พิมพ์หน้านี้ - I BITE :: Chapter.22 Count To Three (06/04/2560)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: mecinzano505 ที่ 20-01-2017 01:08:54

หัวข้อ: I BITE :: Chapter.22 Count To Three (06/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mecinzano505 ที่ 20-01-2017 01:08:54
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


___________________________________________



สวัสดีค่ะ เพิ่งเคยเอานิยายมาลงที่นี่เป็นครั้งแรกเลย
ถ้าทำอะไรผิดไปก็รบกวนช่วยแนะนำตักเตือนด้วยนะคะ

ฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่ะ
 :myeye:

FANPAGE : CINZANO 505 (https://www.facebook.com/cinzano505/)


#เดฟฟลอยด์


Content
0_ Yesterday's Pain (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57410.msg3561323#msg3561323)
1_ Such A Little Mouse (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57410.msg3561325#msg3561325)
2_ 'Round The City (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57410.msg3561329#msg3561329)
3_ Hard To Leave (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57410.msg3562160#msg3562160)
 4_ Cheap Vision (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57410.msg3562396#msg3562396)
 5_ Evictions On The Door (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57410.msg3562860#msg3562860)
 6_ Lack of Composure (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57410.msg3562969#msg3562969)
 7_ Lean On Me (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57410.msg3563099#msg3563099)
 8_ Don't You Want To Stay (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57410.msg3563312#msg3563312)
 9_ Tender Things (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57410.msg3563600#msg3563600)
 10_ Foxy Walk (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57410.msg3563674#msg3563674)
 11_ Something In You (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57410.msg3564270#msg3564270)
 12_ Buried Alive In The Blues (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57410.msg3564393#msg3564393)
 13_ Strange Brew (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57410.msg3564706#msg3564706)
 14_ Waiting In Vain (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57410.msg3564958#msg3564958)
 15_ A Punch And A Kiss (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57410.msg3564958#msg3564958)
 16_ As A Pain Killer (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57410.msg3564958#msg3564958)
 17_ Who'll Stop The Rain (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57410.msg3566169#msg3566169)
 18_ Behind The Wall (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57410.msg3566463#msg3566463)
 19_ Dancin' With Mr. Gray (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57410.msg3566723#msg3566723)
 20_ Unnatural Space (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57410.msg3571125#msg3571125)
 21_ Death of a Party (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57410.msg3602807#msg3602807)
 22_ Count To Three (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57410.msg3611036#msg3611036)
 22_ Count To Three (ต่อ)  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57410.msg3615540#msg3615540)



หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.0 Yesterday's Pain (20/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mecinzano505 ที่ 20-01-2017 01:13:05
0_
Yesterday's Pain


   คึ่กคึ่ก..ครืด..

   เสียงอะไรสักอย่างดังเข้าหู โดยไม่ต้องลืมตาขึ้นมอง ผมก็รู้อยู่กับอกว่ามันคือเสียงรถ รถที่ผมโบกได้จากข้างทางแล้วขออาศัยติดไปลงที่ไหนก็ได้ ที่ไหนก็ได้ที่จะไกลจากที่ผมเคยอยู่ได้มากที่สุด กระบะเก่าๆ ที่เป็นเหมือนเครื่องช่วยชีวิตในขั้นแรกของผม ถึงแม้จะนอนไม่สบายตัวนักก็เถอะ แต่ผมไม่อยู่ในฐานะที่จะคอมเพลนเรื่องนั้น ก็ช่างมันเถอะ

   รถเพิ่งหยุดตัวได้ไม่นาน ผมค่อยๆ เลิกผ้าที่ใช้คลุมตัวเองเอาไว้ตลอดคืนเพื่อกันหนาวและเม็ดทรายตีขยันตีอัดเข้าใบหน้า รวมไปถึงความร้อนจากตอนกลางวันด้วย แสงแดดที่เคยฉายเผาอยู่เหนือหัวตอนนี้กลายเป็นสีอมแดงไปเรียบร้อยแล้ว หลังกระบะถูกกระชากเปิด เผยให้เห็นร่างของชายวัยกลางคนท่าทางงุ่นงานชักช้าคนหนึ่ง

   “ไง ไอ้หนู เราถึงแล้ว” เขาพูดห้วนๆ ด้วยน้ำเสียงกระโชกโฮกฮาก ผมคงจะรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ถ้าไม่ติดว่าทำความเข้าใจไปเรียบร้อยแล้วว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะพูดไม่ดี แต่บางทีอาจจะติดการพูดแบบนี้จนกลายเป็นนิสัยไปแล้ว

   “ครับ เอ่อ ขอบคุณมาก” ผมพูดพลางค่อยๆ ขยับตัวลงจากท้ายรถ มองรอบตัวที่อะไรก็ดูแปลกตาไปหมด

   “มาทำธุระอะไรที่เมืองนี้ล่ะ ไม่รู้เหรอว่าเมืองนี้ ถ้าไม่ใช่ว่ามีพรรคพวกอยู่แล้ว ไม่ค่อยมีใครกล้ามาหรอกนะ โดยเฉพาะตอนกลางคืน” ชายคนเดิมพูดขณะที่มือง่วนกับการจัดกระเป๋าอยู่ข้างๆ

   ผม ไม่เคยรู้เรื่องแบบนั้นมาก่อน

   ตอนที่ขอติดรถไปด้วยได้ แล้วรู้ว่าเขาจะผ่านมาที่นี่พอดี ผมถึงโกหกไปว่ามีธุระที่นี่เหมือนกัน ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว ผมมันก็แค่คนที่หนีออกจากบ้าน ไม่สิ สถานที่แบบนั้นเรียกว่าบ้านไม่ได้ด้วยซ้ำ ผมก็เป็นเหมือนแค่หนู ที่ต้องรีบอพยพย้ายถิ่นเพราะโดนเจ้าของบ้านแอบวางยาเบื่อนานมากเกินไปจนร่างกายเริ่มรับไม่ไหวล่ะมั้ง?

   คุณไม่รู้หรอกว่ามันเลวร้ายแค่ไหน ที่ที่ผมจากมา

   เลวร้ายจนการพาตัวเองหนีมาทั้งๆ ที่ตัวเปล่า เศษเหรียญที่ติดอยู่ก้นกระเป๋ากางเกงก็ไม่ได้เป็นตัวช่วยการันตีเลยว่าผมจะรอด แต่ทั้งหมดนั่นฟังแล้วชวนให้รู้สึกดีกว่าการที่ต้องทนอยู่ที่เดิม คิดว่ายังไงล่ะ

   “แล้วมีที่พักหรือยังล่ะ” เขาเปลี่ยนคำถาม หลังจากที่เห็นผมไม่ตอบคำถามเมื่อครู่

   ที่พักเหรอ.. ผมเกือบหลุดยิ้มเย้ยชีวิตตัวเองออกมาแล้ว เตียงนอน หลังคากันอากาศที่เลวร้าย ผมคงรู้สึกดีกับมันมากกว่านี้ ถ้าความจริงที่ผมไม่มีอะไรเลยมันไม่ตำเข้ามากลางๆ สมองซะก่อน อย่างน้อยคืนนี้ก็ต้องนอนข้างทางไปก่อนล่ะมั้ง

   “ถ้าไม่มีที่พัก มาพักกับฉันก่อนก็ได้นะ คนเมืองนี้ไม่ใช่คนใจดีนักหรอก อืม แต่ก็ไม่ได้โหดร้ายไปซะทุกคน” เขาพูดยิ้มๆ เป็นยิ้มที่ชวนให้รู้สึกไม่ดี ผมเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่รอยยิ้มใจดีมีเอาไว้เพื่อหลอกคนโง่เท่านั้นแหละ ไม่มีหรอกการหยิบยื่นอะไรสักอย่างให้โดยไม่หวังผลตอบแทน

   โลกมันไม่ได้สวยแบบนั้นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว

   ถ้าอยากฉลาด ก็ควรจะรู้จักหลบหลีกซะบ้าง

   “ไม่ครับ ไม่เป็นไร ผมพอจะมีคนรู้จักอยู่บ้างแล้ว” แบง.. โกหกคำโตเลยล่ะ

   ผมลอบยิ้มหยันในใจ ขณะที่ใบหน้าแสดงออกอย่างเรียบเฉย

   “ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับที่ให้ผมติดรถมาด้วย ผมจะรีบหาเงินมาใช้คืนให้แทนค่าตอบแทน” ผมพูด ไม่ได้ตั้งใจจะขอติดมาฟรีๆ อยู่แล้ว

   ฟรี.. ไม่มีคำไหนน่าระแวดระวังและน่ากลัวเท่าคำนี้อีกแล้วล่ะในสารบบชีวิตที่ผ่านมาของผม

   “จริงๆ ไม่ต้องก็ได้ แต่ถ้านายอยากใช้คืนเพื่อความสบายใจ ฉันชื่อบ็อบ ทำงานอยู่ร้านขายอะไหล่มอเตอร์ไซค์อะไรประมาณนั้น แต่เอาเถอะ ถ้าอยากตามหาฉัน ถามใครก็ได้ในเมืองนี้ แล้วเขาจะบอกทางนายเอง”

   ผมยิ้มให้ ตบปากรับคำ ดูจากคำพูดแล้ว เขาคงเป็นที่รู้จักมักคุ้นของคนที่นี่ดี ถึงผมจะไม่ไว้ใจเขา แต่อย่างน้อยก็นับว่ายังมีโชคดีอยู่บ้างที่ได้รู้จักใครสักคนที่นี่ เผื่อฉุกเฉินคับขันอะไรขึ้นมา

   “ว่าแต่ไอ้หนู นายชื่ออะไรนะ” เสียงเรียกที่ดังขึ้น ดึงเท้าที่กำลังจะออกก้าวเดินให้หยุดชะงัก

   ใช่สินะ ผมยังไม่ได้แนะนำตัวเลย

   ..

   ผมเม้มปาก ชั่วครู่ที่เสียงเรียกชื่อเก่าๆ ดังเข้ามาในประสาท ผมเกลียดมัน เกลียดทุกอย่างที่เป็นอดีต รวมถึงตัวเองด้วย ชั่งใจอยู่สักพัก ก่อนจะตัดสินใจเมคชื่อใหม่ที่แว้บเข้ามาในความคิดพอดี

   “ฟลอยด์.. ผมชื่อฟลอยด์”

   บางทีถ้ามีเวลาคิดนานกว่านี้อีกหน่อย ผมอาจจะเลือกชื่ออื่นที่ฟังดูเพราะกว่านี้ แต่ช่างเถอะ มันก็แค่ชื่อ ไม่ได้สำคัญอะไรเท่าไหร่เลยในเวลานี้ เวลาที่ผมมีอะไรอย่างอื่นให้ต้องดิ้นรนสนใจอีกเยอะเพื่อชีวิตตัวเอง





   กริ๊งๆ..

   เสียงกระดิ่งดังเบาๆ กระทบใบหู ฟ้ากำลังจะมืด ผมเองก็เริ่มหิว ตัดสินใจอย่างคนสิ้นคิดว่าเงินที่เหลือติดอยู่น้อยนิด ควรจะเอามาซื้ออาหารดีๆ ที่อาจเป็นมื้อสุดท้าย ฉลองให้กับชีวิตใหม่ของตัวเองเงียบๆ คนเดียว

   ชีวิตใหม่ ชีวิตที่ความเจ็บปวดของวันที่เก่าๆ ไม่สามารถทำอันตรายผมได้อีก

   “รับอะไรดีคะ” พนักงานสาวผมบลอนด์เอ่ยทักขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

   ส่วนผมก็กวาดตาดูเมนูลวกๆ ที่ดูอย่างแรกก่อนจะเป็นชื่ออาหาร คงจะเป็นราคาล่ะมั้ง

   “เอา อันนี้ครับ” ผมชี้ไปมั่วๆ บนเมนูที่ราคาถูกเกือบสุดของร้าน แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เกือบจะทำให้   ผมหมดเงินที่ถือครองอยู่ พนักงานคนเดิมยิ้มกว้าง ก่อนจะเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์แล้วพูดอะไรสักอย่างกับพนักงานอีกคน

   ผมนั่งลูบแขนตัวเองอยู่ที่เดิม เริ่มระแวดระวังตัวขึ้นมาเองเมื่อเห็นเธอเดินกลับมาที่โต๊ะ “นี่ หน้าไม่คุ้นเลยล่ะ มาใหม่หรือว่าแค่ผ่านมาทำธุระล่ะ”

   “ผม เพิ่งย้ายมา” ผมนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนจะตอบไปตรงๆ เมื่อไม่เห็นประโยชน์ของการโกหกในเรื่องแบบนี้กับพนักงานร้านอาหารธรรมดาๆ

   “รสนิยมดีนี่ถึงได้ย้ายมาอยู่ที่นี่ ไม่เคยได้ยินกิตติศัพท์หรือว่าหลงใหลมันล่ะ” เธอถามคำถามที่ผมไม่เข้าใจออกมา

   “กิตติศัพท์.. หลงใหลเหรอ?” ผมทวนสิ่งที่เพิ่งได้ยิน เธอมองผมอย่างประหลาดใจ

   “อะไรกัน ไม่รู้หรอกเหรอเนี่ย เมืองนี้ไม่ค่อยมีใครอยากมาอยู่นักหรอก พวกที่ผ่านไปผ่านมาถ้าเลี่ยงได้ก็อยู่แค่คืนเดียวเท่านั้น เพราะอะไรน่ะเหรอ อืม..” เธอส่งเสียงคิดในลำคอ ดวงตากลิ้งเกลือกเหมือนกำลังพยายามนึกคำตอบที่เหมาะสมอยู่

   “เพราะมันเต็มไปด้วยอะไรที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ล่ะมั้ง ฉันอยู่มาตั้งแต่เกิดเลยมองเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วน่ะ แต่ก็นะ ในสายตาคนนอกก็คงจะเป็น ยา ปืน นักเลง แก็งค์ แล้วก็พวกอันตรายเยอะๆ มั้ง”   “ฟังดูคล้ายเป็นเมืองบาปดีนะ” ผมพูด ไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น จนอีกฝ่ายแสร้งหัวเราะออกมาแล้วยอมรับซะเฉย

   “ใช่แล้วล่ะ จะว่าแบบนั้นก็ได้ แต่เรามีอำนาจปกครองเดียวในที่นี่ ไม่ใช่ตำรวจหรอกนะ” เธอหลิ่วตาพลางขำเหมือนที่พูดเป็นเรื่องตลก

   ส่วนผมน่ะเหรอ..

   เริ่มรู้สึกเหมือนเลือกที่ลงผิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกล่ะ

   ผมเบือนหน้าออกไปด้านนอกหน้าต่างของร้าน ฝั่งตรงข้ามเป็นร้านสะดวกซื้อเก่าๆ ตั้งอยู่อีกฟากของถนนเลนส์เล็กๆ ด้านหน้ามีโคมไฟห้อยอยู่ ให้ความสว่างที่ดูไม่เพียงพอเท่าไหร่ถ้าเทียบกับความมืดรอบๆ

   หน้าร้านมีฮาร์เลย์คันใหญ่สีดำจอดนิ่งสนิทอยู่ตามลำพัง ผมมองว่ารถนั่นเท่ดี แต่ตัวผมเองคงไม่มีปัญญาขี่มันแน่ๆ ในชีวิตนี้

   สักพักหนึ่งก็มีใครสักคนผลักประตูออกมาจากร้านขายของ ร่างกายสูงใหญ่สวมเพียงเสื้อกล้ามสีดำสนิทกับกางเกงยีนส์สีทะมึน ดูเหมือนเมื่อกี้จะเข้าไปซื้อบุหรี่มาเพราะทันทีที่ออกมาเขาก็ใช้มือแกะพลาสติกที่ห่อซองบุหรี่ เขวี้ยงมันลงพื้นอย่างไม่ใยดี แล้วก็หยิบของในซองขึ้นจุดสูบ

   แค่ทำท่าทางง่ายๆ แบบนั้น ผมกลับรู้สึกได้ถึงรัศมีอะไรบางอย่างที่ลอยออกมาจากตัว มันบีบให้รู้สึกประหม่า.. บางทีอาจเลยไปจนถึงขั้นหวาดกลัว

   ทั้งๆ ที่เขายังไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการสูบบุหรี่นิ่งๆ อยู่ข้างมอเตอร์ไซค์นั่นเลย

   “นั่นใคร” ผมถาม ดวงตาจ้องมองไปที่คนคนนั้นไม่วางตา “คนนั้นน่ะ”

   พนักงานผมบลอนด์มองไปทิศทางเดียวกับผม

   “นั่นเขาล่ะ เดฟ เขาคือคนหนึ่งในแก็งค์ที่ดูแลที่นี่” เธอพูด ก่อนที่โทนเสียงจะจริงจังขึ้น “นี่ในฐานะที่นายเพิ่งย้ายเข้าเมืองมาใหม่ ถึงจะไม่ใช่หน้าที่ของฉันที่ต้องมาแนะนำใคร แต่ฉันขอเตือนเลยดีกว่า อย่าไปยุ่งกับผู้ชายคนนั้นโดยไม่จำเป็น”

   ผมละสายตาจากภาพตรงหน้าแล้วหันกลับมามองพนักงานหญิง

   ทำไม?

   คำถามสั้นๆ เกิดขึ้นในใจ

   ไม่ต้องรอให้เอ่ยปากถาม เธอก็พูดต่อขึ้นทันที

   “เขา.. ฉันหมายถึงพวกเขา เขาทุกคน แก็งค์ของเขาด้วย พวกนี้จะทำหน้าที่คล้ายๆ อ่าา​ ฉันจะอธิบายยังไงคนนอกถึงจะเข้าใจล่ะ..” อีกฝ่ายยกมือขึ้นกุมขมับ เรียบเรียงคำพูดในหัวแล้วปล่อยออกมาช้าๆ

   “คือพวกเขาทำหน้าที่คล้ายๆ สุนัขลาดตระเวณน่ะ เขาสอดส่อง ดูแลความเรียบร้อย แล้วก็คุ้มครองพวกเรา ตราบใดที่เราไม่ยื่นมือยื่นเท้าเข้าไปยุ่งกับธุรกิจหรือชีวิตส่วนตัวของเขา ทุกอย่างก็จะโอเคเอง” ผมมองอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ พยายามทำความเข้าใจสิ่งที่เพิ่งได้ยินให้ได้ไวที่สุด

   “เพราะฉะนั้น ทำตัวเงียบๆ แล้วอยู่ให้ห่างที่สุดเท่าที่จะทำได้ เข้าใจใช่ไหม.. ที่ฉันพูดเนี่ย ฉันจริงจังนะ”

   เธอย้ำ

   ผมมองลอดออกไปทางหน้าต่างอีกครั้ง ก่อนจะหลุดสะดุ้งออกมาแรงๆ เมื่อประสานสายตากับผู้ชายคนนั้นพอดี ความมืดรอบตัวเขาไม่ทำให้ผมเห็นเขาชัดนัก แต่ดวงตานั่นจ้องมองมาทางผมนิ่ง มันหยุดเกือบทุกกลไกลในร่างกาย ปลายนิ้วผมเย็นเยียบ ขณะที่สายตาเหมือนโดนดูดเข้าไปในการมองครั้งนั้น

   ดวงตาคู่นั้น..

