พิมพ์หน้านี้ - ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 23 : 1-6-65

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: Marakun ที่ 25-09-2021 20:41:52

หัวข้อ: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 23 : 1-6-65
เริ่มหัวข้อโดย: Marakun ที่ 25-09-2021 20:41:52
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ


******************************************************************************


  ตอนที่ [ 1 ]
หมู่บ้านท้อแท้แห่งตำบลคับพวง

พ.ศ.2537

ท้องทุ่งกว้างใหญ่ รวงข้าวสีทองโน้มลงสะท้อนแสงอำพันระยิบระยับตา สัญญาณบ่งบอกฤดูกาลเก็บเกี่ยวที่กระชั้นเข้ามา ลมหนาวซึ่งพัดผ่านแถวสักทองต้นใหญ่ เรียงต้นริมไร่ข้าวโพด โชยมาเป็นครั้งคราว 

เมื่อสองปีก่อน ตัวผมยังห่วงซุกซน ขณะที่ทุกคนง่วนลงแขกข้าวกันอย่างขมักขเม้นนั้น  ผมกลับรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นนกคุ่มลายติดกับดัก ด้วยหวังว่าจะได้ตัวเมียเอาไปทำเป็นนกต่อ

ปีนี้หลาย ๆ อย่างเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งร่างกายของผมเอง รู้สึกเจ็บ ๆ คัน ๆ ที่หัวนมแปลก ๆ

อาชาญยิ้มอ่อน เมื่อถูกถามด้วยความสงสัยว่าผมจะเป็นมะเร็งเต้านมเหมือนกับอาเพ็ญไหม

อาเขยตอบด้วยเสียงอ่อนโยนว่า

“ต้นน้ำกำลังแตกเนื้อหนุ่มต่างหาก เหมือนต้นข้าวแตกกองาม รอวันออกรวง”

ตรงกันข้ามกับไอ้เป๊บซี่ ลูกชายพระหน่อเล็กของน้าแหววซึ่งหัวเราะขบขันทันที เมื่อเรื่องนี้รู้ถึงหู
มันเย้ยผมว่า

   “โง่และขาวเผือกอย่างมึง ต้องเทียบกับไอ้เผือกที่โตแต่ตัว แต่สมองเท่ามด”

   ไอ้เผือกเป็นพ่อควายพันธุ์ดี สง่าและองอาจ แค่ชายตามองควายตัวเมียก็ระริกหางเข้าใส่ ยิ่งไปกว่านั้นมันมีราคาสูงที่สุดในคอกของพ่อ

แน่นอนที่สุด ผมย้อนคำพูดของไอ้เป๊บซี่ เพราะผมไม่ใช่คนประเภทยอมลงให้ใครง่าย ๆ

   “ฉลาดมากเลยนะมึงน่ะ ถึงได้มาเรียนร่วมห้องเดียวกันกับกูเนี่ย”

   “ใบรายงานผลการเรียนของกูเคยมีเกรดสี่โว้ย เกรดสี่ซึ่งคนอย่างมึงไม่เคยได้ลิ้มลอง”

   “วิชาสุขศึกษาแค่ตัวเดียวเนี่ยนะ”

   “อย่างน้อย มันก็ช่วยให้กูรู้ล่ะกันว่านมแตกพานไม่ใช่มะเร็งเต้านม”

   ผมเลยจำใจ ยกความภาคภูมิให้แก่มัน

อาชาญเป็นเขยไกลมาจากพัทลุง รูปร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำ หน้าตาคมคาย อาเล่าว่าเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ในช่วงที่ถนนใหม่ตัดเข้ามาในหมู่บ้าน อาชาญเป็นนายช่างคุมงานก่อสร้าง ได้มาพบรักกับอาเพ็ญซึ่งเป็นสาวงามประจำอำเภอ ผู้ครองมงกุฎพร้อมสายสะพาย

ศรรักเล็งจากหนุ่มหล่อปักลงกลางอกสาวสวย แต่ไปไม่ถึงกลางใจพ่อตา...

อุปสรรคขวางกั้นเสียดฟ้าสูงยิ่งกว่าขุนเขาสาปยา นั่นคือเงินทองมิอาจกองตระหง่านถึง มิวายช่วยกันทำดีจนกระทั่งพ่อตาตาย แต่สุดท้ายได้แค่ที่นาแปลงน้อยซึ่งอยู่ลึกติดตีนเขา

อาชาญโศกเศร้ายิ่งนัก เมื่อครั้งที่อาเพ็ญตายจากด้วยโรคมะเร็ง ตอนนั้นผมอายุได้สิบขวบ เท่ากันกับไอ้แชมป์ลูกชายโทนของอา เราทั้งคู่เกิดมาคาบกรรมกันดั่งคำของแม่ว่า เราโตมาด้วยกัน จากน้ำนมเต้าเดียวกันของอาเพ็ญ

“ฉันไปบ้านอานะแม่”

ผมตะโกนบอกแม่ซึ่งดายพริกอยู่ท้ายสวนกับลูกจ้างช่วยงานสองคน ผู้ที่เห็นวิทยุทรานซิสเตอร์สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ป้าเอิบกับป้าอาบ สองแฝดหน้าตาเหมือนกันเป๊ะ แต่รสนิยมต่างกันลิบ   ป้าเอิบชอบสีเหลือง ในขณะที่ป้าอาบคลั่งไคล้สีแดง ป้าเอิบชื่นชอบเพลงลูกทุ่ง แต่ป้าอาบกลับถูกใจเพลงคลาสสิค กรรมไม่รู้อีโหน่อีเหน่เลยไปตกอยู่ที่วิทยุซอมซ่อจะพังมิพังแหล่ สีเหลืองครึ่งแดงครึ่งเครื่องนั้น

รายได้หลักของแม่ นอกจากพริก ขิง ข่า ตะไคร้ กับใบมะกรูดแล้ว สวนพริกห้าไร่ก็มีกระชายกับพริกไทยซึ่งแม่ส่งประจำให้กับแม่ค้าหลายเจ้าในตัวเมือง

“ตะวันจะลับฟ้า นกกากลับรังหมดแล้ว เอ็งยังจะไปอีกรึ”

“ฉันไปช่วยอา เอาควายของพ่อเข้าคอกจ้ะ”

“เออ ๆ ระวังงูเงี้ยว เขี้ยวขอ ด้วยล่ะ” แค่ผมบอกว่าไปทำงานให้พ่อ แม่ก็พูดอะไรไม่ออกแล้ว

พ่อผมชื่อผัน ภูก้อนคำ เป็นผู้ใหญ่บ้านที่ละเอียด ถี่ถ้วน  ไม่พูดมากความ แม่กับลูกบ้านจึงค่อนข้างเกรงใจ งานหลักของพ่อนอกจากค้าสัตว์และประชุมกับทางการแล้ว ก็มีงานพิจารณาว่าความให้กับชาวบ้านซึ่งมาตีกลองร้องทุกข์อยู่เป็นประจำ

หมู่บ้านท้อแท้แห่งตำบลคับพวง ลูกบ้านถกเถียงกันไม่เคยเว้นวัน...

ทว่า แท่นประหารของพ่อไม่เหมือนของเปาบุ้นจิ้น เพราะไม่มีหัวสุนัขและไม่มีคมดาบ มีก็แต่แป้นปั้มยางกับน้ำหมึกสีดำจากไส้ผลมะคังแดงกับถ้อยคำอันศักดิ์สิทธิ์ที่เอาไว้ตีตราประทับตรึงบนใบหน้า ซึ่งแต่ละข้อคำก็ว่ากันไปตามแต่ละคดี

คดีเบา ๆ อาทิเช่น ผัวเมียทะเลาะกันเอย คำว่า ‘ละเหี่ยใจ’ คืออักขระโจษจัณฑ์ทั่วทั้งหมู่บ้าน จากเหนือจรดใต้

คดีความที่ใหญ่อีกนิด อย่างเช่นเมื่อปีที่แล้วฝนแล้งหนัก ตาแห้งกับตาถึกแย่งน้ำเข้าที่นาของตน ไม่ปฏิบัติตามคำประกาศของพ่อท่ามกลางสภาหมู่บ้านว่า

“ปีนี้ ทางการห้ามทุกคนทำนาปรัง เพราะน้ำในระบบชลประทานต่ำระดับมาก”

ตาแห้งกล่าวหาตาถึกว่าแอบสูบน้ำจากที่นาของตน  ฝ่ายตาถึกก็อ้างว่าเพราะตาแห้งลักลอบดูดน้ำจากคลองทดน้ำไปใช้เสียหมด   
 สุดท้ายทั้งสองเฒ่าไม่กล้าออกจากบ้านนานนับสัปดาห์ จนกระทั่งถึงวันที่ถ้อยคำ ’น่าอับอาย’ บนใบหน้าเลือนหาย

นับวันข้อคำอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งใช้สืบเนื่องกันมาหลายชั่วอายุคน มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งวันหนึ่ง ผมเห็นพ่อถอนใจยาว ขณะนั่งมองหีบบรรจุแป้นคำกองโต

ต่อมา อีกไม่กี่วัน พ่อก็ตัดสินใจเรียกประชุมสมาชิกวุฒิสภาหมู่บ้าน ผู้ซึ่งมากด้วยอาวุโส ทุกคนก้าวยักแย่ยักยันมาพร้อมกับไม้เท้าคู่ชีพ  เยื้องย่างเข้ามาในศาลาว่าการข้าง ๆ วัด

พ่อกล่าว หลังจากครบองค์ประชุมแล้วว่า

“ที่เรียกผู้อาวุโสมาในวันนี้ เพราะอยากถามความคิดเห็น เรื่องเปลี่ยนชื่อหมู่บ้านของเราเสียใหม่”

เสียงฮือฮา ดังอื้ออึง เมื่อสิ้นประโยคของพ่อ หลายคนสวดยับโดยไม่ถามไถ่ถึงเหตุผลกันก่อน

อันที่จริง ชื่อของหมู่บ้านเรา...ถ้าหากสืบย้อนกลับไป ไล่จนถึงโคตรเหง้าต้นตระกูลผู้ก่อตั้ง สมัยเมื่อเจ้าผู้ครองนครเชียงรายถูกพม่าตีพ่ายถอยร่นลงมา กระทั่งแลเห็นว่าที่แห่งนี้มีขุนเขาโอบล้อมโดยรอบ แหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การตั้งทำเลถิ่นฐานแห่งใหม่ บนยอดเขายังพบต้นท้อยักษ์ต้นหนึ่ง จึงขนานนามสถานที่นี้ว่า

‘ท้อแท้’

ตาอินนั่งลง หลังจากเล่าความหลังในเรื่องนี้ จำนวนครั้งที่เท่าไหร่ไม่อาจนับ เพื่อตอกย้ำให้ลูกหลานจดจำถึงความองอาจของต้นตระกูลบรรพบุรุษ ขณะที่ ตานาสำทับซ้ำว่า

“อย่างไรเสียชื่อของหมู่บ้านเราก็ต้องมีคำว่า ท้อ”

ยายมาถ่มน้ำหมากลงกระโถน เสียงดังปรี๊ด ก่อนจะลุกขึ้น ยืนอย่างทระนงโดยไม่อาศัยไม้เท้าช่วย เสนอชื่อใหม่ให้เลือกซึ่งมีแค่สองชื่อเท่านั้นที่พอจะทดแทนกันได้ นั่นก็คือ…

 ‘ท้อจริงจริง’ กับ ‘ท้อแล้วท้ออีก’

สุดท้าย พ่อยอมถอดใจ น้อมรับคำท้อแท้ซึ่งมีมาแต่บรรพบุรุษดั้งเดิม

หัวข้อ: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD]
เริ่มหัวข้อโดย: Marakun ที่ 25-09-2021 20:54:45
  ตอนที่ [ 2 ]
ยู้ฮู หนูเป็นสาวแล้ว

ผมจูง’ไอ้แหลง’จักรยานคู่ชีพสีสันถูกใจแม่ยก ตัวคันสีเหลืองซี่ล้อสีแดงออกสู่ทางลูกรัง เป้าหมายอยู่ไกลลิบ ติดตีนเขา

บ้านไม้ของอาชาญ ลักษณะคล้ายกระท่อมสองหลังทอดถึงกันด้วยชานไม้ที่มีความยาวประมาณสามก้าวกระโดด

ก่อนขึ้นคร่อมบนอานเบาะ ผมโบกมือตอบกลับป้าเอิบและป้าอาบ แล้วออกแรงถีบ’ไอ้แหลง’ให้แล่นฉิวไปตามแรงลม

เสียงเพลงลูกทุ่งจังหวะสนุกเพลงหนึ่งไล่หลังมาแว่วๆ จากวิทยุพกพาซึ่งบอกไม่ได้ว่าเป็นของใครเครื่องนั้น

ยู้ฮูวววว หนูเป็นสาวแล้ว
แจ่มแจ๋วเนื้อหนังตึงเดี๊ยะ
สาวแรกแตกดังเปรี๊ยะๆ
น่าเจ๊าะ น่าเจี๊ยะ จริงๆ
หนูเป็นสาวสแตนดาร์ด
หนุ่มฮาร์ทหนุ่มพังก์อย่านั่งนิ่ง
อยากได้เนื้ออ่อนเป็นหมอนอิง
มายดาร์ลิ่ง เวลคัมทูมี
ยู้ฮูวววว หนูเป็นสาวแล้ว
 ยู้ฮูวววว หนูเป็นสาวแล้ว
........

ต้นสักทองยืนตระหง่านเรียงแถวสลับริมทางลูกรังซึ่งกว้างกว่าล้อเกวียนเล็กน้อย คันทางถูกยกสูงกว่าท้องนา ตลอดสองข้างทางที่จักรยานแล่นผ่าน กลุ่มดอกหญ้าสีเดียวกันกับดอกเลา สูงไม่ถึงหัวเข่าลู่ลมไล่สองซี่ล้อ

เวลานาทีไม่ถึงสิบ ผมเบรกตัวโก่งกับรั้วบ้านของอาชาญ ยื่นมือข้างหนึ่งปลดตะขอเชือกซึ่งคล้องเกี่ยวกับเสารั้วเอาไว้

จากนั้น เข็น’ไอ้แหลง’เดินเข้าด้านใน กระทั่งถึงชานกลางบ้าน พิงมันเอาไว้กับต้นเสาแล้วกระโดดขึ้นบันไดทีละขั้น สี่ห้าครั้งก็ถึงพื้นไม้ซึ่งอาเพ็ญเคยใช้ลูกมะพร้าวแห้งผ่าครึ่งขัดถูด้วยความอุตสาหะ จนกระทั่งกลายเป็นมันขึ้นเงา

เพลานั้น มีเด็กน้อยวัยกำลังซนสองคน ทั้งเล่นและช่วยงานอาเพ็ญ ในคราวเดียวกัน...

ถึงแม้ว่า กาลเวลาจะผ่านไปเกือบสิบปีแล้ว แต่ผมยังจำภาพรอยยิ้มเย็นตา งดงามดุจพระจันทร์ยิ้ม กับแววตาอันอบอุ่นของอาเพ็ญซึ่งทอดมองมาที่ผมได้เป็นอย่างดี

ในเพลานี้ ตรงเฉลียงหน้าบ้าน ซึ่งผมเคยไถลเปลือกลูกมะพร้าวตามความยาวของแผ่นไม้ ปรากฏโต๊ะเก้าอี้ครบชุดกับเตียงหนึ่งหลัง อีกทั้งเครื่องนอนหมอนมุ้งวางระเกะระกะ ขวางทางเข้าออกอยู่หน้าประตูห้องที่ปิดสนิท  ข้าวของแต่ละชิ้นล้วนใหม่เอี่ยม หุ้มด้วยพลาสติก มองแล้วดูเหมือนว่าเพิ่งจะมีคนยกพวกมันมาวางหมาด ๆ

เสี้ยววินาทีนั้นเอง ผมเกิดคำถามว่าอาชาญซื้อข้าวของมีใช้ในบ้านแล้วอีกทำไม โดยปกติผมไม่ใช่คนขี้สงสัย ถ้าไม่เจอไอ้แชมป์นั่งซึมอยู่บนเถียงนาใต้ต้นพุทราใหญ่เพียงลำพัง เมื่อหลายวันก่อน
 
ไอ้แชมป์เล่าด้วยเสียงสั่นเครือว่าอาชาญไม่กลับบ้านหลายวันแล้ว ขลุกตัวอยู่ที่บ่อนพนันแห่งใหม่ในเมือง...

ยอมรับว่า ผมไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับอาชาญ ควายฝูงนี้พ่อตัดสินใจให้อาเป็นคนดูแลด้วยความไว้วางใจ โดยไม่สนใจคำทัดทานของแม่ด้วยซ้ำ ซ้ำร้ายแม่ยังถูกพ่อตำหนิอีกว่า หลงงมงายกับคำทำนายของเทพธิดาพยากรณ์ซึ่งอวตารมาในร่างทรง แล้วทำนายทายทักว่าอาชาญจะทำให้พ่อต้องอับอายขายขี้หน้าในท้ายที่สุด

ใจจริงแล้ว ผมอยากปาลูกระเบิดซึ่งก่อตัวเดือดดาลในช่องท้องหลายลูก แต่ทว่าไม่อยากเห็นไอ้แชมป์สะเทือนใจมากไปกว่านี้ จึงตัดสินใจนั่งลงอย่างเงียบๆ วางมือสัมผัสไหล่ของมันเบา ๆ

ผ่านไปสักพัก เมื่อเงยหน้าขึ้น สายตาปะทะลูกพุทราป่าสุกเต็มต้น ข้อมือของไอ้แชมป์ก็ถูกผมจับเขย่า พลางบอกให้มันไปหาภาชนะมารอง จากนั้นผมก็ปีนขึ้นไป ขย่มสองสามครั้ง ลูกเล็กๆ สีแดงก็หล่นพราวเกลื่อนพื้นมากมาย

นอกจาก ลูกพุทราป่าจะช่วยละลายความหม่นหมองซึ่งลอยเป็นเงาเหนือหัวไอ้แชมป์ให้มลายหายไปในชั่วพริบตาแล้ว เย็นนั้น ผมก็หอบลูกพุทราไปฝากป้าเอิบกับป้าอาบอีกด้วย คำขอบอกขอบใจที่เกินเบอร์ของทั้งคู่ ทำให้ผมอดอมยิ้มไม่ได้

หลังจาก ยืนเหลียวซ้ายแลขวาอยู่ตรงเฉลียงหน้าบ้าน...
สักพักหนึ่ง ผมก็ชะโงกดูอีกฝั่งทางซ้ายมือซึ่งเป็นห้องครัว ตะโกนเรียกก็แล้ว ไม่มีคนขานรับ จึงตัดสินใจกระโดดลงจากชาน วิ่งอ้อมขวาไปด้านหลังผ่านไร่ข้าวโพด ถูกใบสากคายของมันเสียดผิวอยู่หลายครั้ง ก่อนจะทะลุออกทุ่งหญ้ากว้าง...

แลเห็นอยู่เบื้องหน้าสูงทะมึนเสียดฟ้านั่นคือ...ขุนเขาสาปยา

ลักษณะรูปร่างของมัน เหมือนกับนักรบผู้องอาจที่ร่างกายใหญ่ยักษ์ นอนตะแคงข้าง และหลับไหลอยู่ด้วยความเหนื่อยล้า
แสงสีส้มสาดกระทบยามพลบค่ำ เผยส่วนเว้าบริเวณซอกคอกับหัวไหล่สูงชัน ก่อนจะลาดลงบริเวณเอวสอบ อกหนาใหญ่ถูกห่มคลุมด้วยแถบผ้าขาวจากม่านหมอก พาดทบเป็นชั้น ๆ

ในยามโพล้เพล้ ท่ามกลางบรรยากาศวังเวงแห่งท้องทุ่ง ชวนให้ขุนเขาลูกยักษ์ซึ่งหลับใหลมาเนิ่นนาน ดูน่าเกรงขามทวีคูณ

ทุ่งหญ้าไม่มีฝูงควาย
ใต้ต้นพุทราก็ไม่มีไอ้แชมป์ แต่ทว่ามีชายแปลกหน้ายืนอยู่ตรงนั้นสามคน




หัวข้อ: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD]
เริ่มหัวข้อโดย: Marakun ที่ 25-09-2021 21:03:52
  [ 3 ]
อาชาญแสนดี

หลังจากเตร็ดเตร่รอบบ่อน้ำ ใกล้ตีนเขา เสาะหาจิ้งหรีดสักพัก เงยหน้าขึ้น ทั้งสามคนก็อันตรธานหายไป

หนึ่งคนเป็นชายสูงวัย รูปร่างเตี้ย ผิวขาว แต่งกายภูมิฐาน พูดพลางชี้ไม้ชี้มือพลาง วาดนิ้วไปตามอาณาบริเวณชายขอบแนวเขา ซึ่งดูเหมือนว่าภายใต้อาณาเขตที่เขาชี้จะเป็นของอาชาญทั้งหมด

ที่เหลือสองคนสวมชุดดำพูดเป็นแค่คำว่า “ครับนาย” คนหนึ่งผิวคล้ำ ตัวอ้วนใหญ่ อีกคนผอมแลซีดเซียว ในตอนนั้นพวกเขาหันมามองผมซึ่งโผล่พรวดออกจากไร่ข้าวโพด เพียงแค่ปราดเดียว จากนั้นก็ไม่สนใจผมอีก

อันที่จริงผมอยากจะอวดพวกเขาว่า ที่ดินฟากแม่น้ำฝั่งนี้โดยทั้งหมดเป็นของพ่อผม ที่ตรงนั้นของอาชาญซึ่งพวกเขากำลังสนใจอยู่นั้นมีไม่ถึงหนึ่งส่วนสิบของพ่อด้วยซ้ำ...  :-[
 
พระอาทิตย์ดวงส้มเริ่มแขวนต่ำกว่าปลายไม้แล้ว เมื่อไม่เห็นไอ้แชมป์ ผมจึงสันนิษฐานเอาเองว่า มันคงต้อนควายเข้าคอกซึ่งอยู่ติดไร่มันสำปะหลังเป็นอันเรียบร้อย

โรงนอนควายจะอยู่ห่างจากตัวบ้านของผมเกือบหลักกิโล ในบริเวณเดียวกันนั้น นอกจากโรงนอนที่ล้อมรั้วแน่นหนา มีหลังคากันแดดกันฝนอย่างดีแล้ว ใกล้ ๆ กันนั้น ยังมีอาคารนอนเหมือนหอคอยสูงอีกหลังหนึ่ง

หน้าที่เฝ้ายามและสุมไฟไล่แมลงในเวลากลางคืนจะเป็นของคนงานคนหนึ่ง ผู้ซึ่งพเนจรเข้ามาในหมู่บ้านท้อแท้อย่างคนไร้สติ
เนื่องจากแม่เป็นคนเห็นอกเห็นใจคนตกทุกข์ได้ยาก หลังจากช่วยรักษาอาการของชายคนนั้นหายแล้ว จึงให้เขาอาศัยอยู่กับเราจนกระทั่งถึงปัจจุบัน

ด้วยเหตุว่าผิวกายที่ดำเหมือนถ่าน คนในหมู่บ้านจึงเรียกชายพเนจรว่า...มืด  และอีกประการหนึ่งซึ่งถูกใจพ่อที่สุด นั่นก็คือเขาไม่เคยหลับไหลในตอนกลางคืน

ผมคนเดียวเท่านั้นที่เรียกแกว่า ลุงแดร็ก

เพราะครั้งหนึ่งในอดีตขวัญอ่อน อายุของเรื่องเล่าผ่านมาหลายปีแล้ว ลุงแดร็กฉีกยิ้มยิงฟันยื่นสีงาช้างคล้ายฟันท่านเคาน์แดร็กคูล่า พร้อมทั้งเปล่งเสียงแหบแห้งว่า คอของผมขาวเหมือนสีฟันของแกเลย !!!

จากวันนั้น ทุกครั้งเมื่ออยู่ใกล้ลุงแดร็ก ผมมีอันต้องหดคอและใช้สองมือกุมต้นคอเอาไว้เสมอ
อาชาญหัวเราะอย่างขบขัน ตรงกันข้ามกับไอ้เป๊บซี่ มันไล่ให้ผมไปกินยาของลุงแดร็กจนกว่าจะหมดกระปุก

เวลาของเรื่องเล่าที่ไล่เลี่ยกันนั้น...

ผมเคยขนานนามให้ป้าเอิบกับป้าอาบเพราะคลั่งไคล้กล้วยหอมจอมซน หลงใหลทั้ง ‘บีหนึ่ง’ และ ‘บีสอง’ จึงเพี้ยนเอามาเรียกป้าอ.คูณสองด้วยใจรักว่า

‘อี’หนึ่ง กับ ‘อี’สอง

เท่านั้นแหล่ะ...โดนแม่ตบหัวคว่ำแทบจะทันที โทษฐานไม่มีสัมมาคารวะ และไม่รู้จักเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ จากนั้น E1 กับ E2 จึงหมดโอกาศเติบโต

 
ในหน้าหนาว เมื่อพระอาทิตย์ลาลับยอดไม้ ความมืดก็เข้าครอบงำแทบจะทันที ไม่มีเวลาอ้อยอิ่ง รอให้ฟ้าเล่นแสงขมุกขมัว

ผมตัดสินใจเดินย้อนกลับเส้นทางเดิม ไอเย็นจากละอองหมอกทำให้ผมห่อไหล่เข้าหากันโดยอัตโนมัติ
สักพักก็มาถึงบ้านหลังแฝด มองเห็นแสงสีส้มอมทองจากไส้ตะเกียงดวงเล็กหลายดวงใต้โคมแก้วบนเสารั้ว ส่องแสงเป็นประกายโดยรอบตัวบ้าน

อาชาญกับผู้ชายอีกสองคนกำลังย้ายเฟอร์นิเจอร์เข้าด้านใน ขณะที่ตรงราวระเบียง สาวใหญ่คนหนึ่งยืนกอดอกพิงสะโพกกับหัวเสา    ผ้าคลุมผืนเล็ก บาง ถูกเธอคลี่ออกแล้วบรรจงคลุมหัวไหล่ตัวเองอย่างกรีดกราย อันที่จริงความบางและขนาดของตัวผ้า ไม่น่าจะช่วยให้เจ้าหล่อนคลายความหนาวได้เลย

ผมไม่ค่อยแน่ใจนักว่า ความสวยของเธอเกิดจากเครื่องสำอางซึ่งประโคมลงบนหน้าจนกระทั่งหนาเตอะกับเสื้อผ้าอาภรณ์ช่วยเสริมส่ง หรือเป็นเพราะว่าบุคลิกดุจนางพญาของเธอกันแน่

ขณะที่ผมกำลังพิจารณาตัวเธอ ผู้หญิงคนนั้นก็เอี้ยวใบหน้ามามอง และในบัดดลผมก็นึกออกอย่างทันควัน

เจ๊เชอรี่...นั่นเอง
หล่อนเป็นเจ้าของบ่อนไฮโล

สองสามปีมานี้ ไม่มีใครไม่รู้จักผู้ทรงอิทธิพลคนใหม่ในอำเภอนี้ เพราะมีตำรวจใหญ่นายหนึ่งคอยหนุนหลัง บ่อนเถื่อนของเธอเลยกลายเป็นบ่อนถูก ยืนหยัดท้าทายกฎหมายได้ด้วยอำนาจเงินตรา

ว่าแต่...เจ้าของบ่อนพนันมาทำอะไรที่นี่ล่ะ ?

ในระหว่างที่ ผมกวาดตามองหาไอ้แชมป์ สายตาดั่งปลายมีดสองเล่มก็พุ่งมาที่ผม ก่อนจะทอดลงต่ำ เลื่อนจากใบหน้าของผมลงมาจ้องจี้หยกซึ่งห้อยคอผมอยู่ เขม็งมองที่จุดนั้นอย่างแน่นิ่ง

ท่ามกลางความอึมครึมของบรรยากาศ ใบหน้าคมเข้มกับหนวดเคราเขียวครึ้มของอาชาญก็โผล่ออกมา
…คนชี้นำวิถีชีวิตแห่งลูกผู้ชายให้แก่ผม
…อาเขย ผู้สร้างความมั่นใจให้กับผมทุกครั้งบนสังเวียนสนามปั่น บ่อยครั้งที่กลยุทธ์ของอาชาญเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ทำให้จิ้งหรีดของผมต้องเจ็บตัว

“อ้าว ! ต้นน้ำ มาตั้งแต่เมื่อไหร่ อาเห็นก็แต่จักรยานของเรา แต่ไม่เจอตัวเรา” อาชาญร้องทักเสียงกังวาน  ทอดทุ้มลงต่ำอย่างอ่อนโยน

ผมยืนอยู่หน้าชานบันได มองเลยจากคนหนึ่งไปยังอีกคน ด้วยสายตาที่ต้องการคำตอบมากกว่าอยากจะตอบคำถาม อาชาญมองตามสายตาของผม จากนั้นก็พูดตะกุกตะกัก ราวกับคนติดอ่างที่ห่วงหน้าพะวงหลังว่า

“นี่ เอ่อ...พะ พี่...พี่เชอรี่...อ๋อ !... เออ ! ใช่  ใช่สิ...จากนี้ ต้นน้ำต้องเรียกว่า อา...อาเชอรี่”

“อาเชอรี่...เหรอฮะ ?”

ผมทวนซ้ำประโยคนั้น ท้ายเสียงค่อนข้างสูง เมื่อเดาเรื่องราวได้เองทั้งหมดแล้ว ผมจึงไม่คิดจะมองอาชาญหรือแม้แต่ผู้หญิงของเขา หมุนตัวก้าวฉับยาว ตรงดิ่งไปห้องไอ้แชมป์ด้วยความร้อนใจ

รูปถ่ายของอาเพ็ญในกรอบไม้สักซึ่งเคยเด่นหราติดอยู่บนผนังถูกใครบางคนปลดลงมาวางแอบอยู่กับพื้น เยื้องด้านหน้าประตูห้องนอนของไอ้แชมป์  โชคยังดีที่มันคว่ำหน้า ผมจึงไม่เห็นปฏิกิริยาจากรูปภาพว่าปวดร้าวกับเรื่องนี้เพียงใด

ก่อนจะผลักบานประตูเข้าไป หัวใจของผมกระตุกเล็กน้อย เพราะรู้สึกเป็นกังวลต่ออาการรันทดของคนที่อยู่ข้างในนั้น

แต่ทว่า พอประตูเปิดอ้า ในห้องที่มืดมน กลับไร้เงาของคนผอมบาง

หัวข้อ: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD]
เริ่มหัวข้อโดย: Marakun ที่ 25-09-2021 21:09:01
  [ 4 ]
ผู้หญิงจุ้นจ้านคนนั้น

หลังจากย้ายของเสร็จ ก่อนจะลงจากเรือน  คนงานสองคนนั้นก็ยกมือลานายหญิงของเขาโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้สนใจเลย
 
ขอสารภาพตามตรงว่า ผมไม่ชอบสายตาของเธอ มันเหมือนมีดที่สลักขึ้นจากน้ำแข็ง ทั้งแหลมคมและเยือกเย็น
เธอคอยจับจ้องผมอยู่ทุกย่างก้าว

“หน้าตาสะอาดสะอ้าน ผิวพรรณผุดผ่อง แต่ว่า...กิริยามารยาทคงต้องปรับกันใหม่” หล่อนพูดเปรย ๆ

เดาว่า เธอคงหมายถึงเรื่องที่ผมลืมยกมือไหว้กระมัง

“ไอ้แชมป์ยังไม่กลับมาเหรอฮะ อา ?” ผมยิงคำถามกับอีกคน ด้วยความร้อนใจ

“ยังเลย” อาชาญตอบ ไม่ยอมสบตาผม

“นี่ก็มืดแล้ว...แค่เอาควายเข้าคอก ทำไมถึงนานนักล่ะฮะ ?” ผมพูด พลางยกข้อมือขึ้นดูเวลา

 เอ ! ผมกลายเป็นคนขี้สงสัยตั้งแต่เมื่อไหร่กันล่ะเนี่ย

 “เอาควายเข้าคอกรึ...?” แต่สุ้มเสียงของอาชาญ ฟังดูเหมือนประหลาดใจเสียเต็มประดา

 ผู้หญิงคนนั้นเดินตรงมาที่ผม ยกมือขึ้นกอดอก แล้วบอกว่า

“เธอคงยังไม่รู้ เพื่อนของเธอหนีออกจากบ้านไปแล้ว”

ผมหันขวับไปมองอาเขยแทบจะทันที เพราะต้องการคำยืนยันในคำพูดของหล่อน

“คงไม่ไปไหนไกลหรอก อยู่แถว ๆ บ้านน้าแหววนั่นแหล่ะ”

“แล้ว...อาไปตามหรือยังฮะ ?”

