พิมพ์หน้านี้ - รักบังตา [BL] UP : CH 23 เช้าวันใหม่ [END]│ P.3

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: LYNJIIN ที่ 22-12-2020 16:59:44

หัวข้อ: รักบังตา [BL] UP : CH 23 เช้าวันใหม่ [END]│ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: LYNJIIN ที่ 22-12-2020 16:59:44
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.เรื่องสั้นให้จั่วคนว่าเรื่องสั้นด้วยนะครับ และนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************


รักบังตา

INTRO


ผู้หญิงที่อยู่ตรงอีกฝากของถนนกำลังต้องการความช่วยเหลือ ตามตัวของเธอเต็มไปด้วยเลือด มันแดงฉานจนชวนให้ขนลุก ผมเผลอก้าวเท้าถอยหลัง แรงฉุดที่แขนเรียกสติผมกลับมา

“เดินแบบนี้กลางถนน อยากโดนรถชนตายรึไง” แววตาของเขาฉายแววหงุดหงิดออกมา ผมอึ้งไปเมื่อได้สติว่าตัวเองกำลังยืนอยู่กลางถนนที่มีรถขับสวนไปมา

“ข้ามถนนไม่เป็น ?” ผมไม่ได้ตอบเขากลับไป เลือกที่จะมองกลับไปยังที่เดิมที่มีผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ ก่อนจะพบว่าเธอหายไปแล้ว

“ตามมาดิ แต่ถ้าอยากอยู่ให้รถชนตายก็อยู่ไป” เขาพูดและเดินห่างออกไป ระยะห่างที่เพิ่มขึ้นทำให้ผมเริ่มได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้หญิงคนนั้นอีกครั้ง ผมรีบวิ่งไปใกล้กับผู้ชายตรงหน้า น่าแปลกที่อยู่ใกล้เขาแล้วผมไม่เห็น ‘ วิญญาณ ’ ของผู้หญิงคนนั้นอีก

ใช่ครับ เมื่อกี้ผมเห็นผี



-----------------------------------------------
LYNJIIN


สารบัญ
Chapter 1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72434.msg4052738#msg4052738)
Chapter 2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72434.msg4052817#msg4052817)
Chapter 3 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72434.msg4052925#msg4052925)
Chapter 4 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72434.msg4053031#msg4053031)
Chapter 5 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72434.msg4053065#msg4053065)
Chapter 6 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72434.msg4053262#msg4053262)
Chapter 7 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72434.msg4053326#msg4053326)
Chapter 8 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72434.msg4053427#msg4053427)
Chapter 9 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72434.msg4053497#msg4053497)
Chapter 10 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72434.msg4053575#msg4053575)
Chapter 11 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72434.msg4053642#msg4053642)
Chapter 12 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72434.msg4053761#msg4053761)
Chapter 13 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72434.msg4053936#msg4053936)
Chapter 14 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72434.msg4054103#msg4054103)
Chapter 15 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72434.msg4054206#msg4054206)
Chapter 16 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72434.msg4054410#msg4054410)
Chapter 17 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72434.msg4054617#msg4054617)
Chapter 18 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72434.msg4054758#msg4054758)
Chapter 19 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72434.msg4054856#msg4054856)
Chapter 20 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72434.msg4055021#msg4055021)
Chapter 21 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72434.msg4055265#msg4055265)
Chapter 22 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72434.msg4055427#msg4055427)
Chapter 23 [END] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72434.msg4055444#msg4055444)


-----------------------------------------------
สามารถแวะมาพูดคุยกันได้ผ่านทาง Twitter : LYNJIIN (https://twitter.com/lynjiin) นะคะ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนิยายเรื่องนี้ด้วยนะคะ :pig4:





หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 1 ผู้หญิงคนหนึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: LYNJIIN ที่ 22-12-2020 17:04:33


รักบังตา

Chapter 1

ผู้หญิงคนหนึ่ง



[ Pun ]

02.59 น.

ในยามวิกาลที่ดึกสงัดแบบนี้ หลายคนคงกำลังนอนหลับอยู่บนเตียง ต่างกับผมที่กำลังนั่งอยู่ข้างล่างหอพักที่เต็มไปด้วยฝูงยุงที่กำลังสูบเลือดสูบเนื้อผมไปอย่างหิวกระหาย สายลมเย็น ๆ พัดมาทำให้ผมกระชับผ้าห่มให้ห่อตัวแน่นกว่าเดิม บรรยากาศที่ทั้งเงียบและเย็นแบบนี้ทำให้ผมอดที่จะขนหัวลุกขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

“เอ็งเชื่อเรื่องผีไหมไอ้หนุ่ม” น้ำเสียงของชายแก่ดังมาจากด้านข้าง ๆ

“อะไรนะลุง”

“ข้าถามว่าเชื่อเรื่องผีไหม” ผมหันไปมองลุงยาม สายตาแกมองผมนิ่งและจริงจัง ราวกับต้องการคำตอบจากคำถามเมื่อครู่จริง ๆ

“แล้วลุงอ่ะ คิดว่าผีมีจริงไหม”

“ข้าน่ะ เจอมาทุกรูปแบบแล้ว เอ็งอย่ารู้เลยดีกว่า เดี๋ยวจะเสียขวัญซะเปล่า ๆ” คราวนี้เป็นผมเองที่หันไปมองหน้าลุงอย่างจริงจัง

“ลุงลองเล่าเรื่องที่ลุงคิดว่าน่ากลัวที่สุดมาสักเรื่องสิ แล้วเดี๋ยวผมจะเล่าเรื่องที่ผมเจอให้ลุงฟัง”

“ถ้าข้าเล่า เอ็งต้องเหยียบไว้ให้มิดเลยนะ ถ้าเจ้าของหอเค้ารู้เข้า เขาเอาข้าตายแน่”

“เล่ามาเถอะลุง ผมไม่เอาไปบอกใครหรอก” ลุงยามมองซ้ายทีขวาที เหมือนกับกลัวว่าจะมีใครแอบมองอยู่

“เมื่อไม่กี่ปีก่อนน่ะ ข้าเคยนั่งเฝ้าหออยู่แบบนี้นี่แหละ ทุกวันเวลาตีหนึ่งจะมีนักศึกษาผู้หญิงคนนึงเดินกลับมาจากมหาวิทยาลัย ทีแรกข้าก็ไม่ได้สนใจอะไร จนช่วงหลัง ๆ ถึงได้นึกเอะใจขึ้นมา ว่าคนอะไรมันจะเดินกลับหอเวลาเดิมทุกวัน ข้าเลยลองเอ่ยทักนักศึกษาคนนั้นดู เอ็งเชื่อไหม ตอนที่เขาหันหน้ามาหาข้า ทั้งขนขาขนแขนข้ามันลุกซู่ไปหมด ดวงตาของเขาแดงก่ำไปด้วยเลือด ใบหน้านี่ช้ำเลือดช้ำหนองไปหมด กลิ่นเหม็นเน่าก็ลอยคละคลุ้งไปทั่ว บุญของข้าที่เขาแค่หันมาแล้วเดินหายไปเลย ถ้าเขาพูดตอบข้าสักประโยค มีหวังตอนนี้ข้าคงไปนอนในโลงแทนจะมานั่งคุยกับเอ็งแบบนี้” ผมเอื้อมมือไปเกาแขนที่ยุงกัด ลุงมีท่าทีหงุดหงิดเล็กน้อยที่เห็นผมไม่ได้มีปฏิกิริยากับเรื่องราวที่แกเล่ามากมายนัก

“เอาล่ะ ! ตาเอ็งเล่าบ้าง ท่าทางแบบนี้เอ็งคงไม่เชื่อเรื่องที่ข้าพูด ข้าจะรอดูว่าเรื่องของเอ็งจะน่ากลัวสักแค่ไหนกันเชียว” ผมส่ายหัวไปมาแทนคำตอบ ก่อนจะเอ่ยปากพูด

“เรื่องของผมไม่ได้น่ากลัวอะไรหรอกลุง ลุงเห็นนั่นป่ะ” ผมพูดพลางชี้ไปทางถนนใหญ่ที่เป็นทางเข้ามาบริเวณหอพัก ลุงยามก็มองตามนิ้วผมไปเช่นกัน

“ก็ถนนธรรมดา เอ็งจะบอกว่ามีผีอยู่ตรงนั้นรึไง..” ความเงียบกลายเป็นคำตอบของผมไปโดยปริยาย ลุงยามหน้าเสียไปเล็กน้อย จนผมต้องเอ่ยปลอบ
 
“ไม่ต้องกลัวหรอกลุง อย่างน้อยก็โชคดีที่ตอนนี้ลุงมองไม่เห็น”

หลังจากบทสนทนานั้นจบลง ผมกับลุงก็ไม่มีอะไรให้พูดกันต่อ เรียกได้ว่าแกไม่พูดกับผมเองมากกว่า เอาแต่เหลือบมองตรงถนนอยู่บ่อยครั้ง จนกระทั่งพระอาทิตย์ขึ้นและได้เวลาเปลี่ยนเวรยามคนใหม่ ผมถึงได้เดินขึ้นหอพักไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมตัวไปเรียนมหาลัยวันแรก

สภาพของผมเรียกได้เต็มปากว่าย่ำแย่ ช่วงสองสามคืนมานี้ผมไม่ได้แม้แต่จะสัมผัสที่นอนเลยด้วยซ้ำ ทุกครั้งที่เริ่มเคลิ้มหลับ ผมมักจะฝันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ตลอดเวลา และทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมา ผมไม่เคยจำหน้าเธอได้ ไม่ว่าจะพยายามนึกแค่ไหนก็นึกไม่ออก สิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่หลังจากหลับเต็มตื่นมีเพียงความรู้สึกแย่เท่านั้น จนหลัง ๆ ผมเริ่มเลือกที่จะไม่หลับไม่นอนและลงไปนั่งเป็นเพื่อนยามที่ล่างหอพักแทน

ผมมัวแต่คิดเรื่องของตัวเอง รู้ตัวอีกทีก็มาหยุดอยู่ตรงทางม้าลายหน้ามหาลัยแล้ว มือของผมสั่นเล็กน้อยจนผมต้องค่อย ๆ กำมือไว้หลวม ๆ ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอด เมื่อเห็นว่าไม่มีรถผ่านไปมาแล้วจึงค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้า เมื่อเดินไปจนถึงเกาะกลางถนน ผมจึงรู้สึกโล่งใจไปเล็กน้อย ก่อนจะชาวาบไปทั้งตัวเมื่อเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า

ผู้หญิงที่อยู่ตรงอีกฝากของถนนกำลังต้องการความช่วยเหลือ ตามตัวของเธอเต็มไปด้วยเลือด มันแดงฉานจนชวนให้ขนลุก ผมเผลอก้าวเท้าถอยหลัง แต่กลับมีแรงฉุดที่แขนเรียกสติผมกลับมา

“เดินแบบนี้กลางถนน อยากโดนรถชนตายรึไง” แววตาของเขาฉายแววหงุดหงิดออกมา ผมอึ้งไปเมื่อได้สติว่าตัวเองกำลังยืนอยู่กลางถนนที่มีรถขับสวนไปมา ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ถนนมันโล่งมาก

“ข้ามถนนไม่เป็น ?” ผมไม่ได้ตอบเขากลับไป เลือกที่จะมองกลับไปยังที่เดิมที่มีผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ ก่อนจะพบว่าเธอหายไปแล้ว

“ตามมาดิ แต่ถ้าอยากอยู่ให้รถชนตายก็อยู่ไป” เขาพูดและเดินห่างออกไป ระยะห่างที่เพิ่มขึ้นทำให้ผมเริ่มได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้หญิงคนนั้นอีกครั้ง ผมรีบวิ่งไปใกล้กับผู้ชายตรงหน้า น่าแปลกที่อยู่ใกล้เขาแล้วผมไม่เห็น ‘ วิญญาณ ’ ของผู้หญิงคนนั้นอีก

ใช่ครับ เมื่อกี้ผมเห็นผี..

จะเรียกผีก็คงไม่ถูกนัก ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมเห็นคืออะไร ตั้งแต่สองปีก่อนหลังผมเกิดอุบัติเหตุ ผมก็มักจะเห็นผู้หญิงคนหนึ่งอยู่เสมอ โดยเฉพาะทุกครั้งที่อยู่บนถนน หลายครั้งถ้าไม่เจอบนถนนก็มักจะฝันถึงแทน และมันทำให้ผมรู้สึกไม่ดีทุกครั้งที่เจอแบบนั้น ผมเดินตามผู้ชายตรงหน้าไปเรื่อย ๆ โชคดีที่เขาเดินไปทางเดียวกับผมพอดี แต่จู่ ๆ เขาก็หยุดเดินแล้วหันมาหาผม

“ไม่ไปคณะมึงเหรอ ?” พอเขาทักมาแบบนั้น ผมจึงได้เห็นว่าด้านหลังเขาเป็นป้ายคณะวิศวกรรมโยธาแล้ว

“กูเรียนคณะนี้เหมือนกัน..”

“บังเอิญดีว่ะ กูชื่อซิกนะ แล้วมึงชื่ออะไร”

ปัน

“มึงจะเข้าไปเรียนเลยไหม พอดีกูจะรอเพื่อนก่อน”

“เดี๋ยวกูเข้าไปก่อนดีกว่า”

“เออ งั้นไว้เจอกัน”

ผมเดินเข้ามาในห้องเรียนวิชาแรกและเลือกที่จะเดินไปนั่งตรงมุมหลังห้องเงียบ ๆ คนเดียว นักศึกษาหลายคนเริ่มทยอยเข้ามา เสียงพูดคุยเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ จากการเริ่มทำความรู้จักกัน มีเพียงผมที่นั่งอยู่คนเดียว อาการอ่อนเพลียจากการไม่ได้นอนเมื่อคืนเริ่มเล่นงานผมอย่างช้า ๆ

ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่เสียงรอบข้างเริ่มหายไปจนเหลือเพียงความเงียบ ผมหันไปมองรอบตัวกลับไม่เห็นนักศึกษาคนอื่นเลยแม้แต่คนเดียว คราวนี้พอผมก้มลงมองดูกลับพบว่าตัวเองอยู่บนรถคันหนึ่ง เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนนิ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ผมพยายามเพ่งมองใบหน้าของเธอ แต่มันก็ยังไม่ชัด

เชี่ย..

ผมอุทานในใจเมื่อเห็นร่างกายของผู้หญิงคนนั้นเริ่มมีเลือดซึมไหลออกมา ผมพยายามขยับตัวและพบว่าร่างกายตัวเองมันหนักอึ้งไปหมด เปลวไฟที่ไม่รู้ถูกจุดขึ้นตั้งแต่ตอนไหนทำให้ผมรู้สึกราวกับตัวเองกำลังจะโดนเผาทั้งเป็นในรถคันนี้ ความหวาดกลัวทำให้ผมเลือกที่จะหลับตาลง ผ่านไปสักพักหนึ่งผมถึงได้ลืมตาขึ้นมา และไม่เห็นผู้หญิงคนนั้นแล้ว พอลองขยับตัวก็ขยับได้ปกติ ยังไม่ทันที่ผมจะได้หายใจหายคอ แขนผมก็โดนกระชากจากด้านข้างอย่างแรงจนต้องหันไป

“ทำไมมึงไม่ช่วยกู !”

เฮือก !

ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมทั้งหายใจหอบอย่างแรง มือไม้ก็มีแต่เหงื่อเต็มไปหมด มองไปรอบ ๆ แล้วเห็นนักศึกษาคนอื่นกำลังนั่งตั้งใจฟังสิ่งที่อาจารย์กำลังพูดอยู่ ผมจึงได้ถอนหายใจออกมาเบา ๆ ดีที่คลาสแรกอาจารย์แค่เริ่มแนะนำวิชาเท่านั้น ยังไม่ได้สอนเนื้อหาอะไรมากมาย ผมขยี้หัวตัวเอง ก่อนจะลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ

ผมก้มลงล้างหน้าล้างตาลวก ๆ ซึ่งมันก็ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเท่าไหร่นัก พอได้เห็นหน้าตัวเองในกระจกถึงได้รู้ว่าสภาพผมมันโทรมมากจริง ๆ รอยคล้ำบริเวณใต้ตาเริ่มแสดงให้เห็นชัดขึ้น ขอบตาก็ลึกขึ้นจากการไม่ได้นอน

อยู่แบบนี้ไม่ได้แล้วว่ะ..

หลังจากปลงตกกับสภาพตัวเองในห้องน้ำได้แล้ว ผมถึงได้เดินกลับไปที่ห้องเรียนและพบว่าคลาสได้เลิกไปแล้ว เหลือนักศึกษาในห้องแค่สองสามคนเท่านั้น ผมเดินไปเอากระเป๋าและเดินออกจากห้องเรียนไป ทีแรกคิดว่าจะกลับหอเลย แต่ผมเปลี่ยนใจไปกินข้าวที่โรงอาหารก่อนดีกว่า  ซึ่งโรงอาหารในตอนนี้นั้นเต็มไปด้วยบรรดานักศึกษาที่พากันมากินข้าวด้วยกัน ในขณะที่ผมกำลังเดินหาโต๊ะว่างอยู่ ก็มีคนดึงชายเสื้อผมไว้ เมื่อหันไปมองก็พบว่าเป็นคนที่เจอกันเมื่อเช้า

“หาโต๊ะนั่งอยู่เหรอ”

“ใช่”

“นั่งด้วยกันดิ ที่อื่นเต็มหมดแล้วมั้งตอนนี้อ่ะ” ผมมองไปที่โต๊ะที่ซิกนั่ง และเห็นว่าเขานั่งอยู่กับเพื่อนอีก 3 คน ซึ่งโต๊ะที่เขานั่งมันแบ่งนั่งฝั่งละ 2 คน ไม่เหลือที่ว่างให้ผมนั่งได้ด้วยซ้ำ ซิกเหมือนจะเดาความคิดผมออก เขาเลยขยับไปเบียดเพื่อนข้าง ๆ และตบเก้าอี้เป็นเชิงให้ผมลงไปนั่ง
 
“นั่งได้ เชื่อกูเหอะ” พอซิกพูดแบบนั้น ผมเลยทำได้แค่นั่งลงข้าง ๆ เขาเท่านั้น

“เออ นี่เพื่อนกูชื่อเต..” ซิกเริ่มแนะนำผู้ชายที่นั่งตรงข้ามให้ผมรู้จัก แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบประโยค ผู้ชายอีกคนที่นั่งอยู่ข้างเขาก็โผล่หน้าเข้ามาแทรกเสียก่อน

“เรียกมันว่าไอ้เฮียก็ได้นะ พ้องเสียงดี ส่วนกูชื่อฟลุ๊ค ผู้หญิงอีกคนชื่อเฌอแตม” ผมไล่มองตามที่ฟลุ๊คแนะนำทีละคน แต่ไม่ได้สนใจอะไรเท่าไหร่

“มึงไปซื้อข้าวเถอะ ไอ้ฟลุ๊คมึงก็แดกข้าวต่อได้ละ”

บรรยากาศตอนกินข้าวเรียกได้ว่าหรรษาพอตัว ถ้าตัดผมออกไปน่ะนะ เท่าที่ฟังเขาคุยกันทำให้ผมรู้ว่าซิกกับเตเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่มัธยมเลยชวนกันมาสอบเข้าที่นี่เหมือนกัน ส่วนคนที่ชื่อฟลุ๊คกับเฌอแตมเพิ่งมาเจอกันตอนปฐมนิเทศ

“ว่าแต่มึงไม่ได้เข้าปฐมนิเทศเหรอปัน ไม่เห็นเคยเจอหน้าเลย” ฟลุ๊คหันมาถามผม

“ไม่ได้เข้า ตอนนั้นกูไม่ว่าง”

“เสียดายเลยว่ะ วันปฐมนิเทศสาวภาคอื่นแม่งมีแต่สวย ๆ ทั้งนั้น อดเห็นเลยดิมึง” ผมไม่ได้ตอบอะไรฟลุ๊คกลับไป มันเองก็เลิกสนใจผมและหันไปคุยกับคนอื่นต่อ

“เออ ไอ้ซิก แล้วสรุปคือมึงจะย้ายออกมาอยู่หอป่ะ”

“กูน่าจะออกมาอยู่ข้างนอกแหละ ขี้เกียจขับรถไปกลับ แต่ยังไม่รู้ว่าจะอยู่หอหรือบ้าน แม่งบ้านมันหลังใหญ่เกินอ่ะ กูดูแลไม่ไหว”

“จ้างสาวไว้ดูแลบ้านสักคนดิวะเพื่อน”

“ไม่เอา กูอยากหาเมทมาอยู่ด้วยเลย มันมี 2 ห้องนอนพอดี แต่ยังไม่รู้เลยว่าจะอยู่กับใคร”

“ไอ้เฮียไง”

“กูอยู่คอนโด” คราวนี้คนที่ชื่อเตเป็นคนตอบ ผมสังเกตเห็นว่าหน้าตาของเขาดูไม่ค่อยสดใสเท่าไรนัก ขอบตาก็บวมเหมือนเพิ่งร้องไห้มา

ผมนั่งฟังทุกคนคุยกันอยู่สักพัก ถึงได้ขอตัวกลับก่อน ยังดีที่ระหว่างเดินกลับหอ ไม่ได้เจออะไรเพิ่มอีก แค่วันนี้วันเดียวก็หนักมากพออยู่แล้ว อาจจะเป็นเพราะความเหนื่อยล้าที่สะสมติดต่อกันมาหลายวัน ทำให้พอทิ้งตัวลงบนเตียง ผมก็เผลอหลับไปในทันที

02.39 น.

ติ๊ก

ติ๊ก..

ติ๊ก...

เสียงเข็มนาฬิกาที่กำลังเดินไปข้างหน้าทำให้ผมลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย พอลุกขึ้นไปเปิดไฟและมองไปที่นาฬิกา มันทำให้ผมอดตกใจไม่ได้ ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองหลับไปนานขนาดนั้นเลย ผมพยายามทำเป็นไม่สนใจและเดินเข้าไปอาบน้ำตามปกติ เมื่อเสร็จแล้วจึงได้เอาหนังสือขึ้นมาอ่าน เพราะนอนมาเยอะเกินไป พอตื่นขึ้นมาแล้ว มันเลยไม่รู้สึกอยากนอนเพิ่มอีก แต่เพิ่งเปิดอ่านไปได้แค่สองสามหน้า ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเสียก่อน

ก๊อก ก๊อก..

เสียงเคาะดังขึ้นอีกครั้ง โดยที่ผมยังนั่งลังเลอยู่ที่เดิม จู่ ๆ ผมก็ขนลุกขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุ สายตาผมยังคงจับจ้องไปยังประตูบานนั้น ราวกับจะมองมันให้ทะลุไปถึงสิ่งที่อยู่หลังบานประตู

ยอมรับเลยว่านี่เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ผมรู้สึกกลัวมาก ๆ กับสิ่งที่ตัวเองกำลังจะต้องเจอ

ผมกลัว.. กลัวว่าเมื่อเปิดประตูไปแล้วจะเจอผู้หญิงคนนั้นอีก














หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 1 ผู้หญิงคนหนึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 22-12-2020 23:51:50
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 1 ผู้หญิงคนหนึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 23-12-2020 15:26:02
 :pig2: :pig2:
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 2 ปันเป็นคนโชคร้าย
เริ่มหัวข้อโดย: LYNJIIN ที่ 24-12-2020 21:50:25
รักบังตา

Chapter 2

ปันเป็นคนโชคร้าย


[ Pun ]

ก๊อก ก๊อก ก๊อก..

เสียงเคาะที่ดังขึ้นเป็นครั้งที่สามทำให้ผมต้องลุกจากเก้าอี้ไปยืนอยู่หน้าประตู เพราะความถูกของราคาเช่าทำให้ห้องพักแห่งนี้ไม่มีทั้งตาแมว หรือโซ่คล้องอะไรทั้งนั้น มีแค่ลูกบิดโง่ ๆ ที่พร้อมให้ทั้งคนและผีพังเข้ามาอย่างง่ายดาย ผมสูดหายใจเข้าปอดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูบานนั้นออก

“ทำอะไรอยู่วะไอ้หนุ่ม เปิดช้าจริง ข้ารอจนขนแขนจะตั้งทุกเส้นอยู่แล้ว” ลุงยามบ่นอุบทันทีที่เห็นหน้าผม

“มีอะไรรึเปล่าลุง”

“ก็ห้องข้าง ๆ เขาโทรไปบอกเจ้าของหอว่าเอ็งทำเสียงดังตอนกลางคืน เขานอนไม่ได้ ข้าเลยต้องขึ้นมาดูเอ็งเนี้ย ก็คิดอยู่ว่าทำไมเอ็งถึงไม่ลงไปนั่งกับข้าอีกวันนี้ แล้วนี่จัดห้องอยู่เหรอ มีอะไรให้ข้าช่วยไหม” ผมส่ายหัวแทนคำปฏิเสธ 

“ไม่มีหรอกลุง พอดีผมเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เสียงน้ำคงไปรบกวนห้องข้าง ๆ มั้ง ไว้เดี๋ยวผมไปขอโทษเขาเองวันหลังนะลุง”

“เออ ๆ ทำอะไรก็เบา ๆ หน่อยละกัน ผนังห้องที่นี่มันบาง ใครทำอะไรก็ได้ยินถึงกันไปหมดแหละ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าไปเฝ้าเวรต่อก่อนละกัน” ทีแรกผมเกือบจะปิดประตูไปแล้ว แต่พอนึกเอะใจอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ผมจึงร้องเรียกลุงยามเอาไว้

“เดี๋ยวลุง ! ที่ลุงบอกว่ามีคนโทรไปหาเจ้าของหออ่ะ เขาโทรไปตอนกี่โมงเหรอ” ลุงหันมามองผมแบบงุนงง ก่อนจะเอ่ยตอบ

“ราว ๆ ตีหนึ่งกว่าเกือบตีสองได้มั้ง” ผมเงยหน้ามองนาฬิกาบนผนังและหันไปถามลุงยามอีกประโยค

“นักศึกษาที่ลุงเล่าให้ผมฟังเมื่อคืน.. ลุงรู้ไหมว่าเขาพักอยู่ห้องไหน” สีหน้าลุงเปลี่ยนไปทันทีที่ผมพูดจบ แกมองหน้าผมสลับกับป้ายเลขห้อง

“ข้า.. ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ะ” พูดจบแกก็เดินไว ๆ จากไปทันที จนผมต้องรีบเดินไปหยิบผ้าห่มแล้วเดินตามแกไปอีกคน

ปันมันเป็นคนโชคร้าย

ไม่ว่าใครที่ได้รู้จักผมก็มักจะพูดประโยคนี้ออกมาอย่างง่ายดาย อาจจะเป็นเพราะพื้นเพครอบครัวของผมที่พ่อตายตั้งแต่ผมยังอยู่ในท้อง ส่วนแม่ก็ตายไปหลังจากที่คลอดผมออกมา ตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ เป็นป้าคนเดียวที่เลี้ยงผมมาพร้อมกับลูกของป้าอีกคน ถึงแม้มันอาจจะไม่ได้สบายนักเมื่อเทียบกับคนอื่น แต่สำหรับผมมันก็ถือว่าดีมากแล้ว ก่อนหน้านี้ผมคิดมาตลอดว่าผมไม่ใช่คนที่โชคร้ายขนาดนั้น แต่การที่หนีผีตนนึง เพื่อมาเจออีกตนในห้อง มันก็ออกจะเกินไปหน่อยนะ

“เอ็งจะโชคร้ายไปไหนวะไอ้หนุ่ม ทำบุญบ้างดีไหม”

“ก่อนหน้านี้ก็ทำตลอดนะลุง มีช่วงที่ย้ายมานอนหอนี่แหละที่ยังไม่ได้ทำ” ผมไม่ได้บอกลุงไปว่าผมกลัวที่จะต้องมารอใส่บาตรคนเดียว ตอนอยู่กับป้า ผมยังมีป้ารอใส่บาตรเป็นเพื่อน แต่พออยู่คนเดียวผมกลัวจริง ๆ ว่าที่มารอเป็นเพื่อนจะเป็นผีแทน

“ว่าแต่.. วันนี้เอ็งยังเห็นผีตรงถนนอยู่อีกไหม”

“ลุงล่ะ ยังเห็นนักศึกษาคนนั้นเดินกลับหอมาไหม” ลุงแกส่ายหัวไปมาเป็นเชิงว่าอย่าถามถึงเลยดีกว่า

“หลังจากเจอไปแบบนั้น เอ็งยังคิดอีกเหรอว่าข้าจะอยู่ให้เขามาเดินผ่านน่ะ พอเริ่มจะตีหนึ่งทีไร ข้าต้องเดินไปสูบบุหรี่บ้าง เข้าห้องน้ำบ้าง ขืนเจอแบบเดิมอีกสักครั้งเดียว คราวนี้ต่อให้ขึ้นเงินเดือนข้าแค่ไหน ข้าก็ไม่ทนอยู่หรอก” ผมพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย

“ลุงไม่อยากเจอเขา ผมก็ไม่อยากเจอเหมือนกัน เพราะงั้นอย่าให้ผมหันไปมองเลย”

“อย่าหาว่าข้าด่าเลยนะ แต่เอ็งไม่ประสาทแดกแย่เหรอวะแบบนี้”

“ไม่หรอกลุง..” อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้น่ะนะ

ลุงยามเล่าเรื่องชีวิตที่ผ่านมาของแกให้ผมฟังจนแกหลับไปเลย กลายเป็นผมที่นั่งเฝ้าหอพักแทนแกแบบงง ๆ  ผมนั่งตบยุงจนเช้านั่นแหละ ถึงได้ปลุกลุงแกให้กลับบ้านกลับช่องไปได้แล้ว ส่วนผมก็ลุกขึ้นไปยืนอยู่หน้าห้องตัวเองพักหนึ่ง ถึงค่อยทำใจเข้าไปได้ พอได้อยู่ในห้องนี้คนเดียวอีกครั้ง ความรู้สึกมันต่างไปจากตอนแรกโดยสิ้นเชิง
 
มันเงียบเกินไป เงียบจนกลายเป็นความวังเวงเลยด้วยซ้ำ 

ผมรีบอาบน้ำและเดินออกไปมหาลัยทันที ความรู้สึกที่เหมือนไม่ได้อยู่ในห้องนั้นคนเดียวน่ะ สัมผัสครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว ผมรีบเดินจ้ำอ้าวไปตามถนน โดยไม่หันไปมองกลางถนนเลยแม้แต่นิดเดียว จนกระทั่งมาถึงหน้าห้องเรียนโดยสวัสดิภาพ ผมถึงได้รู้สึกโล่งอกขึ้นมาบ้าง แต่มันก็โล่งได้ไม่นานหรอก เพราะพอเปิดประตูเข้าไปแล้ว ผมพบว่าตัวเองเป็นคนแรกที่มาถึงและมาก่อนเวลาเรียนเป็นชั่วโมงอีกต่างหาก

สุดยอดเลยว่ะปัน.. อยู่ห้องก็ไม่ได้ อยู่บนถนนก็ไม่ได้ พอตอนนี้มาอยู่ในห้องเรียน บรรยากาศก็เหมาะกับการเจอผีสุด ๆ

ผมทำใจยอมรับโชคชะตาตัวเอง ก่อนจะเดินเอากระเป๋าไปวางที่โต๊ะหลังสุดท้ายห้องเหมือนเมื่อวาน ผมพยายามคิดในแง่ดีว่าอย่างน้อยที่นี่ก็ไม่ได้มีผีเหมือนอย่างในห้องที่ผมอยู่ โทรศัพท์กลายเป็นสิ่งที่ผมใช้ฆ่าเวลาระหว่างรอคลาสเรียนเริ่ม ผมกดเข้าหน้าเฟสบุ๊คไปดูการแจ้งเตือนความทรงจำเมื่อสองปีก่อน 

ON THIS DAY

2 years ago

Khun Jaokhun is with Puntikarn Worasakul

‘ หายเร็วๆนะปัน ’

ผมเลื่อนดูอีกหลายต่อหลายแท็กบนไทม์ไลน์ ก่อนจะปิดโทรศัพท์แล้วเก็บมันใส่กระเป๋าตามเดิม มัวแต่ยุ่งอยู่กับการเข้ามหาลัยจนลืมไปเลยว่ามันวนมาถึงวันนั้นอีกแล้ว วันที่ผมเกิดอุบัติเหตุ แต่กลับจำอะไรไม่ได้เลย ตอนตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลก็รับรู้จากป้าเพียงแค่ว่าผมโดนรถเฉี่ยวและไม่ได้เป็นอะไรมาก ทุกคนดูไม่อยากพูดถึงอุบัติเหตุครั้งนั้น หลายครั้งที่ผมถาม ป้าก็เอาแต่บ่ายเบี่ยงไม่ยอมบอกอะไร ผมจึงได้แต่คิดปลอบใจตัวเองว่าถ้ามันเป็นเรื่องใหญ่จริง ผมก็คงโดนตำรวจมาตามตัวไปแล้ว

“ไอ้ปัน ! มาเร็วจังวะ” เสียงเอ่ยทักดังขึ้นมา พร้อมกับคนที่เข้ามาใหม่อีกสองคน ถ้าผมจำไม่ผิดคนที่ทักผมน่าจะชื่อฟลุ๊ค

“หอกูอยู่ใกล้มอ เลยมาเร็ว”

“เสียดายเมื่อวานไม่ได้ขอเบอร์มึงไว้ ไม่งั้นเมื่อคืนคงได้ออกไปกินเหล้าด้วยกัน เออ แล้วปกติมึงกินเหล้ากินเบียร์บ้างป่ะ”

“ไม่นะ กูไม่ค่อยชอบกิน”

“เด็กอนามัยเหรอวะเนี่ย”

“ฟลุ๊ค ปันมันไม่ได้อนามัยหรอก มึงอ่ะ ขี้เหล้าเกินไป” หลังจากเฌอแตมพูดแบบนั้น บทสนทนาก็ตกไปอยู่ที่ฟลุ๊คกับเฌอแตมแทน

ตลอดคาบผมไม่เห็นซิกเข้ามาเรียน อาจารย์วิชานี้ก็ยังคงพูดแนะนำรายวิชาคร่าว ๆ เหมือนเมื่อวาน บอกตามตรงว่าทั้งคาบสิ่งที่อาจารย์พูดไม่ได้เข้าหูผมเลยแม้แต่นิดเดียว สมองผมเอาแต่นึกถึงเรื่องอุบัติเหตุครั้งนั้นวนไปมา สิ่งเดียวที่ผมจำได้คือผมแค่กำลังข้ามถนนไป แต่เหตุการณ์หลังจากนั้น.. นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ราวกับมีคนมาลบความทรงจำที่เหลือไปทั้งหมด

“ปัน !” เสียงเรียกทำให้ผมสะดุ้งตกใจ จนฟลุ๊คต้องเอามือตบบ่าผมเบา ๆ

“มีอะไร..”

“ไหวป่ะมึง เห็นมึงนั่งเหม่อทั้งคาบ ขนาดอาจารย์ปล่อยแล้ว มึงก็ยังไม่ยอมขยับไปไหน” ได้ยินฟลุ๊คพูดแบบนั้น ผมเลยยกมือขึ้นลูบหน้า และพบว่ามือของผมมันเต็มไปด้วยเหงื่ออีกแล้ว

“โทษที กู.. พอดีกูใจลอย ไม่มีอะไรหรอก”

“แล้วมึงจะไปกินข้าวกับพวกกูไหม”

“ไม่ดีกว่า กูกลับก่อนนะ” พูดจบผมก็ลุกและเดินออกจากห้องไปทันที

วันนี้อากาศดี เหมาะกับการนอนพักผ่อนที่ห้อง แต่ผมเลือกที่จะนั่งนิ่ง ๆ อยู่ตรงม้านั่งในมหาลัยแทน พอคิดว่าต้องกลับห้องไปและจะเจออะไรอีกก็ไม่รู้ มันทำให้ผมต้องถอนหายใจออกมาอย่างห้ามไม่ได้ แต่เซงอยู่ได้ไม่นาน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นดึงสติผมให้กลับมากับตัว
 
P’Put

“ฮัลโหลปัน อยู่ไหนอ่ะ” เสียงใสของพี่ปัทดังออกมาจากปลายเสียง

“อยู่มอครับพี่ปัท มีอะไรรึเปล่า”

“ปันลืมรึเปล่าว่าพี่เปิดร้านใหม่วันนี้อ่ะ”

“จริงด้วย ขอโทษทีพี่ปัท พอดีปันมัวแต่ยุ่งกับมหาลัยจนลืมไปเลย” ที่จริงผมไม่ได้ยุ่งเรื่องมหาลัยหรอก แต่ถ้าจะให้บอกพี่ปัทว่ายุ่งกับการหนีผี ก็กลัวว่าพี่ปัทจะสติแตกก่อนผมไปซะก่อน

“ไม่เป็นไรเลย ปันจะเข้ามาดูร้านพี่ไหม เลิกรึยัง”

“ได้ครับพี่ปัท เดี๋ยวปันเข้าไปนะ”

“โอเค พี่ส่งโลเคชั่นให้ในไลน์ ถ้าถึงแล้วโทรมานะ”

หลังจากวางสายจากพี่ปัทไป ผมก็เลือกที่จะเดินไปตามโลเคชั่นที่พี่ปัทส่งมาให้ เห็นมันปักหมุดอยู่บริเวณหลังมหาลัย ก็ไม่น่าจะไกลมากเท่าไหร่ พี่ปัทเป็นลูกของป้าปาน ป้าที่ดูแลผมมาตั้งแต่เล็ก ๆ นั่นแหละ อาจจะเพราะผมกับพี่ปัทโตมาด้วยกัน พี่ปัทเลยดูแลผมอย่างดีราวกับผมเป็นน้องชายแท้ ๆ

ผมเดินมาเรื่อย ๆ จนมาถึงร้านที่มีป้าย PUTCHA bar & bistro อยู่อีกฟากของถนน เมื่อมองดูแล้วแน่ใจว่าไม่มีรถผ่านแล้ว ผมจึงค่อย ๆ เดินข้ามถนนไป ก่อนจะรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังเดินเหยียบน้ำอยู่ พอผมลองก้มลงไปมองที่พื้นก็ต้องอึ้งไป น้ำสีแดงที่ผมไม่แน่ใจว่ามันเป็นเลือดหรืออะไรกันแน่ติดอยู่เต็มรองเท้าผมไปหมด ผมจึงหันหลังกลับไปมองและสังเกตเห็นคราบรอยเท้าสีแดงเดินตามผมมาตลอดทางที่ผมเดิน และที่น่าตกใจคือถึงแม้ว่าผมจะหยุดนิ่งแล้ว แต่คราบรอยเท้านั้นก็ยังคงปรากฏให้เห็นต่อไปข้างหน้า จนเมื่อมองตามไปจนสุดแล้ว ผมก็เห็นผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว เท้าของเธอมีแต่เศษกระจกที่ติดอยู่เต็มไปหมด

“ปัน !!” ผมยังไม่ทันจะหันไปมองเสียงเรียก แรงกระชากตรงข้อมือกลับกลายเป็นสิ่งที่ดึงผมกลับไปแทน

“มึงจะฆ่าตัวตายรึไงวะ ถึงได้ไปยืนกลางถนนแบบนั้น !” เสียงตะคอกของซิกดังอยู่ข้างหูผม แต่ผมยังเลือกที่จะหันกลับไปมองตรงที่เดิม

ผู้หญิงคนนั้นหายไปอีกแล้ว..

“ปัน !” คราวนี้ทั้งเสียงตะคอกและข้อมือที่โดนบีบแรงขึ้นทำให้ผมเผลอขมวดคิ้วเพราะความเจ็บ

“ซิก กูเจ็บ.. ”

“เหี้ยละ เลือดกำเดามึงไหลอ่ะปัน มึงไหวไหม” ได้ยินแบบนั้น ผมเลยเอามือปาดจมูกลวก ๆ และเห็นคราบเลือดสีแดงติดออกมาด้วย

“ไม่ กูไม่เป็นไร..” นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่ผมพูด ก่อนที่โลกทั้งใบจะดับมืดจนกลายเป็นสีดำไป



 
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 2 ปันเป็นคนโชคร้าย
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 24-12-2020 22:42:58
 :katai1:


เจ้ากรรมนายเวร !!

กลัววว
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 3 มาอยู่ด้วยกันไหม
เริ่มหัวข้อโดย: LYNJIIN ที่ 27-12-2020 21:00:30

รักบังตา

Chapter 3

มาอยู่ด้วยกันไหม



[ Pun ]

กลิ่นของน้ำยาฆ่าเชื้อเป็นสิ่งแรกที่ผมรู้สึกได้ เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบกับเพดานสีขาวที่คุ้นตา ผมค่อย ๆ ยันตัวเองลุกขึ้นมาและพบว่าตรงบริเวณหลังมือโดนเจาะสายน้ำเกลือแล้วเรียบร้อย  อาการปวดหนึบไล่มาตั้งแต่ข้อมือจนถึงปลายนิ้วจนผมต้องนิ่วหน้า ครันพอนึกไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ผมก็ยิ่งต้องนิ่วหน้าหนักกว่าเดิม ภาพจำของผมติดอยู่ที่ผู้หญิงคนนั้น ถัดไปก็เป็นซิก แต่เมื่อกวาดตามองไปรอบห้อง ผมก็เห็นว่าตัวเองอยู่ภายในห้องนี้เพียงคนเดียว

ผมลุกขึ้นจะไปเข้าห้องน้ำ แต่ลมที่พัดผ่านผ้าม่านเบา ๆ ทำให้ผมหยุดชะงัก ลมพัด.. ในห้องเนี่ยนะ ผมเอื้อมมือไปเปิดผ้าม่านอย่างช้า ๆ และเห็นว่าหน้าต่างบานเลื่อนเปิดอยู่ นั่นน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ลมพัดเข้ามา ผมเลื่อนบานหน้าต่างลงเพื่อปิดมัน และเดินเข้าไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ

ในจังหวะที่ก้มลงล้างหน้า สายตาเจ้ากรรมของผมก็ดันเหลือบไปเห็นเท้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลขนาดใหญ่ยืนอยู่ข้าง ๆ เลือดที่ซึมไหลออกมาจากเท้าคู่นั้นแผ่กระจายเป็นวงกว้างจนพื้นห้องน้ำเต็มไปด้วยเลือดสีแดงสด ผมไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเข้าด้วยซ้ำ ได้แต่ก้มหน้านิ่งอยู่อย่างนั้น พอผมทำใจกล้าหันไปมองด้านข้าง ถึงได้รู้ว่าผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กำลังโน้มตัวลงมามองผมอยู่เหมือนกัน

เฮือก ! 

ผมสะดุ้งตัวตื่นขึ้นมาจากเตียงนอนและหายใจหอบราวกับคนที่เพิ่งจมน้ำมา รู้สึกเหมือนกับว่าหัวใจมันจะหลุดออกมาเต้นอยู่ข้างนอก สายตาของผมมองไปทั่วห้องและไปหยุดอยู่ที่ห้องน้ำ ยิ่งพอได้เห็นผ้าม่านปลิวไปมาตามแรงลม ผมยิ่งรู้สึกราวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้มันไม่ใช่ความฝัน ความกลัวเกาะกุมหัวใจจนผมต้องกอดเข่าร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่ได้

“ฮึก..”

“ปัน.. เป็นอะไร เกิดอะไรขึ้นวะ” ผมเงยหน้าไปมองคนที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาใหม่ แต่มันก็พร่าไปด้วยคราบน้ำตาจนมองไม่ชัด ไม่ว่าจะพยายามเช็ดเท่าไหร่ น้ำตาก็ยิ่งไหลลงมาเรื่อย ๆ ไม่ยอมหยุด

สัมผัสที่ลูบปลอบไปตามแผ่นหลัง ทำให้ผมค่อย ๆ สงบลง พอได้ร้องไห้จนหมดสภาพแล้ว ผมถึงได้รู้ว่าคนที่เข้ามาช่วยปลอบคือซิก เขายืนลูบหลังผมโดยไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว จนผมต้องเป็นคนที่ผลักมือเขาออก เขาถึงจะได้สังเกตว่าผมหยุดร้องไห้แล้ว

“มึงรู้สึกดีขึ้นรึยัง”

“กูไม่เป็นไรแล้ว.. ” ซิกเดินไปนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง ผมรู้ว่าเขากำลังมองอยู่ แต่ผมก็ไม่กล้าจะหันไปสบตา

“มึงร้องไห้ทำไมวะ”

“กูแค่ฝันร้าย”

“ฝันว่า ?”

“..” พอเห็นผมเอาแต่นิ่ง ไม่ยอมพูดอะไร ซิกเลยออกอาการหัวเสียเล็กน้อย
 
“แล้วเมื่อตอนบ่าย ทำไมมึงถึงเดินไปยืนบนถนนแบบนั้น มึงคงไม่ได้ละเมอเดินไปหรอก ใช่ไหม”

“สรุปคือมึงจะไม่ยอมบอกกูเหรอวะ ว่ามึงเป็นอะไรอ่ะ” น้ำเสียงของซิกแฝงไปด้วยความหงุดหงิด เพราะไม่รู้ว่าควรจะบอกยังไง ผมเลยได้แต่เงียบอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งซิกถอนหายใจออกมา เขาลุกขึ้นยืนและทำท่าเหมือนจะเดินออกไป จนทำให้ผมต้องคว้ามือเขาเอาไว้

“มึงจะไปไหน..”