   ถ้าพวกเขาโดนเปรียบเป็นพวกลาดตระเวณจริง

   ผมก็คงภาวนา และตั้งใจอย่างเต็มที่

   ในการที่จะไม่เอาตัวเองไปเกี่ยวข้องหรือเป็นเหยื่อในวงจรนั้น



   อย่างเด็ดขาด




[ end intro. ]

____


1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.1 Such A Little Mouse (20/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mecinzano505 ที่ 20-01-2017 01:17:44
1_
Such A Little Mouse



   ใบหน้าของผู้ชายคนนั้นยังติดค้างอยู่ในความทรงจำ

   มันฝังลึกอยู่ในหัวสมอง โดยเฉพาะดวงตา

   หลังจากการจ้องมองร่างสูงผ่านกระจกของร้าน ผมก็เห็นเขาเดินข้ามถนนแล้วผลักประตูร้านเข้ามา วินาทีนั้น อยู่ดีๆ ร่างกายก็รู้สึกเกร็งขึ้นฉับพลัน เหมือนปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติเวลาอะไรที่น่ากลัวเข้ามาอยู่ใกล้

   และเขาคือหนึ่งในคำจำกัดความนั้นเลยล่ะ

   ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งบนโต๊ะที่อยู่ห่างออกไป พูดคุยกับผู้ชายตัวเล็กๆ คนหนึ่งซึ่งผมไม่เห็นหน้า ใบหน้าดูผ่อนคลาย แล้วก็มีความใจดีแผ่ออกมาบางเบา ผมลอบสังเกตตัวเขาเป็นระยะโดยไม่รู้ตัว จนผู้ชายตัวขาวอีกคนลุกออกจากโต๊ะไป

   ผมรีบหลุบตามองอาหารที่ตัวเองสั่งมาอย่างรวดเร็ว เมื่อเผลอสบตาเข้ากับอีกฝ่ายที่มองมาพอดี ใบหน้าใจดีเมื่อสักครู่ ตอนนี้เปลี่ยนไปกลายเป็นเรียบเฉย เสียงของพนักงานหญิงที่พูดเจื้อยแจ้วเล่านู่นเล่านี่ไม่หยุดไม่เข้าหูเลยแม้แต่คำเดียว

   ความกดดันอึดอัดเกิดขึ้นกินเวลาสักพัก ก่อนที่เขาจะลุกออกจากร้านไป

   สายตาที่คาดเดาความรู้สึกไม่ได้นั่นติดค้างอยู่ในหัวผมตลอดเวลา ตั้งแต่ตอนนั่งอยู่ในร้านนั้น จนกระทั่งเดินออกมาแล้ว

   เสียงรถยนต์ดังผ่านไปมาข้างหู ผมเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ ตามถนนที่ไม่รู้จัก ผู้คนดูแปลกตาไปจากสถานที่เก่าที่ผมจากมา บ้านช่องก็เช่นกัน ความมืดปกคลุมรอบตัวอย่างสมบูรณ์แบบ แสงไฟตามข้างทางเปิดส่องแสงทำหน้าที่แทนดวงอาทิตย์

   ผมครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ตัวเองเพิ่งกระทำไป การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต นับจากครั้งแรกเมื่อสามปีที่แล้ว

   แต่ทุกอย่างก็ดูจะง่ายขึ้นในตอนนี้.. ตอนที่ผมเหลืออยู่ตัวคนเดียว

   “เห้ย คนนั้นน่ะ..” เสียงเรียกที่ดังขึ้นอย่างไม่ระบุตัวตนเรียกสายตาผมให้หันไปมอง ความรู้สึกไม่ปลอดภัยเริ่มวิ่งเข้าเตือนเมื่อสายตาผมปะทะเข้าตรงๆ กับเจ้าของเสียง ผู้ชายผอมสูง เดินมาเป็นกลุ่มกับคนอื่นอีกสองคน

   “สนใจไปเที่ยวด้วยกันมั้ย” ผู้ชายคนเดิมพูดขึ้นมาอีก ขาก้าวประชิดตัวพร้อมกับรอยยิ้มเป็นมิตรเกินเหตุที่ถูกวาดขึ้นบนใบหน้า

   จะประเดิมกันตั้งแต่คืนแรกเลยใช่ไหม

   นี่เป็นการรับน้องใหม่ของเมืองนี้หรือว่ายังไงล่ะ

   “ไม่ครับ” ผมพยายามตอบให้ดูสุภาพที่สุด ก่อนจะหันหลัง แต่ไหล่ก็ถูกดึงไว้โดยใครคนหนึ่งในกลุ่ม

   “นี่ ถ้าไม่อยากไปเที่ยว ไปทำอย่างอื่นล่ะสนใจไหม”

   “ไม่ครับ ผมขอตัว” ผมตอบด้วยเสียงหนักแน่น ตั้งใจจะพาตัวเองออกจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด แต่รู้ตัวอีกทีรอบตัวผมก็ถูกล้อมเป็นวงซะแล้ว

   แบบนี้ไม่ดีแล้วล่ะ

   จะไม่ปล่อยกันง่ายๆ เหรอ

   “อย่าให้มันเยอะเเยะเลยน่ะ คืนละเท่าไหร่ล่ะ” ประโยคนั้นทำให้ผมกำมือแน่น เล็บจิกเข้าไปในเนื้อจนรู้สึกเจ็บเพื่อข่มทุกความไม่พอใจและควบคุมการตอบโต้กลับ

   ดูท่าจะเป็นเมืองบาปได้จริงๆ ซะแล้ว ที่นี่

   ซื้อบริการกับผู้ชายได้ง่ายๆ แบบนี้ข้างถนน มันก็ไม่ธรรมดาแล้วล่ะ

   “ผมไม่ได้ขาย” ผมตอบ จ้องลึกเข้าไปในตาของพวกนั้นตรงๆ พวกมันหัวเราะเสียงดังออกมา ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นไม่พอใจด้วยความเร็ว ใบหน้าถมึงทึงพวกนั้นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกหวาดกลัวได้เท่าที่ควรจะรู้สึก

   พวกมันสบถด่าออกมาหยาบคายเสียงดัง แต่ผมก็แค่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น

   ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดๆ เลยก็คือ สามคนกับเสียงดังๆ ที่พยายามตะเบ็งออกมาจากคอตอนนี้ ยังน่ากลัวได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของผู้ชายนิ่งๆ คนนั้นที่ร้านอาหาร ยังน่ากลัวได้ไม่ถึงเศษเสี้ยวของสิ่งที่ผมต้องเจอทุกวันเมื่อก่อนนี้เลย

   “อาโนล ทำแบบนั้นไม่ดีเท่าไหร่มั้ง” เสียงใครสักคนขัดวงขึ้นมาเรียบๆ ผมไม่เห็นหน้าเขา เนื่องจากมันดังมาจากทางด้านหลัง แต่สีหน้าของผู้ชายที่เป็นผู้ตะคอกผมอยู่เมื่อกี้

   สีหน้าเขาเผือดลงไปเลย

   “เดฟ..” เดฟ?

   ผมค่อยๆ หันไปด้านหลังช้าๆ ก่อนจะเจอเข้าจังๆ กับผู้ชายคนนั้นที่ร้านอาหาร ร่างสูงในชุดเสื้อกล้ามสีดำเข้ากับกางเกงยีนส์ขายาวเหมือนเดิม คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อย ขณะที่สายตาสบเข้ากับผมพอดี

   “ผู้ชายคนนั้นเป็นคนของฉัน อีกสามวันนายก็จะไปจากเมืองนี้แล้วนี่ ไปเงียบๆ แบบไร้ประวัติจะไม่ดีกว่าเหรอ” เขาก้าวเท้าเข้ามาใกล้ขึ้นช้าๆ บุหรี่ที่คาบอยู่ที่ปากถูกดูดเข้าปากเฮือกใหญ่ ก่อนจะทิ้งลงพื้นแล้วดับลงด้วยแรงเหยียบจากฝ่าเท้า

   “ยังไม่ไปอีก ฉันพูดไม่ชัดเจนหรือว่าไง” ดวงตาสีเข้มลากขึ้นจ้องตาคนที่ชื่ออาโนลเขม็ง ฝ่ามือที่วางอยู่บนไหล่ผมปล่อยออก

   “ได้เดฟ เรากำลังจะไปกันพอดี” พวกเขาพูดพลางปราดมองผมไวๆ แล้วหันหลังเดินกลับไป

   ผมไม่ชอบบรรยากาศในตอนนี้มากกว่าเมื่อครู่นี้ซะอีก

   มันเป็นความรู้สึกของการตกเป็นรอง

   จากอีกฝ่ายที่ผมไม่รู้จักดีพอ แล้วก็รับรู้ได้ถึงอิทธิพลที่มากกว่าตัวเองด้วย

   “นายเป็นคนที่นั่งอยู่ที่บุชคอร์เนอร์นี่” เขาถามขึ้นมาเอื่อยๆ ดวงตาจ้องมองผมอย่างประเมิน

   “ใช่”

   “สัญจรหรือว่าย้ายมาใหม่” บุหรี่ตัวใหม่หยิบขึ้นมาคาบไว้ ริมฝีปากมีสีคล้ำเจืออยู่ทำให้พอรู้ว่าคนตรงหน้าเป็นคนที่สูบหนักพอสมควร

   “เพิ่งย้ายมา” ผมพยายามตอบให้ประหยัดคำพูดที่สุดเท่าที่จะทำได้ มีลางบางอย่างกู่ร้องอยู่ภายในว่าไม่ควรพูดคุยกับคนตรงหน้านานๆ

   “งั้นเหรอ” เขาถามเสียงสูง มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง “พักอยู่ที่ไหนล่ะ”

   “คุณจำเป็นต้องรู้ด้วยเหรอ” ผมถามสวนกลับไป หนึ่งทางของการหลีกเลี่ยงการตอบคำถามนั้น ใช่สิ ก็เพราะผมไม่มีที่พักยังไงล่ะ

   บอกว่าเพิ่งย้ายมาใหม่ แต่ไม่มีแม้แต่ที่ซุกหัวนอนมันจะไม่ดูแปลกประหลาดเกินไปหน่อยหรือไง

   “ก็ไม่จำเป็นหรอก นายก็ไม่จำเป็นต้องตอบเหมือนกัน” เขาพูดด้วยท่าทางสบายๆ ก่อนจะก้าวเท้าเข้ามาใกล้อีกก้าวหนึ่ง

   รอยยิ้มถูกจุดขึ้นริมมุมปากเมื่อเห็นผมนิ่งแข็งไป

   “แต่ฉันแนะนำให้ตอบจะดีกว่านะ”

   ผมเบือนหน้าหนี ในใจสั่นระรัวจากความกดดันกลัวอะไรสักอย่างที่ผมไม่แม้แต่จะรู้ว่าคืออะไร

   เขาไม่ได้แสดงท่าทางข่มขู่คุกคามออกมาตรงๆ

   แต่ตรงกันข้าม ท่าทางการวางตัวสบายๆ เรียบเรื่อยนั่นยิ่งเสริมบรรยากาศรอบตัวให้ถมึงทึงกดดันเข้าไปมากกว่าการแสดงออกตรงๆ ด้วยซ้ำ

   บางทีที่เซร่า พนักงานร้านอาหารคนนั้นพูดอาจจะไม่เกินจริงก็ได้

   แค่คุยด้วยไม่กี่ประโยค ผมก็สำเหนียกตัวเองได้แล้ว ว่าไม่มีอะไรไปสู้กับคนตรงหน้าเลยสักนิด

   “ไม่มีที่อยู่เหรอ”

   ผมชะงัก รอบตัวนิ่งเงียบ ก่อนจะเบิกตาเล็กน้อยเมื่อได้ยินประโยคต่อมา

   “ถ้าคืนนี้ไม่รู้จะนอนไหนก็มากับฉันสิ” ผมมองเขานิ่ง พยายามมองหาความหมายที่แฝงอยู่ในคำเชิญชวนนั้น

   ถ้าเขาหมายถึง นอนในความหมายเดียวกับที่อาโนลพูดล่ะ

   บางทีท่าทางระวังตัวอาจจะถูกแสดงออกมามากเกินไป ผมก้าวถอยหลัง ดวงตายังจับจ้องใบหน้าหล่อเหลาตรงหน้าไม่วางตา

   อีกฝ่ายยิ้มขำเมื่อเห็นผมทำแบบนั้น

   “อะไรทำให้หนูตัวเล็กๆ ต้องระแวดระวังตัวเองมากขนาดนั้นเหรอ” เขาพูดขณะคาบบุหรี่มวนยาวไว้ในปาก “แต่รู้ไหมว่านั่นไม่ใช่คำขอหรอกนะ.. เข้าใจที่สื่อหรือเปล่า”

   ผมกลืนน้ำลาย เหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากมากเข้าแล้วจริงๆ

   รู้สิ..

   ผมมองดวงตาที่ฉายแววขันออกมาเล็กๆ

   รูปประโยคแบบนั้น น้ำเสียงที่พูดออกมาขัดกับท่าทางโอนอ่อน

   มันหมายถึง ผมต้องไป

   การตัดสินใจเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ไม่มีเวลาเหลือให้คิดนานมากนัก

   “เข้าใจ” ผมตอบ มือกำชายเสื้อตัวเองไว้แน่น เหงื่อชื้นซึมไปหมด

   “ดี” เขาเลิกคิ้วตอนที่ได้ยินคำตอบ ใบหน้าพยักเบาๆ สองสามที ก่อนจะพยักเพยิดให้ผมเดินตามไปเรื่อยๆ

   ถ้าเขาหมายถึงนอน แบบเดียวกับที่พวกนั้นหมายถึงจริงๆ ล่ะ..

   ความคิดในหัวผมทำงานอย่างหนัก คิดเยอะเเยะไปหมดจนเริ่มรู้สึกล้าตรงเบ้าตาและขมับ ผมเดินตามหลังอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ ร่างกายสูงใหญ่แข็งแรง ผิวแทน ผมสีดำสนิทเหมือนเสื้อที่สวมใส่อยู่ หัวไหล่และแขนที่โผล่พ้นแขนเสื้อมาก็มีมัดกล้ามแบบที่ถ้ามีเรื่องกัน ผมคงจบเหตุการณ์นั้นด้วยการโดนน็อคสลบแน่ๆ

   รู้สึกตัวอีกที เราก็หยุดยืนที่หัวมุมถนน ตรงหน้ามีฮาร์เลย์คันใหญ่คันเดียวกับตอนนั้นจอดอยู่ เขาก้าวขึ้นไปนั่งตรงตำแหน่งคนขับด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติ เหมือนตัวรถคันนี้ถูกสร้างมาเพื่อเขาอะไรประมาณนั้นเลย

   เขาหันหน้ามามองผมเมื่อเห็นว่าผมยังไม่ยอมขยับตัวขึ้นไปสักที เสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างไม่จริงจังนัก “รออะไร”

   รออะไรงั้นเหรอ

   ผมตีหน้านิ่ง ก่อนจะค่อยๆ ขยับเข้าใกล้เบาะหลังที่ว่างอยู่ ท่าทางเก้ๆ กังๆ ปรากฏขึ้นทันที ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก แต่ในชีวิตนี้ ผมเคยขึ้นมอเตอร์ไซค์แค่ครั้งเดียวเท่านั้นเมื่อตอนยังเด็กมาก แล้วก็ไม่ใช่ฮาร์เลย์คันใหญ่แบบนี้ด้วย

   “เอ้า ยังไง” เขาส่งเสียงแซว ใบหน้าหันกลับมามองเล็กน้อยพร้อมกับรอยยิ้มขำเล็กๆ “ให้ช่วยไหม”

   ผมเผลอพ่นลมหายใจออกทางปลายจมูกแรงๆ ก่อนจะค่อยๆ เหยียบที่เหยียบแล้ววาดขาคร่อมเบาะนั่นอย่างไม่ชินนัก พอมองลงไปที่พื้นถนนก็รู้สึกวาบเบาๆ ตรงหน้าท้อง รู้สึกเหมือนพร้อมจะตกลงไปตลอดเวลา

   “ไม่เคยซ้อนเหรอ” เขาถาม ในขณะที่ผมนั่งตัวแข็งอยู่บนเบาะ

   “ไม่”

   “เกาะสิ” คำแนะนำสั้นๆ ถูกเอ่ยออกมา แต่ขอโทษ ไม่ได้ช่วยให้มันง่ายขึ้นเลยสักนิด

   “อะไร” เกาะอะไร

   “ถ้าไม่อยากตกล่ะก็นะ” มือใหญ่คว้าหมับเข้าที่ข้อมือผม ก่อนจะบังคับดึงขึ้นไปวางไว้ตรงเอวของตัวเอง

   ผมกำลังจะชักมือออกด้วยความเคยชิน แต่เขาก็ชิงออกตัวฮาร์เลย์แรงๆ เสียงลมตีฉิวอยู่ข้างใบหู พร้อมกับฝ่ามือผมที่คว้าจับเอวนั่นไว้แน่น

   เสียงขำเบาๆ หลุดมาจากด้านหน้า

   “ก็ไม่เห็นจะยาก ใช่ไหม?”

   ผมมองรอบๆ ตัวที่เปลี่ยนฉากไปเรื่อยๆ ด้วยความเร็ว ก่อนจะหลุบมองมือที่สั่นเบาๆ ของตัวเอง ทั้งๆ ที่ใบหน้าของผมเรียบเฉย

   แต่ในใจ กลับรู้สึกอะไรแปลกๆ

   เหมือนกับที่ตรงนี้..

   เป็นที่ของผม





   ฮาร์เลย์เคลื่อนตัวด้วยความเร็วไปเรื่อยๆ ในชั่ววูบที่ผมรู้สึกเหมือนตัวเองหลอมรวมเป็นสิ่งเดียวกับสถานที่โดยรอบ มือข้างหนึ่งเผลอปล่อยออกจากเอวแข็งแรงที่จับอยู่แล้วทิ้งตกลงข้างลำตัว ลมเย็นๆ วิ่งลู่สอดแทรกตามเรียวนิ้ว

   นี่อาจจะเป็น ความสุขเล็กๆ ที่ไม่ค่อยได้เกิดขึ้นในชีวิตผมเลยก็ได้

   ความเร็วของรถค่อยๆ ผ่อนลง ก่อนจะเลี้ยวเข้าไปในสถานที่คล้ายๆ โกดังหรืออะไรสักอย่างตรงสุดถนน ผมขยับตัวลงจากเบาะที่นั่งอยู่ มองไปด้านหลัง มีเพียงถนนเล็กๆ ที่พาเรามาที่นี่ กับหาดทรายที่อยู่ไกลออกไปอีกนิด

   ตอนขอติดรถมาที่นี่ ผมไม่ยักจะรู้ว่ามีทะเลอยู่ด้วย

   ผมไม่รู้หรอก แค่ได้ยินชื่อเมืองไม่ทำให้เกิดไอเดียว่าสถานที่นั้นมีิอะไรรออยู่บ้าง จะเรียกว่าไม่เคยเรียน ไม่มีการศึกษาก็คงพอได้อยู่ วิชาภูมิศาสตร์เหรอ ฟังดูห่างไกลตัวเหมือนกับพูดถึงเรื่องนอกโลกอะไรเทือกๆ นั้นได้เลยมั้ง

   “หาดนั่นน่ะ” เดฟที่ขยับมายืนอยู่ด้านหลังผมตอนไหนไม่รู้เกริ่นขึ้น มือชี้ไปด้านหน้า ที่หาดมืดๆ ตัดกับน้ำทะเลสีดำที่โถมซัดเข้าฝั่ง

   “วิวสวยดี แต่ไม่ค่อยมีคนกล้าไปนักหรอกนะ นายเองก็ไม่ควรจะไป”

   ผมหันไปมองอีกฝ่าย ความสงสัยเกิดขึ้นหลังจากได้ยินจนต้องเอ่ยปากถาม

   “ทำไม”

   “พวกขี้ยายึดครองอยู่น่ะ ถ้าเข้าไปอาจจะเจอคนเมายาลากไปทำอะไรก็ได้” เขาอธิบายยิ้มๆ เหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดา “แต่ที่ว่าสวยน่ะ สวยจริงนะ อยากไปไหมล่ะ”

   “ไม่” ผมตอบกลับไปทันที ไม่ต้องเสียเวลาคิดนาน

   เรื่องอะไรจะต้องเอาตัวเองไปอยู่ในที่ที่ไม่ปลอดภัยขนาดนั้นด้วย

   ไม่มีคนปกติที่ไหนเขาทำกันหรอก

   “ถ้าอยากไปก็บอก” ผมเพิกเฉยกับสีหน้าทีเล่นทีจริงนั่น ก่อนจะเดินตามอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ ที่นี่ดูเหมือนอู่ซ่อมรถหรืออะไรประมาณนั้น หลังคายกสูง แล้วก็พื้นคอนกรีตเรียบๆ มีฮาร์เลย์จอดอยู่สองคัน หนึ่งในนั้นคือคันที่ผมเพิ่งซ้อนไป

   ผมกวาดตามองรอบๆ ถึงจะมีโซฟาเก่าๆ ขนาดใหญ่ตั้งอยู่พร้อมกับทีวีสีดำเครื่องเล็กๆ แต่ที่นี่ก็ดูไม่เหมือนสถานที่ที่จะเรียกได้ว่าบ้าน

   “เราไม่ได้จะนอนที่นี่หรอกนะ” เดฟพูดขึ้นลอยๆ เหมือนอ่านใจผมได้ ก่อนจะเดินนำไปจนถึงด้านหลังของอู่ มันมีประตูเล็กๆ เก่าๆ อยู่ พอเปิดออก ก็เจอทางเดินเล็กๆ นำทางไปจนถึงบ้านหนึ่งชั้นหลังหนึ่ง ไม่ใหญ่ แต่ก็ไม่ได้เล็ก

   “ยินดีต้อนรับ” เสียงนั้นพูดขึ้นพร้อมกับเสียงเห่าคำรามเสียงดังที่ดึงสายตาผมให้หันไปมองทันที สุนัขสีดำสนิทปรากฏเข้าสู่สายตา โซ่สีเงินเส้นใหญ่ล่ามคอมันเชื่อมเอาไว้กับรั้วเก่าๆ ที่ดูพร้อมจะพังตลอดเวลา

   ฝ่าเท้าเตรียมถอยหลังช้าๆ ทันทีตามกลไกร่างกาย แต่อีกคนที่ยืนอยู่ด้วยเอามือดันหลังผมไว้ พร้อมเสียงกระซิบเบาๆ ที่เรียกให้ขนอ่อนตามลำคอและใบหูลุกชัน

   “อย่าถอยหลัง”


____


1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.2 'Round The City (20/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mecinzano505 ที่ 20-01-2017 01:23:27
2_
'Round The City



   “อย่าถอยหลัง”

   ผมรีบพยักหน้ารัวเร็ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องดื้อต่อต้านคำพูดนั้นเลยสักนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตอนที่ประสานสายตากับสุนัขตัวใหญ่ ร่างกายเพรียวยืนจังก้ามองผม ขนสีดำพรางให้ร่างมันแทบจะกลืนไปกับเงามืดตรงนั้นยิ่งขับให้ทุกอย่างดูน่ากลัวขึ้นไปอีก เสียงขู่ต่ำลอยกดทุกบรรยากาศให้ทะมึนตึง

   “แทซ” คนที่ยืนข้างๆ ผมพูดขึ้น ถึงจะแค่เบาๆ แต่เสียงขู่คำรามนั้นก็เงียบลงทันที ร่างสูงปล่อยมือที่แตะหลังผมออก ก่อนจะเดินตรงไปหาสุนัขตัวนั้นโดยมีผมยืนมองอยู่เงียบๆ มือใหญ่ตบเข้าที่อกตัวเองสองที ‘แทซ’นั่นก็กระโจนเอาสองเท้าหน้าแตะวางตรงนั้นทันที

   โอเค หมากับเจ้าของ เข้าใจเลือกเลี้ยง

   เหมาะสมกันมากเลยล่ะ

   ผมคิดในใจ ขณะมองดูสุนัขโดเบอร์แมนสีดำทะมึนที่ยืนสองขาอยู่ตอนนี้ กับอีกคนที่เอาสองมือลูบตัวสุนัขไปเรื่อยๆ พร้อมศีรษะที่ไถแนบกับสัตว์มีขนตรงหน้าราวกับกำลังแสดงความรักให้กัน

   “นั่ง” อีกหนึ่งคำสั่งถูกเอ่ยมาสั้นๆ ก่อนที่สุนัขตัวนั้นจะรีบทำตามอีกเหมือนเคย เดฟขยับไปแถวๆ รั้วที่ล่ามโซ่แทซไว้อยู่ ก่อนจะก้มหยิบอะไรสักอย่างมายื่นให้ผม พอมองดูดีๆ ก็พบว่ามันเป็นเหมือนอาหารหรืออะไรประมาณนั้น ผมรับแท่งสีน้ำตาลแห้งๆ สองแท่งมาถือไว้ ระหว่างนั้นก็เหลือบตามองสุนัขที่นั่งรออยู่เล็กน้อย ดวงตาของมันจับจ้องมาที่ของในมือผมแน่วแน่ เหมือนกับพร้อมจะกระโจนมาแย่งชิงมันไป ทั้งๆ ที่ตัวเองนั่งหลังตรงไม่ขยับเขยื้อนอยู่