“ประเดี๋ยว พอหายโกรธ แชมป์ก็กลับของเขาเอง”

ผมรู้สึกเจ็บจุกในช่องอก อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

บ่อยครั้งที่ไอ้แชมป์น้อยใจพ่อแล้วมาอยู่บ้านผม ค้างหลายวัน จนกระทั่งแม่ต้องออกปากบอกให้มันกลับบ้าน สาเหตุก็เพราะอาชาญไม่เคยใส่ใจลูกชายแบบนี้นี่เอง

“ถ้าอาไม่ตาม แล้ววันหยุดล่ะฮะ...ใครจะช่วยอาดูแลควาย ?”

ผมพยายามอธิบาย ด้วยความหวังว่าอาชาญจะเห็นคุณค่าของไอ้แชมป์บ้าง อย่างน้อยวันหยุดเสาร์อาทิตย์ พวกเราก็ทุ่มเทกันอย่างเต็มที่ พยายามแบ่งเบางานต่าง ๆ อย่างสุดกำลัง

เจ๊เชอรี่ตอบคำถามของผมด้วยเสียงเรียบเย็นว่า

“เรื่องนั้นน่ะ...เธอไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ชั้นให้คนของชั้นจัดการเรียบร้อยแล้ว จากนี้ไปหน้าที่ของพวกเธอมีอย่างเดียวเท่านั้นคือเรียนหนังสือ”

ผมเหลือบตาไปมองอาเขยด้วยความผิดหวัง เจ็บปวดที่เห็นต้นแบบวิถีชีวิตยกบทบาทสำคัญให้กับคนอื่น ละทิ้งสิ่งที่ตัวเองควรต้องใส่ใจอย่างเช่นความรู้สึกและจิตใจของไอ้แชมป์
 
ผู้หญิงคนนี้จัดแจงเองทั้งหมด โดยไม่รอฟังความคิดเห็นจากใคร

จู่ ๆ ผมก็นึกไปถึงชายแปลกหน้าสามคนนั้นใต้ต้นพุทรา เดาได้เลยว่าทั้งสามคนต้องเป็นคนของเธออย่างแน่นอน
 
เมื่อไม่เห็นประโยชน์ที่จะคุยกับอาชาญในเวลานี้ ความผิดหวังบวกกับความขุ่นเคืองทำให้ผมกระโดดลงจากชาน สับขาหนีเต็มความยาว ทิ้งจักรยานเอาไว้ตรงนั้นอย่างไม่ใยดี

“เดี๋ยวสิ ! ต้นน้ำ ลูก...มาคุยกันก่อน”

เสียงอาชาญวิ่งไล่หลัง ขณะที่ผมก้าวขาเร็วขึ้นกว่าเดิม จนกระทั่งได้ยินเพียงเสียงฝีเท้ากับลมหายใจของตน

เส้นทางมืดมิดในคืนเดือนดับ ทำให้ผมสะดุดกอหญ้า หน้าคะมำ

แต่...ช่างแม่งปะไร !

ตัวผมก็แค่หกล้ม ทว่า...ไอ้แชมป์ล่ะเกิดอะไรกับมันบ้าง ?

ความเย็นชาของอาที่แสดงออกให้ลูกเห็นต่อหน้าผู้หญิงคนใหม่ ต่อให้มีพลังใจเข็มแข็งมากแค่ไหน ในใจลึก ๆ ก็ต้องปวดร้าวด้วยกันแทบทั้งนั้น อาชาญไม่เคยรู้เลยด้วยซ้ำว่าไอ้แชมป์เป็นคนเซนส์ซิทีฟสูง

ในตอนนี้ อาชาญคงลืมถ้อยคำของตนหมดสิ้นแล้ว...

เมื่อครั้งอาเพ็ญจากพวกเราไปใหม่ ๆ อาชาญจมปลักอยู่กับความโศกเศร้าทุกวี่วัน อาเคยพูดว่า เราสองคนเปรียบเสมือนลมหายใจสุดท้ายของอาที่เหลืออยู่บนโลกใบนี้ ก่อนจะนอนอามักจะเล่านิทานให้เราฟัง เกาหลังให้จนกระทั่งพวกเราหลับ

ท่ามกลางความวิเวก วังเวง ทั่วท้องทุ่งกังวานก้องไปด้วยเสียงหวีดปีกของจักจั่นเรไร

มันช่างร้อง...เสียงแหลมใส กรีดแทงหัวใจที่มืดดำยิ่งนัก

เพลานี้ ผมเริ่มตระหนักว่าหัวใจดวงน้อยคิดถึงอาเพ็ญมากขนาดไหน เมื่อไม่เห็นแสงจันทร์ส่องนำ ขับไล่ความมืดมนบนเส้นทางแต่ละก้าวที่ขาก้าวเดิน
 
และแล้ว ก็มาถึงเรือนไม้โบราณ ยกใต้ถุนสูง ไฟนีออนเปิดสว่างทั้งหลัง ผมเหยียบขั้นบันไดที่เคยถัดขึ้นถัดลงทีละขั้นอย่างเชื่องช้า ไม่สนใจแม้แต่จะเหลียวมองราวบันไดซึ่งเคยโหนเล่น เดินอย่างเซื่องซึม ผ่านเฉลียงซึ่งแม่กำลังนับถุงผักที่บรรจุเสร็จแล้ว

เช้ารุ่งวันพรุ่งนี้ แม่ต้องส่งแม่ค้าเจ้าประจำ บางรายก็มารับเองจนถึงบ้าน แต่บางรายแม่ก็บวกเงินเพิ่ม จากนั้นก็จัดแจงหาคนไปส่งให้ถึงที่

เสียงตำน้ำพริกดังสนั่นในครัวเป็นฝีมือของป้าเอิบ ด้วยเหตุว่าป้าเอิบไม่มีครอบครัวจึงอาศัยอยู่กับเรา เป็นเสมือนญาติคนหนึ่ง ขณะที่ป้าอาบอยู่กับสามีขี้เมาชื่อ’จ่าอ้วน’ หัวโต ๆ แต่ร่างกายผอมกะหร่อง อาจกล่าวได้ว่าเหมือนไม้เสียบกับลูกชิ้นปิ้ง อย่างไรก็อย่างนั้น

ทั้งสองอ.ต่างไม่มีลูกไว้สืบสกุล
 
ภายในโถงบ้าน พ่อนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานกับเอกสารราชการกองพะเนินตรงหน้า ช่วงนี้ใกล้วันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้ว งานของพ่อจึงมีมากกว่าปกติ

ผมทิ้งน้ำหนักลงบนโซฟาหวายตัวหนึ่ง โซฟาชุดนี้พ่อหามาสำหรับต้อนรับผู้หลักผู้ใหญ่ ซึ่งนานปีจะมีครั้ง

อึดใจต่อมา แม่ก็ตามเข้ามา ถามผมเหมือนต้องการเย้ยซ้ำ ว่า

“เห็นรึยังล่ะ ? เมียใหม่ของอาเอ็งน่ะ”

ถึงแม้ผมจะไม่มีคำตอบ แต่สีหน้าของผมคงชัดเจนมากพอ แม่เลยได้ที ว่าต่อเป็นชุดฉอด ๆ

“ปากก็บอกว่ารักแม่เพ็ญเหลือเกิ๊น เมียตายยังไม่ทันไรเลย พาผู้หญิงคนใหม่เข้าบ้านซะแล้ว ลูกเต้าตาดำ ๆ ไม่เคยใส่ใจหรอก”

“ไม่ทันไรของแม่จัน เรื่องมันก็ผ่านมาจะครบหกปีแล้วนะ”

พ่อค้านเบา ๆ แต่นั่นประดุจว่าเติมเชื้อฟืนเข้าไปในกองเพลิง แม่ยิ่งออกอาการปะทุหนัก

“แหม๊…! เข้าข้างกันดีเหลือเกิน เป็นเหมือนกันหมดนั่นแหล่ะ พวกผู้ชาย...เกลียดนัก !”

“ใช่..! เกลียดนัก ผู้หญิงจุ้นจ้าน”

โดยฉับพลัน ผมโพล่งคำนั้นออกไปพร้อมทั้งทะลึ่งตัว ลุกขึ้นนั่ง

เสียงของแม่ชะงักเงียบไปชั่วอึดใจ

“นี่..เอ็ง!.. เอ็ง...ว่าแม่รึ ?”

“เอ่อ !...ป่าวจ้ะ ฉันว่าผู้หญิงจุ้นจ้านคนนั้นต่างหาก แม่ไม่จุ้นจ้านแค่จัดจ้านน่ะ แซ่บบบ !”

ทันใดนั้น พอดีกับป้าเอิบยกขันโตกสำรับข้าวเข้ามา ทั้ง ๆ ที่ไม่เข้าใจเรื่องราวดีนักแต่ก็รับคำต่อจากผมอย่างทันท่วงที ว่าพลางหัวเราะไปพลาง

 “ใช่แล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า น้ำพริกของป้าวันนี้........แซ่บ..! เลียสากกันเลยทีเดียว”

ปกติแล้ว คนบ้านนี้ก็มักจะคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องแบบนี้แหล่ะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งป้าเอิบที่ประสาทหูเริ่มหย่อนสภาพ

ในค่ำนั้น ระหว่างมื้อเย็น เมียใหม่ของอาถูกเราสามคนเมาท์แรง ทั้งโขลก ทั้งสับ ใส่เครื่องยำจนเละ โดยที่พ่อนั่งฟังอย่างเงียบ ๆ




หัวข้อ: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD]
เริ่มหัวข้อโดย: Marakun ที่ 25-09-2021 21:16:16
  [ 5 ]
อัดลม แห่งเขาสาปยา

ภายหลังกลับจากส่งข้าวลุงแดร็ก ผมเห็นแม่กับป้าเอิบตรงเฉลียงบ้าน นั่งอยู่กลางแคร่ กำลังพับเก็บถุงใส่ผัก

ผมนั่งลงปลายแคร่ แล้วจึงออดอ้อน

“แม่จ๋า พรุ่งนี้ ฉันขอไปบ้านน้าแหววนะจ้ะ”

แววตาของแม่ฉาบประกายขุ่นเคือง อย่างทันทีทันใด

“เอ็งจะไปทำไม ?”

ผมตระหนักดีในเรื่องนี้ ถ้าหากไม่รีบแก้ไข แม่คงไม่ยอมให้ผมได้ย่างกรายไปเฉียดที่นั่นเป็นแน่

“ฉันจะไปตามไอ้แชมป์กลับบ้านจ้ะ”

“ไอ้แชมป์นี่ก็กระไร เอะอะอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ก็หนีออกจากบ้านตะพึด ที่อื่นมีให้ไปอีกถมถืดก็ดั้นไม่ไป”

ผมนิ่งเงียบ ปล่อยให้แม่บ่นเรื่องของไอ้แชมป์อยู่สักพัก
ก่อนหน้านี้ในระหว่างมื้อเย็น ผมเล่าเรื่องให้แม่ฟังทั้งหมดแล้ว
 
“ขืนให้เอ็งไปบ้านน้าแหวว มิต้องเจอกับไอ้เปรตนั่นดอกรึ ?”
 
ผมรู้ว่าแม่กำลังพูดถึงใคร และคนคนนั้นมีอทธิพลอย่างไรกับแม่บ้าง

“โถ่ ! แม่จ๋า  แม่ก็รู้ว่าฉันไม่ต้องการจะข้องเกี่ยวอะไรกับหมอนั่นเลย สำคัญที่สุดไม่ใช่ว่าตอนนี้เขาไม่อยู่บ้านหรอกหรือจ้ะ”

“ถ้าตอนนี้พี่ชายของเอ็งยังมีชีวิตอยู่ แม่คงจะมีความสุขมากกว่านี้ ได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา  ต้นน้ำเอ้ย ! ชีวิตของคนเป็นแม่ไม่มีความสุขใดสำคัญไปกว่าการได้เห็นลูกของตนเติบใหญ่ ออกเหย้าออกเรือน แทนที่จะ...”

ท้ายประโยคเสียงของแม่สั่นเครือ ผมดึงมืออวบอิ่มแต่หยาบกร้านมากุมเอาไว้ข้างหนึ่ง

“ข้าก็แค่เป็นห่วงเอ็ง ไม่อยากเห็นเอ็งต้องพบจุดจบเหมือนกับ...ไอ้กล้า”

“แม่บอกเสมอว่า น้ำเป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ เพราะฉะนั้นแล้ว ฉันต้องเข้มแข็งกว่าพี่ต้นกล้าสิจ้ะ ฉันสัญญา...ฉันจะไม่ทำอะไรให้แม่ต้องผิดหวังอย่างแน่นอน”

นัยน์ตาของแม่ลดความแข็งกระด้างลงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะบอกผมด้วยเสียงแผ่วเบาว่า

“อย่าลืม เอาพริกสดไปฝากแม่แหววด้วยล่ะ”   
                                                                     
ถึงแม้เรื่องเลวร้ายจะผ่านไปเกือบห้าปีแล้ว แต่สำหรับแม่ดูเหมือนว่าความตายของพี่ต้นกล้าเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวันวาน   ถึงอย่างไรก็ตามเยื่อใยที่แม่มีต่อน้าแหววก็ยังเหมือนเดิม ไม่เสื่อมคลาย

อันที่จริง ผมคิดว่าคนที่น่าเห็นใจมากที่สุดควรจะเป็นน้าแหวว เพราะเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นทั้งหมดไม่ใช่ความผิดของเธอแม้แต่นิดเดียว

ป้าเอิบเขยิบเข้ามาจนกระทั่งตัวชิดติดกับตัวผม แล้วกระซิบถามว่า

“แม่จันสั่งป้าตำน้ำพริกรึ”

ว่าแล้วก็หัวเราะร่าอย่างภาคภูมิในรสสากของตน จากนั้นกระวีกระวาดเข้าครัวอย่างรวดเร็วโดยไม่รอคำตอบ

ผมถอนใจ รู้สึกโล่งอกที่แม่อนุญาต ขณะเดียวกันก็เหนื่อยใจไปกับป้าเอิบ


 
วันหยุดถัดมา หลังจากช่วยงานในสวนเสร็จ ผมก็หอบถุงพริกของแม่กับน้ำพริกของป้าเอิบมุ่งตรงไปบ้านน้าแหววทันที

บ้านน้าแหววจะอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำ และอยู่ลึกถึงท้ายคลอง ทางเดินริมคลองเป็นคอนกรีต ลักษณะไม่กว้างมาก โย้ขึ้นโย้ลงตามความสูงต่ำของเสาตอม่อ ทั้งสองฟากคลอง บ้านเรือนส่วนใหญ่ทำด้วยไม้ เจ้าของบ้านบางหลังผมรู้จักดี แต่บางหลังผมก็ไม่คุ้นเคย ถึงกระนั้นพวกเขาก็ถามสารทุกข์สุกดิบของแม่ตลอดทั้งเส้นทาง

เมื่อก่อนสมัยเด็ก ผมมาบ้านน้าแหววบ่อยเพราะมีน้ำคลองให้เล่น นับตั้งแต่พี่ต้นกล้าเสียชีวิตก็ห่างหายไป

หลังจาก เดินฝ่าลมหนาวมาสักพักก็ถึงคลองแยก บริเวณนี้เคยมีเด็กตกน้ำตายคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าผมจะว่ายน้ำแข็งแต่สภาพอากาศอย่างนี้ก็ไม่อยากสัมผัสน้ำแม้แต่ปลายเล็บ

ผมพยายามทรงตัวอย่างระมัดระวังบนขอนไม้ขนาดกลางซึ่งทำเป็นสะพานง่ายๆให้คนเดินข้าม ที่สำคัญมันไม่มีราวให้จับ เราต้องประคองตัวเองให้ดี

พ่อเคยคิดจะเปลี่ยนสะพานนี้เป็นคอนกรีตที่แข็งแรงและปลอดภัยกว่านี้ แต่สุดท้ายก็ต้องน้อมรับกับความท้อแท้ เนื่องจากมติของผู้อาวุโสที่เป็นเอกฉันท์ ทุกคนต้องการให้คงเอกลักษณ์แบบดั้งเดิมของมันเอาไว้อย่างนี้
 
“ระวังหน่อย !..ตาหวาน”

เสียงทุ้มกังวาน ทั้งห้าวหาญและนุ่มนวลเคล้ากันของใครคนหนึ่ง  ดังมาจากด้านหลังพร้อมกับข้อมือแข็งแรงที่ประคองเอวของผมเอาไว้ ไม่ให้หล่นตูมลงไป

มีแค่คนเดียวเท่านั้นที่เรียกผมอย่างนี้ ลำคอของผมตั้งแข็งขึ้นโดยอัตโนมัติ ฝืนใจก้าวต่อจนกระทั่งสุดปลายทาง จึงหันไปมองอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

“ไอ้ขายาว !”

โดยไม่ทันคาดคิด ผมหลุดสมญานามซึ่งครั้งหนึ่งเคยเรียกขานเขาออกมา

มีนักปราชญ์นิรนามท่านหนึ่งกล่าวเอาไว้ว่า ความซวยมักมาเยือนเราในยามพลบค่ำเสมอ เห็นทีว่าจะเป็นเรื่องจริง
ณ เวลานี้ คนที่ผมไม่อยากเจอตัวมากที่สุดก็คือ

พี่ชายของไอ้เป๊บซี่ คนนี้...!

อันที่จริงเขามีชื่อเล่นครับ แต่ฟังแล้วรู้สึกจั้กกะจี้ เพราะความตะมุตะมิของมันซึ่งผมคิดว่าไม่เหมาะสำหรับคนอย่างเขาเลยแม้แต่น้อย ชื่อเล่นของเขาคือ...
อัดลม
แต่คนส่วนใหญ่เรียกกันสั้น ๆ ว่า...อัด เพราะนิสัยที่ชอบตีรันฟันแทงของเขา

เรื่องร้าย ๆ นักเลงหัวไม้คนนี้เหมาทำทั้งหมด จนกระทั่งนาม ’อัด เขาสาปยา’ ดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งคับพวง เดือดร้อนน้าแหววที่ต้องวิ่งเต้นปิดคดี สูญเงินไปหลายแสนก็เพราะลูกชายคนนี้

ทั้ง  …ขโมยควาย
      …ฉุดผู้หญิง
และ ...ไล่ยิงคู่อริต่างถิ่น

จนกระทั่ง...นำพาความตายมาสู่พี่ชายของผม

คนที่จงเกลียดจงชังเขามากเสียยิ่งกว่าใคร ๆ นั่นก็คือ...แม่

บางครั้งแค่หลุดปากเอ่ยชื่อของเขาในคราวเผลอ แม่ถึงกับเบ้ปาก ขากถุยราวกับกินยาขม
 
“เอ็งจะไปแห่งหนใดรึ..? ตาหวาน”

ถึงแม้เขาจะเป็นคนรุ่นใหม่แต่ว่าคำพูดบางคำยังติดมาจากคนรุ่นเก่าอยู่ มีหลายวลีที่พวกผมไม่เอามาใช้แล้ว
 
ผมเลือกที่จะไม่ตอบ ถึงแม้ในใจจะรู้สึกว่าน้ำเสียงที่เขาใช้ถาม ฟังดูนุ่มหูแปลกกว่าที่เคยก็ตามที ก็เพราะว่า...เขาไม่ได้เอ่ยชื่อของผม

ในขณะเดียวกัน อีกหนึ่งถ้อยคำของแม่ก็ผุดขึ้นมาตอกย้ำความคิด เมื่อสมัยที่ผมเอาแต่วิ่งแจ้นไปฟ้องแม่ว่าถูกนายอัดลมแกล้งอีกแล้ว แม่เคยว่า‘ยุ่งกับหมา หมาก็เลียปาก’  คนประเภทนี้ก็คล้ายกับสุนัข ถ้าเราทำดีกับมัน มันก็จะตามติดเราตลอดเวลา เพราะฉะนั้นแล้ว อยู่ให้ห่างเป็นดีที่สุด เมื่อเราไม่สนใจ สักพักมันก็จะเลิกยุ่งกับเราเอง

“พอโตมา…เป็นใบ้ซะงั้น”

ในขณะความคิดของผมกำลังล่องลอย ฝ่ายน้้นก็เปรยกับตนเองเบา ๆ ยิ้มขรึม

ดูเหมือนว่า สำนวนข้างต้นจะเอามาใช้กับ’นายขายาว’ไม่ได้เสียแล้ว เพราะเขายืนดักอยู่ด้านหน้าทำให้ผมหนีไปไหนไม่พ้น เลยจำใจต้องพูดกับเขา

“นายถามใคร ?”

ผมต้องบอกเพื่อน ๆ ก่อนนะครับว่า แต่ไหนแต่ไรมาผมไม่เคยเรียกนายอัดลมว่า’พี่’

เหตุผลง่าย ๆ ก็คือ...ไม่อยากเรียก
และอีกอย่างหนึ่ง... ผมไม่ใช่คนประเภทปิดบังอารมณ์ตนเอง จนสามารถเอาสิ่งที่รักและสิ่งที่เกลียดมารวมไว้ในห้องใจเดียวกันได้ จนบางครั้งแยกแทบไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าตนเองกำลังดีหรือร้ายอยู่

“มีเอ็งกับข้าแค่สองคน จะให้ถามหมาที่ไหนวะ?!”

นั้นไงล่ะ !... ในที่สุด หางที่แอบเอาไว้ก็โผล่ออกมาให้เราเห็นจนได้ เขาแกล้งพูดดีได้ไม่นานนักหรอก

 “ฉันไม่ได้ชื่อ ตาหวาน”

เขาจุ๊ปาก ทำเสียงจิ๊กจั๊กเหมือนจิ้งจกทัก ฉีกยิ้มกว้างอย่างกับพอใจในคำตอบของผมเสียเต็มประดา ก่อนจะยิงอีกหนึ่งประโยคคำถามซึ่งทำให้หนังหัวของผมถึงกับร้อนวูบ

“หรือเอ็งจะให้ข้าเรียกว่า…คนสวย”



 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD]
เริ่มหัวข้อโดย: Marakun ที่ 25-09-2021 21:30:08
  [ 6 ]
ทหารรังแกประชาชน

ผมชูกำปั้นขึ้นแทนคำตอบ

แต่ทว่า นายอัดลมหัวเราะงอหงาย ราวกับว่าเขากำลังดูคลิปตลกที่มันจี้เส้นนักหนา กระทั่งเป้สีเขียวขี้ม้าใบใหญ่ที่แบกเอาไว้บนหลังโยกคลอนไปมา

ผมกวาดตามองชุดที่เขาสวมใส่ สีเขียวเข้มลายพรางเท่ห์ ๆ เมื่ออยู่บนเรือนร่างสูง ยาว ส่งเสริมให้เขาแลดูเจริญหูเจริญตาขึ้นเป็นกอง แต่...ก็ดูดีแค่ภายนอกเท่านั้นแหล่ะ


ห้าปีก่อน หลังจากพี่ชายของผมตายไปไม่นานนัก
หมู่บ้านท้อแท้ของเรามีชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันสิบกว่าคนที่อายุเข้าเกณฑ์คัดเลือกทหาร
ในเวลานั้น…นายอัดลมจับได้ใบแดงเพียงคนเดียว
คนที่ดีใจและสมใจที่สุดน่าจะเป็นน้าแหวว เพราะบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์เอาไว้หลายแห่ง ด้วยตั้งความหวังว่าวินัยแบบทหารจะสามารถขัดเกลานิสัยของลูกชายคนโตได้


ต่อมา เขาสอบบรรจุเป็นนายทหารชั้นประทวนซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเขาจับพลัดจับผลูอีท่าไหนได้ จำได้แค่ว่าตอนนั้นน้าแหววจัดงานใหญ่โต มีโต้ะจีนและเวทีดนตรีขนาดใหญ่ พ่อก็ไปร่วมงาน ยกเว้นแม่กับป้าเอิบที่อ้างว่าไว้ทุกข์แด่พี่ต้นกล้ายังไม่ครบร้อยวัน
ตัวผมเอง เนื่องจากไม่อยากเห็นแม่เสียใจเลยปฏิบัติตนตั้งอยู่ในกรอบอย่างเคร่งครัด ถึงแม้อยากจะไปเล่นสนุกด้านหน้าเวทีตามประสาเด็กในเวลานั้นก็ตามที

เสียงกระแอมของเขา ดึงสติของผมกลับมา

 “จะบอกอะไรให้ ตอนเด็ก ๆ เวลาเอ็งนอนหลับ เอ็งชอบละเมอจับแมมมอธข้าตลอด ไม่ใช่จับอย่างเดียวนะ...ขยำขยอกด้วย พอข้าดึงมือออก สักพักเอ็งก็จับอีก จับทั้งคืน เพราะฉะนั้น ช่วยบอกให้ข้าสบายใจสักหน่อยเถิดหนา ข้าควรจะเรียกเอ็งว่ากระไรดี”

“!.ฯ?@#.!”

ผมอ้าปากหวอไปชั่วขณะ ถึงแม้จะมั่นใจอย่างไม่ต้องกังขาว่าเรื่องที่เขาพูดนั้นไม่ใช่ความจริง

น่าอายที่สุด !...หน้าตาเจ้าเล่ห์ แล้วยังกล้าปั้นน้ำให้เป็นตัวได้อย่างชั่วร้ายชะมัด

“ไงล่ะ...ถึงกับหน้าซีดเป็นไก่ต้ม”

“พูดบ้าๆ ใครเชื่อก็เหี้ยละ”

 “คืนนี้ เอ็งนอนกับข้าไหมล่ะ!...มาพิสูจน์กันว่า ระหว่างชมรมนิยมเต่าขนานแท้กับคนพ่ายแพ้แมมมอธ หน้าตาอย่างเอ็งจะถูกจัดให้อยู่หมวดไหน”

ดวงตาของเขาส่งประกายวิบวับ ขณะเดียวกันมุมปากก็ถูกยกขึ้นข้างหนึ่ง

ถึงแม้ผมจะรู้ดีว่า เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์ ชอบโกหก แต่ผมก็ไม่กล้าตกปากรับคำ ครั้งหนึ่งซึ่งจำฝังใจ เขาเคยหลอกให้ผมวิ่งตามไป จนกระทั่งถึงดงไม้ใต้ต้นข่อยเพื่อจะไปดูไอ้เข้ตัวเท่าศาลา ใหญ่กว่าชาละวันถึงสิบเท่า เพราะเขารู้ว่าผมชอบเล่นน้ำแล้วสมมุติตนเป็นไกรทอง

เมื่อไปถึง อย่าว่าแต่เหี้ยเลย กิ้งก่าสักตัวก็ไม่มี...

เขาพูดหน้าตาเฉยว่าเมื่อกี้มันยังอยู่ คงจะแปลงกายเป็นคนไปแล้ว แถมบอกให้ผมตามหาชาละวันในร่างคน โดยสังเกตผู้ชายก้นใหญ่ๆ ซ้ำร้ายยังทำเป็นใจดี ช่วยบอกวิธีเผยร่างจริงของมันให้อีกด้วย

“เอ็งประกบนิ้วชี้เข้าหากันสองข้างอย่างนี้ แล้วทิ่มร่องก้นมันตรงๆ ให้สุดกำลัง”

ในครั้งนั้น ถือเป็นคราวเคราะห์ของลุงนุ้ยตูดกะละมัง และเป็นคราวซวยของผมเองถึงโดนพ่อเฆี่ยนด้วยไม้เรียวเสียยับ


ผมสะดุ้งตื่นจากภวังค์ รู้สึกเจ็บจี๊ดตรงหน้าผากเหมือนโดนอะไรดีด

“เอ็งยังไม่ตอบคำถามข้าเลย…จะรีบไปแต่หนไหน ?”

หลังจากเก็บนิ้วชี้ไว้ในที่ของมันแล้ว นายอัดลมก็คาดคั้นจะเอาคำตอบ แต่ผมเลือกที่จะถามกลับ

“ไอ้แชมป์อยู่ที่บ้านนาย ใช่ป่าว?”

เขาถอนหายใจเฮือกยาว อย่างกับว่าจำใจทนฟังเรื่องที่มันน่าเบื่อเสียเต็มประดา

“ข้ารับคำสั่งจากหน่วยพิเศษ มาที่นี่เพื่อปฏิบัติราชการลับโดยเฉพาะ ไม่ได้มาเพื่อช่วยใครตามหาผู้ชาย”

ให้ตายสิ !..อยากจะเอาหัวกระแทกพื้นคอนกรีตให้มันรู้แล้วรู้รอด คุยกับจิ้งหรีดยังได้ประโยชน์เสียกว่า

“อีกอย่าง ข้าเพิ่งเดินทางมาถึง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นในชุมชนของเราบ้าง”

จังหวะนั้นเอง มีผู้ชายคนหนึ่งปั่นจักยานสวนทางมาบนทางเดินแคบๆ พร้อมทั้งลั่นกระดิ่ง ส่งสัญญาณขอทาง

เมื่อชายคนนั้นพ้นไป ผมรีบฉวยจังหวะที่นายอัดลมเผลอ ผลักเขาอย่างแรงชนกับกำแพงบ้านหัวมุมหลังหนึ่ง เสียงดัง

กึก !

จากนั้น รีบฉีกตัวออกด้านข้างแล้วจ้ำอ้าวหนี

นายอัดลมสืบเท้าไล่หลังมาติดๆ เป้ขนาดใหญ่ของเขาถูกยกออกจากแผ่นหลัง ก่อนจะเหวี่ยงลงบนไหล่บางๆ ของผม น้ำหนักมโหฬารของมันทำให้ผมถึงกับสะดุด หยุดอยู่กับที่

“ไหน ๆ ก็จะไปกินข้าวฟรีที่บ้านข้าแล้ว ช่วยแบกเป้หน่อยละกัน”

ว่าแล้วเจ้าตัวก็ทิ้งถุงผ้าเอาไว้ตรงนั้น มือสองข้างล้วงในกระเป๋า เดินลิ่วไป โดยไม่สนใจว่าผมจะทำอย่างไรกับมัน

เป็นทหาร...รังแกประชาชนชัด ๆ




หัวข้อ: Re: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 7:27-09-64
เริ่มหัวข้อโดย: Marakun ที่ 27-09-2021 15:16:33
ตอนที่ [ 7 ] 
คนน่าเบื่อ !