“จะไปเรียกพยาบาลมาดูสายน้ำเกลือให้มึง” ได้ยินแบบนั้นผมจึงได้สังเกตเห็นว่าบริเวณหลังมือมีเลือดซึมออกมาเล็กน้อยและตรงสายน้ำเกลือก็เริ่มมีเลือดไหลย้อนขึ้นไปแทนน้ำเกลือแล้วบางส่วน

ซิกเดินออกไปไม่นาน ก็กลับมาพร้อมกับพยาบาลคนหนึ่ง เธอเข้ามาปรับน้ำเกลือและบอกให้ผมอยู่นิ่ง ๆ อย่าพยายามขยับตัวเยอะ พอพยาบาลออกไป บรรยากาศระหว่างผมกับซิกก็ค่อนข้างจะอึมครึมพอตัว  ซิกไม่ได้ถามเซ้าซี้อะไรผมอีก เขาแค่นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ข้าง ๆ ผมนอนนิ่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะนึกถึงพี่ปัทขึ้นมาได้ ผมมองหาโทรศัพท์ที่โต๊ะหัวเตียง แต่กลับไม่พบอะไร ผมเลยต้องเอ่ยปากถามซิกแทน

“ซิก มึงเห็นโทรศัพท์กูไหม”

“อยู่ที่กู มึงจะเอาไปทำไม” น้ำเสียงดุ ๆ ของเขาทำเอาผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังทำอะไรผิดสักอย่าง   

“กูจะโทรไปที่บ้าน”

“พี่สาวมึงเพิ่งโทรมาหากู เขาฝากมาบอกว่าถ้าเสร็จจากงานแล้วเขาจะมาหา มึงเลิกพะวงแล้วนอนพักได้ละ” ถึงอยากจะถามว่าซิกไปรู้จักพี่ปัทได้ยังไง แต่สายตาของเขาทำให้ผมเลือกที่จะเงียบและข่มตานอนหลับไป

แรงเขย่าที่แขนปลุกให้ผมลืมตาตื่นขึ้นมา ไม่รู้ว่าเมื่อคืนเผลอหลับไปตอนไหน แต่นี่แทบจะเป็นครั้งแรกที่ผมนอนหลับได้อย่างสนิทจริง ๆ แสงแดดจ้าที่สาดส่องเข้ามาทำให้ผมต้องหรี่ตามองคนที่เข้ามาปลุก พี่ปัทเอามือมาอังที่หน้าผากของผม และพูดปลุกเสียงเบา

“ตื่นได้แล้วปัน เดี๋ยวหมอจะเข้ามาตรวจแล้ว” ผมลุกขึ้นนั่งด้วยความรู้สึกที่ยังมึน ๆ

“เป็นไงบ้าง ปวดหัวไหม” ผมส่ายหัวพร้อมทั้งพูดตอบ

“ไม่ปวดครับ แล้วนี่..” พอมองไปรอบ ๆ แล้วไม่เห็นซิก ผมเลยจะถามพี่ปัท แต่พี่ปัทก็ชิงตอบมาก่อน

“เพื่อนปันเขาเพิ่งกลับไปเมื่อกี้เอง”

“อ๋อ.. ว่าแต่พี่ปัทไปรู้จักซิกได้ไงเหรอครับ”

“ก็เมื่อวานตอนปันเป็นลม พี่ออกมาหน้าร้านพอดี เห็นซิกเขากำลังพยุงปันอยู่ พี่เลยเข้าไปช่วยแล้วพาปันมาส่งโรงพยาบาลนี่แหละ แต่พี่อยู่เฝ้าได้แค่แป๊บเดียวเพราะต้องมาเปิดร้าน เลยฝากให้ซิกช่วยดูแลปันต่อให้หน่อย” ยังไม่ทันที่ผมจะได้ถามอะไรต่อ หมอก็เปิดประตูเดินเข้ามาพอดี

“รู้สึกยังไงบ้างครับ ปวดหัวหรือมึน ๆ บ้างไหม” หมอถามโดยที่ยังก้มหน้าอ่านแผ่นกระดาษบนคลิปบอร์ดอยู่ พยาบาลที่เดินตามหลังมาเข้ามาวัดความดันของผม

“ไม่นะครับ”

“ระดับเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาวของคนไข้ปกติดีนะครับ เกร็ดเลือดค่อนข้างต่ำ แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่ทราบว่าคนไข้ดื่มแอลกอฮอล์ไหมครับ”

“ไม่ครับ”

“อืม.. ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลกับดีเอชอีเอของคนไข้.. ไม่ค่อยสมดุลกันเท่าไหร่นะครับ ตอนกลางคืนพักผ่อนเพียงพอไหมครับ”

“ถ้าเป็นช่วงนี้ก็ไม่ค่อยได้นอนเท่าไหร่ครับ” หมอจดอะไรสักอย่างลงไปบนกระดาษแผ่นนั้นและถามต่อ

“คนไข้จำเหตุการณ์ก่อนที่จะเป็นลมได้ไหมครับ” ภาพผู้หญิงคนนั้นแวบเข้ามาในความคิดอีกครั้งทำเอาผมนิ่งไปพักนึง ก่อนจะส่ายหัวแทนคำตอบ

“จำไม่ได้ครับ”

“โอเคครับ เมื่อวานความดันของคนไข้ค่อนข้างสูง เลยอาจจะทำให้มีเลือดกำเดาไหลออกมาได้ แต่การที่เป็นลม.. คนไข้มีเรื่องอะไรให้คิดไหมครับ บางเรื่องที่ทำให้รู้สึกเครียดหรือกดดันน่ะครับ”

“ก็.. มีอยู่ครับ”

“จริง ๆ ถ้าคนไข้ไม่มีอาการอะไรแล้ว วันนี้สามารถกลับบ้านได้เลยนะครับ แต่หมออยากให้คนไข้ลองเข้ามาตรวจร่างกายอย่างละเอียดที่โรงพยาบาลอีกสักครั้ง”

“อาการของปันไม่ได้รุนแรงอะไรใช่ไหมคะหมอ” พี่ปัทถามหมอด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“คนไข้อาจจะมีภาวะเครียดและพักผ่อนไม่เพียงพอครับ ซึ่งถ้าคนไข้มีวิธีจัดการความเครียดของตัวเองได้ ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง”

“ขอบคุณนะคะหมอ”

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว งั้นหมอขอตัวนะครับ” 

หลังจากที่หมอและพยาบาลออกไปแล้ว สายน้ำเกลือของผมก็โดนถอดออกไป ผมเลยไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำเพื่อเตรียมตัวกลับ ตอนออกมาจากห้องน้ำ ก็เห็นพี่ปัทกำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่พอดี ผมเลยเดินไปเก็บของใส่กระเป๋าต่อ

“ปัน ซิกเอาโทรศัพท์ของปันติดไป เดี๋ยวพี่ให้ซิกเอามาคืนที่หอปันนะ”

“ไม่เป็นไรพี่ปัท เดี๋ยวปันไปเอาที่มอเอง”

“แต่ซิกบอกว่าจะเอามาให้เองนะ ปันอยู่หอนั่นแหละ อย่าเพิ่งไปมอเลย เดี๋ยวเป็นลมขึ้นมาอีก” ได้ยินพี่ปัทพูดแบบนั้น ผมเลยไม่ได้ตอบอะไรกลับไปอีก

“พี่ปัท”

“ว่าไง”

“อุบัติเหตุเมื่อสองปีก่อนอ่ะ ปันแค่โดนรถเฉี่ยวจริง ๆ เหรอ” ผมสัญญากับตัวเองว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมถามถึงอุบัติเหตุครั้งนั้น
 
“จริงสิ.. ปันยังคิดถึงอุบัติเหตุครั้งนั้นอยู่อีกเหรอ”

“เปล่าหรอก ปันแค่สงสัยเฉย ๆ ไม่มีอะไรหรอก”

คำตอบของพี่ปัททำให้ผมเผลอถอนหายใจออกมา ผมรู้ดีว่าลึก ๆ แล้วผมกำลังรู้สึกกลัวอยู่ กลัวการที่พี่ปัทจะบอกว่าอุบัติเหตุครั้งนั้นไม่ใช่แค่เรื่องเล็กน้อย กลัวว่าวันนึงพี่ปัทจะพูดออกมาว่าผมคือสาเหตุที่ทำให้ใครบางคนต้องตาย.. ถึงแม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้จะยังหาคำอธิบายไม่ได้ แต่ผมเชื่อว่าสักวันหนึ่ง ผมจะต้องหาคำตอบของทุกคำถามในตอนนี้ได้

พี่ปัทขับรถมาส่งผมที่หอ ก่อนที่จะถือโอกาสขึ้นไปสำรวจหอที่ผมอยู่ด้วยเลย และแน่นอนว่าผมโดนบ่นตั้งแต่ทางเข้าหอยันตอนที่เข้าไปในห้องของตัวเอง พี่ปัทเดินเช็คทั่วห้องและบ่นพึมพำไม่หยุด เพราะผมเป็นคนที่เก็บเงินจ่ายค่ามัดจำและค่าเช่าหอเอง ตอนที่เลือกหอ ผมเลยเลือกหอที่ราคาถูกที่สุดในย่านนี้ สภาพมันก็เลยค่อนข้างสมเหตุสมผลตามราคา

“ทางเดินเข้าหอเปลี่ยวมากปัน ตอนกลางค่ำกลางคืนอันตรายจะตาย ประตูก็ไม่มีตาแมว ล็อคก็ดูไม่แน่นหนา ปันหาหอใหม่ไหม เดี๋ยวพี่จ่ายค่ามัดจำกับค่าเช่าให้” พี่ปัทพูดขึ้นมาและเดินไปดูระเบียง

“ปันเป็นผู้ชายนะพี่ปัท ปันดูแลตัวเองได้ พี่ปัทไม่ต้องเป็นห่วง”

“ไม่เอาอ่ะ พี่ไม่ยอมให้ปันอยู่ห้องนี้แน่ หรือปันย้ายไปอยู่กับพี่ไหม คอนโดที่พี่เช่าอยู่ไกลจากมอปันนิดหน่อย แต่ปันก็จ่ายแค่ค่าเดินทาง ไม่ต้องเสียค่าห้อง” ผมรีบปฏิเสธพี่ปัทไปทันที ที่ผมย้ายออกมาอยู่หอก็เพราะผมเกรงใจป้าปานกับพี่ปัท ถ้าจะให้ไปรบกวนพี่ปัทอีก ผมคงรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่

“ไม่เป็นไรจริง ๆ พี่ปัท” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะพอดี พี่ปัทเลยหยุดบ่นผมและกดรับโทรศัพท์แทน

“ฮัลโหลซิก อยู่ข้างล่างแล้วเหรอ โอเค เดี๋ยวพี่กับปันลงไป”

ผมเดินตามพี่ปัทลงไปข้างล่าง เห็นซิกยืนพิงรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ที่ผมเดาเอาว่าน่าจะเป็นรถบิ๊กไบค์อะไรจำพวกนั้น พอซิกหันมาเห็นผมกับพี่ปัท เขาก็เดินเข้ามาพร้อมทั้งยื่นโทรศัพท์ของผมมาให้

“สีหน้าดูดีขึ้นแล้วหนิ” เขาเอ่ยทัก

“พี่ขอบใจมากนะซิกที่ช่วยเฝ้าปันให้ แล้วนี่กินข้าวรึยัง ไปกินด้วยกันไหม เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง”

“ไม่เป็นไรครับ ผมกินมาแล้ว”

“ว่าง ๆ ก็แวะมากินเหล้าร้านพี่ได้นะ พี่เลี้ยงเลยโปรนึง” พี่ปัทคุยกับซิกเสร็จก็หันมาบ่นผมต่อ

“แล้วปันก็ไม่ต้องตีเนียนเลยนะ รีบหาหอใหม่แล้วถ่ายรูปส่งมาให้พี่ดูก่อนด้วย ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องค่าเช่า เข้าใจไหม” คำพูดแกมบังคับของพี่ปัททำให้ผมต้องพยักหน้าอย่างจำยอม

“มึงจะย้ายหอเหรอปัน”

“พี่บังคับให้ย้ายเองแหละซิก หอนี้มันดูไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่” พี่ปัทพูดตอบซิกไปแทนผม

“ให้มันมาอยู่กับผมไหมพี่ปัท บ้านผมว่างอยู่ห้องนึงพอดี”
 





หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 3 มาอยู่ด้วยกันไหม
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 27-12-2020 23:34:18
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 3 มาอยู่ด้วยกันไหม
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 28-12-2020 00:55:29
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 4 ไม่ใช่ความฝัน
เริ่มหัวข้อโดย: LYNJIIN ที่ 30-12-2020 22:11:27


รักบังตา

Chapter 4

ไม่ใช่ความฝัน


[ Pun ]

พี่ปัทเป็นคนที่สรุปทุกอย่างเองเสร็จสรรพโดยที่ผมแย้งอะไรไม่ทันเลย รู้ตัวอีกทีก็คือตอนที่พี่ปัทช่วยเก็บของและขนไปให้ที่บ้านของซิกแล้ว ผมยังคงงง ๆ อยู่เลยตอนยืนอยู่หน้าบ้านซิกพร้อมด้วยกระเป๋าเดินทางหนึ่งใบถ้วน ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่ผมมีของไม่ค่อยเยอะ เก็บแค่แป๊บเดียวก็หมดห้อง

“บ้านไม่ได้อยู่มานานแล้วนะ น่าจะต้องเก็บกวาดหน่อย” ซิกพูดพลางไขกุญแจเปิดประตูบานเลื่อน

“ไม่เป็นไร”

บ้านของซิกเป็นบ้านชั้นเดียวสไตล์โมเดิร์น พอผมก้าวเท้าเข้าไปก็พบกับห้องรับแขกที่มีโซฟากับโทรทัศน์ตั้งอยู่ สิ่งของส่วนใหญ่ภายในบ้านถูกคลุมด้วยผ้าดิบสีขาว จากกลิ่นฝุ่นที่ลอยเข้าจมูกมาทำให้ผมเชื่อว่าบ้านหลังนี้ไม่มีคนอยู่มานานมากแล้วจริง ๆ ซิกเดินไปเปิดประตูห้องด้านขวามือ ผมเห็นเขานิ่งไปก่อนจะปิดประตูห้องและหันมาพูดกับผม

“มึงนอนห้องขวานะ กูจะนอนห้องฝั่งซ้าย ส่วนนี่เป็นกุญแจเข้าบ้านกับกุญแจห้องในบ้าน” พูดจบเขาก็โยนพวงกุญแจชุดหนึ่งมาให้ผมแล้วเดินเข้าอีกห้องที่อยู่ตรงข้ามกัน

บ้านหลังนี้มีสองห้องนอนที่อยู่ตรงข้ามกันซึ่งถูกคั่นด้วยห้องน้ำตรงกลาง สำหรับผมบ้านหลังนี้ไม่ได้ใหญ่ขนาดที่ดูแลไม่ไหว ผมจึงเดาเอาว่าซิกคงไม่อยากอยู่คนเดียวมากกว่า ผมกับซิกช่วยกันเก็บผ้าดิบที่คลุมของอยู่ออกไป ซิกรับหน้าที่เอาผ้าทั้งหมดไปเข้าเครื่องซัก ส่วนผมก็ปัดกวาดฝุ่นในบ้าน โดยเริ่มจากในห้องที่จะเป็นห้องนอนของผมก่อนเป็นอันดับแรก ในตอนแรกผมกวาดไปโดยไม่ได้สนใจอะไร จนกระทั่งสะดุดตาเข้ากับเส้นผมยาว ๆ กองหนึ่งที่ใต้เตียง ผมปลอบใจตัวเองว่ามันคงเป็นเส้นผมของแม่บ้านที่เคยเข้ามาทำความสะอาด ก่อนจะกวาดเอาเส้นผมกองนั้นไปทิ้ง

“ซิก มึงคิดค่าเช่ากูก็ได้นะ ให้มาอยู่ฟรีกูคงเกรงใจแย่” ผมพูดกับซิกตอนที่กำลังช่วยกันเช็ดฝุ่นที่โต๊ะกินข้าว

“มึงก็มาเป็นคนดูแลกับทำความสะอาดบ้านให้กูแล้วไง”

“แค่นั้นจะพอเหรอวะ ให้กูจ่ายค่าน้ำค่าไฟให้ก็ได้นะ”

“ไม่ต้องอ่ะ กูรวย” ซิกตอบติดตลก จนผมต้องปล่อยเลยตามเลย ถ้าเขาอยากจ่ายก็ให้เขาจ่ายไปละกัน  ผมค่อยซื้อของใช้เข้าบ้านแทน

“เออซิก บ้านหลังนี้ไม่มีคนอยู่มานานแค่ไหนแล้ววะ” ซิกชะงักมือที่กำลังเช็ดโต๊ะไปเล็กน้อย

“สองปีกว่าได้แล้วมั้ง ทำไมวะ”

“อ๋อ.. เปล่า กูถามเฉย ๆ บ้านก็ยังดูไม่เก่าเลยนะ ขนาดไม่ได้อยู่ตั้งนาน”

“ปกติจะมีแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดสองสามเดือนครั้ง” ได้ยินแบบนั้นผมเลยเบาใจขึ้นมาบ้าง

กว่าผมกับซิกจะช่วยกับทำความสะอาดบ้านทั้งหลังจนหมด นาฬิกาบนผนังก็บอกเวลาสองทุ่มตรงพอดี ซิกเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ ส่วนผมก็ต้มมาม่ากิน มาม่าเพิ่งจะเข้าปากผมไปได้แค่สองสามคำ ซิกก็สวมเสื้อยืดสีดำกับกางเกงสแลคสีดำเดินออกมาจากห้องน้ำ จนผมต้องถามขึ้นด้วยความสงสัย

“มึงจะออกไปข้างนอกเหรอ”

“ใช่ มึงนอนก่อนได้เลยไม่ต้องรอ”

“ไปดีมาดีมึง”

“เออ อย่านอนดึกนะมึง” ซิกพูดแค่นั้นและเดินออกจากบ้านไปเลย

หลังจากที่ซิกไปได้ไม่นาน ผมก็อาบน้ำและเตรียมตัวเข้านอน พอได้อยู่คนเดียวในห้อง หัวผมก็คิดไปถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา ปกติแล้วนาน ๆ ครั้งผมถึงจะเห็นผู้หญิงคนนั้นสักครั้ง อย่างมากก็อาทิตย์ละครั้ง แต่ช่วงนี้ผมกลับเจอเธอเกือบทุกวัน และที่น่าแปลกคือทุกครั้งที่ผมเจอซิก ผู้หญิงคนนั้นมักจะหายไปเสมอ นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมตัดสินใจมาอยู่กับซิกง่ายขึ้น

ในตอนที่ผมกำลังจะหลับตานอน จู่ ๆ เสียงหมาก็หอนดังขึ้นมาจากทางหน้าบ้านจนผมต้องลุกขึ้นไปดูที่ระเบียงห้อง พอเปิดม่านดูก็เห็นหมาสองสามตัวเห่าหอนอยู่ที่รั้วหน้าบ้าน เท้าของผมเหยียบเข้ากับบางอย่างที่พื้นระเบียงห้อง เมื่อลองหยิบขึ้นมาดู ก็เป็นเส้นผมอีกแล้ว เสียงหมาหอนดังขึ้นจนผมเริ่มขนลุกขึ้นมา ผมตัดสินใจหยิบหมอนและผ้าห่มออกไปนอนที่โซฟาห้องรับแขกแทน

ชีวิตนี้ผมคงไม่มีโอกาสได้นอนบนเตียงอีกแล้ว

“ปัน ตื่นได้แล้วมึง จะเข้ามอพร้อมกูไหม” เสียงปลุกทำให้ผมงัวเงียตื่นขึ้นมา

“ทำไมมึงมานอนโซฟาวะ ห้องนอนไม่สบายเหรอ” เพราะยังมึน ๆ อยู่ผมเลยไม่ได้ตอบอะไรซิกไป

“ไปอาบน้ำได้แล้วมึงอ่ะ จะสายละ” เขาโยนผ้าขนหนูมาคลุมหัวผม

ผมกับซิกไปถึงมหาลัยตอนห้านาทีก่อนเริ่มคลาสพอดี เมื่อไปถึงพวกฟลุ๊คก็นั่งรอในห้องเรียนอยู่ก่อนแล้ว ซิกเดินไปนั่งข้างเฮียเต ส่วนผมก็นั่งลงข้างฟลุ๊ค ซึ่งฟลุ๊คก็หันมาคุยกับผมทันทีที่ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างเขา

“ได้ข่าวมึงเข้าโรงบาล เป็นไรวะ”

“กูแค่หน้ามืด น่าจะนอนน้อย”

“แหงสิ ดูหน้ามึงก็รู้ว่าไม่ค่อยได้นอน อ่านหนังสือดึกเหรอวะ”

“ทำนองนั้นมั้ง” ผมตอบเลี่ยง ๆ ไป ฟลุ๊คก็ไม่ได้ถามอะไรต่อเพราะอาจารย์เข้ามาสอนพอดี

นี่แทบจะเป็นครั้งแรกที่ผมมีสติฟังสิ่งที่อาจารย์พูดจนจบคาบ หลังเรียนเสร็จผมก็แยกกับพวกฟลุ๊คเลยเพราะจะไปหาพี่ปัทที่ร้านก่อน ส่วนซิกก็บอกว่ามีธุระต้องไปทำ คราวนี้พี่ปัทสั่งให้ผมนั่งแท็กซี่ไปเพราะกลัวผมจะเป็นอะไรขึ้นมาอีก ซึ่งผมเองก็ไม่อยากขัดเพราะไม่รู้ว่าจะเจอแบบครั้งก่อนอีกไหม

“เป็นไงบ้าง ร้านพี่สวยไหม” พี่ปัทถามขึ้นตอนที่พาผมเดินรอบร้าน

ร้านที่พี่ปัทเปิดเป็นร้านเหล้านั่งชิวที่มีอาหารขายด้วย ซึ่งก็เหมาะกับการเป็นแหล่งมั่วสุมของนักศึกษาอยู่เหมือนกัน ตัวร้านมีทั้งห้องแอร์ด้านในและที่นั่งด้านนอก ดูจากการตกแต่งก็รู้ว่าพี่ปัทดูใส่ใจกับร้านนี้มาก ผมเคยได้ยินพี่ปัทพูดไว้ตั้งแต่สมัยที่ยังเรียนอยู่ว่าความฝันของพี่ปัทคือการได้เปิดร้านที่คนจะเข้ามาทั้งระบายความทุกข์และแบ่งปันความสุขกัน

“ดีเลยพี่ปัท ร้านสวยดี ขายดีไหมอ่ะ”

“ดีอยู่นะ วันแรกที่พี่เปิดก็ได้มาเยอะอยู่ แต่ต้องทนปวดหัวกับพวกคนเมาหน่อย” 

“คืนนี้ปันอยู่ช่วยงานได้นะพี่ปัท พรุ่งนี้ปันไม่มีเรียน”

“เราหายดีแล้วรึไง ถ้ามาเป็นลมในร้านพี่อีก พี่จะให้แอดมิทยาว ๆ เลยนะ”

“หายแล้วดิ คราวก่อนมันแค่หน้ามืดเฉย ๆ เอง”

“ให้มันจริงเถอะ ช่วยงานเบา ๆ พอนะ ไม่ก็มานั่งเฉย ๆ เรียกลูกค้าให้พี่ก็พอ” พี่ปัทพูดแซวจนผมทำหน้าไม่ถูก พี่ปัทเลยหลุดหัวเราะออกมา
 
“ดูทำหน้าดิ ปันน่ารักจะตาย ไม่เชื่อพี่รึไง เป็นน้องพี่ก็ต้องหน้าตาดีเหมือนพี่สิ” พูดจบพี่ปัทก็ยีหัวผมเล่นจนผมยุ่งไปหมด

“พอเลยพี่ปัท ปันโตแล้วนะ” พี่ปัททำท่าจะพูดแซวผมต่อ แต่เสียงไลน์ที่เด้งขึ้นมาทำให้พี่ปัทต้องล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาดู ก่อนจะยื่นมาให้ผมอ่าน

Jaokhun

‘ พี่ปัท ฝากบอกปันให้อ่านไลน์ผมหน่อยนะครับ ’

“ยังไม่ยอมคุยกับเจ้าคุณอีกเหรอ มันทักมาหาพี่หลายรอบแล้วว่าปันไม่ยอมอ่านแชทมัน”

“ก็.. ช่วงนี้ปันยุ่ง ๆ เลยไม่มีเวลาจะตอบ ร้านพี่ปัทปันยังเพิ่งจะได้มาเลย”

“ไม่ว่างจะตอบหรือไม่อยากตอบกันแน่ เจ้าคุณมันทำอะไรให้ปันโกรธรึเปล่า พี่เห็นเมื่อก่อนเราสองคนสนิทกันจะตาย”

“เปล่าหรอก ปันแค่ขี้เกียจตอบจริง ๆ ไม่ได้มีปัญหาอะไรกันหรอก” พอเห็นผมเอาแต่ปฏิเสธ พี่ปัทก็ไม่ได้เค้นเรื่องเจ้าคุณกับผมอีก

เจ้าคุณเป็นเพื่อนสนิทตอนมัธยมของผม แต่หลังจากผมเกิดอุบัติเหตุก็ไม่ค่อยได้คุยกับเจ้าคุณหมือนแต่ก่อนแล้ว สาเหตุมันก็เป็นเพราะว่าช่วงนั้นผมสติแตกอยู่กับการเห็นวิญญาณของผู้หญิงคนนั้น เจ้าคุณเป็นคนแรกที่เลือกจะเล่าในสิ่งที่ผมเห็นให้ฟัง แต่เขาไม่เชื่อ ประโยคที่เขาเคยพูดกับผม ผมยังจำมันได้อยู่เลย

“ถ้าปันบอกว่าที่ปันหลบหน้าเราเพราะไม่ชอบเรา เราแม่งยังรู้สึกดีกว่าปันบอกว่าปันเห็นผีอีก รู้ป่ะ”

ผมปัดเรื่องของเจ้าคุณออกจากความคิดและไปช่วยพี่ปัทจัดร้านแทน ร้านพี่ปัทเปิดตั้งแต่ห้าโมงเย็น ซึ่งลูกค้าเริ่มเข้ามาจริง ๆ ก็เป็นตอนประมาณทุ่มนึงเป็นต้นไป วันนี้พวกฟลุ๊คก็มาด้วย แต่ผมไม่เห็นซิกในกลุ่ม ลูกค้าเริ่มทยอยเข้ามาเรื่อย ๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นนักศึกษาในมหาลัยนั่นแหละ ทีแรกพี่ปัทให้ผมช่วยทำบิลอยู่หน้าเคาเตอร์ แต่เพราะวันนี้เป็นคืนวันศุกร์ ลูกค้าเริ่มเยอะขึ้น จนผมต้องไปช่วยจัดออเดอร์แทน

“ปัน โต๊ะห้าเบียร์โปรนึง น้ำแข็งหนึ่งถังนะ” ผมเดินไปหยิบเบียร์และน้ำแข็งใส่ถาดให้พี่พนักงาน ก่อนจะก้มลงจดรายการสั่ง

“คือ..”

“สั่งเครื่องดื่มกับพนักงานได้เลยครับ” ผมพูดโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง

“ปัน” เสียงเรียกคุ้นหูทำให้ผมนิ่งไป ก่อนจะเงยหน้าไปสบตากับคนที่ยืนอยู่ตรงข้ามกัน

“ไงมึง” เจ้าคุณเหมือนจะทำตัวไม่ถูกเมื่อได้ยินผมเอ่ยทักแบบนั้น

“เออ.. ไม่เจอกันนานเลยนะ สบายดีไหม” 

“ดีดิ อย่างที่มึงเห็นแหละ”

“ปัน เอาเบียร์ไปให้โต๊ะสามหน่อยดิ เขาสั่งมานานละ พี่ไม่ว่างเลย”

“กูทำงานก่อนนะ” พูดจบ ผมก็หยิบเดินไปหยิบเบียร์และเดินออกไป แต่เพราะคนมันเยอะเกินไป พอมีคนเบียดมาผมจึงเซไปเล็กน้อย เจ้าคุณเป็นคนที่จับแขนผมเอาไว้

“ถ้าเลิกงานแล้วขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม” ผมยังไม่ทันจะตอบอะไร จู่ ๆ ก็มีคนรีบวิ่งไปห้องน้ำแล้วมาชนผมเข้าอย่างจัง

เพล้ง !

เศษขวดเบียร์แตกกระจัดกระจายไปทั่ว ผู้หญิงที่วิ่งชนผมก็ล้มลงไปกองด้วย ผมเข้าไปช่วยพยุงเธอให้ลุกขึ้นเพราะกลัวเธอจะโดนเศษขวดบาด พี่ปัทเดินออกมาดู ก่อนจะให้พนักงานเข้าไปเอาถุงมาใส่เศษขวดที่แตก

“ขอโทษนะคะพี่ เพื่อนหนูเมา ขอโทษด้วยจริง ๆ นะคะ” ผู้หญิงอีกคนที่วิ่งตามมารีบเข้ามาเอ่ยขอโทษ

“ไม่เป็นไรครับ”

ผมก้มลงเก็บเศษขวดที่พื้น ก่อนจะเหลือบไปไปเห็นเท้าเปล่าที่เต็มไปด้วยบาดแผลคู่หนึ่งที่ยืนอยู่ในมุมมืดของร้าน เพราะไม่แน่ใจว่ากำลังฝันอยู่รึเปล่า ผมเลยลองกำเศษขวดแน่นขึ้น เลือดสีแดงจากฝ่ามือไหลหยดลงพื้นเป็นจุด ๆ ความเจ็บปวดจากการถูกบาดทำให้ผมรู้ว่านี่ไม่ใช่ความฝันอีกต่อไปแล้ว









หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 4 ไม่ใช่ความฝัน
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 31-12-2020 01:01:07
 :katai1:
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 5 คำขอโทษที่ไม่มีวันได้ยิน
เริ่มหัวข้อโดย: LYNJIIN ที่ 31-12-2020 21:43:25

รักบังตา

Chapter 5

คำขอโทษที่ไม่มีวันได้ยิน



[ Sik ]

สายลมเบา ๆ พัดผ่านไปราวกับกำลังปลอบละโลมความเศร้าเสียใจของคนที่กำลังร้องไห้อยู่ภายในศาลาวัด ผมยืนมองภาพความโศกเศร้าตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เสียงร้องไห้ของคนที่ยังทำใจกับการสูญเสียไม่ได้ดังระงมไปทั่วศาลาชวนให้เกิดความสังเวช ผมยืนนิ่งมองภาพตรงหน้าอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งมียายแก่คนหนึ่งเดินเข้ามาหา

“ไม่เข้าไปในงานศพเหรอพ่อหนุ่ม” 

“ผมไม่ได้มางานศพหรอกครับ” ยายแก่พยักหน้า ก่อนจะเดินพึมพำจากไป

“เด็กสมัยนี้อายุสั้นกันเหลือเกิน คนหัวหงอกถึงต้องมาเผาผีหัวดำแบบนี้”

ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะเดินออกมาจากสถานที่ตรงนั้น บรรยากาศยามเย็นในวัดชวนให้รู้สึกวังเวง แต่ผมกลับไม่ได้รู้สึกกลัวอะไรทั้งนั้น ผมเดินมาหยุดอยู่ที่กำแพงสีขาวซึ่งมีรูปคนติดเรียงรายต่อกันไปเป็นแถว มันเป็นสถานที่ที่เก็บอัฐของคนตายและฝังความทรงจำของคนเป็น ทุกครั้งที่มาที่นี่มักจะทำให้ผมหวนนึกถึงความทรงจำที่เกือบหลงลืมไปแล้วเสมอ

ศศิการ ธนโชควิวัฒน์
ชาตะ ๑๗ ม.ค. ๒๕xx
มรณะ ๑๖ ม.ค. ๒๕xx
อายุ ๒๒ ปี

คนในรูปยิ้มจนตาหยีจนพาให้ใครหลายคนที่เห็นต้องยิ้มตาม ถ้าหากว่ามันไม่ได้เป็นรูปขาวดำ รูปนี้คงจะเป็นรูปที่สดใสมากเลยทีเดียว ผมใช้มือเช็ดคราบฝุ่นที่เกาะอยู่บนรูปภาพ ก่อนที่จะแตะค้างไว้บนรอยยิ้มนั้น ความรู้สึกที่จางหายไปเริ่มก่อตัวขึ้นมาภายในใจอีกครั้ง

“ผมขอโทษนะ” ถ้อยคำขอโทษที่ผมเอ่ยออกมาไม่รู้กี่ร้อยครั้งถูกเอ่ยซ้ำขึ้นมาอีก แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าคนที่จากไปไม่มีวันได้ยินมันอีกแล้ว 
 
“ขอโทษ..”  เพราะกลัวความรู้สึกผิดที่ผมพยายามเก็บไว้มาตลอดจะพังทลายออกมา ผมจึงเดินออกมาจากตรงนั้นทันที

 ผมขับรถไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีจุดหมาย จนกระทั่งฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีเป็นมืดสนิท ผมขับรถมาจอดอยู่ที่หน้าบ้านโดยไม่ยอมเข้าไป เสียงพูดคุยดังออกมาจากในบ้านทำให้รู้ว่าแม่ไม่ได้อยู่บ้านคนเดียว พ่อกับแม่ผมแยกทางกันตั้งแต่ตอนที่ผมยังเป็นเด็ก โดยที่ผมมาอยู่กับแม่และพี่สาวไปอยู่กับพ่อ

“ซิกเหรอลูก” เสียงเรียกดังออกมา ทำให้ผมจำใจต้องเดินเข้าไปในบ้าน

“ไม่ค่อยกลับบ้านเลยนะช่วงนี้ ไปนอนกับเตเหรอลูก” แม่ถามออกมาจากในครัว ผมเห็นพ่อนั่งอยู่ด้วย เขาไม่แม้แต่จะหันมามองหน้าผมด้วยซ้ำ
 
“ครับ”

“พรุ่งนี้แม่กับพ่อจะไปทำบุญครบรอบสองปีให้พี่ซิน.. ลูกจะไปด้วยกันไหม”

“ผมไม่ว่าง แม่ไปเถอะ” ประโยคปฏิเสธของผมทำให้พ่อหันมามองทันที

“แกติดธุระอะไรนักหนาถึงไม่เคยว่างทำบุญให้พี่แกสักครั้ง”

“แล้วการที่ผมไปมันมีอะไรดีขึ้นรึไง พ่อรู้สึกสบายใจจริง ๆ เหรอที่เห็นผมไปทำบุญให้พี่ซินอ่ะ”  สาบานได้ว่าผมไม่ได้พูดประชด แต่ผมคิดแบบนั้นจริง ๆ ถึงได้พูดประโยคนั้นออกไป

“แกอย่ามาย้อนฉันนะซิก”

“พอเถอะคุณ ปล่อยลูกไปเถอะ”

“เพราะคุณเป็นแบบนี้ไง ตามใจลูกไปซะทุกเรื่องจนมันไม่รู้สึกผิดกับอะไรสักอย่าง ระวังลูกจะเสียคนเถอะ”

“พ่อไม่ต้องไปโทษแม่หรอก ถ้าจะด่าก็ด่าผม” 

“เมื่อไหร่แกจะเลิกเถียงฉันสักที” ยิ่งผมกับพ่อทะเลาะกัน สีหน้าของแม่เริ่มดูเศร้าลงจนผมเลือกที่จะเงียบไปแทน

“ไว้ผมจะไปทำบุญให้พี่ซินวันหลังนะแม่” พูดจบผมก็เดินออกจากบ้านไป

ผมขับรถไปร้านเหล้าที่ฟลุ๊คมันส่งโลเคชั่นมาให้ ตอนที่ไปถึงก็เป็นเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว คนเยอะจนต้องเบียดเข้าไป โต๊ะที่ไอ้ฟลุ๊คนั่งอยู่ใกล้เคาเตอร์พอดี พวกมันชอบนั่งติดเคาเตอร์กันเพราะจะได้สะดวกเวลาเดินไปสั่งเหล้ากับอาหาร ไอ้ฟลุ๊ครีบโบกไม้โบกมือทันทีที่เห็นผมเดินเข้าไป

“ปันอ่ะ ไม่ได้ชวนมันเหรอ” ผมถามขึ้นเพราะไม่เห็นเงาของคนร่วมบ้านมานั่งร่วมวงอยู่ด้วย

“ไม่ชวนก็เหี้ยละ มันอ่านไลน์กลุ่มบ้านไหมเถอะ กูเห็นขึ้นอ่านอยู่สามคนตลอด” 

“มึงตาบอดป่ะฟลุ๊ค มึงไม่เห็นเหรอว่าปันนั่งอยู่หน้าเคาเตอร์อ่ะ” เฌอแตมบ่นไอ้ฟลุ๊คตามประสา ผมมองไปที่เคาเตอร์ก็เห็นปันกำลังนั่งจดอะไรสักอย่างอยู่ ผมรู้ว่าปันเป็นน้องของเจ้าของร้านนี้ แต่ไม่ได้บอกพวกฟลุ๊คไป

“อ้าว นี่เพื่อนเรารู้จักเจ้าของร้านเหรอวะ งี้เราก็แดกฟรีดิ”

“โถ พ่อคุณ จ่ายเถอะ ปันจะได้ไม่ตัดเพื่อนมึงอ่ะ”

ผมชงเหล้าและมองเฌอแตมกับฟลุ๊คตีกัน ก่อนจะหันไปมองข้าง ๆ ที่เป็นไอ้เตนั่งทำหน้าหมดอาลัยตายอยากอยู่ เห็นมันยกเหล้าขึ้นดื่มรัว ๆ จนเหมือนจะแดกเข้าไปทั้งขวดแล้วผมก็ได้แต่แสบคอแทน มันอกหักอยู่ ผมก็ขี้เกียจจะห้ามมันเหมือนกัน ผมละสายตาจากไอ้เตไปหยุดมองคนที่นั่งอยู่หลังเคาเตอร์แทน

ไม่รู้ทำไมแต่ในหลาย ๆ ครั้งสายตาของผมมักจะหยุดอยู่ที่มันเสมอ

สำหรับผมปันเป็นคนที่แปลก บางทีมันก็ชอบทำหน้าเหมือนคนเห็นผี บางทีก็ชอบทำหน้าเหมือนเห็นอะไรบางอย่างที่น่ากลัวมาก ๆ สีหน้าของมันเปลี่ยนไปมาได้ในเวลาสั้น ๆ ผมเคยคิดจะถามมันอยู่เหมือนกัน แต่คิดว่ามันคงไม่ยอมบอกหรอก วันนี้หน้ามันก็ดูซีดเหมือนเดิม แต่ก็ถือว่าดีกว่าวันแรกที่เจอกันเยอะ 

“โทษนะคะ เฮียเตใช่ไหมคะ” ผู้หญิงหน้าตาจิ้มลิ้มคนหนึ่งเดินเข้ามาทัก ผมเห็นไอ้เตไม่ได้สนใจจะตอบอะไรกลับไป มันเอาแต่ยกแก้วเหล้าดื่ม จนผมต้องแย่งแก้วในมือมันมา

“มีคนทักก็หันไปคุยกับเขาหน่อย ไม่ใช่จะแดกเหล้าอย่างเดียว” ผู้หญิงคนนั้นหันมาพยักหน้าให้ผมเป็นเชิงขอบคุณ ก่อนจะถือวิสาสะนั่งลงข้าง ๆ
 
“หนูชื่อหลินนะคะ เป็นรุ่นน้องในโรงเรียนของพี่ซิกกับเฮียเตค่ะ” เธอเริ่มแนะนำตัวเอง ผมมองไอ้เตที่ไม่ได้สนใจอะไรเหมือนเดิม จนไอ้ฟลุ๊คต้องรีบพูดเพื่อไม่ให้บรรยากาศมันเสีย

“อ้าว รุ่นน้องมึงเหรอวะไอ้ซิก มีรุ่นน้องน่ารักแบบนี้ทำไมไม่เห็นเคยเล่าให้พวกกูฟังบ้างวะ”  ไอ้ฟลุ๊ครีบส่งสายตาขอความช่วยเหลือมาให้ผม

“กูก็เพิ่งเคยเจอน้องเขาวันนี้เหมือนกัน” ได้ยินแบบนั้นผู้หญิงที่นั่งข้างผมก็หน้าเจื่อนไปเล็กน้อย

“แต่ก็ถือว่าได้รู้จักกันแล้วไง” เป็นเฌอแตมที่แก้สถานการณ์น่าอึดอัดนี้ไปได้

เพล้ง !

เสียงของแตกดึงความสนใจของทั้งโต๊ะไป ผมมองไปยังสถานการณ์ชุลมุนตรงหน้า ก่อนจะเห็นว่าปันเสียหลักล้มลงไปพร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่ง เศษขวดเบียร์แตกกระจายไปทั่ว ปันเดินไปพยุงผู้หญิงคนนั้นลุกขึ้น ผมนั่งมองมันก้มลงเก็บเศษขวดและสังเกตเห็นว่ามันเริ่มมองอะไรสักอย่างอีกแล้ว พอผมมองตามสายตาของมันไปก็ไม่เห็นอะไร แต่เลือดที่ไหลออกมาจากมือของมันทำให้ผมลุกขึ้นเดินไปหามัน

“โอ๊ย” ปันร้องออกมา มันหันมาสบตากับผม ผมเลยบีบข้อมือมันแรงขึ้นทำให้ปันปล่อยเศษขวดทิ้งไป

“มึงก็เจ็บหนิ แล้วมึงจะกำเศษขวดไว้ทำไม” มันไม่ได้ตอบผม ผมเลยฉุดแขนมันให้ลุกขึ้นและพามันไปทำแผล

สายน้ำไหลผ่านมือของปันจนผสมกันเป็นสีแดง แผลที่บาดมือมันดูลึกและกว้างจนผมสงสัยว่าต้องไปเย็บที่โรงพยาบาลรึเปล่า พอผมละสายตาจากมือมัน ก็เห็นมันกำลังยืนขมวดคิ้วจ้องหน้าผมอยู่ราวกับสงสัยอะไรสักอย่าง ผมบอกแล้วว่าปันเป็นคนแปลก คนบ้าอะไรจะยืนมองหน้าคนอื่นตอนที่มือตัวเองเป็นแผลลึกขนาดนี้

“มองหน้ากูแล้วแผลมึงจะหายเร็วขึ้นรึไง” พอรู้ตัวว่าโดนจับได้ มันก็ทำหน้าตกใจอยู่แวบหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าปกติ 

“โทษที กูเผลอคิดอะไรนิดหน่อย”

“บอกกูได้ไหมว่ามึงคิดอะไรอยู่”

“กู..”

“บอกมาเหอะ กูอยากรู้จริง ๆ”

“มึงเชื่อเรื่องผีไหม” ทีแรกผมคิดว่ามันจะพูดเล่น แต่แววตาของมันดูจริงจังจนผมขำไม่ออก 

“ไม่รู้ดิ ไม่เคยเจอเลยไม่รู้ว่าควรเชื่อรึเปล่า” 

“ถ้า.. ถ้ากูบอกมึงว่ากูเห็นผี มึงจะเชื่อกูไหม”





-----------------------------------------
สุขสันต์วันปีใหม่นะคะ เรามาปั่นไว้ก่อนเผื่อช่วงปีใหม่ไม่ว่าง
ขอให้ทุกคนมีความสุขมาก ๆ และพบเจอแต่เรื่องที่ทำให้ยิ้มได้นะคะ :)
LYNJIIN
31/12/2020
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 5 คำขอโทษที่ไม่มีวันได้ยิน
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 01-01-2021 14:18:38
 :pig4:
 :3123:
สวัสดีปีใหม่2564ค่ะ
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 5 คำขอโทษที่ไม่มีวันได้ยิน
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 01-01-2021 16:28:57
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 5 คำขอโทษที่ไม่มีวันได้ยิน
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 04-01-2021 00:50:12
น่าติดตามนะครับ. ขอบคุณครับ,,,
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 6 สิ่งที่ยังยึดติด
เริ่มหัวข้อโดย: LYNJIIN ที่ 06-01-2021 17:15:06
รักบังตา

Chapter 6

สิ่งที่ยังยึดติด


[ Pun ]

“ถ้า.. ถ้ากูบอกมึงว่ากูเห็นผี มึงจะเชื่อกูไหม”

คนตรงหน้าเงียบไปนานจนผมคิดว่าผมพอจะรู้คำตอบของคำถามนั้นแล้ว ผมดึงมือตัวเองออกมาจากมือของเขา ก่อนจะเปิดน้ำแรงขึ้นและล้างมือลวก ๆ แต่ความเจ็บที่ส่งผ่านมาจากแผลกลับทำให้ผมต้องเบ้หน้าออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่เห็นมันจะรู้สึกเจ็บขนาดนี้เลย

“ปัน ! เป็นยังไงบ้าง แผลลึกไหม” พี่ปัทเดินถือกล่องปฐมพยาบาลเข้ามาหาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก 

“ไม่เป็นไรพี่ปัท ไม่ได้ลึกขนาดนั้น”

“ไม่ได้ลึกบ้าอะไรปัน แผลขนาดนี้ไปโรงพยาบาลเถอะ เดี๋ยวพี่พาไป” พูดจบพี่ปัทก็รีบเอาผ้าพันแผลมาพันมือผมไว้อย่างลนลาน จนผมต้องจับมือพี่เขาไว้

“ใจเย็น ๆ พี่ปัท ปันไม่ได้เจ็บขนาดนั้น”

“เดี๋ยวผมพามันไปโรงพยาบาลเอง” คำพูดของซิกทำให้ผมต้องหันไปมองหน้าเขา แต่เขากลับทำแค่ดึงมือผมไปพันผ้าพันแผลให้อย่างตั้งใจ

“พี่ฝากปันด้วยนะซิก ส่วนปัน ถ้าทำแผลเสร็จแล้วก็ไลน์มาบอกพี่ด้วยนะ”

ตลอดทางที่นั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ซิกไปโรงพยาบาล เขาไม่ได้พูดอะไรกับผมแม้แต่ประโยคเดียว ส่วนผมก็ไม่กล้าจะพูดอะไรอีกแล้ว ถ้าเป็นผม ผมก็คงไม่เชื่อเหมือนกัน จู่ ๆ คนที่เพิ่งรู้จักกันมาบอกว่าเห็นผี แค่เขาไม่ด่าว่าผมบ้าคิดไปเอง ก็ถือว่าใจดีมากแล้ว

พอมาถึงโรงพยาบาล พยาบาลก็เป็นคนที่เข้ามาล้างแผลและจัดการเย็บให้ ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จ ระหว่างที่นั่งรอรับยาอยู่ ซิกก็ยังคงเงียบไม่พูดอะไร จนกลายเป็นผมเองที่เริ่มรู้สึกอึดอัดขึ้นมา

“น่ากลัวไหม” คำถามไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยจากคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ทำเอาผมงงไปชั่วขณะ

“อะไรนะ”

“กูถามว่าผีที่มึงเจอ น่ากลัวไหม”

“..” คราวนี้เป็นผมเองที่เป็นฝ่ายเงียบไป ภายในหัวมีแต่ภาพของผู้หญิงคนนั้นที่มีเลือดท่วมตัวผุดขึ้นมาไม่หยุด

“น่ากลัวมากเลยเหรอ” ผมพยักหน้าแทนคำตอบ

“ใช่ น่ากลัวมาก”

“แล้วตอนนี้ยังเห็นเขาอยู่ไหม” ผมมองไปรอบ ๆ ตัวและพบเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น

“กูไม่เห็น ทุกครั้งที่อยู่กับมึง กูไม่เคยเห็นเขาเลย”

“นี่กูเป็นยันต์กันผีของมึงตั้งแต่เมื่อไหร่” ซิกพูดติดตลก ผมเห็นเขาพูดประโยคนั้นทั้งรอยยิ้มแล้วอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้

“มึงไม่คิดว่ากูประหลาดเหรอ” 

“ประหลาดยังไงวะ บนโลกนี้มันไม่มีใครเหมือนกันทั้งนั้นแหละ แค่มึงแตกต่างจากคนอื่น มันไม่ได้หมายความว่ามึงเป็นคนประหลาดรึเปล่า ไม่งั้นกูก็คงเป็นคนประหลาดเหมือนกัน” ประโยคสุดท้ายในคำพูดของซิกทำให้ผมรีบหันไปมองหน้าเขาด้วยความตกใจ

“มึงก็เห็นผีเหรอ” ซิกหลุดขำออกมาทันทีที่ได้ยินคำถามของผม

“ไม่บอก” คำตอบกำกวมของเขาทำให้ผมสับสนไม่น้อย แต่เขาก็ยังยิ้มและเอามือมายีหัวผมเล่น

“ระวังจะโดนคนอื่นหลอกเอานะมึงอ่ะ”

“คุณปัญธิกานต์เชิญรับยาค่ะ” ผมเดินไปรับยาโดยที่ยังคงไม่เข้าใจสิ่งที่ซิกพูดเท่าไหร่นัก

หลังจากรับยาและจ่ายค่ารักษาที่ผมกล้าพูดได้เต็มปากเลยว่าเผาเงินเล่นยังรู้สึกเสียดายน้อยกว่านี้ ผมกับซิกก็เดินกลับไปที่จอดรถ แต่บังเอิญสวนเข้ากับผู้ชายที่ท่าทางดูภูมิฐานคนหนึ่ง ตอนที่กำลังจะเดินผ่านไป เขากลับเป็นฝ่ายที่ฉุดแขนผมไว้ก่อนและเพราะมันเป็นมือข้างที่เจ็บพอดี ผมเลยเผลอดึงมือตัวเองกลับมา

“ขอโทษด้วยครับ ว่าแต่คุณคือคนไข้ที่แอดมิทเข้ามาวันก่อนใช่ไหม” 

“ครับ แล้ว..”

“คุณคงจะจำไม่ได้ ผมเป็นหมอที่เข้าตรวจคุณวันนั้นน่ะครับ”

“สวัสดีครับ”  เพราะผมไม่รู้จะคุยอะไร บรรยากาศตรงหน้ามันเลยดูกระอักกระอวนไปหมดจนหมอต้องเป็นฝ่ายชวนคุยเอง

“แล้วนี่มาตรวจร่างหายเหรอครับหรือว่าไม่สบายตรงไหนอีก” สายตาของหมอมองมายังมือที่โดนพันด้วยผ้าพันแผล ก่อนที่เขาจะแสดงสีหน้าเป็นกังวลออกมา

“แค่เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะครับ”

“อย่าลืมมาตรวจร่างกายนะครับ บางครั้งร่างกายของคนเราก็อาจจะป่วยโดยที่เราไม่รู้ตัวก็ได้ อย่างน้อยก็กันไว้ก่อน”

“ได้ครับ” ผมรับปากหมอไปถึงแม้ว่ารู้ดีว่าตัวเองจะไม่ได้เข้ามาตรวจก็ตาม

โชคไม่ดีที่ตอนขากลับฝนดันตกลงมาจนผมและซิกเปียกไปทั้งตัว ทันทีที่ถึงบ้านซิกก็ไล่ให้ผมรีบไปอาบน้ำก่อน ในตอนที่ผมออกมาก็เห็นเขาหลับไปแล้วบนโซฟา สีหน้าของซิกดูไม่ดีเท่าไหร่จนผมต้องรีบปลุกเขาให้ไปอาบน้ำก่อนที่เขาจะเป็นไข้ ระหว่างที่เขากำลังอาบน้ำ ผมก็ต้มโจ๊กกินเองและต้มเผื่อซิกไว้ด้วย

“กินข้าวเหรอ” ซิกเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับผ้าขนหนูตัวเดียวที่พันเอวอยู่ อาจจะเป็นเพราะเขาเป็นคนที่มีรูปร่างค่อนข้างดี มันทำให้ผมต้องละรีบสายตาจากท่อนบนของเขาและก้มหน้าก้มตากินข้าวอย่างเดียว

“กูต้มเผื่อมึงด้วย ไปตักเองนะ อยู่ในครัว”

“เออ เดี๋ยวกูไปใส่เสื้อผ้าก่อน” พูดจบซิกก็เดินหายเข้าไปในห้องเขา ก่อนจะออกมากินโจ๊กอยู่ตรงข้ามผม

“ตอนมึงนอนอยู่ห้องมึงอ่ะ มึงเห็นอะไรบ้างไหม” คำถามของซิกทำเอาผมเกือบสำลักข้าว

“แค่ก.. ถามอะไรตอนนี้วะ เดี๋ยวกูก็ต้องไปนอนห้องนั้นอีกนะ”

“แล้วเห็นรึเปล่าล่ะ”

“ไม่นะ”

“เหรอ ดีแล้ว หลังจากนี้มึงมานอนห้องกูละกัน”

“ทำไมวะ”

“เออ ทำตามที่กูบอกเถอะ ไม่ต้องสงสัยอะไรหรอก”

หลังจากตักโจ๊กเข้าปากไปได้ไม่กี่คำ ซิกก็ขอตัวไปนอนก่อน ผมเก็บจานไปล้างแล้วถึงได้เดินถือหมอนกับผ้าห่มเข้าห้องของซิกไป ตอนที่ผมเปิดประตูเข้าไป เสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอบ่งบอกว่าอีกคนในห้องหลับสนิทไปแล้ว ผมค่อย ๆ ย่องไปนอนตรงที่ว่างข้าง ๆ

ความเงียบในตอนกลางคืนทำให้ผมข่มตานอนหลับได้อย่างไม่ยากเย็น แต่หลังจากหลับไปได้ไม่นาน จู่ ๆ ผมก็รู้สึกปวดฉี่ขึ้นมาเลยลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ ความรู้สึกเย็นวาบที่ต้นคอในตอนที่ผมกำลังจะเปิดประตูห้องน้ำทำให้ผมจับลูกบิดประตูค้างไว้อย่างนั้น เมื่อปราศจากเสียงเดินของผมแล้วความเงียบรอบตัวมันกลับยิ่งชัดขึ้น ชัดจนผมได้ยินเสียงลมหายใจของใครอีกคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง

“แค่ก..” เสียงไอจากทางด้านหลังทำให้ผมขนลุกเกลียว ในตอนแรกผมพยายามหลอกตัวเองว่าเป็นซิกที่ตื่นขึ้นมาแล้วอยากเข้าห้องน้ำเหมือนกัน แต่เสียงไอที่ผมได้ยินน่ะ.. มันเป็นเสียงผู้หญิง

“แค่ก แค่ก.. แค่ก ๆ ๆ” เสียงไอถี่ ๆ ดังติดต่อกันโดยที่เริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนผมไม่กล้าทั้งเปิดประตูห้องน้ำเข้าไปและไม่กล้าทั้งหันหลังกลับไปมอง

“แค่ก !” นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้ยินเสียงไอของเธอ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงของผู้หญิงกำลังอ้วกบางสิ่งบางอย่างออกมา เลือดสีแดงไหลมายังจุดที่ผมยืนอยู่จนเท้าของผมเปื้อนไปหมด แต่สิ่งที่ทำให้ผมกลัวจนตัวสั่นไปหมดกลับเป็นซี่ฟันหลายซี่ที่ไหลมากับเลือดพวกนั้น

“ปัน !”  เสียงเรียกชื่อทำให้ผมลืมตาตื่นขึ้นมา เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นทำให้ผมรู้สึกช็อคจนทำอะไรไม่ถูก รู้ตัวอีกทีก็อยู่ในอ้อมกอดของคนข้าง ๆ ไปแล้ว

“มึง.. กู กู..” ผมกำเสื้อของซิกแน่นจนเจ็บมือไปหมด มีคำพูดมากมายที่อยากจะพูดออกมา แต่ผมกลับไม่รู้จะเริ่มต้นพูดยังไง 

“ไม่เป็นไรแล้ว ใจเย็น ๆ หายใจเข้าลึก ๆ” เขาพูดพลางลูบหลังปลอบผมไปด้วย

เมื่อคืนผมเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ ตื่นมาอีกทีก็เกือบเที่ยงโดยปราศจากเงาของอีกคนในห้อง ผมไม่แน่ใจว่าเมื่อคืนเรื่องไหนคือเรื่องที่ผมฝันกันแน่ ช่วงหลัง ๆ มานี้ความฝันมันเหมือนจริงมากจนผมเริ่มแยกไม่ค่อยออก ผมยังจำความรู้สึกเย็นวาบที่ต้นคอได้อยู่เลย

“ตื่นแล้วเหรอ กูซื้อข้าวมาให้แล้ว มากินดิ” ซิกนั่งกินข้าวอยู่ในครัว ผมจึงเดินไปทิ้งตัวนั่งลงตรงข้ามเขา

“ขอบใจนะ”

“ไม่เป็นไรหรอก เรื่องแค่นี้เอง มึงกินข้าวเถอะ กินยาด้วย”

“กูหมายถึงเรื่องเมื่อคืนอ่ะ”

“เมื่อคืนมึงฝันร้ายเหรอ”

“ประมาณนั้นมั้ง” ผมตอบออกไปแบบกำกวมเพราะผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่เจอน่ะ มันเป็นความฝันรึเปล่า

“แต่ตอนนั้นมึงเหมือนคนที่กำลังจะตายเลยนะ” ซิกพูดด้วยน้ำเสียงและแววตาที่จริงจัง 

“ยังไงมันก็เป็นแค่ฝันร้าย พอตื่นแล้วมันก็หาย”

“แล้วถ้ามึงไม่ตื่นอ่ะ ถ้าเมื่อคืนกูไม่ได้ปลุกมึง มันจะเป็นยังไงวะ” คำถามของซิกทำให้ผมเงียบไป ก่อนจะตอบเสียงแผ่ว

“กูไม่รู้..” 

