ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
สรุปข้อสำคัญดังนี้
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม
5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
:mew3: :mew3: :mew3: :mew3: :mew3: :mew3:
♥ เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ ♥
♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦ ♥ ♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦
หนึ่งคนหัวใจรักอิสระ ไม่ยอมคุกเข่าก้มหัวให้ใคร
หนึ่งคน หยิบยื่นเสนอโอกาสให้ เพียงเพราะอยากเอาชนะ
วันที่มีโอกาสอยู่เคียงข้างเพื่อปกป้องเขาปฏิเสธ
วันที่ถูกปฏิเสธกลับอยากอยู่เคียงข้าง แม้จะอยู่ในฐานะต้อยต่ำเพียงใดก็ยอม
จูเลียนยกยิ้มสมใจ “ข้าจะลงโทษเจ้าอย่างไรดี เจ้าคนอวดดี”
ทุกคนเงียบ ฮานส์ไม่ตอบแต่สายตาที่มองกลับมาสบตากับจูเลียนนั้น เหมือนกำลังบอกอะไรบางอย่าง สายตาที่มีอำนาจในการสื่อความคิด บังคับจูเลียนให้จ้องมองลึกเข้าไปข้างใน จากระยะที่ยืนห่างกัน พอได้ประสานสายตาตรง ๆ อะไรบางอย่างที่มาพร้อมแววตาคู่นั้น สะกดให้จูเลียนมองนิ่ง จนความดุดันในดวงเนตรสีเขียวมรกตหายไป เหลือเพียงความสงสัยใคร่รู้จากสิ่งที่ได้เห็น ดวงตาสีดำมืดราวกับราตรีในคืนไร้แสงจันทร์สิ้นแสงดาว หลุบต่ำลงมองริมฝีปาก จูเลียนรู้ตัวแต่ยังยืนนิ่ง ครั้นพอทำตามเจ้าของร่างสูงด้วยการหลุบสายตาลงมองริมฝีปากอิ่มที่ล้อมไปด้วยหนวด เห็นลิ้นสีชมพูเกือบแดงแลบออกมาเลียจึงได้เข้าใจ
“เจ้า! “ ยิ้มร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้ารกเคราของชายพเนจร ยิ่งจูเลียนเกรี้ยวกราดหงุดหงิดมากเท่าไหร่ฮานส์ยิ่งสนุก สนุกทั้งที่ยังมีคมดาบจ่อคอหอยอย่างหมิ่นเหม่
ฮานส์กำลังเย้ยหยันว่าเคยฉวยโอกาสจูบจูเลียน!
♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣ ♣
จูลีเดียส เฟรเดอริก ออสติน (จูเลียน) ยุวกษัตริย์แห่งออสเซนเทียผู้หลงใหลในบทกวีและความงดงามของการละคร จิตใจของเขาอ่อนโยนและอ่อนไหว ในขณะที่บ้านเมืองกำลังต้องการผู้นำที่แข็งแกร่ง ยุวกษัตริย์วัยเพียง 19 ชันษากลับทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการรังสรรค์ปราสาทราชวังอันวิจิตรสวยงาม ตามอย่างที่กวีผู้เป็นคนรักของพระองค์ได้บรรยายเอาไว้เป็นฉากในบทละคร จากความหลงใหลกลายเป็นความคลั่งไคล้ ที่ทำให้หลายฝ่ายไม่เห็นด้วย ความหลงใหลของจูเลียนนำมาซึ่งความขัดแย้งอย่างรุนแรง และการลอบปลงพระชนม์!
โรฮานส์ อัลเลน วัลเดอราส (ฮานส์) หนุ่มรักอิสระผู้หลงใหลในการเดินทาง เพื่อท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ วันหนึ่งเขานึกอยากเข้าเมืองหลวง ที่นั่นมีการประลองการต่อสู้บนหลังม้าประจำปี และมีเหตุให้เขาต้องเข้าร่วมประลอง เมื่อคืนแรกที่มาถึงเขาแพ้พนัน จึงต้องตกปากรับคำเพื่อนรัก ฝ่ายนั้นต้องการให้เขาเข้าร่วมเป็นหนึ่งในผู้เข้าประลองฝีมือ และด้วยฝีมืออันเหนือชั้นกว่าผู้เข้าประลองทุกคน ทำให้เขาชนะการประลองได้ชัยมา และชัยชนะครั้งนั้นได้กระชากเอาหัวใจที่อิสรเสรีของเขาไปตลอดกาล!
** เหตุการณ์ทั้งหมดในนิยายเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องสมมุติขึ้นตามความฝันเฟื่องของผู้เขียนเอง ไม่ได้อิงประวัติศาสตร์ยุคไหนสมัยใด สรรพสิ่งและชื่อของสิ่งต่างๆ ตั้งแต่ พืช คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ เป็นสิ่งที่สมมุติขึ้นเพื่ออรรถรสของนิยาย เพราะนี่คือโลกของนิยายเรื่องนี้เท่านั้น และนิยายเรื่องนี้ตัวเอกเป็นกษัตริย์เป็นเจ้าหญิงเจ้าชาย แต่จะไม่เน้นราชาศัพท์ โดยจะมีคำราชาศัพท์ในเนื้อเรื่องบ้างตามความเหมาะสมและอรรถรสเท่านั้น
นิยายเรื่องอื่นขอ ดาว ณ แดนดิน
ขอบคุณที่รักคนอย่าง..กู (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69140.msg3922467#msg3922467)
กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68821.msg3905592#msg3905592)
ตอนที่ 1 ยุวกษัตริย์แห่งออสเซนเทีย 50% (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68831.msg3906166#msg3906166)
ตอนที่ 1 ยุวกษัตริย์แห่งออสเซนเทีย 100% (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68831.msg3906263#msg3906263)
ตอนที่ 2 ชายพเนจร 50% (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68831.msg3906388#msg3906388)
ตอนที่ 2 ชายพเนจร 100% (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68831.msg3906817#msg3906817)
ตอนที่ 3 เพื่อนเก่า 100% (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68831.msg3907098#msg3907098)
ตอนที่ 4 อัศวินผู้เฝ้ามอง 100% (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68831.msg3908208#msg3908208)
ตอนที่ 5 แขกบ้านแขกเมือง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68831.msg3908815#msg3908815)
ตอนที่ 6 ลอร์ดหนุ่มผู้เร่าร้อน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68831.msg3909146#msg3909146)
ตอนที่ 7 งานประลองประจำปี (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68831.msg3909952#msg3909952)
ตอนที่ 8 ลีโอกับยอดอัศวิน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68831.msg3910770#msg3910770)
ตอนที่ 9 แผนสลับตัวง่ายกว่าที่คิด (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68831.msg3911186#msg3911186)
ตอนที่ 10 อัศวินหนุ่มผู้ร้อนแรง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68831.msg3911949#msg3911949)
ตอนที่ 11 คุกเข่ากล่าวคำสาบานตน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68831.msg3912638#msg3912638)
ตอนที่ 12 สวาเนียร์ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68831.msg3920665#msg3920665)
ตอนที่ 13 หิมะสีเลือด (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68831.msg3921529#msg3921529)
ตอนที่ 14 โรฮานส์ผู้ใจร้าย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68831.msg3922271#msg3922271)
ตอนที่ 15 เมียของฮานส์ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68831.msg3922998#msg3922998)
ตอนที่ 16 สถานการณ์ย่ำแย่ของจูเลียน 100% (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68831.msg3924156#msg3924156)
ตอนที่ 17 ใต้โพรงต้นไม้ที่อบอุ่น (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68831.msg3926924#msg3926924)
:katai4: :katai5:
เกมรักชิงบัลลังก์ หัวใจ 13 หิมะสีเลือด
[/b]
“หมดเวลาสนุกแล้วฝ่าบาท!” อยู่ดีๆ ก็มีทหารองครักษ์บังอาจเข้ามาในรถม้า ทำให้หนึ่งเจ้านายกับสามเครื่องสนองความใคร่ที่กำลังเล่นสวาทหมู่อยู่หยุดชะงักไปตามกัน
“เจ้า!”
“บอกพวกนี้ออกไปก่อนเรามีเรื่องต้องคุยกัน”
“ข้าไม่มีอะไรจะคุยกับเจ้า”
“พวกเจ้าออกไปได้แล้ว บอกทหารข้างนอกด้วยว่าห้ามใครรบกวน”
“เจ้า..มีสิทธิ์อะไรมาออกคำสั่ง” ปากถามอย่างเกรี้ยวกราดมือควานหาดาบประจำตัวแต่ก็ไม่เจอ ได้แต่นอนกัดฟันกรอดอย่างหงุดหงิด
“หรือจะให้ข้าคุยเรื่องของเราต่อหน้าพวกนี้ล่ะ ยังไงก็ได้ข้าไม่เกี่ยงอยู่แล้ว” ทั้งสองกำลังฟาดฟันกันด้วยสายตา ที่คนหนึ่งมีแต่ความเกรี้ยวกราด ส่วนคนมาใหม่เพียงจ้องมองนิ่งๆ แต่แววตาคู่นั้นบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังสนุกมาก มุมปากก็ดูเหมือนจะยกขึ้นน้อยๆ ด้วย จะยิ้มก็ไม่ยิ้มจะนิ่งก็ไม่นิ่ง เหมือนแค่ต้องการให้คนที่กำลังจ้องมองเดือดดาลเล่นเฉยๆ จนผ่านไปเป็นครู่คนอารมณ์ค้างโบกมือเพียงเบาๆ เหล่าสนมชายหญิงจึงลงจากรถม้าไป
แอนดีสหยิบแก้วที่วางอยู่บนตั่งเล็กๆ ข้างตัวมากรอกไวน์ลงคออึกใหญ่แล้วถาม “ตามข้ามาทำไม เจ้าอัศวินชั้นต่ำ!”
“ข้าบังเอิญมาราชการแถวนี้” เลนนี่บอกพลางเดินไปนั่งลงยังฝั่งตรงข้าม หันหน้าเข้าหาร่างเปลือยเปล่าที่ยังนอนเอนตัวพิงหมอนอิงใบใหญ่ เข่าข้างหนึ่งชันขึ้นรองข้อมือข้างที่กำลังถือแก้วไวน์ ร่างเปลือยกับท่านั่งเปิดเผยดูยั่วยวน แต่สีหน้ากลับต่างไปยามเจ้าตัวขมวดคิ้วมองตอบด้วยสายตาสงสัย
“เจ้ามีราชการอะไรที่ชายแดนมอนทาร์น่ากัน”
“หึ”
“หรือเจ้ามาสอดแนม”
“สอดแนมอะไรล่ะ สอดแนมเมียมักมากกำลังเอากับโสเภณีหรือไง”
“เจ้า! อย่ามาปากดี ข้าไม่ใช่..”
“ชู่..ปฏิเสธทั้งที่ท่านก็รู้ตัวเองดี” แววตาขี้เล่นอยู่ตลอดเวลาแบบนี้แอนดีสเกลียดยิ่งนัก เกลียดแต่ก็ยังมอง มองแล้วก็ได้แต่ฮึดฮัดอยู่คนเดียว “แล้วนี่หงุดหงิดอะไรล่ะ หรือพวกนั้นปรนเปรอให้ไม่ถึงใจพอ ทำท่านค้างคาหรือไง” ค้างคาเพราะมีคนมาขัดจังหวะนั่นแหละ
ลอร์ดหนุ่มชะงักนิ่งไปเหมือนใจโดนจี้ตรงจุด ตั้งแต่ออกเดินทางก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในรถม้า เรียกสนมมาบำเรอทั้งชายหญิง แต่ไม่ว่าจะเสพสมหรือเสร็จสมไปแล้วกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง มันก็ยังไม่เต็มอิ่มเหมือนไม่ได้รับการเติมเต็มในสิ่งที่ต้องการ
“หึ” เสียงหัวเราะของเลนนี่เรียกแอนดีสให้หลุดออกมาสู่ความจริง ท่าทางแบบนี้มันบ่งบอกผู้ที่กำลังจับตามองได้เป็นอย่างดี ว่าสิ่งที่คิดคือสิ่งที่ลอร์ดแห่งมอนทาร์น่ากำลังเป็น แอนดีสไม่เคยปิดบังความต้องการของตัวเองได้สักครั้ง ยามอยู่ต่อหน้าอัศวินผู้สวมภาพหนุ่มขี้เล่นไว้ภายนอก แต่ภายในทั้งฉลาดและมีไหวพริบรอบตัว แถมยังเร่าร้อนโดนใจจนใครได้ลิ้มลองยังต้องโหยหา
“เจ้าต้องการอะไรกันแน่”
“พี่ชายท่านไปไหนแล้วล่ะ” เลนนี่เอ่ยถามเหมือนชวนคุย เล่นเอาสายตาของแอนดีสแข็งกร้าวขึ้นทันที พอรู้ตัวเลยรีบกลบเกลื่อน แต่อัศวินหนุ่มยังเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
แอนดีสพยายามใจเย็นถามเสียงแข็ง “เจ้าถามหาอเล็กซิสทำไม”
“ข้าไม่ได้พิศวาสพี่ชายท่านหรอกน่า ไม่ต้องหึง”
“หึ ไม่เจียมตัวเลยนะ”
“เพราะท่านคนเดียวข้าก็รับมือไม่ไหวแล้ว” แอนดีสกัดฟันกรอด นึกอยากได้ดาบสักเล่มจะเอามาฟันใบหน้าหล่อทะเล้นให้เสียโฉมให้ดู
“เจ้า...” ได้แต่ข่มความกริ้วโกรธ เพราะยิ่งเกรี้ยวกราดยิ่งทำให้อีกคนได้ใจ เห็นแววตาสนุกของเลนนี่แล้วแอนดีสมีแต่ความหงุดหงิด “เจ้าปลอมตัวเข้ามาทำไม”
“หาเมีย”
“เซอร์เลนนี่! “เลนนี่ตอบรับเสียงตะคอกเรียกดุๆ ของแอนดีสด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ และสายตาพราวระยับที่ท้าทายปนเรียกร้อง ในแบบหนุ่มขี้เล่นของเขา หันไปหยิบเหยือกแก้วเจียระไนที่บรรจุไวน์ชั้นดีไว้กว่าครึ่งมารินใส่แก้ว ยกขึ้นละเลียดจิบด้วยท่าทางสบายอารมณ์ กับการลิ้มรสไวน์ชั้นดีรสชาติกลมกล่อมเคล้าความเกรี้ยวกราดของคนที่เรียกว่าเมีย