ผมลากเป้ ถูครืดคราดไปกับพื้นอย่างทุลักทุเล ผ่านกระชังเลี้ยงปลาหลายแพกระทั่งมาถึงคลองแยกท้ายสุด พอเลี้ยวซ้ายก็เห็นบ้านสีขาวสองชั้น หากเรามองสูงขึ้นไป ที่ชั้นสองจะเห็นระเบียงโดยรอบตัวบ้านกับหน้าต่างซึ่งติดม่านสีฟ้า

เนินหญ้าหน้าบ้านมีขนาดความกว้างเกือบครึ่งสนามฟุตบอล แต่ละมุม ตกแต่งด้วยไม้ดอกไม้ประดับต้นเล็กสลับแซมต้นใหญ่ เหล่าผีเสื้อบินฉวัดเฉวียนสีสันตัดกันกับกุหลาบเลื้อยสีสดซึ่งชูช่อ ออกดอกบานสะพรั่งเกยก่ายกับแนวรั้ว

ห่างกันเพียงเล็กน้อย ต้นสักทองขนาดทัดเทียมกัน เรียงต้นเป็นทิวแถวตามแนวยาวของรั้วไม้ บางต้นมีโต๊ะหินอ่อนตั้งอยู่ภายใต้เงาครึ้มของมัน

ผมไม่ได้มาที่นี่ แค่เพียงช่วงระยะเวลาหนึ่ง ต้นสักทองกลุ่มนี้สูงจรดหลังคาบ้านเสียแล้ว
 
ที่ซุ้มศาลา เยื้องห่างออกไปจากหน้าบ้าน นายอัดลมนอนเอกเขนกในเปลตาข่าย ขาเรียวยาวของเขาเหยียดจนสุดอย่างกับคนหมดแรง หนังตาปิดสนิท ปลายแคร่อีกตัวข้าง ๆ กันนั้น น้าแหววนั่งอยู่และกำลังพูดอะไรบางอย่างกับฝ่ายนั้น

ตอนที่ผมยกมือไหว้ ดูเหมือนว่าน้าแหววจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
 
จู่ ๆ ภาพมโนก็ทำให้ผมนึกไปถึงเพลงกล่อมลูกบทหนึ่ง บางทีถ้าหากนายอัดลมจะตัวเล็กกว่านี้สักสิบเท่า เป็นไปได้ว่าเราอาจจะได้ฟังเพลงแม่กาเหว่าด้วยหนึ่งบท

มโนภาพซึ่งไม่อาจจะนึกภาพต่อ ทำให้ผมยิ้มขำ

หลังจาก ดันเป้ด้วยปลายเท้าไปกองแหมะที่หน้าห้องครัว ผมก็ย้อนกลับมา วางถุงผักกับกระปุกน้ำพริกลงบนแคร่ ได้ยินคำพูดของน้าแหววชัดหูว่า

“อีกอย่าง ลุงหมายก็รักลูก ให้ความช่วยเหลือเรามาตลอด...”

ดวงตาของน้าแหววเบิกโตขึ้นเหมือนคนไม่คาดคิดมาก่อน เมื่อแลเห็นผม เรื่องที่กำลังคุยอยู่เลยค้างเอาไว้แค่นั้น

“ต้นน้ำ มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ลูก ?”

ผมทำได้แค่ฉีกยิ้มให้เต็มหน้าที่สุด เพราะไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร หยิบของที่แม่ฝากมายกขึ้นชูประกอบคำสนทนา

“อันนี้ แม่ฝากมาฮะ ส่วนเจ้าแซ่บ...นี่ ก็ฝีมือของป้าเอิบ”

น้าแหววนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ สีหน้าและแววตาเปล่งประกายเหมือนคนป่วยเรื้อรังได้เจอหมอมือดี นัยน์ตาระรื่นด้วยน้ำหล่อเลี้ยงกระพริบซ้อนกันติด ๆ สองสามครั้ง

ในช่วงที่ผ่านมา เราอาจมีท่าทีเย็นชาต่อน้าแหววมากเกินไป จนกระทั่งบ่อน้ำใจซึ่งแต่ก่อนนั้นเคยมีต่อกันอย่างล้นหลาม บัดนี้เกือบแปรสภาพกลายซากเป็นตะกอนขุ่นเคืองเสียสิ้น

น้าแหววผลุดลุกจากแคร่ ตรงเข้ามาโอบกอดผม พลางกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ในอก

“ขอบคุณน้ำจิตน้ำใจของพี่จันกับป้าเอิบจริง ๆ ขอบใจน้ำด้วยนะลูก อุตส่าห์เอามาให้น้าด้วยตัวเองจนถึงที่” พูดพลางยกมือผ่ายผอมขึ้น ปาดน้ำตาออกทิ้งข้างแก้ม ทั้งสองข้าง

“โอ้โฮเฮะ ! ยังไม่ทันเปิดกระปุกเลย น้ำพริกของป้าเอิบก็สำแดงฤทธิ์แล้วเหรอฮะ” ผมพูดกระเซ้า

น้าแหววยิ้มทั้งน้ำตา จากนั้นดันตัวผมออกห่างเล็กน้อย กวาดตาสำรวจขึ้นลงอย่างถ้วนถี่

“โตเป็นหนุ่มหล่อ ไม่ทิ้งเชื้อแม่เลย...”

ประโยคนี้ ทำให้ผมยิ้มบ้าง
แหม !... เป็นใครก็ต้องรักคำชม ถึงแม้จะพิศวงกับคำว่า’ไม่ทิ้งเชื้อแม่’ ก็ตาม...เพราะอะไรน่ะหรือครับ
ก็...แม่ของผม ใคร ๆ ก็ชมว่า สวยเหมือนนางเงาะป่า

 “ปีนี้ น้ำอายุสิบหกใช่ไหมลูก? ความสูงกำลังไล่กวดลูกชายน้าเลยมั้ง”

“ไอ้เป๊บซี่น่ะเหรอฮะ ?”

“ไม่ใช่จ้ะ คนนั้นน่ะ เขาตัวเล็กเหมือนพ่อของเขา น้าหมายถึงตาอัดต่างหากล่ะ”

ผมอดกระหยิ่มยิ้มย่องไม่ได้ เหลือบตามุ่งร้ายไปทางเปลญวน
เมื่อก่อน หมอนั่นชอบเอาความได้เปรียบในด้านรูปร่างและพละกำลังที่เหนือกว่ามาใช้ข่มเหงผมอยู่บ่อยครั้ง
จากนี้ไป...แค่คิด นายก็สิ้นอนาคตแล้ว

นายอัดลมยังคงหลับตาสนิท อย่างคนไม่รู้เหนือรู้ใต้

น้าแหววฉุดให้ผมนั่งลงปลายแคร่ด้วยกัน ผมสบโอกาสพินิจพิเคราะห์ผู้หญิงตรงหน้า ถึงแม้น้าแหววจะมีรูปร่างผอมบาง แต่ทุกอณูเนื้อของผู้หญิงคนนี้อัดแน่นไปด้วยพลังแห่งความทรหด กว่าจะเฟื่องฟูอย่างเช่นทุกวันนี้ได้ ชีวิตต้องฟันฝ่ามรสุมอยู่หลายต่อหลายครั้ง

ในอดีต เมื่อครั้งแรกแย้ม น้าแหววหนีความอัตคัดไปขายแรงงานอยู่ต่างแดนนานหลายปี กระทั่งวันที่ย้อนกลับมาเพื่อต่อสู้กับคำครหาเพียงลำพังอย่างอดกลั้นอดทน เนื่องจาก...ท้องโย้นายอัดลม

โดยที่ ไม่มีผู้ใดรู้ว่า พ่อของเขาเป็นคนเชื้อชาติอะไร !?

น้าแหววเองก็ไม่เคยปริปากในเรื่องนี้ ต่อให้มีคนอยากรู้ เฝ้าเพียรถามอยู่บ่อยครั้งก็ตามที ผู้คนต่างพากันเดาส่งกันไปเองว่า พ่อของเขาเป็นชาวอาหรับหลังจากได้เห็นใบหน้าของเด็กน้อยแล้ว

อีกสิบปีต่อมา น้าแหววก็ตัดสินใจอยู่กินกับนายทหารคนหนึ่งซึ่งมาประจำการที่กองร้อยลาดตระเวนระยะไกล ห่างจากหมู่บ้านของเรา ลึกเข้าไปในหุบเขาราวสิบกิโล

หลังจากคลอดไอ้เป๊บซี่ไม่ถึงปี สามีก็เสียชีวิตกะทันหัน

แม่เล่าว่า ในตอนนั้นน้าแหววไม่มีน้ำตาให้ใครเห็นแม้สักหยด นับได้ว่าเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมากที่สุดคนหนึ่ง
 
ถึงแม้เรื่องเลวร้ายจะถาโถมกันเข้ามา ระลอกแล้วระลอกเล่า นอกจากไม่เสียเวลาคร่ำครวญต่อโชคชะตาแล้ว น้าแหววยังเลือกที่จะสู้อย่างทันท่วงที ด้วยการขอเช่าหน้าน้ำทำกระชังเลี้ยงปลา

จนกระทั่ง ในท้ายที่สุดก็ลืมตาอ้าปากได้ กลายเป็นเจ้าของแพปลาขนาดใหญ่หลายแพในปัจจุบัน

ผมรักและศรัทธาในตัวน้าแหววมาก พอ ๆ กับรักอาเพ็ญ ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ทั้งสองคนเป็นเพื่อนซึ่งห่วงใยกันและกัน มีความรักให้กันประดุจญาติพี่น้อง

“ไอ้แชมป์อยู่ที่นี่ใช่ไหมครับ น้า?”

อย่างทันทีทันใด ผมตรงเข้าประเด็นร้อนของตนซึ่งมาถึงที่นี่ในวันนี้ เพราะยังไม่รู้ว่า...คนที่ผมตามหา อยู่ที่ไหนกันแน่ ? ไอ้แชมป์มาอยู่ที่นี่ จริงดั่งที่อาชาญคาดเดาเอาไว้ไหม ?
ถ้าหากไม่เจอไอ้แชมป์ที่นี่ บางทีมันก็อาจจะอยู่ที่บ้านเพื่อนในห้องเรียนของมัน ไม่คนใดก็คนหนึ่ง

“น่าเบื่อ !”

จู่ๆ หมอนั่น...คนที่ผมเข้าใจว่าหลับไปแล้วก็สบถคำนี้ออกมา สายตามึนงงสองคู่หันไปมองตำแหน่งเดียวกันโดยไม่ได้นัด

ไม่มีใครเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการ บางครั้งเมื่อเราต้องการคำตอบ สิ่งที่ได้มักเป็นความว่างเปล่าเสมอ แต่ทว่าการกระทำของเขาเพียงน้อยนิด กลับส่งผลกระทบต่อคนอื่นอีกมากมาย

ในครั้งนี้ นายอัดลมก็แค่พลิกตัวหันข้าง เสมือนหนึ่งว่าเขาต้องการเมินเราทั้งคู่

ผมเห็นน้าแหววมองเขาด้วยสายตาของคนเป็นแม่ ซึ่งเต็มไปด้วยความหวั่นวิตก

และนั่น ทำให้ผมรีบถามซ้ำประโยคเดิมอย่างทันท่วงที ไม่เช่นนั้นครั้งนี้คนที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำเล็ก ๆ ของเขา คงหนีไม่พ้นตัวผม

น้าแหววบุ้ยปากขึ้นไปชั้นบน ผมจึงยิ้มได้ด้วยความสบายใจ

หลังจาก คุยกับน้าแหววต่ออีกสักพัก ผมก็ขอตัวออกจากตรงนั้น ด้วยเกรงว่าน้าแหววจะรับรู้ถึงความรู้สึกของผม ซึ่งเอือมระอาเต็มทนกับคนที่เอาแต่นอนพลิกตัวไปมา พร้อมกับโพล่งคำว่า...

น่าเบื่อ !

ทุกครั้งที่ผมเล่าเรื่องเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนให้น้าแหววฟัง

อันที่จริง ผมก็อยากได้ ‘ยาเบื่อ’ สักสิบซองมาเทกรอกปากเขาให้มันรู้แล้วรู้รอด แต่นับว่าโชคของผมยังดีที่มีน้าแหววอยู่ตรงนั้น ไม่เช่นนั้นผมอาจมีคดีติดตัวตั้งแต่แรกเริ่มของชีวิตวัยรุ่นก็ได้


 :ling2: :ling2: :ling2:
หัวข้อ: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 8: 2-10-64
เริ่มหัวข้อโดย: Marakun ที่ 02-10-2021 16:11:12
  [ 8 ]
คนเศร้าสร้อย

บันไดด้านข้างตัวบ้านนำผมขึ้นสู่ชั้นบนซึ่งแบ่งออกเป็นสองซีกด้วยโถงทางเดิน พื้นห้องลื่นเท้าบ่งบอกนิสัยเจ้าของบ้านว่าเป็นคนละเมียดละไมคนหนึ่ง

ตู้ไม้ทรงสวย ณ มุมห้องตัวเดิมโดดเด่นขึ้นกว่าเดิมเพราะม่านหน้าต่างผืนใหม่ เนื้อบาง ซึ่งปลิวไสวเป็นครั้งคราวยามต้องลม

ห้องนอนของน้าแหววจะอยู่ทางฝั่งตะวันออกติดกับห้องพระ ส่วนของไอ้เป๊บซี่อยู่อีกฝั่งทางซีกตะวันตก ขณะที่ ‘คนซึ่งผมไม่ควรจะเอ่ยนาม’อยู่ชั้นล่างกับแมวตัวหนึ่งของเขา

ตอนนี้ ฐานะของน้าแหววมีกินมีใช้จนกระทั่งเนรมิตสิ่งที่ลูกชายหลงใหลเอาไว้ในบ้านได้อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นห้องบันเทิงของไอ้เป๊บซี่ซึ่งพรั่งพร้อมไปด้วยเครื่องเล่นเกมส์ คอมพิวเตอร์และโฮมเธียเตอร์

ขณะเดียวกัน ชั้นล่างก็มีห้องดนตรีอีกห้องหนึ่งของนายคนนั้น

ตรงกันข้ามกับบ้านผม ถึงแม้จะไม่ขัดสนแต่ก็มีโทรทัศน์ขาวดำแค่เครื่องเดียว ซึ่งจำเป็นต้องมี เพราะแม่กับป้าเอิบติดละครหนักมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีนี้ แม่ดาวพระศุกร์เล่นส่องสกาวทั่วท้องนภาจนชาวบ้านชาวเมืองติดกันงอม

คนส่วนใหญ่ยกย่องผู้ใหญ่ผันเป็นบุคคลต้นแบบ สาเหตุเพราะพ่อมีสินทรัพย์ที่เปลี่ยนจากทรัพย์สินมากเกินกว่าใคร  ๆ

แต่ผมกลับคิดว่าระหว่างตระหนี่กับมัธยัสถ์ มันมีความก้ำกึ่งกัน แค่เส้นบาง ๆ เท่านั้น

เมื่อใดก็ตาม ที่ผมเอ่ยปากกับพ่อแล้วตัวเลขในบัญชีของพ่อกลายเป็นลบ น้ำเสียงที่พ่อซักมักเข้มข้นเสมอ ผมต้องยกแม่น้ำสะแกกรังทั้งสายมาเป็นเหตุผลในการตอบคำถามอยู่บ่อยครั้ง

โชคยังดีที่พ่อแค่ตระหนี่ ถ้าถี่เหนียวด้วยล่ะก็...แม่น้ำทุกสายคงได้เดือดร้อนกันเป็นแถบ

โชคดียิ่งกว่านั้น ผมมี ‘พ่อทูนหัว’ คนหนึ่งคอยเนรมิตข้าวของให้โดยไม่ซักไซ้ไล่ความ อาชาญบอกว่า ‘พ่อทูนหัว’ เป็นเพื่อนของอา และเป็นนายหัวใหญ่อยู่ทางใต้มีอิทธิพลบารมีมาก ตัวตนของท่านผมยังไม่เคยเจอ มีแค่จี้หยกพร้อมสร้อยคอกับรูปถ่ายหนึ่งใบแทนตัวท่านเท่านั้น

ก่อนหน้าที่อาเพ็ญจะล้มเจ็บเพียงไม่กี่วัน อาชาญสัญญาว่าจะพาผมกับไอ้แชมป์ล่องใต้ไปกราบ‘พ่อทูนหัว’  แต่ทว่าเรื่องร้าย ๆ ก็มาเกิดขึ้นเสียก่อน

เวลานี้ ผมไม่รู้ว่าอาชาญยังจำคำสัญญาเหล่านั้นได้บ้างไหม?


ขณะแง้มบานประตู เสียงซาวด์เอฟเฟกต์ก็ดังกระหึ่มสวนออกมา นอกจากไอ้แชมป์กับไอ้เป๊บซี่แล้ว ในห้องนั้น ก็มีคนตัวเล็กแต่ชื่อใหญ่กว่าตัว อีกคนหนึ่ง

 มันชื่อว่า...มังกร พ่อของมันเป็นช่างสักลายที่ฝีมือฉกาจ หาตัวจับยากคนหนึ่ง

วันนี้ ‘แกงค์มารไม่เคยท้อ’ ของเราในสมัยเด็ก ๆ ขาดก็แต่ไอ้ขวัญกับไอ้เพชร ฝาแฝดคู่นั้นกลายเป็นหนุ่มอย่างเต็มตัว หลังจากจบชั้นประถมหก ไม่ใช่เด็กหนุ่มอย่างพวกเรา ที่ก้ำกึ่งกันระหว่างเรียนและเล่น

ไอ้เป๊บซี่กับไอ้มังกรกำลังเมามันกับปุ่มกดในมือ ขณะที่ไอ้แชมป์นั่งแกะตัวโน๊ตด้วยกีตาร์ ไม่ห่างกันนัก

หลังจากหย่อนสะโพกลงด้านข้าง แชมป์ก็หยุดปลายนิ้ว มันชำเลืองมองผมด้วยหางตาแค่แวบเดียว ก่อนจะเอ่ยปากถาม

ทว่าเสียงที่ดังกระหึ่ม ผมจำต้องโน้มคอเข้าหาร่างผอมบาง จนกระทั่งใบหูแนบชิดติดกับใบหน้าของมัน

โดยปกติ ไอ้แชมป์ก็เป็นคนพูดเสียงเบาเหมือนเราคุยกันในห้องสมุดอยู่แล้ว

ไอ้แชมป์ถามซ้ำอีกครั้ง ซึ่งดังขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย

“สักเกมส์ไหม ?”

ผมมองหน้ามันตรง ๆ ถามกลับโดยไม่อ้อมค้อม

“มึงไม่คิดจะกลับบ้านเลยเหรอวะ ?”

“กูมีบ้านด้วยเหรอ”

มันตอบ เลี่ยงออกเส้นบายพาสซะงั้น ดูเหมือนว่า คนที่ผมตามหาด้วยความห่วงใยจะติดใจบ้านน้าแหววเข้าแล้ว

ใบหน้าของคนตรงหน้าผมนั้น จืดสนิท หนังตาแทบจะเป็นเส้นตรง ตาตี่ ๆ เหมือนถูกขีดด้วยปลายพู่กันโดยฝีมือของจิตรกรฝึกหัด ผู้ซึ่งละเลงลบด้วยหนังยางครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระทั่งขนคิ้วบางกิ่ว ดูไร้ระเบียบ

ถ้าหากมีคนทึกทักหรือเดาส่งว่า ไอ้แชมป์เป็นลูกของเจ็กฮง ร้านขายของชำหน้าปากซอยข้างวัด อาจกล่าวได้ว่าร้อยทั้งร้อยไม่มีใครคัดค้าน

ขณะที่ นัยน์ตาหยาดน้ำผึ้งของอาเพ็ญ ทั้งหวานและหยาดเยิ้มเหมือนเพชรา เชาวราษฎร์ ดาราผู้มีชื่อเสียงตลอดกาล ในทำนองเดียวกัน เสน่ห์แบบชายชาญของอาชาญก็เกิดจากประกายตาคมเข้ม บวกกับคิ้วหนาและหนวดเคราเขียวครึ้ม

ทั้งหมดทั้งมวล ตรงกันข้ามกับไอ้แชมป์อย่างสิ้นเชิง

นัยน์ตาของไอ้แชมป์ปรากฏแววเศร้าอย่างชัดเจน ชนิดที่ว่าไม่ต้องสังเกตเราก็เห็น ใบหน้าไม่มีเค้าของอาเพ็ญกับอาชาญเลยแม้แต่น้อย และนั่นเป็นปมด้อยของมันซึ่งผมตระหนักดีที่สุดในเรื่องนี้

ด้วยเหตุว่า ดีเอ็นเอของพ่อแม่ยอมให้ความแปลกแยกปรากฏแทนที่บนหน้า รอยด่างทางความรู้สึกจึงตราไว้ในดวงจิตนับจากนั้น

“เมื่อวานกูไปหามึงที่บ้าน ถึงได้รู้ว่ามึงอยู่นี่”

ผมมองตาอีกฝ่ายในขณะพูด นอกจากประกายหม่นหมองแล้วก็ไม่เห็นสิ่งอื่น

“อาชาญให้กูมาตามมึง”

บางทีความสัมพันธ์ของสองพ่อลูกอาจจะดีขึ้นก็ได้ ซึ่งผมอยากให้เป็นอย่างนั้น จึงตัดสินใจปล่อยลูกแกะตัวหนึ่งออกไปเดินเฉิดฉาย

สีหน้าของไอ้แชมป์บ่งบอกความไม่เชื่ออย่างชัดเจน

“แน่ใจว่าพูดความจริง”

ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าไอ้แชมป์เป็นคนเฉลียวฉลาดสมกับตำแหน่งนักเรียนดีเด่นในด้านวิชาการของมัน

ผมยิ้มแห้ง
จบกัน ชีวิตลูกแกะฝึกหัดตัวน้อย
แต่...ในเมื่อเราขึ้นบนหลังเสือแล้ว ก็ต้องก้าวลงอย่างสง่างามสิวะ เมื่อคิดดังนั้นผมจึงยืดอก สูดลมเข้าเต็มปอด ตอบกลับด้วยเสียงเข้มว่า

“เออ !”

ไอ้แชมป์จ้องหน้าผมเหมือนตำรวจคอยดักพิรุธผู้ร้าย มันส่ายหัว ก่อนจะกล่าวในเชิงตำหนิว่า

“ต่อให้พยายามแค่ไหน มึงก็โกหกไม่เป็นอยู่ดี ขอร้องเหอะ! ต้นน้ำ… อย่าให้โลกของมึงต้องแปดเปื้อนด้วยถ้อยคำโป้ปดอีกใบหนึ่งเลย”

ไอ้แชมป์ต่อว่า หนังตาตี่กระพริบซ้ำถี่ ๆ น้ำหล่อเลี้ยงสีใสเอ่อซึม กลบนัยน์ตาสีดำแกมเทาคู่นั้น

“แค่คนเดียวที่เปลี่ยนไปตั้งแต่แม่ตาย จนบางครั้งกูเผลอคิดว่า...กูอาจไม่ใช่ลูกของเขา กูก็เจ็บมากพอแล้ว มึงอย่าสำเนาความทรมานเพิ่มให้กูอีกคนจะได้ไหม”




หัวข้อ: Re: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 8 : 2-10-64
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 02-10-2021 18:16:40
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 8 : 2-10-64
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 02-10-2021 21:21:47
มีต่อรึเปล่า รออ่านนะจ๊ะ (พ่อมึงสิ) ยืมเพลงฮิตติดหู มาโฆษณา
หัวข้อ: Re: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 9 : 3-10-64
เริ่มหัวข้อโดย: Marakun ที่ 03-10-2021 18:59:52
[9]
เรื่องของผัวเมีย

บนจอภาพสีเขียว บรรดานักเตะเสมือนกำลังไล่ตามลูกกลมๆ กับเสียงโห่ร้องจากซาวด์เอฟเฟกต์ซึ่งไล่กระชั้นตามติด

ผมพูดอย่างจริงใจว่า

“กูขอโทษ…กูแค่อยากให้มึงกลับบ้าน”

“มึงเจอเมียใหม่ของพ่อด้วยใช่ไหม ?”

ไอ้แชมป์กำลังหมายถึงผู้หญิงจุ้นจ้านคนนั้น ซึ่งสายตาของหล่อนแสดงเจตจำนงค์อย่างชัดเจน มันตามรังควานผมอยู่ตลอดเวลา ผมกำหินสีเขียวตรงกลางสร้อยคอเอาไว้ด้วยมือสองข้างจนแน่น ประหนึ่งกลัวว่ามันจะหายไป  ในขณะพยักหน้าแทนคำตอบ

“กูจะรอ จนกว่าพ่อจะย้ายเข้าบ้านของเขา” ไอ้แชมป์ตั้งคำมั่น

อันที่จริง ผมก็อยากแต้มพู่กันให้โลกมีสีสวย แล้วลากเอาพระอาทิตย์ไปขึ้นทางทิศตะวันตกแบบนั้นบ้าง

ไอ้แชมป์คงยังไม่รู้ความจริงว่า ในตอนนี้เจ๊เชอรี่เล่นบทนำแทนอาชาญที่บ้านหลังแฝดเรียบร้อยแล้ว เธอคงไม่ย้ายออกในเร็ววันอย่างที่มันคาดเดา

“แต่มึงจะอาศัยบ้านน้าแหววตลอดไปไม่ได้”

ผมทำได้เพียงคว้ากระดาษกับปากกามา แล้วขยี้คำว่า ‘เกรงใจ’ เพื่อจี้ต่อมอีกฝ่าย  ไอ้แชมป์ถอนหายใจเฮือกอย่างกับคนแก่ที่แก้ปัญหาลูกหลานไม่ตก

ชั่วขณะหนึ่งที่มันจ้องหน้าผมอย่างครุ่นคิด จากนั้นก็เอ่ยด้วยเสียงที่เบากว่าเดิมเกือบครึ่งเท่า

“กูอยู่บ้านมึง...ได้ไหม ?”

ผมนิ่ง สมองไตร่ตรองอย่างหนักเหมือนกำลังนั่งสอบชั่วโมงฟิสิกส์

ถึงแม้ แม่จะบ่นบ้างอะไรบ้างทุกครั้งที่ไอ้แชมป์มาค้างด้วย แต่พ่อก็เมตตามันทุกเมื่อ

บางที ในครั้งนี้พ่ออาจจะช่วยเกลี้ยกล่อมทำให้ไอ้แชมป์กลับบ้านเร็วขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น อีกอย่างถ้ามันอยู่บ้านผมก็ต้องดีกว่าอยู่ที่นี่ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่แม่รู้ความจริงว่านายอัดลมกลับมาบ้านแล้ว ผมคงไม่ได้มาที่นี่อีก

ในโรงเรียน เราก็เรียนกันคนละห้อง กิจกรรมชมรมก็ต่างกัน โอกาสคุยกันจึงมีน้อย

คิดได้ดังนั้น ผมจึงพยักหน้าแทนคำตอบ

ทันใดทันใดนั้น เสียงห้าวและห้วน ก็ดังขึ้นจากด้านหลัง

“ตาหวาน...เป้ของข้า อยู่ที่ใด ?”

ผมแทบไม่รู้ตัวเลยว่า คนที่ผมไม่อยากจะเอ่ยนามมานั่งประกบหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้สึกตงิดใจเล็กน้อยว่าเขามองไม่เห็นจริง ๆ  หรือต้องการระรานผมกันแน่...!?

 แต่ถึงกระนั้น ผมก็ตอบเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

“วางไว้หน้าห้องครัว”

“ข้างบนนี้ ไม่ใช่สถานที่สำหรับพลอดรักกัน ถ้าคันบั้นท้ายนักก็ลงไปข้างล่างกับข้า”

ถึงแม้จะไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้นัก แต่น้ำเสียงสะบัดและท่าทียียวนของอีกฝ่ายก็ทำให้ผมรู้สึกคันในอารมณ์

“ได้ ! มาวัดกันเลย สักตั้ง”

เขาหัวเราะหึ

“ยอมรับความจริงแล้วรึ ว่าคันบั้นท้าย”

“เปล่า ! ชั้นคันไม้คันมือ อยากต่อยนายต่างหาก”

เขาทำเสียงจิ๊กจั๊ก และผมก็รู้สึกอยากบีบคอจิ้งจก ตัวที่อาศัยอยู่ในช่องปากที่น่ารังเกียจนั่น

“อย่างเอ็งนี่ ข้ายินดีนอนให้กระทำตามที่ใจต้องการ”

“ดีแต่พูด เล่นกันตรงนี้เลยสิ อย่าคิดเอาน้าแหววมาเป็นโล่กำบังอยู่ข้างล่าง ต้องการอะไรก็ลุกขึ้นมา”

ผมท้าทายอย่างจริงจัง ผงาดขึ้นยืน

คนก่อเรื่องให้อารมณ์ขุ่นมัว สปริงตัวขึ้นราวกับเสือดาวทะยานตะครุบเหยื่อ เขาเดินวนรอบตัวผมอย่างเชื่องช้า มือสองข้างล้วงเข้าในกระเป๋ากางเกง พร้อมทั้งใช้สายตาสำรวจ ขึ้นและลง

แต่ที่เลวร้ายไปกว่านั้น เขาโน้มตัวเข้ามา ใกล้จนปลายจมูกของเราห่างกันไม่ถึงครึ่งคืบ ทว่าผมไม่เหมือนสมัยเด็ก ๆ ถึงยอมอ่อนข้อให้กับเขาอย่างง่าย ๆ

ตรงกันข้าม ผมจ้องตาเขาอย่างท้าทาย

ภายใต้นัยน์ตาสีน้ำตาลไหม้คู่นั้น นอกจากเปลวไฟสองดวงกระพือพะเยิบพะยาบสะท้อนเป็นเงาให้เห็นแล้ว ข้างในนั้นยังมีเหล่าอสูรตัวน้อยกระโดดหย็องแหย็ง กอดคอกันเต้นรำราวกับเป็นผู้กำชัย

นายอัดลมเคลื่อนใบหน้าออกด้านข้าง ใกล้ซอกหูของผม ลมหายใจร้อนผะผ่าวของเขาเป่าระบายที่จุดสยึมกึ๋ยอย่างจงใจ
ผมยืนแข็งทื่อ รูขุมขนนับล้านเส้นลุกชันแทบทั้งตัว

เสี้ยววินาทีแห่งการตอกย้ำ ริมฝีปากชั่วร้ายก็แตะลงข้างแก้มผมอย่างรวดเร็ว

“เชี่ย ! ทำเหี้ยอะไรของนาย”

ผมรู้สึกหน้าร้อนวูบ เหมือนเลือดทุกหยดแล่นมารวมตัวเป็นกระจุกอยู่ที่เดียวกัน ดูเหมือนว่าลมในท้องจะทำให้ร่างกายของผมขยายใหญ่ขึ้น ไม่กลัวแม้กระทั่งหน้าอินทร์หรือหน้าพรหม  กระโจนเข้าใส่อีกฝ่าย พร้อมทั้งปล่อยหมัด แต่ทว่าปะทะเพียงแค่ลม
 
เขาเอี้ยวใบหน้าเล็กน้อยก็หลบกำปั้นของผมได้อย่างว่องไว

ไอ้แชมป์ช่วยดึงสติของผมอยู่ด้านหลังด้วยการรั้งตัวเอาไว้ ขณะที่ไอ้เป๊บซี่ทิ้งเกมส์ในมือ หันจากผู้เล่นสนามเทียมมาเป็นกรรมการแท้ห้ามมวยแทน

“เฮ้ยมึง ! ใจเย็น ๆ ดิวะ พี่กูแค่แหย่เล่น”

จู่ ๆ บทเพลงซึ่งเคยร้องอย่างสนุกสนานเมื่อครั้งงานกีฬาสีก็ดังก้องขึ้นในหูว่า ‘แหย่รู ๆ ๆ...เอาไม้แหย่รู’

ผมฮึดฮัด ตวาดเสียงบ้าบอ ซึ่งไม่รู้กาลเทศะออกไปอย่างแรง

“กูไม่ใช่เมียงู… โว้ย !”

“…”

ราวเศษเสี้ยววินาที คำว่างุนงงทำให้เพื่อนของผมยืนสงบนิ่งกันชั่วขณะ ประหนึ่งว่าทุกคนกำลังไว้อาลัยแด่เมียงูตัวนั้น ซึ่งถูกไฟนัยน์ตาของผมแผดเผา

น่าแปลก คนที่ควรจะร้อนรน กลับไม่รู้สึกรู้สมอะไรเลย และดูเหมือนว่าเขากำลังพอใจที่เห็นผมโกรธ นายอัดลมตีหน้ายิ้มระรื่น มุมปากฉีกกว้างเกือบถึงใบหู        เผลอมองใบหน้าเจ้าเล่ห์ที่แต่งแต้มด้วยรอยยิ้มพราวแล้ว ก็รังแต่พลอยฟ้าพลอยฝนจะเดือดดาล คำถามที่เขาใช้ก็ยิ่งบาดอารมณ์

“พวกเอ็งเป็นผัว-เมียกันหรือ ?”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ไอ้มังกรซึ่งโอบแขนรั้งตัวผมอยู่ หน้าตาตื่นทันที โดยปกติมันเป็นคนตกใจง่ายและกลัวไปสารพัดสิ่ง คนขี้กลัวรีบออกตัว

“พี่อัด !...พวกผมไม่ใช่กะเทยนะ”

ผมตะเบ็งเสียง คำรามอย่างสุดกำลังว่า

“เออ...เรื่องของผัว-เมีย แล้วมันหนักส่วนไหนของนายวะ จะเอาไงก็ว่ามา”




หัวข้อ: Re: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 10 : 4-10-64
เริ่มหัวข้อโดย: Marakun ที่ 04-10-2021 20:05:55
  [ 10 ]
ร้ายกาจเกินกำลังต้าน

เขาไม่โต้ตอบ แต่ฮุมฮัมเนื้อเพลง
...
เอา ๆ ๆ ๆ เอาแน่
ฉันรักเธอจนเมาซมซานก็เพื่อต้องการเธอมาดูแล
ฉันรักเดียว ใจเดียวเพียงเธอ
ถ้าไม่ได้เจอโดนยิงลอยแพ
...