“ไปทำบุญกันไหม”

ในตอนแรกผมคิดว่าซิกพูดเล่นตอนที่ชวนไปทำบุญ อย่าหาว่าผมตัดสินคนจากภายนอกเลยนะ แต่สำหรับผมซิกดูไม่ใช่คนประเภทที่จะชอบเข้าวัดสักเท่าไหร่ ซึ่งครั้งนี้เขาดันพาผมไปทำบุญที่วัดจริง ๆ  หลังจากถวายสังฆทานและกรวดน้ำ พระท่านก็สวดให้พรตามปกติ แต่ในตอนที่ผมกำลังจะลุกขึ้นและเอาน้ำที่เพิ่งกรวดไปรดที่โคนต้นไม้ พระท่านก็ทักขึ้นมาประโยคหนึ่งซึ่งทำให้ผมต้องชะงักไป

“โยมน่ะ มีสิ่งที่ยึดติดอยู่ในใจใช่ไหม”

“ครับ ?”

“เพราะว่ายังยึดติดอยู่ก็เลยทำให้เป็นทุกข์ทั้งโยมและเขานะ”









หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 6 สิ่งที่ยังยึดติด
เริ่มหัวข้อโดย: nut2557 ที่ 06-01-2021 17:56:21
 :katai1:
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 6 สิ่งที่ยังยึดติด
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 06-01-2021 22:10:59
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 6 สิ่งที่ยังยึดติด
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 07-01-2021 00:21:23
ทั้งซิกทั้งปันต้องเกี่ยวข้องกันแน่ๆ,,,
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 6 สิ่งที่ยังยึดติด
เริ่มหัวข้อโดย: Saiias0005 ที่ 07-01-2021 05:53:33
น่าติดตามมากๆๆค่ะ :-[
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 6 สิ่งที่ยังยึดติด
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 07-01-2021 11:15:14
สนุกมาก
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 7 คนที่เดินจากไป
เริ่มหัวข้อโดย: LYNJIIN ที่ 08-01-2021 21:57:53
รักบังตา

Chapter 7

คนที่เดินจากไป



[ Pun ]

ประโยคที่หลวงพ่อพูดฝังอยู่ในหัวผมและกรอซ้ำไปซ้ำมาตลอดทางที่กลับบ้าน ผมแทบไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองกลับมาถึงบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ ซิกทิ้งตัวลงนอนที่โซฟาโดยที่ไม่ได้พูดอะไร เขาดูเหนื่อยล้าจนผมคิดว่าควรจะปล่อยให้เขานอนพักไปก่อนดีกว่า ผมเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำอาบท่าเรียกสติตัวเอง เมื่อออกมาจากห้องน้ำก็เห็นว่าซิกยังนอนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าที่แย่ลง ผมเอามือทาบลงไปบนหน้าผากเขา ก่อนจะพบว่ามันร้อนมากจนผมต้องรีบชักมือกลับ

“ซิก” คนตรงหน้าไม่แม้แต่จะลืมตาตื่นขึ้นมา เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นตามกรอบหน้าของเขา จนผมเริ่มร้อนใจขึ้นมา

“ซิก มึงได้ยินกูไหม” ผมเขย่าตัวของเขาเบา ๆ ซิกลืมตาขึ้นมามองผม ผมช่วยเขาพยุงให้ลุกขึ้นนั่ง

“ไปโรงพยาบาลไหม ตัวมึงร้อนมากเลยนะ” เขาส่ายหัว ก่อนจะยกมือขึ้นนวดขมับ   

“กูแค่ปวดหัว..” น้ำเสียงของซิกแหบแห้งเสียจนผมอดสงสารไม่ได้

“งั้นไปนอนในห้องเถอะ มึงลุกไหวไหม” ซิกลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะเซไปเล็กน้อยจนผมต้องเข้าไปช่วยพยุง

ผมช่วยพาเขาเดินไปทีละก้าว ซึ่งเป็นภาพที่เรียกได้ว่าทุลักทุเลพอตัวเพราะเขาเล่นทิ้งน้ำหนักทั้งตัวมาที่ผมคนเดียวจนผมเองก็ยังเดินเซไปด้วย เมื่อมาถึงเตียง ผมปล่อยตัวเขาให้นอนลง หากแต่เขาดันคว้ามือผมไปด้วย สภาพตอนนี้เลยกลายเป็นว่าผมล้มลงไปนอนกองอยู่กับเขาด้วย ซิกออกแรงกอดผมแน่นขึ้นจนแทบไม่เหลือช่องว่างระหว่างเรา

ให้ตายเถอะ.. นี่มันสถานการณ์แบบไหนกัน

“ซิก.. ปล่อย..”

“เงียบหน่อย กูปวดหัว” เขาพูดออกมาเสียงแผ่วทั้ง ๆ  ซิกวางคางลงบนหัวผม เขามองผมเป็นหมอนข้างไปแล้วเรียบร้อย อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นบนร่างกายของอีกคนทำให้ผมกังวลใจขึ้นมา ผมนอนแข็งทื่ออยู่อย่างนั้นพักใหญ่ ถึงได้ค่อย ๆ แกะแขนของเขาและพาตัวเองออกมา ไอร้อนจากตัวเขายังติดอยู่ที่ตัวผมอยู่เลย

ผมเดินออกไปเอากะละมังใส่น้ำและผ้าผืนหนึ่ง ก่อนจะลงมือเช็ดตัวคนป่วยที่นอนหลับไม่ได้สติ ลมหายใจของซิกร้อนผ่าว เขาขมวดคิ้วแน่นราวกับกำลังปวดหัวอย่างหนัก ผมวางมือทาบลงบนหน้าเขาอีกครั้ง ก่อนจะใช้นิ้วนวดคลึงระหว่างคิ้วเพื่อให้เขารู้สึกสบายขึ้น สีหน้าของซิกดูดีขึ้นเล็กน้อย 

ตลอดทั้งคืนผมแทบไม่ได้นอนเพราะมัวแต่วุ่นอยู่กับการดูแลซิก ไข้เขาลดลงไปแล้วในตอนแรกก่อนที่เขาจะไข้ขึ้นอีกในตอนกลางดึก จนผมต้องคอยเช็ดตัวเขาอยู่ตลอด ที่บ้านไม่มียาลดไข้ ผมเลยต้องรอให้เช้าก่อนถึงจะออกไปซื้อยาให้เขาได้ ยังดีที่ในตอนเช้าไข้ของเขาลดลงแล้ว

ผมนั่งพิงผนังมองหน้าคนที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง พอได้มานั่งมองหน้าของซิกชัด ๆ แบบนี้แล้ว ความรู้สึกบางอย่างมันก็ผุดขึ้นมา ใบหน้าของเขามันคุ้นตาเหมือนเคยเห็นที่ไหน แต่ไม่ว่าจะนึกเท่าไหร่ผมก็นึกไม่ออก ผมละสายตาจากคนบนเตียงไปยังโต๊ะที่หัวเตียงแทน กรอบรูปใบหนึ่งถูกวางคว่ำไว้ ผมจึงถือวิสาสะยกมันขึ้นมาดู มันเป็นภาพถ่ายของซิกกับพ่อแม่ ในรูปทุกคนยิ้มมีความสุขจนผมเผลอยิ้มตาม มีบางครั้งที่ผมเคยคิด.. ถ้าหากผมไม่เกิดขึ้นมา พ่อก็อาจจะไม่ต้องทำงานหนักจนตาย แม่ก็คงยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ และป้าก็คงไม่ต้องสูญเสียน้องสาวคนเดียวไป ทุกคนจะมีความสุขกันหมด ขอเพียงแค่ผมไม่เกิดขึ้นมา

ผมถอนหายใจไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป ก่อนจะลุกขึ้นไปอาบน้ำและเตรียมตัวไปมหาลัยเนื่องจากมีอาจารย์นัดเรียนชดในวันหยุด ตอนที่แต่งตัวเสร็จแล้ว ผมเข้าไปดูซิกในห้องก็พบว่าเขาตื่นแล้ว ซิกนั่งพิงหัวเตียงมองมาที่ผม

“ยังปวดหัวอยู่ไหม”

“นิดหน่อย” เสียงของซิกยังแหบอยู่เหมือนเดิม ผมเดินไปหยิบยาและน้ำส่งให้เขา

“วันนี้มึงไม่ต้องไปเรียนหรอก เดี๋ยวกูจดเลคเชอร์มาให้”

“ขอบใจ แล้วมึงไปมอยังไง จะเรียกแท็กซี่หรือเดินไป” 

“น่าจะเดิน ใกล้แค่นี้เอง”

“งั้นก็รับสายกูด้วย”

“ทำไมวะ มึงจะเอาอะไรรึเปล่า”

“เปล่า กูแค่จะโทรคุยกับมึงจนมึงถึงคลาส เผื่อมึงเจออะไรขึ้นมาอีก จะได้ไม่โดนรถชนตายซะก่อน”

“อ๋อ.. ” ไม่รู้ทำไมแต่ผมกลับรู้สึกแปลกเล็กน้อยตอนที่ซิกพูดแบบนั้นออกมา

“ไปเถอะ เดี๋ยวมึงสาย”

ยังไม่ทันที่ผมจะก้าวพ้นประตูบ้าน ซิกก็โทรมาจริง ๆ เขาไม่ได้ชวนคุยอะไรมากมาย ผมเองก็ไม่รู้จะคุยอะไรเหมือนกัน กลายเป็นว่าเราต่างก็ถือสายกันไว้แล้วอยู่กันเงียบ ๆ อย่างนั้น หากแต่แค่นั้นมันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผมเลิกพะวงได้

“มือเป็นไงบ้าง ล้างแผลรึยัง”

“ล้างแล้ว” ล้างแบบขอไปทีน่ะนะ เมื่อคืนผมไม่มีเวลามาสนใจมือตัวเองด้วยซ้ำ เพิ่งจะได้ล้างแผลก็ตอนเช้าแล้ว

“ข้ามถนนรึยัง”

“ข้ามแล้ว”

“เดินถึงไหนแล้ว”

“ใกล้ถึงตึกแล้ว มึงวางเลยก็ได้” เสียงของซิกดูง่วงมากจนผมไม่อยากกวนเขาอีก

“อือ.. เจอกันตอนเย็นนะ” ประโยคธรรมดา ๆ เพียงแค่ประโยคเดียวของซิกทำเอาผมพูดอะไรไม่ออก อาจจะเป็นเพราะผมไม่เคยรู้สึกว่ามีใครรอให้ผมกลับบ้านมาก่อน พอซิกพูดแบบนั้น ผมเลยอดที่จะรู้สึกบางอย่างขึ้นมาไม่ได้

วันนี้นักศึกษาดูบางตากว่าวันธรรมดาเนื่องจากเป็นการนัดชดที่ค่อนข้างกะทันหันและอาจารย์เองก็ไม่ได้เช็คชื่อด้วย เฌอแตมกับฟลุ๊คเข้าห้องมาในตอนที่คลาสเริ่มไปแล้ว อย่าเรียกว่าเข้ามาเรียนเลย เฌอแตมยังมีจดบ้าง แต่ฟลุ๊คหลับไปตั้งแต่ห้านาทีแรกที่เข้ามา ตื่นอีกทีก็ตอนที่อาจารย์เดินออกไปแล้ว

“มือมึงเป็นไงบ้างวะปัน วันนั้นกูเห็นเลือดไหลอย่างเยอะ”

“ดีขึ้นแล้ว” ผมตอบฟลุ๊คไปส่ง ๆ และเก็บของต่อ แต่เฌอแตมกลับดึงมือผมไปดู

“นี่คือพันมาดีแล้วใช่ไหมปัน เลือดซึมออกมาแล้วนะ” เพราะว่ามือขวาโดนบาด ไม่ว่าผมจะหยิบจับอะไร มันเลยไม่ถนัดไปหมด ไม่แปลกที่แผลอาจจะฉีกบ้าง

“ไม่เจ็บหรอก ไม่ต้องเป็นห่วง”

“ว่าแต่วันนี้ไอ้ซิกกับไอ้เฮียหายหัวไปไหนทั้งคู่เลยว่ะ”

“มึงถามเพราะมึงเป็นห่วงเพื่อน หรือมึงอยากโดดไปกับพวกมันด้วยล่ะ” เฌอแตมพูดแขวะฟลุ๊คขึ้นมา

“แน่นอนว่าเป็นอย่างหลัง กูมาเรียนก็เพื่อจะมาเปลี่ยนที่นอน เออ ปัน มึงยังไม่รู้เรื่องรับน้องใช่ป่ะ” ผมส่ายหัวแทนคำตอบ ฟลุ๊คเลยอธิบายให้ฟัง
 
“วันที่มึงเข้าโรงบาลอ่ะ พี่ปี 4 นัดคุย เห็นว่าเสาร์อาทิตย์หน้าจะมีรับน้องเข้าสายรหัสนอกสถานที่ แต่พวกพี่เขายังไม่ได้บอกว่าเป็นที่ไหน เตรียมตัวไว้เลยมึงอ่ะ กูว่าน่าจะเละเทะกันหมดแน่ ๆ” ผมเดาว่ากิจกรรมรับเข้าสายคงเป็นแค่ชื่อบังหน้า กิจกรรมของมันจริง ๆ น่าจะเป็นการมอมเหล้าน้องแล้วนั่งดูน้องสร้างความพังพินาศมากกว่า 

ผมบอกลาฟลุ๊คกับเฌอแตมเพราะเป็นห่วงอาการของซิก กลัวว่าเขาจะไข้ขึ้นขึ้นมาอีก ในระหว่างที่เดินกลับผมก้มหน้าพิมพ์ข้อความส่งไปหาซิกเพื่อความถึงอาการของเขาว่าเป็นยังไงบ้าง แต่กลับต้องหยุดเดินเพราะแรงดึงจากด้านหลัง เมื่อหันไปมองก็เป็นเจ้าคุณที่ดึงกระเป๋าเป้ผมไว้

“มีอะไรรึเปล่า”

“กูแค่.. อยากคุยด้วย”

“มึงอยากคุยเรื่องอะไร” เจ้าคุณมีสีหน้าอึดอัดใจอย่างเห็นได้ชัด ผมเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน

“มึงยังโกรธกูอยู่เหรอวะ”

“กูไม่เคยโกรธมึง”

“โกหก”

“กูแค่เสียใจเจ้าคุณ กูเสียใจที่ตอนนั้นมึงไม่แม้แต่พยายามที่จะเข้าใจกู” แววตาของคนตรงหน้าสั่นไหวไม่น้อย

“แต่ความรู้สึกของกูไม่ใช่สิ่งที่มึงต้องมารู้สึกผิดนะ กูไม่เคยโทษที่มึงไม่เข้าใจ” นั่นคือคำปลอบที่ดีที่สุดที่ผมจะให้เจ้าคุณได้

“กูขอโทษนะปัน” เจ้าคุณพูดเสียงแผ่ว คำขอโทษของเขายิ่งตอกย้ำว่าในอดีตเขาคิดแบบนั้นจริง ๆ  จนผมอดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้

“ไม่เป็นไร ช่างมันเถอะ” สีหน้าของคนตรงหน้าแย่มากจนผมกลายเป็นฝ่ายที่รู้สึกผิดเองหากปล่อยให้เขาค้างคาใจต่อไป

“ถ้างั้น.. เราจะกลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมได้ไหม”

“ไม่มีอะไรเหมือนเดิมทั้งนั้นแหละเจ้าคุณ ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ แต่มันเป็นกับทุกอย่าง” เจ้าคุณเป็นคนสอนกฎข้อนี้ให้ผมเอง เพราะตอนนั้นเขาเองก็เป็นคนที่เปลี่ยนไปเหมือนกัน

“ปัน..” น้ำเสียงของเจ้าคุณอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว กูขอตัวนะ” ผมเดินออกมาจากตรงนั้นโดยไม่หันหลังกลับไปมองเจ้าคุณอีก

ผมจำได้ดีว่าตอนนั้นเจ้าคุณก็เดินจากไปโดยไม่ได้หันกลับมามองผมเหมือนกัน ช่วงชีวิตก่อนจบมัธยมของผมไม่ใช่ฉากที่สวยงามเท่าไหร่นัก ในตอนที่ผมกลับมาเรียนหลังจากเกิดอุบัติเหตุ ครั้งแรกที่ผมเห็นผู้หญิงคนนั้นคือตอนที่ผมพักสายตาจากกระดานดำและมองไปยังถนนนอกโรงเรียน แน่นอนว่าผมสติแตกจนทุกคนตกใจไปตาม ๆ กัน นับวันพอยิ่งเห็นบ่อยขึ้น ไม่ว่าจะในความฝันหรือชีวิตจริง ผมยิ่งทนไม่ไหว ผมกลัวและรู้สึกแย่ แต่นั่นยังน้อยกว่าการที่เพื่อนในห้องเริ่มถอยห่าง ผมกลายเป็นตัวประหลาดที่ใคร ๆ ก็ไม่กล้าที่จะอยู่ใกล้ ผมเคยคิดว่าไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ยังมีคนที่เข้าใจผมอยู่อย่างเจ้าคุณ แต่น่าเสียดายที่ผมคิดผิด

“ช่วงนี้ปันหลบหน้าเรารึเปล่า” แววตาของเจ้าคุณเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง

“เปล่า..”

“แล้วทำไมถึงไม่ยอมไปไหนมาไหนกับเราเลย ขนาดเราจะรอกลับบ้านด้วยกัน ปันยังหนีกลับก่อนเลย” น้ำเสียงที่เริ่มแข็งกระด้างขึ้นทำให้ผมเผลอกำมือแน่น

“เราแค่มีเรื่องต้องทำนิดหน่อย”

“เรื่องอะไรเหรอปัน ลองบอกเรามาหน่อยได้ไหม”

“..”

“หรือเป็นเพราะเราบอกชอบปัน ถ้าเป็นเพราะเรื่องนั้นปันก็บอกเรามาตามตรงดิ”

“ตั้งแต่กลับมา.. เราก็รู้สึกว่าเราเห็นผีอยู่ตลอด” เจ้าคุณอึ้งไปหลังจากที่ผมพูดประโยคนั้น สีหน้าเขาทำให้ผมรู้ได้ในทันที.. เขาไม่เชื่อ

“ถ้าปันบอกว่าที่ปันหลบหน้าเราเพราะไม่ชอบเรา เราแม่งยังรู้สึกดีกว่าปันบอกว่าปันเห็นผีอีก รู้ป่ะ”


นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่เจ้าคุณทิ้งไว้ให้ผม จำได้ว่าผมยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ไปไหนจนกระทั่งแผ่นหลังของเขาหายลับไป ลึก ๆ แล้วผมหวังว่าเขาจะกลับมาและบอกผมว่าไม่เป็นไร แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมามอง




หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 7 คนที่เดินจากไป
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 08-01-2021 23:05:26
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 7 คนที่เดินจากไป
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 08-01-2021 23:23:52
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 7 คนที่เดินจากไป
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 09-01-2021 21:22:13
ปันกับพี่สาวของซิกใช่มั้ยที่เกิดอุบัติเหตุขึ้นครั้งนั้น และทำให้พี่สาวซิกเสียชีวิต.. ส่วนปันจำอะไรครั้งนั้นไม่ได้

สนุกมากๆ เลย อยากอ่านต่อแล้วววว
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 8 ความสัมพันธ์ที่ยังเสียดาย
เริ่มหัวข้อโดย: LYNJIIN ที่ 11-01-2021 20:32:48
รักบังตา

Chapter 8

ความสัมพันธ์ที่ยังเสียดาย



[ Pun ]

ตลอดทางที่เดินกลับมาบ้านสมองผมเอาแต่คิดเรื่องเจ้าคุณจนไม่ได้สนใจอย่างอื่น เพิ่งมาเห็นตอนถึงบ้านแล้วว่าซิกโทรมาแต่ผมไม่ได้รับสาย ว่ากันตามตรงผมเองก็ยังรู้สึกเสียดายความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเจ้าคุณอยู่ สำหรับผมเขาถือว่าเป็นเพื่อนที่ดีมากคนหนึ่ง ผมเกือบลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเขาเคยบอกชอบผม ตอนนั้นจุดสนใจผมไม่ได้อยู่ที่เจ้าคุณ แต่อยู่ที่ผู้หญิงที่ผมเห็นจนไม่ได้สนใจว่าเจ้าคุณจะรู้สึกยังไง ผมถึงได้ไม่อยากโทษเขาเพราะผมเองก็มีส่วนผิดเหมือนกันที่สนใจแต่ตัวเอง

“ทำไมทำหน้าแบบนั้น เห็นผีอีกแล้วเหรอ”

“เปล่า มึงหายดีแล้วเหรอถึงออกมานั่งอยู่หน้าบ้านอ่ะ”  คนที่นั่งอยู่บนม้านั่งลุกขึ้นเต็มความสูง ก่อนจะพูดตอบ

“ดีขึ้นแล้ว กูกะว่าอีกสิบนาทีถ้ามึงยังไม่กลับ กูจะขี่รถออกไปดู”

“เป็นห่วงกูขนาดนั้นเลยดิ” ผมคิดว่าซิกจะตอกกลับคำพูดประชดของผม แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไรและเดินเข้าบ้านไปเฉย ๆ ทิ้งให้ผมยืนเคว้งอยู่คนเดียวจนต้องเดินตามเขาเข้าบ้านไป

“เย็นนี้มึงอยากกินอะไร”

“อะไรก็ได้”

“ไปร้านพี่ปัทไหม ไอ้ฟลุ๊คไลน์มาชวน”

“กูได้หมด ว่าแต่ฟลุ๊คมันจะไปกินเหล้าได้ทุกวันเลยเหรอวะ” ถึงแม้จะพอรู้ว่าคณะที่ผมอยู่ค่อนข้างดื่มหนัก แต่ผมก็ไม่คิดว่าจะหนักถึงขนาดไปทุกวันแบบนี้

“ก็คงแดกจนกว่ากระเพาะจะทะลุนั่นแหละ”

ซิกกับผมออกจากบ้านไปร้านพี่ปัทตอนประมาณสองทุ่ม ตอนที่ไปถึงร้านก็เห็นมีคนอยู่แล้วหลายโต๊ะ ช่วงนี้เพิ่งเปิดเทอมใหม่ ๆ ร้านเหล้าคนจะเยอะก็ไม่แปลก  ซิกเดินไปหาฟลุ๊คที่โต๊ะ ส่วนผมเดินไปหาพี่ปัทที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์

“ร้านเป็นไงบ้างพี่ปัท” พี่ปัทเงยหน้าจากกระดาษและยิ้มกว้างเมื่อเห็นผม

“อ้าวปัน ร้านก็เรื่อย ๆ แหละ ช่วงนี้คนเยอะเลยวุ่นวายหน่อย ต้องรอดูวันธรรมดาอีกที แล้วนี่ปันมากับใคร เพื่อนเหรอ”

“มากับซิก ว่าจะมาช่วยพี่ปัทก่อน”

“ดีเลย ร้านเริ่มยุ่ง ๆ พอดี เออ ว่าแต่เราเจอเจ้าคุณรึยัง พี่เห็นมันมาตั้งแต่ร้านเปิด จนถึงตอนนี้ยังไม่หยุดสั่งเลย” พี่ปัทชี้ไปทางโต๊ะมุมหนึ่งของร้าน พอผมมองตามไปก็เห็นคนที่เพิ่งคุยกันไปเมื่อตอนบ่ายนั่งอยู่และเขาก็บังเอิญมองมาที่ผมเหมือนกัน

“ปันเพิ่งคุยกับเจ้าคุณไปเอง”

“จากสภาพของเจ้าคุณแล้ว ยังไม่คืนดีกันใช่ไหม”

“ปันไม่ได้ทะเลาะกับเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”

“เอาเถอะ ไม่ทะเลาะก็ไม่ทะเลาะ ว่าแต่ปันกินข้าวมารึยัง ไปนั่งกินกับเพื่อนก่อนไหม ค่อยมาช่วยพี่ก็ได้”

“ไม่เป็นไร ปันยังไม่ค่อยหิว”

ผมนั่งช่วยพี่ปัทอยู่หน้าเคาน์เตอร์เหมือนเดิม โต๊ะที่ซิกนั่งก็อยู่ไม่ห่างกันเท่าไหร่ พอยิ่งเวลาผ่านไปลูกค้าก็เริ่มทยอยเข้ามาในร้านมากขึ้น ผมนั่งรับและส่งรายการเครื่องดื่มไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเห็นว่าร้านเริ่มวุ่นวายแล้ว ถึงได้ลุกขึ้นไปช่วยพนักงานขนของออกมาเพิ่ม
 
“ปัน เดี๋ยวยกลังนี้ไปไว้หลังร้านทีนะ ”

“ได้ครับ” ผมรับลังที่ใส่ขวดเบียร์เปล่าจากพี่จีน ก่อนจะเดินไปหลังร้าน

ในตอนที่วางลังลงบนพื้น ผมก็รู้สึกเหมือนเห็นใครบางคนนั่งอยู่บนชั้นวางของข้าง ๆ สายลมเบา ๆ พัดผ่านมาชวนให้ขนลุกซู่ จนผมรีบหันหลังจะเดินออกจากห้องไป แต่ก็ต้องผงะถอยหลังไปด้วยความตกใจเพราะมีใครบางคนยืนขวางอยู่

“เจ้าคุณ.. มึงมาทำอะไรในนี้วะ” เป็นเจ้าคุณที่ยืนขวางทางเดินกลับเข้าไปในร้านไว้ หากแต่เขาไม่ได้ดึงดูดความสนใจผมได้เท่ากับเท้าคู่หนึ่งที่ห้อยลงมาจากชั้นวางของด้านข้าง ผมพยายามอย่างมากที่จะไม่หันไปมอง แต่เพราะเปลวไฟที่เริ่มลุกไหม้จากขาของผู้หญิงคนนั้น ทำให้ผมต้องหันไปมองอย่างห้ามไม่ได้

“ปันมองเราดิวะ คุยกับเรา ทำไมถึงต้องสนใจอย่างอื่นด้วย” กลิ่นเหล้าจากตัวของคนตรงหน้าทำให้ผมหันมามองหน้าเจ้าคุณชัด ๆ ก่อนจะสังเกตเห็นว่าหน้าของเขาแดงไม่น้อย

“มึงเมาเหรอ ค่อยคุยกันได้ไหม กูว่า..” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบประโยค เจ้าคุณก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“แต่เราอยากคุยกับปันที่นี่ ตอนนี้”

เสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นข้าง ๆ ทำให้ผมต้องหันกลับไปมองที่ชั้นวางของอีกครั้ง ภาพตรงหน้าทำให้ผมรู้สึกหายใจไม่ค่อยออก ผู้หญิงคนนั้นดิ้นทุรนทุรายราวกับกำลังทรมานมาก ๆ ทั้งร่างของเธอกำลังถูกไฟเผาและเธอกำลังร้องขอให้ช่วย เพราะว่าผมทนมองภาพนั้นไม่ได้อีกแม้แต่วินาทีเดียว ผมจึงเลือกที่จะรีบเดินผ่านเจ้าคุณไป แต่เขากลับกระชากแขนผมกลับมา

“ปัน !” เจ้าคุณตะคอกเสียงดัง เขาออกแรงบีบแขนผมแรงขึ้นและมันดันเป็นข้างที่เป็นแผลพอดีทำให้ผมต้องเบ้หน้าเพราะความเจ็บ

“ปล่อย กูเจ็บ”

“เจ็บเหรอ แล้วปันเจ็บเท่าเรารึเปล่าล่ะ !” น้ำเสียงของเจ้าคุณเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ตอนนี้ผมไม่มีเวลามาสนใจว่าเขากำลังโกรธเรื่องอะไร ผมแค่ไม่อยากยืนอยู่ตรงนี้อีกแล้ว เนื้อหนังของผู้หญิงคนนั้นเริ่มไหม้เกรียมจนกลายเป็นสีดำเกือบทั้งตัว ผมรู้สึกราวกับว่าตัวเองได้กลิ่นเนื้อที่ไหม้ของเธอจนอยากจะอาเจียนออกมา

“ปันช่วยเลิกมองชั้นวางโง่ ๆ อันนั้นสักทีจะได้ไหม ! มันไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้นทั้งนั้นแหละ ช่วยเลิกคิดไปเองสักทีจะได้ไหม !!” เจ้าคุณผลักผมติดกำแพง เขาจับข้อมือทั้งสองข้างของผมไว้จนผมดิ้นไม่ออก มือข้างที่เจ็บโดนบีบจนระบมไปหมด

“มึงเป็นอะไรวะคุณ”

“ปันไม่รู้จริง ๆ เหรอว่าเรารู้สึกยังไง งั้นให้เราทำให้เห็นไหมว่าเรารู้สึกกับปันยังไง” ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจเพราะจู่ ๆ เจ้าคุณก็เข้ามาใกล้จนริมฝีปากเราเกือบสัมผัสกัน

“เฮ้ย มึงทำเหี้ยอะไรเพื่อนกูวะ !” คนที่เข้ามาใหม่กระชากไหล่ของเจ้าคุณอย่างแรง จนตัวเขาเซออกไป 

ผมทรุดตัวนั่งลงกับพื้นทันทีที่แขนเป็นอิสระ แขนขาเหมือนไม่มีแรงเลยแม้แต่น้อย เมื่อผมมองไปที่ชั้นวางอีกครั้ง คราวนี้กลับพบเพียงความว่างเปล่า เสียงโวยวายของคนที่กำลังแลกหมัดกันอยู่ ทำให้ผมต้องรีบพยุงตัวเองลุกขึ้นและไปดึงแขนของซิกเอาไว้ ใบหน้าของเจ้าคุณปรากฏรอยฟกช้ำหลายจุด เขาทำท่าจะพุ่งเข้ามาหาซิกอีก จนผมต้องเข้าไปห้าม

“เจ้าคุณ พอแล้ว หยุดได้แล้ว !” เจ้าคุณชะงักไปเมื่อได้ยินผมตะคอกใส่ เขาใช้มือปาดเลือดที่มุมปาก ก่อนจะเดินชนซิกออกไปด้วยความหัวเสีย
 
“มันทำอะไรมึง”

“เปล่า” ผมพยายามควบคุมเสียงตัวเองไม่ให้สั่น เหตุการณ์ที่เจ้าคุณทำกับผมเมื่อกี้ทำให้ผมรู้สึกตกใจเสียยิ่งกว่าตอนที่เจอผีอีก
 
“แต่กูเห็นว่ามันกำลังจะจูบมึง !” ซิกดูโมโหมากจนผมเริ่มกลัวเขาอีกคน เขาหันมามองผมอีกครั้ง ก่อนจะสบถคำหยาบออกมา 

“แม่ง.. ทำไมมึงไม่ร้องให้คนช่วยวะ ถ้ากูมาช้ากว่านี้ ไอ้เหี้ยนั่นคงทำมากกว่าจูบมึงไปแล้ว” ผมไม่อยากบอกเขาว่าตอนนั้นผมช็อคจนพูดอะไรไม่ออก มือไม้ก็แข็งทื่อไปหมด เพราะไม่คิดว่าเจ้าคุณจะทำแบบนั้น

“กูขอโทษ..” ผมเอ่ยขอโทษซิกเสียงแผ่วโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมถึงต้องขอโทษ

“มึงผิดอะไรถึงต้องมาขอโทษกู ไอ้เหี้ยนั่นต่างหากที่ต้องพูดคำว่าขอโทษ ไม่ใช่มึง” คำพูดของซิกทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก เขาขยี้ผมตัวเองด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะดึงมือผมไปดู ผมเองก็เพิ่งเห็นว่าผ้าพันแผลเปียกชุ่มไปด้วยเลือดสีแดง

“ไม่เจ็บรึไงวะถึงได้ปล่อยให้มันบีบแขนมึงอยู่ได้ รออยู่นี่นะ เดี๋ยวกูไปหากล่องพยาบาลก่อน” ซิกเดินหายไปไม่นาน ก็กลับมาพร้อมกล่องปฐมพยาบาล โดยที่มีพี่ปัทเดินตามหลังมาด้วย

“เจ้าคุณเป็นคนทำเหรอปัน พี่เห็นเจ้าคุณเดินตามปันเข้ามา แต่คิดว่าจะเข้ามาปรับความเข้าใจกัน พี่เลยไม่ได้ห้าม”

“แค่อุบัติเหตุนิดหน่อย”

“มันตั้งใจ” ซิกเป็นฝ่ายที่พูดแทรกขึ้นมา ได้ยินแบบนั้นพี่ปัทเลยออกอาการโมโหขึ้นมาอีกคน

“ให้ตายเถอะ แบบนี้ใช่ไหม ปันถึงไม่อยากกลับไปคุยกับมันแล้วอ่ะ พี่ก็อุตส่าห์คิดว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันเล็กน้อย แต่ถ้าถึงขั้นใช้กำลังกันแบบนี้ มันก็เกินไปนะ” ถึงจะอยากบอกให้พี่ปัทใจเย็นลงก่อน แต่ก็ไม่ทันแล้ว เพราะพี่เขาเดินออกไปแล้วเรียบร้อย เดาได้ไม่ยากว่าคงไปหาเจ้าคุณ
 
“มึงไม่น่าไปบอกพี่ปัทแบบนั้นเลย”

“หรือมึงอยากให้กูบอกพี่ปัทว่ามันจะทำอะไรมึง เลือกเอาว่าอยากจะให้พี่มึงรับรู้แบบไหน” เขาพูดพลางแกะผ้าพันแผลที่มือผมไปด้วย ผมทำได้แค่นั่งเงียบเพราะว่ากลัวจะไปพูดอะไรให้เขาโกรธขึ้นมาอีก
 
ซิกค่อย ๆ ใช้สำลีชุบน้ำเกลือเช็ดไปบริเวณแผลที่เย็บ ปากแผลเปิดกว้างและบวมกว่าเดิมเล็กน้อย ผมรู้สึกเสียวตอนที่มองแผลจนต้องเบือนหน้าไปมองทางอื่นแทน จนกระทั่งเขาทายาและปิดผ้าพันแผลเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมถึงได้หายใจหายคอโล่งขึ้น ผมรู้สึกเหมือนซิกเตรียมตัวจะด่าผมอีกรอบ โชคดีที่เสียงโทรศัพท์ของเขาดังขึ้นมาขัดจังหวะเอาไว้พอดี

“ว่า”

“มึงว่าไงนะ เออ เดี๋ยวกูไป” ผมไม่รู้ว่าปลายสายเป็นใคร แต่ซิกดูร้อนใจขึ้นมาทันทีที่วางสายไป

“ไอ้เตแม่งอ้วกเป็นเลือดว่ะ” พูดแค่นั้น เขาก็รีบเดินออกไปอย่างร้อนลน จนผมรีบเดินตามเขาไปด้วย

ที่โต๊ะวุ่นวายพอสมควร ฟลุ๊คหิ้วปีกเฮียเตที่หมดสติไปแล้ว ส่วนเฌอแตมก็ถือถุงสีแดงที่น่าจะเป็นสิ่งที่เฮียเตอ้วกออกมา ซิกดูเป็นกังวลมาก เขารีบถามอาการจากฟลุ๊คทันทีที่มาถึงโต๊ะ 

“มันเป็นไงบ้างวะ”

“อ้วกเสร็จก็สลบไปแล้ว กูว่าพามันไปโรงบาลเหอะ น่ากลัวว่ะ”

“เออ มึงแบกมันไปนะ เดี๋ยวกูเรียกแท็กซี่ให้”

“แต่ไอ้เฮียเอารถมานะ ขับรถมันไปไหม” เฌอแตมพูดพร้อมทั้งชูกุญแจรถยนต์ขึ้นมา

“กูขับรถไม่ค่อยคล่อง ไม่มีใบขับขี่ด้วย มึงอ่ะซิก มีใบขับขี่ไหม” ผมเห็นซิกชะงักไป ก่อนจะพูดตอบ

“มี แต่กู..”

“เค งั้นมึงขับ”

“กูขับไม่ได้” สีหน้าของซิกดูแย่ลงหลังจากที่พูดประโยคนั้น

“อะไรของมึงวะ”

“กูขับรถยนต์บนถนนไม่ได้แล้ว”





หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 8 ความสัมพันธ์ที่ยังเสียดาย
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 11-01-2021 23:40:09
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 8 ความสัมพันธ์ที่ยังเสียดาย
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 12-01-2021 00:21:40
 :katai1:
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 8 ความสัมพันธ์ที่ยังเสียดาย
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 12-01-2021 23:59:21
น่าสนใจมากๆเลยครับ,,,
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 8 ความสัมพันธ์ที่ยังเสียดาย
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 13-01-2021 00:58:31
รอๆ ตอนต่อไปน้าาาาาา :hao7:
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 9 รับน้องที่ชะอำ
เริ่มหัวข้อโดย: LYNJIIN ที่ 13-01-2021 22:10:39
รักบังตา

Chapter 9

รับน้องที่ชะอำ



[ Pun ]

“กูไปเรียกแท็กซี่นะ” พูดจบซิกก็เดินออกไปเลย

ผมเข้าไปช่วยฟลุ๊คพยุงเฮียเต เมื่อแท็กซี่มาแล้วซิกก็มาช่วยพยุงร่างของคนที่ไร้สติเข้าไปในรถ ฟลุ๊คกับเฌอแตมเป็นคนที่นั่งแท็กซี่ไปกับเฮียเต ส่วนซิกบอกว่าจะตามไปทีหลัง ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ฟลุ๊คก็โทรกลับมาบอกอาการของเฮียเต

“มันไม่เป็นไรมากแล้วใช่ไหม เดี๋ยวกูพาปันไปส่งบ้านก่อนค่อยตามไป”

“เออ อีกอย่าง มึงไม่ต้องโทรไปบอกที่บ้านไอ้เตนะ”

“เชื่อกูเหอะ แค่นี้นะ” ซิกหันมามองผมหลังจากที่วางสายอีกฝั่งไป

“มึงจะกลับบ้านเลยไหม เดี๋ยวกูไปส่ง”

“กลับเลยก็ได้ปัน ดึกแล้ว พรุ่งนี้มีเรียนอีกหนิ” พี่ปัทเป็นคนบอกให้ผมกลับ ผมไม่ได้ถามว่าพี่เขาไปคุยอะไรกับเจ้าคุณบ้าง แต่จากท่าทางของพี่ปัทที่ยังมีความหงุดหงิดอยู่ ก็น่าจะจบกันไม่ดีเท่าไหร่

“ได้ครับ งั้นปันไปก่อนนะ กลับดี ๆ นะพี่ปัท” ผมโบกมือลาพี่ปัท ก่อนจะเดินตามซิกไปยังมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ข้างร้าน

ซิกมาส่งผมกลับบ้านและเขาก็ออกไปหาเฮียเตที่โรงพยาบาลเลยทันที ผมหลับไปก่อนเลยไม่รู้ว่าเขากลับมาตอนไหน แต่หลังจากวันนั้น ซิกก็ตัวติดกับผมแทบจะตลอดเวลา ผมไม่ติดอะไรอยู่แล้ว เพราะการอยู่กับเขาทำให้ผมไม่เห็นผู้หญิงคนนั้นอีก ช่วงชีวิตตลอดทั้งสัปดาห์ของผมผ่านไปอย่างสงบสุข ผมไม่เจอทั้งผีและเจ้าคุณ จนกระทั่งถึงเย็นวันศุกร์ซึ่งเป็นวันที่รุ่นพี่จะพารุ่นน้องในภาคไปรับน้องที่ชะอำ ผมกับซิกไปถึงช้ากว่าเวลาที่รุ่นพี่นัด เพราะผมมีนัดตัดไหมที่โรงพยาบาล แต่ถึงอย่างนั้นตอนที่ไปถึงเพื่อนในภาคก็ยังมากันไม่ครบ

“เสียดายว่ะ ไอ้เฮียไม่ยอมมาด้วย อุตส่าห์ได้ไปเที่ยวทะเลทั้งที” ฟลุ๊คพูดขึ้นมาในระหว่างที่กำลังรอรุ่นพี่เช็คชื่อ

“ดีแล้วเถอะที่มันไม่มา หมอบอกให้มันพักเหล้าพักเบียร์ ถ้ามันมา ยังไงก็โดนรุ่นพี่บังคับแดก” เฌอแตมที่เพิ่งมาถึงก็บ่นฟลุ๊คทันที

“จะมีสักวันที่มึงคิดเหมือนกูบ้างไหมเฌอ”

“ไม่มี” พูดจบ เฌอแตมก็ลากกระเป๋าไปทางที่รุ่นพี่เรียกชื่อโดยไม่สนใจฟลุ๊คที่หน้าหงิกหน้างอไปแล้ว

รุ่นน้องโดนแบ่งไปนั่งตามกลุ่มพี่สายรหัสตัวเอง ซึ่งบังเอิญที่พี่รหัสของผมกับซิกเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันพอดี เราเลยได้นั่งรถคันเดียวกัน พวกรุ่นพี่เริ่มกิจกรรมแรกที่เตรียมมาตั้งแต่ล้อรถยังไม่ทันเคลื่อนไปไหนเลยด้วยซ้ำ ผมนั่งฟังรุ่นพี่อธิบายกติกาง่าย ๆ นั่นคือ การให้แต่ละคนในรถบัสแนะนำตัวเองและรุ่นพี่ทั้งหมดในสายรหัส ก่อนจะดื่มเหล้าในแก้วให้หมด ผมว่าดื่มเหล้าไม่ใช่ปัญหาหรอก ปัญหาคือไม่มีใครรู้ว่าในแก้วผสมอะไรบ้างมากกว่า

“มึงไหวไหม ถ้ากินเหล้าไม่ได้ก็บอกพี่เขาไป” ซิกกระซิบถามผมเมื่อเห็นว่ารุ่นพี่ใกล้มาถึงที่นั่งของเราแล้ว

“กูไม่เป็นไร” ตั้งแต่เข้ามหาลัยมาผมยังไม่เคยลองดื่มเหล้าเลยสักครั้ง ที่จริงพี่ปัทก็เคยคะยั้นคะยอให้ผมลองอยู่เหมือนกัน แต่ตอนนั้นผมยังไม่อยากดื่มเท่าไหร่ พอมาตอนนี้เลยอยากลองดูว่าตัวเองจะดื่มได้แค่ไหน 

“และแล้วก็มาถึงที่นั่งหนุ่มหล่อสองคนนะคะทุกคน เริ่มจากคนด้านในก่อนดีกว่า หน้าตาเราคุ้น ๆ เหมือนจะเป็นเนื้อคู่เจ้ยังไงก็ไม่รู้” พี่ผู้หญิงที่ทำหน้าที่เป็นพิธีกรบนรถพูดพร้อมส่งยิ้มหวานมาให้

“สวัสดีครับ ผมชื่อปันนะครับ พี่ปีสองชื่อพี่ติม พี่ปีสามชื่อพี่ซัน แล้วก็ปีสี่ชื่อพี่มินครับ”

“ปรบมือค่าทุกคน นี่ welcome drink ค่ะน้องปัน” ผมรับแก้วที่มีน้ำสีเหลืองอำพันอยู่ข้างในนั้นมา ก่อนจะยกขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด รสชาติของมันไม่แย่อย่างที่คิด แต่กลิ่นและความแรงเป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกพะอืดพะอมพอตัว มันเหมือนเป็นเหล้าที่ไม่ผสมมิกเซอร์อะไรเลย
 
“มึงโอเคไหม” ผมพยักหน้าให้ซิกแทนคำตอบ

“เก่งมากค่ะน้องปัน ต่อไปถึงคิวสมบัติภาคอีกคน เชิญแนะนำตัวได้เลยค่า”

“สวัสดีครับ ชื่อซิก ปีสองพี่แทน ปีสามพี่คิว ปีสี่พี่สตางค์ครับ” ซิกยกแก้วเหล้าดื่มรวดเดียว สีหน้าของเขาเองก็ไม่ต่างกับผมเท่าไหร่นัก ภายในรถปรบมือเสียงดังลั่นเมื่อเห็นเขายกหมดแก้ว

“นี่แค่น้ำจิ้มนะคะ คืนนี้เนี่ย พี่บอกได้แค่ว่าไม่หมดไม่เลิกนะ”

“ถ้ามึงเริ่มไม่ไหว บอกกูนะ”

“โอเค” ผมหลับตาลงเพราะเริ่มมึน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเมารถหรือเป็นเพราะเหล้าแก้วเมื่อกี้

เสียงรุ่นพี่ตะโกนเรียกให้ทุกคนตื่นทำให้ผมลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย น้ำหนักที่ทับอยู่บนหัวไหล่ทำให้ผมต้องหันไปมอง ก่อนจะพบว่าคนข้าง ๆ นอนหลับอย่างสบายใจโดยใช้ไหล่ผมเป็นหมอนหนุน ผมเขย่าแขนปลุกซิกเมื่อเห็นว่าเพื่อนเริ่มทยอยลงจากรถกันแล้ว

“ตื่นได้แล้วมึง ถึงแล้ว”

“อือ.. ถึงเร็วจังวะ” คำพูดของซิกทำให้ผมต้องบ่นออกมาอย่างเสียไม่ได้

“ถึงสักทีเถอะ แขนกูชาหมดแล้ว”

“เดี๋ยวนี้หัดบ่นแล้วเหรอมึงอะ” ซิกพูดอย่างไม่จริงจังนัก

พวกเรามาถึงที่พักตอนเวลาเกือบหกโมงเย็นพอดี รุ่นพี่ปล่อยให้เราเอาของไปเก็บในที่พักและนัดรวมอีกทีตอนหนึ่งทุ่ม ผมโดนซิกลากไปนอนอยู่ห้องเดียวกันกับฟลุ๊คโดยมีเพื่อนในภาคที่ผมไม่รู้จักอีกสองคน ซึ่งจากที่ฟลุ๊คเล่าให้ฟังถึงกิจกรรมถัดไปที่จะเกิดขึ้น ผมคิดว่าไม่น่าจะมีใครได้กลับมานอนในห้องนี้อีกแล้ว ทุกคนน่าจะเมาเละกันอยู่ข้างนอกแน่ ๆ

พอนาฬิกาบอกเวลาทุ่มหนึ่ง ผมกับคนในห้องก็เดินออกไปข้างนอก เห็นรุ่นพี่ล้อมวงนั่งตามริมชายทะเล ผมเดินตามซิกไปยังที่กลุ่มพี่รหัสผมนั่งอยู่ ก่อนจะพบว่ามีเหล้าหลายกรมถูกยกออกมาตั้งไว้ รุ่นพี่ปีสี่ในกลุ่มต่างพากันยิ้มกริ่มเมื่อเห็นรุ่นน้องปีหนึ่งเดินเข้าไปนั่ง

“นี่พวกเรารู้กันรึเปล่าว่ากิจกรรมถัดไปคืออะไร” พี่มินเอ่ยถามขึ้นลอย ๆ
 
“กูว่าพวกมันรู้กันหมดแล้วแหละ หน้าอย่างงี้อะ เริ่มเลยเถอะ รีบแดก รีบเมา รีบกลับไปนอน”

“ใจเย็นอีตาง แสร้งอธิบายน้องมันหน่อย เผื่อมีบางคนไม่รู้ มึงพูดต่อเลยมิน”

“เห็นขวดเหล้าตรงหน้าพวกเราใช่ไหม พี่จะให้เรายกเหล้าขวดนี้ดื่ม เหลือเท่าไหร่ พี่ปีถัดไปของพวกเราต้องกินต่อจนหมดขวด” สีหน้าเพื่อนแต่ละคนเปลี่ยนไปตาม ๆ กันที่ได้ยินแบบนั้น