   “นายจะเข้าไปในบ้านไม่ได้ ถ้าไม่ได้ผูกมิตรกับมันก่อน” เขาอธิบาย ก่อนจะพยักเพยิดไปทางสุนัขน่ากลัวตัวเดิม “ให้มันสิ.. อ๊ะอะ อย่าโยน”

   ผมชะงักมือที่กำลังจะโยนขนมในมือให้มัน ดวงตาเรียวสีดำของแทซยังจ้องมาที่ผมเขม็ง เลือดในตัวเย็นเฉียบ ตอนที่ผมค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าแล้วยื่นของในมือให้มันช้าๆ ผมหันหน้ากลับไปมองเดฟ มันไม่ยอมกินของที่ผมยื่นให้ นั่งหลังตรง ไม่ขยับ ไม่กิน ไม่แม้แต่จะขยับจมูกดมด้วยซ้ำ

   อีกฝ่ายยกมือขึ้นกอดอก ตรงมุมปากมีรอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏก่อนจะเลือนหายไป

   “กิน” แค่คำนั้นแหละ ผมถึงกับชักมือกลับแทบไม่ทันเมื่อมันขยับกัดขนมที่ผมยื่นให้ไปด้วยความเร็ว ถ้ามันตั้งใจจะกัดแขนผม ป่านนี้คงเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว

   “เด็กดี.. เด็กดี” เดฟตรงเข้าไปลูบหัวลูบตัวแทซอีกรอบ ก่อนจะใช้มือปลดโซ่ที่ล่ามคอมันอยู่ออก

   “ทำอะไรน่ะ” ผมถามเสียงหลง จะบ้าเหรอ ปล่อยมันมาฆ่าผมหรือไง

   “กลัวเหรอ” เขาเอียงหน้า ก่อนจะถามออกมาด้วยใบหน้านิ่งๆ ในดวงตามีความสนุกสนานปะปนอยู่ เขายกแขนขึ้นพาดลำคอของสุนัขตัวนั้น

   “ใช่” ผมตอบไปตรงๆ ตามที่รู้สึก ดูเหมือนว่าถ้าเขาปล่อยมือที่จับหมานั่นอยู่ มันอาจจะวิ่งพรวดเข้ามากัดผมเมื่อไหร่ก็ได้

   “ไม่ต้องกลัวหรอก มันรู้ว่าอะไรควรกัด อะไรไม่ควรกัด” เขาผุดลุกขึ้นยืน ก่อนจะก้าวมาหยุดยืนใกล้ๆ จมูกทำท่าดมอะไรสักอย่าง “กลิ่นก็ไม่เห็นเหมือนอาหารอะไรนี่ จะกลัวไปทำไม”

   ให้ตายเถอะ

   ผมเกือบสบถออกมาแล้ว ถ้าไม่ติดว่าสายตาเหลือบไปเห็นไอ้ตัวนั้นที่ยืนเยื้องอยู่ด้านหลังร่างสูงซะก่อน มันส่ายหางกุดๆ ของตัวเองไปมา แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ดูน่ากลัวน้อยลงเลยสักนิด เดฟลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะรวบสายโซ่เส้นใหญ่แล้วเดินนำไปเปิดประตูบ้าน เจ้าแทซนั่นไม่ยอมเดินตามเจ้านายไป มันหยุดยืนจ้องผม ก่อนจะพ่นลมหายใจแรงๆ ออกมา และนั่นทำให้ผมรีบก้าวตามหลังเดฟไปทันทีโดยมีมันเดินตามหลังผมช้าๆ

   “เดฟ..” ผมเรียกอีกคนเสียงสั่น รู้สึกไม่ปลอดภัยในทุกการก้าวเดิน ร่างสูงหันมามองผมนิ่ง ดวงตาหรี่ลงเล็กๆ ก่อนจะกลายเป็นหน้าปกติแล้วยืนรอให้ผมเดินเข้าไปในตัวบ้าน แทซที่เดินตามผมมาละความสนใจไปจากผมแล้ว มันวิ่งเหยาะๆ หายเข้าไปในความมืดภายใน จนกระทั่งเดฟกดเปิดไฟจนสว่าง

   ผมกวาดตามองสถานที่แห่งนี้ไปเรื่อยๆ ทุกห้องเหมือนเป็นห้องเดียวกัน ไม่มีประตู มีแต่การก่อผนังกั้นโซนห้อง อย่างดีหน่อยก็มีกรอบประตูเปลือยๆ ให้เดินผ่าน ประตูสองประตูที่มีเห็นทีจะเป็นแค่ประตูบ้านกับห้องน้ำเท่านั้น

   ข้างในเต็มไปด้วยข้าวของ หนังสือพิมพ์เป็นตั้งซึ่งไม่รู้ว่าเก็บไว้ตั้งแต่ปีไหน หนังสือ กีต้าร์เก่าๆ หนึ่งตัววางพิงอยู่ริมผนังห้อง และอื่นๆ อีกเยอะไปหมด ผมมองแทซที่ทรุดตัวลงนอนหมอบอยู่บนโซฟาเก่าๆ ภายในห้อง

   “นั่งสิ” ผมค่อยๆ หย่อนนตัวลงนั่งบนโซฟาตัวเล็กอีกตัวอย่างกล้าๆ กลัวๆ เช่นเดียวกับเดฟที่นั่งลงข้างๆ แทซที่มองผมไม่ละสายตา

   “นายมาจากที่ไหน” เขาถาม ในมือถือขวดเบียร์ที่ไม่รู้ไปหยิบมาตอนไหนก่อนจะเปิดฝามันกับขอบโต๊ะ

   “ลอสแอนเจลิส” ผมโกหก ความจริงก็คือ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่นั่นมันหน้าตายังไง อยู่ตรงส่วนไหนของประเทศ ผมเคยได้ยินแค่ชื่อเท่านั้นจากบรรดาพวกที่เคยผ่านเข้ามาในที่ๆ ผมเคยอาศัยอยู่

   “หาดลาโฮยาไม่สวยหรือไง ถึงได้หนีมาหาหาดที่เป็นแหล่งพี้ยาแบบนี้”

   “.. อาจจะ” เดฟเคาะปลายนิ้วกับขวดเบียร์ที่ถืออยู่เบาๆ สีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะกระดกเบียร์เข้าลำคออึกใหญ่

   “นายไม่ควรไปยืนที่นั่น ตรงถนนนั้นตอนตะวันตกดิน ไม่มีคนดีๆ ที่ไหนไปเดินเล่นหรอกนะ” เขาเหลือบตามองผมนิ่ง รอยยิ้มที่มักจะติดอยู่เลือนหายไป “มีแต่พวกขายเซ็กส์เท่านั้นที่จะไปยืนรอลูกค้า”

   ผมกำมือแน่น ระงับทุกความรู้สึกที่พุ่งพรวดขึ้นมา

   เดฟมองการกระทำนั้นด้วยความเงียบ ก่อนที่เขาจะยืดตัวขึ้นยืน “นายคงอยากอาบน้ำ ตามมาสิ”

   ผมลุกขึ้นยืนแล้วเดินตามเขาไป ไฟถูกเปิดขึ้นอีกดวงเพื่อให้มองเห็นทางเดินชัดขึ้น ห้องน้ำอยู่ติดกับโซนครัวเล็กๆ ที่มีเคาน์เตอร์ครัวเพียงสามเคาน์เตอร์กับตู้เย็นเล็กๆ สีขาว

   ผมรับผ้าเช็ดตัวที่อีกฝ่ายยื่นให้ ขากำลังจะก้าวเข้าห้องน้ำชะงักเมื่อเดฟยื่นแขนมากั้นด้านหน้า ฝ่ามือใหญ่วางทาบกับผนัง ก่อนที่ใบหน้าเขาจะขยับเข้ามาใกล้

   “ทีหลังถ้าจะโกหกก็ได้นะ แต่ขอให้เนียนๆ กว่านี้หน่อยสิ” ดวงตาสีดำสนิทจ้องลึกเข้ามาในตาผมซึ่งตอนนี้ชะงักค้างไปแล้ว

   “อะไรนะ”

   “หาดลาโฮยาน่ะ.. มันอยู่ที่ซานดิเอโก้ ตกลงว่านายมาจากที่ไหนกันแน่ล่ะ” เขาพูดด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม

   ส่วนผมในตอนนี้ ได้แต่กำผ้าขนหนูที่ถืออยู่แน่นอย่างคนทำอะไรไม่ถูก จนอีกฝ่ายค่อยๆ ละมือที่วางอยู่บนผนังตรงหน้าลง เขาทำท่าจะเดินกลับไป ในช่วงจังหวะที่ไหล่เราสองคนซ้อนเหลื่อมกัน เสียงทุ้มก็พูดขึ้นเบาๆ

   “แล้วก็จำชื่อฉันได้ไวดีนี่ รีบอาบแล้วกัน ฉันจะรอ”

   นั่นมัน..

   อะไรกัน





   ผมรีบก้าวเท้าเข้าห้องน้ำ ปิดประตูและลงล็อคให้ไวที่สุดเท่าที่ชีวิตจะทำได้ เหมือนโดนสวนหมัดฮุคเข้าจังๆ ที่หน้าจากการจับได้เมื่อกี้

   บ้าจริง ผมควรจะรอบคอบกว่านี้

   ใครจะไปคิดว่าจะโดนลองใจจากใครก็ไม่รู้ที่เพิ่งรู้จักกันแบบนั้น

   การอาบน้ำผ่านไปอย่างรวดเร็วเพราะไม่อยากให้อีกคนรอนาน ผมสวมใส่ชุดเดิมและชุดเดียวที่ตัวเองมีอยู่ ก่อนจะก้าวออกจากห้องน้ำ ในใจหวีดหวิวเล็กน้อยด้วยความระแวงที่เพิ่มขึ้นสูง

   ผมไม่รู้ว่าที่เขาบอกว่า ‘จะรอ’ นั่นหมายถึงรอเพื่ออะไร แต่ถึงอย่างนั้นก็ภาวนาให้ไม่ใช่ในทิศทางที่ผมไม่ต้องการ

   ร่างสูงนั่งอยู่ที่โซฟาตัวเดิม แทซนอนหลับอยู่ข้างๆ ขวดเบียร์เปล่าสองขวดเพิ่มมาวางนิ่งอยู่ตรงขาโต๊ะ กับขวดใหม่ในมือเขาอีกหนึ่ง ผมเดินเข้าไปช้าๆ รู้สึกเก้ๆ กังๆ ทำตัวไม่ค่อยถูกเท่าไหร่ ก่อนจะตัดสินใจนั่งลงบนโซฟาตัวเล็กด้วยตัวเองเมื่อเห็นว่าเขาเอาแต่จ้องมาโดยไม่พูดอะไร

   “ชื่ออะไร” เขาถาม ดวงตาสีดำดุมองผมไม่กะพริบ

   “ฟลอยด์” คราวนี้ผมโกหกแนบเนียน เขาไม่มีทางจับได้แน่ถ้าไม่ขอดูไอดีการ์ดของผม

   “ฟลอยด์..” เขาเลิกคิ้ว ทำหน้าประหลาดใจหลังจากได้ยินชื่อ ก่อนจะถามต่อ “นายมาทำอะไรที่นี่ เมืองนี้”

   ผมเงียบ ไม่มีคำตอบสำหรับคำถามที่เพิ่งได้รับ

   ถ้าเป็นคนอื่นถามผมอาจจะโกหกไปมั่วๆ แล้ว หยิบสุ่มเหตุผลง่ายๆ สักข้อสองข้อขึ้นมาพูด แต่กับผู้ชายคนนี้ ผมคิดว่าการนิ่งเงียบอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าการโกหกก็ได้

   เขาต้องจับได้แน่ๆ อยู่แล้ว

   พอผมเงียบ เขาก็เงียบตาม มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่จ้องมองมาอย่างกดดันในที

   “ผมไม่รู้” แล้วผมก็เป็นฝ่ายยอมแพ้

   คิ้วเข้มเลิกขึ้นน้อยๆ “นายไม่รู้?”

   “ใช่” เสียงลมหายใจดังขึ้นแผ่วเบา เจ้าแทซที่นอนนิ่งอยู่ส่งเสียงต่ำๆ ในลำคอคล้ายละเมอก่อนจะเงียบไปในที่สุด ผมลอบมองใบหน้าอีกฝ่าย เขายกขวดเบียร์ในมือขึ้นจรดริมฝีปาก เว้นจังหวะให้ความเงียบทำงาน ในขณะที่ผมได้แต่สงสัยกับตัวเอง ว่าทำไมต้องเอาตัวเองมาเป็นเป้าสัมภาษณ์ให้คนที่ได้รับการเตือนมาว่าไม่ควรยุ่งเกี่ยวด้วยแบบนี้

   ดีมากๆ เลย เรื่องนี้บอกให้รู้ว่า.. ผมถือเป็นคนหนึ่งที่เชื่อฟังคำเตือนของคนอื่นและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดทีเดียว

   “นายไม่อยากบอกสถานที่ที่จากมา นายไม่รู้เหตุผลของการมาที่นี่ ไม่ ไม่สำหรับทุกข้อมูลส่วนตัว” เขาวางขวดเบียร์ลงบนโต๊ะ ลำตัวโน้มมาข้างหน้าเล็กน้อยพร้อมสบตากับผมนิ่ง

   “รู้หรือเปล่าว่านั่นมันทำให้ฉันสงสัย”

   เขาไม่ได้โกหก

   “ทำไม.. คุณถึงสนใจเรื่องของผมนัก” ผมเป็นฝ่ายถามกลับบ้าง หลังจากที่ปล่อยให้เขาทำหน้าที่ซักถามมานานเกินพอ

   “รู้ตัวหรือเปล่า นายดูไม่เหมือนคนที่จะสามารถรอดชีวิตจากที่นี่ได้เกินสามวัน” รอยยิ้มเล็กๆ ตรงมุมปากช่างขัดเหลือเกินกับดวงตาที่จริงจังนั่น

   ผมกลืนน้ำลายลงคอ ฝืดเฝื่อนและเริ่มหายใจติดขัด แต่ความบ้าคลั่งลึกๆ ในตัวผมก็สั่งให้ตัวเองตอบโต้เขากลับไปด้วยท่าทางอวดดี

   และผมไม่ควรทำแบบนั้นเลย

   ขวดเบียร์ที่อีกฝ่ายเพิ่งวางลงกับโต๊ะถูกยกขึ้นมาซัดเข้าปาก รสขมปร่าอมหวานบาดลำคอจนอยากเบ้หน้าออกมา ผมดื่มกินมันจนหมดภายในครั้งเดียวแล้ววางมันลงกับโต๊ะ ดวงตาจ้องกลับไปยังอีกฝ่าย สีหน้าเรียบเฉยถูกตีฉาบขึ้นอย่างแนบเนียน

   “แค่นี้ ผมไม่ตายหรอก”







   ใช่ แค่นี้ผมไม่ตายหรอก

   ผมยกมือสองข้างขึ้นกอดตัวเองหลวมๆ อากาศเย็นบาดผิวเนื้อจนแห้งแสบทั้งๆ ที่ปราศจากลม บุชคอร์เนอร์อยู่ห่างออกไปแค่ช่วงถนน แต่ผมก็เริ่มหมดแรงที่จะเดินแล้ว ฝ่าเท้าปวดตึงไปหมดจากการเดินไปเดินมาสองวันติดๆ

   ใช่ สองวัน

   ผมนอนที่นั่นไปแค่คืนเดียว ตอนเช้าตรู่ก็รีบหนีออกมา โชคดีที่ตอนตื่น ไม่มีทั้งสุนัขและเจ้าของอยู่ในบ้านหรือรอบๆ เลย ผมไม่รู้ว่าเขาไปไหนกัน แต่เศษเงินที่ผมเหลืออยู่ทั้งหมดก็ถูกควักแล้ววางทิ้งไว้บนโต๊ะตรงโซฟา ผมรู้ว่ามันอาจจะดูน้อยเกินไป สำหรับการสละที่นอนให้แล้วตัวเขาต้องระเห็จไปนอนที่โซฟา แต่ทั้งตัวผมก็มีอยู่แค่เท่านั้น

   แล้วแปดเหรียญสุดท้ายก็จากไป

   ผมไม่เจอเขาอีกเลยตลอดสองวันมานี้ ไม่ว่าจะเดินไปตรงไหนก็ตาม ผมวิ่งโร่ไปทั่วเมืองเพื่อหางานทำ งานอะไรก็ได้ แต่น่าเศร้าที่ไม่มีใครต้องการรับพนักงานใหม่ที่ไม่ใช่คนในพื้นที่เลย

   “ขอโทษนะครับ” ผมเอ่ยทักพนักงานตรงเคาน์เตอร์ เธอคือผู้หญิงคนเดิม ที่เคยแนะนำตัวเองว่าชื่อเซร่า เธอเงยหน้ามองผม และทำหน้าตกใจออกมาทันที

   “นายน่ะเอง ทำไมดูโทรมแบบนั้นล่ะ” ผมยิ้มฝืดๆ กลับไป แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลักของการที่ผมถ่อสังขารใกล้จะพังของตัวเองมาที่นี่ ไม่ได้มาเพื่อให้คนซักถามเกี่ยวกับตัวผมเอง

   “ที่นี่ รับพนักงานเพิ่มหรือเปล่าครับ” ผมเข้าเรื่อง พยายามฝืนยิ้มจริงใจให้อีกฝ่าย

   “พนักงานเหรอ ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ว่าที่นี่น่ะเลือกรับคนมากๆ เลยล่ะ คนพลัดถิ่นแบบนาย.. ฉันเสียใจด้วยนะ”

   “งั้นเหรอ.. ผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณครับ” ผมพยักหน้าเบาๆ ความสิ้นหวังอ่อนๆ เริ่มก่อตัวขึ้นภายใน แล้วผมก็ทำอะไรไปไม่ได้มากกว่าพยายามดับมันทิ้ง ความอ่อนแอไร้ค่าไม่ควรจะมีอยู่ในทุกจังหวะการใช้ชีวิต

   มันไม่ก่อให้เกิดผลแล้วยังบั่นทอนให้ยิ่งแย่ลงไปอีก

   ผมยืนเคว้งคว้างอยู่หน้าร้านอีกสักพัก ตามองไปรอบๆ ที่นี่ไม่ได้มีความเจริญอะไรมากมายนัก ถ้าเทียบกับรูปภาพเมืองใหญ่ๆ ที่ผมเห็นตามรูปภาพหรือนิตยสาร หลังจากที่เดินลากขาไปถามหางานที่นั่นที่นี่ ผมก็ลงความเห็นสรุปกับตัวเองได้เลยว่าคนเมืองนี้ค่อนข้างจะบึ้งตึง และไม่อยากจะสุงสิงกับใครทั้งนั้น

   หรือบางทีมันอาจจะเป็นธรรมดาของอะไรแปลกหน้าอย่างผมก็ได้

   ร้านขายของเก่าๆ ฝั่งตรงข้ามผมก็เพิ่งไปสมัครมาเมื่อกี้นี้ มีผู้ชายผมบลอนด์คนหนึ่งยืนเฝ้าเคาน์เตอร์อยู่ เขาดูไม่แยแสเท่าไหร่นัก ดูได้จากการที่ตอนผมพูดด้วย เขาไม่ละสายตาจากทีวีเครื่องเล็กตรงหน้ามามองเลยน่ะสิ

   เมืองนี้ ให้ความรู้สึกอ้างว้างดีไม่น้อย

   แต่ก็ไม่ได้มีรสขมปร่าน่ารังเกียจเหมือนกับที่ผมจากมา

   เนวาดา..