ไอ้แชมป์ช่วยดึงสติของผม โดยการแตะหัวไหล่

“ต้นน้ำ มึงกำลัง…โกรธ !”

คำเตือนของมันทำให้ผมรู้สึกตัว

บ่อยครั้งที่การกระทำเล็ก ๆ แต่สำหรับเราถือเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่เสมอ หลังจากดับความพลุ่งพล่านของผมแล้ว ไอ้แชมป์ก็หันหน้าเข้าหาอีกฝ่าย

“ลูกพี่! เลิกเล่นเถอะครับ กลับมาทั้งที ผมว่าหาเรื่องดี ๆ มาฉลองกันจะดีกว่า”

แค่ได้ยินคำว่า ‘ฉลอง’ เท่านั้นแหล่ะ เจ้าพ่อบันเทิงอย่างไอ้เป๊บซี่ก็รีบสนับสนุนความคิดนั้นทันที

“จริงด้วยพี่อัด...จังหวะเหมาะเลยครับ เหล้าโทของลุงสักกำลังหมักได้ที่ แกน่าจะแบ่งให้เราบ้างสักไห”

ว่าแล้วก็ผลักไอ้มังกรให้ตรงออกทางประตู โดยไม่ใส่ใจใบหน้าของมันซึ่งขาวซีดลงอย่างทันตา

“อ๊ะ อ๊ะ...ทำเป็นงง ไปเลย...ไปกับกูเลย ไปขอพ่อมึงด้วยกัน”

“จะดีเหรอวะ ถ้าพ่อรู้ว่ากูเอาเรื่องนี้มาบอกมึง กูโดนกระทืบตายแน่”

“ถ้าอย่างนั้น มึงคงต้องเลือกแล้วล่ะ...ระหว่างตีนพ่อมึงในวันข้างหน้ากับตีนกู ณ เวลานี้ ตีนใครจะทำให้มึงตายเร็วกว่ากัน”

เพียงเท่านั้นเอง นอกจากฝุ่นตลบแล้ว ผมก็มองไม่เห็นแผ่นหลังของทั้งคู่อีก

ว่าแต่ เพื่อน ๆ สงสัยกันบ้างไหมครับ ?
ทำไมไอ้แชมป์ถึงเรียกนายอัดลมว่า ‘ลูกพี่’

ก็...ตั้งแต่ เขาอุปโลกน์ตัวเองขึ้นเป็นอาจารย์นั่นแหล่ะ ราวกับว่าตนเป็นผู้เชี่ยวชาญการบรรเลงเพลงสายเสียนักหนา แล้วก็หลังจากที่เขายกกีตาร์ตัวหนึ่งให้มัน ซึ่งผมเดาว่าก็คงจะเป็นตัวที่เขาไม่ใช้งานแล้วนั่นแหล่ะ นับจากวันนั้น ไอ้แชมป์ก็ตกอยู่ภายใต้เสน่ห์ของเขา

รู้ทั้งรู้ว่า ระหว่างผมกับลูกพี่ของมันเหมือนกระดูกสองท่อนที่ไขว้กากบาทกัน แถมโปะซ้ำอีกชั้นด้วยหัวกะโหลกสีแดง

ไอ้แชมป์คอยตอกย้ำผมอยู่บ่อยครั้ง ว่านายอัดลมเป็นคนดีที่หาตัวจับยากคนหนึ่งบนโลกใบนี้

มิหนำซ้ำ มันยังบอกผมอีกว่า ให้มองคนของมันเสียใหม่ด้วยใจที่ปราศจาก...อคติ

ผมอยากจะอุทานคำว่า ‘อะไรนะ?’ เป็นภาษาอังกฤษ แล้วกลอกตามองบน พร้อมกับตะโกนว่า

โอวว มายย ก๊อดด !

น่าเจ็บใจอย่างที่สุด !

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ไอ้แชมป์ก็เป็นเพื่อนที่ผมไว้ใจ ยามใดที่ความหม่นหมองในตัวมันถูกหมางเมิน เมื่อนั้นผมก็จะเจอเพื่อนที่ฉลาดหลักแหลมและรู้ใจเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน อย่างเช่นเวลานี้

ผมเหลือบตามองไอ้แชมป์ซึ่งผลักดันนายอัดลมไปที่ประตู มันกำลังสับหลอกความสนใจของเขา จากอาการแปลกประหลาดอย่างหนึ่งซึ่งก่อตัวขึ้นภายในร่างกายผม

ขณะนั้น แม้สักเล็กน้อยผมก็ไม่กล้ากระดิก ร่างกาย ณ เวลานี้ประดุจว่ากำลังโดนแขวนขึง ตรึงอยู่ปากเหว ด้วยเส้นด้ายเล็กจิ๋วไม่กี่เส้นซึ่งจวนจะขาดอยู่รอมร่อ

ผมฝืนร่างกายอย่างสุดกำลัง พยายามอย่างเต็มที่ที่จะกลั้นลมเอาไว้ในช่องท้อง จนกระทั่งสั่นเทิ้มไปทั้งตัว จากหางตาปรากฏร่างสูงยาวของนายอัดลมถูกไอ้แชมป์กวาดต้อนไปที่ประตูราวกับนักโทษ

เขาถอยหลัง ก้าวหลุน ๆ พลางเหลียวมองผมไปพลางอย่างไม่วางตา

“พวกเอ็งสองคนดูมีพิรุธ กระไร ๆ อยู่”

ถึงแม้จะยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดี แต่ทว่านายอัดลมก็มิวายตั้งข้อสังเกตแบบนักเลงที่เฝ้าระวังภัย

ทันทีทันใด เมื่อเขาพ้นประตู ลับไป

ธาตุลมในตัวผมก็ระเบิดตัว ราวกับว่าวันนี้คือวันนรกแตก !

หลังจากระบายลมในช่องท้องหมดแล้ว ผมก็ถอนหายใจครั้งใหญ่ ด้วยความโล่งอก

เป็นความโชคร้ายของผมเอง ทุกครั้งที่โกรธ ธาตุไฟในตัวมักจะแตกซ่าน แล้วกลายสภาพเป็นก้อนลม ปริมาณมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับขีดความรุนแรง

ไอ้แชมป์เคยช่วยผมรับมือกับเรื่องนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง จากความ ดื้อรั้นของไอ้เผือก สุดท้ายความพยศของมันก็ถูกกำราบลงด้วยเกลือเค็ม ๆ แค่ก้อนเดียว

ผมนึกไม่ออกเลยว่า  ถ้านายอัดลมรู้เรื่องนี้เข้า สภาพของผมจะเป็นอย่างไร อาจต้องซ่อนความโอ้ปป้าเอาไว้ภายใต้หน้ากากฮีโร่ตัวใดตัวหนึ่ง หรือปกปิดให้มิดด้วยปี๊บสิบชั้นเลยก็เป็นได้

โชคดีที่มีไอ้แชมป์ ความลับสุดยอดจึงไม่เคยแพร่งพรายให้ใครรู้

ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า นายอัดลมเป็นตัวอันตรายซึ่งยากเกินจะรับมือ รอยยิ้มชั่วร้ายกับใบหน้าเจ้าเล่ห์ของเขาสามารถกระตุ้นความโกรธของผมได้อย่างง่ายดาย

จากนี้ ผมต้องระมัดระวังให้มาก หากเป็นไปได้ก็จะอยู่ให้ห่างจากหมอนั่น    อาจต้องใช้เวลาสักระยะในการหาวิธีกำราบรูปแบบที่ร้ายกาจเช่นเขา

เมื่อใดก็ตามที่นายอัดลมตกเป็นลูกไก่อยู่ในกำมือ

เมื่อนั้น ผมจะยัดเยียดขุมนรกให้กับเขา

จะไม่ใส่ใจในเสียงเว้าวอนของเขาเลย แม้แต่นิดเดียว



 :fire: :angry2: :angry2:
หัวข้อ: Re: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 10 : 4-10-64
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 05-10-2021 08:47:58
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 11 : 7-10-64
เริ่มหัวข้อโดย: Marakun ที่ 07-10-2021 19:44:55
[ 11 ]
เผลอ

ในภายหลัง ไอ้แชมป์บอกกับผมอย่างมาดมั่นว่า เรื่องบาดหมางระหว่างผมกับนายอัดลมสามารถลบล้างได้ แค่เราทั้งคู่ดวดเหล้าด้วยกันหนึ่งครั้ง

ผมปฏิเสธ เพราะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้และยืนยันที่จะกลับบ้าน เนื่องจากไม่ได้บอกแม่เอาไว้ว่าจะมาค้างที่นี่ด้วย

ไอ้แชมป์ไม่ละความพยายาม มันสัญญา ถ้าหากคืนนี้ผมอยู่ร่วมวงฉลองด้วย พรุ่งนี้เช้ามันจะกลับบ้านพร้อมผม ขณะเดียวกัน น้าแหววก็เว้าวอน ขอให้ผมอยู่ทานข้าวด้วยกันก่อน

นายอัดลมขันอาสา หลังจากทานข้าวเสร็จ เขาจะเป็นคนพาผมไปส่งเอง

ผมปฏิเสธสิ่งที่เขาแสร้งทำด้วยการบอกน้าแหววว่าผมขอค้างคืนที่นี่  น้าแหววยิ้มรับเต็มหน้า จากนั้นก็สั่งเด็กคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกของแม่บ้านให้ไปบอกคนงานที่แพ ให้ช่วยเอาปลามาส่งที่บ้านด้วย

ทันใดนั้น ไอ้มังกรก็นึกสนุก เสนอไอเดียแข่งเกมส์ตกปลาภายในเวลาที่กำหนด ถ้าใครได้ปลาตัวใหญ่ที่สุด คนนั้นเป็นผู้ชนะ ซึ่งทุกคนก็กระเหี้ยนกระหือรือจะเล่นด้วย


ขณะเดินเรียงแถวออกจากบ้านหลังขาว ในมือของแต่ละคนก็หิ้วอุปกรณ์กันคนละอย่าง

ผมถือกระแป๋งน้ำ เดินอยู่หลังสุด ถัดจากไอ้แชมป์ แต่ถึงกระนั้นก็ได้ยินคำสนทนาจากคนด้านหน้าทุกถ้อยคำ
ไอ้เป๊บซี่ถามพี่ชายของมัน ว่า

“พี่อัดยอมทำตามความต้องการของแม่แล้วใช่ไหมพี่ ?”

“เอ็งหมายความถึงเรื่องใด ?”

“ฉันหมายถึง การแต่งงานกับพี่มะปราง” ไอ้เป๊บซี่ตอบ

“น้องชายข้า ! พี่ชายของเอ็งเป็นคนทำตามหัวใจตัวเองเท่านั้น จำคำของพี่เอาไว้เสียจะดี หากไม่ใช่เพราะความปรารถนาแล้ว ข้าจักไม่กระทำตามผู้ใดทั้งนั้น ”

ถ้าไม่คิดเอาเอง ผมรู้สึกว่าเสียงของนายอัดลมดังกว่าปกติ ขณะที่เขาเอี้ยวคอหันมา

“พี่มะปรางกับอีเปรี้ยวเป็นเพื่อนกันก็จริง แต่นิสัยก็ต่างกันมากอยู่” ไอ้เป๊บซี่กล่าวลอย ๆ อาจเป็นเพราะคำตอบที่มันได้รับยังไม่ชัดเจนพอ

พี่มะปรางเป็นครูสอนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนของผมใกล้จะครบปีแล้ว อายุใกล้เคียงกันกับนายอัดลม หน้าตาน่ารัก กิริยาแช่มช้อย และมีผิวสีน้ำผึ้งแบบสาวไทยแท้ ๆ

ขณะที่ ผมนึกถึงลูกสาวคนเดียวของลุงหมาย ไอ้มังกรก็ตั้งคำถามเกี่ยวพันถึงผู้หญิงอีกคนหนึ่ง คนที่ไอ้เป๊บซี่เรียกจิกสรรพนามนำหน้าอย่างชิงชัง

“เปรี้ยว...คนที่เขาพูดกันว่า พี่อัดฉุดมาทำเมียน่ะเหรอ ?”

 “มึงก็พลอยเป็นไปเหมือนกับคนอื่นด้วย หลงเชื่อคำโกหกของอีเปรี้ยว“

ไอ้เป๊บซี่เป็นเดือดเป็นร้อนทันทีทันใด มันต่อว่าไอ้มังกร พร้อมทั้งทิ้งหางตามาทางผม ท้ายประโยคคำว่าคนอื่น

ทุกครั้งที่มีคนกล่าวหาพี่ชายสุดที่รัก ไอ้เป๊บซี่มักทำตัวเป็นเมืองหน้าด่านสาดกระสุนน้ำลายโต้กลับเสมอ ผมตระหนักดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะครั้งหนึ่ง เราสองคนโต้เถียงกันรุนแรงเกี่ยวกับเหตุการณ์หนึ่งในอดีต ที่นายอัดลมเคยกระทำต่อผม


ตอนอายุหกขวบ วัยกำลังซน ผมปีนขึ้นควายรุ่นตัวหนึ่ง ซึ่งมันไม่เคยถูกฝึกมาก่อนจึงยังไม่เชื่องพอ ไอ้ทุยตัวนั้นดีดรุนแรงจนกระทั่งผมเจ็บหนัก และกลัวการขี่ควายแบบฝังใจ

พอนายอัดลมรู้ว่าผมกลัวอะไร เขาก็จับผมโยนขึ้นหลังควายแก่ตัวหนึ่ง โดยไม่สนใจเสียงกรีดร้องกับน้ำหูน้ำตาของผมที่หลั่งออกมาราวตุ่มแตก

ในวันนั้น ไอ้เป๊บซี่โต้แย้ง ว่า

“ทุกวันนี้ที่มึงกล้าขี่ควายได้ ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะฝีมือของพี่ชายกูล้วน ๆ หรอกเรอะ ?”

มันย้ำว่า พี่ของมันทำตามตำราลูกผู้ชาย

‘อะไรก็ตามที่เราขลาดกลัว ยิ่งต้องเข้าหา แล้วฝึกจิตให้ฉลาดอยู่เหนือความกลัว เมื่อนั้น ความขลาดกลัวจะสูญสิ้นจากเราเอง’

แต่มันไม่ได้บอกด้วยว่า เจ้าของตำราทิพย์เล่มนั้นก็คือพี่ชายของมัน นั่นเอง

“ใช่ กูเลิกกลัวควาย”

ผมยอมรับกับมันอย่างลูกผู้ชายเช่นกัน โดยไม่จำเป็นต้องอ้างตำราใด ๆ  แถมทิ้งท้ายด้วยว่าผมเกลียดและไม่อยากเห็นหน้านายอัดลมพอ ๆ กันกับไม่อยากเห็นผี

ตราบจนทุกวันนี้ ไอ้เป๊บซี่ก็ยังอุทิศตนเป็นองครักษ์พิทักษ์พี่ชายด้วยความรักและภักดีไม่เคยเปลี่ยนแปลง

“พี่กูไม่ได้ฉุดโว้ย กูเป็นพยานได้ อีเปรี้ยวมานอนค้างเอง ตอนที่พ่อของมันมาตาม มันกลัวลุงเสือจะฆ่าตาย ก็เลยกุเรื่องขึ้นมาโกหกทุกคน”

ไอ้เป๊บซี่ยืนกรานด้วยคำพูดเดิม ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริง วันนั้น มันกับน้าแหววเข้าเมืองหลวง และยังไม่กลับจากเยี่ยมญาติทางพ่อด้วยซ้ำ

“เลิกพูดได้แล้วน่า เอ็งไม่เหนื่อยบ้างหรือไรกับการแก้ไขความคิดของใครต่อใครเขา คนเขาจะว่ากระไรก็ปล่อยเขาพูดไปเถอะ เราเป็นผู้ชายจะกลัวอันใดกับถ้อยคำติฉินนินทาเล็ก ๆ น้อย ๆ เพียงแค่นี้”

นายอัดลมตำหนิแกมสอนสั่ง ผมมองไม่เห็นสีหน้าของเขา เนื่องจากเดินอยู่ด้านหลัง

ระหว่างนั้นเอง ความคิดของผมก็ตีกันวุ่นอยู่ข้างใน

ถ้าเป็นเรื่องเท็จ แล้วทำไมเขาถึงยอมจ่ายค่าสินไหมง่าย ๆ ตามที่คู่กรณีเรียกร้องล่ะ ?

เสี้ยวเวลานาทีหนึ่งซึ่งผมนึกถึงพี่ต้นกล้า ถ้าหากพี่ชายของผมยังมีชีวิตอยู่ เขาคงช่วยยืนยันความจริงในเรื่องนี้ได้ เพราะเหตุการณ์ในวันนั้นพี่ต้นกล้าอยู่ที่นั่นด้วย และเป็นพยานบุคคลแค่คนเดียว
 

และแล้ว พวกเราก็มาถึงกระชังปลาของน้าแหวว ซึ่งลอยเคว้งอยู่ริมคลอง ช่วงเวลาย่ำค่ำ แม่น้ำยมกับแม่น้ำน่านหนุนขึ้นพร้อม ๆ กัน เลยทำให้น้ำในคลองเอ่อท้นเปี่ยมตลิ่ง

ผักปอดกอเล็ก กอใหญ่ ทยอยลอยมา

คนงานเฝ้ากระชังคนหนึ่งเดินเข้ามาหาพวกเรา นายอัดลมอธิบายบางอย่างกับเขา สักพักคนงานคนนั้นก็กลับที่พักของเขาไป

ไอ้มังกรแจ้งกฎเกณฑ์ว่า ผู้เล่นต้องจับปลาด้วยคันเบ็ดพร้อมทั้งต่อสู้กับความหนาวในเวลาครึ่งหนึ่งของชั่วโมง และคัดเอาปลาตัวที่ใหญ่ที่สุดที่แต่ละคนจับได้มาประชันกันในภายหลัง

ผมปฏิเสธที่จะเล่นเกมส์นี้ เนื่องจากเป็นคนแพ้อากาศหนาว มันจึงให้ผมเป็นคนคุมเกมส์ อึดใจต่อมา แต่ละคนก็เหลือเพียงกางเกงในตัวเดียวกับคันเบ็ดในมือคนละคัน

“อยากมีหุ่นเท่ห์ ๆ แบบลูกพี่บ้างจัง”

ไอ้แชมป์เปรยอย่างชื่นชม พลางมองดูแขนขาตัวเอง

ผมเผลอสติ จึงมองตามที่มันชักพา และต้องยอมรับตามตรงว่า นายอัดลมเป็นคนรูปร่างดีคนหนึ่ง แบบนักกีฬาชั่วโมงฝึกมาก ถึงแม้เรือนร่างของเขาจะสูงเพรียว แต่มัดกล้ามทุกมัดแน่นขนัด ผิวคล้ำแลดูดำลงกว่าเดิมเล็กน้อยเพราะกรำแดด  แต่ก็เนียนละเอียด

มีขนสีดำบาง ๆ กลุ่มหนึ่งตรงช่วงอก และลามเลื้อยละเอียดลงเป็นอุยอยู่แถวสะดือ ก่อนจะหายเข้าไปใต้กางเกงในสีหม่นที่พยุงอาวุธประจำกายเอาไว้ กางเกงในเนื้อบางของเขาตุงย้วยลงด้านล่างตามน้ำหนักของแรงโน้มถ่วง

ท่าทาง...เจ้าตอร์ปิโดคงจะหนักเอาการ

ผมคิดเล่น ๆ อย่างขำ ๆ

ทันใดนั้นเอง สายตาดั่งคบเพลิงของนายอัดลมก็เหลียวฉับ มองมาทางผม

แค่เศษเสี้ยววินาทีเท่านั้น ที่สายตาของเราปะทะกัน

ผมหลบลูกกะตาอย่างปุบปับ หันไปมองที่อื่นทันควัน

...นกกระจาบทอง สีเหลืองอ่อนคู่หนึ่ง มีรังรักโอบคู่นอนก่อนค่ำแล้วที่กอปรือ เยื้องห่างออกไปเล็กน้อย ข้าง ๆ กันนั้น กลางวงล้อมใต้เงาอึมครึม ต้นลำพูใบครึ้มปรากฏแสงหิ่งห้อย กระพริบปริบปรับให้เห็น...



เวลาผ่านไป...
นานแค่ไหนผมก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าหัวใจตัวเองยังคงเต้นผิดจังหวะอยู่

พอดึงสายตากลับมาตำแหน่งเดิมอีกครั้ง ก็พบว่าดวงตาคู่นั้นยังคงจ้องอยู่ และร้ายไปกว่านั้นเขากำลังยิ้ม


เชี่ย...!



หัวข้อ: Re: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 11 : 7-10-64
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 08-10-2021 08:17:23
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 11 : 7-10-64
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 11-10-2021 13:43:45
พี่ต้นกล้า เป็นเพื่อน หรือแฟน กับนายอัดลม หว่า
หัวข้อ: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 12 : 16-10-64
เริ่มหัวข้อโดย: Marakun ที่ 16-10-2021 21:20:52
[ 12 ]
Game Master กับ Player จอมอึด


ไอ้มังกรบอกว่า ในครึ่งชั่วโมงนี้ นอกจากควบคุมเวลาให้แม่นยำแล้ว ผมซึ่งบัดนี้ถูกเรียกว่าเกมมาสเตอร์ต้องตักน้ำเต็มถังสาดไปยังผู้เล่นแต่ละคนทุก ๆ ห้านาที

ผมยอมรับโดยไม่ต้องกังขาว่า ถูกใจเกมส์ตกปลาของไอ้มังกรอย่างที่สุดของที่สุด

ขณะที่ไอ้เป๊บซี่ร้องโอดโอย แค่ถอดผ้ามันก็ว่าหนาวเกินพอแล้ว แต่ถึงกระนั้นในตอนท้ายมันก็ลงเล่นเกมส์ เนื่องจากไอ้มังกรเพิ่มเหล้าของลุงสักอีกห้าไหเป็นรางวัลล่อตาล่อใจ

นายอัดลมขอเป็นคนแรกที่จะโดนผมสาดน้ำ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเขาต้องการอวดเบ่งหรือว่าอย่างไร ขณะที่พรรคพวกของผมเลือกที่จะจับไม้สั้นไม้ยาวเพื่อจัดลำดับคิวกัน

ในขณะผมนั่งฆ่าเวลา รอสามคนนั้นอยู่ข้างบ่อด้วยการโกยถังพลาสติกขึ้นแล้วเทน้ำลงอย่างครึ้มใจ หมอนั่นก็เดินตามมา จากนั้นก็หย่อนสะโพกลงข้างตัวผม ฝ่ามือของเขาสัมผัสระกับผิวน้ำ ขณะสายตาจับอยู่ที่ใบหน้าผม ส่วนริมฝีปากก็เปรยว่า

“เย็นเอาเรื่อง”

ผมขยับตัวหนี ลุกไปนั่งอีกที่หนึ่ง เขาก็ลุกตาม แต่ทว่าเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม เนื่องจากท่อนขาของเขาแนบชิดติดกับท่อนขาของผมจนเนื้อของเราแทบจะเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน

ถ้าผมขยับอีกครั้ง มีหวังในรอบนี้ หมอนี่ต้องคร่อมตักผมแน่...

“ตรงนี้ก็เย็นพอ ๆ กับตรงนั้น”

ผมเริ่มควบคุมสติ
 
ขณะสูดลมเข้าปอด  ภาพควายในมโนก็ออกมาโลดแล่นพร้อมกับถูกนับจำนวนอยู่ข้างใน   พยายามสร้างจินตนาการว่า ควายฝูงนั้นเรียงหน้ากันเข้ามาเพื่อสัมผัสกับน้ำเย็น ๆ ซึ่งผมโกยขึ้นจากบ่อด้วยฝ่ามือ แล้วลูบไล้ตัวมัน

“สนุกมากรึไง ?” นายอัดลมถาม

เมื่อเห็นผมไม่ตอบ เขาก็เริ่มพูดจาแปลก ๆ

“ท่าทางเอ็งคงกำลังขาดน้ำ ตรงข้ามกับตัวข้าเสมือนว่าในตอนนี้น้ำในตัวมีมากจนแทบจะระเบิด บางที
เขื่อนที่กักเก็บเอาไว้อาจพังทลายได้ง่าย ๆ แค่ใครสักคนพูดคำว่า...อิคึ อิคึ”

“ฉันรู้สึกสนุกที่จะได้เห็นใครบางคนถูกทรมานต่างหาก”

ผมโต้ตอบ พลางซัดน้ำก้นถังใส่เขา

นายอัดลมส่งเสียงซี๊ดซ๊าด นัยน์ตาของเขาเป็นประกายระยิบระยับเหมือนตาพระเอกของป้าเอิบ ขณะเข้าพระเข้านางในละครไม่มีผิด ป้าเอิบบอกว่าตาของพระเอกคนนั้นยิ้มได้...


หลังจากจับไม้สั้นไม้ยาวเสร็จ ไอ้มังกรซึ่งได้คิวท้ายสุดก็ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณว่าเกมส์ของมันกำลังเริ่มต้น

“ไอ้น้ำ...มึงต้องสาดน้ำให้เต็มถังนะเว้ย แล้วก็วนให้ครบทุกคน” มันออกคำสั่ง

อย่างทันทีทันใด ผมซึ่งตั้งท่ารออยู่แล้วก็ประเคนน้ำใส่นายอัดลมเป็นคนแรก  หากตักน้ำให้ล้นถังได้ผมคงจะทำ

รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่เขาไม่แสดงอาการใด ๆ ให้เห็น นอกจากรอยยิ้มที่ฉีกจนกว้างเหมือนเช่นเคย

เมื่อถึงคิวของไอ้แชมป์กับไอ้เป๊บซี่ ทั้งคู่ออกอาการสะดุ้งจนตัวยืด ขณะที่ไอ้มังกรกระโดดเหยง ๆ ราวกับกุ้งดีดหนีน้ำร้อน

ในเวลาต่อมา ทุกคนก็จดจ่อสมาธิอย่างแน่วแน่กับปลาซึ่งเริ่มตอดเบ็ดทันทีที่พวกเขาทิ้งเหยื่อลงไป แม้ว่าร่างกายของใครบางคนจะมีอาการหนาวสั่นปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนก็ตามที

ผ่านไปทั้งหมดสามรอบ...

ไอ้มังกรก็ตะโกนขึ้นก่อนใครว่า มันพอใจในขนาดของตัวปลาที่จับได้แล้ว

พอรอบที่สี่...

ไอ้แชมป์กับไอ้เป๊บซี่ก็พูดในลักษณะเดียวกันบ้าง ทั้งสามคนรีบสวมเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว

“หนาวว่ะ... กูกลับก่อนนะ”

ไอ้แชมป์ยอมรับกับผม เสียงของมันขาดเป็นห้วง ๆ เนื่องจากขากรรไกรแข็งค้าง หลังจากพูดเสร็จก็หิ้วถังปลา วิ่งตามสองคนนั้นไปซึ่งไม่ร่ำไม่ลาอย่างรวดเร็ว

“เฮ้ย ! พวกมึง... “ ผมร้องตาม

อึดใจต่อมา หลังจากเหลือบมองเวลาครั้งแล้วครั้งเล่า ในใจของผมก็เริ่มคิดว่าจะทำอย่างไรให้นายอัดลมเลิกเกมส์นี้เร็วขึ้น

“ถ้าการจับเวลา มันน่าเบื่อนัก...ก็มาตกปลาด้วยกันสิ” เขาชวนคุย เหมือนอยากทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัด
ผมรีบฮุบโอกาสซึ่งเขาเปิดช่องให้อย่างทันทีทันใด

“แค่นายเก็บคันเบ็ดแล้วกลับขึ้นบ้าน ชั้นก็หายเบื่อแล้วล่ะ”

“ในฐานะที่เอ็งเป็นเกมมาสเตอร์ ไม่มีผู้เล่นแม้สักคนทนเล่นเกมส์ของเอ็งจนกระทั่งครบเวลา เอ็งยังคิดจะยอมให้มันจบง่ายดายกระนั้นหรือ”

“แค่นายมองข้ามเงื่อนไขของเวลา เกมส์นี้ก็ถือเป็นอันจบน่า”

ผมกล่าวอย่างใจเย็น ถึงแม้ข้างในจะโต้แย้งเขาว่า

มันใช่เกมส์ของฉันที่ไหนกันเล่า…!

“เอ็งกำลังจะบอกให้ข้าทำเรื่องทุจริต คอรัปชั่นอยู่” เขาว่า

“บ้าน่า...นายกำลังทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ต่างหากเล่า มันก็แค่เกมส์โง่ ๆ เกมส์หนึ่ง จะเอาดินที่ตัวตุ่นขุดมาปั้นให้เป็นภูเขาทำไม ?...นายเองก็จับปลาตัวใหญ่ได้ตั้งหลายตัว ชั้นรับรองว่านายชนะใส ๆ อีกอย่างนายก็รู้ว่าตอนนี้ทุกคนกลับบ้านกันหมดแล้ว”

“เอ็งคนเดียวกระมังที่เข้าใจเยี่ยงนั้น ใช่ว่ากลับทุกคนเสียเมื่อไหร่”

สรุปแล้ว เขาไม่ใส่ใจในสิ่งที่ผมพล่ามเลยแม้แต่น้อย

“ก็ได้ ๆ ตกลง... เอาเป็นว่า ชั้นจะพูดให้ถูกต้องและเข้าใจง่ายอีกนิด ชั้นเบื่อที่จะต้อง...มานั่งเฝ้านาย !”

“ข้าว่า เอ็งเลิกเพ่งนาฬิกาเถอะ” เขาสรุปทันทีทันใด พร้อมกับชักคันเบ็ดขึ้นมา

ปลาตัวใหญ่ตัวหนึ่งดิ้นโง่ ๆ อยู่กลางอากาศ

นายอัดลมปลดมันออกจากตะขอ โยนลงถัง แล้วติดเหยื่อชิ้นใหม่เข้าไปอีกครั้ง
 
ปลาพวกนั้นดิ้นกันขลุกขลักอยู่ในพื้นที่แออัด ซึ่งต่างจากผมที่เดินอึดอัดอยู่บนพื้นที่กว้าง

นายอัดลมเอ่ย ขณะยืนหันหลังให้ผมว่า

“ถ้าเอ็งอยากแก้เบื่อด้วยการตีหนอน แล้วกระฉูดน้ำเล่นจนกระทั่งครบเวลา ข้าก็ไม่ว่ากระไรดอก”

ผมรู้ดีว่าเขาจงใจพูดยั่วโทสะ จึงย้อนแค่เบาะ ๆ ว่า

“หนังหน้าของนายคงหลอมด้วยเหล็กล้า ถึงพูดเรื่องพรรค์นี้ได้อย่างไม่รู้สึกอายปาก”

เขาหัวเราะหึ หึ

“เอาอย่างนี้ ข้าจะช่วยสงเคราะห์และแก้อาการเบื่อให้เอ็ง ด้วยโชว์ที่แสนเย้ายวน”

พูดเสร็จ เขาก็หมุนสะโพกควงเป็นวงกลม พร้อมกับเดินไปด้านหน้าสลับมาด้านหลังเหมือนนกกระเด้าลมเดิน

ผมยอมรับว่ารู้สึกประหลาดใจที่เห็นหมอนั่นในท่วงท่าตลกอย่างคนเสียสติแบบนั้น แต่ถึงกระนั้น ผมก็พูดบางอย่างซึ่งทำให้เขาหยุดการกระทำในสิ่งที่กระตุ้นน้ำย่อยจากลำไส้อย่างเลวร้ายลง

“การแสดงเหมือนคนปวดท้องขี้ ฉันว่านายรีบขึ้นบ้าน แล้วไปเข้าห้องน้ำไม่ดีกว่าเรอะ”

อึดใจต่อมา เขาก็วางคันเบ็ดลง แล้วสปริงข้อเท้าดีดตัวขึ้นกลางอากาศ ม้วนหลังตีลังกา ก่อนจะลงเท้ายืนกับพื้นอย่างสง่างาม

ถ้าเป็นการกระทำของคนอื่น ผมคงกล่าวคำชื่นชมจากใจจริง แต่ความมาดมั่นของฝ่ายนั้นทำให้ผมเบะปาก

“ถามหน่อยเถอะ นายคิดว่าโชว์ของนายต่างจากสมัยเด็ก ๆ ตอนที่พวกเราเล่นน้ำแล้วใช่ไหม ? ชั้นว่า...เจ้าจ๋อซึ่งตัวเล็กกว่านายเกือบร้อยเท่าก็ทำแบบเดียวกันนี้ได้”

ชั่วครู่หนึ่ง  เขาทำท่าลังเล เหมือนกำลังชั่งใจกับอะไรบางอย่าง

ผมรู้สึกว่า ตัวเองชักจะถือไพ่เอาไว้ในมือ จึงยกมุมปากขึ้นข้างหนึ่งอย่างนึกลำพอง

รวดเร็วดั่งสายฟ้าฟาด นายอัดลมถอดกางเกงชั้นในของเขาลงสู่ปลายเท้า ก่อนจะเตะมันทิ้งด้วยขาข้างหนึ่ง

สาบานได้ว่า ผมดึงสายตาหนีไม่ทันความว่องไวของเขาอย่างแท้จริง อีกทั้งตกใจ ระคนไม่คาดฝัน

พับผ่าสิ !