“แต่ ๆ ๆ ใครไม่อยากแดก พวกกูก็ไม่ได้บังคับนะ ยังไงพี่พวกมึงรวมทั้งพวกกูเองก็อยากแดกอยู่แล้ว ถ้าพวกมึงไม่ชอบ ก็แค่ไม่ต้องแดก ไม่ได้มีผลอะไรกับสายหัสทั้งนั้น พวกมึงเป็นน้องพวกกูตั้งแต่วันแรกที่พวกมึงสอบติดแล้ว กิจกรรมนี้แค่อยากให้พวกมึงลองมาสนุกกันเฉย ๆ” พี่ปีสี่อีกคนรีบพูดอธิบายเมื่อเห็นเพื่อนผมบางคนหน้าถอดสีไปแล้ว

“สวยไม่ไหวแล้วอีตาง มงลงมึงแล้ว มารับยาดองจากกูได้เลยเพื่อน”

กิจกรรมสุดแสนประทับใจเริ่มขึ้นหลังจากที่รุ่นพี่ปีสี่คนนั้นพูดจบ ผมนั่งมองเพื่อนแต่ละคนที่กรอกเหล้าเข้าปากตัวเองแล้วได้แต่ภาวนาให้ทุกคนรอดพ้นคืนนี้ไปอย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องมีใครเข้าไปนอนเล่นในโรงพยาบาล
 
“มึงจะกินไหม” ซิกเอ่ยถามผมขึ้นมา

“คงกินแหละ ถ้ากูไม่กิน พี่ติมก็ต้องกินแทน กูสงสาร” เพราะพี่ปีสองของผมเป็นผู้หญิง ผมเลยไม่อยากให้พี่เขาดื่มแทนเท่าไหร่นัก ยังไงถ้าผมเมา ก็คงไม่แย่เท่าเขาเมา

“สงสารตัวเองก่อนมึงอะ มึงไหวเหรอ ปกติไม่กินเหล้าไม่ใช่รึไง”

“ไม่เป็นไรหรอก อย่างมากก็แค่เมา”

“ถ้างั้นก็อย่าแดกเยอะ เอาเท่าที่มึงไหวพอ”

“ได้ ไม่ต้องเป็นห่วง” ผมรู้สึกเหมือนซิกเป็นห่วงผมเกินเหตุไปหน่อย ช่วงนี้เขาน่าจะอยู่กับพี่ปัทมากไปเลยติดนิสัยของพี่สาวผมมาด้วยแน่ ๆ

“กระซิบกระซาบอะไรกันคะน้องปันน้องซิก ใครจะเริ่มก่อนดีล่ะสองคนนี้”

“ให้ปันก่อนสิ รหัสน้องกูอยู่ก่อนอะ” พอพี่มินพูดแบบนั้น ขวดเหล้าเลยถูกนำมาตั้งไว้ที่ด้านหน้าผมแทนคนข้าง ๆ 

“ได้ค่ะเพื่อน ไม่ใช่ปัญหา แดกก่อนแดกหลังไม่สำคัญ ยังไงก็เมาเหมือนกันอยู่ดี”

เมื่อรุ่นพี่เริ่มร้องเพลงประจำวงเหล้า ผมก็กลั้นใจยกขวดเหล้าขึ้นดื่มและปล่อยให้เหล้ามันไหลลงคอไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งขวดเหล้าถูกดึงออกไปจากมือด้วยฝีมือของคนที่นั่งอยู่ข้างกัน รุ่นพี่มองหน้าซิกแบบงง ๆ ผมเองก็หันไปมองด้วยเหมือนกัน ก่อนจะพบว่าเขากำลังมองหน้าผมอยู่ แววตาของซิกฉายแววหงุดหงิดลาง ๆ

“ที่เหลือ ผมกินแทนเอง” จบประโยคนั้น เสียงโห่ร้องของรุ่นพี่ปีสี่ก็ดังขึ้นทันที

“เหี้ย ! มึงพูดเองนะซิก รักเพื่อนมากก็ดูแลตัวเองไปมึงอะ ถ้าเมาแล้วโดนเพื่อนกูฉุด กูไม่รู้ด้วยนะ”

ผมยอมรับอย่างไม่อายเลยว่าตัวเองเป็นคนคออ่อน หลังจากที่ยกเหล้าไปไม่เกินสิบห้านาที สติผมก็เริ่มไม่อยู่กับตัวแล้ว ภาพตรงหน้าเริ่มหน่วงขึ้นจนผมต้องพยายามนั่งนิ่ง ๆ ไม่ให้โลกมันเหวี่ยงไปมากกว่านี้ ไม่รู้ว่าฝืนนั่งอย่างนั้นไปนานเท่าไหร่ แต่ผมคิดว่านานพอที่รุ่นพี่และเพื่อนจะเริ่มเมากันบ้างแล้ว ผมถึงได้หันไปดึงแขนคนข้าง ๆ เพราะจะชวนเขาไปเข้าห้องน้ำ

ไม่รู้ว่าเพราะผมเมาหรือซิกเมา แค่ผมดึงเขาเบา ๆ เขาก็เซลงมาคร่อมทับผม ใบหน้าของเขาอยู่ใกล้มากจนผมเผลอเอื้อมมือไปจับ ผมจ้องหน้าเขาด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าหล่อขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ติดแค่ตรงที่หน้าของเขาลามไปถึงหูมันแดงเถือกไปหมด พอคิดขึ้นมาได้ว่าซิกเป็นคนที่เมาก่อน ผมเลยยิ้มกว้างออกมา

“มึงเมาแล้วซิก..” ผมรู้สึกว่าใบหน้าของเขาแดงมากขึ้น

“มึงต่างหากที่เมา” เสียงของซิกเบามากจนแทบจะกลายเป็นเสียงกระซิบ ผมนิ่งไปเพราะรู้สึกถึงจังหวะหัวใจของตัวเองที่เต้นเร็วขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ

“อีตางอีมินไปดูน้องพวกมึงดิ๊ มันลงไปกองกันทั้งคู่แล้วน่ะ เห็นไหม” ผมผลักคนที่อยู่ด้านบนออกไป ก่อนจะลุกขึ้นยืน

“ไปห้องน้ำนะ” พูดจบผมก็รีบพาตัวเองออกไปจากตรงนั้นทันที   

ผมลากสังขารตัวเองมาล้วงคออ้วกในห้องน้ำจนเกือบสร่าง พอได้มาล้างหน้าล้างตาแล้วมันก็รู้สึกดีขึ้น แต่เมื่อคิดไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าทีไร ผมก็รู้สึกว่าหัวใจมันเต้นผิดจังหวะทุกที ผมเปิดน้ำล้างหน้าเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหมุนปิดก๊อกและทำท่าจะเดินออกไป แต่ก็หยุดยืนอยู่ที่เดิมเพราะผู้หญิงที่ยืนหันหลังขวางประตูอยู่

ผมหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น พยายามเค้นสมองวิเคราะห์ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้ มันเป็นความจริงหรือความฝันกันแน่ กระทั่งผู้หญิงคนนั้นก้าวเท้าเดินออกไป ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมเดินตามเธอไป เมื่อออกไปจากห้องน้ำกลับเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นเดินห่างออกไปไกลแล้ว ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามไปก็ยังไม่ทัน มาถึงริมทะเลเธอก็คลาดสายตาผมไปแล้ว ผมมองไปรอบ ๆ ก่อนจะเห็นเธอหยุดยืนอยู่กลางทะเลที่น้ำลึกจนเกือบถึงเอวและมองมาที่ผม
 
คราวนี้เธอไม่ได้ร้องขอให้ช่วยแบบหลายครั้งที่ผ่านมา เธอยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ต่างกับผมที่หันหลังและเตรียมจะเดินกลับไป แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวผมก็ก้าวขาต่อไม่ออก ความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาจนรั้งให้ผมต้องหยุดอยู่ตรงนั้น

ถ้าผมไม่ช่วยเธอ เธอจะตายไหม
 
เพราะผมไม่ช่วยรึเปล่า เธอถึงได้ตาย

ทำไมผมถึงไม่ช่วยเธอ เธอยืนอยู่ตรงนั้น

แค่ตรงนั้นเอง..

ความคิดหลายอย่างตีกันจนผมสับสนไปหมด ท้ายที่สุดแล้วผมก็เลือกที่จะหันหลังกลับและเดินลงทะเลไป ยิ่งใกล้ถึงผู้หญิงคนนั้นมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งเดินลึกลงไปในทะเล ผมรีบเดินให้เร็วขึ้นจนสามารถคว้ามือของเธอไว้ได้ หากแต่เธอกลับออกแรงกระชากจนผมเสียหลักจมลงไปในทะเล น้ำทะเลมากมายไหลทะลักเข้าจมูกจนแสบไปหมด เมื่อผมพยายามตะเกียดตะกายจะยืนขึ้น แรงกดมากมายมหาศาลกลับทำให้ร่างกายมันหนักอึ้งจนจมอยู่ในทะเล ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหน ก็มีเพียงน้ำทะเลเท่านั้นที่อยู่รอบตัว ความทรมานจากการขาดอากาศหายใจทำให้ผมไม่มีแรงจะดิ้นรนอีกต่อไป นั่นเป็นแวบหนึ่งที่ผมคิดขึ้นมา

ถ้าเป็นแบบนี้.. ทุกอย่างจะจบไหม





หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 9 รับน้องที่ชะอำ (P.2)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 14-01-2021 23:21:10
 :katai1:
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 9 รับน้องที่ชะอำ (P.2)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 15-01-2021 23:25:26
ติดตามต่อครับ สนุกดี,,,
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 10 ความจริงที่อยากลืม (P.2)
เริ่มหัวข้อโดย: LYNJIIN ที่ 16-01-2021 21:49:13
รักบังตา

Chapter 10

ความจริงที่อยากลืม



[ Sik ]

“อีกแก้ว ! อีกแก้ว ! อีกแก้ว !”

“พอละพี่” ผมเลื่อนแก้วเหล้าตรงหน้าไปทางรุ่นพี่คนเดิมที่ยื่นมาให้ ก่อนจะมองไปยังทางไปห้องน้ำ ไม่รู้ว่าปันเป็นไงบ้าง ตอนเดินไปก็เห็นสภาพไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พวกรุ่นพี่เอาแต่คะยั้นคะยอให้ผมนั่งกินเหล้าต่อจนไม่ได้เดินตามมันไป

“โห่ ทีกับเพื่อนมึงละแดกให้ได้ ทีกับพี่นี่แดกไม่ได้เลยนะ”

“มึงด่าน้องกูเหรอกี้ !”

“เออ กูด่าน้องมึง แต่มึงว่ากูเมาปะ ตอนนี้กูแม่งเห็นคนเล่นน้ำอยู่กลางทะเลด้วยอะ นี่กูหลอนหรืออะไรวะ”

“หลอนแล้วมึงอะ ใครมันจะมาว่ายน้ำเล่นตอนดึกแบบนี้” ผมหันไปมองตามสายตาของพี่กี้ ก่อนจะต้องลุกขึ้นด้วยความตกใจ

“มีคนจมน้ำ !”

ผมรีบวิ่งไปที่ชายหาดทันที รุ่นพี่หลายคนก็เริ่มแตกตื่นโวยวายกัน ลางสังหรณ์ของผมบอกว่าคนที่กำลังจมน้ำอยู่ไม่ใช่ใครที่ไหน ผมวิ่งลงทะเลไปท่ามกลางเสียงร้องเตือนของรุ่นพี่ที่ดังตามหลังมา เพราะคลื่นแรงมากจนไม่มีใครกล้าลงไปทำให้ผมเริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมา ไม่รู้ว่ามันจมน้ำไปนานแค่ไหน ไม่รู้ว่ามันเป็นยังไงบ้าง ไม่รู้ว่าตอนนี้มันจะรู้สึกกลัวมากแค่ไหน

แม่ง ไม่รู้อะไรสักอย่าง !

เมื่อไปถึงจุดที่เห็นคนจมน้ำไปล่าสุดกลับไม่พบอะไรเลย คลื่นที่ซัดกระหน่ำไม่รวมไปถึงความมืดไม่เอื้อต่อการหาคนสักเท่าไหร่จนผมยิ่งร้อนใจ กระทั่งมองไปเห็นเงาของบางอย่างใต้น้ำ ผมตัดสินใจว่ายน้ำลงไปและดึงตัวมันขึ้นมาเหนือน้ำ คนที่เพิ่งพ้นจากความตายรีบหอบหายใจเอาอากาศเข้าปอดทันที ผมโล่งใจไปเมื่อเห็นว่ามันยังมีสติอยู่ หากแต่มีบางสิ่งที่เข้ามากวนใจของผมแทน

ผมฉุดดึงมือปันให้ขึ้นฝั่งไปด้วยกัน รุ่นพี่ต่างเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังจนผมรำคาญ ได้แต่รีบเดินพาอีกฝ่ายไปที่ห้องพักให้เร็วที่สุด ปันพยายามเดินตามผมให้ทันจนมันสะดุดล้มลงไปกองกับพื้น มันนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นไม่ยอมลุกขึ้นยืน ปันไม่ยอมสบตาผม เอาแต่ก้มหน้าก้มตามองพื้นจนผมหงุดหงิดมากยิ่งขึ้นไปอีก

“ลุกขึ้น”

“..”

“ปัน มึงจะลุกไปคุยกับกูในห้องหรือจะนั่งอยู่ตรงนี้ให้คนอื่นมารุมถามมึง” คนตรงหน้าไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้น จนเป็นผมเองที่ทนไม่ไหวต้องฉุดแขนมันให้ลุกขึ้นยืนและลากให้เดินไปด้วยกัน

ตอนนี้ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังโมโหเรื่องอะไรกันแน่ รู้แค่ว่าการเห็นสภาพของปันที่เป็นแบบนี้มันทำให้ผมไม่สบอารมณ์เสียจนแทบเป็นบ้า ผมเหวี่ยงมันให้นั่งลงบนเตียงเมื่อเข้ามาในห้อง โดยที่ผมยืนมองสภาพที่เปียกปอนไปด้วยน้ำของมัน

“มีอะไรจะบอกกูไหม”

“..”

“บอกว่ามึงเห็นผีหรืออะไรก็ได้ ไม่มีอะไรที่มึงอยากบอกกูเลยเหรอ” สายตาของปันยังคงจ้องมองไปที่พื้นห้องราวกับมันไม่กล้าสบตาผมตรง ๆ

“งั้นกูถามเองว่าทำไมมึงถึงไม่ร้องขอความช่วยเหลืออะไรเลย ทำไมถึงจมอยู่ในน้ำทะเลนิ่ง ๆ ทำไมวะปัน !”

“มึงรู้ไหมว่าการที่มึงยังมีสติอยู่มันทำให้กูเข้าใจว่ายังไง”

“การที่มึงปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในน้ำทะเลโดยไม่พยายามดิ้นรนที่จะมีชีวิตอยู่แม้แต่นิดเดียวจะเรียกว่าอะไรได้วะปัน ถ้ามึงไม่ได้กำลังจะฆ่าตัวตาย !”

“แค่นี้ใช่ไหมที่มึงอยากพูดกับกู” ปันเงยหน้ามามองผมทั้งน้ำตา มันยกมือขึ้นปาดน้ำตาลวก ๆ ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ

“ตอนนี้กูเหนื่อยมากเลย.. กูขออยู่คนเดียวก่อนได้ไหมซิก”

ทั้งสีหน้าและแววตาของมันทำให้ผมต้องเดินออกมาจากห้องด้วยความหัวเสีย เมื่อออกมานอกห้องก็เห็นว่าทั้งไอ้ฟลุ๊ค เฌอแตม และพี่รหัสผมกับปันก็ยืนรออยู่หน้าห้องเต็มไปหมด ไอ้ฟลุ๊คเดินเข้ามาหาผมด้วยสีหน้าแตกตื่น ก่อนจะรีบถามถึงอาการของปัน

“ปันเป็นไงบ้างวะมึง”

“ไม่เป็นไรแล้ว มันแค่.. แค่เมาแล้วอยากเล่นน้ำเลยเป็นตะคริว”

“เหี้ย เพื่อนกูแม่งไปสุดจริงว่ะ”

“ให้ปันไปตรวจที่โรงพยาบาลหน่อยดีไหมซิก เดี๋ยวให้พวกพี่พาไป” พี่มินเสนอขึ้นมา

“ไม่ต้องหรอกพี่ มันบอกว่าเหนื่อย อยากพักผ่อน พวกพี่แยกย้ายกันไปกินเหล้าต่อเถอะ ไม่มีอะไรแล้วจริง ๆ”

“โอเค เอางั้นก็ได้ ถ้ามีอะไรก็โทรหาพวกพี่ได้ตลอดเวลาเลยนะ”

“ครับ” พวกพี่ปีสี่เดินจากไป เหลือก็แต่ไอ้ฟลุ๊คกับเฌอแตมที่ยังไม่ไปไหน

“ปันมันโอเคจริง ๆ ใช่ไหม” เฌอแตมถามย้ำขึ้นมาอีกรอบ ผมเองก็ได้แต่พยักหน้าให้แทนคำตอบ

“แล้วมึงตัวเปียกขนาดนี้ ไม่เข้าไปอาบน้ำก่อนเหรอวะ เดี๋ยวก็ไม่สบายขึ้นมาหรอก”

“อีกสักพักกูค่อยเข้าไป ว่าแต่มึงมีบุหรี่ไหมฟลุ๊ค”

“ถามงี้คือจะสูบ ?”

“เออ”

“ร้อยวันพันปีไม่เห็นจะอยากสูบ วันนี้นึกอะไรขึ้นมาวะ” ไอ้ฟลุ๊คพูดพลางยื่นซองบุหรี่กับไฟแช็กมาให้

“ขอบใจ มึงกับเฌอก็ไปหาพี่เถอะ เดี๋ยวกูดูปันเอง”

“มึงแน่ใจนะว่าอยู่คนเดียวได้ ให้พวกกูอยู่เป็นเพื่อนไหม” เฌอแตมพูดด้วยสีหน้าจริงจังราวกับมองออกว่าผมอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ปกติเท่าไหร่นัก
 
“เออ ไม่ต้องห่วง พวกมึงไปสนุกกันต่อเถอะ”

หลังจากที่ไอ้ฟลุ๊คกับเฌอแตมเดินไปแล้ว ผมก็ดึงมวนบุหรี่ออกมาสูบ บุหรี่มวนแล้วมวนเล่าถูกจุดติดต่อกัน จนเหลือเพียงแค่มวนเดียว ผมอัดบุหรี่เข้าปอดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะขยี้มันทิ้งไป เกือบชั่วโมงกว่าที่ผมยืนอยู่หน้าประตูห้องโดยที่ไม่รู้ว่าคนข้างในเป็นยังไงบ้าง ความรู้สึกมันตีกันจนผมเองก็รู้สึกสับสนไปหมด ตอนแรกผมเป็นห่วง แต่พอรู้ว่ามันตั้งใจลงไปในทะเลเองก็อดที่จะหงุดหงิดขึ้นมาไม่ได้จริง ๆ 

ผมหมุนลูกบิดประตูและผลักเข้าไป เห็นคนที่เป็นต้นเหตุให้ผมหัวเสียอยู่เป็นชั่วโมงนอนขดตัวอยู่บนเตียง ผมเดินไปหยุดอยู่ข้างเตียงมองคนที่กำลังหลับตาสนิท ไม่รู้จริง ๆ ว่าควรจะทำยังไงกับคนตรงหน้าต่อดี จะให้ปลุกขึ้นมาแล้วเค้นถามต่อก็ทำไม่ลง จะให้ปล่อยไปเฉย ๆ แม่งก็ทำไม่ได้

ผมถอนหายใจออกมาอย่างปลงตก ก่อนจะไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวที่เต็มไปด้วยความเค็มของน้ำทะเล เมื่ออาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วผมจึงเดินมาดูคนที่นอนอยู่อีกครั้งและทรุดตัวนั่งลงข้าง ๆ มันบนเตียง

“มึงแม่ง..”

“หนีไปนอนแบบนี้แล้วกูจะทำอะไรได้อีกวะ” ผมเอื้อมมือไปทาบหน้าผากมันเพื่อเช็คดูว่ามันมีไข้รึเปล่า โชคดีที่ตัวของมันไม่ได้ร้อน ถ้าเกิดว่ามันเป็นไข้ขึ้นมา ผมคงห้ามตัวเองไม่ให้ปลุกมันขึ้นมาด่าไม่ได้

ตลอดทั้งคืนผมนอนไม่หลับเพราะกลัวว่าปันจะตื่นขึ้นมาและหายไปทำอะไรแปลก ๆ อีก แต่ฝืนสังขารได้ไม่นานก็เผลอหลับไปตอนเกือบรุ่งสาง ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาในตอนเช้าแล้ว พอกวาดตามองไปที่ว่างข้าง ๆ บนเตียง ผมก็รีบลุกขึ้นและเปิดประตูออกไปทันที ก่อนจะรู้สึกโล่งใจขึ้นมาเมื่อเห็นว่าคนที่หายไปยืนพิงผนังอยู่หน้าห้อง สายตาของมันมองไปยังคลื่นทะเลที่ซัดสาดเข้าหาฝั่งเป็นระลอก

ผมเดินไปยืนอยู่ข้างมันและมองไปยังจุดเดียวกับที่มันกำลังมอง ไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้นนอกจากเกลียวคลื่น หาดทราย และแสงอาทิตย์ของเช้าวันใหม่ ผมไม่รู้ว่าปันเห็นเหมือนกันรึเปล่า หรือมีอะไรเพิ่มขึ้นมาอีก อะไรบางอย่างที่ผมไม่เห็นอย่างที่มันเห็น

“เมื่อคืน.. กูขอโทษนะ” มันพูดเสียงเบา แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากได้ยินจากปากมัน

“อือ”

“เมื่อก่อน..” มันพูดแค่นั้นและเว้นช่วงไปราวกับกำลังลังเลอะไรสักอย่าง ผมเองก็ไม่อยากจะคาดคั้นอะไรจากมันอีกแล้ว จึงได้เงียบและรอให้มันพร้อมที่จะเล่าออกมาเอง

“เมื่อก่อนกูเคยเกิดอุบัติเหตุจนต้องเข้าโรงพยาบาล ตอนที่กูตื่นขึ้นมากูจำอะไรไม่ได้เลย รู้จากพี่ปัทแค่ว่ากูโดนรถเฉี่ยวแล้วก็นอนหลับไม่ยอมตื่นไปหลายวันทั้ง ๆ บนตัวกูไม่มีแผลอะไร.. หลังจากนั้นกูก็เริ่มเห็นผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ตลอด หลายครั้งก็เห็นในความฝัน หลายครั้งก็เห็นอยู่ตรงหน้า เมื่อคืนก็เหมือนกัน”

“น่าแปลกที่กูมักจะรู้สึกผิดทุกครั้งที่เห็นเขา จนกูรู้สึกเหมือน.. เหมือนตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องตาย แต่กูก็ไม่กล้าพอที่จะย้อนไปบนถนนเส้นนั้น กูไม่กล้าถามหาความจริงนอกเหนือจากที่พี่ปัทบอก กูกลัว..”

“มึงรู้ไหมว่าที่กูยังทนเห็นเขาได้ เพราะกูรู้สึกว่ากูสมควรโดนแบบนี้แล้ว”

“กูเห็นแก่ตัวและขี้ขลาดเกินกว่าจะยอมรับความจริงได้ กูก็เลยพยายามมองข้ามมันมาตลอด” ผมฟังปันพูดทุกอย่างออกมาจนหมด หลังจากนั้นเราก็ต่างเงียบกันไปสักพัก จนกระทั่งผมตัดสินใจที่จะบอกบางเรื่องกับมันเหมือนกัน

“กูเองก็เคยเจอเรื่องแบบมึง แย่ตรงที่ว่ากูมองข้ามความจริงไม่ได้ทั้ง ๆ ที่อยากจะทำแทบตาย” ปันหันมามอง ผมเองก็มองมันเหมือนกัน ก่อนจะละสายตาไปมองที่ทะเลตรงหน้า

“กูเคยมีพี่สาว.. เมื่อสองปีก่อนกูเป็นคนที่ขับรถพาพี่ไปเที่ยว ตอนนั้นพ่อเป็นคนอาสาที่จะพาไป แต่พี่สาวกูบอกว่าอยากไปกับกู เขาบอกว่าไว้ใจกูแล้วก็หันไปว่าพ่อที่ไม่ยอมเชื่อใจกู” ความทรงจำทุกอย่างไหลกลับเข้ามาราวกับมันไม่เคยเลือนหายไปเลยแม้แต่น้อย ทั้งรอยยิ้ม ทั้งคำพูด ทุก ๆ การกระทำยังฝังลึกอยู่จนผมรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา

“วันนั้นกูขับรถเร็วมากเพราะอยากรีบกลับบ้านไปฉลองวันเกิดพี่ แล้วจู่ ๆ แม่งก็มีคนวิ่งตัดหน้ารถกู..” ผมสูดหายใจเข้าก่อนจะพูดประโยคถัดไป

“กูหักหลบเพราะไม่อยากชนคนตาย แต่.. พี่สาวกูโดนอัดเข้ากับเสาไฟฟ้าโดยที่ตัวกูกระเด็นออกมา”

“ซิก.. ” ปันวางมือลงบนไหล่ผมพลางลูบปลอบ

“มึงว่าตลกปะ กูทำให้คนอื่นรอดแล้วทำพี่ตัวเองตาย”

“..”

“กูต้องลบทุกอย่างที่เกี่ยวกับพี่ออกไป ต้องแกล้งทำเป็นลืมเหมือนกับว่าเขาไม่เคยมีชีวิตอยู่เพื่อให้ตัวกูเองใช้ชีวิตต่อไปได้ ความทรงจำที่มีเขาอยู่มันทำให้กูหายใจไม่ออก มันทรมานเกินไป ถ้ากูไม่พยายามลืมเขา.. ความรู้สึกผิดจะค่อย ๆ ฆ่ากูให้ตายทั้งเป็น”

“กูเสียใจด้วยนะ”

“เพราะงั้นการที่มึงไม่อยากรับรู้เรื่องแย่ ๆ ที่มึงทำ มันก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรหรอก คนเรามันก็อยู่รอดได้ด้วยการหลอกตัวเองกันทั้งนั้น ถ้าการยอมรับความจริงมันจะทำให้มึงเจ็บเจียนตาย สู้ให้มึงไม่ต้องรับรู้ตั้งแต่แรกไปเลยมันอาจจะยังดีซะกว่า”






หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 10 ความจริงที่อยากลืม (P.2)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 16-01-2021 23:11:10
 :hao5:


อย่าบอกน่ะ !!!!!
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 10 ความจริงที่อยากลืม (P.2)
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 17-01-2021 02:29:58
ปันใช่มั้ยที่วิ่งตัดหน้ารถ ม่ายยยยยยยยยนะ :ling1:
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 10 ความจริงที่อยากลืม (P.2)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 17-01-2021 23:36:30
คนที่หักหลบคือปันหรอ???
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 11 สถานการณ์ที่ไม่คาดคิด (1) │ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: LYNJIIN ที่ 18-01-2021 21:42:21

รักบังตา

Chapter 11

สถานการณ์ที่ไม่คาดคิด (1)



[ Sik ]

เมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เงียบไปนาน ผมเลยหันไปมอง มันมีสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก แววตาของมันฉายแววความเศร้าออกมาอย่างปิดไม่มิด ผมเลยส่งยิ้มให้มันก่อนจะเอื้อมมือไปยีหัวมันเล่น ปันเหมือนจะตกใจจนชะงักไปเล็กน้อย แต่มันก็ไม่ได้ปัดมือผมออก

“ไม่ต้องทำหน้าเศร้าขนาดนั้นก็ได้ เอาซะกูรู้สึกผิดที่เล่าให้มึงฟังเลย”

“กูแค่สงสัยว่ามึงต้องเข้มแข็งขนาดไหนถึงจะผ่านเรื่องทั้งหมดไปได้ด้วยตัวคนเดียว” น้ำเสียงของปันแฝงไปด้วยความห่วงใยจนผมเองยังสัมผัสได้
 
“เมื่อก่อนมันอาจจะยาก.. แต่ตอนนี้ก็มีมึงแล้วไง”

“..”

“กูสบายใจเวลาอยู่กับมึงนะปัน” ผมมองหน้าอีกคนที่อึ้งไปแล้ว มันเหมือนกับไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูดจนผมต้องพูดย้ำ

“กูพูดจริง ๆ เพราะงั้นอย่าทำให้กูเป็นห่วงบ่อย ๆ ได้ไหม กูไม่ชอบ”

“เออ.. รู้แล้ว” ปันพูดเสียงแผ่วพร้อมทั้งหลบสายตาของผมไปมองทางอื่น   

“ไอ้ซิก ไอ้ปัน ! ตื่นเช้ากันจังวะพวกมึง” เสียงที่แทบไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเป็นของใครทำให้ผมต้องลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ปกติผมไม่ใช่คนที่รำคาญเพื่อนหรอกนะ แต่กับไอ้ฟลุ๊คน่าจะเป็นข้อยกเว้น

“กูไปอาบน้ำก่อนนะ”

“อ้าว เดี๋ยวดิไอ้ปัน มึงจะอาบน้ำกี่รอบวะ ตั้งแต่มากูยังไม่ได้อาบสักรอบเลยนะ ให้กูอาบก่อนดิเพื่อน” ผมคว้าแขนของไอ้ฟลุ๊คไว้ตอนที่มันจะเดินตามปันเข้าไปในห้อง

“เมื่อคืนมีใครพูดเรื่องของปันบ้างปะ” 

“กูได้ยินพวกรุ่นพี่พูดอยู่นะ เห็นบอกว่าปีก่อนก็เคยมีคนแก้ผ้าลงทะเลเหมือนกัน เขาเลยไม่ได้จริงจังกันเท่าไหร่ ไม่มีใครถือสาคนเมาหรอกมึง ไม่ตายก็พอละ”

“เออ มึงไปอาบน้ำเหอะ” ผมปล่อยแขนไอ้ฟลุ๊คให้เป็นอิสระ มันเองก็ดูงง ๆ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรอีก จากสภาพของมันแล้ว ผมเดาว่าเมื่อคืนมันน่าจะหนักอยู่เหมือนกัน เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้ผมไม่ได้เดินเข้าไปในห้อง เบอร์ที่ปรากฏบนหน้าจอเป็นเบอร์ที่คุ้นเคยดี แต่ผมก็ยังเลือกที่จะรอจนสายเกือบตัด ก่อนที่จะเลื่อนมือไปกดรับ

“ว่าไงแม่”

“ซิก อยู่บ้านรึเปล่าลูก แม่จะทำอาหารไปให้ ลูกแช่แข็งไว้แล้วค่อยเอาออกมาเวฟกินก็ได้”

“ผมมาเข้าค่ายที่ชะอำ กลับพรุ่งนี้เย็น ๆ ถ้าแม่ไปบ้านแล้ว แม่เอาไปเก็บไว้ในตู้เย็นเลยก็ได้” 

“อ้าว งั้นไม่เป็นไร เดี๋ยวแม่ค่อยเข้าไปพรุ่งนี้ก็ได้”

“ครับ”

“ซิก.. แม่รักลูกนะ” ประโยคบอกรักที่ได้ยินบ่อยครั้งตลอดสองปีมานี้ทำเอาผมนิ่งไปพักหนึ่ง พอหาเสียงตัวเองเจอผมถึงได้ตอบคนที่รออยู่กลับไป

“ผมก็รักแม่ แค่นี้นะ” ผมวางสายไปโดยไม่สนใจว่าคนฟังจะรู้สึกยังไง

หลังจากที่พี่ซินตายไป แม่ก็กลายเป็นแม่ที่แสนดีมากมาตลอด แต่ผมรู้ดีว่าที่แม่เป็นแบบนี้เพราะพี่ซิน ทุกคำที่แม่พูด ทุกสิ่งที่แม่ทำ ทุกอย่างที่ผมได้รับ มันคือสิ่งที่แม่อยากทำให้พี่ซินทั้งหมด.. ผมรู้ว่าเขาอยากชดเชยให้พี่ซินด้วยการทำดีกับผมให้มาก แต่แม่ไม่รู้ว่ามันกลับยิ่งทำให้ผมอึดอัด แววตาที่แม่ใช้มองผม มันทำให้ผมรู้ว่าคนที่เขายังคิดถึงอยู่ตลอดเวลาคือพี่ซิน ไม่ใช่ผม

ผมสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปและเดินเข้าไปในห้อง ไอ้ฟลุ๊คนอนเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียง โดยที่มีเสียงคนอาบน้ำอยู่ในห้องน้ำ ผมนั่งลงข้างตรงข้างเตียง ไอ้คนที่นอนอยู่บนเตียงก็รีบยื่นโทรศัพท์มาให้ผมดู

“ไอ้ซิก มึงเห็นนี่ยัง”

“อะไรวะ” ผมมองรูปในโทรศัพท์ไอ้ฟลุ๊คแล้วก็ไม่เข้าใจว่ามันต้องการจะสื่ออะไรอยู่ดี

“นี่ไง น้องหลินอะ คนที่เข้ามาทักมึงกับไอ้เฮียเมื่อวันก่อนอะ กูเห็นเขาลงสตอรี่แล้วแท็กไอ้เฮีย มึงว่าเขาซัมติงกันปะวะ”

“ก็ดีแล้ว แปลกตรงไหนวะ”

“ตรงที่กูเห็นไอ้เฮียมันเฮิร์ตจากคนเก่าจะตายห่าไง มันไม่น่าจะไปต่อได้เร็วขนาดนี้ปะวะ เวร ไอ้เฌอแม่งทักมาตามละ รีบเลยพวกมึง กูไม่อยากโดนมันด่า”

ผมกับปันออกจากห้องตอนเกือบเก้าโมงพอดี ส่วนไอ้ฟลุ๊คมันหายไปตั้งแต่อาบน้ำเสร็จ ไม่รู้ว่าจะรีบไปไหน เพื่อนร่วมห้องที่ไม่รู้ว่าเพิ่งสร่างเมาหรือเพิ่งตื่นเดินสวนกับผมไปพอดี เมื่อไปถึงสถานที่ที่รุ่นพี่เรียกรวมให้ไปกินข้าว ไอ้ฟลุ๊คก็รีบโบกมือเรียกผมเข้าไปหา

“วันนี้ทำไรบ้างวะ” ผมเอ่ยถามเมื่อเห็นว่ามีอยู่แค่ไม่กี่คนที่ออกมากินข้าวเช้า

“มึงต้องถามว่ามีอะไรที่ทำได้บ้าง แฮงค์กันทั้งพี่ทั้งน้องแบบนี้ เมื่อคืนกูอ้วกจนแสบคออะมึงคิดดู”

“บ่น บ่น บ่นเข้าไปเลยไอ้เฌอ หน้ามึงแม่งแต่รอยตีนกาแล้วตอนนี้”

“อยากมีรอยตีนกูอยู่บนหน้ามึงไหมล่ะ เดี๋ยวกูทำให้” ผมนั่งมองมวยคู่เดิมที่เตรียมจะด่ากันแบบเทสาดเทเสียแล้ว จึงดึงมือปันให้ไปตักข้าวด้วยกัน
 
มื้อเช้าเป็นข้าวต้มโง่ ๆ ที่มีแค่ข้าวกับน้ำจืด ๆ ที่เป็นแบบนี้เพราะงบน่าจะไปลงกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หมดแล้ว อาหารนรกมื้อนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว พวกรุ่นพี่เรียกรวมอีกทีตอนเย็นอย่างที่เฌอแตมว่าไว้ ผมเลยไปนอนพักในห้อง ชดเชยที่เมื่อคืนแทบไม่ได้นอนทั้งคืน แน่นอนว่าผมลากปันไปด้วย ขืนปล่อยให้มันคลาดสายตาไป ไม่รู้ว่าจะไปโดดน้ำที่ไหนอีก

“มึงนอนไปเถอะ กูนั่งอยู่ตรงนี้แหละ” คนพูดนั่งหันหลังให้ผมบนเตียง ก่อนจะเอาโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น เห็นแบบนั้นผมเลยฉุดแขนมันให้ลงมานอนและรวบตัวมันมากอดไว้ 

“เฮ้ย..”

“นอนด้วยกันดิ กูจะรู้ได้ไงว่าตอนกูหลับมึงจะไม่ออกไปทำอะไรแปลก ๆ อีก”

“...” ปันไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แต่ระยะที่ใกล้ขนาดนี้ทำให้ผมรับรู้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจของคนในอ้อมกอดได้อย่างชัดเจน

“เสียงหัวใจมึงดังจังวะ” ผมบ่นพึมพำเป็นประโยคสุดท้าย ก่อนจะหลับตาลงเพราะความเหนื่อยล้า 

เสียงโวยวายดังใกล้เข้ามาจากด้านนอกทำให้ผมต้องลืมตาตื่นขึ้นมา แขนชาไปทั้งแถบเพราะคนที่นอนทับอยู่ไม่ได้เปลี่ยนท่าเลยแม้แต่น้อย ผมเขย่าตัวคนที่ยังนอนหลับอยู่ ปันสะดุ้งตื่นขึ้นมาและรีบลุกขึ้นทันที ผมลุกขึ้นตาม ก่อนจะลองยืดแขนข้างที่ชาดู

“โทษทีมึง กูเผลอหลับไป”

“ไม่ต้องบอกก็รู้” ยังไม่ทันจะได้พูดกันต่อ คนที่โวยวายก็ผลักประตูเข้ามาแล้วก็พูดเสียงดัง

“พวกมึง ! กูนึกว่าพวกมึงตายกันหมดแล้ว หลับเหี้ยไรกันขนาดนี้วะเพื่อน รู้บ้างไหมว่ามันกี่โมงกี่ยามแล้ว”

“กี่โมงวะ” ผมถามไอ้ฟลุ๊คกลับไป

“จะทุ่มแล้วครับเพื่อน ถ้าพี่พวกมึงไม่ให้กูมาตาม มีหวังมึงได้หลับยันกลับพรุ่งนี้แน่ ไหน ๆ ก็มาละ กูขอเข้าห้องน้ำก่อนละกัน พวกมึงออกไปก่อนได้เลย ไอ้ซิก กูฝากถือน้ำไปด้วย เดี๋ยวกูลืมอีก” ไอ้ฟลุ๊คโยนขวดน้ำมาให้ผมและรีบวิ่งเข้าห้องน้ำไป

ตอนที่ออกมาจากห้อง ท้องฟ้าก็มืดแล้ว ผมเดินไปยังกลุ่มรุ่นพี่ที่นั่งกินเหล้ากันเมื่อวาน แต่ละคนเริ่มหน้าแดงกันแล้ว ผมเลยรู้สึกเบาใจเพราะวันนี้อาจจะไม่มีใครมีสติมากพอจะมอมคนคออ่อนที่เดินตามหลังผมมาได้อีก ในมือของพี่กี้มีโหลแก้วที่ข้างในบรรจุน้ำสีน้ำตาลเข้มไว้ ซึ่งจากสภาพพวกพี่ที่เละกันเร็วขนาดนี้ แทบไม่ต้องเดาเลยว่าข้างในโหลคืออะไร

“ซิกปัน ! มานั่งนี่เร็วลูก รีบมากินของดีก่อนที่พวกเวรนี่จะแดกหมดซะก่อน” พี่กี้ยื่นแก้วเป๊กเล็ก ๆ มาทางผมกับปันคนละแก้ว ผมไม่เคยมีปัญหาอะไรกับการกินเหล้า เพราะกินมาตลอดตั้งแต่มอปลายเลยมั่นใจว่าตัวเองคอแข็งในระดับหนึ่ง แต่ถ้าเป็นยาดอง.. มันก็อีกเรื่อง

“อะไรเหรอพี่” ผมแกล้งถามอย่างไม่รู้เรื่องอะไร ทำเอาคนที่เมากรึ่มอยู่ตะโกนออกมา

“กูรู้ว่ามึงรู้ซิก ! อย่ามาตอแหลใส่กูนะเด็กเวร นี่อะ ของพวกมึงคนละเป๊ก แดกแล้วถึงจะเรียกว่าเป็นน้องพวกกูได้อย่างเต็มปากเต็มคำ !” ผมหันไปมองพี่สตางค์และพี่มินเพื่อจะขอความช่วยเหลือ แต่จากสภาพแล้ว พวกเขาน่าจะเป็นฝ่ายที่ต้องการความช่วยเหลือมากกว่า

“ไหนพี่บอกผมเป็นน้องตั้งแต่สอบติด”

“กูในอดีตเคยพูดงั้นเหรอวะ ไม่เห็นเคยจำได้.. ไม่รู้แม่งละ พวกมึงต้องกิน แค่เป๊กเดียวเองนะซิก นะปันนะ” ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าคนข้าง ๆ ผมเตรียมจะยื่นมือไปรับแก้วยาดองแล้วเรียบร้อย มันไม่เคยทนเวลารุ่นพี่ขอได้หรอก

“ได้ แต่ผมกินทั้งสองเป๊กนะ รวมของปันด้วย” ผมไม่รอให้รุ่นพี่ให้รุ่นพี่อนุญาต ก็คว้าแก้วเป๊กตรงหน้ามายกลงคอไปทันทีทั้งคู่

รสชาติของสิ่งที่ผ่านคอไปมีกลิ่นคล้ายกับยาสมัยก่อนผสมอยู่ จากนั้นจึงตามมาด้วยความหวานที่ติดอยู่ที่ปลายลิ้น ถึงแม้จะเป็นแบบนั้นแต่รสชาติโดยรวมของมันก็ยังแย่จนผมมีต้องเบ้หน้าอย่างห้ามไม่ได้ นึกขึ้นได้ว่าถือน้ำของไอ้ฟลุ๊คติดมือมาด้วย เลยเปิดฝาขึ้นดื่ม ก่อนจะต้องเบ้หน้าหนักกว่าเดิมเพราะกลิ่นแปลก ๆ ของมัน

เวร.. เหล้าขาว
 
ไอ้เหี้ยฟลุ๊ค.. ผมสบถในใจด่าเพื่อนตัวดีไม่หยุด จะบ้วนทิ้งตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว ผมเทเหล้าขาวในขวดของไอ้ฟลุ๊คทิ้งลงพื้นจนหมดเพราะกลัวจะมีใครมาเผลอกินเข้าไปอีก โดยเฉพาะไอ้คนที่นั่งไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ข้าง ๆ อุณหภูมิของร่างหายที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้ผมรู้ว่าร่างกายของตัวเองกำลังผิดปกติ นั่นทำให้ผมรีบลุกขึ้นและพาตัวเองออกไปจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว พื้นแม่งก็เริ่มเอียงไปเอียงมาจนผมเกือบทรงตัวไม่อยู่ ดีที่มีคนเข้ามาช่วยพยุงแขนไว้ได้ทัน แต่จะดีกว่านี้ถ้าหากคนที่เข้ามาพยุงเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่มัน..

“ไหวไหมมึง ค่อย ๆ เดินนะ ใกล้ถึงห้องแล้ว” ผมผลักปันออกไป แต่มันก็รีบเข้ามาจับแขนผมไว้เหมือนเดิม

“มึง.. ออกไปก่อน..”

“อดทนหน่อย อีกไม่กี่ก้าวจะถึงห้องแล้ว”

ปันพยุงผมมาจนถึงห้อง มันทิ้งร่างของผมไว้บนเตียงและนั่งอยู่ปลายเตียง ผมนอนมองเพดานอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งรู้สึกว่าคนที่นั่งอยู่ปลายเตียงกำลังจะลุกขึ้น ผมจึงได้คว้าคอเสื้อของมันจากทางด้านหลังจนมันเสียหลักล้มลง ผมฉวยโอกาสนั้นขึ้นไปคร่อมและล็อคมือทั้งสองข้างของมันไว้ คนที่อยู่ด้านล่างตกใจจนตัวแข็งทื่อเมื่อผมโน้มตัวลงไปใกล้ ยิ่งได้กลิ่นสบู่อ่อน ๆ จากคนตรงหน้า ผมกลับยิ่งรู้สึกว่าสติมันกำลังจะกระเจิดกระเจิงไปหมด ผมค่อย ๆ โน้มหน้าไปจนใกล้กับใบหูของมัน

“ถ้ามึงอยากให้กูหยุด..”

“..”

“มึงต้องพูดตั้งแต่ตอนนี้นะปัน”







----------------------------------------------------------------------------------------
หลังจากนี้อาจจะมีอัพช้าลงบ้างนะคะ พอดีว่าเพิ่งเปิดเทอมเลยน่าจะมีงานเยอะขึ้น
แต่ถ้าช่วงไหนไม่มีงานจะพยายามรีบอัพให้นะคะ
LYNJIIN
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 11 สถานการณ์ที่ไม่คาดคิด (1) │ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 19-01-2021 00:00:04
 :serius2:



ค้างงงงงง นะน้องน่ะ
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 11 สถานการณ์ที่ไม่คาดคิด (1) │ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 19-01-2021 00:13:42
ไปต่อหรือหยุด!!!

ค้างงงง

สนุกมากครับ,,,
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 12 สถานการณ์ที่ไม่คาดคิด (2) │ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: LYNJIIN ที่ 21-01-2021 22:53:08


รักบังตา

Chapter 12

สถานการณ์ที่ไม่คาดคิด (2)



[ Sik ]

“..”

ไร้ซึ่งคำพูดใด ๆ ที่หลุดออกมาจากคนตรงหน้า แววตาของปันไหววูบราวกับกำลังลังเลอะไรสักอย่าง แต่เวลาให้ตัดสินใจเหลืออีกไม่มากแล้ว ผมประทับจูบลงไปบนกรอบหน้าที่อยู่ล่างใบหู ไล่มาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงริมฝีปากที่ติดซีดของมัน ผมยังไม่ได้จูบมัน แต่เลือกที่จะปล่อยข้อมือของมันและเปลี่ยนเป็นสอดมือเข้าไปประสานกับมือของอีกคนไว้หลวม ๆ แทน แบบนี้.. ปันจะผลักผมออกได้ง่ายกว่า

ผมโน้มลงไปกระทั่งไม่เหลือช่องว่างระหว่างเราอีกแล้ว ริมฝีปากนุ่มของคนตรงหน้ากระตุ้นสัญชาตญาณบางอย่างของผมได้เป็นอย่างดี ผมค่อย ๆ ใช้ลิ้นไล้สัมผัสไปตามริมฝีปากล่าง ก่อนจะสอดลิ้นเข้าไปในปากของอีกคน ความหวานจากคนตรงหน้าทำให้ผมอยากจะกินมันไปทั้งตัว ผมสอดมือเข้าไปในเสื้อของคนที่อยู่ด้านล่างและลูบไล้ไปตามผิวเนียนของมัน ก่อนจะเอื้อมมือลงไปเพื่อที่จะถอดกางเกงของมัน

“อื้อ..” คนที่โดนจูบไปหลายนาทีเริ่มส่งเสียงท้วงผ่านลำคอ

ตอนนี้ผมรู้ตัวดีว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ถึงแม้จะมีฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ผสมอยู่ก็ตาม แต่คนที่โดนผมเอาเปรียบอยู่นานเหมือนเพิ่งจะรู้สึกตัว แรงผลักเบา ๆ ที่ไหล่ทำให้ผมชะงักมือไปและหยุดการกระทำทุกอย่างลงทันที เมื่อถอนจูบและผละออกไป ผมถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีใบหน้าของปันมีน้ำตาเปื้อนอยู่

“กูขอโทษ” ผมพูดแค่นั้น ก่อนจะเดินไปเข้าห้องน้ำ แต่กลับถูกรั้งไว้จากคนที่ดึงชายเสื้อ

“กูไม่เป็นไร.. กูแค่..” สีหน้าของปันฉายแววรู้สึกผิด ทั้ง ๆ ที่มันไม่ได้ทำอะไรผิดเลยด้วยซ้ำ

“เออ กูเข้าใจ” ถึงแม้จะตอบออกไปแบบนั้น แต่คนที่ดึงชายเสื้อผมไว้ยิ่งกำแน่นกว่าเดิม

“กูไม่เป็นไรจริง ๆ นะซิก”

“แต่กูเป็น กูขอไปจัดการตัวเองก่อน หรือมึงอยากให้กูอยู่ตรงนี้แล้วทำมากกว่าจูบมึง” ปันปล่อยมือจากชายเสื้อของผม ผมรู้สึกได้ว่าใบหน้าของมันแดงขึ้นเล็กน้อย

ผมเข้าไปจัดการอารมณ์ที่ค้างคาของตัวเองในห้องน้ำและนั่นทำให้ผมยิ่งชัดเจนกับความรู้สึกที่มีต่อปันมากขึ้น เพราะมีแค่หน้ามันที่วนอยู่ในความคิดของผม จนผมถึงขั้นต้องอาบน้ำใหม่เพื่อดับอารมณ์ตัวเองที่เกิดจากทั้งเหล้าจากทั้งคนอีกครั้ง เมื่อคิดว่าจะไม่หน้ามืดไปฉุดมันแล้ว ผมถึงได้เดินออกจากห้องน้ำไป

คนที่ปั่นหัวผมโดยไม่รู้ตัวนอนคลุมโปงอยู่มุมหนึ่งของเตียง ผมเดินไปทิ้งตัวนอนอยู่ข้าง ๆ มันและมองผ้าห่มที่คลุมตัวมันจนไม่เห็นแม้กระทั่งเส้นผมของมันสักเส้น เมื่อผมเอื้อมมือไปจะดึงผ้าห่มลง คนข้างในก็ออกแรงยื้อไว้ จนผมต้องเป็นฝ่ายที่ยอมแพ้

“ยังไม่นอนเหรอ”

“..”

“ปัน”

“..”

“ปัน”

“มีอะไร..” เสียงอู้อี้ดังมาจากข้างในผ้าห่ม

“ไม่กลัวผีมุดมาหามึงในผ้าห่มเหรอ” ประโยคนั้นทำเอาคนที่คลุมโปงอยู่สะบัดผ้าห่มออกทันที

“มึงเห็นเหรอ” มันรีบพลิกตัวมาหาผม

“เปล่า แต่กว่าผีจะมุดมาหลอกมึงได้ มึงน่าจะขาดอากาศหายใจตายก่อนนะ” ปันทำท่าจะหันกลับไป ผมจึงจับมือของมันเอาไว้ แผลที่กำลังจะหายทิ้งรอยสีแดงไว้ ผมใช้นิ้วมือลูบไปตามรอยแผลบนฝ่ามือนั้น ก่อนจะถามมัน

“ยังเจ็บอยู่ไหม”

“ไม่ แค่รู้สึกตึง ๆ นิดหน่อย”

“ดีแล้ว” ผมดึงตัวมันเข้ามากอดไว้หลวม ๆ มันนิ่งไปพักใหญ่จนผมนึกว่าหลับไปแล้ว แต่จู่ ๆ คนในอ้อมกอดก็เอ่ยเรียกผมเสียงเบา

“ซิก”

“ว่า”

“ทำไมมึงถึงดีกับกูจังวะ”

“อยากได้คำตอบแบบไหนล่ะ คำตอบของกูขึ้นอยู่กับความรู้สึกของมึง”

“กูไม่..”