“หึ คิดว่าข้าโง่นักหรือไงเจ้าอัศวินชั้นต่ำ” แอนดีสเหยียดยิ้มมองอัศวินหนุ่มด้วยสายตาดูแคลนปนท้าทาย “เจ้าคงไม่เดินทางออกมาจากออสเซนเทียเพราะคิดถึงข้าหรอกมั้ง”
“ทำไมไม่คิดอะไรที่มันเข้าข้างตัวเองหน่อยล่ะแอนดีส ข้าอาจจะคิดถึงท่านจริงๆ ก็ได้นี่ อันที่จริงก็คิดถึงนั่นแหละข้ายอมรับก็ได้” แอนดีสต้องแค่นยิ้มออกมาอีกครั้ง แค่ได้ยินว่าเจ้านายเรียกตัวเลนนี่ก็ผละออกไปทันทีแล้ว นี่ต้องเดินทางมาตั้งไกลจะบอกว่ามาเพราะคิดถึง ใครเชื่อก็โง่ที่สุด
“ตกลงคิดถึง หรือแค่อาจจะคิดถึง แต่บอกไว้ก่อนว่าข้าไม่ยินดีหรอกนะที่มีคนคิดถึงโดยเฉพาะคนอย่างเจ้า บอกมาดีกว่าว่าเจ้ามาสอดแนมเรื่องอะไร”
เลนนี่ยิ้มน้อยๆ ให้คนขี้ระแวง แววตาอัศวินหนุ่มดูอ่อนโยนราวกับกำลังมองลีโอ “หึ แล้วทางนี้มีอะไรให้ข้าสอดแนมล่ะ”
“ถ้าไม่มีเจ้าก็คงไม่เดินทางดั้นด้นมาถึงนี่หรอกถูกไหม” ฉลาดที่คิดได้และถูกทีเดียว แต่เลนนี่มีหรือจะยอมรับ
“ก็บอกแล้วไงว่าข้าคิดถึง มาเพราะคิดถึงอย่าเดียวเลย” ดูยังไงก็รู้ว่าโกหกและแอนดีสไม่มีทางเชื่อ ยังไงก็ไม่มีวันเชื่อเด็ดขาดว่าคนที่เขาตราหน้าว่าเป็นอัศวินชั้นต่ำไร้เกียรติคนนี้ จะเดินทางมาถึงชายแดนเพราะว่าคิดถึงกันจริงๆ ถึงได้ยินแล้วมันจะทำให้รู้สึกแปลกๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มันแปลกจนต้องแอบสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เบาๆ เพราะไม่ต้องการให้อีกคนสังเกตเห็น ว่าตัวเองผิดปกติไป แอนดีสไม่อยากยอมรับว่าตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้ยิน ที่รู้สึกอย่างนั้นก็คงเป็นเพราะไม่เคยมีใครบอกว่าคิดถึงเขามาก่อน พอได้ยินลมหายใจมันเลยแค่สะดุด
แอนดีสเงียบเหมือนไม่รู้จะพูดอะไร ยิ่งเลนนี่เอาแต่นั่งมองนิ่ง ลอร์ดหนุ่มยิ่งเหมือนจะทำตัวไม่ถูก เลยหาอย่างอื่นทำแทน และไวน์ในแก้วที่ถืออยู่หมดพอดี เลยทำเป็นหยิบเหยือกแก้วเจียระไนที่มีไวน์เหลืออยู่ไม่มากมารินดื่ม
“ถ้าเจ้ายังไม่เลิกจ้อง ข้าจะสั่งให้ทหารจับเจ้าไปควักลูกตาออกซะ”
“ให้ข้าทำอย่างอื่นได้ไหมล่ะ” แอนดีสถลึงตาใส่เลนนี่ รู้ว่าอย่างอื่นที่หมายถึงคงไม่พ้นเรื่องทะลึ่งลามก เพราะสายตาอัศวินหนุ่มมันไม่ปิดบังสิ่งที่กำลังคิดเลยสักนิด “ข้ารู้นะว่าท่านคิดอะไรอยู่ลอร์ดแอนดีส”
“ข้าคิดอะไร”
“คิดว่าวันนี้ข้าจะจัดท่าไหนให้ท่านอยู่ใช่ไหมล่ะ”
แอนดีสส่ายหน้าน้อยๆ ริมฝีปากแสยะออกเหยียดหยัน “เจ้ามันหลงตัวเองจริงๆ “
“หรือไม่จริง ที่หงุดหงิดอยู่ก่อนหน้านี้ เพราะท่านนอนกับโสเภณีพวกนั้น แต่ไม่เต็มอิ่มได้เท่านอนกับข้าไม่ใช่หรือไง”
“เลนนี่!” ไม่ทันที่เลนนี่จะได้พูดจบดี คนถูกจี้ใจดำก็ตวาดเสียงดังผุดลุกขึ้นยืน หลายเรื่องทำให้แอนดีสโมโหรวมทั้งเรื่องที่เลนนี่เพิ่งพูดถึง ที่พอโดนจี้ตรงจุดเลยควบคุมตัวเองไม่ได้
สายตาคมมีแววขี้เล่นไล่มองร่างเปลือย ที่ยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้าอย่างเต็มตา ตั้งแต่เท้าสองข้างที่แยกออกเล็กน้อยยืนปักหลักมั่น ขึ้นไปตามเรียวขาที่มีเส้นขนสีน้ำตาลอ่อนขึ้นบางๆ ไม่ปิดบังความเนียนละเอียดของผิวเนื้อ ท่อนขายาวดูแข็งแรงปราดเปรียวไปจนถึงอวัยวะกลางลำตัวที่ยังสงบนิ่ง เลนนี่รู้ว่ามันจะตื่นขึ้นทันทียามเขาสะกิดเรียก หน้าท้องแบนราบประดับด้วยไรขนจากช่วงกลางลำตัวขึ้นไปจนถึงแผงอก ลูกคลื่นตื้นๆ จะเกิดขึ้นตรงหน้าท้องช่วงบนยามเจ้าตัวเกร็งกล้ามเนื้อ สูงขึ้นไปเป็นหน้าอกหนั่นแน่นน่าสัมผัสประดับด้วยไรขนบางๆ ที่ขึ้นเป็นกลุ่มสวย ช่วงไหล่กว้างพอดีรับกับกล้ามเนื้อต้นแขน ที่ถึงไม่ดูกำยำเท่าเลนนี่ แต่แบบนี้ก็เล่นเอาอัศวินหนุ่มจ้องมองด้วยสายตาพราว จนเจ้าของร่างกายแสยะยิ้มสมเพช ดูแคลนสายตาที่ไล่ไปตามเรือนร่างราวกับหลงใหล
“เจ้าควรหายใจนะเลนนี่ อย่ามาขาดใจตายในรถม้าของข้า อื้ออออ”
“หึ” เลนนี่ปล่อยเสียงหัวเราะดังออกมาจากลำคอ ขณะที่เขากำลังสูบเอาลมหายใจของแอนดีสมาเป็นของตัวเอง ด้วยจูบดูดดื่มร้อนแรงที่จู่โจมอย่างรวดเร็ว ทั้งดูดทั้งเผลอกัดอย่างห้ามใจไหว จนแอนดีสที่ย่ามใจว่าอีกคนกำลังมองร่างกายตัวเองเพลิน ตั้งตัวไม่ทันเกือบล้มหงายหลัง ดีที่ยังมีอ้อมแขนแข็งแรงรั้งไว้ แต่พอตั้งตัวได้ก็จูบตอบอย่างไม่ยอมเช่นกัน
ลอร์ดหนุ่มและอัศวินต่างฝ่ายต่างป้อนจูบเร่าร้อนเรียกร้อง ราวกับคนหิวโซที่กำลังตะกละตะกลามยามเห็นอาหารวางล่อ ร่างเปลือยเปล่าถูกลูบไล้สัมผัสไปทั่ว เท่าที่มือสากจากการจับอาวุธของอัศวินหนุ่มจะปัดป่ายไปถึง ทั้งสองต่างไม่มีใครยอมใคร ทั้งดูดดึงทั้งเกี่ยวกระหวัดเรียวลิ้นแลกความหวานฉ่ำ ร้อนแรงลิ้นแทบไหม้ แอนดีสขยุ้มเส้นผสมดกหนาระบายอารมณ์ไปพร้อมกับมืออีกข้าง ดึงทึ้งชุดทหารที่เลนนี่สวมใส่ หวังให้มันหลุดจากร่างกายกำยำ
ราวกับว่าไม่เคยได้จูบกันมาก่อน ราวกับว่านี่มันจะเป็นจูบครั้งสุดท้ายในชีวิต ลอร์ดหนุ่มหลับตาพริ้มหลงลืมความเกรี้ยวกราดหงุดหงิด ร่างกายทุกส่วนเกิดวาบหวามเกินควบคุม ราวกับเลือดในกายเปลี่ยนเป็นลาวาร้อนแรงไหลพล่านไปทั่วร่าง ยินยอมโอนอ่อนตามแต่อัศวินหนุ่มจะนำพาด้วยจูบเรียกร้องลึกซึ้ง เลนนี่ครอบปากตวัดลิ้นอยู่ภายในแล้วดูดหนักๆ จนแอนดีสเจ็บแปลบ ความเจ็บแปลบที่มาพร้อมกับความเสียวสยิวแผ่ซ่านไปทั้งตัว
แต่..
“วันนี้พอแค่นี้ก่อน”
“อะไรนะ! “
“ทูลลาฝ่าบาท” แอนดีสมองตามหลังเลนนี่ที่เปิดประตูราชรถออกไปแบบงงๆ กระทั่งประตูปิดลงแล้วลอร์ดหนุ่มยังไม่รู้ตัว จนทิ้งร่างหนั่นแน่นลงบนเบาะนุ่มนั่นแหละ ถึงได้รู้สึกตัวว่าถูกทิ้งให้คั่งค้างอยู่บนปากเหวที่ว่างเปล่า ทั้งที่ความต้องการล้นหลาก ร่างกายตื่นตัวเตรียมพร้อมรับการปรนเปรอเหยียดตรง ความปรารถนาฉายชัดบนส่วนปลายที่ฉ่ำเยิ้ม ลมหายใจหอบกระเส่าไม่เป็นจังหวะ
ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยๆ เป็นปกติ เหมือนจะควบคุมอารมณ์ได้แล้วแต่ยังไม่ใช่ทั้งหมด
“โว้ย เลนนี่” เคร้ง!!!
********************
ขุนเขาเบื้องหน้า เหมือนปราการธรรมชาติที่โอบล้อมพื้นที่กว้างใหญ่ อันประกอบไปด้วยเนินเขาต่างขนาดสลับกัน เกิดแอ่งตรงกลางกลายเป็นทะเลสาบรองรับน้ำที่เกิดจากการละลายของน้ำแข็งไหลลงมาจากยอดเขา น้ำในทะเลสาบเป็นสีฟ้าใสสวยงามราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์ ผู้คนขนานนามขุนเขาและทะเลสาบที่เสกสรรขึ้นมาโดยธรรมชาติแห่งนี้ว่า เอวาเลีย ฤดูหนาวที่นี่จะปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลนไปทั่ว แต่พอเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนที่อบอุ่น หิมะเริ่มละลาย จะเห็นธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ที่ค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น หลังจากถูกหิมะปกคลุมมานาน ต้นไม้แตกใบหลากสีขึ้นแซมสลับกันทั้งเขียว ส้ม เหลือง แดง ราวกับถูกแต่งแต้มสีสันลงไปอย่างสะเปะสะปะโดยจิตรกรขี้เมา แต่กลับสวยงามวิจิตรอย่างเป็นธรรมชาติ ที่นี่คือสถานที่ที่ จูเลียน ยุวกษัตริย์แห่งออสเซนเทีย เลือกใช้เป็นสถานที่ก่อสร้างปราสาท หวังเอาไว้ว่าจะใช้เป็นที่พำนักเพื่อการพักผ่อนให้ห่างไกลจากความวุ่นวายของผู้คน ที่ให้ชื่อว่า เอวาเลียน
ปราสาทเอวาเลียน เป็นปราสาทที่ตั้งอยู่ท่ามกลางกลางภูเขาและทะเลสาบ ที่ความยิ่งใหญ่อลังการนั้นไม่ได้น้อยหน้าปราสาทในเมืองหลวงเลย เพราะตั้งอยู่บนเนินเขาลูกใหญ่ที่โอบล้อมด้วยเทือกเขาอีกหลายลูก มองจากข้างล่างเหมือนกับว่าอยู่ดีๆ ก็มีปราสาทหินขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมากลางป่า ทิศเหนือเป็นหน้าผาหิน มีน้ำตกสองสายไหลคู่กันลงมา ส่วนทิศใต้กับทิศตะวันตกเป็นพื้นที่ลุ่มของทุ่งกว้างและทะเลสาบ ที่กินพื้นที่ไปถึงทิศตะวันออก ติดหมู่บ้านเล็กๆ มีชาวเมืองอาศัยอยู่ไม่มาก แต่ก็ให้ความรู้สึกไม่โดดเดี่ยวจนเกินไป
“เจ้าชอบไหม” น้ำเสียงอ่อนโยนดังขึ้นท่ามกลางปุยหิมะที่ตกลงมาเอื่อยๆ ขณะที่คนถามแหงนพักตร์นวลปลั่งขึ้นมองไปยังยอดปราสาท ที่การก่อสร้างรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว และกำลังจะแล้วเสร็จในอีกไม่นาน ด้วยว่างบประมาณนั้นได้รับการถ่ายเทมาให้เกือบเกลี้ยงคลัง
“ข้าชอบที่สุดเลยฝ่าบาท” คนที่ยืนอยู่ข้างหลังบอกเอาใจ
“ข้าก็เหมือนกันแต่พรุ่งนี้คงต้องกลับจริงๆ แล้วสินะ”
“ข้าก็ชวนฝ่าบาทกลับตั้งหลายวันแล้ว ทำไมท่านไม่ยอมกลับล่ะจูเลียน”
“เจ้านี่ก็แปลกนะกรอสเซ่ ตอนอยากมาก็เร่งเร้าจะมาให้ได้ มาถึงแล้วทั้งทียังจะรีบกลับอีก” กรอสเซ่แสดงสีหน้าขัดใจอย่างไม่ปิดบัง แต่สำหรับจูเลียนแล้วช่างเป็นภาพที่ดูกระเง้ากระงอด จนอดเดินเข้ามาเกาะแขนออดอ้อนไม่ได้ “ก็ข้าอยากอยู่ที่นี่กับเจ้านานๆ นี่นา”
“แต่เราควรจะกลับเมืองหลวงตั้งแต่หลายวันก่อนแล้วนะจูเลียน ไว้ค่อยมาใหม่ก็ได้” จูเลียนทำท่าคิด หันกลับไปมองยังตัวปราสาทที่ตั้งตระหง่านอีกครั้งอย่างแสนรัก สองขาเดินไปหยุดอยู่ใต้ซุ้มประตูที่ตกแต่งด้วยแผ่นหินสลักรูปเทวดาตัวน้อย ที่กำลังล่องลอยอยู่ในอากาศด้วยปีกเล็กๆ แสนน่ารัก
“นั่นสิ ไว้สร้างเสร็จเมื่อไหร่เรามาอยู่ที่นี่ด้วยกันนะกรอสเซ่” กวีหนุ่มชะงักไป แต่ก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว มองแผ่นหลังของหนุ่มน้อยที่กำลังชื่นชมปราสาทเบื้องหน้า ที่แม้การก่อสร้างยังไม่ทันเสร็จดี ก็เห็นถึงความสวยงามยิ่งใหญ่และอลังการ ปราสาทกลางเทือกเขาที่ฤดูหนาวจะปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลนตามยอดไม้ ถึงฤดูร้อนก็คงจะอบอุ่นและสวยงามด้วยสีสันของใบไม้ที่ดูมีชีวิตชีวาไปอีกแบบ หากได้มาอยู่กับคนรักคงให้ความรู้สึกหวานซึ้งชวนฝันไม่น้อย ถ้าเป็นนางคนนั้นที่เขามีใจหมายปอง กวีหนุ่มคงมีความสุขยิ่งกว่าใคร
“กรอสเซ่” ได้ยินเสียงเรียกดังขึ้นแผ่วเบา กรอสเซ่จึงมองไปทางต้นเสียงด้วยแววตานิ่งแต่ไม่ขานรับ จนคนเรียกขมวดคิ้วสงสัย “เจ้าเป็นอะไรไปหรือ”
“ฝ่าบาท” เหมือนกรอสเซ่เพิ่งหลุดออกมาจากจินตนาการชวนฝันของตัวเอง กับสาวน้อยที่เขาหมายปอง ตรงหน้าคือหนุ่มน้อยผู้เป็นกษัตริย์ที่มีอำนาจดลบันดาลให้เขาได้ทุกอย่าง แต่หาได้มีจิตพิศวาสด้วยไม่ เพราะไม่อาจบันดาลให้นางมาอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างที่หวัง หากอยากได้กวีหนุ่มต้องพยายามเอาชนะใจนางเอง
“ว่ายังไงล่ะ เจ้ารอไหวไหม รอวันที่เอวาเลียนสร้างเสร็จสมบูรณ์ในอีกไม่นานหรอก”
กวีหนุ่มยิ้มโดยแยกริมฝีปากออกเพียงเล็กน้อย จนแทบจะเรียกว่ายิ้มไม่ได้ “ข้าอยากให้มันเสร็จวันนี้เดี๋ยวนี้เลยจูเลียน เราจะได้อยู่ด้วยกันสักที”
