พิมพ์หน้านี้ - [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (เบต้าxอัลฟ่า Omegaverse) 13-10-19

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => เรื่องสั้น => ข้อความที่เริ่มโดย: ความฝันของดอกไม้ ที่ 03-03-2019 18:45:37

หัวข้อ: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (เบต้าxอัลฟ่า Omegaverse) 13-10-19
เริ่มหัวข้อโดย: ความฝันของดอกไม้ ที่ 03-03-2019 18:45:37
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ


******************************************


ความจริง..ผมไม่ใช่คนเหงา
แต่บางครั้งก็ต้องการจะนอนกอดใครสักคนในยามค่ำคืน

*******************************************
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (1)
เริ่มหัวข้อโดย: ความฝันของดอกไม้ ที่ 03-03-2019 18:47:22
ความสัมพันธ์ระหว่างเรา

ถึงแม้จะดูแปลกไปสักหน่อย

แต่.. ณ เวลานี้ผมกล้าพูดได้เลยว่าหากคืนไหนผมไม่ได้นอนกอดเขา

วันนั้นคงเป็นวันที่ผมข่มตาหลับไม่ลงแน่ ๆ

ความเคยชินกับอะไรสักอย่างมันน่ากลัว

รักหรือเปล่า ผมไม่รู้ ตอนนี้รู้เพียงแค่ว่าขาดไม่ได้

โลกแบ่งเป็นสามระดับ 1.อัลฟ่า 2.เบต้า 3.โอเมก้า

และมีเพียงอัลฟ่ากับโอเมก้าเท่านั้น ที่สามารถสร้างความสัมพันธ์พิเศษต่อกันได้  คนส่วนใหญ่มักจะเรียกว่าคู่แท้ หรือคู่แห่งโชตชะตา

คงเพราะความโสมมของโลกใบนี้

ทำให้ผมไม่ค่อยศรัทธาในรักหรือเชื่อในเรื่องคู่ครองสักเท่าไหร่

เกิดเป็นอัลฟ่าจะมีคู่กี่คนก็ได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ผิดกับโอเมก้าถูกมองเป็นเพียงเครื่องบำบัดความใคร่ เป็นเพียงคนไร้ยางอายเที่ยวอ้าขาให้ใครต่อใคร ทั้งที่ความจริงโอเมก้าก็มีหัวใจที่จะรักใครสักคน

เกิดเป็นอัลฟ่าเหมือนเดินบนเส้นทางถูกปูด้วยพรมแดง มีแต่คนสรรเสริญเยินยอ

ผิดกับโอเมก้าที่เดินบนทางแห่งขวากหนาม มีแต่ดูถูกและเหยียบซ้ำ

ผมเห็นภาพอันน่ารังเกียจมานับครั้งไม่ถ้วน จนกลายเป็นความรู้สึกที่ตายด้าน ไม่เกิดความรู้สึกใด ๆ กับใคร แม้กระทั่งรักแรกผมยังไม่เคยมี คนรอบข้างมักจับคู่ให้ผมอยู่เป็นประจำ ต้องแต่งงานกับคนระดับเดียว อย่าทำให้ตระกูลเสียชื่อเสียง ทั้งที่ข้างในก็เน่าจนหนอนชอนไช

แก่งแย่ง

ชิงดี ชิงเด่น

การเป็นลูกคนที่หกในตระกูลอัลฟ่าที่มีชื่อเสียง เป็นหนึ่งในสี่ขั้วอำนาจโลกก็ว่าได้ ใครหลายคนมักพูดว่าโชคดีมีพร้อมทุกอย่างไม่ว่าเงินหรืออำนาจ

แต่ผมกลับไม่คิดอย่างนั้น ความรู้สึกตรงกันข้าม

ทำไมผมถึงต้องเกิดมาในสถานที่แบบนี้มักจะตั้งคำถามนี้อยู่เสมอ เป็นตระกูลซึ่งผลิตลูกเป็นว่าเล่น ความอบอุ่นแบบครอบครัวทั่วไป ไม่เคยได้สัมผัส เป็นเพียงคนแปลกหน้าที่มี่สายเลือดเดียวกัน

พี่น้องทั้งสิบสองคน ทุกคนล้วนแต่มีชื่อเสียงไปคนละด้าน

เว้นแต่ผมที่เป็นเพียงจุดด่างพร้อยของในตระกูล ไม่ใช่ว่าไม่มี เพียงแต่ไม่ได้บอกเรื่องความสามารถของผมให้ใครรู้เท่านั้น

ผมออกจากบ้านหลังนั้นมาตั้งแต่อายุ 15  โดยไม่รับเงินแม้แต่บาทเดียว ชีวิตที่เป็นอยู่ในตอนนี้ บ้านที่อยู่ตอนนี้ เงินหลักสิบล้านที่ผมมีอยู่ตอนนี้ มาจากน้ำพักน้ำแรงผมล้วน ๆ

ใช้ชีวิตคนเดียวจนเคยชิน ทุกอย่างในบ้านมีทุกอย่างที่ผมต้องการทั้งหมดแล้ว

มีหนังสือให้อ่าน มีชาให้จิบยามเช้า มีเนื้อย่าง และบทเพลง แค่นี้มันก็ทำให้มีความสุข

ความจริง..ผมไม่ใช่คนขี้เหงา

แต่บางครั้ง..ก็ต้องการนอนกอดใครสักคนในยามค่ำคืน

และนั่นคงจะเรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นระหว่างเรา เหมือนหนังสือนิยายเล่มหนึ่งที่ยังไม่รู้ว่าตอนจบจะเป็นไปในทิศทางไหน ความสัมพันธ์ของเรา เป็นเพียงผู้ขายและผู้ซื้อเท่านั้น

ปกติผมไม่เคย.. ถ้าพูดกันไปอย่างตามตรง ผมไม่เคยซื้อผู้ชายเข้ามาในห้องนอนของตัวเอง

เขาคือคนแรก

และผมคิดว่า อาจจะเป็นคนสุดท้าย

ผมไม่รู้ชื่อเขา ไม่เคยถามเรื่องของเขา

รักหรือเปล่า ผมยังยืนคำตอบเดิมคือไม่รู้

ผมเป็นอัลฟ่า และเขาคือเบต้า เราไม่ได้มีสายสัมพันธ์พิเศษ หรือคู่โชคชะตา

แต่เพราะอะไรถึงได้ลงเอยแบบนี้

ทำไมมันถึงกลายเป็นเช่นนี้

ใบหน้าของผมซุกลงบนแผ่นอกอย่างไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ อ้อมแขนใหญ่ยกโอบกอดไปถึงด้านหลัง แถมยังมีเสียงหัวใจที่เต้นดังไปในจังหวะเดียวกัน สงสัยหูผมจะเพี้ยนหรือเปล่าถึงคิดว่ามันช่างไพเราะราวกับเพลงกล่อมเด็กเหมือนที่แม่เคยร้องให้ฟังสมัยก่อน สุดท้ายคืออุณหภูมิร่างกายของอีกฝ่ายที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นเกินกว่าผ้าห่มผืนไหน

เปลือกตาเริ่มหย่อนคล้อยลงอีกครั้ง

และนี่คงจะเป็นอีกคืนที่ผมนอนหลับฝันดี


TBC

.
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 3-3-62
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 03-03-2019 19:21:11
รอๆๆ
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 3-3-62
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 03-03-2019 21:16:26
ติดตามค่ะ

 :pig4:
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 3-3-62
เริ่มหัวข้อโดย: nofsnof ที่ 03-03-2019 21:39:35
 :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 3-3-62
เริ่มหัวข้อโดย: yunnutjae ที่ 04-03-2019 20:28:22
ว้าวมากเลยอะ อัลฟ่าxเบต้า ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (2) 5-3-62
เริ่มหัวข้อโดย: ความฝันของดอกไม้ ที่ 05-03-2019 22:12:26
บทสนทนาระหว่างเรา

มีเพียงผมที่เป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อนเสมอ และเขามักจะตอบแค่คำว่า 'ครับ' กับ 'ไม่ครับ'

น้อยครั้งที่จะมีคำพูดอื่นนอกเหนือจากนั้น โดยธรรมชาติตัวผมเองก็ไม่ใช่คนช่างพูดเสียเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เวลาเราอยู่ด้วยกันมีเพียงความเงียบ

ทว่าความเงียบในที่นี้ ไม่ได้มีความหมายในเชิงอึดอัด แต่กลับกลายเป็นความเงียบที่ทำให้สงบใจ สบายใจอย่างสรรหาคำอธิบายไม่ถูก ผมอาจรู้สึกแบบนั้นคนเดียวก็ได้

แต่ตราบใด..ถ้าเขายังไม่ปฏิเสธ นั่นเพียงพอแล้ว

ผมยกอ้อมแขนหนักออกจากเอว ก่อนจะลุกขึ้นมานั่งอย่างงัวเงียพลางหันไปมองดูเขาที่ยังคงหลับพริ้ม เสียงนกจิบร้องและแสงแดดสาดส่องเข้ามาจากนอกหน้าต่าง

ความสัมพันธ์ประหลาดไม่ยั่งยืนสักเท่าไหร่

ผมทราบดี

และมันคงจบลงในสักวัน

จะให้พัฒนาต่อจากนี้ ก็ไม่รู้จะเริ่มยังไง เราอยู่ด้วยกันนานเกินไปและผมยังไม่แน่ใจความรู้สึกตัวเอง อีกอย่างผมไม่เข้าใจความรู้สึกเขาด้วยเหมือนกัน

เขามักจะทำหน้านิ่ง และไม่เคยเห็นเขายิ้มเลยสักครั้ง

ต้องการอะไรอยู่หรือไม่ต้องการอะไร ก็ไม่เคยแสดงออกทางสีหน้า

แต่ก็ไม่เคยทำให้ผมลำบากใจ

ซึ่งจริง ๆ มันก็ดีไปอีกแบบ

คำว่า 'นอน'

หลายคนคงจะคิดว่าต้องมีเซ็กซ์เข้ามาเกี่ยวข้อง

แต่ไม่ใช่กับเรา

กอด..

มีเพียงคำว่า 'กอด' เท่านั้น

นี่คือข้อตกลงที่เราทำมาตั้งแต่แรก ผมมีความต้องการต่ำเป็นทุนเดิม ผิดกับอัลฟ่าทั่วไป และบ้านที่ผมอยู่ก็ห่างไกลผู้คน จึงไร้ความกังวลใจเรื่องที่จะติดสัดเพราะได้กลิ่นโอเมก้า แถมเมื่อก่อนผู้หญิงที่ผมซื้อมานอนด้วยก็ล้วนแต่เป็นเบต้า เพื่อต้องการจะตัดปัญหาเรื่องพวกนี้

อยู่และตายคนเดียวเหมาะสมที่สุดแล้วสำหรับคนอย่างผม

เงินเก็บมีมากพอที่จะใช้ชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องทำงานไปจนแก่ และมีมากพอที่จะให้เขากอบโกยไปตั้งต้นชีวิตใหม่ได้เลย ถึงกระนั้นเขาไม่เคยเรียกร้องอะไรนอกเหนือจากเงินค่าตัวที่ผมจ่ายให้ทุกเดือน

ผมไม่เคยถามเหตุผลว่าทำไมเขาถึงทำอาชีพนี้ ถามว่าอยากรู้ไหม ก็ต้องอยากรู้อยู่แล้วสิ

แต่ผมคิดว่า มันไม่ใช่สิ่งที่น่าจะไปก้าวก่ายสักเท่าไหร่

"วันนี้ทานอาหารเช้าด้วยกันก่อนไหม"

ผมเอ่ยถามในขณะที่เขาลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยท่าทางงัวเงียไม่ต่างกัน

"...ครับ"

คำตอบเหมือนอย่างที่ผมคิดไว้ จึงก้าวขาลงจากเตียงไปยังห้องครัว เพื่อไปทำอาหารเช้าเหมือนดั่งทุกวัน ผมเพิ่มเริ่มหัดทำก็ตอนมีเขาเข้ามาอยู่ด้วย เพราะทิฐิส่วนตัว ผมจึงซื้อตัวเขาแบบผูกขาด ไม่ให้ไปรับงานกับใครอื่นได้อีก เขายังเป็นนักศึกษามหาลัย ควรจะตั้งใจเรียน

ผูกขาดไม่ได้หมายถึงขนาดห้ามมีแฟน ผมให้อิสระเขาเต็มที่ และถ้าเขาไม่สะดวกใจเมื่อไหร่สามารถยุติได้ทุกเมื่อ

แต่นั่นเป็นสัญญาตอนที่เพิ่งเริ่มซื้อขายกันใหม่ ๆ

ถ้าเป็นปัจจุบันนี้

ผมไม่มั่นใจเลยว่าหากเขาต้องการจะยุติความสัมพันธ์ แล้วจะไม่รั้งไว้ ถ้าถึงเวลานั้นจริง แล้วจะทำยังไง อาจจะทำทุกอย่างให้เขาไม่ไป และไม่เคยคิดถึงวันที่ไม่มีเขามาก่อน

หากพรุ่งนี้ไม่มีเขา..

แล้วผมจะเป็นยังไง

หากพรุ่งนี้ไม่มีเขาแล้วผมจะหลับได้ไหม

ผมก้มมองมือตัวเองที่ยังคงสั่นไม่หยุด พร้อมหัวใจเต้นแรงจนรู้สึกเจ็บ เม็ดเหงื่อเริ่มผุดขึ้นมา

ความรู้สึกนี้ อาการแบบนี้คืออะไร ?

ความกลัวงั้นเหรอ..

มันคล้ายกับว่า..

"จะเสร็จแล้ว นั่งลงสิ"

เสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาใกล้ทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์ พลางหันไปบอกเขาที่เข้ามาด้วยเนื้อกายที่แต่งชุดนักศึกษาอย่างเรียบร้อย ผมพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

"ครับ"

เขาตอบพร้อมกับหยิบแก้วน้ำจานช้อนมาเตรียมไว้บนโต๊ะอาหาร

อีกหนึ่งเทอมเขาก็จะเรียนจบมหาลัย และวันนั้นอาจจะเป็นวันที่เขาต้องการจะหยุดความสัมพันธ์ก็ได้

ส่วนตัวผมในตอนนั้นจะเป็นยังไง จินตนาการไม่ออกเลยจริง ๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมไม่เคยมองหรือคิดเรื่องเขาอย่างจริงจัง

เพราะกลัวว่าผลจะลงเอยแบบนี้

ทั้งที่ตั้งใจจะไม่รักใครไปตลอดชีวิต

ทว่ายิ่งมองลึกลงไปในดวงตาของเขา มันทำให้ผมยิ่งมั่นใจ ว่าการเคยชินกับอ้อมกอดของเขามาตลอดสามปี ชักจะมีอิทธิพลมากเกินไป ความกลัวที่จะไม่มีเขานอนอยู่ข้างกาย คล้ายกับว่าผมหลงรักเขาอย่างไม่รู้ตัว

หรือไม่ผมคงถูกดวงตาคู่นี้ดึงดูดตั้งแต่วันแรกที่เราพบกัน

ทุกอย่างมันเริ่มแน่ชัด

ในความรู้สึก

วันไหนไม่มีเขาขึ้นมา ไม่ใช่เพียงผมจะนอนไม่หลับ

หัวใจผมคง...

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ถ้ารู้ว่าจะกลายเป็นถลำลึกอย่างนี้

คืนวันฝนพรำผมคงไม่น่าช่วยเขาออกมาจากการโดยรุมกระทืบเพราะไปยุ่งกับเมียชาวบ้าน ไม่น่าหาเรื่องใส่ตัว ควรจะช่วยพอเปฺ็นพิธี ไม่ควรกลายเป็นความรัก แถมเป็นรักข้างเดียวที่รอวันอกหัก

แต่จะมาเสียใจทีหลังในเอาตอนนี้ก็คงจะสายเกินไป



TBC


หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 3-3-62
เริ่มหัวข้อโดย: nofsnof ที่ 06-03-2019 17:14:30
หื้ม สงสัยในตัวเบต้าคนนี้อ่ะ  :katai1: :hao4:
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 8-3-62
เริ่มหัวข้อโดย: ความฝันของดอกไม้ ที่ 08-03-2019 13:10:02
หรือการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม

จะเป็นหนทางที่ดีที่สุดสำหรับเรา

ผมนั่งเท้าคาง นิ้วมือวนปากแก้ว พลางคิดทบทวนเรื่องนี้ซ้ำไปมา อย่างหาคำตอบไม่ได้ แม้เสียงเพลงจะดังกระหึ่ม แต่ไม่อาจเข้าไปกระทบกับโสตประสาทการรับฟัง

คิดเพียงหาทางออกเพื่อจะทำให้เรื่องนี้จบลงแบบที่ตัวเองไม่เจ็บปวด เขาไม่มีท่าทีจะชอบผมหรืออะไร การบอกความรู้สึกของตัวเองไป มีแต่จะทำให้เขาอึดอัดใจ

เริ่มต้นจากความสัมพันธ์แบบนี้ จะให้จบลงด้วยดีคงเป็นไปไม่ได้

ลมหายใจพ่นยาวอย่างเหนื่อยอ่อนเป็นรอบที่ร้อยของวัน อุตส่าต์คิดว่าออกมาจากบ้านแล้วจะทำให้หยุดคิดฟุ้งซ่าน ดูเหมือนจะหนักกว่าเก่า เพราะร้านกึ่งบาร์ซึ่งผมมานั่งอยู่ตอนนี้ ดันกลายเป็นร้านแห่งความทรงจำที่เราพบกันครั้งแรก

แต่ผมเองก็ไม่รู้จะไปไหน ส่วนใหญ่นอกจากบ้านผมก็รู้จักแค่ที่นี่ เป็นสถานที่ซึ่งไว้ใจได้มากกว่าอะไรทั้งหมด ร้านที่ห้ามให้โอเมก้า(ที่ยังไม่มีคู่)เข้ามาอย่างเด็ดขาด เพื่อนรักทั้งสองร่วมสร้างขึ้นมาเพื่อผมโดยเฉพาะ

"ป๋าขาา มาแปลกนะวันนี้ นั่งวนปากแก้ว จนชานมอุ่นที่ฉันลงทุนชงให้ กลายชาเย็นไปแล้ว"

ผมมองค้อนไปยังต้นเสียงที่กำลังทำท่าทางดี๋ด๋า กระแนะกระแหน ผิดกับรูปลักษณ์แมน ๆ ของเจ้าตัว

"หยุดเลย"

ต้องรีบห้ามทับ ก่อนจะเจอภาพอุจาดตาไปมากกว่านี้

"เป็นอะไรมาล่ะ มีปัญหากับเด็กต้อยที่นายเลี้ยงไว้หรือไง"

คำถามที่ยิงมาอย่างตรงประเด็น มองออกทะลุปรุโปร่งสมกับการเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก ผมส่ายหัวไปมาแทนคำตอบ ถ้าทะเลาะยังจะดีเสียกว่า

ความสัมพันท์เรากว่าเราทั้งที่ตัวอยู่ใกล้กัน กลับช่องว่างขนาดใหญ่ตรงกลางที่ไม่สามารถข้ามผ่านไปได้

"ซังกะตายไม่สมกับเป็นนายเลย"

แววตาที่เบี่ยงหลบไปเองโดยอัตโนมัติ

"อืม"

ก่อนจะตอบไปเพียงสั้น ๆ สองสามเดือนมานี้ ผมเองก็รู้สึกว่าตัวเองแปลกไป ตั้งแต่วันที่รู้ตัวว่าชอบเขา เวลาอยู่ใกล้ หัวใจมันสงบลงไม่ได้ จากเคยหัวถึงหมอนแล้วนอนหลับอย่างสนิท กลับกลายไปว่าต้องทนอดกลั้นหักห้ามไม่ให้ทำอะไรต่างจากที่ผ่านมาจนเผลอหลับไป

นี่สินะที่เขาเรียกว่าความรัก

และใครหลายคนมักจะบอกว่า รักแรกล้วนเจ็บปวด

"ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีไม่ใช่เหรอ"

มือใหญ่ลูบหัวผมอย่างปลอบประโลม

"ประสบการณ์แบบนี้ ฉันไม่อยากมีหรอก"

ผมกระดกชานมจนหมดแก้ว สมมติฐานว่ามันคือเหล้า ไม่ติดว่าผมแพ้แอลกอฮอล์ ป่านนี้คงเมาหัวลาน้ำไปแล้ว

"นั่งรออยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยวฉันหยิบกุญแจรถแปป จะไปส่งที่บ้าน ถ้าไม่ได้มีปัญหาอะไรกันก็กลับบ้านไปได้แล้ว"

พูดอย่างกับเราเป็นคู่รักที่กำลังงอนกันอย่างนั้นแหละ ทั้งที่ความจริงไม่ใช่เลย

"ฉันยังไม่อยากกลับ"

ผมปฏิเสธเสียงแข็ง ร่างสูงแถมซึ่งมีออร่าของอัลฟ่าราวกับพระราชาหันหลังกลับมาก่อนดีดหน้าผากผมไปหนึ่งที

"ลืมไปแล้วหรือไงว่าตัวเองเลี้ยงต้อยหมาตัวโตไว้ที่บ้าน นี่มันจะตีสองอยู่แล้ว ซื้อมาแล้วก็รับผิดชอบหน่อย ป่านนี้ไม่คิดบ้างเหรอ ว่าเจ้านั่นจะรอกล่อมคนหลับยากอย่างนายให้นอน"

พร้อมกับคำบ่นยาวเหยียดเป็นหางว่าว ผมได้แต่เอามือลูบหน้าผากตัวเองปอย ๆ และต้องจำยอมกลับบ้านไปอย่างโดยดี

รถสีดำคันหรูแล่นทยายออกมาจากตัวเมือง โดยมีเพื่อนรักที่ดุยิ่งกว่าพ่อเป็นคนขับ ผมได้แต่นั่งมองออกไปบริเวณข้างทาง ถึงแม้จะมีเสียงบ่นพึมพรำอยู่ด้านข้าง ผมตอบแค่อืม แบบส่งเดชไป

เพื่อนสนิทที่รู้ไส้รู้พุงกับดี ถึงขนาดมองตาก็เห็นไปยังเส้นเลือดฝอยที่นิ้วเท้า ผมแทบจะไม่ได้เล่าอะไรให้ฟัง แต่อาการผิดปกติที่ผมเป็น มันทำให้เพื่อนเดาอาการได้อย่างไม่ยากเย็น

คนที่ไม่สนใจคนรอบข้าง หรือแม้กระทั่งความรักอย่างผม

ดันไปตกหลุมรักคน ที่ตัวเองซื้อมาเพราะความสงสาร

โดยความจริงเขาอาจจะไม่น่าสงสารอย่างที่คิด หรือความจริงเขาอาจจะชอบทำอาชีพนี้ด้วยความเต็มใจ

หรือในความจริงอาจจะเป็นผมเข้าไปก้าวก่ายเอง

และดันไปตกหลุมรักเสียเอง

ผมถอนหายใจอีกครั้งฉลองให้กับความน่าสมเพชของตัวเอง

รถสีดำหยุดจอดอยู่จุดหมายปลายทาง ผมก้าวลงจากรถทั้งที่ใจยังไม่พร้อมจะเจอหน้า

"ขอบคุณที่มาส่ง"

มือใหญ่ตรงเข้ามาลูบหัวผมอีกครั้ง

"ถ้าอกหักขึ้นมา เดี๋ยวพวกเราจะช่วยเยียวยาจิตใจให้เอง ร่าเริงเข้าไว้”

ผมระบายยิ้มอ่อน ขอบคุณที่อยู่เป็นกำลังใจให้กันมาตลอด ถ้าไม่มีเพื่อนสองคนนี้ ผมไม่รู้เลยว่าตัวเองจะมายืน ณ จุดนี้ได้หรือเปล่า เพื่อนที่เปรียบเสมือนกับครอบครัว

"ถ้าถึงวันนั้น ก็ช่วยเมาแทนฉันทีนะ"

ริมฝีปากหนาประทับลงบนรอยดีดบนหน้าผากอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

"Goodnight kiss♥"

"เจ้าบ้านี่ เราไม่ใช่เด็กกันแล้ว.”

เมื่อตั้งสติได้ ผมตวาดลั่น สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงเสียงหัวเราะร่าอย่างสะใจที่กวนประสาทได้ สามีภรรยาเหมือนกันอย่างกับกิ่งทองใบหยกจริง ๆ เผลอเป็นไม่ได้เลย ชอบมาถึงเนื้อถึงตัวตลอด

ผมยืนมองรถสีดำแล่นออกไปจนลับสายตา ก่อนจะเปิดประตูรั้วเข้าไป

สิ่งที่น่าประหลาดใจ ที่เห็นเขานั่งตบยุงรออยู่หน้าบ้าน

นี่เป็นครั้งแรกที่ผมกลับมาทีหลัง ถ้าพูดให้ถูกคือผมไม่เคยออกไปไหนเลยมากกว่านับตั้งแต่มีเขาเข้ามาอยู่ด้วย

ไม่คิดเลยว่าเขาจะนั่งรออยู่แบบนี้

ถือว่าเป็นผู้ขายที่ดี ซึ่งทำให้ผู้ซื้อประทับใจได้

"ไม่เห็นต้องมารอตรงนี้เลย"

ผมเอ่ยพลางกลั้นยิ้มในขณะที่เดินเข้าไปใกล้

"ครับ"

"ถ้ารออยู่ด้านใน ผมเกรงว่าจะหลับไปก่อน"

เขาตอบพร้อมเสริมเหตุผล นี่เป็นครั้งที่สามในรอบปีที่เขาพูดมากกว่าคำว่าครับ ช่างเป็นการบริการที่น่าประทับใจจริง ๆ

"กินข้าวหรือยัง"

"ครับ"

"พรุ่งนี้มีเรียนเช้าหรือเปล่า"

"ไม่ครับ"

"งั้นเหรอ งั้นก็ดีสิ ตื่นสายได้"

"ครับ"

ท่าทีของผมตอนนี้คงจะหลุดอาการดีใจออกมาไม่ใช่น้อย อย่างไม่อาจปิดป้องได้ เขาที่เดินมาผมจวนจะถึงห้องนอน

"เดี๋ยวฉันอาบน้ำก่อน เธอไปรอบนเตียงก่อนก็ได้"

ผมหยุดอยู่ที่ประตูห้องน้ำ พลางหันไปมองเขา

"หรือเธอจะเข้าไปอาบน้ำด้วย"

พร้อมกับแกล้งเย้า เพราะเห็นเขาเดินตามผมมาไม่หยุดสักที

"อะ เอ๊ะ ไม่ครับ"

ใบหน้าที่ขึ้นสีแดงระเรื่อเพียงชั่วครู่ ผมแทบจะคิดว่าตัวเองตาฝาด เพราะเขาหันเบี่ยงหลบทันทีแถมรีบเดินจ้ำอ้าวไปที่เตียงพร้อมซุกใบหน้าลงไปบนหมอนอย่างซ่อนความเขินอาย

ผมเองก็รีบเข้าไปในห้องน้ำเช่นกัน ไม่งั้นเขาคงจะเห็นหน้าผมแดงเป็นมะเขือเทศ ความรู้สึกซึ่งเหมือนเลือดสูบฉีดไปทั่วร่างกาย หัวใจที่กำลังพองโต

อยู่ด้วยกันมาตั้งสามปีเพิ่งจะเห็นเป็นครั้งแรก

และค่ำคืนนี้ผมไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอหลับไปตอนไหน

แต่สิ่งที่รู้คือเขากอดผมแน่นกว่าทุกวันที่ผ่านมา

........

หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 3-3-62
เริ่มหัวข้อโดย: nofsnof ที่ 08-03-2019 15:15:40
งุ้ยย พ่อคนพูดน้อยย

แล้วอย่างนี้จะเข้าใจกันได้ยังไงอ่ะะ
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (4) 3-3-62
เริ่มหัวข้อโดย: ความฝันของดอกไม้ ที่ 08-03-2019 20:43:57
"เธอชอบดูหนังหรือเปล่า"

ผมถามในขณะเลือนดูโปรแกรมหนังบนสมาร์ทโฟน รอเขาที่กำลังใส่ชุดนอนอยู่บนเตียง

นิ้วมือเขี่ยขึ้นลงเป็นสิบรอบอย่างไม่รู้จะดูเรื่องไหน

ถ้าว่ากันตามความจริง ผมไม่ใช่คนชอบดูหนัง และไม่ใช่ประเภทที่ชอบออกจากบ้าน แถมห้างสรรพสินค้ายังเป็นแหล่งศูนย์รวมโอเมก้า แถมยังมีพวกที่หวังจะดันฐานะตัวเองอีกต่างหาก ด้านมืดมีอยู่ทุกที่ เพราะผมเคยโดนถึงได้รู้ ผมจึงไม่เอาตัวเองไปเสี่ยงต่อการติดสัดในสถานที่แบบนั้นแน่นอน

ทำไมผมถึงชวนเขา ?

คำตอบง่าย ๆ เพียงอยากจะสร้างความทรงจำ

หลังจากที่ผมคิดทบทวนเป็นเวลานานและะนี่จะเป็นเดือนสุดท้ายที่เราอยู่ด้วยกัน

จะผูกขาดให้เขาอยู่ตลอดไปคงไม่ได้

หากจะรอให้เขายุติความสัมพันธ์ ผมเป็นฝ่ายขีดเส้นตายเองคงเจ็บน้อยกว่า

เขามองผมอย่างสงสัยในสิ่งที่ถาม คงดูแปลกจริง ๆ สินะ ในจังหวะที่คิดว่าจะเอายังไงดี แววตาดันเหลือบไปเห็น โปรแกรมหนังซึ่งจะฉายพรุ่งนี้ดันชื่อเรื่องเดียวกันกับนิยายที่ผมเคยอ่าน

"พอดีมีหนังใหม่ที่ฉันอยากดูน่ะ"

โกหก...นิยายเรื่องนั้นผมไม่ได้ชอบเลยสักนิด

"ชวนใครไปแล้ว ไม่มีใครว่างไปด้วยเลย"

โกหก..ผมยังไม่ได้ชวนใครเลยด้วยซ้ำ

"เป็นเรื่องที่อยากดูมาก ๆ"

โกหก..สิ่งที่ผมอยากทำ คือได้ไปกับเขาต่างหากล่ะ

"ฉันเฝ้ารอมาตลอด"

โกหก..ผมเพิ่งรู้ว่ามีหนังเรื่องนี้ก็วันนี้นี่แหละ

"ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันจ่ายเงินพิเศษให้"

ไม่ได้ตั้งใจจะพูดอย่างนี้เลย

"พรุ่งนี้เธอว่างหรือเปล่า เป็นวันเสาร์พอดีด้วย"

ในเมื่อดันเผลอหลุดปากเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง ผมจึงเปลี่ยนคำถามว่าว่างไหมแทน เนื่องจากทุกสุดสัปดาห์เขามักจะออกจากบ้านตั้งแต่เช้ายันเย็นทุกวัน ซึ่งผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไปไหน

และไม่เคยถาม

"....ครับ"

เขาคิดและตัดสินใจอยู่นาน กว่าจะให้คำตอบ แสดงว่าสิ่งที่เขาทำต้องเรื่องสำคัญมากถึงได้ลังเลขนาดนี้

"ถ้าเธอไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะ"

เขาก้าวขึ้นมาบนเตียงกับผมที่มองอย่างไม่ละสายตา ชุดนอนเขาก็ใส่เหมือนเดิมทุกวัน ทรงผมก็เหมือนเดิม มีแต่หัวใจผมที่ไม่เหมือนเดิม

"สะดวกครับ"

มือใหญ่ดึงร่างผมไปซุกไว้ในอ้อมกอด หัวใจเขาก็เต้นเป็นจังหวะปกติ มีเพียงใจผมเท่านั้นที่หวั่นไหว ความสว่างดวงสุดท้ายถูกดับลงพร้อมกับผมพยายามข่มตาหลับอีกเช่นเคย

เดทแรกของเรา ที่ผมคิดไปเองคนเดียว

ภาวนาขอให้วันพรุ่งนี้ เป็นวันที่ดี

...................


ผมตื่นมาพร้อมกับวันที่ท้องฟ้าสดใส

ไม่มีแม้แต่เมฆฝนให้เห็น

มือยกประสานขึ้นมาระดับอก สูดอากาศบริสุทธ์ในยามเช้าให้เต็มปอดพร้อมภาวนาในใจอีกครั้ง

ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีสำหรับเรา

ปกติผมมักจะตื่นก่อนเขาอยู่แล้ว หลังจากเตรียมอาหารเช้า อาบน้ำเสร็จ จึงหาข้อมูลว่าปกติเดท เขาต้องไปที่ไหนบ้างนอกจากไปดูหนังกินข้าว และกว่าห้างจะเปิดตั้งสิบโมง หนังรอบแรกก็สิบเอ็ดโมงครึ่ง เวลาก่อนหน้านั้นเขาทำอะไรกัน

เดทแรก

และเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ผมกังวลเรื่องเสื้อผ้าที่สวมใส่

ถ้าทำให้มันพิเศษกว่าวันอื่น ถ้าใส่ใจกว่าปกติทั่วไป จะทำให้เขาสงสัยหรือเปล่า

ลองสวมชุดโน้นนี้ คิดโน่นนี่ วางแผนไว้ตั้งมากมาย

สุดท้ายกว่าเราจะออกจากบ้านกันก็สิบโมง เสื้อผ้าก็ธรรมดาเหมือนดังเคย น่าขำชะมัด โปรแกรมรอบเช้าล่มไม่เป็นท่า ผมไม่รู้ว่าจะชวนเขาออกไปเช้า ๆ ด้วยเหตุผลอะไร

จะอ้างว่าเดี๋ยวรถติดก็คงไม่ใช่

จะบอกว่าผมอยากไป ก็ไม่รู้ว่าจะเห็นแต่ตัวเองมากไปหรือเปล่า

พอถามเขาว่าอยากไปไหนไหม

คำตอบคือไม่ครับ..

อืม...แล้วผมจะทำอะไรได้ล่ะ

คงต้องหวังพึ่งหลังจากดูหนังเสร็จ ผมอยากไปอยู่หลายแห่ง ทั้งสวนสัตว์ สวนสนุก พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ซึ่งผมไม่เคยไปเลยตั้งแต่สมัยไปทัศนศึกษาสมัยเรียน ไหน ๆ ก็ออกจากบ้านแล้วทั้งที ต้องใจกล้าหน่อย

โอกาสแบบนี้คงมีไม่บ่อยเท่าไหร่

รถซึ่งแล่นมาถึงห้างสรรพสินค้า โดยมีเขาเป็นคนขับและผมนั่งข้างคนขับ ระยะทางจากบ้านไม่ไกล แต่กว่าจะเดินทางมาถึงก็ปาไปสิบเอ็ดโมง คงเพราะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์มั้ง บนท้องถนนจึงมีรถมากกว่าปกติ

ผมมองตึกสูงตรงหน้า

สิบปีแล้วสินะที่ไม่ได้มา ครั้งก่อนมีประสบการณ์ไม่น่าจำเท่าไหร่ จึงไม่เคยมาอีกเลย

เอ...โรงหนังมันต้องไปทางไหนนะ

จำไม่ได้ด้วยสิ

ผมมองซ้ายขาวอย่างลุกลี้ลุกลน แล้วทางเข้าห้างไปทางไหน มีแผนที่หรือเปล่า

เขาเห็นท่าทีแบบนั้น ล็อครถและเดินนำริ่วไปอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ผมจึงวิ่งตามไปอย่างมึนงง

อะไรกัน รู้ทางก็ไม่บอก แถมเดินไปไม่พูดไม่จาอีก

กับคนอื่น เขาเป็นแบบนี้ด้วยไหม อดสงสัยไม่ได้ หรือแค่กับผมคนเดียว ผมดูเป็นคนไม่น่าพูดจาด้วยขนาดนั้นเลยเหรอ ถึงอยากรู้แต่จะมีสิทธิ์ถามอะไร คงได้แต่เก็บความรู้สึกและความคิดนั้นไว้

เพราะคิดไปคงไม่ได้อะไรขึ้นมา

ในที่สุดเราก็เข้ามาภายใน

แต่วันหยุดใคร ๆ ก็มาห้างกัน ซ้ำยังจัดอีเว้นทฺ์ลดราคาอีกต่างหาก ผู้คนซึ่งเดินขวักไขว่ ด้วยความที่กลัวจะหลง ผมจึงเอาแต่มองตามหลัง จำเพียงสีเสื้อที่เข้าใส่  สายตาผมคงเพี้ยนที่คิดว่าวันนี้เขาดูดีมากกว่าทุกวัน

จนเผลอหลุดมองไปหลายรอบ

ดีตรงที่เขาไม่ทันได้รู้ตัว

"อ๊ะ ขอโทษครับ"

"ขอโทษครับ"

"เดินระวังหน่อย"

"ขอโทษครับ"

สายตาผมคงจดจ้องกับด้านหลังของเขามากเกินไป จนไม่สนใจสิ่งรอบข้าง อีกทั้งคนเยอะจนลายตา ผมไม่ชินกับสถานที่แบบนี้เลย

"ขอโทษครับ"

อีกแล้ว ให้ตายสิ

"ไม่เป็นไรค่ะ มาคนเดียวเหรอคะ ฉันก็มาคนเดียวเหมือนกันค่ะ"

สาวสวยที่ดูก็รู้ว่าเธอเป็นโอเมก้า เธอพูดเออเองพลางเข้ามาแนบชิด ผมไม่ได้ใสซื่อขนาดที่ไม่รู้ว่ากำลังโดนเชิญชวน

"ไม่ครับมีคนมาด้วย เขาอยู่..."

อ่ะ ให้ตายสิ ไปไหนแล้ว หายไปไหน ผมมองซ้ายขวา เสื้อสีเดียวกันอยู่เต็มไปหมดพร้อมกับพยายามแกะมือของเธอที่กำลังเกาะแขนอย่างพัลวัน

"รบกวนช่วยปล่อยได้ไหมครับ ผมกำลังรีบ"

กลิ่น..

ก่อนจะหยิบมือถือโทรหาเขาครั้งแรกในรอบสองปี ผู้หญิงคนนั้นยังคงเกาะแขนไม่ยอมปล่อยสักที คาดสายตาไปแวบเดียว กลายเป็นหลงกันเสียได้ เขาเดินอย่างไม่สนใจ ว่าผมจะเดินตามทันหรือไม่ ทำไมถึงทำเหมือนผมบังคับให้มา ไม่เต็มใจทำไมไม่บอกกัน

กลิ่น...

เจ็บที่อก ความรู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหล โธ่เว้ย ทำไมอะไรถึงไม่ได้ดั่งใจ ถึงไม่เป็นอย่างที่คิดไว้

กลิ่นนี้..

ความหอมหวานที่เริ่มได้กลิ่นมาสักพัก..

คืออะไร...

แถมอยู่ใกล้เพียงคืบ ผมก้มมองผู้หญิงที่กำลังเกาะแขนผม แววตาอันหยาดเยิ้มของเธอ อย่าบอกนะว่า เสียงซุบซิบซึ่งเริ่มดังมากจากรอบข้าง สมาร์ทโฟนในมือดิ่งลงสู่พื้น

'โอเมก้ามาฮีทอะไรแถวนี้'

สมองเริ่มขาวโพลน

'สร้างความเดือดร้อนชะมัด'

จนแทบคิดอะไรไม่ออก

'ฮิฮิ สงสัยตั้งใจจะมาตกอัลฟ่าน่ะสิ'

กลิ่นหอมจนน่าเวียนหัว

'น่าสงสารอัลฟ่าที่เกาะอยู่ดวงซวยเป็นบ้าเลยว่ะ ฮ่าฮ่า '

สายตาผมซึ่งมองแต่ต้นคอของเธอ พลางโน้มลงไปเองโดยอัตโนมัติ

'จริงด้วย ๆ ถึงจะไม่เต็มใจ แต่ใครจะต้านสัญชาตญาณดิบได้'

ไม่...ผมไม่ต้องการแบบนี้ ทั้งที่หลีกเลี่ยงมาตลอด ทำไมกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ในวันสำคัญ ทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้ ถึงใจอยากจะปฏิเสธแค่ไหน แต่ร่างกายยังคงเคลื่อนไหวไปตามสัญชาตญาณ

มือซึ่งลูบไล้ไปตามร่างกายอีกฝ่ายอย่างที่ไม่สามารถควบคุมได้

'ตายจริง อย่าบอกนะว่าจะมาเอากันในที่แบบนี้'

ริมฝีปากอ้าขึ้น พร้อมที่จะฝังคมเขี้ยว

'แจ้งรปภ.ดีไหมเนี่ย'

ใครก็ได้

ใครก็ได้

ใครก็ได้..

ช่วยผมที

แต่ถึงจะเรียกร้องแค่ไหน

รอบข้างที่ไม่มีใครสนใจ เหมือนกลายเป็นของโชว์ ในมือทุกคนพร้อมใจกันหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาถ่ายภาพตรงหน้า ไม่มีใครเข้ามา เพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง

เธอเอียงคอปัดไรผมอย่างเต็มใจ

กับผมที่น้ำตาไหลอาบแก้มอย่างน่าเวทนา

ดวงตาปิดลงอย่างสิ้นไร้หนทาง ยากที่จะต่อต้าน

อึก..

ไม่นะ

ไม่นะ

ไม่!!!!!

คมเขี้ยวฝังลงไป

พร้อมแรงกระชากตัวผมจากด้านหลัง

สิ่งที่เกิดขึ้นรวดเร็วจนตามเหตุการณ์ไม่ทัน

รู้เพียงแต่ว่าสิ่งที่ผมกัดไม่ใช่ต้นคอของเธอ แต่เป็นหลังมือของเขาอย่างเต็มแรง

"เธอคิดจะทำอะไร ยัยบ้า!!!"

"ถ้าคิดจะจับอัลฟ่าก็ไปที่อื่น ไม่ใช่กลางห้างแบบนี้!!!"

”หน้าไม่อาย”

เขาหันไปตวาดเธอลั่น สีหน้าโกรธอย่างเป็นเอาตายที่ผมเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก ก่อนจะหยิบเข็มฉีดยาในกระเป๋าของตัวเองขึ้นมาฉีดให้ พอเขาเงยหน้ามาอีกทีก็พบว่าเธอได้วิ่งหายไปกับคลื่นฝูงชน

กลิ่นหอมหวานค่อย ๆ หายไป

แต่อาการยังไม่สงบลง

เขาอุ้มผมขึ้นมา รีบไปที่รถและเร่งขับออกไปทันที แววตาเขาในตอนนี้มีแต่ความโกรธอยู่เต็มไปหมด ขบกรามแน่นจนขึ้นนูน โกรธที่ผมบังคับพามา แล้วสร้างปัญหาให้อย่างนั้นเหรอ

แถมยังทำให้เขาบาดเจ็บอีก

เลือดบนหลังมือยังคงไม่หยุดไหล ดูท่าเขาไม่ได้สนใจตรงจุดนั้น

ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทั้งทีระวังอย่างดีมาตลอด อาการติดสัดครั้งที่สองในชีวิต ซ้ำยังในสถานที่เดิม

ทุกอย่างที่วางแผนไว้ สถานที่ซึ่งอยากไป

ทุกอย่างที่อยากทำร่วมกับเขา

พัง...

ทุกอย่างพัง

ทั้งที่อยากจะสร้างความทรงดี ๆ  ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้

สุดท้ายการภาวนาของผมคงส่งไปไม่ถึง การร้องไห้ซึ่งหนักที่สุดในชีวิต ไม่ได้เตรียมตัวจะพบกับความผิดหวัง ไม่เคยคิดว่ามันจะทำหัวใจเจ็บซ้ำ กลายเป็นสร้างความทรงจำอันเลวร้าย

เขาวางผมลงบนเตียงอย่างเบามือ

ช่วงล่างแข็งนูนอย่างทรมาน แต่ตอนนี้ผมไม่เหลือแรงจะปลดปล่อยด้วยตัวเอง

"ปล่อยไว้ เธอไปทำแผลได้แล้ว"

ผมเอ่ยไล่อย่างสะอึกสะอื้น ไม่อยากจะให้เห็นสภาพอันน่าสมเพชไปมากกว่านี้ ทว่าเขาไม่ทำตามคำสั่ง มือใหญ่ปลดเข็มขัดกางเกงของผมพลางรูดซิปลง

คงรู้ว่าอาการนี้ต่อให้ปล่อยไว้หรือฉีดยาระงับอาการ ช่วงล่างก็ใช่ว่าจะหายไป

ต้องได้รับการปลดปล่อย

ร่างกายเขาโน้มลง ประทับริมฝีปากลงบนปลายแก่นซึ่งตั้งตะหง่าน

"อึก..อ่า..ไม่"

ราวกับไม่ได้ยินคำปฎิเสธ ภายในของเขาช่างอบอุ่น ลิ้นซุกซน ตวาดโลมเลีย เต็มไปด้วยความอ่อนโยน และความเร่าร้อนทำให้รู้สึกซาบซ่านไปทั้งตัว

"ไม่..ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้"

เขาไม่ได้สนใจ พลางเหลือบมองเช็คสีหน้าของผมเป็นระยะ ในขณะที่ผมพยายามใช้มืออันไร้เรี่ยวแรงดันศีรษะเขาให้ออกห่าง

"ไม่...."

รู้สึกดี..ดีเกินไป

"อ่า..ไม่.."

ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน

แต่ว่า.. ของผม..

ของผม..

อึก..มัน..

"....มันสกปรก"

เหมือนกับฟ้าผ่ากลางใจ

การกระทำทุกอย่างหยุดชะงัก ผมหรี่มองอย่างสงสัย แววตาที่ส่งกลับมาเต็มไปด้วยความเศร้า โดยผมไม่รู้ตัวว่าได้สร้างความเข้าใจผิดอันใหญ่หลวงให้กับเขาไปแล้ว จากสัมผัสอย่างอ่อนโยน เขาใช้มือขยับปลดปล่อยให้อย่างรุนแรง จนเผลอหลุดคำว่าเจ็บออกมา

อาการทุกอย่างทุเลาลง

ด้วยความที่เหนื่อยมาทั้งวัน เปลือกตาหย่อนคล้อย เป็นครั้งแรกในรอบสามปีที่ผมหลับโดยไม่มีเขานอนอยู่ข้างกาย

ภาพและเสียงสุดท้ายที่ได้ยิน

คือเขานั่งอยู่ปลายเตียงพร้อมประคองมือข้างที่ผมกัดอย่างทะนุถนอมราวกับสมบัติล้ำค่า ด้านหลังช่างดูเหงาและเจ็บปวด ริมฝีปากประทับลงบนรอยกัดนั้น ก่อนจะพึมพำออกมาด้วยเสียงเครือสั่น

'หากรอยแผลนี้ไม่จางหายไปก็คงจะดี'


TBC


หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 3-3-62
เริ่มหัวข้อโดย: nofsnof ที่ 08-03-2019 22:19:39
เศร้าา  :m15: :m15:

อยากให้พ่อหนุ่มเบต้าเริ่มเปิดใจมากกว่านี้
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 3-3-62
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 08-03-2019 22:31:10
 :ling1:
คิดกันไปคนละทางสินะ
จะรู้ว่าใจตรงกันตอนไหนละทีนี้

 :pig4:
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (5) 3-3-62
เริ่มหัวข้อโดย: ความฝันของดอกไม้ ที่ 11-03-2019 02:02:43
เลือนรางเหมือนดั่งความฝัน

หรืออาจเป็นเพียงแค่ความฝัน

ผมตื่นมาพบกับอาการปวดตึบที่หัว อีกทั้งยังมีผ้าขนหนูเปียกแปะไว้บนหน้าผาก ร่างกายผมค่อนข้างอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก หากไม่นับเรื่องแพ้แอลกอฮอล์ ก็มีป่วยบ่อยทุกช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง แถมยาฉีดระงับอาการของอัลฟ่ายังสร้างผลข้างเคียงอย่างมหาศาล นั่นคือเหตุผลที่ผมถึงต้องคอยระวังตัวมาตลอด

ครั้งก่อนก็ต้องซมเพราะพิษไข้ไปหนึ่งเดือนเต็ม ๆ

ครั้งนี้ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ ด้วยความอายุอานามก็ไม่ใช่เด็กแล้วด้วย

ผมหันไปมองข้างกาย พบเพียงความว่างเปล่า

แววตากวาดไปทั่วห้อง ไม่พบแม้แต่เงาของเขา

"ตื่นแล้วเหรอ"

เห็นเพียงเพื่อนรักของผมที่เดินเข้ามาพร้อมถ้วยข้าวต้มเท่านั้น

"อาการเป็นไงบ้าง"

ผมหยิบผ้าขนหนูออก พลางดันตัวเองให้ลุกขึ้นอย่างฝืดฝืน

"ไม่ดีเท่าไหร่"

เวียนหัวราวกับบ้านกำลังหมุน

"ไม่ดีแล้วลุกขึ้นมาทำไม"

เพื่อนรักอีกคน เดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมชามกะละมังใส่น้ำอุ่น

"มาที่นี่ได้ไงกัน ฉันหลับไปกี่วัน"

ผมมุ่ยหน้าอย่างคุ่นเคืองและเลี่ยงที่จะตอบ โดยยิงคำถามไปแทน

"เด็กต้อยของนายโทรไปเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังน่ะสิ กว่าจะไล่ลบคลิปพวกนั้นได้ กว่าจะกลบข่าวลำบากมากแค่ไหนรู้บ้างไหม ถ้าออกข่าวขึ้นมา คิดว่าบ้านใหญ่จะอยู่เฉยเหรอ คงตามมาราวีนายถึงที่นี่แน่ นอนหลับตั้งสองวัน พวกฉันต้องปิดร้านเพื่อมาเฝ้านายอย่างที่เห็นนี่แหละ"

คำบ่นปนเป็นห่วงร่ายยาวออกมาตามสไตล์ของเจ้าตัว ก่อนจะวางชามกะละมังลง ด้วยออร่าอัลฟ่าที่แผ่ออกมาพร้อมเสียงดุแบบนี้ ทำตัวเหมือนพ่อไม่ผิด ทำให้ผมสำนึกผิดแทบไม่ทัน เผลอทำให้ลำบากอีกแล้วสินะ

"นายน่ะเงียบปากไปเลย คงมีเหตุผลใช่ไหมถึงไปในสถานที่แบบนั้น"

คราวนี้อีกคนวางถ้วยข้าวต้มลง มองผมและยิงคำถามมาบ้าง ทว่าผมกลับไม่สนใจในประโยค มองเพียงแหวนบนนิ้วนางข้างซ้ายอย่างรู้สึกอิจฉา ทำไม.. ทั้งที่เห็นมานับครั้งไม่ถ้วน  แต่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน รอยยิ้มอันอ่อนโยน พร้อมกับลูบหัวผมบางเบา ทำอย่างกับแม่กำลังปลอบลูกสาวที่โดนพ่อดุไม่มีผิด

แต่ไม่สามารถดึงสติผมกลับสู่ปัจจุบัน

จมอยู่กับความคิดพลางมองแหวนอย่างไม่ละสายตา

การสมหวังในรักแรก

น่าอิจฉา

ช่างน่าอิจฉาจริง ๆ

"เป็นอะไรไป หืม.. ทำไมหน้าอย่างกับจะร้องไห้"

เจ็บ..ทำไมความรักถึงทำให้เจ็บปวดแบบนี้

"เพราะนายนั่นแหละ เพื่อนเจอเรื่องสะเทือนใจมา กลับพูดจาอย่างนั้น"

มือผละออกก่อนจะเปลี่ยนเป็นกอดผมไว้อย่างปลอบโยน พลางต่อว่าอัลฟ่าจากหมาดราวกับพระราชา ซึ่งหงอยไม่เป็นท่าเพราะถูกภรรยาของตัวเองต่อว่า ซึ่งผมในขณะนี้ร้องไห้ไปเรียบร้อย

"ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะพูดแรง"

ไม่มีอารมณ์จะปฏิเสธว่าไม่ได้โกรธ

อาจเพราะพิษไข้จึงทำให้จิตใจอ่อนแอ ทุกอย่างมันสุมรวมกัน

แย่..

รู้สึกแย่ไปหมด ทั้งอิจฉา ทั้งสิ้นหวัง ทั้งไม่รู้จะจัดกับเรื่องนี้ดียังไง จัดการความรวดร้าวของตัวเองยังไง ผมวาดฝันเอาไว้ หากดูหนังแล้ว ก็ต่อด้วยชวนไปทะเลที่ระยอง หรือไม่ก็ภูเก็ต ไปขึ้นเขาดูดาวที่ภูกระดึง

อยากจะสร้างความทรงจำที่ดี เผื่อว่าวันรับปริญญาจะมีตัวตนของผมไปร่วมยินดีกับเขาได้

ทั้งที่มันควรจะเป็นแบบนั้น

ตื่นมาไม่พบเขา มันพาลให้ผมคิดว่าเขาคงจะเอือมระอากับคนอย่างผมแล้ว ความสัมพันธ์ดิ่งลงสู่เหว โดยไม่รู้จะฉุดขึ้นมายังไง และภาพความทรงจำสุดท้ายที่เห็นก่อนหลับไป เลือนรางเสียจนผมคิดว่ามันเป็นเพียงแค่ความฝัน

ตื่นมาพบกับความจริง ความรู้สึกของเราไม่มีทางจะตรงกัน

ช่องว่างขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถก้าวข้ามผ่านไปได้

"ร้องออกมา ร้องออกมาให้พอ"

ไม่รู้ว่าเสียงทะเลาะของสามีภรรยาหยุดไปตอนไหน หรือเสียงร้องไห้ของผมจะดังเกินไป จนกลายเป็นว่าทั้งคู่มากอดผมแน่นจนอึดอัด

คงจะรู้ ว่าเรื่องที่ผมร้องไห้ได้ขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะคำพูดต่อว่าของเพื่อน คำพูดแบบนั้นไม่ได้ทำให้ผมโกรธหรือรู้สึกอะไร สิ่งที่รู้สึกจริง คือความอัดอั้นที่ผมกดเก็บมาตลอด

ถึงจะสร้างความทรงจำอันเลวร้ายให้กับเขา

แต่ผมก็หวังว่า หากตื่นมาแล้วจะพบเขานอนอยู่ข้างกายเหมือนเช่นทุกวัน

การมีเขากลายเป็นความสุขของผมตั้งแต่เมื่อไหร่

ยังไม่พร้อม ยังไม่พร้อมที่จะให้เขาจากไป หัวใจยังไม่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง เวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนที่เหลือ ซึ่งผมขีดเส้นตายเอาไว้

จินตนาการถึงตัวเองในยามนั้นไม่ออกเลยจริง ๆ

ย้อนเวลาได้ไหม ย้อนไปวันแรกที่เราพบกัน หากรู้ว่าจะรักมากขนาดนี้

ผมไม่มีทางให้ความสัมพันธ์เริ่มต้นแบบนี้เด็ดขาด

.

.

.

อีกด้านหนึ่งของประตูห้องนอน เสียงร้องไห้โฮเสียดแทงหัวใจ สร้างความรู้สึกผิดอย่างใหญ่หลวง พร้อมกับคิดว่าตนทำเรื่องไม่สมควรกระทำลงไป ร่างกายสกปรกอย่างตนไม่อาจเอื้อม ช่องว่างเพียงเล็กน้อยซึ่งทำให้เห็นเหตุการณ์ด้านใน ภาพบาดตาเกินรับไหว ทั้งที่เขาตั้งใจรีบกลับมาจากมหาลัยก่อนคนที่นอนซมเพราะพิษไข้จะตื่นขึ้นมาจากนิทรา

แต่แล้ว..ภาพตรงหน้า

'ถึงไม่มีผม คุณก็มีคนให้กอดอีกตั้งมากมาย'

มือกำหมัดแน่น พร้อมกับขาที่ก้าวถอยห่างออกไป

ต่อให้ไม่มีผม...