“ถ้ายังไม่มั่นใจก็ยังไม่ต้องพูดออกมาก็ได้นะ กูไม่ได้รีบขนาดนั้น” ผมแน่ใจความรู้สึกของตัวเองก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าปันจะรู้สึกเหมือนกัน การที่ผมฉวยโอกาสจากมันบ่อย ๆ ไม่ได้แปลว่ามันจะรู้สึกดีไปกับการกระทำพวกนั้น ท้ายที่สุดแล้ว.. ผมอาจจะเห็นแก่ตัวอยู่คนเดียวก็ได้

หลังจากนั้นปันไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ที่ผมพูดออกไปว่าไม่รีบก็หมายความตามนั้นจริง ๆ ระหว่างผมกับปันยังมีเวลาด้วยกันอีกนาน ต่อให้ตอนนี้มันอาจจะแค่หวั่นไหวหรือไม่รู้สึกอะไรกับผมเลย ผมก็ไม่ได้กังวลมากขนาดนั้น ผมไม่อยากให้ความรู้สึกระหว่างเราถูกบีบด้วยคำถามแค่ไม่กี่คำ ผมอยากให้ทุกอย่างค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไปจนถึงเวลาที่เหมาะสมของมัน

เช้าวันถัดมาผมตื่นขึ้นเพราะเสียงดังกุกกักภายในห้อง เห็นปันกำลังเก็บของใส่กระเป๋าอยู่และมีใครบางคนที่อาบน้ำอยู่ในห้องน้ำ เพื่อนอีกสองคนก็นอนกองรวมกันอยู่ที่พื้นเย็น ๆ ผมมองแผ่นหลังของปันได้อยู่สักพัก เสียงฝักบัวในห้องน้ำก็ดับลง ไอ้ฟลุ๊คคาดผ้าขนหนูผืนเดียวก้าวออกมาจากห้องน้ำ ผมเลยอดไม่ได้ที่จะเขวี้ยงหมอนไปใส่มัน

“ไม่แต่งตัวให้ดี ๆ ก่อนเดินออกมาวะ”

“อิจฉาหุ่นกูก็บอกมาตรง ๆ ครับเพื่อน อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง”

“เห็นแล้วรำคาญลูกตา”

“ครับเพื่อนซิก ขอโทษด้วยนะครับ ที่เรือนร่างของกูเนี่ยบังเอิญไปรกหูรกตามึง เออ แล้วมึงอะ เมื่อคืนเอาน้ำอมฤตกูไปทิ้งไว้ที่ไหน ตอนกูไปหามึง พี่มึงก็บอกว่ามึงไปไหนแล้วก็ไม่รู้ กูตามหาแทบตายจนแบกร่างตัวเองกลับห้องมาเจอมึงนอนกอดไอ้ปันอยู่เนี่ยครับ น้ำกูล่ะครับ ไปไหน” คำถามของมันทำให้ผมอยากจะเดินไปตบหัวเรียกสติมันสักที

“ธรณีสูบน้ำมึงไปละไอ้เวร แล้วมึงเลิกเอาเหล้าขาวใส่ขวดน้ำเลยนะ ไม่งั้นคราวหน้ากูจะให้ธรณีสูบมึงลงไปแทน”

“ด่าซะกูนึกว่ามึงเป็นไอ้เฌอเลยนะ ติดเชื้อบ้ามันมารึไง”

ผมขี้เกียจจะเถียงกับไอ้ฟลุ๊คอีก จึงปล่อยผ่านคำพูดของมันไป กว่าที่ผมกับคนในห้องจะอาบน้ำแต่งตัวกันเสร็จ รุ่นพี่ก็ตะโกนเร่งเข้ามาพอดี ปกติผู้ชายมันอาบน้ำไม่นานหรอก เว้นเสียแต่ว่ามันจะไม่ยอมตื่นขึ้นมาอาบเท่านั้นแหละ เพื่อนร่วมห้องที่ไม่รู้ไปทำอีท่าไหนถึงได้หลับเป็นตาย จนไอ้ฟลุ๊คถึงขั้นต้องไปเขย่าตัวปลุกแรง ๆ ถึงได้ตื่นขึ้นมาและพากันออกจากห้องมาได้

ตลอดทางที่นั่งรถกลับมหาลัย ปันเหมือนมีเรื่องอยากจะพูดกับผม แต่จนแล้วจนรอดมันก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ผมกับปันเดินกลับบ้านมาโดยที่ต่างคนต่างก็เงียบใส่กัน ผมเงียบเพราะไม่แน่ใจว่ามันพร้อมจะคุยกับผมมากแค่ไหน ส่วนเหตุผลของปัน ผมไม่รู้ ระหว่างทางแม่ก็ส่งข้อความมาบอกว่าจะเข้ามาหา ส่วนปันพอถึงบ้านและเก็บของเสร็จแล้วก็บอกว่าจะไปร้านพี่ปัทเลยทันที

“ให้กูไปส่งไหม”

“ไม่เป็นไร กูไปเองได้”

“งั้นเดี๋ยวกูไปรับ เสร็จกี่โมงก็ทักมา” มันพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้แล้วก็รีบออกไป

ไม่เกินสิบนาทีถัดมาก็มีเสียงรถมาจอดที่หน้าบ้าน เมื่อออกไปดูก็เห็นแม่กำลังขนของจากท้ายรถลงมา ผมเข้าไปช่วยถือข้าวของมากมายพวกนั้น เมื่อเห็นหน้าผมแม่ก็บ่นอุบขึ้นมาทันที

“ซิกผอมลงรึเปล่าลูก ได้กินข้าวบ้างรึเปล่า ถ้ากับข้าวไม่ถูกปากก็กลับมากินที่บ้านหรือถ้าขี้เกียจ ซิกก็โทรบอกแม่ แม่จะได้ทำมาให้”

“แม่ คือ..”

“ลูกต้องกินข้าวให้เยอะ ๆ นะ อยากกินอะไรก็กินไปเลย” ผมมองตามหลังแม่ที่เดินเข้าบ้านไป ก่อนจะหันไปถือกล่องใส่อาหารที่เหลือในรถและเดินตามไป

“นี่แม่ทำหลนเต้าเจี้ยวใส่หมูสับของโปรดลูกไว้ด้วยนะ” ผมชะงักมือที่ช่วยแกะกล่องใส่อาหารไปเมื่อได้ยินแบบนั้น แต่เหมือนแม่จะไม่ได้สนใจอะไร เอาแต่จัดของใส่ตู้เย็นและบ่นพึมพำไปเรื่อย ๆ

หลนเต้าเจี้ยว แกงมัสมั่น แกงพะแนง สามเมนูที่พี่สาวผมชอบกินมากที่สุด ตอนอยู่กับพ่อ พี่ซินถูกเลี้ยงที่บ้านย่า ย่าเลยมักจะทำกับข้าวให้พี่ผมกินอยู่เสมอ ต่างกับผมที่อยู่กับแม่ พนักงานบัญชีของบริษัทเอกชนที่ต้องเลี้ยงลูกชายตัวคนเดียว อย่าว่าแต่ทำอาหารเลย แม่ไม่มีเวลาแม้แต่ที่จะซื้อกับข้าวเข้าบ้านด้วยซ้ำ ช่วงที่แม่กับพ่อเพิ่งเลิกกันใหม่ ๆ แม่โหมงานหนักเพื่อที่จะได้ไม่ต้องสนใจเรื่องของพ่อและมันกลายเป็นว่าแม่ไม่ได้สนใจเรื่องของผมไปด้วย

“แล้วนี่ซิกอยู่กับเพื่อนเหรอ พามาให้แม่รู้จักบ้างสิ เพื่อนซิกแม่รู้จักแค่เตคนเดียวเอง” เสียงเลื่อนประตูทำให้ผมหันไปมองคนที่กำลังเดินเข้าบ้านมา

“มีแขกเหรอ โทษที พอดีกูลืมเป๋าตังค์”

“แม่กูเอง แม่นั่นปัน เพื่อนที่แชร์บ้านอยู่ด้วยกัน” เมื่อเห็นว่าแม่ไม่ได้เอ่ยตอบ ผมจึงหันไปมอง ก่อนจะรีบเข้าไปจับมือของแม่ตัวเองเอาไว้

“แม่ ! เป็นอะไรรึเปล่า” ผมเรียกเสียงดังเมื่อเห็นว่าแม่เอาแต่ยืนนิ่งจ้องไปที่ปัน จนปันเองก็ไม่กล้าเดินไปไหน

“อ้อ.. เปล่า เปล่าหรอก..”

“หวัดดีครับ ผมปันนะครับ เป็นเพื่อนซิก” มันพูดพร้อมทั้งยกมือไหว้ แม่ไม่ได้รับไหว้มัน แต่กลับถามบางอย่างขึ้นมาแทน

“ชื่อปัญธิกานต์เหรอ..”

“ครับ ? ใช่ครับ รู้จักผมด้วยเหรอครับ”

“รู้จักป้าเราน่ะ” คำตอบของแม่ทำให้ผมนึกสงสัยขึ้นมาว่าแม่ไปรู้จักกับครอบครัวปันตอนไหน

“อ๋อ ครับ ไว้ผมจะฝากบอกป้าให้นะครับ ไม่ทราบว่าคุณน้าชื่ออะไรเหรอครับ”

“ไม่ต้องบอกหรอก” ผมเห็นปันเหมือนจะหน้าเสียไป

“ครับ.. ถ้างั้นผมขอตัวนะครับ”

คล้อยหลังจากที่ปันเดินออกจากบ้านไปไม่นาน แม่ก็หันมามองหน้าผมนิ่ง ๆ ด้วยแววตาที่สั่นไหวไม่น้อย พฤติกรรมของแม่ที่มีต่อปันทำให้ผมสังหรณ์ใจไม่ดีและผมไม่ใช่คนโง่ที่มองสถานการณ์ไม่ออกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นต้องไม่ใช่เรื่องที่ดี แต่มันจะแย่แค่ไหน ผมเองก็ไม่กล้าจินตนาการเหมือนกัน

“เพื่อนของซิกน่ะ..”

“..”

“ไม่อยู่ด้วยกันได้ไหม ซิกจะอยู่บ้านหลังนี้กับเพื่อนคนไหนก็ได้นะลูก.. แต่ไม่ใช่คนนี้ได้ไหม” เสียงของแม่สั่นเครือ วินาทีที่ได้ยินแบบนั้นผมรู้สึกราวกับมีมือที่มองไม่เห็นค่อย ๆ บีบหัวใจของผมเอาไว้

แม่เป็นคนเข้มแข็งมาก.. ผมรู้เรื่องนี้ดี และยังรู้ดีอีกด้วยว่าเรื่องเดียวที่ตลอดทั้งชีวิตของผมจะเห็นแม่เสียน้ำตาให้คือเรื่องของพี่ซิน

“ผมถามได้ไหมว่าทำไม”

“เพราะ.. เพราะว่าคน ๆ นั้น ซินถึงได้..”

ไม่มีประโยคถัดไปที่ดังออกมา คำตอบของทุกอย่างมีเพียงเสียงสะอื้นของแม่ที่กลั้นไว้ไม่อยู่เท่านั้น










หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 12 สถานการณ์ที่ไม่คาดคิด (2) │ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 21-01-2021 23:47:10
นั่นไง ว่าแล้ว. สงสารปัน,,,
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 12 สถานการณ์ที่ไม่คาดคิด (2) │ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 24-01-2021 00:04:45
 :hao5:
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 12 สถานการณ์ที่ไม่คาดคิด (2) │ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 24-01-2021 10:46:53
เอาใจช่วยปันนะคะ เจอผีพี่สาวแล้วมาเจอแม่ไม่ปลื้มอีก  :ling3:
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 13 เพราะเข้าใจผิด │ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: LYNJIIN ที่ 26-01-2021 18:52:11


รักบังตา

Chapter 13

เพราะเข้าใจผิด



[ Pun ]

วันนี้ร้านพี่ปัทมีลูกค้าบางตา ผมนั่งมองลูกค้าไม่กี่โต๊ะตรงหน้า บางโต๊ะก็พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน บางโต๊ะก็พากันกอดคอร้องไห้ออกมาท่ามกลางดนตรีสดที่ไม่ได้เล่นเพลงเศร้า ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่ผมนั่งมองภาพตรงหน้าอยู่อย่างนั้น จู่ ๆ ในหัวก็มีภาพใครบางคนผุดขึ้นมาทำให้ผมเผลอมองไปยังที่นั่งประจำของเขาโดยไม่ตั้งใจ

“ปัน มองไรอะ” เสียงทักของพี่ปัททำให้ผมสะดุ้งไปเล็กน้อย

“ห้ะ.. อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกพี่ปัท”

“ไม่ต้องมาโกหกพี่เลยนะ สายตาเราเหมือนกำลังมองหาใครอยู่งั้นแหละ แอบไปมีแฟนไม่บอกพี่รึเปล่า” ผมรีบปฏิเสธพี่ปัททันทีที่ได้ยินแบบนั้น

“ไม่มีอะไรจริง ๆ พี่ปัท”

“ไม่มีก็ไม่มี อย่าให้พี่รู้ละกันว่าเราแอบซุกสาวไว้ไม่บอกพี่ เออ แล้วเรื่องเงินค่าใช้จ่ายของปัน ปันบอกพี่มาได้เลยนะว่าจะเอาเท่าไหร่ เดี๋ยวพี่โอนให้”

“ไม่ต้องหรอกพี่ปัท ปันว่าจะบอกพี่ปัทอยู่พอดีว่าหลังจากนี้ปันจะหางานพาร์ทไทม์ทำ อาจจะไม่ได้มาช่วยพี่ปัทแล้ว” พี่ปัทขมวดคิ้วกับคำพูดของผม เดาได้ไม่ยากว่าประโยคถัดไปที่พี่เขาจะพูดคืออะไร 

“ก็ทำงานกับพี่ไง ปันไม่เห็นต้องไปทำงานที่อื่นเลย หรือว่าปันไม่อยากทำงานกับพี่”

“เปล่า ไม่ใช่อย่างงั้น ปันแค่เกรงใจพี่ปัท ปันไม่ได้ทำงานให้พี่ปัทเต็มที่ขนาดนั้น”

“ไม่เห็นต้องเกรงใจเลย ปันเป็นน้องพี่นะ ถ้าทำได้พี่ก็อยากให้เงินปันไปเฉย ๆ เสียด้วยซ้ำ แต่พี่รู้ว่าปันไม่เอาแน่ ๆ ทำไมปันถึงชอบทำให้ตัวเองเหนื่อยด้วย”

“คือ..”

“ไม่รู้แหละ พี่ไม่ให้ปันปฏิเสธ ถ้าปันจะทำงานที่อื่น ปันก็ไม่ต้องเข้ามาเหยียบร้านพี่อีกเลย พี่จะถือว่าปันไม่ชอบที่นี่” ไม่คิดจริง ๆ ว่าพี่ปัทจะมาไม้นี้ ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าของพี่ปัททำให้ผมรู้ว่าพี่ปัทไม่ได้พูดเล่น

“พี่ปัทเล่นพูดงี้ ปันจะทำไรได้อีกอะ”

“ว่านอนสอนง่ายแบบนี้ค่อยน่ารักหน่อย แล้วนี่จะกลับเลยไหม ดึกแล้วนะ”

“น่าจะอีกสักพักอะพี่ปัท”

“โอเคเลย จะกลับตอนไหนก็บอกพี่นะ” พูดจบพี่ปัทก็เดินหายไปหลังร้าน

ผมมองจอโทรศัพท์และพบว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืน ที่จริงผมส่งข้อความไปบอกซิกแล้วว่าใกล้เสร็จแล้ว จนผ่านไปราว ๆ เกือบครึ่งชั่วโมงก็ยังปราศจากการแจ้งเตือนใด ๆ ที่ตอบกลับมา ผมคิดเอาเองว่าเขาอาจจะหลับไปแล้วก็ได้ แต่แวบหนึ่งมันก็รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาว่าเขาอาจจะเป็นอะไรรึเปล่า ผมนั่งทำรายการของวันนี้จนเสร็จ ถึงได้เดินไปบอกลาพี่ปัทและเรียกแท็กซี่กลับบ้าน

เมื่อมาถึงบ้านผมก็ต้องแปลกใจมากกว่าเดิม รถมอเตอร์ไซค์ของซิกไม่อยู่ บ้านทั้งหลังเต็มไปความมืดเนื่องจากไม่มีไฟเปิดเลยสักดวง แม้แต่ไฟหน้าบ้านก็ไม่ได้เปิด เสียงหมาหอนที่ดังมาจากไกล ๆ ทำให้ผมรีบไขกุญแจเข้าบ้าน ผ่านไปเกือบสัปดาห์แล้วที่ไม่รู้สึกถึงบรรยากาศวังเวงแบบนี้ พอเข้าบ้านได้ผมก็รีบล็อคประตูทันที

ผมมองไปท่ามกลางความมืด เงาผ้าม่านและสิ่งของภายในบ้านต่างก็ชวนให้จินตนาการถึงบางอย่างที่ไม่ควรนึกถึง ผมค่อย ๆ เดินเลียบผนังไปเปิดไฟ พอมีแสงสว่างเข้ามาแทนที่ผมถึงได้ถอนหายใจออกมา โทรศัพท์ถูกกดโทรออกไปหาซิก แต่เขากลับปิดเครื่อง ผมเริ่มร้อนใจขึ้นมาเพราะกลัวว่าเขาจะเกิดอุบัติเหตุรึเปล่า ก่อนจะรีบโทรหาคนที่ซิกน่าจะอยู่ด้วย

“ฮัลโหลฟลุ๊ค ซิกอยู่กับมึงปะ”

“อือ.. ไม่อยู่” ปลายสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงงัวเงีย

“เหรอ โอเค ถ้าซิกโทรหามึง มึงโทรมาบอกกูหน่อยนะ”

“เออ ๆ มึงลองโทรถามไอ้เฮียดูดิ” ผมโทรหาเฮียเตตามที่ฟลุ๊คบอก

“เฮีย ซิกอยู่กับมึงไหม” ผมภาวนาให้ปลายสายตอบกลับมาว่าใช่ หรืออะไรก็ได้ที่ทำให้ผมรู้ว่าซิกยังปลอดภัยดีอยู่

“ไม่นะ ทำไมวะ มันยังไม่กลับเหรอ”

“ใช่ กูโทรหามันไม่ติดมาสักพักแล้วเลยเป็นห่วงว่าจะเกิดอะไรขึ้นรึเปล่า”

“ใจเย็น มันอาจจะกลับบ้านรึเปล่า เดี๋ยวกูลองโทรหาแม่มันให้ละกัน”

“ยังไงก็โทรบอกกูหน่อยนะ ขอบใจมากนะมึง”

หลังจากวางสายจากเฮียเตไปผมก็ฟุ้งซ่านขึ้นมาทันที ในสมองก็คิดไปต่าง ๆ นา ๆ เพราะกลัวว่าซิกจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นมารึเปล่า จนผมต้องไปอาบน้ำเพื่อให้ลดความกังวลใจที่เกิดขึ้นแทน ใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำไม่นานผมก็เดินออกมา ในตอนที่กำลังจะเดินเข้าห้องก็ดันมีเสียงบางอย่างดังเข้าโสตประสาทผมมาเสียก่อน ผมหันกลับไปมองยังบานประตูห้องตรงข้าม ห้องที่ผมไม่เคยเปิดเข้าไปอีกเลยหลังจากวันแรกที่ย้ายเข้ามา

พรึบ !

ผมสะดุ้งไปตอนที่ไฟทั้งบ้านกลับมาดับอีกครั้ง เสียงที่เหมือนมีใครกำลังเคาะอยู่หลังบานประตูนั้นดังเด่นชัดท่ามกลางความเงียบ สายตาของผมจับจ้องไปยังบานประตูของห้องตรงข้าม คราวนี้เสียงเคาะที่ดังมาจากหลังบานประตูดังขึ้นจนผมตกใจ ผมรีบเปิดประตูห้องตัวเองและวิ่งเข้าไปข้างใน

ถึงแม้ว่าจะมาอยู่ในห้องแล้ว แต่ผมกลับไม่ได้รู้สึกเบาใจขึ้นเลยแม้แต่น้อยเพราะเสียงเคาะนั้นเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ จนเปลี่ยนเป็นเสียงทุบแทน ยิ่งเวลาผ่านไปผมก็ยิ่งได้ยินทุบดังขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนกับว่าเสียงทุบนั้นมันดังมาจากหน้าห้องนอนที่ผมอยู่ ผมพยายามห้ามตัวเองไม่ให้ไปสนใจ โดยการข่มตานอนหลับและเอาหมอนมาอุดหูไว้ กระทั่งเสียงทุบนั้นเงียบไป

ทีแรกผมคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะจบลงแค่นั้น แต่เหมือนผมจะคิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไป ในตอนที่กำลังสะลึมสะลือจนเกือบจะหลับ ผมก็รู้สึกได้ว่าด้านหนึ่งของเตียงยวบลงไป นั่นทำให้ผมรู้ได้เลยในทันทีว่าค่ำคืนนี้จะมีใครบางคนมานอนเป็นเพื่อนผมแน่นอน

“มาเร็วจังวะปัน” เสียงเรียกทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมาจากโต๊ะเรียน

“เชี่ย.. ทำไมหน้ามึงเป็นยังงั้นวะ เมื่อคืนมึงนอนกี่โมงเนี่ย” ผมยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเอง ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา
 
“ไม่รู้ดิ พอดีกูนอนไม่ค่อยหลับ”

“มึงไหวปะวะ ไม่ไหวก็โดดไปนอนเหอะ คาบนี้ไม่เช็คชื่อหนิ”

“ไม่ดีกว่า กูขี้เกียจกลับไปละ” ผมตอบปัดไป เพราะต่อให้กลับบ้านไปตอนนี้ก็คงไม่ได้นอนอยู่ดี ผมไม่รู้ว่าตัวเองจะเจออะไรอีกถ้ากลับไปอยู่คนเดียว

เมื่อเช้าผมแทบจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าลากสังขารตัวเองมาถึงห้องเรียนได้ไง รู้แค่ว่าผมนอนไม่หลับเลยทั้งคืน พอพระอาทิตย์ขึ้นก็รีบพาตัวเองออกมาจากบ้านมาห้องเรียนทันที เพิ่งได้นอนจริง ๆ ก็คือตอนที่ฟุบหน้าลงไปนอนบนโต๊ะเมื่อสองชั่วโมงก่อนนี้เอง ผมกวาดตามองไปรอบห้องและเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีนักศึกษาบางกลุ่มเข้ามานั่งในห้องตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

“เออ แล้วนี่มึงเจอไอ้ซิกยัง” ผมส่ายหัวให้แทนคำตอบ เมื่อเช้าผมรีบมากจนลืมโทรศัพท์ไว้ที่บ้าน ตอนนี้เลยติดต่อใครไม่ได้สักคน

“หรือมันมีแฟน ไปอยู่ห้องแฟนรึเปล่า”

“ตลกละไอ้ฟลุ๊ค มึงเคยเห็นมันอยู่กับใครนอกจากพวกเราไหมล่ะ”

“ใครจะรู้วะ กูเห็นไอ้เฮียก็อยู่กับเราตลอด ไปคุยกับน้องหลินตอนไหนก็ไม่เห็นมีใครรู้เลย” สิ่งที่ฟลุ๊คพูดทำเอาเฌอแตมเถียงไม่ออก คนที่เพิ่งถูกพูดถึงเปิดประตูเดินเข้ามา ผมมองไปข้างหลังเขาเพราะหวังว่าจะเจอใครอีกคน แต่มันก็ไม่มี

“ไม่รับสายกูวะปัน เมื่อคืนกูโทรไปตั้งหลายสาย” สิ่งที่เฮียเตพูดทำให้ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

“เหรอวะ.. โทษที กูไม่ได้ยิน” สาบานได้ว่าตลอดทั้งคืนผมไม่ได้ยินหรือรู้สึกถึงการสั่นของโทรศัพท์เลยแม้แต่นิดเดียว

“กูแค่จะโทรบอกมึงว่าซิกมันกลับไปนอนบ้านแม่ เดี๋ยวมันก็มาเรียน มึงไม่ต้องเป็นห่วงมันหรอก” ผมคลายความกังวลลงไปเมื่อรู้ว่าซิกไม่ได้เป็นอะไร

หลังจากที่เริ่มเรียนไปได้ครึ่งชั่วโมง ซิกก็เดินเข้ามาทางประตูหลัง เขามองมาที่ผมและมองผ่านไปเลยราวกับไม่เห็นว่าผมนั่งอยู่ตรงนั้น สีหน้าของซิกนิ่งเสียจนผมไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ทั้ง ๆ ที่คาบเรียนวันนี้ก็ปกติเหมือนอย่างทุกคาบ แต่ผมกลับรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก คำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัวเพราะผมไม่รู้จริง ๆ ว่าซิกตั้งใจเมินผมหรือผมคิดไปเองกันแน่

“เลิกเรียนแล้วไปหาไรแดกกันเพื่อน” เสียงของฟลุ๊คทำให้ผมหันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างเฮียเต เขาเก็บของโดยไม่ได้สนใจอะไร พอเสร็จก็ลุกออกไปเลย

“ไอ้ซิก ! รีบไปไหนของมันวะ”

“กูไม่ไปนะ มีนัดแล้ว”

“กูก็ไม่ไป กูขี้เกียจ” ทั้งเฮียเตและเฌอแตมต่างก็ปฏิเสธ จนฟลุ๊คต้องหันมามองผมด้วยสายตาคาดหวัง น่าเสียดายที่ตอนนี้ผมเองก็กินอะไรไม่ลงเหมือนกัน

“กูว่าจะกลับไปนอน กูง่วง”

เมื่อคำตอบของทุกคนเป็นเสียงเดียวกัน แต่ละคนเลยต่างแยกย้ายกันกลับ ผมเดินออกมาจากห้องเรียนและก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นคนที่ยืนรออยู่ด้านหน้า เมื่อเจ้าคุณก้าวเข้ามาหา มันทำให้ผมเผลอถอยหลังไป เขาหน้าเสียไปเล็กน้อย ผมเกือบจะตัดสินใจเดินหนีไปอยู่แล้ว แต่เพราะสายตาของเจ้าคุณที่มองมาด้วยความรู้สึกผิดทำให้ผมเดินผ่านเขาไปไม่ลง

“มึงมีอะไรจะคุยกับกูรึเปล่า”

“เราแค่อยากจะมาขอโทษที่วันนั้นเราทำตัวไม่ดีใส่ปัน”

“..”

“เรารู้สึกผิดจริง ๆ นะที่ตอนนั้นเราใช้อารมณ์กับปัน แต่ปันก็รู้ใช่ไหมว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเรารู้สึกกับปันยังไง”

“กูไม่ได้รู้สึกกับมึงแบบนั้น”

“เรารู้ เราถึงได้พยายามอดทนที่จะอยู่ข้างปันในฐานะเพื่อนมาตลอด”

“กูขอโทษนะ” ผมรู้ดีว่ามันไม่ใช่ความผิดของเจ้าคุณคนเดียว หลายต่อหลายครั้งที่การกระทำของเขามันชัดเจน แต่ผมเลือกที่จะใช้คำว่าเพื่อนมองข้ามการกระทำเหล่านั้นไป จนมันกลายเป็นความเพิกเฉยต่อความรู้สึกของเจ้าคุณไปโดยที่ผมไม่รู้ตัว

“ถ้าเราบอกว่าเราอยากจะเป็นเพื่อนกับปันอีกครั้ง.. ปันจะว่าอะไรไหม”

“กูเป็นเพื่อนกับมึงมาตลอดนะเจ้าคุณ.. มันอยู่ที่มึงต่างหาก ไม่มีใครต้องอดทนเพื่อที่จะเป็นเพื่อนกันหรอกนะ กูไม่อยากให้มึงต้องรู้สึกแย่เพราะการเป็นเพื่อนกับกูอีกแล้ว” ผมมองหน้าเจ้าคุณตรง ๆ เพราะอยากให้เขารู้ว่าผมหมายความตามที่พูดจริง ๆ เจ้าคุณเองก็ไม่ได้หลบสายตา เขายิ้มออกมาเมื่อฟังผมพูดจนจบ ซึ่งเป็นรอยยิ้มที่ดูฝืนมากจนผมอดที่จะสงสารขึ้นมาไม่ได้ 

“ปันแม่ง.. ใจร้ายมากเลยรู้ตัวไหม”

“..”

“ถ้างั้นเราขออะไรปันสักอย่างได้ไหม อย่างน้อยก็ช่วยกอดปลอบที่เราอกหักหน่อย” คำขอของเจ้าคุณทำให้ผมมองหน้าเขาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะอ้าแขนกว้าง เจ้าคุณเดินมาทิ้งตัวลงในอ้อมกอดนั้น ผมยกมือลูบหลังและตบบ่าคนที่ตัวสูงกว่าเล็กน้อยเป็นเชิงปลอบ

“สักวันหนึ่ง.. เดี๋ยวมึงก็เจอคนที่ใจดีกับมึงมากกว่ากู” ผมปลอบเจ้าคุณได้ไม่นานก็ขอตัวกลับก่อน ถึงแม้สายตาเจ้าคุณจะรั้งให้ผมอยู่ต่อแค่ไหน แต่ผมก็ดีใจที่เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา

เมื่อผมเดินกลับบ้านมา ก็เห็นมอเตอร์ไซค์ของซิกจอดอยู่และประตูบ้านที่ไม่ได้ปิด พอเดินเข้าไปในบ้าน ซิกก็เดินออกมาจากห้องนอนพอดี ในมือของเขาถือกระเป๋าอยู่ใบหนึ่ง ซิกสบตากับผมแวบหนึ่งและละสายตาไปราวกับไม่อยากมอง ผมรู้สึกได้ว่าเขาแปลกไปและผมไม่รู้ว่าทำไม เหตุการณ์เดียวที่เกิดขึ้นระหว่างเราคือเรื่องจูบวันนั้น ถ้าหากจะมีสักเรื่องที่ทำให้ซิกเป็นแบบนี้ ผมคิดออกแค่เรื่องนั้นเรื่องเดียว

“มึงเป็นอะไรรึเปล่าวะซิก”

“เปล่า” ซิกตอบโดยที่ไม่มองหน้าผมด้วยซ้ำ ผมจับแขนเขาเอาไว้ในตอนที่เขากำลังจะเดินผ่านไป

“แต่กูดูออกว่ามึงเป็น.. มึงบอกกูได้ทุกเรื่องเลยนะซิก ถ้ากูทำให้มึงไม่สบายใจอะ”

“กูยังไม่อยากคุยกับมึงตอนนี้ปัน” คำพูดของซิกทำให้ผมมั่นใจว่าตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้

“ถ้ามันเป็นเพราะมึงจูบกูตอนนั้น มึงไม่ต้องคิดมากก็ได้นะ กูเข้าใจว่ามึงเมา มึงจะลืมมันไปก็ได้ถ้ามึงรู้สึกไม่โอเค” คราวนี้ซิกหันมามองหน้าผมตรง ๆ และเขาดูอารมณ์ไม่ดีเอาเสียมาก ๆ

“มึงคิดว่ากูจูบมึงเพราะกูเมาเหรอ กูไม่ใช่มึงนะปัน ที่จะกอดหรือจูบกับใครก็ได้” 







หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 13 เพราะเข้าใจผิด │ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 26-01-2021 23:33:21
 :katai1:



เอาอีกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 13 เพราะเข้าใจผิด │ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 28-01-2021 00:35:29
เรื่องเข้ามาเรื่อยๆ. เอาไงละทีนี้,,,
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 14 คนที่ไม่ควรลืม │ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: LYNJIIN ที่ 31-01-2021 18:16:51
รักบังตา

Chapter 14

คนที่ไม่ควรลืม



[ Pun ]

“มึงหมายความว่าไงวะซิก” ผมได้ยินเสียงซิกหัวเราะออกมา หากแต่สายตาของเขามันไม่ได้ยิ้มไปด้วยเลยแม้แต่นิดเดียว

“หมายความตามที่พูด หรือถ้ามึงยังไม่เข้าใจ มึงอยากให้กูเล่าให้ฟังแบบละเอียด ๆ ไหมล่ะว่าวันนี้กูเห็นมึงยืนกอดไอ้เหี้ยตัวไหนอยู่หน้าห้องเรียน”

“เจ้าคุณเป็นเพื่อนกู กูแค่ปลอบใจมัน”

“เพื่อน ? แค่เป็นเพื่อนมึงก็จะทำอะไรกับมึงก็ได้ใช่ไหม”

“...”

“ดีว่ะ.. วันก่อนจูบเพื่อนอีกคน วันนี้ก็กอดกับเพื่อนอีกคน มึงทำได้ไงวะปัน สอนกูบ้างดิ” น้ำเสียงของเขามันเต็มไปด้วยความประชดประชันอยู่ในนั้น

“ซิก..” สิ่งที่ซิกพูดออกมามันทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก

“แต่ไม่ต้องสอนดีกว่า เพราะกูคงทำไม่ลง” พูดจบ ซิกก็เดินออกจากบ้านไป ทิ้งให้ผมยืนจมอยู่กับความรู้สึกแย่ที่ถาโถมเข้ามา

ในความรู้สึกแย่มีความเสียใจปนอยู่ในนั้น ทุกประโยคที่ซิกพูดมันฝังอยู่ในหัวจนลบไม่ออก ถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจว่าผมไปทำอะไรผิดมาขนาดนั้น ซิกถึงได้มาโมโหใส่ผมแบบนี้ ผมรู้ดีว่าเขาเป็นคนอารมณ์ร้อน แต่ปกติเขาไม่ใช่คนที่จะพาลใส่ใคร มีบางอย่างเกิดกับเขาก่อนหน้านี้แน่ ๆ บางอย่างที่มีผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคืออะไร

เสียงโทรศัพท์เข้าดังมาจากในห้องเรียกสติผมกลับมา ผมเดินไปเอาโทรศัพท์ในห้องนอนและพบว่าสายจากพี่ปัทถูกตัดไปแล้ว เตียงนอนที่ว่างอยู่ตรงหน้าทำให้ผมนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืน พอคิดว่าคืนนี้จะต้องนอนคนเดียวบนเตียงนี้อีกครั้ง ความหวาดระแวงมันก็ผุดขึ้นมาไม่หยุด
 
เพราะไม่อยากอยู่คนเดียวในบ้านของซิก ผมเลยนั่งวินไปร้านพี่ปัทแทน ตอนที่ไปถึงพี่ปัทยังไม่มาที่ร้าน พอผมโทรกลับไป พี่ปัทก็ไม่ได้รับสาย ผมช่วยพี่ในร้านจัดโต๊ะและเก็บกวาด ดีที่เมื่อวานคนไม่เยอะ ร้านเลยไม่ค่อยเละเทะสักเท่าไหร่ กว่าจะทำความสะอาดร้านเสร็จ ก็ปาเข้าไปเกือบห้าโมงเย็นพอดี

“อ้าวปัน มานานยัง” พี่ปัทเดินเข้าร้านมาพร้อมกับของเต็มไม้เต็มมือ จนผมต้องเดินเข้าไปช่วยถือ

“ไม่อะ ว่าแต่เมื่อตอนเที่ยงพี่ปัทโทรหาปันทำไมเหรอ”

“วันนี้พี่ไปหาแม่ที่ชลบุรีมา แล้วแม่ก็ถามถึงปัน เห็นบอกว่าปันเงียบหายไปเลย แม่คิดถึงปันนะ ว่าง ๆ ก็โทรหาท่านบ้าง”

“พอดีปันยังยุ่ง ๆ เรื่องเรียนอะ ยังปรับตัวไม่ค่อยได้เลย”

“อย่ากดดันตัวเองมากนักเลย ปันจะเกเรหรือทำตัวไม่น่ารักบ้างก็ได้ ชีวิตมหาลัยมีได้แค่ครั้งเดียวนะปัน”

“ขอบคุณนะพี่ปัท สำหรับทุกอย่างเลย” พี่ปัทหยุดเดินและหันมามองหน้าผมด้วยสีหน้าจริงจัง จนผมสงสัยว่าตัวเองพูดอะไรผิดไปรึเปล่า

“ปัน.. ปันไม่จำเป็นต้องขอบคุณพี่เลยนะ อย่าคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พี่กับแม่ทำให้ปันคือบุญคุณ พี่เห็นปันมาตั้งแต่เกิดแล้วก็มองปันเป็นน้องจริง ๆ ไม่ใช่แค่ลูกของน้าหรือญาติห่าง ๆ” ผมเข้าใจถึงสิ่งที่พี่ปัทพูดดี แต่ถ้าความคิดของคนเรามันสามารถบังคับกันได้ ผมก็คงทำตามที่พี่ปัทบอกไปแล้ว

“ปันขอโทษ”

“พอ ๆ พี่ไม่พูดเรื่องนี้แล้วก็ได้ มาดูของที่พี่ซื้อมาฝากปันดีกว่า” ของฝากเป็นของกินเสียส่วนใหญ่ มันเยอะจนผมคิดไม่ออกว่าจะกินคนเดียวยังไงให้หมด พี่ปัทเหมือนจะเดาความคิดของผมออก

“ถ้ากินไม่หมด ปันก็เอาไปแบ่งให้ซิกด้วยสิ” ผมได้แต่ปั้นหน้ายิ้มรับกับคำพูดของพี่ปัท ก่อนจะตอบรับไปสั้น ๆ

“ได้ครับ”

ผมเอาของที่พี่ปัทซื้อมาฝากไปไว้ในห้องเก็บของ หลังเลิกงานค่อยมาเอากลับไป ช่วงวันธรรมดาคนที่มาร้านเหล้ายิ่งน้อยลงกว่าปกติ แต่คงต้องยกเว้นฟลุ๊คเอาไว้ เพราะเขาเข้าร้านมาจองโต๊ะเป็นคนแรก ๆ ราวกับพรุ่งนี้ไม่มีเรียน เขาเดินตรงมาหาผมพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า จะว่าไปฟลุคก็เป็นคนอารมณ์ดีมากจริง ๆ ถึงเขากับเฌอแตมจะดูทะเลาะกันบ่อย แต่เขาก็ไม่เคยโมโหจริงจังเลยสักครั้ง

“ไงปัน คิดถึงกูไหม”

“เจอหน้ากันทุกวันยังต้องคิดถึงอีกเหรอ”

“เซงว่ะ เพื่อนไม่รับมุกเลย”

“มึงมากินเหล้าทุกวันแบบนี้ มันจะไม่เป็นไรเหรอวะ”

“กูเนี่ยนะเป็น มึงไปถามไอ้เฮียกับไอ้ซิกเถอะ สองตัวนั้นแม่งแดกเยอะกว่ากูไม่รู้กี่เท่า กูอะแค่คนชวน แต่พวกมันอะคนแดก”

“ซิกมาด้วยเหรอ” ผมถามถึงคนที่เพิ่งเจอหน้ากันไป ดูเหมือนฟลุ๊คจะไม่รู้ว่าผมกับซิกมีปัญหากัน เขาถึงได้ตอบกลับมาด้วยท่าทางปกติ

“มาดิ มันตอบมาคนแรกเลย มึงก็หัดอ่านไลน์กลุ่มบ้างปัน ทุกวันนี้โลกหมุนไปไกลจนสื่อสารทางไกลได้แล้วนะเพื่อน ออกจากถ้ำได้แล้ว”

“กูขี้เกียจเล่นโทรศัพท์บ่อย ๆ มันปวดตา”

“โคตรคนแก่เลยมึง แล้ววันนี้มึงทำงานปะ โดดมานั่งกินเหล้ากับพวกกูดิ ยังไม่เคยได้นั่งด้วยกันเลย”

“พวกมึงกินไปเถอะ กูไปนั่งก็ไม่กินอยู่ดี”

“แล้วแต่มึงละกัน ถ้าอยากนั่งก็มาได้เสมอเลยนะเว้ย”

วันนี้ผมนั่งจดรายการของเหมือนอย่างเคย จะต่างออกไปก็ตรงที่ผมรู้สึกถึงสายตาที่กำลังจ้องมองอยู่ตลอดเวลา พอเงยหน้าขึ้นไปมอง ซิกก็ไม่ได้หลบตา ถึงเขาจะไม่ได้มองด้วยสายตาเคียดแค้นอะไร แต่ถ้าลองมีคนมาจ้องแบบไม่ละสายตาแบบนี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกดดันขึ้นมา
 
บรรยากาศที่น่าอึดอัดระหว่างผมกับซิกก่อตัวขึ้นเงียบ ๆ จนผมเองเป็นฝ่ายที่ทนไม่ไหวจนต้องลุกไปเข้าห้องน้ำ ระหว่างกำลังก้มตัวล้างหน้าอยู่นั้น สายตาของผมก็เหลือบไปเห็นผู้หญิงเดินเข้าห้องน้ำมา จนต้องร้องทักไป

“โทษนะครับ นี่ห้องน้ำชาย..” ถ้อยคำที่เหลือถูกกลืนลงคอไปหมด เมื่อเงาในกระจกสะท้อนภาพผู้หญิงคนนั้นยืนก้มหน้านิ่งอยู่ข้างหลังผม ลมเย็น ๆ ที่พัดผ่านต้นคอไปทำให้ผมขนลุกขึ้นมา

“เห็นผีเหรอ” ผมหันไปมองคนพูด ก่อนจะเห็นซิกยืนพิงกำแพงประตูอยู่ เขามองมาที่ผมสลับกับด้านหลังที่ว่างเปล่า

“..”

“กูถามว่ามึงเห็นผีเหรอ”

“ใช่..” ซิกเดินเข้ามาหาผมอย่างช้า ๆ จนกระทั่งมาหยุดอยู่ข้างหลังผม ในตำแหน่งเดียวกับที่ผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่

“เขายืนอยู่ตรงนี้เหรอ” ผมพยักหน้าให้แทนคำตอบ ระยะห่างระหว่างเราไม่ได้เยอะขนาดนั้นและยิ่งน้อยเข้าไปอีกเมื่อซิกเดินเข้ามาประชิด ผมถอยจนหลังชนเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า เขาใช้มือยันเคาน์เตอร์เอาไว้จนผมหนีไปทางอื่นไม่ได้อีก ซิกโน้มตัวเข้ามาใกล้จนผมต้องเบือนหน้าหนี
 
“ถ้าครั้งหน้ามึงเจอเขาอีก.. มึงลองตั้งใจมองหน้าเขาให้ชัด ๆ ดิ” ประโยคที่เขากระซิบพูดข้างหูมันทำให้ผมไม่กล้าที่จะขยับตัวหรือตอบอะไรกลับไป

“..”

“อย่างน้อยมึงก็ควรจะจำหน้าของเขาให้ขึ้นใจไม่ใช่เหรอปัน” พูดจบ คนตรงหน้าก็ผละตัวออกไป แวบหนึ่งผมเห็นแววตาของเขาวูบไหว แต่มันก็แค่แวบเดียวเท่านั้นก่อนที่เขาจะเดินจากไป

ผมไม่มีสมาธิมากพอที่จะทำงานต่อได้จึงได้ขอพี่ปัทเลิกงานก่อน พี่ปัทไม่ได้ว่าอะไรพร้อมทั้งบอกให้ผมหยุดพักได้อีกสองสามวัน ผมแวะซื้อยาที่ช่วยให้หลับง่ายขึ้นที่ร้านสะดวกซื้อ ตลอดทางระหว่างที่เดินกลับบ้านผมรู้สึกถึงใครบางคนที่เดินตามมา แต่ผมไม่อยากหันกลับไปมอง 

เสียงหมาเห่าหอนดังตามหลังมาจนถึงบ้าน คำพูดของซิกที่ดังอยู่ในหัวทำให้ผมยังไม่เดินเข้าบ้านไป มีบางความคิดที่บอกให้หันกลับไปมอง มองแล้วก็จดจำใบหน้านั้นเอาไว้ แต่ท้ายที่สุดผมก็ไม่ได้หันหลังกลับไป ความรู้สึกกลัวมันมีมากเกินกว่าที่คนขี้ขลาดอย่างผมจะควบคุมได้

ผมอาบน้ำ ก่อนจะกินยาช่วยหลับและไปนอนทันที ผมพยายามไม่สนใจเสียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ดังขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานสอนให้ผมเลิกให้ความสนใจทุกอย่างรอบตัว การข่มตานอนเป็นสิ่งเดียวที่ทำได้ก่อนที่จะเจอเหตุการณ์ที่อยู่เหนือการควบคุมเหล่านั้น เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ผมรับรู้ถึงการมีอยู่ของใครอีกคน ผมคงหลับไม่ลงอีกตลอดไป   

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นปลุกให้ผมตื่นขึ้นมา เมื่อกดรับปลายสายก็โวยวายเสียงดังใส่ จนผมต้องเอาโทรศัพท์ออกห่างจากหู พอปลายสายเริ่มเสียงเบาลงแล้ว ผมจึงได้เอาโทรศัพท์กลับมาแนบหูตามเดิม

“ว่าไง”

“เชี่ย.. ที่กูพูดไปคือมึงไม่ได้ฟังเลยเหรอปัน”

“เพิ่งตื่น.. มีอะไรรึเปล่า”

“ไม่มีจะโทรมาไหมล่ะ กูโทรปลุกมึงไปร้อยกว่าสายได้แล้วมั้ง จะโทรให้มึงรีบมาเรียน วันนี้อาจารย์เขาสุ่มควิซพอดี แต่คงไม่ทันแล้วแหละ แม่งหมดคาบแล้วเนี่ย” ผมตกใจเล็กน้อยตอนที่ได้ยินแบบนั้น แต่พอคิดว่าคงทำอะไรไม่ได้แล้ว จึงได้ใจเย็นลง

“เออ ช่างเถอะ ขอบใจที่โทรมาปลุกนะ”

“เออ ๆ กูไปแดกข้าวละ ไว้เจอกันมึง”

ผมลุกออกมาจากเตียงและพบว่าตอนนี้เลยเที่ยงวันไปแล้วเรียบร้อย ผมไม่เคยหลับลึกจนลืมเวลาแบบนี้มาก่อน แต่มันก็ดีแล้ว อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่ได้นอน ผมไปอาบน้ำ ก่อนจะมาทิ้งตัวลงนอนที่โซฟาห้องรับแขก รายการโทรทัศน์ถูกเปิดทิ้งเอาไว้โดยที่ผมไม่ได้สนใจดูเลยสักนิด ผมแค่ไม่ชินกับความเงียบของบ้านหลังนี้ก็เท่านั้น

เสียงคนเดินตึงตังเข้ามาในบ้านทำให้ผมต้องหันไปมอง ประตูบานเลื่อนตรงหน้าบ้านเปิดอยู่และผมสังเกตเห็นว่าประตูห้องตรงข้ามห้องนอนก็เปิดแง้มอยู่เหมือนกัน ผมชั่งใจอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นไปดูห้องนั้น นาทีนี้ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าระหว่างเจอผีกับเจอโจร แบบไหนจะดีกว่ากัน ผมสูดหายใจเข้าปอดเป็นครั้งสุดท้ายและออกแรงผลักบานประตู ภายในห้องไม่มีอะไรผิดปกติ ไม่มีคนหรือผีทั้งนั้น

กรอบรูปคุ้นตาตั้งอยู่บนโต๊ะข้างเตียง มันไม่ได้ถูกคว่ำไว้เหมือนอย่างตอนที่ตั้งอยู่ภายในห้องของซิก ผมเดินไปหยิบกรอบรูปนั้นขึ้นมาดูอีกครั้ง แต่มันกลับมีมือขาวซีดคู่หนึ่งเอื้อมมาจับมือผมไว้ จนผมเผลอปล่อยกรอบรูปร่วงลงพื้นไป เสียงกระจกแตกดังสนั่น ผมรีบหันไปมองด้านหลัง แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า เจ้าของมือปริศนาคู่นั้นหายไปราวกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อน

ผมกลับไปสนใจรูปที่ตกอยู่ที่พื้นและพบว่ารูปถ่ายใบนั้นมีรอยพับเอาไว้ เมื่อผมกางมันออก ภาพเต็ม ๆ ของครอบครัวซิกปรากฏผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้วย ใบหน้ายิ้มแย้มของเธอทำให้หัวใจของผมกระตุกวูบ ก่อนจะชาวาบไปทั้งตัวเมื่อภาพเหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นตลอดสองปีที่ผ่านมาถูกแทนที่ด้วยใบหน้าของผู้หญิงในรูปถ่าย ผมพลิกดูด้านหลังของรูปถ่ายและนั่นทำให้ผมรู้สึกราวกับถูกน้ำเย็นสาดเข้าโครมใหญ่


‘ รูปถ่ายใบแรกของครอบครัวเรา ’
 ซิน
15 ม.ค. 25XX








หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 14 คนที่ไม่ควรลืม │ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 31-01-2021 19:14:20
 :serius2: :monkeysad:
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 14 คนที่ไม่ควรลืม │ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 31-01-2021 23:04:51
 :hao7:
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 14 คนที่ไม่ควรลืม │ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 02-02-2021 00:10:37
สงสารมาก มาต่อไวๆนะครับ,,,
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 15 คำตอบที่ตามหา │ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: LYNJIIN ที่ 02-02-2021 17:35:03
รักบังตา

Chapter 15

คำตอบที่ตามหา



[ Pun ]

“กูเคยมีพี่สาว.. เมื่อสองปีก่อนกูเป็นคนที่ขับรถพาพี่ไปเที่ยว...”

“จู่ ๆ แม่งก็มีคนวิ่งตัดหน้ารถกู..”

