจ้าของห้อง ร่างโปร่งก็ถอนหายใจยาวเหยียด



อยู่ใกล้หมอนี่ทีไร เขารู้เหมือนกำลังทำสงครามประสาททุกที...




ว่าไปแล้ว ห้องของกายก็จัดว่ากว้างขวางพอตัวสำหรับคอนโดทำเลกลางเมืองเช่นนี้ ทั้งยังแบ่งเป็นสัดเป็นส่วน ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ครบครันกลมกลืนไปกับโทนสีของห้อง หากไม่ติดว่ามีร่องรอยชีวิตของผู้อยู่อาศัย อย่างเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้วางพาดระเกะระกะบนโต๊ะและตามที่ต่างๆ ก็คงดูเรียบหรูทันสมัยสมราคากว่านี้อยู่มากโข



ขณะที่กำลังสำรวจห้อง ตุลย์สะดุดตากับโน้ตบุ๊กสีเงินยี่ห้อดังที่มีรูปลักษณ์เหมือนของเขาเป๊ะ วางหมิ่นเหม่อยู่บนโต๊ะทานอาหารข้างถุงร้านสะดวก ความคิดหนึ่งก็ฝุดขึ้นในหัว



เขาเหลือบมองกายที่เดินหายไปทางห้องน้ำผ่านประตูห้องนอนที่แง้มอยู่ครึ่งหนึ่งของความกว้าง ก่อนจะเดินปรี่เข้าไปใกล้



...นี่อาจเป็นโอกาสเดียวที่เขาจะรู้ว่ากายเก็บไฟล์ไว้ที่ไหน



ตุลย์เปิดดูโน้ตบุ๊กอย่างถือวิสาสะขณะที่หัวใจเต้นระส่ำ โชคดีที่คอมพิวเตอร์ของกายไม่ได้เข้ารหัสไว้ เขาจึงสามารถเข้าถึงหน้าจอและไฟล์ต่างๆ ในเครื่องได้ในทันที



แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยเป็นประโยชน์เท่าไหร่ เพราะไฟล์ส่วนมากเป็นไฟล์งาน รูปที่เซฟมาจากอินเทอร์เน็ต รูปถ่าย และเพลงซึ่งไม่เกี่ยวข้องใดๆ คลิปที่เขากำลังตามหา แถมไฟล์พวกนี้ยังมีเป็นร้อยๆ ลำพังคงไม่มีเวลาพอจะไล่เปิดดูทั้งหมดได้



ตุลย์จิ๊ปาก



ถ้ากายรู้ว่าเขายุ่งกับโน้ตบุ๊กของหมอนั่น เรื่องคงจบไม่สวยแน่



แต่ยิ่งค้นนานเขาก็ยิ่งกระสับกระส่ายกลัวว่าจะถูกเห็นเข้า ขณะที่เริ่มกังวลว่าตนกำลังใช้เวลาอย่างศูนย์เปล่าไปกับการงมเข็มในมหาสมุทรที่อาจไม่มีวันเจอ หางตาของเขาก็เหลือบไปเห็นโทรศัพท์ของกายวางคว่ำอยู่ที่โต๊ะหน้าโซฟาพอดิบพอดี



จริงสิ... คลิปที่กายใช้แบล็กเมลเขาถูกถ่ายจากกล้องโทรศัพท์ บางทีต้นคลิปอาจจะถูกเก็บไว้ในโทรศัพท์ก็ได้



คิดได้เช่นนั้น ตุลย์ก็รีบชัตดาวน์เครื่องกลบเกลื่อนร่องรอยแล้วจ้ำอ้าวไปที่โซฟาหยิบโทรศัพท์ของกายขึ้นมาทันที แต่ทว่าครั้งนี้เขาไม่โชคดีเหมือนทีแรกเพราะจอถูกเข้ารหัสไว้



ตุลย์ลองสุ่มพาสเวิร์ดอยู่สองสามครั้ง ก่อนที่คิ้วยาวจะขมวดแน่นอย่างหัวเสียเมื่อการกดพาสเวิร์ดผิดเป็นครั้งที่หกทำให้หน้าจอล็อกชั่วคราว จังหวะที่คิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรต่อ หางตาก็เหลือบไปที่ประตูทางออก



บางทีเขาควรยึดโทรศัพท์กายไว้แล้วรีบออกจากห้องนี้ซะ จากนั้นค่อยส่งมันให้ใครสักคนปลดล็อก



ทำแบบนั้นเขาอาจได้คลิปต้นเรื่องหรือข้อมูลอะไรสำคัญๆ ที่สามารถใช้แบล็กเมลกาย



แต่ถ้ากายไม่ได้เก็บคลิปนั่นไว้แค่ในโทรศัพท์ล่ะ…?




“มึงหยิบผิดเครื่องรึเปล่า”



ตุลย์สะดุ้งเมื่อเสียงของกายดังขึ้นจากด้านหลัง เขาหันกลับไปอย่างตื่นตระหนก



ร่างสูงของกายยืนอยู่ห่างจากเขาแค่เมตรเดียว โดยที่ยังสวมชุดลำลองตัวและถือผ้าขนหนูไว้ในมือ ไม่ได้อาบน้ำจริงอย่างที่เจ้าตัวอ้าง วินาทีนั้นตุลย์ก็รู้ว่าเขาเพิ่งถูกหลอกให้ตายใจ



“กูก็สงสัยอยู่ว่าถ้าปล่อยมึงเอาไว้คนเดียวจะเป็นยังไง หึ นึกแล้วว่ามึงต้องแอบค้นห้องกูแน่ อยากรู้เหรอว่ากูเก็บคลิปไว้ที่ไหน? ” กายยักคิ้ว ในมืออีกฝ่ายมีโทรศัพท์อยู่อีกเครื่อง “งั้นแลกเครื่องกันหน่อยดีมั้ยล่ะ? ”



“....! ”



ตุลย์รีบล้วงกระเป๋ากางเกง ก่อนจะเย็นสันหลังวาบเมื่อพบว่าพื้นที่สองข้างลำตัวว่างเปล่า เขาไม่รู้ว่าถูกกายฉกโทรศัพท์ไปตอนไหน บางทีอาจตั้งแต่ตอนเข้าห้องที่จู่ๆ อีกฝ่ายเดินมาประชิดแล้วกระชากถุงเบอร์เกอร์ไปจากมือ หรือไม่ก็ตอนที่แกล้งเดินเฉียดไหล่เขา



ท่าทีตกใจนั้น เรียกรอยยิ้มสะใจจากผู้ชนะ “ความรู้สึกช้านะมึง”



“เอาโทรศัพท์กูคืนมา! ”



“ส่งของกูคืนมาก่อน”



“ไม่...”



เขาจะรู้ได้ไงว่ากายจะคืนมันจริง



“ก็ได๊”



กายเปิดประตูระเบียงออกไปยืนด้านนอก โดยทีมือยังถือโทรศัพท์เขา



"ถ้ามึงไม่คืน กูจะโยนไอ้นี่ลงไปข้างล่าง มึงจะเก็บโทรศัพท์กูไว้ก็ตามใจ ลองมาพนันกันสักหน่อยก็ได้ว่าคลิปอยู่ในเครื่องกูมั้ย แต่ไม่รับประกันหรอกนะ ว่าชื่อเสียงมึงจะอยู่รอดปลอดภัยหลังจากนี้”



“อย่า! ”



ไวกว่าความคิด ตุลย์ก้าวพรวดออกไปคว้าข้อมือกาย เขาแม่นพอแต่กายก็ขืนแรงยื้อเอาไว้ ตำแหน่งของโทรศัพท์ในตอนนี้จึงค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ ยื่นออกไปนอกขอบระเบียงเล็กน้อยอย่างน่าหวาดเสียว



เพราะมัวแต่มุ่งความสนใจไปที่โทรศัพท์เครื่องดังกล่าว กายจึงใช้จังหวะที่ตุลย์ไม่ทันตั้งตัวดึงโทรศัพท์ของตนจากมืออีกข้างอย่างรวดเร็ว แต่เพราะตุลย์กำมันไว้แน่นแต่แรกผนวกกับแรงดึงที่ไม่มากพอ โทรศัพท์จึงหลุดมือของทั้งคู่ ชนขอบกระถางต้นไม้ริมระเบียง ก่อนจะไถลไปตกอยู่ตรงซอกด้านหลังกระถางปูน



ตุลย์ปราดหางตามอง เค้นเสียงฮึดฮัดในคออย่างหงุดหงิดเพราะเพิ่งเสียเครื่องต่อรองไป ร่างโปร่งขืนแรงข้อมือเพิ่ม แต่มือกายก็เหนียวแน่นอย่างกับตีนตุ๊กแก



จริงอยู่ที่เขาแข็งแรงขึ้นกว่าเมื่อก่อนจนมั่นใจว่ารับมือกายได้ตามลำพัง แต่กำลังผู้ชายตัวเท่าๆ กันก็ใช่ว่าจะเอาชนะได้ง่ายๆ เสียเมื่อไหร่



“มึงได้คืนแล้วก็ปล่อยมือจากโทรศัพท์กู” ตุลย์ชักเริ่มหัวเสีย



“ก็ได้ๆ ปล่อยแล้วนี่ไง”



กายยอมรามือโดยง่าย ท่าทีเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายนั้นสร้างความเคลือบแคลงให้ตุลย์ไม่น้อย แต่เพราะได้ของของตนคืนแล้ว เขาจึงคร้านจะเก็บมาใส่ใจ ไม่คาดคิดว่าจู่ๆ ร่างสูงจะพุ่งพรวดเข้ามาฉกมันจากมือในจังหวะที่กำลังเก็บใส่กระเป๋า ผลคือโทรศัพท์ลื่นหลุดจากมือหล่นลงบนพื้น ก่อนที่ตัวเครื่องจะกระเด็นกระดอนออกไปนอกระเบียงร่วงลงด้านล่างต่อหน้าต่อตาตุลย์



ใจเขากระตุกวูบ ตุลย์ชะโงกมองซากซึ่งตอนนี้เห็นเป็นเพียงจุดดำๆ เล็กๆ บนพื้นคอนกรีต จากนั้นเส้นความอดทนก็ขาดผึง



“เอามือออกไปจากกู! ” ตุลย์ตวาดตาขวาง



แรงยื้อยุดที่ข้อแขนคลายออก ร่างโปร่งก็ผลักอกกายอย่างแรงจนผู้ถูกกระทำเสียการทรงตัวเซถอยหลังไปหลายก้าว



"กู-จะ-กลับ"



เสียงห้วนจนฟังดูเหมือนคำสั่งมากกว่าประโยคบอกกล่าว นาทีนั้นเขาไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ร่างโปร่งสบถ เดินกลับเข้าไปในห้องด้วยโทสะคุอย่างคนฟิวส์ขาด จากนั้นประตูหน้าห้องก็ปิดเสียงสนั่นดังปังใหญ่ ทิ้งให้กายยืนนิ่งเพียงลำพังอยู่ที่ริมระเบียงอย่างเดิม



ชายหนุ่มครางหึ่มในคออย่างเสียอารมณ์ ขยี้หัวด้วยความรู้สึกหงุดหงิดกึ่งผิดหวัง เขาพ่นหายใจ ก่อนล้วงซองบุหรี่ในกระเป๋าขึ้นมาจุดสูบ



“แม่งเอ้ย”



เขามัวแต่ไล่บี้เส้นความอดทนของตุลย์เพลินจนเกือบทำพลาด!



ขืนเมื่อกี้ยังยื้อไว้อีกคงได้ถูกฝ่ายนั้นชกหน้าเข้าให้จริงๆ




ความรู้สึกของการอยู่เหนือกว่า หรืออำนาจควบคุมแบบที่สามารถบังคับฝืนใจให้ผู้คนยอมสิโรราบได้ตามต้องการ สิ่งเหล่านี้ช่างหอมหวาน เสพติดและชวนให้ถลำลึกสำหรับเขาเสมอมา



ตุลย์ก็แค่โชคร้ายที่เผอิญกระตุ้นสัญชาตญาณดิบพวกนั้นในตัวเขาได้ดี




กายกระตุกยิ้ม แต่ครู่เดียวก็เลือนหายไปจากใบหน้า

[/i]

ใช่... เขาสนุกกับการได้ปั่นหัวให้ตุลย์วิ่งวนในกำมือเหมือนหนูติดจั่น แต่สิ่งที่อีกฝ่ายไม่รู้คือ เขาเองก็วางเดิมพันกับเกมนี้ไว้สูงเช่นกัน



หากครั้งหน้าไม่เล่นระวัง คนที่เสียหมดหน้าตักอาจเป็นเขาเองก็ได้...

[/i]

---------------------



ซีดานสีดำจอดรออยู่ริมฟุตบาทในจุดที่คนไม่พลุกพล่านนัก ท้องฟ้าสีครามยามสนธยาโปรยเม็ดฝนปรอยพอให้ได้ยินเสียงหยดน้ำตกกระทบกระจกหน้าเกิดเป็นฝ้ามัว ศานนท์เอนกายกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ในรถ ไล่ดูข่าวสารผ่านโลกอินเทอร์เน็ตฆ่าเวลาไปเรื่อยขณะที่รอคอยใครบางคนซึ่งยังไม่มีวี่แววว่าจะปรากฏตัว



ชายวัยกลางคนก้มมองนาฬิกาข้อมือเรือนที่ใส่ประจำเมื่อรู้สึกตัว



ดูเหมือนจะเลยเวลานัดมาราวครึ่งชั่วโมงได้…



เขาลองต่อสายหาตุลย์ดู ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อปลายสายตัดเข้าเสียงตอบรับอัตโนมัติเนื่องจากไม่สามารถติดต่อเจ้าของหมายเลขได้ แม้ว่าเขาจะโทรซ้ำอีกครั้งแล้วก็ตาม



เมื่อบ่ายตุลย์บอกว่าจะออกมาทำงานกับเพื่อนที่มหาวิทยาลัย ศานนท์จึงรบเร้าจะมารับอีกฝ่ายกลับในตอนเย็น ปกติแล้วตุลย์จะโทรบอกก่อนเสมอหากมาสาย แต่เย็นนี้โทรศัพท์ของเขายังเงียบกริบ ไม่มีแม้แต่ข้อความ…



หรือว่าจะแบ็ตหมด?




เขารู้แก่ใจดีว่าตุลย์ดูแลตัวเองได้ แต่ส่วนลึกก็ยังเป็นกังวลเล็กๆ ประกอบกับเลยเวลานัดมาพักใหญ่ ศานนท์จึงถือโอกาสค้นรายชื่อคนใกล้ชิด ตั้งใจจะไหว้วานให้ช่วยดูแลตุลย์เสียหน่อย



ทว่าจังหวะที่ปลายนิ้วจะแตะปุ่มโทรออก เสียงเคาะกระจกจากฝั่งตรงข้ามก็ดังขึ้นเรียกความสนใจให้เงยขึ้นจากหน้าจอ เงาร่างสูงโปร่งฉายชัดหลังกระจกที่ถูกละอองน้ำเกาะเลือนพร่า แต่ศานนท์จำเค้าโครงร่างนั้นได้



ปลดล็อกประตูปุ๊บ ตุลย์ก็จ้ำอ้าวขึ้นรถทันที



“ขอโทษครับ ผมมาสายหน่อย” ร่างโปร่งที่เปียกแฉะไปครึ่งตัววางกระเป๋าลงข้างๆ หายใจหอบราวกับคนรีบร้อนวิ่งมาฝ่าฝนมายังไงอย่างนั้น “คุณรอนานหรือเปล่า? ”



“ก็นิดหน่อย เมื่อกี้ฉันโทรหาเธอไม่ติด กำลังคิดว่าจะโทรหาคนอื่นอยู่เธอก็มาพอดี”



“โทรศัพท์ผมพังน่ะ”



ศานนท์ร้อง ‘อ๋อ’ เบาๆ ขณะคาดเข็มขัดแล้วปลดเบรกมือลงเพื่อให้รถเคลื่อนตัวได้



ถึงว่าล่ะ เขาโทรไม่ติดสักที




“เครื่องรวนเหรอ? ”



“เปล่าครับ จอผมแตกละเอียดหมด เลยทิ้งไปแล้ว”



หนุ่มใหญ่เลิกคิ้วแปลกใจ “ไปทำอีท่าไหนเข้าล่ะ”



“ไม่ได้ทำอะไรหรอก ผมเถียงกับเพื่อนนิดหน่อย ไม่ทันระวังเลยทำมันหลุดมือตกลงมาจากชั้นบน” ตุลย์ตอบสั้นกระชับ คิ้วยาวขมวดมุ่นดูรำคาญใจเมื่อต้องย้อนนึกถึงเรื่องที่กำลังเล่า



ปฏิกิริยานั้นทำให้ศานนท์รับรู้ได้ไม่ยากว่าร่างโปร่งอยู่ในอารมณ์หงุดหงิด แต่เมื่อไม่เห็นว่ามีอะไรน่าเป็นห่วง เขาจึงไม่ซักไซ้ต่อเพราะไม่อยากก้าวก่ายเรื่องในสังคมเพื่อนของอีกฝ่ายจนเกินพอดี



ท่ามกลางสายฝนที่ลงเม็ดพรำ ซีดานราคาแพงแล่นออกจากรั้วมหาวิทยาลัยเข้าสู่ถนนที่การจราจรคับคั่งแน่นขนัดเป็นกิจวัตร ตุลย์เท้าคางบนที่พักแขน เหม่อมองออกไปนอกหน้าตาต่างขณะที่หัวคิ้วขมวดเล็กน้อยราวกับกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องน่ารำคาญใจ



หลังจากนั่งเงียบไปพักใหญ่ จู่ๆ ร่างโปร่งก็ถอนหายใจยาวเหยียด



“กว่าจะพ้นแยกนี้คงชาติหน้าซะมั้ง”



ดูเหมือนสภาพท้องฟ้าอากาศและการจราจรติดหนักจะทำให้เจ้าตัวหัวเสียกว่าเก่า



“หงุดหงิดเหรอ? " หนุ่มใหญ่เลียบเคียงถาม



"เปล่าหรอกครับ" ตุลย์ปฏิเสธ



ที่จริงเขายังหงุดหงิดเรื่องที่ถูกกายปั่นประสาทจวนจะฟิวส์ขาด แถมยังยื้อเวลาทำให้ต้องติดฝนจนมาสาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่คิดจะเอาอารมณ์ไปสาดใส่ศานนท์อย่างไร้เหตุผล




“ฉันรู้ว่าเธอกำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่”



“ครับ ผมยังหงุดหงิดอยู่นิดหน่อย วันนี้มันวุ่นวายน่ะ” ถูกจี้มากๆ เข้า ร่างโปร่งก็ตอบอย่างขอไปที



ศานนท์เงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนจะเสนอ “งั้นเราไปซื้อโทรศัพท์ใหม่กันดีมั้ย”



“หือ? ตอนนี้เหรอครับ? ”



หนุ่มใหญ่รับ ‘อือฮึ’ ในคอ



เหม่อมองไฟท้ายสีแสดของรถยนต์ที่เรียงแถวเป็นแนวยาวเหยียด ตุลย์ก็ถอนใจยอมแพ้ “ไม่ต้องหรอก มันต้องยูเทิร์นกลับไม่ใช่เหรอครับ คราวหลังเถอะ เสียเวลาจะตาย”



“ไม่เสียเวลาหรอก ถ้าเธออารมณ์ดีขึ้นน่ะ”



“.......” ร่างโปร่งถอนหายใจ ก่อนจะเบนหน้าหนีไปอีกทาง



เขาไม่คิดว่าจะมีอะไรที่ทำให้อารมณ์ดีขึ้นตอนนี้ได้หรอก...




“ไม่ได้จะคาดคั้นอะไรเธอหรอกนะ”



หนุ่มใหญ่เอ่ยขึ้นราวกับรู้ทันความคิดเขา



“ที่ฉันพูดแค่อยากให้เธอรู้... ว่าฉันแคร์ความรู้สึกเธอเพราะเธอพิเศษสำหรับฉัน เธอคือคนที่ฉันอยากเห็นหน้าที่สุดในวันวันนึง ดังนั้น ถ้ามีอะไรที่ฉันพอจะทำให้เธออารมณ์ดีขึ้นได้บ้าง มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ฉันจะต้องเสียดายเวลาหรอก”



น้ำเสียงของศานนท์เรียบเป็นปกติราวกับกำลังอธิบายเรื่องธรรมดาทั่วไปเรื่องหนึ่ง แต่เรียกให้ผู้ฟังถอนสายตาจากความเคลื่อนไหวนอกกระจกกลับมาภายในรถ



สายตาของตุลย์เผอิญบรรจบกับศานนท์พอดีตอนที่หันกลับมา หนุ่มใหญ่ดึงเบรกมือขึ้นโดยที่มือขวาวางพาดอยู่บนพวงมาลัย เอี้ยวตัวมาด้านข้างเล็กน้อยราวกับสนใจแค่เพียงเขา





ความเอาใจใส่ที่สะท้อนผ่านแววตาและภาษากายก่อให้เกิดเป็นความอบอุ่นปลอดภัยแบบที่คุ้นเคยชิน ตุลย์ก็คล้ายจะหลงลืมความโกรธไปครู่



ชั่วอึดใจที่ไม่มีใครพูดอะไร ระหว่างพวกเขาทั้งคู่จึงมีแค่ความเงียบห้อมล้อมด้วยเสียงเพลงจากสถานีวิทยุ จังหวะดนตรีช้าๆ ฟังสบายเหลื่อมรับกับเสียงฝนจากด้านนอก



ตุลย์ยิ้มออกมาเล็กน้อย "อยู่ๆ ก็คุณพูดอะไรเยอะแยะจนผมตามไม่ทัน...”



“นั่นน่ะสิ” หนุ่มใหญ่หัวเราะเบาๆ ไม่ปฏิเสธ “สำหรับเธอ อะไรก็ได้ ถ้ามันทำให้อารมณ์ดีขึ้น ไหนลองบอกฉันมาสิ...”



ท้ายประโยคจงใจแผ่วลงจนฟังดูแสนเอาอกเอาใจ ศานนท์ช้อนมองเขาด้วยสายตาที่เปิดเผยความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมาแต่แฝงด้วยการเว้าวอนซึ่งมันกระตุ้นบางอย่างที่ตุลย์ไม่รู้จักให้ก่อตัวขึ้นข้างในใจ



แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำความเข้าใจความรู้สึกนั้น ปลายนิ้วหัวแม่มือของหนุ่มใหญ่ก็เอื้อมมาแตะคางเขา ก่อนที่มือหนาเชยกรอบหน้าให้มาทางขวาเพื่อจูบ ริมฝีปากของทั้งคู่จะแตะกันเบาๆ พอเกิดเสียง สัมผัสอุ่นชื้นยามที่ริมฝีปากเบียดชิดกันนุ่มนวลอ้อยอิ่งปราศจากความรีบร้อน แต่กลับหวานละมุนชวนเสพติดจนโหยหาอยากสัมผัสอีก



“อืม…”



ตุลย์ครางเบาๆ รั้งไหล่กว้างให้โน้มเข้ามาใกล้อีกนิด ก่อนจะปรับเปลี่ยนองศาเอียงใบหน้าจูบตอบในแบบที่นิ่มนวลเชื่องช้าพอๆ กัน



เม็ดฝนโปรยลงมาจากท้องฟ้าครึ้มเมฆสีครามในเวลาย่ำค่ำ ไฟท้ายสีแดงฉาดของรถยนต์ที่จอดนิ่งสนิทอยู่เบื้องหน้าตัดกับสีท้องฟ้า โคมถนนส่องสว่างให้แสงแก่สองข้างทางในขณะที่ผู้คนถือร่มหลากสีหลากลวดลายเดินขวักไขว่สวนกันไปมาตามทางเท้าเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้านหลังจากเลิกงาน เหล่านี้ล้วนเป็นภาพปกติของวิถีชีวิตชาวเมืองกรุงที่เห็นจนชินตา



เพียงแต่ครั้งนี้เขากลับรู้สึกพอใจหากว่ารถจะติดนานขึ้นอีกหน่อย...




หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (22.11.20) l 27th Night: ใต้คำโกหก Part 2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 22-11-2020 21:23:54
(ต่อ)



อากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่อุณหภูมิต่ำเกินไปทำให้รู้สึกหนาวท่อนบนจนปลุกตุลย์จากภวังค์งีบหลับ ร่างโปร่งครางเบาๆ ก่อนตุลย์พลิกตัวคว่ำส่งผลให้ผ้าห่มเลื่อนหลุดลงมากลางหลังเปลือย ขณะเอื้อมมือควานหาโทรศัพท์ตรงหัวนอนด้วยความเคยชิน เขาใช้เวลาอยู่เกือบนาทีกว่าจะระลึกได้ว่าหยิบ ‘ซาก’ จอกับเครื่องกรอบๆ ไปทิ้งลงถังขยะเองกับมือ จึงฟุบหน้าใส่หมอนต่ออย่างงัวเงีย



หลังจากเรื่องบนรถ พวกเขาติดอยู่บนถนนต่ออีกเกือบสองชั่วโมงกว่าจะได้สานต่ออารมณ์ที่คั่งค้างกันไว้ต่อเมื่อกลับถึงบ้าน อากาศเย็นๆ และเตียงนุ่มสบายหลังจากเซ็กซ์ที่เยี่ยมผนวกเข้ากับความอ่อนล้า ทำให้ตุลย์เผลองีบหลับอย่างเคยนิสัย กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีก็ดึกดื่น



เพราะขี้หนาวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ซุกตัวใต้ผ้าห่มต่อได้อีกราวห้านาที ร่างเปลือยก็จำใจต้องยันตัวลุกขึ้น เดินข้ามกองเสื้อผ้าขยุกขยิกข้างเตียงเพื่อไปหยิบเสื้อยืดจากในตู้มาสวมแค่ท่อนบนอย่างทนไม่ไหว ก่อนจะวกกลับมาทรุดตัวนั่งตรงขอบเตียงโดยระมัดระวังไม่ให้ผืนเตียงยวบยาบเกินไปจนทำให้ผู้ที่กำลังหลับใหลรู้สึกตัว



ศานนท์ยังคงหลับสนิทอยู่ที่อีกด้านหนึ่งของเตียงคิงไซส์



อีกฝ่ายก็ดูจะขี้เซ้าไม่แพ้เขาเหมือนกัน




ตุลย์ลอบยิ้มในความมืด



ผ้าม่านในห้องซึ่งถูกปิดไว้ไม่สนิทแต่แรกทำให้มีแสงลอดมาจากด้านนอกตัดกับความมืดภายใน ช่องรอยต่อระหว่างม่านสองผืนที่แง้มอยู่เผยให้ท้องฟ้ายามราตรี ดูเหมือนว่าฝนที่ตกไปเมื่อเย็นจะทำให้มีปริมาณเมฆน้อย ยิ่งขลับดวงจันทร์เด่นสง่าดูสว่างไสวกว่าทุกคืน



...ปกติเขาเป็นคนติดโทรศัพท์เอามากๆ ชนิดที่ว่างตอนไหนเป็นต้องหยิบขึ้นมาเล่น น่าแปลกที่ตอนนี้กลับไม่ทุกข์ร้อนแม้ว่าจะติดต่อใครไม่ได้



ตุลย์ทอดมองแผ่นหลังของศานนท์ซึ่งครึ่งล่างซุกอยู่ใต้ผ้านวมผืนหนาในสภาพยับยู่ยี่จากเรื่องเมื่อหัวค่ำ แววตาอ่อนลงยามหวนย้อนคิดถึงเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขา



...นึกภาพไม่ออกด้วยซ้ำว่าชีวิตตัวเองจะเดินไปในรูปแบบไหน ถ้าหากไม่ได้ศานนท์คอยช่วยมาถึงตรงนี้



เขาก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นอยู่นี่มันคือความสัมพันธ์แบบไหน แต่ถ้าเป็นไปได้ ก็อยากใช้ชีวิตด้วยกันแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ …



ทว่าวินาทีที่เริ่มคิดถึงอนาคต อดีตที่เกือบหลงลืมไปแล้วก่อตัวขึ้นเป็นความรู้สึกหนักอึ้งในอกราวกับกำลังตีตราย้ำเตือนเขาถึงเรื่องที่ไม่ว่าจะลบเท่าไหร่ก็ลบไม่ออก



เขาอยากให้อดีตนี้ตายไปกับเขา มันคงจะดีกว่าถ้าเขาไม่ต้องเล่าเรื่องนั้นให้ศานนท์ตลอดไป…




------------------------------

กลับมาแล้วค่าาา พยายามอย่างมากที่จะมาอัพ ในที่สุดก็ทำได้ซะที เยยย้

ใกล้จะเข้าสู่โหมดดราม่าเต็มตัวแล้วค่า

เมลล่ากลับไปวาง+ปรับปรุงรายละเอียดเส้นเรื่องในแน่นขึ้นแล้ว เสียเวลาไปกับตรงนี้อยู่นานเลย

แต่เพื่องานที่ตื่นเต้นและเป็นเหตุเป็นผล หวังว่านักอ่านชอบเสพกันเจ้าค่ะ อิอิ



ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะดู untraditional มากๆ แต่เมลล่าเป็นพวกสุขนิยม ถถถถถ ดังนั้นจบสวยเจ้าค่ะ แต่ระหว่างทางคงไม่ราบรื่น (เอ๊ะ)

มาลุ้นกันต่อนะคะ ว่าจากตอนนี้เนื้อเรื่องจะเดินไปทางไหนต่อ

หนูตุลย์จะปิดศานนท์ไปได้นานมั้ย หรือใครจะความแตกก่อนกัน แล้วบทสรุปของเจ้ากายจะเป็นยังไง ฮี่ๆๆ

เอ๊ะ ทำไมพูดเหมือนจะจบแล้ว? ถถถถถ

ข่าวดี (หรือข่าวร้ายหว่า) คือ 31 ตอนไม่น่าจบค่ะ

แต่ยืดออกไปไม่เยอะ พยายามสับให้รวบรัดแต่ไม่ตัดตอนเกินไปเจ้าค่ะ





ช่วง: แอบบ่น (สั้นๆ)


จริงๆ เมลล่าเข้ามาหน้านิยายบ่อยอยู่พอสมควรค่ะ แต่เนื้อหายังไม่เสร็จสักทีเลยไม่ค่อยอยากเขามาตอบเฉยๆ เท่าไหร่ รู้สึกผิดค่ะ T___T
แต่ได้อ่านทั้งคอมเม้นท์ต่างๆ และคำวิจารณ์แล้วนะคะ (อย่างละเอียด ถถถ) ขอบพระคุณมากๆ ที่สละเวลา reflect งานผ่านมุมมองของนักอ่านให้เมลล่า เป็นประโยชน์มากๆๆๆ เลย

ปกติเพื่อนนักเขียนรอบๆ ตัวเมลล่า มักจะเป็นคนที่ creative สูงมากๆ พอไปเข้าคลาสเรียนด้วยกันก็จะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีหัวด้านนี้เลย งานทุกคนดูน่าสนใจไปหมดยกเว้นตัวเราที่วนอยู่ในอ่าง 5555
อาจเพราะปกติเมลล่าจะชอบเขียนงานที่มี controversy สูง หรือไม่ก็อะไรที่เกี่ยวกับ taboo มั้งคะ ซึ่งมันไม่ค่อยได้ใช้หัวด้าน creative เพราะต้นกำเนิดงานมันมาจากการอยากฉีก tradition บางทีก็จะเกิดอาการสับสนว่านี่มันใช่การเขียนนิยายแบบที่เขาทำกันนหรือเปล่าหว่า 5555

แต่พอเวลามีคน reflect มุมมองแบบนี้ บางทีมันก็เตือนเราว่างานแปลกๆ แบบนี้ก็ยังมีคนที่ชอบอยู่เหมือนกัน ทำให้รู้สึกว่าตัวเองกำลังมากถูกทาง ถถถถถ *ก้มกราบ*

แอบคิดถึงช่วงเวลาดีๆ เมื่อก่อนที่เมลล่ามักจะเขียนอธิบายเรื่องโน้นเรื่องนี้บ่อยๆ หลายปีที่แล้วเหมือนมีเวลาเข้ามาดูแลหน้านิยายมากกว่านี้ ปัจจุบันนี้แค่อัพทีก็จะกระอักเลือดแล้ว T-T

แต่!!

ปีหน้าจะมีเวลาทุ่มเทให้งานเขียนแบบ full time แล้ว ตั้งแต่ใจปรับปรุงตัวให้อัพงานสม่ำเสมอขึ้น

นักอ่านทุกคนมีส่วนสำคัญมากๆ ในการตัดสินใจครั้งนี้ เมลล่าได้ค้นพบอะไรบางอย่างที่สำคัญกับความรู้สึกของตัวเองมากๆ และถ้าไม่มีนักอ่านคอยติดตามมาถึงวันนี้ เมลล่าอาจไม่กล้าตัดสินใจ

จริงๆ แล้วมีเรื่องอยากจะพูดเยอะแยะเลยค่ะ แต่อยากเข็นเรื่องนี้ไปถึงตอนจบก่อน ค่อยเขียน talk ทีเดียว แฮร่ :)

ขอบคุณสำหรับกำลังใจเสมอมานะคะ ไม่รู้จะขอบคุณยังไงเลย

เจอกันในตอนต่อไปเจ้าค่าา <3
 :mew1:

หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (22.11.20) l 27th Night: ใต้คำโกหก Part 2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 23-11-2020 00:01:21
 :z13:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (22.11.20) l 27th Night: ใต้คำโกหก Part 2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 23-11-2020 00:13:15
 :pig2: back

 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (22.11.20) l 27th Night: ใต้คำโกหก Part 2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 02-12-2020 00:03:48
 :pig2: :pig2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (12.12.20) l 28th Night: ความจริง Part 1 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 15-12-2020 01:58:59
28th Night: ความจริง


เมื่อคาบเรียนรอบเช้าจบลง นักศึกษาต่างก็แยกย้ายออกจากห้องเลคเชอร์ขณะที่บางส่วนจับกลุ่มอยู่ต่อเพื่อพูดคุยกับอาจารย์เจ้าของวิชา



ยืนรอจีจี้เก็บสมุดและปากกาหลากสีของเจ้าหล่อนใส่กระเป๋าผ้าใบจิ๋วเสร็จ ก็ได้เวลาที่กลุ่มของตุลย์จะออกจากห้องเช่นเดียวกัน พวกเขาเดินเตร็ดเตร่คุยเล่นกันมาตลอดโถงทางเดิน ก่อนตกลงกันว่าจะออกไปหามื้อกลางวันทานไกลจากมหาวิทยาลัยหน่อยเนื่องจากไม่มีเรียนตอนบ่าย



“ตุลย์ ทักไปบอกเต้หน่อยสิว่าวันนี้จะไปกินกันไกล” จีจี้ชี้ๆ นิ้วมาที่โทรศัพท์เครื่องใหม่เอี่ยมของเขา ขณะที่มืออีกข้างเปิดหารีวิวร้าน



“ได้”



คงเป็นผลพวงจากที่เขาสนิทกับเต้กว่าแต่ก่อน ผนวกกับความบังเอิญที่อีกฝ่ายดรอปเรียนตัดหน้าเพื่อนในคณะไปหนึ่งวิชาตั้งแต่ปีแรก ตารางเรียนวันจันทร์ช่วงบ่ายของเต้จึงว่าง



โดยปกติชายหนุ่มมักจะอยู่ซ้อมมวยตอนเย็นที่ค่ายชมรมเกือบทุกวัน แต่พอไม่ได้เข้าเรียนพร้อมกลุ่มเพื่อนแล้ว ก็มักจะมานั่งฆ่าเวลารอซ้อมกับพวกเขาที่ม้าหินใต้คณะนิเทศแทน บ่อยเข้าก็พาลคุ้นเคยกับจีจี้และแม็กไปโดยปริยาย



‘วันนี้พวกกูจะไปกินข้าวนอกม.'



ตุลย์พิมพ์ข้อความใส่ช่องแชต คู่สนทนาก็ตอบกลับทันที



’เค’



‘รออยู่ใต้ตึก’



กลุ่มของพวกเขาเดินลงบันไดอย่างไม่เร่งรีบมาจนถึงบริเวณลานใต้คณะ สอดสายตาหาแค่ครู่เดียวก็พบร่างสูงของเต้สะพายกระเป๋าผ้าร่มยืนรออยู่ใกล้กับม้านั่งหินที่เป็นจุดนัดพบประจำ



จีจี้เห็นปุ๊บเธอก็กวักมือเรียกยิกๆ



“ไปกินที่ไหน”



คนถูกถามยิ้มยิงฟันแฉ่ง “เรายังเลือกไม่ได้เลยอ่ะ เต้อยากกินอะไรป่ะล่ะ”



“อะไรก็ได้”



“โห่ ถ้าอะไรก็ได้อ่ะไม่ได้กินแน่ๆ ” แม็กเกาต้นคอ เขาชะเง้อมองรีวิวอาหารบนจอมือถือของหญิงสาว ก่อนจะเริ่มยุให้เธอเลือกสักร้านหนึ่งเพราะชักจะหิวขึ้นมา “นี่ๆ ปิ้งย่างดีป่ะ ร้านเนี๊ย”



“ไม่เอาอ่ะ อ้วน”



ระหว่างที่ยืนรอทั้งคู่เถียงกันเพราะยังตกลงปลงใจไม่ได้อยู่นั้น เต้ก็เบนความสนใจมาหาตุลย์



“เย็นนี้มึงอยู่ซ้อมมวยมั้ย? ”



ตุลย์ส่ายหน้าช้าๆ “กูมีนัดกับคุณศานหลังกินข้าว ‘โทษที”





“‘เค” อีกฝ่ายรับคำ แต่เงียบไปอึดใจเดียวก็ถามต่อ “ตอนบ่าย? ”



“ใช่ ตอนบ่าย”



“ให้กูขับไปส่งมั้ยล่ะ? ”



แต่ยังไม่ทันที่ตุลย์จะให้คำตอบ จู่ๆ เสียงโทรศัพท์สั่นเตือนสายเรียกเข้าก็หันเหความสนใจของเขา ตุลย์พลิกโทรศัพท์ในมือดู เห็นเบอร์ของกายโชว์หราบนหน้าจอ คิ้วยาวก็ขมวดย่น



“แป๊บนะ”



ตุลย์แยกตัวจากเต้และกลุ่มเพื่อนออกไปตรงมุมหนึ่งของลาน จนแน่ใจว่าไกลพอแล้วเขาถึงรับสาย



“มีอะไรอีก? ”



“มาหากูหน่อยดิ ตอนนี้”



“จะให้กูไปอีกทำไมวะ” ร่างโปร่งกรอกเสียงต่ำใส่ปลายสายอย่างเริ่มมีน้ำโห



หลังจากที่ทำมือถือของเขาพังกายก็คล้ายจะได้ใจ โทรมาใช้ให้เขาทำธุระส่วนตัวให้อยู่บ่อยๆ อย่างนึกสนุก ไม่รู้ว่ากี่ครั้งที่เขาต้องเสียเวลาเปล่าๆ ไปกับเรื่องไร้สาระของหมอนั่น เมื่อวานก็เช่นกัน



จู่ๆ กายก็โทรเรียกเขาออกไปกลางคาบเรียน สั่งให้รีบเอากระเป๋าฟิตเนสจากเพื่อนไปให้ที่ร้านกาแฟในห้างใกล้คอนโดของเจ้าตัวซึ่งห่างจากมหาวิทยาลัยราวสองสามกิโล แต่พอเขาไปถึงกลับถูกปล่อยให้รอเก้อ โดยที่เจ้าตัวให้เหตุผลว่า ‘ยังไม่ถึงเวลาเข้าคลาส’



กว่าหมอนั่นจะย้ายสารร่างมาปรากฏตัวได้ก็สี่สิบนาทีให้หลัง แถมยังแวะเล่นคอมพิวเตอร์ที่ร้านกาแฟต่อโดยใช้ให้เขาไปสั่งกาแฟอีก เขาต้องทนรอกระทั่งอีกฝ่ายละเลียดกาแฟหมดแก้วและใช้ไวไฟฟรีจนพอใจกว่าจะถูกไล่กลับ เสียเวลาอย่างต่ำเกือบสามชั่วโมง



ถ้าจุดประสงค์ของกายคือการปั่นหัวเขาก็นับว่าอีกฝ่ายประสบความสำเร็จที่ทำให้เขาประสาทเสียได้อย่างน่าอัด!



“มึงนี่ชอบถามหาเหตุผลจังวะ กูชักเริ่มรำคาญละ จะมาหรือไม่มา? ”



“เออรู้แล้ว! ” เขาเค้นเสียงตอบหงุดหงิด



“งั้นมาเจอที่ชั้นบนสุด ห้าง S กูจะไปโยนโบลว์ ส่วนมึง… มาเฝ้าของพวกกู ให้เวลายี่สิบนาที”



“ห๊ะ ไปที่ไหนนะ? ”



ตื๊ด… ตื๊ด… ตื๊ด…




“….! ”



หัวคิ้วที่ขมวดอยู่แล้วมุ่นแน่นขึ้นก่อนจะขยี้หัวอย่างประสาทเสียเมื่อกายกดตัดสายเขาดื้อๆ โดยไม่ตอบคำถาม



ไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้ยินชื่อจุดนัดพบ แต่นี่มันตอนกลางวันแสกๆ รถก็ติดหนึบเป็นปลากระป๋อง จะให้ดั้นด้นไปถึงสถานที่กลางเมืองอย่างห้าง S ต่อให้นั่งรถไฟฟ้าหน้ามหาวิทยาลัยก็เกรงว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อยยี่สิบห้านาที



เวลาที่บีบกระชั้นทำให้ตุลย์รู้สึกกดดันและยิ่งกระสับกระส่าย เขาจำใจกลับไปหากลุ่มเพื่อนอย่างรีบๆ โดยที่ปิดบังสีหน้าเคร่งเครียดไม่มิด



“ไปกันก่อนเลย กูคงไปกินข้าวด้วยไม่ได้”



“อ้าว มึงเทอีกแล้วเหรอ? ”



“เออ พอดีติดธุระด่วนนิดหน่อย” เขาหันไปตอบแม็ก



ฝ่ายจีจี้ก็เผยสีหน้าเสียดายก่อนจะโบกมือลา “ไม่เป็นไร ไปเถอะๆ ไว้คราวหลังก็ได้”



ทว่าท่าทีปุบปับรีบร้อนของตุลย์กลับดูไม่ชอบมาพากลในสายตาเต้



“มึงจะไปที่ไหน” ชายหนุ่มชิงถามก่อนที่ร่างโปร่งจะปลีกตัวออกจากกลุ่ม



“ห้าง S”



“ไปทำไม มึงนัดกับ ‘เขา’ ไว้นี่? ”



ผู้ฟังเผลอเม้มปาก ขมวดคิ้วแน่นขึ้นเล็กน้อย



“กูติดธุระ ไปก่อนนะ”



ตุลย์ตอบส่งๆ ก่อนจะรีบออกมาเพื่อไม่ให้ถูกซักไซ้ต่อ แต่จังหวะที่หมุนตัว จู่ๆ เต้ก็คว้าไหล่อีกคนไว้



“รถติด เดี๋ยวกูไปส่ง”



ตุลย์ช่างใจ แต่อึดใจเดียวก็พยักหน้ารับเพราะไม่มีตัวเลือกมาก



ทั้งคู่ตรงไปยังลานจอดรถติดกับคณะอย่างไม่รีรอ ก่อนที่เต้จะขึ้นคร่อมบิ๊กไบค์คันโปรดที่จอดไว้ในซองแล้วส่งหมวกให้คนซ้อนท้ายอย่างตุลย์สวม



“รีบแค่ไหน? ” ถามโดยที่ไม่เหลียวมอง



“ก็สักยี่สิบนาที”



เต้ไม่สาวความต่อ แต่เสียบกุญแจสตาร์ทเครื่องยนต์ที่ส่งเสียงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ก่อนที่บิ๊กไบค์จะออกตัวและแล่นฉิวออกสู่ถนนใหญ่ ซอกแซกไปตามช่องระหว่างว่างรถยนต์อย่างชำนาญ



ฉวัดเฉวียนบนถนนแค่สิบห้านาทีกว่าๆ รถจักรยานยนต์คันใหญ่ก็ฝ่าการจราจรหนาแน่น เวียนมาจอดที่หน้าห้างสรรพสินค้าใจกลางเมืองขนาดใหญ่หรูหราซึ่งเป็นที่หมายทันเวลาท่ามกลางผู้คนที่เดินสวนกันไปมาในเวลาเที่ยงวัน



ตุลย์ลงจากบิ๊กไบค์ ก่อนจะถอดหมวกคืนเต้



“ขอบใจ”



“เออ ให้รอมั้ย มึงบอกจะไปหาเสี่ยไม่ใช่เหรอ? ”



ประโยคนั้นทำเอามือที่ส่งหมวกคืนชะงักไปเล็กน้อย



ตารางงาน โปรเจกต์ปลายภาคและเรื่องต่างๆ ที่ประดังประเดเข้ามาในช่วงนี้ทำให้เวลาที่เขาให้กับศานนท์น้อยลงมาก วกกลับสู่วงจรเดิมที่ต่างคนต่างวุ่นวายกับธุระของตัวเองและจะมักมีโอกาสได้คุยแค่เรื่องสารทุกข์สุกดิบผิวเผิน แต่ถึงอย่างนั้นตุลย์ก็ยังพยายามรักษาระยะห่างไม่ให้ขาดการติดต่อกับหนุ่มใหญ่ทีละนานๆ



เพราะลึกๆ เขาก็ไม่อยากให้ความสัมพันธ์ในตอนนี้ถอยกลับไปเป็นแค่เพื่อนร่วมชายคาที่คุ้นหน้าแต่ไม่รู้จักอย่างก่อน…



แต่ไม่ว่าจะรู้สึกยังไง ชนักติดหลังก็ทำให้เขาไม่สามารถปฏิเสธเรื่องที่กายสั่ง



ตุลย์ส่ายหน้า “ไม่ต้องรอ... มึงกลับไปหาเพื่อนเถอะ กูไปไม่ทัน”



ในเมื่อไม่มีอะไรต้องสนทนาต่อให้ยืดยาว ตุลย์ก็เร่งสาวเท้าไกลออกมา ทิ้งความสับสนไว้ให้ผู้ฟังที่ทอดสายตาส่งจวบจนร่างโปร่งเดินเข้าไปภายในอากาศสูงตระหง่านและกลืนหายไปกับผู้คน



----------------------------



ดีลธุรกิจระหว่างบริษัทและคู่ค้ารายใหม่สำเร็จลุล่วงตามต้องการแม้จะเลยเวลาที่คาดการณ์ไว้มาพอสมควรจนต้องให้เลขาเลื่อนตารางงานอื่นออกไป



หลังจากทั้งสองฝ่ายทำข้อตกลงร่วมกันเรียบร้อย ต่างฝ่ายก็ต่างจับไม้จับมือลาและแลกเปลี่ยนนามบัตรกัน ศานนท์และอัฐในฐานะผู้บริหารและบุคคากรของเขาพูดคุยกับฝั่งคู่ค้าต่ออีกนิดหน่อยตามมารยาทก่อนจะส่งคู่ค้ากลับ แต่เนื่องจากหนุ่มใหญ่มีนัดกับใครอีกคนต่อ เขาจึงไหว้วานให้มือขวารับช่วงดูแล แทนที่ไปส่งด้วยตนเอง



ลงลิฟต์มาจากชั้นห้องประชุม หนุ่มใหญ่ก็ตรงกลับมาที่ออฟฟิศ บ่ายนี้เขานัดกับตุลย์ไว้ แต่เพราะเสร็จประชุมช้ากว่ากำหนดเลยจำต้องทิ้งให้ร่างโปร่งรอเก้ออยู่ที่ห้องเกือบชั่วโมง ซึ่งเขาก็หวังว่าเรื่องนี้จะไม่ทำให้ตุลย์หัวเสียนัก



ทว่าจังหวะที่เดินผ่านคอกเลขาประจำตัว เธอกลับเรียกเขาไว้



“วันนี้คุณตุลย์ไม่เข้านะคะ เขาโทรมาแจ้งดิฉันเมื่อประมาณเที่ยงและฝากขอโทษคุณศานนท์ด้วยค่ะ”



จากที่คาดหมายว่าจะได้เจอหน้าก็กลายเป็นความรู้สึกผิดหวังขึ้นมา...



“เขาบอกมั้ยว่าติดอะไร? ”



“ไม่ค่ะ แจ้งไว้แค่ว่าติดธุระ”



ผู้ฟังพยักหน้าเรียบๆ



“แต่เขาให้เมสเซนเจอร์ฝากของมาส่งไว้ ดิฉันเอาไปวางไว้ที่โต๊ะทำงานคุณแล้วค่ะ”



“ขอบใจ”



สนทนากับเลขาจบ ศานนท์ก็ผลักประตูเข้ามาในออฟฟิศประจำ สิ่งแรกที่เตะตาคือถุงกระดาษสีเหลืองทองที่ว่างตั้งเด่นอยู่บนโต๊ะทำงานของเขา ตัวถุงมีอักษรย่อภาษาอังกฤษพิมพ์ใหญ่สีดำหนาสามตัวบ่งบอกชื่อแบรนด์ผลิตภัณฑ์



ศานนท์คุ้นตาดี เพราะมันคือชายี่ห้อที่เขาโปรดปรานและมักจะลืมซื้ออยู่บ่อยๆ



หนุ่มใหญ่ตรงไปที่โต๊ะทำงานก่อนจะเปิดถุงกระดาษนั้นดู ภายในถุงมีกล่องชาขนาดกลางวางทับกันอยู่สองกล่อง พอแกะกล่องออกก็พบว่าด้านในเป็นชาซองสีเดียวกับถุงจำนวนสิบห้าซอง ซึ่งเหมาะกับการดื่มคราวละน้อยๆ อย่างในที่ทำงาน มิหน้ำซ้ำทั้งหมดยังเป็นรสชาติที่เขาชอบ



ศานนท์หยิบซองชาพลิกไปมาในมือ บรรจุภัณฑ์สีทองก็สะท้อนล้อกับแสงอาทิตย์ยามบ่าย



นับว่าของฝากของตุลย์น่าพอใจ ชดเชยอารมณ์ที่เสียไปเมื่อครู่ได้อยู่มาก...



ทีแรกเขาแค่แจ้งตุลย์ว่าได้รับของแล้ว ทว่าพอเปิดจอโทรศัพท์ดูยังพบว่าร่างโปร่งทิ้งข้อความไว้ให้อีกด้วย



‘กว่าจะได้อ่านคุณก็น่าจะประชุมเสร็จแล้ว พอดีตารางผมชนกับที่กองนิดหน่อยเลยไม่สะดวก วันนี้ก็คงจะกลับมืดๆ เหมือนเดิม คุณไม่ต้องรอนะ

P.S. จริงๆ ผมตั้งใจจะเอาชาไปให้ด้วยตัวเอง แต่มาคิดๆ ดูแล้วไม่อยากให้คุณรอเก้อคนเดียวทั้งวัน ส่งชาไปอยู่เป็นเพื่อนคุณที่ออฟฟิศท่าจะดี

ขอโทษที่ยกเลิกนัดกะทันหันนะครับ คราวหน้าผมสัญญาว่าจะชดเชยให้ จะยอมไปทานอาหารจีนจืดๆ กับคุณเลย ; ) ’



รอยยิ้มกรุ้มกริ่มผุดขึ้นบนใบหน้าหลังจากที่อ่านข้อความจบ ศานนท์คว่ำจอโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ จากนั้นก็ทิ้งตัวเอนหลังบนเก้าอี้



ตอนแรกที่เจอกัน เขาก็พอรู้ๆ มาบ้างว่าตุลย์น่ะเอาใจเก่ง แต่ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะรู้ใจดีถึงขนาดที่ว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไรโดยไม่ต้องถาม



แค่เรื่องธรรมดาๆ ... แต่กลับสั่นคลอนอารมณ์ของเขาได้ดีนัก







เนื่องจากคู่นัดของเขาติดธุระ บ่ายนั้นศานนท์จึงลงมาทานมื้อกลางวันตามลำพัง ปกติเขาจะมีร้านโปรดอยู่จำนวนหนึ่งที่มักแวะมาทานกับตุลย์หรือกับคู่ค้าอยู่บ่อยๆ หากเริ่มเบื่อก็จะสลับหมุนเวียนเปลี่ยนกันไป แต่พอขาดคนช่วยเลือก วันนี้เลยพาลรู้สึกว่าร้านไหนๆ ก็คล้ายกันไปหมด



ทว่าระหว่างที่กำลังลังเลอยู่หน้าร้านร้านหนึ่งซึ่งคนซาลงไปเยอะแล้ว ศานนท์ก็บังเอิญสวนกับทีมงานชายอาวุโสท่านหนึ่งที่ร่วมงานกับตุลย์เข้า ทั้งคู่จึงถือโอกาสทักทายกันตามมารยาท



“ไม่นึกว่าจะเจอคุณศานนท์ช่วงบ่ายๆ แบบนี้นะครับเนี่ย”



“ครับ ปกติผมก็ไม่ค่อยว่างเวลานี้เหมือนกัน พอดีเพิ่งเสร็จประชุมเลยกะว่าจะลงมาทานข้าวสักหน่อย” หนุ่มใหญ่ยิ้มตอบ



“ผมก็กำลังหาอะไรทานเหมือนกัน เพิ่งปิดงานถ่ายจากอีกกอง ว่างยาวตั้งแต่บ่ายเลยครับวันนี้ ถ้าคุณศานนท์ไม่ติดอะไร แวะทานอะไรด้วยกันก่อนมั้ยครับ? ”



“ได้สิครับ” ศานนท์พยักหน้า



ยังไงเสียเขาก็เพิ่งปิดดีลครั้งสำคัญ จะให้ทานข้าวแล้วกลับขึ้นไปทำงานต่อทันทีก็ดูจะเครียดเกินไปหน่อย



“ช่วงนี้งานยุ่งใช่มั้ยครับ ผมได้ข่าวจากตุลย์ว่ากำลังเร่งปิดกอง”



ชายวัยกลางคนครุ่นคิดตามคำถามของเขาอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบ



“ครับ ก็ถ่ายกำลังจะจบแล้วเหลือไม่มาก... แต่ถามว่ายุ่งมั้ยก็ไม่ค่อยนะครับ รอบนี้โชคดีตรงที่ไม่มีเรื่องเซอร์ไพร์ซ ลูกค้าไม่ลดบัดเจ็ท วางแผนกันมายังไงก็ลงล็อกตามนั้น ร้อยวันพันปีจะเป็นอย่างงี้ที ผมละดีใจอย่างกับถูกหวย”



แต่คำตอบเรื่อยเปื่อยของคู่สนทนาสะกิดความฉงนใจของศานนท์เข้า



“ไม่ยุ่งแน่เหรอครับ ผมได้ข่าวว่าเลิกกองทีสองสามทุ่ม สำหรับผมก็จัดว่าโหมงานหนักอยู่นะ” หนุ่มใหญ่พูดแซวไปตามน้ำ



ที่จริงจุดประสงค์ของเขาก็แค่อยากมั่นใจว่า ต่างฝ่ายต่างเข้าใจภาพรวมสถานการณ์ในกองถ่ายถูกต้องตรงกันโดยที่ไม่หักหน้าคู่สนทนา ทว่าคำถามของเขาดูเหมือนจะไปจุดใต้ต่ำตออะไรบางอย่างเข้าจังๆ



“ไม่นะครับ สัปดาห์นี้กองเลิกไม่เกินหกโมงครึ่ง พอเลิกแล้วทุกคนก็ทยอยกลับกัน ปกติน้องตุลย์ก็ออกกองพร้อมคนอื่นๆ นะ”



ศานนท์เผยสีหน้าแปลกใจ



“เหรอครับ ผมไม่ทราบเรื่องนั้นเลย วันนี้ตุลย์ก็บอกว่าติดธุระกับทีมงานที่กอง ผมเลยเข้าใจว่ามีถ่ายหรือบรีฟอะไรกันเพิ่มเสียอีก เพราะต้นสัปดาห์นี้ซินดี้เพิ่งแจ้งผมว่าลดคิวงานของตุลย์ให้เหลือแค่กองนี้กองเดียวแล้ว เขาใกล้จะสอบปลายภาค รับงานเยอะก็กลัวจะยุ่งเกินไป”



แต่ทีมงานชายยังส่ายหน้ายืนกราน “ไม่นะครับ วันนี้ที่กองไม่มีถ่ายนะผมมั่นใจ ตัวผมเนี่ยพอรู้ว่าวันนี้จะว่างก็เลื่อนเอางานอื่นมาถ่ายแทรกก่อน ปลายเดือนจะได้ลอยตัวสบายๆ ”



“อืม… เหรอครับ” ผู้ฟังครุ่นคิดคล้ายกำลังไตร่ตรองบางอย่าง “ถ้าคุณยืนยันว่าแบบนั้น เป็นไปได้ว่าฝั่งผมอาจจะสื่อสารกันผิดพลาดเอง”



แม้จะตอบอย่างนั้น แต่สีหน้าของทางฝั่งผู้บริหารก็ยังดูคลางแคลงหาข้อสรุปไม่ได้ ทีมงานชายจึงเสนอ



“งั้นเอาอย่างนี้มั้ยครับ ผมว่าจะมาทานร้านนี้พอดี เดี๋ยวเราเข้าไปด้านในกันแล้วระหว่างทานข้าวผมจะเล่าเรื่องน้องตุลย์ให้ฟัง คุณจะได้ไม่เสียเวลา? ”


------------------

ขัดเรียบร้อยแล้วเจ้าค่าาา
คุณศานนท์เหมือนจะไปรู้ๆ ความจริงอะไรเข้าซะแล้ว เรื่องจะคลี่คลายมั้ยน้าาา 5555
ตอนนี้ไม่บอกใบ้ดีกว่า เดี๋ยวไม่ลุ้น อิอิ
แต่เจ้าเต้เนี่ยแอบเนียนกันซีนคุณศานตอนนี้ไปเยอะเหมือนกันน้าาา
จังหวะนี้เรือผีต้องมาแล้วล่ะ 55555


ขอโทษที่ปล่อยให้นักอ่านรอกันนานนะค้า
ขอบคุณที่รอและแวะเวียนเข้ามานะคะ
รักนักอ่านทุกคนมากๆ  เพราะเป็นกำลังใจที่ทำให้เมลล่าตื่นเที่ยงคืนมาขัดงานต่อยันตีสองแบบดีดๆ 5555555

ติดตามกันต่อนะคะ ยังติชมได้เหมือนเดิมค่ะ <3

หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (12.12.20) l 28th Night: ความจริง Part 1 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 15-12-2020 02:10:47
 :pig4: :pig4: :pig4:

เอ...เสี่ย กับ เต้

ใครจะได้กลิ่น ตุ ๆ แล้วขี่ม้าขาวไปช่วยนุ้งตุลย์จัดการเจ้ากายตัวแสบได้น้อ?
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (12.12.20) l 28th Night: ความจริง Part 1 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: kimkidoy ที่ 17-12-2020 12:08:43
ตุลย์ต้องถูกจับได้ก่อนสารภาพเองแน่ๆ
เอาใจช่วยให้คุณศาลเข้าใจนะ
นี่ชอบเต้จังฟีลพระรองมากกกก แต่ถ้าจะเป็นพระเอกก็ไม่ติด
 :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (12.12.20) l 28th Night: ความจริง Part 1 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: kimkidoy ที่ 17-12-2020 13:25:03
เป็นกำลังใจให้คุณนักเขียนน้าาาา ยังแวะเวียนมาเสมอๆเลยน้า อยากรู้ตอนจบของเรื่องเช่นกันค้าบบบ o13
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (12.12.20) l 28th Night: ความจริง Part 1 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 24-12-2020 19:40:36
จัดการกายซักทีเถอะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (01.02.21) l 28th Night: ความจริง Part 2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 01-02-2021 15:46:25
28.5


แม้ว่าดีลใหญ่จะผ่านพ้นไปเป็นที่น่าพอใจแต่ศานนท์ก็ยังมีเรื่องที่ยังตกลงปลงใจไม่ได้อยู่สองสามประการ เขาต้องการความเห็นเพิ่ม ด้วยเหตุนี้หนุ่มใหญ่จึงนัดมือขวามาที่ห้องทำงานช่วงสายเพื่อหารือเรื่องดังกล่าว



แฟ้มเอกสารหนาจำนวนหนึ่งถูกเลขาสาวหอบมาตั้งไว้บนโต๊ะทำงานของเขาตั้งแต่หัววัน อัฐมาถึงห้องของผู้เป็นนายครึ่งชั่วโมงถัดมา ก่อนเวลานัดอยู่มาก แต่เนื่องจากเป็นการหารือไม่เป็นทางการศานนท์จึงเอาสะดวกเข้าว่า การประชุมระหว่างทั้งสองดำเนินไปอย่างไม่รีบเร่ง นั่นก็เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่พลาดประเด็นสำคัญประเด็นใดไป แต่ถึงอย่างนั้นต่างฝ่ายต่างมีความเห็นไม่ลงรอยกันอยู่หลายจุด



อัฐยืนอยู่อีกฟากของโต๊ะทำงาน ท่าทางค่อนข้างผ่อนคลายขณะที่แกะตัวล็อกแฟ้มเอกสารปึกหนา ถึงอย่างนั้นหัวคิ้วของเขาก็ย่นเข้าหากันอย่างคนกำลังใช้ความคิด ชายหนุ่มเปิดแฟ้มเอกสารไปที่หน้าหนึ่งก่อนจะส่งมันให้ผู้เป็นนาย



“นี่เป็นประวัติผลงานคราวก่อนๆ ของซัพพลายเออร์เจ้านี้ครับ”



ศานนท์รับเอกสารจากหนุ่มผู้บริหาร



“เรื่องค่าใช้จ่ายในส่วนจัดซื้อ ผมเห็นด้วยว่ามันยังสูงไปจริงๆ น่าจะลดได้อีก แต่ถ้าถามความเห็นผมเรื่องผลงาน ผมยังมั่นใจเจ้าเดิมที่สุด ยังไงผมว่าเราควรจะต่อรองดูอีกสักรอบ”



ศานนท์ก็พลิกดูหน้าถัดมาอีกหลายหน้าระหว่างที่ฟังความเห็น จากนั้นก็ละสายตากลับมาที่คู่สนทนา



“เอกสารพวกนี้ฉันดูหมดแล้วเมื่อวานซืน ฉันเห็นด้วยเรื่องราคานั่นแหละ แต่ไม่คิดว่าเจรจาใหม่จะให้ผลลัพธ์ต่างจากเดิมยังไง คราวก่อนฝั่งคู่ค้าก็ย้ำเรื่องราคางานไว้ชัดเจน ถ้าเรายังเสนอเงื่อนไขกับผลประโยชน์แบบเดิมให้ ผลลัพธ์คงไม่ต่างกัน เจรจาไปก็เสียเวลาเปล่าๆ เฉพาะงานนี้ฉันว่าให้เจ้าอื่นที่ราคาประมูลต่ำกว่ารับไปดีกว่า”



“ส่วนตัวผมยังไม่เห็นด้วยนะ ผมคิดว่ายังเจรจาได้เพราะคราวก่อน…”



ก๊อก ก๊อก ก๊อก



ประโยคของอัฐถูกขัดด้วยเสียงเคาะประตูสามครั้งส่งผลให้เขาต้องหยุดพูดอย่างครึ่งๆ กลางๆ แม้แต่ศานนท์ก็ย่นคิ้วคล้ายเสียอารมณ์เนื่องจากกำลังถกเถียงประเด็นสำคัญกันอยู่



ทว่ายังไม่ทันรอเจ้าของห้องเอ่ยอนุญาต จู่ๆ ประตูก็แง้มออก กลายเป็นอเนกที่ชะโงกหน้าผ่านช่องที่แง้มหันรีหันขวางหาผู้เป็นนาย เจ้าตัวชะงักเล็กน้อยเมื่อผู้บริหารทั้งคู่มองมาที่เขาพร้อมกันเป็นตาเดียว



“เหมือนว่าผมจะมาไม่ถูกเวลา...”



