ป า ฏิ ห า ริ ย์ รั ก
( ชนกันต์ x เพียงพักต์ )
นิ้วมือเรียวยาวกระชากเนคไทออกอย่างหงุดหงิด ‘เพียงพักต์’ หรือ ‘เพียง’ กำลังเบื่อกับการทำงาน รู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งผ่านการเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยมาได้ไม่นาน แต่ไม่นานตอนนี้มันก็ล่วงมาเจ็ดปีแล้ว จากเด็กน้อยเพียงพักต์ ก็กลายมาเป็นเพียงพักต์ผู้มีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ เพียงทิ้งร่างลงกับเตียงจนร่างบางของเขาจมฟูกนุ่ม คิ้วสวยที่ขมวดมุ่นจนใครๆก็ดูรู้ว่ากำลังเหนื่อย
ชีวิตของมนุษย์เงินเดือนอาจจะเหมือนคนอื่นๆทั่วไป และก็มั่นใจว่าทุกคนที่ใช้ชีวิตแบบนี้จะต้องมีโมเม้นท์หนึ่งที่เบื่อหน่ายทางเดินของตน แต่ก็อย่างว่า ไม่ใช่ทุกคนบนโลกจะสามารถเดินบนทางที่ตนอยากเสมอไปหรอกนะ ก็ในเมื่อชีวิตคนเราพอเกิดอยู่ในท้องแม่ก็รู้จักคำว่าอิสระเพียงแค่ความหมายเท่านั่นแหละ เขาถอนหายใจออกมาอีกเฮือกอย่างเบื่อหน่าย
วันนี้วันอะไรนะ?
ดวงตาเหนื่อยล้าของเพียงวัย 29 ปีจ้องมองไปยังปฏิทินที่แขวนไว้ตรงผนังห้อง ครุ่นคิดบางอย่างเพียงชั่วครู ก่อนจะยิ้มออกมา มันเป็นยิ้มที่ตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสุขหรือเศร้ากันแน่ เพราะวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของคนๆหนึ่งที่จดจำได้เสมอมา
คิดถึงช่วงเวลาที่ตนเคยยิ้มได้อย่างสดใสอย่างนั้นจัง
คิดถึงรอยยิ้มแบบเด็กๆของ เด็กน้อยคนนั้นจัง
มิคกี้….
นี่มันก็…. ผ่านมาสิบปีพอดีเลยสินะวันนี้ ที่ได้ฟังคำสารภาพรักของเด็กน้อยคนนั้น มิคกี้ของเพียงในวัย 15 ปี เด็กผู้ชายที่ชอบนั่งเงียบๆแต่พอเพียงยิ้มแต่ละครั้งมันก็ทำให้เพียงอดที่จะยิ้มตามไม่ได้ หากมิคกี้ไม่อายุน้อยกว่าถึงสี่ปีแล้วล่ะก็…..ตอนนี้เราจะเป็นยังไงกันนะ…..
บางทีหมอนที่เพียงหนุน อาจจะเป็นตักของมิคกี้อยู่ก็เป็นได้
.
.
.
10 ปีก่อนหน้านั้น
เพียงในวัย 19 ปีจ้องมองมิคกี้ที่ไม่ยอมพูดอะไรแต่อยู่ๆกลับมานั่งข้างกันอย่างนี้เป็นชั่วโมง เด็กมหาลัยอย่างเพียงมีเวลาว่างพอจะมานั่งกินลมชมวิวทะเลในเวลาราชการได้ แต่ไม่ใช่กับเด็กคนนี้ เขาควรจะอยู่ที่โรงเรียน!!!!
‘มิคกี้’ หรือ ‘ชนกันต์’ น้องชายข้างบ้านที่ยังไม่จบม.ต้นดี มองมาทางเด็กมหาวิทยาลัยอย่างเพียงราวกับว่ามีเรื่องจะพูดด้วยแต่สุดท้ายเจ้าตัวก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงเป็นคนตรงๆ ไม่ชอบอะไรอ้อมโลกอย่างนี้เท่าไหร่ ยิ่งเป็นเด็กคนนี้แล้วยิ่งหงุดหงิด เพียงรู้สึกไม่ชอบใจเลยที่มิคกี้ชอบเอาแต่นิ่งเงียบและมองหน้ากันแบบนี้ ถึงแม้ว่าเพียงจะแก่กว่าถึง 4 ปี แต่กลับรู้สึกประหม่าทุกครั้งที่มิคกี้พยายามจะสื่อสารผ่านดวงตา
“มิคกี้….นายไม่มีเรียนไง”
“เพียงล่ะ”
“ไม่มี…ฉันเป็นเด็กมหาลัยแล้วนะ”
“งั้นผมไม่มีเรียนก็ได้”
“จะบ้าเหรอ! นี่มันเวลาเรียนของเด็กม.ต้นอย่างนายชัดๆ รีบกลับไปโรงเรียนเดี๋ยวนี้นะ!”
“ไม่เอา”
เด็กดื้อด้าน ดื้อเงียบแบบมิคกี้เป็นอะไรที่เข้าใจยากจริงๆ แน่นอนว่ามิคกี้คิดกับเพียงคนนี้มากกว่าพี่ชายข้างบ้านมันก็ดูชัดเจนดี แต่ทำไมล่ะ?......ก็อายุมากกว่าตั้งเยอะ ทำไมเด็กนี่ถึงไม่เข้าใจคำว่าความเหมาะสมเอาซะเลยกันนะ แต่ถึงไล่เท่าไหร่เด็กม.ต้นคนนี้ก็ยิ่งเกาะติดไม่ไปไหน ไอ้หน้าเอ็นดู มันก็น่าเอ็นดูอยู่หรอก แต่ไอ้น่ารำคาญน่ะ มันก็น่ารำคาญจริงจัง
“เพียง…อย่านอนสิ” เสียงของเด็กที่ยังไม่แตกหนุ่มดังขึ้นข้างหู ทำไมเพียงถึงได้รู้สึกขัดหู ขัดตา ขนาดนี้กันนะ
“เรื่องของผู้ใหญ่เด็กอย่ายุ่ง!”
“ผมโตแล้วนะ”
“15 เนี่ยนะโต กลับไปเรียนไป๊!” เพียงหันหลังหนีให้กับเด็กที่อ้างตัวเองว่าโตแล้ว จริงๆมิคกี้ก็ไม่ได้มีนิสัยที่เลวร้าย ติดอยู่ที่ว่าเขาอายุน้อยไปสำหรับเพียงก็แค่นั้นเอง ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะยอมสานสัมพันธ์แบบมากกว่าพี่ชายน้องชายด้วย เพราะสำหรับเพียงแล้ว….ต้องอายุกันมากกว่าสัก 5-6 ปีถึงจะดี
ต้องเป็นผู้ชายอายุประมาณ 25 ปีละมั้งที่จะเข้าเกณฑ์พิจารณา
ถ้ามิคกี้แก่กว่านี้สักสิบปีก็คงจะดีไม่ใช่น้อย เพราะขนาดอายุแค่ 15 ปี มิคกี้ยังดูนิ่งสุขุมอย่างกับผู้ใหญ่คนหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็มีมุมเด็กๆที่น่ารักอยู่บ้าง ถ้ามิคกี้อายุสัก 25 ปี คงเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์สาวติดตรึมเป็นแน่
อยากให้เด็กนี่อายุสัก 25 ปีจัง…..
“อย่านอนเลย ลมแรงออก เดี๋ยวไม่สบายเอานะ” เสียงของเด็กหนุ่มคนนั้นยังคงดังก้องอยู่ในหู เสียงเด็กๆของมิคกี้ที่มาขัดจังหวะความคิดมันทำให้เพียงรู้สึกฉุน ร่างเพรียวลุกขึ้นก่อนจะฉุดให้เจ้าตัวแสบลุกขึ้นตามกัน
“กลับไปเรียนเดี๋ยวนี้เลยนะเด็กบ้า!” ทั้งสองยื้อฉุดกันอยู่อย่างนั้น มิคกี้ถึงแม้จะเป็นเด็กและตัวเล็กกว่าแต่เขาก็ไม่ยอมโดนลากไปดีๆ
“เด็กอีกแล้วนะเพียง ผมไม่ใช่เด็กก็บอกแล้วไง” เขาโต้ตอบกลับไป มันน่าหงุดหงิดจริงๆ แทนที่วันหยุดที่ไม่มีเรียนแบบนี้เพียงจะได้นอนหลับพักผ่อนแต่กลับกลายเป็นว่าต้องมาทะเลาะกับเด็ก ให้ตายเหอะ เด็กนี่มันน่ารำคาญชะมัด
“ไม่รู้ล่ะเจ้าเด็กบ้านายไม่ต้องมาตามฉัน ก็บอกแล้วไงว่าฉันชอบผู้ชายอายุมากกว่า!!!” ด้วยความหงุดหงิดทำให้เพียงผลักเจ้าตัวเล็กลงสระบัวของที่บ้านเสียเลย บางทีน้ำเย็นๆคงจะพอทำให้มิคกี้เลิกคิดทำอะไรบ้าๆ ปีนเกลียวกับตนได้
ถ้ามิคกี้อายุสัก 25 ก็คงจะดี
จ๋อม
อายุ 15 มันน้อยไปสำหรับเพียงจริงๆ
จ๋อม
เด็กนี่อยากให้เพียงถูกเรียกว่าวัวแก่กินหญ้าอ่อนเรอะ
จ๋อม
อายุ 25 สักทีสิ!