   ชื่อนี้ฟังดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่สำหรับคนนอก ไม่สิ ฟังดูไม่ดีเท่าไหร่ด้วยสำหรับคนที่เกิดและโตที่นั่นอย่างผม นครที่การค้าประเวณีทำได้อย่างถูกกฎหมาย มีคำเรียกตั้งเยอะแยะผุดขึ้นมาเพื่อเรียกคนที่ทำอาชีพแบบนั้น ผมรู้จักเกือบทุกคำที่ใช้บัญญัติความหมาย

   ฮุคเกอร์.. คอลเกิร์ล ฮัซซี่ ใจง่าย แพศยา แทรมพ์ เอาท์เกิร์ล สลัท ผู้ชายก็ เรนท์บอย เพลเยอร์

   ผมรู้จักคำเหล่านั้นดี คำที่มีความหมายดูถูกเหยียดหยามในตัวเอง ยิ่งพูดออกมาพร้อมกับสายตากักขฬะและน้ำเสียงดูแคลน ผมรู้ดีว่าคนฟังจะรู้สึกอย่างไร



   เพราะคำพวกนั้น เคยเอาไว้ใช้เรียกตัวผมเอง



____


1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.0 Yesterday's Pain (20/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 20-01-2017 05:57:25
เจิมให้เดฟฟลอยด์ สุดรักเรื่องนี้ แอฟซี
กลับมาอ่านตั้งแต่แรกก็รู้สึกคิดถึง อยากลูบแทซบ้าง 555
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.0 Yesterday's Pain (20/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: อเลนคุง ที่ 20-01-2017 09:29:02
 :pig2:มาเจิมให้จ้าาา เราอ่านตั้งแต่ในเด็กดีแล้วแหละ แต่เดี๋ยวจะอ่านตามในเล้าอีกรอบ :mew1:

 ยิ่งอ่านยิ่งชอบสำนวนการเขียน  o13
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.0 Yesterday's Pain (20/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: YADA ที่ 20-01-2017 10:19:51
สนุกมาก ชอบๆ
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.3 Hard To Leave (21/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mecinzano505 ที่ 21-01-2017 14:31:40

3_
Hard To Leave



   ‘เจนิน ลูกไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้’

   ผมยังจำประโยคนั้นได้ขึ้นใจ มันฝังลึกอยู่ในรากความทรงจำและไม่มีทางจางหายไปได้ง่ายๆ โชคร้ายที่สลัมเสื่อมโทรมแห่งนี้ไม่มีอะไรที่ผม เด็กผู้ชายที่เพิ่งอายุ 19 ทำแล้วได้เงินเร็วๆ เลย

   ผู้หญิงที่ผมรักที่สุด คนในครอบครัวเพียงคนเดียวที่มีกำลังป่วยด้วยโรคอะไรก็ไม่รู้ โรงพยาบาลประจำพื้นที่ที่จ่ายแต่ยาสามัญไปตามเรื่องตามราว เจ้าของพื้นที่ที่ไล่บี้เอาค่าเช่าและเงินเก็บที่กำลังจะหมดลง

   กับอีกหนึ่งอาชีพ ที่โด่งดังเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของรัฐนี้

   ‘ลูกไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้’

   คำพูดแบบนั้นมันก็ตลกดี ในท้ายที่สุดแล้ว เพราะผมทำแบบนี้ เธอถึงได้มีชีวิตยืนยาวมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ต้องโดนด่าทอจากเจ้าหนี้ ไม่ถูกทุบตี เงินที่ผมหามาได้ ทำหน้าที่การ์ดรักษาความปลอดภัยให้เธอได้ดีทีเดียว

   ถึงแม้อาชีพนี้จะถือเป็นอาชีพสุจริตก็ตาม แต่ผมแอบลักลอบทำมันตั้งแต่อายุเพียงแค่ 19 มันก็เลยกลายเป็นเรื่องผิดกฎหมายที่ต้องคอยหลบซ่อนเอา ลำบากและขยะแขยงตัวเองเจียนตาย แต่นั่นมันก็เป็นสิ่งเดียวที่ผมทำได้

   ทางเลือกที่เหมือนจะมีให้ แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มี

   สำหรับคนที่เกิดมาในโลกแบบนี้ สภาพแวดล้อมแบบนี้ การศึกษาที่มีอยู่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ไม่มีโอกาสสำหรับคนเหล่านั้นหรอก

   แต่ผมก็ก้าวผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้ จากความกลัวกลายเป็นความคุ้นชิน และด้านชาในที่สุด

   จากการลับลอบผิดกฎหมายของเด็กอายุ 19 ก็กลายเป็นการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องของคนอายุ 21 อิสระหายไปเรียบร้อยแล้วพร้อมกับแม่ที่อาการทรุดลงอย่างหนัก การออกจากที่ทำงานในเวลางาน สามารถทำให้โดนปรับจากเจ้านายได้ถึงสามร้อยเหรียญ มันไม่ใช่การปรับตรงๆ เพราะอู้งานหรอก ทุกอย่างถูกทำให้ซับซ้อนกว่านั้นเพื่อที่ข้อแก้ตัวจะหมดไป การหยิบยกเรื่องการทดสอบทางการแพทย์หรืออะไรก็ตามขึ้นมาอ้างทำให้พวกผมหมดปัญญาที่จะเถียงกลับและต้องยอมเสียเงินไปง่ายๆ นั่นล่ะวิธีการกันไม่ให้เราออกจากที่นั่น

   ในท้ายที่สุดท้ายแล้ว ผู้หญิงแก่ก็พร้อมจะจากโลกนี้ไปได้ทุกเมื่อ ยื้อชีวิตกันมาร่วมสามปี แล้วแม่ก็จากผมไปอย่างง่ายๆ ทิ้งผมไว้กับงานที่ผมรังเกียจ

   ไร้ค่าสิ้นดี ตัวของผมเอง

   ในตอนนั้น การถามราคาค่าร่างกายของผมเกิดขึ้นง่ายๆ เหมือนถามราคาอาหารขยะหรืออะไรสักอย่าง

   คิดแล้วก็ตลกดีจริงๆ นั่นแหละ เป็นมุขตลกฝืดๆ ที่เรียกน้ำตาได้ดีทีเดียว

   ผมยกมือขึ้นลูบหน้าและเส้นผมของตัวเองช้าๆ ดวงตาเริ่มพร่าเลือนจากความเหนื่อยล้า ท้องที่ไม่ได้มีอะไรตกถึงมาหลายชั่วโมง ครั้งสุดท้ายที่ผมได้กินคือตอนเดินหางานเมื่อวานนี้แล้วเจอซากขนมปังเหลือๆ วางอยู่บนเก้าอี้ข้างทาง ในตอนนั้น ผมไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไหร่เลยว่ามันจะอร่อยได้ขนาดนั้น

   บางทีผมอาจจะอยู่ไม่รอดเกินสามวันอย่างที่ผู้ชายคนนั้นว่าจริงๆ ก็ได้

   ผู้ชายที่โผล่มาอย่างลึกลับแล้วก็หายไป ผมยังมีโอกาสเจอคนที่มีลักษณะคล้ายๆ กันกับเขา ขี่ฮาร์เลย์ทรงเดียวกันอีกสองสามคน ส่วนมากจะเจอที่ร้านสะดวกซื้อหรือไม่ก็แถวย่านที่เป็นบาร์ตอนกลางคืน แต่ก็ไม่มีวี่แววของเดฟที่ผมเคยพบเจอเลย

   ผมกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผาก ความปรารถนาเดียวในตอนนี้เห็นทีจะเป็น

   ขอให้ตัวเองมีชีวิตต่อไป

   ‘นายไม่ควรไปยืนที่นั่น ตรงถนนนั้นตอนตะวันตกดิน.. มีแต่พวกขายเซ็กส์เท่านั้นที่จะไปยืนรอลูกค้า’

   ทั้งๆ ที่ชีวิตก็ไม่ได้สวยงามจนทำให้อยากอยู่ด้วยนานๆ แต่ผมก็หวงแหนมันมากกว่าที่ควรจะเป็น

   น้ำอุ่นๆ ที่คลอเคลือบหางตาเรียกให้ผมรีบยกมือปาดมันออกเร็วๆ

   รู้ตัวอีกทีก็พาตัวเองมายืนอยู่ตรงสถานที่นั้นเสียแล้ว ถนนเส้นเดิมที่ผมต้องเจอกับประสบการณ์แย่ๆ ตั้งแต่วันแรกที่มา

   แล้วผมก็ต้องทำมันอีกจนได้

   ชีวิตที่เหมือนจะมีโอกาส สุดท้ายแล้วก็ไม่มีอะไรสักอย่าง แม้แต่ในสถานที่ใหม่แบบนี้

   ตะวันตกดินแล้ว ความมืดเริ่มเข้ามาเยี่ยมเยียน

   มืดเหมือนกับจิตใจด้านนั้นของผมที่เริ่มทำงาน

   “เฮ้” เสียงเรียกสั้นๆ ดึงสายตาผมให้หันไปมอง ใครสักคนจอดรถริมถนน กระจกถูกลดลงช้าๆ เผยให้เห็นผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่ง

   ผมเม้มปาก มือเผลอจิกเกร็งแน่น จิตใจแกว่งไหวราวกับกำลังวิ่งหนีอะไรสักอย่างที่ไม่มีวันหนีพ้น

   ผมตีหน้าเรียบนิ่ง ค่อยๆ ก้าวขาไปใกล้มากขึ้น

   “อยากจะไปด้วยกันไหม” เขาถาม สีหน้าเยียบเย็นเหมือนกับสิ่งที่ทำอยู่เป็นเรื่องปกติ

   ไม่เป็นไร..

   ไม่เป็นไร

   นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะทำ มันจะเป็นครั้งสุดท้ายกับเรื่องบ้าๆ นี่ทั้งหมด

   เงินที่ได้มา ผมจะใช้มันอย่างคุ้มค่าที่สุดในการเริ่มต้นชีวิตใหม่

   ไม่เป็นไร ทนอีกแค่นิดเดียวเท่านั้น

   แล้วทุกอย่างจะดีเอง..

   ผมขยับตัวเข้าชิดรถสีดำตรงหน้า ฝ่ามือค่อยๆ วางลงบนกรอบกระจกพร้อมกับใบหน้าที่ก้มต่ำลงไป ช้อนตาสบกับผู้ชายตรงหน้า ขณะที่ใบหน้าถูกครอบสนิทด้วยหน้ากากเก่า

   รอยยิ้มถูกจุดขึ้นตรงมุมปาก รอยยิ้มที่ใช้ได้ผลเสมอในสถานที่เดิม



   “คุณให้ได้เท่าไหร่ล่ะ”

   เขานิ่งไปนิดหน่อยกับคำถามนั้น ท่าทางครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะหลุดตัวเลขในใจออกมา

   “400 ล่ะเป็นยังไง”

   เป็นยังไงน่ะเหรอ นั่นเป็นตัวเลขที่น้อยที่สุดที่ผมเคยได้ยินมาในวงการนี้เลย แต่ผมมีสิทธิ์เลือกได้ด้วยงั้นเหรอในตอนนี้ คำตอบนั้นง่ายมากคือไม่มี

   “อะไรกัน เท่านี้ก็เยอะแล้วน่ะ หวังว่านายจะไม่โก่งราคากันหรอกนะ”

   การคำนวณความเสี่ยงและความเสียหายเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในใจ ราคานี้ถ้าเป็นที่เนวาดาคงเข้าได้แค่ตรงล็อบบี้ ดีหน่อยก็ลงไปดื่มเหล้าที่บาร์ แต่ไม่มีทางได้แตะโซนลึกไปกว่านั้นเด็ดขาด ไม่ต้องพูดถึงคนที่ค่าตัวถูกที่สุดเลย ยังไงก็ไม่มีทางได้แตะแน่ๆ แต่ถ้าเป็นที่นี่ ผมไม่รู้จักที่นี่มากพอ มันเป็นเหมือนโลกใบอื่นที่ผมไม่รู้จัก กฎเกณฑ์เดิมๆ ใช้ไม่ได้อีกต่อไป ตัวเลขนี้จะต้องไม่ถูกนำไปเปรียบเทียบ

   แค่คิดว่ามันจะช่วยให้ผมมีชีวิตได้ยาวนานขึ้นหรือเปล่าก็พอแล้ว

   “ทำอะไรกัน” คำถามที่ดังขึ้นยุติการต่อรองตรงหน้าลงชั่วคราว ผมถึงกับตัวแข็งไปเสี้ยววิ เพียงแค่ว่าเสียงนั้นฟังดูคุ้นหูมากเกินไป และผมขออย่าให้เป็นแบบที่ผมคิดขณะที่ค่อยๆ หันใบหน้าไปมอง

   และผมก็น่าจะรู้

   ว่าทุกคำขอของผมไม่มีวันลอยไปถึงพระเจ้าหรือใครก็ตามที่บงการชีวิตนี้อยู่

   เดฟที่หายตัวไปอย่างไร้วี่แววเป็นเวลาสองวันถึงได้มายืนอยู่ตรงหน้าผมตอนนี้ ร่างสูงโทรมไปด้วยเหงื่อ ใบหน้าและตามแขนเต็มไปด้วยเขม่าดำและกลิ่นน้ำมันที่ลอยวนอยู่รอบตัว

   เขาสบตาผมด้วยความนิ่ง

   “นี่นายขายเหรอ” ผมหน้าชาวูบกับคำถามง่ายๆ จากปากคนตรงหน้า เขายิ้มออกมา ทั้งๆ ที่ดวงตาดูจริงจังจนน่ากลัวผิดกับครั้งแรกที่พบกัน ร่างสูงย่างเท้าเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนหยุดยืนอยู่ตรงหน้า เสียงกระซิบต่ำดังออกมาจากริมฝีปากที่ยังยิ้มค้างอยู่ “รู้ไหม ว่าฉันผิดหวังนะเนี่ย”

   นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมอยากจะได้ยินจากคนบนโลกนี้

   ผมไม่ชอบให้ใครมาคาดหวังในตัวผม

   เพราะเรามักจะเจ็บปวดเสมอ เวลาที่ทำให้ความคาดหวังนั้นพังทลายไป

   ทั้งๆ ที่ก็ไม่ใช่ความผิดของเราสักนิด..

   “เงียบทำไม” เสียงทุ้มยังว่าต่อมาอีกด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยที่คาดเดาไม่ได้ ผมมองตาคู่ตรงหน้ากลับไป ความรู้สึกเลวร้ายถูกถ่ายทอดออกมาเงียบๆ ปราศจากน้ำเสียงแก้ตัว

   “คุณคิดว่าผมอยากทำแบบนี้เหรอ”

   ชั่วพริบตาหนึ่งที่ผมจับได้ว่าสีหน้าของเขาดีขึ้นทั้งๆ ที่รอยยิ้มนั้นเลือนหายไปเรียบร้อยแล้ว เป็นความขัดแย้งทางการมองเห็นหรือวิเคราะห์อารมณ์คนหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ แต่จากการที่เรายืนคุยกันแบบนี้ ลูกค้าของผมดูจะไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่แล้วที่ต้องนั่งรอสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับตัวเองนานๆ

   เสียงบีบแตรดังขึ้นยาวนาน “จะเอายังไง ไปหรือไม่ไป ทำไมต้องให้ฉันมานั่งรอคำตอบด้วยเนี่ย”

   “ไม่ไป” คำตอบดังสวนขึ้นสั้นๆ ทันทีที่คำถามนั้นจบลง ผิดตรงแค่ว่ามันไม่ได้ออกจากปากของผม ผู้ชายคนนั้นดูหัวเสีย เขาหลุดสบถออกมาจนเดฟหันไปจ้องตาตรงๆ ถึงแม้จะไม่ได้ทำอะไรออกมามากกว่านั้น แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้อีกคนรีบเก็บปากให้สนิทแล้วรีบขับรถออกไป

   “ไปกันได้แล้ว” ประโยคแกมสั่งดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงที่ออกเดินนำไปในอีกทิศทาง

   แต่ผมก็ยังยืนนิ่งอยู่กับที่

   เดฟเดินนำไปสี่ห้าก้าว ก่อนจะเริ่มรู้สึกตัวว่าผมไม่ได้เดินตามไป ร่างสูงหันกลับมามองผมด้วยท่าทางหาเรื่องเล็กๆ

   “ยืนทำอะไรล่ะ”

   “คุณกำลังจะไปที่ไหน” ผมถาม มองอีกฝ่ายที่เดินกลับมายืนอยู่ตรงหน้าเหมือนเดิม

   “ก็บ้านน่ะสิ” เขาตอบขำๆ เหมือนผมถามอะไรที่ตลกมากๆ ออกไป

   “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไป ไม่เกี่ยวอะไรกับผม” ผมเตรียมจะเดินหนี ตอนนี้ผมไม่มีเวลามาเจ๊าะแจ๊ะกับใครทั้งนั้น หนึ่งคือผมต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เงินมา ก่อนที่ผมจะล้มพับไปเพราะร่างกายแบกรับสภาพที่เป็นอยู่ไม่ไหว

   “ใช่ฉันจะไป นายก็ด้วยเหมือนกัน” ดูเหมือนเขาจะไม่เข้าใจสิ่งที่ผมกำลังจะสื่อ

   “แต่คำว่าบ้านนั่น มันหมายถึงบ้านของคุณ ผมจะไปบ้านที่ไม่ใช่บ้านผมทำไม”

   ใบหน้าอีกฝ่ายดูเหมือนคนที่ยั้วะเอามากๆ ในตอนนี้ เขาหลุดถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่ ก่อนที่ฝ่ามือจะคว้ากำรอบข้อมือผมแล้วออกแรงกระตุกให้เดินตามทันที

   “ทำอะไร” ผมเดินตามแรงลากนั้นไปง่ายๆ พลังงานถูกเซฟเอาไว้ทำอะไรที่จำเป็น การออกแรงยื้อยุดฉุดกระชากกับคนที่ตัวใหญ่กว่าผมขนาดนี้ นอกจากจะไม่ช่วยให้รอดพ้นแล้วยังเป็นการสิ้นเปลืองพลังไปเปล่าๆ

   “ฉันไม่อยากพูดเยอะ มันเปล่าประโยชน์” เขาตอบห้วนๆ ลากผมมาจนถึงฮาร์เลย์ที่จอดอยู่ เขาขยับขี่มันด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติ “เร็วๆ”

   “คุณจะซื้อผมเหรอ” ผมถามสิ่งที่สงสัยออกไปตรงๆ มองไม่เห็นเลยว่านอกจากเรื่องนี้แล้ว เขาจะต้องการอะไรจากตัวผม คนที่ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง

   เสียงหัวเราะหลุดออกมาจากลำคออีกฝ่าย ก่อนที่มันจะเงียบลงแล้วถูกทดแทนด้วยการเลิกคิ้ว “นายบอกว่าไม่อยากทำ แต่ทำไมล่ะ ทำไมถึงได้ดื้อดึงจะเอาตัวเองไปผูกกับมันได้ตลอด”

   ผมเงียบ

   ไม่ใช่เพราะว่าไม่รู้ว่าจะต้องตอบอะไร

   มันเป็นเพราะผมรู้ดี ผมเคยชินกับมัน ร่างกายเป็นสิ่งเดียวที่ผมมีนอกจากจิตใจและวิญญาณ ผมเติบโตมากับมัน ผมมีชีวิตรอดมาได้ทุกวันนี้ก็เพราะมัน

   “ได้ ฉันซื้อนาย ด้วยเงิน 8 เหรียญนี่ ใครสักคนดูเหมือนจะไม่ต้องการมันเลยเอามาวางทิ้งไว้ในบ้านของฉัน น้อยไปหรือเปล่าที่จะทำให้ยอมมาด้วยกัน”

   ผมมองเหรียญคุ้นตาที่อีกฝ่ายล้วงออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วแบให้ดูตรงหน้า ในใจกำลังสัมผัสความรู้สึกดีแบบแปลกๆ ที่ไม่ค่อยได้รู้สึกในชีวิตนี้ ก่อนค่อยๆ ขยับตัวเองขึ้นซ้อนท้ายฮาร์เลย์ตรงหน้า

   “ไม่ต้องคิดมากหรอกนะ ฉันไม่ใช้งานนายหนักเกินกว่าราคาที่จ่ายนี่แน่”

   ในตอนนั้น ผมไม่รู้เลยว่าผู้ชายคนนี้ต้องการอะไร

   เขาจะอยากได้อะไรจากผมซึ่งไม่มีอะไรเลยนอกจากร่างกาย หรือถ้าบอกว่าไม่ได้ต้องการอะไรเลย

   มันก็ฟังดูเป็นเรื่องตลกไปหน่อยว่าไหม..





   โรงรถยังดูเหมือนเดิม บ้านก็ยังดูเหมือนเดิม ทุกอย่างเหมือนกับภาพในความทรงจำ มีเพียงข้าวของบางชิ้นเท่านั้นที่มีการโยกย้ายที่อยู่ อาจจะเพราะจากการใช้งาน นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ผมได้กลับมาเหยียบที่นี่ บ้านหลังเล็กด้านหลังอู่ซ่อมรถ หญ้าและต้นไม้เลื้อยขึ้นรกตลอดทางเดินจากด้านหลังอู่ รั้วไม้เก่าๆ พร้อมกับป้ายเตือนสุนัขดุที่ขึ้นสนิมก็ยังเหมือนเดิม แทซนอนเชิดคออยู่ตรงโซฟา ดวงตามองผมไม่วางตาเช่นเคย เพียงแต่ครั้งนี้ไม่มีการแสดงอาการกราดเกรี้ยวหรือขู่คำรามแสดงอาณาเขตเช่นครั้งแรก มันเพียงแค่นอนนิ่งๆ อยู่ตรงนั้น

   เดาว่าถ้านี่เป็นครั้งแรกที่ผมเข้ามาที่นี่แล้วบังเอิญเปิดประตูเข้ามาจ๊ะเอ๋กันแบบนี้ ป่านนี้ตัวผมคงโดนกระโจนใส่จนปางตายไปแล้วก็ได้

   “นั่ง” เขาพูดขึ้นมาสั้นๆ เป็นเหมือนการอนุญาตมากกว่าคำสั่ง ใบหน้าพยักเพยิดไปที่โซฟาเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะหันไปทำอะไรก๊องแก๊งตรงโซนครัวและกลับมาพร้อมกับเบอร์เกอร์ก้อนใหญ่ในจาน ผมเผลอกลืนน้ำลายไปในตอนที่ได้กลิ่นมัน และไม่คิดมาก่อนว่าสิ่งนั้นถูกทำขึ้นเพื่อผม จนอีกฝ่ายเดินเอาจานมาวางให้ตรงหน้า

   “ไม่มีความจำเป็นต้องรอให้ฉันอนุญาตเหมือนแทซหรอกนะ” เขาพูดเมื่อเห็นผมไม่แตะต้องมันสักที แทซที่ถูกพูดถึงก็ส่งเสียงฟืดฟาดในจมูกราวกับรู้ว่ามันตกอยู่ในหัวข้อสนทนา ผมลอบมองอีกฝ่าย ก่อนจะตัดสินใจหยิบเบอร์เกอร์มากัดคำใหญ่เผื่อว่าเขาอาจจะเปลี่ยนใจเอาคืน

   เงินเแปดเหรียญถูกมือใหญ่เลื่อนมาวางไว้ข้างๆ จานเบอร์เกอร์ ผมมองมันอย่างชั่งใจ รับกลับมาแค่ห้าเหรียญ และเลื่อนสามเหรียญที่เหลือกลับคืนไป

   เขามองผมด้วยสายตาตั้งคำถามต่อท่าทางเหล่านั้น

   “เบอร์เกอร์” ผมตอบสั้นๆ มองอีกฝ่ายที่หลุดหัวเราะออกมา เขาโคลงหัวเล็กน้อย ไม่ได้ปฏิเสธเงินสามเหรียญที่ผมคืนให้ไป แต่ก็ไม่ได้หยิบมันขึ้นจากโต๊ะ แค่ปล่อยมันวางทิ้งไว้ตรงนั้นเฉยๆ ผมนั่งกินเบอร์เกอร์ไปเรื่อยๆ ในท้องเหมือนได้รับการเติมเต็มทีละน้อยหลังจากปล่อยโล่งมานาน ท่ามกลางสายตาที่มองมาจากอีกคนหนึ่ง

   “ทำไมนายถึงกลับไปยืนที่นั่น ตั้งใจเหรอ” เขาถามขึ้นมา เท้าข้างแก้มเข้ากับปลายนิ้วตัวเอง

   ผมไม่ตอบ และใช่ เหตุผลก็คือผมแค่ไม่อยากวนกลับไปพูดถึงมันอีก

   โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ไม่สนิทแบบนี้

   “ทำไมคุณถึงเป็นแบบนี้.. น้ำมันนั่น” ผมเปลี่ยนเรื่อง มองไปที่คราบดำๆ บริเวณใบหน้าและแขนอีกฝ่าย เขาเลิกคิ้ว

   “ถ้าบอกว่าไปเผาบ้านคนอื่นมาจะเชื่อหรือเปล่าล่ะ” ก็ฟังดูมีอารมณ์ขันดี

   “นั่นตลกดี คุณไม่กลัวโดนจับเหรอ” ผมถามกลับไปทั้งหน้านิ่งๆ ในใจไม่เชื่ออยู่แล้วกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน แต่เขากลับหลุดเหยียดขำออกมาเบาๆ พร้อมดวงตาที่มองผมเหมือนว่า ‘นายช่างไม่รู้อะไรเอาซะเลย’

   “นั่นฟังดูตลกกว่าอีก ทำไมต้องกลัวโดนจับด้วยนะ”

   ผมไม่ตอบ เริ่มรู้สึกว่าสิ่งที่เรากำลังคุยกันอยู่มันไร้สาระเอามากๆ

   “คุณมายุ่งกับผมทำไม” ผมเปลี่ยนเรื่อง ตัดสินใจถามสิ่งที่ค้างคาในใจมาตลอดออกไปพลางคิดถึงประโยคคำเตือนจากเซร่าที่ร้านอาหารนั่น เธอเคยบอกว่าถ้าผมไม่เข้าไปขัดแข้งขัดขาพวกเขา เขาก็จะไม่เข้ามายุ่งกับเรา

   ผมมั่นใจว่าตัวเองยังไม่ได้ทำอะไรแบบนั้น

   แต่ทำไมผลลัพธ์มันไม่ตรงกับที่เธอบอกมา

   “หมายความว่ายังไง” เขาถาม

   “ผมยังไม่ได้ไปทำอะไรให้พวกคุณเดือดร้อนเลย” ไม่ใช่เหรอ..