“ด่วนแค่ไหน?” ศานนท์ถามสั้นกระชับ เนื่องจากเขาก็ไม่อยากเสียสมาธิให้กับเรื่องอื่นที่ไม่ใช่งาน



“จะว่าด่วนก็ด่วนครับ ขึ้นอยู่กับว่าตอนนี้คุณให้ความสำคัญกับงานหรือเรื่องส่วนตัวมากกว่ากัน” อเนกพยายามสื่อสารเป็นนัย แต่พอพูดรวมๆ แล้วฟังดูแสลงหูดีนัก



ศานนท์ปราดพริบตาหนึ่งมองแก้วกาแฟร้อนร้านดังที่ตั้งทิ้งไว้นานจนเย็นเฉียบ พาลทำให้นึกคิดถึงคนที่หิ้วมันมาฝากก่อนที่จะออกไปทำธุระข้างนอกตอนเช้า เขาก็ถอนหายใจยอมแพ้ต่อความสงสัย



“ฉันขอเวลาแป๊บนึง”



“ตามสบายครับ” อัฐวางในมือแฟ้มลงบนโต๊ะผู้เป็นนาย



ศานนท์พยักหน้าทีหนึ่งเป็นเชิงเปิดโอกาสให้อเนกรายงาน ‘เรื่องส่วนตัว’ ฝ่ายผู้มาเยือนก็ไม่รอช้า ผลักประตูเต็มความกว้างแล้วดิ่งตรงมาที่โต๊ะผู้เป็นนายพร้อมซองเอกสารสีน้ำตาลในมือ



“เรื่องที่ให้ตามสืบดู คุณต้องไม่เชื่อแน่ว่าผมเจออะไร”



อเนกหยิบรูปถ่ายจำนวนหลายแผ่นจากในซองออกมาวางเรียงบนโต๊ะ แต่ละใบจับภาพหลายอิริยาบถของชายวัยรุ่นคนหนึ่งในสถานที่ต่างๆ ตั้งแต่คอนโดไปจนถึงที่สาธารณะ โดยแต่ละรูปมีวันเวลาเข้าออกสถานที่นั้นเขียนกำกับไว้ที่มุมขวาล่าง



“ผมว่าคุณคงคุ้นหน้าดี เด็กในรูปคือกาย เป็นลูกชายของส.ส.ไชยวัฒน์ คนที่คุณเคยสั่งให้คุณอัฐไปกดดันมหา’ ลัยให้พักการเรียนเขาเพราะเขามีเรื่องทะเลาะวิวาทกับคุณหนูหลายครั้ง ...ส่วนอีกเซตเป็นรูปคุณหนู”



อเนกหยิบรูปของตุลย์ที่ถูกถ่ายในสถานที่เดียวกันจากซอง พอวางเรียงกันยิ่งเห็นชัดว่าวันเวลาเข้าออกสถานที่ของคนทั้งคู่ต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น



ศานนท์ขมวดคิ้วแน่น “หมายความว่ายังไง…”



“ผมยังไม่ทราบแน่ ...แต่เท่าที่ทราบตอนนี้ สรุปสั้นๆ ได้ว่าที่คุณหนูหายไปบ่อยพักนี้ก็เพราะไปหาเด็กที่ชื่อกาย”


คำอธิบายของอเนกยิ่งทำให้ศานนท์สับสน



เรื่องของกาย ศานนท์ยอมเอาหูไปนาเอาตาไปไร่หลายต่อหลายครั้งเพราะตุลย์ขอร้องให้เขาเว้นระยะห่างเรื่องส่วนตัว ที่เขายอมเพราะไม่อยากควบคุมตุลย์จนอีกฝ่ายเตลิดหนีไป แต่ในขณะเดียวกันเพื่อให้แน่ใจว่าคนของเขาจะไม่ถูกรังแกซ้ำอีก เขาถึงส่งลูกชายของคนสนิทไปตามดูแลและให้ตุลย์เรียนป้องกันตัว



…แล้วทำไมตุลย์ยังต้องไปข้องแวะกับคนที่เคยทำร้ายตัวเองอีก?



ศานนท์ย่นคิ้วขณะกวาดสายไล่ดูภาพถ่ายแต่ละใบคล้ายพยายามปะติดปะต่อเรื่องราว ใบหน้าคุ้นตาของตุลย์ชัดเจนบนรูปถ่ายแต่ละใบยากเกินจะปฏิเสธ จากนั้นก็ปรายตากลับมาที่อเนก ถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้นกว่าเก่า



"มั่นใจแค่ไหนว่าตุลย์หายไปหาเด็กที่ชื่อกาย"



"สักเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ครับ ผมให้เด็กๆ ตามดูมาสามวันแล้ว" อเนกรายงานตามข้อเท็จจริง



“แค่สามวัน จะด่วนสรุปยังเร็วไป” ศานนท์ตัดบท “เรื่องตุลย์ตามดูไปก่อน”



"ครับ” อเนกผงกหัว “แล้วเสี่ยอยากให้ผมจัดการกับเด็กนั่นยังไงต่อ? "



ลูกชายส.ส. ไชยวัฒน์อย่างนั้นเหรอ...



หนุ่มใหญ่เคาะนิ้วปลายนิ้วกับโต๊ะ



"อย่าเพิ่ง รอคำสั่งฉัน ...เดี๋ยวเย็นนี้ฉันจะคุยกับตุลย์สักหน่อยเพื่อว่าอะไรๆ มันจะกระจ่างขึ้น"



-----------------



เสียงเพลงฟังสบายจังหวะเชื่องช้าสร้างบรรยากาศผ่อนคลายทั่วทั้งร้านอาหาร แสงนวลสลัวจากโคมระย้ารูปลักษณ์เก๋ไก๋สะท้อนกับขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สีชาที่ตั้งเรียงแถวกันบนชั้นตู้ไม้เป็นประกายระยับ แก้วไวน์จำนวนหนึ่งถูกแขวนกลับหัวไว้บนราวใกล้กัน ถัดออกมาที่หลังเคาท์เตอร์คือบาร์เทนเดอร์ในชุดยูนิฟอร์มร้านซึ่งกำลังทำความสะอาดแก้วบางส่วน สลับกับชงเครื่องดื่มให้ลูกค้าบ้างเป็นครั้งคราว



ตุลย์เท้าคางเหม่อมองการเคลื่อนไหวเหล่านั้นอย่างเบื่อหน่าย ลอบถอนหายใจในจังหวะเดียวกับพนักงานนำน้ำเปล่าอัดลมที่สั่งมาเสิร์ฟและรินใส่แก้วให้



เขาไม่อยากดื่มแต่ดันต้องมานั่งอยู่ที่นี่



ใช่...




นั่นเพราะเขาถูกกายใช้ให้มาเปิดโต๊ะที่ร้านเหล้าแห่งหนึ่งในย่านขึ้นชื่อตั้งแต่หัวค่ำเพื่อให้แน่ใจว่าหมอนั่นและกลุ่มเพื่อนจะมีที่สำหรับรื่นเริงสังสรรค์ในคืนนี้ ตามที่ตกลงกันไว้พวกนั้นควรมาถึงที่นัดตอนประมาณสองทุ่มและดื่มต่อจนครึ่งค่อนคืน



แต่จากเหตุการณ์ที่แล้วๆ มาเขาไม่คิดว่าหมอนั่นจะตรงเวลา ภาระจึงตกอยู่กับเขาที่ไม่ใช่แค่นั่งเฝ้าโต๊ะแต่ยังต้องจ่ายค่าเหล้าจองที่ล่วงหน้าให้อีกด้วย



เอาเข้าจริงพักหลังพอโดนกายปั่นหัวจนประสาทกินมากๆ เข้า เขาก็เริ่มอยากจะช่างหัวมันซะ



เสียงโทรศัพท์สั่นในกระเป๋าเรียกตุลย์กลับขึ้นมาจากห้วงความนึกคิด เห็นว่าเป็นเบอร์ของศานนท์เขาก็ลุกจากโต๊ะ หลบออกมารับโทรศัพท์ด้านนอกโดยที่วางกระเป๋าทิ้งไว้



“เธอใกล้จะกลับหรือยัง”



ประโยคคำถามทำให้ตุลย์อึกอักเล็กน้อย



“ยังครับ ...คือผมกับเพื่อนออกมากินข้าวเย็นนอกกันแล้วจะกลับเข้าไปทำโปรเจกท์ต่อ ผมคงจะถึงบ้านราวๆ สี่ทุ่ม มีอะไรหรือเปล่าครับ?”



“เสียดายจัง... ฉันว่าจะชวนเธอทำอะไรกินสักหน่อย” น้ำเสียงคู่สนทนาส่อแววเสียดายเล็กๆ ดังว่า



“คุณจะทำอาหารเหรอ?” ตุลย์เลิกคิ้วแปลกใจ



นานๆ ครั้งหนึ่งศานนท์ถึงจะยอมทำอาหารเองสักที



“อืม ทีแรกว่าจะไปชวนหาซื้อพวกวัตถุดิบ พวกเครื่องเทศด้วยกันตอนเย็น แต่เธอไม่ว่างนี่ ทานข้าวแล้วใช่มั้ยล่ะ?”



“ครับ... ขอโทษนะครับ”



อึดใจหนึ่งที่เสียงปลายสายเงียบไป ไม่รู้เพราะผิดหวังที่ถูกเขาปฏิเสธหรือเปล่า



“โอเค ถ้างั้นอย่ากลับดึกนักล่ะ”



“ครับ”



“เจอกันที่บ้านนะ”



“ครับ” เขารับคำ จากนั้นสายก็ตัดไป



ตุลย์เดินเตะฝุ่นคิดอะไรอยู่ครู่สั้นๆ ก็กลับเข้าไปในร้านอย่างเก่า



คืนนั้นเขากลับมาถึงบ้านก่อนสี่ทุ่มนิดหน่อย ผลักประตูเข้ามาที่ห้องนั่งเล่นก็พบศานนท์ในชุดเดียวกับเมื่อเช้านั่งอยู่บนโซฟาขณะที่โทรทัศน์เปิดอยู่



“ยังไม่อาบน้ำเหรอครับ” เขาถามด้วยความเคยชินขณะเดินผ่านเจ้าของบ้าน ศานนท์ก็ตอบทั้งที่ยังสนใจโทรศัพท์ในมือ



“ยัง”



“ขอโทษที่กลับดึกนะครับ”



“อื้ม ฉันรู้แล้ว เธอโทรบอกแล้วนี่”



ตุลย์วางกระเป๋าไว้บนเก้าอี้ข้างโต๊ะอาหาร จากมุมนี้เขามองเห็นเพียงแผ่นหลังของศานนท์จึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดด้วยความรู้สึกแบบไหน สมองพาลนึกถึงเรื่องที่คุยผ่านโทรศัพท์ตอนเย็น ตุลย์ก็เกิดไม่มั่นใจขึ้นมา



“...คุณโกรธหรือเปล่าครับที่ผมเทนัดคุณเมื่อเย็น? ผมขอโทษนะครับ ช่วงนี้ยุ่งนี้ผมยุ่งจริงๆ”



คำถามของเขาเรียกให้หนุ่มใหญ่ละสายตาจากโทรศัพท์ก่อนจะกวักมือเรียก



“มานี่สิ”



ท่าทีของศานนท์สร้างความงุนงงให้ แต่ถึงอย่างนั้นตุลย์ก็ยอมเดินไปหาอีกฝ่ายที่โซฟาตามที่ถูกเรียก



“ที่จริงถ้าเธอยุ่งฉันจะลดตารางงานให้ ฉันไม่อยากให้เธอทำงานหนักเกินไป ยังไงเธอก็ยังเรียนอยู่”


“ไม่ครับผมไหว ...ก็แค่ช่วงนี้มันวุ่นวายหลายเรื่องน่ะ”



“โปรเจ็กท์หรืองานบันเทิงล่ะ?”



“ก็... ทั้งคู่”



“วุ่นจนไม่มีเวลาให้ฉันเลยเหรอ” น้ำเสียงของศานนท์อ่อนลงยามที่เอ่ยถาม จี้ความรู้สึกผิดในใจเข้าเต็มเปา



ตุลย์ส่ายหน้าช้าๆ “ผมก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้... ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากทานอาหารที่คุณทำหรอกนะ”



“ถ้าอยากทานเธอก็ต้องทำตัวให้ว่างสิ คืนพรุ่งนี้เป็นไง?”



“ผมไม่แน่ใจเลย ขอดูก่อนได้มั้ยครับ” ตุลย์ได้แต่ยิ้มเจื่อน



เรื่องน่าปวดหัวของกายมักจะโผล่มาแทรกกะทันหันเสมอซึ่งสร้างปัญหาให้กับการจัดตารางชีวิตของเขาบ่อยครั้ง เขาก็แค่อยากแน่ใจว่าจะไม่ผิดสัญญากับอีกฝ่ายซ้ำๆ ซากๆ



หลังจากสัปดาห์นี้เขาคงไม่ต้องวุ่นวายกับเรื่องกายไปอีกพักหนึ่ง เพราะหมอนั่นจะบินไปเที่ยวต่างประเทศ คงไม่มีกะจิตกะใจมาวอแวอะไรกับเขา ระหว่างนั้นเขาคงมีเวลาพอคิดหาทางจัดการกับเรื่องคลิปนั่น



ทว่าจู่ๆ ศานนท์ก็เอียงตัวเท้าแขนโซฟา เอื้อมมือมาเสยผมตุลย์ในจังหวะที่เขาไม่ทันตั้งตัว นิ้วโป้งเฉียดผ่านข้างแก้มก่อนหยุดที่ปลายคางใกล้กับริมฝีปาก รับรู้ถึงผิวสัมผัสและความร้อนจากปลายนิ้วชัดเจน



“นึกว่าปฏิเสธเพราะเธอเลิกชอบฉันแล้วเสียอีก...”



“เปล่านะครับ ไม่ใช่แบบนั้นนะ” ร่างโปร่งแก้ตัวทันควัน ก่อนจะหลบตา อึกอักไปต่อไม่ถูกหลังระลึกได้ว่าตัวเองเพิ่งหลุดประโยคที่แฝงนัยแปลกๆ โดยไม่ตั้งใจ



“งั้นอยู่ทานข้าวฝีมือฉันหน่อยสิ” ยังไม่ทันหายสับสน เขาก็ถูกศานนท์คาดคั้นด้วยน้ำเสียงกึ่งขอร้องจนพลั้งปากตกลงไป



“อา... ก็ได้ครับ พรุ่งนี้ถ้าเป็นสักหกโมงคุณจะโอเคมั้ย”



“ไม่ได้... ถ้าหกโมงกว่าจะได้กินมื้อเย็นก็สองทุ่มพอดีน่ะสิ” ศานนท์หัวเราะเบาๆ ในคอ



“งั้นสักสี่โมงล่ะครับ”



“อื้ม กำลังดีนะ...” ศานนท์รับคำในลำคอก่อนยันตัวลุกขึ้นจากโซฟายาวเต็มความสูง “นี่เริ่มดึกแล้วเธอขึ้นไปพักเถอะ เหนื่อยไม่ใช่เหรอ?”



“ครับ” ตุลย์พยักหน้า พักหลังมานี้เขาเหนื่อยง่ายชนิดที่แค่เห็นที่นอนก็แทบจะฟุบหลับ ถ้าคืนนี้ได้อาบน้ำนอนเร็วกว่าปกติหน่อยก็คงดี



...อย่างน้อยตอนนี้เขาก็รู้สึกโล่งใจที่ศานนท์ไม่ได้เคืองเรื่องเมื่อเย็น



“แล้วคุณล่ะครับ ยังไม่ขึ้นเหรอ?”



“ฉันว่าจะไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อหน่อย เธอพักเถอะ”



ชั่วครู่ที่คำตอบของหนุ่มใหญ่จุดประกายความรู้สึกไม่แน่ใจของตุลย์ขึ้นมา แต่ภาษากายสบายๆ ที่ดูไม่ติดใจอะไรก็ทำให้ตุลย์คลายความกังวลครู่ต่อมา ยอมเดินขึ้นไปชั้นบน



ลับหลังร่างนั้น ศานนท์ก็หยิบกุญแจจากกระเป๋าเสื้อสูทตัวนอกที่แขวนไว้ตรงราวข้างประตูไปที่โรงรถ ก่อนที่เขาจะสอดตัวนั่งตรงเบาะฝั่งคนขับและสตาร์ทเครื่องขับออกไป



ระหว่างทางหนุ่มใหญ่แวะร้านสะดวกซื้อเพื่อซื้อของสองอย่างจากนั้นก็ขับต่อไปยังถนนสายใหม่ซึ่งไม่ใช่เส้นประจำ



คืนนี้เขาอยากขับรถเล่น…



ซีดานราคาแพงแล่นไปเรื่อยๆ ตามถนนซึ่งส่องสว่างด้วยโคมไฟทาง ผ่านเสาต้นแล้วต้นเล่า ถนนเส้นนี้ตัดผ่านใจกลางเมืองและมักจะมีนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศมาเยี่ยมเยียนมากมายในตอนกลางวัน ทว่าในยามดึกเช่นนี้ กลับโล่งและเงียบสนิท มีรถสวนชนิดนับคันได้



ขับลัดเลี้ยวผ่านสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญใกล้ๆ สักพักจนพอใจ ศานนท์ก็หักพวงมาลัยเทียบฟุตบาทข้างสวนสาธารณะที่ปิดประตูรั้วเหล็กเงียบสงัดขณะที่ติดเครื่องทิ้งไว้



เขาเปิดกระจก คีบซิกก้ามวนเล็กที่ซื้อจากร้านสะดวกซื้อจากซอง เสียงแกร๊กตามด้วยไฟสีส้มสว่างวาบขึ้นในความมืดยามเมื่อปลายนิ้วที่สะกิดเฟืองไฟแช็ก ปลายมวนด้านหนึ่งที่ถูกลนด้วยไฟเกิดเป็นจุดแดงเผาไหม้ขนาดเล็กพร้อมกับเปลวควันลอยอ้อยอิ่งในอากาศ



ศานนท์จรดริมฝีปากที่ปลายอีกข้าง สูดรับกลิ่นและรสสัมผัสในโพรงปากของซิกก้าที่เขาไม่ได้รับมานาน ก่อนจะยื่นแขนข้างนั้นออกไปนอกกระจก เคาะสองนิ้วที่คีบมวนกับประตูรถให้เถ้าบุหรี่ร่วงตกไปแล้วพ่นลมหายใจออกเป็นควันจางๆ



เขาทำทุกอย่างเชื่องช้าราวกับคนที่จมอยู่ในภวังค์แห่งความคิด



“ถ้าคุณไม่ปิดบัง ผมก็ไม่มีเหตุผลต้องโกหกคุณอีก”



คำพูดของตุลย์ดังก้องในหัว



“ฉันควรทำยังไงหืม? เธอช่วยบอกทีสิ”



หนุ่มใหญ่ทอดมองทิวทัศน์ในยามค่ำคืนอันเงียบกริบด้วยสีหน้าที่ไม่บ่งบอกความรู้สึกใดมาก เขาค่อยๆ ใช้เวลาสูบซิกก้าจนกระทั่งมวนที่สองมอดลงก็ก้มมองนาฬิกา เลื่อนกระจกขึ้น และซีดานสีดำก็เคลื่อนตัวออกไปจากสวนสาธารณะอย่างเงียบเชียบ



-------------------------------

ทีมแม่ยกเต้เยอะนะคะเนี่ยย เรื่องผีแล่นแล่น ฮี่ๆๆๆๆๆ  :katai2-1:
จริงๆ เมลล่าก็คิดว่าสองว่าสองคนนี้เคมีได้อยู่นาา เอ๊ะๆ ถถถถ

ขอโทษที่ปล่อยให้รอนานนะคะ
ต่อจากนี้จะไม่นานแล้วค่ะ เพราะมาทำ full-time แล้วว เยย้

หากหายจากการอัพไปเกือบๆ เดือนเลย ไม่รู้จะพูดอะไรเลย T_T
ยังไงติดตามต่อนะคะ ต่อจากนี้มาทุกสัปดาห์แล้วค่ะ

เมลล่าขอบคุณนักอ่านทุกคนที่ทำให้ผ่านความเคว้งคว้างทั้งปีมาได้นะคะ
ไม่รู้จะขอบคุณยังไง แต่มันเป็นกำลังใจสำคัญที่ motivate ชีวิตเมลล่าจนผ่านทั้งปีมาได้โดยที่ยังเป็นตัวเอง
คอมเม้นท์ทุกๆ คอมเม้นท์และยอดต่างๆ มีความหมายมากจริงๆ ค่ะ

ตอนนี้เมลล่าหาทางที่ใช่ของตัวเองเจอและพร้อมจะลงมือตบตีแล้วค่ะ
ขอบคุณที่สนับสนุนเสมอมาค่ะ ^-^
*ย่อไหว้*   

หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (01.02.21) l 28th Night: ความจริง Part 2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 01-02-2021 19:19:56
 :pig4: :pig4: :pig4:

 :pig2: back

 :mc4: :mc4: :mc4: ให้กับคำสัญญาว่าจะมาพบกันทุกสัปดาห์  อิอิ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (01.02.21) l 28th Night: ความจริง Part 2 [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 03-02-2021 21:39:05
ทำไมไม่บอก ใช่ว่าศานนท์จะไม่รู้ว่าตุลย์เป็นยังไงมาก่อน
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (06.02.21) l 29th Night: เหรียญคนละด้าน [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 06-02-2021 23:38:54
29th Night : เหรียญคนละด้าน


กายกวาดสายตาดูรายการอาหารบนเมนูก่อนจะสั่งจานหลักและเครื่องดื่มกับบริกรที่ยืนรับออร์เดอร์อยู่เยื้องซ้ายมือของเขา เนื่องจากโต๊ะที่ชายหนุ่มนั่งเป็นโต๊ะพิเศษวิวดีตั้งอยู่ติดกระจกมุมหนึ่งของร้าน บนพื้นที่สี่เหลี่ยมซึ่งเป็นมุขหน้าต่างยื่นออกไปจากตัวตึกเล็กน้อย จึงเป็นส่วนตัวไม่พลุกพล่านและปะปนกับลูกค้ากลุ่มอื่น


ระหว่างที่กำลังสั่งอาหาร กายก็เหลือบหางตาไปเห็นร่างสูงโปร่งสวมเสื้อฮู้ดกางเกงวอร์ม เปิดประตูตรงเข้ามา ณ จุดที่ตนนั่งอยู่ด้วยจังหวะฝีเท้าไม่รีบร้อน สีหน้าผู้มาเยือนเฉยเมยเบื่อหน่ายอย่างที่เห็นบ่อยจนชักชินตา


ตุลย์ทิ้งก้นนั่งตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกายก่อนจะหยิบเมนู สั่งเครื่องดื่มแก้วหนึ่งกับบริกรเนื่องจากเขาไม่นิยมทานของว่างระหว่างมื้ออาหาร


“คิดว่ามึงจะโผล่หัวมาตอนกินเสร็จแล้วซะอีก” กายพูดยั่วประสาท


ปฏิกิริยาของตุลย์คือกลอกตาแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่น หยุดบทสนทนาไว้เท่านั้น


เหตุผลที่กายโทรเรียกเขามานั่งกินข้าวด้วยก็เพราะเบื่อ อยากได้คนมาปั่นประสาทสร้างความบันเทิงให้พลางๆ เพราะถูกพักการเรียนอยู่คนเดียวในกลุ่ม


แต่หลังๆ มานี้เขาเหนื่อยหน่ายเกินจะเต้นตามเกมอีกฝ่ายไปทุกเรื่อง...



“มื้อนี้มึงจ่ายให้กุด้วย”


“เออ” ตุลย์ขานสั้นๆ อย่างขี้เกียจเถียง


ค่าอาหารมื้อเดียวไม่ทำให้เขาขนหน้าแข็งร่วงหรอก


เสียงดนตรีบรรเลงฟังสบายสร้างบรรยากาศผ่อนคลายและกระตุ้นความรู้สึกอยากอาหาร พักใหญ่ๆ ให้หลัง บริกรอีกคนก็นำจานอาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะของพวกเขา ก่อนที่กายจะเริ่มลงมือทานจานหลัก


เสียงจานและช้อนส้อมกระทบกันดังเข้าหูตุลย์เป็นระยะโดยที่เขาไม่ใส่ใจ ตุลย์จะเงยหน้าจากจอ ชำเลืองมองอีกฝ่ายเป็นครั้งคราวบ้างก็ต่อเมื่อเขาจิบเครื่องดื่มก็เท่านั้น


“กูเลื่อนไฟท์ไปเมกาเป็นวันนี้ตอนทุ่มครึ่ง” จู่ๆ กายก็โพล่งขึ้น สบตาคนตรงข้ามขณะที่พูด


“แล้วจะบอกกูทำไม”


“ก็เผื่อมึงอยากรู้” รอยยิ้มหยันปรากฏขึ้นที่มุมปาก “เพราะมึงต้องไปช่วยกูขนของสำหรับไฟท์คืนนี้”


“อะไรนะ?” ตุลย์ขมวดคิ้วแทบในทันทีที่สิ้นประโยค “มึงไปกับเพื่อน ก็ใช้เพื่อนไปขนเองดิวะ”


“แล้วทำไมกูจะต้องใช้เพื่อนกู ในเมื่อกูใช้มึงก็ได้”

คู่สทนาไหวไหล่ราวกับจะเยาะเย้ย ปฏิกิริยานั้นทำให้ชักเริ่มตุลย์ฉุน


“กูไม่มีเวลามาจัดการเรื่องไร้สาระให้มึงทั้งสัปดาห์หรอกนะ กูก็มีธุระของกู อยากขนของนักก็โทรจ้างคนถือกระเป๋าดิวะ ถ้ามันยากมากกูจ่ายให้ก็ได้ เอ้า”


“ก็มันไม่สนุกเหมือนใช้มึงขนนี่หว่า”


สีหน้ายียวนประสาทของกายเรียกให้ตุลย์เค้นเขี้ยวด้วยความหงุดหงิด ชั่วขณะหนึ่งที่มันเปรียบเหมือนสะเก็ดไฟกระเด็นโดนกิ่งไม้แห้งที่ทับทมกันเป็นเวลานานเกิดเป็นประกายเพลิงโทสะโหมอยู่ภายในอก


ตอนนี้ตารางชีวิตเขารวนเละตุ้มเป๊ะชนิดที่เอาแน่เอานอนกับอะไรไม่ได้แม้กระทั่งเรื่องของคนใกล้ตัวอย่างศานนท์ แต่หมอนี่กลับสะใจและสนุกกับการทำให้ของเขาวุ่นวายเหมือนหนูปั่นจักร


ทำไมเขายังต้องมาอดทนกับเรื่องงี่เง่าของมันด้วยวะ!?



กระแสความคิดที่ไหลกระแทกความรู้สึกอย่างแรงกระตุ้นให้ตุลย์ลุกผึงจากเก้าอี้อย่างหมดความอดทนก่อนจะคว้ากระเป๋าบนโซฟา


“มึงอยากขนของก็จ้างคนขนกระเป๋าโน้น กูมีนัด ไม่ใช่เบ๊ที่จะมาประเคนโน่นนี่ใส่พานมึงทุกครั้งแค่เพราะมึงอยาก”


“จะไปไหน!?”


ท่าทีเหมือนกับจะเดินออกจากร้านจริงดังลั่นปากเรียกให้กายลุกขึ้นกระชากแขนอีกฝ่าย ปฏิกิริยาตอบโต้อัตโนมัติทำให้ตุลย์เกือบประเคนหมัดใส่ผู้กระทำ แต่สติชั่ววูบหนึ่งก็ดึงให้เขาพอยั้งมือไว้ได้ทันกาล


“หึ กล้าต่อยกูมั้ยล่ะห๊ะ?”


กายกระตุกยิ้มเยาะก่อนจะปรี่เข้ามาดันอกให้ร่างของตุลย์ถอยชิดจนติดกำแพงตรงข้ามหน้าต่าง จากนั้นจึงตามเข้ามาประกบโดยใช้แขนเท้ากำแพงกั้นเขาไว้ไม่ให้ขยับหนี


พื้นที่ที่พวกเขายืนอยู่เป็นที่ค่อนข้างลับตา หากไม่เดินเลาะเข้ามา บริกรคงไม่มีทางจับสังเกตได้ว่าเกิดเรื่องผิดปกติ อีกทั้งท่าทีของกายก็นุ่มนวลราวกับตั้งใจไม่ให้เอิกเกริก แต่แววตาบ้าเลือดที่จ้องมองเขาก็แสดงให้เห็นว่าผู้พูดไม่ได้ล้อเล่น


กายโน้มหน้ากระซิบข้างหู


“จะเอาจริงใช่มั้ย? หึ แค่กูไม่หยิบเรื่องคลิปมาขู่มึงก็ได้ใจใหญ่ อยากทดสอบขีดจำกัดกูใช่มั้ย? กูทำลายอนาคตมึงได้ และมั่นใจด้วยว่ามันจะจบไม่สวยสำหรับมึง”


ตุลย์เบนหน้าไปทางอื่นราวกับเห็นของแสลงลูกตา แต่ถูกกายจับคางบีบบังคับให้หันมา


“อย่าคิดว่ากูไม่กล้า ถ้าไม่อยากให้เป็นเรื่องก็ทำตามที่สั่ง ทำตัวว่าง่ายๆ กับกู ยกเลิกนัดซะ”


ตุลย์จ้องตาอีกฝ่ายเขม็ง ทว่าความเดือดดาลในทีแรกเริ่มกลายเป็นเกรงกลัวต่อผลลัพธ์เมื่อถูกย้ำเตือนสติ เขาเม้มปาก หลับตานับหนึ่งถึงสามช้าๆ เพื่อปรับให้อารมณ์เย็นลงอย่างยากลำบาก


...เขารู้จักกาย รู้ชื่อแซ่ รู้เบอร์ห้อง รู้กิจวัตรประจำวัน และรู้แม้กระทั่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเพื่อนของอีกฝ่าย มันจะมีประโยชน์กับเขาเมื่อกายไม่อยู่ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อีกนิดเดียวเท่านั้นมันจะเป็นทีของเขาแล้ว…


“กูรู้แล้ว… ถอยออกไป”


ร่างสูงยังคงยืนคุมเชิง จนแน่ใจว่าเขายอมแพ้แน่แล้วถึงปล่อยเป็นอิสระ


“โทรไปยกเลิกนัด” อีกฝ่ายสั่ง


ตุลย์ขมวดคิ้วแน่น หยิบโทรศัพท์กดดูประวัติการโทรอย่างไม่เต็มใจ ท่ามกลางตัวเลขสิบหลักจำนวนมาก เบอร์ของศานนท์เป็นเบอร์แรกบนลิสโทรเข้าล่าสุด เขาถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะกดโทรออกหาปลายสายอย่างไม่มีทางเลือกนัก


----------------------------------


ตุลย์กลับถึงบ้านตอนดึกเนื่องจากเส้นทางจากสนามบินมาที่บ้านของเขาคับคั่งการจราจร พอเปิดประตูเข้ามาด้านในก็แปลกใจนิดหน่อยที่ห้องนั่งเล่นปิดไฟมืดสนิทร้างวี่แววของผู้อาศัยอีกคน


เหมือนว่าศานนท์จะยังไม่กลับ…


ท่ามกลางความมืดพอให้เห็นเฟอร์นิเจอร์และข้าวของรางๆ แสงที่ลอดเป็นทางจากปากประตูห้องครัวก็ทำให้ตุลย์ขมวดคิ้ว ทีแรกเขาเข้าใจว่าแม่บ้านคงลืมปิดหลังเข้ามาทำความสะอาดเมื่อกลางวัน แต่พอสาวเท้าเข้ามาใกล้ครัวก็ต้องประหลาดใจ


ด้านในห้องครัวที่เปิดไฟสว่าง ศานนท์ยืนหันข้างอยู่หน้าเค้าท์เตอร์ หนุ่มใหญ่ยังสวมชุดทำงานโดยที่คลายเนกไทออกหลวมๆ เยื้องทางขวามือมีเหล้าขวดหนึ่งเปิดทิ้งไว้ ตั้งเคียงกับแก้วใสบรรจุของเหลวสีเดียวกันที่เหลือเพียงหนึ่งในสี่ส่วน ดวงตาคมนิ่งถอนจากแก้วปราดมองผู้มาเยือนทันทีที่เสียงฝีเท้าหยุดลงตรงหน้าห้อง


“กลับแล้วเหรอ ไปไหนมา?” เสียงที่ถามราบเรียบราวกับผิวทะเลทะเลสาบลึก


“ไปทำงานที่มหา’ ลัยครับ ติดลมนิดหน่อยเลยกลับดึก” ตุลย์ตอบด้วยเหตุผลแบบเดียวกับอ้างเมื่อกลางวัน “ผมไม่ได้ตั้งใจเทนัดคุณนะ โทรบอกเมื่อกลางวันแล้วเลยนึกว่าคุณจะไม่โกรธ...”


ศานนท์ยังจ้องเขานิ่งราวกับคาดหวังคำตอบอื่น สายตาที่คมกริบบ่งชัดว่าไม่พอใจตุลย์จึงเอ่ยขอโทษ ปากที่กำลังจะพูดก็พาลชะงักเมื่อได้ยินประโยคต่อมา


“ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้ยุ่ง วันนี้เธอไม่มีถ่ายงานและไม่ได้ไปหาเพื่อนที่มหาวิทยาลัย มีอะไรจะอธิบายมั้ย?”


ตุลย์เบิกตากว้าง มึนงงไปชั่วขณะ


ศานนท์รู้ได้ยังไง...?


“คะ คุณให้คนตามผมอีกแล้วเหรอ”


“ใช่” หนุ่มใหญ่ผละจากเค้าท์เตอร์ เดินเข้ามาใกล้ร่างที่หยุดยืนอยู่หน้าประตู “เธอเป็นคนให้สัญญาเองว่าจะไม่ความลับกับฉันถ้าฉันยอมเล่าทุกอย่างให้เธอฟังจำได้มั้ย? แต่เธอผิดสัญญา ไหนบอกว่าไม่มีอะไรจะปิดบังแล้วเธอโกหกฉันทำไม?”


สีหน้าผู้พูดไม่เปลี่ยนแปลงมาก แต่กระแสเสียงกลับดุดันขึ้นและแฝงกรุ่นอารมณ์ราวกับโทสะพร้อมปะทุ ซึ่งสร้างความหวาดกลัวให้คนฟังจับใจ


ศานนท์เห็นคลิปแล้วเหรอ...


ได้ยังไง...? มันไม่ควรหลุดออกไปนี่นา!?



ถูกบีบบังคับให้เผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่พยายามหลบซ่อนมาตลอด สมองของตุลย์ก็เริ่มสูญเสียเหตุและผลในการรับมือ แขนขาเริ่มหนาวชา หัวใจเต้นระส่ำระส่ายราวกับเขื่อนอารมณ์ที่เขาพยายามเก็บกักมาตลอดหลายสัปดาห์กำลังสั่นคลอนและใกล้ถล่มลงมา


“คุณ... ผมไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเป็นแบบนี้” ตุลย์แก้ตัวตะกุกตะกัก “แต่มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด ผมไม่ได้อยากจะปิดบังคุณ”


“ไม่ใช่อย่างที่คิดแล้วที่ฉันเห็นคืออะไร? เธอคิดว่ามันง่ายสำหรับฉันที่จะให้มองข้ามเรื่องทุกอย่างแล้วทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นเหรอ? ถ้าฉันไม่พูด เธอจะหลอกฉันและปิดเรื่องนี้ไปถึงเมื่อไหร่? แค่ความจริงจากปากเธอฉันยังไม่เคยได้ฟังด้วยซ้ำ”


สีหน้าที่แสดงออกชัดว่าผิดหวังในตัวเขาทำให้ตุลย์หายใจติดขัด ริมฝีปากของเขาเม้มแน่น ในหัวมีคำพูดมากมายที่ไหลวนเวียนแต่กลับเปล่งเสียงไม่ออก หนึ่งอึดใจอันยาวนานที่ตุลย์ค่อยๆ รวบรวมสติและเศษเสี้ยวความกล้าที่เหลืออยู่เพื่อถามคำถามหนึ่งออกไป


คำถามที่ไม่เคยอยากรู้คำตอบ…


“คุณอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นใช่มั้ย…?”


“......”


“ถ้าผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้คุณฟัง... ความสัมพันธ์ระหว่างเราจะยังเหมือนเดิมมั้ย...?”


เป็นหนุ่มใหญ่ที่ส่ายศีรษะ


“ฉันตอบไม่ได้ว่ามันจะเหมือนเดิม”


ตุลย์นิ่วหน้าปิดเปลือกตาลงด้วยจิตใจที่ปั่นป่วนราวกับทะเลต้องพายุ ประโยคของศานนท์เสียดแทงลึกที่กลางหน้าอกจนต้องเบือนหน้าหนี
   

“ถ้าอย่างนั้น... ผมคงไม่มีอะไรจะอธิบายให้คุณฟัง”


เพราะไม่ว่าสิ่งที่เขาพูดต่อจากนี้จะเป็นความจริง ความเท็จ หรือเรื่องโกหกอะไร


มันก็ไม่เปลี่ยนผลลัพธ์ใด หากว่าศานนท์ได้ตัดสินเขาด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไปแล้ว



วินาทีนั้นตุลย์เข้าใจท่องแท้


ว่าเขาไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนเลย…


“เธอจะไปไหน! ?”


จังหวะที่ตุลย์หมุนตัวเดินจากมาก็ถูกศานนท์พุ่งเข้ามาคว้าแขนด้วยแรงที่มากจนแทบจะเป็นการกระชาก เขานิ่วหน้า ขอบตาร้อนผ่าว ไม่รู้ว่าใช่เพราะความเจ็บที่แขนหรือเปล่า


“ปล่อยเถอะ ผมไม่มีเรื่องอะไรจะพูดแล้ว”


“เธอยังไม่ตอบฉัน!”


ตุลย์ส่ายหน้า สลัดตัวจากการเกาะกุม


“ถ้าเธอกล้าออกจากห้องนี้ก็อย่ากลับมาให้ฉันเห็นอีก!” ประโยคไล่หลังอัดแน่นด้วยโทสะจนแทบจะกลายเป็นตวาด


ตุลย์ไม่รู้สึกตัวว่าหลังจากนั้นเขาตะโกนตอบอะไรไป ทุกอย่างที่ประดังประเดเข้ามาในคราวเดียวมันมากเกินกว่าสมองและหัวใจจะรับไหว เขาแค่อยากให้พายุอารมณ์ลูกนี้หยุดสักที เพราะเขาไม่อาจทนยืนอยู่ต่อหน้าศานนท์ได้อีกแม้แต่นาทีเดียว โดยที่จิตใจไม่ถูกซัดจนพังทลาย


รู้สึกตัวอีกทีตอนที่ตัวเองสาวเท้าเร็วๆ เกือบวิ่งมาถึงถนนใหญ่ทั้งที่ยังกำกระเป๋าในมือไว้แน่น ตุลย์หอบหายใจหนัก ก้มมองพื้นฟุตบาทขณะที่สมองว่างเปล่า มือและแผ่นหลังเย็นเฉียบ


เขากัดปากแน่น ก่อนจะหลับตาเพื่อสะกดอารมณ์ของตัวเองไม่ให้เตลิดเละเทะไปมากกว่านี้ ทว่ามันกลับยากเหลือเกินเพราะหัวของเขายังคงเล่นฉากเมื่อครู่ซ้ำไปซ้ำราวกับแผ่นเสียงตกร่อง เจ็บหน้าอกเหมือนกับคนที่กำลังหายใจไม่ออก


เขารวบรวมสติที่ยังเหลือกดโทรศัพท์โทรออกหาคนคนหนึ่งด้วยมือที่สั่น ได้แต่ภาวนาให้ปลายสายยังไม่หลับ


-------------------------


“คุณไม่มีสิทธิ์มาสั่งผม!” ร่างโปร่งตวาดใส่ก่อนจะก้าวฉับๆ ออกจากบ้านหายไปท่ามกลางความมืด ประตูรั้วหน้าทางเข้าถูกเปิดและปิดลง ทว่าศานนท์ปราศจากความคิดที่จะตามร่างนั้นไปเพราะเขาโกรธและเจ็บใจเกินกว่าจะไยดี


มือขวาคว้าแก้ว รินเหล้าใส่จนเต็มก่อนจะกระดกลงคอรวดเดียวหมดราวกับดื่มน้ำเปล่า พริบตาเดียวที่เผลอปรายมองเศษกระดาษในถังขยะจำนวนหนึ่งซึ่งถูกฉีกทำลายทิ้งเป็นชิ้นๆ ก็ถอนสายตากลับมาอย่างแสลงใจ ภาพในความจำยังบาดตา เหตุการณ์ตอนบ่ายก็เล่นวนซ้ำในหัว


“ได้เรื่องมั้ย”


“ครับ”


อเนกตอบด้วยท่าทีเคร่งขรึมเป็นงานเป็นการกว่าทุกวัน ตอนที่ยื่นซองสีน้ำตาลให้เขา


“นี่เป็นรูปที่คุณสั่งให้จับตาดู คนของผมถ่ายได้วันนี้ตอนประมาณสิบโมง แต่ผมว่าคุณควรจะได้เห็นเร็วที่สุด”


ศานนท์รับซอง แกะดูก็พบรูปจำนวนหนึ่งถ่ายที่ร้านอาหารสไตล์บูทีคในย่านท่องเที่ยวของชาวต่างชาติ


หลังหน้าต่างบานใหญ่ตุลย์กำลังนั่งทานอาหารกับเด็กที่ชื่อกาย


เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะไล่สายตาดูรูปแต่ละใบ อิริยาบถของคนทั้งสองในภาพค่อยๆ เปลี่ยนไปแต่ยังสามารถปะติดปะต่อเป็นเรื่องราวได้เสมือนดูภาพเคลื่อนไหว


จังหวะหนึ่งที่ตุลย์ลุกขึ้นยืนกายก็ถลาเข้ามาจับแขนร่างโปร่งไว้


ก่อนที่ทั้งคู่จะจูบกัน…



มือที่กำลังสับภาพถ่ายหยุดค้างที่รูปใบนั้น


แผ่นหลังของกายบดบังสีหน้าตุลย์ไว้กว่าครึ่งในขณะที่ร่างโปร่งถูกเบียดชิดกำแพง ก่อนที่ชายคนนั้นจะโน้มหน้าจูบตุลย์ หลังจากที่ทั้งคู่ผละจากกันตุลย์ก็มีท่าทีคล้ายใจเย็นลง จากนั้นถึงกดโทรศัพท์ยกขึ้นแนบหูคล้ายกำลังโทรออก วินาทีนั้นศานน์ก็จำได้


ตุลย์โทรหาเขาครั้งหนึ่งเมื่อประมาณสิบโมงเพื่อยกเลิกนัดตอนเย็น…


หลักฐานทุกอย่างตรงหน้าที่อเนกได้มามันฟ้องอยู่ทนโท่จนแม้อยากหาเหตุผลใดมาหักล้างก็ไม่อาจทำได้ หมดสิ้นซึ่งคำพูดใดๆ และเมื่อเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในความทรงจำเริ่มปะติดปะต่อกันเป็นช่องฉาก ความลับที่ตุลย์พยายามหลบซ่อนมาตลอดก็ค่อยๆ ประจักรต่อสายตา...


ตุลย์มีสัมพันธ์กับกายลับหลังเขา


ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ หรืออาจตั้งแต่ยังทำงานอยู่ไนต์คลับ


ส่วนเรื่องวิวาทเจ็บตัวที่เขาเป็นห่วงตุลย์แทบตาย มันกลับกลายเป็นแค่การเอาคืนกันระหว่างคู่รักอารมณ์ร้าย


...เพราะอย่างนี้ ตุลย์ถึงพยายามกีดกันไม่เขาเข้าไปยุ่งกับเรื่องกาย


เพราะกลัวความจะแตกขึ้นมา


ว่าคนที่ถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือมาตั้งแต่แรกคือเขา


ปัง!



หมัดที่กำแน่นฟาดใส่โต๊ะอย่างแรงจนแก้วและขวดที่ตั้งอยู่สั่นตามแรงสะเทือน ความรู้สึกของการถูกทรยศจากฝีมือของคนที่หลงรักและไว้ใจที่สุดมันเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสเหมือนถูกคมมีดแทงซ้ำๆ เป็นพันครั้ง


บรรดาของกำนัลที่ตุลย์มักส่งมาให้ตอนที่หนีไปใช้เวลากับคนอื่น สายตาลังเลที่มองเขาคล้ายกังวลว่าเขาโกรธอยู่ไม่ หรือแม้แต่ตอนที่พูดคำว่า ‘ขอโทษ’


มีส่วนไหนที่เป็นความจริงบ้าง!?



ครั้งหนึ่งเขาเชื่อว่าตุลย์คือคนที่สามารถคืนชีวิตชีวาซึ่งขาดหายไปได้ให้เขาได้เหมือนตอนที่ยังมีนิโคลอยู่ข้างๆ เขาถึงยอมทุ่มเทให้ทั้งเงินทอง ความสะดวกสบาย และโอกาสเพื่อให้อีกฝ่ายสามารถเข้าสู่วงการบันเทิงได้ตามที่ฝัน


เขาให้ทุกอย่างที่ตุลย์เฝ้าตามหา แม้กระทั่งหัวใจที่คิดว่าไม่อาจให้ใครได้อีก...

แต่ตุลย์กลับทำให้เขากลายเป็นไอ้โง่คนหนึ่ง!



ศานนท์คำรามด้วยความโกรธแต่เสียงเปล่งออกมาจากลำคอกลับเต็มไปด้วยร่องรอยความเจ็บปวดเสียมากกว่า เขายกมือกุมหน้าก่อนปล่อยให้ความรู้สึกทั้งหมดพังถล่มลงมาพร้อมกับไหล่ที่สั่นเทา


หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (06.02.21) l 29th Night: เหรียญคนละด้าน [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 06-02-2021 23:39:21
---------------------------------


“กูไปหาที่คอนโดตอนนี้ได้มั้ย”


นั่นเป็นประโยคแรกที่เต้ได้ยินเมื่อเขากดรับสายตุลย์ตอนดึก สิบห้านาทีต่อมาปลายสายก็มาถึงหน้าคอนโดของเขา ตุลย์ลงจากแท็กซี่ก็พบเต้สวมเสื้อยืดกางเกงบอลยืนรออยู่หน้าล็อบบี้ ท่าทีและน้ำเสียงของผู้มาเยือนดูปกติผิดกับตอนที่โทรหา จวบจนกระทั่งเต้ยิงคำถามแรก ต่อให้ไม่ใช่คนใกล้ชิดก็ดูออกได้ง่ายๆ ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น...


...เพราะตุลย์ตอบสนองช้ามากเหมือนคนสติไม่อยู่กับตัว บางทีก็มองไปรอบๆ ด้วยแววตานิ่งๆ เหมือนกำลังคิดอะไรในหัวตามลำพัง ไม่อยู่กับปัจจุบัน


เต้เดินนำอีกฝ่ายผ่านประตูส่วนในซึ่งต้องใช้คีย์การ์ดสแกนเพื่อขึ้นไปชั้นที่เขาพักอยู่ ระหว่างที่รอลิฟต์ ชายหนุ่มก็ถามขึ้น


“มึงเป็นอะไร”


ตุลย์ส่ายหน้าคล้ายจะบอกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ “มีเรื่องนิดหน่อย”


“กับเสี่ยเหรอ?”


“.....”


“เรื่องอะไร เกี่ยวกับไอ้กายหรือเปล่า?”


เป็นอีกครั้งที่ตุลย์ส่ายหน้าช้าๆ ก่อนระบายลมหายใจยาว ตอบโดยไม่มองเขา


“หยุดถามก่อนได้มั้ย... วันนี้กูไม่มีแรงจะเถียงกับมึงแล้ว”



คอนโดของเต้ตั้งอยู่บนชั้นสิบแปด ราคาสูงเอาเรื่องเพราะอยู่บนทำเลทองใกล้มหาวิทยาลัยและย่านธุรกิจสำคัญ แต่ก็แลกกับการเดินทางที่สะดวกสบายและใช้เวลาเพียงเล็กน้อย


พื้นที่ใช้สอยในห้องของเต้จัดว่าคับแคบไปสักหน่อยสำหรับผู้อาศัยสองคน เนื่องจากห้องถูกซอยเป็นสัดส่วนมีประตูบานเลื่อนกั้นชัดเจน ผนวกกับเจ้าของห้องไม่ใช่คนเก็บของเป็นระเบียบ แม้ว่าเต้จะเคลียร์ของระเกะระกะบางส่วนในห้องนั่งเล่นใส่ถุงต่างๆ อย่างลวกๆ เทินไว้บนโซฟายาวเป็นกะตั้กเพื่อให้ตุลย์มีที่เดินไม่เตะข้าวของล้มระเนระนาดจนเหลือพื้นที่นั่งได้แค่คนเดียวแล้วก็ตาม


“พวกเสื้อผ้ากับผ้าเช็ดตัวมึงหยิบเอาในตู้แล้วกัน”


คนที่เดินตามหลังเข้ามาด้านในห้องพยักหน้ารับ


เต้เดินนำไปที่ห้องนอน เปิดประตูบานเลื่อนกระจกซึ่งกั้นระหว่างห้องก่อนจะชี้ด้านในซึ่งมีเตียงควีนไซส์ตั้งอยู่ใต้กองผ้าห่มขยุกขยุย


“มึงนอนฝั่งในแล้วกัน”

   
“อื้ม” ตุลย์ขานรับ


เมื่อหมดหน้าที่เขาในฐานะเจ้าของบ้าน ชายหนุ่มก็วกกลับไปนั่งที่โซฟา ปล่อยให้ตุลย์ใช้เวลากับตัวเองในห้องนอนของเขาขณะที่เขานั่งเล่นโทรศัพท์ เงยหน้าดูหนังต่างประเทศรอบดึกในโทรทัศน์บ้างเป็นบางที


ไม่นานตุลย์ก็เลื่อนประตูออกมาจากห้องนอนพร้อมเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัว ตรงไปที่ห้องน้ำซึ่งอยู่เยื้องๆ กัน


“ยืมก่อนนะ”


“เออ”


ไม่รู้ว่าตุลย์หมายถึงขอยืมเสื้อผ้า ยืมผ้าเช็ดตัวหรือยืมห้องน้ำกันแน่ แต่เขาก็เออออไปตามนั้น


ระหว่างที่ตุลย์อาบน้ำ สมองเต้ก็เริ่มคาดเดาถึงเหตุผลที่ตุลย์ตัดสินใจมาค้างที่คอนโด เขาค่อนข้างมั่นใจว่าร่างโปร่งพรวดพราดออกมากลางดึกกะทันหันเพราะทะเลาะกับเสี่ย แต่สาเหตุเกิดจากอะไรเขาคงไม่รู้หากเจ้าตัวไม่ปริปากบอกใบ้


บางทีมันอาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่พักหลังนี้ตุลย์มักไปหากายอยู่บ่อยครั้งอย่างไม่ทราบสาเหตุ


จู่ๆ ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัวเต้


รึสองคนนั้นเป็นชู้กัน?


อืม... ไม่น่าจะใช่



ตุลย์กลัวกายออกจะตาย เพิ่งจะยอมสู้บ้างก็ตอนที่มีเรื่องกันครั้งล่าสุดเพราะเขาเข้าไปมีเอี่ยวกับการตะลุมบอนด้วย แถมหลังจากนั้น เจ้าตัวยังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจะเอาคืนมันให้ได้ ท่าทางไม่เหมือนคนที่พิศวาสกันสักนิด


หรือว่าเป็นแฟนเก่าที่ตามราวี?