ผมตะโกนขึ้นว่า

“ทำบ้าอะไรของนาย ไม่รู้จักอายคนบ้างหรือไง ?”

ถึงแม้ท้องฟ้าจะมืดมนแกมทะมึน แต่แสงไฟจากหลอดนีออนซึ่งติดอยู่โดยรอบก็สว่างเจิดจ้า สามารถเห็นอะไรต่อมิอะไรได้อย่างชัดเจน

ลูกกะตาแจ่มแจ้งเจ้ากรรมดันสั่งการสมองอย่างฉับพลัน จดจำทั้งรูปลักษณ์และรูปทรงอลังการ ซึ่งดูเหมือนว่ามันไม่สะทกสะท้านต่อสภาพอากาศเลยแม้แต่น้อย

เหนือแพไหมดกดำ หลุมสะดือลึกบุ๋มลง ท่ามกลางขนอุยลู่น้ำ :hao6:

เขาก้มมองต่ำ ถามผมด้วยน้ำเสียงติดไปทางภาคภูมิ

“เอ็งคิดว่า ข้าควรจะอายกระนั้นรึ ?”

ผมกระชากสายตาขึ้น จากความมโหฬารผ่านหน้าท้องแบนราบกับซิกแพคลาง ๆ จากหน้าอกแน่นเนื้อขึ้นสู่ใบหน้าคมเข้ม

นายอัดลมกล่าวต่อ พร้อมทั้งหัวเราะเบา ๆ ว่า

“ดูเอ็งทำหน้าเหมือนปลาบู่ตกใจ...อย่างกับว่าเมื่อก่อนไม่เคยจับมันกระนั้นแหล่ะ ทั้ง ๆ ที่สมัยเด็ก ๆ ...”

“เลิกเพ้อเจ้อได้แล้ว ชั้นอับอายแทนขนาดของนายต่างหาก”

ผมรีบตัดบท ก่อนที่เขาจะพล่ามต่อในเรื่องบ้า ๆ อย่างเพ้อเจ้อ

ทันทีทันใดนั้น ตาของเขาก็ลุกวาว รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ฉายฉาบโดยรอบมุมปาก

“ถ้าเช่นนั้น เอ็งคงไม่อายกระมังที่จะสำแดงให้ข้าได้เห็น ถือว่าเป็นบุญตาของข้าสักครั้ง”

“ฝันไปเถอะ ! “ ผมปฏิเสธ

“ชั้นไม่ใช่พวกจำอวด เอะอะ ๆ ถอด เหมือนอย่างนายหรอก”

ปี๊บ ! ปี๊บ !
ทันใดนั้นเอง สัญญาณบอกเวลารอบที่ห้าก็ดังขึ้น

ผมตักน้ำจนเต็มถัง แล้วสาดโครมไปที่เขาประหนึ่งว่ามันจะช่วยระบายความอัดอั้นลงได้
สาดแล้ว สาดอีก แล้วก็...สาดอีก

ขณะเดียวกัน ผมก็ตัดสินใจแล้วว่า ผมต้องเป็นคนถอดปลั๊กของเกมส์นี้ เวลาของเกมส์สิ้นสุดแล้ว


 :m16: :m16: :m16:
หัวข้อ: Re: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 12 : 16-10-64
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 16-10-2021 23:28:27
นายอัดลม รักน้องน้ำฝังจิตฝังใจ
หัวข้อ: Re: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 13 : 22-10-64
เริ่มหัวข้อโดย: Marakun ที่ 22-10-2021 20:43:49
[13]
 ช้างป่าหรือว่ายีราฟ ?

ขณะเฉียดถังปลา ความระรานแล่นจากสมองลงสู่ปลายเท้า

ผมเดินสะดุด มันล้มคว่ำ กลิ้งหลุน ๆ

นายอัดลมตะกายถังของเขา มองตามปลาตัวโตซึ่งสะบัดหางแห่งเสรีภาพครั้งใหญ่ใต้ผิวน้ำ ก่อนที่พวกมันจะดำดิ่งลึกลงก้นบ่อ

“เอ็งนี่ !...”

เขาคำรามได้เพียงแค่นั้น ส่วนที่เหลือ...คือบทละครซึ่งผมจัดเต็ม

“เอ็ง ๆ ข้า ๆ”

เริ่มต้นความสนุกจากการเล่นคำสรรพนามของเขา ต่อจากนั้นผมก็งัดเอาทักษะการแสดงจากชมรมศิลปะการละครออกมา

“ต้นน้ำ...เจ้าทำอะไรลงไปล่ะเนี่ย”

“ข้า...ข้าเสียใจ...ข้าไม่มีเจตนาเลยจริง ๆ”

“ท่านนักบุญผู้มีใจเมตตาของเหล่าข้า...พวกข้า...ปลาตัวน้อยซาบซึ้งใจยิ่งนักที่ท่านให้กำเนิดชะตาชีวิตครั้งใหม่ หัวใจของท่านเปี่ยมล้นด้วยเมตตา บุญคุณครั้งนี้ยิ่งใหญ่นัก พวกข้าจักไม่มีวันลืมเลย...ท่านนักบุญผู้มีใจเมตตาของข้า”

เพราะความเงียบของอีกฝ่าย ผมจึงเหล่ตาข้างหนึ่งขึ้นมอง

นายอัดลมกำลังเพ่งมองมาทางผม  ไม่ปรากฏให้เห็นว่านัยน์ตาของเขามีอาการขุ่นเคืองแต่อย่างใด ในนั้นมีแววประหลาดบางอย่างซึ่งผมก็อธิบายไม่ถูก

ผมหมุนตัว และซ่อนยิ้มขำ ก่อนจะก้าวขาออกจากตรงนั้น

ทันใดนั้นเอง เขาก็ตะโกนขึ้นว่า

“ในเมื่อพวกเจ้าเป็นปลาตัวน้อย เหตุใดจึงมาอยู่บนบกเล่า ความจริงที่ถูกต้อง พวกเจ้าควรจะอยู่ในน้ำต่างหาก”

วินาทีต่อมา แผ่นหลังของผมก็สัมผัสถึงแรงกระชากวูบหนึ่ง อึดใจต่อจากนั้นทั้งผมและเขาก็หล่นตูมลงน้ำพร้อม ๆ กัน



ผมรู้สึกว่า...ระยะทางจากแพปลาถึงบ้านหลังขาวไกลมาก เหมือนโลกไปดาวอังคาร ไกลชนิดไม่มีที่สิ้นสุด

ที่บริเวณลานบ้าน เพื่อน ๆ ของผมกำลังช่วยกันก่อไฟพร้อมกับกางเต้นท์หลังหนึ่ง ขณะที่น้าแหววกับเด็กรับใช้คนหนึ่งกางเสื่อปูพื้นในพื้นที่ติดกัน

“ตายแล้ว !…” น้าแหววอุทานอย่างตกใจเมื่อแลเห็นผม จากนั้นปรี่เข้ามาโอบร่างผมซึ่งหนาวสั่นจนขากรรไกรกระทบกันระรัวเข้าสู่ตัวบ้านอย่างรวดเร็ว

“ทำไมถึงเปียกทั้งตัวแบบนี้ล่ะ ?” น้าแหววขมวดคิ้วถาม

จังหวะไล่เลี่ยกันนั้นเอง นายอัดลมก็ตามเข้ามาถึงด้านใน

ในบทละคร คนที่เป็นตัวร้ายต่อให้ยืนหายใจเฉย ๆ คนก็รู้ว่าเขาเล่นบทร้าย อย่างไรก็ตามผมช่วยบอกใบ้ผู้แสดงบทร้ายให้คนดูเข้าใจง่ายอีกนิด โดยการชูนิ้วกลางข้างหนึ่งใส่เขา
 
น้าแหววหันไปดุนายอัดลม เป็นจริงเป็นจังประดุจนักแสดงที่เข้าถึงบทบาทแม่เสือสาวกำลังหวงลูกอ่อน

“ทำไมถึงชอบแกล้งน้องนักนะ คอยดูเถิด !...ถ้าครั้งนี้น้องเกิดเป็นอะไรขึ้นมาอีกละก็ แม่จะจัดการเจ้า ไม่ต้องรอให้ถึงมือป้าจันทร์ดอก”

เขานิ่งเงียบ อึดใจต่อมา ตัวร้ายไร้บทพูดก็เดินเข้าห้องของเขาไป

น้าแหววสั่งผมให้รออยู่ตรงนั้น ก่อนจะกระวีกระวาดไปหาเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยน ผมพยายามอย่างเต็มที่เพื่อควบคุมร่างกายไม่ให้มันสั่น

หายไปแค่ชั่วอึดใจ น้าแหววก็หอบเสื้อกับกางเกงปรี่เข้ามา
แต่ ทันใดนั้น...
ผ้านวมผืนหนึ่งก็โยนตัดหน้าออกมาจากมุมใดมุมหนึ่ง

ในชั่วโมงหนาวเหน็บสิ้นความทระนง ผมคว้าผ้าผืนนั้น แผ่ออกเต็มความยาวของมัน ก่อนจะโอบกระชับไออุ่นเข้าหาตัว กลิ่นกายของความเป็นชายฟุ้งกระจายโดยรอบตัวผม

“เอ็งควรจะแช่น้ำร้อนด้วย ไม่เช่นนั้นอาจจับไข้ได้ง่าย ๆ เหมือนสมัยเด็ก ๆ รอที่นี่...อย่าไปไหน ข้าจะไปเตรียมน้ำอุ่น”
 
นายอัดลมออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงที่ต่างไปจากเดิม เสียงของเขาคล้ายกับตอนพลบค่ำไม่มีผิด ขณะประคองผมเดินข้ามสะพาน

น้าแหววบอกผมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล หลังจากนายอัดลมลับตาไปแล้วว่า

“พ่อคนนั้นน่ะ...บางครั้งชอบเล่นอะไรแผลง ๆ ต้นน้ำก็อย่าถือสาเลยนะลูก”
ผมรับปาก เพราะไม่อยากเห็นน้าแหววคิดมาก ดูเหมือนว่าเจอกันในรอบนี้ น้าแหววจะผอมลงกว่าเดิมด้วยซ้ำ
“เสื้อนวมกับกางเกงตัวนี้น้าซื้อมา ด้วยความตั้งใจว่าจะให้เป็นของขวัญวันเกิดตาอัดเขา แต่พอเจ้าตัวแลเห็น ก็บอกว่าชุดนี้เหมาะสำหรับต้นน้ำมากกว่าตัวเขา แถมยังกำชับให้น้าเก็บเสื้อกับกางเกงชุดนี้เอาไว้ให้ดี รอจนกว่าวันที่ต้นน้ำจะมาเยือนที่นี่”

น้าแหววพูด พลางลูบชุดในมืออย่างเบามือ

“พ่อคนนั้นน่ะ...เขาชอบอะไรที่มันเก่า ๆ บางครั้งก็เล่นอะไรรุนแรง  ยิ่งรักแรงก็ยิ่งเล่นแรง ถ้าเมื่อไหร่พี่เขาเล่นจนเกินพอดี ขอให้บอกน้านะลูก น้าจะจัดการให้เอง”

 


ที่บ้านน้าแหววมีอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ซึ่งสามารถแช่ได้พร้อมกันสองคน นายอัดลมกำลังผสมน้ำร้อนกับน้ำเย็นลงอ่าง
ไอน้ำขาวขุ่นลอยโขมงกลุ่มใหญ่… :katai5:

อุต๊ะ...ผมอยากจะฝังตัวในน้ำอุ่น ตั้งแต่วินาทีนี้เลย :hao7:

“นายทำให้มันเร็วกว่านี้หน่อย ไม่ได้หรือไง ”

เขามองหน้าผม ทำท่าเหมือนอยากจะดุ แต่แล้วก็บอกผมว่า

“ถอดเสื้อผ้าก่อนเถอะ“

ผมทำตามอย่างว่าง่าย รีบคลายผ้านวมที่หุ้มตัวราวกับหนอนไหมออก แขวนชุดซึ่งถือมาด้วยบนตะขอแขวน จากนั้นถอดเสื้อตัวนอก ตามด้วยตัวใน พาดทั้งหมดรวมกันบนราวแขวนผ้า

ในขณะปลดเข็มขัด ใจก็รู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่งซึ่งเฝ้าเขม็งมอง

จู่ ๆ ความหวามไหวในอกก็ตื่นตัวขึ้น เสมือนว่าสองตุ่มนูนกำลังถูกอีกฝ่ายโลมไล้ด้วยสายตา ผมเห็นลูกกระเดือกของนายอัดลมขยับขึ้นแล้วขยับลงซ้อน ๆ กัน

อย่างทันท่วงที ผมยกแขนทั้งสองข้างขึ้นไขว้กันเป็นรูปกากบาท หัวไหล่ห่อเข้าหากัน ขณะที่ลำตัวก็บิดไปด้านข้างโดยอัตโนมัติ

“นายออกไปข้างนอกก่อนสิ” ผมออกคำสั่ง ขณะยืนหันหลังให้เขา

ฝ่ายนั้นทำท่าเหมือนกับไม่ได้ยิน ผมรีบเร่งเร้าอย่างทันทีทันใดว่า

“เดี๋ยวนี้เลย ! ”

อย่างแน่นอนที่สุด เขาไม่คิดเชื่อฟังคำสั่งของผมอยู่แล้ว เห็นได้ชัดว่านายอัดลมกำลังทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม

“ข้าก็อยากแช่น้ำเหมือนกัน อาบพร้อมกันเลยจะได้ประหยัดน้ำ” คนดื้อรั้นถอดเสื้อของเขาอย่างว่องไว และกำลังจะตามด้วยตะขอกางเกง
 
“ไม่ได้”

ผมตะโกนเสียงดังราวฟ้าผ่า เนื่องจากตระหนักแก่ใจดีว่าด้านในของเขาไม่เหลืออะไรห่อหุ้มอยู่ ฉวยผ้าจากราวแขวนผ้ามาถือไว้ในมือ พร้อมกับยื่นคำขาดสำหรับอีกฝ่าย

“ถ้านายไม่ออก ชั้นไม่อาบ อยากจะแช่ก็แช่ไปเลย”

เขาหยุดชะงัก กางเกงคาสะโพก

“เอ็งจะกระมิดกระเมี้ยนไปใย อะไร ๆ ข้ากับเอ็งก็มีเหมือนกัน” นายอัดลมทำหน้ามุ่ย

ผมสะบัดหัว ปฏิเสธอย่างแรง ขณะเดียวกันข้างในก็แย้งเขาว่า

มันเหมือนกันที่ไหนเล่า

ของนาย...ช้างแอฟริกันผสมพันธุ์กับยีราฟชัด ๆ

อันที่จริง ใช่ว่าผมจะไม่เคยแก้ผ้าต่อหน้าคนอื่น ตอนเข้าค่ายรักษาดินแดน เรียกได้ว่าพวกเราถอดกันล่อนจ้อนไม่เหลือติดตัวแม้แต่ชิ้นเดียว
 
อย่างไรก็ตาม ตอนนั้นไม่ใช่ตอนนี้ และยิ่งไปกว่านั้น ผมกับนายอัดลมก็ไม่ได้คุ้นเคยกันจนถึงขั้นสามารถแบ่งปันความเป็นส่วนตัวของกันและกันได้ สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ผมไม่ชอบความรู้สึกบางอย่างซึ่งเกิดขึ้น ในขณะยอดปทุมถันของผมถูกเขาจ้องมอง

และแล้ว ในที่สุด...

ผมก็ได้แช่อ่างน้ำท่ามกลางไออุ่นอย่างลำพัง ด้วยความสบายตัว และสบายใจ


 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 13 : 22-10-64
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 23-10-2021 10:41:24
สนุกมากค่าา

หมั่นไส้พี่อัดจริงๆ อย่ามาแกล้งน้องน้ำนะ :m16:


 :pig4:
หัวข้อ: Re: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 13 : 22-10-64
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 23-10-2021 13:06:02
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 14 : 29-10-64
เริ่มหัวข้อโดย: Marakun ที่ 29-10-2021 21:03:32
[14]
ตาหวาน

ข้างกองไฟ ไอ้มังกรห่มผ้าผืนใหญ่ ส่วนไอ้แชมป์ขับกล่อมพวกพ้องด้วยเพลงรักหวานซึ้ง ขณะที่น้าแหววร้อยมะลิอยู่กลางแคร่ซึ่งยกจากศาลามาวางอีกทอดหนึ่ง

เยื้องห่างออกไป ที่ซุ้มศาลา นายอัดลมกำลังเสวนากับเพื่อนร่วมรุ่นของเขาคนหนึ่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ไอ้หล่อ...หายไปไหนวะ ?” ผมถาม ขณะหย่อนสะโพกระหว่างไอ้แชมป์กับไอ้มังกร พวกเราให้สมญานามไอ้เป๊บซี่เนื่องจากความพยายามหล่อของมันนั่นเอง

ไอ้แชมป์หยุดเกากีตาร์ชั่วขณะ แล้วตอบผมว่า

“ไปบ้านลุงหมายน่ะ ขอยืมตัวพี่มะปรางมาช่วยลูกพี่ทำกับข้าว”

“อ้าว ! แล้วป้านวลล่ะ ?” ผมยังคงสงสัย ก็เพราะบ้านนี้มีแม่ครัวกับเด็กรับใช้อีกคนหนึ่ง


“คนแพ้เกมส์ก็ต้องลงมือทำเองซิวะ” ไอ้มังกรตอบแทรก
“นี่คือประกาศิตของผู้ชนะ คนแพ้ก็ต้องน้อมรับชะตากรรมอย่างคนขี้แพ้” มันชูหมัดขวาขึ้นข้างหนึ่งในขณะประกาศ  ทำราวกับว่ากำลังนั่งอยู่ท่ามกลางคอนเสิร์ตวงไมโครไงงั้น

“แต่มึงดันให้พี่มะปรางมาช่วยลูกพี่...นี่สิ” ไอ้แชมป์แหย่ พลางเคาะนิ้วกับคอกีต้าร์

ผู้ชนะหันขวับไปที่ศาลา ลดเสียงพูดลงจนกลายเป็นกระซิบ

“กูนึกบรรลัยขึ้นได้น่ะเซ่ เฮียอัดทำกับข้าวเป็นหรือเปล่าก็ไม่รู้...เกือบซวยปากกันแล้วไหมล่ะ “

จังหวะนั้นเอง นายอัดลมก็หันมา เขามองมาทางพวกผมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด คนที่เขาเสวนาด้วยในชั่วโมงนี้เป็นสมุนเก่าเมื่อคราวอดีต    ดูเหมือนว่าพอนายอัดลมกลับมา พวกพ้องก็นำข่าวปัจจุบันทันด่วนมาบอกอย่างทันท่วงที

ผมไม่รู้ว่าพวกเขากำลังคุยเรื่องอะไรกัน แต่รู้สึกสังหรณ์ใจอย่างไรชอบกล   โดยปกติในบทละครเมื่อผู้ร้ายปรากฏตัว เรื่องเลวร้ายมักจะตามมาเสมอ

น้ำขาวขุ่นเทจากไหไหลลงครึ่งแก้ว ก่อนจะสาดเข้ากระเพาะพรวดเดียว

“เหล้าดี มีแอลกอฮอล์ 19 โมเลกุล !” ผมกล่าว

“ไอ้เหี้ยน้ำ...เพลาได้ มึงก็ช่วยกูเพลาหน่อยสิวะ” ไอ้มังกรร้อง “มึงเล่นแดกแบบนี้ กว่าไอ้พวกนั้นจะมาเหล้ากูก็หมดไหก่อนพอดี”

“ใครมาวะ ?” ผมถาม

“ไอ้เพชรกับไอ้ขวัญไง...มึงก็เห็น ๆ อยู่ มีงานไหนที่ไอ้หล่อของเราจะขาดสองคนนั้นได้บ้าง”

“ไม่ใช่ว่า เหล้าเดิมพันมีทั้งหมดห้าไหเหรอวะ ?” ผมซักต่อ

“ตอนนี้เหลือสองไหเว้ย !...ความจริงแล้วพ่อตกปากให้มาแค่ไหใหญ่ไหเดียวเอง ที่เหลือกูพลั้งปากว่ะ  แต่ในเมื่อเกมส์นี้ผู้ชนะก็คือกู เพราะฉะนั้นแล้วทั้งหมดก็ต้องตกเป็นของกูสิ...ใช่ไหมวะ กูก็เลยเอาไปคืนในยุ้งข้าวเรียบร้อยแล้ว ขโมยเพิ่มมาแค่ไหเดียว เผื่อว่าโทษหนักจะได้กลายเป็นเบา” ไอ้มังกรรำพึงรำพัน

ผมตบไหล่มันอย่างเห็นอกเห็นใจ ก่อนจะรินเหล้าให้ไอ้แชมป์ แล้วเทอีกหนึ่งแก้วสำหรับเจ้าของเหล้าด้วย

ท่ามกลางสีหน้าพิลึกพิลั่นของใครบางคน แก้วทั้งสามใบก็กระทบกันดังกริ๊ง

“ดื่มโว้ย...เพื่อชีวิตแสนรันทดของคนเป็นลูกอย่างพวกเรา”

“...”


เวลาต่อมา หลังจากเพื่อนคนนั้นถูกภรรยาสาวดึงตัวกลับ นายอัดลมก็ตามพี่มะปรางเข้าไปช่วยงานในครัว ป้าแม่ครัวได้แต่ทำลับ ๆ ล่อ ๆ เนื่องจากน้าแหววสั่งห้ามไม่ให้เข้าไปยุ่มย่ามในนั้น

หลังจากไอ้เป๊บซี่ยกหูโทรศัพท์ไม่ถึงห้านาที ไอ้ขวัญกับไอ้เพชรก็มาถึง

เกือบหนึ่งชั่วโมงผ่านไป อาหารหลายสำรับก็เริ่มทยอยออกมา นายอัดลมถือจานใหญ่มาด้วยใบหนึ่ง ก่อนจะวางลงตรงหน้าผม

“ปลาแรดทอดตะไคร้จ้า จ่าทำเองกับมือเลยนะ”
คุณครูมะปรางคนสวยบอกกับทุกคนพร้อมด้วยรอยยิ้ม ขณะยกหม้อแกงตามมาด้านหลัง

ไอ้ขวัญกับไอ้เพชรยกนิ้วขึ้นพร้อมกัน อุทานว่า

 “สุโค่ย !”

 “น่ากินมากเลยครับเฮีย ว่าแต่...จะอร่อยเหมือนหน้าตาไหมนะ?” ใครคนใดคนหนึ่งตั้งคำถามขึ้น

“ข้อนี้...พวกเอ็งคงต้องเอาคำตอบจากคนชิมแล้วล่ะ”

นายอัดลมว่า พลางตักเนื้อปลา แล้วราดน้ำจิ้ม ยื่นช้อนมาจ่อตรงหน้าผม

“ทำไมต้องเป็นชั้นด้วย ?” ผมถาม

“ก็เพราะว่า ปลาตัวนี้เป็นตัวเดียวที่ข้าเหลืออยู่”

ผมก็เลยถึงบางอ้อ...นายตัวร้ายกำลังต้องการชำระแค้นผมนี่เอง เพราะผมทำให้เขาแพ้เกมส์ บางทีอาหารจานนี้อาจมียาพิษ พอกลืนลงท้องปั๊บ อาจเข้าสู่ห้วงนิทราเหมือนกับเจ้าหญิงสโนไวท์...

จะให้ผมไว้ใจคนเจ้าเล่ห์เช่นเขาได้อย่างไรกัน

“เอ่อ...คือว่าชั้น...ชั้นเป็นหวัด ลิ้นก็เลยไม่รู้รสน่ะ” ผมอึกอัก

“อะไรของมึงวะ...ก่อนหน้านี้ ยังบอกกูอยู่เลยว่าเหล้าดีมีแอลกอฮอล์ 19 โมเลกุล” ไอ้มังกรท้วง

เพื่อน ๆ เคยเป็นกันบ้างไหมครับ ? ความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ระหว่างอยากถลกหนังหัวตัวเองกับทุบกะโหลกของอีกฝ่าย

“กูพูดเอาใจมึง โว้ย !” ผมตะคอก พลางถลึงตาใส่

“ถ้าเช่นนั้น...เอ็งคงไม่รังเกียจกระมังที่จะเอาใจข้าอีกคน เอ !... หรือว่ารังเกียจมาก แม้กระทั่งกินไข่แทนตัวก็ทำไม่ได้ แกงปลาไหลก็ซดน้ำไม่ลง” นายอัดลมฉวยโอกาส ขณะผมเพลี่ยงพล้ำ องครักษ์ของเขาก็กระโดดเข้าเสริมทัพอีกคนอย่างทันทีทันใดเช่นกัน

“อายุสิบหกแล้ว มึงก็ยังทำตัวเหมือนเด็กไม่เคยเปลี่ยน”
ไอ้เป๊บซี่เบ้ปาก ในขณะต่อว่าผม พลางหยิบกระจกจากกระเป๋าขึ้นมาส่อง ด้านซ้ายที ด้านขวาที

เพื่อน ๆ เคยเป็นกันบ้างไหมครับ ? ความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ระหว่างอยากถลกหนังหัวตัวเองกับทุบกะโหลกของอีกฝ่าย

“กูพูดเอาใจมึง โว้ย !” ผมตะคอก พลางถลึงตาใส่
“ถ้าเช่นนั้น...เอ็งคงไม่รังเกียจกระมังที่จะเอาใจข้าอีกคน เอ !... หรือว่ารังเกียจมาก แม้กระทั่งกินไข่แทนตัวก็ทำไม่ได้ แกงปลาไหลก็ซดน้ำไม่ลง”
นายอัดลมฉวยโอกาส ขณะผมเพลี่ยงพล้ำ องครักษ์ของเขาก็กระโดดเข้าเสริมทัพอีกคนอย่างทันทีทันใดเช่นกัน

“อายุสิบหกแล้ว มึงก็ยังทำตัวเหมือนเด็กไม่เคยเปลี่ยน”
ไอ้เป๊บซี่เบ้ปาก ในขณะต่อว่าผม พลางหยิบกระจกจากกระเป๋าขึ้นมาส่อง ด้านซ้ายที ด้านขวาที

ผมเหลือบตาไปทางน้าแหววซึ่งสังเกตการณ์อยู่ข้างกองไฟอย่างเงียบ ๆ  เมื่อเห็นเงาเทาหม่นใต้แสงสีส้มจาง ๆ อาบใบหน้า จึงจำใจงับปลายช้อนของอีกฝ่าย

ทันใดนั้นเอง...
แมวสีน้ำตาลตัวหนึ่ง ตาสองข้างไม่เหมือนกันก็เข้ามาคลอเคลียที่บริเวณข้อเข่า ผมจึงโน้มตัวลง ประคองแมวตัวนั้นขึ้นมาอย่างเบามือ

“ว่ากระไร ? ” นายอัดลมคาดคั้นอย่างคนต้องการคำตอบ

“เอ่อ...ฉันว่าให้ ’เจ้าน้ำตาล’ ช่วยตัดสินจะดีกว่า ถ้าไม่กินก็แปลว่า รสชาติเหมียวไม่รับประทาน”

หากจะให้ยอมรับโต้ง ๆ ว่าอร่อย ก็เกรงว่าคนมั่นใจจะมั่นหน้าจนเกินพอดี ผมจึงตัดสินใจโยนคำถามของเขาให้แมวเป็นคนตอบ โดยลืมความจริงไปข้อหนึ่งว่าแมวกับปลาก็พอ ๆ กันกับน้ำตาลใกล้มด จนกระทั่งแมวของเขากินปลาจนเกลี้ยง แถมยังร้องเหมียวราวกับต้องการขออีก

“บางทีนายก็ต้องมีหิวบ้างใช่ไหมล่ะ...น้ำตาล เพราะว่าเจ้าของของนายทิ้งนายไปเสียนาน” ผมพูดกับแมว

นายอัดลมดึงตัวแมวไปจากผม เอ่ยประโยคหนึ่งซึ่งทำให้ใจของผมกระตุก

“เจ้าของแมวที่แท้จริง ไม่เคยเหลียวแล’ตาหวาน’เลยต่างหาก”

พี่มะปรางขยับเข้าหาฝ่ายนั้น สัมผัสตัวแมวในอ้อมแขนของเขา พลางตั้งคำถามราวกับว่าเธอไม่ได้ยินชื่อก่อนหน้านั้นซึ่งผมเอ่ยเรียก

“แมวตัวนี้น่ารักจัง ชื่ออะไรเหรอคะ ?”

“อันที่จริง ชื่อน้ำตาลครับ แต่ผมเรียกเขาว่า...ตาหวาน”

นายอัดลมตอบอีกฝ่าย ลงท้ายคำอย่างไพเราะ

“เพราะสีตาของมันเหรอคะ ?”

เขามองหน้าเธอ ก่อนจะชำเลืองมาทางผม ขณะตอบด้วยเสียงห้วน สั้น  ปราศจากรอยยิ้มว่า

“ครับ”



หัวข้อ: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 15 : 5-11-64
เริ่มหัวข้อโดย: Marakun ที่ 05-11-2021 20:00:05
[ 15 ]

แมวกำพร้าที่น่าสงสาร



จวบจนพระอาทิตย์สาดไออุ่นลอดม่านหน้าต่าง

เสียงหืดหอบในคอปลุกให้ผมลืมตาตื่น ก่อนจะพบว่าตัวเองนอนลำพังบนฟูกนอนหนานุ่มกับแมวสีน้ำตาลตัวหนึ่ง ในห้องผนังสีเทาที่แขวนด้วยโปสเตอร์ขาวดำหลากรูปทรงล้อมแซมแผ่นเสียงเก่าขนาดใหญ่ และที่มุมหนึ่งของห้องมีซีดีเพลงกองใหญ่กับกีตาร์คลาสสิกตัวหนึ่ง

ในขณะความคิดกำลังตีกันอย่างสับสน แมวขนปุยตาฟ้าข้าง เหลืองอำพันข้างก็ขยับ ขยุกขยิก อยู่เหนืออกผม เสียงแหบแห้งของมันทำให้ผมหวนนึกถึงเหตุการณ์หนึ่งเมื่อครั้งอดีต

วันนั้นมีสายฝนเทห่าใหญ่ และเหตุเกิดในอีกห้องหนึ่งถัดไป

ผมจำได้ว่า...