   “รู้ได้ไง” เขาสวนกลับมาทันควัน ดวงตามีประกายสนุกสนาน ผิดกับผมที่หน้าเสียไปเรียบร้อยแล้ว

   บุหรี่มวนยาวถูกหยิบขึ้นมาคาบไว้ในปาก

   ความเงียบเริ่มทำหน้าที่ของตัวเองช้าๆ เราต่างก็เว้นระยะเพื่อครุ่นคิด เขาหยิบไฟแช็กขึ้นมาจุดไฟ แล้วเอนหลังพิงเบาะโซฟา มองมาทางผมด้วยท่าทางสบายๆ ราวกับกำลังหาความสุนทรีย์จากการปั่นผมเล่นไปเรื่อย

   “แล้วผมทำอะไร” ผมก็ยังค้นหาไม่เจอ ว่าตัวเองเผลอไปทำอะไรให้พวกเขาเข้าตอนไหน

   ในความทรงจำ ผมก็เป็นแค่หน้าใหม่ที่เผลอหลงเข้ามา วันๆ หมดไปกับการเดินหางานทำแล้วก็หาของกินตามข้างถนน

   นั่นมันเสียหายตรงไหนกันล่ะ

   ควันบุหรี่ถูกพ่นออกมา ลอยเจือจางในอากาศเป็นรูปอิสระ เขาทำท่าคิดพลางเอียงคอน้อยๆ บุหรี่สีขาวถูกจรดเข้ากับริมฝีปากอีกครั้งช้าๆ

   ผมได้แต่นั่งมองควันที่ถูกปล่อยออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า

   ปลายบุหรี่ถูกเผาไหม้ด้วยสีเเดงสดของไฟ แล้วเขาก็ขยับปากตอบในที่สุด

   คำตอบที่ไม่ได้ทำให้ความสงสัยคลางแคลงใจของผมหายไปเลย

   “ทำให้ร้อนใจล่ะมั้ง”

   ในตอนนั้น ผมก็ยังไม่เข้าใจในตัวผู้ชายคนนี้

   ว่าเขาต้องการอะไรในการกระทำคลุมเครือเข้าใจยากทั้งหมดนี่


____

1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.4 Cheap Vision (21/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mecinzano505 ที่ 21-01-2017 21:29:35

4_
Cheap Vision



   “จะไปไหน” ผมหยุดเท้าที่กำลังก้าวตรงไปที่ประตูบ้าน

   ตอนแรกที่ตื่นขึ้นมา ในบ้านก็ว่างเปล่าปราศจากเจ้าของและสุนัขอีกเช่นเดียวกับครั้งแรก ผมรีบอาบน้ำและคิดว่าจะออกจากที่นี่อีกครั้ง ไม่มีเหตุผลที่จะต้องอยู่ต่อ แต่ดูเหมือนในช่วงเวลาสั้นๆ ตรงนั้น เขาจะกลับมาได้ทันท่วงที และผมไม่ได้สังเกตเห็นอีกฝ่ายที่ยืนอยู่ตรงโซนครัวมาก่อนจนกระทั่งเมื่อกี้นี้

   “เป็นพวกชอบแอบย่องออกจากบ้านเหรอ” เขาเลิกคิ้ว มือถือน้ำเปล่าขวดใหญ่ไว้พลางยกมันกระดก

   นาฬิกาที่อยู่เหนือหัวเขาไปบอกเวลาตีห้าครึ่ง

   แม้แต่เวลาแบบนี้ก็ยังเลี่ยงไม่ได้งั้นเหรอ

   “อะไร” ผมไม่ตอบคำถามนั้น ตัดสินใจนั่งลงบนเก้าอี้เมื่อเห็นเขาพยักเพยิดให้ทำ ก่อนจะถามกลับเมื่อเขายังมองมาไม่หยุด เขาก็ไม่ตอบคำถามเหมือนกัน ร่างสูงกระดกน้ำเข้าลำคออึกสุดท้าย ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องนอน

   แทซไม่ได้เดินตามไปเหมือนทุกที ตรงกันข้าม มันเดินมาหาผมช้าๆ ในขณะที่ผมนั่งตัวเกร็งไม่กล้าขยับอยู่บนเก้าอี้ ความคลายใจเกิดขึ้นเมื่อมันทำเพียงแค่เข้ามาดมตรงแถวๆ หัวเข่า ก่อนจะล้มตัวลงนอนข้างๆ เท้าของผม

   เดฟเดินกลับมาแล้ว เขากลับมาพร้อมกับเสื้อยืดสีขาวคอกลมในมือ ก่อนจะโยนมันลงบนตักผมเบาๆ

   “ฉันไม่เห็นนายจะเปลี่ยนชุดเลยตั้งแต่เจอกันมา” ที่พูดมานั้นไม่ผิดเลยสักนิด ผมก้มมองเสื้อเก่าๆ ของตัวเองสลับกับเสื้อยืดตัวใหม่ในมือ

   ผมไม่มีเสื้อผ้าให้เปลี่ยน ไม่มีอะไรทั้งนั้น นอกจากตัวเปล่าๆ กับเศษเหรียญที่เพิ่งได้คืน แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้ผมต้องรับของของคนอื่นมาฟรีๆ

   และดูเหมือนเขาจะอ่านนิสัยส่วนนั้นของผมได้แล้ว เสียงทุ้มรีบพูดดัก

   “ไม่ฟรีหรอก ถ้าอยากได้ก็ 1 เหรียญ”

   ผมหลุบตาลง เศษเหรียญถูกหยิบขึ้นมามองและยื่นให้อีกฝ่าย อย่างน้อยถ้าเป็นแบบนี้ผมก็ยังกล้าสวมใส่มันมากกว่าได้มาฟรี

   “เปลี่ยนได้เลยนะ มันเป็นของนายแล้ว” เขาว่าพร้อมกับสายตาที่ไล่ลงมองแทซที่นอนอยู่ตรงพื้น ขนของมันคลอเคลียอยู่ตรงเท้าให้ความรู้สึกแปลกๆ เขามองมาด้วยสายตาไม่แสดงความรู้สึกอะไรเป็นพิเศษ แต่ก็ทิ้งสายตามานานเกินปกติ

   ผมชั่งใจอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะถอดเสื้อที่ใส่อยู่วางไว้บนตัก แล้วสวมเสื้อขาวเข้าไปแทน ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องเหนียมอาย ในเมื่อผมก็เป็นผู้ชาย เขาก็เป็นคนบอกเองว่าเปลี่ยนได้เลยด้วย

   “ถ้าออกจากนี่ไปแล้วจะไปอยู่ที่ไหนต่อ” เขาถาม เอนสะโพกพิงเคาน์เตอร์ ส่วนผมนั้นก็ไม่มีความเห็นหรือคำตอบให้แสดงเลยกับคำถามนี้ ตอนแรกผมไม่คิดว่าการอยู่ที่นี่จะเป็นเรื่องที่ยากมากมายอะไรนัก

   แต่ดูเหมือนจากอุปนิสัยบึ้งตึงต่อคนนอกของชาวเมืองกับจำนวนเงินที่ผมมีอยู่

   ดูเหมือนมีกำแพงขนาดใหญ่ขวางเอาไว้ระหว่างคำว่าชีวิตเก่ากับชีวิตใหม่ยังไงยังงั้น

   “ถ้ายังหาที่อยู่ไม่ได้ก็อยู่ที่นี่ไปก่อนก็ได้” เขาเสนอ

   เป็นการช่วยเหลือที่ผมไม่มีทางยอมรับได้ง่ายๆ แม้ว่ามันจะนำมาซึ่งความสบายและอาจต่อเวลาให้ชีวิตผมได้ก็ตาม

   “ผมอยู่กับคนที่ผมไม่รู้จักไม่ได้หรอก”

   ก็ฟังดูเป็นคนมากเรื่องดี แต่ผมหมายความตามที่พูดจริงๆ

   นอกจากจะดูเป็นบุญคุณกันเปล่าๆ แล้ว ผมก็ไม่ได้รู้จักเดฟพอที่จะไว้ใจอยู่ด้วยได้ ทั้งท่าทางน่ากลัวที่บางทีก็หลุดเผยออกมา ทั้งอะไรคลุมเครือหลายอย่าง

   นอกจากชื่อเขาและชื่อหมาที่เลี้ยงแล้ว ผมก็แทบไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้

   ปึงปึงปึง..

   ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรขึ้นมาอีกเสียงตบประตูแรงๆ ก็ดังขึ้น เดฟเอี้ยวตัวไปมอง ก่อนจะเดินตรงไปเปิดประตูบ้าน ผมไม่รู้เลยว่าใครจะมาเคาะประตูบ้านคนอื่นได้ในเวลาเช้าขนาดนี้ ประตูเปิดออก เผยให้เห็นผู้ชายร่างสูงพอๆ กับเดฟคนหนึ่ง ผมสีน้ำตาล ใส่ชุดสีดำสนิท เขามีบุคลิกที่นิ่งขรึม อะไรบางอย่างที่แผ่ออกมาจากตัวทำให้ผมรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ไม่ควรไปยุ่งสุงสิงด้วย

   เขาพูดอะไรกันด้วยเสียงที่เบาจนผมไม่ได้ยิน ซึ่งดีแล้วล่ะ ผมก็ไม่ได้อยากจะได้ยินอยู่แล้ว บางครั้งการไม่รู้อะไรอาจจะเป็นประโยชน์กับชีวิตมากกว่า

   ผู้ชายแปลกหน้าเดินออกไปแล้ว เดฟไม่ปิดประตูบ้าน เขาแค่เดินกลับมาหยิบเสื้อแจ็คเก็ตหนังไปสวม อะไรสักอย่างที่ผมมองไม่ทันถูกหยิบเหน็บไว้ตรงสะโพก เขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาคาบไว้ในปากแล้วก็จุดมัน ดวงตาจ้องตรงมาที่ผม

   “มาสิ จะพาไปรู้จัก ตัวฉันเอง”






   สายลมเย็นตีกระทบหน้าจนชาไปหมด ผมไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงเลือกขึ้นมานั่งซ้อนท้ายฮาร์เลย์คันนี้อีกครั้ง ไม่ใช่ไม่รู้ในความหมายสมบูรณ์แบบ แต่ผมหมายถึงไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองคิดนั้นถูกต้องมากแค่ไหน ผมคิดว่าการขัดคำพูดของเดฟนั้นเป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำ ผมไม่รู้จักเขาดีพอ ผมไม่รู้ว่าเขาจะทำยังไงถ้าหากผมซัดกลับไปห้วนๆ ว่าผมไม่อยากไปด้วย บางทีเขาอาจจะเป็นคนประเภทที่จะโกรธจัดหากโดนขัดคำสั่งก็ได้

   ถึงจะว่าไปแบบนั้น แต่ผมเองก็เป็นคนที่ขัดแย้งในตัวเองมากพอสมควรคนหนึ่ง

   อาจจะดูเป็นการโกหก ถ้าหากพูดว่าผมไม่อยากรู้จักตัวตนของเขา (ถึงแม้สิ่งที่ได้รู้อาจจะมีค่าแค่เศษเสี้ยวเดียวของตัวตนทั้งหมด) เขาเป็นคนที่ช่วยผมเอาไว้ และแน่นอน บุคลิกท่าทางลึกลับกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นในตัวผู้พบเจอ

   ใช่ ผมเองก็อยากรู้อะไรเกี่ยวกับเขาบ้าง

   แต่ผมไม่อยากรับเรื่องราวและปัญหาที่อาจติดตามมาหลังการได้รู้จัก แค่นั้นเอง

   ผมมองเลยไหล่กว้างของเดฟไป เขาไม่ได้พาผมขี่มาแค่คันเดียว มีฮาร์เลย์แบบเดียวกันอีกถึงสามคัน รวมกันแล้วก็เป็นสี่ ผู้ชายแปลกหน้าที่เป็นคนมาเคาะประตูขับนำอยู่ตรงกลาง กับอีกสองคนที่ยืนรออยู่ที่รถตอนที่ผมออกจากบ้าน

   ผมดูแปลกแยกอย่างเห็นได้ชัด แต่ที่แปลกกว่านั้น

   คือผมไม่แม้แต่จะรู้สึกเหมือนเป็นคนนอกอย่างที่ควรจะเป็น ความรู้สึกเหมือนได้รับการเติมเต็มทางอารมณ์บางอย่างเกิดขึ้นเสมอเวลาที่ผมซ้อนท้ายผู้ชายคนนี้ ผมสงสัย แต่ไม่ได้คิดอยากจะหาคำตอบเท่าไหร่นัก

   หลังการขี่ที่ยาวนาน ป้ายเก่าๆ ข้างทางโชว์หราว่าพวกเราออกเขตเมืองมาแล้ว ฮาร์เลย์ทุกคนจอดเทียบด้านหน้าของบาร์เล็กๆ แห่งหนึ่ง ตอนนี้ยังเช้าตรู่ ผมไม่รู้เลยว่าพวกเขามาทำอะไรกันที่นี่ในเวลานี้

   ผู้ชายที่เป็นคนมาเคาะประตูบ้าน ผมได้ยินเดฟเรียกเขาว่าแอช ร่างสูงก้าวลงจากมอเตอร์ไซค์

   “อย่าส่งเสียงดังล่ะ” เดฟหันมายิ้มให้ผม ในขณะที่ผมนั้นเบิกตากว้างกับสิ่งที่เพิ่งเห็น ปืนสั้นกระบอกดำสนิทถูกจับมั่นอยู่ในมือใหญ่ เขาเลิกคิ้วที่เห็นผมทำท่าทางแบบนั้น ก่อนที่ละความสนใจจากผมไปอย่างรวดเร็วแล้วเดินตามแอชเข้าไปด้านใน

   ประตูไม้เก่าๆ ถูกผลักออกด้วยความแรง มีกลุ่มคนนั่งอยู่ในนั้นสี่ห้าคน และทุกคนหันมามองเสียงที่เกิดขึ้นเป็นตาเดียว แอชเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ถือปืน เขาก้าวดุ่มๆ เข้าไปหาผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ มือสองข้างคว้าเข้าที่คอเสื้อ ก่อนจะออกแรงกระชากจนอีกฝ่ายที่ไม่ตั้งตัวเสียหลัก คนที่เหลือในร้านดูตกใจ พวกเขาลุกฮือขึ้นเหมือนจะเข้ามาช่วย แต่พวกเดฟที่กระจายตัวยืนอยู่ก็ยกปืนขึ้นจ่อหัวคนพวกนั้นทันที

   ผมตัวแข็ง หัวใจเต้นรัวจนอึดอัดในอก ภาพความอันตรายพุ่งเข้ามาในสายตาจากทุกทิศจนไม่รู้จะต้องจับโฟกัสที่ไหนถึงจะหลุดพ้นจากเหตุการณ์เบื้องหน้าได้

   กริ๊ก..

   “อ๊ะอะ.. อยู่เฉยๆ จะดีกว่านะน้องชาย” เดฟพูดพร้อมรอยยิ้มเหยียด เขาเลิกคิ้วเมื่อเห็นหนึ่งในนั้นทำท่าเหมือนจะขยับตัว ปลายกระบอกปืนเล็งชี้ไปที่หัวคนนั้นเป็นการหยุดความเคลื่อนไหวโดยสมบูรณ์ บุหรี่หนึ่งมวนถูกหยิบขึ้นมาคาบปากลวกๆ เขาเหลือบตามองผมในเสี้ยววินาที

   หัวใจผมบีบเต้นด้วยความกดดัน เสียงออกหมัดยังดังต่อเนื่องไม่หยุด ผมค่อยๆ ก้าวเท้าอย่างระมัดระวังไปยืนข้างๆ อีกฝ่าย ก่อนจะหยิบไฟแช็กขึ้นจุดให้ ดวงตาเขาพราวระยับกับการกระทำนั้น ขณะที่ผมรีบถอยกลับไปยืนด้านหลังทันทีที่บุหรี่ิติดไฟ

   พรรคพวกของผู้ชายที่โดนกระทืบอยู่ตรงนั้นดูหัวเสีย แต่พวกเขาทำอะไรไม่ได้เลยเพราะปืนที่จ่อพรากเอาชีวิตอยู่ แอชคนนั้นดูน่ากลัวที่สุดในความรู้สึกของผมตอนนี้ ใบหน้าถมึงทึงขณะที่ปล่อยผู้ชายคนนั้นไหลลงไปนอนกับพื้น ใบหน้าเปรอะกรังไปด้วยคราบเลือดไม่ได้หยุดการกระทำโหดร้ายที่เขาทำอยู่เลย ฝ่าเท้ายังตามไปอัดซ้ำๆ เข้าชายโครงจนอีกคนงอตัว ผมเหลือบตามองเดฟ เขาดูไม่ทุกข์ร้อนกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นสักนิด ร่างสูงยืนสูบบุหรี่สบายอารมณ์ มือก็ถือปืนส่องไปข้างหน้านิ่งๆ เช่นเดียวกับอีกสองคนที่มากับเรา

   “อึก..” เสียงกระอักดังขึ้นเบาๆ ท่ามกลางเสียงกระทืบและลมหายใจ เลือดสีแดงสดพุ่งออกมาจากริมฝีปาก ตามตัวก็เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ แอชใช้เท้าดันไหล่ผู้ชายคนนั้นให้นอนหงาย ก่อนจะนั่งยองๆ

   “คิดว่านี่เป็นการต้อนรับก็ได้นะ” เขาพูดเสียงเย็น มองผู้ชายที่มีสภาพปางตายตรงหน้าด้วยสายตาน่ากลัว “นายเป็นหัวหน้านี่ ใช่มั้ย”

   ขนาดผมที่ยืนอยู่ตรงนี้และไม่ได้ถูกมองแบบนั้น ผมยังรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องเลยด้วยซ้ำ

   เขาล็อคมือเข้าที่ปลายคางอีกฝ่ายพลางจับมันสะบัดหันไปมา ร่องรอยช้ำหนักและเลือดกระจายอยู่ทั่วใบหน้าจนน่ากลัว

   “ดูเหมือนนายเพิ่งมาใหม่ เลยยังไม่รู้ว่าที่นี่เรามีกฎที่ต้องทำตาม นายแหกมันครั้งแรก โอเค นายอาจจะยังไม่รู้ แต่นายยังทำมันต่อไปเรื่อยๆ ด้วยความตั้งใจ ฉันคิดว่าคงปล่อยเอาไว้ไม่ได้”

   เขาเหยียดยิ้ม แล้วใช้ฝ่ามือจิกเส้นผมที่ชุ่มเหงื่อนั่นพร้อมกระชากขึ้นสูง น้ำเสียงกดต่ำ

   “โดยเฉพาะสิ่งที่นายเพิ่งทำไปเมื่อคืนนี้ นั่นน่ะมัน..” เขาหยุดชะงักไปโดยที่ยังพูดไม่จบประโยค เหมือนอารมณ์ถูกจุดให้สูงขึ้นทันที ใบหน้าคมดุถมึงทึง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่น เขาสะบัดมือปล่อยผมอีกฝ่ายแรงๆ ก่อนจะขยับเช็ดมันกับกางเกงยีนส์พลางยืดตัวขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วหันหลังเดินออกจากบาร์ไป

   ชั่วพริบตาหนึ่งที่เขาหันมาแล้วสวนกับผม ตอนนั้นผมลงความเห็นกับตัวเองได้ทันที ว่าผมไม่ควรมีเรื่องกับผู้ชายคนนี้ไม่ว่าจะเรื่องเล็กแค่ไหนก็ตาม เดฟที่ว่าน่ากลัวแล้วยังมีบรรยากาศรอบตัวที่ดีกว่าแอชคนนั้น เขากระทืบคนจนเกือบตายแล้วพอนึกจะไปก็แค่เดินออกไปเฉยๆ ด้วยสีหน้าไม่รู้สึกรู้สาอะไรด้วยซ้ำ

   “ไว้เจอกันใหม่นะ” เดฟเอียงคอ ปืนในมือขยับไล่เล็งไปที่ทุกคนช้าๆ ขณะที่ตัวเองถอยหลังจนถึงประตู ปืนถูกเก็บกลับไปเหน็บตรงกางเกง พวกที่ยืนนิ่งในตอนแรกกรูกันเข้าไปดูผู้ชายที่นอนนิ่งอยู่กับพื้น มีคนหนึ่งในนั้นหันมาสบตากับผม ก่อนที่ข้อมือผมถูกจับแล้วลากให้ออกจากที่นั่นด้วยความเร็ว ขาขยับคร่อมฮาร์เลย์ด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก เลือดในตัวจับแข็งเป็นก้อน

   เป็นความรู้สึกที่ชวนให้รู้สึกชา และให้สัมผัสเย็บเยียบ

   เมื่อกี้นี้ ..