TBC



หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 3-3-62
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 11-03-2019 06:27:29
 :ling1:
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (6) 13-3-62
เริ่มหัวข้อโดย: ความฝันของดอกไม้ ที่ 13-03-2019 21:28:22
ไม่มีแม้แต่สร้างความทรงจำ

ความสัมพันธ์ของเรา จากห่างเหินเป็นทุนเดิม กลายเป็นไกลห่างเกินไขว้ขว้า เรายังนอนด้วยกันทุกคืน แต่สิ่งที่แตกต่างออกไป จากคนที่ไม่ชอบกินยาแก้หวัดหรือกระทั่งยาลดไข้ ต้องจำใจกินมันเพื่อให้ฤทธิ์ยาทำให้ผมหลับลง

การกอดเขา...ความอบอุ่นจากเขา ไม่ได้ทำให้ผมนอนหลับฝันดีอีกต่อไป

มีเพียงความเจ็บปวด ซึ่งยิ่งคิดเท่าไหร่ น้ำตาคอยจะไหลออกมา

หากใคร ๆ ก็สมหวังในความรัก โลกนี้คงไม่มีคนอกหัก

อาจจะจริง ถ้าสมหวัง ผมคงไม่รู้การอกหักสามารถทำให้คนหนึ่งคนเจ็บปวดเจียนตายได้ขนาดนี้ ความผูกพันก่อเกิดขึ้นมาภายใต้ความเคยชิน บ่มเพาะจนกลายเป็นผมซึ่งรักเขามาก

เขาทำอะไรต่างจากที่ผ่านมาไหม..ก็ไม่

แล้วดันไปตกหลุมรักได้ยังไง ทุกวันนี้ผมยังสับสนกับความรู้สึกตัวเอง

รู้เพียงว่ารักไปแล้ว จะให้เลิกก็ทำไม่ได้ด้วย

วันเวลาผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์ เขาช่วงใกล้จบมหาลัยจะยุ่งนิดหน่อย ผมเองก็ยังไม่หายดี

หากเป็นเมื่อก่อน..ช่วงเวลากลางวัน ถ้าเขาอยู่บ้าน สิ่งที่เราทำร่วมกันเป็นประจำ คืออ่านหนังสือในสวนหลังบ้านบรรยากาศเย็นสบาย รายล้อมไปดอกไม้ที่เขาเป็นคนนำมาปลูกและดูแล

ผมก็อ่านในส่วนของผม

เขาก็อ่านในส่วนของเขา

แต่เรื่องที่เขามาจะอ่าน จะเป็นตำราเพิ่มพูนความรู้ทั้งนั้น

ผิดกับผมที่อ่านนิยายแฟนตาซีไปวัน ๆ

ทั้งที่เราจะไม่ได้คุยอะไรกัน แต่กลับเป็นช่วงเวลาซึ่งผมชอบมากที่สุด

และไม่ว่าผมอยู่ส่วนไหนภายในบ้าน รอบกายผมมักจะมีเขาอยู่เสมอ

สิ่งที่แตกต่างออกไปในตอนนี้ เพื่อนรักมาขลุกอยู่กับผมตั้งเช้ายันเย็น สรรหากิจกรรมมาให้ผมทำ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องคิดมาก ต่อให้เขาอยู่บ้าน รอบกายผมไม่มีเขาอีกต่อไปแล้ว

ความสัมพันธ์ผู้ซื้อกับผู้ขาย

ก็ให้มันจบแบบผู้ซื้อกับผู้ขาย

ซึ่งผมก็ผิดเองที่ไปคิดอะไรบ้า ๆ อย่างสร้างความทรงจำ

ถ้าผมไม่คิดอะไรแบบนี้ เรื่องราวคงจบลงอย่างไม่มีอะไรติดค้างในใจ

อีกหนึ่งอาทิตย์ที่เหลือ..

"คิดอะไรอยู่เหรอ"

เพื่อนรักของผมเอ่ยถามพร้อมกัน วางแก้วชาและคุกกี้ลงบนโต๊ะ เมื่อเห็นนิยายที่ผมเปิดอ่านยังอยู่หน้าเดิม อ้อมแขนแกร่งทั้งสองซึ่งโอบกอดผมจากด้านหลัง

ผมหลับตาลงเพื่อซึมซับไออุ่นนั้น

"ช่วยไปบอกเขาให้ทีสิ ว่าไม่ต้องมาที่นี่อีกแล้ว"

ในเมื่อผมเป็นคนกำหนด ก็ไม่จำเป็นที่ให้เขาอยู่ยันเรียนจบก็ได้

ทุกครั้งที่เห็นหน้า มีแต่ความเจ็บปวด ไม่รู้จะฝืนเก็บไว้ให้อยู่ข้างกายอีกทำไม บางทีเขาอาจจะอยากไปจากผมตั้งนาน คงไม่กล้าพูดออกมา

ไม่อยากจะให้เขาฝืนอยู่เพราะความเห็นแก่ตัวของผม

"แน่ใจแล้วเหรอ"

อัลฟ่าหมาดราวพระราชาถามเสียงนิ่ง

ผมพยักหน้าเล็กน้อยแทนคำตอบ

"ยังไม่ถึงเวลาที่นายขีดเส้นตายไว้ไม่ใช่เหรอ"

คราวนี้ฝ่ายภรรยาถามบ้าง

"เบื่อแล้ว"

ผมตอบไปเพียงสั้น ๆ พร้อมกับน้ำตารื้นขึ้นมาอีกรอบ

เบื่อที่จะเจ็บปวดแล้ว

การห่างจากเขา การที่ไม่ได้เห็นหน้าเขา หวังว่าจะทำให้หัวใจของเจ็บช้ำน้อยลงก็คงดี

"เงินที่อยู่ในเซฟ ช่วยหยิบไปให้เขาทีนะ สักสองสามก้อนก็ได้"

งานสมัยนี้ก็ใช่ว่าจะหาได้ง่าย อีกทั้งยังเป็นเบต้าต่อให้มีความสามารถแค่ไหนก็ยังหายากอยู่ดี แถมเขาเป็นเด็กจบใหม่ประสบการณ์ทำงานบริษัททั่วไป นอกจากฝึกงานก็คงไม่มี ถ้าไม่นับเรื่องที่เขาเคยทำงานเป็นเด็กขายในบาร์โฮส

แต่ในความจริง เขาก็อาจจะไม่ไปทำงานบริษัท ใช้ชีวิตอย่างคนทั่วไป หรือเขาอาจจะชอบทำงานนี้ก็ได้ ถึงกระนั้นผมก็อยากจะให้เขาไป เพื่อความสบายใจของตัวเอง

ถือว่าเป็นค่าบทเรียนที่มอบให้

ทำให้ผมรู้จักความรัก

ความผิดหวัง

หรือกระทั่งไม่อยากจะเห็นเขาต้องลำบาก อยากให้เขามีความสุข

โดยไม่ได้หวังว่าจะเขารู้สึกแบบนั้นกลับมา

ณ เวลานี้เขาคงกลับมาจากมหาลัย เพื่อนรักทำตามคำขออย่างไม่คัดค้าน ผมเฝ้ามองเหตุการณ์อยู่ไกล ๆ จึงไม่ได้ยินว่าคุยอะไรกันบ้าง

ไม่กล้าสู้หน้าเขา เพราะกลัวตัวเองจะร้องไห้

ด้วยความที่เขามีของติดตัวมาไม่เยอะ ก็มีแค่เสื้อผ้าและหนังสือ การเก็บของใช้ก็ไม่ได้ใช้เวลามากอะไร เดิมทีเขามีบ้านให้กลับ เพียงแค่กลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม

อย่างที่เขาเคยเป็นมา

มีแต่ผมที่ไม่มั่นใจว่าจะกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมได้หรือเปล่า

สำหรับเรา ความสัมพันธ์ของเรา ไม่ได้ลึกซึ้งถึงขนาดต้องมาเอ่ยคำลา

หวังเพียงว่า หากวันเวลาผ่านไป ยังมีผมอยู่ในเศษเสี้ยวความทรงจำของเขาบ้าง

เท่านี้ก็ดีมากมายเหลือเกิน


....
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 3-3-62
เริ่มหัวข้อโดย: DarkCat_BK ที่ 10-04-2019 20:57:04
รอนะคะ สนุก ภาษาสวย :กอด1:
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 3-3-62
เริ่มหัวข้อโดย: ป่ามป๊ามป่ามปาม ที่ 13-04-2019 17:05:56
สนุกดีค่ะ เมื่อไหร่จะหันหน้ามาคุยกันสักที
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 3-3-62
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวลูกไก่ ที่ 13-04-2019 17:58:02
ไม่เคยเจอเรื่องของอัลฟ่ากับเบต้ามาก่อนเลย แปลกใหม่มากค่ะ อยากให้เค้าคุยกันดีๆ แต่คุณเบต้าก็พูดน้อยจังเลย ถ้าไม่พูดก็ไม่มีใครรู้ความรู้สึกของตัวเองหรอกนะ ลองเปิดใจคุยกันตรงๆซักครั้งเถอะ
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 3-3-62
เริ่มหัวข้อโดย: LoveAlone ที่ 13-04-2019 18:48:58
 :hao3: :pig4:
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 3-3-62
เริ่มหัวข้อโดย: Chobreadyaoi ที่ 13-04-2019 19:23:25
ชอบพลอตจังค่ะ รอลุ้นคู่นี่อยู่


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 3-3-62
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 13-04-2019 20:05:12
ฮืออออ อ่านแล้วหน่วงๆ ตามเลย อยากให้คุยกันดีๆ จังเลยเนี่ย
ต่างคนต่างเข้าใจผิดกันหมดแล้ว
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 3-3-62
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 14-04-2019 01:07:32
รอนะคะ :o8:
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 3-3-62
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 14-04-2019 23:46:32
จะมาต่อไหมนะ
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 15-4-62
เริ่มหัวข้อโดย: ความฝันของดอกไม้ ที่ 16-04-2019 11:53:46
ความว่างเปล่า

นี่คงเป็นความรู้สึกของความว่างเปล่า..

ไม่มีอะไร ไม่อยากจะทำอะไร ตื่นเช้ามาก็ไม่รู้จะลุกขึ้นไปทำอาหารเช้าเพื่อใคร มองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าและอากาศแจ่มใส มีเสียงนกร้องเช่นทุกวัน

แต่ในสายตาผม มีเพียงความดำมืด มองไม่เห็นอะไร ข้างกายที่ไม่มีเขา มีเพียงเพื่อนรักทั้งสอง

แตกต่าง

ช่างแตกต่าง เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่จำความได้ ไอ้เรื่องกอดโตมาจนอายุปูนนี้ก็เคยทำมานับครั้งไม่ถ้วน

ลักษณะการ 'กอด' รวมทั้งอ้อมแขนที่พาดผ่านร่างกาย หรือแม้กระทั่งตบหลังผมเบา ๆ ยามหลับใหล ทำเหมือนดั่งที่เขาเคยทำ กลิ่นสบู่ อุณหภูมิก็ไม่ต่าง

แล้ว..ทำไมถึงไม่เหมือนกัน

ไม่เหมือนอย่างสิ้นเชิง อ้อมกอดของเพื่อนทั้งสองราวกับก้อนน้ำแข็งไม่อาจทำให้หัวใจหายหนาวสั่น ผ้าห่มเสมือนกับผืนน้ำเย็น ไม่ได้ช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่น ผ่านไปตั้งหนึ่งเดือนแล้วทำไม..ยังโหยหาเพียงอ้อมกอดของเขา ผมต้องจมกับความรู้สึกสิ้นหวังแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่

ยิ่งเวลาผ่านไปมีแต่จะให้ความรู้สึกเพิ่มพูน แทนที่จะลดลงอย่างที่คิดไว้

เต็มไปความด้วยความ..คิดถึง...

อยู่ไหน..

เขาทำอะไร...

ทรมานเสียกว่าตอนมีเขาอยู่ข้างกาย

อยากเจอ...

อยากเจอ....

อยากเจอ....

อยากเจอจนแทบบ้า...........

แค่นาที สักเสี้ยวนาที..

แต่ไปเจอเขาในฐานะอะไร ไปเจอเขาให้ได้อะไร ไปตอกย้ำความรู้สึกตัวเองหรือไง ทั้งที่เป็นฝ่ายบอกยุติเองแท้ ๆ แล้วทำไม ถึงกลายเป็นผมที่เจ็บปวด เหมือนหัวใจถูกคมมีดทิ่มแทงซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ในที่สุดน้ำตาร่วงลงมาเป็นสาย

อีกแล้ว

อีกครั้ง

ครั้งนี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่

เพื่อนรักต่างมองหน้ากัน ก่อนจะเข้ามากอดปลอบผมอย่างเงียบเชียบ

ไม่รู้ว่าจะจมกับความรู้สึกแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน

ถ้าเลือกได้ ผมอยากจะรักเขาต่อไป โดยที่ไม่ทำให้หัวใจเจ็บช้ำ พอจะเป็นไปได้ไหม จะมีวันนั้นไหม

บางทีการชอบหรือรักใครสักคน มักจะพัฒนามาจากจุดเล็ก ๆ

สำหรับผม..คงเริ่มจากโดนดึงดูดด้วยดวงตา

ซึ่งแววตาของเขาวันที่เราเจอกันครั้งแรก มันทำให้รู้สึกว่าไม่สามารถปล่อยเขาไปได้ หลังจากนั้นก็คงจะเป็นอุณหภูมิร่างกายที่ทำให้ผมอบอุ่น และกลิ่นร่างกายที่ทำให้ผมสบายใจ ทุกอย่างรวมกันหลอมรวมจนกลายเป็นความรู้สึกดี ชอบ สุดท้ายเป็นรัก และรักมาก

ดอกไม้ที่เขาปลูกไว้ผมยังคงปล่อยให้อยู่เหมือนเดิม แต่ไม่เคยดูแล หวังอยากจะให้มันเหี่ยวเฉาและตายไปพร้อมกับความเจ็บปวดภายในใจ

"ไม่เป็นไรแล้ว"

ผมบอกเพื่อนรักทั้งสองที่กำลังทำสีหน้ากังวล จนไม่ยอมอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปเปิดบาร์ ความจริงเจ้าพวกนี้ เป็นห่วงผมถึงขนาดจะปิดร้านมานอนเฝ้า มาอยู่เป็นเพื่อน มาคอยปลอบใจ จนกว่าจะเลิกร้องไห้ และกลัวว่าผมจะทำอะไรบ้า ๆ

อย่างเช่น ทำร้ายตัวเอง

ทั้งที่ย้ำเป็นหลายล้านรอบแล้วว่าไม่ทำ แต่ดูเหมือนจะไม่เชื่อกันเลย

แม้ความรักจะทำให้หัวใจเจ็บช้ำ แต่จะให้มันมาทำลายชีวิตไม่ได้ ชีวิตที่เพื่อนทั้งสองเคยช่วยเหลือและประคับประคองมาตลอด

จะให้มาจบเพราะความรัก เพราะคนที่เจอกันแค่สามปีไม่ได้

ผมตอกย้ำกับตัวเองเสมอ

ถึงการอกหักครั้งแรกในชีวิตจะทำให้ล้มลง

ต่อให้วันนี้เจ็บปวดเจียนตาย ต่อให้วันนี้มองไม่เห็นแสงสว่าง ผมจะพยายามเชื่อว่าสักวันมันต้องดีขึ้นแน่นอน

ถึงไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ก็ตาม

"อยู่คนเดียวได้"

ผมยืนยันอีกครั้งเมื่อเห็นทั้งคู่เดินออกมาจากห้องน้ำและแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ปิดร้านมาเป็นเดือนกว่า เดี๋ยวก็เจ๋งกันพอดี อีกอย่างการป่วยของผมก็แทบจะหายดี ไม่มีอะไรต้องห่วงอีกแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะสีหน้าที่ดูยังไม่คลายกังวล ผมจึงลอบขำออกมาเล็กน้อย

"ทำเหมือนเป็นพ่อแม่หวงลูกสาวไปได้"

ทั้งคู่เดินก้าวเข้ามาใกล้ ก่อนจะโน้มแนบริมฝีปากลงบนหน้าผาก

"ต่อให้เรามีลูกจริง จะรักลูกได้เท่าเด็กโข่งอย่างนายได้หรือเปล่า อย่าทำอะไรบ้า ๆ เด็ดขาด นึกถึงตอนที่เราป้อนน้ำ ป้อนยา ทุกครั้งที่นายป่วยให้มาก ๆ เราไม่ใช่แค่เพื่อน ตลอดมาเราเป็นครอบครัวเดียวกัน รู้อยู่แล้วใช่ไหม ถ้านายเป็นไรไป.."

น้ำตาเริ่มคลอแทบจะหลั่นริน ตอกย้ำให้รู้ว่า ผมมีความสำคัญกับพวกเขามากแค่ไหน

"อย่าคิดมากเลยน่า ไม่จำเป็นต้องร้องไห้ ปล่อยให้ฉันร้องไห้คนเดียวก็พอแล้ว"

ไม่ทันขาดคำ ผมปาดน้ำตาใบหน้าอันหล่อเหล่าทั้งสอง จากเคยเล่นพ่อแม่ลูกกันสมัยก่อน ไม่เคยคิดว่าโตมาจะกลายมาเป็นทำตัวเหมือนพ่อแม่ผมจริง ๆ แบบนี้

"ไปได้แล้วน่า ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก"

ผมลุกขึ้นจากเตียงและจูงมือทั้งสองไปส่งที่ประตูบ้าน

"พวกเราจะกลับมาไม่เกินสี่ทุ่ม" ภรรยา

"โทรมาทุกครั้งต้องรับ" สามี

"และห้ามรับช้าด้วย" ภรรยา

"เข้าใจไหม" สามี

ผมอมยิ้ม

"รู้แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก"

และย้ำไปอีกรอบ เพื่อให้ทั้งคู่มั่นใจ ว่าผมจะไม่ทำจริง ๆ สายตากังวลที่มองมาไม่ขาด จนผมต้องเป็นฝ่ายเปิดประตูและดันหลังให้ออกไปจากบ้านถึงจะยอม

เมื่อมองส่งรถคันหรูสีดำจนลับสายตา

รอบยิ้มบนใบหน้าหุบไปทันที

ทำให้ตัวเองหมดสภาพ ทำให้เพื่อนเป็นห่วง จะทำให้ตัวเองเป็นแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่

ลมหายใจพ่นออกมายาวเหยียดอย่างเหนื่อยล้ากับทุกสิ่ง ไม่อยากจะให้เพื่อนรักต้องเศร้าไปด้วย ไม่อยากจะให้พวกนั้นมาคอยกังวลเรื่องผมมากกว่าเรื่องของตัวเอง ไม่อยากจะเห็นน้ำตาของทั้งคู่อีกแล้ว

ต้องกลับมาเป็นคนเดิม คนที่ไม่เคยสนใจอะไร

ผมจะไม่พยายามลืม แต่จะเก็บเขาไว้ในส่วนลึกความทรงจำ

ว่าครั้งหนึ่งผมเคยได้รักใครสักคนมากเท่าชีวิตของตัวเอง

จะมามัวนอนซม ร้องไห้ คลุกตัวอยู่บนเตียงไม่ได้ ต้องทำให้เห็นว่าผมไม่เป็นอะไร ต้องทำให้เห็นว่าผมอยู่ได้ เพื่อให้คนรอบข้างจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงอีก

ทว่าหากมันทำได้ง่ายอย่างที่คิด..คงไม่เป็นแบบนี้

ณ ตอนนี้คงต้องหาอะไรทำ จนกว่าพวกนั้นจะกลับมา จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่คิดมาก นับตั้งแต่วันที่เขาไป นี่เป็นครั้งแรกที่ผมอยู่คนเดียว ว่าแต่จะทำอะไร..จิตใจไม่คิดอยากจะทำอะไรเลยด้วยซ้ำ

ลมหายใจที่ถอดถอนออกมาอีกครั้งอย่างเบื่อหน่าย

ขาที่หันหลังกำลังจะกลับเข้าไปในบ้าน แต่ไม่ทันไรมือใหญ่อันคุ้นตาได้จับบานประตูนั้นไว้

แรงฉุดกระชากข้อมือให้เดินเข้าไป

พร้อมปิดประตู

ขาก้าวตามโดยไม่ได้แข็งขืน ไม่คิดจะขัดขืนเลยมากกว่า เฝ้าแต่เหม่อมองใบหน้าที่เจอจนแทบบ้า แววตาผมในตอนนี้คงเต็มด้วยความรู้สึกที่โหยหา กลิ่นแอลกอฮอล์โชยมา แรงกระแทกของร่างกายปะทะเตียงทำให้สติผมกลับคืน พร้อมกับเงินแบงค์พันที่ถูกขว้างจนปลิวว่อนไปทั่วห้อง

"ขอซื้อตัวคุณบ้างได้ไหม! "

ผมนิ่งอึ้งอย่างไม่เข้าใจสถานการณ์ ใบหน้าของเขาถึงจะนิ่งเฉยแต่แฝงไปด้วยความอ่อนโยน ทว่าในตอนนี้กลับกลายเป็นโกรธเกรี้ยวและเย็นชา

"ไม่พอเหรอครับ"

ยังไม่ทันได้ตอบอะไร มือใหญ่หยิบสมุดบัญชีออกมาจากในกระเป๋า ก่อนจะขว้างมาอีกครั้ง ผมจำเล่มนี้สมุดบัญชีได้ดี ด้วยความอยากรู้ ผมจึงเปิดดู จึงพบว่าจำนวนเงินด้านใน เป็นเงินที่ผมโอนให้ทุกเดือนอย่างที่คิดไว้ ทว่าเขาไม่เคยใช้มันแม้แต่บาทเดียว

"พอไหมครับ"

คำถามทำให้ผมเงยขึ้นประจันหน้ากับเขาอีกครั้ง

"เงินทุกบาททุกสตางค์ที่เคยให้ ผมขอคืนให้คุณ"

สิ้นคำเขาก้าวขึ้นมาบนเตียง ในขณะที่ผมเริ่มขยับถอยหลัง ด้วยแววตาคมกริบราวกับราชสีห์จ้องขย้ำเหยื่อ เยือกเย็นจนน่าหวาดกลัว ร่างกายจึงขยับหนีไปเอง ผมไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อน ไม่เคยรับมือกับสถานการณ์อย่างนี้ ไม่รู้ว่าต้องพูดหรือต้องทำอะไร

หลังที่ชนเข้ากับหัวเตียง และเขาที่ห่างเพียงเอื้อมมือ การหักห้ามใจไม่โผเข้าไปกอดช่างยากเย็น  จนเผลอเอามือไพล่หลังเอาไว้เพื่อซ่อนความรู้สึกอันแท้จริง ทั้งที่ใกล้ขนาดนี้ อยากจะกอดแต่ทำไม่ได้

เราต่างก็นิ่งอยู่หลายวินาที เมื่อรู้ว่าผมกลัว แววตาของเขาค่อย ๆ อ่อนลง เปลี่ยนมองผมอย่างเฟ้าหาคำตอบแทน

"ทำไม.. เพราะอะไร ผมทำอะไรผิดเหรอครับ"

ใบหน้าเบี่ยงหลบสายตาไปเองโดยอัตโนมัติ เกรงว่าหากยิ่งมองจะทำให้ผมหลุดปากบอกว่าชอบเขาออกไป

"หรือเป็นเพราะเรื่องคืนนั้นเหรอครับ"

ม..ไม่ใช่ ไม่เกี่ยวกับเรื่องคืนนั้น ทุกอย่างมันเป็นเพราะผม เพราะดันไปชอบเขาเอง..

"พูดอะไรบ้างสิครับ"

เขาขยับเข้ามาใกล้จนระยะห่างเกือบประชิด

"ผมจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว!!!"

เหมือนความอดทนของเขาถึงขีดสุด มือยกขึ้นมาบีบบริเวณต้นแขนของผม พร้อมเสียงที่ตวาดดังลั่นราวกับกดเก็บอารมณ์ที่กำลังเดือดพล่านเอาไว้ไม่อยู่

"มองผมสิ พูดอะไรบ้างสิ!"

"เพราะผมเป็นเบต้าเหรอ!"

"เพราะผมเป็นผู้ชายเหรอ!"

"เพราะผมขายตัวเหรอ!"

"เพราะผมสกปรกเหรอ!"

"เพราะอะไร"

"ตอบมาทีสิ"

เขายิงคำถามระรัว ไม่เปิดโอกาสให้ผมได้พูดอะไร ว่าทุกอย่างมันไม่ใช่อย่างที่เขาคิด

นัยน์ตาของเขาเริ่มแดงกร่ำ

"บอกผมทีสิ บอกผมให้เข้าใจสักที"

แรงบีบคลายลง เปลี่ยนเป็นจับต้นแขนของผมไว้อย่างสั่นเทิ้มแทน

"คิดว่าผมไม่มีหัวใจเลยหรือไง"

ริมฝีปากซึ่งเม้มแน่นและสั่นไหว ก่อนมือใหญ่ค่อย ๆ เข้ามาสัมผัสที่แก้มของผมอย่างกล้ากลัว ออกแรงเล็กน้อยเพื่อให้หันมาสบตากัน

สีหน้าและแววตาที่กำลังเจ็บปวด

"บอกผมที บอกผม.."

จากอาการของเขาที่เป็นอยู่ตอนนี้ ผมไม่ได้คิดไปเองใช่ไหม จากคำพูดและท่าทีทำเหมือนกับว่าความรู้สึกของเราตรงกัน

บอกได้แล้วใช่ไหม.. ความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ภายในใจของผม

สามารถบอกเขาได้แล้วใช่ไหม..

แต่เขาไม่ได้ทิ้งจังหวะให้ผมได้พูดอะไร นัยน์ตาของเขาทำให้ผมตกอยู่ในภวังค์ กายใหญ่เริ่มโน้มลง ระยะห่างใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอันอบอุ่น ผมหย่อนเปลือกตาลงน้อมรับสัมผัสนั้น

กลิ่นแอลกอฮอล์ซึ่งลอยเข้ามากระทบจมูกอีกครั้ง

"จูบไม่ได้!!"