“ตอนนี้เราก็อยู่ด้วยกันได้ แต่เป็นเจ้าเองต่างหากที่ไม่ยอมมาอยู่กับข้า” พักตร์นวลปลั่งบูดบึ้งขึ้นทันที กรอสเซ่บ่ายเบี่ยงการค้างแรมที่กระโจมเดียวกันกับจูเลียนมาตลอด นับตั้งแต่เดินทางมาถึงหลายวันก่อน นั่นทำให้จูเลียนน้อยอกน้อยใจ และมักจะพูดต่อว่าคนรักทุกครั้งที่มีโอกาส แต่กระนั้นจูเลียนก็ไม่ได้โกรธกรอสเซ่จริงจังเลย เมื่อที่ได้ยินคำปลอบใจ
“ยอดรักของข้า” เพียงคำแรกกษัตริย์หนุ่มน้อยก็แทบอ่อนระทวย “โปรดอภัยด้วย ข้าเพียงแต่อยากรอเวลาที่เราจะได้อยู่ด้วยกันตอนเอวาเลียนสร้างเสร็จสมบูรณ์” กรอสเซ่จับไหล่จูเลียนทั้งสองข้างหมุนให้หันไปมองทางปราสาทที่อยู่ตรงหน้า “ท่านก็เห็นข้างนอกที่ว่าสวยงามแล้ว การตกแต่งข้างในยิ่งสวยงามน่าประทับใจมากกว่า ข้าอยากอดใจรอที่จะได้ชื่นชมมันไปพร้อมกับฝ่าบาทในรังรักของเรา” และนั่นก็ทำให้ใจดวงน้อยของยุวกษัตริย์โอนอ่อนตามทุกอย่างที่คนรักกล่าวอ้าง จูเลียนปลื้มปริ่มยิ้มหวานทั้งวัน
“เราไปดูข้างในกันเถอะ” จูเลียนเดินนำเข้าไปภายในปราสาท ที่เริ่มมีการตกแต่งบางส่วนที่สร้างเสร็จแล้ว โดยเฉพาะห้องนอน ที่ได้รับการตกแต่งอย่างพิถีพิถันหรูหราน่าอยู่ ตามคำสั่งของจูเลียนที่อยากให้ห้องนี้เสร็จก่อนห้องอื่นๆ ภายในห้องคัดสรรของตกแต่งมาอย่างดีที่สุดตั้งแต่พรมปูพื้นจรดเพดาน ที่ตกแต่งด้วยภาพวาดและโคมไฟคริสทัลระย้า แท่นบรรทมยกสูงรองฟูกหน้านุ่ม ปูข้างในด้วยผ้าไหมเนื้อนุ่มละเอียด คลุมทับอีกชั้นด้วยผ้าเนื้อหนาแต่นุ่มและอุ่น ลวดลายที่ถักทอเดินดิ้นทอง บ่งบอกถึงความหรูหราและรสนิยมผู้เป็นเจ้าของ นอกจากนั้นยังมีห้องสำหรับอัศวินประจำตัวที่อยู่ติดกัน ห้องเสวย ห้องบัลลังก์ ห้องนั่งเล่น ห้องรับรอง ห้องสมุด ห้องอื่นๆ ที่จำเป็นต้องมีอีกหลายห้อง และที่ขาดไม่ได้คือห้องละคร ที่จูเลียนสั่งให้ใช้ชั้นบนสุดใต้หลังคาปราสาททั้งชั้น สร้างเป็นห้องสำหรับการละครโดยเฉพาะ
******************
“เจ้ามาทำอะไรตรงนี้” เสียงที่ดังขึ้นข้างหลังเรียกให้คนที่กำลังเดินท่อมๆ ไปตามทางมืดหยุดชะงัก หันมาทางต้นเสียงอย่างตกใจแทบจะทันที และพอเห็นว่าใครคือเจ้าของเสียงกลับยิ่งตกใจจนตัวสั่น
“เอ่อ ท่านนั่นเอง คือข้าเปล่า..มาทำอะไร ข้าแค่มาเดินเล่น”
สายตาคมกวาดมองฝ่าความมืดรอบตัว แม้ตอนนี้หิมะจะหยุดตก แต่พื้นดินก็ปกคลุมด้วยหิมะหนาและหนาวจนไม่เหมาะที่จะออกมาเดินเล่นสักนิด “มืดๆ นี่นะ”
“นอนไม่หลับ ข้านอนไม่หลับ แล้วท่านล่ะ”
“กลับที่พักของเจ้าไปซะ”
“ใช่ข้าควรกลับที่พัก ข้าจะกลับเดี๋ยวนี้แหละ” บอกพลางทำท่ารีบร้อนก้าวออกไป แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดชะงักอีก
“เดี๋ยว” เจ้าของเสียงเข้มเรียกไว้พลางเดินเข้ามาใกล้ สายตาคมดุเพ่งมองฝ่าความมืดหาพิรุธ
คนที่เรียกไว้ยังเงียบเลยทำตัวไม่ถูกว่าจะไปหรืออยู่ ตัดสินใจถามออกมาแบบกล้าๆ กลัวๆ เพราะสายตาคมที่กำลังมองอย่างสำรวจ ไม่มีความเป็นมิตรเอาเสียเลย “ท่านเรียกข้าไว้ทำไมหรือเซอร์ราเชล”
“เจ้าออกมาทำไมมืดๆ อย่างนี้ “
“ท่านถามข้าไปแล้วนะ”
“แล้วเจ้าตอบหรือยังล่ะ”
“เอ่อ คือ..”
“บอกมา!” กรอสเซ่ตกใจเข่าแทบทรุด ราเชลไม่ตะคอกถามเปล่าแต่ยังกระชากคอเสื้อขึ้นจนเขาต้องเขย่งยืน เห็นได้ชัดว่าอัศวินหนุ่มไม่ได้เกรงใจเขาในฐานะคนรักของกษัตริย์เลยสักนิด รูปร่างหรือก็ต่างกันลิบลับจนเห็นถึงความได้เปรียบเสียเปรียบอย่างชัดเจน อัศวินหนุ่มร่างกายสูงใหญ่ดูกำยำล่ำสันแข็งแรง พอกวีประจำราชสำนักมายืนเทียบใกล้ๆ จึงมองเห็นความบอบบางสะโอดสะองขึ้นมาทันที
“ข้า ข้ามาเดินเล่นจริงๆ เซอร์ราเชล”
“มันไม่หนาวเกินไปที่จะออกมาเดินเล่นกลางดึกหรอกหรือไง”
“ข้าก็กำลังจะกลับเข้าไปนอนใต้ผ้าห่มอุ่นๆ เดี๋ยวนี้ไง ปล่อยข้าสิ”
“หึ” ราเชลปล่อยคอเสื้อกรอสเซ่จนร่างสะโอดสะองเซเกือบเสียหลัก อัศวินหนุ่มนึกสมเพชในความปวกเปียก ถูกตะคอกแค่นี้ยังตัวสั่นงันงก แต่ความลุกลี้ลุกลนจนเกินเหตุนั่นราเชลก็ไม่ได้มองข้ามมันหรอกนะ “ไปสิเดี๋ยวข้าเดินไปส่ง”
“เอ่อ..คือ ไม่เป็นไรข้าเดินไปเองได้”
“ไป” กรอสเซ่หลบสายตาคมที่จ้องมองผ่านความมืดสลัว แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรดีจึงยอมเดินออกไปจากตรงนั้นเงียบๆ มีราเชลก็เดินตามไปเงียบๆ เช่นกัน จนถึงกระโจมที่พัก กวีหนุ่มรีบเข้าไปในกระโจมตัวเอง และถอนหายใจเสียงดังออกมาทันทีอย่างโล่งอก
“ทำไมต้องถอนหายใจแรงขนาดนั้น”
“ท่าน! “กรอสเซ่หันมาทางต้นเสียงพบว่าราเชลเดินตามเข้ามาก็ตกใจจนตาโต ร่างกายสั่นเทาก่อนหน้านั้นที่เริ่มดีขึ้นกลับมาสั่นอีก จนกวีหนุ่มต้องกำมือทั้งสองข้างแน่น เพราะเขาไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าอัศวินหนุ่มตามเข้ามาถึงข้างใน ไม่ได้ยินเสียงไม่ได้รู้สึกเลยด้วยซ้ำถึงการมีอยู่ของใครอีกคน กรอสเซ่นึกว่าราเชลยังอยู่ข้างนอกด้วยซ้ำ
“ท่านตามข้าเข้ามาในนี้ทำไม” กรอสเซ่ถามพลางก้าวถอยหลังเพราะราเชลเองก็ก้าวเข้ามาหาช้าๆ แต่ละก้าวหนักแน่นมั่นคง สายตาหรือก็จริงจังจนแทบไม่กล้าสบตา
“ท่าทางเจ้ามันน่าสงสัย”
“ท่านสงสัยอะไรข้าล่ะ”
ตุบ! ร่างสะโอดสะองถอยไปสะดุดกับอะไรบางอย่างจึงหงายหลังล้มลง พอก้นกระแทกพื้นจึงรู้ว่ามันเป็นที่นอนนุ่ม แต่อะไรก็ไม่ทำให้กวีหนุ่มตกใจได้เท่ากับร่างกายกำยำ ที่ขึ้นมายืนจังก้าคร่อมทับร่างของเขาอย่างคุกคาม
อัศวินหนุ่มคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนที่นอน ส่วนอีกข้างชันขึ้นวางท่อนแขนทั้งที่ยังคร่อมร่างกรอสเซ่อยู่ ราเชลกระชากคอเสื้อจนร่างกวีหนุ่มปลิวติดมือขึ้นมา “จะบอกดีๆ หรือให้ข้าใช้วิธีเค้นเอาคำตอบ ว่าเจ้าออกไปทำอะไรดึกๆ ดื่นๆ ในที่มืดๆ คนเดียว”
“ข้า ข้าไปธุระส่วนตัวนิดหน่อย อยู่ดีๆ ก็ปวด ท่านก็รู้นี่ว่ามันจำเป็น”
“แล้วทำไมไม่บอกข้าดีๆ แต่ทีแรก”
“ข้า ข้าก็อายเป็นนะ”
“หึ เรื่องแค่นี้อายทำไม”
“ท่านจะตามมาถามข้าแค่นี้หรือไง” ราเชลตวัดสายตามองดุๆ จนกรอสเซ่หลบตาแทบไม่ทัน สายตาของราเชลจริงจังจนน่ากลัว แตกต่างจากหนุ่มอารมณ์ดีที่กรอสเซ่เคยเห็น
“ข้ามีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของทุกคนที่นี่ แค่อยากเตือนเจ้าว่าออกไปค่ำๆ มืดๆ แบบนั้นอีกมันไม่ปลอดภัย” กรอสเซ่มองราเชลอีกครั้งรู้สึกแปลกๆ กับคำพูดและน้ำเสียง แต่แววตาที่มองตอบมาเรียบนิ่ง ราวกับไร้ความรู้สึก เดาอารมณ์และความคิดไม่ได้
“ข้า ข้ารู้แล้วท่านจะลุกออกจากตัวข้าได้หรือยัง” ไม่เพียงแต่ราเชลจะไม่ยอมลุก แต่คอเสื้อที่ถูกขย้ำกำยังเหมือนมีแรงเพิ่มขึ้น จนร่างกรอสเซ่ลอยเข้าไปไกลใบหน้าอัศวินหนุ่ม ลมหายใจกรอสเซ่สะดุด
“ระวังตัวเจ้าไว้ดีๆ ด้วย”
อุก! ร่างของกรอสเซ่ถูกปล่อยทิ้งลงอย่างแรง แม้จะเป็นที่นอนนุ่มแต่ก็เล่นเอาจุกไม่น้อยจากแรงที่ส่งมา ราเชลลุกขึ้นยืนหลังตรง ทิ้งสายตาน่ากลัวไว้ให้กรอสเซ่แล้วเดินออกไปจากกระโจม เหลือไว้เพียงความรู้สึกหวาดหวั่นในใจของกวีหนุ่ม ที่ได้แต่ระบายลมหายใจออกมาเบาๆ อย่างโล่งอก แม้จะเพียงแค่ตอนนี้ แต่ก็รู้ดีว่ารอดจากสถานการณ์อันตรายมาได้อย่างหงุดหงิดแล้ว
ราเชลยืนอยู่หน้ากระโจมที่พักของกวีประจำราชสำนัก ห่างออกมาจากกระโจมของจูเลียนที่ตั้งอยู่ตรงกลางของกระโจมทั้งหมดพอสมควร อัศวินหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆ บริเวณ ที่ได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนาจากเวรยามที่วางไว้ทั้งคืน แสงสว่างสลัวมาจากไฟกองใหญ่ตรงจุดศูนย์กลาง และคบไฟที่ตั้งไว้เป็นระยะ อัศวินหนุ่มมองซ้ายมองขวาแล้วเดินออกจากตรงนั้นไป
“มีอะไรผิดปกติไหม” ราเชลยิ้มบางๆ ตามแบบคนอารมณ์ดี สาวเท้าเดินเข้าไปหาเฮนริชที่นั่งอยู่บนขอนไม้หน้ากระโจมที่พักของจูเลียน เบื้องหน้าเพื่อนรักคือกองไฟที่กำลังลุกโชน ราเชลพึมพำอะไรบางอย่างเบาๆ ที่ทำให้เฮนริชขมวดคิ้ว หันมองหน้าอย่างต้องการคำอธิบาย แต่ก็มีเพียงความเงียบ ทั้งสองคุยกันทางสายตาก็เข้าใจตรงกันในสิ่งที่กำลังสงสัย
ราเชลเป็นคนเบนสายตามองไปทางอื่นก่อน “ทำไมเจ้าไม่นอน”
“ข้ายังไม่ง่วง”
“หึ หรือเจ้าชอบนอนคนเดียวมากกว่าล่ะ”
“ไม่เกี่ยว”
“เจ้าน่าจะนอนพักนะ พรุ่งนี้ต้องเดินทางแต่เช้าด้วย” แต่ไม่ทันที่เฮนริชจะได้ตอบอะไร บุคคลที่สามก็เดินล่องลอยเข้ามา ราเชลหันไปถามคนที่มาใหม่ “เจ้าออกมาทำไมลีโอ”
“ข้าตื่นก็ออกมานะสิ” ลีโอตอบเสียงเนือยขณะเดินมาทรุดตัวลงนั่งระหว่างเฮนริชกับราเชล ร่างผอมบางห่มคลุมด้วยผ้าคลุมขนสัตว์ผืนหนา
“พวกข้าทำเจ้าตื่นหรือไง” ราเชลถามเสียงอ่อนพลางจับหมวกที่ติดกับเสื้อคลุมขึ้นคลุมหัวให้ลีโอ ที่ตอนนี้กลายเป็นเหมือนก้อนผ้ากลมๆ เพราะเจ้าตัวนั่งกอดเข่าตัวเองแน่น ถึงบริเวณที่พักแรมจะกวาดหิมะออกไปกองไว้รอบๆ แต่ความหนาวก็ยังหนาวเย็นจนยะเยือกไม่ต่างกันเลย
ลีโอหาวยาวๆ แล้วตอบ “เปล่า ข้าตื่นเอง แล้วพวกท่านไม่นอนหรือไง”
“กลับไปนอนไป” เฮนริชบอกเสียงดุเมื่อเห็นลีโอทั้งหาว ทั้งกอดตัวเองแน่นวางคางเกยลงบนเข่า แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่สนใจหรือยังไม่ทันได้ตื่นดีก็ไม่รู้ เด็กน้อยของเหล่าอัศวินจึงไม่ตอบคำถามแต่ถามกลับเสียงเนือย
“ใกล้เช้าหรือยังล่ะ”
เฮนริชยังนั่งมองลีโอเงียบๆ ราเชลจึงตอบคำถามแทน “อีกนาน เจ้ากลับเข้าไปนอนได้แล้วไป”
“ข้าไม่อยากนอนคนเดียวนี่”
“ทำไมล่ะ ปกติตอนอยู่เมืองหลวงเจ้าก็นอนคนเดียวไม่ใช่หรือไง”
“แต่นี่มันไม่ปกติไงเซอร์ราเชล”
“หรือเจ้ากลัวอะไร”
“มีพวกท่านอยู่ด้วยข้าไม่กลัวหรอก” ลีโอขยับหาที่เหมาะแล้วฟุบหน้าลงกับเข่าของตัวเองอีกรอบ ได้ยินเสียงเฮนริชปรามเบาๆ แต่เด็กน้อยไม่สนใจ
“ระวังไฟด้วย”
“ตรงนี้อุ่นจัง อุ่นกว่าในกระโจมอีก” เสียงของลีโอแผ่วเบาลงเรื่อยๆ ราเชลก้มลงมาดูก็พบว่าเด็กน้อยหลับไปแล้วในท่านั่งกอดตัวเอง ราเชลอมยิ้มมองลีโอด้วยสวยตาอ่อนโยนปนเอ็นดู จนหันมามองหน้าเฮนริชก็ยังยิ้มอยู่อย่างนั้น
“เจ้ายิ้มทำไม”
“หึ เด็กน้อยของเจ้าหลับไปแล้ว”
“เมื่อไหร่พวกเจ้าจะเลิกเรียกว่าลีโอเป็นเด็กน้อยของข้าสักที”
“หรือไม่ใช่”
“แล้วพวกเจ้าไม่ได้เอ็นดูลีโออยู่เหมือนกันหรอกหรือไง” เป็นความจริงที่เหล่าอัศวินต่างให้ความรักและเอ็นดูลีโอเหมือนเป็นน้องน้อยๆ ของพวกเขา แต่หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น หรือไปไหนมาไหนทำอะไร ส่วนมากคนที่ทำหน้าที่ดูแลลีโอมากกว่าคนอื่นๆ จะเป็นเฮนริช ราเชลยิ้มแปลกๆ ให้เพื่อนที่มองตอบอย่างเข้าใจ
“ก็ใช่ แต่ตอนนี้เจ้าพาลีโอเข้าไปนอนข้างในก่อนดีกว่านะ เดี๋ยวข้าจะไปเดินตรวจรอบๆ อีกสักหน่อย” ราเชลบอกพลางลุกขึ้นยืนเหล่มองเพื่อนทางหางตา เห็นเฮนริชยังนั่งเงียบและถอนหายใจออกมาเบาๆ สายตายังจับอยู่ที่ลีโอ จึงไม่ได้เห็นรอยยิ้มร้ายของราเชลที่ยิ้มให้ก่อนจะเดินออกไป เฮนริชเข้าเวรยามช่วงหัวค่ำไปแล้วตอนนี้จึงเป็นเวลาพักผ่อน
ต่อถัดไปจ้า...