   มีคนเกือบจะตาย แต่ไม่มีใครสนใจในข้อนั้นเลยสักคน

   เดฟที่ผมพอจะรู้ว่าไม่ใช่คนดีอะไรเท่าไหร่ แต่ผมก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้เห็นเขายืนมองการกระทำโหดร้ายนั่นด้วยใบหน้านิ่งเฉย พร้อมกับปืนในมือ

   ฮาร์เลย์พุ่งทะยานไปด้านหน้า ผมขยับมือจับเอวคนตรงหน้าไว้หลวมๆ พอเคลื่อนที่กลับเข้าในเมือง แต่ละคนก็แยกย้ายกันไปตามทิศทางของตัวเอง เดฟพาผมกลับไปที่บ้าน มอเตอร์ไซค์ค่อยๆ ช้าลงจนหยุดนิ่งอยู่ตรงอู่รถเดิม เขาขยับตัวลงจากเบาะคนขับ ในขณะที่ผมยังนั่งแข็งค้างอยู่ที่เดิม

   “เป็นไง” เขาถามขึ้นมาสั้นๆ หลังจากเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผม ดวงตาให้อารมณ์แตกต่างจากเมื่อครู่นี้เล็กน้อย มันไม่ได้เย็นชาและจริงจังอีกต่อไป “ถือว่าเรารู้จักกันแล้วหรือยัง”

   “…”

   “นายดูไม่ค่อยดีเลยนะ” เขาทักด้วยใบหน้าสบายๆ พร้อมการเลิกคิ้วที่ดูเหมือนจะติดเป็นนิสัย

แน่ล่ะ ดูไม่ค่อยดีงั้นเหรอ

   สิ่งที่ผมเผลอไปเห็นนั่นไม่ใกล้เคียงกับสิ่งที่มองแล้วจะต้องรู้สึกดีสักนิด

   “.. ผมไม่รู้” แล้วผมก็ได้แต่ตอบแบบนั้นออกไป ไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าตอนนี้ตัวเองควรจะรู้สึกหรือมีความคิดยังไงกับตัวตนที่อีกฝ่ายแนะนำให้รู้จัก

   “เรื่องที่ให้มาอยู่ด้วย ฉันพูดจริง แต่ก็ไม่ได้จะบังคับให้มา” เขาพูดช้าๆ พลางมองเข้ามาในตาผม “ฉันก็แค่.. อาจจะถูกชะตากับนาย”

   ผมก็ไม่รู้อีกนั่นแหละว่าควรจะรู้สึกดีกับประโยคนั้นหรือเปล่า การภาวนาถึงการตั้งต้นชีวิตใหม่โดยปราศจากความไม่สงบสุขของผมพังไม่เหลือชิ้นดี

   “ถ้านายอยากหาบ้านเช่าอยู่ อยากหางานทำ ได้ ฉันช่วยนายได้ แล้วก็อยากให้รับความช่วยเหลือนี้ไว้ด้วยในฐานะที่ฉันตั้งใจมอบให้” เขาพูดด้วยเสียงจริงจัง แววตาไม่มีความล้อเล่นแฝงอยู่ทำให้ผมต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็ว

   “ขอบคุณ..” แล้วก็คงเป็นอย่างที่ผมคิดมาเสมอ ว่าการขัดคำพูดของผู้ชายคนนี้อาจไม่ให้ผลดีเท่าไหร่ ถ้าเขายืนยันแบบนั้น

   ก็ไม่มีทางเลือกอะไรเหลือให้ผมได้เลือกอีกแล้ว

   อีกฝ่ายยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจเมื่อได้ยินคำนั้นจากผม เขาจับต้นแขนผมแล้วดึงให้ลุกจากฮาร์เลย์เบาๆ “นั่งพักซะ เดี๋ยวจะพาไปสมัครงาน แต่อย่าลืม..คำพูดของฉันจะไม่เปลี่ยนแปลง ถ้านายอยากได้รับความช่วยเหลือ”

   “…”




   “มาที่นี่ได้”


____

1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.5 Evictions On The Door (22/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mecinzano505 ที่ 22-01-2017 12:58:27

5_
Evictions On The Door



   “งานที่หาได้ เป็นยังไง” เขาเกริ่นถามขึ้น หลังจากพาผมไปบังคับแกมยัดเยียดให้เจ้าของร้านรับเข้าทำงาน เขาฝากผมเข้าทำที่สถานท่องเที่ยงกลางคืนแห่งหนึ่ง เป็นคนคอยจัดการสัพเพเหระภายใน ล้างจาน ทิ้งขยะ เช็ดแก้ว วิ่งสั่งน้ำแข็งมาเติม ก็ถือเป็นอาชีพที่ลำดับขั้นต่ำสุดในนั้นเลย

   แต่จะเอาอะไรมากกับคนที่ไม่มีการศึกษาแบบผม

   ผู้หญิงก็ไม่ใช่ จะเสนอหน้าไปเสิร์ฟเหล้าเสิร์ฟอาหารแลกกับทิปหนักๆ นี่ฝันไปเลย แล้วผมก็ไม่ค่อยอยากกลับไปทำอะไรที่เสี่ยงต่อการเจอเรื่องห่วยๆ แบบสมัยก่อนแล้วด้วย

   ทำงานหลังร้านแลกค่าแรงถูกๆ ให้พอรอดตายก็ยังดี อย่างน้อยก็เป็นการปูพื้นฐานการใช้ชีวิตที่นี่ อนาคตถ้าได้รู้จักคนในเมืองมากขึ้น ผมอาจจะได้ขยับย้ายไปทำอะไรที่ดีกว่านี้

   “ผมทำได้หมดนั่นแหละ.. ขอบคุณ” ผมตอบกลับไปตรงๆ ได้ยินอีกฝ่ายเค้นหัวเราะออกมาเบาๆ ถึงได้หันหน้าไปมอง เดฟจ้องค้างที่ผมอยู่ก่อนแล้ว สีหน้าเขาดูแปลก เหมือนจะสื่ออารมณ์แปลกใจ แต่ก็ไม่เชิง

   “ไม่มีงานที่อยากทำบ้างเหรอ งานในฝันน่ะ” ผมมองอีกฝ่าย รู้สึกถึงความคิดในหัวที่ว่างเปล่า ไม่มีไอเดียอะไรโผล่ออกมาเลยเมื่อพูดถึงคำว่างานในฝัน

   ผมแทบไม่เข้าใจในความหมายของมันด้วยซ้ำ

   “อะไรก็ได้ ทำขนม เปิดร้านอาหาร ร้านกาแฟ คนสวน ไปรษณีย์ พนักงานดับเพลิง” เขาไล่ชื่ออาชีพไปเรื่อยๆ

   “อะไรก็ได้ ผมทำได้หมด” ผมตอบกลับไปเหมือนเดิม เก็บเอาคำว่า พนักงานดับเพลิง มาคิดวนในหัว ถ้าให้ทำผมก็ทำได้เหมือนกัน ถึงแม้จะรู้สึกไม่ค่อยดีตอนที่ต้องอยู่ใกล้ไฟร้อนๆ ก็เถอะ

   “แล้วคุณทำอาชีพอะไร” ผมหลุดถามออกไป แล้วก็น่าจะรู้ตัวตั้งแต่ก่อนทำแบบนั้น ว่าไม่สมควรเลย

   ถึงผมจะอยากรู้ แต่ผมก็ไม่ควรรู้

   อะไรบางอย่างลึกๆ ในตัวผมตะโกนเตือนอยู่เป็นระยะถึงความน่ากลัวของผู้ชายคนนี้

   และผมควรเชื่อฟังมัน

   “คุณไม่ต้องบอกก็ได้” ผมรีบพูดขึ้นทันทีที่ิคิดได้ เดฟขยับยิ้มตอนที่ได้ยิน แววตาฉายความขบขันออกมาอย่างตั้งใจ

   “นายนี่ตลกดี..” เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นเรียบเฉย “แต่ถ้าฉันอยากบอก จะอยากฟังหรือเปล่า”

   ผมเบือนหน้าหนีไปอีกทาง จับจ้องสายตาเข้ากับเส้นสีขาวที่ตัดอยู่บนถนน สัมผัสได้ถึงอัตราการเต้นของหัวใจที่แรงขึ้น มันกำลังสับสนในตัวเอง เหมือนปลายเท้าเหยียบอยู่บนเส้นระหว่างความอันตรายกับความปกติ

   ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ดังปะทะใบหู ผมหันกลับไปมองเดฟที่ยืนล้วงกระเป๋ากางเกงนิ่ง เขาส่ายหน้าน้อยๆ และไม่พูดอะไรออกมาเกี่ยวกับอาชีพอีก

   แล้วผมก็รู้ว่าทั้งหมดนั่นเป็นแค่การล้อเล่นทั่วๆ ไปที่อีกฝ่ายชอบทำเท่านั้น

   ผมถอนหายใจเบาๆ ความรู้สึกโล่งใจค่อยๆ คลืบคลานกลับเข้ามา ไม่ค่อยได้สัมผัสความรู้สึกแบบนี้มานานสักพักแล้ว เนวาด้าที่จากมาก็ไม่ได้เต็มไปด้วยคนที่สามารถแกล้งคนอื่นได้ทั้งใบหน้านิ่งๆ เอาเข้าจริง พวกนั้นไม่เสียเวลาเล่นมุขหรือแกล้งใครด้วยซ้ำ ถ้าจะมีอะไรสักอย่างหลุดออกมาจากปาก ที่ผ่อนคลายที่สุดก็คงจะเป็นเรื่องตลกใต้สะดือฝืดๆ หรือไม่ก็การพูดคำว่า ‘อรุณสวัสดิ์’

   “ขอบคุณนะ” อยู่ดีๆ ผมก็พูดประโยคนั้นขึ้นมาลอยๆ เดฟที่ยืนสูบบุหรี่อยู่หน้าที่ทำงานใหม่ของผมถึงกับหันหน้ามามองด้วยความงุนงง แต่ผมก็แค่อยากขอบคุณ

   พอคิดถึงอดีตพวกนั้นแล้ว การตั้งต้นใหม่ที่นี่ก็เป็นเหมือนความฝัน ไม่สำคัญเลยว่าจะได้ทำงานอะไร เพียงแค่เป็นอะไรก็ได้ ที่ไม่ใช่การขายตัว..

   ผมก็คิดว่านั่นเป็นงานในฝันได้แล้ว

   เพราะผมฝันถึงการเลิกทำเรื่องอย่างว่ามาตลอดชีวิต

   อะไรบางอย่างตีสะท้อนขึ้นในอก เหมือนกับว่าความอ่อนแอกำลังจะเริ่มทำงาน มันอาจเป็นเรื่องปกติ เราจะรู้สึกอ่อนแอเสมอเวลาได้รับความเห็นใจจากใคร เวลาที่เรารู้ว่าคนคนนั้นอาจจะรับฟังและยอมรับเราได้ เวลานั้นแหละ ที่น้ำตาอยากจะออกมามีบทบาทมากที่สุด

   เป็นเหมือนการเรียกคะแนนสงสารของร่างกายที่ผมรังเกียจ

   โชคดีที่เดฟดูเหมือนจะรู้สิ่งที่ผมคิดอยู่ในใจ เขาเลือกที่จะก้มหน้ามองพื้นแทนการมองสีหน้าที่เริ่มแย่ของผม ปลายบุหรี่สีขาวสนิทเเดงวาบ ก่อนที่เขาจะปล่อยมันให้ตกลงบนพื้นพร้อมปลายเท้าที่ตามไปเหยียบขยี้จนมอดดับ

   “ฉันว่างๆ อยู่พอดี อยากไปขี่รถเล่นด้วยกันไหม” เสียงทุ้มเกริ่นถามขึ้นโดยไม่หันมามอง ผมรีบยกมือขึ้นปาดน้ำที่คลอเคลือบอยู่ในตา สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เรียกสติ เปล่งเสียงออกไปให้น้อยพยางค์ที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงเสียงแปร่งๆ ที่ผมไม่อยากได้ยิน

   “อือ”

   ผมขึ้นมาซ้อนเบาะนี่อีกแล้ว ลมบางๆ เริ่มไล้แตะผิวหน้า บรรยากาศเดิมๆ ที่ล่อลวงให้ผมจมดิ่งสู่ความว่างเปล่าที่แท้จริง สายตาจับจ้องค้างไปที่แผ่นหลังกว้างตรงหน้า

   ในตอนนั้นเองที่ผมชักไม่แน่ใจ ว่ามันเป็นโชคดีจริงหรือเปล่า ที่เดฟทำแบบนี้ เขารับรู้ว่าผมกำลังอ่อนแอ เขารับรู้ว่าผมไม่อยากเเสดงมันให้เห็นจึงเลือกที่จะหันหน้าหนีไป เขากำลังรับรู้.. สิ่งที่อยู่ในใจของผม

   นั่นไม่ใช่เรื่องที่ฟังแล้วควรได้รับการสรุปว่าดีสักเท่าไหร่ใช่หรือเปล่า

   ผมเองก็ไม่แน่ใจ





   “เล่าเรื่องของนายสิ” เดฟเอ่ยขึ้นเรียบๆ ดวงตาเหลือบมองผมเสี้ยววินาที ก่อนจะละกลับไปมองอย่างอื่น

   ผมก้มมองไอศกรีมช็อกโกแลตถ้วยที่ถืออยู่ในมือ ไอเย็นแผ่ออกมาเกาะกุมโดนปลายนิ้วที่จับสัมผัสอยู่จนรู้สึกได้ถึงความด้านชาเล็กๆ เสียงกลุ่มเด็กเล่นบาสเก็ตบอลดังมาเข้าหูจากที่ไกลๆ

   “เล่าอะไร” ผมถามกลับ แอบลอบมองเดฟที่ละเลียดไอศกรีมของตัวเองไปเรื่อยๆ อยู่ด้านข้าง สายลมพัดมาทำให้เส้นผมสีดำสนิทขยับปลิวเล็กน้อย

   “อะไรก็ได้ที่นายอยากเล่า” เขาตอบ แต่นั่นไม่ใช่การตอบที่ช่วยอะไรเท่าไหร่เลย ดวงตาสีเข้มเบือนกลับมาสบกับผมราวกับรู้ว่ากำลังโดนแอบมอง “หรือจะเล่าเรื่องโกหกก็ได้นะ”

   นั่นฟังดูไม่ดีสุดๆ ไปเลย..

   “ผมชื่อฟลอยด์” ผมพูดออกไปง่ายๆ อย่างคนนึกอะไรไม่ออก เดฟนิ่วหน้าทันทีที่ได้ยินแบบนั้น

   “ทำไมนายถึงพูดอะไรที่ฉันรู้อยู่แล้ว”

   “ก็คุณบอกให้พูดอะไรก็ได้” แล้วก็บอกให้เล่าเรื่องโกหกด้วย

   จริงๆ แล้ว ชื่อ ฟลอยด์ นั่น ก็เข้าข่ายคำโกหกได้อยู่ไม่ใช่หรือไง

   เดฟส่ายหน้าช้าๆ สองสามที เขาไม่ได้ถามอะไรต่อหลังจากนั้น ไม่ได้พยายามให้ผมพูดอะไรต่อด้วย ความเงียบกัดกินพื้นที่ว่างระหว่างเราสองคน ผมเองก็เลือกที่จะกินของที่อยู่ในมือไปเรื่อยๆ พลางแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยก้อนเมฆ

   นานแค่ไหนแล้ว ที่ไม่ได้ตั้งใจมองดูมันแบบนี้

   ตอนเด็ก ผมเคยชอบนั่งอยู่หน้าบ้านเก่าๆ โทรมๆ แล้วก็นั่งมองท้องฟ้า เพราะอะไรน่ะเหรอ.. เพราะว่ามันให้ความรู้สึกสวยงาม แปรปรวนไปเรื่อย แล้วก็จับต้องไม่ได้ไงล่ะ

   เพราะแบบนั้น ถึงดึงดูดสายตาให้มองเสมอ

   จนกระทั่งผมผลักตัวเองเข้าสายอาชีพน่ารังเกียจ สายตาก็ไม่ได้มีไว้มองของสวยงามพวกนี้อีกต่อไป วันๆ เห็นแต่แสงสีน่าขยะแขยง แล้วก็บรรดาผู้ชายที่ผมหลับนอนด้วยทั้งๆ ที่จำหน้าไม่ได้ด้วยซ้ำ

   “สีฟ้า” ผมเปรยขึ้นเบาๆ เรียกความสนใจจากเดฟที่จัดการไอศกรีมในมือจนหมดแล้วเปลี่ยนเป็นบุหรี่มวนยาวแทนแล้ว ใบหน้าเรียบเฉยแต่ให้ความรู้สึกสบายใจหันมาเล็กน้อย การเลิกคิ้วทำให้ผมต้องขยายความ

   ทั้งๆ ที่ก็ไม่รู้จะพูดให้เขาฟังทำไม

   “ผมชอบสีฟ้า”

   แต่น่าแปลก นอกจากเดฟจะไม่มองผมเป็นคนบ้าที่พูดอะไรไร้สาระ เขายังยิ้มกลับมาด้วย ใบหน้าพยักเบาๆ ก่อนที่เสียงทุ้มจะหลุดลอดออกมาทั้งๆ ที่บุหรี่ยังถูกคาบอยู่ที่ปาก

   “อือ ฉันชอบสีเทา”

   แล้วเขาก็กระโจนลงมานั่งคุยเรื่องไม่เป็นเรื่องกับผมจริงๆ

   “ให้เดาไหม” เขาพูด เป่าควันบุหรี่ให้ล่องลอยไปด้านบน โดยไม่ต้องรอให้ผมตอบคำถามนั้น เขาก็พูดแทรกขึ้นมาก่อนแล้ว “นายไม่ชอบสีดำ ใช่หรือเปล่า”

   ผมไม่ตอบ มีเพียงดวงตาที่หลุบลงมองไอศกรีมที่กำลังจะหมดในมือของตัวเอง

   ใช่..

   ผมไม่ชอบมัน สีที่มืดมิดที่สุด ชวนให้นึกถึงอดีตที่ตัวเองเคยมี ชีวิตในยามกลางคืน สิ่งที่เคยทำ ทำให้ร่างกายผมดำมืด เต็มไปด้วยความสกปรก

   “แล้วทำไมคุณถึงชอบสีเทา” ผมเปลี่ยนเรื่อง ปัดให้ออกห่างจากเรื่องของผม ย้อนกลับไปที่เรื่องของเขา

   แต่อีกฝ่ายก็แค่ยิ้มออกมาบางๆ   

   มองไปยังควันบุหรี่ที่เป็นสีเทาแบบที่เขาบอกว่าชอบ

   “เพราะว่ามันเหมือนกับมนุษย์ที่สุดไง.. คนเรา ทุกคน” ผมเผลอเหยียดยิ้มกับประโยคนั้น แล้วทุกอย่างก็อยู่ในสายตาของร่างสูงด้วย เดฟหัวเราะเบาๆ ในลำคอ บุหรี่ที่สูบอยู่ถูกขยี้ลงกับพื้นด้วยปลายเท้า เขาเท้าข้อศอกกับหน้าขาแล้วโน้มตัวไปข้างหน้า ใบหน้าหันมองไปทางอื่น

   “ไม่คิดงั้นเหรอ.. ถ้าให้เลือกหนึ่งสีให้ตัวเอง นายจะเลือกสีอะไรล่ะงั้น”

   ผมนิ่งคิดกับคำถามนั้น สายลมเอื่อยๆ แตะไล้ใบหน้า

   “.. ผมไม่รู้” บางที อาจจะเป็นสีดำ

   ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้พูดสิ่งที่คิดออกไปทั้งหมด แต่ก็ดูเหมือนเขาจะล่วงรู้มันได้

   “ไม่ว่านายจะเลือกสีอะไรให้ตัวเอง ฉันแค่หวังว่ามันจะไม่ใช่สีดำ เพราะอะไรรู้ไหม” เขาถามทั้งรอยยิ้ม ดวงตากะพริบเบาๆ ก่อนเลื่อนมันกลับมาสบตากับผมที่ส่ายหน้าช้าๆ

   “ก็เพราะไม่มีใครสมควรได้รับมันไงล่ะ”

   ไม่มีใครควรได้รับสีดำเพราะพวกเขาไม่ได้เลวร้ายไปทั้งหมด ไม่มีใครสมควรได้สีขาวเช่นกัน ไม่มีใครดีหมดจรดจนกลายเป็นสีหลอกลวงแบบนั้น

   เขาพูดมาแบบนั้น

   ผมจ้องตาเขานิ่ง ริมฝีปากเจือสีคล้ำจากการสูบบุหรี่ขยับช้าๆ

   “เพราะว่าทุกคนล้วนเป็นสีเทา เทาเข้ม เทาอ่อน เทาสว่างหรือเทาเข้มจนเกือบจะเป็นดำ สุดท้ายแล้ว ทุกคนก็เป็นได้แค่สีเทาเหมือนกัน”

   “…”

   “เหมือนฉัน.. กับนาย”

   ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรเราถึงต้องมานั่งคุยเรื่องนี้กัน

   ผมไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าความรู้สึกดีที่โหมพัดทั่วร่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้มันมาจากไหน

   ประโยคที่เหมือนจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับผม..

   กลับทำให้รู้สึกเหมือนได้รับการยอมรับ จากผู้ชายที่ผมแทบไม่รู้จักเลย

   ได้ยินเสียงหัวเราะลอยเคล้ามากับลม ผู้ชายคนนี้ดูอารมณ์ดีผิดกับแววตานิ่งๆ ที่แสดงออกมา สีหน้าคาดเดาไม่ได้ไม่เคยทำให้ผมรู้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

   ล้อเล่น หรือว่า พูดจริง

   “เห็นไหม ฉันก็ไม่ใช่สีดำหรอกนะ” รวมถึงประโยคนี้ด้วย

   แล้วรอยยิ้มก็เริ่มมีบทบาทบนใบหน้า จนเป็นผมเองที่ต้องเบือนหน้าเพื่อหลบซ่อนมัน หัวใจเต้นหน่วงกระตุกรุนแรง

   โดยที่ไม่รู้เหตุผลอีกเช่นกัน





   ...



   ‘รออยู่นี่ เดี๋ยวจะไปหาซื้อของเข้ามาให้’ เขาพูดแบบนั้นแล้วก็จากไป ผมไม่รู้ถึงเหตุผลที่เขาไม่ยอมให้ผมไปด้วย เสียงทุ้มแค่กำชับ

   ‘รออยู่นี่’

   “ขอบคุณนะ” ประโยคนั้นติดค้างอยู่ตรงริมฝีปาก ผมมองบานประตูไม้เก่าๆ ที่มีปฏิทินของเมื่อสามปีที่แล้วแปะอยู่ ดูเหมือนเจ้าของเก่าจะไม่สนใจใยดีมันสักเท่าไหร่ในตอนที่เขาย้ายออก

   ห้องพักเล็กๆ ราคาถูกซึ่งไม่ว่าจะถูกแค่ไหน มันก็ยังคงแพงอยู่ดีสำหรับตัวผมในปัจจุบันนี้ ที่นี่อยู่ไม่ไกลนักจากที่ทำงาน แค่เดินไปอีกห้าช่วงตึกเห็นจะได้ วิวจากหน้าต่างบานเล็กที่มีอยู่ก็ไม่เลวเลย ผมเหลือบตามองไปตามสิ่งที่กำลังคิดอยู่ในหัว หน้าต่างที่เหมือนจะพังแหล่ไม่พังแหล่ ผ้าม่านสีฟ้าหม่นที่เกิดจากการรวมตัวกันของฝุ่น กับวิวตึกและถนนโล่งเงียบ โอเค วิวก็ไม่เลวเลย

   อย่างน้อยถ้าเบื่อก็นั่งมองรถยนต์ที่แล่นผ่านไปได้..

   ผมพ่นลมหายใจออกแรงๆ รู้สึกงี่เง่าขึ้นมาทันทีกับการแก้ตัวให้กับห้องห่วยๆ นี่ในตอนนี้ ทุกอย่างเหมือนจะพังครืนในทันทีที่ผมเอื้อมมือไปสัมผัส สนิม หยากไย่ รอยน้ำซึมตรงเพดานสีขาวอมเหลืองนั่น แล้วก็เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น ที่นอนวางชิดติดพื้น เสียงสปริงดังลั่นทันทีที่มีใครสักคนหย่อนตัวลงนั่ง และทีวีที่เปิดใช้งานไม่ได้ด้วยซ้ำ

   เข้าสู่คำว่า ‘ที่ซุกหัวนอน’ อย่างเต็มรูปแบบ

   แต่ถึงอย่างนั้น ผมกลับสบายใจที่จะอยู่ที่นี่ ไม่รู้สิ ไม่มีโดเบอร์แมนที่สามารถฆ่าผมได้ในเสี้ยววินาทีที่กะพริบตา ไม่มีสายตาแปลกๆ จ้องมองมาจากคนที่ชวนให้รู้สึกแปลกๆ ตอนอยู่ด้วย

   ผมอยู่ด้วยตัวของตัวเองแล้วในที่สุด

   มีงาน และมีบ้านที่จ่ายค่าเช่าด้วยเงินของตัวเอง

   ไม่สิ.. ถึงเงินงวดแรกที่จ่ายค่าห้องนี้ไปจะเป็นเงินของเดฟ แต่ผมก็จะใช้คืนให้เขาทันทีที่เงินก้อนแรกออก นั่นเป็นสิ่งที่ผมตั้งใจเอาไว้

   “ขอบคุณ” ผมพูดประโยคเดิมอีกครั้ง พร้อมกับรอยยิ้มติดมุมปาก ไม่มีใครได้ยินมันนอกจากตัวผมเอง

   ไม่แม้แต่คนที่ผมกำลังหมายถึงในคำพูด

   เป็นผู้ชายที่แปลก .. เขาทำให้ผมรู้สึกสงสัยในการกระทำแทบะจะทุกอย่างที่เขาทำ ทุกพฤติกรรมที่ผมมองเห็น ทุกคำพูดที่ได้ยิน

   เพราะผมไม่รู้จริงๆ ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ทำไมถึงได้เข้ามาทำทุกอย่างนี่กับผม ทั้งๆ ที่ไม่มีความจำเป็นอะไรเลย คำว่า ‘ถูกชะตา’ นั่น มันครอบคลุมความช่วยเหลือไว้มากขนาดนี้ได้จริงๆ งั้นเหรอ เขาทำมันให้ผมได้ง่ายๆ โดยไม่อยากได้อะไรตอบแทนเลยจริงๆ เหรอ

   ผู้ชายที่ดูน่ากลัวในบาร์นั่น กับผู้ชายที่ยิ้มให้ผม คนไหน คือตัวตนจริงๆ กันแน่

   ผมหลุบตามองพื้น จรดจ้องหัวตะปูที่โผล่พ้นขึ้นมาจากพื้นไม้

   อันตราย ..

   อันตรายมากเกินไป การเอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้น อะไรบางอย่างในตัวบอกผม และผมควรจะเชื่อฟังมัน

   ปึงๆ ..

   เสียงเคาะประตูเรียกความสนใจจากผมทันทีที่ได้ยิน ผมรีบผุดลุกขึ้นยืนแล้วสาวเท้าไปยืนชิด เสียงเคาะประตูดังตามมาอีกสามครั้ง ก่อนที่ผมจะปลดล็อคแล้วเปิดมันออก

   หัวใจเต้นกระตุกผิดจังหวะ

   ผมน่าจะรู้ว่าเดฟไม่น่าจะใช่คนที่เคาะประตูแบบนั้น ความเร่งรีบและกดดันที่ส่งผ่านบานประตูมาน่าจะทำให้ผมรู้และยั้งคิดได้

   ว่าถ้าประมาท ก็เท่ากับต้องเสีย

   “จำฉันได้ไหม” คนตรงหน้าจ้องผมเขม็ง ดวงตาสีเขียวมองจับไม่วางตา ในขณะที่ผมกำลูกบิดแน่น


   “คุณ..”


____

1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.5 Evictions On The Door (22/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 22-01-2017 15:08:22
ว้ากกกกกก  :katai1:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.6 Lack of Composure (22/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mecinzano505 ที่ 22-01-2017 15:58:35

6_
Lack of Composure



   
          พื้นไม้.. กับหัวตะปูที่โผล่พ้นขึ้นมา

          ‘นายรู้หรือเปล่า ว่าทำไมพวกสวะนั่นถึงได้ไปที่นั่นแล้วทำแบบนั้น’

          ‘.. ไม่’

          ผมตอบ รู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างในลำคอตีบตัน หัวใจเต้นกระตุกขัดกับทั้งร่างกายที่ชาหนึบ ทั้งๆ ที่ก็รู้ดีว่าการปล่อยให้คนตรงหน้าเข้าถึงตัวถือเป็นจุดจบของชีวิต แต่ผมจะทำอะไรได้

          ในเมื่อเขากำลังยืนอยู่ที่นี่ ในห้องของผม ห่างจากตัวผมไปไม่ถึงหนึ่งเอื้อมมือด้วยซ้ำ

          ผู้ชายคนนั้น ..

          ดวงตาสีเขียวหรี่เล็ก ใบหน้าถมึงทึง กลิ่นบุหรี่ให้ความรู้สึกหยาบขัด แจ็คเก็ตหนังสีน้ำตาลเข้ม กับแผลเป็นใต้ตาข้างขวา

          ผมจำได้ดี มันติดค้างอยู่ในส่วนลึกของความทรงจำ

          ที่บาร์นั่น เดฟและพรรคพวกของเขา เสียงหมัด เลือด การข่มขู่ ดวงตาที่จ้องมองมายามผมก้าวออกจากบาร์

          เขาคือผู้ชายคนนั้น…

          ‘นายไม่รู้เหรอ?’ น้ำเสียงนั้นเย้ยหยัน ฟังดูเคลือบแคลง ‘นั่นไม่ใช่ปัญหาเลย น่าเสียดาย น่าเสียดาย..’
         
          เขาพร่ำพูดคำนั้นออกมานับไม่ถ้วน ก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะพุ่งเข้าหาผม พร้อมกับฝ่ามือหนักที่ซัดกระทบเข้าใบหน้า

          เสียงแหลมสูงดังขึ้นในโสตประสาต ผมถูกตรึงแน่นอยู่ในสภาวะที่ไม่เข้าใจ ความเจ็บช้ำที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ผมมองไม่เห็นอะไรสักอย่างเพราะเปลือกตาที่ปิดแน่น

          ภาพของผู้ชายที่โดนซ้อมคนนั้นลอยค้างอยู่ในหัว ผมกดร่างของตัวเองลงกับพื้นไม้เย็นเยียบ ฟันขบกันแน่นทุกครั้งที่ร่างกายถูกปะทะด้วยอะไรสักอย่าง

          ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว จนคอเสื้อผมถูกกระชากขึ้นแรงๆ เสียงหอบหายใจสะท้อนอยู่เหนือหัว

          ‘อย่าโกรธกันเลย สำหรับเรื่องนี้.. นายน่าจะโทษพรรคพวกของนาย เพราะพวกมันเป็นไอ้สารเลวที่ทำให้นายต้องเจอแบบนี้’

          ปลายนิ้วบีบเข้าแรงๆ ที่สันกราม เขาพลิกใบหน้าผมไปมา เรียกความหน่วงแสบให้วิ่งพล่านขึ้นสมอง ในขณะที่ผมเอง ยังไม่กล้าแม้แต่จะลืมตาขึ้นมองด้วยซ้ำ

 

          พื้นไม้สีเข้ม.. กับตะปูที่โผล่พ้นขึ้นมา

          ผมเริ่มเปิดเปลือกตาขึ้นจับจ้องมัน หลังจากเสียงฝ่าเท้าดังขึ้น พาตัวตนน่ากลัวนั่นให้หายไปในความมืด

          ผมไม่แน่ใจนัก ว่าตอนนี้สภาพของตัวเองเลวร้ายได้ถึงขั้นไหน เสียงหวีดแหลมในหูค่อยๆ บางเบาจนกลายเป็นความเงียบงัน ผมไอโขลกออกมาแรงๆ สองสามครั้ง หยดเลือดหยดลงให้เห็นบนพื้นที่ผมเหยียดร่างนอนอยู่

          ผมกะพริบตา จ้องมองสีแดงเป็นวง กับลมที่ตีเข้ามาทางประตูที่เปิดกว้าง เสียงขบฟันดังขึ้นอีกครั้ง ผมค่อยๆ ขยับร่างกายที่บอบช้ำของตัวเอง ปลายคางแตะเข้าเบาๆ เหนือหัวเข่า

          และน้ำอุ่นร้อนที่ไหลออกจากดวงตา

 



 

          “ฟลอยด์” เสียงเรียกนั้นฟังดูตกใจ ผมไม่ได้หันไปมอง จนกระทั่งอีกฝ่ายก้าวยาวๆ เข้ามาหา ปลายนิ้วแตะเข้าที่ไหล่ทั้งสองข้าง ก่อนที่ผมจะถูกช้อนให้ลุกนั่ง

          โชคดี.. ที่เขากลับมาในตอนที่น้ำตาพวกนั้นแห้งเหือดไปหมดแล้ว

          ผมมองคนตรงหน้าด้วยแววตาว่างเปล่า บางที ผมน่าจะเชื่อคำเตือนในหัวของตัวเองตั้งแต่แรก

          การเอาตัวเองไปยุ่งกับคนแบบนี้.. มองยังไงก็มีแต่จะเสียเท่านั้น

          เพราะว่ามันอันตรายมากเกินไป

          “ใครทำ..” เขาถาม น้ำเสียงเคร่งเครียดกดต่ำในลำคอ กับดวงตาจริงจังไร้วี่แววการล้อเล่นเหมือนเคย

          แต่ใครทำแล้วยังไง มันจะช่วยอะไรขึ้นมาได้ ในเมื่อผมเองก็โดนซ้อมไปแล้ว

          ไม่ใช่เหรอ?

          ยิ่งผมไม่ตอบ เขาก็ยิ่งแสดงท่าทางหัวเสียออกมามากขึ้น สายตาคมดุกวาดมองรอบๆ ห้องราวกับจะหาอะไรบางอย่าง ท่าทางขัดใจเกิดขึ้นหลังจากนั้น กับสัมผัสที่แตะพยุงเข้าที่หลัง

          “ลุกไหวหรือเปล่า เราต้องไปโรงพยาบาล”

          “..ไหว” ผมตอบ ริมฝีปากล่างถูกขบกัด ขณะที่ผมฝืนจะลุกขึ้นยืน  หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเพราะความหน่วงช้ำตรงช่องท้องไล่ลามไปทั่ว

          “เวรเอ้ย!” เดฟสบถออกมาแรงๆ ฝ่ามืออุ่นที่จับอยู่ตรงไหล่เลื่อนเข้าสอดตรงข้อพับขา เขาช้อนร่างของผมขึ้นง่ายๆ จังหวะการก้าวเดินดูเร่งรีบกว่าที่ควรจะเป็น ปกเสื้อหนังเสียดสีเบาๆ กับฝ่ามือ เดฟอยู่ใกล้จนน่าตกใจ

          ผมมองเห็นใบหน้าเคร่งขรึม คิ้วเข้มขมวดนิ่ง กับสันกรามที่บดเข้าหากัน

          ก่อนที่ผมจะถูกวางนิ่งๆ บนเบาะฮาร์เลย์คันเดิม ลมเย็นๆ ตีกระแทกกับผิวเนื้อเมื่อรถเริ่มพุ่งไปตามถนน

          ผมเม้มปาก มองลาดไหล่กว้างที่ให้ความรู้สึกหลากหลายเวลามอง ดวงตาเกลือกขึ้นมองท้องฟ้าสีดำสนิทกับหัวใจที่หน่วงหนืดจนน่ากลัว


          เพราะหนึ่งในความรู้สึกที่เกิดขึ้นตอนนี้ กับผู้ชายตรงหน้า

          .. คือความเข็ดขยาด

 


 

          “ขอบคุณ จูเลีย” เดฟพูดขึ้น ฝ่ามือแตะเข้าที่ต้นแขนของผู้หญิงในชุดแพทย์ ดวงตาเคร่งขรึมตวัดมองผม เสี้ยววินาทีหนึ่ง ผมสัมผัสได้ถึงการติเตียนที่ถูกส่งมา ก่อนที่มันจะเลือนหายไปกับอากาศ

          ศอกของผมถูกดันเบาๆ เราไม่พูดอะไรกันตลอดทางที่ออกจากโรงพยาบาลเล็กๆ นี่ ท้องฟ้าข้างนอกอึมครึม กับลมเย็นที่หวีดแทรกผ่านเสื้อยืดบางๆ เข้ามาสร้างความหนาวเย็นให้ร่างกาย

          เป็นเวลาดึกมากแล้ว

          ความเงียบยังดำเนินต่อไปอีกหลายนาทีในความรู้สึก เดฟมีสีหน้าครุ่นคิด ดวงตาจ้องตรงไปที่ฮาร์เลย์คันใหญ่ ในขณะที่ผมเองได้แต่ยืนหุบปากเงียบอยู่ข้างๆ

          “มีกี่คน” อยู่ดีๆ เขาก็ถามขึ้น ผมละสายตาจากปลายเท้าตัวเอง จ้องมองเสี้ยวหน้าเดฟที่ขับเด่นอยู่ท่ามกลางความมืด “มันมากันกี่คน”

          “หนึ่ง” ผมตอบสั้นๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะถามทำไม มันมีประโยชน์อะไรเหรอในตอนนี้ กับการรับรู้ข้อมูลพวกนั้น

          “คนไหน”

          “แล้วมันสำคัญยังไง” ผมถามกลับแทบจะในทันที ดวงตาจ้องมองอีกฝ่ายเขม็ง เดฟชะงักไป

          “ช่วยพาผมกลับไปส่งที่ห้องที”

          “สรุปก็คือนายจะไม่บอกจริงๆ” ดวงตาสีเข้มหม่นวูบ และท่าทางแบบนั้นทำให้ผมตัดสินใจหุบปากตัวเองให้สนิท มองตามเดฟที่ผละไปขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์คันใหญ่พลางขยับขึ้นซ้อนท้าย

          มึนตึง

          ช่องว่างระหว่างเราในตอนนี้

          .. ให้ความรู้สึกอึดอัดกว่าที่เคยเป็น

 




          ประตูห้องอยู่ตรงหน้า ถุงพลาสติกที่ข้างในเต็มไปด้วยขนมปังและน้ำดื่มตกนิ่งสนิทอยู่บนพื้น อาจจะเป็นเดฟที่โยนมันทิ้งไว้ตอนที่กลับมาเห็นประตูเปิดอยู่ กับผมที่นอนหมดสภาพอยู่ข้างใน

          เดฟที่หลุดท่าทางตกใจออกมาในตอนนั้น ตอนนี้ยืนนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาอยู่ด้านหลังของผม

          เขากำลังไม่พอใจอะไรบางอย่าง

          “ขอบคุณ” ผมหันไปพูด มองเดฟที่พยักหน้าเบาๆ ราวกับไม่เต็มใจ

          “เดฟ..” ผมหันหน้ากลับมา ดวงตาจับจ้องไปที่ลูกบิดประตู ปลายนิ้วตรงไปแตะไล้รับสัมผัสเย็นเยียบ สมองกลั่นกรองคำขอที่ติดค้างอยู่ในใจ “หลังจากนี้.. อย่าดึงผมเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตของคุณเลย”

          “…”

          “ผมขอร้อง” ในตอนที่พูดออกไป ผมไม่รู้เลยว่าสีหน้าของอีกฝ่ายเป็นอย่างไร มีเพียงเสียงลมกับแมลงที่ดังขึ้นขัดความเงียบระหว่างเราในตอนนี้เท่านั้นที่ผมรับรู้

          เดฟเป็นคนที่ดีคนหนึ่ง ผมหมายถึง ดีสำหรับผม

          แต่นั่นไม่ใช่จุดประสงค์หลักของการมาเริ่มชีวิตใหม่ที่นี่ ผมคาดหวังชีวิตที่เรียบง่ายและธรรมดามากกว่านี้

          ชีวิตที่ห่างไกลจากเรื่องยุ่งเหยิงทั้งหมด.. และนั่นเป็นสิ่งที่ผมไม่มีวันจะได้ถ้ายังสุงสิงอยู่รอบตัวผู้ชายคนนี้

          ระยะเวลาถูกยืดออกให้ความเงียบได้ทำงานนานกว่าเดิม จนผมแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายไม่คิดจะพูดอะไรออกมา ไม่มีคำถาม ไม่มีคำพูดหรือการบอกลาอะไรอีกต่อไป ลูกบิดในมือถึงถูกหมุนให้เปิดออก

          แสงจากด้านในสว่างวาบเข้ามาในตา ก่อนที่มันจะดับลงในเสี้ยววินาที พร้อมกับเสียงประตูกระแทกปิด มือผมแตะค้างอยู่ที่เดิม หัวใจเต้นรัวเร็วขัดกับการนิ่งค้างที่ร่างกายแสดงออกมา เดฟกดฝ่ามือตัวเองเข้ากับบานประตู อุณหภูมิอุ่นร้อนจากอีกร่างแนบเข้าที่แผ่นหลัง การคุกคามถูกถ่ายทอดออกมาตรงๆ อย่างตั้งใจ

          และเสียงกระซิบทุ้มต่ำชิดใบหู

          “นายเสียสติไปแล้วเหรอ”

          !!

          สิ่งเดียวที่ผมมั่นใจในช่วงเวลานี้ คือลมหายใจของผมถูกริบเอาไป ความเครียดเกร็งพุ่งวูบขึ้นสมอง ขณะที่เดฟพูดประโยคถัดไปออกมาช้าๆ

          “คิดจะอยู่ที่นี่ต่อ แล้วรอให้มันยกพวกมารุมอีกรอบหรือไง”

          “คุณเป็นคนทำให้ผมต้องเจอกับเหตุการณ์นี้..” ผมกลั้นใจตอบ ไม่ว่าจะเพราะอะไร แต่เป็นผมเองที่ไม่กล้าหันกลับไปมองด้านหลังของตัวเองแม้แต่องศาเดียว

          เพราะเดฟในเวลานี้ คือเดฟที่ผมไม่รู้จัก

          ลมหายใจอุ่นร้อนลอยคลอเคลียอยู่หลังใบหู ฝ่ามือของเดฟเด่นชัดอยู่ด้านหน้า

          “งั้นเหรอ” เขาพึมพำ ไม่เว้นระยะให้ผมได้ตอบโต้หรือทำอะไรมากไปกว่าที่ทำอยู่ ฝ่ามือใหญ่ค่อยๆ รูดลงจากบานประตู คว้าจับเข้าที่ข้อมือของผมแล้วออกแรงกระตุกให้เดินตาม

          “เดฟ” ผมเรียก แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจจะฟังผมอีกต่อไป การก้าวเดินยาวๆ นั่นทำให้ผมที่ถูกลากอยู่แทบจะวิ่งเพื่อให้ตามทันหรือไม่ล้มลงไปนั่งโง่อยู่บนพื้น

          “เดฟ!” ผมเอื้อมมืออีกข้างไปจับข้อมืออีกฝ่าย ก่อนจะออกแรงบีบ น้ำเสียงถูกกดต่ำอย่างตั้งใจ และเหมือนมันจะได้ผลเมื่อเดฟหยุดเดินเอาดื้อๆ ทั้งๆ ที่ยังไม่ปล่อยมือจากผม

          เขาดูหัวเสีย ใช่ นั่นเป็นสิ่งที่ผมสัมผัสได้ บรรยากาศคุกรุ่น เหมือนกับว่าเขาจะหันมาต่อยหรือฆ่าผมได้ถ้าผมพูดอะไรไม่เข้าหูออกไปตอนนี้

          “ผมจะไม่ไปกับคุณ” แต่คำพูดนั้นถูกไตร่ตรองอย่างดีแล้ว ผมลอบกลืนน้ำลาย มองสีหน้านิ่งเรียบตรงหน้า เขาพยักหน้าเบาๆ สองสามครั้งราวกับรับรู้สิ่งที่ผมพูด ก่อนจะออกแรงดึงผมให้เดินต่ออีกครั้ง

          ให้ตายเถอะ..