ด้วยความตกใจ ผมจึงผลักเขาออกไปเต็มแรงอย่างไม่รู้ตัว

แววตาของเขาลุกโชนด้วยความโกรธ

"มะ.. มันไม่ใช่อย่างที่เธอคิดนะ"

ผมรีบปฏิเสธทันที ว่าการกระทำเมื่อกี้ไม่ได้เป็นเพราะรังเกียจ แต่เขาไม่รับฟังคำพูดใดจากผมอีกต่อไป แบงค์พันรอบกายถูกยัดเข้ามาในปาก พร้อมแรงกดที่ทำให้นอนคว่ำนาบไปกับเตียง

เสื้อเชิ้ตถูกกระชากออก ก่อนจะใช้มันมัดมือของผมเอาไว้

กางเกงซึ่งถูกถอดออกตามไป พร้อมกับแก่นกายสวนเข้ามาโดยไร้ซึ่งการเตรียมการ ผมกรีดร้องในลำคออย่างเจ็บปวดประกอบกับน้ำตาที่กำลังไหลพราก

"ทำไมกับผู้หญิง คุณถึงทำได้"

"ทำไมกับผม คุณถึงทำไม่ได้"

ผมไม่รู้ว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องใด จากน้ำเสียงอันสั่นเครือ พร้อมกับการกระทำที่รุนแรง ทำให้ผมเข้าใจความรู้สึกของเขาอย่างดี ว่าในตอนนี้กำลังเจ็บปวดมากแค่ไหน

อย่างน้อย

อย่างน้อย ๆ หากฟัง.. รับฟังคำสารภาพจากผมบ้าง หรือถ้าผมพูดให้เร็วกว่านี้ เรื่องคงไม่ลงเอยแบบนี้ ต่อให้ไม่มัด ผมก็ไม่คิดจะขัดขืน อยากจะกอดเขาไว้ให้แน่น ให้หายคิดถึงด้วยซ้ำ

เขาโกรธจนไม่ยอมแม้แต่จะฟังอะไร ขยับกายท่อนล่างตามอำเภอใจพร้อมไล่บรรจงจูบบริเวณต้นคอ

เป็นสัมผัสอันหอมหวานและตราตรึง

เสี้ยววินาทีคมเขี้ยวถูกฝังลงไปอย่างเต็มแรง กลิ่นเลือดลอยคละคลุ้งในอากาศ

"ผมรู้ดีว่ารอยกัดของเบต้า ไม่มีผลอะไรกับอัลฟ่า"

"ผมรู้ดีว่าเป็นเพียงรอยแผล ที่ไม่นานก็จางหายไป"


TBC



หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 3-3-62
เริ่มหัวข้อโดย: nofsnof ที่ 18-04-2019 17:08:02
 :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 3-3-62
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 18-04-2019 20:34:54
 :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 3-3-62
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 19-04-2019 05:44:23
ปากหนักกันจริงๆ  :sad4:
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (9) 20-4-62
เริ่มหัวข้อโดย: ความฝันของดอกไม้ ที่ 20-04-2019 04:57:41
คมเขี้ยวฝังลึกพร้อมความเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่าง

เพียงชั่วครู่ กลับมีความรู้สึกบางอย่างแทรกแซงเข้ามา พาลทำให้หัวใจเต้นระส่ำอย่างไม่เคยเป็น ลิ้นชื้นโลมเลียบริเวณบาดแผลพร้อมช่วงล่างขยับระรัว ราวกับตอกย้ำตัวตนของเขาให้ฝังลึกลงไปเหมือนรอยคมเขี้ยวที่ต้นคอ

ความรู้สึกทุกอย่างที่ถูกปลดปล่อย

จุดที่เชื่อมต่อกัน

ภายในตัวของผม ซึ่งเต็มไปด้วยความอุ่นของเขา

เสียงหอบหายใจหลุดออกมาเป็นระลอก เขาถอนร่างกายออกเล็กน้อย..ฝ่ามืออันสั่นไหวยกเกลี่ยปัดไรผมบนใบหน้า แววตาฉ่ำวาวมองมาราวกับจะพูดเรื่องสำคัญ

ทว่า..

ริมฝีปากเม้นแน่นดั่งตัดสินใจจะไม่เอื้อนเอ่ยคำนั้น พลางโน้มลงอีกครั้ง ก่อนรวบร่างไปกอดแนบกายด้วยแรงทั้งหมดที่มี ผมหย่อนเปลือกตาลง เพื่อซึบซับกลิ่นอายอันคุ้นเคย อ้อมแขนอันแสนคิดถึง และไออุ่นที่โหยหา

ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะหยุดเวลานี้ไว้ตลอดไป

หากเขาเปิดโอกาสให้พูด มีหลายสิ่งที่อยากจะบอก

หากเขาเปิดโอกาสให้พูด ผมจะไม่ลังเลที่จะเอ่ยว่ารักเขาแค่ไหน

ไม่จำเป็นต้องรู้สึกแย่หรือโทษตัวเองกับสิ่งที่ทำลงไป เพราะทุกอย่างมันคือการ 'ยินยอม' และพร้อมใจแต่ 'โดยดี'

ต่อให้ทำได้ ผมก็ไม่คิดจะแข็งขืน

ต่อให้ร่างกายจะปวดร้าวระทม ครั้งแรกในชีวิตที่มอบให้เขา ไม่มีอะไรที่จะทำให้มีความสุขไปมากกว่านี้อีกแล้ว

ฉะนั้น...

ความรู้สึกที่มีบางอย่างหลั่งไหลออกมากระทบแผ่นหลัง ราวกับกำลังบอกความนัยผ่านหยดน้ำตาเหล่านั้น

'เธอไม่จำเป็นต้องนึกเสียใจอะไร..'

'ไม่จำเป็นเลย..'

อยากจะขอโทษที่ทำให้เจ็บปวด อยากจะยกแขนขึ้นมากอดตอบก็ทำไม่ได้ มีเพียงเสียงสะอื้นซึ่งแทรกขึ้นมาทำลายความเงียบ

ยิ่งได้ยิน มันยิ่งเสียดแทงไปถึงหัวใจ

ผมตั้งใจถอยห่างออกมาเพราะอยากเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของเขา ไม่ใช่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาอย่างนี้

ผิดทุกอย่าง

สิ่งที่ผมคิด มันผิดไปหมดทุกอย่าง

คิดว่าสิ่งที่ผมทำไป จะทำให้เขามีความสุข จะทำให้เขามีอิสระ อยากไปไหนก็ไป มีเงินใช้จ่ายของที่อยากได้ ไม่ต้องมาคอยวนเวียนอยู่กับผม ที่มีชีวิตไปวัน ๆ ไม่มีความฝันหรือเรื่องที่อยากทำเป็นพิเศษ

คิดว่าน่าจะมีความสุข กลับทำให้เขาเป็นทุกข์

ร่างกายยังดูซูบผอมราวกับคนที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องนอกจากแอลกอฮอล์

แถมขอบตาดำคล้ำ ราวกับคนอดนอนติดต่อกันเป็นเวลานาน

อาจเป็นเพราะผมมองเห็นแค่ความรู้สึกของตัวเอง

คิดแต่เรื่องของตัวเอง

คิดแต่จะทำยังไงไม่ให้ตัวเองเจ็บปวด บีบคั้นจนทำให้เขาต้องทำและเป็นแบบนี้

เห็นแก่ตัวสิ้นดี

ก่อนจะบอกรัก อยากจะขอโทษ ขอโทษจากใจ

เสียงโทรศัพท์ที่ดังมาได้สักพัก

หวนนึกถึงคำพูดของเพื่อนรักก่อนที่จะออกจากบ้านไป

แย่..

หากไม่รับสายตอนนี้

ต้องแย่แน่ ๆ

แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร

บานประตูเปิดออก

ทำให้แววตาเราทั้งคู่มองไปยังจุดเดียวกัน

เสี้ยวนาทีตัวเขาถูกแรงกระชากจากด้านหลังกลิ้งกองไปกับพื้น ไม่มีคำถามอันใด มีเพียงหมัดหนักของอัลฟ่าหมาดราวกับพระราชา กระหน่ำชกเข้าใบหน้าอย่างโกรธเกรี้ยว

ส่วนภรรยาปรี่เข้ามาที่เตียง แก้มัดที่ข้อมือและค่อย ๆ นำแบงค์พันออกจากปากพลางกอดผมแน่นอย่างเป็นห่วง ปลอบประโลมว่าไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไร เรามาช่วยแล้ว และกดโทรหาเรียกรถพยาบาลทันที

เราสบตากัน

เขาไม่คิดแม้แต่จะตอบโต้มองเพียงผมอย่างไม่ลดละ มองอย่างสิ้นหวังพร้อมกับหยดน้ำใสหลั่งไหลออกมาอาบแก้ม

ทั้งที่อยากจะบอกเพื่อนทั้งสองให้หยุด

และไม่เป็นอย่างที่คิด

แต่ร่างกายมันดันหนักอึ้ง ไม่มีแม้แต่แรงที่จะเปล่งเสียงกล่าวห้าม

ขอโทษนะ

ขอโทษ

ภาพตรงหน้าเลือนราง

ก่อนทุกอย่างจะดับวูบไป


....................

ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

ทั้งที่ใจจริงคิดว่าน่าจะไม่รอด

ภาพเพดานสีขาวคุ้นตากับกลิ่นยาตลบอบอวล สถานที่ซึ่งอยู่ในตอนนี้คงไม่ต้องเดา ยังไงก็เป็นโรงพยาบาล ความรู้สึกแรกปะทะเข้ามาคือความเจ็บปวดแทบทุกส่วน บวกกับอาการคันหยุบหยิบทั่วบริเวณที่เขาประทับรอยสีแดงฉานบนร่างกาย

รสสัมผัสที่ยังคงตราตรึงร้อนผ่าวไปทุกอณู

ความรู้สึกของเราตรงกัน ทำให้ผมเผลอยิ้มขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว

ผมกวาดมองไปรอบห้องหวังว่าจะมีเขานั่งอยู่ข้าง ๆ

แต่พอนึกขึ้นได้ถึงความทรงจำสุดท้ายก่อนสลบไป การที่จะมีเขาอยู่ข้างกาย ความเป็นไปได้เท่ากับศูนย์เปอร์เซ็น

แววตามองทั่วห้องแบบละเอียดอีกครั้ง

เขาล่ะ

เขาอยู่ไหน

ก่อนจะลุกพรวดพราดพร้อมกับความเจ็บจี๊ดโลดแล่นที่ศรีษะ จนหายใจไม่เป็นจังหวะ เสียงหอบหลุดออกมาเป็นระยะ ทำให้เพื่อนรักฝ่ายภรรยาที่นั่งอยู่บนโซฟากำลังอ่านอะไรบางอย่างหันมองอย่างตกใจ ก่อนจะรีบวิ่งเข้ามา

"ทำบ้าอะไรเนี่ย อยู่ ๆ จะลุกขึ้นมาทำไม"

พร้อมกับเสียงบ่นแกมเป็นห่วง

"เอ้า กินน้ำก่อน"

ไม่พูดเปล่าพลางยื่นแก้วมาให้ ผมรีบตักตวงเข้าร่างกาย ลำคอแห้งผาดราวกับไม่ได้กินหรือดื่มอะไรมาหลายวัน เมื่ออาการเข้าที่เข้าทาง เพื่อนรักไม่ทันได้ตั้งคำถามอะไร ผมยิงคำถามอย่างเร่งร้อน

"เขาล่ะ เขาไปไหน อยู่ไหน เป็นยังไง.."

บุคคลตรงหน้า ถอนหายใจอย่างเอือมระอา แทนที่จะเป็นห่วงร่างกายของตัวเอง ที่เพิ่งผ่านการเฉียดตายมาหมาด ๆ ดันถามถึงแต่เจ้าตัวปัญหา อย่างไม่สนว่าคนรอบข้างจะเป็นห่วงแค่ไหน

"ยัดเข้าซังเตไปแล้ว"

ผมอ้าปากค้างกับคำตอบที่ได้รับ

"...คดีอาญา ข้อหาบุกรุก ทำร้ายร่างกาย และข่ม---"

"ยินยอม!!!!"

ยังไม่ทันจบประโยค

"มันคือการยินยอม"

ผมสวนขึ้นมาทันควันอย่างเสียงดังสนั่น จนลืมนึกถึงบาดแผลบริเวณปากที่โดนแบงค์พันบาดและอาการเจ็บคอที่มีอยู่เป็นทุนเดิม ทำให้ไอคอกแคกจนตัวโยน

"ใจเย็นสิ"

มือบางตบหลังปุ ๆ สองสามครั้ง ก่อนทรุดนั่งลงข้างเตียงอย่างจำยอม

"ยังไม่ได้ดำเนินคดี แค่ฝากขังเอาไว้ก่อน ขึ้นอยู่กับคำพูดของนายนั่นแหละ"

คำพูด ?

"จะเอายังไงล่ะ"

"ปล่อยตัว"

ผมตอบอย่างไม่ต้องคิด

"แล้วเขา..เจ็บมากหรือเปล่า"

ก่อนถามเสียงอ่อนเมื่อหวนถึงเหตุการณ์นั้นได้ หมัดของเจ้าอัลฟ่านั่นหนักมากด้วยสิ

"ห่วงตัวเองก่อนไหม"

แววตาที่จ้องมองราวกับต่อว่า

"เกือบตายจริง ๆ นะรู้ไหม ถ้าพวกฉันไปช้ากว่านี้.. หมอบอกว่าเพราะได้รับยาแก้แพ้แอลกอฮอล์อย่างทันเวลาไม่งั้นตายคาอ้อมกอดไปแล้ว"

"แถมยังหลับไปตั้งสามวันเพราะความเจ็บปวดทางร่างกายและอาการเหนื่อยล้าสะสม"

"รู้บ้างไหม รู้บ้างไหม..ว่าพวกเราเป็นห่วงแค่ไหน นึกถึงความรู้สึกของพวกเราบ้าง"

ก่อนจะเปลี่ยนเป็นตัดพ้ออย่างน้ำตาคลอ สร้างความรู้สึกผิดจนล้นใจ

"ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง"

อ้อมแขนยกโอบกอดคนข้างกายโดยไม่สนสายน้ำเกลือระโยงระยาง เพื่อหวังว่าจะหยุดยั้งน้ำตานั้นได้ แต่สุดท้ายก็ไม่เพื่อนรักปล่อยโฮออกมา บ่งบอกว่ากลัวจะเสียผมไปมากเท่าไหร่

หนึ่งเดือนที่ผ่านมา หากผมตัดสินใจจะทิ้งหรือทำร้ายชีวิตตัวเองลงไป หรือตัดช่องน้อยแต่พอตัว คงไม่รู้ว่าจะมีวันที่ทำให้ผมมีความสุข คงไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วความรู้สึกตรงกัน

และคงไม่รู้ว่าการสมหวังในรักครั้งแรกจะทำให้หัวใจพองโตขนาดนี้

ไม่รู้ว่าใช้คำว่าสมหวัง มันเร็วไปหรือเปล่า

แต่...ถ้าเราได้คุยกันอีกครั้ง..

ผมเชื่อว่า..

"ปล่อยได้แล้ว เจ้าบ้า"

ร่างที่อยู่ใต้วงแขนดันออกเล็กน้อยพร้อมปาดน้ำตา ดึงสติผมกลับมาสู่ปัจจุบัน และก็ผมยอมปล่อยแต่โดยดี

"ทั้งที่มีใจคิดถึงกันขนาดนี้ แต่ทำอะไรอ้อมโลกกันไปได้"

เสียงบ่นอุบอิบที่ดังตามมาทีหลัง ทำให้ผมหงอยไม่เป็นท่า อย่าซ้ำเติมนักจะได้ไหม แค่นี้ก็เจ็บใจจะตายอยู่แล้ว

"แต่ก็นะ.."

"เมื่อจุดยืนต่างกัน ไม่แปลกหรอกที่ความคิดจะสวนทาง"

"อย่าคิดมากไปเลย เอานี่ไปอ่านซะ ระหว่างรอเวลา เดี๋ยวโทรให้เจ้านั่นไปเอาตัวเด็กต้อยของนายออกมาจากห้องขังก่อน"

สมุดเล่มหนาสีดำทะมึนถูกยื่นมาให้ ผมรับมาอย่างแปลกใจ แต่ยังไม่ทันได้ถาม หันไปอีกทีเพื่อนรักก็ไปยืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่ระเบียง

มือเปิดสมุดอย่างไม่ได้คิดอะไร

ทว่า..

เพียงบรรทัดเดียว..

แค่อ่านบรรทัดเดียว

บรรทัดเดียวเท่านั้น กลับทำให้น้ำตาหล่นไหลออกมาอย่างไม่อาจสกัดกลั้นได้

ทุกถ้อยคำ

ทุกตัวอักษร

ทุกเรื่องราวที่กลั่นกรองออกมาจากหัวใจ

ทุกอย่างถูกบรรจงเขียนขึ้นมาล้วนเป็นเรื่องราวของผม บรรยายความรู้สึกที่อัดแน่น ความเจ็บปวดที่เขาได้รับ บางหน้ามีรอยน้ำตาหยดเป็นดวงจนตัวหนังสือเลือนราง และสิ่งที่น่าตกใจไปกว่าบันทึกซึ่งลงวันที่ครั้งแรกตั้งแต่เมื่อหกปีก่อน

ทั้งที่ความจริงสำหรับผม เราเพิ่งรู้จักกันได้เพียงสามปี

ช่วงเวลาก่อนหน้านั้น เขาทำได้เพียงแอบมองจากอีกฟากหนึ่งของถนนอยู่เสมอ

ร้านที่เขาทำงานอยู่ตรงข้ามกับบาร์ของเพื่อนรักทั้งสอง

และผู้หญิงที่ผมมักจะซื้อมานอนด้วยอยู่เป็นประจำ ก็มาจากร้านที่เขาทำงานอยู่ทั้งนั้น

ทุกอย่างที่ผมเคยสงสัยในตัวเขา

ทุกอย่างที่ผมเคยตั้งคำถาม

ณ เวลานี้ผมได้คำตอบและเข้าใจถ่องแท้

ทำไม..เขาถึงพูดแค่คำว่า 'ครับ' กับ 'ไม่ครับ'

เพราะกลัวจะหลุดอาการว่ารักออกมา

ทั้งที่รัก..

ทำไม..เขาถึงซ่อนเก็บเอาไว้อย่างมิดชิด

เพราะกลัวว่า หากผมรู้แล้วจะโดนเลิกจ้างทันที ซึ่งมันก็เป็นเรื่องจริงกับผู้หญิงที่ผ่านมา..ผมทำแบบนั้น

ทำไม..วันที่เราไปดูหนังด้วยกัน เขาถึงจงใจเดินห่างไกล

เพราะไม่เหมาะสมที่จะเดินข้างกาย..

นิ้วหัวแม่ที่เปิดพลิกหน้าต่อไป

ประโยคที่เห็นทำให้ผมนิ่งอึ้งชั่วครู่

ก่อนจะมือยกขึ้นปิดหน้าและร้องไห้ออกมาสุดเสียง

เป็นประโยคที่ทำให้ผมปวดระทมจนทนอ่านต่อไม่ไหว

'ร่างกายของผมสกปรกเกินไป ไม่คู่ควรที่จะพูดว่า .. รักคุณ'

อึก..ให้ตายสิ

เธอคิดแบบนี้มาตลอดเลยอย่างนั้นเหรอ

นี่คือเหตุผลสินะ ที่ตอนนั้นเธอถึงคิดจะไม่พูดมันออกมา

บ้าชะมัด

เธอคิดแบบนี้มาตลอดเลยอย่างนั้นเหรอ

เธอมองตัวเองเป็นแบบนี้มาตลอดเลยสินะ

สกปรกอะไรกัน

บ้าบอสิ้นดี

แต่เมื่อเรื่องมันเลยเถิดมาถึงขั้นนี้

เวลามันย้อนไม่ได้ สิ่งที่ทำได้ ก็มีแต่ทำปัจจุบันไม่จำเป็นต้องดีที่สุด แต่จะทำให้คุ้มค่าที่สุด

ถ้าเราได้คุยกันอีกครั้ง..

ผมเชื่อว่าความสัมพันธ์ของเราต้องเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน


TBC


หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 20-4-62
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 20-04-2019 05:49:57
แพ้อะไรเนี่ยถึงขนาดหลับไปสามวัน

อยากให้พูดกันเร็วๆจัง   :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (10) 28-4-62
เริ่มหัวข้อโดย: ความฝันของดอกไม้ ที่ 28-04-2019 00:05:04
ถ้าเราได้คุยกันอีกครั้ง..

ความสัมพันธ์ก็จะเปลี่ยนไป ริมปากระบายยิ้มน้อยยิ้มใหญ่หลังจากได้ยินว่าเขาใกล้จะมาถึงอีกในไม่ช้า หน้าบานจนเพื่อนรักถึงกับเอยปากแซว ทว่าผมไม่ได้สนใจ เอาแต่กอดสมุดสีดำไว้แนบกาย เปรียบดังสมบัติค่ามากกว่าแก้วแหวนเงินทองมากกว่าทุกสิ่งอย่างบนโลก

หัวใจที่เต้นโลดแล่น

จากสายตาของเพื่อน ผมคงเป็นไอ้บ้าแน่ ๆ เดี๋ยวยิ้ม เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวเขินอยู่คนเดียว

แต่มันช่วยไม่ได้นี่นะ

ผมก็ไม่คาดไม่ฝันเหมือนกัน ว่าความรู้สึกของเราจะตรงกันแบบนี้ ด้วยช่วงอายุซึ่งแตกต่าง นั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่ผมไม่คิดจะบอกความนัยของตัวเองออกไป เขายังมีโอกาสเจอใครอื่นอีกตั้งมากมาย หน้าตาเขาถือว่าดูดี ถ้าไม่อย่างนั้นคงทำอาชีพอย่างว่าไม่ได้

แต่สุดท้ายเรื่องราวที่ถูกเขียนไว้กลับเป็นคำตอบของทุกอย่าง มันทำให้ผมมองข้ามเรื่องอายุ

ในความคิดของเขา ผมกลายเป็นของสูงที่ไม่อาจเอื้อม และคิดว่าสวรรค์เมตตาในวันที่เขาแทบจะทิ้งทุกสิ่ง กลับเป็นวันที่ผมฉุดเขาขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว แถมพลั้งปากซื้อเขามานอนกอดทุกคืน

ผมกลายเป็นเหตุผลในการมีชีวิต

ระมัดระวัง ไม่ให้ทราบถึงความรู้สึกอันแท้จริง

ซึ่งถ้าย้อนไปที่จุดเริ่มต้น หากเขาแสดงอาการว่ารักผมแม้แต่ครั้งเดียว เราคงเดินมาไม่ถึงจุดนี้

จุดที่เรามีความรู้สึกตรงกัน

เราต่างก็มีรักครั้งแรก ไม่แปลกเลยที่การแสดงออกจะดูเงอะงะกันทั้งคู่

ต่างคน ต่างคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่รักตัวเอง ถึงกลายเป็นอะไรอ้อมโลกกันแบบนี้

"ฉันล่ะอิจฉาจริง ๆ ที่มีคนเขียนความรู้สึกถึงนายจนเอ่อล้นทะลัก ถ้าพูดถึงเจ้างี่เง่าล่ะก็ 10 ปี พูดว่ารักครั้งหนึ่ง อยากจะบ้า"

หลังจากเงียบอยู่นาน เห็นผมกอดสมุดนั่นไม่หยุดสักที จึงตัดพ้อเรื่องของตัวเองออกมา ทำให้ผมหลุดจากห้วงความคิด อะไรกันคนที่น่าอิจฉาคือพวกนายแท้ ๆ จะมาอิจฉาทางนี้ทำไม ถึงไม่พูดก็แสดงออกให้เห็นชัดอยู่แบบนั้น

"ใกล้ถึงหรือยัง"

ผมขอไม่ออกความเห็น และยิงคำถามไปแทน

"แหม เอ่ยปากมาก็ถามถึงเด็กต้อย อะไร ๆ ก็เด็กต้อย ถ้ารู้ว่าจะยุ่งยากแบบนี้ล่ะก็ รู้งี้พวกฉันบอกความรู้สึกของนายตั้งแต่แรกไปซะก็ดี"

คำพูดที่เล่นทีจริง

"ถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันคงโกรธ"

แต่ผมตอบกลับไปด้วยสีหน้าจริงจัง

หากจะบอกว่ารัก ผมอยากจะให้เขาได้ยินจากปากผมเป็นคนแรก

ผมรู้ว่าเพื่อนหวังดีในแบบของพวกเขา ไม่อยากเห็นผมเจ็บปวด ไม่อยากเห็นผมร้องไห้ ไม่อยากเห็นผมเป็นแบบนี้

เพื่อนที่คอยช่วยเหลือ ประคับประครองกันมามากมาย ความจริงผมอาจไม่มีสิทธิ์โกรธอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าทำจริงผมคงผิดหวังน่าดู

คำว่า 'รัก' ที่เขารู้จากคนอื่น

คำว่า 'รัก' ที่ถูกพูดออกไปในวันที่ผมไม่พร้อม

ถ้า Say Yes ก็ดีไป

แต่ถ้า Say No ผมคงไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง

และคงเป็นวันที่ผมไม่เหลือใคร แม้กระทั่ง 'เพื่อน'

ต่อให้รู้ว่าหวังดี แต่มันเป็นความหวังดีที่ผมไม่ต้องการ

ผมมองอีกคนที่กำลังฟุบหน้าลงเตียงอย่างไม่วางตา

"รู้น่า ยังไม่ได้พูดอะไรไปสักหน่อย แค่เอาสมุดสีชมพูอ่อนในลิ้นชักที่ล็อคกุญแจไว้อย่างดี ไปให้เด็กต้อยของนายอ่านเท่านั้นเอง ไม่เห็นต้องทำหน้าแบบนั้นเลย เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งสามสิบกว่าปี สิ่งที่นายคิดทำไมจะไม่รู้ นายโกรธทีไรน่ากลัวจะตาย"

ก่อนจะพูดพึมพำในลำคออย่างสำนึกผิด ผมได้แต่อ้าปากค้าง

สมุดสีชมพูอ่อนที่ว่า

ก็เหมือนกับเขา สิ่งที่อัดแน่นภายในใจ หากไม่ระบายออก ก็คงอกแตกตายกันพอดี สมุดที่เต็มไปด้วยคำสารภาพรักและความรู้สึกของผมที่มีต่อเขา

หากเราเจอหน้ากันและพูดคุยกันอีกครั้ง

ผมไม่รู้เลยว่าจะเริ่มจากจุดไหนก่อน

อยากจะบ้าชะมัด

เสียงฝีเท้าที่หยุดอยู่บริเวณประตูหน้าห้องก่อนที่จะเปิดออก ผมจ้องมองอย่างใจเต้นระส่ำ ริมฝีปากระบายยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว

แต่เมื่อเห็นผู้ที่เปิดประตูเดินเข้ามา ไม่ใช่บุคคลที่ผมรอคอยรอยยิ้มหุบไปในทันที พร้อมกับคิดว่าโอกาสที่เราจะได้คุยกันอีกครั้ง

มันอาจจะไม่มีอีกแล้ว

.

.