พอบานประตูเปิดอ้าออก เสียงดนตรีในห้องนั้นก็พลันหยุดชะงักลง อาการชะงักงันของใครคนหนึ่งที่พักไม้บนหน้ากลอง ทำให้สิ่งรอบข้างพลอยเบรกตามไปด้วย

พี่ต้นกล้าวางมือจากคีย์บอร์ดเบส และอีกสองคนก็ค้างนิ้วคาอยู่กับเส้นเอ็นของกีตาร์ซึ่งแต่ละคนสะพายไหล่ของตนเอาไว้

ทุกอย่างชะงักค้าง สายตาสี่คู่เล็งมาที่ผมเป็นจุดเดียวกัน ราวกับเห็นสัตว์ประหลาดตัวน้อยแบกเสื้อกับกางเกงเปียกโชกบุกเข้ามา แล้วปล่อยหยดน้ำทิ้งลงพื้นแหมะ ๆ ในนั้นมีสายตาคู่หนึ่งทำให้ผมรู้สึกประหม่า

ผมหยุดก้าวเท้า ยืนอยู่หน้าประตู ก่อนจะตะเบ็งเสียงว่า

“พี่กล้าคั้บ น้ำขอเลี้ยงลูกแมวได้ไหมค้าบ ?”

“ไม่ได้” อย่างทันทีทันใด พี่ต้นกล้าปฏิเสธผมเสียงห้วน

“เอ็งก็รู้ว่าพี่แพ้ขนมัน”

 “แต่ว่าลูกแมวไม่ใช่น้องหมาซักหน่อย...พี่กล้าแพ้ขนหมานี่ฮะ ?” ผมกล่าวอ้างอย่างเด็กอายุสิบขวบ

“จะหมาหรือแมวก็มีขนเหมือนกันทั้งนั้นแหล่ะน่ะ” พี่ชายผมยืนยัน

เมื่อหลายปีก่อน...

ผมเคยเลี้ยงลูกหมาตัวหนึ่ง ผ่านไปไม่ถึงสัปดาห์พี่ต้นกล้าก็ขโมยหมาของผมไปทิ้ง ดังนั้นการถูกปฏิเสธในครั้งนี้ ผมจึงไม่ประหลาดใจเท่าใดนัก ในทางกลับกันหากพี่ต้นกล้าชักธง’ตกลง’ขึ้นสู่ยอดเสาแบบง่าย ๆ คงทำให้ผมสับสนไม่ใช่น้อย

 “ไอ้กล้า...เอ็งแพ้ขนหมานับจากเมื่อใด ?” น้ำเสียงเจือความสงสัยถามจากคนที่นั่งอยู่หลังกลองชุด ไม้ในมือที่เขาใช้บรรเลงบนหน้ากลองถูกรวบเข้าหากัน ก่อนจะลุกขึ้นยืน

พี่ต้นกล้านิ่งเงียบ ไม่ตอบคำถามของนายอัดลม

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผมต้องง้างเอาคำยินยอมจากปากพี่ชายผมมาให้ได้ ไม่เช่นนั้นเหตุการณ์อีหรอบเดิมก็อาจฉายวนซ้ำอีกครั้ง

“น้ำเห็นซากศพแม่แมวที่ถูกหมากัดตายด้วยคับ ลูกแมวไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ แถมพี่กับน้องก็ไม่มี จะเอาชีวิตรอดได้อย่างไรกันล่ะฮะ...พี่กล้า พี่ไม่สงสารมันบ้างเหรอ ขืนปล่อยเอาไว้แบบนั้น ลูกแมวกำพร้าตัวเล็ก ๆ จะใช้ชีวิตลำพังได้ยังไงกัน มันร้องหาพ่อแม่จนเสียงแหบเสียงแห้ง...น่าสงสารมากเลยนะฮะ”

“พี่บอกว่าไม่ให้เลี้ยงก็ไม่ให้เลี้ยงสิ ไป...ออกไปได้แล้ว อย่าเอาเรื่องไร้สาระของเอ็งมากวนใจการซ้อมวงของพวกเรา”

ทันใดนั้น นายอัดลมก็พูดแทรกขึ้น เส้นผมที่ยาวระเกะระกะถูกเขารวบเข้าหากันด้วยสองมือ มัดหนังยางอย่างรวดเร็วจนตึง

 “ข้าเลี้ยงเอง”

หลังจากจบชั้นมัธยมปลาย ผมคิดว่านายอัดลมไม่น่าจะเคยเข้าร้านเสริมหล่อ เพราะเคยได้ยินแม่กล่าวตำหนิเขาอยู่บ่อยครั้งว่าไว้หนวดไว้เคราอย่างกับโจรป่า แน่นอนที่สุดป้าเอิบเห็นคล้อยความคิดเห็นของแม่ ในขณะที่ป้าอาบกลับเห็นตรงกันข้าม กล่าวชื่นชมซึ่งทำให้แม่หน้าคว่ำว่านายอัดลมเถื่อนดิบ หล่อ เหมือนพระเอก‘จำเลยรัก’

“ลูกแมวที่เอ็งว่าน่าสงสาร อยู่หนใด ?” คนขายาวก้าวสวบ ๆ สองสามครั้งก็เข้าประชิดตัวผม

“ยะ อยู่...อยู่บนต้นตะขบ ชายทุ่ง หลังบ้านลุงหมาย”

ผมตอบเขาตะกุกตะกักด้วยความประหม่า

“พาข้าไป ถ้ามันไม่น่าเวทนาอย่างที่เอ็งเล่าละก็...” เขาขู่ ดุดันดุจพญาราชสีห์โหด

ทุกครั้งที่เข้าใกล้นายอัดลม ผมรู้สึกทั้งร้อนและหนาวปะปนกันเหมือนตัวเองเป็นหนูตัวน้อย เดาทางอีกฝ่ายไม่ออกเลยว่าตอนไหนกำลังเล่นล่อหลอก และเมื่อไหร่ที่เขาพร้อมตะปบ

แม้กระทั่ง...

ในเช้าตรู่ที่อากาศเย็นยะเยือก ขณะนอนอยู่บนฟูก ท่ามกลางอาณาเขตซึ่งไร้ตัวตนของเขา
แมวสีน้ำตาลในอ้อมแขน ขยับตัว ส่งเสียงอ้อนเบา ๆ
 
จู่ ๆ ผมก็รู้สึกตัวสั่นเหมือนกำลังจับไข้ ความคิดที่สับสนวิ่งตีกันอย่างวกวนจนหัวแทบระเบิด

ทำไมผมอยู่ที่นี่ ? และ...ผมมาที่ห้องนี้ได้อย่างไรกัน ?

ความทรงจำซึ่งสมองบันทึกอย่างสะลึมสะลือในคืนที่ผ่านมา ถูกย้อนไล่เรียงเรื่องราว ลำดับท้ายสุดคลับคล้ายคลับคลาว่า อาชาญแบกผมขึ้นขี่หลังด้วยความทุลักทุเล เนื่องจากผมไม่ให้ความร่วมมือ แถมยังปล่อยหมัดอย่างสะเปะสะปะอีกด้วย

หรือว่าผมเมาหนักมาก จนกระทั่งแยกใครเป็นใครไม่ออก !




หัวข้อ: Re: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 15 : 5-11-64
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 05-11-2021 23:56:24
ทำไม ไม่ขึ้นหน้า 2 หน้า 3 ล่ะ สนุกมาก พี่อัดหลงรักน้องตาหวานนี่เอง
หัวข้อ: Re: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 15 : 5-11-64
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 17-11-2021 22:38:52
ชอบบบบบ  สนุกมากกกกก   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
มาต่อไวๆ นะไรท์
       :pig4: :pig4: :pig4:
 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:
หัวข้อ: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 16 : 28-11-64
เริ่มหัวข้อโดย: Marakun ที่ 28-11-2021 21:31:53
[ 16 ]
ร้อนใจเพราะนาย...



จำได้ว่า...

งานฉลองเปิดฉาก พอเหล้าขาด ไอ้มังกรก็วิ่งรอกไปเอามาเพิ่ม

หลังจากเก็บสำรับข้าวไม่นาน ไอ้ขวัญกับไอ้เพชรก็ขอตัวกลับ คู่แฝดที่หน้าตาดีชนแก้วกับผมเพียงไม่กี่ครั้ง เนื่องจากพรุ่งนี้เช้าทั้งคู่ต้องรีบตื่นก่อนฟ้าสาง ก่อนซังข้าวที่เปียกชื้นจากหมอกลงหนาจะแห้งวาย

ตามวิถีของคนทำนาแห่งหมู่บ้านท้อแท้ เมื่อเก็บเกี่ยวและมัดข้าวเป็นฟ่อนแล้ว พวกเขาต้องตากแดดทิ้งไว้อีกสามแดด ในวันถัดไปจึงทยอยขนไปกองที่ลานกลางบ้าน ติดศาลาว่าการข้าง ๆ วัด ซึ่งที่นั่นมีเครื่องนวดพร้อมสีข้าวได้ในตัวเครื่องหนึ่ง รอกระทั่งถึง‘วันถลุงข้าว’ งานใหญ่ประจำปีของที่นี่

ในวันนั้นลานกลางบ้านที่กว้างใหญ่จะแลดูแคบลงถนัดตา เพราะคนจำนวนมากที่หลั่งไหลกันมาเพื่อฉลองเมล็ดข้าวใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าความรื่นเริงเบอร์นี้ไอ้เป๊บซี่ไม่เคยพลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งปีนี้มันเป็นโต้โผงานด้วยแล้ว

“เอ็งรู้หรือไม่ ? กาลใดที่ผู้ใหญ่ผันจะลงแขกข้าว” นายอัดลมถามผม ขณะพ่นควันออกปลายจมูก

ผมเงยหน้าขึ้น มองการกระทำของเขาอย่างรู้สึกทึ่ง ควันบุหรี่ถูกปั้นกลางอากาศให้เป็นก้อนกลม ๆ อย่างน่าอัศจรรย์
คนใกล้ตัวผมไม่มีใครสูบบุหรี่เลยแม้แต่คนเดียว

อาชาญเคยเป็นสิงห์รมควันคนหนึ่ง แต่ทว่าเลิกสูบอย่างเด็ดขาดแล้ว อาบอกว่าเหนือสิ่งอื่นใดหากเราสามารถเอาชนะใจตัวเองได้ อุปสรรคในจักรวาลที่ว่ายิ่งใหญ่ล้วนดูเล็กกระจิริด ฉะนั้นการกีดกันจากมนุษย์คนหนึ่งซึ่งสวมวิญญาณพ่อตาจึงไม่ใช่เรื่องน่าหนักใจ

ความเด็ดเดี่ยวแบบชายชาตรีคือเหตุผลหนึ่งซึ่งทำให้อาเพ็ญตัดสินใจเลือกอาชาญเป็นคู่ชีวิต ถึงแม้จะเห็นความลำบากรอท่าอยู่
 
แต่ทว่า...ช่างน่าอนาถนัก ที่สิบหกปีผ่านไปสัตบุรุษของอาชาญก็มีอันเปลี่ยนแปลง


สติของผมถูกดึงกลับเพราะใครบางคนจ้องมอง ผมรีบตอบคำถามของเขาว่า

“วันเสาร์หน้า”

“...”

นายอัดลมมีท่าทีเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็ชะงักเอาไว้ เขาก้มลงมา จ้องหน้าผมเหมือนกำลังค้นหาสิ่งผิดปกติบางอย่าง

“อย่าเอาตาไข่ห่านของเอ็งมาใช้มองข้า...แบบนี้”

จู่ ๆ ผมก็ถูกตำหนิอย่างไม่มีปี่ ไม่มีขลุ่ย

“สายตาของฉัน ! แบบไหนล่ะ ?”

“แบบที่เอ็งทำ นั่นปะไร” เขากล่าวห้วน ๆ ขยี้ปลายบุหรี่ลงกับพื้น จนกระทั่งสีแดงเข้มของมันดับสนิท

“ฉันก็กำลังงงอยู่นี่ไงเล่า ” ผมพูด เกาหัวยิก

ฝ่ายนั้นสะบัดหลังแขนเป็นเชิงว่าไม่ใส่ใจ พลางเอ่ย

“ช่างเถิด เอาเป็นว่าข้าขอเตือนเอ็ง อย่าได้ชม้ายชายตาต่อหน้าใครต่อใครเยี่ยงนั้นเป็นอันขาด เพราะการกระทำที่บ้องตื้นจะขยับเอ็งเข้าใกล้โซนอันตราย”

 ในขณะพูด นายอัดลมก็ทิ้งหางตาไปด้านหลังผม

บ่อยครั้งที่ผมตีความประโยคคำพูดของเขาไม่ออก อย่างเช่นในครั้งนี้กับคำว่าชม้ายชายตา แต่ดูจากท่าทางของอีกฝ่ายก็พอจะเดาได้อย่างเลา ๆ ว่าเขาต้องการเตะก้นผมเป็นการสั่งสอน

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ผมจะไม่ชอบขี้หน้านายอัดลม แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นลั่นวาจาห้ามฝ่ายตรงข้ามมองหน้า
บางทีขีดความไม่พอใจระหว่างเราอาจมีไม่เท่ากัน ผมคงประเมินความไม่พอใจสำหรับเขาต่ำเกินไป

นัยน์ตาของผมกลอกขึ้นมองบนอย่างอัตโนมัติ ประกายขุ่นเคืองเหล่ไปทางไอ้แชมป์ด้วยความขัดใจ

ดูลูกพี่ของมึงเอาเองเถอะ !
กูยอมลดเกียรติลงเกินครึ่ง ชนแก้วกับเขาก็หลายครั้ง หาใช่ว่ามันจะช่วยให้เปลวแดดกลายสภาพเป็นเม็ดฝนได้ ในทางกลับกันพญาพิรุณยังคิดจะฟาดสายฟ้าลงกลางแผ่นหลังของกูอีก…


ในขณะนั้น ไอ้แชมป์กำลังสมทบกับไอ้เป๊บซี่วนแก้วชนกับคู่แฝด ถือเป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งของสองคนนั้นในการดึงอีกฝ่ายเอาไว้ ขณะที่ไอ้มังกรนั่งโงนเงนอยู่ข้างกองไฟ จวนจะฟุบลงกับพื้นอยู่รอมร่อ

“ฉันก็แค่อยากลองดูดบุหรี่...แค่นั้น”

ผมแถลงไขความเข้าใจบางอย่างแก่นายอัดลม เผื่อว่ามันจะช่วยให้ความรู้สึกของเขากระจ่างขึ้นมาบ้าง

“มันไม่เหมาะสำหรับเอ็งหรอก” เขาสบถ

 “แต่เหมาะสำหรับนาย ว่างั้นเถอะ” ผมตีรวน

ทว่าถ้อยคำของเขาต่อจากนั้น สร้างความประหลาดใจแก่ผม อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

“วัตถุประสงค์ของสิ่งเสพติดทุกประเภท ล้วนผลิตมาเพื่อคนที่ไม่มีใครต้องการ จำพวกปราศจากรัก...ซึ่งเอ็งไม่ใช่”

“...”

จังหวะนั้นเอง น้าแหววก็เข้ามา เอ่ยปากขอให้นายอัดลมไปส่งพี่มะปรางจนถึงเรือนของเธอ คนลั่นวาจาว่า ’จะทำตามหัวใจปรารถนาเท่านั้น’ ปฏิเสธชนิดที่ว่าเด็ดบัวไม่เหลือใย โดยไม่เห็นแก่หน้าหญิงสาวอีกคนซึ่งตามหลังมาติด ๆ

ใบหน้าเลือดฝาดของพี่มะปรางถึงกับเปลี่ยนสี จากแดงสลับเหลือง เหลืองสลับซีด

เดิมที ผมตั้งใจว่าจะไม่ยุ่งเรื่องของนายอัดลม แต่พอเหลือบตาไป  เห็นความวุ่นวายใจฉาบบนดวงหน้าซูบผอมของน้าแหววก็อดที่จะตำหนิความใจยักษ์ของเขาไม่ได้

ประโยคนั้น ผมจำได้ดี

“โถ่เอ้ย ! บ้องตื้นชะมัดยาด ฉันจะบอกอะไรนายอย่าง ไม่ว่าจะรู้หรือไม่ก็ต้องรู้ เพราะความเย็นชาแถมบ้าอำนาจ ไม่ใส่ใจความรู้สึกของคนอื่นแบบนี้ นี่ไงล่ะ...พวกปราศจากรัก”

นายอัดลมขมวดคิ้วเข้าหากัน หน้าตึงไร้รอยยิ้ม ตาคมกริบจ้องมองผมอย่างแน่นิ่ง...

ผมนึกถึงเสือร้ายตัวหนึ่งที่มันกระโจนออกจากร่างของนายอัดลม ก่อนจะทะยานขึ้นคร่อมพี่ต้นกล้า แล้วประเคนหมัดใส่เขาแบบไม่ยั้ง...
จำได้ว่า ในครั้งนั้นผมกรีดร้องด้วยความตกใจ

พอถึงบทนี้ใจที่ว่าแน่ของผมก็เริ่มชักเข้าชักออก มือสองข้างประสานกันแน่น ขณะก้มดูข้อมือ พลันนึกประหลาดใจเข็มนาฬิกาว่าทำไมถึงกระดิกตัวช้ากว่าปกติ

สักพัก นายอัดลมก็ลุกขึ้นยืน และ...เดินจากไป

ไม่มีแม้แต่คำสบถหรือก่นด่าสักคำ เขาก็แค่นิ่งมอง

หนึ่งชั่วโมงต่อมา...

ไอ้ขวัญกับไอ้เพชรก็ไปจากไอ้เป๊บซี่ ไอ้แชมป์กลับมาเกาเอ็นกีตาร์อีกครั้ง เกือบจะติดกองไฟ ใกล้ ๆ กันนั้นไอ้มังกรนอนหงาย ปากอ้า หนังตากระพือ และน้ำลายไหลย้อย

อึดใจต่อจากนั้น ไอ้เป๊บซี่ก็ขึ้นเรือน ทิ้งไว้เพียงความมุ่งมั่นของมันที่ตั้งใจว่าวันพรุ่งนี้จะตื่นก่อนไก่ เพื่อไปช่วยงานไอ้ขวัญกับไอ้เพชร

หลังจากไปส่งพี่มะปรางแล้ว นายอัดลมก็เงียบหายไร้ร่องรอย เหมือนควันบุหรี่ของเขาที่พอเคล้าเข้าสายลมก็สลาย หายไปกับอากาศ

ยิ่งดึกอากาศก็ยิ่งหนาว กองไฟซึ่งเคยอบอุ่นก่อนหน้านี้ เมื่อปราศจากคนเติมเชื้อ ไอร้อนก็หรี่เปลวลงกลายเป็นริบหรี่อย่างจวนจะดับ

ผมรู้สึกเหมือนว่าลมในปอดไหลวกวน ย้อนไปย้อนมา เพราะติดกับอยู่ในคำพูดคำหนึ่ง

พวกปราศจากรัก...? !

ปลายบุหรี่คาปากติดไฟสีแดงวาบ ควันของมันถูกอัดเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนจะพ่นออกปลายจมูกเลียนแบบใครบางคน

ความน่าพิสมัยของเจ้าแท่งมวนขาวถูกถุยคะแนนอย่างทันท่วงที ต่างจากน้ำสีขาวขุ่น ยิ่งผมยกบ่อย ความอร่อยยิ่งโหมกระหน่ำ

และแล้ว สติของผมก็ดับอย่างฉับพลันเหมือนถูกถอดปลั๊ก




หัวข้อ: Re: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 16 : 28-11-64
เริ่มหัวข้อโดย: HamsteR ที่ 29-11-2021 01:01:01
สนุกดีครับ อ่านเพลินเลย  o13
หัวข้อ: Re: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 17 : 4-12-64
เริ่มหัวข้อโดย: Marakun ที่ 04-12-2021 20:06:26
[ 17 ]
วันวุ่นวาย
:z6:

ไอ้แชมป์นั่งอยู่ใต้โคนต้นสัก สายตาทอดออกทุ่งนานอกแนวรั้วไม้หลังบ้าน มองเห็นไกล ๆ  สูง ๆ ต่ำ ๆ หลายลูกซ้อน ๆ กันคือกลุ่มเขาหินซ้อน หากจะว่ากันตามจินตนาการแบบเด็ก ๆ หมู่บ้านของเราก็คล้ายกับเมืองลับแล เนื่องจากถูกโอบล้อมด้วยขุนเขาทั้งซ้าย ขวา หน้า หลัง

อากาศในเช้านี้หนาวเย็นกว่าเมื่อวันก่อน ถึงแม้ผมจะสวมเสื้อฮู้ดอย่างหนา  แต่สายลมก็หอบไอเย็นแบบจับจิตเข้าบาดทะลุถึงเนื้อใน

“หนักหัวชะมัด” ผมบ่น เมื่อเข้าใกล้ไอ้แชมป์

มันหันหน้ามา ขมวดคิ้วถามผมว่า

“เมื่อคืน มึงนอนที่ไหน?  กูพาไอ้กรไปฉี่ พอกลับมาก็ไม่เห็นมึงแล้ว นึกว่าเข้านอนในกระโจมเสียอีก”

“เอ่อ...กู...ก็...นอนห้องที่น้าแหววจัดให้ไง สามคนในกระโจมหอยหลอดมีหวังคงทับกันตาย”  ผมโบ้ยคำตอบ รู้สึกกระดากปากที่จะพูดความจริง ขณะเดียวกันก็มองหาใครบางคนแถว ๆ นั้นไปด้วย

นอกจากห่วงใยผู้อื่นแล้ว ไอ้แชมป์ก็ยังเป็นคนช่างสังเกตอีกด้วย มันเหลือบตามองแล้วจึงบอกผมว่า

“ไอ้กรกลับบ้าน ส่วนไอ้เป๊บซี่ป่านนี้น่าจะมัดข้าวหลายฟ่อนละ กูกำลังนึกอยู่ว่า...” คิ้วบาง ๆ คู่นั้นขมวดเข้าหากันจนเป็นรูปสระไม้ผัด
“ตัวเองเผลอรับปากมันตอนไหน ถึงได้มาปลุกกูตั้งแต่เช้ามืด”

“ตอนเมาล่ะมั้ง” ผมช่วยหาคำตอบ

ในความเป็นจริงที่ทุกคนรู้กันก็คือ ไอ้แชมป์เป็นคนตื่นง่าย ขยับตัวไว ซึ่งต่างจากผม  :katai5:

ขณะนี้ พระอาทิตย์โผล่สาดแสงเลยยอดเขาทั้งดวงแล้ว เป็นเวลาที่น้าแหววสั่งงานอยู่หน้าบ่อ ผมมองกระเป๋าผ้าของไอ้แชมป์ซึ่งวางคู่กันกับกีต้าร์โปร่งบนโต้ะหินอ่อน ก่อนจะถามว่า

“มึงบอกน้าแหววหรือยัง ?”

มันพยักหน้า จากนั้นก็แจ้งข่าวร้อน ๆ สำหรับวันนี้

“ลูกพี่อัดจะไปกับเราด้วย”

“ไป... ! ทำไมวะ”  ผมถาม รู้สึกถึงน้ำเสียงที่ตื่นตระหนก

“กราบพ่อผู้ใหญ่...” ไอ้แชมป์ตอบด้วยโทนเสียงอันเป็นปกติของมัน
“เห็นว่ามีเรื่องจะปรึกษากับลุงผัน”

“เอ่อ...กูคิดว่า พวกเราไปก่อนจะดีกว่า” ผมตัดสินใจเองเสร็จสรรพ รู้สึกสังหรณ์ใจทะแม่ง ๆ พิกลเหมือนเห็นลางร้าย

เมื่อเย็นวาน หลังจากตกปากรับคำกับน้าแหววแล้ว ผมก็หมุนเบอร์โทรศัพท์กลับบ้าน ถึงแม้จะได้รับคำตอบให้ค้างที่นี่ได้ แต่ปลายสายไม่ใช่บุคคลที่ทำให้ผมคลายกังวล

เงาใครคนหนึ่งวูบวาบทะลุผ่านแถวต้นไม้พุ่ม การเคลื่อนไหวนอกแนวรั้วมีความเร็วพอประมาณ ไอ้แชมป์ยกแขนขึ้นชี้นิ้ว และบอกว่า

“นั่นไง วิ่งมาโน่นแล้ว”

นายอัดลมนั่นเอง !
เขาโผล่จากพุ่มไม้ สวมเสื้อยืดเขียวพื้นแบบทหาร กางเกงผ้าขาสั้นสีเดียวกัน ใส่รองเท้าสำหรับออกกำลังกายสีดำ เหงื่อท่วมตัว

ครั้นใกล้เข้ามา ผมจึงเห็นใบหน้าของเขาฝังด้วยรอยยิ้มพราว

“เมื่อคืน หลับสบายไหมจ้ะ ?”

ผมรู้สึกเหมือนโดนขวดโหลบรรจุน้ำตาลกระแทกเข้าลิ้นปี่ คำลงท้ายของเขาหวานจนแสบลำไส้

อย่างที่ผมบอกนั่นแหล่ะครับ นายคนนี้มีออร่าอันตรายรอบทิศ คุณไม่สามารถเดาได้เลยว่าในแต่ละวันจะเจอกับอะไรบ้าง บางครั้งคุณอาจเห็นเทพหิมะตอนหน้าร้อน ขณะที่เทพสายฟ้าก็ปรากฎตัวอย่างเงียบเชียบยามเหมันต์ได้เช่นกัน

แล้วยังไงน่ะหรือ...!
ต่อจากคำลงท้ายก็อาจจะตามมาด้วยอะไรสักอย่าง แล้วค่อยลามไปถึงเรื่องที่หลับที่นอนซึ่งผมกระดากปากจะพูดเป็นแน่แท้

แต่ทว่า...ไอ้แชมป์ขโมยซีนด้วยการวิสัชนาคำถามของเขา

“หลับสบายมากครับ ต้องขอบคุณความเอื้อเฟื้อของลูกพี่ที่บอกเด็กเอาผ้าห่มมาให้”

ผมเมินคำถามที่ไม่ปกติ หันไปยกกระเป๋าผ้าของไอ้แชมป์ใส่บ่า ก้าวขาออกเดิน พลางบอกเจ้าของกระเป๋าว่า

“มึงจะรอเสด็จพร้อมใครก็ตามใจมึง กูขอปิดม่านก่อนล่ะ”

เสียงหัวเราะในคอของใครบางคนดังขึ้นเบา ๆ

ไอ้แชมป์มองซ้ายทีขวาที ก่อนจะคว้ากีตาร์ติดหลัง เปล่งเสียงพูดที่ดังกว่าปกติ พร้อมทั้งถอยหลังเดิน
 
“เจอกันที่บ้านลุงผันนะครับ   ลูกพี่”

ผมเชื่อว่า นายอัดลมต้องอาบน้ำและเปลี่ยนชุดใหม่ อย่างน้อยที่สุดเขาก็เสียเวลาเกินกว่าสามนาที

...นับตั้งแต่วันที่ควายของพ่อถูกขโมย แม่ยัดถ้อยคำสกปรกและถุยน้ำลายกระทบหน้าเขา นายอัดลมก็เปลี่ยนไป ดูเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น เขาตัดผมสั้นทรงสกินเฮด ใบหน้าสะอาดเกลี้ยงเกลาเหมือนหยกที่ถูกเจียระไน

ทั้ง ๆ ที่รู้ตัวดีว่ามีคนจงเกลียดจงชัง แต่ในวันสำคัญนายอัดลมก็เทียวกราบพ่อพร้อมข้าวของติดไม้ติดมือไม่เคยขาด มิหนำซ้ำยังเผื่อแผ่ถึงคนที่รังเกียจตนด้วย

แรกเริ่มเดิมที แม่โยนสิ่งของของเขาทิ้งต่อหน้าต่อตา ในคราวหลังก็ใช้ป้าเอิบเอาไปคืน บางชิ้นคนคืนก็แอบงุบงิบเนื่องจากเห็นว่าข้าวของหลายชิ้นที่เขาเอามาให้นั้นเป็นเครื่องใช้ในครัวซึ่งที่บ้านยังไม่มี อาทิเช่น เครื่องบดเนื้อกับหม้อตุ๋นดินเผาอย่างดี

ระยะหลัง แม่กลายเป็นคนเกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกงแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมเห็นแม่จับปากกาเซ็นต์เองกับมือ ก่อนจะรับตู้เย็นซึ่งใหญ่กว่าอันเก่าซึ่งทางร้านนำมาส่งให้ตามคำสั่งซื้อของคนที่อยู่กรมทหารในขณะนั้น...
:hao4:

ผมไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันอะไร ถึงได้เกิดเรื่องร้ายขึ้นพร้อม ๆ กัน

ในระหว่างทาง เราเจอคนงานเฝ้ากระชังคนเมื่อวานวิ่งกระหืดกระหอบมา เมื่อสอบถามก็ได้ความว่า กระชังปลาของน้าแหววกำลังถูกนักเลงในชุดเครื่องแบบก่อกวนอย่างไร้สาเหตุ และเขากำลังไปตามนายอัดลมมาช่วย

อย่างทันทีทันใด ไอ้แชมป์รีบปลีกตัวจากผม เพื่อเรียกไอ้เป๊บซี่กับพรรคพวกมาเป็นหน่วยเสริม ขณะที่ผมขอตัวกลับก่อน เนื่องจากรู้สึกกังวลเกี่ยวกับคนที่บ้านจนไม่อาจขยายเวลาเพิ่มเพื่อเข้าไปยุ่งในเรื่องนี้ อีกอย่างผมเชื่อว่านายอัดลมสามารถจัดการปัญหานี้ได้

ขณะเดียวกัน ความเป็นกังวลของผมก็เกิดขึ้นจริงที่บ้านเรือนไทย

เสียงเอะอะของแม่ดังโหวกเหวกอยู่ด้านหน้าทางขึ้นบันได ในขณะป้าเอิบกับป้าอาบวิ่งชุลมุนเกือบจะชนกันเอง ดูอลหม่านเหมือนฝูงผึ้งกำลังแตกรัง

ที่ใต้ถุนเรือน ร่างผอมกระหร่องของจ่าอ้วนนอนชักกระตุกอยู่กับพื้น ตัวเกร็ง นิ้วมือนิ้วเท้าหงิกงอ  หนังตาปลิ้นกลับ ห่างกันออกไปเพียงเล็กน้อย ลุงแดร็กลงเข่านั่งคุดคู้อยู่ท่ามกลางกองเลือดสีแดงฉาน



 :jul1:


หัวข้อ: Re: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 17 : 4-12-64
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 07-12-2021 15:18:36
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 17 : 4-12-64
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 09-12-2021 19:46:34
เขียนดีมากๆ เลยครับ
หัวข้อ: Re: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 18 : 12-12-64
เริ่มหัวข้อโดย: Marakun ที่ 12-12-2021 07:59:46
[ 18 ]
คนแรกที่นึกได้


“อีเอิบ เอาช้อนมาใส่ปากจ่าอ้วนที”

แม่สั่ง และชี้ไม้ชี้มือ

“เอ็งจะวิ่งขวางทางข้าทำไม ฮึ..นังอาบ” ขณะที่ป้าเอิบทั้งตะคอก ทั้งผลักป้าอาบ ผมรีบถลันเข้าไปถามว่า

“เกิดอะไรขึ้นครับ ?”