จังหวะที่กำลังคาดเดาไปต่างๆ นานานั้น คนที่กำลังนึกถึงก็ออกมาจากห้องน้ำพอดี ตุลย์เดินสวนกับเขาที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นเพื่อกลับไปที่ห้องนอนโดยที่สวมชุดซึ่งหยิบมาจากในตู้เสื้อผ้า


“กูนอนแล้วนะ”


“อืม” เต้พยักหน้ารับรู้


หลังจากที่ตุลย์หายเข้าไปในห้อง เขาก็ลุกไปอุ่นอกไก่ในตู้เย็นด้วยไมโครเวฟเพราะเริ่มรู้สึกหิว ก่อนหยิบจานมานั่งกินหน้าโทรทัศน์เพลินๆ รู้สึกตัวอีกทีไฟในห้องนอนก็ดับไปแล้ว


ชายหนุ่มนั่งทำอะไรเรื่อยเปื่อยจนล่วงเลยมาครึ่งค่อนคืนถึงหยิบจานบนโต๊ะหน้าโซฟาไปเก็บและแปรงฟัน เขาเปิดประตูห้องนอนซึ่งด้านในปิดไฟมืดสนิท ก่อนจะทิ้งน้ำหนักที่ฝั่งหนึ่งของเตียงซึ่งว่างอยู่ ปกติแล้วเต้ไม่นอนใส่เสื้อ แต่เนื่องจากวันนี้มีแขก เขาจึงล้มตัวลงนอนไปทั้งที่สวมเสื้อยืดอย่างนั้น


ขนาดของเตียงควีนไซส์สำหรับผู้ชายสองคนนั้นถือว่าไม่ใหญ่มาก แต่ก็ไม่แคบจนอึดอัด แสงไฟลางๆ จากตึกนอกหน้าต่างทำให้ปรับสายตาชินกับความมืดได้เร็ว ไม่นานเต้ก็มองเห็นข้าวของในห้องแจ่มชัด เขาพลิกตัวหันไปที่ฝั่งข้างหน้าต่างก็เห็นร่างโปร่งนอนหันหลังให้โดยห่มผ้าแค่ช่วงเอว


ชั่วขณะหนึ่งที่เต้นึกสงสัยว่าอีกฝ่ายหลับแล้วหรือยัง เขาจึงเท้าศอกยันตัวขึ้นเพื่อชะโงกมอง...
   

เปลือกตาปิดสนิทและลมหายใจสม่ำเสมอทำให้เขาแน่ใจว่าผู้ถูกมองจมสู่ห้วงนิทราไปนานแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจ้องตุลย์นานเท่าไหร่ แต่มันชักเริ่มหักห้ามใจยากขึ้นทุกที หากจะไม่ใช้สายตาพินิจพิเคราะห์เรือนร่างที่สวมใส่เสื้อผ้าของเขาอยู่ ชายหนุ่มไล่สายตามองลาดไหล่ ต้นแขนและหลังส่วนบนที่โค้งงอเล็กน้อยตามสรีระเนื่องจากตุลย์นอนตะแคงข้าง


รูปร่างตุลย์ไม่ได้เล็กกว่าเขานักเนื่องจากอีกฝ่ายเล่นเวตและคุมอาหาร แต่กล้ามเนื้อได้สัดส่วนพอเหมาะอย่างนายแบบที่ถ่ายนิตยสารแล้วขึ้นเลนส์กล้อง


เต้เลื่อนต่ำลงที่ลาดเอวและสะโพกซึ่งพ้นชายผ้าห่มมาเล็กน้อยอย่างเผลอไผล


ตุลย์เป็นเด็กเสี่ย... แน่นอนว่าความสัมพันธ์ระหว่างตุลย์และเสี่ยย่อมไม่ใช่แค่ผู้อุปถัมภ์ด้านการเงิน


เซ็กซ์คงเป็นหนึ่งในบรรดาข้อแลกเปลี่ยนเหล่านั้น



มาถึงตรงนี้ สมองเขาก็คิดจินตนาการไปไกลจนกู่ไม่กลับ


มันทำให้เขาอยากรู้...


ว่าตุลย์แสดงสีหน้าและตอบสนองแบบไหนตอนที่มีเซ็กซ์


จะต่างจากสีหน้าที่อีกฝ่ายแสดงต่อหน้าตอนที่พูดคุยกับเขาในฐานะเพื่อนหรือเปล่านะ...


“จะมอง จะชอบ จะอยากได้ก็ให้เก็บไว้ในใจ ตามอง มืออย่างต้อง”



ชั่ววินาทีที่คำพูดของอเนกดังขึ้นเตือนสติเต้ก็หลุดจากภวังค์ เห็นว่าอยู่นานกว่านี้ชักเริ่มจะไม่เข้าท่า เขาจึงตัดสินใจลุกพรวดจากเตียงสาวเท้าออกไปที่ห้องนั่ง


ทันทีที่ประตูบานเลื่อนปิดฉับ ร่างโปร่งก็ลืมตาตื่นขึ้นในความมืด


เสียงกร๊อบแกร๊บของถุงพลาสติกดังลอดเข้ามาในห้องนอนตามด้วยเสียงรื้อของกุกกักทำให้ตุลย์พลิกตัวมองร่างที่เคลื่อนไหวเป็นเงารางอยู่หลังประตูเลื่อน เดาว่าเต้คงขนของลงมากองไว้ข้างโซฟายาวอย่างลวกๆ เพื่อใช้เป็นที่นอนคืนนี้ หลังจากนั้นไฟที่ตำแหน่งห้องน้ำก็สว่างวาบขึ้นก่อนที่จะได้ยินเสียงปิดประตู


-------------------------------


ตุลย์รู้สึกตัวตื่นช่วงสายๆ ของวันถัดมาอย่างค่อนข้างสดชื่นเนื่องจากหลับสนิทบนเตียงเจ้าของคอนโด สิ่งแรกที่เขาทำคือเช็กโทรศัพท์ แต่ไม่พบว่ามีสายเรียกเขาหรือข้อความใดๆ แจ้งเตือน


เขานึกว่าศานนท์จะโทรมา…


มันเป็นความรู้สึกที่ทั้งเสียใจและโล่งอกไปพร้อมกัน เพราะหากติดต่อมาตอนนี้ เขาก็ยังไม่รู้จะรับมือฝ่ายนั้นอย่างไร...


ตุลย์ลุกจากเตียง เปิดประตูออกมาที่ห้องนั่งเล่นอย่างเงียบเชียบ เขาพบว่าผ้าม่านและไฟในห้องนั่งเล่นยังปิดมืด ส่วนเต้นั้นนอนเหยียดร่างยาวอยู่บนโซฟาท่ามกลางถุงและข้าวของที่วางระเกะระกะล้อมรอบ เปลือกตาที่ยังปิดสนิทบ่งบอกว่าหลับอยู่จริง


ดูเหมือนว่าการที่เขาโผล่พรวดมาที่ห้องกะทันหันจะสร้างภาระให้เต้ไม่น้อย…


ท้องที่เริ่มรู้สึกหิวเรียกให้ตุลย์หยิบกุญแจห้องบนโต๊ะวางทีวี ก่อนจะออกไปกินข้าวเช้าข้างนอกโดยไม่ปลุกเจ้าของห้อง ยังไงเสียหากเต้ไม่เห็นเขาอีกฝ่ายก็คงโทรหาเอง ถึงอย่างนั้นตุลย์ก็ไม่ลืมที่จะซื้ออาหารเช้าติดมือมาฝากด้วยตอนขากลับ


ร่างโปร่งกลับมาถึงห้องราวๆ ชั่วโมงครึ่งให้หลัง เขาสแกนคีย์การ์ด เปิดประตูเข้ามาข้างในพบว่าเต้เพิ่งตื่นได้หมาดๆ และกำลังนั่งจ้องจอทีวีเปล่า เจ้าของห้องเงยหน้ามองตุลย์ด้วยสายตาที่ยังงัวเงียตอนที่เขายื่นถุงพลาสติกบรรจุกล่องโฟมใส่อาหารให้


“อะ กูซื้อมาฝาก”


เต้รับถุงจากเขาขณะหาววอด ก่อนจะตั้งมันไว้ที่โต๊ะหน้าโซฟา


“วันนี้มึงออกไปไหนมั้ย”


“ไปค่ายซ้อมมวยบ่ายๆ วันหยุดกูไม่ซ้อมที่ม. มึงจะเอาอะไร?”


“เกี่ยวกับเรื่องเมื่อวาน... กูอยากจะไหว้วานอะไรหน่อย” น้ำเสียงตุลย์อ่อนลงเล็กน้อยยามพูดถึงปัญหาที่ยังคาราคาซังในชีวิตของเขา


“เรื่องอะไร”


“เรื่องเมื่อวาน...”


“หมายถึงเกี่ยวกับอะไร”


“กาย” ตุลย์ถอนหายใจเบาๆ เมื่อถูกต้อนให้พูด “แต่มึงสัญญาได้มั้ยว่าจะไม่บอกคุณศานนท์”


ตุลย์มองคู่สนทนา ทว่าได้เพียงความเงียบเป็นคำตอบ


ที่จริงหากเต้จะปฏิเสธเขาก็พอเข้าใจ ต่อให้อีกฝ่ายเคยทำตามคำของี่เง่าของเขาอยู่หลายครั้ง แต่ศานนท์ก็ยังเป็นผู้มีพระคุณต่อครอบครัวของอีกฝ่ายซึ่งเขาเทียบไม่ได้อยู่ดี…


“ก็ได้” นานกว่าเต้จะยอมพูด “จะให้ช่วยอะไร”


ตุลย์ทิ้งตัวนั่งขัดสมาธิบนพื้นห้องนั่งเล่น


“กูรู้ข้อมูลส่วนตัวของกายบางอย่าง กูไม่รู้ว่ามันมีประโยชน์กับเรื่องนี้แค่ไหน แต่กูอยากได้ข้อมูลเสียๆ หายๆ เกี่ยวกับมันที่จะเอาไปแบล็กเมลล์ตัวมันได้ มึงพอมีวิธีไหนที่สามารถสืบข้อมูลพวกนี้ได้มั้ย”


คำอธิบายของตุลย์ทำให้เต้ขมวดคิ้ว “ทำไมวะ”


“กูจะตลบหลังมัน...”


“แล้วมันไปทำอะไรให้”


ถูกจี้ถามตุลย์ก็นิ่วหน้าเม้มริมฝีปาก เป็นสีหน้าที่ฝ่ายนั้นมักแสดงเวลาที่ถูกกดดันหรือรู้สึกเกร็งซึ่งเต้เห็นบ่อยครั้ง โดยเฉพาะตอนที่ตุลย์เผชิญหน้ากับกาย


“เรื่องนั้นกูยังไม่อยากพูดถึง...”


ทั้งห้องเงียบลงเมื่อต่างคนต่างไม่พูดอะไร แม้แต่ตุลย์ก็ไม่อยากคะยั้นคะยอต่อ เพราะเขารู้ดีว่าการจะใช้ให้ใครคนหนึ่งทำเรื่องอะไรสักอย่างให้โดยไม่บอกเหตุผลหรือข้อมูลสำคัญ มันเป็นการผลักภาระและความเสี่ยงให้ฝ่ายนั้นมากเกินไป


แต่จังหวะที่เกือบจะยอมแพ้แล้วนั้น จู่ๆ เต้ก็ถอนหายใจยาว


“พ่อกูเคยใช้นักสืบเอกชนอยู่เจ้าหนึ่ง ค่าจ้างแพงแต่สืบละเอียด แต่กูเตือนก่อนนะว่าเรื่องนี้ต้องทำเงียบๆ และไม่รับประกันว่าจะทำโดยไม่ให้เสี่ยรู้ได้มั้ยเพราะเขามีหูมีตาอยู่ทุกที่ แต่กูจะลองคุยดูก่อน”


ตุลย์พยักหน้า เริ่มมีความหวังขึ้นมาบ้าง


“ขอบคุณ...”


“เออ” เต้รับคำ “แล้วมึงรู้อะไรเกี่ยวกับมันบ้าง”



-------------------------------

คู่หูดูโอ้ไปทำภารกิจเอาคืนกายกันแล้วเจ้าค่ะ ฮูเร่!
ตอนนี้มีโม้เม้นให้เรือผีแล่นด้วยแหละ 5555
ส่วนคุณศานของเลากำลังเศร้ามากๆ เมลล่ารู้สึกผิดสุดๆ มาโอ๋ๆ คุณเขากันนะคะ
ตอนหน้ามาลุ้นกันค่ะ ความเข้าใจผิดนี้จะบานปลายไปถึงไหน
อาจจะได้เห็นคุณศานในมุมวร้ายวร้ายบ้างก็ได้น้า ถถถถถ (โดนนักอ่านตี)

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ (และพลุ) นะคะ ฮี่ๆ ดีใจมากๆ ที่ยังมีคนแวะเวียนมาเรื่อยๆๆ
เหลืออีกแค่ 2-3 ตอนเรื่องนี้ก็เดินทางมาถึงตอนจบแล้วค่า
ทิ้งฟีตแบคไว้ได้เหมือนเดิมค่ะ จะด่าหรือจะชมก็ได้ เมลล่ารักทุกความเห็น ฮี่ๆๆๆ <3
*กราบ*
P.S. เล้าเป็ดได้อภิสิทธิ์อัพก่อนค่ะ เพราะเมลล่าไม่อยู่พรุ่งนี้ตอนเช้า และมันตั้งเวลาไม่ได้ ถถถถถ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (06.02.21) l 29th Night: เหรียญคนละด้าน [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 06-02-2021 23:54:11
 :z1:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (06.02.21) l 29th Night: เหรียญคนละด้าน [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 07-02-2021 00:17:30
ตุลย์ คนสเน่ห์แรง
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (06.02.21) l 29th Night: เหรียญคนละด้าน [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 07-02-2021 04:43:04
ตามครับ อ่านรวดเดียวเลย
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (06.02.21) l 29th Night: เหรียญคนละด้าน [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 07-02-2021 07:39:53
 :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (06.02.21) l 29th Night: เหรียญคนละด้าน [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 07-02-2021 12:34:54
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (06.02.21) l 29th Night: เหรียญคนละด้าน [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Satang_P ที่ 10-02-2021 16:23:44
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (14.02.21) l 30th Night: การตัดสินใจ [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 14-02-2021 06:03:04
30th Night: การตัดสินใจ


         ศานนท์มาถึงที่ทำงานตอนเช้าด้วยอารมณ์ขุ่นมัวตกค้างเรื่องเมื่อคืน เขาใช้เวลากว่าครึ่งค่อนคืนเพื่อสงบจิตสงบใจที่ฟุ้งซ่านให้เย็นพอตัดสินทุกอย่างอย่างมีสติ เรื่องได้พักผ่อนไหมนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง


         ด้านในห้องทำงานของศานนท์ หนุ่มผู้บริหารอีกคนนั่งรออยู่ที่โซฟารับแขกตามนัดหมาย ฝ่ายนั้นลุกยืนขึ้นเมื่อผู้เป็นนายก้าวเท้าเข้ามาในห้อง ก่อนจะตรงมาหาที่โต๊ะทำงานซึ่งศานนท์เพิ่งวางกระเป๋าโน้ตบุ๊กไว้


         “ได้ข่าวจากเอกหรือยัง”


         “ครับ ผมทราบเรื่องแล้ว เสี่ยจะให้เอกสืบต่อมั้ยครับ”


         “ไม่จำเป็น ไม่มีอย่างอื่นที่ฉันอยากรู้แล้ว” ศานนท์ตัดบทด้วยสีหน้าที่ติดจะเฉยชา


         “ครับ” ผู้บริหารหนุ่มเพียงแค่รับคำสั้นๆ


         อันที่จริงเรื่องที่ตุลย์คบซ้อนไม่ได้เหนือความคาดหมายของอัฐเท่าไร พวกเด็กเสี่ยหรือเด็กไซด์ไลน์ที่ผูกปิ่นโต ส่วนมากก็มาเพื่อกอบโกยเงินหรือผลประโยชน์แล้วจากไป การมีแฟนเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้วไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลก ขอเพียงซุกไว้ให้เงียบๆ ไม่สับรางมาชนหรือวุ่นวายกับเสี่ยก็ย่อมเพียงพอ เว้นแต่จะผูกปิ่นโตกันด้วยข้อตกลงแบบอื่น


         นั่นเป็นความจริงที่เขาและเสี่ยก็ต่างทราบดี


         ใช่ว่านายของเขาไม่เคยเลี้ยงเด็กคนอื่นก่อนหน้าตุลย์เสียเมื่อไหร่...


         ...รู้ทั้งรู้ แต่ก็ยังปิดหูปิดตายอมให้เด็กนั่นสวมเขาเสียได้ตั้งนานอย่างไม่สมเป็นเขา


         ศานนท์ทิ้งตัวบนเก้าอี้ทำงาน แม้ว่าดูเหนื่อยล้าอยู่บ้างเพราะได้พักผ่อนเมื่อคืนแค่นิดเดียว แต่แววตาของหนุ่มใหญ่ก็ยังคงความนิ่งขรึมอย่างคนที่คิดมาถี่ถ้วนแล้ว “ที่เรียกมาก็เรื่องนี้นั่นล่ะ”


         “คุณจะให้ผมจัดการทั้งคู่เลยมั้ย” อัฐถามราวกับรู้ใจว่าผู้เป็นนายจะพูดอะไรต่อ


         “ไม่ เรื่องลูกชายของส.ส. ไชยวัฒน์ให้ปล่อยไว้ ถ้าตุลย์จะคบกับเด็กนั่นมันก็ไม่ใช่กงการอะไรที่ฉันต้องเข้าไปยุ่ง ฉันทำธุรกิจกับเขาไม่ใช่ลูกชายเขา และอิธิพลเขายังมีประโยชน์กับฉัน คราวก่อนฉันก็เล่นงานลูกเขาไปทีนึงแล้ว เดี๋ยวจะระรองระแหงด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องเปล่าๆ ...ส่วนตุลย์”


         ผู้พูดนิ่งไปชั่วครู่คล้ายตริตรองให้แน่ใจก่อนลั่นวาจา


         “จากนี้ก็ตัดท่อน้ำเลี้ยงเขาเสีย”


         “คุณจะให้ผมยกเลิกทุกอย่างเกี่ยวกับตุลย์ที่ในความดูแลของคุณถูกครับมั้ย”


         “ใช่” น้ำเสียงหนุ่มใหญ่ปราศจากความลังเล


         ในฐานะของคนทำธุรกิจ มันไม่มีประโยชน์ที่จะลงทุนในสิ่งซึ่งไม่ให้ผลตอบแทน


         ...เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่เขาเคยให้ตุลย์ ต่อจากนี้ไปจะไม่มีอีก


         “ครับ ผมจะให้ฝ่ายโฆษณาเร่งหาพรีเซนเตอร์ใหม่ที่จะมาแทนคุณวินทร์ แล้วจะโทรแจ้งคุณซินดี้ให้ยกเลิกแผนงานในอนาคตทั้งหมด รวมทั้งให้เธอหยุดช่วยเหลือเขา ส่วนทรัพย์สินที่คุณเคยซื้อให้เขาผมจะส่งคนไปตามเอาคืน คุณอยากให้ผมตัดเขาออกจากรายชื่อนักแสดงซีรีส์ที่ถ่ายอยู่ตอนนี้ด้วยมั้ย?”


         โดยปกติการแก้ไขตัวนักแสดงหรือนายแบบในงานที่ถ่ายทำไปแล้วเกินครึ่ง นับว่าเป็นเรื่องยุ่งยากมากและสร้างเสียหายล่าช้าให้กับทั้งผู้จัดและช่อง แต่ศานนท์รู้จักกับผู้ออกทุนของซีรีส์เรื่องดังกล่าวเป็นอย่างดี ทั้งยังมีเส้นมีสายกับคนสำคัญในวงการ หากจะสั่งให้ปลดตุลย์ออกกลางอากาศวันพรุ่งนี้ เขาก็ย่อมทำได้


         แต่...


         “ไม่ต้องตามอะไรกลับมาทั้งนั้น ปล่อยไว้”


         น้ำเสียงเรียบเข้มขึ้นคล้ายขีดเส้นแบ่งไม่ให้อัฐกระทำการใดก้าวก่ายเกินอำนาจคำสั่งโดยเด็ดขาด


          “ที่ให้ไปแล้วถือว่าแล้วกัน แต่เขาจะไม่ได้อะไรจากฉันอีก”


         ที่ศานนท์พูดเช่นนั้น มันคือการแสดงออกต่อเขาอย่างเปิดเผยว่ายังมีเยื่อใยกับตุลย์ เพราะหากไม่ใช่คงไม่ปล่อยให้เด็กคนนั้นลอยชายสุขสบายบนกองชื่อเสียงที่ตนเองสร้างให้ ทั้งยังออกปากสั่งห้ามเขาแตะต้องเกินขอบเขตคำสั่ง


         แต่ถึงอย่างนั้นมันก็สมเหตุสมผลในเชิงพาณิชย์ เพราะหากปราศจากการสนับสนุนจากศานนท์ ลำพังตุลย์ก็เป็นแค่ดารากิ๊กก๊อก ไม่มีพิษสงอะไรพอจะแว้งกัดเสือที่แม้ถอดเขี้ยวเล็บแล้วอย่างนายของเขาได้อยู่ดี จึงไม่มีความจำเป็นต้องให้ราคาหรือเสียเวลาด้วย


         “ครับ” อัฐรับคำ แม้ไม่เห็นด้วยทั้งหมดแต่เขาก็เคารพการตัดสินใจของผู้เป็นนาย


         ...ไม่ว่ายังไง สำหรับนกที่มีชะตาชีวิตอยู่ในกำมือของคนอื่นอย่างตุลย์ การที่เสี่ยยกกรงทองใบนี้ให้เปล่าๆ โดยไม่ทลายมันทิ้งนั้น ก็นับว่าเมตตามากแล้ว


---------------------------------


         วันนี้ตุลย์มีนัดหมายทำโครงงานกับเพื่อนที่มหาวิทยาลัย โดยนัดเจอกับสมาชิกกลุ่มที่หน้าตึกเรียนหลังจากที่คาบเรียนช่วงเช้าจบลง นอกเหนือจากจีจี้กับแม็กที่เป็นเพื่อนสนิท และฟ้าซึ่งเป็นสมาชิกดั้งเดิม กลุ่มของเขายังมีเหลียนเพิ่มมาอีกคน ซึ่งสาเหตุที่เธอมาขอเข้ากลุ่มกลางคันเป็นเพราะขาดเรียนคาบที่สั่งงานทำให้คลาดกับเพื่อนคณะเดียวกัน ประจวบเหมาะกับที่กลุ่มของพวกเขายังเหลือที่ว่างอีกที่หนึ่งพอดี


         กลางวันนั้น พวกเขาทั้งหมดออกมาที่ห้างสรรพสินค้าใกล้มหาวิทยาลัยเพื่อเลือกซื้อวัสดุสำหรับทำโครงงาน ก่อนจะแวะทานข้าวด้วยกันที่ร้านอาหารเฟรนไชน์ และถือโอกาสทำความรู้จักสมาชิกใหม่ไปด้วย


         เหลียนเป็นสาวเชื้อสายจีนพูดน้อยจากคณะภาษาศาสตร์ ผิดกับฟ้าที่กระตือรือร้นกับทุกสิ่งรอบตัวอย่างมาก จนไม่ว่าพูดอะไรมันก็กลายเป็นมุกตลกไปเสียหมด ซึ่งหลังจากที่ทานเสร็จเรียบร้อย พวกเขาต่างก็หารค่าอาหารเพื่อจ่ายส่วนของตัวเอง


         “กูลืมกดตังว่ะ”


         แม็กบ่นกระปอดกระแปดใส่ตุลย์ขณะที่พลิกกระเป๋าใส่ธนบัตรซึ่งมีแบงก์ร้อยเสียบอยู่แค่สองใบ


         “ติดไว้ก่อนได้ป่ะ เดี๋ยวกูกดคืน”


         “งั้นเดี๋ยวกูจ่ายให้ก่อน” ตุลย์บอก


         เจ้าเพื่อนเกลอพยักหน้าหงึกๆ อย่างเห็นดีเห็นงามด้วย “ดีๆๆ งั้นกูโอนคืนแล้วกัน”


         ได้ข้อสรุปเช่นนั้น คนอื่นๆ ที่เหลือจึงตกลงจะโอนส่วนของตัวเองคืนเขาด้วย


         ตุลย์หยิบสัมภาระลุกขึ้นก่อนเพื่อเดินไปจ่ายค่าอาหารที่เค้าท์เตอร์แคชเชียร์หน้าร้านระหว่างที่รอเพื่อนเก็บของ เขายื่นบัตรเครดิตให้พนักงานสาวอย่างเคยชิน ทว่าเธอกลับใช้เวลาพักใหญ่ในการรูดบัตรใบนั้นก่อนจะส่งมันคืนให้เขาเมื่อชำระเงินไม่สำเร็จ


         “ชำระเป็นบัตรใบอื่นหรือเงินสดแทนได้มั้ยคะ? บัตรเครดิตของคุณลูกค้าใช้ไม่ได้ค่ะ ลองติดต่อธนาคารดูนะคะ”


         ตุลย์เผยสีหน้างุนงงเล็กน้อย เป็นจังหวะเดียวกับที่เพื่อนๆ กำลังเดินจับกลุ่มออกมาที่ปากประตูทางออก เขาจึงยื่นเดบิตของตัวเองให้เธอแทนเพราะไม่อยากเสียเวลารอนาน โดยที่ไม่ทันได้เอะใจอะไร



         หลังจากทานข้าวเสร็จ ทั้งหมดก็กลับไปที่ห้องพักนักศึกษาของมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นพื้นส่วนรวมขนาดใหญ่ภายในตึกเปิดให้นักศึกษาทุกคณะใช้สอยอย่างอิสระ


         พวกเขาวางของที่โต๊ะตัวหนึ่งก่อนจะนั่งล้อมวงออกแบบโมเดลผังเมือง อันที่จริงแล้ววิชาที่ว่านี้ไม่ได้เกี่ยวกับคณะนิเทศด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม มันก็ถูกบรรจุไว้ในหลักสูตรพื้นฐานของมหาวิทยาลัยที่นักศึกษาทุกคณะต้องผ่านเพื่อขึ้นปีต่อไป


         นับเป็นโชคดีอีกชั้นของพวกเขาที่เหลียนมีหัวด้านศิลปะ เธอจึงออกแบบและร่างส่วนต่างๆ ของโมเดลได้แทบในทันทีหลังจากที่พวกเขาสรุปเรื่องการวางผังได้


         ระหว่างที่กำลังทำงานอยู่นั้น จู่ๆ เสียงสั่นครืดคราดของโทรศัพท์ที่วางไว้บนโต๊ะก็ดึงความสนใจของตุลย์ เขาชะโงกตัวดูก็พบว่าเป็นสายโทรเข้าของซินดี้


         "เดี๋ยวเรากลับมานะ"


         ตุลย์ขอตัวกับเพื่อนก่อนจะออกไปรับโทรศัพท์นอกห้องพักเนื่องจากไม่อยากให้เสียงรบกวนคนอื่นๆ ด้านใน


         “ฮัลโหลครับ”


         ได้ยินเขา ปลายสายก็สวนกลับอย่างเย้าแหย่


         “ว่าไงนังตัวดี ไปทะเลาะอะไรกับคุณศานเข้าล่ะจ๊ะ”


         “......” ตุลย์ได้แต่นิ่งงันกับคำถาม


         เขาไม่รู้ว่าซินดี้ก็ทราบเรื่องนี้ด้วย...


         “เอาเถอะ ถึงไม่บอกฉันก็พอรู้อยู่บ้าง แต่ถ้าบอกก็ดีจะได้ไม่ค้างคาใจ”


         เธอกลั้วหัวเราะร่วนอย่างเคยนิสัย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความเงียบในอึดใจต่อมา


         “...ฉันแค่จะโทรมาบอกว่างานละครล่าสุดที่หล่อนถ่ายอยู่จะเป็นงานสุดท้ายที่ฉันคอยจัดการเรื่องให้แล้วนะ ฉันจะไม่ใช่คนหางาน จัดคิว หรือวางแผนอะไรให้อีกแล้ว เพราะฉะนั้นต่อจากนี้หล่อนต้องดูแลตัวเอง”


         ประโยคนั้นทำให้ตุลย์ตกใจไม่น้อย


         “ทำไมเหรอครับ คุณจะไปไหนเหรอ?”


         คำถามของเขาเรียกเสียงระบายลมหายใจจากคู่สนทนาคล้ายหนักอกหนักใจ


         "คุณเขาสั่งลงมา ถ้าขาดแบ็กอย่างเขา ลำพังฉันก็ดันหล่อนออกหน้าออกตาอย่างตอนนี้ไม่ได้หรอก”


         “คุณศานนท์เหรอ…?” ตุลย์ทวนชื่ออย่างไม่เชื่อริมฝีปากก่อนจะนิ่วหน้า


         แก้มซ้ายชาเหมือนเพิ่งถูกตบไปหนึ่งฉาด ขณะที่ในอกวูบโหวงราวกับมีชิ้นส่วนบางอย่างขาดหายไป


         ความหมายว่ายังไง...?


         เรื่องคืนนั้น... เขาทำให้ศานนท์โกรธมากจนเลือกตัดความสัมพันธ์เลยอย่างนั้นเหรอ…?


         “เรื่องเทรนเนอร์ของฉัน พวกคอร์สเรียนหรือคอร์สฟิตเนส เธอยังใช้ต่อไปได้จนกว่าสถานภาพสมาชิกจะหมดอายุนะ”


         เป็นอีกครั้งที่คำอธิบายเปลี่ยนเป็นเสียงถอนใจ


         “เฮ้อ ฉันบอกแล้วใช่มั้ยว่าจะทำอะไรน่ะคิดให้เยอะๆ ระวังน้ำตาจะเช็ดหัวเข่าเข้าสักวัน ทีนี้เป็นไงล่ะ?”


         “ขอโทษ… แต่ผมไม่รู้ว่าจะแก้ไขยังไง...” ตุลย์ส่ายหน้า ตอบด้วยความสัตย์จริง


         หากว่าการย้อนเวลากลับไปแก้ไขจะทำให้ศานนท์ไม่นึกชิงชังเขาจนเลือกตัดความสัมพันธ์อย่างตอนนี้ได้ เขาจะไม่ลังเลเลย...


         “แล้วเธอทำจริงๆ หรือเปล่า คบซ้อนน่ะห๊ะ?”


         คำถามของเธอทำให้ตุลย์เบิกตากว้าง


         เดี๋ยวก่อน!

 
       ...คลิปนั่นทำให้ศานนท์เข้าใจว่าเขาคบซ้อนเหรอ!?


         “เปล่า! ผมเปล่า! ผมไม่ได้คบกับใครเลย เขาเข้าใจว่าผมคบซ้อนเหรอ!?”


         “เอ้า! ถ้าเป็นแบบนั้นก็ไปคุยกับเขาให้รู้เรื่องสิ จะรออะไรเล่า!”


         เธอตวัดน้ำเสียงสูงปรี๊ดแทบตวาดสั่ง


         “ฟังนะ... ฉันไม่รู้หรอกว่าเรื่องระหว่างหล่อนกับคุณศานความจริงมันเป็นยังไง ใครพูดจริงหรือใครพูดโกหก แต่ในฐานะคนที่เทรนหล่อนมาจนได้ดิบได้ดี ฉันไม่ได้เกลียดหล่อน แต่เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ฉันจะเปลี่ยนใจเขาได้ ฉันคงช่วยให้หล่อนได้มากที่สุดแค่คำปรึกษา”


         “......”


         “...จากนี้ก็ขอให้โชคดีแล้วกัน”


         “...ครับ” ตุลย์ได้แต่รับคำอวยพรนั้นสั้นๆ ของเธอก่อนที่ปลายสายจะวาง


         ร่างโปร่งเม้มปาก ถอนหายใจหนักระบายความรู้สึกที่อัดแน่น แต่ยังไม่ทันคิดไปไกลก็ถูกสะกิดที่ไหล่ พอหันกลับไปก็พบเหลียนยืนอยู่ด้านนอกห้องพักนักศึกษาเยื้องหลังเขาห่างออกไปไม่กี่ก้าว ตุลย์เก็บสีหน้าสับสนไม่มิดเพราะไม่ทันตั้งตัว เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหญิงสาวมายืนรอตั้งแต่เมื่อไหร่และได้ยินอะไรไปบ้าง


         “พอดีเพื่อนเธอให้มาตามน่ะ เห็นว่ามีเรื่องจะคุย” เธอพูดก่อนจะกวักมือเรียกตุลย์ให้เดินตามเข้าไปพร้อมกัน


         พอทั้งคู่กลับมาถึงโต๊ะที่คนอื่นๆ นั่งทำงานกันอย่างขมักเขม่น แม็กก็เงยหน้าถาม


         “เออ กูจะถามว่าพรุ่งนี้ไปทำงานที่คอนโดมึงได้มั้ยวะ เมื่อกี้พวกกูคุยกันแล้วสรุปว่าคอนโดมึงใกล้มหา’ ลัยที่สุด แล้วของก็ไม่ค่อยรก แถมพื้นที่กว้างดี เดินทางสะดวกที่สุดแล้ว”


         ฟ้ายังพยักหน้าตามอีกหลายทีคล้ายยืนยันว่าเห็นด้วยกับคำพูดแม็ก


         แต่นั่นกลับทำให้ตุลย์ยิ่งลังเล ตั้งแต่ทะเลาะกับศานนท์ใหญ่โตเมื่อสองคืนก่อน เขาก็นอนค้างคอนโดเต้แทนที่จะกลับบ้าน เพราะไม่ว่าด้วยแรงโทสะหรือตั้งใจศานนท์ก็ลั่นประกาศิตไว้ชัดว่าไม่อยากเห็นหน้าเขาอีก...


         กุญแจคอนโดของศานนท์อีกดอกหนึ่งยังอยู่ในกระเป๋า แต่เขากลับรู้สึกละอายแก่ใจหากจะเสนอหน้ากลับไปหาคนที่ชิงชังเขาจนอยากตัดเขาออกจากชีวิตในเวลาแบบนี้...

 
       ทว่าอีกส่วนของความรู้สึกก็ร่ำร้องให้ทำในสิ่งตรงกันข้าม

   
     “...ก็ได้” ชั่งใจอยู่นานกว่าตุลย์จะตอบ “งั้นพรุ่งนี้เจอกันที่คอนโดตอนประมาณสิบโมงเป็นไง?”


         ตั้งแต่เขาออกจากไนต์คลับศานนท์ก็ไม่เคยไปค้างที่คอนโดอีกเลย หากว่าเขาจะแวะกลับไปหน่อยแค่ช่วงสั้นๆ ก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง...

หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (14.02.21) l 30th Night: การตัดสินใจ [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 14-02-2021 06:08:08
         ตุลย์มั่นใจว่าเขาลั่นปากไว้ที่สิบโมงเช้าแต่พอถึงเวลานัดกลับมีเหลียนโผล่มาแค่คนเดียว มิหนำซ้ำเมื่อวานแม็กยังเอาโครงงานของพวกเขายัดใส่เบาะหลังรถแล้วขับกลับบ้านไปด้วยอีก ตุลย์จึงทำอะไรไม่ได้มากกว่าพาหญิงสาวขึ้นมานั่งรอคนอื่นๆ ที่โซฟายาวในห้องนั่งเล่นกว้างขวางโอ่อ่าแล้วเปิดทีวีให้เธอฆ่าเวลาแก้ง่วง กว่าสมาชิกทุกคนจะมากันครบก็เกือบเที่ยง


         ทั้งหมดนั่งล้อมวงกันตรงโต๊ะยาวสำหรับทานอาหารที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้องนั่งเล่น เริ่มประกอบโครงงานก่อนจะยิงยาวจนฟ้าเริ่มมืดเป็นสีน้ำเงินคราม ความอ่อนล้าทั้งวันเรียกร้องให้พวกเขาพักกินมื้อเย็น


         “กินอะไรดีอ่ะทุกค๊นเราคิดไม่ออกเลย โอ้ย ทำไมคำถามนี้ตอบยากจัง จับฉลากเลือกเมนูไม่ได้เหรอ...” ฟ้าบ่นขณะเอนหลังพิงพนัก ห่อไหล่ตัวลีบติดไปกับเก้าอี้ “แถวนี้มีอะไรกินป่ะตุลย์”


         หวยออกที่เขา ตุลย์ก็ใช้เวลานึกอยู่ครู่ “...ข้างล่างก็พอมีร้านอาหารอยู่นะ เดินลงไปหน่อยหน้าคอนโดก็มีร้านอาหารอิตาเลี่ยนกับญี่ปุ่น แต่เวลานี้ไม่แน่ใจว่าคนเต็มหรือยัง”


         “จริงป่ะ เราอยากกินปลาส้มอ่ะ กินร้านซูชิกันๆ!” พูดจบเธอก็เด้งตัวผึงคว้ามือจีจี้มาแกว่งซ้ายทีขวาทีเหมือนอ้อนให้กินเป็นเพื่อน ดูกระปรี้กระเปร่าผิดกับท่าทีห่อเหี่ยวเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง


         “เออ ก็ดีนะ” แม็กว่า คนที่เหลือก็ดูจะเห็นด้วย


         “งั้นเดี๋ยวเราเดินลงไปสั่งขึ้นมาจะได้กินไปทำงานไปด้วย ทุกคนเอาอะไรกันบ้างอ่ะ?”


         ฟ้าถามก่อนจะจดเมนูของเพื่อนๆ ลงในโทรศัพท์ เมื่อวนสั่งจนครบทุกคนแล้วหญิงสาวก็จูงมือจีจี้คว้ากระเป๋าสตางค์และมือถือเตรียมตัวออกไปข้างนอก ส่วนตุลย์ตั้งใจจะเดินลงไปพร้อมพวกเธอในฐานะที่เป็นคนถือกุญแจและช่วยถือของ


         ฟ้าดูกระตือรือร้นอยากกินแซลมอนเอามากๆ เธอเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ตลอดโถงทางจนถึงหน้าประตู ตุลย์หัวเราะเพราะถูกเธอแซวไปดอกหนึ่งระหว่างทาง แต่จังหวะที่เอื้อมมือไปแตะที่จับประตู ยังไม่ทันได้ออกแรงดึง หูของเขาก็ได้ยินเสียงสแกนคีย์การ์ดดัง ‘ตี๊ด’ จากนั้นประตูห้องพักก็เปิดออกด้วยแรงผลักจากอีกฝั่งโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว

       
         ตุลย์ผงะ เมื่อด้านหลังบานประตูที่แง้มออกเผยร่างของชายวัยกลางคนในเสื้อเชิ้ตปลดกระดุมคอและกางเกงสูทเข้าชุดกับเสื้อตัวนอกที่ถอดพาดอยู่ในอ้อมแขน สีหน้าผู้มาเยือนแสดงออกว่าแปลกใจอย่างมากที่เห็นเขาอยู่ในห้องตัวเอง


         ตุลย์ยืนนิ่งงันทำตัวไม่ถูก คล้ายกับเวลาหยุดนิ่งชั่วขณะ แม้แต่เสียงสรวลเสเฮฮาของสองสาวด้านหลังก็เงียบลง


         “เอ่อ...” หาเสียงอยู่นานจนกว่าจะเจอ “คือผมไม่คิดว่าคุณจะใช้ห้อง...”


         เขาได้ความเงียบจากศานนท์เป็นคำทักทาย สีหน้าและแววตาของชายวัยกลางคนที่จ้องมาติดจะเย็นชาเสียด้วยซ้ำ


         “ผมขอโทษ ถ้าคุณจะค้างที่นี่ ผมจะ...”


         หนุ่มใหญ่ส่ายหน้าโดยไม่ปล่อยให้เขาพูดจบ “ฉันลืมกระเป๋าสตางค์ไว้ที่รถ เดี๋ยวค่อยคุยกัน”


         ถูกตัดบทกลางคันตุลย์ก็ได้แค่เงียบปากที่พูดไปอย่างครึ่งๆ กลางๆ วินาทีต่อมาประตูห้องก็ปิดลงช้าๆ ต่อหน้าเขา จวบจนได้ยินเสียงบานพับสบกันสนิท ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบสงัดอีกครั้ง


         “นั่นเสี่ยเหรอ...” จีจี้โพล่งถามหลายวินาทีต่อมา "เรามาทำงานแบบนี้ไม่เป็นไรแน่นะ? "


         “ไม่เป็นไรหรอก” ตุลย์ตอบ แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่มั่นใจเลยก็ตาม


         “เออ ตุลย์ ...งั้นเดี๋ยวค่อยออกไปได้มั้ย รอให้เขาไปก่อน เราเสี่ยวหลังอ่ะ” ฟ้ารีบเสริม


         ตุลย์พยักหน้ารับรู้ แต่ครู่ต่อมาเขาก็เปลี่ยนใจหยิบกุญแจส่งฟ้า หญิงสาวเผยสีหน้างุนงงอย่างมากตอนที่เขาวางกุญแจใส่มือเธอ


         “จี้กับฟ้าลงไปก่อนแล้วกัน เราจะอยู่รอคุยกับเขาเผื่อคลาดกัน...”


         พวกเธอรอจนแน่ใจว่าศานนท์ไม่อยู่ที่หน้าประตูแล้ว สองสาวถึงลงไปสั่งอาหารด้านล่างตามที่ได้ตกลงกันไว้ ครึ่งชั่วโมงต่อมาทั้งคู่ก็กลับขึ้นมาพร้อมกับถุงอาหาร จากนั้นทั้งหมดก็ทานมื้อเย็นด้วยกันก่อนจะนั่งทำงานต่อจนดึก


         แต่จนแล้วจนรอดศานนท์ก็ไม่ย้อนกลับมาที่ห้อง...


         “กูกลับก่อนนะ” แม็กบอกหลังรับสายโทรเข้าจากที่บ้าน


         เนื่องจากพรุ่งนี้เป็นวันเกิดของญาติ ครอบครัวของเขาจึงแผนจะเดินทางไปทำบุญวันเกิดที่วัดต่างจังหวัดทำให้เจ้าตัวไม่อาจอยู่ทำงานดึกดื่นได้


         “เออ เดี๋ยวกุลงไปส่ง” ตุลย์ว่า


         หลังจากส่งแม็กที่หน้าคอนโด ตุลย์ก็กลับมาช่วยคนอื่นๆ ทำงานต่อจนเสร็จตามที่วางแผนไว้ จากนั้นจึงเริ่มเก็บกวาดเศษกระดาษและแผ่นโฟม


         คืนนี้สามสาววางแผนจะค้างที่นี่คอนโดเขาเนื่องจากพวกเธอตั้งใจจะทำโครงงานต่อให้เสร็จพรุ่งนี้ตอนเช้าก่อนจะกลับไปเรียนคาบบ่ายที่มหาวิทยาลัย เพราะกำหนดส่งงานคือวันมะรืนที่จะถึง ด้วยเหตุนี้ตุลย์จึงยกห้องนอนใหญ่ให้พวกเธอเนื่องจากตัวห้องมีทั้งเตียงคิงไซส์ ห้องน้ำและห้องแต่งตัวรวมอยู่ด้านในเบ็ดเสร็จ ขณะที่ตัวเขาออกมานั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเงียบๆ ในห้องนั่งเล่น


         ตุลย์มองไปรอบๆ …


         ย้อนคิดถึงเรื่องในอดีต ช่วงหนึ่งตอนที่เขายังไม่ไว้ใจศานนท์และเอาแต่ระแวงเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน หนุ่มใหญ่ก็มักจะพาเขามาค้างที่คอนโดแห่งนี้บ่อยๆ


         ที่ห้องครัวแบบเปิดโล่งซึ่งตั้งอยู่เยื้องซ้ายกินพื้นเกือบครึ่งของห้องนั่งเล่นตรงนั้น แรกเริ่มที่พยายามจีบเขา ศานนท์เคยออกปากยกไวน์ทั้งตู้ให้เขาหยิบดื่มได้อย่างอิสระ


         แต่ถึงจะพูดแบบนั้น ส่วนใหญ่เราก็มักดื่มด้วยกัน นั่งบนโซฟายาวตัวนี้แล้วก็คุยเรื่องอะไรสักอย่างจนเกือบเช้าทุกที…


         ส่วนตู้คอลเล็กชั่นสะสมแผ่นซีดีเก่าใต้ทีวีที่แทบหาไม่ได้นั่น เขาจำได้ว่ามันเป็นหนึ่งในงานอดิเรกของศานนท์ ที่ครั้งหนึ่งพวกเขาก็เคยนั่งฟังมันด้วยกัน…


         ตุลย์ลุกขึ้นจากโซฟาทรุดเข่าหน้าตู้ใต้ชั้นวางโทรทัศน์ ก่อนจะค่อยๆ ใช้มือเลื่อนบานกระจกตู้ให้เปิดออก เศษฝุ่นบางๆ เกาะปลายนิ้วเขา คงเพราะไม่มีคนแตะต้องมันมาเป็นเวลานานแล้ว เขาเอี้ยวหยิบซีดีแผ่นหนึ่งซึ่งจำหน้าปกได้ เนื่องจากมันคือแผ่นเดียวกับที่ศานนท์ซื้อจากตลาดค้าของเก่าตอนที่หนีบเขาไปเที่ยวด้วย


         จะว่าไป เรื่องตอนนั้นมันนานมากแล้วนะ…


         ความทรงจำที่ยังเด่นชัดในหัวกระตุ้นให้ตุลย์หยิบเครื่องเล่นซีดีรุ่นเก่าที่เก็บอยู่ชั้นล่างขึ้นมาวางบนหัวตู้ ก่อนจะต่อสายอย่างงูๆ ปลาๆ เท่าที่นึกออก เมื่อแผ่นดันป้อนเข้าไปในเครื่องเล่น เสียงใสของโน้ตเปียโนกับน้ำเสียงขับร้องบางๆ คลอก็ดังก้องทั่วห้องนั่งเล่นชวนให้รู้สึกราวกับถูกดูดเข้าไปในห้วงบรรยากาศของอดีต


         เขายังจำท่วงทำนองดนตรีและเนื้อเพลงได้แม่นไม่ต่างจากตอนที่ทำงานในคลับ แต่พอได้ย้อนมาฟังซ้ำกลับยิ่งรู้สึกว่ามันช่างไพเราะและชวนให้คิดถึงเวลาที่เคยใช้ร่วมตอนนั้นเสียเหลือเกิน


         ตุลย์หลับตาซึมซับบรรยากาศและท่วงทำนองอันคุ้นเคย มันเป็นความอบอุ่นในหัวใจที่เกือบทำให้ยิ้มได้ แต่รอยยิ้มนั้นก็จางลงเสี้ยวนาทีถัดมาเมื่อนึกถึงคำพูดของซินดี้


         “แล้วเธอทำจริงๆ หรือเปล่า คบซ้อนน่ะห๊ะ?”


         ...หากศานนท์เข้าใจว่าเขาคบซ้อนกับกาย ก็ไม่น่าแปลกใจที่อยู่ๆ จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟถึงขนาดตัดสัมพันธ์กับเขาในเวลาแค่ข้ามคืน


         ตุลย์รู้อยู่ตลอดว่า ความรู้สึกดีๆ ที่ศานนท์คอยมอบให้นั้นเป็นของจริง... นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงถนอมความรู้สึกของอีกฝ่ายเสมอมาตั้งแต่ตอนที่ถูกสารภาพรักในคืนนั้น


         คลิปนั่นคงทำให้ศานนท์รู้สึกเหมือนถูกเขาทรยศ


         แต่สิ่งที่อีกฝ่ายไม่เคยรู้คือแม้เขาจะไม่เคยพูดว่า ‘รัก’ แต่ก็ไม่เคยคิดทรยศต่อความรู้สึกที่อีกฝ่ายมีให้สักครั้งเดียว…

 
       แต่จะทำยังไงเล่าให้อีกฝ่ายเชื่อว่าสัมพันธ์ทางกายระหว่างเขากับกายเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตอนยังอยู่ที่ไนต์คลับ ไม่ใช่หลังจากที่ศานนท์มอบชีวิตใหม่ให้? ในเมื่อฝ่ายนั้นปักใจเชื่ออยู่เต็มอกว่าเขาเป็นชู้กับมัน

   
     ไม่ว่าจะอธิบายอะไรไป มันคงเป็นได้แค่การราดน้ำมันรดใส่กองไฟเท่านั้น...


         ตุลย์นิ่วหน้า เมื่อบาดแผลเก่าที่เขาพยายามข่มซ่อนเอาไว้ในจิตใจเริ่มสร้างความเจ็บปวดให้ราวกับถูกกรีดซ้ำ


         ในชีวิตของเขามีคนมากหน้าหลายตาเข้ามาและผ่านไปอยู่เสมอๆ

 
       หลายครั้งมันทำให้เขาเจ็บปวด แต่ขณะเดียวกันก็สอนให้เข้าใจและยอมรับความจริงที่ว่า ‘โลกมันก็เป็นแบบนี้แหละ’


         ทุกสิ่งทุกอย่างหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านตามกาลเวลา และการลาจากก็เป็นหนึ่งในนั้น


         ...แต่ถึงอย่างนั้น ในห้วงลึกสุดของจิตใจ ศานนท์กลับเป็นคนเดียวที่เขาภาวนาขอให้อย่าหันหลังเดินจากไป


         สำหรับเขา... ศานนท์เปรียบเสมือนบ้านที่ทำให้รู้สึกสงบ อบอุ่นและปลอดภัย และไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นข้างนอกนั่น ในตอนสุดท้ายของวันอีกฝ่ายจะยังคงเป็นที่เขากลับบ้านมาพบหน้าเสมอ


         เขาก็แค่หวังว่าจะได้ใช้ชีวิตอยู่กับคนคนนี้ต่อไปเรื่อยๆ


         ตราบนานเท่าที่เป็นไปได้...


         และไม่ว่าในฐานะอะไร...


         ตุลย์ลืมตา ค่อยๆ ระบายลมหายใจพร้อมกับความรู้สึกร้อยพันที่อัดอยู่ด้านในอก


         เขาไม่รู้เลยว่ามันเรียกว่าความรักหรือเปล่า…


         แต่สิ่งที่เขารู้คือคลิปนั่นทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเขากับศานนท์ และกำลังลามมาถึงเรื่องงานของเขา หากไม่รีบทำอะไรสักอย่างหรือปล่อยให้มันหลุดออกไป สุดท้ายตัวเองเขาอาจไม่เหลืออะไรเลย…


         มันถึงเวลาที่เขาต้องตัดสินใจลงมือทำอะไรสักอย่าง…


         เสียงสั่นของโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง ตุลย์สะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะรีบหยุดเครื่องเล่นซีดี เขาสูดหายใจลึกๆ ทีหนึ่งจนแน่ใจว่าอารมณ์นิ่งพอถึงกดรับสาย


         “นอนรึยัง” นั่นเป็นคำแรกที่เต้พูดกับเขา


         “ยัง...”


         “มีเรื่องจะคุยหน่อย เรื่องกาย”


         “อื้ม กูฟังอยู่” ตุลย์ตอบ ทิ้งจังหวะให้อีกฝ่ายได้เล่าโดยที่เขาตั้งใจฟัง


         “คือเรื่องที่มึงให้สืบมันไม่ค่อยได้อะไรเท่าไหร่ กายเคยโดนโจมตีว่าซื้อและเล่นยา แต่เป็นแค่ข่าวลือที่ไม่มีหลักฐานหรือภาพจากกล้องวงจรปิดอะไร จริงหรือไม่จริง ส.ส. ไชยวัฒน์ก็คงเก็บกวาดเรื่องจนเกลี้ยง”


         เสียงถอนหายใจของเต้ดังลอดเข้าโทรศัพท์


         “...กูให้เขาสืบลึกกว่านี้ได้ถ้ามึงจ่ายเพิ่ม รับไม่ประกันไม่ได้หรอกว่าจะสืบเจออะไรที่ใช้ได้มั้ย แต่ขอเตือนว่าต่อให้สืบเจอตอเข้า มึงก็อาจทำอะไรไม่ได้มากถ้าไม่มีแบ็กจากเสี่ย เพราะไอ้นั่นมันเป็นลูกชายสส. จะไปเหยียบเท้าผู้มีอิธิพลสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้เด็ดขาด”


         “มึงรู้แล้วใช่มั้ยว่าคุณศานนท์เพิ่งตัดหางกูปล่อยวัด” ตุลย์ถามหลังจากเงียบไปอึดใจใหญ่ๆ


         “ใช่ กูได้ข่าวจากคุณอัฐเมื่อกลางวัน”


         คำตอบนั้นทำให้ตุลย์กลืนน้ำลาย “แล้วมึงยังจะช่วยกูอยู่มั้ย...”


         “เออดิ กูสัญญาว่าจะช่วยก็จะช่วย มันไม่ได้เกี่ยวกับคำสั่งของเสี่ย อย่าลืมว่าครอบครัวกูกับเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกันแล้ว”


         อีกครั้งที่ตุลย์เงียบ ใช้สติตริตรองเรื่องทั้งหมดในความคิดซ้ำก่อนจะพูดออกไป


         “ถ้างั้นมึงมาหาที่คอนโดคุณศานนท์หน่อยได้มั้ย”


         “ตอนนี้? มึงอยู่ที่คอนโดเขา?” ปลายสายตวัดถามเสียงคล้ายไม่อยากเชื่อ


         “ใช่... คีย์การ์ดใบนึงของเขาอยู่กับกู” ตุลย์ตอบ ก่อนลอบถอนหายใจเบาๆ


         ถ้าให้พูดตามตรง เขาไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่หากจะให้เต้เห็นคลิปนั่น

 
       เพราะเขาไม่ได้สนใจว่าเต้จะมองเขาเปลี่ยนไปหรือไม่ เท่ากับที่แคร์ว่าศานนท์จะรู้สึกยังไงหลังเห็นเขาในสภาพน่าละอายแบบนั้น...


         “...งั้นอีกครึ่งชั่วโมงมาหากูได้มั้ย? กูมีอะไรอยากจะให้ดู”


         “หมายถึงอะไร?” เต้ถาม


         “หมายถึงกูจะเล่าทุกอย่างให้มึงฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้น...”


--------------------------
ตอนนี้เผาเล็กน้อยค่ะ แอแงงง
สารภาพอย่างแรกคือ เขียนไปน้ำตาเลอะไป แล้วก็มองจอไม่เห็นหลายรอบมาก 555555
เหมือนเด็กโดนบังคับอ่านหนังสือเลยยย ไม่รู้นักอ่านอินมั้ยแต่เมลล่าอินอยู่ค่ะ ถถถถถถถถ
ขณะนี้ที่เขียนทอล์คเป็นเวลาประมาณตี 5 ครึ่ง ส่วนเมลล่ากำลังกินกะเพาะปลามื้อดึก ถถถ
Happy Valentines นะคะทุกคนนน
ขอให้มีดวงมีโชคเรื่องความรักกันถ้วยหน้าค่ะ

ส่วนตอนหน้าพบกับบทสรุปใหญ่ของเรื่อง จะดราม่าไม่ดราม่าขนาดไหน รอติดตามกันนะคะ
ทิ้งฟีตแบคไว้ได้เช่นเดิมค่ะ เมลล่ารักนักอ่านทุกคนมากๆๆๆๆๆ
ขอบคุณที่แวะเวียนเข้ามาเสมอค่ะ ^-^
P.S. เล้าเป็ดยังเป็นอภิสิทธิ์ชนเช่นเดิมค่ะ เมลล่าว้าปไปนอนก่อนน้าาา
   
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (14.02.21) l 30th Night: การตัดสินใจ [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 14-02-2021 07:19:10
 :m15:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (14.02.21) l 30th Night: การตัดสินใจ [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 14-02-2021 16:55:27
บวกเป็ด + เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (14.02.21) l 30th Night: การตัดสินใจ [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 14-02-2021 18:48:41
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (14.02.21) l 30th Night: การตัดสินใจ [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 15-02-2021 00:13:05
 :pig4:
 :L1:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (14.02.21) l 30th Night: การตัดสินใจ [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: kimkidoy ที่ 16-02-2021 22:55:45
ยุ่งเหยิงมากตุลย์เอ้ยยย เอาใจช่วยนะ
ส่วนคุณศานนท์ก็รักมากอ่ะเนาะ เลยเสียใจมากกกกกกก แต่ตัดเร็วมากพ่อ
แอบคิดถึงใช่ไหมมมมเลยกลับมาคอนโดเนี่ยยยยย
เต้คือจะช่วยตุลย์จริงๆใช่ไหมหวังว่ารู้ความจริงแล้วอย่าทำอะไรไม่ดีเลยนะ
จะจบแล้ววววว ใจหายเลยยยตามมานานมากๆๆๆ55555
ให้กำลังใจคุณนักเขียนน้าาาาาา :mew1:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (22.02.21) l 31st Night: แผนเอาคืน [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 22-02-2021 18:06:21
31st Night: แผนเอาคืน


สามสิบนาทีให้หลังเต้ก็ขับบิ๊กไบก์มาถึงคอนโดตามนัดก่อนที่ตุลย์ลงมารับเขาขึ้นไปที่ห้องพร้อมกัน ทว่าเมื่อสแกนคีย์การ์ดเข้ามาข้างใน ชายหนุ่มก็ต้องขมวดคิ้วกับเสียงเจื้อยแจ้วของสาวๆ ที่ดังมาจากห้องนอนใหญ่ติดกับห้องนั่งเล่น


สีหน้าเหมือนจะพูดว่า ‘อะไรวะ’ ทำให้ตุลย์ต้องไขข้อสงสัย


“คืนนี้เพื่อนผู้หญิงมาค้างทำโปรเจกต์กัน”


“โปรเจกต์ท์คณะมึงเหรอ”


“ไม่ใช่ โปรเจกต์ทำโมเดล...”