แต่มันคงเป็นไปไม่ได้ เพียงได้แต่ยิ้มให้ตัวเอง มิคกี้ยังเด็กนักเขาควรจะไปอยู่กับเพื่อนๆมากกว่ามาเกาะแกะกันอย่างนี้ เพียงไม่เคยรังเกียจการอยู่ใกล้ชิดกับเจ้าเด็กน้อยนั่น จนกระทั่งวันที่เพื่อนๆในมหาลัยแซวว่าพาลูกมาด้วยเหรอ หรือแซวว่ากินเด็ก!!! มันอาจจะเป็นเรื่องตลกสำหรับบางคนแต่กับเพียงคนนี้ไม่ตลกเลย
เอ่อ…ไม่ตลกเลย……แต่มิคกี้หายไปไหน???
ใบหน้าเริ่มซีดเผือดนี่มันนานเกินกว่าที่คิดไว้ ชนกันต์ยังไม่ยอมโผล่หัวขึ้นมาจากสระ เพียงไม่รอช้ารีบลงไปในน้ำ ด้วยหวังว่ามิคกี้จะไม่เป็นอะไร จริงๆแล้วเพียงไม่น่าทำอย่างนั้นแต่กลับทำมันไปแล้วด้วยแรงอารมณ์ เรื่องนี้น้องก็ไม่ผิด แต่เป็นเพราะการแยกแยะของตนนั่นแหละที่มีปัญหา!
“บ้าจริง” เพียงดำผุดดำว่ายอยู่อย่างนั้น ไม่น่าเชื่อว่าสระน้ำจะลึกถึงขนาดนี้ ทั้งๆที่มันไม่เคยลึกขนาดนี้นี่ ทำไมขาถึงแตะไม่ถึงพื้นกันนะ เพียงยังคงค้นหาเด็กคนนั้นอยู่ โดยยังไม่ยอมถอดใจ จนกระทั่งมือนึงได้คว้าคอเสื้อของตนไว้แล้วกระชากฉุดไป แผ่นหลังบางปะทะกับแผ่นอกของชายคนหนึ่ง เพียงเห็นเพียงแค่เสี้ยวหน้าของเขา ผมสีดำสนิทกับผิวที่ไม่ขาวจนเกินไปของชายหนุ่มคนนี้ ทำให้เพียงเผลอไผลมองไปอย่างไม่รู้ตัว ในที่สุดเขาก็ถูกลากกลับขึ้นฝั่ง
แต่เดี๋ยว….มิคกี้ล่ะ?
“มิคกี้!!” เพียงกำลังจะกลับลงไปอีกครั้ง แต่มือใหญ่ของคนๆนั้นคว้าแขนเอาไว้
“อะไร….” เสียงของชายแปลกหน้านั้นไม่คุ้นหู แต่ให้ความรู้คุ้นเคยอย่างประหลาด เพียงขมวดคิ้ว ทั้งสงสัยว่าเขาเป็นใครและก็เป็นห่วงมิคกี้ที่ยังหาไม่เจอ
“ผมจะไปช่วยน้อง…” เพียงพยายามจะบิดข้อมือให้หลุดพ้นจากการจับกุม ให้ตายเหอะผู้ชายคนนี้แรงเยอะชะมัด!
“ผมบอกแล้วไงว่าไม่ใช่น้อง….” น้ำเสียงตัดพ้อต่อว่า ผมที่เปียกลู่ปิดบังใบหน้าของเขาเอาไว้ทำให้มองเห็นไม่ชัด มือใหญ่อีกข้างที่ว่างอยู่จึงถูกยกขึ้นมาเสยผมที่ปิดหน้าปิดตาไปด้านหลัง เผยให้เห็นหน้าผากและดวงตาคู่สวยของคนที่ลากเพียงขึ้นจากสระ
ประกายคมของดวงตาคู่นั้นทำให้เพียงยิ่งกว่าสั่นไหว
“นะ….นายเป็นใคร!” ทำไมใบหน้าของคนๆนี้….
“เพียงทำไมถามอะไรแบบนั้น….ก็ผมไง”
ไม่…เพียงไม่เคยรู้จักคนๆนี้
“คะ…ใคร?”
“ผมไงล่ะเพียง….ชนกันต์…มิคกี้ไง”
มิคกี้!!!!!
“อย่ามาโกหก มิคกี้ไม่สูงถึงขนาดนายหรอกนะ!!!”
เจ้าของมือหนาที่จับข้อมือของเพียงไว้ปล่อยมันลง เขาดูตกใจกับคำพูดของเพียงอยู่พอตัว ดวงตาสีดำขลับจ้องมองที่ขาของตน เท้าของเขาดูใหญ่เกินไป ขาก็ดูยาวขึ้น มือก็ใหญ่กว่ามือเพียง มันแปลกไปหมด ไม่ใช่ว่าเขาสังเกตตัวเองเก่งนักหนา แต่มือของเพียงที่เคยจับมือกันมันไม่ได้เล็กอย่างนี้
“หรือว่าคุณเป็นพี่ชายของมิคกี้” น้ำเสียงไม่แน่ใจของเพียงดังขึ้น
“ไม่…เพียงก็รู้ว่าผมไม่มีพี่ชาย” เจ้าของชื่อชนกันต์พูดขึ้น ดูเหมือนว่าเขาจะตั้งสติได้แล้ว ดูจากเสื้อผ้าที่ใส่มันก็หดเล็กลง กางเกงผ้ายืดแบบที่น้องเคยใส่มันตัวโตจนเกะกะลูกตาในตอนนั้น ทว่าพอดีเกือบรัดติ้วยามอยู่บนร่างกายของคนๆนี้ และอันที่จริง เขาไม่ได้ใส่เสื้อ! หวังว่านี่คงไม่ใช่ความฝันใช่ไหม เพราะชนกันต์ดูเติบโตขึ้นเกินกว่าจะเป็นเด็กอายุ 15
“มิ…มิคกี้” นิ้วมือเรียวยาวของเพียงลูบไล้ใบหน้าของเขาอย่างไม่เชื่อถือ ดวงตา จมูก ริมฝีปากของคนที่แอบอ้างตนว่าคือชนกันต์มันช่างเหมือนกัน ต่างกันที่โครงหน้าของเขาดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น แก้มยุ้ยนั่นก็หายไปราวกับนี่คือร่างของชนกันต์ในวัย 20 กว่า
หรือคำขอของเพียงจะเป็นจริง นี่คือชนกันต์ในวัย 25 งั้นเหรอ???????
“เพียงผมขอไปเปลี่ยนชุดที่บ้านได้ไหม เราอยู่กันอย่างนี้เราจะเป็นหวัดกันทั้งคู่นะ” เสียงของเขาขัดความคิดของเพียง ดวงตาของชายคนนี้ที่จ้องมองกัน มันช่างดูสมกับเป็นชนกันต์เสียจริง
ดวงตาของเด็กแก่แดดที่รู้ทันกันเสมอมา
“อื้มจริงสิ” เออออตามคนๆนั้นไป ดูเหมือนว่าแทบจะลืมสิ่งที่ตนสงสัยไปเสียแล้ว มิคกี้ก้าวเดินออกไป เขาดูคล่องแคล่วเหมือนคนเจนจัดในเส้นทาง เพียงได้แต่เดินตามเขาเงียบๆโดยไม่สามารถละสายตาจากแผ่นหลังกว้างได้เลย เพียงเคยสงสัยอยู่บ้างว่ามิคกี้เด็กน้อยคนนั้นเติบโตขึ้นมาจะเป็นอย่างไร แต่ในวันนี้มันกระจ่างชัดแล้ว เขาดูหล่อจนน่ากลัวว่าเพียงจะอดใจไม่ไหว เพียงไม่ชอบเด็กเพราะต้องการที่พึ่งพิง และในวันนี้คนที่ยืนอยู่ข้างหน้าก็ดูเป็นผู้ชายที่ให้เพียงพึ่งพิงได้จริงๆ
“มองอะไรอยู่” คำสั้นๆของมิคกี้ทำให้เพียงสะดุ้ง ใบหน้าของเขาขึ้นสี นี่คงเป็นครั้งแรกที่เพียงพักต์เขินอายเพราะคนที่ตนเคยหาว่าเป็นเด็กมาตลอด ไม่สิก็วันนี้ชนกันต์ไม่ใช่เด็กแล้ว
“ใครมอง”
“รีบเดินมาเร็วๆเถอะ เดี๋ยวก็เป็นหวัดเข้าหรอก”
“ไม่หรอก…ฉันสุขภาพดี”
“เพียง…อย่าให้ดุสิ” มิคกี้ลดฝีเท้าของตนลง ก่อนจะคว้าข้อมือบางของคนที่ยืนเขินไว้ เขาฉุดให้เดินไปพร้อมๆกัน แม้ความเปียกชื้นจะทำให้หนาวสั้น แต่ความอบอุ่นที่ส่งผ่านมือนั้นมา มันทำให้เพียงอดยิ้มไม่ได้ หากเขาจะเหลือบมองไปที่ใบหน้าของเจ้าของมือแล้วล่ะก็ เพียงจะได้เห็นว่าชนกันต์ก็ยิ้มอยู่เช่นกัน
ทั้งสองเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า โชคดีที่มิคกี้สามารถใส่เสื้อผ้าของเขาได้ ร่างบางจ้องมองคนตรงหน้าอย่างพินิจ เขาดูมีภูมิฐานแม้ว่าจะอยู่ในชุดลำลอง ให้ตายเถอะทำไมชุดของเพียงจะทำให้ชนกันต์ดูหล่อขนาดนี้ ทั้งๆที่ชุดของเพียงแท้ๆ แต่ทำไมใส่แล้วไม่หล่อร้ายเหมือนคนๆนี้กันนะ
“ออกไปเที่ยวกันไหม” มิคกี้พูดขึ้น
“ไปไหนล่ะ สวนสนุกไหม”
“ไหนๆผมก็เป็นผู้ใหญ่แล้วเราก็ไปเที่ยวแบบผู้ใหญ่กันไหม”
“แต่ฉันนึกว่านายอยากไปสวนสนุกเสียอีก” เพียงคิดอย่างนั้นจริงๆนะ ริมฝีปากของมิคกี้หยักขึ้น มือหนาค่อยๆวางลงบนหัวของเพียงแล้วขยี้อย่างเอ็นดู
“ไม่ใช่เพียงหรอกเหรอที่อยากไปสวนสนุก”
“จะบ้าเหรอ ฉันเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ!” เขาพยายามปัดมือนั่นออก แต่ก็อดใจเต้นไม่ได้เมื่อมิคกี้ทำอย่างนั้น
“งั้นไปไหนดีละครับคุณผู้ใหญ่” เขาทอดยิ้มให้กันอย่างอ่อนโยน
“ก็ไปซื้อของดูหนังและกินข้าวกัน”
“ฮึ…ตามใจเพียงเลยนะ” เขาพูดขึ้นก่อนจะเดินนำออกไป เพียงอดจะหมั่นไส้ผู้ใหญ่คนนี้ไม่ได้ ทำไมต้องทำอะไรให้หวั่นไหวด้วยนะ ตัวเองเป็นแค่เด็กแท้ๆ
“อย่าเดินนำสิ”
ถึงแม้ในใจจะก่นด่ากัน แต่เพียงก็รีบวิ่งตามเขาไป สัมผัสจากมืออบอุ่นเลื่อนมากุมกันไว้เมื่อตามทัน วันนี้อากาศไม่ได้เย็นเลย แต่เพียงกลับไม่อึดอัดที่จะทำเช่นนี้ แต่ก็ยอมรับว่าเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้จับมือมิคกี้ แต่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกประหลาดใจ ไม่เคยคิดเลยจริงๆ ว่าการทำแบบนี้กับชนกันต์จะให้ความรู้สึกรุนแรงขนาดนี้
“ไม่ต้องคิดอะไรนะ” มิคกี้พูดขึ้นราวกับเพียงเข้าใจว่าเพียงกำลังคิดอะไร
“หืมมม”
“ผมอยู่ตรงนี้แล้วนะ” แม้ว่าคำพูดของเขาจะแปลกๆแต่เพียงก็อดที่จะยิ้มไม่ได้ รู้สึกได้เลยว่าหัวใจที่สั่นไหวของตนถูกปลอบประโลม
ดวงตาสดใสของเพียงเปล่งประกายขึ้นมา ย่านใจกลางเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คน แต่ชนกันต์มองเพียงที่ร่างเพรียวของคนที่อยู่ในใจเขามาโดยตลอด ริมฝีปากของเขาอดที่จะยกยิ้มขึ้นมาไม่ได้ คนที่เรียกตัวเองว่าเป็นผู้ใหญ่มักจะแสดงท่าทางอย่างนี้เวลาอยู่ต่อหน้าสิ่งที่ตนสนใจ ชนกันต์ค่อยๆเคลื่อนใบหน้าของตนเข้าไปให้ใกล้กันมากขึ้น พวกเขากำลังเลือกที่นั่งสำหรับดูหนัง
“นายดูหนังผีไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
“ไม่เป็นไร”
ถึงแม้เพียงจะถามอย่างนั้น แต่จริงๆคนที่ควรจะกลัวว่าจะเป็นอะไรไหมคือตัวเอง หนังผีมีเสน่ห์อยู่อย่างคือความน่ากลัว ซึ่งมันก็มักจะดึงดูดคนขี้กลัวแบบเพียงให้เข้ามาดูเสียด้วย …
“เฮ้ย!!!” แม้หนังจะเริ่มมาหลายฉากแล้ว แต่ร่างบางก็ยังไม่ชินเวลาที่ผีโผล่ออกมาเสียที มือที่เล็กกว่าของชนกันต์ในยามนี้สั่นระริก ชักอยากจะออกจากโรงหนังเสียงแล้ว แต่ก็แอบอยากรู้ว่าตอนจบจะเป็นยังไง เสียงหัวเราะเบาๆจากคนข้างๆเรียกสายตาค้อนขวับให้หันไปมอง รอยยิ้มละมุนยามแสงวาบจากจอของโรงหนังทำให้เพียงพูดอะไรออกมาไม่ออก เพียงทำได้แต่หันกลับไป ทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับรอยยิ้มนั่น แต่ถ้าคนๆนี้อ่านใจกันออกละก็ เพียงคงไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
ฝ่ามือหนาวางทับมือของเพียง กระแสอบอุ่นที่ส่งผ่านมามันย้ำเตือนความคิดของเพียงอีกครั้ง ทำให้รู้สึกว่าตัวเองสามารถพึ่งพิงเจ้าของมือนี้ได้ ไม่น่าเชื่อว่าคนๆนี้คือชนกันต์ที่เคยปรามาสว่าเด็กเมื่อวานซืน จริงสินะเขาเป็นเด็กในเมื่อวานซืน แต่ตอนนี้เขาเป็นหนุ่มหล่อที่มีรอยยิ้มทรงเสน่ห์ และดวงตาคมที่พร้อมจะเฉือนกันเป็นชิ้นๆ
“ไม่ต้องกลัวนะ” น้ำเสียงของเขาที่เปลี่ยนไปจากเมื่อวานทำให้เพียงรู้สึกว่าสามารถเชื่อทุกคำที่เขาพูดออกมาได้
นี่แหละคือผู้ชายอายุมากกว่าที่เพียงต้องการ!
ดวงตาที่จ้องมองมาทางร่างบางทอประกายตัดพ้อเพียงเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนสีหน้ามายิ้มให้อย่างอบอุ่น หนังในโรงไม่ได้น่าสนใจอีกต่อไป ทั้งสองจมอยู่กับห้วงความคิดของตนเองโดยสมบูรณ์แบบ มือของทั้งคู่เกาะเกี่ยวกันเอาไว้หลวมๆ เหมือนกับความรู้สึกที่ก่อเกิดขึ้นในวันนี้ ถึงแม้จะอบอุ่นเมื่อมีอีกคนเข้ามาเติมเต็มด้านที่ขาดหายแต่ในอีกขณะหนึ่งมันกลับไม่จีรัง……ราวกับว่าเส้นด้ายแดงที่ถูกผูกขึ้นให้ต่อกันที่นิ้วของทั้งคู่เป็นเพียงแค่ปมด้ายหลวมๆ จะแก้ก็คลายปมได้ง่าย แต่หากจะดึง มันก็พร้อมที่จะขาดทันที….
พวกเขาเดินออกมาจากโรงหนังเงียบๆเมื่อจบช่วงเครดิต ไม่รู้อะไรทำให้พวกเขานั่งอยู่ในนั้นได้ตั้งนานสองนาน แม้จะไม่มีคำพูดใดๆออกมาจากปาก อาจจะเป็นเพราะพวกเขาไม่อยากที่จะออกมาพบโลกภายนอก แสงสว่างของดวงอาทิตย์อาจจะทำให้เห็นภาพความเป็นจริงว่าชนกันต์เป็นเพียงเด็กม.ต้น และเพียงเป็นเด็กมหาวิทยาลัย จะเป็นอย่างไรถ้าเรากลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงในตอนนี้
ตามทางเดินที่โรยไปด้วยกรวดของสนามเด็กเล่นอันแสนสงบแถวบ้าน พวกเขาเดินไปตามทางนี้ ในขณะที่นิ้วยังคงเกาะเกี่ยวกันไว้หลวมๆ ความเงียบที่ปกคลุมไม่เชิงทำให้รู้สึกอึดอัดใจ กลับกันความเงียบคือการสื่อสารความเศร้าหมองของจิตใจในรูปแบบหนึ่งซึ่งสามารถสื่อให้อีกคนได้เข้าใจ
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่คนทั้งคู่จะตื่นจากฝัน….
การที่ชนกันต์กลายมาเป็นผู้ชายคนนี้ได้มันคงเป็นสิ่งที่เรียกว่าปาฏิหาริย์สินะ?
“วันนี้ขอบคุณนะ ฉันมีความสุขมากๆ” เพียงเป็นฝ่ายทำลายความเงียบของพวกเขาขึ้นมา ดวงตาคมคู่นั้นหันมามองกันเหมือนกับว่าเขาเข้าใจ แม้เพียงจะพูดว่าตัวเองมีความสุขแต่ใบหน้าไม่ได้ยิ้มออกมาอย่างสุดแก้มแบบที่เคยเป็น
“ผมก็มีความสุขถ้าเพียงมีความสุข”
“ฉันชอบนายที่เป็นอย่างนี้”
“ดีจังที่เพียงชอบผม” แม้เขาจะบอกว่า ‘ดี’ แต่เพียงรู้ว่าภายใต้รอยยิ้มอบอุ่นของมิคกี้ไม่ได้ยินดีไปเสียทุกเรื่อง
“แต่ฉันชอบนายที่เป็นผู้ใหญ่อย่างนี้นะ” เขาย้ำมันออกมาอีกครั้ง
“ผมก็ดีใจอยู่ดี”
“อย่ามาโกหกกันเลย” ใบหน้าหวานนั่นดูจริงจังขึ้นมา แม้มิคกี้จะรู้สึกไม่ดีสักเท่าไหร่เขาก็ไม่กล้าพูด
“ขอแค่เป็นผม ผมก็ดีใจแล้ว” ใช่สินะ เพียงจะชอบเด็กม.ต้นคนนั้นหรือไม่ก็ตาม แต่แค่เขาชอบมิคกี้ก็ดีแค่ไหนแล้ว
จริงๆนะเหรอ?
“ความคิดนายนี่มันเด็กสมกับอายุนายจริงๆนะมิคกี้” น้ำเสียงของเพียงดูเย็นชากว่าทุกครั้ง มิคกี้เพียงแค่จ้องมองใบหน้าหวานนั่นนิ่งเงียบเขารอฟังคำต่อว่าของคนที่เขาหลงรักมาตลอดอย่างใจเย็น
“อื้ม”
“นายคิดว่านายจะเป็นอย่างนี้ไปตลอดน่ะเหรอ ยังไงนี่มันก็เป็นแค่ฝัน ยังไงนายมันก็แค่เด็กม.ต้น” ความจริงที่ถูกถ่ายทอดออกมาทำให้หัวอกคนพูดกระตุกเช่นกัน แต่เพียงเป็นคนตรงๆ เขาไม่ชอบให้อะไรมันคาราคาซัง
และการเป็นคนตรงๆคือนิสัยเสียของเพียงซะด้วย
มิคกี้นิ่งเงียบ ใบหน้าของเขายังคงมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง เขาเป็นเด็กอายุ 15 ปีที่ดูมั่นคงกว่าเด็กคนไหนๆ เพราะนี่คือมิคกี้…….มิคกี้ที่มองที่เพียงมาโดยตลอดตั้งแต่เขาเริ่มเขียนคำว่าชอบในสมุดเป็น เขาดูเหมือนจะรู้ความคิดของเพียง มันไม่ใช่ว่าเพราะเขาเป็นเด็กฉลาดกว่าใคร แต่มันเป็นเพราะเขามองพี่ชายข้างบ้านคนนี้มาโดยตลอด จึงรู้จักนิสัยและความต้องการของเพียงดีกว่าใคร และไม่มีคนไหนที่มิคกี้รู้จักดีเท่าเพียง
“ผมเลิกเรียกเพียงว่าพี่ก็ตั้งแต่ที่ผมเริ่มรู้ตัวว่าเพียงเป็นพี่ชายผมไม่ได้”
“………….”
“คงราวๆสิบปีได้แล้วที่ผมเรียกพี่ชายคนนี้ว่าเพียง”
“………….”
“แม้ตอนนี้ผมจะดูต่างกับเด็กคนนั้นแค่ไหนแต่สิ่งที่เราคิดก็ไม่ได้ต่างกันเลย”
“………….”
“ไม่ว่าจะเป็นมิคกี้อายุ 5 ขวบ อายุ 15 หรือ 25 ก็ยังคงจะคิดเหมือนกัน”
“ไม่มีอะไรแน่นอนอย่างนั้นหรอกนะ” เรื่องเกินจริงแบบนั้น
“มีสิเพราะเมื่อสิบปีที่แล้วผมคิดยังไง วันนี้ผมก็ยังคิดอย่างนั้นอยู่”
“ตลก! เด็ก 5 ขวบนี่นะ”
“ไม่รู้สิ” เจ้าตัวคนอ้างเองก็อดหัวเราะให้กับความบ้าของตัวเองไม่ได้ ทำไมเขาถึงแอบชอบคนๆหนึ่งตั้งแต่อายุ 5 ขวบกันนะ แถมเพียงก็ดูเหมือนจะไม่ได้ชอบกันเลยด้วยซ้ำ
“อีกสิบปีนายต้องมาขอโทษฉันที่ทฤษฎีของนายผิดพลาด”
“ก็ได้” ถ้าเขาจะเลิกชอบพี่ชายคนนี้จริงๆล่ะก็นะ
“อย่าลืมล่ะเจ้าเด็กเมื่อวานซืน ถ้านายสามารถยืนยันสิ่งที่ตัวเองพูดได้ล่ะก็ ฉันจะทำตามนายทุกอย่างเลย” เพียงพูดขึ้น เขานั่งลงบนเก้าอี้ของสนามเด็กเล่นอย่างสบายๆ เจ้าตัวยังคงขำความคิดของตนอยู่ แม้ชนกันต์คนนี้จะยิ้มให้กับท่าทางของร่างบาง แต่ในหัวของเขามันไม่มีแววหยอกเล่นอย่างนั้นเลย ร่างสูงก้าวมายืนอยู่ข้างหน้า เขามองใบหน้าหวานที่ติดตรึงอยู่ในสมองของตนอย่างหลงใหล ก่อนจะค้อมตัวและขยับใบหน้าเข้าไปใกล้
“อย่าลืมนะ ชนกันต์อายุ 25 ปีตัวจริงจะไปทวงสัญญาในวันนั้น วันที่ผมอายุครบ 25 ปีพอดี” ลมหายใจอุ่นๆของคนทั้งคู่เป่ารดกัน ความใกล้ชิดอันแสนหวานนี้ทำให้หัวใจของพวกเขาเต้นเป็นจังหวะรุนแรง
“สุขสันต์วันเกิดอายุครบ 15 ปีนะมิคกี้” ถึงแม้ว่าเพียงจะเมินเฉยแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถลืมวันเกิดของเด็กคนนี้ได้เลย เวลาของพวกเขาเหมือนหยุดเดินเมื่อสัมผัสนิ่มยุ่นส่งความอบอุ่นให้ริมฝีปากที่แห้งผากได้รับกระแสแห่งความรัก จูบเบาๆเนิ่นนานบริสุทธิ์ต้อนรับวันเกิดของเด็กหนุ่มที่แอบรักกันมานานร่วม 10 ปี จุดประกายให้หัวใจของพวกเขามีแสงสว่างเกิดขึ้น
เหมือนเป็นแสงสว่างแห่งการรอคอย
ดวงตากลมโตของเพียงปิดลงเพื่อให้ใจของตนได้สัมผัสกับความรู้สึกที่ถูกถ่ายทอดผ่านริมฝีปากของมิคกี้ แม้เขาจะไม่ได้พูดคำว่ารักพร่ำเพื่อ แต่เพียงรู้สึกถึงมันได้ ผ่านลมหายใจ ผ่านความอบอุ่นที่ริมฝีปาก
คำว่ารักของมิคกี้อายุ 15 ปี
แต่เมื่อเขาอายุ 25 ปีแล้ว เพียงยังจะรู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้ได้อีกหรือไม่หนอ?........
น้ำอุ่นๆไหลออกมาจากหางตา ลมเย็นที่พัดผ่านนำพาความสดชื่นมาให้ แต่หัวใจมันกลับมาห่อเหี่ยวอีกครั้งเมื่อสัมผัสหวานๆและลมหายใจของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าหายไปแล้ว ดวงตากลมโตลืมขึ้นมอง เขาเห็นเพียงแผ่นหลัง……..แผ่นหลังที่เขาคุ้นเคยของเด็กอายุ 15 ปีคนนั้น เสื้อผ้าของเพียงที่เด็กคนนั้นใส่ดูหลวมลงไปถนัดตา แผ่นหลังกว้างนั้นดูเล็กลง หากแต่บางสิ่งบางอย่างบอกกันว่าแผ่นหลังของมิคกี้เมื่อสักครู่กับมิคกี้คนนี้มันช่างหนักแน่นไม่ต่างกันเลย ภาพของมิคกี้ค่อยๆไกลออกไป
ไกลออกไปจนคว้าไม่ทัน
หรือไม่มีความกล้าที่จะไขว้คว้ากันแน่?