"คุณชายสี่ คุณชายห้า"

เพื่อนรักอุทานออกมาอย่างตกใจ ก่อนจะลุกยืน โค้งกายทำความเคารพอย่างเผลอตัว เพราะความเคยชินที่ทำแบบนี้มาตลอดสิบห้าปี

ผมจ้องมองคนที่ใส่เสื้อผ้ายี่ห่อหรู ท่าทางหยิ่งผยอง อย่างไม่สบอารมณ์

"มาทำไม"

ก่อนจะถามเสียงกร้าว คิดว่าตนวิเศษวิโสมาจากไหน เวลาที่ผมเจอคนจากบ้านใหญ่ทีไรมักจะไม่มีเรื่องดีตามมาเลยสักครั้ง ถึงแม้ผมจะตัดขาดออกมาแล้ว ไม่รับมรดกอะไรทั้งนั้น ถึงแม้ผมจะเปลี่ยนไปใช้นามสกุลแม่แล้วก็ตาม

"เรามาเยี่ยมน้องชายมีอะไรน่าแปลกตรงไหน และนี่ของเยี่ยม"

คำพูดพร้อมการกระทำพี่สี่โยนตะกร้าผลไม้ซึ่งถือมาอย่างไม่เต็มใจไปกองกับพื้นด้วยแววตาดูถูกและเหยียดหยาม จนของที่อยู่ภายในกระจัดกระจายเกลื่อนทั่วบริเวณ

"ว่าแต่นี่คือห้อง VIP ของโรงพยาบาลจริง ๆ เหรอเนี่ย"

เจตนาที่แท้จริงคงไม่ได้มาเยี่ยมดั่งคำว่าหรอก

"ใช่ครับพี่สี่ เล็กกว่ากรงเลี้ยงสุนัขของบ้านเราอีก"

ยังไงก็ต้องมีเรื่องอะไรแน่ ไม่งั้นคงไม่ถ่อสังขารมาถึงชานเมืองแบบนี้

"แถมดูสภาพนายตอนนี้สิน้องหก โธ่ ๆ น่าสมเพชสิ้นดี"

คำพูดถากถางถูกพ่นออกมาไม่ขาด

"ตกต่ำถึงขนาดโดนเบต้า ข่ม-"

"ออกไปซะ"

ผมขบฟันกรอด กำหมัดแน่น อย่างหมดความอดทน มันจะมากเกินไปแล้ว ม้นชักจะมากเกินไปแล้ว มาเพราะเรื่องนี้เหรอ มาเพราะแบบนี้เหรอ

"ออกไปซะ"

ผมย้ำอีกทีอย่างระงับอารมณ์ ย้ำเผื่อว่าผู้มากรากดี จะฟังคำของคนธรรมดาไม่รู้เรื่อง ข่มขืน ? อย่างพวกคุณจะไปรู้อะไร

"เรากลับแน่"

พี่ห้ากล่าวอย่างไม่อยากจะเสวนา

"แต่นายต้องไปกับพวกเรา อีกอย่างขยาดกับสถานที่น่ารังเกียจ สกปรกเต็มทน อยากรีบทำรีบจบ จะได้กลับสักที จะกลับไปดี ๆ ไหม"

"ไม่ไป"

ผมตอบสวนขึ้นมาทันที

"อย่าหาว่าใจร้ายแล้วกัน"

สิ้นคำ พี่สี่ปรบมือเบา ๆ สองครั้ง เพียงเสี้ยววินาทีชายชุดดำก็กรูเข้ามารอบเตียง ผลักเพื่อนรักกระเด็นไปอีกทาง

"ท่านพ่อเตรียมคู่หมั้นหมายไว้ให้นายแล้ว ท่านไม่ยอมจะให้นายทำเสื่อมเสียชื่อเสียงของตระกูลไปมากกว่านี้"

ชื่อเสียงเหรอ ? อย่าพูดให้ขำไปหน่อยเลย

"ผมไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณ ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้น"

ชายชุดดำปลดสายน้ำเกลือ

"หยุดนะ จะทำอะไร"

ผมถามอย่างเสียงหลง พวกมันไม่ฟังคำ ก่อนจะยกร่างของผมที่กำลังดิ้นขัดขืนด้วยแรงทั้งหมดที่มี

"เลือดซึ่งหมุนเวียนครึ่งหนึ่งของนายเป็นคนของตระกูล ต้องอุทิศตนเพื่อตระกูล เข้าใจไหม! เลิกดื้อด้านได้แล้ว ท่านพ่อเมตตาแค่ไหน บ่อยให้คนล้มเหลวอย่างนายใช้ชีวิตอย่างมีอิสระมาถึงทุกวันนี้ ถึงเวลาที่ต้องตอบแทน"

"ผมไม่เคยรับอะไรจากพวกคุณมาแม้แต่บาทเดียว"

"หึ จริงเหรอ" พี่สี่แสยะยิ้มที่มุมปาก

"ลองหันไปถามคนที่นายเรียกว่าเพื่อนสิ เจ้านั่นรู้ดีหมดทุกอย่างนั่นแหละ"

ผมหันไปตามคำว่า หวังจะได้ยินคำปฎิเสธ แต่กลับเห็นเพื่อนแววตาที่บ่งบอกว่าทุกอย่างคือเรื่องจริง

"โลกมันโหดร้าย รู้ไหมครับน้องหก ถ้าท่านพ่อใจร้ายขึ้นมาจริง ๆ เงินเก็บที่นายได้มาถึงทุกวันนี้ ไม่มีวันจะได้มาหรอก ท่านมีอำนาจที่จะสั่งให้รับงาน หรือไม่รับงานตามบริษัทเพลงที่นายส่งไปก็ได้ แต่ท่านกลับเลือกเพื่อให้โอกาสนาย แต่บังเอิญว่าเพลงที่นายแต่งดันเปรี้ยงปร้างขึ้นมา"

คิดว่าออกจากใต้เงาของบ้านใหญ่มาได้แล้ว คิดว่าตัวเองเป็นอิสระ ทุกอย่างกลับตาลปัตร ความภาคภูมิใจที่ผมมีมาตลอด ถูกเหยียบย่ำไม่มีชิ้นดี

สุดท้ายผมก็เป็นเพียงแค่คนโง่ที่หลงระเริงกับอิสระจอมปลอม

อึก..

ความเจ็บปวดที่แล่นเข้ามา

เข็มฉีดยาที่ถูกทิ่มแทงเข้าผิวหนังในจังหวะที่เผลอ ดึงสติผมกลับคืน ทว่าดูเหมือนจะสายไป ภาพทุกอย่างเริ่มเลือนราง แววตามองไปยังเพื่อนที่กำลังพยายามจะนำตัวผมกลับมา จนถูกชายชุดดำสวนหมัดล้มกองไปกับพื้นอีกครั้ง

เขาและเพื่อนรักอีกคนเข้ามาเห็นเหตุการณ์พอดี

พยายามจะช่วยทุกวิถีทาง

เสียงอึกทึกฮึกโหม ทำให้ผู้ป่วยหรือแม้กระทั่งหมอและพยาบาลพากันมามุงดู แต่ไม่มีใครกล้าเข้ามาช่วยเพราะเมื่อเห็นหน้าบุคคลที่ก่อเรื่อง จึงไม่อยากเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง

สภาพสะบักสะบอมของคนสำคัญ

ด้วยความที่ไม่อาจสู้แรงและจำนวนที่มากกว่าได้

สุดท้ายผมถูกพาตัวไป ด้วยสภาพเพื่อนรักและเขา ไม่อาจทำอะไรได้อีกแล้ว

ไม่แปลกเลย

เพราะชายชุดดำทุกคนล้วนแต่เป็นบอดี้การ์ดชั้นดี เป็นแค่นี้ถือว่ายังปราณี

ใบหน้าของเขาที่ผมอยากเห็น คำพูดที่อยากจะให้เขาได้ยิน

ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้

ทั้งที่อีกนิดเดียว

อีกนิดเดียวแท้ ๆ

เขายังคงพยายามคลานตามมาอย่างสุดความสามารถ ร้องเรียกอย่างบ้าคลั่ง ไม่สนใจอาการบาดเจ็บ ถึงแม้จะมีเลือดไหลอาบใบหน้าก็ตาม เสียงที่เปล่งออกมาอย่างเจ็บปวด

ซึ่งในขณะนี้ผมสิ้นสติไปอย่างสมบูรณ์


TBC
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 28-4-62
เริ่มหัวข้อโดย: nofsnof ที่ 28-04-2019 12:09:35
 :hao5: :hao5:
ความรักมักมีอุปสรรค
โอยย สำหรับนายเอกคงเหมือนขึ้นเครื่องเล่นไปจุดสูงสุดแล้วถูกปล่อยลงมากระทันหันอ่ะ แง  :katai1:
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 28-4-62
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 28-04-2019 13:43:19
 :sad11: :sad11: :sad11:
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 28-4-62
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 28-04-2019 23:03:19
หน่วง
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 28-4-62
เริ่มหัวข้อโดย: Pittabird ที่ 28-04-2019 23:26:20
 :hao5:น่าสงสาร แล้วจะช่วยออกมาได้ยังไง :katai1:
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 28-4-62
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 03-05-2019 17:13:17
โอ๊ย!!!จะบ้าตาย  :katai1:
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 28-4-62
เริ่มหัวข้อโดย: BooJiRa_ ที่ 09-05-2019 00:29:48
โอ้ยยยยยยยใจ  :hao5:
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 28-4-62
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 13-05-2019 08:59:52
โอยยย นี่มันญาติประสาอะไรเนี่ยยยย
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 28-4-62
เริ่มหัวข้อโดย: CLShunny ที่ 14-05-2019 10:31:58
ลุ้นมากเลยยยยย  สนุกมากกกหวังว่าคนมาต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ ตอนจบ 11-6-62
เริ่มหัวข้อโดย: ความฝันของดอกไม้ ที่ 11-06-2019 03:27:21
บ้าน..

ไม่ใช่ Safe Zone หรือ Comfort Zone สำหรับทุกคน

'บ้าน' สำหรับผม ต่อให้เห็นแค่เพียงหางตาก็เหมือนถูกกดลงให้จมดิ่งสู่ห้วงทะเลลึก มืดมิดไร้สิ้นหนทางออก มีแต่ความอึดอัดจนทำให้หายใจไม่เต็มปอด อดีตที่ไม่น่าจดจำเข้าถาโถม สถานที่แห่งนี้ไม่ว่าจะผ่านสักกี่ปี ยังคงความน่าสะอิดสะเอียนไว้ไม่เปลี่ยน

ผมไม่เคยคิดอยากกลับมา ไม่มีความทรงจำที่ดี ไม่มีความผูกพัน ไม่มีอะไรเป็นสิ่งสำคัญ ไม่มีอะไรให้น่าคิดถึงทั้งนั้น

แค่เฉียด แค่ได้ยินคนสรรเสริญเยินยอ ผมยังแทบอยากจะอาเจียน

'บ้าน' ซึ่งทำให้อบอุ่น ทำให้ผมสบายใจ มีเพียงบ้านนั้นที่ผมใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเขามาตลอดสามปี

เขาเป็นคนเข้ามาเปลี่ยนบ้านที่เต็มไปด้วยความว่างเปล่า อ้างว้าง โดดเดี่ยว เป็นเหมือนหลุมศพซึ่งผมตั้งใจจะใช้ชีวิตอยู่และตายไปคนเดียว

กลับกลาย เป็นบ้านที่อบอวลไปด้วยความสดใสรายล้อมไปด้วยดอกไม้ที่เขาปลูกไว้ แต่งเติมโลกทั้งใบของผมให้มีความพิเศษขึ้นมา

ถึงแม้จะมีส่วนใดส่วนหนึ่งรับมาจากท่านพ่ออย่างไม่เต็มใจก็ตาม ถ้ามีโอกาสผมอยากจะจ่ายคืนอย่างสาสมโดยไม่ให้มีอะไรติดค้าง เพื่อบ้านจะได้กลายเป็นของผมเพียงคนเดียว

ตามความจริงคำว่าบ้านอาจจะฟังดูกว้างไป ผมวงเล็บให้แล้วกันว่า ‘บ้านเกิด’

และนี่คือคงเป็นสิ่งที่ครอบครัวเขากระทำกัน

ไม่ใช่สิ!

ผมลืมไปว่าคนพวกนี้ไม่ใช่ครอบครัวกันมาตั้งแต่แรก ตั้งแต่จำความได้ ตั้งแต่รู้ว่าพวกเขาปล่อยให้แม่ผมตาย

เอาใหม่

นี่หรือคือสิ่งที่บุคคลซึ่งเรียกตนเองว่าผู้ดีเขากระทำกัน

ผมมองข้อเท้าที่มีโซ่ล่ามไว้ไม่ต่างกับนักโทษ หลังจากเห็นผมฟื้นขึ้นมาและสำรวจร่างกายของตัวเอง พ่อบ้านยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูห้อง โทรรายงานสถานการณ์ให้พี่หนึ่งรับทราบ เหตุเพราะผมหลับไม่ได้สติเพราะฤทธิ์ยาสลบไปหนึ่งคืนเต็ม ๆ ก่อนจะจัดแจงหยิบชุดที่ผมควรจะสวมใส่ออกมาจากตู้เสื้อผ้าใบเดิม

สภาพห้องยังคงเดิมทุกอย่าง

แม้กระทั่งรูปถ่ายของแม่ก็ยังถูกวางไว้ และข้าวของเครื่องใช้ยังอยู่ในสภาพเหมือนเดิม แม้นจะผ่านมาเนิ่นนานกว่ายี่สิบปี พ่อบ้านมาถามไถ่อาการว่าเป็นไงบ้าง เจ็บตรงไหน หรือจะให้ตามหมอไหม ผมบอกว่าไม่เป็นอะไร สิ่งที่เจ็บจริง ๆ ไม่ใช่ร่างกาย แต่เป็นหัวใจของผมในตอนนี้มากกว่า

ทำได้ไง

จิตใจทำด้วยอะไร

ทำร้ายเพื่อนรัก

ทำร้ายคนที่ผมรักยังไม่พอ

ยังทำกับผมแบบนี้อีกจะต่ำช้ากันไปถึงไหน ทำเหมือนกับผมไม่ใช่คน เป็นตัวอะไรสักอย่าง

ทั้งที่อีกนิดเดียว

อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น

หยดน้ำตาโรยรินอาบแก้ม นี่เป็นอีกครั้งที่ผมไม่เตรียมใจพบกับความผิดหวัง เพราะมันอีกแค่นิดเดียว อีกแค่เสี้ยววินาทีเดียว ผมจะได้บอกในสิ่งที่อยากจะบอก อยากจะให้เขาได้รับรู้

ทั้งที่เรื่องมันเกือบจะจบอย่าง Happy Ending

ทำไมมันถึงได้กลับกลายมาเป็นแบบนี้

จะช่วงชิงสิ่งสำคัญไปอีกเท่าไหร่ ถึงจะพอใจ ชีวิตแม่ผมก็เอาไปแล้ว มันทำให้ผมฝังใจถึงขนาดไม่สามารถนอนคนเดียวได้ หรือต้องเอาชีวิตผมไปด้วย

ถ้าเป็นอย่างนั้นมันคงจะดีใช่ไหม

ผมตัดขาดก็คือตัดขาด ไม่เคยคิดจะยุ่งเกี่ยว แต่พวกคุณจะเข้ามายุ่งกับชีวิตและทางเดินที่ผมเลือกทำไม จะมาแอบช่วยเหลือผมทำไม

ในสมองไม่มีความนึกคิดอยากจะขอบคุณ มีเพียงความรู้สึกโดนเหยียบย่ำศักดิ์ศรีกับทุกอย่างที่ผมภูมิใจมาตลอด ก็ปล่อยให้ผมตาย อดตายอย่างหมาข้างถนนไปสิ ใครถามก็บอกเขาไปว่าลูกคนที่หกได้ตายไปแล้ว ผมยังจะซึ้งน้ำใจมากกว่า

พ่อบ้านเห็นท่าไม่ดี เนื่องจากน้ำตาพร่ำพรูหนักกว่าเก่า จึงปรี่เข้ามาจะดูอาการ ทว่าผมยกมือบอกปัด ว่าไม่ต้องมาและเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างจำยอม

ผมมั่นใจว่าตัวเองไม่ใช่คนอ่อนแอ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมร้องไห้แทบนับครั้งได้ แต่พอย้อนกลับมามองในตอนนี้ กลับกลายเป็นคนละคน กลายเป็นร้องไห้ได้ง่าย ๆ ร้องไห้เป็นว่าเล่น ร้องจนนับไม่ถ้วน เหมือนสะสมน้ำตามาทั้งชีวิตเพื่อกาลนี้ มันน่าขำสิ้นดี

โซ่ล่ามยาวพอที่ผมจะเดินไปไหนต่อไหนภายในห้องได้

ถ้าอยากจะกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาเหมือนครอบครัวสุขสันต์ก็ย่อมได้ ต่อให้ผมไม่เต็มใจ สุดท้ายก็โดนบังคับให้ไปร่วมวง และอยากจะขอบคุณเหลือเกิน ในความมีน้ำใจดูแลรักษาบาดแผลบนร่างกายทุกจุดเป็นอย่างดี ด้วยฝีมือคุณหมอประจำตระกูล ผ้าพันแผลบริเวณต้นคอซึ่งถูกเปลี่ยน คงจะเห็นรอยกัดบริเวณต้นคอด้วยเป็นแน่

และเรื่องอาจกระจายรู้กันทั่วบ้านว่าคุณชายหกโดนเบต้ากัดคอ ทั้งที่ตัวผมเป็นอัลฟ่าก็ตาม

ช่างประไร

ในเมื่อทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยความเต็มใจและการยินยอม ผมไม่สนใจคำพูดเหล่านั้น สิ่งที่คิดมีเพียงอย่างเดียวคือจะยังไงให้ออกไปจากที่นี่ได้

โอกาสเดียวที่มีก็คงจะเป็นช่วงหลังกินข้าวเท่านั้น

ขาก้าวออกมาจากห้องน้ำ

เมื่อพ่อบ้านเห็นผมกำลังจะแต่งตัวจึงปลดโซ่ล่ามที่ข้อเท้าให้ ก่อนจะกลับไปยืนเฝ้าหน้าประตูเหมือนเดิม ผมมองไปยังหน้าต่างเผื่อว่าจะสามารถเปิดและกระโดดลงไป แต่พอเห็นถูกล็อคกุญแจอย่างแน่นหนา

ซึ่งหมายความว่าผมหมดสิทธิ์ที่จะคิดหนี

ผมหันกลับมา และจัดแจงใส่เสื้อผ้าพร้อมถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน

นานแล้วที่ไม่ได้สวมสูทดูเป็นทางการแบบนี้

เมื่อแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยพ่อบ้านจึงเชิญผมไปที่โต๊ะอาหาร โดยเดินทำทางไป พร้อมมีแต่คนจับตามองตลอดระยะทาง

เก้าอี้ประจำตำแหน่งคุณชายหกยังถูกตั้งไว้ที่เดิม

ท่านพ่อนั่งหัวโต๊ะ และบรรดาพี่น้องซึ่งนั่งประจำที่ของตัวเอง

เมื่อผมเดินมาทุกสายตาจ้องมองเป็นตาเดียว

หมามักจะอยู่ร่วมกันเป็นฝูง

เสียงซุบซิบดังขึ้นมาไม่ขาดสายพร้อมสายตาดูถูกเหยียดหยามและเกลียดชัง มันเป็นเรื่องปกติที่ผมเจอประจำตลอดระยะเวลาที่ผมเคยอยู่บ้านอันแสนน่ารังเกียจ คงเพราะผมเกิดมาจากแม่เป็นคนใช้ที่หวังจะดันสถานะตัวเองละมั้ง ถึงได้กลายเป็นแบบนี้ แต่แม่ก็เป็นแม่ที่ดี ดูแลปกป้องผมอย่างสุดความสามารถ ให้ความอบอุ่น เป็นคนที่ผมรักและดีใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกของท่าน ใครจะว่ายังไงผมไม่สนใจ

แม้จะผ่านไปยี่สิบปี นิสัยย่ำแย่ของคนเหล่านี้ก็ยังไม่เปลี่ยน ไม่จำเป็นต้องทำท่าทางซุบซิบ ทั้งที่ตั้งใจพูดดังจนให้ผมได้ยินเสียขนาดนั้น

เป็นคนไร้น้ำยาบ้างล่ะ ตกอับโดนเบต้าข่มขืนบ้างล่ะ เป็นคนไร้ประโยชน์บ้างล่ะ ไม่รู้จะกลับมาทำไมบ้างล่ะ ทำไมไม่ตายไปซะบ้างล่ะ จะมาแย่งมรดกหรือไง

ผมอยากจะตะโกนบอกเหลือเกิน

ถ้าเป็นไปได้ไม่อยากจะกลับมาเหยียบเป็นครั้งที่สอง

สุดท้ายผมได้แต่ทำหน้านิ่งเหมือนไม่ได้ยินเสียงนกเสียงกา ไม่คิดจะตอบโต้ ผมหย่อนกายนั่งลงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่านพ่อเห็นดังนั้น

"พวกเราไม่ได้อยู่ด้วยกันแบบครบกันทุกคนมาเนิ่นนานแล้ว พ่อมีความสุขจริง ๆ ที่เห็นลูกอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา"

"วันนี้เป็นวันดี เรามาดื่มฉลองให้กับชายหก ที่กลับมา"

ไวน์แดงรสเลิศถูกรินใส่แก้ว

"ผมแพ้แอลกอฮอล์"

หลังจบคำ ท่านพ่อชะงักรอยยิ้มชื่นมื่นหุบไปในทันที ทุกอย่างกลับสู่ความเงียบ เพียงเสี้ยววินาทีเสียงซุบซิบลอยมาอีกครั้ง ว่าอ่อนแอชะมัด โดนข่มขืนคงเพราะน้ำเชื้อใช้การไม่ได้

ทว่าผมไม่ได้สนใจอีกเช่นเคย ไม่จำเป็นต้องอธิบายเรื่องราวให้คนพวกนี้ฟัง เพราะคนสำคัญเขารู้ทุกอย่าง เข้าใจทุกอย่างแล้ว

แววตาคมกริบของท่านพ่อเปรยมองให้พ่อบ้านเปลี่ยนแก้ว

เป็นพ่อภาษาอะไรที่ไม่รู้ว่าลูกตัวเองแพ้อะไร แต่มันก็เป็นหลักฐานว่าไม่เคยใส่ใจ สนใจและไม่เคยอยู่ในสายตา ซึ่งผมก็ไม่ได้คาดหวัง เรียกกลับมา เพราะห่วงฐานะหน้าตาทางสังคมสิไม่ว่า

เพราะบังเอิญว่าผมกลายเป็นคนมีความสามารถขึ้นมา สามารถเชิดหน้าชูตาได้ ถึงเรียกกลับมาเพื่อใช้งาน เพื่อแต่งงานกับคนชาติตระกูลดี จะได้ไม่น้อยหน้าบรรดาพี่น้องและขยายธุรกิจ

จริง ๆ ใช้คำว่า 'เรียก' ให้กลับมาไม่ได้ ต้องใช้คำว่า 'บังคับ' และ 'ลักพา' น่าจะถูกกว่า

ทุกคนมองมาทางผมราวกับจ้องจับผิดผม

การรับประทานอาหารอันน่ากระอักกระอ่วนยังดำเนินต่อไป ในขณะที่ผมแทบจะไม่ตักอะไรเข้าปาก มันไม่ใช่บรรยากาศน่าเจริญอาหารสักเท่าไหร่

ต่อให้มีรสชาติดีเยี่ยมเพียงใด

สำหรับผมไม่ต่างอะไรกับกัดกินก้อนดิน

ด้วยความอึดอัด ผมจึงบอกว่าอิ่มแล้ว และจะขอตัวก่อน แต่ท่านพ่อบอกมีเรื่องจะคุยด้วยให้ไปรอบนห้องทำงานของท่านที่ชั้นสอง

ผมจึงลุกไปแต่โดยดี พร้อมมีพ่อบ้านเดินตามคุมพฤติกรรมไม่ห่าง

บ้านยังคงเป็นบ้านที่ไม่อบอุ่น ผมแอบหวังในส่วนลึกว่าผ่านไปตั้งยี่สิบกว่าปี อาจจะมีอะไรดีขึ้นกว่าเดิม สุดท้าย สิ่งที่แตกต่างจากเดิม คือหอนางบำเรอ แตกหน่อมาสองสามเรือน

ยังน่ารังเกียจไม่เปลี่ยน

เมื่อมาถึงห้องทำงาน ซึ่งมีไว้สำหรับวางแผนงาน บริหารงานระดับโลก คิด ๆ ดู ถ้าหยิบข้อมูลสองสามใบไปเผยแพร่ บริษัทยักษ์ใหญ่จะเป็นยังไง คงโกลาหลน่าดู แต่ช่างเถอะมันไม่เกี่ยวกับผม

แววตามองสำรวจห้องทันที มองหาช่องทางที่สามารถหนีได้ ไม่รู้ว่าเพื่อนรักและเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง สภาพสุดท้ายไม่สู้ดีมากนัก

จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

ทางเดียวคิดได้ในยามนี้คือระเบียง

เสียงเปิดประตูดังขึ้นทำลายความเงียบ ผมหันไปมอง เห็นท่านพ่อเข้ามาพร้อมโอบกอดผม ประหนึ่งว่าดีใจที่ผมกลับมา ทั้งที่ดูแล้วมันจะเป็นการเสแสร้งก็ตาม

ถ้าผมไร้ประโยชน์คงไม่ได้ยืนจุดนี้

ท่านถามถึงสารทุกข์ สุขดิบ ว่าออกไปเผชิญโลกตั้งยี่สิบปีเป็นอย่างไรบ้าง ได้บทเรียนอะไรบ้าง พร้อมจะมาบริหารจัดการกิจการของครอบครัว พร้อมมีภรรยาสวย ๆ และทายาทหรือยัง

นี่สินะ คือประเด็นที่แท้จริง

เสแสร้งมา ก็เสแสร้งกลับ

ผมบอกว่าอาการป่วยยังไม่สู้ดี ขอไปคุยแบบสบาย สูดอากาศบริสุทธิ์ บริเวณระเบียงได้ไหม ท่านไม่คิดสงสัย คงวางใจที่ภายในห้องมีบอดี้การ์ดประมาณสิบคนและคงคิดว่าผมจะไม่ทำอะไรโง่ ๆ

โดยที่ไม่รู้คนจนตรอก

ทำอะไรได้โง่กว่าที่คุณคิด

ท่านหยิบสมุดดูตัวใส่ภาพว่าที่เจ้าสาวมาให้ผมดูในขณะผมยืนหลังอิงราวระเบียง ก่อนบรรยาย สรรพคุณเธอว่าเป็นลูกสาวจะตระกูลขุนนางเก่าในประเทศอิตาลี และเป็นอัลฟ่าเหมือนกัน หน้าตางามงดราวกับเจ้าหญิงในนิทาน

ผมทำเหมือนตั้งใจฟัง แต่ในความจริงทำหูทวนลม ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง

พิธีหมั้นจะจัดขึ้นหลังจากบาดแผลบริเวณต้นคอของผมหายดี

และพรุ่งนี้เธอจะเดินทางมาเยี่ยมบ้านเรา

ผู้หญิงเพียบพร้อมขนาดนี้ คงไม่มีไอ้หน้าโง่คนไหนปฏิเสธลง

และผมคงเป็นไอ้หน้าโง่คนนั้น

หลังเสร็จงานหมั้น ก็จะจัดพิธีแต่งงานทันที วางแผนไว้อย่างเสร็จสรรพ บอกแผนงานแบบนี้ ทำเหมือนผมไม่มีสิทธิ์ขัดขืน

ผมกลั้นใจถามว่าเขาเห็นผมเป็นลูกหรือเปล่า ในขณะที่กระโดดขึ้นไปนั่งบนราวระเบียงแกว่งขาไปมา ท่านพ่อยังไม่ได้สงสัยในสิ่งที่ผมคิดจะทำ

ซึ่งคนธรรมดาที่ไหนคงไม่เลือกวิธีนี้แน่นอน

คำตอบคือเห็นผมเป็นลูก ถ้าไม่อย่างนั้นจะคอยช่วยเหลือผมห่าง ๆ ทำไม

ผมระบายยิ้มบาง

ก่อนจะพูดว่า ถ้าอย่างนั้นปล่อยผมไปได้ไหม ในชีวิตผมมีคนที่อยากจะแต่งงานด้วยอยู่แล้ว

หลังจากได้ยินถ้อยคำที่ผมกลั้นใจขอเป็นครั้งสุดท้าย ใบหน้าโกรธเกรี้ยวแสดงออกมาให้เห็น ทำให้ผมพอจะเดาคำตอบได้

แผ่นหลังค่อย ๆ เอนลง

ผมไม่ใช่ราพันเซลที่จะมีเจ้าชายปีนมาหาและช่วยเหลือ

ผมไม่ใช่ซินเดอเรลล่าที่จะมีรถฟักทองมารับถึงที่

ชีวิตตัวเอง ผมต้องดิ้นรนด้วยตัวเอง

ถ้าไม่ใช่เขา ผมก็ไม่เอา อุตส่าห์ได้เจอคนที่ตัวเองรักทั้งที กว่าความรักของผมจะดำเนินมาถึงจุดนี้ ผมต้องผ่านการเจ็บปวดมามากแค่ไหน

ถ้าต้องใช้ชีวิตอยู่ในกรงขังแบบนี้ตลอดไป..