“พ่อเอ้ย ! พ่อมหาจำเริญ มาได้เวลาประจวบเหมาะพอดิบพอดี”

อย่างทันทีทันใด ป้าอาบรำพึงหน้าตาตื่นตระหนก พลางยกมือขึ้นพนม  “ช่วยตาอ้วนก่อนเถิดพ่อน้ำ ขืนช้าไปกว่านี้ มีหวังลิ้นคับปากแท้หนา”

แม่ไม่พูดพร่ำทำเพลง ดึงกึ่งลากตัวผม พลางถลาตัวเข้าหาร่างซึ่งกระตุกเป็นครั้งคราว สองแรงของเราช่วยกันง้างขากรรไกรดั่งหินสลักของจ่าอ้วนอย่างทุลักทุเล จังหวะเดียวกันนั้นป้าอาบก็รับช้อนมาจากป้าเอิบ พันผ้าอย่างรวดเร็วสองทบ ก่อนจะทิ่มเข้าไปในปากของจ่าอ้วน

ท่ามกลางความโกลาหล ผมเหลือบตาไปทางลุงแดร็กที่ทรุดตัวลงนอนตะแคงกับพื้น สองมือหยาบกร้านของแกประคองมีดซึ่งปักอยู่กลางสะดือเอาไว้ เลือดสีแดงไหลจากปลายด้ามหยดลงพื้นอย่างต่อเนื่อง

เสียงโอดโอยแผ่วเบา สลับอาการหอบท้องเป็นพัก ๆ บ่งบอกว่าลมหายใจที่อ่อนแรงนั้นเริ่มช้าลงทุกขณะ เป็นสัญญาณเตือนเสมือนหนึ่งว่าอีกฟากโลกหนึ่งพญามัจจุราชกำลังกระตุกเวลาอย่างกระชั้นถี่ โดยไม่รีรอหรือมัวอ้อยอิ่ง

“ต้นน้ำ เอ็งไปตาม ‘ใคร’ ก็ได้ ช่วยส่งตามืดให้ถึงมือหมอโดยเร็วที่สุด” แม่ตะโกนอย่างร้อนรน “ปัดโธ่เอ้ย ! วันนี้ ผู้ใหญ่ก็ไม่อยู่เสียด้วย”

ภายในเศษเสี้ยววินาที ‘ใคร’ ที่แม่ว่านั้น คนแรกที่ผมนึกได้ก็คือนายอัดลม แต่ก่อนที่ขาสองข้างจะพุ่งเร็วกว่านรก แม่ก็สำทับว่า

“ไปตามอาของเอ็ง...เร็วเข้า”

อา....ชาญ
นั่นสิ ! ผมลืมเสียสนิท

จากตรงนี้ไป หากเทียบระยะทางระหว่างบ้านของอาชาญกับกระชังปลาของน้าแหววแล้ว เรียกได้ว่าบ้านหลังแฝดใกล้กว่าชนิดทิ้งห่างหลายกิโล

โถ โถ โถ ความคิดของหนวดจิ้งหรีดเอ้ย   :o12:



และแล้ว...

ท้ายที่สุด ผมก็หายใจโล่ง ในเวลาต่อมาก็หายใจขัด เนื่องจากไอ้แชมป์กลับบ้านไปพร้อมกับเมียใหม่ของอา…

หลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นให้อาชาญนำรถสปอร์ตของเธอ เอาร่างซูบเลือดของลุงแดร็กกับอีกหนึ่งไร้สติของจ่าอ้วนส่งโรงพยาบาลอย่างทันท่วงทีแล้ว หล่อนก็สอบสวนแม่เป็นการใหญ่

ผมเรียกการพูดคุยครั้งนี้ว่าสอบสวน เนื่องจากไม่ได้รับอนุญาตให้ร่วมวงสนทนาด้วย ทั้งที่ความเป็นจริงในเวลาเดียวกันนี้ ป้าเอิบก็สาธยายต้นตอทั้งหมดให้ผมฟัง ซึ่งพอจะสรุปได้ว่า

หลังจากลุงแดร็กไปลงอาคมทั้งตัวแล้วก็พุ่งมาที่นี่ พร้อมมีดก่อเหตุซึ่งเสียบเอวคาดผ้าคะม้า จ่าอ้วนรับหน้าที่เป็นคนพิสูจน์ความขลังของมัน แต่แล้วมือมีดก็ต้องผวาตาตั้งเสียเองจนกระทั่งลมบ้าหมูกำเริบ

สรุปแล้ว เรื่องทั้งหมดเกิดจากความเชื่ออย่างโง่เขลาโดยแท้

เวลาผ่านไป อีกอึดใจ ผมก็เห็นไอ้แชมป์ยืนชะเง้อชะแง้ อยู่ท่ามกลางความกว้างของลานบ้าน จึงผลุนผลันวิ่งลงกระไดก่อนที่มันจะขึ้นมาแล้วปะหน้ากับแม่เลี้ยงอย่างจัง

จากนั้น พาลัดเลาะใต้ถุนโล่งไปทางทิศเหนือ ลอดเงาต้นไม้ร่มรื่นซึ่งแม่ปลูกเอาไว้กินลูกรอบบ้าน

“ป้าจันว่าอย่างไร ?... ป้าจันไม่ยอมเหรอ ?”

ไอ้แชมป์ลั่นคำถามถึงสองครั้งระหว่างเดินผ่านไร่พริก เราสองคนหลบหนามมะกรูดอยู่หลายครั้ง  จนกระทั่งสุดเขตรั้วลวดหนาม ท่ามกลางซุ้มพริกไทยเตี้ยเสมอไหล่ มันจึงได้คำตอบจากผม

“ไม่ใช่แม่กู แต่...ของพ่อมึง” ผมว่า พลางทิ่มนิ้วที่อกอีกฝ่าย

“มึงกำลังจะบอกว่า มึงพากูมาถึงที่นี่ เพราะพ่อ...ตามหากู อย่างนั้นเหรอ ?” ใบหน้าไอ้แชมป์เริ่มมีสีเลือด

ผมสั่นหัว รีบอธิบายว่า

“ตอนนี้ ข้างบนนั้นมีผู้หญิงสามคน นอกจากป้าเอิบกับแม่แล้ว อีกคนก็ไม่ใช่พ่อมึงแต่เป็นเมียพ่อ”

อันที่จริง ถ้าป้าอาบไม่ขึ้นรถตามไปด้วย ข้างบนนั้นก็น่าจะมีสี่ยอดสตรี
 :hao3: :hao3: :hao3: :hao3:

หลังจากเล่าเหตุการณ์ในชั่วโมงก่อนให้ฟังอย่างคร่าว ๆ แล้ว  ผมก็นั่งลงใต้โคนต้นมะรุมต้นหนึ่ง  ไอ้แชมป์นิ่งอยู่สักพัก ก่อนจะตามมานั่งชันเข่า ซบใบหน้าลงบนฝ่ามือ

สิบกว่าปีที่เติบโตเคียงข้างกัน ผมตระหนักในความรักที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งมีให้กับพ่อของเขาเสมอมา ขุนเขาสาปยาที่เลื่องลือและขึ้นชื่อด้านอลังการอย่างน่าหวาดหวั่นก็ไม่เทียมเทียบใจดวงเล็กแต่มโหฬารรักของไอ้แชมป์

ชั่วครู่หนึ่งก็มีเสียงพูด ถึงแม้จะแผ่วเบา แต่ทว่าทำลายความเงียบระหว่างเรา

“ต้นน้ำ...มึงต้องพากูกลับไป” ผมเอี้ยวคอมอง เนื่องจากไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยินนัก สีหน้าของไอ้แชมป์ดารดาษไปด้วยความมุ่งมั่น

“ถ้าเลือกที่จะหนีอยู่ตลอดเวลา โอกาสที่จะได้พบกับความจริงตรงหน้าก็พลอยหมดไป บางทีการเลือกเจรจาพร้อมยื่นข้อเสนอบางอย่างอาจช่วยให้ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่บานปลายมากไปกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้... กูจำเป็นต้องคุยกับเขา”

“แต่ว่า...” ผมแย้ง

“มึงเองก็คงลำบากใจไม่ใช่น้อยที่ต้องทนฟังป้าจันพูด ถ้าไม่มีกูให้บ่น ก็ไม่มีเรื่องให้ต้องวุ่นวายใจ” ไอ้แชมป์พูดขัดจังหวะ

 ผมส่ายหัวเพราะไม่เคยรู้สึกเช่นนั้นเลย ขณะเดียวกันก็มองหาช่องทางเพื่อเปลี่ยนเลนส์ความคิดของอีกฝ่ายไปด้วย

“เออ ! เกือบลืมถามถึงเรื่องที่กระชังปลาของน้าแหววเลย”

ไอ้แชมป์นิ่งสักพัก จึงพูดว่า

“พวกอวดเบ่งน่ะ...” มันสลับท่านั่ง ก่อนจะเล่าต่อว่า

“นายตำรวจใหม่เพิ่งมาประจำการในสภ.เมือง พื้นเพของเขาเป็นคนอีกหมู่บ้านหนึ่ง จุดประสงค์จริง ๆ คงต้องการเหยียบจมูกลูกพี่มากกว่า  พอลูกพี่มาถึง เขาก็ถอยฉากกลับไป”

ไอ้แชมป์เห็นผมตั้งใจฟัง มันจึงพูดต่อ

“ไอ้เป๊บซี่บอกว่าตำรวจนายนี้เป็นอริเก่าของลูกพี่ ลูกชายคนโตของท่านดำริอย่างไรล่ะ พอลูกพี่สอบทหารได้ เขาก็ใช้เส้นสายเข้าตำรวจบ้าง มีพ่อเป็นรัฐมนตรีเสียอย่าง อะไร ๆ มันก็ดูง่ายไปหมด ใคร ๆ ต่างก็พูดว่า เลือกตั้งสส.ไม่ว่าจะกี่สมัย ท่านดำริมักเป็นเสือนอนกินเสมอ ในรอบนี้ก็คงแบเบอร์อีกเช่นเคย”

ผมนิ่วหน้า ดูเหมือนว่านายอัดลมกำลังจับอสรพิษข้างหางอยู่ ได้ยินแบบนั้นแล้วก็อดกระหวัดใจอย่างห่วงใยไปถึงอีกคนไม่ได้

“เจอเรื่องทำนองนี้เข้า น้าแหววคงตกใจน่าดู”

ไอ้แชมป์กลืนน้ำลาย อีกอึดใจต่อมา จึงมีเสียงพึมพำอย่างเบา ๆ

“ปากอาจจะบอกว่าไม่คิดอะไร แต่ในใจลึก ๆ คงหวั่นวิตกไม่ใช่น้อย ในเมื่อฝ่ายนั้นมีอิทธิพลเหนือฟ้าแถมวิชามารก็มาเหนือเมฆ” ได้ยินเสียงถอนหายใจดังแทรกระหว่างคำพูดของไอ้แชมป์

“ลูกพี่บอกน้าแหววว่าย้ายมารับตำแหน่งใกล้บ้านแล้ว อย่างน้อยก็น่าจะทำให้น้าแหววอุ่นใจได้อีกเปลาะหนึ่ง”

ไอ้แชมป์เชื่อมั่นลูกพี่ แต่ผมกลับไม่แน่ใจระหว่างคำว่าอุ่นใจกับร้อนใจ

น้าแหววจะอุ่นใจได้อย่างไร ในเมื่อสิ่งที่นายอัดลมกำลังท้าชนนั้น หาใช่ตอไม้ขาดใบที่ตายแล้ว แต่ทว่าตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง นอกจากลำต้นใหญ่โตกับแขนงที่แตกใบให้ร่มเงามากมาย กิ่งก้านของมันก็นับวันแต่จะผลิดอก ออกผล ขยายสาขาใหญ่ ทั้งแข็งแกร่งและเติบโต แผ่บุญคุณเบ่งบานเหนือสรรพสัตว์น้อยใหญ่

อย่างฉับพลัน...
 
ความคิดของผมสะดุดลงกึก เมื่อไอ้แชมป์พูดว่า

“ถูกแล้วล่ะ ที่พ่อตำหนิว่า กูน่ารังเกียจ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ทำให้ใครอื่นเขาพลอยเดือดร้อนไปทั่ว”





หัวข้อ: Re: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 18 : 12-12-64
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 13-12-2021 09:05:17
 :pig4:
 :L2:
หัวข้อ: Re: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 18 : 12-12-64
เริ่มหัวข้อโดย: กฤตย ที่ 13-12-2021 22:42:41
 o13 o13 o13
หัวข้อ: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 19 : 18-12-64
เริ่มหัวข้อโดย: Marakun ที่ 18-12-2021 20:26:00
[ 19 ]
คนสุดท้ายที่ได้เจอ


หลังจาก ไอ้แชมป์ขึ้นรถ ผมก็หมดเวลาไปกับการนึกทบทวน

โดยปกติ อาชาญเป็นคนระมัดระวังคำพูด ถนอมน้ำใจคนอื่นอยู่เนืองนิตย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนใกล้ตัว ผมไม่เคยได้ยินอาชาญหลุดคำหยาบคายเลยแม้แต่คำเดียว    เหตุใดจึงทำร้ายไอ้แชมป์ด้วยถ้อยคำรุนแรงเช่นนั้น

อาชาญมักจะลงท้ายคำพูดอย่างอ่อนโยนกับผมอยู่บ่อยครั้งว่า ‘ลูก’  ซึ่งฟังแล้วก็รู้สึกอบอุ่นใจ คำเหล่านี้หาได้ยากอย่างยิ่งยวดจากผู้ให้กำเนิดทั้งสองคน

อันที่จริง ถ้าหากผู้ใหญ่ผันกับเมียผู้ใหญ่จะเลือกใช้คำนี้กับผมในตอนนี้บ้าง ผมก็ไม่แน่ใจนักว่าจะรู้สึกอย่างไร

คง...จั๊กกะจี้ไม่ใช่น้อย

ก็...แหม ! ของมันไม่เคยนี่นา...  :-[

“มานั่งทำหน้าเหมือนหมาเบ่งขี้อยู่ตรงนี้เอง” แม่ทัก จากโคนส้มโอต้นหนึ่ง...อย่างแน่นอนที่สุด   แม่ตัวจริงต้องจัดจ้านอย่างนี้

“พ่อเอ็งรอคุยด้วยเป็นชั่วโมงแล้วนะ”

“อ้าว !..พ่อกลับจากประชุมนานแล้วเหรอจ้ะ”

“เออ ! สิวะ...”

“พ่อเรียกหาฉันทำไมเหรอจ้ะแม่”

“สงสัยจะวานให้เอ็งไปเฝ้าคอกควายแทนตามืดกระมัง” แม่คาดคะเน

ผมผลีผลาม ผละจากเปลอย่างทันท่วงที


ในห้องหนังสือ นอกจากตู้ไม้หลายหลังที่ใช้เก็บตำราโบราณซึ่งตกทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นแล้ว ที่โต๊ะทำงาน พ่อนั่งลำพังคนเดียวในชุดราชการสีกากี ผมเหลือบตาสำรวจโดยรอบอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่ามีใครบางคนอยู่ในนี้ไหม...

พอเอาเข้าจริง...นายอัดลมก็ไม่มาคุยกับพ่อแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มหยันให้กับความคิดของตนเองที่เผลอเอาแน่เอานอนกับคนประเภทเช้าสามเย็นสี่

จริงดั่งที่แม่คาดการณ์ ผมถูกพ่อไหว้วานให้อยู่โยงเฝ้าควายในตอนกลางคืน จนกว่าลุงแดร็กจะหายดีเป็นปรกติ อย่างน้อยก็หนึ่งสัปดาห์หรือบางทีอาจมากกว่านั้น

เมื่อคุยธุระกับพ่อเสร็จ ผมก็ออกมาซักไซร้แม่ถึงเบื้องหลังการสนทนากับผู้หญิงของอาชาญ

แม่เปิดเผยแค่ว่า เธอถามเกี่ยวกับการเรียนของผม พอแม่พูดเสร็จก็ขอดูผลการเรียนที่น่าปกปิดของเทอมนี้ มิหนำซ้ำเมียผู้ใหญ่ยังเล่นใหญ่ จนผมตะลึง...!!!

อย่างทันท่วงที ผมรีบรายงานข่าวเพื่อเปลี่ยนกระแสมรสุมว่า นายอัดลมได้ย้ายมาประจำการ ณ กองร้อยลาดตระเวนระยะไกล สถานที่ซึ่งพ่อของไอ้เป๊บซี่เคยจบชีวิตลงที่นั่นอย่างมีเงื่อนงำแล้ว

แม่อุทานด้วยถ้อยคำเผ็ดร้อน ขณะที่ผมลอบถอนใจอย่างโล่งอก จากนั้นแม่ก็ตรงปรี่ไปหาพ่อในห้องหนังสือ ทิ้งให้ผมนึกสงสัยอยู่ครามครันว่า

เจ๊เชอรรี่คิดจะทำอะไรกันแน่ ?

หล่อนถามเกี่ยวกับการเรียนของผม...!

อุต๊ะ ! แย่แล้ว...ผู้หญิงจุ้นจ้านคนนั้นต้องมีความคิดอยากคุกคามบุคลากรทางศึกษาแน่ ๆ
 :katai1:


ก่อนหน้าแสงสีทองจะลาขอบฟ้า ป้าเอิบถามผม ในขณะเก็บกวาดห้องบนหอคอยและเปลี่ยนผ้าปูที่นอนใหม่ว่า

“ให้ป้ามานอนเป็นเพื่อนไหม...? แน่ใจรึว่าพ่อน้ำอยู่คนเดียวได้”

“ได้สิ” ผมยืนยัน  “น้ำอายุสิบหกแล้วนะฮะ”

“ไม่กลัวผีแล้วรึ ?”

“ไม่...ถ้าผีมีจริง พี่กล้าก็ต้องปรากฏตัวให้น้ำเห็นสิฮะ แต่นี่...น้ำเองก็อยากถามพี่กล้าตั้งหลายเรื่อง” ผมพูด วางหมอนใบใหญ่ซึ่งหอบมาด้วย จากนั้นตบเบา ๆ ให้ขึ้นฟู

“อีกอย่าง น้ำก็ไม่เคยเห็นผีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว โลกใบนี้ไม่มีผีเป็นตัวเป็นตนหรอก ซึ่งนั่น...คือคำตอบสุดท้าย” ผมทำท่าชี้นิ้วอย่างนึกสนุก
“เพราะฉะนั้นแล้ว เหตุใดน้ำต้องเสียเวลากลัวต่อสิ่งที่มันไม่มีอยู่จริงด้วยล่ะฮะ ป้าเอิบมั่นใจเถอะครับ ต้นน้ำของป้าคนนี้เลิกกลัวผีมาตั้งนานนน...น... แล้วล่ะ” ผมคุยโขมง

คำยืนยันหนักแน่นของผม ทำให้ป้าเอิบบอกกับแม่ระหว่างมื้อเย็นว่า “พ่อน้ำของป้าโตเป็นหนุ่มแล้วจริง ๆ นะ แม่จัน”


คืนนี้ อากาศหนาวราวกับมีหิมะ

พอความมืดเข้าปกคลุมทั่วทั้งบริเวณ ความทรงจำเกี่ยวกับหนังผีเรื่องหนึ่งในคืนหิมะตกของสตีเฟนคิงส์ก็เริ่มหลอนผมอย่างเลวร้าย จากจินตนาการต่อสิ่งที่มองไม่เห็น ทั้ง ๆ ที่ผมอยากจะลบมันทิ้งไป

ท่ามกลางหอคอยเวิ้งว้าง ผมรู้สึกโมโหตัวเองที่ไม่รั้งไอ้แชมป์เอาไว้ อย่างน้อยถ้ามีไอ้แชมป์อยู่ด้วย ผมก็อุ่นใจ

ตึง ! ตึง !  ตึง !

เสียงประหลาดบางอย่างดังมาจากคอกของไอ้เผือก

ผมกระตุกไฟฉายของป้าเอิบกระชับเข้าแนบอก
อย่างไรก็ตาม การกดสวิทซ์ไฟเป็นสิ่งเลวร้ายอันดับหนึ่งซึ่งผมไม่ควรกระทำ เพราะแสงไฟคือตัวล่อทำให้วิญญาณร้ายมองเห็นตัวผม

อีกอึดใจใหญ่ต่อจากนั้น เสียงนั้นยังคงดังอย่างต่อเนื่อง สักพักก็มีกลิ่นควันไฟลอดช่องกระจกเข้ามา อีกทั้งแสงวูบวาบจากเพลิงกองเล็กที่ฝ่าความมืดขึ้นมาส่องกระทบบานหน้าต่างนั่นก็ด้วย

สติข้างในบอกผมว่า

นั่นไม่ใช่ผี แต่อาจเป็น...ขโมย
 
ผมลุกขึ้น แง้มบานกระทุ้ง กวาดตามองโดยรอบจากมุมบน เห็นใครคนหนึ่งตัวเตี้ยตัน และที่สำคัญมาแค่คนเดียว

ในห้องหนังสือ พ่อกำชับแล้วกำชับอีกว่า ถ้าเห็นขโมยให้ผมกดปุ่มสีแดงข้างเสา และสัญญาณหวูดจะแผดเสียงดังที่บ้าน จากนั้นชายฉกรรจ์ที่พ่อเกณฑ์เอาไว้จะยกโขยงแห่กันมาที่นี่

แต่ผมคิดว่า พ่อน่าจะภูมิใจมากกว่า ถ้าลูกชายของพ่อสามารถจับหัวขโมยที่เป็นแค่คนแคระได้

เจ้าหัวขโมยร่างแคระแกรนกำลังก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ในคอกอย่างชะล่าใจ

ขณะไต่ลงบันไดเวียนอย่างแผ่วเบา แขนสองข้างของผมก็กระชับไม้คมแฝกกับไฟฉายที่ถือติดมือมาด้วย ก่อนจะฝังตัวเข้าในเงามืดด้านหลังฟางแห้งกองหนึ่ง ผมขยับเท้าเข้าใกล้ฝ่ายนั้นทีละนิด ๆ

ทันใดนั้น เจ้าหัวขโมยก็เหยียดกายลุกขึ้นยืน เขาสูงอย่างน่าตะลึง สูงกว่าที่ผมคาดคิด

เป๊าะ !

เมื่อขาข้างหนึ่งพลาดโดนกิ่งไม้ การจู่โจมในเศษเสี้ยววินาทีจึงเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ผมบุกตะลุยโจมตีทันที พร้อมกับทำลายการมองเห็นของอีกฝ่ายด้วยแสงเจิดจ้าจากไฟฉาย

“โอ้ย !” เขาร้องเบา ๆ ขณะที่ตัวผมก็อุทานเช่นกันว่า

“ไอ้ขายาว !”





หัวข้อ: Re: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 19 : 19-12-64
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 29-12-2021 05:54:40
พี่อัดลมรึเปล่า
หัวข้อ: Re: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 20 : 28-1-65
เริ่มหัวข้อโดย: Marakun ที่ 28-01-2022 11:42:32
[ 20 ]
ในห้องนี้ บนเตียงนี้

ไม้ในมือซึ่งเงื้อขึ้น บัดนี้ถูกอีกฝ่ายเข้าผนึกอย่างชะงักงัน

 “คนขี้ขโมย...”

ผมกระชากศอก พยายามแย่งชิงความแข็งแกร่งจากนายอัดลมอย่างสุดพลัง ขณะมองเลือดซึ่งไหลเป็นทาง จากบริเวณหางคิ้วลงซีกแก้มขวาของเขา

“กาลเวลาเติบโตขึ้น แต่ความคิดของเอ็งกลับสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง”

เขาแยกเขี้ยวใส่ผม ขณะยื้อยุดกัน

“ถ้ารู้ว่า เอ็งตอบแทนคุณคนโดยการเอาเลือดหัวออกแบบนี้ ข้าปฏิเสธผู้ใหญ่ผันไปแล้ว”

“...?...”

“แล้วนี่...อยู่โยงเฝ้าควายประสาอะไร ฟืนแม้แต่ดุ้นเดียวก็ไม่มีไฟสุม ไอ้เผือกอยู่ไม่เป็นสุขเพราะเสียเลือดให้เหลือบลิ้นยุงไร แห่กันมารุมทึ้งเนื้อหนังของมันอีกเป็นโขยง” เขาตำหนิเสียงเข้ม

และ...นั่น ทำให้ผมเริ่มตระหนักในความเป็นความตาย

ถ้าหากไอ้เผือกถูกพวกแมลงรุมสูบเลือดอย่างหิวกระหาย กระทั่งอ่อนแอลงถึงขั้นล้มตาย ภารกิจแบบผู้ใหญ่ซึ่งเป็นงานชิ้นแรกที่ผมรับปากพ่อเอาไว้ก็ถือว่าล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า

จากนี้ คงไม่มีใครเชื่อและวางใจว่าผมโตพอ สามารถดูแลตัวเองได้โดยไม่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขของปู่จนกระทั่งอายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์อย่างที่พินัยกรรมส่วนที่หนึ่งบัญญัติเอาไว้        และนั่นหมายความว่าผมต้องรอไปถึงอีกสองปีจึงจะได้เห็นพินัยกรรมส่วนที่เหลือ บางทีนายอัดลมอาจเป็นสปายของพ่อ และมาที่นี่เพื่อจับผิดตัวผม

“เมื่อกี้ นายบอกว่าพ่อส่งมาเหรอ ?” ผมถาม ขณะรามืออย่างสงบ

“เอ็งคงไม่คิดว่าจะเป็นป้าจันดอกนะ” เขาตอบยียวน

“แต่...ตอนมื้อค่ำ ไม่เห็นพ่อพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย”

“พ่อผู้ใหญ่คงเข้าใจว่าข้าเล่าสู่เอ็งแล้วกระมัง แต่ก็อย่างว่านั่นแหล่ะ...ในเมื่อวันนี้ข้าไม่เห็นหน้าตาจิ้มลิ้มของเอ็งเลยทั้งวัน จะให้ข้าบอกเอ็งเวลาใดเล่า”

เขาต่อว่า พลางทุบหมัดขวากับอกตัวเองเบา ๆ เหมือนต้องการประท้วงผม

“ไม่ใช่นายรึไง ที่เป็นคนพูดว่าจะมาคุยธุระกับพ่อ” ผมโวยกลับ

“โอ... แสดงว่าเอ็งรอข้าทั้งวันเลยซีนะ” มุมปากข้างหนึ่งของเขาถูกยกขึ้น เท้าขยับเข้าหาผม
“ไม่คิดเลยว่าเอ็งจะเป็นคนลุ่มร้อนแบบนี้ ข้ากะเวลาผิดไป แค่นิดเดียวเอง ”

“นาย...พูดเฉย ๆ ไม่เป็นรึไง” ผมขู่พร้อมกับสะบัดใบหน้า ถ้าขืนไม่ทำเช่นนั้นนิ้วทั้งสิบของเขาอาจแปะลงข้างแก้มตัวเอง

เขาหัวเราะเบา ๆ เอ่ยเสียงยานคางอย่างเกียจคร้านว่า

“ข้าได้ยินมาว่า ช่วงเช้าพ่อผู้ใหญ่ไม่อยู่ ก็เลยแวะไปที่ค่ายมวยของพ่อครูก่อน แต่...กว่าจะปลีกตัวออกมาจากตรงนั้นได้ มาถึงบ้านเอ็งก็ตะวันคล้อยหลังเข้าแล้ว” ขณะพูด นายอัดลมก็โยนไม้ที่แย่งได้จากผมทิ้ง

"ระหว่างสนทนากับพ่อผู้ใหญ่ ข้าได้แต่เฝ้ามองเผื่อว่าจะเจอใครสักคนที่มีใบหน้าชวนมองบ้าง อุตส่าห์ตามหาถึงบ้านหลังแฝดในภายหลังก็ยังไม่พบ แต่นับว่ายังพอมีโชคอยู่บ้างที่บ้านนั้นเมตตา ข้าถึงได้อาบน้ำอาบท่ากับอิ่มท้องมื้อเย็นที่นั่น”

ถึงแม้นายอัดลมจะพล่ามเสียยืดยาวแต่ผมก็ตั้งใจฟังในสิ่งที่เขาพูด ด้วยหวังว่าอีกฝ่ายจะหลุดอะไรบางอย่างที่ช่วยให้ผมรับรู้ถึงบรรยากาศภายในบ้านหลังแฝด ระหว่างไอ้แชมป์และอาชาญ กับวันแรกในกรงทองของแม่เลี้ยง

ทว่าเขาไม่พูดอะไรต่อ นอกจากมองตาผมเหมือนตกอยู่ในภวังค์

ความหนาวทำให้เลือดที่ไหลจากหางคิ้วของเขาจับตัวกันค่อนข้างเร็ว ดูเหมือนว่านายอัดลมจะไม่รู้สึกอะไรกับบาดแผลนั้น ซึ่งตรงข้ามกับผมที่เห็นลิ่มเลือดของเขาตั้งแต่วินาทีแรก จึงอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามอย่างรู้สึกผิดว่า

“นายไม่เจ็บหน้าผากบ้างเหรอ ?”

เขายกมือขึ้น ลูบบริเวณปากแผล

“โอ๊ย...เจ็บ...เจ็บมาก”

ผมเชื่อว่าบางครั้งความรู้สึกของคนเราก็ไม่สัมพันธ์กับร่างกายนัก บ่อยครั้งที่ร่างกายของเรายืนหนึ่งแต่สติตามหลังอยู่อีกช่อง ผมเองก็เคยเป็นเช่นนั้นอยู่หลายครั้ง

ร่างสูงเพรียวของนายอัดลมเซไปด้านข้าง แต่ทว่าก่อนที่ตัวเขาจะทรุดลง ผมก็ตรงเข้าประคองเสียก่อน

จากนั้นลากขายาว ๆ ของเขาบังคับให้นั่งลงข้างกองเพลิงที่เขาเป็นคนสุมควัน เสร็จแล้วผมก็ขยับฟืนเพื่อให้บริเวณโดยรอบอุ่นขึ้นและสว่างอีกหน่อย

จำได้ว่าตอนเด็ก ผมหกล้ม หัวเข่าเปิด อาชาญนำหญ้าชนิดหนึ่งมาสมานแผลให้ รูปทรงใบโพธิ์ของมันมีสีเขียวสด ขอบใบหยักลึก ลักษณะนุ่มมือเหมือนสัมผัสกับผ้ากำมะหยี่  ห่างจากคอกของไอ้เผือกราวสิบค่อนก้าว ผมเห็นพุ่มหนึ่งกำลังขึ้นงาม

ในระหว่างขยี้ตัวยาอย่างลวก ๆ แอบชำเลืองตาไปทางนายอัดลม ก็รู้สึกเบาใจเมื่อเห็นสีหน้าของเขาแช่มชื่น
ไอ้เผือกเงียบเสียงลงแล้ว ขณะเดียวกันกองไฟก็หมดเชื้อแล้วเช่นกัน

หลังจากผมแปะตัวยาเสร็จ นายอัดลมก็ขยับตัวลุกขึ้น

“เฮ่...นายจะทำอะไรน่ะ ?” ผมตะโกน เมื่อเห็นอีกฝ่ายกระโดดตึงตังบนขั้นบันได

“หาที่นอนอุ่น ๆ”
 
“นายจะนอนบนนั้นไม่ได้นะ”

ผมวิ่งตาม ทำความเร็วติด ๆ กับเขา แล้วก็ยืนหอบ  ขณะที่นายอัดลมผลักบานประตูเข้าไปด้านใน เขาเปิดสวิทซ์ไฟ แล้วพูดว่า

“กว้างกว่าเวทีมวย แถมด้านหน้ายังมีระเบียงชมจันทร์ด้วย”

ในเวลานั้น ผมกำลังเข่นเขี้ยวอยู่ด้านหลังเขา

เดือนมืดซะขนาดนี้ นายยังจะมีอารมณ์ชมจันทร์อีกนะ !


“นายนอนในนี้ไม่ได้”

“เหตุใดข้าถึงนอนในห้องนี้ บนเตียงนี้ไม่ได้” เสียงของฝ่ายนั้นต่ำยะเยือกยิ่งกว่าอุณหภูมิในห้องเสียอีก

“เพราะว่าฉัน...ฉันนอนละเมอ บางทีก็ลุกขึ้นมาชกหมอนข้างแบบไม่รู้ตัว วันนี้นายต้องมาเจ็บตัวเพราะฉัน ฉันคิดว่า...ฉันคงไม่อยากจะทำให้นายต้องเจ็บตัวอีก”

ผมรู้สึกเหมือนกับ...แขนทั้งสองข้างถูกกระตุกอย่างแรง จนร่างกายส่วนหนึ่งกลายเป็นอัมพาต
รู้สึกว่า...อุ้งหมัดของผมตกอยู่ท่ามกลางความเข้มแข็งที่อบอุ่นซึ่งบัดนี้นายอัดลมกำลังเกาะกุมเอาไว้

 “ข้าไม่กลัวหมัดของเอ็งเลย ต่อให้ถูกต่อยจนตาย ข้าก็ยอม”

 “...”
 :pighaun:
ขณะนั้น...หัวใจของผมเต้นแรง ใบหน้าร้อนผ่าวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
ผมเผลอคิดว่า บางทีอาจเป็นเพราะ...หัวใจของผมยังไม่หายเหนื่อยจากการวิ่งก้าวกระโดดทีละสองขั้นบันไดก็ได้

จากอดีตที่ผ่านมา เนื่องจากนายอัดลมเป็นคนดื้อรั้น หากผมพยายามจะเอาชนะเขา สุดท้ายมักพบกับความปราชัยเสมอ
ในครั้งนี้กับเหตุผลแบบผู้ใหญ่ ผมจำต้องปลอบตัวเอง...