“มึงว่าตลกปะ กูทำให้คนอื่นรอดแล้วทำพี่ตัวเองตาย ”

ถ้อยคำที่เคยได้ยินดังซ้ำขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำ หรือแม้กระทั่งความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายในวันนั้น ทุกอย่างมันชัดเจนเสียจนราวกับว่าผมเห็นซิกมายืนพูดอยู่ตรงหน้า ความเจ็บปวดของเขา.. ผมยังสัมผัสถึงมันได้อยู่เลย

นานกว่าที่ผมจะก้าวขาเดินออกมาจากตรงนั้นได้ ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าควรจะทำอะไรต่อไป สมองมันอื้อไปพักหนึ่ง กว่าที่ผมจะตั้งสติได้ ผู้หญิงในรูปอาจจะเป็นพี่สาวของซิก ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนสำคัญในครอบครัวของเขา  คำถามที่ผมไม่อยากรู้คำตอบดังอยู่ในหัวซ้ำไปซ้ำมา

เพราะแบบนี้รึเปล่าซิกถึงได้เปลี่ยนไป

ความจริงที่ผมเคยหนีมาตลอดกำลังบีบให้ผมต้องตามหามันอีกครั้ง ผมยกโทรศัพท์ขึ้นกดโทรออกไปหาเบอร์ของพี่ปัท มือของผมสั่นจนรู้สึกได้ รอสายอยู่ไม่นานพี่ปัทก็รับ แต่ผมกลับพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว จนพี่ปัทต้องเอ่ยถามหลายครั้ง

“ฮัลโหลปัน ได้ยินพี่ไหม”

“พี่ปัท..”

“ว่าไงปัน มีอะไรรึเปล่า”

“..”

“ปัน เป็นอะไรรึเปล่า”

“พี่ปัท.. พี่ปัทอยู่ไหนเหรอ ปันไปหาได้ไหม”

“ได้สิปัน พี่อยู่ร้าน เสียงเราดูไม่ค่อยดีเลยนะ เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า ให้พี่ไปหาแทนไหม” น้ำเสียงปลายสายเต็มไปด้วยความเป็นห่วงจนผมรู้สึกว่าขอบตามันร้อนผ่าวขึ้นมา

“ปันไปหาดีกว่า” ผมกดตัดสาย ก่อนจะเดินไปเรียกแท็กซี่เพื่อไปร้านพี่ปัท

เมื่อก้าวเท้าลงจากแท็กซี่ ผมก็เห็นพี่ปัทมายืนรออยู่หน้าร้านแล้ว พี่ปัทรีบเดินเข้ามาและเอามือทาบลงบนหน้าผากของผม สีหน้าของพี่ปัทฉายความกังวลออกมาอย่างชัดเจน

“ตัวปันร้อน ๆ นะ หน้าก็ซีดมาก ไม่สบายรึเปล่า ไปโรงพยาบาลไหม” ผมส่ายหัวให้ ก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือของพี่ปัทเอาไว้

“พี่ปัท.. เล่าเหตุการณ์วันนั้นให้ปันฟังได้ไหม”

“เหตุการณ์อะไรเหรอปัน”

“สองปีก่อน.. วันที่ปันเกิดอุบัติเหตุ พี่ปัทจำได้ใช่ไหม” แววตาที่สั่นไหวของพี่ปัทเป็นเครื่องยืนยันว่าพี่ปัทจำเรื่องราววันนั้นได้ ผมจับมือของพี่ปัทเอาไว้แน่นและพูดอ้อนวอน

“พี่ปัทเล่าให้ปันฟังนะ.. นะ”

“วันนั้น..”

“..” ผมตั้งใจฟังสิ่งที่พี่ปัทจะพูดต่อไป แต่กลับต้องพบกับความผิดหวัง

 “วันนั้นปันก็แค่โดนรถเฉี่ยวไง ไม่เห็นมีอะไรเลย ปันไม่ต้องไปคิดถึงมันนะ”

“จริงเหรอ.. ถ้างั้นพี่ปัทรู้จักคนในรูปถ่ายใบนี้ไหม” ผมยื่นรูปถ่ายครอบครัวซิกให้พี่ปัท สีหน้าของพี่ปัทเปลี่ยนเป็นซีดเผือดทันทีที่เห็นรูปถ่ายใบนั้น

“ปันไปได้รูปนี้มาจากไหน เดี๋ยวนะ.. คนนี้คือซิกเหรอ”

“ไหนพี่ปัทบอกว่าไม่มีอะไรไง”

“ปัน ปันฟังพี่ก่อนนะ เรื่องราววันนั้นมันผ่านไปแล้ว ปันไม่จำเป็นต้องรื้อฟื้นถึงมันเลยนะ”

“จะไม่รื้อฟื้นได้ไง.. ในเมื่อมันมีคนต้องตายเพราะปัน”
 
“ไม่ใช่นะ ไม่ใช่เลย ไม่มีใครตายเพราะปันทั้งนั้นนะ ปันอย่าคิดแบบนั้น” พี่ปัทเอื้อมมือมาเพื่อจะจับแขนผมเอาไว้ แต่ผมกลับเบี่ยงตัวหลบการกระทำนั้น

“ในเมื่อพี่ปัทไม่ยอมเล่าความจริงให้ปันฟัง ปันไปหาคำตอบเองก็ได้” ผมหันไปโบกแท็กซี่ผ่านไปมาอีกครั้ง

“ปันจะไปไหน ฟังพี่ก่อนได้ไหมปัน เราเข้าไปคุยกันในร้านก่อนนะ” ทันทีที่มีแท็กซี่จอดรับ ผมก็ขึ้นไปและล็อคประตูโดยไม่สนใจคนที่พยายามจะฉุดรั้งเอาไว้

“ไปเอกมัยครับ”

“ปัน ลงมาคุยกันก่อนได้ไหม ปัน ! ปัน !” ผมหันไปมองพี่ปัทที่เคาะกระจกและพยายามเปิดประตู ก่อนจะพูดออกไปเสียงเบา

“ปันขอโทษนะ”

ทิวทัศน์ข้างทางเปลี่ยนไปตามเส้นทางที่รถตู้วิ่งไปจากกรุงเทพสู่ชลบุรี เมื่อก่อนผมเคยนั่งรถตู้เข้าไปเรียนพิเศษในกรุงเทพเป็นประจำ ซึ่งหลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นเมื่อสองปีก่อน ผมก็เดินทางกลับบ้านคนเดียวบนเส้นทางนั้นไม่ได้อีก ถนนเส้นนั้นถือเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับผม แต่ในเมื่อทุกอย่างมันเกิดขึ้นที่นั่น.. คำตอบที่ผมคาใจมาตลอดก็คงอยู่ที่นั่นด้วยเหมือนกัน

กว่าจะถึงตัวเมืองชลบุรีก็ช่วงเวลาที่เย็นมากแล้ว ก้อนเมฆบนท้องฟ้ารวมตัวกันจนกลายเป็นก้อนสีเทาขนาดใหญ่คล้ายกับว่าจะมีฝนตก ผมลงจากรถตู้ที่หน้าห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่กลางตัวเมืองชลบุรี แต่จุดหมายของผมกลับยังอยู่ไกลออกไป ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเริ่มเดินไปเรื่อย ๆ โดยที่มีปลายทางเป็นถนนเส้นหนึ่งที่เชื่อมติดกับสะพานเลียบชายทะเลชลบุรี

ผ่านไปนานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีท้องฟ้าที่เคยมีแสงสว่างรำไรก็แปรเปลี่ยนเป็นมืดสนิทและผมก็พาตัวเองมาหยุดอยู่ที่ตรงนั้นแล้ว ถนนสี่เลนตรงหน้าโล่งเสียจนไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีรถผ่านมาแม้แต่คันเดียว ทุกอย่างยังคงดูเหมือนเดิม.. เหมือนอย่างเมื่อสองปีก่อน ตอนนั้นผมก็ยืนอยู่ตรงนี้ มองสัญญาณไฟจราจรอยู่แบบนี้

ราวกับมีมาภาพฉายซ้ำเมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเหลือง มือของผมมันเริ่มสั่นและเย็นจัดจนแทบไร้ความรู้สึก เมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีแดงผมก็หันไปมองที่ถนนอีกครั้ง ไร้ซึ่งเงาของใครบางคนที่ผมเคยเห็นมาตลอด ผมมองไปที่สัญญาณไฟสีแดงอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มก้าวเท้าเดินออกไป

แสงสว่างจ้าสีขาวสะท้อนเข้ามาในดวงตา เสียงบีบแตรรถดังสนั่นไปทั่วท้องถนน รถยนต์คันนั้นฝ่าไฟแดงมาด้วยความเร็วสูง มันทำให้ผมตกใจจนรีบวิ่งข้ามไปที่ถนนอีกฝั่ง เหตุการณ์เฉียดตายเมื่อครู่ทำให้ผมรู้สึกช็อกจนก้าวขาไม่ออก ความรู้สึกที่ราวกับว่าความตายมาเยือนอยู่ใกล้แค่เอื้อมมันทำให้ร่างกายของผมมันแข็งทื่อไปทั้งตัว

เพียงแค่เสี้ยววินาทีเดียวหลังจากนั้น.. เสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้นที่ผมหันไปมองถนนตรงหน้าที่กำลังยืนอยู่ รถยนต์คันหนึ่งที่กำลังพุ่งตรงเข้ามาใกล้ตัวของผมก็หักหลบไปอีกทาง เสียงของล้อรถที่ครูดไปกับถนนดังสนั่น ก่อนที่รถคันนั้นจะพุ่งชนเข้ากับเสาสัญญาณไฟจราจรข้างทาง เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในเวลาไม่กี่วินาทีจนแทบจะเรียกได้ว่าเพียงแค่ผมกระพริบตา.. ทุกอย่างก็มีสภาพอย่างที่เห็นตรงหน้าแล้ว

ผมถึงขั้นทรุดตัวล้มลงไปนั่งกับพื้น ภาพตรงหน้าทำเอาเรี่ยวแรงที่เคยมีหายไปหมด ผมพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นเมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ในรถกำลังขยับเล็กน้อย ร่างกายมันหนักอึ้งจนก้าวไปข้างหน้าแทบไม่ออก คนที่อยู่ในรถหันหน้ามามองผมผ่านหน้าต่างรถที่เหลือเพียงเศษกระจกอยู่ตรงขอบ คราวนี้ผมจำใบหน้านั้นได้แล้ว.. ใบหน้าของพี่สาวซิกที่ชุ่มไปด้วยเลือดเต็มไปหมด เธอกำลังมองมาที่ผมด้วยสายตาที่เจ็บปวดและทรมาน ผมพยายามรีบเดินไปใกล้รถคันนั้น หากแต่กลิ่นน้ำมันที่ลอยออกมาทำให้ผมชะงักไป

ประกายไฟค่อย ๆ ลุกไหม้ขึ้นจากส่วนหนึ่งของรถ เพราะสังหรณ์ได้ถึงสิ่งเลวร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ผมถึงรีบเร่งเท้าเข้าไปใกล้อีก แต่กลับต้องหยุดนิ่งอยู่ที่เดิมอีกครั้ง เมื่อคนที่อยู่ในรถกำลังส่ายหัวไปมาอย่างยากลำบาก ถึงแม้ว่าเธอจะส่ายหัวแบบนั้น.. แต่แววตาของเธอมันมีความวิงวอนแฝงอยูในนั้น

เธอยังไม่อยากตาย

ยังไม่ทันที่ผมจะเดินเข้าไปให้ใกล้กว่านี้ รถตรงหน้าก็เกิดระเบิดขึ้นมาเสียก่อน แรงระเบิดส่งผลให้ผมล้มลงไปกองอยู่กับพื้นถนน สายตาของผมมันพร่ามัวไปหมด แต่ก็ยังเห็นพี่สาวของซิกและเปลวเพลิงที่กำลังโหมกระหน่ำ เสียงกรีดร้องด้วยความทรมานดังโหยหวนออกมาจากรถที่กำลังลุกไหม้อยู่ในกองเพลิง ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นคือภาพของผู้หญิงคนหนึ่งที่โดนไฟคลอกทั้งเป็น ผิวหนังที่ค่อย ๆ ไหม้เกรียม เนื้อที่ค่อย ๆ โดนย่างสด โดยที่ผมช่วยอะไรไม่ได้เลย..

รูปถ่ายที่อยู่ในมือยับยู่ยี่ไปหมด ผมแทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าถือรูปนี้ไว้ในมือมาตลอด เมื่อคลายแรงที่บีบรูปนั้นอยู่ ภาพที่ครอบครัวของซิกก็ปรากฏชัดอยู่ตรงหน้า ภาพที่ทุกคนกำลังยิ้มอย่างมีความสุข.. ภาพที่ผมเคยมองแล้วยิ้มตามเมื่อวันก่อน ตอนนี้กลับมีเพียงหยดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่ยอมหยุดเท่านั้น รอยร้าวที่มองไม่เห็นเกาะกุมไปทั่วทั้งหัวใจจนผมรู้สึกราวกับว่าหัวใจกำลังจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ

ผมนึกถึงประโยคหนึ่งที่ซิกเคยพูด

“ความรู้สึกผิดจะค่อย ๆ ฆ่ากูทั้งเป็น”

ตอนนี้.. ผมเข้าใจความหมายของคำว่าตายทั้งเป็นที่เขาเคยรู้สึกแล้ว








หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 15 คำตอบที่ตามหา│ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 02-02-2021 19:55:29
 :hao5:
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 15 คำตอบที่ตามหา│ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Ritawongishere ที่ 03-02-2021 19:00:56
 :hao5:
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 15 คำตอบที่ตามหา│ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 04-02-2021 00:51:21
สงสารปัน,,,
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 15 คำตอบที่ตามหา│ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 04-02-2021 01:19:50
 :hao5:
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 16 ตามหาคนหาย│ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: LYNJIIN ที่ 05-02-2021 22:31:45
รักบังตา

Chapter 16

ตามหาคนหาย



[ Sik ]

ควันบุหรี่สีขาวลอยอบอวลอยู่ในอากาศค่อย ๆ จางหายไปโดยที่ใช้เวลาไม่นาน ความผ่อนคลายที่ได้มาจากการดูดสารพิษลงปอดก็ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่นัก บุหรี่มวนแรกที่ถูกจุดขึ้นช่วยให้สมองโล่งได้แค่ไม่กี่นาทีก็ต้องจุดมวนใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง ผมสูบบุหรี่เข้าปอดและพ่นควันสีขาวออกมาด้วยความรู้สึกที่พูดได้เต็มปากว่าหงุดหงิด คนที่ยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างกันเหมือนจะสังเกตได้ถึงความผิดปกติ มันถึงได้ถามขึ้นมา

“เป็นไรวะ”

“เปล่า กูแค่.. เกลียดที่โลกนี้แม่งกลมชิบหาย” ไอ้เตหลุดหัวเราะออกมาจนผมต้องไปหันมอง พอยิ่งเห็นมันทำเหมือนไม่ได้รู้สึกจริงจังกับสิ่งที่ผมพูดแล้วอดที่จะอารมณ์เสียยิ่งกว่าเดิมไม่ได้

“ถ้ามึงจะพูดแบบนี้ มึงไม่ต้องพูดว่าเปล่าตั้งแต่แรกก็ได้นะ”

“เออ มันมีบางเรื่องกวนใจกูอยู่ พอใจมึงยัง” ผมละสายตาจากเพื่อนตัวเอง แล้วมองไปยังถนนกรุงเทพที่มีรถติดยาวเป็นแถวโดยไม่มีทีท่าที่จะขยับสักนิด ยังไม่ทันที่สมองจะได้คิดถึงเรื่องอื่น ไอ้เตก็ดันเอ่ยถึงชื่อของคนที่ผมพยายามจะเลี่ยงขึ้นมาจนได้

“ทะเลาะอะไรกับไอ้ปันวะ” ผมเคาะบุหรี่ลงกับที่เขี่ย ก่อนจะพูดขึ้น

“ดูออกด้วยเหรอวะ”

“มีอยู่ไม่กี่เรื่องหรอกที่จะทำให้คนอย่างมึงสนใจได้อะ” สิ่งที่ไอ้เตพูดไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจอะไร ผมกับมันรู้จักกันมานานมากจนแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีเรื่องไหนที่ผมกับมันดูกันไม่ออก

พ่อผมทำงานเป็นวิศวกรในบริษัทของป๊าไอ้เตตั้งแต่สมัยที่บริษัทยังแทบจะไม่มีอะไร จนถึงตอนนี้ที่บริษัทเติบโตจนทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ ทั้งผมและไอ้เตบังเอิญเกิดปีเดียวกันพอดี เราผ่านทั้งช่วงเด็ก ทั้งช่วงวัยรุ่น จนตอนนี้เกือบจะโตเป็นผู้ใหญ่กันแล้วทั้งคู่ เรื่องเดียวที่ทำให้ผมกับมันต่างกันก็คงเป็นที่ครอบครัว ผมยังโชคดีที่ที่บ้านไม่ได้คาดหวังอะไรมากมาย ต่างกับไอ้เตที่เป็นพี่คนโตแล้วก็ยังเป็นหลานคนแรกของตระกูล ความกดดันทุกอย่างถึงได้มาตกอยู่ที่มันคนเดียว

“เออ กูเป็นแบบนี้เพราะปัน แต่ไม่ได้ทะเลาะกันหรอก”

“สารภาพรักกับมันแล้วรึไง”
 
“หึ.. อย่าว่าแต่บอกรักเลย ตอนนี้เอาแค่มองหน้ามันเฉย ๆ กูยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ” ผมแค่นยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกสมเพชตัวเองไม่น้อย รู้ทั้งรู้ว่าไม่ควรที่จะรู้สึกอะไรกับปันอีกแล้ว แต่ความคิดถึงที่เกิดในตอนนี้กลับย้อนแย้งสิ้นดี

“ทำไมวะ มันหนักหนามากเลยรึไง มึงถึงได้ยอมแพ้ง่าย ๆ อย่างนี้”

“ไม่รู้ดิ กูแค่รู้สึกผิดเวลาตัวเองรู้สึกดีกับปันและกูก็เกลียดที่ตัวเองรู้สึกแบบนั้น”

“ถ้ามึงยังไม่ได้บอกรักไปแล้วปัญหาคืออะไรวะ”

“คนที่วิ่งตัดหน้ารถกูเมื่อสองปีก่อน.. คือปัน” ไอ้เตเหมือนจะชะงักไปเมื่อได้ยินแบบนั้น มันเงียบไปนานจนผมสูบบุหรี่มวนที่สองเสร็จ เมื่อทำท่าจะล้วงมวนที่สามออกมา คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ดึงกล่องบุหรี่ออกไปจากมือเสียก่อน

“พี่ซินตายไปนานแล้วนะ”

“กูรู้”

“พี่เขาจะไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว ต่อให้มึงจะโกรธจะเกลียดไอ้ปันยังไง ความจริงข้อนี้ก็ไม่มีทางเปลี่ยนไปอยู่ดี”
 
“เออ รู้” ผมพูดพร้อมทั้งคว้ากล่องบุหรี่ในมือไอ้เตกลับคืนมา บุหรี่มวนที่สามถูกจุดขึ้นตามมาด้วยเสียงถอนหายใจของคนที่ยืนอยู่ข้างกัน ผมเห็นมันส่ายหัว ก่อนจะทิ้งก้นบุหรี่ในมือลงไปในที่เขี่ย

“ไอ้ปันมันรู้เรื่องนี้ไหม”

“มันเคยบอกกูว่ามันจำไม่ได้” ตอนนี้ผมรู้สึกสับสนกับความคิดของตัวเองไปหมด บางครั้งผมก็รู้สึกดีที่ปันจำอะไรไม่ได้เลย แต่ภาพพี่ซินมันฝังหัวจนทำให้ผมรู้สึกแย่ที่ตัวเองคิดแบบนั้น

“กูจริงจังนะซิก มึงจะเป็นทุกข์เพราะอุบัติครั้งนั้นไปตลอดชีวิตเลยรึไง มึงจะให้เรื่องราวในอดีตมาตัดสินชีวิตในปัจจุบันของมึงจริง ๆ เหรอวะ ถ้าพี่ซินยังอยู่.. เขาก็คงคิดแบบเดียวกับกูเหมือนกัน”

“กูแค่ไม่เข้าใจ คนแม่งมีเป็นล้าน แต่ทำไมต้องเป็นมันด้วยวะ ถ้าเป็นคนอื่นกูก็คงไม่ต้องมาคิดมากอยู่แบบนี้”

“เพราะความรักมันไม่ใช่แค่ใครก็ได้ไง” คำพูดของไอ้เตทำให้ผมเถียงไม่ออก 

“..”

“ถ้ากูเลือกได้ว่าจะรักใคร กูก็คงอยากรักคนที่เขาจะรักกูเหมือนกัน” เสียงของไอ้เตสลดลงเล็กน้อยในตอนที่พูดประโยคนั้นออกมา

“กูไม่ปลอบนะ ไม่ต้องมาร้องไห้ใส่กู” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะที่ไอ้เตจะพูดพอดี ชื่อที่แสดงอยู่บนหน้าจอทำให้ผมรู้สึกแปลกใจไม่น้อย เมื่อเลื่อนมือไปกดรับ คนที่โทรมาก็รีบพูดออกมาอย่างร้อนรน

“ซิก ! ปันไปหาซิกรึเปล่า”

“เปล่าครับ มีอะไรเกิดขึ้นรึเปล่า”

“คือ.. คือปันเขา..เฮ้อ ซิกรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับปันเมื่อสองปีก่อนไหม” พี่ปัทดูเป็นกังวลมากในตอนที่ถามออกมา

“ครับ”

“แล้วรู้รึเปล่า.. ว่าเกี่ยวกับพี่สาวของซิกด้วย”

“..”

“พี่รู้ว่าเรื่องนี้มันเลวร้ายมากสำหรับซิก แต่พี่อยากขอให้ช่วยพี่ตามหาปันหน่อยได้ไหม ตอนนี้พี่ไม่รู้จริง ๆ ว่าปันอยู่ที่ไหน” ประโยคก่อนหน้าไม่ได้สำคัญสำหรับผมอีกต่อไปหลังจากที่ได้ยินว่าปันหายไป

“ปันหายไปเหรอพี่ปัท หายไปได้ไง เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า”

“เมื่อกี้ปันมาหาพี่ แล้วก็ถามถึงเรื่องเมื่อสองปีก่อน แต่พี่ไม่ได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง ปันก็เลยบอกว่าจะไปหาคำตอบเอง ทีแรกพี่คิดว่าปันจะไปหาแม่พี่หรือไม่ก็ไปหาซิก แต่ตอนนี้ปันไม่ได้อยู่กับใครสักคน โทรไปหาก็ไม่ติด พี่ไม่รู้จะทำยังไงแล้วซิก..” เสียงของพี่ปัทสั่นเครือไปหมด ผมรีบเดินไปคว้ากุญแจรถที่วางอยู่บนโต๊ะ

“ตอนนี้พี่ปัทอยู่ที่ไหนเหรอครับ”

“พี่กำลังขับรถไปชลบุรี ว่าจะลองไปรอปันที่บ้านแม่ก่อน ถ้าค่ำแล้วปันยังไม่ติดต่อมาพี่จะไปแจ้งความ”

“โอเคครับ พี่ปัทใจเย็น ๆ ก่อนนะ เดี๋ยวผมช่วยหาปันให้”

“ขอบคุณมากนะซิก ขอบคุณจริง ๆ” ทันทีที่วางสายผมก็หันไปพูดกับไอ้เตที่กำลังยืนขมวดคิ้วอย่างสงสัยอยู่ 

“ปันหายไป มึงโทรหาไอ้ฟลุ๊คให้ช่วยตามหาหน่อยดิ ลองหาที่แถวมอหรือที่ไหนก็ได้ที่พวกมึงจะนึกออก”

“แล้วมึงจะไปไหน”

“บ้าน กูจะลองไปดูเผื่อปันกลับไปที่นั่น”

ระหว่างที่ขับรถกลับไปที่บ้าน ความโกรธที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันที่ผ่านมาถูกแทนที่ด้วยความเป็นห่วงและสิ่งหนึ่งที่ชัดเจนขึ้นมาจนผมหลอกตัวเองอีกต่อไปไม่ได้คือผมไม่อยากให้ปันจำทุกอย่างได้จริง ๆ จากที่เคยคิดว่าอยากให้มันรู้สึกผิดบ้าง พอเอาเข้าจริง ๆ กลับกลายเป็นผมเองที่ทนเห็นมันเป็นแบบนั้นไม่ได้ เพราะผมรู้ดีว่าความรู้สึกผิดมันทรมานคนเราได้มากขนาดไหน

เมื่อถึงบ้านผมก็รีบเปิดประตูเข้าไป ก่อนจะพบเพียงความว่างเปล่า ไม่มีคนที่ผมตามหาอยู่ที่นี่ สายตาของผมไปปะทะเข้ากับบานประตูห้องที่เปิดอยู่ ห้องที่น้อยครั้งนักที่ผมจะเข้าไปเพราะมันเคยเป็นห้องของพี่ซินมาก่อน ผมรีบเดินไปผลักบานประตูนั้นให้เปิดกว้างและพบเข้ากับเศษแก้วมากมายที่แตกกระจัดกระจายอยู่บนพื้น กรอบรูปที่เคยมีรูปถ่ายของครอบครัวของผมใส่อยู่ ตอนนี้กลับเหลือเพียงแค่กรอบรูปเปล่า ๆ เท่านั้น

ผมเป็นคนที่เอากรอบรูปอันนี้มาไว้ที่ห้องนี้เอง รูปที่ถูกพับไว้ทำให้ไม่เห็นพี่ซินก็จริง แต่ความทรงจำที่มีเขาอยู่มันไม่ได้หายไปตามรูปที่พับเอาไว้ ผมเลยเลือกที่จะนำมันมาวางไว้ในที่ที่ผมจะไม่ต้องเห็นมันอีก และแทบจะไม่ต้องเดาเลยว่าใครเป็นคนที่มาเจอรูปถ่ายใบนี้อีกครั้ง ผมกดโทรออกไปหาไอ้เตพร้อมทั้งเดินไปสตาร์ทรถ

“ไอ้เต มึงให้ใครสักคนมารออยู่ที่บ้านกูหน่อยดิ เผื่อปันกลับมา”

“อ้าว แล้วมึงอะ”

“กูจะไปชลบุรี”

“ไปทำไมวะ”

“เออ ไว้ค่อยคุยกัน กูจะขับรถแล้ว”

ความเป็นห่วงของผมเพิ่มขึ้นตามเวลาที่ผ่านไปเรื่อย ๆ ผมไม่รู้ว่าคำตอบที่ปันอยากรู้จะอยู่ที่ไหน แต่มีอยู่สถานที่หนึ่งที่ผมอยากลองเสี่ยงที่จะไปดู อย่างน้อยก็ดีกว่านั่งรออยู่เฉย ๆ แล้วปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ ตัวเลขบนเรือนไมล์เพิ่มขึ้นจนเกินความเร็วที่กฎหมายกำหนดไปแล้ว จากถนนกรุงเทพเปลี่ยนเป็นถนนเลียบชายหาดชลบุรีโดยที่ใช้เวลาไม่นาน

สภาพอากาศที่ไม่เป็นใจทำให้ฝนตกลงมาอย่างโหมกระหน่ำ ท้องถนนที่ลื่นกว่าปกติเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมลดความเร็วลงเลยแม้แต่น้อย ท้องฟ้าเกือบจะเปลี่ยนเป็นสีดำเนื่องจากก้อนเมฆที่มาปกคลุม ในขณะนั้นเองที่ภายในใจของผมเผลอเอ่ยขอร้องในคำขอที่ไม่สมควรจะได้รับการให้อภัยออกไป

ผมขอให้พี่ซินช่วยดูแลปันด้วย

ขออย่าให้มันเป็นอะไร

ป้ายเตือนให้ลดความเร็วเนื่องจากมีงานก่อสร้างถนนอยู่ข้างหน้าทำให้ผมต้องชะลอความเร็วของรถลง ผมจอดรถอยู่ข้างทางเมื่อเห็นป้ายเตือนให้ใช้ทางเบี่ยง ถนนตรงหน้าคือถนนเส้นเดิมกับเมื่อสองปีก่อน แต่ตอนนี้มันกำลังปิดถนนเพื่อที่จะซ่อมแซมอยู่ ในตอนแรกผมเกือบที่จะขับรถผ่านไปแล้ว หากแต่มีบางอย่างบอกให้เดินไปดูที่ตรงนั้น อย่างน้อยก็ดูให้เห็นกับตาว่าไม่มีอะไรอยู่ที่นั่นจริง ๆ

ผมค่อย ๆ เดินตากฝนเข้าไปยังพื้นที่ถนนที่กำลังปรับปรุงซ่อมแซม สายฝนที่ตกลงมาอย่างหนักบดบังวิสัยทัศน์ตรงหน้าไม่น้อย ภาพของบางสิ่งบางอย่างที่ปรากฏอยู่บนพื้นถนนไกล ๆ ทำให้ผมเร่งฝีเท้าเพื่อที่จะรีบไปให้ถึงตรงจุดนั้น เมื่อเข้าไปใกล้ผมกลับยิ่งต้องรู้สึกตกใจเมื่อเห็นใครบางคนที่นอนอยู่บนพื้นถนนพร้อมกับคราบเลือดที่ไม่รู้ว่าไหลออกมาจากไหน ผมรีบวิ่งเข้าไปพยุงคนที่นอนสลบอยู่พร้อมกับภาวนาให้คนตรงหน้าไม่ใช่คนที่กำลังตามหา แต่เหมือนกับว่าโลกนี้จะไม่ได้ตอบรับคำร้องขอของผม เมื่อใบหน้าคุ้นตาปรากฏอยู่ในอ้อมแขน

“ปัน !”






หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 16 ตามหาคนหาย│ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 05-02-2021 23:21:16
 :hao5: :sad4:
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 16 ตามหาคนหาย│ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Ritawongishere ที่ 05-02-2021 23:48:42
ปันนนนนน :z3:
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 16 ตามหาคนหาย│ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 06-02-2021 01:06:22
สงสาร ปันผิดอะไร???  สงสารปัน,,,
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 16 ตามหาคนหาย│ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 06-02-2021 01:11:51
 :hao5:
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 16 ตามหาคนหาย│ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: nut2557 ที่ 06-02-2021 12:53:55
 :m15: :sad11:
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 17 เรื่องที่ไม่เคยรู้│ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: LYNJIIN ที่ 10-02-2021 21:32:16


รักบังตา

Chapter 17

เรื่องที่ไม่เคยรู้



[ Sik ]

“ปัน ! ได้ยินกูไหมปัน”

ผมเขย่าร่างของคนที่อยู่ในอ้อมแขน แต่ไร้ซึ่งการตอบสนองใด ๆ กลับมา ตัวของปันเย็นจัดและซีดจนแทบจะไม่เห็นสีเลือด ผมรีบล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโทรไปหาเบอร์ของพี่ปัท แต่หน้าจอที่เปียกน้ำจากฝนที่กำลังตกลงมาทำให้การสัมผัสมันติดขัดไปหมดจนผมต้องสบถออกมาอย่างหัวเสีย

“แม่ง !” เลือดที่กำลังไหลออกมาจากโพรงจมูกของปันทำให้ผมตัดสินใจอุ้มมันขึ้นมา

“ซิก !” ผมหันไปมองตามเสียงเรียก ก่อนจะพบเข้ากับพี่ปัทที่กำลังเดินถือร่มเข้ามา

“ปัน ! เกิดอะไรขึ้นเหรอซิก !”

ผมไม่ได้ตอบคำถามของพี่ปัท สายตาของผมมองผ่านไปยังด้านหลังของพี่ปัทและเห็นรถยนต์ของพี่ปัทจอดอยู่ ผมรีบอุ้มปันไปยังรถคันนั้นทันทีโดยที่มีพี่ปันเดินตามหลังมา เมื่อวางร่างของปันลงบนเบาะหลังแล้วผมจึงดึงแขนของคนที่กำลังจะเปิดประตูรถฝั่งคนขับเอาไว้ มือไม้ของพี่ปัทอ่อนไปหมดจนทำกุญแจรถตก ผมก้มลงเก็บกุญแจรถก่อนจะพูดขึ้น

“พี่ปัทมาดูปันเถอะ เดี๋ยวผมขับเอง” พี่ปัทรีบย้ายตัวเองไปนั่งที่เบาะหลังทันทีที่ได้ยินแบบนั้น

“โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดขับตรงไปแล้วเลี้ยวขวาแยกที่สามนะซิก”

ภาพของเหตุการณ์บางอย่างแวบขึ้นมาในหัวทำให้ผมชะงักมือที่กำลังกดปุ่มสตาร์ตรถไป ผมสะบัดหัวไล่ภาพความทรงจำเหล่านั้นออกไป ความกังวลจากคนที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเบาะหลังมีมากเกินกว่าที่ผมจะมีเวลาไปสนใจเรื่องอื่น ผมกดสตาร์ตรถและขับออกไป คันเร่งที่ถูกเหยียบจนเกือบมิดทำให้มาถึงโรงพยาบาลโดยที่ใช้เวลาไม่เกินสิบนาที

เมื่อจอดรถที่ทางเข้าโรงพยาบาล ผมก็รีบลงไปอุ้มตัวของปันขึ้นมา ผู้ชายที่น่าจะเป็นผู้ช่วยพยาบาลรีบเข็นเตียงเคลื่อนที่เข้ามาหา ผมวางร่างของปันลงบนเตียง ก่อนที่เตียงของปันถูกเข็นเข้าไปในห้องฉุกเฉินทันที โดยที่ผมถูกพยาบาลกันออกมาและบอกให้รออยู่หน้าห้อง เสี้ยววินาทีที่ผมมองหน้าของปันก่อนที่ประตูของห้องฉุกเฉินจะปิดลง ผมแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองรู้สึกยังไงตอนที่เห็นใบหน้าซีดขาวของปันเปื้อนไปด้วยหยดน้ำตา

หลังจากที่ปันเข้าไปในห้องฉุกเฉินได้ไม่นาน ก็มีพยาบาลเดินออกมาสอบถามถึงประวัติของปันโดยที่พี่ปัทเป็นคนลุกขึ้นไปตอบ ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าเป็นโชคดีได้ไหมที่บังเอิญโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุดดันเป็นโรงพยาบาลเอกชนพอดี การทำงานทุกอย่างถึงได้ดูรวดเร็วไปเสียหมด แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นผมก็ยังอดที่จะเป็นห่วงปันไม่ได้อยู่ดี ผมไม่ได้สนใจฟังสิ่งที่พยาบาลกับพี่ปัทพูดเพราะมัวแต่พะวงอยู่กับคนที่อยู่ภายในห้องฉุกเฉิน จนกระทั่งรู้สึกได้ถึงมือของพี่ปัทที่กำลังวางอยู่บนไหล่

“ซิก ตอนซิกไปถึงอาการของปันเป็นยังไงบ้างเหรอ”

“ผมเห็นปันสลบอยู่บนพื้นแล้วก็มีเลือดไหลออกมาจากจมูก..”

“ก่อนหน้านี้คนไข้เคยมีอาการแบบนี้มาก่อนไหมคะ”

“เคยครับ เมื่อประมาณเดือนก่อนก็เคยมีเลือดกำเดาไหลแล้วก็เปนลมไป”

“นอกจากเลือดกำเดาไหล คนไข้มีอาการอย่างอื่นอีกไหมคะ” คำถามของพยาบาลทำให้ผมนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะตอบออกไปได้

“ผมไม่รู้” พยาบาลไม่ได้ถามอะไรเพิ่มอีก เขาจดบันทึกอะไรบางอย่างลงบนกระดาษ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องฉุกเฉิน

“...”

บรรยากาศรอบข้างเหลือเพียงความเงียบหลังจากที่พยาบาลเดินจากไป ผมรับรู้ได้ถึงสายตาที่กำลังลอบมองมาจากคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน แต่เพราะไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร ผมจึงเลือกที่จะเงียบไป ต่างจากพี่ปัทที่ดูมีบางอย่างอยากจะพูด ผมกับพี่ปัทนั่งอยู่ด้วยกันท่ามกลางความเงียบแบบนั้นจนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้น ผมกดรับสายเมื่อเห็นว่าบนหน้าจอแสดงชื่อของไอ้เต

“มึงเจอปันยังวะ”

“เจอแล้ว แต่อาการไม่ค่อยดีเท่าไหร่”

“จะให้กูไปหาไหม” ทีแรกผมจะตอบปฏิเสธไป ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ารถมอเตอร์ไซค์ของตัวเองยังจอดทิ้งไว้อยู่ที่ถนนเส้นนั้น

“มาดิ มึงชวนไอ้ฟลุ๊คมาด้วยนะ ไปเอารถให้กูหน่อย เดี๋ยวกูส่งโลเคชั่นให้ในไลน์”

“อ้าว แล้วตอนนี้มึงอยู่ไหนวะ”

“โรงพยาบาล เดี๋ยวกูส่งโลเคชั่นรถให้ก่อน แล้วมึงค่อยให้ไอ้ฟลุ๊คขับรถกูมาที่โรงพยาบาลละกัน”

“เออ ๆ ได้ ถ้าใกล้ถึงเดี๋ยวกูโทรไปอีกที”

ผมเปิดแอพจีพีเอสติดตามรถบนโทรศัพท์และกดส่งโลเคชั่นเข้าไปในไลน์ของไอ้เต เมื่อเห็นว่ามันอ่านแล้วจึงได้เก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงไปตามเดิม ในตอนนั้นเองพี่ปัทก็ลุกขึ้นและเดินมานั่งลงตรงข้างผม พี่ปัทยื่นรูปถ่ายที่ทั้งยับและเปียกมาให้ผม แค่มองผ่าน ๆ ผมก็รู้แล้วว่ามันคือรูปอะไร

“มันตกอยู่บนพื้นตอนที่ซิกอุ้มปันมาน่ะ”

“..” ผมรับรูปถ่ายใบนั้นมาโดยที่ไม่ได้พูดอะไร

พี่ซินเป็นคนที่ยิ้มเก่งมาก ไม่ว่าจะเป็นรูปถ่ายตอนที่ตั้งใจหรือตอนที่เผลอก็มักจะเห็นรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าของพี่ซินอยู่เสมอ อาจจะเป็นเพราะรอยยิ้มของพี่ซินเป็นรอยยิ้มที่สดใสมากจริง ๆ ผมถึงได้ยังรู้สึกเจ็บปวดอยู่ลึก ๆ ตอนที่เห็นมันบนรูปถ่ายนี้อีกครั้ง

“พี่ขอโทษนะ..” คำขอโทษที่พี่ปัทพูดออกมาเบามากจนผมเกือบจะไม่ได้ยิน 

“..”

“ปันน่ะ.. จำเรื่องราววันนั้นไม่ได้จริง ๆ นะซิก” ผมเกิดคำถามหนึ่งขึ้นในใจหลังจากที่ได้ยินสิ่งที่พี่ปัทพูด

“ทำไมพี่ปัทถึงไม่เคยเล่าเรื่องอุบัติเหตุครั้งนั้นให้ปันฟังเลยล่ะ” 

“ไม่ใช่พี่ไม่อยากเล่าหรอกนะ แต่พี่เล่าไม่ได้มากกว่า”

“ทำไมเหรอครับ” พี่ปัทดูลังเลที่จะตอบคำถามนั้น ผมได้ยินเสียงถอนหายใจออกมา ก่อนที่พี่ปัทจะเริ่มเล่าบางเรื่องเกี่ยวกับปันให้ฟัง

“จริง ๆ แล้ววันที่เกิดอุบัติเหตุน่ะ ปันก็มีอาการคล้ายกับตอนนี้แหละ นอนหลับไม่ได้สติไปหลายวันทั้ง ๆ ที่ตามร่างกายไม่มีบาดแผลอะไร พอตื่นขึ้นมาก็เอาแต่ซึม พอถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็บอกแค่ว่าจำอะไรไม่ได้ ยิ่งเวลาผ่านไปอาการก็ยิ่งแย่ลงจนถึงขนาดที่เริ่มทำร้ายตัวเอง”

“..”

“หนักที่สุดในตอนนั้นคือปันเกือบจะกระโดดลงมาจากดาดฟ้าของโรงพยาบาล..”

“..”

“หมอต้องให้จิตแพทย์เข้ามาประเมินอาการของปัน พี่ถึงได้รู้จากจิตแพทย์ว่ามันอาจจะเป็นเพราะภาพอุบัติเหตุครั้งนั้นฝังลึกอยู่ในจิตใต้สำนึกของปันไปแล้ว ดังนั้นต่อให้ปันจะจำอะไรไม่ได้เลย แต่ปันก็จะยังโทษตัวเองถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ดี การที่ปันทำร้ายตัวเองมันก็คือบทลงโทษอย่างหนึ่งที่มาจากจิตใต้สำนึกของปันเหมือนกัน”

“..”

“เพราะแบบนี้.. พี่ถึงได้ไม่อยากให้ปันรู้ถึงเรื่องวันนั้น ขนาดจำไม่ได้ปันยังเกือบฆ่าตัวตายไปแล้วครั้งนึง พี่กลัว.. กลัวว่าถ้าปันจำทุกอย่างได้ พี่จะเสียปันไปจริง ๆ”

เรื่องราวทั้งหมดที่ออกมาจากปากของพี่ปัททำให้ผมรู้ได้ในตอนนั้นว่าผมเข้าใจทุกอย่างผิดไป ปันไม่ได้ไม่รู้สึกผิดหรอก แต่ความรู้สึกผิดมันยังคงตามทรมานปันอยู่ทุกวินาทีจนถึงตอนนี้ต่างหาก เพียงแค่มันไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง ผมเอ่ยถามพี่ปัทถึงบางเรื่องที่ปันเคยบอกเอาไว้

“พี่ปัทรู้ไหมว่าปันเห็นผี”

“อะไรนะ”

“เห็นมาตลอดสองปีที่ผ่านมา..” สองปีที่ผมพยายามที่จะก้าวผ่านเรื่องราวเลวร้ายที่เกิดขึ้น แต่ปันกลับยังจมอยู่กับเรื่องราวเหล่านั้นโดยที่มันไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

“พี่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยซิก” ผมเห็นพี่ปัทซบหน้าลงกับฝ่ามือพร้อมกับเสียงสะอื้นที่ดังหลุดออกมา

“..”

“พี่ไม่รู้ว่าจะชดใช้ให้ซิกกับครอบครัวได้ยังไง.. แต่พี่อยากขอให้ซิกยกโทษให้ปันได้ไหม อย่าโกรธปันเลยนะ แค่นี้มันก็หนักหนาเกินไปแล้วสำหรับปัน” น้ำเสียงของพี่ปัทสั่นไปหมด ผมมองรูปถ่ายในมืออีกครั้ง ก่อนจะพับรูปไปตามรอยพับที่มีอยู่

การจากไปของพี่ซินสร้างบาดแผลในใจให้ใครหลายคน ทั้งผมและปันรวมไปถึงคนรอบข้างของพวกเราต่างก็ต้องทุกข์ทรมานกับเรื่องนั้น ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาอีกกี่ปีทุกคนถึงจะสามารถคิดถึงพี่ซินได้โดยไม่ต้องรู้สึกเจ็บปวดและทรมานแบบนี้อีก

“คนไหนคือญาติของคุณปัญธิกานต์เหรอคะ พอดีคุณหมออยากคุยด้วยน่ะค่ะ” ผมและพี่ปัทเดินตามพยาบาลไปยังห้องที่มีหมอคนหนึ่งนั่งอยู่ ใบหน้าของเขาดูเคร่งเครียดไม่น้อย

“ญาติคุณปัญธิกานต์ใช่ไหมครับ”

“ค่ะ”

“หมอเช็คจากในประวัติของคนไข้แล้ว เมื่อสองปีก่อนคนไข้เคยเข้ารับการรักษาอาการแบบนี้ที่นี่เหมือนกันใช่ไหมครับ”

“ใช่ค่ะ”

“หมอลองตรวจดูอาการของคนไข้แล้วนะครับ พบว่าคนไข้ยังมีภาวะที่หลับลึก คือยังมีการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่หมอกระตุ้นอยู่ เพียงแต่อาจจะมีบางสาเหตุที่ทำให้คนไข้หมดสติไป ก่อนหน้านี้คนไข้เจอเหตุการณ์หรือเรื่องที่สะเทือนใจมาบ้างไหมครับ”

“คือ.. เมื่อสองปีก่อนปันเคยเห็นอุบัติเหตุเกิดขึ้นตรงหน้า แล้วก็อาจจะเห็นคนตายต่อหน้าด้วยน่ะค่ะ แต่ว่าพอตื่นมาแล้วก็จำอะไรไม่ได้เลย พอมาวันนี้น้องก็มาถามถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้น แล้วก็ไปสถานที่ที่เกิดอุบัติเหตุคนเดียว ตอนที่ไปเจอน้องก็อยู่ในสภาพนั้นแล้วค่ะ”

“ครับ พอดีหมอเห็นว่าเคยมีประวัติรักษากับคุณหมอพฤษภาด้วยใช่ไหมครับ”

“ใช่ค่ะ”

“หมอต้องบอกก่อนว่าหมออาจจะต้องโอนเคสนี้ไปให้กับคุณหมอพฤษแทน เพราะว่าอาการที่เกิดขึ้นกับคนไข้อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นจากทางร่างกาย แต่อาจจะเป็นอาการที่เกิดมาจากสภาพจิตใจแทนนะครับ คุณหมอพฤษเป็นจิตแพทย์ น่าจะรักษาอาการของคนไข้ได้ตรงจุดมากกว่า”
 
“อาการของปันร้ายแรงมากเลยเหรอคะ”

“หมอยังไม่อยากคอนเฟิร์มนะครับ แต่คนไข้อาจจะมีภาวะป่วยทางจิตที่เกิดมาจากการพบเจอเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้น ทางที่ดีควรจะย้ายคนไข้ไปแผนกจิตเวชเพื่อประเมินอาการอีกครั้งดีกว่าครับ”







หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 17 เรื่องที่ไม่เคยรู้│ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 10-02-2021 22:32:22
 :m15:
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 17 เรื่องที่ไม่เคยรู้│ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 11-02-2021 00:23:38
สงสารมาก,,,

เจ็บปวดทุกฝ่าย,,,
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 18 เหตุการณ์ที่ผ่านมา│ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: LYNJIIN ที่ 13-02-2021 23:27:53
 


รักบังตา

Chapter 18

เหตุการณ์ที่ผ่านมา



[ Sik ]

สติของพี่ปัทเหมือนจะไม่อยู่กับตัวแล้วในตอนที่เดินออกมาจากห้องของหมอที่ดูแลอาการของปัน ปันถูกย้ายไปห้องพิเศษเพื่อเฝ้าดูอาการ แต่ต้องรอพรุ่งนี้เช้าให้หมอที่เป็นจิตแพทย์อีกคนเข้าเวรก่อน ถึงจะได้ตรวจซ้ำอีกรอบ ผมกับพี่ปัทเดิมตามพยาบาลไปยังห้องของปัน เมื่อเปิดประตูเข้าไป ร่างของคนที่กำลังนอนอยู่บนเตียงก็เป็นสิ่งแรกที่ปะทะเข้ามาในสายตา เสื้อผ้าของปันถูกเปลี่ยนเป็นชุดคนไข้สีเขียวอ่อนแล้ว พี่ปัทเดินไปหยุดอยู่ข้างเตียง ก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวของปัน

“ไม่เป็นไรแล้วนะปัน หมอที่นี่เขาเก่งมากเลย ไม่นานเดี๋ยวปันก็หาย”

“..”

“เจ็บมากเลยใช่ไหมปัน..” น้ำเสียงของพี่ปัทไม่เหลือความมั่นคงอีกต่อไป พี่ปัทปาดน้ำตาที่ไหลลงมา ความอ่อนล้าฉายชัดอยู่ในแววตาคู่นั้น สภาพของพี่ปัทดูคล้ายกับคนที่พร้อมจะเป็นลมล้มพับลงไปได้ทุกเมื่อ

“คืนนี้พี่ปัทกลับไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวผมอยู่เฝ้าปันเอง”

“ไม่เป็นไร พี่..”