เต้ฟังแล้วก็ร้อง ‘อ๋อ’ เบาๆ เพราะมันคือโปรเจกท์วิบากกรรมที่ปีหนึ่งอย่างพวกเขาต่างหนีไม่พ้น


ตุลย์นำผู้มาเยือนผ่านโถงทางเข้ามายังห้องนั่งเล่น ก่อนจะแวะหยิบโน้ตบุ๊กสีเงินบนเค้าท์เตอร์ครัวที่เสียบทั้งแฟลชไดรฟ์และหูฟังคาไว้ส่งให้ เต้รับโน้ตบุ๊กจากมืออีกฝ่ายก็พบว่าหน้าจอเปิดค้างไว้ที่โฟลเดอร์ซึ่งมีคลิปวิดีโอคลิปหนึ่ง แต่ยังไม่ทันถามอะไร เจ้าของโน้ตบุ๊กก็รีบตัดบทเสียก่อน


“กูจะลงไปซื้อของข้างล่างสักพักหน่อย”


ชายหนุ่มย่นคิ้วเล็กน้อย


เมื่อห้านาทีที่แล้วพวกเขาก็อยู่ข้างล่าง หากตุลย์จะซื้อของจริงอีกฝ่ายคงซื้อตั้งแต่ที่ลงไปรับเขาแล้ว


ถึงอย่างนั้นก็หาได้ถามอะไร นอกจากเหลือบมองร่างที่หันหลังเดินลับสายตาไปแล้วเบนความสนใจมาที่คลิปบนหน้าจออีกครั้ง เต้ใส่หูฟัง ทันทีที่เขาคลิกเปิดไฟล์หน้าต่างวิดีโอคลิปเด้งขึ้นกลางจอ...



หลังลงลิฟต์มาชั้นล่างไม่รู้ครั้งที่เท่าไหร่ของวัน ตุลย์ก็เดินเตะฝุ่นวนไปเวียนมาอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อพักใหญ่ จากนั้นจึงทิ้งตัวลงที่ม้านั่งไม้ใกล้กับประตูเลื่อนอัตโนมัติซึ่งเป็นทางเข้าออกของร้านอย่างเหนื่อยอ่อน


ทีแรกเขาไม่สนว่าจะถูกเต้มองด้วยสายตาอย่างไร แต่พอเอาเข้าจริงการต้องยอมให้คนอื่นมาเห็นตัวเองในสภาพอ่อนแอน่าสมเพชก็ยังทำให้รู้สึกแย่อยู่ดี…


ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาปล่อยให้ปัญหาเรื่องกายคาราคาซังจนกลายเป็นปมใหญ่เบ่อเริ่ม จนต่อให้อยากถอยตอนนี้ก็ทำไม่ได้แล้ว…



ตุลย์นั่งจมจ่ออยู่กับห้วงความคิด จนกระทั่งเวลาผ่านมาสักพัก เขาถึงลุกขึ้นเดินเข้าไปในร้านสะดวกซื้อเพื่อหยิบน้ำอัดลมและน้ำผลไม้จำนวนหนึ่งไปจ่ายเงิน เพราะตั้งใจซื้อไปฝากเพื่อนๆ ข้างบนจึงไม่ได้หยิบส่วนของตัวเองด้วย


ครั้นพอกลับขึ้นมาที่ห้องนั่งเล่นอีกครั้งก็พบว่าคอมพิวเตอร์ถูกพับปิดวางไว้บนโต๊ะแก้วตัวเตี้ยๆ หน้าโซฟาโดยที่เต้นั่งขมวดคิ้วเป็นปมอยู่ไม่ห่างกัน


“มึงเป็นชู้กับกายเหรอวะ?”


นั่นเป็นคำถามที่คาดไว้แล้ว…


ผู้ถูกถามส่ายหน้า เดินเลี่ยงไปตรงตู้เย็นเพื่อแช่เครื่องดื่มที่เพิ่งซื้อมาขณะอธิบายโดยซ่อนอารมณ์ไว้ใต้น้ำเสียงราบเรียบปกติ


“คลิปนั่นถ่ายตอนกูยังอยู่ที่ไนต์คลับ ...เผื่อมึงยังไม่รู้ ก่อนเจอกับคุณศานนท์ กูเป็นเด็กในสังกัดของคลับ M ส่วนกายเป็นลูกค้าวีไอพี เคยมาเรียกหากูอยู่ครั้งสองครั้ง กูไม่เคยรู้ว่าโดนแอบถ่ายคลิปจนกระทั่งมันส่งแฟลชไดรฟ์มาแบล็กเมลกูเมื่อต้นเดือน มันอยากให้กูทำทุกอย่างตามที่สั่ง ไม่งั้นมันปล่อยคลิปลงเพจดังๆ ...นั่นล่ะ สาเหตุที่พักหลังนี้กูกลายเป็นเบ๊รองมือรองตีนมัน ส่วนคุณศานนท์ เขาน่าจะให้คนตามสืบเรื่องกูเพราะพักหลังกูหายไปบ่อย แล้วคงไปเจอคลิปนี่เข้า...”


จัดเครื่องดื่มเรียงใส่ตู้เสร็จเรียบร้อย ตุลย์ก็เดินกลับมาที่โซฟา


“ถ้ามึงเข้าใจว่ากูคบซ้อน คุณศานนท์ก็คงเข้าใจแบบนั้นตอนที่เห็นคลิป...”


“แล้วสรุปมันเป็นอะไรกับมึง”


“ไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น แค่ลูกค้าสมัยที่กูทำงานที่โน่น หลังออกมาจากคลับกูก็ไม่ได้ยุ่งกับมันอีก”


เต้ขมวดคิ้วเมื่อคำอธิบายของตุลย์ฟังดูไม่เป็นเหตุเป็นผล


“ถ้างั้นทำไมมันถึงคอยตามจะหาเรื่องมึงตลอด?”


“กูจะไปรู้ได้ยังไง คงเพราะมันทำได้มั้ง หรือไม่ก็โกรธที่กดหัวบังคับให้กูทำโน่นทำนี่ไม่ได้แล้ว เพราะเมื่อก่อนแค่มีเงินมันก็ซื้อกูได้ตามใจ”


ถูกรีดถามซอกแซกราวกับสงสัยว่าเขากำลังโกหก ตุลย์ก็เผลอเสียงแข็งใส่ ก่อนจะพยายามคุมอารมณ์ไม่ให้แสดงท่าทีออกไปเกินจำเป็นอีก


แต่ก็ไม่แปลกที่เต้จะสงสัย…


เพราะจนบัดนี้เขาก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่ากายต้องการอะไร แต่สิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจตลอดเวลาที่พัวพันกับอีกฝ่ายคือ กายใช้ ‘อารมณ์’ ในการตัดสินใจ การทำความเข้าใจหมอนั่นด้วยตรรกะนั้นมันรั้งแต่จะเสียเวลาเปล่า


“กูรู้ว่ามันไม่เมกเซ็นส์ที่กายจะตามรังควานกูเป็นวรรคเป็นเวรแค่เพราะเคยมีอะไรกันสองครั้ง แต่ระหว่างกูกับกาย มันไม่มีอารมณ์พิศสวาทอะไรเลย มึงจะไม่เชื่อก็ได้มันเป็นสิทธิของมึง แต่กูยืนยันว่าทั้งหมดที่เล่าคือความจริง...”


ใบหน้าเคร่งเครียดจริงจังของผู้พูดทำให้เต้ถอนหายใจยาวทีหนึ่ง เขาเท้าคางนั่งนิ่งคล้ายกำลังครุ่นคิดประมวลผลเรื่องทั้งหมดเงียบๆ ในหัว


“แล้วตอนนี้คลิปนั่นก็อยู่กับกาย?”


“ใช่ ต้นคลิปอยู่กับมัน อนาคตในวงการของกูก็แขวนไว้กับคลิปนั่นเหมือนกัน...” พูดมาถึงตรงนี้ตุลย์ก็เม้มปาก “แต่ถ้ากูแบล็กเมลมันกลับได้ อย่างน้อยกูก็พอมีข้อต่อรองให้มันลังเลบ้างเวลาที่ปล่อยคลิป”


ทว่าเต้กลับโคลงหัวคล้ายจะบอกว่าเขาคิดตื้นเกินไป “แบล็กเมลไปก็เสียเวลา เดี๋ยวพ่อมันก็จัดการเรื่องให้”


“แต่คลิปหลุดออกไปแล้ว ยังไงก็ไม่มีทางลบทัน”


เขาจำได้แม่นเพราะนั่นเป็นคำพูดที่กายใช้ขู่เขาเอง


“ก็ใช่... แต่อย่าลืมว่ามันไม่ได้อยู่ใต้สปอตไลท์แบบมึง อย่างมากมันก็แค่เป็นข่าวสักพักแล้วเงียบไป ดีไม่ดีพ่อมันคงจัดการข่าวให้ แค่สองสามวันพอเรื่องเงียบเดี๋ยวคนก็ลืม”


ตุลย์ฟังแล้วก็ปฏิเสธไม่ออก


เต้พูดถูก…


เดิมพันของกายไม่สูงเท่าเขา ต่อให้แบล็กเมลไปก็ไม่มีอะไรรับประกันว่ากายจะหยุดในเมื่อคลิปต้นฉบับยังอยู่กับมัน ดีไม่ดีทำแบบนั้นอาจไปกระตุ้นให้อีกฝ่ายโมโหอีกด้วย



ทางออกที่เหลือน้อยลงเรื่อยๆ บีบให้ตุลย์เริ่มเครียดกังวลจนซ่อนสีหน้าไม่มิด เขาเดินวนไปเวียนมาในห้องอย่างคิดไม่ตก


“...กูต้องทำอะไรสักอย่าง คลิปนั่นมันก็ระเบิดเวลาดีๆ นี่แหละ ถ้ามันรู้ว่ากูไม่มีแบ็กเมื่อไหร่ มันเล่นกูหนักกว่านี้แน่ ทั้งงานทั้งชีวิตส่วนตัวกูคงไม่เหลือ”


กายถือไพ่แต้มใหญ่ที่สามารถขีดเส้นอนาคตของเขาได้ ขนาดตอนที่มีศานนท์ช่วยเหลือ มันยังกล้าเล่นงานเขาด้วยการแบล็กเมล ถ้าเรื่องถึงหูมันว่าเขาเพิ่งถูกตัดหางปล่อยวัด ก็ไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้ตัวเองจะอยู่ในสถานะตกต่ำย่ำแย่ขนาดไหน...


“แล้วกายจะกลับมาเมื่อไหร่”


“อีกประมาณสองสามวัน”


“ที่จริงกูคิดออกอย่างนึง...” หลังจากเงียบไปอึดใจเต้ก็เอ่ยขึ้นลอยๆ ประโยคนั้นเรียกให้ตุลย์หยุดฝีเท้าลง เดินวกกลับมาหยุดที่ด้านหลังอีกฝ่ายและฟังอย่างตั้งใจ “แผนนี้เสี่ยง แต่อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่ามึงจะไม่โดนมันเล่นงานด้วยคลิปอีก”


“ยังไง...”


“ถ้าสืบแล้วไม่ได้อะไรก็ลองจับเสือมือเปล่าดู...”


ชายหนุ่มเว้นจังหวะคล้ายกำลังต่อจิ๊กซอร์ความคิดชิ้นต่างๆ เข้าด้วยกัน


“...กูพอมีคนรู้จักที่พอช่วยเหลือได้ แต่มึงแน่ใจมั้ยว่าเรียกมันให้ออกมาหาได้ตามเวลาและสถานที่นัดที่กูเลือก?”


จากที่เข้าไปพัวพันกับเรื่องของกายมาช่วงระยะเวลาหนึ่ง ตุลย์ค่อนข้างมั่นใจว่าเขารู้จักอีกฝ่ายดีประมาณหนึ่ง


...ดีพอจะรู้ว่ากายโปรดปรานอะไรที่สุด


ครุ่นคิดอยู่สักครู่ ผู้ฟังก็พยักหน้า


“ได้ ไหนมึงลองว่ามา...”


คืนนั้นทั้งคู่จึงวางแผนต่อจนถึงตีสามก่อนจะแยกย้ายกันกลับไป


ตุลย์ถูกปลุกให้ตื่นตอนเช้าอีกวันด้วยเสียงนาฬิกาปลุกหลังจากนอนหลับไปเพียงไม่กี่ชั่วโมง เขาจำใจลุกจากเตียง เดินออกมาจากห้องนอนในสภาพหัวยุ่งสะลึมสะลือ ขณะที่ผู้อาศัยคนอื่นๆ คุยกันเจื้อยแจ้วอยู่ในห้องนั่งเล่น หากไม่ติดว่าต้องช่วยสามสาวทำโปรเจกต์ต่อจากเมื่อคืน เขาคงนอนต่อจนถึงสายๆ


สำหรับแผนที่ตกลงกันไว้เมื่อคืน เต้ต้องการเวลาราวสองสามวันเพื่อเตรียมการ ซึ่งจะตรงกับวันที่กายบินกลับมาไทยพอดี ระหว่างนี้พวกเขาต้องทำให้แน่ใจว่าแผนจะดำเนินไปอย่างราบรื่น และภาวนาให้มันสำเร็จลุล่วงตามที่หวัง...


-----------------------------------


คืนนี้ชายหนุ่มตั้งใจออกมาดื่มกลางดึกกับกลุ่มเพื่อนที่บาร์ท้องถิ่นแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ติดถนนสายหลักหลังจากขับรถตระเวนท่องเที่ยวสถานที่ต่างๆ กันมาทั้งวัน จังหวะที่กำลังจะก้าวเท้าเข้าไปด้านในร้านซึ่งเต็มไปด้วยนักดื่มและนักท่องราตรีแน่นขนัด โทรศัพท์ของเขาก็แผดเรียกเข้า


กายหยิบมันขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงยีนตัวโปรด ก่อนแปลกใจจนต้องเลิกคิ้วเมื่อเห็นเบอร์ปลายสาย


“พวกมึงเข้าไปก่อน กูคุยโทรศัพท์แป๊บเดียวตามไป”


กายบอกเพื่อนแล้วผลักหลังพวกมันหยอกๆ ทีหนึ่ง ลับหลังเมื่อพวกนั้นหายเข้าไปในร้าน เขาถึงกดรับ


“กูอยากต่อรองเรื่องคลิป... วันที่มึงกลับ มาเจอที่คลับ D ได้มั้ย?” น้ำเสียงปลายสายที่เอ่ยถามฟังดูอ่อนล้าไม่สู้ดีนัก เรียกรอยยิ้มพึงพอใจที่มุมปากของเขาอัตโนมัติ


“ถ้ากูบอกว่าไม่มีอะไรจะต่อรองล่ะ?” พอถามกลับคล้ายเย้าแหย่ เสียงปลายสายก็ฟังดูเป็นกังวัลขึ้นถนัด


“มึงจะให้กูทำอะไรก็ได้ แต่ลบคลิปเถอะ ขอร้อง... กูยังอยากมีอนาคตในวงการ มึงก็รู้ว่าวงการบันเทิงเป็นความฝันของกู...”


“ใช่กูรู้”


...ก็เพราะรู้ มันจึงเป็นเครื่องมือต่อรองชั้นดีไง


เจ้าของคนใหม่ของตุลย์เป็นถึงนายทุนของพ่อ ถ้าวันหนึ่งเรื่องเกิดแดงขึ้นมาว่าเขาไปยุ่งกับคนของอีกฝ่าย ต่อให้มีอิทธิพลของพ่อหนุนหลังก็ยังการันตีไม่ได้ว่าลูกชายอย่างเขาจะอยู่รอดปลอดภัยโดยไม่ได้รับผลใดๆ ของการกระทำ


เขารู้ตัวว่ากำลังเล่นอยู่กับไฟ


...แต่บางครั้งเปลวไฟก็น่าหลงใหลจนทำให้ลืมคิดไปว่าสักวันอาจจะถูกมันเผาไหม้เข้า



เขาจึงต้องทำให้แน่ใจว่าตุลย์จะไม่เอาเรื่องคลิปไปแปะโป้งบอกใครเป็นอันขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเจ้าของใหม่ เพราะตุลย์ให้ความสำคัญกับชีวิตในจอเงินมากถึงขนาดที่ยอมขายร่างกายและศักดิ์ศรีได้ จุดอ่อนนี้จึงเป็นเดิมพันสำคัญของเขา ซึ่งก็นับว่าเขาตัดสินใจถูกที่เดินหมากเช่นนั้น


อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าไพ่ในมือเขานั้นไร้ช่องโหว่ การแบล็กเมล์มีข้อจำกัด จะได้ผลก็ต่อเมื่อคลิปยังคงความลับระหว่างเขาและตุลย์ หากว่าสถานการณ์บีบบังคับให้ต้องปล่อยคลิปออกไปจริงๆ มันก็มีโอกาสสูงที่เขาจะสูญเสียอำนาจในการกุมบังเหียนชีวิตอีกฝ่ายหลังจากนั้นไปอย่างถาวร


...เขาเล่นเกมนี้บนเดิมพันที่สูงไม่แพ้ตุลย์


จู่ๆ ได้โอกาสเพิ่มแต้มไพ่ในมือมีหรือจะไม่คว้า?



“...ถ้ากูบอกว่าอยากได้มึงมาเป็นของกูอย่างเมื่อตอนอยู่ที่คลับล่ะ?” โยนหินถามทาง น้ำเสียงที่ย้อนถามก็พลันเคร่งเครียดขึ้น


“หมายความว่ายังไง...”


“เลิกยุ่งกับผู้ชายคนนั้นแล้วมาอยู่กับกูแทน ถ้ามึงออกมาเองก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรนี่จริงมั้ย?”


“...แล้วเรื่องงานกูล่ะ ที่กูเข้าวงการได้ทุกวันนี้ก็เพราะเขา”


“หึ พ่อกูเป็นถึง ส.ส. คิดว่าเส้นสายในวงการบันเทิงแค่นี้กูจะหาให้มึงไม่ได้เหรอ? ว่าไง ข้อเสนอของกูน่าสนใจมั้ย? รายละเอียดค่อยคุยกันที่โน่น" เว้นจังหวะให้ปลายสายได้ขบคิด


"...เฮ้ย อย่ามัวอึกอัก มึงโทรมาขัดเวลาเที่ยวกู”


“...ก็ได้” เงียบไปหลายอึดใจ สุดท้ายตุลย์ก็ตอบตกลง “งั้นเจอที่คลับ D ตอนสามทุ่ม”


“ทำไมต้องคลับ D?”


“เพราะมันใกล้คอนโดมึงแล้วกูก็เคยไปอยู่ครั้งสองครั้ง ...หรือว่ามึงไม่ชอบ?” กระแสเสียงลังเลท้ายประโยคเรียกรอยยิ้มพอใจให้ปรากฏบนใบหน้ากายอีกครั้ง


ความอ่อนแอที่แสดงออกเพราะหมดหนทางสู้ คือสิ่งที่เขาโปรดปรานในตัวตุลย์ที่สุด…


"ได้ คลับ D สามทุ่ม แล้วคุยกันที่นั่น”


หากว่าเขากล่อมให้ตุลย์ย้ายมาอยู่ใต้อาณัติได้เกมก็จะเปลี่ยน เขาจะกลายเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถให้ 'สิ่งจำเป็น' ได้แก่ตุลย์ได้ และต่อจากนั้นชีวิตของอีกฝ่ายก็ต้องพึ่งพาสิ่งจำเป็นที่เขาให้


ทีนี้ต่อให้ไม่มีคลิปแล้ว ตุลย์ก็ดิ้นหนีจากเขาไม่พ้นอยู่ดี…


------------------------


กายขับรถมาถึงสถานที่นัดหมายเวลาสามทุ่มตรง โต๊ะที่ตุลย์จองไว้เป็นเก้าอี้โซฟาวีไอพีตั้งอยู่ชั้นสองซึ่งเป็นชั้นลอยและไกลจากตำแหน่งเวทีที่สุดเพื่อให้สะดวกต่อการพูดคุย เนื่องด้วยเวลาที่ยังไม่ดึกมากฟลอร์เต้นจึงคนข้างโหรงเหรง ผู้คนเดินสวนไปมาเพื่อจับจองที่นั่งข้างเวทีเป็นส่วนใหญ่ แต่คึกคักที่สุดนั้นเห็นจะไม่พ้นบาร์ที่ตั้งอยู่ติดมุมซ้ายสุดหลังฟลอร์เต้น


ตุลย์นั่งดื่มอยู่ที่โซฟายาว พริบตาที่ร่างสูงโปร่งเห็นมาผู้มาเยือนก็รีบถอนสายตากลับมาที่ของแก้วตัวทันทีราวกับเห็นของแสลงก็ไม่ปาน


“หึ คิดหนักเรื่องกูอยู่หรือไง” กายเค้นเสียงในคอ ทรุดตรงลงที่โซฟาฝั่งตรงข้ามตุลย์


บริกรที่ประจำอยู่ใกล้ๆ รีบเข้ามาเสนอเมนูเครื่องดื่มให้ทันที แต่เขาคร้านจะใส่ใจจึงสั่งแอลกอฮอล์และมิกเซอร์แบบที่มักสั่งเป็นประจำ


คืนนี้มีข้อตกลงที่ ‘น่าสนใจ’ กว่าเครื่องดื่มเยอะ…


หัวคิ้วของตุลย์ขมวดเข้าหากันแน่นทั้งยังเสี่ยงการสบตาโดยตรงกับคู่สนทนา สีหน้าอีกฝ่ายดูเคร่งเครียดไม่หยอกราวกับคนที่คิดวกไปวนมาจนเหน็ดเหนื่อยแต่ยังหาทางออกไม่พบ


แต่ก็สีหน้าแบบนี้ล่ะที่เขาโปรดปรานนัก…


“เงื่อนไขเป็นยังไง...”


สุดท้ายตุลย์ก็ยอมปริปาก


“เขาให้อะไรมึงบ้าง? ให้เท่าไหร่? ลองว่ามาดิ๊ ...เพราะอะไรที่เขาให้ได้กูก็ให้ได้เหมือนกัน” กายกระตุกยิ้มมุมปากอย่างผู้เหนือกว่า


ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดตุลย์ก็ยอมสารธยาย ‘ผลประโยชน์’ ในฐานะที่เป็น ‘เด็กเสี่ย’ ของชายคนนั้นให้เขาฟังอย่างหมดเปลือก


พูดตามตรงแล้วประโยชน์ที่ตุลย์ได้รับอยู่ในตอนนี้นับว่าดีไม่หยอก ทำเอากายเผลอคิดคำนวณถึงความคุ้มได้คุ้มเสียอยู่หลายครั้ง แม้ว่านั่นจะไม่ใช่ปัญหาของเขา


สิ่งที่ตกลงไปแล้วย่อมเปลี่ยนแปลงได้เสมอตราบใดที่เขายังกุมบังเหียนตุลย์อยู่ ดังนั้น ตอนนี้เขาจะยื่นเสนอชวนฝันอะไรแล้วค่อยไปกลับคำเอาทีหลังก็ย่อมได้


“ว่าไง หรืออยากได้ค่าปิ่นโตต่อเดือนเพิ่ม?”


“กูขอคิดดูก่อน…” คำตอบโลเลเริ่มทำให้กายหงุดหงิด


“เฮ้ย ข้อเสนอมันก็ดีกว่าเห็นๆ กูให้ทุกอย่างได้เท่าเขา อนาคตในวงการบันเทิงก็เหมือนกัน คลิปนั่นกูก็ยอมลบให้ ไม่เห็นว่าจะต้องคิดนานตรงไหนนี่หว่า”


ชายหนุ่มหมุนแก้วเหล้าในมือก่อนจะยกขึ้นดื่ม น้ำเสียงจริงจังยิ่งขึ้นในประโยคต่อมา


“กูให้เวลาคิดถึงแค่เที่ยงคืนนี้ กูไม่ได้ใจดีบ่อยๆ ถ้าไม่รับข้อเสนอก็ไปกลับอีหรอบเดิม แล้วมึงก็ไปหาทางจัดการเรื่องคลิปเอา กูมีทางเลือกให้แค่นี้”


ถูกกดดันให้ตัดสินใจในเวลาสั้นๆ ตุลย์ก็เผยสีหน้ากลัดกลุ้มชัดเจน ร่างโปร่งถอนหายใจก่อนจะวางเครื่องดื่มในมือ จากนั้นก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้


“กูขอเวลาคิดคนเดียว... เดี๋ยวกูกลับมา”


กายไหวไหล่ไม่ถือสา ปล่อยให้อีกฝ่ายเดินลงไปชั้นล่าง หายลับไปในตรอกซึ่งเป็นทางเชื่อมกับห้องน้ำโดยที่ตนเองกระหึ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ ชายหนุ่มดื่มต่ออีกแก้วเต็มๆ ความตื่นเต้นทำให้เขาเริ่มคิดจินตนาการไปถึงผลลัพธ์ของดีล


ในสถานการณ์เช่นนี้ คนที่ถือไพ่แต้มสูงกว่าอย่างเขาย่อมมีแต่ได้กับได้…


หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (22.02.21) l 31st Night: แผนเอาคืน [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 22-02-2021 18:08:55
ทว่ายังไม่ทันได้คิดไกล วินาทีนั้นเขาก็ถูกแขนปริศนาจากด้านหลังล็อกหมับเข้าที่คอ กดร่างติดกับพนักโซฟา


กายเบิกตากว้าง สัญชาตญาณของเขาสั่งดิ้นรนเอาตัวรอดก่อนจะสับสนอย่างมากเมื่อโลกที่มองผ่านดวงตาทั้งสองข้างเริ่มหมุนคว้างเป็นภาพเบลอราวกับคนที่ดื่มแอลกอฮอล์ไปจำนวนมากทั้งที่เพิ่งดื่มไปแค่ราวสามแก้ว


ชายหนุ่มพยายามร้องโวยวายแต่กลับถูกมือของชายฉกรรจ์ปริศนาเอื้อมมาปิดปากแน่น จากนั้นชายอีกคนที่สวมหมวกแก็บใส่ชุดสีทะมึนก็ตรงเข้ามาช่วยหิ้วปลีกร่างของเขาลงบันได หายไปเข้าในตรอกเล็กๆ ซึ่งปราศจากคนพลุกพล่าน รู้ตัวว่ากำลังถูกลากมาทางบันไดหนีไฟตอนที่เห็นสัญลักษณ์สีเขียวรูปคนวิ่งส่องสว่าง


ท่ามกลางแสงสลัวบวกกับสายตาที่พร่าเบลอ กายมองเห็นใบหน้าของชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ที่ประกบอยู่ด้านขวาไม่ชัดนัก คาดว่าอายุเกือบกลางคน ส่วนด้านซ้ายของเขายิ่งไม่ต้องพูดถึงเพราะชายคนนั้นสวมหมวกแก็บปิดใบหน้า


ยื้อยุดกับร่างปริศนาทั้งสองได้พักเดียว แรงที่น้อยกว่าบวกกับสมองที่ตอบสนองช้าทำให้เขาถูกหิ้วปลีกมาที่ลานจอดด้านหลังคลับซึ่งแน่นขนัดไปด้วยยานพาหนะนิ่งสนิท กลับกันบรรยากาศรอบบริเวณที่มืดสลัวเพราะไฟส่องไม่ทั่วถึงทำให้ดูเปลี่ยว


วินาทีนั้นกายก็รู้ทันทีว่าบางอย่าง ‘ผิดปกติ’ กำลังจะเกิดขึ้นกับเขาในไม่ช้า


“มึงรู้รึเปล่าว่ากูลูกใคร!” เขาแผดเสียงขู่ตอนเมื่อปากเป็นอิสระ


ทว่าคำตอบกลับกระตุ้นให้ยิ่งหวาดระแวง


“รู้สิ ถ้าไม่ใช่ลูกส.ส. ไชยวัฒน์ คงไม่มีเรื่องจะคุย”


ร่างสูงถูกพาไปยังรถซีดานราคาแพงคนหนึ่งซึ่งจอดติดเครื่องอยู่ใกล้กับตึก กระจกสีดำทึบทำให้ไม่สามารถมองเห็นภายใน ก่อนที่ชายปริศนาจะยัดร่างของเขาเข้าไปข้างในรถราวกับตุ๊กตาโดยจับให้นั่งบนเบาะข้างคนขับ และระมัดระวังไม่ให้หัวของโขกกับขอบประตู


จากนั้นชายฉกรรจ์ทั้งสองจึงตามขึ้นรถมาโดยที่คนหนึ่งนั่งอยู่ด้านหลังของเขา ขณะที่อีกคนซึ่งแก่กว่าประจำตำแหน่งคนขับ เขาเริ่มรับรู้ถึงการมีอยู่ของบุคคลที่สี่ในเวลาต่อมาจึงพยายามหรี่ตาเหลือบมองกระจกส่องหลัง ทว่าความมืดบวกกับฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้เห็นใบหน้าคนผู้นั้นไม่ชัด จับสังเกตได้เพียงเครื่องแต่งกายรางๆ ที่ดูภูมิฐาน...


“เธอเองเหรอที่มีปัญหากับตุลย์”


น้ำเสียงไม่เดือดร้อนเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด กายได้แต่นิ่งไม่กล้าขยับเขยื้อน ณ ตอนนี้ในหัวของเขาคิดอยู่เพียงเรื่องเดียว


เขาสงสัยว่าชายคนนี้คือนายทุนของพ่อ…


“ใจเย็นๆ แค่อยากคุยอะไรด้วยหน่อย...” ฟังคล้ายการปลอบประโลม แต่กระแสเสียงหามีความเป็นมิตรไม่ “จำได้ว่าเคยเตือนไปแล้ว ทำไมถึงยังวุ่นวายกับตุลย์อีก?”


เค้าลางของประโยคนั้นก่อความหวาดกลัวขึ้นในใจของผู้ฟังราวกับจะตอกย้ำว่าสิ่งที่กายคิดเป็นเรื่องจริง ชายหนุ่มอ้าปาก ตั้งใจจะโกหกให้พ้นผิดแต่สมองกลับช้าเกินกว่าจะหาข้ออ้างให้ตนเอง


ยังไม่ทันได้ตอบ นายทุนผู้นั้นก็ยิงคำถามตรงประเด็น


“เอาล่ะ คลิปอยู่ที่ไหน?”


“......” ผู้ถูกถามนั่งนิ่งไม่กระดุกกระดิก หลังเย็นเฉียบ จู่ๆ พูดไม่ออกราวกับเสียงของเขาอันธานหายไป


“ฉันจะถามอีกที คลิปอยู่ที่ไหน”


คราวนี้น้ำเสียงนั้นเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง ในสถานการณ์ที่ถูกกดดัน กายก็พลั้งปากตอบไปอย่างไม่ทันคิด


“ยะ อยู่ในโทรศัพท์!”


“ลบซะ ตรง-นี้ ตอน-นี้”


ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงตามคำสั่ง ความรีบร้อนทำให้เขาเกือบทำมันลื่นหลุดมือตกลงไปยังที่วางเท้า ก่อนจะพบว่ามือทั้งสองข้างกำลังสั่นอย่างน่ากลัวจนแม้แต่ตัวเองยังไม่อยากเชื่อ นิ้วยาวกดเข้าไปที่คลังภาพก่อนที่สมองจะสั่งให้มือลบคลิปวิดีโอดังกล่าวทิ้งโดยไม่คิดซ้ำสอง


“...ละ ลบแล้ว”


“มีที่ไหนอีก”


“ไม่มีแล้ว”


“พูดความจริงกับฉัน ถามว่ามีที่ไหนอีก”


“ไม่มีแล้วจริงๆ!”


กายยืนยันด้วยความสัตย์จริง โทรศัพท์เป็นที่เดียวที่เขาเก็บคลิปของตุลย์ไว้เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครมาเห็นหรือเผลอทำหลุดออกไป


แต่แทนที่จะปล่อยเขาไป มือของชายคนนั้นกลับจะเอื้อมมาตบกายเบาๆ จนเขาสะดุ้งเฮือก


“งั้นออกไปขับรถเล่นกันหน่อยดีมั้ย?”


ชายหนุ่มขนลุกชัน ทั้งมือและแผ่นหลังเย็นชุ่มเหงื่อเย็นเฉียบยามที่ชายฉกรรจ์ในตำแหน่งขับคนขับปลดเบรกมือส่งผลให้รถเคลื่อนตัวจากที่จอดอย่างเชื่องช้า ก่อนจะมุ่งหน้าออกจากลานจอดรถสู่ความมืดยามราตรีโดยที่มีแค่ไฟหน้าสีเหลืองอร่ามส่องสว่างให้เห็นเส้นทาง จากนั้นซีดานคันหรูก็เลี้ยวเข้าสู่ถนนเส้นหนึ่งด้านหลังคลับซึ่งค่อนข้างเปลี่ยว ปราศจากผู้คนและเต็มไปด้วยตรอกซอกซอย


“รู้มั้ย กลางคืนตอนดึกๆ แถวนี้น่ะเงียบดี รถน้อย คนก็น้อย”


กายเริ่มกระสับกระส่ายเมื่อรถเลี้ยวเข้าสู่ตรอกแห่งหนึ่งซึ่งเป็นถนนเลนเดียว พอปราศจากไฟจากโคมทาง เบื้องหน้าเขาก็เริ่มมืดลงเรื่อยๆ ต่อมารถก็จอดแอบซ้ายมือซึ่งเป็นลานกว้าง มีพงหญ้าขึ้นรกชัฏ รอบตัวรถมืดมากเสียจนไม่สามารถมองเห็นว่ามีอะไรอยู่เหนือจากแสงสว่างที่ไฟหน้ารถส่องถึงบ้าง


กายรู้ว่าคนพวกนี้ก็ไม่มีทางฆ่าเขาเพราะพ่อของเขาเป็นถึง ส.ส. แต่อีกใจก็หวาดหวั่นไม่ใช่น้อย เพราะชายที่เขาเผชิญหน้าอยู่ในตอนนี้คือนายทุนของพ่อซึ่งมีอำนาจเหนือกว่า เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองจะถูกซ้อมสั่งสอนเพราะไปยุ่งกับของรักของคนอื่นหรือเปล่า


แม่งเอ้ย!


ใครมันจะอยากเอาความปลอดภัยของตัวเองมาเสี่ยงกับเรื่องโง่ๆ พันธุ์นี้วะ! ?



“คลิป... มะ มันมีอยู่แค่ในโทรศัพท์”


ล้อยังไม่หยุดหมุนสนิทดี กายก็สารภาพเสียงสั่น


“อย่าโกหก... จะให้ฉันเชื่อได้ยังไงว่าเก็บคลิปไว้แค่ในโทรศัพท์? คลิปที่เหลืออยู่ที่ไหน?”


ทว่านาทีนั้น จู่ๆ ผู้ถูกถามก็ทำสิ่งที่เหนือความคาดหมายของทุกคน


กายใช้มือปลดล็อกรถก่อนจะคว้าที่จับประตูหวังเปิดจ้ำอ้าวหลบหนีออกไปด้านนอกโดยไม่สนสี่สนแปด แต่ก่อนจะคว้าโดนที่จับ ชายสวมหมวกแก็บซึ่งนั่งประกบอยู่ด้านหลังก็สอดมือผ่านช่องเบลท์ยึดแขนข้างนั้นไว้อย่างรวดเร็วทันกาลจนเกิดยื้อยุดกัน ก่อนที่ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ในตำแหน่งคนขับจะรีบใช้ท่อนแขนและน้ำหนักตัวกดไหล่คนที่กำลังดิ้นรนหนีไว้แน่นส่งผลให้ร่างของกายพิงพับติดไปกับเบาะรถยนต์ ขยับเขยื้อนแทบไม่ได้


เมื่อความกลัวถูกกระตุ้นจนถึงขีดจำกัด ชายหนุ่มโวยวายสั่นอย่างคุมสติไม่อยู่


“ไม่มีแล้ว ไม่มีแล้วจริงๆ! กูเก็บไว้แค่ในโทรศัพท์ไม่ได้เก็บไว้ที่อื่น! ถ้าเก็บไว้หลายๆ ที่ เผลอหลุดไปกูจะไม่มีอะไรต่อรองกับมัน กูเก็บไว้แค่ที่เดียวจริงๆ!”


สิ้นเสียงตะโกนรถทั้งคันก็ตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงแค่เสียงหอบหายใจของผู้พูดที่ดังก้องพร้อมกับสมองและโสตประสาทที่อื้ออึง

“จะถือว่าที่พูดเป็นความจริงแล้ว จากนี้อย่ายุ่งกับตุลย์อีกเข้าใจมั้ย?”


กายพยักหน้าตอบหลายครั้งอย่างจำนน เขายอมทุกอย่างขอเพียงแค่หลุดพ้นจากสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานนี้


“กลับไปลาดจอดรถ”


เสียงทรงอำนาจสั่งอีกครั้ง ผู้ขับก็บังคับรถถอยหลังออกมายังถนนใหญ่อย่างไม่รีบร้อน


ซีดานคันหรูใช้เส้นทางเดินย้อนกลับมาที่ลานจอดของคลับ D อีกครั้ง แต่คราวนี้กลับจอดส่งผู้ร่วมทางที่หน้ารถของตัวเองราวกับกำลังเตือนว่าอย่าได้ยื่นจมูกเข้ามาจุ้นจ้านเรื่องของคนอื่นอีก


“โทรศัพท์”


กายรีบยื่นโทรศัพท์ให้ผู้ออกคำสั่งทันที


“รหัสคืออะไร”


“XXXXXX”


สิ้นเสียงบอกเล่า ประตูซีดานยี่ห้อแพงก็ถูกปลดล็อกโดยชายฉกรรจ์ผู้ขับ กายรีบจ้ำอ้าวลงจากรถด้วยขาที่สั่นทันที


“กาย” ชายปริศนาเรียกชื่อไว้ “เก็บเรื่องวันนี้เป็นความลับอย่าให้รั่วไหลเข้าใจมั้ย? เดี๋ยวจะจบกันไม่สวย...”


กายพยักหน้าอีกหลายที


เมื่อแน่ใจว่าผู้ฟังจะรักษาสัญญา ซีดานคันดังกล่าวก็เคลื่อนตัวออกจากลานจอดรถสู่ถนนใหญ่ ทิ้งกายไว้ข้างรถคันโปรดของตนเองในสภาพที่สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ร่างสูงเดินวนไปวนมาอย่างวิตกอยู่พักใหญ่ๆ ก่อนจะสอดตัวเข้าไปด้านในรถและขับออกไปในเวลาต่อมา


หลังจากที่รถของกายขับออกไปได้ราวห้านาที ประตูบันไดหนีไฟก็เปิดแง้มออกเผยให้เห็นร่างสูงโปร่งของตุลย์ นิ้วยาวกดวางสายจากโทรศัพท์ จากนั้นจึงถอดหูฟัง ไม่กี่นาทีให้หลังซีดานหรูคันเดิมก็วกกลับมาจอดเข้าซองข้างๆ ตำแหน่งที่เขายืนอยู่

ตุลย์รีบสาวเท้าตรงไปที่เบาะหลังฝั่งคนขับ กระจกสีดำทึบก็เลื่อนลงเผยให้เห็นชายสวมสูทวัยสามสิบกลางภายใน


“ได้โทรศัพท์มาตามที่ผมขอใช่มั้ยพี่”


“ได้ๆ” ชายใส่สูทยื่นโทรศัพท์ของกายให้ก่อนจะบอกรหัส “ผมลองปลดล็อกดูทีนึงแล้ว”


ตุลย์ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก “ขอบคุณครับ”


เมื่อรถยนต์จอดสนิทเครื่องยนต์ก็ดับลง ชายใส่สูทลงจากรถ ถอดสูทและหูฟังเก็บใส่กระเป๋าของเขาเหลือเพียงเสื้อเชิ้ตตัวในดูคล้ายพนักงานออฟฟิศธรรมดา ก่อนจะเดินอ้อมมาหาเขาที่ฟุตบาท


“นี่เงินสดตามที่ตกลงกันครับ พี่เช็กก่อนได้เลย” ตุลย์ยื่นซองใส่สีน้ำตาลให้


ฝ่ายที่รับเงินเปิดซองนับดูก็พยักหน้าทีหนึ่ง “เรียบร้อยครับ ยินดีที่ได้ช่วยงาน คราวหลังถ้าอยากให้ผมทำอะไรให้ก็ติดต่อมาได้”


ตุลย์พยักหน้ารับ เป็นจังหวะเดียวกับที่ชายใส่หมวกแก็บลงจากรถอีกฝั่งหนึ่งพอดี เขาเอ่ยลาสั้นๆ กับอดีตชายสวมสูทที่กำลังเตรียมตัวกลับ ก่อนจะถอดหมวกปาดเหงื่อซึมที่หน้าผากและระบายลมหายใจยาว ใต้หมวกแก็บใบนั้นคือใบหน้าเพื่อนที่ตุลย์คุ้นเคยดี


“เรียบร้อยใช่มั้ย” เต้ถาม


พนันว่าคงกดดันไม่แพ้เขาตอนที่แสดงละครตบตากายในคลับ


“อื้ม เรียบร้อย”


“งั้นเข้าไปเคลียร์กันข้างในก่อน”


ตุลย์พยักหน้าก่อนจะเดินตามร่างสูงกลับเข้าไปในคลับซึ่งบัดนี้พลุกพล่านด้วยนักท่องราตรีจากทั่วเมือง บรรดาแสงสี และดนตรีจังหวะสนุกสนานชวนโยกย้าย


...ทั้งหมดนี่ล้วนแล้วแต่เป็นแผนการที่พวกเขาวางไว้เมื่อสามคืนก่อน




“ไหนมึงลองว่ามา...”


“กูกำลังคิดว่าจะจ้างคนปลอมเป็นผู้มีอิธิพลแบบเสี่ยแล้วสร้างสถานการณ์หน่อย น่าจะกดดันให้มันยอมพูดเรื่องคลิปได้ กายมันต้องรู้อยู่แล้วว่ามีโอกาสไม่มากก็น้อยที่เสี่ยจะรู้เรื่องมัน รวมถึงคลิป ถ้าใช้ช่องโหว่งนี้...”


“ไม่ได้” ตุลย์ขัดเสียงแข็ง “มึงจะให้กูเอาชื่อคุณศานนท์มาอ้างแล้วให้คนปลอมตัวเป็นเขาไม่ได้ มึงจะบ้าหรือไง!?”


ต่อให้จวนตัวจริง เขาก็ไม่ใช่คนเนรคุณประเภทที่ใช้ชื่อเสียงของผู้มีพระคุณเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว!


เต้โคลงศีรษะเบาๆ “กูแค่ยกตัวอย่าง… ไม่ได้ให้ปลอมตัวเป็นเสี่ยจริงๆ เพราะถ้าเกิดมันเคยเจอเสี่ยมาก่อนแผนจะแตกเอา ที่กูหมายถึงคือ ไม่ว่าจะปลอมตัวเป็นใครแต่ถ้าขู่ถามถึงเรื่องคลิป กายมันจะร้อนตัวของมันเองเพราะมันรู้แก่ใจว่าเล่นอยู่กับอะไร”


“ไม่… ไม่ได้ ถ้ากายเอะใจว่าเรื่องทั้งหมดไม่สมเหตุสมผลขึ้นมา มันต้องสาวมาถึงตัวกูแน่...”


“ไม่ใช่มึง กูต่างหาก”


“ห๊ะ?” ตุลย์ย่นคิ้วเป็นปม


“เพราะคนที่กูจะไหว้วานเป็นธุระให้คือคนเก่าคนแก่ของป๊า อย่าลืมว่าป๊ากูเป็นเคยเป็นมือขวาเสี่ย ต่อให้ป๊าไม่ค่อยได้จับงานใต้ดิน แต่เขาก็มีเส้นสาย มีอำนาจพอสมควร ถ้ากายมันนึกอยากเล่นงานกลับ ตระกูลกูรับมือมันได้อยู่แล้ว ไม่มีอะไรที่มึงต้องกังวล”


ประโยคนั้นทำให้ตุลย์ต้องรีบเบรกอีกฝ่ายเร็วจี๋ “ไม่ใช่ กูไม่ได้ห่วงตรงนั้น ที่กูห่วงคือมึงกำลังเอาครอบครัวตัวเองมาเสี่ยงกับเรื่องของกู มึงคิดอะไรอยู่เถอะ?”


“เออน่า ป๊ากูจัดการได้อยู่แล้ว ถ้าเกิดอะไรขึ้นอย่างมากกูก็แค่โดนลงโทษนิดๆ หน่อยๆ เพราะกูเป็นลูกเขา แต่มึง... ถ้าแผนแตกแล้วมันสาวกลับมาตอนที่มึงไม่มีแบ็ก ผลลัพธ์มันไม่จบแค่นิดๆ หน่อยๆ เหมือนกูแน่”


ตุลย์ยืนนิ่งงัน ถอนหายใจไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไหร่ สิ่งที่พวกเขากำลังทำมันเปรียบเหมือนกับการลากใครอีกหลายคนเข้ามาพัวพันในวงจรอุบาทว์ที่ไม่มีวันจนสิ้นสุด


“เชื่อเหอะน่า กูจัดการได้” เต้กล่อม จนสุดท้ายคู่สนทนาก็ยอมตกลง


“ก็ได้... แต่ทางที่ดีถ้าเราควรทำทุกอย่างให้สมจริงเพื่อลดความน่าสงสัย จะได้จบเรื่องโดยไม่มีใครต้องเจ็บตัว”


เพราะต้องทำให้มั่นใจว่ากายจะไม่เอาเรื่องที่ถูกข่มขู่ไปบอกผู้เป็นพ่อ พวกเขาจึงระมัดระวังไม่ใช้แผนที่คุกคามความปลอดภัยของอีกฝ่ายจนเกินไป ปรึกษากันอยู่นานสองนานก็คิดแผนการหนึ่งขึ้นได้


โดยที่แผนนี้ตุลย์จะเป็นคนล่อกายออกมายังสถานที่นัดพบ ซึ่งเต้เลือกคลับ D เป็นจุดนัดหมาย เนื่องจากเจ้าของคลับเป็นการ์ดเก่าที่สนิทกับคุณกานต์และเคยฝากให้เลี้ยงดูเต้อยู่บ่อยๆ สมัยที่อีกฝ่ายยังเป็นเด็ก ซึ่งหลังจากที่ล่อกายออกได้สำเร็จ เต้และการ์ดคนสนิทจะล็อกตัวกายขึ้นรถเช่าที่จอดรออยู่ด้านนอกคลับ โดยให้ชายอีกคนที่เต้จ้างมาจากแหล่งเชื่อถือได้ปลอมตัวและแสดงเป็นผู้มีอิธิพล คอยถามคำถามบีบให้กายพูดเรื่องคลิป


“กูว่ามันน่าสงสัยเกินไป เห็นแบบนั้นแต่กายไม่ใช่คนโง่ ฝั่งเรามีกันสามคน แค่สร้างสถานการณ์ขู่มันกูว่าไม่เนียนพอ กายอาจสงสัยหรือไม่ยอมพูดก็ได้ โอกาสแบบนี้มีแค่ครั้งเดียว กูยอมเสี่ยงไม่ได้”


ตุลย์ค้านหัวชนฝา ทว่าวินาทีต่อมาเขาก็นึกบางอย่างออก


“...ยกเว้นเราจะมอมยาให้มันเมาก่อนแล้วค่อยรีดถามเรื่องคลิป กายคอแข็งพอๆ กับกู ขืนให้กูกล่อมมันกลัวจะยื้อเวลาได้ไม่นานพอให้เมา วิธีนี้มึงก็จะได้หิ้วมันมาที่ลานจอดรถแบบเงียบๆ ด้วย”


เต้ใช้เวลาคิดตามอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้า


“ดี… เรื่องนี้กูคุยกับบาร์เทนเดอร์ที่คลับให้ได้ ส่วนยา… หาไม่ยากอยู่แล้ว”


“อืม แล้วก็…” น้ำเสียงตุลย์อ่อนลง เจือกระแสกึ่งขอร้อง “หลังจากที่มึงพากายขึ้นรถไปแล้ว กูอยากอยู่ที่นั่นด้วย... กูแค่อยากแน่ใจเพราะคนที่รู้เรื่องดีที่สุดคือกู ถ้ามีอะไรนอกเหนือสคลิปท์ขึ้นมากูก็อยากสื่อสารกับคนของมึงได้”


“งั้นกูจะทิ้งโทรศัพท์ไว้ใต้เบาะฝั่งกายแล้วเปิดประชุมสาย มึงจะได้ยินทุกอย่างที่พูดกันในรถแล้วถ้ามีอะไรก็ให้สั่งโดยตรงกับตัวปลอมที่กูจ้างมา กูจะให้เขาใส่หูฟังไร้สายไว้ตลอดงานตกลงมั้ย?”


“อื้ม ได้”


“งั้นส่วนที่เหลือก็เป็นเรื่องค่าจ้างที่มึงต้องจ่าย...”


-------------------------


แผนดำเนินผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น ตุลย์ก็ทิ้งตัวนั่งบนโซฟายาวอย่างเหนื่อยล้าพร้อมโทรศัพท์มือถือของกายด้วยความรู้สึกที่เหมือนยกหินแปดในสิบส่วนออกจากอก


ที่จริงดีลใหม่ของกายไม่เหนือความคาดหมายมาก ตุลย์รู้ดีว่าสิ่งที่กายโปรดปรานที่สุดคือการได้เห็นเขาตกอยู่ในสภาพน่าสังเวชไร้ทางสู้ใต้อาณัติของอีกฝ่าย แต่ถึงอย่างนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันทำให้เขา ‘แสดงละครตบตา’ ยากขึ้น เพราะต้องสร้างเรื่องรายละเอียดซับซ้อนมาคุยกับอีกฝ่ายจนแน่ใจว่ายาในเครื่องดื่มออกฤทธิ์


ตอนนี้เขาทำได้แค่ภาวนาให้กายปล่อยมือ เพื่อให้เรื่องทุกอย่างจบลงเพียงเท่านี้…


“แต่พูดตามตรง กูไม่แน่ใจเลยว่าเล่นแรงไปหรือเปล่า...” ตุลย์บ่นพึมพำกับเพื่อนก่อนกระดกแก้วซดเหล้า หลังจากทบทวนแผนดูอีกครั้งหนึ่ง


แรกเริ่มทุกอย่างควรจบลงภายในคลับ แต่เพราะมันเป็นคำขอด้นสดของตุลย์เพื่อให้แน่ใจว่ากายไม่ได้โกหกเรื่องที่ซ้อนคลิปจริง ชายสวมสูทตัวปลอมจึงสั่งให้ขับรถออกในตรอกมืดๆ เพื่อเช็กปฏิกิริยาของกายซ้ำ ซึ่งความเป็นไปได้ว่าเหตุการณ์นั้นอาจทำให้กายรู้สึกไม่ปลอดภัยเกินไปถึงขนาดที่อีกฝ่ายพยายามจะเปิดประตูวิ่งหนี


“เออน่า ช่างเถอะอย่างน้อยมึงก็แก้ปัญหาเรื่องคลิปไปเปราะนึง ที่เหลือไว้ค่อยคิด”


เต้กล่อม รินเหล้าเติมให้เขาเต็มแก้วเหมือนจะบอกว่า ‘แดกๆ เข้าไปเถอะเดี๋ยวก็ลืมเอง’


ตุลย์ถอนหายใจ พยักหน้ารับอย่างไม่เต็มใจนัก เป็นจังหวะเดียวกับที่ชายฉกรรจ์คนสนิทเดินขึ้นมากวักมือเรียก เต้ถึงได้ลุกขึ้นแยกกับตุลย์ที่โซฟา ก่อนเดินตามชายร่างใหญ่เข้าไปในเขตพื้นที่สำหรับพนักงานซึ่งเปิดไฟสว่าง ชายฉกรรจ์เดินนำเขามาที่ห้องเก็บของหลังร้านปราศจากคน ก่อนจะปิดประตูใส่กลอนขังพวกเขาทั้งคู่ไว้ด้านในห้องสี่เหลี่ยมที่เต็มไปด้วยข้าวของและลังกระดาษ


“ในฐานะที่เคยเลี้ยงเอ็งมาตอนเด็กๆ รู้ใช่มั้ยว่าที่ทำอยู่มันเสี่ยง? เสี่ยงที่อ้างอิธิพลของเสี่ย แล้วก็เสี่ยงที่ไปยุ่งกับส.ส.ไชยวัฒน์ คนมือสกปรกแบบนั้นลำพังคุณกานต์ตัวคนเดียวจะแย่เอา”


ถูกตักเตือน เต้ก็พยักหน้า “อื้ม รู้”


ถึงแม้จะไม่อ้างชื่อตรงๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาตั้งใจทำให้กายเข้าใจว่าฝีมือศานนท์เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและลดความเสี่ยงต่อเขาและตุลย์ ในกรณีที่แผนเกิดผิดพลาด


ถ้าเขาเป็นคนอ้าง... ศานนท์จะไม่ลงมือหนักเท่ากับหากตุลย์เป็นคนทำ เพราะทั้งสองครอบครัวต่างก็มีบุญคุณค้ำคอกันอยู่



ชายวัยใกล้กลางคนเท้าสะเอว ส่ายหน้าเบาๆ คล้ายเอือมระอานัก


“เอ็งได้ทำคุณกานต์หัวหมุนแน่... คิดอะไรของเอ็งอยู่วะ? บอกไว้ก่อนว่าถ้าส.ส.ไชยวัฒน์ตามสืบกลับมาข้าจะต้องบอกว่าเอ็งเป็นต้นเรื่อง เส้นสายข้าน่ะพอเอาตัวรอดได้แต่จะให้แบกเอ็งไปด้วยคงไม่ไหว ข้ามีลูกมีเมียแล้วจะให้มาทำอะไรเสี่ยงๆ แบบเมื่อก่อนมันไม่ได้”


“ผมรู้...” เต้ระบายลมหายใจเบาๆ ใช่ว่าเขาไม่อึดอัด


ถึงแม้จะกรอกหูตุลย์ว่าไม่ให้เป็นกังวล แต่ถ้าพูดตามตรงเขาเองก็ไม่แน่ใจนักว่าเส้นสายของพ่อจะปกป้องตุลย์ได้ตลอดรอดฝั่ง ถ้าต้องมาเจอกับผู้มีอิทธิพลอย่างส.ส. ไชยวัฒน์


แต่มันก็คุ้มที่จะเสี่ยงดู…


“เด็กที่ชื่อตุลย์นั่นสำคัญกับเอ็งมากเหรอ”


“ก็ไม่หรอก…” เต้หยุดคิดตาม “แต่มันก็เป็นสิ่งที่สมควรทำ”


ชะตาชีวิตของตุลย์เหมือนนกในกำมือคนอื่น หากได้เจ้าของที่ดูแลดีก็เป็นนกที่สวยงามต้องตามากตัวหนึ่ง แต่ถ้าตกอยู่กับคนที่เลวร้าย มันคงโดนบีบจนตายเข้าสักวัน


ในฐานะของคนที่เฝ้ามองนกตัวนี้เรื่อยมา เขาไม่สามารถทนเห็นจุดจบที่เลวร้ายของตุลย์ได้โดยไม่ลงมือทำอะไร…




---------------
ขอเสียงปรบมือให้ keyman คนแรกของเราค่ะ *เย้*
พี่เต้ได้ทำหน้าที่ดีที่สุดของเขาแล้ว แต่ไม่รู้ว่าแก้ปัญหาหรือสร้างปัญหาเพิ่มกันแน่ ถถถถถ
สำหรับตอนที่ 31 เป็นตอนแห่งการผลัดการแกงค่ะ ถถถถถถ
ออกจากยาวไปหน่อย (ตั้ง 14 หน้า) แถมยังมีแต่เรื่องแกงๆ ต้มๆ
แต่เป็นตอนที่คิดยากมากเพราะเมลล่ามีเวลาจำกัด แถมต้องเอาความตั้งใจของตัวละครสามสี่ตัวมาผูกไว้ในตอนเดียวเพื่อไขปม (ที่ไม่รู้จะไขไปทำไมเพราะเดี๋ยวก็ส่งไม้ต่ออยู่ดี ถถถถ)


เอาเป็นว่าเพื่อความสบายใจของหนูตุลย์แล้วกันค่ะ น้องแค่อยากทำอะไรงุ้งงิ้งของตัวเอง ถถถถ
สำหรับตอนหน้าพบว่าบทสรุปจริงๆ ของเรื่องแล้วค่ะ เป็นตอนเต็มตอนสุดท้ายก่อนบทส่งท้าย
รออ่านไปพร้อมกันนะคะ <3
ขอบคุณนักอ่านทุกคนที่แวะเวียนเข้ามาเสมอๆ ค่า

ปล. เมลล่าขอโทษที่อัพช้าเจ้าค่ะ เมาแว่นจนอ้วกไปวันนึง ตอนนี้ตัดแว่นใหม่แล้ว สบายตา
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (22.02.21) l 31st Night: แผนเอาคืน [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 22-02-2021 21:14:18
 o13
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (22.02.21) l 31st Night: แผนเอาคืน [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 22-02-2021 22:11:20
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (22.02.21) l 31st Night: แผนเอาคืน [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 22-02-2021 23:31:23
ตุลย์เข้าใจว่าเสี่ยเห็นคลิปเลยโกรธเหรอ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (22.02.21) l 31st Night: แผนเอาคืน [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 28-02-2021 00:29:59
อึมครึม
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (28.02.21) l 32nd Night: บทเรียนราคาแพง [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 28-02-2021 00:52:47
32nd Night : บทเรียนราคาแพง

ต่อจากนี้จะเป็นยังไงต่อ...


ตุลย์ทบทวนเรื่องราวซ้ำในหัวอีกครั้งขณะยกแก้วเหล้าสี่เหลี่ยมขึ้นดื่ม ไม่รู้เป็นแก้วหรือขวดที่เท่าไหร่ ทีแรกยังรู้สึกเครียดขึงอยู่บ้าง แต่พอดื่มหนักๆ สมองก็คล้ายจะลืมความกังวลที่มีต่ออนาคตไปสนิท พอหัวว่างเขากลับคิดถึงใครบางคนแทน...


ตุลย์เหม่อมองแก้วโปร่งทรงสี่เหลี่ยมใส่เครื่องดื่มที่มีไอน้ำเกาะพราว พอหมุนมันเข้าหน่อยไอน้ำก็จับตัวไหลรวมเป็นหยด หล่นกลิ้งลงตามข้างแก้ว ฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้สติเริ่มหนักอึ้ง


‘อย่าดื่มเยอะนัก...’


ถ้าศานนท์อยู่ด้วยก็คงพูดกับเขาแบบนี้ แล้วบางทีพวกเขาก็อาจแย่งแก้วเหล้ากันนิดหน่อย


ตุลย์ยิ้มจางๆ


เมื่อก่อนเขาไม่ชอบเวลาที่ถูกศานนท์เตือนเท่าไหร่นัก แต่พอไม่มีใครคอยห้ามไม่ให้ดื่มจนเมาอย่างตอนนั้นแล้ว กลับรู้สึกว้าเหว่อย่างบอกไม่ถูก...



เขาเกลี่ยนิ้วโป้งลบไอน้ำที่ข้างแก้วก่อนจะหันข้างฟุบหน้าลงกับโต๊ะ เขารู้ว่าตัวเองกำลังเมา แต่พอเมาความรู้สึกที่กดเก็บเอาไว้กลับทะลักออกมาราวกับสายลำธาร ต่อให้ควบคุมยังไงก็ไม่อาจขวางทางน้ำได้ และบางทีมันก็ทำให้เขาอยากร้องไห้ขึ้นมา...


ตั้งแต่คืนที่ทะเลาะกัน ศานนท์ไม่เคยโทรหาเขาอีกเลย เหมือนกับว่าเขากลายเป็นแค่เศษความทรงจำชิ้นหนึ่งในชีวิตของอีกฝ่าย ไม่มีตัวจนในปัจจุบัน


ตุลย์พลิกดูหน้าจอโทรศัพท์เงียบฉี่ที่วางคว้ำไว้บนโต๊ะ


“ตอนนี้ คุณจะเป็นยังไงบ้างนะ...”



ครึ่งชั่วโมงต่อมา การซดแอลกอฮอล์แบบไม่บันยะบันยังโดยไม่มีอาหารอื่นร่วมย่อยก็ทำให้ตุลย์ต้องสาวเท้าเร็วๆ ในสภาพโซเซทุลักทุเลมาที่ห้องน้ำ เขาพุ่งตรงไปยังห้องแรกที่ว่าง สับล็อกประตูปิดแล้วก็โก่งคออาเจียนออกมาหมดไส้หมดพุง เขาอาเจียนติดต่อกันอยู่หลายครั้งกว่าจะหายพะอืดพะอม สุดท้ายก็ตัดสินใจนั่งขัดสมาธิบนพื้นห้องน้ำจะได้ไม่พยายามต้องทรงตัว


พออาเจียนออกไปจนหมด ตุลย์ก็นั่งตัวห่อหมดแรงอยู่พักใหญ่ แต่ก็คล้ายกับสมองทำงานได้แจ่มชัดขึ้น เขานั่งพักจนแน่ใจว่าจะไม่สำรอกอะไรจากกระเพาะอีก ถึงลุกขึ้นออกมาล้างไม้ล้างมือที่อ่างล้างหน้าด้านนอก


ตุลย์มองตัวเองในกระจก สภาพของเขาในตอนนี้กระเซอะกระเซิง เสื้อยืดที่ใส่มาก็ย่นไปทั้งหลัง แถมใบหน้ายังฝาดจัดพอๆ กับรอยปื้นแดงตรงปลายจมูกเพราะเพิ่งอาเจียนไปหมาดๆ


ก็สารรูปคนเมาดีๆ นี่แหละ



ตุลย์เปิดน้ำวักล้างหน้าก่อนจะปล่อยให้น้ำไหลผ่านร่องนิ้วและฝ่ามือ เขาจ้องภาพสะท้อนของตัวเองอยู่นาน ทว่าจิตใจไม่ได้จดจ่อกับสิ่งที่เห็นแต่หลุดเข้าไปในห้วงความนึกคิด


ยิ่งเมาเขาก็ยิ่งต้านความรู้สึกของตัวเองไม่ได้



เรื่องระหว่างเขากับกาย เขาไม่รู้จะอธิบายให้ศานนท์เชื่อและเข้าใจยังไงในเมื่อหลักฐานทุกอย่างมันชี้ไปในทางตรงข้าม ตราบใดที่ยังหาทางแก้ไขเรื่องนี้ไม่ได้ เขาก็ไม่อยากเสนอหน้ากลับไปหาศานนท์ นั่นคงเป็นสิ่งที่เขาทำถ้าสติยังแจ่มชัด แต่ในเวลานี้ เขาไม่ต้องการอะไรมากกว่าการได้ฟังเสียงของอีกฝ่าย


ต่อให้มันเป็นคำด่าทอก็ไม่เป็นไร…



ตุลย์หยิบโทรศัพท์ต่อสายหาคนในความคิดอย่างกล้าๆ กลัวๆ สมองที่ยังมึนเบลอของเขาก็ทำให้มันง่ายขึ้นกว่าเวลาปกติ เขารออยู่เกือบนาที ความกล้าตอนแรกก็คล้ายจะถดถอยลงเมื่อสายใกล้ขาดเต็มที แต่ตอนที่คิดว่าถูกอีกฝ่ายเมินแล้ว จู่ๆ สายกลับถูกกดรับ


ปลายสายเงียบอยู่สองสามวิก่อนเสียงที่เขาคุ้นเคยจะเอ่ยขึ้นเบาๆ


“โทรมามีอะไร...”


มันไม่ห้วน แต่กลับฟังดูเย็นชาห่างเหินเหลือเกินเมื่อพูดกับเขา


“อา...”


พอได้ยินเสียงปลายสายแล้วน้ำตาก็เอ่อขึ้นมา ตุลย์พยายามพูดอะไรสักอย่างแต่เขากลับนึกไม่ออก ปลายสายยังคงเงียบงันราวกับกำลังรอคำตอบจากเขา


ตุลย์ได้มองพื้นซิงค์ล้างหน้า ความรู้สึกดีใจและเศร้าใจผสมตีรวนอยู่ภายในทำให้เขาจุกอักเรียบเรียงออกมาประโยคไม่ได้ ได้เพียงพูดสิ่งแรกที่ติดค้างอยู่ในใจออกไป


“ผมไม่ได้มีอะไรกับกาย ผมไม่ได้นอกใจคุณ...”


คำแรกหลุดออกไป คำอื่นๆ ก็ไหลพรั่งพรูออกมาอย่างควบคุมไม่ได้


“ที่คุณเห็นคืนนั้นมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตอนผมยังอยู่ไนต์คลับ หลังออกมาจากที่คลับ ผมไม่เคยคบกับใคร คลิปที่คุณเห็นมันเป็นเรื่องเข้าใจผิด ผมขอโทษ... ผมขอโทษที่ผมไม่บอกคุณตั้งแต่แรก แต่มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด ระหว่างผมกับเขามันไม่มีอะไรจริงๆ และผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะปิดคุณไปตลอด ผมแค่...”


ตุลย์เงียบไปชั่วอึดใจ เม้มริมฝีปากแน่น


“ผมแค่กลัว... บางทีมันทำให้ผมกลัว ผมขอโทษ...”


“แล้วถ้าฉันบอกว่าคำขอโทษของเธอมันสายไปแล้วล่ะ...”


ตุลย์นิ่งงัน เขาได้ยินเสียงศานนท์ระบายลมหายใจยาวเหยียดราวกับกำลังกลั่นความรู้สึกต่างๆ ที่เก็บเอาไว้ในข้างในออกมาเป็นคำพูด


“เธออยากรู้มั้ยฉันรู้อะไร...” ศานนท์ถาม “ฉันรู้ว่าเธอเทียวหาเด็กที่ชื่อกายมาเกือบเดือนแล้ว ทุกครั้งที่ฉันถามว่าเธอว่าไปไหน เธอก็จะโกหกหน้าตาย เธอรู้มั้ยว่ามันรู้สึกยังไงที่ต้องทนมองคนที่เชื่อใจโกหกต่อหน้าต่อตาทั้งที่รู้ความจริงอยู่แล้ว? ฉันถามเธอกี่ครั้ง เธอก็จะตอบเหมือนเดิม ถามจริงๆ เถอะเธอไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอตอนที่พูดกับฉัน...?”


กระแสเสียงของศานนท์คล้ายราบเรียบ แต่พอฟังชัดๆ แล้วมันซ่อนความรู้สึกร้าวลึกเอาไว้ภายใน


...เขาไม่รู้เลยว่าคำพูดของตัวเองทำร้ายความรู้สึกของอีกฝ่ายไว้ขนาดนี้


“แล้วตอนนี้เธอก็ยังจะโกหกอีก ฉันเพิ่งเห็นพวกเธอจูบกันที่ร้านอาหาร ยังจะบอกว่าเป็นเรื่องสมัยอยู่ไนต์คลับอีกมั้ยล่ะหึ้ม?”


คำถามนั้นทำให้ตุลย์สร่างเมาแทบในทันที เขาเบิกตากว้าง แก้ตัวอย่างวิตก


“ไม่ ผมไม่เคยจูบกับกาย คุณต้องเข้าใจผิดอะไรสักอย่าง!”


“ฉันให้อเนกตามสืบเรื่องเธอ เขาได้รูปถ่ายตอนที่เธอไปกินข้าวลูกชาย ส.ส.ไชยวัฒน์ที่ร้านอาหารวันนั้น รูปที่พวกเธอจูบกัน แล้วหลังจากนั้นเธอทำอะไรยังจำได้มั้ย...? เธอโทรหาฉันยกเลิกนัดกินข้าว ยังมีอะไรที่ฉันเข้าใจผิดอีก? ...รู้มั้ยว่าเคยฉันเชื่อใจเธอ เชื่อสัญญาที่เธอให้ เชื่อคำขอโทษของเธอ แต่ตอนนี้ฉันไม่รู้แล้วว่าที่เธอพูดเป็นความจริง หรือเธอแค่ไม่มีที่ไปแล้วถึงอยากกลับมาฉัน”


เสียงปลายสายเต็มไปด้วยแรงอารมณ์ ราวกับจะซัดความรู้สึกของตุลย์ให้แหลกทลายไปด้วย


“รู้มั้ย... ขอแค่เธอบอกฉันว่าเธอคบกับเด็กที่ชื่อกายอยู่ ฉันจะไม่ว่าเธอเลยสักคำ ฉันจะไม่ทิ้งให้เธอกลับไปในที่สกปรกแบบนั้นแค่เพราะเธอมีคนอื่นอยู่แล้ว ขอแค่เธอพูด... ไม่ใช่หลอกใช้ความรู้สึกของฉันแบบนี้”


“มะ มันไม่ใช่แบบนั้น ผมไม่ได้หลอกใช้คุณ ผมสาบาน คุณฟังผมก่อน... ผมไม่ได้โกหก ผมพิสูจน์ได้...”


เวลานี้ตุลย์แทบจะอ้อนวอน แต่ประโยคต่อมากลับสะบั้นเยื่อใยให้ขาดอย่างเย็นชา


“ตุลย์” ศานนท์เรียกชื่อเขาชัดถ้อยชัดคำ “เธอเคยได้โอกาสนั้นไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง เธอทำมันพังไปหมดแล้ว”


คนถูกเรียกได้แต่ยืนอึ้งไม่เชื่อหู


“ระหว่างเรามันจบแล้ว”


“คุณ! เดี๋ยวก่อน!”


เสียงที่ร้องห้ามนั้นแตกร้าวไม่เหมือนเสียงของเขาสักนิด แต่พูดไปได้ครึ่งเดียว สายก็ตัดขาดไป อย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงเสียงดนตรีสนุกสนานที่ดังทะลุมาจากด้านนอก


แต่สำหรับตุลย์ สิ่งที่เขาได้ยินก้องในหัวมีความเงียบสงัดราวกับเวลาหยุดนิ่ง เป็นความเงียบที่ทรมานที่สุด...


เขามองภาพของตัวเองที่ยืนนิ่งอยู่ในกระจก น้ำตาไหลลงมาเป็นทางสองข้างแก้ม เหมือนความคาดหวังและเจ็บปวดที่เก็บสั่งสมในใจตลอดหลายปีมานี้มันทลายลงมารวมกันราบเป็นหน้ากลองเดียว เขาก้มมองซิงค์ล้างหน้าด้วยสายตาที่พร่าเบลอและว่างเปล่า ทุกความรู้สึกและความทรงจำมันเอ่อล้นเป็นน้ำตา ไหลออกมาไม่หยุด


มันเกิดอะไรขึ้น เขาทำอะไรลงไป…



ตุลย์พลิกมือมองหน้าจอโทรศัพท์ที่ว่างเปล่า


ระหว่างเขากับศานนท์มันจบแล้วจริงเหรอ?


ไม่จริงหรอกมั้ง...?



แต่ถึงไม่มีศานนท์แล้วก็ไม่เป็นไรหรอก เขายังมีงานที่ตัวเองรัก ยังมีอนาคตที่อีกฝ่ายเคยมอบให้ ต่อให้คนที่มอบมันให้ไม่ได้ยืนอยู่ข้างๆ ในวันนี้แล้วก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง...


ตุลย์หลับตาปลอบใจตัวเองแบบนั้น แต่แทนที่จะเจ็บปวดน้อยลง เขากลับยิ่งจุกแน่นจนต้องกำเสื้อยืดที่ตำแหน่งอกซ้าย นิ่วหน้ากดความรู้สึกกลับลงไป


งานที่รัก เงิน ชื่อเสียง มหาวิทยาลัยดีๆ ทั้งที่มีทุกอย่างที่เป็นนิยามของชีวิตที่เฝ้าฝันหาในวัยเด็ก ทำไมถึงยังรู้สึกเยือกเย็นและว่างเปล่า…


เหมือนกับว่าสิ่งที่เขามีอยู่ในกำมือคือ ปราสาททรายที่พอถูกคลื่นซัดทีหนึ่งก็ทลายหายไปราวกับมันไม่เคยถูกก่อขึ้น เหมือนกับที่ผ่านมาเขาไล่คว้าเม็ดทรายมาเติมเต็มจิตใจ แต่ไม่ว่าเติมเท่าไหร่ก็เติมไม่เต็ม


บางทีเขาอาจไม่ต้องการปราสาททราย... เขาอาจต้องการแค่ใครบางคนที่จะอยู่ข้างๆ เป็นเพื่อนตอนที่ก่อมันขึ้นมา คนที่ทำให้การเดินทางนี้มีความหมาย


แค่ว่า วันนี้เจ้าของความหมายคนนั้นไม่อยู่กับเขา


เริ่มต้นโดยไม่เคยมีใคร... จบลงโดยไม่เหลือใคร...


ตุลย์เปิดประตูสาวเท้าเดินออกมาจากห้องน้ำทั้งน้ำตา ศีรษะของเขายังมึนตึงทรงตัวไม่ค่อยได้ เสียงดนตรีดังสนั่นพอๆ กับเสียงเชียร์จากฝูงชนเมื่อดีเจขึ้นสู่เวที ฟลอร์เต้นก็คึกคักไปด้วยนักท่องราตรีมากหน้าหลายตาเบียดเสียดกัน ลามมาจนถึงตรอกที่ตุลย์ออกมา


แสงวูบวาบและเสียง ผนวกกับคนที่เดินขวักไขว่สวนกันไปมาแน่นขนัดทำให้สมองที่ช้าอยู่แล้วเกิดอาการงุนงง ตุลย์พยายามพาร่างตัวเองหนีออกมาด้านนอก แต่ด้วยความที่เมา บางครั้งเขาก็ชนกับคนแปลกหน้าขณะที่พยายามแทรกตัวฝ่าฝูงชนไปที่ทางเข้าจนออกมาหน้าคลับได้สำเร็จ


เขาทอดสายมองทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ ตัว แต่มันไม่ช่วยให้สับสนน้อยลงเลย...


เมืองใหญ่ ตึกสูงตระหง่าน ชีวิตที่ถูกตีมูลค่าจากราคาสิ่งของ เต็มไปด้วยผู้คนแปลกหน้าและสังคมที่เขาไม่รู้จัก


ทั้งหมดนั้น ไม่มีสิ่งไหนเลยที่เขาคุ้นเคย ไม่เหมือนสักนิดกับที่ที่เขาจากมา


เขามาทำอะไรที่นี่...?


ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ขาก้าวเร็วๆ เดินกึ่งวิ่งออกมาตามฟุตบาทอย่างไร้สุดหมายปลายทาง สวนผ่านผู้ชนมากมายที่ยืนออกัน ราวกับตัวเองกำลังหนีจากบางสิ่งบาง แต่ไม่ว่าจะพยายามหนีเท่าไหร่ก็เหมือนกับว่ามันยังตามติดเขา


พอปราศจากศานนท์ ทุกสิ่งที่เคยคุ้นก็กลายเป็นไม่คุ้น ที่เคยรู้สึกปลอดภัยก็กลายเป็นหนาวเหน็บ ราวกับโลกที่เขายืนอยู่เพียงคนเดียวมันกว้างใหญ่เสียจนไม่เหมือนใบเดิม ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็เจอกับสิ่งที่ไม่รู้จัก


หรือตลอดเวลาที่ผ่านมา เพราะมีศานนท์อยู่ข้างๆ เขาจึงไม่รู้สึกถึงความอ้างว้างของมัน


ไม่รู้ว่าออกจากคลับมาไกลเท่าไหร่ จิตใจที่กำลังพังทลายลงก็ทำให้ตุลย์หยุดฝีเท้าอย่างไร้เรี่ยวแรงไปต่อ เขาทรุดตัวนั่งยองๆ ที่ใต้เสาไฟต้นหนึ่ง ใบหน้าพร่ามัวด้วยน้ำตาก่อนจะสะอื้นออกมาอย่างควบคุมไม่ได้


ทุกๆ ความสัมพันธ์ มันจบลงโดยเขาเป็นฝ่ายมองคนที่ตัวเองรักจากไป ในใจเขาวิงวอนขอร้อง เรียกหาจนเสียงแหบแห้ง แต่คนเหล่านั้นก็เคยไม่ย้อนกลับมา ราวกับการพบเพียงเพื่อจากลา


...อาจเป็นคำสาป



ไม่ก็อาจเพราะเขาไม่ดีพอที่จะรัก ถึงไม่อาจประคับประคองรักษาความสัมพันธ์ แม้แต่กับคนที่สำคัญต่อเขาที่สุดไว้ข้างกายได้


ขอโทษที่ทำให้คนรอบตัวเจ็บปวดอยู่เสมอ...


เขาไม่กล่าวโทษศานนท์ที่ตัดสินใจจากไป เมื่อเขาคือต้นเหตุของปัญหา


บางทีเขาอาจเกิดมาเพื่ออยู่คนตัวคนเดียวบนโลกก็ได้…



แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น มันคงดีกว่าถ้าเขาไม่เกิดมา จะได้ไม่ต้องเจ็บปวดทรมานกับความรู้สึกที่เติมเท่าไหร่ก็ไม่มีวันเต็ม และไม่ต้องเป็นคนเลวที่ทำให้ใครเสียใจอีก


“ผมขอโทษ...”


ตุลย์ยกฝ่ามือกุมหน้า พยายามปาดน้ำตาที่ปาดเท่าไหร่ก็ไม่หมด มันยังไหลพรั่งพรูออกมาราวกับจะไหลจนกว่าตัวเขาจะเหือดแห้งไป ตุลย์ชันเข่าก้มหน้าสะอื้นด้วยไหล่สั่นเทา ไม่รับรู้ว่าสิ่งเร้ารอบตัวอีก เขาไม่รู้ว่าใครเดินผ่านและไม่ได้ยินเสียงใด รับรู้แค่ความเจ็บปวดที่เหมือนกับส่วนหนึ่งของจิตใจโดนฉีกทิ้งไป และไม่รู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะได้มันกลับคืนมา


สัมผัสทั้งห้าที่ตัดขาดจากสิ่งเร้ารอบตัว ทำให้ไม่ได้เสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาใกล้แล้วหยุดลงตรงหน้า ตุลย์เริ่มได้สติบางส่วนตอนที่เงาสายหนึ่งทอดทับตำแหน่งเขา บดบังแสงสีเหลืองสว่างจากโคมทาง เขาเงยหน้าขึ้นตามสัญชาตญาณ แต่ภาพที่เห็นทั้งย้อนแสงและพร่าน้ำตาจนไม่อาจเห็นใบหน้าของผู้มาเยือน


ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังจำเจ้าของร่างได้ขึ้นใจ...


ศานนท์


มือของอีกฝ่ายยื่นมาตรงหน้าคล้ายจะช่วยดึงเขาให้ลุกขึ้น ตุลย์เหยียดแขนคว้ามือนั้น แต่ชั่ววินาทีที่ปลายนิ้วสัมผัสถูกไออุ่นของกันและกัน อีกซีกหนึ่งของจิตใจฉุดสติของเขากลับมา


เขายังสมควรได้รับโอกาสหรือ?


ความงี่เง่าหัวรั้นของเขาทำให้ศานนท์ผิดหวังไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง เขายังสมควรรั้งอีกฝ่ายไว้อีกหรือ?


มันอาจดีกว่าถ้าชีวิตของอีกฝ่ายไม่มีเขาอยู่ในนั้น...


ตุลย์โคลงศีรษะ ตัดใจปล่อยมือจากศานนท์ น้ำตายังไหลอาบแก้มทั้งคู่อย่างควบคุมไม่ได้ สายตาทอดมองไปแสนไกล เวลานี้ หัวใจของเขาไม่แข็งแรงพอจะมองใบหน้าของศานนท์โดยไม่รู้สึกเหมือนมันกำลังถูกทึ้งจนขาดออกเป็นชิ้นๆ ยับเยิน


ทว่ากลับเป็นศานนท์ที่ทรุดตัวนั่งข้างๆ ลงตรงฟุตบาทก่อนที่หนุ่มใหญ่จะเหยียดแขนโอบร่างที่สั่นเทาเอาไว้ แล้วลูบหลังช้าๆ อย่างปลอบประโลม


“ฉันขอโทษที่พูดแบบนั้น... กลับบ้านกันนะ”


ฟางความอดทนเส้นสุดท้ายขาดลง ตุลย์ก็สอดมือประสานกอดอีกฝ่ายไว้แน่น ร้องไห้สะอึกสะอื้นแบบที่ทั้งชีวิตไม่เคยทำมาก่อน


ขอโทษ... เพราะขนาดในวินาทีสุดท้าย เขาก็ยังคว้าความรักของอีกฝ่ายเอาไว้อย่างเห็นแก่ตัว


หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (28.02.21) l 32nd Night: บทเรียนราคาแพง [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 28-02-2021 00:53:49



หากความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาปราศจากความเชื่อใจแล้ว เขาก็ควรตัดตุลย์จากชีวิต จะได้ไม่ถลำลึกไปกว่าที่เป็นอยู่…



นั่นเป็นสิ่งสมเหตุสมผลที่สุด แต่ไม่ใช่สิ่งที่หัวใจรู้สึก


เขายังห่วงตุลย์…


และมันยากเหลือเกินที่จะมองข้ามความรู้สึกนี้



สุดท้ายความเป็นห่วงก็ทำให้ศานนท์ร้อนใจจนตามหาตัวปลายสาย เขายอมรับว่าส่วนหนึ่งพูดไปด้วยอารมณ์โกรธจากคราวก่อน บวกกับความรีบร้อนจะตัดความสัมพันธ์เพื่อที่จะไม่ต้องรู้สึกอาลัยอาวรณ์อีก แต่แทนที่จะโล่งอก มันกลับกลายปมติดค้างอยู่ในใจ


พอทราบมาบ้างว่าหลังหนีออกจากบ้าน ตุลย์ค้างอยู่กับลูกชายของอดีตมือขวา เขาจึงต่อสายหาเต้และขับรถตรงมาที่คลับ D ก่อนจะพบใครในความคิดนั่งชันเข่าร้องไห้อยู่ริมฟุตบาทที่มีผู้คนเดินสวนมาในจุดที่ไม่ห่างจากคลับมาก ศานนท์ตัดสินใจหักพวงมาลัยเลี้ยวรถจอดข้างฟุตบาท ก่อนจะลงจากรถตรงเข้าไปหา


ที่ผ่านมาเขาไม่เคยเห็นตุลย์ร้องไห้ แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่…



แววตาของตุลย์ตอนที่เงยหน้าสบตาเขามันร้าวรานเหมือนคนที่โลกถล่มลงมา อ่อนแอและเปราะบางอย่างหมดเปลือก ไม่เหมือนคนดื้อดึงหัวรั้นคนนั้นที่เขารู้จัก กลายเป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่พอปราศจากกำบังก็ไม่มั่นคงและหลงทาง และมันทิ่มแทงลึกในความรู้สึกที่ต้องรับรู้ว่า หัวใจของอีกฝ่ายแหลกลาญเพราะคำพูดร้ายกาจของเขา


วินาทีนั้น ทิฐิของเขาก็พังลงเช่นกัน


ศานนท์ทรุดตัวลงริมฟุตบาทดึงอีกฝ่ายมาปลอบประโลม เด็กหลงทางคนนั้นก็คว้าอ้อมไว้แทบทันทีเหมือนกลัวว่าเขาจะหายไปอีก พวกเขานั่งอยู่ตรงนั้นด้วยกันเกือบครึ่งชั่วโมงจนแน่ใจว่าตุลย์มีสติพอ เขาถึงประคับประคองร่างโปร่งมาที่รถซึ่งจอดอยู่ไม่ไกลเพื่อกลับบ้าน


พอถึงบ้าน หนุ่มใหญ่ขึ้นมาที่ห้องนอนพร้อมตุลย์ สับเปิดไฟดวงหนึ่งในห้อง ขณะที่อีกคนเดินไปนั่งเงียบๆ ที่ปลายเตียง ตั้งแต่กลับมาตุลย์ยังไม่ยอมปริปากพูดอะไร ศานนท์จึงเป็นฝ่ายพูดทำลายความเงียบ


“ฉันยังอยากฟังเรื่องที่เธอจะเล่า...”


“...แต่ผมไม่รู้ว่าต้องทำยังไงให้คุณเชื่อ” เสียงที่ตอบแหบแตก แผ่วเบาราวกับเหนื่อยล้าจนไม่เหลือเรี่ยวแรงจะทัดทานเขาได้ “ผมกับกายไม่ได้จูบกันจริงๆ ...”


“แต่วันนั้นเธอไปที่ร้านอาหารบูทิค แล้วก็โทรยกเลิกนัดฉัน”


ตุลย์พยักหน้าเบาๆ


“ใช่ ผมไปที่นั่นแต่ไม่ได้จูบกับใคร เขาล็อกผมแล้วขู่ให้ผมโทรยกเลิกนัดคุณ ผมไม่ได้จูบกับกาย ผมสาบาน... ที่คุณเห็นมันอาจเป็นมุมกล้อง”


ปลายประโยคอ่อนลงคล้ายขอร้องให้เชื่อ


“ข่มขู่เหรอ?”


“ผมรู้มันฟังดูเหมือนข้ออ้าง แต่เขามีคลิปของผมตอนอยู่ที่คลับ ...คลิปที่ผมมีอะไรกับเขา”


ตุลย์กัดปากเหมือนพยายามสะกดความรู้สึกที่เอ่อขึ้นมากลับลงไป แต่มันกลับพรั่งพรูออกมาเป็นคำพูด


“ผมไม่ได้มีอะไรกับเขาจริงๆ คุณเชื่อผมเถอะ... ขอร้อง... ผมไม่รู้ต้องพูดยังไงให้คุณเข้าใจแต่ระหว่างผมกับกายมันไม่เคยมีอะไรเลย ผมไม่เคยยุ่งกับเขาหลังจากที่คุณซื้อผมมาจากคุณวัตร จะให้ผมสาบานยังไงก็ได้ ผมไม่ได้ทำ ผมไม่มีทางทรยศคุณ...”


แววตาที่ช้อนมองศานนท์มันร้าวรานและเต็มไปด้วยการขอร้องเหมือนกับตอนที่เจอตุลย์บนฟุตบาท สั่นคลอนอารมณ์เขาจนต้องเบนสายตาเลี่ยงไปอีกทาง เดินไปหยุดที่ริมหน้าต่าง


เรื่องนี้เขาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง…



เขามีหลักฐานภาพถ่ายและอาจรวมถึงคลิปที่ตุลย์พูดถึง แต่หากคิดกลับกันมันจริงอย่างตุลย์ว่า ภาพถ่ายใบเดียวใช่ว่าจะยืนยันทุกอย่างได้เสียเมื่อไหร่ ในเมื่อมันเป็นภาพนิ่ง มุมกล้องคลาดเคลื่อนก็อาจทำให้เข้าใจผิดได้ ทว่า ณ เวลานี้ มันย่อมน่าเชื่อถือกว่าคำบอกเล่าลอยๆ เช่นเดียวกับเซ็กซ์เทปที่ตุลย์อ้างถึง


หลักฐานทุกอย่างมัดตัวตุลย์…



แต่มันก็ใช่ว่าจะถูกเสมอไป จากประสบการณ์ชีวิตทั้งบนดินและใต้ดิน ไม่ใช่ทุกครั้งที่หลักฐานเชื่อถือได้ บางที ‘ความเชื่อใจ’ ก็สำคัญยิ่งกว่า แม้ว่าทุกอย่างจะชี้ไปในทางตรงข้าม


เขาเคยมันพิสูจน์ด้วยตนเองมาแล้ว


ตอนนี้... ก็ขึ้นอยู่กับว่าเขาเชื่อใจตุลย์มากแค่ไหน…



คำโกหกของตุลย์บั่นทอนความเชื่อใจที่เขามีให้ มันคือเรื่องจริงที่เปลี่ยนไม่ได้ แต่ตลอดเวลาที่ผ่าน แม้ว่าตุลย์จะโกหกปกปิดเรื่องกาย ช่วงเวลาที่ใช้ร่วมกันและความรู้สึกใส่ใจที่อีกฝ่ายมีให้ เขาก็รับรู้ด้วยใจได้ว่ามันเป็นของจริง


และเหนือสิ่งอื่นใด ใจของเขายังไม่อยากปล่อยตุลย์ไป



เขายัง ‘ห่วงหา’ อีกฝ่าย ไม่ใช่เพียงในฐานะของคนที่หลงรักหรือคู่นอนที่ไม่มีสถานะชัดเจนต่อกัน แต่ในฐานะของเด็กคนหนึ่งที่ยังไม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ยังไม่แข็งแรงพอจะต่อกรกับทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ได้ด้วยคนเดียว


เขายังเชื่อว่าตุลย์ไม่ใช่เด็กที่เลี้ยงให้ดีไม่ได้

ดังนั้น...


“ฉันเชื่อเธอ”


เขาจะให้โอกาสตุลย์อีกครั้งหนึ่งแล้วกัน



ศานนท์หมุนตัว เดินวกกลับมาหาร่างที่นั่งก้มหน้าอยู่บนเตียง คำพูดของเขาทำให้อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้น นัยต์ตาที่แหลกลาญคู่นั้นพร่าเอ่อด้วยน้ำตา เห็นอย่างนั้นแล้วเขาก็ทิ้งตัวลงข้างๆ รั้งตุลย์พิงไหล่ แล้วกอดปลอบอีกฝ่ายจนกระทั่งเสียงสะอื้นเบาๆ เงียบไป แต่กว่าจะหยุดใต้ตาเจ้าของร่างก็แดงช้ำไปหมด


หลังจากที่ร้องไห้ไปอีกระลอก ตุลย์ก็ยอมเล่าเรื่องทุกอย่างของกายให้ศานนท์ฟังตั้งแต่ต้น ทั้งเรื่องที่คลับ เรื่องที่เคยถูกซ้อม เรื่องที่โดนแบล็กเมล์เมื่อต้นเดือน ไล่มาจนถึงแผนการเอาคืนที่เขาและเต้รวมหัวกันคิดขึ้น และเพิ่งดำเนินการตามแผนเสร็จหมาดๆ เมื่อสี่ทุ่มที่ผ่านมา


ฟังจบ ศานนท์ก็ถึงกับถอนหายใจยาวอย่างหมดคำพูด


“เธอรู้มั้ยว่าดื้อ หัวแข็งแล้วก็ชอบดันทุรังทำอะไรคนเดียวไปหมดทุกอย่าง” ตำหนิอย่างอดไม่ได้


ผลกระทบจากแผนของตุลย์มันโยงใยเป็นข่ายไปถึงผู้สมรู้ร่วมคิดทุกคน จนชักไม่รู้ว่าเด็กพวกนี้วางแผนแก้ปัญหาหรือเพิ่มปัญหากันแน่



“สิ่งที่เธอเพิ่งทำมันอันตรายมาก ถ้าเรื่องรู้ถึงหูส.ส. ไชยวัฒน์ว่าเธอมอมยาลูกชายเขา จัดฉากจะลักพาตัวแล้วยังขโมยโทรศัพท์มา มันไม่จบแค่นั้นแน่ ส.ส.ไชยวัฒน์ไม่ใช่คนมือสะอาด ไปเหยียบเท้าคนใหญ่คนโตแบบนั้นเข้า ต่อให้เป็นกานต์ก็ลำบาก ตราบใดที่เธอยังอยู่ในเมือง ยังเรียนอยู่ที่ม. A เธอไม่มีทางหนีเขาพ้น”


“ผมขอโทษ...” ตุลย์เอ่ยเสียงเบาหวิว


ศานนท์ถอนหายใจอีกรอบก่อนจะลุกขึ้น บอกตามตรงว่าตอนนี้เขากำลังหงุดหงิดไม่น้อย แต่ก็เลือกซ่อนสีหน้าไว้เพราะกังวลว่ามันจะส่งผลต่ออารมณ์ที่ไม่มั่นคงอยู่แล้วของตุลย์


“เอาเถอะ ยังไงพวกเธอก็ทำไปแล้ว แต่ต่อไปถ้าจะทำอะไรเสี่ยงๆ แบบนี้ ให้ปรึกษาฉันก่อนตกลงมั้ย?”


คนถูกถามพยักหน้าหงึกๆ


“คราวนี้ฉันจะต้องตักเตือนเต้สักหน่อยแล้ว ชักจะพาเธอเสียคนไปใหญ่”


“...แล้วคุณจะเป็นอะไรมั้ย” สีหน้าตุลย์ตอนที่ถามดูเป็นกังวลกับสวัสดิภาพของเขา อารมณ์โมโหเมื่อครู่ก็คลายลงบางส่วน


ศานนท์ส่ายหน้าเบาๆ “ไม่ เขาทำอะไรฉันไม่ได้ ที่เหลือเดี๋ยวฉันจะจัดการต่อเอง... เพราะถ้าฉันรู้ว่าเด็กนั่นทำกับเธอแบบนี้ ฉันก็คงไม่เอาเขาไว้แต่แรกเหมือนกัน”


-----------------------------


เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้น ชายวัยกลางคนที่นั่งเอกเขนกอยู่บนโซฟาในโถงนั่งเล่นโออ่าก็ขยับตัวเอื้อมหยิบโทรศัพท์เจ้าปัญหาที่กำลังส่งเสียง แปลกใจไม่น้อยเมื่อสายเข้าเป็นชื่อของคนที่ไม่ควรโทรมาในเวลาปกติ


“สวัสดีครับ คุณศานนท์” ไชยวัฒน์กดรับ กรอกเสียงถามตามมารยาท “มีเรื่องอะไรให้ผมรับใช้หรือครับ?”


“ผมมีเรื่องที่ ‘สำคัญมาก’ อยากจะขอคุยหน่อย ตอนนี้ผมใกล้ถึงคฤหาสของคุณแล้ว”


ผู้ฟังตกใจแทบไม่เชื่อหู ไชยวัฒน์ต่อรองขอเปลี่ยนสถานที่นัดพบ แต่ปลายสายก็ชิงมัดมือชกแกมข่มขู่เสียก่อน


“เป็นเรื่องด่วนที่รอไม่ได้ ผมอยากให้คุณเข้าใจ เห็นแก่ความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างกัน”


ถูกรุกตีถึงในบ้าน ชายวัยกลางคนก็แต่ขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ


“ถ้างั้นผมจะแจ้งคนดูแลให้เปิดประตูให้” เขายอมตกลงเพราะไร้ทางเลือก


ทางที่ดี อย่าเผลอทำอะไรขัดใจนายทุนคนนี้เข้าจะดีกว่า



ห้านาทีต่อมาเจ้าของเงินทุนรายใหญ่ของเขาก็เดินทางมาถึงคฤหาสน์ ทว่าไม่มาตัวคนเดียวแต่นำการ์ดจำนวนหนึ่งมาด้วย ยังไม่รวมถึงมือซ้ายคนสนิท บ่งบอกว่าเป็นธุระใหญ่ดังเจ้าตัวว่า


ท่าทีนั้นทำให้ไชยวัฒน์เป็นกังวล แม้เขาจะพยายามเจรจาอยู่นานสองนาน แต่ศานนท์ก็ยืนกรานจะให้การ์ดติดสอยห้อยตามเข้ามาภายในคฤหาสน์ด้วย สุดท้ายเจ้าบ้านก็ยอมผ่อนตามเพราะไม่อยากขัดใจ


ชาถ้วยเล็กถูกนำมาเสิร์ฟโดยแม่บ้านประจำตระกูล โดยที่มีการ์ดของศานนท์สองคนยืนคุมอยู่บริเวณประตูทางเข้าฝั่งใน ส่วนที่เหลือกระจายตัวตามจุดต่างๆ ในโถงห้องนั่งเล่น ทำให้บรรยากาศการสนทนาระหว่างผู้มาเยือนและเจ้าของบ้านเครียดเกร็งและกดดัน


“ผมจะเข้าเรื่องเลยแล้วกัน ลูกชายของคุณมายุ่งกับคนของผมและเขาทำให้คนของผมเสียหาย”


“ผมตักเตือนเขาไปแล้ว” ไชยวัฒน์ยืนกราน “แถมยังยอมให้คุณตักเตือนคราวนั้นอีก”


ใช่... เขาหมายถึงเรื่องพักการเรียน หากคนที่กายไปยุ่งด้วยไม่ใช่ศานนท์ เขาจะไม่ยอมเอาอนาคตของลูกชายมาเกี่ยวเป็นอันขาด



ศานนท์โคลงศีรษะเบาๆ กล่าวชัดถ้อยชัดคำ “คุณไชยวัฒน์... ลูกชายคุณแบล็กเมลคนของผม จะให้ผมนิ่งเฉยโดยไม่ทำอะไรได้ยังไง”


ผู้ฟังขมวดคิ้ว นิ่งไปอึดใจคล้ายไม่อยากเชื่อ


“ผมไม่ทราบเรื่องนั้นเลย...”


“ผมจะไม่ถือว่านั่นเป็นคำตอบ เพราะหน้าที่ของคุณคือดูแลรับผิดชอบการกระทำของลูกชาย และครั้งนี้ผลกระทบจากเรื่องที่เกิดขึ้นมันใหญ่ สิ่งที่เขาทำมันส่งผลต่อชื่อเสียงคนของผม มันทำให้ผมวุ่นวายและเกิดความเสียหายต่อธุรกิจ”


คำว่า ‘ความเสียหายต่อธุรกิจ’ ทำเอาคู่สนทนาเหงื่อตก


“ผมขอโทษแทนกายมันด้วย ผมจะตักเตือนให้แน่ใจว่าเขาจะไม่ทำอีก”


เป็นอีกครั้งที่ศานนท์โคลงศีรษะ ไม่รับคำขอโทษของอีกฝ่าย


“เรื่องนี้ผมปล่อยไปไม่ได้ ผมต้องการหลักประกันว่ามันจะไม่เกิดขึ้นซ้ำสอง พูดตามตรงผมไม่สนความสัมพันธ์ทางธุรกิจนี้ ถ้าลูกชายของคุณยังสร้างความเสียหายให้ผมและคนของผม”


ไชยวัฒน์เข้าใจนัยของประโยคดี เมื่อเรื่องเงินทุนถูกหยิบขึ้นมาต่อรอง เขาก็จำต้องยอมฟังข้อเสนอของอีกฝ่ายอย่างเลี่ยงไม่ได้


“...แล้วคุณอยากผมทำยังไง”


“ผมอยากให้เขาลาออกจากมหาวิทยาลัย”


ประโยคนั้นทำให้ชายวัยกลางคนอึ้ง เขารีบยั้งความคิดของคู่สนทนาไว้ทันที


“คุณศานนท์! ผมเข้าใจว่าคุณไม่พอใจเรื่องที่ลูกชายผมไปก่อปัญหาให้คนของคุณ แต่ผมอยากให้เข้าใจในฐานะของคนเป็นพ่อด้วย ว่าอนาคตลูกชายผมสำคัญแค่ไหน ม. A เป็นม. ที่มีชื่อเสียงด้านการแสดงที่สุดในประเทศ ผมย่อมต้องอยากให้เขาได้สิ่งที่ดีที่สุด”


“ครับ แน่นอน... ผมเข้าใจ เพราะผมก็ต้องการให้คนของผมมีอนาคตที่ดีเหมือนกัน ไม่ใช่อนาคตที่ถูกลูกชายเกเรของคุณจ้องจะคอยทำลาย ผมมีทางเลือกให้คุณทางเดียว ไม่เช่นนั้นผมจะถอนทุน...”


ศานนท์ยืนกราน แววตาของเขานิ่งเรียบแต่ไม่ว่าใครก็รู้ว่าชายคนที่อยู่ต่อหน้าเขาคนนี้พูดจริงเสมอ และเมื่ออีกฝ่ายยืนยันความต้องการชัดเจน ส.ส. วัยกลางคนก็ทำได้เพียงแค่เงียบ ด้วยความรู้สึกชาหนึบราวกับเพิ่งถูกตีแสกหน้า


แน่นอนว่าเขารักลูกชาย ไม่ว่าฝ่ายนั้นจะเกเรแค่ไหน แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ปล่อยนายทุนคนนี้ไปไม่ได้…



อิทธิพลที่ได้มาทุกวันนี้ นอกเหนือจากเงินทุนของศานนท์ที่ใช้หาเสียงจัดแคมเปญสำคัญจนชนะเลือกตั้งในเขตใจกลางเมืองกรุงได้ ก็มาจากเส้นสายเข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ที่ศานนท์เป็นคนฝากฝังกรุยทางให้ทั้งนั้น ถ้าขาดนายทุนคนนี้หนุนหลัง อิทธิพลเขาคงไม่แข็งแรงพอจะยืนหยัดในตำแหน่งทางการเมืองและธุรกิจใต้ดินได้เหมือนเดิมแน่...




“เชี่ยอะไรวะเนี่ย!” กายสบถหลังวางจากสายจากเอเจนซีโฆษณาครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้


จู่ๆ งานถ่ายแบบของเขาก็ถูกยกเลิกกลางอากาศตั้งแต่เช้า จากนั้นก็มีสายโทรเข้ายกเลิกงานไม่หยุดไม่หย่อน แต่ละงานล้วนเป็นงานใหญ่ที่ต้องอาศัยเส้นสายของพ่อในการเข้าถึง แต่พอโทรหาผู้เป็นบิดา เจ้าของโทรศัพท์ก็ไม่รับสายเสียอย่างนั้น


ด้วยเหตุนี้ เขาจึงรีบออกจากมหาวิทยาลัยขับรถตรงดิ่งกลับมาที่คฤหาสน์ด้วยความโมโหกึ่งร้อนใจ ไม่ได้ใส่ใจรถปริศนาสองคนที่จอดอยู่ตรงลานหน้าทางเข้าบ้าน พอมือคว้าลูกบิดประตูได้ กายก็โผล่หน้าเข้าไปด้านในโถงทันที


“พ่อนึกยังไงถึงปล่อยให้งานผมโดนแคนเซิล!? นี่สายเข้าไม่หยุดตั้งแต่...”


โวยไปได้ครึ่งเดียว เสียงของกายก็หายไปดื้อๆ เมื่อเขากำลังยืนประจันหน้ากับการ์ดร่างใหญ่สองคนหน้าประตู คนอื่นๆ ที่อยู่ด้านในล้วนพุ่งความสนใจมาที่เขา ยิ่งไปกว่านั้นเวลานี้ บ้านของเขาไม่ได้มีเพียงแค่พ่อและคนใช้หน้าเดิมๆ ที่เห็นจนชินตา...


โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามพ่อ วินาทีนั้น ความทรงจำคืนที่มืนเมาก็ย้อนกลับมาในสมอง...


“ผมว่าเราคุยกันมานานแล้ว คงสมควรแก่เวลา”


ศานนท์พูดกับเจ้าของบ้านก่อนลุกขึ้น การ์ดรอบตัวเขาก็เคลื่อนไหวตามราวกับเงา เพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับ


ความกลัวที่หลงเหลืออยู่จากคืนนั้นทำให้กายถอยหลังออกมาจากทางเข้าหลายก้าวเพื่อหลบให้พ้นนายทุนของพ่อ แต่แทนที่ศานนท์จะผ่านร่างของเขาไปเฉยๆ อีกฝ่ายกลับหยุดฝีเท้าประจันหน้า


“กาย” ชายวัยกลางคนเรียกชื่อเขาแบบเดียวกับคืนนั้น “ตุลย์เป็นคนของฉัน ไม่ใช่ของเธอ ที่ฉันมาวันนี้ถือว่าเป็นคำเตือนสุดท้าย เพราะหลังจากนี้ถ้าเธอยังยุ่งกับเขาอีก ไม่ว่าคฤหาสน์ที่เธอยืนอยู่นี่หรืออิทธิพลเส้นสายของไชยวัฒน์ ฉันก็จะกวาดทิ้งไม่ให้เหลือ เข้าใจมั้ย?”


สิ้นคำเตือนก่อนที่ผู้พูดจะเดินสวนออกไปเพื่อกลับขึ้นรถ กายก็ยืนแข็งทื่อเหงื่อชุ่มเย็นไปทั้งหลัง จนแน่ใจว่ารถของศานนท์ขับออกไปแล้ว เขาถึงตรงไปหาผู้เป็นพ่อ ส่งสายตาคล้ายขอให้ช่วยเหลือจากทั้งหมดทั้งมวล


ไชยวัฒน์ได้แต่ถอนหายใจ กุมหน้าผากส่ายหน้าอย่างอ่อนแรง


“แกทำให้เรื่องมันปานปลายจนฉันช่วยอะไรไม่ได้แล้ว เดี๋ยวฉันจะทำเรื่องย้ายแกม. ให้แก ไม่งั้นก็ส่งแกไปเรียนต่างประเทศซะ ถ้าแกยังรักครอบครัวนี้อยู่บ้าง ก็หยุดทำตัวเกเรแล้วเริ่มต้นเป็นผู้ใหญ่ซักที”


-----------------------------
ในที่สุดเราก็เดินทางผ่านไคลแม็กซ์ของเรื่องมากแล้วค่ะ เป็นสถิติใหม่ของเมลล่าเลยยย
ไม่รู้ว่าดราม่าแค่ไหน แต่เมลล่าพยายามที่สุดแล้วค่ะ ถถถถ

ส่วนอีกเรื่องที่จะแจ้งคือ สรุปมีตอนที่ 33 นะคะเพราะหน้ากระดาษไม่พอ
ไม่สามารถเก็บปมทั้งหมด รวมทั้งความสัมพันธ์ตัวละครให้ครบได้ก่อนตอนจบค่ะ เลยมีต่อ  555555

ทิ้งฟีตแบ็กไว้ได้เหมือนเดิมนะคะ รักนักอ่านที่สุดดดด
ขอบคุณที่ติดตามกันมาเสมอ และทำให้เมลล่ามาได้ไกลขนาดนี้ค่ะ
ตอนหน้าพบกันวันอาทิตย์นะคะ ถ้าโชคดีอาจลงบทส่งท้ายไร่เรี่ยๆ กันค่ะ
<3
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (28.02.21) l 32nd Night: บทเรียนราคาแพง [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 28-02-2021 01:09:41
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (28.02.21) l 32nd Night: บทเรียนราคาแพง [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 28-02-2021 02:42:51
 :hao5:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (28.02.21) l 32nd Night: บทเรียนราคาแพง [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 28-02-2021 02:51:15
รอครับ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (28.02.21) l 32nd Night: บทเรียนราคาแพง [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 28-02-2021 13:12:42
บอกเสี่ยตั้งแต่แรกก็ไม่ดราม่าแล้ว
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (28.02.21) l 32nd Night: บทเรียนราคาแพง [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 28-02-2021 16:21:19
หาคู่ให้เต้ด้วยนะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (28.02.21) l 32nd Night: บทเรียนราคาแพง [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 28-02-2021 17:38:12
 :mew2: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (28.02.21) l 32nd Night: บทเรียนราคาแพง [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 03-03-2021 16:19:37
บอกเสี่ยตั้งแต่แรกก็จบแล้ว แต่ตอนร้องไห้น่าสงสารมาก
 :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (06.03.21) l Last Night: หวนคืนสู่อดีต [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 06-03-2021 23:23:10
Last Night : หวนคืนสู่อดีต

 
เป็นที่รู้กันดีว่ากายมีชื่อฉาวโฉ่เรื่องทะเลาะวิวาท ข่าวการลาออกกะทันหันของเขาจึงแพร่สะพัดไปในหมู่นักศึกษาอย่างรวดเร็วและสร้างความสงสัยให้กับหลายคน กายเคยก่อเรื่องวิวาททั้งในและนอกมหาวิทยาลัยหลายครั้ง ใครๆ ก็รู้ว่าชายหนุ่มรอดมาได้เกือบปีเพราะบุญคุณของผู้เป็นพ่อที่มีต่อมหาวิทยาลัย แต่อยู่ๆ วันดีคืนดีก็ถูกพักการเรียน แถมต่อมายังย้ายออก ผู้คนจึงตั้งข้อสงสัย คาดเดาเหตุผลกันไปต่างๆ นานา
 
 
คงจะมีแค่ตุลย์ และผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์คืนนั้นที่รู้ถึงเหตุผลการลาออกของกาย…
 
 
“ดีจัง กายไม่อยู่แล้ว”
 
 
จีจี้เอี้ยวตัวบิดขี้เกียจโล่งอก หลังเก็บเครื่องเขียนและหนังสือเรียนใส่กระเป๋าถือราคาแพงใบโปรด เพื่อเตรียมออกไปทานมื้อกลางวันกับเพื่อน
 
 
เดิมทีเธอคือคนที่ถูกกายตามตื๊อมาแต่ต้น ถึงแม้พักหลังจะซาลงบ้างตั้งแต่ตกลงคบกับแม็ก แต่กายก็ยังมุ่งเป้ามาที่กลุ่มของเธอ โดยเฉพาะกับไม้เบื่อไม้เมาอย่างตุลย์ การที่อีกฝ่ายย้ายออกไปจึงเปรียบเสมือนการันตีว่าเธอและเพื่อนๆ จะไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างกลัวว่าจะถูกรังควานอีก
 
 
“เออ กูล่ะดีใจ๊ดีใจที่มันโดนพักการเรียนตอนมีเรื่องกับมึงล่าสุด ออกๆ ไปได้ยิ่งดี จะได้เลิกตามตื๊อสักที นี่กูนึกว่าต้องทนมันจนครบสี่ปีด้วยซ้ำ” แม็กย่นคิ้ว ไม่ค่อยพอใจเมื่อนึกย้อนถึงเหตุการณ์ต่างๆ ในอดีต
 
 
ในที่สุดเรื่องวุ่นวายทั้งหมดก็มาถึงตอนจบแบบที่ตุลย์คาดหวัง ครั้งหนึ่งผู้คนเคยจดจำภาพเขาในฐานะเด็กขาย แต่นานวัน ภาพลักษณ์นั้นก็ถูกกลบลบด้วยชื่อเสียงจากงานแสดง คำครหานินทาที่เคยได้ยินก็ไม่มีอีก แม้จะเสียเวลาไปเกือบปีเต็ม แต่ก็เป็นชีวิตในแบบที่เขาฝันใฝ่
 
 
ต่อจากนี้ เขาคงเป็นแค่นักศึกษาธรรมดาคนหนึ่งที่ติดจะมีชื่อเสียงนิดหน่อย ได้ใช้ชีวิตและทำกิจกรรมต่างๆ ในรั้วมหาวิทยาลัยอย่างที่ควรเป็น และเป็นอิสระจากการควบคุมของคนอื่นอย่างแท้จริง
 
 
 
 
กลางวันนั้น หลังโทรนัดเต้ออกมาทานมื้อกลางวันที่ร้านประจำอย่างเคย กลุ่มของเขาก็ย้อนกลับมานั่งเล่นที่โต๊ะม้าหินอ่อนใต้คณะฆ่าเวลาตอนบ่าย นั่งได้สักพักใหญ่ คุยกันเรื่องสัพเพเหระจนคอแห้ง จีจี้ก็เกิดหิวของกินจุกกินจิกขึ้นมา เจ้าตัวเลยอาสาออกไปซื้อเครื่องดื่มเผื่อเพื่อนโดยไม่ลืมพ่วงแม็กไปด้วย ทิ้งคนที่เหลือไว้ที่ม้านั่ง
 
 
ตุลย์มองตามชายหญิงทั้งคู่เดินลงบันไดสั้นๆ หน้าตึก จับมือกันข้ามถนนเส้นเล็กลับสายตาไป
 
 
ความสัมพันธ์ระหว่างจีจี้และแม็กไม่ถือว่าพัฒนาก้าวกระโดด นับจากวันที่เขาแนะนำให้ชายหนุ่มจีบเธอ ถึงอย่างนั้นทั้งสองก็คบกันอย่างเปิดเผย แม็กไปรับไปส่งเธอสม่ำเสมอ และทั้งคู่ก็ดูสนิทกันขึ้นกว่าเมื่อก่อนเป็นกอง
 
 
ไม่หวือหวานัก แต่ก็เป็นไปในทางบวก…

 
 
เขาอมยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเบนความสนใจมาที่ใครอีกคนซึ่งนั่งอยู่ข้างตัว กำลังตั้งอกตั้งใจเล่นเกมโทรศัพท์อย่างที่เห็นได้ไม่บ่อย
 

เขาสะสางปัญหาส่วนตัวแล้ว แต่ยังไม่ได้สะสางเรื่องที่ติดค้างกับเต้…

 
 
“เรื่องคืนนั้น มึงโดนอะไรบ้างหรือเปล่า...” ตุลย์ถาม ท้ายประโยคอ่อนลงเจือความรู้สึกผิด
 
 
“ก็นิดหน่อย"
 
 
เต้ปลายหางตามองผู้พูดวินาทีเดียว จากนั้นก็กลับไปจดจ่อกดจอต่อ
 
 
"โดนสั่งว่าถ้าจะไปไหนมาไหนกับมึงอีกให้บอกป๊าก่อนทุกครั้ง ไม่งั้นจะให้เลิกชกมวย”
 
 
“ขอโทษ...” ตุลย์หน้าเจื่อนลง
 
 
“ไม่เป็นไร”
 
 
“ไม่ใช่... กูขอโทษที่หลอกใช้ความรู้สึกมึง”
 
 
ปลายนิ้วที่เลื่อนบังคับจอพลันชะงัก เต้เงยหน้ามองคู่สนทนา สีหน้าและแววตาแสดงออกว่าแปลกใจราวกับไม่นึกว่าจะได้ยินประโยคเมื่อครู่จากปากของคนที่ตนคิดเกินเลยกว่าเพื่อน
 
 
“มึงรู้...”
 
 
“ใช่... กูรู้มาสักพักแล้ว” ตุลย์พยักหน้ายอมรับ
 

เขารู้ว่าเต้ชอบ ...รู้โดยสัญชาตญาณ ก่อนคืนที่พวกเขานอนค้างด้วยกันที่คอนโดเสียอีก
 
 
...ทั้งที่รู้ แต่ก็ยังใช้ความใจอ่อนของอีกฝ่ายขอร้องให้ทำเรื่องต่างๆ ให้

 
 
“...แล้วมึงรู้สึกยังไง? ” คำถามเรียบง่ายนั้น แต่กลับแฝงความคาดหวังรอคอยในคำตอบ มันทำให้ตุลย์กระอักกระอ่วนใจ
 
 
“กูไม่ได้รู้สึกแบบนั้น...” ร่างโปร่งระบายลมหายใจเบาๆ “กูรู้ว่ามันไม่ใช่คำตอบที่มึงต้องการ เทียบกับทุกอย่างที่มึงยอมช่วยกูแล้ว กูขอโทษ...”
 
 
ความเงียบโรยตัวระหว่างพวกเขา เสียงลมพัดตีเสียดสีกับใบไม้ดังครืดคราด กิ่งและลำต้นลู่ไหวตามแรงลม ก่อนสายลมนั้นจะพัดชโลมผ่านจุดที่พวกเขานั่งอยู่
 
 
ในที่สุด เต้ก็พยักหน้าช้าๆ คล้ายยอมรับในคำตอบของเขา
 
 
“แบบนี้ก็ดี กูจะได้เลิกหวัง”
 
 
“แต่เรื่องที่มึงเป็นเพื่อน กูไม่ได้โกหก... มึงทำให้กูนึกถึงชีวิตตอนมัธยมก่อนจะย้ายเข้ามาในเมือง ชีวิตที่นี่มันไม่เหมือนกับที่ที่กูโตมา มึงทำให้กูรู้สึกเหมือนได้กลับไปทำอะไรแบบเดิมๆ เหมือนที่เคยทำในความทรงจำเก่าๆ ... กูขอโทษที่ลากมึงมาเกี่ยวกับเรื่องของกูจนมึงซวยไปด้วย...”
 
 
ตุลย์สารภาพอย่างหมดเปลือก แต่แทนที่จะโกรธ ผู้ฟังกลับยิ้มมุมปาก นับว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ตุลย์เห็นอีกฝ่ายยิ้ม
 
 
“เออน่า กูรู้ กูยกโทษให้”
 
 
เต้ไม่ได้หลงรักตุลย์หัวปำจนประเคนทุกอย่างให้ได้เหมือนกับศานนท์ ความรู้สึกที่มีให้ตุลย์ มันคือการติดใจชอบใครสักคนหนึ่งเท่านั้น จริงอยู่ที่เขายอมทำตามคำขอของอีกฝ่ายส่วนหนึ่งก็เพราะชอบ แต่อีกส่วนก็เพราะเห็นตุลย์เป็นเพื่อนเช่นกัน
 
 
คนอย่างเขาไม่มีทางไม่นิ่งนอนใจ ปล่อยให้เรื่องอะไรเกิดขึ้นกับ ‘เพื่อน’ เป็นอันขาด
 
 
เพียงแต่เขาไม่ทราบมาก่อนว่า ตุลย์ ‘รับรู้’ ถึงความรู้สึกที่เกินเลยกว่าเพื่อนตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกัน จนกระทั่งอีกฝ่ายเปิดปากพูดเมื่อสักครู่
 

ในเมื่อตุลย์เลือกจะมาสารภาพว่ารู้เอาตั้งป่านนี้ เขาจะแก้เผ็ดด้วยการรับคำขอโทษของอีกฝ่ายไว้โดยไม่บอกอะไรก็แล้วกัน…

 
 
เต้เอื้อมมาตบไหล่เพื่อนทีหนึ่ง “แล้ววันนี้มึงจะซ้อมด้วยมั้ย กูจะได้โทรบอกป๊า”
 
 
“เออได้ กูก็ไม่ได้ชกมาสักพักแล้วเหมือนกัน” ตุลย์หักข้อนิ้วดังเปาะ ท่าทางคันไม้คันมืออย่างปากว่า
 
 
แต่การหวนนึกถึงความทรงจำเก่าๆ บางครั้งมันทำให้ตุลย์นึกสงสัยและอยากรู้ ว่า ณ เวลานี้ คนที่เขา ‘เคยรู้จัก’ จะใช้ชีวิตยังไงกันบ้าง...
 
 
-------------------------

 
ศานนท์ตื่นแต่เช้า แต่งตัวลงบันไดมาที่ชั้นล่างของบ้านเพื่อทานอาหารเช้าก่อนเข้าบริษัทตามปกติ ส่วนใหญ่เขาจะแวะไปส่งตุลย์ที่มหาวิทยาลัยก่อนเสมอ ทว่าวันนี้หนุ่มใหญ่กลับต้องเลิกคิ้วแปลกใจเมื่อพบผู้อาศัยอีกคนนั่งอยู่ที่โต๊ะทานข้าวริมประตูบานเลื่อนกระจกติดกับชานน้ำตกเล็กๆ ซึ่งอยู่นอกบ้าน กำลังรออาหาร ขณะที่หญิงวัยกลางคนผู้รับหน้าที่จัดการอาหารการกินของพวกเขาค่อยๆ ทยอยเอาเมนูต่างๆ มาเสิร์ฟที่โต๊ะ
 
 
เว้นเสียแต่ว่าร่างโปร่งยังอยู่ในเสื้อยืดกางเกงขาสั้น ไม่ใช่ชุดนักศึกษาเหมือนทุกวัน
 

ถ้าเขาจำไม่ผิด นี่เป็นสัปดาห์สุดท้ายก่อนสอบปลายภาคที่ตุลย์ยังมีเรียน…

 
 
แววตาสงสัยของศานนท์ขณะเลื่อนเก้าอี้ ทรุดตัวนั่งฝั่งตรงข้ามของโต๊ะอาหารเรียกให้ตุลย์สารภาพเสียงอ่อน
 
 
“คือ… วันนี้ผมไม่อยากไปเรียน...”
 

งั้นก็แปลว่าโดดเรียน…

 
 
หนุ่มใหญ่ลอบอือออในใจ
 
 
“เอ่อ…” ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งร่างที่นั่งตรงข้ามก็เอ่ยปากขอ “...ผมอยากไปที่ที่นึง ผมรู้ว่าคุณไม่อยากให้ผมทำอะไรคนเดียว ถ้างั้น… ผมขอให้คุณไปด้วยจะได้มั้ยครับ? ”
 
 
 
ซีดานสีดำราคาแพงเลี้ยวจากถนนใหญ่เข้าสู่ตรอกเส้นหนึ่งซึ่งเป็นซอยตัน ก่อนจะหักเทียบจอดสนิทริมฟุตบาท
 
 
ในยามกลางคืน ตรอกเส้นนี้มักคึกคักด้วยเสียงเพลงสนุกสนานจากคลับและบาร์ เป็นที่ที่เหล่าพนักงานและสิงห์อมควันมักจะออกมายืนสูบบุหรี่ผ่อนคลายอารมณ์กัน แต่ในเวลากลางวันเช่นนี้ อาคารร้านต่างๆ ยังไม่เปิดทำการ ประตูเหล็กม้วนก็ถูกรูดปิดสนิท มองดูเงียบเหงาร้างผู้คนผิดกัน
 
 
“เธอแน่ใจเหรอว่าอยากกลับมาที่นี่...”
 
 
ศานนท์ถาม สีหน้าบ่งบอกว่าไม่ค่อยสบายใจ ขณะที่ตุลย์ชะโงกผ่านกระจกเมียงมองประตูหลังของไนต์คลับ
 
 
“ฉันไม่อยากให้เธอเข้าไปข้างใน เพราะตามหลักแล้วฉันตามเข้าไปในคลับของธวัตรไม่ได้...”
 
 
หนุ่มใหญ่อธิบาย
 

แม้จะซื้อตุลย์มาในราคาที่สูงลิบลิ่วจนธวัตรพอใจ แต่ก็ใช่ว่าความสัมพันธ์ภาพรวมระหว่างเขาและธวัตรจะจบลงสวยนัก หากจะหักหาญกับผู้ที่มีอิทธิพลใต้ดิน เขาคงต้องใช้วิธีสกปรกเช่นเดียวกับฝ่ายนั้น นั่นเป็นเหตุผลที่เขาไม่ค่อยอยากล้ำเข้าไปในเขตของธวัตรหากไม่จำเป็น
 
แต่…

 
 
“ถ้าเธอยืนยันจะเข้า ฉันจะตามไปด้วย...”
 
 
คราวนี้เป็นตุลย์ที่สั่นศีรษะ รีบเบรกความคิดของหนุ่มใหญ่ “ไม่ครับ ผมไม่เข้าไปหรอก แค่จะรอคนออกมาน่ะ”
 

พูดตามตรง แค่ได้ยินชื่อ ‘ธวัตร’ เขาก็รู้สึกขื่นหูจนไม่อยากเกี่ยวพันด้วยแล้ว…

 
 
ตุลย์ทอดสายตามองประตูเหล็กหลังร้านที่เปิดแง้มไว้สามในสี่ส่วน มันยังเป็นสถานที่ที่คุ้นในความรู้สึก มีเรื่องราวทั้งดีทั้งแย่เกิดขึ้นปะปนกัน ปกติแล้ว คลับของธวัตรจะปิดดึก พนักงานจึงมักอยู่ทำตามสะอาดกันจนเกือบเช้าก่อนจะเริ่มทยอยกลับ หากเป็นสมัยที่ตุลย์ยังทำงานในคลับ ช่วงสายๆ อย่างวันนี้ น่าจะมียังมีพนักงานบางส่วนเหลืออยู่บ้าง...
 
 
จู่ๆ เงาร่างคนที่วูบไหวอยู่ด้านในร้านซึ่งไม่สว่างนักก็เรียกความสนใจตุลย์ ไม่นานชายคนหนึ่งในชุดลำลองก็ก้มตัวผ่านประตูเหล็กออกมาด้านนอก สบโอกาสตุลย์จึงเลื่อนกระจกข้างลง ตะโกนเรียกพนักงานชายคนนั้นเต็มเสียง
 
 
ฝ่ายผู้ถูกเรียกชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็เปลี่ยนเส้นทางเดินเข้ามาใกล้รถซีดานคันสีดำอย่างลังเล พลางก้มตัวนิดหน่อยเพื่อให้เห็นผู้เรียก ก่อนต่างคนต่างตกใจเมื่อเห็นหน้ากันและกันชัด
 
 
“พี่ที่เป็นบาร์เทนเดอร์ประจำนี่! ”
 
 
“ใช่ ตุลย์ใช่มั้ย? อยู่ๆ ก็หายหน้าหายตาไป ไม่ได้มาทำที่คลับตั้งเกือบปีแล้วนี่นา? ”
 
 
เจ้าของชื่อพยักหน้า ยิ้มนิดหน่อย “ครับ พอดีมีปัญหาส่วนตัวครับ เลยเลิก”
 
 
เขาตอบโดยเลือกที่จะไม่เล่ารายละเอียดอะไร
 
 
“แล้วเก้าล่ะครับ ยังทำงานที่นี่อยู่มั้ย”
 
 
“ก็เข้านะ แต่ว่าเข้าสัปดาห์ละแค่สองครั้ง เห็นว่าเรียนหนักขึ้นเลยมาทำบ่อยๆ ไม่ได้”
 
 
คำตอบของบาร์เทนเดอร์หนุ่มทำให้ตุลย์ถอนใจโล่งอก
 

เมื่อเช้าเขายังเป็นกังวลอยู่ว่าจะหาตัวอดีตเพื่อนไม่พบแล้ว…

 
 
“แล้วเข้าวันไหนบ้างครับ”
 
 
“วันที่บาร์คนไม่พอ... น่าจะศุกร์กับเสาร์นะ”
 
 
“เหรอครับ อีกนานเลย...” ตุลย์มุ่นคิ้วครุ่นคิด
 

วันนี้เพิ่งวันจันทร์ เขาไม่อยากรอนานถึงวันศุกร์เพื่อพบเก้า แถมการเข้าไปในคลับยังไม่ใช่ทางเลือกที่ดีอีกด้วย…

 
 
“อ้าว ทำไมไม่โทรไปล่ะ เปลี่ยนเบอร์หรือยังไง? ”
 
 
ตุลย์รีบพยักหน้าหงึกหงัก
 
 
“งั้นเอาโทรศัพท์มานี่ เดี๋ยวจะเมมเบอร์ให้”
 
 
บาร์เทนเดอร์ชายล้วงหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกง เขาจิ้มหน้าจอเครื่องตัวเองอยู่พักหนึ่งก็แบมือขอโทรศัพท์จากตุลย์ไปจดเบอร์ ก่อนจะถึงส่งคืนให้เขา
 
 
 
เที่ยงนั้น ตุลย์จึงต่อโทรศัพท์หาอดีตเพื่อนเพื่อนัดออกมาทานมื้อกลางวันแถวโซนร้านอาหารใกล้กับมหาวิทยาลัยของอีกฝ่าย เสียงปลายสายฟังดูตกใจมากตอนที่รู้ว่าเป็นเขาก่อนจะเริ่มโวยวายใส่เพราะเขาขาดการตัดติดกับฝ่ายนั้นไปเกือบปี ตุลย์ต้องพยายามอธิบายอยู่นานกว่าเก้าจะยอมเข้าใจเหตุผล แต่ก็ไม่วายยังโดนด่าทิ้งท้าย
 
 
“ขนาดเบอร์กูมึงก็ยังไม่เก็บไว้ ใจดำชิบหาย! ”
 
 
หลังจากที่ยอมรับคำขอโทษของเขา ตุลย์ก็นัดเจอเก้าที่ร้านอาหารชั้นใต้ดินของห้างสรรพสินค้าหรูขึ้นชื่อ ใกล้มหาวิทยาลัยของอีกฝ่ายชนิดที่เดินมาก็ถึง
 
 
ตุลย์เคยมาที่ห้างนี้ครั้งหนึ่งตอนที่ซื้อเนกไทให้ศานนท์ แต่พอเป็นชั่วโมงเร่งด่วนที่เต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่านอย่างตอนนี้ เขากลับต้องอาศัยหนุ่มใหญ่ที่คุ้นชินกับพื้นที่กว่าคอยนำทาง
 
 
“น่าจะร้านนี้ล่ะ”
 
 
ศานนท์ดันหลังเขาเบาๆ ผ่าผู้คนมาถึงหน้าร้านอาหารไทยแห่งหนึ่งซึ่งมีลูกค้าจับจองเกือบเต็มพื้นที่แล้ว ทันทีที่มาถึงตุลย์ก็พบเก้ายืนละล้าละลังคล้ายไม่แน่ใจอยู่หน้าร้าน อีกฝ่ายเผยสีหน้าตื่นเต้นเมื่อเห็นเขา ก่อนจะวิ่งเข้ามาคล้องคอโอบไหล่แน่นด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลเหมือนรัดกันให้ตายไปข้าง
 
 
“ไม่เจอกันนานมาก กูนึกว่าจะไม่ได้เห็นหน้ามึงแล้วซะอีก ...จะว่าไปมึงนี่ตัวแน่นขึ้นเยอะ” พูดพลางมองร่างของเขาอย่างพินิจพิเคราะห์หัวจรดเท้า “ไปเล่นกล้ามมาใช่มั้ย ตอบมา! ”
 
 
“ใช่” ตุลย์กอดคอตอบ
 
 
จังหวะที่สายตาของเก้ามองข้ามไหล่เพื่อนไป ก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าเพื่อนของเขาพ่วงท้ายใครอีกคนหนึ่งมาด้วย ชายหนุ่มหรี่ตาเล็ก หันไปกระซิบกระซาบกับเพื่อนเกลอ
 
 
“ผู้ปกครองเหรอ? ทำไมกูคุ้นหน้าเขาจัง...”
 
 
“แขกคนนั้นไง ที่กูทำโคล่าของมึงหกใส่”
 
 
ผู้ฟังร้อง ‘อ๋อ’ ทีหนึ่งก่อนจะยิ่งย่นคิ้วหนักกว่าเก่า
 
 
“แล้ว...”
 
 
“กูอยู่กับเขามาเกือบปีแล้วตั้งแต่ออกมาจากคลับ”
 
 
เก้าตาโต ริมฝีปากขยับเป็นคำว่า ‘ว้าว’ โดยปราศจากเสียง ก่อนจะปล่อยมือจากคอตุลย์แล้วหันไปสวัสดีหนุ่มใหญ่อย่างกลัวว่าจะเสียมารยาท
 
 
พอแจ้งจำนวนคนกับบริกรหญิงหน้าร้าน เธอเชิญพวกเขาเข้าไปด้านในแล้วนำเมนูอาหารมาให้ ศานนท์นั่งทานข้าวกับทั้งสองด้วยโดยนั่งตำแหน่งข้างตุลย์
 
 
ทีแรกเก้าก็ออกจะเกร็งอยู่บ้าง แต่พอตุลย์เริ่มถามถึงเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นหลังจากที่แยกกัน ชายหนุ่มก็ดูผ่อนคลายขึ้น เล่าเรื่องของตัวเองเป็นต่อยหอย
 
 
“แล้วพี่บีล่ะ”
 
 
ฟังเรื่องของเก้าจบ ตุลย์ก็อดถามถึงอีกคนหนึ่งไม่ได้ สำหรับเขาบีเป็นเสมือนพี่สาวที่เขายังห่วงใยและอยากรู้ความเป็นไปของเธอ
 
 
“เออ นั่นแหละ ว่าจะเล่าอยู่”
 
 
เก้าเว้นจังหวะเล็กน้อย ตาวาวตอนที่เห็นกุ้งแม่น้ำตัวใหญ่นอนคว่ำอยู่ในต้มยำหม้อไฟที่บริกรยกมาเสิร์ฟ
 
 
“พี่บีเพิ่งออกจากคลับไปเมื่อประมาณสามเดือนก่อนหน้านี้เอง พอออกปุ๊บกูก็เหงาเลย เมื่อก่อนเห็นบ่นว่าเก็บเงินได้พอประมาณแล้วจะออกไปทำร้านอาหารที่บ้านเกิด เมื่อสามเดือนก่อนพี่เขาได้เงินก้อนโตจากลูกค้าพอดี ก็เลยตัดสินใจออกจากที่คลับ...”
 
 
ตุลย์พยักหน้า เขายังจำความฝันที่เธอเล่าตอนเมาได้
 
 
“แล้วร้านอยู่ที่ไหน กูว่าจะไปเยี่ยมพี่บีหน่อย”
 
 
“แถวศาลากลางจังหวัด N” คำตอบนั้นทำให้ตุลย์ผงะไปเล็กน้อย “เออ มึงได้ยินถูกแล้ว... พี่บีเปิดร้านตรงนั้นเพราะมันใกล้แลนมาร์กสำคัญของจังหวัด เขาโทรมาเล่าให้กูฟังเรื่องร้านสัปดาห์ละครั้ง นี่กูก็ว่าจะแวะไปเยี่ยมอยู่เหมือนกัน แต่ติดสอบ ยังไม่มีเวลา แค่ออกมาหามึงได้ก็เก่งแล้ว”
 
 
“งั้นกูจะบอกพี่บีให้ว่ามึงฝากความคิดถึงมา” ตุลย์แซว ก่อนจะหันไปถามอีกคนที่นั่งทานข้าว ฟังบทสนทนาของพวกเขามาตลอด
 
 
“วันนี้คุณว่างทั้งวันมั้ยครับ ถ้าไม่ว่างผมจะไม่รบกวน...”
 
 
“ว่าง...” คำตอบนั้นแฝงด้วยความเอาใจ “มันไม่ไกลเท่าไหร่ ข้างๆ กรุงเทพนี่เอง ฉันขับพาเธอไปตอนบ่ายได้”
 
 
หลังจากที่ปล่อยให้ตุลย์และเพื่อน คุยเรื่องต่างๆ และรับประทานอาหารกันจนใกล้อิ่ม ศานนท์ก็ถือโอกาสเรียกบริกรมาที่โต๊ะเพื่อชำระยอดค่าอาหารทั้งหมด ก่อนจะหยิบบัตรเครดิตใบหนึ่งส่งให้
 
 
“เอาเครดิตฉันจ่ายก็แล้วกัน มื้อนี้ฉันขอเลี้ยงเธอ… แล้วก็เพื่อนเธอด้วย”
 
 
หนุ่มใหญ่บอกเขา คำพูดแฝงนัยเล็กๆ คล้ายอยากจะชดเชยให้กับช่วงที่พยายามตัดขาดความสัมพันธ์จากเขา ฝ่ายเก้าก็รีบขอบคุณชายวัยกลางคนพัลวัน เนื่องจากอาหารมื้อนี้ค่อนข้างแพงเอาเรื่องแม้จะหารจ่ายกับเพื่อนแล้วก็ตาม
 
 
“ฉันจะโทรสั่งงานอัฐสักสองสามเรื่องก่อน รออยู่ข้างนอกนะ”
 
 
“ครับ” ตุลย์พยักหน้ารับ
 
 
ลับหลังที่ร่างสูงของชายวัยกลางท่าทางภูมิฐานร่ำรวย เดินสวนประตูทางเข้าออกไปเพื่อคุยโทรศัพท์หน้าร้าน เก้าก็รีบก้มตัวมาด้านหน้า เขยิบเข้ามาใกล้เขา กระซิบเสียงแหบคล้ายไม่อยากให้ใครได้ยิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เพิ่งจ่ายค่าอาหารทั้งหมดไป
 
 
“มึงกับเขาเป็นอะไรกันอ่ะ? ยังไม่เล่าให้กูฟังเลยนะ”
 
 
เก้าลอบสังเกตมาตั้งแต่ตอนที่ทานอาหาร แม้ว่าชายคนนั้นจะไม่ได้แสดงท่าทางใดออกหน้าออกตา แต่ระหว่างที่ทานข้าวกัน ก็มีอยู่หลายครั้งที่ฝ่ายนั้นแนะนำให้เพื่อนเขาลองทานบางจานที่รสชาติถูกปาก ตุลย์ก็ทำตามคล้ายกับว่าเคยชิน จะมีก็แต่คนนอกอย่างเก้าที่สังเกตุเห็นความ ‘เกินกว่าธรรมดา’ ของทั้งคู่
 
 
“เขาเป็นคนที่สำคัญมากๆ สำหรับกู กูมีวันนี้ได้เพราะเขาเป็นทุกอย่างให้ กูไม่รู้จะอธิบายยังไง... แต่ถ้าตอนนั้นไม่เจอเขาเพราะทำโคล่าของมึงหกใส่ กูอาจไม่ได้กลับมาเจอหน้ามึงอย่างวันนี้ก็ได้...”
 

หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (06.03.21) l Last Night: หวนคืนสู่อดีต [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 06-03-2021 23:29:20
 
 
ศานนท์มาส่งเก้าที่มหาวิทยาลัย เพื่อให้เวลาตุลย์ได้ล่ำลากับอดีตเพื่อนนานขึ้นหน่อย ก่อนจะตีรถมุ่งหน้าออกสู่จังหวัด N ตามคำขอของร่างโปร่งข้างกาย ถนนในเขตเมืองเต็มไปด้วยรถยนต์ต่อแถวยาวเหยียด จอดรอสัญญาณไฟเขียว แต่พอออกสู่ถนนเส้นนอกสายหลักสี่เลนที่มุ่งหน้าสู่ต่างจังหวัด ซีดานสีดำก็เร่งความเร็วขึ้นไปถึงสิบแปดเพราะสภาพ การจราจรที่โล่งต่างกันโดยสิ้นเชิง
 
 
ภาพตึกแถว อาคารพาณิชย์ และร้านอาหารสวยงามเรียงถี่ติดกันตลอดแนวอย่างในเมืองใหญ่ ตอนนี้เหลือเพียงตึก อาคารบ้านเรือนที่ตั้งกระจายตัวห่างกัน มีร้านอาหารบ้างประปราย ตุลย์เหม่อมองสองข้างทางก็เห็นพื้นที่เขียวชอุ่มขึ้นแซมเป็นระยะ ให้ความรู้สึกเป็นอิสระและคุ้นเคยกว่าทุกครั้ง
 

เหมือนกับถนนที่บ้านเกิดเขาไม่มีผิด…

 
 
“เมื่อก่อนฉันก็เคยคิดนะว่าอยากเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเอง เป็นพ่อครัวเอง หรือถ้าทำไม่ไหวก็จ้างคนมาเป็นลูกมือสักโขยงนึง” เสียงของศานนท์เรียกให้ตุลย์เบนความสนใจกลับมา
 
 
“คุณทำอาหารอร่อยนี่ ต้องขายดีแน่”
 
 
หนุ่มใหญ่เหลือบมองเขาแว่บหนึ่ง จากนั้นใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้ม
 
 
“อย่าพูดอย่างนั้น เธอจะยุให้ฉันทำขึ้นมาจริงๆ ...รู้มั้ย ตอนจบใหม่ๆ ฉันอยากทำร้านอาหารมากกว่ากลับมาทำกงสีขายชาที่บ้านอีก”
 
 
ศานนท์พูดเหมือนกับว่าธุรกิจชาของเขาเป็นแค่ร้านขายของชำเล็กๆ
 
 
“แต่คุณก็ชอบชานี่”
 
 
“แต่ชาที่ชอบก็ไม่ใช่ชาที่ฉันทำ”
 
 
ได้ยินแล้ว ตุลย์ก็หลุดหัวเราะตาม “...แต่ผมว่าก็ตลกดีนะ ของที่อยากทานไม่ได้ทำ ส่วนของที่ทำไม่อยากทาน...”
 
 
แต่ชีวิตมันก็แบบนี้แหละ... ต่อให้มาจากครอบครัวที่รวยล้นฟ้าแบบศานนท์ ก็ใช้ว่าจะควบคุมทุกเรื่องในชีวิตได้เสียเมื่อไหร่
 
 
“แล้ว...” วินาทีหนึ่งที่ตุลย์ชั่งใจว่าจะพูดถึงดีหรือไม่ แต่สุดท้ายเขาก็ถาม “ผมยังขอทวงสัญญาเรื่องที่คุณจะทำอาหารให้ทานได้เปล่าครับ? ”
 
 
“วันไหนล่ะ” ศานนท์ถามกลับทันที
 
 
“เรื่องเวลา ผมต่างหากที่น่าจะต้องถามคุณ เพราะถ้าเป็นคุณ ผมก็สะดวกทุกวันนั่นแหละ...” ท้ายประโยคอ่อนลงมาก
 
 
ศานนท์ปรายตามองคนที่พูดจบปุ๊บก็เบนสายตาออกไปนอกหน้าต่างทันที เขาลอบยิ้มบางๆ ก่อนจะหันไปสนใจถนนลาดยางเบื้องหน้า
 
 
“งั้นพรุ่งนี้หลังเลิกเรียน ฉันไปรับที่ม. แล้วจากนั้นเราค่อยไปเลือกของกัน...”
 
 
ตุลย์พยักหน้า ปล่อยศีรษะพิงกระจก ขณะทอดมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างที่เคลื่อนตัวผ่านช่องกระจกเล็กๆ อากาศเย็นสบายกับเสียงเพลงคลอเบาๆ จากเพลย์ลิสของเขา ...โดยที่มีคนสำคัญคนนั้นอยู่ข้างๆ
 

แบบนี้รู้สึกดีจัง…

 
 
 
เนื่องจากร้านของบีตั้งอยู่ใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ วนรถหาตามเส้นทางที่เธอคอยบอกผ่านโทรศัพท์เป็นระยะก็พบที่หมายอย่างไม่ยากเย็น ซีดานสีดำหักเลี้ยวเข้ามาในลานจอดรถกว้างเทคอนกรีตที่มีต้นไม้ปลูกเรียงกันเป็นทิวยาวล้อมรอบ มีไม้พุ่มออกดอกสีสดปลูกแซมเป็นครั้งคราว ก่อนที่รถยนต์จะจอดตรงมุมร่มรื่นมุมหนึ่งใกล้กับซุ้มแมกไม้ทางเข้า
 
 
มาถึงที่หมาย ผู้มาเยือนทั้งสองก็ลงจากรถ พวกเขาเดินตามทางเท้าอิฐบล็อกผ่านซุ้มแมกไม้เข้ามาลึกอีกหน่อยก็พบอาคารร้านที่ค่อนข้างทันสมัยเน้นโทนสีน้ำตาลเป็นหลัก ตัวอาคารส่วนใหญ่เป็นคอนกรีตที่แต่งทับด้วยอิฐมอญก้อนสี่เหลี่ยมเล็กสีแดงส้ม แต่ก็มีบางส่วนที่ทำจากไม้ ให้กลิ่นอายเหมือนคาเฟ่อยู่ไม่น้อย ตำแหน่งของร้านตั้งอยู่ติดริมน้ำ โดยที่ด้านข้างสร้างเป็นชานไม้เปิดโล่งต่อยาวลงไปในแม่น้ำ มีโต๊ะเก้าอี้ไม้เคลือบเงาสวยตั้งไว้รองรับลูกค้าหลายโต๊ะ แต่เนื่องจากยังเป็นเวลากลางวัน พื้นที่ส่วนนี้จึงร้างคนไม่คึกคักเหมือนอย่างในร้านซึ่งเป็นพื้นที่ปิดติดเครื่องปรับอากาศ
 
 
นอกเหนือจากนั้น บียังจัดและตกแต่งสถานที่ไว้ให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปอีกหลายจุด ไม่ว่าจะเป็นซุ้มต้นไม้ด้านหน้า ริมระเบียงชานเรือนติดน้ำ หรือแม้แต่บันไดหลอกๆ ที่ต่อขึ้นไปชั้นสองซึ่งปราศจากประตู ไว้สำหรับถ่ายรูปคู่กับชื่อร้านที่เป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษพิมพ์สีดำ เรียงห่างๆ กันบนกำแพงอิฐมอญ
 
 
แวะชื่นชมบรรยากาศจนพอใจ ทั้งคู่ก็ผลักประตูเข้ามาด้านในร้านซึ่งเป็นห้องแอร์เย็นฉ่ำ เสียงกระดิ่งดังกรุ๊งกริ๊งเบาๆ เจ้าของร้านสาวสวยวัยยี่สิบห้าในผ้ากันเปื้อนสีดำกับเดรสลูกไม้แขนฟูๆ สีขาวทั้งตัวก็วิ่งแจ้นออกมาพร้อมรองเท้าแตะแฟชั่นคู่สวยของเธอ
 
 
“ตุลย์! ” บีเรียกชื่อน้องชาย วิ่งมากอดแน่นจนหายคิดถึง ตุลย์ก็กอดตอบเธอแบบเดียวกัน
 
 
ก่อนหญิงสาวจะตกใจเมื่อเห็นผู้ชายท่าทางภูมิฐานในชุดลำลองอีกคนหนึ่งเดินตามหลังเข้ามาด้วย
 
 
เธอจำชื่อและหน้าเขาได้แม่นเพราะเคยเจอกันที่คลับแม้จะแค่ครั้งเดียว ทว่าบรรยากาศรอบตัวของศานนท์คราวนี้แตกต่างจากครั้งแรกมาก ไม่เคร่งขรึม คุระอุเหมือนตอนที่เธอยังนั่งข้างธวัตรในฐานะเด็กขาย ระหว่างที่ทั้งคู่ ‘คุยธุระ’ กัน
 
 
“ขอบคุณมากๆ ที่ช่วยดูแลตุลย์นะคะ” หญิงสาวพูดอย่างรู้ทัน ถือโอกาสไหว้ทักทายด้วยในตัว “ถึงจะดื้อแล้วก็หัวแข็งไปหน่อย แต่ตุลย์ก็เป็นเด็กดีนะ”
 
 
ศานนท์พยักหน้าทีหนึ่ง “แต่ก็ดื้อจริงๆ นั่นแหละ”
 
 
“อย่าไปตามใจน้องมันเยอะค่ะ คุณศานนท์ต้องหมั่นคอยเขี้ยวๆ หน่อย” เห็นว่าคู่สนทนาปล่อยตัวสบายๆ หญิงสาวหัวเราะร่า
 
 
ฝั่งคนโดนแซวอย่างตุลย์ได้แต่ยืนเกาหัวเก้อ ขณะมองศานนท์กับบีคุยเข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยพอพูดถึงเรื่องของเขา ทว่าอยู่คุยได้ไม่นาน บีก็จ้องเชิญพวกเขานั่งที่โต๊ะโซฟานุ่มฝั่งหนึ่งในร้าน วางเมนูรายการทิ้งไว้ ก่อนจะวิ่งกุลีกุจอไปยกอาหารจากในครัวออกมาเสิร์ฟให้ลูกค้าโต๊ะอื่นๆ
 
 
“ทานอะไรมั้ยครับ” พอเหลือกันอยู่แค่สองคน ตุลย์ก็ส่งเมนูให้หนุ่มใหญ่ “ผมยังไม่ค่อยหิว ว่าจะสั่งเป็นพวกน้ำปั่น”
 
 
“ไม่ลองพวกแอพพิไทเซอร์หน่อยเหรอ? ”
 
 
ศานนท์วาดปลายนิ้วไล่อ่านชื่อเมนูของทานเล่นค่อนข้างจริงจัง ตุลย์ก็พอเดาได้ว่าหนุ่มใหญ่คงเริ่มหิวแล้ว
 

ปกติเขาไม่ค่อยทานของว่างระหว่างมื้อเท่าไหร่ แต่ไหนๆ ศานนท์ก็อุตส่าห์ขับรถพาเขาออกมาไกลถึงร้านอาหารของบี จะเว้นไว้สักวันก็แล้วกัน…

 
 
“คุณเลือกสิครับ เดี๋ยวผมแย่งคุณทานดีกว่า” ตุลย์เผยรอยยิ้มขี้เล่น
 
 
หลังรับเมนูอาหารจากพวกเขา บีก็หายไปสักพักใหญ่ๆ แล้วออกมาพร้อมกับอาหารสองจาน จานหนึ่งเป็นสลัดที่ถูกจัดเป็นคำเล็กๆ กะทัดรัด ส่วนอีกจานเป็นกุ้งที่นำไปผัดคลุกเครื่องเทศฝรั่งและน้ำปั่นอีกหนึ่งแก้ว ประจวบเหมาะกับเป็นช่วงที่ลูกค้าเริ่มซาพอดี เธอเลยถือโอกาสลากเก้าอี้มานั่งตัวโต๊ะกับพวกเขา โดยไม่ลืมกวักมือเรียกผู้ชายอีกคนที่อยู่ในครัวด้วย
 
 
“นี่แฟนพี่ คบกันมาได้สองเดือนกว่าแล้ว เราเจอกันตอนเริ่มทำร้าน เขาสมัครมาเป็นลูกมือพี่”
 
 
เธอเล่าเสียงใสขณะจับมือชายสวมผ้ากันเปื้อนที่อายุอ่อนกว่าหลายปี
 
 
“...ไม่มีใครอยากทำอาชีพแบบนี้ไปตลอดชีวิตหรอก คนเรามันต้องเดินหน้า ไม่ใช่จมปลักอยู่กับที่ พี่มีครอบครัวต้องดูแล แล้วก็อยากมีครอบครัวเป็นของตัวเหมือนกัน เมื่อสามเดือนก่อนได้เงินก้อนใหญ่จากลูกค้าพอดี โชคดีว่าไม่ได้มีพันธะอะไรกับที่คลับก็เลยตัดสินใจเลิก พอออกมาก็ใช้เงินที่ได้ทำร้านอาหารใกล้ๆ แหล่งท่องเที่ยว ลูกค้าก็พอมี เงินทุนก็เป็นเงินเย็น ชีวิตใหม่ที่นี่ก็มีความสุขดี แถมยังมีลูกมือน่ารักๆ แบบนี้อีก! ”
 
 
บีขยิบตาให้แฟนหนุ่มทีหนึ่ง ก่อนจะถูกขัดความหวาน เมื่อลูกค้าโต๊ะข้างๆ เรียกเช็กบิลล์ เธอเลยจำต้องปล่อยมือให้แฟนไปเก็บค่าอาหารแทน
 
 
“แหม ก็กินเด็กน่ะเป็นอมตะ! จริงมั้ยล่ะคะคุณศานนท์? ”
 
 
บียักคิ้วพยักพเยิดใส่หนุ่มใหญ่ คนถูกแซวก็หัวเราะขบขัน
 
 
“จริงสิ! ” จู่ๆ เจ้าหล่อนก็นึกบางอย่างขึ้นได้ “นายเป็นดาราแล้วนี่ใช่มั้ย ฉันเห็นในโฆษณา แล้วก็พวกคลิปที่ตัดอยู่ในเน็ต แต่ฉันยังไม่ได้ดูซีรีส์ที่เล่นหรอกนะ ยังไม่มีเวลา เดี๋ยวนี้หัวหมุนทั้งวัน”
 
 
“โธ่ พี่ต้องดูเยอะๆ เรตติ้งผมจะได้พุ่ง สนับสนุนสิครับ คนกันเอง พี่จะทิ้งน้องนุ่งตาดำๆ ได้ลงคอเชียวเหรอ” ตุลย์กระตุกยิ้มยียวนเธอ
 
 
”โอ๊ย ฉันเปิดให้ลูกค้าดูแล้วกัน เผื่อแกได้แฟนคลับเพิ่ม” พูดจบเธอก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เปิดแอปพลิเคชันถ่ายรูปคู่ใจ “มามะ ก่อนอื่นมาทำตัวเป็นน้องที่ดี ถ่ายรูปด้วยกันก่อน ฉันจะเอาไปลงโปรโมตร้าน แคปชั่นแบบ ‘ว้ายๆๆ อาหารร้านหนูอร่อยจนดาราต้องมาค่ะ! ’ รับรองขายดิบขายดีแน่นอน”
 
 
“ได้สิพี่”
 
 
ตุลย์เหยียดตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เดินอ้อมไปเกาะหลังเก้าอี้เธออย่างสนิทสนม ในขณะที่หญิงสาวเอียงหน้าจอเก็บรูปมุมต่างๆ อีกหลายรูป แถมยังให้อ้อนให้แฟนหนุ่มของเธอถ่ายเพิ่มให้อีก
 
 
หลังจากแต่งรูป คิดแคปชั่นต่ออีกราวสิบห้านาที เธอก็ตัดสินใจโพสต์ลงหน้าเพจของร้าน จากนั้นก็พลิกจอโทรศัพท์อวดเขาและศานนท์อย่างภูมิอกภูมิใจ
 
 
จวบจนกระทั่งทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อย ตุลย์ก็ขอตัวกลับ
 
 
“เพิ่งบ่ายสามเอง ไม่อยู่ต่ออีกหน่อยล่ะ? ” ศานนท์ถาม ยังเหลือเวลาเหลืออีกหลายชั่วโมงกว่าอาทิตย์จะตกดิน ฝ่ายบีก็พยักหน้าเห็นดีเห็นงามด้วย
 
 
“คือว่า... มีอีกที่นึงที่ผมอยากไป”
 
 
คำตอบนั้นเรียกให้ศานนท์เลิกคิ้วเล็กน้อย
 
 
“มาพรุ่งนี้มั้ย เดี๋ยวฉันขับรถพามาอีกรอบก็ได้” เขาเกลี้ยกล่อมเนื่องจากเกรงว่าจะไม่ทัน ตุลยเผยสีหน้าลังเลอย่างมาก แต่สุดท้ายก็โครงศีรษะเบาๆ
 
 
“ผมว่ามันไม่ไกลเท่าไหร่... ขับรถต่ออีกสิบห้านาทีก็น่าจะถึง”
 
 
พอบอกชื่อสถานที่หมายให้ฟัง ศานนท์ก็ชะงักเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า
 
 
“งั้นไปกันตอนนี้เลยแล้วกัน”
 
 
“วันนี้ขอบคุณที่มาเยี่ยมร้านนะ ดูแลตัวเองด้วยนะ”
 
 
บีลุกขึ้นกอดลาคนที่เปรียบเสมือนน้องชาย ก่อนจะเดินไปส่งทั้งสองที่ซุ้มไม้หน้าร้าน ลับหลังที่ตุลย์เดินทิ้งห่างออกไปหน่อย เธอก็หันไปหาศานนท์ ฝากฝังใครอีกคนด้วยน้ำเสียงห่วงใยอย่างตั้งใจให้ได้ยินกันแค่ระหว่างกัน
 
 
“ฝากดูแลตุลย์ด้วยนะคะ น้องมันตัวคนเดียวไม่มีใคร ทำอะไรงกๆ เงิ่นๆ ตามประสาเด็ก สัญญาได้มั้ยคะ? บีแค่อยากให้น้องมีชีวิตที่ดี…”
 
 
“วางใจเถอะครับ ผมจะไม่ปล่อยให้เขากลับไปมีชีวิตแบบนั้นอีกแน่นอน” หนุ่มใหญ่รับปากด้วยสัจวาจา
 
 
บียืนส่งทั้งคู่ขึ้นรถด้วยสายตา จวบจนกระทั่งรถซีดานสีดำราคาแพงแล่นจากลานจอดรถกว้างเลี้ยวออกสู่ถนน
 
 
ตุลย์ไม่ใช่คนที่ชอบเล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครฟัง แต่ก็มีครั้งหนึ่งที่ฤทธิ์เหล้าทำให้อีกฝ่ายยอมเปิดปากเล่าถึงชีวิตก่อนจะมาลงเอยที่คลับ มันทำให้เธอรู้ว่าตุลย์เอาตัวรอดคนเดียวมาตั้งแต่เด็ก พอจู่ๆ ‘ถูกขาย’ ออกไป เธอจึงนึกเป็นห่วงสวัสดิภาพของเด็กคนนั้นมาโดยตลอด แต่สิ่งที่เห็นวันนี้มันทำให้เธอวางใจ...
 
...ว่าในที่สุดคนที่ตัวคนเดียวมาตลอดชีวิต ก็มีใครสักคนอยู่ข้างกายเสียที
 
 
-------------------------

 
รถยนต์กลับเข้าสู่ถนนใหญ่อีกครั้ง คราวนี้จุดหมายปลายทางของพวกคือเขตชุนชนเก่าเล็กๆ แห่งหนึ่งในอำเภอเมืองของจังหวัด N ที่ไม่เจริญนัก
 
 
ระหว่างทางศานนท์ลอบสังเกตว่าตุลย์ไม่สนใจสองข้างทางเท่าไหร่ จนกระทั่งพวกเขาตามสัญญาณจีพีเอสเลี้ยวเข้าสู่ซอยถนนคอนกรีตเลนส์สวน ที่สองข้างขนาบด้วยอาคารพาณิชย์สองชั้นสลับกับบ้านไม้ติดเหล็กดัดที่ด้านล่างเปิดเป็นร้านขายของชำบ้าง ขายอาหารบ้าง แตกต่างกันไป ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นโครงสร้างเก่าแก่เกินสิบปีทั้งสิ้น จู่ๆ ร่างโปร่งก็เล่าขึ้นมาลอยๆ คล้ายกับถูกทิวทัศน์เหล่านั้นกระตุ้นความทรงจำวัยเด็ก
 
 
“...แม่ผมเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ท้องผมตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ อายุเราเลยต่างกันไม่มาก แต่ผมไม่สนิทกับแม่ เพราะแม่ติดเหล้าวันๆ ไม่เอาอะไรเลย ผมไม่ชอบแม่ตอนเมาก็เลยพาลไม่ชอบบ้านไปด้วย ...ตอนประมาณม. 2 ผมออกมาทำงานร้านอาหาร ช่วยขนของบ้าง ไปเป็นเด็กเสิร์ฟให้ร้านอาหารใหญ่ๆ บ้างเพราะอยากย้ายออกมาอยู่ข้างนอก แต่ไม่มีเงิน...”
 
 
“ผมเคยเรียนมัธยมที่นี่”
 
 
ตุลย์ชี้ผ่านกระจกให้ดูตอนที่พวกเขาขับผ่านโรงเรียนขนาดกลางแห่งหนึ่ง หน้าปากทางยังคึกคักด้วยเด็กๆ ในเครื่องแบบนักเรียนโรงเรียนรัฐเพราะเพิ่งเลยเวลาเลิกเรียนไม่เท่าไหร่
 
 
“เงินที่ได้จากงานพาร์ทไทม์ ผมเอามาส่งตัวเองเรียนเพราะแม่หมดเงินไปกับค่าเหล้า แล้วก็ไม่ใช่คนที่ผมพึ่งพาได้ สมัยนั้นผมไม่ค่อยเข้าบ้านหรอก จะกลับแค่ตอนหลังสามทุ่ม เพราะผมไม่อยากเห็นแม่เมาแล้วโวยวาย แล้วก็ไม่อยากเป็นที่รองรับอารมณ์แม่ จนอายุสิบหกขึ้นม. ปลาย ผมก็เข้าบ้านแบบนับครั้งได้ ส่วนใหญ่จะนอนค้างบ้านเพื่อนไม่ก็ร้านเกม อยู่ไม่ค่อยเป็นที่เท่าไหร่ จนมาเจอลุงกับป้าเจ้าของร้านค้าหน้าถนน เขาให้ผมพักชั้นบนฟรีแลกกับให้ช่วยเฝ้าร้านขายของหลังเลิกเรียน ...ส่วนตัวผมคิดว่ามันก็ดีนะเพราะใกล้โรงเรียนกว่า แถมมีห้องส่วนตัว มีเวลาอ่านหนังสือสอบ ช่วงนั้นผมกลับบ้านสัปดาห์ละครั้งได้ แต่ไม่ได้กลับไปอยู่หรอก กลับไปขนของย้ายมาห้องใหม่ตอนแม่ออกไปก๊งเหล้ากับเพื่อน ...ผมไม่ชอบบ้านตัวเองเลย”
 
 
สีหน้าขณะที่เล่าดูไม่มีความสุขเท่าไหร่ จู่ๆ ก็กระตือรือร้นขึ้นเมื่อพูดถึงมหาวิทยาลัย
 
 
“ตอนที่สอบเข้าม. A ได้ ผมดีใจมากเลย มันเหมือนฝันเป็นจริง ติดตรงที่ผมไม่มีเงิน จะกู้เงินเรียนก็ทำเอกสารไม่ทัน แต่ผมก็ไม่เสียใจมากหรอก เพราะถึงกู้ไปวงเงินก็ไม่พอจ่ายค่าเทอมอยู่ดี ผมเลยไปขอกู้กับพวกที่ปล่อยกู้นอกระบบหลายคน แต่เขาไม่ปล่อยให้ผมเพราะยังเด็กเกินไป ดูยังไงก็ไม่น่าหาเงินเจ็ดหมื่นมาคืนได้ แต่มีคนหนึ่งที่แนะนำให้ผมไปหาคุณวัตร ผมเลยใช้เงินเก็บเข้ากรุงเทพไปหาเขา ...ส่วนเรื่องต่อจากนั้นคุณก็คงรู้แล้ว”
 
 
ศานนท์พยักหน้าเบาๆ “เธอเลยอยากกลับมาตามหาแม่ใช่มั้ย”
 
 
“ครับ แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแม่ยังอยู่ที่นี่มั้ย... ตั้งแต่ย้ายไปอยู่กรุงเทพผมก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย” เจ้าของประโยคเหม่อมองนอกหน้าต่าง ยังตกอยู่ในภวังค์ความคิด “บางทีเวลาที่เครียดผมก็ฝันถึงแม่นะ... ฝันว่าแม่ด่าผมว่าเนรคุณเพราะเอาตัวรอดคนเดียว แต่ก็คงใช่... เพราะผมก็ทำแบบนั้นที่เธอพูดนั่นแหละ”
 
 
น้ำเสียงของตุลย์เจือกระแสความรู้สึกผิดเสียจนศานนท์ต้องเอื้อมมือมาแตะต้นแขนอีกฝ่ายคล้ายเรียกให้หลุดจากห้วงความรู้สึก
 
 
“เธอทำดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้แล้ว มันไม่ผิดถ้าเธอจะเลือกอนาคตแล้วเดินออกมา เพราะในสภาพสังคมแบบนั้น เธอช่วยแม่ไม่ได้หรอก”
 
 
“ก็จริงของคุณนะ...” ตุลย์ยิ้มเจื่อน “ผมรู้ว่ามันโหดร้าย แต่ถ้าไม่เลือกตัวเอง วันนึงผมก็คงต้องโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ใช้ชีวิตแบบแม่ กินเหล้า เมาหัวราน้ำไปวันๆ ให้ลืมๆ ปัญหาไปซะ ...แต่วันนี้ที่ผมมีทุกอย่างแล้ว บางทีผมก็ยังรู้สึกติดค้าง”
 
 
จีพีเอสร้องเตือน ซีดานสีดำก็เลี้ยวเข้าไปจอดรถในเขตของวัดประจำชุมชนซึ่งเป็นที่หมายปลายทาง ก่อนจะดับเครื่องยนต์
 
 
ตอนนั้นเองที่ตุลย์หันมาหาคนขับ
 
 
“คุณไม่ต้องลงไปก็ได้นะ มันคงไม่ใช่ที่ที่คุณคุ้นเคยเท่าไหร่...”
 
 
“ไม่” ศานนท์ส่ายหน้า “ฉันจะไปกับเธอนั่นแหละ”
 
 
 
พวกเขาเดินย้อนกลับมายังซอยที่ขับผ่านมาก่อนหน้า จากนั้นก็ข้ามถนนคอนกรีตมายังฝั่งตรงข้ามที่เต็มไปด้วยร้านขายของ ตั้งปะปนกับเรือนไม้เก่าๆ ซึ่งเป็นที่พักอาศัยของคนในชุมชนเรียงติดๆ กันเป็นแนวยาว ระหว่างทางก็สวนกับรถเข็นขายของกินจุกกินจิกบ้างเป็นระยะ
 
 
เดินต่อมาไม่เท่าไหร่ ตุลย์ก็แวะที่หน้าร้านค้าโชห่วยแห่งหนึ่งซึ่งเป็นตึกอาคารพาณิชย์เก่าแก่จนเหลือง เขาตะโกนเรียกชื่อคนด้านใน สักพักก็มีหญิงอายุราวหกสิบคนหนึ่งเดินออกมาช้าๆ สีหน้าของเธอตกใจมากตอนที่เห็นตุลย์ ก่อนจะรีบดึงมือเข้าไปกุม ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบอย่างห่วงใย
 
 
“ไม่เห็นหน้ามาจะปีแล้ว อยู่กรุงเทพชีวิตเป็นยังไงมั่งหนู”
 
 
“ก็กระท่อนกระแท่นดีครับ... แต่ก็ตอนนี้โอเคขึ้นแล้ว” ตุลย์เปิดกระเป๋าสตางค์ก่อนจะหยิบแบงก์สีเงินจำนวนหนึ่งยัดใส่มือหญิงวัยย่างชรา “ผมอยากคืนค่าเช่าห้องที่ป้าเคยให้ผมอยู่...”
 
 
“โอ้ย! ไม่ต้อง ป้าบอกแล้วไงว่าให้อยู่ฟรี เอ็งก็ช่วยงานตลอด” เธอปฏิเสธยิ้มกว้างอย่างใจดี แต่ตุลย์ยังยืนกรานขอร้อง
 
 
“รับเถอะครับ ถ้าไม่คืนป้าผมไม่สบายใจ นะครับ... ตอนนี้ผมไม่ได้เดือดร้อนแล้ว...”
 
 
ต้องใช้ลูกอ้อนไม้เด็ดอยู่นานกว่าเธอจะยอมรับเงินไป แต่ก็ไม่วายเดินไปหยิบขนมถุงในร้านสองสามห่อซึ่งเป็นขนมพื้นบ้านอย่างพวกเผือกเส้น มันเส้น มายัดใส่มือเขา
 
 
ฝ่ายตุลย์ก็ไม่ลืมที่จะขอบคุณเธอเหมือนทุกครั้ง โดยไม่ลืมถามถึงใครอีกคนผู้ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เขากลับมาเยี่ยมเยียน
 
 
“ป้าพอรู้มั้ยครับว่าแม่ยังอยู่ที่นี่มั้ย? ”
 
 
“ยัยอ่อนเหรอ ไม่รู้ว่ายังอยู่หรือเปล่า ไม่เห็นนานแล้ว ลองไปถามตาเพชรข้างในสิ แกน่าจะรู้นะ เป็นเพื่อนดื่มกันมาตั้งแต่สมัยโน้นแล้วนี่”
 
 
ที่จริงเขาไม่ค่อยอยากเข้าไปในเขตชุมชนเท่าไหร่เพราะมีความทรงจำไม่ดีกับสถานที่ ยิ่งกว่านั้น วันนี้เขามีหนุ่มใหญ่มาเป็นเพื่อนด้วย ศานนท์เป็นคนต่างถิ่น ถึงไม่ตั้งใจมองก็ยังดูออกได้ง่ายๆ จากเครื่องแต่งกายและการวางตัว รั้งแต่จะตกเป็นเป้าสนใจของคนข้างในโดยใช้เหตุเปล่าๆ แต่จากคำบอกเล่าของคุณป้า ตุลย์ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากยอมเข้าไป
 
 
ทางเข้าสู่ชุมชนเป็นตรอกพื้นคอนกรีตฉาบหยาบๆ แคบๆ ขนาดแค่สองคนสวนกันได้ ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยบ้านที่เรียงตัวติดกันอย่างแออัด สร้างจากไม้บ้างสังกะสีบ้าง บางหลังที่ฐานะดีหน่อยขึ้นโครงด้วยปูน ระหว่างทางที่เดินเท้า บางครั้งก็จะพบสิ่งของตากกระเกะระกะยื่นล้ำจากตัวบ้านออกมา หนักๆ เข้าหน่อยบางบ้านก็จอดจักรยานทั้งคันขวางไว้ ต้องค่อยๆ เบียดตัวเดินเลี่ยงเอา
 
 
เดินลึกมาจนถึงจุดหนึ่งก็สิ้นสุดทางเท้าคอนกรีต เปลี่ยนเป็นกระดานไม้ยาวๆ หลายแผ่นเรียงต่อกันแทน เนื่องจากชุมนุมเก่าแห่งนี้ตั้งอยู่ติดกับริมแม่น้ำ บางจุดจึงมีน้ำท่วมขังเจิ่งเวิ้งทำให้เดินลำบาก ตุลย์แวะถามหาคนชื่อ ‘เพชร’ กับบ้านอีกหลายหลัง ก่อนที่คุณยายคนหนึ่งที่เขาคุ้นหน้าจะชี้ให้เดินต่อมาท้ายซอย
 
 
ไม่นานก็เห็นจุดสิ้นสุดของทางเดินไม้อยู่ลิบๆ ไกลๆ นั้นคือบ้านไม้ใต้ถุนสูงผุๆ โทรมๆ หากหรี่ตามองดีๆ จะพบว่ามีผู้ชายคนหนึ่งนั่งก๊งเหล้าอยู่บนพื้นกระดานยกสูง ด้านหลังตัวเขามีมุ้งถูกพับตลบ รวมกับข้าวของอื่นๆ ที่จัดกองไว้แค่พอให้มีที่นอนได้
 
 
ตุลย์เข้าไปใกล้ๆ ก็พบว่าชายคนนั้นคือ ‘ตาเพชร’ เพื่อนขาดื่มของแม่ที่มักเห็นจนชินตาสมัยเด็ก ที่แปลกไปคือ ชายคนเดิมสภาพผอมลงมากชนิดหนังหุ้มกระดูก ตัวดำคล้ำอย่างคนติดสุราเรื้อรัง...
 
 
“ลุงเพชรจำผมได้มั้ย” ตุลย์ตะโกนถาม ชายคนนั้นก็เงียบไปพักหนึ่งคล้ายกำลังประมวลผล
 
 
“ห๊ะ? เอ็งลูกใคร? ”
 
 
แต่เขารีบเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นถุงขนมในมือตุลย์
 
 
“เออ ข้าขอขนมสักหน่อยสิ จะเอามาแกล้มเหล้า”
 
 
ตุลย์ไม่ลังเลที่จะขนมให้อีกฝ่ายทั้งสองถุงเป็นกับแกล้ม จากประสบการณ์ตอนที่แม่ขาดเหล้าจนลงแดง เขาทราบดีว่าคนที่ติดเหล้าระดับนี้ จะให้หย่าขาดจากแอลกอฮอล์ดื้อๆ นั้นอาจถึงตายได้
 
 
“ผมตุลย์เอง”
 
 
“อ๋อ... ไอ้ตุลย์” ชายร่างผอมเออออ แต่ไม่รู้ว่าจำเขาได้จริงหรือไม่
 
 
“ยัยอ่อนยังอยู่ที่นี่มั้ย เพื่อนก๊งเหล้าลุงน่ะ ย้ายไปรึยัง? ”
 
 
ได้ยินชื่อแม่ของเขา ชายติดเหล้าก็ร้องอ๋อเสียงดัง “อ๋อ ไอ้ตุนลูกยัยอ่อนเองเรอะ นึกตั้งนาน เห็นแต่แม่เอ็งบ่นถึงไม่ค่อยเห็นหน้าเอ็งเลย โอ๊ย ยัยอ่อนมันไม่อยู่แล้ว! แล้วโน้นใครอีก…? ”
 
 
ชายร่างผอมชะโงกตัว มองเลยไปทางศานนท์ที่ยืนเยื้องหลังอยู่ไม่ห่างตัวเขา ตุลย์ก็รีบดึงสติอีกฝ่ายกลับมาที่คำถามเดิม “แม่ไปไหนครับ? ”
 
 
“จมน้ำตายไปหลายปีแล้ว”
 
 
คำตอบนั้นทำให้ตุลย์ถึงกับนิ่งงัน
 
 
“ก็แม่เอ็งเมาแล้วลงไปเล่นน้ำในคลองข้างบ้านคนเดียวเลยจมหายไป กว่าคนจะเจอตัวก็อีกวันแล้วช่วยไม่ทัน” พอเล่าจบก็เปลี่ยนเรื่องทันที “เฮ้ย เอ็งแต่งตัวดีมีตังแล้วนี่หว่า ข้าขอตังหน่อยสิ นี่ข้าต้องเอาเหล้าผสมกะน้ำ เพราะเงินหมด สงเคราะห์ข้าหน่อย ถือว่าทำบุญ”
 
 
ไม่ว่าเปล่ายังยกขวดเหล้าสีชาที่เหลือของเหลวแค่ก้นๆ ให้ตุลย์ดู ตุลย์จึงตัดสินใจหยิบแบงก์พันยื่นให้อีกฝ่ายอย่างเวทนา ชายร่างผอมแห้งตาวาวก่อนจะรีบไหว้ขอบคุณเขายกใหญ่ เป็นตุลย์ที่ต้องจับมืออีกฝ่ายไว้ไม่ยอมให้ไหว้อีก
 
 
“เอ้อ ถ้าข้าจำไม่ผิด เหมือนชาวบ้านเขาจะเอาแม่เอ็งไปเผาที่วัดโน้นแหนะ”
 
 
ตาเพชรชี้ไปทางวัดกลางชุมชนที่พวกเขาจากมา เป็นที่เดียวกับที่เขาแนะนำให้ศานนท์จอดรถทิ้งไว้ก่อนเข้ามาถามหาแม่ในสลัม
 
 
“ไปเถอะครับ”
 
 
หมดธุระ ตุลย์ก็พยักหน้าให้ชายร่างผอมทีหนึ่ง ก่อนพาศานนท์เดินกลับออกมาเพื่อมุ่งหน้ากลับไปที่วัด ระหว่างทางพวกเขาแทบไม่ได้คุยอะไรกันเลย จวบจนมาถึงที่วัด สิ่งแรกที่ตุลย์ทำคือ ไปที่เจดีย์และสถานที่เก็บอัฐิคนตายใกล้เคียง แล้วค้นหาชื่อแม่
 
 
พวกเขาใช้เวลาค้นอยู่นานเกือบครึ่งชั่วโมง แม้ว่าจะมีศานนท์คอยช่วยดูตามแผ่นป้ายหินอ่อน แต่ก็ไม่เจอชื่อหรือรูปใบหน้าของเธอเลย...
 