เกมรักชิงบัลลังก์ หัวใจ 15 เมียของฮานส์
“ท่านกลับมาทำไมอเล็กซิส” !! ทาร์เทียน่าถามเสียงเข้มเนตรเขียวมรกตของนางดุดันแข็งกร้าว แต่กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้กษัตริย์หนุ่มเกิดความหวั่นเกรง เขายังยิ้มอ่อนให้นางเหมือนเดิม ไม่สนใจคมดาบที่จ่อคอตัวเองเลยด้วยซ้ำ
“ข้ามันน่าสงสัยจริงๆ นั่นแหละสาวน้อยที่โผล่มาตอนนี้เข้าพอดี” อเล็กซิสนิ่วหน้าทั้งที่ยังอมยิ้ม เขาเอนตัวออกห่างจากคมดาบเล็กน้อย เมื่อรู้สึกได้ว่ามันถูกเพิ่มน้ำหนักกดลงไปบนผิวเนื้อมากขึ้น เหมือนเจ้าของดาบกำลังบอกกลายๆ ว่าให้พูดแต่ความจริง
“แต่ในเมื่อข้าทิ้งหัวใจไว้ออสเซนเทีย กลับบ้านเมืองไปก็คงไปแต่ตัว สู้อยู่ตามหาหัวใจตัวเองไม่ดีกว่าหรือ”
“หาเจอหรือยังล่ะ”
“อยู่ตรงหน้าข้านี่ไง” อเล็กซิสปัดดาบทิ้งอย่างไม่ใส่ใจ และนั่นเหมือนเป็นสัญญาณให้ทั้งสองโผเข้าหากันแลกจูบลึกซึ้ง ที่จริงเขาไม่ได้กลัวเลยสักนิดหากนางคิดจะตวัดดาบเชือดลงบนคอ กษัตริย์หนุ่มยอมวัดใจ และผลตอบแทนที่ได้รับก็คุ้มค่าคู่ควร
“ไปกันเถอะ ข้าให้คนส่งข่าวไปบอกลอร์ดนิโคลแล้ว ป่านนี้คงกำลังเดินทางมา” อเล็กซิสบอกหลังจากต้องตัดใจถอนจูบอย่างแสนเสียดาย
“ข้ายังไปไหนไม่ได้ คนของข้าถูกขังอยู่ในคุกใต้ปราสาท”
“ตอนนี้คนของรัฐมนตรีโจเซฟคงกระจายอยู่ทั่ววัง แค่เราสองคนอาจจะไม่ไหวแต่เราจะกลับมาช่วยพวกเขาแน่ ข้าสัญญา”
“ถ้าอย่างนั้นก็มาทางนี้เถอะ” ทาร์เทียน่าดึงอเล็กซิสพาเดินคลำไปตามทางมืดๆ เดินไปไม่ไกลก็หยุดเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง ไม่นานเปลวไฟก็สว่างขึ้นจากคบไฟสองอันที่นางยื่นมาให้เขาหนึ่งอัน แล้วพาเดินต่อ
“เดี๋ยวนี่มัน...”
“อย่างที่ท่านคิด”
“แล้วทำไมพาข้ามาล่ะ”
“จะจำทางไว้ใช้ตอนกลับมายึดปราสาทแย่งเอาออสเซนเทียเป็นของท่านก็ได้นะ”
“น่าสนใจทีเดียว”
“ตามมาสิ” ทั้งสองยิ้มขำให้กัน ทาร์เทียน่ากำลังพาอเล็กซิสเดินเข้าไปยังเส้นทางลับใต้ปราสาท ที่มีเส้นทางคดเคี้ยวแยกกันออกไปมากมายหลายสาย หากคนที่ไม่รู้จริงๆ จะไม่สามารถหาทางออกได้ง่ายๆ และต้องตายเป็นผีเฝ้าอยู่ใต้ปราสาทแห่งนี้ในที่สุด ส่วนคนที่จะผ่านออกไปได้ต้องเป็นคนที่รู้จักเส้นทาง และรู้วิธีหาทางออกได้เป็นอย่างดี ถึงจะสามารถใช้เส้นทางที่วกวนเป็นเขาวงกตพาไปยังส่วนต่างๆ ที่สำคัญๆ ของปราสาทได้ ซึ่งมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้เส้นทางลับ และวิธีหาทางออกไปจากที่นี่
************************
ร่างเพรียวระหงเดินโซซัดโซเซ บางครั้งก็ล้มลุกคลุกคลาน นอกจากอากาศที่หนาวเย็นแล้ว ยังต้องเดินไปบนหิมะหนาที่ปกคลุมพื้นดินจนไม่เห็นทางเดิน ถึงขาจะล้าแต่กระนั้นก็ยังไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมล้มลงอย่างคนท้อแท้สิ้นหวัง ทั้งที่ไม่เคยต้องตรากตรำลำบากขนาดนี้มาก่อน แต่เป็นถึงกษัตริย์จะมายอมตายกลางป่าท่ามกลางหิมะคงน่าสมเพชสิ้นดี จูเลียนกัดฟันเดินหน้าต่อไป แม้ต้องสู้ต้องฝืนกับความเหนื่อยล้าของร่างกาย ท่ามกลางความหนาวเหน็บ แต่หิมะที่ปกคลุมหนาก็ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์เสียทีเดียว เพราะรอยเท้าม้าที่ย่ำไปบนนั้นมันเป็นสิ่งนำทางเดียว ที่ช่วยให้จูเลียนยังมีความหวัง แม้รอยจะเลือนรางในบางช่วง แต่ถ้าสังเกตดีๆ ก็ตามไปได้ไม่ยาก
ร่างของกษัตริย์หนุ่มน้อยล้มลุกคลุกคลาน เพราะทางที่ต้องผ่านมีทั้งขึ้นลงเนินสลับกันอยู่ตลอด ขาล้าจนแทบทรงตัวไม่อยู่ แต่กระนั้นจูเลียนก็ยังกอดเสื้อคลุมตัวหนาที่ห่มร่างไว้แน่น สองขาก้าวเดินไปข้างหน้าไม่หยุด หูแว่วได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง แต่จูเลียนยังเดินไปเรื่อยๆ ไม่สนใจ พอรู้สึกถึงเสียงที่ใกล้เข้ามาจึงหยุดฟัง จนแน่ใจว่ามันคือเสียงอะไรก็ตอนที่หลบไม่พ้นเสียแล้ว
“หยุด!” หนึ่งในกลุ่มคนที่ขี่ม้าผ่านมาเรียกคนที่กำลังหันรีหันขวางไว้ จูเลียนเงยหน้าขึ้นดูคนที่เรียกให้หยุด แต่ก็ต้องใจหายวาบรีบก้มลงหลบหน้า
“เจ้าจะไปไหนทำไมมาเดินท่อมๆ คนเดียวอยู่กลางป่าท่ามกลางหิมะหนาวๆ อย่างนี้วะ” ทั้งที่กลัวแสนกลัวแต่จูเลียนยังก้มหน้าเงียบ ตอบคำถามด้วยการส่ายหัวเอาเป็นเอาตาย แต่ไม่ยอมเปล่งเสียงออกมาให้ได้ยิน จากเสื้อผ้าสกปรกที่สวมใส่ บ่งบอกว่าพวกมันเป็นทหารรับจ้างที่คงกำลังตามล่าจูเลียนอยู่ หากพวกมันจำได้ว่าจูเลียนเป็นใคร คงจบชีวิตกลางป่าท่ามกลางความหนาวเย็นอยู่ตรงนี้เป็นแน่
“ถามทำไมไม่ตอบวะ!”
“ถามทำไมให้เสียเวลาวะ ฆ่าทิ้งแม่งเลยดีกว่า”
“ว่าไง เจ้ามาทำอะไรอยู่กลางป่าคนเดียว” ถึงพวกมันจะพากันตั้งคำถาม จูเลียนก็ยังเอาแต่ก้มหน้าส่ายหัวอยู่เหมือนเดิม จนหนึ่งในนั้นรำคาญเลยลงมาจากหลังม้า ขยุ้มคอเสื้อคลุมกระชากจูเลียนให้เดินไปข้างหน้า พอถูกกระชากอย่างแรงจนร่างเพรียวถลา หมวกคลุมหัวก็หลุดออกเผยให้เห็นใบหน้านวลผ่อง ที่พวงปรางทั้งสองข้างซับสีแดงระเรื่อจากความหนาว ริมฝีปากอิ่มสีแดงสดราวกับผลเชอรี่สุกสั่นระริก ไม่รู้เพราะความหนาวเย็นรอบกาย หรือเพราะความกลัวจากการถูกคุกคาม จูเลียนสั่นไปทั้งตัว
“เฮ้ย หน้าตามันสวยใช้ได้เลยนี่หว่า” คนที่ลงมากระชากตัวจูเลียนพูดขึ้น เพราะมองเห็นใกล้ที่สุด พอมันพูดจบคนอื่นๆ ที่ยังอยู่บนหลังม้าก็พาหันหันมาสนใจหน้าตาของเชลยกันทุกคน
“อย่าทำเป็นเล่นเอาตัวมันมานี่” เจ้าของเสียงสั่งเด็ดขาดยังนั่งอยู่บนหลังม้า ด้วยท่าทางที่บ่งบอกได้ว่านี่คือหัวหน้ากลุ่มของพวกมัน คนที่ยืนอยู่ข้างจูเลียนได้ยินอย่างนั้นเลยผลักร่างเพรียวอย่างแรง จนจูเลียนไปล้มลงตรงหน้ามันพอดี
ชายผู้เป็นหัวหน้ากวาดตามองลูกน้องของตัวเองเงียบๆ ทุกคนต่างก็จ้องกลับมาด้วยสีหน้าฉงน จนสายตามาหยุดอยู่กับใบหน้าของจูเลียนที่นั่งอยู่กลางวงล้อม มันแสยะยิ้มน่าเกลียดแล้วบอกเสียเย็น
“จับมันเงยหน้าขึ้นซิ” ใบหน้าของจูเลียนแหงนหงายขึ้นทันที แต่ไม่ใช่เพราะถูกจับดีๆ เหมือนที่ชายผู้เป็นหัวหน้าสั่ง จูเลียนถูกขยุ้มเส้นผมกระตุกให้เงยหน้าขึ้นอย่างแรงจนเจ็บไปทั้งศีรษะ
“ไอ้พวกสวะโง่!”
“อ้าวหัวหน้าทำไมว่าพวกข้าอย่างนี้ล่ะ” หนึ่งในทหารเลวใจกล้าประท้วงเมื่ออยู่ดีๆ ก็ถูกหัวหน้าด่าว่าโง่
“พวกแกไม่รู้หรือไงว่ามันเป็นใคร”
“แล้วนี่มันใครล่ะหัวหน้า”
“หึๆ ข้ามีข่าวดีจะบอกพวกเจ้า ข้าขอประกาศว่าเราจับจูเลียนกษัตริย์เด็กเสียสติได้แล้ว” จูเลียนใจหายวาบไม่คิดว่าพวกมันจะรู้จักและจำได้ ส่วนทหารรับจ้างลูกน้องของมันต่างพากันมองหน้ากันลอกแลกเหมือนไม่อยากเชื่อ
“เจ้าเคยเจอมันหรือไง ถึงได้รู้ว่ามันเป็นใคร”
“นั่นสิ จะเป็นไปได้ยังไง กษัตริย์มันจะมาเดินเป็นขอทานกลางป่าคนเดียวได้ยังไงวะหัวหน้า”
“หมาอัศวินพวกนั้นคงไม่ปล่อยมันมาเดินคนเดียวอย่างนี้หรอก เจ้าอย่าคิดว่าเป็นหัวหน้าแล้วจะหลอกพวกข้าได้นะ” คนพูดท่าทางดูโผงผางกว่าคนอื่นๆ มันอยู่ข้างๆ หัวหน้าจึงถูกตีหัวไปหนึ่งที
ผลั๊วะ!!
“ถ้ายังเรียกข้าว่าหัวหน้าก็อย่าลามปาม นี่คือกษัตริย์เด็กข้าจำมันได้ ข้าเคยเห็นหน้ามันชัดเจนเลยตอนงานประลอง” พวกลูกน้องพากันจ้องมาทางจูเลียนกันทุกคน และต่างพยักหน้าคล้อยตาม
ใครคนหนึ่งถามขึ้น “แล้วมันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“มาอยู่ได้ยังไงก็ช่างหัวมันสิ ว่าแต่เราจะจัดการกับมันยังไงดีหัวหน้า”
“ตัดหัวเอาไปแลกรางวัลเลย” ลูกน้องอีกคนบอก
“เดี๋ยวๆ ก่อนจะตัดหัวมันข้าว่าเรามาสนุกกับมันก่อนไม่ดีกว่าเหรอวะ” คนที่โดนตบหัวบอกอย่างนึกสนุก แววตาของมันเป็นประกายที่จูเลียนเห็นแล้วเสียวสันหลังวาบ ขนลุกจนสั่นไปทั้งตัว
“นั่นสิ ถ้าเอาแค่หัวยังไงตัวมันก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์อยู่แล้ว ข้าว่าเราเอามาทำอะไรสนุกๆ ดีกว่า” ปากพูดมือมันก็คลำลงไปที่เป้ากลางลำตัวของตัวเองด้วย สีหน้าท่าทางของพวกทหารรับจ้าง ที่ล้อมจูเลียนอย่างคุกคามอยู่ตอนนี้ แต่ละคนมีแต่ความหื่นกระหาย แต่ละคนต่างจับจ้องมาที่จูเลียนราวกับพวกมันเป็นหมาป่าหิวโซ กำลังจ้องมองลูกแกะตัวน้อยน่าขย้ำ รสชาติคงเป็นเลิศกลิ่นก็คงหอมยั่วน้ำลาย
“ข้าไม่ใช่คนที่พวกเจ้าพูดถึง” สิ้นเสียงบอกของจูเลียน ตามมาด้วยเสียงหัวเราะจนดังลั่นป่าของหัวหน้ากลุ่ม และนั่นทำให้คนอื่นๆ พลอยหัวเราะไปด้วย ราวกับกำลังขบขันเสียเต็มประดา เป็นครู่หัวหน้าของพวกมันจึงพูดขึ้นกลั้วเสียงหัวเราะ
“ใช่หรือไม่ใช่เอาหัวไปให้พวกทหารวังดูก็รู้แล้วน่า ถ้าใช่ข้าก็ได้รางวัล ไม่ใช่ข้าก็โยนหัวแกทิ้งแค่นั้นพวกข้าไม่คิดอะไรมากหรอกนะ”
“ตกลงใช่หรือเปล่าล่ะ เจ้าคือกษัตริย์เด็กบ้าอำนาจคนนั้นใช่ไหม” จูเลียนไม่เคยได้คิดมาก่อนเลย ว่าจะได้ยินคนเรียกตัวเองว่าเป็นกษัตริย์เด็กบ้าอำนาจอย่างนี้ และมั่นใจด้วยว่าตัวเองห่างไกลจากคำนี้มากที่สุด จูเลียนหรือบ้าอำนาจ แต่ละวันก็เอาแต่ขลุกอยู่ในห้องสมุดภายในปราสาท หรือไม่อย่างนั้นก็จิบชาอยู่ในห้องนั่งเล่นเพลิดเพลินกับการอ่านบทละคร ไม่เคยทำอะไรในแบบที่เรียกว่าบ้าอำนาจเลยสักครั้ง ไม่คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำแต่ละวันจะใกล้กับคำว่าบ้าอำนาจสักนิด จูเลียนไม่รู้ว่ามีข่าวลือ และข่าวลือก็มักจะมาคู่กับข่าวลวงอยู่เสมอ
“ชักช้าเสียเวลาน่าหัวหน้า ข้าอยากจนจะทนไม่ไหวแล้วนะ ดูสิ” หนึ่งในลูกน้องใจกล้าของกลุ่มบอกพลางลงจากหลังม้า มันรีบถอดกางเกงควักเอาท่อนเนื้อออกมารูดให้ชายผู้เป็นหัวหน้า กับเพื่อนในกลุ่มดูอย่างหยาบคาย มันหัวเราะลั่นราวกับกำลังสนุกสนาน และนั่นทำให้คนอื่นๆ เริ่มตามลงมาด้วย แต่ละคนอยู่ภายใต้เสื้อผ้าป้องกันหนาวหนาหนักรุ่มร่าม และมันดูสกปรกจนจูเลียนรู้สึกสะอิดสะเอียน
“ใจเย็นๆ สิวะได้กันทุกคนนั่นแหละ”
“ใครก่อนวะ”
“ก็ต้องให้ข้าก่อนสิข้าเป็นหัวหน้านะโว้ย” แล้วพวกมันก็หัวเราะประสานเสียงกันดังลั่น บางคนสบถหยาบคายอย่างชอบใจด้วยภาษาหยาบโลน จูเลียนอยากวิ่งหนีไปให้ไกลจากตรงนี้ แต่ตอนนี้ที่ทำได้ก็แค่ถดตัวถอยหนีเท่าที่ร่างกายอ่อนแรงจะทำได้
หัวหน้าของพวกมันคุกเข่าลงตรงหน้าจูเลียน แต่เพราะอากาศที่หนาวเย็นมันจึงควักเอาแค่สิ่งที่จำเป็นต้องใช้งานออกมาเท่านั้น
“ถอดเสื้อผ้ามันออกสิวะ”
“อย่านะ”
“ฮาๆ “
“ปล่อยข้าไอ้พวกทหารเลว” หลายคนกรูเข้ามาดึงทึ้งเสื้อผ้าที่จูเลียนใส่ แม้แรงจะน้อยแต่จูเลียนก็ยังพยายามปกป้องตัวเองจากมือสกปรกเหล่านั้น พวกมันหัวเราะชอบใจราวกับกำลังทำเรื่องสนุกสนาน แต่จูเลียนกลัวจนใจแทบขาด กรีดร้องก่นด่าสุดเสียง ทั้งแขนและขาถูกจับให้กางออกกดลงกับพื้นหิมะแน่น
“ปล่อย ไอ้พวกชั้นต่ำ คนเลว” แต่ดูเหมือนว่าคำด่าของจูเลียนจะฟังสุภาพสำหรับพวกมันด้วยซ้ำจึงไม่มีใครสนใจ
“ชุดแกนี่มันถอดยากฉิบหายเลยว่ะ” หนึ่งในคนที่กำลังพยายามถอดเสื้อผ้าจูเลียนพูดขึ้น
“ฉีกเลยสิวะ” พอไม่ทันใจมันก็พากันกระชากเสื้อผ้าหนาๆ ออก จนเนื้อผ้าบาดผิวขาวเป็นรอยแดงช้ำไปทั่ว
“โอ๊ย อย่านะไอ้พวกบ้า เลว ปล่อยข้า” แล้วพวกมันก็หัวเราะประสานเสียงกันอีก ไม่สนใจร่างเพรียวบางที่ดิ้นรนขัดขืน แม้ข้อมือจะถูกตรึงกดลงจนจมหิมะ แม้ขาทั้งสองข้างจะถูกจับแยกออกจากกัน ตัวของจูเลียนยังดิ้นจนหัวหน้าของมันรำคาญ
“ดีดดิ้นอะไรนักหนาวะ มีผัวทีเดียวหลายคนออกจะดีไม่ชอบหรือไง” เพี๊ยะ!
“อึก” พักตร์แดงก่ำถูกตบจนหันเพราะความรำคาญ เลือดสีแดงสดไหลออกมาจากมุมปากที่แตก เพราะมือกักขฬะหยาบกร้าน อากาศเย็นทำให้เลือดแข็งตัวเร็วจึงคลอขังอยู่มุมปาก จูเลียนทั้งเจ็บทั้งมึนทั้งหนาวร่างกายเริ่มปวดร้าวไปหมด
ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยคิดว่าจะได้มาเจอฝันร้ายอย่างนี้มาก่อน จูเลียนพยายามขืนตัวไว้ ไม่ยอมให้เสื้อผ้าหลุดออกจากร่างกาย แต่ก็เป็นเรื่องยากเหลือเกิน เพราะทุกอย่างของพวกมันเหนือกว่าทั้งหมด ตั้งแต่แรงกายและจำนวนคน แม้จะรู้ว่าสู้ไปก็ไม่ชนะแต่จูเลียนก็ไม่ยอมแพ้ ฮึดสู้ขืนตัวเองไว้ให้ถึงที่สุด ดิ้นรนขัดขืนหาทางรอดให้ถึงที่สุด ใจคิดถึงแต่พี่ชายกับน้องสาวที่ไม่รู้ว่าป่านนี้จะรู้หรือยัง ว่ามีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับจูเลียน ไม่รู้ว่าทั้งสองจะเป็นห่วงมากแค่ไหนหากรู้ว่าจูเลียนกำลังตกอยู่ในอันตราย คิดถึงอัศวินประจำตัวทั้งสี่ที่คอยปกป้องดูแล ไม่เคยปล่อยให้จูเลียนต้องตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายแบบนี้ อย่าว่าแต่มือสกปรกพวกนี้จะได้สัมผัสผิวเนื้อของจูเลียนเลย แค่คิดจะเดินเข้าหายังต้องถูกสกัดกั้นไว้ทันที
จูเลียนคิดถึงคนรักไม่รู้ว่าจะหนีฝ่าวงล้อมออกมาได้ทันหรือไม่ พายุหิมะที่ตกหนักทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปหมด จูเลียนกัดริมฝีปากแน่นนึกโกรธฮานส์ ทุกอย่างที่เลวร้ายกว่าเก่ามันเป็นเพราะฮานส์คนเดียวที่พาแยกจากคนอื่นๆ มา จูเลียนจะโทษฮานส์!
“ปล่อยข้า”
“หึๆ ยังมีแรงพูดอีกหรือวะ เก็บเสียงไว้ครางดังๆ ยามพวกข้าเรียงแถวเอาแกดีกว่าเด็กน้อย”
“ปล่อย ข้าเป็นกษัตริย์นะ” เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะหลังจากจูเลียนพูดจบ หัวหน้าของพวกมันที่คร่อมอยู่บนตัวจูเลียนเงยหน้ามองลูกน้องที่ยืนล้อมวงอยู่ทีล่ะคน แต่ละคนมีสีหน้าฉงนราวกับสมองทำงานช้าคิดตามคำพูดของจูเลียนไม่ทัน แต่พอหัวหน้าของพวกมันระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นดังๆ คนอื่นๆ ก็พลอยหัวเราะตามไปด้วย มันกวนอารมณ์จนจูเลียนกัดฟันแน่น
“แล้วไงวะ เป็นกษัตริย์แล้วยังไงบอกข้าหน่อยไอ้หนู เป็นกษัตริย์แล้วตอนนี้แกทำอะไรได้วะ ข้าสิแน่กว่า เป็นทหารรับจ้างที่กำลังจะเอากษัตริย์มาเป็นอีตัวไว้เอาเล่นๆ ข้าจะแหกขาเจ้าให้อ้าออกกว้างๆ แล้วค่อยๆ เสียบไอ้จ้อนเข้าไปในตัวเจ้า ค่อยๆ ลิ้มรสชาติของเจ้า ไม่ต้องกลัวอีหนูข้าสัญญาจะทะนุถนอมเจ้าอย่างดี กระแทกเน้นๆ ให้เจ้าติดใจจนครางปากสั่น แค่คิดก็เสียวแล้วโว้ย” มันบอกพลางมือก็สาวท่อนเนื้อของตัวเองแอ่นสะโพกให้ดูอย่างน่าเกลียด พวกที่ยืนล้อมวงหัวเราะชอบใจ และพากันสาวกลางกายอวด ราวกำลังแข่งว่าใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน
“ข้าทำอะไรไม่ได้ถ้าพวกเจ้าไม่ปล่อยข้า ปล่อยข้าพวกทหารเลว”
“ถ้าปล่อยเจ้าข้าจะได้อะไรตอบแทนวะ”
“เจ้าได้ค่าหัวเท่าไหร่ ข้าจะให้เจ้ามากกว่านั้นสิบเท่า” จูเลียนเริ่มการต่อรอง
มันแสยะยิ้มจนเห็นฟันเหลืองน่ารังเกียจ “ไหนล่ะ จ่ายมาก่อนสิแล้วแกจะเป็นอิสระ”
“เจ้าต้องพาข้าไปเมืองหลวงก่อนสิ”
“แล้วข้าจะแน่ใจได้ยังไง ว่าพาแกดั้นด้นไปถึงเมืองหลวงแล้วจะได้รางวัลจริงๆ ”
“เพราะข้าเป็นกษัตริย์ไงเจ้าก็รู้จักข้านี่ ไปถึงก่อนเถอะข้าจ่ายเจ้าอย่างงามแน่ ข้าสัญญา” หัวหน้ากลุ่มจ้องตาจูเลียนเหมือนชั่งใจ ราวกับว่าข้อเสนอนี้ทำให้มันต้องตริตรองใคร่ครวญใช้สมองอันเชื่องช้าให้รอบคอบ จูเลียนใจชื้นขึ้นคิดว่ามันคงสนใจข้อเสนอง่ายๆ แต่พอมันหัวเราะเสียงดังขึ้นถึงรู้ว่าการต่อรองไม่เป็นผล
“ข้าจะบอกอะไรให้นะไอ้หนู ไม่มีเมืองหลวงของแกอีกต่อไปแล้ว กลับไปแกก็ต้องถูกฆ่าอยู่ดี ทหารยึดเมืองไว้แล้ว พวกนั้นไม่ใช่ทหารของเจ้าด้วย”
“ไม่จริง”
“น่าสงสารเด็กน้อยหลอกตัวเอง”
“ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอก”
“พูดมากเสียเวลา ดูสิข้ามัวแต่คุยกับเจ้าจนไอ้จ้อนข้ามันอ่อนไปหมดแล้วเนี่ย อ้าปากแดงๆ ของเจ้าออกปลุกมันให้ข้าสิ ฮาๆ “
“ปล่อยข้านะ”
ตุบ! เพราะหัวหน้าของมันคุยกับจูเลียนอยู่นาน คนที่จับข้อมือตรึงไว้จึงเผลอลดแรงกด จูเลียนได้ทีสะบัดจนแขนหลุดจากการถูกกด กำหิมะขว้างใส่หน้าของคนที่คร่อมตัวเองเต็มๆ จนมันลุกออกจากตัวจูเลียนเพราะหิมะเข้าตาจนแสบ
“ไอ้เด็กเวร จัดการมัน” พอได้รับคำสั่งจากหัวหน้า พวกที่เหลือก็กรูกันเข้ามารุมจูเลียน แต่เสื้อผ้าที่สวมใส่อย่างแน่นหนายังเป็นอุปสรรคอยู่ไม่น้อย แม้จะถูกดึงทิ้งจนผิวนวลเนียนเขียวช้ำไปหมด
“ปล่อยข้า ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้! “
“พวกเจ้าจะทำกับร่างกายของมันยังไงก็ได้ แต่อย่าทำให้หน้ามันเสียโฉมก็พอ ข้าจะเอาหน้าสวยๆ ของมันไปแลกรางวัล หึๆ ”
“อย่านะ”
“แหกปากร้องเข้าไปเถอะเจ้าไม่...” ฉับ! หอกแหลมพุ่งเข้าเสียบท้ายทอยจนทะลุปากอย่างน่าหวาดเสียว ร่างหัวหน้าของพวกมันที่ขาดใจตายทันทีล้มตึงลงอย่างสิ้นท่า พวกที่เหลือพากันแตกตื่นมองหาที่มาของหอกปริศนา ซึ่งหาได้ไม่ยากเพราะเจ้าของหอกนั่งอยู่บนหลังม้าสีดำมืดตัวใหญ่ที่ยืนอยู่ไม่ไกลนี่เอง
“มันอยู่นั่น” ใครคนหนึ่งบอก
“ฆ่ามัน” พวกมันพากันกรูเข้าสู้ราวกับแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ แต่ไม่ว่ามันจะวิ่งเข้ามาเท่าไหร่ก็ตายเสียตั้งแต่ยังไม่ทันได้ฟาดฟันดาบ ด้วยฤทธิ์ของลูกตุ้มเหล็กหนักๆ ที่เหวี่ยงออกมาแต่ละครั้ง หมายถึงชีวิตที่ต้องสังเวยให้กับความเกรี้ยวโกรธ ไม่นานพวกมันก็ตายเกลื่อนพื้น มีบางคนที่เห็นเพื่อนตายไปต่อหน้าต่อตา รู้ว่าไม่มีทางสู้ได้เลยวิ่งหนี แต่เพชฌฆาตในชุดดำที่กำลังเกรี้ยวกราด มีหรือจะยอมปล่อยให้มันหนีไปมีชีวิตรอด คันธนูพร้อมลูกศรถูกดึงออกมาขึ้นสายเล็ง ลูกดอกทุกลูกที่ถูกปล่อยออกจากแล่งไม่เคยพลาดเป้า ตรงตำแหน่งที่ตัดขั้วหัวใจพอดี
“จูเลียน!”
“ฮานส์! เจ้าคนเลวทำไมเพิ่งมา เจ้าทิ้งข้าทำไม เจ้ามันเลว เจ้ามันสมควรตาย ข้าจะฆ่าเจ้า พวกมันเกือบข่มขืนข้าเพราะเจ้าทิ้งข้าไป เจ้ามันคนเลว เลวที่สุด อึก ฮือ” จูเลียนรัวกำปั้นลงบนตัวฮานส์ไม่สนใจว่าจะโดนตรงไหนบ้าง เพราะทั้งร้องไห้ทั้งด่าทั้งกอบเอาหิมะมาทุ่มใส่ร่างกายใหญ่โตไม่ยั้ง เป็นการลงโทษให้สาสมกับสิ่งที่ฮานส์ทำไว้ ฮานส์ปล่อยให้จูเลียนทำทุกอย่างจนพอใจยอมรับความผิด
“ชู่ววว พอก่อนๆ ตอนนี้เจ้าปลอดภัยแล้ว” วรกายเพรียวบางที่หยุดชะงัก หาได้เกิดจากคำปลอบโยนไม่ หากแต่เป็นเพราะอ้อมกอดอุ่นๆ ที่กอดรัดจูเลียนเอาไว้แน่น ความหนาวเย็นจนกายสั่นสะท้านถูกแทนที่ด้วยความอบอุ่นจากอ้อมแขนกอดรัด และมือหนาที่ลูบเบาๆ อยู่กับเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนราวกำลังปลอบเด็กทารก จูเลียนถูกฮานส์รั้งเข้ามาซบไหล่และกอดไว้แน่น แม้ร่างกายจะยังสั่นทั้งจากความหนาวเย็นและความกลัว แต่กษัตริย์หนุ่มน้อยกลับรู้สึกอุ่นใจและปลอดภัยขึ้นมาอย่างประหลาด ถึงปากจะต่อว่าด่าทอ ถึงมือจะทุบตีประทุษร้าย แต่ก็สัมผัสได้ว่าตอนนี้ตัวเองปลอดภัยแล้วจริงๆ
“เจ้ากลับมา” จูเลียนที่กำลังเสียขวัญโอบกอดรอบคอฮานส์พูดเสียงสั่น ราวกับจะย้ำบอกตัวเองอีกครั้ง ว่าคนที่กำลังกอดอยู่นี้คือคนที่มีตัวตนจริงๆ ไม่ใช่ภาพฝัน
“ข้าไม่ได้ไปไหนเลย” มือที่กำลังลูบหลังลูบผมยืนยันได้เป็นอย่างดี ว่าฮานส์ไม่ได้ไปไหนอย่างที่ถูกกล่าวหา แต่จูเลียนไม่เห็นเขาเอง
“แต่เจ้ามาช้า” เรื่องจริงที่ฮานส์มาช้าอย่างจูเลียนต่อว่า แต่ก็อยู่ไม่ไกลเกินกว่าจะมาช่วยได้ทันเวลา เพราะความชะล่าใจของฮานส์ที่อยากเห็นว่าจูเลียนจะแก้ปัญหาอย่างไร คิดว่าได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือเมื่อไหร่ ค่อยปรากฏตัวขึ้น แต่เรื่องกลับกลายเป็นว่า รอแล้วรอเล่าก็ไม่ได้ยินคำนั้นจากปากจูเลียนสักที ทำให้ฮานส์ได้รู้ว่าจูเลียนยอมตายแต่ไม่ยอมเสียศักดิ์ศรีร้องขอความช่วยเหลือจากใครเด็ดขาด
“ข้าอยู่ใกล้ๆ นี่เอง” อันที่จริงฮานส์ตามดูจูเลียนอยู่ตลอด แม้จะเห็นว่าชายพเนจรทิ้งไป แต่ก็เพียงแกล้งให้จูเลียนเข้าใจผิด แกล้งลบรอยเท้าม้าในบางช่วง ตอนจูเลียนตกอยู่ในอันตรายฮานส์จะมาถึงตั้งนานแล้ว หากเนินหิมะที่เขาซ่อนตัวอยู่ไม่พังลงมาเสียก่อน ทำให้ต้องขี่ม้าอ้อมไปอีกทาง ฮานส์ยอมรับผิดอย่างจำนนที่เขาเล่นเกินไปจนเกือบเกิดเรื่องไม่ดี ทำให้จูเลียนต้องเจ็บตัว
จูเลียนผละออกจากอ้อมกอดราวกับเพิ่งรู้ตัว พอเห็นหน้าฮานส์ที่กำลังอมยิ้มมองอยู่ เลยผลักด้วยแรงทั้งหมดที่มีจนชายหนุ่มหงายหลัง
“เจ้ากลับมาทำไม จะไปไหนก็ไปเลยข้าเกลียดเจ้า”
“อ้าว แล้วใครที่ต่อว่าหาว่ามาช้านั่นน่ะ เจ้าไม่ใช่หรือไง” ฮานส์พูดจบฝูงหิมะก็ถูกกระหน่ำขว้างลงมาตามใบหน้าและลำตัวด้วยฝีมือของจูเลียนไม่ยั้ง ชายหนุ่มได้แต่ยกมือปัดป้องเป็นพัลวัน
“เจ้ามันเลว เจ้ามันใจร้าย ไอ้คนเลว เลวที่สุดเจ้าทิ้งข้า ฮานส์ใจร้าย คนใจดำ”
“เอาเข้าไป ๆ ” จูเลียนโกรธจนลืมร้องไห้ ปากด่ามือขว้างหิมะใส่ฮานส์ที่นั่งรับการลงทัณฑ์ จนจูเลียนจะพอใจและหยุดไปเองเพราะความเหนื่อย
“พอใจเจ้าหรือยัง” ฮานส์ถามยิ้มๆ นั่งมองจูเลียนที่ระบายความโกรธด้วยการประทุษร้ายร่างกายเขาจนเหนื่อยหอบ
“พอใจอะไร”
“พอใจกับการลงโทษข้าหรือยัง”
“เจ้ามันสมควรตายที่สุด”
“ถึงเวลานั้นจะสั่งประหารข้าก็เชิญ แต่ตอนนี้ข้าต้องพาเจ้าหนีก่อน ดูสิร้องไห้จนหน้าตามอมแมมหมดแล้ว” ฮานส์ถอดถุงมือหนังออก ไล้นิ้วปาดเช็ดน้ำตาให้อย่างเบามือ ร่างเพรียวสะดุ้งยามนิ้วหยาบกร้านไล้ไปตามพวงแก้มขึ้นรอยแดง และคราบเลือดแห้งที่มุมปาก ทำให้นัยน์ตาสีดำขลับของฮานส์แข็งกร้าว แต่เขาก็จัดการคนทำอย่างสาสมไปแล้ว จะเหลือก็แต่ตัวเขาเองที่ไม่รู้จะจัดการยังไง ให้สาสมกับความผิดที่ปล่อยให้จูเลียนถูกทำร้าย ทั้งที่เป็นคนไปช่วยมาแท้ๆ
“ลุกขึ้นเถอะ เราต้องรีบไปแล้ว” ฮานส์ลุกขึ้นพลางดึงข้อมือจูเลียนให้ลุกตาม แต่กลับถูกปัดออกอย่างไม่ไยดี
“ข้าไม่ไปกับเจ้าหรอก เจ้าทิ้งข้าแล้วนี่”
“ข้ากลับมาแล้วนี่ไง ไปเถอะน่านะ” ได้ยินคำตะล่อมยิ่งทำให้จูเลียนเม้มปากแน่น คิดว่าตัวเองคงหูฝาดหูผิดปกติไปแล้ว ที่ได้ยินน้ำเสียงเหมือนฮานส์กำลังออดอ้อน ถึงยังไงมันก็เป็นไปไม่ได้ที่คนใจร้ายอย่างฮานส์ จะทำเสียงแบบนี้ยามพูดกับจูเลียน ไหนจะยังมีรอยยิ้มนั่นอีก ฮานส์กำลังยิ้มเยาะจูเลียนอยู่แน่ๆ เพราะสายตาไม่ยอมมองไปทางอื่นเลยนอกจากใบหน้าของจูเลียน ที่คงมองแล้วนึกสมเพช
จูเลียนคิดเองเออเองแล้วสะบัดหน้าหนี “ข้าไม่ไป”
“จะรอให้พวกมันแห่มาฆ่าอีกหรือไง” ความดื้อดึงของจูเลียนทำให้ฮานส์ต้องพูดขู่เสียงดัง
“ยังมีพวกมันอยู่แถวนี้อีกหรือไง”
“มีสิ เดี๋ยวก็แห่กันมาอีกเป็นโขยง”
“มันจะรู้ได้ยังไงพวกมันตายหมดแล้วนะ”
“เจ้าเห็นม้าบางตัวที่วิ่งเตลิดหนีไปไหมจูเลียน" ฮานส์คุกเข่าลงตรงหน้าจูเลียน "ถึงม้ามันพูดไม่ได้แต่นั้นนั่นล่ะสัญญาณเรียกพวกมันดี ๆ นี่เอง คราวนี้เจ้าจะลุกได้หรือยัง” จูเลียนจำต้องลุกขึ้นอย่างที่ฮานส์บอกพลางขยับเสื้อผ้าให้กระชับ รอดมาได้ขนาดนี้จะยอมมานั่งรอความตายอีกทำไม
“ใส่ไว้” ฮานส์ถอดเสื้อคลุมของตัวเองจะห่มให้ แต่จูเลียนเบี่ยงออกอย่างถือตัวจึงถูกสายตาคมจ้องดุ
“แล้ว..”
“แล้วอะไร”
“เจ้าไม่หนาวหรือไง”
“ช่างข้าเถอะมานี่มา”
“เฮ้ย!! ฮานส์!! “จูเลียนร้องเสียงหลงตกใจ เพราะพอฮานส์ดึงข้อมือลากมาจนถึงม้าตัวใหญ่สีดำที่ยืนรอ ชายหนุ่มก็อุ้มจูเลียนให้ขึ้นขี่ม้าโดยไม่บอกไม่กล่าวกันสักคำ ด้วยการจับตัวจูเลียนยกขึ้นได้อย่างง่ายดาย แต่คนที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวนี่สิถึงกับร้องเสียงหลงอ้าปากค้าง
ต่อจ้ะ....
เกมรักชิงบัลลังก์หัวใจ 18 บ่อน้ำพุร้อน (มีอะไร) 100%
“เราจะเดินไปถึงไหนหรือ?”
“...”
“ฮานส์เจ้าจะพาข้าเดินไปถึงไหน” เดินเงียบมาครู่ใหญ่จูเลียนจึงถามขึ้นเหมือนชวนคุย แต่ฮานส์ก็ยังเดินนำไปแบบเงียบ ๆ สะพายถุงหนังคาดหลัง จูเลียนอุ้มเจ้าหนูเดินตาม
“ฮานส์”
“อะไรของเจ้าอีก จะเดินไปเงียบ ๆ บ้างได้ไหม”
“ข้าอยากรู้นี่”
“อยากรู้อะไร”
จูเลียนกวาดตามองไปรอบตัว “จะมีตาแดงเหมือนวันก่อนออกมาอีกไหม”
“มีแน่ ๆ ล่ะ ถ้าเจ้ายังมัวแต่ถามนั่นถามนี่อยู่อย่างนี้ วันนี้คงไม่ได้เดินไปถึงไหนสักที”
“แล้วเจ้าทำไมไม่หาม้ามาสักตัวล่ะ ไม่สิสองตัวดีกว่า” จูเลียนรีบเปลี่ยน เพราะหากมีม้าตัวเดียวคงต้องขี่มันด้วยกัน และคงไม่พ้นต้องนั่งให้ฮานส์โอบกอดอีกเป็นแน่แท้
ฮานส์จ้องพักตร์นวลผ่องของกษัตริย์หนุ่มน้อย ที่มองตอบดวงตาใสแจ๋ว พวงปรางกับปลายจมูกแดงระเรื่อยเพราะความหนาวเย็น ทำให้พักตร์อ่อนเยาว์ดื้อรั้นมีสีสันดูน่ามอง ยังไม่ทันที่จูเลียนจะได้ถามอะไรให้ฮานส์รำคาญใจอีก ร่างเพรียวบางในชุดคลุมหนาก็ถูกตะปบเข้าตรงต้นแขน ฮานส์จับจูเลียนให้หมุนรอบตัวหนึ่งรอบ แล้วประคองแก้มนวลด้วยมือทั้งสองข้าง ดันให้หันซ้ายหันขวาไม่เบาแรง แล้วจ้องตานิ่ง
“ทำอะไรของเจ้าเนี่ยข้าเวียนหัวนะ”
“ให้เจ้าดูรอบ ๆ ตัวไง ว่าตอนนี้เราอยู่ในป่า มองไปทางไหนก็มีแต่หิมะกับหิมะ และอาจจะมีตาแดงของเจ้า กระโจนออกมาขย้ำคอเมื่อไหร่ก็ได้ เผื่อเจ้าลืม” พักตร์นวลยังถูกจับให้ส่ายไปมา ตามจังหวะการพูดทุกคำของฮานส์ จูเลียนตาปรือเริ่มเวียนหัวจริง ๆ ใจหายวูบเสียงสันหลัง ยามได้ยินคนหน้าหนวดพูดถึงตาแดง อันหมายถึงหมาป่าหิมะดุร้ายที่จูเลียนเจอมาวันก่อน
“แล้วบอกดี ๆ ไม่ได้หรือไงเล่า” จูเลียนปัดมือใหญ่ออกจากใบหน้า ฮานส์จ้องตานิ่ง ใบหน้ารกหนวดว่าดูดิบเถื่อนน่ากลัวอยู่แล้ว พอทำตาดุเลยยิ่งน่ากลัวกว่าเก่า
ฮานส์วางมือลงที่ศีรษะของกษัตริย์หนุ่มน้อยผลักเบา ๆ พร้อมกับบอก “หัวช้าอย่างนี้เดี๋ยวเจ้าก็ไม่เข้าใจอีก”
“..” จูเลียนทำหน้าบึ้งตึงปากยื่น ต่างฝ่ายต่างมองกันนิ่ง ฮานส์นิ่งเพราะรอให้จูเลียนทำความเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด แต่จูเลียนนิ่งเพราะกำลังรั้นเอาแต่ใจ ไม่ยอมรับอะไรก็ตามที่ฮาส์กำลังบอก ถึงแม้ยังไงก็ต้องทำตามอยู่ดี
“เข้าใจหรือยัง”
“เข้าใจแล้ว”
“เข้าใจแล้วก็เดินต่อ” ทั้งสองเดินทางต่อ ฮานส์เดินนำหน้า จูเลียนเดินอุ้มเจ้าหนูกระต่ายตัวน้อยตามหลัง ไม่วายทำปากขมุบขมิบล้อเลียนคนหน้าหนวดที่วันนี้ดุผิดปกติลับหลังไปด้วย ทั้งสองเดินไปเงียบ ๆ แต่คนขี้สงสัยอย่างจูเลียนมีหรือจะเงียบได้นาน
“ฮานส์ แล้วม้าของเจ้าล่ะ ตอนนี้มันไปอยู่ไหนแล้ว” จูเลียนชวนคุย “สวยนะ เจ้าปล่อยไปแบบนั้นไม่เสียดายหรือไง ชื่อโกสต์ใช่ไหม อุตส่าห์ตั้งชื่อให้ทำไมเจ้าปล่อยมันไปง่าย ๆ ล่ะ” จูเลียนพูดไปตั้งยาว แต่เหมือนคุยคนเดียว เพราะนอกจากฮานส์จะไม่คุยด้วยแล้ว ดูเหมือนคนหน้าหนวดจะเดินเร็วขึ้นอีก จนจูเลียนสาวเท้าตามแทบไม่ทัน
ตอนนี้หิมะไม่ตก ซ้ำยังมีแดดอ่อน ๆ ที่ช่วยให้รู้สึกได้ถึงความอบอุ่น แสงแดดสีส้มอ่อนทอเป็นลำ ตัดกับหิมะขาว ๆ บนยอดไม้ เป็นประกายระยับสวยแปลกตา ท่ามกลางอากาศที่ยังหนาวเหน็บจนจับขั้วหัวใจ หิมะยังปกคลุมพื้นดินหนา ตามต้นไม่มีน้ำแข็งเกาะเห็นเป็นสีขาวตัดกับสีเขียวคล้ำเกือบดำของกิ่งไม้ใบไม้ ที่อาบไปด้วยแสงแดดอ่อน ๆ ดูงดงามราวกับฉากในเทพนิยาย ถ้าไม่มีแผ่นหลังกว้างของคนที่เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาเดิน ไม่สนใจที่จะสนทนาปราศรัย ในฐานะคนที่เดินทางด้วยกัน จูเลียนคงมองความงามของธรรมชาติได้เพลินกว่านี้ หนุ่มน้อยมองแผ่นหลังฮานส์แล้วให้นึกขัดใจ คนอะไรบทจะดีก็ดี บทจะร้ายก็ร้าย เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายจนตามไม่ทัน
“เดินช้าอย่างนั้นเมื่อไหร่จะถึง”
“แล้วจะรีบไปไหนเล่า แค่นี้ข้าก็แทบจะวิ่งให้ทันเจ้าแล้วนะ” จูเลียนบ่นกระปอดกระแปดอีกสองสามคำ ที่ฮานส์จับใจความไม่ได้ อันที่จริงจูเลียนก็บ่นให้ฮานส์นั่นแหละเลยไม่อยากเสียงดัง
“ข้าเหนื่อยแล้วนะฮานส์พักก่อนเถอะ ทั้งชีวิตข้าไม่เคยต้องเดินไกลขนาดนี้เลย” จูเลียนหยุดเดินฮานส์ก็หยุดเช่นกัน แต่ไม่ได้หันกลับมา ชายหนุ่มเพียงหยุดพูดแล้วเดินต่อ
“ทนอีกนิด ใกล้ถึงแล้ว”
“ถึงไหนล่ะ”
“ที่ปลอดภัย”
“พักก่อนได้ไหมเล่า”
“ถึงค่อยพัก”
“แต่ข้าจะพักตอนนี้นะฮานส์! ข้าเดินไม่ไหวแล้วปวดขาไปหมดแล้วด้วย” แล้วจูเลียนก็ทิ้งตัวนั่งลงบนหิมะมันเสียดื้อ ๆ แต่คนหน้าหนวดกลับยังเดินไปข้างหน้าไม่รอ ไม่สนใจ ฮานส์ไม่แม้แต่หันกลับมาดูจูเลียนด้วยซ้ำ
“ฮานส์! “จูเลียนตะโกนเรียก ได้ยินฮานส์ตอบกลับมาเพียงให้รีบเดินตามไปให้ทัน ราวกับรู้ว่าจูเลียนกำลังงอแงอยากเอาชนะให้ได้อย่างไม่มีเหตุผล และมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ในที่สุดจูเลียนก็ได้แต่นั่งมองแผ่นหลังกว้าง จนฮานส์เดินลับสายตาไป จูเลียนไม่นึกกลัว เพราะร่องรอยที่อีกคนทิ้งไว้นั้นมันเด่นชัด จากที่ต้องเดินทางมากับฮานส์ จูเลียนมั่นใจว่าตามไปได้ถูกทางแน่ ๆ
รอยเท้าที่ย่ำไปบนหิมะลึกเป็นทาง พาจูเลียนมาจนถึงที่แห่งหนึ่ง ที่ดูเหมือนจะเป็นหน้าผาสูง พื้นเบื้องล่างใกล้ ๆ กันเต็มไปด้วยก้อนหินขนาดต่าง ๆ ที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ รอยเท้าคู่นั้นเดินหายเข้าไปในกำแพงหินที่น้ำแข็งเกาะเต็มไปหมด จูเลียนนึกสงสัยว่าเจ้าของรอยเท้าเดินผ่านไปได้อย่างไร พอเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ จึงพบว่ามันเป็นทางเข้าถ้ำ ที่พรางตาด้วยชั้นหินถูกหิมะปกคลุมหนา ถ้าไม่สังเกตดี ๆ จะไม่เห็นช่องที่พอให้ผู้ชายตัวใหญ่ ๆ อย่างฮานส์ลอดผ่านเข้าไปได้ และจูเลียนที่มีแต่ความสงสัยก็สังเกตเห็นมันเข้าพอดี กษัตริย์หนุ่มน้อยเดินเข้าไปไม่มีลังเล
พอหลุดเข้ามาได้จูเลียนพบว่ามันเป็นถ้ำ ที่แตกต่างจากข้างนอกราวกับเข้ามาอยู่อีกโลกหนึ่งที่อบอุ่นขึ้น ภายในถ้ำสว่างด้วยกองไฟที่ถูกก่อไว้ตรงมุมหนึ่งลึกเข้าไป ถุงหนังของฮานส์วางอยู่ข้างกองไฟ จูเลียนกวาดตามองไปรอบ ๆ หวังได้เจอคนที่เดินตามมานั่งรออยู่มุมใดมุมหนึ่ง แต่ไล่สายตามองหาจนทั่ว ก็ไม่เห็นว่าจะมีสิ่งมีชีวิตอื่นใดอยู่ในนี้ นอกจากตัวจูเลียนและเจ้าหนู กระต่ายน้อยที่อุ้มอย่างทะนุถนอมในห่อผ้า
มนุษย์ตัวใหญ่หน้าหนวดหายไป!
“ฮานส์” จูเลียนส่งเสียงเรียกให้พอแค่ได้ยิน เพราะหากอีกคนอยู่ในนี้ก็น่าจะเห็นตัวแล้ว แต่สิ้นเสียงเรียกมีเพียงเสียงที่สะท้อนกลับ หลังจากนั้นทุกอย่างรอบกายก็เงียบสนิท เกิดความเคลื่อนไหวขึ้นทางหางตา พอหันไปก็พบว่าเป็นเพียงเงาของเปลวไฟ ภายในถ้ำเงียบมาก จูเลียนไม่ไว้ใจความเงียบแบบนี้ ค่อย ๆ ก้าวถอยหลังให้เบาที่สุด สองแขนกอดกระต่ายน้อยเตรียมวิ่งออกมาจากตรงนั้น และ
“โอ๊ย!” จูเลียนนึกว่าตัวเองชนเข้ากับกำแพงหินจนเซ ดีที่ไม่ล้มลงไป เพราะร่างกายถูกรั้งไว้ด้วยอ้อมแขนของคนที่กำลังเรียกหา
“อะไรของเจ้า”
“ทำไมมาเงียบ ๆ “
“ข้าต้องตะโกนมาก่อนหรือไง”
“เจ้าไปไหนมาฮานส์ ข้าเห็นรอยเท้าเจ้าเข้ามาในนี้แล้วเจ้าออกไปทางไหน ทำไมมาอยู่ข้างหลังข้าได้” จูเลียนแหงนหน้าขึ้นถามฮานส์อย่างสงสัย หรือฮานส์จะออกไปทางอื่นแล้วย้อนกลับมาอยู่ข้างหลังจูเลียน
“เจ้านี่มันขี้ลืมนะ”
“ลืมอะไรล่ะ ข้าจำได้ว่าเจ้าเดินอยู่ข้างหน้าข้านะ”
“ลืมว่ามีคนกำลังต้องการชีวิตเจ้าอยู่ไง” จูเลียนหายใจผิดจังหวะ ขนลุกขึ้นมาเสียเฉย ๆ ที่ได้ยิน แต่ก็ไม่เคยลืมว่าตัวเองกำลังหนีจากการตามล่าหมายเอาชีวิต
“ใครจะไปลืมลงล่ะ แล้วเจ้าไปไหนมา” ง
“กลบรอยเจ้าไง หรือจะทิ้งรอยไว้ให้พวกมันตามมาฆ่าถึงที่” ฮานส์เดินเข้าไปนั่งข้างกองไฟ แต่จูเลียนกลับคิดตามคำพูดของเขาแล้วนึกกลัว รีบหันหลังจะเดินออกไปทางเก่า คิดว่าจะออกไปกลบรอยเท้าของตัวเอง เหมือนที่เห็นฮานส์เคยทำให้ดู แต่พอเดินออกไปยังทางที่เพิ่งผ่านเข้ามากลับพบว่า
“ฮานส์! “
“อะไรอีกวะ”
“ทาง ทางออก”
“..”
“ทางออกหายไปไหน”
“มันไม่ได้หายไปไหนมันแค่ถูกปิด” จูเลียนมองหน้าฮานส์แล้วหันกลับไปยังทางออก ที่เมื่อสักครู่นี้เพิ่งเดินผ่านเข้ามา แต่ไม่แน่ใจแล้วว่าช่องที่ลอดเข้ามามันอยู่ตรงไหน เพราะเห็นมีแต่หินก้อนใหญ่ ราวกับว่ามันไม่เคยมีทางเข้าออกตรงนี้มาก่อน
“ถูกปิดเหรอ” จูเลียนพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง แต่ฮานส์ก็ยังได้ยิน
“เออ จะเข้ามาได้หรือยัง หรือจะอยู่ตรงนั้นก็ตามใจเจ้าก็แล้วกัน”
“แต่ฮานส์ เจ้าทำได้ยังไงหินแต่ละก้อนไม่ใช่เล็ก ๆ แล้วเราจะออกไปยังไง” จูเลียนเดินกลับมานั่งลงใกล้ ๆ ฮานส์ข้างกองไฟ วางกระต่ายตัวน้อยบนตักอย่างทะนุถนอม พอดีกับที่คนหน้าหนวดเสียบไม้ลงข้างกองไฟ บนไม้มีสัตว์ที่ถูกชำแหละมาเรียบร้อยแล้วเสียบอยู่
“เมื่อไหร่เจ้าจะหยุดพูดสักที ไหนบอกเหนื่อยอยากพัก”
“ก็ข้าอยากรู้” ดวงเนตรสีเขียวช้อนมองคนหน้าหนวด ฮานส์เข้ามาก่อนหน้านี้ ก่อไฟไว้แล้วออกไปทางเก่า กลบรอยที่เดินออกไปด้วย เหลือไว้เพียงรอยที่จูเลียนเห็นว่าฮานส์เดินเข้ามารอบแรก ให้จูเลียนตามมารอ เขาย้อนกลับไปพรางรอยทั้งหมดแล้วรีบกลับมา ปิดทางเข้าไว้อย่างแนบเนียน
“ไม่ต้องอยากรู้อยากเห็นมากก็ได้” น้ำเสียงของคนหน้าหนวดอ่อนลง แต่ที่ทำให้จูเลียนเผลอสูดลมหายใจเข้าปอดเสียยาว ก็ตอนที่มือใหญ่ ๆ วางลงบนศีรษะแล้วโยกเบา ๆ แม้ตอนท้ายจะผลักด้วย และมือใหญ่ข้างนั้นแค่วางบนหมวกคลุมหัว แต่ก็สร้างความรู้สึกแปลก ๆ ให้จูเลียนได้ไม่น้อย คนเดียวที่ทำแบบนี้กับจูเลียนก็มีเพียงนิโคลเท่านั้น แต่ทำไมไม่เคยทำให้จูเลียนใจเต้นโครมครามได้มากขนาดนี้ ฮานส์เป็นใครถึงได้บังอาจกล้าทำกับจูเลียนอย่างนี้
กษัตริย์หนุ่มน้อยปัดมือฮานส์ออก มองไปทางอื่นพึมพำบอกเบา ๆ “พอข้าไม่ถามเดี๋ยวเจ้าก็หาว่าข้าไม่สนใจอะไรอีกหรอก ว่าข้าไม่รู้เรื่องรู้ราวบ้างล่ะ เจ้าจะเอายังไงกันแน่”
“เท่าที่จำเป็นก็พอ” รอยยิ้มบาง ๆ ไม่ได้ลดความดุของนัยน์ตาสีดำสนิท ที่กำลังจ้องหน้าจูเลียนเขม็ง จนคนที่ค่อย ๆ หันมามองแทบสะดุ้ง
“ก็ได้”
“นั่นนะ” ฮานส์พยักพเยิดใบหน้าที่รกหนวดเคราไปที่ตัก จูเลียนก้มลงดู “วางมันลงบ้างเดี๋ยวก็เฉาตายคามือกันพอดี”
“ข้ากลัวมันหนาวนี่” ฮานส์โยนบางอย่างมาตรงหน้าจูเลียน “อะไรอีกละ”
“เอาให้มันกิน ก่อนที่มันจะอดตายเพราะเจ้าไม่รู้อะไรไปเสียก่อน”
“บอกดี ๆ ก็ได้นี่” ถึงจะดูไม่พอใจแต่จูเลียนก็หยิบของที่ฮานส์โยนให้ขึ้นมา มันเป็นกิ่งไม้กับหญ้าแห้งที่ใช้เป็นอาหารของกระต่ายป่า จูเลียนยิ้มกว้างเมื่อยื่นของกินมาตรงหน้าเจ้าหนู และมันรีบแทะกินทันที
“ไปทางนั้นมีบ่อน้ำ เผื่อเจ้าอยากอาบ”
“หนาวขนาดนี้ใครจะไปอยากอาบ” จูเลียนตอบสายตาไม่ละไปจากกระต่ายตัวน้อยบนตัก และคนบอกก็ไม่ได้ละสายตาไปจากจูเลียนเลย
“เหม็นจนจะเน่าอยู่แล้ว”
จูเลียนหันขวับไปมองฮานส์ทันทีที่ได้ยิน ริมฝีปากอิ่มได้รูปอมยิ้มแบะออกเล็กน้อย เนตรสีเขียวเป็นประกายวาวล้อเลียน “ยังกับเจ้าอาบนะฮานส์ ข้าไม่อาบหรอก ขืนอาบได้หนาวตายกันพอดี”
“มันเป็นบ่อน้ำพุร้อน”
“จริงหรือ? แล้วก็ไม่บอกแต่แรกละ” ฮานส์หลับตาลงไม่สนใจจูเลียนที่ท่าทางตื่นเต้น ยามได้รู้ว่ามีบ่อน้ำพุร้อนให้นอนแช่ จูเลียนเหลือบตามองค้อน หันไปสนใจกระต่ายตัวน้อยที่กำลังกินหญ้าแห้ง แต่ชายหนุ่มก็พักสายตาได้ไม่นาน “แล้วเจ้ารู้จักที่ได้ยังไง เคยมาหรือ”
“เออ”
“ไม่อยากคุยก็ไม่ต้องคุย” จูเลียนจะค้อนให้อีกที แต่คนหน้าหนวดเหมือนจะหลับไปแล้ว จึงวางเจ้าหนูไว้มุมหนึ่งให้ลับสายตา คนที่มองเจ้าหนูเป็นอาหารตลอดเวลาอย่างฮานส์ ได้ที่ให้เจ้าหนูแล้วย่องออกจากตรงนั้นเงียบ ๆ เดินไปตามทางที่ฮานส์บอกว่ามีบ่อน้ำพุร้อน ถึงอากาศภายนอกจะหนาวเย็นจนแทบแข็งไปถึงกระดูก แต่คนที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีมาตลอดอย่างจูเลียน ก็คิดถึงการนอนแช่น้ำอุ่น ๆ อันเป็นกิจวัตรประจำของชาวออสเซนเทียอยู่ไม่น้อย หากอยู่ในวังป่านนี้จูเลียนคงนอนแช่น้ำอุ่นอยู่ในปราสาท หรืออาจจะไปแช่น้ำแร่ในห้องอาบน้ำรวม สำหรับเจ้านายที่กว้างขวางกว่าก็เป็นได้
จูเลียนเดินลึกเข้าไปไม่ไกล ก็รู้สึกได้ถึงความอุ่นของอากาศแผ่มาจากข้างหน้า พอหลุดเข้ามาถึงห้องด้านใน ภาพเบื้องหน้าก็เล่นเอากษัตริย์หนุ่มน้อยตะลึงยืนอึ้งค้างไปเลย ไม่คิดว่าท่ามกลางความหนาวเย็นขนาดนี้ จะมีสถานที่แบบนี้ซ่อนตัวอยู่ สองเท้าเดินไปข้างหน้าช้า ๆ สายตาจับอยู่ที่บ่อขนาดไม่กว้างมาก ไอน้ำที่เห็นลอยระอยู่เนื้อผิวน้ำกระตุ้นให้รีบสาวเท้าเดินเข้าไปใกล้ ห้องทั้งห้องได้รับแสงสว่างมาจากช่องแตกหลายช่องของแผ่นหินด้านบน ซึ่งอยู่สูงพอสมควร ลำแสงลอดผ่านเข้ามาเป็นลำเล็ก ๆ แต่ก็สว่างมากพอให้มองเห็นได้จนทั่ว
ดวงเนตรสีเขียวมรกตเป็นประกาย จูเลียนเดินเข้าไปใกล้บ่อน้ำพุ ก้มลงวักน้ำลูบหน้าเล่น น้ำในบ่อใสแจ๋ว ความร้อนของน้ำกำลังพอดี เหมาะแก่การนอนแช่ให้ผ่อนคลาย จูเลียนไม่รอช้า รีบถอยออกมาจากขอบบ่อ ปลดเปลื้องอาภรณ์กันหนาวออกทีล่ะชิ้น
วรกายเพรียวบางไร้อาภรณ์ปกปิดดูน่ามอง ตั้งแต่ลำคอระหงลงมาตามช่วงไหล่ลาด ที่ไม่ได้กว้างมากจนส่งให้ส่วนอื่นของร่างกายดูเก้งก้าง กล้ามเนื้อแผ่นอกบางประดับด้วยตุ่มเม็ดเล็กสีชมพู ช่วงลำตัวเพรียวเข้ารูปลงมาถึงช่วงเอวคอด ที่สะโพกผายออกเล็กน้อย ยามเยื้องย่างกายลงบ่อน้ำร้อน เรียวขาขาวทำให้ร่างเพรียวดูระหง ก้อนเนื้อบั้นท้ายบดเบียดตามจังหวะก้าวเดิน พาร่างอรชรค่อย ๆ จมหายลงไปในน้ำทั้งตัว เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนยาวเคลียไหล ถูกรวบไว้ครึ่งหัว ลูกผมบางส่วนตกระลงคลอเคลียตามแก้มนวลดูไร้เดียงสา
จูเลียนทิ้งร่างเอนลงพิงกับโขดหิน ปล่อยให้ผิวเนื้ออ่อนนุ่มสัมผัสกับความอุ่นของน้ำพุที่ผุดขึ้นมาจากใต้ดิน วักน้ำอุ่น ๆ ขึ้นมาลูบพักตร์นวลจนเปียก ดวงตาสวยหลับพริ้มผ่อนคลาย ขนตางอนยาวเป็นแพชุ่มน้ำ ท่ามกลางไอน้ำที่ลอยขึ้นตัดกับลำแสงอ่อนที่ส่องลงมา พักตร์ขาวนวลดูผ่องพิสุทธิ์ จูเลียนรู้สึกผ่อนคลาย ริมฝีปากอิ่มได้รูปแย้มยิ้มออกมาน้อย ๆ ยามได้รับการโอบกอดจากความอุ่นของสายน้ำ สูดลมหายใจยาวเข้าปอดอย่างดื่มด่ำ หูแว่วได้ยินเสียงอะไรบางอย่างคล้ายเสียงฝีเท้า เหยียบย่ำแผ่วเบาลงบนก้อนหิน ตามด้วยเสียงของผิวหน้าน้ำที่ถูกรุกล้ำ แต่ความรู้สึกผ่อนคลายทำให้จูเลียนไม่สนใจ ร่างเพรียวนอนหลับตานิ่งรับความสบาย ปล่อยตัวให้สายน้ำอุ่นโอบกอด
“หึ”
“เจ้า!”
“โอ๊ย! จูเลียน!” ฮานส์กัดฟันเรียกชื่อคนที่กำลังหัวเราะเสียงดัง เมื่อจูเลียนลืมตาขึ้นมา พบว่าใบหน้าที่รกไปด้วยหนวดเคราอยู่ห่างไม่ถึงคืบ จึงผลักร่างหนาออกอย่างแรง ผลคือฮานส์หงายหลังทิ้งตัวลงกลางบ่อน้ำพุ จนน้ำในบ่อแตกกระจาย
“สมน้ำหน้า” ฮานส์มองจูเลียนตาดุคาดโทษ ทำปากขมุบขมิบบอกว่าให้ระวังตัวดี ๆ แต่แทนที่จะกลัวเกรง จูเลียนกลับยิ้มเยาะแทน “ทำไม”
“เปล่า” ฮานส์ปฏิเสธเสียงสูง ถึงยังไงก็ไม่ยอมรับหรอกว่าอยากดูหน้าจูเลียนใกล้ ๆ ถึงได้ก้มลงไปหา ฮานส์ลุกขึ้นเต็มความสูง เดินไปนั่งอีกมุม จูเลียนมองตาม เห็นอะไรเป็นอะไรรีบมองไปทางอื่น
“ทำไมถึงได้ชอบเดินเปลือยกายต่อหน้าคนอื่นนักนะ”
“บ่นอะไร”
“ไม่มีอะไร ข้าไม่ได้บ่นสักหน่อย”
“แล้วไป” ฮานส์เอนร่างทิ้งตัวลงกับหินอีกก้อน ตรงข้ามจูเลียนแล้วหลับตาลง เรือนกายใหญ่กำยำที่โผล่พ้นน้ำระด้วยไอน้ำที่ลอยกรุ่น แต่ก็ยังไม่สามารถปิดบังความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อ เรียกให้จูเลียนจับจ้องอยู่ที่มัน
ฮานส์คงหลับไปแล้ว จูเลียนค่อย ๆ ยืดตัวขึ้นช้า ๆ ขยับเข้าไปหา ดวงเนตรสีเขียวจับที่ใบหน้ารกหนวดดูสะอาดตาขึ้นเมื่อได้เจอน้ำ
“เจ้าเป็นใครมาจากไหนกันแน่นะฮานส์” จูเลียนคิดขณะถูกใบหน้ารกครึ้มไปด้วยหนวดเคราดึงดูดให้ขยับเข้าไปใกล้ ดวงเนตรเขียวกระจ่างพินิจใบหน้าคม ล้อมกรอบด้วยเส้นผมหยักศกสีดำสนิท หน้าผากกว้างพอดีประดับด้วยคิ้วเข้มพาดขวาง สันจมูกคมโด่งคมตรงได้รูป เสริมให้ใบหน้ารกหนวดดูเข้มขึ้น ใบหน้ายามไม่เห็นสายตากวนอารมณ์ดูน่ามอง จูเลียนภาวนาอย่าให้ฮานส์ลืมตาขึ้นมาตอนนี้ ขณะที่ก้มลงไปหาอย่างไม่รู้ตัวและ..
“อะไรของเจ้า!”
“อุ๊ย! โอ๊ย ฮานส์ “จูเลียนไอเพราะสำลักน้ำ อยู่ดี ๆ ฮานส์ก็ลืมตาขึ้นมากะทันหัน จูเลียนตกใจจนผงะ เลยถูกฮานส์เอาคืนด้วยการแกล้งผลัก ถึงจะไม่แรงมากแต่ก็เล่นเอาจูเลียนหงายหลังจมน้ำ ผลคือสำลักน้ำจนไอ จูเลียนเผลอกลืนน้ำเข้าไปอึกใหญ่
“อะไรของเจ้า”
“เปล่า”
“อยากดูหน้าข้าใกล้ ๆ ก็บอกสิ”
“เหมือนที่เจ้าทำตอนแรกก็เพราะอยากดูหน้าข้าใกล้ ๆ ใช่ไหม”
“ถ้าใช่แล้วจะทำไม” จูเลียนชะงักไม่คิดว่าฮานส์จะยอมรับออกมาตรง ๆ ทั้งที่ตอนแรกปฏิเสธแล้ว แต่ก็ต้องนึกขัดใจกับท่าทางกวนอารมณ์ไม่น้อย
“เจ้า..”
“อะไรอีกล่ะ”
“ไม่มีอะไร ถอยออกไปเลยถอยไปไกล ๆ “จูเลียนวิดน้ำไล่ฮานส์ที่ขยับเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ขณะที่ถาม เลยกลายเป็นว่าทั้งสองเล่นวิดน้ำใส่กันจนน้ำกระจายเปียกไปหมด แทนที่จะได้ผ่อนคลายจริง ๆ เลยเหนื่อยกว่าเดิม เสียงหัวเราะของจูเลียนดังกังวานไปทั้งถ้ำ พอประสานกันกับฮานส์ กลายเป็นเสียงที่ไม่คิดว่าจะได้ยิน จากคนไม่ค่อยถูกกันที่ต้องเดินทางมาด้วยกัน
“เจ้าเล่นอะไรเป็นเด็กไปได้ฮานส์”
“เล่นกับเด็กอย่างเจ้าไง”
“ว่าข้าเป็นเด็กอีกแล้วนะ นี่ ๆ เป็นไงยอมจำนนหรือยัง” จูเลียนวิดน้ำใส่ฮานส์เร็ว ๆ จนฮานส์เอาคืนไม่ทัน ได้แต่ยกมือกั้นไว้ เสียงหัวเราะดังขึ้นไม่หยุด ทั้งสองคงลืมไปแล้วว่ากำลังหนีตาย ลืมไปแล้วว่าข้างนอกอากาศเย็นมากแค่ไหน ลืมไปแล้วว่ามีคนกำลังตามล่าหมายเอาชีวิต จนกระทั่งต่างคนต่างเหนื่อยและหยุดไปเอง จูเลียนนั่งหายใจหอบ ผิวขาวนวลแช่น้ำอุ่นซับสีแดงระเรื่อไปทั้งตัว
“ข้าว่าเล่นพอแล้วนะ ขึ้นได้แล้วเดี๋ยวไม่สบาย” จูเลียนกำลังสนุกเลยแอบเสียดาย แต่พอนึกอะไรบางอย่างได้ก็ชะงัก
“เอ่อ..”
“อะไรของเจ้าอีก”
“เจ้าขึ้นไปก่อนข้าสิ”
“อย่ามางอแงเอาแต่ใจตอนนี้นะ ถึงน้ำจะอุ่นจนเกือบร้อนอย่างนี้ ก็ทำเจ้าไม่สบายได้ขึ้นเดี๋ยวนี้” คำสั่งของฮานส์ทำให้จูเลียนหน้างอ
“ข้าไม่ใช่เด็กนะ จะได้มานั่งงอแงอยากเล่นน้ำ บอกให้ขึ้นไปก่อนก็ขึ้นไปก่อนสิ”
“อะไรของเจ้าอีกวะจูเลียน”
“ไปสิ ไป ๆ “จูเลียนวิดน้ำไล่ฮานส์ที่จ้องตาดุกลับ คนหน้าหนวดยอมลุกขึ้นจากน้ำแต่โดยดี แต่นั่นกลับทำให้จูเลียนโวยวายกว่าเก่า “ฮานส์! เจ้านี้มัน..”
“อะไรของเจ้าอีก ให้ขึ้นจากน้ำก่อนข้าก็ขึ้นแล้ว ยังจะเรื่องมากอะไรอีก” ฮานส์หันกลับมายืนจังก้าจะเอาเรื่อง แต่พอเห็นจูเลียนนั่งเอามือปิดหน้าตัวเองเท่านั้นแหละ คนหน้าหนวดก็อดหัวเราะขำออกมาไม่ได้ เขาเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก
“เห็นมาจนป่านนี้แล้วเจ้ายังเขินข้าอยู่หรือไง” เจ้าของร่างกายสูงใหญ่กำยำก้มลงมองเรือนร่างเปลือยเปล่าของตัวเอง “มันก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไรนี่หว่า ใคร ๆ ก็อยากเห็นเรือนร่างของข้าทั้งนั้น ข้าสิควรต้องอาย”
“คนอย่างเจ้ามันหน้าไม่อายไง แล้วข้าก็ไม่ได้เขินสักหน่อย แค่ไม่อยากมองไม่อยากเห็น”
“ไม่อยากมองก็หันไปทางอื่นสิ ทำไมต้องเอามือปิดหน้าด้วย หรือจะแอบดูข้า”
“เจ้าบ้าไปแล้ว ถ้าข้าอยากดูจะปิดหน้าไว้ทำไมเล่า”
“แน่ใจนะ”
“แน่ใจสิ” ฮานส์หัวเราะเสียงดังให้คำตอบของจูเลียน ชายหนุ่มก้มลงมากระซิบข้างหู
“ไม่อยากเห็นก็ปิดดี ๆ สิ อย่ากางนิ้วออก หรือช่องระหว่างนิ้วของเจ้าเอาไว้แอบดูข้าใช่ไหมล่ะ”
“ฮานส์! ตายซะเถอะ” จูเลียนฟาดมือโดนไหล่ฮานส์ พอคนหน้าหนวดถอยออกไป ยังวิดน้ำใส่เอาเป็นเอาตายไล่ให้ฮานส์รีบขึ้นจากน้ำไปก่อน คนแกล้งก็ได้แต่หัวเราะขำเสียงดัง
“ไปเลยจะไปไหนก็ไป” จูเลียนไล่ส่ง
ต่อนะคะ....