ถ้าคู่ชีวิตของผมไม่ใช่เขา

ขอลองวัดดวงกันดู รอด หรือ ไม่รอด

ผมปล่อยมือพร้อมทิ้งร่างให้ล่องลอยอยู่ในอากาศ บนท้องฟ้ามีพระจันทร์ดวงโต กับสายลมพัดผ่านร่างกาย เสียงท่านพ่อตะโกนเรียกคนภายในบ้านยกใหญ่ ด้วยสีหน้าเหลอหลาอย่างทำอะไรไม่ถูก ผมเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกก็ดูน่าตลกดี

บ้านอันน่าขยะแขยง ผมไม่อาจทนอยู่ได้นานกว่านี้ มันถึงขีดสุดเต็มทน ถึงแม้จะไม่ใช่หนทางที่ดี แต่ผมก็มองไม่เห็นหนทางอื่น ถ้ากลับเข้าไปในห้องนอนตัวเองอีกครั้ง ผมไม่มั่นใจเลยว่าจะได้กลับออกมาอีกหรือเปล่า

ต่อให้เหลือเพียงวิญณาญผมก็จะกลับไป กลับไปหาเขา เพื่อบอกความรู้สึกที่อัดแน่นภายในใจ

เสียงร่างกระทบลงสู่พื้นดังตุบ

ความรู้สึกเหมือนอะไรแตกหักสักอย่าง

โชคดีตรงมันเป็นแค่ชั้นสองไม่สูงมาก

โชคดีอย่างที่สองร่างผมตกกระทบกับกิ่งไม้ จึงลดแรงกระแทกไปได้

และโชคดีอย่างสุดท้าย คือ พื้นซึ่งผมตกลงมาคือพื้นหญ้า ถ้าเป็นปูนซีเมตอาจจะน็อคสลบไปแล้ว

ผมพยุงตัวลุกทุลักทุเล และหาช่องทางหนีอีกครั้ง หากยังนอนนิ่งอยู่ที่เดิม เดี๋ยวมีนานก็คงมีคนมาเจอแน่ เพราะตอนนี้เสียงวุ่นวายภายในบ้านที่ได้ยิน กำลังช่วยกันหาตัวผมอย่างจ้าละหวั่น

ช่องรั้วซึ่งเคยใช่เป็นทางแอบออกนอกบ้านเพื่อไปเยี่ยมหลุมศพแม่ในตอนดึกทุกคืน ถ้ามันยังอยู่ที่เดิมล่ะก็....

นั่นอาจจะเป็นหนทางเดียว

บนเนื้อที่บ้านกว่าพันไร่ ช่องทางลับมีเพียงผมกับเพื่อนรักทั้งสองเท่านั้นที่รู้

ขาข้างหนึ่งไม่สามารถหยัดลงพื้น เสียงอะไรบางอย่างหักที่ได้ยินเมื่อครู่ ผมทราบได้อย่างไม่ต้องเดา คงจะไปกระแทกกับอะไรสักอย่างนั่นแหละ มันชาจนหายเจ็บ แบบจะไม่รู้สึกอะไร แต่เวลานี้ไม่ใช่เรื่องจะไปสนใจ

สิ่งที่ต้องทำมีเพียงอย่างเดียวต้องออกที่นี่ให้ได้ ก่อนคนในบ้านจะวิ่งมาเจอ

หากโดนเจอเข้าล่ะก็ อย่าหวังว่าจะหนีออกมาได้เป็นหนที่สอง

ยิ่งว่าคุก ยิ่งกว่ากรงขัง

กว่าจะถึงวันงานคงไม่ได้เห็นแสงเดือนแสงตะวัน

ผมเดินขากระเผลกอย่างกล้ำกลืนฝืนทน พร้อมคอยหลบผู้คนซึ่งออกตามหาผมอย่างจ้าละหวั่น พลางบ่นไป บางคนก็ต่อว่า เพราะเป็นเวลาพักผ่อน ผมกลับสร้างเรื่องขนาดนี้

ความจริง ถ้าไม่พาผมมาตั้งแต่แรก

เรื่องก็คงไม่เกิด

ถ้าคิดว่าหาเจอได้ก็หาไป เพราะทุกอย่างมันก็ไม่ได้แตกต่างจากยี่สิบปีก่อน ไอ้เรื่องที่หลบซ่อนผมรู้ทุกจุดดี ถึงแม้จะมีบางจุดซึ่งเปลี่ยนแปลงไปบ้าง

ต้องขอบคุณการเล่นซ่อนหาในป่าเมื่อสมัยก่อน ไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าจะได้ใช้ประโยชน์มันวันนี้

ผมมาถึงจุดหมายอย่างหายใจเหนื่อยหอบ ไม่ต้องถามถึงสภาพขาของผม มันไม่ได้มีความรู้สึกใด ๆ อีกต่อไปร่างกายฝืนโน้มลง ฝ่ามือแหวกต้นไม้ประดับ เพื่อดูว่าช่องทางยังเหมือนเดิมหรือไม่ หัวใจเต้นอย่างลุ้นระทึก กับเสียงฝีเท้าที่ไล่ตามมาอยู่ไม่ไกล

และแล้ว

บิงโก!

ผมพ่นหายใจอย่างโล่งอก โชคดีแกมโชคร้ายอย่างที่สี่ คือผมแทบจะไม่ได้โตขึ้นไปมากกว่าตอนอายุสิบห้าเลย ไอ้ช่องทางเล็ก ๆ ถึงลอดไปอย่างสบาย ไม่รอช้าผมรีบทรุดตัวหมอบคลานทันที

ร่างกายโผล่ออกไปภายนอกเพียงครึ่งตัว กลับมีแสงจากไฟฉายถูกสาดส่องลงมา สว่างจ้า จนเผลอหยี่ตาพร้อมภายในใจคิดว่าซวยแน่

ซวยแน่

ไม่คิดว่าจะถูกเจอเร็วขนาดนี้

หัวใจกลับมาเต้นดังถี่อีกครั้ง ก่อนจะสูดลมหายใจตั้งสติ แววตาหรี่มองบุคคลตรงหน้าอย่างใจกล้ากลัว

"ค คุณครับ.."

น้ำเสียงคุ้นหู ถึงแม้จะเคยได้ยินไม่กี่ครั้ง แต่ผมจำได้อย่างแม่นยำ

"คุณครับ"

เสียงเรียกเต็มไปด้วยความดีใจ ก่อนจะทรุดกายนั่งลงและช่วยดึงผมออกมา เขาหันไปบอกอีกสองคนที่อยู่ด้านหลังว่าเจอผมแล้ว คงได้ยินจากคนในบ้านว่าผมกำลังจะหนีออกมาถึงได้มาดักรอที่นี่ ใบหน้าของเขาซึ่งเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ เพื่อนรักทั้งสองก็ไม่ต่าง

ตอนนี้ผมกลายเป็นร้องไห้ขี้แยราวเด็กอนุบาล ขัดกับอายุจริงตอนนี้ไปเท่าตัว

เขาดึงร่างของผมออกจากช่องทางอย่างระมัดระวัง ก่อนยกอุ้มเอาไว้ในท่าเจ้าหญิง อาจจะสังเกตเห็นในตอนผมลุกขึ้นยืนแล้วมีอีกข้างยืนได้ไม่เต็มเท้า ถึงได้ตัดสินใจอุ้มผมขึ้นมา

ผมซบลงบนแผ่นอกอันแสนคิดถึง สูดกลิ่นกายที่ใฝ่หามาตลอด ปลดทุกอย่างลง ความเหนื่อยล้า กับเรื่องราวซึ่งเจอมาทั้งวัน ปล่อยตัวเองให้ผ่อนคลาย ความอบอุ่นทำให้สบายใจ

"กลับกันเถอะนะครับ.."

เสียงอันนุ่มละมุนทำให้ผมเงยหน้ามองใบหน้าของเขาอีกครั้ง

"ผมจะปกป้องคุณเอง"

เป็นดวงตาที่ดูกังวล

"กลับ..กลับไปยังบ้านอันแสนอบอุ่นของคุณ"

ดั่งไม่รู้ว่าควรจะพูดคำนั้นออกมาหรือไม่ เหมือนกับผม ถ้อยคำที่คิดไว้ ว่าเวลาเจอเขาจะพูดเรื่องอะไร แต่ในเวลานี้กลับนึกถึงได้เพียงคำเดียว ผมส่ายหัวบางเบา

"ไม่ใช่บ้านของคุณ..แต่กลับไปยังบ้านของเรา’

ก่อนระบายยิ้มกว้าง ทว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดจะได้รับกลับมา คือเขาระบายยิ้มทั้งน้ำตา พร้อมเดินไปยังรถสีดำซึ่งจอดรออยู่ไม่ไกล

รอยยิ้มของเขา ผมได้เห็นเป็นครั้งแรก

เล่นทำให้หัวใจกระตุกหวั่นไหวมากกว่าที่คิดไว้

บ้าน...ต่อไปนี้ไม่ใช่ของผมคนเดียว

ห้อง...ต่อจากนี้จะไม่ใช่ของผมคนเดียว

บ้านที่มีเพียงเรา กับชีวิตประจำอันแสนเรียบง่าย แต่มีความสุขเหนือสิ่งอื่นใด ไม่รู้ว่าบ้านใหญ่จะตามราวีผมอีกหรือเปล่า หากมีเขาอยู่ข้างกาย ต่อให้มีข้างหน้าจะอุปสรรคแค่ไหน ถ้ามีเขาเดินร่วมทางจับมือกันไปก็ไม่มีอะไรให้ต้องกลัว

ถึงอนาคตข้างจะมีเรื่องให้จากลากันไป ผมจะไม่เสียใจ เพราะครั้งหนึ่งผมเคยได้รักใครมากกว่าชีวิตและลมหายใจของตัวเอง

บางครั้งความรักที่เกิดขึ้นมันอาจจะไม่มีเหตุผลอะไรเป็นรูปธรรมให้เข้าใจ

เพราะสุดท้ายแค่คำว่า "รัก" สำหรับผมเป็นคำตอบของทุกอย่าง ทุกความรู้สึกในใจโดยไม่อาจหาคำบรรยายใดมาเทียบเคียง



หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ ตอนจบ 11-6-62
เริ่มหัวข้อโดย: ความฝันของดอกไม้ ที่ 11-06-2019 04:12:45
ผมตื่นลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง

เหตุการณ์มันวนเวียนอยู่แบบนี้จนไม่รู้ว่าครั้งที่เท่าไหร่ แต่สิ่งสำคัญซึ่งผมควรสนใจคือความอบอุ่นถูกส่งตรงมาจากฝ่ามือใหญ่ และสัมผัสได้ถึงความกังวล ความห่วงใย ทำให้ใบหน้าเกิดเห่อร้อนขึ้นมา

ริมฝีปากระบายยิ้มกว้างอย่างไม่อาจเก็บซ่อน ถึงแม้เปลือกตาของเขาปิดแน่นนิ่งสนิท แต่ยังคงกุมมือผมเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ราวกับกลัวจะหนีหาย การลืมตาตื่นขึ้นมาและพบว่ามีเขาอยู่ข้างกาย ไม่มีอะไรน่าดีใจไปมากกว่านี้อีกแล้ว

บรรยากาศรอบข้างอันคุ้นเคย แสงแดดสาดส่องเข้ามาจากนอกหน้าต่างเหมือนเดิม เสียงนกจิบร้องมีดั่งทุกวัน โลกของผมที่กลับมาสดใสอีกครั้ง ทำให้มีความสุขจนไม่อยากเชื่อเลยว่าทุกอย่างจะเป็นเรื่องจริง

ผมเอียงตัวเล็กน้อยอย่างยากลำบาก เนื่องจากขาหักจึงโดนใส่เฝือกเอาไว้ แต่ด้วยความอยากจะมองให้ชัด อยากจะตอกย้ำให้มั่นใจว่าไม่ได้ฝันไป และคนที่อยู่ตรงหน้านั่นคือเขา

เป็นเขาจริง ๆ

ผมใช้มืออีกข้างที่มีสายน้ำเกลือรุงรังจับมือเขาไว้อีกชั้น

นี่คงเป็นครั้งแรกที่เราจับมือกัน

อุ่นกว่าคิดไว้อีกนะ

อีกทั้งมือยังใหญ่กว่าผมมาก

ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองคนเดียวหรือเปล่า เมื่อก่อนผมเคยคิดว่าเรื่องระหว่างเรามีช่องว่างที่ไม่สามารถก้าวข้ามผ่านไปได้ แต่พอมาเปรียบเทียบกับในตอนนี้

ใกล้

มันใกล้

ใกล้แค่เอื้อมมือ

ไม่ใช่สิ

ใกล้เพียงปลายนิ้วสัมผัส

ไม่ใช่เพียงร่างกาย รวมถึงหัวใจของเราด้วย ไม่รู้ด่วนสรุปไปหรือเปล่า แต่ผมกลับรู้สึกว่าเราเข้าใกล้กันแล้ว..อย่างน้อยก็คงจะเข้าใกล้กันแล้วอีกสักนิด

เปลือกตาคนตรงหน้าเริ่มขยับเล็กน้อย

"ตื่นแล้วเหรอ”

“หิวไหม"

ผมอมยิ้มพลางเอ่ยถามในขณะที่เห็นเขาปรือตามองและค่อย ๆ เงยใบหน้าขึ้นมาจากเตียงอย่างสะลึมละสือ แต่ความจริงคำถามนี้มันควรเป็นเขาถามผมมากกว่า

แววตาคมมองผมอย่างนิ่งค้าง พอตั้งสติได้ เขาดึงมือกลับไปทันทีพร้อมใบหน้าเบี่ยงหลบไปอีกทาง

"เธอไม่อยากจับมือกับฉันแล้วเหรอ"

ด้วยความตกใจและไม่เข้าใจ ทำให้น้ำเสียงอ่อนลงอย่างช่วยไม่ได้ เพราะไม่คิดว่าเขาจะกลับไปแบบกะทันหันอย่างสิ้นเยื่อใยแบบนี้ ทั้งที่เป็นฝ่ายมาจับก่อนแท้ ๆ

"ไม่ใช่ครับ แล้วคุณเป็นอย่างไรบ้างครับ เจ็บตรงไหมครับ หิวไหมครับ เดี๋ยวผมจะไปตามหมอและเตรียมอาหารเช้ามาให้"

เขารีบปฏิเสธเสียงแข็งพร้อมรัวคำถามออกมาชุดใหญ่อย่างกับหลีกเลี่ยงเพื่อปกปิดความจริง ถึงน่าดีใจเรื่องที่เขาพูดกับผมด้วยประโยคซึ่งยาวแถมออกแนวเป็นห่วง แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากได้ยินในเวลานี้เท่าไหร่

"ไม่หิว ไม่เจ็บ ไม่ปวดอะไรตรงไหนทั้งนั้น เธออยู่ตรงนี้และตอบคำถามมา ถ้าไม่รังเกียจกัน งั้น...ทำไมล่ะ"

ทำไมถึงดึงมือกลับไปอย่างไม่ใยดี..

ทำไม..

นัยน์ตาสบประสานกันชั่วครู่ เขาเบี่ยงหลบไปอีกครั้งก่อนลูบต่ำมองพื้น บรรยากาศที่มีเพียงเสียงการเคลื่อนไหวจากด้านนอก แตกต่างจากภายในห้องนอนซึ่งมีเพียงเรา เต็มไปด้วยความเงียบกินเวลาไปหลายนาที

ภาพที่ผมเห็นอยู่ตอนนี้คือผู้ชายใหญ่ใส่ชุดเดียวกันกับเมื่อวานนั่งก้มหน้า มือสั่นเทากุมประสานอยู่ข้างเตียง แววตาสะท้อนถึงความลังเล

"มือของผม..มัน........”

เขาเว้นจังหวะ

“สกปรก"

ก่อนกลั้นใจพูดออกมาอย่างแผ่วเบาน้ำเสียงของเขาแทบจะกลืนหายไปในอากาศรอบกาย ราวกับไม่อยากจะพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ จนผมรู้สึกผิดที่ทำเหมือนบังคับให้เขาพูดออกมา ถึงกระนั้นหากไม่ทำ..เราคง...

“แต่เมื่อกี้เรายังจับมือกันอยู่เลยนะ..”

ผมสวนกลับอย่างไม่ยอมลดละ ต่อให้สกปรกหรือไม่ ป่านนี้คงไม่ทันแล้ว ผมมีเรื่องอยากจะพูดกับเขา เรื่องอยากจะบอกให้เขาได้รับรู้อีกตั้งมากมาย แล้วทำไมเราถึงมาต่อปากต่อคำด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง ทั้งที่มากกว่าจับมือก็ทำมาแล้ว

และทำไมก็แค่จับมือ...

ถ้าเรื่องแค่นี้เรายังเคลียร์กันให้เข้าใจไม่ได้ และนับจากนี้จะเป็นยังไง สุดท้ายเรื่องที่เราเข้าใกล้กันแล้วอีกนิด คงเป็นสิ่งซึ่งผมคิดไปเองคนเดียว

เขายังคงอ้ำอึ้งเสมือนไม่รู้จะตอบคำไหน

แต่แทนที่จะโกรธเขา กลับทำให้ผมยิ่งโมโหตัวเองเป็นทวีคูณ เพราะคำพูดออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจในวันนั้น กลับมีอิทธิพลมากขนาดนี้ กลายเป็นสร้างแผลทางใจให้เขาอย่างไม่รู้ตัว

ในเมื่อมีโอกาส

ทุกอย่างที่ผมคิด

ทุกอย่างที่รู้สึกกับเขา

ถ้าแค่ไอ้ข้อความในสมุดสีชมพูอ่อนมันยังทำให้เขาไม่มั่นใจ ผมจะบอกให้ชัดเจนอีกที

จะย้ำให้รู้ว่าความรู้สึกข้างในมันเอ่อล้นแค่ไหน

ไม่งั้นเราคงไม่เข้าใจกันจริง ๆ ผมก้าวเข้าหา แต่เขากลับถอยห่าง เป็นแบบนี้แล้วเมื่อไหร่ช่องว่างระหว่างเราถึงจะกลายเป็นศูนย์

ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

ผมดันตัวลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล แต่เห็นแบบนั้นเขาก็ยังไม่ช่วยพยุง เพราะความคิดที่ว่าตัวเองสกปรกยังไม่เลือนหาย ราวกับตั้งใจจะสัมผัสร่างกายผมเมื่อยามจำเป็นเท่านั้น

เขาจะคิดแบบนี้ก็คงไม่แปลกอะไร

เพราะต้นเหตุทุกอย่าง มันมาจากการกระทำของผมเอง

แผ่นหลังเอนพิงหัวเตียง ก่อนจะดึงอากาศรอบข้างโกยเข้าปอดและพ่นออกอย่างเชื่องช้า พยายามควบคุมอารมณ์ให้ได้มากที่สุด

"ขอมือหน่อยสิ"

เขายังคงนิ่ง พยายามจะไม่สบตา และกุมมือของตัวเองเอาไว้แน่นราวกับกำลังตัดสินใจ

"นะ.."

น้ำเสียงที่เน้นย้ำอีกครั้งแกมขอร้อง เขาจึงจำยอมยื่นมือของตนมาอย่างสั่นไหว

ผมรับไว้ ก่อนจะจุมพิตลงไปบนบาดแผลที่ยังหลงเหลือรอยคมเขี้ยวซึ่งยังคงเห็นรอยฟันเรียงกันสวยงามอย่างชัดเจน เขาตกตะลึง แต่ยังคงนิ่งงัน ไม่คิดจะปริปากพูดอะไรสักคำ เห็นดังนั้น ผมจึงถอนริมฝีปากออกมาและประคองมือของเขาไว้ด้วยสองมือ ทะนุถนอมราวกับเป็นสิ่งของบอบบางแตกหักง่าย

"ขอโทษนะ"

ขอโทษจากใจจริง ที่ดึงเข้ามาพัวพัน

"ขอโทษที่ทำให้เธอเจ็บปวด ขอโทษที่ทำให้เธอต้องบาดเจ็บ"

“ขอโทษนะ ขอโทษจริง ๆ ฉันคงทำให้เธอเข้าใจผิด สกปรกที่ว่าไม่ได้หมายถึงตัวเธอ แต่...ของของฉันที่เธอกำลังโลมเลียมันราวกับเป็นขนมหวานนั่นต่างหาก ยังไม่ได้ล้างเลยนะ ต้อง ส..ส.. สกปรบอยู่แล้วสิ ฮ่า ฮ่า”

ผมพยายามให้ดูตลก คลายบรรยากาศดึงเครียด แกล้งหัวเราะกลบเกลื่อน โดยความจริงตอนนี้หน้าผมคงแดงไปทั่วแน่ หัวใจที่เต้นแรง ทว่าไม่ได้เต้นแรงจนรู้สึกเจ็บเหมือนเมื่อก่อน มันเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ คล้ายกับอาการตื่นเต้นบวกกับหัวใจพองโต และเต็มไปด้วยความสุขใจที่ได้มองเห็นเขาอยู่กับผมในตอนนี้

การสารภาพรักครั้งแรกในชีวิตกับสภาพของเรามีแต่บาดแผล

ผมมองข้ามทุกอย่าง เรื่องอายุ เรื่องเพศ เรื่องอัลฟ่า เบต้า

มองเขาเป็นเพียงคนหนึ่งและผมก็เป็นคนหนึ่ง ที่มีความรักอันบริสุทธิ์ใจมอบให้แก่กัน

"เธออ่านสิ่งที่ฉันเขียนลงไปแล้วใช่ไหม"

เขาพยักหน้าเล็กน้อย เมื่อคำตอบเป็นไปดังหวัง ผมจึงระบายยิ้ม ก่อนจะย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"ความรู้สึกของฉันที่มีต่อเธอยังคงเป็นไปตามนั้น"

"เธอคือคนสำคัญ"

"ถึงเธอจะมองตัวเองยังไง"

"แต่อยากให้เธอมั่นใจ ไม่ว่าเธอจะเคยเป็นอะไร ไม่ว่าอดีตจะเคยเป็นแบบไหน ไม่ว่าเธอจะเคยผ่านใครมากี่ร้อยพัน สิ่งที่วัดคุณค่าในตัวเธอคือปัจจุบัน ไม่ใช่สิ่งที่เธอเคยผ่านมา"

ทั้งที่ไม่อยากจะปล่อยมือของเขา แต่ต้องปล่อยอย่างจำใจ ก่อนเปลี่ยนเป็นอ้าแขนสองข้างให้กว้าง

“มาให้กอดหน่อยสิ"

เพื่อรับอีกร่างเข้ามา

“ขอกอดให้หายคิดถึงหน่อยได้ไหม”

เขามองผมอย่างนิ่งตะลึง ริมฝีปากเม้นอย่างอดกลั้นแต่สุดท้ายก็ทนความต้องการไม่ไหว พลางกระโดดขึ้นมาบนเตียงในทันใด และใช้ใบหน้าซุกลงไปกลางแผ่นอก พร้อมอ้อมแขนโอบกอดผมแน่นด้วยแรงทั้งหมดที่มี

ความเปียกชื้นทะลุผ่านชุดนอนบาง ๆ

ผมทำได้เพียงระบายยิ้มกว้างพลางลูบหัวของเขาอย่างแผ่วเบา

ไม่รู้การกระทำในครั้งนี้จะทำให้เขามั่นใจได้แค่ไหน

แต่สิ่งที่รู้ในวันนี้คือผมกลายเป็นฝ่ายกล่อมเขาจนเผลอหลับไปโดยใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตา ทว่าริมฝีปากของเขากลับระบายยิ้มเล็กน้อยอย่างอิ่มสุข

และสุดท้ายคือหัวใจเราเต้นไปในจังหวะเดียวกัน


END

ยังมีตอนพิเศษอีก 5 ตอนนะคะ













หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 11-6-62
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 12-06-2019 22:59:39
น่ารักมาก ๆเลยคะ เบต้า × อัลฟ่า
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 11-6-62
เริ่มหัวข้อโดย: pamhicc ที่ 15-06-2019 20:31:42
เย้ ได้รักกันแล้ว โอ๋เอ๋พระเอกมาก  :pig4:
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 11-6-62
เริ่มหัวข้อโดย: NormalVee ที่ 18-06-2019 09:11:23
เป็นความรักที่อุปสรรคเยอะมากเลยค่ะ ทั้งภายในภายนอก แต่คิดว่ามาขนาดนี้แล้ว ต้องเป็นความรักที่สวยงามและมั่นคงมาก
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 11-6-62
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 01-07-2019 22:46:34
รอจ้า :mew1:
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 11-6-62
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์บิน ที่ 03-07-2019 05:04:40
 :hao5: กว่าจะเข้าใจกันนนนเนี่ยยไม่ยอมพูดกันตรงๆเยอะๆแต่แรก
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 11-6-62
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 04-07-2019 09:34:22
 :katai2-1:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 11-6-62
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 07-07-2019 11:58:00
น้ำตาไหลเลย
กว่าจะเข้าใจกันได้

ขอบคุณคนเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 11-6-62
เริ่มหัวข้อโดย: water ที่ 13-07-2019 14:12:15
อ่านแล้วอยากจับตีจริงๆ 555555
ต่างคนต่างคิดไปเองจนจะเสียกันไป อยู่กันมาตั้งนานแล้วไม่อยากจะพูดกัน กว่าจะเข้าใจกันได้ ในที่สุดดด
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 11-6-62
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 14-07-2019 10:45:01
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: กว่าจะพูดกันได้
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (ตอนพิเศษ 1 ) 23-7-62
เริ่มหัวข้อโดย: ความฝันของดอกไม้ ที่ 23-07-2019 20:16:36
ตอนพิเศษ 1



แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาจากนอกหน้าต่าง

ผมยันตัวเองลุกขึ้นมานั่งกวาดสายตามองทั่วห้องก่อนถอดถอนหายใจ

วันนี้ก็เหมือนเดิม

เหมือนทุกครั้งเมื่อผมตื่นขึ้นมา ข้างกายของผมพบเพียงความว่างเปล่า ไร้เงาบุคคลใด ท่ามกลางบรรยากาศรอบด้านสว่างสดใส มีสายลมโชยพัดปะทะเข้ามา แววตาหันไปทางหน้าต่าง เหม่อมองผ้าม่านที่กำลังปลิวไสว เขาคงจงใจเปิดทิ้งไว้เพื่อให้อากาศภายในห้องถ่ายเท

ถึงแม้จะรู้ว่าเขาหายไปไหน

ผมไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ ผมชอบช่วงเวลาที่ตื่นมาแล้วได้มองใบหน้าที่กำลังหลับพริ้มมากกว่า

ตัวเขาที่หายไป

กลับมีพานดอกไม้ธูปเทียนวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงเสมอ ทิ้งไว้เพียงความสงสัย ผมพยายามถามทุกคนภายในบ้าน ล้วนแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ และโยนให้ไปถามเขาเอง หรือไม่ต้องลองตื่นก่อนเขาดู แล้วจะได้คำตอบ

บอกใบ้มาเสียขนาดนี้ ผมจึงเดาได้ในทันทีว่าเขาเป็นคนนำมาวางไว้

แต่ไม่อาจทราบได้ว่าด้วยเหตุผลประการใด และไม่รู้อะไรทำให้ผมตื่นขึ้นมาหลังเขาทุกที กลัวจะพบความจริงที่เขาตั้งใจทำ หรือเพราะความสบายใจที่ได้นอนกับเขา ได้รับไออุ่นจากเขากันแน่

ผมกลายเป็นคนขี้ขลาดในหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องของเขา สุดท้ายผมก็ได้แต่ปล่อยให้เรื่องดำเนินต่อไป โดยไม่รู้ว่าควรจะอะไรเช่นกัน

สองสามอาทิตย์ที่ผ่านมา

มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายหลายอย่าง ภายใต้ชีวิตประจำวันค่อย ๆ กลับสู่สภาวะปกติ

ทว่าบ้านของผมมีหลายอย่างเหมือนเดิม และหลายสิ่งที่แตกต่างออกไป จะว่ามันครึกครื้นก็ไม่ใช่ จะเงียบเหงาก็ไม่เชิง เพราะบ้านไม่ได้มีเพียงผมและเขา แต่ยังมีเพื่อนรักทั้งสอง และมีอาหมอที่ท่านพ่อส่งมาเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของทุกคน

ตามจริงผมรู้ตัวตั้งแต่แรก

ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วเห็นภาพตรงหน้าคือเพดานห้องนอนของตัวเอง