 
“ที่วัดอาจจะไม่ได้เก็บกระดูกแม่ไว้มั้งครับ”
 
 
ตุลย์ถอนหายใจหลังล้มเลิกความตั้งใจที่จะหา ฝ่ายศานนท์เอื้อมมือมาลูบสัมผัสแผ่นหลังของเขาเบาๆ คล้ายปลอบประโลม
 
 
“ฉันเสียใจด้วยนะ”
 
 
แม้จะรู้ว่าคำพูดของเขาคงชดเชยอะไรไม่ได้ แต่ศานนท์ก็ไม่อยากเห็นคนตรงหน้าแบกรับความเสียใจไว้คนเดียว
 
 
ตุลย์ยิ้มบางๆ ช้อนตามองคู่สนทนา แต่แววตากลับดูสับสนนิดหน่อย
 
 
“คุณว่ามันแปลกมั้ยครับ ถ้าผมจะบอกว่า จริงๆ แล้วผมไม่ได้รู้สึกเสียใจเท่าไหร่... อาจจะเพราะผมแทบไม่รู้จักแม่เลยเพราะแม่ไม่เคยอยู่ หรือไม่ก็อาจเพราะผมเป็นคนแปลกๆ ...”
 
 
ศานนท์ส่ายหน้า “คนตายก็คือคนตาย ต่อให้เธอรักให้ตายยังไงเขาก็ฟื้นกลับมาไม่ได้ ฉันว่าดีซะอีกที่เธอไม่รู้สึกอาลัยอาวรณ์มาก”
 
 
พูดจบก็เอื้อมมือมาลูบหัวตุลย์เบาๆ
 
 
ศานนท์ให้เวลาร่างสูงโปร่งได้พนมมือสวดภาวนาบางอย่างหน้าเจดีย์อัฐิ ก่อนที่ร่างนั้นจะหมุนตัวเดินกลับมาหาเขา
 
 
“กลับกันเถอะครับ… ขอบคุณนะครับที่วันนี้อุตส่าห์พาผมโดดเรียนออกมาตั้งไกล” ตุลย์ว่าติดตลก
 
 
จากนั้นทั้งคู่ก็มุ่งหน้ากลับมาที่รถซีดานคันเดิม
 

สำหรับเรื่องบางเรื่อง พอสาย... มันก็ย้อนกลับมาแก้ไขอะไรไม่ได้อีก…

 
 
การกลับมาตามหาแม่ของเขาในครั้งนี้ ไม่ได้ช่วยลบความรู้สึกผิดที่มีต่อเธอ ความรู้สึกนั้นยังคงอยู่เพียงแต่มันถึงเวลาที่เขาต้องวางภาระอันติดค้างนี้ลง ยอมรับว่าตนเองไม่สามารถแก้ไขผลลัพธ์จากสิ่งที่ได้ตัดสินใจทำไปแล้ว และก้าวต่อไปข้างหน้าเสียที...
 
[/i]
แม่ไม่ได้ทิ้งอะไรไว้ให้เขา... เธอจากไปเสมือนกับไม่เคยมีตัวตนอยู่
 
 
วันนี้เขายอมรับความจริงว่าเธอได้จากไปแล้ว มันก็คงไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำเพื่อชดเชยให้ หรือมีใครที่ต้องย้อนกลับมาหาอีก…[/i]
 
 
นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ตุลย์จะกลับมาเยี่ยมบ้านเกิด ต่อจากนี้เขาคงไม่แวะมาที่นี่อีก คงปล่อยให้มันเป็นเพียงอีกสถานที่ในความทรงจำที่ครั้งหนึ่งเคยมีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้น และต่อจากนี้ เขาจะเริ่มต้นใช้ชีวิตใหม่โดยไม่มีเรื่องใดติดค้างอีก...
 
 
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (06.03.21) l Last Night: หวนคืนสู่อดีต [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 06-03-2021 23:29:51
---------------------------------

 
เพิ่งออกจากเขตจังหวัด N มาได้ไม่เท่าไหร่ ยังไม่ทันเข้าสู่ฝั่งเจริญของเมืองกรุง จู่ๆ ฝนก็เทกระหน่ำลงมาเม็ดใหญ่ หนักเสียจนมองทางข้างหน้าลำบาก แม้แต่ที่ปัดน้ำฝนบนกระจกหน้าก็แทบจะเอาไม่อยู่ สายลมกรรโชกพัดกิ่งต้นไม้สองข้างทางลู่แรงอย่างน่ากลัวว่ามันจะหักโค่นลงมา แถมการจราจรยังก็ติดหนึบเป็นปลากระป๋อง จากเดิมที่คับคั่งอยู่แล้ว มิหน้ำซ้ำยังมีอุบัติเหตุทางรถยนต์ระหว่างทางอีก
 
 
ศานนท์ขอให้ตุลย์ช่วยเช็กข่าวรายงานสภาพท้องถนนขณะที่รถติดเป็นระยะ ส่วนตนเองก็เปิดคลื่นวิทยุฟังรายงานการจราจรไปพร้อมกันด้วย
 
 
ได้ยินเสียงหนุ่มใหญ่ถอนหายใจอยู่หลายครั้งหลายคราว ร่างโปร่งก็อดแซวเล่นไม่ได้
 
 
“ปกติมีแต่ผมที่ถอนหายใจเวลารถติด นานๆ ทีจะเห็นคุณหงุดหงิดนะเนี่ย”
 
 
“ติดหนักขนาดนี้ก็ต้องหงุดหงิดบ้างล่ะ ไม่รู้จะถึงกี่โมง… แล้วเธอหิวหรือยังล่ะ? ”
 
 
“ยังครับ ผมกินมาทั้งวันแล้ว คุณก็ด้วยนะ” ทีแรกตุลย์แค่แซว แต่ระดับความจริงจังของคำถามก็เรียกรอยยิ้มขำจากเขาในเวลาต่อมา “คุณถามจริงจังแบบนี้แปลว่าหิวแล้วใช่มั้ยล่ะครับ? ”
 
 
“ใช่” ตอบอย่างตรงไปตรงมา
 
 
ศานนท์เคาะนิ้วเป็นจังหวะบนพวงมาลัย คิดคำนวณระยะเวลาและเส้นทางคร่าวๆ ในหัวแล้วก็ผ่อนลมหายใจอีกรอบ “ฝนตกหนักแบบนี้ไม่รู้จะถึงบ้านกี่โมง ฉันก็หิวแล้วด้วย เดี๋ยวแวะทานอะไรแถวนี้ก่อน แล้วคืนนี้ค้างที่บ้านใหญ่กัน... ฉันจะโทรให้เตรียมข้าวของให้”
 
 
ประโยคนั้นทำให้ตุลย์เลิกคิ้วสงสัย หากเขาจำไม่ผิด...
 
 
“ไม่ใช่ว่าคุณขายบ้านหลังนั้นไปแล้วเหรอครับ? ”
 
 
“ประกาศขาย แต่ยังไม่ได้ราคาที่ถูกใจเลยยังไม่ขายน่ะ ตอนนี้ก็เลยยังพักได้ ...กว่าเราหลุดจากเส้นนี้เลี้ยวเข้าบ้านใหญ่น่าจะอีกเกือบๆ ชั่วโมง แม่บ้านน่าจะช่วยกันเคลียร์ห้องสำคัญๆ ทัน เธอโอเคมั้ย? ”
 
 
“ครับ” ตุลย์ขานรับ
 
ออกจะดีเสียอีกในเมื่อเขาไม่เคยไปเยี่ยมเยียน ‘บ้านใหญ่’ ที่ศานนท์เล่าให้ฟังเลยสักครั้ง
 
 
อธิบายจบและเขาตอบตกลง ศานนท์ก็รีบยกสายต่อหาคนที่อยู่ในบ้านหลังนั้นทันที...
 
 
 
--------------------------
ตอนนี้เป็นตอนแห่ง Road Trip และการขับรถเล่นค่ะ
ทั้งหมด 16 หน้าจุกๆ ค่ะ 5555555
สำหรับเนื้อหาตอนนี้เปิดอดีตของหนูตุลย์ไปจนครบแล้วว ถึงเวลาย้อนอดีตเล็กๆ (แบบปัจจุบัน) ฝั่งคุณศานนท์สมัยชีวิตคุณเค้าเฟื่องฟูอู้ฟู่กันบ้างงง
 
 
แจ้งว่าตอนหน้าเป็นตอนสุดท้ายแล้วจริงๆ ค่ะ
 เมลล่าไม่แกงแน้ว ถถถถ เพราะทำทรีตเม้นท์ละเอียดไว้เรียบร้อย
มีหลายคนลุ้นให้กายมีคู่ด้วย สารภาพว่าตอนแรกเมลล่าวางให้เต้คู่กับกาย ไปกำหลาบเจ้าตัววายร้าย
แต่ทีนี้เนื้อหาแน่นระเบิดไปก็เลยล้มเลิก ถถถถถ
นักอ่านจินตนาการกันไปก่อนนะคะ แอแงงงง
 
 
สำหรับตอนหน้าพบกับเซอร์วิสละมุลๆ และทริปพาเที่ยวแบบบล็อกเกอร์เจ้าค่ะ ถถถถถถ
จะสดหรือจะโป๊ะรอติดตามกันนะคะ
ขอบคุณนักอ่านที่สนับสนุนมากเสมอค่าา <3
 
 
เมลล่ามาไกลมากๆๆ เพราะกำลังใจและโดเนท
หวังว่าจะได้ทำงานเขียนต่อไปเรื่อยๆ เพราะเมลล่ามีความสุขมากๆ
ถ้าเงินเก็บไม่หมดก่อนค่า ถถถถถถถ

หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (06.03.21) l Last Night: หวนคืนสู่อดีต [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 06-03-2021 23:52:26
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (06.03.21) l Last Night: หวนคืนสู่อดีต [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 07-03-2021 06:37:33
 :z13: :z10:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (06.03.21) l Last Night: หวนคืนสู่อดีต [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 07-03-2021 11:34:44
เคลียร์อดีตไป ไม่แปลกที่ตุลย์ไม่ผูกพันกัมแม่
กับป้าร้านขายของยังอาจผูกพัมากกว่า
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (06.03.21) l Last Night: หวนคืนสู่อดีต [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 07-03-2021 18:05:45
ไม่มีอะไรติดค้างแล้วนะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (06.03.21) l Last Night: หวนคืนสู่อดีต [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 08-03-2021 13:01:32
โหหหห ตอนแรกว่าจะบอกแล้วว่าอยากเต้คู่กับกาย
ไม่คิดว่านักเขียนก็จะคิดเหมือนกัน แต่กลัวคนๆม่ชอบเลยไม่ได้พิมพ์ อาจจะทำเป็น side story ก็ได้ครับ ตอนพิเศษอะไรแบบนั้น

ขอบคุณมากนะครับ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (15.03.21) l Dawn (บทส่งท้าย) [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 15-03-2021 02:37:46
Dawn (บทส่งท้าย)


ซีดานสีดำจอดแช่อยู่หน้าประตูรั้วอัตโนมัติสูงราวสองเมตรกว่า ซึ่งทำจากไม้ระแนงสีน้ำตาลเข้มทั้งแผ่นเรียงตัวถี่ติดกันในแนวตั้ง ทอดยาวจรดกำแพงสีครีมสองข้าง ปิดทางเข้าหน้าคฤหาสน์จนไม่สามารถมองลอดเข้าไปด้านใน ทว่าไม่นานประตูบานใหญ่ก็เลื่อนเปิดต้อนรับการมาเยือนของเจ้าของบ้านคนปัจจุบัน ท่ามกลางฝนที่ตกกระหน่ำ รถยนต์แล่นผ่านสวนหย่อมและแมกไม้ที่ถูกตัดเป็นตรง ดูแลอย่างปราณีตเสมือนหนึ่งยังมีผู้อาศัย เข้าสู่วงเวียนน้ำพุขนาดใหญ่ ก่อนจะหักเลี้ยวฉีกออกทางด้านขวามุ่งสู่ใต้ชายคาโรงจอดรถซึ่งแยกตัวออกมาจากตัวคฤหาสน์เล็กน้อย


ทันทีที่ลงจากรถ ชายคนหนึ่งก็ปรี่เข้ามากางร่มสนามขนาดใหญ่แบบที่มักเห็นตอนออกรอบตีกอล์ฟให้ ก่อนจะพาพวกเขาฝ่าฝนมาที่หน้าคฤหาสน์ซึ่งไม่ไกลจากกันนัก ระหว่างทางความมืดและเม็ดฝนยังกระหน่ำทำให้มองเห็นตัวอาคารได้ลางสลัว แต่พอรู้รับได้ว่าเบื้องหน้าเป็นคฤหาสน์สองชั้นโทนสีขาวครีม ตุลย์เห็นความใหญ่โตมโหฬารของมันกับตา ก็เมื่อชายที่นำทางดึงประตูเปิดเชื้อเชิญเขาและเจ้าของบ้านเข้ามายังโถงหน้าขนาดใหญ่เผื่อหลบฝน


โถงกว้างทรงสี่เหลี่ยมโล่งสะอาด พื้นโถงทำจากหินอ่อนขาวเหลือบริ้วลายเทา ณ จุดกึ่งกลางของพื้นห้องปรากฏลายลักษณ์สีดำคล้ายเถาวัลย์พันสลับกับดอกไม้ ขดเป็นทรงกลม ถัดขึ้นไปจากลายลักษณ์นั้นคือโคมแก้วระย้าประณีตที่ทิ้งตัวห้อยลงมาล้อกับแสงไฟเกิดประกายระยับ ทั้งสองฟากฝั่งของโถงยังมีประตูเชื่อมไปสู่ห้องต่างๆ ฝั่งละสองบาน แต่ตอนนี้ทุกประตูถูกปิดสนิทเนื่องจากห้องเหล่านั้นไม่ได้เปิดใช้งาน


สุดปลายห้องโถงตรงข้ามพวกเขา คือบันไดหินอ่อนขนาดใหญ่ทอดตัวสู่ชานพักขั้นหนึ่ง ราวบันไดทำจากเหล็กแข็งแรง ลวดลายขดเลี้ยวคล้ายเถาวัลย์แบบเดียวกับพื้นโถง ก่อนที่สายบันไดจะแยกออกเป็นฝั่งซ้ายและขวาต่อขึ้นไปจรดที่ระเบียงชั้นสองทั้งสองด้าน ยิ่งไปกว่านั้น ด้านหลังชานบันไดก็ยังมีประตูขนาดใหญ่อีกบานที่ตอนนี้เปิดออกกว้างเผยให้เห็นโถงยาวที่สามารถเดินต่อเข้าไปได้อีก


“ดิฉันเตรียมห้องไว้ให้ตามที่สั่งแล้วนะคะ คุณชาย”


หญิงวัยกลางคนเข้ามาแจงรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับห้องและอาหารการกินของพวกเขา เนื่องจากศานนท์แจ้งไว้ว่าจะค้างคืนและอยู่ทานอาหารเช้าที่นี่ก่อนกลับ ก่อนเธอจะขอตัวไปจัดการสั่งงานส่วนของวันพรุ่งนี้กับคนอื่นๆ หลังประตูใหญ่


ได้ความเป็นส่วนตัวกลับมาอีกครั้ง ตุลย์ก็เอ่ยปากถามทันที “ที่นี่ไม่มีใครอยู่แล้วเหรอครับ”


“อื้ม เมื่อก่อนอยู่กันหลายคนนะ แต่ตั้งแต่พ่อฉันเสียคนสุดท้ายเมื่อประมาณสี่ปีที่แล้ว กงก็ย้ายกลับไปบ้านเกิดที่จีน”


แต่แววตาที่ยังติดสงสัยของตุลย์ทำให้ศานนท์ต้องขยายความต่ออย่างอดไม่ได้


“บ้านฉันอายุสั้นไปหน่อยน่ะ... แม่เสียหลังแต่งนิกกี้เข้ามาไม่กี่ปีเพราะมะเร็งสมอง ต่อมานิกกี้ก็มาด่วนจากไปอีกคน คนสุดท้ายก็พ่อฉัน ส่วนญาติผู้ใหญ่ทั้งฝั่งพ่อและแม่เป็นคนจีน ทำธุรกิจที่นี่แบบไปๆ มาๆ หลายรุ่นแล้ว ส่วนใหญ่ยังแข็งแรงดีแต่พอแก่ตัวก็ย้ายกลับบ้านเกิดกันไปหมด นานๆ ถึงมาเยี่ยมที ทิ้งกงสีไว้ให้พ่อ ฉันก็รับช่วงจากพ่อมาอีกที ช่วงตรุษจีนนั่นแหละถึงจะกลับไปเยี่ยมบ้าง... ตอนนี้คนที่ยังอยู่ไทยก็คงมีฉันคนเดียว”


ตุลย์พยักหน้ารับรู้เบาๆ


“เธออยากทำอะไรมั้ยล่ะ” ศานนท์เปลี่ยนหัวข้อ


“ครับ? ”


“ที่นี่มีอะไรให้ทำเยอะกว่าบ้านเล็ก สมัยก่อนฉันชอบชวนเพื่อนมาปาร์ตี้ห้องข้างหลัง มันสะดวกดีเพราะติดริมสระ มีโต๊ะสนุ๊กด้วยถ้าเธออยากเล่น”


ปฏิเสธไม่ได้ว่าคำบอกเล่าของเจ้าของบ้านทำให้ผู้ฟังอย่างตุลย์รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาจนเก็บสีหน้าไม่อยู่


เมื่อก่อนเขาชอบเล่นพูลมาก…



“งั้น... ถ้าแวะไปเล่นสักแป๊บได้มั้ยครับ”


“เอาสิ”


ว่าจบศานนท์ก็พาอีกคนผ่านประตูใหญ่มายังโถงทางเดินทางยาวด้วยกัน แต่จังหวะที่เดินผ่านห้องครัวเปิดไฟสว่างซึ่งมีแม่บ้านสองสามคนกำลังปัดกวาดเช็ดถูอยู่ ตุลย์ดันตาดีเหลือบไปเห็นไวน์ขวดหนึ่งที่เก็บอยู่ในตู้ไม้ด้านบน เขาจึงรีบคว้าแขนศานนท์ไว้อย่างกลัวว่าอีกฝ่ายจะเดินเลยไปเสียก่อน


“เอ่อ ผมขอไวน์ขวดนั้นได้มั้ย” ชี้ไปที่ตู้ ฝ่ายเจ้าของบ้านก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ไม่คิดห้ามเสียทีเดียว .


“ขวดนั้นเก็บไว้ในตู้เป็นชาติแล้ว ไม่ได้แช่เย็นเพราะไม่รู้ว่าไวน์อะไร ฉันไม่รู้ว่ายังดื่มได้หรือเปล่า...”


“งั้นผมขอลองได้มั้ย ไหนๆ คุณก็ไม่เอาแล้ว” ตุลย์ยังยืนกราน น้ำเสียงตื่นเต้นนิดๆ เจ้าของบ้านก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ กึ่งระอากึ่งเอ็นดู


“...โอเค ไปหยิบมาก็ได้”


ศานนท์อนุญาตปุ๊บ ตุลย์ก็เดินย่องๆ เข้าไปขอแม่บ้านเปิดตู้ หยิบขวดไวน์ออกมาโดยไม่ลืมหอบแก้วอีกสองใบและที่เปิดขวดมาด้วย ก่อนที่เขาและศานนท์จะเดินต่อมายังห้องหลังสุดของคฤหาสน์ ซึ่งมีประตูบานเลื่อนกระจกสามารถเปิดออกไปยังสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ด้านนอกได้ น่าเสียดายก็ตรงที่ตอนนี้สระนั้นเป็นสระว่างๆ อวดกระเบื้องสีฟ้าสดแต่ปราศจากน้ำ


ด้านในห้องสี่เหลี่ยมขนาดกลางมีโซฟากำมะหยี่สีแดงอิฐทรงสี่เหลี่ยมเรียงยาวหันหลังชนผนัง ยาวชนิดที่จุคนนั่งเรียงกันได้สิบกว่าคน ฝั่งซ้ายของห้องมีโต๊ะไม้ครึ่งวงกลมที่วางฝั่งหน้าตัดเรียบพิงชิดติดกำแพง เข้าชุดกับเก้าอี้ไม้บุนวม กึ่งกลางห้องคือโต๊ะบิลเลียดขนาดมาตรฐานที่ตุลย์ทั้งคุ้นและโปรดปราน เพียงแต่ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องล้วนถูกคลุมด้วยแผ่นพลาสติกใสสำหรับกันฝุ่น


สิ่งแรกที่ศานนท์คือดึงแผ่นคลุมพลาสติกออก... เริ่มจากโต๊ะครึ่งวงกลมก่อนเพื่อให้เขาวางของที่หอบเต็มไม้เต็มมือ จากนั้นก็โต๊ะสนุ๊กและเครื่องเรือนอื่นๆ กระนั้นตุลย์ก็ต้องประหลาดใจเมื่อค้นพบว่า เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างถูกดูแลอย่างดีให้ปราศจากฝุ่น


“ที่นี่มีคนดูแลตลอด เธอไม่ต้องห่วง”


นิ้วที่พยายามถูหาเศษฝุ่นบนโต๊ะเป็นต้องชะงัก ศานนท์ตอบเขาราวกับอ่านใจได้


ตุลย์พยักหน้าที ก่อนเปลี่ยนไปเปิดไวน์รินใส่แก้วแล้วลองจิบปลายลิ้นดู แต่ต่อมาเขาก็จำต้องวางแก้วลงเมื่อศานนท์ส่งไม้คิวให้ เวลานี้ ทั้งลูกสีและลูกลายถูกเรียงเป็นบนโต๊ะเป็นทรงสามเหลี่ยมโดยฝีมือเจ้าของบ้านเรียบร้อยแล้ว ขาดก็เพียงแต่ผู้เล่นเท่านั้น


“ไม่ได้เล่นนานแล้ว ฝีมือผมต้องขึ้นสนิมแน่ๆ ”


“...ฉันก็จับไม้ครั้งสุดท้ายตอนที่เล่นกับเธอนั่นแหละ” หนุ่มใหญ่หัวเราะในคอ พูดจบก็ผายมือเป็นเชิงให้เขาเริ่มก่อน


ร่างสูงโปร่งเดินไปหยุดที่หัวโต๊ะหลังจุดลูกสีขาวตั้งอยู่ ก่อนหยิบไม้ขึ้นพาดขอบโต๊ะ มืออีกข้างวางทาบผืนผ้ากำมะหยี่รองเป็นฐาน ขณะก้มตัวลงต่ำให้ลูกอยู่ในระดับสายตา


“รอบนี้ผมไม่ออมมือให้คุณเหมือนที่คลับแล้วนะ” ตุลย์พูดแหย่ก่อนลงมือแทงลูกเปิดโต๊ะ พอลูกขาวไหลไปชนลูกอื่นก็เกิดเสียงกระทบกันเบาๆ ก่อนที่กลุ่มบอลจะแตกออกกระจายตัวไปทั่วผ้ากำมะหยี่


แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น ตุลย์ก็แทงพลาดอยู่หลายตากว่าจะสามารถส่งลูกลงหลุมได้ ผิดกับศานนท์ที่แทงลูกลายลงติดต่อกันได้หลายลูก ฝีมือยังคงที่เหมือนที่เล่นกันคราวนั้นไม่มีผิด จึงกลายเป็นว่าหนุ่มใหญ่ได้จับไม้บ่อยกว่า ส่วนตุลย์มักจะวกกลับไปเติมไวน์ที่โต๊ะขณะรอให้ถึงตาของตัวเอง บางทีก็แวะมาเมียงมององศาระหว่างลูกขาวกับลูกลายตอนที่ศานนท์แทงไม้คล้ายพยายามเลียนแบบ เห็นแบบนั้นแล้ว หนุ่มใหญ่ก็อดไม่ได้ที่แกล้งแทงพลาดลูกหนึ่งเพื่อสลับให้อีกฝ่ายได้เล่น


“ไวน์เป็นยังไงบ้าง...” ศานนท์ชวนคุย หลังคนข้างๆ เพิ่งจะแทงพลาดไปอีกไม้


“ผมว่าไม่เสียนะครับ คุณลองชิมมั้ย? ” ตุลย์ยื่นไวน์ที่เหลืออยู่ครึ่งแก้วให้ พออีกฝ่ายก็รับไปชิม เขาก็ยิ้มเผล่ “...เอาจริงๆ ผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันเสียหรือเปล่า ผมมันพวกลิ้นจระเข้ แล้วคุณคิดว่าไงครับ? ”


ศานนท์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ส่ายหน้า แต่จิบไปอีกอึกหนึ่งก็วาง “...รสชาติแย่ เธอกินเข้าไปได้ยังไง? ”


ตุลย์ได้ยินก็ถึงกับหัวเราะร่ายกใหญ่ “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ลิ้นผมมันไม่รู้รสหรอกคุณ”


ทั้งคู่เล่นพูลด้วยกันต่อ แต่เวลาผ่านไป ไวน์ในขวดก็เริ่มหดหายไปเรื่อยๆ จนเหลือแค่ก้นๆ เพราะตุลย์เวียนเติมอยู่ตลอด จากที่พูดคุยกันเรียบๆ ในทีแรกก็เริ่มมีเสียงหัวเราะเติมเข้ามา พอดึกหน่อย คนที่เริ่มเมากรึ่มก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาวางบนขอบโต๊ะ เปิดเพลงช้าสร้างบรรยากาศเบาสบายระหว่างที่พวกเขาแทงพูลกันอย่างไม่รีบร้อน


“คุณจะไม่ห้ามผมแล้วเหรอ”


จู่ๆ ร่างที่นั่งพิงโซฟาสีอิฐ โดยที่มีไม้คิววางพาดอยู่ข้างตัวก็เอ่ยถามลอยๆ


ตุลย์มักจะพูดและทำอะไรแปลกๆ เสมอเวลาที่เมา…


เรื่องนั้นศานนท์จำได้ขึ้นใจ พอถูกถามแบบนี้เขาจึงพอเดาได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะกำลังกรึ่มได้ที่


“เธอไม่ชอบให้ฉันห้ามนี่... พอห้ามทีไรเธอก็โมโหทุกที” ตอบไม่ใส่ใจ โดยไม่ทันสังเกตเห็นแววตาของผู้ฟังที่ช้อนมองเขาอย่างน้อยใจกึ่งผิดหวัง


“...เตือนผมอีกได้มั้ย ผมสัญญาจะไม่งี่เง่าใส่คุณอีก..."


ประโยคนั้นเรียกให้ศานนท์ชะงักมือที่กำลังจะแทงไม้เปิดเกมใหม่บนโต๊ะ เขาหันกลับมาหาเจ้าของน้ำเสียงกึ่งร้องขอ จากนั้นถึงวางไม้คิวลงแล้วตรงมาหาคนที่นั่งบนโซฟา มือของหนุ่มใหญ่จับทับมือข้างที่ถือแก้วเหล้าของตุลย์ รับเหล้าแก้วนั้นมาถือเสียเองพลางเตือนด้วยน้ำเสียงอ่อนๆ


“พอแล้ว... คืนนี้เธอเมาแล้วนะ”


สีหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์มาก ทำให้ตุลย์เดาไม่ออกว่าศานนท์กำลังตักเตือนเขาหรือกำลังทำตามคำขอ แต่ ณ เวลานี้ ไม่ว่าอย่างแรกหรืออย่างหลัง เขาก็หาได้สนใจไม่


ตุลย์เอื้อมแขนดึงรั้งใบหน้าอีกคนให้โน้มเข้าใกล้ จนรู้สึกถึงไอร้อนจากลมหายใจของอีกฝ่ายที่ผ่อนรดข้างแก้ม จากนั้นจึงเอียงหน้าจูบ สัมผัสที่ผิวของริมฝีปากนุ่มและอุ่นชื้น เจือกลิ่นและรสชาติของไวน์อ่อนๆ ยามที่ปลายลิ้นอุ่นๆ แตะต้องกัน แต่พอผละจากในจูบแรกก็ยังรู้สึกเหมือนถูกดึงดูดให้ลิ้มรสสัมผัสเดิมนั้นซ้ำอย่างเสพติด


เข่าข้างหนึ่งของหนุ่มใหญ่ทิ้งน้ำหนักลงบนโซฟา แขนขวาเท้าพนักพิง กึ่งๆ จะคร่อมร่างของอีกคนไว้ในท่านั่ง ปรับเปลี่ยนท่าทางเพื่อให้จูบได้ถนัดขึ้น เกิดเป็นเสียงเบาๆ ระหว่างพวกเขายามที่ริมฝีปากดูดดึงกันแล้วผละออกช่วงสั้นๆ ก่อนจะเวียนแลกจูบซ้ำอีกหลายครั้ง สมองที่มึนตึงเล็กน้อยของตุลย์ก็คล้ายจะถูกกลืนหายไปกับไออุ่น ความใกล้ชิด และจูบรสไวน์แสนละมุนละไมค่อยเป็นค่อยไปนั้น


“อยากมั้ย...” ศานนท์ถามหลังจากผละจูบจากเขา


ตุลย์ส่ายหน้าเบาๆ


วันนี้พวกเขาออกเดินทางพบต่อใครหลายต่อหลายคนตั้งแต่เช้ายันตะวันตกดิน บอกตามตรงว่าตอนนี้ร่างกายเขารู้สึกล้าเกินกว่าจะทำเรื่องอย่างว่า ศานนท์เองก็คงเหนื่อยไม่แพ้กันเพราะหนุ่มใหญ่เป็นคนขับพาเขาตะลอนๆ ไปทั่ว


...เขาก็แค่เกิดรู้สึกอยากอยู่ใกล้อีกฝ่ายก็เท่านั้น



ศานนท์เสยผมที่ปรกหน้าอีกคนอันเป็นผลมาจากจูบเมื่อสักครู่ออกอย่างนุ่มนวล ก่อนเขยิบถอยออกห่างเล็กน้อยเปิดทางให้เขาลุก แล้วเอ่ยชวน


“งั้นขึ้นข้างบนเถอะ ดึกแล้ว จะได้พักผ่อนกัน”

------------------------------


พอขึ้นบันไดที่โถงกลางห้องมายังริมระเบียงปีกซ้ายชั้นบนก็พบกับห้องนอนที่ถูกตระเตรียมไว้ให้พวกเขา ภายในห้องใช้โทนสีขาวเช่นเดียวกับห้องอื่นๆ ในคฤหาสน์เพียงแต่ตกแต่งเรียบหรูและดูทันสมัยกว่า ขวามือคือเตียงคิงไซส์ที่มีหัวเตียงตั้งชิดติดผนัง นอกเหนือจากนั้นแล้ว มีแค่เฟอร์นิเจอร์จำเป็นไม่กี่อย่าง เช่น ตู้เสื้อผ้าแบบบิวท์อิน ซึ่งตั้งอยู่ในห้องแต่งตัวเล็กๆ ข้างเตียง มีประตูเลื่อนเปิดปิด โต๊ะเล็กสองตัวสำหรับวางโคมไฟขนาบข้างเตียงซ้ายและขวา และโทรทัศน์จอใหญ่อีกเครื่อง


บนผืนเตียงขนาดใหญ่ที่สวมเครื่องนอนเตรียมไว้ มีชุดนอนวางอยู่สองชุดสำหรับให้ผู้พักอาศัยทั้งคู่สวมใส่ ส่วนชุดที่ใส่อยู่นั้น แม่บ้านแจ้งว่าจะนำไปซักรีดเพื่อให้พวกเขาสามารถใส่กลับได้ในเช้าวันพรุ่งนี้


“เธอไปอาบก่อนสิ” เจ้าของบ้านว่า


ตุยล์ก็คว้าชุดนอนเข้าไปในทางเชื่อมหักเลี้ยวถัดมาจากประตูห้องแต่งตัว ก่อนจะพบประตูอีกบานซึ่งเชื่อมไปสู่ห้องน้ำ พอบิดลูกบิด ประตูก็เปิดอ้าออกเผยให้เห็นห้องน้ำกว้างขวาง ซึ่งมีอ่างอาบน้ำทรงรีตั้งอยู่ชิดกำแพง ณ ตำแหน่งกึ่งกลางของห้อง ซ้ายมือถัดออกมาเป็นคอกฝักบัวกั้นด้วยกระจกฝ้า เยื้องด้านหน้าคอกคือโถสุขภัณฑ์


ชุดคลุมอาบน้ำถูกแขวนไว้ข้างผ้าเช็ดตัวอย่างละสองชุดใกล้กับซิงค์ล้างหน้า มีเครื่องใช้ส่วนตัวอย่างเช่นแปรงสีฟันที่ยังไม่ได้แกะจากห่อ วางเรียงเป็นระเบียบไว้หน้าซิงค์ เขาลอบสังเกตเห็นว่าตามตำแหน่งต่างๆ ของห้องยังมีเทียนอโรม่าจุดวางไว้ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้อีกด้วย...


...ฝนตกหนัก แต่คนที่นี่ก็ยังสามารถเตรียมข้าวของ ทั้งที่จำเป็นและฟุ่มเฟือยให้กับพวกเขาได้อย่างครบครัน



ทว่าความอ่อนล้าทำให้ร่างโปร่งไม่อยากเสียเวลากับการอาบน้ำนานนัก ชำระล้างร่างกายที่คอกฝักบัวเสร็จ เขาก็ออกมาเช็ดเท้าเช็ดตัวที่หน้าคอกก่อนสวมชุดนอน แต่จังหวะที่เดินกลับออกมาบังเอิญสังเกตเห็นว่าถัดจากประตู มีห้องแต่งตัวสี่เหลี่ยมเล็กๆ ห้องหนึ่งกั้นแบ่งออกมา ด้านในมีโต๊ะเครื่องแป้งตั้งตามแนวผนัง กระจกสะท้อนบานใหญ่สองบาน โคมติดผนังส่องสว่างให้แสง และเก้าอี้นั่งอีกตัวหนึ่งวางไว้ในสภาพเรียบร้อย แค่เห็นก็รู้ได้ว่าเป็นห้องสำหรับแต่งหน้าของผู้หญิง


ความเรียบง่าย ทันสมัยแต่หรูหรากว่าห้องอื่นๆ ทำให้ตุลย์พอเดาได้ว่าทั้งห้องนอนและห้องน้ำที่เขาพักคืนนี้ คงจะถูกรื้อและตกแต่งภายในใหม่หลังจากที่คฤหาสน์ถูกสร้าง


ศานนท์คงตั้งใจทำไว้ให้กับภรรยา… อดคิดไม่ได้ว่าเธอช่างเป็นผู้หญิงที่โชคดีมากจริงๆ



พอเดินออกมาจากห้องน้ำ ศานนท์ก็ผลัดกับเขาเข้าไปชำระล้างร่างกายต่อ ระหว่างที่เจ้าของบ้านอาบน้ำอยู่ ตุลย์จึงเดินสำรวจมุมต่างๆ ของห้องด้วยความอยากรู้อยากเห็น


หากว่าห้องนี้เป็นห้องของศานนท์กับภรรยาจริง มันคงอบอวลไปด้วยความทรงจำมากมาย และคงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ศานนท์จะเผชิญหน้ากับสถานที่เต็มไปด้วยเรื่องราวโดยทำตัวปกติ...



น่าเสียดายที่ตุลย์ไม่เจออะไรในคราวแรก เนื่องจากห้องที่โล่งเพราะเฟอร์นิเจอร์หลายอย่างถูกนำออกไป แม้แต่ตู้เสื้อผ้าในห้องแต่งตัวก็ไม่มีแม้แต่ไม้แขวนเสื้อสักชิ้น ทว่าหางตาของเขาก็บังเอิญเหลือไปเห็นกุญแจดอกหนึ่งซึ่งวางหลบมุมอยู่ด้านในสุดของตู้ เขาไม่แน่ใจว่ามันเป็นกุญแจสำหรับอะไร แต่พอลองดึงลิ้นชักยาวชั้นล่างสุดของตู้ ก็พบว่ามันถูกล็อกเอาไว้


ความสงสัยทำให้เขาเอื้อมหยิบลูกกุญแจดอกนั้น นำมาไขลิ้นชักชั้นล่าง และราวกับจิ๊กซอว์ที่ต่อลงล็อกกันพอดี เสียงกริ๊กเบาๆ ก็ดังขึ้นเมื่อล็อกกุญแจถูกปลด ตุลย์ค่อยๆ ดึงลิ้นชักนั้นออกมาช้าๆ อย่างกลัวว่าจะทำอะไรพังเข้า สิ่งที่แรกเขาพบคือ กรอบรูปวางคว่ำหน้า ตามด้วยภาพถ่ายอีกจำนวนหลายใบ บ้างก็วางเป็นตั้งๆ รัดรวมกันไว้ บ้างก็อยู่ในอัลบั้มสะสมขนาดพอดีมือ


ตุลย์พลิกกรอบรูปขึ้นมาดูก็พบว่ามันเป็นรูปถ่ายครอบครัวเล็กๆ มีศานนท์อยู่ฝากหนึ่ง ผู้หญิงสาวต่างชาติรูปร่างอวบเล็กน้อยคนหนึ่งอีกฝ่ายหนึ่งและเด็กหญิงผมแดงยืนอยู่ตรงกลางจับมือคนทั้งสองในภาพ เบื้องหลังเป็นทิวทัศน์ทะเลสวยงามจากมุมสูง ราวกับว่าทั้งสามยื่นอยู่บนเนินสูงที่มองลงไปด้านล่างเห็นพื้นน้ำสีเขียวมรกต


นี่คงเป็นรูปที่ถ่ายกับภรรยาและลูกสาว…



ตุลย์รื้อดูรูปถ่ายใบอื่นๆ อีกหลายรูปซึ่งจับภาพหลายช่วงเวลาและสถานที่ต่างกัน ทั้งก่อนที่ทั้งคู่จะมีเจ้าตัวเล็ก เนื่องจากหญิงสาวชาวต่างชาติยังหุ่นสวยเพรียวและแต่งหน้าเฉี่ยวเข้ม และหลังจากที่เธอกลายเป็นคุณแม่ที่มีรอยยิ้มอบอุ่น ทุกภาพถ่ายล้วนแต่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม จะมีก็แต่เด็กหญิงตัวเล็กที่บางทีก็ร้องไห้งอแงตามประสา


เขามัวแต่ดูรูปต่างๆ เพลินเวลา ก่อนจะสะดุ้งเฮือกราวกับคนกำลังทำผิดเมื่อได้ยินเสียงประตูห้องแต่งตัวเลื่อนเปิดเต็มความกว้างด้วยฝีมือเจ้าของห้อง ตุลย์ทำอะไรไม่ถูกนอกจากรีบขอโทษ แล้วเก็บรูปเหล่านั้นกลับไปที่เดิม ศานนท์นิ่งไปเล็กน้อยตอนที่เห็นว่าภาพภ่ายถูกรื้อ แต่ไม่ได้มีท่าทีขึงโกรธ กลับเดินไปเปิดไฟในห้องแต่งตัวให้สว่างโล่งแล้วกลับมาทรุดนั่งตรงพื้นที่ข้างๆ ตุลย์


“รูปนี้ถ่ายตอนที่ไปเที่ยวเกาะ...” หนุ่มใหญ่ชี้ให้ดูรูปถ่ายในกรอบ “เกาะทางใต้ในประเทศนี่แหละ แต่ฉันจำชื่อไม่ได้แล้ว...”


คราวนี้เป็นศานนท์ที่หยิบอัลบั้มรูปถ่ายเหล่านั้นออกมากอง ก่อนจะไล่ดูทีละรูปด้วยความรู้สึกโหยหาราวกับกำลังย้อนอดีตกลับไป ณ เวลานั้น


“รูปนี้ถ่ายที่สิงคโปร์... ส่วนอัลบั้มนี้ ถ่ายช่วงคริสต์มาสที่บ้านเกิดนิกกี้ตอนที่เรเชลอายุสามขวบ...”


ตุลย์พยักหน้ารับฟัง ปล่อยให้ศานนท์เล่าเรื่องราวต่างๆ ที่ถูกบันทึกอยู่ในภาพภ่ายแต่ละใบตามต้องการ เขาจะถามบ้างก็ต่อเมื่ออยากรู้หรือสงสัยจริงๆ ภาพถ่ายส่วนใหญ่บันทึกความทรงจำแสนอบอุ่นเอาไว้ แต่ก็มีบางภาพที่ไม่ตั้งใจถ่ายทำให้รูปที่ได้ออกมาตลกชวนให้หัวเราะ


ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ตุลย์เลิกสนใจรูปแล้วหันมาสนใจปฏิกิริยาของคนข้างกายแทน ทุกครั้งที่ศานนท์เล่าถึงความทรงจำต่างๆ ในภาพ เขาจะยิ้มออกมาเสมอ ราวกับกำลังหลงใหลอยู่ในความสุขแห่งช่วงเวลานั้น จนตุลย์อดไม่ได้ที่จะมองตามสีหน้าที่เผยความรู้สึกรักใคร่โหยหาออกมาอย่างหมดเปลือก


“คุณรักภรรยากับลูกสาวมากๆ เลยนะครับ...”


คำถามนั้นเรียกให้ศานนท์เบนความสนใจกลับมาที่ผู้พูด แววตาของเขาวูบไหวด้วยอารมณ์


“ใช่... พวกเขาเป็นเหมือนความสุขของฉัน”


ตุลย์เผยยิ้มบางๆ ให้อย่างเห็นใจ เขารู้ว่าศานนท์เป็นพ่อหม้ายที่ผ่านมรสุมชีวิตครั้งใหญ่มา แต่วูบหนึ่งที่หัวใจเกิดความสงสัย...


ความรักที่ศานนท์มีให้เขา... มันจะมากเท่ากับความรักที่อีกฝ่ายมีครอบครัวหรือเปล่านะ?



“…เธอชอบบ้านหลังนี้มั้ย”


จู่ๆ หนุ่มใหญ่เปลี่ยนเรื่องกะหันทัน ทำเอาตุลย์ปรับอารมณ์แทบไม่ทัน เขากวาดสายตามองไปรอบๆ พลางนึกย้อนไปถึงครั้งแรกที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์โออ่าแต่แสนประณีตแห่งนี้


“ผมชอบนะ มันสวยมากแล้วก็กว้างมากด้วย แต่ถ้าต้องอยู่บ้านหลังนี้ตัวคนเดียวแบบคุณ... ผมว่ามันคงทำให้เหงามากกว่า”


“จริงของเธอ”


“...แต่ที่นี่มันก็มีความหมายสำคัญกับคุณไม่ใช่เหรอครับ? ”


“ใช่...”


น้ำเสียงที่ตอบเขาอ่อนลงเช่นเดียวกับแววตา ศานนท์เงียบไปชั่วครู่คล้ายกำลังคิดตริตรองบางอย่าง ก่อนจะลุกขึ้น


“ฉันดูพอแล้ว... คืนนี้นอนกันเถอะ”


เอ่ยชวน ตุลย์ก็ช่วยเจ้าของบ้านเก็บรูปถ่ายทั้งหมดคืนลิ้นชักอย่างทะนุถนอมแล้วใส่กุญแจเช่นเดิม ก่อนจะกลับออกมาที่ห้องนอน ซุกตัวใต้ห่มท่ามกลางเครื่องปรับอากาศที่ทำงานเย็นฉ่ำ ก่อนที่ศานนท์จะเอื้อมมือปิดโคมไฟข้างเตียง ความอ่อนล้าจากกิจกรรมทั้งวันทำให้ทั้งคู่จมสู่ห้วงแห่งนิทรากาลอย่างรวดเร็ว
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (15.03.21) l Dawn (บทส่งท้าย) [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 15-03-2021 02:45:16
ศานนท์รู้สึกตัวตื่นอีกครั้งตอนใกล้รุ่งสางของอีกวัน ส่วนหนึ่งเพราะใกล้เวลาตื่นตามปกติของเขา อีกส่วนก็เพราะพื้นที่ข้างเตียงขยับขยุกขยิกมาได้สักพักแล้ว พอเขาพลิกข้างมองถึงเห็นว่าตุลย์กำลังขดตัวเป็นก้อน มุดเข้าไปในผ้านวมผืนหนาชนิดที่แทบจะกลืนหายไปทั้งตัว


เดิมทีร่างข้างๆ เขาขี้หนาวอยู่แล้ว ดูเหมือนว่าเครื่องปรับอากาศที่บ้านใหญ่จะทำงานดีเกินไปหน่อย อุณหภูมิภายในห้องจึงตกลงกว่าปกติ


“ปรับองศาขึ้นมั้ย? ” เขาถามคนงัวเงียด้วยเสียงแตกๆ อย่างเพิ่งตื่น


ตุลย์ครางรับอู้อี้ในคอ ก่อนจะดึงผ้าห่มมาห่อร่างแน่นขึ้น เห็นอย่างนั้นหนุ่มใหญ่ก็เหยียดตัวขึ้นนั่ง หยิบรีโมตแอร์ที่ติดไว้บนกำแพงข้างหัวนอนมาเร่งอุณหภูมิเพิ่ม แต่ถึงอย่างนั้น ห้องที่ยังไม่กลับขึ้นมาอุ่นดั่งใจก็ทำให้ตุลย์ยังขดเป็นก้อนกลมๆ หันหลังให้ไม่เลิก ศานนท์อดไม่ได้ที่ขยับเข้าไปใกล้ ตะแคงตัวรั้งร่างนั้นมากอดทั้งผ้าห่มห่อกายเพื่อคลายหนาวให้


ไออุ่นจากร่างกายอีกคนดูจะทำให้ตุลย์สบายตัวขึ้น ร่างโปร่งขยับหลังเบียดชิดเข้ามาเล็กน้อย ไม่นานก็จมสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง ศานนท์รอจนกระทั่งอุณหภูมิของทั้งห้องกลับขึ้นมาอุ่น เขาถึงปล่อยคนขี้หนาวเป็นอิสระ ส่วนตัวเองก็ลุกขึ้นนั่งพิงหมอน ลอบมองใบหน้าของคนที่กำลังหลับใหล แล้วลอบสัมผัสปอยผมสีน้ำตาลอ่อนที่ถูกดัดหยักสกเบาๆ ด้วยปลายนิ้ว


ตุลย์เปลี่ยนไปมากนับจากที่เจอกันครั้งแรก… ทั้งนิสัยและภาพลักษณ์



เขาเคยเห็นทั้งช่วงเวลาที่อีกฝ่ายยิ้มอย่างสุขใจและร้องไห้เสียใจเจียนจะขาด… จากเด็กคนหนึ่งหัวรั้นดื้อแพ่งคนหนึ่ง ค่อยๆ เติบโตขึ้นจากเหตุการณ์ต่างๆ ทีละน้อยจนกลายมาเป็น ‘ตุลย์’ ที่เขารู้จักในวันนี้


เสมือนกับหินที่มองดูแล้วไร้ราคา พอจับมาเจรไนย ขัดเกล้าดีๆ ให้เข้าที่เข้าทางหน่อย กลับกลายเป็นอัญมณีที่สวยมากชิ้นหนึ่ง แม้จะไม่ใช่เพชรที่เจิดจรัดตั้งแต่แรกเห็น แต่เขาก็มั่นใจว่า อีกฝ่ายโดดเด่นมากพอที่ถูกเชยชมจากสายตาของผู้คนได้ไม่ยาก


ณ เวลานี้ เด็กคนนี้อาจยังต้องอาศัยเขา แต่ประสบการณ์จะหล่อหลอมตุลย์ให้เข้มแข็ง... และเมื่อถึงเวลาที่พร้อม อีกฝ่ายจะเจิดจรัดได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเขาอีก


เขาจะรอดูจนกระทั่งวันนั้นมาถึง…



ศานนท์ลูบปอยผมนั้นอย่างเบามือ


ที่จริงมีคนพยายามติดต่อซื้อคฤหาสน์ของเขาในราคาสูงอยู่หลายราย แต่เหตุผลที่ศานนท์ยังไม่ขาย นั่นเพราะเขารู้สึกว่าคฤหาสน์หลังนี้มีคุณค่าทางใจมากกว่าเกินกว่าจะตีมูลค่าได้


ใช่... เขายังรักนิกกี้... และคงเป็นเช่นนั้นตลอดไป



เมื่อก่อนเขาเคยถามตัวเองว่า รักตุลย์มากพอจะลืมอดีตภรรยาได้หรือไม่ แต่ในวันนี้เขากลับค้นพบว่าจริงว่า มันไม่ใช่คำถามที่สำคัญอะไร...


การที่จะเดินหน้าต่อกับชีวิต เขาไม่จำเป็นต้องพยายามลืมใครจากใจ...


ตุลย์ก็คือตุลย์... นิกกี้ก็คือนิกกี้ ไม่มีใครสามารถแทนที่ใครได้ ทั้งหมดมันขึ้นอยู่กับหัวใจ ว่าเขาพร้อมที่ ‘หลังรัก’ อีกครั้งหรือยัง... และ ณ เวลานี้ เขามั่นใจว่าหัวใจของเขาพร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่กับตุลย์แล้ว...


บางทีอาจถึงเวลาที่เขาควรเลิกยึดติดกับสถานที่ แล้วขายคฤหาสน์หลังนี้เสียที…



------------------------------


เช้านั้น ทั้งคู่ออกมาทานมื้อเช้าที่ห้องอาหารของคฤหาสน์ชั้นล่างซึ่งเป็นห้องอาหารตกแต่งเรียบง่ายแบบจีน ให้บรรยากาศต่างจากโถงใหญ่และห้องอื่นๆ ที่เป็นศิลปะฝั่งยุโรปโดยสิ้นเชิง ภายในห้องอาหารมีภาพวาดพู่กันจีนบนผ้าใบขนาดใหญ่เป็นรูปนกยูงตัวผู้และตัวเมียยืนคลอเคลียกันบนกิ่งไม้ติดอยู่ข้างผนัง ตั้งอยู่เหนือตู้ไม้สักทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า หน้าต่างที่ม่านถูกเก็บรวบเพื่อให้แสงแดดยามเช้าผ่านเข้ามา ให้ห้องทั้งห้องสว่างด้วยแสงธรรมชาติแทนหลอดไฟ ใกล้กับริมหน้าต่างมีโต๊ะไม้ทรงกลมแบบจีนฐานสี่เหลี่ยมตัวใหญ่ วางล้อมด้วยเก้าอี้ไม้แกะลายตรงพนักตั้งห่างๆ กันหลายตัว ทว่ามีเพียงสองที่นั่งเท่านั้นที่มีเครื่องรับประทานอาหารห่อหุ้มด้วยผ้าขาวสะอาด วางเคียงคู่ข้างจานเปล่า


“กงชอบห้องนี้มาก เป็นห้องที่กงสั่งทำเฉพาะเพราะอยากได้บรรยากาศจีนๆ เหมือนบ้านเกิด”


ตุลย์รับฟัง ขณะทรุดตัวนั่งในตำแหน่งติดกับศานนท์ หลังจากนั้นแม่บ้านหญิงก็นำอาหารเช้ามาเสิร์ฟพร้อมกับกาแฟหอมๆ และน้ำดื่ม พวกเขาลงมือทานกันอย่างไม่รีบร้อน


“ฉันไม่ได้ทานข้าวที่ห้องนี้นานแล้ว ชวนเธอมาทานด้วยอย่างวันนี้ก็ทำให้นึกถึงบรรยากาศเก่าๆ ดี...” หนุ่มใหญ่เอ่ยขึ้น


สถานที่แห่งนี้ มันอบอวลด้วยความทรงจำที่เคยคุ้นในอดีต ตอนที่ครอบครัวยังอยู่กันพร้อมหน้ากัน ถึงตอนนี้จะมีแค่ตุลย์ที่นั่งอยู่ตรงหน้า แต่เขากลับรู้สึกพอใจ... ไม่ได้ขาดอะไรไปเลยแม้แต่อย่างเดียว


ตุลย์ยิ้มรับบางๆ แสงอ่อนยามเช้า อาหารที่เรียบง่ายและคนสำคัญข้างกาย ทำให้รู้สึกสงบจิตสงบใจอย่างบอกไม่ถูก มันเป็นคลื่นอารมณ์ใหม่ที่เขาไม่เคยรับรู้


...อันที่จริง เขาไม่เคยคิดฝันเลยว่าจากคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จัก จะมีวันที่พวกเขาได้นั่งทานข้าวด้วยกันในสถานที่แห่งอดีตที่ลึกที่สุดในใจของศานนท์



วินาทีที่ตกอยู่ในห้วงแห่งกระแสอารมณ์อันละเอียดอ่อน ตุลย์ก็เอ่ยเสียงเบา


“ผมอยากอยู่กับคุณแบบนี้... อยากให้มันเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ”


“อยากอยู่ เธอก็อยู่สิ... บ้านหลังนี้ยินดีต้อนรับเธอเสมอ เธออยากนานเท่าไหร่ก็ได้” ประโยคบอกเล่าของเขาถูกตอบรับแทบในทันที สายตาที่มองมาก็อ่อนโยนกว่าเคย “ฉันอยากให้เธออยู่นะ อยู่ตลอดไปก็ได้...”


กระแสความรู้สึกอุ่นหัวใจคล้ายจะเอ่อล้นขึ้นมาจนแน่นอก ทำให้ตุลย์หลบตา เลี่ยงมองไปทางอื่นขณะที่เม้มปากเล็กน้อยจุกในอก แต่ก็เป็นความรู้สึกที่ดีมากจนอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก


“ขอบคุณ...”


บางทีนี่อาจสิ่งที่เขาอยากได้ยินมาตลอดทั้งชีวิต ที่ผ่านมาเขาวิ่งตามหา ‘บางอย่าง’ ที่สามารถรั้งเหนี่ยวจิตใจให้รู้สึกปลอดภัยอย่างไม่เคยหยุดพัก เพราะไม่ว่าที่ใด เขาก็ไม่พบสิ่งที่ตามหา ...จวบจนกระทั่งวินาทีนี้


วินาทีที่เขารู้ว่าไม่ต้องวิ่งไล่ตามอีกต่อไป… เพราะ ‘บางอย่าง’ ที่ว่านั้น ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว



“ส่วนเรื่องงานของเธอที่ฉันเคยสั่งให้ยกเลิกน่ะ... ฉันจะแก้ไขให้เธอ” ศานนท์ให้คำมั่น


กลับเป็นตุลย์ที่รีบปฏิเสธ “ไม่ครับ ไม่ยังต้อง... ช่วงนี้ผมอยากพักสักพักน่ะ...”


...เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันทำให้เขาอยากใช้เวลาพักช่วงสั้นๆ เพื่อคิดทบทวนจุดมุ่งหมายในชีวิตของตัวเองอีกครั้ง



“อีกอย่างช่วงนี้ผมก็จะสอบแล้ว ...ไว้ผมค่อยให้คำตอบคุณอีกรอบหลังสอบได้มั้ยครับ”


“อื้ม เอาตามที่เธอสะดวก...” หนุ่มใหญ่ผงกศีรษะที ก่อนจะตัดแฮมเข้าปาก ไม่รีบร้อนเร่งรัดเอาคำตอบ


“ส่วนเรื่องทริปไปฝรั่งเศสที่เคยกันไว้... ฉันยังไม่ได้ยกเลิกแค่ปรับเปลี่ยนอะไรนิดหน่อย ถ้าเธอยังอยากไป ไว้เราค่อยไปกันหลังปิดเทอมเป็นไง? ”


คำพูดนั้นทำให้ตุลย์เผยยิ้มบางๆ อย่างดีใจ


“ได้สิครับ”


หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (15.03.21) l Dawn (บทส่งท้าย) [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 15-03-2021 02:45:37


ตุลย์เคยคิดว่าการเดินทางบนเครื่องบินจะรวดเร็วและสบาย แต่ถึงแม้จะบินตรงด้วยเที่ยวบินชั้นหนึ่งของสายการบินขึ้นชื่อที่เก้าอี้ปรับนอนได้ มีพื้นที่กว้างสบายพอให้เหยียดขา และสามารถทำกิจกรรมอื่นๆ เช่น ดูหนังระหว่างเดินทาง หรือใช้สิทธิในการเลือกอาหารและเครื่องดื่มตามต้องการ แต่การต้องอยู่นั่งในคอกที่มีพื้นที่จำกัด เดินไปไหนมาไหนไม่ได้ติดกันร่วมสิบสี่ชั่วโมงก็ยังเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เขาอึดอัดอย่างปฏิเสธไม่ได้


พวกเขาถึงสนามบินชาร์ล เดอ โกลซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของปารีสในช่วงสาย หลังจากผ่านขั้นตอนตามปกติ ทั้งคู่ก็ลากกระเป๋าออกมายังด้านนอกตึก หน้าอาคารมีชาวต่างชาติจำนวนมากเดินสวนพลุกพล่าน ไอเย็นติดจมูกยามที่สูดหายใจเข้าเนื่องจากอุณหภูมิที่นี่ต่ำกว่าที่ไทยอยู่มาก แม้ว่าพวกเขาจะเดินทางมาในหน้าร้อน


ตุลย์กระชับเสื้อกันหนาวเนื้อบางที่สวมอยู่อย่างเคยตัว บรรยากาศที่เบาสบายแต่แปลกใหม่ไม่คุ้นเคยทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นนิดๆ ขณะที่ศานนท์โทรศัพท์ติดต่อให้รถมารับพวกเขาที่หน้าสนามบิน


“เรากำลังจะไปไหนต่อครับ? ” ถามอย่างอดไม่ได้


“เดี๋ยวนั่งรถเอาของไปเก็บที่ห้องพักก่อน จากสนามบินไปถึงโน้นน่าจะประมาณชั่วโมงนึง” หนุ่มใหญ่เล่าคร่าวๆ เท่านั้น ก็เผยยิ้มกริ่ม “ที่เหลือฉันอยากให้เธอไปเห็นด้วยตัวเองมากกว่า”


เนื่องจากทริปนี้ศานนท์แก้ไขแผนบางส่วนของพวกเขาแล้วให้อัฐจัดการใหม่ แถมยังยืนยันจะเก็บเป็นความลับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้องพักโรงแรมที่ศานนท์สั่งให้แคนเซิลไป แล้วจองแห่งใหม่โดยที่ตนเองเป็นคนเลือกแทน ตุลย์จึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย แล้วลากกระเป๋าเดินตามหนุ่มใหญ่ขึ้นรถ MPV สีขาวที่มารอรับ


จุดที่พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปนั้น คือเขตที่สิบหกของปารีสใกล้กับจุดแลนมาร์กสำคัญซึ่งก็คือหอไอเฟล รถของพวกเขาขับเข้ามาในเขตเมือง ผ่านตึกรามบ้านช่องที่ให้บรรยากาศแปลกตา สองริมข้างทางโล่งสะอาด มีชาวต่างชาติเดินขวักไขว่เป็นระยะ สถานที่หมายของคือตึกขนาดสี่ชั้นสีครีมโครงสร้างแบบยุโรป ด้านหน้าตึกเป็นสวนหย่อมเปิดโล่งที่มีโต๊ะและโซฟาจัดไว้ให้ผู้อาศัยใช้พักผ่อน พวกเขาเดินผ่านชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังนั่งเล่นอยู่ เข้าสู่ด้านในตัวอาคาร พอผลักประตูเข้ามาก็ต้องรู้สึกแปลกนิดหน่อยตรงที่มันดูไม่เหมือนกับโรงแรมนัก แม้จะหรูหรา แต่กลับดูสงบกว่าและไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน...