เอาเถอะน่า ไอ้น้ำ...มีคนนอนเป็นเพื่อนก็น่าจะดีกว่ามึงต้องนอนลำพังกับความกลัวอย่างหลับ ๆ ตื่น ๆ

ตัดสินใจดังนั้น  ผมจึงใช้หมอนใบหนึ่งเป็นอาณาเขต กั้นกลางระหว่างเขากับผม

พรุ่งนี้วันหยุดยาวสิ้นสุดแล้ว...ผมต้องไปโรงเรียนแต่เช้าด้วย




หัวข้อ: Re: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 20 : 28-1-65
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 31-01-2022 01:09:18
จีบกันน่ารัก
หัวข้อ: Re: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 20 : 28-1-65
เริ่มหัวข้อโดย: bebe ที่ 15-02-2022 01:43:31
งุยรอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 21 : 23-2-65
เริ่มหัวข้อโดย: Marakun ที่ 23-02-2022 20:32:46
[ 21 ]
ปฐมบทเสน่หา


“ที่นอนแคบ วางหมอนแบบนั้น จะหลับได้อย่างไร” เขาพึมพำที่ขอบเตียง

“ฉันหลับได้ก็แล้วกันน่า”
 
ผมตอบปัด ก่อนจะคลี่ผ้านวมออก เสร็จแล้วล้มตัวลงและหันหลังให้เขา อีกชั่วอึดใจเขาก็ลุกขึ้นปิดไฟ ครั้นแล้วที่นอนด้านข้างผมก็ยวบตัวลง ชายผ้าห่มถูกเปิดออก

 “นาย...จะทำอะไร ?” ผมคำรามในคอ

“วางใจเถิด ข้าไม่แย่งผ้าจากเอ็งดอก  แค่จะช่วยให้อุ่นขึ้น” เขาตอบ เสียงทุ้มต่ำ

ในเวลาต่อมา วงแขนแข็งแรงบวกบ้าบิ่นของเขาก็โอบรอบตัวผมจากด้านหลัง ลำตัวผมแข็งขืนโดยอัตโนมัติ

ถึงกระนั้นก็ดี ผมรู้สึกว่าวงแขนของเขาเหมือนรังไหมที่เข้มแข็งแต่อ่อนโยนและผนึกความอบอุ่นไว้ในคราวเดียวกัน ความรู้สึกที่มีอิทธิพลบางอย่างทำให้ใจข้างในหวั่นไหวอย่างน่าประหลาด

ขณะเดียวกันความคิดส่วนหนึ่งก็ตกอยู่ท่ามกลางความสับสน

ขณะนี้ ผมกำลัง...ถูกผู้ชายคนหนึ่งโอบกอด ตั้งแต่จำความได้ อาชาญก็เป็นอีกคนที่กอดผมแบบนี้เสมอ จนกระทั่งผมหลับ

ผู้ชายสองคน...ที่ให้ความรู้สึกแตกต่างกัน
ก็แหงล่ะ...
ทุก ๆ ครั้ง อาชาญไม่เคยทำจมูกยื่นแบบที่นายคนนี้กำลังทำอยู่...นี่นา ?

“ตาหวาน...” เขาเรียกผมเสียงแผ่วเบา ใกล้บริเวณซอกคอ

ท่ามกลางความปั่นป่วน ผมคิดว่าผมไม่สามารถขานตอบเขาได้

“เอ็งคงจะ...เกลียดข้ามาก เหมือนป้าจันสินะ ”

และเช่นกันความเงียบยังคงเป็นคำตอบสำหรับอีกฝ่าย


เวลานาทีผ่านไป...อย่างเชื่องช้า
ความรู้สึกของผมกลายเป็นความปั่นป่วนใจอย่างลึก ๆ

“หอมเหลือเกิน...” เสียงเขาครวญคราง ขณะที่ผมอยากจะลุกขึ้น แล้ววิ่งกลับบ้าน เพื่อโยนน้ำหอมของพ่อทูนหัวทิ้ง

เสียงสูดลมเข้าปอดจากด้านหลังดังต่อเนื่องยาวนาน หลายต่อหลายครั้ง      ยอมรับอย่างหน้าด้าน ๆ ผมไม่ได้รู้สึกว่าเขากำลังคุกคาม แค่จุดไวสัมผัสถูกเขาขยี้ ผมก็ลืมความคิดก่อนหน้านั้นทั้งหมด

นายอัดลมก็พรั่งพรูคำหยาบออกมาหลายคำติด ๆกัน    ต่อจากนั้นเขาก็ซุกปลายจมูกลงบริเวณท้ายทอยที่ไวต่อการสัมผัสของผมอย่างจาบจ้วงเหมือนเขาอดกลั้นเอาไว้ไม่ไหว   ในขณะเดียวกันสะโพกแข็งแกร่งของเขาก็ข่มเหงก้อนเนื้อหยุ่นบริเวณแก้มก้นผมอย่างบ้าคลั่งเช่นกัน



ผมได้ยินแค่เสียงหัวใจของตัวเองที่กระทืบโครมคราม ประหนึ่งว่าจะทะยานออกจากอก  ขณะนั้นรู้สึกว่าบั้นท้ายของผมสัมผัสกับอะไรบางอย่างซึ่งกำลังขยายตัวแข็งขึง อย่างรวดเร็ว อุ่นร้อนและแข็งแกร่งอย่างมีชีวิตชีวา ความร้อนรุ่มจากกลางกายของเขาแทรกเนื้อผ้าเข้าสู่ผิวเนื้อบริเวณนั้นจนข้างในหวามระริก

ผมกลืนของเหลวหนืดคออย่างยากลำบาก พยายามจะขู่อีกฝ่ายโดยลืมความจริงบางอย่างของเขาไป

“ถ้าไม่รีบเอาตุ้มพลังของนายออก สาบานได้ ฉันระเบิดมันแน่”

อย่างแน่นอนที่สุด นายอัดลมเด้งสะโพกและบดอัดสิ่งนั้นเข้ามาอย่างท้าทาย กดเน้น ๆ เนื้อตรงส่วนนั้น

“เอ็งจะทำอย่างไรเล่า”  เขายั่วเย้า น้ำเสียงกระเส่า

โดยทันทีทันใด ฝ่ามือของผมตะปบไปด้านหลังด้วยความเร็วแรง แต่แล้ว...

“อาส์...”

ผมกลับรู้สึกตกตะลึง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเสียงที่ระเบิดออกมานั้นเป็นของใคร ของเขาหรือว่าของผม รู้เพียงแต่ว่าข้างในตัวผมกำลังร้องหาพระเจ้า !

ตะปบฝ่ามือลงไปแล้ว ผมก็ตกอยู่ท่ามกลางความน่าอัศจรรย์ของนายขายาว...ตะลึงงันต่อความทรงอิทธิพลที่เลยล้นอุ้งมือของเขา

ริมฝีปากหนานุ่มคู่นั้นก็กำลังซุกซนอย่างร้ายกาจอยู่หลังใบหูของผม พลิ้วไหวแบบผู้ชำนาญกาม ความรัญจวนใจถูกเขาขยับจากบริเวณซอกคอเลยไปหาข้างแก้ม

ผมต้องกัดฟันแน่น พยายามข่มเสียงเอาไว้ด้านในอก ทั้ง ๆ ที่ความมืดดำในใจลึก ๆ อยากจะตะโกนออกมาอย่างหน้าด้าน ๆ อาจกล่าวได้ว่าหัวใจสั่นหวิวของผมแทบสะกดกลั้นความต้องการที่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนได้

 “ข้าคงจะซึ้งใจมากกว่านี้ ถ้าเอ็งจะช่วยขยับมือด้วย”
  เขากระซิบด้วยน้ำเสียงแตกพร่า ขณะเด้งสะโพกเข้ามา
ทุกถ้อยคำของเขาประหนึ่งมนต์กฤษณาที่ทำให้คนลุ่มหลง

เกินกว่าจะต้านทานไหว ฝ่ามือของผมซึ่งโอบท่อนลำที่เลยล้นของเขา กำลังขยับขึ้นไปยังส่วนบนตามคำบัญชาของอีกฝ่ายดั่งคนเสียสติ     ประสาทสัมผัสร้อนลุ่มรับรู้ได้ถึงกล้ามเนื้อตรงกลางบางส่วนของเขาที่กำลังเต้นตุบ ๆ รู้ถึงอาการตื่นตัวอย่างมีชีวิตชีวา สัมผัสถึงความดิบเถื่อนในตัวเขาที่เร่าร้อนเหมือนภูเขาไฟซึ่งพร้อมจะปะทุอย่างรุนแรงตลอดเวลา

ถึงแม้จะรู้ดีว่าการเดินทางสู่ปลายเปิดของปล่องภูเขาไฟมีอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่นักปีนเขาก็ยังคงหลงใหลกับความน่าตื่นตระหนกของมัน พวกเขาพร้อมที่จะเสี่ยงสักครั้งหนึ่งในชีวิตเพื่อผจญภัยให้ถึงจุดสุดยอดของมัน

 จู่ ๆ ความยิ่งใหญ่อลังการแห่งขุนเขาสาปยา กับนามระบือไกลของนายอัดลมก็ปรากฏขึ้นในห้วงความคิด

‘อัด แห่งเขาสาปยา’ กระถดถอยความมหึมาอย่างเชื่องช้า พลางสบถคำหยาบ ผมจำต้องละมือ รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังทำให้เขาทรมานอย่างแสนสาหัส     
อันที่จริง ผมควรจะดีใจไม่ใช่หรือไง ที่ทำให้อีกฝ่ายทรมานได้

แค่เพียงเศษเสี้ยววินาทีที่ผมลังเล ฝ่ายนั้นก็ใช้ฝ่ามือบังคับใบหน้าของผมให้หงายเงยขึ้น    ขณะผมกำลังอ้าปากจะประท้วง เขาก็ประกบริมฝีปากหนานุ่มลงมา กระแสสวาทที่เปียกชื้นในตัวเขาถลำลึกเข้ามาในโพรงปากผมอย่างเร่งเร้า

“หวานเหลือเกิน...” เขาเพ้อ ขณะดูดโคนลิ้นของผมอย่างช่ำชอง

ให้ตาย...จูบของเขา ทำให้ผมลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างแม้กระทั่งลมหายใจของตัวเอง    ดูเหมือนว่าธรรมชาติการเรียนรู้อย่างรวดเร็วในตัวผมกำลังตอบสนองต่อเขาเช่นเดียวกัน

ผมกำลังดูดลิ้น ตอบกลับเขาอย่างลืมตัว...

ของเหลวระหว่างเราถูกถ่ายเทซึ่งกันและกัน ทั้งของผมและของเขากำลังคละเคล้ากัน เหมือนชอกโกแลตผสมเข้ากับน้ำนม จนรู้สึกฉ่ำเยิ้มในความหอมและหวานมัน

“อืมมม...”

เขาครางในคอ เสียงสั่น ก่อนจะผละใบหน้าออกห่าง

“รู้บ้างไหม...ข้ากำลังตกหลุมเสน่ห์ของเอ็ง จนโงหัวไม่ขึ้นแล้ว”

ขณะนั้น ผมรู้สึกว่าตัวเองหายใจหอบ ร่างกายอ่อนปวกเปียก ป้อแป้ เหมือนคนที่ไร้เรี่ยวแรง นายอัดลมถลกชายเสื้อของผมขึ้น เลยหลุมสะดือขึ้นไป จากนั้นกองส่วนหนึ่งเอาไว้เหนือราวอก
   
สติอันน้อยนิดของผมร้องว่า ก่อนที่ทุกอย่างจะถลำลึกเกินกว่านี้ ผมต้องหยุดเขา

มือสองข้างของนายอัดลมกำลังซอกซอนราวกับหนวดปลาหมึก จากสะโพกไปยังสีข้าง และเลยไปถึงกระบังลม ผมรู้สึกวาบหวิวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน แต่ถึงกระนั้นก็พยายามรั้งมือของอีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนที่มันจะสัมผัสกับสองตุ่มนูนซึ่งเปรียบประดุจปุ่มระเบิดปรมาณูในตัวผม

“ได้โปรดเถิด...ต้นน้ำ ข้าต้องการเอ็ง”

เสียงแหบแห้งของเขาเว้าวอนทะลุความมืด

“ให้ข้า...ได้รักเอ็ง”

โดยไม่รอคำตอบ เขาเกลือกกลิ้งใบหน้าลงกลางสะดือ

 “อึ้มส์...”

เกินกว่าจะต้านทานไหว มันถึงคราวที่ผมต้องส่งเสียงบ้างด้วยเหตุที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง ลำตัวของผมหงิกงออย่างอัตโนมัติเพราะรู้สึกเสียวจนตัวสะท้าน ร่างกายบริเวณนั้นเหมือนถูกกระแสไฟในตัวเขาไหลผ่าน      ความต้องการของเขากำลังสร้างความปั่นป่วนในตัวผม

ผมกำลังพ่ายแพ้ต่ออำนาจชั่วร้ายของตัวเอง...


และแล้ว...
จู่ ๆ สิ่งมหัศจรรย์บางอย่างก็ร่วงลงมาจากเบื้องบน

อย่างทันทีทันใด นายอัดลมดีดตัวขึ้นกลางอากาศ ส่งเสียงร้องโหยหวนราวกับได้รับความเจ็บปวด

ทะลึ่งตัวแค่พรวดเดียว ผมก็ถึงสวิทซ์ไฟ

หลังจากนั้น ก็ไม่สามารถบังคับตัวเองให้หยุดหัวเราะได้ เพราะจิ้งจกหน้าตาเลิ่กลั่กตัวหนึ่งเกาะติดแผ่นหลังเปลือยเปล่า บนร่างแกร่งสมส่วนแต่ใบหน้าคมคายเสียทรงบิดเบี้ยวไป นายอัดลมกำลังแหกปากร้องขอให้ผมเอามันออก

จิ้งจกน่ารัก...หล่นลงมา เพื่อเป็นผู้พิทักษ์ของผมโดยแท้




หัวข้อ: Re: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 21(์์NC 18+) : 23-2-65
เริ่มหัวข้อโดย: anterosz ที่ 24-02-2022 15:21:10
ใครก็ได้ เอาจิ้งจกไปเก็บหน่อยยยยยย
หัวข้อ: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 22 : 31-3-65
เริ่มหัวข้อโดย: Marakun ที่ 31-03-2022 11:40:58
[ 22 ]
ฟ้ามืดหลังเงาเมฆ

“ประกาศ...นายนาวา ภูก้อนคำ นักเรียนชั้นม.4 ห้อง 5 เชิญพบผู้อำนวยการด่วน”  ประโยคตามสายในเวลาใกล้เคียง ดังไล่เลี่ยกันสามครั้ง

“มึงมาสายจนกระทั่งผอ.เรียกพบเลยเหรอวะ ?” ตามติดด้วยคำถามจากไอ้เป๊บซี่ซึ่งไม่รู้ว่าอีกฝ่ายห่วงใยหรือกำลังเยาะเย้ยผม ขณะเดียวกันผมก็รู้สึกโมโหตัวต้นเหตุที่ทำให้มาสาย

แต่ไหนแต่ไรมา ผมไม่เคยสนใจอัตลักษณ์แห่งบุรุษเพศมาก่อน เห็นของเพื่อนก็เหมือนกับเห็นของตัวเอง ไม่เคยรู้สึกอะไร  แต่เหตุใด...ความเสน่หาต่อความเป็นตัวตนของนายอัดลมจึงถีบตัวตื่นอย่างน่าหวาดหวั่นเช่นนั้น

กลางดึกในคืนที่ผ่านมา   ทั้ง ๆ ที่หนังตาพยายามชักม่านลงแต่ใจของผมกลับดื้อดึง กว่าผมจะข่มตาให้หลับได้ก็ปาเข้าไปเกือบค่อนคืน

ถึงแม้นายอัดลมจะไม่กล้าเข้าใกล้ผมอีกเพราะผู้พิทักษ์ข้างกาย อีกทั้งยอมทำตามคำสั่งโดยมีแค่เสียงบ่นเพียงเล็กน้อยให้ได้ยิน ในขณะเขานอนพลิกตัวไปมาอยู่บนพื้นซึ่งห่างออกไปอีกหลายช่วงตัว แต่ทว่าการกระทำสด ๆ ร้อน ๆ ของเขาก็สร้างความทรมานแก่ผมไม่ใช่น้อย

ชั่วโมงกระสับกระส่ายผ่านไปอย่างเชื่องช้า สิ่งหนึ่งถูกเฝ้าครุ่นคิดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สับสนอยู่กับความปรารถนาของตัวเอง    แม้กระทั่งในขณะซึ่งผมกำลังจ้วงขาตรงไปที่ตึกอำนวยการ คำถามที่ไม่มีคำตอบก็ยังคงวกวนอยู่   
   



เจ้าหน้าที่หญิงหน้าห้องผู้อำนวยการโรงเรียนเคาะประตูและพาผมเข้าด้านใน  บนเก้าอี้นวมฝั่งตรงข้ามกับผู้อำนวยการ ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งหลังตรงในชุดผ้าไหมสีเงินยวง มุ่นผมสีดำขลับถูกจัดทรงเป็นมวยต่ำไว้ด้านหลังศีรษะอย่างประณีต ปักด้วยปิ่นหยกสีงาช้างเข้าชุดกัน

“ดาวดังที่อยากเจอตัว...มาพอดีเลยครับ” หนุ่มใหญ่อายุใกล้วัยทองกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ผู้หญิงคนนั้นถึงได้เอี้ยวตัวมา

เจ๊เชอรี่...!

การเจอกันครั้งที่สอง คนของอาชาญก็ทำให้ผมรู้สึกประหลาดใจอีกครั้ง ผมยังไม่รู้จุดประสงค์ที่เธอมาเยือนถึงห้องผู้อำนวยการของโรงเรียนในวันนี้

“อ้าว ! นายน้ำ...สงสัยผมคงต้องกำชับคุณครูประจำชั้นเรื่องมือไม้ของเด็กนักเรียนสักหน่อยแล้วล่ะครับ” ผู้อำนวยการโรงเรียนกล่าวตำหนิกลั้วด้วยเสียงหัวเราะ ผมจึงยกมือขึ้น พลางโน้มศีรษะลง

“เป็นความผิดของดิฉันเองค่ะ ดิฉันจะเอาใจใส่เด็กในปกครองให้มากขึ้น” เสียงที่พูดออกตัวของเจ๊เชอรี่นั้น ฟังดูคล้ายกับคนเป็นหวัด

“เรื่องทุนการศึกษาที่ดิฉันบอกเอาไว้ ทั้งหมดขอให้ทางโรงเรียนสรรหาเด็กที่เรียนดีแต่ยากจน แล้วติดต่อกับคนของดิฉันให้จบเรื่องและเรียบร้อยภายในเดือนนี้...พอจะเป็นไปได้ไหมคะ ?”

“เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใดครับ เท่าที่ทางคุณได้อนุเคราะห์ให้คอมพิวเตอร์มา เราก็ใช้ประโยชน์ส่วนหนึ่งในการจัดเก็บข้อมูลของนักเรียน สามารถค้นประวัติของเด็กกว่าครึ่งหมื่นได้อย่างรวดเร็ว”

ผู้อำนวยการกล่าวอย่างเอาอกเอาใจอีกฝ่าย เขาขยับแว่นตาเล็กน้อย ก่อนจะหันมาทางผม

“แต่ว่า...เด็กคนนี้โดดเด่นในด้านกิจกรรมมาก เฉิดฉายเป็นดาวเสียจนผมไม่ต้องดูข้อมูลของเขาเลยล่ะครับ”

“แต่ถ้าการเรียนเด่นเหมือนกิจกรรม วันนี้ดิฉันก็คงไม่จำเป็นต้องมาที่นี่”

“ปัดโถ่ !...อย่ากังวลไปเลยครับ เรามีอาจารย์แผนกสอนพิเศษที่เยี่ยมยอด     แหม...อันที่จริง ถ้าผมรู้ตั้งแต่แรกว่า นายคนนี้อยู่ในปกครองของคุณ ผมจะเคี่ยวเข็ญอาจารย์ที่ปรึกษาอย่างหนัก ไม่ให้ปล่อยปละละเลยตามแต่ใจเด็กแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กสมัยนี้ ยิ่งเราปล่อยให้พวกเขาเลือกเส้นทางกันเองก็อาจหลงทางกันได้ง่าย ๆ ...คุณว่าอย่างนั้นไหมครับ...”

ดูเหมือนลิ้นของใครบางคนจะยาวขึ้นเรื่อย ๆ อีกสักพักก็คงจะถึงตาตุ่ม

ครั้นแล้ว...

“เห็นทีดิฉันต้องขอตัวลา”

พอสุภาพสตรีลุกขึ้น บุรุษก็ทำท่าจะลุกตามแต่ทว่าเขาจำต้องนั่งลงที่เดิม เมื่ออีกฝ่ายยืนยันหนักแน่นว่า

“เอ่อ...ไม่ต้องส่งให้ยุ่งยากหรอกค่ะ แล้วก็...ดิฉันต้องการคุยกับเด็กในปกครองเป็นการส่วนตัวด้วย”

เมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้อำนวยการหนุ่มใหญ่จึงพยักพเยิดให้ผมเดินตามหล่อนออกไป



ตรงโถงด้านหน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ชุดโต๊ะเก้าอี้หลายตัวว่างเปล่าอยู่ใต้โดมหลังคา เนื่องจากอยู่ในเวลาเรียน ถ้าหากเป็นเวลาพัก บริเวณนี้จะคลาคล่ำไปด้วยเด็กนักเรียนกับอาจารย์ที่ปรึกษา บ้างก็คุยกันเป็นกลุ่มอย่างเฮฮา แต่บางคนก็เสวนากับอาจารย์เพียงลำพังอย่างเงียบ ๆ หากมองไปทางด้านขวา ใกล้ต้นอินทนิล จะเห็นกระดานบอร์ดที่จัดวางเรียงรายโดยกลุ่มอาจารย์แนะแนว ซึ่งมีห้องพักครูซ่อนอยู่ด้านหลัง

ชายในชุดดำสองคนรีบกุลีกุจอจากโต๊ะตัวหนึ่งมาดึงเก้าอี้ให้พ้นขาโต๊ะ      พอเจ๊เชอรี่นั่งลง เขาก็โค้งคำนับ และทำแบบเดียวกันกับอีกตัวที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เสร็จแล้วก็มองผมอย่างนอบน้อม

ก่อนจะนั่ง ผมส่งยิ้มให้เขาเล็กน้อยที่มุมปาก


“ฉันจะไม่บังคับฝืนใจเธอ แต่อยากจะบอกว่าสิ่งที่ฉันกำลังทำเป็นความประสงค์ของคุณเพ็ญพักต์ ถ้าเธอมีใจรักอาทั้งสองของเธออย่างแท้จริง ฉันคิดว่าเธอต้องเลือก...”

ผู้หญิงของอาชาญเหล่ตามองจี้หยกของผม ในขณะพูด   เวลาเดียวกันชายชุดดำอีกคนก็ยื่นกระดาษหลากสีมาให้     มันคือตารางเรียนซึ่งก่อนหน้านี้ผมไม่เคยใส่ใจแม้แต่จะมอง

คำพูดบางคำของเจ๊เชอรี่ทำให้ผมเหลือกตาขึ้น อยากจะถามว่าหล่อนรู้จักอาเพ็ญดีแค่ไหนถึงอ้างเป็นตุเป็นตะแบบนั้น      อย่างไรก็ตามผมเลือกที่จะหยิบกระดาษมาจากชายชุดดำซึ่งยังคงโน้มศีรษะคอยท่าอยู่ ก่อนจะตอบกลับฝ่ายนั้นอย่างสุภาพว่า

“ถ้าคิดจะเรียนเพิ่ม ผมคงเรียนตั้งนานแล้วล่ะครับ”

“การเรียนของเธอแย่มากถึงมากที่สุด...”

ทว่า แม่เจ้าประคุณไม่คิดจะถนอมน้ำใจกันบ้างเลย

“เธอเป็นคนฉลาด แต่...โลกใบนี้อาศัยแค่ความฉลาดอย่างเดียวไม่สามารถนำพาตัวเองให้รอดพ้นจากปากเหยี่ยวปากกาได้หรอกนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคนคนนั้นไม่รู้จักการป้อนอาหารให้กับสมองของตัวเอง”
 
เพราะหล่อนเป็นคนพูดจาฉะฉานและตรงประเด็นเช่นนี้นี่เอง อาชาญถึงให้เธอเป็นคนจัดการทุกอย่าง แม้กระทั่งเรื่องของผม ซึ่งไม่น่าจะใช่เรื่องของหล่อน !

“ถ้าอาชาญเป็นคนบอกให้คุณทำ ผมคิดว่าคุณไม่จำเป็นต้องทำก็ได้ ดูเหมือนว่าอาชาญจะไม่ได้บอกคุณด้วยกระมัง  เรื่องการเรียนของพวกผมน่ะ...มีคนดูแลแล้ว และเป็นข้อตกลงที่พ่อกับอาเพ็ญสมัครใจที่จะให้คนนอกเข้ามาดูแล... ผมต้องขอบคุณสำหรับความหวังดี แต่ว่าผมกับไอ้แชมป์มีพ่อทูนหัวรับผิดชอบในเรื่องนี้แล้ว”  ผมบอกเธอ ขณะลุกขึ้นยืน

 เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่โต๊ะถัดไปทำท่ากระมิดกระเมี้ยนเมื่อผมเดินผ่านและยิ้มแห้ง ๆ ให้เธอ ยอมรับอย่างชาชินว่าตัวเองคุ้นเคยกับอาการเหล่านี้ของรุ่นน้องแล้ว ในบางครั้งบางคนส่งเสียงกรี๊ด ลอยแว่วตามหลังมาด้วยซ้ำ

“เธอไม่คิดบ้างเหรอว่า พ่อทูนหัวก็ต้องการเห็นผลการเรียนในทางที่ดีของเธอเหมือนกัน”

เสียงจากด้านหลังทำให้ขาของผมชะงัก

“อาของเธอ...บอกชั้นว่า พ่อทูนหัวยื่นคำขาดมาแล้ว ถ้าหากเทอมหน้านี้ผลการเรียนของเธอไม่ดีขึ้น ทางนั้นจะยกเลิกข้อตกลงทั้งหมด เธอรู้ใช่ไหมว่า ตัวเองกำลังทำให้แชมป์ซึ่งมีผลการเรียนดีมาโดยตลอด ต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย”




ผมเจอไอ้แชมป์ตอนเย็น หลังเลิกเรียนที่หน้าห้องธุรการ ในขณะลงทะเบียนเรียนพิเศษนอกเวลา นอกจากมันจะไม่ว่าอะไรในเรื่องที่ผมเล่าให้ฟังแล้ว ก็ยังเห็นดีเห็นงามด้วย

“กูว่าเขาคงรักพ่อมาก ถึงได้ยอมทำทุกอย่าง”

ไอ้แชมป์ให้ความเห็นเพียงแค่นั้น

“แล้วมึงอ่ะ...โอเคไหม ที่มีเค้าเข้ามาในบ้าน”

ผมถามเพราะรู้สึกห่วง ขณะกรอกเอกสารไปด้วย

“มีหรือไม่มีเขา พ่อก็รังเกียจกูเหมือนเดิม” มันถอนหายใจ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องพูด “เมื่อเช้ากูเจอป้าเอิบกำลังจะไปโรงพยาบาล แกบอกว่าเมื่อคืนมึงเฝ้าควายคนเดียว ถ้างั้น...คืนนี้กูไปนอนเป็นเพื่อนนะ”

ผมตอบตกลงโดยไม่ต้องคิด รู้สึกราวกับว่าความเครียดทั้งหมดถูกคลี่คลายลงแค่ประโยคนี้ประโยคเดียว




คืนนี้ป้าเอิบต้องนอนเป็นเพื่อนป้าอาบ สาเหตุจากลุงแดร็กมีอาการติดเชื้ออย่างรุนแรง  เนื่องจากพยาบาลเฝ้าไข้มีน้อย    หมอจึงให้ญาติช่วยกันเช็ดตัวผู้ป่วยบ่อย ๆ เพื่อลดอุณหภูมิของร่างกาย       พ่อบอกว่าถ้าลุงแดร็กรอดพ้นคืนนี้ไปได้ อาการก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ

เหตุการณ์กำลังหน้าสิ่วหน้าขวาน ทั้ง ๆ ที่ผมอยากบอกพ่อให้ยกเลิกความคิดเรื่องเฝ้าควายของนายอัดลมเสีย แต่ผมก็เลือกที่จะไม่พูด เพราะไม่อยากเห็นแม่เสียความรู้สึกมากไปกว่าที่เป็นอยู่ ถ้าหากได้ยินเรื่องนี้อีกเรื่อง
ขณะเดียวกันความคิดส่วนหนึ่งก็เชื่อว่าในเมื่อคืนนี้ผมมีไอ้แชมป์เป็นเพื่อนแล้ว นายอัดลมคงไม่กล้าทำอะไร สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องถอยฉากไปเอง

กว่าผมจะเก็บกวาดงานแล้วเสร็จ ผืนฟ้าก็กลายเป็นสีเทาหม่น ดาวดวงน้อยดวงใหญ่เริ่มดารดาษทอแสงเป็นประกายระยิบระยับ   

ไอ้แชมป์กำลังเดินย้อนมาด้วยความเร็ว ผมสาดไฟใส่มัน เพิ่งจะเห็นไอ้แชมป์ยิ้มเป็นครั้งแรกในรอบหกปี จึงเย้ามันว่า

“ไอ้เผือกหายเหรอวะ มึงถึงได้รีบขนาดนั้น”

“แถวนี้ไม่มีขโมยคนไหนที่ไม่รู้จัก ‘อัด เขาสาปยา’ หรอก...กูดีใจยิ่งกว่าเห็นเกรดสี่ ที่รู้ว่ามึงเข้ากันได้ดีกับลูกพี่”

ผมชักรู้สึกไม่ชอบมาพากล ขณะเดียวกันไอ้แขมป์ก็กำลังเดินเลยผมไป


“แล้วนั่น...มึงจะไปไหนวะ ?”

 “กูเห็นด้วยกับลูกพี่...ถ้ามีกูอยู่ด้วย มึงก็ให้ความสำคัญกับกู แทนที่จะเอาเวลาไปช่วยลูกพี่ดูแลต้นทานตะวันให้ออกดอกไวไว”

“........”

“กูคิดว่ากูกลับบ้านดีกว่า”

ไอ้แชมป์พูด แล้วก็เดินจากไป โดยไม่คิดจะมองสีหน้าของผมเลย

 o22


หัวข้อ: Re: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 22 : 31-3-65
เริ่มหัวข้อโดย: four4 ที่ 04-05-2022 13:19:35
อ่านแล้วสนุกเพลิดเพลิน ได้บรรยากาศท้องทุ่งจริงๆครับ รอตอนต่อๆไปนะครับ
หัวข้อ: Re: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 23 :1-6-65
เริ่มหัวข้อโดย: Marakun ที่ 01-06-2022 11:15:40
 :seng2ped:มีความผิดพลาดจากผู้เขียนเอง...
หัวข้อ: Re: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 23 : 1-6-65
เริ่มหัวข้อโดย: four4 ที่ 03-06-2022 12:02:44
ตาหวาน จะอดทนกับการยั่วของอิคนพี่ได้แค่ไหนเนี่ย
หัวข้อ: Re: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 23 :1-6-65
เริ่มหัวข้อโดย: Marakun ที่ 14-06-2022 21:09:20
 :pighaun: