พิมพ์หน้านี้ - ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 12/2/2021]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: ButlerofLOVE ที่ 13-07-2020 11:23:31

หัวข้อ: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 12/2/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 13-07-2020 11:23:31
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


.................................................................

สีหราชยมทูต (Grim reaper's vacation)

By ButlerofLOVE
.................................................................

Introduction

"มรุต"
นักศึกษาหนุ่มแว่นหน้าตาซื่อ ๆ เซื่อง ๆ เหมือนแมวเซา เจ้าของฉายา "The Jinx"
จู่ ๆ ต้องมาโดนผลักตกฟุตบาทหัวฟาดพื้นตายฉับพลัน..
ตอนมีชีวิตก็ว่าซวยแล้ว พอตายยังซวยกว่า ดันตกสำรวจซะได้...

วุ่นชิบ ! ตายตั้งนานแล้วดันไม่มีใครมารับซะที
นั่งจ๋องอยู่กลางสี่แยกมาตั้งนาน กว่าจะเจอใครที่ว่างพอจะคุยด้วยก็หายกันไปหมด
...จนกระทั่งมาเจอไอ้เจ้ายมทูตหน้านิ่งในสูทดำสุดเท่
ว่าแต่..ยมทูตมีพักร้อนกับเขาด้วยเรอะเนี่ย !

ให้ตายเถอะ มีแต่คุณท่านยมทูตหน้านิ่งคนนี้ที่มองเห็นเรา
ช่วยพาไปเกิดทีสิ ! นั่งตรงนี้มาจะปีกว่าแล้ว
ถ้าไม่พาไปละก็ จะฟ้องคณะกรรมการยมบาลแห่งโลกภูมิว่าปฎิบัติหน้าที่ย่อหย่อน !


"สีหราชยมทูต หรือ อ้ายสีห์"
คุณยมทูตฉายาพ่อหน้านิ่งหอยกาบ หน้าตาดี ทุกอย่างดี เป๊ะเจ้าระเบียบ
เสียอย่างเดียวขาด "ยมสัมพันธ์.." ไปหน่อย
เลยถูกเตะโด่งออกมาให้เรียนรู้การมีเพื่อนและมนุษย์สัมพันธ์กับเขาบ้าง
แต่ใครจะแคร์ละว่ะ !
ออกมาสิดี ว่างดี เที่ยวได้ วันว่างก็เหลืออีกบานอสงไขย
จะเที่ยวให้ช่ำ ย่ำไปทุกมุมโลก

"...เราลาพักร้อน ไม่ว่าง...ถ้าอยากให้ช่วยก็ทำตัวน่ารักหน่อย
ถ้าทำให้เรา "สนใจ" ไม่ได้ละก็....จงเป็นผีเร่ร่อนอยู่ตรงนี้ต่อไปละกัน ! "

ความป่วนอลเวงเกิดขึ้นเมื่อ "ป้ายผ่านทางยมโลก"
หล่นหายระหว่างอุบัติเหตุรถชนประสานงากลางเมือง !

หนึ่งผีเร่ร่อน กับหนึ่งยมทูตหน้านิ่ง
เลยต้องช่วยกันตามหา "ป้ายผ่านทางยมโลก"
ก่อนที่ผีตัวไหนจะทำเรื่องวุ่นวายซะก่อน

แต่ใครจะรู้ว่า...เรื่องราวจะไม่ง่ายดายเช่นนั้น
เพราะการวางแผนล้างแค้นของใครบางคนในอดีตที่ดึงพวกเขาทั้งสองกลับมาพบกัน

#สีหราชยมทูต
...............................................

หมายเหตุ.

1. นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องสมมุติและเกิดจากจินตนาการของ ButlerofLOVE ทั้งหมด
ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับสถานที่ บุคคล หรือเรื่องราวที่อยู่ในพระพุทธศาสนา
นรก สวรรค์ หรือการกระทำของตัวละครทุกตัว
อยู่บนโลกจินตนาการและแฟนตาซีของ ButlerofLOVE ล้วน ๆ

2. นิยายเรื่องนี้เป็นแนววายแอคชั่นแฟนตาซี/กลับชาติมาเกิด/พีเรียดไทยรัตนโกสินทร์

..................................................

นวนิยายเรื่องนี้เป็นลิขสิทธิ์ของButlerofLOVE และอยู่ภายใต้การคุ้มครองพรบ.ลิขสิทธิ์ พศ. 2537 หากพบว่ามีการทำซ้ำ สำเนา คัดลอก หรือเผยแพร่ส่วนหนึ่งส่วนใดของนวนิยายโดยไม่ได้รับคำยินยอมจาก ButlerofLOVE เป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดีตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด

....................................................

บทที่  1. เกิดใหม่ในร่างยมทูต

พุทธศักราช ๒๓๙๑

สายฝนโปรยปรายลงอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด พื้นดินตรงหน้าเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน ดินโคลนเลอะเปรอะกระเด็นไปทั่ว เสียงฝีเท้าของม้าที่เหยาะย่างตรงเข้ามาในหมู่บ้านสำนักดาบ ทำให้หลายคนชะโงกออกมามองอย่างฉงน แต่ก็ต้องตะลึงพรึงเพริดเมื่อเห็นร่างสูงหนาที่เลอะเปรอะเลือดท่วมกายนั่งอยู่บนม้าตัวนั้น สายตาบุรุษนั้นว่างเปล่าราวกับหมดสิ้นทุกอย่างในชีวิต หากเหตุที่ทำให้ผู้คนรอบข้างล้วนแตกตื่น มิใช่เพียงบุรุษร่างโชกเลือดกับม้าคู่ใจเท่านั้น หากเป็นเพราะศีรษะและดวงตาที่เบิกโพลงสุดขีดของอีกบุรุษหนึ่งที่ถูกเจ้าตัวขยุ้มหิ้วกลับมาด้วย หยาดหยดโลหิตจากหัวที่ขาดแล่ง รินรดเป็นทางยาว สายฝนเปลี่ยนโลหิตแดงฉานที่ไหลเหลือเพียงสีแดงใสจางบนผืนดินที่เฉอะแฉะ

ผู้คนมากมายอุดปากอย่างกลั้นเสียงกรีดร้องในลำคอ บางคนที่สติอ่อนก็ถึงกับอาเจียนกับภาพตรงหน้า บุรุษหลายคนถึงกับน้ำตาไหล แต่เสียงร่ำไห้เหมือนจะไม่เข้าโสตประสาทของบุรุษบนหลังอาชานั้น ดวงตาที่เคยคมคร้ามบัดนี้ว่างเปล่าราวกับไร้วิญญาณ์

“อ้ายสีห์...”

“อ้ายสีหราช....โธ่..”

สำหรับผู้อื่นที่มิรู้จักบุรุษตรงหน้า “อ้ายเสือสีหราช” อาจเป็นนักฆ่าที่หลายคนหวาดผวา หากแต่สำหรับเหล่าชาวบ้านในละแวกนี้ต่างรู้กันดี...สีหราช...อดีตนักดาบหนุ่มบุตรชายคนเดียวของพ่อสิน เจ้าของสำนักตีดาบ ผู้ที่แม้จะใจร้อนมุทะลุ หากแต่อบอุ่นกับผู้คนดุจแสงตะวัน แต่ยามนี้...ไม่มีอีกแล้วภาพเงาของคนผู้นั้น เหลือเพียง “อ้ายสีหราช” ผู้เหี้ยมเกรียมที่ทางการติดตามจับกุม

บัดนี้...มันเหยาะย่างม้ากลับมายังเรือนเก่า...เรือนที่ทางการวาง “สาย” ไว้รอจับกุมเสือร้าย ราวกับว่ามันไม่คิดหนีอีกต่อไป
กลางป่าหลังซากหมู่บ้านสำนักตีดาบ เนินดินที่ปักด้วยไม้อย่างง่าย ๆ และมีหินล้อมสองสามก้อนเป็นสัญลักษณ์อยู่ตรงหน้า ฝนที่เปียกชุ่มทำให้ดินตรงนั้นยุบลงเล็กน้อย สายฝนยังคงโปรยปรายต่อเนื่องไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

.....เจ้าตัวเล็ก...นอนอยู่ตรงนี้...จะเปียกปอนไหมหนอ...

ชายหนุ่มโหนตัวลงจากม้าก่อนจะโยนศีรษะที่ขาดนั้นลงต่อหน้าเนินดินทั้งคู่ ดวงตาแดงก่ำมองนิ่งราวกับจะส่งไปถึงผู้ที่ทอดกายอยู่ด้านล่าง

ข้า...เอาหัวมันมาคารวะพวกเจ้าแล้ว..พ่อสิน...เมืองอินทร์ พามาตรงหน้าป้ายหลุมศพของเจ้า...

แม้เขาก้าวลงมาแล้ว แต่เจ้าสีหมอกกลับยืนนิ่งอยู่ข้างเขา ราวกับจะรู้ว่า เจ้านายมันนอนสงบอยู่ที่นี่ มือหนาลูบแผงคออาชาตรงหน้าอย่างเบามือ

...อ้ายตัวเล็ก...มันรักสีหมอกยิ่งนัก...

ดวงตาสีหราชเหม่อเลื่อนลอย ก่อนจะตบสะโพกเจ้าสีหมอกเบา ๆ ม้าแสนรู้นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง จนเขาต้องตีเป็นครั้งที่สองมันถึงยอมวิ่งจากไป

...เจ้าเป็นอิสระแล้ว สีหมอก...ไปเถิด...ไปให้ไกลแสนไกล..สู่เสรี

เจ้าตัวคว้าไหสุราที่คว้าติดตัวมา ศีรษะเปื้อนเลือดนั่นยังกองนิ่งอยู่กับพื้น ดวงตาศัตรูเบิกโพลงอย่างกลัวสุดขีดแต่เหมือนสีหราชจะไม่ใส่ใจ เจ้าตัวคว้าไหสุราขึ้นมาดื่ม เหล้าดีกรีแรงแค่ไหน...ก็ไม่อาจทำให้เขาเมาได้อีก สายฝน...หรือน้ำตาที่ไหลผ่านใบหน้าคมนั้น สายฝนชะล้างเลือดออกจากใบหน้าคม เผยผิวสีแทนแข็งแรง เสื้อผ้าเปียกน้ำฝนลู่แนบกายบอกชัดว่า ร่างตรงหน้าเป็นบุรุษฉกรรจ์ที่มีร่างกายสวยงามสมกับเป็นนักดาบหลวง แผลที่แขนและขาเหมือนจะมีเลือดไหลริน แต่เจ้าตัวก็ไม่นำพา

หัวใจ...ตายแล้ว...ร่างกาย...จะสำคัญไฉน...

สุราอยู่นี่...แต่คนกลับลาลับ

สุราไหหนึ่งที่เจ้าตัวเล็กชอบ...ถูกหยิบมาราดรดลงผืนดินตรงหน้า กลางสายฝน...

เสียงฝีเท้าม้าและเสียงผู้คนจำนวนมากกำลังกรูกันเข้ามา เสียงดาบกระทบกัน...เสียงนั่นกำลังมุ่งตรงมาที่นี่ แต่คนที่ร่ำสุราอยู่หน้าเนินดินไม่ได้ใส่ใจ...หวังเพียงได้ดื่มสุราครั้งสุดท้าย...กับร่างที่นอนสงบนิ่งอยู่ด้านล่าง...ผู้ที่เป็นทั้งน้อง สหายคู่ใจ...และหัวใจของเขา

สุรานี้...เพื่อเจ้า

ศีรษะของไอ้เดรัจฉานนี่...เพื่อเจ้า...เช่นกัน

“อ้ายสีหราช ! เจ้าจงยอมให้จับกุมเสียโดยดี !”
.......................................................

เสียงอื้ออึงและสายตาของผู้คนมากมายจับจ้องที่ภาพตรงหน้า หลังจากที่ประกาศความผิดจำนวนหนึ่งหน้ากระดาษของอ้ายเสือสีหราช อดีตนักดาบหลวงที่หลงผิดเป็นเสือร้ายไล่สังหารผู้คน รายชื่อผู้ที่มันสังหารยาวเหยียดนับ 30 ชีวิต “อ้ายเสือที่สังหารผู้คนอย่างบ้าคลั่ง” กำลังนั่งคุกเข่าอยู่กับลานทรายกว้าง สีหน้านิ่งเฉยไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ในบางมุมคล้ายเจ้าตัวจะยิ้มนิด ๆ อย่างพึงใจเสียด้วยซ้ำ ขณะที่เหล่าเพชฌฆาตกำลังร่ายรำอยู่ด้านหลังและด้านหน้า พอสิ้นเสี่ยงปี่พาทย์ บุรุษหนึ่งนายก็ตะโกนออกมา

   “ประหาร !”

สิ้นเสียงนั้น เพชฌฆาตฟันฉับลงมาในดาบเดียว...

ไม่รู้ว่าดาบนั่นฟันลงตรงไหน มีเพียงความอุ่นหนืดที่พลั่ก ๆ จากกลางแผ่นอก ร่างนั้นเผยอยิ้มหยันนิด ๆ

ดาบดี...ดูท่าจักเป็นดาบฝีมือของพ่อสิน..กระมัง

ลมหายใจที่ขาดห้วงลงในวิบตานั้น กลับทำให้รู้สึกสบายปลอดโปร่งอย่างบอกไม่ถูก นักโทษประหารหลับตาลงอย่างไร้กังวล ไร้สิ่งใดติดค้างใจ

ข้าล้างแค้นให้แล้ว...เมืองอินทร์

รอข้านะเจ้าตัวเล็ก...

ชาติหน้าฉันใด อ้ายสีหราชผู้นี้...ขอได้อยู่เคียงข้างเจ้า ปกป้องเจ้า...
.................................................................


จากพ่อบ้านแห่งรัก..ButlerofLOVE

 :hao5:

เป็นครั้งแรกที่มาสมัครเล้าเป็ดนะคะ และเป็นวายเรื่องแรกที่เขียนด้วย อาจจะไม่ค่อยคล่องหรืออาจจะพลาดอะไรบ้าง ขอฝากตัวกับทุกคนด้วยนะคะ จะพยายามลงให้จบภายในเดือนสิงหาคมค่ะ ^^ สวัสดีเพื่อนใหม่ทุกคนค่า ^^
หัวข้อ: Re: สีหราชยมทูต Grim reaper's vacation by ButlerofLOVE++
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 13-07-2020 11:33:24
บทที่ 1 (ต่อ)
พุทธศักราช ๒๕๖๑

มือเรียวหนาคนกาแฟในมืออย่างเลื่อนลอยก่อนจะยกขึ้นจิบ ใบหน้าคมคร้ามถอนหายใจแผ่วเบาก่อนจะมองไปนอกกระจกใส เวลาผันผ่านรวดเร็วนัก...เกือบสองร้อยปีผ่านไป แต่ยังไม่พบ...สักครา

ใครจะรู้ว่าแม้นความตายจักได้สมปรารถนา แต่หากความต้องการเกิดใหม่อาจไม่เป็นดังคาดเสมอไป

สีหราชยิ้มหยันกับโชคชะตาของตัวเอง เรื่องราวเกือบสองร้อยปีก่อนหวนย้อนมาราวกับเกิดเมื่อวาน

เพียงพริบตาของลมหายใจที่ขาดห้วง พลันเกิดแรงกระชากวูบเดียว เจ็บร้าวกลางอกราวกับมีใครนาบแท่งเหล็กร้อนที่กลางอก เขาลอยอยู่หน้าประตูขนาดมหึมาสีดำปนแดงที่ว่าผู้ชายร่างยักษ์กว่า 100 คนสามารถเดินเข้าประตูนั่นได้พร้อม ๆ กัน เปลวไฟร้อนระอุกำลังลอยอวลขึ้นจากด้านล่างใต้ฝ่าเท้าของเขา เสียงร้องไห้คร่ำครวญลอยก้องอยู่ทุกทิศทุกทาง และยังมีเสียงเหล็กนาบกับไฟอีกที่ดังฉ่า ๆ เป็นระยะ

“ยมทูตสีหราช รหัส พุทธกาล๒๓๙๑ รายงานตัวที่ทวารบาล ๑”

จากวันนั้นเป็นต้นมา...เขากลายเป็นยมทูต ผู้เชิญดวงวิญญาณแห่งแดนยมโลก...

ตั้งแต่รัตนโกสินทร์ตอนต้นมาจนบัดนี้ บ้านเมืองเปลี่ยนผันไปหลายส่วน จากบรรดาเรือกสวนไร่นาและทุ่งกว้างกลายเป็นเมืองใหญ่ที่มีผู้คนอาศัยอยู่มากมาย ใครเลยจะคิดว่าพื้นที่โล่งเปล่าเลี้ยงวัวควายในยามนั้นจะกลายเป็นตึกรามบ้านช่องระฟ้าไปหมด ชีวิตจากที่เคยเรื่อยเฉื่อยริมน้ำกลับกลายเป็นต้องเร่งรีบในทุกวัน สีหราชเหลือบตามองลงไปด้านล่าง ผู้คนจำนวนมากรีบร้อนวิ่งไปทำมาหากินในยามเช้า

ไม่มีเสียงหริ่งเรไร...จักจั่น หรือแม้แต่หิ่งห้อยที่ต้นลำพู...เหมือนครานั้น
โลก...ไม่รื่นรมย์เหมือนยามนั้น...ยามที่มีเจ้าอยู่ข้างกาย...
เจ้าไปอยู่เสียที่ไหนกัน...เมืองอินทร์ เจ้าแกล้งข้าพอแล้วฤาไม่...


เงาที่สะท้อนในกระจกเผยชัด บุรุษหนุ่มในชุดสูทสีดำสนิทท่วงท่าผึ่งผาย ร่างนั้นสูงเกินมาตรฐานชายไทย แต่เพราะช่วงไหล่กว้างลาดจึงทำให้ดูสูงโปร่ง เจ้าตัวซ่อนมัดกล้ามแข็งแรงไว้ภายในเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาด เครื่องประดับกายมีแหวนสีนิลที่นิ้วนาง สร้อยทองคำดุมละเอียดยิบเส้นน้อยที่พันทบข้อมือหนา ผมสีดำสนิทมีแซมไฮไลท์สีน้ำเงินเข้ม ดวงตาคมหม่นเศร้า

บทลงโทษ...ของยมโลก
แม้นอยากอยู่เคียง...แต่มิอาจสมปรารถนา


สีหราชถอนใจเบา ๆ เกือบสองร้อยปีที่ยมโลกฉุดรั้งเขาไว้ให้กลายเป็นยมทูตคอยรับดวงวิญญาณที่สิ้นอายุขัย บุญและบาปเสมอกันของสีหราชทำให้ตาชั่งความดีงามมิอาจตัดสินได้ว่าเขาควรถูกส่งไปรับโทษทัณฑ์ในแดนนรกภูมิหรือควรขึ้นสวรรค์ ความก้ำกึ่งในสภาวะของวิญญาณจึงนำสีหราชมาสู่การเป็นผู้คุมกฎ

นี่มันบังคับกันชัด ๆ ! เขาต้องการไปเกิดใหม่ ! ไม่ใช่ถูกล่ามตรวนด้วยการเป็นยมทูตเช่นนี้ !

ในร้อยปีแรก ท่านยมบาลเอ่ยกับสีหราชอย่างมั่นเหมาะ

“รอก่อน รอคนใหม่มาแล้ว ถึงคราวของเจ้าเมื่อไหร่ เจ้าจะได้ไปเกิด”

แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่มีใครมาสักครา ย่างเข้ารอบ 200 ปี มนุษย์ต่างกระทำแต่สิ่งเลวทรามมากขึ้นทุกวัน มีแต่วิญญาณบาปที่วิ่งเข้าสู่นรกภูมิไม่หยุดหย่อน ขณะที่วิญญาณที่มีกุศลจิตนับวันน้อยยิ่งเสียกว่าน้อย อย่างนี้แล้วจะหาวิญญาณที่บุญเสมอบาปเช่นเขาได้ยิ่งยากแสนเข็ญ

ไม่มียมทูตมาใหม่...เขาก็ไปเกิดไม่ได้...

ในแต่ละวัน...ยมทูตอย่างเขาต้องคอยวิ่งรับวิญญาณคนตายกว่าร้อยชีวิต ส่วนใหญ่มีแต่กลิ่นเหม็นเน่าด้วยบาป มีไม่ถึง 5 รายที่เขายินดีค้อมกายคารวะและนำทางไปสู่สวรรค์ เส้นทางที่เขาไม่ต้องล่ามตรวนร้อนด้วยไฟนรกที่มือและขาของวิญญาณนั้น

ได้กลิ่นบาปทุกวัน กลิ่นที่เหม็นเน่าเกินทน...

วิญญาณที่เหม็นเน่าด้วยกลิ่นบาปอกุศล ชวนให้รู้สึกคลื่นเหียนสะอิดสะเอียนทุกครั้งที่ต้องเข้าใกล้ แม้เมื่อได้พักผ่อนล้างตัวด้วยน้ำทิพย์แล้ว แต่กลิ่นนั่นก็ไม่จางหายไปจากตัวเขาเสียที ดังนั้นเมื่อย่างเข้ารอบ 200 ปีของการเป็นยมทูต สีหราชก็ตัดสินใจได้

วิญญาณบาป...ก็ต้องเจออะไรที่สาสม !

ตรวนเพลิงร้อนที่ควรสวมที่มือและเท้าของวิญญาณบาป ถูกล่ามไว้ที่คอแทนก่อนที่สีหราชยมทูตจะกระชากวิญญาณที่กรีดร้องอย่างโหยหวนลงสู่นรกภูมิ วิญญาณบาปบางตนที่คร่ำครวญหวนไห้อาลัยกายหยาบและทรัพย์สมบัติล้วนถูกยมทูตหนุ่มคว้าลากกระชากอย่างไม่นำพา แต่ก็ยังมีบางรายที่หาญกล้าร้องอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการยมโลกสากล ผลคือ สีหราชยมทูตถูกตั้งคณะกรรมการสั่งสอบสวนความผิด

หึ ! ข้อหาทำร้ายจิตใจของวิญญาณบาป ! ช่างกล้า !

“เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนี้” หนึ่งในกรรมการยมโลกสากลถามขึ้นอย่างกราดเกรี้ยว

“สมควรแล้ว”  เจ้าตัวเอ่ยก่อนจะยกยิ้มอย่างสาแก่ใจ

“อะไรนะ ?”  คณะกรรมการคนหนึ่งชะโงกถาม

“ ยามมีชีวิตไม่รู้จักทำสิ่งดีงาม ยามตายกลับต้องการได้รับการปฏิบัติอย่างดี น่าขัน !” สีหราชแค่นหัวเราะ

บางรายร้องเรียนว่าขอเพียงทำใจร่ำลาอาวรณ์สักครู่ แต่สีหราชยมทูตกลับกระชากวิญญาณออกมาทันที

“ ก็คราฆ่าผู้อื่น ยังไม่ให้เขาร่ำลาลูกเมีย ยามตาย...ก็ไม่ควรต้องได้ร่ำลา”

คำตอบนั้นทำให้ท่านยมบาลผู้เป็นนายถึงกับส่ายหน้าก่อนจะเหลือบมองคณะกรรมการยมโลกสากลอย่างอึดอัดใจ

ยมทูตตนใดที่ทำหน้าที่ไม่สมบูรณ์ มีจิตใจไม่เป็นกลางย่อมถูกพิจารณาว่าย่อหย่อน ตามกฎยมโลกแล้วสีหราชจะต้องถูกพักงาน 100 ปี และทำงานชดใช้ความผิดด้วยการเป็นยมทูตต่อไปอีกอย่างน้อย 500 ปี

เสียงกระแอมของท่านยมบาลทำให้สีหราชเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นนาย

“ท่านกรรมการ...ยมทูตสีหราชทำงานกับเรามาตั้งแต่พุทธศักราช ๒๓๙๑ เขาทำงานได้ดีไม่เคยบกพร่อง ซ้ำยังมีชื่อเสียงในการปราบวิญญาณอาละวาดไว้หลายคดี จนเป็นยมทูตตัวอย่างของยมโลกแห่งนี้ เหตุที่เกิดขึ้นอาจเป็นเพราะเจ้าตัวทำงานหนักเกินไปมาเกือบสองร้อยปี หวังว่าท่านกรรมการจะพิจารณาด้วยหลักความเมตตาและตัดสินอย่างเป็นธรรม ข้าขอเสนอว่าสมควรนำความดีมาลบล้างความผิดพลาดคงเป็นการดี”

ประโยคนั้นทำให้เหล่าตุลาการหันหน้ามองกันครู่ใหญ่ ก่อนที่ประธานกรรมการสอบสวนจะพูดขึ้น

“กฎของยมโลกระบุชัด ยมทูตทุกตนต้องปฏิบัติต่อวิญญาณอย่างเที่ยงธรรม ไม่ใช้อารมณ์ตัดสินไม่ว่าวิญญาณนั้นจะบาปหนาหรือมีบุญบารมี จะไม่ลงโทษเลยก็เป็นที่ครหาของเหล่าวิญญาณที่ร้องเรียนได้...” ก่อนจะประกาศขึ้นว่า

“ สีหราชยมทูต มีความผิดจริง แต่ด้วยความดีงามที่สะสมไว้ ยกเว้นโทษ 500 ปี”  เหล่าตุลาการตัดสิน

“พักงานยมทูตสีหราช 100 ปี ลดตำแหน่งเป็นยมทูตสัญจร และย้ายไปแดนมนุษย์ !”

สิ้นประโยคนั้น ละอองหมอกควันสีดำฟุ้งขึ้นต่อหน้าทุกคน บดบังทุกสิ่งจนหมดสิ้น มีเพียงประโยคต่อท้ายที่ตามมาว่า

“จงลงไปโลกมนุษย์เพื่อสำนึกตน สร้างบารมีแล้วกลับมาใหม่ !”

จะให้สำนึกตนอะไรนั่น ! ฝันไปเถอะเหล่าตาแก่โง่ทั้งหลาย !
ข้าจะไม่ทำสิ่งใดเลย ข้าจะพัก...พักให้ยาวอย่างที่ปรารถนา !
สีหราชคนนี้ จะไม่ทำสิ่งใดอีกแล้ว พอกันที !

……………………………………………………….

หัวข้อ: Re: สีหราชยมทูต Grim reaper's vacation by ButlerofLOVE++
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 13-07-2020 11:35:11
บทที่ 2. คำขอร้อง

การโดนเตะโด่งไล่ให้มาอยู่โลกมนุษย์ระยะหนึ่งก็ไม่เลวเหมือนกัน ใครว่าการโดนยมโลกสั่งพักงานและพิจารณาตัวเองบนโลกมนุษย์จะแย่เสมอไปเล่า อย่างน้อยก็ไม่ต้องเป็นพนักงานส่งวิญญาณอย่างที่ทำอยู่ทุกวัน อย่างน้อยก็เห็นแสงอาทิตย์อุ่น ๆ ท้องฟ้าใส ๆ และก็...ความวุ่นวายไม่สิ้นสุดของมนุษย์

เพราะว่าโลกมนุษย์มี Grab และบรรดาเหล่า Delivery ต่าง ๆ มากมาย ในบรรดาเหล่ายมทูตหัวสมัยใหม่จึงเคยเรียกกันเล่น ๆ ใน
หมู่เพื่อนฝูงด้วยกันว่า พวกเขานี่ล่ะพวก “Grab Ghost” เพราะหน้าที่ของยมทูตก็คือการไล่เก็บวิญญาณผู้ตายและไปสู่โลกหน้า ไม่มีใครทำงานข้ามเขตปกครองตัวเองด้วย ในโลกหลังความตายมีการแบ่งโซนการทำงานหรือเขตปกครองออกเป็นส่วน ๆ อย่างพื้นที่กลางเมืองหลวงที่สีหราชอยู่ในตอนนี้เป็นเขต 14 ที่อยู่ในการดูแลของเทพากร ยมทูตชำนาญการระดับ 6 ขณะที่เขาเคยเป็นยมทูตชำนาญการระดับ 7 

หึ! ช่างเป็นการพักงาน...ที่สบายราวกับพักร้อน...

ในยามนี้ ชีวิตของยมทูตสัญจรอย่างสีหราชช่างสุขสบายไร้ความวุ่นวาย แม้ว่าเจ้าตัวจะโดนสั่งพักงาน แต่อำนาจทิพย์ของการเป็นยมทูตยังคงมีอยู่เต็มเปี่ยม เพียงสีหราชใช้มนตราลืมเลือนความทรงจำ เขาก็สามารถเข้านอกออกในสถานที่และอาคารต่าง ๆ ได้ตามใจปรารถนา เพียงใช้แต้มบุญที่ทำมาเกือบ 200 ปีแทนเงินตรา เท่านี้เขาก็สามารถใช้ชีวิตหรูหราได้อย่างที่ปรารถนา อย่างในยามนี้เพนท์เฮ้าส์ชั้นบนสุดของอาคารสูงริมน้ำกลายเป็นที่พักประจำของยมทูตหนุ่มมาแล้วกว่า 5 ปี ระเบียงหน้าเปิดโล่งให้เห็นคุ้งแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ไกล ๆ

สีหราชทอดตามองสายน้ำที่ไหลรินอยู่ตรงหน้า...

กว่า 200 ปีผ่านไปสายน้ำยังเหมือนเดิม มีแค่...คนตัวเล็กที่หายไป

 .......................................................

ก่อนที่เจ้าตัวจะหวนนึกถึงเรื่องราวในอดีตชาติ เสียงตะโกนลั่น ๆ ที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้สีหราชต้องหันไปมอง

“เฮ้! สีหราช ! ....อ้ายสีห์ ! ” เทพากรตะโกนลั่น ๆ เจ้าตัวลอยเคว้งกลางอากาศก่อนจะโบกไม้โบกมือให้หยอย ๆ

นั่นล่ะ...เทพากรยมทูตชำนาญการระดับ 6 เป็นเพื่อนกับสีหราชมาตั้งแต่ร้อยปีแรกที่เริ่มต้นการเป็นยมทูต ฝ่ายหนึ่งช่างเจรจาแต่อีกฝ่ายช่างเงียบขรึม ความแตกต่างสุดขั้วดูเหมือนไม่น่าจะเข้ากันได้ แต่กลับเข้ากันได้ดี ยกเว้นก็เสียแต่อีกฝ่ายเจ้าชู้ประตูดินจนเป็นที่ระอาของเทวาและนางสวรรค์ต่าง ๆ

“ไอ้เทโพ...วันนี้ไม่เป็น Grab ghost หรือไง” สีหราชถามอย่างไม่ใส่ใจ

“ชะ! เทโพมันชื่อปลา เราน่ะเทพากร แหม...อุตส่าห์มาทักทายเพื่อน เห็นว่าโดนท่านพญายมเขม่นเอารึ เลยต้องระเห็จมาอยู่โลกมนุษย์แบบนี้” เทพากรยิ้มขำ ๆ ลอยนิ่ง ๆ อยู่ตรงหน้า

“ก็...เขาว่า ข้าไม่มี’ยมสัมพันธ์!” กริยาเหม็นเบื่อที่แสดงออกทางแววตาชัดเจนเสียจนเทพากรยมทูตหัวเราะลั่น

“ก็ท่านสีหราช เป็นประเภทพูดจาขวานผ่าซากนี่ขอรับ บางเรื่องที่ควรพูดอธิบายเยอะหน่อย ดั้นพูดมาคำเดียว ไอ้ที่ไม่ต้องพูดก็ได้ ดันตอกเสียจนคนฟังหัวแบะไปเลย พวกคณะกรรมการยมโลกจะไม่เขม่นเจ้าก็ประหลาดแล้ว”

“ข้าพูดแต่ความจริง” สีหราชกล่าวเมิน ๆ

“มีอย่างที่ไหน เขาถามว่า ถ้ามีวิญญาณร้องไห้เสียใจจิตผูกพันกับสถานที่ไม่อยากตาย ยมทูตอย่างเรา ๆ ควรจะปลอบวิญญาณนั้นยังไง เอ็งก็ดันปากหมาโพล่งไปว่า ก็-สือก...ไม่ขยันหายใจเอง ช่วยไม่ได้! คำตอบแบบนี้จะผ่านได้ยังไง”

“แล้วไอ้ที่เขาให้ยมทูตจูงวิญญาณคนตายมายมโลก เอ็งก็ดันเอาเชือกตรวนพันคอเขาแล้วลากหลุน ๆ มายมโลก แทนจะจูงดี ๆ เราละเชื่อเลยอ้ายสีห์! ดีเท่าไหร่แล้วที่วิญญาณพวกนั้นส่วนใหญ่ฟ้องร้องไม่เป็น นี่ขนาดเจอแค่ไม่กี่รายที่ไปฟ้องท่านนิรยบาล ขืนรู้ว่าเอ็งทำแบบนี้กับทุกเคสนะ ไม่โดนเตะโด่งไปเกิดใหม่ละก็ ข้าให้เหยียบเลยเอ้า! ”

เหอะ ! ถ้ารู้ว่าจะโดนส่งไปเกิดใหม่...จะพูดให้มากกว่านี้ด้วยซ้ำ!

“เอาล่ะ นอกจากจะมาหลอกด่าข้าแล้ว เจ้ามาทำอะไร” สีหราชหรี่ตามองเทพากรอย่างรู้ทัน เพราะเทพากรเป็นพวกเจ้าเล่ห์ ไม่มีหรอกที่จะแวะมาโดยไม่มีเป้าหมาย

“บ๊ะ! เอ็งนี่แสนรู้ ชาติหน้าต้องไปเกิดเป็นหมาแน่ ๆ” เทพากรขำพรืด

“งั้นเชิญ” สีหราชหมุนตัวกลับทันควัน ทำเอายมทูตปากร้ายรีบแว่บมาขวางหน้าอีกรอบหนึ่งก่อนยกมือประหลก ๆ

“โธ่ ๆ ข้าจะไปหาแม่เทพธิดาที่ตามจีบไว้สักหน่อย เลยอยากให้ท่านสีหราชช่วยไปเฝ้าตรงแยกเอราวัณสักครู่ได้ไหมเผื่อว่ามีเคสด่วนให้ไปรับวิญญาณน่ะ”  เจ้าตัวกระมิดกระเมี้ยนอุบอิบหน้าแดง

“นี่เรานัดกับแม่เทพธิดาตนนั้นไว้ว่าจะเจอกันใต้ต้นปาริชาติ แต่วันนี้แลกเวรกับใครไม่ได้เลย เลยนึกถึงทั่นสีหราชขึ้นมา…”

สีหราชกลอกตามองยมทูตจอมกะล่อนตรงหน้า

เมื่อครู่เจ้าตัวเรียกเขาว่า “เอ็ง” แต่พอจะไหว้วานละก็ยกระดับเป็น “ท่าน” เสียฉิบ !

“ธุระไม่ใช่!” สีหราชเมินฉับ ก่อนจะก้าวเดิน แต่ไปไหนได้ไม่ไกลเพราะเพื่อนตัวดีหายแว่บมาอ้อนตรงหน้า

“โธ่...ท่านสีหราชขอรับ ข้าน่ะเพียรจีบนางฟ้าองค์นั้นมานานแค่ไหนท่านก็รู้นี่ กว่าจะนัดไปนั่งเล่นที่ใต้ต้นปาริชาตได้ก็แทบแย่ ถ้าข้าพลาดครั้งนี้ละก็...นางต้องโกรธข้าแน่ ๆ แล้วอาจจะเปลี่ยนใจไปคุยกับวิทยาธร คนธรรพ์คนอื่น…” เจ้าตัวอุบอิบก้มหน้าจืดเจื่อน...

เทพากรยมทูตนี่จอมหลีระดับน้อง ๆ คนธรรพ์ทีเดียว แต่มักจะกินแห้วประจำ ถ้าแห้วเพราะตัวมันเองก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้างานนี้แห้วเพราะเพื่อนไม่ช่วย เดี๋ยวมีหวังได้ฟังเสียงก่นด่ากันไปหลายร้อยปี

ถ้าช่วยเพื่อนคราวนี้ จะได้คะแนน “ยมสัมพันธ์” เพิ่มขึ้นไหมนะ?


“นานเท่าไหร่?”  สีหราชเอ่ยเบา ๆ ปรายตามอง

ประโยคนั้นทำเอาเจ้าตัวลิงโลดทันควัน

“แค่เอาของขวัญไปให้นางเท่านั้น ไม่เกิน 15 นาทีทิพย์ ถ้าเทียบกับโลกมนุษย์ก็ราว ๆ 6 เดือนเอง”

“หกเดือน! บ้าไปแล้ว ไม่ว่าง !” สีหราชปฏิเสธทันควัน

“เอาน่าเพื่อน ข้าน่ะเป็นสายรับวิญญาณพระสงฆ์องค์เจ้าในเขต 14 คงไม่มีวิญญาณหลงมาบ่อยนักหรอก คนสมัยนี้วิทยาการดีและยิ่งกับพระกับเจ้า มนุษย์เขาดูแลดีมาก ถ้าไม่เหลือบ่าจริง ๆ มนุษย์คงไม่ปล่อยให้หลวงพ่อม้วยง่าย ๆ หรอกน่า” เทพากรพยายามชักแม่น้ำทั้งห้ามาหว่านล้อมร่างตรงหน้า

“น่า…สีหราช...ช่วยเพื่อนหน่อยเถอะ...ถือว่าข้าขอร้องล่ะ ข้าชอบนางฟ้าองค์นี้จริง ๆ”

“อ้อ...เสร็จงานนี้นะ ข้าจะเอาดอกปาริชาตมาให้ด้วย แกกำลังตามหาความทรงจำที่หายไปอยู่ไม่ใช่หรือ คนที่แกตามหามาตลอดคนนั้น” เจ้าตัวพยายามเสนอทุกวิถีทาง

สีหราชนิ่งงัน...เทพากรรู้จุดอ่อน

สุดท้ายสีหราชก็ยอมพยักหน้าเบา ๆ คำตอบดังกล่าวทำให้ยมทูตเทพากรถึงขนาดยิ้มร่า กระโดดตัวลอยหมุนกลิ้งในอากาศรอบหนึ่ง แล้วตบเข่าฉาด

“ว่าแล้วว่าเอ็งจะยอมช่วยข้า ขอบใจมากเลยนะสีห์ อ่ะ ไอ้นี่คือ ป้ายผ่านทางยมโลกเป็นของสำคัญประจำตัว ไว้สำหรับพาวิญญาณเข้าไปสู่แดนยมโลก ห้ามทำหายเลยนา ถ้าหายละก็ข้ามีหวังโดนปลดไปเกิดเป็นหมาแน่เลย”

เทพากรงึมงำ ๆ เบา ๆ ก่อนจะกด ๆ บางอย่างลงบนป้ายผ่านทางที่ส่องแสงเรืองรองสีทองในฝ่ามือ

“ข้าจะปิดระบบ Auto detect ไปก่อน มันจะได้ไม่โวยวายว่านายเป็นคนถือมันไม่ใช่ข้า...แต่ข้อเสียก็คือ ถ้าปิดระบบนี้ไปก็หมายความว่า คนอื่นก็สามารถใช้ป้ายผ่านทางฯ นี้ได้เหมือนกัน…” ว่าแล้วก็ยื่นป้ายสีทองให้

“ข้าแค่พักงาน ไม่ได้ลืมวิธีการเป็นยมทูตเสียหน่อย”  สีหราชทำหน้าเบื่อก่อนจะรับป้ายทองคำดังกล่าวมาเก็บ

“รีบไป รีบกลับอย่างเถลไถล แค่ 15 นาทีทิพย์เท่านั้น ! ”

เมื่อนึกถึงตรงนี้แล้ว...สีหราชก็ถอนใจ

นั่นล่ะ หลังจากพักร้อนมาได้เกือบ 5 ปีในโลกมนุษย์ ดันไปตกปากรับคำช่วยเพื่อนยมทูตเข้า แต่จริง ๆ ก็ไม่เลวร้ายอะไรนัก เพราะตลอด 3 เดือนที่ผ่านมาไม่มีอะไรผิดประหลาดอย่างที่เทพากรว่าไว้ วิทยาการทางการแพทย์สมัยนี้ทำให้คนยืดเวลาตายออกไปได้ หลวงพ่อหลวงพี่ทั้งหลายก็ไม่นิยมมรณภาพกันเสียด้วย ป้ายผ่านทางยมโลกไม่เคยได้ใช้เลยสักครั้ง

อีกเพียง 3 เดือน...ก็จะพ้นเรื่องบ้า ๆ นี่ แล้วไอ้สีห์คนนี้จะท่องไปให้ทั่ว
รอก่อนนะ...ครั้งนี้ข้าจะตามหาเจ้าให้เจอให้จงได้...เมืองอินทร์

.........................................................................................
หัวข้อ: Re: สีหราชยมทูต Grim reaper's vacation by ButlerofLOVE++(ตอนที่ 4 ผีหนุ่มตาหวาน)
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 13-07-2020 13:10:39
..........................................
แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้วยามนี้ เหล่าอาคารห้างสรรพสินค้าและร้านค้าต่าง ๆ เปิดไฟสว่างไสวต้อนรับการฉลองเทศกาลปีใหม่และส่งท้ายปีเก่า แสงสีและบรรดาร้านบาร์เหล้าเบียร์ ดนตรีสดบรรเลงกันสนุกสนานอยู่หน้าห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ ผู้คนเดินเคียงกัน บ้างมาเป็นคู่ บ้างก็เป็นกลุ่มเพื่อน สีหราชยืนนิ่ง ๆ กวาดตามองไปรอบ ๆ อย่างสำรวจ หญิงสาวสองสามรายเดินผ่านมาจู่ ๆ ก็ส่งสายตาชะม้อยชม้ายมาให้ แต่เจ้าตัวเมินฉับอย่างไม่ใส่ใจและกึ่งจะรำคาญเสียด้วยซ้ำ

ที่ไม่ชอบอย่างเดียวของการถูกเตะโด่งมาโลกมนุษย์ ก็คือ การมีร่างกึ่งมนุษย์กึ่งยมทูตนี่เอง

เพราะร่างจำแลงเช่นนี้ ไม่เพียงแต่เขาจะเห็นวิญญาณ แต่ทั้งวิญญาณและมนุษย์ต่างเห็นเขาได้ทั้งนั้น

ในมิติที่เหลื่อมซ้อนกัน มีเพียงสีหราชที่เห็นว่า บนลานโล่งตรงหน้ายังมีอีกหลายสิ่งที่อยู่ร่วมปะปนกับมนุษย์

วิญญาณ...ที่ตกค้าง...หรือที่เรียกว่า วิญญาณเร่ร่อน

บ้างก็เป็นเด็กน้อยหน้าตามอมแมม บ้างก็เป็นสตรีในชุดไทยโบราณ บ้างก็ดูท่าจะเป็นผู้มีอันจะกินในสมัยก่อน เดินปะปนอยู่กับผู้คนมากมาย ดวงจิตที่ยังติดอยู่ในภพของแต่ละวิญญาณทำให้ไม่ค่อยจะสนใจเหล่ามนุษย์ที่เดินกันขวักไขว่

เหมือนอยู่บ้านเดียวกัน แต่หากมองไม่เห็นกันและกัน คลื่นความถี่...ไม่ตรงก็ไม่มีทางพบเจอกันได้

วิญญาณเร่ร่อน...มีมากมายทับซ้อนกันหลายร้อยปี บางรายอาจจะย้อนไปถึงสมัยอยุธยา บางรายอาจจะรัตนโกสินทร์ตอนต้น ถ้าดวงตามนุษย์เห็นว่ามีคนแต่งชุดไทยโบราณเดินเอื่อย ๆ อยู่กลางห้างสรรพสินค้า คงจะวิ่งกันป่าราบ...แต่จะว่าวิญญาณเหล่านี้ก็ไม่ได้หรอก เพราะเกือบร้อยปีก่อนยังไม่มีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่อย่างนี้

ยามนั้นที่นี่เป็นเพียงเรือกสวนไร่นา และเรือนของเหล่าเชื้อพระวงศ์ปลายแถว ความยึดติดในทรัพย์ทำให้บางรายติด...กับที่ดินของตน ไม่อาจไปเกิดได้ พอเหล่าลูกหลานเหลนตัดสินใจขายที่ดินเพื่อเงินมหาศาล วิญญาณเหล่านี้ก็ยังคงติดอยู่ในสถานที่ ไม่อาจไปไหนได้

สีหราชเหลือบมองไปยังฝั่งตรงกันข้าม ศาลพระพรหมเอราวัณ ยามนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากราบไหว้บูชา เหล่านางรำต่าง ๆ ที่นักท่องเที่ยวและเหล่าผู้มาแก้บนจ้างวานมาก็ร่ายรำอ่อนช้อยอยู่ตรงหน้า บรรดาเจ้าที่เจ้าทางยังคงอยู่ตรงนั้นและค้อมศีรษะทักทายเขามาแต่ไกล สีหราชได้แต่พยักหน้านิด ๆ ก่อนจะมองไปอีกทางหนึ่ง

ดูเหมือนทุกอย่างจะปกติดี...

จนกระทั่งสายตาไปหยุดที่ร่างเล็ก ๆ ฝั่งตรงข้าม เด็กหนุ่มใส่แว่น ผิวขาวสะอาด วัยราว 20 ปีในชุดนักศึกษามหาวิทยาลัยที่นั่งจ๋องอยู่ริมถนน รูปร่างที่บอบบางดูราวกับจะปลิวลมได้ สิ่งที่น่าดึงดูดสายตามากที่สุดคงเป็นดวงตากลมโตสุกใสใต้แว่นตากรอบหนาแบบเด็กเรียน ผมสีดำสนิทและดวงตาใสแจ๋วนั่นทำให้ใบหน้านั้นดูน่ารัก เหมือนเด็กน้อยมากกว่าหนุ่มน้อย ถ้าไม่ใส่ชุดนักศึกษามหาวิทยาลัย สีหราชก็คิดว่าน่าจะเป็นเด็กมัธยมปลายเสียละมากกว่า ท่าทางคล้ายจะหิวเพราะเจ้าตัวเอามือลูบท้องเป็นระยะ ผีหนุ่มนั่นมองตาละห้อยไปที่รถเข็นไก่ย่างที่อยู่ใกล้ ๆ นั่นก่อนจะกลืนน้ำลาย

ท่าทางแบบนั้น...บอกชัดว่า ผีหนุ่มตรงหน้ากำลังหิวท้องกิ่วทีเดียว

ตลอดสามเดือนที่ผ่านมา สีหราชเห็นเจ้าผีหนุ่มน้อยนี่หลายครั้งแล้ว เดินสวนกันก็หลายครั้ง แต่เจ้าตัวไม่รู้เลยว่าเขาเป็นยมทูต สิ่งที่ทำให้เขาสะดุดตาตั้งแต่แรก คงเป็นความสดใสร่าเริง เพราะเจ้าผีหนุ่มตัวนี้สดใสร่าเริงเกินผีเร่ร่อนตัวอื่น ๆ เจ้าตัวชอบแจกรอยยิ้มเจิดจ้าเหมือนดวงตะวันให้ทั้งคนและผี บางคราก็แบ่งอาหารเซ่นไหว้ให้ผีแก่ ๆ ที่ไร้เรี่ยวแรงไปแย่งกับเขา

บางครั้งก็แบ่งให้จนตัวเองกุมท้องด้วยความหิวนั่นล่ะ...

ดูท่าจะมีจิตใจดีงาม ...ออกไปทางโง่งมหรือซื่อเซ่อเสียด้วยซ้ำ

นอกจากดวงตากลมใสกระจ่างนั่นจะทำให้สีหราชจำได้แล้ว ผีตัวนี้...ยังมีกลิ่นหอมบางอย่างที่ติดจมูกเขา กลิ่นที่อยู่ใกล้แล้วสบายใจบอกไม่ถูก เหมือนกลิ่นที่เขาคุ้นเคย...แต่นึกไม่ออก

เพียงครู่เดียว เจ้าตัวก้มลงคุยกับหมาตัวเล็กที่กระดิกหางแหลน ๆ นั่น

ผีที่คุยกับผีด้วยกันก็เห็นอยู่ แต่ผีคุยกับหมานี่...จะคุยกันรู้เรื่องรึ ?

แต่ดูท่าว่าจะคุยกันได้ดี เพราะเจ้าตัวเล็กนั่นยิ้มร่าก่อนจะเอามือโปร่งใสลูบหัวลูกหมาตัวน้อย อีกฝ่ายก็เห่าเบา ๆ เสียด้วย ช่างเป็นผีเร่ร่อนอีกตัวหนึ่งที่นิสัยประหลาดพิกล

ทันใดนั้นก็มีเสียงลมพัดพรูใหญ่ พร้อมกับเสียงคึ่ก ๆ วิ่งกรูเกรียวดังลั่นขึ้นทำให้สีหราชเหลียวไปมองทางซ้าย

เสียงวิ่งกันเกรียวขนาดนี้ มีอย่างเดียวเท่านั้น

ของเซ่นไหว้มาแล้ว !

คลื่นความเย็นวาบวูบวาบไหวผ่านหน้าของสีหราชไป

บางร่างเป็นผีเส้นใหญ่แต่งตัวอู้ฟู่ บางตัวก็โป๊หน่อยเสื้อผ้าขาดวิ่นเพราะอยู่มาหลายปีดีดัก บางตัวก็เปลือยท่อนบนอวดพุงพลุ้ย ๆ โชว์ผ้าโสร่งผืนเดียวบ้าง ซึ่งผีที่อาวุโสและแก่หงำที่สุดในละแวกนี้คือ ผีตาขุนเท่ง ที่สวมชุดราชปะแตนแล้วก็แก่หงำ และยังมีผีผู้หญิงชุดทำงานที่เสียชีวิตด้วยหัวใจวายกะทันหันเสียด้วย ผีผู้หญิงร่างนั้นมีน้ำใจฉุดแขนเจ้าผีเด็กหนุ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็วก่อนที่ทั้งคู่จะวิ่งกรูกันตามเหล่าผีทั้งหลายไป

เหตุการณ์มะรุมมะตุ้มที่หน้าสี่แยกราชประสงค์ก็เกิดขึ้นอย่างเคย...

นั่น ! กระทงเล็ก ๆ ใส่หมูปิ้งข้าวเหนียว และขวดน้ำแดง….ผีตัวไหนแข็งแรงกว่าก็ได้เครื่องเซ่นไหว้ไป ตัวไหนอ่อนแอก็ต้องแพ้ไป

สีหราชยืนมองดูเหตุการณ์อยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ส่ายหน้าเมื่อเห็นเจ้าผีเด็กหนุ่มตนนั้นโดนผีเกเรอีกตัวผลักกระเด็นออกมาจากวง ถลาไปกองแอ้งแม้งกับพื้นถนนตรงหน้า สีหราชใจหายวูบ เลิกคิ้วมองภาพตรงหน้าเพราะเจ้าผีหนุ่มตัวนั้นงุ่มง่ามช้ากว่าที่คิด กว่าจะเงยหน้าขึ้นมองรอบตัวก็โดนรถร่วมบริการขนาดเล็กวิ่งผ่านร่างพอดี !

เฟอะฟะ ! ไอ้ผีหนุ่มตัวนี้ช่างเฟอะฟะงุ่มง่ามเสียจริง ๆ

เจ้าผีเคราะห์ร้ายนั่นเบิ่งตาค้าง...เอามือกุมหน้าอกตัวเอง สีหน้าเจ้าตัวทำท่าเหมือนจะขยักขย้อนของในกระเพาะที่ไม่น่าจะมี เจ้าตัวนั่งมึนสะบัดหัวเบา ๆ

หึ ! สงสัยจะไม่ชิน...ว่าตัวเองตายแล้ว...

สีหราชเบือนหน้าก่อนจะเดินตรงไปที่ศาลพระพรหมเอราวัณตรงหน้า ตรงนั้นผีสาวนางหนึ่งกุลีกุจอช่วยฉุดแขนเจ้าผีหนุ่มขึ้น สีหราชเหลือบมองนิดหนึ่งก่อนจะขมวดคิ้ว ดูท่าเจ้าตัวจะไม่รู้ว่า...

“นี่...จะเปิดก้นไปถึงไหน กางเกงตูดขาดแน่ะ!”

สิ้นประโยคนั้น เจ้าผีตาใสตรงหน้าลุกพรวดขึ้นเอามือปิดก้นตัวเองทันควัน ใบหน้าขาว ๆ พลันแดงก่ำด้วยความอาย แล้วก็หันขวับมามองต้นเสียง

พลาด ! เขาพลาดแล้ว ! เผลอหลุดพูดออกไปจนได้ !

สีหราชแทบจะกัดลิ้นตัวเองแล้วทำทีเบือนหน้าหนีทันควันก่อนจะก้าวยาว ๆ ตรงไปที่ศาลพระพรหมตรงหน้า แต่ก็รู้ว่าจะตีเนียนไม่เห็นก็คงทำไม่ได้เสียแล้ว เมื่อผีหนุ่มหน้าหวานนั่นเดินแกมวิ่งตามเขามาติด ๆ สีหน้าท่าทางนั่นดีอกดีใจมาก จนลืมเอามือปิดกางเกงที่ขาด

“คุณ ๆ เห็นผมด้วยหรือ! คุณเป็นยมทูตใช่ไหม! คุณมารับผมใช่หรือเปล่า!”

ดวงตาใส ๆ และเสียงพูดจ๋อย ๆ ปราดมายืนอยู่หน้า

แววตานั่นดูดีอกดีใจเป็นประกายวิบวับใสซื่อ...เหมือนลูกหมา

สีหราชเงียบกริบก่อนจะมองนิ่งไปยังศาลพระพรหมที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ยามนี้เขาเป็นยมทูตสัญจร ไม่มีอำนาจจะพาใครไปส่งยมโลก และไม่รู้ด้วยว่าเจ้าหนูตากลมนี่ทำไมตกสำรวจได้ ยามนี้เขาสนใจแต่เรื่องที่เพื่อนฝากไว้มากกว่า

“ยินดีที่ได้รู้จักครับท่านยมทูต ผมชื่อ มรุตนะ ท่านยมทูต ได้โปรดช่วยพาผมไปเกิดที...” ผีเร่ร่อนชื่อมรุต รีบแนะนำตัวเองทันควันด้วยท่าทางสุภาพเรียบร้อย  รอยยิ้มนั่นสว่างเจิดจ้าทีเดียว

หึ! ไม่เห็นจะอยากรู้จักสักหน่อย จะบอกชื่อทำไมกัน ?

“ท่านยมทูต...ได้โปรดพาผมไปเกิดทีเถิดนะ ผมแกร่วรออยู่ที่นี่มาจะครบปีอยู่แล้ว” มรุตถามย้ำ แววตามีประกายความหวัง

“ไม่ใช่ธุระ” สีหราชเอ่ยเสียงเย็น ๆ

มรุต ผีหนุ่มนักศึกษาผงะไปนิด แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ ดวงตากลมโตใต้แว่นสายตานั้นบอกชัดว่า เจ้าตัวเป็นผีที่หัวรั้นน่าดู คิ้วเล็ก ๆ นั่นขมวดหนักบอกชัดว่าเริ่มจะโมโหหน่อย ๆ ทีเดียว

“เฮ้...พูดแบบนี้ได้ยังไง พวกคุณทิ้งผมไว้ตรงสี่แยกนี้เป็นปีแล้ว แล้วจะให้ผมรอไปเรื่อย ๆ หรือ!” ผีเร่ร่อนโวยวาย

สีหราชหันมาช้า ๆ ปรายตามองอย่างไม่ใส่ใจ

“กฎย่อมเป็นกฎ...ข้าไม่มีอำนาจ...และที่สำคัญ...ข้ากำลังพักร้อน...”

“ห๊ะ! พัก? พักร้อน ?!? ท่านยมทูตมีพักร้อนกันด้วยเรอะ !”
........................................................


ขอกำลังใจสักจึ๊กให้ไรท์เตอร์หน่อยนะค้า รักรีดเดอร์ทุกคน  :mew1:
หัวข้อ: Re: สีหราชยมทูต Grim reaper's vacation by ButlerofLOVE++ (ตอนที่ 5)
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 13-07-2020 20:19:28
บทที่ 3. หายนะ !

คำตอบและท่าทีที่เหมือนจะไม่แยแสใครของยมทูตร่างสูงตรงหน้า ทำให้ผีหนุ่มน้อยอย่างมรุตโมโหหนัก

เป็นใครก็น่าจะโมโหอยู่หรอก ถ้าต้องโดนทิ้งไว้กลางสี่แยกเป็นเวลากว่า 1 ปี

สำหรับมรุต นิสิตชั้นปีที่ 3 ของมหาวิทยาลัยชื่อดังกลางกรุงก็รู้สึกอย่างนั้นแหละ เพราะเรื่องราวชีวิตการเป็นผีเร่ร่อนของเจ้าตัวเริ่มต้นเมื่อหนึ่งปีก่อน วันนั้นเป็นวันที่ซวยซ้ำซวยซ้อนจริง ๆ หลังจากสารภาพรักกับเพื่อนสาวคนสนิทแล้วโดนหักอกดังเป๊าะ บรรยากาศอาจจะดูหดหู่กว่าวันนี้สักหน่อย เพราะเป็นวันฝนหลงฤดู

“รุต...โบว์ขอโทษนะ โบว์ไม่ได้คิดกับรุตแบบนั้น” หญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มตีหน้าสลดก่อนจะมีเพื่อนสนิทสองสามคนยืนหัวเราะคิกคักกันตรงหน้า

เมื่อเสร็จประโยชน์ ...ก็โดนถีบหัวส่งสินะ...

“นังโบว์น่ะแสบนะเว้ยไอ้รุต มันจะเกาะเอ็งเพราะเอ็งหัวดีสุดในรุ่น แล้วเสือกซื่อบื้อที่สุดในรุ่นด้วย มีอย่างที่ไหนวะ รายงานตัวเองแต่ขอให้เอ็งเอาชื่อนางไปใส่ด้วย นางนิสัยแบบนี้ถึงไม่มีคนไหนเอาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้ว...มึงยังจะเชื่อนังนี่อีก..ไอ้จิงซ์เอ๊ย....”  ประโยคของสิทธาเพื่อนซี้ของมรุตดังขึ้น

ใช่แล้ว จิงซ์ ไอ้ตัวซวย...ฉายานี้มีที่มาเหมือนกัน

เพราะไม่ว่าจะทำอะไรหรืออยู่ตรงไหน เจ้าตัวมักจะซวยกว่าชาวบ้านเขาอยู่เรื่อย ไม่ว่าจะโดนรถแล่นผ่านแล้วน้ำที่เจิ่งนองอยู่สาดขึ้นมาจนโชก หรือว่าเดิน ๆ อยู่ดี ๆ แผ่นไม้ก่อสร้างของนั่งร้านดันร่วงลงเฉียดหัวไปนิดเดียวบ้าง หรือรถยนต์คันไหนที่ขึ้นมักจะต้องมีเหตุเฉี่ยวชนเกือบจะทุกครั้ง จนเพื่อน ๆ ชักจะหวั่น ๆ ไปด้วย หลายคนถึงกับต้องพึ่งเครื่องรางคุ้มภัย

“ ไอ้รุต...มึงอย่าว่ากูนะเว้ย กูว่ามึงของแรงว่ะ อยู่ใกล้ทีไร พวกกูซวยไปด้วยทุกที”

แล้วความซวยก็ทำให้วันที่หดหู่ที่สุดในชีวิต นิสิตหนุ่มชื่อมรุตกลายเป็นผีเร่ร่อนชื่อมรุตแทน เมื่อจู่ ๆ การเดินบนฟุตบาทเพื่อไปร้านหนังสือใหญ่ในห้างสรรพสินค้ากลางกรุงจบลงเมื่อรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งแทรกตัวขึ้นมาเบียดทางเท้าจนชายหนุ่มต้องขยับเบี่ยงตัวออก จำเพาะว่าตาลุงอีกคนหนึ่งสะดุ้งเซหลบรถมอเตอร์ไซค์เช่นกัน เจ้าตัวถลามาชนเด็กหนุ่ม

มรุตเสียหลักลงมาบนถนน ขณะที่รถประจำทางคันหนึ่งตะบึงร่ฃี่เข้ามาจอดเตรียมส่งคนลง...

อะไรจะพอดิบพอดีขนาดนี้ เมื่อเอียงล้มแล้วรถมาทับซ้ำ...คาที่...

กว่าจะรู้ตัวอีกทีว่าตาย ก็ลอยเคว้ง ๆ เหนือร่างตัวเองซะแล้ว ท่ามกลางเสียเอะอะของผู้คนที่กรูกันเข้ามาดูเหตุการณ์

เอาจริง ๆ ...ความตายไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวมากหรอก เพราะแค่แว่บเดียวก็จบลงแล้ว

แต่สิ่งเดียวที่เจ้าตัวออกจะหงุดหงิดมากกว่า คงเป็นเพราะว่า ยังไม่เห็นยมทูตสักตนที่จะมารับ !
นับจากวันนั้น มรุตก็นั่งกระจ๋องหง่องอยู่ริมถนนของสี่แยกเอราวัณ เฝ้ามองผู้คนผ่านไปผ่านมาอย่างละเหี่ยใจ เห็นผีตัวแล้วตัวเล่า
ที่มียมทูตมารับไปทีละตัว

สักวันคงมีท่านยมทูตสักตนมารับละน่า....

เดือนแรกก็ยังพอมีความหวังอยู่เต็มเปี่ยม แต่พอถัดมาครึ่งปี เจ้าตัวก็ชักจะไม่มั่นใจ จนกระทั่งตอนนี้เพิ่งครบรอบ 1 ปี ของเขาไป เจ้าตัวเริ่มถอดใจว่าคงไม่มีใครมารับเสียแล้ว

‘ผีตกสำรวจ’...คำพูดนี้เหล่าผีเร่ร่อนพูดกันบ่อย ๆ

“ไอ้หนู...บางทียมโลกก็พลาดเหมือนกันล่ะ อย่าคิดมาก” เสียงตาชัย ผีเจ้าถี่นประจำย่านราชประสงค์ปลอบเบา ๆ

แต่ตอนนี้...โอกาสไปเกิดใหม่มายืนอยู่ตรงหน้าแล้ว จะปล่อยท่านยมทูตตนนี้ไปได้ยังไงเล่า !
...................................................................

“บ้าสิ ! ยมทูตมีพักร้อนด้วยเหรอ !” มรุตโวยวายลั่น แต่ดูเหมือนยมทูตตรงหน้าจะไม่ใส่ใจ

สีหราชก้มลงค้อนศีรษะให้เหล่าเจ้าที่เจ้าทางอาวุโสแถวนั้น แล้วก้าวยาว ๆ เดินออกจากศาลพระพรหมดังกล่าว พยายามไม่ใส่ใจร่างเล็ก ๆ ที่พยายามตามแจ

เมื่อวิธีโวยวายดูท่าว่าจะใช้ไม่ได้ผลกับยมทูตตรงหน้า...ก็ต้องใช้การตามตื้อกันล่ะ !

“ ผมนึกออกแล้วว่า ผมเคยเจอท่านยมทูตด้วย ท่านมาที่นี่เมื่อหลายเดือนก่อนใช่ไหม ผมเคยเดินสวนกับท่านมาก่อน แน่ ๆ เลย ท่านไปดื่มกาแฟที่ร้านสตาร์บัคตรงนั้น” เจ้าตัวพูดจ๋อย ๆ ก่อนจะเดินตามตื้อไม่หยุด สีหราชหน้านิ่งเรียบเฉยชนิดที่ดูไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่

ผีเจาะปาก...เป็นอย่างนี้สินะ

“เดี๋ยวก่อนสิท่านยม...ขอร้องล่ะ ช่วยพาผมไปเกิดที...ได้โปรดเถอะ”

ผีหนุ่มพยายามอ้อนวอนพร้อมกับพยายามทำหน้าตาให้น่าสงสารที่สุด แต่สีหราชเมินฉับ เดินทะลุผ่านไปอย่างไม่แล
พันแข้งพันขาเสียจริง เหมือนลูกหมาไม่มีผิด !

“ธุระไม่ใช่!” เสียงสั้นห้วนตัดรอน และหางตาตวัดฉับ

ถ้าไม่สุงสิงด้วย...เจ้าผีหน้าหวานนี่คงจะไม่ยุ่งอะไรอีก

แต่หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง สีหราชก็ชักจะกุมขมับ...เพราะดูท่าเขาคงประเมินผีเร่ร่อนตัวนี้ผิดไป เพราะผีตัวนี่ช่างเถียงแถมยังตื้อเก่งใช่ย่อย ตลอดคืนไม่ว่าสีหราชจะเดินไปทางไหน..ผีหนุ่มตาหวานก็ตามติดมาตลอด หลบหลังเสาบ้าง หลบหลังป้ายโฆษณาบ้าง แม้จะหลบเข้าร้านอาหาร เจ้าผีหน้าเป็นนั่นยังคงยืนชะเง้อชะแง้อยู่หน้าร้าน ดวงตากลมโตใสแจ๋วค่อย ๆ เยี่ยมหน้าออกมามองเป็นระยะ

พอลับตาคน สีหราชตัดสินใจหันขวับไปมองนักตามตื้อตัวฉกาจด้วยสายตาวาววับ น้ำเสียงเย็นยะเยียบ

“ไปให้พ้นหน้าข้า !” สีหราชตวาดลั่น

ให้ตายเถอะ..นี่ผีเร่ร่อนหรือว่าลูกลิงกันวะ !

ผีนักตื้อหน้าเจื่อนแต่ก็ยังคงเดินตามอยู่เหมือนเดิม

จนสุดท้ายความอดทนของสีหราชก็ขาดผึง! เจ้าตัวหันขวับไปมองผีตัวป่วนก่อนจะร่ายอักษรสีแดงก่ำขึ้นมากลางอากาศ ตาข่ายเพลิงที่ไม่มีใครเห็นนอกจากยมทูต ตาข่ายที่จะกั้นไม่ให้ผีเร่ร่อนติดตามมาได้อีก

อำนาจจากยมโลกที่ยังมีอยู่ในมือ เป็นประโยชน์ก็คราวนี้เอง

เพลิงสีแดงปรากฏวาบขึ้นกางกั้นเป็นตาข่ายหนาพันร่างเจ้าผีตามตื้อไว้ ยิ่งดิ้นก็ยิ่งพันรัดจนแน่นจนเจ้าลูกลิงใส่แว่นโวยลั่น!

“เฮ้ย! ผมเป็นผีนะ ไม่ใช่ปลา เอาตาข่ายนี่ออกไป ! ท่านยมทูต ไอ้ท่านยม ไอ้ยมเย็นชา!”

สีหราชเพียงเหยียดยิ้มหยันนิด ๆ ก่อนจะก้าวออกจากมุมสี่แยกนั่น
หึ!...จงเป็นลูกลิงในตาข่ายเพลิงไปก่อนเถอะ! อีกห้าชั่วโมงถึงจะหลุดจากคาถานั่น !

เสียงมรุตยังลอยก่นด่ามาตามลม เสียงเอ็ดตะโรโวยวายตะโกนที่เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้สีหราชเริ่มหงุดหงิด

“ท่านยม ! ท่านยมช่วยที ! ช่วยด้วย !”

...น่าจะเสกเชือกบาศมัดปากไว้ด้วยท่าจะดี...

แต่ทันทีที่ยมทูตหนุ่มเหลือบไปมองตามเสียงก็ต้องตกตะลึง เพราะตรงกลางถนนที่เพิ่งข้ามมา มีลูกหมาน้อยดำปี๋ตัวหนึ่งวิ่งทะเล่อทะล่าออกมาจากเกาะกลางถนน น่ากลัวว่าจะพลัดกับแม่ ลูกหมาดำตื่นตกใจกับเสียงรถและแตรที่ดังลั่นจนหยุดนิ่งชะงักอยู่ตรงนั้น รถบรรทุกคันใหญ่กำลังแล่นตะบึงเข้ามา อีกเพียงไม่กี่สิบเมตร

วินาทีนั้นสีหราชเหลือบมองไปมรุตที่ตะโกนโวยวายลั่นอยู่ตรงฟุตบาทใกล้ลูกหมาดำ

ท่าทางของผีหนุ่มนักศึกษาคล้ายจะดิ้นรนเพื่อออกไปคว้าร่างกลม ๆ กลางถนนนั่น

... ถ้าเจ้าลูกหมานั่นถึงคราวตาย...จะช่วยยังไงก็ไม่รอด...เห็นมาเยอะแล้ว

แต่เหมือนเจ้าผีเร่ร่อนนั่นจะไม่คิดอย่างนั้นนะสิ!

ความพยายามดิ้นสุดแรงของมรุต ทำให้จู่ ๆ ตาข่ายเพลิงที่สีหราชเสกด้วยอาคมไว้อย่างแน่นหนาคลายสลายวับไปทันทีก่อนที่เจ้าตัวจะพรวดเข้าไปกลางถนนอย่างเร่งรีบ

เป็นไปได้ยังไง !!!

สีหราชตกตะลึงกับภาพตรงหน้า

ข้าไม่เคยพลาดกับคาถาง่าย ๆ แบบนี้ เจ้าผีเร่ร่อนตรงหน้านี่...เป็นวิญญาณอะไรกันแน่ ?

ความงุนงงทำให้สีหราชตัดสินใจสะบัดมือวูบเดียว ทั้งลูกลิงและผีเร่ร่อนลอยหวือรวดเร็วมาร่วงตรงหน้ายมทูตหนุ่ม ผลคือทั้งคู่รอดจากรถบรรทุกคันใหญ่นั่นอย่างหวุดหวิด ทั้งลูกหมาดำตัวนี้ และ...ของแถมอย่างผีลูกลิงที่ยังกองแปะอยู่กับพื้นอย่างหมดท่าและทำตาโตอย่างตกใจไม่หาย สีหราชถอนหายใจอย่างระอา

เจ้าผีตัวนุ่มนิ่มนี่ดูท่าว่าจะลืมไปแล้วว่าตัวเองเป็นผี จะช่วยลูกหมาได้ยังไงกัน?

“ขอบ...ขอบคุณนะ...” มรุตเงยหน้าก่อนจะขอบคุณยมทูตหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาตื้นตัน

“ทีหน้าทีหลัง เป็นผีก็คิดหน่อยว่าตัวเองเป็นผี”

“เปล่า...ไม่ได้ขอบคุณที่ช่วยผม แต่ขอบคุณที่ช่วยชีวิตหมาน้อยตัวนี้” มรุตยิ้มให้ก่อนจะก้มมองร่างกลม ๆ ปุ๊กปิ๊กที่เดินวนรอบขาของสีหราช

แววตานั่นและรอยยิ้มที่กระจ่างใส ทำให้ยมทูตหนุ่มสะอึกไปนิด

มีอย่างนี้ด้วย...ขอบคุณแทนหมา....ไอ้เจ้านี่แปลกแฮะ!
……………………………

แต่ก่อนที่สีหราชและมรุตจะทำอะไรต่อ เสียงเบรกดังสนั่นตรงสี่แยกพร้อมกับเสียงโครมลั่น และตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของผู้คนจำนวนมากที่เห็นเหตุการณ์ สีหราชหันขวับไปมองทางขวา

รถบรรทุกเมื่อครู่นี้แล่นผ่านสี่แยกไปแล้วก็จริง แต่จู่ ๆ กลับพุ่งไปประสานงากับรถตู้ร่วมบริการคันหนึ่งที่แล่นตะบึงมาทางซ้าย แรงปะทะดังสนั่นและเสียงโลหะถูกฉีกกระชากขาดออกจากกัน จนด้านหน้าของรถตู้กลางเก่ากลางใหม่นั่นพังยับและกระเด็นคว้างไปชนเสาไฟฟ้าใกล้ ๆ ขณะที่รถบรรทุกก็พลิกคว่ำอยู่ไม่ห่างกัน น้ำมัน...ไหลเจิ่งนองกลางถนนท่ามกลางผู้คนและบรรดานักท่องเที่ยวมากมายที่ตกตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้า

รถตู้คันนั้น...ใช้แก๊สและแรงปะทะขนาดนั้น ถ้าโชคดีก็คงแค่ไฟไหม้แต่...หากโชคร้ายก็...เหตุระเบิดกลางกรุง
สีหราชแหงนหน้ามองบนท้องฟ้าทันที ท้องฟ้าที่มีสัญญาณคล้ายพายุหมุนจากเบื้องบนและแสงสีทองวิบ ๆ หลายอันที่ลอยลงมาจากท้องฟ้าในยามนี้

เหล่ายมทูต..มารอรับวิญญาณ วิญญาณที่ถึงที่ตายในยามนี้

ไม่ทันจะคิดอะไรต่อ ก็มีเสียงระเบิดดังสนั่นกลางสี่แยก ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของผู้คนจำนวนมาก เทศกาลปลายปีและคริสต์มาสที่กำลังจัดขึ้นในคืนพรุ่งนี้ทำให้ย่านราชประสงค์เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย เสียงระเบิดกึกก้องสร้างความแตกตื่นโกลาหลให้กับผู้คนที่อยู่ใกล้ ๆ ลานเบียร์หน้าลาน หนุ่มสาวเกินครึ่งร้อยวิ่งกรูหนีออกห่างจากบริเวณนั้น คลื่นมหาชนกำลังแตกฮือทุกทิศทุกทาง

พระเพลิงพวยพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะรถบรรทุกคันนั้นบรรทุกเสื้อผ้ามาเต็มคันรถ ผ้า...เชื้อเพลิงอย่างดี
เพราะสีหราชเคยผ่านเรื่องราวแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน จึงออกจะเฉยชากับเหตุการณ์ตรงหน้าไปบ้าง แต่ยามนี้...เขาลืมสนิทว่าตนเองอยู่ในร่างกึ่งมนุษย์กึ่งยมทูต กระแสตื่นตูมของมหาชนจำนวนมากที่กรูกันหนีตาย บางคนวิ่งเข้ามาผ่านหน้าสีหราช กว่าที่เจ้าตัวจะทันรู้ก็ถูกชนจนเซไปปะทะกับอีกหลายคนใกล้ ๆ จนเจ้าตัวไปหยุดอยู่ตรงซอกผนังห้างสรรพสินค้าหรูริมถนนนั่น สีหราชปล่อยให้ฝูงชนที่แตกตื่นวิ่งผ่านหน้าไป เหลือเพียงมรุตที่ทำตาโตอย่างตกใจและบีบตัวลีบติดผนังอาคาร และเจ้าลูกหมาสีดำที่ตัวสั่นระริกวิ่งมาซุกขาของสีหราช

เพียงไม่นานจากนั้น เหล่ากู้ภัยและรถพยาบาลก็วิ่งเข้ามาถึงที่เกิดเหตุ ต่างเร่งตะโกนให้ขนย้ายร่างผู้บาดเจ็บเข้าโรงพยาบาลตำรวจที่อยู่ใกล้ที่สุด และในเวลาเดียวกันเหล่า Grab Ghost ก็ทำหน้าที่ของตัวเองไปพลาง
อย่างน้อยก็ไม่น่าจะต่ำกว่า 3-4 ราย ที่มียมทูตนำทางไปยมโลก
ครั้นเมื่อคลื่นมหาชนเริ่มสงบลง สีหราชก้าวขาออกจากซอกตึกทันควัน แต่ก็ฉงนเมื่อเจ้าก้อนสีดำกลม ๆ วิ่งมาคลอเคลียล้อมหน้าล้อมหลังไม่ห่าง ยมทูตหนุ่มก้มหน้าลงไปจ้องตาเจ้าลูกหมาที่ซุกอยู่ตรงซอกเท้าอย่างหงุดหงิด

“นี่...ท่านจ้องมันอย่างนั้น มันกลัวนา...” เสียงจากผีหนุ่มข้าง ๆ ดังขึ้น

มรุตก้าวเข้ามาใกล้ ๆ ก่อนจะก้มมองเจ้าตัวน้อยตรงหน้า

“ ดูท่าว่า..แม่มันอาจจะตกใจเสียงระเบิดหนีไปไหนต่อไหนแล้วละมั้ง”

สีหราชปรายตามองผีช่างพูดอย่างหงุดหงิด

“อย่าเพิ่งด่าด้วยสายตาเลยท่านยม...เมตตากันหน่อยน่า...” ผีหนุ่มตรงหน้ายังไม่วายยิ้มให้ยมทูตแล้วแซวเบา ๆ

ถ้ามีเชือกบาศในมือละก็...จะเสกมามัดทั้งผีทั้งหมานี่แหล่ะ!

 “อย่าดุนักเลย ท่านยมทูต...แกว่าอย่างงั้นไหม...ไอ้ตัวน้อย” มรุตหันไปพยักเพยิดกับเจ้าก้อนกลม ๆ ตรงหน้าที่เห่ารับประโยคนั้นเบา ๆ

“ ฉันเรียกว่า เฉาก๊วย ก็แล้วกันนะ...กลม ๆ ดำ ๆ น่ารักดี ท่านเห็นด้วยไหม” ผีจอมเม้ามองหน้าสีหราชอย่างแจ่มใส
สีหราชเมินหน้าฉับก่อนจะก้าวออกจากตรงนั้น แต่แล้วเจ้าตัวก็สะดุดกึก สีหน้าซีดเผือดเมื่อล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อสูทแล้วเจอเพียงความว่างเปล่า !

บ้าน่า ! ความรู้สึกราวกับครั้งที่โดนแช่แข็งในคุกศิลาน้ำแข็งของยมโลกกลับมาทันควัน..

หายนะชัด ๆ !

‘ป้ายทองคำ...ป้ายผ่านทางโลกวิญญาณหายไป!”
หัวข้อ: Re: สีหราชยมทูต Grim reaper's vacation by ButlerofLOVE++ (ตอนที่ 6)
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 14-07-2020 03:48:09
บทที่ 4. คำสัญญา

ป้ายผ่านทางยมโลกหาย !

ประโยคนี้ราวกับสายฟ้าฟาดเข้ามาแสกหน้าของสีหราช อะไรก็ไม่น่ากลัวเท่ากับสีหน้าของยมบาลที่พร้อมจะเอาเขาและเทพากรยมทูตลงกะทะทองแดง ไม่สิ...เทพากรกำลังจะซวยโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

“ถ้าป้ายนี้หายละก็...เราทั้งคู่ได้ไปเกิดเป็นหมากันแน่ ๆ นะไอ้สีห์...” ประโยคสุดท้ายของเทพากรกลับเข้ามาในหัว

สีหราชกลืนน้ำลายอย่างยากเย็นก่อนจะเหลียวมองไปรอบ ๆ ขณะที่ผีจอมยุ่งและลูกหมาหนึ่งตัวกำลังมองอย่างฉงน

“ มี...มีอะไรหรือเปล่า ท่านยมทูต...” ผีนักศึกษาก้าวเข้ามาใกล้ ๆ ก่อนจะมองอย่างงุนงง

แต่สีหราชไม่ตอบอะไร มีเพียงถอนหายใจพรูใหญ่ก่อนจะมองรอบตัวอย่างกลัดกลุ้ม

ป้ายนั่น...คงร่วงเมื่อครู่ตอนที่ฝูงชนกลุ้มรุมแน่ ๆ ป้ายทองคำแบบนั้น ในสายตามนุษย์อย่างมากก็คือนามบัตรธรรมดาหนึ่งใบเท่านั้น แต่สำหรับยมทูตแล้ว นั่นเทียบเท่ากับชีวิตการงานทั้งหมด เพราะรวมทุกอย่างไว้ตั้งแต่ประวัติการเข้าออกยมโลก เวลาเกิดเวลาตายของวิญญาณที่ต้องไปรับ ถ้าทำงานพลาด..ก็จะถูกบันทึกทั้งหมด

เหลืออีกแค่ 3 เดือนแท้ ๆ ทำไมถึงต้องเกิดเรื่องขึ้นด้วยนะ!

“เกิดอะไรขึ้นหรือท่านยมทูต สีหน้าดูไม่ดีเลย” ผีร่างเล็ก ๆ เอียงคอมองร่างสูงตรงหน้า

“ไม่ต้องยุ่ง ! ไม่ใช่เรื่องของเจ้า !” สีหราชเมินฉับก่อนจะรีบประมวลเรื่องราวต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว

ถ้าหล่น...ก็ไม่ควรจะไปไหนไกล...แต่ถ้ามันหายไป...แปลว่าต้องมีใครเก็บได้ แล้วใครกันมันจะก้มเก็บกระดาษนามบัตร เว้นเสียแต่...เป็นวิญญาณที่จะรู้ว่านั่นคือป้ายผ่านทางโลกวิญญาณ !

วิญญาณเร่ร่อนแน่ ! ต้องเป็นพวกนี้ที่เก็บป้ายผ่านทางไป !

คำตอบที่วาบขึ้นมาทำให้สีหราชหันขวับมาหาผีหน้าหวานตรงหน้าทันที ก่อนจะกรากเข้าไปผลักร่างเล็ก ๆ นั่นชิดผนังกำแพงอาคารแล้วเอามือตบ ๆ ไปตามตัวของผีหนุ่มตรงหน้า เจ้าตัวกำลังตื่นตะลึงกับกริยาที่เปลี่ยนไปฉับพลัน

“เจ้า ! แอบเอาป้ายทองคำไปหรือเปล่า” น้ำเสียงร่างสูงตรงหน้าที่ชะโงกเข้ามาใกล้จนแนบชิด ดวงตาวาวโรจน์ที่จ้องตรงมา มือทั้งสองข้างขยุ้มคอเสื้อนักศึกษาของมรุตไว้แน่น

“ท่านจะบ้าหรือ ? ผมยังไม่เคยเห็นไอ้ป้ายที่ท่านว่าเลยสักครั้ง แล้วจะไปขโมยของท่านยมได้ยังไง!” ผีตรงหน้าโวยลั่นแล้วพยายามแงะมือหนาของยมทูตออกจากคอเสื้อ แต่นิ้วเล็ก ๆ เหมือนจะไม่มีแรงพอที่จะง้างมันออก

ดวงตาของสีหราชเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดตามอารมณ์โกรธที่พุ่งขึ้น มือที่บีบคอเสื้ออยู่ดันร่างเล็ก ๆ นั่นสูงขึ้นไป เท้าทั้งสองข้างของมรุตห้อยร่องแร่งอยู่เหนือพื้น มีเพียงเสียงเห่าเล็ก ๆ ของเจ้าก้อนดำ ๆ ที่คล้ายจะพยายายามห้ามปรามสีหราชที่กำลังโกรธา

ตัวเท่าลูกหมา...ยังกล้ามาเถียงอีก !

“สะ...สาบานได้เลยท่านยมทูต ผมไม่รู้เรื่องจริง ๆ ไม่ได้ทำอะไรจริง ๆ” เมื่อสิ้นประโยคนั้น อกเสื้อของผีหน้าหวานก็พลันมีแสงสว่างจ้าสีขาวนวลปรากฏออกมาวูบหนึ่ง แสงสว่างนั้นทำให้สีหราชได้สติชะงักไป แสง...ที่อ่อนโยนและคล้ายจะมีกลิ่นหอมหวาน...รวยริน

ทั้งแสงและกลิ่นหอม..ทำให้โทสะที่เกิดเมื่อครู่หายวับไปราวกับลมพัดผ่าน

สีหราชกระชากทีเดียวก็ทำให้ร่างของผีหนุ่มร่วงลงมากองอยู่กับพื้น ความรู้สึกสับสนใจใจพลุ่งพล่าน

ไอ้เจ้าผีตรงหน้านี่...ประหลาดกว่าผีตัวอื่นที่เขาเคยเจอ

“ท่านยมทูต...ขอร้องล่ะ ช่วยพาผมไปเกิดได้ไห ผมรอมาเป็นปีแล้วยังไม่มีใครมารับผมเลย” มรุตกุมลำคอตัวเองก่อนจะไอแค่ก ๆ ออกมาเบา ๆ สายตานั่นบอกชัดว่ากริ่งเกรงสีหราช

“อยู่ตรงนี้หิวก็หิว...ที่บ้านไม่ค่อยทำบุญส่งมาให้ เขาคงคิดว่าผมไปเกิดแล้วเลยไม่ได้ทำบุญมา ตัวผมก็เล็กแย่งของเซ่นไหว้กับคนอื่นไม่ไหว ถ้าขืนเป็นแบบนี้ต่อไปมีหวัง ผมอาจจะตายซ้ำตายซ้อนก็ได้นะท่านยม...ตายเพราะขาดของเซ่นไหว้นี่มันน่าทุเรศจะตายไป...”

แต่ดูเหมือนคำขอร้องดังกล่าวจะไม่ได้ผล เพราะสีหราชยังคงเมินและก้าวเท้าเดินออกไป

ปัญหาตรงหน้ายุ่งกว่าเยอะ จะต้องตามหาป้ายทองคำให้เร็วที่สุด แต่จะทำยังไงกัน เรื่องนี้ปล่อยให้โลกวิญญาณรู้ก็ไม่ได้ ผีเร่ร่อนยิ่งรู้ไม่ได้ใหญ่ จะทำยังไงดีนะ

สีหราชเดินตรงออกมาแต่เหมือนมรุตจะไม่ยอมถอดใจง่าย ๆ เจ้าตัวเล็กปรี่เข้ามาล้อมหน้าล้อมหลัง ดวงตากลมโตใต้แว่นสายตามีแววคล้ายขอร้องวิงวอน ก่อนจะกัดริมฝีปากตัวเองเบา ๆ อย่างชั่งใจลังเล

“จะให้ทำยังไง...ท่านยมถึงจะยอมช่วยผม?” 

สีหราชเงยหน้ามองผีตรงหน้าก่อนจะย้ำหนักแน่น

“ข้าไม่ว่างจะช่วยใครทั้งนั้น! ถ้าเจ้าอยากให้ข้าช่วย ทำตัวให้ข้าสนใจเจ้าให้ได้ก่อนสิ!  ไม่อย่างนั้นก็จงเป็นผีเร่ร่อนอย่างนี้ต่อไป !”

ประโยคที่ยาวที่สุดที่ยมทูตหนุ่มเอ่ยขึ้น แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะผิดคาด

“งั้น...ให้ผมช่วยท่านหาของไหมล่ะ ป้ายทองคำนั่นน่ะ!”

ประโยคนั่นทำให้สีหราชหันขวับมามองหน้าเจ้าผีตัวป่วนอย่างลืมตัว  ท่าทางของผีหนุ่มตรงหน้าคล้ายจะยิ้มกริ่มก่อนจะหัวเราะเบา ๆ และยกนิ้วขึ้นจุ๊ ๆ อย่างล้อเลียน

“ไงละ ท่านยม...ข้อเสนอนี้น่าสนใจใช่ไหมล่ะ อย่ามาปฏิเสธนา...” ก่อนจะร้องเพลงหงุงหงิงในคอเบา ๆ

“พูดแล้วเอาคืน...มะรืนนี้ตาย...ไม่สิ...พูดแล้วเอาคืน มะรืนลงกระทะทองแดง” แล้วเจ้าตัวก็ปรายตามองสีหราชอย่างกวน ๆ

แม้ว่าอยากจะเหยียบเจ้าผีหน้าเป็นให้จมดินแค่ไหนก็ตาม...แต่สัจจะคือสิ่งที่ยมทูตต้องรักษา

ไอ้ผีตรงหน้า ท่าทางที่ดูแสนซื่อบริสุทธิ์อย่างที่เคยเห็นเมื่อสามเดือนที่แล้ว คงเป็นแค่ภาพลวงตาสินะ เพราะแววตาที่ต่อรองในตอนนี้ไม่ได้บอกเลยว่า คนตรงหน้า “ซื่อ” อย่างที่เห็น

“อย่าเพิ่งทำตาโกรธแบบนั้นสิ ท่านมะยม...ผมเสนอข้อตกลงที่เราจะได้วินวินกันทั้งสองฝ่ายนะ” ก่อนที่มรุตจะเดินมาใกล้ ๆ สีหราชอีกรอบ

ความระแวงทำให้สีหราชผลักร่างตรงหน้าออกไปทันที

“ผมแค่จะกระซิบบอกแผนเท่านั้น...อย่าเพิ่งระแวงกันสิ” มรุตโวยเบา ๆ

“พูดตรงนั้น ห้ามเข้ามาใกล้เกินกว่า 1 ช่วงแขน” สีหราชคำรามเบา ๆ ก่อนจะถลึงตามองวิญญาณเร่ร่อน

“ผมมีเพื่อนเป็นผีเร่ร่อนมากมาย บางตนก็เหมือนสำนักข่าว CNN ประจำโลกวิญญาณ ถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือมีเรื่องซุบซิบกันนิดหน่อย เพื่อนผมคงรู้แน่ เหตุการณ์ในวันนี้เชื่อเหอะว่าจะต้องมีคนพูดถ้ามีใครได้ป้ายทองคำไปจริง ๆ”

สีหราชครุ่นคิดนิดหนึ่ง การที่เจ้าผีนิสิตตนนี้พูดมาก็มีเหตุผล สำหรับยมทูตที่มีกลิ่นอายของเพลิงนรก ถ้าเดินดุ่ม ๆ ไปถามอาจจะวิญญาณตนไหนยอมตอบก็ได้ เพราะยมทูตกับผีเร่ร่อนมักจะไม่ถูกกันนัก แต่ถ้าเป็นผีเร่ร่อนถามกันเอง บางทีอาจจะได้ข่าวเร็วขึ้นก็ได้ 

“แต่ผมมีเงื่อนไขนิดเดียวว่า ผมต้องได้กินอิ่มท้องทุกวัน มีที่ซุกหัวนอน มีเสื้อผ้า มีวันหยุดส่วนตัวสัปดาห์ละ 1 วัน แล้วก็ถ้าผมช่วยท่านหาป้ายนั่นได้ ท่านต้องรับปากว่าจะช่วยพาผมไปเกิดใหม่”

“...ข้อเสนอนี้น่าสนใจใช่ไหมล่ะ...ท่านมะยม…” ร่างนั้นขยับเข้ามาใกล้ ๆ พร้อมกับรอยยิ้มกริ่มนิด ๆ ที่มุมปาก

“......”

กลิ่นหอมรวยรินหวาน ๆ จากร่างตรงหน้า นั่นพาลทำให้สมองของสีหราชมึนตื้อไปหมด

“...อ้าว...นี่ท่าน! ถ้าเห็นด้วยก็ช่วยบอกกันบ้างสิ เงียบแบบนี้...ใครจะไปเข้าใจท่านยมเล่า?”

“เจ้าผีไร้มารยาท!” สีหราชทำตาวาวใส่ผีตรงหน้าอย่างเหลืออดก่อนจะพูดต่อประโยคทันควัน

“ตกลง ข้ารับข้อเสนอเจ้า แต่ถ้าภายใน 3 เดือนนี้เจ้าช่วยข้าตามหาป้ายผ่านทางยมโลกไม่ได้ละก็ ข้าจะเป็นคนลากคอเจ้าไปลงกระทะทองแดงเอง!”

ประโยคนั้นทำให้มรุตแอบกลืนน้ำลายทันที สีหราชเห็นสีหน้าผีหนุ่มแล้วก็ลอบยิ้มนิด ๆ ในใจ

อย่างน้อยก็ได้ลูกมือมาช่วยอีกหนึ่ง...นับว่าไม่เลวทีเดียว…

" ถ้าอย่างนั้น ขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ ผมชื่อ มรุต จะเรียกสั้น ๆ ว่า รุต ก็ได้นะ ว่าแต่จะให้ผมเรียกท่านว่ายังไง ขืนคราวหน้าเรียกท่านยม ๆ แล้วถ้ามีท่านยมหลายตนมิหันมาพร้อมกันหรือ? "

คิดผิดหรือเปล่าที่รับผีพูดมากตัวนี้มาเป็นลูกมือเนี่ย !

สีหราชกัดกรามกรอดก่อนจะดีดนิ้วเบา ๆ อักษรไฟสีแดงก่ำปรากฎกลางอากาศ

“สีหราชยมทูต”

"เรียกข้าว่า สีหราช..." แล้วต้องรีบพูดดักคอทันทีเมื่อผีตาหวานอ้าปากจะพูดอะไรอีก

“แล้วถ้าขืนเจ้ายังพูดไม่หยุดอีกละก็...ข้าจะทิ้งเจ้าไว้ตรงนี้แล้วไม่ต้องคุยเรื่องสัญญาอะไรอีก!”

ประโยคนี้ดูท่าจะได้ผลชะงัด เจ้าผีช่างพูดตรงหน้าหุบปากทันควันก่อนจะเดินตามมาเงียบ ๆ แต่โดยดี

ว่าแต่...จะให้เจ้าผีเร่ร่อนนี่ไปพักที่ไหนได้ล่ะ...

ที่ที่จะมีทั้งของกิน มีเสื้อผ้าให้แล้วก็...คุยงานกันได้โดยที่ไม่โดนผีตัวอื่นแอบฟัง…

สีหราชหลับตาลงแล้วถอนใจยาวพรู...

เวรแล้วไง...จะต้องพาเจ้าผีนี่ไปเพนท์เฮ้าส์ด้วยหรือเนี่ย !
......................................................................................
หัวข้อ: Re: สีหราชยมทูต Grim reaper's vacation by ButlerofLOVE++
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 14-07-2020 10:06:00
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: สีหราชยมทูต Grim reaper's vacation by ButlerofLOVE++ (ตอนที่ 7)
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 14-07-2020 10:17:09
................................................

เกือบ ๆ จะห้าทุ่มแล้วนับจากเกิดเหตุวุ่นวายกลางสี่แยกราชประสงค์นั่น ผู้คนส่วนใหญ่ต่างกลับบ้านกันไปหมดแล้วเลยไม่ทันมีใครใส่ใจภาพแปลกประหลาดตรงหน้า ชายหนุ่มหน้าตา..ค่อนข้างดีคนหนึ่งที่เดินอยู่ริมถนนแล้วมีลูกหมาน้อยสีดำสนิทเดินตามต้อย ๆ ขณะที่เจ้าตัวเดิน ๆ หยุด ๆ เป็นพัก ๆ ก่อนจะกัดกรามกรอดเบา ๆ และซ่อนความหงุดหงิดเอาไว้ไม่มิดเท่าไหร่

[ข้าไม่ได้สั่งให้เจ้าพามันมา!] เสียงเอ็ดอึงจากสีหราชดังขึ้นกลางหัวของมรุต

“มันไม่มีใครแล้วนะท่านสีหราช” มรุตพยายามต่อรองขณะที่รุนก้นเจ้าเฉาก๊วยให้เดินตามคนตรงหน้าไป เจ้าลูกหมาขาสั้นนั่นก็พยายามเหลือเกินที่จะวิ่งตามท่านยมทูตตรงหน้าอย่างเต็มที่

ดูท่าผีหนุ่มอาจจะต้องเถียงกับท่านยมทูตไปอีกนาน แต่แล้วคอนโดมิเนียมหรูตรงหน้าก็ทำให้มรุตตะลึง

“ว้าว...ท่าทางอาชีพยมทูต น่าจะทำเงินได้ดีแฮะ...พักคอนโดมิเนียมหรูระดับ 10 ล้านได้นี่...ต้องเก็บเงินได้มากขนาดไหนกันนะ” มรุตรำพึงเบา ๆ

แต่แล้วก่อนที่ผีหนุ่มจะทันก้าวขาเข้าไปในอาคารหรู ก็ปรากฎว่ามีชายชราสวมชุดขาวแต่งองค์ทรงเครื่องงดงามก็เดินมาขวางเอาไว้เสียก่อน สีหน้าชายชราท่าทางจะหงุดหงิดไม่น้อย ก่อนจะหันไปถามสีหราชด้วยเสียงสะบัด ๆ

“นี่อะไรกันท่านสีหราช...ท่านพาผีเร่ร่อนมาที่นี่ได้ยังไงกัน…” เสียงพระภูมิเจ้าที่บอกชัดว่าไม่ชอบใจเอาเสียเลย ทำให้ผีหนุ่มสะอึกไปครู่หนึ่งกับท่าทางของเทวดาตรงหน้า

“ข้าต้องขออภัยด้วยท่านภุมมเทวา เรื่องนี้จำเป็นและเป็นภารกิจด่วนของทางยมโลก…ต้องรบกวนท่านโปรดอนุญาตสักครั้งเถิด”

สีหราชในสูทสีดำพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพและโค้งศีรษะให้ชายชราตรงหน้าอีกครั้งอย่างอ่อนน้อม

ท่าทางที่หงุดหงิดของชายชราดูจะหายไปครึ่งหนึ่ง จากนั้นก็หันมาทางมรุตที่ยังคงยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่หน้าทางเข้าคอนโดมิเนียมหรู สายตาท่านเจ้าที่เจ้าทางคล้ายประเมินร่างตรงหน้าอย่างชั่งใจนิด ๆ เจ้าตัวรีบยกมือขึ้นไหว้ร่างชรานั้นทันที

“สวัสดีครับคุณตา...ผมชื่อมรุตครับ เรียกผมว่า รุตก็ได้...ผมมาขออาศัยที่นี่ไม่นาน คงไม่เกิน 3 เดือน แล้วผมจะรีบไป...”
ท่าทางยิ้มแย้มและสุภาพของมรุต ทำให้ภุมเทวามองนิด ๆ แล้วเมิน ๆ

“หึ! อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดายก็แล้วกันไอ้หนุ่ม ถ้าเอ็งช่วยเป็นหูเป็นตาให้ข้าอีกทาง ข้าจะยอมให้เอ็งอยู่ด้วยก็ได้…” น้ำเสียงนั่นคล้ายสะบัด ๆ ครายาวสีเงินยวงนั่นดูเหมือนจะงอนนิด ๆ ก่อนจะหายวับไปในอากาศทันที

“ดูเป็นคุณตาที่ใจดีเหมือนกันนะท่านสีหราช” ประโยคหัวเราะนิด ๆ ของมรุตดังขึ้น

“ห้ามนินทา..” เสียงนั้นเรียบ ชัดเจน จนมรุตเบ้ปากหน่อย ๆ

อันนั้นก็ไม่ได้ อันนี้ก็ไม่ได้ ช่างเป็นยมทูตที่ระเบียบจัดจริง ๆ เลย !

มรุตส่ายหน้าก่อนจะก้าวเข้ามาตรงส่วนหน้าของคอนโดมิเนียมหรูก่อนจะพยักพเยิดให้เจ้าเฉาก๊วยตามเข้ามาด้วย แต่แล้วก็ต้องชะงักเพราะสีหราชยืนกอดอกนิ่ง

“ไม่ได้! ยังไงก็ไม่ได้!” ยมทูตสีหราชเอ็ดลั่นก่อน ดวงตาทั้งคู่วาววับขึ้น

มือโปร่งใสของมรุตคล้ายกอดเจ้าก้อนกลมไว้หลวม ๆ ก่อนจะเงยหน้ามองยมทูตหนุ่มตรงหน้า  ลูกหมาตัวน้อยสั่นระริกอย่างตกใจเสียงเอ็ดตะโรของสีหราช

“จะปล่อยเฉาก๊วยไว้ข้างนอกได้ยังไงเล่าท่านสีหราช”

มรุตก้มมองเจ้าตัวจ้อยในมือ

ลูกหมาตัวนิดเดียว ไม่ถึงสองเดือน แม่มันก็หายไปไหนไม่รู้ จะใจร้ายไปไหนนะท่านยมทูตตนนี้ !

“ที่นี่เขาห้ามเลี้ยงสัตว์!” คนตรงหน้าตอบเสียงสะบัด ๆ

“ข้าจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าไม่ขึ้นมา ก็นอนอยู่กับมันตรงนี้แล้วกัน!” ร่างสูงในชุดสูทสีดำสนิทหันขวับไม่มองสักนิด ก่อนจะก้าวเท้ายาว ๆ เดินเข้าคอนโดมิเนียมหรูไปเลย ปล่อยให้ผีหนุ่มยืนอ้าปากค้างอยู่ตรงนั้นพร้อมกับเจ้าเฉาก๊วย

มรุตกัดฟันแน่น...

เออสิ! ให้มันรู้ไป ไม่ให้ขึ้นก็ไม่ขึ้นวะ!

ผ่านไปราว 2 ชั่วโมง ท้องฟ้าลั่นครืน ๆ  และลมพัดแรง หนึ่งผีหนึ่งหมานั่งจ๋องอยู่ตรงหน้าบันไดทางขึ้นคอนโดมิเนียมหรู มรุตปรายตามองเจ้าตัวเล็กที่ตัวสั่นระริกเพราะลมหนาว

ถ้ามีไออุ่น...ถ้ามีร่างกาย...จะเอาเจ้าตัวจ้อยมาซุกในอกเสื้อ

“ขอโทษจริง ๆ นะ เป็นผีนี่ไม่ดีเลย ทำอะไรก็ไม่ได้สักอย่าง…” มรุตบ่นเบา ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นพยายามลูบตัวเจ้าตัวเล็ก แต่แล้วก็ชะงักเมื่อมือโปร่งใสคว้าผ่านตัวลูกหมาไป เสียงงี้ด ๆ ของเฉาก๊วยดังเบา ๆ ลูกหมาตัวน้อยพยายามซุกเข้าหามรุต แต่...ก็เป็นแค่เพียงอากาศเท่านั้น

นี่...คิดผิดหรือเปล่านะ ที่พาเจ้าเฉาก๊วยมาด้วย...ยมทูตตนนี้ใจร้ายจริง ๆ !

“เราเป็นผีหลงทาง ส่วนแกก็เป็นลูกหมาหลงทาง...เราเหมือนกันจริง ๆ นะ เฉาก๊วย...”

เสียงฟ้าร้องคำราม และฟ้าผ่าดังขึ้นกะทันหัน ทำให้เจ้าตัวเล็กสะดุ้งก่อนจะวิ่งเข้าไปซุกกับพุ่มต้นเข็มตรงหน้า

“เสียงลูกหมาจากไหนวะ…” รปภ.ในชุดสีน้ำเงินเข้มหน้าดุเดินอาด ๆ เข้ามาพร้อมกับไฟฉายที่ส่องกวาด ๆ ไปตามพุ่มไม้ มือข้างหนึ่งกำกระบองสีดำไว้แน่น

“ขอร้องล่ะ อย่าไล่มันเลย…มันแค่ขอซุกหลบลมหนาวเอง” มรุตพยายามยกมือห้ามร่างนั้น แต่ไหนเลยที่รปภ.คนนั้นจะเห็นผีหนุ่มตรงหน้า

ก้อนกลม ๆ สีดำนั่นซุกงุด ๆ ในกอต้นเข็ม ขดตัวพร้อมร้องเสียงงี้ด ๆ มรุตก้าวเข้าไปตรงหน้ารปภ. แต่ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์ ผีที่สัมผัสคนไม่ได้จะหยุดคนตรงหน้าได้ยังไง

“หยุด!” เสียงห้าว ๆ ดังขึ้นจากด้านหลัง

ท่านยมทูต!

มรุตหันขวับไปมองทางต้นเสียง แววตาดุกร้าวของสีหราชทำให้เจ้าผีหนุ่มใจชื้นขึ้นมาหน่อย รปภ.ร่างอ้วนคนนั้นหันมองสีหราชด้วยอาการชะงักไปนิดก่อนจะพูดขึ้น

“คุณไม่รู้หรือ หมาเร่ร่อนห้ามเข้ามาในคอนโด มันเป็นกฎ”

“ตอนนี้มันยังอยู่นอกอาคาร ยังไม่ได้ล้ำเข้ามาเลย จะผิดกฎได้ยังไง”

“โธ่...อีกแป๊บมันก็คงเข้ามาล่ะคุณ อากาศหนาวขนาดนี้ สู้ไล่ ๆ ไปเสียก่อนดีกว่า” เจ้าตัวตอบเสียงสะบัด ๆ ก่อนจะหันกลับไปเอากระบองทิ่มลงไปในพุ่มเข็มอีกครั้ง

บรรยากาศรอบตัวดูจะหนาวขึ้นมานิด ๆ มรุตหันมองก่อนจะลอบกลืนน้ำลายช้า ๆ

เคราะห์ดีเท่าไหร่แล้วที่ รปภ.ตรงหน้าไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเป็นใคร

ในสายตามนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง คงเห็นร่างตรงหน้าเป็นเพียงชายหนุ่มท่าทางภูมิฐาน หน้าตาดีเข้าขั้นเท่านั้น แต่สำหรับเหล่าวิญญาณแล้ว ร่างตรงหน้ากำลังแผ่ออร่าที่ไม่ว่าใครก็ไม่ควรเข้าใกล้เอาเลย ออร่าสีแดงเข้มกำลังม้วนตัวเป็นไอร้อนและแววตาที่แดงฉานคล้ายพระเพลิงที่ผีหนุ่มเห็นแล้วเสียวสันหลังวาบ ๆ

“คุณควรกลับขึ้นไปข้างบนดีกว่านะครับ ทางนี้ผมจะไล่มันไปเอง” เสียง รปภ.คนเดิมยังคงดังต่อเนื่อง ขณะที่เอาไม้กระบองทิ่ม ๆ ลงไปในพุ่มเข็มกอใหญ่ตรงนั้น แต่เพราะว่าไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากชายหนุ่ม รปภ. จึงหันกลับมาอีกครั้งแล้วก็ชะงักตาค้างนิ่งงัน

“กลับไปทำงานของเจ้า แล้วไปให้พ้นหน้าข้า!” ดวงตาคมวาวโรจน์ของสีหราชคล้ายจะส่องประกายสีทองอยู่กลางนัยน์ตา แสงสว่างสีทองทรงอำนาจทำให้มรุตเองยังต้องกลืนน้ำลายเบา ๆ ไอร้อนสีแดงก่ำอวลอยู่รอบร่างนั้น

รปภ.คนดังกล่าวตกในภวังค์ก่อนจะปล่อยกระบองไม้ร่วงลงกับพื้นทันควัน แล้วพยักหน้านิ่ง ๆ รับคำสั่งดังกล่าวอย่างเลื่อนลอย เจ้าตัวเดินงง ๆ ออกจากสวนหน้าคอนโดมิเนียมไปอย่างช้า

มรุตกำมือแน่นอย่างสะใจ ก่อนจะวิ่งไปหาร่างในสูทสีดำสนิท แต่ก็ต้องเบรกทันควันเพราะสีหราชหันมามองด้วยสายตาหงุดหงิด ดวงตาคมกริบนั่นตวัดฉับคล้ายจะคาดโทษ

“ดูแลไม่ได้ ยังเอามันมาเดือดร้อนด้วย”

ผีหนุ่มตรงหน้าได้แต่จืดเจื่อน...ก็..จะปล่อยมันไว้อย่างนั้นได้ยังไงเล่า

สีหราชไม่พูดอะไรมาก เพียงแบมือออกแล้วเรียกเจ้าตัวเล็กออกมาจากกอต้นเข็ม

“มานี่…” สิ้นเสียงเรียบ ๆ เบา ๆ นั่น ก้อนกลม ๆ สีดำสนิทค่อย ๆ ก้าวออกมาจากตรงนั้นอย่างลังเล ดวงตากระจ่างใสมองยมทูตอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แต่รัศมีจากร่างตรงหน้านั้น...เหมือนจะอ่อนโยนลง ดวงตาเรียวยาวยิ้มอ่อน คล้ายมีรอยยิ้มมุมปากนิด ๆ
เฉาก๊วยก้าวออกมาตรงหน้า จากนั้นเพียงพริบตาพระเพลิงสีแดงก่ำอมดำก็ลุกวาบ! แล้วเฉาก๊วยก็หายวับไปทันที

มรุตแทบจะกรากเข้าไปกระชากร่างนั้น!

“เฮ้ย! ทำบ้าอะไรน่ะ ท่านฆ่าเจ้าเฉาก๊วยหรือ!”

ดวงตาเรียวยาวเหลือบมองผีหนุ่มด้วยหางตาอย่างระอาใจ ก่อนจะแบมือให้เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

...ตุ๊กตาหมาสีดำขนาดเท่ากับพวงกุญแจวางนิ่งอยู่บนมือสีขาวสะอาดนั้น

สีหราชไม่พูดอะไรอีก เอามือไพล่หลังเดินก้าวยาว ๆ ตรงกลับขึ้นไปบนคอนโดมิเนียมหรู สายลมเย็น ๆ พัดกรูมา ทำให้ผีหนุ่มได้สติ ยิ้มก่อนจะรีบก้าวขายาว ๆ ตามร่างสูงนั้นไปทันควัน

ดูท่า...ยมทูตตนนี้จะไม่ช่างพูดจริง ๆ สินะ...ท่านยมทูตหอยกาบ…

……………………………….

ฺButllerofLOVE: กรีดร้องงงง กระโดดวน ๆ สามที มีคนเม้นต์แล้วววววว !!! ขอบคุณนะค้าาาา ดีใจมว้าาาาก ราวกับถูกลอตเตอรี่ 5555

เย็นนี้จะมาลงเพิ่มค่า :)  :hao5:
หัวข้อ: Re: สีหราชยมทูต Grim reaper's vacation by ButlerofLOVE++
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 14-07-2020 11:45:59
 :3123:
 o13
หัวข้อ: Re: สีหราชยมทูต Grim reaper's vacation by ButlerofLOVE++ (ตอนที่ 8)
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 14-07-2020 21:45:39
บทที่ 5 กายมนุษย์

ห้องพักขนาด 100 ตารางเมตร ชั้น 31 ถูกจัดในสไตล์มินิมอลลิสต์อย่างชัดเจน โทนห้องแต่งด้วยสีขาวล้วน มีตัดสีเทาบ้างในบางจุด โต๊ะเรียบ ๆ สีนวลเตี้ยแบบนั่งจิบชา ฟูกรองทรงกลมสีเทาอ่อน ภาพวาดทิวทัศน์ภูเขาสีขาวอมฟ้าติดอยู่ที่ผนังด้านหนึ่ง บอกชัดว่าผู้เป็นเจ้าของห้องชื่นชอบความเรียบง่าย

มรุตกวาดตามองทั้งห้องอย่างตื่นตาตื่นใจ ก่อนจะสาวเท้าสำรวจห้องหรูตรงหน้าอย่างชื่นชอบ แต่ก็ไม่กล้าเดินไปไกลนัก เพราะร่างสูงในชุดสูทสีดำยังไม่เอ่ยปากสิ่งใด มีแต่เดินตรงเข้าไปด้านใน ผีหนุ่มตัดสินใจนั่งรออยู่บนเก้าอี้สตูลตัวสูงหน้าเคาน์เตอร์บาร์เครื่องดื่มที่ทำจากหินอ่อนสีดำสนิท เจ้าตัวนั่งรออยู่อย่างนั้นพร้อมกับตุ๊กตาหมาสีดำที่ยมทูตหนุ่มวางไว้บนโต๊ะนั่น

กลิ่นหอมอ่อน ๆ...คล้ายร่างสูงหนาที่เดินตรงเข้าไปด้านใน ลอยฟุ้งอ้อยอิ่งอยู่ในห้อง กลิ่นหอมที่แฝงความดุ และมั่นใจตัวเองของผู้เป็นเจ้าของห้อง

ผีหนุ่มมองสำรวจห้องไปเรื่อย ๆ แต่เพียงครู่เดียวประตูห้องบานหนึ่งก็เปิดออก ยมทูตหนุ่มเดินออกมาช้า ๆ แต่แม้เจ้าตัวจะพยายามทำเป็นปกติสักแค่ไหน ท่าเดินที่ดูอ่อนเพลียกว่าเดิมทำให้ผีหนุ่มเขม้นมองอย่างสงสัย ดวงตาเรียวยาวของสีหราชดูจะทอแสงอ่อนลง

“เจ้าผี..” ดวงตาเรียวยาวของสีหราชจ้องมองผีหนุ่มตรงหน้าก่อนจะมองตุ๊กตาหมาแล้วหยิบมาวางลงบนพื้นห้อง

สีหราชดีดนิ้วครั้งหนึ่ง พระเพลิงสีแดงอมดำลุกพรึ่บขึ้นอีกครั้งตรงหน้า ทันใดนั้นเจ้าก้อนกลม ๆ ก็กระดิกหางแหลน ๆ ของมันอย่างดีอกดีใจอยู่ตรงหน้าผีหนุ่ม ลูกหมาตัวน้อยคล้ายจะอยากเล่นกับยมทูตหนุ่มเพราะเอาแต่วิ่งพันแข้งพันขาไม่หยุด แต่เจ้าของห้องกลับขยับถอยออกห่างทันควัน แล้วเงยหน้าขึ้นมองอาคันตุกะตรงหน้า

“เอามาเอง...ก็ดูแลเอง” สีหราชเอ่ยเรียบ ๆ แต่แววตาที่มองมาทำให้มรุตอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายเบา ๆ

“จะดูแลได้ยังไงกันเล่า ผมเป็นผี มีแต่ท่านยมทูตที่จับต้องมันได้” แม้เสียงอุบอิบเชิงประท้วงของผีหนุ่มจะเบา แต่ก็ทำให้สีหราชหันขวับมามองทันที

สายตานั่นทำให้มรุตกลืนน้ำลายอีกรอบ

ยมทูตบ้าอะไร ! สายตาบอกได้ทุกอย่างโดยไม่ต้องพูดออกมา อย่างตอนนี้แปลความได้ชัดเจนว่า

...อยากตายอีกรอบไหม!

“ก็...ไหนจะต้องหาอาหารให้มัน พามันไปเดิน อาบน้ำแปรงขน แล้ว...ถ้าผมมีมือมีแขนละก็คงช่วยได้หรอก แต่มีแต่วิญญาณแบบนี้จะทำอะไรได้เล่า” เสียงงึมงำของผีหนุ่มสุดแสบ ทำให้สีหราชพยายามสะกดกลั้นความหงุดหงิดเต็มกำลัง

หลังจากเจ้าตัวครุ่นคิดบางอย่างนิ่ง ๆ แล้วระบายลมหายใจพรู ยมทูตหนุ่มเงยหน้ามองผีหนุ่มตรงหน้าอย่างตัดสินใจ แล้วหลับตาลง ลูกไฟสีฟ้าอ่อนอมขาวขนาดเท่าลูกปิงปองปรากฏบนฝ่ามือของสีหราช

เสียงดีดนิ้วดังขึ้นครั้งหนึ่ง วูบนั้นลูกไฟสีฟ้าอ่อนก็ลอยมาปะทะกับร่างของผีหนุ่ม !

ความรู้สึกร้อนวูบที่แผ่ออกมาจากกลางอก และเหมือนทั้งร่างจะหนักขึ้นมาเสียเฉย ๆ ร้อนชนิดที่เจ้าตัวต้องกุมหัวใจเอาไว้

“อ๊ะ!..หะ..หัวใจเต้น !”

“ข้าให้กายเนื้อชั่วคราวกับเข้า ไว้ใช้สืบหาเบาะแสของป้ายผ่านทาง ห้ามทำร่างนี้บาดเจ็บเด็ดขาด!”

“นั่น! เจ้าพักห้องนั้น และห้ามยุ่งกับห้องอื่น ๆ ของข้า” เจ้าตัวสำทับด้วยเสียงหนัก ๆ และชี้ไปห้องหนึ่งที่ปิดประตูไว้

“...ถ้าห้องนั่นรกแม้แต่นิดเดียว เจ้าก็เตรียมระเห็จกลับไปอยู่ข้างถนนได้เลย!”

อารามตกใจกับกายเนื้อ ทำให้มรุตไถลพรวดลงมาจากเก้าอี้สตูลตรงหน้าและจุกแอ๊กกับพื้นห้อง แม้จะเจ็บก้นแต่..ความตื่นเต้นกลับมีมากกว่า การแตะ...การสัมผัส...ความเย็นฉ่ำของเครื่องปรับอากาศ และความร้อนอุ่น ๆ ที่กลางอก

เฉาก๊วยปรี่เข้ามาหาร่างที่นั่งอยู่บนพื้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกระโจนขึ้นมาเลียหน้าเลียตาอย่างร่าเริง

ความอุ่น...เป็นอย่างนี้นี่เอง เกือบลืมไปเสียแล้ว...

ผีหนุ่มผู้ได้ร่างกายใหม่เผลอน้ำตารื้นออกมานิดหนึ่งก่อนจะกระชับเจ้าก้อนกลม ๆ ไว้ในอ้อมแขน

ยมทูตมองร่างตรงหน้านิ่ง ๆ ดวงตาคมทอแสงอ่อนลง ก่อนจะหันหลังก้าวยาว ๆ เข้าไปในห้องตัวเอง

“ขอบคุณนะ พี่สีห์! แล้วจะรีบช่วยตามหาป้ายทองคำให้!” เสียงตะโกนไล่หลังอย่างร่าเริงของร่างขาว ๆ นั่นทำให้สีหราชขมวดคิ้วก่อนจะตะโกนสวนกลับไป

“ข้าชื่อสีหราช  ไม่ใช่สีห์” ก่อนจะปิดประตูใส่ร่างทะเล้นตรงนั้น

แต่เหมือนคนก่อกวนจะไม่คิดอะไรอีกแล้วนอกจากยืนขึ้นเต็มตัวและมองเงาร่างที่สะท้อนผ่านกระจก รูปร่างหน้าตาแบบเดิมทั้งหมด เพียงแต่เหมือนจะไม่มีปัญหาเรื่องสายตาอีก เจ้าตัวค่อย ๆ ถอดแว่นตาออกช้า ๆ และมองร่างตัวเองซ้ำอีกครั้งหนึ่ง
ดวงตากลมโตสุกใสอย่างชายหนุ่มที่ร่าเริงเป็นนิจ ร่างนี้อยู่ในชุดคอเต่าสีเทาอ่อนและกางเกงสแลคสีดำสนิท ผมที่ยาวระเลื้อยต้นคอเหมือนหนุ่มน้อยที่ปล่อยตัวมาเป็นปี ๆ ร่างที่ออกจะผอมบางกว่าเดิมนิดหน่อย

เฉาก๊วยกระโดดเหยง ๆ อยู่ตรงหน้าและวิ่งวนล้อมหน้าล้อมหลัง มรุตก้มลงไปคว้าเจ้าก้อนกลมเล็ก ๆ ขึ้นมาฟัดในอ้อมแขน

...ความอุ่นแผ่จากอ้อมแขน...ไปถึงกลางหัวใจ...

ทำเหมือนจะดุ...แต่จริง ๆ ใจดีมากเลย...ท่านยมทูตตนนี้...


“เรามาเริ่มต้นชีวิตใหม่กันนะเฉาก๊วย..” ก่อนที่จะหันไปมองทางห้องที่เพิ่งปิดประตูไป

ใครจะรู้ว่า ซานตาคลอสปีนี้ คือ ยมทูตหน้าตายคนนั้น คนที่มอบของขวัญวันคริสต์มาสที่ดีที่สุดให้
................................................................................
หัวข้อ: Re: สีหราชยมทูต Grim reaper's vacation by ButlerofLOVE++ (ตอนที่ 9)
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 15-07-2020 02:12:38
แสงอาทิตย์ที่ส่องเข้ามาในห้องนอนทำให้มรุตต้องหยีตาอย่างไม่คุ้นเคยนัก แต่ความนุ่มของเตียงทำให้เจ้าตัวไม่อยากลุกขึ้นเลย แต่เพราะความอุ่นร้อนของปลายลิ้นเล็ก ๆ ที่สัมผัสผิวแก้ม ลิ้นเล็ก ๆ ที่รุกรานไปตามลำคอ ความรู้สึกเปียกหน่อย ๆ ทำให้มรุตต้องหรี่ตามองอย่างงัวเงีย ก่อนจะตาเหลือกหลายหลังกลิ้งลงจากเตียงในสภาพผ้าห่มพันตัวยุ่งเหยิง

“เฉาก๊วย!” เจ้าลูกหมาสีดำตาแป๋วแลบลิ้นสีชมพูมองผู้เป็นนายอย่างงง ๆ

“เฮ้อ...ไอ้ตัวป่วนเอ๊ย..ฝีมือแกเองหรือเนี่ย” มรุตงึมงำก่อนจะใช้หลังมือปาด ๆ ริมฝีปากและตามซอกคอตัวเอง

...ช่างเป็นการปลุก morning kiss ที่เซ็กซี่จริง ๆ ไอ้เฉาก๊วยเอ๊ยยย...

เสียงของชายหนุ่มทำให้เจ้าตัวก้อนถ่านตรงหน้าหลับตาปี๋ก่อนจะครางหงิง ๆ และกระโจนลงจากเตียงมาคลุกกับคนบ่น

“เสียงอะไรแต่เช้า ! หนวกหูจริง!” เสียงบ่นดังขึ้นหน้าห้อง ทำให้ผู้อาศัยหน้าใหม่ตาลีตาลานกระโจนผึงขึ้นไปบนเตียงแล้วเอาเจ้าเฉาก๊วยไปซุกไว้ใต้ผ้าห่มทันที

“นี่!” สีหราชเปิดประตูพรวดเข้ามาทันควันแล้วก็นิ่งค้างไปกับภาพตรงหน้า

ร่างชายหนุ่มที่หัวหูยุ่งเหยิง เสื้อคอเต่าที่ให้ไว้หายไปแล้วเปิดเปลือยแผ่นอกขาวตรงหน้า กางเกงสแลคที่ใส่เมื่อคืนถูกเจ้าตัวถอดวางพับไว้บนเก้าอี้ปลายเตียง เหลือเพียงบ๊อคเซอร์ตัวเดียว เจ้าตัวพยายามกดลูกสุนัขตัวจ้อยที่ดิ้นขลุกขลักไว้ใต้ผ้าห่ม สีหน้าจืดเจื่อนชนิดกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“ทำ..ทำไมเละขนาดนี้!” สีหราชตะโกนขึ้นทันทีหลังจากเก็บรวบรวมสติได้ สายตาตรงหน้าแทบจะเผาร่างที่ซุกอยู่บนเตียง

“ไอ้เจ้าผี!” ดวงตาวาวโรจน์ชนิดที่ใกล้ระเบิดรอมร่อ

“คือ...ฟังก่อนนะ คือว่า..” มรุตละล่ำละลักบอกคนตรงหน้าที่องค์ลงแต่เช้า

...สภาพห้อง..เมื่อคืน กับเช้านี้...คนละเรื่องทีเดียว...ไม่แปลกที่ยมทูตหนุ่มจะองค์ลง

“เมื่อคืน เจ้าเฉาก๊วยมันตื่นที่น่ะ มันเอาแต่ร้องหงิง ๆ อยู่ทั้งคืน ก็เลยตัดสินใจเอามันมานอนด้วย แล้ว..มันคงตื่นก่อนก็เลย..สำรวจห้อง..ละมั้ง” สีหน้าจืดเจื่อนและท่าทางขอโทษขอโพยของร่างขาว ๆ ตรงหน้าไม่ได้ทำให้สีหราชหายโมโหได้เลย มรุตกลืนน้ำลายลงอีกรอบ

ไม่รู้ว่าจะใช้คำไหนอธิบายความกระจุยกระจายในห้องนี้ดี เพราะ..กระจุยเละจริง ๆ ทิชชู่ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงถูกเจ้าปุ๊กปิ๊กกัดแล้วลากลงมาม้วนอยู่กับพื้น แจกันสีขาวสะอาดที่ใส่ดอกลิลลี่เล็ก ๆ ไว้เอียงกะเท่เร่ ดีอย่างที่พื้นห้องนี้เป็นพรม แจกันนั่นเลยไม่แตก แต่ทำเอาน้ำหกไหลเจิ่งนองชุ่มพรมไปหมด ไม่รวมดอกลิลลี่ที่มีรอยตีนเจ้าเฉาก๊วยเหยียบจนเละ และอีกด้านหนึ่ง กองหนังสือ 3-4 เล่มที่เคยวางอยู่บนผ้าปูสีเทาบนโต๊ะเตี้ย ๆ ก็ถูกเจ้าถ่านน้อยงับและลากลงมา หนังสือทั้งหมดร่วงลงมาทั้งกอง...

มรุตบนบานในใจ หลวงพ่อที่นึกชื่อออกก็ดี นึกชื่อไม่ออกก็ดี โปรดเมตตาลูกผีตัวนี้ทีเถอะ แล้วจะรีบตักบาตรทำบุญอย่างด่วน !

ขืนหลวงพ่อไม่ช่วย...งานนี้คงได้ม้วยกันตรงนี้ล่ะ!

สายตาสีหราชแทบจะกินหัวคนตรงหน้า มือหนากำแน่นอย่างพยายามระงับอารมณ์เต็มที่ ก่อนจะยกมือขึ้นลูบหน้าแล้วกุมขมับนิ่งอยู่อย่างนั้น เสียงสูดลมหายใจเบา ๆ อย่างพยายามระงับอารมณ์ ก่อนจะเงยหน้ามองคนตรงหน้าอย่างหงุดหงิด สายตาที่มองมาคล้ายระริกไหว ก่อนจะเมินฉับอีกรอบ

“..เสื้อ..หายไปไหน” น้ำเสียงเย็น ๆ ทำให้มรุตสะดุ้งก่อนจะก้มมองตัวเองแล้วหน้าแดงนิด ๆ มือเรียวรีบคว้าผ้าห่มลากขึ้นมาคลุมท่อนบนอย่างเก้ ๆ กัง ๆ

ถึงจะเป็นผู้ชายด้วยกัน แต่ก็อดเขินไม่ได้ที่ต้องเปลือยท่อนบนให้คนที่เพิ่งรู้จักเห็น

“คือ..เมื่อคืนผมถอดให้เฉาก๊วย...มันคงชอบกลิ่น พอซุกตัวบนเสื้อผมแล้วมันก็หลับไปเลย” มรุตพูดอุบอิบ

“ไม่ได้เรื่อง!” สีหราชกัดฟันกรอดก่อนจะสาวเท้าเดินออกไปครู่หนึ่งแล้วกลับมาพร้อมกับโยนเสื้อมีฮู๊ดสกรีนคำว่า Devil ให้ทันที

“อยู่ที่นี่..จะมีอาหารและเสื้อผ้าให้ แต่ถ้าขืนทำบ้า ๆ แบบนี้อีก..ข้าจะยกเลิกสัญญาทั้งหมด!” ก่อนที่เจ้าตัวจะสำทับอีกรอบ

“เก็บห้องให้เรียบร้อย เดี๋ยวนี้!”

…………………………………………………………………..

กลิ่นอาหารหอม ๆ โชยฟุ้งมาก่อกวนพยาธิในท้องของชายหนุ่ม มรุตเดินตามกลิ่นหอมของอาหารมาอย่างตื่นเต้น ห้องครัวสีขาวสะอาดตาแต่งแบบมินิมอล ทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยจัดเรียงกันเป๊ะ ๆ แก้วน้ำแบบเดียวกัน วางเรียงองศาเป๊ะ ๆ อยู่บนตู้ จานที่เรียงไล่ขนาดจากเล็กไปใหญ่ ตะหลิว กระบวย สีเดียวกันเข้าชุด

ร่างสูงของยมทูตหนุ่มในเสื้อเชิ้ดสีเทาเข้มและกางเกงยีนฟอกสีน้ำเงินเกือบดำยืนอยู่หน้าเตาพร้อมกับไข่เจียวออมเล็ตอยู่ตรงหน้า ขนมปังปิ้งหอมฟุ้ง แฮมร้อน ๆ ไส้กรอก ซอสมะเขือเทศและสลัดผัก

มรุตมองยมทูตหนุ่มตรงหน้าอย่างทึ่ง ดวงตาเรียวยาวของเจ้าของห้องจดจ่ออยู่แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้า จากนั้นไม่กี่วินาที บรรดาของกินก็เรียงสวยในจานสีขาวมุกนั่น

สำหรับผีที่ไม่ได้กินอะไรดี ๆ มานานเป็นปี ภาพตรงหน้าเรียกน้ำลายสอได้ทันที...ไม่ว่าจะเป็นไส้กรอก เนื้อหมูอวบอ้วนชุ่มฉ่ำด้วยซอสมะเขือเทศที่ร้อนหอมฉุย....

โอย...หอม...หอมเป็นบ้าเลย

ผีหนุ่มกลืนน้ำลายเอื๊อกก่อนจะเอื้อมไปจะคว้าจานตรงหน้า แต่ยมทูตหนุ่มยกหนีทันที

“หิวก็ทำเอง” เจ้าตัวเอ่ยหน้าตาเฉยก่อนจะเดินถือจานหอมฉุยนั่นโฉบผ่านหน้าไปนั่งที่เคาน์เตอร์บาร์หินอ่อนอย่างไม่รู้ไม่ชี้ ทำเอามรุตหันมองก่อนจะทำหน้ามุ่ยบ่นขมุบขมิบ

ขอถอนคำพูดได้ไหมว่ายมทูตนี่ใจดี!

ด้วยความหิวทำให้มรุตเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์ครัวก่อนจะเหลียวซ้ายเหลียวขวาอยู่ครู่ใหญ่ อาการนั้นทำให้เจ้าของห้องเหลือบมองนิ่ง ๆ ก่อนจะจิ้มไส้กรอกเข้าปากอย่างสบายอารมณ์ เสียงเปิดเตาแม่เหล็กไฟฟ้า พร้อมกับตั้งกระทะรอ ชายหนุ่มค้นตู้เย็นกุกกักก่อนจะหยิบขวดซอสต่าง ๆ และไข่ไก่สองสามใบมาเรียงตรงหน้า

คนหิวถอนใจเฮือกก่อนจะนึกถึงวีรกรรมสมัยไปทำครัวที่บ้านเพื่อน...

คราวนั้น...แค่เข้าครัวก็เกือบทำไฟไหม้บ้านไปคราวหนึ่งแล้ว...

แต่คราวนี้เป็นเตาแม่เหล็กไฟฟ้า..คงไม่เป็นอะไรละมัง?

“เจ้าผี...ทำครัวเป็นหรือเปล่า?” สีหราชตะโกนถาม

“แน่นอน...เคยทำ..แค่ลืมนิดหน่อย”

“แล้วเช็ดกระทะหรือยัง”

“ไม่ต้องเช็ดหรอกท่านยม ยังเปียกน้ำอยู่นิดหน่อย แต่ใส่น้ำมันลงไปแล้ว”

ไม่ทันขาดคำ เสียงปุ้งปัง ๆ กระเด็นกระดอนออกมาจากกระทะตรงหน้า เจ้าตัวป่วนถึงกับกระโดดเหยงอย่างตกใจ กระสุนน้ำมันพืชปลิวว่อนไปทั่วครัวสีขาวสะอาดตานั่น เจ้าตัวก้มหลบและเอาแขนทั้งสองข้างขึ้นบังกระสุนน้ำมันทันที เจ้าเฉาก๊วยตกใจเสียงนั่นถึงขนาดเห่าลั่นแล้ววิ่งไปซุกมุดเข้าไปใต้โซฟา แล้วก่อนจะที่จะวุ่นวายไปมากกว่านี้ มือขาว ๆ ของยมทูตหนุ่มเอื้อมหยิบฝาครอบแก้วครอบกะทะเจ้าปัญหา พร้อมกับปิดเตาแม่เหล็กทันที

“นี่...คิดจะทำลายครัวของฉันใช่ไหม...” น้ำเสียงเย็นเยียบของเจ้าของห้องดังขึ้นเหนือหัวชายหนุ่ม

เมื่อไม่มีคำตอบจากร่างที่นั่งยอง ๆ ก้มหน้างุด เจ้าตัวเอ่ยทันควัน

“เช็ดให้หมด ถ้าขืนมีน้ำมันกระเด็นตรงไหนอีกละก็...คงมีอะไรสักอย่างกระเด็นออกจากห้องนี้แน่ ๆ ” สีหราชพูดแค่นั้น แต่เล่นเอาคนก่อเรื่องเสียวสันหลังวาบ ๆ ทันที

เหอะ ! ก็แค่ลืม..เช็ดน้ำเท่านั้นเอง โหดชะมัดไอ้ท่านยม !

มรุตเบ้ปากนิด ๆ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาคว้าผ้าผืนเล็กไล่เช็ดห้องครัวทั้งหมด

เหอะ! ท่านยมทูตขี้หวง เจ้าระเบียบ ไร้ชีวิตชีวา! 

เสียงเห่าเบา ๆ ของเจ้าเฉาก๊วยทำให้คนหิวเหลือบมองทางต้นเสียงที่กระดิกหางแหลน ๆ อย่างดีใจ แล้วก็ชะงักไปนิดเมื่อเห็นเจ้าของห้องตัดไส้กรอกลูกวัวชิ้นเล็ก ๆ ใส่ถ้วยพลาสติก แล้วก้มลงยื่นให้เจ้าก้อนกลม สายตานั่นปราดมามองผีหนุ่มที่กำลังน้ำลายไหลด้วยความหิว

“เอ็งนี่ตะกละน่าดู!”

ไม่รู้ว่าคำพูดนั้นยมทูตหน้านิ่งพูดกับเจ้าเฉาก๊วยหรือกับใครกันแน่ !

.............................................................................

ปึง! เสียงเอกสารกองโตที่ยมทูตหนุ่มยกมาวางโครมลงตรงหน้าร่างที่กำลังเคี้ยวไส้กรอกอยู่ เล่นเอาคนกินกระแอมกระไอแค่ก ๆ เกือบสำลัก

“นี่เป็นเอกสารรายชื่อผีเร่ร่อนที่เคยขึ้นทะเบียนกับทางยมโลกไว้”

สีหราชชะโงกหน้ามาสั่งการด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“แยกผีเร่ร่อนที่มีพฤติกรรมน่าสงสัยหรือมีนิสัยก้าวร้าวในเขต 11-15 ออกมา แล้วค่อยตามหาทีละตัว…”

“นี่...ท่านยม ผมว่ารอให้ผมไปหาเพื่อนก่อนดีกว่าไหม เผื่อเขาจะมีข้อมูลอะไรให้เรา” มรุตเคี้ยวไข่ดาวตุ้ย ๆ ก่อนจะเหลือบมองคนตรงหน้า

ยมทูตหนุ่มสีหน้าฉุน ๆ ตอนโดนผีหนุ่มโมเมแอบเหมารวม “เรา” ในประโยคสนทนา

“ผีฉลาด ๆ บางตัว อาจเลือกที่จะเงียบมากกว่ากระโตกกระตาก…” สีหราชพูดเรียบ ๆ ก่อนจะไขว่ห้างนั่งอ่านรายชื่อ

มรุตสะอึกในใจ แต่ก็ต้องยอมรับว่ายมทูตหนุ่มตรงหน้าอาจพูดถูก

ผีบางตัวก็เจ้าเล่ห์เหลือร้าย ถ้าเก็บป้ายผ่านทางได้...อาจจะทำตัวนิ่ง ๆ สักระยะก็ได้

“ว่าแต่...ตอนนี้ผมจะเห็นผี แล้วผีจะเห็นผมหรือเปล่า…แล้วกับคนอื่น ๆ ล่ะ คุยกับมนุษย์ได้ สื่อสารได้ไหม”

สีหราชเงยหน้ามองนิด ๆ

“ได้” เสียงห้วนสั้นตอบ

คำตอบนั้นทำให้มรุตเผลอยิ้มออกมา

ความคิดถึงครอบครัว พ่อยักษ์ พี่เม และเจ้าม่อนน้อย เป็นยังไงกันบ้างนะ...

“ห้ามแสดงตัวให้ครอบครัวเห็น...เป็นหนึ่งในกฎข้อห้าม…” ดวงตาเรียวยาวคู่สีนิลจ้องตรงมาเหมือนดักคอไว้ก่อน

“ร่างนี้เพื่อภารกิจเท่านั้น ห้ามใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตน ถ้าฝ่าฝืน วิญญาณจะสลายไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยว จำไว้ให้ดี”

กฎบ้าอะไรแบบนี้เนี่ย! มรุตโวยลั่นในใจ

“จำไว้ให้ดี เจ้าน่ะตายไปแล้ว ไม่มีสิทธิเจอพวกเขาอีก…” ปลายเสียงราบเรียบราวกับเคยพูดประโยคนี้เป็นล้านครั้ง

“งั้นร่างนี้ทำอะไรได้บ้างล่ะ...ที่จะไม่ผิดกฎ? ” ผีหนุ่มถอนหายใจอย่างเซ็ง ๆ ก่อนจะจิ้มไส้กรอกชิ้นสุดท้ายเข้าปาก

“ทำตามที่ข้าสั่ง เลี้ยงหมา หาข่าว...แล้วข้าจะพาเจ้าไปเกิดใหม่”

มรุตถอนหายใจยาวอย่างเบื่อ ๆ แต่แล้วสายตาของผีหนุ่มเหลือบไปเห็นรูปหนึ่งที่แลบออกมาจากกองเอกสารตรงหน้า ภาพนั้นคุ้นตาเสียจนต้องเอื้อมมือไปดึงออกมา

“ผมว่า...ถ้าท่านยมจะเริ่มต้นสืบจากตัวไหน...เริ่มที่ตัวนี้ก่อนเลย!”

นิ้วเรียวยาวของมรุตจิ้มปักลงบนรูปตรงหน้า...ผีหน้าบากที่หน้าตาน่ากลัวที่สุด เจ้าแห่งผีเร่ร่อนอันธพาลประจำแยกราชประสงค์..ผีสมาน...วิญญาณบาปสี่แผ่นดิน..

…………………………………...
หัวข้อ: Re: สีหราชยมทูต Grim reaper's vacation by ButlerofLOVE++ (ตอนที่ 10)
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 17-07-2020 03:12:27
บทที่ 6. CNN แห่งโลกวิญญาณ

“น่า...คุณตา เปิดประตูมาหน่อย...ผมรู้ว่าคุณตารู้บางอย่างดี ๆ เมื่อคืน” มรุตเคาะนิ้วกับลังไม้คร่ำคร่านั่นเบา ๆ ก่อนจะเหลียวซ้ายแลขวาอย่างระวังตัว

แสงอาทิตย์โพล้เพล้ชนิดที่คนแถวบ้านเคยเรียกว่า แดดผีตากผ้าอ้อม...เป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างภพหนึ่งกับอีกภพหนึ่ง เวลาแบบนี้ถ้าใครปะเหมาะเคราะห์หามยามซวยอาจจะเห็นอะไรประหลาด ๆ บ้าง อย่างร่างที่ลอยเรี่ย ๆ พื้นริมทางด่วน หรือห่อผ้าขาว ๆ ที่เรียงกันเป็นตับริมถนน เป็นต้น

ถ้าใครกำลังมองมาในตอนนี้ คงเห็นชายหนุ่มผิวขาวผมเริ่มยาวระต้นคอนั่งเคาะลังไม้คร่ำคร่าอยู่ริมคลอง ด้านบนเหนือศีรษะเป็นสะพานหินเล็ก ๆ แต่ถ้ามองด้วยสายตาของผีด้วยกัน ก็จะเห็นว่าบริเวณนี้ทุกเย็นจะมีวิญญาณคนโดดน้ำตายฉายให้ดูซ้ำไปซ้ำมา วิญญาณตนนั้นโดดมันทุกวัน ตรงจุดเดิม ๆ

มรุตเหลียวมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาเศร้า ๆ   

วิญญาณแบบนั้นน่าสงสารกว่าพวกเร่ร่อนเยอะ…ดวงจิตยังจดจ่อกับเป้าหมายนึกว่ายังไม่สำเร็จ ก็ทำซ้ำอย่างนั้น...และก็มองไม่เห็นผีตัวอื่นในสายตาเสียด้วย

เจ้าตัวถอนหายใจซ้ำก่อนจะหันมองกล่องลังไม้ตรงหน้าอีกรอบ

ไม่รู้ทำไม วันนี้ทำไมประตูบ้านคุณตาชัยถึงปิดเร็วนัก ปกติ...ถ้ามาช่วงนี้บางทีจะได้ยินเสียงเจ้าหมาละแวกนี้หอนเอาเสียด้วยซ้ำ เป็นการบอกว่าคุณตาชัย...CNN แห่งโลกวิญญาณ ประจำสาขาราชประสงค์ ยังอยู่ในบ้านลังไม้คร่ำคร่านี่

ในโลกมนุษย์ CNN มาจาก Cable News Network แต่สำหรับโลกวิญญาณ เราเรียกกันว่า Corpse News Networks หรือ สำนักข่าวผีและเหล่าวิญญาณเร่ร่อน ตำแหน่งนี้เหล่าผีเร่ร่อนตั้งกันเองนานแล้ว บางครั้งก็เป็นแหล่งรวมข่าวกอสซิปเม้ามอยจากเหล่าโม่งผีด้วยกันนี่แหละ

ข่าวที่นี่แพร่ไวยังกับไวรัส เพียงแค่กระซิบต่อ ๆ กันว่า “รู้แล้วเหยียบเลยนะ”

แค่นั้น...ข่าวที่ "เหยียบไว้" แพร่พรึ่บพรั่บยังกับเพลิงไหม้ไปสามบ้านแปดบ้าน

จะว่าไป...ไม่เคยมีสักทีที่ "ตาชัย" จะไม่อยู่เฝ้าสำนักข่าวของแก

มรุตเหลือบมองร่างสูงในอาภรณ์สีดำสนิทขลิบกระดุมทองเหลืองที่อกเสื้อ ใบหน้าเรียบเฉยของชายตรงหน้ากำลังปรายตามองกล่องไม้คร่ำคร่าดังกล่าวอยู่นิ่ง ๆ

สงสัยว่า..ระดับสายข่าวหัวเห็ดย่านราชประสงค์อย่างตาชัย...คงรู้ว่าใครมา

“ถ้าเจ้าตัวไม่ยอมออกมาละก็...ข้าก็เผาลังนั่นทิ้ง…” ประโยคสั้น ๆ ของสีหราช ทำให้มรุตตาเหลือกแทนเจ้าของบ้าน…

“ท่านยม...รออีกหน่อยน่า ตาชัยอาจจะไม่อยู่...” มรุตพยายามห้ามปราม

“เหลวไหล! กลิ่นผีเร่ร่อนและกลิ่นน้ำเน่าชัดขนาดนั้น แค่เจ้าตัวไม่อยากออกมา…” สีหราชเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระชาก

เห็นหน้านิ่ง ๆ หล่อเข้มตรงหน้า แต่เอาจริง ๆ สีหราช คือ พระเพลิงดี ๆ นี่เอง มรุตอ้าปากค้างตะโกนเสียงหลง เมื่อร่างตรงหน้าไม่รีรอดีดนิ้วเป๊าะทันควัน

“อย่าเพิ่ง ท่านสีหราช !!!”

พระเพลิงสีแดงดำขนาดเท่าลูกฟุตบอลสว่างวาบวับขึ้นกลางฝ่ามือยมทูตใจร้อน

ไฟลูกใหญ่ขนาดนั้นมีหวังเผาได้ทั้งสะพานนี่ล่ะ !

ไม่ทันจะสิ้นเสียงตะโกน ควันสีดำเข้มฟุ้งกระจายขึ้นจากลังไม้คร่ำคร่าทันทีพร้อมกับร่างชราผอม ๆ ดวงตาลึกโหลเหมือนคนอดนอนสวมแว่นกรอบกระ ทั้งเนื้อทั้งตัวเปียกโชกปรากฎขึ้นพร้อมกับไม้เท้าเงื้อง่าอยู่ในมือเตรียมฟาดแขกที่ไม่ได้รับเชิญ

“หนอย...ไอ้ลูกหมารุต เอ็งพาใครมารังแกข้าวะ!” สีหน้ากราดเกรี้ยวของชายชราเงื้อง่าไม้เท้าทันควัน

“ผม มรุต ไม่ใช่หมารุตนะคุณตา...”  มรุตรีบคว้าแขนเหี่ยว ๆ ที่เงื้อไม้เท้าเตรียมฟาดลงมา

“ข้าจะเรียกเอ็งอย่างนี้ล่ะ เอ็งจะทำไม แล้วไอ้หมาตัวไหนริอาจพูดว่าจะเผาบ้านข้า…” แต่แล้วเจ้าตัวชะงักกึกทันทีเมื่อเห็นร่างสูงในอาภรณ์สีดำสนิท ยืนนิ่งตรงหน้า

ลูกบอลเพลิงเมื่อครู่...หดลงเหลือเพียงประกายไฟนิดเดียวที่ลอยนิ่งอยู่บนปลายนิ้วชี้ของยมทูตสีหราช ดวงตาเรียวยาวของยมทูตหนุ่มหรี่ลงนิดหนึ่งก่อนจะหยักยิ้มที่มุมปาก

ทันใดนั้นเอง ยันต์อักขระโบราณก็ปรากฎขึ้นกลางอากาศ สีหราชดีดนิ้วครั้งหนึ่งประกายไฟที่ปลายนิ้วก็ลุกพรึ่บเผาแผ่นอักขระอาคม เพียงกระพริบตาก็เกิดคลื่นสีฟ้าเทาปกคลุมทั้งสองด้านของสะพานแห่งนี้

เหมือนโดมแก้วทรงกลม...โดมมิติวิญญาณ...คลุมสะพานนี้ไว้จนหมด !

มรุตอ้าปากค้างตกตะลึงกับภาพตรงหน้า

เคยได้ยินผีรุ่นเก่า ๆ บางตนเล่าให้ฟังว่า ยมทูตที่มีตบะบารมีสูง ๆ บางตนสามารถสร้างพื้นที่เฉพาะของตนเองขึ้นได้ยามที่ต้องการ โดยใช้ยันต์อักขระโบราณปิดสวรรค์และนรกจากการรับรู้ภายนอก...โดมที่เหมือนคลื่นน้ำใส ๆ สีฟ้าเทา นุ่มหยุ่นเหมือนเจลาติน แต่กลับแข็งแกร่งและตัดไม่ขาด

นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ผีเก่าแก่เล่าขานกัน…

มรุตเหลียวมองร่างสูงที่ค่อย ๆ ร่อนลงมาช้า ๆ

ยมทูตสีหราช...มีตบะบารมีสูงขนาดไหนกันนะ...เขาตายมากี่ร้อยปีแล้วเนี่ย…

“ยอมออกมาแล้วหรือ...นึกว่าใครที่ไหน นายชัยหัวไม้...นี่เอง…” ดวงตาเรียวยาวของสีหราชเหมือนจะสะกดนิ่งที่ร่างชราตรงหน้า

น้ำเสียงยมทูตหนุ่มทักทายสายข่าว CNN  ดูราวกับผู้อาวุโสกว่าเจอเด็กน้อย ทำเอามรุตหันมองทั้งคู่อย่างงุนงง

“ดูเหมือน เจ้าจะมีคดีค้างติดภาคทัณฑ์ยมโลกอยู่หลายคดีนะ นายชัย…” น้ำเสียงเนิบ ๆ ของท่านสีหราช ทำเอาผีชราหน้าหงิกก่อนจะประชดทันควัน

“ชิ…ผ่านไปเป็นร้อยปี ท่านก็ยังหนุ่มเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนสักนิด ก็แน่ละสิ...ข้ามันไม่ได้มีอำนาจวิเศษนี่ ก็ต้องแก่ลงอย่างนี้ล่ะ! แต่ตั้งแต่ปี 2475 ข้าก็ไม่ได้ทำผิดอะไรอีกแล้วนะ! แค่อาศัยอยู่ในลังไม้เก่าริมน้ำ มันจะผิดได้ยังไง !”

“แล้ว...คดีเก่าปี 2500 ที่ปรากฎตัวกะทันหันทำให้ชายอีกคนตกใจและตกน้ำตาย...โดยที่เขายังไม่ถึงอายุขัย...จะไม่นับคดีนั้นหรือ…”

ตาชัย...หรือ นายชัยหัวไม้ สะบัดหน้าพรืดอย่างไม่ยอมรับง่าย ๆ มรุตได้แต่มองทั้งสองทุ่มเถียงกันอย่างงง ๆ

“ไหนจะคดีทำรถแสวงบุญพลิกคว่ำเมื่อ 20 ปีที่แล้วอีก…” สีหราชเอ่ยช้า ๆ

“จำแม่นนักนะท่านยมทูต...” น้ำเสียงตาชัยค่อนขอดร่างสูงตรงหน้า แต่เหมือนเจ้าตัวจะไม่ใส่ใจกับน้ำเสียงประชดประชันนั้น ดวงตาคมของสีหราชมองร่างตรงหน้าอย่างประเมินท่าที

“เดี๋ยว ๆ ขอร้องล่ะนะ อย่าเพิ่งตีกัน คือวันนี้ผมมีเรื่องขอร้องตาชัย...พอจะได้ข่าวซุบซิบอะไรแปลก ๆ หลังจากอุบัติเหตุรถชนกันตรงแยกราชประสงค์เมื่อวานหรือเปล่า ช่วยบอกท่านยมทูตหน่อยเถอะ” ผีหนุ่มพยายามห้ามทัพ

ตาชัยผีเจ้าถิ่นหันมาทำตาเขียวปั๊ดใส่ก่อนจะตะคอกจนมรุตสะดุ้งเฮือก

“ชะ! ไอ้หมารุต ถึงข้ารู้ข้าก็ไม่พูดหรอก...ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับแกเลยที่พาไอ้ตัวน่ารังเกียจนี่มาหน้าบ้านข้า อ๋อ...เดี๋ยวนี้ริอาจมีเพื่อนเป็นยมทูตรึ! ทำแบบนี้แล้วคิดหรือว่าข้าจะยอมช่วยอะไรน่ะ!”

“ลบหลู่เจ้าพนักงานยมโลก...ผิดกระทงที่หนึ่ง…” น้ำเสียงเย็นเยียบผิดปกติของสีหราช ทำเอามรุตกลืนน้ำลาย

“ไม่ให้ความร่วมมือในการปฏิบัติหน้าที่เจ้าพนักงาน...ผิดกระทงที่สอง...”

“และ...ร่วมมือปกปิดความผิดของผู้ลักทรัพย์สินของหน่วยงานยมทูตสากล...ผิดเทียบเท่าผู้ลักทรัพย์นั้นเอง...ผิดรวมกันอย่างน้อย 3 กระทง…”

“ครบสามกระทง...ยมทูตสัญจรมีอำนาจตัดสินและลงโทษได้ในทันที!”

ประโยคนั้นทำเอานายชัย หัวไม้ ตาเหลือกลาน ดวงตาที่เคยโหลลึกกลายเป็นเบิกโพลงก่อนจะถอยกรูดทันควัน แล้วชี้นิ้วใส่หน้ายมทูตร่างสูง

“อย่านะ ท่านสีหราช ท่าน...ท่านกำลังโดนพักงาน...ไม่มีสิทธิจะตัดสินโทษใคร…”

“แล้ว...เจ้าคิดว่าโดมมิติวิญญาณแห่งนี้มีไว้เพื่ออะไร หากไม่ใช่ป้องกันคนนอกได้ยิน หากวิญญาณเร่ร่อนจะหายไปสักตนหนึ่ง ก็คงไม่มีใครสนใจละมัง…”

น้ำเสียงเนิบ ๆ แต่แววตานั่นไม่ได้ล้อเล่นเอาเลย ไอร้อนสีแดงเพลิงกำลังระอุขึ้นบนร่างของยมทูตสีหราช ดวงตาเริ่มฉายฉานเป็นสีแดงนิด ๆ

ปกติมรุตเคยเห็นแต่เชือกบาศที่เหล่ายมทูตใช้พาดวงวิญญาณไปพิพากษาที่ยมโลก แต่คราวนี้ในมือของยมทูตสีหราชกลับมีบางสิ่งที่วาววับปรากฏขึ้น ดาบโบราณแบบที่เคยเห็นในพิพิธภัณฑ์ ที่ด้ามเป็นดุนลายสลักด้วยทองคำวิจิตรละเอียดยิบ จนคิดว่าน่าจะเป็นดาบของเชื้อพระวงศ์สักคนในละครจักร ๆ วงศ์ ๆ

“นะ...นี่...ท่านจะสังหารวิญญาณเร่ร่อนเลยรึ ถ้าแบบนี้ท่านก็ต้องโทษถูกยืดเวลาออกไปในฐานะยมทูต และไม่ได้ไปผุดไปเกิดนะ!” เสียงละล่ำละลักของตาชัยพยายามท้วงติงด้วยท่าทางหวาดกลัว

“ข้า...ถอดใจเรื่องการเกิดใหม่ไปแล้ว...และถ้าเทียบกับต้องไปเป็นทวารบาลของอเวจีนรกละก็…ข้ายอมเป็นยมทูตไปอีกสักร้อยสองร้อยปี...ดูจะสบายกว่าเยอะ” ว่าแล้วสีหราชพลันตวัดดาบโบราณขึ้นมาทันควัน

พึ่บ ! เสียงลมแหวกอากาศ

ก่อนที่สมองจะคิดอะไร มรุตปรี่ถลาเข้าไปกั้นกลาง ปลายดาบที่ตวัดพร้อมฟันฉับลงมาค้างเติ่งอย่างนั้น สายตาที่กราดเกรี้ยวของสีหราชบอกชัดว่าเจ้าตัวไม่ชอบใจนักที่มรุตถลาเข้าไปแทรก

“นี่เจ้าทำบ้าอะไร! รู้ไหมว่าดาบนี่ถ้าฟันลงมาแล้ว...วิญญาณจะสลาย!”

“ท่านยม...ตาชัยก็ไม่ได้ผีร้ายกาจอะไร เท่าที่รู้จักกันมา ตาชัยก็ปากร้ายไปอย่างนั้นเอง หลัง ๆ นี่ใจดีเสียด้วยนะ...ลองให้โอกาสเขาหน่อย...ถามอีกรอบ...ดีกว่า”

มรุตลังเลก่อนจะหันไปมองร่างชราที่ยกไม้เท้าบังหัวตัวแล้วก็หลับตาปี๋ซุกตัวอยู่ด้านหลัง มือเหี่ยว ๆ รีบคว้าแขนผีหนุ่มไปกอดไว้ทันที

“ข้ายอมแล้ว ๆ ข้าพูดแล้ว ๆ ข้ารู้! เมื่อคืนมีข่าวลือหนาหูว่า มีคนเก็บของดีได้ !”

“มันเป็นใคร!” ดวงตาเรียวยาวของสีหราชวาววับก่อนจะปราดเข้ามาใกล้ร่างชรา

“ลูกสมุนของไอ้สมานตัวหนึ่งวิ่งโร่มาหัวเราะกับข้าเมื่อเช้ามืดว่า ต่อไปนี้มันสบายแล้ว ไม่อดอยากปากแห้งอีก ไม่ต้องแย่งของเซ่นไหว้ ก็จะมีของกินตลอด ข้าก็เลยถามมัน มันก็บอกมาว่าลูกพี่มันเพิ่งได้ของวิเศษมา แค่ทำตามที่เขาสั่ง...ก็จะมีอาหารตลอดไม่อดอยากอีก มันบอกว่ามันจะแบ่งอาหารให้ข้าด้วย หากข้าไม่กระโตกกระตากเรื่องนี้ออกไป…”

วิญญาณชราตาโหลบอกเสียงอ่อย ๆ ก่อนจะทรุดลงอย่างหมดแรง

“พวกมันอยู่ที่ไหน…”

“ข้า...ข้าก็ไม่รู้ว่ามันอยู่ไหน ช่วงนี้พวกมันเก็บตัวเงียบ ๆ ย้ายเขตหากินออกไปทางเขต 19 ริมน้ำเจ้าพระยา...ข้ารู้เท่านี้เองท่านสีหราช…”

“เรื่องวันนี้ที่ข้ามาหาเจ้า จงเก็บงำให้เงียบอย่าให้ใครรู้ ไม่เช่นนั้นแล้วข้าจะกลับมาเล่นงานเจ้าแน่...ชัย จงจำไว้ให้ดี!” 

แล้วสีหราชก็กรีดเลือดที่ปลายนิ้วร่ายอักษรกลางอากาศก่อนจะเป่าพรวดไปที่ลังไม้บุโรทั่ง แสงสว่างสีทองปรากฎวูบเดียวก็หายไป

มรุตเหลียวมองอย่างงุนงง

ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร แต่มันคงเป็นสิ่งที่ดีแน่ เพราะสีหน้าของตาชัยดูจะปลาบปลื้มตื้นตันมากทีเดียว

“ถือว่านี่เป็นรางวัลที่ช่วยเหลือยมโลก...คงไม่ต้องไปแย่งอาหารกับเขาอีกพักหนึ่ง…”

“หัดทำความดีบ้าง...จะได้ไปเกิดในที่ดี ๆ” สีหราชเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนลง

สิ้นเสียงนั้นเหมือนภาพทุกอย่างรอบตัวดับวูบลงทันควัน มารู้ตัวอีกทีก็กลับมาอยู่ในกายหยาบที่คอนโดมิเนียมหรูแล้ว  ร่างสูงของสีหราชในชุดสีดำสนิทเอนกายเหยียดยาวอยู่บนโซฟาสีขาวสะอาดตา ดวงตาทั้งคู่หลับสนิทราวกับเด็กน้อย

เรียกว่า ไปไวมาไวจริง ๆ ด้วย แค่พริบตาก็ย้ายดวงจิตกลับมาที่นี่ทันควัน

มรุตแอบมองร่างยมทูตตรงหน้าใกล้ ๆ

ร่างตรงหน้านี้เป็นพวกใจร้าย หรือใจดีกันแน่นะ แต่พอเวลาหลับแล้ว...เหมือนกับเจ้าชายในนิทานไม่มีผิด ผิวเนียนละเอียดชนิดสาว ๆ สมัยนี้ยังอาย และขนตายาวงอนที่เรียงสวยนั่น…ถ้าไม่ติดนิสัยปากจัด..โมโหร้าย..และไร้ยมสัมพันธ์ละก็นะ...

“จะจ้องข้าอีกนานไหม...ไอ้เจ้าผี …” ประโยคนั้นเปรยขึ้นทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวยังหลับตาอยู่ ทำเอาคนนินทาสะดุ้งเฮือกทันที

ชมก็ไม่ได้เว้ย...ท่านยมทูตหน้านิ่งหอยกาบนี่…

“ข้าต้องการพัก...แล้วสามทุ่มคืนนี้ เจ้าต้องออกไปกับข้า”

“เอ๋...ไปไหนอีกละท่านยม…”

สีหราชลืมขึ้นมามองคนช่างถามอย่างดุ ๆ ทำให้คู่สนทนาต้องกลืนน้ำลายอีกรอบหนึ่ง

“ไอ้เขต 19 นั่นใช่ไหม...แต่ถ้าเลี่ยงได้ผมก็ไม่อยากเจอไอ้เจ้าพ่อสมานเลย ผีหน้าบากตัวนั้นน่ากลัวจะตายไป...ผมเป็นผีตัวน้อย ๆ จะเอาอะไรไปช่วยท่านยมได้เล่า...ถ้าไปด้วยมีหวังแบนติดดินอยู่ตรงนั้นล่ะ...” มรุตโอดเบา ๆ

“สู้ให้ผม...อยู่ดูเจ้าเฉาก๊วยไม่ดีกว่าเหรอ...ผมไม่เก่งเรื่องตีรันฟันแทง เดี๋ยวก็พานเกะกะวุ่นวายท่านมากกว่า” เจ้าตัวพยายามยกแม่น้ำทั้งสิบมาหว่านล้อม ก่อนจะยิ้มหวานที่สุดในชีวิตให้ร่างตรงหน้า

“ใช่...เอาจริง ๆ ข้าก็คิดว่าเจ้าไม่เหมาะจะต่อสู้หรอก…” สีหราชยิ้มนิดหนึ่งที่มุมปาก

เฮ้อ...พูดง่าย ๆ แบบนี้ น่าจะรอดตัวแล้ว...

มรุตแอบยิ้มนิดหนึ่งก่อนจะเดินไปทางครัว แล้วก็ชะงักกึกและหันขวับไปมองคนพูดทันควัน

“ข้าว่า...เจ้าเหมาะจะเป็นเหยื่อล่อมากกว่า!”

น้ำเสียงยมทูตดูเหมือนจะไม่อินังขังขอบใด ๆ ทั้งสิ้น

มรุตกำมือแน่น...

สาบานได้ว่า ไม่เคยคิดอยากจะบีบคอใครตรงหน้ามาก่อนเลย...

ถ้าจะมีใครเป็นรายแรก ก็ไอ้ท่านยมทูตหน้าตายจอมวายร้ายตรงหน้านี่แหล่ะ!

……………………………………..
หัวข้อ: Re: สีหราชยมทูต Grim reaper's vacation by ButlerofLOVE++ (ตอนที่ 11)
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 17-07-2020 15:13:32
บทที่ 7. กลกับดักริมน้ำ

“ให้ตายเถอะ ท่านยมฯ นี่ท่านไม่ได้ล้อเล่นหรอกหรือเนี่ย…”

มรุตบ่นพึมเบา ๆ ขณะที่สีหราชกำลังเดินทอดน่องสบาย ๆ ในลุคหนุ่มเนิร์ดคูล ๆ เสื้อยืดสีดำคาดขาวสกรีนลาย “Don’t bother me” ตามมาด้วยกางเกงยีนส์น้ำเงินเข้ม สวมแว่นตาไร้กรอบทรงกลมบนดั้งจมูกโด่ง ๆ พร้อมกับหมวกแก๊ปยี่ห้อดังบาเลนซิเอก้า ตุ้มหูเงินข้างหนึ่ง ดวงตาเรียวยาวพร้อมกับผมไฮไลท์สีน้ำเงินเป็นช่อ ๆ กำลังสะบัดระต้นคอนิด ๆ

[เลิกเรียกข้าว่า ท่านยมได้แล้ว เรียกข้าว่า สีหราช] เสียงดุหนัก ๆ จากชายที่เดินนำอยู่ทำให้มรุตต้องสงบปากลงทันที

มรุตเบ้ปากนิด ๆ เมื่อเหลียวไปทางไหนก็เห็นแต่ สาว ๆ ที่มองไม่หยุดแถมยังชี้ชวนกันอีกด้วย

ท่านสีหราชนะ ท่านสีหราช...อุตส่าห์บอกว่าไม่อยากมาในชุดสีดำ เลยอยากเปลี่ยนลุคไม่ให้เป็นจุดสนใจของผู้คน...
แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลอะไรเท่าไหร่

เพราะไม่ว่าจะอยู่ในชุดไหน...ถ้ายมทูตตนนี้ยังหล่อลากดินขนาดนี้..ยังไงก็เป็นจุดสนใจอยู่ดี

เมื่อครู่มรุตเกือบจะขำพรวดออกมาแล้ว เมื่อเห็นสาวน้อยรายหนึ่งกระซิบกระซาบกับกลุ่มเพื่อนประมาณว่า ดาราหน้าใหม่จากค่ายไหน ถึงหล่อบาดตาบาดใจขนาดนี้ เจ้าตัวฟังแล้วรู้สึกคันปากสุด ๆ ร่ำ ๆ อยากจะหันไปตะโกนบอกว่า อิมพอร์ตตรงมาจากค่าย RakRanok (รักนรก) แต่ขืนพูดแบบนั้น มีหวังสาว ๆ แถวนี้ยอมทำบาปกระโจนลงกระทะทองแดงกันเป็นแถวแน่

ก็...หล่อทุกองศา..แถมตาคมกริบขนาดนั้น...

นึก ๆ แล้วมรุตก็อดเคืองสีหราชไม่ได้

ในบรรดาอาคมต่าง ๆ ที่โลกวิญญาณให้มานั้น สามารถเนรมิตทุกสิ่งได้มากมาย แต่ไฉนยมทูตสีหราชถึงจงใจให้เขาใส่เสื้อที่โคตรจะบางขนาดนี้! เชิ้ตผ้าลินินสีฟ้าอ่อนเกือบจะขาวที่บางเว่อร์ ลมพัดทีนึงก็ลู่แนบติดตัว กับมีกางเกงยีนส์ฟอกสีฟ้าอ่อนขาด ๆ ตรงหัวเข่านั่นอีกต่างหาก

โลกช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียจริง ๆ ! 

[เลิกนินทาข้าในหัวได้แล้ว เจ้าผี ทำงานของเจ้าไป!]

ประโยคและเสียงเข้ม ๆ ที่ดังอยู่กลางหัวทำเอามรุตสะดุ้งเฮือก ก่อนจะสะดุดพื้นตรงหน้า วูบถลาเกือบจะหัวคะมำ ถ้าไม่ถลำไปซบกับอกผู้ชายอีกคนตรงหน้า

“ขอโทษ...ขอโทษครับ...” มรุตรีบละล่ำละลักกับชายแปลกหน้าที่เดินสวนมา ผู้ชายคนนั้นถึงกับนิ่งขึงไปพักหนึ่ง

แน่ล่ะ...ถ้ามีผู้ชายอีกคนถลามาซบอก คุณจะไม่ตกใจหรือยังไง

มรุตยิ้มแหย ๆ ขอโทษขอโพยด้วยท่าทางกระอักกระอ่วน พอเงยหน้ามองเต็ม ๆ ตาถึงเห็นว่า….เป็นผู้ชายหน้าตาดีเสียด้วยสิ รายนี้ผมยาวสลวยสีดำสนิท ดวงตาสงบนิ่ง กรุ่นกลิ่นน้ำหอมที่ดูจะลึกลับหน่อย

ไม่เคยเห็นผู้ชายผมยาวที่แต่งตัวได้เทสต์ดีขนาดนี้มาก่อน เสื้อคอวีสีแทนที่ผ่าลึกถึงกลางอก ตรงกลางมีสร้อยที่ทำจากเชือกถักคล้องหินมูนสโตน ชายผ้าสีแทนเนื้อดีถูกซ่อนชายไว้ในกางเกงสีดำสนิทพอดีตัว และพันเอวไว้ด้วยผ้าเนื้อนิ่มสีดำสนิทแทนเข็มขัด สายตาที่จับจ้องมาคล้ายจะตะลึงนิด ๆ

“...ไม่เป็นไรครับ…” ก่อนที่ชายคนนั้นจะค้อมหัวให้นิดหนึ่งแล้วเดินหลีกไป

“นี่...น้องสาวหรือน้องชายกันเนี่ย สนใจมาซบอกพี่บ้างไหมน้อง แหม...หน้าหวานจริง...มาเที่ยวคนเดียวหรือจ๊ะ…” เสียงแก๊งค์หนุ่มๆ ที่นั่งดื่มเหล้ากันตรงนั้นส่งเสียงวี๊ดวิ้วแทรกเข้ามา ประโยคนั้นทำให้มรุตหน้าแดงก่ำก่อนจะก้าวพรวด ๆ หลบไปทันที แต่แล้วก็ต้องชะงักเพราะเสียงที่แทรกเข้ามาในหัว

[อยู่ตรงนั้นก่อน...รอ...อย่าไปไหน…]

โดยส่วนตัวแล้ว มรุตไม่ค่อยชอบที่ที่ผู้คนพลุกพล่านสักเท่าไหร่ เพราะไม่ชอบเบียดเสียดกับผู้คน แต่จำเพาะว่ายมทูตสีหราชช่างเลือกวันได้เหมาะเจาะเสียจริง ๆ วันนี้มีงานแจกคูปองกินฟรี 100 ชุดแรก ทำให้ผู้คนหลั่งไหลกันมามากมาย ผู้คนเบียดเสียดขนาดที่ว่าได้ยินเสียงคนตะโกนว่ามีคนเป็นลมหมดสติ ก็ทำให้เจ้าตัวได้แต่ถอนหายใจ

เกือบ 20 นาทีผ่านไป ยมทูตสีหราชก็ยังคงหายจ้อย ไม่รู้ว่าไปเก็บตกวิญญาณที่ไหนหรือเปล่า

ถ้าจะว่าไปบริเวณแหล่งท่องเที่ยวใหม่ริมน้ำที่ผู้คนชอบมากันแห่งนี้ เคยโด่งดังมากช่วงหนึ่ง ถึงขนาดมีเรือรับส่งจากท่าเรือสี่พระยามายังสถานที่ช๊อปปิ้งแห่งนี้ อาคารโกดังเก่า ๆ ริมน้ำก็ถูกเปลี่ยนสภาพมาเป็นบริเวณซื้อขายสินค้าวัฒนธรรม นักท่องเที่ยวบางส่วนก็ยังคงชอบมาซื้อหาของ อย่างเช่น พวกคนจีน และไต้หวันนี่ล่ะ

พอมีจังหวะได้อยู่คนเดียว มรุตก็ก้มลงมองสำรวจตัวเองอีกรอบ ก่อนจะยกแขนทั้งสองข้างและหมุนตัว ยมทูตสีหราชทำบางอย่างไว้กับร่างนี้ ก่อนมาที่นี่สีหราชยิ้มนิด ๆ ก่อนจะมองอย่างสำรวจรอบหนึ่งแล้วร่ายอาคมบางอย่าง อาคมพิเศษที่เหมือนจะมีกลิ่นหอมบางอย่างจาง ๆ

“เหยื่อล่อ...ก็ต้องมีอะไรดึงดูดใจกันหน่อย…” สีหราชหัวเราะในคอเบา ๆ แต่ทำเอามรุตชักหวั่น ๆ   

แล้วพลันนั้น มรุตก็เห็นสีหราชเดินตรงมาจากมุมไกล ๆ นั่น เลยตัดสินใจหันหลังมองแม่น้ำอีกรอบ 

สายลมเย็น ๆ พัดมา มรุตมองผืนน้ำตรงหน้านิ่ง ๆ ความหลังฝังใจตั้งแต่สมัยเด็กทำให้ไม่เคยคิดชอบแม่น้ำสักครั้ง เรียนว่ายน้ำทีไรเป็นต้องเกือบตายทุกที จนพ่อแม่ของมรุตตัดสินใจว่าเลิกเรียนดีกว่า เพราะขืนเรียนว่ายน้ำต่อ มีหวังคงได้เป็นผีเฝ้าก้นแม่น้ำแน่ ๆ 

ยิ่งกลางคืนอย่างนี้แล้ว ผืนน้ำตรงหน้ามืดมาก..และน้ำในแม่น้ำคงเย็นยะเยือกที่สุด

“ไอ้หนู….” เสียงเรียกเบา ๆ ดังขึ้นจากด้านหลัง มรุตหันไปมองก่อนจะขมวดคิ้ว ผู้ชายวัยฉกรรจ์คนหนึ่งยื่นผ้าเช็ดหน้าสีอ่อนให้

“ของเธอใช่ไหม...ทำตกไว้ที่พื้นเมื่อกี้นี้” ร่างนั้นบุ้ยใบ้ไปด้านหลังที่เพิ่งเดินผ่านมา

“คงเข้าใจผิดละมั้งครับ...ไม่ใช่ของผมครับ” มรุตส่ายหน้าปฏิเสธชายคนดังกล่าว

“จะไม่ใช่ได้ยังไง...ก็เห็นอยู่ว่ามันหล่นตอนที่คุณเดินผ่าน” น้ำเสียงคนตรงหน้าออกจะรำคาญนิด ๆ แล้วสะบัดผ้าสีขาวอมฟ้านั่น
ไปมาคล้ายจะหงุดหงิด

“เอาไปเร็ว ๆ ผมจะเดินดูงานตรงนั้นต่อ นี่ก็อุตส่าห์เดินตามเอามาให้เชียวนะ”

ผู้ชายตรงหน้าอาจจะเข้าใจผิด แต่ยังไงก็รับมาก่อนก็แล้วกัน อย่างน้อยก็ไม่ควรทำให้คนใจดีต้องหน้าแตก
แต่แล้วทันทีที่มรุตเอื้อมมือไปจับผ้าสีขาวผืนนั้น...ทุกอย่างรอบตัวพลันดับวูบลง!

………………………………………………..

แผ่นหลังที่สัมผัสความชื้นของสังกะสี กลิ่นดินเปียก ๆ และกลิ่นน้ำ ทำให้มรุตค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ กายหยาบที่ยมทูตสีหราชให้มาทำให้มองเห็นหลายสิ่งที่มนุษย์ทั่วไปไม่น่าจะเห็น อย่างน้อยก็ในตอนนี้ที่ปรากฏกลุ่มควันสีเทาอวลลอยเรี่ย ๆ อยู่เหนือพื้นดิน
ถ้าสังเกตดี ๆ ตอนนี้มรุตกำลังอยู่ในโกดังร้างริมน้ำแห่งหนึ่ง เมื่อเขม้นมองอย่างตั้งใจ เงาดังกล่าวค่อย ๆ ปรากฎเป็นรูปร่างของคน อย่างน้อยก็ราวสองสามวิญญาณ โครงร่างผอม ๆ ที่นั่งยอง ๆ แบบคนโบราณหันมองมาทางผมก่อนจะทำท่าคล้ายพูดคุยกัน
มรุตทำทีเป็นหลับตาแต่แท้จริงแล้วกำลังเงี่ยหูฟังสิ่งที่พวกมันกำลังพูด

สิ่งที่ได้ยินทำให้มรุตอดขนลุกซู่ไม่ได้ เพราะนี่มันคือการสูบพลังวิญญาณของมนุษย์เป็นอาหาร!

“สองคนที่แล้ว พยายามแล้ว...แต่คนเยอะ พามาไม่ได้” เสียงหนึ่งในสองวิญญาณที่นั่งอยู่ตรงนั้นเอ่ยขึ้น
ประโยคนั้นทำให้มรุตขมวดคิ้วก่อนจะหวนนึกถึงประกาศเสียงตามสายเมื่อครู่ก่อน คนเป็นลม...หลายคน หรือว่าจะเป็นฝีมือของผีเหล่านี้ แต่ก่อนที่ทันจะทำอะไรต่อก็ต้องกลั้นหายใจ เพราะจู่ ๆ ก็มีเงาสีดำกว่า ท้วมกว่า กลิ่นคลื่นเหียนรุนแรง ปรากฎตรงหน้า
ร่างเงาที่บวมฉุแบบนี้ สูงประมาณนี้...เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก...ผีสมาน มาเฟียใหญ่ประจำเขตราชประสงค์ !

เงาสีดำสนิทเคลื่อนเข้ามาอย่างช้า ๆ ขณะที่มรุตในกายมนุษย์กำลังลนลานว่าควรทำอย่างไรดีระหว่างทำเป็นมองไม่เห็น ผีร้ายที่กำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้ ๆ หรือจะยอมทำใจดีสู้ผีตรงหน้าดี

[ไอ้หน้าหวานนี่...คุ้น ๆ] เสียงแผ่วเบาดังขึ้นที่ปลายหู

แต่ก่อนที่จะทำอะไรลงไป ก็ปรากฏประกายสีแดงปนดำที่ไหววูบเข้ามาขวางไว้ทันควัน เสียงห้าว ๆ ของสีหราชที่หัวเราะเบา ๆ ทำให้ผีสมานผงะหลบวูบ แผ่นหลังกว้างของยมทูตแทรกขวางร่างของมรุตและวิญญาณของผีร้าย

“...ที่บ้านไม่เคยสอนหรือว่า ห้ามรับของจากคนแปลกหน้า…” เสียงเปรยเบา ๆ ของสีหราชดังขึ้น แผ่นหลังกว้างนั่นอยู่ตรงหน้า ขณะที่สายตาคนพูดเหลือบแลมาเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปมองร่างเงาดำทะมึน

“ตามตัวยากเหลือเกินนะ...สมาน…” บุรุษตรงหน้าสะบัดมือวูบเดียว เครื่องแต่งกายพลันกลายเป็นอาภรณ์สีดำสนิทและดุมทองเหลืองเช่นเดิม

แค่อาภรณ์ประจำกายก็ทำให้เหล่าผีอันธพาลผงะ สายตาที่ไหวระริกของผีเหล่านั้นบอกชัดว่ากำลังกริ่งเกรง แต่ก็น่าประหลาดที่เงาหัวโจกคล้ายจะหัวเราะลั่นก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ ๆ

บรรยากาศที่เครียดขมึงอยู่ตรงหน้าทำให้รู้สึกราวหายใจไม่ทั่วท้อง

แต่ก่อนที่มรุตจะทันพูดอะไรออกไป สีหราชก็พลันหันกลับมาแล้วร่ายอักขระโบราณขึ้นมาในอากาศ เปลวเพลิงถูกจุดขึ้นในบัดนั้น 

โดมมิติวิญญาณคลุมบริเวณโกดังร้างแห่งนี้ไว้ทั้งหมด!

[กลับไปซะ! หมดหน้าที่ของเจ้าแล้ว!]

เสียงสุดท้ายของสีหราชที่ดังขึ้นในในหัวของมรุต จากนั้นทันทีที่โดมสีฟ้าอมเทาคลุมลงมา ทุกอย่างในบริเวณนั้นก็พลันหายวับไปจากสายตา ราวกับว่าไม่เคยมีอะไรอยู่ตรงนี้มาก่อน

“ท่านสีหราช! ท่านจะบ้าหรือ นั่นมันสี่รุมหนึ่งเลยนะ!” มรุตตะโกนลั่นอยู่ตรงนั้น

……………………………

“ไม่นึกว่าจะเป็นท่านยมทูตสีหราช...ยมทูตในตำนานถึงกับมาเอง ตัวจริง เสียงจริง…” เสียงหัวเราะของสมาน มาเฟียใหญ่ดังขึ้น ทำให้สีหราชค่อย ๆ สืบเท้าก้าวเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวัง

สีหราชมองร่างตรงหน้าก่อนจะครุ่นคิด

แปลกนัก...ดูท่าผีตนนี้คล้ายจะไม่ตกใจ ราวกับรู้ว่าเป็นเขาที่ออกตามหาป้ายผ่านทางยมโลก

“ข้าจะไม่พูดซ้ำ นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเจ้า หากพวกเจ้าตัวไหนเก็บป้ายผ่านทางยมโลก จงเอามันมาคืนข้าเสีย แล้วข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป...” สีหราชประกาศตรงหน้า

“ไม่นึกว่าท่านสีหราชที่เขาเล่าลือกันจะใจเย็นปานนี้...ท่านพูดถึงอะไร ข้าไม่เห็นจะเข้าใจสักนิด…” สมานเอ่ยขึ้นพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ

“เจ้าคงไม่รู้ว่าวิญญาณเร่ร่อนที่เคยสัมผัสกับป้ายผ่านทางแล้วจะมีสัญลักษณ์บางอย่างที่ยมทูตเท่านั้นจะรู้…” สีหราชเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ขณะที่วิญญาณเร่ร่อนสองสามตัวข้าง ๆ ถึงกับสะดุ้งเฮือกมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

...พวกผีปากแข็ง ทำผิดแล้วยังไม่ยอมรับผิดอีก!

“แต่เดิมข้าก็ไม่อยากยุ่งเรื่องโลกวิญญาณ...แต่ถ้าเห็นความผิดซึ่งหน้าแบบนี้ ก็อดไม่ได้เสียทุกที!”

ดาบเพลิงวิญญาณพลันปรากฎขึ้นบนมือของยมทูตหนุ่ม ด้ามสลักลวดลายวิจิตรงดงาม เพลิงร้อนสีแดงก่ำและกลิ่นโลหะไหม้นิด ๆ รวยรินมาจากดาบเล่มนั้น ทำให้เหล่าวิญญาณชั้นปลายแถวถึงกับผงะถอยกรูด ขณะที่ผีอันธพาลหัวโจกกลับยืนนิ่งอยู่เช่นเดิม

“ไม่เอาแล้วพี่หมาน...พวกข้าไม่ยุ่งด้วยแล้ว” ผีตนหนึ่งหน้าถอดสี ถลาวูบหายตัวจากด้านหลังหมายจะหลบหนี

แต่เหมือนนกที่ถูกขังอยู่ในกรงไปแล้ว เพราะพลังโดมมิติวิญญาณทำให้ไม่มีร่างไหนออกจากที่นี่ไปได้ วูบเดียวที่ผีเร่ร่อนชั้นปลายแถวกระดอนกลับมา กว่าจะรู้ตัว ร่างสูงของสีหราชก็ซ้อนอยู่ด้านหลัง ผีเร่ร่อนตัวแรกถูกปลายดาบเพลิงนั้นตวัดจ่อที่ลำคอ ดวงตาทั้งคู่เหลือกลาน…

“จะสารภาพบาปครั้งสุดท้ายหรือไม่…” น้ำเสียงเย็นยะเยียบถามขึ้นจากด้านหลัง

“ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย...ไม่รู้ ข้าไม่เกี่ยว…”

“กลิ่นไอบาปที่เหม็นเน่าเช่นนี้ เจ้าทำบาปกับมนุษย์ไปเท่าไหร่แล้ว แล้วที่ไปสูบกินวิญญาณของผู้หญิงที่เป็นลมไปเมื่อครู่..เจ้าไม่ได้ทำอะไรเลยสินะ…” สิ้นประโยคกร้าวนั้นทำให้ผีเร่ร่อนตาลุกโพลงอย่างตกตะลึง

สายไปเสียแล้ว...สำหรับการกลับคำให้การ

“วชฺฌ (วัด-ชะ)” คำเดียว

ทันใดนั้น ดาบเพลิงวิญญาณก็ตวัดปาดลำคอดวงวิญญาณเร่ร่อนทันควัน ไอร้อนจากเพลิงของดาบนั้นสลายวิญญาณบาปในทันที

ไม่มีเหลือแม้แต่ควัน ทำให้วิญญาณอีกสองตนที่เห็นภาพตรงหน้าถึงกับเข่าอ่อนทรุดฮวบร่วงลงมาจากอากาศ

“ยอมแล้ววว พวกข้ายอมมอบตัวแล้ว...ท่านสีหราช! ” พร้อมกับยกมือไหว้ปะหลก ๆ

สีหราชร่อนลงมาตรงหน้าก่อนจะก้าวตรงเข้ามา แต่ก่อนจะทำอะไร วิญญาณทั้งสองกลับตาเหลือกโพลงค้างและสะอึกพรวดออกมา ปลายดาบสั้นโบราณคู่หนึ่งเสียบมิดจากด้านหลัง ไอพวยพุ่งสีดำสนิทจากดาบสีนิลพร้อมกับเสียงหัวเราะแหบพร่าจากสมาน

“ผีที่เลี้ยงไม่เชื่อง...ก็ต้องสลาย…” แล้วเจ้าตัวก็หมุนกระชากดาบคู่ทั้งสองทันที วิญญาณลูกสมุนทั้งสองพลันสลายวูบและถูกดูดเข้าไปที่อัญมณีสีนิลบนด้ามดาบ อักขระบาลีสีแดงตรงใบดาบพลันสะท้อนแสงวาบก่อนจะวูบหายไป

ดาบกลืนวิญญาณ!

สีหราชขมวดคิ้วพลันก่อนจะกระชับดาบในมือไว้มั่น

...ผีชั้นปลายแถว ไฉนมีอาวุธเหล่านี้ได้?

ร่างบวมฉุตรงหน้ากระชับดาบสั้นในมือไว้แน่นก่อนจะหัวเราะเย้ยยมทูตตรงหน้า

“ใช่แล้ว ท่านสีหราช ข้าน่ะไม่โง่เก็บของร้อนอย่างนั้นไว้กับตัวหรอก!”

“ข้ามีสัญญากับคนผู้หนึ่งไว้ เขาบอกว่าถ้าท่านมาหาข้าแล้วข้าจัดการท่านได้ ข้าจะได้กายหยาบของข้าคืนพร้อมกับชีวิตที่เป็นอมตะ! ชีวิตที่จะเสพสุข ไม่อยู่ใต้กฎใด ๆ ของโลกวิญญาณ ไม่มีวันแก่...ไม่มีวันตาย”

“ฝันไปเถอะ! มีเกิดก็ต้องมีดับ ไม่มีใครค้ำฟ้า!”

ว่าแล้วสีหราชก็ถลาวูบเข้าไปปะทะกับดาบคู่ของวิญญาณร้าย ไอนรกสีดำสนิทจากปีศาจร้ายทำให้ใบหน้าเริ่มบิดเบี้ยวไปตามจิต ปะทะกับดาบเพลิงสีแดงดำของสีหราชที่แผ่เปลวไฟออกมา  ทั้งคู่ปะทะรับรุกกันเป็นพัลวัน จากด้านหนึ่งของโดมมิติวิญญาณไปสู่อีกด้านหนึ่ง เสียงดาบปะทะกันลั่นในโดมมิติวิญญาณ

แม้สมานจะมีดาบคู่ แต่ด้วยร่างกายที่เทอะทะย่อมเคลื่อนไหวช้ากว่าร่างสูงเปรียวของยมทูตหนุ่ม ทันใดนั้นเชือกบาศก็ปรากฎขึ้นกลางอากาศ สีหราชดีดนิ้วครั้งหนึ่ง เชือกบาศเหมือนมีชีวิต สะบัดวูบพุ่งตรงมาที่ผีร้าย ทำให้ยุ่งยากขึ้นเป็นเท่าตัว ทั้งคู่ปะทะกันกลางอากาศ  สีหราชกัดฟันกรอด!

...ต้องจับเป็นเท่านั้น แล้วเอาตัวมาเค้นความจริง!

เมื่อฝ่ายหนึ่งจำต้องออมมือ ขณะที่อีกฝ่ายต้องการประหัตประหาร ทำให้ทุกอย่างเยิ่นเย้อไปกว่าเคย

...ดาบในมือของผีสมาน มีกลิ่นอายบางอย่างที่สีหราชนึกไม่ออกว่าเคยได้กลิ่นนี้จากที่ไหน

เพียงไม่นาน สถานการณ์ดูเหมือนสีหราชกำลังเป็นต่อ แต่แล้วเมื่อยมทูตหนุ่มเผลอเหลือบตามองไปที่พื้นด้านล่างก็ต้องชะงักหยุดโดยไม่ตั้งใจ

...วิญญาณ...ไอ้เจ้าผีตาหวานนั่น! เข้ามาในโดมมิติวิญญาณได้ยังไง!

เพียงแค่วูบเดียวที่เสียสมาธิ ...ก็เพียงพอ...

ผีสมานแสยะยิ้มทันควัน ดาบซ้ายมือพุ่งพรวดเข้ามา สีหราชเห็นแล้วแต่ระยะประชิดเกินไปแม้จะพยายามเบี่ยงหลบแต่ก็ไม่ทัน

ปลายดาบสีดำสนิทแทงเข้าไปเฉียดไหปลาร้า ขณะที่ดาบอีกข้างเสียบแทงเข้าที่ชายโครง !

ยมทูตหนุ่มร่วงลงมากับพื้นแต่ใช้ดาบโบราณยันกายไว้ทัน โลหิตแดงฉานหลั่งรินหยดลงบนพื้นดิน แววตาที่สงบนิ่งเป็นนิจกลับเขม็งขึ้น ไหปลาร้าและชายโครงปรากฎเป็นแสงสว่างวาบสีทองฉายชัดออกมาจากอาภรณ์สีดำสนิท โดมมิติวิญญาณที่ร่ายเวทย์ไว้สลายวับทันควัน

“ไม่น่าเชื่อว่าข้าจะเรียกแผลจากท่านสีหราชได้…” ผีสมานหัวเราะร่วนกลางอากาศก่อนจะร่อนลงช้า ๆ

“ท่านสีหราช!” ร่างเล็ก ๆ ของมรุตถลาเข้ามาใกล้ แววตาฉายชัดว่าห่วงใย

“ไปให้พ้น!” เสียงตวาดลั่นของสีหราชดังขึ้นทำให้เจ้าตัวผงะถอยกรูด

“นี่เป็นเพื่อนใหม่ของท่านสินะ...ไม่คิดว่าท่านสีหราชจะมีสหายเป็นผีกับเขาด้วย…” ร่างนั้นย่างสามขุมเข้ามาใกล้ แววตามองไปทางมรุตอย่างมีเลศนัย

“มันไม่ใช่เพื่อนของข้า!” สีหราชยันกายขึ้นพร้อมกับกัดฟันกรอด

“หรือ...ถ้าไม่ใช่...ท่านคงไม่พลาดท่าโดนข้าแทงเอาง่าย ๆ อย่างเมื่อครู่นี้หรอก”

มรุตถอยหลังช้า ๆ สายตาของผีสมานที่มองมาคล้ายเห็นร่างนี้เป็นของหวาน

“ทะ...ทำไม...มอง...อย่างนั้น” มรุตก้าวเท้าถอยหลังหายตัวทันควัน แต่เหมือนจะไร้ประโยชน์เมื่อด้านหลังเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา ไม่ทันจะขยับตัวหนีผีสมานก็หายตัวแว่บมาปรากฎตรงหน้ามรุต มือหนาอวบอ้วนหยาบกระด้างเอื้อมมาใกล้เด็กหนุ่มในกายหยาบ

“น่าสนใจไม่เบา...เมื่อครู่เป็นร่างมนุษย์ แต่ตอนนี้เป็นร่างวิญญาณ…”

ผีเด็กหนุ่มร่างเล็ก ๆ ตัวสั่นกับวิญญาณอันธพาลที่อยู่ตรงหน้า

“จะว่าไป วิญญาณของเจ้ามีกลิ่นหอม...น่ากิน…” ผีสมานแสยะยิ้มเบา ๆ แล้วสูดดมกลิ่นหอมจาง ๆ ก่อนจะเอื้อมมือมาตวัดล๊อคคอเล็ก ๆ นั่น แล้วกระชากตัวมาไว้ด้านหน้า

“อย่ายุ่งกับเขา!”

ปลายดาบเล่มหนึ่งของผีร้ายจ่อที่ลำคอของมรุต

สีหราชกัดกรามกรอด...บ้าชะมัด น่าจะจบเรื่องราวได้โดยไม่ต้องเสี่ยง ไม่คิดว่าเหตุการณ์จะบานปลายขนาดนี้ ! เจ้าตัวหยัดกายขึ้นอีกครั้ง ไอร้อนผ่าวสีแดงเพลิงล้อมรอบร่างยมทูตหนุ่ม ดวงตาเปลี่ยนสีเป็นแดงก่ำ

“อย่าฝืนดีกว่าท่านสีหราช ดาบเล่มนี้ไม่ใช่เป็นดาบวิญญาณธรรมดา แต่มันอาบด้วยเพลิงแค้นที่มีต่อท่านโดยเฉพาะ ...คนผู้นั้นมีความแค้นกับท่านมากมาย...พิษจากความอาฆาตที่อยู่บนดาบเล่มนี้...ป่านนี้คงซึมไปทั่วร่างแล้ว!”

มรุตน้ำตารื้นจ้องมองไปที่ร่างสูงตรงหน้า มือหนาอวบอ้วนของผีสมานล๊อคคอไว้อย่างหมิ่นเหม่ เจ้าตัวสะบัดทันควันหมายจะดิ้นหนี

“ส่วนเจ้า! ถ้าดิ้นนักละก็ ข้าจะเชือดคอเจ้าอีกคนเจ้าผี!”

“ปล่อยนะ!” มรุตตะโกนสุดเสียง จู่ ๆ ฉับพลันก็ปรากฎแสงสว่างวาบสีขาวเจิดจ้าออกจากร่างนั้น สว่างจนไล่เงาดำมืดทะมึนของผีสมานออกไป ดาบสีดำสนิทคล้ายจะหลอมละลายลงท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน แม้แต่เจ้าตัวเองก็คล้ายจะงุนงงเช่นกัน
เสียงกรีดร้องโหยหวนของผีสมานเมื่อดาบสีดำหลอมละลายกลืนเป็นเนื้อเดียวกับแขนผีร้าย พิษที่ฉาบอยู่บนดาบไหลลามไปตามท่อนแขนจนเจ้าตัวดิ้นเร่า 

ความแสบร้อนทำให้ผีอ้วนผงะหงายไปด้านหลัง อาการเสียหลักทำให้เจ้าตัวคว้าคอร่างเล็ก ๆ ที่อยู่ตรงหน้าลงมาด้วย

แม้ว่าวิญญาณจะไม่มีน้ำหนัก แต่ผีสองตัวร่วงหล่นลงไปในแม่น้ำเจ้าพระยาต่อหน้าต่อตาสีหราช ! 

เพราะวิญญาณไม่อาจตายได้ในน้ำเป็นครั้งที่สอง ดังนั้นสีหราชจึงไม่กังวลนัก

เชือกบาศถูกร่ายขึ้นกลางอากาศก่อนจะโฉบลงไปพันรัดร่างของผีสมานขึ้นมาจากน้ำ เชือกอาคมรัดคอเจ้าตัวการไว้แน่นหนา สีหราชถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะหันกลับไปที่แม่น้ำ พลันนั้นก็ใจหายวาบ!

ทำไม ... ยังไม่โผล่ขึ้นมาอีก ?

“ท่านคงรู้ใช่ไหมว่า ในใต้น้ำไม่ได้มีแค่ปลา…” เสียงหยามหยันจากผีอ้วนพุงพลุ้ยตรงหน้าทำให้สีหราชกัดฟันแน่น

ให้ตายเถอะ..เจ้าผีตัวป่วน!

ตูม !!! ร่างยมทูตหนุ่มกระโจนตามลงไปใต้ผืนน้ำทันควัน!

เสียงร่างที่พุ่งปะทะกับผิวน้ำ กระแสน้ำที่เย็นเฉียบดูจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่กับสีหราชเท่ากับการควานหาร่างเล็ก ๆ ที่จมอยู่ในผืนน้ำ ใครจะคาดคิดว่าจะมีผีตัวหนึ่งที่เกือบจะตายซ้ำตายซากอีกรอบ ร่างเล็ก ๆ ที่ดิ่งลงไปเรื่อย ๆ ในความมืดมิดทำให้สีหราชต้องรีบดำน้ำลงตามไปอย่างรวดเร็ว

เรื่องราวแบบนี้คล้ายจะเคยเกิดขึ้น...มานานแล้ว นานจนเจ้าตัวเกือบจะลืมไปแล้ว...
…………………………………………………

ขอกำลังใจกันหน่อยน้า...เป็นนักเขียนหน้าใหม่มาก แกะกล่องเรื่องนี้เลย ขอแค่หนึ่งกำลังใจ...เราจะได้มีแรงอัพต่อ ๆ ไปในทุกวัน ขอบคุณมาก ๆ นะคะ อาจจเป็นวายแฟนตาซีที่ยังไม่ค่อยมีฉากหวานมากนัก เพราะเป็นสายแอคชั่น แต่ความหวานกำลังมาในพาร์ทอดีตชาติ (ตอนต่อ ๆ ไปค่า)

งานชิ้นนี้เป็นวายชิ้นแรก ที่ออกไปทางกลิ่นของปรมาจารย์ ฯ  รักผสมกับการต่อสู้ตามหาปริศนา อาจมีฉากขัดเขินบ้าง ไม่ได้เป็นแนวมหาวิทยาลัยสักเท่าไหร่ที่เขาฮิต ๆ กัน T T

ขอบคุณเพื่อนบอร์ดทุกคนค่า :)
หัวข้อ: Re: สีหราชยมทูต Grim reaper's vacation by ButlerofLOVE++
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 17-07-2020 22:39:47
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: สีหราชยมทูต Grim reaper's vacation by ButlerofLOVE++
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 22-07-2020 21:52:01
บทที่ 8. ความทรงจำ

เรือนไม้สักหลังใหญ่ปลูกแบบใต้ถุนสูงที่ต่อขึ้นริมแม่น้ำคับคั่งไปด้วยผู้คนจำนวนมาก เหล่าบรรดาช่างฝีมือกำลังขะมักเขม้นกันลงแรง มุมหนึ่งช่างตีพะเนินกำลังพูดคุยกันและสอนเด็กใหม่ว่าควรตีมีดอย่างไร มุมหนึ่งของใต้ถุนบ้านเป็นลานสอนการทำมีด ตั้งแต่การปัดมีดคม ไล่มีด ลับมีด อีกมุมหนึ่งของเรือนที่ถัดไปไม่ไกลนักก็ถูกปลูกขึ้นเป็นเรือนแยกสำหรับการเผาเหล็กให้ร้อน  เรือนหลังนี้เป็นของหมื่นสิน...หรือที่เรียกกันในหมู่ชาวบ้านละแวกนี้ว่า พ่อครูสิน ช่างตีดาบอันดับหนึ่งของกรุงสยาม

ครอบครัวของพ่อครูสินย้ายมาจากเวียงจันทน์มาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของสยามได้เกือบ 4-5 ปีแล้ว ด้วยฝีมือการตีดาบที่เลื่องลือว่าคมยิ่งนัก ทำให้มีคำสั่งจากในรั้วในวังให้ช่างสินทำหน้าที่ส่งดาบชั้นดีเข้าไปให้เหล่าเชื้อพระวงศ์และบรรดาทหารรักษาเมือง

ในยามนี้เสียงค้อนตีกระทบเหล็กเนื้อดีดังขึ้นเป็นจังหวะ ไอร้อนผะผ่าวออกมาจากดาบที่กำลังตีขึ้นรูป ความร้อนที่ระอุจากเตาที่ฝังลงดินทำให้อากาศรอบตัวดูร้อนอบอ้าวอย่างเห็นได้ชัด ผู้ชายสองสามคนที่อยู่บริเวณนั้นกำลังสลับกันตีเหล็กอย่างเป็นเอาตาย ตะแกรงใส่ถ่านสูบลมก็เร่งความเร็วขึ้นพัลวัน ข้าง ๆ บริเวณแท่นตีเหล็กมีบ่อเล็ก ๆ ทรงสี่เหลี่ยมสำหรับแช่ดาบที่ตี ผู้ชายแต่ละคนต่างชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อไคลและคราบเขม่า

บุรุษฉกรรจ์วัยกลางคนรายหนึ่งผิวคร้ามเข้มกำลังยืนชี้นิ้วสั่งการบ่าวไพร่ที่กำลังตีดาบทั้งสองคนตรงหน้า เสียงห้าวดุทำให้รู้ว่าเจ้าตัวน่าจะเป็นคนเข้มงวดเอาการ  มีเพียงผิวที่โผล่พ้นชายผ้าที่หยักรั้ง ทำให้รู้ว่าเพราะแสงแดดจัดที่ลามเลียท่อนแขนจึงทำให้เจ้าตัวมีผิวสีน้ำผึ้งไหม้ เสียงฝีเท้าที่เดินก้าวเข้ามาใกล้ ๆ ทำให้เจ้าตัวชะงักก่อนจะหันกลับไปมองผู้ที่ก้าวเข้ามาใหม่

“พ่อเฒ่าอินทร์แขวน...” สินหันไปมองพ่อเฒ่าที่ก้าวเข้ามาทรุดแทบเท้า

“นี่กระไรกัน...ลุกขึ้นเถิดหนาพ่อ แล้วค่อยพูดค่อยจากัน” ผู้เป็นเจ้าของเรือนรีบก้มลงประคองร่างชราตรงหน้าด้วยความตกใจ

“พ่อสิน...ข้า...สิ้นหนทางแล้ว...” ร่างชรานั้นร่ำไห้อย่างสิ้นหวังก่อนจะมองไปด้านหลัง

เด็กชายวัยเพิ่งพ้นโกนจุกมาไม่นาน รูปร่างผอมแห้ง ผิวขาวเผือด ดวงหน้าหวาน ยืนมองภาพตรงหน้าอย่างงุนงง แล้วก้าวตามมือเหี่ยวย่นที่กวักเรียก

“ไอ้อินทร์...เมืองอินทร์ กราบท่านเสีย...” เสียงของพ่อเฒ่าอินทร์แขวนเอ่ยขึ้นปนสะอื้น

 “ข้ามาขอพึ่งใบบุญพ่อสิน...ขอเอาไอ้อินทร์มาเป็นทาสสินไถ่...ได้โปรดเลี้ยงมันไว้ด้วยเถิด!”

.................................................

“อ้ายสีห์...อ้ายสีห์โว้ยยย พ่อสินหาเอ็งแน่ะ” เสียงตะโกนของไอ้มิ่ง เพื่อนสนิทดังขึ้นลั่นคุ้ง ทำให้ร่างสูงหนาของสีห์ที่กำลังนอนไกวเปลเล่นอยู่ริมน้ำชะงักไปทันควัน แผ่นอกกว้างแข็งแรงแบบลูกช่างตีเหล็ก ลอนกล้ามเนื้อหน้าท้องนั่นแข็งแรงเกินหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน เจ้าตัวเคี้ยวใบจากเล่นอย่างสบายอารมณ์ก่อนจะเหลียวมองเพื่อนที่ตะโกนลั่น

“ห่า..ตะโกนแบบนี้ เดี๋ยวเขาก็ตามกูเจอหรอก!” เจ้าตัวดูจะไม่อินังขังขอบ

“พ่อสินตามหาเอ็งให้ลั่น บอกว่าถ้าวันนี้เอ็งไม่รีบกลับไปมีหวังอดข้าวแน่”

“เหอะ! กลัวที่ไหน!” เจ้าตัวเมินฉับ

สีห์ วัย 15 ปี แข็งแรงกว่าเด็กหนุ่มในวัยเดียวกันมาก เจ้าตัวชื่นชอบการฝึกเพลงดาบเป็นชีวิตจิตใจ เขาอยู่กับดาบจนเหมือนเป็นเพื่อนตาย แต่จะมาวุ่นวายก็เพราะไอ้เด็กตาใสนั่นทีเดียว !

ไม่กี่เดือนก่อนที่ พ่อปู่อินทร์แขวน อดีตข้าเก่าเต่าเลี้ยงของพ่อกลับมาพร้อมกับหอบหิ้วหลานชายมาหนึ่งคน ก็ทำให้ชีวิตไอ้สีห์แทบหัวหมุน เพราะสิน ผู้พ่อสั่งการไว้ว่า ถึงไอ้อินทร์ หรือเมืองอินทร์จะเป็นทาสสินไถ่ที่เขามาฝากไว้ แต่ก็ขอให้เลี้ยงดูดุจน้องชาย เขาไม่เคยมีน้องชายเนื้อตัวนุ่มนิ่มผิวขาวใสเช่นนั้นมาก่อน พอเจอเสียงดุของเขาเข้าไป เจ้าตัวจ้อยนั่นก็ร่ำไห้เสียทุกที จนชักระอาใจ หลัง ๆ พอมีจังหวะหนีได้ เขาเป็นต้องหนีมาท้ายสวนทุกครา

ไอ้เจ้าตาใสนั่น มันเจ้าน้ำตานัก ! ดุหน่อยก็ร่ำไห้ เสียงดังใส่หน่อยก็ร่ำไห้..น่ารำคาญนัก!

“เอาน่า..ไอ้อินทร์ มันยังละอ่อนนัก ใจเย็นกับมันบ้างไอ้สีห์ ใครจะโลดโผนทโมนเก่งเหมือนเอ็งกันเล่า”ไอ้มิ่งปราม

เจ้าตัวยังคงเมินอยู่อย่างนั้น

“พ่อเอ็งเขาว่า จะให้เอ็งฝึกมันว่ายน้ำ ไม่อย่างนั้นมีหวังตกน้ำตายเข้าสักวัน”

ได้ยินมาว่า บ้านของตัวจ้อยนั่นอยู่บนภูเขามาตลอด ไม่เคยอยู่ริมน้ำมาเลย ก็น่าอยู่หรอกที่พ่อสินจะกลัวว่ามันจะตกน้ำตกท่าไป เพราะแค่สามสี่คืนแรก มันยังเกือบจมน้ำตายเพราะทะลึ่งก้มลงไปมองปลาที่ท่าน้ำ ชะโงกล้ำจนเสียหลักตกน้ำตูมใหญ่ เคราะห์ดีที่เขาอยู่ใกล้ ๆ เลยโผนลงไปคว้าตัวไว้ทันก่อนจะมุดหายไปใต้กอบัว

“ถ้ามันยอมให้ข้าฝึกละก็...ข้าจะให้เอ็งสิบชั่งเลยทีเดียว!”

แล้วก็เป็นอย่างที่ไอ้สีห์ว่าไว้ เพราะทันทีที่เดินกลับเข้าไปถึงเรือน เสียงโวยวายของไอ้ตัวเล็กก็ดังลั่น

“ไม่! ข้าเกลียดน้ำ! ข้าไม่ชอบว่ายน้ำ! ” เสียงเจ้าตัวเล็กดังขึ้น

“ไม่ชอบก็ต้องชอบ เรือนนี้อยู่ติดน้ำหากเจ้าไม่ฝึกแล้วจะทำเช่นไร!” เสียงผู้เป็นพ่อดังขึ้นก่อนจะเหลียวมองไอ้สีห์ที่เดินเข้ามาใกล้ ๆ สีหน้าระอาใจของไอ้สีห์บอกชัดว่ามันหน่าย...

“ไอ้สีห์ ฝึกไอ้อินทร์มัน” คำสั่งของ สิน บิดาผู้เป็นช่างตีดาบหลวงดังขึ้นไม่มองว่าบุตรชายมีสีหน้าเช่นไร

ลงท้ายก็ต้องเป็นคนฝึกเจ้าตัวจ้อยที่ดิ้นตูมตามเกาะแพลูกมะพร้าวไว้แน่น

ไอ้ลูกลิงเอ้ย! สีหราชสะบัดหน้าพรืด ก่อนชะเง้อไปบนท่าน้ำ...เขาวางดาบคู่ใจไว้บนเก้าอี้ไม้ไผ่กลางลานนั่น

อยากไปฝึกดาบมากกว่ามาฝึกว่ายน้ำให้ไอ้เด็กตาแป๋วตรงหน้าเสียจริง!

“ปล่อยมือ เอาขาตีน้ำ!” เด็กหนุ่มหน้ามุ่ย สั่งการสั้น ๆ

“ไม่! เดี๋ยวจม!” ร่างเล็ก ๆ นั่นหน้าง้ำ กอดกอลูกมะพร้าวที่ผูกเป็นแพง่าย ๆ ไว้แน่น

“ไม่จม ถ้าจม คนอื่น ๆ เขาคงจมกันหมดแล้ว!” เสียงทุ่มเถียงนั่นดังลั่นตลอดคุ้งน้ำ

“จะฝึกหรือไม่ฝึก” เขาจ้องร่างเล็ก ๆ ตรงหน้า ความอดทนกำลังจะหมดลง

“ไม่...” เสียงนั้นเริ่มอ่อยลง แต่ดวงตาใสนั่นยังดื้อดึงชัด

ความรำคาญทำให้เด็กหนุ่มตัดสินใจพุ้ยน้ำแล้วจ้ำพรวดขึ้นเรือนอย่างไม่ใส่ใจ

เหอะ! ไม่ฝึกก็อยู่มันตรงนั้นไปตลอดแล้วกัน เดี๋ยวเบื่อก็คงขึ้นจากน้ำเอง

ผ่านไปชั่วครู่ ไอ้สีห์คว้าดาบมาซ้อมเล่น แม่คำหล้า สตรีร่างท้วมเดินไปทั่วเรือนก่อนจะตะโกนหาเจ้าตัวจ้อยนั่น แรก ๆ ไอ้สีห์ไม่อยากใส่ใจ แต่พอเสียงนั้นร้อนรนขึ้นและกลายเป็นเรื่องใหญ่เมื่อคนบนเรือนวิ่งกันหลายคน คนทิ้งเด็กชักจะใจคอไม่ทั่วท้องก่อนจะชะโงกหน้าจากเรือนลงไปมองด้านล่าง

“เอะอะอันใดกัน” เจ้าตัวขมวดคิ้วมุ่น

“ไอ้อินทร์หายไปเจ้าค่ะ ยังไม่เห็นตัวเลย เรียกเท่าใดก็ไม่ขาน...”

เท่านั้นเอง เด็กหนุ่มต้องเผ่นผลุงลงไปที่ท่าน้ำจุดเดิม กอมะพร้าวนั่นยังอยู่ที่เดิม แต่เจ้าตัวเล็กหายไป!

สังหรณ์วูบ ทำให้เจ้าตัวกระโจนพรวดเดียว

ตูม!

ร่างแข็งแรงรีบดำพรวดลงไปใต้ผืนน้ำ สายตาพยายามสอดส่ายไปทั่ว แล้วก็ต้องชะงักใจหายวูบเมื่อร่างเล็ก ๆ ลอยนิ่งในน้ำนั่น เขาว่ายเข้าไปคว้าตัวได้ก็ลากร่างที่อ่อนปวกเปียกขึ้นมา คนบนเรือนต่างตกอกตกใจกรูกันเข้ามาใกล้ แต่เด็กหนุ่มรีบเอาร่างเล็ก ๆ พาดบ่าแล้ววิ่งไปวิ่งมา ก่อนจะอุ้มร่างที่ปวกเปียกนั่นลงพื้นและนวด ๆ หน้าอก ครู่หนึ่งเสียงสะอึกน้ำพรวดออกมา ทำให้ทุกคนค่อยโล่งใจขึ้น ดวงตาแป๋วสวยเกินชายของไอ้อินทร์ลืมขึ้นช้า ๆ ก่อนจะทำหน้าแหยเตรียมเบะปากร้องไห้เมื่อเห็นหน้าเขา

นี่เขาช่วยชีวิตมันไว้นะ จะมาร้องไห้ทำไม!

“อ้ายสีห์ใจร้าย ฮือ...” ร่างเล็กนั่น สะอื้นฮักลั่นท่าน้ำ

ผู้เป็นบิดากรากเข้ามาดูอาการเจ้าตัวเล็ก ก่อนจะหันมาทำตาขึงใส่เขาทันที

ตกลงว่าไอ้อินทร์...นี่มันเป็นทาสสินไถ่ หรือว่าเป็นลูกอีกคนกันแน่ ทำไมพ่อถึงได้รักใคร่มันนักนะ!

.......................................................

หลังจากที่ช่วยไอ้ตัวจ้อยขึ้นจากน้ำในครานั้น เหมือนเมืองอินทร์จะเรียบร้อยมากขึ้น ไม่ค่อยดื้อกับไอ้สีห์อย่างเคย ในวันแรก ๆ ที่ไอ้สีห์ซ้อมดาบอยู่กลางลาน เจ้าตัวจ้อยก็คว้าไม้ไผ่มาเล่นตามเขาบ้าง จนคนที่ทำเมินตลอดเริ่มจะหันมองนิด ๆ

ท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ แบบนั้นจับดาบก็ร่วงกันพอดี!

สุดท้ายก็อดรนทนไม่ได้ ไอ้สีห์เดินตรงไปหาร่างเล็ก ๆ ตรงหน้าที่ตั้งอกตั้งใจปาดไม้ไผ่ในมือแทบดาบ มืออุ่นของเด็กหนุ่มคว้ามับเข้าที่เอวเล็ก ๆ ของเมืองอินทร์ก่อนจะยืนซ้อนอยู่ด้านหลังแล้ววางท่าทางการจับดาบที่ถูกต้องให้ ร่างเล็กนั่นตัวแข็งทื่อทันควันอย่างตกใจ

“เขาจับกันอย่างนี้ ไม่ใช่จับอย่างนั้น ขืนถือแบบนั้นได้ฟันตัวเองเข้าสักแผลแน่”

พูดจบก็เดินไปซ้อมดาบต่ออย่างไม่ใส่ใจไอ้อินทร์ เจ้าตัวเล็กเหลียวมองเด็กหนุ่มด้วยสายตาเป็นประกายชื่นชม

พอเจ้าตัวซ้อมดาบเสร็จ เจ้าตัวเล็กก็วิ่งจี๋เอากระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำลอยดอกมะลิมาให้ตรงหน้า ไอ้สีห์ก้มมองนิดหนึ่งก่อนจะคว้ามารับไว้ดื่ม นึกรู้ว่าเจ้าตัวจ้อยกำลังขอคืนดี ดวงตาสุกใสของไอ้ตัวจ้อยเป็นประกายอย่างดีใจที่เขายอมรับน้ำจากมัน

แต่ก่อนที่เขาจะทันพูดอะไร เจ้าตัวจ้อยชะโงกหน้าขึ้นมาแล้วกดริมฝีปากแนบแก้มเขาทันที!

ไอ้สีห์ตาโตก่อนจะผลักร่างจ้อยนั่นออกทันควัน เสียงตวาดดังอึง

“ทำบ้าอะไรนี่! ใครสั่งใครสอนให้ทำเช่นนี้!” เสียงไอ้สีห์เกรี้ยวกราด จนร่างเล็ก ๆ น้ำตาพรู

“ก็...พี่มะลิทำเยี่ยงนี้กับอ้ายชด...พี่มะลิว่าทำเยี่ยงนี้แล้วจะหายโกรธ”

ประโยคซื่อ ๆ ปนสะอื้นฮักนั้นทำเอาไอ้สีห์ตบหน้าผากตัวเองฉาดใหญ่ !

เวรแท้! อ้ายอีพวกนี้มันสอนอะไรเด็กกัน!

“จำไว้ ว่าห้ามไปทำแบบนี้กับใครที่ไม่ใช่คู่รัก ได้ยินฤาไม่” ไอ้สีห์กำชับร่างเล็ก ๆ ตรงหน้า

เมืองอินทร์กำลังอยู่ในช่วงเรียนรู้ ดูท่าว่าจะปล่อยให้อยู่กับบ่าวบนเรือนนานไม่ดีเสียแล้ว ไม่เช่นนั้นไม่แคล้ว...

“แล้ว..ถ้ามีผู้สาวมาทำเช่นนี้...ได้ฤาไม่” เสียงนั่นจ๋อย ๆ อย่างสนใจ แววตาใสกระจ่าง

“ไม่ได้! จักเป็นผู้สาว ฤา ผู้บ่าวก็ไม่ได้! ไว้โตกว่านี้ก่อนจึงทำได้ ” ไอ้สีห์พูดทันควัน ก่อนจะระบายลมหายใจยาว

“เมื่อใดเล่า” เจ้าตัวจ้อยยังคงถามอย่างสงสัย

“เมื่อใดก็...เมื่อนั้นแล” ไม่รู้จะตอบเจ้าคนช่างซักอย่างไรดี

ไอ้อินทร์หน้าสวยหวาน...แล้วยังซื่อ ๆ ไร้เล่ห์เหลี่ยม ยามนี้เขาเริ่มเข้าใจผู้เป็นพ่อแล้วว่าเหตุใดต้องการให้เขาดูแลมัน

ไอ้สีห์ก้มมองเจ้าตัวเล็กตรงหน้าอย่างชั่งใจ แล้วเอ่ยเบา ๆ

“ชอบดาบฤาไม่?” ประโยคนั้นทำให้ไอ้อินทร์พยักหน้าทันควัน

“ถ้าอย่างนั้น นับจากพรุ่งนี้ไป เจ้าไม่ต้องอยู่บนเรือนแล้ว มากับข้า ข้าจะสอนดาบให้”

ไอ้สีห์รีบเดินขึ้นเรือนไปในทันที กลิ่นหอม..จากกระแจะจันทร์ที่ติดแก้มเจ้าตัวเล็กยังเหมือนกรุ่นอยู่ข้างแก้มเขาทั้งคืน

..........................................................................


ButlerofLOVE:

ภารกิจมากมายในชีวิตตอนนี้ เลยมาลงช้าไปบ้างนะคะ ^^ ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจให้นักเขียนหน้าใหม่นะคะ  ;)
หัวข้อ: Re: สีหราชยมทูต Grim reaper's vacation by ButlerofLOVE++
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 23-07-2020 12:36:00
กดเข้ามาเพราะชื่อเรื่อง อ่านคราวๆ น่าเอ็นดูวว ออกแนวแฟนซี เด่วขอเวลาอ่านจริงๆก่อน แล้วจะมาเม้นใหม่นะคะ
เป็นกำลังใจให้นักเขียนใหม่นะคะ  :pig2:
หัวข้อ: Re: สีหราชยมทูต Grim reaper's vacation by ButlerofLOVE++
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 23-07-2020 15:58:14
บทที่ 8 (ต่อ)
............................................
..........................................................................

เมืองอินทร์เป็นเด็กหัวไวใช้ได้ทีเดียว หลังจากไอ้สีห์สอนเพลงดาบต่าง ๆ ให้ เจ้าตัวจ้อยก็ฝึกตามอย่างมุมานะ สิ่งนี้ทำให้ผู้เป็นครูอดปลื้มใจไม่ได้



“ฝีมือข้าเป็นกระไรบ้าง อ้ายสีห์” เสียงเล็ก ๆ จ๋อย ๆ ของเจ้าตัวจ้อยดังขึ้นอย่างปรีดา



เกือบปีแล้วที่เจ้าตัวได้เริ่มเรียนเพลงดาบกับอ้ายสีห์ หน่วยก้านของมันเริ่มมีกล้ามเนื้อบ้าง ไม่บอบบางอย่างคราที่พบกันครั้งแรก แต่ผิวที่ขาวเผือดตามแบบของชาวเวียงจันทน์ของมันยังคงขาวเช่นนั้น ดวงตากลมสวยเกินชายที่นับวันจะยิ่งน่ามอง ทำให้ระยะหลังเริ่มมีผู้สาวมาลอบมองพวกเขาฝึกซ้อมเพลงดาบกันมากขึ้น บางคราก็มีผู้สาวใจกล้าถึงขั้นทำหมากเป็นคำมาให้ เจ้าตัวได้แต่ยิ้มนิด ๆ รับไว้พอเป็นพิธี แต่ก็ทำเอาผู้สาวอายม้วนกลับไป



...เหอะ ไม่รู้ฤา ว่าไอ้อินทร์มันไม่กินหมาก... สีหราชค่อนในใจ



“ไม่กิน...เหตุไฉนยังรับมา” เสียงห้วนสั้นของไอ้สีห์ดังขึ้น ก่อนจะใช้ดาบฟันหยวกกล้วยตรงหน้าขาดกลางลำ อารมณ์หงุดหงิดไม่รู้มาจากที่ใด ตอนนี้จำต้องหาทางระบายออก



“ก็...ไม่อยากเสียน้ำใจ” เมืองอินทร์กล่าวอุบอิบ



“เหอะ...รับไว้ คราหลังเขาก็จักเอามาให้เจ้าอีก”



“อ้ายสีห์โกรธฤา...ถ้าอย่างนั้นคราหลังข้าไม่รับก็ได้” เมืองอินทร์มองคนตรงหน้าอย่างงุนงง



“ข้าไม่ได้โกรธ...แค่เสียดายของต้องทิ้งเปล่าๆปลี้ๆ” เจ้าตัวเอ่ยทันควันก่อนจะเบือนหน้าหนี



“หากเสียดายของ อ้ายสีห์จะรับไว้หรือไม่?” เจ้าตัวบางที่ตอนนี้เริ่มโตขึ้นบ้างแล้วถามซื่อ ๆ



“เขาเอามาให้เจ้า...แล้วเจ้าเอามาให้ข้าได้กระไร” เจ้าตัวยังเบือนหน้าไม่มอง



“หากอ้ายสีห์ชอบ...จะสิ่งใด ข้าก็จักหามาให้” เมืองอินทร์พูดทันควัน แววตานั่นใสซื่อเสียจนอ้ายสีห์ต้องถอนหายใจ



“ช่างเถิด...คราหลัง...ถ้าไม่ชอบก็อย่าไปรับของผู้ใด” สีห์เอ่ยเบา ๆ ก่อนจะเก็บดาบเข้าฝัก เมืองอินทร์เดินตามมาใกล้ ๆ ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ



“วันนี้ข้าจักไปกาดกับอ้ายเชิด อ้ายสีห์จะเอาสิ่งใดฤาไม่”



อ้ายเชิด สหายทาสสินไถ่ที่เข้ามาในเรือนเวลาไล่เลี่ยกันกับเมืองอินทร์ หากแต่อุปนิสัยใจคอกะล่อน สนุกสนานและเจ้าชู้ประตูดิน ทำให้เป็นที่เขม่นของเหล่าทาสด้วยกันแต่กลับเข้ากันได้ดีกับเมืองอินทร์ที่สุภาพเรียบร้อย ทั้งสองจึงเป็นเพื่อนสนิทกัน อ้ายสีห์ไม่ค่อยถูกใจนัก เพราะอ้ายเชิดมักจะกอร่อกอติกกับสาว ๆ ประจำและมักใช้เมืองอินทร์เป็นสะพานเชื่อมไมตรีกับเหล่าผู้สาวในกาด



“คบกับอ้ายเชิดมาก จักพลอยเสียคนไปด้วย” สีห์เคยเตือนเมืองอินทร์ไว้ แต่เจ้าตัวกลับยิ้มตาใสแล้วบอกว่า



“อ้ายเชิดอุปนิสัยดี แม้จะเจ้าชู้ไก่แจ้ไปบ้างแต่ก็ไม่เคยทำความเดือดร้อนใด อ้ายสีห์อย่างได้ห่วง มีแต่ผู้สาวเข้าหาอ้ายเชิดมากมาย” เจ้าตัวมองโลกแง่ดี



อ้ายสีห์ถอนหายใจยาว เจ้าตัวจ้อยเอ้ยยย ไม่รู้เลยฤาว่าเจ้าเป็นเหล็กเนื้อดีที่ดึงดูดเอาผู้สาวงาม ๆ มาใกล้



น่าหงุดหงิดนัก!



“ข้าจักไปตกปลาท้ายสวน เจ้าจักไปไหนก็ไป!” สิ้นประโยคก็เดินดุ่ม ๆ จากไปทันทีทิ้งเมืองอินทร์ให้งุนงงอยู่ตรงนั้น

................................................................



เสียงเบ็ดตกปลาที่ตวัดลงริมน้ำแสดงถึงอารมณ์เจ้าของเบ็ดที่ไม่ปกติ สีหน้าบึ้งตึงของอ้ายสีห์ไม่ได้สนใจกับเบ็ดและเหยื่อล่อที่โยนลงไปสักนิด มีแต่เสียงของไอ้ตัวจ้อยที่ยิ้มแล้วชมอ้ายเชิดอย่างนั้นอ้ายเชิดอย่างนี้...จนสุดท้ายต้องยีหัวตัวเองเพื่อระงับความหงุดหงิด



...เพิ่งจะมีน้อง...กับเขาคนหนึ่งก็ไปติด..เพื่อนคนอื่นเสียแล้ว...หงุดหงิดนัก!



แต่ไม่ทันจะทำอะไรต่อ ปรากฏมีเสียงตูมใหญ่ราวกับมีปลาตัวโตตกน้ำตรงหัวคุ้ง ทำให้อ้ายสีห์ชะโงกหน้าทันควัน เวิ้งแม่น้ำที่เขายืนตกปลาอยู่เป็นมุมอับทำให้ไม่มีผู้ใดจากภายนอกมองเห็น อ้ายสีห์ปักคันเบ็ดไว้บนตลิ่งใกล้ ๆ ก่อนจะชะโงกหน้าออกไปอีกครั้ง ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นกระสอบป่านสีน้ำตาลเข้มถูกโยนลงในแม่น้ำ ชายฉกรรจ์สองสามคนรีบขยับออกจากริมตลิ่งทันควันหลังจากทิ้งกระสอบปริศนาลงในน้ำแล้ว กระสอบนั่นค่อย ๆ จมลงช้า ๆ



...นั่นกระไร...เอาสิ่งใดมาทิ้งน้ำ ?...



อ้ายสีห์ขมวดคิ้วอย่างงุนงงก่อนจะจ้องมองชายฉกรรจ์สองสามคนนั้น หนึ่งในสามพยักหน้าเป็นสัญญาณก่อนจะเหลียวซ้ายแลขวาแล้วรีบปรี่ไปที่ม้าสีดำพ่วงพีที่ถูกผูกไว้ใกล้ ๆ จากนั้นทั้งสามก็รีบขึ้นม้าแล้วโผนโจนออกไปทันควันอย่างไม่เหลียวหลังราวกับกลัวผู้ใดจะรู้เห็นการมา



อ้ายสีห์คงไม่สนใจอีก หากกระสอบนั่นไม่ขยับยุกยิกเล็กน้อย เจ้าตัวกัดกรามกรอด



...เลวนัก หมาแมวหรือสิ่งใดก็มีชีวิต เหตุใดใจร้ายใจดำนัก!



ไม่ต้องคิดสิ่งใด อ้ายสีห์ปรี่กระโจนลงแม่น้ำทันควัน ก่อนจะว่ายตรงไปยังกระสอบที่ดำผุดดำโผล่อยู่ตรงนั้น กระสอบหนักว่าที่เขาคิดไว้ ดูท่าว่าอาจจะไม่ใช่ลูกหมาหรือลูกแมวเสียแล้ว อาจจะเป็นเนื้อทรายหรือหมูป่าเสียละมาก เจ้าตัวลากกระสอบป่านดังกล่าวขึ้นบนริมตลิ่งก่อนจะค่อย ๆ แกะเชือกป่านที่ผูกกระสอบนั้นไว้ ก่อนจะชะงักกึกเมื่อเห็นชัด ๆ



ร่างชายหนุ่มน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเขา ผิวพรรณวรรณะผ่องใสถูกจับมัดมือมัดเท้าอยู่ในกระสอบ ผมเผ้าที่เปียกโชกและแววตาที่ปิดสนิททำให้อ้ายสีห์ตกใจ  แต่เสื้อผ้าอาภรณ์ประดับกายก็บอกได้ว่า ไม่ใช่ลูกชาวบ้านเป็นแน่ แต่จะเป็นชนชั้นใดก็สุดจะรู้ ก่อนที่จะสนใจอะไร ร่างนั้นไอขึ้นทันทีที่สูดอากาศก่อนจะลืมตาขึ้นมามองคนตรงหน้าอย่างงุนงงแล้วก็สลบไปอีกครา



...พากลับเรือนก่อน อย่างน้อยพ่อสินน่าจะช่วยได้!...



...........................................................

สามสี่วันให้หลังปรากฏว่ามีเทียบเชิญจากในวังหลวงให้อ้ายสีห์และพ่อสินไปพบ เส้นทางเดินในวังหลวงช่างคดเคี้ยว มีเรือนต่าง ๆ มากมายเรียงรายกันกว่าสิบ บ่าวรับใช้คนหนึ่งนำพวกเขามาถึงตำหนักใหญ่ริมน้ำ บริเวณนั้นโอ่อ่า เป็นเรือนไม้สักสองชั้นทั้งหลัง ตกแต่งด้วยศิลปะล้านนาบอกชัดว่าผู้เป็นเจ้าของเรือนนั้นมีเชื้อสายจากเจ้าฝั่งล้านนา บ่าวไพร่มากมายที่ยอบกายลงต้อนรับอ้ายสินและอ้ายสีห์ ก่อนจะยกน้ำมาให้อาคันตุกะ



เพียงชั่วครู่ ชายหนุ่มที่อ้ายสีห์เคยช่วยชีวิตไว้ก็เดินขึ้นมาบนเรือน สีหน้าผุดผ่องมีสง่าราศรียิ่งกว่าในวันนั้น เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายบ่งชัดว่า นี่คงมิใช่ลูกเชื้อพระวงศ์ธรรมดาเสียแล้ว อาจเป็นถึงหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ก็เป็นได้



“เชิญพ่อสินนั่งบนตั่งนี้เถิด” เสียงนั้นสุภาพอ่อนโยน แววตาฉายแววชาญฉลาด จากนั้นเพียงครู่เดียว สตรีวัยกลางคนก้าวออกมาจากเรือนฝ่ายในก่อนจะมองทั้งสองด้วยแววตาอ่อนโยน อ้ายสินและอ้ายสีห์รีบยอบกายลงทำความเคารพ



“ไม่ต้องมากพิธีดอก ข้าสิจักต้องปูนบำเหน็จให้พวกเจ้าทั้งสอง” เจ้าจอมมารดาพิมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวานใส



“หม่อม...ข้ารอดมาได้ก็เพราะอ้ายสีห์นี่เอง หากมิได้มันช่วยลูกไว้ ป่านนี้คงไม่ได้กลับมาเฝ้าหม่อมอีกแล้ว” บุรุษร่างสูงเอ่ยขึ้นเบา ๆ พร้อมกับมองอ้ายสีห์ด้วยความตื้นตัน



“นี่คือ ชายนพ...พระองค์เจ้าชายชาญณพ พระราชโอรสในล้นเกล้า...” เจ้าจอมมารดาพิมก่อนจะมองบุตรด้วยสายตารักใคร่ ประโยคนั้นทำให้อ้ายสินที่หมอบอยู่แล้วยิ่งหมอบแนบลงไปกับพื้นขณะที่อ้ายสีห์ยังคงมึนงงจับต้นชายปลายไม่ถูก เจ้าจอมมารดาพิมหันมองอ้ายสีห์ด้วยความพึงใจ



“บุตรชายของเจ้าหน่วยก้านดี ท่าทางองอาจแกล้วกล้า ปีนี้อายุเท่าใดแล้ว..”



“ย่าง 17 ปีนี้...กระหม่อม” อ้ายสินเอ่ยทั้งที่ยังหมอบกราบอยู่ตรงนั้น ก่อนจะฉุดผู้เป็นลูกชายให้ก้มกราบ



“กราบเจ้าจอมท่านเสียอ้ายสีห์...”



“อ้อ...ชื่อสีห์ดอกรึ...สั้น ๆ อย่างนี้ดอกรึ” เจ้าจอมมารดาพิมเอ่ยก่อนยิ้มให้



“กระหม่อม...” อ้ายสินไม่อาจพูดสิ่งใดได้อีก ได้แต่รับคำสตรีสูงศักดิ์ตรงหน้า



“ข้าถูกชะตาบุตรเจ้ายิ่งนักอ้ายสิน...ท่วงท่าองอาจเช่นนี้ดุจราชสีห์ยิ่งนัก ข้าว่ามันมีแววจักได้เติบใหญ่ในภายหน้า” เจ้าจอมมารดาพิมเอ่ยก่อนจะพิจารณาเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยแววตาครุ่นคิด



“ข้าอยากให้ชื่อใหม่ ว่า สีหราช...น่าจะสมตัวดี...เจ้าเห็นด้วยฤาไม่ ชายนพ” ริมฝีปากนั้นแย้มยิ้มก่อนหันไปทางบุตรชาย



“พระเจ้าข้า นามสมกับตัวยิ่งนัก อ้ายสีหราช...” ริมฝีปากบางแย้มยิ้มอย่างถูกชะตาเด็กหนุ่มตรงหน้า



พระองค์เจ้าชายชาญนพ ในปีนี้อายุย่างเข้า 18 ชันษา ด้วยมีแต่เสด็จพี่หญิงไม่เคยมีน้องชายมาก่อน มองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างถูกใจ เจ้าจอมมารดาพิมเห็นสายตาของบุตรแล้วก็ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยกับอ้ายสินตรงไปตรงมา



“ข้าถูกใจบุตรชายเจ้าอ้ายสิน ข้าจักให้มันเป็นบุตรบุญธรรมของข้า เป็นน้องบุญธรรมของชายนพ เจ้าจักว่าอันใดฤา”



ประโยคนั้นทำให้อ้ายสินตกใจตัวสั่นงันงก



“พระอาญามิพ้นเกล้า ข้าเกรงว่าอ้ายสีห์จะทำให้เคืองพระทัยได้ เพราะบุตรข้านั้นดื้อดึงยิ่งนัก ไม่เคยอยู่ในกรอบระเบียบสิ่งใดเกรงว่าจะต้องอาญาราชภัยในภายหน้า ขอทรงได้โปรดพิจารณาใหม่ด้วยเถิด”



“อ้ายสิน...ข้าไม่ได้จะให้บุตรเจ้าทำสิ่งใด ข้าเพียงอยากส่งเสริมมันให้ได้ดิบได้ดีเท่านั้น อีกประการหนึ่งข้าเห็นแล้วว่าบุตรเจ้าองอาจกล้าหาญ หากได้มาเป็นราชองครักษ์ของชายนพคงเป็นการดีไม่น้อย...” เจ้าจอมมารดาพิมเอ่ยเบาลง



“ในรั้ววังแห่งนี้ มีผู้คนมากหน้าหลายตา รู้หน้าจักมิรู้ใจ ชายนพเป็นเพียงบัณฑิตที่ไม่เคยสู้รบกับผู้ใดในที่มืด มีแต่ความรู้และปัญญาหาได้มีเพลงดาบไว้ป้องกันตัว เรื่องราวที่เกิดขึ้น เจ้าคงพอคาดเดาได้ว่าในราชสำนักมีภัยอันใดบ้าง...”



เจ้าจอมมารดาพิมเอ่ยด้วยท่าทีเป็นกังวล บุตรชายคนเดียวที่เป็นที่โปรดปรานของทูลกระหม่อมพ่อ ทั้งฉลาดและอ่อนโยน ยิ่งดีงามเท่าใดยิ่งอันตรายมากยิ่งขึ้นเท่านั้น วิสัยมารดาย่อมกังวลในความปลอดภัยของบุตร หากมีผู้คุ้มกันที่แกล้วกล้าย่อมวางใจได้



“ข้าจักส่งเสียให้มันได้ร่ำเรียนอย่างดีกับพระครู ลูกข้าได้เรียนสิ่งใด ลูกเจ้าก็จักได้เรียนสิ่งนั้น ในภายภาคหน้าข้าจักทูลให้ทูลกระหม่อมให้บรรดาศักดิ์แก่อ้ายสีหราชลูกเจ้า จะได้ไม่ใช้ชีวิตเยี่ยงไพร่อีก เช่นนี้ไม่ดีดอกฤา...”



อ้ายสิน ช่างตีดาบหลวงได้แต่โอดในใจ แต่ก็ไม่อาจกล่าวคำใดออกไปได้ มีเพียงสายตาที่มองบุตรชายคนเดียวอย่างห่วงใย ราชสำนักมีแต่ภัย...ทั้งต่อหน้าและลับหลัง อ้ายสีห์จะอยู่รอดได้ฤา



“ข้า..มีบุตรชายเพียงคนเดียว ก็หวังให้มันได้เติบใหญ่ แต่สำนักตีดาบของข้าก็จักต้องมีผู้สืบทอดเช่นกัน หากเจ้าจอมทรงอนุญาต ข้าจะขอนำตัวบุตรชายกลับไปเมื่ออายุได้ 20 ปี จักได้ฤาไม่...”



..............................................................



คำตกปากรับคำของเจ้าจอมมารดาพิม ทำให้อ้ายสีห์ หรือสีหราชจำต้องย้ายจากเรือนไปสู่วังหลวงในไม่กี่ราตรีจากนั้น แม้เจ้าตัวจะไม่ปรารถนาก็ตามแต่เพราะกลัวต้องอาญาจึงจำต้องไป คนแรกที่ร่ำไห้เมื่อสีหราชไปร่ำลาคือ เมืองอินทร์



“อ้ายจักไปนานเท่าใด...” เสียงเจ้าตัวเล็กสั่นเครือ คนเดียวที่เป็นที่ปกปักให้มันกำลังจากไปเสียแล้ว



“ไม่นานดอก...ราวสามสี่ปีเท่านั้น...” สีหราชชักไม่มั่นใจ ใบหน้าหวานตรงหน้าคลอไปด้วยน้ำตา ทำให้ชักต้องกลืนน้ำลายก่อนจะคว้าร่างนั้นมากอดปลอบ...



...แค่...พี่กอดน้อง...ไม่เป็นไรละมั้ง...



กลิ่นหอมจาง ๆ จากร่างที่อยู่ในอ้อมแขนทำให้สีหราชกระชับวงแขนแน่นขึ้น น้ำตาอุ่น ๆ หยดเผาะลงบ่าของเขา ความอุ่นกำซาบลงในใจ สีหราชดันบ่าเล็ก ๆ นั่นออกก่อนจะเกลี่ยน้ำตาให้น้อง ดวงตาที่รื้นไปด้วยไข่มุกใส ๆ ปากบางใสที่สวยเกินชายเผยอสะอื้น



“แล้วใครจักสอนเพลงดาบให้ข้าเล่า...” เสียงคนตรงหน้าโอดครวญ เสียงนั่นทำให้สีหราชถอนหายใจพรู



“คิดแต่เรื่องเรียนเพลงดาบเท่านั้นละฤา...ถ้าอย่างนั้นข้าจักให้อ้ายโตมาสอนให้เจ้าเอง” สีหราชหงุดหงิดนิด ๆ อย่างไม่รู้สาเหตุ



“อ้ายโตไม่ใจดีเฉกอ้ายสีห์...” เมืองอินทร์เอ่ยต่ออย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ ทำให้วงแขนที่กระชับอยู่เริ่มคลายลง น้ำเสียงเจือโมโหของเจ้าตัวติดปลายเสียง



“อ้อ...ถ้าผู้ใดใจดี...เจ้าก็คงชอบผู้นั้นละมัง...” สีหน้าของสีหราชเมินคนตรงหน้าฉับ เมืองอินทร์มองปริบ ๆ ก่อนจะรีบเอ่ย



“มิได้...ใครใจดีข้าก็ดีตอบ แต่มีอ้ายสีห์คนเดียวที่ข้าจะดีด้วยมากที่สุด...” เจ้าตัวเล็กเอ่ยอย่างเอาใจคนตัวโต



“ไม่ได้...ห้ามเจ้าดีตอบกับผู้ใดทั้งนั้น !” สีหราชเอ่ยย้ำทันควันก่อนจะอึ้งไปกับคำพูดของตน



เหตุใด...ละม้ายข้าหวงเจ้าตัวเล็กนี้ด้วยเล่า ? จักหวงน้องเพราะเหตุอันใด..?



“เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น ก็อ้ายสีห์สอนข้าเองมิใช่ฤา ว่าใครดีจะดีตอบ ผิจะชอบจะตอบแทน หากใครร้ายจะร้ายแสน ให้เหมือนแม้นที่ทำมา อย่างไร?”



“ก็...เจ้าจักรู้ได้อย่างไรว่า ดีนั้นดีจริงฤาไม่ เขาอาจดีกับเจ้าเพียงเพราะประโยชน์...” คำเถียงข้าง ๆ คู ๆ ของสีหราช แต่เจ้าตัวน้อยพยักหน้าอย่างคิดตาม



“ก็จริงของอ้าย...”



“เจ้ายิ่งไม่ทันผู้ใดเขาอยู่ เขาลวงเจ้าเพียงนิดเจ้าก็เชื่อเขาเสียแล้ว ดูอย่างคราอ้ายเชิดไปหลอกหญิงคราก่อน จำมิได้ฤา”สีหราชพยายามย้ำหนักแน่นกับคนตรงหน้า มือหนากระชับบ่าเจ้าตัวน้อยก่อนก้มจ้องมองดวงตาใสกระจ่างนั่น



“ดังนั้น...ห้ามดีกับผู้ใดทั้งสิ้น หากมิใช่ข้า...อ้อ...ฤาหากมิใช่พ่อสิน...” เจ้าตัวชะงักตะกุกตะกักนิด ๆ



“แล้ว...แม่คำหล้าเล่า...ดีด้วยได้ฤาไม่...” เจ้าคนช่างซักยังถามต่อ ด้วยเมืองอินทร์สนิทกับแม่คำหล้าราวกับมารดาแท้ ๆ



“ได้...สตรีมีอายุอย่างแม่คำหล้า เจ้าเชื่อได้ เจ้าดีด้วยได้ แต่หากเป็นผู้สาว...ไม่ได้...เข้าใจฤาไม่...” สีหราชย้ำนักย้ำหนา



ไม่รู้ว่าเหตุใดสีหราชจึงห่วงเจ้าตัวเล็กนักหนา ถึงขนาดย้ำกับแม่คำหล้าอีกคราก่อนจะก้าวลงเรือนไป



“อ้ายสีห์...อ้ายอินทร์นั้นเติบใหญ่แล้วหนา เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงมันนักดอก..” แม่คำหล้าเอ่ยพลางส่ายหน้าเบา ๆ อย่างไม่เข้าใจ



“ข้า...ไม่อยากให้มันโดนผู้สาวที่ใดหลอกลวง มันยังละอ่อนนัก..” สีหราชเถียงแม่คำหล้า ก่อนจะจับมือสตรีชราไว้แน่น



“รับปากข้า...ว่าแม่คำหล้าจะดูแลมันอย่างดี อย่าให้มีผู้สาวคนใดมายุ่งเกี่ยว” คำนั้นทำให้แม่คำหล้าขมวดคิ้วฉงน



“อ้ายสีห์...หากอ้ายอินทร์ไม่ใช่ผู้บ่าว ข้าจักคิดว่าเจ้าฝากฝังผู้สาวที่เจ้ารักไว้กับข้าเป็นแน่” แม่คำหล้าหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะยิ้มรับคำ ขณะที่สีหราชอึ้งไปอย่างไม่รู้จะเอ่ยคำใด



“คิดบัดสี! ข้าเห็นมันเป็นดั่งน้อง หาใช่อย่างอื่น!” เจ้าตัวเมินฉับอย่างหงุดหงิด กริยานั้นทำให้แม่คำหล้ารีบเอ่ยทันที



“ข้าหยอกเจ้าทั้งคู่เล่นเท่านั้น อย่ากังวลไป ข้าจักดูแลมันให้เจ้าเอง รีบเข้าวังเถอะ...”

...............................................................

ButlerofLOVE:

กรีดร้องดีใจ ขอบคุณมากนะค้า เป็น comment ที่ทำให้ยิ้มได้มากมายค่า  :hao5: จะเอามาลงวันเว้นวันนะคะ ^^
พยายามเขียนให้จบในเดือนสิงหาคมนี้ น่าจะเป็นไปได้อยู่ :)"

เป็นนิยายเรื่องแรกที่เขียนค่ะ กลิ่นอายจะไปทางแฟนตาซีพีเรียดไทยนิด ๆ มีบางส่วนแตะเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์นิดหน่อยในสมัยรัชกาลที่ ๓ ติชมกันได้นะคะ เต็มที่เลยค่า ^^
หัวข้อ: Re: สีหราชยมทูต Grim reaper's vacation by ButlerofLOVE++
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 24-07-2020 12:34:10
บทที่ 9. ความคิดถึง

วันคืนผันผ่านไปรวดเร็วนัก อ้ายสีห์ หรือสีหราชเข้าไปเล่าเรียนในสำนักเดียวกับพระองค์เจ้าชายชาญนพ แม้เรื่องการเมืองการปกครองนั้นสีหราชจะไม่สู้เสด็จชายนพ แต่หากเป็นเรื่องการทหารแล้วสีหราชนับว่าไม่เป็นสองรองใคร โดยเฉพาะฝีมือในเชิงดาบ ซึ่งเป็นที่ครั่นคร้ามของเหล่าเชื้อพระวงศ์และเหล่าบุตรของเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ พระอาจารย์ถึงขั้นเอ่ยปากชมสีหราชต่อหน้าเชื้อพระวงศ์มากมาย



“หากใครได้อ้ายสีห์ไปเป็นมิตร นับได้ว่ามั่นใจได้ว่าชาตินี้ไม่มีใครปองร้ายได้”



แต่เมื่อมีผู้ชื่นชมย่อมมีผู้ขวางหูขวางตา โดยเฉพาะบุตรชายของสมุหพระกลาโหมอย่าง “ขุนศรี” เพราะมักถูกเปรียบเทียบกับสีหราชอยู่บ่อยครั้ง เพราะมีชื่อที่พ้องเสียงกันตลอด



คนหนึ่งองอาจกล้าหาญและคมเข้ม ฝีมือเพลงดาบไม่เป็นรองใคร แต่อีกคนหนึ่งอ่อนแอและไม่สู้เอาใจใส่การเรียนเท่าจนถูกพระอาจารย์ตำหนิอยู่บ่อยครั้ง



“ชื่อคล้ายกัน หากแต่ฝีมือผิดกันราวฟ้าดิน...”



ประโยคนั้นทำให้ขุนศรีเจ็บแค้นอับอายอยู่ในที แต่สีหราชกลับปกป้องผู้เป็นสหายร่วมชั้นอย่างสำรวม



“ข้ามิอาจสู้ขุนศรีได้ ข้าเป็นเพียงลูกไพร่ที่มีวาสนาดีชั่วขณะเท่านั้น ขอพระอาจารย์อย่ากล่าวเช่นนั้นเลย”



เมื่อพ้นสายตาพระอาจารย์ สีหราชมักโดนเพื่อนร่วมตำหนักเรียนเขม่นบ่อยครั้ง ด้วยบุคลิกที่ไม่สุงสิงกับผู้อื่นและเงียบขรึมคล้ายอยู่ในโลกส่วนตัว ทำให้บางคนถึงกับล้อเลียนว่า เขาเป็นแกะดำในหมู่เชื้อพระวงศ์ชนชั้นสูง



“ก็แค่ลูกไพร่! ไก่ฟ้าหรือจะเทียมพญาหงส์”



มีเพียงพระองค์เจ้าชายชาญนพที่เข้าใจสีหราช เจ้าตัวตบบ่าสีหราชเบา ๆ ก่อนจะกล่าวต่อหน้าผู้อื่นว่า



“อ้ายสีห์ เปรียบเหมือนน้องเรา เพราะเจ้าจอมมารดาพิมรับเขาไว้เป็นบุตรบุญธรรม ใครหาญมาดูแคลนอ้ายสีห์ ก็เท่ากับดูแคลนข้าและพระมารดาด้วย!”



ประโยคนั้นแม้จะปกป้องสีหราชในที แต่ก็ไม่วายทำให้หลายคนมองสีหราชในทางริษยา หากสีหราชรู้ดีว่ายิ่งต่อความยาวสาวความยืดกับคนเหล่านี้ย่อมไม่แคล้วชักนำภัยมาสู่ตัว และอาจส่งผลต่อเจ้าจอมมารดาและเสด็จพระองค์ชายนพได้ สู้เงียบเสียเป็นการดีกว่า



เขาเฝ้ารอวันที่จะหลุดพ้นจากกรงทอง...ทุกเช้าค่ำ



ความอึดอัดใจอีกประการหนึ่งที่รุมเร้าสีหราชอยู่บ่อยครั้ง คือ บุตรีของสมุหพระกลาโหม ...นางนาก ที่ขึ้นชื่อว่าสวยงามราวนางสวรรค์ เอวองค์อ่อนผิวเนียนละเอียดคมขำ และดวงตากลมโต ความงามในวัยกำดัดของนางนากเป็นที่โจษจันกันไปทั่วพระนครว่าอาจมีวาสนาได้ขึ้นเป็นถึงพระชายาของเสด็จในกรมพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง ซึ่งหนึ่งในคนที่กล่าวถึง ไม่พ้นไปจากเสด็จพระองค์ชายนพ ซึ่งกำลังเป็นที่โปรดปรานของทูลกระหม่อม



สีหราชเห็นเค้าลางของปัญหามาแต่ไกลเมื่อวันหนึ่งสมุหพระกลาโหมนำบุตรีของตนมายังตำหนักของเจ้าจอมมารดาพิม โดยนำมาฝากฝังไว้ให้ได้เล่าเรียนการเย็บปักถักร้อยและการปรุงเครื่องเสวย แต่แล้วทุกสิ่งก็พลันวุ่นวายเมื่อวันเดียวกันนั้นเอง เสด็จพระองค์ชายนพฝากให้สีหราชนำของฝากจากมลายูที่มีคนมาถวายนำไปให้เจ้าจอมมารดาพิม นางนากเมื่อได้เห็นสีหราชเข้าก็เกิดอาการขวยเขิน แก้มแดงปลั่งอย่างไม่รู้สาเหตุ บรรยากาศดูอึดอัดไปในทันทีจนสีหราชต้องรีบขอตัวลากลับไปยังตำหนักของเสด็จพระองค์ชายนพ



นับตั้งแต่นั้นสีหราชก็พยายามเลี่ยงเท่าที่จะสามารถทำได้ เมื่อนางนากมักอ้างคำของเจ้าจอมมารดาพิมว่านำขนมที่ปรุงอย่างดีมาถวายเสด็จพระองค์ชายนพถึงหน้าพระตำหนัก ฝ่ายเสด็จพระองค์ชายนพก็พยายามบ่ายเบี่ยงด้วยการสั่งให้สีหราชไปรับขนมนั้นแทนพระองค์เสียทุกคราไป



“ข้าไม่ได้ชอบแม่นาก หากข้าจักรักสตรีนางใด ข้าไม่ต้องการให้เป็นเรื่องการเมือง...” เสด็จพระองค์ชายนพกล่าวสั้น ๆ



ก็จริงอยู่ที่ความรักกะเกณฑ์ไม่ได้ แต่ระยะหลังแทนที่นางนากจะเศร้าเสียใจเมื่อเสด็จพระองค์ชายนพไม่ยอมรับของว่างจากนาง แต่กลับแย้มยิ้มระคนเขินอายเมื่อเห็นสีหราชออกมารับแทน



นี่มัน...เรื่องพิสดารอะไรกัน นางควรเสียใจไม่ใช่ฤา...?



ยิ่งระยะหลังที่สีหราชออกมาเดินกาดพร้อมกับเหล่าสหายในวัง เขามักจะเจอกับนางนากโดย “บังเอิญ” หลายต่อหลายครั้งเกินไป บ้างก็เดินสะดุดบ้าง เดินสวนกันบ้าง หากมีเพียงครั้งหรือสองครั้งก็พอจะคิดได้ว่าเป็นการบังเอิญ แต่เมื่อบ่อยครั้งเข้าก็ชักจะไม่แน่ใจเสียแล้ว จนสุดท้ายเจ้าตัวตัดสินใจเลิกเดินเที่ยวเล่นในพระนคร กลับเข้าฝึกดาบในพระตำหนักอย่างขะมักเขม้นแทน จนกระทั่งย่างเข้าปีที่สุดท้าย สีหราชในวัยหนุ่มฉกรรจ์ 20 ปี...



“จะกลับแล้วหรือสีหราช...” เสียงของเจ้าจอมมารดาพิม เอ่ยเบา ๆ ขณะที่สีหราชมากราบลาพร้อมเครื่องพานบูชาตรงหน้า



“ขอรับ...พ่อสิน..น่าจะอายุมากแล้ว ข้าควรกลับไปดูแล...” สีหราชเอ่ยเพียงสั้น ๆ ดวงตาจับจ้องเพียงพื้นเรือนพระตำหนัก



“ข้าอยากจะรั้งเจ้าไว้ให้นานกว่านี้ แต่ก็จนใจว่ารับปากพ่อเจ้าไว้แล้วว่าเพียง 3 ปี...” เจ้าจอมมารดาพิมเอ่ยเบา ๆ ก่อนจะหยิบของในผอบใกล้ตัวออกมา สร้อยทองดุนละเอียดด้วยฝีมือช่างทองในวังถูกนำมาใส่ผอบเล็ก ๆ ก่อนยื่นให้สีหราชที่มองด้วยความงุนงง



“กลับไปครานี้...ดูท่าเจ้าอาจจะมีข่าวดี ได้ออกเรือนกับเขา เพราะอายุอานามก็ถึงเกณฑ์แล้ว ของสิ่งนี้ข้ามอบให้เจ้า ไว้สำหรับหมั้นหมายสตรีที่เจ้าหมายปอง อาจไม่มีค่างวดอะไรนัก แต่ถือว่าข้าให้เจ้า...”



คำนั้นของเจ้าจอมมารดาพิม ทำให้สีหราชก้มหน้างุดทันควัน ก่อนจะก้มกราบร่างตรงหน้าอย่างปลาบปลื้ม



“พระคุณล้นเกล้าที่กรุณาชุบเลี้ยงเกล้ากระหม่อม หากวันใดพระองค์หรือเสด็จพระองค์ชายนพต้องการเกล้ากระหม่อม โปรดเรียกข้าได้ทุกเวลาพระเจ้าข้า !”



“สัญญากับข้า...ถ้าวันใดข้าหรือชายนพมีภัย...เจ้าต้องมา...สีหราช...” คำสั่งนั้นประทับแน่น

............................................................................   



สีหราชที่ร้างบ้านมานานถึงสามปีเร่งรุดกลับบ้านโดยไม่ไยดีผู้ใด บ้าน...ที่โหยหามานาน อยากรู้นักว่าทุกคนจะสบายดีฤาไม่...และเติบใหญ่ขึ้นเพียงใด ทันทีที่ถึงเรือนชานเจ้าตัวคว้าชะลอมของฝากนานาชนิดที่บรรดานางในต่าง ๆ พยายามยัดเยียดมาให้ เพราะยามที่ไปเอ่ยลาผู้ที่รู้จักในพระตำหนัก ต่างกระวีกระวาดนำสิ่งต่าง ๆ มาให้สีหราช บ้างก็ว่าสิ่งนั้นดี บ้างก็ว่าสิ่งนี้อร่อยจนสีหราชไม่กล้าที่จะปฏิเสธผู้ใด เพราะเสด็จพระองค์ชายชาญนพกล่าวพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ ว่า



“ขืนเจ้าไม่รับสักชิ้น มีหวังข้าคงต้องเป็นผู้รับเคราะห์กรรมครั้งนี้เป็นแน่...”



ประโยคนั้นทำให้สีหราชจำต้องรับ เมื่อรับหนึ่งคนก็จำต้องรับที่เหลือทุกคนด้วย เพื่อมิให้เสียน้ำใจ



“ข้าเพิ่งรู้ว่าเจ้ามีเสน่ห์กับสตรีถึงเพียงนี้ สีหราช...” ดำรัสของเสด็จพระองค์ชายชาญนพคล้ายจะกลั้วหัวเราะเบา ๆ



“ข้าชักจะสงสัยเสียแล้วว่าเจ้ามีผู้ใดแอบไว้ที่เรือนหรือไม่ เห็นนับวันกลับบ้านอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน...”



ก็จะไม่ให้เสด็จพระองค์ชายชาญนพสงสัยได้อย่างไร เมื่อไม่ว่ามีผู้สาวมาทอดสะพานสักเท่าใด สีหราชกลับมองเมินไม่เคยใส่ใจสักครา ไม่ว่าจะสวยหยาดฟ้าหรือลูกท่านหลานเธอองค์ใด สีหราชไม่เคยเงยหน้ามองสักนิด ออกจะก้มหน้าทุกคราเมื่อเจอผู้สาว



“หากกลับไปแล้วมีข่าวจะออกเรือนเมื่อใด จงรีบมาบอกข้า...ข้าจะรีบไปดูหน้าสาวของเจ้า...”



ประโยคเชิงล้อนั้นทำให้สีหราชหน้าแดงก่ำก่อนจะอุบอิบเบา ๆ



“หามิได้...”



บรรดาข้าวของที่ได้มาจากพระนคร ถูกแจกจ่ายไปจนทั่ว หากมีเพียงสิ่งเดียวที่เจ้าตัวเก็บงำไว้ข้างกาย สร้อยทองเส้นนั้น...ที่ยังไม่อาจหาเจ้าของได้



“แล้ว...อ้ายอินทร์เล่า..มันหายไปไหนเสีย” เสียงพ่อสินหันไปถามแม่คำหล้าที่คลานตุ้บตั๊บเข้ามาลูบหน้าลูบหลังสีหราช



“อ้อ...เห็นออกไปซ้อมดาบกับอ้ายโตอยู่ตั้งแต่ช่วงสาย ป่านนี้น่าจะกลับมาแล้ว ชะรอยจะอาบน้ำอยู่กระมัง”



“ชะ...อ้ายนี่มันสะอาดสะอ้านเกินชาย...” เสียงพ่อสินบ่นพึมเพราะในบรรดาเหล่าทาสต่าง ๆ ที่อาศัยร่วมเรือนเดียวกันนี้มีแต่เมืองอินทร์ผู้เดียวที่ติดนิสัยอาบน้ำบ่อยครั้ง ด้วยเจ้าตัวบ่นว่าทนเหม็นกลิ่นเหงื่อไคลมิใคร่ได้ หากได้อาบน้ำสบายตัวเมื่อใดก็จะยิ้มร่าเมื่อนั้นทีเดียว



สีหราชยิ้มขำก่อนรำพึงในใจ



...อ้ายตัวจ้อยจะเติบใหญ่เพียงใดหนอ สามปีแล้วสินะที่ไม่ได้เจอหน้าค่าตาเลย...



“อ้ายสีห์ ไปอาบน้ำอาบท่าเสียก่อนแล้วค่อยมานั่งคุยกับพ่อ เล่าเรื่องพระนครให้ฟังบ้างเถอะว่าบัดนี้ภายในบ้านเมืองเป็นกระไรกันบ้าง”



“ขอรับ...” เจ้าตัวรับคำก่อนจะลุกไปทางเรือนด้านหลัง



เพียงสีหราชคล้อยหลังไปได้ครู่เดียว แม่คำหล้าก็อุทานเบา ๆ แล้วตบอก



“อะไรกันแม่คำหล้า...” พ่อสินถามอย่างงุนงง



“อิฉันลืมบอกอ้ายสีห์ไปว่า ไอ้อินทร์มันใช้เรือนอาบน้ำด้านหลังพอดี...”



“ช่างเถอะ...จะเป็นอันใดกันเล่า ก็โตมาด้วยกัน เห็นกันมาแต่ไหนแล้ว...” พ่อสินหัวเราะเบา ๆ

....................................................................
หัวข้อ: Re: สีหราชยมทูต Grim reaper's vacation by ButlerofLOVE++ (ตอนที่ 12)
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 25-07-2020 14:13:44
บทที่ 9 (ต่อ)

....................................................................

เรือนนี้ยังคงเหมือนเดิมทุกอย่าง ไม่ว่าจะข้าวของเครื่องใช้เมื่อสามปีก่อนวางไว้อย่างไร ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น ชะรอยแม่คำหล้าคงสั่งบ่าวไพร่ไว้ว่าไม่ให้เคลื่อนย้ายสิ่งใดในห้องหับแห่งนี้ ดาลประตูที่ลั่นไว้แม้ว่าจะไม่ได้เปิดมากว่า 3 ปี แต่ก็ยังไม่ได้ฝืด ซ้ำกลิ่นอากาศในห้องยังสดชื่น คงเป็นเพราะแม่คำหล้าคอยมาปัดกวาดเช็ดถูให้เป็นประจำกระมัง



สีหราชวางข้าวของส่วนตัวที่นำมาจากพระนครไว้ตรงตั่งไม้ไผ่ริมผนังห้องก่อนจะเดินไปเปิดตู้คว้าเสื้อผ้าที่เคยนุ่งมาพลิกดู เจ้าตัวหัวเราะเบา ๆ ในคอก่อนจะคิดในใจว่า คงต้องหาเวลาไปกาดซื้อใหม่เสียแล้วเพราะเสื้อผ้าดูจะเล็กไปสำหรับตัวเขา แต่แล้วเจ้าตัวก็ขมวดคิ้วมุ่นเมื่อได้ยินเสียงน้ำมาจากเรือนอาบด้านหลัง เรือนส่วนตัวที่เขาใช้ตั้งแต่ครั้งก่อน



...เสียงน้ำ...ใครกัน...



เจ้าตัวค่อย ๆ เดินตามเสียงน้ำไป ปกติแล้วเรือนหลังนี้จะต่อน้ำจากลำธารหลังบ้านขึ้นมาเพื่อใช้สำหรับเขา เพราะสีหราชไม่ชอบอาบน้ำที่ท่ามาแต่ไหนแต่ไร เพราะไม่ชอบสายตาลวนลามของผู้สาวที่กล้าเกินงามบางรายที่เคยมองแผ่นอกเมื่อครั้งเขาเพิ่งนมแตกพาน พ่อสินจึงจำต้องสร้างเรือนอาบน้ำให้ลูกชายคนเดียวก่อนจะบ่นพึมพัม



“นี่ข้ามีลูกชาย ฤา ว่าลูกสาวกันแน่...อะไรจะหวงเนื้อหวงตัวปานนี้” แต่คำบ่นนั้นสีหราชก็ทำเมินเฉยเสีย เพราะชอบความเป็นสัดส่วนของตนเอง คล้ายจะประกาศว่านี่คือพื้นที่ของเขาแต่ผู้เดียว



แต่แล้วครานี้...มีใครมาแอบใช้เรือนอาบน้ำของเขากัน ?



เสียงน้ำที่ดังต่อเนื่อง เหมือนกับผู้ที่อยู่ในห้องอาบนั้นไม่ได้รู้สึกเลยว่ามีอีกคนกำลังเดินตรงเข้ามา ประตูไม้ไผ่ที่ปิดไว้เพียงง่าย ๆ ทำให้พอมองลอดเข้าไปได้ว่าผู้ที่บุกรุกพื้นที่ของเขาคือใคร 



ร่างนั้นขาวโพลนราวกับสำลีเนื้อดี ผิวกายที่ขาวละเอียดราวแพรพรรณชั้นดีตัดกับผมสีดำสนิทที่เริ่มระยาวบนต้นคอ ริมฝีปากบางใสที่มีสีแดงอ่อน ๆ แต้มอยู่ เจ้าตัวกำลังหลับตาแล้วใช้ขันสาครตักน้ำราดตามตัวอย่างสบายอารมณ์ มือเรียวยาวนั่นค่อย ๆ ถูกเน้นไปที่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายตั้งแต่ไหล่ที่ลาดลงมาที่แผ่นอกขาวเนียนและลงต่ำลงไปยังส่วนล่าง เจ้าตัวยกขาขึ้นมาข้างหนึ่งก่อนจะบรรจงถูซอกขาอย่างตั้งอกตั้งใจ ปลีน่องนั้นขาวสะอาดสะอ้านไปจนถึงข้อเท้า เจ้าตัวค่อย ๆ ทำความสะอาดร่างกายช้า ๆ ไปทุกส่วน แผ่นหลังที่เรียบเนียน สะโพกสอบ และก้อนกลมที่บั้นท้ายนั่น...ทำให้เลือดในกายของสีหราชเย็นเฉียบ เจ้าตัวกลืนน้ำลายลงอย่างไม่ตั้งใจ



ร่างนั้นสูงขึ้น...สูงกว่าเดิมเกือบช่วงแขน ไหล่กว้างขึ้นแต่ยังบอบบางเช่นเคย ใบหน้าที่หวานสมัยนั้นยามนี้มีสันกรามขึ้นเล็กน้อย แต่จมูกทรงหยดน้ำและริมฝีปากที่บางเฉียบแบบคนช่างเถียงยังเหมือนเดิม...



แต่บางอย่างในตัวสีหราช...กำลังจะไม่เหมือนเดิม...



เสียงฮึมฮัมคล้ายจะร้องเพลงเบา ๆ ของคนในเรือนอาบน้ำ ทำให้เจ้าตัวรีบหลบวูบเข้าด้านข้างผนังห้องก่อนจะระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบา 



นั่นมันเรือนอาบน้ำของเขานะ แต่ทำไมถึงรู้สึกขัดเขินราวกับกำลังทำความผิดร้ายแรง !



คล้าย ๆ ว่าลำคอกำลังแห้งผาก หัวใจกำลังกระดอนออกมาข้างนอก...



แต่แล้วเหมือนเคราะห์กรรมบันดาล เมื่อเจ้าคนรุกล้ำเรือนอาบน้ำผลัดผ้านุ่งอย่างง่าย ๆ เนื้อตัวยังพราวไปด้วยหยดน้ำ แล้วเดินออกมาอย่างไม่ระวังตัว พอเลี้ยวขวับก็สะดุ้งโหยงเมื่อเห็นบุรุษตรงหน้ายืนพิงผนังห้องอยู่



“อ๊ะ!” อารามตกใจเมื่อเห็นคนในระยะประชิด ทำให้เมืองอินทร์ลื่นพรืดเกือบจะหงายหลัง สีหราชรีบปราดเข้าไปคว้าร่างตรงหน้าด้วยสัญชาตญาณ แรงกระชากไว้ไม่ให้ล้มกลับทำให้ปมผ้าที่ขมวดไว้ไม่แน่นนักคลายออกทันควัน ผ้านุ่งร่วงลงกับพื้นพร้อมกับใบหน้าขาว ๆ ที่แดงจัดขึ้นกะทันหัน



ตึง ! ร่างทั้งคู่ลื่นล้มลงบนพื้นเรือนในสภาพที่คนตัวเล็กกว่าเปิดเผยทุกสิ่งอย่างให้สายตาคนตรงหน้าสำรวจ



...ไม่ว่าเมื่อครู่ สีหราชจะเห็นชัดหรือไม่ชัด...แต่ในยามนี้แจ่มชัดยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก...



“อ้าย..อ้ายสีห์...ลุก...” เสียงกระท่อนกระแท่นของคนที่ตกอยู่ข้างใต้ดังขึ้นอย่างประหม่าสุดชีวิต



“อ้อ...อืม...” สีหราชรีบตะกายร่างขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วก่อนจะเบือนหน้าจากร่างขาวโพลนตรงหน้า



“กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่...เหตุใดไม่ให้สุ้มให้เสียงกันบ้าง” เสียงนั้นโอดคล้ายกับว่าเป็นความผิดของสีหราช



“นี่...อ้ายอินทร์ นี่มันเรือนข้า...ข้าจะกลับมาเมื่อใดก็ต้องบอกเจ้าด้วยฤา...” สีหราชพยายามไม่มองร่างตรงหน้าแล้วเม้มปากแน่น หัวใจคล้ายจะกระดอนยิ่งกว่าเมื่อครู่



นี่..ข้ากำลังเป็นอะไรไป ?



“ข้ากำลังอาบน้ำอยู่ ถ้ากลับมาก็ควรบอกกันบ้าง...” ใบหน้านั้นแดงจัดอย่างขัดเขินก่อนจะทรงกายขึ้นแล้วขมวดผ้าที่ผูกไว้ซ้ำอีกรอบราวกับกลัวว่าจะหลุดเป็นครั้งที่สอง



สีหราชรวบรวมสติทั้งมวลก่อนจะหันมองร่างตรงหน้าอีกครั้ง



“ก็คราก่อน ยังเคยอาบน้ำร่วมกันเป็นปกติ แต่ทำไมยามนี้จึงกริยาคล้ายสตรี...”



สีหราชเอ่ยลอย ๆ หวังจะแก้ความรู้สึกประหลาด แต่ร่างตรงหน้ากลับรีบคลุมผ้าปิดบังส่วนร่างกายก่อนจะบ่นเบา ๆ



“ก็...ยามนี้ข้าโตแล้ว...มิใช่ละอ่อนอย่างคราวนั้น...อ้ายสีห์อย่าทำเช่นนี้อีก” ว่าแล้วใบหน้าขาว ๆ ที่แดงจัดไปถึงใบหูรีบจ้ำอ้าวออกไปจากเรือนอาบน้ำทันที



ใช่....เจ้าเติบใหญ่แล้วเมืองอินทร์...ข้ารู้ดีกับตาตัวเอง...

....................................................................

ความรู้สึกประหลาดที่ยังคงกรุ่นอยู่ในอกนับตั้งแต่เห็นภาพเมื่อตอนเย็นทำให้เจ้าตัวคล้ายจะนอนไม่หลับ แม้จะพยายามข่มใจให้หลับเท่าใด แต่ก็ยังรู้สึกเหมือนมีอะไรก่อกวนความรู้สึก ภาพ..ยังติดแน่นไม่ว่าจะหลับตาลงก็ยังเห็นแผ่นหลังสะอาดตานั้น สุดท้ายสีหราชก็ได้แต่คว้าดาบประจำตัวออกมาสำรวจและชโลมน้ำมัน ก่อนจะเดินตรงไปที่ลานฝึก



...เมื่อนอนไม่หลับ...ก็จงออกกำลังฝึกดาบเสีย...เสียงพระอาจารย์ยังคงก้องอยู่ในหัว



ท่วงท่าการร่ายรำดาบที่ฝึกปรือมาจากในพระนคร เสียงดาบแหวกอากาศยามค่ำคืนเหมือนจะระบายความรู้สึกประหลาดออกไป เสียงคนเดินออกมาจากในเรือนทำให้สีหราชหยุดชะงักไป



“อ้ายสีห์...ยังไม่นอนอีกฤา ” พ่อสิน บิดาก้าวออกมาจากด้านในเรือนใหญ่



“ขอรับ...ยังไม่ง่วงขอรับ...” สีหราชตอบไปตามตรง ก่อนจะเก็บดาบเข้าฝัก



“ฝีมือเจ้าเก่งกล้ามากขึ้น ต้องขอบพระทัยเจ้าจอมมารดาและเสด็จที่เมตตา...” เสียงพ่อสินเอ่ยเบา ๆ แต่แววตายังแฝงความหนักใจอยู่ระคน



“เรื่องราวในราชสำนัก มีมิตรย่อมมีศัตรู พ่อไม่อยากให้เจ้าไปยุ่งเกี่ยว เรามาอยู่กันง่าย ๆ ตามประสาพ่อลูก ดีฤาไม่”



สินเอ่ยช้า ๆ ราวกับมีบางสิ่งครุ่นคิดในใจ ความกังวลใจบางประการถูกเก็บงำไว้ คำทำนายทายทักของโหรชาวบ้านเมื่อครั้งสีหราชเกิด คำทำนายที่ทำให้ผู้เป็นพ่อต้องหวั่นใจ



“ เด็กคนนี้เก่งกล้าสามารถ วาสนาดีแต่อาจไม่พ้นราชภัย...จงระวังไว้ ยามย่างเข้าเบญจเพส อยู่หรือตาย..คือกัน”



“ข้าเองก็ไม่เคยชอบรั้ววังมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว นับวันกลับบ้านเราทุกเมื่อเชื่อวัน วังหลวง..หน้าไหว้หลังหลอก..”



คำพูดสั้น ๆ ของบุตรชายทำให้สินค่อยยิ้มออกได้ ลูกคนนี้ถ้ารักหรือชอบสิ่งใด จะพุ่งไปสุดกำลัง แต่หากไม่ชอบก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวทั้งนั้น ...ขอเพียงห่างไกลเรื่องราวในราชสำนัก ย่อมพ้นราชภัย...



“เอาเถิด เอ็งจักซ้อมดาบก็ทำไป พ่อไปนอนก่อนแล้ว...” ว่าแล้วชายสูงวัยก็ก้าวเข้าไปในเรือน สีหราชยิ้มตามหลังบิดา



พ่อ...ห่วงเขาเสมอ



จากนั้นเจ้าตัวก็คว้าดาบออกมาฝึกต่อ แต่เพียงครู่เดียวก็ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นดวงตากลมโตมองมาจากเรือนอีกหลังหนึ่งใกล้ ๆ



“ออกมา...” สีหราชเอ่ยขึ้น



ร่างนั้นค่อย ๆ ก้าวออกมาช้า ๆ คล้ายไม่แน่ใจคล้ายกริ่งเกรง



“ทำเหมือนละอ่อนน้อยไม่มีผิด สมัยนั้นเจ้าก็แอบมองข้าฝึก มาครานี้ก็จะแอบมองอีกฤา...” สีหราชเปรยเบา ๆ



“ข้า...ข้าแค่ได้ยินเสียงดาบ เลยออกมาดู...” ใบหน้าก้มงุด ๆ



“เห็นว่าเจ้าฝึกกับอ้ายโตมาตลอดเลยรึ ฝีมือก้าวหน้า ฤา ไม่ มา..มาลองกับข้าสักเพลง” สีหราชตะโกนขึ้นก่อนจะคว้าดาบไม้ตรงหน้าโยนไปให้เจ้าตัว ขณะที่ตนเองก็เปลี่ยนเป็นดาบไม้เช่นกัน



“ถ้าถอยหลังเข้าคลอง...ข้าจะจับเจ้าฝึกวันละ 3 เพลา!” เสียงสีหราชตะโกนต่อเนื่อง ประโยคนั้นทำให้เมืองอินทร์กำมือแน่นอย่างโกรธ



“ข้าเก่งขึ้นแล้ว...ท่านอย่าได้ออมมือล่ะ!” ว่าแล้วก็โผนตรงเข้ามาโรมรันอย่างไม่ยอมง่าย ๆ



สีหราชหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะรุกรับเพลงดาบในมือของเมืองอินทร์ ดูท่าว่าเจ้าตัวจะเก่งขึ้นจริงเพราะเพลงดาบบอกชัดว่าเจ้าตัวสามารถจดจำจุดตายบนร่างกายคู่ต่อสู้ได้ดี เสียแต่เพียงว่ากำลังข้อมือของเจ้าตัวยังไม่ดีนัก ทำให้น้ำหนักดาบที่ฟาดฟันลงมาด้อยกว่าที่ควรจะเป็น ท่าเดียวกันที่เขาใช้กลับมีพลานุภาพมากกว่าที่เจ้าตัวเล็กใช้



เสียงหัวเราะเบา ๆ ในคอของสีหราช ทำให้เมืองอินทร์กัดฟันกรอด ท่าทางเหมือนแมวหยอกหนูของสีหราช ทำให้รู้ว่าเจ้าตัวไม่ได้ออกแรงเต็มที่ คล้ายจะเย้าแหย่ให้หัวเสียมากกว่า



...หนอย...มายั่วกันได้



เมืองอินทร์โผนเข้าหาร่างสูงหนาอย่างลืมตัว แต่พลันนั้นเจ้าตัวเตะสกัดขาทันควันทำให้เมืองอินทร์เสียหลักถลาเกือบจะล้มจ้ำเบ้าลงบนลานทราย แต่มือหนาของสีหราชก็คว้าเอวเล็ก ๆ นั่นไว้ก่อนจะกระชากเข้าหาตัว



แผ่นหลัง...แนบชิด กลิ่นเหงื่อของคนข้างหลังชัดเจน แม้กระทั่งเสียงหอบหายใจที่ดังอยู่ข้างหู



“พอได้แล้ว...อ้ายอินทร์ เจ้าแพ้ข้าแล้ว...” เสียงนั้นคล้ายสั่นพร่า



จมูกโด่งคมสันคล้ายจะอยู่แนบชิดต้นคอ ทำให้เมืองอินทร์รีบขยับเบี่ยงตัวนิด ๆ แต่ไหนเลยจะออกจากวงแขนที่รัดแน่นนั่นได้



“ดะ...ได้...ข้า..ยอมแพ้ท่าน !” ความรู้สึกวูบวาบในช่องท้องทำให้เหมือนลำไส้กำลังบิด



“อืม...ข้ารู้แล้ว...เจ้าแพ้” เสียงงึมงัมนั้นยังคงตามมาไม่ว่าเจ้าตัวจะเบือนหน้าหลบสักเท่าใด ดาบไม้ในมือของทั้งสองร่วงลงบนลานทรายตั้งแต่เมื่อใดก็สุดจะรู้ วงแขนแข็งแรงนั่นรัดแน่นราวกับงูเหลือมตัวโต



“ไม่ต้องรัดแน่นขนาดนี้ก็ได้...” เมืองอินทร์เถียงเสียงสั่น



“ก็...ข้ากลัวเจ้าล้ม...” เสียงนั้นคล้ายอยู่เพียงติ่งหูขาว ๆ ก่อนเจ้าตัวจะจรดริมฝีปากใกล้ ๆ จนเมืองอินทร์ขนลุกซู่



“ข้า...ไม่ล้มหรอก...ปะ...ปล่อยได้ฤาไม่” สิ้นเสียงนั้นคนด้านหลังคล้ายจำใจปล่อยเหยื่อในมืออย่างอาวรณ์ แต่มือหนายังคงกุมมือเรียวเล็กนั่นไว้แน่น



“ข้าจะไปนอนแล้ว...ท่านก็รีบไปนอนเถิด...” เมืองอินทร์พยายามไล่คนตรงหน้าให้ไป ก่อนจะจับหน้าตนเองที่ร้อนฉ่าราวกับมีไข้



คนตรงหน้าได้แต่ยืนนิ่ง...ดวงตาคมพราวระยับคล้ายขบขันกับกริยาของคนตรงหน้า เสียงทุ้มถามต่อเนื่อง



“ตอบมา...ตั้งแต่ข้าไม่อยู่...เจ้าทำตามสัญญาของข้าหรือไม่...”



เมืองอินทร์ทำหน้าฉงน ก่อนจะถามอย่างงุนงง



“สัญญาอันใด...” เหมือนประโยคนี้จะจุดความหงุดหงิดขึ้นในใจคนที่ยืนตรงหน้า



“จำไม่ได้...ก็ช่างมันเถิด...ไปนอนได้แล้ว” ปลายเสียงของสีหราชคล้ายสะบัดก่อนเจ้าตัวจะก้มเก็บดาบไม้ตรงลานกว้าง แต่แล้วมือที่เอื้อมเก็บดาบพลันชะงัก เมื่อเมืองอินทร์เอ่ยขึ้นแผ่วเบา



“สัญญาที่ไม่ให้ทำดีกับผู้ใด ยกเว้นแม่คำหล้า และพ่อสินใช่หรือไม่...” สีหราชเพียงชะงักก่อนจะกลั้นใจฟังคำตอบ



“ข้า...ไม่เคยผิดสัญญา...” ร่างนั้นกล่าวก่อนจะวิ่งกลับเข้าไปเรือนของตน...



สีหราชยิ้มพรายกับตัวเอง...ก่อนหายใจพรูออกมาอย่างปลอดโปร่ง



ท้องฟ้า และดวงดาวในยามนี้...ช่างงดงามนัก

...................................................................................


ButlerofLOVE:
ขอบคุณเพื่อน ๆ นักอ่านทุกคนนะคะ ขอกำลังใจสักจิ๊ก ๆ ได้ไหมเอ่ย :)
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซีพีเรียด] สีหราชยมทูต Grim reaper's vacation by ButlerofLOVE++ (Yaoi)
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 26-07-2020 14:10:19
บทที่ 10. ความรู้สึกที่เรียกว่าหึง

ดูเหมือนความรู้สึกสดชื่นรื่นเริงจะอยู่กับสีหราชได้ไม่กี่วัน หลังจากที่นักดาบหนุ่มจากพระนครกลับมาถึงเรือนชาน ก็พบว่าแม้เมืองอินทร์จะบอกว่ารักษาสัญญา แต่ดูเหมือนจะมีผู้สาวในกาดมากมายที่มาห้อมล้อมเมืองอินทร์ สีหน้าบึ้งตึงของสีหราชทำเอาคนที่เดินเคียงข้างต้องรีบสืบเท้าก้าวตามอย่างรวดเร็ว

“เป็นอันใดฤา...อ้ายสีห์?” เสียงถามรัวเร็วของเมืองอินทร์ดูเหมือนจะงุนงงกับกริยาของบุรุษตรงหน้า เพราะยามเช้าสีหราชเป็นผู้เอ่ยปากชวนเองว่า อยากไปเดินกาด เมืองอินทร์จึงรีบเปลี่ยนเครื่องแต่งกายแล้วเดินตามอ้ายสีห์ แต่ไฉนเพียงมันเอ่ยทักทายผู้คนรู้จักรอบตัว อ้ายสีห์จึงกราดเกรี้ยวนัก ?

“ไม่! ข้าแค่หิว!” เจ้าตัวตอบเสียงสะบัดก่อนจะเมินฉับแล้วก้าวไปทางร้านรวงที่อยู่ตรงหน้า

เมืองอินทร์งุนงงหนักกว่าเดิม เพราะยามเช้า แม่คำหล้าสู้เตรียมสำรับข้าวปลาอาหารไว้มากมาย แล้วสีหราชก็เหมือนกินไปได้มาก ทั้งกินไปและมองมันไปพร้อม ๆ กันชนิดที่ว่าแม่คำหล้าปลื้มยิ่งนัก

“อ้ายสีห์...เจริญอาหารถึงเพียงนี้ แสดงว่าฝีมืออาหารของข้าสู้อาหารในราชสำนักได้สินะ...” แม่คำหล้ายิ้มอย่างปลื้มใจ

“อืม...อาหารอร่อยยิ่งนัก อร่อยยิ่งกว่ามื้อใด ๆ ที่เคยกินมาในวัง” เจ้าตัวตอบไปก็มองหน้าเมืองอินทร์ไป ก่อนจะยกยิ้มที่ริมฝีปาก ท่าทางการกินคล้ายจะเอร็ดอร่อยยิ่ง แถมข้าวจานพูนถึง 2 จาน จนคนที่ถูกมองแทบจะอิ่มแทน

...กินไปขนาดนั้น...แต่ยังหิวอยู่อีกฤา...กินจุเยี่ยงนี้ ดูท่าน่าจะเลี้ยงไม่ได้เสียแล้ว

“อ้ายอินทร์ วันนี้มากาดฤา...” เสียงแม่เรไร บุตรีแม่ค้าขายแพรพรรณเอ่ยทัก ก่อนจะเหลียวมองไปที่สีหราชที่เดินอยู่เคียงข้าง ร่างนั้นหน้านิ่งขรึมชนิดที่ไม่อาจคาดเดาอารมณ์ได้ เมืองอินทร์ได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ ก่อนจะเอ่ยวาจาเบา ๆ กับผู้สาวตรงหน้า

“อืม...วันนี้พาอ้ายสีห์ มาเดินกาด อ้ายสีหราชเพิ่งกลับมาจากพระนครมาไม่นาน” ประโยคนั้นทำให้แม่หญิงเรไรตาตื่นก่อนจะประนมมือไหว้สีหราชแล้วก้มหน้างุด

“อ้ายสีห์ไปอยู่พระนครมาเสียนาน จำแทบไม่ได้เลย...” ท่าทางนั้นคล้ายขวยอาย ก่อนจะเอ่ยปากขึ้นว่า

“พ่อสินก็มีน้ำใจตีมีดพร้ามาให้พ่อฉิมมาหลายคราแล้ว ถ้าอ้ายสีหราชไม่รังเกียจ เลือกผ้าในนี้ไปตัดเสื้อผ้าได้เลย ข้ายินดียกให้ท่าน” ว่าแล้วก็ก้มหน้างุด กริยานั้นทำให้สีหราชอึดอัดใจ แต่พอเหลียวมองเจ้าคนข้าง ๆ ที่ยิ้มหน้าบานแทนก็ยิ่งทำให้หงุดหงิดขึ้นทันควัน

“ข้าจำเจ้าไม่ได้ และข้าไม่อยากรับ...ไป..อ้ายอินทร์!” ว่าแล้วก็ลากเจ้าตัวเล็กตามมาทันควันท่ามกลางการตื่นตะลึงของแม่หญิงเรไร

เจ้าตัวจ้อยทั้งแกะมือทั้งจิกมือกับฝ่ามือหนาของสีหราช แต่ก็ไม่อาจยั้งแรงหนัก ๆ นั่นได้ จนกระทั่งถูกลากมาใกล้ประตูวัดเกสรนพคุณ เมืองอินทร์ถึงสะบัดตัวออก

“เหตุใดจึงทำตัวเยี่ยงนั้น! แม่หญิงเรไรมีน้ำใจจะให้ผ้าเจ้า กลับพูดเยี่ยงนั้น ไม่สงสารนางรึ?” เจ้าตัวเล็กต่อว่าต่อขาน

“ก็ข้าไม่อยากรับ...ผิดด้วยฤา...” สีหราชเอ่ยเมิน ๆ อย่างไม่ใส่ใจ

“ก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยเยี่ยงนั้น นางอาจเสียใจได้...” เมืองอินทร์ยังคงโวยใส่

“เจ้า...ห่วงความรู้สึกของนางกระนั้นหรือ...?” น้ำเสียงคนถามคล้ายน้อยใจ แต่คนตัวเล็กกว่ายังไม่ทันรู้ตัว

“ก็นางเป็นเพื่อนข้ามาตั้งหลายปีแล้ว ข้าย่อมห่วงความรู้สึกของนาง...” แต่แล้วไม่ทันจะเอ่ยสิ่งใด ร่างสูงหนาก็หันขวับมองอย่างน้อยใจก่อนจะเอ่ยขึ้น

“ข้า...ก็อยู่กับเจ้ามาหลายปีดีดัก แต่เจ้าไม่ห่วงความรู้สึกข้า ?” ประโยคนั้นทำให้เมืองอินทร์งุนงงหนัก ร่างสูงเดินรุกไล่เข้ามาจนเมืองอินทร์ถอยจนแผ่นหลังชิดต้นยางนาขนาดสามคนโอบ มือหนาข้างหนึ่งยันลำต้นยางนาไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะก้มลงมาจนชิด กลิ่นกายบุรุษและไอร้อนจากแดดคล้ายจะแนบชิด

“ข้า...เพิ่งได้กลับบ้านและอยากเดินเที่ยวกาดกับเจ้า ไม่ได้อยากคุยกับผู้อื่น ทำไมไม่ห่วงความรู้สึกข้าบ้าง...”

ประโยคนั้นเหมือนจะมีเหตุผล แต่ก็คล้ายไม่มีเหตุผล ยามนี้กลับเป็นเมืองอินทร์เองที่งุนงงหนักว่าตนทำสิ่งใดผิดไป

หรือ...มันจะทำผิดจริง ๆ ?

“คือ...ข้า...”เป็นครั้งแรกที่มันไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใดดี คล้ายจะจนแต้มคนตรงหน้า

“หรือเจ้าคิดว่า เจ้าไม่ผิด ?” เสียงพร่าจากร่างสูงที่คร่อมอยู่ตรงหน้าทำให้เมืองอินทร์เริ่มเลิ่กลั่ก เจ้าตัวทำหน้าเหยเก แววตางุนงงแต่ก็คล้ายไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร

 ใบหน้าคมคร้ามที่ก้มต่ำลงมาเรื่อย ๆ ทำให้สติสตังของเมืองอินทร์เริ่มกระเจิดกระเจิง ก่อนจะละล่ำละลักขึ้นมาทันที

“ได้ ๆ ข้ายอมแล้ว...เป็นข้าที่ผิดเอง...อ้ายสีห์...” ก่อนจะถอนหายใจพรู เมื่อร่างสูงค่อย ๆ ขยับออก ดวงตาคนตรงหน้าคล้ายระริกพริบพรายเพียงชั่วแว่บ ก่อนจะกลับเข้ามาดขรึมเช่นเดิมทันควัน

“แล้วจะไถ่โทษเยี่ยงไร...” เจ้าตัวเอ่ยก่อนจะมองเมืองอินทร์อย่างเมิน ๆ ทำให้ “คนผิด” กลืนน้ำลายลงคอครั้งใหญ่

“งั้น...ข้าจะพาเจ้าเที่ยวกาด โดยไม่คุยกับผู้ใดเลย ดีฤาไม่ ?”

“ดี! งั้นเราไปกัน!” สิ้นเสียงนั้น เจ้าตัวก็เดินลิ่ว ๆ นำหน้าคล้ายกับไม่เคยมีความหงุดหงิดใด ๆ มีแต่เมืองอินทร์ที่รำพึงในใจ...

...เหตุใดอ้ายสีห์กลับมาครานี้...คล้ายจะเอาแต่ใจยิ่งนัก...

...............................................................................

เมืองอินทร์และสีหราชต่างชวนกันเดินเที่ยวกาดอย่างเบิกบานใจ ท่าทีอ้ายอินทร์ที่สนุกสนานราวกับเด็ก ๆ ที่เห็นของเล่นต่าง ๆ ที่พ่อค้าเร่นำมาขาย ท่าทีนั้นทำให้สีหราชยิ้มออกมานิด ๆ อย่างพอใจ ดวงตาที่กลมสุกใสของเมืองอินทร์คล้ายเด็กน้อยในวันนั้น

“นี่ ๆ อ้ายสีห์ ของเล่นเช่นนี้ข้าไม่เคยเห็นเลย” เสียงคนทักเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น เมื่อหยิบขวดแก้วเจียระไนขึ้นส่องกับแสงอาทิตย์ ประกายของแสงอาทิตย์ที่ล้อวิบวับบนพื้นทรายตรงหน้า ทำให้เมืองอินทร์ตื่นเต้น

“เป็นของฝรั่งมังค่า เขาเอามาขายในพระนครได้สักระยะแล้ว” สีหราชเอ่ยเบา ๆ ก่อนจะคว้าถุงใส่อัฐขึ้นมานับก่อนจะยื่นให้พ่อค้าที่รีบรับอัฐอย่างรวดเร็ว

เมืองอินทร์เห็นดังกล่าวก็สะดุ้งโหยงเพราะเห็นแค่ชั่วพริบตา แต่ที่แน่ ๆ คือ ก้อนเงินน้ำหนักขนาด 1 ตำลึงจำนวนไม่ต่ำกว่า 5-6 ก้อนถูกหย่อนลงในถุงพกของพ่อค้าคนนั้น

“ข้า...ไม่เอาดอก มันแพง...” เมืองอินทร์พยายามยัดเยียดคืนแก่พ่อค้าที่ไม่ยอมรับถ่ายเดียว

“ข้าซื้อให้เจ้า...เจ้าชอบมันมิใช่ฤา” สีหราชเอ่ยยิ้ม ๆ ก่อนจะเดินไปร้านรวงต่อไป ทำเอาเมืองอินทร์ต้องประคองขวดแก้วเจียระไนใบจิ๋วไว้ในอกเสื้ออย่างดีก่อนจะขมุบขมิบบ่นร่างสูงที่เดินนำไปก่อน

“ยามนี้ในพระนคร ล้วนมีชาวตะวันตกจำนวนมากเริ่มเข้ามาค้าขาย เปิดห้างขายสินค้ากลางพระนคร แต่สถานการณ์ยามนี้มิสู้ดีนัก พวกมันมีแต่หาประโยชน์จากสยาม บ้างก็แอบอ้างเบื้องสูง หลอกขายสินค้าในราคาแพง จนข้าราชบริพารอิดหนาระอาใจกันไปตาม ๆ กัน” สีหราชเอ่ยเบา ๆ ก่อนจะพาเมืองอินทร์เดินออกมา

“มันเรื่องอันใดกัน หรือว่าเป็นเพราะหลวงชาวอังกฤษผู้นั้นใช่ฤาไม่ เห็นข่าวลือว่าก่อนนั้น ราชสำนักมีแนวคิดผูกสัมพันธ์กับตะวันตกมิใช่ฤา” เมืองอินทร์ค้าน

“ใช่...เมื่อครารับสั่งให้จัดหาปืนไฟมาป้องกันพระนครนั้นก็เห็นดีอยู่ แต่ครั้นระยะหลัง เริ่มเหิมเกริมแอบอ้างเบื้องสูง บังคับซื้อเรือกลไฟสภาพบุโรทั่งในราคาถึง 1,200 ชั่ง ใครเลยจะยอม...นับจากนั้นความสัมพันธ์ก็เริ่มถอยลง..” สีหราชเอ่ยเบา ๆ

ในฐานะนักดาบหลวง สีหราชต้องยอมรับว่าปืนไฟของฝรั่งมังค่านั้นมีพลานุภาพมากกว่าดาบเนื้อดี การสังหารทำได้จากระยะไกลหากแต่ต้องบรรจุกระสุน ผิดกับดาบเนื้อดีที่ใช้โรมรันศัตรูในระยะประชิด

เมื่อนึกถึงราชสำนัก สีหราชก็ต้องถอนหายใจเพราะนึกรู้แน่ว่าเพลิงร้อนในราชสำนักย่อมไปถึงเรือนของเจ้าจอมมารดาพิมและเสด็จพระองค์ชายชาญนพเป็นแน่ เพราะระยะหลังสุขภาพของล้นเกล้ามิสู้ดี มีอาการพระประชวรบ่อยครั้งเนื่องจากทรงงานหนักหักโหมมาตลอดพระชนม์ชีพ ข่าวลือเรื่องการเตรียมแต่งตั้งองค์รัชทายาทยิ่งทำให้ความร้อนในราชสำนักฝ่ายในมากขึ้นเป็นลำดับ ทั้งหมดทั้งมวลพุ่งเป้ามาที่เสด็จพระองค์ชายชาญนพที่ทรงเป็นที่โปรดปรานของทูลกระหม่อม และยังทรงพระปรีชาขีดเขียนอ่านภาษาต่างประเทศได้ ด้วยลักษณะที่สุขุมปราดเปรื่อง และน้ำพระทัยที่โอบอ้อมอารี มีศิลป์เจรจาย่อมเป็นที่ริษยาของตำหนักอื่น ๆ

แม้จะห่วงทั้งสองพระองค์มากเพียงใด แต่สีหราชไม่อาจทนฝืนใจอยู่ในรั้ววังได้อีก...สายตาสีหราชจ้องมองร่างตรงหน้าที่ยิ้มแย้มยกขวดแก้วเจียระไนส่องกับแสงอาทิตย์เล่นก่อนจะเผยอยิ้มนิดหนึ่ง

....ข้าต้องการเพียงชีวิตที่เป็นสุข...เรียบง่ายเท่านั้น...


ButlerofLOVE:

เรื่องราวในช่วงนี้ตรงกับรัชกาลที่ 3 ช่วงปลายรัชกาลแล้วค่ะ มีการเข้ามาของต่างชาติ และบางกลุ่มก็หาประโยชน์จากสยามด้วย อย่างเรื่องเรือบุโรทั่งนั่น ก็เป็นเรื่องราวจริงที่เกิดขึ้นตามประวัติศาสตร์ไทย หาอ่านข้อมูลได้จากวารสารศิลปวัฒนธรรมนะคะ
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซีพีเรียด] สีหราชยมทูต Grim reaper's vacation by ButlerofLOVE++ (Yaoi)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 27-07-2020 13:29:47
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซีพีเรียด] สีหราชยมทูต Grim reaper's vacation by ButlerofLOVE++ (Yaoi)
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 28-07-2020 14:06:18
...........................................................................

แต่แล้วเสียงเรียกจากด้านหลังทำให้สีหราชต้องหันหลังไปมอง แม่นาก...มาพร้อมกับบ่าวไพร่อีกสองสามคน ร่างกลมกลึงงดงามนั้นแย้มยิ้มอย่างยินดี ก่อนจะเดินตรงมาหาสีหราชและเมืองอินทร์

“ได้ข่าวว่าท่านกราบลาเสด็จท่านแล้วตัดสินใจออกจากวัง ...บังเอิญจริงที่ได้พบกันที่นี่” ร่างสวยตรงหน้าและกลิ่นน้ำปรุงที่ลอยกรุ่นอวลเยื้องย่างเข้ามาตรงหน้า

“ใช่...ข้ากลับมาได้หลายราตรีแล้ว มิคาดว่าจะพบกับแม่หญิงที่นี่...” สีหราชไม่เอ่ยสิ่งใดก่อนเหลียวมองเมืองอินทร์ที่ยืนมองภาพตรงหน้าอย่างงุนงง

“อ้ายอินทร์ นี่ แม่หญิงนาก บุตรีของสมุหพระกลาโหม...ส่วนนี่เมืองอินทร์....” แต่สีหราชยังพูดไม่ทันจบ แม่นากก็แย้มยิ้มก่อนจะมองเมืองอินทร์ด้วยหางตาอย่างมิใส่ใจ

“แต่งกายเช่นนี้...คงไม่พ้นทาสในเรือนของเจ้าใช่ไหมเล่า สีหราช...ไม่จำเป็นต้องแนะนำให้ข้ารู้จักดอก...” ก่อนเจ้าตัวจะตรงเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยคำหวาน โดยไม่ใส่ใจสายตาผู้ใดรอบข้าง

“อีกสักครู่ พ่อข้าจะไปที่บ้านเจ้า หวังว่าจะได้พบกับพ่อสิน...” แม่นากยังไม่ทันเอ่ยกระไรต่อ แต่สีหราชที่จู่ ๆ ก็มีสีหน้านิ่งเฉยจนน่ากลัวก็เอ่ยขึ้นขัดว่า

“แม่หญิง โปรดอย่าเรียกพ่อข้าอย่างสนิทชิดเชื้อถึงเพียงนั้นเลย โปรดเรียกว่า พ่อหมื่นสินเถิด เพราะพ่อข้าเป็นเพียงช่างตีดาบหลวงคงไม่อาจเทียบสมุหพระกลาโหมได้ แลข้าเองก็มิอาจตีเสมอบุตรีสมุหพระกลาโหมอย่างเจ้าได้เฉกเช่นกัน ยามนี้...ข้ากำลังเที่ยวกาดอยู่คงไม่สะดวกจะนำท่านไปที่สำนักดาบ ขอลา...”

ว่าแล้วสีหราชก็คว้าข้อมือเมืองอินทร์ก้าวออกจากตรงนั้นโดยไม่รีรอให้อีกฝ่ายพูดกระไรต่อ มิไยว่าอีกฝ่ายจะกระทืบเท้าลงด้วยความขัดใจกับกริยาของนักดาบหนุ่ม

“ข้าขอโทษนะอ้ายอินทร์...” เสียงสีหราชเอ่ยขึ้นแผ่วเบาก่อนจะมองหน้าเจ้าตัวเล็กในที่ถูกลากหลุน ๆ ตามมาอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ แววตาทอดอ่อนโยน

“ขอโทษ เรื่องอันใด” เจ้าตัวยังงุนงง ก่อนจะเอ่ยปากชมสตรีเมื่อครู่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“นางคนนั้นงามนัก...นี่ละหรือ แม่หญิงนากที่ผู้คนเขาเล่าลือกันไปทั้งพระนคร” เจ้าตัวยังคงตื่นเต้น แต่สีหราชยังคงนิ่งเฉย

“มิหวั่นไหวบ้างดอกหรือ ที่สตรีงามปานนั้นเข้ามาทักเจ้า...” เจ้าคนช่างซักยังคงยิ้มกริ่มอย่างสนุกสนาน แต่คนถูกซักกลับยิ่งบึ้งตึง

“เหตุใดข้าต้องหวั่นไหวด้วยเล่า...” สีหราชถามก่อนจะจ้องตาคนตรงหน้า เมืองอินทร์ยังคงยิ้มกริ่มก่อนจะเด็ดดอกหญ้าข้างทางมาเล่น

“นางนั้นงามนัก เจ้าไม่เห็นดอกหรือว่า ผู้บ่าวที่เดินสวนไปนั้นต่างหยุดมองความงามและรอยยิ้มที่นางให้กับเจ้า ถ้าเปรียบละก็...ข้าว่าแม่หญิงนากนั้นงามราวกับกุหลาบแรกแย้ม หรือดอกฟ้าเลยทีเดียว” สีหน้าเมืองอินทร์ยังคงขำขัน แต่แล้วก็ต้องหยุดกึกเมื่อคนตรงหน้าหันขวับมามองอีกรอบด้วยสีหน้าบูดบึ้ง

“แล้วเจ้าชอบความงามเช่นนั้นฤาไม่...” เสียงนั้นตวัดคล้ายคาดคั้นอยู่ในที เมืองอินทร์ได้แต่ทำหน้าตาตื่นกับคำถาม ด้วยนึกไม่ถึงว่าคนตรงหน้าจะโกรธากับเรื่องทั่วไปเช่นนี้

“ชมว่างาม...ก็ไม่ได้ดอกหรือ...” เสียงนั้นอุบอิบเบา ๆ

ดูท่า...อ้ายสีหราชจะยึดมั่นคำสัญญานั่นจริงจังเหลือเกิน ข้ามิได้ทำดีกับแม่หญิงเสียเมื่อใด เหตุใดจึงต้องหัวเสียด้วย...

“ข้าแค่บอกว่านางนั้นงาม...แต่ไม่ได้บอกว่าข้าชอบ...” เมื่อพูดไปแล้วก็ค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้นบ้างเมื่อสีหราชหันมาถอนหายใจยาว ๆ ก่อนจะจิ้มมะเหงกเข้าที่หน้าผากคนซุกซน

“แล้วข้าเล่า...เจ้าเห็นข้าแล้วนึกถึงสิ่งใด” น้ำเสียงสีหราชดูขำ ๆ กับท่าทีเมืองอินทร์ที่ยืนเป๋ออยู่ตรงหน้า

“จักเป็นสิ่งใดได้นอกจาก หมาดุ...กัดไม่เลือกที่ กัดทุกคนที่เข้ามา...” เมืองอินทร์เอ่ยอย่างแค้น ๆ เพราะนึกถึงเรื่องเมื่อสายแล้วยังเจ็บใจไม่หาย คำตอบนั้นเรียกเสียงหัวเราะลั่นจากสีหราช ก่อนเจ้าตัวจะยีหัวคนตัวเล็กกว่าแล้วเปรยขึ้น

“แล้วเจ้าเล่า...หากเปรียบนางเป็นดอกฟ้าแล้วเจ้าเป็นอันใด” น้ำเสียงคนตรงหน้าดูจะรื่นรมย์ขึ้น ขณะที่เมืองอินทร์ครุ่นคิดเพียงชั่วครู่ก่อนจะยิ้มหม่นลงแล้วก้มมองพื้น

“ข้า...คงเป็นเพียงดอกหญ้า เพราะข้าไม่มีอะไรเลยสักอย่างในชีวิต เรือนก็ต้องมาอยู่กับพ่อสิน ข้าวปลาอาหารก็อยู่กับแม่คำหล้า...”

“แต่เจ้ามีข้า ! เท่านี้...พอฤาไม่” เสียงสำทับหนักแน่นจากร่างสูงตรงหน้า เมืองอินทร์เงยหน้าขึ้นมองสีหราช ดวงตาคมมีประกายอ่อนโยนชัดเจนและเกือบจะทำให้เมืองอินทร์รู้สึกร้อนผ่าวที่กลางอก

“...แล้ว...เจ้าไม่รู้ดอกรึ...ข้าชอบดอกหญ้าเป็นที่สุด...” ว่าแล้วเจ้าตัวก็คว้ารวบดอกหญ้าข้างทางขึ้นมากำมือหนึ่งก่อนจะดอมดมนิด ๆ แล้วหันมายิ้มให้คนตัวเล็กกว่าที่ยืนอึ้งอยู่

“ดอกหญ้ากับหมาดุ...คล้องจองดี” ประโยคหัวเราะเบา ๆ ของสีหราชเจือความรู้สึกอุ่นละมุน

....ดูท่าอ้ายสีห์จะสอบอ่านเขียนตกเป็นแน่ เพราะถึงข้าจะเรียนตก ๆ หล่น ๆ แต่ยังรู้ว่ามีแต่กลอนว่าดอกฟ้ากับหมาวัด ไม่เคยได้ยินสักคราว่า ดอกหญ้ากับหมาดุ...

“เลิกงุนงงได้แล้ว...เรากลับเรือนกันเถอะ...” สีหราชดึงแขนเมืองอินทร์ทันควันก่อนจะรีบเบือนหน้าหลบ

“อ้ายสีห์...” เมืองอินทร์กระตุกมือหนาก่อนจะแหงนหน้าถาม

“หืม...”  ร่างสูงหนาคล้ายกระอักกระอ่วนก่อนจะมองคนตัวเล็กด้วยหางตา

“ท่านร้อนดอกหรือ...ข้าเห็นใบหูของท่านแดงนัก...” เสียงซื่อ ๆ ของเมืองอินทร์ทำให้ร่างสูงแทบสะดุดขาตัวเอง

“ช่างหัวข้าเถิด ! จะร้อนหรือไม่ร้อน..ก็ไม่เกี่ยวกับเจ้า” ว่าแล้วเจ้าตัวก็รีบปล่อยมือเล็ก ๆ แล้วจ้ำพรวดไปด้านหน้าโดยเร็ว

...ดูท่าว่าอ้ายสีห์จะร้อน...จึงรีบรุดกลับเรือนเช่นนี้...

..........................................................................

ทันทีที่ย่างเท้าเข้ามาในเรือน สีหราชก็ต้องสะดุดกึกเพราะด้านหน้าเรือนใหญ่มีบุรุษมากมายห้อมล้อม เหล่าทหารของเหล่าสมุหพระกลาโหมที่คอยระวังรักษาการณ์อยู่ทั้งด้านหน้าเรือนและบางส่วนที่ตามติดสมุหพระกลาโหมขึ้นไปบนเรือนด้วย คิ้วเข้มของสีหราชขมวดนิ่งอย่างไม่พอใจนัก ขณะที่เมืองอินทร์กระชับมือร่างสูงไว้เป็นเชิงห้ามก่อนที่ทั้งคู่จะก้าวขึ้นไปบนเรือน

“นั่น...พ่อสีห์มาพอดี...” เสียงหัวเราะลงลูกคอของสมุหพระกลาโหมดังขึ้น ขณะที่พ่อสิน บิดาของสีหราชมีสีหน้ากังวลเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้านิด ๆ ให้บุตรชาย

“มิคาดว่า วันนี้สมุหพระกลาโหมจะมาเยือนถึงเรือนชานสำนักดาบของข้าได้” สีหราชคารวะชายสูงวัยตรงหน้า บุคลิกที่โผงผางแล้วน้ำเสียงที่คล้ายจะโอ้อวดตนเองอยู่ในทีของสมุหพระกลาโหมคนนี้ ทำให้สีหราชไม่ค่อยอยากยุ่งเกี่ยวกับบุรุษตรงหน้านี้นัก

กลิ่นของอำนาจ การเมืองในราชสำนัก ล้วนเหม็นเน่า...หากอยู่ใกล้คงไม่แคล้วเอามือไปซุกหีบ

แต่ดูท่าว่า คลื่นความปั่นป่วนจากในราชสำนักจะพัดพามาถึงเรือนหลังนี้เสียแล้ว...

“ข้ากำลังพูดคุยกับพ่อสินอยู่ทีเดียว ว่าเจ้านั้นเก่งกาจเกินกว่าหนุ่มในวัยเดียวกันนัก อีกทั้งพระอาจารย์ยังชื่นชมเจ้าไว้มาก เสียดายที่ตัดสินใจกลับมาที่นี่เสียก่อน หากข้ารู้เสียก่อนจะรั้งเจ้าไว้กินตำแหน่งบรรดาศักดิ์ดี ๆ และอยู่รับใช้ใกล้ทูลกระหม่อม...” เสียงหัวเราะของคนตรงหน้าคล้ายจะเมตตา แต่สีหราชรู้ชัด ...กล่าวเหมือนเมตตาแต่จริงแท้คือโอ้อวดว่ามีอำนาจจะสั่งการมอบบรรดาศักดิ์ให้ใครที่พึงใจก็ได้ทั้งนั้น

“ขอบคุณสมุหพระกลาโหมที่เมตตา แต่ตัวข้ามิเคยปรารถนาในยศศักดิ์ ออกจากราชสำนักครานี้ก็เป็นโดยใจสมัคร เพราะเชื่อว่า ไม่ว่าอยู่หนใด หากมีใจสุจริตไม่คิดคดก็ย่อมก่อประโยชน์ให้แผ่นดินได้มิต่างกัน...”

ประโยคสั้น ๆ ของสีหราชทำให้เสียงหัวเราะของสมุหพระกลาโหมชะงักไปนิด เจ้าตัวหรี่ตามองสีหราชอย่างประเมินก่อนจะเหยียดยิ้ม

“คนหนุ่มก็เช่นนี้ สักวันเจ้าจะรู้ว่าการมียศศักดิ์นั้นบันดาลสิ่งใดให้เจ้าได้บ้าง...” เสียงเปรยดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะหันมาหาพ่อสินอย่างเป็นการเป็นการ

“พ่อสิน ระยะนี้ทูลกระหม่อมไม่ทรงโปรดสินค้าอาวุธจากชาติตะวันตก อีกทั้งราคาค่างวดของปืนไฟก็แพงยิ่งนัก ข้าจึงเสนอในท้องพระโรงไปว่า อย่างน้อยเหล่าทหารหาญก็ควรมีอาวุธที่เป็นเลิศในการป้องกันแผ่นดิน ประกอบกับเห็นว่าดาบที่เหล่าทหารใช้กันนั้นออกจะเก่าคร่ำคร่าและบางด้ามก็ทื่อขาดความคมไปแล้ว จึงใคร่ขอแรงพ่อสินช่วยตีดาบชุดใหม่ขึ้นได้ฤาไม่ เพราะดาบที่พ่อตีขึ้นคราใดล้วนเลื่องลือกันว่าคมนัก ชนิดขนนกที่ร่วงหล่นมาโดนใบมีดยังขาดสะบั้น..ข้าคิดจะนำไปแทนดาบของเหล่าราชองค์รักษ์ชุดเดิม..”

“ท่านสมุหพระกลาโหมก็กล่าวเกินไปแล้ว ข้าเป็นเพียงช่างตีดาบหลวง จักเก่งกล้าได้มากเพียงใดเล่า แต่หากท่านประสงค์จะให้ทำงานเพื่อแผ่นดิน ข้าก็ไม่เกี่ยงทั้งนั้น...” ว่าแล้วพ่อสินก็เหลียวไปสั่งการกับอ้ายมิ่งผู้ช่วยคนสนิท

“เอ็ง..อ้ายมิ่งไปเตรียมการให้พร้อมพรัก ข้าต้องการตีดาบขึ้นให้เร็วที่สุดและจักรีบแจ้งข่าวให้ราชสำนักทราบ”

“ช้าก่อนพ่อสิน...ข่าวการตีดาบครานี้ ข้าต้องการให้เงียบที่สุด เพราะระยะนี้หูตาเหล่ากบฏมันไวนัก หากเสร็จแล้วเมื่อใด จักขอให้พ่อสินทำทีเป็นนำขึ้นเกวียนเงียบ ๆ มาให้ข้าได้ฤาไม่” ประโยคของสมุหพระกลาโหมนั้นทำให้สีหราชขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะชำเลืองมองผู้เป็นบิดาเป็นเชิงไม่เห็นด้วย หากแต่พ่อสินมิทันสังเกต

“ข้าไม่ติดอันใด ก็ตามแต่ที่ท่านสมุหพระกลาโหมเห็นชอบเถิด หากต้องการเช่นนั้นข้าจักทำตาม...”

“ข้าขอเวลาตีดาบสักเดือนหรืออย่างช้ามิเกินสองเดือน ราตรีมณิสูงสุดเมื่อใดข้าจักให้อ้ายสีห์นำดาบทั้งหมด 100 เล่มไปส่งให้กับท่านเอง...” 

...
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซีพีเรียด] สีหราชยมทูต Grim reaper's vacation by ButlerofLOVE++ (Yaoi)
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 28-07-2020 23:06:30
บทที่ 11 รู้จักหัวใจ

หลังจากที่สมุหพระกลาโหมกลับไป เรือนของพ่อสินก็ไม่ว่างเว้นอีกเลย เหล่าทาสมากมายและช่างฝีมือถูกพามาทำงานตั้งแต่เช้ามืดของทุกวัน เสียงค้อนกระทบเหล็กดังต่อเนื่องมาตลอดไม่หยุดหย่อน เมื่อคนหนึ่งพักอีกคนก็เข้าตีต่อเนื่อง โหมทำงานกันทั้งวันทั้งคืนจนเรียกว่าสลบไสลกันไปตาม ๆ กัน สำหรับพ่อสินก็คอยกำกับกำชับช่างตีดาบแต่ละคนอย่างใกล้ชิด พร้อมกับตรวจลักษณะของใบมีดดาบอย่างถี่ถ้วนทุกเล่ม หากเล่มใดไม่เป็นที่พึงใจก็จะถูกโยนกลับไปใหม่ จนช่างแต่ละคนถึงกับโอดครวญว่า งานนี้พ่อสินทุ่มเทหมดทั้งกายและใจ

“งานเพื่อแผ่นดินมันต้องดีสิหว่า...พวกเอ็งจะทำสะเพร่าเผอเรอมิได้...” เสียงพ่อสินสำทับเสียงเข้ม

“ดาบแต่ละด้ามตีขึ้นเพื่อป้องกันพระนคร พวกเอ็งจะทำเป็นเล่นได้ฤา!”

ครั้งนี้สีหราชถึงกับต้องมาช่วยพ่อสินตีดาบด้วยตนเอง กล้ามเนื้อแข็งแรงของสีหราชเป็นประกายวาววามเมื่อหยาดเหงื่อนั้นชะโลมกายท่อนบน เตาหลอมที่ร้อนทำให้ผิวกายตรงหน้าชื้นไปด้วยเหงื่อ ผ้าคาดเอวที่พันไว้จนแน่นเปลี่ยนสีจากสีเทากลายเป็นสีเทาเข้มตามเหงื่อของเจ้าตัวที่เปียกโชก ส่วนเมืองอินทร์ที่ร่างเล็กบอบบางถูกจัดวางให้ทำหน้าที่เป็นกำลังเสริมคอยวิ่งรอกเอาอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้กับเหล่าช่างที่ตะโกนเรียก

“อ้ายอินทร์...ข้าขอน้ำสักหน่อยได้ฤาไม่...” เสียงตะโกนของสีหราชดังขึ้น เจ้าตัวรีบลนลานวิ่งนำกระบอกไม้ไผ่ลอยน้ำดอกมะลิตรงมาหา แต่เพราะข้าวของและอุปกรณ์บนพื้นวางกันระเกะระกะ ทำให้คนที่วิ่งส่งของไปมาเกิดขาพันกันสะดุดพรืด กระบอกน้ำตรงหน้ากระฉอกเข้าหน้าสีหราชเต็ม ๆ ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเหล่าช่างที่อยู่ตรงนั้น สีหราชหน้าแดงก่ำไม่รู้ว่านึกโกรธหรือนึกเขินอาย แต่สำหรับเมืองอินทร์กลับยืนนิ่งกลืนน้ำลายเอื๊อกอย่างรู้ชะตากรรม

“อ้ายสีห์...มึงขอน้ำ แต่ไม่ได้บอกว่าน้ำดื่ม มึงจะโกรธอ้ายอินทร์ไม่ได้ดอกเน้อ !” เสียงหัวเราะกระเซ้าของเหล่าช่างที่หัวเราะร่วนกันตรงหน้าทำให้สีหราชสูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะมองคนตรงหน้าที่ทำหน้าจืดเจื่อน

“ขะ...ข้า...ข้าไม่ได้ตั้งใจ” เจ้าตัวลนลานก่อนจะลืมตัวคว้าชายผ้าคาดเอวตนเองขึ้นมาซับหน้าให้สีหราชที่กำลังฉุน

กลิ่นหอมจาง ๆ ..จากผ้าคาดเอวเหมือนจะทำให้ความโกรธหายไปทันควัน เจ้าตัวกึ่งยิ้มกึ่งบึ้งคว้าผ้าคาดเอวนั่นกระชากหวือเดียวก็หลุด ทำเอาเมืองอินทร์แทบตะครุบผ้านุ่งไว้แทบไม่ทัน

“เฮ้ย ! อ้ายสีห์ !”  แต่คนก่อเรื่องกลับยกผ้าคาดเอวนั้นพาดไหล่แล้วบอกหน้าตาเฉย

“ข้าขอ...ไว้ซับเหงื่อแล้วกัน...” ประโยคนั้นทำเจ้าตัวเล็กหน้าแดงก่ำ ก่อนจะละล่ำละลัก

“นั่น...มันมีเหงื่อข้าด้วย เอาคืนมาเถิดแล้วข้าจะไปเอาผ้าสะอาดมาให้...” เมืองอินทร์พยายามเขย่งเท้าเล็ก ๆ หมายจะคว้าผ้าคืนมา แต่สีหราชหมุนตัวหลบวูบก่อนจะเม้มปากนิด ๆ อย่างก่อกวน

“ข้าขี้เกียจรอผ้าผืนใหม่ของเจ้า เสียเวลาตีดาบ...” ว่าแล้วก็หันกลับไปคว้าค้อนมาเตรียมตีดาบต่ออีกครั้ง แต่เหมือนจะนึกสิ่งใดได้ เจ้าตัวหันกลับมาทันควันพร้อมกับบอกคนตรงหน้า

“ข้ายังไม่ได้กินน้ำเลย...” ประโยคสั่งการกับสายตาเป็นประกายวิบวับทำเอาเมืองอินทร์งุนงงก่อนจะยื่นกระบอกน้ำที่เหลือให้ แต่เจ้าตัวพลันส่ายหน้าชูมือทั้งคู่ให้ดูว่าเลอะไปด้วยคราบเขม่าแค่ไหน ทำให้เมืองอินทร์ถอนหายใจพรูก่อนจะหลับหูหลับตาเทน้ำในกระบอกเข้าปากคนก่อกวนตรงหน้า

“แค่ก! แค่ก ๆ ๆ....” เสียงสีหราชกระแอมกระไอเป็นพัลวัน เพราะเจ้าทาสตัวดีดันเทน้ำอย่างไม่มอง ทำให้น้ำเข้าทั้งปากทั้งจมูกของคนขี้แกล้งทันที

“เจ้าแกล้งข้านี่ !”  สีหราชโอดก่อนจะเตรียมคว้าร่างเล็ก ๆ ไว้ลงโทษ แต่ก็ไม่ทันเจ้าตัวเล็กกระโดดแผลวข้ามไปอีกด้านหนึ่งก่อนจะเบ้ปากใส่

“ก็อยากขี้เกียจดื่มเองนี่...ช่วยไม่ได้!” แล้วก็เผ่นหายไปในเรือนครัวด้านหลังอย่างไว ทิ้งให้คนถูกแกล้งเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันท่ามกลางเสียงหัวเราะของเหล่าช่างฝีมือที่เห็นเหตุการณ์ จะมีก็เพียงแต่พ่อสินที่มองภาพตรงหน้าด้วยแววตาคล้ายกังวลบางอย่าง

...............................................................................

เสียงฝึกซ้อมฟันดาบในยามกลางคืนของสีหราช ทำให้พ่อสินลุกจากเรือนออกมามองบุตรชายคนเดียวอย่างครุ่นคิด ชายสูงวัยยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นนานจนสีหราชสังเกตจึงหยุดการซ้อมแล้วเดินมาหาผู้เป็นบิดา

“ดึกมากแล้ว เหตุใดพ่อยังไม่นอนขอรับ...” สีหราชเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

พ่อสินถอนหายใจยาวก่อนจะยกมือลูบศีรษะบุตรชายคนเดียวอย่างแสนรัก

“พ่อมีบางเรื่องที่ยังคิดไม่ตก...อยากถามเจ้าสักหน่อย” พ่อสินเอ่ยเบา ๆ ทำให้สีหราชเงยหน้าอย่างงุนงง

“เมื่อใดเจ้าจะออกเรือนเล่า อ้ายสีห์...” ประโยคนั้นคล้ายฟ้าแลบปราดเข้ามากลางกระหม่อมของสีหราช

“คือ...ข้า ข้ายังไม่คิดเรื่องนี้เลย” ว่าแล้วก็ก้มหน้างุดอย่างไม่รู้จะตอบสิ่งใด

“ยามนี้เจ้าก็เติบใหญ่แล้ว ปีนี้ก็ล่วงเข้า 20 แล้วถึงวัยต้องออกเรือนแล้วนะอ้ายสีห์...” เสียงผู้เป็นพ่อเอ่ยเนิบ ๆ แล้วลูบหัวเบา ๆ

“ตอนพ่ออายุเท่าเจ้า พ่อก็มีเจ้าแล้ว...” เสียงนั้นเอ่ยเรียบ ๆ ต่อไปราวกับไม่มีสิ่งใดสำคัญ หากแต่ทำให้คนฟังคล้ายถูกบีบเค้นจนหายใจติดขัด

“ถ้าเจ้าพึงใจลูกสาวบ้านไหน ก็บอกพ่อมาได้ หน้าตาชาติตระกูลของเราก็มิได้ด้อยไปกว่าผู้ใด พ่อเชื่อเหลือเกินว่าหากไปขอลูกสาวบ้านไหนเขาก็คงยินดีเพราะรู้ว่าลูกเขาคงไม่มาลำบากกับเราเป็นแน่...”

“ข้า....ข้า...” คนตรงหน้าคล้ายจะหากล่องเสียงตัวเองไม่เจอ สายตาผู้เป็นพ่อมองปราดก่อนจะยิ้มนิด ๆ ให้

“หรือ...เจ้ายังไม่พึงใจผู้ใด” แต่กริยาบุตรชายกลับคล้ายไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ มีเพียงความสับสนในแววตาคมคร้าม

“พ่อ...ท่านรู้ได้อย่างไรว่า ท่านรักแม่...” ประโยคนั้นทำให้พ่อสินชะงักไปนิดก่อนจะเหม่อมองไปบนท้องฟ้าราวกับจะหาคำตอบจากบนนั้น

แม่สายหยุด ผู้เป็นมารดาของอ้ายสีห์จากไปหลังจากคลอดอ้ายสีห์ได้เพียง 1 เดือน อาการตกเลือดรุนแรงต่อเนื่องทำให้สายหยุดลาโลกไปในวัยที่ยังสาวสะพรั่ง แต่พ่อสินก็ไม่เคยชายตาแลเหลียวสตรีนางใดมาข้างกายอีกเลย แม้ว่าช่างตีดาบหนุ่มที่เป็นที่เลื่องลือจะได้รับความโปรดปรานและให้บรรดาศักดิ์เป็นหมื่นสินก็ตาม เจ้าตัวเพียงเอ่ยกับคนใกล้ชิดว่า

“ยามข้าทุกข์ ข้ามีเพียงแม่สายหยุดเพียงผู้เดียวที่ดูแลข้า...หากยามข้าสุข...ข้าจะกล้ามีสตรีอื่นแทนได้กระไร...”

คำมั่นสัญญาที่พ่อสินมีต่อหน้าหลุมของแม่สายหยุดคือ จักเลี้ยงดูบุตรชายคนเดียวอย่างดีที่สุด โดยมีแม่คำหล้า สตรีที่ติดสอยห้อยตามมาแต่ครั้งสร้างเนื้อสร้างตัวมาเป็นแม่นมให้แก่อ้ายสีห์ ตลอดยี่สิบปีมานี้ พ่อสินครองตัวอย่างดีมาตลอดไม่มีสิ่งใดบกพร่องเลย

“รัก...นั้น ไม่ได้หมายความเพียงร่วมสุข แต่ต้องหมายถึงร่วมทุกข์และพร้อมแลกกันได้ด้วยชีวิต...” สินกล่าวเนิบ ๆ

“หากข้าเป็นฝ่ายตกเลือดแทนแม่เจ้าได้ ข้าก็พร้อมจะยอมโดยแลกเอาชีวิตแม่เจ้ากลับมา...”

ประโยคนั้นทำให้สีหราชอึ้งงันไป พ่อผู้ไม่เคยกล่าวถึงแม่สายหยุดมากนัก กลับพูดจาได้ลึกซึ้ง คำพูดสุดท้ายของพ่อสินที่เอ่ยยิ้ม ๆ พร้อมตบบ่าเบา ๆ ทำให้สีหราชต้องเก็บไปครุ่นคิด

“ยามเจ้ามีรัก...เจ้าจักรู้ด้วยหัวใจเจ้า เจ้าจักเจ็บเจียนตายเมื่อเห็นคนนั้นเจ็บ และเจ้าจักสุขล้นหัวใจเพียงเห็นรอยยิ้มคนนั้นเพียงชั่วครู่ยาม” ก่อนจะเอ่ยประโยคสุดท้าย

“...แล้วเจ้าอาจจักตายทั้งที่มีลมหายใจ เมื่อคนนั้นจากไปสู่โลกหน้า...”

.................................................................................

ขบวนกองเกวียนที่เตรียมนำส่งดาบเนื้อดีให้แก่สมุหพระกลาโหมตระเตรียมไว้อย่างพรักพร้อมแล้ว โดยมีอ้ายสีหราชเป็นหัวขบวนคุ้มกัน ก่อนจะตามมาด้วยกองเกวียนสองสามเล่มที่บรรทุกข้าวของไว้ในหีบไม้ใหญ่ ปิดท้ายขบวนด้วยอ้ายโต คนสนิทของพ่อสินที่ทำหน้ารักษาความปลอดภัยด้านท้าย มีทาสอีกราว 6-7 คนที่แบ่งออกเพื่อคุ้มกันด้านข้างของขบวน

เมืองอินทร์พยายามเซ้าซี้พ่อสิน ขอร้องให้พาตนไปเปิดหูเปิดตาบ้าง แต่ก็เพราะสีหราชนั่นเองที่ค้านหนัก ทำให้เจ้าตัวต้องลอบเบ้หน้า

“ตัวทั้งเล็กและบางอย่างนั้นจะไปคุ้มกันกระไรได้ สู้เอาผู้ที่เก่งกล้าทางดาบอย่างอ้ายโต และทาสอีกสองสามคนไปจักได้ประโยชน์เสียกว่า”

“ข้าป้องกันตัวเองได้! อ้ายสีห์ไม่ต้องมาห่วงใยดอก!” เจ้าตัวตะโกนอย่างกราดเกรี้ยวเพราะเจ้าตัวเล็กหมายมั่นปั้นมือว่าจะได้ลองไปดูรั้ววังกับเขาบ้างสักคราในชีวิต

สีหราชส่ายหน้าเบา ๆ อย่างระอาใจ ทำไมเขาจักไม่รู้ทันเจ้าตัวเล็ก เพราะนิสัยซุกซนชอบเที่ยวเล่น ยิ่งเขาเคยเอ่ยให้ฟังว่าในรั้ววังมีแต่สิ่งของงาม ๆ ประณีตทั้งนั้น อาหารการกินก็ฉลุลายต่าง ๆ อย่างงดงามจนแทบไม่กล้ากิน เมืองอินทร์ยิ่งตาโตอยากเห็นยิ่งนัก

“เหตุใดต้องฉลุให้เป็นใบไม้ด้วยเล่า ปอกแล้วกินเลยไม่ดีดอกหรือ ?” มันถามอย่างสงสัยพร้อมกับยกมะปรางที่แม่คำหล้าปอกแล้วขึ้นมาดู กริยานั้นทำให้แม่คำหล้าถึงกับหัวเราะเบา ๆ

“อ้ายอินทร์เป็นผู้ชายอาจจะไม่เข้าใจ เขาเรียกว่าเสน่ห์ของอาหารนั้น มีทั้งกินทางปาก และกินทางตา...ของงาม ๆ อย่างนั้นใครเห็นก็ชื่นใจ หากได้ลิ้มชิมลงไปรสชาติอร่อยก็จะยิ่งติดตราตรึงใจมากขึ้นกระไรเล่า” 

“แล้วหากไม่ฉลุเป็นใบไม้เล่า มีเป็นรูปสัตว์บ้างไหม” เสียงถามอย่างตื่นเต้นของร่างเล็ก ๆ ตรงหน้าทำให้สีหราชยิ้มนิด ๆ อย่างเอ็นดู

“มีสิ...มีไก่ตัวน้อย ๆ ด้วยนา” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ทำมือให้ดูว่าน้อยที่ว่านั้น “น้อย”สักเพียงใด

เจ้าตัวเล็กยิ่งทำตาโตใหญ่ก่อนจะถามมากมายว่า อาหารนั้นคือสิ่งใด ก่อนที่สีหราชจะเฉลยว่านั่นคือ “สาคูไส้ไก่” ที่บรรจงใส่ไส้ไก่ที่สับละเอียดปรุงรสแล้วลงบนแป้งบาง ๆ ก่อนจะจับจีบแป้งนึ่งขึ้นมาเป็นริ้ว ๆ ตรงช่วงคอไก่ แล้วใช้พริกขี้หนูเม็ดเล็กจิ๋วสีแดงสดมาทำเป็นปากไก่ นางในที่จีบริ้วได้สวยงามก็จะได้รับคำชมจากเจ้าจอมมารดาพิม บ้างก็อาจได้เป็นรางวัลเป็นแป้งร่ำหรือโชคดีหน่อยอาจได้แหวนทองลงยาเล็ก ๆ สักวง

“อ้ายสีห์...ได้กินอย่างนั้นทุกวันเลยฤา” เจ้าตัวน้อยไม่วายทำตาโตหันมาถาม สีหราชหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะพยักหน้ารับ

แต่แท้จริงแล้วที่เขาไม่ได้พูดออกไปคือ ส่วนใหญ่เป็นอาหารที่เสด็จพระองค์ชายชาญนพไม่โปรดเสียละมาก บางรายการถึงสลักมาอย่างงดงามวิจิตร แต่เสด็จพระองค์ชายชาญนพกลับทำหน้าเบื่อแล้วรุนจานนั้นส่งต่อมาที่เขา แล้วกำชับเบา ๆ

“กินให้หมดที แล้วบอกเขาด้วยว่า ขอบใจมาก”

ผู้ที่รับจานเปล่ากลับไปก็หน้าบานเป็นจานเชิง ขณะที่คนไม่อยากชิมก็ทรงพระอักษรต่อไปอย่างสบายพระอุรา ขณะที่คนที่ต้องทำสีหน้าปั้นยากเวลาเครื่องเสวยยกมาอีกก็ไม่แคล้วเป็นอ้ายสีหราช จนหลัง ๆ สีหราชถึงกับโอด

“กระหม่อมไม่รับอีกแล้วนะพะยะค่ะ ขืนกินมากกว่านี้คงไม่อาจไปฝึกเพลงดาบได้”

ใครจะอยากกลิ้งร่างกลม ๆ ไปฝึกดาบกัน !

ทูลกระหม่อมเงยหน้ามองสีหราชก่อนจะแย้มพระสรวลเบา ๆ

“ได้...” คำตอบนั้นทำให้สีหราชยิ้มก่อนจะหุบยิ้มแทบไม่ทัน

“เดี๋ยวเราจะบอกไปว่า ขอแบบอื่นมาบ้าง...”   ก่อนจะทรงพระสรวลร่วนอย่างถูกพระทัย

นั่นคือสิ่งที่อ้ายสีห์ยังไม่ได้บอกไป บางส่วนที่น่ากลัวของราชสำนักนั้นมีมาก ยิ่งกฎระเบียบยิ่งเข้มงวด อ้ายอินทร์น่าจะไม่ชอบเท่าใดนัก

“วังมิใช่สถานที่เที่ยวเล่นดอกนะ เมืองอินทร์ เดี๋ยวข้ารีบไปส่งแล้วจักรีบกลับมา..” สีหราชเอ่ยปากลาร่างเล็ก ๆ ตรงหน้า แล้วก็รีบพูดต่อทันควัน

“จักมีของฝากมาให้เจ้าด้วย ขอเพียงอยู่ดูแลพ่อสินให้ดี ข้าไปเพียงไม่กี่วันเท่านั้น” ปากที่อ้าคล้ายจะประท้วงของเมืองอินทร์เป็นอันหุบฉับเมื่อได้ยินคำว่าของฝาก ใบหน้าที่มุ่ยลงดูคล้ายจักยินยอมกลาย ๆ ทำให้คนที่กำลังคุ้มกันขบวนเริ่มจะเบาใจลงแล้วจึงกระตุ้นม้าให้ออกเดินนำขบวนไป

เมืองอินทร์มองขบวนคาราวานตรงหน้าอย่างละห้อยโหย มีเพียงแม่คำหล้าที่กดบ่าอย่างปลอบใจ

“ไปช่วยข้าเถิด อีกไม่กี่วัน อ้ายสีห์คงกลับถึงเรือน”

.............................................................................................
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซีพีเรียด] สีหราชยมทูต Grim reaper's vacation by ButlerofLOVE++ (Yaoi)
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 31-07-2020 17:14:54
เมืองอินทร์ทำหน้าเมื่อยก่อนจะก้าวเข้าไปในเรือนด้านหลัง เพลานี้ก็ล่วงไปเกือบ 2 ชั่วยามแล้วนับแต่อ้ายสีหราชคุมขบวนเกวียนออกไป ราตรีกำลังคืบคลานเข้ามาช้า ๆ เจ้าตัวจ้อยนั่งแกว่งขาเล่นริมท่าน้ำอย่างเหงา ๆ

...มิคาดว่า เพียงอ้ายสีหราชกลับมา จะทำให้มันรู้สึกเบิกบานได้ถึงเพียงนี้ แต่พออ้ายสีหราชหายไป เป็นมันเองที่ใจหาย

...เหตุใดจึงคิดถึง แม้เพียงหายไป 2 ชั่วยามกันเล่า...

แต่แล้ว เมื่อบ่าวไพร่ในบ้านวิ่งกันวุ่นวาย เสียงฝีเท้าที่ตะโกนเรียกกัน ทำให้เมืองอินทร์หันขวับมามองทางต้นเสียงก่อนจะรั้งทาสหญิงคนหนึ่งไว้สอบถาม

“เกิดกระไรขึ้นรึ อีแม้น...” เมืองอินทร์ถามอย่างงุนงง

“แม่คำหล้าสิเจ้าคะ จู่ ๆ ก็หลับฟุบไปกลางวงข้าว ปลุกเท่าใดก็ไม่ตื่น นี่บ่าวไพร่กำลังละลายยาดมยาหอมให้อยู่”

ประโยคนั้นทำให้เมืองอินทร์ลุกพรวดก่อนจะวิ่งตามไปที่เรือนใหญ่ ภาพตรงหน้าที่เห็นทำให้เจ้าตัวใจหายวาบแทบกระโจนขึ้นไปบนตั่ง เมื่อพ่อสินสั่งให้บ่าวไพร่สองสามคนประคองแม่คำหล้านอนบนตั่ง ใบหน้าที่หลับสนิททำให้เมืองอินทร์งุนงงหนักก่อนจะหันไปถามพ่อสิน

“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เล่า ?” ว่าแล้วก็ปราดเข้าไปเขย่าร่างท้วมนั้นเบา ๆ อย่างตกใจ

“หลับลึก...คล้ายกับถูกวางยา” พ่อสินเอ่ยขึ้นช้า ๆ อย่างกังวล สีหน้านั้นคล้ายจะสงสัยบางประการก่อนจะเหลียวหาบ่าวใกล้ตัว

“แม่คำหล้า...ไปทำอันใดมาก่อนจะมาที่เรือนนี้หรือไม่อีอิ่ม” สตรีร่างกลมผิวดำแดงสะดุ้งเฮือกขึ้นทันควันก่อนจะละล่ำละลัก แววตาที่ผิดแผกคล้ายจะหันรีหันขวางกระสับกระส่ายทำให้เมืองอินทร์กระชับดาบในมือมั่นก่อนจะตวัดฉับไปที่หน้าอีอิ่ม

“บอกมาบัดเดี๋ยวนี้ !” เสียงไอ้ตัวเล็กแทบจะเป็นคำราม แววตาโกรธจัดทำให้หลายคนต้องรีบรั้งมือเรียวนั้นไว้

“บ่าว...บ่าวผิดไปแล้ว...บ่าวควรเอ่ยแต่แรก...มันคงไม่เป็นเช่นนี้...” ว่าแล้วอีอิ่มก็ร่ำไห้โฮใหญ่ก่อนจะกอดขาพ่อสินไว้แน่นอย่างกลัวเกรง

“เล่ามา...ก่อนที่ข้าจะคว้าดาบมาฟันเอ็ง อีอิ่ม!” เสียงพ่อสินตะโกนกร้าว ดวงตาขมึงทึงใส่ร่างตรงหน้า

อีอิ่มค่อย ๆ เล่าทุกอย่างให้ฟังอย่างตะกุกตะกัก มันเอ่ยว่าเมื่อราตรีก่อน แม่คำหล้าสั่งให้มันตระเตรียมเสบียงอาหารสำหรับอ้ายสีหราชและขบวนเดินทาง หมูหวานที่แม่คำหล้าตระเตรียมไว้และปรุงไว้เรียบร้อยกำลังเคี่ยวช้า ๆ วางอยู่บนเตา อีอิ่มมีหน้าที่เฝ้าหน้าเตาอาหารแต่ด้วยความง่วงงุนที่จู่โจมขึ้นมาฉับพลันโดยไม่รู้สาเหตุทำให้มันผล็อยหลับไปก่อนที่จะปิดเตา หางตาก่อนจะหลับเหมือนเห็นเงาสีดำ ๆ ก้าวเข้ามาในโรงครัว มันพยายามลืมตาขึ้นแล้วแต่ก็สู้ความง่วงงุนไม่ไหว พอตื่นมาทุกอย่างก็ดูเหมือนจะเรียบร้อย ยกเว้นเสียแต่มีรอยตีนขนาดใหญ่ที่เลอะดินเปียกอยู่ที่หน้าต่างเรือนครัว มันมิกล้าเอ่ยเรื่องนี้กับผู้ใดเพราะไม่มีสิ่งใดหาย จึงเก็บงำไว้แต่เพียงผู้เดียว จนกระทั่งเมื่อไม่ถึงยามก่อน แม่คำหล้าเข้ามาในเรือนครัวและคว้าอาหารที่ยังเหลือจากทำเสบียงขึ้นมาชิม จากนั้นเพียงครู่เดียว แม่คำหล้าก็หลับฟุบไปเช่นนี้...

“อีอิ่ม!” เสียงพ่อสินตวาดลั่นอย่างโกรธจัด เจ้าตัวร่างสั่นเทิ้ม

เมืองอินทร์กำมือแน่นก่อนจะเผ่นผลุงไปที่เรือนครัว รอยตีนปริศนานั่นปรากฎที่หน้าต่างจริงดังว่า มือเรียวยาวกระชับดาบในมือไว้แน่น ใจร้อนดั่งไฟลาม เจ้าตัวโผนไปที่โรงม้าก่อนจะเหน็บดาบประจำกายไว้แน่นแล้วกระโจนขึ้นบนหลังม้าสีหมอกคู่ใจ แล้วกระชากบังเหียนควบออกไปในความมืดทันที ท่ามกลางความตกตะลึงของอ้ายเชิดและอ้ายมิ่ง เสียงพ่อสินสั่งการรวดเร็ว

“พวกเอ็งรีบปลุกผู้อื่นแล้วให้รีบขึ้นม้าตามไปบัดเดี๋ยวนี้ เอาดาบติดไปด้วย ดูท่าอ้ายสีห์อาจเสียท่า!”

...........................................................................

ร่างสูงหนาของสีหราชเริ่มโงนเงน เจ้าตัวพยายามทรงตัวไว้แต่เลือดที่ไหลโซมไหล่ซ้ายทำให้สีหราชต้องกัดฟันแน่น มือหนากระชับดาบไว้แน่น เจ้าตัวเหลือบมองเหล่าผู้คุ้มกันที่บัดนี้สลบไสลไปตาม ๆ กัน กองไฟที่ยังก่อไว้รอบวงสว่างจ้า แต่เหล่าชายฉกรรจ์ที่ล้อมอยู่ทำให้เจ้าตัวต้องพยายามฝืนไว้

ยา..ในอาหารทำให้ทุกคนหลับลึก มีเพียงเขาที่ฝืนเอาดาบเรียกเลือดที่ท่อนแขนตนเองเรียกสติไว้

“อย่าฝืนไปดีกว่าอ้ายสีห์...ยาที่พวกเจ้ากินเข้าไปแรงไม่ใช่น้อย...” เสียงหนึ่งในชายที่คลุมหัวปิดบังใบหน้าหัวเราะร่วน

“จงยินดีเถอะที่พวกข้าเมตตา ไม่สังหารสหายของเจ้าทั้งที่ยังหลับไหล” คนหนึ่งหัวเราะอย่างเย้ยหยันก่อนเอาปลายดาบเขี่ยร่างที่สลบเพราะฤทธิ์ยาตรงหน้า

“ดาบของเจ้า พวกข้าขอก็แล้วกัน...ของดีอย่างนี้เป็นประโยชน์กับพวกข้า”

ไอ้พวกโจรถ่อย ! เหตุใดจึงรู้ว่าขบวนคาราวานนี้กำลังขนดาบเข้าพระนคร ?

สีหราชพยายามยันกายไว้ ร่างสูงยืนประชิดกองเกวียนก่อนจะมองไปรอบด้านอย่างประเมิน คนตรงหน้าคล้ายจะรู้จักเขา เพราะแม้นว่าราตรีคืบคลานแล้วกลับเอ่ยชื่อเขาได้ชัดเจนเช่นนี้ ดูท่าจะต้องรู้จักเขาเป็นอย่างดีแน่ สีหราชกัดกรามแน่น บาดแผลที่เหล่าชายฉกรรจ์รุมล้อมมิสู้หนักหนา แต่เมื่อรวมกับบาดแผลที่ตนตัดสินใจเฉือนเรียกเลือดท่อนแขนเพื่อเรียกสติตนเอง ก็ทำเอาร่างสูงเริ่มโงนเงนเล็กน้อย

“มิคาดว่าข้าจะเรียกเลือดจากศิษย์เอกของพระอาจารย์ได้...น่ายินดียิ่งนัก!” เสียงโจรถ่อยกระชากขึ้นอย่างผยอง

สีหราชรีบประเมินในใจ กองไฟที่จุดไว้ล้อมเกวียนและพวกเขากำลังสว่างโรจน์ หากฝืนรั้งไว้ได้อีกราว 1-2 ชั่วยาม อาจจะมีกบิลเมืองผ่านมา เพราะเพลานี้ก็ได้เวลาตรวจตราของทหารรักษาพระนครแล้ว กองไฟเช่นนี้ย่อมต้องเป็นที่เตะตะของทหารเป็นแม่นมั่น

“หากเจ้ามีศักดิ์ศรี ลองมาประดาบกับข้าสักหน่อยเป็นไร” สีหราชประกาศก้อง แม้สติจะเริ่มเลือนรางแต่เจ้าตัวยังยันกายไว้ หากรั้งเวลาไว้ได้...ย่อมเป็นการดี แต่ชายฉกรรจ์ในชุดพรางกายระเบิดหัวเราะลั่น

“กล้าหาญดี...แต่อย่าปากดีให้มากนัก!” คนที่เป็นหัวหน้าชุดตะโกนกร้าว หากไม่รับคำท้าก็เท่ากับหวั่นเกรงร่างสูงตรงหน้า ร่างที่กำลังยืนโงนเงนนิด ๆ เสียด้วย มันจักเสียหน้ากับเหล่าบ่าวไพร่พวกนี้ว่ามิกล้าสู้แม้คนที่โดนวางยา

สีหราชเหยียดหยันนึกรู้ทันคนตรงหน้า

“มิกล้าสู้...แม้กับคนที่โงนเงนเช่นข้ารึ...กล้าหน่อยได้ฤาไม่” เสียงหยันจากสีหราชทำให้เจ้าตัวบันดาลโทสะตวาดก้อง

“พวกมึง ถอยไปให้หมด ข้าจักดวลกับมันให้รู้แพ้กันในวันนี้ !” ว่าแล้วก็โผนโจนเข้าไปทันที

เพียงครู่เดียวที่ได้ประดาบกัน แม้ชายในชุดพรางจะพยายามใช้เพลงดาบที่หลากหลายเพื่อสร้างความสับสนแก่สีหราช แต่เมื่อพิจารณาให้ดีแล้ว กลับพบว่าเพลงดาบของชายในชุดพรางคล้ายจะมาจากสำนักดาบเดียวกันแต่แฝงความอำมหิตยิ่งกว่า รังสีความอาฆาตมาดร้ายพุ่งปราดมาที่ร่างสูง สีหราชครุ่นคิดขณะที่ปัดป้องตนเองจากคนตรงหน้าเป็นพัลวัน เพลงดาบนั้นมีความคล้ายคลึงกับเพลงดาบที่เขาร่ำเรียนมาอยู่หลายส่วน ประดาบกันได้เพียงครู่ ดาบของสีหราชก็ดื่มเลือดร่างตรงหน้าได้หลายครา ปลายดาบฟันเข้าที่หัวไหล่ขวาและต้นขาซ้ายของชายในชุดพราง สร้างความเจ็บใจและอับอายยิ่งนัก

“วันนี้ แม้นเจ้าจะมีปีก ก็อย่าหมายว่าจะรอดไปได้!” ฝ่ายนั้นกระชับดาบแน่นก่อนจะโผนจ้วงแทงอีกครั้งด้วยโทสะ

สีหราชกัดกรามกรอด โลหิตสีแดงที่เริ่มหยาดหยดมากขึ้นจากหัวไหล่และการขยับร่างกายรวดเร็วยิ่งกระตุ้นให้เขาเสียเลือดมากขึ้น ดวงตาตรงหน้าเริ่มพร่างพราย ภาพตรงหน้าคล้ายวิบวับไม่นิ่ง ชายหนุ่มกลืนน้ำลายก่อนจะสะบัดหน้านิด ๆ เรียกสติให้คืนมา แต่แล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อร่างสูงในชุดพรางแทงเสือกพรวดเข้ามา มือขวาของสีหราชปัดปลายดาบคมกริบนั่นออกอย่างฉุกละหุก แต่แล้วเจ้าตัวก็ต้องเบิกตากว้างเมื่ออีกฝ่ายเล่นไม่ซื่อด้วยการซัดฝุ่นผงบางอย่างเข้าตา ก่อนจะกระชากกริชที่เหน็บขัดไว้ด้านหลังด้วยมือซ้าย ร่างที่โจนจ้วงเข้ามาเต็มแรง ทำให้สีหราชยกท่อนแขนขึ้นกันแล้วผงะตัวหลบ แต่ก็คล้ายจะไม่พ้น

ประกายคมวิบวับของกริชชวาล้อแสงไฟจากกองเพลิงตรงหน้า...

แต่แล้วก็พลันมีก้อนสีขาววูบโผนเข้ามาจากด้านข้างก่อนจะคล้องคอเขาไว้แน่น แรงผลักเต็มแรงทำให้เขารอดพ้นปลายกริชนั้นอย่างหวุดหวิด ทั้งสองล้มลงบนพื้นดินทันที ร่างนุ่มนิ่มและกลิ่นเหงื่อจาง ๆ ที่เขาคุ้นเคยแนบชิดอยู่เบื้องหน้า มือเรียวยาวสองข้างโอบลำตัวเขาไว้แน่น แววตาคล้ายปรีดาของเจ้าตัวเล็กก่อนจะยกมือขึ้นลูบหน้าสีหราช

“อ้ายสีห์..เป็นไรฤา..ไม่” เสียงนั้นคล้ายหอบเหนื่อย

“เมืองอินทร์ ! เจ้า !” สีหราชตาตื่น แต่ก่อนที่เขาจะทันทำสิ่งใด ความรู้สึกเหนอะหนืดเลอะฝ่ามือหนาของเขา ความอุ่นนั่นทำให้หัวใจสีหราชเย็นวาบ เพราะมันไม่ได้มาจากร่างของเขา สีหราชรีบพลิกร่างเล็ก  ๆ นั่นทันควันก่อนจะตื่นตะลึงเมื่อแผ่นหลังกว้างของเมืองอินทร์กำลังโซมไปด้วยเลือดที่พรั่งพรูออกจากแผลเหวอะหวะจากกริชที่กระชากออกจากแผ่นหลังนั้น

“อ้ายสีห์....ไม่บาดเจ็บใช่ฤา...” ดวงตาหรี่หรุบอย่างโล่งใจของเจ้าตัวเล็ก ริมฝีปากที่เคยแดงสดกลับเริ่มซีดลง

“อ้ายอินทร์ห้ามหลับ ! ตื่นบัดเดี๋ยวนี้ !” สีหราชตะโกนก้อง ดวงตาทั้งคู่แดงฉานก่อนจะเขย่าร่างเล็ก ๆ ตรงหน้า

สีหน้าของชายชุดพรางคล้ายตื่นตะลึงกับผลลัพธ์ตรงหน้า มันจ้วงแทงเต็มแรงหมายเอาชีวิตยอดศิษย์อันดับหนึ่งของสำนัก แต่มิคาดว่าจะมีผู้โผนเข้ามารับคมกริชชวานั่นแทนร่างหนาอย่างไม่เสียดายชีวิต ดวงตาสีหราชหันขวับมามองร่างที่ยืนตื่นตะลึงก่อนจะกระชากดาบที่ร่วงหล่นบนพื้นดินขึ้นมาทันควัน

แววตาอำมหิตไร้แววของสีหราชเบิกกว้าง ดวงตาที่จดจ้องร่างที่เป็นเหยื่อตรงหน้าอย่างหมายหัว สายตานั่นทำให้มันตัวชาก้าวไม่ออกแม้แต่ก้าวเดียว ขณะที่เสียงโห่ไล่เข้ามาและฝีเท้าม้าจำนวนมากจากด้านหลังบอกชัดว่า ผิดแผนเสียแล้ว เหล่าสมุนของมันแตกฮือกระโจนโผนขึ้นม้าที่ผูกไว้ เหลือเพียงมันผู้เดียว แต่ก่อนที่มันจะทันได้ทำสิ่งใด ชั่วพริบตาเดียวสีหราชกระชากโผนเข้ามาสุดแรงก่อนจะกระชากดาบตวัดฉับในคราเดียว ศีรษะของผู้อุกอาจพลันร่วงลงกลิ้งบนผืนดิน เลือดแดงฉานพุ่งกระฉูดราวกับน้ำพุจากร่างที่ไร้ศีรษะนั้น ก่อนจะกระตุกริก ๆ และล้มฮวบลงกับพื้น

สีหราชไม่ทำสิ่งใดนอกจากปราดเข้าไปหาร่างเล็ก ๆ ที่ซีดเผือด มือนั้นช้อนประคองร่างบอบบางของเมืองอินทร์ไว้แนบกาย มิไยว่าเหล่าผู้บุกรุกจะแตกตื่นและรีบเร้นกายกายไป หรืออ้ายเชิดอ้ายมิ่งจะปราดเข้ามาประคองร่างที่โชกเลือดของสีหราช แต่ยามนี้เขาไม่ได้ยินสิ่งใดอีกแล้ว ราวกับหูดับไปชั่วขณะ ดวงตาเขาจับจ้องเพียงร่างเล็ก ๆ ที่สลบนิ่งในอ้อมแขน

“อ้ายอินทร์ เมืองอินทร์ ! ตื่นบัดเดี๋ยวนี้ ! ตื่น !”

...ใจข้าเอ๋ย...อย่าเพิ่งดับไป...อย่าทิ้งข้า...อย่าทิ้งกันเยี่ยงนี้..เมืองอินทร์ !

 ..........................................................................................
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซีพีเรียด] ข้าชื่อสีหราช...by ButlerofLOVE++ (Yaoi) (บทที่ 12)
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 08-08-2020 01:06:54

บทที่ 12. เจ็บที่กลางใจใช่..ที่หลัง

ยังมิทันจะใกล้รุ่ง หากแต่สมุหพระกลาโหมกลับเดินไปมาอย่างกระสับกระส่าย นั่งไม่ติดอยู่บนเรือนใหญ่ก่อนจะหันขวับมองผู้ที่เร่งก้าวขึ้นมาบนเรือน ท่ามกลางข้าทาสบริวารจำนวนมากที่ถูกปลุกขึ้นมาด้วยเสียงอาละวาด ชายผู้มีศักดิ์ก้าวตรงไปกระชากเสื้อของขุนศรี ผู้เป็นบุตรชายคนรองที่ก้าวมายืนอยู่ตรงหน้า ก่อนจะกัดกรามแน่นหน้าตาขมึงทึง ขณะที่คนจากสำนักดาบของพ่อสินยืนจ้องทุกคนบนเรือนด้วยสายตาโกรธแค้น อ้ายเชิดผู้ส่งสาร...เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือดที่เปื้อนมือและดาบ

ข่าวการปะทะกันนอกวังหลวงของขบวนเกวียนขนดาบเข้ากรมกลาโหมนั้น ไหม้มาถึงที่เรือนใหญ่แห่งนี้แล้ว...

“ไอ้ศรี ! มึงทำงานประสาอันใดกัน ทำไมถึงปล่อยให้มีผู้มุ่งร้ายแบบนี้ได้!” สมุหพระกลาโหมเหวี่ยงลูกชายโครมลงไปกองกับพื้น แล้วจึงเดินไปนั่งที่ตั่งไม้แล้วตบเปรี้ยงอย่างเจ็บใจ ร่างที่ก้มหน้างุดอยู่ตรงหน้ากัดฟันแน่นด้วยความละอายใจปนอับอาย

“ข้า...ข้าก็ไม่รู้ว่า ข่าวนี้รั่วไปได้อย่างไร ข่าวเรื่องการสั่งตีดาบรวมถึงวันเวลาที่จัดส่งดาบให้แก่วังหลวง ข้าก็เก็บงำไว้ไม่เคยแพร่งพราย...” ขุนศรีละล่ำละลัก ก่อนที่จะเงยหน้ามองผู้เป็นบิดา

“ระยะนี้ในวังหลวงกำลังระส่ำระสายด้วยพระอาการประชวรที่บ่อยขึ้น บางกลุ่มบางก้อนก็เริ่มกำเริบเสิบสาน ขุนนางบางส่วนก็ไว้ใจมิได้ ยิ่งเหล่าเชื้อพระวงศ์ด้วยกันยิ่งแล้ว หากปล่อยให้พวกกบฏเหล่านี้ได้อาวุธไปจักเสียหายเพียงใด ! เจ้าคิดบ้างฤาไม่ ! นี่ดีเท่าไหร่แล้วที่อ้ายสีหราชและทางนั้นป้องกันจนพวกมันต้องถอยร่นไป!” สมุหพระกลาโหมตะโกนลั่นอย่างเดือดดาล

สมุหพระกลาโหมจ้องมอง อ้ายศรี บุตรชายคนรองที่เกิดจากนางเอียด นางทาสผู้งดงามนางนั้นด้วยความคับแค้นใจ หากไม่คิดถึงแม่เอียดแล้ว อ้ายศรีจักต้องโดนโบยเป็นแน่ ลูกทาส..ควรอยู่แต่ในเรือนทาส แต่เพราะเขาหลงใหลนางเอียดยิ่งนัก ความเมตตาจึงเผื่อแผ่มาถึงลูกชายด้วย

อ้ายศรีถูกชุบเลี้ยงไว้บนเรือนดีกว่าทาสทั่วไป พออายุได้เกณฑ์บวชเรียน มันก็สู้พาไปฝากฝังกับพระอาจารย์ให้ได้ศึกษาหวังจะให้เติบใหญ่ก้าวหน้า แต่อ้ายศรีหัวไม่ดี ถึงจะผลักดันเท่าใดก็ยังคงเป็นได้เพียงขุนศรี...มายามนี้ เรื่องเล็ก ๆ ที่ให้ดูแลกลับทำผิดพลาด !

“แล้วพ่อ วางใจให้งานคนพรรค์นี้ดูแลได้เยี่ยงไร” น้ำเสียงของหลวงนรรัตน์ ผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชายต่างมารดาเอ่ยอย่างดูแคลนผู้ที่ก้มอยู่ตรงหน้า แววตาฉายแววรังเกียจอย่างไม่ปิดบัง ก่อนจะหันไปเอ่ยคำขอโทษกับอ้ายเชิดที่เป็นคนวิ่งมาส่งข่าวในคราวนี้

“ทางเราต้องขอสอบสวนเรื่องราวเหล่านี้ก่อน แล้วจักแจ้งไปยังพ่อสินอีกครา ว่าแต่ครั้งนี้เสียหายมากเท่าใด ฝ่ายกบฏขนอาวุธไปได้มากน้อยเพียงใดกันฤา...”

อ้ายเชิดกัดฟันแน่นก่อนจะหันมองพวกพ้องที่มาด้วยกัน เสียงอ้ายเชิดกดต่ำอย่างพยายามระงับใจก่อนจะเอ่ยเบา ๆ

“ข้ามาเพียงเพื่อรายงานเท่านั้น...ดาบทุกเล่มยังอยู่ครบ แต่เราจักไม่เป็นผู้ขนอีกแล้ว ขอให้ทหารจากในวังหลวงมาเป็นผู้รับเองที่สำนักเถิด...หากไม่มีสิ่งใดแล้ว พวกข้าขอตัว” อ้ายเชิดตอบเพียงเท่านั้น

มันเคืองแค้นยิ่งนัก เพราะการขนส่งครานี้ก็เป็นเพราะคำสั่งจากทางสมุหพระกลาโหมสั่งการมาเองว่าให้พวกมันขนมาเงียบเชียบ หากไม่เช่นนั้นแล้ว...คงไม่เกิดเรื่องร้ายกับ...

นึกได้ถึงเท่านี้ อ้ายเชิดก็แทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ด้วยความสงสารเพื่อน

...............................................................

มือหนาเกาะกุมท่อนแขนของร่างที่หลับสนิทไว้ไม่ห่างกาย ใบหน้าหวานที่ซีดเผือดราวกระดาษนอนนิ่งอยู่ตรงหน้า แม้ว่าจะมีหมอที่เก่งที่สุดของหมู่บ้านมาดูแผลแล้วก็ตาม แม่คำหล้าก็เอาแต่ร่ำไห้และเช็ดน้ำตาป้อย ๆ อย่างสงสารร่างที่นอนซมไม่ได้สติ สีหราชได้แต่กัดกรามแน่น มือหนาบีบกระชับมือเรียวบางที่นิ่งสนิทอยู่บนตั่งในห้อง เลือดที่สะบักไหล่ยังคงไหลซึมออกจากแผล มิไยว่าแม่คำหล้าจะบรรจงใส่สมุนไพรห้ามเลือดแล้วก็ตาม กลิ่นยาหม้อที่แม่คำหล้าต้มมาอวลคลุ้งทั่วห้อง...แต่ก็ไม่อาจทำให้ใจคนเฝ้าไข้คลายความร้อนใจลงได้เลย

แผลลึก...ลึกมาก...

ภาพที่ไอ้ตัวร้ายนั่นมันเสือกกริชพรวดเข้ามา แล้วเจ้าตัวจ้อยออกรับแทนเขายังติดตาอยู่จนบัดนี้

กริชนั่นปักเข้าไปก่อนจะหมุนบิดกระชากออก เนื้อถูกคว้านก่อนจะกระซวกกริชออก...

เขาเร่งรุดนำร่างที่เจ็บหนักของเมืองอินทร์กลับมาที่เรือน จนไม่ได้ลากศพไร้หัวนั่นมาด้วย กว่าจะนึกได้แลสั่งให้อ้ายเชิดอ้ายมิ่งกลับไป ศพไร้หัวนั้นก็พลันหายไปเสียแล้ว...เบาะแสหายลับไปกับสายลม

เมื่อนึกได้เพียงเท่านี้...ก็ต้องกลั้นหายใจอย่างเจ็บแค้น

เสียงเปิดประตูแผ่วเบาตรงหน้าทำให้สีหราชหันขวับไปมอง ร่างสูงในชุดแต่งกายอย่างฝรั่งก้าวเข้ามาในห้อง สีหราชผุดลุกทันทีก่อนจะกางกั้นร่างเล็กไว้ สายตาคมขมวดมุ่น แต่ก่อนที่เจ้าตัวจะทันทำสิ่งใด พ่อสินก็รีบก้าวเข้ามา

“เสด็จท่านทรงทราบข่าวที่เกิดแล้ว เลยส่งพ่อหมอฝรั่งมาดูอาการเจ้าอินทร์มัน...อ้ายสีห์หลบให้เขาเถิด...”

ประโยคนั้นทำให้อ้ายสีหราชยอมถอย...แต่ยังจับตามองอย่างระแวดระวัง พ่อหมอฝรั่งสูงวัยก้าวเข้ามาพร้อมกับล่วมยาที่บรรจุขวดยาสรรพต่าง ๆ ไว้ แม่คำหล้าผวาเฮือกเมื่อร่างตรงหน้าคล้ายจะเทบางสิ่งสีขาว ๆ ลงในถ้วยยาสีขาว

“ฝรั่งมังค่า...จะเชื่อถือได้ฤา พ่อสิน...” แม่คำหล้าเอ่ยอุบอิบแล้วลอบส่ายหน้า

“แม่คำหล้า...ยาฝรั่ง...มันก็ใช้ได้อยู่นะ...” พ่อสินแตะมือแม่คำหล้าที่ผวาคล้ายจะไม่เชื่อถือ แต่พ่อหมอตรงหน้าหันมายิ้มนิด ๆ ก่อนจะเอ่ยภาษากระท่อนกระแท่น

“ยา..ฝรั่ง...ช้ายยด้ายย ฆ่าเชื้อดี” ว่าแล้วเจ้าตัวก็จัดยาต่าง ๆ ให้คนเจ็บตรงหน้า แล้วสั่งการเบา ๆ ยาต้องให้คนป่วยทุก 3 เวลา จนกระทั่งเสร็จสิ้นกระบวนการรักษาก็ค้อมกายเตรียมลากลับ สีหราชควักอัฐในผ้าออกยื่นให้โดยไม่นับ แต่พ่อหมอชราผิวขาวกลับโบกมือไม่รับ ใบหน้าเปื้อนยิ้มก่อนจะพยักหน้าให้สีหราช

“เสด็จท่านให้มา...อัฐไม่ต้องจ่าย...” สิ้นเสียงนั้นก็รีบผลุบลงจากเรือนไป ทิ้งให้อ้ายสีหราชยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น

เสด็จพระองค์ชายชาญนพ...มีน้ำพระทัยเหลือเกิน แม้ยามที่วังหลวงระส่ำระสายเช่นนี้...

ไอ้มันพวกนั้นเป็นใครกันแน่ ! หรือว่าข่าวลือที่ว่ากำลังมีการซ่องสุมกำลังคนเตรียมการกบฏจะเป็นเรื่องจริง !

ประโยคที่ร่างนั้นหัวเราะก่อนจะสิ้นใจใต้คมดาบ ย้อนกลับมาอีกครา

“ดาบของเจ้า พวกข้าขอก็แล้วกัน...ของดีอย่างนี้เป็นประโยชน์กับพวกข้า”

ดาบจำนวนมาก หากปล้นสะดมไปได้จริง ย่อมเกิดความฉิบหายย่อยยับแก่วังหลวงเป็นแน่ !

“ท่านสมุหพระกลาโหมมาเจ้าค่ะ อ้ายสีหราช...” เสียงบ่าวรับใช้วิ่งกระหืดกระหอบมาแจ้งข่าว สีหราชหันขวับตามเสียงนั้น ร่างหนาของสมุหพระกลาโหมมาถึงเรือนพร้อมกับกลุ่มบริวารจำนวนมาก ข้าวของต่าง ๆ ที่บ่าวรับใช้ถือในมือถูกยื่นให้แก่สมุหพระกลาโหม แล้วจึงส่งต่อมาให้เขาอีกทอดหนึ่ง แต่สีหราชมองเฉยไร้แววตายินดี ดวงตาคมคร้ามเงยขึ้นสบตาผู้เป็นอาคันตุกะ

“ข้า...มาเยี่ยมพวกเจ้า เป็นกระไรกันบ้าง รู้ข่าวก็นั่งไม่ติดทีเดียว เลยเร่งมาที่นี่เอง...”

“ขอบพระคุณในน้ำใจของท่าน สมุหพระกลาโหม...” สีหราชเอ่ยอย่างเมิน ๆ ก่อนจะสวนกลับอย่างไม่ไว้หน้า

“แต่ท่านควรจักเอาเวลานี้ไปเร่งหาตัวการที่ลอบปล้นชิงดาบดีกว่ากระมัง!” 

ประโยคนั้นทำเอาสมุหพระกลาโหมกำมือแน่นด้วยความเคืองจัด

ไอ้หนุ่มนี่...หากมันมิได้เป็นบุตรบุญธรรมของเจ้าจอมมารดาพิมและเป็นน้องบุญธรรมของเสด็จพระองค์ชายชาญนพละก็ เขาจักไม่ไว้หน้ามันเป็นแน่ ! เป็นใครกันถึงกล้าดีมาลูบคมของมหาอำมาตย์แห่งกรุงเช่นนี้ !

“อ้ายสีห์...เจ้าไปข้างในดูอาการอ้ายอินทร์มันก่อนเถิด ทางนี้พ่อจะต้อนรับท่านสมุหพระกลาโหมเอง” พ่อสินรีบก้าวเข้ามาก่อนจะไล่คนใจร้อนให้กลับเข้าไปด้านใน

“ขอสมุหพระกลาโหมโปรดอภัยด้วย อ้ายสีห์ออกจะใจร้อนไปบ้าง เพราะคนที่เจ็บหนักอยู่นั้นคือเมืองอินทร์ที่มันรักดุจน้องชาย เลี้ยงดูมาด้วยกันแต่น้อย หากมันล่วงเกินอะไรท่านไปบ้างโปรดอย่าถือสาคนหนุ่มใจร้อนเลยหนา...”

.......................................................

ดวงตากลมใสค่อย ๆ กระพริบตา และลืมตาขึ้นช้า ๆ สิ่งแรกที่เห็นคือหลังคาห้องหับของมันเอง เมืองอินทร์ค่อย ๆ ขยับตัวช้า ๆ แต่ก็นิ่วหน้าด้วยมีบางอย่างที่หนักวางทับอยู่บนอก เมื่อกะพริบตาให้เห็นชัด ๆ จึงรู้ว่าเป็นท่อนแขนหนาของสีหราช เมืองอินทร์ค่อย ๆ ขยับอีกครา แต่ครั้งนี้ดูท่าจะแรงไปจึงปวดแปล๊บที่แผลด้านหลัง เจ้าตัวนิ่วหน้าพลันก่อนจะอุทานเบา ๆ

“โอ๊ะ !”   

เสียงอุทานทำให้ร่างที่งีบหลับข้าง ๆ สะดุ้งเฮือกขึ้นมาทันที ก่อนจะเงยหน้าเอ่ยปากอย่างดีใจ

“เจ้าฟื้นแล้ว เมืองอินทร์!” ดวงตาคมเข้มของคนเฝ้าไข้ ยามนี้กลับแดงก่ำราวกับอดนอน เสื้อผ้ายับยู่..เหมือนจะปล่อยตัวมาหลายวัน เพราะเห็นไรหนวดเขียวครึ้มจาง ๆ หัวยุ่งกระจุยกระจาย ภาพนี้ดูไม่คุ้นตาเมืองอินทร์เอาเสียเลย

“อ้าย...อ้ายสีห์ เหตุใดมาอยู่ที่นี่ได้...” เสียงคนป่วยแหบ...โหยคล้ายคอแห้งผาก

“ก็มาเฝ้าไข้เจ้าอย่างไร ไม่รู้ฤาว่าเจ้าหลับไปถึง 3 วันสามคืน ทำเอาทั้งเรือนกินไม่ได้นอนไม่หลับกันไปหมด...” เสียงดุอย่างไม่จริงจังนัก ทำให้คนป่วยค่อย ๆ ยิ้มแหย ๆ แต่ก็ต้องหุบยิ้มเมื่อคนตรงหน้ากล่าวคาดโทษหนัก

“เหตุใดเจ้าบ้าบิ่นเยี่ยงนี้ เนื้อตัวไม่ใช่เหล็กไหล แต่กลับโผนมารับคมมีดแทนข้า โง่จริง !” สีหน้าคนเฝ้าไข้ขุ่นเคืองจัด

“ข้า...ข้าไม่ทันคิด...ข้าแค่กลัวว่าท่านจะบาดเจ็บ” สีหน้าก้มงุด ๆ ลงของคนป่วยทำเอาคนดุไม่อาจเอ่ยอะไรได้ต่อ

“แล้วอย่างไร ? ไม่กลัวตัวเองเจ็บหรือไร?” สีหราชเอ่ยอย่างน้อยใจ

“หากเจ้าตายไป...ข้าจะทำเยี่ยงไร...” เสียงนั้นแผ่วลงราวกระซิบ มือหนาลูบวงหน้าของคนป่วยอย่างเบามือ ลูกผมที่รุ่ยร่ายเรี่ยตรงขมับถูกเจ้าตัวรวบไปทัดไว้ที่ข้างหู

“เจ้าใจร้ายนัก...เมืองอินทร์...” สายตาที่ทอดหวานปนตัดพ้อของสีหราชที่ทรุดกายข้างตั่งทำให้ใจคนฟังไหวยวบ...

เหตุใดอ้ายสีห์...ถึงอ่อนโยนนัก...แล้วเหตุใด หัวใจจึงเต้นไม่เป็นส่ำกับสายตาเช่นนี้...

“ข้า...ข้า...ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง...” ก่อนเจ้าตัวจะรีบหลับตาลงเป็นเชิงตัดบท ก่อนที่คนตรงหน้าจะรู้ว่าหัวใจคนป่วยยามนี้เต้นรัวเพียงใด...แต่แล้วเสียงบานประตูเปิดออก แม่คำหล้าเดินอุ้ยอ้ายเข้ามาพร้อมกับบ่าวอีกสองสามคน ผ้าชุบน้ำในขันสาครบอกชัดว่าเตรียมเช็ดตัวให้คนป่วย สีหน้าแม่คำหล้าตื่นเต้นยิ่งนักก่อนจะรี่เข้ามาหาเมืองอินทร์ที่หันมายิ้มจาง ๆ ให้

“อ้ายอินทร์ คุณพระคุ้มครองแท้ ๆ เจ้าฟื้นแล้ว” สตรีในชุดผ้าแถบยกผ้าคาดอกขึ้นซับน้ำตา ก่อนจะลูบหน้าลูบหลังเจ้าตัวน้อย สีหราชตั้งท่าจะเดินออก แต่แม่คำหล้ารีบรั้งไว้ก่อน

“อ้ายสีห์...ไหน ๆ อ้ายอินทร์ก็ฟื้นแล้ว เจ้าช่วยข้าพลิกตัวมันสักหน่อยได้ฤาไม่ ข้าจักได้ดูแผลด้านหลัง”

“ข้าพลิกตัวได้...ให้อ้ายสีห์ออกไปเถิด..” คนป่วยละล่ำละลัก ใบหน้ามีสีเลือดซับจาง ๆ  แต่กลับโดนแม่คำหล้าตีเผียะเข้าให้อย่างมันเขี้ยว

“เพิ่งฟื้นไข้ ตัวยังรุม ๆ อยู่ ยังจะปากเก่งอีกหนา อ้ายอินทร์ ให้พี่เขาช่วยจักเป็นอันใด” ประโยคเชิงดุทำให้เจ้าตัวเม้มปากหน้ามุ่ยก่อนจะยอมให้มือหนาค่อย ๆ ช่วยพลิกตะแคงข้างให้ สีหราชซ่อนยิ้มกับกริยาแสนดื้อดึงของคนตรงหน้า

แผ่นหลังขาวผ่องของเจ้าตัวพลิกตะแคงอยู่เบื้องหน้า สะบักไหล่ด้านที่ถูกกริชแทงถูกโปะด้วยสมุนไพรแลพันทบด้วยผ้าสำลี

แม่คำหล้าค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลออกอย่างเบามือ ปากแผลที่โดนกริชนั้นแดงก่ำ ฤทธิ์ของกริชบิดกระชากเนื้อข้างใน ปากแผลภายนอกดูเหมือนจะไม่หนักหนา หากเมื่อแม่คำหล้าค่อย ๆ คีบเอาเศษผ้าชุบยาสมุนไพรออกทีละน้อย ทำให้เห็นว่าด้านในนั้นลึกเพียงใด สีหน้าเจ้าตัวเหยเกกัดฟันแน่นด้วยความเจ็บ แต่ตัวจ้อยนี่ใจเด็ดนัก เพราะแม้กัดฟันแน่นเพียงใดก็ไม่ยอมร้องโอดครวญออกมาสักแอะ มีเพียงน้ำตารื้นนิด ๆ ที่หางตาและมือที่กำแน่น

หากเป็นตัวเขาเอง ตำแหน่งที่กริชปักอยู่คงไม่แคล้วหัวใจ...คืนนั้นเขาคงเป็นผีอยู่ริมป่านั่นเอง

...อ้ายสีห์คนนี้เป็นหนี้ชีวิตไอ้ตัวเล็กตรงหน้า...

มือหนาบีบแขนเจ้าตัวเล็กแน่นขึ้นก่อนจะคลายลงแล้วลูบแขนเบา ๆ เชิงปลอบใจ

“เบามือหน่อยเถิดแม่คำหล้า...อ้ายอินทร์มันเจ็บ...” ประโยคนั้นไม่ได้มาจากคนป่วย หากมาจากปากไอ้คนตัวโตกว่า

“เอ่อ...อย่าแรงนักสิแม่...เลือดมันไหลแล้วเห็นฤาไม่...” เสียงนั้นตามมาด้วยอาการสูดปากแทนคนเจ็บ

“อ๊ะ...อย่าโดนปากแผลได้ฤาไม่ ไล้น้ำผึ้งเบา ๆ ก็พอกระมัง”

ประโยคแรกยังพอทำเนา แต่มาประโยคที่สองและสาม ทำเอาแม่คำหล้าหันมาตาเขียวใส่คนตัวโต ท่าทางนั้นทำเอาบ่าวรับใช้สองสามคนก้มหน้ากันซ่อนยิ้ม

“อ้ายสีห์ ! คนเจ็บยังไม่เอ่ยสักแอะ แต่คนประคองนี่เจ็บแทนงั้นฤา...” สีหน้าสตรีท้วมคล้ายจะค้อนเบา ๆ ก่อนจะกระฟัดกระเฟียดส่งไม้พันสำลีที่เปื้อนน้ำผึ้งยื่นส่งให้คนตัวโตตรงหน้า สีหราชทำหน้าเหรอหราอึกอัก

“เอ้า ! ถ้ากลัวมันเจ็บนัก ทำเองดีฤาไม่ เอาไม้พันน้ำผึ้งนี่แตะไล้แผลฆ่าเชื้อเสีย ไม่อย่างนั้นอ้ายอินทร์มีหวังบาดทะยักกินตาย !”

คนตัวโตทำหน้าคล้ายกลืนไม่เข้าคายไม่ออกก่อนจะรับไม้พันสำลีมาไว้ในมือ ก่อนจะยื่นหน้าไปใกล้คนที่หันตะแคงหลังให้อยู่

“ข้า..จะพยายามเบามือกับเจ้า...” เสียงกระซิบเบา ๆ ข้างหู แลลมหายใจอุ่นที่ปะทะข้างแก้มขาว ๆ นั่นทำเอาคนเจ็บหน้าแดงก่ำก่อนจะเม้มปากแน่น เคราะห์ดีที่เจ้าตัวหันตะแคงให้ทำให้คนกระซิบไม่เห็นสีหน้าของเจ้าตัวจ้อย มีเพียงการผงกศีรษะเบา ๆ เชิงตอบรับนิด ๆ

แม่คำหล้ามองภาพตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง ไม่น่าเชื่อว่าคนที่เอาแต่จับดาบมาตลอดชีวิตอย่างอ้ายสีห์ จะเบามือกับร่างตรงหน้าได้ แม่คำหล้าว่าตัวเองมือเบาแล้วแต่อ้ายสีห์นั้นกลับมือเบายิ่งกว่า ไม้พันสำลีชุบน้ำผึ้งนั้นค่อย ๆ ไล้ไปตามร่องแผลอย่างแผ่วเบา มีเพียงหยดน้ำผึ้งที่ไหลรินลงไปในร่องแผลช้า ๆ เรียกว่าเป็นการทำแผลที่แทบจะไม่กระเทือนตัวคนเจ็บเอาเลย หลังจากเสร็จแล้วเจ้าตัวก็บรรจงเอาผ้าสำลีนึ่งสะอาดกดประทับลงบนปากแผลก่อนใช้ผ้าสำลีแบบยาวค่อย ๆ พันขวางคาดรอบอกของคนเจ็บ

สัมผัสนั้นอ่อนโยนยิ่งนักดุจมารดาทำให้ลูกน้อย....ช่างต่างจากอ้ายสีหราชคนใจร้อนคนนั้นราวกับเป็นคนละคน...

“เจ็บ..ฤาไม่..” เสียงกระซิบเบา ๆ ทางด้านหลังจากคนพันแผลเอ่ยขึ้นคล้ายไม่แน่ใจผลงานตัวเอง ทำให้เมืองอินทร์หน้าแดงขึ้นมาอีกรอบก่อนจะพึมพำอุบอิบตอบกลับ

“มะ...ไม่เจ็บแล้ว อ้ายสีห์...ขอบคุณ..”

“มิคาดว่าในวังจะสอนเจ้าทำแผลเรื่องพวกนี้ด้วยฤาอ้ายสีห์ เห็นคล่องแคล่วนัก ถ้ารู้เช่นนี้ ข้าจักให้เจ้ามาดูแลอ้ายอินทร์ตั้งแต่วันแรกเสียก็ดี...” เสียงแม่คำหล้าหัวเราะเบา ๆ อย่างพอใจ

“นักดาบ...บาดเจ็บเป็นเรื่องธรรมดา พวกข้าต้องทำแผลตัวเองเป็นอยู่แล้ว มิฉะนั้นหากต้องอยู่ในดงศัตรู ฤาในป่า จะหาผู้ใดมาทำแผลให้ได้เล่า...” เสียงสีหราชเอ่ยเบา ๆ อย่างไม่ใส่ใจ ดวงตาทั้งคู่ยังคงจดจ้องที่แผ่นหลังขาวตรงหน้าอย่างห่วงใย

แม่คำหล้าค่อย ๆ เช็ดตัวส่วนต่าง ๆ ให้กับคนป่วยบนเตียงอย่างเบามือ ขณะที่เมืองอินทร์รู้สึกราวกับว่าอยากหายตัวไปในบัดดล เพราะดวงตาคมคร้ามนั่นจ้องมาอย่างไม่เกรงใจเอาเสียเลย ผิวขาว ๆ ของคนป่วยถูกจับจ้องจนเจ้าตัวอยากละลายเป็นน้ำไปเสียตรงนี้

"อ้ายสีห์...จดจ้องอยู่อย่างนั้น จะเข้ามาช่วยฤาไม่เล่า..."

เสียงแม่คำหล้านั้นเรียกสติให้คนเผลอมองเพลิน ขยับตัวขยุกขยิกอย่างกระสับกระส่ายเหมือนไม่รู้ว่าจะวางมือวางไม้ไว้ตรงที่ใด

"เอ่อ...ข้า...ให้ข้าออกไปก่อนจะดีฤาไม่" คนเผลอจ้องเพลินอึกอัก

"พลิกตัวก็พลิกแล้ว ทำแผลก็ทำแล้ว มาช่วยเช็ดตัวสักหน่อยจักเป็นไรเล่า" แม่คำหล้าสั่งการ

"ข้าจักเช็ดแขนให้อ้ายอินทร์ ส่วนเจ้าช่วยเช็ดขาให้ได้ฤาไม่..."

ประโยคนั้นทำเอาเมืองอินทร์สะดุ้งโหยง สีหน้าแดงก่ำทันทีเมื่อมือหนาเหมือนจะสั่นนิด ๆ ก่อนจะจับปลายขาเรียวของมันไว้ ดวงหน้าคมคร้ามของอ้ายสีห์เหมือนจะพยายามไม่มองที่ใดนอกจากปลายขา ผ้าชุบน้ำจากขันสาครถูกบ่าวสองคนยื่นให้ มือหนาลูบผ้าเปียกจากปลายขาขึ้นมาเรื่อย ๆ

ผ้าเย็นก็จริง...แต่เหตุใด ใจมันไหววูบวาบเล่า ? 

สัมผัสทำให้เมืองอินทร์รู้สึกราวกับจะไข้กลับ...มือร้อนนั่นลูบผ้าเช็ดให้ตามข้อพับ แต่กลับวาบไปถึงกลางใจแล้วลามไปที่ใบหน้า

"พะ...พอแล้วอ้ายสีห์ ข้าเช็ดเองได้ !" เมืองอินทร์ละล่ำละลักเมื่อมือหนาเหมือนจะลังเลว่าจะลาก "ขึ้น" ไปดีฤาไม่

"อ้าว อ้ายอินทร์ นี่เอ็งไข้ขึ้นอีกแล้วละฤา...หน้าแดงก่ำอีกแล้ว..เอ..ตัวก็ไม่ร้อนนี่นา..."

เสียงแม่คำหล้าอุทานอย่างตกใจก่อนจะลูบหน้าลูบหลัง แล้วรีบวางผ้าลงทันที

"อ่ะ...พอ ๆ เดี๋ยวไข้กลับอีก ไม่ต้องเช็ดต่อแล้ว..."

ประโยคนั้นทำให้เมืองอินทร์ถอนหายใจพรูใหญ่ ขณะที่คนตรงหน้าก็มีสีหน้าแดง ๆ ไม่ต่างกัน แล้วรีบโยนผ้าเปียกตัวการนั่นให้กับบ่าวที่นั่งรออยู่ตรงปลายตั่ง ขณะที่แม่คำหล้าหันไปหาบ่าวแล้วพยักหน้าให้ส่งชามข้าวต้มอุ่น ๆ มาให้ ก่อนที่สีหราชจะช่วยพยุงตัวคนป่วยลุกนั่งทานข้าว

"กินข้าวสักหน่อย แล้วเจ้าจะแข็งแรงขึ้นนะอ้ายอินทร์..." เสียงแม่คำหล้าเอาใจคนป่วย แต่ก็ต้องงุนงงเมื่อสีหราชแบมือตรงหน้าแล้วพูดหน้าตาเฉย

"เอาชามมาสิ เดี๋ยวข้าป้อนอ้ายอินทร์เอง แม่คำหล้าจักมีธุระไปที่ใดก็ไปเถิด..."

ประโยคนั้นทำให้คนป่วยหันขวับมองอ้ายสีห์ที่ออกจะเพี้ยน ๆ ผิดแผกไปกว่าเดิม

...อ้ายสีห์คนเดิมที่มุทะลุ ใจร้อน ไม่ฟังใครนั่น...หายไปไหนหนอ...เหตุใดใจดียิ่งนัก...

ข้าวต้มอุ่น ๆ ถูกคนป้อนเป่าเบา ๆ อย่างตั้งอกตั้งใจทีละช้อน ๆ แล้วค่อย ๆ ประคองป้อนช้า ๆ ให้คนป่วยตรงหน้า

"ค่อย ๆ กินนะ มันร้อนไปฤาไม่...ไม่ลวกลิ้นใช่ฤาไม่..."

"กินกระเทียมเจียวเยอะมิได้ เดี๋ยวระคายคอ..."

"ผักสักหน่อยเถิดหนา...มันไล่ลมดี..."

คนป่วยมองหน้าคนป้อนอย่างงุนงง ปากก็อ้ารับทีละคำอย่างว่าง่าย...สีหราชอมยิ้มนิด ๆ เพราะเหมือนเจ้าตัวจะไม่เกเรงอแงอย่างคราก่อน

"เจ้าจำได้ฤาไม่ สมัยเด็ก ๆ ที่เจ้าเป็นไข้หลังจากจมน้ำวันนั้น ข้าป้อนข้าวเจ้า เจ้ายังโกรธข้าแทบแย่ กินข้าวไปก็แกล้งพ่นข้าวใส่หน้าข้า...จนเราทะเลาะกันลั่นห้อง พ่อสินจับข้าไปตีด้วยหวายเสียหลายครั้ง..."

"แล้วก็เป็นข้าที่ไปร้องไห้กับพ่อสิน...ขอให้ลงหวายข้าด้วยเพราะข้าแกล้งท่าน..."

เมืองอินทร์หัวเราะเบา ๆ กับเรื่องราวในครั้งยังเยาว์วัย

"สุดท้ายลงที่ว่า...โดนทำโทษให้อดข้าวด้วยกันตั้ง 3 วัน" สีหราชหัวเราะเบา ๆ 

แววตาของสีหราชทอดอ่อนโยน จนเมืองอินทร์รู้สึกเหมือนอยากมุดหายไปใต้ตั่งเสียจริง

บ่าวผู้หนึ่งก้าวเข้ามาในเรือนก่อนจะเอ่ยอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ

“อ้ายสีห์ พ่อสินให้มาตามเจ้า...”

“เรื่องอันใดอีกเล่า” เจ้าตัวขมวดคิ้วมุ่น นึกขวางไม่อยากเห็นหน้าสมุหพระกลาโหมคนนี้อีก ด้วยยังเคืองมิหาย

“สมุหพระกลาโหมว่า มีของฝากเยี่ยม เห็นว่ามาจากบุตรีของท่านเป็นผู้ฝากมาให้อ้ายสีห์”

สีหราชยกยิ้มเหยียดเบา ๆ ก่อนจะก้มหน้ากระซิบข้าง ๆ หูคนเจ็บ

"ข้าไปครู่เดียว เดี๋ยวจะกลับมา...เจ้านอนพักก่อนเถิด..."

ว่าแล้วเจ้าตัวก็ก้าวตามบ่าวไป ขณะที่แม่คำหล้าเดินสวนกลับเข้ามา สิ้นเสียงดาลประตูลั่นปิดลง อีช้อยบ่าวคนสนิทแม่คำหล้ารีบถามขึ้นทันควัน

“แม่คำหล้า...บุตรีสมุหพระกลาโหมที่ว่า ฤาจะเป็น แม่นาก ที่ว่างามนักหนาผู้นั้น...”

“หากเป็นเช่นนั้นจริง ดูท่าอ้ายสีหราชของเราจะมีภาษีกว่าลูกท่านหลานเธอองค์อื่น ๆ อีกหนา” อีแตนบ่าวอีกคนรีบผสมโรง

“แต่ข้าไม่คิดเช่นนั้นดอก...ข้าว่า สมุหพระกลาโหมคงไม่ยินยอมให้บุตรีได้กับเพียงนักดาบหลวงเป็นแน่ สมุหพระกลาโหมคนนี้ดูคล้ายจะทะเยอทะยานยิ่งนัก เห็นว่าจะพยายามถวายตัวนางให้เป็นนางในในตำหนักของเจ้าจอมมารดาพิม แต่มิรู้ด้วยเหตุใด จึงยังไม่ได้เข้าวัง” แม่คำหล้าเอ่ยเบา ๆ ก่อนจะหันมาถามเมืองอินทร์ที่ค่อย ๆ เอนตัวลง

“ว่าแต่ อ้ายสีห์ของเราชอบพอกับแม่นากบ้างฤาไม่ อ้ายอินทร์ เจ้าพอรู้ฤาไม่...”

“ข้า..ข้าไม่รู้ดอก เคยเห็นนางมาที่กาดเมื่อคราก่อน เห็นนางคล้ายจะสนิทชิดเชื้อกับอ้ายสีห์อยู่บ้าง เพราะเดินมาทักอ้ายสีห์ก่อน...” สิ้นประโยคนั้นแม่คำหล้ากับบ่าวต่างอุทานกันลั่นก่อนจะตบอก

“กระไรกัน...นางถึงขั้นทักอ้ายสีหราชก่อนเลยฤา...มิคาดว่าบุตรีสมุหพระกลาโหมจะใจกล้าเยี่ยงนี้...”

“อ้ายสีห์ของเราก็รูปร่างหน้าตางาม องอาจแกล้วกล้า ฝีมือเพลงดาบก็มิเป็นรองใคร ฤาว่านางจะพึงใจอ้ายสีห์ของเราแล้ว...” อีช้อยพูดเสียงสูงต่ำ ก่อนจะโดนแม่คำหล้าหยิกที่แขนรอบหนึ่ง

“พูดจาอะไรให้ระวังบ้าง นั่นบุตรีสมุหพระกลาโหมเจียวนะ ถ้าเขาจะพึงใจกันก็ให้เป็นเรื่องผู้ใหญ่พูดคุยกันเถิด..” ก่อนจะหันมาหาอ้ายอินทร์ที่นอนตะแคงนิ่งอยู่อย่างนั้น ท่าทีของคนป่วยคล้ายจะหลับ แม่คำหล้าจึงยกมือให้บ่าว ๆ ค่อย ๆ ลุกออกไปก่อนเจ้าตัวจะลั่นดาลประตูห้องให้อย่างเบา ๆ

สิ้นเสียงลั่นดาล ดวงตากลมใสของคนป่วยกลับลืมขึ้นแล้วเหม่อมองออกไปข้างนอก ความรู้สึกหน้าแดงเมื่อครู่ก่อนหายไปเหลือเพียงความรู้สึกประหลาดที่คล้ายจะน้อยใจ คล้ายจะอัดอั้นอยู่กลางอก...

นี่ข้า...เป็นกระไรไป...เหตุใดจู่ ๆ จึงเจ็บแผลยิ่งนัก...

..................................
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซีพีเรียด] สีหราชยมทูต Grim reaper's vacation by ButlerofLOVE++ (Yaoi)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 09-08-2020 01:49:18
 :3123:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซีพีเรียด] สีหราชยมทูต Grim reaper's vacation by ButlerofLOVE++ (Yaoi)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 20-08-2020 11:18:06
ต้องตามมม รีบมาต่อน้า
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซีพีเรียด] ข้าชื่อ...สีหราช Grim reaper's vacation+ (Yaoi)
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 20-08-2020 17:07:00
บทที่ 13 .เผลอรัก เผลอไผล

แผลลึกที่สะบักไหล่ใช้เวลาเกือบสัปดาห์จึงค่อย ๆ ดีขึ้น ยาของพ่อหมอฝรั่งและยาตำรับแม่คำหล้าทำให้แผลค่อย ๆ ดีขึ้นทีละน้อย เจ้าตัวเล็กคาดว่าหากได้ยาอีกไม่กี่เพลาก็คงเอาผ้าพันแผลออกได้ แต่เหมือนบางสิ่งในหัวใจคนป่วยจะเริ่มหงุดหงิดระคนรำคาญเมื่อยักษ์ตัวโตเดินเข้าเดินออกเรือนตนเองอยู่ทุกวันและทำราวกับเป็นห้องตัวเองก็ไม่ปาน

อะไรก็ไม่ยุ่งเท่ากับ อ้ายสีหราชทำเหมือนกับว่ามันป่วยใกล้ตายกระนั้น ไม่ว่าจะขยับตัวไปทางไหนก็มีมือเข้ามาประคองอยู่ตลอด จับท่อนแขนบ้าง ไหล่บ้าง เหมือนกันว่าถ้าไม่มีคนคอยพยุงแล้วมันจะล้มเสียอย่างนั้น มีคราหนึ่งเมืองอินทร์พยายามเหยียบตั่งเตี้ย ๆ เพื่อจะปีนคว้าเอาผ้าผวยผืนใหม่ที่วางไว้เหนือตู้ไม้ลงมา พออ้ายสีหราชเข้ามาเห็นเท่านั้นก็โวยลั่นก่อนจะปราดเข้ามาคว้าสะเอวมันไว้แล้วดึงตัวลงมา

“อ้ายอินทร์...เดี๋ยวแผลก็ได้เปิดกันพอดี จะเอาสิ่งใด ทำไมไม่บอกข้าเล่า” เสียงนั้นดังจากด้านหลัง วงแขนแข็งแรงนั้นรัดเอวมันไว้แน่นก่อนจะค่อย ๆ ปล่อยช้า ๆ แล้วหมุนตัวมันหันมามองหน้า

“อ้ายสีห์ ! อ้ายอินทร์น่ะมิใช่หญิงท้องแก่ที่ต้องให้เจ้าดูแลดอกหนา !” ประโยคนั้นดังขึ้นจากแม่คำหล้า ทำเอาเมืองอินทร์หน้าแดงก่ำไปด้วยขณะที่คนหน้าหนากว่าทำราวกับว่าไม่ได้ยินกระนั้น

“เกิดแผลปริขึ้นมาจะทำเยี่ยงไร...” ยักษ์ตัวโตก้มมองเมืองอินทร์ สายตาดุ ๆ นั่นเหมือนจะขู่กลาย ๆ

“เอ็งก็กลัวเกินไปอ้ายสีห์ แผลมันดีขึ้นมากแล้ว เจ้าไม่ต้องกังวลไปนักดอก” แม่คำหล้าค้อนให้วงใหญ่

“แม่คำหล้าก็ตามใจอ้ายอินทร์เหลือเกิน ...อย่าให้มันไปซนที่ใดจนกว่าแผลจะหายดีกว่า..”

คำสั่งอ้ายสีหราช ทำให้เจ้าตัวเล็กหน้ามุ่ย...

มันมิใช่สตรี ที่จะต้องอยู่เหย้าเฝ้าเรือนนะ ! ขืนอยู่ในห้องหับอีกไม่กี่วันมีหวังเฉาตายกันพอดี !

ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า ยามป่วยไข้แล้วจักต้องกลายเป็นง่อยเปลี้ยไปอย่างนี้...

เช้าตรู่วันต่อมา เมืองอินทร์ค่อย ๆ ย่องออกมาจากเรือนใหญ่พลางเหลียวซ้ายแลขวาอย่างระแวดระวัง...

ทางสะดวก...ยักษ์ใหญ่ไม่อยู่....

เจ้าตัวค่อย ๆ แอบย่องลงบันไดเรือนด้านหลังก่อนจะตรงไปที่คอกม้า เจ้าสีหมอกอยู่ตรงนั้น เจ้าม้าแสนรู้กระดิกใบหูพร้อมกับสะบัดหางนิด ๆ เมื่อเห็นเจ้านายตัวเอง เสียงสะบัดแผงคอดังขึ้นเบา ๆ ทำให้เมืองอินทร์รีบจุ๊ปากเป็นเชิงห้ามส่งเสียงก่อนจะยิ้มออกเมื่อเจ้าสีหมอกก็ยอมยืนนิ่งไม่ขยับ

หนีเที่ยว...ดีกว่า อุดอู้จะตายอยู่แล้ว อยู่แต่ในเรือน...

แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเจ้าสีหมอกจู่ ๆ เบิ่งตาโตก่อนจะส่งเสียงเบา ๆ ในคอ แล้วค่อย ๆ ก้าวถอยหลังนิด ๆ

อะไรน่ะ...ไฉนทำสีหน้าเหมือนเห็นผีเช่นนั้นเล่า ไอ้สีหมอก ?

แต่เหมือนไม่ต้องรอคำตอบนาน เสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาประชิดด้านหลังก็บอกได้ เมืองอินทร์ถอนหายใจพรูก่อนจะหันไปมองด้านหลัง

“อ้ายสีห์ ข้าจะไปไหนก็เรื่องของข้าได้ฤาไม่ แผลก็จะหายอยู่แล้ว เจ้าอย่ายุ่งกับข้านักเลย”

เมืองอินทร์หน้ามุ่ยมองคนตรงหน้าที่กอดอกนิ่ง ๆ อยู่อย่างนั้น รังสีเข้ม ๆ ดุ ๆ อย่างเคยฉายชัดจากดวงตาคมนั่น

“มากับข้า...”

สิ้นคำนั้น มือหนาของสีหราชก็คว้ามับที่ท่อนแขนเรียวของคนฟื้นไข้ก่อนจะกึ่งลากกึ่งจูงไปที่เจ้าสีหมอก ร่างสูงโผนขึ้นไปบนหลังม้าก่อนจะออกแรงนิดเดียวดึงเมืองอินทร์ขึ้นไปด้วย

“อ๊ะ !” คนตัวเล็กกว่าทำตาโตอย่างตกใจ

แผ่นอกกว้างแนบชิดแผ่นหลังของคนตัวเล็ก มือข้างหนึ่งกอดประคองเอวคนตัวน้อย ส่วนมืออีกข้างก็จับบังเหียนเจ้าสีหมอกแน่น ต้นขาแข็งแรงของสีหราชกระทุ้งสีข้างเจ้าม้าแสนรู้เบา ๆ เท่านั้นมันก็โผนโจนไปเบื้องหน้า

“...บอกสิ...ว่าเจ้าอยากไปที่ใด...ข้าจะพาเจ้าไปเอง...” เสียงทุ้มดังจากด้านหลังไม่เท่าไร แต่ความอุ่นผ่าวจากแผ่นอกร้อนที่อยู่แนบชิดด้านหลังทำให้คนหายไข้เหมือนจะเป็นไข้กลับอีกรอบ เสียงหัวเราะเบา ๆ ในคอของยักษ์ตัวโตเหมือนจะคลอเคลียอยู่ใกล้ต้นคอขาว ๆ ของมัน ทำให้เมืองอินทร์ไม่กล้าแม้แต่จะหันหน้าไปสบตาคนขี้แกล้ง

“เอ่อ..ข้า..” คนช่างเจรจากลายเป็นคนติดอ่างไปในฉับพลัน

“ถ้าเจ้าไม่ตอบ....ข้าจะพาเจ้าไปตามใจข้าก็แล้วกัน...” รอยยิ้มกริ่มเหมือนสนุกสนานอยู่บนริมฝีปากคนเจ้าเล่ห์   

ควบม้ามาได้ไม่นานเท่าไร เจ้าสีหมอกก็ถูกผูกไว้กับขอนไม้ริมตลิ่งใหญ่ ภาพตรงหน้าทำให้เมืองอินทร์ระบายยิ้มออกมาอย่างชอบใจ บึงบัวแห่งนี้กว้างสุดลูกหูลูกตา บัวแดงมากมายที่บานสะพรั่งอยู่ราวกับอยู่ในอุทยานหลวง

“งามจริง ๆ อ้ายสีห์...” ดวงตาสดใสของคนหายไข้ก้าวเข้าไปใกล้ ๆ สะพานไม้ง่าย ๆ ที่ชาวบ้านสร้างขึ้นทอดไปเกือบถึงกลางบึง ดูผาด ๆ เหมือนทั้งคู่กำลังเดินอยู่กลางบึงน้ำแห่งนี้

“หลายวันก่อน ข้าขี่ม้าผ่านมาเห็น ยังเป็นเพียงบัวตูมเท่านั้น แต่มาวันนี้มันบานสะพรั่งแล้ว เจ้าคงชอบ...”

“ถ้าแม่คำหล้ามาละก็..คงอยากได้บัวไปถวายพระเป็นแน่...” เมืองอินทร์พูดยิ้ม ๆ แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อคนข้างกายจัดแจงถอดเสื้อตัวบนเผยแผ่นอกกว้างก่อนจะกระโจนตูมลงไปในบึงนั้น

“อ้ายสีห์ !” เมืองอินทร์อุทานลั่น

“บึงนี้ไม่มีเจ้าของ เจ้าอยากได้กี่ดอกเล่า...ข้าจักเก็บให้...” สีหราชหัวเราะร่วน ใบหน้าคมพราวไปด้วยหยดน้ำแล้วส่งรอยยิ้มกระชากใจให้คนมองใจไหวระริก

“ก็...สามสี่ดอกก็พอกระมัง...” เมืองอินทร์ตอบตะกุกตะกัก

รอยยิ้มเช่นนั้น...อย่ายิ้มบ่อยนักจะได้ฤาไม่...ข้าเห็นยังใจสั่น...สตรีเห็นคงไม่แคล้วแดดิ้น...

แต่คนสร้างเรื่องเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ โผนไปเก็บดอกบัวดอกแล้วดอกเล่ามาวางให้บนสะพานไม้ คนที่อยู่บนสะพานก็ชี้โน้นชี้นี้ไปเรื่อย เริ่มชักสนุกกับการชี้นิ้วสั่งการยักษ์ให้ทำตาม

“ดอกโน้น...อ๊ะ...ไม่เอา...ดอกนี้ดีกว่า...”

“ดอกนี้บาน...เอาดอกตูมดีกว่า...”

สักครู่เหมือนคนโผนไปมาชักจะรู้ทันเจ้าตัวเล็กขี้แกล้ง ใบหน้าคมเม้มปากนิด ๆ แววตาเป็นประกายริก ๆ อย่างนึกสนุกก่อนจะหายวับเพียงพริบตา ทันใดนั้นเจ้าตัวก็ทำตาโตก่อนจะพุ้ยน้ำแรง ๆ สองสามครั้ง

“โอ๊ะ ! ตะคริวกิน ! อ้ายอินทร์จับข้าไว้ที...!”

ประโยคนั้นทำเอาคนตัวเล็กกว่าสะดุ้งเฮือก อารามตกใจทำให้ผุดลุกยืนขึ้นทันทีแล้วเอื้อมมือไปให้คนที่ตะกายอยู่ในน้ำจับ แต่ทันใดนั้นก็รู้ว่าพลาดแล้วเมื่อมุมปากหยักยิ้มนิดหนึ่งแล้วกระชากตูม ทำเอาเจ้าตัวเล็กตกน้ำตูมใหญ่

“ฮ่า ๆ ๆ เป็นไงเล่าอ้ายอินทร์....แกล้งข้าดีนัก มาเก็บบัวเองเลย !” ใบหน้าคมคร้ามพราวไปด้วยหยดน้ำและรอยยิ้มทั้งปากทั้งตา ว่ายเข้ามาใกล้แล้วเอามือข้างหนึ่งยีหัวอย่างมันเขี้ยวก่อนจะลากเจ้าตัวเล็กไปกลางบึง สะพานไม้ดูเหมือนจะไกลจากเดิม

“แค่ก ๆ ๆ อ้ายสีห์ ! แกล้งข้า !” เจ้าตัวไอโขลก ๆ ก่อนจะพุ้ยน้ำเป็นการใหญ่

“ข้าว่ายน้ำไม่แข็ง ท่านก็ยังแกล้ง !” เมืองอินทร์โวยลั่นบึงก่อนจะลูบหน้าลูบตาตัวเองในน้ำ

“ก็ใครใช้ให้เจ้าไม่ฝึกว่ายน้ำเล่า เจ้าลิง !” มือหนาของสีหราชเอื้อมมายีหัวคนกระแอมกระไอเบา ๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะยกยิ้มขำที่คนตัวเล็กเกาะท่อนแขนหนาไว้แน่น

“มาฝึกว่ายกันใหม่ ดีฤาไม่” เสียงหัวเราะเบา ๆ ของสีหราชทำให้เมืองอินทร์แยกเขี้ยวทันที

“เหอะ ! ฝึกกระไรยามนี้เล่า!” สีหน้ามันบอกชัดว่าถ้ากินหัวคนตรงหน้าได้คงทำไปนานแล้ว

“ตามใจ...งั้นข้าว่ายไปตรงนั้นก็แล้วกัน” สีหราชเบือนหน้าก่อนจะพุ้ยน้ำไปอีกมุมของบึง ท่าทางนั่นทำเอาเมืองอินทร์ตาโตก่อนจะโผพรวดเดียวเข้าเกาะหลังยักษ์ตัวโตแบบไม่คิดชีวิต

“อย่าไป ! อ้ายสีห์...ข้ายังเจ็บแผลอยู่เลย !” เมืองอินทร์โอดลั่นก่อนจะคว้าไหล่ทั้งสองข้างไว้แน่น ความทรงจำสมัยเด็กที่เคยจมน้ำเกือบตายครั้งหนึ่งทำให้เผลอจิกไหล่หนาไว้แล้วเบียดกายทั้งตัวเข้ามาแนบแผ่นหลังตรงหน้าเหมือนจะหาหลักยึด

ชั่วพริบตานั้นเอง ยักษ์ตัวโตเหมือนจะลืมว่ายน้ำไปทันที ร่างทั้งร่างคล้ายตะลึงไปชั่วขณะ มือเรียวที่โผเข้ามาเกาะทำเอามันไปไม่เป็นเอาเช่นกัน

“งะ...งั้นปะ..ปล่อยไหล่ข้าก่อนสิ แล้วก็ เลิกกอดข้าได้แล้ว ข้าหายใจไม่ออก!” เสียงยักษ์ขี้แกล้งเหมือนจะสั่นพร่าไปชั่วขณะ เหมือนใบหูนั่นจะแดงขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย

“ก็ใครใช้ให้เจ้าแกล้งข้าก่อนเล่า !” เมืองอินทร์ค่อนว่าคนตัวโตกว่าก่อนจะมองใบหน้าด้านข้างของคนตัวโตที่เหมือนจะแดงขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะค่อย ๆ คลายมือที่รัดไหล่หนานั่นไว้

“แดดร้อนแล้ว...เรากลับกันดีกว่า เจ้าหน้าแดงไปหมดแล้วอ้ายสีห์...” เมืองอินทร์รีบชวน ขณะที่คนขี้แกล้งไม่พูดอะไรอีกเลยนอกจากจะรีบพุ้ยน้ำพามันตรงไปที่ตีนสะพานไม้ก่อนจะโหนตัวขึ้นไปอย่างรวดเร็ว เจ้าสีหมอกเหมือนจะเมียงมองทั้งคู่ก่อนจะสะบัดแผงคอแล้วเล็มหญ้าระบัดเล็กตรงหน้าต่อไป

ร่มไม้ริมน้ำทอดกิ่งก้านออกมาเป็นหลังคากันแดดให้ทั้งคู่ เสื้อผ้าของเมืองอินทร์ที่เปียกโชกถูกสะบัดออกตากไว้บนลำไม้ไผ่ที่เจ้ายักษ์ตัวโตลากมาจากข้างป่าใกล้ ๆ   

“เอ้า! เจ้ารีบเอาเสื้อข้าไปสวมก่อน...หากเป็นไข้อีกรอบ ครานี้ข้าคงโดนแม่คำหล้าบ่นเป็นกระบุงโกยแน่”

สีหราชเบือนหน้าหลบเจ้าตัวเล็กที่กอดอกแน่น ก่อนจะหลับหูหลับตายื่นเสื้อแห้ง ๆ ของมันให้

กลิ่นเสื้อของอ้ายสีหราชมีเหงื่อจาง ๆ แต่..อบอุ่น

เมืองอินทร์รีบคว้าเสื้อดังกล่าวมาสวมทันที ชายเสื้อที่ยาวกว่าเสื้อของมันปกคลุมไปถึงต้นขา เจ้าตัวเล็กยีหัวตัวเองเบา ๆ หวังให้ผมแห้งเร็ว ๆ ก่อนจะชะงักเมื่ออ้ายสีห์มองมาด้วยสายตาประหลาดและรอยยิ้มที่มันไม่เข้าใจ ก่อนที่เจ้าตัวจะทรุดกายลงกึ่งนั่งกึ่งเอนพิงต้นไม้ใกล้ ๆ แล้วมองหน้าเจ้าตัวเล็กนิ่ง ๆ 

“ข้ายังไม่เคยถามเจ้าเลย...อ้ายอินทร์” ประโยคและดวงตาทอแสงอ่อน

“พ่อแม่เจ้าเป็นอย่างไรหรือ...ทำไมปู่อินทร์แขวนถึงพาเจ้ามาหาพ่อสินได้...”

เมืองอินทร์เลิกคิ้วอย่างงุนงงก่อนจะระบายยิ้มจาง ๆ

พ่อ...แม่...คำนี้มันไม่ได้เรียกนานเท่าใดแล้วนะ...

“ทำไมจู่ ๆ ถึงนึกถามเรื่องนี้ขึ้นเล่า...”

“ก็..ข้าแค่อยากรู้...ทุกเรื่องในชีวิตของเจ้า...ให้มาก ๆ ” น้ำเสียงนั้นทอดอ่อนโยน

“ข้าไม่มีความทรงจำมากนัก จำได้เพียงแต่ พ่อข้าชอบแทงพนันขันต่อนัก เล่นสูงต่ำ ถั่วโป...ทุกอย่าง ของในเรือนที่มีค่อย ๆ หายไปทีละชิ้น จนเหมือนจะไม่เหลือสิ่งใดที่มีค่าอีก แล้วสุดท้ายข้าก็รู้ว่ากระทั่งแม่ของข้า...ก็กลายเป็นทาส ถูกขายเพื่อใช้หนี้พนัน...ปู่อินทร์แขวนเลยตัดสินใจพาข้ามา...ปู่คงกลัวว่าพ่อจักพาข้าไปขายใช้หนี้พนันกระมัง...”

แม้น้ำเสียงเมืองอินทร์จะดูราวไม่แสดงความรู้สึก แต่ดวงตามิอาจซ่อนเร้นความหม่นเศร้าได้ สีหราชเอนกายเข้ามาใกล้ก่อนจะเอาคางเกยกับบ่าเล็ก ๆ ลมหายใจอุ่นร้อนกับฝ่ามือหนาลูบหัวมันเบา ๆ อย่างเอาใจ

“ผีพนัน...หาใช่ดี...ถ้าสักวันข้าต้องเป็นพ่อให้ใคร...ข้าสัญญาว่าข้าจักไม่ทำเยี่ยงนี้เด็ดขาด...แล้วเจ้าเล่า?”

“หึ...ข้าคงไม่อาจเป็นพ่อให้ใครได้ดอก วัน ๆ เอาแต่อยู่ในสนามฝึกดาบกับเจ้า จะมีเวลาไปมองผู้สาวที่ไหนกัน” เสียงเมืองอินทร์คล้ายแมวขาว ๆ ที่ง่อดแง่ดฟอดแฟ่ด

ก็ใครกันเล่า บอกให้มันสัญญาว่าอย่าทำดีกับผู้ใด...จนบัดนี้เลยยังไม่มีผู้สาวคนไหนมองมันสักนิด

“เช่นนั้นก็ดี...ข้าว่าเจ้าเหมาะกับเป็นแม่มากกว่า เพราะเจ้าช่างอ่อนโยนเอาใจใส่เด็ก ผู้สาว และผู้ชราทุกคนเยี่ยงนี้...”

สีหราชหัวเราะขำ ๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะแกล้งเอาคางสากหนามาลากไล้เบา ๆ ที่ไหล่เจ้าตัวเล็ก เมืองอินทร์ห่อไหล่หนีทันควัน สีหน้าแดงก่ำเป็นลูกตำลึงสุกขณะที่ขนแขนลุกพรึ่บไปทั้งตัว

“อ้ายสีห์ !  เจ้านี่คิดวิตถารเสียแล้ว ข้าเป็นผู้บ่าวแท้ ๆ จักเป็นแม่ให้ใครได้เล่า !”

 “ก็ข้าเห็นเจ้ายิ้มทีไร ข้าคิดภาพเจ้าอยู่กับเด็กตัวน้อย ๆ ไปเสียทุกที...ไม่ดีดอกหรือ”

แววตาขี้เล่นอารมณ์ดีของคนตรงหน้าก่อนจะเอนกายลงนอนบนผืนหญ้านุ่ม ๆ แผ่นอกเปลือยแข็งแรงนั้นทั้งกว้างและมีกล้ามเนื้อสวยงาม...สงสัยมันจะเผลอมองนานไป สีหราชยิ้มนิด ๆ มองตามันแล้วพูดหยอกเย้า

“ง่วงฤาไม่อ้ายอินทร์...ข้ายินดียกอกข้าเป็นหมอนให้เจ้า มานอนได้นะ..ข้าไม่ถือ...” เจ้าตัวพูดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาก่อนจะชี้ตรงแผ่นอกกว้างตัวเองด้วยสีหน้ามั่นใจนักหนา

รู้ว่า...ขัดเขิน ยังแกล้งกันได้ อ้ายสีห์ !

..........................................................................

หัวข้อ: Re: [แฟนตาซีพีเรียด] สีหราชยมทูต Grim reaper's vacation by ButlerofLOVE++ (Yaoi)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 20-08-2020 23:17:48
อยากให้ลงว้นที่อัพเรื่องด้วย จะได้รู้ว่าอัพเดทรึยัง
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซีพีเรียด] สีหราชยมทูต Grim reaper's vacation by ButlerofLOVE++ (Yaoi)
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 21-08-2020 09:13:43
ได้ค่า....เราเพิ่งมาลงกระทู้ที่เล้าเป็ดครั้งแรก ยังไม่ค่อยคุ้นเท่าไหร่ ขอบคุณที่แนะนำนะคะ  :)
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซีพีเรียด] สีหราชยมทูต Grim reaper's vacation **Updated 21/8/2020
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 21-08-2020 09:16:23
..............................................................................

ตะวันบ่ายคล้อยแล้ว สภาพชายหนุ่มสองคนที่เสื้อผ้าเปียกชื้นกันทั้งคู่ก้าวขึ้นมาบนเรือน ทำให้แม่คำหล้าแทบจะวางกระจาดผักตรงหน้าลงทันที

“อ้ายสีห์ ! พาอ้ายอินทร์ไปตกน้ำตกท่าที่ใดกัน ?!” เสียงตะโกนอย่างตกใจดังขึ้นทำให้สีหราชย่นจมูกทันทีก่อนจะหันมากระซิบเมืองอินทร์

“เห็นฤาไม่...เรือนนี้มีแต่คนรักเจ้าทั้งนั้น ไม่เห็นรักข้าบ้างเลย...”

ประโยคนั้นทำให้เมืองอินทร์ลอบหัวเราะเบา ๆ ท่าทางยักษ์ตัวโตใจน้อยขึ้นมานี่ก็น่ารักไม่หยอก

“อ้ายสีห์ไม่ได้ทำอันใดดอก ข้ากับอ้ายสีห์ไปเก็บบัวมาให้แม่คำหล้า เห็นว่าใกล้วันพระแล้ว” ว่าแล้วก็ยื่นดอกบัวสีแดงจำนวนมากที่อ้ายสีห์เด็ดมาพร้อมกับใบบัวให้กับแม่คำหล้าที่ชะโงกมามองอย่างดีใจแล้วก็ตีแขนสีหราชดังเพียะเบา ๆ

“พากันไปเล่นสนุกมาทั้งคู่ ไหนบอกข้าว่ากลัวอ้ายอินทร์มันจะป่วยไข้ นี่อะไร...เปียกกันมาหมด”

“พิโธ่...แม่คำหล้า ถ้าไม่กระโจนลงบึงบัวแล้วข้าจักเก็บบัวให้แม่ได้อย่างไร บึงนั้นมิได้มีเรือบดลำน้อยให้ข้าดอกนะ” ยักษ์ปักหลั่นเหมือนจะค้อน ๆ ใส่แม่นม ภาพนั้นทำให้เมืองอินทร์อดขำไม่ได้

“ร้อยวันพันปีดอกจะเก็บบัวมาให้ข้าบูชาพระ นี่ถ้าไม่ใช่อ้ายอินทร์ไปด้วย เห็นทีคราไหนก็ไม่ได้บัว !” เสียงแม่คำหล้าหัวเราะเบา ๆ แต่มือประคองบัวแดงไว้อย่างหวงแหน

“เดี๋ยวข้าจักนำไปไหว้พระในหอไตร แล้วบางดอกข้าจักแบ่งมาทำเมี่ยงบัวให้พวกเจ้า...ดีฤาไม่...” ว่าแล้วก็หันมองเมืองอินทร์ที่ดวงตาเป็นประกายวาวอย่างดีใจ สีหราชหันมองเจ้าตัวเล็กเพราะรู้ว่ามันชอบเมี่ยงบัวยิ่งนัก ยิ่งบัวใหม่ ๆ เช่นนี้ กลีบบัวยิ่งหอมกรุ่นคู่กับมะพร้าวคั่ว ของโปรดของเจ้าตัวน้อยนี่

“...เดี๋ยวจะแบ่งไปให้แขกบนเรือนด้วย น่าจะเป็นของว่างได้” ประโยคนั้นทำให้สีหราชขมวดคิ้ว

“ใครกันแม่คำหล้า แขกที่ว่า ?”

“จะใครเสียอีกเล่า ก็แม่หญิงนากกระไร ครั้งนี้มาพร้อมกับสมุหพระกลาโหม เห็นคุยเรื่องมีดดาบที่จะตีเพิ่มอีกคราสำหรับป้องกันพระนครทางหัวเมือง”

สิ้นประโยคนั้นสีหราชถอนหายใจพรูใหญ่อย่างไม่ปิดบัง ก่อนจะเข้าไปกอดเอวแม่คำหล้าไว้แน่น

“ข้ารักท่านนักแม่คำหล้า...จักรักยิ่งขึ้นไปอีกหากท่านไม่บอกผู้ใดว่าเห็นข้ากับอ้ายอินทร์” ว่าแล้วก็หอมแก้มแม่นมดังฟอดใหญ่ก่อนจะคว้าแขนเจ้าตัวเล็กที่ยืนงงอยู่ให้ตามมันไป

“รออะไรเล่า อ้ายอินทร์ เดี๋ยวก็โดนลากไปนั่งเรียบร้อยบนเรือน ไปกับข้าเร็ว !”

“อย่าลืมเก็บเมี่ยงบัวไว้ให้ข้ากับอ้ายอินทร์ด้วย !”

................................................................

“หลบมาเยี่ยงนี้จะดีฤาอ้ายสีห์...” เมืองอินทร์เอ่ยเบา ๆ กับสีหราชที่คล้ายจะอารมณ์ดียิ่งนัก

“ไม่ดีได้อย่างไร ข้าเบื่อสมุหพระกลาโหมเต็มที” สิ่งที่เจ้าตัวไม่ได้เอ่ยไปคือ ไม่ใคร่ชอบสายตาของแม่หญิงนากเท่าใดนัก หากแต่เขาเป็นบุรุษไม่ควรกล่าวถึงสตรีในทางเสียหาย จึงจำต้องเก็บงำไว้ไม่เอ่ยออกไป

“ไหนเจ้าว่าเบื่อนักหนาอย่างไร ข้าอุตส่าห์พาเจ้าออกมาเดินเที่ยวเล่นในพระนคร เช่นนี้ไม่ดีฤา..”

สีหราชยิ้มให้คนตรงหน้าแต่ก็ต้องตกใจเมื่อมีขบวนม้าสี่ห้าตัวรี่ตะบึงผ่าเข้ามากลางทางเดิน ด้วยความกลัวเจ้าตัวเล็กจะบาดเจ็บ นักดาบหนุ่มรีบคว้าแขนเมืองอินทร์กระชากเข้ามาสู่อ้อมกอดอย่างรวดเร็ว

“รีบกระไรถึงเพียงนั้น ?!” สีหราชขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะมองตามหลังขบวนนั้นไป แต่เมืองอินทร์รีบผละออกจากอ้อมแขนแล้วหันไปหาชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่โดนท่อนแขนเมืองอินทร์ปัดเอากระบอกน้ำหกรดเสื้อผ้าจนเปียกชุ่ม

“ข้า..ข้าขออภัยด้วย ข้ามิได้ตั้งใจ...” เมืองอินทร์รีบตาลีตาลานหาผ้าสะอาดมาช่วยเช็ดแขนให้ แต่ดูเหมือนชายหนุ่มตรงหน้าจะขมวดคิ้วหนักก่อนจะอ้าปากเหมือนจะตำหนิ แต่เมื่อเห็นหน้าสีหราชที่หันมาตรง ๆ รายนั้นถึงกับก้มหน้างุดลงทันที

“ท่าน...เปียกขนาดนี้ ข้าช่วยเช็ดให้นะ” คนตัวเล็กรู้สึกผิดรีบคว้าแขนชายหนุ่มตรงหน้าก่อนจะเอาชายผ้าเช็ดให้มิไยว่าคนตรงหน้าจะรีบปัดป้องเป็นเชิงปฏิเสธอย่างลุกลี้ลุกลน

“มะ...ไม่ต้องดอก...เล็กน้อยเท่านั้น...”  ก่อนจะรีบเอาแขนเสื้อลงแล้วยื่นอัฐให้แม่ค้าแล้วผละไปอย่างไม่รอรับเศษสตางค์

ชั่วแว่บนั้น สายตาสีหราชบังเอิญเหลือบมองเห็นรอยสักสีแดงตรงท่อนแขนที่เมืองอินทร์เลิกแขนเสื้อขึ้นเช็ด เจ้าตัวขมวดคิ้วทันควันก่อนจะชะเง้อตามแผ่นหลังผู้ชายที่รีบผละจากไป

“มีอันใดฤา อ้ายสีห์...รู้จักชายผู้นั้นฤา...” เมืองอินทร์กระชับดาบที่ถือติดตัวมา

“ไม่...ข้าคิดว่าไม่...” แต่สีหน้าของสีหราชเหมือนยังติดค้างในใจบางอย่าง ชั่วขณะนั้นเจ้าตัวรีบลากแขนเมืองอินทร์ตามมาอย่างรวดเร็ว

“มาเถิด...ข้าจะเลี้ยงเหล้าเจ้าเอง...ฉลองที่เจ้าหายไข้อย่างไรเล่า...” และไม่รอให้เจ้าตัวเล็กตอบรับหรือปฏิเสธ ก็ลากแขนเมืองอินทร์หลุน ๆ ไปตามทางที่บุรุษปริศนาผู้นั้นเดินไป

สิ่งที่สีหราชสงสัยก็ยิ่งเด่นชัดขึ้นเมื่อบุรุษผู้นั้นเดินเข้าไปในโรงเหล้าบางยี่ขันที่เต็มไปด้วยเหล่ากุลีจีนที่อพยพเข้ามาทางเรือ ไม่ว่ามองไปทางใดก็เห็นแต่คนขี้เหล้าและเด็กกลางถนนจำนวนมาก เมืองอินทร์มองอย่างตื่นตาตื่นใจ ยามนี้เย็นย่ำมากแล้ว บริเวณโรงสุราแห่งนี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะครื้นเครงของเหล่าคนร่ำสุรา กลิ่นยาสูบลอยปะปนกับกลิ่นเหล้าที่หกราดรดพื้นดิน เหล่ากุลีจีนบางส่วนหัวเราะกันร่วนแล้วคุยกันโขมงโฉงเฉงเป็นภาษาจีนที่ฟังไม่ออก แต่สีหราชไม่ได้ใส่ใจกับผู้ใดนอกจากชายหนุ่มที่เดินตรงเข้ามาก่อนหน้านั้น โรงสุราแห่งนี้เขาเคยมากับสหายที่เคยเรียนเพลงดาบอยู่บ้าง เถ้าแก่เจ้าของร้านเห็นเขาก็จดจำได้ก่อนจะหัวเราะลั่นแล้วตบบ่าตบไหล่สีหราชเบา ๆ

“โอ้...อ้ายสีหราช ไฉนวันนี้มาคนเดียวเล่า...นาน ๆ ครั้งข้าถึงเห็นเจ้ามาโรงเหล้าข้าสักครา...” เจ๊กฮงเถ้าแก่เจ้าของโรงสุราร้านดังหัวเราะแล้วชะโงกหน้ามองเมืองอินทร์ที่เดินตามเข้ามา

“วันนี้พา....ผู้ใดมาด้วย” สีหน้ายิ้ม ๆ ล้อเลียนทำให้เมืองอินทร์เอ่ยออกไป

“ข้าชื่อเมืองอินทร์ เป็น....”

“เป็นคนของข้า...ท่านให้เกียรติข้าเยี่ยงไร ก็จงทำเยี่ยงนั้นกับเมืองอินทร์” สีหราชเอ่ยหนักแน่นทันควันก่อนจะกอดบ่าหนาของเถ้าแก่ร้านไว้

“ขอโต๊ะที่ไม่พลุกพล่านเท่าใดนัก ข้าอยากดื่มเงียบ ๆ เท่านั้น” อัฐสี่ห้าก้อนถูกเจ้าตัวดึงออกมายื่นให้เจ้าของร้านที่ยิ้มกริ่ม แล้วพาทั้งคู่เข้าไปด้านใน ระเบียงเรือนไม้ที่มองออกไปเห็นบรรยากาศภายนอก แต่คนด้านนอกมิอาจมองเห็นเข้ามาได้

"ขอสุราที่ดีที่สุด...ข้าพาเมืองอินทร์มาเปิดหูเปิดตา..." สีหราชหันไปสั่งการ

แล้วไม่นานนัก สุราชั้นดีถูกนำมาวางบนโต๊ะ เพียงเปิดขวด กลิ่นก็หอม...กรุ่นต่างจากสุราแช่ของชาวสยามด้วยกัน ไหสีน้ำตาลเข้มนี้ เถ้าแก่ร้านเคยคุยฟุ้งให้ฟังว่าเป็นสุราที่ขนเอามาจากจีนโพ้นทะเลกันทีเดียว

“สุรานี้มาจากหมู่บ้านข้าที่ซิ่งฮวา รับรองว่าไม่มีที่ใดเหมือน...เหล้าเปอร์เซียก็สู้ไม่ได้!”

สุราเฝินจิ่วที่เพียงเปิดเท่านั้นกลิ่นหวานหอมลอยโชยไปไกล เมืองอินทร์ทำตาโตก่อนจะชะโงกหน้ามองไหสุราหมักตรงหน้าด้วยสายตาตื่นเต้นเป็นประกาย เจ้าตัวเงยหน้ามองสีหราชที่ยิ้ม ๆ มือหนาค่อย ๆ ยกเทสุราลงจอก แล้วยื่นให้คนตรงหน้า จอกเหล้าน้อย ๆ ค่อย ๆ จรดริมฝีปากของคนอยากลอง ก่อนจะทำตาโตอย่างถูกใจในรสนุ่มละมุนหวานอวลกรุ่นในโพรงปาก

ดูท่าจะมีคนตกหลุมรักสุราไหนี้เสียแล้ว...

สีหราชอมยิ้มนิด ๆ ก่อนจะเหลือบมองออกไปด้านนอก บุรุษผู้นั้นกำลังคุยกับใครบางคนอยู่ที่เขาเห็นแต่เพียงแผ่นหลัง การแต่งกายดูไม่ควรเข้ามาอยู่ในโรงเหล้าจีนเช่นนี้เลย ดูราวกับเป็นผู้สูงศักดิ์คนหนึ่ง....สีหราชค่อย ๆ จิบเหล้าไปทีละนิดก่อนจะมองร่างลึกลับที่หันหลังไม่วางตา มีเพียงเสียงป้านสุราที่ถูกยกขึ้นเติมเป็นระยะเท่านั้น

“ดื่มคราแรก...อย่าดื่มยามท้องว่าง” สีหราชหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะป้อนอาหารตรงหน้าให้คนที่เริ่มตาแดง ๆ โยกเยกไปมา

“ชอบฤาไม่...”

“ชอบ...หอมมาก หอมกว่าสุราแช่ยิ่งนัก”

คนที่เพิ่งได้ดื่มสุราจีนเป็นครั้งแรกพยักหน้าหงึกหงักเบา ๆ รอยยิ้มหวานเกลื่อนใบหน้า ดวงตาที่ปกติก็หวานอยู่แล้วยิ่งฉ่ำปรือ ริมฝีปากแดงสดเรื่อ ๆ นั่น...ทำให้คนชวนมาดื่มชักจะรู้สึกผิดนิด ๆ

เจ้าตัวจ้อย...เหมือนจะเริ่มเมานิด ๆ เสียแล้ว

เอาจริง ๆ คือ เขาต้องการติดตามบุรุษปริศนานั่นมาเท่านั้น คนผู้นั้นเร้นกายเข้ามาในโรงสุราของชาวจีน มีคนสยามไม่มากที่จะเข้ามาในโรงเหล้าจีน...ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าโรงเหล้าแห่งนี้มีทั้งคนชื่นชอบตีรันฟันแทง นักฆ่า และเหล่ามือสังหาร และเหล่าคนที่หลบหนีกฎหมายก็มักพบเจอรวมกลุ่มที่นี่ ดังนั้นใครที่ก้าวเข้ามาที่นี่หากไม่ได้เป็นคอสุราแล้วละก็ ย่อมต้องมาติดต่อคนเป็นแน่

ตรารอยสักสีแดงนั่น...เป็นรูปครุฑที่ถูกนาคยุดไว้...เหมือนที่ปรากฎบนท่อนแขนคนที่ลอบโจมตีเขาเมื่อคืนก่อน ศพหัวขาดที่หายไป...

หรือมันจะเป็นกลุ่มเดียวกัน....

เสียดายนักบุรุษอีกคนที่มานั่งหันหลังให้จึงไม่อาจเห็นหน้าได้ชัด รู้เพียงว่ามีร่างสันทัด ผิวกายที่ดำแดงกร้านที่โผล่พ้นชายแขนเสื้อ การแต่งกายคล้ายผู้มีอัฐหากแต่เสื้อผ้ามีรอยยับย่นคล้ายมิได้ใส่ใจตัวเอง นิ้วมือข้างหนึ่งสวมแหวนทับทิมสลักดุนวิจิตร สองคนนั้นเหมือนจะเจรจาบางอย่างด้วยท่าทีเคร่งเครียดก่อนที่ผู้มาใหม่จะล้วงมือเข้าไปในอกคว้าเอาถุงย่อม ๆ ขึ้นมายื่นให้คนที่มีรอยสักทันควัน จากนั้นเพียงครู่เดียวต่างฝ่ายก็ต่างแยกย้ายกันไป โดยเจ้าตัวโยนอัฐสองสามก้อนไว้บนโต๊ะแทนค่าเหล้า

สีหราชทอดเวลาให้ผ่านไปอีกครู่หนึ่งจึงผุดลุกขึ้น มองเจ้าตัวน้อยที่ยกจอกสุราขึ้นจิบอย่างมีความสุข รอยยิ้มจุดที่ริมฝีปากสีหราช

“อ้ายอินทร์ เจ้านั่งรอข้าอยู่ที่นี่ครู่เดียว ข้าจักรีบกลับมา...”

ว่าแล้วเจ้าตัวก็ผลุบออกตามคนที่ออกไปก่อนอย่างรวดเร็ว สีหราชคว้าอัฐในถุงของตนเองสองสามก้อนก่อนจะเร่งเดินตามบุรุษผิวดำแดงทันที ร่างนั้นเร่งเดินเข้าออกตรอกซ้ายขวาอย่างรวดเร็ว เหมือนมิประสงค์ให้ผู้ใดเห็นตัว

“ช้าก่อนท่าน !” สีหราชตะโกนก่อนจะรีบเดินตามไปจนทัน ร่างนั้นหยุดชะงักก่อนจะทันก้าวเข้ารั้ววัง

“ท่านลืมอัฐไว้ที่โรงสุรา เถ้าแก่ให้รีบตามมาให้ท่าน”

ร่างนั้นหันขวับมามองและขมวดคิ้วอย่างสงสัย สีหราชจึงเห็นว่าเป็นบุรุษวัยกลางคนที่มีเค้าอำนาจ เหมือนจะคลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นคนในวังหลวง ร่างนั้นคิ้วหนาเข้ม ดวงตาเหมือนเหยี่ยว ไว้หนวดนิด ๆ มือหนาข้างหนึ่งกระชับดาบในมือไว้มั่น ท่าทีคล้ายจะไม่ไว้วางใจสีหราชเท่าใดนัก

“อัฐท่าน..ข้านำมาให้ เถ้าแก่ว่าอย่างนั้น...”

เจ้าตัวหน้าบึ้งตึงก่อนจะกระชากอัฐในมือของสีหราชไปแล้วเดินย่ำผ่านประตูวังเข้าไป

“ขุนทรัพย์...วันนี้มีละครนอกมาเล่นบ้างฤาไม่” เสียงทหารรักษาการณ์สองนายตรงประตูนั้นเอ่ยทักทำให้สีหราชเงี่ยหูฟัง

“ยัง...ข้ายังหานักแสดงไม่ครบ หากมีครบเมื่อใดจะมาบอกพวกเจ้า” ว่าแล้วก็เดินย่ำเข้าไปด้านใน

.....ขุนทรัพย์....ละครนอก....

ทันทีที่ก้าวกลับเข้ามาในโรงสุรา สีหราชก็นึกอยากเล่นงานเถ้าแก่ฮงเสียจริง

...ต้อนรับดีเหมือนต้อนรับข้า นี่มันกี่ไหไปแล้ว !....

บนโต๊ะเมื่อครู่ที่มีเพียงไหเดียว แต่ยามนี้กลับมีถึง 3 ไหวางอยู่บนโต๊ะ ส่วนคนดื่มไม่ต้องห่วงว่าจะไหวเพราะยามนี้ฟุบหลับอยู่บนโต๊ะไปเรียบร้อย ผิวกายขาวสะอาดของเมืองอินทร์เริ่มแดงจัดขึ้นทีละน้อย ๆ ตามดีกรีของสุราที่เจ้าตัวดื่มเข้าไป ดวงตาหวานนั่นปรือปรอยฉ่ำขึ้นทีละนิด เสียงก็เริ่มอ้อแอ้นิด ๆ

“อ้ายสีห์...หายไปไหนนานนัก..ข้าดื่มคนเดียว ไม่สนุกเลย”

ประโยคนั้นราวกับจะอ้อนคนตัวโต ดวงตาหวานหรี่หรุบเหมือนจะหลับมิหลับแหล่ สีหราชอมยิ้มกับท่าทีคนเมา แต่แล้วก็ต้องตาเหลือกเมื่อเจ้าตัวพยายามลุกขึ้นแต่โอนไปเอนมา มือหนารีบปราดเข้าไปประคองเจ้าตัวเล็กก่อนจะดุอย่างไม่จริงจังนัก

“ดื่มอะไรขนาดนี้ ข้าไปเพียงครู่เดียว เจ้าดื่มไปคนเดียวถึงสองไห ! เจ้าไหเหล้าเอ๊ย...”

กลิ่นหอมของสุราชั้นดีติดตัวคนเมาหนัก ริมฝีปากนั่นบางแดงก่ำราวกับเลือดลมไหลดียิ่งนัก ดวงตาหรี่ปรือเหลียวมองหน้าคนประคองก่อนจะเอานิ้วมือเล็ก ๆ มาจิ้มปลายจมูกสีหราช

“อย่ามาดุกัน...ท่านผิด...ท่านทิ้งข้าไปตั้งนาน”

แล้วปลายนิ้วก็ไล้ลงแตะริมฝีปากของสีหราช ก่อนจะบ่นพึมพำเบา ๆ

“ปากนี่...ทำไมดุนัก...ชอบดุอยู่เรื่อย...”

“ก็เจ้ามันน่าตี...ยิ่..ง”

แต่แล้วไม่ทันจะพูดจบประโยค คนตัวเล็กกว่าก็ส่ายหน้าก่อนจะชะโงกหน้าประกบริมฝีปากตนเองปิดปากคนบ่นทันที

สติสตังคนประคองแทบหลุดลอย ริมฝีปากนุ่มประทับปิดไม่ยอมให้คนขี้บ่นพูดอะไรอีก เพียงครู่เดียวคนเมาที่ขโมยจูบก็ทิ้งตัวฮวบลงในอ้อมแขนของสีหราช ทิ้งไว้แต่คนที่ยืนนิ่งเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้ว หากไม่คิดว่าต้องประคองเจ้าตัวเล็กอยู่ น่ากลัวว่ายักษ์ตัวโตจะร่วงลงไปกองกับพื้นอีกคน

จ...จูบ...

หัวใจเกือบกระดอนออกมาจากอก ยามนี้คนไม่เมากลับหน้าแดงก่ำ อึ้งตะลึงค้างไปครู่ใหญ่ก่อนจะก้มมองตัวการที่หลับสนิทอยู่ในอ้อมแขน

...เจ้าหัวขโมย...นั่นมันจูบแรกของข้านะ..

ความรู้สึกวาบหวามฟุ้งกรุ่นอยู่ในอก เสียงหัวใจเต้นรัวกระหน่ำ สุราชั้นดีและความนุ่มหยุ่นของริมฝีปากเจ้าตัวเล็ก...ทำให้เขาเมามายในจูบเดียว ความปรารถนาบางอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นกลับเตลิดเปิดเปิงเพราะเจ้าตัวการร้ายกาจที่หลับฝันดีในอ้อมแขนเขา

“...ใจร้ายนัก...แกล้งข้าให้ใจเต้นแล้วไม่รับผิดชอบ...อย่างนี้ก็ได้ฤา...”

.........................................

ButlerofLOVE:

หนู...หนูจูบพี่เขาก่อนเลยเร้อออออ น้องอินทร์....!
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซีพีเรียด] สีหราชยมทูต Grim reaper's vacation by ButlerofLOVE++ (Yaoi)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 23-08-2020 19:50:08
จะมีเรื่องละสินะ
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซีพีเรียด] ข้าชื่อ...สีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy]
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 11-09-2020 23:58:51
บทที่ 14 หวานหวาม
Last updated : 12/9/2020
นิยายเรื่องนี้ลงจนจบแล้วนะคะ ที่ D และ RAW

แสงอาทิตย์อ่อน ๆ ลอดผ่านช่องหน้าต่างเรือนเข้ามา เสียงนกร้องดังขึ้นเบา ๆ อยู่ด้านนอก และสัมผัสที่ไม่คุ้นทำให้เมืองอินทร์ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ

อุ่นยิ่งนัก...ยังไม่อยากลุกเลย อากาศกำลังเย็นสบายและผ้าห่มกำลังอุ่นและ...นุ่ม...ร้อนนิด ๆ

ทันใดนั้นเมืองอินทร์ก็สะดุ้งเฮือก เมื่อรู้สึกถึงความอุ่นร้อนผ่าวที่อยู่แนบชิดด้านหลังและบั้นเอวทำให้เจ้าตัวรีบขยับกายออกห่าง แต่มือหนาข้างหนึ่งก็กลับกดพาดอยู่บนช่วงเอวไว้แน่น เสียงงึมงำที่แนบชิดรดต้นคอทำให้หัวใจเต้นโครมคราม กลิ่นกายและสัมผัสที่คุ้นเคยทำให้รู้ว่าเป็นผู้ใด

“อยู่เฉย ๆ บ้างไม่ได้ดอกฤา เจ้าดิ้นทั้งคืนทำให้ข้ายังไม่ได้นอนเลย...”เสียงงึมงำของอ้ายสีหราชดังขึ้นแนบชิด

...หะ...หืม ? ข้านะหรือนอนดิ้น ? ...แล้ว...กอด...ทั้งคืน... !

“อะ...อ้ายสีห์...เหตุใดข้าจึงมาอยู่ที่นี่เล่า แล้วนี่มันที่ใดกัน...” เมืองอินทร์อุบอิบก่อนจะพยายามพลิกตัวกลับมามองคนที่เอาร่างมันเป็นหมอนข้าง ขอบตาคนพูดฟ้องว่าเจ้าตัวคล้ายอดนอนมาทั้งคืนจริง ๆ เรือนที่พวกมันกำลังนอนอยู่นี้ดูงดงามวิจิตร แน่นอนว่าไม่ใช่เรือนของผู้มีอันจะกินทั่วไปเป็นแน่

“เจ้าเมานัก...จะพาขึ้นหลังเจ้าสีหมอกก็พาลจะร่วงอยู่หลายครา...ข้าเลยต้องอุ้มเจ้าขึ้นหลังมาขอใช้ห้องข้าที่ตำหนักของเสด็จพระองค์ชาย...” ดวงตาคนพูดยังคงปิดสนิท น้ำเสียงง่วงงุน โหนกแก้มกลับคล้ายเริ่มแดงเรื่อ ลมหายใจอุ่น ๆ ที่จรดอยู่ข้างตัวทำให้หัวใจของเมืองอินทร์ขยุกขยิกพิกล

“แล้ว...เหตุใดต้องมาเบียดกันบนเตียงแคบ ๆ ด้วยเล่าอ้ายสีห์ ให้ข้านอนพื้นก็ได้...” เมืองอินทร์ไม่วายบ่นเบา ๆ

เตียงนี้แคบชนิดเหมาะนอนผู้เดียวมากกว่า พอผู้ชายสองคนต้องนอนด้วยกันก็แทบจะต้องแนบชิดจนรู้สึกถึงไออุ่น

“มีเตียงเดียว แลพื้นไม้ก็เย็นปานนั้น เจ้าก็เพิ่งจะหายป่วย ข้าจะปล่อยให้เจ้านอนพื้นได้อย่างไร มีทางเดียวก็ต้องนอนด้วยกันบนเตียงนี่แล...แต่ใครจะรู้เล่าว่าเจ้านอนดิ้นขนาดนี้...”

แม้มันหันกลับมามองหน้าคนง่วงนอน แต่มือไม้ของคนง่วงกลับกอดกระชับมันไว้แน่น รั้งไว้แนบอก ก่อนจะกดปลายคางสากลงกับเรือนผมนุ่มของมัน แนบชิดจนยินเสียงหัวใจของยักษ์ขี้เซาที่เต้นรัวตึกตัก...

หัวใจอ้ายสีห์...เต้นรัวยิ่งนัก ?

“อะ...อ้ายสีห์ ปล่อยข้าก่อนได้ฤาไม่ เจ้าไม่เหน็บกินดอกหรือ...”

ท่อนแขนหนาของสีหราชถูกมันใช้ต่างหมอนหนุนหัวมาตลอดทั้งคืน ดูท่าเจ้าตัวน่าจะปวดแขนไม่น้อย

“ใช่ ต้องเหน็บกินแน่...เพราะสละแขนแทนหมอนให้เจ้าทั้งคืน” เสียงเหมือนยักษ์ตัวโตกำลังงอน

“เมื่อคืนข้าสละแขนเป็นหมอนให้เจ้า...เช้านี้เจ้าจงยอมเป็นหมอนให้ข้าบ้าง...”

ประโยคห้วน ๆ ราวกับโกรธมันนัก ทำให้เมืองอินทร์หน้าแดงก่ำทันที เพราะทันทีที่พูดจบ มือแกร่งก็ดึงรั้งตัวมันเข้ามาแนบชิด..ใกล้เสียจนได้ยินเสียงลมหายใจของคนข้างตัว...

...อ้ายสีห์...ลมหายใจอุ่นจัด และเร็วเหลือเกิน...คงมิได้ป่วยไข้ ?

เมืองอินทร์เหลียวมองคนง่วงที่ฉุดมันไว้ต่างหมอน แต่ก็ต้องกระพริบตาปริบ ๆ เมื่อดวงตาคมคร้ามที่คิดว่าหลับอยู่กลับจดจ้องตะแคงมองมันเช่นกัน สายตาที่มองมาคล้ายวาววาม...คล้ายจะคาดโทษบางอย่างที่มันเองก็ไม่เข้าใจ ดวงตานั่นจับจ้องที่ริมฝีปากมันก่อนจะเม้มแน่น

ริมฝีปาก...หรือเมื่อคืนมันจะพูดอะไรผิดหู...หรือว่าเผลอทำสิ่งใดผิด... ?

“เมื่อคืน..นอกจากเรื่องข้าเมาแล้ว นอนดิ้นแล้ว...ข้ายังทำสิ่งใดอีกฤาไม่ ?” น้ำเสียงคนพูดคล้ายจะลังเล สีหน้าจืดเจื่อนกังวลก่อนจะขบริมฝีปากตนเองเบา ๆ ท่าทีดังกล่าวทำให้คนที่เอามันเป็นหมอนถึงกับเม้มปากหนักกว่าเดิม ก่อนจะคลายวงแขนที่กอดแล้วเบี่ยงตัวออกไม่มองหน้ามันอีก..ท่าทีเหมือนกำลังข่มกลั้นบางอย่าง...

ดูท่า...มันคงทำเรื่องเลวร้ายมาก...อ้ายสีห์ถึงทำท่าเยี่ยงนี้...

“เงียบเถอะ...เลิกเอ่ยถึงเรื่องนี้ได้แล้ว...”เจ้าตัวตัดบทสั้น ๆ ก่อนจะเมินไปทางหนึ่ง

“ทำไมเล่า...ข้าทำสิ่งใดเลวร้ายขนาดนั้นรึ ?” เมืองอินทร์ลอบกลืนน้ำลายเบา ๆ

“ใช่...ทั้ง...อันตราย และเลวร้าย...ข้าไม่อยากพูดถึงมัน...” ประโยคนั้นทำให้เมืองอินทร์ทำตาปริบ ๆ นิ่งงันไปบ้าง

 “ข้าขอโทษ...สุรานั้นหวานนัก กว่าจะรู้ตัวก็มึนเมาไม่ได้สติเสียแล้ว...” คนทำผิดทำหน้าม่อยก่อนจะยอมรับแต่โดยดี

“อืม...หวาน...หวานจนคนดื่ม...และคนไม่ได้ดื่มมึนเมา...” คนพูดหลับตานิ่งก่อนจะไม่ยอมพูดอะไรอีก

เมืองอินทร์มองยักษ์ตัวโตที่นอนข้าง ๆ ตาปริบ ๆ

ดูท่าอ้ายสีห์ จะเมาค้างจนพูดผิดพูดถูกไปหมดแล้ว

มีอย่างฤา...คนไม่ได้ดื่มจะมึนเมากับความหวานได้อย่างไร ?

……………………………………………………………………………………..

 กว่าอ้ายสีหราชจะยอมปล่อยมันเป็นอิสระ ก็รอจนกระทั่งบ่าวไพร่ในเรือนของเสด็จพระองค์ชายชาญนพมาเชิญไปรับสำรับอาหารเช้านั่นแล อ้ายสีหราชหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะฉุดตัวเล็กกว่ามานั่งใกล้ ๆ สำรับชามเบญจรงค์ถูกบ่าวไพร่ทยอยยกเข้ามาทีละชุด

“เจ้าอยากชิมอาหารชาววังนี่อ้ายอินทร์ วันนี้ข้าอุตส่าห์พาเจ้ามาแล้ว จะชิมสักหน่อยฤาไม่...นี่กระไร สาคูไส้ไก่ที่เจ้าถามถึงครานั้น” รอยยิ้มตรงหน้าทำให้เมืองอินทร์ขำนิด ๆ

อ้ายสีห์ จดจำทุกอย่างที่มันชอบได้จริง มีแต่อาหารที่มันอยากรับประทานทั้งนั้น

“เสด็จพระองค์ชายให้มาเรียนอ้ายสีห์ว่า ท่านจะเสด็จไปท้องพระโรงแล้ว หากอ้ายสีห์ประสงค์จะติดตามให้เตรียมตัวเจ้าค่ะ” บ่าวผู้หนึ่งเดินยอบกายก่อนจะก้มหน้าแนบพื้น

“เมื่อคืน ตกลงว่าท่านตามคนเหล่านั้นไปได้เรื่องอันใดบ้างฤาไม่..” เมืองอินทร์ถาม

“อืม...มีหนึ่งคนในนั้นที่มีบรรดาศักดิ์ ข้าเลยขอเสด็จพระองค์ชายติดตามไปดักรอหน้าท้องพระโรง อาจจะพอได้เรื่องบ้าง”

“อ้ายอินทร์ เจ้าชิมขนมและของหวานเหล่านี้ไปพลาง ๆ ก่อน ประเดี๋ยวข้าจะกลับมา” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ลุกจากตั่งนอนแล้วเตรียมเดินตามบ่าวรับใช้ออกไป

แต่แล้วเพียงครู่เดียว อ้ายอินทร์ก็เหลือบไปมองบนเตียงเมื่อครู่ วัตถุแวววาวส่องประกายล้อแสงอาทิตย์ทำให้ต้องลุกขึ้นไปมองให้แน่ ๆ ก่อนจะขมวดคิ้ว สร้อยทองสลักดุนลายอย่างวิจิตรเส้นน้อยร่วงอยู่บนนั้น ชะรอยว่าอ้ายสีห์อาจจะทำร่วงขณะที่นอนหลับอยู่เมื่อครู่

....สร้อยของสตรี...ไฉนมาอยู่ที่อ้ายสีห์ได้ ? มีผู้ใดให้มัน เหตุใดสำคัญขนาดต้องพกติดกาย...

หรือมันเตรียมเอาไว้ให้ผู้สาวบ้านใด...ที่หมายปอง...

สิ้นความคิดนั้น เหมือนเกิดช่องว่างวูบไหวขึ้นกลางอก จนต้องเผลอกลืนน้ำลายเฝื่อน ๆ ลงไป

อ้ายสีห์เติบใหญ่แล้ว...ถึงคราต้องออกเรือน จะแปลกอันใดที่มันจะเริ่มหมายปองหญิงสาวจากตระกูลที่ดีงาม

ถ้าจะแปลกจริง ๆ คงเป็นตัวมันนี่เอง ที่จู่ ๆ ก็วูบไหวคล้ายพายุพัดกระโชกให้หัวใจหาย....

มือเรียวของเมืองอินทร์คว้าสร้อยเส้นนั้นไว้แน่นกับมือ ก่อนจะเดินก้าวออกตามร่างสูงที่เพิ่งก้าวพ้นออกจากเรือนไปไม่นาน แต่ก่อนที่เขาจะเดินทันอ้ายสีหราช ก็ปรากฏว่าเกือบชนเข้ากับสตรีนางหนึ่งเดินก้าวตรงมาอย่างรวดเร็ว

“เจ้าไม่กลัวหัวจะหลุดฤา เดินประสาอะไร เกือบจะชนแม่หญิงอยู่แล้วเทียวนะ!” เสียงบ่าวที่เดินตามมาแว้ดอย่างดังก่อนจะปราดมาขวางเมืองอินทร์กับคนตรงหน้าไว้ 

ให้ฟ้าผ่าเถอะ ! เมืองอินทร์คันปากอยากจะบ่น

“เจ้า...เจ้าทาสของอ้ายสีห์ ?” เสียงแม่หญิงนากดังขึ้น สตรีรูปร่างงดงามใบหน้าผุดผาดยืนอยู่ตรงหน้าเขา

เมืองอินทร์ค้อมหัวลงให้เล็กน้อยก่อนจะเตรียมปลีกตัวไป แต่ก็ถูกเรียกไว้ก่อน

“นั่นเจ้าจะไปที่ใด แล้วนั่น...สิ่งที่อยู่ในมือเจ้า...เป็นของใคร ?” น้ำเสียงนั้นดูคล้ายไม่เป็นมิตร แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะมาใส่ใจ

“ข้าจักไปหาอ้ายสีห์ เพราะเมื่อคืนทำสร้อยนี้ร่วงเอาไว้บนเตียง...” เมืองอินทร์ตอบอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะกำสร้อยในมือไว้

ประโยคนั้นทำให้แม่หญิงคนงามถึงกับหันขวับมามองก่อนจะกัดริมฝีปากแน่น แล้วเขม้นมองมันตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง ขณะที่บ่าวไพร่ที่เดินตามหลังแม่หญิงนากกลับมีท่าทีประหลาดหันไปกระซิบกระซาบกัน สายตาทั้งบ่าวทั้งนายนั่นพิกลนัก...

ไม่ชอบเอาเสียเลย...ข้าไม่เคยมองใครเยี่ยงนี้ และไม่คิดจะมองด้วย !

จู่ ๆ แม่หญิงคนงามก็เดินมาใกล้ ๆ ก่อนจะชี้ตรงต้นคอ ด้วยสายตาประหลาด

“รอยแดงที่ต้นคอนั่น...เจ้าไปโดนอะไรมา..เจ็บฤาไม่”

เมืองอินทร์เลิกคิ้วงุนงง เพราะไม่เห็นจะรู้สึกเจ็บตรงที่ใดบนร่างกาย

“ขอบคุณที่แม่หญิงถาม แต่ข้าไม่เจ็บตรงที่ใด” ก่อนจะยกมือขึ้นลูบต้นคอ

..หรือว่าข้าจักแพ้สุราจีนกัน...แต่ไม่ยักจะคัน…ประหลาดแท้

“ข้ากำลังจะไปเฝ้าเจ้าจอมมารดาพิม...เห็นว่าอ้ายสีห์จักต้องตามเสด็จพระองค์ชายไปเยี่ยมเจ้าจอมมารดาพิมก่อนจะเข้าท้องพระโรง เรือนนั้นเข้าได้เฉพาะสตรีเท่านั้น จะฝากข้าไปฤาไม่เล่า..”

ท่าทีของแม่หญิงนากดูคล้ายจะมีน้ำใจ แต่เมืองอินทร์ก็ลังเล แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เรือนเจ้าจอมมารดาพิมอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นใน ที่ไม่อนุญาตให้บุรุษเข้าไป

“หากเจ้าเกรงว่าจะยักเอาของอ้ายสีห์ไว้ เจ้าก็ตามข้ามาก็แล้วกัน ข้าจักยื่นให้อ้ายสีห์แล้วเจ้าก็จะได้เห็นเอง...”

น้ำเสียงและท่าทีดูคล้ายจะอ่อนลง ประโยคนั้นทำให้เมืองอินทร์ยอมเดินตามมาด้วย แล้วก็เป็นดังที่แม่หญิงนากเอ่ย เมื่อเข้าไปในเขตพระราชฐานชั้นใน อ้ายอินทร์ได้แต่มองตาละห้อยอยู่ด้านนอก ภาพที่มันเห็นตรงหน้าทำให้ตัวชานิด ๆ เพราะแม่หญิงนากคล้ายจักเรียกอ้ายสีห์ไว้ก่อนจะเดินขึ้นเรือนของเจ้าจอมมารดาพิม ทั้งคู่อยู่ไกลเกินกว่าที่เมืองอินทร์จะได้ยินคำพูด แต่ดูจากกริยาแล้วคล้ายแม่หญิงนากขวยเขินแลอุทานบางประโยค ก่อนเจ้าตัวจะทรุดลงก้มจะคว้าเก็บบางสิ่ง ประกายวาววับต้องแสงอาทิตย์บอกว่านั่นคือสร้อย อ้ายสีหราชก้มลงเก็บให้แม่หญิงก่อนจะขยับกายไปใกล้ชิด

สร้อย...ถูกอ้ายสีห์บรรจงยื่นให้แม่หญิงนาก...แต่แม่หญิงนากกลับก้มหน้างุดแล้วรวบเส้นผมยาวสลวยแล้วมองเป็นเชิงให้อ้ายสีห์สวมให้ แววตาของแม่หญิงคล้ายจะวิบวาว ขณะที่อ้ายสีหราชที่มีสีหน้าเรียบเฉยเช่นเคยเป็นมา

ถึงยามนี้...ไม่ว่าอ้ายสีห์จะสวมสร้อยนั้นให้หรือไม่ แต่เมืองอินทร์เหมือนไม่อยากเห็นภาพสิ่งใดอีกแล้ว เจ้าตัวหมุนกลับก่อนจะเดินก้าวพรวด ๆ หนีจากภาพนั้นมา มือเรียวยาวกระชับกุมดาบในมือไว้มั่น

คงใช่...อ้ายสีห์ เขาเลือกเจ้าของสร้อยเส้นนั้นแล้ว....

ข้าควรยินดีกับอ้ายสีห์....แต่ไฉน...จึงปวดร้าว...

กลับ...ข้าควรกลับเรือนพ่อสินได้เสียที...

................................................................................................

หลายวันมานี้เหมือนอ้ายตัวจ้อยพยายามหลบหน้าหลบตาสีหราช จนเจ้าตัวก็งุนงงว่าไปทำสิ่งใดให้มันเคืองเข้า ตั้งแต่วันนั้นที่เจ้าตัวจ้อยหนีกลับจากตำหนักของเสด็จพระองค์ชายชาญนพก่อน ก็ทำเอาอ้ายสีหราชวิ่งวุ่นตามหาก่อนจะรู้ว่าเจ้าจ้อยนั่นกลับไปที่เรือนของพ่อสิน

“หากจู่ ๆ ก็เปลี่ยนแปร ลองคิดดูว่าวันนั้นเจ้าทำสิ่งใดผิดแผกไปหรือไม่ ลางทีมันอาจจะโกรธ...” อ้ายมิ่งสหายสนิทตบบ่าเบา ๆ ประโยคนั้นทำให้สีหราชนิ่วหน้ากุมขมับ

ถ้าจะนึกไป...วันนั้นก็ดูไม่มีสิ่งใดที่เขาทำผิดต่อเมืองอินทร์ แต่สำหรับตัวเองนั้นอาจจะแปลกประหลาดอยู่บ้าง ตั้งแต่แม่หญิงนากเรียกเขาไว้ก่อนจะก้าวขึ้นเรือนเจ้าจอมมารดา

“อ้ายสีห์...ข้าคิดว่าสร้อยเส้นนี้เป็นของเจ้าใช้ฤาไม่” แม่หญิงนากยกสร้อยทองเส้นน้อยในมือให้เขาดู ทำให้สีหราชตกใจไม่น้อยเพราะไม่คาดว่าของสำคัญจะหล่นร่วงระหว่างทาง เจ้าตัวรีบแตะห่อพกที่ติดตัวมาเปิดดูแล้วก่อนจะเห็นว่าสร้อยร่วงหล่นไปจริง

“ขอบคุณแม่หญิงที่ช่วยเก็บให้ข้า...ท่านรู้ได้อย่างไร”

“เปล่าดอก เมืองอินทร์ทาสของเจ้าตาลีตาลานวิ่งมา ข้าเลยบอกว่าจะเอามาให้เจ้า”

สิ้นประโยคนั้นสีหราชก็เหลียวมองไปด้านนอกกำแพงแต่ก็ไม่เห็นผู้ใด ก่อนจะรีบหันกลับมาเมื่อแม่หญิงนากอุทานเบา ๆ

“อุ๊ย...สร้อยข้า...” เจ้าตัวอุทานพร้อมกับทาบอกเมื่อสร้อยทองที่ละม้ายคล้ายของเขาร่วงหลุดจากคอลงสู่พื้น

สัญชาตญาณทำให้อ้ายสีห์รีบก้มลงไปหยิบแทนให้ก่อนจะยื่นคืนให้เจ้าของ แต่แม่หญิงนากกลับทำทีขอให้เขาสวมมันให้กับนาง ท่าทีรวบผมขึ้นนั้นทำให้สีหราชนิ่งอั้นไปครู่หนึ่งก่อนจะปฏิเสธ

“ข้า...เป็นเพียงนักดาบหลวง ไม่ควรใกล้ชิดบุตรีสมุหพระกลาโหม ไม่เช่นนั้นผู้คนจักนินทาท่านได้...ข้าขออภัย”

ว่าแล้วก็ยื่นคืนสร้อยนั้นลงสู่มือเจ้าของ แล้วพูดต่อทันควัน

“ข้าขอสร้อยของข้าคืนด้วย แม่หญิง...”

ไม่อยู่รอดูว่าแม่หญิงนากมีท่าทีอย่างไรต่อเขา แต่กริยากำมือแน่นของแม่หญิงตรงหน้าก็พอบอกได้ว่าเจ้าตัวไม่พึงใจอย่างมาก แต่สีหราชรีบผละไปหาเสด็จพระองค์ชายชาญนพที่กำลังเดินลงมาแล้วก้าวตามไปทันที

ตั้งแต่วันนั้นมา อ้ายอินทร์ก็ไม่ยอมอยู่ใกล้เขาอีกเลย ไม่รู้ว่ามันโกรธเคืองเขาด้วยเรื่องอันใด หรือว่าจะเคืองที่หลบไปท้องพระโรงก่อน ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัวนัก ความคับข้องใจทำให้สีหราชได้แต่นั่งถอนใจพรูใหญ่ จนอ้ายมิ่งเหลียวมามอง

“หากมิรู้ว่าเรื่องอันใด ก็...ถามตรง ๆ ไปเสีย จักได้มิต้องกระสับกระส่ายอยู่เยี่ยงนี้”

“ข้า...มิกล้าถาม มิรู้ว่าทำสิ่งใดให้มันเคือง...” สีหราชโอดก่อนจะเสยผมแล้วถอนหายใจพรู

“เจ้าทำหน้าราวกับแบกโลกไว้หลายเพลาแล้ว อีกไม่กี่วันจักเป็นงานลอยโคม...ลองชวนอ้ายอินทร์ไปเที่ยวงานสิ” อ้ายมิ่งแนะนำ ก่อนจะจ้องหน้ามันแล้วเอ่ยช้า ๆ

“อ้ายสีห์...ข้าไม่รู้ว่าควรพูดฤาไม่...แต่ข้าไม่เคยเห็นเจ้าห่วงใยใครเท่าอ้ายอินทร์มาก่อน จงถามหัวใจตัวเองเถิดว่าเหตุใดเพียงมันเมินเจ้าแล้ว...เจ้าจึงทุรนทุรายเยี่ยงนี้...”

ประโยคนั้นทำให้สีหราชชะงักไป ก่อนจะมองหน้าอ้ายมิ่ง

นั่นสิ...เหตุใดถึงรู้สึกราวเจียนตาย...แค่อ้ายตัวจ้อยเมินมัน...

.........................................................................
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซีพีเรียด] สีหราชยมทูต Grim reaper's vacation by ButlerofLOVE++ (Yaoi)
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 13-09-2020 00:25:34
ต้องขอชมนักเขียนเลยนะครับ คุณบัตเลอร์เขียนเรื่องนี้ออกมาได้น่าติดตาม และใช้ภาษาได้ดีครับ ผมมีไปตามอ่านในเว็บอื่นมา ก็ถือว่าประทับใจพอสมควรครับ

จุดแรกที่ต้องขอชมเลย คือการใช้คำและภาษา คุณบัตเลอร์ทำการบ้านมาค่อนข้างดี ในเรื่องแบ่งเป็นสองไทม์ไลน์หลักๆ คือไทม์ไลน์อดีตของสีหราช กับไทม์ไลน์ปัจจุบัน ซึ่งทั้งสองไทม์ไลน์มีความแตกต่างกันในเรื่องของภาษา วัฒนธรรม ระบบสังคม ซึ่งการบรรยายต้องสะท้อนออกมาให้เห็นถึงความแตกต่างตรงนี้ให้ได้ ซึ่งคุณบัตเลอร์ทำออกได้ดีครับ เราจะสังเกตถึงไทม์ไลน์และวัฒนธรรมของแต่ละช่วงเวลาได้ค่อนข้างชัดเจน ในพาร์ทของอดีตกาลหรือยุคโบราณที่เป็นช่วงปลายรัชกาลที่ 3 คุณบัตเลอร์ก็สามารถบรรยายมันออกมาให้คนอ่านเห็นภาพได้ สำหรับผมเอง ผมอ่านแล้วเห็นภาพของสังคมยุคต้นรัตนโกสินทร์ นักเขียนเลือกใช้คำได้ตรงบริบท มีการบรรยายที่กระชับ แต่ละเมียดละไมให้เห็นภาพ มีกาพย์กลอนซึ่งสะท้อนบริบทชีวิตและวัฒนธรรมของคนเหล่านั้นได้ดีครับ หมู่บ้านนักตีดาบก็มองเห็นภาพจำแลงออกมาจากตัวอักษร รวมถึงวิถีชีวิตของตัวละครและการดำเนินชีวิตของคนในยุคสมัยนั้น ไม่ว่าจะเป็นวิถีชีวิตของชาวบ้านปกติ (ในบ้านพ่อสิน) หรือวิถีชีวิตชาววัง ที่อาจจะมีบรรยายน้อยไปหน่อย แต่ว่าก็มีการเขียนสอดแทรกโครงเรื่องและปูพื้นเรื่องราวในยุคสมัยนั้นๆออกมา ยกตัวอย่างเช่น ในงานเทศกาลลอยโคม ก็มีการบรรยายหลายอย่างที่สอดแทรกเกร็ดเรื่องในเนื้อหาของการบรรยายเหตุการณ์หลักของงานเทศกาลนั้นๆ อีกทั้งเรื่องนี้ยังมีการใส่กลอน กาพย์ ที่ไม่ได้ใส่มาเล่นๆ แต่ใส่มาและเป็นคีย์หลักในการผลักดันเรื่องเสียด้วย (ไม่ว่าจะเป็นกลอนจีบกัน หรือกลอนที่เขียนไว้เพื่อเป็นปริศนาในการดันปมเรื่องต่อ) มันแสดงให้เห็นถึงความพยายามของผู้แต่งที่ทำการบ้านมาและอยากให้คนอ่านได้รับรู้ครับ

จุดที่สองคือการปูพื้นเรื่องและเขียนพล็อตครับ ในปัจจุบันเราจะเห็นนวนิยายที่ซ่อนปมไว้และอธิบายออกมาอย่างได้อารมณ์ความรู้สึก มีไม่มากนัก แต่เรื่องนี้เป็นหนึ่งในเรื่องที่ผมแนะนำให้คนอื่นอ่านนะครับ เพราะนักเขียนทำออกมาได้ดี น่าสนใจ ปมแต่ละปมถูกสร้างมาโดยที่คิดไว้แล้วว่าจะร้อยเรียงเรื่องราวแต่ละอย่างเข้าด้วยกันได้ยังไง แต่ละตัวละครมีปมของมัน และทำให้ผู้อ่านรับรู้ได้ผ่านมุมมองความรู้สึกบางมุมมอง ซึ่งเราอาจเห็นปมของตัวละครตัวนึงผ่านมุมมองความรู้สึกของตัวละครอีกคนหนึ่ง การสะท้อนเรื่องราวออกมาแบบนี้ถือเป็นทักษะการเขียนที่ต้องชมว่ามีศิลปะ ซึ่งถ้ายกตัวอย่างในนี้มันอาจจะสปอยล์ไปหน่อยเพราะว่าในเล้ายังลงเรื่องมาไม่ถึง

จุดสุดท้ายที่ต้องชม คือความสมจริงบนหลักการแฟนตาซี ซึ่งทำให้การผสมผสานเรื่องราวเข้าด้วยกันออกมาเป็นวรรณกรรมที่ผมเห็นควรต้องแนะนำ เพราะโดยปกติแล้ว แม้ว่านวนิยายจะพล็อตดี ภาษาดี แต่ว่าถ้าสมมุติแกนเรื่องมันล้ำหน้าไปมากจนคนไม่เข้าใจ หรือพฤติกรรมตัวละครไม่สมเหตุสมผล หรือหลักการของพื้นเรื่องอยู่บนความหลักลอย มันจะทำให้วรรณกรรมขาดความหนักแน่นของมิติเรื่อง และอาจทำให้วรรณกรรมดูจืดจางลงได้ แต่สำหรับเรื่องนี้ไม่เป็นอย่างนั้นนะครับ แม้ว่าจะมีเรื่องของยมทูต ไสยเวท ดวงวิญญาณ แต่ผู้แต่งสามารถทำให้มันออกมาดูสมจริงและมีหลักการ มีเหตุผล ยมทูตไม่ได้เป็นเทพที่เก่งกล้าไปหมดทุกอย่าง และที่เก่งกล้าก็เพราะมีเหตุผลรับรอง (การบำเพ็ญตบะ) ทุกอย่างมีกฎเกณฑ์และข้อห้าม หากละเมิดก็ต้องถูกลงโทษ (มนตราฟื้นความจำ) หลายอย่างของความแฟนตาซีนี้ตั้งอยู่บนหลักการที่อ่านแล้วสมเหตุสมผล มันล้อไปกับพล็อตและคาแรกเตอร์ตัวละครที่สร้างมาได้ดีมาก สีหราช เป็นตัวละครเอกที่ผมถือว่าเรื่องนี้สะท้อนเขาออกมาได้ดีสุดๆเลยนะครับ การบรรยายหลายอย่างแสดงคาแรกเตอร์ของเขามาให้คนผ่านได้เห็น ไม่ว่าจะเป็นความมุ่งมั่น (ยอมเสียตบะ) หรือความรู้สึกรักใคร่ (แสดงออกผ่านการกระทำ)

โดยสรุปนะครับ ทำได้ดีทีเดียว เรียกได้ว่าผ่านเกณฑ์มาตรฐานของนวนิยายระดับธรรมดาด้วยซ้ำครับ โดดเด่นกว่าวรรณกรรมทั่วๆไปในท้องตลาดแน่นอน เพราะว่าเนื้อเรื่องผูกมาดี มิติเรื่องและหลักการแฟนตาซีแน่น มีการใช้ภาษาสละสลวย เหมาะสมกับบริบท มีการสะท้อนสังคมและอธิบายวัฒนธรรมของเรื่องแวดล้อม ทำให้เนื้อเรื่องมีมิติ สนุกสนาน ไม่ได้มีพล็อตวิ่งยาวอยู่แค่ความรู้สึกตัวเอกเป็นเส้นตรงไปจนจบเรื่อง ผู้เขียนทำการบ้านมาได้ดีมาก มีการใส่เอกลักษณ์ไทยที่เหมาะสมกับบริบทเข้าไป ทำให้ดูเป็นผลงานที่สะท้อน soft power ของสังคมไทยได้ดีครับ ชื่นชมและเป็นกำลังใจ อยากให้มาลงที่เล้าต่อจนจบเรื่องนะครับ ค่อยๆมาลงก็ได้ เพื่อเว้นวรรคไว้ให้มีคนได้มาอ่าน และคอมเมนท์ ในเล้ามีคนอ่านที่มีความสามารถอยู่มากครับ หลายคนจะเป็นกำลังใจ หลายคนจะเป็นคนคอมเมนท์ที่สามารถทำให้ผู้เขียนได้ขัดเกลาฝีมือเพิ่มขึ้นได้อีก สู้ต่อไปครับผม แต่สบายใจได้ว่าฝีมือการเขียนของคุณบัตเลอร์ตอนนี้ก็ถือว่ามีทักษะการแต่งเรื่องวรรณกรรมที่ดีมากแล้วครับ ยอดเยี่ยม

ปล. เล้าเป็ดไม่มีกฎเรื่องของการลง NC นะครับ สามารถลงเรื่องได้เต็มที่ ไม่ต้องเป็นห่วงครับ
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซีพีเรียด] สีหราชยมทูต Grim reaper's vacation by ButlerofLOVE++ (Yaoi)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 14-09-2020 01:28:46
รีบมาต่ออีกน้า อยากให้เพิ่มวันที่ลงตรงชื่อเรื่องด้วย

จะได้รู้ว่ามาต่อแล้วววว
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซีพีเรียด] ข้าชื่อ...สีหราช (Last updated: 21/9/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 21-09-2020 11:28:07
(ต่อ)

หากเรื่องราวง่ายเช่นนั้นคงไม่เป็นเรื่องปวดหัว เพราะสมุหพระกลาโหมเรียกสีหราชและพ่อสินเข้าไปที่เรือนเพื่อปรึกษาการตีดาบรุ่นใหม่ที่จะเพรียวลมและน้ำหนักเบากว่าเดิม ขณะที่รักษาความแข็งแรงและพลังการทำลายของดาบไว้ได้ หลายวันมานี้สีหราชก็ยอมไปด้วย แต่มาสองสามวันหลังนี้เริ่มรำคาญใจเพราะแต่ละคราว แม่หญิงนากมักจะมาคอยยกสำรับอาหารต่าง ๆ มาให้พ่อสินและเขาอยู่ตลอด แม้ว่าสมุหพระกลาโหมจะคอยไล่ให้ไป แต่ด้วยความเป็นบุตรสาวที่รัก แม้จะดื้อดึงเท่าไร ผู้เป็นพ่อก็มิอาจทำสิ่งใดได้ สองวันนี้แทนที่สีหราชจะได้อยู่บนเรือนดูเรื่องการตระเตรียมดาบรุ่นใหม่ เลยกลับกลายเป็นต้องอยู่ด้านล่างนั่งเป็นเพื่อนแม่หญิงนาก

“พ่อสีห์ ช่วยพาน้องไปนั่งเล่นริมน้ำทีเถิด ข้าคร้านจะเอ่ยแล้ว เป็นสตรีกลับจะมายุ่งเรื่องบุรุษ...” สมุหพระกลาโหมออกปากเช่นนั้น ทำให้กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แม้จะหันไปทางพ่อสิน แต่รายนั้นก็กลับพยักหน้าให้ทำตาม

ไม่เห็นจะอยากคุยสิ่งใด...น่าเบื่อ...

ลงมาถึงริมน้ำเขาก็นั่งมองสายน้ำนิ่ง ๆ ไม่สนใจคนที่อยู่ข้าง ๆ นัก ไม่ว่าจะเอ่ยสิ่งใดมาเขาก็อาศัยความเงียบเป็นคำตอบแทน มีเพียงเสียงแม่หญิงนากนั่งอยู่ใกล้ ๆ เขาพร้อมกับเหล่าบ่าวไพร่สองสามคน ไม่รู้ว่ารายนั้นพูดสิ่งใดบ้าง จนกระทั่งเสียงหวานข้าง ๆ ดังขึ้น

“อ้ายสีหราชเคยพึงใจผู้ใดฤาไม่...” ประโยคของแม่หญิงนากทำให้สีหราชได้แต่นิ่งงัน

จะขยับตัวลุกก็เกรงว่าจะเสียมารยาท ได้แต่ภาวนาให้พ่อสินลงมาจากเรือนใหญ่โดยเร็วจักได้กลับเสียที แต่แล้วก็ต้องชะงักนิ่งเมื่อสตรีข้าง ๆ เอ่ยกลอนแผ่วเบา...

“หากเพียงรักหวังรักไม่ชังตอบ                        หากเพียงชอบเอ่ยเฉลยซึ่งความหมาย

หากข้ารัก...จักเพียงหนึ่งไม่เคลื่อนคลาย            ผิว์ยามวายกายพรากจึ่งจากเอย...”

กลอนบทนี้...ท่านมีความเห็นอย่างใด...อ้ายสีหราช...” ประโยคหวาน ๆ ของสตรีตรงหน้าดังขึ้น

ไฉนเลยจะไม่ทราบความนัยแฝงเร้น หากแสร้งทำเป็นโง่งมจะเป็นการดีกว่า...

“ขออภัย...ข้ามิถนัดกาพย์กลอน คงมิอาจหาญไปให้ความเห็นแก่แม่หญิงได้...” สีหราชค้อมศีรษะ ก่อนจะตอบกลับเบา ๆ

“แน่ล่ะ ! อ้ายสีหราชไหนเลยจะเก่งกาจเรื่องกาพย์กลอน อ้ายสีหราชคนนี้เก่งแต่เรื่องตีรันฟันแทงเท่านั้น ผู้เก่งกาพย์กลอนจักต้องเป็นเสด็จพระองค์ชายชาญนพกระมังจึงจะต่อกลอนบทนี้ได้” เสียงบุุรุษคล้ายเมาเหล้าอ้อแอ้ที่ดังแทรกเข้ามา ทำให้สีหราชขมวดคิ้วมุ่นแล้วเหลียวมองคนที่ก้าวเข้ามาด้านหลัง

ขุนศรี....พี่ชายคนรองของแม่หญิงนากกำลังยืนเคี้ยวหมากอยู่ตรงหน้า

ชายหนุ่มรูปร่างสันทัด ใบหน้าคม สายตาคล้ายจะกร้าวนิด ๆ ผิวเข้มคร้าม เจ้าตัวคล้ายจะดื่มสุรามาตั้งแต่พระอาทิตย์ยังมิตกดิน 

“อ้ายศรี ! เหตุใดจึงกล่าวเยี่ยงนั้น ! ” แม่หญิงนากหันมองผู้เป็นพี่ชายคนรอง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงคล้ายจะขุ่นเคือง

“ข้าจะกล่าวอันใดก็เรื่องของข้า...ว่าแต่ข้ามิค่อยเห็นเจ้าในพระนครหรือไปตำหนักเจ้าจอมมารดาพิมมาระยะหนึ่งแล้ว...ดูท่าว่าเจ้ากำลังสนใจสิ่งอื่นอยู่มากกว่าสินะ แม่นาก...” น้ำเสียงเย้ย ๆ ของขุนศรีเอ่ยขึ้นก่อนจะตวัดสายตาไปทางสีหราช

"ผู้ชายที่เจ้าคุยด้วย...ช่างมากหน้าหลายตาเสียจริง..." คำเปรยของเจ้าตัวติดจะกลั้วหัวเราะนิด ๆ ตรงปลายเสียง

“วาจาเจ้า...กำลังดูแคลนข้า...และดูแคลนแม่หญิง” สีหราชเอ่ยช้า ๆ ก่อนจะเงยหน้ามองร่างสันทัดตรงหน้า

"นี่มันเรือนข้า นั่นก็น้องข้า ข้าจักพูดสิ่งใดก็ทำได้ทั้งนั้น..." ประโยคสวนกร้าว แววตาวาววับนั่นมองตรงมาที่นักดาบหนุ่ม

ความไม่ชอบใจ...ฉายชัดในแววตาของขุนศรี

“แค่พระอาจารย์ชมเจ้านิดหน่อย ก็อย่าได้ผยองเกินไปนัก อ้ายสีห์...เป็นแค่ลูกไพร่ที่เผอิญได้ดี !”

“อ้ายศรี ! เกินไปแล้วนะ !” แม่หญิงนากตะโกนขึ้น ใบหน้างามบึ้งตึงมือทั้งสองข้างกำแน่น

“หึ...ส่วนเจ้าก็ จับปลาหลายมือ...นิสัยเหมือนใครกันนะ”

เจ้าตัวขึ้นเสียงปลายจมูกครั้งหนึ่งก่อนหัวเราะนิด ๆ กลิ่นละมุดกรุ่นออกจากปาก จากนั้นเจ้าตัวก็เดินโซซัดโซเซไปพร้อมกับบ่าวรับใช้

แม่หญิงนากนิ่งงันไปครู่หนึ่ง สายตาที่มองตามร่างสูงของพี่ชายคนรองคล้ายชิงชังคล้ายเสียใจ หากเพียงชั่วพริบตาก็เลือนหาย

“อ้ายศรีเป็นเช่นนี้เสมอ เมื่อมีคนมาถึงเรือนของข้าเยี่ยงนี้” แม่นากเอ่ยเบา ๆ ท่าทางคล้ายอับอาย เจ้าตัวเงยหน้ามองสีหราชอีกครั้ง

“ขุนศรี มิใช่พี่น้องแท้ ๆ แม่เดียวกันกับข้า เขาเป็นบุตรของนางทาสคนหนึ่งที่บังเอิญได้เสียกับพ่อ พอนางทาสตาย พ่อเลยเลี้ยงไว้”

สีหราชรับฟังเงียบ ๆ สายตามองไปทางร่างสูงที่เดินโซซัดโซเซขึ้นเรือนของตนไป

ขุนศรี...โดยพื้นฐานดูคล้ายไม่ใช่คนเกกมะเหรก เขาเห็นมันเป็นสหายร่วมชั้นเรียนเสมอ ในความขี้เกียจไม่ใส่ใจสิ่งใด คล้ายมีความเหงาอยู่ในแววตานั้น...หากเมื่อเพลาผ่านไป อ้ายศรีที่มันเคยรู้จักในชั้นเรียนคล้ายจะแปรเปลี่ยนเป็นอีกคนที่เอาแต่เมามายในเหล้ายาและมิสู้จะทำสิ่งใดเป็นชิ้นอัน

วาสนาดี...หากแต่มิพยายามแสดงความสามารถให้ประจักษ์...น่าเสียดาย

“ข้ามิได้ติดใจสิ่งใด...ข้ากับขุนศรีเคยเรียนสำนักเดียวกันมา อย่างไรเสียก็ถือว่าเป็นสหาย...”

สีหราชเอ่ยเบา ๆ ก่อนจะขอตัวลุกเมื่อเห็นสมุหพระกลาโหมและพ่อสินก้าวลงมาจากเรือนใหญ่ แม่หญิงเดินตามก่อนจะก้าวมาเกาะแขนผู้เป็นบิดาฉะอ้อนฉอเลาะเสียงหวาน

“ข้าเหงายิ่งนัก วันนี้เห็นเขามีการละเล่นโคมที่ริมน้ำ พ่อไปเที่ยวกับข้าด้วยได้ฤาไม่ เพราะข้าถามบ่าวแล้ว อ้ายแนบ แลอ้ายศรี น่าจะติดกิจราชการหลวง”

เมื่อเห็นบุตรสาวเดินมาออดอ้อนเช่นนั้น สมุหพระกลาโหมก็หัวเราะร่วนออกมาก่อนจะลูบหัวบุตรีแสนรัก

“เห็นพ่อเป็นสิ่งใดกัน พี่ชายเจ้าทั้งสองต้องเข้าประชุม แล้วพ่อไม่ต้องเข้าประชุมฤา จะพาเจ้าไปเที่ยวเล่นด้วยได้กระไร แม่นากเอ๋ย” สมุหพระกลาโหมเอ่ยพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ ว่าแล้วก็เหลียวมองสีหราชที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ

“อ้ายสีห์ พ่อสิน...ท่านทั้งสองข้าจะขอฝากบุตรีข้าด้วยได้ฤาไม่ งานเช่นนี้ให้หนุ่มสาวไปเที่ยวกันน่าจะเหมาะกว่าคนแก่”

สีหราชได้แต่อึ้งเพราะไม่คาดคิดว่าจะถูกเอ่ยปากชวนเช่นนี้ ทางพ่อสินลอบถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะตอบ

“ข้าก็แก่เฒ่าแล้ว ไม่ใคร่ชอบงานละเล่นเยี่ยงนี้นัก แต่ถ้าท่านสมุหพระกลาโหมขอฝากบุตรี ข้าก็คงมิอาจขัด”

...........................................................

แล้วงานเทศกาลลอยโคมก็มาถึง พ่อสินสั่งให้ทุกคนในวันนี้หยุดพักได้เต็มที่ จึงมีทั้งแม่คำหล้า บ่าวไพร่และรวมถึงข้าทาสต่าง ๆ ออกไปเที่ยวชมงานกันได้ พ่อสินสั่งความกับแม่คำหล้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ข้าฝากแม่คำหล้าด้วย ไม่ว่าแม่นากอยู่ที่ใด ให้ท่านอยู่ใกล้นางทุกครั้ง อย่าให้อ้ายสีห์กับแม่นากอยู่ใกล้ชิดลำพังเด็ดขาด ข้าไม่อยากให้ลูกข้าต้องครหาว่าล่วงเกินบุตรีของสมุหพระกลาโหม”

สิ่งที่พ่อสินไม่ได้เอ่ยไปนั้นคือ สังหรณ์เรื่องราชภัยตามที่โหรชาวบ้านเคยทำนายทายทักไว้

“พ่อสิน เรื่องของหนุ่มสาวนั้นอะไรจะเกิดขึ้นก็ให้เขาได้พูดจากันเถิด ไม่แน่...อ้ายสีห์เราอาจจะพึงใจแม่หญิงนากก็เป็นได้”

พ่อสินได้แต่เงียบไม่กล่าวคำใดออกมา มีเพียงสายตาที่บอกชัดว่าห่วงใยและกังวล

ฝ่ายเมืองอินทร์หลังจากแผลหายดีแล้วก็ถูกอ้ายเชิดลากไปเที่ยวงานเทศกาลด้วยกัน สีหน้าคนหายป่วยยังคล้ายไม่สดชื่นเหมือนเดิม แต่จำต้องไปเพราะอ้ายเชิดไม่ยอมให้นั่งจับเจ่าอยู่ในห้องลำพัง

“อ้ายอินทร์ ข้าจะบ้าตายกับเอ็งแล้ว เงียบอย่างนี้ไม่สดใสเหมือนเดิม..” อ้ายเชิดเขย่ามือของคนหายป่วยสองสามครา

“บอกมา...อาการแบบนี้ละม้ายคล้ายคนอกหัก ผู้สาวบ้านไหนที่ทำให้เอ็งเป็นแบบนี้ !”

ประโยคของอ้ายเชิดทำเอาเมืองอินทร์สะดุ้งเฮือก ก่อนจะปฏิเสธพัลวัน

“ไม่มี...ข้าไม่ได้ชอบผู้สาวบ้านใด...”

“อย่าริมาโกหก ปรมาจารย์ด้านสตรีเช่นข้า...อาการเจ้ามันฟ้องว่ากำลังตรอมใจ...ได้เสียกันแล้วฤา” ประโยคที่โพล่งออกมาของอ้ายเชิดยิ่งทำให้เมืองอินทร์สะดุ้งเฮือกรอบสอง

“บัดสี...ใครได้เสียกับใครกัน !” ใบหน้าหวานนั้นแดงจัด

“หรือว่าโดนพ่อแม่เขากีดกันความรัก ?” อ้ายเชิดพูดเดาสุ่มไปเรื่อย ก่อนจะลอบมองหน้าเพื่อนรักที่อมทุกข์อยู่ตรงหน้า

“หรือว่า...เจ้ารักเขาข้างเดียว...”

สิ้นประโยคนั้นสายตาของเมืองอินทร์พลันไหวระริก ทำเอาอ้ายเชิดตบเข่าฉาด !

“นั่น ! เอ็งรักเขา...แต่ไม่รู้ว่าเขารักเอ็งใช่หรือไม่...”

เมืองอินทร์ได้แต่นิ่งงันพูดจาไม่ออกเพราะโดนแทงเข้ากลางใจ

“มา ๆ อ้ายเชิดจักสอนให้ ถ้าอยากรู้ว่าเขารักเจ้าบ้างหรือไม่...แค่ทำเช่นนี้ เข้าไปใกล้ ๆ เขา แล้วจับบ่า ก้มลงมองหน้า แล้วก็จ้องตาคนผู้นั้น หากมีความระริกไหวคล้ายจะขัดเขินยามที่เจ้ายิ้มให้ บอกได้เลยว่าเขาต้องพึงใจเจ้าบ้างเป็นแน่!”

“มัน...เป็นไปไม่ได้ดอกอ้ายเชิด...ข้ากับเขา...มันไม่ใช่ความรักเช่นนั้น...มันเป็นไปไม่ได้...ไม่ควรจะพึงใจเช่นนั้น...” เสียงเมืองอินทร์เต็มไปด้วยความสับสน

“ข้าไม่สนใจดอกว่ามันเป็นไปได้ฤาไม่ ถ้าเป็นข้า...ขอเพียงรู้ว่าอีกฝ่ายคิดไม่ต่างกัน จะบุกน้ำลุยไฟด้วยกันข้าก็ยอม !

……………………………………………….

โคมบัวสีสันสดใสมากมายลอยอยู่เต็มลำน้ำตรงหน้า ดวงจันทร์เต็มดวงครานี้คล้ายจะดวงโตยิ่งนัก แสงจันทร์ทำให้ตลิ่งทั้งสองฝั่งเต็มไปด้วยผู้คนที่มาลอยโคมประทีป สีเหลืองอ่อนของเปลวเทียนและธูปที่ปักอยู่บนโคมแต่ละใบทำให้ริมฝั่งน้ำมะลังเมลืองไปด้วยแสงเทียน พ่อค้าแม่ขายต่างพากันหาบของกินต่าง ๆ จำนวนมากมาวาง ราวกับว่าเป็นกาดขนาดเล็ก ๆ ลูกเด็กเล็กแดงวิ่งกันสนุกสนาน อ้ายเชิดและเมืองอินทร์เดินแวะเวียนไปตามร้านรวงต่าง ๆ ด้วยความที่อ้ายเชิดเป็นผู้มีอัธยาศัยดี ทำให้ผู้สาวมากหน้าล้วนหยิบยื่นขนมขบเคี้ยวให้กับอ้ายเชิด แล้วยังเผื่อแผ่มาถึงเมืองอินทร์ด้วย เสียงหัวเราะร่วนอย่างชอบใจของอ้ายเชิดทำให้สีหราชที่เดินอยู่ด้านหน้าต้องคอยเหลียวมามองเป็นระยะ ความขุ่นมัวทำให้ใบหน้าคมคร้ามบึ้งตึงไม่เอ่ยวาจาใด ๆ ไม่ว่าแม่คำหล้าหรือแม่หญิงนากจะชักชวนให้ดูสิ่งต่าง ๆ ตรงหน้าก็ตาม

ไม่รู้ว่าสายตาของเขาเป็นอะไรไป มองไปคราใดก็เห็นแต่เมืองอินทร์ยิ้มหัวให้กับอ้ายเชิด ไม่ก็ผู้สาวสองสามคนที่รู้จัก

หึ ! แย้มยิ้มกับผู้อื่น หากมึนตึงกับข้า !

สุราดองที่พ่อค้าเร่ยื่นให้สองสามจอกเมื่อครู่กำลังทำให้ใจเขาร้อนเป็นไฟกว่าเดิม จนสุดท้ายความหงุดหงิดมาขาดผึงเอาตอนที่มีผู้สาวคนหนึ่งเดินตรงมาแล้วนางนั้นกำลังยื่นโคมบัวให้กับเมืองอินทร์ ใบหน้าสวยหวานของสตรีนางนั้นคล้ายแดงเรื่อนิด ๆ ขณะที่เมืองอินทร์เองก็ยิ้มให้ก่อนจะยกมือขึ้นเตรียมจะรับโคมใบน้อยนั้น

สีหราชหน้าบึ้งทันควัน อัฐในมือสองสามก้อนถูกเจ้าตัวดีดไปลงบนโต๊ะไม้ไผ่ก่อนมือหนาจะฉวยเอาโคมใบหนึ่งใกล้มือขึ้นมาแล้ว ก่อนที่จะทันรู้ตัวเขาก็ปราดเข้าไปถึงทั้งคู่แล้ว

“อ้ายอินทร์มากับข้า !” มือหนาของสีหราชปราดกระชากแขนคนตัวเล็กกว่าหลุน ๆ ท่ามกลางความตื่นตะลึงของอ้ายเชิดและผู้สาว

“อ้าว...เอ้ย...อ้ายสีห์...?” อ้ายเชิดร้องลั่นก่อนจะเกาหัวอย่างงุนงง เพราะเขากำลังจะควักอัฐจ่าย จึงให้เมืองอินทร์ถือโคมไว้ก่อน แต่มิคาดว่าอ้ายสีหราชจะปราดมาคว้าตัวไปง่าย ๆ เช่นนี้

มิรู้ว่าอ้ายอินทร์ไปทำอันใดให้อ้ายสีห์โกรธเข้า...มันถึงอาละวาดเอาเช่นนี้ ไม่ใส่ใจสายตาขุ่นเขียวของแม่หญิงนากที่มองมาเสียเลย...เฮ้อ...

.....................................................

ButlerofLOVE:

งั่ม ๆ มีคนหึงหนึ่งอัตรา และมีคนกำลังรู้หัวใจตัวเองอีกหนึ่ง...อุอิ...

ตัวอย่างตอนต่อไป
ค่ะ :)

“แปลกนัก...เหตุใด...ยิ่งกิน...จึงยิ่งหิว...”

เจ้าตัวพูดปกติ ราวกับเป็นเรื่องที่ทำง่าย ๆ แต่กลับมีท่าทีคล้ายอยากจะกลืนกินผู้ที่อยู่ตรงหน้า

ท่าทีของยักษ์ตัวโตทำเอาเมืองอินทร์หน้าแดงก่ำก่อนจะเม้มริมฝีปากแน่นเข้าอีกราวกับกลัวโดนปล้นอีกครา

มือทั้งสองข้างของสีหราชเลื่อนลงมาเกาะกุมแตะรั้งบั้นเอวคนตรงหน้า ก่อนจะแตะแผ่วเบาอ่อนโยน

“หัวใจเจ้าเต้นแรงนัก...เมืองอินทร์..” เสียงกระซิบอยู่ข้างหูก่อนจะขบเม้มปลายหูอย่างหยอกเอิน
หัวข้อ: Re: [แฟนตาซีพีเรียด] ข้าชื่อ...สีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 21/9/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 21-09-2020 22:11:39
หึหึ อย่าทำรุนแรงๆ

#ขอบคุณน้าที่ลงวันที่ให้ จะได้เข้ามารีบตามมม
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อ...สีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 15/10/20]
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 15-10-2020 14:20:07
.....................................................

แม้ว่าผู้คนมาร่วมงานเทศกาลลอยโคมจะดูสนุกสนานหัวเราะอย่างมีความสุข แต่ท่าทีแม่หญิงนากคล้ายหงุดหงิดระคนรำคาญมากขึ้นเมื่อไม่เห็นสีหราชอยู่ในสายตา แม่คำหล้าลอบถอนหายใจเบา ๆ แต่ก็ไม่อาจจะเอ่ยสิ่งใดออกมาได้

“แม่คำหล้า...แม่คำหล้า...” เสียงอ้ายเชิดตะโกนโหวกเหวกทำให้แม่คำหล้าต้องหยุดเดินก่อนจะหันมาทำตาเขียวใส่อ้ายเชิด

“เอะอะมะเทิ่งกระไรกันอ้ายเชิด เห็นฤาไม่ว่า ผู้คนเขามองกันเกรียวแล้ว เอ็งนี่หนา...” แม่คำหล้าบ่นพึม

“แม่คำหล้า...เห็นอ้ายสีห์บ้างหรือไม่ มันลากอ้ายอินทร์หลุน ๆ ไปทางไหนก็มิรู้ ข้าหาอ้ายอินทร์ไม่เจอ” อ้ายเชิดเกาหัวแกรก ๆ อย่างงุนงง

“อ้าว ข้าก็นึกว่าอ้ายสีห์ไปเดินกับพวกเจ้า เจ้าลองไปดูทางท่าน้ำนั้นก่อน หากเจอก็จงรีบพากลับมาทั้งคู่ ประเดี๋ยวผู้คนเริ่มมากขึ้นจะพลัดหลงกันได้” ประโยคนั้นทำให้แม่นากที่กำลังหงุดหงิดที่สีหราชหายไป หันมามองบ่าวผู้ชายตรงหน้าอย่างคิด ๆ ก่อนจะยื่นกระบอกไม้ไผ่ลำเท่าปลายก้อยให้อ้ายเชิด

“เจ้าทาส...หากเจออ้ายสีห์เมื่อใด จงยื่นกระบอกไม้ไผ่นี้ให้ นี่เป็นข้อความจากสมุหพระกลาโหม...ห้ามเจ้าเปิดเองเด็ดขาด เข้าใจฤาไม่ ส่วนข้าเพลียยิ่งนัก จักกลับเรือนแล้ว แม่คำหล้ามิต้องส่งดอก บ่าวไพร่ของข้าก็มีมากมาย” แม่นากจ้องอ้ายเชิดนิ่ง ๆแล้วหันไปหาแม่คำหล้าที่ทำตาตื่น ท่วงท่าราวนางพญาสั่งการนั่นทำให้อ้ายเชิดลอบเมินในใจ

เหอะ...งามแต่รูป...แต่ดูท่าจะจูบไม่หอม...

ทีแรกมันอิดออดเล็กน้อยแต่เพราะแม่คำหล้าหนาบมันเข้าเบา ๆ อ้ายเชิดจึงลอบเบ้หน้าและจำต้องรับกระบอกไม้ไผ่นั่นแต่โดยดี ก่อนจะผลุบจากไปทางท่าน้ำ

หากมันมีญาณหยั่งรู้สักนิด...มันอาจจะไม่รับกระบอกไม้ไผ่น้อยนั่นมาเลย

อ้ายเชิดเดินไปก็ชะเง้อไป ไม่รู้ว่าอ้ายสีห์พาอ้ายอินทร์เดินไปทางไหน แต่เหมือนแม่คำหล้ากำลังจะกลับแล้วเพราะน้ำค้างราตรีเริ่มจะลง มันพยายามมองหาร่างสูงของสีหราชท่ามกลางผู้คนเท่าใดก็มิพบ แต่แล้วมันก็ต้องงุนงงเมื่อจู่ ๆ มีบุรุษฉกรรจ์สามสี่คนเดินมาใกล้มัน สัญลักษณ์บนด้ามดาบที่ขัดไว้ข้างกายบอกชัดว่า คนพวกนี้เป็นทหารในเรือนของสมุหพระกลาโหม...และยังมีอีกหนึ่งบุรุษผิวสองสีร่างสันทัดที่คว้ายาดองมาจิบไว้ในมือ

“เมื่อครู่ น้องข้าให้สิ่งใดกับเจ้า...” ขุนศรีเอ่ยขึ้นเบา ๆ สายตากรึ่มเหมือนร่ำสุรายาดองมามิใช่น้อย

“อ้อ...คือ...” อ้ายเชิดกลืนน้ำลายก่อนจะเหลือบมองคนรอบข้างที่ค่อย ๆ เดินมาใกล้

อ้ายเชิด...มึงจะโชคร้ายถึงปานนี้เจียวหรือ...สี่..ห้าคนตรงหน้าราวกับยักษ์ปักหลั่น...จะโดนรุม ?

“เอา...มาให้ข้า…” มือหนาแบออก สายตาคนดื่มสุราบอกชัดว่า สิ่งใดที่ต้องการเขาต้องได้ อ้ายเชิดพอจะรู้กิตติศัพท์ของขุนศรีมาบ้าง ล้วนแต่เป็นทางเลวร้ายไม่ว่าจะเป็นชอบตีรันฟันแทงกับชาวบ้าน หรือการร่ำสุรากับเหล่าผู้คน อ้ายเชิดอึกอักอยู่ครู่หนึ่งแล้วต้องสะดุ้งโหยงเมื่อขุนศรีตวาดอึงใส่

“ยังมิมอบมาให้ข้าอีก !”

ยังไงเสียแม่นากกับขุนศรีก็พี่น้องกัน ต่อให้อ่านข้อความของสมุหพระกลาโหมผู้แป็นบิดา...คงมิเป็นไรกระมัง..

มือสั่นเทาของอ้ายเชิดค่อย ๆ ยื่นกลักไม้ไผ่น้อยในมือให้กับขุนศรีด้วยมือที่สั่นเทา

“แม่นากบอกว่า นี่เป็นสาส์นจากสมุหพระกลาโหมถึงอ้ายสีหราช เรื่องอันใด..ข้าก็มิอาจรู้ได้...” ว่าแล้วก็ก้มหน้างุด

ขุนศรีคว้ากลักนั่นมาเปิดดูข้อความก่อนจะนิ่งงันไปครู่หนึ่ง แววตาจะเปลี่ยนแปลงระริกไหววูบ ราวกับน้ำที่กระเพื่อมไหว มือนั่นกำกลักไม้ไผ่ไว้แน่น ก่อนจะเอ่ยแผ่วเบา..

“ข้าเห็นอ้ายสีหราชเดินสวนไปเมื่อครู่ ข้าจักนำข้อความนี้ไปมอบให้มันเอง เจ้ากลับไปได้แล้ว !”

ท่าทีนั้นทำให้อ้ายเชิดพูดไม่ออก ก่อนจะก้มหน้าหลบแล้วตัดสินใจเดินกลับไปหาแม่หญิงเรไรที่รอลอยโคมพร้อมกับมันอยู่ไม่ไกลนัก

....................................................................................

อีกฝั่งหนึ่งเมืองอินทร์ถูกสีหราชลากตัวมามุมหนึ่งใกล้ริมน้ำผู้คนบางตา แสงไฟจากเทียนยังมาไม่ถึงตรงนี้ ร่างสูงปล่อยมือคนตัวเล็กกว่าก่อนจะดึงให้หันมามอง สีหน้าตัดพ้อของสีหราชทำให้เมืองอินทร์เบือนหน้าหลบทันที

“เจ้าเป็นอะไรไปเมืองอินทร์...โกรธข้าเรื่องอันใด...” เสียงนั่นตัดพ้อเบา ๆ

“เปล่า...ทาสเยี่ยงข้าจักไปโกรธท่านเรื่องอันใดได้” เมืองอินทร์เบือนหน้าหลบสายตาก่อนจะเดินออกมา แต่ไม่อาจไปไหนได้เนื่องจากอ้ายสีหราชคว้าแขนนั้นไว้อีกคราก่อนจะดึงมายืนตรงหน้า แววตาคมมองเจ้าตัวเล็กตรงหน้าอย่างเพ่งพิศ

“โกรธ...เจ้าโกรธข้าแน่...ข้ารู้ แต่ที่ไม่รู้คือโกรธข้าเรื่องอะไร...” น้ำเสียงมั่นใจ มือหนาจับบ่าคนที่ก้มหน้างุด ๆ อย่างนั้น

“เจ้าเป็นคนสำคัญในชีวิตข้า...เมืองอินทร์...” น้ำเสียงอ่อนของคนตรงหน้าดังขึ้น ทำให้เมืองอินทร์เม้มปากแน่นก่อนจะยอมเอ่ยมาเบา ๆ

“ข้า...แค่โกรธ...แค่สับสนกับตัวเอง...เพราะอยู่ใกล้ท่านคราใด ข้าทั้งสุขล้นและทุกข์ปะปนเคล้ากันไป...จนไม่รู้จะทำเยี่ยงไรแล้ว”

ประโยคที่ตรงไปตรงมาและท่าทีกลัดกลุ้มของเมืองอินทร์ทำให้สีหราชนิ่งงันก่อนจะมองคนตรงหน้าด้วยสายตาที่อ่อนลง...มือหนาข้างหนึ่งเอื้อมไปเกาะกุมนิ้วคนตัวเล็กและกระชับไว้แน่นราวกับจะส่งความอุ่นจากหัวใจให้

“เจ้าสุข...เมื่ออยู่ใกล้ข้า เท่านั้นก็พอแล้วฤาไม่...ส่วนเรื่องทุกข์...ให้ข้าจะรับแทน...” น้ำเสียงอ่อนโยนทำให้เมืองอินทร์เงยหน้าพลัน

“เราคืนดีกันได้ฤาไม่...เพราะข้าอยากลอยโคมกับเจ้าจะแย่อยู่แล้ว...” ก่อนจะยกยิ้มที่มุมปากแล้วยกโคมใบน้อยที่ซ่อนไว้ข้างหลังให้คนตัวเล็กดู

ประโยคนั้นทำให้ใจคนที่พยายามทำเย็นชาใส่มาตลอดสองสามวันอ่อนยวบ

...ไม่เคยต้านทาน เสียงแบบนี้ของอ้ายสีหราชได้เลย...

ตั้งแต่เมื่อใดกันที่เสียงเช่นนี้มีอิทธิพลต่อข้า...

“ข้าไม่เคยเห็นผู้บ่าวที่ไหนมาลอยโคมคู่กัน มีแต่ลอยกับผู้สาวทั้งนั้น...ดูอย่างอ้ายเชิดสิ” เมืองอินทร์พยายามบ่ายเบี่ยงด้วยการหันไปมองทางอ้ายเชิดที่กำลังหัวร่อกับแม่หญิงเรไรก่อนจะชี้ชวนกันไปลอยโคมประทีป

เหมือนไม่มีเสียงตอบจากร่างสูงหนาตรงหน้า เมืองอินทร์จึงหันมามองแล้วสะดุ้งเพราะมิคาดว่าอ้ายสีห์จะขยับเข้ามาใกล้ถึงเพียงนี้

ชิด...เพียงลมหายใจ...

ขนตาของอ้ายสีห์...ยาวและเป็นแพระยับชนิดที่ผู้สาวหลายคนยังอาย ดวงตาทอดเชื่อมไม่เหลือบแลสิ่งใดนอกจากมัน

น้ำเสียงคนตรงหน้าจริงจัง และมั่นคงยิ่งนัก มือหนาเกลี่ยปัดเอากลีบดอกไม้ที่ร่วงลงบนเสื้อออกให้อย่างเบามือ

“โลกจะเป็นเช่นไร...ก็ช่างมันปะไร...เพราะเจ้า...คือผู้เดียว ที่ข้าใส่ใจ...และเป็นเจ้าผู้เดียวที่ข้าจะลอยโคมด้วย...”

แววตาจริงจังนั้นทำให้แทบลืมหายใจ หากเอ่ยวาจาเช่นนี้กับผู้สาว คงไม่แคล้วเป็นนักรักที่ผู้สาวใฝ่ฝันเป็นแน่

“ยามนี้...มีแต่เจ้าเท่านั้นที่รู้ใจข้าที่สุด...มากับข้าเถิด...”

ว่าแล้วเจ้าตัวก็ไม่ยอมรีรอ คว้าลากข้อมือหลุน ๆ ไปที่ท่าน้ำที่ห่างไกลสายตาผู้คน มือหนายื่นให้คนตัวเล็กกว่าประคองโคมประทีป เมืองอินทร์ได้แต่ขมุบขมิบบ่นคนตัวโตกว่างึมงำในคอ ธูปและดอกไม้สดถูกคนตัวโตบรรจงวางกลางกระทงใบตองใบน้อย แต่แล้วเมืองอินทร์ก็นิ่งขึงในทันทีเมื่อคนตัวใหญ่กว่ายืนซ้อนอยู่เบื้องหลังก่อนจะใช้มือหนากุมทับมือของมันอีกครา

“อธิษฐานแล้วฤาไม่..อ้ายอินทร์” เสียงคำพูดที่ดังเบา ๆ อยู่เบื้องหลังทำเอาเมืองอินทร์พูดอะไรไม่ออกนอกจากพยักหน้าเร็ว ๆ เหมือนคนข้างหลังจะหัวเราะหึ ๆ กับกิริยาของคนตรงหน้า  ก่อนจะค่อย ๆ กุมและประคองกระทงนั้นลงริมตลิ่ง

“ข้าก็อธิษฐานแล้ว...คำขอของข้าคือ...ขอให้เราได้ร่วมลอยโคมประทีปร่วมกันอีก...ตลอดไป”

“อ้ายสีห์...คนเขาถือกัน...คำอธิษฐานหากบอกให้ผู้อื่นล่วงรู้มันจักไม่เป็นจริง !” เมืองอินทร์แทบจะเอื้อมมือไปตะครุบปากคนตรงหน้า แต่ก็ไม่ทัน สีหราชหัวเราะร่วนอย่างไม่ใส่ใจ เพราะขบขันในท่าทีของคนตรงหน้ามากกว่า

“เจ้าเชื่อเรื่องพวกนี้ด้วยกระนั้นหรือ...” คนตัวเล็กกว่าหน้ามุ่ยก่อนจะเดินหลบออกทันทีที่ลอยโคมแล้ว

“ข้าไม่สนใจโชคลางเหล่านั้น...ข้าสนใจแต่เจ้า...” สีหราชเอ่ยยิ้ม ๆ

ขยันหยอด...ขยันออด...ขยันอ้อน...นี่คืออ้ายสีหราชคนดุผู้นั้นจริงฤา....

“ลอยโคมเสร็จแล้ว ท่านรีบไปเถอะ เดี๋ยวแม่คำหล้าและแม่หญิงนากจะรอท่าน”

“สองคนนั้นโตแล้ว...ซ้ำยังมีบ่าวไพร่อีกสี่ห้าคนล้อมรอบเช่นนั้น ใครจักทำอันใดได้...” สีหราชตอบก่อนจะมองคนตรงหน้าอย่างพิเคราะห์  ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่นเมื่อมีคราบขนมเบื้องที่เลอะริมฝีปากเจ้าตัวจ้อย สีหราชยิ้มขำนิด ๆ

“ข้าควรอยู่ที่นี่มากกว่า เพราะกำลังมีเด็กน้อยโยเยอยู่ผู้หนึ่ง เด็กน้อย...เมืองอินทร์...ที่กินขนมเลอะเทอะ...”

มือหนาเลื่อนไปปาดเอาเศษขนมที่เลอะริมฝีปากเมืองอินทร์ออกทันควัน นิ้วอุ่น ๆ ที่แตะไล้ริมฝีปากแผ่วเบาทำให้เมืองอินทร์สะดุ้งเฮือกหันขวับมามองคนตรงหน้า ดวงตาใสแจ๋วเหมือนตาเนื้อทรายคล้ายจะเบิกกว้างอย่างตื่นตะลึง เมืองอินทร์มองนิ้วคนตรงหน้าก่อนจะเหลือบตามองดวงตาสีนิลที่จ้องตรงมาสลับไปมาเช่นนั้น ขณะที่สีหราชก็งันไปกับสัมผัสนั้น

“ยังมี...ขนมอีกฤาไม่...” น้ำเสียงคนตรงหน้าคล้ายละเมอ เมืองอินทร์งุนงง

...อ้ายสีห์ หิวกระนั้นฤา ?

“เอ่อ...ข้าขอโทษ...ข้ากินขนมหมดไปเมื่อครู่...หากเจ้าหิวเดี๋ยวข้าไป สะ...ซื้อ...” พูดไม่ทันจบดีก็สะดุ้งเฮือก เมื่อจู่ ๆ คนตรงหน้าก็ก้าวเข้ามาช้า ๆ ก่อนจะหยุดตรงหน้าเมืองอินทร์ที่ยืนชิดโคนต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ กลีบดอกไม้สีชมพูปนขาวที่โปรยลงมาตามสายลมที่พัด เสียงหัวเราะของชาวบ้านกับเสียงงานเทศกาลที่ลอยตามลมเหมือนจะไม่เข้าหูใด ๆ

แววตา...คนตรงหน้าวูบระริกไหวราวคลื่นบนผืนน้ำซ้ำยังเจิดจรัสสุกใสราวดวงดารา

ทุกอย่างราวตกในภาพฝันเมื่อมือเรียวยาวของเมืองอินทร์ถูกสีหราชเกาะกุมไว้ ดวงตาคมหรี่มองเพียงริมฝีปากขณะที่พึมพำเบา ๆ คล้ายกล่าวกับตัวเอง

“หิวแล้ว...ข้าเอาคืนนะ...” เสียงนั้นพร่าสั่นแต่สายตาจดจ้องแน่วแน่...

..อะ..เอาคืน...เอาคืนอันใดกัน ?

แต่แล้วก็ต้องเบิกตากว้างตะลึงงันเมื่อร่างสูงตรงหน้าค่อย ๆ โน้มลงเอียงประทับริมฝีปากลงบนกลีบปากนุ่มอย่างแผ่วเบา

สัมผัสแรกคล้ายงุนงงระคนฝัน แต่ครั้นได้ลิ้มชิมกลีบปาก สัมผัสกลับทวีความหวานหวามขึ้นกลางใจ

ลมหายใจอุ่นร้อนผะผ่าวแนบแก้ม ขณะที่เรียวลิ้นก็ดุนดันรุกไล่คล้ายจะกวาดชิมทุกสิ่งที่อยู่ในโพรงปากนุ่ม ทั้งดูดดึงและเว้าวอนออดอ้อน...

ไม่ว่าจะมีขนมอันใดหลงเหลืออยู่ในปาก บัดนี้ถูกอ้ายสีห์ลิ้มชิมกวาดไปจนหมดสิ้น...

เมืองอินทร์รู้สึกราวกับอยู่ท่ามกลางสวรรค์และนรกไปพร้อมกัน ลมหายใจของสีหราชกระหายยิ่งนัก เหมือนกำลังจะสูบเอาทุกสิ่งแม้แต่วิญญาณ จนต้องเผลอเกาะบ่าหนาไว้แน่น อารมณ์ที่เผลอไผลทำให้เรียวลิ้นเล็ก ๆ สอดรับความร้อนรุ่มและเกี่ยวกระหวัดผสานแนบแน่นจนสติเตลิดเปิดเปิงไปหมด มือเล็ก ๆ ต้องขยุ้มบ่ากว้างไว้แน่นด้วยกลัวว่าจะทรุดฮวบลงไปกับพื้น ความร้อนผ่าวของเรือนกายแกร่งก้าวเข้ามาแนบชิดสนิทก่อนที่ท่อนขาแข็งแรงจะเบียดแซะหว่างกลางราวกับจะเป็นหลักยึด สมองเมืองอินทร์ขาวโพลนไปหมด

จูบที่ราวกับจะสูบเอาวิญญาณทั้งหมดไป แข้งขาอ่อนยวบแทบทรุดลงกับพื้น...

เนิ่นนาน....จนแทบขาดใจ ....มือเรียวของเมืองอินทร์ประท้วงคนตรงหน้าด้วยการรัวทุบอกคนตรงหน้าเบา ๆ แต่ไหนเลยคนเอาแต่ใจตรงหน้าจะยอม เจ้าตัวลิ้มชิมรสหวานเนิ่นนาน...จนพอใจ...จึงค่อยถอนจูบนั้นคืนท่ามกลางอาการหอบราวกับจะหายใจไม่ทันของเจ้าตัวจ้อย ใบหน้าแดงก่ำตื่นตะลึง ขณะที่คนปล้นจูบแววตาวาววามหยักยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะกระซิบแผ่วข้างหู

“แปลกนัก...เหตุใด...ยิ่งกิน...จึงยิ่งหิว...”

เจ้าตัวพูดปกติ ราวกับเป็นเรื่องที่ทำง่าย ๆ แต่กลับมีท่าทีคล้ายอยากจะกลืนกินผู้ที่อยู่ตรงหน้า

ท่าทีของยักษ์ตัวโตทำเอาเมืองอินทร์หน้าแดงก่ำก่อนจะเม้มริมฝีปากแน่นเข้าอีกราวกับกลัวโดนปล้นอีกครา

มือทั้งสองข้างของสีหราชเลื่อนลงมาเกาะกุมแตะรั้งบั้นเอวคนตรงหน้า ก่อนจะแตะแผ่วเบาอ่อนโยน

“หัวใจเจ้าเต้นแรงนัก...เมืองอินทร์..” เสียงกระซิบอยู่ข้างหูก่อนจะขบเม้มปลายหูอย่างหยอกเอิน

“บอกข้า...หากเจ้าชอบ...” ประโยคนั้นยิ่งทำให้หน้าที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงหนักกว่าเดิม

“ชะ...ชอบอันใด ข้า....” คล้ายทำปากหล่นหายระหว่างทาง

“ชอบขนมเบื้องหรือชอบจูบของข้ามากกว่ากัน...” แววตาคนกระซิบคล้ายรอคำตอบขณะที่ยกยิ้มนิด ๆ อย่างพึงใจ

...เรื่องแบบนี้ พูดตรงนี้ก็ได้ฤา... ! อ้ายสีห์คนร้ายกาจ...

“บอกข้าได้ฤาไม่...ว่าข้าควรกินอะไรต่อดี...ระหว่าง ขนม กับ...” เจ้าตัวเลิกคิ้วแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนจะปรายตามองริมฝีปากที่เริ่มเจ่อนิด ๆ ด้วยฤทธิ์จูบ

สายตาราวกับเห็นข้าเป็นของหวาน... ! อ้ายสีหราชร้ายกาจยิ่งนัก !

“ต้อง...ต้องเป็นขนมอยู่แล้ว หากท่านหิวก็....ก็ควรกินอะไรที่มันอยู่ท้อง...” เหมือนสติสตังคนตอบจะหลุดลอย ท่าทีเลิ่กลั่กทำอะไรไม่ถูก ทำให้สีหราชอมยิ้ม

“เจ้าซื้อขนมร้านไหนกัน...หวานนัก...ข้าชอบ...” สายตากรุ้มกริ่มของคนตรงหน้า คล้ายไม่เคยอายสิ่งใดสักนิด

ยิ่งได้ยินคำพูดยิ่งทำให้ขัดเขิน หัวใจเต้นตูมตามจนต้องผลักอกคนตรงหน้าออกแล้วเดินจ้ำพรวดหน้าแดงไปอย่างไม่เหลียวหลัง โดยมีเสียงหัวเราะเบา ๆ อย่างอารมณ์ดีของคนก่อกวนไล่หลังตามมา....

“รอข้าด้วยสิ...อ้ายอินทร์...เหตุใดต้องรีบร้อนด้วย ร้านขนมไม่ได้หายไปไหนดอก...”

..........................................................

ButlerofLOVE:

ขนมหวาน...หวานมากไหมคะอ้ายสีห์ ! โมเมอย่างนี้ได้ด้วยเรอะ !

นั่นน่ะจะกินน้องเข้าไปทั้งตัวแล้วนะคะ

ฮือ...ร้านขนมไม่หาย...แต่ใจน้อย ๆ ของเรานี่ล่ะหายแว้บบบบ ไปกับการเอาคืนของอ้ายสีห์...

คราก่อนโดนเขาปล้น...ครานี้ปล้นคืน..ด้วยสติเต็มร้อย เอิิ๊ก ๆ ร้ายนัก...อ้ายสีห์ :)

 :m25:

หัวข้อ: Re: ข้าชื่อ...สีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 15/10/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 15-10-2020 19:40:04
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อ...สีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 15/10/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 16-10-2020 00:44:59
ร้ายที่สุด หลอกล่อเก่งเกินไป
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 17/12/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 17-12-2020 15:23:28
CHAPTER 16




นับแต่คืนนั้น นับวันอ้ายสีหราชเริ่มเป็นคนอันตรายสำหรับหัวใจมันยิ่งนัก ช่างขยันหยอด ขยันออดอ้อน ชนิดที่ไม่เกรงสายตาผู้ใด แลเพียงมันเอ่ยว่ากำลังหาสิ่งใด เพียงวันรุ่งขึ้นก็จะมีสิ่งนั้นวางอยู่หน้าห้องมัน จนเหล่าบรรดาบ่าวไพร่ในเรือนอมยิ้มกันไปตาม ๆ กันสิ่งนี้ทำให้เมืองอินทร์รู้สึกราวยิ้มก็ยิ้มไม่ออกจะร้องไห้ก็ทำไม่ได้

...เบา ๆ บ้างได้ฤาไม่...ข้าไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใดแล้ว

“เออ...ครานี้นับแต่อ้ายอินทร์เจ็บตัว อ้ายสีห์ดูจะใจดีผิดหูผิดตาดีแท้...ไม่ใจร้อนเหมือนเคย” เสียงบ่าวไพร่ในเรือนคุยกัน

“แหม...หากอ้ายอินทร์มิใช่บุรุษและโตมาด้วยกัน พวกข้าคงคิดว่าอ้ายสีห์รักและหวังมันเป็นคู่ชีวิตเป็นแน่”

“น่ารักน่าใคร่แท้ พี่น้องรักกันเช่นนี้...”

...พี่น้องบ้านใด...จะจูบจนแทบขาดใจเยี่ยงนี้...

เพียงคิดอ้ายอินทร์ก็หน้าแดงก่ำ ไม่อาจบอกใครได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่อ้ายสีห์ก็ร้าย...มิยอมเอ่ยหรือล่วงเกินมันอีกเลยตั้งแต่วันนั้นทำให้มันก็คิดเอาว่า ฤาอ้ายสีห์จะเพียงแกล้งมันให้ใจไหววูบ

‘...ข้าเอาคืนบ้างนะ...’ คำพูดนั้นยังก้องอยู่ในหู ทำให้หวั่นใจว่า ฤาเพราะมันเคยทำเยี่ยงนั้นกับอ้ายสีห์ แล้วอ้ายสีห์เลยเอาคืน

หากเป็นเช่นนั้น...ก็คงไม่...ต้องคิดมากกระมัง

อ้ายสีหราช...ที่ขี้แกล้ง...คงต้องการหยอกคืน...เท่านั้น

แต่ทำไมลึก ๆ มันกลับคิดอยากให้ “ไม่ใช่เพียงเอาคืน” ด้วยเล่า ?

ช่างน่าสับสนหัวใจดีแท้...เพียงคิดก็ได้แต่ถอนหายใจพรูเบา ๆ

คิดถึงเรื่องคืนนั้นคราใด ก็เผลอหน้าแดงก่ำได้ทุกครา รสจูบนั่นร้อนแรงแทบเจียนตายราวกับใส่ทุกความรู้สึกลงไป ทั้งร้อนและเต็มไปด้วยความปรารถนา...ทำให้มันแทบละลายเป็นน้ำมันหมูเจียวในกะทะใบบัวของแม่คำหล้า

“เป็นอันใดไปอ้ายอินทร์..” คนตายยากโผล่มาจากด้านหลังมิให้สุ้มให้เสียงจนเมืองอินทร์หน้าแดงก่ำอีกรอบ

“นั่น...เจ้าคิดสิ่งใดลามกอยู่หรือไม่ เหตุใดหน้าแดงนัก”

“มะ...ไม่มีอันใด” เมืองอินทร์รีบละล่ำละลักก่อนจะถอยกรูดจากร่างสูงหนาตรงหน้า สีหน้าของอ้ายสีห์คล้ายงุนงงแต่อมยิ้มนิด ๆ

“เจ้าคิดลามกเกี่ยวกับข้าฤาไม่...” สายตานั่นหรี่มองตรงมา เหมือนราวเปลวไฟอยู่ในนั้นแล้วท่าทีสบาย ๆ กับแผ่นอกกว้าง กลิ่นเหงื่อจาง ๆ ของคนที่เพิ่งไปฝึกดาบมาช่างทำให้หัวใจมันเริ่มเต้นตึกตักอีกครา

...บ้าไปแล้ว....นี่ข้า...จะมองอ้ายสีห์แบบเดิมไม่ได้แล้วรึ เลิก ๆ ๆ ๆ เสียที เลิกหน้าแดง !

“นั่น! เจ้าคิดลามกแน่เชียว หน้าแดงอีกแล้ว”

ว่าแล้วเจ้าตัวก็ย่างเข้ามาใกล้ ๆ จนมันถอยกรูดไปชิดกับเสาเรือน เจ้าตัวเท้าแขนข้างหนึ่งเหนือศีรษะมันก่อนจะชะโงกหน้ายิ้มกริ่ม

“แต่ข้าไม่ถือดอกนะ...ก็ข้า...ดีเกินใครในชีวิตเจ้า เจ้าจะมองบ้าง...จะลามกบ้าง...ข้าไม่ถือ...”

....อ้าย ! อ้ายสีห์ ! คนหน้าไม่อาย พูดเรื่องเยี่ยงนี้โดยไม่สะทกสะท้านสักนิด

อ้ายสีห์คนขี้แกล้ง...เอาคืนไปได้ฤาไม่ ขออ้ายสีห์คนหน้าดุคนเดิมกลับมาดีกว่า

ทำเยี่ยงนี้ไม่ดีต่อหัวใจเลยจริง ๆ มีหวังหัวใจจะต้องกระดอนออกจากอกสักวันเพราะรอยยิ้มและท่าทีกรุ้มกริ่มแบบนี้เป็นแน่ !

ระยะหลังนี้มันไปที่ใด อ้ายสีห์มักจะหาเหตุไปกับมันด้วย ไปกาดก็ย่องไปด้วย ไปตกปลาเล่นก็มีอ้ายสีห์เหลาคันเบ็ดให้ หากเป็นเยี่ยงนี้ต่อไป หัวใจมันคงเหลวเป๋วเป็นขี้ผึ้ง...

ขณะที่ยักษ์ใหญ่อาจจะเพียงแกล้งมันเล่น แต่มันกลับอ่อนไหวกับรอยยิ้มและความหลงตัวเองของคนตัวโตเข้าจริง ๆ
……………………………………….

ตกบ่ายวันหนึ่งเมืองอินทร์เดินเล่นทางท่าน้ำหลังเรือนใหญ่ เพลงดาบที่ซักซ้อมมาหลายโมงยามทำให้ร้อนยิ่งนัก เจ้าตัวหย่อนกายลงเอาเท้าแช่น้ำอย่างสบายอารมณ์ แต่แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งไหว ๆ ในกอผักตบชวาที่ลอยมาตามน้ำ

....คล้ายกับแขนคน...พาดอยู่บนนั้น...

ไวเท่าความคิด เมืองอินทร์หันหลังกลับทันทีหมายจะไปเรียกผู้คนมาช่วยดู แต่แล้วก็ต้องดีใจเมื่อร่างสูงของสีหราชเดินตามหลังมันมา

“อ้ายสีห์ ! โน่น ! ดูทีรึ เป็นคนใช่ฤาไม่ ?!” ว่าแล้วก็ชี้ตรงไปที่กลางลำน้ำ

สีหราชเขม้นมองตามก่อนจะตัดสินใจกระโจนลงไปกลางแม่น้ำใหญ่ เคราะห์ดีที่ไม่ใช่ยามน้ำขึ้นและกระแสน้ำยังไม่เชี่ยวกรากนัก เจ้าตัวโผนไปที่กอผักตบชวาขนาดใหญ่ ผักตบที่ขึ้นติดกันเป็นแพหนาทึบราวกับเป็นแผ่นไม้ลอยน้ำ ครู่เดียวอ้ายสีหราชก็คว้าร่างเล็ก ๆ ขาวเผือดว่ายกลับเข้ามาที่ท่าน้ำ

“อ้ายอินทร์ ! รีบตามแม่คำหล้า และให้บ่าวไพร่ตั้งไฟต้มน้ำร้อนมาเร็วเข้า !”

“ไอ้หนูนี่ยังไม่ตาย !” สีหราชตะโกนลั่น
............................................................................

ใบหน้ากลมแบบลูกจีน ผิวขาวจัด และหางเปียยาวบอกชัดว่าเด็กน้อยวัย 6-7 ขวบที่สีหราชช่วยขึ้นมานั้นเป็นลูกเจ๊กลูกจีนเป็นแน่ แต่ไม่รู้ว่ามาจากเรือนไหน เจ้าตัวเหมือนจะพูดไทยไม่ใคร่ได้ เอาแต่ร้องไห้ลั่นเมื่อฟื้นขึ้นมาแถมยังกอดแขนเมืองอินทร์แน่น ซุกกายสั่นเทานั่นราวกับลูกลิงก็ไม่ปาน

“เคราะห์ดีที่มันตัวเล็กนัก หาไม่แล้วผักตบชวานั่นคงไม่อาจทานน้ำหนักมันได้แน่” พ่อสินเอ่ยเบา ๆ

“จะทำอันใดกันดี ควรแจ้งหลวงดีฤาไม่พ่อสิน” แม่คำหล้าถามขึ้นอย่างเกรง ๆ

“หากมันตกน้ำตกท่ามาเท่านั้น อาจต้องลองไปสอบถามกับหมู่ชาวจีนว่าลูกบ้านใดหายฤาไม่ แต่ข้าเกรงว่า...” เสียงพ่อสินเงียบไปนิดหนึ่งก่อนจะลอบมองสีหราช

สีหราชถอนใจยาวเพราะรู้ดีจากสายตาผู้เป็นพ่อ เมื่อราตรีก่อนได้ข่าวว่ามีการบุกล้อมจับเหล่าซ่องสุมของชาวจีนโพ้นทะเลที่เลยจากเรือนตีดาบไปทางหัวคุ้งไม่ไกลนัก หลายคนถูกจับในฐานเป็นอั้งยี่ บางรายร้ายหน่อยก็โดนเจ้าหน้าที่ของกรมเมืองจับกุมและนำไปสำเร็จโทษกลางลานวัด

...หากไอ้หนูนี่เป็นลูกหลานของอั้งยี่เหล่านั้น...มิแคล้วต้องโดนอาญาเป็นแน่

“พ่อครู...ไอ้หนูนี่ยังเล็กนัก หากส่งตัวคืนให้ทางการ มันจักโดนอันใดบ้าง” เมืองอินทร์ถามขึ้นพลางกอดเจ้าตัวเล็กไว้ในอ้อมแขน

“...คงโดนจับเข้าตะแลงแกง...ไม่ก็ส่งขึ้นเรือสำเภากลับแผ่นดินใหญ่...” คำตอบสั้น ๆ จากพ่อครูสินทำให้เด็กน้อยตรงหน้าซุกตัวงุด ๆ กับเอวของเมืองอินทร์

ท่าทีของเด็กน้อยทำให้ทุกคนถอนหายใจยาวก่อนจะหันไปมองทางเจ้าของเรือนที่มองนิ่งอย่างตริตรอง

“ลูกหมายังเลี้ยงได้ นี่ลูกคนทั้งคน” พ่อสินเอ่ยช้า ๆ แล้วพูดต่อ

“ข้าจะให้เจ้าหนูอยู่ที่นี่ แม่คำหล้าตัดเปียมันทิ้ง แล้วเร่งฝึกให้มันพูดภาษาเราให้ได้” พ่อสินสั่งเรียบ ๆ

“จากนี้ไป ข้าให้ชื่อมันว่า อ้ายโชค เพราะมันโชคดีที่ได้เกิดใหม่อีกครั้ง มันจักเป็นชาวสยามตั้งแต่บัดนี้”
..........................................................................

จากนั้นมาเจ้าโชคก็กลายเป็นเจ้าตัวน้อยที่เล็กสุดของเรือน แม่คำหล้าเอาใจมันยิ่งนัก ด้วยความเป็นเด็กน่ารักน่าเอ็นดู สอนอะไรก็จำง่าย และอ่อนโยน จิตใจดีงาม ด้วยความเป็นเด็กหัวไว เจ้าโชคเริ่มจดจำคำได้บ้างทีละน้อย ๆ ดวงตาสุกใสของลูกจีนนั่นคลายความทุกข์ลงแล้ว เด็กน้อยอยู่เป็น เรียกว่าให้ทำสิ่งใดก็ทำ เลี้ยงง่ายและไม่ดื้อ

“เหมือนอ้ายอินทร์ สมัยยังเป็นละอ่อนน้อยไม่ผิด” แม่คำหล้ารักมันนักหนา แต่เจ้าโชคก็ยังติดเมืองอินทร์ที่สุด ไปที่ใดก็คอยตามต้อย ๆ ราวกับเห็นเมืองอินทร์เป็นพี่ชาย ขณะที่สีหราชมองภาพทั้งคู่อย่างนึกขวาง ๆ อยู่บ้าง

เอะอะก็...ของชอบเจ้าโชค...เอะอะก็...ของเล่นนี้ดี...

จนต้องเป็นมันเองที่แพ้กับสายตาสดใสของเด็กน้อยวัย 7 ขวบสองคนที่กำลังเล่นกันสนุกสนาน

“มาเถิดอ้ายสีห์....มาเล่นกับเจ้าโชคเถิด...เป็นม้าส่งเมืองกับข้าได้ฤาไม่”เสียงตะโกนชักชวนของเมืองอินทร์ทำให้สีหราชต้องลังเล แต่พอดวงตาสดใสและมือนุ่มนั่นคว้ากุมท่อนแขนเขาไว้...เป็นเขาเองที่ยอมแพ้...

หัดใช้สายตาออดอ้อนเยี่ยงนั้นเป็นตั้งแต่เมื่อไร...ราชสีห์อย่างข้า..ก็คงแพ้เจ้าทุกครา...

กระทั่งวันหนึ่งสีหราช เมืองอินทร์มาเดินเล่นที่กาดเหมือนเคย โดยเมืองอินทร์จูงมือเจ้าโชคเดินตามต้อย ๆ แต่แล้วเจ้าโชคสะดุ้งเฮือกก่อนจะหลบซุกกายอยู่หลังเมืองอินทร์ทันทีเมื่อมีขบวนของเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงผ่านมา บุรุษวัยกลางคนที่อยู่บนหลังม้าหยุดนิ่งเมื่อเห็นสีหราช

“กรมหลวงไกรสีห์สรคุณ...” เป็นสีหราชที่เอ่ยพร้อมกับยกมือไหว้เสด็จอาของเสด็จพระองค์ชายชาญนพ

กรมหลวงไกรสีห์สรคุณ...นับว่าเป็นพระญาติห่าง ๆ มีศักดิ์เป็นเสด็จอาของเสด็จพระองค์ชายชาญนพ วัยก็ล่วงไปกว่า 45 ชันษาแล้วแต่ยังประพฤติคล้ายหนุ่มฉกรรจ์ เป็นน้องของเจ้าเหนือชีวิตองค์ปัจจุบัน ผิดแต่กำเนิดที่เกิดจากเจ้าจอมมารดาที่ไม่ได้มีเชื้อสายทำให้ไม่ได้ขึ้นเถลิงพระยศเป็นชั้นเจ้าฟ้า 

ข้อดีคือ กรมหลวงท่านนี้มักเอาจริงเอาจังเรื่องความสงบเรียบร้อยในพระนคร เจ้าตัวรับหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยในฝ่ายกรมเมือง ตรวจตราความสงบสุขของบ้านเมืองและ...หมายถึง...การล้อมปราบกลุ่มอั้งยี่ ในคราก่อนด้วย แต่ข้อเสียคือเจ้าตัวใช้เบี้ยหวัดหลวงอย่างสุรุ่ยสุร่ายเสียเหลือเกิน จนข้าราชบริพารของราชสำนักเอือมระอา แต่เนื่องจากพระยศที่ใครก็ก้าวล่วงมิได้ ดังนั้นจึงพยายามเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กันเสียหมด

...ก็ไม่แปลกใจหากอ้ายโชคจักกลัวบุรุษผู้นี้ ชะรอยว่าอาจจะเป็นผู้สั่งการสังหารชาวจีนทั้งหมดในคืนนั้น...

“ข้าเพิ่งรู้ว่าเจ้าออกจากวังแล้ว ไม่ได้คิดหวังจะกินยศถาบรรดาศักดิ์ในวังกับชายนพบ้างดอกรึ ? ” น้ำเสียงนั้นคล้ายเย้ยหยันนิด ๆ แต่สีหราชไม่ใส่ใจสิ่งใด

“ข้าปรารถนาเพียงชีวิตที่เรียบง่ายเท่านั้นกระหม่อม หาได้ต้องการลาภยศใด ๆ..” สีหราชตอบสั้น ๆ ประโยคนั้นเรียกเสียงหัวเราะเบา ๆ จากร่างตรงหน้า

“อุปนิสัยเหมือนชายนพไม่มีผิด...มิน่า เหตุใดเจ้าทั้งสองถึงเข้ากันได้ดียิ่งนัก...”

สายตากรมหลวงฯ เหลือบมองเมืองอินทร์ก่อนจะเขม้นมองร่างเล็ก ๆ ที่ซุกตัวสั่นอยู่ด้านหลัง

“เรือนเจ้ามีเด็กแล้วหรือ...ข้าไม่เห็นได้ข่าวมงคลอันใด...” กรมหลวงไกรสีห์สรคุณมองอย่างสนใจร่างตรงหน้า กริยาสนใจเด็กน้อยอย่างผิดสังเกตทำให้เมืองอินทร์ก้าวเข้ามาบังร่างเล็ก ๆ นั้นไว้ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา

“ขอเดชะ นี่เป็นลูกของญาติข้าเอง มาฝากตัวเป็นทาสสินไถ่ด้วย อ้ายโชคเพิ่งจะมาใหม่ไม่นาน อาจจะไม่รู้จักกริยามารยาท ข้าต้องขออภัยด้วย”

“อ้อ...กระนั้นรึ...” กรมหลวงไกรสีห์สรคุณเอ่ยเบา ๆ ก่อนจะยิ้มหยัน

“ตระกูลที่เป็นทาสก็ย่อมไม่แคล้วเป็นทาสอยู่วันยังค่ำ” ประโยคนั้นทำให้เมืองอินทร์กำมือแน่นขึ้นแต่เป็นสีหราชที่ตัดบททันควัน

“ข้าเพิ่งนึกได้ว่ามีกิจต้องจัดการ หากทูลกระหม่อมไม่ถือสา ข้าและเมืองอินทร์ขอทูลลา..” น้ำเสียงเอ่ยเรียบ ๆ แต่แววตากร้าวบอกชัดว่า สีหราชคนนี้จักไม่ยอมให้ผู้ใดมาดูแคลนคนของตน กรมหลวงไกรสีห์สรคุณยิ้มหยันก่อนจะกระตุ้นม้าตรงไปพร้อมกับขบวนทหารรักษาพระนครชุดใหญ่

เมืองอินทร์หันมองตามแผ่นหลังของเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงแล้วถอนหายใจพรู มือสองข้างกระชับกุมอ้ายโชคไว้แน่นขึ้น ร่างเล็ก ๆ นั้นสั่นเทาเกือบจะร้องไห้ เมืองอินทร์และสีหราชมองตากันครู่หนึ่งก่อนที่สีหราชจะอุ้มร่างเล็ก ๆ ของอ้ายโชคขึ้นมาขี่คอตนเองแล้วพาเดินหันหลังจากตรงนั้น

“...เป็นเขา...อย่างนั้นหรือ...” เมืองอินทร์กระซิบ

“ข้าว่าไม่ผิดแน่ อาการของอ้ายโชคถึงเป็นเช่นนั้น” สีหราชพูดราวกระซิบ ความหนักใจที่ไม่ได้เอ่ยไปคือ ไม่แน่ใจว่ากรมหลวงไกรสีห์สรคุณจะจดจำอ้ายโชคได้หรือไม่ เพราะดูท่าทางแล้วคล้ายกับว่าจะสนใจเด็กน้อยเป็นพิเศษทั้งที่โดยปกติแล้วด้วยอุปนิสัยเย่อหยิ่งเยี่ยงนั้นแทบจะไม่มองผู้ใดที่ต่ำกว่าเลย

ดูท่าว่า จะต้องระมัดระวังมากกว่านี้เสียแล้ว
.....................................................................



ButlerofLOVE : ขอบคุณเพื่อนนักอ่านและขอโทษที่หายไปสักพัก บัตเลอร์วุ่นกับการรีไรท์นิยายค่ะ
ขอบคุณมากๆ เลยนะคะสำหรับทุกคอมเม้นต์ในเล้าเป็ด พวกคุณน่ารักมากเลยค่ะ

จากวันนีเ้ป็นต้นไป เราจะทยอยมาลงวันละตอนนะคะ จนกระทั่งจบ แต่จะไม่รวมตอนพิเศษจำนวน 6 ตอนนะคะ ^^

แล้วพบกันค่า :)
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 17/12/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 19-12-2020 12:45:29
ดูแลอ้ายโชคดีๆนะอ้ายสีห์ ไอ้กรมหลวงนี่มันคิดไม่ซื่อแน่ๆ อ้ายสีห์กับเจ้าเมืองอินทร์ บทจะหวาน แหมก็ทำซะเขิน :-[ 55 เมืองอินทร์น่ารักอะ อ้ายสีห์ก็ร้ายหลอกล่อเก่ง เมื่อไหร่จะได้  :oo1: อ่ะ 5555 ดูท่าจะวุ่นวายจักว่าเรื่องของไผแหน่ แล้วทำไมถึง....... บั่นคอเลือดสาดเพื่อเมืองอินทร์ มันเกิดอะไรขึ้น แล้วทำไมท่านสีหราชยมทูตยังจำมารุตไม่ได้ ตอนนี้กำลังตกแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ใช่ไหมก่อนเล่าย้อนอ่ะ หรือขึ้นมาแล้วจะจำได้ 5555 มารุตเหมือนมีของวิเศษติดตัว ทำไมมีแสงของออกร่าง รอคลายปมเยอะเลย สนุกกกกกอ่ะเฮ้ยยยยย ตลก ขำดี มารุตน่ารัก ใจดี ท่ายยมก็ไม่รู้จะเนียบไปไหน 5555 ภาษาแต่งสวยดี อ่านลื่นไหล รอตอนต่อไปเลย จะเป็นยังไงต่อ ขอบคุณนะคะที่มาลงในthaiboysให้ได้อ่านกัน  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 17/12/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 22-12-2020 23:25:21
มารอต่อนะ
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 17/12/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 23-12-2020 12:29:14
แต่ดูเหมือนวันนี้จะฤกษ์ไม่ดีเอาเสียเลย เมื่อหลุดจากคนผู้หนึ่งได้แต่กลับต้องมาพบกับอีกผู้หนึ่ง กว่าที่สีหราชและเมืองอินทร์จะทำให้อ้ายโชคหัวเราะได้เช่นเคย ก็ต้องจ่ายอัฐซื้อน้ำตาลปั้นเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ ให้อ้ายโชคไปเสียหลายก้อน แต่แล้วเสียงหัวเราะและการพูดคุยพลันหยุดลงเมื่อมีขบวนสตรีและบ่าวไพร่รุดมาขวางหน้าไว้

“ไม่ได้พบแม่หญิงนาน...หวังว่าจะสบายดี” สีหราชค้อมศีรษะเป็นเชิงทักทายก่อนเอ่ยเสียงเรียบ ๆ แล้วอุ้มอ้ายโชคลงมาวางที่พื้นและปล่อยให้อยู่ในอ้อมแขนของเมืองอินทร์ที่ประคองร่างเล็ก ๆ นั้นไว้

สีหน้าแม่หญิงนากนิ่งจนน่ากลัว ดวงตานั้นคล้ายเพลิงจะเผาทุกสิ่งให้วอดวาย เมืองอินทร์เหลือบมองแม่หญิงนากอย่างงุนงง แต่สีหราชก็เกาะกุมมืออีกข้างหนึ่งของเมืองอินทร์ไว้แน่น สายตาของแม่หญิงนากมองตามกริยาของสีหราชแล้วกัดฟันแน่นอย่างริษยา

“อ้ายสีห์..นับตั้งแต่คืนนั้น...ท่านก็หายหน้าไป ไม่คิดจะทำสิ่งใด ?”

ประโยคนั้นทำให้สีหราชขมวดคิ้ว ก่อนจะจ้องคนพูดเขม็ง

หายหน้า ? ไม่คิดทำสิ่งใด ? คนอย่างสีหราชไม่เคยทำสิ่งใดที่ต้องปกปิด

“เมื่อไม่ได้ติดค้างอันใด แล้วเหตุใดต้องทำสิ่งใด ? จริงฤาไม่ ?”

ประโยคนั้นทำให้แม่หญิงคนงามถึงกับกำมือแน่นใบหน้าซีดเผือดสลับขึ้นสีก่อนจะหอบหายใจหนัก

“ท่าน...ท่านกล้าพูดเยี่ยงนี้รึ ข้า...ไม่คิดว่าบุรุษที่เคยอยู่ในตำหนักเสด็จพระองค์ชายจะไร้ซึ่งเกียรติแห่งตนเยี่ยงนี้ !”

หากคำหยามนั้นเป็นเฉพาะตัว สีหราชอาจจะปล่อยผ่าน แต่นี่กลับบริภาษก้าวล่วงไปถึงเสด็จพระองค์ชายชาญนพผู้ที่มันเคารพทำให้สีหราชเสียงกร้าวขึ้นมาทันที

“หยุดนะแม่หญิง ! ข้าไม่เคยทำสิ่งใดที่ไร้ซึ่งเกียรติ!  และอย่าหาญมาก้าวล่วงเกินถึงเสด็จพระองค์ชายเป็นอันขาด!”

สิ้นประโยคนั้น เมืองอินทร์รีบกระตุกแขนทันที อ้ายโชคตกใจกับเสียงตะโกนของสีหราชจนเริ่มเบะปากร้องไห้อีกครา

“อย่า...อ้ายสีห์ เรากลับเรือนกันเถิด” เสียงแผ่วเบาของเมืองอินทร์และอาการส่ายหน้าเป็นเชิงห้าม ทำให้สีหราชถอนหายใจพรูก่อนจะยอมคลายโทสะที่คุกรุ่นลง

“สีหราช ! เจ้า !” ท่าทางของแม่หญิงนากดูอัดอั้นดูคล้ายจะจวนเจียนเป็นลม จู่ ๆ ก็ทรุดฮวบลงไปก่อนที่ใครจะคว้าร่างนั้นไว้ทัน

“ตายแล้ว ! แม่หญิงนาก ! ใครก็ได้เอายาดมมาที !” เสียงบ่าวไพร่ตกตะลึงก่อนจะรีบเข้าไปคว้าร่างเล็ก ๆ ที่เป็นลมตัวอ่อนปวกเปียกในบัดนั้น เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้สีหราชตกตะลึงด้วยไม่คิดว่าสตรีตรงหน้าจะเป็นลมเพียงเพราะคำพูดเขา

“อ้ายอินทร์ ! เจ้ารีบพาอ้ายโชคกลับไปหาพ่อสินก่อน ประเดี๋ยวข้าจะเร่งพาแม่หญิงนากกลับไปที่เรือนสมุหพระกลาโหม!”
ว่าแล้วสีหราชก็ช้อนร่างที่เป็นลมไว้ในอ้อมแขนก่อนจะคว้าบังเหียนม้าที่บ่าวไพร่ของแม่หญิงนากจูงมาในทันที ร่างสูงสง่าโผนขึ้นบนหลังม้าพร้อมกับประคองร่างหญิงสาวไว้ในอ้อมแขนแล้วเร่งควบไปทางเรือนสมุหพระกลาโหม

.....................................................................

นับจากวันนั้นที่สีหราชพาแม่หญิงนากกลับคืนเรือนของสมุหพระกลาโหม ก็ไม่ได้ติดตามข่าวคราวใด ๆ อีกเลยอีกราวเดือนกว่า แม่หญิงนาก...เหมือนกับจะหายไปกับความวุ่นวายของสำนักดาบเมื่อสมุหพระกลาโหมสั่งการให้พ่อสินและสำนักตีดาบเร่งจัดดาบชุดใหม่อีกราว 100 เล่มเข้าไปเพิ่มเติมเพื่อนำส่งไปยังหัวเมืองทางเหนือ ทำให้ทั้งเรือนสำนักดาบวิ่งกันวุ่นวาย แต่เหมือนจะมีหลายคนที่เหม่อลอยและหัวใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

ในความเงียบที่ไร้คลื่นลม เหมือนพายุร้ายกำลังจะพัดพาความวุ่นวายถาโถมเข้าสู่สำนักตีดาบ...

“อ้ายสีห์…อ้ายสีห์ !....” เสียงตะโกนจากอ้ายโตที่ดังขึ้นทำให้สีหราชสะดุ้งขึ้นทันที

“นั่นเจ้ากำลังจะตีดาบ หรือว่าจะตีสิ่งใดกันแน่ เหตุใดจึงบิดเบี้ยวเช่นนี้เล่า?” อ้ายโตโวยวายลั่น

ประโยคนั้นทำให้สีหราชชะงักค้าง ร่างสูงที่เต็มไปด้วยเหงื่อจากการออกแรงตีดาบก้มลงมองสิ่งที่อยู่ในมือแล้วนิ่งไป

อ้ายโตก้าวปราดเข้ามาดูสิ่งที่อยู่ในมือสีหราชพลางส่ายหน้าเบา ๆ

สิ่งที่อยู่ในมือยามนี้ ...จะดูยังไงก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นดาบ

...เขาเหม่อจนลืมตัวไปจนได้...

สีหราชกัดกรามแน่นก่อนจะถอนใจพรูแล้ววางทุกสิ่งในมือลงทันที เจ้าตัวสาวเท้าขึ้นเรือนไปเงียบ ๆ ท่ามกลางสายตาสับสนงุนงงของเหล่าช่างตีดาบตรงนั้น

“เออ...หมู่นี้อ้ายสีห์มันเหม่อลอยพิกล ไม่ค่อยมีสติสมาธิเหมือนอย่างก่อน ฤาว่ามันจักไม่สบาย..”

“จะไม่สบายอะไรในเพลานี้ นี่ต้องรีบเร่งตีดาบส่งหลวงอย่างที่สมุหพระกลาโหมเขาเร่งรัดมา นี่ก็เหลือไม่กี่เพลาเท่านั้น หากยังเป็นเช่นนี้มีหวังส่งดาบไม่ทันเป็นแน่” อ้ายโตโอดครวญหนัก

“ว่าแต่อ้ายอินทร์เล่า หมู่นี้ก็มิใคร่เห็นมันเช่นกัน มิรู้ว่ามันเป็นอันใดไปอีกคน หรือว่าสองคนนี้จะเคืองกันก็มิรู้...”

“อย่ามาพูดเป็นเล่นไป สองคนนี้รักใคร่กันราวพี่น้อง จะมีสิ่งใดที่จะขัดเคืองกันได้เล่า...”

ประโยคสนทนาของเหล่าช่างตีดาบกลับอยู่ในความสนใจของพ่อสิน ชายสูงวัยถอนหายใจช้า ๆ ก่อนจะหวนนึกถึงเหตุการณ์กลางดึกหลายคืนก่อน

เสียงคนทุ่มเถียงกันเบา ๆ ที่ท่าน้ำทำให้ชายสูงวัยเดินออกมาเข้าห้องน้ำกลางดึกขมวดคิ้วก่อนจะก้าวออกจากเรือน หางตาเห็นบางอย่างคุ้นตาที่ไหวระริกตรงริมน้ำ ทำให้ก้าวเข้าไปช้า ๆ ภาพที่เห็นทำให้เลือดในกายชายสูงวัยแทบหมดสิ้นลง
ร่างสูงที่ดูรู้แน่ว่าเป็นสีหราชยามนี้กำลังกอดรัดแล้วบรรจงจูบร่างที่อยู่ในอ้อมแขนอย่างเร่าร้อนใต้ต้นลำพูที่ระยิบระยับประดับด้วยหิ่งห้อยจำนวนมาก ส่วนอีกร่างหนึ่งที่ตกอยู่ในวงแขนนั่นก็คือเมืองอินทร์ที่เลี้ยงดูมาไม่ต่างจากบุตรชายอีกคน

...นี่มันเรื่องผีห่าตนใดกัน เหตุใดถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นในเรือนเขาได้ !...

คราแรก ผู้เป็นบิดาเกือบถลันเข้าไปเล่นงานทั้งคู่  แต่เพราะเมืองอินทร์นั่นเองที่ผลักอกสีหราชออกก่อนจะทรุดกายร่ำไห้จนตัวโยน ภาพนั้นทำให้พ่อครูสินข่มกลั้นความโกรธแล้วกำไม้เท้าไว้แน่นก่อนจะยืนมองเหตุการณ์ที่เหลือ

“ไม่...ไม่ได้...ทำเยี่ยงนี้...ไม่ได้..” เสียงกระท่อนกระแท่นของเมืองอินทร์ดังขึ้น เจ้าตัวเม้มปากอย่างอัดอั้นใจ

สีหราชเอื้อมมือหวังจะดึงร่างที่ทรุดอยู่ขึ้นมา แต่เมืองอินทร์ปัดมือที่เอื้อมมาทันควัน..

“ท่านและข้ากำลังสับสน...อ้ายสีห์...ความรู้สึกนี้เป็นจริงไม่ได้”

“.อ้ายสีห์...ท่านเป็นดั่งพี่ชายข้า...ข้าเห็นท่านเป็นดั่งพี่ชาย”

ประโยคนั้นราวกับสายฟ้าฟาดลงมาระหว่างคนทั้งสอง

นานกว่าที่คนทั้งคู่จะเอ่ยสิ่งใดออกมา แล้วเสียงสีหราชดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ

“มองตาข้าได้ไหมอ้ายอินทร์...หากเจ้าไม่รักก็จงมองตาข้าแล้วเอ่ยออกมา”

มีเพียงเสียงสะอื้น...เบาจากร่างที่อยู่ตรงนั้น ในที่สุดก็มีเสียงดังขึ้นกลางความเงียบ

“...ข้าไม่เคยรักท่าน...ข้าเห็นท่านเป็นเพียง...พี่ชาย อ้ายสีห์” น้ำเสียงคนพูดสั่นเครือ

มือหนาที่ประคองอยู่นั้นคล้ายตกลงข้างกายอย่างหมดเรี่ยวแรง...ร่างสูงของสีหราชนิ่งงันก่อนจะหันหลังช้า ๆ แล้วถอยออกมา ประโยคสุดท้ายดังขึ้นแผ่วเบา

“เจ้าจักโกหกผู้ใด ก็ทำไปเถิด แต่มีผู้เดียวที่เจ้าโกหกไม่ได้...อ้ายอินทร์...คือ หัวใจเจ้าเอง…”

“ไม่ใช่เพียงเจ้าที่จักเจ็บปวด แต่เป็นข้าที่เจียนตายกับเจ้าด้วย”

ร่างนั้นยืนนิ่งก้มหน้ามองผืนน้ำยามราตรี แล้วหันมองร่างตรงหน้าอีกครั้ง

“เอาเถิด...หากเจ้าปรารถนาเช่นนั้นจริง...ข้าจักไม่มายุ่งกับเจ้าอีกเลย อ้ายอินทร์...”

เสียงนั้นแหบโหย...ราวกับเจ้าตัวพยายามเค้นเสียงที่ไม่เหลืออยู่ออกมา

“ข้าจะไม่ยุ่งกับเจ้าอีก แม้ว่ามันจักทำให้ข้าเจ็บเจียนตายก็ตาม...”

นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา พ่อสินก็เห็นทั้งคู่อยู่ห่างไม่ชิดใกล้อย่างที่เคย คนหนึ่งเดินทางหนึ่งอีกผู้หนึ่งก็เดินเร้นหลบไปอีกทาง บรรยากาศเช่นนี้ มีแม่คำหล้าอีกผู้ที่สังเกตเห็นความผิดแผกนี้ด้วยอาการกลัดกลุ้ม

“มิรู้ว่า...เคืองกันเรื่องอันใด คนหนึ่งก็เงียบงัน อีกผู้หนึ่งก็เศร้าหมอง...”

พ่อครูสินถอนหายใจพรู

มีคำถามที่ยังค้างคาใจของชายชรามาหลายราตรี...

ความรักที่แท้...เป็นเยี่ยงไร...จำเป็นด้วยฤาที่ต้องเป็นไปตามขนบแห่งคนหมู่มาก...
..............................................................

สายตาคมคร้ามหม่นลงอย่างชัดเจนเมื่อนิ้วหนาคลึงสร้อยทองในมืออย่างช้า ๆ สายตาหม่นเศร้าเมื่อนึกถึงคนผู้หนึ่งที่บัดนี้เอาแต่หลบหน้าค่าตาไม่ยอมมาร่วมเจอหน้า ไม่ว่าจะยามกินก็แยกวงไปกินกับเหล่าทาสและอ้ายเชิดด้วยกัน แล้วแม้แต่ยามที่อยู่เรือนตีดาบก็ไม่เคยเข้ามายุ่งเกี่ยวอีกเลย ยิ่งกว่านั้นเหมือนยามกลางวันมันก็เร้นกายออกจากสำนักตีดาบ ไม่รู้ว่าไปที่ไหน พยายามถามจากอ้ายเชิดที่เป็นสหายสนิทของมัน รายนั้นก็ได้แต่อึกอักไม่ยอมบอกสิ่งใดกับเขาเลย

ดูท่า...จูบนั้นคงทำให้มันคงเกลียดเขาเข้ากระดูกไปเสียแล้ว...

“เหม่อลอยเยี่ยงนี้...ดูท่าจะมีปัญหาหัวใจเสียแล้ว” เสียงสัพยอกของเสด็จพระองค์ชายชาญนพดังขึ้นใกล้ ๆ

วันนี้อ้ายสีหราชมาถึงตำหนักของเสด็จพระองค์ชายชาญนพ ก็เอาแต่นิ่งเงียบเหมือนอยู่ในความคิดของตนเองอยู่ตลอด

“เขาว่า...เขาเห็นกระหม่อมเป็นเพียงพี่...” สีหราชเปรยก่อนจะถอนหายใจพรู มือหนาของเสด็จตบลงมาบนบ่าหนัก ๆ อย่างให้กำลังใจ

“แล้วเจ้าแน่ใจแล้วหรือ ยามนั้นถึงสารภาพออกไปว่ารัก...” เสียงเสด็จพระองค์ชายชาญนพยังตามมา

“กระหม่อม...” สีหราชอุบอิบเบา ๆ ท่าทีดังกล่าวทำให้เสด็จพระองค์ชายถึงกับยันกายลุกขึ้นมานั่งตรง ๆ ก่อนจะจ้องหน้าคนที่ใบหูแดงก่ำตรงหน้า

“ไหน...เจ้าเล่ามาให้ละเอียดที ว่าเจ้าทำอย่างไรจึงรู้แน่ว่าเขาก็มีใจ จึงสารภาพไปเช่นนั้น...”

“ก็...กระ..กระหม่อม...” คนทำผิดเริ่มอึกอักลนลาน คล้ายไม่อยากพูดแต่ก็ไม่รู้จะขัดคนตรงหน้าอย่างไร ท่าทีนั้นทำให้ผู้อาวุโสกว่าถึงกับกลั้นหัวเราะออกมา สีหน้าท่าทางของเสด็จพระองค์ชายชาญนพคล้ายนึกรู้อยู่ในใจ

“เจ้า..จูบเขากระนั้นหรือ...?” คำตอบที่โพล่งออกมาทำให้สีหราชเงยหน้าทันควัน ใบหูที่แดงแล้วกลับแดงจัดกว่าเดิม
อ้ายตัวโตนี่มันน่าแกล้งนัก !

“แล้ว...เขาจูบตอบเจ้าหรือเปล่าเล่า ?” คำถามนั้นมาพร้อมกับรอยยิ้มกริ่มของร่างสูงตรงหน้า คำถามที่ทำให้สีหราชตาโตด้วยไม่เคยนึกถึงเรื่องนั้นมาก่อน เหตุการณ์ในคืนนั้นยังคงติดตรึงในหัวใจ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่า...ร่างเล็กนั้นคล้ายจะลังเลแต่..ลิ้นนุ่มนิ่มที่เกี่ยวกระหวัดหยอกล้อตาม...นั่น...อาจเรียกว่าการจูบตอบได้หรือไม่ ?

เสด็จพระองค์ชายชาญนพส่ายพระพักตร์อย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะถอนพระทัยมองคนตัวโตตรงหน้า

...อ้ายสีห์นี่ฉลาดแต่ทางดาบ...แต่เรื่องสาว ๆ นี่ถึงขั้นทึ่ม...

...ช่างเป็นลูกเต่าในเรื่องรักเรื่องใคร่เสียเหลือเกิน

“อ้ายสีห์ ถ้าผู้นั้นรักตอบเจ้า แต่บอกไปว่าเห็นเจ้าเป็นเพียงพี่ชาย...ดูท่าว่าคงมีปัญหาบางที่หนักใจจนไม่อาจจะให้เจ้ารู้ว่าเขาก็รักเจ้า ลองกลับไปคุยกันดี ๆ เถิด บางครั้งเรื่องราวก็อาจจะไม่ยากอย่างที่คิดก็เป็นได้” 

สีหราชเงยหน้ามองเสด็จพระองค์ชายชาญนพก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ เป็นเชิงตอบรับ สายตาไพล่มองออกไปนอกตำหนักก่อนจะเปรยขึ้น

“นั่น...กรมหลวงไกรสีห์สรคุณ มาพระเจ้าข้า...” สิ้นคำนั้น ร่างสูงสันทัดผิวสองสีของกรมหลวงไกรสีห์สรคุณก็มาถึงเรือนชาน เสด็จพระองค์ชายชาญนพจึงผุดลุกขึ้นช้า ๆ ก่อนจะยกมือไหว้ผู้มีศักดิ์เป็นอา สีหราชถอยออกมายืนห่าง ๆ ก่อนจะลอบมองบุรุษตรงหน้าอีกครั้ง

“วันนี้ข้ามาเยี่ยมเจ้าจอมมารดาพิม ยกของฝากจากทวายมาให้ พอนึกถึงเจ้าขึ้นมาเลยแวะมาหาที่ตำหนัก..ชายนพยุ่งกับราชกิจมากฤา...”

“ มิได้...เสด็จอา ข้ายังคงชอบงานขีดเขียนมากกว่างานราชกิจต่าง ๆ ทูลกระหม่อมพ่อมิได้สั่งมอบงานอันใดให้กระหม่อมมากนัก” เสด็จพระองค์ชายชาญนพเอ่ยเบา ๆ สายตาหยุดนิ่งมองอย่างสำรวม ขณะที่อีกฝ่ายยิ้มหัวอย่างรื่นเริงก่อนจะหันไปสั่งบ่าวไพร่ให้นำชะลอมของฝากนั้นยื่นให้บ่าวในเรือนของเสด็จพระองค์ชายชาญนพ สีหราชลอบมองผู้ติดตามของกรมหลวงไกรสีห์สรคุณ ประกายตาคล้ายจะมีข้อสงสัยบางประการแต่ก็เร้นหายเพียงชั่วกะพริบตา

“ ดี ๆ งานศิลปะ งานขีดเขียนนี้นับว่าดีทั้งนั้น ข้าเพิ่งสั่งการให้คนสนิทไปเตรียมตั้งคณะละครนอกขึ้น ดูท่าว่าในวังหลวงมิได้มีงานร้องเล่นกาพย์กลอนนานแล้ว นับจากสมัยรัชกาลต้นและรัชกาลกลางมา งานศิลปะดนตรีก็ไม่ได้เฟื่องฟูอีกเลย...นี่ข้าให้ผู้คนชาวคณะได้ฝึกซ้อมกันแล้ว หากพรั่งพร้อมเมื่อใดก็ว่าจะจัดแสดงหน้าพระที่นั่งสักครา...เจ้าเห็นด้วยฤาไม่ชายนพ...”

เสด็จพระองค์ชายชาญนพเพียงแต่แย้มพระสรวลนิด ๆ ไม่ได้ตอบสิ่งใด ก่อนที่ทั้งคู่จะสนทนากันอีกเพียงครู่เดียวแล้วกรมหลวงไกรสีห์สรคุณก็ลากลับไป คล้อยหลังเพียงลงจากเรือน สีหราชอดไม่ได้ที่จะขยับกายมาใกล้เสด็จพระองค์ชายชาญนพ

“กระหม่อมอาจจะห่างวังหลวงไปนาน แต่...บางอย่างบอกกระหม่อมว่า มิควรวางพระทัยในบุคคลผู้นี้พระเจ้าข้า...”

“หืม...อ้ายสีห์...ไหนเจ้าลองว่ามาสิ...ว่าเหตุใดเจ้าจึงคิดว่ามิควรวางใจเสด็จอาของเรา”

“ประการแรก บ่าวไพร่ที่มาด้วยกับกรมหลวงไกรสีห์สรคุณดูท่าจะสนใจพระตำหนักของเสด็จมากเกินควรพระเจ้าข้า” สีหราชเอ่ยเบา ๆ

“ดวงตาของพวกมันหาได้หมอบนิ่งอยู่แนบกับพื้นเรือนไม่ กลับแส่ส่ายและมองซ้ายขวาอย่างเห็นได้ชัด ประตูหน้าต่าง แลทางเข้าออกพระตำหนัก เหมือนจะพยายามจดจำให้แม่นมั่น ซึ่งผิดวิสัยของผู้เป็นบ่าว อีกทั้งกล้ามเนื้อแขนตลอดจนขาของพวกมันล้วนแข็งแรงราวกับใช้งานมาอย่างต่อเนื่อง เส้นเลือดที่ขึ้นบริเวณท่อนแขนและบางรายมีแผลเก่าคล้ายถูกฟันจากมีดดาบ ดูท่าว่าน่าจะมิใช่เพียงบ่าวไพร่ไร้วิชาป้องกันตัว...”

เสด็จพระองค์ชายชาญนพเอนวรกายลงพิงเก้าอี้ทรงพระอักษรก่อนจะยิ้ม ๆ แล้วมองสีหราชด้วยแววตาพึงพอใจ

“เจ้ากำลังจะบอกข้าว่า บ่าวพวกนั้นหาใช่บ่าว แต่อาจจะเป็นทหารใช่ฤาไม่...”

“...กระหม่อมอาจจะคิดมากเกินไป แต่หากดูจากลักษณะท่าทีแล้ว เกรงว่าอาจจะเป็นไปได้พระเจ้าข้า...”

“วังหลวงมีแต่ภัย...ข้ารู้อ้ายสีห์...และข้าก็เห็นอย่างที่เจ้าเห็น เกรงว่ายิ่งข้าเติบใหญ่เพียงใดก็ยิ่งสร้างภัยร้ายสู่ตัวเอง” เสียงทอดถอนหายใจดังขึ้นเบา ๆ

“ได้แต่หวังว่า เสด็จอา..จะเพียงมาดูลาดเลาเท่านั้น หาได้คิดการใหญ่ใด ๆ” พระสุรเสียงยิ่งเบาลง

“ข้าไม่อยากสู้รบกับผู้ใดจริง ๆ สีหราช...”

น้ำเสียงนั้นคล้ายจะเบื่อหน่ายเต็มทีในเรื่องราวรั้วพระบรมมหาราชวัง สีหราชมองเสด็จพระองค์ชายชาญนพนิ่ง ๆ สิ่งที่เขาเห็นแต่ไม่อยากเอ่ยให้เสด็จพระองค์ชายชาญนพต้องกังวลคือ บ่าวทุกคนที่เห็นนั้นล้วนเป็นเพลงดาบทั้งสิ้น เพราะง่ามนิ้วมือระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้ล้วนมีรอยแผลเป็นกรีดยาว....รอยเก็บดาบเข้าฝัก...

คำสัญญาของเจ้าจอมมารดาพิมดังขึ้นในหัว...

“สัญญากับข้า...ถ้าวันใดข้าหรือชายนพมีภัย...เจ้าต้องมา...สีหราช...” คำสั่งนั้นประทับแน่น

...หวังเหลือเกิน...คงไม่มีวันที่ข้าต้องจับดาบ...หลั่งเลือด...
...........................................................................


ButlerofLOVE : ขอบคุณมากนะคะสำหรับการติดตาม เรื่องนี้จะเปิดให้อ่านจนจบ (แต่ขอเว้น NC ไว้น้า เพราะว่ากลัวโดนก๊อปอ่า T T จะลงในเล่มนะคะ พร้อมกับตอน Special ต่าง ๆ)

 :hao5:
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 23/12/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 23-12-2020 21:55:26
มาดูลาดเลารึป่าว บางทีคิดในแง่ร้ายก็ดีจะได้ระวังตัว ว่าแต่ปัญหาหัวใจของสองคนนี้จะยังไง เอาไงดี รอนะอ้ายสีห์ ให้เมืองอินทร์ทนไม่ไหว แล้วยอมรับใจตัวเองแหละ ท่านพ่อสิน ทำใจไว้เถิด 55555 สนุก รอตอนต่อไป  :pig4: :pig4: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 23/12/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 23-12-2020 23:29:03
มารอต่ออออ
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 24/12/20]
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 24-12-2020 06:21:05
CHAPTER
17




และแล้วสังหรณ์ที่นักดาบหนุ่มกังวลไว้ว่าจะเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นจริง ๆ  แต่เป็นเหตุร้ายที่เกิดกับสำนักตีดาบมากกว่า เสียงอึกทึกครึกโครมของเหล่าทหารจำนวนมากและร่างหนาของสมุหพระกลาโหมที่ยามนี้แดงก่ำด้วยโทสะร้อนปราดขึ้นมาที่เรือนใหญ่ของสำนักตีดาบอย่างไม่พูดไม่จา สีหราชและพ่อสินกำลังปรึกษากันเรื่องการตระเตรียมจัดส่งดาบกว่า 100 เล่มให้แก่หัวเมืองทางเหนือ กำหนดการเดินทางมีขึ้นในวันพรุ่ง แม่คำหล้าแลบ่าวไพร่ก็อยู่กันครบเพื่อตระเตรียมอาหารแห้งแลเสบียงให้แก่สีหราชและกลุ่มนักดาบที่จะคุ้มกันขบวนในครานี้

จักต้องระแวดระวังมากกว่าเดิม อย่างน้อยก็ต้องไม่เกิดเรื่องร้ายอย่างคราก่อน...

“ท่านสมุหพระกลาโหม...เหตุใดมาถึงเรือนโดยไม่บอกไม่กล่าว ข้าจักได้ไปต้อนรับ...”พ่อครูสินเอ่ยยิ้ม ๆ ก่อนจะลุกจากตั่งไม้ตรงไปหาสมุหพระกลาโหม แต่ไม่ทันจะทำสิ่งใด ทุกอย่างก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

ฉาด ! หมัดลุ่น ๆ ของสมุหพระกลาโหมสูงวัยตะบันเข้าที่หน้าของสีหราชโดยที่เจ้าตัวไม่ทันระวัง จนใบหน้าคมคร้ามสะบัดเริ่ดและถลาไปกองกับพื้นท่ามกลางเสียงหวีดร้องของแม่คำหล้าและบ่าวอีกสองสามคน !

เมืองอินทร์ถลาเข้าไปประคองแขนสีหราชอย่างตกใจ

เลือดสด ๆ หยดรินลงบนพื้นเรือน

สมุหพระกลาโหม...กำลังคลั่ง ! 

“มึงทำบัดซบอันใดไว้ !  มึงกล้าลูบคมกูเยี่ยงนี้ กูจักฆ่ามึงและคนทั้งเรือนนี้ให้สิ้น !”

สายตาเกลียดชังคั่งแค้นของสมุหพระกลาโหมทำให้ทุกคนตกใจ เสียงกระชากดาบออกจากฝักของเหล่าทหารที่ติดตามสมุหพระกลาโหมมา ทำให้บ่าวไพร่หลายคนหวีดร้องขึ้น พ่อสินรีบไล่บ่าวไพร่ทั้งหมดให้ลงจากเรือนไปเหลือไว้เพียงแม่คำหล้าที่ยืนตัวสั่นงันงกแลเมืองอินทร์ที่อยู่ข้าง ๆ ขณะที่หลวงแนบผู้เป็นบุตรชายคนโตก็เร่งก้าวตามขึ้นมาบนเรือนสำนักดาบด้วยใบหน้าขมึงทึงไม่ต่างจากบิดา

...เรื่องดำมืดของเหล่าผู้มีศักดิ์ รู้ถึงไหนอายถึงนั่น!

“พ่อ...ใจเย็นลงก่อน พวกเอ็งจงเก็บดาบลงให้หมด ข้าจักคุยเอง...” หลวงแนบ นรรัตน์บุตรชายคนโตประคองผู้เป็นพ่อที่หน้าดำหน้าแดงตรงไปนั่งที่ตั่งไม้ ก่อนจะหันไปสำทับเหล่านักดาบแลทหารคนสนิทที่ถือดาบยืนจังก้าขวางทางเข้าออกเรือนไว้

“พ่อแนบ...นี่มันเรื่องกระไรกัน บอกข้าให้รู้ต้นสายปลายเหตุได้ฤาไม่...” พ่อครูสินตกตะลึงก่อนจะปราดมาคว้าประคองแขน
สีหราชที่ยามนี้กำลังเช็ดเลือดที่เลอะริมฝีปาก

หลวงแนบ นรรัตน์หันขวับมาทางพ่อสินก่อนจะเอ่ยช้า ๆ

ประโยคเดียวที่ทำให้ทุกคนในห้องตัวชาตะลึงงัน

“แม่นากพยายามฆ่าตัวตายพร้อมลูกในท้อง...ลูกที่เป็นของอ้ายสีห์!”

ประโยคนั้นทำให้แม่คำหล้าทรุดฮวบลงเอามืออุดปากที่หวีดร้องเบา ๆ เมืองอินทร์รีบปราดเข้ามาพยุงพ่อครูสินที่ยืนโซเซราวกับจะเป็นลมให้นั่งลงกับตั่ง ขณะที่สีหราชที่ยืนตะลึงอยู่ตรงนั้น

“ยามนี้แม่นากเป็นตายเท่ากัน...พ่อหมอฝรั่งพยายามช่วยชีวิตอยู่ แต่ก็บอกอันใดไม่ได้...”

หลวงแนบ นรรัตน์ไม่เอ่ยอันใดต่อกับพ่อสิน แต่หันมาทางสีหราช

“กูจักไม่พูดมาก อ้ายสีห์มึงจะแต่งกับน้องกูฤาไม่! อย่าให้กูต้องเอ่ยคำรบสอง!”

ประโยคนั้นทำให้สีหราชได้สติก่อนจะกำหมัดแล้วตะโกนกร้าว

“ข้าไม่รู้เรื่องอันใดทั้งนั้น แลข้าก็ไม่เคยล่วงเกินแม่หญิงนากด้วย จักเอาข้าไปสาบานที่ใดก็ได้ !” ก่อนจะเลื่อนลงมาจับดาบข้างเอว ดวงตาสีหราชวาวโรจน์ด้วยความโกรธ มีเพียงพ่อสินที่รีบคว้ามือบุตรชายไว้แน่นแลส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามปราม

...นี่มันกล่าวร้ายกันชัด ๆ นอกจากจะลบหลู่มันแล้วยังหยามเกียรติของมันด้วยว่าทำตนผิดทำนองคลองธรรม !

หลวงแนบ นรรัตน์ชี้หน้าสีหราชและเอ่ยเสียงเหี้ยมเกรียมออกมา

“ข้าวสารหุงเป็นข้าวสุกขนาดนี้แล้ว มึงยังไม่รับอีกฤาอ้ายสีห์ ! อีนากเป็นน้องกู...มึงลบหลู่เกียรติน้องกูเยี่ยงนี้ไม่ได้!”

“และที่กูรู้ว่าเป็นมึง ก็เพราะน้องกูพูดก่อนสิ้นสติว่า นางท้องกับมึง...อ้ายสีห์!”

“เป็นไปไม่ได้ ! ข้าไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับแม่นาก ไม่เคยทำสิ่งที่เสื่อมเสียเช่นนั้น !”

“ได้ ! หากมึงไม่ยอมรับ ก็จงจำไว้ให้ดี วันนี้จักไม่มีผู้ใดได้ออกจากเรือนทั้งนั้น หากมึงยังไม่ยอมรับสารภาพ...แลหากน้องกูเป็นอันใดไปละก็...สำนักตีดาบแห่งนี้จักต้องฉิบหายไปตามกัน!”

“นี่มันเรื่องอันใดกัน !” เสียงผู้ที่ก้าวเข้ามาใหม่ทำให้หลายคนบนเรือนชะงักกึก อย่างน้อยก็หลวงแนบ นรรัตน์ที่ตะลึงและรีบทรุดกายลงบนพื้นเรือน เช่นเดียวกับสมุหพระกลาโหมที่งก ๆ เงิ่น ๆ รีบค้อมกายลง

“สะ...เสด็จพระองค์ชายชาญนพ ! ”

ร่างสูงหนาของเสด็จพระองค์ชายชาญนพ ที่ลือกันให้ทั่วพระนครว่าอาจจะเป็นว่าที่เจ้าเหนือหัวองค์ใหม่ของแผ่นดิน ก้าวเข้ามาในเรือนของพ่อสิน

“เสียงเอะอะเอ็ดตะโรดังลั่นไปจนถึงหน้าเรือนชานเยี่ยงนี้ ใครจักบอกข้าได้บ้าง...อ้ายสีห์” เสด็จพระองค์งชายชาญนพหันไปทางสีหราชที่ยืนค้อมกายอยู่ตรงหน้า

“กระหม่อม...วันนี้เสด็จมาถึงนี่มีอะไรให้ข้ารับใช้หรือพระเจ้าข้า” สีหราชเอ่ยเบา ๆ 

“ข้าแค่จะมาส่งเจ้าไปหัวเมืองเหนือครานี้ เจ้าจอมมารดาพิมท่านฝากพระเครื่ององค์น้อยมาให้เจ้าด้วย ท่านว่าฝันไม่สู้ดีนักเลยให้ข้านำพระมาให้เจ้าไว้คุ้มภัย...” ว่าแล้วก็ยื่นพระเครื่ององค์น้อยที่ล้อมกรอบทองคำให้แก่สีหราช ก่อนจะเบือนหน้ามองทุกคนในห้อง พระสุรเสียงหนักบอกชัดว่าไม่พึงพระทัย

“แต่ดูท่าว่า ฝันร้ายนั้นจะเร็วกว่าที่คาด...”

“จงเล่ามาให้หมด ! เรื่องราวมันเป็นมาอย่างไร...”
.................................................................

พายุร้ายที่พัดโหมกระหน่ำทำเอาหัวใจของคนที่แกร่งที่สุดยังต้องโยกคลอน...

“...อ้ายสีห์..อ้ายสีห์...” เสียงอ้ายมิ่งตะโกนอยู่ลั่น ๆ ตรงหน้า มือไม้โบกเป็นระยะ ทำให้สีหราชกะพริบตาถี่ ๆ สะบัดหน้าเบา ๆ อย่างมึนงง ก่อนจะเอาสติคืนกลับมาตรงหน้า

ยามนี้เขากำลังอยู่บนหลังม้าคุมกองขบวนดาบไปส่งยังหัวเมืองฝ่ายเหนือ สีหราชแลอ้ายมิ่งเป็นหัวขบวนคุ้มกันกองเกวียนขนดาบหลวงออกจากเรือนสำนักตีดาบมาได้ 3-4 วันแล้ว

อะไรบางอย่างที่บอกไม่ถูกทำให้สีหราชกระวนกระวายใจอยู่ตลอดเวลา การเดินทางครานี้มันไม่สบายใจเอาเสียเลยเอาแต่ห่วงหน้าพะวงหลังจนอ้ายมิ่งแซวว่ามันทำตัวราวกับพระนางมัทรี...ที่เหลียวหน้าเหลียวหลัง 

ไม่อยากจากเรือนมาเลย....ใจรอน ๆ พิกลนัก

“เอ็งเป็นกระไรไป...ข้าเรียกอยู่เป็นนานสองนานยังนิ่งงันอยู่อย่างนั้น...” อ้ายมิ่งถามเบา ๆ

“ไม่รู้...ข้าไม่สบายใจอ้ายมิ่ง ข้าอยากกลับเรือนเหลือเกิน...” สีหราชเอ่ยเบา ๆ อย่างกลัดกลุ้ม

ระยะเวลาเดินทางไปกลับจากสำนักตีดาบไปหัวเมืองทางเหนือ ใช้เวลาอย่างเร็วก็สามสัปดาห์อย่างช้าก็เกือบเดือน...

อ้ายมิ่งถอนหายใจพรูใหญ่แล้วเอื้อมมือมาตบบ่ามันเบา ๆ เป็นเชิงปลอบใจ

“ก็แค่คุมกองคาราวาน พอส่งทุกอย่างแล้ว ข้าจะเร่งม้าเตรียมกลับ เจ้าก็อย่ากังวลนักเลย ที่เรือนก็มีผู้คนอยู่มากมาย”

...ผู้คนมากมายก็จริง แต่สังหรณ์แบบนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นเลย...

ประโยคของผู้เป็นบิดาดังขึ้นในหัว เมื่อครั้งเขาก้าวเข้าไปกราบลาก่อนออกเดินทาง

“อ้ายสีห์...เจ้ารีบไปเถิด รักษาตัวด้วยและไม่ต้องห่วงทางนี้” พ่อครูสินตบบ่าเขาสองสามครั้ง เขาถึงยอมขึ้นม้าจากมา
หรือว่าอาการโหยหาเยี่ยงนี้...อาจเป็นเพราะเจ้าตัวจ้อยหายไปไม่ยอมมาส่งมันเหมือนคราก่อน...

“ว่าแต่...เจ้ายังไม่ได้ปรับความเข้าใจกับอ้ายอินทร์อีกฤา” อ้ายมิ่งถามเบา ๆ ขณะที่สีหราชได้แต่เงียบงัน

ปรับความเข้าใจกระนั้นฤา...ดูเถิด...แม้แต่หน้ามันก็ยังไม่ยอมมองสักนิด

“เรื่องแม่หญิงนาก บุตรีสมุหพระกลาโหม...ข้ารู้ว่าเจ้าอาจไม่สบายใจ...แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว...เจ้าต้องใจเย็น อดใจรอเพื่อกลับไปคุยกับทางโน้นให้เรียบร้อย หากเคราะห์ดี...เจ้าอาจได้โอกาสซักฟอกตัวเอง” อ้ายมิ่งตบบ่าพลางกระซิบเบา ๆ พร้อมเหลือบมองเหล่าทหารที่อยู่รอบด้าน

“มึงดู...ทหารเหล่านี้คล้ายมิได้มาคุ้มกันเรา หากคล้ายป้องกันมิให้เจ้าหลบหนีเสียละมากกว่า...”

อย่างที่อ้ายมิ่งว่าไว้...ทหารล้อมเสียขนาดนี้....เหมือนเกรงว่าราชสีห์ร้ายอย่างเขาจะหลบหนี...

ภาพของสมุหพระกลาโหมที่เรียกเหล่าทหารมาล้อมสำนักตีดาบก่อนวันเดินทางผุดขึ้นมากลางหัว สีหน้าเกรี้ยวกราดของสมุหพระกลาโหมที่ระบายโทสะลงมาที่เขา ท่ามกลางความตกตะลึงของพ่อสินและบ่าวไพร่ในเรือนทั้งหมด ข้อหาร้ายแรงว่า เขาลักลอบมีสัมพันธ์กับแม่หญิงนากจนตั้งครรภ์ขึ้นและไม่รับผิดชอบ วันนั้นเกือบจะต้องนองเลือดกันกลางเรือนแล้ว หาก บารมีของเสด็จพระองค์ชายชายนพช่วยให้สมุหพระกลาโหมไม่อาจทำอันใดได้นอกจากฮึดฮัด

เพราะแม่หญิงนากยังไม่ฟื้นและยังให้ปากคำอันใดไม่ได้ ทางออกที่ดีที่สุดที่เสด็จพระองค์ชายชาญนพเสนอคือ ให้อ้ายสีห์คุมกองคาราวานอาวุธมีดดาบตามกำหนด กำหนดเดินทางชัดเจนไม่อาจเลื่อนได้ กลับมาแล้วจึ่งค่อยมาตกลงแลซักฟอกเรื่องนี้

“ท่านสมุหพระกลาโหม....” เสด็จพระองค์ชายชาญนพเอ่ยขึ้นในวันนั้น

“ข้าเชื่อในเกียรติของอ้ายสีห์ แต่ข้าก็จักฟังความทางแม่หญิงนากด้วยเช่นกัน เรื่องนี้แพร่งพรายไปก็มีแต่เสียหายทั้งสองฝ่าย สู้รอให้แม่หญิงนากฟื้น ข้ามั่นใจว่าทุกอย่างจะกระจ่างชัด ยามนี้ให้อ้ายสีห์ไปทำหน้าที่ของตนให้เรียบร้อยจักดีกว่า แลข้าจักให้พ่อหมอฝรั่งที่ชำนาญมาดูแลแม่หญิงนากและลูกในท้องเป็นอย่างดี และเก็บงำเรื่องนี้” เสด็จพระองค์ชายชาญนพเอ่ย

“หากสอบทานแล้วมีมูลเหตุจริง ข้าจักเป็นผู้สู่ขอแม่หญิงนากเป็นภรรยาให้แก่อ้ายสีห์เอง และพร้อมจัดงานมงคลยิ่งใหญ่ให้โดยไม่ให้ทางสมุหพระกลาโหมต้องเสียเกียรติเลย” ประโยคของเสด็จพระองค์ชายชาญนพทำให้ท่าทีของสมุหพระกลาโหมดีขึ้นบ้าง

สีหราชหันไปมองทางพ่อสินและแม่คำหล้า สายตานักดาบหนุ่มคล้ายจะบอกว่าเขาไม่ได้ล่วงเกินอย่างที่โดนกล่าวอ้าง แต่เหมือนหัวใจหล่นหายเมื่อเหลียวมองแล้วไม่เห็นร่างเจ้าตัวเล็กอยู่ตรงนั้น...เมืองอินทร์หายไป...

 ...มันคงโกรธเขาเป็นแน่...

แม้กระทั่งเช้าวันพรุ่งที่เขาจะต้องออกเดินทางก็ยังไม่มีแม้แต่เงาของเมืองอินทร์ให้เห็น จะมีก็เพียงใบหน้ากลมและตาตี่ ๆ ของอ้ายโชคที่ยืนเกาะระเบียงไม้ของเรือนใหญ่ เด็กน้อยอ้วนท้วนโบกมือหยอย ๆ ด้วยน้ำตานองหน้า

“อ้ายสีห์..กลับมาเร็ว ๆ” เสียงเจ้าตัวเล็กสุดของเรือนตะโกนพร้อมสะอื้นเบา ๆ ทำให้สีหราชพอจะยิ้มออกบ้าง

... อ้ายโชคอยู่ที่ใด...อ้ายอินทร์ก็คงอยู่ตรงนั้น...เพียงแค่ไม่ก้าวออกมาส่งเท่านั้น

“ข้าสัญญา ! ข้าจักรีบกลับแล้วจะนำขนมและของเล่นจากเมืองเหนือมาฝากเจ้า !”

สีหราชตะโกนฝ่าสายฝนที่กำลังโปรยปราย

สายฝน...ทำให้ขบวนคาราวานเปียกปอนกันตั้งแต่ยังไม่ออกเดินทาง ราวกับฟ้ากำลังร่ำไห้...

“แม่คำหล้า....” สีหราชก้าวยาว ๆ เข้าไปหาแม่คำหล้าที่ยืนอยู่ใต้เรือนชาน แล้วแตะหลังมือสตรีชราเบา ๆ ก่อนจะวางสร้อยทองดุนลายวิจิตรเส้นน้อยลงบนฝ่ามือของแม่คำหล้า

“ข้าฝากสิ่งนี้ให้อ้ายอินทร์ได้ฤาไม่...” สีหราชเงยหน้ามองร่างตรงหน้าด้วยท่าทีจริงจัง

“อ้ายสีห์...” แม่คำหล้าทำตาโตก่อนจะรับสร้อยนั้นไว้แล้วมองหน้าคนยื่นอย่างงุนงง

“ฝากบอกมันได้ฤาไม่ สร้อยเส้นนี้...เป็นของมัน...ผู้เดียว”

เปรียบสร้อยนี้...ดั่งดวงใจ...ขอแค่มันรอเขาเท่านั้น...

...รอข้านะเมืองอินทร์ ข้าจักกลับมาพิสูจน์ว่า ข้ามิได้ทำสิ่งใดผิดทำนองคลองธรรม ฤาผิดต่อเจ้า...
...............................................................
เสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าดังครืนเลื่อนลั่นมาแต่ไกล เหมือนหัวใจของคนเดินทางที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า สายฝนกระหน่ำตลอดการเดินทาง แต่ใจผู้ที่นำขบวนกลับร้อนรนโดยไม่ทราบเหตุ ครั้นย่างเข้าวันที่ 10 สีหราชและขบวนก็เดินทางถึงหัวเมืองทางเหนือ อาวุธดาบต่าง ๆ ที่ตระเตรียมมาถูกส่งมอบให้แก่เจ้าเมือง พร้อมกับการทดลองความคมของดาบใหม่ด้วยฝีมือดาบของสีหราชเอง เสียงตะโกนโห่ร้องชอบใจในอาวุธใหม่ดังขึ้นอื้ออึงในหมู่ทหารักษาหัวเมือง แต่สีหราชกลับถอนใจพรู เพราะเจ้าเมืองคนนี้มิยอมให้มันแลขบวนดาบเดินทางกลับโดยเร็ว เอาแต่เฝ้ารั้งมันไว้ด้วยอ้างว่าต้องต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี และยังความเหนื่อยล้าของเหล่าทหารที่คุ้มกันขบวนอาวุธอีก ทำให้จำต้องอยู่พักค้างแรมอีก 1-2 คืน

พอย่างเข้าคืนที่สามเท่านั้น สังหรณ์และความกระวนกระวายที่บอกไม่ถูกทำให้สีหราชตัดสินใจจะเตรียมตัวเดินทางกลับ แต่กลับพบว่าประตูหน้าเรือนถูกลั่นดาลไว้จากด้านนอก!

“อ้ายสีหราช...โปรดรั้งไว้ก่อนเถิด อย่าเพ่อกลับเลย...” เสียงทหารคุ้มกันที่เฝ้ายามอยู่ด้านหน้าดังขึ้น

“นี่มันเรื่องบ้ากระไรกัน บอกข้ามาเดี๋ยวนี้ เจ้าไม่มีสิทธิกักขังข้า!”

เพียงครู่เดียว เสียงฝีเท้าหนัก ๆ เดินมาหยุดตรงหน้าประตู ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ

“สีหราชเอ๋ย...จงเชื่อข้า หากกลับไปยามนี้ เจ้าจะเจอข้อหากบฏแลซ่องโจรร่วมกับสำนักดาบของเจ้า กลับไปก็ตาย มิสู้อยู่ที่นี่ไปก่อนจะดีกว่า” เสียงท่านเจ้าเมืองดังขึ้นหน้าเรือนของมัน

ประโยคนั้นราวกับฟ้าผ่า มือสีหราชสั่นระริกก่อนจะคว้าดาบประจำตัวในมือไว้มั่น

นี่มันเรื่องบ้าอันใด !

กบฏ แล ซ่องโจร ข้อหาเหล่านั้นจักเป็นไปได้เยี่ยงไร !

มัน.เกิดอะไรขึ้นกันแน่ !

“ปล่อยข้าออกไปบัดเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน!” สีหราชตะโกนกร้าวและกระชากดาบออกจากฝัก

ท้นใดนั้นราวกับบรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไป สายลมหวีดร้องอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย บรรยากาศอึดอัดระคนสับสน ท้องฟ้าคล้ายมืดครึ้ม ลมพายุภายนอกโหมพัดแรงขึ้น บานหน้าต่างไม้ถูกลมพัดจนกระแทกปึงปังกับเรือนรับรอง ท้องฟ้ายามราตรีเริ่มแปรปรวน ราวกับเริ่มต้นลางร้าย

...นี่มันอะไรกัน....

‘ท่านสีหราช...ท่านสีหราช...ได้โปรดได้สติทีเถอะ...ตื่นเร็วเข้า...’

ใครกันที่เหมือนจะร้องไห้อยู่ไกล ๆ นั่น...เสียงที่คล้ายจะก้องอยู่ในหูของเขา ละม้ายคล้ายเสียงเมืองอินทร์ แต่ก็มิใช่

สีหราชขมวดคิ้วแน่นก่อนจะกดหว่างคิ้วตัวเองอย่างงุนงงระคนสับสน

พลันนั้นเสียงอึกทึกด้านนอกเรือนก็ดังขึ้น เสียงร้องโหยหวนหลายเสียงและเสียงดาบที่เสียบแทงเนื้อดังแว่ว ๆ จากด้านนอก ทำให้สีหราชได้สติขึ้นมาอีกครั้ง เจ้าตัวกระชับดาบไว้มั่น ก่อนจะเงื้อง่าเตรียมฟันลงหากมีผู้ใดที่ถอดสลักดาลประตู ทันใดนั้นเองก็มีเสียงตะโกนละล่ำละลักของอ้ายมิ่งที่อยู่ด้านนอก

“อ้ายสีห์  ! นี่กูเอง มึงรีบเผ่นออกมา !”

สิ้นเสียงสลักดาลไม้ที่ยกออก สีหราชพลันถีบประตูผางออกไปทันที ถึงเห็นสภาพรอบกายที่มีแต่การปะทะกัน กองเลือดของเหล่าทหารของเจ้าเมืองหลายคนเลอะเจิ่งนองพื้น ขณะที่อ้ายมิ่งกำลังใช้ดาบในมือตวัดจ่อลำคอของเจ้าเมืองร่างท้วมที่ยามนี้ตัวสั่นงันงก แขนและขาของอ้ายมิ่งล้วนโซมไปด้วยเลือด เนื้อตัวมันกำลังหอบอย่างเหน็ดเหนื่อย

“สั่งให้เปิดทางบัดเดี๋ยวนี้ !” อ้ายมิ่งตะโกนลั่นก่อนจะขยับดาบในมือให้มั่นคงกว่าเดิม เหงื่อกาฬที่ไหลซึมทำเอาฝ่ามือเปียกชื้นไปหมด ขณะที่สีหราชเร่งคว้าห่อผ้าและอัฐทั้งหมดขึ้นสะพายบ่า เหล่าทหารของเจ้าเมืองล้อมอยู่ด้านล่างของเรือนต่างจ้องเขม็งมาที่อ้ายมิ่งและสีหราช

“เอาม้ามาให้พวกกูบัดเดี๋ยวนี้ !” ขบวนนักดาบจากสำนักดาบที่เหลือยามนี้ลุกฮือล้อมทหารของเจ้าเมืองอีกครา ขณะที่เจ้าเมืองร่างท้วมตัวสั่นระริก ความคมของปลายดาบกำลังสะกิดผิวคอจนได้เลือดซิบ ๆ ไหลรินลงมาเป็นทางยาว

“ไอ้เจ้าเมือง ! เจ้ารู้อะไรมาบ้าง ! บอกข้ามาเดี๋ยวนี้ เหตุใดสำนักตีดาบถึงโดนข้อหากบฏเยี่ยงนั้น !”

สีหราชตะโกนลั่นจรดปลายดาบตรงหน้าเจ้าเมือง ดวงตาวาวโรจน์อย่างคั่งแค้น

“ข้า...ข้าไม่รู้ ข้าแค่ทำตามที่สมุหพระกลาโหมบอกไว้ เขากลัวพวกเจ้าจะรีบกลับเรือนแล้วจะโดนข้อหาไปด้วย..ข้ารู้แค่นั้นจริง ๆ”
สีหน้าแววตาเหลือกลานของชายร่างท้วมบอกชัด...มันพูดจริง

“ถอย ! เราจักเร่งกลับสำนักดาบกันบัดเดี๋ยวนี้ !”

คุณพระคุณเจ้า ! อย่าได้เกิดอะไรเลย พ่อสิน อ้ายอินทร์ ข้าจักรีบกลับไปหาพวกท่าน ! 
...........................................................................

จากสิบวันที่เดินทาง...ยามนี้เหลือเพียง 5 วัน สีหราชแลสหายต่างเร่งม้าทั้งวันทั้งคืนจนม้าบางตัวขาดใจตายไประหว่างทาง เงินอัฐที่หามาได้จากการค้าดาบยามนี้ถูกเปลี่ยนเป็นเงินไว้ซื้อม้าตัวใหม่ไว้สลับเปลี่ยนตลอดเส้นทางจากหัวเมืองทางเหนือ เหล่าบุรุษฉกรรจ์ของสำนักตีดาบหลายคนยอมสละม้าให้กับสีหราชเพื่อให้เขาใช้สับเปลี่ยนให้กลับมาถึงสำนักตีดาบให้เร็วที่สุด หาก
แต่...ภาพตรงหน้าทำให้เลือดในกายเย็นเฉียบไปหมด

สวรรค์ ! เหตุใดจึงไม่เมตตาข้า !

ข้าไปทำความเจ็บแค้นอันใด จนต้องสูญเสียคนที่ข้ารักไปเยี่ยงนี้ !

เหล่าผู้คนในสำนักดาบล้วนถูกฝังกลบจนสิ้น ชาวบ้านที่อยู่ละแวกใกล้เคียงช่วยกันฝังร่างไร้วิญญาณ์จำนวนมากทั้งน้ำตา ทั้งร่างพ่อสินและเหล่าบ่าวไพร่จำนวนมาก เลือดนองสำนักดาบกับข้อหาที่ไม่ได้กระทำ ยามนี้เขาไร้สิ้นหนทาง ด้วยเสด็จพระองค์ชายชาญนพยังไม่กลับจากหัวเมืองใต้ คำสั่งปิดประกาศจากราชสำนักทำให้เขาไม่อาจเข้าวังเพื่อทูลขอพระเมตตาจากเจ้าจอมมารดาพิม เท่ากับว่ายามนี้เขาไม่เหลือผู้ใดให้ปรึกษาได้อีก

เลือด...ไหลรินจากฝ่ามือ.. แต่ไม่เท่ากับหัวใจที่กำลังร่ำไห้...

ต่อให้เร่งฝีเท้าม้าเพียงใด...ก็ไม่อาจยื้อพญามัจจุราช....

แม้แต่ยามนี้...คนสุดท้าย...เขาก็มิอาจปกป้อง !

สายฝนที่พร่างพรมลงมาเมื่อครู่คล้ายจะซาลงท่ามกลางความมืดมิดของคืนเดือนดับ ร่างของเหล่าทหารรักษาพระนครเกือบสิบชีวิตที่คุมขบวนนักโทษประหารถูกนักดาบหนุ่มสังหารจนสิ้น ศพทหารล้มตายลงกลาดเกลื่อนอยู่ตรงหน้า เลือกสีแดงเข้มเปลี่ยนเป็นสีชมพูอ่อนใส

ทุกอย่างตรงหน้ากลายเป็นทะเลเลือด...ท่ามกลางสายฝน

เลยไปไม่ไกลนัก เกวียนสภาพบุโรทั่งที่บรรทุกกรงไม้ของนักโทษถูกสีหราชฟันจนบานไม้ขาดกระเด็น ร่างที่ถูกจองจำอยู่ในกรงยามนี้หายใจรวยริน ดวงตานั้นคล้ายอ่อนระโหยหมดเรี่ยวแรง ร่างกายเต็มไปด้วยรอยแผลของมีคม ดาบคู่กายเล่มโปรดของเจ้าตัวเล็กหายไป

สีหราชกัดกรามแน่น

เพียงไม่กี่ราตรี...ที่จากกัน...เหตุการณ์พลิกผันจนยากที่จะเชื่อ

นี่คือฝัน...ใช่ฤาไม่...ข้าไม่ได้กำลังจะสูญเสียเจ้าไปใช่ฤาไม่..เมืองอินทร์

มือหนาของนักดาบหนุ่มพลันปล่อยอาวุธคู่กายที่เปรอะเลือดร่วงลงกับพื้นอย่างหมดแรง แล้วปราดเข้าไปช้อนร่างที่จมกองเลือดออกมาจากกรงไม้หยาบ ๆ ก่อนจะโอบอุ้มร่างนุ่มไว้ในอ้อมแขน

เจ้าตัวเล็ก...มีแต่แผล...ทั่วร่างกายไปหมด

ร่างเล็ก ๆ เต็มไปด้วยเลือดและบาดแผลทั่วร่าง...ลมหายใจแผ่วเบารวยริน สายตาสีหราชจ้องนิ่งอยู่เพียงแผ่นอกตรงหน้า

...ขอเพียงยังกระเพื่อม..ก็เท่ากับเขามีเวลา...ยังมีเวลา

...ไม่กล้า...แม้แต่จะขยับ แม้สัมผัสที่แผ่วเบา ก็อาจกระเทือนลมหายใจ

“ข้าขอโทษ...อ้ายอินทร์...ข้าขอโทษ..” สีหราชได้แต่พร่ำซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น

สายฝนหยุดแล้ว สายฝนช่วยล้างเลือดที่ท่วมดินสีแดงตรงนี้ไป แต่เหมือนคนเจ็บในอ้อมแขนจะไม่กังวลสิ่งใดอีก มือที่เลอะเลือดของเมืองอินทร์ยกขึ้นแตะไล้ใบหน้าคนที่ร่ำไห้อย่างแผ่วเบา ใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือดกลับมีรอยยิ้มกระจ่างใสคล้ายหมดห่วง

“มาแล้วหรือ...อ้ายสีห์” เสียงเมืองอินทร์แผ่วเบาปนสะอึกเล็กน้อย

“โกรธข้าสิ จงโกรธข้า...ข้ามาช้า ช้าไป” เสียงสีหราชเหมือนจะหาย ไม่ปะติปะต่อ...

มีคำพูดมากมายที่อยากเอ่ย แต่กลับมิรู้จะเอ่ยสิ่งใด ยามนี้มีเพียงน้ำตาที่พรั่งพรู

“โกรธทำไม...ท่านมิได้ทำสิ่งใด...สักนิด” เมืองอินทร์ยิ้มบาง ๆ

ใบหน้าคนเจ็บเผือดขาวราวกับจะแข่งกับกระดาษก็ไม่ปาน...

“เจ็บมาก...ฤาไม่...อ้ายอินทร์” เสียงเหมือนจะหายไปชั่วขณะ ทั้งตัวนั้นชาหนึบไปหมด

“ไปกับข้า...ข้าจะพาเจ้าไปรักษา...หมอฝรั่งเก่ง” สีหราชกลั้นสะอื้นอย่างยากเย็นเตรียมช้อนร่างนั้นขึ้นหลังม้า

หมอฝรั่งคนนั้น...หมอของเสด็จพระองค์ชายชาญนพ...เป็นแสงเทียนสุดท้ายในยามนี้

หากเมืองอินทร์ยิ้ม กระจ่างใสเหมือนเด็กน้อยครั้งแรกที่เจอกัน

“อย่า...อ้ายสีห์....”

สีหราชน้ำตาคลอ...ไอ้เจ้าตัวเล็กดื้อนัก

“ข้าขี้เกียจไปไหน...ข้าเหนื่อยแล้ว” เสียงนั้นแผ่วลงทีละน้อย

“คืนนี้นอนดูดาวเป็นเพื่อนข้าได้ฤาไม่...อ้ายสีห์” ใบหน้าที่ซีดเผือดลงไปทุกขณะเอ่ยเบา ๆ

ท้องฟ้าในคืนเดือนดับไร้ซึ่งแสงจันทร์ กลับมีดวงดาวพร่างพรายเต็มท้องฟ้า

“เขาว่าฟ้าหลังฝนนั้นสวยงาม...ข้าว่าจริง” เสียงใส ๆ แผ่วเบาราวกระซิบ

มือหนาสีหราชกระชับร่างในอ้อมแขนแน่นก่อนจะกัดกรามกรอด หยาดน้ำตาอุ่นไหลลงช้า ๆ

“ได้สิ...ข้าจักอยู่เป็นเพื่อนเจ้าเอง...”

“ว่าแต่...พ่อสิน แลอ้ายโชคเล่า...ปลอดภัยฤาไม่...”

สีหราชเม้มปากแน่นกลืนน้ำลายลงอย่างยากเย็นก่อนจะเบือนหน้าหลบตาคนเจ็บในอ้อมแขน

...เจ็บปานนี้ ยังห่วงผู้ใดอีก อ้ายอินทร์ เจ้านี่มัน...

“...อย่าห่วงผู้ใดเลย...” เป็นสีหราชที่น้ำตารื้นเอ่อ

“รู้ฤาไม่ เจ้าโกหกใครไม่เก่งเลยอ้ายสีห์” เมืองอินทร์ยิ้มพลางกะพริบตานิด ๆ ให้คนตรงหน้า ก่อนจะแตะไล้ใบหน้าที่เลอะเลือดอย่างแผ่วเบา มือเรียวเย็นเฉียบไร้สีเลือด

“จงเป็นสุข แต่งกับแม่หญิงนาก มีลูก มีหลาน...เจ้าจะก้าวหน้าเป็นนายคน...สะ...สัญญากับข้า...ได้ฤาไม่..”

ร่างในอ้อมแขนพูดกระท่อนกระแท่นคล้ายรวบรวมแรงทั้งหมดเพื่อกล่าวยาว ๆ สักประโยค

“ไม่ ! ข้าไม่สัญญาเยี่ยงนั้น !” สีหราชปฏิเสธทันควันแล้วรั้งร่างแนบอก

“...อย่าผูกข้าไว้กับพันธะเยี่ยงนั้น เพราะข้าจะรอเพียงเจ้า...ผู้เดียว”

...เกลือกกลิ้งใบหน้ากับร่างนุ่มตรงหน้า...โหยไห้...จนไม่เหลือสิ่งใด...

น้ำกบตาจนมองไม่เห็นสิ่งใด....มีเพียงสัมผัสที่รู้ว่าร่างตรงหน้าเริ่มเย็นลงทุกที

“ถ้าจะรอข้า...อาจนานสักหน่อย...เพราะข้าเบื่อหน้าท่านแล้วอ้ายสีห์...”

เมืองอินทร์คล้ายจะหัวเราะเบา ๆ ในคอ ริมฝีปากยิ้มละไมราวกับล้อเลียนนิด ๆ ก่อนจะสะอึกเบา ๆ

รอยยิ้มยังประดับค้างบนริมฝีปาก ปลายนิ้วเกี่ยวกระหวัดมืออุ่นแผ่วเบา

“ต่อให้นานเพียงใด..ข้าก็จะรอ...ข้าจะรอ รอจนกว่าจะเจอเจ้าอีกครั้ง”

ประโยคนั้นช่างยากเย็นนัก...

สัญญา...ข้าจะไม่ลืม...สัญญาที่ว่าข้าจะรอเจ้าไปชั่วกาล...

น้ำตาที่ไม่เคยร้องให้ให้ผู้ใด ยามนี้ไหลริน ก่อนที่เจ้าตัวจะประทับจูบแผ่วเบาที่ริมฝีปากซีดขาวราวกับกลัวร่างในอ้อมแขนจะเจ็บ หยดน้ำตาอุ่นร่วงเผาะลงบนใบหน้าขาวเผือดไร้สีเลือดนั้น

จุมพิตนั้นหวานและอ่อนโยนราวกับร่างตรงหน้าเป็นปุยนุ่น

“ท่านช่างดื้อดึงนัก...อ้ายสีห์...” สิ้นคำนั้นเมืองอินทร์ก็ยิ้มแล้วหลับตาลง

มือเรียวยาวร่วงหล่นแตะผืนดินที่เปียกชุ่ม สร้อยเส้นเล็กดุนลายวิจิตรที่พันคล้องข้อมือของเจ้าตัวพลันร่วงสู่ผืนดินเช่นกัน ดวงตาคมคร้ามที่จดจ้องร่างตรงหน้าพลันระริกไหว ร่างสูงกลืนก้อนสะอื้นที่ผุดขึ้นกลางอกลงอย่างยากเย็น

“เมือง..เมืองอินทร์ !”

เสียงตะโกนโหยไห้ซ้ำไปซ้ำมาอย่างนั้น มือหนากระชับร่างนั้นแนบอก น้ำตาพรูไม่สิ้นสุด...ก่อนจะโยกกล่อมร่างที่เริ่มเย็นเพราะสายฝนไว้ในอ้อมแขนราวเห่กล่อมส่งคนรักเข้าสู่ความเป็นนิรันดร์

เสียงฟ้าผ่าและสายฝนที่โปรยปรายอีกครา

หลับเสีย...คนดี...รอ...โปรดรอข้า...ไม่นาน...ไม่นานเลย ข้าสัญญา...

ข้าจักล้างบางพวกมันให้สิ้น ! 

ท่ามกลางสายฝน....มีน้ำตาและเลือดปะปน น้ำฝนพัดเอาทุกสิ่งจากไป

หนึ่งวิญญาณ์ปลิดปลิว...หากมีถึงสองหัวใจที่ดับลงในราตรีนี้...
...............................................


ButlerofLOVE: ตรงนี้เป็นภาคอดีตชาติ จากพรุ่งนี้ไปจะเป็นภาคปัจจุบันแล้ว ใครจำได้บ้างว่าทั้งคู่ตกน้ำตูมใหญ่ ^^
พบกันวันพรุ่งนี้ค่ะ

 :o12:
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 24/12/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 24-12-2020 18:37:04
CHAPTER
18




ชั้น 31 เพนท์เฮ้าส์หรูกลางกรุง ...โลกปัจจุบัน

สีหน้าเป็นกังวลของมรุตที่มองร่างสูงหนาที่นอนนิ่งอยู่ตรงหน้าอย่างกระวนกระวาย ริมฝีปากบางเม้มอย่างกังวลก่อนจะถอนใจแล้วก้มกอดเจ้าเฉาก๊วยไว้แน่น...

เหตุการณ์เมื่อหัวค่ำกลับมาในความทรงจำ

ร่างจำแลงของผีหนุ่มร่วงลงสู่ผิวน้ำที่เย็นยะเยือกในยามราตรี แม่น้ำเจ้าพระยากำลังดูดกลืนร่างของเขาลงไปเรื่อย ๆ ความกลัวน้ำที่มีมาแต่ไหนแต่ไรทำให้มรุตคล้ายจะไม่เหลือสติที่จะพยุงตัว ลืมสิ้นแม้แต่ว่าบัดนี้เขาตายไปแล้ว ย่อมไม่อาจตายซ้ำได้อีก แต่เพียงไม่นาน เสียงตูมใหญ่ดังขึ้นบนผิวน้ำ และร่างสูงหนาของสีหราชยมทูตรีบคว้าแขนของเขาไว้ก่อนจะพาขึ้นสู่ผิวน้ำ

“แค่ก..แค่ก...” เสียงมรุตดังขึ้นก่อนจะเหลียวไปหาร่างสูงที่อยู่ใกล้ ๆ แต่ก็ต้องตกใจเมื่อร่างนั้นนิ่วหน้า

“สีหราช...ท่าน...” มรุตตกใจกับอาการของยมทูตหนุ่มที่มีสีหน้าซีดเผือดลงทุกที สีหราชพยายามดึงมรุตเข้ามาใกล้ก่อนจะกอดกระชับรั้งตัวไว้จากด้านหลัง ทันใดนั้นเสียงพึมพำคาถาบาลีสั้น ๆ ดังขึ้นอย่างกระท่อนกระแท่นจากยมทูตหนุ่ม

...แล้วทุกอย่างก็ราวกับอยู่ในม่านหมอก...

จากนั้นมารู้สึกตัวอีกที ทั้งคู่ก็มาถึงห้องเพนท์เฮ้าส์เรียบร้อยแล้ว หากมาในสภาพที่เปียกโชกกันทั้งสองคนและทันทีที่ถึงห้อง ยมทูตหนุ่มก็สลบวูบล้มกองลงกับพื้น แสงสว่างนวล ๆ เมื่อครู่ที่ล้อมเขาอยู่พลันดับลง เจ้าตัวหน้าซีดเผือดหายใจรวยริน ภาพของสีหราชคล้ายจะเหลื่อมซ้อนกันระหว่างเงาสีดำและเงากายจำแลง

“สีหราช !” มรุตรีบคว้าแขนร่างตรงหน้าก่อนจะกึ่งลากกึ่งประคองพาเข้าไปยังห้องนอนเจ้าตัว เสื้ออาภรณ์ที่เปียกโชกเมื่อครู่พลันแห้งสนิทหากแต่สิ่งที่ยังเห็นชัดคือ แผลสีดำที่ชายโครงกำลังแผ่วงกว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ

ให้ตายเถอะ ! จะดูแลคนเจ็บยังพอว่า แต่นี่ดูแลยมทูตบาดเจ็บ..จะให้เขาทำแผลยังไง !

ใบหน้าคนสลบซีดเผือด มรุตนึกอะไรไม่ออกนอกจากวิ่งไปหาคน ๆ เดียวที่พอจะขอความช่วยเหลือได้

“คุณตา ! คุณตาภุมมเทวา !” มรุตวิ่งโร่ไปหน้าอาคารก่อนจะเหลียวซ้ายแลขวา

“แหกปากแบบนี้ ดังไปสามเรือนแปดเรือนกันพอดี !” คุณตาภุมมเทวาในชุดสีเงินยวงปรากฎกายขึ้น

“ช่วยด้วยคุณตา ! ท่านสีหราช...ท่านสีหราชแย่แล้ว !”
…………………………………………………

ผีหนุ่มน้อยในร่างจำแลงเดินวนไปวนมาในห้องกว้างอย่างกระสับกระส่าย เกือบสามสี่ชั่วโมงแล้วที่ยมทูตสีหราชยังไม่ฟื้น สีหน้าของยมทูตหนุ่มซีดขาวลงทุกที บางคราใบหน้านั้นกระสับกระส่ายคล้ายจะไขว่คว้าหาบางสิ่งที่อยู่ตรงหน้า  ริมฝีปากบางที่ปกติมักยิ้มหยันอย่างเย่อหยิ่งถือตัว ยามนี้กลับสั่นระริก ดวงตาที่หลับนิ่งคล้ายจะมีคราบรื้นของน้ำตา

ยมทูตสีหราช...กำลังอยู่ในห้วงฝัน...และเหมือนจะเป็นฝันร้ายที่ทรมานที่สุด

“ไอ้หนุ่ม...ข้าช่วยได้เท่านี้...” เสียงท่านภุมมเทวาเอ่ยขึ้นเบา ๆ อย่างจนใจหลังจากพยายามแตะที่แผลชายโครง แสงสว่างสีขาวอ่อนจากมือของภุมมเทวาประสานเข้ากับชายโครงของร่างนั้น แต่เหมือนไม่ได้ผลเท่าไร แผลที่ถูกแทงนั้นยามนี้กลายเป็นสีดำสนิท พิษจากความอาฆาตพยาบาทของใครบางคนกำลังกัดกินความฝันและทำให้ยมทูตหนุ่มทรมาน

วงจักรสีดำสนิทค่อย ๆ แผ่กว้างขึ้นทีละนิดจากชายโครง

“ข้าไม่เคยเห็นความอาฆาตที่ร้ายแรงเยี่ยงนี้มาก่อนเลย เจ้าผี...” ภุมมเทวาเอ่ยขึ้น

“ตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับท่านสีหราช แล้วทำไมเขาไม่ตื่นขึ้นมาเสียที” มรุตถามอย่างกังวลใจ มือสองข้างบีบแน่นเข้าหาตัว ดวงตากลมสุกใสเหลือบมองร่างบนเตียงด้วยความกังวลสูงสุด

“พิษจากดาบนี้จะดึงความทรงจำในอดีตชาติมา ความทรงจำที่สำคัญที่สุด รักที่สุด หวงแหนที่สุด และจบลงด้วยความทรงจำที่ปวดร้าวที่สุด”

“แค่ความทรงจำ...มีพิษร้ายแรงขนาดนั้นเลยหรือ...”

“ยมทูตที่ไม่ได้ลืมเลือนเรื่องราวในอดีตชาติ จะผูกพันวิญญาณตนเองกับเรื่องราวในอดีต พิษของดาบเล่มนี้เชื่อมดวงจิตไว้กับความทรงจำ ยิ่งนานเข้าจะยิ่งจมลงในความทรงจำตัวเอง จนรู้สึกราวกับเกิดขึ้นจริงอีกครั้ง...แต่หากเรื่องราวทั้งหมดเดินไปจน...จนถึงยามที่เขาแตกดับในอดีตชาติ ดวงจิตที่คิดว่าตนเองตายลงจะเคว้งคว้างหลงทางในความว่างเปล่าและไม่อาจกลับออกมาได้อีกเลย”

มรุตหน้าซีดหันมองใบหน้าคมคร้ามที่บัดนี้ไร้สีเลือดมากขึ้นทุกที

“ข้าช่วยได้แค่นำเอาความทรงจำดี ๆ ในอดีตชาติมายื้อเวลาให้เขาเท่านั้น หากปล่อยให้พิษแพร่ไปทั่ว...เกรงว่าเขาจะหมุนตรงดิ่งไปถึงความทรงจำสุดท้าย ยามนั้นต่อให้เทวดาหน้าไหนก็มิอาจช่วยเขาได้”

“แล้ว....อีกนานแค่ไหน...เหลือเวลาแค่ไหน” มรุตถามด้วยเสียงสั่นพร่า

“...ดูจากแผลแล้ว เกรงว่า...น่าจะไม่ถึง 2 ชั่วโมง...หากพาเขาออกมาไม่ได้...อาจจะไม่ได้กลับออกมาอีกเลย”

สีหน้าท่านภุมมเทวาคล้ายกังวลสูงสุด ก่อนจะถอนหายใจพรูอย่างเคร่งเครียด

“...ข้าไม่เคยเครียดอะไรแบบนี้มาตั้งเกือบ 100 ปีแล้ว” เสียงนั้นแผ่วเบาก่อนจะเหลือบมองมรุต

“ต้องรีบพาท่านสีหราชออกจากบ่วงความทรงจำให้เร็วที่สุด !”
...........................................................................

“ติดต่อยมโลกไม่ได้เลยหรือท่าน” มรุตเดินกลับไปกลับมาหลายรอบก่อนมองไปที่ร่างสูงที่นอนหลับกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงนั่น ขณะที่เจ้าเฉาก๊วยเอียงคอมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างสงสัย

“เวลาในยมโลกกับมนุษย์ไม่เหมือนกันหรอกนะ กว่าเราจะแจ้งไป...ท่านสีหราช..คง...” เสียงท่านภุมมเทวาเอ่ยเบา ๆ แล้วถอนหายใจพรู

“บ้าจริง ! ไอ้ยมโลกเฮงซวย ! ไอ้กระทะทองแดงบ้า! ” มรุตกำมือแน่นก่อนจะกระแทกตัวแรงลงบนโซฟาตรงหน้า

ทันใดนั้นสีหน้าท่านภุมมเทวา..คล้ายระลึกบางอย่างได้ ดวงตาเป็นประกายแวววับก่อนจะถลาเข้ามาจับมือผีหนุ่มไว้

“ใช่ ! พอ..พอมีทางแล้ว...ทำไมข้าเลอะเลือนเช่นนี้นะ !”

“ไอ้หนุ่มรีบเข้าไปในนั้น...เร็ว!” ภุมมเทวารีบชี้ไปที่ห้องลึกสุดด้านในที่มรุตเคยเห็นสีหราชเดินออกมาจากห้องนั้นด้วยอาการคล้ายหมดแรง

“ในนั้นมี...น้ำทองแดง...ยาพิษและยารักษาสำหรับยมทูต !”

จอกดินเผาสีแดงคล้ำดุจโลหิตที่หมุนวนอยู่ในอากาศกำลังลอยนิ่งอยู่ตรงหน้ามรุต ไอสีแดงก่ำนั้นอวลขึ้น กลิ่นร้อนผ่าวโชยมาจากสุราจอกนั้น

สุราทองแดง...ที่มาจากยมโลก สำหรับยมทูตทุกตน ...บทลงโทษสำหรับยมทูตผู้มีชีวิตกึ่งสัตว์นรก จะต้องดื่มทุกวัน น้ำที่แสบร้อนราวกับจะลากเอาทุกสิ่งในท้องออกมาจนหมด แต่ในทางกลับกัน จอกสุราทองแดงตรงหน้าก็เป็นสิ่งเดียวที่อาจจะล้างพิษให้กับร่างตรงหน้าได้

“สิ่งนี้จะได้ผลหรือ...คุณตา” มรุตถามเบา ๆ ด้วยเสียงไม่มั่นใจสักนิด

“มีเพียงทางนี้ทางเดียว เราคงต้องลองเสี่ยงกันสักตั้ง” สีหน้าของท่านภุมมเทวาคล้ายกึ่งมั่นใจกึ่งลังเล

“แล้ว…ปลอดภัยหรือครับคุณตา...” มรุตลังเล ก่อนจะเหลือบมองจอกสุราที่ลอยนิ่งอยู่ตรงหน้า

“ไม่หรอก...ไม่ปลอดภัยแน่ ข้ารู้แต่ว่าฤทธิ์ของสุราทองแดงจอกนี้เจ็บแสบร้อนไปถึงทรวง ลากทุกสิ่งทุกอย่างออกมา แม้ยามปกติก็แทบจะหมดเรี่ยวหมดแรง และยิ่งในยามนี้...” ท่านภุมมเทวาเอ่ยช้า ๆ ก่อนจะเหลียวมองร่างที่นอนนิ่งสนิทตรงนั้น
คำตอบนั้นไม่ได้ทำให้สบายใจขึ้นเลย แต่ภุมมเทวาก็เอ่ยต่อ

“ข้าไม่รู้ว่า ท่านสีหราชจะทนไหวหรือไม่...แต่...หากไม่ลองล้างพิษดาบอาฆาตนั่นด้วยพิษของยมโลก...ข้าก็เกรงว่าเขาอาจจะต้องดับสูญ...”

ประโยคนั้นทำให้มรุตตะลึงตัวชาวาบ

...ดับ..ดับสูญทีเดียวหรือ !

ใครกันที่อาฆาตแค้นสีหราชได้ถึงเพียงนั้น...แค้นชนิดที่ต้องล้างผลาญกันไปให้ตายตกตามกัน...

ภุมมเทวากระสับกระส่ายก่อนจะแหงนหน้ามองท้องฟ้าเบื้องบน เจ้าตัวคล้ายลำบากใจแต่ก็จำเอ่ยขึ้นเบา ๆ

“ข้า..ข้าคงอยู่ด้วยไม่ได้ เพราะต้องไปประชุมเทวสภา..ไอ้หนุ่ม..อย่าตำหนิข้าเลยนะ” คุณตาภุมมเทวาเอ่ยเบา ๆ คล้ายละอายใจ

“จงให้ยมทูตสีหราชดื่มน้ำทองแดงนั่นให้ได้....ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม...อย่าให้เขาบ้วนมันทิ้งเด็ดขาด!”

คำแนะนำสุดท้ายลอยมาก่อนที่ร่างในชุดสีขาวจะเลือนหายไป...

จะให้ทำอย่างไร...

มรุตยืนอึ้งอยู่อย่างนั้น...ก่อนจะมองจอกสุราและร่างสูงที่ซีดเผือดตรงหน้าอย่างชั่งใจ
..............................................

จอกสุราทองแดงมีขนาดเล็กเพียงเท่าถ้วยยาน้ำเท่านั้น...แต่กลับทำให้มรุตกระอักกระอ่วนใจเป็นที่สุด

ผีหนุ่มในกายจำแลงค่อย ๆ ขยับขึ้นไปบนเตียงของยมทูตที่สลบไสลไม่ได้สติ วงจักรสีดำสนิทที่เริ่มต้นจากชายโครงของร่างสูงกำลังแผ่ขึ้นมาเรื่อย ๆ เมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้ววงแผลสีดำมีขนาดเพียงแค่ลูกปิงปอง แต่ในยามนี้มันกลับแผ่เป็นวงกว้างออกมาเท่ากับสองฝ่ามือผู้ชายตัวโต สีหน้าคนที่นอนอยู่กำลังกระสับกระส่ายทุรนทุราย คิ้วเข้มขมวดนิ่วราวเจ็บปวดแสนสาหัส หยดน้ำตาไหลรินจากหางตาคนตรงหน้า อาการของยมทูตหนุ่มทำให้มรุตจำต้องประคองร่างนั้นขึ้น

...สุราทองแดง...มีเท่านี้...โอกาสมีครั้งเดียว!

หากเขาพลาด...หมายถึงต้องรออีก 1 ราตรีข้างหน้า และยามนั้น...ไม่รู้ว่าสีหราชจะทนกับพิษบาดแผลได้มากเพียงใด

“ท่านสีหราช...สีหราช...ลืมตาหน่อยเถอะ...ฝืนใจสักนิด” มรุตกลืนน้ำลายลงคอครั้งใหญ่ก่อนจะเขย่าร่างสูงหนานั้นเบา ๆ แต่ก็ไร้ผล สีหราชยังคงไม่รู้สึกตัวอย่างนั้น มรุตกัดฟันแน่นอย่างกังวลใจ แต่เมื่อเห็นเงาที่เหลื่อมซ้อนกันของร่างยมทูตและร่างกายจำแลงคล้ายจะพร่าเลือน การเคลื่อนเบา ๆ ของกายทิพย์ยมทูต

สัญญาณนี้...ถึงไม่เคยรู้จักยมทูต...แต่ก็น่าจะไม่ดี...

สุรานี้เพียงแตะจอกก็ร้อนวูบแล้ว ร้อนราวเพลิงนรกที่แผดเผาผู้ทำบาปกรรม

มรุตคว้าจอกสุรานั่นจรดริมฝีปากหยักหนาของสีหราชก่อนจะค่อย ๆ รินลงไป ผลคือ ลงไปได้เพียงไม่กี่หยด เจ้าตัวก็ป่ายมือปัดจอกสุรา แต่เคราะห์ดีที่มรุตรีบยกมือคว้าจอกนั่นหนีได้ทันควัน ยมทูตป่วยเบือนหน้าหนีก่อนจะเม้มปากแน่น อาการคล้ายแสบร้อนไม่อยากสัมผัสสุราตรงหน้า

ผีหนุ่มกระวนกระวาย ขืนป้อนอีกครั้ง สุราที่เหลือคงหกรดบนตัวแน่ ๆ

...ยิ่งปล่อยไว้...ดูท่าเขาคงเป็นผีตัวแรกที่เห็นยมทูตตนหนึ่งดับสูญไปต่อหน้าต่อตา !

...ต้องบังคับกันเสียแล้ว!...

มรุตข่มความอายลงไปก่อนจะกลั้นใจหลับตายกสุราที่เหลือในจอกอมไว้ในปากก่อนจะก้มลงป้อนร่างตรงหน้า !

ริมฝีปากนุ่มของผีหนุ่มสัมผัสริมฝีปากหนาตรงหน้า ก่อนที่เจ้าตัวจะใช้ลิ้นเล็ก ๆ พยายามดุนดันให้ยมทูตหนุ่มเผยอปาก

แม้สีหราชจะพยายามเบือนหน้าหนีแต่ก็ไม่อาจทานแรงนิ้วมือเล็ก ๆ ของมรุตที่จับประคองใบหน้าเอาไว้ได้

สุรา...ทั้งหมดถูกป้อนลงในอึดใจเดียว !

หากแต่คนป้อนก็แทบตาย เพราะความร้อนวูบของสุรานั่นแทบจะแผดเผาวิญญาณของเขาไปพร้อม ๆ กัน

ไฟนรกที่ร้อนผ่าวคล้ายวิ่งขึ้นลงในตัวของมรุต เหมือนมีกระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ ช๊อตร่างทั้งร่างไว้ให้ไม่อาจขยับเขยื้อน มรุตหอบหายใจเบา ๆ ความร้อนที่วิ่งวูบไปทั่วร่างจนแทบอยากดึงทึ้งเอาเสื้อผ้าทั้งหมดออกจากร่าง มือเรียวของผีหนุ่มตัดสินใจกระชากกระดุมเสื้อสีฟ้าอ่อนออกส่วนหนึ่ง

ร้อน...ร้อนยิ่งนัก...ทำไมคุณตาเทวดาไม่บอกก่อนว่าสุรานั่นมันร้อนขนาดนี้ !

ร้อนราวกับจะเผาวิญญาณให้วอดวายดับสูญ !

ในความมึนเมาและกระสับกระส่ายจนเกือบจะหมดสติลง มรุตเหลือบมองร่างที่นอนนิ่งอยู่ แสงสีแดงอมส้มจาง ๆ แผ่กระจายไปทั่วร่างของสีหราช ใบหน้าคมคร้ามยังคงหลับตาสนิท แสงสีส้มอ่อนสว่างและแสงดำมืดเคลื่อนไปมาราวกับกำลังยื้อแย่งว่าฝ่ายไหนจะกำชัยชนะ...

...ได้โปรด..ฟื้นทีเถิด...อ้ายสีหราช...

ในวูบหนึ่ง มรุตคล้ายจะคุ้นชินกับคำเรียกขานนั้นอย่างประหลาด...

ในความฝันและม่านหมอกก่อนจะหมดสติ คลับคล้ายคลับคลาว่าเห็นร่างสูงของสีหราชยมทูตในชุดนักดาบโบราณกำลังกอดใครบางคนอยู่ท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำ ทุกอย่างรอบตัวมืดสนิท มีเพียงเสียงร่ำไห้ที่แผ่วเบา หยดน้ำตาที่กลืนไปกับสายฝน มือสองข้างของนักดาบหนุ่มเลอะเปรอะดินโคลน ดาบโบราณคู่กายถูกเจ้าตัวเอามาขุดหลุมลึกท่ามกลางสายฝน ก่อนจะบรรจงวางร่างหนึ่งลงไปในหลุมเล็ก ๆ นั้น แล้วเจ้าตัวก็จูบบางสิ่งในมือเนิ่นนานก่อนจะหย่อนวัตถุสีทองเส้นเล็ก ๆ ลงบนอกของร่างที่มองไม่ชัด

บางอย่างในหัวใจบอกเขาทันที...

ยมทูตหนุ่มฝังสิ่งสำคัญไว้ที่นี่...ฝังร่วมกัน...

หัวใจดวงหนึ่ง...ถูกปิดตาย...ไว้ที่นี่ชั่วกาล

ความทุกข์ที่ไม่รู้ที่มาสาดซัดเข้ามา ราวกับคลื่นยักษ์ที่ม้วนเข้าหากระแทกใจจนน้ำตาร่วงเผาะ

ไม่รู้ว่าเขามองภาพเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่เพียงว่าดวงตาแดงก่ำของสีหราชจะดึงเขาไว้ตั้งแต่เจ้าตัวกอบดินก้อนแรกใส่ลงในหลุม จนกระทั่ง....ดินกำมือสุดท้ายที่เจ้าตัวบรรจงกดลงเหนือหลุมเล็ก ๆ

ความเดียวดาย...โหยไห้...สูญสิ้นความหวัง...แผ่ชัดออกมาจากร่างนั้น

จู่ ๆ กระบอกตาของเขาก็ร้อนผ่าว น้ำตาพลันเอ่อล้น...ราวกับเขาเคยยืนอยู่ตรงนั้น

อนุสติสุดท้ายก่อนที่ผีหนุ่มจะวูบไป...

เขาเอื้อมมือไปจนสุดแขน หวังเพียงกอดปลอบประโลม...ร่างตรงหน้า

ได้โปรด...อย่าร้อง...อ้ายสีหราช..

...อย่าร้องไห้...
.............................................................


ฺButlerofLOVE
มาลงพร้อมกันสองตอนนะคะ ตอนที่ 17 และ 18 :)
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 24/12/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 25-12-2020 09:44:14
โหดร้ายที่สุด
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 24/12/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 25-12-2020 19:40:37
ตอนจากกันก็ว่าเศร้าแล้ว มาตอนนี้จำกันไม่ได้ แถมมีผีแค้นตามมาระรานอีก จะผ่านไปได้ไหมเนี้ยท่านยม รีบฟื้นเถอะ มรุตจะแย่แล้ว  :hao5: รอตอนต่อไป  :pig4: :pig4: merry christmas  :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated/12/20]
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 25-12-2020 20:24:01
CHAPTER
19




แสงอาทิตย์ยามเช้าแยงตาผีหนุ่มในกายจำแลง ทำให้เจ้าตัวงัวเงียเล็กน้อยก่อนจะพบว่าตัวเองกำลังนอนตะแคงอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ และยังอยู่ในชุดเสื้อผ้าสีขาวสะอาด...แต่...เหมือนจะเป็นเสื้อของท่านยมทูต ขณะที่เสื้อสีฟ้าอ่อนตัวเดิมของเขากลับถูกกระชากลงไปกองไว้บนพื้นห้อง เพิ่มเติมคือ...รู้สึกเหมือนปากบวมเจ่อ น่าจะเป็นเพราะฤทธิ์ของสุราทองแดงที่แผดเผาเมื่อคืนแน่

ว่าแต่นี่...เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...

และที่สำคัญเหตุใดยมทูตสีหราชจึงมานอนอยู่บนเตียงเดียวกันกับเขาด้วยเล่า !

“อืม...” เสียงคำรามเบา ๆ ของร่างหนาที่ซุกหน้าแนบแผ่นหลังเขา แล้วยังทำเหมือนเขาเป็นหมอนข้างอีก !

“เอ่อ...ท่านสีหราช...หายแล้วหรือ...?” มรุตรีบขยับตัวออกห่าง แต่แล้วคนข้าง ๆ กลับขยับกายกระแซะตามมาใกล้ ๆ

...สงสัยจะคิดว่าเขาเป็นหมอนข้างละมั้ง ไม่ยักรู้ว่ายมทูตมาดกวนนี่ก็ติดหมอนข้างเหมือนมนุษย์ด้วยแฮะ...

แต่แล้วก็คิดได้ครู่เดียว จู่ ๆ ฝ่ามือหนาที่ทับอยู่บนช่วงเอวก็ดึงรั้งสะโพกให้แนบชิดมากขึ้น นั่นยิ่งทำให้มรุตขยับตัวลำบากกว่าเดิม ผีหนุ่มเริ่มหน้าแดงก่ำ

จะดันออกก็ไม่กล้า แต่ถ้าจะร้องโวยวายก็ดูไม่ดี

...บอกที...ควรทำยังไง ??

“อืมมมม...” เสียงยมทูตหนุ่มงึมงำอยู่ในคอ ก่อนลืมตาขึ้นมองผีหนุ่มในอ้อมแขนนิ่ง ๆ

เชี่ย...โคตรหน้านิ่ง...เหมือนไม่รู้สึกอะไรสักอย่าง...

ท่านยมทูตควรจะรู้สึกอะไรบ้างไม่ใช่หรือ...เพราะเล่นนอนกอดผู้ชายด้วยกันอย่างตอนนี้ ...

กอดแบบ...จะแนบ...แน่น...ไปไหน...

หนึ่งยมทูตหนึ่งผีมองหน้ากันไปมา สุดท้ายเป็นมรุตที่ค่อย ๆ กระถดตัวกระดุ๊กกระดิ๊กออกมาทีละนิด ขณะที่ยมทูตที่ป่วยเจียนตายเมื่อคืนกลับยันตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนตะแคงมองผีหนุ่มอย่างขำ ๆ

“อ่า...ท่านยม...ดีขึ้นแล้วใช่ไหม...” มรุตกลั้นใจถาม อย่างน้อยก็ลดความประหม่าในสถานการณ์อย่างนี้

“อืม...” เจ้าตัวหน้านิ่งเหมือนเคย ก่อนจะชี้นิ้วให้มองร่างกายท่อนบน แผ่นอกหนาที่เปลือยเปล่านั่นเรียบเนียนราวกับไม่เคยมีแผลมาก่อน แผลที่ชายโครงเมื่อคืนวาน...สมานกันดีทันใจขนาดนี้เลยหรือ ?

...ไม่อยากจะเชื่อว่า สุราจอกเดียว จะทำให้แผลหายเร็วขนาดนี้ !

ด้วยความงุนงงทำให้ผีหนุ่มเผลอไล้นิ้วมือไปตามชายโครงแผ่วเบาอย่างสำรวจตรวจตรา ลอนกล้ามหน้าท้องและแผ่นอกหนา...ถูกเจ้าคนขี้สงสัยสำรวจเบา ๆ ไม่รู้เลยว่ากริยาดังกล่าวทำให้ยมทูตหนุ่มที่ยันตัวขึ้นมีสีหน้าเช่นไร

สีหราชค่อย ๆ กลืนน้ำลายลงช้า ๆ ก่อนจะจับมือซุกซนไว้ก่อนที่มันจะทำให้เขารู้สึกปั่นป่วนไปมากกว่านี้

“พอได้แล้ว...ข้าไม่ใช่ของเล่นของเจ้านะ!” เสียงห้วนสั้นที่สั่นพร่า ทำให้มรุตสะดุ้งก่อนจะหดมือทันควัน

“ถ้า...ท่านหายแล้ว...ก็...ก็..ดีแล้วไง ผม..จะได้..” แต่ก่อนที่จะกล่าวจบก็เบิกตาโตอย่างตกใจ เมื่อจู่ ๆ สีหราชก้มหน้าลงก่อนจะพลิกตัวคร่อมร่างผีหนุ่มบนเตียงทันควัน มรุตเบิกตากว้างอย่างตกตะลึงตั้งตัวไม่ทัน

ท่าทาง..แบบนี้ไม่ดีมั้ง...หัวใจจะวายตาย พี่แกเล่นลุกขึ้นมาคร่อมแบบนี้

“นี่เจ้าเรียกแทนตัวเองว่า ผม...อย่างนั้นหรือ” เจ้าตัวเลิกคิ้วนิด ๆ ดวงตาพราวระยับก่อนจะเอามือเขี่ยปอยผมที่ปรกหน้ามรุตออกให้

สัมผัส...อ่อนโยนแบบนี้ ท่านสีหราชคนเดิมจริงหรือเปล่าเนี่ย !

ถ้าคนตรงหน้าเป็นผู้ชายเดินดิน ใช้สายตาและน้ำเสียงแบบนี้กับผู้หญิงคนไหน...ละก็ พนันได้เลยว่า ผู้หญิงคนไหนก็ต้องละลายเป็นวุ้นอยู่บนเตียงนี่แหละ !

ดูท่า...สุราจอกนั้นมีผลข้างเคียงแน่ ๆ ทำให้ยมทูตขี้เก๊กเคร่งขรึมระเบียบจัด กลายเป็นชายหนุ่มสุดเซ็กซี่ขึ้นมา ?

“ก็...เรียกแทนตัวเองอย่างนี้มาตลอด...ถ้าไม่ให้เรียกแบบนี้แล้ว...จะให้แทนตัวเองว่ายังไง”  ลูกแมวในกรงขังกะพริบตาปริบปริบ

“ข้า...ใช้คำว่า ข้า...ได้หรือไม่...แล้วเรียกข้าว่า อ้ายสีห์...” เสียงนั่นคล้ายเด็กหนุ่มเอาแต่ใจ ก่อนจะก้มหน้าลงมาใกล้ ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดอยู่ตรงหน้า

ดวงตาสีนิลนั่น...จ้องตรงมาอย่างอ่อนโยนแกมเว้าวอน...ทำเอามรุตหน้าร้อนฉ่า

แกล้งแน่ ๆ เอายมทูตขี้เก๊กกลับมา แล้วเอายมทูตขี้แกล้งกลับไปที !

“ดะ...ได้...งั้น...ผม..เอ้ย ข้าจะพูดอย่างนั้น...แล้ว...ปล่อยข้าได้หรือยัง ข้าอยากลงจากเตียงแล้ว”

มรุตเอ่ยกระท่อนกระแท่น ก่อนจะดิ้นกระดุ๊กกระดิ๊กในอ้อมแขนแกร่ง กริยานั้นทำให้สีหราชซ่อนยิ้มในหน้าก่อนจะยอมปล่อยมือ
จากเอวบางสอบตรงหน้า ทำให้เจ้าตัวรีบตะกายลงจากเตียงกว้างนั่นแทบไม่ทัน

“แผลเป็นด้านหลัง เจ้าได้มาได้ยังไง” น้ำเสียงเปรยเบา ๆ ของสีหราชทำให้มรุตชะงักไปนิดก่อนจะหันมองอย่างงง ๆ

“เอ่อ...หมายถึงปานสีแดงตรงสะบักขวานี่นะหรือ...” ถามแล้วก็ต้องกลั้นใจเพราะสายตาร้อนแรงของคนถาม

สายตายมทูตหนุ่มคล้ายมีเพลิงร้อนอยู่ข้างใน สายตาที่ทำให้หวั่นไหววูบวาบไปทั้งท้องน้อยและลามไปถึงหน้า!

“มีติดตัวมาตั้งแต่เกิดแล้ว เหมือนสัญลักษณ์ประจำตัว โดนเพื่อนล้อบ่อย ๆ ว่าเป็นแผลโดนกรีด” มรุตหัวเราะเบา ๆ

“ไม่เจ็บ...ใช่ไหม” ดวงตาคมทอดอ่อนแสง

เจ้าตัวกึ่งนั่งกึ่งเอนอยู่บนเตียง แผ่นอกแข็งแรงถูกแสงอาทิตย์ยามเช้าไล้เบา ๆ 

ทำไมบรรยากาศเช้านี้...ดูอบอุ่นอย่างประหลาด...สายตานั่น...ราวกับมองคนคุ้นเคย...ใกล้ชิด

“...มะ...ไม่เจ็บหรอก ...มันเป็นปานน่ะ ไม่ใช่แผล...”

ความร้อนฉ่าที่ไม่รู้สาเหตุวิ่งขึ้นมาบนหน้าทำให้มรุตรีบคว้าเสื้อสีฟ้าที่กองอยู่บนพื้นแล้วก้มหน้างุด ๆ

“ข้า...ไปเข้าครัวหาอะไรให้ท่านกินดีกว่า จะได้หายเร็วขึ้น”

โดยที่ไม่รอให้เจ้าของห้องอนุญาต ผีหนุ่มรีบผลุบออกจากห้องโดยเร็ว เจ้าตัวไม่รู้เลยว่าคำตอบนั้นทำให้หัวใจคนที่เอนกายอยู่บนเตียงเต้นระรัวแค่ไหน

เกือบ 200 ปี...ต้องรอนานหน่อย...อย่างที่เจ้าบอกข้าจริง ๆ...

กลั่นแกล้งข้าถึงเพียงนี้...จากนี้...ข้าจะไม่ปล่อยให้ไปไหนอีกแล้ว...

ข้าจะไม่พรากจากเจ้าอีกแล้ว...เมืองอินทร์...ตลอดกาล.
..................................................

ยมทูตสีหราชนั่งเท้าคางมองคนที่กำลังป่วนห้องครัวอย่างขำ ๆ ร่างเล็ก ๆ ในชุดผ้ากันเปื้อนพยายามเอาใจคนป่วยด้วยการเข้าครัวให้ แม้ว่าสีหราชจะบอกว่าไม่ต้องก็ตาม

“ข้าบอกแล้วอย่างไรว่า ไม่ต้องสิ้นเปลือง อาหารมนุษย์ไม่อาจฟื้นพลังให้ข้าได้เท่ากับสุราทองแดงนั่นหรอก...”

“อีกอย่าง...ข้าไม่อยากให้ครัวสวย ๆ นี่พังพินาศเพราะเจ้า...” เจ้าตัวเอ่ยต่อหน้าตาเฉย

มรุตหันมองคนตรงหน้าก่อนจะเม้มปากตัวเองนิด ๆ อย่างเคืองยมทูต

เหอะ...อุตส่าห์เป็นห่วง ปากอย่างนี้นี่น้า...มันน่าหยอดยาถ่ายลงไปในโจ๊กจริง ๆ !

กริยาคล้ายกึ่งฉุนกึ่งงอน และอาการเม้มริมฝีปากนิด ๆ ที่บวมเจ่อหน่อย ๆ ทำให้สีหราชเผลอจ้องริมฝีปากผีขี้งอนก่อนจะคิดอะไรวุ่นวายในหัว

“ทำไมถึงทำโง่ ๆ แบบนั้น...” สีหราชโพล่งขึ้น ทำให้มรุตหันไปมอง

“ตอบข้าสิ...ทำไมถึงทำโง่ ๆ แบบนั้น” ร่างสูงค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้ มรุตเหลือบมองยมทูตตรงหน้าอย่างงง ๆ

“ข้าหมายถึง เรื่องเมื่อคืน...ที่เจ้าจูบข้าก่อน...เจ้าคิดอะไรกับข้าหรือเปล่า” ประโยคตรงไปตรงมาขวานผ่าซากทำให้มรุตสะดุ้งเฮือก ใบหน้าแดงก่ำก่อนจะละล่ำละลัก

“นั่น ! ข้าช่วยชีวิตท่านไว้นะ ข้า...ไม่ได้คิดเรื่องจะจูบเสียหน่อย ก็...ก็ท่านไม่ยอมให้ข้าป้อนยาธรรมดานี่นา !”

“แน่ใจหรือว่า ไม่ได้คิดอะไรกับข้า...” ดวงตาคมหรี่คล้ายจะซ่อนรอยยิ้มบางอย่างไว้ ร่างสูงเดินก้าวเข้ามาใกล้ทีละก้าว ๆ จนผีหนุ่มต้องถอยร่นไปชิดเคาน์เตอร์ครัว กลิ่นหอมดุ ๆ จากร่างยมทูต ทำให้มรุตต้องชักแม่น้ำทั้งหมดมาอธิบาย ท่าทางละล่ำละลักมือไม้พัลวันนั่นทำให้สีหราชลอบซ่อนยิ้มไว้ในหน้า ดวงตาคมอ่อนโยนลง

ใช่แน่...เกือบสองร้อยปีผ่านไป...ตกใจทีไร...เจ้าก็เลิ่กลั่กเหมือนเดิมสิน่า

“ข้าไม่ได้...จะล่วงเกินท่าน แต่มันเป็นทางเดียวที่ท่านจะยอมกลืนสุรายมโลกนั่น!”

“สุรายมโลกนั่นฤทธิ์ร้ายแรง วิญญาณเจ้าเองก็อาจจะบาดเจ็บไปด้วย ดีที่เจ้ามีกายจำแลงที่ข้าให้ไว้ คราหลัง...ห้ามดื่มสุราทองแดงอีกเป็นอันขาด” สีหน้าสีหราชเปลี่ยนเป็นเอาจริงเอาจัง ก่อนจะกดบ่าเล็ก ๆ ตรงหน้าไว้แล้วจ้องดวงตาสีอ่อนตรงหน้า

“สัญญากับข้าว่าเจ้าจะไม่ไปแตะสุรายมโลกอีก...ได้ยินไหม...”

“ระ...รู้...ข้ารู้แล้ว...ไม่ได้อยากดื่มนักหรอก ดื่มแล้วปากบวมเจ่อแบบนี้เลยเห็นหรือเปล่า!”

ประโยคเถียงลั่น ๆ ของมรุต ทำเอายมทูตหนุ่มหน้าซับสีเลือดขึ้นจาง ๆ ก่อนจะไล่คนปากเจ่อให้ไปอาบน้ำ ทันทีที่ร่างนั้นเข้าห้องน้ำไป สีหราชก้มลงมองเจ้าเฉาก๊วยที่กระดิกหางริก ๆ อยู่ตรงหน้า แววตาลูกสุนัขเอียงคอคล้ายสงสัย

“หึ!” สีหราชก้มลงไปยีหัวเจ้าก้อนกลมบนพื้นก่อนจะกระซิบเบา ๆ

“...นั่นเป็นความลับระหว่างเรา...ห้ามไปบอกเจ้าโง่นั่นเด็ดขาดเชียวนะ”

เพราะความลับที่ทำให้ริมฝีปากนุ่มนั่นบวมเจ่อ...ไม่ใช่เพราะสุราทองแดงอย่างเดียวหรอก
..........................................................

อนุสติสุดท้ายก่อนที่ยมทูตหนุ่มจะกลับคืนโลกปัจจุบัน สีหราชจำได้ว่าเขากำลังเดินเข้าลานประหาร สายตาของเสด็จพระองค์ชายชาญนพที่ปลอมพระองค์มาดูการประหาร มองเขาอย่างเสียใจเป็นที่สุด เขาได้แต่แค่นยิ้ม

...เสือสีหราชที่สังหารผู้คนกว่า 30 ชีวิตตลอด 1 ปี...กำลังเดินเข้าลานประหาร

ไม่มีใครรู้สักนิดว่า เหตุใดคนเหล่านั้นถึงสมควรตาย...แต่จะร้องแรกแหกกระเชอไปเพื่อสิ่งใด เมื่อไม่มีหลักฐานใดที่จะเอาอ้ายอีพวกนั้นมาลงโทษตามกบิลเมือง

แม้รู้เต็มอกว่า 30 ชีวิตนั้นวางแผนทำสิ่งใด สังหารผู้ใดไปบ้าง แต่หากไม่มีหลักฐานก็ไม่อาจเรียกมันมารับโทษได้

เมื่อหลวงมิอาจทำอะไรได้....ก็ให้เป็นหน้าที่เขาเอง..เขาจักเป็นยมทูต...ลากคอพวกมันมาเซ่นสังเวยวิญญาณผู้บริสุทธิ์เอง!

ยามนี้...บรรลุเป้าหมายแล้ว...ก็ไม่มีความจำเป็นต้องมีชีวิตต่อไปอีก...

“อ้ายสีห์ ข้าสู้ขอทูลกระหม่อมให้อภัยโทษเจ้าในครานั้น แต่ครานี้ ข้ามิอาจช่วยชีวิตเจ้าได้อีกแล้ว...อ้ายสีห์น้องรัก...”
สุรเสียงของเสด็จพระองค์ชายชาญนพแผ่วเบาสั่นเครือ พระราชอำนาจที่เสด็จพระองค์ชายชาญนพ ‘ขอ’ เป็นครั้งสุดท้ายจากเหล่าผู้คุมคือ ได้คุยเพียงลำพังกับ ‘นักโทษประหาร’

สีหราชเพิ่งทราบในครั้งนั้นว่า เพื่อแลกชีวิตของสีหราชให้พ้นภัยประหารครั้งที่ผ่านมา เสด็จพระองค์ชายชาญนพต้องปะทะกับเหล่าขุนนางจำนวนมากและยังต้องขอพระราชทานอภัยโทษจากทูลกระหม่อม เสด็จพระองค์ชายชาญนพที่ไม่เคยด่างพร้อยในเรื่องใด ๆ ยามนั้นกลับต้องมลทินเพราะมีน้องบุญธรรมต้องคดีสังหารทหารรักษาพระราชวังนับสิบชีวิต คำติฉินนินทาว่าเอาแต่พวกพ้องไม่สนใจกฎหมาย ทำให้เจ้าตัวยอมสละโอกาสจะขึ้นเป็นองค์ยุพราช

“จักเป็นสร้อย ฤาพระประคำทองสายใด ข้าล้วนเห็นเป็นของขวัญพระราชทานทั้งนั้น หาได้เป็นเรื่องการมอบอำนาจฤาตำแหน่งยศถาใด ๆ”

อำนาจ...ไม่เคยเป็นสิ่งที่เสด็จพระองค์ชายชาญนพใฝ่ฝัน หากสิ่งสำคัญที่สุดนั้นคือ ครอบครัวและน้อง...ต้องมาก่อน...

แต่ใครเลยจะรู้ว่า แม้จะช่วยได้ครั้งหนึ่ง หากชะตาของคนผู้นั้นต้องสาปเสียแล้ว

แม้จะช่วยอย่างไรก็ยากจะฝืนชะตากรรมนั้น 

พระหัตถ์ที่สละแล้วซึ่งพระอำนาจเพื่อขอชีวิตให้มันในครานั้นเหมือนจะเอื้อมมาจับมัน แต่สีหรายเบี่ยงกายหลบก่อนจะก้มลงทรุดกาย...กราบแทบเท้า กล่าวลาครั้งสุดท้าย...

“บุญคุณใหญ่หลวงล้นเกล้าอ้ายสีห์...จักขอไถ่โทษคืนในชาติหน้า...ขอพระองค์และเจ้าจอมมารดาทรงรักษาพระวรกาย”

วิบตานั้น...คล้ายภาพตรงหน้าพร่าเลือน เสด็จพระองค์ชายชาญนพคล้ายเอ่ยบางสิ่ง...และยกสมุดปกหนังขนาดเล็กในมือขึ้นชี้ ริมฝีปากเชื้อพระวงศ์หนุ่มคล้ายอธิบายบางสิ่ง แต่กลับไม่ได้ยินสิ่งใด

เมื่อถึงเวลาประหาร สีหราชก้าวเหยียบทรายร้อน ๆ กลางแจ้งและก้าวตรงไปยืนบนเสื่อที่ปูกางรออยู่ เสาที่เป็นแท่นตรึงร่างนักโทษประหารอยู่ตรงหน้าแล้ว...ดอกไม้ธูปเทียนบูชาถูกจับใส่มือของมันไว้...เพียงรอสัญญาณจากเพชฆาตเท่านั้น

พลันนั้นสายลมก็พัดกระโชกหนักจนภาพทั้งหมดหายวับ ความร้อนวูบราวไฟนรกแผดเผาวิญญาณ สิ่งต่าง ๆ ตรงหน้าล้วนบิดเบี้ยวไปหมด ร่างทั้งร่างคล้ายถูกมือยักษ์จับกระชาก

อึดใจเดียว...เหลือเพียงหมอกสีขาวโพลนตรงหน้า

ความอ่อนนุ่มของเตียงที่คุ้นเคยบอกชัด...เพดาน...สี่เหลี่ยมตรงหน้า ห้อง...ห้องพักของเขา

เขากลับมาแล้ว...กลับสู่ยุคปัจจุบัน

……………………………………………………………………
สีหราชค่อย ๆ กะพริบตาอย่างงุนงง ฤทธิ์ของสุราทองแดงแสบร้อนไปจนหมด แทบจะบิดเกลียวเอาทุกอย่างในกายจำแลงออกมา แต่ก็ทำให้พิษของดาบอาฆาตถูกชะล้างออกไปด้วย

สุราทองแดง...ยาทิพย์...ของเหล่ายมทูต

เจ้าตัวค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นอย่างช้า ๆ ก่อนจะกัดกรามแน่นเมื่อรู้ว่าตนเองพลาดท่าผีร้าย แผลสีดำสนิทที่ชายโครงกลายเป็นสีอ่อนลงและค่อย ๆ เลือนหายไป

พิษ...ถูกถอนออกไปแล้วด้วยพิษที่ร้ายแรงกว่า....

แต่ดูท่าว่าเบาะแสที่ตามหาจะหายไปอีกแล้ว เพราะเมื่อเขาหมดสติ เชือกบาศที่มัดผีสมานไว้ก็จะคลายฤทธิ์ลงด้วย ป่านนี้มันคงเผ่นไปหาเจ้านายของมันเสียแล้ว

แต่ก่อนที่สีหราชจะทันคิดอะไรต่อ เสียงครางกระสับกระส่ายที่ดังข้าง ๆ ตัวทำให้เขาเหลียวมองงุนงง แล้วขมวดคิ้วมุ่น

เจ้าผีหนุ่ม!..มาอยู่บนเตียงนี้ได้ยังไงกัน!

ซ้ำร้าย...ร่างบอบบางกำลังขยับตัวไปมาอย่างทรมานและยังพยายามดึงทึ้งเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนออกจากตัว ผิวขาวของกายจำแลงนั่นกำลังแดงจัดอย่างน่ากลัว ไม่รวมใบหน้าหวานที่เผยอปากขึ้นก่อนจะหอบเบา ๆ ใบหน้านั่นแดงก่ำและร้อนเป็นไฟ ไอร้อนสีแดงอ่อน ๆ ผะผ่าวลอยอวลขึ้นเหนือร่าง

“บ้าจริง! ใครใช้ให้เจ้าทำแบบนี้!” สีหราชแทบจะปราดเข้าไปเขย่าร่างที่ใกล้จะหมดสติตรงหน้า แต่ยังไม่ทันจะสอบถาม เจ้าผีหนุ่มก็หมดสติไปก่อน

ริมฝีปากนั่น...ยังมีรอยน้ำทิพย์..ของสุราทองแดง !

สีหราชกัดกรามกรอด ไม่นึกว่าเจ้าผีตัวนี้จะบ้าระห่ำขนาดกล้าดื่มสุราทองแดงลงไป สุราที่ยมทูตยังแทบทนไม่ได้ ถ้าเป็นผีธรรมดาแค่จิบเข้าไปก็อาจโดนเพลิงนรกของสุรานี้เผาวิญญาณให้ดับสูญได้

เจ้านี่..ยังเคราะห์ดีที่มีร่างจำแลงที่เขาให้ไว้

แต่ผลลัพธ์ก็เป็นอย่างที่เห็นตรงหน้า!

“ยุ่งชิบ !”

ว่าแล้วริมฝีปากหยักหนาของสีหราชก็กดจูบทันควันไปยังร่างที่หมดสติ ก่อนเจ้าตัวจะไล่ดูดชิมหวังจะดึงฤทธิ์สุราทองแดงที่ยังหลงเหลือในโพรงปากของผีหนุ่มให้มากที่สุด เจ้าตัวเล็กตรงหน้าพยายามผลักไสร่างหนาที่ทาบทับลงมา แต่ก็ทานแรงไม่ได้ สีหราชตรึงร่างเล็ก ๆ บนเตียงไว้ไม่ให้ดิ้น มือหนาจับคว้ามือเรียวบางสองข้างที่กำลังทุบประท้วงด้วยการล๊อคไว้เหนือศีรษะ ก่อนจะบรรจงควานหาสุราที่ยังหลงเหลือในโพรงปากนั้น

“อ๊ะ...อื้ม...” ร่างนั้นแทบบิดเป็นเกลียวแต่ไม่อาจหนีพ้น

เนิ่นนาน...ที่ยมทูตหนุ่มรุกไล่ด้วยริมฝีปาก...

อาจจะ...อาจจะมีสุราตกค้างสักหยด...ตรงไหนในโพรงปากนุ่มนี้...

กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากกายที่อยู่ตรงหน้าทำให้สีหราชมึนเมา ริมฝีปากหนาค่อย ๆ เพิ่มน้ำหนักกดประทับลงมากขึ้น ความหอมหวานของกายจำแลงนี้ผสมกับกลิ่นสุราทองแดงที่อวลอยู่ ทำให้ยมทูตหนุ่มแทบเป็นบ้า

รสจูบจากร่างนี้...หวานละม้ายคล้าย...คนที่คิดถึงทุกลมหายใจ...

ยิ่งหวาน...ยิ่งปรารถนาจะสัมผัส

สีหราชครองริมฝีปากนั่นไว้แล้วจูบเคล้ารุนแรงเนิ่นนานกว่าจะปล่อยให้ร่างที่แดงก่ำนี้หายใจหายคอ ผิวกายขาวสะอาดของร่างจำแลงกำลังแดงก่ำด้วยฤทธิ์สุราและรอยสีกุหลาบที่ยมทูตหนุ่มเผลอขบเม้ม กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่สีหราชเคยได้กลิ่นยามเฉียดกรายใกล้ร่างนี้ ยามนี้กลับอวลขึ้นจนเขาแทบสำลักความหอมหวานตรงหน้า เป็นความหอมที่คุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก...

...ทำไมเป็นผี...ที่หอมหวานนัก...

ก่อนที่การช่วยเจ้าผีตัวจ้อย...จะกลายเป็นรังแกกัน เขาควรจะหยุด...

สุรายมโลกน่าจะหมดแล้ว....

สีหราชรีบพลิกร่างที่หลับไม่ได้สติให้หันหลังก่อนจะหันไปคว้าผ้าห่มให้คนที่สงบลง...แต่แล้วสีหราชก็พลันสะดุดทันควันเมื่อเห็น...ปานรูปใบมีดสีแดงจัดบนสะบักขวาของร่างที่หลับใหล

แทบหยุดหายใจ...ชะงักทันควัน

รอยปานสีแดงรูปใบมีด เหมือนแผลเป็นจากกริชชวาไม่ผิดเพี้ยน....

เป็นตำแหน่งเดียวกับแผลที่เมืองอินทร์เอาตัวเข้ารับกริชแทนเขา ! 

สีหราชรีบยันกายลุกขึ้นก่อนจะพลิกร่างตรงหน้า และจ้องมองคล้ายไม่เชื่อสายตาตัวเอง...นิ้วมือที่สั่นเบา ๆ ของสีหราชเชยคางผีหนุ่มที่หลับใหลอย่างแผ่วเบา ใบหน้าหวานตอนนี้น่าจะแดงก่ำเพราะฤทธิ์จูบของเขามากกว่าอย่างอื่น ริมฝีปากแดงเรื่อคล้ายจะเจ่อนิด ๆ เพราะพายุความหวานเมื่อครู่ ผิวกายเนียนละเอียดที่เป็นสีแดงเพราะสุรายมโลก ตอนนี้เริ่มกลับมาเป็นปกติแล้ว เหลือแต่รอยสีกุหลาบที่เขาทำไว้บนตัว กลิ่นหอมรวยรินจากร่างนั้นยังคงกรุ่นอวลอยู่ทั้งห้อง

กลิ่นหอมอ่อน ๆ ทุกคราที่เข้าใกล้วิญญาณหนุ่ม กลิ่นหอมที่ทำให้มึนเมาจนไม่อาจยั้งใจได้

ใช่แล้ว...เป็นกลิ่นหอมกระแจะจันทร์ที่เจ้าตัวน้อยเคยใช้แต่ครั้งยังเยาว์

สีหราชเผลอกลั้นลมหายใจโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะระบายลมหายใจช้า ๆ

พรหนึ่งในสามประการที่เขาเคยประกาศกับท่านยมบาลไว้ตั้งแต่วันแรกที่เป็นยมทูต ย้อนกลับมาในหัว

“...เมื่อยมทูตตนใดทำงานให้ยมโลกจะสามารถขอพร 3 ประการได้ดังใจหวัง ไม่ว่าจะปรารถนาชีวิตใหม่ในโลกมนุษย์ ยศถาบรรดาศักดิ์ หรือ ครอบครัวที่มั่งคั่ง หรือสติปัญญาสูงส่งในโลกหน้า...เจ้าขอได้ทุกอย่างหากไม่เกินกว่าอำนาจแห่งกรรม”

“ข้าไม่ปรารถนาสิ่งใด นอกจากได้พบกับวิญญาณดวงหนึ่งอีกครั้ง...”

ท่านยมบาลมองเขาด้วยแววตาอ่อนโยน...

“ อ้ายสีห์...คำขอนี้ออกจะเกินอำนาจแห่งกรรม...อยู่เหนืออำนาจที่ข้าจะให้เจ้าได้ หากวงล้อแห่งกรรมยังไม่ถึงเวลา เจ้าก็ไม่อาจได้พบคน ๆ นั้น ข้าช่วยเจ้าได้เพียงว่า

‘ถ้าถึงเวลาที่เหมาะสม เจ้ารู้ด้วยสัญญาณของหัวใจเจ้าว่าคนผู้นั้น คือ คนที่เจ้าเฝ้าตามหา...’

มือสั่นเทาค่อย ๆ แตะร่างตรงหน้าแผ่วเบาราวกับผู้ที่หลับอยู่เป็นเครื่องแก้วเนื้อบาง...

ยิ่งแนบชิด...กลิ่นหอมกรุ่นยิ่งชัดเจน...ไม่ผิดแน่...

หัวใจที่ตายไปแล้วเกือบ 200 ปีครานี้กลับเต้นแรงราวจะทะลุมานอกอก

นี่กระมัง... ‘สัญญาณของหัวใจ’ กลิ่นหอมละมุนที่ข้าไม่เคยรู้สึกกับผู้ใดมาก่อน นอกจากเจ้า...

ปลายหางตารื้นฉ่ำด้วยน้ำตา

เป็นเจ้า...จริง ๆ หรือ ที่ข้าเพียรตามหามาตลอดสองร้อยปี...เมืองอินทร์

“หนีไปซุกซนที่ใด...นานนัก...ข้าคิดถึงเจ้าแทบขาดใจ...รู้บ้างฤาไม่” สีหราชงึมงำกระซิบข้างหูคนหลับ

มือหนาไล้เกลี่ยลูกผมที่ล้อมวงหน้าหวานที่อยู่ในอ้อมแขนอย่างแสนรัก ก่อนจะไล้จูบเรียวแขนขาว ๆ อย่างเบามือ

ข้าน่าจะรู้...ตั้งแต่แรกพบเจ้า...เมืองอินทร์ เจ้าตัวจ้อยของข้า

ดวงตาอ่อนโยนของยมทูตหนุ่มทอดมองคนในอ้อมแขนก่อนเจ้าตัวจะก้มลงจูบซ้ำเจ้าชายนิทราตรงหน้า ริมฝีปากนุ่มของคนหลับใหลถูกคนตัวโตกว่าเม้มชิมอย่างอ่อนโยนราวกับกลัวร่างนี้จะตื่น จมูกโด่งค่อย ๆ จรดลงสูดดมความหอมจากผิวเนื้อที่นุ่มบางตรงหน้า ขณะที่คนตัวเล็กกว่ามุ่นคิ้วก่อนจะยุกยิกขยับเบือนหน้าหนีเหมือนระคายคางสากที่แนบชิด กริยาเหมือนลูกแมวน้อยนั่นทำให้คนก่อกวนยิ้มนิด ๆ อย่างแสนรัก วงแขนล่ำสันกระชับร่างในอ้อมแขนแน่นขึ้นอย่างหวงแหน...

ชาตินี้เจ้า...จะจำข้าได้หรือไม่ ไม่สำคัญ

แต่ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าไปไหนอีกแล้ว...ข้าสัญญา...

ได้โปรด...อย่าเพิ่งตื่น...ข้าขอจูบเจ้าให้สมกับความคิดถึงหน่อยเถิด

เสียงเห่าเบา ๆ ของเจ้าก้อนกลมดังขึ้นที่ปลายเตียง คล้ายจะประท้วงแทนเจ้านายที่กำลังโดนยมทูตหนุ่มเอาเปรียบ แต่ยมทูตหนุ่มเพียงชะโงกขึ้นมองเจ้าตัวขัดจังหวะก่อนจะดีดนิ้วเบา ๆ เจ้าก้อนกลมสีดำก็ถูกเสกให้หายวับออกไปจากห้อง เสียงเห่าเบา ๆ อยู่ห่างไป หมดสิทธิ์ก่อกวน....

เหอะ ! คืนนี้ข้าขออยู่กับหัวใจข้าไม่ได้หรือ...เจ้าตัวยุ่ง !
...............................................................


ButlerofLOVE:

พาซีนหวาน ๆ มาสำหรับคืนวันคริสต์มาสค่ะ ^^
ขอให้ทุกคนมีความสุขนะค้าาา :) :mew3:
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 25/12/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 26-12-2020 14:57:46
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 25/12/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 26-12-2020 21:01:38
โอ๊ยยจำได้แล้วรึท่านพี่สีห์  :-[ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 25/12/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 26-12-2020 22:20:49
รออออ
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 25/12/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 27-12-2020 10:55:46
CHAPTER
20




เช้านี้ผีหนุ่มรู้สึกว่าโลกชักจะกลับตาลปัตรพิกล ยมทูตสีหราชดูประหลาดไป....คล้ายจะอารมณ์ดีแปลก ๆ 
สงสัยจะต้องไปถามท่านภุมมเทวาเสียทีว่า ผลข้างเคียงของการดื่มสุราทองแดงนั้นเป็นอย่างนี้จริง ๆ หรือเปล่า
เพราะตั้งแต่ตื่นเช้ามาทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่รอยสีกุหลาบเต็มไปหมด รอยสีชมพูอ่อนที่ไล่ตั้งแต่ซอกคอ ไหปลาร้า และยังลงไปถึงแผ่นอกด้วย ดีที่ยมทูตหนุ่มไม่เห็นไม่อย่างนั้นมีหวังคงโดนถามแน่ ๆ ว่าไปโดนอะไรต่อยมา ไม่นับริมฝีปากที่เริ่มบวมเจ่อนิด ๆ แต่ไม่ยักจะรู้สึกเจ็บ

ถ้ารู้ว่า สุราทองแดงแรงขนาดนี้...จ้างให้ก็ไม่มีวันป้อนให้ท่านยมทูตเด็ดขาด !

แถมนับตั้งแต่ยมทูตขี้เก๊กเจ้าระเบียบฟื้นขึ้นมา สุรานั่นเหมือนทำให้ยมทูตหนุ่มเพี้ยน ๆ ไปสักหน่อย ...แต่เอาจริง ๆ ก็ออกจะประหลาดเสียด้วยซ้ำ เริ่มจากสายตาที่มองมาไม่ดุเหมือนเคย และถ้าไม่คิดเข้าข้างตัวเอง...ออกจะหวานนิด ๆ เสียด้วย
หรือเขาจะลืมเขย่าจอกสุราก่อนป้อนกันละเนี่ย...แต่ไม่น่า...นั่นมันเหล้านะ ไม่ใช่ยาน้ำต้องเขย่าขวดสักหน่อย ?

ช่างมันเถอะ หวังว่าท่านยมทูตจะไม่ไปทำสายตาแบบนี้กับสาวที่ไหนหรอกนะ เพราะขนาดเขาเป็นผู้ชายยังอด...เขินไม่ได้
ก็จะไม่ให้เขินได้ยังไง เพราะเจ้าตัวเล่นมองด้วยสายตาเหมือนกับว่าเขาเป็นขนมหวาน !

“หวานดีนะ..” ประโยคนั้นทำให้มรุตในชุดผ้ากันเปื้อนสีเทาสะดุ้งเฮือก ก่อนจะหันขวับไปทางร่างที่นั่งอยู่บนเก้าอี้สตูลตรงหน้า

“...อ้าว...ก็ขนมนี่ยังไงเล่า...ข้าบอกว่าขนมนี่หวาน...ทำไม...เจ้าคิดถึงอะไร ?” ดวงตาคมที่มองมาคล้ายจะยิ้ม ๆ ทำให้ใบหน้าคมคร้ามน่ามองขึ้นกว่าเดิม

...ให้ตายเถอะ...อย่าไปยิ้มแบบนี้กับใครเชียว...มีเท่าไหร่ก็ละลาย...

“ก็ ท่านต้องพูดให้ครบ ๆ สิ ว่าอะไรหวาน จู่ ๆ โพล่งออกมาอย่างนั้น จะไปรู้ได้อย่างไร” มรุตเบ้หน้าใส่ก่อนจะหันกลับไปล้างจานกองโตตรงหน้า ประโยคนั้นทำให้สีหราชลอบยิ้มนิด ๆ ก่อนจะคว้าจานขนมในมือเดินตรงมา

“อ่ะ...ให้ชิม ก็เค้กนี้มันหวานจริง ๆ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ลุกขึ้นเดินตรงมาหาผีหนุ่มที่กำลังทำความสะอาดครัวอยู่ ก่อนจะตักบลูเบอร์รี่ชีสเค้กยื่นให้ตรงหน้า ดวงตาจ้องอยู่แต่เพียงใบหน้าของผีหนุ่ม

“ข้าล้างจานอยู่ เดี๋ยวค่อยชิมก็ได้ วางไว้ก่อนเถอะ” มรุตพูดอุบอิบก่อนจะพยายามเบี่ยงออก แต่เหมือนร่างสูงที่ยืนอยู่จะไม่ยอมรอฟังอะไรทั้งนั้น

“ชิม...” สายตาดุ ๆ ของยมทูตที่เอาแต่ใจตัวเอง ทำให้ผีหนุ่มกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะตัดสินใจอ้าปากรับชีสเค้กตรงหน้า รสชาติก็หวานละมุนอร่อยดี บลูเบอร์รี่ที่นิ่มและเยิ้มหน่อย ๆ ชีสเค้กเนื้อแน่นที่หวานมัน

หืมมมม...หวานอร่อยจริง ๆ ด้วยสิ ! 

แววตายมทูตหนุ่มคล้ายจะยิ้มนิด ๆ ก่อนจะวางจานลงบนเคาน์เตอร์

“ข้าพูดถูกใช่ไหม เค้กชิ้นนี้หวาน..หวานมาก” ว่าแล้วก็เอื้อมมือข้างหนึ่งประคองหน้าเรียวเล็กที่แหงนมองอย่างอึ้ง ๆ

“ข้าไม่เคยเห็นผีตัวไหน...กินเลอะเทอะเหมือนเด็กน้อยเลย” เจ้าตัวพูดเบา ๆ ก่อนจะใช้ปลายนิ้วชี้อีกข้างปาดเช็ดคราบบลูเบอร์รี่ที่เลอะปากเจ้าผีหนุ่มตรงหน้าก่อนจะเอาเข้าปากตัวเองหน้าตาเฉย แล้วเดินกลับไปนั่งโต๊ะทำงานต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่คนที่ถูกปาดชิมตัวแข็งตะลึงงันไปเสียแล้ว

...ไม่ดีมั้ง...ผลข้างเคียงสุราทองแดงแบบนี้...ทำเอาหัวใจจะวายตาย !...

...........................................................................

หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ยมทูตหนุ่มและมรุตต่างรุดไปสำรวจโกดังร้างริมน้ำที่พวกเขาปะทะกับเหล่าวิญญาณของผีสมานและพวก แต่ก็เป็นดังคาด สมานหายไปแล้วเหลือเพียงไอสีดำจาง ๆ ที่บอกว่าเมื่อคืนนี้มีการปะทะกันเกิดขึ้นที่นี่ สีหราชทรุดกายลงสำรวจพื้นโกดังร้าง เศษชิ้นส่วนการปะทะเมื่อคืนยังคงอยู่ รอยบากของดาบคู่นั่นยังเหลืออยู่บนแผ่นไม้ใกล้ ๆ
คมดาบฟันลึกลงไปในเนื้อไม้ มรุตมองร่างสูงที่กำลังพิจารณาแผ่นไม้นั่นอย่างสงสัย ก่อนที่สีหราชจะจรดปลายนิ้วใกล้ ๆ ทันใดนั้น ไอสีดำสนิทค่อย ๆ ลอยอวลขึ้นจาง ๆ  ไอดาบวิญญาณที่ตกค้างอยู่ในเนื้อไม้กำลังลอยขึ้นมาช้า ๆ สิ่งที่ปรากฎตรงหน้าทำให้มรุตเบิกตากว้างอย่างตื่นเต้น สีหราชหลับตานิ่งก่อนจะจุดเพลิงสีทองขึ้นกลางฝ่ามือ เพลิงสีทองปรากฎรูปทรงรีและดูดซับเอาไอดาบสีหม่นดำนั้นเข้าไป สีหม่นดำค่อย ๆ กลายเป็นสีเทาจัดแล้วจางลงจนใส

กระจกมายา...

ภาพต่าง ๆ ปรากฏขึ้นในกระจกวงรีสีทองตรงหน้า ผีสมาน...กำลังค้อมกายตัวสั่นงันงกคุยกับบางคน...ที่เขาไม่เห็นหน้า ผีร้ายกำลังยื่นดาบอาฆาตคืนให้กับเงาสีดำสนิทตนหนึ่ง มือสีดำราวกับนิลโผล่พ้นชายผ้าคลุมออกมา แต่ทันใดนั้นเพลิงสีแดงก่ำลุกพรึ่บทันทีและลามไปที่ผีสมาน ภาพเงาผีเร่ร่อนดิ้นพราดทุรนทุรายก่อนจะสลายวับกลายเป็นไอจาง ๆ ในทันที แล้วภาพทั้งหมดก็ดับลง

....เบาะแส...หายวับโดยตัวการ...

“เสียดายที่กระจกมายา...ไม่ฉายให้เห็นหน้าจอมบงการ” สีหราชเปรยขึ้น เป็นเพราะเขาล่าช้า ไอดาบจึงเหลือเพียงน้อยนิดจึงไม่อาจเผยภาพย้อนหลังได้มากกว่านั้น

“ท่านคิดว่าป้ายทองคำผ่านทาง...อยู่กับคน ๆ นั้นหรือ” มรุตเหลียวมองอย่างสงสัย
ใครกันที่อาฆาตมาดร้ายถึงเพียงนี้

“สมานคงได้เพียงอาวุธและคำสั่งมา ผีเร่ร่อนชั้นปลายแถวคงทำเพียงเพื่อแลกชีวิตอมตะและการเสพอาหารที่ไม่รู้จบเท่านั้น”

สีหราชเอ่ยเบา ๆ ก่อนจะถอนหายใจ

สิ่งเดียวที่ไม่ได้พูดออกไปคือ วิธีการจับดาบอาคม บอกชัดว่าคนส่งดาบนั้น...เป็นนักดาบเช่นเดียวกับเขาในอดีตชาติ

วงล้อแห่งชะตากรรมกำลังหมุนกลับมาอย่างนั้นหรือ

บางสิ่งที่ยังไม่ได้คลี่คลาย บางสิ่งที่ยังขาดไปในอดีตชาติ...สิ่งที่เขายังคิดไม่ตก

ได้แต่หวังว่า...จอมบงการคนนั้นจะหมายหัวเขาเพียงคนเดียว

มิฉะนั้นแล้ว...เจ้าตัวจ้อยข้างกายอาจพลอยรับเคราะห์ไปด้วย

“ป้ายทองคำนั่น...มีอำนาจอะไรบ้าง มันคงจะไม่ร้ายแรงกับโลกมนุษย์ใช่ไหม...” มรุตถามขึ้น แววตากลมโตสุกใสยังคงเป็นกังวล

“ป้ายทองคำมีอำนาจปลดพันธนาการวิญญาณเร่ร่อน และปลุกวิญญาณที่จมอยู่กับอดีตให้ฟื้นขึ้น อาจดลบันดาลชีวิตชั่วคราวให้เหมือนที่ข้าให้กายาจำแลงกับเจ้า”

“แล้วมันน่ากลัวอย่างไร” มรุตงุนงง เพราะในตอนนี้ถึงเขาจะมีกายจำแลงก็ไม่เห็นว่าจะมีผลร้ายกับใคร

“ป้ายทองคำให้อำนาจเพียงชุบกายจำแลง แต่วิญญาณจำต้องมีพลังเพื่อจะรักษาร่างนั้นไว้ พลังที่จะหล่อเลี้ยงกายจำแลงก็คือพลังชีวิตของมนุษย์ เจ้าอาจจะเคยเห็นข่าวคนป่วยติด ๆ กันในหมู่บ้าน จู่ ๆ ก็ล้มหมอนนอนเสื่อพร้อมกัน บ้างก็นอนหลับแล้วตายโดยไม่รู้สาเหตุ”

มรุตครางในใจ

‘อาการไหลตาย’ ที่เคยเห็นผ่านสื่อโทรทัศน์ต่าง ๆ ยามเขาเป็นเด็ก

“วิญญาณที่ได้กายจำแลง แต่ไม่อาจรักษากายไว้ได้ก็ต้องดูดซับพลังงานจากผู้คน นั่นคือการบั่นทอนอายุขัยของมนุษย์ผู้อื่น วิญญาณที่ตายก่อนถึงคราวก็จะกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน ไร้หนทางไปเกิดใหม่...เช่นนี้แล้ว เจ้ายังคิดว่าเป็นเรื่องเล็กหรือไม่...” สีหราชเอ่ยนิ่ง ๆ

“แล้วข้า...ข้าก็กำลังดูดพลังวิญญาณผู้อื่นอยู่หรือเปล่า ?!” มรุตละล่ำละลัก แต่สีหราชยิ้มนิด ๆ

“ผิดกัน...เจ้ามีกายจำแลงเพราะอาศัยพลังวิญญาณของข้า ข้าแบ่งส่วนหนึ่งของข้าให้กับเจ้า ไม่เหมือนกับป้ายทองคำ อย่ากังวลไปเลย” คำตอบนั้นทำให้มรุตถอนหายใจอย่างโล่งอก

...อย่างน้อย ก็ไม่อยากได้ชื่อว่าเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น ตายแล้วยังเบียดเบียนขโมยพลังชีวิตคนอื่น ดีเสียที่ไหน...

“อ้ายสีห์...ตาชัย...จะเดือดร้อนไหม เราไปดูแกสักหน่อยได้ไหม” มรุตเอ่ยเบา ๆ อย่างกังวล

ประโยคนั้นทำให้สีหราชชะงักกึกก่อนจะพยักหน้าซ่อนความกังวลไว้
.........................................................

ความเงียบกริบชนิดที่ไม่มีวิญญาณใดอยู่ในละแวกนี้ ทำให้สีหราชเริ่มหวั่นใจ วิญญาณเร่ร่อนที่เคยอยู่ประจำในย่านนี้เหมือนจะหายหน้าไปหลายตัว มรุตมองหน้าสีหราชอย่างกังวล แล้วทั้งคู่ก็ได้คำตอบเมื่อก้าวเข้ามาริมน้ำใต้สะพานใกล้แยกราชประสงค์ สภาพบริเวณนี้ราวกับถูกแก๊งอันธพาลมารุมกระหน่ำ ใต้สะพานกองสิ่งของต่าง ๆ ระเกะระกะกระจัดกระจาย ผิวสะพานด้านหนึ่งมีคราบเขม่าดำติดแน่นบอกชัดว่ามีบางคนใช้พระเพลิงเผาบางสิ่งตรงนี้ ซากลังไม้คร่ำคร่า...บ้านของตาชัย เหลือเพียงเศษท่อนไม้เล็ก ๆ ที่ไหม้ไฟจนเกรียม ไร้วี่แววของผีชราผู้เป็นเจ้าของ มรุตชะงักนิ่งก่อนจะเข่าอ่อนทรุดกายลงกับพื้นอย่างหมดแรง ใกล้ ๆ กับซากลังไม้ เศษหัวไม้เท้าเก่า ๆ ประจำตัวของตาชัยหักหล่นอยู่

ไม้เท้าหัก...ตาชัย ผีชราที่ขาไม่ดีตนนั้น...

“...ตาชัย...คงหนีทันใช่ไหม...” เสียงผีหนุ่มสั่นเครือ แววตามองมาอย่างหวังคำตอบที่จะทำให้โล่งใจบ้าง

แต่สีหราชกลับนิ่งงันแล้วส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะเบือนหน้าไปทางริมคลองน้ำครำ เศษซากของอาภรณ์เทาที่ขาดวิ่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ กระจัดกระจายอยู่ทั่วพงหญ้า สายตาสีหราชหม่นเศร้าลง คำตอบนั่นทำให้มรุตถลาเข้าไป แต่สีหราชคว้าตัวไว้ทัน

“ตาชัย !” ร่างเล็ก ๆ กำมือแน่นอยู่ในอ้อมแขนของสีหราช เกือบจะซวนกายไว้ไม่อยู่

ตาชัย เหมือนญาติผู้ใหญ่...ที่เอ็นดูมัน...

“เป็นเพราะข้าคนเดียว...ถ้าข้าไม่พาท่านมาที่นี่ ตาชัยคง...” มรุตกำเศษไม้เท้าไว้แน่น น้ำตาคลอ

“อย่าร้องไห้...ไม่ใช่ความผิดของเจ้า” มือหนาของสีหราชเอื้อมมาลูบหัวร่างเล็ก ๆ ตรงหน้าก่อนจะรั้งตัวเข้ามากอดแน่นขึ้น แววตาคมหม่นเศร้า

นายชัย หัวไม้...อดีตวิญญาณนักเลงแก๊งเก้ายอดย่านนางเลิ้ง แม้จะเคยปะทะกับเขามาก่อน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าก็ทำให้สีหราชอดใจหายไม่ได้

“ตาชัย ถึงจะเป็นผีแก่ ๆ ปากร้าย แต่แกใจดีมาก ๆ วันแรกที่ข้ากลายเป็นผีไม่รู้จะไปที่ไหน แกยังอุตส่าห์แบ่งบ้านให้อยู่ แกว่า เห็นผีหนุ่มร้องไห้แล้วมันหนกขู...” น้ำตาเม็ดโตพรูจากใบหน้าหวาน

“ใครมาร้องไห้แถวนี้วะ หนกขูเว้ย !” ภาพชายชราอายุมากเดินกระย่องกระแย่งออกมาพร้อมไม้เท้าคู่ใจ ก่อนจะเอาปลายไม้เท้าสะกิดขาไอ้ผีหนุ่มที่ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร

“เป็นผู้ชายมันต้องเข้มแข็งอย่างข้า เป็นผีเร่ร่อนมากว่า 60 ปีแล้วยังไม่เห็นเป็นไร เอ็งก็ต้องไม่เป็นไร !” ก่อนที่เจ้าตัวจะชวนเข้าบ้านอย่างมีฟอร์ม

“เอ้า มาหลบฝนในบ้านข้าก่อน มีของเซ่นไหว้เหลืออยู่นิดหน่อย กินเสร็จแล้วอย่าลืมเอากระทงเซ่นไหว้ไปทิ้งด้วยล่ะ เดี๋ยวบ้านข้าจะเหม็นไปหมด” ร่างนั้นค่อย ๆ กระย่องกระแย่งเดินวูบเข้าไปในลังไม้ที่เก่าคร่ำคร่า

บัดนี้...ลังไม้...เหลือเพียงเศษซากที่ไหม้ไฟ ไม่มีแล้วบ้านไม้ของผีชรา...ที่ผีอย่างเขาจะแวะมาชวนคุยสัพเพเหระอย่างเคย

เสียงหัวเราะลงลูกคอเบา ๆ ของคุณตาปากร้ายใจดี...ที่อารีมีน้ำใจกับผีเร่ร่อนอย่างเขายังคล้ายจะติดหู

...เขามันตัวซวยจริง ๆ พาหายนะมาสู่ทุกคนรอบตัวไปหมด !

สีหราชกำมือแน่น แววตาคมมองไปรอบ ๆ ก่อนจะหยุดนิ่ง เขาจ้องเขม็งไปที่ผนังใต้สะพานนั่น

มีบางอย่างที่อยู่ตรงนั้น อักษรคล้ายนักเลงอันธพาลที่ชอบเขียนพ่นสเปรย์บนกำแพง แต่มันคือสาสน์ที่บางคนตั้งใจฝากถึงเขา กลอักษรที่เขียนอยู่ตรงนั้นอาจไม่มีความหมายสำหรับคนในยุคนี้ แต่สำหรับวิญญาณที่เกิดในยุคต้นรัตนโกสินทร์ด้วยกันย่อมรู้ดี...สาสน์ที่ซ่อนเร้นในกลอักษรม้าลำพอง นั่น กำลังเย้ยหยัน

“         หยามหยันเหยียดเย้ยยิ่ง”
“ ตามติดคิดจิตร์ฆาต   แค้นรั้งชังทรามเจ้า”  (1)

เสียงมรุตที่ร่ำไห้อยู่ข้าง ๆ ดวงตานั่นแดงช้ำ สีหราชกัดฟันกรอด

“พวกมันกำลังตามล่าข้า...แต่ตาชัยกลายเป็นเหยื่อแทน หากข้าไม่ให้อำนาจจากแดนยมโลกให้เขา เขาอาจจะไม่ต้องโดนทำร้ายขนาดนี้ก็ได้...”

ประโยคนั้นทำให้มรุตเงยหน้าขึ้นก่อนจะมองยมทูตหนุ่มแล้วพูดเสียงดังขึ้นพลางกำมือแน่น

“ใช้ข้าเป็นตัวล่อก็ได้...ข้าจะตามหามันด้วย อย่างน้อยก็เป็นสิ่งสุดท้ายที่ผีอย่างข้าจะทำให้ตาชัย...”

ประโยคนั้นทำให้สีหราชอึ้ง

น้ำใจเจ้าตัวเล็กยังกว้างขวางเหมือนเดิม ไม่กลัวเลยสักนิดว่าตัวเองจะอยู่ในอันตราย

แต่เขาจะเสียมันไม่ได้อีกแล้ว หากครานี้ วิญญาณที่จากไปเป็นร่างตรงหน้า หัวใจเขาจะทานทนได้อย่างไร...

เสียงสวดมนตร์ภาษาบาลีแบบโบราณดังขึ้นเบา ๆ จากริมฝีปากของสีหราช ท่วงทำนองสูงต่ำอย่างไพเราะนั่นก่อให้เกิดคลื่นสีขาวนวลจากกึ่งกลางอกของยมทูตหนุ่ม บรรยากาศรอบตัวคล้ายจะสว่างไสวขึ้นทีละน้อย ละอองเศษเสี้ยวแห่งวิญญาณที่ถูกทำลายแตกกระจายอยู่ใต้สะพานค่อย ๆ รวมกันขึ้นเป็นประกายวิบวับสีขาว ก่อนจะค่อย ๆ ลอยขึ้นสูงเรื่อย ๆ ยามสิ้นเสียงสวดมนตร์ ดวงแก้วใส ๆ ร่อนวนรอบทั้งสองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหายวับไปจากสายตา

“ข้า...ส่งตาชัย...เรียบร้อยแล้ว...” สีหราชเอ่ยเบา ๆ ก่อนจะก้มมองมือเรียวที่เกาะกุมท่อนแขนเขาไว้แน่น ดวงตาที่รื้นไปด้วยน้ำตาของผีหนุ่มตรงหน้ายิ้มให้เขา ก่อนจะเงยหน้ามองตามลำแสงสว่างที่หายลับไป

“คุณตาไปที่ไหน...”

“ฐานพระ...หากเขายังพอมีจิตกุศลอยู่...ไม่นาน...เขาจะได้ไปเกิดใหม่”

เสียงสวดมนตร์ทำวัตรเช้าเย็นคงเป็นยาทิพย์ที่พอจะรักษาดวงจิตที่แตกร้าวนั่นได้ ที่เหลือ...ก็สุดแท้แต่วาสนาของแต่ละคน
แววตาของผีหนุ่มน้อยตรงหน้ามองสีหราชด้วยความตื้นตันก่อนจะมองตามลำแสงสว่างนั้น สีหราชยกมือขึ้นลูบหัวเจ้าตัวเล็กเบา ๆ อย่างปลอบใจ

“ไปดีนะ...คุณตา...จนกว่าเราจะพบกันใหม่...”
................................................................................ 

ราตรีก้าวเข้ามาแล้ว สายลมโชยพัดแผ่ว มรุตหลับสนิทบนเตียงสีขาวสะอาดตา ใบหน้าเรียวสวยมีคราบน้ำตารื้นอยู่อย่างนั้น ลมหายใจสม่ำเสมอของคนตรงหน้าทำให้สีหราชถอนหายใจเบา ๆ ความกังวลและความเป็นห่วงเจ้าตัวจ้อยจับใจ

เกือบสองร้อยปีที่ผ่านมา...เขาตัวคนเดียวไม่เคยคิดจะหวั่นกับวิญญาณตนใด บุกไปที่ใดก็ไม่เคยหวั่น แต่หากยามนี้เขามีเจ้าตัวน้อยเป็นหัวใจ หากจะทิ้งมันไว้เพียงคนเดียวก็ไม่ได้ แต่จะพาไปด้วยก็ไม่ได้อีก

ศัตรูอยู่ในเงามืด เขาอยู่ในที่สว่างและ...ยังมีหัวใจ...เป็นจุดอ่อนอย่างนี้

“ท่านสีหราช...” เสียงภุมมเทวาดังขึ้นเบา ๆ ด้านหลัง สีหราชหันไปมองร่างนั้นช้า ๆ สายตาของชายชรามองอย่างเข้าใจความรู้สึกของยมทูตหนุ่มตรงหน้า

“ท่านจะพามรุตไปด้วยไม่ได้นะ เพราะท่านรู้ดีมิใช่รึว่า...พลังที่ท่านมอบชีวิตให้กับเขานั้นผูกพันตัวท่านไว้กับเขา ยามเขาเจ็บท่านก็จะเสียพลังวิญญาณไปด้วย หากเขาตาย...ท่านก็อาจต้องแทบสิ้นสลาย...” แววตาของสีหราชหรุบลงเล็กน้อย ก่อนจะค้อมหัวให้ภุมมเทวาอาวุโส

“มรุต...กำลังจะเป็นจุดอ่อนที่ทำให้ท่านถึงตายได้เชียวนะ...” ประโยคย้ำของภุมมเทวาทำให้เจ้าตัวระบายลมหายใจช้า ๆ

“โปรดเก็บงำเรื่องนี้ไว้ ข้าไม่อยากให้เขาต้องกังวล” สีหราชมองภุมมเทวาช้า ๆ

“ว่าแต่...เจ้ารู้แล้วหรือไม่ว่า ใครคือผู้ที่ไล่ตามอาฆาตเจ้า” ภุมมเทวาถอนใจเบา ๆ ก่อนมองอย่างสนใจใคร่รู้

สีหราชถอนหายใจยาว แล้วหวนนึกไปถึงภาพในกระจกมายา เพราะในยามนั้น กลอักษรบนผนังปูนใต้สะพานบอกชัด ไอวิญญาณสีดำสนิทที่อยู่ตรงกำแพงยังใหม่...

เพียงชั่วขณะไอวิญญาณดังกล่าวค่อย ๆ กลายเป็นสีเทาอ่อนและกระจกมายาเผยภาพขึ้น ใบหน้าที่พร่าเลือนและริมฝีปากแสยะยิ้มอยู่ใต้ผ้าคลุมสีดำสนิทกำลังร่ายอักษรขึ้นตรงผนัง ดวงตานั้นตวัดฉับเมินมาคล้ายจะรู้อยู่ในทีว่ามีบางคนกำลังจ้องมองอยู่ ริมฝีปากของร่างในผ้าคลุมสีดำขยับโดยไร้เสียง...

....กล้า ฤา ไม่ อ้ายสีหราช...ข้ารอเจ้านานแล้ว...

 ศัตรูในอดีตกาล...วิญญาณที่อาจผูกใจเจ็บเขา...อาจเป็นคนผู้นั้น...

ปริศนาศัตรูและบางอย่าง...บอกเขาลึก ๆ ว่ามีเบาะแสบางอย่างที่ยังขาดอยู่....

ภาพข่าวในโทรทัศน์เมื่อเช้าวันนี้กลับเข้ามาในหัวของสีหราช เมื่อนักข่าวสาวสัมภาษณ์บุรุษหนุ่มในชุดสูทสากลสีเทาอ่อน

“นับว่าเป็นข่าวดีสำหรับวงการประวัติศาสตร์ของไทย เมื่อตระกูลชาญนพภูบดีตัดสินใจเปิดเผยข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่สืบเนื่องมาตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ ๓ โดยต้นสกุลสืบเชื้อสายมาจาก พระบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชายชาญนพ กรมหมื่นสิรภักดิเทวราช โดยพระบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชายชาญนพทรงมีพระปรีชาสามารถยิ่งในทางการทูตและทางพระศาสนา ในการนี้ตระกูลชาญนพภูบดี ตัดสินใจมอบบันทึกต่าง ๆ รวมถึงของใช้ส่วนพระองค์ครั้งเสด็จไปเจริญสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศให้แก่หอจดหมายเหตุเพื่อประโยชน์ทางการศึกษาต่อไป...”

ภาพถ่ายโบราณในจอโทรทัศน์ตรงหน้าเผยให้เห็นรูปบุรุษร่างสูงสง่าพระพักตร์แย้มสรวลนิด ๆ บุคลิกสุขุมอารี

ภาพดังกล่าว...หัวใจสีหราชกระตุกและขนลุกในทันที

สายพระเนตร...เหมือนครานั้น...

เมื่อเขาสูญเสียเมืองอินทร์ไปในคืนนั้น สีหราชก็แฝงกายสืบหาความจริงแอบติดตามขุนทรัพย์และเหล่านักแสดงละครนอก จนรู้ว่าแท้จริงแล้ว ทั้งหมดนี้ล้วนวางแผนร้าย สีหราชลอบนำรายชื่อเหล่ากบฏออกมาจากขุนทรัพย์และเป็นเสด็จพระองค์ชายชาญนพที่รั้งเขาไว้

“อ้ายสีห์...ข้าเห็นเจ้าเป็นดั่งน้องชาย อย่าทำเยี่ยงนี้เลย ปล่อยให้เป็นเรื่องของกรมเมืองเถิด...”

“มิได้...ยังมีอ้ายอีอีกมาก แลนี่ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีอีกมากที่ซ่อนเร้นแลหากไม่มีหลักฐาน เหล่าทหารจักทำสิ่งใดได้ กบิลเมืองย่อมไม่อาจลงโทษพวกมัน!”

“อ้ายสีห์ ! ข้าขอสั่งเจ้า ห้ามไปเด็ดขาด! เอารายชื่อเหล่านี้มาให้ข้า !”

“ไม่ ! ข้าจักกุดหัวพวกมันทุกตัว !”

“เจ้าเอาความแค้นที่มีต่อเมืองอินทร์มาทำเช่นนี้มิได้ ต่อให้พวกมันตายสิ้น อ้ายอินทร์ของเจ้าก็มิอาจฟื้นคืน!”

“ต่อให้มิอาจฟื้นคืน แต่ข้าจักไม่ยอมให้มันต้องตายโดยชื่อต้องมลทิน!”

...เมืองอินทร์สิ้นเพราะข้อกล่าวหาว่าเป็นอั้งยี่ซ่องโจร หากแต่แท้จริงมันตายเพราะล่วงรู้ความลับของเหล่ากบฏ...

“อ้ายสีห์ ! เรื่องที่เจ้าสังหารทหารหลวงที่คุมตัวเมืองอินทร์ครานั้น ข้าเพียรขอทูลกระหม่อมให้เว้นโทษตายเจ้าเพราะเห็นแก่เจ้าจอมมารดาแลข้า...แต่หากครานี้ เจ้ายังดื้อรั้นไปสังหารเหล่ากบฏเหล่านั้นเอง ข้าจักปกป้องเจ้าไม่ได้อีกแล้วนะ !”

“ข้าไม่ต้องการการปกป้อง ! ข้าจักลิขิตชีวิตข้าเองด้วยดาบเล่มนี้ ! ”

ยามนั้นมันและเสด็จพระองค์ชายชาญนพทะเลาะกันเป็นครั้งแรก...แลเป็นมันที่กระชากเอารายชื่อเหล่ากบฏมาได้บางส่วน
กระดาษที่ขาดครึ่ง...ดั่งสายสัมพันธ์ที่ขาดสะบั้น

“ข้าจักเป็นยมทูต ส่งอ้ายอีเหล่านั้นลงนรกทุกตัว!” สีหราชกล่าวด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม

“ข้าก็จักให้ทหารหลวงไล่ตามเจ้า สีหราช...ข้าไม่อาจให้เจ้าตั้งศาลเตี้ยตามอำเภอใจได้ !” เสด็จพระองค์ชายชาญนพตวาดลั่น

“ตามแต่พระประสงค์เถิด หาท่านจัดการเอาพวกมันเข้าตะรางได้ก็จงจัดการไป แต่อย่าเหลือผู้ใดไว้...มิเช่นนั้น ข้าจักไม่เว้นไม่ปรานีแม้แต่ชีวิตเดียว!”  เป็นเขาที่ประกาศกร้าวก่อนจะเร้นกายหลบจากวังไป

ยิ่งเห็นข้าวของเก่า ๆ ส่วนพระองค์ เขาก็ยิ่งโหยหา..เรื่องราวในครั้งนั้น

ภาพในโทรทัศน์เมื่อเช้าฉายให้เห็นบรรดาข้าวของเครื่องใช้ส่วนพระองค์ที่เก็บงำมาเกือบสองร้อยปี...บางชิ้นเก่าคร่ำคร่า บางชิ้นก็หลุดร่วงชำรุดตามเวลา เสียงผู้บรรยายบอกถึงความเป็นมาของแต่ละสิ่งที่วางอยู่ตรงหน้า แต่สิ่งที่สะดุดตาของสีหราช...บันทึกปกหนังสีน้ำตาลที่วางอยู่ด้านหนึ่งของโต๊ะทรงพระอักษร ละม้าย..คล้ายบันทึกที่เห็นในห้วงความฝัน

เสด็จพระองค์ชายถือบันทึกเล่มนั้นมาที่ลานประหาร...คล้ายจะเอ่ยวาจาบางสิ่ง แต่ก่อนที่จะทันฟังก็ถูกกระชากกลับมาสู่โลกปัจจุบันเสียก่อน...

อาจมีบางสิ่งที่...ซ่อนเร้นมากกว่าที่เห็น...

“ตระกูลเราเชื่อว่า บางอย่างในนี้ถึงเวลาที่จะส่งต่อให้นักประวัติศาสตร์ครับ บางชิ้นมีข้อความสำคัญ บางชิ้นก็เป็นบันทึกส่วนพระองค์แต่ก็จะทำให้สามารถปะติปะต่อเรื่องราวความรุ่งเรืองในสมัยปลายรัชกาลที่ 3 และต้นรัชกาลที่ 4 ได้เป็นอย่างดี”
ภาพชายหนุ่มรูปร่างสูงสง่าในชุดสูทสากลนั่งให้สัมภาษณ์ร่วมกับเจ้าหน้าที่ของหอจดหมายเหตุแห่งชาติ

ใบหน้าสุขุมละม้ายคล้ายกับบรรพบุรุษจริง ๆ สีหราชยิ้มก่อนจะระบายลมหายใจเบา ๆ

(1)   กลอักษรม้าลำพอง ใช้วิธีการอ่านทวนย้อนซ้ำสี่คำแรกในบท และนำมาต่อท้ายคำที่ห้าในวรรคนั้น ดังนั้นสำหรับกลอักษรที่อยู่ในนี้ จะเขียนใหม่ได้ว่า “หยามหยันเหยียดเย้ย ยิ่ง เย้ยเหยียดหยันหยาม .....ตามติดคิดจิตร์ ฆาต จิตร์คิดติดตาม.....แค้นรั้งชังทราม เจ้า ทรามชังรั้งแค้น...” ซึ่งแปลความได้ว่า ผู้นั้นกำลังเหยียดหยันสีหราช บอกเป็นนัยว่าเขากำลังติดตามสีหราชไม่ลดละและเตรียมสะสางหนี้แค้นที่มีกันมาในอดีต...” 

ส่วนนี้เป็นกลวิธีโบราณในการส่งสาส์นลับในสมัยอยุธยาจนมาถึงช่วงต้นรัตนโกสินทร์ค่ะ น่าเสียดายว่าปัจจุบันนี้มีคนอ่านกลอักษรกลศึกโบราณที่แฝงความรู้ทางอักษรศาสตร์ได้น้อยลงทุกที และบางฉบับก็ไม่อาจจะถอดความได้แล้ว บางส่วนของกลอักษรเหล่านี้ปรากฎที่วัดโพธิ์ บางฉบับก็รู้แต่ชื่อแต่ไม่รู้วิธีถอดความแล้ว เพราะความรู้เหล่านี้จำเป็นต้องใช้คนที่รู้ทั้งศาสตร์เชิงอักษรศาสตร์ และบางครั้งก็แฝงกลศึกไว้ด้วย ทำให้แม่ทัพสมัยก่อนจะต้องมีความรู้มาก ๆ เลยค่ะ (หรืออาจจะต้องมีผู้รู้ติดตัวไปในการศึกด้วยเพื่อถอดความสาส์นลับ ตัวอย่างการใช้กลแบบนี้ จะปรากฎในนิยายเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ของวรรณวรรธน์  หรือ กาหลมหรทึก  เป็นต้น

..............................................................................


ButlerofLOVE : ต่อไปก็มีฉากต่อสู้แบบคาถาอาคม งานนี้ Butler ค้นภาษาบาลีมาสร้างมนตราอาคมในเรื่องค่ะ หวังว่าทุกคนจะชอบ :)

สำหรับในนี้เราจะลงจนจบตามกฎของเล้าค่ะ :) แต่สำหรับฉาก NC ต่าง ๆ เราจะไม่ลงเลยจะไปอยู่ในเล่มนะคะ (ไม่มีไม่ว่าจะเป็น RAW หรือ DD)

พรุ่งนี้มาพบกันค่า นิยายน่าจะจบตอนช่วงปีใหม่ละมั้งหรือหลังจากนั้นนิดหน่อย ^^
ขอบคุณนักอ่านทุกคนค่า ^^

 :heaven
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 27/12/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: mister ที่ 27-12-2020 16:39:55
สนุกมาก ภาษาสวย ตามจ้าาาาา :katai2-1: :mc4:
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 27/12/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 27-12-2020 23:56:32
รอๆๆครับบ
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 27/12/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 28-12-2020 10:33:47
CHAPTER
21



อาคารหอจดหมายเหตุแห่งชาติอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ในยามกลางคืนเช่นนี้มีเวรยามตรวจตราไม่มากนัก อาจเพราะผู้คนสมัยนี้ไม่ค่อยสนใจกับตำราโบราณมากนัก และโลกก็วิวัฒน์ไปมากแล้ว โลกอินเทอร์เนตที่ผู้คนเรียกกันทำให้ย่อทุกสิ่งมาอยู่บนมือความรู้และเรื่องราวต่าง ๆ ปรากฎอยู่บนหน้าจอขนาดเล็ก การอ่านจากกระดาษดูจะลดน้อยลงไปอย่างน่าใจหาย

....โลกของหอจดหมายเหตุ...คล้ายจะถูกทิ้งร้างไว้เบื้องหลัง

ฝีเท้าแผ่วเบาของสีหราชก้าวเข้ามาในเรือนอาคารอย่างช้า ๆ ช่วงเปลี่ยนกะ...ทำให้ทุกอย่างง่ายดาย รปภ.วัยกลางคนร่างท้วมนั่งสัปหงกโงกเงกอยู่หน้าอาคาร ถ้าถามได้คงถามว่าให้เฝ้าสิ่งใดในเมื่อไม่เคยมีผู้ใดย่างกรายเข้ามาสักครา

เพียงครู่เดียว สีหราชก็เข้ามาถึงส่วนจัดแสดงนิทรรศการ

กล่องกระจกใสสี่เหลี่ยมบนแท่นจัดแสดงวางอยู่ตรงหน้า...

บันทึกส่วนพระองค์ปกหนังสีน้ำตาลดูเก่าคร่ำคร่าตามกาลเวลา

สีหราชเป่าลมวูบหนึ่งบนฝ่ามือ เพลิงสีฟ้าอ่อนสว่างขึ้นก่อนจะม้วนตัวเข้าไปในกล่องพลาสติกใสตรงหน้า ไอสีฟ้าอ่อนกระจายไปทั่วกล่องกระจกนั้นก่อนจะละลายผิวกระจกด้านบน มือหนาเอื้อมลงไปหยิบบันทึกเล่มนั้นขึ้นมา

สิ่งที่เสด็จพระองค์ท่านเขียนไว้ในนี้...อาจบอกอะไรมันได้บางอย่าง...

เสียงพรึ่บดังขึ้นทันทีหลังจากที่ปลายนิ้วสีหราชสัมผัสสมุดบันทึก ดวงตาสีแดงก่ำหลายสิบคู่ปรากฎขึ้นในความมืดก่อนกรูเกรียววูบหนึ่งเข้ามากระชิดสีหราช เคราะห์ดีที่เขาระวังไว้ก่อนแล้ว ปลายดาบโบราณกระชากออกจากฝักก่อนจะตวัดฟันสิ่งที่ปรากฎในอากาศเป็นพัลวัน ไอสีดำสนิทกระจายออกมาจากสมุดเล่มดังกล่าว ดวงตาสีนิลไหวระริกทันที

กับดักงั้นหรือ !

เพลิงสีแดงดำถูกจุดขึ้นที่ปลายนิ้วของยมทูตหนุ่มพร้อมกับอักขระโบราณปรากฎขึ้นกลางอากาศ โดมมิติวิญญาณสีฟ้าหม่นแยกมิติโลกปัจจุบันออกจากมิติแห่งวิญญาณในทันที

อย่างน้อยปะทะกันในนี้...ก็ไม่มีผู้ใดรู้เห็น และมิติโลกปัจจุบันก็จะไม่กระทบด้วย

สภาพดวงวิญญาณจำนวนมากที่ล้อมเขาอยู่ตรงหน้าทำให้สีหราชยกดาบขึ้น ไอวิญญาณที่รวมกลุ่มกันเป็นรูปมนุษย์ แม้จะไม่เห็นลักษณะการแต่งกายชัดเจนนัก มีเพียงดวงตาแดงก่ำของมันที่จดจ้องสีหราชอย่างอาฆาตมาดร้าย ความอาฆาตของเหล่าวิญญาณพลันเปลี่ยนเป็นสายลมพิฆาตสีดำที่หมุนคว้างตัดทุกสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า แม้จะพยายามหลบหลีกแล้วแต่ใครจะหนีสายลมพิฆาตได้ทุกครา

แขนซ้ายของสีหราชถูกสายลมสีดำบาดลึก...เลือดไหลริน

“ยังไม่ยอมไปเกิดกันสินะ...ไอ้พวกทุรยศต่อแผ่นดิน!”

เพลิงสีทองสำแดงรัศมีเจิดจ้าจากปลายดาบ แค่รัศมีนี้ดวงวิญญาณทั่วไปก็ควรหลบหนีแล้ว แต่พวกนี้แปลกนัก เงาสีดำเหล่านี้กลับเดินตรงเข้ามาหาแสงเพลิงสีทองดังกล่าวราวกับไม่กลัวสิ่งใด

ไม่ฟังกันดี ๆ ก็คงต้องจัดการให้สิ้น !

แต่แล้วสีหราชกลับต้องชะงักกึก มือที่กำดาบไว้สั่นระริกเมื่อร่างเงาสีดำเหล่านั้นเดินใกล้เข้ามา แสงสลัว ๆ ที่ลอดผ่านกระจกหน้าต่างทำให้เห็นใบหน้าอสุรกายเหล่านั้นชัดเจนขึ้น

มิใช่อสูร...หากเป็นใบหน้าของผู้ที่มันรัก...เหล่าผู้คนในสำนักดาบ...ของเขา

ดวงตาสีแดงฉานของแต่ละคนยืนล้อมสีหราชไว้ บางตนมีน้ำตาไหลรินเป็นเลือดแดงก่ำ บางตนยกมือขึ้นไขว่คว้าราวจะทวงถามความยุติธรรมจากร่างตรงหน้า

“อ้ายสีห์...เหตุใดทำเยี่ยงนี้...”

“อ้ายสีห์...เพราะมึง และอ้ายอินทร์ พวกข้าถึงต้องตาย...”

“เจ็บ...ข้าเจ็บเหลือเกิน...ปวดไปหมด...ช่วยข้าด้วย...อ้ายสีห์...”

“เพราะเจ้า...ข้าจึงต้องตาย”

“ข้า...กำลังจะมีลูก ลูกเมียข้าต้องตาย...เพราะเจ้า..”

“เจ็บ...เจ็บเหลือเกิน...ข้าผิดอันใดอ้ายสีห์ เหตุใดข้าต้องตาย...”

“เพราะเจ้าเมตตา ข้าถึงต้องตาย...เพราะเจ้า...เพราะเจ้า...”

เสียงแหบโหยโอดครวญกล่าวโทษดังกระหึ่มอยู่รอบกาย ทำให้สีหราชขนลุกเกรียว ดวงตาที่เต็มไปด้วยความคั่งแค้นหลายสิบดวงจ้องมาตรงหน้า ก่อนจะขยับกายเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ

ภาพผู้คนในสำนักดาบที่ล้มตายกันในวันที่เขาเร่งม้าไม่หยุดตลอดสามสี่วันเพื่อกลับมาที่เรือนสำนักตีดาบ...แต่ทว่ามันยังสายเกินไป ร่างคนสนิทรู้จักมากมายนอนจมกองเลือดอยู่ตรงลานฝึกดาบ เหล่าช่างตีดาบล้วนถูกฟันเลือดท่วม บ่าวไพร่บางส่วนถูกทรมานก่อนตาย แม่คำหล้าหายสาบสูญ ร่างของพ่อสินถูกเสียบด้วยดาบจากด้านหลัง เรือนทั้งหลังถูกรื้อค้นจนวินาศไปหมดไม่เว้นแม้แต่เรือนของข้าทาส ภาพตรงหน้าทำให้มันทรุดฮวบลงกับพื้นพร้อมอ้ายมิ่งที่ถลันตามมา

มันต้องฝังคนที่มันรู้จักทีละร่างลงสู่ผืนดิน...หลายร่างตาไม่หลับ

...เลือดสดของหลายสิบชีวิตเจิ่งนองผืนดิน...

“...ชาวบ้านบอกว่า จู่ ๆ มีทหารเข้ามาจะจับเจ้าโชคข้อหาว่าเป็นลูกหลานอั้งยี่ แต่พ่อสินแลอ้ายอินทร์ขัดขืนไม่ยอมให้ตัวเด็ก...เลยโดนข้อหาซ่องโจรไปด้วยกัน...ทุกคนบนเรือน...โดนหมดสิ้น” เสียงอ้ายมิ่งสั่นเครือ

“...เหตุใดไม่เข้าสอบสวนตามกบิลเมือง แล้วมาตัดสินเยี่ยงนี้ !”

“...ก็ชายผู้ที่นำเหล่าทหารมา...เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง เป็นเสด็จอาของทูลกระหม่อม...ใครไหนเลยจะกล้าขวาง...”

กรมหลวงไกรสีห์สรคุณ ! เป็นคนผู้นั้นที่สังหารผู้คนของสำนักดาบ ! 

ภาพอดีตชาติถูกหมุนวนกลับ เงาวิญญาณเหล่านี้ล้วนแต่เป็นผู้คนที่มันรักทั้งนั้น ผู้คนที่ล้มตายไปในคืนนั้น...วิญญาณที่ตายโหงโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวกลายเป็นวิญญาณอาฆาตและถามหาความยุติธรรมให้ตนเอง

เป็นเพราะเขาเอง...ต่อให้ตามไล่สังหารคนที่เกี่ยวข้องสักเท่าไร...ก็มิอาจคืนชีวิตให้ผู้บริสุทธิ์เหล่านี้ได้...

ร่างสูงยืนนิ่งลดดาบลงช้า ๆ ก่อนจะทรุดฮวบลงคุกเข่ากับพื้น...

เขาไม่เคย..ได้ขอโทษคนเหล่านี้เลย เขากลับมาช่วยไม่ทัน...เป็นความผิดที่ไม่อาจจะให้อภัยตนเองมาตลอด...

....ข้าขอโทษ...ขอโทษที่กลับมาช่วยไม่ทัน...

...ขอโทษที่ข้าและเมืองอินทร์รับเอาเด็กน้อยไว้...จนพวกเจ้าต้องตาย

...ชื่อ..ต้องมลทิน...ในฐานะอั้งยี่ซ่องโจร....

เสียงก่นด่าประณามกล่าวโทษความผิดของเขาดังก้องไปมาในโดมมิติวิญญาณ หลายเสียง หลายวิญญาณล้อมรอบตัว เงาสีดำมืดค่อย ๆ ก้าวเข้ามาล้อมไว้อย่างช้า ๆ บรรยากาศบีบคั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ อากาศเหมือนจะหมดลงไปทุกที เพลิงสีทองบนด้ามดาบที่คุ้มกายสีหราชเริ่มอ่อนแสงลงทีละนิด เลือดจากแขนซ้ายไหลรินลงพื้นดิน ร่างแข็งทื่อร่างหนึ่งแหวกวงล้อมก้าวตรงมาอย่างช้า ๆ ใบหน้าที่ก้มลงมาใกล้มองเขาอย่างเพ่งพิศ เลือดแดงฉานไหลรินจากดวงตา สีหราชเงยหน้ามองดวงวิญญาณตรงหน้าก่อนจะกลั้นหายใจ

...พ่อสิน...

ดวงตาแดงก่ำนั่นจ้องมาตรงหน้าไร้แววว่าจะจดจำเขาได้ แต่แล้วเหมือนบางอย่างในแววตากำลังไหวระริก คล้ายจะขัดแย้งในตัวเอง มือแข็งทื่อที่โชกเลือดเอื้อมตรงมาที่เขา อีกเพียงนิด..ก็จะถึงคอของสีหราช แต่แววตาที่จดจ้องราวจะดิ้นรนขัดขืนบางสิ่งที่มองไม่เห็น กริยาดังกล่าวทำให้สีหราชอึ้งและไม่เข้าใจ แต่แล้วทันใดนั้น

“อ้ายสีห์ ! หนี !”

วิญญาณพ่อสินตะโกนลั่นยาวสุดเสียงก่อนจะโดนมือที่มองไม่เห็นกระชากวูบจนหงายหลัง เสียงวิญญาณผู้เป็นพ่อที่กรีดร้องโหยหวนทำให้สีหราชได้สติทันควัน

นี่มัน ! อาคมหุ่นเชิดวิญญาณ ! อาคมโบราณจากจอมขมังเวทเขมร !

“ปาตุภว อสุภะ! (วิญญาณจงปรากฏ)”

ด้ามดาบโบราณในมือกระทุ้งลงตรงหน้าครืนใหญ่ แรงกระแทกส่งคลื่นสีทองสว่างเจิดจ้ากระจายไปทั่วทุกทิศทาง ห้องที่มืดทึบเมื่อครู่กลับกลายเป็นสว่างด้วยแสงสีนวลตา โซ่อาคมที่มองไม่เห็นพลันปรากฎชัดต่อสายตา ดวงวิญญาณทุกดวงตรงหน้าถูกผูกล่ามไว้ด้วยตรวนหนาสีดำสนิทที่มองไม่เห็นปลาย ตรวนล่ามคอและขาของทุกตนไว้ ข้อเท้าวิญญาณทุกตนเป็นสีแดงก่ำราวกับถูกเผาไหม้จากโซ่อาคมที่ผูกรัดไว้

โซ่ตรวนจำนวนมากรั้งคอและขาของวิญญาณเหล่านั้น แม้เขาจะใช้พลังวิญญาณที่มีชำระไอสีดำบางส่วนแล้ว แต่มนตร์สะกดยังคงรุนแรง วิญญาณบางตนไม่อาจฝืนก็ยังเดินตรงมาหมายจะทำร้ายเขา แต่สีหราชไม่อาจทำใจเล่นงานได้ จึงได้แต่เพียงใช้ฝักดาบกระแทกปัดป้องและซัดวิญญาณเหล่านั้นล้มลงกับพื้นอาคาร แต่เหมือนพวกเขาไม่มีวันหยุดเพราะล้มแล้วก็ลุกขึ้นใหม่ทุกครั้ง อาคมทำให้ยังคงทำตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมาย...

“นิปชฺช! (หมอบ)”

เมื่อไม่อาจทำร้าย จึงได้แต่เพียงสะกดให้นิ่งอยู่กับพื้น สีหราชบริกรรมคาถาทันควัน ร่างสูงถลันเข้าไปแตะกึ่งกลางหน้าผากของวิญญาณหลายดวง แสงสว่างวาบจากกึ่งกลางหน้าผากทำให้วิญญาณที่ต้องอาคมนิ่งงันไปและร่วงลงกองกับพื้น สีหราชถอนหายใจแต่กลับชะงักอีกคราเมื่อวิญญาณที่ถูกตรึงกับพื้นยังคงดิ้นพราด บางรายยังคงตะเกียกตะกายคว้าจับข้อเท้าของสีหราชไว้แน่น

ไอวิญญาณสีดำสนิทยังคงไม่หมดฤทธิ์ง่าย ๆ แต่หากให้เขาทำร้ายวิญญาณบริสุทธิ์เหล่านี้ก็ทำไม่ได้เช่นกัน !

เจ็บใจนัก !

วิญญาณที่ถูกลากตรวนมาฝืนลิขิตแห่งโลกวิญญาณ อ่อนแอ...และพร้อมจะสลาย....หากเขาเผลอใช้พลังวิญญาณรุนแรงกว่านี้...พวกเขาอาจถึงขั้นสูญสลาย....แค่ฝักดาบของเขาที่กระแทกออกไป วิญญาณบางตนก็เริ่มพร่าเลือนเสียแล้ว...

...วิญญาณเหล่านี้ถูกเรียกมาด้วยอาคมของศัตรู ! ลำพังอำนาจแห่งยมโลกอาจไม่เพียงพอจะต้านกับไสยดำ!

เหลือทางเดียวที่จะลบอาคมมืดนั่นเพื่อปลดตรวนพันธนาการนั่นออก สีหราชเหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเหนือศีรษะขณะที่วิญญาณที่เหลือพลันดาหน้าเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน

ในห้องแห่งนี้ล้วนใช้เก็บวัตถุโบราณที่ทรงคุณค่า และแน่นอนว่าความเชื่อของคนมักจะเกี่ยวเนื่องกับวิญญาณ ดังนั้นผู้ออกแบบห้องจดหมายเหตุจึงจัดแท่นวางพระพุทธรูปองค์น้อยไว้ แต่บัดนี้พระพุทธรูปกลับถูกมือดีพลิกให้ล้มลงบนแท่น แต่สิ่งที่เหลืออยู่บนนั้นยังมีขวดน้ำ...หน้าหิ้งบูชาพระ

ไสยดำต้องล้างด้วยพุทธคุณ !

สีหราชกระโดดขึ้นปราดเดียว คว้าขวดน้ำหน้าพระพุทธลงมาก่อนจะกัดปลายนิ้วตนเองหยดเลือดสีแดงก่ำลงในนั้นพร้อมบริกรรมคาถาบาลีรัวเร็ว

“เจโต สังคายยะ (ชำระวิญญาณ) !”

พลันนั้นขวดพลาสติกถูกโยนขึ้นไปบนอากาศก่อนจะถูกดาบเพลิงวิญญาณฟันขาดในฉับเดียว

น้ำมนตร์ผสมอาคมยมทูตกระจายทั่วห้องจัดแสดง แสงสีทองนวลสว่างกระจ่างในคราเดียวอาบทุกวิญญาณตรงหน้า โซ่ตรวนสีดำสร้างขึ้นจากอาคมไหม้เกรียมและสลายหายไปในอากาศ พร้อมกับเสียงหัวเราะกึกก้องของผู้ที่มันมองไม่เห็น

‘ไหวพริบดี...ไม่นาน...เจอกูแน่...อ้ายสีห์...’

เสียงแหบพร่าดังขึ้นกลางหัวก่อนจะหายไป แต่ยามนี้สีหราชไม่สนใจสิ่งใดอีกแล้ว ภาพที่อยู่ตรงหน้าทำให้หัวใจฟู

วิญญาณของมิตรสหายมันถูกชำระแล้ว....ด้วยพุทธมนตร์

ทันใดนั้นแสงสีอ่อนสว่างขึ้นช้า ๆ จากขอบฟ้าด้านข้าง พระอาทิตย์กำลังขึ้น กระจกหน้าต่างของหอจดหมายเหตุสว่างขึ้นทีละนิด ๆ เงาร่างวิญญาณโปร่งใสเกือบสิบชีวิต สีหน้าแช่มชื่น วิญญาณที่บาดแผลเมื่อครู่พลันหาย ใบหน้าคนคุ้นเคยต่างเข้ามาหา แตะ...สัมผัส...กอดไหล่...ใบหน้าของทุกคนที่เขารู้จักดียิ้ม....ตบบ่าเบา ๆ ก่อนจะสลายไปในความว่างเปล่าตรงหน้า

...ขอบใจ...อ้ายสีห์ ขอบใจ...เน้อ

เสียงที่ดังขึ้นเพียงปลายหูของเหล่าวิญญาณที่ได้รับการปลดปล่อย ทำให้เขาน้ำตารื้น และตรงนั้น...หนึ่งในคนสำคัญที่สุดในชีวิต...ยิ้มละไมอ่อนโยนเฉกวันสุดท้ายที่เขาพบ

ลูกพ่อ....ขอบใจ...หัดให้อภัยตนเองบ้าง...อ้ายสีห์....

น้ำเสียงอุ่นละมุนกำซาบอยู่ในอก สายตาอ่อนโยนและอ้อมกอดบางเบาสวมกอดจากด้านหน้า แม้ไม่รู้สึกถึงสัมผัส...หากรู้ได้ด้วยหัวใจ

...พ่อสินกำลังจะออกเดินทาง...

สีหราชก้มตัวกราบแทบเท้าผู้เป็นบิดา วิญญาณโปร่งใสคล้ายหมดสิ้นความกังวลแย้มยิ้มให้มันตรงหน้า เสียงสาธยายมนตร์เบาเร็วกังวานไปทั่วโดมมิติวิญญาณดึงดูดเหล่ายมทูตทั้งหลายให้ปรากฎตัว เสียงทำนองสรภัญญะบูชาพระพุทธคุณดังขึ้นจากปากของยมทูตหนุ่มสร้างลำแสงสวยงามประกายทองเจิดจ้าขึ้นตรงหน้า ปุยเมฆสีขาวกำลังทอดตัวขึ้นเป็นขั้นบันได

เส้นทางของโลกหน้า....เปิดแล้ว เหล่ายมทูตปรากฏกายขึ้นตรงหน้าพร้อมพาเหล่าวิญญาณที่หลงค้างจาก 200 ปีก่อนเดินทางสู่โลกหน้า เงาสีขาวสะอาดตาจำนวนมากหันมาหาสีหราช แม้จะไม่เห็นใบหน้า แต่สีหราชรู้ดีว่า...

...เส้นทางที่พวกเขากำลังจะไปล้วนดีงาม...

“...รักษาตัวด้วยนะอ้ายสีห์ ลูกพ่อ...”

ประโยคสุดท้ายของพ่อสิน...กังวานกลางหัว

ความรักบริสุทธิ์ของพ่อแม่...ต่อให้ข้ามพ้นกาลเวลาเท่าไร...ก็มิอาจตัดขาดสัมพันธ์พ่อลูกได้...

................................................................................
ไอหมอกสีขาวจัดปรากฏที่หน้าประตูเพนท์เฮ้าส์หรูเมื่อรุ่งสาง ร่างสูงของยมทูตหนุ่มก้าวออกมาพร้อมกับสภาพแขนที่บาดเจ็บเลือดโชก สีหราชเดินตรงไปที่ห้องด้านในสุดหมายจะคว้าจอกสุราทองแดงของยมโลกออกมาดื่มเพื่อรักษา แต่แล้วเสียงประตูห้องข้าง ๆ ที่เปิดออกทันทีทำให้ต้องหยุดชะงัก

“อ้ายสีห์...ท่านไปที่ไหนมา หายไปทั้งคืน” ร่างเล็ก ๆ ในชุดนอนสีขาวเปิดประตูห้องออกมาในสภาพงัวเงีย ก่อนที่เจ้าตัวจะทำตาโต เมื่อเหลือบมองแขนซ้ายที่เลือดหยดนิด ๆ  ผีหนุ่มปราดเข้ามาคว้าแขนทันควัน

“อุ๊บ !” สีหราชหน้าแหยก่อนจะดันมือเจ้าตัวเล็กออกทันที ก่อนจะฝืนทำสีหน้านิ่ง ๆ

ไอ้เจ้าตัวเล็ก นี่จะฆ่ากันหรือยังไง เจ็บนะ !

“ข้า..ขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ ทำไมเลือดออกเยอะขนาดนี้” เจ้าตัวคว้าแขนยมทูตหนุ่มลากไปนั่งหน้าสตูลบาร์ก่อนจะวิ่งปรื๋อไปรื้อตู้ยาตรงหน้าท่ามกลางสายตางุนงงของสีหราช

“ข้า...ข้าทำแผลให้ดีกว่า เจ็บมากไหม...”นิ้วมือเล็ก ๆ ของมรุตค่อย ๆ พันแขนเสื้อสีดำสนิทขึ้นช้า ๆ ยังมีเลือดไหลรินจากท่อนแขนซ้ายอยู่บ้าง แต่แผลที่บาดลึกทำให้สมานยาก

“คือ ไม่เป็นไร...ข้าว่า...เดี๋ยวข้าไปเอาจอก....” เจ้าตัวยังพูดไม่ทันจบดี คนตรงหน้าก็ขมวดคิ้วทันควัน

“ท่านนี่...ชอบแอบออกไปข้างนอกแล้วก็ไม่บอกข้า ข้าบอกแล้วยังไง ว่าให้ข้าไปด้วย อย่างน้อยก็ได้ช่วยกัน แต่พอตื่นมาท่านก็หายไปแล้ว ทำแบบนี้...ข้าใจไม่ดีเลย นี่ข้าแทบไม่ได้นอน...เพราะไม่รู้ว่าท่านหายไปไหน...”

ประโยคที่บ่นปนห่วงใยของผีหนุ่มตรงหน้าทำให้สีหราชชะงักก่อนจะอมยิ้มออกมานิด ๆ

“...น่ารัก...” มืออีกข้างปัดเกลี่ยผมที่ยุ่งเหยิงของคนงัวเงีย ก่อนจะยีหัวเบา ๆ แล้วก้มหน้าชนหน้าผากของเจ้าตัวเตี้ยกว่า ลมหายใจอุ่น ๆ เป่ารดผิวเนียน ปลายจมูกโด่งสัมผัสกันแผ่ว ๆ ทำผีที่ริอาจอยากเป็นบุรุษพยาบาลหน้าแดงขึ้นทันที

“ถ้าเจ็บตัวแล้วมีผีใจดีทำแผลให้...ก็ดีเหมือนกันนะ”

“บ้า...บ้าสิ ถ้าเจ็บมาทุกวันแบบนี้ ข้าจะเล่นงานท่าน !” ร่างตรงหน้าเสียงสั่น ก่อนจะหลบตาแล้วรีบผละไปสาละวนกับกล่องยาตรงหน้า ขณะที่ยมทูตบาดเจ็บนั่งเท้าแขนมองร่างเล็ก ๆ วิ่งวุ่นหยิบโน่นนี่อย่างเพลินตา

“ห้ามเจ็บแบบนี้อีก...เข้าใจไหม” มรุตขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะคว้าสำลีและน้ำเกลือมาถือ แล้วลากแขนคนเจ็บมาที่อ่างเคาน์เตอร์ครัว

“ไม่ยักรู้ว่า...เจ้านี่เป็นผีขี้บ่นเหมือนกันนะเนี่ย” เสียงยมทูตหนุ่มหัวเราะเบา ๆ

"ก็ใครใช้ให้ท่าน ชอบไปหาเรื่องคนเดียว" เจ้าตัวพยายามก้มหน้าก้มตามองเฉพาะแผล

"ห่วงข้า ?" น้ำเสียงหยอกเย้าแล้วก้มมองหน้าผีหนุ่ม

"เปล๊า...แค่กลัวว่า...ถ้าท่านตายไป ข้าจะไม่ได้ไปเกิดใหม่" ประโยคนั้นเรียกเสียงหัวเราะหึเบา ๆ จากยมทูต

"ห่วงข้า...ก็พูดมาตรง ๆ ไม่ต้องอ้อมค้อม...เวลาเจ้าเลิ่กลั่กแบบนี้...มันน่ารักเกิน"

ประโยคนั้นทำผีหนุ่มที่ถือขวดน้ำเกลือทำตาขวางใส่ ก่อนจะหน้าแดงก่ำเมื่อคนเจ็บพูดต่อลอย ๆ

“ข้าพูดจริง...เจ้าน่ะเป็นผีน่ารัก...”

มือแข็งแรงข้างขวาโอบคว้าข้อมือคนตัวเล็กที่ชะงักกึก ก่อนจะกดให้เทน้ำเกลือลงมา

“เทมาเถอะ...ข้าไม่เจ็บหรอก...เจ้ามือเบาจะตาย”

เมื่อคนเจ็บอยู่ทางซ้ายมือ และผีหนุ่มอยู่ด้านขวา ท่าทางดังกล่าวทำให้คล้ายกับว่าร่างสูงกว่ายืนซ้อนอยู่ด้านหลัง เสียงแผ่วเบาที่กระซิบอยู่ข้างหลังทำให้มือบุรุษพยาบาลจำเป็นสั่นนิด ๆ ไออุ่นจากด้านหลังทำให้จู่ ๆ หน้าร้อนขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ

“เจ้านี่ เทยังไงกัน ไม่เห็นโดนแผลเลยเจ้าผี ตัวสั่นไปหมดแบบนี้แล้วจะทำแผลได้ยังไง” น้ำเสียงคนด้านหลังคล้ายหัวเราะครึ้มใจ ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดต้นคอด้านหลัง

“ข้า...ข้า...จับขวดน้ำเกลือไม่ถนัด...ท่านปล่อยสิ”

เสียงบ่นอุบอิบกับแก้มที่แดงแข่งกับแผลของสีหราช ทำให้ยมทูตจำใจต้องปล่อยมือลงก่อนจะกระซิบเบา ๆ

“ขอบใจ...ที่ห่วงข้า...เจ้าตัวเล็ก” พลางสูดลมหายใจเบา ๆ ใกล้ผิวแก้มร่างตรงหน้า

...ข้าชอบกลิ่นหอมของเจ้าจริง ๆ ...เจ้าตัวเล็กตัวน้อยของข้า...
..................................................................................

ดึกแล้ว...สมุดบันทึกปกหนังเล่มนั้นวางอยู่บนเคาน์เตอร์ สีหราชคว้ามาเปิดอ่านไล่ดูทีละหน้าอย่างตั้งใจ ร่างสูงกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง ขณะที่มรุตเดินเข้ามาอย่างสนใจใคร่รู้ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิบนพื้นข้างเตียง ดวงตากลมโตมองจ้องมานิ่ง ๆ อย่างสนใจ ขณะที่เจ้าเฉาก๊วยวิ่งปุ๊กปิ๊กเข้ามาพันแข้งพันขาของเจ้านายตัวน้อย

"แผลดีขึ้นหรือยัง...ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า..." ผีหนุ่มถามเบา ๆ ขณะที่เจ้าตัวคนมีแผลเผลอเม้มปากแน่นแล้วหลบตาวูบก่อนจะทำสีหน้าเหมือนเจ็บปางตาย

...จะบอกได้ยังไงเล่า ว่าสุรายมโลกทำให้แผลหายเรียบร้อยแล้ว...

"อืม...ก็...ยังเจ็บอยู่เลย ยกแขนไม่ค่อยขึ้น อยากกินอะไรก็ไม่ถนัด...อย่างตอนนี้ ข้าหิวน้ำมากเลย..."

...ขอเลียนแบบเจ้าสักหน่อยละกันนะเฉาก๊วย...เพิ่งรู้ว่าทำตาอ้อน ๆ แบบนี้แล้วจะมีผีใจดีทำให้ทุกอย่าง...

สีหราชซ่อนยิ้มนิด ๆ เมื่อผีหนุ่มรีบหมุนตัวออกไปหยิบแก้วน้ำเย็นมาให้เขาทันที

...ถ้ารู้ว่าป่วยแล้วจะมีผีน่ารักมาเอาใจ..จะแกล้งป่วยมันทุกวันเลย...

"ท่านนี่นะ ปากหนักจริง ๆ ถ้าข้าไม่ถามจะบอกไหมว่าเจ็บอยู่...แล้วยังไม่พักอีก..." ผีขี้บ่นโวยเบา ๆ ก่อนจะยื่นแก้วน้ำให้

"ป้อนหน่อย...ป้อนหน่อยนะเจ้าผี...นะ"

"มืออีกข้างก็มี...ทำไมไม่หยิบเองเล่า..." ผีหนุ่มเกาหัวเบา ๆ อย่างข้องใจ

"ก็...ข้าถือสมุดเล่มนี้อยู่นี่...เกิดน้ำหกขึ้นมา สมุดโบราณเล่มนี้ก็เสียหายหมดสิ”

“...”

“ป้อนหน่อยไม่ได้หรือ...ข้าเจ็บขนาดนี้แล้ว เจ้ายังจะใจร้ายอีก"

“...”

ผีหนุ่มตรงหน้าทำหน้าไม่ถูก เหมือนสองจิตสองใจ แต่ยมทูตหนุ่มตีหน้านิ่ง ๆ ไม่รับแก้วน้ำเสียอย่าง สุดท้ายเจ้าตัวก็เลยขยับกายเข้ามาใกล้แล้วประคองต้นคอและป้อนน้ำให้แต่โดยดี

เหมือนจะพัฒนาขึ้นหน่อย...ดีกว่าสมัยนั้น...ครานั้นป้อนแล้วข้าสำลักแทบตาย

"นี่...เจ้าใส่น้ำหวานลงไปในน้ำด้วยหรือ..." เขาถามหน้าตาย หลังจากเจ้าผีน้อยเอาแก้วน้ำคืนกลับไป

"ไม่นะ...ทำไม รสชาติมันแปลก ๆ อย่างนั้นหรือ ?" ผีตรงหน้าพาซื่อก่อนจะยกแก้วน้ำมองอย่างงง ๆ

"อืม...วันนี้หวาน...หวานกว่าปกติ...ที่เคยดื่มมา" สายตาเจือความหมายบางอย่างแล้วลอบยิ้มในใจเมื่อผีตรงหน้าหน้าแดงขึ้นมาเสียเฉย ๆ 

"อย่ามาล้อเล่นน่า น้ำเปล่ามันจะหวานได้ยังไง" ก่อนเจ้าตัวจะรีบเปลี่ยนเรื่องคุย แววตายมทูตป่วยรู้ทันแต่ทำเป็นไม่เห็น

....ควรผ่อนบ้าง...เดี๋ยวจะมีผีหัวใจล้มเหลวแถวนี้....

“ว่าแต่สมุดนั่น...เป็นของใครหรือ ทำไมดูเก่าแก่นัก” เจ้าตัวเล็กวางแก้วน้ำลงแล้วชะเง้อหน้ามามอง ท่าทางอยากรู้อยากเห็นทำให้สีหราชยิ้ม

“เป็นสมุดของคนที่ข้ารักและเคารพที่สุดคนหนึ่ง...” มือหนาลูบปกหนังในมือเบา ๆ อย่างถนอม เจ้าตัวจ้อยเอาคางเกยกับเตียงนุ่ม ๆ ก่อนจะพังพาบนิด ๆ อยู่ข้างเตียง

“ในเล่มนี้...มีเรื่องเล่าด้วยนะ...เจ้าอยากฟังไหม” ยมทูตหนุ่มมองนิ่ง ๆ

“อะไรหรือ...นิทาน...?” ดวงตากลมโตจ้องมาอย่างใคร่รู้

“อยากฟังไหม...” ยมทูตถามย้ำ ก่อนจะมองนิ่ง ๆ ด้วยแววตาหม่น แล้วจ้องใบหน้าผีน่ารักที่กลิ้งตะแคงเกยคางอยู่ข้าง ๆ เตียง

“เอาสิ...สมัยเด็ก ๆ ข้าชอบฟังนิทาน แม่เล่าให้ข้าฟังบ่อย ๆ” เสียงใสเริ่มงัวเงียนิด ๆ

“กาลครั้งหนึ่งย้อนไปราว 200 ปี มีเด็กชายคู่หนึ่งเติบโตมาด้วยกัน คนหนึ่งเป็นนักดาบและอีกคนเป็นทั้งน้องและสหายคู่ใจ คนหนึ่งดุและไม่ค่อยพูดไม่ค่อยมีเพื่อนเพราะพูดน้อย ส่วนอีกคนกำพร้าแต่เล็กถูกส่งเป็นทาสสินไถ่ แต่กลับสดใสร่าเริง มองโลกแง่ดีไม่คิดร้ายกับใคร” สายตาสีหราชจับจ้องใบหน้าคนที่เกยคางและคว้าหมอนบนเตียงเขาไปกอดเล่น

“คนดุ ๆ นั่นทำไมคล้ายท่าน” เสียงคนตัวเล็กงึมงำก่อนยิ้มนิด ๆ ดวงตาคู่สวยเริ่มหรี่ปรือ

“สองคนรักกันมาก ผูกพันด้วยชีวิตอยู่หลายครั้ง และมีสัญญาว่าจะเดินทางท่องโลกด้วยกัน แต่โชคชะตาทำให้ต้องพรากจาก เมื่อคนพี่เดินทางไปส่งดาบที่ต่างเมือง พอกลับมา...ถึงรู้ว่าทั้งเรือนโดนคำสั่งถูกไล่ล่าข้อหาอั้งยี่ซ่องโจร ผู้คนบนเรือนล้วนถูกสังหารสิ้น ไม่เว้นแม้แต่เด็กเล็ก หรือผู้สาวผู้ชรา...สหายน้อยต้องตรวนโทษหลวง...” น้ำเสียงค่อย ๆ แผ่วลงทีละนิด

“เขาทำจริง ๆ หรือ ข้าว่าคนที่ใจดีอย่างนั้น ไม่มีทางทำสิ่งที่ผิดแน่...”

สายตาสีหราชทอดอ่อนมองคนช่างพูดตรงหน้า

“ไม่ทำ...เด็กชายคนนั้นหัวใจใสสะอาดเกินผู้ใด”

“แล้วทำไมถึงโดนข้อหาหนักแบบนั้น...” ผีหนุ่มครางเบา ๆ

“เพราะพวกเขาช่วยเด็กบริสุทธิ์คนหนึ่งให้รอดตาย...และไม่ยอมส่งตัวให้หลวง...เลยต้องโทษ” สายตาสีหราชหม่นเศร้า

สิ่งที่สีหราชไม่ได้พูดออกไปคือ แท้จริงแล้ว...เพราะล่วงรู้ความลับของวังหลวง...จึงต้องสิ้น...

“ไม่มีใครช่วยแก้ต่างให้เขาบ้างเลยหรือ”

“ไม่...ไม่มีใครกล้าขัดราชอำนาจสักคน...ได้แต่ก้มหน้าไม่อาจมองการสังหารหมู่...ใครที่ทนไม่ได้ก็เข้าเรือนตัวเองไป”

ดวงตาของผีหนุ่มปริ่มน้ำตาคลอ...

“ทำไมเขาไม่หนีล่ะ ไม่สิ...ทำไมไม่สู้ล่ะ...”

“สู้แล้ว...คนน้องมีฝีมือดาบไม่เป็นรองใคร สามารถสู้กับทหารหลวงนับสิบ แต่สุดท้ายก็ยอมจำนนเพราะทหารขู่ว่าจะยอมเว้นชีวิตให้อีกผู้หนึ่ง ด้วยความกลัวอีกคนจะถูกลากมารับผิดด้วย เขาจึงยอมให้จับใส่ตรวน”เสียงเจ้าตัวกล้ำกลืน

ประโยคนั้นทำให้เจ้าตัวเล็กตรงหน้าน้ำตารื้นก่อนจะร่วงเผาะลงบนเตียงนุ่ม

“ไม่ยุติธรรมเลย แล้ว...คนพี่ล่ะ...มาช่วยทันใช่ไหม...” เสียงแหบพร่าเจือสะอื้นปลายเสียง

“เปล่า...เขาพยายามแล้ว สังหารทหารหลวงที่คุมขบวนนักโทษ แต่ทันเพียงแค่กอดลาคนน้องในอ้อมแขน” เสียงเหมือนจะหายไป ดวงตาสีหราชจ้องมองร่างตรงหน้าอย่างแสนรักและอาวรณ์

“หลังจากนั้นคน ๆ นั้นก็ล้างบางทุกคนที่เกี่ยวข้องจนหมด...แต่ก็ไม่อาจคืนชีวิตคนที่รักให้คืนมา”

“ทำไมเป็นนิทานที่เศร้าขนาดนี้...ข้าไม่ฟังแล้วได้ไหม...ฟังแล้วปวดใจอย่างไรก็ไม่รู้...”

ผีหนุ่มซุกหน้าลงเช็ดน้ำตา ทันใดนั้นคล้ายมีสายลมวูบหนึ่งพัดเข้ามาพร้อมกับเกลียวแสงสีฟ้าอ่อนที่พัดวนรอบกายผีหนุ่ม...เจ้าตัวก็รู้สึกง่วงงุนกะทันหัน เปลือกตาหนักอึ้ง แล้วม่อยหลับไปในบัดดล...

สีหราชถอนใจเบา ๆ ก่อนจะอุ้มร่างเล็ก ๆ ขึ้นมานอนบนเตียง แขนข้างหนึ่งโอบผีหนุ่มที่หลับใหลไว้แนบอก...

อักขระโบราณลอยปรากฏรายล้อมรอบกายผีหนุ่ม อักษรบาลีสีฟ้าระยิบระยับพลันไหลเข้าไปในร่างของผีหนุ่มทีละน้อยจนกระทั่งหมดสิ้น...แสงสว่างสีเหลืองทองวาบขึ้นก่อนจะเลือนหายไปในร่างตรงหน้า...

เสียงฟ้าคำรามคำรนดังขึ้นไกล ๆ ก่อนจะมีเสียงฟ้าผ่าลงมาใกล้ ๆ พร้อมกับสายฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

......เบื้องบนกราดเกรี้ยว...เพราะเขาละเมิดข้อห้ามของยมโลก...อีกข้อ...ด้วย "มนตราย้อนอดีต"

แต่ช่างมันปะไร ! ขอเพียงปลุกความทรงจำในอดีตชาติได้...ต่อให้ต้องสูญตบะที่บำเพ็ญมากึ่งหนึ่ง เขาก็พร้อมยอมแลก...

ได้โปรด...มนตราต้องห้าม...ปลุกความทรงจำในอดีตชาติของเจ้าตัวจ้อยทีเถิด

ริมฝีปากของยมทูตหนุ่มกดประทับแนบบนเรือนผมนุ่มของคนในอ้อมแขน

ขอเพียงได้เจ้าคืนกลับมาเท่านั้น...ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน...
.........................................................................


ฺButlerofLOVE : เอาแล้วค่า งานนี้พี่แกเล่นละเมิดข้อห้ามของแดนยมโลก...บทลงโทษจะเป็นยังไงตามกันตอนต่อไปเลยค่ะ ^^
 :o12:
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 28/12/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 29-12-2020 23:58:02
ง่าาา อย่าเจ็บปวดอีกเลยน้าาาร
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 28/12/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 31-12-2020 00:06:59
ท่านยมคนจริง แหกกฎตลอด 55555555 เอาใจช่วยนะให้มรุตจำได้ อ้ายสีห์รอนานแล้ว  :กอด1:

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 28/12/2020]
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 01-01-2021 15:36:44
CHAPTER
22




เหมือนกำลังเดินอยู่ท่ามกลางความฝัน หมอกสีขาวลอยเรี่ยพื้นไปทั่ว เสียงเรียกที่ดังขึ้นทำให้มรุตเหลียวไปมองก่อนจะงุนงงเมื่อสตรีวัยกลางคนหันมาหาและยื่นหม้อดินเผาใบน้อยให้ตรงหน้า ภาพตรงหน้าทำให้ชะงักกึกเพราะยามนี้มรุตยืนอยู่ใต้ถุนเรือนไม้โบราณแห่งหนึ่ง ด้านหนึ่งไม่ไกลนักเป็นลำน้ำไหลริน ผู้คนมากมายและกลิ่นควันจากเตาดินเผาที่กำลังสูบลมด้านหนึ่งทำให้เจ้าตัวเผลอมองอย่างตื่นตาตื่นใจ

“อ้ายอินทร์...เหม่ออันใดเล่า ข้าฝากยาบำรุงหม้อนี้ไปให้แม่หญิงนากด้วยได้ฤาไม่”

กลิ่นยาต้มนั้นไม่น่าพิสมัยจริง ๆ เขาทำหน้าแหยก่อนจะเงยหน้ามองสตรีวัยกลางคนตรงหน้า

“เอ่อ...คือ”

“ยกไปเถิด ไปกับอ้ายเชิดก็ได้ ถึงนางจะเอาแต่ใจไปบ้าง แต่นางก็มิได้มีนิสัยเลวร้ายอันใด”

ประโยคนั้นทำให้เขางุนงงไปครู่หนึ่ง

ใครคือ...แม่หญิงนาก...แล้วเขา...อ้ายอินทร์ ?

ผู้ชายอีกคนรูปร่างล่ำสันผิวสองสี ท่าทีแย้มยิ้มร่าเริงเดินตรงมาหาเขา ก่อนที่ภาพจะตัดมาที่เรือนไม้ขนาดใหญ่โตมโหฬารตรงหน้า เรือนใหญ่ขนาดนี้ดูท่าว่าคงเป็นของผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่เป็นแน่ แต่ก็คล้ายกับว่ากำลังเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น ผู้คนบนเรือนวิ่งกันให้วุ่นวาย เสียงกราดเกรี้ยวตวาดอึงดังขึ้นเป็นระยะทำให้เขาต้องนิ่วหน้าทันควัน

ในความฝันนั้น เขากำลังเดินประคองยาหม้อของแม่คำหล้าพลางยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ตรงบันไดเรือน บ่าวคนหนึ่งวิ่งลงมาชะงักเมื่อเห็นเขายืนอยู่

“ข้า..เอายาบำรุงมาให้แม่หญิงนาก...” มรุตเอ่ยอย่างตะกุกตะกักคล้ายไม่แน่ใจนัก

“เดี๋ยวข้าไปเรียนแม่นมก่อน รอสักประเดี๋ยวนาพ่อ...”

และไม่รอคำตอบ บ่าวนั้นรีบปราดขึ้นไปบนเรือนอีกครา เสียงสนทนาที่ลอดมาจากห้องด้านบน ทำให้มรุตขมวดคิ้วงุนงง

“...แม่หญิง...เขาไม่รักเราเสียแล้ว อย่าทรมานตนเองเยี่ยงนี้อีกเลย” เสียงสตรีคนหนึ่งดูคล้ายจะมีอายุดังขึ้น

“...หากก่อนหน้านั้น อาจไม่สนใจได้ แต่เมื่อลึกซึ้งเยี่ยงนี้..จะให้ข้าตัดใจได้เยี่ยงไร !”

เสียงตวาดของแม่หญิงที่ชื่อนากทำให้มรุตนิ่งงัน ก่อนจะตัดสินใจวางหม้อยาบำรุงไว้บนแคร่ แล้วหมุนตัวออกมา...
................................................................

เหมือนโทรทัศน์ที่ตัดสลับรวดเร็ว เวลากลางวันผันเปลี่ยนเป็นยามราตรี เสียงสนทนาและเอ็ดอึงกันเบา ๆ ริมศาลาท่าน้ำ ทำให้ต้องขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะย่องไปฟัง เงาดำตะคุ่มสองร่างที่อยู่ท่าน้ำคล้ายโต้เถียงรุนแรง ความสงสัยทำให้มรุตก้าวเข้าไปใกล้จนได้ยินบทสนทนาบางส่วนที่ให้เลือดในกายแข็งตัวในบัดดล

“จักให้ข้าทำเยี่ยงไร ข้าไม่อาจรอได้อีก” สตรีผู้หนึ่งกึ่งจะร่ำไห้พร้อมกับเสียงสั่นพร่า

“อย่าบีบบังคับข้าแม่หญิง! อย่าให้ข้าต้องรับในสิ่งที่ข้าไม่ได้ทำ!”

เสียงนั่น...คุ้นเคยนัก...อ้าย...อ้ายสีหราช ?

“ท่าน ! ท่านช่างกล้า! ข้าไม่คิดเลยว่าคนอย่างท่านจะทำตัวเยี่ยงนี้ เสียดายนักมิคาดว่า บุตรบุญธรรมของเจ้าจอมมารดาพิมจะเป็นคนเยี่ยงนี้ อย่าคิดว่าท่านจะรอดไปได้!”

เสียงกราดเกรี้ยวของสตรีผู้นั้นดังขึ้นก่อนจะหายไปในความมืดตรงหน้า มรุตยืนแข็งเป็นหินก่อนจะเผลอซวนกายไปชนกับโคนไม้ใกล้ ๆ

“ออกมาเถิด อ้ายอินทร์ เจ้าได้ยินหมดแล้วใช่ฤาไม่” เสียงเปรยแผ่วเบาดังขึ้น ก่อนที่เจ้าตัวจะหันกลับมา

น้ำเสียง...และใบหน้าที่คุ้นตา...อ้ายสีหราช !

ยมทูตหนุ่มในวัยฉกรรจ์ อยู่ในชุดแต่งกายโบราณยืนกอดอกอยู่ตรงหน้าเขา สายตาที่มองมา...อ่อนหวานระคนหม่นเศร้า

เหตุใด...หัวใจถึงเต้นรัวนัก...เพียงแค่สายตาอ่อนหวานของคนตรงหน้า...

แต่ก่อนจะทำสิ่งใด สีหราชก็ก้าวยาว ๆ ปราดมาคว้าท่อนแขนไว้ก่อนดึงมากอดแนบอก

“ต่อให้ใครไม่เชื่อข้า ข้าไม่สนใจ ขอเพียงแค่เจ้า...เจ้าเชื่อข้าฤาไม่...ข้าไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับนาง”

เสียงนั้นคล้ายอู้อี้เมื่อเจ้าตัวกดแนบริมฝีปากกับเรือนผมของเขา กลิ่นเครื่องหอมไทยบนเสื้อและกลิ่นเหงื่อจาง ๆ ของอ้ายสีหราชอวลอยู่รอบกาย แต่เขาได้แต่อึ้งตะลึงอย่างนั้น

“เอ่อ..ข้า...ข้าไม่รู้...”

จะให้ตอบสิ่งใดได้...เมื่อเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่คือความฝันหรือสิ่งใด

ท่าทางลังเลไม่แน่ใจทำให้คนตรงหน้าเหมือนจะน้อยใจ สีหราชก้มลงจับบ่าทั้งสองข้างไว้แน่นแล้วก้มหน้ามองนิ่ง ๆ

สายตาหวาน...มองตรงมาไม่หลบหลีกใด ๆ สายตาที่ทำให้จู่ ๆ ก็แก้มร้อนขึ้นมาเสียเฉย ๆ

“หากข้ารัก...คือรักมั่นไม่ผันแปร หากข้าไม่รัก...ต่อให้ฟ้าถล่มตรงหน้า ข้าก็ไม่มีวันเหลือบแล...ไม่เข้าใจฤา”

ต้นแขนเขาถูกคนตรงหน้าเกาะกุมจนอุ่นร้อน...และกำลังอุ่นกรุ่นไปถึงหัวใจ...

“ที่สำคัญ...ข้าจะไปทำเรื่องอย่างนั้นกับผู้อื่นได้เยี่ยงไร...เมื่อเจ้าอยู่ในหัวใจข้าตลอดมา”

สิ้นประโยคนั้น มรุตก็เงยหน้ามองคนพูดอย่างตื่นตะลึง

...วะ...ว่าอย่างไรนะ ! ….

สีหราชก้มมองอย่างแน่วแน่แล้วยกยิ้มจาง ๆ มืออุ่นเลื่อนมาปัดปอยผมคนตรงหน้าอย่างอ่อนโยน

“เมืองอินทร์...คือเจ้า...เจ้าคนเดียวเท่านั้นที่ข้ารัก...ตลอดมา และจะตลอดไป...” 

.........................................................................................

ประโยคนั้นทำให้หัวใจกระตุกวูบไหวทันที

...เหลว...ใจข้า...เหลวไปหมดเมื่อเห็นดวงตาร้อนระอุคู่นี้...

มือแข็งแรงคว้าจับข้อมือมันไว้ก่อนจะยกเชยขึ้นแล้วกดจุมพิตที่ข้อมือก่อนจะขบเม้มเบา ๆ ไล่ขึ้นมาจนถึงท่อนแขน ลมหายใจร้อนผะผ่าวไล่ความหนาวของยามราตรีไปทันที ดวงตาคมเงยขึ้นมองก่อนจะยกยิ้มแล้วดึงคนที่ตกตะลึงไปกอดแน่นแนบอก

“อะ...อย่า...อ้ายสีห์”

เหมือนจะพูดได้เพียงแค่นั้น เมื่อมือหนารัดเอวเขาไว้แน่นก่อนจะตรึงวงหน้าด้วยมืออีกข้าง เพลิงร้อนจุดขึ้นกลางดวงตาคมคร้าม ทุกอย่างเริ่มต้นรวดเร็วจนมรุตตื่นตะลึง คนตรงหน้ากลายเป็นพายุร้อนแรงที่พร้อมพัดทำลายทุกอย่างตามอารมณ์ กลีบปากเขาถูกคนตรงหน้ารุกรานและกัดขบเม้มเบา ๆ อย่างมันเขี้ยว ปลายลิ้นรุกรานจนเบลอสับสน ทุกอย่างในสมองขาวโพลน รู้สึกเพียงความนุ่มร้อนระอุที่แนบชิด เจ้าตัวถอนจูบออกก่อนจะจ้องตาแน่วแน่แล้วก้มลงจูบซ้ำอีกครั้ง

อาการบอกชัด...ตั้งใจในทุกสัมผัส ทุกรายละเอียดของจูบ...จนเขาหายใจแทบไม่ทัน

ไม่มีส่วนใดบนใบหน้าที่รอดพ้นไปจากจุมพิตคนใจร้อน จมูกโด่งไซ้ไล้ต่ำไปตามผิวกายที่หอมกลิ่นกระแจะจันทร์ เสียงร่างสูงที่รุกรานสั่นพร่างึมงำก่อนจะไล้จูบจากปลายขมับลงสู่ซอกคอขาว ๆ เขาได้แต่หรี่ตาปรือปรอยไปกับสัมผัสที่ร้อนแรงระคนหวานละมุน

“มองข้าด้วยสายตาหวานเยี่ยงนี้...อันตรายนะ เมืองอินทร์” เสียงกระซิบแผ่วเบาอยู่ข้างหู ทำให้รู้สึกร้อนผ่าว

เดี๋ยวก่อน...เมื่อครู่นี้ เขามองอ้ายสีหราชแบบใดกัน ?

บางสิ่งกลางอกไม่ได้ขัดขืนร่างตรงหน้า แต่กลับคล้ายว่าสุขล้น และพร้อมยินยอมวางลมหายใจไว้ในมือของบุรุษตรงหน้า

ใบหน้าร้อนผ่าวและแดงเรื่อ เสียงหอบเบา ๆ เมื่อหายใจไม่ทัน จนต้องทุบประท้วงคนตรงหน้าเบา ๆ ร่างกายสีหราชยามนี้ร้อนรุ่มและปลุกเร้าอย่างประหลาด อารมณ์ถูกปลุกให้ลุกฮือโหมกระหน่ำราวไฟป่า ไหล่กว้างโอบกระชับตัวเขาไว้แนบกาย เขาหน้าแดงก่ำเมื่อรู้สึกว่าบางส่วนด้านล่างของคนตรงหน้าแข็งขึงราวกับลูกธนูที่พร้อมจะดีดออกจากเกาทัณฑ์

ตายแน่...จูบแบบนี้ หายใจไม่ทัน!

“อย่าเมินข้า...อ้ายอินทร์...” เสียงงึมงำแหบพร่ากระซิบที่ข้างหู

“ข้าทนไม่ได้เมื่อเจ้าเมิน ข้าปวดร้าวเมื่อเจ้าห่างหาย ข้ายิ้มได้เพียงเห็นรอยยิ้มของเจ้า”

เสียงนั้นราวละเมอจากส่วนลึกของหัวใจ ก่อนที่จะบรรจงจูบแผ่วเบาที่หน้าผากเขาอย่างถนอม

“หากทั้งหมดนี้คือสิ่งที่หัวใจบอกข้า ข้าก็มั่นใจว่ามันคือรัก...”

“บอกข้าบ้าง...หากเจ้ารู้สึกไม่ต่างกัน...” สีหราชเอ่ยแผ่วเบาก่อนจะมองตาคนในอ้อมกอด

แม้จะเป็นสุข...แต่กลับปวดร้าวเจียนตาย....เหมือนว่าใจกำลังสลาย...

แล้วเหมือนไม่ใช่ตัวเองเลยเมื่อในฝันนั้น เป็นเขาเองที่ฝืนผลักร่างสูงให้ออกห่าง ก่อนจะทรุดกายอย่างหมดเรี่ยวแรงบนพื้น
หยดน้ำตาพรู...กบตา

“ไม่...ไม่ได้...ทำเยี่ยงนี้...ไม่ได้..” เสียงกระท่อนกระแท่นของเมืองอินทร์ดังขึ้น เจ้าตัวเม้มปากอย่างอัดอั้นใจ

สีหราชเอื้อมมือหวังจะดึงร่างที่ทรุดอยู่ขึ้นมา แต่เป็นเขาที่ปัดมือที่เอื้อมมาทันควัน..

“ท่านและข้ากำลังสับสน...อ้ายสีห์...ความรู้สึกนี้เป็นจริงไม่ได้...”

หลากหลายความรู้สึกและความคิดที่ประดังกันขึ้นมากลางหัว เป็นความรู้สึกที่ปวดร้าวยากจะข่มใจ

...อ้ายสีหราช...น้องบุญธรรมผู้ที่จะก้าวเป็นเจ้าเหนือชีวิตคนต่อไป...จะมาผิดจารีตแลรักกับบุรุษมิได้...

...มีเพียงเขาที่รำพันในหัวตัวเองซ้ำไปซ้ำมา...

...ได้โปรดเถิดอ้ายสีห์... หากไม่คิดถึงตน โปรดคิดถึงสำนักดาบแลพ่อสิน...เกียรติวงศ์ตระกูลทั้งหลายจะมลายสิ้น...

หากยอมให้อารมณ์ความปรารถนาอยู่เหนือศักดิ์ศรีของตระกูลของพ่อสิน เขาจักไม่เป็นคนอกตัญญูดอกหรือ

คนรักประเภทใดกัน...ที่เอาเกียรติของคนที่ตนรักและชาติตระกูลมาทำลายทิ้ง...

หากต้องมีสิ่งใดที่ย่อยยับ...ขอให้เป็นหัวใจเขาเพียงผู้เดียวเถิด...

“.อ้ายสีห์...ท่านเป็นดั่งพี่ชายข้า...ข้าเห็นท่านเป็นดั่งพี่ชาย...”

ประโยคนั้นราวกับสายฟ้าฟาดลงมาระหว่างคนทั้งสอง

นานกว่าที่คนทั้งคู่จะเอ่ยสิ่งใดออกมา แล้วเสียงสีหราชดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ

“มองตาข้าได้ไหมอ้ายอินทร์...หากเจ้าไม่รักก็จงมองตาข้าแล้วเอ่ยออกมา..”

มีเพียงเสียงสะอื้น...เบาจากร่างที่อยู่ตรงนั้น ในที่สุดก็มีเสียงดังขึ้นกลางความเงียบ

“...ข้าไม่เคยรักท่าน...ข้าเห็นท่านเป็นเพียง...พี่ชาย อ้ายสีห์” น้ำเสียงคนพูดสั่นเครือ

มือหนาที่ประคองอยู่นั้นคล้ายตกลงข้างกายอย่างหมดเรี่ยวแรง...ร่างสูงของสีหราชนิ่งงันก่อนจะหันหลังช้า ๆ แล้วถอยออกมา ประโยคสุดท้ายดังขึ้นแผ่วเบา

“เจ้าจักโกหกผู้ใด ก็ทำไปเถิด...แต่มีผู้เดียวที่เจ้าโกหกไม่ได้...อ้ายอินทร์...คือ หัวใจเจ้าเอง...”

“ไม่ใช่เพียงเจ้าที่จักเจ็บปวด...แต่เป็นข้าที่เจียนตายกับเจ้าด้วย...”

ร่างนั้นยืนนิ่งก้มหน้ามองผืนน้ำยามราตรี แล้วหันมองร่างตรงหน้าอีกครั้ง

“เอาเถิด...หากเจ้าปรารถนาเช่นนั้นจริง...ข้าจักไม่มายุ่งกับเจ้าอีกเลย อ้ายอินทร์...”

เสียงนั้นแหบโหย...ราวกับเจ้าตัวพยายามเค้นเสียงที่ไม่เหลืออยู่ออกมา

“ข้าจะไม่ยุ่งกับเจ้าอีก แม้ว่ามันจักทำให้ข้าเจ็บเจียนตายก็ตาม...”
......................................................

ในฝัน...ความรู้สึกของคนที่ชื่อ “อ้ายอินทร์” ปะปนสับสนไปหมด ความปวดร้าวกลางอกเมื่อครู่ยังไม่ทันหาย ภาพก็ตัดสลับมาอีกครั้ง เขากำลังนั่งอยู่ตรงหน้าชายสูงวัยบุคลิกน่าเกรงขามผู้หนึ่ง แววตาอารีที่มองมาที่เขา บอกถึงความผูกพันและเอ็นดูห่วงใย และเหมือนเจ้าตัวจะเสียใจกับคำพูดของเขาไม่น้อย

“ข้าจักหาเงินที่พ่อปู่อินทร์แขวนยืมไปจากท่านพ่อครู...ข้าจักหาเงินมาไถ่ตัวข้าเอง !”

“อ้ายอินทร์เอ๋ย....เหตุใดจึงคิดจะไปจากเรือนนี้เล่า ที่นี่มิใช่บ้านของเจ้าแล้วดอกหรือ....” ชายสูงวัยตรงหน้า “พ่อครูสิน” ถามเบา ๆ แต่เขาได้แต่ก้มหน้างุดมองพื้นเรือนอยู่อย่างนั้น ความรู้สึกทั้งสุขและเศร้าคละเคล้ากันไป เนิ่นนานกว่าจะยอมพูด

“ข้า...มิอาจทำให้ที่นี่แปดเปื้อน...”

ประโยคที่เขาเอ่ยขึ้นนั้นทำให้ชายสูงวัยชะงักค้างไปครู่หนึ่ง แววตาทอแสงอ่อน

“ข้าจักเป็นไท แล้วไปตั้งตัวสักแห่งที่ไกล ๆ ขอพ่อสินโปรดให้อิสระข้าด้วยเถิด...”

สิ้นประโยคนั้นทำให้ “พ่อครูสิน” ตรงหน้าน้ำตารื้นก่อนจะรั้งตัวเขาเข้ามากอดเบา ๆ

...แปดเปื้อน...คำเดียว พ่อครูคงกระจ่างแจ้งแก่ใจ..ว่าหมายถึงสิ่งใด...

เพราะรัก...จึงมิอาจสร้างทำลายชื่อเสียงผู้ที่ตนรัก...

“อ้ายอินทร์...ข้าเห็นเจ้าเป็นดังลูก...ไม่เคยคิดเป็นอื่น เรื่องเงินทองสินไถ่นั้น ข้ายกให้เจ้า...เมืองอินทร์”

“มิได้ ! พ่อสินเลี้ยงข้ามาอย่างดี ไม่เคยปล่อยให้อดอยากหรือเจ็บไข้ เท่านี้ก็บุญคุณเหลือล้น หากพ่อเมตตาข้า ขออย่าบอกเรื่องนี้กับผู้ใด...ทั้งสิ้น”

...ไม่ต้องเอ่ยว่า ผู้ใด...ที่ว่าหมายถึงใคร เพียงมองตาก็รู้แจ้ง...

“อย่าเพิ่งไปเลยอ้ายอินทร์เอ๋ย เมื่อย่ำรุ่งอ้ายสีห์ก็เพิ่งออกเดินทางไปหัวเมืองเหนือ จงรั้งรอให้มันกลับมาก่อนเถิด จะได้กล่าวคำลา...”

‘อ้ายอินทร์’ หรือมรุตนิ่งเงียบ แต่ในใจรู้ดีว่า...

หากเห็นหน้าแล้ว...คงมิอาจตัดใจลา

...........................................................

“อ้ายอินทร์...ข้าไม่สบายใจเลย เหตุใดเจ้าจะทำอะไรเยี่ยงนี้”

เสียงของบุรุษผิวสองสีคนเดิมดังขึ้น ‘อ้ายเชิด’ ก้าวพรวด ๆ เข้ามาในเรือนพักเมื่อตะวันใกล้จะพลบด้วยท่าทีกระสับกระส่าย ทำให้เขาหันมามองก่อนจะถอนหายใจช้า ๆ

“ข้าอยากเป็นไทเสียที อ้ายเชิด เอ็งไม่ได้อยากเป็นไทดอกหรือ”

เมืองอินทร์รวบรวมข้าวของส่วนตัวไว้ในห่อผ้าอย่างเรียบร้อย อัฐจำนวนมากนอนนิ่งอยู่ก้นห่อ

การมีฝีมือเชิงดาบนับว่าเป็นประโยชน์กับเขาไม่น้อย ใครเลยจะคิดว่าเมื่อครั้งเดินกาดเมื่อเดือนก่อน ก็เจอเข้ากับเรื่องทะเลาะวิวาทกันจนเขาและอ้ายเชิดต้องเข้าไปร่วมวงช่วยเหลือชายชราที่ถูกทำร้าย เมื่อทุกอย่างจบลง เขาพบกับหนึ่งในผู้ดูแลละครนอกชื่อดัง

พ่อทรัพย์ หรือขุนทรัพย์ หนึ่งในผู้จัดหานักแสดงละครนอกหน้าใหม่เกิดถูกตาต้องใจในรูปร่างหน้าตาของเขาเข้า

“เอ็งนี่หน่วยก้านดี ฝึกดาบด้วยฤา นี่ช่างเหมาะนัก รูปร่างหน้าตาผิวพรรณก็ละเอียด มิสนใจมาหาอัฐไว้ใช้บ้างฤา”

ยามนั้นเขาไม่สนใจสิ่งใด ได้แต่บอกปัดปฏิเสธคนชี้ชวนไป แต่แล้วรายนั้นยังคงเซ้าซี้อยู่สองสามครา อ้างว่าได้อัฐงามนัก เขาและอ้ายเชิดยังหัวเราะแก่กันร่วนว่า นักดาบอย่างเขาจักไปเป็นนักแสดงได้เยี่ยงไร

เสียงตะโกนไล่หลังยังดังก้องหู

“หากเปลี่ยนใจเมื่อใด จงบอกเถ้าแก่ฮงร้านสุราจีน แล้วข้าจักมาพูดคุยด้วย!”

เมืองอินทร์ยิ้มขื่น ๆ ให้ตนเอง

...เพียงคืนเดียวกันนั้นเองที่สีหราชสารภาพรักริมท่าน้ำ เขาก็คิดไม่ตกและกลัดกลุ้มทั้งคืน จนกระทั่งสองสามราตรีผ่านไปเขาจึงตัดสินใจลอบออกจากเรือนแล้วไปตกปากรับคำกับขุนทรัพย์

อัฐจากการเต้นกินรำกิน..ก็พอให้เขาซื้ออิสระแลความเป็นไทแก่ตัว

เกือบ 7-8 ราตรีที่มันเพียรสะสมมาตลอดครบแล้ว เพียงวันพรุ่งมันก็จะคืนทุกสิ่งแก่พ่อสินและออกเดินทาง

...ป่านนี้ อ้ายสีห์คงถึงหัวเมืองทางเหนือ และอีกหลายราตรีกว่าจะกลับ

...ดีแล้ว...หากเขาออกเดินทางในวันพรุ่ง ก็ไม่ต้องเกรงว่าจะได้พบหน้าอ้ายสีห์...อีก

“แล้วเอ็งจักไปที่ใดกัน อยู่ที่บ้านพ่อสินนี้เอ็งก็แทบไม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจ มีข้าวปลาอาหารสมบูรณ์ดี พ่อสินเลี้ยงทุกคนอย่างลูกหลานหาได้คิดเป็นอื่น ยามนี้จักเป็นเจ้าเองที่คิดการใหญ่จะออกไปสู้รบอยู่ข้างนอกเพียงคนเดียว” อ้ายเชิดส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วยในความดื้อดึงของคนตรงหน้า

“แล้วไอ้ละครนอกที่เอ็งไปช่วยเขาอยู่ทุกวันนี้ ถึงจะจ่ายอัฐให้มากก็ตาม แต่ข้าก็ยังคิดว่ามันแปลกประหลาดอยู่ดี”

“ข้ารู้...แปลกประหลาดก็จริง แต่เขาก็ให้อัฐข้าโขอยู่ มากพอจะคืนพ่อสินและเหลือสำหรับตั้งตัวในยามหน้า...”

“ละครนอกกระไร ไม่เล่นเรื่องรักใคร่ แต่เล่นเรื่องดาบเรื่องอาวุธ แล้วนี่เจ้ายังพาเอาเจ้าโชคไปด้วย” อ้ายเชิดส่ายหน้าพลางบ่นเบา ๆ อย่างข้องใจ

“ประหลาดอยู่ แต่เจ้าของคณะละครนอกคณะนี้เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง ดูท่าอาจเบื่อเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ แล้วกระมัง” เขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยเรื่องอื่นเป็นการตัดบท

“หึ! เจ้าพาเด็กอย่างอ้ายโชคไปคณะละครนั่นทุกวัน เดี๋ยวมันจะเปลี่ยนไปเต้นกินรำกินเยี่ยงเจ้ามิฝึกดาบจะทำเยี่ยงไร”

“อย่ากังวลเลย ส่วนเจ้าโชคก็เป็นเด็กซักซนไปตามประสา ดีอยู่ที่มันยอมรอข้าโดยไม่ซุกซนนัก หาไม้หาของละเล่นพอคลายเบื่อไป..แต่วันนี้คงเป็นวันสุดท้ายแล้วที่ข้าพามันไปที่คณะละคร”

“แล้วนี่ เจ้าบอกลาขุนทรัพย์ผู้ดูแลคณะละครอะไรนั่นแล้วหรือ ว่าเจ้าจะไม่ไปอีกแล้ว...” อ้ายเชิดถามขึ้น

“ข้าบอกไปแล้ว แต่ดูท่าเขาจักไม่พอใจนักที่ข้าจะลากะทันหัน แต่...ข้าตัดสินใจแล้วว่าข้าจะเป็นไท”   

สิ่งที่เมืองอินทร์ไม่ได้เอ่ยไปคือ สายตาที่คล้ายจะขุ่นเคืองผิดปกติ ก่อนจะมีนักแสดงละครนอกอีกหลายคนที่เข้ามาตามเขาแจราวกับจะสอดส่องว่าเขาหยิบสิ่งใดออกไปบ้างฤาไม่

...ใครจักลักเล็กขโมยน้อยกับข้าวของการแสดงกัน...

ไม่ทันจะคิดสิ่งใดต่อ เด็กน้อยตาหยีที่เกล้าจุกผิวขาวจัดวิ่งเข้ามาในเรือนพร้อมกับเสียงหัวเราะสนุกสนาน

“อ้าย อิง...เล่ง...” มือเล็ก ๆ คว้ากลักไม้สลักขนาดเท่ากำปั้นเด็กไว้ในมือก่อนจะเขย่าไปมา เสียงกร๊อกแกร๊กจากกลักไม้เหมือนมี
ลูกแก้วหรือบางสิ่งอยู่ในนั้น แต่กลักไม้ดังกล่าวไม่อาจเปิดออกมาได้เพราะมีสลักไม้หลายชิ้นจารอักษรไว้

...เหมือนกับกล่องกล…

...หากทายอักษรไม่ถูก ก็มิอาจเปิดกล่องได้…

เป็นเขาที่ขมวดคิ้วงุนงงก่อนจะทรุดกายลงตรงหน้าเด็กน้อยแล้วถาม

“ของเล่นนี้ เจ้าไปคว้าจากที่ใดมาฤาอ้ายโชค...ข้าไม่เคยเห็น...เจ้านี่ซุกซนนัก” ก่อนจะยีหัวทุยของเด็กน้อยเบา ๆ อย่างเอ็นดู แต่ก่อนจะหยิบกล่องไม้มาดู เสียงอ้ายเชิดที่ถามเบา ๆ  ทำให้ต้องละมือจากกล่องกลตรงหน้า

“เอ็ง...จักไม่รอกล่าวลาอ้ายสีห์จริง ๆ ฤา” เสียงอ้ายเชิดถามเบา ๆ

“ห้ามเอ็งส่งข่าวบอกอ้ายสีห์เด็ดขาดว่าข้าจะไปจากที่นี่ ไม่งั้นเอ็งกับข้าขาดกัน!” ยามนั้นเขากำชับคนตรงหน้า

“เอ็งนี่...ใจจืดใจดำ!” สิ้นประโยคนั้นอ้ายเชิดหมุนตัวออกไปทันควันและลากเอาเจ้าโชคออกไปด้วย ทิ้งมันไว้อยู่ในเรือนเพียงคนเดียว มือที่สาละวนเก็บเสื้อผ้าพลันหยุดลงก่อนเขาจะทรุดนั่งบนตั่งเล็ก ๆ อย่างหมดเรี่ยวแรง

นี่คงดีแล้ว...ดีที่สุดแล้ว...สำหรับทุกคน
..................................................................................

แต่แล้วภาพตรงหน้าพลันเปลี่ยน เรือนสำนักดาบและลานฝึกดาบกลายเป็นทะเลเลือดสีแดงฉาน ร่างผู้คนมากมายล้มอยู่รอบกาย เหล่าช่างตีดาบสูงวัยถูกฟันเข้ากลางหลัง เหล่าบ่าวไพร่ต่างล้มจมกองเลือดทั้งผู้บ่าวผู้สาว ไม่เว้นแม้แต่ผู้เฒ่าผู้แก่ บ้างรายก็ตะเกียกตะกายกระเสือกกระสนคลานบนลานดินตรงหน้าก่อนจะถูกดาบเสียบเข้าที่กลางหลัง ที่เหลือที่ยอมจำนนก็ถูกเหล่าทหารกุมตัวไว้มั่น เสียงร้องครางด้วยความเจ็บปวดระงมไปทั่วสำนักดาบ มือข้างหนึ่งของเขากระชับดาบคู่กายที่เปื้อนเลือดไว้ ไหล่ข้างหนึ่งถูกฟันเป็นแผลแต่เคราะห์ดีที่ถากเส้นเสือดใหญ่ไป ขณะที่ด้านหลังเป็นพ่อครูสินที่กอดเจ้าโชคที่ตัวสั่นงันงกไว้แนบกาย

“อ้ายเด็กนี่เป็นลูกหลานของอั้งยี่ ! จงส่งตัวมันมาเดี๋ยวนี้ !”

“ไม่คิดว่าทหารวังหลวงจะทำการอะไรไร้ขื่อแปเยี่ยงนี้ ! สำนักดาบเราไม่เคยทำผิดคิดคดต่อแผ่นดิน ! เหตุใดมาในยามวิกาลเยี่ยงโจร !” เขาตะโกนออกไปอย่างนั้น

จับเด็กน้อยคนเดียว...แต่กลับพาทหารเมา 30 ชีวิต ก็ประหลาดแล้ว !

“จะยามไหน...ก็ย่อมทำได้ทั้งนั้น เพราะข้า...กรมหลวงไกรสีห์สรคุณรั้งตำแหน่งชำระคดีความของเหล่าราษฎร์แลรักษาดูแลกรมเมือง เหตุที่เกี่ยวเนื่องกับความมั่นคงของแผ่นดินย่อมอยู่ในอำนาจของข้า !”

บุรุษสูงใหญ่รูปร่างสันทัดแต่งกายด้วยผ้าดิ้นทองงดงามยืนอยู่ตรงหน้า  แววตาแข็งกร้าวจ้องเขม็งตรงมาที่เขาและพ่อสิน ก่อนจะส่งสัญญาณให้ทหารกรูเข้าไปในเรือนพักด้านใน เสียงหวีดร้องของเหล่าบ่าวไพร่ผู้สาวหลายคนที่ซุกตัวหลบในเรือนดังขึ้นพร้อมกับเสียงดาบกระชากออกจากฝัก สิ้นเสียงหวีดร้อง เลือดสีแดงสดพลันไหลซึมลงตามร่องกระดานไม้สักก่อนจะหยดรินลงพื้นดิน

“ท่าน ! ไม่มีใครทำสิ่งใดผิดทั้งนั้น ! จงหยุดบัดเดี๋ยวนี้ !”

“มีคนกล่าวว่าที่นี่ซ่องสุมเตรียมการร้าย หากเจ้าช่วยเหลือเกี่ยวข้องกับอั้งยี่ ก็เป็นไปได้ว่าจะมีบางสิ่งที่เป็นภัยร้าย..”

ครู่เดียวทหารนายหนึ่งวิ่งย้อนออกมาพร้อมกับแผ่นหนังสัตว์สีน้ำตาลเข้มแผ่นหนึ่ง

“ทูลเสด็จ....พบแผ่นหนังสัตว์นี้ในห้องที่อยู่เรือนด้านในสุดติดเรือนอาบน้ำพระเจ้าข้า !”

....เรือนนั่นของอ้ายสีหราช ! แผ่นหนังนั่นไม่มีทางเป็นสมบัติในห้องของอ้ายสีห์ได้เด็ดขาด !

“เรือนนั่นใครเป็นเจ้าของ !” สายตาของเชื้อพระวงศ์นั่นวาววามและมองกราดมาที่ทุกคน หลายคนกำลังแตกตื่น บางอย่างทำให้เขาตัดสินใจโพล่งออกไปทันควัน

“ข้าเอง ! ข้าเป็นเจ้าของเรือนนั่น แต่ข้าไม่เคยเห็นแผ่นหนังดังกล่าว นี่พวกเจ้ากล่าวหากันชัด ๆ !”

“เมื่อหลักฐานพร้อมมูล และตัวเจ้าของก็อยู่ที่นี่...จัดการให้หมด !”

สิ้นเสียงเหี้ยมเกรียมนั้น ดาบจำนวนมากชักออกจากฝัก การตะลุมบอนก็เกิดขึ้นทันที แต่สำนักดาบมีจำนวนผู้คนน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด เพราะนักดาบที่แกล้วกล้าล้วนถูกนำไปคุ้มกันขบวนดาบที่ส่งหัวเมืองเหนือทั้งหมด เหลือเพียงเด็กรุ่นที่เริ่มฝึกเพลงดาบแลช่างฝีมือที่ตีดาบบางส่วนเท่านั้น

น้ำน้อย...แพ้ไฟก็ครานี้…

เขาสังหารเหล่าทหารหลวงไปกว่าสิบชีวิตที่ดาหน้าเข้ามา สายตาเมืองอินทร์จ้องเขม็งไปที่เชื้อพระวงศ์บนหลังม้า !

ขอเพียงจับอ้ายคนนั้นได้ ! มันก็จะหยุดทุกสิ่งตรงหน้าได้ !

แต่แล้วก่อนจะถลันตัวเข้าไป เขาก็พลันหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงร้องตะโกนจากด้านหลัง

“อ้ายอินทร์ ! หนี ! อ้ายโชคกลับมา! ” พ่อครูสินตะโกนลั่นก่อนจะกระชากดาบออกมาแล้วคุ้มกันอ้ายโชคตัวน้อย แต่เพราะเสียงม้าศึกและเหล่าทหารจำนวนมาก ทำให้อ้ายโชคตื่นกลัวจนตัวสั่นและสะบัดมือหลุดจากพ่อครูสิน อารามตกใจทำให้ชายชราถลาไปคว้าแขนเด็กน้อยไว้อย่างไม่ทันระวังตัว ทันใดนั้นเองแผ่นหลังกว้างของครูสินก็ถูกดาบทหารหลวงฟันฉับเข้าให้ เจ้าตัวถลาร่วงไปกองกับลานดิน เมื่อกัดฟันยันกายขึ้นมาก็ถูกดาบอีกเล่มแทงเสียบจากด้านหลัง

“อึ๊ก !” ร่างชรากระตุกค้างแต่ยังพยายามยื้อข้อมือเล็ก ๆ ไว้แน่น

“พ่อครู !” เป็นเขาตะโกนลั่นก่อนจะวิ่งสุดชีวิตกระโจนเข้าไปหาร่างที่จมกองเลือด ดาบในมือตวัดฉับเข้าที่ข้อมือของทหารหลวงคนนั้นก่อนจะเสือกแทงเข้าที่ลิ้นปี่ แล้วกระชากดาบออกพร้อมเลือดที่พรูทะลักเจิ่งนอง

“มะ...ไม่เป็นไร เจ้าเร่งพา...อ้ายโชค...หนี...หนีไป” พ่อครูสินกัดฟันผลักร่างเล็ก ๆ เข้ามาในอ้อมแขน

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนทำอะไรไม่ถูก ทุกอย่างในสมองคล้ายจะหยุดนิ่งกับภาพตรงหน้า แต่แล้วก็เป็นอ้ายโต สหายอีกคนปราดเข้ามารับดาบสองสามเล่มของทหารหลวงไว้พัลวัน แล้วตะโกนลั่นใส่หน้า

“ไม่ได้ยินฤา! อ้ายอินทร์ ! หนีไป รออ้ายสีห์กลับมา !”

สิ้นเสียงนั้นสติที่เตลิดคืนกลับมา เขากัดฟันแน่นปาดน้ำตาที่ร่วงพรูก่อนจะคว้าเอวอ้ายโชคที่ตัวสั่นงันงกอยู่แล้วลากมันวิ่งหนีทหารหลวงไปทางเรือนด้านหลัง

จันทราคืนนี้กลายเป็นสีเลือด หูเขา...ยังได้ยินเสียงดาบฟันลงมาสองสามครั้งพร้อมเสียงอ้ายโตที่ร้องโหยหวนไล่หลังตามมา

...หากนี่เป็นเพียงฝัน...ขอเถิด ตื่นขึ้นได้แล้ว...ตื่นที..
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 1/1/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 01-01-2021 23:13:35
เห้ออออ
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 1/1/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 02-01-2021 20:17:27
CHAPTER
23




หยดน้ำตา....ค้างบนปลายหางตา

เสียงนกร้องเบา ๆ จากด้านนอกปลุกให้มรุตที่หลับอยู่ค่อย ๆ กะพริบตาช้า ๆ สิ่งแรกที่เห็นคือเสื้อนอนสีขาวสะอาดตาที่แนบชิดตรงหน้า ทำเอาเจ้าตัวลืมตาโพลง

 เสื้อใคร...?

เมื่อเรียงเก็บเอาสติที่กระเจิดกระเจิงกลับเข้าร่าง ถึงรู้ว่าตอนนี้เขากำลังซุกตัวเป็นก้อนกลมอยู่ตรงแผ่นอกของยมทูตหนุ่มแถมยังทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของแผ่นอกตรงหน้าด้วยการขยำเสื้อไว้แน่นเสียด้วย เสียงหัวใจและไออุ่นที่แนบชิดทำให้มรุตตกใจรีบปล่อยมือและพลิกตัวหมายจะตะกายลงจากเตียง แต่สีหราชกลับคว้าแขนไว้ทันควันพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ

“กลิ้งแบบนั้น เดี๋ยวก็ได้ตกเตียงหัวโนกันพอดี...”

คำทักทายจากร่างตรงหน้าทำให้มรุตทำหน้าไม่ถูก...ใบหน้ายามนี้เดี๋ยวซีดเดี๋ยวแดงสลับกันไป

“ตื่นดีหรือยัง เจ้าผีขี้เซา...” เจ้าตัวเอ่ยขำ ๆ ก้มหน้ามอง ก่อนจะพูดเย้าเบา ๆ ราวกระซิบ

“...อกข้าอุ่นนักหรือ เจ้าถึงชอบมาซุกนัก...”

แววตาประหลาดของสีหราช..ที่ทำให้มรุตหน้าร้อนฉ่า...

อีกแล้วหรือ...เมื่อคืนเขาปีนขึ้นมาบนเตียงท่านยมทูตตั้งแต่เมื่อไหร่...จะว่านอนละเมอ...ก็ไม่น่าขนาดมาซุกอกกว้างนั่นได้
ความรู้สึกประหลาดบางอย่างที่บางเบาค้างคาจากความฝันทำให้เผลอใจเต้นเมื่ออยู่ใกล้คนตรงหน้า

ใจเต้นหนัก...ถึงขนาดเผลอเม้มปากกลืนน้ำลายช้า ๆ และไม่กล้ามองหน้าตรง ๆ

“ข้า...เผลอซุกท่านอีกแล้วหรือ...” มรุตอุบอิบเบา ๆ แต่เหมือนยมทูตหนุ่มจะไม่ได้ฟัง เพราะทันทีทีเห็นหน้าชัด ๆ เจ้าตัวก็ขมวดคิ้วแล้วเอื้อมมือมาปาดหางตาที่รื้น ๆ

“ฝันร้ายหรือ ?” สีหราชพูดพลางลูบหัวเขาเบา ๆ ไปมา ทำให้มรุตกะพริบตาปริบ ๆ

เมื่อคืนเขาคงฝันร้าย...แต่ตื่นมากลับจำอะไรไม่ได้เลย รู้แต่เพียงว่าเป็นความฝันที่แสนเศร้า และก็มีบางอย่างที่วาบหวามปะปนระคนกันไป

ความรู้สึกพิลึกพิลั่นอย่างเช่น หัวใจเต้นตึกตักเมื่อเห็นริมฝีปากหยักได้รูปของคนที่คร่อมร่างเขาอยู่ตอนนี้...

มรุตรู้สึกว่าตอนนี้หน้าเขาร้อนฉ่าไปหมด ยิ่งอยู่ใกล้สีหราชเหมือนจะยิ่งร้อนปรอทแตกหนักกว่าเดิม ได้แต่กระถดตัว ๆ หนีอ้อมกอดนั้นทีละนิด ๆ โดยไม่รู้เลยว่าอากัปกริยาทั้งหมดอยู่ในความสนใจของสีหราชตลอดเวลา

“เป็นอะไรไป...เจ้าปวดหัวอย่างนั้นหรือ ? ” สายตาสีหราชเหมือนกังวลขณะที่เขารีบส่ายหน้าพรืดเป็นคำตอบ

...จะบอกได้ยังไงเล่า...ว่าร้อนวูบตอนเห็นริมฝีปากหยักได้รูปตรงหน้า

“ แล้ว...จำอะไรในฝันได้บ้าง” สายตาสีหราชคล้ายประเมินบางอย่างแต่เขาก็ส่ายหน้าลูกเดียว

“ใครจะจำความฝันได้ ยิ่งเป็นฝันร้ายด้วยแล้ว...เป็นเพราะท่านทีเดียวที่เล่านิทานเศร้า ๆ ให้ข้าฟัง จนเก็บไปฝัน”

มรุตบ่นอุบอิบแล้วก้มหน้างุด ๆ หลบตาคนตรงหน้าก่อนจะพยายามกระถดตัวหนี

“...หน้าเจ้าแดงมาก...”

...หืม...หน้าแดง...แดงได้ยังไงกัน !...

แต่พอเงยหน้าขึ้นก็รู้ว่าเขาพลาดอีกแล้ว !  ไอ้ท่านยมตัวร้าย...

“ข้าสงสัยว่า ที่เจ้าหน้าแดงแบบนี้ เพราะมีไข้หรือเปล่า” ริมฝีปากได้รูปนั่นหยักยิ้มนิดหนึ่งก่อนจะก้มหน้าลงมาใกล้ ๆ
แถมยังคร่อมร่างเขาไว้บนเตียงอีกต่างหาก นี่มันฉากเลิฟซีนไม่เรอะ!

ลมหายใจอุ่นร้อนอยู่แนบชิด...จมูกเกือบแตะกัน...และหากขยับอีกนิดคงเป็นริมฝีปาก...

“จะ...ทำอะไร...” ทำไมเสียงเขาสั่นขึ้นมาเฉย ๆ ขณะที่สีหราชที่คร่อมตัวอยู่ด้านบนกลับตีหน้าตาย

“ก็วัดไข้อย่างไร สมัยข้า เขาก็วัดไข้กันแบบนี้ หน้าผากแตะหน้าผาก...” สีหราชเอ่ยหน้าตาเฉย

ใคร...ใครเขาวัดไข้กันอย่างนี้บ้าง !

“ข้า...ข้าไม่ได้เป็นไข้...” หน้าเขาร้อนไปหมด ได้แต่อุบอิบบอกคนที่คร่อมร่างเอาไว้

“อย่าดื้อสิ...อยู่นิ่ง ๆ ข้าอยากรู้ว่าร่างจำแลงจะเป็นไข้ได้ไหม..”

รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ไม่เคยเห็นทำให้หนาววูบทันที มรุตรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเป็นลูกแมวโดนราชสีห์หยอกเล่นยังไงก็ไม่รู้ แถมราชสีห์ตัวนี้ก็โตพอจะขย้ำเขาเสียด้วย โดยที่ไม่รอให้เขาตอบ จู่ ๆ เจ้าตัวก็ยิ้มกริ่มและก้มหน้าวูบลงมา ทำเอาเขารีบผลักคนตรงหน้าออกไปเต็มแรงแล้วกลิ้งตัวพรวดเดียวลงจากเตียง !

แต่เหมือนจะกลิ้งแรงไปหน่อย...

ปุ๊ก !

“อุ๊บ !”

ใช่แล้ว...มีผีตัวหนึ่งกลิ้งตกจากเตียงมาจุกแอ๊กแอ้งแม้งอยู่กับพื้นด้วยสีหน้าแหยเกพลางคลึงก้นตัวเองป้อย ๆ พร้อมกับเสียงหัวเราะลั่นของยมทูตหนุ่มที่ลุกขึ้นมาขัดสมาธิบนเตียง

ขำอะไรนักหนา ! ผีทั้งตัวกลิ้งตกเตียง ตลกตรงไหนไม่ทราบ!

อย่าให้พลาดมั่งละกัน ท่านสีหราช... !

“ขะ ขอโทษ...ข้าขอโทษ...” สีหราชพูดไปหัวเราะไปนั่งขำน้ำหูน้ำตาไหล ก่อนจะยันตัวเองก้าวลงมาจากเตียงช้า ๆ ก้มหน้ามองร่างที่กลิ้งอยู่กับพื้นด้วยสายตาหยอกเย้าอารมณ์ดี

“พื้นห้องข้าแข็งแรงดี...เจ้าไม่ต้องช่วยวัดให้ข้าหรอก”

สายตาพริบพราวช่างแกล้งช่างกล้าพูด ! ว่าแล้วโดยที่ไม่บอกไม่กล่าว สีหราชยิ้มพรายก่อนจะก้มตัวลงช้อนร่างผีหนุ่มที่จุกกับพื้นขึ้นมา แขนแข็งแรงนั่นอุ้มเขาตัวปลิวเลย !

มรุตเบิกตาโตอย่างตกใจด้วยไม่คิดว่ายมทูตหนุ่มจะทำแบบนี้

นี่เขาก็แมน ๆ เหมือนกันนะ จะมาอุ้มแบบนี้เสียศักดิ์ศรีผีกันพอดี !

“เฮ้ย! ข้าไม่เจ็บสักหน่อย ข้าเดินเองได้!” เจ้าผีดิ้นกระแด่ว ๆ อยู่ในอ้อมแขนแข็งแรง

“อย่าดิ้นสิ เดี๋ยวก็ตกลงไปหรอก ข้าว่าก้นเจ้าช้ำอยู่นะ ได้ยินเสียงปุ๊กใหญ่แบบนั้น มา...ข้าช่วยพาเจ้าไปห้องน้ำเอง”

ขายาว ๆ ก้าวตรงไปที่ห้องน้ำรวดเร็วทำเอาเขาต้องรีบเกาะคอร่างสูงไว้แน่นกลัวจะตกพื้น ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งได้กลิ่นหอมจากร่างสูงตรงหน้า

คุ้นจัง...และทำให้อบอุ่นใจอย่างประหลาด...เป็นความอุ่นใจที่ไม่มีเหตุผล

“ไหน...ขอข้าดูซิว่าก้นเจ้าช้ำหรือเปล่า” เจ้าตัวพูดหน้าตาเฉยก่อนจะวางเขาลงกับขอบอ่างอาบน้ำ มือหนาเหมือนจะแกล้งแตะใกล้ขอบกางเกงนอน

“เฮ้ย ! มะ...ไม่ต้อง ! ไม่ช้ำหรอก ไม่ต้องมาห่วงผิวช้ำอะไรนั่นหรอก!”

มือของสีหราชเหนียวจริง ๆ แกะเท่าไหร่ก็ไม่ยอมออกง่าย ๆ !

“แต่ข้าห่วง ! ก็เจ้าเป็นของข้า ! ” คนตรงหน้าพูดทันควัน

เฮือก !

เหลว...ใจเหลวไปแล้วกับสายตาคนตรงหน้า...ยิ่งประโยคนั้นทำให้มรุตหน้าแดงก่ำ

ดูท่า...อ้ายสีหราชจะรีบพูดจนตกไปสักคำหนึ่ง ร่างจำแลงนี้เป็นของเขา

เหอะ...เจ้าของร่างจำแลงก็คงห่วงสมบัติตัวเองละมั้ง

“ม่ะ...ข้าดูให้...” มือแข็งแรงนั่นค่อย ๆ เลิกชายเสื้อขึ้นช้า ๆ ทำให้ผีหนุ่มที่หน้าแดงอยู่แล้วยิ่งแดงหนักกว่าเดิม

มรุตรีบปัดมือซุกซนนั่นออกทันทีก่อนจะแว้ดใส่

“ไปเลย ! ออกไปเลย ! ข้าไม่ยอมโป๊ต่อหน้าท่านแน่ ๆ”

เจ้าตัวชะงักนิดก่อนจะยิ้มกริ่มแล้วพูดหน้าตาเฉย

“อ๋อ...เจ้าเขินนี่เอง เอาอย่างนี้ ข้าถอดเสื้อข้า เจ้าก็ถอดเสื้อเจ้า แบบนี้เราสองคนก็เสมอกันแล้ว จะได้ไม่ต้องอายอย่างไร”
บ้าสิ ! เสมอกันกะมนุษย์สิ !

แต่ก่อนจะทันห้าม คนตัวโตกว่าก็ถอดเสื้อนอนสีขาวออกทันที

แผ่นอกกว้างและ...ซะ...ซิกแพคตรงหน้าทำให้ผีหนุ่มหน้าแดงแปร๊ด

“ไม่เอา ! อยากถอดก็ถอดเองคนเดียวเหอะ !”

ว่าแล้วเขาก็รีบรุนหลังทั้งผลักทั้งดันร่างสูงที่หัวร่องอหายให้ออกไปจากห้องน้ำให้เร็วที่สุด !

ทำไมเช้านี้เห็นยมทูตสีหราชทั้งหล่อทั้งกวนอย่างชิบหายวายป่วง !

...ยุบ...หนอ...พอง...หนอ...ซิคแพคหนอ....ตายห่าแล้วไอ้มรุต!

เผลอใจเต้นกับรูปร่างคนตรงหน้า !

ฮือ...พ่อแก้วแม่แก้วบนสวรรค์วิมาน...ช่วยไอ้ผีน้อย ๆ ตัวนี้ที...

จะมาหัวใจวายตายรอบที่สองเพราะอกหนา ๆ ไม่ได้นะ !

กว่าจะปิดประตูห้องน้ำได้ก็เล่นเอาหอบตัวโยน แต่ดูเหมือนสีหราชจะอารมณ์ดีเหลือเกิน เพราะยังได้ยินเสียงหัวเราะแว่ว ๆ อยู่นอกห้องน้ำเลย...

.....................................................................................

ไม่ไหว...นี่เขากำลังเป็นอะไรไป...

ทันทีที่อาบน้ำเสร็จ จู่ ๆ มรุตก็รู้สึกว่ามีความร้อนบางอย่างที่กำลังแผดเผาตัวเขาจากข้างใน ความร้อนระอุราวกับกระดูกกำลังละลาย อาการผิดปกตินั้นทำให้เขาเวียนหัวหน้ามืดคล้ายหมดเรี่ยวแรงจนต้องเกาะผนังห้องไว้ มองไปทางไหนก็รู้สึกราวกับพื้นห้องโคลงเคลง ทำเอาเจ้าตัวต้องสะบัดหน้าไล่ความมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง

ท่าทางแปลก ๆ เหมือนจะทรงตัวไม่อยู่ ทำให้สีหราชที่ยืนรออยู่ใกล้ ๆ ปราดเข้ามาประคองทันที

“เกิดอะไรขึ้น ! ”

“ข้าเวียน...เวียนหัวมากเลย...เหมือนหัวจะระเบิด...” เสียงสั่น ๆ ของมรุตทำให้สีหราชประคองร่างที่อ่อนระโหยมานั่งบนโซฟาใกล้ ๆ แล้วเจ้าตัวก็รีบผละไปคว้าผ้าชุบน้ำเย็นมาไว้ในมือก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ แล้วแตะซับหน้าผากผีป่วยอย่างเบามือ

มีเพียงสีหราชที่เห็นว่า ในยามนี้หน้าผากของมรุตคล้ายมีไอร้อนลอยขึ้นจาง ๆ ซ้ำยังมีอักขระโบราณประกายสีส้มเปล่งแสงเรืองรองสลับไปมากับอักษรต้องห้ามสีแดงก่ำจากยมโลกปรากฎอยู่

สายตาของสีหราชหม่นวูบระคนเครียดขึงก่อนเจ้าตัวจะกุมมือร่างที่กระสับกระส่ายตรงหน้าไว้แน่น

“ไหวไหม...หลับตาสักพักเถอะ...” มือหนากำแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

“ข้าเห็นภาพต่าง ๆ ในหัวข้าเต็มไปหมด...เหมือนลูกไฟกำลังวิ่งอยู่ในหัวข้า สับสนและเวียนหัวมาก...”

ผีหนุ่มหน้าซีดก่อนจะยกมือข้างหนึ่งกุมศีรษะไว้และเผลอใช้มืออีกข้างยันแขนซ้ายของยมทูตหนุ่ม สีหราชสะดุ้งนิดหนึ่งก่อนจะนิ่วหน้าแล้วขยับกายออกห่าง

“ข้า...ปวดหัวมากเลย...”

มรุตกุมศีรษะก่อนจะสะบัดหน้าอย่างมึนงงแล้วหอบหายใจเบา ๆ

“เจ้าพักก่อนเถอะ ไว้ตื่นแล้ว เราค่อยคุยกัน”

สีหราชประคองร่างตรงหน้าให้เอนลงบนโซฟา เพียงครู่เดียวเท่านั้นที่ผีหนุ่มหลับไป สีหราชค่อย ๆ แตะท่อนแขนซ้ายตัวเองแล้วดึงชายแขนเสื้อขึ้นช้า ๆ ก่อนจะถอนหายใจยาวเมื่อเห็นลายโซ่ตรวนสีดำสนิทพร้อมเปลวไฟสีแดงเพลิงปรากฎขึ้นบนท่อนแขนซ้าย เจ้าตัวยิ้มขื่น ๆ ให้กับตนเอง

...บทลงโทษจากยมโลก...มาแล้ว

ทันใดนั้นภุมมเทวาก็ปรากฏกายขึ้นต่อหน้าสีหราช สีหน้าเทวดาอาวุโสหันมองมรุตที่หลับและสีหราชที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“ท่านสีหราช ! ท่านทำสิ่งใดลงไป ! ท่านรู้ตัวหรือไม่ว่าท่านกำลังจะเดือดร้อนหนักแล้ว !”

“ข้ารู้...” สีหราชพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“แต่ท่านยังฝืนทำ ! ท่านใช้อาคมคลายผนึกความทรงจำ มนตราต้องห้ามเช่นนี้ มันจะลดตบะท่านลงไปถึงครึ่งหนึ่งเชียวนะ แล้วยังจะเรื่อง...”

“ขอบคุณที่เป็นห่วง แต่นี่เป็นวิธีเดียวที่ข้าจะได้อยู่กับเขา เกือบ 200 ปีที่เฝ้าตามหา ข้าจะไม่ยอมเสียเขาไปอีกเด็ดขาด...”

สายตาอาทรห่วงใยเหลียวมองร่างที่เพิ่งหลับไปเมื่อครู่อย่างแสนรักระคนเจ็บปวด

“แต่ท่านก็รู้ดีว่า ชะตาของท่านแลเมืองอินทร์ยังไม่ถึงเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกัน การฝืนลิขิตเช่นนี้ท่านอาจต้องแลกด้วยวิญญาณของท่าน บารมีที่สู้สะสมมาเกือบ 200 ปีจะพลันสูญสิ้น”

“ขอเพียงได้อยู่ร่วมกัน ข้าไม่สนอะไรทั้งนั้น...” ยมทูตหนุ่มส่ายหน้าหนี

“เกรงแต่ท่านจะไม่ได้อยู่เคียงเท่านั้น เพราะเมื่อตบะเดชะเสื่อมถอยลง อำนาจทิพย์จะหาย...วิญญาณจะไม่มีอำนาจยมโลกคุ้มกาย...ท่านคงรู้ดีนะว่ามันหมายถึงสิ่งใด” ภุมมเทวาเอ่ยเบา ๆ ประโยคนั้นทำให้สีหราชนิ่งงันไปครู่หนึ่ง

“ท่านจะปกป้องคนที่ท่านรักได้อย่างไร หากท่านเสียทิพย์สภาวะไป !”

“ท่านรู้ใช่หรือไม่ว่า จากนี้ไปหากท่านบาดเจ็บ...แผลจะไม่สมานกันเฉกเช่นคราวก่อนอีกแล้ว” ภุมมเทวาหยุดครู่หนึ่งก่อนจะย้ำ

“ท่านไม่ได้เป็นอมตะเช่นเดิมอีกแล้วนะ ท่านสีหราช !”
.....................................................................................

กลิ่นหอมของแกงเลียงกรุ่นลอยมาแต่ไกล และเสียงหั่นเนื้อกระทบกับเขียงไม้ดังเป็นจังหวะต๊อก ๆ ทำให้มรุตค่อย ๆ ยันตัวเองลุกขึ้นช้า ๆ   อาการปวดหัวและมึนงงหายไปเกือบหมดแล้ว หมอกสีขาวที่อยู่ในความฝันค่อย ๆ จางไปเช่นกัน รู้สึกคล้ายกับว่ามีหลายสิ่งที่หายไปกลับเข้ามา เหมือนหัวเขาในตอนนี้มีลิ้นชักเป็นร้อย ๆ ที่พร้อมจะเปิดออกหากเจอกุญแจที่ถูกต้อง

“กุญแจแห่งอดีตชาติ” ยังไม่ครบ

ตอนนี้...เขาคือใครกันแน่ ส่วนไหนที่เป็นมรุต...และส่วนไหนที่เป็น...เมืองอินทร์

แม้เรื่องราวในอดีตชาติและเรื่องราวในชาติปัจจุบันถูกร้อยเข้าด้วยกัน แต่ก็เหมือนมีบางอย่างที่ขาดหายไป เป็นความทรงจำที่สำคัญ...สิ่งที่เขาจดจำไม่ได้ อย่างในยามนี้ เขายังไม่แน่ใจ ไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้ว รู้สึกอย่างไรกับร่างที่หันหลังทำครัวอยู่ตรงหน้า

“ตื่นแล้วหรือ...อ้ายอินทร์” สีหราชหันมาพร้อมกับรอยยิ้มกระจ่าง แล้วปราดเข้ามาประคองใกล้ ๆ

"ค่อย ๆ ลุกขึ้นช้า ๆ เจ้ายังไม่หายดีนัก อ้ายอินทร์" น้ำเสียงอ่อนโยนจนต้องเงยหน้ามองทีเดียว

ใช่..ยามนี้เขาคือ อ้ายอินทร์ เมืองอินทร์ นักดาบหนุ่มเมื่อสองร้อยปีก่อน

“อ้ายอินทร์...เมืองอินทร์...” ร่างที่เพิ่งลุกจากเตียงนิ่วหน้านิด ๆ ทวนชื่อเบา ๆ ราวกับว่ายังมึนงงอยู่

“ใช่...เจ้าชื่อ เมืองอินทร์ ดีเหลือเกินที่เจ้าจำตัวเองได้แล้ว...” สีหราชยิ้มอ่อนโยนก่อนจะกอดร่างตรงหน้าไว้ในอ้อมแขน กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากยมทูตหนุ่มทำให้ผีหนุ่มหายใจไม่ทั่วท้อง

“ข้าคิดถึงเจ้า...คิดถึงนัก...” ความอุ่นร้อนผ่าวจากร่างตรงหน้าทำให้บางอย่างในอกหวั่นไหว...

“ยังเวียนหัวอยู่หรือเปล่า” มืออุ่น ๆ ของสีหราชปัดผมที่ปรกยุ่งตรงหน้าผากให้อย่างอ่อนโยน แล้วก้มลงมาใกล้ ๆ

“มะ...ไม่แล้ว ข้าดีขึ้นมากแล้ว...อ้ายสีห์” ทันทีที่เรียกชื่อคนตรงหน้า สีหน้าสีหราชคล้ายจะมีน้ำตารื้นนิด ๆ

นี่สิ ใช่แล้ว วิธีการเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงหนุงหนิงเบา ๆ ที่หางเสียงแบบอดีตชาติ...คุ้นเคยยิ่งนัก คล้ายกับเคยเรียกชื่อนี้เป็นร้อยเป็นพันครั้ง

ชื่อ...ที่ทำให้อุ่นวาบในหัวใจอย่างประหลาด

“หิวหรือเปล่า ข้าทำอาหารไว้ให้เจ้า ล้วนแต่เป็นของชอบของเจ้าทั้งนั้นอ้ายอินทร์ แกงเลียงร้อน ๆ และผัดแกงเนื้อใส่ใบมะกรูดเยอะ ๆ แต่บอกก่อนว่าข้าจำวิธีทำเครื่องแกงของแม่คำหล้าไม่เก่งนัก ไม่รู้ว่าจะถูกปากเจ้าหรือไม่..” คนตรงหน้าคล้ายจะไม่มั่นใจในอาหารของตนเองนัก เสียงอ่อนโยนนั้นทำให้มรุตหรือเมืองอินทร์ต้องเงยหน้ามอง

...แม่คำหล้า...ชื่อนี้ก็คุ้น...คุ้นจนทำให้น้ำตารื้นออกมาทีเดียว

“อย่าเพิ่งซึ้งใจนัก...ข้าเพิ่งทำอาหารให้คนอื่นกินเป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าจะอร่อยหรือไม่...” เจ้าตัวพูดกลั้วหัวเราะแล้วมองพร้อมรอยยิ้ม

ท่าทางอ่อนโยนจริงใจของยมทูตหนุ่ม ทำให้เผลอน้ำตารื้น...

ถ้านับจากปีที่เขาตายจนถึงบัดนี้...เกือบจะ 200 ปี

เวลาที่นานขนาดนั้นกลับยังมีผู้หนึ่งที่จดจำเรื่องราวในชีวิตของเขาได้...แม้แต่สิ่งเล็กน้อยที่เขาชอบ

“เจ้าหิวไหม ช่วยข้าชิมอาหารสักหน่อยเถอะนะอ้ายอินทร์...มื้อแรกของเจ้า...” สีหราชยิ้มนิด ๆ ก่อนจะชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ ๆ และกระซิบเบา ๆ

....ชิม....หิว....ทำไมคำง่าย ๆ เหล่านี้กลับเปลี่ยนความรู้สึกซาบซึ้งให้กลายเป็นหน้าร้อนวูบวาบขึ้นมาได้ !

มรุตหรือยามนี้คือเมืองอินทร์เผลอกัดริมฝีปากตนเองเบา ๆ อย่างประหม่า ก่อนจะหลบตาร่างสูงตรงหน้าทันควัน

สีหราชหัวเราะเบา ๆ  ดวงตาคมเข้มยามนี้กลับมองเมืองอินทร์ที่มีท่าทางเลิ่กลั่กนิด ๆ อย่างเอ็นดู

วิธีการมองของคนตรงหน้า...ให้ตายเถอะ...ทำเอาคนป่วยหายใจติดขัดไปครู่หนึ่ง หน้าแดงจัดอย่างไม่รู้สาเหตุ

"ทำไมต้องเขินข้าด้วย...เมืองอินทร์...เจ้าคิดพิเรนทร์อะไรหรือเปล่า"

สีหราชพูดเบา ๆ ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ แล้วมืออุ่น ๆ ก็ยกเชยคางคนป่วยให้เงยหน้าขึ้นนิด ๆ

สั่น...ตัวเขาสั่นเบา ๆ จนต้องหลบตาคมที่จ้องมา

“เอ่อ...ข้า...ข้าขอถามอะไรสักหน่อยได้ไหม...” เขาถามเสียงเบาหวิว ขณะที่คนตรงหน้าก้มลงมาช้า ๆ

“อืม...ได้สิ...อ้ายอินทร์...” เสียงนั่นแผ่วเบาไม่ต่างกัน

“ในอดีต...ท่านกับข้า...เรา...เป็นอะไรกันหรือ...”

ประโยคนั้นทำให้ร่างที่กำลังก้มลงมาชะงักกึก ก่อนจะถอยออกนิดหนึ่ง

“ทำไม...เจ้าจำเรื่องราวของเจ้ากับข้าไม่ได้หรือ” สีหน้าคนตรงหน้าคล้ายเจ็บปวด

“ข้า...ข้าจำได้ว่าท่านชื่ออ้ายสีห์ สีหราช บุตรชายพ่อสินช่างตีดาบหลวง แลยังเป็นบุตรบุญธรรมของเจ้าจอมมารดาผู้หนึ่งและเป็นน้องบุญธรรมของเสด็จในวังพระองค์หนึ่ง แต่...สำหรับข้า...ท่าน...ท่านเป็น...” คนพูดหลบตาก้มมองพื้นตรงหน้านิ่ง ๆ ก่อนจะลังเลนิดหนึ่งแล้วกลั้นใจพูดออกไป

“จำได้ว่า...ข้าเคยพูดว่าเห็นท่านเป็นดั่งพี่ชาย...ใช่หรือไม่”

ภาพความทรงจำที่คืนกลับมาบางส่วน...เป็นเขาที่ทรุดตัวร้องไห้แล้วย้ำกับคนตรงหน้าว่าเป็นพี่ชาย...ส่วนเรื่องราวอื่นนั้นไม่ชัดเจนสักอย่าง

สิ่งที่เขาจดจำไม่ได้ คล้ายกับฟิล์มภาพยนตร์ที่ขาดแหว่ง และดันขาดในส่วนสำคัญเสียด้วย ทำให้เมืองอินทร์อัดอั้นตันใจ

มันต้องเป็นความทรงจำที่สำคัญแน่...แต่มันคืออะไร

สิ้นประโยคนั้น สีหราชค่อย ๆ ถอยออกมาช้า ๆ สีหน้าคนตรงหน้านิ่งสนิทก่อนจะถอนหายใจพรูแล้วยกมือขึ้นลูบหัวเขาเบา ๆ ราวกับจะปลอบประโลม

“...อย่างนั้น..หรือ...เจ้าจำไว้อย่างนั้นหรือ...”

คล้ายกับเสียงคนตรงหน้าจะหายไปช่วงหนึ่ง ท่าทางนิ่งงันของยมทูตหนุ่มทำให้เมืองอินทร์ใจหายวูบ แต่เหมือนสีหราชจะเก็บอาการต่าง ๆ ทั้งหมดอย่างรวดเร็ว

“ใช่...จะเรียกอย่างนั้นก็ไม่ผิดหรอก เราสองคนโตมาด้วยกัน ข้า...อ้ายสีห์ เป็นพี่ชายเจ้า ส่วนเจ้า เมืองอินทร์...อ้ายอินทร์ก็เป็นทาสสินไถ่ตัวน้อยที่พ่อข้ารักหนักหนา เราอยู่ด้วยกัน เรียนดาบด้วยกัน และเรา...เจ้าจำไว้เท่านั้นก็พอ” สีหราชค้างไว้เพียงเท่านั้นแล้วก็หมุนตัวแล้วเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์ครัว

“อย่าเพิ่งคุยเรื่องปวดหัวกันเลย...มากินข้าวกันก่อนเถิด เจ้าเพิ่งหาย ไปนั่งรอตรงนั้น เดี๋ยวข้าหั่นเนื้อแล้วผัดอีกนิดก็จะเสร็จแล้ว รอกินข้าวกับข้านะ”

ยมทูตหนุ่มเอาแต่หันหลังทำครัวและไม่ยอมหันมาอีก ท่าทางดังกล่าวทำให้เมืองอินทร์ใจหายนิด ๆ บรรยากาศที่เหมือนจะเปลี่ยนไปทันควันทำให้เมืองอินทร์พยายามเปลี่ยนเรื่องคุย

“ข้าจำได้ว่า ในอดีตท่านไม่เคยเข้าครัวเลยมิใช่รึ...อ้ายสีห์ แล้วเหตุใดยามนี้จึงทำอาหารได้เก่งนักเล่า”

อ้ายสีหราชที่เขาเคยรู้จักไม่เคยย่างกรายเข้าไปเรือนครัวสักครั้ง มีแต่รอบ่าวไพร่แลแม่คำหล้ายกสำรับอาหารมาให้ที่เรือนใหญ่ แต่บัดนี้กลับทำอาหารเป็นอย่างคล่องแคล่วเสียด้วย

“เกือบ 200 ปีเชียวนะที่ข้าต้องอยู่คนเดียว หากข้าไม่ทำอะไรแก้เหงาบ้าง คง...อยู่ไม่ได้หรอกอ้ายอินทร์” เสียงสีหราชพูดแผ่วเบา แต่กลับรู้สึกได้ถึงความเหงาที่ซ่อนอยู่ในนั้น

“คราแรก...ข้าก็ไม่รู้ว่าทำอย่างไร แต่พอจำได้เลา ๆ ว่าแม่คำหล้าใช้ไปซื้อของที่กาดบ่อย ๆ เลยเดาเอาว่าต้องใส่อะไรบ้าง ลองผิดลองถูกมาหลายสิบครั้ง กินได้บ้าง...ไม่ได้บ้าง...เททิ้งบ้าง...แต่ข้าว่าคราวหลังนี่ก็พอกินได้อยู่นะ” เสียงยมทูตหนุ่มหัวเราะตัวเองเบา ๆ แล้วหันมามองเขา

“ถ้าข้าไม่มีความทรงจำที่ดีในอดีตหล่อเลี้ยง ป่านนี้ข้าคงวิปลาสไปแล้ว”

ต้องเหงาขนาดไหน...ที่อยู่เดียวดายมากว่า 200 ปี...ข้าขอโทษนะอ้ายสีห์...

“อย่าทำสีหน้าแบบนั้นอ้ายอินทร์...ไม่ใช่ความผิดเจ้า เป็นความผิดยมโลกมากกว่า...ข้าด่าท่านยมบาลทุกเช้าค่ำเพื่อจะได้ไปเกิด แต่เขาก็ไม่ยอมให้ข้าไปเกิดสักที” เจ้าตัวพูดกลั้วหัวเราะแล้วหันกลับไปมองเตาตรงหน้า

“แต่ครานี้ถึงเขาจะไม่ยอม...ข้าจะลากเจ้าไปเกิดพร้อมกันให้ได้ทีเดียว” น้ำเสียงคนตรงหน้าหมายมาดอยู่ในใจ

 “แล้ว....เรื่องป้ายทองคำผ่านทางเล่า...ท่านจักทำเช่นใดต่อไป...” เมืองอินทร์อดถามไม่ได้

“ปล่อยไปก่อนเถิด เราค่อยคิดวางแผนเรื่องนี้กันภายหลัง” เจ้าตัวหัวเราะเฝื่อน ๆ แล้วหันมองเขาด้วยแววตาประหลาด

“ข้าสัญญาว่าเมื่อสิ้นสุดเรื่องนี้ ข้าจักพาเจ้าไปยมโลกกับข้า แล้วเราจักไปเกิดด้วยกันอีกครั้ง...” แล้วก็หันกลับไปจับมีดหั่นเนื้อบนเขียงต่อเป็นจังหวะ

เมืองอินทร์นิ่งงันไป เพราะสังหรณ์ลึก ๆ บอกว่าแม้สีหราชจะทำทีว่าป้ายทองคำไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ แต่สังหรณ์บางอย่างบอกว่า เจ้าตัวไม่ได้พูดทุกอย่าง

“ท่าน...ไม่ได้มีเรื่องโกหกข้า...ใช่ฤาไม่อ้ายสีห์...” สิ้นเสียงนั้นเหมือนเจ้าตัวจะสะดุ้งนิดหนึ่ง

ฉึบ ! มีดหั่นเนื้อพลาดไปโดนปลายนิ้วของพ่อครัวจำเป็น

“อุ๊บ !” เจ้าตัวอุทานเบา ๆ แต่ทำให้เมืองอินทร์ถลาเข้าไปหาทันควัน

“เลือด ! เลือดออกเลยอ้ายสีห์ !” มีดหั่นเนื้อที่พลาดมาโดนนิ้วของพ่อครัวจำเป็นทำให้เขียงไม้ตรงหน้าเลอะเลือดเป็นหย่อม ๆ

เจ้าตัวใช้นิ้วกดปากแผลไว้แน่นก่อนจะหันมายิ้มนิด ๆ

“ไม่เป็นไรหรอก...นิดเดียวเอง เดี๋ยวข้าก็หาย” แต่มือนุ่ม ๆ ของเมืองอินทร์ยังคงคว้ามือคนตรงหน้าไปดูด้วยความเป็นห่วง

“แผลลึกเอาการ ท่านนี่...ไม่ระวังเอาเลย” เมืองอินทร์บ่นเบา ๆ แล้วคว้ามือคนตรงหน้าล้างน้ำทันควัน

“ดุจัง...เจ้าผี...ข้าเจ็บนิ้วอยู่...ยังมาดุกันอีก” ร่างสูงตรงหน้าโอดเบา ๆ ก่อนจะใช้มืออีกข้างกอดเอวนิ่ม ๆ ไว้หลวม ๆ

“ข้ารู้แล้ว ท่านน่ะไม่เป็นอะไรหากมีจอกสุราทองแดง...รีบไปจัดการเถอะ แผลจะได้หายเร็ว ๆ ข้าไม่อยากกินแกงเนื้อใส่เลือดยมทูตของท่าน” เมืองอินทร์หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะรุนหลังยมทูตหนุ่มไปที่ห้องด้านหลัง ขณะที่สีหราชเอาแต่หัวเราะแล้วเดินเข้าไปด้านในอย่างว่าง่ายผิดวิสัย ทำให้เมืองอินทร์มองตามแผ่นหลังนั้นอย่างกังวล ขณะที่เจ้าเฉาก๊วยวิ่งมาวนหน้าวนหลังเช่นเคย เมืองอินทร์ทรุดกายลงยีหัวเจ้าลูกหมาตัวจ้อยเล่นเบา ๆ แล้วพึมพำ

“เฉาก๊วย...เจ้าว่า...อ้ายสีห์ปิดอะไรข้าไว้หรือเปล่า...หืมมมม”

ไม่มีคำตอบจากเจ้าลูกหมาตัวดำตรงหน้า ทำให้เมืองอินทร์ระบายลมหายใจเบา ๆ อย่างกังวล
......................................................................


ButlerofLOVE:
อีกหน่อยหนึ่งก็จะไคลแม็กซ์ของเรื่องแล้ววววว

หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 1/1/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 02-01-2021 20:20:00
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 1/1/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 02-01-2021 22:33:16
ค่อยๆแล้วมันก็จะชัด เมื่อนั้นท่านยมคงหนักเอาการเพราะแหกกฎและฝืน (ฮา)  :pig4: :pig4: สวัสดีปีใหม่ 2564 นะคะ :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 1/1/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 07-01-2021 22:36:20
CHAPTER
24



หลังกินอาหารเช้ากันแล้ว สีหราชพาเมืองอินทร์มายังหอจดหมายเหตุเมื่อคืนที่เขาปะทะกับดวงวิญญาณจำนวนมาก ในนั้นนอกจากจะมีบันทึกของเสด็จพระองค์ชายชาญนพแล้ว ยังมีมีดดาบสมัยโบราณจำนวนมากที่เสด็จทรงเก็บรักษาไว้และส่งมอบต่อให้เป็นสมบัติของชาติต่อไป เมืองอินทร์เขม้นมองดาบโบราณเล่มหนึ่งที่อยู่ในตู้กระจกตรงหน้า ความคุ้นตาเหมือนเจอของรักที่หายไปทำให้เผลอเอามือลูบกระจกตรงหน้าอย่างเผลอไผล ท่าทีดังกล่าวไม่พ้นจากสายตาของสีหราชที่ยิ้มนิด ๆ ก่อนจะจูงมือเขาไปยังห้องจัดแสดงอีกแห่งหนึ่งข้าง ๆ

บนโต๊ะจัดแสดง มีแท่นวางวัตถุโบราณ เศษกระดาษที่ฉีกครึ่งมีอักษรเลือนลางไปตามกาลเวลา แต่ยังพออ่านออกอยู่บ้าง เมืองอินทร์ในร่างของมรุตก้มลงอ่านป้ายตรงหน้า ก่อนจะทำตาโตแล้วหันมองสีหราช

“รายนาม...กบฏในครานั้น...กบฏละครนอก...” เมืองอินทร์พูดเบา ๆ

“ใช่ รายนามที่ข้าได้มาจากการลอบเข้าไปฟังแผนการของพวกมันที่วัดร้างริมชายป่า” สีหราชพูดเรียบ ๆ 

เหตุการณ์หลังจากเมืองอินทร์ตาย สีหราชก็ถอดกลอักษรในกล่องไม้ดังกล่าวได้ ทำให้เขาลอบแฝงตัวเข้าไปในสถานที่นัดหมายครั้งสุดท้ายของเหล่ากบฏ และเป็นจริงดังที่คาด เหล่านักแสดงละครนอกเกินกว่าครึ่งล้วนเป็นนักดาบฝีมือฉกาจที่พร้อมจะก่อการใหญ่เพื่อเปลี่ยนราชวงศ์ในคืนราตรีมณิสูงสุดคราหน้า และเป็นขุนทรัพย์กับบุรุษในชุดผ้าคลุมอีกผู้หนึ่งที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร หลังสิ้นสุดการนัดหมายเป็นสีหราชที่ลอบขโมยรายนามเหล่ากบฏละครนอกจากขุนทรัพย์มาได้

รายชื่อกบฏที่ขโมยมาทำให้สีหราชมีปากเสียงครั้งใหญ่กับเสด็จพระองค์ชายชาญนพ เพราะเสด็จพระองค์ชายชาญนพไม่ปรารถนาให้เขาตั้งตัวเป็นศาลเตี้ย แต่ก็ทัดทานไม่ได้ เหล่ากบฏที่หนีพ้นในคืนล้อมปราบของทหารหลวงก็อาจพ้นคมดาบของสีหราชไปได้ สีหราช...ที่กลายเป็นอ้ายเสือสีหราชไล่ตามสังหารทุกชีวิตจนสิ้น และเหยื่อคนสุดท้ายของเขาคือ ขุนทรัพย์ ผู้ช่วยข้างกายของกรมหลวงไกรสีห์สรคุณ ก่อนที่สีหราชจะถูกทหารหลวงจับกุมและปิดฉากชีวิตของนักดาบหลวงอนาคตไกลบนแท่นประหาร

“หรือว่า ผู้ที่ใช้มนตราคุมวิญญาณของพ่อสินและช่างดาบเหล่านั้น...จะเกี่ยวข้องกับกบฏละครนอกด้วย” เมืองอินทร์ถามเบา ๆ

“ข้าก็ไม่แน่ใจนัก แต่ก็แปลกเพราะกบฏเหล่านั้นล้วนถูกประหารไปจนหมดแล้ว ครึ่งหนึ่งตายใต้คมดาบของข้า หากสิ้นชีพด้วยการสังหาร วิญญาณย่อมถูกเหล่ายมทูตนำทางสู่โลกหน้าไม่น่าจะอยู่มาได้จนถึง 200 ปีเช่นนี้”

“ตัวการที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง ย่อมต้องรู้จักข้าดีตั้งแต่ในอดีตชาติ ใครที่อยู่มาได้กว่า 200 ปีโดยรอดพ้นสายตาแห่งยมโลกได้ คนผู้นั้นจะต้องมีไสยเวทชั้นสูงแน่และย่อมเป็นเวทสายดำด้วย” สีหราชเอ่ยเบา ๆ

ใครกันที่ไม่ได้สังเวยชีวิตใต้คมดาบของสีหราช...และมีความแค้นลึกซึ้งมากมายขนาดนี้...

“ในความทรงจำของเจ้า....มีใครที่เกี่ยวกับคณะละครนอกอีกหรือไม่..อ้ายอินทร์” สีหราชถามขึ้น

“ก็มีเพียงขุนทรัพย์และ...กรมหลวงไกรสีห์สรคุณ เป็นตัวการใหญ่ ที่เหลือเป็นกลุ่มนักฆ่าที่สวมรอยเป็นนักแสดง แต่ที่เหลือ...ข้ายังนึกไม่ออกเลย” เมืองอินทร์เอ่ยด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“แต่กรมหลวงไกรสีห์สรคุณถูกประหารชีวิตด้วยท่อนจันทน์ไปแล้วตั้งแต่หลังจากที่เจ้าตายไป ข้าเห็นการประหารครั้งนั้นด้วยตาของตัวเอง ขณะที่ข้าเป็นคนกุดหัวอ้ายขุนทรัพย์แล้วลากหัวมันมาเซ่นวิญญาณเจ้าและพ่อสิน” สีหราชเอ่ยขึ้นพร้อมกับทบทวนเรื่องราวในอดีต

หลังจากได้รายนามชื่อแฝงของเหล่านักแสดงละครนอก เสด็จพระองค์ชายชาญนพก็สั่งการรวดเร็วให้ล้อมปราบกบฏละครนอกก่อนที่จะเกิดเรื่องอื้อฉาวในรั้ววัง กรมหลวงไกรสีห์สรคุณถูกจับพร้อมหลักฐานการนัดแนะบุกเข้าเขตพระราชฐาน ขณะที่ทูลกระหม่อมไม่อยากให้เรื่องกบฏโดยเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงแพร่งพรายออกไปให้เกิดความแตกตื่น

“ศึกนอกกับเหล่าฝรั่งมังค่าก็นับว่าหนักหนาแล้ว หากมีข่าวศึกในขึ้นอีกเกรงว่าจะทำให้เกิดความปั่นป่วนระส่ำระสายได้” เสด็จพระองค์ชายชาญนพเอ่ยเบา ๆ กับสีหราชในคืนนั้น

ด้วยเหตุนี้จึงจำต้องเก็บงำเรื่องราว ๆ ความขัดแย้งในราชสำนักอย่างเงียบเชียบ เดชะบุญที่เหล่าทหารหลวงที่คุมเหล่ากบฏนั้นเป็นคนของเสด็จพระองค์ชายชาญนพจึงเก็บงำเรื่องไว้ไม่ให้แพร่งพรายออกไป จากสาเหตุการสั่งประหารด้วยข้อหากบฏจึงเปลี่ยนมาสู่ข้อหาประพฤติชู้สาวเล่นสวาท รวมถึงความประพฤติไม่อยู่ในร่องในรอยสร้างความเสื่อมเสียให้ราชวงศ์แทน
ในตำราประวัติศาสตร์ การสั่งประหารชีวิตเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงองค์สุดท้ายที่สิ้นด้วยท่อนจันทน์ก็เป็นไปเช่นนี้ !

เมืองอินทร์ถอนหายใจเบา ๆ แล้วมองคนตรงหน้า

“อ้ายสีห์ เจ้าว่า...ในบันทึกส่วนพระองค์ของเสด็จพระองค์ชายชาญนพ...จะมีบันทึกรายชื่อใครไว้บ้างหรือไม่”

“ข้ากำลังตรวจสอบอยู่ แต่ต้องตามหาเบาะแสให้ได้ก่อน มิฉะนั้นอาจเป็นการเหวี่ยงแหหาผู้ต้องสงสัยโดยสิ้นเปลืองเวลาไป” สีหราชเอ่ยเบา ๆ

“มีใครบางคนที่เรามองข้ามไปหรือเปล่านะ...” ว่าแล้วทั้งคู่ก็มองหน้ากัน

สีหราชและเมืองอินทร์เดินออกจากพิพิธภัณฑ์ในช่วงเที่ยง ๆ ก่อนจะก้าวเข้าไปในร้านกาแฟบูติคแห่งหนึ่งในย่านนั้น ร่างสูงโปร่งผึ่งผายของสีหราช และเมืองอินทร์กลายเป็นจุดสนใจของคนทั้งร้าน แม้ว่าทั้งสองคนจะใส่แมสก์ปิดใบหน้าไปครึ่งแล้วก็ตาม แต่ด้วยความเป็นกึ่งเทพกึ่งมนุษย์ของสีหราช โครงหน้าเข้มและดวงตาคมกริบของเจ้าตัวยังทำให้กลายเป็นเป้าสายตาของผู้คน

“อ้ายสีห์...ท่านคิดว่ามีใครที่จะให้ความช่วยเหลือกรมหลวงไกรสีห์สรคุณหรือไม่” เมืองอินทร์ถามขึ้นก่อนจะก้าวตรงไปนั่งที่เก้าอี้สตูลใกล้ ๆ เคาน์เตอร์บาร์เครื่องดื่ม

“รับเครื่องดื่มอะไรดีคะ” เสียงพนักงานร้านกาแฟถามขึ้น พร้อมรอยยิ้มหวานให้กับชายหนุ่มทั้งสอง

“ขอกาแฟเย็นแก้วหนึ่งครับ...แล้วเจ้าล่ะจะเอาอะไร” สีหราชถอดแมสก์ออกแล้วหันมาถามเมืองอินทร์

แต่ทันทีที่เงยหน้ามองภาพที่ปรากฎในโทรทัศน์ตรงหน้า สายตาที่ชะงักนิ่งค้างอย่างนั้นทำให้เมืองอินทร์เงยหน้ามองตามด้วย

...ทหารในคราบนักการเมืองรูปร่างอ้วนฉุ หน้าตาคล้ายหมู เจ้าของตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่กำลังให้สัมภาษณ์อยู่ทำให้สีหราชเหยียดริมฝีปากอย่างนึกรังเกียจ

...ไม่อยากเชื่อว่า คนเช่นนี้ยังสามารถกลับมาเกิดบนบัลลังก์อำนาจได้อีกครั้ง !

ประโยคที่คนในโทรทัศน์เคยพูดกับสีหราชย้อนกลับมาในความทรงจำ

“คนหนุ่มก็เช่นนี้ สักวันเจ้าจะรู้ว่าการมียศศักดิ์นั้นบันดาลสิ่งใดให้เจ้าได้บ้าง”

...ไม่คิดเลยว่าสมุหพระกลาโหม กลับมาเกิดเป็นไอ้หมูอ้วนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในยุคนี้ !

คนที่หลงอำนาจในสมัยนั้น...แม้จะสมัยนี้ก็ไม่ต่างกันสักนิด คนที่ไม่ควรได้ดิบได้ดี...แต่กลับมาครองอำนาจอีกครั้งในสมัยนี้ ไม่เข้าใจกฎแห่งกรรมว่าทำงานครบถ้วนจริงหรือไม่

สีหราชเคยนึกสงสัยตัวของสมุหพระกลาโหมเช่นกัน เพราะด้วยนิสัยเดิมของสมุหพระกลาโหมที่ละโมบในเกียรติและอำนาจ ย่อมต้องไม่พอใจตัวเขาเป็นแน่ เพราะเคยปักใจเชื่อว่าเป็นสีหราชที่ลักลอบมีสัมพันธ์กับแม่นากจนตั้งครรภ์ การที่เขาตายเพราะต้องโทษประหารชีวิตในฐานะอ้ายโจรที่เข่นฆ่าผู้คน ย่อมนำความเสื่อมเสียมาให้แก่วงศ์ตระกูลของสมุหพระกลาโหม

แต่เมื่อยามนี้ สมุหพระกลาโหมคนนั้นกลับมาเกิดใหม่เสียแล้ว

‘คนเป็น’ย่อมมิใช่ผีร้ายที่รังควานเขาและใช้มนตราคุมวิญญาณเป็นแน่!

“ข้าว่า...อย่างน้อยเราก็ตัดผู้ต้องสงสัยไปได้อีกหนึ่งรายแล้วล่ะอ้ายอินทร์...” สีหราชเอ่ยเบา ๆ แล้วหันไปสบตาเมืองอินทร์

…อย่างน้อย ในชาตินี้สมุหพระกลาโหมก็ไม่ใช่ศัตรูในเงามืดคนนั้น

...จะเป็นใครไปได้...ศพที่หายไป หรือจะเป็นสหายในสำนักของพระอาจารย์ ?

แต่ก่อนที่จะทันคิดอะไร จู่ ๆ ก็มีกาแฟเย็นแก้วหนึ่งยื่นตรงมาให้กับสีหราช เป็นหญิงสาวรูปร่างหน้าตาดีแต่งตัวเซ็กซี่พร้อมกับก้าวเข้ามาโปรยยิ้มหวานให้ต่อหน้าต่อตาทีเดียว ขณะที่มีสาว ๆ สองสามคนที่หัวเราะคิกคักกันด้านหลังเป็นกองเชียร์

“ขอเลี้ยงกาแฟนะคะ ไม่นึกว่าชอบกาแฟเย็นเหมือนกัน” สายตามีจริตจะก้านของผู้หญิงตรงหน้าทำให้เมืองอินทร์ชะโงกหน้ามองคนขอเลี้ยงกาแฟ แล้วดูท่าทีของยมทูตหนุ่ม

ขณะที่สีหราชชะงักไปนิดก่อนจะเหลือบมองเมืองอินทร์ สายตาคล้ายจะมีคำถามแต่เป็นเมืองอินทร์ที่เบือนหน้าหนีแล้วเงยหน้ามองโทรทัศน์ตรงหน้าราวกับสนใจเสียเต็มประดา สีหราชลอบซ่อนยิ้มในหน้าก่อนจะหันไปมองสาวสวยที่ยืนอีกข้าง

“ขอบคุณ...สำหรับกาแฟ”

ประโยคนั้นทำให้คนที่นั่งข้าง ๆ คล้ายกับจะคอแข็งขึ้นมาทันที

...ความรู้สึกบางอย่างวูบขึ้นกลางอก...

สิ้นประโยคนั้น เมืองอินทร์หันขวับไปสั่งกาแฟกับพนักงานทันที

“ถ้าเขามีคนเลี้ยงกาแฟแล้ว ผมสั่งเพิ่มแก้วเดียวก็พอครับ ขอคาราเมล แมคคิอาโตครับ...ไม่หวาน!”

แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อจู่ ๆ สีหราชก็คว้าข้อมือเขาไว้แน่นก่อนจะหันไปพูดต่อกับผู้หญิงคนเดิมหน้าตาเฉย

“แต่คงรับไว้ไม่ได้...ขอบคุณ”

ประโยคสั้น ๆ ทำให้เมืองอินทร์ชะงักกึกก่อนจะหันมองสีหราช ขณะที่ผู้หญิงคนดังกล่าวเม้มปากแน่นแล้วหันหลังกลับอย่างรวดเร็วก่อนจะเดินฉับ ๆ ออกไปจากร้านพร้อมกับเพื่อน ๆ ในทันที

...นึกว่าจะโดนสาดด้วยกาแฟซะแล้วสิ...

“พูดแบบนั้นไป เขาก็เสียหน้าแย่สิ...” เมืองอินทร์อุบอิบก่อนจะค่อย ๆ ดึงมือตัวเองออกจากการเกาะกุมแล้วเอื้อมไปรับกาแฟจากบาริสต้ามาจิบ

“หายหรือยัง...” คนข้าง ๆ เอ่ยลอย ๆ พลางอมยิ้มนิดๆ

“อะไร...อะไรหาย ?” เมืองอินทร์งุนงง

“ตัวโมโหน่ะ...หายหรือยัง...” สีหราชอมยิ้มนิด ๆ ก่อนจะเอานิ้วจิ้มจมูกคนข้าง ๆ อย่างมันเขี้ยว

“อะ...อะไรนะ...” เป็นเมืองอินทร์ที่ตะกุกตะกักเสียเอง

“จริง ๆ ก็ไม่อยากทำให้ผู้หญิงคนนั้นเสียหน้า แต่ทำยังไงได้...ถ้าต้องแลกกับการที่เจ้าโมโหข้า ต่อให้เอาทองมากองตรงหน้าข้าก็ไม่ยอมหรอก...”

คนพูดยิ้มกริ่มก่อนจะอาศัยจังหวะที่เมืองอินทร์เผลอคว้าแก้วกาแฟในมือไปดื่มหน้าตาเฉย

เหมือนมีไอร้อนฉ่า..พัดวูบจนต้องเม้มปากแน่นเสียอย่างนั้น

“เอากาแฟข้าคืนมา...ท่านมีแก้วนั้นแล้วนี่...” เมืองอินทร์พยายามเปลี่ยนเรื่องก่อนจะเอื้อมคว้ากาแฟจากมือสีหราช

“ไม่ ! ข้ากระหายน้ำ...ข้าจะดื่มกาแฟเจ้าเท่านั้น...” เจ้าตัวพูดหน้าตาเฉยก่อนจะดูดกาแฟในแก้วอย่างไม่รอให้อนุญาต

...ทำอย่างนั้น มันก็เหมือนจูบ...ทางอ้อมไม่ใช่หรือยังไง ?...

“ของท่านก็มี...” เมืองอินทร์หน้าแดงก่อนจะพยายามคว้าแก้วตัวเองคืนกลับมา แต่ก็ไร้ผล

“...แก้วนั้นไม่ใช่ของข้า นี่ต่างหากของข้า...” สายตาคนตรงหน้าคล้ายยั่วเย้า ก่อนจะยกแก้วกาแฟหนีการคว้าจับของเมืองอินทร์
สายตาหยอกเย้า ริมฝีปากสีหราชยิ้มนิด ๆ ก่อนจะดื่มคาราเมลแมคคิอาโตอย่างละเลียดพร้อมกับจ้องเจ้าของแก้วกาแฟด้วยสายตาวาววาม แล้วชะโงกหน้ามาใกล้ ๆ

“ อย่าโกรธข้าสิ บางคนแถวนี้เคยสอนข้าว่า...รับมาก่อน...ไม่อย่างนั้นคนให้จะเสียน้ำใจ...”

“นี่ขนาดข้ารับแค่น้ำใจ...คนแถวนี้ยังเกือบอาละวาด...ขืนรับจริง ๆ คงโกรธข้าไปสามวันเจ็ดวันแน่...”

เสียงกลั้วหัวเราะของสีหราชทำให้เมืองอินทร์อึ้ง...

บางอย่างในความทรงจำครั้งก่อนผุดขึ้นมาย้ำเตือน

“ไม่กิน...เหตุไฉนยังรับมา” ประโยคเดียวกันนี้อ้ายสีห์เคยถามเขาเมื่อครั้งเยาว์วัย

“ก็...ไม่อยากเสียน้ำใจ” เป็นตัวเขาเองที่กล่าวอุบอิบหลังรับเชี่ยนหมากจากผู้สาวมาครั้งหนึ่ง

“เหอะ...รับไว้ คราหลังเขาก็จักเอามาให้เจ้าอีก” สีหราชในวัยหนุ่มฉกรรจ์หน้าบึ้งก่อนจะคว้าดาบฟันหยวกกล้วยเคราะห์ร้ายจนขาดกลาง

ในครั้งนั้นไม่รู้ว่าอ้ายสีห์หงุดหงิดอะไรถึงฟันหยวกกล้วยจนขาด...แต่ครั้งนี้เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงหงุดหงิดอย่างนั้น

“ต่อไป...ถ้าเจ้าไม่ชอบ ข้าจะไม่รับของอะไรจากใครอีกเลย เจ้าตัวเล็ก”

น้ำเสียงล้อเลียนข้าง ๆ หูทำให้เมืองอินทร์ทำหน้าไม่ถูก ก่อนเจ้าตัวจะถูกสีหราชยกมือขึ้นยีหัวเบา ๆ อย่างเอ็นดู

“เจ้าน่ะ...หวง...พี่ชายอย่างข้า...จริง ๆ สินะ อ้ายอินทร์”

น้ำเสียงคนตรงหน้าหยอกเย้ากึ่งล้อเลียน แต่ทำให้คนฟังหน้าแดงก่ำ

ยอมรับก็ได้ว่า ข้าหวง ! ข้าหวงพี่ชาย ! 
..........................................................

หลังจากวันที่สีหราชปะทะกับเหล่าวิญญาณที่หอจดหมายเหตุ เหมือนเหตุการณ์ทุกอย่างจะเงียบสงบลงอย่างน่าประหลาด ไม่มีเหตุร้ายเกิดกับเหล่าวิญญาณเร่ร่อนและไม่มีเงาอาฆาตที่ตามมารังควานสีหราชและเมืองอินทร์อีก แต่ความเงียบสงบนี้เองกลับทำให้สีหราชเคร่งขรึมมากกว่าเดิม คล้ายจะครุ่นคิดหนักกว่าเดิม

...คล้ายกับท้องทะเลที่มักจะเรียบสงบปราศจากคลื่นลม ก่อนจะเกิดพายุร้าย...

และที่สำคัญ เมื่อพ้นจากคืนนั้น สีหราชมักทำหน้าเคร่งใส่เมืองอินทร์ก่อนจะสั่งการให้เขาเร่งฝึกซ้อมดาบอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ยามกลางวันเจ้าตัวก็มักจะลากเขาไปหาเหล่าวิญญาณเร่ร่อนเพื่อสืบหาเบาะแสเกี่ยวกับป้ายทองคำ ตกกลางคืนก็ยังลากเมืองอินทร์กลับมาฝึกดาบเหมือนครั้งอดีตชาติ เรียกว่าไม่ยอมปล่อยให้รอดพ้นสายตา

และเมื่อฝึกดาบก็ต้องมีดาบคู่กาย ซึ่งเพียงคืนเดียว ดาบประจำตัวของเมืองอินทร์ที่ถูกวางจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ของเสด็จพระองค์ชายชาญนพก็ถูกสีหราชหยิบฉวยออกมาให้ใช้ แม้เมืองอินทร์จะท้วงว่าแบบนี้ไม่ต่างจากขโมย

“เสด็จพระองค์ชายฯ ทรงเก็บรักษาดาบไว้ให้เจ้า แล้วเจ้าเป็นเจ้าของที่แท้จริงของดาบเล่มนี้...จะว่าขโมยได้อย่างไร”

สีหราชพูดหน้าตาเฉยก่อนจะทบทวนเพลงดาบให้เขา ซึ่งน่าประหลาดใจว่าหลังจากได้ความทรงจำกลับคืนมา สมองและร่างกายของเมืองอินทร์สามารถจดจำวิธีการจับดาบและกระบวนท่าต่าง ๆ ได้มากถึง 7-8 ส่วน

เสียงประดาบที่โรมรันพันตูกันระหว่างสองบุรุษในโดมมิติวิญญาณดังก้องอยู่ต่อเนื่องมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว อากัปกริยาของสีหราชคล้ายไม่ได้เหน็ดเหนื่อยเท่าใดนักขณะที่เมืองอินทร์ที่กระชับดาบในมือไว้แน่นกำลังหอบหายใจแทบไม่ทัน

“ถ้าเจ้าชนะข้าได้ คืนนี้ข้าจะให้เจ้านอนบนเตียง !” เสียงตะโกนของสีหราชดังขึ้น ประโยคนั้นทำให้เมืองอินทร์ทำตาเขียว

สีหราชคนนี้เป็นปีศาจชัด ๆ !

เมืองอินทร์กัดกรามกรอดก่อนจะถลาเข้าไปโรมรันกับร่างสูงตรงหน้าอย่างไม่ลดละ ร่างกายที่เพรียวลมปราดเปรียวทำให้ขยับร่างกายคล่องแคล่วกว่าเดิม ร่างในชาติปัจจุบันของเมืองอินทร์นับว่าตัวเล็กกว่าชาติที่แล้วอยู่เกือบ 10 cm ทำให้ดูคล้ายลูกแมวน้อยปราดเปรียวที่กระโจนไปทิศนั้นทีทิศนี้ที

ดาบคู่ใจ...ราวกับกรงเล็บของร่างตรงหน้า

สีหราชยกยิ้มนิดหนึ่งก่อนจะยกดาบปัดป้องการจู่โจมของร่างตรงหน้าอย่างสบาย ๆ เท่าที่สีหราชประเมินในใจ เมืองอินทร์ยังไม่ค่อยเจ้าเล่ห์เพทุบายนัก กระบวนท่าที่โถมฟันเข้ามานั้นตรงไปตรงมาดุจพื้นนิสัยของเจ้าตัวทำให้เดาทางได้ง่าย ประกอบกับกำลังแขนที่ยังไม่แข็งแรงเท่ากับร่างเดิมทำให้น้ำหนักการโจมตีไม่รุนแรง แต่หากฝึกไปสักระยะ เจ้าตัวน่าจะคุ้นชินกับน้ำหนักของดาบและอาจจู่โจมได้ดีขึ้น

“เก่ง ! แต่ยังไม่ดีพอ!” เสียงตะโกนของสีหราชทำให้เมืองอินทร์ยิ่งโมโห

“จู่โจมแบบนี้ ใครก็เดาทางได้ !”

“โถมมาทั้งตัวแบบนี้ เจ้าคิดจะกอดข้าหรือยังไง !” เสียงประชดของสีหราชทำให้เจ้าตัวยิ่งโมโหหนักกว่าเดิม

“เวลาต่อสู้ ข้าคือศัตรูที่เจ้าต้องล้ม ห้ามปรานีเด็ดขาด!” สีหราชตะโกนลั่นก่อนจะฟันลงมาเต็มเหนี่ยวจนมือข้างที่จับดาบของเมืองอินทร์สั่นระริก แล้วเจ้าตัวก็ฝืนดันดาบกระแทกออกไปเต็มกำลัง

“ยังสืบเท้าไม่เร็วพอ แล้วฐานไม่มั่นคง เจ้าจะล้ม !” ว่าแล้วสีหราชก็เตะตัดขัดขาทันควันทำเอาเมืองอินทร์ถลาวูบจะหงายหลัง
เคราะห์ดีที่มีมือแข็งแรงของสีหราชเอื้อมมาตรงหน้าคว้าแขนไว้ทันก่อนจะล้มไปกองกับพื้น

ยามนี้เป็นเมืองอินทร์ที่ถูกสีหราชกระชากเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน

กลิ่นเหงื่อจาง ๆ ของสีหราชแนบชิดอยู่ใกล้ เจ้าตัวหอบเบา ๆ อย่างหายใจไม่ทัน ขณะที่หัวใจเต้นรัวด้วยจากอะดรีนาลีนและความเหนื่อยล้าจากการฝึกซ้อม

“อ้ายสีห์...นี่ข้าฝึกมาสามสี่ชั่วโมงแล้ว...ขอพักสักครู่เถอะ” เป็นเมืองอินทร์ที่หอบเหนื่อยจนตัวโยน แต่เป็นสีหราชที่ตัดใจผลักเมืองอินทร์ออกก่อนจะกระชากดาบขึ้นมาเตรียมพร้อม

“ในการต่อสู้...มีใครให้เจ้าพักบ้างอ้ายอินทร์ ! ไม่ใช่เจ้าตาย ก็ศัตรูที่ม้วย จงเลือกเอา”

...ไอ้ยมทูตหน้าโหด...ไอ้พี่สีห์ตัวร้าย ถ้าจะมีใครตายก่อนวิญญาณร้ายก็คงเป็นเขานี่แหล่ะ !

เสียงห้วนของสีหราชทำให้เมืองอินทร์เม้มปากแน่น ก่อนจะตัดสินใจใช้แรงที่มีทั้งหมดพุ่งเข้ามาปะทะกับสีหราชอีกครั้ง และครานี้เป็นเขาที่ชนะ เมื่อเขาเสือกดาบเข้าไปก่อนจะตวัดเปลี่ยนกระบวนท่าอย่างรวดเร็ว สีหราชเบิกตากว้างและกระชากแขนหลบแต่ไม่พ้นคมดาบเขา โลหิต...หยดลงดิน เป็นเขาที่เรียกเลือดจากท่อนแขนของสีหราชได้

“อ้ายสีห์ ! ข้าขอโทษ ! ” เมืองอินทร์ทิ้งดาบในมือทันที แล้วปราดเข้าไปคว้าท่อนแขนคนเจ็บขึ้นมาดู แต่เจ้าตัวไม่ใส่ใจ

“ไม่เป็นไร อย่างน้อย...เจ้าก็พอป้องกันตัวเองได้แล้ว แผลนี้ไม่เท่าไหร่หรอก...”

สีหราชพูดนิ่ง ๆ ไม่กล่าวอะไรอีกขณะที่เมืองอินทร์รีบคลี่ผ้าที่พันท่อนแขนตนเองออกมา หมายจะพันรัดต้นแขนของสีหราช แต่ทันทีที่เมืองอินทร์เลิกชายแขนเสื้อสีหราชขึ้น เจ้าตัวกลับรีบกุมชายแขนเสื้อไว้แล้วปัดมือออกทันที ท่าทีดังกล่าวทำให้เมืองอินทร์อึ้งไป

ทำไมปัดมือมันทิ้งเล่า...อ้ายสีห์โกรธอย่างนั้นหรือ ?

แต่ก่อนจะคิดอะไรต่อ สีหราชกลับโยนผ้าขนหนูผืนหนึ่งโปะหน้าเขา !

“วันนี้เลิกฝึกกันได้แล้ว เรากลับกันเถิด” เจ้าตัวทำหน้านิ่ง ๆ ก่อนจะก้าวยาว ๆ เดินล่วงหน้าไปก่อนซะอย่างนั้น

หืม...ใครที่หลงหน้าตาพ่อสีหราชคนเข้ม อยากให้มาดูตอนนี้จริง ๆ !

“เด็กดื้อ! ถ้าไม่ลุกละก็ ข้าจะปล่อยให้เจ้าอยู่ในโดมมิติวิญญาณนี้ละนะ” เสียงห้าว ๆ ตะโกนมาทำให้เมืองอินทร์เบ้หน้านิด ๆ
เมืองอินทร์หน้าง้ำก่อนจะบ่นงึมงำในใจ

...ทำไมจะต้องฟังท่านด้วย  ถ้าข้าจะนั่งพักตรงนี้ต่อสักหน่อยจะเป็นไรไป !

แต่แล้วก็ต้องตาลีตาเหลือกลุกพรวด เพราะประโยคที่สีหราชเปรยเบา ๆ

“ตามใจ...เจ้าอาจจะไม่รู้ว่าโดมมิติวิญญาณที่ปล่อยทิ้งไว้มันเชื่อมต่อกับป่าหิมพานต์ ทำให้ตกกลางคืนมักมีสัตว์ดุร้ายออกมาเพ่นพ่าน...อย่างนรสีห์...คชสีห์...บางทีก็เป็นกุมภัณฑ์ต่าง ๆ ยักษาตัวเป็น ๆ ก็มีแล้วยังชอบกินเนื้ออีกต่างหาก ”

น้ำเสียงคนตรงหน้าเหมือนบอกเล่าเฉย ๆ แต่มีเพียงเจ้าตัวที่ลอบอมยิ้ม เมื่อเจ้าตัวเล็กกว่าหันซ้ายหันขวางแล้วกระโดดตามออกมาจากโดมมิติวิญญาณแทบไม่ทัน

“ไม่ต้องขู่ข้าหรอกน่าอ้ายสีห์ !” เมืองอินทร์หน้าบึ้ง ขณะที่สีหราชหันมามองด้วยแววตาเอ็นดูระคนขำ

“เดี๋ยวก่อน อยู่นิ่ง ๆ อ้ายอินทร์” ประโยคสั่งสั้น ๆ ทำให้เมืองอินทร์เงยหน้าขึ้น เมื่อสีหราชยิ้มก่อนจะเดินอ้อมมาด้านหลังคล้องวัตถุบางอย่างส่องประกายแวววาวเข้าที่คอของเขาอย่างรวดเร็ว

สร้อยทองคำเส้นเล็ก ๆ ดุนลายวิจิตรคล้องอยู่บนคอเขา ?

“เจ้าน่ะชอบทำสร้อยเส้นนี้หายอยู่เรื่อย คราวก่อนก็ทำมันหล่นกับพื้น...คราวนี้ข้าจะคล้องไว้ให้ติดกาย และอย่าทำมันหายอีกนะ...ถือว่าข้าขอร้อง” น้ำเสียงอ่อนโยนและไออุ่นจากลมหายใจผะผ่าวที่ซ้อนอยู่เบื้องหลังทำให้เมืองอินทร์ยืนนิ่งขึงตะลึงไป

มืออุ่น ๆ ของสีหราชขยุกขยิกบรรจงกดตะขอสร้อยทองดังกล่าวให้แน่น ก่อนเจ้าตัวจะเดินอ้อมมาจัดสร้อยตรงหน้าให้เรียบร้อย

น้ำเสียงและแววตาอ่อนโยนของสีหราชทำให้เมืองอินทร์ต้องหลบตา

...ในความทรงจำที่ขาดวิ่น...เขารู้ดีว่าเคยทำสร้อยเส้นนี้ร่วงลงดินก่อนจะสิ้นลมหายใจ...

สร้อยที่เคยถูกฝังไปพร้อมกับร่างของเขาเมื่อกว่าสองร้อยปีก่อน...

หัวใจข้า...กำลังเต้นแรงเหมือนจะหลุดออกมาจากอก...

...ระหว่างสองเรา...มีบางอย่างที่มากกว่าพี่น้อง...ใช่ฤาไม่...อ้ายสีห์...

“เหม่ออะไร...เจ้าตัวจ้อย ขืนมองข้าด้วยสายตาแบบนี้...เดี๋ยวข้าก็จับกินเสียเลย !”

ประโยคกำกวมนั่นทำให้หน้าที่ร้อนนิด ๆ ยิ่งร้อนจัดหนักกว่าเดิม!

“ฝึกดาบเสร็จคราใด ข้าก็ยิ่งหิวจัด ๆ ไปเสียทุกทีสิน่า” สีหราชพูดพลางหัวเราะนิด ๆ

“หิว...”

พูดไม่พูดเปล่าเจ้าตัวดันก้มหน้าลงมาเสียชิดแล้วกระซิบข้างหู...ทำเอาหายใจติดขัดกะทันหันทีเดียว

...หัวใจข้ากำลังสั่นไหว 7 ริกเตอร์ !...



ฺButlerofLOVE:

หายหน้าไปหลายวันเพราะเผลอทำผิดกฎของเล้า ขอบคุณโมเดอเรเตอร์ BaoBao นะคะที่ช่วยแก้ไขให้แก้ว ^^ มาต่อกันค่า  วันสองวันนี้จะอัพรัว ๆ เลย ^^

 :mew3:
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 7/1/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 08-01-2021 22:14:56
รีบมาอีกน้าาา
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 7/1/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 08-01-2021 23:51:21
CHAPTER
25




ก่อนที่หัวใจจะหวั่นไหวไปมากกว่านี้...

ทันใดนั้นปรากฏหมอกจาง ๆ สีขาวขึ้นตรงหน้า ขณะที่ทั้งคู่กำลังตกตะลึงอยู่นั้น ก็มีสตรีสาวสวยร่างหนึ่งก้าวออกมาจากสายหมอก ดวงตาเรียวสวยแฝงความดุ อาภรณ์สีแดงก่ำเนื้อบางเบาสะบัดตามจังหวะการก้าว บนท่อนแขนกลมกลึงสีงาช้างปรากฎสร้อยสังวาลย์สีแดงก่ำคาดขวาง เจ้าตัวดูมั่นอกมั่นใจในตัวเองและไอวิญญาณที่รุนแรงบอกชัดว่าสตรีตรงหน้าสูงศักดิ์ไม่น้อย

“อ้ายสีห์! ตามหาตัวยากจริงนะ ! ทำไมเจ้าทำเรื่องบ้า ๆ เช่นนี้ ! ถ้าข้ารู้ว่าเจ้าจะแหกกฎทำเรื่อง...”

เสียงใส ๆ นั้นตวาดแหววอย่างกราดเกรี้ยวก่อนจะชะงักเมื่อเห็นว่ายามนี้สีหราชไม่ได้อยู่เพียงลำพัง

“อัคนิการ์...” สีหราชอึ้ง ๆ ไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากทักทาย ท่าทีของสตรีที่ชื่อ “อัคนิการ์” คล้ายจะเอ่ยบางอย่างต่อ แต่สีหราชรีบส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามทันที ทำให้อัคนิการ์เทวีหน้าบึ้งแล้วหันมองมาเมืองอินทร์ด้วยแววตาที่ไม่เป็นมิตร ขณะที่สีหราชรีบแนะนำสตรีตรงหน้าให้เมืองอินทร์รู้จัก

“อ้ายอินทร์ นี่อัคนิการ์เทวี เป็นบุตรีของท่านยมบาล...และเป็นหนึ่งในผู้คุมกฎระเบียบแห่งยมโลก”

สตรีตรงหน้าเชิดหน้าอย่างหยิ่ง ๆ ก่อนจะมองเมิน ๆ เมืองอินทร์ด้วยหางตาแล้วหันไปถามสีหราช

“อ้อ....เมืองอินทร์....คนนี้หรอกหรือที่ท่านเล่าให้ข้าฟัง...” เจ้าตัวเว้นประโยคไว้อย่างมีความหมาย

ประโยคนั้นทำให้เมืองอินทร์ขมวดคิ้วมุ่น

เล่า ?  อ้ายสีห์ไปเล่าเรื่องข้าให้คนผู้นี้ฟังอย่างนั้นหรือ ?

“เมืองอินทร์คนนี้...รู้อะไรมากแค่ไหนกันอ้ายสีห์...เขารู้หรือเปล่าว่า...” สายตาคมของอัคนิการ์เทวีมองนิ่ง ๆ ก่อนจะกอดอกเบา ๆ อาการคล้ายพร้อมจะอาละวาดได้ทุกขณะทำให้สีหราชรีบคว้าแขนคนมาใหม่ทันที กิริยาดังกล่าวทำให้เมืองอินทร์สะดุ้งยึกในใจ

....สนิทสนมถึงกับจับมือถือแขนกันได้เชียวหรือ...

“นิการ์....ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า…มานี่ก่อน...”

ว่าแล้วสีหราชก็ลากผู้มาใหม่เข้าไปในห้องด้านในโดยไม่รีรอ ทิ้งแต่ความงุนงงและอึ้งไว้กับเมืองอินทร์ ทั้งคู่หายไปครู่ใหญ่ใน
ห้องนั้น มีแต่เสียงตะโกนคล้ายทุ่มเถียงกันเบา ๆ ลอดออกมา เมืองอินทร์ถอนหายใจพรู

อัคนิการ์เทวี เป็นผู้หญิงที่สวยและมั่นใจตัวเองเอาเรื่อง แถมยังดูสนิทสนมขนาดจับมือถือแขนกันได้....

...พวกเขาเป็นเพื่อน...หรือมากกว่าเพื่อนกันนะ...

แต่ช่างสิ ! จะเป็นอะไรก็ไม่เกี่ยวกับเขาเพราะเขาและสีหราชต่างเป็นพี่น้อง...เท่านั้น

ความรู้สึกวูบโหวงในใจนี่คืออะไรนะ ทำไมจู่ ๆ ถึงรู้สึกไม่ชอบคำว่าพี่น้อง...ก็ครั้งนี้เอง

เมืองอินทร์ค่อย ๆ เดินมานั่งรอที่โซฟากลางห้องรับแขก โดยมีเจ้าเฉาก๊วยมาคลอเคลียพันแข้งพันขาเมืองอินทร์อย่างออดอ้อน เจ้าตัวยิ้มหม่น ๆ ก่อนจะลูบหัวเจ้าก้อนกลมเบา ๆ อย่างเหม่อลอย

...ความรู้สึกที่คล้ายจุกกลางอก...หน่วงหัวใจเสียยิ่งกว่าตอนฝึกซ้อมดาบเสียอีก...

จากนั้นครู่ใหญ่ทั้งคู่ก็เดินออกมา สีหน้าอัคนิการ์เทวีคล้ายจะดีขึ้นเล็กน้อย แต่ยังมองเมืองอินทร์อย่างไม่เป็นมิตรนัก

“ข้าจะอยู่ที่นี่ด้วย อ้ายสีห์ !” ธิดาของท่านยมบาลเอ่ยขึ้นหน้าตาเฉย ก่อนจะปรายตามองเมืองอินทร์ที่เล่นกับเฉาก๊วยอยู่

“ไม่ได้!” สีหราชปฏิเสธทันที สีหน้าของสีหราชดูอึดอัดใจ แต่อัคนิการ์เทวีเหมือนจะไม่ใส่ใจอะไร ใบหน้างามเชิดนิด ๆ ก่อนจะหันมองสีหราช

“ครั้งนี้ ข้าหนีออกมาจากยมโลก...ยังไงเสียเจ้าก็ต้องช่วยข้า ให้ที่พักข้า ไม่อย่างนั้น...ข้าจะไปรายงานท่านพ่อเรื่องของเจ้า”
ประโยคนั้นราวกับประกาศิตที่ทำให้สีหราชนิ่งอั้นไปครู่ใหญ่

มีเพียงเมืองอินทร์ที่มองการทุ่มเถียงของคนทั้งสองตรงหน้าอย่างงุนงง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สีหราชที่ปกติจะไม่ยอมใครง่าย ๆ แต่ครานี้ถึงกับถอนหายใจหนัก

“คิดดูดี ๆ นะอ้ายสีห์ ถ้าเจ้าให้ข้าอยู่ที่นี่ น่าจะเป็นประโยชน์กับเจ้ามากกว่า...ไม่ใช่รึ” ดวงตาหวานหรี่มองแฝงความนัย

คำพูดเปรย ๆ ปิดท้ายนั่นที่ทำให้สีหราชต้องพยักหน้าอย่างยอมจำนน

..................................................................................

ตั้งแต่อัคนิการ์เทวีมาอยู่ด้วย ทุกอย่างก็ดูอึดอัดพิกล บุตรียมบาลแสนสวยเป็นสาวแสบอย่างที่คาดไม่ถึง ถ้าบอกว่าสตรีอย่างแม่หญิงนากที่ชื่นชอบอ้ายสีห์ในวันนั้นดูเอาแต่ใจแล้ว อัคนิการ์เทวีคล้ายจะมากกว่านั้นกว่า 3-4 เท่า

...ความแสบและจิกกัดเก่งต้องยกให้กับนาง...

“ห้องนี้เหมือนจะเหม็นกลิ่นอับสักอย่าง...ข้าไม่ชินเอาเสียเลยอ้ายสีห์...” อัคนิการ์เทวีบ่นประโยคแรกเมื่อเขาสละห้องนอนให้กับเจ้าตัว สายตาที่มองยิ้ม ๆ ตรงมาที่เขาทำให้เมืองอินทร์สะอึกขณะที่สีหราชยืนนิ่ง ๆ ถอนหายใจกับท่าทีของคนตรงหน้า

“ถ้าเจ้าไม่ชอบห้องนี้ ข้าก็จะยกห้องเดิมของข้าให้เจ้า” สีหราชพูดเรียบ ๆ แล้วหันมองมาทางเมืองอินทร์

“ส่วนข้าก็จะมานอนห้องนี้กับเมืองอินทร์เอง”

ประโยคนั้นทำเอาเมืองอินทร์ตาโต

...เตียงก็เล็กขนาดนอนคนเดียว แล้วจะให้ยมทูตตัวโตอย่างสีหราชมานอนกับเขา มีหวังเขาคงต้องตกเตียงแน่ ๆ...

แต่แล้วอัคนิการ์เทวีก็หัวเราะร่วนก่อนจะมองสีหราชแล้วยิ้มมุมปาก

“...เป็นความคิดที่...เหมือนจะใจดีกับข้าจังนะ อ้ายสีห์...”

เจ้าตัวเดินช้า ๆ มาวนเวียนตรงหน้าสีหราชแล้วมองมาที่เมืองอินทร์ด้วยรอยยิ้มประหลาด

“..ข้าจะทำเรื่องโหดร้ายกับเจ้าสองคนได้ยังไงกัน นอนเบียดกันบนเตียงเล็ก ๆ ไม่ดีละมัง...”

สรุปสุดท้ายก็ลงเอยที่อัคนิการ์เทวียอมนอนห้องนอนเล็กไปคนเดียวขณะที่สีหราชลากเมืองอินทร์ไปนอนด้วยกันที่ห้องนอนใหญ่ แต่เพราะอะไรก็ไม่รู้จู่ ๆ เจ้าเฉาก๊วยกลับมีท่าทีง่องแง่งใส่กับทั้งอัคนิการ์และสีหราชอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

....เฉาก๊วย...แสนรู้เหลือเกินนะเรา...

มีเพียงเมืองอินทร์ที่ยิ้มนิด ๆ ให้เจ้าก้อนถ่านจอมแสบของเขา

ก็จะไม่แสบได้อย่างไร เมื่อสีหราชขึ้นเอนกายบนเตียง เจ้าตัวหันตะแคงข้างแล้วมองเขาก่อนจะเอามือตบลงบนเตียงเบา ๆ ด้วยท่าทีคล้ายเชิญชวน

“เตียงข้ากว้างจะตาย...เจ้าขึ้นมานอนด้วยกันเถอะ”

ไม่รู้เพราะเหตุใด ความรู้สึกคล้ายลมจะตีขึ้นในท้องจนรวนมวนไปหมด แต่ก่อนจะทันทำอะไร ก็เป็นเจ้าเฉาก๊วยที่กระโดดขึ้นมากลิ้งหมอบกระดิกหางเล่นบนเตียงเสียอย่างนั้นจนสีหราชทำตาดุใส่ แต่เฉาก๊วยน้อยก็ไม่ยอมง่าย ๆ

ก้อนถ่านกลม ๆ ปุ๊กปิ๊กของเขาคำรามแยกเขี้ยวเบา ๆ ใส่สีหราช

...ไอ้ก้อนเอ๊ยยย..ทำตาดุใส่ผิดคนเสียแล้ว เดี๋ยวก็โดนโยนออกไปจากห้องหรอก...

หางเล็ก ๆ ของเฉาก๊วยกระดิกริก ๆ ปากก็เห่าเบา ๆ อย่างไม่ยอมง่าย ๆ ทำเอาเจ้าของเตียงถอนหายใจพรูใหญ่

เมืองอินทร์ค่อย ๆ ก้าวขึ้นไปบนเตียง ลงท้ายก็เลยกลายเป็นว่าเจ้าเฉาก๊วยนอนอยู่กึ่งกลางระหว่างเขาและสีหราช แถมยังทำท่าเป็นยามเฝ้าระแวดระวังให้เสียด้วย เจ้าก้อนถ่านตัวน้อยติดเมืองอินทร์แจซุกตัวอยู่ข้างกายไม่ห่าง บางจังหวะที่เมืองอินทร์กำลังจะงีบหลับก็กลายเป็นว่าเฉาก๊วยหันไปแยกเขี้ยวจะงับแขนเสื้อของสีหราชเสียอย่างนั้น

...ทำไมจะงับแขนเสื้อนอนท่านยมทูตด้วยนะ ? ประหลาดจริงเชียวเจ้าก้อน...

เสียงขยับตัวขยุกขยิกของเจ้าของเตียงที่พยายามดุเจ้าเฉาก๊วยเบา ๆ ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเท่าไหร่ จนเมืองอินทร์ต้องลืมตาขึ้นมอง การตื่นขึ้นมากลางดึกของเขาทำให้สีหราชชะงักกึกก่อนจะขยับตัวเบา ๆ มือหนาคล้ายจะรีบวางลงข้างกายทันทีขณะที่สายตาเหมือนจะเข่นเขี้ยวเจ้าก้อนถ่านตรงหน้า

“...มีอะไรอย่างนั้นหรืออ้ายสีห์...เฉาก๊วยมันกวนท่านหรือ...” เมืองอินทร์งัวเงียเบา ๆ

“ก็...มันดุนัก ข้าแค่ขยับนิดขยับหน่อยก็จะกัดชายเสื้อข้าซะทุกที...” เสียงเจ้าของเตียงคล้ายจะโอดเบา ๆ น้ำเสียงคล้ายงอนนิด ๆ ทำให้เมืองอินทร์เงยหน้าขึ้นมองอีกรอบ

“มันอาจไม่คุ้นกับท่าน...” เมืองอินทร์ลูบหัวเจ้าก้อนถ่านเบา ๆ อย่างปลอบใจ

“ใช่...ควรเอามันออกไปข้างนอกน่าจะดีกว่า” สีหราชเปรยเบา ๆ สายตามองตัวขัดจังหวะที่หมอบซุกแยกเขี้ยวอย่างฉุน ๆ 

“อืม...อาจจะ...น่าจะดีกว่าจริง ๆ” เป็นเมืองอินทร์ที่ขยับตัวลุกขึ้นจากเตียง ทำเอาสีหราชผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

“นั่นเจ้า...จะไปไหนเล่า เมืองอินทร์...” สายตาคนตัวโตกว่าละห้อยโหย

“ข้าจะไปนอนโซฟาอย่างไรเล่า ก็...เฉาก๊วยมันติดข้า ถ้าเอามันไปนอนข้างนอกตัวเดียวก็น่าสงสารแย่” ว่าแล้วก็คว้าหมอนใบโตติดมือออกมาด้วย ขณะที่สีหราชรีบคว้าข้อมือผีหนุ่มไว้

“เอ่อ...ข้าว่า...ข้านอนได้...อีกไม่นานก็เช้าแล้ว” เสียงร่างตรงหน้าอุบอิบ

“อย่าเลย...วันนี้เหมือนเฉาก๊วยเป็นอะไรไปก็ไม่รู้ ข้าว่า ข้าอยู่กับมันดีกว่า ท่านนอนเถิด...อ้ายสีห์...” เมืองอินทร์ปลดมือที่เกาะกุมอยู่อย่างเบา ๆ ขณะที่เฉาก๊วยเห่ารับเบา ๆ อย่างถูกจังหวะ ทำเอาสีหราชนิ่งงันไป

...เหมือนจะมีคนหน้ามุ่ยอีกหนึ่งแถวนี้...

ความป่วนของเฉาก๊วยทำเอาคืนแรกทั้งเมืองอินทร์และสีหราชต่างไม่ได้นอนกันทั้งคู่ และตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมา เมืองอินทร์ก็ต้องใช้โซฟาห้องรับแขกเป็นที่นอนใหม่พร้อมกับเจ้าเฉาก๊วยเพราะจนแล้วจนรอดเฉาก๊วยก็เอาแต่เห่าไล่สีหราชและอัคนิการ์เทวีเป็นระยะอย่างที่เขาเองก็ไม่เข้าใจ

สงสัยมันจะหวงสีหราช...เหมือนเขาละมัง

ท่าทีสนิทสนมใกล้ชิดของสีหราชและอัคนิการ์เทวีในบางคราทำให้ลมหายใจของเมืองอินทร์ติดขัดในบางครา เช่น บางทีเดินเข้ามาในห้องรับแขก จู่ ๆ สตรีงามร่างนั้นก็เอนซบไหล่ซบบ่ากว้างของสีหราชต่อหน้าต่อตาเขาเสียเฉย ๆ หรือบางครั้งหลังจากที่พวกเขาซักซ้อมเพลงดาบเสร็จ ก็เป็นอัคนิการ์เทวีที่มักจะขลุกกับสีหราชในห้องเงียบ ๆ สองต่อสอง แถมเมื่อก้าวออกมาจากห้อง อัคนิการ์เทวีก็คล้ายจะมีอาการอ่อนเพลียเล็กน้อย มือเรียวยาวสวยคล้องแขนสีหราชออกมาเหมือนจะหมดแรง

...ต่อให้พยายามไม่คิด แต่ถ้าเห็นอยู่เกือบทุกวัน...มันก็อดคิดไปไกล...ถึงไหนต่อไหนไม่ได้

แต่บางคืนที่เขาคิดไปไกลจนนอนไม่หลับ บางคืนแอร์ก็เย็นเกินไป แต่พอตื่นเช้ามักจะมีผ้าห่มผืนใหญ่คลุมบนอก...

กลิ่นหอมติดผ้าห่มบอกชัด ว่าเจ้าของผ้าคือใคร

...อ้ายสีห์...ใจดีกับเขา...แต่ยามนี้ก็ใจดีกับผู้อื่นด้วย เป็นความใจดีที่ทำให้ข้างในโหวง  ๆ พิกล

“ข้าว่าข้าชอบอ้ายสีหราช....เจ้าคิดยังไง” เสียงหวาน ๆ คล้ายยั่วเย้าอยู่ข้าง ๆ ทำเอาเมืองอินทร์สะดุ้งเกือบทำจานหลุดมือลงไปในอ่าง

“ข้า...ก็ไม่คิดอย่างไร...” เป็นเขาที่เอ่ยเบา ๆ ออกไปไม่สบสายตา

“อย่างนั้นรึ...อ้ายสีหราชทั้งดีงามและทื่อมะลื่อนัก ข้าชอบคนที่เสแสร้งไม่เป็นเยี่ยงนี้”

“อย่าว่าอ้ายสีห์อย่างนั้น เขาไม่ใช่คนทื่อมะลื่อหากเป็นคนที่ซื่อตรงต่อความรู้สึกตัวเอง ! หากท่านจะรักเขา จงรักที่หัวใจ และอย่าได้พูดเยี่ยงนั้นอีก !” เป็นเขาที่อดไม่ได้และพูดสวนออกไปทันควัน

“ดูเหมือนน้องชายเช่นเจ้า จะรู้จักพี่ชายเจ้าดีเหลือเกินนะ แต่ขอบอกไว้ก่อน บางอย่างพี่น้องก็แทนคนรักไม่ได้หรอกนะ” ประโยคนั้นกลั้วหัวเราะเบา ๆ ก่อนเจ้าตัวจะนวยนาดเดินจากไปทิ้งไว้เพียงน้ำหอมกรุ่นกำจาย จนเมืองอินทร์ต้องกัดกรามกรอดแล้วคว้าเอารีเฟรสชันเนอร์มาฉีดกลบกลิ่นนั้นอย่างหงุดหงิด

ไม่ชอบ ! ไม่ชอบสักนิด ไม่ชอบกลิ่น ไม่ชอบเสียงอะไรทั้งนั้น ! 

ประโยคสุดท้ายที่ลอยตามลมมาทำให้เมืองอินทร์กำมือแน่น

“ เจ้าน่ะ...ไม่รู้สักนิดว่าสีหราชต้องเสียสละแค่ไหนเพื่อเจ้า...เจ้าคนไร้ประโยชน์ !”

คนที่เฝ้ารอมานานกว่า 200 ปี...ไม่บอกก็รู้ว่าเป็นข้าที่ทำให้เขาต้องติดอยู่ในวงกตยมทูต...

...เป็นเขาเอง...ที่ทำให้คนตรงหน้าเป็นเช่นนี้

...เป็นเขาเอง...ที่ให้คนตรงหน้ารอ...มานานกว่า 200 ปี

ทำไมหัวใจถึงเจ็บได้ขนาดนี้นะ...
...............................................................
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 9/1/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 08-01-2021 23:52:45

เมืองอินทร์เพิ่งเข้าใจภาษิตที่ว่า ‘คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก’ ก็คราวนี้เอง เมื่ออัคนิการ์เทวีอยู่กระหนุงกระหนิงกับสีหราชในวันนี้ ก็เป็นเขาเองที่ขอตัวแยกมาซื้อของเพียงลำพัง การหลบออกจากภาพที่ทำให้ใจวูบไหวอย่างน้อยก็ให้เวลาหัวใจเขาเองได้พักและคิดมากขึ้น แววตาผีหนุ่มหม่นลง ก่อนจะถอนหายใจพรู ท่าทางเดินเหม่อ ๆ ถือข้าวของเต็มสองมือก้าวออกมาจากห้างสรรพสินค้าโดยไม่ทันระวังตัว

ปุ๊ก ! โครม !

บรรดาข้าวของที่ถือในมือร่วงลงกองกับพื้นทันที เมื่อชนโครมเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งตรงหน้า

“ขอโทษครับ..ผมเดินไม่ดูทางเอง..” เมืองอินทร์รีบขอโทษขอโพยคนตรงหน้าก่อนจะชะงักกึกเมื่อคนตรงหน้าทรุดกายลงช่วยเขาเก็บของที่ร่วงอยู่กับพื้น

“ถ้ารวมกับครั้งแรก นี่ก็เป็นครั้งที่สองแล้วนะ...ดูท่าเราจะมีวาสนาต่อกัน” ร่างสูงโปร่งตรงหน้าหัวเราะเบา ๆ กลิ่นน้ำหอมที่แปลก ๆ กับผมยาวสลวยตรงหน้าทำให้เขาเงยหน้ามองทันที

ดวงตาเรียวยาวที่อ่อนโยนมองตรงมาเจือรอยยิ้มนิด ๆ ผมยาว ๆ แบบนี้ สไตล์เสื้อผ้าและการแต่งตัวเหมือนกันคราวนั้นที่เจอ...ผู้ชายที่อยู่ตรงงานเทศกาลริมน้ำคราวก่อน...

“ถ้าเป็นครั้งแรกเราคือคนแปลกหน้าต่อกัน....แต่เมื่อเป็นครั้งที่สอง...เราไม่ใช่คนแปลกหน้ากันแล้วนะ”

สายตาอ่อนโยนมองเขาด้วยแววตาประหลาด คล้ายจะปลอบโยนระคนห่วงใย

“ ผม....วสุธาบดี แล้วคุณ ? ” น้ำเสียงเจือความอ่อนโยน

คนตรงหน้าดูคุ้นเคยอย่างประหลาด แต่เมืองอินทร์ก็แน่ใจว่าไม่เคยพบคนนี้มาก่อนถ้าไม่ใช่งานเทศกาลริมน้ำ

“เอ่อ...เมืองอินทร์ครับ...ยินดีที่ได้รู้จักและขอโทษที่ผมซุ่มซ่าม” เมืองอินทร์ก้มหน้านิด ๆ ก่อนจะคว้าข้าวของบนพื้น

“ไม่เป็นไรครับ บางครั้งการพบใครบางคนก็เป็นพรหมลิขิต ใครจะรู้...จริงไหม...” คนตรงหน้ายิ้มนิด ๆ ก่อนจะแตะถุงข้าวของที่เขาซื้อมาแล้วกวาดรวบไว้ในมือแข็งแรงอย่างรวดเร็ว

“มาเถอะ...ผมขอเลี้ยงกาแฟไถ่โทษแล้วกันนะเมืองอินทร์ มีร้านกาแฟใกล้ ๆ ตรงหัวมุมโน้น เราไปดื่มด้วยกันนะครับ” รอยยิ้มสุภาพของคนตรงหน้าทำให้ปฏิเสธไม่ออก

“คือ...ผมต้องรีบกลับ” เมืองอินทร์ลังเล

“เหรอ...น่าเสียดายนะ ผมถูกชะตาคุณ สักแก้ว....ก็ไม่ได้จริง ๆ หรือครับ” สายตาคนตรงหน้าทำให้ต้องเม้มปากและขอคิดอีกรอบ

....กลับไปตอนนี้...สองคนนั้นก็อาจจะยังคุยกันสนุก ถ้านั่งเล่นแถวนี้สักพัก...อาจจะดีก็ได้...

..............................................................................
เกือบชั่วโมงกว่าที่บทสนทนาลื่นไหลอย่างสนุกสนานกับเพื่อนใหม่แปลกหน้า ทำให้ออกจากร้านกาแฟแล้วเมืองอินทร์ยังเดินคุยกับวสุธาบดีมาเรื่อย ๆ จนถึงคอนโดมิเนียมหรูตรงหน้า แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว

...ไม่คิดว่าจะคุยเพลินขนาดนี้...

“ขอบคุณนะครับที่มาส่งผม” เป็นเมืองอินทร์ที่ยิ้มให้คนตรงหน้าก่อนจะเอื้อมมือรับห่อถุงของจากมือร่างสูง

“ไม่เป็นไร ยินดีที่ได้พบกันนะเมืองอินทร์” สายตาอ่อนโยนและรอยยิ้มละไมติดริมผีปากทำให้เผลอยิ้มตอบไปไม่รู้ตัว

แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อหันมาเห็นอีกคนยืนหน้าบึ้งอยู่หน้าลอบบี้คอนโดมิเนียมพร้อมกับอัคนิการ์เทวีที่ยืนรออยู่ด้วยกัน สีหราชเดินก้าวยาว ๆ ตรงมาด้วยสีหน้าบึ้งตึง ดวงตาคมคล้ายกับมีเปลวเพลิงลุกอยู่ข้างใน วิบตานั้นเหมือนดวงตาคู่นี้จะแดงจัดอย่างน่ากลัว เจ้าตัวคว้าถุงใส่ข้าวของไปถืออย่างรวดเร็วก่อนจะลากแขนเขามาใกล้

“หายไปไหนมา ! ข้ารอเจ้าอยู่นานถึงลงมารอ” น้ำเสียงหงุดหงิดของคนตรงหน้าไม่พอยังจับแขนเขาแรงกว่าที่เคย

“เจ็บนะ..อ้ายสีห์ ทำไมใจร้อนนัก”  เมืองอินทร์ครางอู้เพราะมือนั่นบีบลงมาหนัก ๆ

“ปล่อยเมืองอินทร์ก่อนเถอะ ข้าแค่พาเขาไปดื่มกาแฟเอง ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องหงุดหงิดขนาดนี้ใช่หรือเปล่า”

เพื่อนใหม่ออกหน้าให้ แต่ดูเหมือนจะยิ่งทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงกว่าเดิมเพราะสีหราชถึงกับหันขวับไปมองคนพูดทันทีก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยวที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน

“ข้าไม่รู้จักท่าน และไม่คิดจะรู้จัก อ้ายอินทร์เป็นคนของข้า...อย่ามายุ่ง!”

อัคนิการ์เทวีที่ยืนกระวนกระวายอยู่ข้าง ๆ รีบปราดมาคว้าท่อนแขนอีกข้างของสีหราชก่อนจะกระซิบเบา ๆ บางอย่างข้างหู ท่าทีดังกล่าวทำให้เมืองอินทร์จู่ ๆ ก็รู้สึกขัดใจ จนสะบัดแขนที่ถูกสีหราชเกาะกุมอยู่ออกทันที

“ข้าแค่รู้จักเพื่อนใหม่..คงไม่ต้องรายงานท่านทุกเรื่องหรอกมั้ง...อ้ายสีห์”

ประโยคที่กลืนไว้ในใจคือ สีหราช...ยังมีเพื่อนคนสนิทได้...เขาเองก็ควรจะมีเพื่อนคนสนิทได้เช่นกัน ไม่ใช่หรือ ?

“อ้ายอินทร์ !” สีหราชตาแดงก่ำแต่ก่อนจะปราดเข้ามาคว้าแขนอีกรอบ วสุธาบดีก็เดินเข้ามาขวางไว้ก่อน

“ใช้แต่อารมณ์แบบนี้ มิน่าจึงไม่ฉลาดกับเขาเสียที”

น้ำเสียงเย็น ๆ ของคนตรงหน้าคล้ายจะเหยียดหยัน ก่อนจะหันไปหาอัคนิการ์เทวี

“ส่วนเจ้า...ก็บอกเพื่อนแล้วไม่ใช่หรือว่าข้าเป็นใคร...ถ้ายังกล้าเสียมารยาทกับข้า หรือว่าคิดจะทำอะไรเมืองอินทร์ต่อหน้าข้าละก็...พวกเจ้าจะได้รู้กันแน่...”

ประโยคนั้นทำให้เมืองอินทร์หันไปมอง “เพื่อนใหม่”ตรงหน้าอย่างงุนงง

“ขออภัยองค์นาคราช....ข้า อัคนิการ์เทวี บุตรีท่านยมบาล ผู้รักษากฎแห่งยมโลกขอคารวะ องค์วสุธาบดีนาคราช...”

อัคนิการ์เทวีค้อมกายคารวะร่างตรงหน้าทำให้เมืองอินทร์สะดุ้งโหยงก่อนจะขยับตัวออกห่าง ท่าทีนั้นทำให้ “วสุธาบดี” หัวเราะเบา ๆ

“เมื่อครู่ข้ายังไม่ทันแนะนำตัวเองไม่ครบ ข้า...วสุธาบดีนาคราช ผู้เป็นหลานของท้าววิรูปักษ์ ผู้ครองแดนปาตาล” น้ำเสียงผู้พูดคล้ายอหังการในศักดิ์แห่งตน ทำให้เมืองอินทร์งุนงงหนักกว่าเดิมอีก

บ้าไปแล้ว...นาคราช....เพื่อนใหม่ของเขาเป็นนาคราชอย่างนั้นหรือ ?!

บุรุษผมยาวร่างสูงโปร่งผิวพรรณละเอียดหันมาหาเขาอีกครั้งก่อนจะจับข้อมือข้างหนึ่งไว้แล้วยิ้มให้แล้วพูดเบา ๆ

 “ของสิ่งนี้ข้าให้เจ้าเป็นที่ระลึก เก็บไว้ให้ดีนะ มันอาจเป็นประโยชน์กับเจ้าในวันหนึ่ง...ข้าเชื่อว่าข้าจะต้องได้เจอกับเจ้าอีกครั้งแน่นอน...”

ทันทีที่มือนั้นปล่อย สัมผัสหนัก ๆ บนข้อมือบอกชัด...

กำไลข้อมือพันเป็นเกลียวด้วยวัสดุคล้ายโลหะสีเงินเนื้อนิ่มพันอยู่ที่ข้อมือข้างหนึ่งของเขา มองเผิน ๆ คล้ายกับกำไลธรรมดา แต่เมื่อเพ่งดี ๆ ถึงเห็นเป็นนาคราชสองตัวพันคู่กัน ตรงกลางระหว่างนาคราชสองตัวที่อ้าปากเป็นมณีสีแดงก่ำราวกับไฟ

พอเมืองอินทร์เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อนใหม่ก็ไม่อยู่ตรงหน้าแล้ว แม้จะวิ่งออกตามไปอาคารก็มองไม่เห็น

...เพื่อนใหม่...หายไปราวกับสายลม...

..............................................................................................
พอเขากลับเข้ามาในห้องพักอีกครั้ง ก็เห็นเพียงสีหราชคนเดียวที่ยืนพิงกำแพงรอเขาอยู่ ท่าทางนิ่งเงียบอย่างผิดวิสัยของคนตรงหน้าทำให้เมืองอินทร์ค่อย ๆ ก้าวเข้าไปหาช้า ๆ แล้วก็ต้องตกใจเมื่อมือแข็งแรงสองข้างรวบเขาเข้าไปกอดแนบอก ร่างสูงหนาก้มหน้าลงซุกลงข้างซอกคอของเขาก่อนจะโยกเบา ๆ

“ขอโทษนะ...ข้าขอโทษที่ข้าใจร้อน เจ้าเจ็บมากไหม...” เสียงอ้อนเบา ๆ ของคนตรงหน้างึมงำอยู่ข้างหู

เจ็บสิ...เจ็บใจนี่แหละ เจ็บทุกครั้งที่เห็นคนตรงหน้าอยู่กับใครอื่น

“ข้า...ขอโทษนะเมืองอินทร์...วันสองวันนี้ลำบากเจ้าหลายเรื่อง เจ้าต้องเหนื่อยดูแลอัคนิการ์ให้ข้า เจ้าโกรธข้าหรือไม่”

ร่างสูงที่งึมงำแล้วรัดเขาไว้ในอ้อมแขนก่อนจะกดจมูกลงบนเรือนผมหนาแล้วซุกเบา ๆ อย่างออดอ้อน

“ท่าน...ก็มีคนต้องดูแล ข้าจะไปโกรธท่านกับอัคนิการ์เทวีได้อย่างไร...”

แม้ว่าจะไม่โกรธแต่ความสนิทสนมของคนทั้งคู่ก็ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกยอกแสลงใจ

...นี่เขาจะรู้สึกแสลงใจอ้ายสีหราชกับอัคนิการ์เทวีไปทำไม...หากไม่มีรัก

“พูดแบบนี้ เจ้างอนข้า...ข้ารู้” คนตัวโตกว่ายังคงพูดเสียงอู้อี้ วงแขนแข็งแรงรัดเอวไว้แน่นชนิดไม่ยอมให้ผละออก

“ปล่อยข้าก่อนสิ เดี๋ยวเพื่อนท่านเปิดประตูออกมาเห็นเข้า” เมืองอินทร์ขยับกายเบา ๆ แต่ก็ไม่อาจหลุดจากการรัดแน่นของเจ้าตัว

กลิ่นหอมของอ้ายสีห์...กรุ่นอวลจนเขาใจเต้นไม่เป็นส่ำ

แม้จะพยายามทุบ แต่คนตรงหน้าก็ไม่สะเทือนสักนิด

“นางไปแล้ว อัคนิการ์เทวีกลับยมโลกไปแล้ว...” สีหราชเอ่ยเบา ๆ แต่วงแขนยังคงรัดแน่นเหมือนเดิม

“นางกำลังงอนคู่รักของนาง...เลยหนีมาอยู่ที่นี่ แล้วก็มาช่วยเหลือข้านิดหน่อย แต่เพราะมีคนอื่นมาเห็น นางเลยต้องรีบไปที่อื่น”

เอ๊ะ...คู่รัก...อัคนิการ์เทวีมีคู่รัก ?

สายตาปริบ  ๆ อย่างงง ๆ ของเมืองอินทร์ทำให้สีหราชหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ  แล้วจับจมูกน้อย ๆ อย่างมันเขี้ยว แล้วจุมพิตเบา ๆ ที่จมูก ทำให้เขาหน้าแดงก่ำ

“เจ้าตัวเล็กที่แสนวุ่นวายหัวใจข้า นี่เจ้าคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยสินะ..” สายตาคมตรงหน้าทอประกายแจ่มใส

“หน้าเจ้า และท่าทางเจ้าน่ะ...บอกชัดว่า เจ้าไม่ได้คิดกับข้าแค่พี่ชาย”

“อัคนิการ์บอกข้าแล้วว่าเจ้ากำลังหึงข้า...ชัดเจนมาก” สีหราชจ้องตาเขาพร้อมรอยยิ้ม

...วะ...ว่าอย่างไรนะ

“ฟังดี ๆ นะเมืองอินทร์ อัคนิการ์กับข้าเป็นแค่เพื่อนกันจริง ๆ นางแกล้งลองใจเจ้า แกล้งให้เจ้าหึงข้า เจ้าจะได้รู้จักหัวใจตัวเองเสียที” น้ำเสียงกลั้วหัวเราะเบา ๆ ของคนตรงหน้าทำให้เมืองอินทร์อ้าปากค้าง

สายตากรุ้มกริ่มของคนตรงหน้าและปลายจมูกโด่งที่คลอเคลียข้างแก้มทำให้เมืองอินทร์หน้าร้อนผ่าว

“อย่ามาปากแข็งว่าไม่ได้รักข้าอีก...ไม่อย่างนั้น...ละก็...” ยมทูตขี้อ้อนแกล้งขยิบตาเป็นความหมาย

“ต่อไปนี้ข้าจะอยู่กับเจ้าเท่านั้น...พอใจหรือยังหืมมม...” สีหราชดันตัวเขาออกมาและจ้องมองด้วยรอยยิ้มพราวระยับ

ไม่ให้พักกันเลยใช่ไหม หน้าข้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีดแข่งกับไฟจราจรแล้ว !

“เพื่อนรักคนหนึ่งบอกข้าว่า ข้าเองก็ควรสารภาพไปตรง ๆ ถ้าปล่อยให้นานกว่านี้...อาจมีผีน้อยหลบไปนั่งร้องไห้ขี้มูกโป่งเอาได้ แต่ไม่ยักรู้ว่าพอแกล้งเจ้า...เจ้ากลับเอาคืนข้าหนักยิ่งกว่า แค่วันนี้เห็นเจ้าเดินเคียงข้างผู้อื่น...ข้ารู้ว่า ข้าจะไม่อาจทนมองได้แม้แต่วินาทีเดียว...”

...หัวใจกำลังจะหยุดเต้น..

"ข้ายอมแพ้เจ้าแล้ว อ้ายอินทร์...ข้าแพ้เจ้าหมดหัวใจ..."

ดวงตาคมลึกของสีหราชจ้องแน่วแน่มาตรงหน้า มือข้างหนึ่งเกลี่ยสร้อยทองที่คล้องคอก่อนจะไล่ขึ้นมาประคองใบหน้าเขาไว้ แล้วกดประทับริมฝีปากลงมาแนบแน่นโดยไม่ปล่อยให้เขาได้ทันคิดอะไรเลย

หวาน...และสูบลมหายใจทุกสิ่งไปจนหมด นานจนคิดว่าชั่วกาล...จนเจ้าตัวถอนจูบช้า ๆ แล้วกระซิบข้างหู

“ข้ารักเจ้า...รักคนเดียว รักมากที่สุด และสัญญาว่าจะไม่มีใครในชีวิตนี้อีกนอกจากเจ้า”

“ข้าไม่เคยคิดกับเจ้าเป็นน้อง ข้าคิดร้ายกับเจ้า อยากลึกซึ้งกับเจ้า และข้าทนไม่ได้หากเห็นเจ้าเดินเคียงคู่ใคร”

“เมืองอินทร์...เป็นคู่รักของข้าเถิด มาเป็นหัวใจของข้า...”

“ข้ารอเจ้ามานานเกินไปแล้ว เกือบจะสองร้อยปี..มันนานมาก...จนข้าแทบตายลงตรงนี้หากเจ้าปฏิเสธข้า...”

น้ำเสียงอ่อนหวานละมุนวนเวียนอยู่ข้างหู ก่อนเจ้าตัวจะขบเม้มติ่งหูอย่างไม่อาจกลั้นอารมณ์ที่มีในใจ

ริมฝีปากร้อนไล้วนเวียนขบเม้มติ่งหูและออดอ้อนสัมผัสกลีบปากเขาเบา ๆ อย่างเคล้าคลอ ดวงตาคมจ้องตาร่างตรงหน้าอย่างเว้าวอน

“ข้าอยากกอดเจ้า อยากจูบเจ้า อยากมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเจ้าให้หายคิดถึง” ปลายนิ้วไล้ลูบผมที่ปรกวงหน้าออกอย่างเบามือ

“...จำความรู้สึกของเราไม่ได้เลยหรือ...หัวใจเจ้าเต้นรัวเหมือนข้าไหมทุกครั้งที่เราใกล้ชิดกัน”

มืออุ่น ๆ ไล้เข้ามาในเสื้อก่อนจะลากวนเวียนสัมผัสแผ่นหลัง

“หัวใจเจ้าจะเปิดรับข้า ให้โอกาสข้าบ้างได้ไหม...อ้ายอินทร์”

ให้ตายเถอะ...หัดไปออดอ้อนแบบนี้มาจากไหน

...ไหนจะสายตาเว้าวอนแบบนั้น...ใจข้า...ละลาย...เป็นน้ำตรงนี้แล้ว...

“หยุดก่อน...อ้ายสีห์...” เมืองอินทร์รีบยกมือขึ้นปิดปากคนตรงหน้าทันที

“เจ้า...”สายตาสีหราชคล้ายตัดพ้อเสียใจ มือสองข้างที่แตะเอวเขาไว้เลื่อนตกลงอย่างหมดเรี่ยวแรง

“หากเจ้าพูดอีก...ข้าคงกลายเป็นน้ำ เพราะใจข้าเหลวไปหมด ตั้งแต่คำสารภาพรักประโยคแรกของท่าน...” เมืองอินทร์ข่มความอายก่อนจะเงยหน้ามองคนตัวโตตรงหน้า

....รัก...มันคือรัก...เพราะหัวใจเขาก็เต้นรัวไม่ต่างกัน...

“ถึงข้าจะจำเรื่องราวของเราทั้งหมดไม่ได้ แต่ทุกครั้งที่เห็นท่าน ทุกครั้งที่ได้ยินเสียง...ใจข้าก็เต้นไม่เป็นจังหวะ”

“ใจข้าไม่เคยเป็นของตัวเองเลยสักครั้ง เมื่ออยู่ใกล้ท่าน...ท่านเอามันไปทั้งหมด...ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้...อ้ายสีห์...”

มือเรียวของเมืองอินทร์แตะไล้ปลายคางสากที่อยู่ตรงหน้าอย่างแผ่วเบาก่อนจะไล้ลงแตะหัวใจคนตรงหน้า

หลงใหล...ในร่างตรงหน้า ห่วงหาอาทร...เมื่อร่างนี้บาดเจ็บ...และหึงหวงแทบบ้า...เมื่อมีใครมาใกล้ชิด...

“ข้าเองก็ไม่ชอบ....ไม่ชอบให้ใครอยู่ใกล้ท่าน ไม่ชอบทุกคน...ไม่ชอบที่ท่านยิ้มให้ใคร...”

“ข้าเพิ่งรู้เช่นกันว่า ข้าเป็นผีขี้หวง หวงทุกสิ่งของท่าน...” เมืองอินทร์หน้าแดงก่ำขึ้นทีละนิด ก่อนจะเงยหน้ามองยมทูตหนุ่มที่ยืนตะลึงอยู่

“ถึงสมองข้ายังจดจำเรื่องราวของเราไม่ได้หมด แต่หัวใจข้า..คล้ายจะจำได้ จำได้จากตรงนี้...” มือเรียวยกขึ้นแตะแผ่นอกตัวเองและเลื่อนมาแตะอกของคนตรงหน้า

จังหวะหัวใจ...ประสานเป็นหนึ่งเดียว

“ท่านจะช่วยข้า...ทำให้ข้าจำมันได้...ได้หรือไม่...”

กำแพงหัวใจ...ทลายลงจนหมด

เสื้อเชิ้ตตัวบาง...ถูกเจ้าของปลดลงอย่างช้า ๆ ผิวกายขาวละเอียดล้อแสงไฟของห้อง แววตากึ่งลังเลกึ่งขัดเขิน ใบหน้านั้นแดงเรื่อราวผลตำลึงสุก

ยามนี้ความปรารถนาและความรู้สึกลึกซึ้งที่กำลังวิ่งพล่านอยู่กลางอกเอาชนะทุกสิ่ง

ไม่เคยโหยหา...ความอบอุ่นจากใครเท่าร่างตรงหน้า...

ไม่เคยใจเต้นรัว....กับใครเมื่ออยู่ชิดใกล้เหมือนคนผู้นี้

ไม่เคยปวดหนึบ...กลางหัวใจเมื่อเขาไม่มอง

หากหัวใจคนตรงหน้าคือปริศนาลึกลับที่ไม่มีใครค้นหา...เขาก็พร้อมกระโดดลงไปหุบเหวตรงหน้าด้วยความเต็มใจ

ตาย...ก็ยอมรับ...รอด...ก็ยอมรับ...

ขอเพียงได้รัก..สักครั้ง

แววตาของผีที่พยายามจะใจกล้า...ดูสุกสกาวแวววาวสวยงามกว่าดาราดวงใด

...ราวกับอยู่ในห้วงความฝันที่ไม่ปรารถนาจะตื่น...

สีหราชที่ตะลึงงันไปครู่ใหญ่พลันรวบเอวเล็ก ๆ ที่เปลือยท่อนบนมาแนบกาย เสียงยมทูตหนุ่มราวกับเพ้อละเมอจากดินแดนแสนไกล มือหนาเชยคางนุ่ม ๆ ขึ้นก่อนจะกดประทับจูบลงอย่างเร่าร้อนราวกับหิวกระหายในสัมผัส ราวกับนักเดินทางในทะเลทรายที่มาเจอโอเอซิสที่เย็นฉ่ำ

จูบ...ไม่พออีกแล้วยามนี้....เขาต้องการมากกว่านั้น...ยิ่งกว่านั้น....

...เนิ่นนาน บดเบียด...จนแทบหลอมละลาย สีหราชถอนจูบช้า ๆ ก่อนจะจ้องตาร่างที่หน้าแดงก่ำในอ้อมแขน

“ได้สิ...อ้ายอินทร์ เรามาพยายามด้วยกัน ข้าจะทำให้เจ้าจำได้...ด้วยตัวตนทั้งหมดของข้า...”

จากนั้น...ร่างนุ่มก็ถูกช้อนขึ้นในอ้อมแขน ริมฝีปากนุ่มถูกระรานไม่รู้จบ และสุดท้ายมีเพียงสัมผัสที่อ่อนนุ่มของเตียงที่เมืองอินทร์รู้สึกได้ ก่อนที่น้ำหนักกดทับจากร่างตรงหน้าจะแนบสนิทลงมา พายุใด ๆ หรือความร้อนระอุของลาวาที่ไหนก็ไม่อาจเทียบได้กับความปรารถนาของร่างตรงหน้า

“ข้าจะถนอมเจ้า...ถนอมทุกเวลาของเราไว้”

“...ข้ารักเจ้า...เมืองอินทร์ ทั้งหัวใจ...”

ริมฝีปากร้อนไล้สำรวจไปทุกส่วนของร่างกาย ไฟร้อนที่ทำให้ห้องนอนที่เย็นฉ่ำกลายเป็นทะเลแห่งความหวาน มือเรียวของเมืองอินทร์กำขยำผ้าปูที่นอนไว้แน่น ก่อนจะถูกคนตรงหน้ารุกรานในทุกพื้นที่

ในทุกสัมผัส...เสียงหอบสั่นพร่าของร่างที่ต้องการแสดงความเป็นเจ้าของ เสียงคำรามเบา ๆ ในลำคอของร่างที่ขยับตัวขึ้นลง ริมฝีปากของยมทูตหนุ่มทำหน้าที่ขยันขันแข็งเต็มอกเต็มใจ สิ่งเดียวที่เมืองอินทร์ทำได้ตอนนี้มีเพียงส่งเสียงครางแผ่ว ๆ และดังขึ้นเรื่อย ๆ ตามอุณหภูมิร้อนแรงของคนตรงหน้า เขาได้แต่ปล่อยให้ทุกอย่างอยู่ในการชักนำของคนที่เขามอบหัวใจไปหมดแล้ว...
ราตรีคงยาวนาน...และอาจสลบไสล...

.............................

หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 9/1/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 10-01-2021 19:30:25
เค้าบอกรักกันล้าววว
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 9/1/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 10-01-2021 20:40:44
ติดตามจ้า :L2:
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 9/1/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 10-01-2021 20:57:13
CHAPTER
27





เช้าแล้ว....มือหนาของสีหราชควานไปรอบ ๆ ตัวก่อนจะลืมตาตื่นอย่างตกใจเมื่อไม่พบร่างเล็ก ๆ ที่สัมพันธ์ลึกซึ้งเร่าร้อนเมื่อคืน ผ้าห่มหนาถูกพลิกตลบไว้บนเตียง มีเพียงเสียงน้ำที่ดังมาจากห้องน้ำใหญ่ ทำให้ยมทูตเจ้าเล่ห์ยิ้มกริ่มก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นแล้วอมยิ้มนิด  ๆ

...เหมือนความฝัน...ที่รอคอยมากว่า 200 ปี ...กลิ่นกายหอมของเจ้าตัวเล็กและกลิ่นกระแจะจันทร์ที่ทำให้เขาหลงวนในความหอมหวานทั้งคืน...กี่ครั้ง...เขาไม่ได้นับเลย รู้แต่เขาสะกดคำว่าสุขสมได้เป็นล้านครั้ง ทุกครั้งที่แนบชิด...เขาแทบลืมตาย...

“อุ๊บ !” เสียงอุทานในห้องน้ำทำให้สีหราชสะดุ้งเฮือกและยันตัวเองขึ้นทันที

“อ้ายอินทร์ ! เป็นอะไรหรือเปล่า?” เขาตะโกนขึ้นมาแต่ไม่มีเสียงตอบจากร่างในห้องน้ำ ทำให้เจ้าตัวว้าวุ่นก่อนจะทันคิดอะไรถี่ถ้วนก็พาตัวเองหายตัววูบเดียวไปปรากฎในห้องน้ำทันที

“เฮ้ย !” เสียงอุทานของเมืองอินทร์บอกชัดว่าเจ้าตัวตกใจและขัดเขินแค่ไหน ร่างเปลือยขาวโพลนของเจ้าตัวเล็กเต็มไปด้วยร่องรอยคิสมาร์กทั้งตัว ผิวเนื้อขาว ๆ กลายเป็นสีชมพูอ่อนเต็มไปหมด สบู่ก้อนและก็ขวดแชมพูปลิวว่อนเข้าหัวของยมทูตหนุ่มชนิดที่ไม่ต้องมองก็รู้ว่าหัวโน !

“โอ๊ย! อ้ายอินทร์ เขวี้ยงมาทำไมเล่า ! ข้าเจ็บนะ !” สีหราชโวยลั่นก่อนจะก้มหลบขวดต่าง ๆ ในห้องน้ำที่ปลิวว่อน

“เข้ามาทำไม ! อ้ายสีห์บ้า !” คนตรงหน้าหน้าแดงก่ำ ไม่รู้ว่าเพราะโกรธหรือเพราะอายกันแน่

“ก็ข้า...ได้ยินเสียงเจ้าร้อง...ข้าก็ห่วงนะสิ” เจ้าตัวโอดครวญ

“แล้ว...ท่านเข้ามาทั้งที่โป๊เนี่ยนะ !” เมืองอินทร์ยังคงโวยไม่เลิก ทำให้เขาหลุดหัวเราะออกมา

“เมื่อคืน...เจ้าน่าจะคุ้นกับ...ข้าแล้วนะ หลายครั้งขนาดนั้น” น้ำเสียงกรุ้มกริ่มทำให้คนที่โดนรังแกทั้งคืนหน้าแดงก่ำอีกรอบ

“เจ้าคุ้น...แต่ข้าไม่คุ้น ! ออกไปนะ ข้าจะอาบน้ำ” เมืองอินทร์พูดได้นิดเดียวก็เข่าอ่อนยวบ ดีที่ตรงใกล้ ๆ เป็นขอบอ่างอาบน้ำ

“นั่นไง...เจ้ายืนไม่ไหวหรอกน่า...ข้าอาบให้เจ้าดีกว่าไหม...” สีหราชปราดเข้ามาใกล้ชิดแล้วดึงรั้งคนที่กำลังซวนเซลงมานั่งบนตัก

“เถอะน่า...ให้ข้าชดใช้ให้ที่ทำให้เจ้า...หมดเรี่ยวหมดแรง..นะ...”

เสียงกระซิบเบา ๆ อย่างออดอ้อนที่ดังขึ้นข้างหูทำให้เมืองอินทร์หน้าแดงก่ำ

ลมหายใจอุ่นผะผ่าวและแผ่นอกกว้างแนบชิดด้านหลัง แต่มือหนาที่ประคองสะโพกมันอยู่ไม่ได้ดูจะ “ชดใช้” เอาซะเลย แต่กลับคล้ายจะ “เบิกถอน” พลังงานที่เหลือน้อยนิดให้กลายเป็นศูนย์ไปซะมากกว่า !

ปลายนิ้วของยมทูตหนุ่มไล้จากแนวกระดูกไหปลาร้าลงมาเรื่อย ๆ จนขนลุกเกรียวไปทั้งตัว มืออีกข้างยังแกล้งไล้วนเวียนที่ลากขึ้นลงเบา ๆ และยังรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่เริ่มขยายตัวอยู่ด้านล่าง ลมหายใจที่เป่ารดและคลอเคลียอยู่ด้านหลังทำให้แทบละลาย

...มีวี่แววว่าจะเปลืองตัวอีกรอบแน่ ๆ เนื้อตัวแนบชิดแบบนี้...

“ถ้าจะช่วย...ก็เลิกทำมือซุกซนเสียที...ไม่อย่างนั้น อย่าหวังว่าข้าจะยอมให้เจ้ากอดข้าอีกเป็นครั้งที่สอง”

“ดุจริง...เมื่อคืนยังไม่เห็นดุขนาดนี้เลย” เสียงกระซิบด้านหลังทำให้เมืองอินทร์หน้าแดงก่ำอีกรอบ

“เมื่อคืน...มีแต่เสียงคราง...เบาบ้าง...ดังบ้าง...” น้ำเสียงล้อเลียนวนเวียนอยู่ที่ติ่งหู

“ไปเลย ! ข้าไม่เอาแล้ว ข้าจะอาบเอง !” เขาผลักคนที่กอดอยู่แต่ทำให้วงแขนกระชับแน่นขึ้น

“อ่ะ...ข้าไม่ล้อแล้ว อยากให้สะอาดแบบไหน สั่งมาเลยเจ้านาย ทาสพร้อมบริการ” เสียงกลั้วหัวเราะของสีหราชดังขึ้นจากด้านหลัง

“ก็...สะอาดทุกซอกทุกมุมนั่นแหล่ะ...” เขาตอบเสียงสะบัด ๆ

“ขอรับ...นายท่าน” น้ำเสียงหัวเราะเบา ๆ ของสีหราชทำให้ขัดเขินนิด ๆ 

เท่านี้เอง....ก็หมดเรื่อง คนด้านหลังรีบอาบน้ำล้างตัวให้ “นายท่าน” อย่างรวดเร็ว

...ก็ดูว่าง่ายอยู่เหมือนกันนะ...เมืองอินทร์ลอบขำในใจ แต่แล้วก็ต้องตัวชาดิกเมื่ออาบน้ำเรียบร้อยแล้ว คนสูงกว่ากลับอุ้มเขาลอยขึ้นแล้ววางลงบนขอบอ่างอาบน้ำอีกครั้ง ก่อนจะยกมือขึ้นเกาปลายคางตัวเองอย่างคิดๆ ดวงตาเจ้าเล่ห์นั่นคล้ายนึกอะไรอยู่ทำให้
เมืองอินทร์งง แต่แล้วก็ตาโตเมื่อร่างสูงตรงหน้าย่อกายลงแล้วมองกึ่งกลางร่างกายเขาอย่างมีเลศนัย

“ทะ...จะทำอะไร...อ้ายสีห์” สายตานั่นไม่น่าไว้วางใจเลยสักนิด

“ก็เจ้าบอกให้ข้าอาบน้ำให้ไม่ใช่หรือ...ข้ายังคิดว่ามีบางส่วนที่ยังไม่สะอาด...ต้องล้างอีกหน่อย...”

บ้าสิ...ก็..ดูสะอาดดีแล้ว...สบู่ก็หมดแล้ว ยังจะล้างอะไรอีก... ?

สังหรณ์วูบเข้ามาในหัว แต่ก่อนจะทันขยับตัวหนี ความอุ่นร้อนจัดของริมฝีปากก็ฉกวูบตรงท้องน้อยก่อนจะไล้ลงต่ำ

“อ๊ะ...ปะ...ปล่อยข้า อ้ายสีห์...อย่า...”

เขาได้แต่ครางฮือ...มือสองข้างถูกคนสูงกว่าตรึงไว้แนบผนังห้องน้ำอย่างนั้น ไม่อาจดิ้นหลุดจากแขนที่แข็งแรงและท่อนขาที่ตรึงไว้แนบชิด มีเพียงเสียงงึมงำอู้อี้จากคนที่กลืนกินเขาอยู่

“ยังมีความรัก...ของข้ากับเจ้าอยู่ตรงนี้....” ยมทูตหนุ่มตรงหน้าโมเมมั่วซั่วตีมึนเสียอย่างนั้น

“แต่ไม่ต้องห่วง ข้าจะ...ตั้งใจล้าง...อย่างดี” ก่อนเจ้าตัวจะกระถดกายยันร่างขึ้นกระซิบข้างหูเขา แววตาพริบพราวเหมือนสุมด้วยไฟเสน่หา  ก่อนจะก้มลงไปอีกครั้ง สัมผัสวาบหวามอุ่นจัดจากโพรงปากร้อนทำให้ร่างกายไม่รักดีเผลอตอบสนองต่อความต้องการตามธรรมชาติ คนตรงหน้าปล่อยมือที่จับตรึงไว้ ทำให้เขารีบขยุ้มศีรษะคนซุกซนหมายจะดึงให้ออกจากจุดอันตราย แต่กลับกลายเป็นมือไม้อ่อนปวกเปียกกับการหยอกเย้าอย่างชำนาญจากคนตรงหน้า

“มะ...ไม่ต้องแล้ว...อา...อ้ายสีห์...อย่าทำอย่างนี้...ปล่อยข้า...”

มือไม้อ่อนเปลี้ยหมดเรี่ยวแรง ได้แต่ลูบผนังห้องน้ำที่เย็นฉ่ำอย่างไร้แรงต้าน มือของสีหราชค่อย ๆ ช้อนร่างเขาจากด้านหลังยกให้สะโพกลอยเด่น รอยยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่มุมปากจอมวางแผน

“เจ้านี่...ยังไงกันน้า ไม่ต้องเกรงใจข้าหรอก....ข้าสัญญาแล้วยังไงว่าจะทำให้เจ้าสะอาดไปทุกส่วนอย่างไรเล่า” เสียงคนตรงหน้ายังคงงึมงำ แต่ปากและมือทำงานอย่างเต็มที่...

“อ๊ะ...ไม่เอาตรงนั้น...อ้ายสีห์...อะ..อ้ายสีห์...”

เสียงน้ำในอ่างกระเพื่อมดังจ๋อมแจ๋ม แต่เหมือนจะดังขึ้นตามน้ำหนักที่กดทาบทับลงมา เขาได้แต่ถอนหายใจพรูอย่างจนปัญญาจะต้านยมทูตหนุ่มที่กลายร่างเป็นยมทูตจอมหื่นไปแล้ว

.... ทำแบบนี้แล้วเช้านี้ จะมีใครได้ออกจากห้องน้ำไหม..

........................................................

“ทำไมต้องโกรธข้าขนาดนี้ด้วยนะ อ้ายอินทร์” เสียงคนโวยวายบ่นไม่จบมาชั่วโมงหนึ่งแล้ว สภาพยมทูตหนุ่มเปียกปอนเพราะรบกับเจ้าเฉาก๊วยที่ดิ้นรนไม่ยอมให้อาบน้ำได้ง่าย ๆ มือหนาเสยผมที่เปียกชื้นเหงื่อขึ้นก่อนจะสะบัดเบา ๆ สายตาค้อนส่งมองมาที่เขา

หึ! เท่านี้ยังน้อยไปนะ แค่ให้กวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างห้องน้ำ เก็บครัว ทำอาหาร และปิดท้ายด้วยการอาบน้ำให้เฉาก๊วย

“ก็เจ้าทำข้าเวียนหัวนี่ ทั้งเวียนหัวทั้งหมดแรงขนาดนี้...” เมืองอินทร์โวยค้อน

ตั้งแต่เมื่อคืน...สัมผัสที่วาบหวามและลึกซึ้งคล้ายจะทำให้บางอย่างในร่างกายผิดปกติไป...คล้ายจะเวียนหัวและเหมือนมีไอร้อนประหลาดเกิดขึ้นในร่างกาย

ไอร้อนที่ทำให้เขารู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว...คล้ายมีเสียงบางอย่างก้องในหัว เป็นเสียงที่ทรงอำนาจประหลาด

แต่...เขาอาจเพลียและคิดไปเองก็ได้ ขืนบอกสีหราช มีหวังโดนหัวเราะขำอีกแน่ อาจโดนล้อว่าคงเป็นเพราะ “ครั้งแรก”และโดนจัดเต็มเสียขนาดนั้น เลยทำให้เพลียก็ได้

ต้องโทษยมทูตตัวการ...ที่ทำให้เขาแทบละลายและเกือบตายคาเตียง

“เจ้าห้ามใช้คาถาด้วย...ทำเองด้วยมือ ทั้งหมดเลย” เสียงสั่งการห้วน ๆ และใบหน้างอง้ำของเมืองอินทร์ดังขึ้น

สีหราชหน้ามุ่ยจัดก่อนจะคว้าถังน้ำและทุกอย่างตรงหน้าเดินดุ่ม ๆ เข้าไปในห้องน้ำหลังจากที่ถูบ้านทุกอย่างจนหมดเรียบร้อย เมืองอินทร์ย่นจมูกนิด ๆ คล้ายหมั่นไส้คนตรงหน้า

ยังมีอะไรที่สั่งได้อีกไหมนะ...ชักอยากเล่นงานคนตรงหน้าต่อจริง ๆ

“เจ้าแกล้งข้านี่นา ทำไมต้องแกล้งให้ข้าทำงานบ้านด้วยเล่า” ยมทูตหนุ่มโวยวายเสียงกระปอดกระแปด

“ก็...ใครใช้ให้ท่านทำข้าหมดแรงล่ะ อุตส่าห์บอกแล้วว่า ไม่ บอกแล้วว่าอย่า...ท่านฟังหรือเปล่าล่ะ”

ไอ้การมาราธอนเมื่อคืน...ก็เรื่องหนึ่งแล้ว ในห้องน้ำ...และลามปามมาถึงเคาน์เตอร์ครัว จน...ไม่เหลือเรี่ยวแรง

ไม่รู้มาก่อนว่าสีหราชจะหื่นจัดขนาดนี้ ถ้าอยากได้นักก็จับข้าปั้นเป็นก้อนกลม ๆ แล้วกลืนลงท้องไปเลยดีไหม !

“โธ่...เรื่องแบบนี้เหนื่อยกันทั้งคู่นะแหละ ใครว่าเจ้าเหนื่อยคนเดียวเล่า” ยมทูตหื่นพูดหน้าตาเฉย สายตานั่นทำให้เขาหน้าแดงก่ำ

“ท่าน!”

“ข้าน่ะทั้งเดินทำรักกับเจ้าไปทั่วห้อง ทั้งยังต้องอุ้มเจ้าอีก จะว่าไปแขนข้าก็ล้าไปหมดแล้ว แล้วใครกันที่สูบแรงข้าไปจนหมด แล้ว...ถ้าเจ้าร้องห้ามเสียงหนักแน่นสักหน่อย ข้าก็ไม่รังแกเจ้าต่อเนื่องขนาดนี้หรอกน่า” สายตากรุ้มกริ่มและร่างกายสูงใหญ่ที่ก้าวมาคลอเคลียใกล้ ๆ ทำเมืองอินทร์หน้าแดงก่ำ

“ท่าน ! ยังกล้าพูดอีกเหรอ !” เป็นเขาที่หน้าแดงมากขึ้นเรื่อย ๆ

“ไม่รู้แล้ว ข้าก็ปวดเอวไปหมดแล้ว วันนี้เราพักกันเลยดีไหม...ข้าหิว...” พูดไม่พูดเปล่าเจ้าตัวทำหน้าตาเฉยแล้วแล้วปราดมากอดแล้วซบหน้ากับซอกไหล่อย่างออดอ้อน ดวงตาออดอ้อนเหมือนหมาตัวโตที่คลอเคลียไม่ห่าง

“ข้าหิว...หาอะไรให้ข้ากิน หาอะไร ๆ ป้อนข้าได้ไหม...เจ้าตัวเล็ก...” ลมหายใจร้อน ๆ กระซิบข้างหู

...ทำไมท่าทางหิวของคนตรงหน้า...กลับหยอกเย้าแฝงความหมายวาบหวามที่ทำให้หน้าร้อนผ่าว

ยมทูตตัวร้ายนี่หัดทำสายตาออดอ้อนเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ! ท่าทางนั้นทำให้ตัดใจผลักร่างสูง ๆ ออกไปไม่ได้ กลิ่นเหงื่อจาง ๆ ของร่างข้าง ๆ ทำให้เผลอหน้าแดงอีกรอบเมื่อหัวนึกไปถึงภาพวาบหวามในห้องน้ำเมื่อเช้า และยัง...ต่อเนื่องที่เคาน์เตอร์ครัวตอนสาย

“อย่าใจร้ายกับข้านักได้ไหม อ้ายอินทร์...ข้ายอมเจ้าหมดทุกอย่างแล้วนะ...” เสียงอ้อน ๆ ของยมทูตหนุ่มชนิดที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน คางเกยกับไหล่นุ่ม ๆ ของเขาอยู่ตรงนี้

ทันใดนั้นเปลวเพลิงสีแดงปนดำพลันปรากฏขึ้นกลางอากาศ ภาพดังกล่าวทำให้สีหราชขมวดคิ้วก่อนจะผุดลุกขึ้นทันทีแล้วเอื้อมมือเข้าไปกลางเปลวเพลิงนั้น ม้วนสารสีดำสนิทลอยอยู่กลางเปลวเพลิง สีหน้าเคร่งขรึมของเจ้าตัวกลับคืนมาทำให้เมืองอินทร์ผุดลุกตามขึ้นบ้าง

“วันก่อนข้าขอร้องให้อัคนิการ์เทวีช่วยตามหาเบาะแสป้ายผ่านทางยมโลกให้ข้า...”

ม้วนสารสีดำสนิทคลี่ออกกลางอากาศ อักษรบาลีที่เขาอ่านไม่ออกปรากฏวูบเดียวแล้วจางไป สีหราชนิ่งครู่หนึ่งก่อนจะหันมาหาเมืองอินทร์

“เฮ้อ...หมดเวลาอ้อนเจ้าเสียแล้วเมืองอินทร์ วิญญาณร้ายออกอาละวาด...”
....................................................................



หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 10/1/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 10-01-2021 21:02:00
สารจากอัคนิการ์เทวีบอกไว้ว่า มียมทูตบางตนพบเรื่องประหลาดและคาดว่าเป็นเพราะวิญญาณร้าย สีหราชและเมืองอินทร์จึงตัดสินใจมาที่นี่ และทั้งคู่ก็ต้องชะงักเมื่อไม่คิดว่าสถานที่ดังกล่าวจะเป็นหมู่บ้านของสำนักดาบเมื่อเกือบสองร้อยปีก่อน ใบไม้ที่พรูร่วงลงริมสองข้างทางของถนนลาดยางทำให้เมืองอินทร์หวนย้อนไปถึงเรื่องราวแต่หนหลัง ไม่คิดว่าเวลาผ่านไปเกือบสองร้อยปี หมู่บ้านที่เขาและอ้ายสีห์เคยใช้ชีวิตกลับเปลี่ยนแปลงไปมากถึงเพียงนี้ หากไม่ได้แนวขอบของซากวัดโบราณแห่งนั้นเป็นแนวไว้ ต่อให้มาอีกกี่ครั้งเขาก็คงไม่มีวันตามหาหมู่บ้านเดิมที่เคยใช้ชีวิตในวันนั้นได้พบเป็นแน่

หลักฐานการมีเมืองเก่าซ้อนทับอยู่กับชุมชนใหม่ในยุคปัจจุบันอย่างแยกกันไม่ออกทีเดียว แต่ก็ดีที่ยังพบ เพราะมีเหล่านักโบราณคดีมาขุดพบแล้วพบกับแนวขอบขันธสีมาเก่าในบริเวณนี้ ซากปรักหักพังของเจดีย์เถาวัลย์ที่ขึ้นจนรกทึบแทบมองอะไรไม่เห็น แต่เหล่านักวิชาการก็ยังระดมกำลังขึงกั้นเชือกเป็นแนวแหล่งพื้นที่อนุรักษ์และรอการขุดค้นอย่างเป็นทางการ แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เกิดแหล่งค้าขายขนาดย่อม ๆ โดยใช้ชื่อ “เขตเมืองเก่าบ้านดาบหลวง” ปัจจุบันมีแม่ค้าพ่อค้ามาออกร้านกันทุกวันเสาร์อาทิตย์ บริเวณที่ดินชายน้ำเดิมที่เมืองอินทร์และสีหราชเคยเดินและลอยโคมร่วมกันก็ค่อย ๆ ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ และบางส่วนของเมืองเก่าเต็มไปด้วยต้นไม้ที่ขึ้นจนแน่นขนัด ผู้คนชาวบ้านที่มาเดินเที่ยวซื้อสินค้าและผักต่าง ๆ ค่อย ๆ บางตาลงไปทีละน้อยตาม แสงอาทิตย์ยามบ่ายที่ค่อย ๆ คล้อยลงทีละนิด

“เป็นอะไรไปอ้ายอินทร์...คิดถึง..หรือ” เสียงอ้ายสีห์ดังขึ้นพร้อมกับเหลียวมองเขาแล้วยิ้มนิด ๆ

“ก็...มีบ้าง...บ้าน...เปลี่ยนไปมากทีเดียว” เขาเปรยขึ้นเบา ๆ ขณะที่สายตายังคงมองร้านค้าจำลองต่าง ๆ ที่เลียนแบบความเป็นเมืองเก่าอย่างขัน ๆ 

เมืองเก่า...บ้านดาบหลวง ในยามนั้นไม่ได้ทันสมัยเช่นนี้ เสื้อผ้าที่เหล่าแม่ค้าพ่อค้าใช้ก็ไม่ใช่เสื้อผ้ายุครัตนโกสินทร์ตอนปลาย อดรู้สึกแปลก ๆ ไม่ได้เหมือนเวลาเห็นของรักในความทรงจำถูกสร้างเลียนแบบขึ้น ในใจก็อดรู้สึกตะขิดตะขวงปนขัดใจไม่ได้ แต่ครั้งจะเอ่ยออกไปก็อาจทำให้เรื่องราวยิ่งจะทำให้วุ่นวายหนักไปกว่าเดิม เพราะเขาไม่ได้มีชื่อในฐานะนักโบราณคดีหรือนักประวัติศาสตร์

พูดไป...จะมีใครเชื่อว่า เขารู้จักสถานที่ตรงหน้าเป็นอย่างดี...

ถ้าดึงบรรดาข้าวของที่อยู่ผิดยุคสมัยออกไป เหลือเพียงลำน้ำตรงหน้าและบริเวณลานโล่ง เขายังเห็นต้นยางนาเก่าแก่ที่ยืนต้นอยู่ที่เดิม ในอดีตมันไม่ได้ใหญ่โตขนาดนี้ แต่เวลาเกือบ 200 ปี ทำให้ต้นยางนาต้นเล็กกลายเป็นต้นขนาด 4 คนโอบ เท่านี้เขาก็รู้สึกว่าได้เจอ “เพื่อนเก่า” เสียแล้ว มือเรียวเอื้อมไปแตะสัมผัสลำต้น...อย่างคิดถึง...

สีหราชมองมาทางนี้ก่อนจะยิ้มนิด ๆ

“เวลาผ่านไปเร็วนัก...จริงไหมอ้ายอินทร์” สายตาอ่อนโยนและมือที่เอื้อมมากุมมือเบา ๆ คล้ายจะส่งความรู้สึกทั้งมวลให้มัน

...ต่อให้อะไรหายไปตรงหน้า...ขอเพียงอ้ายสีห์ยังคงอยู่กับมัน...เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

“เราไปกันเถิด...หมู่บ้านอยู่ข้างหน้านั่น”

ประโยคนั้นทำให้ต้องจำใจละมือจากต้นยางนาต้นเดิมและก้าวตามอ้ายสีห์ไปอย่างเงียบ ๆ

เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจของผู้คนที่เฮละโลขนข้าวของวางกองเป็นถุง ๆ อยู่หน้าบ้านใครบ้านมัน เอะอะเอ็ดตะโรวุ่นกับผู้ใหญ่บ้านทำให้เขาและอ้ายสีห์ที่เดินก้าวเข้าไปฟังด้วยต้องหยุดชะงัก

“เกิดอะไรขึ้นหรือครับคุณป้า” เมืองอินทร์ที่ทำทีเข้าไปสอบถามหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งที่ยืนส่ายหน้าอยู่ใกล้ ๆ ร่างนั้นหันมาพร้อมกับถามเบา ๆ

“อ้าว...ไอ้หนู ไม่ใช่คนบ้านนี้นี่นา มาทำอะไรที่นี่กัน เขากำลังวุ่นวายกันทีเดียว”

“เอ่อ...พวกผมสองคนจะมาถ่ายรูปแนวเมืองเก่านะครับไปทำรายงานส่งครู แต่รถสองแถวหมดเสียก่อนคงกลับไม่ได้ เลยเดินตรงมาที่นี่อยากจะขออาศัยค้างบ้านผู้ใหญ่บ้านหรือค้างวัดสักคืนนะครับ...” เมืองอินทร์เอ่ยเบา ๆ

“เฮ้อ...มาไม่ถูกจังหวะเลยนะไอ้หนู ป้าน่ะไม่อยากให้ค้างเลย ตอนนี้มีแต่คนอยากออกไปนอกหมู่บ้านกันทั้งนั้น”

“อ้าว...เกิดอะไรขึ้นหรือครับป้า”

สีหน้าสตรีวัยกลางคนเหมือนจะไม่อยากเล่า คล้ายอัดอั้นใจแต่เมื่อเมืองอินทร์สบตาอย่างขอร้อง เท่านั้นเรื่องราวก็หลุดพรั่งพรูออกมาราวกับสายน้ำ

“ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น สองสัปดาห์ก่อนผู้คนที่นี่จู่ ๆ ก็เริ่มป่วยกระเสาะกระแสะ บ้างก็ไข้ บ้างก็ท้องเสีย อ่อนเพลีย เดินไม่ใคร่ไหว ถ้าเป็นแค่บ้านเดียวหรือไม่กี่คนก็อาจจะเดาว่าอาหารเป็นพิษ แต่ทีนี้ดันเป็นกันเกือบทุกหลังเลย คนเฒ่าคนแก่ก็เป็น จะเด็กจะทำงานก็เป็นกันหมด แล้วก็หนักขึ้นเรื่อย ๆ ถึงขนาดว่าเป็ดไก่และวัวควายที่เลี้ยงไว้ก็เริ่มล้มตายไปด้วย สัปดาห์ที่แล้วเริ่มมีคนนอนหลับแล้วตายไปเลย 4-5 คนแล้ว นี่ก็ลือกันให้แซ่ดว่าผีแม่หม้ายจะมาเอาชีวิต บางคนก็ไปตายที่โรงพยาบาล และที่ตาย ๆ นี่เป็นแต่คนที่แข็งแรงกันทั้งนั้น”

ประโยคนั้นทำให้สีหราชและเมืองอินทร์มองหน้ากัน

“พ่อหนุ่มสองคน รีบออกจากหมู่บ้านเถอะ ถ้าเร็วก่อนพระอาทิตย์ตกดินได้ก็ดี ป้าละเป็นห่วง” สตรีวัยกลางคนทักแล้วรีบเดินจากไป

ไม่ผิดแน่...ป้ายทองคำกำลังดูดซับพลังวิญญาณของมนุษย์อยู่ วิญญาณร้ายที่ต้องการอำนาจกำลังใช้ที่นี่เป็นแหล่งสะสม
พลังงานด้านลบ และที่สำคัญมันจงใจเลือกหมู่บ้านดาบหลวงเป็นเป้าหมายด้วย

เมืองอินทร์ลอบหันมองสีหราช มีเพียงมือหนาที่กุมกระชับมือมันแน่นขึ้นกว่าเดิม

“เรารีบไปกันเถอะอ้ายอินทร์ มีที่หนึ่งที่ข้าต้องไปตรวจสอบ” สีหราชเอ่ยเบา ๆ

“ข้าเกรงว่าจะมีคนไปยุ่งกับเหล่าโครงกระดูกของวิญญาณร้าย”

ยมทูตหนุ่มเร่งตรงไปมุมชายป่าใกล้เขตแนวอนุรักษ์ของหมู่บ้านดาบหลวง ยามตะวันโพล้เพล้ย้อมผืนดินตรงหน้าให้กลายเป็นสีแดงอมส้ม โบราณเรียกแดดเช่นนี้ว่า ผีตากผ้าอ้อม....

แล้วที่ยมทูตหนุ่มกังวลก็เป็นจริง เมื่อพบว่าบริเวณที่เคยเป็นจุดฝังโครงกระดูกของเหล่ากบฏละครนอกในครานั้นกลับถูกนักโบราณคดีขุดไปเรียบร้อย สีหราชกัดฟันแน่นขณะที่เมืองอินทร์แตะท่อนแขนนั้นเบา ๆ

“อาคมที่ข้าร่ายเอาไว้ครานั้นถูกปลดออกเสียแล้ว” ความกังวลปรากฏชัด

จำนวนกบฏละครนอกอีกทั้งเหล่าโครงกระดูกของทหารหลวงที่ถูกเขาสังหารและฝังไว้ในแนวป่าและใกล้ขันธสีมาของวัดโบราณถูกโยกย้ายจนหมดสิ้นเพราะความไม่รู้ของนักโบราณคดีเหล่านี้ ลมพัดกรูเกรียวเข้ามาปะทะกายทันควัน สีหราชขมวดคิ้วนิ่งก่อนจะเหยียดยิ้มนิดหนึ่ง ปลายนิ้วจุดเพลิงสีทองขึ้นวาบหนึ่งก่อนจะบริกรรมคาถาเบา ๆ แล้วพลันนั้นเปลวเพลิงสีเหลืองทองพลันวูบกระจายไปตามบริเวณต่าง ๆ ราวกับแท่งไฟนำทางบนเนินดินตรงหน้า ก่อนจะดับหายไปราวกับไม่เคยปรากฏอยู่

“พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าแล้ว เราต้องหาที่พักกันแล้วล่ะ อ้ายอินทร์” สิ้นเสียงนั้นสีหราชก็พาเมืองอินทร์ออกไปจากบริเวณดังกล่าว

เงามืดสายหนึ่งพลันปรากฏเมื่อสองคนพ้นสายตาไป ร่างในชุดคลุมสีดำสนิทพลันเหยียดยิ้มอย่างหยามหยัน ไม้เท้าลำหนึ่งที่อยู่ในมือพลันกระแทกลงบนพื้นดินเบา ๆ ไอสีดำสนิทลอยจาง ๆ ออกมาจากไม้เท้ารูปหัวงูดังกล่าว วัตถุสีเหลืองทองอร่ามลอยอยู่เหนือฝ่ามือร่างตรงหน้า จะผิดก็แต่สีทองคำอร่ามนั้นกำลังดูดกลืนไอดำสนิทไว้มากมาย น้ำเสียงเย็น ๆ ของบุรุษเอ่ยเบา ๆ ท้องฟ้าพลันเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท เมฆครึ้มพัดมาพร้อมกับลมพายุที่ไม่มีที่มา ฟ้าลั่นครืนลั่นพร้อมกับแสงแลบแปลบปลาบกลางท้องฟ้า

“ข้ารอเจ้าอยู่แล้ว อ้ายสีห์ ข้าจักทำให้เจ้าเจ็บเจียนตายเหมือนที่ข้าเป็น”

.............................

สายฝนที่จู่ ๆ ก็โปรยปรายลงมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยทำให้ทั้งคู่วิ่งกรูตรงเข้าไปที่วัดตรงหน้า วัดในหมู่บ้านยามค่ำคืนเช่นนี้มีเพียงแสงตะเกียงเล็ก ๆ ที่ลอดมาจากกุฏิหลังน้อยที่อยู่ตรงหน้า สีหราชลากแขนเมืองอินทร์ปราดเข้าไปในบริเวณพระวิหารที่อยู่ตรงหน้า แต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงพระภิกษุชราเอ่ยขึ้นเบา ๆ

“โยมทั้งสองมาเถิด มาหลบฝนตรงนี้ก่อน” น้ำเสียงมีเมตตาอารีของพระภิกษุทำให้เขาและเมืองอินทร์หันมองหน้ากันก่อนจะตัดสินใจเดินตรงเข้าไป แสงไฟจากกุฏิวับแวมเผยให้เห็นด้านหลังของพระภิกษุรูปหนึ่ง เดาเอาจากรูปร่างคาดว่าน่าจะอายุพรรษาแก่กล้าแล้วไม่น่าจะต่ำกว่า 80 ปี น้ำเสียงเมตตาตรงหน้าหากเจ้าตัวไม่เหลียวหน้ามองมา ทำให้เมืองอินทร์ก้มตัวลงกราบพระภิกษุตรงหน้า

“พวกผมขออนุญาตหลวงพ่อมาหลบฝนตรงนี้นะครับ” เป็นเมืองอินทร์ที่เอ่ยเบา ๆ

ร่างสูงของสีหราชยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น แววตาประกายประหลาดเมื่อมองพระภิกษุตรงหน้า มีเพียงน้ำเสียงอ่อนโยนของพระภิกษุตรงหน้าที่เป็นคำตอบให้พวกเขาทั้งสองคน

“มาเถิด..ข้างนอกนั่นมืดนัก ฝนยังตก มาหลบที่นี่ตามสบาย” ทันใดนั้นเงาร่างพระภิกษุชราก็ค่อย ๆ ก้าวกลับเข้าไปด้านในกุฏิช้า ๆ

“อ้ายสีห์...พระท่านอนุญาตแล้ว มาเถิด...” เป็นเขาที่หันไปกระตุกมือของอ้ายสีหราชเบา ๆ สีหราชขืนตัวไว้นิดหนึ่งแต่ก็ยอมเดินตามมาแต่โดยดี

“ท่านจำวัดที่นี่นานแล้วหรือครับพระคุณเจ้า” เป็นเมืองอินทร์ที่หันไปถามพระภิกษุชราตรงหน้า

“นานแล้วโยม ... อาตมาอยู่มานาน...ออกจะนานเกินไปเสียด้วย” เสียงพระภิกษุชราตรงหน้าเอ่ยเบา ๆ

“ท่านพอจะรู้ประวัติของหมู่บ้านที่นี่ไหมครับ คือ ผม...อยากรู้” เมืองอินทร์ถามเบา ๆ

“รู้สิโยม...เรื่องราวสมัยเก่านานมาแล้ว เขาเล่ากันว่าที่นี่เคยเป็นหมู่บ้านช่างตีดาบหลวง แต่แล้วด้วยเหตุการณ์บางอย่างทำให้ผู้คนในสำนักดาบถูกสังหารจนสิ้น เหลือไว้เพียงตำนานเล่าขานว่ามีเหตุสลดเกิดที่หมู่บ้านแห่งนี้...จากนั้นผู้คนก็แตกสานซ่านกระเซ็นไปคนละทางสองทางตามกระแสแห่งกรรม...บ้านเมืองเปลี่ยนผัน..ชุมชนร้าง วัดร้าง และค่อย ๆ กลับกลายเป็นชุมชนใหม่ซ้อนทับกันไปมา เป็นธรรมดาของวัฏสงสาร”

ภิกษุชราหยุดเล่าไว้เพียงเท่านั้นแล้วเหลียวมองเมืองอินทร์อย่างปรานี แต่ก่อนที่เขาจะทันมองเห็นใบหน้าชัด ๆ ความง่วงงุนก็พลันทำให้หลับไปในทันที

....วงล้อที่เป็นจุดเริ่มต้น...เป็นจุดสิ้นสุดเช่นกัน...ผนึกกรรม...กำลังทำงานของมันอย่างสมบูรณ์...

“คืนนี้ เจ้าทั้งสองพักที่นี่ก่อนเถิด จะไม่มีสิ่งใดที่เข้ามาในเขตพุทธคุณแห่งนี้ได้ พวกเจ้าจงวางใจ...” เสียงของหลวงพ่อดังมาจากที่ไกล ๆ เมืองอินทร์พลันหลับใหลในทันที

พักเถิด...ยามนี้ยังไม่ใช่เวลาที่วงล้อกรรมจะหมุนวน เหลืออีก 2 คืนที่ราตรีมณิสูงสุด

ยามนั้น...สิ่งใดก็ไม่อาจพ้นกระแสแห่งกรรม...
...................................................................................

เมืองอินทร์กำลังฝัน...ในความฝันอันมืดมิดที่มีเพียงแสงเทียนวับแวม ภาพตรงหน้าไม่ปะติปะต่อกัน เสียงหัวเราะแหลม ๆ ของเด็กน้อยคนหนึ่งดังก้องไปมาในห้องศิลา ความอุ่นจัดและหนืดข้นเลอะอยู่บนมือทั้งสองข้างของเขา เสียงหัวเราะที่ก้องสะท้อนไปมาไม่รู้จบขณะที่ผู้คนวิ่งกันอยู่หน้าประตูศิลา การทุ่มเถียงรุนแรง เสียงคนแก่ที่คลับคล้ายคลับคลาที่พยายามอ้อนวอนผู้คนภายนอก เสียงจับใจความไม่ถนัด...

เสียงลมพัดหวีดหวิวผ่านช่องลมของศิลาตรงหน้าทำให้เหมือนเสียงโหยหวนของปีศาจ แต่เมืองอินทร์กลับไม่กลัวสักนิด

เขาขนลุกซู่ เพราะเสียงนั้นคล้ายจะคุ้น...คุ้นเคย และยังมีความร้อนระอุที่ผุดออกตามขุมขน กระแสพลังบางอย่างที่ไหลวนไปทั่วร่างกาย....ทำให้ร่างทั้งร่างของเขาร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ความรู้สึกราวกับอยู่กลางเพลิงแห่งโทสะ ความเกลียดชัง และความปรารถนาจะทำลายทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

ในความฝันนั้น...เขาเห็นอักขระที่อยู่บนผนังศิลาทั้ง 4 ด้าน คล้ายยันต์โบราณ...

กัก...กักขัง...พลัง อ่านได้เช่นนั้น

สิ่งที่ร้ายยิ่งกว่าเป็นสัมผัสที่อยู่ในมือของเขาเอง เป็นความอุ่นหนืดพลั่ก ๆ...เขาชอบความอุ่นหนืดนั้นยิ่งนัก...เหมือนเจอของเล่นที่ถูกใจ

แสงจันทร์ที่ลอดผ่านลูกกรงของห้องศิลาทำให้เห็นชัดเจนขึ้น

นี่มันอะไรกัน ! มือตรงหน้า ไม่ใช่มือของเขา แต่กลับเป็นมือของเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง

แต่เป็นสองมือที่เปื้อนเลือดจนชุ่มโชก !

หากข้าหลุดออกไปได้...จะสังหารให้สิ้น !

ประโยคที่ดังขึ้นกลางหัวนั้นเหี้ยมเกรียมจนน่าตกใจ เหมือนไม่ใช่ตัวเขาสักนิด

“...อินทร์...เมืองอินทร์...เมืองอินทร์ !” เสียงตะโกนและเขย่าตัวแรง ๆ จากคนข้าง ๆ ทำให้เมืองอินทร์ลืมตาสะดุ้งตื่นทันที เหงื่อกาฬชุ่มโชกไปทั้งตัว ตัวยังสั่นระริกไหว ดวงตาของเขาเบิกโพลงอย่างตกใจ

ไม่เคยฝันร้ายขนาดนี้มาก่อน ตั้งแต่ได้ร่างจำแลงนี้มาไม่เคยสักครั้งที่ “ฝัน” จะเหมือนจริงได้ขนาดนี้ เหมือนราวกับรู้สึกว่ามีเลือดอุ่น ๆ ชโลมมือทั้งสองข้าง

เมืองอินทร์รีบยกมือสองข้างขึ้นมาดูทันทีก่อนจะถอนหายใจพรูเมื่อเห็นว่าทั้งสองข้างล้วนสะอาดไม่มีร่องรอยความชุ่มโชกดังกล่าว สีหน้าที่ซีดเผือดของเขาทำให้สีหราชชะโงกหน้ามาใกล้ก่อนจะโอบตัวเขาไว้แนบกายแล้วกดคางเข้ากับเรือนผมร่างที่เล็กกว่าอย่างปลอบประโลม

“เจ้าฝันร้ายอย่างนั้นหรือ...เมืองอินทร์” เสียงและอ้อมแขนแข็งแรงโอบกระชับไว้แน่นทำให้หัวใจที่เต้นรัวเมื่อครู่ค่อย ๆ ช้าลงทีละนิด

“อืม...ข้าไม่เคยฝันอะไรที่จริงขนาดนี้มาก่อน” เสียงสั่นพร่ายิ่งทำให้คนตรงหน้ากระชับวงแขนให้แน่นขึ้น

“ข้าอยู่นี่แล้ว...ไม่มีอะไรนะ เจ้าคงแค่กลัวเท่านั้น” ว่าแล้วเจ้าตัวก็แนบชนหน้าผากเขาก่อนจะจูบเบา ๆ ที่หน้าผาก รอยยิ้มที่อ่อนโยนตรงหน้าทำให้เมืองอินทร์ค่อย ๆ ยิ้มออกบ้าง สีหราชผละลุกขึ้นก่อนจะก้าวออกจากพระวิหาร

“หลวงพ่อเมื่อคืนท่านไปไหนแล้วน่ะอ้ายสีห์...” เมืองอินทร์ถามเบา ๆ แล้วเหลียวซ้ายขวา

“ไม่รู้สิ...พระภิกษุรูปนั้น ท่านจะไปจะมา...ไม่มีใครรู้ได้หรอก” สีหราชพูดเบา ๆ ก่อนจะหันมาทางเขา

“วันนี้...ข้าจะออกไปสำรวจอะไรสักหน่อย เจ้าอยู่ที่นี่ก่อนนะเมืองอินทร์ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ห้ามออกจากเขตพระวิหารเด็ดขาด สัญญากับข้าได้ไหม...” คนสั่งการหันมากำชับเบา ๆ แววตาตรงหน้าเป็นห่วงชัดเจน

“ข้าไปด้วยไม่ได้หรือ อย่างน้อยสองคนก็ช่วยกันได้ ฝีมือเพลงดาบข้าก็ไม่ได้แย่แล้วนะอ้ายสีห์” เมืองอินทร์แย้งเบา ๆ

ดูท่าอ้ายสีหราชครานี้ เหมือนจะพยายามซ่อนความลับบางอย่างกับเขา ตั้งแต่รู้จักกันมาสีหราชไม่เคยมีท่าทีกังวลเช่นนี้มาก่อนเลย ปกติเจ้าตัวจะใช้อาคมเป็นเกราะคุ้มภัยแต่มาครั้งนี้เหมือนจะพยายามประหยัดการใช้คาถา แม้จะพยายามทำเป็นปกติสักเท่าไร แต่บางอย่างบอกเขาว่า สีหราชอาจจะซ่อนความลับหรืออาการบาดเจ็บบางอย่างอยู่

“รอข้าเถอะ...เดี๋ยวข้าก็กลับมา เชื่อข้านะ เจ้าตัวเล็ก...” เจ้าตัวโยกหัวเขาเบา ๆ อย่างเอ็นดูแล้วรีบก้าวออกไปรวดเร็ว

สีหราชก้าวออกมาพ้นแนวเขตขันธสีมาเดิมแล้วกรีดปลายนิ้วตนเองให้โลหิตหยดลงบนพื้นดินตรงหน้า พร้อมบริกรรมคาถาคุ้มกันหน้าพระวิหารอย่างรวดเร็ว อักขระบาลีเก่าแก่เรืองแสงวาบบนพื้นดินตรงหน้าก่อนจะหายวับไปในอากาศ

ตาข่ายมนตรายมทูตคุ้มภัยบริเวณตรงหน้า...อย่างน้อยคาถานี้ก็คุ้มครองได้จนถึงยามพระอาทิตย์ตกดิน

……………………………………………………………………………….

ภาพความฝันเมื่อเช้าทำให้เมืองอินทร์กระสับกระส่ายอย่างไม่รู้สาเหตุ อากาศในพระวิหารเก่าแก่กลับร้อนรุ่มอย่างบอกไม่ถูก แต่ถ้าพูดให้ถูกต้อง ความร้อนรุ่มนั้นมาจากสังหรณ์ของเขา หลายวันมานี้บางอย่างในหัวเขาคล้ายจะเห็นภาพบางอย่างกึ่งฝันกึ่งจริงหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีครั้งไหนเลยที่น่ากลัวขนาดนี้

ราวกับว่ามีผนึกความทรงจำบางอย่างกำลังคลายออก

ไม่ว่าจะเป็นความทรงจำหรือความฝัน...แต่มันกำลังทำให้เขากลัว เป็นความกลัวที่ยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจ

...แค่ความฝันใช่ไหม...ไม่เห็นต้องกลัวสักนิดเลย

เสียงเด็กสามสี่คนวิ่งเล่นกันด้านหน้าพระวิหาร และเสียงโห่ไล่ตีสุนัขตรงหน้าทำให้เมืองอินทร์ชะโงกหน้าออกไปมอง ลูกสุนัขตัวเล็กนิดเดียววิ่งสุดชีวิตเพื่อหนีไม้และลูกหินของเด็ก ๆ วัย 7-8 ขวบตรงหน้า เขาขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะก้าวออกไปทีละน้อยสภาพที่โดนทำร้ายของลูกสุนัขทำให้เขาตะโกนออกไปเต็มเสียง แต่เหมือนเด็กพวกนั้นยังไม่สนใจเสียงของเขา เอาแต่ไล่ตีลูกสุนัขตรงหน้าอย่างเมามัน เสียงงี้ด ๆ ของลูกหมาที่โดนไม้หน้าสามตีกระเด็นมาใกล้ประตูพระวิหาร เลือดและท่าทางบอบช้ำของลูกสุนัขตรงหน้าทำให้เมืองอินทร์ตวาดเด็กตรงหน้า

“หยุดนะ ! มันจะตายอยู่แล้ว ไปให้พ้นนะ !”

“พี่เป็นใคร อย่ามายุ่งกับพวกผม จะทำอะไร !” คนหนึ่งทำท่าทางยียวนและขยับไม้ในมือไว้แน่น แววตาไม่กริ่งเกรงอะไรสักนิดขณะที่ลูกหมาตัวเล็ก ๆ พยายามกระถดตัวหนีมือของเด็กพวกนั้น แต่ยังไม่พ้น

ก่อนที่จะทันคิดอะไร นิสัยเดิมของเขาทำให้ก้าวพรวดออกไปหมายจะคว้าก้อนกลม ๆ ที่กองนิ่งกับพื้นนอกพระวิหารทันที แต่ทันทีที่จะก้าวขา เมืองอินทร์ก็พลันชะงักค้างเมื่อนึกถึงคำสั่งของสีหราช

“ห้ามออกนอกเขตพระวิหารเด็ดขาดนะ อ้ายอินทร์” สีหราชย้ำหนักหนา

คำเตือนทำให้เขาตัดใจเดินหันหลังกลับเข้าไป แต่ทันใดนั้นท้องฟ้าก็พลันแปรปรวนเสียงคำรามคำรนคล้ายจะเกิดพายุขึ้นตรงหน้า เสียงหัวเราะก้องกังวานที่หาที่มาไม่เจอ ภาพเด็กสามสี่คนหายวับไปพร้อมกับลูกหมาตัวจ้อยเมื่อครู่

“เก่งนี่...ที่เจ้าพยายามเชื่อฟังยมทูตนั่น...แต่ก็ไร้ประโยชน์ เมื่อเจอกับข้า...อ้ายอินทร์”

เงาสีดำสนิทที่ชุดเครื่องแต่งกายที่คุ้นตาปรากฏกายขึ้นตรงหน้า ความทรงจำที่ย้อนคืนมาทำให้เมืองอินทร์เบิกตากว้างอย่างตกตะลึง ทันใดนั้นเสียงบริกรรมคาถาเบา ๆ จากร่างตรงหน้าทำให้ร่างทั้งร่างชาดิก สติสัมปชัญญะที่มีค่อย ๆ เลือนหายไปในทันที ไอร้อนที่เดิมปรากฏเมื่อสองคืนก่อนพลันลุกพรึ่บขึ้นจากภายในร่างของเขา เสียงลั่นเปรี๊ยะดังขึ้นกลางหัว ความรู้สึกปวดหนึบชาไปทั้งร่าง เสียงหัวเราะกึกก้องในฝันนั้นคล้ายได้ยินอยู่ในหัว

“ขอบคุณข้าสิ....ที่ถอนสลักมนตราชิ้นสุดท้ายให้กับเจ้า พลังอำนาจเดิมที่ควรเป็นของเจ้า...เมืองอินทร์...พลังที่ถูกกักมาเกือบสองร้อยปี !”

นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาได้ยิน...ร่างทั้งร่างยวบฮวบทรุดลงกับพื้นหน้าพระวิหาร

ร้อนไปหมดราวกับกระดูกกำลังป่นเป็นผุยผง อนุสติสุดท้าย...ชื่อคนที่ห่วงใยที่สุดดังขึ้นกลางหัว

...อ้ายสีห์...

...................................................
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 10/1/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: Wansusu ที่ 11-01-2021 01:15:45
เพิ่งได้อ่านเรื่องนี้ ชอบมากกกกก เขียนดีมากก บรรยายดีมากก
ขอบคุณที่เขียนเรื่องนี้ค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 10/1/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 11-01-2021 17:39:47
CHAPTER
28




สิ่งเดียวที่สีหราชพอจะทำได้ในยามนี้คือ การแจ้งเตือนเหล่าภุมมเทวา และรุกขเทวาที่อาศัยในปริมณฑลแห่งนี้ ยามนี้พลังตบะที่มีลดน้อยลงจนไม่อาจจะส่งข่าวไปให้แก่อัคนิการ์เทวีได้ทัน ไอสีดำสนิทดูจะมากกว่าที่คาดไว้ ดูท่าแล้วอาจจะตึงมืออยู่พอสมควร แต่เหมือนยิ่งตามหา ยิ่งพบว่าอำนาจไสยมืดบางอย่างได้คลุมพื้นที่แห่งนี้ไว้หมดแล้ว ไอร้อนของพลังอาคมโบราณทำให้เหล่าเทวาไม่อาจอยู่อาศัยได้ ทั้งหมู่บ้านกำลังกลายเป็นหลุมดำของพลังอำนาจที่ไม่มีขีดจำกัด และมันกำลังดึงดูดเหล่าสัมภเวสีต่าง ๆ ที่อยู่ห่างออกไปให้เข้ามาร่วมในพื้นที่นี้ด้วย

เพลิงอัคคีสีแดงก่ำถูกจุดขึ้นด้วยโลหิตของสีหราช หากเพื่อปกป้องพลังวิญญาณของมนุษย์ที่อยู่ในอีกมิติหนึ่งไว้ จำเป็นต้องอาศัยโดมมิติวิญญาณตัดแยกภพทั้งสองออกจากกัน อย่างน้อยก็ไม่เพิ่มแหล่งสูบพลังชีวิตให้กับสัมภเวสีเร่ร่อนเหล่านั้น แต่ก่อนที่สีหราชจะทันสร้างโดมมิติวิญญาณ แสงอาทิตย์ก็พลันดับลงอย่างรวดเร็วผิดวิสัยทำให้สีหราชต้องเหลียวมองไปรอบตัว แต่ครั้นจะถอนเท้ากลับก็ไม่ทันเสียแล้ว

...แย่แล้ว...

เขากำลังก้าวเข้ามาในเขตอาคมของผู้หนึ่งโดยไม่รู้ตัว

ใครบางคนสร้างมิติวิญญาณอันดำมืดนี้ขึ้น...ด้วยพลังที่ใกล้เคียงกับเขา...หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำไป

พลันนั้นภาพทั้งหมดที่ปรากฏในโดมก็เปลี่ยนไป เขตเมืองเก่าที่นักโบราณคดีล้อมค่อย ๆ คืนกลับเป็นรูปร่างกำแพงเมือง เช่นเดียวกับต้นไม้ใบหญ้าที่หดเล็กลง บางส่วนก็เติบโตขึ้นฉับพลัน เสียงหัวเราะของเหล่าผู้คนต่าง ๆ ในงานเทศกาลโคมไฟพลันปรากฎขึ้น ผู้คนที่แต่งกายด้วยชุดในสมัยอดีตชาติ เดินสวนกับเขาไปราวกับไม่เห็นตัวเขาสักนิด บางคนก็เป็นสหาย...บางคนก็ตายไปแล้ว

...อ้ายโต...กำลังเดินอยู่ตรงนั้นกับสาวที่มันรักและจะแต่งงาน

แม่คำหล้ากำลังเดินอยู่กับแม่หญิงนาก....และเหล่าผู้คนจากสำนักของสมุหพระกลาโหม

ใช่แล้ว...ใครบางคนกำลังจำลองภาพเหตุการณ์ในคืนเทศกาลลอยโคมเมื่อเกือบสองร้อยปีก่อนให้เขาดูตรงหน้า

ใคร...ใครกัน...

เสียงหัวเราะสนุกสนานของอ้ายเชิดที่คุยหยอกล้อกับแม่ค้าขายโคมอยู่ตรงริมน้ำนั้น และตัวเขากับอ้ายอินทร์กำลังยืนคุยกันริมแม่น้ำ

ความทรงจำที่แสนหวาน...คืนที่เขาได้จูบแรกจากเจ้าตัวจ้อย...

ผู้คนมากมายที่เดินเล่นในเทศกาลลอยโคมนับสิบกว่าชีวิตล้วนดูราวมีชีวิต สีหราชขมวดคิ้ว...ศัตรูอยู่ในนี้...ท่ามกลางผู้คนมากมาย เมื่อรวบรวมจิตได้ครู่หนึ่งถึงรู้สึกไอประหลาดสีดำสนิทลอยเรี่ยอยู่ด้านหลัง ทันทีที่เขาหันขวับไป พลันนั้นท้องฟ้าในโดมมิติวิญญาณก็พลันเขย่าวูบ พื้นโคลงเคลงอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงหัวเราะแหบพร่า....เสียงที่คล้ายจะคุ้นเคยแต่ติดอยู่ที่ริมฝีปาก...

“ไม่เสียแรงเป็น ยมทูตชื่อดังแห่งยมโลก...อุตส่าห์สร้างมายาลวงตา แต่เจ้าก็ยังหาข้าเจอจนได้...อ้ายสีห์....”

ร่างที่นั่งนิ่ง ๆ อยู่บนแคร่ไม้ไผ่หัวเราะเบา ๆ ดวงตาแดงก่ำมีเพลิงสีทองวาวโรจน์ บุรุษผิวสองสีรูปร่างสันทัดนั่งอยู่บนแคร่ กำลังยกมือขึ้นจิบเหล้ายาดองอยู่ตรงหน้าเปรยขึ้นเบา ๆ แล้วเหลียวมองเขาด้วยแววตาแข็งกร้าว สีหราชเพ่งนิ่ง ๆ ทั้งหมดล้วนสร้างขึ้นจากควันสีดำสนิท ควันที่มาพร้อมไอร้อนระอุแห่งไสยเวท

“อ้ายขุนศรี !”

ไฉนจึงเป็นมัน อ้ายขุนศรี ! บุตรชายสมุหพระกลาโหม!

.................................................................................

“ไม่ได้เจอกันเกือบสองร้อยปี ...เจ้ายังองอาจเหมือนเดิมเลยนะอ้ายสีห์” เสียงทุ้มหัวเราะจากร่างที่จิบยาดองอยู่บนแคร่ดังขึ้นอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด

“ไฉนเป็นเจ้า...ขุนศรี...” สีหราชขยับกายอย่างระแวดระวัง

พลังไสยเวทที่สามารถแทรกกายเข้ามาในมิติวิญญาณได้และจำลองภาพต่าง ๆ ในนี้ให้คล้ายกับอดีตชาติได้นั้น แสดงว่าร่างตรงหน้าไม่ธรรมดาแน่นอน และเมื่อสีหราชลองกำมือเพื่อจุดเพลิงอาคมขึ้นก็ต้องชะงักเมื่อมีไอสีดำสนิทจำนวนมากลอยวนรอบตัวจนไม่อาจรวมอาคมยมทูตได้

“อย่าเพิ่งใจร้อนเลย อ้ายสีห์...ข้าแค่อยากคุยกับเพื่อนเก่า อย่าถึงขนาดต้องจุดเพลิงในยามนี้เลย” เจ้าตัวเปรยเบา ๆ ก่อนจะยกแก้วเหล้ายาดองขึ้นจิบ

“มา...จิบเหล้ากับข้าบ้างสิ...ศิษย์เอกพระอาจารย์” รอยยิ้มหยันจุดที่ริมฝีปากของร่างสันทัดตรงหน้า

“เหล้า...มีไว้สำหรับสหาย แต่ข้าไม่แน่ใจว่าเจ้าจะเป็นสหายข้า ขุนศรี”  สีหราชเอ่ยขึ้น

“พูดจาเยี่ยงนี้...น่าผิดหวังยิ่งนัก...อ้ายสีห์” แววตาคนตรงหน้าวาวโรจน์ก่อนจะกระแทกแก้วเหล้าลงแรง ๆ ภาพรอบตัวพลันหยุดชะงักนิ่ง ใบไม้ไม่ไหวเอน ผู้คนหยุดเคลื่อนไหว เปลวเพลิงบนคบไฟก็ค้างนิ่งไม่ขยับ ทุกอย่างในมิติตรงหน้าหยุดนิ่งราวกับภาพวาด มีเพียงสายตาวาวโรจน์ของบุรุษตรงหน้าจ้องตรงมาที่เขา

“ไม่นึกว่าเป็นเจ้า...ที่หันสู่ด้านไสยมืดมนตร์ดำ...ขุนศรี...” สีหราชเอ่ยเบา ๆ จ้องร่างตรงหน้าอย่างพิเคราะห์

ดวงตาแข็งกร้าวของขุนศรีวาวโรจน์ก่อนจะหันกลับมาทางเขา

“ชะตาของแต่ละคนย่อมต่างกัน ใครใช้ให้ผู้คนชื่นชมแต่ดาบแต่อาวุธ คนที่ชำนาญไสยเวทกลับกลายเป็นคนเลวในสายตาผู้อื่น พรสวรรค์ของข้าไม่เคยมีคนยกย่อง เพียงแค่จุดเปลวเพลิงได้ชาวบ้านล้วนแต่กริ่งเกรงแล้วสาปแช่ง ทุกอย่างในชีวิตข้าต้องไขว่คว้าเองทั้งนั้น แต่ก็ไม่เคยสมหวัง...แม้แต่ความพยายามครั้งสุดท้ายของข้าที่จะมีเกียรติ มีชื่อเสียงและมีครอบครัว่ ก็เป็นเจ้า สีหราช ! เจ้าที่ดับความฝันทุกอย่าง ทั้งครอบครัว ชีวิต และลูกเมีย เจ้าพรากเอาอนาคตและความฝันทุกอย่างไปจากข้า !”

บุรุษร่างสันทัดตะโกนขึ้น ยามนี้ทุกสิ่งตรงหน้าเกิดเกลียวพายุร้ายพัดขึ้น เสียงหวีดหวิวโหยหวนดังมาจากทุกทิศทุกทาง

“เจ้าพูดถึงอะไรกัน ! ข้าไปทำความเจ็บช้ำอะไรให้เจ้า ! ” สีหราชตะโกนก่อนจะกระชากดาบเพลิงในมือออกมา ประกายดาบวาววับตรงเข้าปะทะกับขุนศรีทันควัน

ภาพทุกอย่างตรงหน้าบิดเบี้ยวตามดวงจิตที่บิดเบี้ยวของขุนศรี ยามนี้สีหราชรู้แล้วว่าพลังอำนาจของอีกฝ่ายสูงเพียงใด มิติตรงหน้าที่เคยมีสีสันพลันเปลี่ยนสลายกลายเป็นสีเทาดำ ใบไม้สีเขียวที่มีชีวิตพลันเหี่ยวเฉากลายเป็นสีน้ำตาลและป่นละเอียดเป็นผุยผงไปตรงหน้า พื้นดินที่เหยียบกลายเป็นหลุมว่างเปล่าลึกจนมองไม่เห็นก้นหลุม มีเพียงบรรยากาศที่กดดันอยู่รอบตัว สีหราชลอยตัวในอากาศเวิ้งว้างสีดำสนิท ขณะที่ขุนศรีเหลียวกลับมาในชุดอาภรณ์สีดำ สร้อยสังวาลย์ที่คาดตรงหน้าอกคล้ายหัวกะโหลกขนาดเล็กเรียงรายจนเต็มเส้น ไอสีดำสนิทแผ่ขยายออกทำให้หายใจแทบไม่ออก  ในมือของขุนศรีปรากฎแผ่นกระดานสีทองคำเรืองรองที่ปนไอสีดำที่ลอยกรุ่นและเหล่าวิญญาณมนุษย์ที่โหยไห้ดังขึ้นทุกขณะ

ป้ายผ่านทางโลกวิญญาณที่เขาตามหา !

“เจ้าเคยเสียคนรักไปแล้ว...เจ้าควรจะรู้สิ...ว่ามันปวดร้าวแค่ไหน...จริงไหม อ้ายสีห์...” เสียงนั้นเย็นยะเยียบบาดลึกความรู้สึก สายลมเย็นเฉียบพัดกรูเกรียวพร้อมกับเสียงสุนัขหอนไม่สิ้นสุด คล้ายกับมีดวงตานับสิบคู่ที่จดจ้องมาที่เขาในยามนี้

“ส่วนข้า ที่ต้องเสียคนรัก...ไปถึง 2 ชีวิต...ย่อมต้องเจ็บปวดยิ่งกว่าเจ้าเป็นร้อยเท่า !”

ประโยคนั้นกระตุ้นความจำที่เขาอ่าน สังหรณ์วูบหนึ่งทำให้ขนลุกซู่ ส่วนหนึ่งในบันทึกของเสด็จพระองค์ชายชาญนพ กลับมาสู่ความทรงจำ

....แม่หญิงนากตัดสินใจปลิดชีพตนเองพร้อมลูกในท้องด้วยการกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย หลังจากสีหราชกลายเป็นเสือร้ายไล่สังหารกบฏและจากนั้นไม่นานสมุหพระกลาโหมเสียชีวิตอย่างปริศนา

พนักงานกรมนครบาลที่พบร่าง รายงานไว้ในบันทึกว่า ร่างนั้นเสียชีวิตในสภาพเลือดออกจากทางทวารทั้งเจ็ด เสียชีวิตในสภาพตัวดำสนิทผิวแห้งราวกับซากศพที่ตายมานานแล้ว

“หรือว่า....เจ้ากับแม่หญิงนาก...?” สีหราชเอ่ยเสียงพร่า

ดวงตาของขุนศรีแดงก่ำกระชับดาบในมือแน่นเข้าทันที เพลิงสีแดงช้ำเลือดช้ำหนองพวยพุ่งออกจากดาบโบราณตรงหน้า ภาพทั้งหมดเปลี่ยนผันอย่างรวดเร็ว

“ใช่ ! แม่นาก และลูกของข้าที่ตายเพราะเจ้า !”

“เจ้ามันบ้า ! ขุนศรี ! นั่นมันน้องสาวของเจ้าเองนะ เจ้าขืนใจนางได้อย่างไร !” สีหราชตะโกนลั่นพร้อมกระชากดาบออกจากฝักเช่นกัน ทั้งสองเข้าปะทะกันทันที เสียงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นดังก้องในมิติวิญญาณ ฟ้าคำรนคำรามไม่หยุด

“นางเป็นคนที่ข้ารักมาตลอด ! แม้กระทั่งเป็นของข้า นางก็ยังหวนคิดถึงแต่เจ้า !”

“พี่น้อง อย่างน้อยก็พ่อเดียวกัน เจ้าทำได้อย่างไรขุนศรี!”

“หึ ! ข้าไม่เคยมีสายเลือดเดียวกับนาง ข้าไม่ใช่พี่ชายนาง ไม่ว่าจะทางใดก็ตาม !”

ประโยคนั้นทำให้สีหราชอึ้งงันไป

“ข้าเป็นลูกติดท้อง แม่ข้าที่เป็นทาสพยายามปกป้องชีวิตข้าไว้ จึงอ้างกับไอ้สมุหพระกลาโหม ไอ้โจรชั่วที่สังหารพ่อข้าว่า ข้าเป็นเลือดเนื้อของมัน เด็กคลอดก่อนกำหนดไม่ได้ทำให้โจรชั่วนั่นระแวง มันคิดมาตลอดว่าข้าเป็นลูก ! ”

มิน่าเล่า...ขุนศรึจึงไม่ละม้ายคล้ายสมุหพระกลาโหมเลย แต่หลายคนนึกไปว่าผิวคล้ายนางทาสผู้งดงามคนนั้นจึงไม่มีใครสังหรณ์ใจ

ดาบเพลิงของจอมขมังเวทฟันลงมาทันควัน สีหราชกัดฟันกรอดยกดาบขึ้นเกร็งรับแรงปะทะ ไอดำสนิทลามจากดาบเพลิงของขุนศรีคล้ายกับน้ำกรดร้อนที่แผดเผานิ้วและข้อมือสีหราชจนต้องกระชากดาบออกทันควันและกระโจนถอยออก ปลายดาบของสีหราชฟันแหวกเสื้อสีดำสนิทของร่างตรงหน้า หัวไหล่ถูกกรีดเป็นรอย ผ้าที่ขาดด้วยเพลิงดาบยมโลกเผยให้เห็นรอยสักสีแดงก่ำ สีหราชเบิกตากว้าง

ครุฑยุดนาค !

ตราสัญลักษณ์ของกลุ่มกบฏในครานั้น ตราที่มันเห็นบนท่อนแขนของบุรุษหนึ่งที่โรงเหล้าจีน !

จอมขมังเวทขุนศรีเหลือบมองตามสายตาของสีหราชก่อนจะยกยิ้มหยัน

“อ้อ...ข้ายังไม่ได้บอกเจ้าดอกหรือ ...ข้าเป็นอีกผู้หนึ่งที่รอด ต้องขอบใจที่เจ้าได้รายชื่อกบฏไปเพียงท้าย ๆ ข้าเลยไม่อยู่ในราย
ชื่อที่เจ้าต้องสังหาร!”
……………………………………………………………

ภาพเหตุการณ์ในอดีตย้อนกลับมาอีกครั้ง บุรุษอีกผู้หนึ่งที่ยืนหันหลังเจรจากับขุนทรัพย์ ผู้ดูแลคณะละครนอกเมื่อวันที่สีหราชตามเสด็จพระองค์ชายชาญนพไปที่ท้องพระโรงจนได้พบกับกรมหลวงไกรสีห์สรคุณ ผุดขึ้นในความทรงจำ

“...อ้ายสีหราช...ไม่คิดว่าจะเจอเจ้าอีกครั้งในรั้ววังแห่งนี้...” เสียงขุนศรีในวันนั้นดังขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ย ๆ ตามนิสัยเจ้าตัว

“ข้ามาเยี่ยมเสด็จพระองค์ชายชาญนพ และเจ้าจอมมารดาเท่านั้น อีกสักครู่คงกลับแล้ว...” สีหราชเอ่ยเบา ๆ ก่อนจะปรายตามองขุนทรัพย์ที่หันหลังให้และรีบผละไป ขณะที่ขุนศรีหันมาชวนเขาคุยเรื่องความคืบหน้าของการตีดาบส่งหัวเมืองเหนือในคราต่อไป...

เพราะเป็นบุตรชายของสมุหพระกลาโหมผู้เรืองอำนาจ...สีหราชจึงไม่เคยคิดว่าขุนศรีจักร่วมก่อกบฏ...

เขาพลาดเพราะลืมคิดไปว่าขุนศรีนี่เอง...ที่มีหน้าที่ดูแลจัดเตรียมเวรยามในพระราชฐานส่วนใน !

ในคืนที่เหล่ากบฏละครนอกตัดสินใจลงมือพร้อมกัน สีหราชและเสด็จพระองค์ชายชาญนพร่วมกันวางแผนล้อมปราบซ้อนกล ทันทีที่เหล่านักดาบรับจ้างในคราบนักแสดงละครออกชักอาวุธออกมา ทหารส่วนพระองค์ของเสด็จพระองค์ชายชาญนพก็กรูกันออกมาจากรั้วพระราชฐาน และบางส่วนตรงไปล้อมจับกุมกรมหลวงไกรสีห์สรคุณถึงในพระตำหนักในทันที แผนการที่วางไว้อย่างรัดกุมทำให้การปะทะดังกล่าวกินเวลาไม่นาน ทหารส่วนพระองค์ของเสด็จพระองค์ชายชาญนพมีมากกว่า เหล่ากบฏละครนอกที่ไม่ยอมมอบตัวก็ล้มตายกันระเนระนาดขณะที่บางส่วนก็หนีกระเจิดกระเจิง

ในวันนั้น เป็นสีหราชที่ประดาบกับกรมหลวงไกรสีห์สรคุณครู่ใหญ่ก่อนจะเป็นฝ่ายมีชัยเหนือร่างสูงตรงหน้า ปลายคมดาบจ่อนิ่งที่คอหอยของเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง สีหน้าชายวัยกลางคนที่เลือดโซมกายเพราะพลาดท่าโดนสีหราชฟันเข้าที่ท่อนแขนนั้นหัวเราะเย้ยหยันใส่เขาและเสด็จพระองค์ชายชาญนพ มือทั้งสองข้างและขาถูกทหารหลวงตีตรวนและโดนกระทุ้งจากด้านหลังให้ทรุดกายลงคุกเข่ากับเขตพระราชฐาน

คืนเดือนดับ...ที่เขตพระราชฐานชโลมไปด้วยเลือด สีพระพักตร์ของเจ้าเหนือชีวิตมองร่างตรงหน้าคล้ายไม่อยากเชื่อสายพระเนตรตนเอง น้ำเสียงอ่อนระโหยของทูลกระหม่อมแฝงความเสียพระราชหฤทัยอย่างที่สุด

“ไฉน...จึงเป็นเจ้าไปได้...ไกร...ข้าเห็นเจ้าเป็นดั่งน้องชายมาโดยตลอด เจ้าเป็นพระญาติสนิทคนเดียวที่ข้าไว้ใจที่สุด”

ร่างนั้นยังคงยิ้มแค่นอยู่กับพื้นพระราชฐาน สายตาที่เงยหน้าขึ้นมองเผยทุกสิ่งที่อยู่ในความคิด

“ราชกิจต่าง ๆ ข้าก็มอบให้เจ้า เรื่องตัดสินคดีความข้าก็เชื่อมั่นในความยุติธรรมของเจ้า แม้แต่ด้านการศาสนาเจ้าก็ปราดเปรื่องไม่มีผู้ใดเกิน ต่อให้ใครมานินทาท่านเรื่องความชื่นชอบรสนิยมในบุรุษเพศของท่าน ข้ายังเมินเฉยแลเถียงแทนท่านได้ว่าเป็นอุปนิสัยส่วนตัวแต่ไม่ทำให้ราชกิจเสียหาย ไฉนวันนี้ เจ้าจึงทำเรื่องเลวร้ายเยี่ยงนี้ !”

พระวรกายสูงโปร่งซวนกายพิงพระแท่นตรงหน้าอย่างหมดเรี่ยวแรง

“แล้วอย่างไร....มอบหมายให้ข้าดูแล แล้วอย่างไร  ข้าได้อำนาจใด ๆ บ้างเล่า !” กรมหลวงไกรสีห์สรคุณตะโกนกร้าว

“ว่าอย่างไรนะ ?” สีพระพักตร์ของทูลกระหม่อมคล้ายซีดเผือด

“เจ้าจะไปรู้จักสิ่งใด เจ้าอยู่กับอำนาจมาตั้งแต่เกิด ข้าเห็นอำนาจอยู่เพียงเอื้อมแต่ก็ไม่อาจฉวยคว้า ! ข้าเกิดหลังท่านเพียงชั่วยามเดียว แต่ราชบัลลังก์กลับไม่ใช่ข้า ! แม่ข้าเป็นสนม แต่แม่ท่านเป็นมเหสี ศักดิ์แลยศฐาแตกต่าง ข้าเลยไม่ได้เป็นกษัตริย์อย่างนั้นรึ !” ร่างสูงนั้นตวาดลั่น เสียงโซ่ตรวนที่ตรึงแขนและขาไว้สั่นไหวรุนแรงตามอารมณ์ของผู้ถูกตีตรวน

“เมื่อแข่งวาสนาไม่ได้ ข้าก็จักคว้าวาสนานั้นไว้ด้วยตัวข้าเอง !”

“เจ้า...เจ้ามันเกินเยียวยาเสียแล้วไกร...” พระสุรเสียงของทูลกระหม่อมคล้ายหมดเรี่ยวแรง

ดวงตาปูนโปนตรงหน้าหัวเราะลั่นก่อนจะแสยะยิ้มอย่างสมใจ

“มึงคิดว่า...กูคนเดียวแลเหล่าอ้ายอีพวกนี้จะเข้าพระราชฐานได้ง่ายดายเยี่ยงนี้รึ !

“อย่าคิดนะ...ว่ากบฏจะมีแค่ข้าคนเดียว ระวังให้ดีเถอะ!” นั่นเป็นประโยคสุดท้ายของกรมหลวงไกรสีห์สรคุณ

..................................................................

จอมขมังเวทตรงหน้าหยักยิ้มพรายก่อนจะมองสีหราชด้วยแววตาบ้าคลั่ง

“ข้ามีสัญญากับกรมหลวงไกรสีห์สรคุณ เขาลั่นวาจาว่าหากข้าช่วยเขาล้มล้างราชวงศ์ได้สำเร็จ เขาจักสังหารสมุหพระกลาโหม...และแต่งตั้งข้าเป็นสมุหพระกลาโหมคนใหม่พร้อมยกแม่หญิงนากมาเป็นเมีย” สายตาคนพูดเข้าใกล้ความวิปลาสไปทุกขณะ

ประโยคนั้นทำให้สีหราชกระชับดาบมั่น

“แผนของพวกข้าควรจะง่ายดายและไร้ช่องโหว่ เพราะละครนอก...ล้วนเป็นฉากบังหน้าที่ดี จะมีบุรุษที่ไหนเดินเข้าออกพระราชวังได้โดยไม่ต้องตรวจสอบหากไม่ใช่เหล่านักแสดงละครนอก”

“แล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับพวกข้า ! ข้าและสำนักดาบไม่เคยไปทำให้เจ้าต้องเดือดร้อน !” สีหราชตวาดก้อง

“ทำไมจะไม่เกี่ยว ! เพราะไอ้เมืองอินทร์และไอ้ลูกจีนคนนั้นทีเดียว ! ที่ดันรู้ความลับจากกลักไม้ใส่กลอักษร !”

...กลอักษรที่แฝงข้อความนัดหมายของเหล่ากบฏ...

...ไม่ว่าใครจักได้ไป อ่านได้หรือมิได้..ย่อมต้องไม่มีชีวิตรอด

ร่างตรงหน้าสืบเท้าเข้ามาพร้อมกับไม้เท้าในมือ ไอสีดำสนิทรวยรินจากไม้เท้าบอกชัดว่าไม่ใช่ไม้เท้าธรรมดา

“ทำไมเจ้าไม่ปล่อยให้สองคนนี้ตาย ๆ ไปซะ ก็แค่ทาสไร้ค่า ! แต่เจ้ากลับไล่ล่าราวกับหมาบ้าและทำให้แผนการกบฏของข้าต้องพังพินาศ !” จอมขมังเวทตะโกนลั่นก่อนจะถลาเข้ามาปะทะกับสีหราชในทันที

ไอควันสีดำสนิทและบรรยากาศกดดันปะทะร่างสีหราชวูบใหญ่ !

ความฝันของขุนศรีที่พังภินท์ไม่เหลือสิ่งใด โอกาสได้เคียงครองแม่นากและลูกในท้องหายไปกับลมหายใจของกรมหลวงไกรสีห์สรคุณ ยามนั้น...มันหมดสิ้นทุกสิ่งที่ใฝ่ฝัน

ดาบทั้งสองเล่มเข้าปะทะกันอย่างรวดเร็ว เงามืดสายหนึ่งวูบวาบไปมาพร้อมกับเสียงโลหะชนปะทะอย่างไม่ลดละ ด้านหนึ่งมีไอดำสนิทคลุมกาย ขณะที่เงาอีกสายหนึ่งมีละอองสีทองวิบวับพร้อมเพลิงร้อนของยมโลกปรากฎบนดาบ แต่สำหรับสีหราชที่ปราณและตบะอาคมลดไปกึ่งหนึ่ง การต่อสู้คล้ายจะตึงมือกว่าเดิมมากเมื่อร่างตรงหน้าอาศัยไอพลังจากป้ายทองคำยมโลกและอาคมไสยเวท หุ่นพยนต์ตัวหนึ่งปราดเข้ามาปะทะกับเข้ากับด้านข้างของสีหราช อีกตัวพยายามเกาะกุมแขนขาของเขาไว้มั่น สีหราชกลั้นใจบริกรรมคาถาก่อนจะสะบัดกายทันควัน ประกายเพลิงร้อนของยมโลกแผดเผาร่างของหุ่นพยนต์ทั้งสอง แต่เมื่อเหลียวกลับไป ร่างของขุนศรีก็ไม่อยู่ตรงนั้นเสียแล้ว สีหราชสะดุ้งเฮือกเมื่อปลายคมดาบประชิดตัวด้านหลัง

“ตบะเดชะของเจ้าลดลง...อ้ายสีห์....ต่อสู้กันแบบนี้ข้าสนุกยิ่งนัก”เสียงของขุนศรีหัวเราะลั่นก้องในมิติวิญญาณ

“แต่มันยังไม่สาแก่ใจข้าหรอก...ข้าต้องการให้เจ้าตายทั้งเป็น และยิ่งตายด้วยมือคนที่เจ้ารัก...ยิ่งสะใจข้า!”

สีหราชตัดสินใจหมุนกายวูบ ประกายดาบเพลิงของขุนศรีกรีดท่อนแขนเรียกเลือดโซมต้นแขน

“อยากรู้นักว่าเจ้าจะรู้สึกยังไง...หากเจ้าต้องสูญเสียเป็นครั้งที่สอง...อ้ายสีห์” ขุนศรีจ้องมองมันด้วยสายตาหยามหยัน

สีหราชขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะกระชับดาบในมือมั่นอีกครั้ง ท่าทางดังกล่าวทำให้ขุนศรียิ้มหยัน

“เจ้าไม่รู้สิ่งใดสักอย่างเลยสินะ ก็น่าอยู่หรอก เพราะเจ้าไม่มีป้ายทองคำโลกวิญญาณนี่นา...”

น้ำเสียงหัวเราะคนตรงหน้าทำให้สีหราชขมวดคิ้วก่อนจะถลาเข้าไปปะทะอีกรอบ ประกายดาบเพลิงปะทะกันรุนแรงจนมิติวิญญาณสั่นสะเทือน

“เมืองอินทร์...เป็นคนรักเจ้าจริง ๆ หรือ...ทำไมเจ้าไม่รู้อะไรสักอย่างเกี่ยวกับเขาเลย...” วิญญาณร้ายตรงหน้าเย้ยหยัน

“ไม่รู้สักอย่างเกี่ยวกับที่มาที่ไปของเขา..เด็กทาสสินไถ่ ! เหอะ ! น่าขัน !”

“เจ้าพูดบ้าเรื่องอันใด อ้ายอินทร์หนีจากการขายทาสมาอาศัยพ่อสินของข้า!” สีหราชตวาดกร้าวก่อนจะยกดาบขึ้นปะทะทันควัน

“ความโง่งมของเจ้า นอกจากเจ้าใช้คาถาต้องห้ามคืนความทรงจำให้เขาแล้ว คาถาโบราณของเจ้ายังช่วยข้าปลดสลักมนตราที่เหล่าจอมขมังเวทสายขาวพยายามอย่างยากเย็นที่จะผนึกอาคมในตัวเขาไว้...”

...ผนึกอาคม !...

เสียงจิ๊จ๊ะในลำคอของขุนศรียังร้ายไม่เท่ากับประโยคที่เขาได้ยิน

“เหล่าจอมขมังเวทสายดำต่างตามหา “เด็กแห่งชะตากรรม” แม้แต่อาจารย์ข้าก็เฝ้าตามหาเด็กแห่งชะตากรรมที่มีสายเลือดเวทสายดำและสายขาวในตัว รอมาเนิ่นนานจนจิตแตกดับก็ยังไม่ได้พบ...แต่กลับเป็นข้าที่โชคดี นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเมืองอินทร์ของเจ้า”

เด็กแห่งชะตากรรมอะไรกัน !

“ ต้องขอบใจป้ายทองคำโลกวิญญาณที่เผยความจริงของสรรพสิ่ง...ทำให้ข้าได้ครองอาวุธที่ทรงพลังที่สูงที่สุดของไสยเวท !” สิ้นเสียงนั้นท้องฟ้าก็พลันคำรามคำรนออกมากึกก้องพร้อมกับฟ้าผ่าลงในโดมมิติวิญญาณ

“เจ้าไม่เอะใจสักนิดเลยหรือว่า ทำไมคาถายมทูตของเจ้าถึงสลายง่ายดายนักกับเด็กหนุ่มคนนี้....ทำไมเด็กหนุ่มธรรมดาที่ไม่น่าจะมีพลังใด ๆ กลับฝ่าเข้าไปในโดมมิติวิญญาณของเจ้าได้ในวันนั้น...หือมมมม อ้ายสีหราช”

ภาพความทรงจำที่พบกันในครั้งแรก คาถาตรึงวิญญาณด้วยเชือกอาคมที่หลุดภายในเวลารวดเร็ว ภาพเจ้าตัวเล็กที่ถลาเข้ามาในโดมมิติวิญญาณได้อย่างน่าประหลาดใจ...ทำให้สีหราชกัดฟันกรอด

“ยามใดที่ผนึกอาคมนั้นถูกปลดลง...เมืองอินทร์ คนรักของเจ้าก็ไม่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้อีกแล้ว ! ร่างที่เหลืออยู่จะเป็นเพียงภาชนะสำหรับไสยมืดที่ทรงพลังและพร้อมทำตามคำสั่งข้า !”

“โกหก ! เมืองอินทร์ไม่มีทางเป็นปีศาจหรือเครื่องมือแห่งไสยดำที่เจ้าคิดหรอก !” สีหราชตะโกนลั่น

“ผิดแล้ว ! ป้ายทองคำผ่านทางโลกวิญญาณให้พลังควบคุมเหล่าวิญญาณทุกดวงในโลกใบนี้ แลเมื่อผสานเข้ากับพลังไสยดำที่ข้ามี ร่างที่มีแต่ดวงจิตดำมืดอย่างนั้นย่อมตกเป็นของข้าโดยสมบูรณ์ ทั้งกายและจิต!”

“มาพนันกันดีหรือไม่อ้ายสีห์....ก่อนมาที่นี่ข้าได้ช่วยปลดผนึกสุดท้ายให้กับเมืองอินทร์ไปแล้ว มาลองดูกันว่าถ้ามันได้ความทรงจำจริง ๆ ที่ว่ามันเป็นคนสังหารพ่อแม่ตนเองทิ้งตั้งแต่ 5 ขวบ...ดวงแก้วที่เจ้ารักและถนอมนั้นจะแตกร้าวไม่เหลือชิ้นดีหรือไม่ !” คนพูดเอี้ยวตัวแล้วมองสีหราชด้วยสายตาเย้ยหยันระคนสะใจ เสียงสายลมหวีดรอบตัว เกลียวพายุสีดำสนิทหมุนคว้างในมิติวิญญาณ

“ข้าจักให้พวกเจ้าดิ้นเร่า ! ข้าจักให้พวกเจ้าทั้งคู่ทรมาน !”” ประกายตาของจอมขมังเวทขุนศรีวาววับ

“และเจ้า ! สีหราช...ข้าจักให้เจ้าได้ลิ้มรสความตายที่สมบูรณ์ วิญญาณเจ้าจักได้สิ้นใจใต้คมดาบของคนที่เจ้ารัก!”

ร่างนั้นชี้ปลายดาบมาที่เขาและหัวเราะหยามหยัน

“จงขอบใจข้า...ที่ให้โอกาสพวกเจ้าได้ร่ำลากันเป็นคืนสุดท้าย...”

“พรุ่งนี้เมื่อราตรีมณิสูงสุด...จะไม่เหลืออ้ายอินทร์ที่เจ้ารัก...แต่จะเหลือก็เพียงภาชนะแห่งไสยเวทมรณะของข้า ! ”
สิ้นประโยคนั้นก็มีเพียงเสียงหัวเราะก้องไม่รู้จบ



** ราตรีมณิสูงสุด = วันขึ้น 15 ค่ำ หรือวันพระจันทร์เต็มดวงที่ขึ้นสูงสุดบนท้องฟ้าค่ะ ^^

ขอบคุณสำหรับทุกความเห็นและกำลังใจ ข้าชื่อสีหราช เป็นนิยายวายเรื่องแรกของบัตเลอร์ค่ะ นิยายเรื่องนี้มีตอนพิเศษอีก 6 ตอน ในนี้ไม่ได้ลง NC ไว้เพราะจะอยู่ในเล่มนิยายเท่านั้น และเขียนจบหมดแล้วค่า  ^^

ดีใจจังที่มีคนชอบพี่สีห์และน้องอินทร์ ^^
 :mew3:

หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 11/1/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 11-01-2021 23:40:59
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 11/1/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 12-01-2021 00:01:48
วุ่นวายกว่าที่คิดดดด
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 11/1/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 12-01-2021 23:37:24
CHAPTER
29




ยามนี้เมืองอินทร์ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ในสถานที่ตรงหน้ามีเพียงความเวิ้งว้างว่างเปล่า ไอหมอกสีขาวนุ่มและสีดำกำลังเคลื่อนปะทะกันอย่างอ้อยอิ่ง บางคราคล้ายพวกมันดูดกลืนกันและกัน บางคราก็คล้ายว่ากำลังปะทะกัน เมืองอินทร์ได้แต่เขม้นมองฝ่าสายหมอกดังกล่าวอย่างงุนงง อากาศรอบตัวอึดอัด รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นกลางอก เขากระชับดาบในมือไว้แน่นและเพียงครู่เดียวก็ชะงักเมื่อเห็นเงาสีดำร่างหนึ่งค่อย ๆ เคลื่อนมาตรงหน้าอย่างช้า ๆ แต่สายหมอกที่หนาทึบปิดบังผู้ที่ก้าวเข้ามาใหม่คนนั้นไว้

อ้ายสีห์รึ ? ไม่ใช่...เงานั้นไม่คล้ายอ้ายสีห์....

แต่แล้วเจ้าตัวก็ต้องชะงักเบิกตาโพลงเมื่อเห็นใบหน้าที่เคลื่อนออกจากเงาหมอก สายตาเย็นยะเยียบและรอยยิ้มแสยะเย็นชาอยู่ตรงหน้าทำให้เมืองอินทร์รีบกระชากดาบขึ้นทันที ภาพตรงหน้าทำให้มือเขาสั่นระริกก่อนจะตัดสินใจตวัดดาบจ่อร่างตรงหน้าที่ก้าวเข้ามาเรื่อย ๆ แต่ดูเหมือนคนตรงหน้าจะไม่สะดุ้งสะเทือน ร่างนั้นพลันชักดาบออกมาบ้าง...เป็นดาบที่เหมือนกับของเขา และไม่เพียงเท่านั้นเจ้าของร่างนั้นยังสวมเสื้อผ้าอาภรณ์เหมือนของเขาไม่ผิดเพี้ยน

ใช่แล้ว...เจ้าของใบหน้าที่ยืนประจันหน้ากับเขาอยู่ตรงนี้...คือตัวเขาไม่ผิดแน่ !

“เจ้า! เป็นใครกันแน่ !”

เขาชักดาบ ร่างตรงหน้าก็ชักดาบ เขาสืบเท้าซ้าย ร่างนั้นสืบเท้าทางขวาไม่ลดละสักนิด

“ข้าคือเจ้า....และเจ้าก็คือข้า อย่างไรเล่า เมืองอินทร์...”

ตัวตนตรงหน้า...เป็นร่างเขา...ไม่สิ...เหมือนฝาแฝดของเขาไม่มีผิด

เพียงร่างนี้แฝงบางสิ่งที่น่าเกรงขาม เป็นความสง่างามที่เย็นชา ใบหน้าเปื้อนยิ้มแต่ดวงตากลับเย็นยะเยียบชนิดที่ผู้พบเห็นต้องสั่นสะท้าน ไอสังหารชัดเจนและยังมีความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้สันหลังเย็นวาบเป็นระยะอีกด้วย

...งดงามราวเทวทูตแห่งความตาย...

ไอสีดำรุนแรงและพลังลึกลับบางอย่างที่เขาไม่รู้จักกำลังห่อหุ้มร่างนั้น

ดาบคู่กายของเขาที่ปรากฏอยู่ในมือของคนตรงหน้ามีลวดลายทุกอย่างเหมือนกัน จะต่างก็เพียงมีไอดาบที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเลือดสด ๆ ร่างนั้นเอียงคอมองเขายิ้ม ๆ แต่เป็นรอยยิ้มที่เย็นยะเยียบไปถึงหัวใจ

“เจ้าเติบโตมาดีงามเสียจริงนะ ท่านปู่และผู้คนในสำนักพราหมณ์เสียสละเพื่อเจ้ากันมากมาย...”

ปลายนิ้วของร่างแฝดของเขาไล้คมดาบเบา ๆ ราวกับกำลังรื่นรมย์ยิ่งนัก แววตานิ่งสนิทแม้ว่าปลายดาบจะกดเข้าไปตรงปลายนิ้วตนเองแล้ว...

“แต่น่าขัน...เจ้ามดปลวกพวกนั้น...พยายามฝืนชะตาแต่ก็เปล่าประโยชน์”

หยดเลือดที่รินจากปลายนิ้วสร้างดอกกุหลาบสีดำสนิทจากไอวิญญาณขึ้น...พลันนั้นเมื่อกลีบกุหลาบดำร่วงลงกับพื้นก็ปรากฎสุนัขอาคมสีดำสนิทพร้อมเขี้ยวยาวเป็นคืบกว่าที่พร้อมจะกระโจนขย้ำทุกสิ่งตรงหน้า

“ข้าไม่เข้าใจ! ทำไมเจ้าเหมือนกับข้า !”

“หนึ่งร่าง สองจิต เจ้าและข้าต่างเป็นดวงจิตที่เติบโตมาด้วยกัน แต่เพราะอินทร์แขวน ! มันสลักจิตมารและวิญญาณของข้าไว้ !”

สีหน้าของเมืองอินทร์คล้ายช๊อคนิ่งไปแล้ว...มือเผลอคลายดาบในมือลงครู่หนึ่ง สายตาสับสนงุนงงกับสิ่งที่รู้

“จำไม่ได้สินะ...ก็ไม่แปลกที่เจ้าจะจำอะไรไม่ได้ เพราะความทรงจำของเจ้าถูกปิดผนึกไว้ตั้งแต่ 200 ปีที่แล้ว!”

แววตาร่างแฝดตรงหน้าคล้ายเคียดแค้นชิงชัง

"มีแต่เจ้า...ที่ได้โลดแล่นออกไปโลกกว้างอย่างเสรี! แต่ตั้งแต่ครั้งนี้ ทุกอย่างจะต้องเป็นข้า! ข้าจะออกไปสู่โลกบ้าง ข้าจะไม่อยู่ในความมืดมิดนั่นอีกแล้ว!”

ดวงตาร่างตรงหน้าคล้ายวิปริตไปชั่วครู่ จู่ ๆก็หัวเราะ และจู่ ๆ ก็คล้ายร่ำไห้ พลางยกมือสองข้างขึ้นมาแล้วขบเม้มริมฝีปากเบา ๆ 

“ข้าจักย้อมโลกที่โสมมนี้ด้วยเลือด !" ว่าแล้วก็หัวเราะลั่นก่อนจะโผนเข้ามาปะทะอย่างรวดเร็ว

เมืองอินทร์เบิกตากว้างก่อนจะกระชากดาบขึ้นมารับแรงฟันของร่างตรงหน้าทันควัน ดาบคู่ปะทะกันกลางอากาศจนเกิดเสียงลมพัดกรูใหญ่ สายลมหมุนคว้าง...แต่แม้จะพยายามสุดความสามารถก็เป็นเมืองอินทร์ที่ไม่อาจสู้ร่างแปลงตรงหน้าได้ ทั้งความไว ความเหี้ยมเกรียม แต่ละดาบที่ตวัดมานั้นหมายเอาชีวิตทั้งสิ้น ปลายดาบเสือกเข้ามาตรงหน้า เมืองอินทร์เบนเอนกายหลบทันควันแต่ก็ยังไม่แคล้วปลายดาบเฉี่ยวข้างแก้มตนไปได้เลือดซิบ ๆ

“ชะตากรรมคือสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ข้าต้องขอบใจสีหราชของเจ้า เพียงเพื่อให้เจ้าจดจำมันได้ มันกลายเป็นผู้ปลดผนึกของข้าด้วยคาถาต้องห้ามที่ต้องแลกมาด้วยชีวิตอมตะของมัน !”

ประโยคนั้นทำให้เมืองอินทร์ชะงักกึกไปชั่วขณะ แต่นั่นก็เพียงพอสำหรับร่างแฝดตรงหน้า

ร่างที่ใบหน้าคล้ายกับเขาแสยะยิ้มก่อนจะถลาตามเข้ามาพร้อมกับสะบัดมือครั้งหนึ่งพร้อมกับบริกรรมคาถาวูบหนึ่ง หลุมสีดำสนิทพลันผุดขึ้นตรงหน้าแล้วจู่ ๆ ก็ปรากฏมือสีดำบ้างแดงบ้างนับสิบโผล่ออกมาจากความมืดมิดและลากร่างของเมืองอินทร์ที่เสียหลักถลาเข้าไปสู่ช่องว่างอันดำมืดนั้นทันที! 

“สิ่งที่หายไปในความทรงจำของเจ้า ข้าจะเติมให้เต็มเอง เมืองอินทร์!”

“ต่อให้ครานี้เจ้ามีเทพมาช่วย....ก็ไม่อาจพ้นจากชะตากรรมไปได้!”

“จงเบิ่งตาดูชะตากรรมของเจ้า ว่าชีวิตของเจ้ามันแลกมาด้วยเลือดของผู้ใดบ้าง !”

เสียงหัวเราะเย้ยหยันของร่างแฝดดังไล่หลังมา...แต่ก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้อีกแล้ว...

...................................................

“ไม่จริงใช่ไหม พ่อปู่อินทร์แขวน...ลูกข้า...ไม่ใช่เด็กแห่งชะตากรรมอย่างที่คำทำนายใช่หรือไม่” เสียงสตรีสาวสวยผิวผ่องละล่ำละลักคว้าแขนของพ่อปู่อินทร์แขวนในวัยใกล้ 70 ปี ขณะที่ไอ้แผนผู้เป็นพ่อของเด็กน้อยวัย 5 ขวบรีบดึงตัวเมียรักมากอดไว้แนบอก ชายชราในชุดขาวที่นั่งนิ่งราวกับหินตรงหน้าได้แต่นิ่งงันปล่อยให้น้ำตาหยดลงมาตามร่องแก้มที่ย่นยับตามวัย เนิ่นนานกว่าจะเอ่ยออกมา

“ข้าเสียใจ...ไม่มีทางอื่นแล้วแม่บัว เมืองอินทร์...เป็นเด็กแห่งคำทำนายจริง ๆ เด็กที่ตระกูลเราหวาดหวั่นมาตลอดร้อยปี”

ตรงหน้าบุคคลทั้งสาม เป็นเสื่อกกผืนใหญ่ที่มีไอสีดำสนิทลอยวนเวียนอยู่รอบเด็กผู้ชายวัย 5 ขวบ ปะทะกับไอสีขาวบริสุทธิ์ที่คลุ้งลอยอยู่ตรงหน้าเช่นกัน เด็กน้อยในชุดสีขาวสะอาดตายังคงหลับสนิทด้วยมนตร์สะกด ไอทิพย์และไอมารต่างผลัดกันวนเวียนรอบกายเด็กน้อยตรงหน้า รอบตัวของเด็กมีสายสิญจน์สีขาวขึงไว้โดยรอบพร้อมกับพระพุทธรูปปางมารวิชัยในซุ้มเรือนแก้วตั้งอยู่เหนือศีรษะเด็กน้อย หน้าประตูเรือนไม้ไผ่แห่งนั้นมีผู้คนหลายสิบคนที่รุมล้อมจ้องมองร่างบนเสื่อกกดังกล่าว

“หมู่บ้านประชุมกันแล้ว...เราเก็บอ้ายอินทร์ไว้ไม่ได้ เพราะยากจะรู้ว่าในอนาตตดวงจิตของมันจักเป็นผู้ทำลายล้าง...หรือจะเป็นผู้คุ้มครอง ทางเดียวคือต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม แม่บัว ไอ้แผน เชื่อข้าเถิด ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว...”

เสียงปู่อินทร์แขวนสั่นเครือเพราะสงสารหลานชายคนแรกจับใจ

“ข้าไม่ยอม ! ลูกข้า...อ้ายอินทร์เป็นเด็กดีมันไม่เคยทำบาปกรรมแม้สักน้อย...มันจะกลายเป็นจอมคาถามนตร์ดำได้อย่างไรกัน ข้าไม่เชื่อ !” เสียงแม่บัวกรีดร้องและกางแขนกั้นผู้คนให้ออกจากลูกน้อย

“พ่อ...ข้าขอร้องล่ะ ข้าจะออกจากหมู่บ้านจักพาอีบัวแลอ้ายอินทร์ออกไปให้ไกล...ไม่ให้มันอยู่ใกล้ตำราคาถาเลย ข้าขอร้อง...ขอโอกาสรอดให้ลูกข้าเถิด อย่าฆ่ามันเลย มันเด็กนัก” เสียงไอ้แผน ผู้เป็นพ่อสั่นเครือแล้วคุกเข่าลงแล้วกอดร่างเมียรักไว้แน่น

“อ้ายแผน ลูกเจ้ามันเกิดเสาร์ ๕ แรม ๕ ค่ำ เดือน ๕ แลยังเป็นยาม ๕ อีกด้วย พระอาทิตย์ทรงกลดในวันนั้น ผู้คนในหมู่บ้านก็กริ่งเกรงกันแล้วว่าจักเป็นจอมอาคม ข้าก็เฝ้าหวังว่ามันจะเป็นจอมขมังเวทสายขาวคนต่อไป แต่ใครจะรู้เมื่อวันนี้มันได้ 5 ขวบ ไอเวทสายดำปรากฏขึ้นบนตัวมัน แล้วเจ้าจักให้ข้าทำอย่างไร เมื่อเจ้าก็รู้ดีว่า เชื้อสายของหมู่บ้านเราล้วนแต่สืบทอดและเกิดมาเพื่อเป็นจอมขมังเวทสายขาวทั้งสิ้น” ชายชราตรงหน้าพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

 “คำทำนายที่ผู้เฒ่าผู้แก่บอกต่อ ๆ กันมานั้นเตือนไว้ว่า ในหมู่บ้านเราจักมีเด็กแห่งชะตากรรมที่อาจจะผลักโลกให้เข้าสู่ยุคไสยเวทและการทำลายล้าง เด็กชายที่ไม่อาจรู้ว่าจะเป็นมหาจอมเวทหรือจอมทำลายล้าง ข้าเองก็ไม่อยากให้ชะตากรรมเยี่ยงนี้เกิดกับหลานชายของข้า!” ปู่อินทร์แขวนตะโกนทั้งน้ำตา

กลางดึกคืนนั้น อ้ายแผนและแม่บัวคว้าห่อย่ามและแอบอุ้มเมืองอินทร์ที่หลับใหลออกจากเรือนกลางของหมู่บ้านอย่างเงียบเชียบ แต่เพียงไม่นาน เมื่อพ้นเขตอาคมของหมู่บ้านได้ไม่นาน เสียงหวีดร้องก็ดังลั่นที่ชายป่าทำให้เหล่าชายฉกรรจ์ของหมู่บ้านกรูกันออกไปตามเสียงหวีดร้องนั้น

ภาพตรงหน้าทำให้ผู้คนที่เห็นเบือนหน้าหนีด้วยความสยดสยอง ชิ้นส่วนร่างของสตรีผู้เป็นมารดาคล้ายถูกสัตว์ร้ายฉีกกินจนขาดวิ่น ส่วนผู้เป็นบิดานอนร้องครวญครางพร้อมกับอวัยวะที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นดินเลอะ ๆ ราตรีที่เคยหอมกลิ่นดอกราตรีกลับอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง อินทร์แขวนวิ่งกรูตามเข้ามาก่อนจะเข่าอ่อนทรุดฮวบลงเมื่อเห็นภาพตรงหน้า

ร่างเล็ก ๆ ที่ลอยในอากาศมีดวงตาสีแดงก่ำราวกับทับทิมเนื้อดี แววตาที่ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นมนุษย์ ไอสีดำกรุ่นลอยม้วนตัวอยู่กลางอากาศ เสื้อผ้าสีขาวสะอาดของเด็กน้อยเมื่อครู่ถูกย้อมไปด้วยสีแดงของโลหิต เจ้าตัวกำลังเลียนิ้วมือทั้งสองข้างอย่างช้า ๆ ราวกับกำลังพอใจเป็นอย่างยิ่ง!

นั่น...ไม่ใช่เด็กน้อยเมืองอินทร์อีกแล้ว...แต่เป็นวิญญาณที่ถูกพลังไสยเวทด้านมืดเข้าครอบงำ!

“มน อุจฺฉินฺท ! (ขจัดดวงจิต)” เสียงตะโกนคาถาของเหล่าชายฉกรรจ์นับสิบที่กรูกันเข้ามาพร้อมกับกำกับจิตพร้อมกัน

“คิดจะตรึงร่างข้าไว้...เร็วไปร้อยปี !” เสียงจากร่างเมืองอินทร์เหี้ยมเกรียมราวมิใช่เด็กน้อย

“ปล่อยอ้ายอินทร์เสีย อ้ายผีร้าย!” ปู่อินทร์แขวนตวาดดังขึ้นก่อนจะคว้าข้าวสารบริกรรมเวทซัดตรงไปยังร่างที่ลอยอยู่ในอากาศ

“เปล่าประโยชน์ ! แม้ร่างนี้มีวิญญาณทั้งดีและชั่ว...แต่ข้าจักเอาดวงจิตมันย้อมด้วยเลือดจนดำสนิท...” เสียงประหลาดจากร่างเด็กน้อยดังขึ้นท่ามกลางการตกตะลึงของทุกคนตรงหน้า แต่แล้วเหตุการณ์ก็พลิกผันเมื่อมีเงาดำสายหนึ่งกระโจนกอดร่างเล็ก ๆ ในอากาศก่อนจะตะโกน

“ทุกคน ! มัดร่างข้าไว้เร็ว!” เป็นอ้ายแผนที่ใช้พลังเฮือกสุดท้ายรั้งร่างลูกชายคนเดียวลงมาในที่สุด

เจ้าตัวฝืนกอดร่างเด็กน้อยจากด้านหลัง อาคมบริกรรมจากผู้เป็นพ่อดังรัวเร็ว แต่ไหนเลยจะรั้งไอแห่งไสยเวทมืดได้

“ดื้อด้าน !” สิ้นคำนั้นของเด็กน้อย อ้ายแผนก็ตาเหลือกค้างเมื่อหนังสัตว์ไม่รู้ที่มาพุ่งเสียบทะลุออกจากร่างของมัน หนังสัตว์สีดำพร้อมกลิ่นโสโครกคละคลุ้งน่าอาเจียนทะลุร่างของผู้เป็นพ่อออกมาเป็นที่สยดสยอง จนร่างนั้นกระตุกระริกแล้วคลายมือลง แต่จังหวะนั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนโยนสายสิญจน์อาคมสีขาวพร้อมกับกล่าวอาราธนาพระพุทธคุณ บทอิติปิโสดังขึ้นพร้อมเพรียงกัน เสียงสาธยายมนตร์ทำให้ร่างนั้นดิ้นเป็นพัลวันแต่ก็ไม่หลุดจากวงล้อมสายสิญจน์ไปได้ เชือกสายสิญจน์ที่เพิ่มขึ้นเป็นสิบ ๆ พร้อมเสียงบริกรรมจากเหล่าจอมเวทสายขาวจำนวนมากรั้งร่างนั้นไว้จนค่อย ๆ เอนร่วงลงสู่ดินในที่สุด เลือดที่เลอะมือทั้งสองข้างของเด็กน้อยไหลหยดเป็นทางยาว

“วันใดที่ข้าหลุดไปได้...ข้าจักย้อมโลกใบนี้ให้เป็นฝันร้ายของมนุษย์ !” ประโยคสุดท้ายก่อนที่ดวงตาสีแดงจัดจะหรู่หรุบลง

ร่างเล็ก ๆ ที่หลับด้วยอาคมถูกพันด้วยสายสิญจน์จนแน่นและโยงไว้กับพระประธานในพระอุโบสถของหมู่บ้าน

มีดหมออาคมถูกอินทร์แขวน ผู้อาวุโสของหมู่บ้านเงื้อง่าอยู่พร้อมกับคำบริกรรมคาถา แต่จนแล้วจนรอดเจ้าตัวก็ไม่อาจหักใจปักมีดนั่นลงกลางอกของเด็กน้อยไร้เดียงสาได้ ท่ามกลางเสียงร้องไห้ของผู้คน ร่างของบุตรชายและสะใภ้ถูกวางบนกองฟอนเตรียมจัดพิธีเผา อินทร์แขวนเหลียวมองไปทางร่างไร้วิญญาณทั้งสอง ก่อนจะทรุดฮวบลงกับพื้นแล้วกอดร่างของหลานชายคนเดียวไว้ทั้งน้ำตา

“...ข้า....ข้าทำไม่ได้จริง ๆ” เสียงสั่นเครือของปู่อินทร์แขวนดังขึ้นกลางวงเหล่าจอมเวทอาคมของหมู่บ้านพราหมณ์

“ต้องสังหารเด็กนี่เท่านั้น ท่านปู่...มันไม่มีทางอื่นอีกแล้ว ท่านก็เห็นว่าแม้อายุ 5 ขวบ แต่วิญญาณนั้นกล้าแกร่งยิ่งนักหากปล่อยไว้นานไป เราอาจจะต้านไม่อยู่ก็ได้ แล้วเราจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่ ท่านคิดว่าจะรับผิดชอบบาปกรรมที่อาจจะเกิดขึ้นได้หรือ” เสียงรองผู้นำหมู่บ้านตะโกนขึ้น

“อาจ...อาจจะเท่านั้น เมืองอินทร์ยังมีสองวิญญาณในนี้ อีกวิญญาณบริสุทธิ์และสะอาด...” อินทร์แขวนแย้งเบา ๆ แล้วพูดต่อ

“ลูกชายข้า...สะใภ้ข้า ยอมสละชีวิตเพื่อเสี่ยงกับอ้ายอินทร์ ข้าขอวิงวอนพวกเจ้า...ยังพอมีทางออก”

อินทร์แขวนกลั้นใจอยู่พักใหญ่ก่อนจะเอ่ยขึ้น

“ข้าจักใช้อาคมสลักวิญญาณ !” ประโยคนั้นทำให้ทุกคนในหมู่บ้านตื่นตะลึง

“ท่านปู่ ! เดิมพันครั้งนี้ท่านจะแลกมันด้วยสิ่งใด ท่านรู้ดีว่านั่นคืออาคมต้องห้ามของหมู่บ้านเรา !” ประโยคนั้นทำให้ดวงตาฝ้าฟางหรุบลงแต่วูบเดียวก็ตัดสินใจแน่วแน่

“ข้ารู้ดี...อาคมนี้ต้องแลกมาด้วยสิ่งใด...แต่ข้าขอเพียงโอกาสให้หลานข้ารอด !”

....................................................

ศิลาหินสีแดงถูกก่อขึ้นอย่างเร่งด่วน ผู้คนในหมู่บ้านทุ่มเถียงกันลั่น ร่างของเด็กน้อยที่มัดด้วยด้ายสายสิญจน์และติดยันต์อาคมกลางอกยังคงหลับสนิท มือสองข้างยังคงเลอะเลือดของผู้เป็นมารดา สายตาของอินทร์แขวนมองผู้เป็นหลานชายคนเดียวอย่างปวดร้าว ทันทีที่ร่างเมืองอินทร์ถูกนำเข้าไปในห้องศิลา อาคมที่ติดอยู่ริมผนังศิลาเรืองวาวกลางความมืด เหลือเพียงช่องว่างเล็ก ๆ พอให้อากาศลอดออกมาได้เท่านั้น สายสิญจน์อาคมค่อย ๆ เลือนลงพร้อมกับประตูศิลาที่เคลื่อนปิด ดวงตาสีแดงจัดพลันวาวโรจน์ เด็กวัย 5 ขวบหัวเราะเสียงแหลมก้องไปทั่วศิลา

“ข้าจะผนึกความทรงจำและสะกดพลังเวทสายดำไว้ของเมืองอินทร์ไว้ ข้าขอพวกท่านเพียงเท่านี้ ถือว่าเป็นคำขอสุดท้ายของข้า หัวหน้าหมู่บ้านพราหมณ์แห่งนี้เถิดนะ...”

อินทร์แขวนเอ่ยเบา ๆ และมองเหล่าจอมขมังเวทรุ่นหลังที่เขาเป็นครูฝึกขึ้นมาทั้งหมด สีหน้าทุกคนตรงหน้ากระอักกระอ่วนคล้ายกับไม่เต็มใจนัก แต่ก็ไม่อาจขัดคำขอร้องสุดท้ายของผู้เป็นทั้งอาจารย์และหัวหน้าหมู่บ้านได้

“หลังข้าทำพิธีกรรมแล้วให้พวกเจ้าปิดประตูศิลาแห่งนี้ไว้ 3 ราตรี จากนั้นก่อนแสงอาทิตย์แรกขึ้น พวกเจ้าจงอุ้มอ้ายอินทร์ที่หลับอยู่ไปรอที่เชิงป่านอกหมู่บ้าน...” อินทร์แขวนเอ่ยเบา ๆ

“แล้วอ้ายอินทร์มันจะจำหมู่บ้านและกลับมาหรือไม่เล่าท่านปู่...หากมันจดจำเรื่องราวได้” อีกคนถามขึ้น

“ไม่ต้องห่วง ข้าจักสร้างความทรงจำอื่นให้มันเอง อ้ายอินทร์จักอยู่กับความทรงจำที่เกลียดชังพ่อแม่ตนจนไม่คิดหวนคืนหมู่บ้านแห่งนี้อีกเลย” แววตาคนเป็นปู่หม่นเศร้า

“แต่ยังต้องอาศัยสัจจาธิษฐานในการผนึกความทรงจำด้วย แล้วท่านจักใช้สิ่งใดเป็นสัจจาธิษฐานของหลานชายท่านเล่าอินทร์แขวน”

“สิ่งที่ไม่อาจมีบุรุษผู้ใดทำได้..."

"สลักอาคมของข้านั้นจักคงอยู่ไปชั่วกาล หากเมืองอินทร์มีรักกับสตรีแต่งงานแลออกเรือนหรือออกบวช !" สีหน้าของอินทร์แขวนมั่นใจ

“หมายความว่า สลักอาคมนี้จะไม่หลุดหากมันมีรักแท้กับสตรี...แต่หากมันเกิดรักแท้กับบุรุษเล่า...” อีกคนหนึ่งโพล่งขึ้นมา

“เรื่องอย่างนั้นไม่มีวันเกิดขึ้น ! ข้าไม่เชื่อว่าจะมีรักแท้ระหว่างบุรุษแลบุรุษด้วยกัน ตราบเท่าที่สองคนไม่มีสัมพันธ์ทางกายที่ลึกซึ้งและไม่ใช่รักแท้...สลักอาคมนี้จักไม่มีวันหลุดเป็นอันขาด !” อินทร์แขวนหันไปตวาดใส่เหล่าจอมเวทที่ตั้งคำถามนั้น ก่อนจะเหลียวมองร่างหลานชายที่นอนนิ่งอยู่ตรงหน้าอย่างอาวรณ์

ขอเพียงสลักอาคมไม่หลุด...ดวงจิตไสยมืดก็จะถูกปิดผนึกไปตลอดกาล

เสียงบริกรรมคาถาอาคมต้องห้ามดังก้องในห้องศิลานั่นเมื่ออินทร์แขวนและเมืองอินทร์อยู่ในห้องเดียวกัน ร่างทั้งสองห่างกันเพียงช่องลมที่กั้นกลางเท่านั้น เสียงตะกุยตะกายผนังศิลาจากด้านเมืองอินทร์ดังตลอด 3 ราตรี เทียนขาวที่จุดรายล้อมห้องศิลาสว่างโรจน์ไม่ดับเลยแม้จะมีเสียงคล้ายลมพายุกระโชกโดยรอบ ผู้คนที่ไม่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมต่างหลบอยู่แต่ในเรือนของตนเท่านั้น สายสิญจน์อาคมถูกจูงโยงจากห้องศิลาออกมายังลานโล่งกลางหมู่บ้าน พระพุทธรูปองค์ประธานของหมู่บ้านพราหมณ์ถูกอัญเชิญออกมาอยู่ตรงหน้า พระหัตถ์ถูกคล้องด้วยสายสิญจน์อาคมจำนวนมากและดึงโยงมาคลุมห้องศิลาไว้ทุกด้าน จนกระทั่งเสียงตะกุยผนังเงียบลงเมื่อย่างเข้ารุ่งสางของวันที่สาม เทียนอาคมพลันดับลงพร้อมกับเสียงตะกุยตะกายผนังศิลาที่เงียบกริบ ท้องฟ้าค่อย ๆ เรืองรองด้วยแสงอาทิตย์ทีละน้อย ๆ พลันนั้นประตูห้องศิลาเปิดออกพร้อมกับร่างเด็กน้อยเมืองอินทร์ที่หลับสนิท

“ท่านอินทร์แขวนหายไปไหน ?” เด็กหนุ่มสองสามคนที่ถูกมอบหมายภารกิจ ก้าวเข้ามาก่อนจะเหลียวมองไปรอบห้องศิลาอย่างงุนงง แต่ก็โดนอีกคนหนาบเข้าให้ทันควัน

“ท่านคงออกไปเตรียมแล้วการล่ะ เอ็งรีบอุ้มอ้ายอินทร์ออกมาก่อนดีกว่า ประเดี๋ยวต้องผลัดเปลี่ยนเสื้อให้มันด้วย”

เด็กน้อยถูกเด็กหนุ่มสองสามคนช่วยกันอุ้มออกมาเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ จากนั้นรองผู้ใหญ่บ้านก็อุ้มร่างเล็ก ๆ เดินออกมาจากแนวอาคมของหมู่บ้านและอิงร่างเล็ก ๆ นั้นกับเสาไม้ แสงอาทิตย์แรกที่เริ่มสาดส่องเข้ามาทำให้ภาพตรงหน้าคล้ายเด็กน้อยในชุดขาวที่หลับสนิท ขนตายาวเป็นแพและดวงหน้าหวานของเด็กน้อยเมืองอินทร์ทำให้หลายคนที่เดินมาส่งหน้าหมู่บ้านถึงกับน้ำตารื้นอย่างอาลัย จากนั้นเพียงครู่เดียวก่อนที่ใครจะทันสังเกต ปู่อินทร์แขวนในชุดขาวก็ก้าวตรงเข้ามาแล้วช้อนร่างเด็กน้อยไว้ในอ้อมแขนอย่างแผ่วเบา แล้วหันมายิ้มให้เหล่าจอมขมังเวทของหมู่บ้านที่เดินมาส่งตรงหน้า ริมฝีปากเหี่ยวย่นขมุบขมิบเบา ๆ พออ่านได้ว่าขอบใจ แล้วร่างนั้นก็หันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวทั้งสองก็หายไปจากคลองจักษุของทุกคนตรงนั้น

ทางด้านผู้คนในหมู่บ้านพราหมณ์ เด็กสาวแรกรุ่นสองคนก้าวเข้าไปในห้องศิลาหมายจะเก็บกวาดแลทำความสะอาดส่วนที่เหลือ พลันชะงักเท้าก่อนจะกรีดร้องแล้วหันหลังวิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว

“ช่วยด้วย ! ใครก็ได้มาดูที...ทะ...ท่านอินทร์แขวน ท่านอินทร์แขวนสิ้นแล้ว ! ”

ร่างผู้อาวุโสของหมู่บ้านเอนกายน้อย ๆ พิงผนังศิลาดังกล่าวไว้ค้างอยู่ในท่าขัดสมาธิ ผิวหนังเริ่มเย็นชืด ใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือดหากแต่มีรอยยิ้มอย่างเป็นสุขแต้มอยู่บนริมฝีปาก

รอยยิ้มที่บอกชัดว่าเจ้าตัวยินดีสละแลกเพื่อหนึ่งชีวิตจะได้รอด

พลันนั้นเหมือนภาพตรงหน้าบิดเบี้ยวทันควัน เหมือนมีบางสิ่งที่กระชากให้ดวงจิตของเมืองอินทร์ถลาตามแสงสว่างที่เจิดจ้า แรงดึงรั้งสีนวลตาทำให้เมืองอินทร์ถูกจากอดีตให้คืนกลับร่างปัจจุบัน...

สัมผัสดินที่เปียกชื้นจากละอองฝนพรำยามนี้บอกว่า เขายังคงนอนนิ่งอยู่หน้าพระวิหารหลังเดิม...แต่ไร้เรี่ยวแรงจะขยับตัว สิ่งที่ชัดเจนแน่นอนแล้วยามนี้คือ

...ไอวิญญาณสีดำสนิทในความฝัน บัดนี้ลอยอวลอ้อยอิ่งอยู่รอบกายเขาราวกับเป็นส่วนหนึ่งของวิญญาณ...

จิตมาร...ที่เคยถูกผนึกจองจำไว้...ยามนี้หลุดออกมาเสียแล้ว

...................................
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 12/1/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: Wansusu ที่ 13-01-2021 01:28:59
น้องต้องเข็มแข็งนะ ลุ้นกัดฟันแล้ววว
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 12/1/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 13-01-2021 22:40:51
ตอนแรกแค่เห็นชื่อเรื่องสะดุดตา พอได้อ่านเท่านั้นแหละ อ่านรวดเดียวยาว ลุ้นเป็นกำลังใจให้ทั้งสองเลย
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 12/1/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 14-01-2021 00:49:31
อดทนน้า ต้องขจัดมันออกได้
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 12/1/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 16-01-2021 18:04:50
CHAPTER
30




ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด จนกระทั่งเสียงร้อนรนกระวนกระวายดังขึ้นข้างกาย

“อ้ายอินทร์ ! เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ตื่นเถอะ ตื่นเร็ว !”

สีหราชกอดเมืองอินทร์ที่หมดสติอยู่กับพื้นพระวิหารไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะอุ้มพารร่างที่ไร้เรี่ยวแรงออกมาด้านนอก พร้อมร่ายคาถาเพลิงสร้างโดมมิติวิญญาณขึ้นมาอีกครั้ง สีหราชสะบัดมือวูบเดียว ก็ปรากฎเรือนจำลองที่ละม้ายคล้ายสำนักดาบขึ้นมาตรงหน้า สีหราชรีบช้อนร่างเล็ก ๆ ขึ้นวางบนตั่งไม้ตรงหน้า

แม้ว่าสีหราชจะบาดเจ็บจากการปะทะกับขุนศรีมาก็ตาม แขนเสื้อเจ้าตัวที่ชุ่มโชกด้วยเลือดจากการปะทะยังคงไหลริน แต่เจ้าตัวไม่ใส่ใจ ดวงตาคมคร้ามจ้องนิ่งมาที่ร่างที่เกร็งดิ้นอยู่กับตั่งไม้อย่างเคร่งเครียด อาคมยมทูตสำหรับฟื้นคืนพลังถูกแบ่งออกมารักษาดวงจิตของเมืองอินทร์ แสงสีทองอ่อน ๆ ละมุนตาค่อย ๆ ไหลเวียนเข้าไปในร่างที่กระสับกระส่ายนั้นจนทำให้เมืองอินทร์ค่อย ๆ สงบลงอย่างช้า ๆ

ในยามนี้ไอไสยเวทสีดำที่ลอยอวลวนรอบกายเมืองอินทร์ค่อย ๆ จางลงทีละนิด เมื่อสีหราชร่ายอาคมสะกดไว้ เมืองอินทร์ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ ก่อนจะโผขึ้นมาขยำเสื้อของคนตรงหน้าแน่นแล้วซุกหน้ากับแผ่นอกกว้างตรงหน้า

...หัวใจกำลังแหลกละเอียดกับความจริงที่ไม่เคยรู้...

“ไม่จริงใช่ไหม...อ้ายสีห์...ข้าไม่เชื่อ ข้าไม่ได้ฆ่าพ่อแม่...ไม่จริง” เสียงสั่นพร่าปนสะอื้น คราบน้ำตาเปื้อนเต็มหน้า มีเพียงสีหราชที่ถอนหายใจช้า ๆ มือหนาค่อย ๆ ลูบปลอบประโลมแผ่นหลังของคนที่สะอื้นจนตัวโยน ท่อนแขนของสีหราชรั้งร่างที่งอกายคู้ลงอย่างหมดเรี่ยวแรงไว้แนบอก

ข้าแต่สวรรค์...ท่านจะทำร้ายหัวใจของเมืองอินทร์ไปถึงไหนกัน ! 

ความทรงจำเก่าที่ว่าพ่อของเมืองอินทร์ติดการพนันและปู่อินทร์แขวนนำเมืองอินทร์มาฝากเป็นทาสสินไถ่ที่เรือนนี้ยังจะดีกว่าความจริงที่ว่าเขาเป็นคนสังหารพ่อแม่แท้ ๆ ของตัวเองเมื่ออายุได้เพียง 5 ขวบ

ความทรงจำลวงที่ว่าร้ายแล้ว ...ยังไม่ถึงเศษเสี้ยวของความจริงที่โหดร้ายสักนิด !

คนตรงหน้ายังคงซุกกายกับอกของสีหราช ไหล่เล็ก ๆ สั่นสะท้านอย่างหยุดไม่ได้

“ไม่...ไม่ใช่ มันไม่ใช่ความผิดของเจ้าเลย เมืองอินทร์” สีหราชเอ่ยพร้อมกับน้ำตาคลอแล้วกอดร่างตรงหน้าแน่นขึ้น

ขณะที่เมืองอินทร์ยังจำภาพในความฝันได้ ....ภาพเงาสีดำสนิทที่แสยะยิ้มอยู่ในความฝัน จิตมาร...อีกครึ่งหนึ่งของตัวเขาที่ถูกปลดผนึกออกมาแล้ว สายตาที่บ้าคลั่งพร้อมจะย้อมโลกใบนี้ให้มอดไหม้...สายตาที่ทำให้เมืองอินทร์สั่นไปทั้งตัว

...พลังเวทสายดำ...หนึ่งในคัมภีร์อาถรรพเวท ช่างรุนแรงอะไรขนาดนั้น

หากเขาต้านทานจิตมารไม่ได้ หรือเมื่อร่างกายนี้ตกไปอยู่ในมือของจิตมาร...

โลกทั้งใบจะมิกลายเป็นสุสานของมนุษย์หรอกหรือ !

“ชู่ว....นิ่งเสียเจ้าตัวเล็ก....ฟังข้านะ อ้ายอินทร์ คนอย่างเจ้า ไม่มีวันทำร้ายใคร ข้าเชื่อเจ้าด้วยหัวใจข้าเอง” มือหนาของสีหราชกระชับร่างในอ้อมแขนแน่นขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะจับบ่าทั้งสองข้างแล้วจ้องดวงตาที่แดงก่ำตรงหน้า

...อย่าร้องไห้...เจ้าตัวเล็กของข้า เสียงสะอื้นไห้แบบนี้มันกรีดหัวใจข้า...

“สังหารข้าเถอะอ้ายสีห์ ข้าควรตายไปตั้งแต่ 200 ปีที่แล้ว ข้าไม่อยากทำร้ายท่าน หรือใคร ๆ อีกแล้ว”

มือเรียวของเมืองอินทร์เอื้อมแตะแผลที่แขนของสีหราช สัมผัสที่กดลงบนท่อนแขนทำให้สีหราชเผลอนิ่วหน้าด้วยความเจ็บก่อนจะรีบฝืนทำเป็นไม่รู้สึก

“เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าไม่เป็นอะไรหรอก เดี๋ยวแผลข้าก็หาย...”

“แผลท่านจะไม่หาย และท่านไม่ได้เป็นอมตะเช่นเดิม...” ประโยคเรียบ ๆ ของเมืองอินทร์เอ่ยทั้งน้ำตา

“ตัวข้าอีกคนบอกแล้วว่า ท่านสละทุกสิ่งและตบะเดชะตนเองเพื่อข้า..แต่มันกลับปลดสลักวิญญาณนั่นออกมาด้วย”

ประโยคตรงไปตรงมาทำให้ดวงตาคมคล้ายระริกไหวขึ้นมาวูบหนึ่ง เท่านั้นเพียงพอแล้วสำหรับความจริง

“เหตุนี้ใช่ไหม ท่านถึงอาศัยอัคนิการ์เทวีช่วยรักษาแผลให้ท่านทุกครั้งที่เกิดจากการซ้อมดาบกับข้า”

สีหราชนิ่งงันไม่กล่าวสิ่งใดอีกนอกจากกดจูบที่หน้าผากอย่างแสนรัก

“เลิกคุยเรื่องนี้ได้แล้ว....ข้าไม่เป็นไรดอกเจ้าตัวเล็ก...”

“ทำไมท่านต้องรักข้า ทำไมต้องห่วงใยข้า ทั้งที่ข้าทำร้ายท่าน!”

เมืองอินทร์พยายามดันร่างที่กอดเขาไว้ให้ออกห่าง แต่สีหราชก็ขืนร่างเอาไว้และกอดแน่นขึ้นกว่าเดิม

“ชู่ว...อย่าผลักไสข้า...เมืองอินทร์...ข้าอยู่นี่...ข้าอยู่นี่แล้ว”

เสียงสะอื้นคล้ายจะคลายลง ทำให้สีหราชคลายวงแขนออก ร่างตรงหน้าเปื้อนคราบน้ำตาสายตาเหม่อลอย

....เด็กแห่งชะตากรรมอย่างข้าไม่ควรเกิดมาเลย...

...ข้าสังหารพ่อแม่ตนเองตั้งแต่ 5 ขวบ...

เมืองอินทร์มองดูมือทั้งสองข้างของตนเองก็คล้ายอุปาทานว่าเห็นแต่เลือดเต็มฝ่ามือไปหมด

...มือนี้ที่ข้าใช้สังหารพ่อแม่...

เจ้าตัวหลับตาก่อนจะหันไปคว้าดาบข้างกายกระชากออกหมายจะฟันข้อมือตนเอง แต่แล้วทันใดนั้นก็ต้องตะลึงเมื่อสีหราชกระชากร่างเขาเข้าแนบชิด

“ถ้าเจ้าไม่หยุดคิดทำร้ายตัวเอง ข้าจะจูบเจ้าเดี๋ยวนี้”

พูดไม่พูดเปล่าเจ้าตัวยังสาธิตให้ดูอีกด้วย ริมฝีปากหนากดประทับปิดเสียงอู้อี้ราวกับจะครางประท้วง ความร้อนผ่าวที่บดเบียดลงมาและไออุ่นจากอกกว้างของร่างตรงหน้าราวกับจะปลอบประโลมหัวใจ

รสจูบที่คล้ายกับพระเพลิงร้อนผ่าวที่กลืนทุกสิ่งและมอมเมาให้เขาไขว้เขวไปจากความเศร้าเสียใจตรงหน้า

ดาบ...พลันร่วงลงจากมือ...

ดวงตาคมคร้ามจ้องมาตรงหน้าก่อนจะกดจูบอีกครั้งอย่างแสนรัก

ครานี้ริมฝีปากอุ่นคล้ายละเลียดชิมขบเม้มผะแผ่วอ่อนโยน แววตาคมคร้ามจดจ้องริมฝีปากนุ่มก่อนจะอ้อยอิ่งวนเวียนกลืนกินกลีบปากนุ่มของเขา สายตาที่มองมามีแต่ความหวานฉ่ำจนเมืองอินทร์ต้องเป็นฝ่ายหลบตา แต่เจ้าตัวก็ยังเชยคางเขาไว้แล้วจ้องตานิ่ง ๆ อย่างนั้น

“มองตาข้า...อ้ายอินทร์”

น่าแปลกที่แม้เป็นการจ้องตา...แต่กลับทำให้หัวใจอุ่นจัดขึ้นได้จริง ๆ

สายตาคนตรงหน้าบอกทุกอย่างได้ดีกว่าคำพูดเสียอีก...

“ต่อให้ใครจะพูดว่าเจ้าจะเป็นปีศาจร้าย เป็นภาชนะแห่งไสยเวท ข้าไม่ฟังทั้งนั้น...ข้าเชื่อหัวใจของเจ้า”

“เมืองอินทร์...จะมีปีศาจตนใดจะปรารถนาให้ตนเองตายเพื่อผู้อื่นได้รอดพ้นกันบ้าง”

มืออุ่นของสีหราชไล้ตามวงหน้าอย่างเบามือก่อนจะกดร่างนั้นแนบหัวใจของเขา เสียงสะอื้น...เบาลงทีละน้อย

เมืองอินทร์เงยหน้ามองสีหราช

...หากหัวใจแตกสลายเพราะความจริง...ก็เป็นคนตรงหน้าที่กอบเอาหัวใจที่แตกสลายของเขาขึ้นมา...

...ข้ารักท่านหมดหัวใจ...สีหราช...ขอบคุณที่อยู่เคียงข้างข้า....

คนตรงหน้าค่อย ๆ ปาดน้ำตาที่หยดเผาะ ๆ ของเขาอย่างช้า ๆ แล้วโน้มกายลงจูบซับผิวแก้มที่เลอะคราบน้ำตา

“เมืองอินทร์...เจ้ามีข้า...อยู่กับข้า เป็นทุกสิ่งของข้า อย่าหนีข้าไปไหน”

จูบที่เริ่มต้นจากความอ่อนโยนแผ่ว ๆ ยามนี้กลับร้อนแรงขึ้นอย่างไม่มีใครยอมใคร...

ไม่รู้แล้วว่าเป็นเขาหรือสีหราชที่มึนเมาในรสจูบ เพราะอาภรณ์ของทั้งคู่ค่อย ๆ เลื่อนหลุดลงกองกับพื้นทีละชิ้น ราวกับเสื้อผ้าเหล่านั้นเป็นไฟที่ต้องสลัดออกไป ความหวานหวามโหมกระหน่ำคนทั้งคู่

ให้ตายเถอะ ! ตอนนี้อ้ายสีห์เหมือนจะมีสักสิบมือในคนเดียว หรือว่าเขากำลังตาลายกันแน่

จู่ ๆ แผ่นหลังเมืองอินทร์ก็สัมผัสตั่งนุ่ม ก่อนที่ร่างหนาของสีหราชจะทาบทับตามลงมา ปลายนิ้วเมืองอินทร์ไล้สัมผัสแผ่นหลังแข็งแรงของคนตรงหน้า เสียงหายใจแรงของสีหราชและใบหน้าที่เริ่มแดงนิด ๆ ของสีหราชกับสายตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนาล้นเอ่อ ปลายนิ้วไล้เลื่อนลงก่อนจะเผลอแตะท่อนแขนที่มีแผลของสีหราช เลือดเหมือนจะหยุดแล้ว เมืองอินทร์กดแตะสำรวจท่อนแขนยมทูตหนุ่มเบา ๆ

“อ้ายสีห์...เจ้ายังเจ็บแขนอยู่เลย...”

สีหราชนิ่วหน้านิดหน่อยเหลียวมองท่อนแขนตนเองก่อนจะหันกลับแล้วรั้งเอวเมืองอินทร์เข้าแนบชิด และเป็นเขาที่หน้าแดงก่ำเมื่อช่วงล่างสัมผัสประชิดติดหน้าท้องแกร่งของคนตรงหน้า กล้ามเนื้อได้รูปสวยและวีไลน์ของคนตรงหน้าแข็งและหนั่นแน่นแข็งแรง 

“เจ็บแขน...แต่ก็ทำอย่างอื่นได้นะ...” สายตาพริบพราวก่อนจะก้มลงขบเม้มหัวไหล่ขวาของร่างที่อยู่ข้างใต้อย่างมันเขี้ยว

ยมทูตบ้า...ทำไมดูดีขนาดนี้...จะเอาร่างแกร่งนี้ไปหลอกหัวใจผีที่ไหนกัน

“ของเจ้า...ของเจ้าคนเดียว” เสียงพึมพำสั่นพร่าของร่างตรงหน้าและใบหน้าที่ขยับมาใกล้ทำให้เมืองอินทร์ตาโต

“ข้า...เป็นของเจ้า...ทุกส่วน” พูดไม่พูดเปล่าเจ้าตัวคว้ามือเขาแนบแผ่นอกกว้างและเลื่อนไปแตะที่ตำแหน่งหัวใจ

เมืองอินทร์หน้าแดงก่ำ แต่แล้วก็เบิกตาโตเป็นสองเท่าเมื่อสีหราชยิ้มนิด ๆ ก่อนจะคว้ามือเขาเลื่อนต่ำลงไปใต้วีไลน์

“นี่...ก็ของเจ้า...” เจ้าตัวชะโงกมากระซิบข้างหู สัมผัสอุ่นร้อนจัดแข็งขึงที่แทบจะกำไม่รอบอยู่ในมือเขา

100 องศาเซลเซียส! ตอนนี้คืออุณหภูมิใบหน้าเขาตอนนี้ !

…อ้ายสีห์! ลามก! ทำไมเปิดเผยขนาดนี้ ! 

แต่ละสัมผัสที่โดนผิวกายทำให้สมองขาวโพลนไปหมด ริมฝีปากและปลายนิ้วของคนตรงหน้าทำงานกันอย่างสามัคคีเหลือเกิน ยอดอกขาวเนียนถูกคนตรงหน้ากอบกุมดูดดึงด้วยโพรงปากร้อน ๆ การตวัดลิ้นขบเม้มทำให้เขาเผลอแอ่นกายรับสัมผัสรักของคนตรงหน้า แม้จะพยายามกลั้นเสียงครางไว้แล้วแต่เหมือนสีหราชที่คร่อมกายอยู่จะรู้ทัน

ลิ้นร้อนละเลงเน้น ๆ ลงมาจนเป็นเมืองอินทร์ที่ต้องดิ้นพล่านบนเตียงและปล่อยเสียงครางอย่างสุดจะกลั้น มือทั้งสองข้างเหมือนจะหลุดการควบคุมไปแล้วเพราะขยี้ขยำเรือนผมของร่างที่คร่อมอยู่ แต่พอจะตั้งสติได้สักหน่อยก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อความวาบหวามไต่สูงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะยมทูตคลั่งรักไล้จมูกและปากลงต่ำไปเรื่อย ๆ หน้าท้องยามนี้เขม็งเกร็งด้วยความเสียดเสียว มือทั้งสองข้างของคนซุกซนก็ไล่ช้อนแผ่นหลังก่อนจะปัดป่ายนวดเฟ้นช่วงเอวจนเขาแทบละลายคาเตียงอีกรอบ

ให้ตายเถอะ....คนตรงหน้านี่จูบเก่งเป็นบ้า เอะอะก็จูบ เอะอะก็จับ ราวกับมีสิบมือ

มารู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นเนยเหลว ๆ ที่โดนความร้อนเมื่อคนตรงหน้าเลียริมฝีปากก่อนจะครอบลงมาบนกายเขาที่ลุกฮืออยู่ในอุ้งมือร้อน จังหวะที่ตัวตนตรงหน้าปรนเปรอทำให้หลอมละลาย ผู้ชายด้วยกันย่อมรู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องการสิ่งใด อ้ายสีหราชรู้ไปหมด...รู้ดีเกินไป...

"ให้ข้าปลอบใจเจ้านะ...ข้าจะปลอบอย่างดี..." เสียงพร่าทุ้มของร่างสูงที่แนบชิดทำให้เขาห่อกายแล้วเผลอกัดริมฝีปากเบา ๆ ก่อนจะครางฮือกับสัมผัสร้ายของร่างตรงหน้า

...ปลอบแบบนี้...คงได้หลอมละลายเป็นหนึ่งเดียวแน่...

“อ๊า....ตรงนั้น...อย่า....”

CUT SCENE ลงเฉพาะเล่มนิยายและอีบุ๊ค (4 หน้า)

ม่านดาราที่พร่างเต็มท้องฟ้าในยามนี้...ลึกล้ำและขยายทุกสิ่งจนแนบแน่นไปหมด

การขยับกายเพียงนิดก็พาทั้งคู่พุ่งแตะทะยานไปที่ปลายขอบฟ้า !

คนด้านหลังเหมือนคลั่งรัก...ไม่ยอมเพลาลงเลย...สักนิด ไม่มีหยุดพักเลย

...ท้องเขาจะทะลุไหมนะ...แรงขนาดนี้...อ้ายสีห์คนหื่น !...

การแสดงออกของสีหราชบอกทุกอย่างที่ซ่อนอยู่ในความรู้สึก สองร่างแนบชิดจนแทบหลอมรวมกันเป็นหนึ่ง เหงื่อท่วมกายของเขาและสีหราช

การเป็นที่รัก...อย่างมากมายของใครสักคนมันดีงามเช่นนี้เอง

เมืองอินทร์หยัดกายขึ้นจนสะโพกแนบชิดกับตัวตนของผู้ลงทัณฑ์ก่อนจะเอี้ยวกายไปเกี่ยวต้นคอคนร้ายกาจมาจูบเบา ๆ สีหราชก็ไม่ยอมแพ้...แลกจูบกับเขาดุเดือด..โดยไม่เคลื่อนกายห่างสักนิด

...น่าจะมีรางวัล...สามีดีเด่น...

“สัมผัส...สัมผัสข้าสิ เมืองอินทร์ มีเพียงเจ้าที่ข้าจะฝากรักมากมาย...เช่นนี้...” เสียงกระซิบนั่นดังอยู่ข้างหู

“ข้าจะทำรักเจ้า...จนเจ้าลืมสัมผัสข้าไม่ลง...” เสียงห้าวทุ้มไม่วายสั่งการอย่างเอาแต่ใจ

คลื่นความรู้สึกถาโถมเข้ามาไม่หยุดยั้ง คนตรงหน้าไม่อาจหยุดได้อีกแล้วและเป็นเขาที่ไม่อาจหยุดได้เช่นกัน มีเพียงอ้อมแขนตรงหน้าที่จะปกปักเขาไว้ทุกครั้งตั้งแต่อดีตชาติ และจนบัดนี้ ร่างกายแข็งแกร่งที่แทรกเข้ามาฝากความรู้สึกลึกล้ำและสุขสมให้เขาจนแทบสำลัก

“เจ้าเป็นของข้า....เมืองอินทร์ ของข้าเท่านั้น...” เป็นสีหราชที่ครางละเมอและก่ายมือรัดเขาไว้แน่น ดูคล้ายจะอิดโรย

“อา..ท่านก็เป็นทุกสิ่งของข้า อ้ายสีห์...” เขาครางก่อนจะพึมพำเบา ๆ บนกายแกร่งที่แนบชิด

“เจ้าน่ารักขนาดนี้...ทำให้ข้าอยากกินเจ้า...ไม่รู้จบ...” ว่าแล้วคนตัวโตก็พลิกกายลงคร่อมอีกครั้ง ก่อนจะเสยผมตัวเองที่ชื้นเหงื่อ ใบหน้าคมสันที่แดงก่ำก้มต่ำลงมาคล้ายจะเว้าวอน...

บ้าสิ....ท่าทางอิดโรยเมื่อครู่คือหลอกให้ดีใจใช่ไหม ตอบมานะ !

อ้ายสีห์ คนหื่น !

อุณหภูมิในโดมมิติวิญญาณนี้ควรจะอุ่นสบาย แต่ยามนี้กลับร้อนราวกับเพลิงพายุโหมกระหน่ำวนเวียนอยู่ในนี้

“ข้ารักเจ้าสุดหัวใจ...” เสียงสีหราชกระซิบหวานข้างหู

“ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้า...เมืองอินทร์..ตลอดไป”

ไม่รู้ว่าผีจะหัวใจวายคาอกได้ไหม...ถ้ามีสงสัยจะมีเขาเป็นตัวแรกที่ตายซ้ำด้วยเหตุนั้น...

ดอกชมพูพันธุ์ทิพย์อยู่ด้านนอกโดมมิติวิญญาณ..กำลังพรูลงตามสายลม พายุพัดกระโชกฮือจนกิ่งไม้ใบหญ้าหักโค่นลง สายฝนค่อย ๆ พรมลงบนพื้นดินจนเปียกชุ่ม และยังคงพรมอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งแสงอาทิตย์แรกสาดส่องขึ้น...
...............................................................
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 16/1/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 16-01-2021 20:32:47
 :impress2: :-[ :o8:
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 16/1/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 17-01-2021 00:38:56
จรัาาาา ยังมีอารม
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 16/1/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 17-01-2021 05:06:24
555 นั่นสิคะ ตาสีหราชนี่น้าาา น่าจับตีก้นจะปลอบใจอะไรกันก็ไม่รู้ตอนนี้ 555
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 16/1/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 17-01-2021 09:18:11
เอ่อ ไปต่อไม่ถูกเลย
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 16/1/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 17-01-2021 11:13:27
CHAPTER
31




แสงอาทิตย์รำไรค่อย ๆ ขึ้นสู่ท้องฟ้าทีละนิด ในโดมมิติวิญญาณที่อุ่นสบายตอนนี้มีเพียงเมืองอินทร์ที่รู้ดีว่าตั้งแต่รุ่งสางมา เขาก็นอนไม่หลับอีกเลย เพราะมีหลายสิ่งที่คิดมากมายอยู่ในหัว ในยามนี้ท่อนแขนแข็งแรงของสีหราชกำลังพาดก่ายอยู่บนตัวเขา ปลายจมูกโด่งและขนตายาว ๆ ของยมทูตหนุ่มที่นอนตะแคงกอดเขาอยู่เป็นสิ่งที่เขารัก จริง ๆ คือเขารักทุกสิ่งของผู้ชายตรงนี้ ผู้ชายที่ทั้งหัวใจและร่างกายต่างพร่ำบอกรักเขาทั้งคืน

เมืองอินทร์ตะแคงมองทุกอากัปกริยาของยมทูตหนุ่มที่นอนหลับนิ่ง ลมหายใจของสีหราชสม่ำเสมอ จังหวะหายใจแบบนี้กลายเป็นความคุ้นชินของเขาเองมาช่วงหนึ่งแล้ว คืนไหนไม่ได้ยินเสียงคล้ายจะนอนไม่หลับ แผ่นอกของยมทูตหนุ่มที่ขยับเบา ๆ และอุ่นจัด กลิ่นหอมที่แฝงความดุของร่างตรงหน้ายังคงแนบชิดติดกายอย่างนั้น แต่ความรู้สึกวูบโหวงในหัวใจทำให้เมืองอินทร์ตัดสินใจกระถดตัวเข้าไปซุกในอ้อมแขนคนที่หลับอยู่อีกครั้ง

แผ่นอกนี้อุ่นและมั่นคงนัก ขอข้ากอด...อีกสักครู่จะได้ไหม

สัมผัสที่เบียดร่างเข้าหาทำให้ สีหราชค่อย ๆ ลืมตาขึ้นก่อนจะกดร่างเล็ก ๆ ให้เข้ามาใกล้มากขึ้น

“ตื่นแล้วหรือ...เจ้าแมวน้อยของข้า” สายตาหยอกล้อนิด ๆ ของสีหราชทำให้รีบหลบตานิด ๆ อย่างขัดเขินแต่ก็รู้ดีว่าไม่มีประโยชน์เพราะจมูกโด่งกดประทับลงมาขโมยหอมแก้มเขาอย่างมันเขี้ยว ริมฝีปากหนานุ่มแกล้งขบติ่งหูเขาเบา ๆ ก่อนจะออเซาะ

“เจ้าทำตัวน่ารักแบบนี้...เดี๋ยวโดนจับกินแต่เช้า...ไม่รู้ด้วยนะ”

แต่สีหราชกลับนิ่งงันเมื่อผู้ที่คิดว่าจะขัดเขินกลับยิ้มให้แล้วกระซิบเบา ๆ

“จูบข้าได้ไหม อ้ายสีห์...ได้โปรด”

สิ้นคำนั้นเอง สีหราชก็พลิกกายคร่อมร่างที่ร้องขอความหอมหวานยามเช้าจากเขา ริมฝีปากและใบหน้าทั้งคู่ต่างเอียงหามุมที่สร้างสัมผัสแนบแน่น เจ้าตัวค่อย ๆ ขบเม้มลิ้มชิมริมฝีปากที่แดงจัดของร่างตรงหน้า ลมหายใจร้อนผ่าวแนบชิดใกล้ มือซุกซนยังคงสอดเข้ามาเคล้าคลึงแผ่นหลังนุ่มของคนตรงหน้า หากจุมพิตเช้านี้เป็นพายุ...คงเป็นพายุที่วาบหวามหัวใจของคนทั้งคู่ คนที่ร้องขอจูบหลับตานิ่งแล้วกดมือเรียวไล้ตามแนวสันหลังของสีหราชราวจะซึมซับทุกสิ่งไว้ให้เนิ่นนาน

“ข้าสัญญาว่าจากนี้ไปจะปลุกเจ้าทุกเช้า...” สีหราชกระซิบเบา ๆ ก่อนจะยกนิ้วมือเล็ก ๆ ของเมืองอินทร์ขึ้นมาจูบไล่ทีละนิ้วอย่างอ้อยอิ่ง สัมผัสอุ่น ๆ นั้นทำให้คนตัวเล็กกว่าน้ำตารื้น

....อย่าทำให้ข้ารักท่านไปมากกว่านี้...อ้ายสีหราช

หากข้าจดจำท่านไม่ได้และสังหารท่าน วิญญาณข้าคงต้องแตกสลายเป็นแน่

“ข้ารักเจ้าขนาดนี้แล้ว เจ้าพอจะจำเรื่องราวของเราได้บ้างไหม...อ้ายอินทร์..” เสียงกระซิบของเจ้าของวงแขนแข็งแรงถามเบา ๆ

“...”

ความเงียบเป็นคำตอบที่เขาให้กับสีหราช อ้อมแขนที่กอดไว้คล้ายจะคลายลงเล็กน้อยแต่เจ้าตัวกลับซุกหน้าซบลงบนซอกคอของเขา

“เอาเถิด จำได้หรือไม่ได้ก็ไม่ได้ทำให้ข้ารักเจ้าน้อยลง แค่นี้ข้าก็รักเจ้ามากขึ้นทุกวันอยู่แล้ว”

มือเรียวของเมืองอินทร์คล้ายกำแน่นขึ้นโดยสีหราชไม่รู้ เจ้าตัวแอบกะพริบตาไล่ความชื้นปลายตาออกไปรวดเร็ว

ตลอดมา...ชีวิตของเขาแม้จะขาดครอบครัว...แต่กลับเป็นคนนี้ที่รักและรอคอยเขามาตลอด เป็นรักที่มั่นคงและเป็นทุกสิ่งให้เขา

อ้ายสีหราชเป็นมากกว่าพี่ มากกว่าเพื่อน มากกว่าคนรัก เป็นผู้พิทักษ์ให้กับเขามาตลอด

ภาพในความฝันของเขาคืนแรกที่นอนในพระวิหาร มีบางสิ่งที่เขาไม่ได้บอกสีหราช...ไม่ใช่แค่สีหราชติดค้างเขา หากเขาก็ติดค้างสีหราชเช่นกัน เมื่อเขาเป็นผู้สร้าง “บ่วง” ในใจของสีหราช บ่วงที่เกิดและพัวพันให้เขากลายเป็นยมทูต

ในอดีตชาติที่ผ่านมา แท้จริงแล้วการชดใช้กรรมของสีหราชในฐานะยมทูตได้สิ้นสุดไปแล้ว หากแต่เพราะ “สัญญา” ทำให้คนตรงหน้ายังคงเฝ้าวนเวียนตามหาวิญญาณของเขาเพื่อให้สัญญา “จักได้พบกันอีกครา” บรรลุผล

“รัก เป็นยางเหนียวสิ่งเดียวที่ทำให้สีหราชยมทูตไม่ได้ไปเกิด

“รัก ทำให้เขาเฝ้ารอแต่เพียงเจ้าคนเดียว

“หากรักเช่นกันที่จะปลดพันธนาการให้เขาได้ไปสู่ภพใหม่...”

ภาพพระภิกษุที่นั่งตรงหน้าเขาในความฝัน มลังเมลืองไปด้วยแสงสีทองอ่อน ๆ ฉาบลงมา เงาหมอกขาว ๆ ทำให้เขามองไม่เห็นใบหน้าพระภิกษุนั้น หากน้ำเสียงอ่อนโยนคล้ายคุ้นเคยยิ่งนัก

“วงล้อกรรมในอดีตชาติทั้งหลายกำลังจะสิ้นสุดลง..เมื่อปลดวาง...รัก ลงได้ แต่ละฝ่ายจักได้เริ่มต้นเส้นทางใหม่...”

ยามนี้ “สัญญา” บรรลุแล้ว สีหราชได้พบกับเขาแล้ว ตรวนที่พันธนาการไว้ควรปลดลงเสียที...

แต่ยามที่ศัตรูอยู่ตรงหน้านี้...เขาควรทำอย่างไรดี...เมื่อคนตรงหน้าไม่มีแม้แต่ทิพย์สภาวะ

คำตอบมีสิ่งเดียวที่เขาคิดไว้ตั้งแต่คืนแรก...คำตอบที่จะทำให้สีหราชยังคงทิพย์สภาวะ...ไม่ดับสูญในศึกครั้งนี้

“เป็นอะไรไปเจ้าตัวเล็ก ไฉนเงียบนักเล่า...ยังง่วงอยู่อีกหรือ” ริมฝีปากของสีหราชกดลงบนเรือนผมของเขาก่อนจะใช้นิ้วแข็งแรงปัดป่ายเส้นผมให้เขาเบา ๆ สัมผัสอ่อนโยนถนอมราวกับเขาเป็นวัตถุเปราะบางยิ่งนัก

เพราะอ้ายสีห์เป็นคนอ่อนโยนเช่นนี้อย่างไรเล่า...จึงยากเย็นจะตัดใจ...

“ไม่มีอะไร...ข้าแค่อยากกอดท่านให้นานกว่านี้เท่านั้น” ว่าแล้วก็เบียดซุกกายแน่นเข้า กิริยาที่ดูแปลกตาไปทำให้สีหราชขมวดคิ้วแต่ก็ยอมให้เขากอดแต่โดยดี

“เช้านี้เจ้าน่ารักกว่าทุกวัน...อ้ายอินทร์”

“อ้ายสีห์...ข้าชอบทุกสิ่งเวลาอยู่กับท่าน...” เขาซุกหน้าอู้อี้อยู่กับอกที่คุ้นเคย ก่อนจะเงยหน้ามองคนตรงหน้า

...ขอบคุณ...ที่รักข้า...และเป็นทุกสิ่งให้กับข้ามาตลอด และยัง...เฝ้ารอข้ามากว่า 200 ปี

“ท่านก็ทำตามสัญญาแล้วที่ว่าจะมาพบข้า....ตอนนี้ไม่มีสิ่งใดติดค้างอีกแล้ว” นิ้วมือเล็ก ๆ แตะไล้ใบหน้าสีหราช

“อย่าได้คิด...” สีหราชเอ่ยเบา ๆ ก่อนจะขมวดคิ้วจ้องตาคนในอ้อมแขน

“ข้าไม่มีวันให้เจ้าทำอะไรบ้า ๆ เพียงคนเดียว อ้ายอินทร์...”

“...ข้าไม่ฆ่าตัวตายหรือทำอะไรแบบนั้นหรอกอ้ายสีห์...”น้ำเสียงแผ่วเบาชวนง่วงงุนทำให้สีหราชนิ่วหน้านิด ๆ ก่อนจะขัดขืนเมื่อนึกรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น แต่แล้วปลายนิ้วนุ่มของเมืองอินทร์แตะริมฝีปากเขาก่อนจะทันเอ่ยคาถาออกมา

ริมฝีปากนุ่มจูบร่างตรงหน้าเป็นครั้งสุดท้ายด้วยน้ำตา กริยาขัดขืนของยมทูตหนุ่มปรากฎเพียงครู่เดียวก่อนที่ทั้งร่างจะเอนซบลงบนไหล่ขาวเนียนของเมืองอินทร์ ลมหายใจสม่ำเสมอบอกชัดว่าตกอยู่ในมนต์แห่งนิทรา

“...หลับเถิดอ้ายสีห์...”

ทันใดนั้นไอเวทสีขาวจัดลอยกรุ่นไปทั่วบริเวณ เมืองอินทร์ขยับลุกขึ้นก่อนจะไล้ปลายนิ้วที่ใบหน้าของสีหราชเบา ๆ

...ไม่คิดว่าความทรงจำกลับมาพร้อมกับดวงจิตไสยเวทขาว...พรสวรรค์ที่ติดตัวมาแต่ชาติก่อน

...อย่างน้อย ก่อนราตรีมณิสูงสุด...ร่างของเขาก็ยังคงเป็นของเขา แต่หากเข้าสู่ราตรีจันทร์เต็มดวงเมื่อใด เขาอาจไม่เหลือสติใด ๆ อีกเมื่อศัตรูต้องการชิงร่างของเขาใช้ก่อการปั่นป่วนสวรรค์และยมโลก

“ตลอดเวลาที่ผ่านมา มีแต่ท่านที่คอยดูแลข้ามาตลอด เวลานี้ได้โปรด...ให้ข้าได้ปกป้องท่าน...จากตัวข้าสักครั้งเถอะนะอ้ายสีห์...”

...ข้าขอโทษที่ไม่บอกว่า ข้าจดจำเรื่องราวทุกอย่างระหว่างเราได้หมดแล้ว...

...ข้าไม่บอก...เพราะอยากให้ท่านคลายความคิดถึงข้าลงบ้าง...เพื่อวันหนึ่งท่านจะได้ไม่เสียใจมากนัก

โปรดเชื่อเถิด...ว่าข้ารักท่านจริง ๆ

“ข้ารักท่าน...ด้วยหัวใจและด้วยชีวิตของข้า...”

ริมฝีปากนุ่มของเมืองอินทร์ก้มลงและจูบร่างที่หลับใหลอยู่ตรงหน้า ก่อนจะมีแสงสว่างสีขาวอมฟ้าวาบหนึ่งปรากฏระหว่างร่างทั้งสอง กายจำแลงหายวับเหลือเพียงกายทิพย์ที่มองร่างยมทูตหนุ่มด้วยสายตาอาวรณ์ ขณะนี้เมืองอินทร์อยู่ในอาภรณ์สีขาวสะอาดตาทั้งชุด เขากลับคืนสู่ร่างอดีตชาติ

ดวงแก้วมณีสีฟ้าอ่อน...ที่สีหราชให้เขาไว้ในวันแรกที่เจอกันในฐานะผีเร่ร่อน ยามนี้ลอยอยู่กลางอากาศ ไอสีฟ้าบริสุทธิ์ปนขาวคงความเป็นทิพย์สภาวะเต็มเปี่ยม

...มณีแห่งชีวิตที่สีหราชให้เขาไว้...เป็นส่วนหนึ่งของดวงจิต ถ้าเขาได้พลังตนเองคืนกลับไป...ก็อาจชนะศัตรูตนนั้นได้

ดวงตาสีอ่อนของเมืองอินทร์หม่นลง ก่อนจะกำหนดจิตคืนมณีดังกล่าวเข้าสู่ร่างของสีหราช แสงสีฟ้าอ่อนสว่างวาบขึ้นครู่หนึ่งก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีทองระยิบระยับล้อมกรอบร่างของยมทูตไว้แล้วหายเข้าไปในกายทิพย์ทันที

“ข้าขอคืนมณีแห่งชีวิตให้กับท่าน...สีหราช...ข้าไม่มีกายจำแลงก็ไม่เป็นไร แต่หากท่านไม่มีทิพย์สภาวะ...ท่านอาจดับสูญ”
และหากเขาไม่มีกายหยาบ...ก็ย่อมไม่เหลือสภาพการเป็นภาชนะไสยเวทนั่น...

เส้นทางนี้เหมาะสมที่สุดแล้ว วิญญาณเร่ร่อนอย่างเขาก็ควรอยู่ในโลกวิญญาณ ไม่ควรปะปนกับโลกมนุษย์

“ขอโทษที่ไม่ได้บอกลาให้ดีกว่านี้ และหากชาติหน้ามี...ข้าจะใช้คืนให้ท่านสีหราช...”

พระวิหารตรงหน้า...องค์พระประธานตรงหน้านั้นเป็นประตูเดียวที่จักเปิดรับดวงจิตเขา...เหมือนวิญญาณเร่ร่อนของตาชัยที่อยู่กับฐานพระประธานและรอวันชำระล้างดวงจิตเพื่อการเกิดใหม่อีกครั้ง

หากเขาอยู่เงียบ ๆ เฝ้ารอวันหมดอายุขัยคงจะมีสักวันที่ยมทูตสักตนจะมารับเขา

ร่างในชุดขาวเหลียวมองยมทูตที่หลับสนิทอย่างยากจะตัดใจ ภาพความทรงจำต่าง ๆ ผุดขึ้นมามากมาย ทั้งสุขและทุกข์ที่เคยร่วมกันมาตลอดในอดีตชาติและในปัจจุบัน รัก...ที่ลึกซึ้งผูกพันเขาไว้ด้วยกัน เจ้าตัวฝืนกลืนน้ำตาก่อนจะหมุนกายเดินออกมาอย่างรวดเร็วจากโดมมิติวิญญาณตรงหน้า

...................................................

หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 16/1/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 17-01-2021 11:14:56

แต่แล้วเมื่อก้าวออกจากโดมมิติวิญญาณ เมืองอินทร์ก็ต้องชะงักใจหายวูบเมื่อบุรุษร่างสันทัดในอาภรณ์สีดำสนิทยืนอยู่ตรงหน้า ดวงตาวาวโรจน์ของขุนศรีมองตรงมาที่เขา...บรรยากาศรอบตัวคล้ายจะมืดลงทั้งที่เพิ่งจะก้าวเข้าสู่ช่วงบ่ายเท่านั้น ใบไม้นิ่งสนิทไร้การเคลื่อนไหว สิ่งมีชีวิตรอบบริเวณนั้นพลันเงียบสงบไม่มีแม้แต่เสียงนก แม้ตรงหน้าถัดเขาไปไม่กี่เมตรนั่นก็คือพระวิหารแล้ว...แต่คนที่ขวางทางอยู่นั้น...ยากเย็นยิ่งนัก

“ข้าจักไม่เป็นอาวุธให้ใครทั้งนั้น...จงหลบไปเสียขุนศรี!”

กายทิพย์ในอาภรณ์สีขาวกลายเป็นแสงสว่างจุดเดียวท่ามกลางพายุที่ไม่มีที่มา ท้องฟ้าพลันแปรปรวน ใบไม้ใบหญ้าพรูลงกับผืนดิน บ้านเรือนที่อยู่ห่างออกไปไม่มีผู้ใดอาศัยอีกเลย ชาวบ้านและผู้คนต่างหลบหนีออกจากหมู่บ้านไปตั้งแต่ยามพระอาทิตย์ขึ้น  ดาบคู่กายที่เมืองอินทร์ชักออกมาจากฝักตวัดจ้องร่างตรงหน้านิ่ง ขณะที่ขุนศรีจอมขมังเวทหัวเราะเบา ๆ

“ไม่คิดว่า เจ้าจะดวงแข็งเช่นนี้เลยเมืองอินทร์ หากเจ้าไม่พาเจ้าเด็กจีนนั่นมาเล่นในคณะละครนอก บางทีเจ้าอาจจะไม่ต้องตายอย่างทรมานอย่างวันนั้น...”

“แค่เด็กคนเดียว...ที่เจ้าช่วยชีวิต กลับเป็นชนวนให้เจ้าต้องตายตกตามกันไปทั้งสำนัก...”  สายตาจ้องนิ่งตรงมาที่เขา

เมืองอินทร์นิ่งงัน กลักไม้ที่เจ้าโชคคว้ามาจากกองข้าวของในคณะละครนอกนั้น เป็นกล่องกลอักษรที่ใส่ข้อความนัดหมายของเหล่ากบฏละครนอก กลักไม้ที่อยู่ในมือเด็กน้อยถือเล่นในมือถูกขุนทรัพย์เห็นเข้า จึงเป็นที่มาว่าเหตุใดจึงมีทหารจำนวนมากบุกมาที่เรือนของสำนักดาบในยามวิกาล

เมืองอินทร์เองก็เพิ่งคาดเดาทุกสิ่งได้หลังจากอุ้มเจ้าโชคหนีมาพร้อมเจ้าสีหมอกม้าคู่ใจ กลักไม้ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของเจ้าโชคหล่นร่วงลงพื้นในวันที่เขาพามันหนีมาหาอ้ายเชิดที่ชายป่า อ้ายเชิดที่ชอบพอและกำลังจะหมั้นหมายกับแม่หญิงเรไรตื่นตะลึงกับเหตุร้ายที่เกิดขึ้นทรุดฮวบลงกับดินที่เปียกชื้น กลักไม้ที่ซ่อนกลอักษรถูกยัดใส่มืออ้ายเชิดแล้วกระซิบรัวเร็ว

“เอาสิ่งนี้ไว้กับเจ้า...หาก..หากข้าเป็นอะไรไป จงมอบสิ่งนี้ให้อ้ายสีห์ เขารู้ดีว่าจะต้องทำสิ่งใดต่อ”

“รออ้ายสีห์ และเสด็จพระองค์ชายกลับมาก่อนเถิดอ้ายอินทร์ เจ้าอย่าไปไหนเลย...มาซ่อนตัวด้วยกันที่นี่เถิด”

“อ้ายเชิด...เจ้าช่วยพาอ้ายโชคไปบวชได้ฤาไม่ ข้าคิดว่ายามนี้มีเพียงชายผ้าเหลืองเท่านั้นที่จะคุ้มภัยได้”

เป็นเขาที่ขอให้เพื่อนรักดูแลเด็กน้อยตรงหน้า ไม่กี่วันต่อมา มันและอ้ายเชิดรีบเข้าวัดใกล้ ๆ โดยมีพ่อฉิมบิดาของแม่หญิงเรไรมาช่วยกราบขอร้องพระอุปัชฌาย์ให้รีบบวชพระให้อ้ายเชิดก่อน

“แล้วโยมจักไปไหนเล่า อยู่ด้วยกันที่วัดก่อนเถิด โยมอินทร์” พระเชิดถามขึ้น

“ข้าอยู่ที่นี่นานไม่ได้ พวกมันต้องการตัวข้าด้วยข้อหาซ่องโจรและโทษฐานมีผังพระราชฐานส่วนใน”

สิ่งที่เขาไม่ได้พูดไปคือ หากเขาอยู่ที่นี่นานไป เกรงว่าจะนำภัยมาสู่วัดเล็ก ๆ แห่งนี้ 

แต่น้ำน้อย..ไม่อาจชนะไฟได้ ไม่นานหลังจากหลบหนีออกจากวัดป่าแห่งนั้น เมืองอินทร์ก็ต้องเผชิญกับทหารหลวงที่ตั้งค่ายดักจับกุมกลางป่า นักดาบรุ่นเยาว์ที่พอมีฝีมือคนหนึ่งต้องโรมรันกับเหล่าทหารหลวงนับสิบกลางพายุฝนหลงฤดู สายฝนกระหน่ำลงราวกับฟ้ารั่ว พื้นดินสีแดงเจิ่งนองไปด้วยน้ำฝนและเลือดที่ไหลริน แขนขวาของเมืองอินทร์ล้าจนแทบยกไม่ไหว แต่ก็ยังฝืนกำดาบสู้สุดใจ หัวคิ้วซ้ายแตกเลือดไหลเข้าดวงตา ขณะที่ท่อนแขนซ้ายเลือดโชก ร่างทั้งร่างเริ่มชาจนไม่รู้สึกสิ่งใดอีก

...ด้วยเพลงดาบที่อ้ายสีห์ และอ้ายโตฝึกมันมา...ทำให้ไม่มีทหารหลวงนายใดกล้าผลีผลามเข้ามา

...ต่อให้เสือเจ็บ...มันก็ยังสู้ แล้วเขาก็จะสู้เช่นกัน...

แต่แล้วเพราะประโยคเดียวของกรมหลวงไกรสีห์สรคุณที่อยู่บนหลังม้าสีดำ

“หากเจ้ายอมมอบตัวแต่โดยดี ข้าให้สัญญาว่าจักไว้ชีวิตผู้ที่เหลือรอด !”

ประโยคนั้นทำให้เมืองอินทร์นิ่งงันไปครู่หนึ่ง

“เชื้อพระวงศ์เอ่ยวาจาแล้ว ย่อมไม่คืนคำ!” มันตะโกนออกไปท่ามกลางสายฝน

“ข้าให้สัตย์สาบาน!”

ผู้ที่เหลือรอด ย่อมหมายถึง อ้ายสีห์ที่ยังไม่กลับจากหัวเมือง และอาจจะมี อ้ายโชค อ้ายเชิด แลบ่าวไพร่อีกจำนวนหนึ่งที่รอดพ้นความตาย

...ไม่ว่าหนึ่งชีวิตและดาบหนึ่งเล่มจะคุ้มเสี่ยงกับสัญญาปากเปล่านั่นหรือไม่

...แต่แค่ได้ยินคำว่า “จักไว้ชีวิตผู้ที่เหลือรอด”นั่นก็เกินคุ้ม

...อย่างน้อยก็ซื้อเวลายื้อชีวิตได้...

ดาบคู่กายถูกโยนทิ้งลงกับพื้นท่ามกลางฝนที่กระหน่ำ ดินเลนสีน้ำตาลกระเซ็นเปรอะไปทั้งตัว แต่เมืองอินทร์ไม่ได้สนใจอีก แผล
จำนวนมากบนร่างกายเกินจะนับ ตรวนเหล็กถูกคล้องฉับเข้าที่มือสองข้างและถูกกระชากร่างลากไปกองกับพื้น เลือดยังคงไหลรินจากร่าง กรงไม้ถูกต่อขึ้นอย่างหยาบ ๆ กลางป่า มีเพียงทหารหลวงที่คุ้มกันขบวนนักโทษเตรียมเข้าพระนคร

อาจจะได้ซักฟอกความบริสุทธิ์หากได้พบกับเสด็จพระองค์ชายชาญนพ...พระองค์ต้องยืนยันความบริสุทธิ์ของสำนักดาบได้เป็นแน่...

แต่แล้วเพียงคืนสุดท้ายก่อนจะเข้าประตูเมือง อาหารเย็นที่ทหารหลวงยื่นมาให้กลับมีบางอย่าง

ยาสั่ง...อาคมไสยเวทโบราณ ยาที่ทำให้ร่างทั้งร่างของนักดาบรุ่นเยาว์บิดเกร็งไปทั้งหมด จนเจ้าตัวหายใจไม่ออก ขณะที่เลือดค่อย ๆ ซึมออกจากทวารของร่างกายทีละนิด กว่าอ้ายสีห์จะบุกตะลุยมาถึง..ทุกอย่างก็ช้าเกินการณ์

..............................................................................

“เจ้าก็อึดน่าดูในชาติที่แล้ว กว่าจะตายได้ ทำเอาข้า...คิดหนักเลยว่ายาสั่งที่ให้ไปจะออกฤทธิ์ทันหรือไม่” เป็นขุนศรีที่เอ่ยขึ้นขำ ๆ ราวกับกำลังคุยเรื่องธรรมดาทั่วไป

ที่แท้...ยาสั่ง...ฝีมือของคนตรงหน้า !

“นี่ข้าก็ช่วยสงเคราะห์เจ้าเด็กลูกจีนนั่นให้เดินทางไปปรโลกก่อนเจ้า...เจ้าก็ไม่น่าจะเหงาหรอก เพราะมีเพื่อนเดินทางร่วมทางไปด้วย เจ้ายังไม่ได้ขอบใจข้าเลย” จอมขมังเวทหัวเราะเบา ๆ แววตาคล้ายสะใจยิ่งนัก ขณะที่เมืองอินทร์ลืมตาโพลงก่อนจะเค้นเสียงออกมาอย่างคั่งแค้น

“...เจ้า...ว่าอย่างไรนะ !”

“อ้าว...นี่ไม่ได้เจอกันหรอกหรือ ข้าอุตส่าห์จับเด็กนั่นกดน้ำตรงริมตลิ่งก่อนที่มันจะได้ทันบวชเป็นสามเณรแค่วันเดียว...เห็นข้าร้าย ๆ แบบนี้ ข้าก็ยังมีศีลธรรมนะ ยอมฆ่าเด็กเพราะว่าบาปน้อยกว่าฆ่าเณร...”

ความจริงที่เมืองอินทร์เพิ่งรู้ถึงกับตัวสั่นระริกด้วยความโกรธจัด

อ้ายโชค...ที่กำลังจะบวช เด็กน้อยที่เขากอดลาก่อนจะจำใจผละจากมาเพราะไม่อยากให้มีภัยถึงตัว...กลับไม่ได้บวชเณร...ดวงตากลมใสแจ๋วนั่นคล้ายจะร้องไห้นิด ๆ ก่อนเขาจะขึ้นหลังม้าจากมา

“อ้ายอินทร์ อย่าไปได้ไหม...” เสียงเด็กน้อยละห้อยโหย กอดขาเขาไว้แน่น ขณะที่ทุกคนตรงหน้าปาดน้ำตาเบา ๆ

“อยู่ที่นี่ล่ะ อยู่กับพระกับเจ้า บวชเณรเสียแล้วอยู่กับหลวงพี่เชิด ไว้เสร็จธุระแล้ว ข้าจะกลับมาเยี่ยมเจ้า...” เขาลูบหัวเจ้าตัวเล็กในวันนั้นก่อนจะตัดใจลา

...ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ !...

“เจ้ามันสัตว์นรกชัด  ๆ ขุนศรี ! เด็กตัวเท่านั้นเจ้ายังสังหารได้ลง !” ว่าแล้วเมืองอินทร์ก็กระชากดาบออกจากฝัก

เสียงหัวเราะดังลั่นจากร่างตรงหน้า จอมคาถาขุนศรียืนนิ่งก่อนจะคว้าดินจากพื้นตรงหน้าขึ้น พริบตาดินเลนก้อนนั้นคล้ายเป็นรูปควายตัวจ้อย สีหน้าคนปั้นยิ้มนิ่ง ๆ ก่อนจะโยนดินปั้นขึ้นในอากาศ กลายเป็นควายสีดำสนิทดวงตาแดงก่ำสองตัวยืนตะกุยพื้นอยู่ตรงหน้า ไอร้อนผ่าวเป็นควันสีดำแดงออกจากจมูกของมันทั้งสองตัว

ควายอาคม...กำลังจ้องเขม็งมาที่เขา ดาบในมือเมืองอินทร์ตั้งขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะกวาดขาไปด้านหลัง คนตรงหน้าแสยะยิ้มแล้วตะโกนออกมา

“จงมาเป็นทาสข้า เมืองอินทร์ ดวงจิตของเจ้าเป็นสิ่งที่จอมขมังเวทตามหานับร้อยปี !”

“ฝันไปเถอะ ร่างนี้ไม่มีกายหยาบแล้ว เจ้าจักทำอันใดได้ !” ฝุ่นพลันฟุ้งขึ้นพร้อมกับเงาสีขาวสะบัดวูบตรงหน้า ดาบตวัดฉับในบัดดล สายลมและเสียงกึก ๆ ของฝีเท้าควายธนูสองตัวที่โผนโจนเข้ามาสุดแรง ความไวของอาวุธเวทตรงหน้าไม่ธรรมดาเลย ทันทีที่เขากระโจนขึ้นเหนือพื้นมันก็ปักขวิดลงตรงตำแหน่งที่เขายืนอยู่เมื่อวินาทีก่อน ขณะที่ตัวที่สองพุ่งตรงเข้ามาไม่หยุด

เมืองอินทร์หมุนกายวูบดีดตัวออกจากจุดที่สองก็ยังเรียกว่าเฉียดฉิวเพราะเขาข้างหนึ่งของควายธนูปักเข้าที่ชายเสื้อสีขาว กรีดชายเสื้อขาดเป็นทางยาวติดปลายเขาของมัน เสียงหัวเราะลั่นของจอมคาถาที่ตวัดข้อมือสองข้างไปมาอย่างสนุกราวกับกำลังบังคับวิทยุอยู่

“เจ้าไม่คิดรึว่า ข้าสร้างควายธนูได้ ข้าก็สร้างร่างจำแลงให้ดวงจิตเจ้าได้เช่นกัน !”

ประโยคนั้นทำให้เมืองอินทร์ตัวชาวาบ...ใช่...ไสยมืดทำได้ทุกสิ่งแม้แต่คุมกายหยาบหรือสร้างกายใหม่ก็ตาม

ยามนี้เขานึกอะไรไม่ออกเลย แม้จะกำเนิดจากหมู่บ้านจอมคาถาสายขาว แต่เพราะไม่เคยเรียนคาถาอาคมใด ๆ จะสู้กับจอมขมังเวทผู้ชั่วร้ายได้อย่างไรกัน !

…จิตเป็นนาย...กายเป็นบ่าว...คำสอนของพ่อยักษ์ดังขึ้นกลางหัว ตอนที่พ่อสอนให้เขาสวดมนต์ครั้งแรก

“อิติปิโส ภควา อะระหัง สัมมา....” อาคมเดียวที่นึกออกยามนี้คือคาถาสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า ไอละอองสีขาวสะอาดพรูออกมาจากกึ่งกลางอกล้อมเป็นเกราะแก้วคุ้มภัยให้เมืองอินทร์ ควายธนูอาคมทั้งสองตัวตรงหน้าออกอาการกระสับกระส่ายและค่อย ๆ ถอยกรูดไปทีละนิด ๆ วงล้อแก้วมณีสีขาวกระจ่างตาค่อย ๆ สว่างวาบขึ้นเรื่อย ๆ ท่ามกลางความมืดมิด

...แต่ต่อให้สวดมนต์และบริกรรมคาถาเท่าใด หากเขาหยุดสวดคาถาเมื่อไหร่ นั่นคงเป็นจังหวะที่จอมขมังเวทจะจู่โจมเป็นแน่

...ไม่มีเวลาแล้ว...ทางเดียวตรงหน้าคือหวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตรงหน้า พระวิหารอยู่ตรงหน้านี้เอง แค่ราวสิบเมตรเท่านั้น

เมื่อสิ้นเสียงบริกรรม เมืองอินทร์ก็รีบตวัดดาบกลับคืนฝักก่อนจะถลากระโจนไปทางเขตขันธสีมา...พระวิหารสีขาวและพระประธานอยู่อีกไม่ไกล...

ขุนศรีจอมคาถาแสยะยิ้มอีกรอบก่อนจะสะบัดมือขึ้นในอากาศ ฝูงอีกาดำจำนวนมากกลุ้มรุมตรงเข้ามาที่ร่างโปร่งใสตรงหน้า

“อ๊ากกกก....” ปากที่ดำสนิทและคมราวกับเหล็กกล้าของอีกามนตราจิกปักเข้าที่ท่อนแขนของเมืองอินทร์ กระชากเสื้อสีขาวเป็นริ้ว ทันใดนั้นเสียงบริกรรมคาถารัวเร็วดังขึ้นจากด้านหลัง บ่วงบาศสีดำสนิทคล้องมับเข้าที่คอของเขาก่อนจะกระชากวิญญาณสีขาวบริสุทธิ์มาจนชิดกายของจอมขมังเวท เสียงกระซิบบริกรรมจากด้านหลังและแรงดึงรั้งเชือกบาศทำให้เมืองอินทร์ลอยขึ้นในอากาศ ใบหน้าหงายเริ่ดลำคอแดงฉานราวกับถูกนาบด้วยเชือกเพลิง ริมฝีปากเริ่มมีเลือดสีเข้มรินออกมา

“อั๊กก...” เสียงหายใจของเจ้าตัวเริ่มแผ่วลง ขณะที่ร่างด้านหลังหยักยิ้มอย่างสมปรารถนา ดวงตาวาวโรจน์

“อย่าเพิ่งหนีไปไหนสิ...อ้ายอินทร์ เรื่องสนุก ๆ เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น จะให้อ้ายสีห์สนุกกับข้าคนเดียวดอกรึ..”

“ปล่อยข้า อ้ายขุนศรี ! เจ้ากำลังทำบาปและลากทุกชีวิตมาพินาศใต้ตัณหาและความบ้าคลั่งของเจ้า !”

“ความบ้าคลั่งรึ ! คนที่สูญเสียเมียและลูก เสียทุกอย่างในชีวิต ถูกกดใต้ฝ่าเท้าคนอื่นมาตลอดชีวิตอย่างข้า ! เจ้ายังมีหน้ามาเรียกหาความยุติธรรมอีกรึ มีใครยุติธรรมกับชีวิตกูบ้าง !”

สีหน้าของขุนศรีเริ่มบิดเบี้ยวเป็นสีดำคล้ำ ร่างแท้จริงที่เกิดจากจิตโสมมส่งกลิ่นเหม็นเน่าเกินบรรยาย ใบหน้าปกติค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเน่าเฟะทีละนิด ๆ ตามดวงจิตที่พิกลพิการและชื่นชอบไสยเวทมนตร์ดำ

“มึงกับอ้ายสีห์จะต้องทรมานมากกว่านี้ ข้าจักให้เจ้าได้ตายใต้คมดาบของกันและกัน ! มันจึงจะสาสม !”

พลันนั้นโถดินเผาสีดำสนิทใบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในอากาศ เมืองอินทร์ดิ้นสุดแรงจนไอทิพย์สีขาวกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณนั้น แต่ก็ไม่อาจหลุดพ้นจากเชือกอาคมที่รั้งคอไว้ได้ โถถูกเปิดออกทีละนิด ในนั้นมีบางอย่าง...ที่น่าขยะแขยงเกินทน เมืองอินทร์พยายามเบือนหน้าหลบ แต่หลุมดำมืดตรงหน้าก็ค่อย ๆ ขยับมาใกล้เขา

“อ๊าก ! ปล่อยข้า !” ทันใดนั้นฝาของไหสีดำก็เคลื่อนวูบเข้ามาราวกับมีชีวิต เชือกอาคมสีดำสนิทและลายอักขระขอมโบราณปรากฎที่ปากโถ...

วูบเดียวทุกอย่างก็จบสิ้นลงเหลือเพียงความเงียบและท้องฟ้าที่เริ่มครึ้มและมีเค้าพายุฝน

“คืนนี้เท่านั้น...ก็จะเป็นเวลาที่ข้า...จะได้ทวงแค้นจากพวกเจ้า ! ฮ่าฮ่าฮ่า” เสียงหัวเราะกึกก้องของจอมขมังเวทที่แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเบื้องบน สายฝนโปรยกระหน่ำมาโดยที่ไม่มีวี่แววมาก่อน

โถวิญญาณลงอาคมที่ตรึงด้วยผ้ายันต์อยู่ในมือของจอมขมังเวทย์...

......................................................................

“องค์ยุวนาคราช....” เสียงคนสนิทเอ่ยขึ้นช้า ๆ อย่างเป็นกังวลเมื่อร่างสูงในอาภรณ์แห่งกษัตริย์กึ่งนั่งกึ่งนอน ดูภาพเหตุการณ์ตรงหน้าผ่านแก้วมณีด้วยสายพระเนตรนิ่ง ๆ คล้ายตกอยู่ในภวังค์ของตนเอง อาการถอนพระปัสสาสะเบา ๆ และคิ้วที่เริ่มขมวดมุ่นนิด ๆ ของยุวนาคราชทำให้คนรอบข้างเริ่มกังวล

“ปล่อยให้เหตุการณ์เป็นเช่นนี้...ดีแล้วฤาพระเจ้าข้า เราควรจะเร่งบอกเรื่องนี้กับเบื้องบนหรือไม่...หรืออย่างน้อย...ก็คนของยมโลกให้ทราบ” ประโยคคำถามของคนสนิทนั้นทำให้วสุธาบดีนาคราชเหลือบมองคนสนิทเล็กน้อย

“สินธูเอ๋ย...กรรมมีเส้นทางของมันเอง แม้แต่ข้าผู้เป็นบดีแห่งพิภพปาตาลยังมิอาจก้าวล่วงกระแสแห่งกรรมของตนเอง ไหนเลยจะเข้าไปก้าวล่วงกระแสกรรมของพวกเขาทั้งสองได้ ข้าได้แต่หวังว่า มณีนาคาที่ข้าให้เขาไปจักเป็นประโยชน์กับเขาผู้นั้น...”
แม้จะเอ่ยเช่นนั้น แต่สำหรับคนสนิทที่หมอบอยู่แทบเท้าของยุวนาคราชรู้ดีจากอาการกำพระหัตถ์แน่นขึ้นนิด ๆว่า ผู้กล่าวเองก็อยู่ในความกังวลใจมิน้อยเลยทีเดียว ขณะที่อีกผู้หนึ่งที่อยู่ใกล้ถามขึ้นเบา ๆ

“มณีนาคา เป็นแก้วมณีล้ำค่าของแดนปาตาล มนุษย์ผู้นั้นจักสมควรได้รับมันฤาพระเจ้าข้า”

“สรภู...หากมีคนเอื้อเฟื้อแก่เจ้าในยามเจ้าอ่อนแอ เจ้าจักทำเยี่ยงไร...”

“มีโอกาสคราใด...จักต้องทดแทนพระเจ้าข้า”

“แล้วหากเป็นน้ำผึ้งหนึ่งหยด หรือ อาหารหนึ่งมื้อ ก็ต้องตอบแทนใช่ฤาไม่...ข้าเองก็ไม่ต่างจากเจ้า” องค์ยุวนาคราชตอบเบา ๆ สายตาคมมองนิ่งไม่เปลี่ยนจากแก้วมณีตรงหน้า ความมืดสนิทกำลังปกคลุมพื้นที่ในโดมมิติวิญญาณแห่งนั้น...ไอเวทสีดำสนิททำให้ทั้งบริเวณแทบกลายเป็นแดนร้าง แม้แต่สิ่งมีชีวิตยังต้องหนี รวมถึงเหล่าเทวาต่าง ๆ ที่อยู่ในภูมิที่ต่ำกว่ายังต้องหลบเร้นชั่วคราวเพราะเพลิงร้อนของจอมขมังเวทตรงหน้า

วสุธาบดีนาคราชลอบถอนหายใจเบา ๆ ก่อนนึกถึงภาพนายพรานวัยหนุ่มฉกรรจ์ผู้หนึ่งที่ยื่นกระบอกน้ำผึ้งสดให้กับร่างแปลงมานพน้อยที่ทรุดกายหมดแรงอยู่หลังจากออกจากการเจริญกสิณเมื่อ 400 ปีก่อน รอยยิ้มและไมตรีอารีของพรานหนุ่มหวนกลับเข้ามาในความทรงจำ เมืองอินทร์ในชาตินี้ ก็คือ นายพรานหนุ่มในอดีตชาติอันไกลโพ้น พรานที่ไม่มีฝีมือในทางสังหารผู้ใด ทำได้เพียงหาของป่าเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ยอมยกกระบอกน้ำผึ้งให้ผู้ที่กระหายและหมดเรี่ยวแรงในวันนั้น ยุวนาคราชเผยอยิ้มนิดหนึ่งเมื่อนึกถึงภาพนั้น

“ข้ากับมนุษย์ผู้นั้นมีวาสนาต่อกัน เขาเคยเป็นทั้งพี่น้อง เป็นสหายของข้าและเป็นผู้ช่วยชีวิตข้า พวกเขาทั้งหมดนั้นล้วนเคยพัวพันกันมาแต่อดีตชาติ และมันจักสิ้นสุดลงในชาตินี้”

“แต่หากดวงจิตนั้นกลายเป็นภาชนะแห่งศาสตร์มืดมนตร์ดำ...จะมีใครหยุดสิ่งนั้นได้เล่าองค์ยุวนาคราช” เสียงของสินธูรำพัน

“เมื่อถึงเวลา...ข้าเชื่อว่ากรรมจะทำหน้าที่ของมันเอง พวกเจ้าอย่ากังวล” วสุธาบดีนาคราชมองภาพเหตุการณ์ในแก้วมณีตรงหน้านิ่ง ๆ

ใช่แล้ว...ทุกสิ่งล้วนมีเหตุปัจจัยทั้งนั้น...เมื่อถึงเวลาของมัน...มันก็จักเป็นไปตามกระแสกรรม

...ทุกคนมีกรรมเป็นกำเนิด ทุกคนมีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย

จักทำกรรมอันใดไว้ ดีหรือชั่ว...จักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น...

คำกล่าวขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า...อมตะเหนือกาลเวลาเสมอ...

......................................................................

ฺButlerofLOVE: มาต่อกันนะคะ ^^ เรื่องราวใกล้จะจบแล้ววววว
ฝากรักเพื่อจะบอกลา...เศร้าน้าาา
คืนมณีแห่งชีวิตให้เพื่อสีหราชจะได้ไม่ตาย...

ต่างฝ่ายต่างห่วงใยกันและกันจนไม่นึกถึงตัวเองเลย T T

 :mew2:
[/color]
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 17/1/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 17-01-2021 11:50:28
ขอให้เป็นกรรมดีน้าาาา
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 17/1/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: Wansusu ที่ 18-01-2021 01:50:36
เมืองอินทร์ต้องรอดดดดดด
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 17/1/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 19-01-2021 22:37:10
CHAPTER
32




ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไร สายลมยามราตรีที่พัดกรูเข้ามาทำให้ลานกว้างที่เคยเป็นที่ตั้งของสำนักตีดาบหลวงเต็มไปด้วยใบไม้แห้งสีน้ำตาลที่พรูร่วงลงเต็มไปหมด ร่างในอาภรณ์สีดำสนิทพร้อมสร้อยสังวาลสีทองยืนนิ่งอยู่กลางลาน มีเพียงแววตาที่ระริกไหวราวเพลิงโชติช่วงที่จ้องตรงมาข้างหน้า ปลายดาบอาคมและไอเพลิงร้อนแรงแห่งยมโลกชี้ลงพื้นดิน เสียงเปรี๊ยะเปรี๊ยะของกองฟืนที่กำลังปะทุตรงหน้าราวกับเป็นระฆังสัญญาณให้บุรุษสองคนที่กำลังยืนประจันหน้ากัน คนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่แผ่นอกกว้างขณะที่อีกผู้หนึ่งร่างเล็กสันทัดกว่ามีผิวสองสี และคล้องสร้อยที่สร้างจากกะโหลกศีรษะมนุษย์ ไอวิญญาณที่เกิดจากไสยเวทมนตร์ดำล้อมกายของจอมขมังเวทไว้ มือของขุนศรีจับไม้เท้าอาคมไว้แน่นพร้อมกับมีป้ายทองคำอยู่ในอกเสื้อตรงหน้า

“พักผ่อน...สบายดีฤาไม่อ้ายสีห์” เสียงหัวเราะในคอเบา ๆ จากจอมขมังเวทตรงหน้า ประโยคนั้นทำให้มือที่กระชับดาบไว้กำแน่นขึ้นกว่าเดิม ดวงตาคมจ้องเขม็งตรงหน้า ก่อนจะสืบเท้าก้าวเข้ามาอย่างระมัดระวัง เปลวเพลิงที่เจ้าตัวจุดขึ้นสร้างกำแพงโดมมิติวิญญาณขนาดใหญ่กว่าเดิมถึงสามเท่า กางกั้นพวกเขาออกจากมิติโลกปัจจุบัน

...ไม่ว่าสิ่งใดที่เกิดขึ้นในโดมนี้ จักไม่มีผลใด ๆ กับโลกภายนอกเด็ดขาด

“รอบคอบ ๆ เจ้านี่รอบคอบ น่าชมเชยยิ่งนัก...อ้ายสีหราช” น้ำเสียงคนตรงหน้าไม่คล้ายชื่นชมแต่ติดประชดเสียมากกว่า ขณะที่ไอสีดำสนิทเริ่มกระจายตัวไปรอบ ๆ โดมมิติวิญญาณอย่างช้า ๆ

“นี่เจ้าจักไม่ขอบคุณข้าเลยหรือ ที่ให้พวกเจ้าได้มีเวลาอยู่ด้วยกันขนาดนั้น” น้ำเสียงคล้ายกลั้วหัวเราะเบา ๆ

“อ้ายอินทร์อยู่ที่ไหน !” สีหราชตะโกนกร้าว แววตาวาวโรจน์

“หึ...เจ้ายังคิดถึงคู่รักเจ้าอีกหรือ อย่าบอกนะว่าพวกเจ้ายังไม่ได้ร่ำลากัน เพราะถ้าเป็นเยี่ยงนั้นเจ้าคงต้องผิดหวังเสียแล้ว”

สิ้นเสียงก่อกวนนั้น เป็นสีหราชที่โผนเข้าหาขุนศรี เงาสีดำสนิทพร้อมละอองทองคำถลาวูบเข้ามา ประกายดาบเพลิงวิญญาณในมือพุ่งปราด จังหวะดาบของคนตรงหน้ามั่นคงรวดเร็วขณะที่จอมขมังเวทยกไม้เท้าตรงหน้าขึ้นมารับแรงปะทะก่อนจะแสยะยิ้ม กระแสของไสยเวทสีดำกลายเป็นม่านกั้นดาบเพลิงวิญญาณแต่แรงปะทะรุนแรง ทำให้ร่างจอมขมังเวทถลาถอยร่นไปด้านหลัง ดินทรายและฝุ่นตรงหน้าฟุ้งกระจายทันที อาภรณ์ส่วนหนึ่งขาดด้วยพลังของดาบเพลิงวิญญาณ จิตสังหารพลุ่งพล่านที่ออกจากร่างตรงหน้าแทบจะข่มจอมขมังเวทตรงหน้า แต่เป็นขุนศรีที่กระโดดถอยหลังเพียงนิดก่อนจะหัวเราะอย่างสะใจ

“ข้ารู้ดีว่าข้าไม่ใช่คู่มือของเจ้าในเชิงดาบแน่ สีหราช !” 

“แต่ข้าก็ไม่เป็นรองใครในทางมนตราเช่นกัน !”

ว่าแล้วมือสองข้างสะบัดวูบพร้อมกับบริกรรมคาถา ลมกระโชกเข้ามาวูบหนึ่งพร้อมกับไอสีดำสนิทที่ม้วนตัวขึ้นมาจากความมืด ความมืดสนิทจากไอดำนั้นค่อย ๆ คลุมไปทั่วพื้นดินตรงหน้า สีหราชเบิกตาโพลงก่อนจะกลับตัวทันควันและลอยอยู่เหนือพื้นก่อนจะกวาดตามองโดยรอบ พื้นดินที่เคยนิ่งสนิทกลับค่อย ๆ ขยับตัวเบา ๆ พร้อมกับโครงกระดูกจำนวนมากที่ค่อย ๆ ขุดตัวเองขึ้นมาจากกองดิน ร่างแต่ละร่างนั้นเป็นเหล่าอสุภะทั้งสิ้น แต่ละตัวล้วนใหญ่โตและมาพร้อมกับดวงตาแดงฉาน

...กองทัพอสุภะมหาศาลขนาดนี้ มันเอามาจากที่ไหน !...

“โอม...เลือดเนื้อ ความแค้น แลเพลิงอาฆาตทั้งปวง ไม่ว่าเจ้าจะเป็นเถ้าหรือธุลี ขอเหล่าอสุภะจงปรากฏ !”

เสียงตะโกนของจอมขมังเวทดังลั่น ป้ายทองคำผ่านทางโลกวิญญาณกำลังทำหน้าที่ของมัน ! ใต้แผ่นป้ายทองคำดังกล่าวปรากฎเป็นหลุมดำมืดกลางอากาศที่มีแต่ผงสีขาวปนเทาลอยออกมาไม่ขาดสาย และยิ่งนานไปผงดังกล่าวค่อย ๆ จับตัวกลายเป็นอสุภะจำนวนมาก

...ใช้อำนาจของป้ายทองคำล่อลวงเอาวิญญาณที่ต้องไปเกิดและซากธุลีของเถ้ากระดูกมาสร้างกองทัพตนเอง !

ขุนศรีมันบ้าไปแล้ว !

เพลิงสีทองปนไอเวทดำมืด เรียกเอาฝุ่นเถ้าธุลีของเหล่าผู้เสียชีวิตรอบ ๆ หมู่บ้านแห่งนี้และทั้งหมดในอาณาบริเวณใกล้เคียงมาทั้งหมด สีหราชกัดกรามแน่นด้วยนึกรู้คาถาดังกล่าว

...ตลอดสองสามร้อยปี...ทุกแห่งล้วนมีกองฟอนสำหรับผู้วายชนม์ เมื่อสิ้นบนกองฟอนแล้ว...เหลือทิ้งไว้เพียงเถ้าธุลีของผู้วายชนม์บางส่วนบนผืนดิน หากแต่ความเคียดแค้นเพลิงอาฆาตของวิญญาณบางตนอาจยังวนเวียนอยู่บนโลก

ขุนศรี...ดึงพลังความแค้น ความอาฆาตของวิญญาณเหล่านั้นมา !

“พลังของป้ายทองคำสะดวกยิ่งนัก...สั่งการได้ทุกสิ่ง” ป้ายทองคำที่ลอยคว้างในอากาศตรงหน้ากำลังหมุนเร็วราวจักรผันพร้อมไอสังหารสีดำสนิทที่สั่งการมัน

“ทุกสิ่งย่อมต้องแลกเปลี่ยน เจ้าสั่งการความเคียดแค้นเจ้าจักต้องหล่อเลี้ยงพลัง แล้วเจ้าจักใช้สิ่งใดสังเวยเพื่อความปรารถนาของเจ้า !” สีหราชโผนตรงเข้าไปพร้อมกับดาบเพลิงวิญญาณ แต่ก็ต้องปะทะกับกองทัพอสุภะก่อนจะทันเข้าถึงตัวขุนศรี

“วิญญาณเร่ร่อนละแวกนี้มีมากมาย...เป็นอาหารอย่างดีให้กับเพลิงแค้นของข้า !” สิ้นเสียงนั้นขุนศรีก็ระเบิดหัวเราะลั่นตรงหน้า

เถ้าธุลีและโครงกระดูกที่ถูกเวทอาคมของคนตรงหน้าค่อย ๆ รวมตัวกันขึ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ สีหราชร่อนลงบนพื้นดินก่อนจะขยับดาบในมือมั่น แล้วตวัดชี้ไปหาจอมขมังเวทตรงหน้า ดวงตาคมกราดเกรี้ยวชัดเจน

“วิญญาณเร่ร่อนเหล่านี้ไม่เคยทำร้ายอะไรเจ้า เจ้าทำแบบนี้กับพวกเขาไม่ได้ !” เจ้าตัวโผนปราดเข้าไปปะทะอีกคราทันควัน แต่จอมขมังเวทตรงหน้าสะบัดเขวี้ยงหุ่นพยนต์สองสามตัวในร่างอสูรขึ้นมาปะทะตรงหน้า ท่อนแขนของหุ่นพยนต์แต่ละตัวล้วนใหญ่ราวกับซุงขนาดยักษ์ สีหราชรีบกระโดนหลบก่อนจะฟันดาบเพลิงวิญญาณลงไปบนท่อนแขนของหุ่นพยนต์ดังกล่าว บางตนแขนขาดแต่เมื่อเป็นเพียงหุ่นไร้ความเจ็บปวดมันก็ยังคงดาหน้าเข้ามาหายมทูตหนุ่มเช่นเคย

...อสูรที่ไร้ความเจ็บปวดย่อมไม่เกรงต่อดาบเพลิงวิญญาณ...

“ทุกแห่งล้วนมีซากอสุภะอยู่ทั้งนั้น วิญญาณเหล่านี้ก็เป็นเพียงทาสของข้าเท่านั้น สีหราช !”

ขณะที่อีกด้านหนึ่งไอสีดำสนิทค่อย ๆ ไหลแทรกเข้าไปในร่างโครงกระดูกเหล่านั้นและขยับมันราวกับมีชีวิต ดวงตาสีแดงก่ำในเบ้าตาที่กลวงตรงหน้าจ้องสีหราชแน่วแน่ ก่อนที่ร่างเหล่านั้นจะเดินตรงทื่อเข้ามาหายมทูตหนุ่ม คลื่นอสุภะจำนวนมากเดินตรงลิ่วถาโถมเข้ามาหาเขา ทำให้ทั้งบริเวณลานกว้างกลายเป็นทะเลโครงกระดูกที่เต็มไปด้วยกลิ่นคลื่นเหียนของซากของเน่า แม้ว่าสีหราชจะตวัดดาบเพลิงวิญญาณใส่ร่างเหล่านั้นจนแตกกระจายแล้ว แต่ร่างเหล่านั้นกลับพลิกฟื้นขึ้นมาอีกคราเมื่อต้องแสงจันทรา

...ขืนเป็นอย่างนี้คงไม่อาจเข้าใกล้ขุนศรีได้แน่ ! สีหราชกัดกรามแน่น

เมื่อโครงกระดูกเหล่านี้ล้วนเกิดจากธาตุทั้ง 4 มาประชุมกัน ข้าก็จักสลายมันให้สิ้น !

เชือกบาศประจำกายของสีหราชถูกเจ้าตัวคว้าขึ้นมาสร้างเป็นวงกลมสายสิญจน์สีขาวสะอาดที่กั้นเขาและเหล่าอสุภะจากกัน ในวงล้อเพลิงยมโลก สีหราชตัดสินใจสะบัดเลือดของตนเองในอากาศก่อนจะร่ายมนตราแห่งธาตุทั้ง 4

“ปฐพี อนิจฺจา วาโย อนิจฺจํ เตโช อนิจฺจา อาโป อนิจฺจํ ! อสุภ วินาโส !”   

แสงสว่างสีทองวาบขึ้นจากอาวุธคู่กายสีหราช เมื่อสีหราชหลับตาบริกรรมอาคมแล้วทิ่มปลายดาบเพลิงวิญญาณลงสู่พื้นดิน แสงสว่างที่ไหลลงสู่พระแม่ธรณีแล่นปราดกระจายไปทั่วทุกทิศ ทำให้โครงกระดูกอสุภะทุกตนที่ยืนอยู่บนพื้นดินเป็นอันต้องชะงักไปในทันที ไม่กี่วินาทีจากนั้นร่างที่สร้างขึ้นจากโครงกระดูกพลันร้าวทีละนิดและระเบิดแตกจากภายในด้วยแสงสว่างเจิดจ้าจากภายในและร่วงลงบนพื้นดินตามเดิม และแล้วกลิ่นเหม็นจากเศษซากอสุภะที่คลื่นเหียนอยู่เมื่อครู่พลันหายไปและแทนที่ด้วยกลิ่นหอมกำจายคล้ายกลิ่นมะลิสดลอยน้ำที่กรุ่นอยู่ที่ปลายจมูกของสีหราช

...ทุกสิ่งล้างได้ด้วยอำนาจพุทธคุณ...

สีหราชขนลุกซู่ก่อนจะกระโจนเข้าไปตรงหน้าร่างจอมขมังเวทแล้วฟันดาบลงไปทันควัน แต่แล้วร่างนั้นกลับหายวับไปต่อหน้าต่อตา สีหราชเบิกตากว้างก่อนจะกระชับดาบในมือแน่นเข้า

...คาถากำบังกาย...

“ไม่เลว ๆ ดูท่าข้าจะเล่นสนุกกับเจ้าได้อีกพักใหญ่เลยทีเดียว สีหราช...” เสียงหัวเราะที่ก้องโดมมิติวิญญาณตรงหน้า ดวงตาวาววับของขุนศรีฉายฉานก่อนจะประสานมือสองข้างแล้วเป่าพรูทันควัน ทันใดนั้นเมล็ดข้าวเล็ก ๆ กลับกลายเป็นค้างคาวจำนวนมากกรูเข้าหาร่างยมทูตหนุ่ม เสียงร้องเซ็งแซ่ของฝูงค้างคาวจำนวนมากดังก้องแนวป่า

สีหราชเบิกตากว้างก่อนจะกระโดดหลบแล้วประนมมือเข้าด้วยกันก่อนจะเกิดลูกไฟขนาดใหญ่อยู่กลางอก จากนั้นจึงแตกออกเป็นลูกไฟขนาดเล็กจำนวนมากในการดีดนิ้วมือครั้งเดียว เพลิงจากยมโลกสว่างเจิดจ้าและบินวนเองราวกับมีชีวิตรอบกายสีหราชราวกับเป็นโล่ห์กำบังเขาจากฝูงค้างคาวอาคม ทำให้ฝูงค้างคาวเลือดผงะบินหลบหลีกเป็นพัลวัน มีบ้างที่บางตัวใจกล้าโฉบเข้าใกล้ร่าง ปีกที่คมกริบราวกับใบมีดโฉบเข้ามาฟันต้นขาของยมทูตหนุ่ม เลือดหยดลงบนดินทำให้ยมทูตหนุ่มเคลื่อนไหวช้าลง

สัตว์คาถาอย่างค้างคาว...ก็ย่อมกลัวแสงสว่าง...

เจ้าตัวกัดกรามแน่นก่อนจะตวัดดาบในคราเดียวฟันกิ่งโมกที่อยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะริดดอกโมกสีขาวบริสุทธิ์ตรงหน้ามาถือไว้ในมือก่อนจะกลั้นใจบริกรรมคาถา

“นารา ปาตุภว ! (แสงสว่าง จงปรากฏ)”

ทันใดนั้นกลีบดอกโมกก็พลันเปลี่ยนระเบิดเป็นแสงสว่างจำนวนมากในคราเดียว ทำให้ป่าในยามราตรีสว่างเจิดจ้าไม่ต่างจากเวลากลางวัน ค้างคาวผีทั้งหมดเมื่อถูกแสงสว่างเข้าฉับพลันก็กรีดร้องลั่นในคราเดียวก่อนจะสลายวับกลายเป็นเมล็ดข้าวสีดำสนิทร่วงลงบนพื้นดิน

...มันโจมตีด้วยหุ่นพยนต์ได้...แต่อ้ายขุนศรียังไม่ทำ ราวกับว่ามันกำลังถ่วงเวลาบางอย่าง...

 เมื่อครู่ค้างคาวอาคมสีดำสนิทจำนวนมากทำให้เขาไม่ทันสังเกตเห็นความผิดแปลกบางอย่าง หุ่นพยนต์ที่ขุนศรีเสกออกมาเมื่อครู่มีไม่ต่ำกว่า 4-5 ตัว แต่เขาเพิ่งจัดการไปได้เพียง 2 แล้วที่เหลือเล่า ? แต่ก่อนที่สีหราชจะทันขยับตัวก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเสียงคึ่ก ๆ ดังขึ้นจากป่าด้านข้าง

แย่แล้ว !

เสียงจอมขมังเวทหัวเราะลั่นก่อนจะเหยียบยืนบนกิ่งไม้ใหญ่เหนือหัวขึ้นไป ขณะที่หุ่นพยนต์สามตัวอยู่คนละมุมกันและมีเขาอยู่ตรงกลาง สีหราชโผนกายออกจากจุดอับนั้นแต่เหมือนจะช้าเกินไป เพราะทันใดนั้นเส้นผมสีดำสนิทที่ชวนให้สะอิดสะเอียนยาวไม่มีที่สิ้นสุดพุ่งออกมาจากปากของหุ่นพยนต์สองสามตัวตรงหน้าก่อนจะม้วนพันแขนและขาของเขาทั้งสองข้างราวกับว่ามันมีชีวิต ขณะที่หุ่นพยนต์ตัวสุดท้ายลอยอยู่เหนือร่างเขา รั้งลำคอของเขาไว้ด้วยเชือกอาคมสีดำสนิท ยามนี้ร่างของสีหราชถูกลากขึ้นไปตรึงกลางอากาศ ความเหม็นคลุ้งจากชิ้นส่วนของคนตายอวลตลบไปทั่วบริเวณ

ร่างของขุนศรีค่อย ๆ ลอยลงมาหยุดตรงหน้าเขา เว้นระยะราวหนึ่งช่วงแขน สีหน้าของขุนศรีดูคล้ายสมเพชและสะใจระคนกัน
“เวลาผันผ่านไป 200 ปี ข้าเฝ้านับวันเวลาที่จะทำเช่นนี้...ทุกคืน”

สายตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้นของขุนศรีชะโงกเข้ามาใกล้ มีเพียงแววตาของสีหราชที่บอกชัดว่าหากเขาสามารถจุดไฟด้วยสายตานี้ได้ ขุนศรีจักต้องมอดไหม้เป็นเถ้าอยู่ตรงนี้

นิ้วมือหยาบกระด้างไล้ไปตามท่อนแขนของสีหราช ท่อนแขนล่ำสันของยมทูตหนุ่มถูกตรึงแน่นด้วยเส้นผมสีดำสนิทกลางอากาศ ไม้เท้ามนตราอยู่ในมือซ้ายคนตรงหน้า สายตาหยามหยันของร่างสันทัดตรงหน้าจ้องสีหราชอย่างคั่งแค้น ทันใดนั้นไม่มีสัญญาณใด ๆ เลย เจ้าตัวยิ้มเย็นก่อนจะฟาดไม้เท้าเข้าที่หน้าของสีหราชเต็มเหนี่ยว ! ใบหน้าคมสะบัดเริ่ดตามแรงฟาดก่อนจะถ่มน้ำลายและเลือดที่กบปากออกมา แววตาของราชสีห์ร้ายจ้องคนตรงหน้าไม่วางตา แต่ริมฝีปากหยักยิ้มเหยียดหยันชัดเจน หยดเลือดไหลย้อยลงมาจากหน้าผากซ้าย

สายตานั่นทำให้ขุนศรีต้องกัดกรามแน่นเพราะมันไม่ได้เป็นแววตาของผู้แพ้เลยสักนิด

“จะสังหารข้าก็ไม่ต้องพิรี้พิไร ทีเจ้าแล้ว ก็จัดการไป แต่อย่าหวังว่าเจ้าจักรอดไปได้ !”

ขุนศรีหัวเราะลั่นกลางอากาศก่อนจะเอาไม้เท้าอาคมเขี่ยปลายคางของยมทูตหนุ่มที่หัวคิ้วแตกเลือดเลอะเปรอะใบหน้าคม ร่างสูงของสีหราชถูกมัดแน่นทั้งแขนและขาลอยอยู่กลางอากาศ ขุนศรีพยักหน้านิดหนึ่งหุ่นพยนต์ทั้งหมดจึงลากเอาร่างสีหราชลงมาแตะพื้น แต่ก็เป็นจอมขมังเวทที่เตะเข้าที่ข้อพับทำให้สีหราชทรุดลงคุกเข่ากับพื้น ดาบเพลิงวิญญาณหายวับ เลือดที่ไหลโซมจากต้นขาซ้ายค่อย ๆ รินลงมาบนพื้นดิน

...สติที่เริ่มพร่าเลือนเพราะกลิ่นชวนสะอิดสะเอียนของเส้นผมยาวสีดำที่พันมัดทั้งแขนขาไว้ จนทำให้ไม่เหลือสมาธิใด ๆ

“ทำไมอยากรีบร้อนตายเสียนักเล่าอ้ายสีห์..เรื่องสนุกเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น”

“ความตายมันแค่ครู่เดียวเท่านั้น...ข้าไม่ให้เจ้าสบายง่าย ๆ เช่นนั้นหรอก ความทรมานที่ข้าต้องทนรับมาตลอด...เจ้าก็ต้องรับมันไม่ต่างกัน !”

ทันใดนั้นจอมขมังเวทก็ดีดนิ้วคราหนึ่งพลันปรากฏโถสีดำสนิทลอยอยู่กลางอากาศหนึ่งใบ ลักษณะดังกล่าวจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก โถบรรจุวิญญาณ ! ตราอักขระอาคมที่อยู่บนโถสีดำสนิทค่อย ๆ ส่องแสงสว่างเจิดจ้าขึ้นทีละน้อย สีหราชจ้องโถดังกล่าวเขม็งก่อนจะตาโตแล้วพยายามกระชากตนเองออกจากพันธนาการตรงหน้า แต่ก็ยังไร้ผลเพราะถูกหุ่นพยนต์กว่า 4 ตัวตรึงร่างเขาไว้แน่น

“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ อ้ายศรี !” ดวงตาคนตรงหน้าแดงก่ำ หายใจหอบแรง

กลิ่นหอม...ที่คุ้นเคยคล้ายจะอยู่ตรงนั้น ! เมืองอินทร์ถูกกักอยู่ในนั้น !

“ตัวเองยังเอาตัวไม่รอด...ยังไปคิดถึงอ้ายอินทร์อีก...พวกเจ้านี่สมกันดีจริง ๆ” ขุนศรีหัวเราะลั่นตรงหน้า ไอเวทสีดำวนรอบโถวิญญาณตรงนั้น

“ไม่ต้องห่วงหรอก ข้ามันคนใจดี...ที่อยากเห็นคู่รักเข่นฆ่ากันเอง...”

“...ยังไงเสีย ข้าก็ต้องการเลือดและตบะยมทูตของเจ้านิดหน่อย เพื่อคืนชีพให้กับจิตและร่างกายที่ข้าสร้างขึ้นใหม่” เจ้าตัวเหยียดยิ้มหยัน

เพราะสีหราชเป็นผู้ปลดผนึกความทรงจำ ดังนั้นการปลุกพลังมืดในครานี้จึงต้องอาศัยเลือดของสีหราชอีกครั้งหนึ่ง แม้เจ้าตัวจะดิ้นแต่เส้นผมสีดำสนิทกลับมัดเขาไว้แน่นขึ้นเรื่อย ๆ

“...ในตำราไสยเวทของข้า ข้าสะสมสิ่งต่าง ๆ น่าสนใจไว้เยอะ อย่างเช่น กระดูกเจ็ดป่าช้าและบรรดาของอาคมต่าง ๆ ข้าทุ่มสุดตัวให้ดวงจิตของอ้ายอินทร์เชียวนะ เดี๋ยวเจ้าก็จะรู้ว่าข้าชอบพวกเจ้ามากแค่ไหน ฮ่าฮ่าฮ่า....”

กริชชวาเล่มหนึ่งถูกเดาะขึ้นในมือของขุนศรี สีหราชสูดลมหายใจพลัน...เขาเขมันมองมันก่อนจะจิกมือตัวเองแน่นขึ้น เพราะจดจำได้ว่าคือกริชเล่มที่เคยปักเข้ากลางหลังของเมืองอินทร์ในวันนั้น

จอมขมังเวทขุนศรียืนนิ่งก่อนจะให้หุ่นพยนต์กระชากร่างของสีหราชขึ้นมา แท่นบูชาสำหรับวางโถวิญญาณปรากฎขึ้นตรงหน้า สีหราชพยายามขืนตัวไว้แต่ก็สิ้นหวังเพราะหุ่นพยนต์ตรงหน้าถึง 4 ตัวด้วยกัน อีกทั้งในยามราตรีมณิสูงสุดคืนนี้เหมือนกำลังแรงเขาหายไปเกือบหมด เทวะทั้งหลายกำลังอยู่บนสวรรค์ย่อมไม่เห็นว่าพิภพตรงหน้ากำลังเกิดกลียุคสิ่งใดบ้าง

“ขอเลือดยมทูต...ของขวัญจากพิภพสวรรค์และนรกภูมิ !”

พลันนั้นกริชชวาตวัดฉับเข้าที่ข้อมือของสีหราช หยดเลือดชุ่มโชกบนกริชชวาตรงหน้าก่อนจะลอยไปหยดลงบนฝาโถบรรจุวิญญาณ ทันทีที่โลหิตของสีหราชหยดลงบนโถสีดำ อาคมอักขระบนโถพลันระริกไหวก่อนจะมีเสียงหวีดร้องโหยหวนออกมาจากโถตรงหน้า สีหราชเบิกตาโพลงกับภาพตรงหน้า เพลิงสีเขียวเข้มอมน้ำเงินคล้ายโหมไหม้โถบรรจุวิญญาณนั่น ขุนศรีหัวเราะอย่างสมใจ

“กว่าพันปีที่ผู้คนตามหาเด็กแห่งชะตากรรม ข้ากลับได้มาโดยง่าย พลังศาสตร์มืดที่จะทำลายยมโลกให้ย่อยยับ !”
ใบหน้านั้นหันมองสีหราชด้วยความสะใจ

“ในโถนั่นนอกจากมีดวงจิตของคนรักเจ้า ข้ายังใส่กระดูกเจ็ดป่าช้าลงไปด้วยเพื่อสร้างร่างใหม่ให้มัน อาคมของข้าจากป้ายทองคำผ่านทาง และเมื่อได้เลือดของเจ้า มันจักกลายเป็นทาสที่ทรงพลานุภาพที่สุดของไสยเวทมนตร์ดำ !”
เพียงชั่วพริบตาที่ขุนศรีละสายตาจากสีหราช เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

สีหราชกำมือแน่นก่อนจะกลั้นใจร่ายคาถาสะกดด้วยมนตราหัวใจพาหุง

“พา มา นา อุ กา สะ นะ ทุ!”

ทันใดนั้นอาคมที่พันธนาการร่างยมทูตหนุ่มพลันมอดไหม้กลายเป็นจุณในพริบตา เส้นผมสีดำที่เหม็นคลุ้งพลันไหม้ไม่เหลือชิ้นดีทำให้หุ่นพยนต์ที่ตรึงร่างของสีหราชไว้กระเด็นไปคนละทิศละทาง ดาบเพลิงวิญญาณถูกเจ้าของร่ายขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะสะบัดดาบไปยังโถบรรจุวิญญาณที่อยู่ไม่ห่างจากตัว ขุนศรีตาลุกโพลงก่อนจะกระโดดหลบให้พ้นรัศมีวงดาบตรงหน้า

แต่ก่อนที่ดาบเพลิงวิญญาณจะถึงแท่นบูชา โถสีดำสนิทบรรจุวิญญาณตรงหน้าพลันแตกกระจาย ไอวิญญาณสีดำมืดพวยพุ่งขึ้นกลางอากาศ เงาดำจัดที่ผสานรวมเข้ากับกระดูกวิญญาณร้ายอย่างสมบูรณ์ ร่างสูงพลันลอยขึ้นแหงนหน้ารับแสงจันทราสีเลือดที่อยู่ตรงหน้า

ร่างเมืองอินทร์อยู่ในอาภรณ์สีดำสนิทสูงสง่าเหมือนเฉกเช่นเมื่อ 200 ปีที่แล้ว ผิดก็เพียงร่างนั้นไร้แววมีเพียงกลิ่นอายกระหายเลือดที่ชัดเจนออกจากร่างนั้น คิ้วเข้มดวงตาที่เคยหวานสดใสกลายเป็นดวงตาคมกริบ ผมที่เคยสั้นยามนี้ยาวสยายเป็นสีดำสนิทเรียบลื่นราวกับแพรชั้นดี เรือนผมตรงกลางศีรษะกลายเป็นสีเงินยวงยาวสยายร่วงลงมาสองปอย ตรงข้อมือยามนี้มีรอยสักอาคมไสยมืดสีดำสนิทปรากฎขึ้นบนข้อมือทั้งสองข้าง

รอยสักดังกล่าวราวกับมีชีวิตและมันกำลังวนเคลื่อนขึ้นไปจากข้อมือจนปรากฎคล้ายเป็นรอยรัดเกล้าสีดำสนิทที่กึ่งกลางหน้าผาก มณีแดง...ที่เคยอยู่บนแผ่นป้ายทองคำผ่านทางโลกวิญญาณยามนี้กลับไปปรากฎที่หน้าผากคนตรงหน้า ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำไร้แววใด ๆ ว่าจะจดจำเขาได้

สายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมากลางโดมมิติวิญญาณตรงหน้า ! ดวงตาสีแดงเพลิงวาวโรจน์ก่อนจะหันไปหาจอมขมังเวท

“...เมืองอินทร์...” เป็นสีหราชที่เผยอปากได้เพียงเล็กน้อย เหมือนเสียงเขาจะหายไป...



ButlerofLOVE : เมื่อวานเผลอหลับไปก่อนเลยไม่ได้เอานิยายมาลง ขอโทษค่าาา ^^
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 19/1/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: Wansusu ที่ 20-01-2021 00:41:02
ทั้งคู่ต้องผ่านกรรมให้ได้นะ
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 19/1/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 21-01-2021 00:14:52
โหดร้ายยย
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 19/1/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 21-01-2021 01:01:48
CHAPTER
33




หัวใจ...แทบหยุดเต้น เลือดในกายเย็นเฉียบ

ร่างนี้คือ ร่างเดิมของเมืองอินทร์ก่อนจะสิ้นใจในอ้อมแขนเขาเมื่อเกือบ 200 ปีที่แล้ว

“...เมืองอินทร์...”

สายลมที่เคยพัดเอื่อยเมื่อครู่คล้ายหยุดนิ่งสนิท ไม่มีแม้แต่เสียงใบไม้ร่วงสักใบ ร่างนั้นก้าวช้า ๆ ตรงมาไอสีดำสนิทระอุออกจากร่างนั้นราวกับหมอกสีดำ

“มาสิอ้ายสีห์...ข้าจักแนะนำทาสคนใหม่ของข้าให้รู้จัก”

เสียงขุนศรีหัวเราะก้องโดมมิติวิญญาณตรงหน้า แต่เป็นสีหราชที่ไม่อาจละสายตาจากร่างที่กำลังก้าวตรงเข้ามา หูเขาดับไปชั่วคราวไม่อาจได้ยินสิ่งใด...เพราะมีเพียงภาพตรงหน้าเท่านั้นที่เขาตะลึง

ดวงตาของเมืองอินทร์ยามนี้ไร้ซึ่งแววใด ๆ คล้ายไม่รู้จักใครเลย ทั้งร่างมีแต่ความกราดเกรี้ยวและเต็มไปด้วยพลังไสยเวทขั้นสูง เสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงและฟ้าลั่นครืนครั่นก้องโดมมิติวิญญาณ คล้ายมีพลังงานบางอย่างที่ปั่นป่วน...พลังที่มาจากร่างตรงหน้า เพลิงสีเขียวอมน้ำเงินจุดขึ้นบนปลายนิ้วของร่างตรงหน้าแม้จะเป็นดวงไฟเล็ก ๆ แต่หากรู้ว่าเพียงสัมผัสอาจมอดไหม้ในพริบตา

สีหราชกะพริบตาก่อนจะกระโดดถอยหลังทันควันเมื่อร่างนั้นพลันหายวับไปต่อหน้าต่อตา และเป็นดังคาด ดาบสีดำสนิทถูกเจ้าตัวชักออกมาฟันตำแหน่งที่เขายืนเมื่อครู่ แรงปะทะดังกล่าวทำให้พื้นดินตรงหน้าเขย่ากรูและกลายเป็นร่องกรีดบนพื้นดิน แต่เป็นสีหราชที่เบิกตาโพลงอีกรอบเมื่อเงาสีดำสนิทตรงปราดเข้ามาที่เขาอีกครั้ง

วะ...ไวอะไรอย่างนี้ !

สีหราชได้แต่เบี่ยงกายหลบก่อนจะยกดาบขึ้นมาปะทะกับร่างตรงหน้า แต่ก็ทำได้เพียงเท่านั้นเมื่อปลายนิ้วของเมืองอินทร์คีบดาบเพลิงวิญญาณของเขาไว้ เพลิงสีเขียวน้ำเงินปะทะกับเพลิงสีแดงก่ำของยมโลกตรงหน้า ก่อนที่ร่างในชุดสีดำจะสืบเท้าเข้ามาอย่างช้า ๆ แรงดันมหาศาลจากร่างตรงหน้าทำให้สีหราชต้องกัดฟันแน่นและเป็นเขาที่โดนดันจนถอยร่น วูบนั้นเมื่อเงยหน้าสบตาของร่างในอาภรณ์สีดำ เขาก็ตัดสินใจร่ายคาถาเวทปะทะตรง ๆ เพื่อสะบัดให้หลุดจากการเกาะกุม แต่ก็ได้เพียงครู่เดียว เมื่อเมืองอินทร์ปราดเข้ามาปะทะต่อเนื่องไม่ลดละ

ฝุ่นดินคละคลุ้งไปทั่วบริเวณขณะที่หุ่นพยนต์สี่ห้าตัวยืนคุมเชิงอยู่ตรงหน้า จอมขมังเวทขุนศรีกำไม้เท้าอาคมในมือไว้แน่นก่อนจะเหยียดยิ้มใส่ เจ้าตัวหันไปสะบัดไม้เท้าครั้งหนึ่งตรงหน้าก่อนจะปรากฎเป็นหลุมสีดำสนิทขึ้นกลางอากาศ เสียงหวีดร้องโหยหวนของเหล่าวิญญาณที่ตายและยังไม่ได้ไปเกิดอื้ออึงจากหลุมสีดำนั้น ป้ายทองคำผ่านทางกำลังสั่นระริกกลางอากาศอย่างน่ากลัว ไอสีดำสนิทกำลังทำให้ป้ายทองคำกลายเป็นสีดำตามไปด้วย สีหราชเหลือบตามองจอมขมังเวทแล้วตะโกน

“ปิดมิติวิญญาณนั่นเดี๋ยวนี้ อ้ายขุนศรี ! เจ้ากำลังทำลายสมดุลยมโลก !”

“สนใจคู่ต่อสู้ของเจ้าตรงหน้าดีกว่าไหม อ้ายสีห์ !” สิ้นคำนั้น ปลายดาบคมกริบของเมืองอินทร์ก็ตวัดเข้ามา ทำให้สีหราชสูดลมหายใจเฮือกก่อนจะเอนกายหลบทันควันแต่ปลายดาบเฉียดลำคอเขาไปจนเลือดซิบ ร่างยมทูตหนุ่มโผนไปยืนกลางลานกว้างที่เขาและเมืองอินทร์เคยฝึกดาบด้วยกัน

เพียงพริบตาเดียวที่เมืองอินทร์หันขวับมาเขม้นมอง จิตสังหารดำมืดพุ่งตรงมายังร่างของสีหราช บรรยากาศรอบกายคล้ายเปลี่ยนเป็นกดดันในฉับพลัน สายลมที่เคยพัดเอื่อย ๆ กลับกลายเป็นใบมีดลมที่คมกริบตัดผ่าทุกสิ่งที่ปรากฎตรงหน้าในพริบตา หินก้อนใหญ่ที่ร่วงกรูอยู่เบื้องหน้าพลันป่นกลายเป็นผง เคราะห์ดีที่สีหราชยกดาบเพลิงวิญญาณขึ้นกั้นพร้อมร่ายอาคมทำให้ลดแรงปะทะได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขายังถูกสายลมมรณะซัดจนกระเด็นไปข้างหลังสองสามก้าว ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมองร่างนั้นปราดเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา

เหมือน...ดวงตานั้นคล้าย..ไหวระริก...วูบหนึ่ง..

กริยาของคนตรงหน้าทำให้สีหราชเผลอลดดาบในมือลง แล้วก้าวเข้าไปหาร่างนั้นช้า ๆ

...ข้ายังมีหวังหรือไม่...เจ้าไม่ได้ลืมข้าจริง ๆ ใช่ไหม...อ้ายอินทร์

ขณะที่ขุนศรีหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง !

“เอาเลย ! หากมันจดจำเจ้าได้แม้สักนิด...ก็นับว่าเจ้ามีวาสนาแล้ว !”

แววตาของเมืองอินทร์ตรงหน้าคล้ายจะเตรียมแย้มยิ้ม แต่ทันใดนั้นมือที่เสือกพรวดเข้ามาทันควันทำให้สีหราชผงะเอนหลบทันควันอย่างฉิวเฉียด

...แม้จะมองไม่ทันว่ามือนั้นถือสิ่งใด แต่ที่รู้คือชายโครงตนเองก็แสบแปลบขึ้นเสียแล้ว !...

เมื่อถลาออกมาได้ 2-3 ก้าวถึงรู้ว่าที่แท้สิ่งที่เสือกพรวดมานั้นคือกริชอาคมที่เสกขึ้นมาจากเส้นผมหนึ่งเส้นของเจ้าตัว กริชอาคมที่มีแต่ไอสังหารบรรจุไว้เต็ม ไม่มีเวลาที่จะดูแผลดังกล่าว ได้แต่ดีดตัวถอยหลังออกมา แต่เหมือนคนตรงหน้ายังคงเร็วกว่าเขามาก เพียงพริบตาเดียวร่างนั้นจู่ ๆ หายวูบไปอยู่ด้านหลังเขาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ก่อนดวงตาเป็นประกายวาววับจะฟันดาบตรงหน้าลงมาอีกครั้งหมายปักเข้ากลางหลัง แต่เคราะห์ดีที่สีหราชตวัดดาบเพลิงวิญญาณขึ้นรับก่อน แต่กระนั้นแรงปะทะของดาบสองเล่มยังทำให้ท่อนแขนเขาสั่นระริก แผลที่ชายโครงเริ่มแสบร้อนและกลายเป็นสีดำ จนต้องเอามือข้างหนึ่งบริกรรมคาถาแล้วกดลงเพื่อเยียวยา

แต่แล้วเมื่อมีจังหวะได้หยุดครู่หนึ่ง ทำให้ดวงตาคมเริ่มขมวดคิ้วมุ่นแล้วเหลือบมองชายโครงตนเอง

แผล..ค่อย ๆ สมานตัวช้า ๆ นี่เป็นเพราะอะไรกัน ?

“ตอบโต้ได้ไวสมเป็นยมทูตในตำนานที่หลายคนพูดถึง...” เสียงของขุนศรีหัวเราะร่า ทำให้สีหราชได้แต่กัดฟันกรอด

“ข้าจะบอกให้เอาบุญ...เมืองอินทร์ของเจ้ายามนี้เป็นเพียงภาชนะไสยเวทชั้นสูง ร่างนั้นสร้างด้วยไสยเวททั้งหมด จากกระดูก เถ้าและวิญญาณ ไม่มีทางที่เขาจะยั้งมือให้กับเจ้า !”

“คนที่เจ้ารักนั้น มันได้ตายไปแล้ว ไม่เหลือแม้วิญญาณ์ !” ขุนศรีหัวเราะบ้าคลั่งก่อนจะตวัดไม้เท้าอาคมในมือตรงหน้าไปยังร่างที่มีไอสีดำสนิทที่ยืนนิ่งรอรับคำสั่งตรงนั้น

“สังหารคนที่เจ้ารักสิ เมืองอินทร์ ตายตกไปตามกัน ให้สาแก่ใจของข้า !”

“ข้าต้องการเห็นเลือดมันไหลจนหมดตัวด้วยดาบของเจ้า เมืองอินทร์ !”

ดวงตาของขุนศรีบิดเบี้ยว ร่างที่สร้างด้วยอาคมค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสภาพอสุภะเรืองอาคมตรงหน้า  ผิวสองสีตรงหน้ากลายเป็นช้ำเลือดช้ำหนองแ ต่มือยังคงถือกำไม้เท้าไว้แน่นพร้อมกับป้ายทองคำผ่านทางโลกวิญญาณที่หมุนคว้างเปิดประตูมิติยมโลกอยู่ตรงหน้า เสียงวิญญาณจำนวนมากร้องโหยหวนออกจากโพรงอาคมตรงหน้าทำให้สีหราชกัดกรามแน่น

ปากโพรงกำลังกว้างขึ้นเรื่อย ๆ จะต้องรีบปิดมันเสีย ก่อนที่อสูรของยมโลกจะหลุดออกมาได้

จะปล่อยให้พญามาร...วิญญาณบาปที่ถูกตรวนล่ามอยู่ชั้นล่างสุดของนรกอเวจี ออกมาสู่แสงอาทิตย์ไม่ได้...

พญามารที่ครองฤทธาสูงสุดและถูกจองจำไว้เป็นเวลากว่าพันล้านกัลป์

ดาบในมือสีหราชตวัดขึ้นจ่อร่างสูงที่มีไอมารตรงหน้าอย่างแน่วแน่ เพียงพริบตาทั้งคู่ก็ประมือกันอย่างรวดเร็ว แสงประกายสีเขียวปะทะสีแดงเพลิงเกิดขึ้นทั่วโดมมิติวิญญาณ แววตาคนตรงหน้านิ่งสนิทไม่มีวี่แววใด ๆ ว่าจะจดจำเขาได้เลยสักนิด ความเร็วของดาบที่เคยปะทะยามซักซ้อมในโดมมิติวิญญาณเมื่อสองสามราตรีก่อนดูจะด้อยไปเลยเมื่อพบกับเมืองอินทร์ในยามนี้

ร่างตรงหน้าไร้สติและมีประกายคล้ายสนุกสนานกับการสังหารมากกว่า การตัดสินใจเฉียบคมรวดเร็วยิ่งนัก ประกายดาบที่ปะทะกันสว่างวาบไปทั่วบริเวณ เมื่อเขาขยับย่างไปทางซ้ายเมืองอินทร์ก็ขยับตามมาติด ๆ ราวกับรู้ใจของเขาไปทุกสิ่ง

เมืองอินทร์ไม่เพียงปราดเปรียว แต่กำลังดาบที่ปะทะนั้นยังผสานกับไอมารเข้าไปด้วยทำให้ทวีความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม ชายป่าที่เขาโผนโจนไปเมื่อครู่บัดนี้กระจุยไม่เหลือชิ้นดีเพราะแรงสะบัดของดาบอาคมตรงหน้า รอยผ่าที่กรีดลงบนพื้นดินตรงหน้าลึกกว่าหนึ่งนิ้ว บอกให้รู้ว่าคนตรงหน้านี้ลงมือ...หนักหน่วงและไม่รีรอแม้แต่น้อย

เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกสมเพชตนเอง สีหราชแค่นยิ้มเบา ๆ

เมื่อเขาไม่กล้าลงมือรุนแรงกับร่างตรงหน้า ก็เท่ากับว่าเขาแพ้ไปเรียบร้อยแล้ว

ไม่คาดว่า....การประมือกับเมืองอินทร์ยามนี้....เป็นเรื่องหนักหนาเกินไป

นี่เจ้าเพลิดเพลินกับการสังหาร....มากขนาดนี้เลยหรือ เมืองอินทร์...

แรงสั่นสะเทือนที่กรูเกรียวไปทั่วบริเวณตรงหน้าทำให้สีหราชเริ่มหนักใจ โดมมิติวิญญาณมีอำนาจกั้นระหว่างโลกปัจจุบันและโลกอาคมก็จริง แต่ความรุนแรงระดับนี้ไม่เคยปรากฏมาก่อนสักครั้ง เกราะสีฟ้าเทาตรงหน้าเริ่มอ่อนจางลงส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะจิตของเขาเองที่เริ่มอ่อนแรงลงด้วยส่วนหนึ่ง

...ไม่ได้การ...หากปล่อยให้ยืดเยื้อต่อไป...ไม่เพียงชนะเมืองอินทร์ไม่ได้แต่ยังจัดการจอมขมังเวทตรงหน้าไม่ได้เช่นกัน

“นี่มันไม่ใช่เจ้าเลย เมืองอินทร์ หยุดนะ ! เจ้าจักทำลายม่านอาคมแห่งนี้แล้วนะ !”

แต่สิ่งที่เขาพูดไร้ประโยชน์ใด ๆ ร่างตรงหน้ายังคงร่ายอาคมคำสาปใส่ทุกสิ่งตรงหน้า หุ่นพยนต์ที่ถูกปลุกด้วยพระเพลิงตรงหน้าสองตัวก้าวตรงมาที่เขา บรรยากาศรอบตัวอึดอัดเต็มไปด้วยรังสีการสังหาร

...เขารักเมืองอินทร์ แต่มันต้องไม่ใช่แบบนี้ !

…ดวงตาแดงฉานของร่างในชุดไสยเวทสีดำสนิทตรงหน้า ทำให้เขาปวดหัวใจและไม่อาจทนมองได้

“ข้าไม่ต้องการสังหารเจ้า ข้าสัญญาแล้วว่าต่อให้ตาย ก็ไม่มีวันทำร้ายเจ้า !”

สีหราชตะโกนลั่นก่อนจะพยายามหยุดร่างที่โผนโจนตรงหน้า เสียงของขุนศรีหัวเราะลั่นตามมาอย่างเย้ยหยัน สีหราชหันขวับหาร่างตรงหน้า

...อาคมต้องมีคนบังคับ...หากจัดการร่างตรงหน้าได้ เมืองอินทร์อาจมีสติฟื้นคืน...

ทันใดนั้นสีหราชตัดสินใจกรีดเลือดตนเองออกมาจำนวนหนึ่ง ด้วยอาคมเพลิงโลหิตที่จุดด้วยเลือดของเขา พระเพลิงเลือดที่ใส่ปราณของยมทูตลงไปถ้าเลือกได้เขาก็ไม่อยากใช้เพราะผลลัพธ์ยากที่จะควบคุมอีกทั้งยังเสียปราณในตัวไปด้วย แต่เพราะไม่มีทางเลือกอีกแล้ว มือขวากำดาบเพลิงวิญญาณแน่นก่อนจะโผนขึ้นไปกลางอากาศแล้วซัดอาคมใส่ร่างของขุนศรีที่อยู่ไม่ไกลนัก ตรงหน้า เจ้าตัวเบิกตากว้างด้วยไม่นึกว่าเขาจะแว้งกลับมาเล่นงาน

ตูม !

เสียงระเบิดดังก้องโดมมิติวิญญาณ หินและบรรดาฝุ่นควันคลุ้งไปทั่วพร้อมกับแสงสีแดงเหลืองที่เป็นประกายกระจายทั่วโดม ดินกลายเป็นหลุมลึกราวสามเมตรและกว้างกว่า 10 เมตร สีหราชหอบเบา ๆ แขนข้างหนึ่งเลอะเลือดเต็มไปหมด แต่แล้วก็ต้องชะงักตัวชาดิกเมื่อเห็นร่างในชุดสีดำสนิทหันหลังยืนบังอาคมของเขาให้กับจอมขมังเวทที่ชั่วช้านั่น !

ร่างในชุดสีดำ...คล้ายจะโชกไปด้วยเลือดและแผลจากอาคมของเขา แรงฉีกกระชากของระเบิดวิญญาณเมื่อครู่ทำให้เสื้อผ้าของคนตรงหน้าขาดวิ่น แผ่นหลังกว้างมีรอยแผลจากระเบิดเมื่อครู่ เลือดสีดำสนิทคล้ายจะไหลรินออกมาเหมือนยางไม้จากร่างนั้น แววตาที่เคียดแค้นชิงชังเห็นชัด เจ้าตัวเขม้นมองเขาด้วยสายตาที่มีประกายกร้าวก่อนจะเบี่ยงกายยืนบังร่างของจอมขมังเวทไว้เต็ม ๆ ดาบในมือของเมืองอินทร์มีไอสังหารรุนแรงยิ่งกว่าเดิม !

“เปล่าประโยชน์อ้ายสีห์ เมืองอินทร์มันเป็นสุนัขของข้า...ข้าสั่งการให้มันปกป้องข้าด้วยชีวิตแลห้ามทำอันตรายข้า”

“ต่อให้เจ้าส่งอาวุธใดของยมโลกมาก็ย่อมเป็นเมืองอินทร์ที่จะต้องรับอาวุธนั้นแทนข้าอยู่แล้ว...” เสียงของขุนศรีหัวเราะลั่นโดมมิติวิญญาณ

“งานนี้มีแต่เจ้า...และเมืองอินทร์ ว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้โดนสังหารกันแน่...แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดที่ต้องดับในคืนนี้ ชัยชนะก็ย่อมเป็นของข้าเช่นนั้น !” เสียงของขุนศรีดังก้องโดมมิติวิญญาณ

สีหราชได้กัดกรามกรอด เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าพร้อมยอมเป็นโล่มนุษย์ให้กับจอมขมังเวทตรงหน้า ร่างนั้นโซมด้วยเลือดอาคมแต่กลับไม่มีแววตาสั่นไหวสักนิด

“ขุนศรี  ! คลายอาคมปล่อยเมืองอินทร์เดี๋ยวนี้ ข้าจักเป็นคู่มือให้กับเจ้า ! อย่ายุ่งกับเขา !” สีหราชตะโกนกร้าว

เพลิงสีแดงเหลืองลุกโชนขึ้นยามนี้ไม่เพียงแต่ดาบเพลิงวิญญาณที่ร้อนดังไฟนรก แต่เป็นร่างของเขาเองที่เริ่มร้อนราวไฟนรกเช่นกัน สร้อยสังวาลย์สีดำสนิทที่คล้องคอเขาอยู่คล้ายสั่นไหวเบา ๆ มณีสีดำสนิท..คล้ายจะเป็นประกายวาววับมากขึ้นกว่าเดิม บรรยากาศตรงหน้ามืดครึ้มลง

“ไม่เสียแรงที่ข้ายอมขายวิญญาณให้กับพญามาร...เพื่อให้มีวันนี้ วันที่ข้าจักยืนอยู่เหนือทุกชีวิตบนโลกใบนี้ ข้าเสียทุกสิ่งขอเพียงได้ล้างแค้นและทำลายทุกสิ่งตรงหน้าให้พังพินาศ !” ขุนศรีตะโกนกร้าว สายลมพัดกรูเกรียว ไม่เพียงแต่หุ่นพยนต์ที่อยู่ในบังคับของเมืองอินทร์ ยังมีบรรดาอาวุธไสยเวทอีกมากที่ล้อมกายของเขาอยู่ในยามนี้

...บางที...เขาอาจจะคิดผิดก็ได้ที่ไม่อาจรอเหล่ายมทูตสังหารที่ยมโลกกำลังส่งมา...

“ข้ายอมรับว่าข้าไม่เก่ง...ข้าไม่โง่ไปสู้ในสิ่งที่ข้าไม่ถนัดดอกอ้ายสีห์ ! เจ้ามาลองแข่งมนตรากับข้าบ้างเป็นไรไป !”

เสียงหวีดร้องโหยหวนของบรรดาอสุภะที่จะเพิ่มเป็นทวีคูณ โดยมีร่างสูงของเมืองอินทร์ยืนอยู่ตรงหน้า อาคมสีดำสนิทกดดันทุกสิ่งโดยรอบ ไอดำสนิทคลุมไปทั่วมิติขณะที่มีเพียงแสงสว่างริบหรี่ของดาบเพลิงวิญญาณเท่านั้น เลือดที่เสียไปและแผลที่ช้ำไปทั้งตัวและแผลที่ต้นขาเริ่มออกฤทธิ์ทำให้ร่างสูงซวนเซนิด ๆ ทันใดนั้น เถาวัลย์จำนวนมากเลื้อยปราดเข้ามาพันรั้งขาของสีหราชโดยไม่ทันรู้ตัว ร่างสูงถูกกระชากล้มลงกองกับพื้น ร่างของสีหราชถูกตรึงไว้บนพื้นดิน แขนของสีหราชที่เริ่มล้าจากการจับดาบทำให้มือหนาสั่นเบา ๆ ทั้งเหงื่อและเลือดปะปนกันบนอาภรณ์ของยมทูตหนุ่ม ก่อนที่เจ้าตัวจะกำดาบปักพื้นดินไว้อย่างเหนื่อยหอบ สายตาคมยังคงจ้องนิ่งไปที่ร่างของขุนศรีอย่างไม่ยอมแพ้

“เหนื่อยมากแล้วรึอ้ายสีห์...ข้ามีข้อเสนอให้เจ้า”

ว่าแล้วจอมขมังเวทก็หัวเราะอีกคราแล้วกระแทกไม้เท้าลงบนพื้นดินอีกรอบ ครานี้นอกจากไอวิญญาณสีดำสนิทแล้วยังมีเลือดสีดำสนิทค่อย ๆ ไหลพุ่งขึ้นจากพื้นดินทีละน้อย ๆ ราวกับน้ำพุโลหิต โลหิตเหม็นคละคลุ้งราวกับเป็นเลือดเก่าที่เน่ามานับร้อยปี สีหราชกัดฟันแน่นก่อนจะพยายามยันกายลุกขึ้นเพราะรู้ดีว่าสิ่งนั้นคือ ‘บ่อโลหิตมาร’ สีหน้าของขุนศรีหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะคว้าจอกดินเผาที่คล้ายกับจอกสุราทองแดงยมโลกขึ้นมา

“ข้าให้โอกาสสุดท้ายกับเจ้า....ถ้าเจ้ายอมดื่มโลหิตจอกนี้ ข้าจะสงเคราะห์ให้เจ้าได้เคียงคู่กับเมืองอินทร์ในฐานะทาสของข้า” สีหน้าของขุนศรีนิ่ง ๆ ขณะมองหน้าสีหราช

“ฝันไปเถอะ ! เจ้าต้องการบุกยมโลกและสร้างโลกใหม่ที่ผู้คนต้องอยู่อย่างหวาดผวากับไสยเวทมนตร์ดำ ข้าจักไม่ยอมเป็นคน
ช่วยเปิดประตูยมโลกให้เจ้าเด็ดขาด !” สีหราชตวาดลั่นก่อนจะชี้ปลายดาบตรงไปที่ร่างจอมขมังเวทตรงหน้า

“น่าเสียดาย ข้าอุตส่าห์ยื่นโอกาสให้ แต่เจ้ากลับปฏิเสธข้า ไม่ฉลาดเลยนะอ้ายสีห์...” เจ้าตัวแค่นยิ้มก่อนจะตวัดมือคราเดียวจอกโลหิตก็หายวับไปทันที

“ข้อเสนอมีเพียงครั้งเดียว และข้าก็ไม่ต้องการเสี่ยงกับเจ้าอีกเป็นครั้งที่สอง”

“เตรียมลาคนรักของเจ้าได้แล้ว...สีหราช” ทันใดนั้นควันสีแดงพวยพุ่งขึ้นจากบ่อโลหิตมาร เกิดหมอกแดงก่ำขึ้นตรงหน้าบังทุกอย่างไว้ชั่วขณะ สีหราชยกดาบขึ้นกั้นแต่แล้วหุ่นพยนต์สี่ห้าตัวพุ่งปราดเข้าคว้าจับร่างของสีหราชไว้ด้วยเชือกอาคมมัดตรึงแขนทั้งสองข้างไว้แน่น เชือกอาคมสีดำสนิทรั้งคอร่างตรงหน้าไว้แน่น สีหราชนิ่วหน้าเมื่อหุ่นพยนต์กระชากร่างเขากระเด็นลงกับพื้น

“คุกเข่าลงต่อหน้าข้าอ้ายสีห์ !” คนตรงหน้าหัวร่อ สีหราชที่บาดเจ็บเลือดโซมกายถูกเตะสกัดให้ล้มครืนลงคุกเข่าตรงหน้า ขุนศรีสืบเท้าเข้ามาอย่างย่ามใจแล้วเหลียวไปมองร่างในชุดสีดำสนิทที่ยืนนิ่งเคียงข้าง

“เมืองอินทร์...เจ้ามาสิ...สังหารมันเสีย...”

หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 21/1/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 21-01-2021 01:03:53
พลันนั้นสีหราชที่จดจ้องรอจังหวะอย่างตั้งใจ ก็พลันร่ายอาคมโลหิตเพลิงโดยใช้หยดเลือดของตนเองเป็นอาวุธสุดท้าย

ปราณคุ้มกายของสีหราชเปลี่ยนสภาพผสานเข้ากับเลือด กลายเป็นเพลิงโลหิตขนาดเล็กจำนวนนับไม่ถ้วนที่ลอยคว้างในอากาศอย่างมีชีวิต ทันใดนั้นเพลิงโลหิตบางส่วนก็ระเบิดชนปะทะกับร่างของขุนศรีจนร่างนั้นผงะเสียหลัก ก่อนที่บางส่วนจะวิ่งชนเชือกอาคมที่พันธนาการร่างสีหราช ทันทีที่เพลิงโลหิตปะทะพันธนาการดังกล่าวก็มอดไหม้ทันควัน จังหวะนั้นเองสีหราชร่ายดาบเพลิงวิญญาณปราดเข้าฟันร่างที่อยู่ตรงหน้าทันควัน

“ขุนศรี ! คลายอาคมให้เมืองอินทร์เดี๋ยวนี้ !”

“ไม่มีวัน ! เลือดแค้นข้าต้องล้างด้วยเลือดของพวกเจ้า !” ขุนศรีตวาดลั่นก่อนทั้งคู่จะปะทะต่อสู้กันเป็นพัลวัน ร่างขุนศรีหมุนคว้างกลางอากาศก่อนจะตวัดไม้เท้าอาคมขึ้นรับแรงปะทะของดาบเพลิงวิญญาณตรงหน้า แรงปะทะทำให้ทั้งคู่กระเด็นออกจากัน ขณะที่ร่างหนึ่งหมุนกลิ้งร่วงสู่พื้น สีหราชกระโดดแตะพื้นแล้วโจนขึ้นปราดตามมาทันที แต่เสี้ยววินาทีก่อนที่จะถึงร่างขุนศรีก็ปรากฎเงามืดดำสนิทที่ถลาเข้ามารับดาบแทนร่างตรงหน้า

 เมืองอินทร์ !

ร่างคุ้นตาที่ปราดมากะทันหันทำให้สีหราชเบิกตาโพลงก่อนจะรั้งดาบเพลิงวิญญาณคืนทันควัน แรงเหวี่ยงรั้งดาบทำให้ยมทูตหนุ่มเสียจังหวะ ยามนั้นเองที่เมืองอินทร์สะบัดฝ่ามือใส่แผ่นอกตรงหน้าเต็มเหนี่ยว

อั๊ก ! พรวด !

สีหราชสะอึกพรวด โลหิตร้อนผ่าวทะลักออกจากริมฝีปากทันควัน รู้สึกราวกับทั้งร่างชาดิกคล้ายจะหายใจไม่ออก ไร้แรงป้องกันใด ๆ ร่างสูงร่วงลงสู่พื้นดินทันที ปลายดาบเพลิงวิญญาณและพลังชีวิตรวยรินซวนกายลุกขึ้นได้ก็ก้มมองถึงรู้ว่ากลางอกปรากฎรอยอาคมสีดำสนิทเข้าแล้ว ลายอักขระเขมรที่ปรากฏตรงหน้า...ทำให้เลือดในกายเย็นเฉียบ

...อาคมหุ่นเชิด...

เลือดสีคล้ำทะลักออกจากปากของร่างตรงหน้าทันควัน อาการบาดเจ็บภายในบอกชัดว่าร่างจำแลงกึ่งมนุษย์กึ่งยมทูตของเขาดูจะหนักหนาเกินไปแล้ว เพราะกึ่งหนึ่งเป็นกายมนุษย์จึงมีอวัยวะไม่ต่างจากคนทั่วไป ดังนั้นอาคมหุ่นเชิดจึงสามารถกำกับทุกสิ่งในร่างของเขาได้ ทั้งการเต้นหัวใจ การบีบเกร็งของอวัยวะภายใน และในยามนี้...ร่างเขากำลังถูกไสยเวทกำกับ

สายตาที่ว่างเปล่าของเมืองอินทร์บอกชัดว่า เป็นผู้สั่งการอาคมหุ่นเชิด ขณะที่เลือดค่อย ๆ ทะลักจากอวัยวะภายในทำให้ร่างของสีหราชซวนเซและทรุดลงกองกับพื้น ดาบเพลิงวิญญาณร่วงลงพื้นและหายวับไปในทันที โลหิตกองใหญ่ที่สีหราชอาเจียนออกมาหลั่งรดพื้นดินตรงหน้า มีเพียงมือข้างเดียวที่เจ้าตัวยันกายไว้ สายตาของสีหราชเหลือบมองพื้นก่อนจะสะดุดตากับวัตถุสีทองเส้นเล็ก ๆ ตรงหน้า

...สร้อยที่เขาสวมให้เมืองอินทร์...ขาดร่วงอยู่ตรงนี้ ชะรอยคงเป็นปลายดาบเพลิงวิญญาณเมื่อครู่เป็นแน่...

ความรู้สึกต่าง ๆ ประดังขึ้นจนยากจะพูดอะไร เจ้าตัวเงยหน้ามองร่างเมืองอินทร์

“อ้าย...อ้ายอินทร์...นี่ข้าเอง...อ้ายสีห์ของเจ้าอย่างไร...”

เสียงแหบโหยที่เขาพูดไปคงไปไม่ถึงร่างตรงหน้า เพราะแม้แต่ยามนี้ร่างในชุดดำยังไม่มีแววตาใด ๆ ที่บอกว่าจำเขาได้

...ข้าไม่อาจทนเห็นเจ้าเป็นแบบนี้...เมืองอินทร์

...หากเจ้าฟื้นและจำเรื่องราวคืนนี้ได้...หัวใจเจ้าคงแตกสลาย...

ก่อนที่ใครจะทันคิดอะไร สีหราชฝืนรวบรวมกำลังที่เหลือทรงกายขึ้น ทั้งร่างนั้นโชกไปด้วยเลือดที่ออกจากภายในและบาดแผลภายนอก มีเพียงขุนศรีเหยียดยิ้มอย่างสะใจ

...ไอวิญญาณยมทูตที่เหลือเพียงรวยริน...ทำให้มันสะใจนัก

“เจ็บดีไหม...อ้ายสีห์...ตายด้วยน้ำมือคนที่เจ้ารัก...เจ้าจักได้รู้ว่าการเสียคนรักทั้งที่ยังมีชีวิตน่ะมันเจ็บร้าวแค่ไหน !”

แต่สีหราชไม่ใส่ใจคำพูดใด ๆ ของขุนศรีอีก เขาค่อย ๆ ก้าวเท้าสืบเข้าไปหาร่างตรงหน้าจนประชิด ลมหายใจหอบสั่น แค่ทรงกายไว้ได้เขาก็แปลกใจตัวเองแล้ว ดวงตาที่ไร้แววใด ๆ ของเมืองอินทร์ราวกับตุ๊กตาหุ่นเชิด มือหนาค่อย ๆ ยกขึ้นก่อนจะสัมผัสใบหน้าเมืองอินทร์แผ่วเบา

“เพ้อฝันเหลือเกินอ้ายสีห์...เจ้าพยายามเหลือเกินนะ”

“เอาสิ...ถ้าเจ้าไม่ฆ่ามัน...มันก็จะฆ่าเจ้า...เลือกเอา อ้ายสีหราช !”

ขุนศรีหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง และจ้องภาพตรงหน้าไม่กะพริบด้วยรอยยิ้มสาสมใจ ขณะที่มีหุ่นพยนต์สามสี่ตัวยืนคุมเชิงอยู่ข้าง ๆ

...ไม่เหลือปาฏิหาริย์ใด ๆ ...มีเพียงความตายที่แน่นอนที่สุด แต่จะเป็นความตายของใคร !

ด้วยการต่อสู้เมื่อครู่ทำให้ข้อสงสัยในใจของสีหราชกระจ่างชัด......

แผลภายนอกกำลังหายอย่างช้า ๆ เหมือนครั้งที่อัคนิการ์เทวีรักษาให้เขา

“เป็นเจ้าใช่ไหม...ที่คืนมณีแห่งชีวิตให้กับข้า เมืองอินทร์” สีหราชยิ้มขื่น ๆ

“เจ้าหวังให้ข้ารอด...แต่จะมีประโยชน์อะไร หากข้ารอด เพื่อจะสูญเสียเจ้าไปอีกครั้ง...” สีหราชกระซิบแผ่วเบา

ทันใดนั้นเขาคว้ามือร่างที่ยืนนิ่งตรงหน้า ดาบสีดำสนิทของเมืองอินทร์พร้อมไอมารอวลจรดชี้มาตรงหน้า

“สังหารข้า...ตรงนี้เถิดเมืองอินทร์ เพราะข้าสังหารเจ้าไม่ได้” เป็นเขาที่หลั่งน้ำตาให้คนตรงหน้า

“หากข้าไม่อาจปลุกเจ้าให้ได้สติ...เช่นนั้นมิสู้เรามายุติเรื่องนี้ด้วยกัน...”

วูบนั้นสีหราชก็ดึงร่างสูงที่ยืนนิ่งตรงหน้ามาประทับจูบบนริมฝีปากเนิ่นนานราวจะบอกลาร่างตรงหน้าเป็นครั้งสุดท้าย

...หากจำเสียงข้าไม่ได้...เจ้าจักจำจูบนี้ของข้าได้บ้างไหม...เมืองอินทร์...

“ข้ารักเจ้า...เมืองอินทร์ รักด้วยหัวใจและชีวิตของข้า”

เสียงเขากระซิบข้างหูร่างสูงตรงหน้า หยดน้ำตารินรดผิวแก้มร่างตรงหน้า

ทันใดนั้นเพลิงโลหิตลูกสุดท้ายที่เขาซ่อนอยู่มือพลันหมุนคว้าง แต่ในเสี้ยววินาทีก่อนที่มันจะระเบิด

อึ๊ก ! สีหราชชะงักค้าง กัดฟันกรอด...

กริชประจำตัวของจอมขมังเวทพลันเสือกแทงเข้าด้านหลังของสีหราช โลหิตจำนวนมากพรูออกมารดอาภรณ์สีดำสนิทในยามนี้ให้คล้ำฉ่ำไปหมด

“เจ้านี่เผลอไม่ได้ทีเดียวนะ สีหราช...” เสียงสบถเบา ๆ ในคอของขุนศรีดังขึ้นก่อนจะกดขยี้ปลายกริชแทงเข้าไปลึกกว่าเดิม

“ข้าไม่ให้เจ้าทำลายเจ้าทาสคนโปรดของข้าหรอก...”

ว่าแล้วเจ้าตัวก็บิดกระชากกริชดังกล่าวออกจากชายโครงของสีหราช เลือดและกายพรูทะลักจนเจ้าตัวทรุดฮวบลงกองกับพื้น เพลิงโลหิตพลันสลายวับไปพร้อมกับสติที่เหลือเพียงน้อยนิดของสีหราช

โดมมิติวิญญาณพลันสลายวูบ สภาพบ้านเรือนและพระวิหารพลันปรากฏตรงหน้า ร่างของสีหราชหายใจรวยรินแผ่วเบานิ่งอยู่กับพื้น หุ่นพยนต์ทั้งหลายและอาคมเวทถูกขุนศรีโบกให้หายวับไปในบัดดล ร่างนั้นเดินมาเหยียบแขนของสีหราชก่อนจะก้มมองหน้าเปื้อนเลือดแล้วถ่มน้ำลายรดลงบนร่างนั้น

“การต่อสู้ไม่ต้องยุติธรรมก็ได้นี่นา...มิใช่ฤา อ้ายสีห์ ขอแค่ชนะเท่านั้น !”

“จงตายซะ ! ตายด้วยน้ำมือคนที่เจ้ารักที่สุด ข้าเมตตาเจ้าแค่ไหนจงสำนึกไว้สีหราช ฮ่าฮ่าฮ่า...”

เสียงหัวเราะกึกก้องของจอมขมังเวทตรงหน้า ในอนุสติสุดท้ายของสีหราช แผ่นป้ายทองคำที่หมุนคว้างอยู่ในอากาศคล้ายจะมีบางสิ่งประหลาดไป ไอสีดำสนิทพุ่งเข้าไปในป้ายทองคำไม่สิ้นสุด เหล่าวิญญาณที่ค่อย ๆ ตะกายออกมาจากโพรงสีดำมืดตรงหน้าเริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

...ข้าแพ้...และยังไม่อาจปกป้องใครได้อีกด้วย

ในลมหายใจที่รวยริน คล้ายมีเงาหนึ่งที่ทรุดลงใกล้เขา เขาอาจตาพร่า...เมื่อเห็นเป็นเมืองอินทร์

ไม่รู้ว่าเป็นตาเขาที่พร่ามัว หรือเป็นความจริง

เพราะยามนี้ใบหน้าที่ไร้อารมณ์ตรงหน้า กลับปรากฎน้ำตาสีเลือดไหลออกมาเป็นสาย ภาพนั้นทำให้สีหราชยิ้มออกมานิด ๆ
ยามนี้ไม่เหลือเรี่ยวแรงใด ๆ มีเพียงปลายนิ้วที่เปื้อนเลือดแตะใบหน้าของเมืองอินทร์ได้ครู่เดียว ความอุ่นจากปลายนิ้ววาบถึงหัวใจ...

“เจ้า...ตัวเล็ก..อย่าร้อง...ข้าไม่โกรธเจ้า...ไม่เคยเลย...”

“หึ ! สังหารสิ...จัดการให้มันจบสิ้นไป ทาสของข้า !” เสียงหยามหยันของร่างสันทัดพร้อมไม้เท้าอาคมก้าวตรงเข้ามา

สิ้นคำนั้น ก็ปรากฎดาบสีดำสนิทที่เต็มไปด้วยไอมารลอยอยู่ตรงหน้า มือเมืองอินทร์คล้ายจะระริกสั่นไหว ท่าทางลังเลและผงะถอยไม่หยิบวัตถุตรงหน้า ราวกับว่าดาบไอมารนั้นเป็นไฟร้อน สีหน้าสับสนและแววตาที่สั่นไหวทำให้จอมขมังเวทขมวดคิ้วกระตุกยึกก่อนจะตวาดลั่นและสะบัดไม้เท้าร่ายอาคมไสยเวทเพิ่ม

ไอมารเข้มข้นพลันพุ่งม้วนพันร่างนั้นแน่นเข้าก่อนจะไหลวูบเข้าไปทางจมูกของเมืองอินทร์ในชุดดำตรงหน้า ร่างนั้นคล้ายจะทรงตัวไว้ไม่ไหว ดวงตาที่แดงก่ำมีหยาดโลหิตไหลรินออกมาเปื้อนแก้ม ร่างเมืองอินทร์สั่นระริกเบา ๆ

“ข้าสั่งให้เจ้าสังหารสีหราชทิ้ง !”

ดวงตานั้นบิดเบี้ยวกราดเกรี้ยวเมื่อร่างนั้นคล้ายนิ่งงันไป ขณะที่สีหราชได้แต่หายใจรวยรินนอนกึ่งนั่งกึ่งเอนพิงกายกับต้นไม้ใกล้ ๆ

...แทงมาเถอะเมืองอินทร์...ข้าสัญญาว่าข้าไม่โกรธเคืองเจ้า...

ในที่สุด...ดาบอาคมตรงหน้าถูกเมืองอินทร์จับสองมือและเงื้อขึ้นสุดแขน ดวงตาทั้งคู่ของผู้ที่เงื้อดาบนั้นเอ่อคลอไปด้วยเลือดสด หยดเลือดจากดวงตาพลันร่วงเผาะลงบนพื้นดิน ร่างของขุนศรียืนซ้อนอยู่เบื้องหลังเมืองอินทร์ก่อนจะเอื้อมมือแตะด้ามดาบในมือ

“แทงลงไป ! ปลิดชีพมันซะ !”

เสียงตะโกนลั่นข้างหูและใบหน้าที่บิดเบี้ยวเหยเกราวกับกำลังวิปลาสของขุนศรียามนี้น่าทั้งน่ากลัวและน่าสังเวชไปพร้อม ๆ กัน

...ให้มันจบไป...เสียที พันธนาการเกือบ 200 ปีควรสิ้นสุดลงได้แล้ว...

จากนี้...โลกจะเป็นเช่นไร...ข้าคงไม่รับรู้อีกต่อไปแล้ว...

สีหราชหลับตาลงช้า ๆ

พลันนั้นไอวิญญาณทั้งหมดม้วนตัวพันกับร่างของเมืองอินทร์ หมอกสีดำและขาวพลันปรากฏขึ้นพร้อมกัน ก่อนที่ขุนศรีจะทันขยับตัว ไอหมอกนั้นพลันม้วนร่างจอมขมังเวทและเมืองอินทร์ไว้ด้วยกัน ขณะที่เมืองอินทร์ตะโกนกรีดร้องออกมาสุดเสียงก่อนจะเสียบดาบมารลงจนสุด ! วูบหนึ่งก่อนจะเสียบดาบลง มุมปากคล้ายยกยิ้มสมใจบางอย่าง...

พรวด ! อั๊ก !

ท่ามกลางสายตาที่เบิกกว้างอย่างไม่เชื่อสายตาตนเองของสีหราชที่นอนตรงหน้า ร่างสูงในอาภรณ์สีดำสนิททรุดลงกองกับพื้นเมื่อเมืองอินทร์พลิกองศาดาบหันเสียบเข้ากลางลำตัว  เลือดสีดำหยดพลั่กไหลรินมาตามคมดาบจากกลางอกแล้วจึงค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง ริมฝีปากของร่างตรงหน้าคล้ายแย้มยิ้มสมใจก่อนที่โลหิตจะรินออกมาจากริมฝีปากนุ่ม

“เมืองอินทร์ !”

สีหราชตะโกนสุดเสียงก่อนจะตะกายพรวดเข้าไปหาร่างนั้นที่ค่อย ๆ เอนลงกองกับพื้น ความแรงของดาบที่เสียบร่างนั้นยังเสือกแทงทะลุไปถึงอีกผู้หนึ่งที่ถูกอาคมเวทพันร่างแนบชิด กลางอกของขุนศรีถูกปลายดาบมารเสียบจนเลือดโชกเช่นกัน สร้อยรูปหัวกะโหลกขนาดเล็ก ๆ ที่เรียงร้อยกลางอกขาดสะบั้น กะโหลกต่าง ๆ ขนาดเล็ก ๆ กระจัดกระจายตกลงสู่พื้น ปล่อยวิญญาณอาฆาตจำนวนมากที่มันเคยสังหารให้วนเวียนลอยทะลุผ่านร่างบาปนั้นไปหลายต่อหลายครั้ง ตำแหน่งป้ายทองคำถูกปลายดาบมารกระแทกจนปริร้าว ทำให้วัตถุอาคมสีทองร่วงหักเป็นสองท่อนหล่นลงบนพื้นดินกลายสภาพเหลือเพียงวัตถุสีทองขนาดเท่าฝ่ามือ

“เจ้า ! เป็นไปได้อย่างไร !”

ขุนศรีคล้ายยังไม่เชื่อสายตาตนเอง โลหิตดำคล้ำเหม็นเน่าทะลักออกจากริมฝีปากของมัน ขณะที่เมื่อไม่มีป้ายทองคำนำวิญญาณมาสังเวยให้พลังมืด คลื่นวิญญาณอาฆาตเหล่านั้นก็หันมากลุ้มรุมทิ้งร่างมันแทน เสียงร้องโหยหวนของจอมขมังเวทตรงหน้าที่ได้แต่โบกไม้เท้าไล่วิญญาณร้ายออกจากกาย สำหรับโพรงมิติวิญญาณที่ถูกเปิดเมื่อไม่มีพลังงานหล่อเลี้ยง ก็พลันหายวับไปในทันทีเหมือนกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

แต่ยามนี้สีหราชไม่สนใจสิ่งใดอีกแล้ว สายตาเขามองเพียงร่างในอ้อมแขน น้ำตานองหน้ามองไม่เห็นอะไรอีกต่อไป

อีกแล้วรึ...นี่ข้าต้องเสียเจ้าไปอีกแล้วใช่ไหม...อ้ายอินทร์...

...ทำไมไม่เป็นข้าที่ตาย...ทำไมต้องเป็นข้าที่เห็นเจ้าตายซ้ำแล้วซ้ำเล่า...

“ข้า...ชนะจิตมารแล้วนะ...อ้ายสีห์...” เสียงร่างในอ้อมแขนดังกระท่อนกระแท่นขณะที่พยายามยิ้มให้สีหราช มือบาง ๆ พยายามแตะมือผู้ที่ร่ำไห้

เลือดสะบัดกระจาย...ท่วมกลางพื้นดิน เส้นผมสีดำขลับที่แผ่สยายบนพื้นดินกลายเป็นภาพที่สวยงาม หากตรงอกเสื้อเปียกชุ่มราวกับประดับด้วยกุหลาบสีเลือด รอบกายนั้นมีประกายสว่างเป็นละอองเล็ก ๆ สีเงินระยิบระยับ อาภรณ์สีดำสนิทจากไสยเวทสีดำ พลันเปลี่ยนคืนเป็นสีฟ้าอมเทาอ่อน ดาบไอมารพลันเปลี่ยนเป็นดาบประจำกายของเจ้าตัว แต่ยามนี้สีหราชไม่สนใจอีกแล้ว มือหนาคว้าร่างนั้นมากอดไว้แนบอก

“เจ้ามันบ้า ! บ้าที่สุด ! รู้หรือไม่ อ้ายอินทร์ !” น้ำตาของเขาพรูร่วงอย่างไม่อายใคร

“ไหนสัญญากับข้าแล้วอย่างไร ว่าจะไม่ทำร้ายตนเอง จะไม่ทำอะไรโง่ ๆ แบบนี้” เสียงนั้นพร่ำพูดซ้ำไปซ้ำมา ข้อมือเกร็งเขม็งจนขึ้นเป็นเส้นเลือด แล้วโอบกอดร่างนั้นไว้แน่น

“อยากให้ข้าตายตามเจ้าหรือ...ข้าไม่ไหวอีกแล้ว...ข้าทนเสียเจ้าอีกไม่ได้แล้ว” น้ำตายมทูตหนุ่มร่วงเผาะบนร่างในอาภรณ์สีฟ้าอ่อน

“ครานี้...ข้าทำท่านเจ็บอีก...ข้าขอโทษ” เมืองอินทร์หายใจกระท่อนกระแท่น แต่ดวงตากลับสุกสกาวและมีรอยยิ้มราวกับพึงพอใจที่สุด

“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น !” เป็นสีหราชที่ร่ายอาคมรักษาทันควัน แต่เป็นเมืองอินทร์ที่ยุดมือนั้นไว้...

“ปล่อยเถอะ...หน้าที่ข้าสิ้นสุดแล้วอ้ายสีห์...หน้าที่ที่ควรสิ้นสุดตั้งแต่ 200 ปีก่อน ก่อนที่เราจะพบกัน...” ร่างนั้นกลืนน้ำลายอย่างยากเย็น

“บางที...หากเราไม่พบกัน...ท่านอาจไม่ต้องเป็นยมทูตเช่นนี้...”

“ไม่ ! ข้าจะอยู่กับเจ้า...อยู่ด้วยกันทุกชาติ !”

“ปล่อยข้าเถอะ...อ้ายสีห์...บางทีเราเจอกัน...อาจเพื่อบอกลากันเท่านั้น”  สีหน้าของเจ้าตัวเริ่มซีดเผือดลงทุกที

“พันธนาการ...ของข้าและท่าน...ขอให้สิ้นสุดตรงนี้...ข้าไม่อยากทำให้ท่านต้องเจ็บอีกแล้ว...”

พลันนั้นแสงสว่างสีทองละมุนตาพลันปรากฏขึ้นที่หางตาของสีหราช....มีร่างหนึ่งกำลังเดินเข้ามาตรงหน้า ชายผ้าสีเหลืองสะบัดไหวเบา ๆ

ได้โปรด ใครก็ได้...ต่อให้ต้องตาย...ต้องดับสูญฤาคุมขังตลอดกาล ข้าก็ยอม ขอเพียงช่วยเมืองอินทร์...
........................................................
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 21/1/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 21-01-2021 15:28:10
ขอให้รอดดด
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 21/1/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 28-01-2021 19:55:45
มารอ
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 21/1/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: Wansusu ที่ 31-01-2021 23:45:50
มารอเอาใจช่วยทั้งคู่ :ling1:
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 21/1/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 04-02-2021 17:47:13
CHAPTER
34




ชายผ้าสีเหลืองหยุดลงตรงหน้าสีหราช รัศมีสีทองมลังเมลืองตรงหน้าทำให้ต้องหยีตามอง ก่อนที่ริมฝีปากของยมทูตหนุ่มจะแย้มยิ้มอย่างตื้นตัน

“นมัสการ...หลวงพ่อ...หลวงพ่อเชิด....”

พลันนั้นแสงสว่างสีทองค่อย ๆ จางลงจนเห็นเป็นร่างของภิกษุชรายืนสงบสำรวมนิ่งอยู่ตรงหน้า ใบหน้าพระภิกษุยิ้มละไมก่อนจะเปลี่ยนทีละน้อย ใบหน้าที่แก่ชราค่อย ๆ เปลี่ยนคืนสู่วันวาน จนกลายเป็นพระภิกษุเชิดในชุดจีวรสีกรักอุ้มบาตรอยู่ตรงหน้า สายตาอ่อนโยนมองทุกร่างตรงหน้าก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ พระภิกษุหนุ่มเหลียวมองร่างที่นอนนิ่งตรงหน้าแล้วบริกรรมบทสวดพุทธมนตร์เบา ๆ ทันใดนั้นละอองสีทองประกายวิบวับพลันฟุ้งกระจายลอยไปทั่วบริเวณ

กระแสเจริญเมตตาแผ่ขยายไปไม่มีที่สิ้นสุด ใบหน้าอิ่มเอิบและเปี่ยมด้วยความอบอุ่นปลอบประโลมของพระภิกษุฉายชัดขึ้นตรงหน้า ความเจ็บร้อนที่สัมผัสเมื่อครู่พลันสลายหายในทันทีที่สัมผัสละอองสีทองดังกล่าว ทั้งสีหราช เมืองอินทร์และเหล่าอสุภะทั้งหมดล้วนได้รับกระแสความเย็นฉ่ำสบายโดยทั่วกัน คลื่นความร้อนและไอหมอกดำทะมึนที่ปรากฏอยู่เมื่อครู่พลันสลายไป แววตาแดงก่ำเกรี้ยวกราดของเหล่าอสุภะและวิญญาณเร่ร่อนที่ถูกดึงมาในปริมณฑลแห่งอาคมค่อย ๆ ลดลงทีละน้อย กระแสเย็นฉ่ำของบทแผ่เมตตา ทำให้อสุภะหน้าตาน่าเกลียดบางตนกลับกลายคืนสู่สภาพวิญญาณมนุษย์ที่สมบูรณ์ แต่ละร่างต่างยกมือขึ้นประนมน้อมกราบพระภิกษุหนุ่มแล้วแย้มยิ้มละไม

“โอ...พระคุณเจ้ามาโปรดแล้ว....สาธุ....สาธุ....สบายเหลือเกิน...เย็นเหลือเกินแล้ว....”

แต่ละดวงวิญญาณค่อย ๆ เรืองรองแล้วหายวับไปทีละดวงจนหมดสิ้น แสงสีทองอร่ามที่เจิดจ้าพลันค่อย ๆ หรี่หรุบลง ขณะที่ยมทูตหนุ่มและเมืองอินทร์คล้ายจะทุเลาขึ้นบ้าง สีหราชรีบหันไปมองเมืองอินทร์ แผลกลางอกคล้ายจะสมานกันแล้วแต่เจ้าตัวยังหลับใหลไม่ได้สติ พลันนั้นทุกคนก็หันขวับเมื่อเสียงร้องโหยหวนของจอมขมังเวทที่เมื่อครู่ถูกเหล่าอสุภะกระชากลากวิญญาณจนเสื้อผ้าอาภรณ์ขาดวิ่น เจ้าตัวยังคงกำไม้เท้าอาคมสีดำสนิทไว้ในมือ ร่างนั้นชุ่มไปด้วยเลือดสีดำสนิท สภาพการเป็นอสุภะไม่ได้ดีขึ้นเหมือนดวงวิญญาณอื่นเลยสักนิด

มีเพียงอ้ายขุนศรีที่วิญญาณยังคงถูกความมืดกลืนกิน ไม่ได้รับอานิสงส์ที่พระภิกษุมอบให้

กฎแห่งกรรม...ยังคงทำงานอย่างสมบูรณ์

“เจ้า ! ไอ้พระ มึงช่วยคนอื่น แต่มึงไม่ช่วยกู ! มึงเลือก มึงแกล้งกู !” ร่างในอาภรณ์สีดำกระเสือกกระสนร่างอยู่บนพื้นก่อนจะชี้หน้าพระภิกษุเชิดอย่างคั่งแค้น

“สาธุ...อาตมามีจิตกุศลช่วยเหลือทุกสรรพสัตว์ หากแต่สำหรับโยมขุนศรี...กรรมหนักมีมากเหลือเกิน เจ้ากรรมนายเวรของโยมมากมายเกินคณานับ อาตมาไม่อาจฝืนชะตากรรมของใครได้”

“กฎแห่งกรรมอันใด เหลวไหลทั้งเพ ข้าไม่เชื่อ! โลกนี้ไม่ยุติธรรมกับข้า!”

“ผิดแล้ว...โยมขุนศรี...โยมอยากรู้เรื่องราวทั้งหมดฤาไม่...”

“เจ้าจักโกหกพกลมอันใดข้า ไอ้พระ ! เอ็งมันพวกเดียวกับอ้ายสีห์ เอ็งย่อมโกหกข้า !”

ว่าแล้วก็เป็นจอมขมังเวทที่กัดฟันร่ายอาคมมืดอีกครั้ง ครานี้แม้ไม่มีวิญญาณให้สละ มันกลับยอมสละมือทั้งสองข้างเป็นเครื่องสังเวย มือสองข้างค่อย ๆ สะสมไอสีดำสนิทมากขึ้นเรื่อย ๆ หลุมสีดำสนิทพลันปรากฏขึ้นกลางอากาศ ฝูงต่อแตนอาคมสีดำสนิทจำนวนมากบินว่อนในอากาศก่อนจะพุ่งตรงไปที่พระภิกษุหนุ่ม

สีหราชเบิกตากว้างอย่างตกใจ

...เจ้านี่มันไม่เกรงกลัวบาปบุญเอาเลย ไอ้ขุนศรี !....

ทันใดนั้นแสงสว่างสีฟ้าอมน้ำเงินพลันปรากฎวาบขึ้นต่อหน้า ร่างที่ปรากฏขึ้นสวมอาภรณ์สีท้องทะเล บนเศียรประดับด้วยรัดเกล้ารูปนาคราช บุรุษที่ก้าวเข้ามาขวางนั้นสะบัดมือคราเดียวก็พลันปรากฏไฟพิษนาคราชพวยพุ่งขึ้นและเผาเหล่าฝูงต่อแตนอาคมเหล่านั้นจนมอดไหม้ในพริบตา เพลิงนั้นยังคงลุกไหม้ต่อไปยังมือสองข้างของผู้ก่อกรรมจนดิ้นเร่าทุรนทุรายกับพื้น

“ข้าน้อย กราบนมัสการพระคุณเจ้า...” วสุธาบดีนาคราชปรากฏขึ้นกั้นกลางระหว่างจอมขมังเวทและพระภิกษุตรงหน้า เจ้าตัวหันไปค้อมกายประนมมือไหว้พุทธบุตรตรงหน้าแล้วหันมามองจอมขมังเวทที่ยามนี้มือสองข้างถูกเผาจนเกรียมด้วยพิษนาคราช เสียงร้องโหยหวนของวิญญาณจอมขมังเวทตรงหน้าทำให้หลายคนต้องเบือนหน้า

“ข้าว่าจักไม่ยุ่งเกี่ยวแล้ว แต่เจ้าทำบาปกรรมนัก คิดทำร้ายพระสงฆ์สาวก ไอ้เดรัจฉาน !” แววตาวสุธาบดีนาคราชวาววับ

“อย่าก่อกรรมอีกเลย โยมขุนศรี...เจ้าจักต้องรู้ความจริง” พระภิกษุเอ่ยเบา ๆ สายตาสงบนิ่ง

“ข้าไม่เชื่อคำเอ็ง ข้าไม่เชื่อผู้ใด ข้าไม่เชื่อกรรม ข้าไม่เชื่อบาปบุญอันใดทั้งนั้น !”  ร่างนั้นตะโกนเร่าก่อนจะใช้ไม้เท้าอาคมยันกายขึ้นมาเผชิญหน้ากับองค์ยุวนาคราชและพระภิกษุตรงหน้า

“สาธุ...อาตมาเป็นพระย่อมไม่กล่าวคำมุสา หากโยมขุนศรีไม่เชื่อ อาตมาจะให้โยมได้พบกับคนผู้หนึ่ง...”

ว่าแล้ว พระภิกษุตรงหน้าก็หลับตาอีกคราแล้วเปิดย่ามที่สะพายอยู่แล้วเอ่ยเบา ๆ

“มาเถิด...มาคุยกับเขา แล้วเจ้าทั้งสองจักได้ไปเกิดใหม่โดยไร้พันธะ”

ทันใดนั้นแสงสว่างสีอ่อนพลันลอยวูบออกมาจากย่ามสีเหลือง ร่างงดงามของสตรีพลันปรากฎขึ้นต่อหน้าสร้างความตื่นตะลึงให้กับจอมขมังเวทและสีหราช มือที่ถือไม้เท้าอาคมพลันสั่นระริกแล้วปล่อยให้ไม้เท้าร่วงลงทันที ดวงตาของขุนศรีจ้องเขม็งไปที่ใบหน้าที่คุ้นเคยนั้น ก่อนจะครางแผ่วเบา

“แม่นาก...แม่นากของพี่” มือนั้นคล้ายจะเอื้อมคว้าร่างตรงหน้า แต่วิญญาณสตรีตรงหน้ากลับร้องไห้น้ำตานองและเบี่ยงกายหลบ

“พอเถอะ..อ้ายศรี...ข้าขอร้องพี่ หยุดสร้างเวรกรรมกับผู้อื่นเถิด...อย่าทำร้ายอ้ายสีห์และคนอื่นอีกเลย” ร่างนั้นน้ำตาไหลพรูก่อนจะจูงร่างเด็กชายเล็ก ๆ ในวัยมัดจุกหน้าตาน่ารักน่าชังคนหนึ่งมากอดทั้งน้ำตา

“จนถึงวันนี้ เจ้าก็ยังคงรักอ้ายสีหราชสินะ...ข้าไม่เคยมีตัวตนในสายตาของเจ้าเลย แม่นาก...”

ขุนศรีกัดฟันกรอดพร้อมน้ำตาที่ไหลรินด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ ไม้เท้าอาคมที่ร่วงลงกับพื้นพลันสั่นระริกก่อนจะพุ่งขึ้นไปบนฟ้า สายตาของวสุธาบดีนาคราชแลสีหราชแหงนหน้ามองพร้อมกัน ไอสีดำสนิทกระจายออกจากไม้เท้าอาคม...เงาร่างคล้ายพญามารกำลังเงื้อมมือออกมาจากไม้เท้าอาคมนั้น

“ไม้เท้า...กำลังดื่มกินวิญญาณ !”

ไอไสยเวทดำกระจายออกจากไม้เท้าอาคม แหล่งพลังงานสุดท้ายที่มันมองหาย่อมเป็นวิญญาณที่อ่อนแอ ร่างเงาที่เลือนรางของแม่หญิงนากและเด็กน้อยกำลังตกเป็นเป้าหมายตรงหน้า สตรีร่างบางเบิกตากว้างก่อนจะกอดลูกน้อยไว้แนบอก แต่ก่อนที่ใครจะทันขยับ ร่างของขุนศรีปราดเข้ามากั้นกลาง ขณะที่ไอมรณะซัดเข้าเต็มที่ร่างของมัน

อั๊ก ! ใบหน้าของจอมขมังเวทบิดเบี้ยวอย่างเจ็บปวด ริมฝีปากมีเลือดสีดำสนิทไหลริน แววตาเจ้าตัวปวดร้าวก่อนจะทรุดฮวบลงกับพื้น ขณะที่ไอวิญญาณสีดำมืดกำลังกลืนกินร่างของขุนศรีทีละนิด คาถาอาคมสุดท้ายที่พร้อมแลกด้วยวิญญาณที่เหลืออยู่ของมัน

พลันนั้นสีหราชปราดเข้าไปคว้าแผ่นป้ายทองคำผ่านทางโลกวิญญาณที่ร่วงอยู่บนพื้น ทันทีที่สัมผัส สีหราชรีบหยดโลหิตยมทูตลงไป ก่อนบริกรรมคาถารวดเร็วแล้วขว้างวัตถุสีทองนั้นขึ้นไปในอากาศปะทะกับไม้เท้าอาคมเต็มแรง แสงสว่างเจิดจ้าจากป้ายทองคำที่หักครึ่งท่อนยังสามารถดูดซับพลังและดึงวิญญาณที่ถูกกักขังในไม้เท้าอาคมออกมาจนหมด เสียงโหยหวนนับร้อยของเหล่าวิญญาณที่ถูกกักขังในไม้เท้าอาคมดังก้องยาว จนกระทั่งวิญญาณดวงสุดท้ายถูกปลดปล่อย วัตถุทั้งสองก็พลันร่วงลงสู่พื้นดินอีกคราและสงบนิ่งอยู่อย่างนั้น

“อ้ายศรี !”

วิญญาณของแม่หญิงนากนั้นพลันปราดเข้าไปกอดร่างที่กองนิ่งอยู่กับพื้นไว้แน่นพร้อมกับเด็กผู้ชายตัวน้อยที่มองภาพตรงหน้าอย่างงุนงง

“อย่า...อย่าแตะข้า...พิษนี้จักทำให้เจ้าสิ้นไปด้วย ! ปล่อยบัดเดี๋ยวนี้ !” ขุนศรีปัดมือที่พยายามแตะเขาออกไป

“ไม่อีกแล้ว...ไม่ว่าอย่างไร ข้าขอตายกับท่าน ไม่พรากจากกันอีก !” แม่หญิงนากน้ำตาพรูแล้วกอดร่างนั้นแน่นกว่าเดิม

ประโยคนั้นทำให้ขุนศรีชะงักก่อนจะมองร่างที่กอดเขาอย่างตกตะลึง

“เจ้า...เจ้าว่าอันใดนะ...”

“ข้ารักท่านผู้เดียวตลอดมา แต่เป็นท่านกลับเย็นชากับข้านัก ข้าทำอย่างไรท่านก็ไม่เคยสนใจข้าสักนิด พอข้าเริ่มตัดใจจะเริ่มต้นกับใครก็เป็นท่านที่กลับเข้ามาในชีวิตข้า ทำให้ข้ารู้ว่า หัวใจข้าไม่เคยลืมท่านสักครั้ง” แม่หญิงนากสะอื้นไห้กับอกของขุนศรี มีเพียงหลวงพ่อเชิดที่มองภาพตรงหน้าอย่างสงสาร ขณะที่ผู้อื่นกำลังตื่นตะลึง

“ข้ารู้นานแล้ว...ว่าท่านหาใช่พี่ชายข้า...เพราะคืนหนึ่งท่านไข้สูงแล้วข้าได้ดูแลท่าน ท่านเพ้อออกมาทั้งหมด...ความรัก ความแค้น แลคำสัญญาที่ท่านให้ไว้กับแม่ท่าน...ข้าบอกตัวเองตั้งแต่วันนั้นว่าว่าข้าจักชดเชยให้ท่านด้วยหัวใจ แต่สตรีเช่นข้ามันขี้ขลาดไม่กล้าบอกว่ารักท่าน ได้แต่เฝ้าวนเวียนอยู่รอบกายท่าน หวังว่าท่านจะมองข้ามากกว่าน้องสาวสักครั้ง”

“หากข้ารู้สักนิดว่าท่านก็พึงใจต่อข้า และข้าเป็นของท่านในคืนนั้น...เรื่องราวทั้งหมดคงไม่เป็นเยี่ยงนี้..”

.......................................................

เรื่องราวในคืนลอยโคมประทีปกลับเข้ามาในหัวของจอมขมังเวทอีกครั้ง เมื่อเขาอ่านข้อความในกลักไม้ ความเจ็บแค้นหึงหวงอิจฉาริษยาศิษย์เอกของพระอาจารย์ก็ส่วนหนึ่ง อีกส่วนคือสตรีต้องห้ามที่เขาไม่มีวันได้เคียงครอง จารีตธรรมเนียมที่สังคมเห็นเขาและแม่หญิงนากเป็นดังพี่น้องร่วมบิดา ทำให้ไม่อาจสมหวังในรัก...

ฤทธิ์เหล้าที่ดื่มไปมากมายคืนนั้น ทำให้ความรู้สึกที่ซ่อนไว้ล้นเอ่อ เมื่อเจ้าตัวก้าวขาขึ้นเรือน ก็รู้จากบ่าวไพร่ว่าผู้มีศักดิ์เป็นน้องสาวขึ้นเรือนไปแล้ว

“แม่หญิงนากนั่งอยู่ท่าน้ำนานพักใหญ่เจ้าค่ะ เห็นว่าจักรอคน...แต่เพิ่งขึ้นเรือนไปเมื่อครู่นี้เอง” อีบัวบ่าวคนสนิทรีบบอกเขาในคืนนั้น ก่อนจะจ้องมองกลักไม้ในมือเขาอย่างสงสัย

“เจ้ามองอันใด ?”

“เอ่อ...บ่าวเปล่าเจ้าค่ะ เหมือนเห็นแม่หญิงสั่งความทาสของสำนักดาบว่าให้นำกลักไม้มอบให้อ้ายสีหราช...”

“ก็มันคืนกูมา...จักให้ข้าทำอันใด ? เอ็งเป็นบ่าวอย่าสู่รู้นัก !”

ความมึนเมาและความหึงหวงที่ล้นเอ่อทำให้เขาใช้อาคมนิทรากับเหล่าบ่าวไพร่บนเรือนทั้งหมดคืนนั้น ก่อนจะก้าวเท้าขึ้นเรือนของแม่หญิงนาก

ร่างที่นอนหลับอยู่ในมุ้ง ขาวนวลราวกับนางสวรรค์ เอวองค์อ่อนนุ่มที่เขาเคยกอดประคองในยามเยาว์วัย เสียงหัวเราะสดใสที่เคยฉะอ้อนฉอเลาะอย่างนั้นอย่างนี้ย้อนกลับมาในความทรงจำ

“อ้ายศรีใจดี...ช่วยน้องเอาดอกจำปาจำปีได้ฤาไม่” วงหน้าใสยิ้มกระจ่างให้กับขุนศรีในวัยหนุ่ม

“ซุกซนนัก บุตรีสมุหพระกลาโหมอันใด...ไฉนเหมือนลูกลิงน้อย...” เสียงเขายามเริ่มเป็นหนุ่มกลั้วหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอาไม้สอยดอกไม้หอมนั้นลงมาให้ร่างแน่งน้อยที่อยู่ในผ้าถุงสีดอกตะแบก ผมที่เกล้ามวยน้อย ๆแลปักปิ่นนพเก้า ทำให้เขาเห็นน้องสาวตรงหน้างดงามราวเจ้าหญิง

“เจ้าจักเอาดอกไม้ไปทำอันใด เจ้าลูกลิงน้อย” เขาหัวเราะพร้อมกับยีหัวนุ่ม ๆ ตรงหน้า แต่เจ้าตัวเบี่ยงหนี

“อย่าเล่นหัวข้าสิ อ้ายศรี...ข้าเติบใหญ่แล้วนะ” ใบหน้าน่ารักงอง้ำทำปากยื่นใส่ ทำให้อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ

“เติบใหญ่อันใด ยังตัวน้อยเท่าสะเอวของข้าอยู่เลย” ว่าแล้วก็เอานิ้วจิ้มเอวน้องน้อยตรงหน้า ทำให้ร่างนั้นหัวเราะตาหยีก่อนจะวิ่งหนีไปรอบ ๆ

ความทรงจำที่งดงามของขุนศรีและแม่หญิงนากแจ่มจรัสในหัวใจ จนกระทั่งสองสามวันล่วงไป ร่างเล็ก ๆ ก็วิ่งมาพร้อมกับถือบางสิ่งในมือไว้

“รอข้าด้วย อ้ายศรี !” ผ้าถุงที่สวมตวัดไปมาอย่างน่ากลัวจะพันแข้งพันขา กำไลทองคำน้อย ๆ ที่อยู่ข้อเท้าส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งเบา ๆ ตามจังหวะการวิ่งของเด็กสาว

“อย่าวิ่ง! แม่นาก!” ไม่ทันที่จะสิ้นคำ ร่างนั้นก็พลันคะมำลง และเคราะห์ดีที่เขาเองวิ่งปราดเข้าไปช้อนร่างเล็ก ๆ นั้นไว้ทัน กลิ่นหอมกระแจะจันทร์และดอกมะลิจากร่างเล็ก ๆ ทำให้เขานิ่งงันไปครู่หนึ่ง ริมฝีปากแดงย้อยฉ่ำราวกับผลมะเขือเทศและดวงตาแจ่มแจ๋วของแม่หญิงนากอยู่ใกล้แค่คืบ เสียงบ่าวไพร่วิ่งตามมาดังเป็นโกลาหล ก่อนเขาจะรีบปล่อยร่างนั้นคืนแก่บ่าวไพร่และแม่นม

“ดูแลกันเยี่ยงไร แม่หญิงเกือบล้ม” เป็นเขาที่เอ็ดเหล่าบ่าวไพร่ตรงหน้า

“อย่าเอ็ดพวกบ่าวเลยอ้ายศรี เป็นข้าที่ผิดเอง” แม่หญิงนากก้มหน้างุด ๆ สลดนิด ๆ 

“เจ้าก็ด้วย เป็นหญิงวิ่งอะไรแบบนี้ไม่งาม หกล้มเป็นแผลไปจะทำอย่างไร” สีหน้าเขาขุ่นเคืองจนร่างเล็ก ๆ หน้าเจื่อนลง มือนั้นกำบางสิ่งในมือไว้แน่น จนเขาเองต้องขมวดคิ้วถาม

“นั่น...เจ้าถืออะไรในมือน่ะ...”

“ไม่ให้แล้ว ! ข้าไม่ให้อ้ายศรีแล้ว!” ร่างเล็ก ๆ เบะปากร้องไห้ทำให้เขาตาตื่นรีบทรุดกายลงตรงหน้าน้องน้อย

“ข้า...ข้าผิดเองที่ดุเจ้า...ยกโทษให้พี่ได้ฤาไม่ เจ้าหญิงของพี่...”

“เจ้าหญิง...งั้นรึ” เสียงสะอื้นฮัก ๆ ยังไม่หยุดแต่ดวงตาใสแจ๋วมองนิ่งอย่างสนใจ

“ใช่...ข้าจักเรียกเจ้าอย่างนี้”

“ใช้เรียกข้าคนเดียวใช่ฤาไม่...” กริยาเง้างอดของน้องน้อยตรงหน้าทำให้เขาหัวเราะเบา ๆ 

“ใช่...ถ้าเจ้าชอบ ข้าจักเรียกเจ้าคนเดียว พอใจฤาไม่...”

เด็กน้อยพยักหน้านิด  ๆ ก่อนจะปาดน้ำหูน้ำตาแล้วยื่นมือที่กำบางสิ่งมาตรงหน้าเขา พอเจ้าตัวรับมาดูถึงกับนิ่งงัน ถุงผ้าโปร่งที่ปักเป็นลายดอกบัวสีเหลืองใบน้อยที่เจ้าตัวบรรจงใส่ดอกไม้หอมนานาชนิดและยังมีดอกจำปาจำปีแห้งที่เขาเป็นคนสอยลงมาด้วย การเย็บยังไม่สู้เรียบร้อยนัก ฝีเข็มห่างบ้างถี่บ้างและบางจุดของผ้าปักยังมีรอยแดง ๆ เลอะอยู่ ขุนศรีขมวดคิ้วก่อนจะคว้ามือเล็ก ๆ ของน้องน้อยมาดู เจ้าตัวพยายามบิดมือหนีแต่ก็ไม่พ้น ปลายนิ้วขาวผ่องของดรุณีน้อยมีรอยเลอะเลือดเป็นจุด ๆ บอกชัดว่าโดนเข็มตำมาไม่น้อย ความรู้สึกหลากหลายประดังขึ้นกลางใจของเขาจนเผลอกำมือเล็ก ๆ นั้นแน่นขึ้นไม่รู้ตัว

“เจ้า...ปักเองทั้งหมดเลยรึ” เขากำถุงผ้าดังกล่าวไว้แน่นก่อนจะมองร่างเล็ก ๆ ด้วยสายตาบอกไม่ถูก

“ใช่...ข้าปักเอง อาจไม่งามนัก แต่ข้าให้อ้ายศรี” ร่างนั้นสูดจมูกกลั้นสะอื้น

“ทำไมเอามาให้ข้าเล่า” เสียงเขาแหบพร่าคล้ายจะเป็นหวัด

ถุงหอม...มีแต่สตรีคู่รักให้กับบุรุษที่พึงใจ...เจ้าตัวรู้ความหมายฤาไม่?

“พ่อว่าส่งพี่ไปเรียนดาบหลายปี เห็นถุงใบนี้...พี่จักไม่ลืมน้องอย่างไร” แววตาใสซื่อบริสุทธิ์จนเขาต้องหลบตาเสียเอง

ถุงผ้าปักใบนั้นเขายังเก็บไว้แนบอกไม่เคยลืมแม้ว่าดอกไม้จักคลายกลิ่นหอมไปแล้วก็ตาม ความรู้สึกประหลาดค่อย ๆ ก่อตัวในหัวใจ แต่เขาจำต้องเก็บไว้เพราะสมุหพระกลาโหมบอกกับผู้อื่นเสมอว่า เตรียมประคบประหงมแม่หญิงนากผู้งดงามไว้เชื่อมสัมพันธ์กับราชวงศ์ หลายประโยคของสมุหพระกลาโหมทำให้เขาสงสัยอยู่ครามครันว่า แท้จริงแล้วชายสามานย์ผู้นี้เห็นเจ้าหญิงน้อยของเขาเป็นสิ่งใดกันแน่

“ข้ามีลูกสาวงาม ก็ต้องใช้ให้คุ้มสิวะ หญิงเป็นสมบัติของชาย ข้าเป็นพ่อมัน จักยกมันให้ใครก็ได้ !” เสียงสมุหพระกลาโหมหัวเราะร่วนกับเจ้าพระยาคนสนิทดังลอดออกมาจากเรือนใหญ่

.......................................................

เจ้าหญิงน้อยที่แสนดื้อดึง...นับวันยิ่งงามเฉิดฉาย ความงดงามสะพรั่งของเจ้าตัวน้อยที่ก้าวสู่วัยแรกรุ่นดรุณี ผิวพรรณนวลลออดังทองทา เอวองค์ที่ไม่เคยมีก็เริ่มคอดงาม อีกทั้งสะโพกยังผายได้รูป ริมฝีปากจิ้มลิ้มชะอ้อนฉอเลาะเก่งกว่าใคร แม้จะเจ้าอารมณ์เอาแต่ใจเป็นที่หนึ่งแต่สำหรับขุนศรี แม่หญิงนากยังคงเป็นดรุณีน้องน้อยที่เขายินดีตามใจทุกครา ก่อนนั้นมีเขาที่ใดมักมีแม่หญิงนากอยู่ใกล้ ๆ ดรุณีน้อยมีเขาเป็นพี่ชายที่คอยเอาใจไม่ห่าง ต่างจากหลวงแนบที่อายุห่างกันหลายปี และรายนั้นมิสู้จะใส่ใจน้องสาว ทำให้แม่หญิงนากติดเขาแจ

กลิ่นหอมกรุ่นของผ้าอบน้ำปรุงของร่างกลมกลึงมักทำให้หัวใจขุนศรีเต้นแรงบ่อย ๆ เจ้าตัวได้แต่เก็บงำทุกสิ่งไว้ใต้บุคลิกเงียบขรึมพูดน้อย เขาพยายามหลายครั้งที่จะพาตัวเองออกจากเจ้าของดวงตากลมโตสุกใส เพราะรู้ว่าหากใกล้ชิดคงไม่แคล้วต้องปวดหัวใจ เป็นเขาเองที่เริ่มผละห่างและตั้งกำแพงกับน้องสาวคนงาม

“อ้ายศรี...กลับจากพระนครครานี้ เหตุใดท่านเย็นชากับข้านัก”

คำถามที่เจ้าตัวถามเขาต่อหน้าครั้งหนึ่ง และเป็นเขาที่เมินหน้าและคว้าจอกสุรามาดื่มให้ดูตรงหน้า

“ข้าก็เป็นของข้าเยี่ยงนี้ นานแล้ว เจ้าไม่สังเกตเองแม่นาก” ร่างเล็ก ๆ มองเขานิ่ง ๆ คล้ายน้อยใจ เป็นเขาที่ฝืนมองสุราแทนจะมองวงหน้างามนั้น

“อ้ายศรี...รู้ฤาไม่...พ่อจักให้ข้าเตรียมตัวเป็นพระสนมของเสด็จพระองค์ชายชาญนพ...” เสียงนั้นสั่นเครือนิด ๆ

“รู้” เขาพูดโดยไม่มองหน้า

“ท่าน...เห็นอย่างไร...” ประโยคนั้นคล้ายแผ่วเบาราวกระซิบ

 “ก็...ดี เป็นพระสนมก็จักได้มีทรัพย์มากมาย มีคนห้อมล้อมคอยเอาใจเจ้า ไม่ดีดอกรึ” เขาพยายามยกเอาเรื่องดี ๆ ที่จักเกิดขึ้น
ถ้าแม่นากได้เป็นพระสนม คงมีแต่คนคอยเอาใจ และนางคงจะสนุกสนานกว่าอยู่ในเรือนนี้เป็นแน่

แต่ไม่รู้เพราะอะไร พอพูดออกไป ร่างเล็ก ๆ ตรงหน้ากลับนิ่งงันและก้มหน้านิ่ง ๆ ครู่ใหญ่ก่อนจะเงยหน้ามองเขา ทันทีที่สบตาก็เป็นเขาที่ต้องชะงักเพราะดวงตากลมคู่สวยรื้นไปด้วยน้ำตา เจ้าตัวพยายามฝืนยิ้มให้เขา

“งั้นรึ...ท่านว่า...ดี...ดีแล้วอย่างนั้นรึ...”

“แม่นาก...” เหมือนเขาจะหาเสียงตัวเองไม่เจอ

“ข้า...เชื่อท่าน อ้ายศรี...ท่านเป็นพี่ชายข้า ย่อมหวังดีกับข้าใช่ฤาไม่...”

คำว่า “พี่ชาย” คำเดียวทำให้หัวใจเขาคล้ายถูกตอกตรึงกับที่

ใช่แล้ว...ต่อให้จะมีความรู้สึกประหลาดใดที่กำลังเติบโตอยู่ในหัวใจของเขา เขาจำต้องตัดรากถอนโคนเสียก่อนที่มันจักกลายเป็นพิษร้ายที่ทำให้เขาแดดิ้นในภายภาคหน้า

พิษรักร้ายแรงเสมอ และยังมีพิษความแค้นที่ต้องจัดการชำระอีกด้วย

เขาจักรัก...บุตรสาวของคนที่ทำให้พ่อเขาตายไม่ได้ คำสั่งเสียสุดท้ายของนางทาสผู้เลอโฉม แม่ของเขา

“เจ้าจักต้องทำลายตระกูลนี้ให้สิ้น มันฆ่าพ่อเจ้า คร่าเอาแม่มาเป็นเมียมัน จงทำให้มันตายใจและเล่นงานมันเมื่อเจ้าเติบใหญ่”
หากมิใช่ความแค้นที่หล่อเลี้ยงเขามาสิบกว่าปี เขาก็คงไม่มีวันนี้

แต่เหตุใด....หัวใจถึงไขว้เขวนัก....

นับจากนั้น เขาพยายามหลบหน้าดรุณีน้อยมากขึ้นอีก สุรากลายเป็นเพื่อนสนิทที่ขุนศรีอยู่ด้วยทุกคืน จากนั้นเขาพยายามเอาตัวออกจากเรือนใหญ่ หาเรื่องให้ออกไปราชการหัวเมืองบ้าง และที่สำคัญบุญคุณความแค้นที่ต้องจัดการให้สิ้น
เขาลอบพบปะกับกรมหลวงไกรสีห์สรคุณและกลายเป็นถูกชะตาเมื่ออีกฝ่ายเป็นบุคคลที่ถูกลืมเลือนเช่นกัน

...ม้านอกสายตาอย่างเขาที่สมุหพระกลาโหมไม่เคยสนใจ...

ยิ่งเขาไม่เก่งเชิงดาบอย่างอ้ายสีหราชที่ผู้เป็นพ่อเอ่ยชมอยู่บ่อยครั้ง ยิ่งทำให้ไม่ถูกจับตามอง

“อ้ายศรี ! เสียแรงที่ข้าส่งเอ็งไปเล่าเรียนกับพระอาจารย์ เลี้ยงเจ้ามาอย่างดี กะอีแค่ลูกไพร่คนหนึ่งเจ้าก็สู้เขาไม่ได้ เสียชื่อบุตรชายสมุหพระกลาโหม!” ว่าแล้วเจ้าตัวก็กราดเกรี้ยวใส่เขาที่คุกเข่าหมอบอยู่ตรงหน้า เช่นเดียวกับหลวงแนบที่เป็นขุนพลอยพยักที่หัวเราะหยามหยันเบา ๆ

“ก็...นี่มันลูกทาส จะให้ไปเทียบกับลูกไพร่...มันก็ยากอยู่นาพ่อ...แม่มันเป็นเพียงทาส...”

สิ้นคำดูถูกนั้น เขาลอบกำหมัดด้วยความแค้น หากแต่สายตายังคงยิ้มอ่อนและทำตัวสั่นเทาราวหวาดกลัว

“ข้า..ข้าขอโทษที่ข้าทำให้พ่อผิดหวัง”

พ่อ...แต่ในหน้า แต่เป็นศัตรูที่ต้องสังหาร...ใจเขาหวนคิดแว่บหนึ่ง

หากวันใดเขาทำสำเร็จ เจ้าหญิงน้อยจะแค้นเขาไหม...จะเกลียดเขาหรือไม่....จะร้องไห้หรือไม่...

แต่พ่อแม่ต้องมาก่อน...ความแค้นที่สังหารพ่อและฉุดคร่าแม่ มีเพียงเขาที่จะใช้เลือดล้าง

เพียงชั่วเดือนที่เขาหลบหน้า กลับมาถึงรู้ว่าแม่หญิงน้อยของเขามิได้พึงใจเสด็จพระองค์ชายชาญนพอีกแล้ว หากแต่กลายเป็นศัตรูคู่แข่งของเขาที่สำนักดาบ คนที่เขาไม่เคยสู้ได้สักครา ภาพน้องน้อยคนนั้นออดอ้อนฉอเลาะกับสีหราชในกาด และบรรดาของกินที่เจ้าตัวบรรจงทำมาแล้วยื่นให้แก่สีหราช ทำให้ใจที่คิดว่าไม่สั่นไหวกลับโยกคลอน...

สิ่งเหล่านั้น...เขาเคยยืนตรงนั้น...เคยชิมทุกคำในวัยเยาว์

“อ้ายศรี...ขนมกลีบลำดวนนี้อร่อยฤาไม่...” เจ้าตัวเล็กตาแป๋วก่อนจะป้อนขนมที่ทำเองเข้าปากเขา

“อืม...อร่อย” ยามนั้นเขาตอบเอาใจมัน ทำให้เจ้าตัวตาโตยิ้มกว้างก่อนจะหยิบอีกคำเข้าปากตัวเองบ้าง

“แหวะ...มันต้องอบควันเทียนอีก...จืดขนาดนี้ อ้ายยังว่าอร่อยอีกฤา” เจ้าตัวหน้าเหยเก

“ฝีมือเจ้า..อร่อยแล้วในสายตาข้า” เขาตอบสั้น ๆ แล้วเบือนหน้าหลบดวงตากลมโตที่มองมา

เจ้าลืมหมดแล้วสินะ...ว่าเคยป้อนพี่อย่างไร...แม่นาก

ไหนจะกริยาล้อมหน้าล้อมหลังอ้ายสีหราชกลางกาด...เหมือนที่ทำกับเขาไม่มีผิด ยิ่งเห็นยิ่งร้าวจนยากจะยืนมองต่อไป

“ไอ้สัก ไอ้สิน ไอ้เกิด ไปได้แล้ว !” เขาสะบัดหน้าหลบภาพบาดตานั่นแล้วเดินอ้าวออกมาไม่รอใคร

“นายน้อย...จักไม่ไปซื้อของขวัญให้แม่หญิงนากแล้วฤา...ร้านนั้นอยู่ไม่ไกลนี่เอง” ประโยคของไอ้เกิดทำให้เขากำมือแน่น

“ไม่! ข้าเปลี่ยนใจแล้ว!”

ยิ่งระยะหลัง ๆ แม่หญิงนากนัดแนะพาอ้ายสีหราชมาถึงเรือน มาไม่มาเปล่ามานั่งริมท่าน้ำที่เขาจักต้องผ่านทุกวัน ทำให้หลัง ๆ ยามกลับจากวังเขามักจะดื่มเหล้ามาด้วยเสมอ หวังว่าถ้าเมาแล้วจักไม่ใส่ใจภาพยอกแสลงใจ แต่เจ้ากรรมก็ไม่เคยพ้นภาพบาดตาสักครั้ง...

เสียงหวาน ๆ ฉะอ้อนกลอนบอกรักต่อหน้าอ้ายสีหราชเย็นวันนั้น ทำให้เขากำมือแน่นกัดฟันกรอด

“อ้ายสีหราชเคยพึงใจผู้ใดฤาไม่...” ประโยคนั้นทำให้ขุนศรีที่กำลังเดินผ่านชะงักก่อนจะยืนนิ่งยอมเสียมารยาทหยุดฟัง บุรุษในชุดนักดาบหลวงและน้องน้อย...แม่หญิงนาก...กำลังนั่งหันหลังให้เขาอยู่ที่ริมท่าน้ำ...

“หากเพียงรักหวังรักไม่ชังตอบ    
หากเพียงชอบเอ่ยเฉลยซึ่งความหมาย
หากข้ารัก...จักเพียงหนึ่งไม่เคลื่อนคลาย
ผิว์ยามวายกายพรากจึ่งจากเอย...”

“กลอนบทนี้...ท่านมีความเห็นอย่างใด...อ้ายสีหราช...” ประโยคหวาน ๆ ของแม่หญิงนากดังขึ้น ในวูบนั้นคล้ายกับว่าเจ้าของประโยคจะผินกายมามอง แต่ก็ชั่วพริบตาร่างนั้นก็เบือนหน้ากลับไปอย่างรวดเร็ว

กลอนบอกรัก...หึ ! ตัวเท่าเมี่ยง รู้จักรักแล้วอย่างนั้นฤา!

คำพูดกระทบกระเทียบเปรียบเปรยร่างน้อยในวันนั้น แม้จะหมายเชือดเฉือนหัวใจร่างตรงหน้า พอเอ่ยไปแล้วก็อยากตบปากตัวเองนักเพราะคล้ายจะเห็นหยดน้ำตาคลอรื้นขึ้นบนใบหน้าหวาน แต่ก็เพียงครู่เดียว...ความเมาทำให้ไม่อยากรับรู้สิ่งใด ทำให้เขาได้แต่เบือนหน้าหนีแล้วเดินหัวซุนขึ้นเรือน

หากน้องน้อยหมายจะเป็นพระสนมของเสด็จพระองค์ชายชาญนพ...มันจักไม่ยุ่งเลย เพราะเสด็จพระองค์ชายพระองค์นั้นทรงเมตตาอารีกับมันมาตลอด แต่ต้องมิใช่อ้ายสีหราชที่เป็นคู่ปรับของมัน !

เจ้าหญิงของมัน โง่งมนัก !

ละทิ้งโอกาสการเป็นพระสนมของเสด็จพระองค์ชายชาญนพ มาเลือกเป็นเมียไพร่คนหนึ่งอย่างอ้ายสีหราช !?! 

ไอ้คนพรรค์นั้นมีอันใดดีงามบ้าง !
.......................................................


Butler หายไปเพราะไปจัดการดีลกับโรงพิมพ์ค่ะ ตอนนี้เปิดพรีอยู่ ขอโทษน้าที่หายไปหลายวัน :)
 :mew3:
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 4/2/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 05-02-2021 00:33:26
เห้ออออ
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 4/2/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 11-02-2021 11:49:31
CHAPTER
35




ไม่กี่ชั่วยามก่อนจะเริ่มเทศกาลลอยโคม แม่หญิงนากในชุดสีดอกตะแบกก้าวขึ้นมาบนเรือนของขุนศรี สีหน้าเจ้าตัวคล้ายตัดสินใจบางประการ ฝีเท้าร่างเล็ก ๆ นั้นแผ่วเบา เจ้าตัวก้าวขึ้นเรือนมาโดยไร้บ่าวไพร่ติดตาม ขุนศรีที่กำลังกรึ่มดื่มเหล้าอยู่ผู้เดียวเหลือบมองร่างนั้นอย่างเมิน ๆ  ดวงตากลมโตสุกใสมองบุรุษตรงหน้านิ่ง ๆ ด้วยแววตาประหลาดที่เจ้าตัวก็อ่านไม่ออก
ฤทธิ์สุรา...ทำให้บางอย่างที่เขาควรจะเห็นในยามสติครบถ้วน วันนี้กลับมองไม่เห็น...

“มาเรือนนี้ทำไม เจ้าต้องไปเที่ยวเทศกาลลอยโคมไม่ใช่ฤา...เดี๋ยวอ้ายสีหราชจะรอ” ขุนศรียกเหล้าขึ้นดื่มต่อและไม่สนใจร่างที่ขยับเข้ามาใกล้

กลิ่นหอมเฉพาะตัวของแม่หญิงนากที่เขาจำได้ ลอยกรุ่นอวลมาพร้อมกับผ้าซิ่นยกดอกผืนงาม

“ข้า...ข้าชอบอ้ายสีหราช...ข้าจักแต่งกับมัน” ประโยคนั้นแม้จะเรียบ ๆ แต่ปลายเสียงคนพูดคล้ายสั่นเครือเบา ๆ

“แล้วมาบอกข้าทำไม ไปบอกพ่อสิ” มือเขากำแก้วเหล้าแน่นขึ้นไม่รู้ตัว

“ท่านอยากให้ข้าแต่งกับอ้ายสีหราชหรือไม่...” ดวงตากลมโตคล้ายกลั้นใจถามเขา

“ไม่เกี่ยวกับข้าสักนิด” ขุนศรีพูดห้วน ๆ

“อย่างนั้นรึ...ไม่เกี่ยวเลยงั้นรึ” เสียงแม่หญิงนากคล้ายแผ่วเบากว่าเดิม เจ้าตัวก้มหน้ามองพื้นเรือนแล้วกำมือแน่น

“เรื่องหัวใจของเจ้า มาถามข้าได้เยี่ยงไร” ขุนศรีแค่นยิ้มก่อนจะยกเหล้าขึ้นดื่มต่อ

“อ้อ...และเพราะเจ้าเป็นหญิง...บอกรักบุรุษก่อนมันไม่งามดอกนะ ผู้คนจะนินทากันได้ถึงบุพการี”

น้ำเสียงเยาะหยันอย่างที่เจ้าตัวก็ไม่รู้ว่ากำลังเหยียดหยันในสิ่งใด

...อาจจะเหยียดหยันในโชคชะตาของตนเองละมัง...

สิ้นประโยคนั้น แววตาหวานของร่างเล็ก ๆ ตรงหน้ากลายเป็นวาววามด้วยความโกรธ และเหมือนจะมีบางอย่างผสมอยู่ในสายตาตัดพ้อนั้น แต่เป็นขุนศรีที่มองเมินและยกยิ้มเหยียดที่มุมปาก

“แล้วทำไมรึ ? หญิงเอ่ยก่อน หรือชายเอ่ยก่อน มันต่างกันเยี่ยงไร! ข้าไม่สนใจทั้งนั้น เพราะหากข้ารักใครข้าก็จะบอกเขาให้รู้ !”

ร่างเล็ก ๆ นั้นปราดเข้ามาใกล้อีกนิด มือนุ่มเล็ก ๆ นั้นแทบจะเขย่าแขนแกร่งที่ยกสุราขึ้นดื่ม

“เหอะ ! จงรอไปเถอะ อ้ายสีห์ไม่ใช่เชื้อสายราชวงศ์ พ่อคงยอมให้เจ้าแต่งกับมันหรอก...”

“ข้าไม่สนใจ ! ขอเพียงข้ารู้ว่าคนผู้นั้นรักตอบข้า จะอุปสรรคอันใดขวางหน้า ข้าก็ไม่เกรงทั้งนั้น!”

แววตาจริงจังของร่างน้อยตรงหน้าจ้องมาที่เขาเขม็ง

....เจ็บนัก...เจ็บตรงกลางหัวใจข้านี่....

ประโยคที่ตะโกนลั่นตรงหน้าทำให้เขาสะอึกไปครู่หนึ่ง

นี่เจ้ารักมันถึงเพียงนั้นเลยรึ รักอ้ายสีหราชปานนั้น ร้ายกาจเกินไปแล้ว!

“ข้าอยากรู้ว่าท่านคิดอย่างไร ตอบข้าสิ อ้ายศรี! ท่านอยากให้ข้าแต่งงานกับสีหราชหรือไม่!” ใบหน้างดงามคล้ายจะร้องไห้ มือเล็ก ๆ เอื้อมมาแตะท่อนแขนแกร่งอย่างขลาด ๆ ริมฝีปากที่เคยฉะอ้อนเขายามนี้แดงเรื่อด้วยอารมณ์มากมาย

“อยากแต่งก็แต่งไป! เจ้ามันมากรักหลายใจ จะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างไรก็ตามแต่ใจเจ้าเถอะ !”

ขุนศรีตวาดลั่นแล้วสะบัดแขนหลุดจากการเกาะกุม

“หยุดนะ! ท่านกล้าดีมาว่าข้าได้อย่างไร ข้าไม่เคยมากรัก!”

“ข้ารักอยู่เพียงบุรุษเดียว! ท่านไม่รู้รึ!”

ร่างแน่งน้อยน้ำตาพรูก่อนจะก้าวพรวดเข้ามาทุบอกเขาเป็นพัลวัน บรรดาสุรายาดองต่าง ๆ ที่กองกับพื้นกระจายว่อน มีเพียงมือแข็งแรงของเขาที่ตรึงข้อมือน้อย ๆ นั้นไว้กับผนังเรือน ร่างเล็ก ๆ ที่ระบายอารมณ์จนหอบเหนื่อยตกอยู่ในวงแขนของขุนศรี กลิ่นกายหอมกรุ่นและผิวนวลเนียนพ้นผ้าแถบที่กระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะหายใจเหมือนจะยั่วยวนอารมณ์บุรุษเพศตรงหน้าโดยที่เจ้าตัวไม่ตั้งใจ ฤทธิ์เหล้าทำให้เขาก้มหน้าวูบหนึ่งก่อนจะเกลี่ยคลอเคลียจมูกกับพวงแก้มนุ่มนิ่ม

“ทำไม...รักอ้ายสีหราชนักหรือ อยากให้มันทำเยี่ยงนี้กับเจ้ารึ....”

ริมฝีปากเขาเคลื่อนไปใกล้ความนุ่มนิ่มตรงหน้า ริมฝีปากรูปกระจับแดงเรื่อเย้ายวนใจจนเจ้าตัวอดไม่ได้ที่จะจูบประทับลงไปเต็ม ๆ
ความมึนเมาทำให้จูบของเขาไม่ปรานีร่างตรงหน้า ความบ้าคลั่งกระหายในทุกสิ่งตรงหน้าทำให้มือและปากทำตามทุกสิ่งที่ใจปรารถนา สติที่เคยมีขาดสะบั้นลงไปทันควัน แม่หญิงนากมีกลิ่นคล้ายเด็กน้อย กลิ่นกายที่หอมบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ร่างแน่งน้อยที่ไร้มลทินชายกระพืออารมณ์หนุ่มรุ่นอย่างเขาให้พร้อมจะเผาทุกอย่างตรงหน้าให้เป็นจุณ 

ขณะที่ร่างที่ตกในวงแขนเขาเบิกตาโพลงตัวแข็งราวกับหินเมื่อโดนเขาสัมผัส จูบที่ร้อนแรงค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นหวานละมุน ผิวหน้าของแม่หญิงนากยามนี้งามราวกับผลมะปรางสุก ดวงตาใสแจ๋วหรี่ปรือลดแรงขัดขืนก่อนจะค่อย ๆ แตะ ๆ ริมฝีปากเขาคืนอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ สัมผัสที่ไม่ประสาทำให้เขาแทบคลั่ง กลิ่นหอมของแป้งร่ำและดอกราตรีที่บานอยู่ริมหน้าต่างทำให้สติเขาเตลิดเพริดไปไกล จมูกเริ่มไซ้ต่ำลงไปเรื่อย ๆ มือแกร่งสอดเข้าแตะขอบผ้าซิ่นและลูบตามแต่ใจปรารถนา ผ้าแถบเนื้อนุ่มที่พันรอบอกขาวเนียนตรงหน้ากำลังถูกจมูกและปากเขารุกราน กลิ่นกายสาวและเนื้อนวลตรงหน้าทำให้เขากระหายจัด

ถ้าเป็นลูกศัตรู...เขาทำได้ใช่ไหม...ทำให้พินาศย่อยยับไปตรงนี้ !

“อึก...อะ...อ้ายศรี...อย่า” หยดน้ำตาอุ่น ๆ ของเจ้าเนื้อนวลที่ร่วงเผาะลงมาบนหลังมือเขาทำให้ขุนศรีได้สติ

นี่ ! นี่เขาทำบ้าอะไรลงไป !

ทันทีที่ได้สติ ขุนศรีชะงักผงะถอยห่างทันที ราวกับแม่เนื้อนวลตรงหน้าเป็นของที่เขาไม่อาจแตะต้อง ใบหน้าหวานงดงามยามนี้เปื้อนหยดน้ำตา เป็นเขาที่เริ่มอดสูละอายแก่ใจตัวเองเมื่อมองร่างอ้อนแอ้นอรชร ผ้าแถบที่เริ่มหลุดลุ่ยเพราะมือซุกซนของเขา

ใบหน้าเล็ก ๆ ที่แดงจัดและผิวกายบางส่วนที่มีรอยจูบขบเม้มของเขา แม่หญิงนากตัวสั่นเทาราวกับลูกนก สายตาบอกชัดว่าผวาในสัมผัสของเขา ปากเล็ก ๆ คล้ายจะบวมเจ่อนิด ๆ เพราะเพลิงอารมณ์ของเขาและฤทธิ์เหล้า

เขาควรรั้งร่างนี้เข้ามากอดและเอ่ยขอโทษ แต่ครั้นเอื้อมมือไป แม่หญิงนากกลับสะดุ้งเฮือก ก่อนจะกระถดตัวหนีจนชิดฝาเรือน กิริยาที่เป็นไปโดยไม่รู้ตัวนั้นทำให้ขุนศรีกัดฟันแน่น

แม่หญิงนากรังเกียจเขา ?!?

เพราะทิฐิและศักดิ์ศรีของเขามันค้ำคอ

ได้ ! เมื่อเจ้าตัวอยากแต่งงานกับอ้ายสีหราช เขาก็ไม่แตะไม่ต้องให้หมองอีกเลย !

พลันนั้นเป็นเขาที่กลั้นใจผลักร่างเล็ก ๆ ออกจากห้อง แล้วลั่นดาลประตูใส่ต่อหน้า

“ไปซะ! เจ้าจะแต่งกับใครก็ไป! อย่ามายุ่งกับข้าอีก! ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้า!”

สิ้นประโยคนั้นเหมือนเขาจะได้ยินเสียงสะอื้นไห้อยู่นอกประตู แต่เขาก็จำต้องทำเป็นใจแข็งไม่เปิดประตูออกไป ร่างสูงยืนพิงบานประตูอย่างหมดเรี่ยวแรง ใบหน้าเขาร้อนผ่าวแดงก่ำ กลิ่นหอมของร่างนุ่ม ๆ เมื่อครู่ทำให้ร่างกายเขาทรมานยิ่งนัก จำกลั้นใจรอจนกระทั่งฝีเท้าเบา ๆ นั่นก้าวลงจากเรือนไป เขาถึงค่อยทรุดกายลงกับพื้นห้องแล้วตบกะโหลกตัวเอง
ริมฝีปากนุ่มบอกชัดว่า เจ้าตัวน้อยไม่ประสาอะไรเลย แม้กระทั่งจูบ

เขา...ได้ครองริมฝีปากนุ่มนั่นเป็นคนแรก และยังกลิ่นหอมที่เขาคุ้นเคยมาตลอด ขุนศรีเหลียวมองทุกอย่างรอบกายอย่าง
กลัดกลุ้ม

...คืนนี้เขาจะนอนหลับได้ฤา เมื่อห้องหับเขายามนี้มีแต่กลิ่นหอมหวานจากร่างเล็ก ๆ นั้นไปเสียแล้ว

เสียงของบ่าวไพร่ด้านล่างหัวเราะกันครื้นเครง เสียงที่ลอยมาตามลมบอกว่าคืนนี้เป็นคืนลอยโคม ประโยคที่สมุหพระกลาโหมสั่งให้อ้ายสีหราชพาแม่นากไปเที่ยวด้วยย้อนกลับเข้ามาในหัว

ร่างแน่งน้อยงดงามนั่น...ถ้าปล่อยให้เที่ยวโดยที่ไม่มีอันใดก็ดีไป

แต่หากอ้ายสีหราชคุ้มกันไม่ได้เล่า ฤามีอ้ายอีคนใดมาล่วงเกิน เขายอมได้ฤา....

“ไอ้สิน ไอ้สัก ไอ้เกิด ไปโว้ย ! ข้าจักไปงานเทศกาล !”

ราตรีนี้ข้าจะไปงานเทศกาลลอยโคม !

.......................................................

บนเรือนหลังน้อยในคืนเทศกาลลอยโคม ดึกดื่นถึงยามสองที่ผู้คนบนเรือนล้วนแต่หลับใหล ด้วยมนตราที่เขาแอบไปเล่าเรียนกับจอมขมังเวทเมื่อครั้งไปราชการหัวเมือง อาคมนิทราทำให้ทุกคนหลับใหลชนิดปลุกเท่าใดก็ไม่ตื่น เหล้าที่เขาดื่มหนักจนซวนกายแทบไม่อยู่ทำให้ขุนศรีรั้งมือไว้กับบานประตูห้องของแม่นาก มนตราทำให้บ่าวไพร่ที่หลับอยู่หน้าประตูไม่มีสติใด ๆ เขาก้าวข้ามผ่านธรณีประตูเข้ามา

มุ้งสีขาวสะอาดครอบอยู่และเตียงที่ปูผ้าขาวสะอาด ร่างที่นอนห่มผ้าแพรเพลาะอยู่ในมุ้งขาวนั้น วงหน้าน้องน้อยหวานล้ำ ริม
ฝีปากรูปกระจับที่แดงเรื่อทำให้หน้าร้อนวูบเมื่อหวนนึกถึงเรื่องราวเมื่อหัวค่ำ

ริมฝีปากนั่นนุ่ม...ยิ่งกว่าสิ่งใดในโลกที่เคยสัมผัส

แต่แล้วดวงตาเขาพลันวาววับเมื่อนึกถึงข้อความในกลักไม้

เพราะข้อความในกลักไม้ไผ่หาใช่ข้อความจากสมุหพระกลาโหม แต่เป็นลายมือของเจ้าตัวเล็กนี่ที่เขียนไว้ว่าจะรออ้ายสีหราชที่ท่าน้ำ

ท่าทีหม่นหมองและดวงตาอาดูรสีหราชที่หนีเร้นงานเทศกาลลอยโคมนั่นทำให้เขากัดกรามแน่นกว่าเดิม

เหอะ ! คงรักมากมาย จนไม่อยากอยู่เดินงานอีกต่อไปเมื่อสีหราชไม่ได้อยู่เคียง

ทำไมโชคชะตาให้ข้าต้องมาเจอเจ้า...แม่นาก...ทำไมกัน...

ทำไมต้องให้ข้าเผลอรักเจ้า...

ทำไมต้องให้เจ้ามาทำดีกับข้า จนข้า...คุ้นชินกับการที่มีเจ้าอยู่ข้าง ๆ

ต่อให้เป็นดาว...ต่อให้เป็นเดือน...ข้าก็ดั้นด้นคว้ามาให้เจ้า...เจ้าหญิงน้อยของข้า

แต่เป็นเจ้า...ที่ย้ำกับข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าจักแต่งงานกับผู้อื่น

กรีดใจข้า...ไม่พอใช่ฤาไม่...จะขยี้ซ้ำให้ตายใช่ฤาไม่...

กลักไม้ในมือถูกเขากำไว้แน่น เจตนาแรกที่ขุนศรีหวังจะปลุกร่างเล็ก ๆ ขึ้นมาคุยให้รู้เรื่อง เขาจะเปิดอกคุยกับเจ้าหญิงของเขา เขาจักสารภาพทุกอย่างว่าเขาหาใช่พี่ชาย หาได้เกี่ยวพันทางสายเลือด และหากแม่นากไม่รักเขาเลยสักนิด เขาจะจากไปจะหนีไปราชการหัวเมืองเสียให้พ้นภาพบาดตาบาดใจ เรื่องกรมหลวงไกรสีห์สรคุณนั่นเขาก็จะถอยออกมา จะหยุดทุกอย่าง
หากแม่นากร้องขอให้เว้นความอาฆาตมาดร้าย เขาก็พร้อมจะทำให้

พระอาจารย์สอนมัน...เวรระงับด้วยการไม่จองเวร ไฟอาฆาตไม่เคยเผาศัตรูแต่เผาเจ้าของให้มอดไหม้ไปด้วยกันเสมอ
บางทีเขาควรจะหยุดทุกอย่าง...

ทันใดนั้น เขาก็สะดุ้งเมื่อร่างเล็ก ๆ ในชุดผ้าแถบค่อย ๆ พลิกกายหันกลับมาทางเขา ผิวกายขาวผ่องเป็นยองใย ชายผ้านุ่งที่ชะเวิกขึ้นเลื่อนไปอยู่ที่ขาอ่อนนวลเนียน ทำเอาลำคอเขาแห้งผาก ความอัดอั้นในหัวใจทำให้เขาเลิกมุ้งขึ้นหมายจะเขย่าร่างเล็ก ๆ ให้ตื่นขึ้นพูดคุยกับเขา แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งอีกคำรบหนึ่งเมื่อร่างนั้นคล้ายจะละเมอชื่อของสีหราชออกมาเบา ๆ

“อ้ายสีห์...ข้ารักท่าน...กอดข้า จูบข้า”

มือเรียวของดรุณีน้อยละเมอเปะป่ายไปตามร่างกายตนเอง หยดน้ำตาไหลซึมลงข้างแก้มนวล โนมเนื้อที่พ้นชายผ้าแถบทำให้ผู้บุกรุกเข้าห้องรู้สึกจะหายใจลำบากขึ้น แล้วทันใดนั้นผ้าแถบที่พันอกไว้ก็ค่อย ๆ คลายหลุดร่วงตามแรงดิ้นของเจ้าตัว เผยผิวกายนวลเนียนกลางแสงจันทร์ที่ลอดเข้ามา

เป็นขุนศรีที่ตะลึงค้างหายใจไม่ออกขึ้นกะทันหัน เลือดลมในกายวัยหนุ่มพุ่งปราด ทรวงอกงามที่ขาวสล้างและเอวคอด แอ่งสะดือเล็ก ๆ น่ารัก ภาพเปลือยครึ่งกายตรงหน้างามราวกับสวรรค์ปั้นฤาเสกสรรค์

นางสวรรค์....กำลังอยู่ตรงหน้าเขา...เพียงเอื้อมมือ

ขุนศรีรีบหันหลังกลับในทันที แล้วข่มกายข่มใจจะก้าวพ้นธรณีประตูแล้ว แต่ทันใดนั้นก็ชะงักค้างแล้วความโกรธพุ่งปราดขึ้นกลางใจเมื่อได้ยินเสียงหวานฉะอ้อนละเมอเรียกชื่อศัตรูหัวใจเป็นคำรบสอง

....นั่นนางเรียกชื่อ อ้ายสีห์  ใช่หรือไม่....

“อ้าย...อย่าไป ข้ารักท่าน จักเป็นของท่าน...ผู้เดียว..”

แม้แต่ในฝัน...เจ้าก็ยังไม่เคยมีข้าอยู่เลยสินะ....

อยากจะสมรักกับอ้ายสีหราชมากขนาดนี้เลยฤา...

เพ้อครวญหาถึงเพียงนี้ หากข้าสารภาพว่าพึงใจในตัวเจ้า...ก็คงไม่มีวันได้สมหวัง

แต่หากคืนนี้....เจ้าเป็นของข้าแล้ว ใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์เอาเจ้าไป !

เป็นความผิดของสิ่งใดระหว่างเหล้าเข้าปาก กับอารมณ์หึงหวงหน้ามืดที่พลุ่งปะทุขึ้น ร่างสูงหนาหันหลังกลับตรงมาที่ตั่งก่อนจะเลิกมุ้งขาวสะอาดขึ้น ร่างสูงที่เคล้ากลิ่นเหล้าจาง ๆ ทาบทับลงมาบนเนื้อนวลตรงหน้า เสียงครางฮือของร่างเล็ก ๆ ที่งัวเงียก่อนเจ้าตัวจะกรีดร้องขึ้น แต่เป็นเขาที่กดจูบปิดกลั้นเสียงนั้นไว้ อาคมที่มีทำให้เขาตวัดมือครั้งเดียวดับตะเกียงเจ้าพายุในห้องให้ดับลง หน้าต่างเรือนที่เปิดรับแสงจันทร์ถูกเขาร่ายคาถามือเดียวให้หับเข้ามาอย่างรวดเร็ว

มีเพียงความมืด...ที่ไม่อาจรู้ได้ว่าเขาเป็นใคร

ร่างเล็ก ๆ ดิ้นขัดขืนทุบประท้วง แต่ด้วยเนื้อตัวนุ่มนิ่มที่เกือบเปลือยไปครึ่งกายและแรงบุรุษที่แข็งแกร่งกว่า ความหวานของโพรงปากนุ่มทำให้ขุนศรีเมามายกับกลิ่นหอมกรุ่นตรงหน้าไม่รู้จบ คาถามายาบังตาที่ร่ายไว้ทำให้ร่างน้อยไม่อาจเห็นว่าเป็นผู้ใดที่บุกรุกเข้ามาในเรือน ผ้านุ่งเนื้อนิ่มถูกเขากระชากทีเดียวลงไปกรอมที่ข้อเท้าก่อนที่จะขยับร่างหนาเข้ามาประชิด ยิ่งร่างตรงหน้าดิ้นยิ่งทำให้เขาปรารถนาจะเอาชนะให้จงได้

เขารักนาง...รักตั้งแต่ยังเยาว์วัย...ทั้งรักและผูกพัน

ยามนี้ ร่างน้อยกลับเตรียมไปฉะอ้อนออเซาะชายอื่น !

ร่างนุ่มที่ไม่ประสากับบุรุษ แม้จะระดมทุบแผ่นหลังเขาสักเพียงใด แต่มือที่ฟอนเฟ้นและริมฝีปากที่ครอบครองยอดอกงามทำให้
ร่างเล็ก ๆ อ่อนระทวยและในที่สุดก็ได้แต่ไหวเอนครางฮือไปตามสัมผัสที่เขาปรนเปรอ มือร้อนแตะไปส่วนใด เนื้อนวลก็ห่อตัวหนีราวกับสัมผัสเขาคือไฟที่ลามเลียให้วิญญาณ์มอดไหม้ แต่เป็นเขาที่มึนเมาเสพติดกลิ่นผิวกายจนตามไปรุกรานไม่รู้จบ แต่เมื่อถึงที่สุดร่างน้อยคล้ายเจ็บปวด เขากลับลดความปรารถนาทะยานอยากให้เพลิงร้อนลดลงเหลือเพียงสัมผัสที่อ่อนโยนพะเน้าพะนอเนื้อนวลตรงหน้าให้ร่วมภิรมย์ไปด้วยกัน เขาเบียดกายลงแนบชิด พระเพลิงที่พัดโหมกระพือทุกสิ่งตรงหน้าค่อยบรรเทากลายเป็นสายฝนชุ่มฉ่ำที่พัดกระโชกให้ต้นข้าวอ่อนเอนเอียงลู่ลม ต้นข้าวอ่อนนุ่มไหนเลยจะทานแรงพายุตรงหน้าได้ได้แต่เอนอ่อนไปตามลมพายุจะพัดพาไป

วิวาห์คนธรรพ์...ที่ไม่มีมาลัยมงคล มีแต่ความปรารถนาจะครอบครอง และความรักล้นหัวใจ

จนกระทั่งก่อนรุ่งสาง ขุนศรีที่ลืมตาตื่นอยู่ก่อนแล้วตะแคงมองร่างน้อยในอ้อมแขนเต็มตา ผิวกายที่เนียนละเอียดนี้เป็นของเขาแล้ว ร่างที่แดงไปทั้งตัวด้วยฤทธิ์รักของเขา

เมียเขา...แม่นากเป็นเมียเขาแล้ว...

เมื่อคืนแม้ทุกสิ่งจะเริ่มด้วยความหึงหวงและความปรารถนา

แต่ยามนี้เขารู้ดีว่าคือรักที่ล้นหัวใจ และเขาเต็มใจดูแลนางไปชั่วชีวิต

ข้าสัญญาว่าข้าจักมีเพียงเจ้า เจ้าจักเป็นเมียเดียวของข้า เจ้าหญิงน้อย

เป็นเขาที่จูบซับขมับของร่างนุ่มในอ้อมแขน ไม่รู้ว่าเมื่อคืนเขาฝากรักไปกี่ครั้ง แต่หากไม่เข้าข้างตัวเอง แม่นากก็ดูจะรักในสัมผัสที่เขามอบให้อยู่บ้าง ยามนี้เป็นเขาที่หวงไปทุกสิ่ง หวงทุกตารางนิ้วของร่างนุ่มนิ่มในอ้อมแขน ไม่ปรารถนาจะปล่อยให้ชายใดในโลกได้เห็นเมียรักอีกเลย...

...เราจักมีลูกกันหลาย ๆ คน ให้วิ่งเล่นรอบ ๆ เรือน...

หยาดน้ำตารินของ “เมียรัก” ที่หลับด้วยมนตราหยดเผาะลงบนเตียง ทำให้ขุนศรีชะงักกึก

อา...เขาลืมไปแล้วว่า คนที่แม่นากรักและอยากแต่งงานด้วย หาใช่เขา...แต่เป็นอ้ายสีหราชที่นางเพ้อหา

แววตาคมกร้าวตัดสินใจเด็ดขาด

เขาเปลี่ยนใจแล้ว เขาพร้อมเทเดิมพันทั้งหมดที่ตนมีกับกรมหลวงไกรสีห์สรคุณ !

เส้นทางของการเป็นกบฏ....ปลายทางมีรางวัลเป็นแม่หญิงนาก

ขอเพียงผลัดแผ่นดินใหม่ เขาก็จักขึ้นเป็นสมุหพระกลาโหมคนต่อไป และจะใช้อำนาจรับเอาแม่หญิงนากเป็นเมียแต่งอย่างสมเกียรติ ถึงครานั้นใครจักกล้าดูหมิ่นเขาที่เป็นลูกทาสอีก

....ข้าจักบังคับและครอบครองเจ้า...แม้ว่าวิธีการนี้ จะทำให้เจ้าจะเกลียดชังข้าไปตลอดกาลก็ตาม....

....มีเพียงเส้นทางนี้...ที่ข้าจักได้อยู่กับเจ้า....

ร่างสูงผุดลุกขึ้นจากเตียง แต่งกายอย่างรวดเร็วก่อนจะเหลียวมองร่างที่หลับเพราะมนตราอย่างแสนรัก

เจ้าไม่รักข้าก็ไม่เป็นไร ขอแค่ให้ข้าได้รักเจ้า ข้าจักให้เจ้าในทุกสิ่งที่เจ้าปรารถนา

...เจ้าหญิงของข้า...

ยามเร่งรีบออกจากเรือน กลักไม้ไผ่พลันร่วงหล่นอยู่บนเตียงนอน...กลักไม่ไผ่เล็ก ๆ ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงมากมาย

.......................................................
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 4/2/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 11-02-2021 11:50:24
ไอวิญญาณสีดำสนิทค่อย ๆ ลดลงจนแทบไม่เหลือสิ่งใดตรงหน้า จอมขมังเวทนอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้น สีหราชที่เพิ่งยันกายขึ้นได้ประคองร่างเมืองอินทร์ไว้แนบอก ขณะที่พระภิกษุเชิดยืนสงบนิ่งอยู่อย่างนั้นแล้วถอนหายใจเบา ๆ ขุนศรีซบหน้ากับเรือนผมของวิญญาณสตรีที่ตนรักแนบแน่น

“ท่านรู้ฤาไม่...ข้าชอกช้ำเพียงใด เมื่อตื่นขึ้นแล้วไม่พบผู้ใด มีเพียงกลักไม้ไผ่ที่ข้ามอบให้อ้ายสีหราช ข้า...แทบเจียนตายเมื่อคิดว่าข้าได้พลาดไปเสียแล้วกับชายที่ข้าไม่ได้รัก” วิญญาณแม่นากร้องไห้น้ำตาพรั่งพรู

“แลเขาคนนั้นก็ปฏิเสธว่าไม่ได้ล่วงเกินข้า สตรีอย่างข้าจักทำอันใดได้นอกจากกล้ำกลืนความอดสูและเกียรติศักดิ์ศรีที่ถูกเหยียบย่ำไม่มีชิ้นดี”

“เมื่อข้ารู้ว่าข้าตั้งครรภ์ ข้าแทบไม่อยากให้ตัวเองมีชีวิตอยู่ ข้าเอาแต่นึกว่าข้าควรตายอย่างไร สายตาที่ดูถูกเหยียดหยามสตรีที่มีราชศักดิ์แต่กลับท้องไม่มีพ่อ รู้ถึงไหนก็อายถึงนั่น ข้าพยายามฆ่าตัวตายแต่พ่อก็ช่วยข้าไว้  พ่อไปอาละวาดกับสำนักดาบจนทุกอย่างวุ่นวายไปหมด เสด็จพระองค์ชายก็ช่วยทัดทานไว้และส่งหมอมาดูแลข้ากับลูก ท่านควรจะรู้สิว่าข้าท้อง...ท่านควรจะกลับมาหาข้า เหตุใดจึงหายหน้าไป!” วิญญาณตรงหน้าร่ำไห้ปานจะขาดใจ

“เจ้า....รู้ได้อย่างไรว่าเป็นข้า...” คำถามนั้นคล้ายกับคนโง่งม

“จากวันที่ข้าพยายามฆ่าตัวตาย อีบัวมันถึงยอมบอกข้าว่าเป็นท่านที่ถือกลักไม้ไผ่กลับเข้ามาที่เรือนในคืนนั้น หาใช่อ้ายสีหราช ข้าจึงมาสารภาพกับพ่อว่าข้าเป็นเมียท่านแล้ว และจักแต่งกับท่านคนเดียว แต่พ่อบอกว่าท่านได้เมียที่หัวเมืองแล้วจักไม่กลับพระนครอีก และให้ข้าต้องแต่งกับอ้ายสีหราชเพื่อรักษาหน้า”

“บัดซบ ! ข้าไม่เคยมีใครอื่น ! เป็นพ่อเจ้าที่สั่งให้ข้าไปราชการหัวเมืองและห้ามมิให้กลับพระนคร !”

“แล้วเหตุใดจึงมีจดหมาย...จดหมายที่ท่านเขียนกลับมาบอกว่าไม่เคยรักข้า เห็นข้าเป็นเพียงดอกไม้ริมทางที่เชยชมแล้วทิ้งขว้าง...”

วิญญาณแม่หญิงนากน้ำตาพรูกอดร่างตรงหน้าสะอื้นไห้

“จดหมายนั่นทำให้ข้าตัดสินใจโดดน้ำฆ่าตัวตาย”

“ข้าไม่เคยส่งจดหมายใด ๆ มีฉบับเดียวที่อีบัวลอบส่งให้ข้า บอกว่าเจ้าตั้งครรภ์ ข้าจึงลอบกลับเข้าพระนครและส่งจดหมายให้อีบัว บอกว่าให้เจ้ารอข้า”

“ไม่จริง...อีบัวหนีออกไปแต่งงานนานแล้ว มันไปโดยไม่ทันร่ำลาข้าด้วยซ้ำ”

ทันใดนั้นจอมขมังเวทก็ขมวดคิ้วและนิ่งงันไปก่อนจะกระอักเลือดมากกองโต สีหน้าขุนศรีคล้ายหยามหยันในชะตาตนเอง

“สมุหพระกลาโหม ! เสือเฒ่าเจ้าเล่ห์ ! แม้ตายไปแล้วก็ยังไม่สาสม !”

...ทุกอย่างคลี่คลายกระจ่างชัดในวันนี้...หากเพียงรู้สักนิด...ทุกอย่างอาจไม่ลงเอยเยี่ยงนี้...

“พ่อเจ้ามันหวังราชศักดิ์ เตรียมยกเจ้าให้อ้ายสีหราชหวังบรรดาศักดิ์และชื่อเสียง” ขุนศรีเอ่ยอย่างขมขื่น

“หากแต่ที่เขาประเมินพลาดคือ หัวใจของเจ้า”

“เจ้ายอมตายหากมิยอมเป็นหญิงสองผัว...” มือสีดำที่เต็มไปด้วยพิษแตะไล้ใบหน้าแม่นากแผ่วเบา

ภาพของอีบัวที่ถูกฟันคอขาดลอยน้ำมาในลำคลองหลังจากรับจดหมายจากเขาไปได้ไม่กี่คืน วันนั้นทำให้เขาสงสัยอยู่ครามครันแต่ก็ไม่อาจหาคำตอบได้ แต่มาบัดนี้ทุกอย่างกระจ่างแล้ว

คนส่งสารที่รู้ความจริงทุกสิ่ง...ไม่ควรอยู่ในโลกนี้ให้บอกเล่าเรื่องราวใด ๆ อีกต่อไป

ในวันที่รู้ข่าวว่าแม่นากตายพร้อมลูกในท้อง จอมขมังเวทหนุ่มนำความแค้นบุกมาถึงเรือนของสมุหพระกลาโหมในสภาพเหมือนคนบ้า เจ้าตัวทำลายเบี้ยแก้และใช้อาคมชั้นสูงที่เล่าเรียนจากเหล่าหมอไสยเวทด้านมืดทรมานสมุหพระกลาโหม ความผิดหวังว่าที่แม่หญิงนากฆ่าตัวตายโดยไม่รอมัน เชื้อไฟอาฆาตที่สีหราชทำลายแผนการกบฏของมันจนมิอาจเคียงครองกับแม่นากดังปรารถนา

...หากแผนการกบฏไม่ล้มเหลว ยามนี้ต้องเป็นมันที่ได้เคียงครองกับแม่นากและลูก...

 แรงอาฆาตทำให้มันยอมขายวิญญาณให้พญามารเพียงเพื่ออยู่เป็นร้อยปีเพื่อทำลายสีหราชและเมืองอินทร์ให้ตายตกไปตามกัน ทุกครั้งที่บริกรรมคาถาในคืนเดือนมืดคือหนึ่งชีวิตที่มันสูญพลังวิญญาณมาเป็นของตน สำหรับสมุหพระกลาโหมถูกมันสังหารจนสิ้นใจด้วยด้วยอาคมไสยเวท

คำสั่งเสียของผู้เป็นแม่ดังก้องในหัว

“ล้างแค้นให้กูและพ่อเอ็ง...อ้ายศรี...”

เมื่อไม่มีแม่นากและลูก...เขาก็ไม่จำเป็นต้องไว้ชีวิตสมุหพระกลาโหม

“มึงทำให้กูต้องเสียทุกสิ่ง จงทรมานกับบาปที่ทำกับพ่อแม่กูเถอะ! ”

สมุหพระกลาโหมตะกุยตะกายกระถดตัวหนีจนชิดผนัง สีหน้าซีดเผือดเหลือกลานแล้วตะโกนลั่น

“กูเป็นพ่อมึงนะ ไอ้ขุนศรี ! ไอ้อีที่ไหนอยู่ตรงนี้บ้างวะ ! มาช่วยกูที !”

“ไม่ ! กูไม่ใช่ลูกมึง กูมาเพื่อล้างแค้นให้แม่ที่โดนมึงขืนใจฉุดคร่ามาเป็นเมีย แลพ่อกูที่โดนมึงสังหารทิ้งเพื่อลักแม่ข้ามาเป็นสมบัติ !”

ฝีเท้าที่สืบเข้ามาใกล้ ๆ เป็นเขาที่แสยะยิ้มและโบกมือคราเดียว อาคมไสยดำปิดกั้นการมองเห็นทุกสายตา

“ต่อให้โหยหวนจนกล่องเสียงแตกก็จักไม่มีผู้ใดบนเรือนได้ยินเสียงเจ้า ร้องสิ ครวญครางกราบไหว้ข้า! เผื่อข้าจะเมตตาให้เจ้าตายเร็วขึ้น !”

สมุหพระกลาโหมสะดุ้งเฮือกก่อนจะแตะนิ้วที่ใต้จมูก เลือดสด ๆ ค่อย ๆ ไหลออกมาทีละน้อยทางจมูกปาก และทวารทั้งหมด เลือดดำคล้ำจากร่างสมุหพระกลาโหมส่งกลิ่นเหม็นเน่า อาคมไสยเวทชั้นสูงกำลังบิดทึ้งอวัยวะภายในจนบิดเบี้ยว ลำไส้ที่ค่อย ๆ ถูกใบมีดที่มองไม่เห็นเถือจากภายในจนขาดทีละส่วน ๆ อย่างช้า ๆ แม้ว่าจักเจ็บปวดเจียนตายแต่ก็ไม่อาจได้ตายสมใจ หนังควายที่เขาเสกเข้าท้องค่อย ๆ ขยายขึ้นทีละนิด ๆ จนเบียดหัวใจและตับไตทั้งหมดในร่าง

ร่างตรงหน้านั้นแหกปากร้องโหยหวนกระเสือกกระสนดิ้นเร่าอยู่บนพื้น แต่ก็ไม่มีผู้ใดได้ยิน ประตูเรือนใหญ่เปิดกว้าง แต่บ่าวไพร่ทุกคนล้วนเดินผ่านไปราวกับไม่เห็นภาพที่ปรากฎในห้องนอนนั้น เมื่อใกล้ตาย...เขาก็คลายคาถา พอเริ่มบรรเทา...เขาก็เริ่มทรมานต่อ...ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ขุนศรีมองภาพสมุหพระกลาโหมที่ดิ้นเร่าตรงหน้าด้วยสายตาเฉยเมย

ข้าจักทำให้รู้สึกราว...อยู่...มิสู้...ตาย...

ขุนศรีหรี่มองร่างที่ตะกุยตะกายอยู่กับพื้นอย่างขยะแขยง ความเจ็บปวดนี้ยังไม่สาสมกับการที่สมุหพระกลาโหมที่ทำให้มันต้องเสียแม่นากและลูกไป ความเจ็บปวดนี้ยังไม่เท่ากับชีวิตพ่อแม่ที่ต้องสิ้นเพราะความมักมากในกามของร่างตรงหน้า

เมื่อผสานกับมนตราลืมเลือนทำให้กว่าจะมีคนบนเรือนนึกได้ว่าไม่เห็นสมุหพระกลาโหม ก็ผ่านไปแล้วกว่า 7-8 วัน ทันทีที่ร่างนั้นสิ้นใจ บ่าวไพร่จำนวนมากถึงเห็นร่างที่ไร้วิญญาณในสภาพเอนจอนาถ ความสยดสยองของผู้ตายเป็นที่โจษจันของชาวบ้านในละแวกนั้นนับสิบปี

บัดนี้ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว...โศกนาฏกรรมความรักของเขาและแม่นาก

ทันทีที่ตัดวางความอาฆาตลง...ใจก็เบา และเห็นความจริงทั้งหมด...

ความอาฆาตทำให้ใช้อาคมสังหารผู้คนในคืนเดือนดับและนำวิญญาณเหล่านั้นมาต่อชีวิตอสุภะให้ตน หล่อเลี้ยงจิตมารให้อยู่ข้ามกาลเวลา เพื่อการล้างแค้น

นับร้อยชีวิตบริสุทธิ์ที่ถูกมันสังหาร สมแล้ว...ที่ต้องตกนรกหมกไหม้...

“สาธุ...อาตมาเองก็มีส่วนผิด หากอาตมาไม่รับกลักไม่ไผ่นั้นมาแต่แรก...ก็คงไม่เกิดโศกนาฏกรรมขึ้น...” พระภิกษุเอ่ยเบา ๆ ก่อนจะยกตาลปัตรออกมาตั้งไว้ตรงหน้า วสุธาบดีนาคราชและสีหราชมองภาพตรงหน้าด้วยสีหน้าหม่นหมอง

“หลังจากแม่นากโดดน้ำตายพร้อมลูกในท้อง อาตมาพาดวงวิญญาณของแม่หญิงนากมาอยู่ในพระวิหารและบำเพ็ญกุศลมาตลอดเพื่อให้ได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดีงาม...” พระภิกษุเชิดเอ่ยขึ้นเบา ๆ แล้วยิ้มให้ร่างตรงหน้าทั้งสอง

“ขอจงละวางเรื่องราวในชาตินี้ เตรียมเดินทางสู่ภพใหม่เถิด...”

เสียงสาธยายมนต์ด้วยทำนองสรภัญญะดังขึ้นเบา ๆ จากพระภิกษุตรงหน้า น้ำเสียงไพเราะอ่อนโยนราวกับปลอบประโลมดวง
วิญญาณบาปที่ได้ดวงตาเห็นธรรม

ความอาฆาต...สิ้นสุดลงด้วยความเข้าใจ...

กระแสกรรมพัดพาพวกเขามาพบกัน...เพียงเพื่อจากกัน เป็นเช่นนี้เอง

อาจจะมีสักชาติภพ...ที่พวกเขาได้สมหวังและครองคู่กันอีกครา...

สิ้นเสียงสวดมนต์ แสงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณค่อย ๆ ฉายขึ้นบนผืนฟ้า ใบหน้าขุนศรีซีดลงจนเป็นสีเทา ผิวหนังซูบตอบทีละน้อย จนเห็นเส้นเลือดสีแดงน้ำเงินปรากฏชัดบนร่างของจอมขมังเวท แต่ดวงตานั้นคล้ายสงบสุขกว่าเดิม ร่างของจอมขมังเวทตรงหน้าค่อย ๆ สลายกลายเป็นขี้เถ้าสีเทาทีละน้อย เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่ค่อย ๆ ซีดลงและกลายเป็นเถ้าเขม่าปลิวฟุ้งไปกับสายลม เพียงชั่วอึดใจ ร่างนั้นราวกับกระดาษที่แห้งกรอบ ชิ้นส่วนร่างกายค่อย ๆ สลายทีละน้อย ๆ แล้วปลิวไปกับสายลม

“ข้าต้องไปใช้กรรมแล้ว แม่นาก...” ใบหน้านั้นยิ้มเหมือนสิ้นห่วงใย

“ข้าขอโทษที่ไม่เคยบอกว่าข้ารักเจ้าสุดหัวใจ...”

สิ้นคำนั้นร่างตรงหน้าพลันสลายกลายเป็นเถ้าธุลีท่ามกลางเสียงร่ำไห้ปานจะขาดใจ แม่หญิงนากกอบเอาฝุ่นธุลีตรงหน้าแนบอกแม้ว่าบางส่วนจะปลิวไปกับสายลมแล้วก็ตาม

“ข้ารักท่าน...อ้ายศรี...ข้าก็รักท่าน...ข้าจักตามรักท่านไปทุกชาติ...”

เสียงร้องไห้ของวิญญาณดวงหนึ่งทำให้ทุกคนตรงนั้นสลดกันหมด พลันนั้นแสงอาทิตย์ต้องดวงวิญญาณของแม่นากและลูก ทั้งสองก็ค่อย ๆ เลือนหายไปกับแสงอาทิตย์แรก เหลือไว้เพียงฝุ่นเถ้าธุลีบางส่วนที่บอกว่าเมื่อครู่มีคู่รักหนึ่งที่พรากจากกันตลอดกาล

“ข้าขออโหสิกรรมกับเจ้า...ขุนศรี...แม่นาก ขอให้ไปสู่ภพที่ดีงามเถอะ” สีหราชถอนหายใจเบา ๆ กับวิญญาณที่จากไป ทุกอย่างสลายไปราวกับไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้นในบริเวณนี้

จากนั้นร่างของพระภิกษุหนุ่มก็หันมายิ้มให้ทุกคนตรงหน้า รัศมีกายผ่องแผ้วทำให้ใบหน้านั้นสงบเย็นและอบอุ่น ไม่เหมือนอ้ายเชิดคนเดิมที่ทะเล้นทะลึ่งตึงตังที่สีหราชเคยรู้จักเลยสักนิด

“การพบ...การประสบ...การจากลา...ล้วนเป็นธรรมดาของโลก” หลวงพ่อเชิดเอ่ยเบา ๆ สายตามองนิ่งเพียงพื้นดินตรงหน้า

“วันนี้อาตมา...มาปลดพันธะสุดท้ายของอาตมากับพวกโยมเช่นกัน...เมื่อสิ้นสุดวาสนากันแล้ว ก็ต้องลาจากเสียที”

“สาธุ...ข้าขอน้อมส่งสู่เส้นทางพุทธภูมิ”

สีหราชยกมือขึ้นประนมร่างในชุดจีวรสีกรักตรงหน้า รัศมีกายของพระภิกษุตรงหน้ามลังเมลืองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนลาไปมีเสียงแผ่วเบาจากพระภิกษุ

“ละ..ลด..ปลด...วาง แล้วพวกเจ้าจักได้พบเส้นทางใหม่...สีหราช เมืองอินทร์ จำคำข้าไว้...”

“จำไว้...ธรรมะ...ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม...”

สิ้นแสงแรกของวัน ก็ลาจากไปแล้วถึงสอง สีหราชถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะกอดร่างที่นอนนิ่ง ๆ ของเมืองอินทร์ไว้แนบอก เมืองอินทร์ยังคงหลับใหลพิงกายกับแผ่นอกของสีหราช ดวงตาทั้งคู่ปิดสนิท...รอเพียงการตื่นขึ้นใหม่เท่านั้น มือหนาของสีหราชค่อย ๆ ปัดผมที่ยาวปรกดวงตานั้นออกอย่างถนอม แต่พลันนั้นสีหราชก็ต้องชะงักเมื่อมือหนึ่งเอื้อมมาดึงร่างของเมืองอินทร์ไปง่ายดายราวกับร่างนั้นเป็นปุยนุ่น

วสุธาบดีนาคราช !

“คราวนี้ก็เหลือเรื่องของเจ้า และเมืองอินทร์....”

น้ำเสียงร่างตรงหน้าไม่ได้ล้อเล่นสักนิด แววตากร้าวของยุวนาคราชบอกชัด ขณะที่สีหราชยังทรงกายไว้ไม่อยู่

“เจ้ากับข้า...เรามาตกลงกันได้หรือยัง” วสุธาบดีนาคราชมองยมทูตหนุ่มด้วยหางตาก่อนจะปรายตามองร่างในชุดสีฟ้าอมเทาที่ยังไม่ได้สติในอ้อมแขน

“พันธะกว่า 200 ปีของพวกเจ้า ควรสิ้นสุดลงเสียวันนี้ !”

สายตาของนาคราชหนุ่มจ้องนิ่งมาที่สีหราช น้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์

“เมืองอินทร์ยามนี้ไม่เหลือพลังวิญญาณใด ๆ อีกแล้ว...อยู่ได้ก็เพียงไม่กี่ราตรีทิพย์เท่านั้น จากนั้นก็จักสิ้นสลาย”

สิ้นประโยคนั้นสีหราชรู้สึกราวกับถูกราดด้วยน้ำแข็งตั้งแต่หัวจรดเท้า

“อะ...อะไรนะ...” เหมือนเสียงเขาจะหายไปในคอ ขณะที่วสุธาบดีนาคราชนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยห้วน ๆ

“จงเลือกมา สีหราช เจ้าจักเลือกเส้นทางไหนให้เมืองอินทร์!”

“หากข้าใช้มณีนาคาคืนพลังวิญญาณให้เขา แล้วเจ้าจักยอมแลกด้วยสิ่งใด !”

.......................................................
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 11/2/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 12-02-2021 00:58:55
ลุ้นและตื่นเต้นกันทุกตอน เอาไงดีท่านสีหราช

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 11/2/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 12-02-2021 01:38:47
ต้องแลกด้วยหราาา
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 11/2/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: ButlerofLOVE ที่ 12-02-2021 22:50:27
CHAPTER
36




สามราตรีต่อมา...บนพิภพสวรรค์

....ได้โปรด...อย่าเพิ่งจากไป...ข้ายังไม่รู้จักท่านเลย...

‘อินทร์เทพ’ สะดุ้งตื่นขึ้นในยามกลางคืน มือเรียวผวาเกาะกุมอากาศที่ว่างเปล่า...ใจหายรอน ๆ เหมือนเสียสิ่งที่รักที่สุดไป ดอกไม้ในพิภพสวรรค์ที่บานและหุบเป็นเวลา ทำให้เขารู้ว่า นี่เป็นยามราตรี....

เทพบุตรอินทร์เทพ...เทพบุตรหนุ่มอายุน้อยที่สุดที่มีดวงตากลมโตสุกใส ใบหน้ารูปไข่รับกับริมฝีปากนุ่มเป็นกระจับ ผิวกายขาวผ่องนวลตา ผมเรียบลื่นสีดำสนิทถูกเจ้าตัวปล่อยลงมาสยายคลุมสะโพก เจ้าตัวอยู่ในชุดผ้าเฉวียงบ่าสีฟ้าอ่อนอมเทาระยิบระยับเนื้อบางเบา แววตาหวานหม่นระคนเศร้าก่อนจะถอนหายใจพรูเมื่อนึกถึงความฝัน

เป็นความฝัน...ที่ต่อเนื่องเป็นคืนที่สาม นับตั้งแต่อุบัติขึ้นบนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาแห่งนี้...

เจ้าตัวตัดสินใจลุกขึ้นจากแท่นบรรทม แล้วก้าวช้า ๆ ออกไปที่ระเบียง วิมานทิพย์สีฟ้าอมเทาวิจิตรงดงามแห่งนี้เกิดขึ้นจากแรงกุศลเคยทำไว้ในอดีตชาติ แท่นที่นอนยังอ่อนนุ่มและอุ่นสบาย บรรยากาศรอบตัวก็ยังเย็นฉ่ำ แต่เป็นหัวใจเขาเองที่ร้อนรุ่ม...
แรงกุศลในอดีตชาติส่งให้เขาอุบัติขึ้นที่นี่ แม้กำเนิดเป็นเทพชั้นสูง แต่กลับผิดแผกไปจากผู้อื่น เมื่อไม่มีเทพบริวารหรือบาทจาริกาที่อุบัติมาเพื่อเขา

...เขากำเนิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยวบนสวรรค์แห่งนี้...

บนสวรรค์แห่งนี้แทบจะนับนิ้วมือได้เลยว่ามีเทพกี่องค์ที่ไม่มีบาทจาริกาหรือคู่ครอง เพราะส่วนใหญ่เหล่าเทวะมักอธิษฐานให้ได้มาร่วมเรียงเคียงกันบนสวรรค์

ความฝันประหลาดที่ฉายแต่ภาพเดิมซ้ำไปซ้ำมา แต่สิ่งที่เหมือนเดิมทุกครั้งคือ เขาไม่เห็นใบหน้าของผู้ที่อยู่ในความฝันนั้นเลยสักนิด เห็นเพียงเงาของร่างสูงสง่าที่ก้มมาใกล้เขา...เสียงทุ้มและสัมผัสอุ่นจัดในความฝัน บทสนทนาบางส่วนที่เขาจับใจความไม่ชัด...ทำให้เทพบุตรหนุ่มสงสัยมาตลอด

ในความฝัน...ไออุ่นร้อนผะผ่าวที่สัมผัสเบา ๆ บนกลีบปากยังตราตรึงในหัวใจ เงาร่างของบุรุษผู้นั้นจูบเขาแผ่วเบาราวกับเขาเป็นแก้วที่เปราะบาง เสียงกระซิบที่คล้ายจะสั่นเครือนิด ๆ ดังอยู่ข้างหู พร้อมกับเสียงโต้เถียงที่ลอยลมมาจากที่ไกลแสนไกล

“หากข้าใช้มณีนาคาคืนพลังวิญญาณให้เขา แล้วเจ้าจักยอมแลกด้วยสิ่งใด”

“สิ่งใดก็ได้ ข้ายอมทั้งนั้น...ขอเพียงวิญญาณนี้ไม่แตกดับ”

“แม้ต้องแลกกับความรัก และต้องลืมเลือนกันและกัน...เจ้าก็ยอมงั้นหรือ”

“เพราะรัก...ข้าถึงยอมทุกสิ่ง”

เป็นบทสนทนาที่แปลกประหลาด...มีบางคนยอมสละหัวใจรักเพื่อให้อีกหนึ่งชีวิตได้รอด...

เหมือนเงาร่างนั้นก้มมาใกล้เขาจนแนบชิด แล้วเอ่ยเบา ๆ ด้วยเสียงสั่นเครือ

“เมื่อเจ้าขอร้องข้า...ให้พันธนาการระหว่างเราสิ้นสุดลง...”

“ข้าก็จักให้อิสระตามที่ใจเจ้าปรารถนา เมื่อสิ้นสุดพันธนาการระหว่างเรา เจ้าจะไม่ต้องเจ็บปวด...”

ทันใดนั้นมณีสีดำสนิทที่อยู่กลางสร้อยสังวาลสีดำที่คล้องคอร่างเงาสูงสง่านั้นพลันปริแตก ไอสีทองส่องประกายระยิบระยับห้อมล้อมร่างของเขาและเงาร่างสูงนั้นไว้

“พรข้อสุดท้ายจากยมโลก หากรักนั้นทำให้เจ้าต้องเจ็บปวด ก็ขอให้พันธะของเราสองสิ้นสุดลง ทั้งข้าและเจ้า...เราจักลืมเรื่องราวของกันและกัน”

สัมผัสอุ่นร้อนที่คลอเคลียอยู่ข้างแก้ม เสียงกระซิบที่คล้ายเจ้าตัวกลั้นสะอื้นอย่างยากเย็น

“...ข้าชินกับการมีเจ้าในความทรงจำไปแล้ว...เจ้าตัวเล็ก...”

“โปรดอย่าโกรธข้า ถ้าครานี้ข้าเป็นฝ่ายขอลืมเจ้า...เพราะหากข้ายังจำเจ้าได้...รักนี้คงทรมานข้าไปชั่วกาล”

สิ้นประโยคนั้นคล้ายสัมผัสแผ่วเบาประทับบนริมฝีปาก หยดน้ำตาอุ่นร่วงลงบนใบหน้าเขา...

“ลาก่อน...เมืองอินทร์...จากนี้จนชั่วนิรันดร์”

จากนั้นเขาก็อุบัติขึ้นบนแท่นบรรทมและวิมานทิพย์ของตนเอง เสียงบรรเลงเพลงที่ดังก้องไปบนสวรรค์บอกชัดถึงความยินดีกับการอุบัติใหม่ของเทพบุตรหนึ่งองค์ แต่เขากลับไม่รู้สึกยินดีใด ๆ เลย...

เหมือนสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดไป...หัวใจข้างในคล้ายมีเฟืองหรือชิ้นส่วนที่หล่นหายไป จนร่างทั้งร่างสั่นสะท้าน

น้ำตาที่ไหลริน...ไม่ใช่เพราะความยินดีจากการอุบัติเป็นชาวฟ้า แต่เป็นน้ำตาที่เสียให้ใครบางคนที่จำชื่อไม่ได้ด้วยซ้ำ

เช้าแล้ว...กลิ่นหอมของกระแจะจันทร์ที่ลอยกรุ่นทั่ววิมานและดอกไม้สีชมพูอมขาวที่ค่อย ๆ ผลิบานอยู่ในแจกันตรงหน้า ดอกไม้
ทิพย์ที่ไม่โรยรา เขาเผลอเอามือแตะกลางอกราวกับคุ้นเคย...

ใจหาย...เพราะกลางอกนั้นโล่ง...อย่างประหลาด

คล้ายกับว่าตำแหน่งนี้เคยมีบางสิ่งอยู่...อาจจะเป็นสร้อย หรือเครื่องประดับ...สักเส้น แต่ยามนี้มันหายไป...

แค่...ของที่หาย...ยังทำให้โหยหาถึงเพียงนี้...

แล้ว “เงา” ของใครบางคนที่หายไปเล่า...

ความโหยหา...คนผู้นั้น...ยามนี้กลับทรมานเขาทั้งเป็นยิ่งกว่า...

น้ำตาหนึ่งหยด...ที่ร่วงลงบนแดนสวรรค์...มันไหลไปถึงที่ใดกัน...
.......................................................

ไม่รู้ว่าท่าทางของเขาดูหงอยเหงาหรืออย่างไร เหล่าเทวะในวิมานใกล้เคียงจึงลากเขามาที่นี่ด้วย

“มาเถิด อินทร์เทพ...ท่านเพิ่งมาใหม่ จะไม่มาชมความรื่นรมย์ของสระน้ำทิพย์โบกขรณีดอกหรือ..”

เสียงชี้ชวนของเหล่าเทวะด้วยกันยิ้มแย้มก่อนจะกึ่งลากกึ่งจูงแขนเทพหนุ่มองค์ใหม่ไปงานรื่นเริง เพียงชั่วกำหนดจิต พวกเขาก็มาถึงสระน้ำอมฤตตรงหน้าที่งดงามและกว้างสุดลูกหูลูกตา กลิ่นเครื่องหอมของหอมลอยมาจากสระน้ำทิพย์ เสียงดนตรีที่บรรเลงคลอเบา ๆ รอบกายโดยไม่มีที่มา ทำให้ อินทร์เทพ เทพบุตรหนุ่มรูปงามในอาภรณ์สีขาวอมฟ้าสะอาดตายิ้มนิด ๆ แล้วก้าวตรงไปยังสระน้ำตรงหน้า

“ถ้าเจ้าชอบ ก็ลงมาเล่นน้ำได้นะ อินทร์เทพ...” เทพธิดาองค์หนึ่งยิ้มแย้มและกวักมือเรียกเขา

แต่อินทร์เทพยิ้มนิด ๆ ก่อนจะเดินไปริมต้นไม้ที่อยู่ใกล้ ๆ ทันทีที่กำหนดจิตว่าจะนั่งก็มีแท่นรองสีฟ้าอ่อนอมเทาปรากฎในอากาศรองรับร่างของเขาไว้ เจ้าตัวเอนกายมองสระโบกขรณีตรงหน้า ผืนน้ำสีเขียวมรกตใสกระจ่างราวกับแก้วมุกดาที่ส่องประกายระยิบระยับของสระโบกขรณีดูน่ารื่นรมย์ยิ่งนัก ดอกบัวนานาพรรณบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปไกล ไอหมอกสีขาวบริสุทธิ์และความหอมกรุ่นที่ฟุ้งกำจายไปทั่วบริเวณทำให้ที่นี่รื่นรมย์นัก เมื่อเงยหน้าขึ้นสู่เบื้องบนไม่เห็นสิ่งใดนอกจากหมู่เมฆหลากสีสันและเรือนวิมานสีต่าง ๆ เรียงรายกันอยู่เบื้องบน

งดงามวิจิตรเช่นนี้อย่างไรเล่า...เหล่าเทพทั้งหลายถึงชอบมาพักผ่อน

เจ้าตัวเหลียวมองบรรดาเทวบุตรทั้งหลาย แล้วก็ยิ้มหม่น ๆ ออกมา เพราะไม่ว่ามองไปทางไหนก็เห็นเทพบุตรและคู่บุญมานั่งพูดคุยหยอกล้อกันกระหนุงกระหนิงเป็นที่น่าอิจฉา เสียงกรุ๊งกริ๊งของใบไม้สีเขียวสดที่กระทบกันเบา ๆ อยู่เหนือศีรษะของเขา คล้ายเสียงดนตรี ไม้ผลทิพย์ที่ออกลูกตลอดเวลาและไม่มีวันโรยรา และมวลดอกไม้ที่บานสะพรั่งรอบสระน้ำสีเขียวมรกต เลยไปอีกโค้งหนึ่งของสระโบกขรณี ก็มีเหล่ากินรีรูปร่างงดงามสมส่วนสี่ห้าตนและคนธรรพ์ต่างหัวเราะพูดคุยร่วมกันอย่างสนุกสนาน ถัดไปไม่ไกลนัก เสียงดนตรีเบา ๆ จากเครื่องดีดของวิทยาธรสองสามตนที่นั่งบรรเลงอยู่บนก้อนหินสีเทาเรียบลื่น เลยจากนั้นไปก็เป็นเสียงน้ำตกสีเขียวมรกตดังซ่า ๆ ซ่อนตัวอยู่และมีถ้ำของเหล่านาคราชบางตนที่อยู่ด้านหลัง บนท้องฟ้าบางคราก็ปรากฎร่างแกร่งและปีกที่สยายกว้างสีแดงเพลิงของเหล่าครุฑา

กลิ่นหอมของสุคนธ์หลากสีที่อยู่ริมสระทำให้บรรยากาศน่าเอนกายลงพักผ่อน

สวรรค์แห่งนี้น่ารื่นรมย์ยิ่งนัก...แต่เป็นอินทร์เทพที่เหงาเสียยิ่งกว่าเดิม

...เงาที่หายไปของข้า...ข้าคิดถึงท่านแทบขาดใจ...

เทพหนุ่มถอนหายใจก่อนจะผุดลุกขึ้นจากแท่นทิพย์ แล้วก้าวเดินตรงไปเรื่อย ๆ สายตาเหลือบเห็นต้นไม้ใหญ่ที่ผลิบานเป็นดอกสีชมพูอ่อนปนขาว กลีบดอกยังคงบานสะพรั่งตลอดเวลาไม่ร่วงหล่นเลยสักดอก ความคุ้นเคยบางอย่างทำให้เขาก้าวไปหยุดใต้ต้นไม้และแบมือตรงหน้าลำต้นนั้น

“ข้าปรารถนา”

สิ้นเสียงเอ่ยเบา ๆ นั้นก็ปรากฏดอกสีชมพูปนขาวกลีบฟูละเอียดและอ่อนนุ่มร่วงลงบนมือเขาพอดี กลิ่นหอมกรุ่นละมุนละไม ขั้วดอกไม่มีรอยช้ำจากการเด็ดราวกับถูกคนสวนผู้ชำนาญบรรจงตัดลงมาให้เขาอย่างเรียบร้อย

ดอกไม้...ละม้ายคล้ายจะเคยเห็นสักแห่ง...มือเรียวยาวของอินทร์เทพแตะไล้ลำต้นดังกล่าวเบา ๆ

ไม่รู้เหตุใดเขาถึงคิดว่า หากลำต้นนี้มีรอยขรุขระสักนิด และดอกไม้นี้ไม่มีกลิ่นหอม...เขาจะคุ้นเคยกว่านี้

เทพหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ

คงจะดีไม่น้อย หากเป็นเขา...และเงาอีกผู้หนึ่งยืนอยู่เคียงกันใต้ต้นไม้ที่ละม้ายคล้าย ๆ กันนี้

ดูเถิด...แม้เห็นดอกไม้...ยังนึกถึงเงาที่อบอุ่นนั้น...

“เจ้าทำหน้าเศร้าสร้อยเยี่ยงนี้ ดอกไม้ก็พลอยเศร้าไปด้วยนะสิ...”

น้ำเสียงนุ่มของผู้หนึ่งดังขึ้นตรงหน้าทำให้เทพหนุ่มรีบหันขวับไปมอง

“ทำไมสีหน้าเศร้าสร้อยเช่นนี้...อินทร์เทพ” เสียงนั้นทำให้เหล่าเทวะที่อยู่ใกล้ ๆ ขยับกายค้อมเศียรลงคำนับร่างตรงหน้าก่อนจะค่อย ๆ เลี่ยงออกไป

ผู้ที่ก้าวเข้ามาใหม่มีใบหน้าคมคายผิวกายคล้ายมีประกายสีน้ำเงินอมเขียว ดวงตาเรียวเฉียงมีประกายวาววับ เหนือศีรษะประดับด้วยรัดเกล้ารูปนาคา เจ้าตัวห่มผ้าเฉวียงบ่าสีน้ำเงินอมม่วงเข้มยืนยิ้มให้เขาอยู่ตรงนี้

“องค์วสุธาบดีนาคราช...มาได้อย่างไรพระเจ้าข้า” อินทร์เทพรีบค้อมกายลงคารวะร่างตรงหน้า ก่อนเจ้าตัวจะยิ้มแล้วตบบ่าเขาอย่างเป็นกันเอง

สายพระเนตรองค์นาคราชทำให้อินทร์เทพกริ่งเกรงอยู่ในใจ ด้วยกระแสบุญที่ทำร่วมกันมาทำให้รู้ว่า เขาและองค์บดีแห่งแคว้นปาตาลเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาหลายชาติ บางชาติเป็นถึงพี่น้องร่วมอุทรมารดาเดียวกัน ทำให้ในยามนี้ องค์บดีแห่งแคว้นปาตาลมองเขาเหมือนน้องชาย...และทำให้เทพบุตรและเทพธิดาต่างก็เกรงใจเขาตามองค์วสุธาบดีนาคราชไปด้วย

“ข้ามาเที่ยวเล่นหาน้องชายข้าบ้างไม่ได้ฤา ที่นี่...แดนจาตุมหาราชิกาและป่าหิมพานต์ต่างเป็นภพกลางที่เทพทั้งหลายล้วนมาใช้ได้ทั้งสิ้น นาคราชอย่างข้าก็มาเปิดหูเปิดตาบ้างอย่างไรเล่า” รอยยิ้มแย้มนั้นคล้ายจะคลายลงเมื่อเห็นหน้าของอินทร์เทพชัด ๆ

“ทำไม? เจ้าไม่ชอบที่นี่รึ...” ยุวนาคราชหันมองรอบกายก่อนจะถามเขาอีกครั้ง

“หามิได้...สวรรค์มีแต่ความสุขและความพึงพอใจ...ไม่ร้อนไม่หนาว ดีงามยิ่งนัก”

คำตอบเหมือนดี...แต่สีหน้ากลับไม่แย้มยิ้มสักนิดกับทั้งหมดที่เอ่ยขึ้น

“ดูท่า...คำว่า ดีงามของเจ้าจะไม่ได้หมายถึงความสุขสินะ อินทร์เทพ” สายตาของผู้เป็นใหญ่แห่งพิภพปาตาลมองเทพหนุ่มที่
เกิดใหม่อย่างพินิจพิเคราะห์ แต่ร่างตรงหน้าเพียงหรุบตามองต่ำไม่เอ่ยสิ่งใด

“ข้าเป็นผู้ชุบวิญญาณให้เจ้านะ อินทร์เทพ มีสิ่งใดต้องปกปิดข้าหรือ”

“ข้า...ข้าไม่ได้ปกปิด ข้าแค่กำลังสับสนและนอนไม่หลับเท่านั้น”

เงาของใครบางคนที่อยู่ในความฝัน สัมผัสที่อุ่นจัดและอ่อนโยนของร่างนั้น สวรรค์แห่งนี้อาจดีสำหรับเทพบางองค์ แต่อาจไม่ใช่สำหรับเขา

“ข้าเอาแต่ฝันถึงเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า...บุรุษที่ข้าไม่เห็นหน้า...แต่อบอุ่นกับข้ายิ่งนัก”

วสุธาบดีนาคราชถอนพระอัสสาสะเบา ๆ ก่อนจะเหลือบไปมองคนติดตามของตนเองแล้วพยักหน้าเป็นเชิงให้ออกไปก่อน สินธูและสรภูคนสนิททั้งสองจึงค่อย ๆ เร้นกายหลบไป ยุวนาคราชหันกลับมามองเทพหนุ่มตรงหน้าสองมือไพล่หลัง ดวงตาเรียวยาวคล้ายครุ่นคิดบางอย่างแล้วถามเบา ๆ

“อินทร์เทพ...เจ้าจดจำเรื่องราวในอดีตชาติอะไรได้บ้าง”

ประโยคที่เอ่ยขึ้นมาลอย ๆ ทำให้เทพหนุ่มหันขวับมามองทันที

“ข้าจำสิ่งใดไม่ได้เลย” แต่แล้วเจ้าตัวก็ชะงักกึกก่อนจะหยุดเดินแล้วหันมาถามด้วยท่าทีจริงจังและคาดคั้น

“เมื่อครู่ท่านพูดว่า ชุบวิญญาณให้ข้า ? ท่านเป็นนาคราช ? มณีนาคา ? แสดงว่าท่านรู้จักบุรุษอีกผู้หนึ่งใช่ฤาไม่! ” อินทร์เทพรีบปราดเข้ามาใกล้แล้วย้ำคำถามด้วยท่าทางตื่นเต้น

คำถามที่โพล่งขึ้นมากะทันหัน ทำให้วสุธาบดีนาคราชสะดุ้งและหันขวับ อาการสะดุ้งดังกล่าวทำให้อินทร์เทพรู้ทันที

แน่แล้ว ! องค์บดีแห่งแดนปาตาลรู้จักบุรุษผู้นั้น!

“บุรุษที่ลบความทรงจำของข้าเป็นใคร ! บอกข้าเถิด องค์นาคราช !” 

“ใครบอกเรื่องนี้กับเจ้า อินทร์เทพ!”

“ไม่มีใครบอก ข้ารู้ได้เอง ได้โปรดบอกข้าเถิด คน ๆ นั้นเป็นใครกัน ทำไมข้าฝันถึงเขาติดกันตลอด 3 ราตรีแล้ว !”

ประโยคนั้นทำให้องค์นาคราชหยุดเดินแล้วหันมาจับบ่าเทพบุตรหนุ่มและเอ่ยเบา ๆ

“อินทร์เทพ น้องรัก...จงเชื่อข้า...อย่าตามหาความทรงจำอีกเลย...”

ประโยคสุดท้ายของวสุธาบดีนาคราชก่อนจะเจ้าตัวจะเร้นกายหายลับไปต่อหน้า เสียงที่ลอยลมสุดท้ายดังขึ้นแผ่วเบา

“ความทรงจำบางอย่าง หากจำได้ก็รังแต่จะทำให้ทุกข์ใจ...สู้เริ่มต้นใหม่จะดีกว่า”

.......................................................

วสุธาบดีนาคราชถึงกับส่ายหน้า เมื่อรู้ในครานี้เองว่า อินทร์เทพเป็นเทพหัวดื้อและไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ เพราะนับแต่วันนั้นเทพบุตรหนุ่มก็เพียรซักไซ้เหล่าเทพบนสวรรค์และยังร้องขอลงไปพิภพล่าง คำร้องฎีกาขอให้ฟื้นคืนความทรงจำถูกยื่นไปยังองค์บดีแห่งสวรรค์จาตุมหาราชิกานับครั้งไม่ถ้วน และไม่นับรวมความพยายามติดต่อแดนยมโลกอย่างไม่ลดละ แววตาเทพหนุ่มตรงหน้าเอาจริง และไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ

ถ้าไม่มีใครยอมบอกเขา...เขาก็จักตามหาคนนั้นเอง...แม้จะเปรียบได้ราวกับการงมเข็มในมหานทีสีทันดรก็ตาม!

“ท่านพญายม...ได้โปรดช่วยข้าด้วยเถิด...ชาติที่แล้วข้าเกิดเป็นใครกัน ได้โปรด...บอกข้าที...”

เป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่รู้ ที่อินทร์เทพเพียรยื่นฎีกาไปยังฝ่ายโลกบาลแต่ก็ถูกปฏิเสธกลับมา เช่นเดียวกับการยื่นคำขอไปทางยมโลกเพื่อหาประวัติการเกิดของเขาในชาติที่แล้วก็ยังคงไร้ผล เหล่าผู้คุมกฎของยมโลกได้แต่ส่ายหน้า

“มีคนใช้มนตราลบเลือนบันทึกประวัติของท่านไปจนหมด...ขออภัยที่ข้าไม่อาจช่วยเหลือสิ่งใดได้...”

...ต้องมีสักทางสิ...ที่เขาจะได้พบคนผู้นั้น และคนนั้นย่อมเป็นเทพเช่นเดียวกัน ถึงมีมนตราแห่งยมโลก

“คนผู้นั้นจะต้องเป็นคนของยมโลกเป็นแน่...ได้โปรด ข้าขอพบกับเหล่ายมทูตและนายนิรยบาลทุกคนได้ฤาไม่...”

“คำขอนี้ของเจ้าออกจะเกินอำนาจไปนะ อินทร์เทพ...ความสัมพันธ์ของยมโลกและชาวฟ้าเป็นไปด้วยดีก็จริงอยู่ แต่หากข้าอนุญาตคำขอของเจ้า ก็คงทำให้ระบบการทำงานของที่นี่ปั่นป่วนเป็นแน่ เพราะยมทูตทุกตนมีอำนาจและหน้าที่ดูแลเขตต่าง ๆ ไม่ได้ว่างให้เจ้ามานั่งคุยด้วยดอกนะ...หวังว่าชาวฟ้าอย่างเจ้าจะเข้าใจ...” พญายมกล่าวเบา ๆ ก่อนจะจ้องหน้าเขานิ่ง ๆ

“แต่ข้าต้องตามหาเขาให้พบ...เขาเป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิตของข้า ได้โปรดเถอะ”

“หากสำคัญที่สุด แล้วไยจึงปล่อยมือให้จากไป...ข้าช่วยเจ้าไม่ได้ เสียใจด้วยนะเทพบุตรน้อย...” 

เสียงตะโกนของเทพหนุ่มไม่มีผลในยมโลก ทันทีที่สิ้นสุดประโยคของพญายม ประตูยมโลกก็พลันเปิดออกและเขาก็ถูกอาคมซัดกระเด็นออกมานอกปากทางเข้านรกภูมิ

...เขาคนนั้นต้องเคยอยู่ที่นี่แน่...ข้ามั่นใจ...ท่าทีของพญายมนั่นคล้ายไม่อยากให้ความช่วยเหลือ

“เจ้ารักคน ๆ นั้นอย่างนั้นรึ” เสียงใส ๆ ถามขึ้นเบา ๆ จากด้านหลัง ทำให้เทพหนุ่มเหลียวไปมอง

ร่างสตรีสูงศักดิ์ตรงหน้าอยู่ในอาภรณ์สีแดงดำยืนนิ่ง ท่าทางกอดอกคล้ายไม่อยากเอ่ยวาจา แต่บางอย่างในแววตาคล้ายจะ
สมเพชอยู่ในที

“แปลกนะ...เพราะเหมือนเจ้าจะเป็นคนที่บอกตัดพันธะกับเขาเอง แล้วไยจึงมาตามหาเขาถึงที่นี่”

สิ้นประโยคนั้นทำให้อินทร์เทพลุกพรวด ก่อนจะก้าวตรงเข้ามาหา

“ได้โปรดเถอะเทวี...ท่านรู้จักเขารึ โปรดช่วยข้าด้วย ข้าอยากพบเขา...ข้าต้องคุยกับเขาให้ได้”

“เท่าที่ข้าจำได้...คนผู้นั้นยอมสละความรักและความทรงจำเพื่อให้เจ้าได้ไปเกิดใหม่เป็นชาวฟ้า...ดูจากท่าทางของเจ้าแล้วก็น่าจะอยู่เป็นสุขสบายดี ไยต้องมาตามหาและสร้างเวรกันต่อไปอีกเล่า” สายตานั้นคล้ายเคืองขุ่นแทนคนที่กล่าวถึง

“กลับไปซะ! เขาอยู่กับเจ้าก็มีแต่จะทุกข์ทน !”

“ท่านบริภาษข้ามาเถอะ ข้าจดจำสิ่งใดในอดีตชาติไม่ได้เลย ข้ารู้เพียงว่า ข้านอนหลับไม่ได้เลยสักคืน มีแต่เงาของเขาอยู่ในความฝันข้า ข้าต้องตามหาเขาให้จงได้...ได้โปรดเถอะ”

“อย่าเลย เขาเลือกแล้วที่จะลืมเจ้า แล้วจักก้าวไปสู่ชะตาชีวิตใหม่”

ทันใดนั้นร่างน้อยในอาภรณ์สีดำแดงก็สะบัดมือทันควัน กระแสลมแห่งยมโลกหมุนคว้างรุนแรงก่อนที่อินทร์เทพจะทันรู้ตัว เทพหนุ่มก็หลุดขึ้นมาสู่โลกบนเสียแล้ว เสียงตะโกนที่ดังก้องอยู่ปลายหู

“เทพที่โง่งมเอ๋ย! กลับไปซะ! ถ้ายังมีวาสนาต่อกัน ก็จะได้พบเอง!”

.......................................................

ท่าทีหงอยเหงาและดวงตาหม่นเศร้าของเทพหนุ่มที่กำลังนั่งแกว่งขาระผิวน้ำในสระโบกขรณีที่ปรากฏในลูกแก้วนาคา ทำให้วสุธาบดีนาคราชที่กำลังกึ่งนั่งกึ่งเอนอยู่บนแท่นบรรทมถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นโบกคราเดียวแล้วภาพตรงหน้าก็หายวับไป คนสนิทใกล้ชิดสองคนมองหน้ากันก่อนจะกระถดตัวเข้ามาใกล้จอมนาคราช

“ปล่อยไว้เช่นนี้จักดีฤา พระเจ้าข้า...” สินธูถามขึ้นอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ คนสนิทใกล้ชิดอย่างเขาย่อมรู้ดีว่าพระพักตร์ของจอมนาคราชยามนี้กลัดกลุ้มยิ่งนัก ดีไม่ดีอาจจะโดนหางเลขเข้าได้

“ดี” พระสุรเสียงสั้น ๆ ห้วน ๆ แต่คล้ายจะหงุดหงิดใจอยู่ในที

“ข่าวจากยมโลกแจ้งมาว่า อินทร์เทพดั้นด้นไปถึงที่นั่นและขอรื้อข้อมูลอดีตชาติของคนเอง และซ้ำยังขอฎีกาไปยังองค์บดีแห่ง
จาตุมหาราชิกาอีกด้วย” สรภูเอ่ยขึ้น

“เรื่องฎีกานั่น ข้าจะจัดการเอง จะไม่ให้ใครหน้าใครบอกกับอินทร์เทพเด็ดขาด ต่อให้เป็นองค์บดีแห่งจาตุมหาราชิกาก็ตาม !”

ดวงตานาคราชหนุ่มวาววับและเริ่มแดงฉานขึ้นทีละน้อย

“ทูลกระหม่อมจักไม่บอกอินทร์เทพ ฤาพระเจ้าข้าว่า คนผู้นั้นได้มาเกิดบน...” ยังพูดไม่ทันจบก็ต้องหยุดชะงักเพราะสายพระเนตรวาววับแดงโรจน์อย่างน่ากลัว

“ไม่ต้องบอก !” มือสองข้างตบลงบนพระแท่นบรรทมอย่างหงุดหงิดใจ

“ถ้ามันเก่ง...มันต้องมาเอง และรักกันเองได้ ข้าจักคอยดูว่า หากไร้ซึ่งความทรงจำร่วมกันแล้ว พวกมันจักรักกันได้อย่างไร คราก่อนมันก็ทำให้น้องข้าต้องเสียใจไปครั้งหนึ่งแล้ว อยากรู้นักว่าพระพรหมจะลิขิตให้มันคู่กันจริงหรือไม่”

วสุธาบดีนาคราชคำรามในลำคออย่างหงุดหงิด เพราะในอดีตชาติหนึ่งในหลายภพ อินทร์เทพเคยเกิดเป็นน้องชายร่วมสายโลหิต เป็นพี่น้องที่รักใคร่ปรองดองกันมาก และเป็นชาวบ้านหาของป่ามาขายเลี้ยงดูพ่อแม่ที่เป็นพราหมณ์ชรา แต่ในชาตินั้น เมืองอินทร์กลับต้องจบชีวิตลงในวัยเด็กเพราะถลาเข้ามาปกป้องเขาจากอสรพิษที่เลื้อยเข้ามาทำร้าย และอีกชาติหนึ่งได้มาเกิดเป็นพรานป่าเคยให้กระบอกน้ำผึ้งแก่นาคราชหนุ่มเพื่อฟื้นกำลัง

ด้วยต่างฝ่ายต่างเกื้อกูลกันมาหลายชาติ ไม่ว่าต่อมาจะเกิดในชาติใด ผู้เป็นบดีแห่งนาคราชจึงรักใคร่เอ็นดูเมืองอินทร์ หรืออินทร์เทพเป็นพิเศษมาตลอด เมื่อครั้งเกิดเป็นเมืองอินทร์แต่ตายลงเพราะออกรับแทนสีหราชและสำนักดาบก็ครั้งหนึ่งแล้ว และในครานี้ถึงกับยอมเอาดาบแทงตนเองให้ตายเพื่อรักษาชีวิตสีหราชก็นับเป็นครั้งที่สอง องค์บดีแห่งแดนปาตาลขุ่นเคืองใจนัก

น้องกู มึงบอกว่ารัก แต่กลับปกป้องไม่ได้สักครา ลองลิ้มรสชาติความเจ็บปวดเป็นไร...

แต่กลับกลายเป็นว่า อินทร์เทพเองที่เจ็บปวดและไม่อาจผลักตนเองออกจากชะตากรรมแห่งรักได้

พรจากยมโลกไม่ศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นฤา...เหตุใดอินทร์เทพยังคงจดจำบางส่วนของความทรงจำได้...

เป็นคำถามที่องค์บดีแห่งแดนปาตาลยังคิดไม่ตก....
.......................................................
หัวข้อ: Re: ข้าชื่อสีหราช [Yaoi/BL/Action Fantasy] [Updated 12/2/2021]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 13-02-2021 02:07:41
เอ็นดูเทพน้อยยย