ศานนท์เป็นคนจัดการเรื่องต่างๆ กับเจ้าหน้าที่หน้าล็อบบี้ ไม่นานพวกเขาก็ได้รับกุญแจ ก่อนที่หญิงสาวชาวต่างชาติจะนำพวกเขาไปยังห้องห้องหนึ่งที่อยู่ชั้นเดียวกัน พร้อมกับพนักงานชายอีกคนที่ช่วยขนสัมภาระ


เมื่อพนักงานทั้งสองคนวางกระเป๋าสัมภาระของพวกเขาด้านในห้องแล้วจากไป ตุลย์ก็ได้โอกาสมองตัวห้องถนัดตา ที่ศานนท์จองให้เขาไม่ใช่ห้องโรงแรม แต่เป็นอพาร์ทเม้นท์หรูสองชั้นที่กั้นด้วยผนังหนาแบ่งโซนออกเป็นห้องต่างๆ โดยที่ประตูเชื่อมทะลุถึงกันทุกจุด ทุกห้องตกแต่งสวยงามและมีเฟอร์นิเจอร์พร้อมอยู่ เรียบง่าย แต่หรูหรามีสไตล์อย่างมากและผสมผสานทั้งศิลปะและความสะดวกทันสมัยไว้อย่างลงตัว ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในบ้านสมัยใหม่มากกว่ากำลังท่องเที่ยว


ส่วนที่เข้ามาพบได้ก่อน คือโซนห้องนั่งเล่นเยื้องซ้ายมือ ที่มีโซฟาหนังสีดำตั้งอยู่ตรงข้ามทีวีจอใหญ่ มีโต๊ะไม้สีอ่อนเล็กๆ คั่นระหว่างกลาง ถัดมาทางขวาเป็นโถงยาวต่อเข้าสู่ด้านใน มีตู้หนังสือติดผนังสีน้ำตาลเข้ม ซึ่งภายในชั้นมีหนังสือเรียงรายอยู่เต็ม ส่วนสุดขวามือนั้นคือบันไดวนสีครีมต่อขึ้นไปชั้นสอง


ปลายโถงชั้นล่าง คือห้องสำหรับนั่งเล่นอีกหนึ่งห้องติดริมหน้าต่าง ม่านสีครีมถูกรวบมัดไว้ เปิดโลงให้แสงสีขาวจากด้านนอกผ่านกระจกเข้ามา ภายในห้องนั้น มีโซฟาเบดตั้งรับกับริมผนังเป็นรูปตัวแอล วางอยู่หลังโต๊ะเหลี่ยมสีดำหน้าตาคล้ายกล่องไร้ขาตั้งทำจากไม้สี ถัดมาด้านซ้ายใกล้กันนั้นคือห้องทานอาหารซึ่งมีโต๊ะหินอ่อนสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ตั้งอยู่กึ่งกลาง ล้อมด้วยเก้าอี้ไม้จำนวนหกที่นั่ง เหนือโต๊ะคือโคมแก้วสองชิ้นรูปร่างคล้ายแก้วทรงสูงคว่ำหน้า ห้อยลงมาจากเบื้องบน


แต่ที่สะดุดตาตุลย์ที่สุดคงไม่พ้นชั้นลอยซึ่งต่อยื่นออกมาจากชั้นสองเป็นระเบียงกระจก คั่นระหว่างห้องนั่งเล่นหน้าประตูและห้องรับประทานอาหาร บนนั้นมีเก้าอี้โซฟาตัวใหญ่สำหรับชมวิวตั้งโดดเด่นอยู่ ราวกับสามารถเห็นห้องทุกห้องได้ครบหากชะเง้อมองจากมุมนั้น


ร่างโปร่งก้าวไวๆ ไปที่ริมหน้าต่างห้องนั่งเล่นก่อนชะโงกมองออกไปด้านนอก เขาเห็นหอไอเฟลตั้งตระหง่านโผล่พ้นหมู่อาคารราวกับใกล้แค่ปลายเอื้อม ความตื่นเต้นก็ฉายชัดบนใบหน้า ศานนท์ที่เดินตามหลังมาแตะหลังคนที่กำลังตื่นเต้นเบาๆ


“เธอชอบมั้ย? ที่นี่อยู่ห่างจากไอเฟลแค่ประมาณกิโลกว่า ฉันต้องให้อัฐต่อรองอยู่นานเหมือนกันกว่าจะได้ห้องนี้มา”


เวลานี้ ทุกอย่างรอบตัวเขาล้วนแปลกตาให้กลิ่นอายแบบยุโรป ทว่าขณะเดียวกันอีกเสี้ยวของจิตใจกลับรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยเหมือนบ้าน


...อุ่นใจเพราะรู้ว่ามีศานนท์อยู่เคียงข้างในโลกที่กว้างขวาง และคนคนเดียวกันนี้เองที่เลือกทุกอย่างอย่างใส่ใจเพียงเพราะแค่อยากให้เขาประทับใจกับเรื่องธรรมดาๆ


“ครับ มันสวยมากๆ ...” ตุลย์หันไปหาศานนท์ ยิ้มโดยที่นัยน์ตาก็ยิ้มไปด้วย “ขอบคุณ... คุณให้ผมทุกอย่าง ตอนนี้ผมไม่รู้เลยว่าจะชดเชยให้ได้คุณยังไง”


“ไม่ต้อง แค่เธอชอบฉันก็ดีใจแล้ว...” ศานนท์ลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ ด้วยแววตาแสนเอ็นดู “อยากดูหอไอเฟลมั้ย? ”



หลังจากเก็บกระเป๋าสัมภาระที่ห้อง พวกเขาก็นั่งรถยนต์ต่อมายังสถานที่ที่เห็นผ่านกระจกหน้าต่าง โดยเข้าผ่านทางสวนสาธารณะที่ปูผืนหญ้าเขียวชอุ่มคู่กับทางเท้าไปเป็นแนวยาวสุดสายตา ของข้างทางคือต้นไม้สูงปลูกเรียงกัน ที่ถูกตัดเป็นทรงสี่เหลี่ยมเท่ากันอย่างสวยงามประณีต จากสวนแห่งนี้ สามารถมองเห็นหอไอเฟลได้ทั้งโครงสร้างตั้งแต่ฐานขึ้นไปจนถึงสุดปลายอดเสียดฟ้า อากาศในช่วงสิบเอ็ดโมงอุ่นขึ้นมาก แม้จะมีลมแรงนานๆ ครั้งหอบเอากลิ่นดินและหญ้าอ่อนๆ มาด้วย


ตุลย์เดินเตร็ดเตร่ หยิบกล้องถ่ายรูปที่คล้องคอมาตั้งแต่บนอพาร์ทเม้นท์ขึ้นเก็บภาพทิวทัศน์อย่างอดไม่ได้ สวนแห่งนี้เป็นพื้นหญ้าสั้นตัดเตียน หากขยับจัดมุมดีๆ จะสามารถเก็บภาพหอเหล็กตั้งโดนเด่นสง่าท่ามกลางพื้นสนาม ขนาบสองข้างด้วยต้นไม้ใหญ่และท้องฟ้าสีสดเบื้องบนได้พอดิบพอดี เขาเทียวเก็บภาพต่างๆ อย่างพลังงานล้นเหลือ ส่วนศานนท์ก็เดินตามอยู่ไม่ห่าง


เสียงเห่าดังขึ้นเรียกความสนใจของพวกเขาทั้งคู่ให้หันไปยังต้นเสียงด้านหลัง ไม่ไกลนั้น มีสุนัขโกลเด้น รีทรีฟเวอร์สองตัวกำลังวิ่งไล่ขับกันบนสนาม โดยที่เด็กชายคนหนึ่งยืนตะโกนเรียกชื่อเจ้าสุนัขอยู่ ครอบครัวของเด็กชายก็ยืนดูไม่ห่าง


ตุลย์เห็นก็อมยิ้มกับความอบอุ่นนั้น อดไม่ได้ที่จะเก็บภาพสุนัขทั้งคู่ บางภาพก็ถ่ายติดเด็กชายมาด้วย


“ตุลย์” ศานนท์ขานชื่อ


ณ เวลานี้พวกเขายืนอยู่ท่ามกลางสนามหญ้าขนาดใหญ่ สายลมอ่อนๆ หอบพัดอากาศเย็นสบายชโลมร่างตัดกับแสงแดดสว่างจ้า คนที่กดชัตเตอร์เก็บบรรยากาศอย่างไม่รู้เบื่อก็หันมาหาผู้เรียกข้างกาย


“ครับ? ”


ตุลย์เลิกคิ้วสงสัยเมื่อหนุ่มใหญ่ยังไม่ยอมปริปากพูดอะไร แต่กลับจับมือซ้ายของเขาเอาไว้


“...นับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ให้เวลาฉันเจ็ดวันได้มั้ย ฉันขอโอกาสที่จะทำให้เธอรักฉัน... วันสุดท้ายเราจะกลับมาที่นี่กัน แล้วตอนนั้นไม่ว่าเธอจะรักหรือไม่ ฉันก็จะรอฟังคำตอบจากเธอ...”


แววตาของศานนท์มั่นคงเผยให้เห็นความรู้สึกรักอย่างหมดเปลือก แต่เพราะไม่คาดคิดว่าจะได้ยินประโยคขอร้องนี้จากคนตรงหน้า ตุลย์จึงเก็บสีหน้าตกใจไม่อยู่ หากนาทีต่อมาเขาก็ยิ้มรับบางๆ อย่างไม่ขัด


“เอาสิครับ”



กลางวันนั้น หลังจากแวะทานอาหารกลางวันกัน พวกเขาก็ออกท่องเที่ยวต่ออีกหลายสถานที่สำคัญ ทั้งไปเยี่ยมเยียนประตูชัยซึ่งเป็นสัญลักษณ์เอกของฝรั่งเศสและพระราชวังลุกซ็องบูร์ แต่กว่าถึงราชวัง พวกเขาก็เดินผ่านสวนกันจนขาลาก ถึงอย่างนั้นก็นับว่าคุ้มค่าที่ได้เห็นสถาปัตยกรรมเก่าและภาพเขียนละเมียดละไมขนาดใหญ่โตโออ่าภายใน รวมถึงสวนโบราณที่มีต้นไม้ ดอกไม้และรูปประติมากรรมปูนปั้นสวยสด เช่นเดียวกับทะเลสาบขนาดใหญ่ที่มีเก้าอี้สำหรับให้ท่องเที่ยวนั่งพักและเก็บเกี่ยวบรรยากาศ


จากนั้นถึงเดินทางต่อมาที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ซึ่งเป็นสถานที่เก็บงานศิลปะอย่าง ภาพวาดสีน้ำมัน งานประติมากรรมเก่าแก่และอารยธรรมอียิปต์โบราณบางส่วน ทางเข้าของพิพิธภัณฑ์เป็นโดมแก้วทรงสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ เนื่องจากพวกเขามาถึงในช่วงบ่ายแก่ แดดจัดจึงสะท้อนล้อกับกระจกสีใสเกิดเป็นประกายระยับ ทว่านอกจากความงดงามแล้ว นักท่องเที่ยวก็มีจำนวนมหาศาลเช่นกัน


พวกเขาเดินดูปีกต่างๆ ด้านในกันโดยอาศัยความช่วยเหลือจากแผนที่


“คุณ! ดูนี่สิเหมือนคนจริงๆ เลย”


ตุลย์ชี้ให้ดูรูปปูนปั้นสีขาวของหญิงสาวกึ่งเปลือยคนหนึ่งที่มีลายละเอียดยิบย่อมสมจริงอย่างน่าอัศจรรย์ ศานนท์ตามมาดูก็ถึงกับจิ๊ปาก แววตาแสดงออกว่าสนอกสนใจกับการเสพงานศิลป์เบื้องหน้าอย่างมาก แถมยังแซวว่าเขาตาถึง


เดิมทีหนุ่มใหญ่ก็ชอบสะสมของเก่าอยู่แล้ว พอได้มาเยี่ยมพิพิธภัณฑ์งานศิลปะอย่างที่นี่ อีกฝ่ายก็ดูจะอิ่มเอมใจเป็นพิเศษ


แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่มีเวลาได้ดูทุกชั้นอย่างละเอียดนัก จึงเลือกไปเฉพาะส่วนสำคัญซึ่งก็คงหนีไปพ้นโถงเก็บภาพวาดโมนาลิซ่าที่ได้รับความสนใจจากหมู่นักท่องเที่ยวอย่างล้นหลาม จุดนี้มีผู้คนคับคั่งกว่าจุดอื่นๆ แต่หากจะเข้าชมภาพเขียนใกล้ๆ ก็ต้องฝ่ากลุ่มฝูงชนที่ยืนออกันอยู่หน้าจุดแสดงเข้าไป


“มาถึงฝรั่งเศสทั้งที ผมอยากเก็บรูปตรงนี้หน่อย” ตุลย์บอก


ศานนท์ไม่ค้าน แต่เอื้อมมาจับมือของเขาไว้แน่นกันพลัดหลง ก่อนที่พวกเขาจะแทรกตัวกลืนไปกับฝูงชน ทว่าคนที่เยอะก็ทำให้พวกเขาเบียดเสียดเข้าไปได้ไม่ลึก สุดท้ายต้องใช้ชีวิธียื่นกล้องให้สูงกว่ากลุ่มคนแล้วกดชัตเตอร์ถ่ายเอา


ถึงอย่างนั้นตุลย์ก็ได้ข้อพิสูจน์อย่างหนึ่ง เรื่องที่เขาลือกันว่าดวงตาของโมนาลิซ่าจะมองตามผู้ชมไปทุกที่ เห็นว่าคงเป็นเรื่องจริง เพราะไม่ว่าเขาจะถ่ายภาพจากมุมไหนก็ดูราวกับหญิงสาวกำลังมองกล้องทุกภาพล่ำไป ถ่ายไปสองสามภาพตุลย์ก็ยอมแพ้ดึงมืออีกคนตามออกมายังพื้นที่โล่งๆ ให้หายใจสะดวกขึ้น


แม้ว่าหลังจากนั้นพวกเขาจะเดินชมพิพิธภัณฑ์ส่วนอื่นต่อ แต่ศานนท์ก็ไม่ปล่อยมือเขาเลย จวบจนกระทั่งมาโผล่ที่ปีกรีเชอลีเยอ ซึ่งเป็นโถงกว้างขนาดใหญ่ ล้อมด้วยกำแพงเก่าสีขาวเทาแบบยุโรป ในโถงมีประติมากรรมรูปปั้นสีขาวสะอาด ปั้นอย่างสวยงามประณีตกระจายตัวตามจุดต่างๆ ส่วนใหญ่มักเป็นรูปปั้นชายหญิงกึ่งเปลือยซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของงานศิลป์ของที่นี่เลยก็ว่าได้


อากาศเย็นๆ ประกอบกับคนที่ไม่พลุกพล่านเท่าปีกอื่น ตุลย์และศานนท์จึงตัดสินใจนั่งพักกันตรงชานบันไดหินขัดซึ่งมีนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มนั่งอยู่ด้วย


“ตรงนี้สวยมากเลยนะ คุณว่ามั้ย” ตุลย์ว่าขณะแหงนมองหลังคากระจกใส แดดด้านนอกยังส่องสว่าง


ที่เขาว่ากันว่า ปารีสเป็นเมืองแห่งความรักและความโรแมนติกส์นั้น พอได้มาเห็นกับตา ตุลย์ก็รู้แจ่มแจ้งแก่ใจว่ามันไม่เกินจริงเลย…



“สวยสิ ทีแรกฉันนึกว่าเธอจะไม่ชอบศิลปะ... ก็กลัวว่าเธอจะกร่อยอยู่เหมือนกัน” ดูเหมือนคำสัญญาของหนุ่มใหญ่เมื่อเช้านี้จะสร้างความกดดันให้เจ้าตัวอยู่ไม่น้อย


“ผมไม่ค่อยมีหัวเรื่องนี้ วิจารณ์ไม่เป็น แต่ว่าผมชอบนะ มันสวยมาก” ตุลย์อมยิ้ม ก่อนจะเอ่ยปลอบเป็นนัย “วันนี้ผมได้รูปสวยๆ มาตั้งเยอะ สนุกดีออก คุณไม่ต้องกังวลอะไรหรอก”


เดินด้วยกันมาทั้งวันความอ่อนล้าทำให้ตุลย์เผลอพิงหลังใส่หนุ่มใหญ่อย่างลืมตัว รู้สึกตัวก็ตอนที่อีกฝ่ายลูบหัวเขาเบาๆ ทีหนึ่ง ส่วนเขาตีซื่อแกล้งทำเป็นไม่รู้แล้วพิงต่อไป ซึมซับบรรยากาศที่อบอุ่นและแสนสงบในใจ


“แย่แล้ว...” เสียงอุทานเรียกตุลย์ให้หันไปหา ก็เห็นศานนท์ก้มมองนาฬิกา “ฉันจองโต๊ะไว้หกโมงครึ่ง”


โต๊ะที่ว่าหมายถึงโต๊ะสำหรับทานมื้อเย็นขณะล่องเรือตามแม่น้ำแซน ตุลย์ก็หน้าตื่นไปด้วย เนื่องจากเป็นไฮไลท์สำคัญที่พวกเขาเห็นพ้องกันว่าต้องลองชิมบรรยากาศดูสักครั้งให้ได้ แต่ในฤดูร้อนพระอาทิตย์มักตกดินช้ากว่าปกติต่างกับที่ไทยมาก กอปรกับที่พวกเขาเที่ยวกันเพลิน จึงไม่ทันสังเกตเวลา


“งั้นผมว่ากลับเลยดีกว่า นี่จะหกโมงแล้วคุณ” ตุลย์เด้งตัวลุกผึง


พวกเขารีบสาวเท้าเร็วออกจากพิพิธภัณฑ์กันเดี๋ยวนั้น โชคดีว่ารถที่นัดไว้มารอก่อนแล้ว พอโทรศัพท์คุยกันสองสามคำ ชายคนขับก็วนมารับพวกเขาที่ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ ก่อนจะมุ่งตรงไปยังท่าเรือริมแม่น้ำแซนที่จองมื้อเย็นเอาไว้ทันที ทว่าเหมือนการจราจรจะไม่เป็นใจกับพวกเขาเท่าไหร่เนื่องจากเป็นชั่วโมงเร่งด่วนของเมือง รถจึงติดตลอดแนวตั้งแต่หน้าพิพิธภัณฑ์ไปจนถึงท่าเรือ


ศานนท์ก้มมองนาฬิกาอยู่หลายรอบ พวกเขาใกล้ถึงท่าเรือเต็มแก่ แต่ก็ใกล้ได้เวลาเรือออกมากแล้วเช่นกัน ด้วยกลัวว่าพลาดดินเนอร์สำคัญ หนุ่มใหญ่จึงเสนอให้ลงเดินแทน จากนั้นพวกเขาก็ออกวิ่งสุดชีวิตราวกับกลัวว่าจะไปไม่ทันเวลา มันเป็นเวลาหกโมงที่แสงแดดยังแจ่มชัด อากาศกำลังอุ่นสบาย ตุลย์ก็เผลอหลุดหัวเราะเพราะไม่คิดว่าอยู่ๆ เขาและศานนท์ จะต้องมาทำอะไรสมบุกสมบันอย่างการวิ่งเพื่อทันเรือออกตั้งแต่วันแรกที่มาถึงปารีส


ปลายทางคือท่าเรือจุดหมายซึ่งอยู่ไม่ไกล แต่ในจังหวะนั้นเอง เรือที่จอดเทียบกับท่าอยู่ลิบๆ ก็ค่อยๆ เคลื่อนลำแล่นออกสู่ลำน้ำใหญ่อย่างเชื่องช้าราวกับกำลังล้อเลียนความพยายามของพวกเขา เห็นแบบนั้น ศานนท์ก็หยุดวิ่ง ยืนไหล่ตก รู้สึกเสียดายจับใจ


คนที่ไม่ได้ค่อยได้ออกกำลังกายอย่างหนุ่มใหญ่ พอวิ่งติดต่อกันนานๆ ได้หยุดทีก็ถึงกับยืนหอบ สีหน้าฉายแววผิดหวังเต็มเปี่ยม ต่างกับตุลย์ที่หัวเราะร่า ถึงอย่างนั้นเขาก็เข้าใจความรู้สึกของศานนท์ดี


ศานนท์ตั้งใจจองมื้อนี้ให้เขาแต่แรก ออกวิ่งก็แล้ว ท่าเรือก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม แถมยังแบกความคาดหวังต่อสัญญาที่ให้ไว้เมื่อเช้าอีก พยายามตั้งขนาดนี้แต่พวกเขาก็ยังไปไม่ทัน…



“พรุ่งนี้ฉันจะจองให้ใหม่นะ...” พูดไปก็หอบไป


แต่เสี้ยววินาทีที่กำลังจะก้าวเท้าเดินต่อให้ถึงปลายจุดหมาย ตุลย์กลับจับแขนศานนท์ไว้ไม่ให้ไป แล้วพูดสิ่งที่หนุ่มใหญ่ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้ยิน ในวินาทีที่ทุกอย่างเร่งรีบและผิดแผนไปหมดเช่นนี้


“ผมรักคุณ”



นัยน์ตาของตุลย์สบประสานกับชายที่ยืนอยู่ตรงข้ามเขา ไม่ปิดบังความรู้สึกใดอีก...


ท่ามกลางแดดจ้าและผืนน้ำที่เคลื่อนไหวกระเพื่อมสะท้อนล้อกับแสงแดดเป็นประกายเขียวมรกต ตึกสถาปัตยกรรมขนาดใหญ่สองข้างทางริมแม่น้ำ แต่งแต้มด้วยกลุ่มต้นไม้เขียวชอุ่ม พวกเขายืนอยู่ที่ข้างแม่น้ำแซนที่ได้ชื่อเป็นมนตร์ขลังและจิตวิญญาณแห่งปารีส ลือกันว่าหากคู่รักได้ล่องเรือไปตามลำน้ำนี้ ลอดผ่านใต้ ‘สะพานแห่งคู่รัก’ คำอธิษฐานต่อความรักนั้นคงสมหวังขึ้นมา


แต่ ณ เวลานี้ ไม่มีอะไรสำคัญต่อศานนท์ไปกว่าร่างสูงโปร่งเบื้องหน้า


หนุ่มใหญ่กำลังลังเลว่าจะถามดีหรือไม่ เพราะเขามัวแต่เสียดายเรื่องดินเนอร์จึงไม่ทันตั้งใจฟังตุลย์แต่แรก นั่นทำให้เขาไม่แน่ใจว่าได้ยินถูกหรือไม่


ทว่ายังไม่ทันตัดสินใจ ตุลย์ก็รั้งต้นคอศานนท์เข้ามาใกล้ จรดปลายจมูกเฉียดข้างแก้มเล็กน้อยก่อนกระซิบเบาๆ ด้วยสีหน้าที่เผยชัดว่ากำลังยิ้มกว้างแค่ไหน


“ผมรักคุณ...” คราวนี้ตุลย์ย้ำชัด


“ไม่ต้องรอถึงเจ็ดวันหรอกครับ ตอนนี้ผมมั่นใจแล้วว่าผมรักคุณ”


“...ขอบคุณสำหรับคำตอบนะ”


ไม่มีพูดอื่นใดจากร่างที่สูงกว่า มีเพียงแค่รอยยิ้มละไมและสายตาที่มองมาอย่างรักใคร่เอ็นดูจนเก็บซ่อนไม่อยู่ หนุ่มใหญ่จะรวบเอวสอบนั้นไว้ในอ้อมกอด ก่อนต่างฝ่ายต่างจูบกันแผ่วเบาท่ามกลางห้วงอารมณ์ที่สั่นคลอนวาบไหวในหัวใจอย่างไม่เกรงต่อสายตาผู้คน


...นี่เองสินะ ความรักและความรู้สึกรักที่ได้รับการตอบรับ…




เพราะที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาซับซ้อน ตุลย์จึงไม่อาจหาคำนิยามที่ตนเข้าใจให้กับมันได้


เขารู้สึกดีๆ กับศานนท์ แต่นั่นไม่ใช่ความรู้สึกทั้งหมดที่มีให้...


สำหรับเขาศานนท์ยังเป็นบ้าน เป็นครอบครัว เป็นเหมือนแสงที่ส่องสว่างในคืนเดือนมืดซึ่งมองแทบไม่เห็นทาง และเป็นเพียงคนเดียวที่เอื้อมคว้ามือ ชุบชีวิตของเขาขึ้นใหม่…



แต่เวลานี้ ตุลย์เข้าใจทองแท้


ผู้ชายตรงหน้าคือ ‘ทุกสิ่งทุกอย่างของเขา’ และทั้งหมดของความรู้สึกที่ว่ามานั้น ไม่ว่าใครจะให้นิยามกับมันยังไง มันก็คือสิ่งที่ประกอบขึ้นมาจากฐานที่เรียกว่า ‘ความรัก’ ทั้งสิ้น


เขารักศานนท์ ...รักมาโดยตลอด



และในวันนี้ เขา ‘มั่นใจ’ แล้วว่า ความรักและผูกพันที่มีต่อศานนท์ มันได้ก่อตัวขึ้นอย่างยาวนานในหัวใจดวงนี้ สานเป็นเยื่อใยที่ ‘แข็งแรงพอ’ จะผลิบานต่อไปตราบนานเท่าที่กาลเวลาอาจนำพาไปได้


...เวลานี้ หัวใจของเขาไม่ต้องการบทพิสูจน์ใดอีก…




[จบบริบูรณ์]

-----------------------
คำว่าจบบริบุรณ์ทรงพลังที่สุดเลยค่ะ 5555555
ขอบคุณที่พาเมลล่ามาถึงจุดนี้นะคะ
ดีใจมากๆๆ
หลังจากนี้เรื่องนี้จะถูกทำเป็น e-book นะคะ และเป็นขายที่ meb ค่ะ
สามารถอุดหนุนกันได้นะคะ หากวางขายแล้วจะนำมาแจ้งข่าวในตอนเจ้าค้ะ
มีข่าวต้องแจ้งอยู่สองสามเรื่อง แต่ตอนที่เมลล่าอัพดึกมาแล้วค่ะ คิดไม่ออก ฮื่ออออ
เดี๋ยวจะมาแจ้งในตอนแยกนะคะ

ตอนหน้าตอนพิเศษคิดว่าจะว่าอาทิตย์หน้าหรือจันทร์ไม่เกินนี้เช่นเดิมนะคะ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (15.03.21) l Dawn (บทส่งท้าย) [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 15-03-2021 03:12:37
 :haun4: :impress2:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (15.03.21) l Dawn (บทส่งท้าย) [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 15-03-2021 06:43:28
ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (15.03.21) l Dawn (บทส่งท้าย) [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 15-03-2021 13:21:03
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (15.03.21) l Dawn (บทส่งท้าย) [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: cutelady ที่ 17-03-2021 04:36:54

ดีงาม  ซึ้งใจมากกกกกก

 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (15.03.21) l Dawn (บทส่งท้าย) [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 18-03-2021 03:30:34
 o13 :mew1:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (15.03.21) l Dawn (บทส่งท้าย) [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 20-03-2021 00:36:33
ปรบมือให้เลย
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (15.03.21) l Dawn (บทส่งท้าย) [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: pogpax ที่ 20-03-2021 18:39:35
 :z13:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (15.03.21) l Dawn (บทส่งท้าย) [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 20-03-2021 20:55:23
จบแล้ว ตามลุ้นตามรักมากับตุลย์ยาวนานมาก ในที่สุดก็ได้เจอที่ของตัวเอง ได้อยู่อย่างมีความสุขซักทีนะ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (15.03.21) l Dawn (บทส่งท้าย) [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 21-03-2021 21:29:13
สวัสดีค่าา



ขอบคุณมากๆ ที่เดินทางมาด้วยกันจนถึงตอนนี้นะคะ เป็นความสำเร็จใหม่ของเมลล่าเลยยย

(พูดหลายรอบแล้ว ฮาาา)

สำหรับตอนนี้มีเรื่องที่จะแจ้งนักอ่านทั้งหมด 4 เรื่องค่ะ

แจกแจงเป็นเรื่องๆ ดังนี้เจ้าค่าาา


เรื่องแรก :

เมลล่าจะทำการ rewrite เรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบเพื่อ:

- ให้เส้นเรื่องกระชับ

- เนื้อหาเป็นไปในทิศทางเดียวกันค่ะ

- ปรับคาแรกเตอร์และเป้าหมายของตัวละครให้ชัดขึ้น (เรื่องนี้ logline อ่อนมากค่ะ เขียนมาตั้งนานเพิ่งรู้ตัว ถถถถ)

- แก้ reference หลายจุดที่ใช้มาอย่างผิดๆ (ฮา)

ทั้งนี้จะมีทั้งฉากที่เพิ่มมาและหายไปนะคะ แต่ไม่มากเจ้าค่ะ

หลังจากที่รีไรต์ และส่ง proof เรียบร้อย จะมีการปิดเนื้อหาเป็นบางตอนเพื่อขาย (ตัวอย่างเช่น ตอนที่มี NC หรือเนื้อเรื่องในส่วนที่สำคัญกับตัว plot มากๆ เช่นตอนจบของเรื่อง) ส่วนตอนที่รีไรต์แล้ว จะวงเล็บไว้ท้ายชื่อตอนว่า (รีไรต์) เจ้าค่ะ



เรื่องที่สอง:

ตอนพิเศษที่จะเขียนต่อไปนี้ เมลล่าจะขออนุญาตเปิดขายนะคะ แต่สำหรับตอนหน้าให้เป็นพิเศษกรุบกริบ โดยจะเปิดขายที่ Readawrite แค่ ครึ่งเดียว ค่ะ สำหรับคนที่อยากอ่าน NC แต่ยังไม่พร้อมจ่าย ไม่ต้องกังวลนะคะ ตอนหน้าคาดว่ามี NC มากกว่า 1 ฉาก (ฮา)

ดังนั้นเพื่อไม่ให้เอาเปรียบนักอ่านจนเกินไป เมลล่าจะแถม NC ไว้ในตอนที่เปิดอ่านฟรีด้วยเจ้าค่ะ ถถถถถ

ทั้งนี้เพราะเมลล่าออกจากงานและมาทำนิยาย full-time แล้วค่ะ ถ้าไม่ติดหน่อยจะไม่มีอะไรกินค่ะะ แงงง T-T



เรื่องที่สาม:

อย่างที่เคยเกริ่นไปในตอนที่แล้ว เรื่องนี้จะถูกทำเป็นอีบุ๊กขายที่ Meb นะคะ โดยแบ่งเป็น 2 เล่ม ราคาไม่เกิน 199 ต่อเล่มค่ะ (ตีไว้สูงสุดแล้วว) ออกประมาณต้นเดือน-กลางเดือนหน้า (เมษายน)

รูปปกมาแล้ว แต่ layout ยังไม่เสร็จ และเนื้อหายังไม่ส่ง proof (ที่สำคัญคือยังไม่เริ่มรีไรต์ แงงงง) หากนักอ่านชอบ ช่วยเมลล่ารีวิวไว้หรืออุดหนุนก็จะเป็นพระคุณมากค่ะ T-T

ถ้าปกเสร็จแล้วจะเอามาลงอวดนะคะ แฮร่ <3



เรื่องสุดท้าย:

เมลล่าเตรียมงอกงานหน้าเดือนเมษา ตอนนี้ยังไม่มีชื่อเลยตั้งชื่อโง่ๆ กว่า Project Bluewhale ไปก่อน

เกริ่นไว้ว่าเจ้าวาฬสีน้ำเงินเป็นงานแนว consensual but hardcore BDSM (ที่ไม่มีการขืนใจ) ค่ะ ถถถถถถถถ เข้าใกล้ Pwp ขึ้นทุกทีแร้วววว แอแง ทั้งนี้เมลล่าอยากทดสอบตลาดงานต่างๆ ดูค่ะ แต่ก็ยังคงคอนเซปต์สวนกระแสนิดนึงตามสไตล์นักเขียนหัวกบฏ ถถถถถถ

รอบนี้มากับ concept ที่ว่า

"งาน con มันก็แซ่บได้เท่า non-con ล่ะว้าาา คอยดูเหอะ!!"

สำหรับเรื่องนี้เมลล่าจะตีความ BDSM ให้ลึกลงไปมากกว่าความสัมพันธ์แค่โซ่แส้กุญแจมือ และอื่นๆ (เน้นย้ำว่ามีอื่นๆๆๆ ค่ะ fetish นี้มันกว้างมากก แต่ไม่ใบ้ เดี๋ยวไม่เซอร์ไพรส์ถถถถถถถ) จะมีเรื่องความนึกคิดของตัวละครและจิตวิทยาเข้ามาเกี่ยวเล็กน้อย และมีปัญหาทางสังคมแทรกอยู่บ้างตามสไตล์เมลล่า ถถถถ

แต่ไม่่เครียดนะคะ (อันนี้ชัวร์) เรื่องเนื้อหาเบากว่างานนี้เยอะ แต่เน้นไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครหลักที่หมุนรอบ fetish แบบ BDSM ค่ะ เป็นงานแนวดราม่าเหมือนเดิม ที่เน้นเสพอารมณ์มากกว่าเนื้อหา (เอ๊ะ) เพราะขนาดตัวละครยังไม่เครียดเลย คนอ่านก็ต้องไม่เครียดสิคะ ถถถถถ

เบื้องต้นเรื่องนี้วางไว้ค่อนข้าง hardcore นายเอกแทบจะไม่ใช้เซฟเวิร์ดเลยทั้งเรื่อง แต่เพราะอะไรนั้นต้องติดตามค่ะ มีเบื้องหลังอยู่! ส่วนฝีมือเมลล่าจะถึงมั้ย ยังไม่ขอรับประกัน ไปซ้อมทำการบ้านก่อน ถถถถ





หมดเรื่องจะแจ้งแล้วว เมลล่าขอกราบลาา *ก้มกราบ*

ขอบคุณสำหรับกำลังใจเสมอมานะคะ แงงงง

รักนักอ่านที่สุดเลยยยย <3
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (21.03.21)l ตอนพิเศษ อาถรรพ์ดินเนอร์(1)[Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 21-03-2021 22:08:04
Friday Night : อาถรรพ์ดินเนอร์ (1)



เมื่อคืนแม้ว่าตุลย์จะพูดความในใจออกไป แต่เนื่องจากเหนื่อยมาทั้งวัน กลับถึงห้องพวกเขาก็สลบเป็นตายบนเตียง ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรอื่น



ตุลย์รู้สึกตัวตื่นในช่วงสายๆ ของวันถัดมา เขาขยับตัวปรือตาขึ้นก็พบว่าพื้นที่ข้างกายปราศจากผู้อาศัยอีกคน เหลือแค่ผ้าห่มกองขยุกขยุย จุดที่ศานนท์เคยนอน บัดนี้กลายเป็นหลุมว่างๆ มองเห็นผ้าปูเตียงยู่ยี่ แต่เนื่องจากเมื่อคืนเขาหลับลึกจึงไม่รู้สึกตัวว่าหนุ่มใหญ่ลุกออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่



หลังจากต่อสู้กับความงัวเงียชนะ ตุลย์ก็ลุกขึ้นไปอาบน้ำชำระร่างกาย ห้องนอนที่นี่กว้างขวาง ทั้งยังมีห้องน้ำและห้องแต่งตัวในตัว ชำระร่างกายเสร็จเรียบร้อย เขาก็หยิบเสื้อคลุมอาบน้ำมาใส่ก่อนออกจากห้องไปชะโงกมองหาผู้พักอาศัยอีกคนจากระเบียงแก้วชั้นลอย



สิ่งที่แรกที่เตะจมูกตุลย์ทันทีที่เขาเปิดประตูห้องนอนคือกลิ่นของอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลิ่นหอมของเบคอนซึ่งโดดเด่นที่สุด กระตุ้นให้ท้องที่ว่างรู้สึกหิวขึ้นมา



ตุลย์ลงบันไดมาชั้นล่าง ผ่านห้องอาหารที่ม่านถูกเปิดไว้กว้าง แสงอาทิตย์ยามสายลอดเข้ามาทำให้ทั้งห้องสว่างโลง ก่อนจะหักเลี้ยวไปยังครัวซึ่งตั้งอยู่หลบมุมในห้องถัดมา



ตอนนั้นเองที่เขาพบร่างสูงของศานนท์ในเสื้อยืดแขนสั้น กางเกงนอนยืนหันข้างอยู่หน้าเตาไฟฟ้า กำลังทำอะไรบางอย่างกับสิ่งที่อยู่ในกระทะเทฟลอนอย่างคล่องแคล่ว ข้างๆ กันนั้นมีเครื่องครัวหลายอย่างที่ไม่ถูกใช้วางเป็นระเบียบเรียบร้อย



“ตื่นแล้วเหรอ” ศานนท์ทักคนที่ชะเง้อดูอยู่ตรงขอบประตู



“ครับ” ตุลย์ขานตอบ “คุณทำอะไรกินเหรอ?”



ศานนท์ไม่ตอบแต่พยักพเยิดไปที่เคาน์เตอร์ซึ่งอยู่ด้านหลังตนเอง บนเคาน์เตอร์โล่งๆ เวลานี้มีเบรกฟาสต์สองจาน ประกอบด้วยไข่ดาวสองฟอง ไส้กรอก ขนมปังที่ถูกปิ้งจนกรอบง่ายๆ จำนวนหนึ่งวางคู่อยู่กับถุงกระดาษอีกถุง มันเป็นอาหารเช้าที่ไม่ซับซ้อน ทว่าพอทำโดยคนฝีมืออย่างศานนท์กลับดูน่าทานนัก



นอกจากบนเคาน์เตอร์แล้ว จานข้างตัวพ่อครัวยังมีแฮมนาบกระทะไร้น้ำมันที่เพิ่งทำเสร็จวางพักอยู่ ส่วนในกระทะซึ่งกำลังส่งกลิ่นหอมเย้ายวนนั้น คือเบคอนยาวหนาสองเส้น ท่าทางกรอบเกรียมได้ที่ หน้าตาน่ากินเอามากๆ



ส่วนมากตุลย์จะไม่ค่อยทานของมัน เนื่องจากเขาต้องคุมรูปร่าง และศานนท์ก็ทราบความจริงข้อนี้ดี



ดังนั้น ถ้าแฮมเป็นของเขา... เบคอนก็คงเป็นของศานนท์...




“ขำอะไรหึ้ม” เสียงหัวเราะในคอเบาๆ ของเขา เรียกคำถามอ่อนโยนจากอีกคน



“จะไม่ลดของมันหน่อยเหรอครับ คุณก็อายุเยอะแล้วน้า” ตุลย์เอ่ยแซวอย่างอดไม่ได้ เชฟมือหนึ่งประจำครัวก็ถอนหายใจตอบ



“ยังหรอก”



ยังหรอกของเขานี่หมายถึงยังอายุไม่มาก หรือยังไม่อยากหยุดกิน...



คราวนี้ตุลย์ได้แต่ยิ้ม เอ่ยแซวในใจเพราะไม่อยากทำลายบรรยากาศดีๆ ระหว่างกัน



เอาเถอะ ไว้ถึงเวลาที่ศานนท์คอเลสเตอรอลเกิน เขาค่อยชวนอีกฝ่ายไปวิ่งสักสัปดาห์ละสองสามรอบก็ได้...



ตุลย์ไถลตัวขึ้นไปนั่งห้อยขาบนเคาน์เตอร์ยาวด้านหลังซึ่งวางจานอาหารเช้าไว้ กลิ่นอาหารหอมเสียจนเขารู้สึกหิว หากไม่ติดว่ารอทานมื้อเช้าพร้อมศานนท์ เขาก็อยากหยิบซ้อมมานั่งโซ้ยเสียตรงนี้



“ทำไมคุณทำอาหารเก่งจัง...”



“ไม่รู้สิ พรสวรรค์มั้ง” ไม่บ่อยนักที่ศานนท์จะพูดยอตัวเองด้วยสีหน้าภูมิอกภูมิใจ “ฉันทำบ่อยตอนเรียนที่อังกฤษ... แรกๆ ก็ซื้อสำเร็จนั่นแหละ แต่พออยู่คนเดียวหลายๆ ปี ทำกินเองก็สนุกดีเหมือนกัน”



“แสดงว่าคุณอยู่นานเหรอครับ” ตุลย์ถาม



สำเนียงภาษาอังกฤษของอีกฝ่ายค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์และคล่องแคล่วอย่างคนที่ใช้มานาน ไม่เหมือนกับคนที่เพิ่งเรียนรู้ใหม่อย่างเขา



“ถ้าเป็นอังกฤษก็ตั้งแต่คอลเลจปีแรก ฉันเรียนตรีกับโทที่โน่น รวมๆ เวลาแวะเที่ยวก็สักเกือบๆ ห้าปีได้ หลังจากนั้นถึงกลับไทย แต่ถ้าเป็นอเมริกา ป๊าเคยส่งฉันไปเรียนไฮสคูลที่โน่นช่วงสั้นๆ ไม่นานเท่าไหร่หรอก เรียกว่าไปๆ กลับๆ หาประสบการณ์มากกว่า”



ตุลย์พยักหน้า มันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับหนุ่มใหญ่ที่เขาไม่รู้มาก่อน



...ถึงว่าผู้ชายคนนี้ให้ความรู้สึกต่างจากผู้ใหญ่อายุรุ่นเดียวกันที่เขาเคยพบเจอมาโดยสิ้นเชิง



“ใส่พริกไทยให้ฉันหน่อยสิ” เชฟมือหนึ่งเหลียวหลังมาหาเขา



“ในจานคุณเหรอ? ...แล้วของคุณอันไหนครับ?” ตุลย์มองสองจานที่ถูกจัดเรียงคล้ายกัน



“อันไหนก็ได้... เธออยากทานจานไหนก็หยิบไป ส่วนพริกไทยอยู่ในถุงข้างๆ น่ะ”



ตุลย์เปิดถุงกระดาษบนเคาน์เตอร์ พอเจอเครื่องปรุงหลากหลายอย่างกองรวมกันอยู่ในถุงเขาก็ยิ่งสับสน เนื่องจากไม่คุ้นตา แถมฉลากข้างขวดส่วนใหญ่ก็ยังเป็นภาษาฝรั่งเศสอีก เลยได้แต่นั่งคิ้วมุ่นเป็นปม



“อันไหนเหรอครับ ผมอ่านไม่ออก...”



เห็นว่าไม่ได้เรื่องแน่แท้แล้ว ศานนท์จึงผละจากหน้าเตาเดินมาหาเขา ก่อนจะหยิบขวดพริกไทยป่นขนาดพอดีมือจากถุงอย่างคล่องแคล่ว หนุ่มใหญ่จำได้แม่นเพราะเป็นคนเดินซื้อมาเองกับมือ ทว่าจังหวะที่ขยับเข้าใกล้คนบนเคาน์เตอร์ จมูกกลับได้กลิ่นสบู่อ่อนๆ ลอยแทรกมากับกลิ่นหอมของอาหาร หลังมือที่พลั้งสัมผัสกันนิดหน่อยตอนที่ช่วยกันหาเครื่องปรุงก็คล้ายจะเกิดไฟฟ้าสถิตขึ้น



ศานนท์จับแขนข้างซ้ายของร่างในชุดคลุมอาบน้ำ ดึงรั้งเบาๆ ร่างนั้นก็ก้มตัวลงมาจุมพิตที่ริมฝีปากเขาราวกับเข้าใจความนัยที่สื่อผ่านแววตาเป็นอย่างดี ปลายจมูกทั้งคู่เคลียกัน รับรู้ถึงไออุ่นจากลมหายใจและผิวกายที่ชิดใกล้ กลิ่นสบู่ก็คล้ายจะแรงโดดเด่นเตะจมูกยิ่งกว่าเก่า แลกจูบกันอยู่สองสามที ตุลย์ก็ดันไหล่ศานนท์เบาๆ



“เดี๋ยวเบคอนของคุณก็ไหม้หมดหรอก...” เอ่ยเตือนกึ่งหยอกล้อ



ศานนท์คราง ‘อื้ม’ ในคอ แต่หาได้สนใจสิ่งที่ทอดอยู่ในกระทะอย่างปากว่าไม่ มือข้างหนึ่งวางบนต้นขาตุลย์ อีกข้างก็สอดลอดสาบเสื้อเข้ามาสัมผัสผิวกายอุ่นใต้เนื้อผ้า เชือกคาดที่ผูกไว้อย่างไม่พิถีพิถันส่งผลให้สาบสาบเสื้ออ้าออกกว้างขึ้น เผยให้เห็นเรือนร่างอีกคนเห็นตั้งแต่กระดูกไหปลาร้า ช่วงอก ไล่ลงมาจนถึงกล้ามเนื้อหนาท้องที่สวยได้รูปอย่างนายแบบ



ศานนท์ลูบไล้ผิวสะโพกและบั้นท้ายอย่างเคยมือ ก่อนรั้งตัวร่างโปร่งเข้ามาชิดแนบกาย โดยขาทั้งสองข้างของตุลย์ถูกคั่นระหว่างกลางด้วยสะโพกของเขา



ก่อนที่จะเกินเลยกว่านั้น จู่ๆ กลิ่นฉุนไหม้จากเบคอนที่ทอดสุกเกินไปก็ลอยเตะจมูกคนทั้งคู่ เรียกเสียงหัวเราะร่าจากตุลย์



ดูทว่าคุณพ่อครัวที่มัวแต่มาผัวพันกับเขาจะอดทานเบคอนเป็นมื้อเช้าเข้าเสียแล้ว...



ซึ่งนั่นทำให้ศานนท์ต้องแวะไปปิดเตาอย่างเสียไม่ได้ ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินหายไปนอกห้องหลายนาที จนตุลย์ชักเริ่มไม่แน่ใจว่าถูกอีกฝ่ายแกล้งให้อยากแล้วจากไปหรือเปล่า ทว่าไม่นาน เขาก็วางใจเพราะหนุ่มใหญ่กลับมาพร้อมถุงยางและขวดเจลหล่อลื่นในมือ



ตุลย์ปลดเชือกที่คาดเอวอยู่ออก พอปราศจากเชือกรัด ชายเสื้อคลุมก็ลู่ตกลงมาตามแรงโน้มถ่วง เผยร่างเปลือยเปล่าใต้เนื้อผ้าให้เห็นอย่างหมิ่นเหม่



หนุ่มใหญเข้ามาประชิดร่างบนเคาน์เตอร์ กอบรั้งเอวเข้ามาแนบชิด ตุลย์ก็เท้าไหล่กว้างนั้นเป็นหลักยึด ขณะที่ขยับส่วนล่างเปลือยเปล่าเบียดเสียดสีกับหน้าท้องน้อยของหนุ่มใหญ่ บางคราวส่วนอ่อนไหวของเขาก็เฉียดโดนสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้ขอบกางเกง ก่อตัวเป็นความต้องการที่วาบวาม ร้อนฉ่าอย่างบอกไม่ถูก



ศานนท์ลูบต้นขาเปลือย แต่คราวนี้แยกองศาขาให้ฉีกกว้างขึ้นเพื่อให้ตัวตนของร่างโปร่งเบียดกลืนไปกับร่างของเขา ไม่นาน ตุลย์ก็รู้สึกได้ว่าส่วนนั้นของศานนท์ตื่นตัวเต็มที่ สมองของเขาเริ่มขาดเหตุและผลเพราะความ ‘อยาก’ ที่ประดังประเดจู่โจมจากการเล้าโลมของอีกฝ่าย



“ทำเลยได้มั้ย”



ไฟใคร่ปรารถนาถูกจุดติดโดยสมบูรณ์ เขาร้องขอตัวตนของอีกฝ่าย



“เธอแน่ใจนะ?”



“อื้อ ผมโอเค...”



สิ้นเสียง ร่างของตุลย์ก็ถูกชำแรกนำด้วยปลายนิ้ว ก่อนที่มันจะค่อยๆ กดลึกเข้ามา ขยับขยายช่องทางของเขาให้แน่ใจว่าเพียงพอจะรองรับการสอดใส่ ก็เปลี่ยนสลับให้ส่วนแข็งขึงที่อุ่นร้อนกว่าซึ่งห่อหุ้มด้วยถุงยาง สอดแทรกเข้ามาแทนที่



“อา...”



ตุลย์ครางเครือต่ำๆ หายใจเร็วขึ้นเล็กน้อยเพราะช่องทางที่รับตัวตนของอีกฝ่ายเข้ามายังแน่นและคับแคบ แม้จะไม่รู้สึกแย่นัก



ศานนท์เริ่มด้วยการขยับกายสั้นๆ เพื่อให้อีกคนปรับตัวได้ ก่อนจะเปลี่ยนมาสอดใส่เต็มความยาว ทว่าแรงกระทั้นกับสิ่งที่ขยับเสือกแทรกอยู่ในร่างซึ่งไม่ถูกเตรียมพร้อมให้ดี กลับทำให้ตุลย์รู้สึกไม่สบายตัว เขาไม่สามารถยึดอะไรเป็นที่จับได้นอกจากไหล่ของศานนท์เพราะเคาน์เตอร์ไม่พนักพิง พอขยับบิดผิดท่านิดเดียวก็รู้สึกเจ็บแปล๊บจนต้องนิ่วหน้า



คิ้วขมวดมุ่นไม่สู้ดีของตุลย์ทำให้ศานนท์ยอมผละจาก ดึงตัวอีกคนลงมายืนที่พื้นแล้วจัดแจงให้หน้าเข้าหาเคาน์เตอร์หินอ่อน ก่อนจะถกชายผ้าคลุมอาบน้ำสีขาวขึ้น



นาทีถัดมา ตุลย์ก็รู้สึกถึงเจลเย็นๆ ที่สอดเข้ามาพร้อมกับนิ้วมือ ก่อนที่อุณหภูมิจากร่างกายของเขาจะเปลี่ยนให้มันอุ่น รู้สึกเหนียวเฉอะแฉะที่บั้นท้าย ทว่าภายในกลับอึดอัดน้อยลงมาก



“คราวหลังฉันจะค่อยๆ ทำ เธอก็อย่ารีบร้อนนัก...” น้ำเสียงที่เอ่ยเจือแววตักเตือน แต่ก็คล้ายเกลี้ยกล่อมเขาเสียมากกว่า



คนฟังได้ตัวหัวเราะแหะๆ ก่อนจะหลุดครางหวิวเมื่อนิ้วมือที่แทรกอยู่ภายในสะกิดกระตุ้นถูกจุดสำคัญเข้าอย่างจังราวกับรู้จักร่างกายของเขาเป็นอย่างดี หนุ่มใหญ่รวบกอดเอวร่างที่ถูกปรนเปรอด้วยนิ้ว ก่อนจะทาบน้ำหนักของตนเองลงมา พลางลูบไล้หน้าท้องน้อยที่มีกล้ามเนื้อได้รูป ใช้สัมผัสลูบไล้ ความใกล้และไออุ่นผิวกายกระตุ้นความต้องการของคนด้านล่างให้พลุ่งพล่าน



ซึ่งมันก็ได้ผลเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่สองนิ้วด้านในกดกระแทก ขยี้ตรงจุดกระสันแรงๆ ตุลย์ก็จิกเท้าเกร็งด้วยความเสียวซ่าน มือที่ปะป่ายไปตามหน้าท้องก็ไม่ลืมจะเกาะกุมปรนเปรอส่วนอ่อนไหวด้านหน้าให้พร้อมๆ กัน



ร่างโปร่งก้มพังพาบราบไปเคาน์เตอร์หินเย็นเฉียบ ขยับตอบรับสัมผัสที่ป้อนราคะให้ด้วยการเบียดก้นเข้าหา คำขอของเขาก็ถูกตอบสนองให้ทันทีด้วยนิ้วที่สอดเสียดในจังหวะกระทั้นรุนแรงขึ้น ไม่นาน ร่างนั้นก็ครางเครือจมดิ่งลงในรสตัณหาอย่างยากจะถอนสติกลับมา



คราวนี้นิ้วถูกถอนไป สอดใส่แทนด้วยตัวตนของผู้กระทำ มันเชื่องช้าและระมัดระวัง ทว่ายิ่งช้าตุลย์กลับยิ่งรู้สึกถึงทุกขั้นตอนอย่างเด่นชัด ตั้งแต่ส่วนปลายอุ่นระอุผิดกับอากาศเย็นของห้อง ที่ค่อยๆ เคลื่อนดันชำแรกเข้ามาในร่างที่คับแน่นของเขาละน้อย



“อ๊า...”



เขาก้มหน้าหอบหายใจแรง ปลายเท้าจิกเกร็ง ส่วนมือก็กำชายเสื้อคลุมแน่น ยิ่งมันดันเสียดลึกโดนจุดที่เพิ่งถูกปรนเปรอให้ชินกับรสราคะเมื่อครู่ ก้อนความเสียวซ่านก็ก่อตัวที่ช่องท้อง ก่อนกระจายแล่นแปลบปลาบไปทั่วทั้งร่าง ทั้งรู้สึกดีและทรมานเกินกว่าจะบรรยาย



ทว่ายังไม่ทันที่แก่นกายจะเสือกใส่เข้ามาทั้งหมด ตุลย์กลับรับรู้ได้ว่าร่างกายของเขาใกล้จะเสร็จสมเต็มที...



------------------------------


พา nc มาเสิร์ฟตามสัญญาแล้วเจ้าค้าาา ฮี่ๆๆ

แจ้งว่าในตอนต่อไป (พาร์ทสอง) ก็มี nc นะเจ้าคะ ถถถถถ
แต่เปิดขายที่ Readawrite ตามลิ้งค์ด้านล่างค่ะ
https://www.readawrite.com/a/95c6f9368f28f2ced55d51f136aaeb0a (https://www.readawrite.com/a/95c6f9368f28f2ced55d51f136aaeb0a)

ทิ้งฟีตแบกเรื่อง nc ไว้ได้นะคะ เพราะเมลล่าเปลี่ยนสไตล์การบรรยายนิดหน่อย
*ก้มกราบ*
รักนักอ่านที่สุดโลยยย <3
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (21.03.21) ตอนพิเศษ อาถรรพ์ดินเนอร์ (1) [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 21-03-2021 23:19:42
 :oo1: :oo1:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (21.03.21) ตอนพิเศษ อาถรรพ์ดินเนอร์ (1) [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 21-03-2021 23:34:39
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (21.03.21) ตอนพิเศษ อาถรรพ์ดินเนอร์ (1) [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 28-03-2021 12:18:16
ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (21.03.21) ตอนพิเศษ อาถรรพ์ดินเนอร์ (1) [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 28-03-2021 15:48:37
 :pig4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (21.03.21) ตอนพิเศษ อาถรรพ์ดินเนอร์ (1) [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 03-04-2021 21:46:04
 :pighaun: มื้อเช้านี้แซ่บสุดๆ
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (21.03.21) ตอนพิเศษ อาถรรพ์ดินเนอร์ (1) [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 06-04-2021 21:23:06
 :hao7:    :pig4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (21.03.21) ตอนพิเศษ อาถรรพ์ดินเนอร์ (1) [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: davil01 ที่ 04-05-2021 14:39:17
พึ่งอ่านมาเจอ สนุกมาก
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (21.03.21) ตอนพิเศษ อาถรรพ์ดินเนอร์ (1) [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 10-05-2021 21:22:22
 :serius2: มาต่อให้จบน้า~~~~

ขอบคุณจ้านิยายสนุกมาก :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (21.03.21) ตอนพิเศษ อาถรรพ์ดินเนอร์ (1) [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: mareeyah ที่ 22-05-2021 08:00:21
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: SIDELINE. ผมเป็นเด็กเสี่ย (21.03.21) ตอนพิเศษ อาถรรพ์ดินเนอร์ (1) [Updated]
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 18-08-2021 14:55:20
เรื่องนี้สนุกมากเลยค่ะ
หลากอารมณ์ดีค่ะ
แต่แอบไม่ชอบนิสันตุลน์ช่วงบางตอน