“ถ้าพี่ปัทเป็นอะไรไปอีกคน ปันจะแย่กว่านี้นะ” ผมเลือกที่จะยกปันขึ้นมาเป็นข้ออ้างเพื่อให้พี่ปัทกลับไปพัก

“พี่ฝากปันด้วยนะซิก”

“ครับ”

พี่ปัทกลับไปแล้ว เหลือเพียงแค่ผมกับปันเท่านั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผมเพิ่งตากฝนมาหรือแอร์ภายในห้องอุณหภูมิต่ำกันแน่ ผมถึงได้รู้สึกว่าอากาศค่อนข้างที่จะเย็นมากพอสมควร ผมเดินไปหยุดอยู่ที่ข้างเตียงของปัน ก่อนจะวางมืออังลงบนแก้มของมัน ไออุ่นจากแก้มของคนตรงหน้าทำให้ผมต้องเดินไปปรับแอร์ให้เบาลงเพราะกลัวว่าปันจะมีไข้ขึ้นมา ในระหว่างนั้นไอ้เตก็โทรมาพอดี

“ถึงแล้วเหรอวะ”

“เออดิ จะให้กูเอากุญแจรถไปให้หรือมึงจะลงมาเอาเอง” ผมตอบไปทันทีโดยแทบจะไม่ต้องคิด

“มึงเอามาให้กูที่ห้อง 1202 ชั้นสองอาคารหนึ่ง เออไอ้เต มึงมีเสื้อยืดอยู่ในรถสักตัวปะ”

“มีอยู่ตัวนึง มึงจะเอาเหรอ”

“เออ ยืมหน่อย เสื้อกูเปียก”

“มึงไปทำอะไรมาถึงได้ตัวเปียกวะ”

“ไว้กูค่อยเล่าให้ฟัง ถ้ามาถึงก็เคาะห้องเบา ๆ ด้วยนะ ปันหลับอยู่”

เมื่อพูดสิ่งที่ต้องการเสร็จแล้ว ผมก็กดวางสายไปทันทีเพราะไม่อยากตอบคำถามของไอ้เตอีก ไม่เกินห้านาทีเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ผมเดินไปเปิดประตู ก่อนจะคว้าแขนไอ้ฟลุ๊คที่ทำท่าจะเดินเข้าห้องไปแล้วลากให้มันออกมายืนหน้าห้องด้วยกัน ผมไม่ค่อยอยากให้พวกมันเห็นปันที่เป็นแบบนี้สักเท่าไหร่

“อะไรของมึงวะไอ้ซิก” ไอ้ฟลุ๊คบ่นขึ้นมาทันควัน จนผมต้องบอกให้มันเบาเสียงลง

“เบาเสียงหน่อย พวกมึงไม่ต้องเข้ามาหรอก เดี๋ยววุ่นวาย ปันมันหลับอยู่”

“นี่กุญแจรถมึง นี่เสื้อ” ผมรับของที่ไอ้เตส่งมาให้ ก่อนจะเอ่ยขอบคุณ

“ขอบใจมากมึง”

“รถมึงจอดอยู่ด้านหน้าตึกผู้ป่วยนอกนะ แล้วพรุ่งนี้มึงจะเข้าเรียนไหม มีสอบย่อยนะ”

“ไม่รู้ว่ะ อาจจะไม่ได้เข้า”

“มีกูสงสัยอยู่คนเดียวรึเปล่าว่าปันเป็นอะไร” ไอ้ฟลุ๊คถามคำถามที่ผมไม่อยากตอบ พอเห็นผมเงียบไป ไอ้เตก็เลยพูดสวนขึ้นมาแทน
 
“งั้นพวกกูกลับเลยละกัน”

“อ้าวไอ้เฮีย มึงไม่เข้าไปเยี่ยมเพื่อนหน่อยเหรอวะ” ผมนึกขอบคุณไอ้เตในใจที่ช่วยพาไอ้ฟลุ๊คออกไป

พอพวกนั้นกลับกันไปหมดแล้ว ผมก็กลับเข้ามาเปลี่ยนเสื้อในห้อง ก่อนจะเดินไปดูคนที่นอนอยู่บนเตียงอีกครั้งและเห็นว่าสีหน้าของปันดูไม่ค่อยดีเอาซะเลย เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นตามกรอบหน้า ใบหน้าที่ปกติก็แทบจะไม่มีสีเลือดอยู่แล้ว พอมาตอนนี้ก็ยิ่งขาวซีดเข้าไปใหญ่ ผมใช้นิ้วลูบไปตามคิ้วของมัน ก่อนจะค่อย ๆ นวดคลึงตรงระหว่างหัวคิ้วที่ขมวดกันแน่นราวกับว่ามันกำลังฝันร้ายอยู่

ผ่านไปไม่นานปันก็มีสีหน้าดีขึ้น ผมลองทาบมือไปตามใบหน้าของมันเพื่อเช็คอุณหภูมิอีกครั้ง ตัวของปันไม่ได้ร้อนเท่าตอนแรก ผมเอื้อมมือไปดึงผ้าห่มขึ้นมา ก่อนที่จะสายตาจะหยุดนิ่งอยู่ที่ริมฝีปากของคนที่ยังคงนอนหลับไม่ได้สติอยู่ ภาพที่ผมจูบปันครั้งก่อนฉายชัดขึ้นมา ตอนนั้นผมไม่ค่อยมีสติเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ต่างจากตอนนี้ที่สติของผมครบถ้วนดี ผมรู้ทุกการกระทำของตัวเองในตอนที่ก้มลงไปจูบปันอีกครั้ง ริมฝีปากของเราแค่ประกบกันไว้อย่างนั้น ผมไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นนอกจากแตะค้างไว้ ก่อนจะผละตัวออกมา 

“ฝันดีนะปัน”

ผมสะดุ้งตัวตื่นขึ้นมาในตอนรุ่งเช้าโดยที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าหลับไปตอนไหน เหงื่อบนฝ่ามือทำให้ผมก้มลงไปมองและพบว่าตัวเองกุมมือของปันเอาไว้ตลอดทั้งคืน ปันยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นในเร็ว ๆ นี้ ผมจึงลุกไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ เมื่อออกมาพี่ปัทก็เปิดประตูห้องเข้ามาพอดี ในมือของพี่ปัทเต็มไปด้วยของกินมากมาย

“มากินข้าวก่อนสิซิก เมื่อวานได้กินอะไรบ้างไหม”

“ผมกินแล้ว พี่ปัทกินเลย” ผมพูดโกหกออกไปเพราะไม่อยากให้พี่ปัทต้องเป็นห่วง

“ซิกกลับไปบ้านพักหน่อยก็ได้นะ วันนี้พี่ดูปันแทนเอง”

“ผมไม่เป็นไร”

“อย่าฝืนตัวเองนะซิก ถ้าซิกเป็นอะไรไป ปันก็คงจะแย่กว่านี้เหมือนกัน” พอโดนย้อนด้วยคำพูดของตัวเอง ผมเลยเถียงพี่ปัทไม่ได้อีก

“..”

“ซิกค่อยมาสลับกับพี่ตอนเย็นก็ได้ พี่จะได้ไปทำงานด้วย โอเคไหม”

“ก็ได้ครับ”

ผมขับรถกลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและเก็บกวาดเศษแก้วในห้องของพี่ซิน ทีแรกผมคิดจะนอนพักสักหน่อย แต่พอทิ้งตัวลงบนเตียงสมองมันก็ยังคิดถึงแต่เรื่องของปันจนผมเลือกที่จะขับรถไปเรียนแทน ผมไปถึงห้องเรียนในตอนที่คลาสเริ่มไปแล้วและทุกคนก็สอบย่อยเสร็จไปแล้วด้วย ไอ้ฟลุ๊ครีบเข้ามากระซิบกระซาบทันทีที่เห็นผมนั่งลงข้างมัน

“ไอ้ปันเป็นไงบ้างวะ”

“ต้องรอหมอตรวจซ้ำอีกรอบถึงจะบอกได้”

“อาการมันหนักมากเหรอวะ ทำไมถึงต้องตรวจหลายรอบด้วย”

“เงียบแล้วตั้งใจเรียนได้แล้ว อาจารย์มองอยู่” เป็นไอ้เตที่ทำลายคำถามของไอ้ฟลุ๊คอีกครั้ง เอาเข้าจริง ๆ ผมก็เริ่มสงสารไอ้ฟลุ๊คขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกัน พอนั่งเรียนไปได้ไม่นานก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผมรีบกดรับสายเมื่อเห็นชื่อของพี่ปัทปรากฏอยู่บนหน้าจอ

“ซิก ว่างรึเปล่า”

“ว่างครับ พี่ปัทมีอะไรรึเปล่า”

“พอดีจิตแพทย์เข้ามาดูอาการของปันแล้วเขาอยากคุยกับซิกด้วย ถ้าซิกว่างเข้ามาที่โรงพยาบาลหน่อยได้ไหม”

“ไม่เกินชั่วโมงนึงผมไปถึงนะพี่ปัท” โชคดีที่อาจารย์ปล่อยให้เลิกคลาสก่อนพอดี ผมเตรียมที่จะคว้ากุญแจรถที่ตั้งอยูบนโต๊ะ แต่กลับโดนตัดหน้าด้วยไอ้เตซะก่อน ผมหันไปมองกุญแจรถที่อยู่ในมือของเพื่อนตัวเองอย่างไม่เข้าใจ

“เอาคืนมาไอ้เต กูรีบ”

“มึงต้องไปกินข้าวกับพวกกูก่อน กูถึงจะคืนให้” ประโยคที่ไอ้เตพูดทำให้ผมรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา

“กูไม่หิว พวกมึงจะไปกินข้าวก็ไปกันดิวะ เกี่ยวอะไรกับกู”

“ถ้ามึงไม่กิน ก็ไม่ต้องเอานะ กุญแจรถมึงอะ”

“กูไม่ตลกนะไอ้เต”

“กูก็ไม่ได้ล้อเล่นเหมือนกัน ถ้ามึงเอาแต่ปฏิเสธ มันจะยิ่งช้านะ ไม่เป็นห่วงปันรึไง”

ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากจำใจต้องเดินตามพวกมันไปกินข้าว กว่าที่ผมจะรอข้าวแล้วก็ตักเข้าปากจนหมดก็ปาเข้าไปเกือบสิบห้านาที แม่งเป็นการกินข้าวที่ผมรู้สึกหงุดหงิดที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ ผมไม่ได้พูดอะไรสักคำตอนที่ไอ้เตส่งกุญแจรถคืนมาให้ จากกรุงเทพไปชลบุรีใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง แต่ผมสามารถมาถึงได้โดยที่ใช้เวลาแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น เมื่อไปถึงโรงพยาบาล พี่ปัทก็บอกให้ผมตามพยาบาลไปที่ห้องทำงานของจิตแพทย์เลย

“สวัสดีครับ เชิญนั่งก่อนนะ” ผมนั่งลงตามที่หมอตรงหน้าบอก ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้สวมเสื้อกาวน์ แต่จากท่าทางที่ดูภูมิฐานก็เดาได้ไม่ยากว่าเขาน่าจะเป็นหมอ

“คุณซิกใช่ไหมครับ”

“ครับ”

“พอดีคุณปัทเล่าให้ฟังว่าคนไข้บอกคุณว่าเขาเห็นผี ตอนที่เล่าให้ฟังคนไข้ได้เล่าถึงลักษณะของสิ่งที่เขาเห็นไหมครับ ภาพที่เขาเห็นหรือสิ่งที่เขาได้ยินน่ะครับ” ผมนิ่งคิดไป ก่อนจะตระหนักได้ว่าผมไม่เคยรู้เลยว่าปันต้องเจออะไรมาบ้าง ในหัวมีเพียงสีหน้าหวาดกลัวของมันที่ผมเห็นจนชินตาเท่านั้น

“ผมไม่รู้ว่าปันเห็นอะไร แต่เหมือนจะเป็นภาพที่น่ากลัวมาก ๆ”

“พอจะบอกสถานการณ์ที่คนไข้เจอได้ไหมครับ”

“ส่วนใหญ่ที่ผมเห็นคือปันมักจะยืนมองบางอย่างอยู่กลางถนนด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แล้วก็มีหลายครั้งที่มันฝันร้ายมาก ๆ จนเหมือนกับหายใจไม่ออก”

“คนไข้เคยพาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อการเจ็บตัวไหมครับ ไม่ว่าจะตั้งใจรึเปล่าก็ตาม”

“มันเคยเกือบจะโดนรถชนหลายครั้งเพราะว่าเอาแต่เหม่อ เคยเก็บขวดที่แตกแล้วทำเศษแก้วบาดมือ แล้วก็.. เคยเดินลงไปในน้ำทะเลจนเกือบจมน้ำ” ผมนึกเอะใจขึ้นมาตอนที่เล่าทุกอย่างออกไป หลายเหตุการณ์ที่ดูคล้ายกับว่าไม่ตั้งใจ แต่พอลองมาคิดดูให้ดีอีกที.. มันก็เหมือนกับว่าเหตุการณ์เหล่านั้นไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ

“เวลาที่คนไข้เจอเหตุการณ์ที่เกือบจะทำให้เจ็บตัว คนไข้มีท่าทีตื่นตระหนกหรือตกใจบ้างไหมครับ”

“ผมเห็นปันตกใจ.. ” ผมเว้นวรรคในสิ่งที่กำลังจะพูดออกไป ภาพเหตุการณ์ทั้งหลายที่เพิ่งจะผ่านไปไม่นานถูกขุดขึ้นมาจากความทรงจำ ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าและท่าทางที่ดูไม่ได้ใส่ใจอะไรของปัน

“มันแค่ตกใจ.. แต่ดูไม่ได้เสียใจเลยถ้าหากว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับมัน”

ผมเพิ่งจะรู้สึกตัวในตอนนี้เอง.. ว่าปันดูจะไม่เสียใจเลยถ้าหากมันต้องตายไปจริง ๆ





หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 18 เหตุการณ์ที่ผ่านมา│ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 13-02-2021 23:42:51
 :katai1:
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 18 เหตุการณ์ที่ผ่านมา│ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 14-02-2021 00:15:26
 :hao5:
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 18 เหตุการณ์ที่ผ่านมา│ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 14-02-2021 02:26:58
ปันติดอยู่กับความรู้สึกผิด สงสาร,,,,
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 18 เหตุการณ์ที่ผ่านมา│ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 14-02-2021 14:57:54
ความผิดซิกป่าว ฝ่าไฟแดง
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 19 ความรู้สึกที่ช้าเสมอ│ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: LYNJIIN ที่ 16-02-2021 16:14:58
รักบังตา

Chapter 19

ความรู้สึกที่ช้าเสมอ



[ Pun ]

ความมืดมิดที่อยู่รอบกายทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังหลงทางอยู่ที่ไหนสักแห่ง เมื่อมองออกไปเบื้องหน้าก็มีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น แสงไฟดวงเล็ก ๆ ที่ส่องสว่างมาจากที่ไกล ๆ ทำให้ผมก้าวเท้าเดินไปหา ยิ่งสาวเท้าเข้าไปใกล้มากเท่าไหร่ ดวงไฟนั้นกลับยิ่งไกลห่างออกไปเรื่อย ๆ พอผมลองมองดูรอบ ๆ อีกครั้ง เท้าที่กำลังเดินอยู่ก็หยุดนิ่งไป

ผมเห็นเด็กผู้ชายใส่ชุดนักเรียนคนนึงยืนรอสัญญาณไฟอยู่ตรงสี่แยก แผ่นหลังคุ้นตาตรงหน้าทำให้ผมพยายามนึกถึงใครสักคนที่ติดอยู่ในความทรงจำ เด็กคนนั้นเดินข้ามถนนไปเมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีแดง รถยนต์สีดำคันหนึ่งกำลังขับพุ่งตรงมายังร่างของเด็กที่กำลังก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความบนโทรศัพท์ ผมรีบร้องตะโกนออกไปด้วยความตกใจ

“ระวัง !”

วินาทีที่เด็กคนนั้นหันไปมองรถที่กำลังพุ่งเข้ามา ถึงแม้จะเห็นภาพด้านข้างเพียงแค่เสี้ยวเดียวผมก็จำได้ทันที ไม่มีใครสามารถลืมตัวเองได้หรอกไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เหตุการณ์ตรงหน้าฉายเป็นภาพซ้ำอีกครั้งเมื่อเด็กคนเดิมวิ่งหนีรถที่ฝ่าไฟแดงจนเผลอข้ามไปยังถนนอีกฝั่ง มีหลายต่อหลายครั้งในชีวิตที่ผมมักจะรู้สึกตัวช้าไปเสมอ.. ครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน

ในตอนที่ผมเริ่มวิ่งออกไปเพื่อที่จะคว้าร่างของตัวเองในอดีตเอาไว้ รถอีกคันที่กำลังขับพุ่งสวนทางมาด้วยความเร็วสูงจนเกือบจะถึงตัวของเด็กคนนั้นก็หักหลบจนเสียการควบคุม ระยะระหว่างรถที่หักหลบกับเด็กคนนั้นห่างกันไม่มาก ผมมองตัวเองที่เดินหนีถอยหลังจนล้มลงไปกองกับพื้นต่อหน้าต่อตา ทุกอย่างที่เกิดขึ้นยังเหมือนเดิม แสงสว่างที่ผมตามหาอยู่ตรงหน้านี่เอง.. มันเป็นแสงที่มาจากเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้ร่างของผู้หญิงที่ติดอยู่ในรถและพยายามที่จะตะเกียกตะกายคลานออกมา

แสงสว่างที่ผมพรากไปจากชีวิตของคน ๆ นึง

เฮือก !

ผมลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมกับความพะอืดพะอมจากภาพที่เห็น สายน้ำเกลือตรงข้อมือถูกกระชากออกไป ก่อนที่ผมจะรีบวิ่งเข้าห้องน้ำไปทันที ผมพยายามโก่งคออาเจียนลงชักโครกจนแสบคอไปหมด แต่ก็ไม่มีอะไรออกมานอกจากน้ำย่อยเหนียว ๆ สัมผัสที่ลูบอยู่ตรงแผ่นหลังทำให้ผมหันไปมอง ใบหน้าของซิกอยู่ใกล้แค่เอื้อม

“โอเคไหมปัน”

“..” ผมมองหน้าของซิกนิ่ง ก่อนที่มันจะถูกทับซ้อนด้วยภาพพี่สาวของเขา ยิ่งมองใบหน้านั้นนานเท่าไหร่ สายตาของผมก็เริ่มพร่ามัวขึ้นเรื่อย ๆ จนทุกอย่างมันเบลอไปหมด

“ปัน..”

“ฮึก..” ร่างของผมถูกคนตรงหน้ารวบเข้าไปกอด เขาค่อย ๆ ลูบหลังผมอย่างช้า ๆ และพูดปลอบเสียงเบา

“ไม่เป็นไรแล้วนะ..”

“ขอ.. ฮึก.. ขอโทษ”

“ไม่เป็นไรเลย ไม่ต้องขอโทษ” ประโยคที่กระซิบอยู่ข้างหูยิ่งทำให้หัวใจมันปวดหนึบไปหมด

“..” มือของผมกำเสื้อของซิกไว้แน่นจนรู้สึกเจ็บ

เขากล้าพูดว่าไม่เป็นไรได้ยังไง ในเมื่อแววตาของเขามันบอกทุกอย่างชัดขนาดนี้

หลักจากที่ร้องไห้อย่างหนักจนผ่านไปสักพัก ผมก็สงบสติอารมณ์ลงได้ ซิกช่วยพยุงผมไปที่เตียง ผมแทบไม่กล้ามองหน้าของเขาอีก ความเสียใจที่อยู่ในสีหน้าและแววตาของเขามันชัดเกินไปจนผมไม่กล้าแม้แต่จะหันไปสบตา ได้แต่นั่งนิ่งกอดเข่าอยู่บนเตียง ซิกไม่ได้ถามอะไรกับผมสักคำ เขาออกไปเรียกพยาบาลให้เข้ามาทำแผลที่ข้อมือของผม หลังมืออีกข้างถูกเจาะสายน้ำเกลือใหม่อีกครั้ง

“..”

ความเงียบที่เกิดขึ้นระหว่างเราทำให้ผมไม่กล้าจะขยับตัวหรือหายใจแรง ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้น ก่อนที่หมอคนหนึ่งจะเปิดประตูเดินเข้ามา ผมรู้สึกคุ้นหน้าของหมอคนนั้น แต่ก็จำไม่ได้ว่าเคยเจอกันรึเปล่า ซิกลุกขึ้นและเดินออกไปจากห้อง ภายในห้องจึงเหลือเพียงแค่ผมกับหมอแค่สองคนเท่านั้น

“เจอกันอีกแล้วนะครับปัน จำหมอได้ไหม” คำถามของหมอไม่ได้เข้าหูผมอีกต่อไป เพราะผู้หญิงที่ยืนอยู่มุมหนึ่งของห้องดึงความสนใจของผมไปจนหมด

“..”

“เราเคยเจอกันเมื่อสองปีก่อนไง” ผมมองผู้หญิงที่ยืนอยู่อย่างไม่ละสายตา ตามตัวของเธอเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์จากการโดนไฟคลอก ผิวหนังบริเวณแขนไหม้เกรียมจนดำไปเป็นแถบ ภาพตรงหน้าไม่ได้ชวนให้รู้สึกกลัวหรือสยดสยองอย่างที่เคยเห็น ในทางกลับกันผมยิ่งรู้สึกเจ็บปวดราวกับว่าบาดแผลพวกนั้นเกิดขึ้นบนตัวของผมเสียเอง

“..”

“ปันครับ มีอะไรอยู่ตรงนั้นเหรอ” ผมหันกลับมามองหมอที่นั่งอยู่ข้าง ๆ สายตาของเขาจับจ้องไปยังตำแหน่งเดียวกับที่ผมเคยมอง

“เปล่า.. ไม่มีอะไรครับ”

“โอเคครับ ถ้าไม่มีอะไร งั้นเรามาคุยกันหน่อยดีกว่านะ หมอจะถามคำถามปันง่าย ๆ นะครับ ถ้าปันรู้สึกลำบากใจหรือไม่อยากตอบก็ไม่ต้องตอบนะ”
 
“ครับ”

“ปันจำเหตุการณ์ก่อนที่จะหมดสติไปได้ไหมครับ” ผมพยักหน้าแทนคำตอบ หมอเองก็ก้มลงจดอะไรบางอย่างลงสมุด

“พอจะเล่าให้หมอฟังได้ไหม”

“..”

“เอางี้ดีกว่า ปันมีอะไรอยากเล่าให้หมอฟังไหม อะไรก็ได้ เล่าได้ทุกอย่างเท่าที่ปันอยากเล่าเลย” เพราะไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร ผมเลยได้แต่เงียบอยู่อย่างนั้น ผมเห็นหมอปิดสมุดที่เตรียมจดและสบตากับผมตรง ๆ

“ปันรู้ไหมว่าทำไมมนุษย์ถึงอยู่ในอาณาจักรสัตว์แต่ไม่ถูกเรียกว่าสัตว์ แล้วก็ไม่เหมือนกับสัตว์อื่น ๆ ด้วย” ผมคิดอยู่สักพักก่อนจะส่ายหัว หมอคนนั้นยิ้มออกมา ก่อนจะพูดขึ้นด้วยท่าทีที่ผ่อนคลายขึ้น

“มันเป็นเพราะว่ามนุษย์เรามีสมองที่ฉลาดมาก ๆ มากเกินกว่าที่เราจะจินตนาการได้ซะอีก”

“..”

“ในบางครั้งถ้าสมองรู้ว่าการรับรู้เรื่องราวบางอย่างจะทำให้หัวใจของเราต้องรู้สึกเจ็บปวด มันก็จะมีบางกลไกที่ทำให้เราลืมเหตุการณ์พวกนั้นไปซะ เพื่อปกป้องคนเราจากการบาดเจ็บทางจิตใจ”

“..”

“มันเป็นหนึ่งในกลไกการเอาตัวรอดของมนุษย์นะปัน สมองของปันกำลังสั่งให้ปันมีชีวิตอยู่ แต่หมอไม่รู้ว่าหัวใจของปันจะยังอยากอยู่ต่อบนโลกใบนี้มากแค่ไหน เรื่องบางเรื่องมันอาจจะหนักหนามากจนปันคิดว่าจะไม่มีวันผ่านไปได้ แต่ปันจะรู้ได้ยังไงว่ามันจะไม่ผ่านไป ถ้าปันยังไม่แม้แต่ที่จะลองก้าวข้ามมันไป”

“..”

“มันเป็นหน้าที่ของสมองที่ต้องรับรู้ แต่เป็นหน้าที่ของหัวใจที่ต้องยอมรับนะปัน”

หมอไม่ได้พูดอะไรเพิ่มอีก เขาแค่บอกว่าจะมาคุยด้วยใหม่พร้อมทั้งให้การบ้านไว้อีกด้วย ครั้งหน้าที่เจอกันผมจะต้องเล่าเรื่องอะไรก็ได้ให้เขาฟังหนึ่งเรื่อง ผมนอนมองเพดานสีขาวอยู่พักใหญ่ ไม่รู้ว่าความรู้สึกว่างเปล่าที่เกิดขึ้นในตอนนี้มันมาจากไหนกันแน่ เสียงเปิดประตูเข้ามาทำให้ผมพลิกตัวไปอีกด้านและหลับตาเอาไว้ ผมรู้สึกได้ถึงเสียงของฝีเท้าที่เดินเข้ามาใกล้จนมาหยุดอยู่ข้างหลัง

“ปัน”

“..”

“กูอาจจะเคยโกรธมึง แต่กูไม่เคยโทษมึงเลยนะ”

“..”

“เพราะงั้น.. มึงก็อย่าโทษตัวเองอีกเลยนะ” ผ้าห่มถูกคนที่ยืนอยู่ด้านหลังดึงขึ้นมาห่มให้ มือของซิกแตะค้างอยู่บนไหล่ของผม นานกว่าที่เขาจะเอามือออกไป ไออุ่นที่ค่อย ๆ จางหายไปทำให้ผมรู้สึกว่ารอบตัวมันหนาวเหน็บไปหมด

ผมรู้ว่าซิกยังนั่งอยู่ข้างหลัง เพราะเขานั่งอยู่ตรงนั้นผมถึงได้ไม่เห็นอะไรที่เคยเห็นอีก มุมห้องมุมเดิมที่เคยมีพี่สาวของซิกยืนอยู่ ตอนนี้เมื่อมองไปอีกครั้งกลับไม่เจออะไรนอกจากความมืดมิด แต่ความมืดมิดตรงหน้ามันทำให้ผมรู้สึกกลัวเสียยิ่งกว่าการเจอพี่สาวของเขาอีก การที่ต้องใช้ชีวิตอย่างปกติเริ่มทำให้ผมหายใจไม่ออก..

เข็มนาฬิกาบนผนังเดินหน้าไปเรื่อย ๆ โดยที่มีผมเฝ้ามองอยู่อย่างนั้นทั้งคืน กระทั่งแสงแดดสาดส่องทะลุผ้าม่านเข้ามาเป็นสัญญาณของเช้าวันใหม่ ผมมองคนที่เดินไปเปิดผ้าม่าน เราต่างก็สบสายตากันอย่างไม่ตั้งใจในตอนที่เขาหันกลับมา ใบหน้าของเขาบ่งบอกชัดว่าพักผ่อนไม่พอ ผมไม่เคยเห็นซิกดูโทรมมากขนาดนี้มาก่อน

“เป็นไงบ้าง”

“ก็ดี” เขาดูอึ้งไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำตอบของผม

“..” ซิกเดินเข้ามาใกล้และวางมือลงบนแก้มของผมทั้งสองข้าง ก่อนจะบ่นพึมพำคนเดียว

“ตัวก็ไม่ได้ร้อนนี่หว่า”

ผมดึงมือของเขาออกไปและกำลังจะเอ่ยปากพูดบางอย่าง แต่ประตูก็ถูกผลักเข้ามาโดยคนที่มาใหม่เสียก่อน พี่ปัทเดินเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตกใจ ด้านหลังของพี่ปัทเป็นพยาบาลคนหนึ่งเดินตามเข้ามา

“ฟื้นแล้วเหรอปัน เป็นยังไงบ้าง ปวดหัวตรงไหนไหม”

“ปันไม่เป็นไร”

“จริงเหรอ อย่าโกหกพี่นะ ถ้าเจ็บตรงไหนก็รีบบอกเลย”

“ไม่เป็นไรจริง ๆ” พยาบาลเดินมาเปลี่ยนขวดน้ำเกลือที่ใกล้หมดแล้วและใส่ขวดใหม่

“เดี๋ยวคุณหมอจะเข้ามาพบช่วงบ่ายนะคะ พอดีคุณหมอฝากย้ำเรื่องการบ้านที่ให้กับคนไข้เอาไว้ด้วย” พยาบาลพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ก่อนจะเดินจากไป

“ซิกกลับบ้านไปพักหน่อยเถอะ เดี๋ยวพี่ดูปันต่อให้เอง”

“ครับ ผมค่อยเข้ามาอีกทีตอนเย็นนะ” ผมเอื้อมมือไปจับชายเสื้อของคนที่กำลังจะเดินออกไป ซิกหยุดเดินและหันมามองผม
 
“มีอะไรรึเปล่าปัน” ผมเผลอกำเสื้อของซิกแน่นจนเขาต้องเดินเข้ามาใกล้
 
“..”

“ปัน”

“มึงไม่ต้องกลับมาแล้วได้ไหม” มือของซิกที่กำลังจะยกขึ้นเพื่อจะลูบหัวของผมชะงักค้างไปกลางอากาศ

“กูไม่อยากให้มึงมาหากูอีกแล้วซิก”






หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 19 ความรู้สึกที่ช้าเสมอ│ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 16-02-2021 17:04:41
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 19 ความรู้สึกที่ช้าเสมอ│ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 16-02-2021 17:12:46
แล้วผีจะเอาไง
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 19 ความรู้สึกที่ช้าเสมอ│ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 16-02-2021 19:12:24
 :m15: :monkeysad:
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 19 ความรู้สึกที่ช้าเสมอ│ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 16-02-2021 21:36:59
 :a5:
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 19 ความรู้สึกที่ช้าเสมอ│ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 17-02-2021 00:17:02
เป็นปันเองที่จะหนีซิก,,,


หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 20 อดีตที่ต้องก้าวผ่าน│ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: LYNJIIN ที่ 21-02-2021 01:51:22
รักบังตา

Chapter 20

อดีตที่ต้องก้าวผ่าน



[ Sik ]

“กูไม่อยากให้มึงมาหากูอีกแล้วซิก”

ผมมองปันที่ก้มหน้านิ่งหลังจากพูดประโยคนั้นออกมา ไม่รู้มันรู้ตัวรึเปล่าว่าตัวเองเป็นคนที่เก็บสีหน้าไม่เก่งเลยแม้แต่นิดเดียว ถ้ามันเลือกที่จะให้ผมไป มันก็ไม่ควรทำหน้าราวกับว่าตัวเองเป็นคนที่โดนทิ้งอยู่แบบนี้รึเปล่า ผมวางมือลงบนหัวของปันและออกแรงผลักเบา ๆ

“ถ้ามึงสัญญาว่าจะดูแลตัวเองให้ดี กูจะไม่มาให้มึงเห็นหน้าเลย”

“..” ผมยีหัวคนที่เงยหน้าขึ้นมามองจนมันเบี่ยงตัวหลบ

“เพราะงั้นมึงต้องดูแลตัวเองให้ดีมาก ๆ กินข้าวให้อิ่มทุกมื้อ เวลานอนก็ห่มผ้าหนา ๆ แล้วก็รักษาตัวให้หาย ถ้ามึงทำตามที่กูขอได้ กูก็จะทำตามที่มึงขอเหมือนกัน เข้าใจไหม” เพราะมันทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ผมถึงได้ตัดสินใจเดินออกไปจากห้องนั้น

ผมรู้ดีว่าตัวเองทำตามที่ปันขอไม่ได้ แต่ตราบใดที่มันไม่รู้ว่าผมมาหา ผมก็จะถือว่าผมไม่ได้ผิดสัญญา ถึงยังไงผมก็ไม่ใช่คนดีขนาดนั้นมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว

อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมยอมเดินถอยออกมา เพราะว่าทุกคนเจ็บปวดกันมากเกินพอแล้ว และทุกอย่างควรจะดีขึ้นตั้งนานแล้ว อุบัติเหตุครั้งนั้นมันจบไปตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน ไม่ว่าจะเป็นเพราะผมขับรถเร็วเกินไป หรือเป็นเพราะปันวิ่งตัดหน้ารถผม ไม่ว่าใครจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้พี่ซินตาย 

เรื่องของสองปีก่อน.. มันสิ้นสุดไปตั้งแต่วันที่ร่างของพี่ซินโดนเผาจนเหลือแต่เถ้ากระดูกแล้ว

“ฮือ.. ซิน.. ฮึก ซิน ! ทรมานมากเลยใช่ไหมลูก ฮือ.. แม่ขอโทษนะซิน แม่ขอโทษนะลูก..” 

ผมยังจำเสียงสะอื้นพร้อมทั้งคราบนี้ตาของแม่ในวันนั้นได้ดี
 
“เห็นว่าลูกชายคนเล็กอายุแค่สิบหกเองนะ ไม่รู้ว่าให้เด็กขับรถได้ยังไง คนเป็นพ่อเป็นแม่จะอยู่ยังไงล่ะทีนี้”

เสียงซุบซิบนินทาที่นึกย้อนกลับไปกี่ครั้ง ก็ยังคงดังชัดอยู่ในความทรงจำ

“ซิก.. กินข้าวสักหน่อยนะลูก กินข้าวนะซิน.. ฮึก”

แม้กระทั่งในวันที่ผมยืนอยู่ต่อหน้าแม่ตรงนั้น แต่คนที่แม่พร่ำเรียกหากลับเป็นพี่ซิน ผมก็ยังไม่เคยลืม

ความสูญเสียมันบาดและฝังลึกเข้าไปในจิตใจจนราวกับว่าไม่มีวันจะเยียวยาให้หายได้อีก ผมคิดแบบนั้นมาตลอดก่อนมาเจอปัน วันแรกที่เจอปัน ผมจำได้ว่าตัวเองยืนมองทางม้าลายบนถนนอยู่นาน จนมีคน ๆ หนึ่งเดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ แล้วก็มองไปยังที่เดียวกัน ท่าทางลังเลและกังวลของมันอยู่ในสายตาของผมโดยที่มันไม่รู้ตัว ผมละสายตาจากถนนมามองคนที่ค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าทั้ง ๆ ที่มือสั่นไม่หยุด

มันพยายามฝืนก้าวไปข้างหน้าทั้ง ๆ ที่กลัวจนมือสั่นเนี่ยนะ

ผมยืนมองภาพนั้นจนสังเกตได้ว่าแผ่นหลังของคนตรงหน้าหยุดนิ่งอยู่กลางถนน ความรู้สึกที่ผมเองก็ไม่เข้าใจเริ่มก่อตัวขึ้นมาตั้งแต่วินาทีนั้น ผมแทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำในตอนที่เดินออกไปคว้าแขนของมันเอาไว้ และอีกในหลายต่อหลายครั้งที่ผมทั้งฉุดและรั้งปันเอาไว้ เพียงแค่เพราะความรู้สึกอยากปกป้องที่เกิดขึ้น 

ในตอนแรกผมคิดว่ามันเป็นความรู้สึกผิดที่ผมอยากชดใช้ให้พี่ซินด้วยการพยายามปกป้องใครสักคน แต่จริง ๆ แล้วกลับกลายเป็นว่าปันต่างหากคือเหตุผลที่ทำให้ผมก้าวข้ามผ่านเรื่องของพี่ซินไปได้จริง ๆ โดยที่ไม่รู้สึกติดค้างอะไรอีก คงเพราะแบบนี้ผมถึงสูญเสียปันไปไม่ได้เหมือนกัน

ผมจอดรถอยู่ที่หน้าบ้านของแม่ รถยนต์ที่จอดอยู่ทำให้รู้ว่าแม่อยู่ในบ้าน สวนหน้าบ้านที่แม่กับพี่ซินเคยจัดไว้ด้วยกันยังคงมีลักษณะไม่ต่างจากเมื่อก่อน บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าคนที่ดูแลตั้งใจให้มันเป็นแบบนั้น ผมมองความทรงจำที่ย้อนกลับมาอย่างไม่ตั้งใจ ก่อนจะยิ้มออกมา

“ซิกถ่ายรูปให้พี่หน่อย เอาแบบสวย ๆ เลยนะ”

เพราะมัวแต่เสียใจกับการจากไป เลยไม่เคยรู้ว่าบางความทรงจำที่มีพี่ซินอยู่มันดีมากแค่ไหน 

“ซิกเหรอลูก” เสียงทักของแม่ทำให้ผมหันไปมอง แม่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตกับกางเกงขายาว

“ครับ แม่เพิ่งกลับมาจากทำงานเหรอ”

“ใช่ วันนี้แม่เลิกงานเร็ว ว่าแต่ซิกมาหาแม่มีอะไรรึเปล่า เข้ามาในบ้านก่อนมา เดี๋ยวแม่ทำอะไรให้กิน”

“ผมมาหาแม่เรื่องปัน” แม่หยุดเดินและหันกลับมามองหน้าผมทันทีที่ได้ยินแบบนั้น 

“ซิกมีอะไรจะคุยกับแม่เหรอ” ผมรู้สึกได้ถึงน้ำเสียงและแววตาของแม่ที่เปลี่ยนไป

“ที่แม่เคยบอกผมว่าจะอยู่บ้านหลังนั้นกับใครก็ได้ที่ไม่ใช่ปัน ผมแค่อยากบอกให้แม่รู้ไว้ว่าเป็นเพราะปันผมถึงยังอยู่ในบ้านหลังนั้นได้นะ”

“ทำไมซิกพูดแบบนี้ล่ะ ซิกก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าเด็กคนนั้น.. เพราะเด็กคนนั้นซินถึงได้ตาย” เสียงของแม่เริ่มสั่นขึ้นมา
 
“แม่แน่ใจเหรอ ว่าทั้งหมดมันเป็นเพราะปันจริง ๆ ถ้าวันนั้นผมไม่ขับรถเร็วขนาดนั้น ถ้าวันนั้นผมเชื่อพ่อแล้วยอมให้เขาขับรถแทน ถ้าทุกอย่างมันเป็นแบบนั้น พี่ซินก็คงไม่ตายเหมือนกัน”

“ซิก..” ผมเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าแม่และเอื้อมไปจับมือของท่านเอาไว้

“แม่ก็รู้ใช่ไหม”

“..”

“แม่จะดุ จะด่า จะตีผมยังไงก็ได้”

“..”

“ถ้าแม่รู้สึกเจ็บปวด แม่โทษให้เป็นความผิดของผมได้นะ แม่อย่ารู้สึกว่าต้องชดใช้อะไรให้ผมอีกเลย.. ผมไม่ใช่พี่ซินนะแม่” น้ำตาของแม่ไหลลงมาขณะที่มือของท่านสั่นไปหมด

“ฮึก..ซิก..”

“แม่อย่าโทษปันเรื่องนี้อีกเลยนะ.. ผมขอร้อง” แม่ร้องไห้สะอื้นจนไหล่สั่น มือที่สั่นเทาของแม่เลื่อนมาตีแขนผม

“ฮือ.. ทำไม..ฮึก ทำไมถึงทำแบบนี้” น้ำหนักมือที่ตีแขนผมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับเสียงสะอื้นที่ดังขึ้น ผมยืนนิ่งให้แม่ทุบตีอยู่ตรงนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งครั้งสุดท้ายที่ท่านเงยหน้ามองผมทั้งน้ำตา ท่านชะงักมือที่กำลังตี ก่อนจะเอื้อมมือมาปาดน้ำตาบนใบหน้าของผม

“ผมขอโทษนะ”

ผมไม่หวังให้แม่ยอมรับคำขอโทษและให้อภัยผมในตอนนี้

ผมแค่อยากให้ท่านปล่อยวางและไม่ต้องเจ็บปวดอีกต่อไป

แค่นั้นเอง 

หลังจากที่แม่ร้องไห้จนไม่มีน้ำตาไหลออกมาแล้ว ท่านก็เดินเข้าบ้านไปโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ ผมขับรถกลับบ้านไปด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง ผมไม่เคยอยากเห็นแม่ร้องไห้และยิ่งเกลียดเวลาที่รู้ว่าแม่ร้องไห้เพราะผม แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้ท่านคงไม่มีวันเลิกโทษปันได้
 
เช้าวันถัดมาผมไปมหาลัยตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือสายตาของทั้งไอ้เต ไอ้ฟลุ๊ค หรือแม้แต่เฌอแตมที่สลับกันแอบมองหน้าผมจนผมเกือบจะลุกออกไปหลายรอบเพราะความรำคาญ

“มีอะไรติดหน้ากูรึไง พวกมึงถึงเอาแต่มองหน้ากูอยู่ได้” ผมถามขึ้นเมื่อเห็นว่าอาจารย์ลุกออกไปจากห้องแล้ว

“พวกกูไม่มีอะไรเลยซิก ว่าแต่มึงเหอะ เป็นอะไรรึเปล่า สีหน้ามึงแย่ชิบหายเลยรู้ตัวบ้างไหม” ไอ้เฌอพยักหน้าเห็นด้วยกับไอ้ฟลุ๊ค มันรีบพูดเสริมขึ้นมาทันที

“มึงทำหน้าเหมือนกับมีฝนตกอยู่บนหัวมึงอะซิก”

“เหรอวะ กูไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้นแหละ ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของกูหรอก”

“โอเค ไม่ยุ่งก็ได้ครับเพื่อน แต่เรื่องของไอ้ปัน กูว่าควรยุ่งหน่อยนะ”

“ปันทำไมวะ”

“ต้นเดือนหน้าสอบมิดเทอมละนะ คือถ้ามันจะไม่มาเรียนก็ไม่ใช่ปัญหาหรอก แต่ถ้ามันไม่มาสอบ แม่งก็ดรอปทุกตัวเลยนะ บางวิชาก็เป็นตัวต่ออีก สรุปอาการมันเป็นยังไงบ้างเนี่ย จะเล่าให้พวกกูฟังได้ยัง”

“กูไม่รู้จะเล่ายังไงว่ะ พวกมึงรู้แค่ว่าปันมีปัญหาอยู่ก็พอ ส่วนเรื่องสอบ เดี๋ยวกูค่อยไปคุยกับพี่ของปันเอง”

“เฮ้อ เอาเถอะ ยังไงก็ไม่ใช่เรื่องของพวกกูอยู่แล้ว แค่ให้มันมาสอบก็พอ กูไม่อยากเห็นเพื่อนโดนไล่ออกตั้งแต่เทอมแรก” 

แทบจะทุกวันหลังจากเรียนเสร็จ ผมก็มักจะขับรถไปชลบุรี ปันถูกย้ายให้ไปอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งใหม่ที่จิตแพทย์เจ้าของไข้ประจำอยู่ พอปันถูกย้ายไปอยู่ที่แผนกจิตเวช การเข้าเยี่ยมก็ยากขึ้นเพราะทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ป่วย ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่เคยถูกอนุญาตให้เข้าเยี่ยม ผมเข้าไปคุยกับหมอพฤษบ้างบางครั้งเพื่อถามถึงอาการของปัน เขาเองก็ตอบไม่ได้ว่าปันจะหายเป็นปกติจนสามารถออกมาใช้ชีวิตข้างนอกได้เมื่อไหร่

ช่วงหนึ่งอาทิตย์ก่อนสอบผมไม่ได้ไปเยี่ยมปันเพราะต้องทำงานกลุ่มและโดนไอ้เตลากไปอ่านหนังสือ ผมจึงได้แต่เอาชีทสรุปเนื้อหาที่เรียนทั้งหมดไปให้พี่ปัทเพื่อฝากเอาไปให้ปัน
 
“ซิกโอเครึเปล่า ให้พี่ลองคุยกับปันให้ไหม เผื่อปันจะเปลี่ยนใจให้ซิกเข้าไปเยี่ยมบ้าง”

“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่อยากให้มีอะไรไปกวนใจปัน”

“แล้วซิกล่ะ ถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ คนที่มีอะไรกวนใจจะกลายเป็นซิกเองน่ะสิ พี่รู้นะว่าเรารู้สึกยังไงกับปัน” สีหน้าของพี่ปัทฉายแววเห็นใจออกมาตอนที่พูดออกมา

“ผมรู้สึกยังไงกับปันมันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าปันไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกัน”

“ซิกมั่นใจเหรอว่าปันไม่ได้รู้สึกอะไรกับซิกจริง ๆ ที่พี่พูดไม่ใช่เพราะอยากเข้าข้างซิก แต่พี่พูดเพราะว่าพี่รู้จักปันมาทั้งชีวิตนะ”

“..”

“เอาเป็นว่าพี่จะลองคุยกับปันดูนะ โอเคไหม เรื่องสอบก็เหมือนกัน ปันยังไม่เคยพูดเรื่องดรอปเรียนหรือลาออกเลย พี่จะลองถามให้”

หลังจากที่คุยกับพี่ปัทไปวันนั้น พี่ปัทก็เงียบหายไปด้วยเลยอีกคน จนกระทั่งวันสอบมิดเทอมวันแรกมาถึง วิชาแรกเริ่มสอบประมาณบ่ายโมงครึ่ง ตอนนี้เป็นเวลาประมาณบ่ายโมงยี่สิบแล้ว ก็ยังคงปราศจากเงาของคนที่ผมมองหา อาจารย์เรียกนักศึกษาเข้าห้องสอบแล้ว แต่ผมก็ยังยืนอยู่ที่เดิม ไอ้เตเดินมาตบบ่าของผม ก่อนจะเข้าห้องสอบไปอีกคน แม้จะเลยเวลาสอบไปแล้วแต่ผมก็ยังไม่ได้ขยับไปไหน สายตายังคงมองไปยังโถงทางเดินที่ว่างเปล่า

จะไม่มาจริง ๆ เหรอวะปัน






หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 20 อดีตที่ต้องก้าวผ่าน│ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 21-02-2021 03:19:00
 :hao5:
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 20 อดีตที่ต้องก้าวผ่าน│ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 21-02-2021 18:19:47
อยากรู้ผีจะเอาไงต่อ
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 20 อดีตที่ต้องก้าวผ่าน│ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 21-02-2021 22:35:34
 :serius2:
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 20 อดีตที่ต้องก้าวผ่าน│ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 21-02-2021 23:14:41
จะเป็นยังไงต่อละครับทีนี้,,,

ติดตามครับ,,,
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 21 ความในใจ│ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: LYNJIIN ที่ 28-02-2021 03:41:25


รักบังตา

Chapter 21

ความในใจ



[ Pun ]

“เราจะไม่บอกซิกจริง ๆ เหรอว่าจะออกจากโรงพยาบาลแล้ว” ผมชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเอื้อมมือไปเก็บเสื้อผ้าที่พับไว้ลงกระเป๋าด้วยท่าทีปกติ

“ทำไมปันต้องบอกเขาด้วย”

“ถ้ามึงสัญญาว่าจะดูแลตัวเองให้ดี กูจะไม่มาให้มึงเห็นหน้าเลย”

หลังจากที่ซิกพูดประโยคนั้นออกมา เขาก็ไม่ได้กลับมาอีกจริง ๆ ผมใช้เวลาเกือบเดือนรักษาตัวอยู่ที่แผนกจิตเวชโดยที่หมอพฤษเริ่มต้นการรักษาแบบบำบัดความคิดและพฤติกรรม ในช่วงแรกที่เข้าร่วมการรักษา ทั้งกลางวันและกลางคืนต่างก็ทรมานมากสำหรับผม เมื่อไหร่ก็ตามที่หลับตา ผมจะฝันถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับม้วนฟิล์มที่ถูกฉายซ้ำวนไปมา พอถึงคราวที่ต้องลืมตาตื่น ภาพพี่สาวของซิกก็ตามมาหลอกหลอนจนผมเกือบจะใช้ชีวิตต่อไปไม่ได้

ผ่านไปได้ไม่กี่วัน หมอพฤษก็เริ่มให้ผมกินยากล่อมประสาทร่วมกับการบำบัดทางจิตไปเรื่อย ๆ เขาพยายามอย่างมากที่จะช่วยให้ผมไม่ต้องเห็นภาพลวงตาเหล่านั้นอีก เขาบอกว่าสิ่งที่ผมเห็นเป็นเพียงแค่สิ่งที่จิตใต้สำนึกของผมสร้างขึ้นเท่านั้น

หลังจากที่บำบัดไปได้สักพัก หมอพฤษก็ค่อย ๆ ลดจำนวนยาที่ใช้ลง เมื่อผมไม่ค่อยเห็นภาพพี่สาวของซิกอีก อาการนอนไม่หลับของผมดีขึ้นมาก แต่อาจจะยังพูดได้ไม่เต็มปากว่าหายสนิท ทั้ง ๆ ที่อาการทุกอย่างเริ่มจะดีขึ้น แต่ไม่รู้เพราะอะไร ผมถึงได้รู้สึกวูบโหวงในใจอยู่ตลอดเวลา
 
ก๊อก ก๊อก

หมอพฤษเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มที่เห็นจนชินตา เขาพยักหน้ารับเมื่อเห็นผมยกมือไหว้

“วันนี้จะออกจากโรงพยาบาลแล้วใช่ไหมครับปัน”

“ครับ”

“ผมขอคุยกับปันสองคนสักครู่ได้ไหมครับคุณปัท” ประโยคที่หมอพูดออกมาทำให้ผมต้องหันไปมองหน้าเขา

“ได้ค่ะ เชิญตามสบายเลย พี่ออกไปรอข้างนอกนะปัน”

เมื่อเหลือเพียงแค่ผมและหมอพฤษเพียงแค่สองคนภายในห้อง เขาก็ก้าวเข้ามาใกล้ ก่อนจะเอ่ยถามคำถามที่ผมได้ยินทุกวันจนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

“รู้สึกยังไงบ้างครับวันนี้”

“ปกติครับ เมื่อคืนก็นอนหลับโดยไม่ตื่นขึ้นมากลางดึกด้วย” 

“หมอมาให้การบ้านชิ้นสุดท้ายก่อนปันกลับบ้าน” ผมเลิกคิ้วมองหมอพฤษด้วยความสงสัย ตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่นี่ ผมต้องหาคำตอบให้กับคำถามของหมอพฤษทุกครั้งที่เจอกัน คำถามส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องส่วนตัว จนผมแทบจะบอกทุกเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเองไปหมดแล้ว ดังนั้นผมจึงไม่คิดว่าเขาจะอยากรู้อะไรเพิ่มอีก

“หลังจากนี้ปันอาจจะรู้สึกเหมือนกับว่าชีวิตเพิ่งผ่านพ้นพายุลูกใหญ่ไป และพายุลูกนั้นก็ทิ้งความเสียหายที่ยากจะซ่อมแซมเอาไว้” หมอพฤษเว้นวรรคไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ

“บาดแผลจากซากปรักหักพังพวกนั้นอาจจะทำให้ปันรู้สึกเจ็บปวดจนเจียนตายในบางครั้ง แต่ปันก็รู้ใช่ไหม.. ในท้ายที่สุดแล้วบาดแผลพวกนั้นก็จะตกสะเก็ดและหายดี ปันแค่ต้องให้เวลากับมันหน่อย”

“แล้วถ้ามันไม่หายล่ะครับ ถ้าหากว่าผมต้องรู้สึกเจ็บปวดจากแผลพวกนั้นไปจนวันตาย..”

“สัญญากับหมอได้ไหมครับว่าจะอดทนรอจนถึงที่สุด” สายตาของหมอพฤษที่มองมาเต็มไปด้วยความคาดหวัง มันทำให้ผมไม่อยากสบตาด้วยจนต้องก้มหน้าลง ก่อนจะเผลอมองไปยังแผลเป็นที่มือโดยไม่ตั้งใจ

“..”

“ไม่อยากลองพยายามดูสักครั้งเหรอครับปัน”

“ผมจะลองดูครับ” หมอพฤษระบายยิ้มออกมาเมื่อได้ยินแบบนั้น

“วันไหนที่ปันรู้สึกว่าจะรักษาสัญญาไว้ไม่ได้ ต้องกลับมาหาหมอทันทีนะครับ นี่เป็นการบ้านชิ้นสุดท้ายที่หมอจะให้ปัน” หมอพฤษพูดราวกับว่านี่จะเป็นการเจอกันครั้งสุดท้าย ทั้ง ๆ ที่เมื่อวานเขาเพิ่งเขียนใบนัดให้ผมมาเจออีกครั้งในเดือนหน้า แต่คิดในอีกมุมก็อาจจะเป็นเพราะเขากลัวว่าผมจะอดทนได้ไม่ถึงเดือนหน้า ถึงได้ให้การบ้านชิ้นนี้มา

หลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลมา พี่ปัทก็พาผมไปอยู่ที่คอนโดด้วยกัน โทรศัพท์ที่โดนยึดไปตั้งแต่เข้าโรงพยาบาลเต็มไปด้วยแจ้งเตือนมากมาย เมื่อเปิดดูก็พบว่าเป็นข้อความและไฟล์เรียนที่ถูกส่งมาจากคน ๆ เดียว ผมมองชื่อคนส่งค้างไว้นาน ก่อนจะเก็บโทรศัพท์ไปโดยที่ไม่ได้เปิดอ่านแม้แต่ข้อความเดียว

ผมมองปฏิทินที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ เมื่อลองคำนวณในใจดูคร่าว ๆ แล้ว ช่วงนี้น่าจะเป็นสัปดาห์นรกก่อนสอบที่ทุกคนกำลังอ่านหนังสือหนีตายกันอยู่ ในขณะที่กำลังคิดอะไรอยู่นั้น ประตูห้องก็ถูกเปิดออกพอดี

“ยังไม่นอนเหรอปัน หรือว่านอนไม่หลับ” พี่ปัททักขึ้นเมื่อเห็นผมนั่งอยู่ที่ห้องรับแขก

“ปันแค่ยังไม่ง่วง ที่ร้านเป็นไงบ้างครับ” ผมลุกขึ้นเดินไปช่วงพี่ปัทถือของ แต่พี่ปัทกลับยื่นมาให้แค่กระดาษปึกหนึ่งในมือมาให้แทน

“ซิกฝากมาให้ปัน” มือที่กำลังเอื้อมไปรับชะงักไปเมื่อได้ยินแบบนั้น พี่ปัทถอนหายใจออกมาเบา ๆ และยัดชีทใส่มือของผม

“เพราะปันรู้สึกผิดกับซิกใช่ไหม ถึงได้เอาแต่หลบหน้าเขาอยู่แบบนี้”

“..”

“มีอะไรก็คุยกันนะปัน อย่างน้อยก็คุยกับซิกบ้าง เขาจะได้เข้าใจ”

“ครับ”

“แล้วก็อย่าลืมบอกซิกด้วยนะ ว่าออกจากโรงพยาบาลแล้ว เขาจะได้ไม่ต้องไปหาปันที่ชลบุรีอีก”

“..”

“พี่ไม่อยากให้ปันเอาแต่รู้สึกผิดจนมองข้ามความรู้สึกจริง ๆ ของตัวเองไปนะ”

คำพูดของพี่ปัทย้ำให้รู้ว่าผมทิ้งความรู้สึกของตัวเองไปนานแล้ว ทิ้งไปตั้งแต่วันที่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นคือพี่สาวของซิก

ข้อความยังถูกส่งมาจากใครคนเดิมทุกวันไม่ขาด แม้กระทั่งก่อนสอบวันสุดท้าย ผมละสายตาจากข้อสอบเก่าที่กำลังทำไปสนใจโทรศัพท์ที่สั่นแจ้งเตือนข้อความบนหน้าจอ

‘ พรุ่งนี้สอบวันแรก ’

ในตอนที่ผมกำลังปิดแจ้งเตือนและกลับไปสนใจข้อสอบ สายตาก็เห็นข้อความใหม่ที่ถูกส่งมาพอดี

‘ จะรอนะ ’

ข้อความสั้น ๆ ไม่กี่คำกลับทำให้ผมรู้สึกวูบไหวอยู่ในอกจนเผลอมองข้อความนั้นค้างอยู่นาน

วันรุ่งขึ้น พี่ปัทขับรถมาส่งผมถึงตึกสอบ แต่เพราะไม่อยากที่จะเจอหน้าเจ้าของข้อความเมื่อคืน ผมถึงได้เอาแต่เดินวนไปมาอยู่ด้านล่าง จนกระทั่งนาฬิกาบอกเวลาที่ให้เข้าห้องสอบแล้ว ผมจึงได้เดินขึ้นบันไดไป เมื่อก้าวขึ้นบันไดขั้นสุดท้าย สายตาก็ปะทะเข้ากับคนที่ยืนนิ่งอยู่หน้าห้องสอบและมองตรงมาที่ทางเดินพอดี เขามองหน้าของผมโดยที่ไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะเดินเข้าห้องสอบไป

ผมเดินเข้าห้องสอบเป็นคนสุดท้าย และออกก่อนเป็นคนแรกเนื่องจากตั้งใจที่จะเว้นบางข้อเอาไว้ ผมรีบออกจากห้องสอบก่อนที่ซิกจะทำเสร็จตลอด ทำแบบนี้จนกระทั่งถึงวันสุดท้ายของวันสอบ ผมกับซิกถึงได้ยังไม่เคยเจอหน้ากันจัง ๆ สักครั้ง
 
ในตอนที่เดินออกมาจากห้องสอบวันสุดท้าย ผมเลือกที่จะเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำ ก่อนจะได้ยินเสียงพูดคุยที่คุ้นเคยดังใกล้เข้ามา เมื่อสังเกตเห็นว่ากลุ่มคนพวกนั้นกำลังจะเดินเข้ามาในห้องน้ำ ผมจึงรีบเดินเข้าไปหลบในห้องน้ำห้องหนึ่ง

“เหี้ย อาจารย์สุพลออกข้อสอบอะไรของแกวะ แกเคยสอนเรื่องนี้ในห้องด้วยเหรอวะ กูไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

“มึงเคยรู้เรื่องอะไรเถอะบ้างไอ้ฟลุ๊ค กูเห็นมึงบ่นยากตั้งแต่วันแรกยันวันสุดท้ายเลยนะ”

“เออดิ ว่าแต่พวกมึงเห็นไอ้ปันบ้างปะ กูจะชวนมันไปแดกชาบู แม่งก็เดินออกจากห้องเร็วชิบหาย หรือว่าที่มันไม่มาเรียน จริง ๆ แล้วคือมันไปซุ่มอ่านหนังสือมาวางยาเพื่อนวะ” ผมสะดุ้งตัวเล็กน้อยในตอนที่ได้ยินชื่อของตัวเอง

“เสร็จกันยัง ถ้าเสร็จก็ออกกันไปได้แล้ว” เสียงคุ้นหูของคนที่ทำให้ผมต้องมาหลบอยู่ในห้องน้ำดังขึ้นมา

“อ้าว แล้ว..”

เสียงโวยวายของฟลุ๊คขาดหายไป แต่ผมก็ยังคงยืนอยู่ในห้องน้ำอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งแน่ใจว่าเสียงฝีเท้าเดินห่างออกไปและไม่มีใครเหลืออยู่แล้ว ถึงได้เปิดประตูออกมา ก่อนจะต้องสะดุ้งตกใจเมื่อเห็นเงาสะท้อนในกระจกห้องน้ำเป็นคนที่พยายามหลีกเลี่ยงมาตลอดยืนพิงผนังราวกับว่ากำลังรออยู่

“ตกใจขนาดนั้นเลยเหรอ”

“มึงมาอยู่นี่ได้ไงวะ..”

“แล้วมึงล่ะ ทำไมถึงไปหลบอยู่ในห้องน้ำ” น้ำเสียงและสีหน้าของซิกนิ่งเสียจนผมเดาไม่ออกว่าเขาอยู่ในอารมณ์ไหน
 
“ก็..”

“ไม่อยากเห็นหน้ากูขนาดนั้นเลยเหรอ”

“..”

“ไม่อยากเห็นมากถึงขนาดที่ต้องหลบหน้ากันเลยเหรอ” วูบหนึ่งผมเห็นแววตาของคนตรงหน้าฉายแววตัดพ้อออกมา ก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว

“อย่าทำแบบนี้เลยซิก”

“กูทำอะไรวะปัน ตอนนี้กูยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”

“ช่างเถอะ กูไม่มีอะไรจะคุยกับมึงแล้ว” ผมหันหลังจะเดินออกไป แต่ข้อมือก็โดนอีกคนฉุดและดึงให้เดินไปด้วยกันซะก่อน

“ซิก ! จะทำอะไรวะ” ซิกปล่อยข้อมือของผมให้เป็นอิสระ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“เรามีเรื่องต้องคุยกัน หรือถ้ามึงจะให้กูพูดทุกอย่างตรงนี้ กูก็ไม่ติดนะปัน” นักศึกษาบางคนเริ่มหันมามองจนผมต้องจำใจเดินตามซิกไปอย่างห้ามไม่ได้

“มึงจะไปคุยที่ไหน” ผมถามขึ้นมาตอนที่เดินตามซิกมาจนถึงรถของเขา

“บ้าน”

เพราะกำลังคิดว่าจะหาเวลาไปเก็บของที่บ้านเขาอยู่พอดี ผมจึงไม่ได้แย้งอะไรออกไป ถ้าเกิดพูดกันแล้วทุกอย่างมันจบ ผมจะได้ไม่ต้องมาเจอหน้าเขาอีกครั้งให้ปวดใจเล่น ๆ 

“อยากจะคุยอะไรวะซิก” ผมถามซิกทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในบ้าน 

“มึงไม่รู้จริง ๆ หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้วะปัน”

“..”

“ทำไมมึงถึงเอาแต่หลบหน้ากูวะ”

“ตอนนั้นมึงพูดเองไม่ใช่เหรอว่าจะไม่มาให้กูเห็นหน้าอีก” ประโยคนั้นของผมราวกับเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีที่ทำให้คนตรงหน้าเดือดขึ้นมาอย่างง่ายดาย

“มึงคิดแบบนั้นจริง ๆ ดิ ตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน มึงไม่เคยมีความสุขเลยเหรอวะปัน”

“กูเป็นคนทำให้มึงต้องเสียพี่สาวไปนะ”

“มึงตอบไม่ตรงคำถามนะปัน”

“ความรู้สึกกูจะมีประโยชน์อะไรวะ ครอบครัวมึงจะรู้สึกยังไงที่ต้องเห็นลูกชายเขาอยู่กับคนที่ทำให้ลูกสาวเขาตายอะซิก เขาต้องรู้สึกยังไงวะ.. กูยังรับตัวเองที่เป็นแบบนั้นไม่ได้เลย ตอนนี้กูทำใจไม่ได้ด้วยซ้ำที่ตัวเองยังใช้ชีวิตได้ปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น” สีหน้าของซิกเปลี่ยนไปทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่ผมพูด

“ปัน..”

“แล้วมึงรู้ไหมว่ากูยิ่งเกลียดตัวเองมากขึ้นไปอีกที่รู้สึกกับมึงมากกว่าเพื่อน”







--------------------------------------------
ขอโทษด้วยนะคะที่อัพช้ามาก พอดีเข้าช่วงสอบแล้ว
งานหนักมากจริง ๆ จนไม่มีเวลาเขียนเลยค่ะ
จริง ๆ แล้วเรื่องนี้อีกไม่เกิน 3 ตอนก็น่าจะจบแล้วนะคะ แต่ตอนที่เหลืออาจจะอัพช้ามาก
ขอโทษทุกคนที่รอด้วยนะคะ ;-;
LYNJIIN




หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 21 ความในใจ│ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 01-03-2021 20:54:43
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 21 ความในใจ│ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 02-03-2021 00:03:40
สารภาพไปแล้ว ซิกจะเอายังไงต่อ,,,
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 21 ความในใจ│ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 02-03-2021 08:21:24
 :hao5:
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 22 แค่หนึ่งวัน│ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: LYNJIIN ที่ 05-03-2021 02:38:39



รักบังตา

Chapter 22

แค่หนึ่งวัน



[ Sik ]

“แล้วมึงรู้ไหมว่ากูยิ่งเกลียดตัวเองมากขึ้นไปอีกที่รู้สึกกับมึงมากกว่าเพื่อน”

“ปัน คือ..” ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดจบประโยคดี คนตรงหน้าก็พูดแทรกในสิ่งที่ทำให้ผมต้องขมวดคิ้ว

“กูเกลียดตัวเองที่เคยรู้สึกแบบนั้น”

“เคย ?” ผมต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะคุยกับปันให้รู้เรื่องโดยที่ไม่หลุดพาลใส่มัน คำพูดของมันทำให้ผมอยากจับตัวมันเขย่าแรง ๆ เพื่อเรียกสติ หากแต่ตอนนี้กลับทำได้เพียงควบคุมอารมณ์หงุดหงิดที่กำลังเริ่มปะทุอยู่ภายในใจเท่านั้น

“ตอนนี้กูไม่ได้รู้สึกอะไรกับมึงอีกแล้ว” 

“มึงแน่ใจเหรอว่าไม่รู้สึกอะไรกับกูแล้วจริง ๆ ความรู้สึกมันห้ามกันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอวะ” ปันเป็นคนที่โกหกไม่เก่งเลยแม้แต่นิดเดียว ความรู้สึกทุกอย่างฉายชัดออกมาทางสีหน้าและแววตาจนคำพูดของมันแทบจะไร้ความหายไปแล้วด้วยซ้ำ

“แล้วมึงจะทำยังไงถ้ากูบอกว่ากูก็รู้สึกแบบเดียวกับมึง จะห้ามไม่ให้กูมาเจอหรือจะหลบหน้ากูอีกไหม”

“..” 

“กูไม่ได้ห้ามความรู้สึกได้แบบมึงนะ และถึงทำได้ กูก็ไม่ทำ”

“คนแบบกูไม่สมควรได้รับความรู้สึกอะไรทั้งนั้นซิก กูไม่ได้มีค่าขนาดนั้น โดยเฉพาะกับมึง อย่าลืมดิ.. ความทรมานที่มึงต้องเจอตลอดสองปีที่ผ่านมาอะ” แววสั่นไหวของปันทำให้ผมรู้สึกราวกับว่าหัวใจกำลังถูกบีบอย่างช้า ๆ

“..”

“การที่กูเห็นหน้ามึง มันยิ่งตอกย้ำให้กูรู้สึกแย่เข้าไปอีก เพราะงั้น.. ปล่อยกูไปเถอะนะซิก ใช้ชีวิตของมึงต่อไปเหมือนตอนที่ไม่เคยเจอกูมาก่อน”
ปันไม่ได้รอให้ผมพูดอะไรต่อ เมื่อพูดสิ่งที่ต้องการจบ มันก็หันหลังและเตรียมตัวจะเดินออกไป กลับกลายเป็นผมเองที่ก้าวไปเพื่อรั้งมันเอาไว้ ร่างของปันหยุดนิ่งเมื่อถูกสวมกอดไว้จากทางด้านหลัง ผมซบหน้าลงกับไหล่ด้านหนึ่งของปัน แผ่นหลังของมันเกร็งขึ้นจนผมรู้สึกได้

“แล้วกูล่ะปัน.. ความรู้สึกที่กูมีให้มึง มึงคิดว่ามันไม่มีค่าเหมือนกันรึเปล่า”

“..”

“กูรักมึงนะปัน”

ถ้อยคำที่ไม่เคยคิดว่าทั้งชีวิตนี้จะได้พูดมันกับใครสักคนถูกใช้เพื่อบอกกับคนตรงหน้า

ผมไม่ได้พูดเพื่อที่จะรั้งปันเอาไว้ แต่พูดเพื่อขอให้ปันรับรู้ถึงสิ่งที่อยู่ภายในใจของผมจริง ๆ

“ซิก..” น้ำเสียงของปันไม่เหลือความมั่นคงเลยแม้แต่นิดเดียว

“กูขอเวลาแค่วันเดียวได้ไหม แค่วันเดียวที่กูจะทำให้มึงรู้ว่ากูรู้สึกอย่างที่พูดจริง ๆ แล้วถ้าหลังจากนั้นมึงยังยืนยันว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับกูอยู่.. กูจะยอมปล่อยมึงไปโดยที่ไม่รั้งไว้อีก”

“...”

ปันเงียบไปนานจนผมไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ จนกระทั่งได้ยินประโยคถัดไปที่ดังออกมาจากปากของปัน

“วันเดียว.. แค่วันเดียวแล้วมึงจะออกไปจากชีวิตกูใช่ไหม”

ปันแม่ง..

ใจร้ายจังวะ

ผมเลื่อนลงไปจับมือของปัน ก่อนจะดึงให้เดินไปด้วยกัน คนที่โดนฉุดแบบไม่ทันตั้งตัวจึงร้องเสียหลงทันที

“เดี๋ยวก่อนซิก ! มึงจะไปไหนอีกวะ” ผมหยุดเดินและหันไปมองหน้าของปัน ขอบตาของมันแดงราวกับคนที่ใกล้จะร้องไห้เต็มที

“มึงบอกเองไม่ใช่เหรอว่าจะให้เวลากูแค่วันเดียว คงไม่คิดว่ากูจะปล่อยให้มึงอยู่เฉย ๆ จนครบยี่สิบสี่ชั่วโมงใช่ไหม”

“แล้วมึงจะพากูไปไหนวะ”

“ไม่ต้องถามหรอก แค่ตามกูมาก็พอ” สีหน้าของปันยังคงไม่คลายความสงสัย แต่มันก็ไม่ได้ถามอะไรอีก

บรรยากาศข้างทางเปลี่ยนไปตามเส้นทางที่ขับรถผ่าน จากภาพที่มีเพียงตึกสูงระฟ้าในกรุงเทพแปรเปลี่ยนเป็นทิวทัศน์ของเส้นทางที่พาออกนอกจังหวัด ป้ายบอกทางเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งผ่านชื่อจังหวัดแห่งหนึ่ง แรงกระตุกที่เสื้อทำให้ผมหันไปหาคนที่นั่งซ้อนอยู่ข้างหลัง

“มึงจะไปชะอำเหรอซิก”

“ใช่” มือของปันกำเสื้อของผมแน่นขึ้นจนรู้สึกได้

เมื่อมาถึงจุดหมายที่เป็นรีสอร์ตแห่งหนึ่ง ผมก็ขับรถเข้าไปจอดไว้ใกล้กับรถยนต์สีดำคุ้นตาซึ่งจอดอยู่ก่อนแล้ว ก่อนจะลงจากรถและเอื้อมไปจับมือของปันแล้วพาเดินเข้าไปพร้อมกัน แทบจะทันทีที่ก้าวเข้าไปยังห้องโถงกว้างที่เป็นส่วนของแผนกต้อนรับ เสียงโวยวายจากใครบางคนก็ดังเข้าหูมา

“ไอ้เหี้ยซิก กว่ามึงจะมาได้ พวกกูรอจนจะหิวตายอยู่แล้วเนี่ย” 

“ฟลุ๊ค ?” ไม่ใช่ผม แต่เป็นปันที่เอ่ยทักขึ้นมา

“เชี่ยปัน.. ไม่เจอมึงเป็นเดือนแล้วมั้งเนี่ย”

“จะทักแค่ฟลุ๊คเหรอปัน ไม่ทักเฌอด้วยเหรอ” เฌอแตมที่นั่งอยู่ข้างไอ้ฟลุ๊คโผล่หน้าออกมาทักทาย ผมมองคนข้าง ๆ ที่ดูงงจนทำอะไรไม่ถูก ก่อนจะอธิบายให้มันฟัง

“พวกมันคิดถึงมึงก็เลยให้กูชวนมึงมาเที่ยวด้วยกัน” ผมเลือกที่จะบอกกับปันไปแบบนั้น โดยไม่ได้บอกความจริงที่ว่าผมเองต่างหากเป็นคนที่จัดการทุกอย่างขึ้นมาตั้งแต่แรก พวกเวรนี่ก็แค่มีหน้าที่ทำตัวเองให้ว่างและลากสังขารมาเที่ยวด้วยเฉย ๆ

“หมายความว่าต่อให้กูปฏิเสธมึงไปเมื่อกี้ มึงก็จะพากูมาอยู่ดี ?” ผมไม่ได้ตอบคำถามของปัน แต่หันไปถามไอ้ฟลุ๊คแทน

“ไอ้เตล่ะ”

“เช็คอินห้องอยู่”

“บอกมันไปแล้วใช่ไหมว่าจองไว้สามห้อง”

“บอกแล้ว แต่จองทำไมตั้งสามห้องวะ ที่จริงแค่สองก็พอปะ กู มึง ปัน ไอ้เฮีย แม่งก็นอนรวมกันได้หมดอะ”

“กูไม่อยากนอนกับมึง ชัดไหม” 

ปันที่ดูงงมากอยู่แล้วในตอนแรก ยิ่งงงหนักเข้าไปอีกเมื่อเห็นผมเดินไปเอากระเป๋าที่ใส่เสื้อผ้าของมันกับของผมในรถของไอ้เต คิ้วของมันขมวดจนแทบจะชนกันตลอดทางที่เดินไปยังห้องพัก พอได้อยู่ในห้องด้วยกันสองคน ปันก็เดินมาขวางทางผมเอาไว้

“มึงเตรียมพร้อมมาตั้งแต่แรกแล้วเหรอ”

“ใช่”

“แล้วมึงจะบอกว่าขอเวลาวันนึงไปทำไมวะ ในเมื่อมึงตัดสินใจทุกอย่างไปหมดแล้ว”

“กูขอโทษ” ปันดูตกใจที่ได้ยินแบบนั้น สีหน้าของมันเปลี่ยนไปมาราวกับปรับอารมณ์ไม่ถูก

“กูแค่อยากให้มึงมาพักผ่อนบ้าง แค่วันเดียวที่มึงช่วยลืมว่ากูเป็นน้องพี่ซิน ลืมเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นทุกอย่างไปให้หมด”

“..”

“ให้มันมีแค่ซิกกับปันในตอนนี้ได้ไหม”

ในตอนเย็นไอ้ฟลุ๊คก็เอาเตาปิ้งย่างที่ทางรีสอร์ตเตรียมไว้ให้ออกมาทำอาหารกิน เสียงเฮฮาจากเพื่อน ๆ ทำให้บรรยากาศดูครึกครื้นขึ้นมาทันตา ผมไม่ได้สนใจกลุ่มเพื่อนที่กำลังแย่งกันย่างเนื้อบนเตา สายตาของผมหยุดอยู่ตรงคนที่กำลังเหม่อมองไปยังเบื้องหน้า ดูเผิน ๆ คงเหมือนกับปันกำลังยืนมองพระอาทิตย์ตกดิน แต่ผมรู้ว่ามันกำลังมองไปยังท้องทะเลสีเขียวครามตรงหน้าต่างหาก ถ้อยคำที่หมอพฤษเคยพูดกับผมในตอนที่ไปเยี่ยมปันดังซ้ำขึ้นมาอีกครั้ง

“จากที่หมอลองคุยกับปันแล้ว สาเหตุที่ปันเห็นพี่สาวของซิกอาจจะเป็นเพราะจิตใต้สำนึกของปันมากกว่าจะเป็นภาพที่ปันเห็นจริง ๆ ทุกครั้งที่ปันรู้สึกแย่ ปันก็จะไม่เห็นภาพพี่สาวของซิกอีก มันอาจจะเป็นคำตอบของการที่ปันใช้ภาพเหล่านั้นเพื่อลงโทษตัวเองโดยที่ไม่รู้ตัว เมื่อไหร่ที่ปันมีความสุข นั่นก็อาจจะหมายความว่าจิตใต้สำนึกของปันจะยิ่งรู้สึกผิดไปด้วยเหมือนกัน พอรู้สึกผิดมาก ๆ เข้าก็เลยต้องหาทางทำให้ตัวเองเจ็บตัวเพื่อเป็นการไถ่โทษ”

“แล้วผมควรทำยังไงเหรอครับ”

“จริง ๆ แล้ว.. หมอคิดว่าสิ่งที่ปันต้องการมาตลอดอาจจะเป็นการให้อภัยจากใครสักคนก็ได้นะ”


ผมเดินเข้าไปใกล้แผ่นหลังปันมากขึ้น ก่อนจะเอื้อมมือข้างหนึ่งไปปิดตาของปันเอาไว้ มันชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เอามือของผมออกไป 
“คิดถึงเรื่องตอนนั้นอยู่เหรอ” ผมยังจำความรู้สึกตอนที่เห็นปันจมอยู่ในน้ำได้ดี และคิดว่าปันก็คงยังลืมมันไปไม่ได้เหมือนกัน

“..” ปันไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ความเงียบจากปันกลายเป็นคำตอบที่ผมได้รับจนชินแล้วในช่วงนี้

“ยังรู้สึกกลัวอยู่รึเปล่า”

“..”

“รู้ใช่ไหมว่ากูจะอยู่ข้างมึงเสมอ” มือของผมถูกปันดึงลงไปกุมไว้เฉย ๆ โดยที่ไม่ได้พูดอะไร

สายตาของปันยังคงมองไปยังทะเลตรงหน้าเหมือนเดิม แต่คงมีแค่ผมที่สังเกตได้ว่าความรู้สึกของปันในตอนที่มองไปยังที่เดิมเปลี่ยนไปแล้ว 

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะ ผมใช้มือข้างที่ยังว่างล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาดู เบอร์โทรที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้ผมเกิดความลังเลที่จะรับสายขึ้นมา แต่พอมองไปที่ปันแล้ว ผมก็ตัดสินใจเลื่อนมือไปกดรับ

“ครับแม่” ปันหันขวับมามองทันที มันทำท่าจะปล่อยมือของผม แต่คราวนี้ผมเองเป็นฝ่ายที่จับมือมันไว้แน่น

“ซิก.. สอบเป็นไงบ้าง” นี่เป็นครั้งแรกที่แม่โทรมาหาหลังจากที่ผมเข้าไปคุยกับแม่ในวันนั้น

“ไม่ได้ยากเท่าไหร่”

“แล้วนี่อยู่ไหนเหรอ”

“ผมมาชะอำกับเพื่อน.. มากับปันด้วย” ปันมองมาอย่างตกใจ ผมจึงยิ้มให้มันพร้อมกับพูดโดยที่ไม่มีเสียงว่า ‘ ไม่เป็นไร ’ 

“..”

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมวางสายนะแม่” เสียงของแม่เงียบหายไปจนผมคิดว่าแม่จะวางสายไปแล้ว

“วันไหนว่าง ๆ..”

“ครับ ?”

“ก็พาปันมาหาแม่บ้างสิ”

“แม่อยากเจอปันเหรอ”

“ใช่”

“ไว้ผมจะลองถามปันให้นะ”








หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 22 แค่หนึ่งวัน│ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 05-03-2021 07:26:14
 o22
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 23 เช้าวันใหม่ [END]│ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: LYNJIIN ที่ 05-03-2021 21:31:45

รักบังตา

Chapter 23

เช้าวันใหม่ 



[ Pun ]

“แต่ไม่รู้ว่าปันจะอยากเจอแม่รึเปล่านะ”

“ซิก !” ประโยคที่ชวนให้เข้าใจผิดทำให้ผมเผลอหันไปตีแขนคนพูดอย่างไม่ตั้งใจ แต่เขากลับเลิกคิ้วมองผมราวกับไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดไป

“แค่นี้ก่อนนะแม่ ถ้ากลับไปแล้วผมค่อยโทรหา”

“ทำไมมึงพูดกับแม่มึงแบบนั้นวะ” เพราะกลัวว่าแม่ของซิกจะเข้าใจผิด ผมถึงได้ถามซิกทันทีที่เขาวางสายโดยลืมคำนึงถึงอะไรบางอย่างไป

“ถามแบบนี้คืออยากเจอแม่กู ?”

“ห้ะ”

“ได้นะ เดี๋ยวนัดวันให้ ว่างวันไหนบ้างอะ” สีหน้าจริงจังของเขาทำเอาผมไปต่อไม่เป็น ในตอนที่กำลังจะเอ่ยปฏิเสธ เสียงของเฌอแตมก็ดังแทรกขึ้นมาพอดี

“พวกมึงอะ ! มากินข้าวได้แล้ว เนื้อสุกหมดแล้วเนี่ย ช้ากว่านี้ไอ้ฟลุ๊คไม่เหลือให้พวกมึงแน่” ซิกจับมือผมให้เดินไปยังกลุ่มเพื่อนด้วยกัน ตั้งแต่มาถึงที่นี่ ผมก็รู้สึกว่ามือตัวเองไม่เคยโดนปล่อยว่างเลยแม้แต่นาทีเดียว

สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับเพื่อนที่มาเที่ยวด้วยกันก็น่าจะเป็นบรรดาน้ำเมาทั้งหลายแหล่ ผมมองขวดเบียร์มากมายที่กลายเป็นขวดเปล่า แล้วได้แต่ส่ายหัว ผมรู้ว่าทั้งซิกและเฮียเตคอแข็งมากกันทั้งคู่ แต่แค่คิดไม่ถึงว่าจะมากถึงขนาดที่ดื่มได้เป็นลังแบบนี้ ตั้งแต่ท้องฟ้าเป็นสีส้มยันตอนนี้มืดจนมองไม่เห็นอะไร พวกเขาทั้งคู่ก็ยังไม่วางแก้วกันเลย

ผมลอบมองคนที่เริ่มหน้าแดงเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ก่อนที่ขวดตรงกลางวงจะถูกหมุนอีกครั้งหนึ่ง ปากขวดหมุนจนชะลอผ่านหน้าผมและไปหยุดอยู่ตรงหน้าคนที่เพิ่งยกหมดแก้วไป

“ไอ้เวร มึงโกงกูปะ” 

“โทษดวงมึงเถอะเพื่อน เลือกมาจะตอบหรือจะทำ ไม่ไหวอย่าฝืนนะครับเพื่อน เลือกตอบมาก็จบละ ความลับมึงเยอะนักเหรอ”

“ทำ”

“หมดแก้วครับเพื่อน”

“ถามจริง มึงไม่มีอย่างอื่นให้กูทำแล้วเหรอ” 

“อยากทำอะไรล่ะครับ ต่อให้กูสั่งให้มึงแก้ผ้าลงทะเล มึงก็ไม่ยอมทำอยู่ดี” ผมได้ยินซิกสบถคำหยาบออกมาเบา ๆ ก่อนจะยกแก้วขึ้นดื่มจนหมดอีกครั้ง

“จะเล่นต่อปะ กูเริ่มไม่ไหวแล้วเนี่ย เจ็บคอ” ฟลุ๊คถามขึ้นหลังจากที่เห็นซิกวางแก้วเปล่าลงบนพื้น

“พอก่อนก็ได้ ยังไงก็ไม่ได้ตั้งใจจะเมากันอยู่แล้ว” หลังจากเฮียเตพูดแบบนั้น ก็เป็นอันว่ากิจกรรมไร้สาระหยุดลงที่ซิกเป็นแก้วสุดท้าย

เฌอแตมกับฟลุ๊คเอากีตาร์มาดีดเล่นแล้วร้องเพลงที่ถึงแม้ผมจะไม่มีความรู้ด้านดนตรีก็กล้าพูดได้เต็มปากว่าเพี้ยน ในตอนแรกผมไม่เข้าใจว่าทำไมซิกถึงอยากพาผมมาที่นี่นัก แต่พอได้เห็นภาพที่ทุกคนทำเรื่องไร้สาระด้วยกันแล้วผมก็พอจะเข้าใจสิ่งที่เขาทำแล้ว
ในขณะที่กำลังคิดอะไรอยู่คนเดียว ไหล่ข้างหนึ่งก็รู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่ทิ้งลงมา

“คิดอะไรอยู่” น้ำเสียงของเขาติดแหบเล็กน้อย

“เปล่า นั่งให้ดี ๆ” ผมพูดพลางใช้มือดันหัวของซิกออกไป

“กูง่วง”

“ง่วงก็ไปนอนในห้อง”

“ขอยืมตักหน่อยไม่ได้เหรอ” คำถามของเขาทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก

“..”

“ไม่ได้จริง ๆ เหรอปัน” ผมไม่รู้ว่าเขาพูดเพราะว่าเมารึเปล่า แต่สายตาที่มองมาอย่างมีความหมายทำให้ผมไม่กล้าสบตาจนได้แต่หันไปมองทางอื่น 

“ตามใจ” ซิกทิ้งตัวลงนอนโดยที่ใช้ตักของผมแทนหมอนหนุนทันทีที่ผมพูดจบ

ซิกคงจะเหนื่อยมากจริง ๆ เพราะหลังจากที่หลับตาไปได้ไม่นาน ผมก็รับรู้ได้ถึงลมหายใจเข้าออกที่สม่ำเสมอจากคนตรงหน้า สายตาของผมมองไปรอบ ๆ ก่อนจะพบว่าเฮียเตหายไปแล้ว ส่วนเฌอแตมกับฟลุ๊คก็เมามากจนพูดไม่เป็นภาษาทั้งคู่ ผมกลับมาสนใจคนที่นอนอยู่บนตักอีกครั้ง ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมเอื้อมมือไปเกลี่ยผมที่ปรกหน้าของเขา

“กูรักมึงนะปัน”

ผมจำได้ดีว่าหัวใจของตัวเองทำงานหนักแค่ไหนตอนที่ได้ยินซิกพูดประโยคนั้นออกมา

สายตาของผมหยุดนิ่งอยู่ที่ริมฝีปากของซิกอยู่นาน รู้ตัวอีกทีก็โน้มตัวลงไปขโมยจูบของเขาแล้วเรียบร้อย 
 
“กูก็รักมึงเหมือนกัน”

ผมกระซิบบอกเขาในตอนที่ผละตัวออกมา ก่อนจะต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อคนที่คิดว่ากำลังหลับสนิท จู่ ๆ ก็ลืมตาขึ้นมาแบบไม่ให้สุ่มให้เสียง

“ซิก.. ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่”

“กูไม่ได้หลับตั้งแต่แรก” ใบหน้าของผมร้อนผ่าวทันทีที่ได้ยินแบบนั้น

ซิกลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ผมอายจนไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองหน้าเขาด้วยซ้ำ รู้สึกแค่ว่าหน้าของตัวเองใกล้จะระเบิดเต็มที เขาเอื้อมมือมายีหัวผมเบา ๆ แล้วเดินออกไปโดยที่ไม่ได้พูดอะไร

ผ่านไปสักพัก ซิกก็เดินกลับมาพร้อมกับผ้าห่มในมือ เขาเอาผ้าห่มมาคลุมตัวผมเอาไว้ แล้วนั่งลงข้างกันตรงที่เดิม เพราะยังรู้สึกอับอายจากสถานการณ์ก่อนหน้าทำให้ผมไม่กล้าที่จะปริปากพูดอะไรกับเขา

“พรุ่งนี้ตื่นเช้าหน่อยนะ กูมีที่นึงที่อยากพามึงไป”

“อือ” ผมเอ่ยรับคำในลำคอ

“ปัน”

“..”

“ปัน”

“มีอะไร”

“เปล่า แค่อยากได้ยินเสียงมึงเฉย ๆ”

เรานั่งอยู่ด้วยกันแบบนั้นจนถึงกระทั่งแสงอาทิตย์ของเช้าวันใหม่สาดส่องกระทบกับท้องทะเลตรงหน้าจนเกิดเป็นประกายระยิบระยับเต็มไปหมด ผมไม่รู้ว่าทำไมซิกถึงไม่ยอมหลับ แต่เหตุผลของผมมีแค่ผมอยากใช้เวลาอยู่กับเขาต่ออีกหน่อย ผมกลัวว่าถ้าหากเผลอหลับไป เวลาที่ผ่านไปก็จะสูญเปล่า

ความสัมพันธ์ของเรากำลังทำให้ผมรู้สึกเสียดาย 

“ไปกันเถอะ” มือของผมถูกคนข้าง ๆ ดึงให้ลุกขึ้น

“แล้วคนอื่นล่ะ ไม่ได้ไปด้วยกันเหรอ”

“ไม่ มีแค่มึงกับกูก็พอ”

ซิกขับรถออกจากชะอำและกลับเข้าสู่กรุงเทพ เส้นทางที่ไม่คุ้นเคยทำให้ผมเดาไม่ออกว่าเขาจะพาผมไปที่ไหน วัดแห่งหนึ่งเป็นปลายทางที่เขาเลี้ยวเข้ามาจอดรถ ผมรู้สึกงงไม่น้อยตอนที่เดินตามซิกไป ก่อนที่จะเข้าใจทุกอย่างเมื่อเขาเดินมาหยุดอยู่ที่กำแพงสีขาวซึ่งด้านหลังมีรูปของผู้หญิงคนหนึ่งติดอยู่ ตัวเลขที่เขียนบอกวันชาตะและมรณะทำให้ร่างกายของผมมันเริ่มเย็นไปหมด ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านมาจากฝ่ามือของซิกทำให้ผมก้มลงมองมือที่ถูกกุมเอาไว้

“ขอโทษนะพี่ซินที่ผมเพิ่งกล้าจะมาพูดกับพี่ตอนนี้”

“..”

“ผมมาเจอพี่แต่ละครั้งก็เอาแต่พูดคำว่าขอโทษ พี่คงจะรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ทั้ง ๆ ที่ผมรู้มาตลอดว่าพี่เป็นพี่ที่ดีขนาดไหน ตอนนี้ถ้าพี่ยืนอยู่ตรงหน้าผม ไม่ว่าผมจะพูดอะไร พี่ก็คงจะบอกว่าไม่เป็นไร”
 
“..”

“ครั้งนี้ผมพาปันมาหาพี่ด้วย.. เขาอาจจะร้องไห้โทษตัวเอง พี่ก็ช่วยปลอบเขาด้วยนะ”

“ซิก..”

“ช่วยปลอบเขาเหมือนที่พี่เคยปลอบผม”

“..”

“ยกโทษให้ปันด้วยนะพี่ซิน เขาจะได้ให้อภัยตัวเองได้สักที” สายตาของซิกมองผมในทุกประโยคที่เขาพูด

รอยยิ้มของคนในรูปทำให้ผมเอื้อมมือที่สั่นเทาไปแตะค้างเอาไว้ สายตาของผมมันพร่าไปชั่วครู่ เมื่อผมกระพริบตาเพื่อที่จะมองรูปนั้นให้ชัดขึ้น น้ำตากลับยิ่งไหลลงมามากขึ้นเรื่อย ๆ จนทุกอย่างมันพร่ามัวไปหมด ไม่ว่าจะกระพริบตาอีกกี่ครั้ง ภาพตรงหน้าก็ยังไม่ชัดขึ้นสักที

“ฮึก..” ผมพยายามอย่างมากที่จะกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้

“กูให้อภัยมึงนะปัน ถ้าพี่ซินอยู่ตรงนี้เขาก็คงจะพูดแบบเดียวกันกับกู”

“..”

“เพราะงั้น.. เลิกโทษตัวเองได้แล้วนะ” เพียงแค่ประโยคเดียวก็ทำให้ความอดทนที่ผมพยายามมาตลอดพังทลายลง

ความรู้สึกหนักอึ้งตลอดสองปีที่ผ่านมาถูกยกออกไปจากใจด้วยคำพูดของซิกเพียงแค่ไม่กี่ประโยค

“ร้องไห้ให้พอนะปัน แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวที่กูจะยอมให้มึงร้องไห้แบบนี้” เป็นอีกครั้งที่อ้อมกอดของซิกช่วยปลอบประโลมผมเอาไว้ สัมผัสที่ลูบปลอบอย่างช้า ๆ ทำให้ผมตระหนักบางอย่างได้

ไม่ว่าจะเป็นครั้งแรกที่เจอกัน หรือตอนที่ทุกอย่างมันกลายเป็นแบบนี้

ซิกก็ยังเป็นคนที่อยู่ตรงที่เดิมเสมอ

ราวกับว่าเขารอที่จะปลอบผมอยู่ตลอดเวลา


“ดีขึ้นรึยัง” ดวงตาของผมถูกปิดทับด้วยผ้าเย็นที่ซิกเป็นคนเอามาทาบไว้

“ยัง”

“ปวดตารึเปล่า ไปโรงพยาบาลไหม ให้หมอตรวจหน่อยดีกว่า ลุกได้ไหม” คำถามสารพัดอย่างที่ตามมาทำให้ผมต้องคว้าผ้าเย็นที่ประคบตาออกไป พอมองไปที่ซิกก็พบว่าในมือของเขาถือกุญแจรถและกระเป๋าตังค์อยู่แล้ว

“ไม่ได้เป็นอะไร แค่ตาบวม” หลังจากที่ยืนร้องไห้อย่างหนักอยู่ครึ่งชั่วโมง ผมก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจที่ตาจะบวมมากขนาดนี้ ต่างกับซิกที่พอเห็นสภาพผม เขาก็ตกใจจนเกือบจะพาผมไปโรงพยาบาล แต่ผมเป็นคนบอกให้เขาขับรถกลับบ้านแทน 
 
“เหรอวะ แต่ตามึงแดงมากเลยนะ บวมมากด้วย ไปหาหมอเผื่อ ๆ ไว้หน่อยดีไหม” ผมส่ายหัว ก่อนจะตอบเขา

“มึงเป็นคนบอกให้กูร้องไห้เองนะ”

“ก็.. ไม่ได้คิดว่ามึงจะร้องไห้หนักขนาดนี้” ซิกพูดพลางเดินไปหยิบผ้าเย็นผืนใหม่มาประคบตาของผมต่อ

“..”
 
“ปัน”

“อะไร”

“เมื่อคืนตอนที่มึงจูบกู..”

“..”

“มึงรู้สึกยังไงวะ” ไม่รู้จะเรียกว่าเป็นโชคดีได้ไหมที่มีผ้าปิดตาผมอยู่แบบนี้ ผมถึงได้มองไม่เห็นว่าคนถามมีสีหน้าแบบไหน

“ไม่รู้.. จำไม่ได้แล้ว”

“เหรอ ถ้างั้น..” เสียงของซิกเงียบหายไปพักหนึ่ง จนผมสงสัยว่าเขาจะพูดอะไร แต่ในวินาทีถัดมาสัมผัสอ่อนนุ่มที่แตะอยู่บนปากก็กลายเป็นคำตอบของทุกอย่าง จังหวะการเต้นของหัวใจแปลกไปจากเดิมในตอนที่ลิ้นของเขาสอดแทรกเข้ามา ความรู้สึกวาบหวามที่เกิดขึ้นทำให้ผมรู้สึกราวกับกำลังถูกหลอมให้ละลายอย่างช้า ๆ

“อื้อ..” ผมร้องท้วง ก่อนจะผลักไหล่ของซิกออกไป

จูบที่กินเวลาไปหลายนาทีทำให้ผมหายใจหอบ ผ้าที่ประคบตาอยู่หล่นไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ พอเงยหน้าขึ้นมอง ก็ดันไปสบตาเข้ากับคนที่กำลังมองมาอยู่พอดี ผมสังเกตได้ว่าใบหูของเขาแดงไม่น้อย

“ตอนนี้มึงรู้สึกยังไง” 

“..”

“ถ้าไม่ตอบ กูจะคิดเอาเองว่ามึงก็รู้สึกเหมือนกูนะ”

“ก็คิดไปดิ” ชั่ววูบหนึ่งผมสังเกตเห็นแววตาของคนตรงหน้าเป็นประกายขึ้นมา

“หมายความว่าจะไม่ไปไหนแล้ว ?”

“อือ”

“ไม่ไล่กูแล้วด้วย ?” ผมพยักหน้าให้แทนคำตอบ

“..” 

“แล้วจะเป็นแฟนกันไหม”

“เออ..” เพราะไม่ได้สนใจฟังคำถาม ผมจึงเผลอตอบรับไปโดยไม่ตั้งใจ

“โอเค งั้นวันนี้เป็นวันแรกที่เราคบกันนะ”

“เดี๋ยว.. เดี๋ยวนะ”

“ตกใจอะไร ถึงไม่คบกันวันนี้ วันนึงก็ต้องคบกันอยู่ดี คิดว่ากูจะปล่อยมึงไปจริง ๆ รึไง”

“..” ผมไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้าแบบไหนออกไปตอนที่ได้ยินซิกพูดแบบนั้น  แค่รู้สึกราวกับว่าอยู่ ๆ ก็ตกลงไปในหลุมพรางที่เขาขุดเอาไว้
 
“หิวรึยัง พี่ปัทบอกจะเลี้ยงข้าวอะ” คำพูดของซิกทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าลืมโทรบอกพี่ปัทว่าไม่ได้กลับห้อง เมื่อทำท่าจะคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก ซิกก็พูดสิ่งที่ทำให้ผมต้องแปลกใจมากยิ่งขึ้นไปอีก

“กูโทรบอกพี่ปัทให้แล้วว่ามึงอยู่กับกู”

“มึงคุยกับพี่ปัทด้วยเหรอ”

“พี่ปัทบอกว่าถ้าเป็นแฟนกันเมื่อไหร่จะเลี้ยงข้าว”

“อะไรนะ”

“คงมีแค่มึงคนเดียวนั่นแหละที่มองไม่เห็นความรู้สึกตัวเอง” 

“..”

“ลุกไปอาบน้ำได้แล้ว จะได้ออกไปหาอะไรกิน ต้องกินยาด้วยไม่ใช่รึไง”

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วไปหมด เรื่องราวตั้งแต่ต้นคล้ายกับว่าเป็นเพียงแค่ฝันร้ายที่เมื่อถูกปลุกให้ตื่นขึ้นก็จะค่อย ๆ เลือนหายไป ความวุ่นวายยุ่งเหยิงทั้งหมดในโลกของความเป็นจริงกลับถูกซิกทำให้กลายเป็นเรื่องง่าย ทุกการกระทำของซิกทำให้ผมมั่นใจว่าในทุก ๆ ก้าวที่ผมต้องเดินต่อไปหลังจากนี้จะมีเขาจับมือและเดินไปด้วยกันเสมอ

จู่ ๆ ซิกกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมนึกสงสัยขึ้นมา

โลกใบนี้.. มันเคยสว่างไสวได้มากขนาดนี้เลยเหรอ


- THE END -










-----------------------------------
SPECIAL THANKS
สวัสดีทุกคนที่ตามอ่านนิยายเรื่องนี้ด้วยนะคะ ก่อนอื่นเลยก็ต้องขอขอบคุณมากจริง ๆ ที่ติดตามเรื่องราวของซิกกับปันมาจนถึงตอนสุดท้าย นิยายเรื่องนี้นับได้ว่าเป็นเรื่องแรกที่เราเขียนจบ จริง ๆ ก่อนหน้านี้มีนิยายอีกเรื่องที่เราเขียนเอาไว้ แต่เพราะรู้สึกว่ายังไม่ดีพอ เลยปล่อยค้างไว้แล้วก็รอที่จะเขียนใหม่ทั้งหมด มันอาจจะยังมีความผิดพลาดเกิดขึ้นบ้างในนิยายเรื่องนี้ ก็ต้องขอขอบคุณทุกคนที่ยังคงตามอ่านกันอยู่ ทุกคอมเมนต์เราได้อ่านหมดเลยนะคะ ดีใจที่ทุกคนชอบ เรายินดีน้อมรับทุกคำติชมและสัญญาว่าจะพัฒนางานเขียนให้ดีมากขึ้นในเรื่องถัด ๆ ไป หวังว่านิยายเรื่องนี้จะทำให้ทุกคนยิ้มได้ในสักตอนและพบกันใหม่ในนิยายเรื่องถัดไปนะคะ  :pig4:
LYNJIIN
05/03/2021




หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 23 เช้าวันใหม่ [END]│ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 05-03-2021 21:45:46
 :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 23 เช้าวันใหม่ [END]│ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 05-03-2021 23:02:31
 :3123:   :L2:
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 23 เช้าวันใหม่ [END]│ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 06-03-2021 09:09:05
เย้ปลดล็อกในใจซักที
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 23 เช้าวันใหม่ [END]│ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 07-03-2021 23:10:18
จบแล้ว. สนุกมากครับ. ขอบคุณครับ,,,
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 23 เช้าวันใหม่ [END]│ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 20-03-2021 13:14:40
 :heaven
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 23 เช้าวันใหม่ [END]│ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Zry ที่ 03-04-2021 17:22:27
สนุกมากคะ
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 23 เช้าวันใหม่ [END]│ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: PanGii ที่ 11-04-2021 02:25:46
ตาบวมไปเลยค่ะ สนุก ไหลลื่นไปตามเรื่องได้เรื่อยๆ เป็นกำลังใจให้นักเขียนค่ะ
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 23 เช้าวันใหม่ [END]│ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: BuzZenitH ที่ 11-04-2021 10:19:16
สนุกมากๆเลย
ตอนแรกที่อ่านก็แอบกลัวผีนะ 555
แต่อยากลุ้นกับน้องปัน เลยอ่านยาวๆเลย


เป็นกำลังใจให้นักเขียน รออ่านเรื่องใหม่อยู่นะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 23 เช้าวันใหม่ [END]│ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 31-05-2021 23:35:39
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 23 เช้าวันใหม่ [END]│ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Eakkadoor ที่ 01-06-2021 13:49:39
แค่เปิดใจยอมรับความจริง
ซิกโคตรๆรักปันเลย ไม่ทิ้งปันเลย
อบอุ่นมากๆ เลยครับ
 :L2:
 :impress3:
 :a5:
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 13 เพราะเข้าใจผิด │ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 10-01-2022 02:51:21


ทีแรกผมคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะจบลงแค่นั้น แต่เหมือนผมจะคิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไป ในตอนที่กำลังสะลึมสะลือจนเกือบจะหลับ ผมก็รู้สึกได้ว่าด้านหนึ่งของเตียงยวบลงไป นั่นทำให้ผมรู้ได้เลยในทันทีว่าค่ำคืนนี้จะมีใครบางคนมานอนเป็นเพื่อนผมแน่นอน

“มาเร็วจังวะปัน” เสียงเรียกทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมาจากโต๊ะเรียน
เปลี่ยนฉากแล้วย่อหน้าหรือทำอะไรซักอย่างให้คนอ่านรู้บ้างว่าขึ้นฉากใหม่แล้ว
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 23 เช้าวันใหม่ [END]│ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ● MaYa~Boy ● ที่ 11-01-2022 00:18:56
สนุกอ่าาาาา
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 23 เช้าวันใหม่ [END]│ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: mareeyah ที่ 11-01-2022 22:11:51
 :L1: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 23 เช้าวันใหม่ [END]│ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 12-01-2022 13:02:12
 :pig4:
หัวข้อ: Re: รักบังตา [BL] UP : CH 23 เช้าวันใหม่ [END]│ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 18-01-2022 15:13:45
จบแล้ว สนุกดีค่ะ
อ่านตอนแรกแบกลัวผีเลย
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆค่ะ