เหตุการณ์ลงเอยเช่นนี้

ยังไงต้องมีคนจากบ้านใหญ่ห้อยตามติดมาด้วยแน่ แต่ไม่คิดว่าท่านพ่อจะใจดีส่งคนคุ้นเคยอย่างอาหมอ ซึ่งเคยเป็นคนคอยรักษาอาการป่วยประจำตัวของผม เมื่อสมัยที่ยังคงอาศัยอยู่ในบ้านหลังเก่าอันน่าขยาดนั่น และหนึ่งประเด็นสำคัญ อาหมอยังเป็นคุณพ่อของเพื่อนรักฝ่ายภรรยาอีกด้วย

ไม่รู้ว่าใจดีจริง หรือจงใจ นำคนที่ไม่มีพิษภัยมาเฝ้าระวังและคอยรายงานสถานการณ์

ช่างประไร ส่วนตัวผมก็ไม่คิดจะหนีอยู่แล้ว ด้วยอำนาจของบ้านใหญ่ หนีไปก็ไม่รอด

ผมรู้ดี

แต่ที่ดิ้นรนหลบหนีออกมา แค่อยากจะกลับมาอยู่ในบ้านของตัวเองและเจอหน้าเขาเท่านั้น ไม่ว่าจะสถานการณ์แบบไหน ผมพร้อมรับมือ

และเขาบอกแล้วนี่นะ ว่าจะปกป้องผม ตามจริงคำนี้ผมได้ยินจากเพื่อนรักมาจนชิน ทว่าคำที่ออกมาจากปากของเขา กระตุกหัวใจของผมให้เต้นถี่ ถ้อยคำฟังดูธรรมดา กลับพิเศษขึ้นมาในทันใด พิเศษมากกว่าคำไหน นึกถึงทีไรทำให้ผมอดยิ้มไม่ได้ทุกที

สิ่งที่เปลี่ยนไปอีกอย่าง

คือเขาพยายามทำตัวให้มีประโยชน์ จนคนรอบข้างหรือแม้กระทั่งผมเองก็ยังรู้สึกได้ เมื่อก่อนจะดูแลแค่สวนดอกไม้อย่างเดียว ทว่าตอนนี้เขาทั้งกวาดบ้าน ถูบ้าน ซักผ้าของทุกคนในบ้าน แถมทำอาหารเช้าสายบ่ายเย็นทุกวัน

อีกเรื่องที่ผมเพิ่งค้นพบ เขาทำอาหารอร่อยกว่าผมไปหลายเท่าตัว จนผมแอบอายในฝีมือของตัวเอง

เขาแทบจะกลายเป็น 'พ่อบ้าน' มากกว่าสถานะ 'คนรัก'

ผมเคยย้ำ เคยบอกไปหลายรอบ ไม่ต้องทำอะไรแบบนี้ก็ได้ เพราะยังไงก็มีแม่บ้านมาทำสองวันครั้งอยู่แล้ว

เขาดื้อกว่าที่ผมคิดไว้

กลายเป็นเด็กดื้อ

ดื้อจนชนิดที่ผมต้องขอยอมแพ้ ยอมแจ้งแม่บ้านไม่ต้องมาทำให้สักระยะ

และปล่อยให้เขาทำจนกว่าจะพอใจ เหมือนเรื่องพานดอกไม้ธูปเทียนข้างเตียง

เขาไม่ค่อยเผยความต้องการของตัวเอง ต่อให้เป็นเรื่องที่ไม่เห็นด้วย หรือไม่เข้าใจว่าทำไปเพื่ออะไร หากเขาทำแล้วมันสบายใจ ผมจึงยอมอ่อนโอนให้ทุกที

เหมือนจะดีแต่ก็ไม่ดี

ผมไม่เข้าใจว่าทำไม ความสัมพันธ์ถึงไม่มีวี่แววจะพัฒนาไปมากกว่าเดิม

ถ้ามองจากความเดิมตอนที่แล้ว

คุณคิดว่าเรื่องราวทั้งหมดคงจะจบลงอยากแฮปปี้แอนดิ้งแล้วใช่ไหม แต่มองตามหลักความเป็นจริง ถ้ามนุษย์เราเข้าใจกันได้ง่ายขนาดนั้น บนโลกนี้คงไม่มีคู่รักที่ต้องเลิกราด้วยความไม่เข้าใจ

ยิ่งขยับใกล้กันมากเท่าไหร่

ผมยิ่งรับรู้

เขาไม่ได้อยากอยู่กับผมในสถานะ 'คนรัก' โดยมักจะเว้นระยะไว้เสมอ สามารถใกล้ชิดผมได้แค่ไหน

ความรู้สึกของเราตรงกันก็จริง ผมรักเขา และเขารักผม แต่ถึงอย่างนั้นใช่ว่าจะเปลี่ยนสถานะที่เป็นอยู่ได้ทันที ช่วงเวลาสามปี การเป็นแค่ผู้ซื้อกับผู้ขายมีอิทธิพลมากเกินไป จนกลายเป็นเขาไม่กล้าก้าวออกมาจากกรอบล้อมรอบตัวเอง

หรือบางทีเขาคงกลัว กลัวการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะทำให้ทุกอย่างแย่ลงกว่าเดิม

โดยเฉพาะเรื่องของเรา

เขาพยายามปฏิบัติตัวเหมือนที่เคยทำมา

ถามว่าผมกลัวไหม ผมเองก็เหมือนกัน แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือผมมองข้ามหมดแล้วทุกสิ่ง

ทว่าสำหรับเขามันไม่ใช่

เขาอาจคิดว่าแค่นอนกอดก็ได้

แต่ประเด็นผมไม่ได้อยากแค่กอด ไม่ได้อยากอยู่ในฐานะนายจ้างตลอดไปด้วย

ถึงกระนั้นความคิดคนเราไม่สามารถเปลี่ยนกันได้ง่าย ๆ และคำพูดของผมแค่ครั้งเดียวคงยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะเข้าไปเคาะกำแพงภายในใจ

ถ้าย้อนถามว่าเขาเชื่อในสิ่งที่ผมพูดไปไหม ผมคิดว่าเขาเชื่อนะ แต่หากถามว่าเขาอยากอยู่กับผมในสถานะคนรักหรือเปล่า ผมยังยืนยันว่าคำตอบคือไม่

ท่ามกลางความย้อนแย้ง

เขาเหมือนเป็นก้อนไหมพรมที่มีปมความคิดพันกันยุ่งเหยิง เหมือนเป็นเม่นที่สร้างหนามแหลมขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเอง

ความกลัวที่ปกคลุมภายในใจ

ผมหวังเพียงสักวัน เขาจะเล่าความเจ็บปวดและอดีตที่เขาแบกรับเอาไว้ให้ผมช่วยแบ่งเบาบ้างก็คงดี

หากเราอ่านใจกันได้ บางทีอะไรคงจะง่ายดายกว่านี้

เรื่องความรักมันยากจริง ๆ หรือเป็นเพราะเราทำให้มันยากเอง

ความรู้สึกก็บอกไปแล้ว หัวใจก็ตรงกัน

ทีแรกผมคิดว่าจะปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างธรรมชาติ กลับกลายเป็นว่าผ่านมาเกือบเดือนความสัมพันธ์ของเราย่ำอยู่กับที่ ผมใจร้อนเกินไปไหม หรือต้องรอเวลาต่อไป ต้องทำยังไงถึงจะให้ความรักของเราดำเนินไปอีกขั้น

แต่ถ้าขืนชักช้า

ผมกลัวชีวิตปกติที่เริ่มใกล้เข้ามา จะนำพาคลื่นลูกใหญ่ ซึ่งทำให้เรื่องมันยุ่งยากยิ่งไปกว่าเดิม

ร่างกายอาการป่วยของผมหายดี เหลือเพียงขาหักที่ยังคงใส่เฝือกเอาไว้ ส่วนเพื่อนรักทั้งสองก็เหลือเพียงแขนหักเหมือนกัน คาดว่าจะได้ถอดเฝือกประมาณปลายเดือนหน้า ส่วนเขาโชคดีตรงที่ไม่มีอะไรหักเหมือนคนอื่น  มีแค่คิ้วแตกซ้ำรอยเก่าเย็บยี่สิบเข็ม หัวแตกเย็บสิบห้าเข็ม คางแตกเย็บห้าเข็ม และรอยฟกช้ำอีกประมาณสามสิบกว่าจุด

อาการของทุกคนที่เริ่มหาย

กับความเงียบผิดปกติ

เงียบจนน่าหวั่นใจ

"คิดอะไรอยู่ หืม.. อาเห็นเรานั่งเหม่อมองด้านนอกตั้งนานสองนานแล้ว"

อาหมอที่เดินเข้ามาในห้องเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ เนื่องจากไม่ได้สังเกต เพราะมัวแต่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนวุ่นวายไปหมด ผมระบายยิ้มเล็กน้อย

"เปล่าครับ"

ก่อนจะตอบพลางมองตามชายวัยหกสิบสองภายใต้เสื้อกาวน์สีขาว ทว่ายังดูไม่แก่เท่าไหร่ เดินมานั่งลงข้างเตียง  พร้อมหยิบปรอทวัดไข้มาให้คาบไว้

ปกติอาหมอเป็นคนช่างพูดและมักจะยิ้มอย่างอุ่นละมุนอยู่เป็นประจำ แต่วันนี้กลับมีบางอย่างผิดแปลกไป ในขณะที่รอผลการวัดประมาณสามสี่นาที อาหมอทิ้งบรรยากาศในห้องเข้าสู่สภาวะความเงียบ พร้อมกับความตึงเครียดปรากฏอยู่บนใบหน้า

ผลการตรวจแสดงตัวเลขบนปรอทวัดไข้คือสามสิบเจ็ดองศา

"เราหายดีแล้วนะ ตอนนี้อุณหภูมิร่างกายกลับสู่สภาวะปกติดีแล้ว"

น้ำเสียงอ่อนโยนกล่าวบอก ทว่าสีหน้ายังไม่คลายกังวล ถ้าหายดีแล้วทำไมถึงมีท่าทางอาการแบบนี้ อาหมอก็คล้ายกับเพื่อนรักฝ่ายภรรยา ตรงที่ว่าเวลามีเรื่องกังวลอะไร มักจะปกปิดความในใจเอาไว้ไม่อยู่

"มีอะไรหรือเปล่าครับ"

จนผมอดถามไม่ได้ และมองอย่างสงสัยในการกระทำ

"ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะครับ"

แถมกล่าวย้ำเตือนในอายุของตัวเอง ว่าใช่เด็กเมื่อยี่สิบปีก่อนที่อาหมอเคยรักษาอีกต่อไปแล้ว เผื่อจะสามารถคลายความกังวลใจและยอมพูดเรื่องที่ปิดบังเอาไว้ได้บ้าง

"อุบ ฮ่า ฮ่า"

เหมือนได้ผลดีกว่าที่คาด อาหมอหลุดขำออกมาเสียอย่างนั้นหลังจากที่กลั้นเอาไว้ไม่อยู่

"นั่นสินะ"

ขำจนน้ำตาคลอ ถึงขนาดต้องใช้นิ้วชี้ยกขึ้นมาเช็ดคราบบริเวณปลายหางตา ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

"นั่นสิ เราไม่ใช่เด็กอายุสิบห้าอีกต่อไปแล้ว"

ริมฝีปากระบายยิ้มเศร้า

"แต่สำหรับอาเหมือนเรื่องราวเพิ่งเกิดมาได้ไม่นาน ยังติดภาพที่เรายังเป็นเด็กน้อยวิ่งเล่นกันอยู่เลย เด็กแสบทั้งสามคน"

แววตาอันอบอุ่นหวนระลึกความหลัง พลางเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง

"ทุกครั้งที่เราป่วย อามักจะภาวนาเสมอ อยากจะให้หายจากอาการป่วย ไม่อยากจะให้เราต้องทรมาน ได้ไปวิ่งเล่นกับเพื่อน และกลับมาแข็งแรงโดยเร็วไว"

อาหมอกส่าวต่อโดยสายตายังคงทอดยาวออกไปไกลโดยไม่โฟกัสส่วนใดเป็นพิเศษ ผมได้แต่ฟังโดยไม่คิดจะพูดอะไรเช่นกัน

"สำหรับคราวนี้"

"อากลับภาวนาให้เราป่วยไปหลายเดือน ป่วยหนักกว่าเดิมได้ยิ่งดี อยากจะไม่ตั้งใจรักษาอยู่เหมือนกัน ดันมีคำว่าจรรยาบรรณค้ำคอไว้"

"ฮ่า ฮ่า ฟังดูแย่ใช่ไหม"

เสียงหัวเราะที่ฝืนเปร่งออกมาแกน ๆ

"แต่อามีความสุขที่เห็นทั้งสามคนวิ่งและยิ้มอย่างอิสระ อยากให้ใช้ชีวิตตามใจต้องการ"

"ขอโทษนะ ที่อาไม่อาจจะรั้งไว้ได้นานกว่านี้อีกแล้ว"

นัยน์ตามองอาหมอที่นั่งก้มหน้าน้ำตาคลอ ทว่าผมยังไม่ทันได้กล่าวตอบอะไร เสียงเปิดประตูที่ดังขึ้นทำให้ผมหันไปมองตามทันที ส่วนชายสูงวัยยังนั่งอยู่ท่าเดิมดั่งเป็นเรื่องที่รู้อยู่ก่อนแล้ว

ท่าทางเหนื่อยหอบของเขา

"คุณ..ครับ มี..คู่หมั้น..ของคุณ..มา..ยืน..รออยู่..ที่ประตูหน้าบ้าน.."

น้ำเสียงและลมหายใจที่ขาดช่วง สงสัยเขาคงจะรีบวิ่งมาน่าดู ผมหันกลับไปมองอาหมออีกครั้ง ที่ยังคงนั่งและสีหน้าท่าทางยังเป็นกังวลเหมือนเดิม

"ไม่ใช่ความผิดของอาเลยครับ อาช่วยผมมาเยอะมาก จนผมขอบคุณสักกี่ล้านครั้งก็ยังไม่พอ"

ทั้งเรื่องที่คอยรักษาอาการป่วย ทั้งเรื่องที่เป็นส่วนหนึ่งคอยช่วยเหลือให้ผมหนีออกมาเมื่อสิบห้าปีก่อน ขัดขวางบ้านใหญ่ไม่ให้ออกตามหา จนผมได้ใช้ชีวิตอิสระมาตลอดตั้งยี่สิบปี อาหมอเงยมองสบตา

"อาขอโทษจริง ๆ"

ผมยิ้มกว้างเป็นสัญญาณบอกว่าผมไม่เป็นไร

มันผิดที่ท่านพ่อที่ไม่ยอมเข้าใจต่างหาก

การกระทำและพูดออกไปตั้งขนาดนั้น

ทำไมถึงไม่ยอมเข้าใจ ทันทีเมื่อผมหายป่วย ไม่คิดว่าจะส่งความวุ่นวายมาเสริฟมาให้ถึงที่แบบนี้ อย่างน้อยผมคิดว่าถ้าจะส่งมาจริง คงจะรอให้ขาผมหายดีก่อน

คิดผิดหมดทุกอย่าง

เรื่องเขายังไม่เคลียร์ ยังมาเจอเรื่องนี้อีก จังหวะเหมาะเหมือนจงใจ

"เอ่อ ขอโทษนะครับ ขออนุญาตพูดแทรกครับ คุณผู้หญิงยืนรอนานแล้ว เชิญเข้ามาเลยไหมครับ"

รับบทเป็นพ่อบ้านได้ดี เมื่อยังไงไม่ได้รับคำตอบ เขาจึงถามย้ำและขออนุญาตเจ้าของบ้านก่อนเปิดประตูรับแขกเข้ามา สีหน้าขณะที่พูดนิ่งเฉยราวกับไม่รู้สึกอะไร

คำว่าคู่หมั้น คำว่าคุณผู้หญิง ก็พูดออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำ ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ

เชิญเข้ามาเลยไหม

เป็นคำถามที่ทิ่มแทงหัวใจ

"แล้วแต่เธอ.."

"ถ้าเห็นว่าดี อยากจะเปิดให้เข้ามาหรือไม่ อยู่ที่เธอจะพิจารณาแล้วกัน"

.

.



TBC
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 23-7-62
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 23-07-2019 21:07:55
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 23-7-62
เริ่มหัวข้อโดย: Fufufeel ที่ 12-08-2019 19:33:56
หน่วงมากเลย :katai1: :katai1: อยากให้ทั้งคู่สมหวัง
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 18-9-19
เริ่มหัวข้อโดย: ความฝันของดอกไม้ ที่ 18-09-2019 13:57:10
ตอนพิเศษ 2



คงเป็นความผิดของผมเอง

ซึ่งไม่น่าไปพูดอะไรเหมือนกับการลองใจ เมื่อผลลัพธ์ออกมาไม่เป็นดั่งที่หวัง จึงต้องมานั่งเจ็บปวดอยู่แบบนี้

คงเป็นความผมของผมเอง ที่คิดอะไรง่าย ๆ ถ้าเราได้คุยกันอีกครั้งแล้วความสัมพันธ์จะเปลี่ยนไป

ไม่มีทางเปลี่ยน

ต่อให้คุยกันอีกสักกี่สิบครั้ง คงไม่มีทางเปลี่ยนไป ถ้าใจเขายังไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง

เพราะความรักเป็นเรื่องความรู้สึกของคนสองคน หากมีคนใดรู้สึกอยู่ฝ่ายเดียว เรื่องราวถึงลงเอยออกมาเป็นเช่นนี้ อย่างที่ผมเคยบอก เขามีความย้อนแย้งอยู่ในตัว มีความคิดอยากครอบครองและไม่อยากครอบครองอยู่ในเวลาเดียวกัน

แล้วความรู้สึกไหนชนะ?

คุณคงไม่จำเป็นต้องเดา

ถ้าเรื่องมันลงเอยด้วยดี เราคงได้ครองรักกันและจบลงอย่างมีความสุข

เพราะชีวิตจริงไม่ใช่นิยาย

ไม่มีอะไรที่จบง่ายดายไปอย่างใจคิด

ทั้งที่มีความรู้สึกต่อผมรุนแรงถึงขั้นทำเรื่องอย่างคืนนั้น ทั้งที่มีความรู้สึกต่อผมยืนยาวมาถึงหกปี ทั้งที่ในสมุดก็เขียนเรื่องราวชีวิตประจำวันที่เกี่ยวกับผมมากมาย ถึงจะเป็นความสัมพันธ์ผู้ซื้อกับผู้ขาย ทว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ผมเคยมอบให้ เขาไม่ได้ใช้แม้แต่บาทเดียว

สามปีที่ผ่านมาเขาอยู่กับผมด้วยความต้องการของตัวเองมาตลอด

ผมไม่สงสัยเรื่องความรู้สึกของเขา ยังไงก็คือของจริงแน่นอน

แต่ไม่รู้ทำไม..

อะไรเป็นเหตุผลคอยเหนี่ยวรั้ง ปิดกั้นความต้องการจากส่วนลึกในใจ ไม่ให้เปิดเผยออกมา

แววตาอันน่าสงสารเฝ้ามองอยู่การณ์ไกล ในขณะที่ผมกำลังแสร้งยิ้มอย่างยินดี สนทนากับคู่หมั้นคู่หมายที่ท่านพ่อจัดสรรมาให้ เขาเป็นคนพาเธอเข้ามา พาผมมาหาเธอ โดยนั่งอยู่ในที่ประจำของเรา

เธอสวยกว่าในรูป ท่าทางและกิริยาบ่งบอกว่าเติบโตมาจากคุณหนูชาติตระกูลดี สมกับเป็นตระกูลขุนนางเก่าในประเทศอิตาลี

รอยยิ้มบริเวรมุมปากเล็กน้อย ดวงตาสีฟ้าอ่อนชวนมอง ประกอบกับฉากหลังเป็นสวนดอกไม้ ทุกอย่างรวมกันไม่อาจปฏิเสธได้ ภาพที่เห็นตรงหน้าประดุจดั่งสาวงามหลุดออกมาจากเทพนิยาย

แต่

แล้วมันยังไง มีประโยชน์อะไร

ในเมื่อหัวใจผมมอบให้เขาไปทั้งดวง

"เบต้าที่ยืนมองเราอยู่ตรงนั้นคือใครหรือคะ"

หลังจากพูดคุยทำความรู้จักกันได้สักพัก เธอเริ่มเปิดประเด็น

"ดิฉันเห็นคุณเปรยมองเขาอยู่เป็นระยะ"

และช่างสังเกต ผมหยิบแก้วชาส่งกลิ่นหอมขึ้นมาจิบ เพื่อสงบสติอารมณ์ของตัวเอง ไม่อยากจะเอาอารมณ์ที่มันพลุ่งพล่านในตอนนี้ไปลงกับคนที่เพิ่งเจอครั้งแรก เมื่อเธอกล้าถามตรง ๆ ผมก็จะตอบตามความจริงเช่นกัน

"เขาคือคนที่ผมรัก แต่ตอนนี้กำลังรับบทเล่นเป็นพ่อบ้านอยู่"

แก้วชาถูกวางลง พร้อมกับใบหน้าหวานพยักรับคำ ประหนึ่งเข้าใจในความหมายที่ผมต้องการจะสื่อ

"หืม อย่างนั้นเหรอ..."

ริมฝีปากอิ่มระบายยิ้มกริ่ม

"ดิฉันรู้สึกว่า..คิดถูกจริง ๆ ที่เลือกคุณ"

ดวงตากลมโตกวาดมองชื่นชมบรรยากาศสดใสรอบข้าง

"ดอกไม้เหล่านี้เขาเป็นคนปลูกไว้หรือเปล่าคะ"

เธอเปลี่ยนประเด็นเร็ว จนผมไม่มีจังหวะได้เอ่ยถามอะไร ร่างสมส่วนลุกขึ้นยืน และเดินลงไปบริเวรแปลงดอกไม้สีขาวที่กำลังโอนเอนไปมาตามแรงลม ผมนั่งมองการกระทำของเธอ พลางยกแก้วชาขึ้นมาจิบอีกครั้ง

"..ครับ"

จมูกสวยโน้มสูดกลิ่นหอมจากดอกนั้น ท่าทางเหมือนเป็นคำตอบที่เธอเดาไว้อยู่ก่อนแล้ว รอยยิ้มยังคงประดับอยู่ ผู้หญิงกับดอกไม้ดูเข้ากันจนไม่อาจละสายตา

"คุณรู้จักภาษาดอกไม้ไหมคะ"

เธอหันมาถามผม และผมมองเธออย่างสงสัย เราประสานนัยน์ตาเพียงชั่วครู่ ก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายยอมแพ้เบี่ยงหลบไปอีกทาง ดอกไม้รอบข้างที่มีนานาชนิด และหลากสีสัน ซึ่งผมเองไม่ทราบเหมือนกันว่าคือดอกอะไร แค่เห็นว่าสวยดี แต่ไม่เคยสนใจเรื่องชื่อหรือความหมาย

ในเมื่อดอกไม้มันก็เป็นแค่ดอกไม้

เธอขำในลำคอ

"ทึ่มจังเลยนะคะ"

 ท่าทางที่ผมแสดงออกมาทำให้เธอเดาคำตอบไม่อย่างไม่ยากเย็น เธอหันไปสนใจและเหม่อมองหมู่มวลดอกไม้อีกครั้ง

"ยิ่งเขาเริ่มปลูกดอกไม้เหล่านี้มานานเท่าไหร่ ซึ่งหมายความว่าเขารู้สึกกับคุณมานานเท่านั้น หรืออาจจะมากกว่านั้น ดอกไม้ที่อยู่ตรงหน้าดิฉันตอนนี้คือดอกคัตเตอร์ค่ะ"

'แม้คุณจะไม่มองผมไม่เป็นไร เพราะไม่ว่ายังไงผมก็จะมีเพียงคุณเสมอ'

"ความหมายโรแมนติกดีใช่ไหมคะ ส่วนใหญ่มักจะเป็นดอกไม้ที่ไว้สำหรับมอบให้คนที่แอบรัก เขาดูท่าจะหลงใหลในตัวคุณไม่ใช่น้อยเลยค่ะ"

เรียวนิ้วที่คล้องหูแก้วชาสั่นเทิ้มจนไม่อาจเก็บอาการ สีหน้า ความอัดอั้นที่กดเก็บเริ่มค่อย ๆ เปิดเผยออกมา กับคนซึ่งพบเจอกันเป็นครั้งแรก

"คุณต้องการจะพูดอะไรกับผมกันแน่ จะบอกว่าความรู้สึกของผมกับเขาตรงกันอย่างนั้นเหรอ"

"ถ้าเป็นเรื่องนี้ ผมรู้ดีอยู่แล้วล่ะ รู้ดีอยู่แก่ใจ"

เรียวนิ้วที่ยังคงคล้องหูแก้วชาเกร็งแน่นอย่างพยายามสงบสติอารมณ์ที่ใกล้จะปะทุ

"ดิฉันมาที่นี่..."

เธอหันประจันหน้ายืนหยัดอย่างมั่นคง

"เพื่อเจรจายกเลิกการหมั้นกับคุณค่ะ"

น้ำเสียงหนักแน่นและชัดเจน ผมผ่อนลมหายใจออกเฮือกใหญ่อย่างปลอดโปร่ง

"ถ้าเป็นเรื่องนั้น พักเรื่องผมเอาไว้ก่อน และเรากลับมานั่งคุยกันอย่างตั้งใจดีไหมครับ"

ใบหน้าหวานระบายรอยยิ้มกว้าง

"ดิฉันถึงบอกยังไงล่ะคะ คิดถูกจริง ๆ ที่เลือกคุณ"

ผมมองตามเธอที่กำลังเดินทรุดกายนั่งตรงหน้าผมอีกครั้ง

"ทางนี้ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าเราจะมีหลายอย่างที่คล้ายคลึงกันจนน่าตกใจ"

การสนทนาระหว่างผมกับเธอซึ่งเคยมีแต่ความกระอักกระอ่วน เสแสร้งเข้าหากัน กลับกลายแลกเปลี่ยนได้อย่างสนิทใจ บรรยากาศที่เคยตึงเครียดกลับกลายเป็นสนุกสนาน

ผมก็ไม่คาดฝันว่าจะมีวันที่ผมสามารถคุยกับใครสักคนอย่างเป็นกันเองราวกับคนในครอบครัวเหมือนเพื่อนรักทั้งสอง อาหมอและคุณน้า สิ่งที่น่าตกใจไปกว่าคือกับเธอที่เพิ่งพบเจอกันเป็นครั้งแรก

ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเรื่องราวในชีวิตของเราคล้ายคลึงมากถึงขนาดเล่าเรื่องใดเรื่องหนึ่งไป กลายเป็นความเข้าใจซึ่งกันและกัน

ต้องยอมรับว่าท่านพ่อตาถึง ถ้าผมเจอกับเธอเร็วกว่านี้สักสามปี เรื่องราวในชีวิตของผมคงเปลี่ยนไปอีกทาง

"ขออภัยที่มาขัดจังหวะกำลังสนุกนะครับ"

ระหว่างคุยกับเธอ ผมลืมสังเกตเขาไปเสียสนิท เขากล่าวพลางโค้งกายอย่างสุภาพ

"เนื่องจากเวลาใกล้จะเที่ยงแล้ว ผมจะไปจัดเตรียมอาหารกลางวัน คุณผู้หญิงมีของที่แพ้หรือไม่ชอบทานเป็นพิเศษไหมครับ"

ทั้งที่เห็นเธอกับผมคุยกันอย่างสนุกสนาน ทว่าเขาก็ยังคงนิ่งอย่างไม่รู้สึกรู้สา

"อุ๊ยตายจริง!"

มือสวยป้องริมฝีปาก พลางก้มมองนาฬิกายี่ห่อหรูบนข้อมือของตัวเอง

"เวลาป่านนี้แล้วหรือคะเนี่ย คุยเพลินจนไม่ได้สังเกตเลย"

เธอยิ้มแล้วหันมามองทางผม

"ทางนี้เองก็สนุกมากเช่นกันครับ"

"แต่น่าเสียดายนะคะ วันนี้อดชิมอาหารฝีมือ 'พ่อบ้าน' ที่คุณชื่นชม"

น้ำเสียงหวานจงใจเน้นคำว่าพ่อบ้านอย่างชัดถ้อยชัดคำ

"เรายังมีเวลาอยู่ด้วยกันอีกเยอะไม่ใช่หรือครับ"

เห็นดังนั้นผมจึงยิ้มตอบอย่างมีเลศนัย เธอหยิบของบางอย่างออกมาจากในกระเป๋า ก่อนจะยื่นมาทางผม เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมกระดาษผืนผ้าซึ่งมีชื่อและเบอร์โทรติดต่อไว้พร้อม

"เกือบลืม อันนี้เป็นนามบัตรที่ติดต่อถึงดิฉันโดยตรงนะคะ"

ผมรับไว้อย่างยินดี

"จะติดต่อไปแน่นอนครับ"

รอยยิ้มหวานหยาดเยิ้มส่งมาให้

"ดิฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ พอดีมีธุระที่ต้องไปจัดการต่อ"

"เดี๋ยวผมให้คนไปส่งครับ"

"ไม่เป็นไรค่ะ ตอนนี้ 'คนของดิฉัน' น่าจะมารอรับแล้วค่ะ"

"ถ้าอย่างนั้นผมขอไปส่งที่หน้าประตูบ้านนะครับ"

"แหม.. ไม่อยากจากกันขนาดนี้เลยหรือคะ"

"ต้องการคำตอบจริง ๆ หรือเปล่าครับ"

"ไม่ล่ะค่ะ ดิฉันกลัวตัวเองได้ยินแล้วจะเขินจนตัวม้วนไปเสียก่อน"

เธอหันไปและทำท่าทางเหนียมอาย

คำพูดหยอกเย้าของเธอและผมยังคงดำเนินต่อไป ในขณะที่เขาหน้านิ่งเป็นตอไม้เข็นวินแชร์พาผมไปส่งเธอ

"ดิฉันจะรอรับสายจากคุณนะคะ"

ผมเหม่อมองนามบัตรในมืออย่างครุ่นคิด

"ไม่ต้องห่วงครับ บางทีผมอาจจะโทรไปวันนี้เลยก็ได้"

เธอระบายยิ้มและโบกมือลา

"ดิฉันพร้อมเสมอค่ะ"

ริมฝีปากยกยิ้มตอบ

"แล้วเจอกันนะครับ"

เธอยิ้มหวานส่งท้ายพร้อมกับก้าวขึ้นรถไป ผมมองส่งรถเก๋งคันเก่าจนสุดสายตา ก่อนจะส่งสัญญาณบอกให้เขา พาผมกลับเข้าไปด้านใน

ระหว่างทางมีแต่ความเงียบ ทว่าไม่ใช่ความเงียบที่ทำให้สงบใจเหมือนดั่งเคย

เต็มไปด้วยความอึดอัด

ใบหน้าที่นิ่งตึงของเขายิ่งทำให้ผมหงุดหงิด

จะไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ

จะไมรู้สึกอะไรจริง ๆ ใช่ไหม

"เธออยากจะเป็นอะไรกับฉันกันแน่!"

ผมโพล่งถามอย่างควบคุมอารมณ์ตัวเองเอาไว้ไม่อยู่

บรรยากาศซึ่งมีเพียงสายลมพัดผ่านเราสองคน ไอแดดที่ร้อนระอุค่อย ๆ มลายหายไป กลายเป็นก้อนเมฆใบใหญ่เข้ามาบดบัง

เขาทิ้งความเงียบให้กินเวลาไปหลายวินาที

"อะไรก็ได้ครับ.."

"ถ้าอย่างนั้น..."

ผมไม่ทันได้พูดจบประโยค

"....ที่ไม่ใช่คนรัก"

เขาสวนตัดบทขึ้นมาทันใด ผมจึงต้องจำยอมเก็บถ้อยคำที่อยากจะเอ่ยลงคอไปโดยปริยาย บรรยากาศกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง

มันเป็นคำตอบที่ผมรู้ดีอยู่แก่ใจ

ก็ไม่น่าจะไปถามตอกย้ำให้ตัวเองเจ็บปวด

มันเป็นเรื่องที่ผมรู้สึกและรับรู้มาตลอด

พอมาได้ยินคำปฏิเสธจากเขาตอกย้ำ มันเจ็บยิ่งกว่าที่คิดไว้

เราเหมือนกำลังถือเชือกคนละเส้น ผมพยายามนำเชือกของตัวเองไปผูกไว้กับเขา แต่เขาเป็นคนแก้มัดและคลายปมนั้นอย่างไม่สนใจว่าผมจะรู้สึกเจ็บปวดแค่ไหนกับความพยายามที่ไร้ความหมาย

หรือเป็นเพราะผมฝืนไปผูกกับเขามากเกินไป ทั้งที่เขายังมีเรื่องราวและเรื่องที่ยังปกปิดเก็บซ่อนอยู่ส่วนลึกข้างใน

นัยน์ตาแหงนมองบนท้องฟ้ามีเมฆครึ้มเข้าปกคลุมไร้ซึ่งความสดใส ขุ่นมัวไม่ต่างอะไรกับความรู้สึกของเราสองคน ใช่ว่าผมไม่ดีใจเมื่อตอนได้ยินเรื่องภาษาของดอกไม้ ดีใจสิ ดีใจมาก ทว่ามันทั้งดีใจและเจ็บปวดไปในเวลาเดียว

เพราะถึงรู้ไป..ในเวลานี้มันก็ไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ของเราเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นมา

ถ้าพูดด้วยปากแล้วยังไม่เข้าใจ ผมจะทำให้เห็นเองว่าไอ้ความสัมพันธ์สวยหรูอย่างที่เขาคิด ไม่มีทางเป็นไปได้สำหรับเรื่องของเรา

ผมกดมือถือโทรหาคนที่เพิ่งมอบนามบัตรให้ผมเมื่อครู่

ถ้านั่นมันคือคำตอบของเขา

นี่ก็เป็นคำตอบของผมเช่นกัน



TBC





.



ขอบคุณที่ติดตามและกำลังใจนะคะ



























หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 18-9-19
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 18-09-2019 18:15:52
 :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 18-9-19
เริ่มหัวข้อโดย: ss.suttida ที่ 29-09-2019 01:40:36
 :hao3:เอ เหมือนตอนพิเศษนี่ต้องมีต่อรึเปล่าน้า
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) 18-9-19
เริ่มหัวข้อโดย: totorobabii ที่ 29-09-2019 20:28:20
เพราะชนชั้นสินะ...
เข้าใจนะ แต่ก็สงสารด้วยยย :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (Omegaverse) ตอนพิเศษ 3
เริ่มหัวข้อโดย: ความฝันของดอกไม้ ที่ 13-10-2019 20:36:27
เหมือนผมกำลังลอยคออยู่ในกลางแอ่นน้ำวน

ไม่ว่าจะทำอะไรไปเท่าไหร่ ก็หวนกลับมาดังเดิมทุกครั้ง

เหมือนความสัมพันธ์ของเราไม่ต่างอะไรกับบูมเมอแรง

ไม่ว่าผมพยายามพาเราเดินออกไปให้ไกลเท่าไร สุดท้ายก็วนกลับมา ณ จุดเริ่มต้นเสมอ

ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป รู้แค่เรามีใจตรงกัน นอกเหนือจากนั้น ไม่มีอะไรเลย รังแต่จะแย่ลงเสียด้วยซ้ำ เรื่องความรัก ต่อให้มีความรู้สึกตรงกัน ใช่ว่าจะครองคู่กันได้เสมอไป เสมือนเรื่องราวของผมซึ่งมีแต่คำถามว่าทำไม

ทำไม!

ผลถึงลงเอยออกมาเป็นแบบนี้!

ผมทำอะไรผิดพลาดตรงไหน ทำไมเราถึงเป็นคนรักกันไม่ได้สักที

ร่างกายอ่อนเพลียนอนหงายบนเตียงใบใหญ่ซึ่งค่ำคืนนี้มีเพียงผมคนเดียว ส่วนเขา..ในเมื่ออยากจะรับบทเป็นพ่อบ้าน ผมจึงไล่ให้ไปนอนที่ห้องสำหรับ 'ลูกจ้าง' แทน

หลังจากที่ผมวางสายจากคู่หมั้นคู่หมาย ก็สั่งห้ามเขาไม่ให้เข้ามานอนในห้องของผมสักระยะ

และไปทำความสะอาดจัดเตรียมห้องนอนสำหรับแขก เพื่อต้อนรับคุณผู้หญิงที่จะเข้ามาอยู่กับเราตั้งแต่วันพรุ่งนี้

การที่ผมกำลังจะแต่งงาน หากยังนอนกอดกับ 'พ่อบ้าน' มันคงดูไม่ดี และนี่เป็นเหตุผลที่ค่ำคืนนี้ เหลือผมนอนถอนหายใจอย่างปล่าวเปลี่ยวเพียงคนเดียว

หยาดฝนโปรยปราย ทวีคูณความหนาวเหน็บ

ขาดไออุ่นจากคนเคยเคียงข้าง ยิ่งอ้างว้างจับขั้วหัวใจ

ถึงจะทรมาณและเจ็บปวดแค่ไหน ความจริงก็ยังอยากจะมีเขาอยู่ข้างกาย ทว่าตอนนี้ผมไม่สามารถควบคุมสงบสติอารมณ์ของตัวเองได้ ไม่เก่งกล้ามากพอที่จะทำแบบนั้น ทุกครั้งที่เห็นหน้าเขา เหมือนชนวนจุดระเบิดอารมณ์ซึ่งมันใกล้จะปะทุออกมาเต็มที

หลายเรื่อง หลากความรู้สึกที่อัดอั้น ถูกกดเก็บไว้

หากยังคงเห็นใบหน้าเขาในเวลานี้ ผมกลัวอารมณ์ที่มันกำลังแซงหน้าความเป็นเหตุผล พาลทำให้ทุกอย่างยิ่งเลวร้ายลงกว่าเดิม ทั้งที่ตั้งใจจะใช้ทุกวินาทีร่วมกับเขาอย่างคุ้มค่า เพื่อชดเชยเวลาที่เสียไป

แต่มันก็ไม่ได้ง่ายดาย

ปมความคิดของเขา ยิ่งพยายามจะแก้เท่าไหร่ ก็ยิ่งผูกแน่น

คำปฏิเสธที่ยังก้องกังวานในโสตประสาท หลอกหลอน ซึ่งยิ่งคิดเท่าไหร่ ก็ยิ่งตอกย้ำ

ร่างกายฝืนพลิกตะแคง แววตาเหม่อมองหมอนใบเดิมที่เขาเคยนอนหนุน เอื้อมมือไปสัมผัสบางเบา ก่อนจะดึงมาโอบกอดแนบกาย ซึมซับเศษเสี้ยวไออุ่น ซุกใบหน้าลงจนมิด สูดกลิ่นหอมเจือจางอย่างคำนึงหา ทั้งที่ระยะเวลาเพิ่งผ่านมาไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง ทว่าความคิดถึงซึ่งก่อตัวเพิ่มพูนราวกับไม่ได้เจอกันมานานนับปี

ระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งวันด้วยซ้ำ แล้วทำไมหัวใจถึงบีบรัดอย่างปวดร้าว ทรมานมากกว่า เมื่อตอนที่ผมพยายามตัดใจและไม่ได้เจอหน้าเขาหนึ่งเดือน ผมคงบ้าไปแล้ว

หรือเพราะตอนนั้นผมไม่รู้ว่าเรามีใจตรงกัน

หรือเพราะตอนนี้ต่อให้มีความรู้สึกตรงกัน ก็ยังเป็นคนรักกันไม่ได้

เพราะอะไรกันแน่

เขาจะรู้สึกเหมือนกันบ้างไหม คืนนี้เมื่อไม่ได้นอนข้างกัน หลับลงหรือเปล่า

หรือมีแค่ผมที่กำลังคิดถึงแทบทนไม่ไหว

เลือกเอง

สั่งเอง

เจ็บปวดเอง

คิดถึงเอง

ทรมานเองอยู่ฝ่ายเดียว

ผมสูญเสียความเป็นตัวเองไปหลายอย่าง และกำลังกลายเป็นใครสักคนที่ผมไม่รู้จัก

ตัวตนของผมในตอนนี้

กับตัวตนของผมจากอดีตที่ผ่านมา

เมื่อมองย้อนกลับไป

ความรักมีอิทธิพลทำให้มนุษย์คนเราเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เชียวหรือ

ผมเคยเด็ดขาดกว่านี้ เรื่องอะไรที่ทำร้าย กัดกินความรู้สึก กดผมให้ดำดิ่งสู่ความเจ็บปวด เหมือนอดีตครอบครัว ต่อให้มีสายเลือดเดียวกัน ผมสามารถตัดขาด ตัดทิ้งได้อย่างไม่ลังเล ถ้าไม่จำเป็นไม่เคยคิดจะยุ่งเกี่ยว

แต่พอมาเป็นเรื่องของเขา ถึงแม้จะเจ็บปวดให้ตายยังไง ไม่อาจทำลายความรักที่เอ่อล้นภายในใจให้สั่นคลอน

จากเคยตัดสินใจเด็ดขาด พอเป็นเรื่องเขา เต็มไปด้วยความสับสน ลังเล ไม่รู้ว่าควรจะเดินไปทางไหนถึงจะดี เดินไปทางไหนถึงจะถูกต้อง

จากเคยเข้มแข็ง แทบจะไม่หลั่งน้ำตาให้ใครเห็น กลับกลายเป็นร้องไห้ได้ง่าย ๆ

หัวใจที่เคยแข็งแกร่งดุจหินผา แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนไหว ไม่ต่างอะไรดอกหญ้าที่โอนเอนไปมาตามแรงลม

เคยเฉยชากับทุกสิ่ง กลับใส่ใจทุกเรื่องเกี่ยวกับเขา

เคยนอนกอดใครก็สามารถนอนหลับลงได้อย่างสบาย น่าขำสิ้นดี ทุกวันนี้การไม่มีเขาข้างกาย ทำให้ผมไม่สามารถข่มตาหลับได้แม้แต่งีบเดียว

นาฬิกาแสดงเวลาอีกไม่ถึงชั่วโมงก็จะเข้าสู่เช้าวันใหม่

ผมยังคงนอนถอนหายใจไม่อาจนับครั้ง พร้อมกับฟังเสียงของสายฝน

การไม่เจอเขาหนึ่งคืนไม่สามารถช่วยให้อารมณ์ของผมเย็นลง

ทั้งที่อยากเจอแทบทนไม่ไหว แต่ผมไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไรต่อไปแล้วจริง ๆ

ยิ่งพยายามจะเข้าใจเขามากเท่าไหร่ สุดท้ายมีเพียงความไม่เข้าใจมากขึ้นเท่านั้น

เสียงฝีเท้าคุ้นเคยเดินวนเวียนอยู่หน้าห้อง

ผมเงี่ยหูฟังอย่างมั่นใจ แววตาเหล่มองนาฬิกาตั้งโต๊ะข้างเตียงอีกรอบ

ตีสี่ครึ่ง..

ถึงว่า..เช้าขนาดนี้ ผมตื่นตอนเจ็ดโมงทีไร ข้างกายจึงพบกับความว่างเปล่าทุกที

ผมผละหมอนของเขาออกจากอ้อมกอด พร้อมนำกลับไปวางไว้ หย่อนเปลือกตาลงและหันกลับมานอนหงายดังเดิม ผมคงเป็นเอามาก ขนาดเสียงฝีเท้าของเขา ผมยังจำได้อย่างแม่นยำ

อาจเพราะสองสามเดือนที่ผ่านมา ผมนอนซมแถมขาหักอยู่บนเตียง นอนฟังเสียงรอบกาย เพื่อรอเขามาหา จึงกลายเป็นว่าสามารถแยกเสียงฝีเท้าของเขาได้

โชคดีแกมตลกร้าย ที่ดันมีประโยชน์เอาตอนนี้ ผมห้ามไม่ให้เข้ามานอน แต่ไม่ได้หมายความว่าห้ามเข้ามาดูแลในฐานะพ่อบ้าน อย่างน้อยถ้าเขาตัดสินใจจะเข้ามา มันช่วยให้หลีกหนีการเผชิญหน้าที่ยังไม่พร้อมจะพบเจอ

ถึงความจริงมันจะขัดกับความต้องการของส่วนลึกในใจก็ตาม

หลังจากลังเลมาสักระยะ

ประตูห้องแง้มเปิดเสียงเบาอย่างระมัดระวัง เหมือนกลัวจะผมจะตื่น โดยไม่รู้ว่าผมไม่ได้หลับตั้งแต่แรก

เสียงฝีเท้าย่องเข้ามา

เสียงสิ่งของบางอย่างที่เขากำลังถืออยู่กระทบกับเสื้อผ้า

ถึงแม้จะเป็นเสียงค่อนข้างเบาไม่อาจเทียบเท่าเสียงของหยาดฝน

ทว่าการกระทำทุกอย่างของเขาในเวลานี้ดังก้องไปทั่วหัวใจ กระตุกให้เต้นกระหน่ำหวั่นไหว

ผ้าห่มที่เคยอยู่ระดับเอว ถูกดึงขึ้นจนมิดลำคอ

หลังมือหยาบสั่นระริกแถมเย็นเฉียบ แนบสัมผัสบนหน้าผากเพื่อเช็คอุณหภูมิร่างกายอย่างเป็นห่วง อากาศเปลี่ยนแปลงกะทันหัน สงสัยคงกังวลอาการป่วยที่เพิ่งหายของผมจะหวนกลับมาอีกรอบ

รสสัมผัสอันอ่อนโยน

ขจัดความหม่นหมองในใจไปจนหมด

เสียงร่างที่ทิ้งลำตัวยืนเข่าลงบนพื้นข้างเตียง เมื่อเช็คจนมั่นใจว่าในเวลานี้อุณหภูมิร่างกายของผมยังคงปกติ แต่เรียวนิ้วหยาบกระด้าง ยังไม่ผละออก พลางปัดไรผมบนใบหน้าอย่างบางเบา นุ่นละมุน เหมือนกับนำขนนกเกลี่ยไปมาลงบนผิว

ก้อนเนื้อข้างซ้ายเร่งจังหวะการเต้นจนแทบทะลุออกมาจากอก

ถึงจะดีใจแค่ไหน

กลั้นไว้

กลัวว่า ถ้าผมเผลอยิ้มออกไป แล้วเขาจะรู้ความจริง การกระทำแบบนี้ ซึ่งถ้าผมตื่น คงไม่มีทางแสดงออกมาให้เห็น

เรียวนิ้วชี้มาหยุดบริเวณริมฝีปาก กดสัมผัสอย่างทะนุถนอม ความประหม่าซึ่งสื่อออกมาจากปลายนิ้วอันสั่นเทิ้ม ใบหน้าคมกำลังโน้มลงมาใกล้อย่างกล้ากลัว

ใกล้..

ใกล้มากขึ้น

รู้สึกได้ถึงลมอุ่นรดบริเวณปลายจมูก ยิ่งพาลทำให้อะลีนาดีนแล่นสูบฉีดทั่วทุกส่วนประสาท สมองขาวโพลนจนไม่อยากจะคิดอะไร

เสี้ยววินาที เขาประทับริมฝีปากลงบนนิ้วชี้ของตัวเอง นุ่มนวลและแผ่วเบา ราวกับทุกอย่างรอบตัวหยุดเคลื่อนไหว ผมนอนแข็งทื่อเหมือนมีประจุไฟฟ้าวิ่งเต้นไปทั่วร่างกาย ลมหายใจของเราที่ประสานเป็นจังหวะเดียวกัน

ความห่างระหว่างริมฝีปากซึ่งมีเพียงนิ้วชี้ของเขากั้นกลางเท่านั้น

แววตาคมหย่อนคล้อยกลายเป็นหลับพริ้ม

ในขณะที่ผมสวนทางตกใจจนตาเบิกกว้าง

ตอนนี้การจะควบคุมความตื่นเต้นไม่ให้หลุดออกไปเป็นอะไรที่ยากเย็น อยากจะใช้อ้อมแขนทั้งสองโอบกอด รั้งต้นคอเขาเอาไว้ นำนิ้วชี้ของเขาออกไป ให้ริมฝีปากของเราแนบชิดไร้ช่องว่าง และกลายเป็นจูบจริง ๆ

ทว่า..ผมกลับอยากรู้ว่าเขาจะทำอะไรต่อไปมากกว่า จึงหลับตาลงและแกล้งทำเป็นหลับเหมือนเดิมอีกครั้ง

การกระทำอันแสนย้อนแย้งของเขา

สามารถกำหนดให้ผมมีความสุขได้ชั่วพริบตา

และทำให้ผมปวดร้าวจนแทบบ้าไปในเวลาเดียวกัน

ทั้งที่ทำให้ผมเจ็บปวดมาทั้งวัน ไม่ต่างอะไรกับการตบหัวแล้วลูบหลัง ถึงจะรู้แบบนั้น แต่ความโกรธภายในใจค่อย ๆ เหือดหายไปราวกับมีเวทมนตร์ ผมใจง่ายกว่าที่คิด แค่ถูกกระทำนิดหน่อยก็ให้อภัยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แค่นี้ก็ดีใจจนเนื้อตัวสั่น

มองอีกมุม.. มันก็คือหลักฐานว่าความรู้สึกของผมที่มีต่อเขาไม่สามารถถอยหลังกลับไปได้แล้ว

ผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่

แต่ช่วยอย่าทำให้หลงไปมากกว่านี้จะได้ไหม

อ้อมแขนที่กำลังจะยกขึ้นกอดเขาอย่างเผลอตัว โชคร้ายที่มันดันเป็นจังหวะที่เขาถอนกายออกไปพอดี ด้วยความเขิน ผมจึงแกล้งพลิกตะแคงและดึงผ้าห่มขึ้นมาปกปิดใบหน้า เพราะตอนนี้ผมกลั้นยิ้มไม่ไหวอีกต่อไป หวังว่าเขาจะไม่รู้ตัวว่าผมตื่นอยู่

กายใหญ่ที่ขยับไปที่ปลายเตียง

คงอาจจะตรวจดู ทำความสะอาดเฝือกบริเวณขาหักก็ได้

พอเขาตรวจเสร็จ ผมจะเอาผ้าห่มปิดหน้าออก

แล้วลุกขึ้นไปเซอร์ไพรส์ อยากจะรู้เหมือนกันว่าจะทำให้เขาตกใจได้แค่ไหน

ของที่เขาถือมาด้วยก็วางปลายเตียง สงสัยคงจะเป็นกล่องพยาบาล

แต่..

ทว่า..

ผ่านไปนานสองนาน

ผ้าห่มบริเวณขาไม่ได้ถูกเปิดออก เฝือกไร้วี่แววของตรวจเช็ค หรือทำความสะอาด สายฝนโปรยปราย กลายเป็นโหมกระหน่ำ มีเพียงความรู้สึกบางอย่างที่กำลังคลอเคลียปลายเท้าเท่านั้น

"ผม..."

เสียงกระซิบผ่าวดังแทรกขึ้นมาทำลายความเงียบ ด้วยความสงสัยผมจึงค่อย ๆ เปิดผ้าห่มแอบดูทีละน้อย

"ขอโทษนะครับ"

"ผมขอโทษครับ"

"ขอโทษ.. ขอโทษครับ"

"ขอโทษ"

น้ำเสียงกระเส่าพลางพูดย้ำคำเดิมเป็นสิบรอบ เหมือนคนเสียสติ

"ขอโทษ...ครับ.."

ผ้าห่มอยู่เปิดออกเต็มผืน ผมลุกพรวดพราดขึ้นมากะทันหัน

ความไร้เดียงสา

วูบหนึ่งในห้วงความคิด

จากการกระทำของเขาเมื่อครู่ ผมคิดว่าความสัมพันธ์กำลังจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น

ภาพตรงหน้า แตกต่างจากสิ่งที่ผมนึกไว้ในใจราวฟ้ากับเศษหิน

เขาสะดุ้งโหยงหันมามองผมอย่างเหลอหลา สองมือ..

สองมือพนมยังคงวางไว้แทบปลายเท้า พานดอกไม้ธูปเทียนอยู่ด้านข้าง

ผม..

ผม..

ไม่สามารถบรรยายความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้ได้

ร่างกายมันแข็ง..

ชะงัก

ไม่คิดว่าจะกลับมาใช้คำนี้อีกครั้ง แต่คนละความหมาย

สมองขาวโพลน

ด้ายความอดทนเส้นสุดท้ายขาดสะบั้น ผมไม่เคยโกรธ โมโหอะไรจนขาดสติ และขาดการยับยั้งชั่งใจ ปล่อยการกระทำให้ไหลไปตามอารมณ์ขนาดนี้มาก่อนในชีวิต

พานดอกไม้ผมหยิบขว้างกระจัดกระจาย

ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองพูดอะไรไปบ้าง ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าพูดจาทำร้ายเขาไปแค่ไหน ภาพที่เห็นมีเพียงเขามองผมนิ่งอย่างไม่คิดจะตอบโต้อะไร เสียงอึกทึกครึกโครมทุกคนภายในบ้านตื่นกันหมดและรีบเข้ามายับยั้งสถานการณ์

ความสัมพันธ์ของเราเปราะบาง

เหมือนเจดีย์ทรายที่ถูกคลื่นทะเลซัดหาย

ถึงจะก่อมันขึ้นมาใหม่ก็คงไม่เหมือนเดิม

เหมือนความรู้สึกของเรา

พัง

พังทลาย

สุดท้าย สิ่งที่ผมกลัว กลายเป็นผมทำพังด้วยน้ำมือของตัวเอง เป็นคนโง่ คนเดิม ที่นำพาความรักของเรา มาถึงจุดดิ่งลงเหวอีกครั้ง

สุดท้ายกลายเป็นคนเดิมที่ทำพลาดอยู่ซ้ำ ๆ

หนึ่งประโยคที่ผมจำได้ไม่มีทางลืมคือไล่เขาไปให้พ้นสายตา

หนึ่งคำถามที่ผมจำขึ้นใจ

ผมถามเขาว่าขอโทษเรื่องอะไร

สุดท้าย..

คำตอบที่ได้คือความว่างเปล่าเช่นเดิม



TBC

.

.



ยังไม่ได้เกลาคำผิด เกลาประโยคนะคะ เราอาจจะมาเพิ่มเติมหลังจากนี้

ตอนนี้เกินเวลามามากแล้วค่ะ ต้องไปเติมพลังที่ร้านเนื้อย่างก่อน 555

รีบสุดฤทธิ์ เดี๋ยวจะไม่ทันร้านจะปิดไปเสียก่อน

เราอยากมี # ในทวิตบ้าง จริง ๆ ปกติเราไม่เคยเล่นทวิตเลยค่ะ เพิ่งหัดเล่นเมื่อไม่นานมานี้เอง

นิยายเรื่องนี้เรารู้สึกว่าไม่ค่อยมีจุดให้พูดคุยได้เท่าไหร่ 555 แต่ไปร่วมพูดคุยกันได้ที่ #ดอกคัตเตอร์ในมือคุณ

คนของเธอมันคือชื่อเพลง ส่วนใหญ่นิยายเราจะเป็นชื่อเพลงทั้งนั้นเลยค่ะ 555

ขอบคุณที่ยังติดตามนะคะ รัก♥
หัวข้อ: Re: [[เรื่องสั้น]] คนของเธอ (เบต้าxอัลฟ่า Omegaverse) 13-10-19
เริ่มหัวข้อโดย: Geawgard ที่ 17-10-2019 20:59:25
ค้างงงง คุณเบต้าาาาทำอะไรหน่ะ