          “เดฟ! ผมบอกว่าผมจะไม่ไปกับคุณ”

          “แต่นายจะไม่อยู่ที่นี่!” เขาหลุดตะคอก แววตาฉายประกายดุดัน ฝ่ามือแข็งแรงผลักผมลงนั่งบนเบาะหนัง “แล้วก็จะไม่ไปที่ไหนอื่นด้วย”

          “…” ผมมองคนตรงหน้าด้วยแววตาไม่พอใจ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมชอบเลยสักนิด การออกคำสั่งพวกนี้ ให้ความรู้สึกเหมือนถูกโยนกลับไปที่เนวาด้าได้ในเสี้ยววินาทีที่ฟัง ผมกัดริมฝีปากล่าง ก่อนจะหลุบตาลงมองข้อมือตัวเองที่ขึ้นรอยแดงจากการบีบรัด

          เขากำลังออกคำสั่ง กับผม

          และผมควรจะทำอะไรได้สักอย่าง นอกจากการยอมรับและทำตามมันง่ายๆ
                   
          “ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้น” ผมกระซิบ “ผมจะไม่ไปกับคุณเหมือนกัน แล้วผมก็มีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจ”

          นั่นอาจจะเป็นประโยครนหาที่ตายที่สุดในชีวิตผมตอนนี้ เดฟชะงักไปในตอนที่ได้ยิน สีหน้าหงุดหงิดถูกปรับให้หายไปช้าๆ ท่ามกลางความเงียบเฮ็งซวยที่เหมือนจะบีบร่างผมให้แหลกเป็นชิ้น

          ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เดฟถึงได้ดูใจเย็นลงจากคำพูดนั้นของผม

          “ฉันขอโทษ” เขากล่าวออกมาสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “อย่างน้อยคืนนี้ก็ไปด้วยกันเถอะ เพราะฉันไม่รู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าพวกมันย้อนกลับมา

          ผมกะพริบตา อะไรบางอย่างบิดเป็นเกลียวอยู่ในช่องท้อง นั่งฟังคำขอเรียบง่ายที่ถูกปล่อยออกมา

          “แล้วเราจะหาห้องที่ดีกว่าให้นายใหม่ หรือจะกลับมาอยู่ที่นี่อีกครั้งก็ได้ ตอนที่มั่นใจแล้วว่ามันปลอดภัย” เขาขยับร่างเข้ามาใกล้ ดวงตาหลุบต่ำลงสบกับผมนิ่ง

          “นะ?”

          ผมเม้มปาก สมองถูกใช้งานอย่างหนักจากการไตร่ตรองสถานการณ์กับสิ่งที่ควรจะทำ มันอาจจะกินเวลานานมากเกินไป ฝ่ามืออุ่นถึงได้แตะเข้าเบาๆ ที่ลาดไหล่ของผมพร้อมกับสายตาจริงจังที่เขามองมา

          “พวกมันฆ่านายได้.. และฉันไม่อยากให้มันเกิดขึ้น” ประโยคนั้นสร้างหลายๆ ความรู้สึกในเวลาเดียวกัน ความตกใจแล่นพล่านทั้งๆ ที่ใบหน้าสงบนิ่งในประโยคแรก กับประโยคหลัง ที่ชวนให้รู้สึกมวนช่องท้องแบบประหลาด

          ผมสบตาสีเข้มคู่ตรงหน้า คำตอบถูกตัดสินไว้ในใจแล้ว

          แต่มีหนึ่งคำถามที่ผมคิดว่าอาจจะถึงเวลาต้องรับรู้ให้ได้สักที..

          คำถามที่ผมไม่คิดมาก่อนเลย ว่าจะเปลี่ยนชีวิตของผมหลังจากนี้ไปตลอดกาล

 

          “คุณเป็นใครกันแน่ จริงๆ แล้ว”

 

 
 

          ‘อยู่ที่นี่ พยายามอย่าออกไปไหน เดี๋ยวฉันกลับมา เราค่อยคุยกัน’

          ผมยกผ้าขนหนูสีตุ่นขึ้นเช็ดเส้นผมที่เปียกชุ่ม ลมหายใจถูกระบายออกหนักๆ นับครั้งไม่ถ้วน แทซนอนเบียดตัวอยู่ข้างๆ จมูกสีดำสนิทขยับไปมาเบาๆ เมื่อผมขยับตัว

          ความคิดฟุ้งซ่านตีกันมั่วไปหมดในสมอง คำถาม ความสงสัยปั่นความคิดของผมซ้ำไปซ้ำมา แต่ผมทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากนั่งนิ่งๆ อยู่กับที่ แล้วบังคับไม่ให้ตัวเองสติแตกก่อนที่เดฟจะกลับมา

          เสียงกรอบแกรบจากหน้าประตูเรียกผมให้หันไปมอง แทซที่นอนนิ่งอยู่เปิดเปลือกตาขึ้นเมื่อผมขยับตัวลุกขึ้นยืน เสียงเคาะดังขึ้นสองสามครั้ง ก่อนที่ผมจะพาร่างตัวเองไปยืนอยู่หน้าบานประตู

          “ใคร” ผมถาม อย่างน้อยถ้าเป็นเดฟ เขาก็คงไม่มีความจำเป็นจะต้องเคาะเพื่อเข้าบ้านของตัวเอง

          เสียงด้านนอกเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะมีเสียงตอบกลับมา “เดฟให้ผมเอาอาหารมาให้”

          ผมกัดปาก คำตอบที่ได้ยินสร้างความชั่งใจให้เกิดขึ้น ผมไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายจะถูกส่งมาโดยเดฟจริงๆ หรือเปล่า แต่ความสงสัยนั้นก็เกิดขึ้นได้เพียงแค่ไม่กี่วินาที เพราะแทซที่ควรจะนอนอยู่ตรงโซฟาลุกขึ้นมาใช้ปลายเท้าตะกุยตะกายบานประตูเบาๆ พร้อมส่งเสียงร้อง

          โอเค อย่างน้อยผมก็น่าจะเชื่อหมาได้ ใช่ไหม

          “แทซ?” น้ำเสียงฉงนดังลอดเข้ามาเบาๆ ก่อนที่ผมจะตัดสินใจปลดล็อคประตูแล้วเปิดออก

          ร่างของผู้ชายคนหนึ่งปรากฏให้เห็นในสายตา เสื้อยืดสีขาวพับแขนกับกางเกงยีนส์สีดำสนิท ผิวขาวซีดกับใบหน้าติดหยิ่งสะดุดตา ถึงเขาจะไม่ได้ดูมีร่างกายใหญ่โตเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเหมือนพวกของเดฟเมื่อวันก่อน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคนตรงหน้ามีรังสีบางอย่างแผ่ออกจากตัว ที่ให้ความรู้สึกว่าไม่ควรมีเรื่องด้วย

          อีกฝ่ายมองลอดเข้ามาในบ้าน ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับชูซองกระดาษสีน้ำตาลใหญ่ๆ ที่มีโลโก้บุชคอร์นเนอร์ขึ้นโชว์

          “เดฟให้ซื้ออะไรเข้ามาให้กิน เขาติดธุระอยู่ยังมาไม่ได้ แล้วก็ให้ผมมาอยู่เป็นเพื่อน”

          “.. อ่า ขอบคุณ” ผมกะพริบตา รู้สึกเหมือนทำตัวไม่ถูกขึ้นมาซะเฉยๆ หันซ้ายหันขวาอย่างคนไม่รู้จะเอาตัวเองไปวางไว้ตรงไหน พลางขยับตัวหลบแทซที่เอาแต่กระโดดไปมาอยู่รอบๆ ร่างโปร่ง

          “อืม กินได้เลยนะ บุชคอร์นเนอร์อาหารอร่อยที่สุดในเมืองนี่แล้วล่ะ อยากได้อะไรอีกก็บอกได้เลยนะ” อีกฝ่ายยิ้มกว้าง ฝ่ามือเรียวดันประตูให้ปิดลงอีกครั้งแล้วเดินนำไปทรุดตัวนั่งลงบนโซฟา “บุหรี่ไหม?”

          “ไม่ ขอบคุณ” อีกฝ่ายเอียงคอเล็กน้อย มือที่หยิบซองบุหรี่ขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงชะงักกลางอากาศ ก่อนที่เขาจะวางมันลงข้างตัว

          “ผมชื่อเรย์ คุณชื่อ.. ฟลอยด์ ใช่หรือเปล่า” เขาถามด้วยสีหน้าครุ่นคิด ปลายคิ้วขมวดเข้าหากันเบาๆ ตรงท้ายประโยค

          “ใช่” ผมพยักหน้า ถึงจะเคยเจอผู้คนมาเยอะ แต่คนที่มีบุคลิกท่าทางแบบเรย์คนนี้ ผมไม่เคยเจอหรือได้พูดคุยด้วยมาก่อน ผมเองก็พูดไม่ถูกเหมือนกัน

          “โชคดีนะ ที่เจอเขา ผมหมายถึงเดฟน่ะ.. เขาไม่ค่อยช่วยคนนอกง่ายๆ” รอยยิ้มประหลาด ผมมองใบหน้าอีกฝ่ายด้วยความนิ่งสงบ ถึงแม้ข้างในจะกระตุกลั่นด้วยความสงสัย เพราะรอยยิ้มที่มองเห็น มันเหมือนกับว่าเรย์รู้อะไรบางอย่างที่ผมไม่รู้
         
          ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพียงแค่ขยับมือไปหยิบถุงกระดาษใหญ่ๆ นั่นมาเปิดดู กลิ่นหอมกับไออุ่นที่ปะทะปลายนิ้วบ่งบอกให้รู้ว่ามันเพิ่งถูกทำสดๆ เมื่อไม่กี่นาทีก่อน

          “ผมจำได้” อยู่ดีๆ เรย์ก็พูดขึ้นมา ผมเงยหน้าจากแฮมเบอร์เกอร์ในมือขึ้นสบตาอีกฝ่ายที่มองมานิ่งราวกับกำลังใช้ความคิด “คุณคือคนที่เคยนั่งอยู่ร้านบุชคอร์นเนอร์ตอนนั้นนี่นะ”

          “สักอาทิตย์สองอาทิตย์ได้ล่ะมั้ง ราวๆ นี้ ใช่คุณไหมล่ะ”

          ผมส่ายหน้า นึกไม่ออกเลยจริงๆ ตอนที่ผมไปบุชคอร์นเนอร์ ถ้าไม่ใช่ตอนที่ไปสมัครงาน ก็อาจจะเป็นวันแรกที่มาที่นี่ เรย์ยกปลายนิ้วขึ้นเกลี่ยริมฝีปาก พลางลูบมันไปมาขณะทำสีหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่าง

          “วันนั้น ผมนั่งอยู่กับเดฟ ไม่น่าจะไกลจากกันเท่าไหร่” โอเค นั่นฟังดูให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด

          ผมหรี่ตาลงเล็กน้อย จ้องมองใบหน้าของอีกฝ่ายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม อาจจะใช่.. มันเลือนราง ติดอยู่ที่ปลายสายตา แต่เรย์ก็อาจจะเป็นผู้ชายผิวขาวคนนั้น
         
          “ผมเองก็เกือบจะไม่ได้ทันเห็นคุณแล้ววันนั้น..” เรย์พูดพลางขยับยิ้มเป็นมิตร มันดูตรงกันข้ามกับดวงตาที่ให้ความรู้สึกเหมือนถูกเหยียดอยู่ตลอดเวลา ผมมองว่าตาเขาสวยดี มันขับให้ดูมีอำนาจอะไรสักอย่างโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลยด้วยซ้ำ

          “แล้วทำไมถึงได้เห็นได้” ผมถามกลับไป ว่ากันตามตรงก็คือแค่ถามกลับไปตามบทสนทนา ผมไม่ได้สนใจใคร่รู้เรื่องพวกนี้มากขนาดนั้นอยู่แล้ว เรย์หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ในลำคอ เขาเท้าแก้มตัวเองเข้ากับหลังมือ พลางจ้องผมด้วยสายตาแปลกประหลาด

 
         
          “วันนั้น ผมแค่มองตามสายตาของเดฟไปก็เท่านั้น”




____

1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.7 Lean On Me (22/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mecinzano505 ที่ 22-01-2017 19:26:42

7_
Lean On Me



   
       “ดูเหมือนว่าเขากลับมาแล้ว” เรย์วางแก้วน้ำที่ถืออยู่ไว้บนโต๊ะ ดวงตาเบือนออกจากโทรทัศน์เครื่องเก่า เราใช้เวลาร่วมกันบนโซฟานี้กินเวลาหลายชั่วโมงแล้ว และตอนนี้ก็ย่างเข้าตีสามแล้วด้วย

       “ผมต้องไปแล้วล่ะ” เขาพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉย เป็นจังหวะเดียวกับที่ร่างสูงของเดฟก้าวเข้ามาในบ้าน ฝ่ามือแข็งแรงมีร่องรอยฟกช้ำและคราบเลือด ผมหยุดสายตาที่มัน ก่อนจะตัดสินใจเงียบๆ กับตัวเองได้ว่าไม่ควรถามอะไรออกไปในตอนนี้

       “เดฟ” เรย์ก้าวไปหยุดยืนตรงหน้าร่างสูง เดฟพยักหน้าเบาๆ เขาเหลือบตามองผม ก่อนจะขยับริมฝีปากพูดอะไรสักอย่างออกมาด้วยเสียงที่เบาจนผมไม่สามารถได้ยินได้

       เรย์ยกฝ่ามือเรียวขึ้นจับต้นคอตัวเอง ปลายนิ้วลูบผิวเนื้อไปมาช้าๆ เสียงพึมพำเล็ดลอดออกมา “ผมไม่รู้.. ทำไมไม่ลองไปถามเขาเองล่ะ.. เพราะว่าเขาไม่เคยบอกอะไรผมหรอก”

       เพราะว่าตลอดหลายชั่วโมงที่อยู่ร่วมกันมา ผมไม่เคยสังเกตอีกฝ่ายอย่างละเอียดเลย เรย์ให้ความรู้สึกและคำเตือนทำนองว่า ผมไม่ควรไปจ้องมองเขานานๆ ไม่ควรมองอย่างประเมิน หรืออะไรประมาณนั้น เวลาที่นั่งอยู่ข้างกันบนโซฟา ผมถึงได้แต่นั่งนิ่งๆ แล้วเพ่งสมาธิไปกับรายการหนังที่ฉายอยู่บนหน้าจอทีวี รับรู้แค่การขยับตัวและเสียงหัวเราะเป็นระยะที่ดังมาจากอีกฝ่าย

       แต่พอมาถึงตอนนี้ ตอนที่เรย์กำลังคุยกับเดฟ เขาอยู่ในระยะที่ผมสามารถมองสำรวจได้อย่างเต็มที่ ผมเดาไม่ออกเลยว่ารอยถลอกที่เกิดขึ้นเกือบจะทั้งตัว โดยเฉพาะตรงมือและแขนของอีกฝ่ายมาจากอะไร

       “ยังไงก็ขอบใจมาก”

       “ไม่เลย มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ขนาดนั้น” คราวนี้เรย์เผยยิ้มจางๆ ตรงมุมปาก เขาเหลือบตามองผม ก่อนจะเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นผมกำลังจ้องตัวเองอยู่

       “เขารอนายอยู่ข้างนอก” เดฟพยักหน้า ในตอนนี้ เดฟดูแตกต่างไปจากที่ผมเคยเห็น น้ำเสียงที่นิ่งสงบเหมือนเดิม ในตอนนี้ให้ความรู้สึกว่ามันทอดอ่อนกว่าเคย

       ผมเห็นเรย์ตวัดสายตามองไปนอกบ้าน ความอึมครึมเหนื่อยล้าที่แผ่ออกจากร่างกายนี้ก็แตกต่างกับมาดหยิ่งๆ ที่ผมเห็นในตอนแรกเหมือนกัน

       คนพวกนี้.. ผมแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพวกเขาเลยจริงๆ

       ทุกอย่างดูซับซ้อน เกินกว่าที่คนอย่างผมจะทำความเข้าใจได้

       แล้วเรย์ก็จากไป เสียงฮาร์เลย์เคลื่อนตัวด้วยความเร็วดังลั่นมาจากข้างนอก อาจจะมีใครสักคนมารับเขากลับไป ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวอะไรกับผม

       “กินอะไรแล้วใช่ไหม” เดฟถามขึ้นมานิ่งๆ เดินผ่านร่างของผมไปทางครัว

       “อืม” ผมส่งเสียงครางตอบในลำคอ รอจนอีกฝ่ายเดินกลับเข้ามาในระยะการมองเห็น “ขอบคุณนะ”

       เดฟไม่ตอบอะไรกลับมา เขาแค่ทรุดตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม ดวงตาคมดุจับจ้องผมไม่วางตา ขณะที่ฝ่ามือยกขวดน้ำขึ้นจรดริมฝีปาก

       แล้วรอยเลือดกับความช้ำบนผิวเนื้อนั่นก็กลับเข้าสู่สายตาของผมอีกครั้ง

       “.. เพราะอะไร เดฟ” ผมเกริ่น หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน ก่อนที่มันจะถูกบังคับให้คลายออกเมื่อผมรู้สึกตัว “เพราะอะไร คุณถึงต้องช่วยเหลือผมขนาดนี้”

       ผมกำลังถาม อย่างจริงจัง

       ที่ผ่านมา คำตอบที่ได้รับไม่เคยตอบคำถามข้อนี้ได้เลยสักครั้ง

       ‘นายดูไม่เหมือนคนที่จะสามารถรอดชีวิตจากที่นี่ได้เกินสามวัน’

       คำพูดนั้นของเขา ผมจำได้ดี.. แต่เพราะแค่นั้นจริงๆ เหรอ ตลกน่ะ เดฟดูไม่ใช่คนที่จะแคร์ด้วยซ้ำถ้าจะมีคนแปลกหน้าสักคนมาตายที่นี่ เขาดูไม่ใช่คนที่จะแคร์มนุษย์คนอื่นมากขนาดนั้น

       ‘เดฟน่ะ.. เขาไม่ค่อยช่วยคนนอกง่ายๆ’

       โดยเฉพาะคนนอก อย่างผม

       “ทำไมอยู่ดีๆ ถึงถามขึ้นมา” เสียงทุ้มกลั้วหัวเราะ เขาดูไม่คิดอะไรจริงจังกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินด้วยซ้ำ ผิดกับผมที่จ้องอีกฝ่ายเขม็ง

       เพราะว่าหลายๆ อย่างที่ผ่านมาสอนให้ผมรู้ว่าไม่ควรปล่อยผ่านอีกแล้ว

       “แค่ตอบมา” ผมรู้ดีว่าการกดเสียงหรือทำท่าทางข่มขู่ไม่ช่วยอะไร สิ่งเดียวที่ผมกระทำได้ในตอนนี้คือทำให้ทุกอย่างดูจริงจังที่สุด ซึ่งพอผมทำแบบนั้นออกไป เดฟก็ค่อยๆ หุบยิ้มช้าๆ จนกลายเป็นใบหน้าเรียบเฉย

       ดวงตาหยอกล้อในตอนแรก ตอนนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ผมไม่เข้าใจ

       เพราะว่ามันลึกเกินไป..

       เดฟทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ชะงักแล้วเงียบไป ท่าทางไม่แน่ใจ เหมือนกำลังเรียบเรียงคำพูด ทุกอย่างอยู่ในสายตาของผมที่รอคอยคำตอบ

       “แล้วเพราะอะไร นายถึงได้อยากปฏิเสธการช่วยเหลือจากฉันขนาดนั้น” เขาเลือกที่จะถามกลับ ขวดน้ำถูกวางนิ่งลงบนโต๊ะ

       “ผมไม่เชื่อใจคุณ” แล้วผมเองก็พูดออกไปตรงๆ ด้วยเช่นกันในครั้งนี้

       ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องหลีกหนีการพูดคุยกันอีกต่อไปแล้ว บางทีอาจจะถึงเวลาแล้วจริงๆ ที่เราจะทำทุกอย่างให้ชัดเจน

       เพราะคำถามว่า ทำไม ทำไม ทำไม มันติดค้างอยู่ในสมองของผมจนน่ารำคาญ

       เดฟขยับริมฝีปาก รอยยิ้มถูกเผยให้เห็น ทั้งๆ ที่ดวงตาเขานิ่งจนน่ากลัว “สำหรับฉัน” เขาเอ่ย ค่อยๆ โน้มตัวมาข้างหน้า ก่อนจะเท้าท่อนแขนทั้งสองข้างกับหน้าขา

       เป็นอีกครั้ง ที่ผมรู้สึกว่าตัวเองช่างไม่รู้จักคนตรงหน้าเอาเสียเลยจริงๆ

       “สักวัน ฉันจะทำให้นายรู้สึกเหมือนกับว่านายสามารถพึ่งพาฉันได้..” เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ดวงตาสีเข้มจ้องตรงมาไม่หลบ เขาตรึงผมไว้ด้วยสายตากับความจริงจังที่ถูกส่งต่อมา

       “ไม่ว่าเรื่องนั้นจะหนักหนาแค่ไหน ฉันจะทำให้นายรู้สึกอยากเรียกหาฉันเป็นคนแรก และฉันจะอยู่ที่นั่น”

       “…”

       “นั่นเป็นความรู้สึกที่ฉันมีต่อนาย” เขาพึมพำเสียงเบา ก่อนจะยืดกายขึ้นเต็มความสูง ผิดกับผมที่นั่งเงียบอย่างคนทำอะไรไม่ถูก คิดอะไรไม่ออกอยู่กับที่

       ประโยคสุดท้ายที่ได้ยิน ก่อนที่เขาจะผละตัวออกไปจากห้องนี้

       ทั้งๆ ที่ก็เบาหวิวจนแทบไม่ได้ยิน

       แต่กลับวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาในหู พร้อมกับหัวใจที่บังคับให้สงบไม่ได้เลย

 

       “ต่อให้วันนี้ฉันจะเป็นคนที่นายไม่เชื่อใจที่สุดก็ตาม”




 

       “นายประจำอยู่ตรงนี้ จะมีจานกับพวกแก้วขนมาให้ล้างเรื่อยๆ ทำให้ทัน แล้วก็ทำให้สะอาดด้วยนะ ส่วนอย่างอื่นก็เหมือนเดิม ถ้ามีคนเรียกให้ไปช่วยก็ล้างมือแล้วรีบไป ค่าแรงวันนี้จะให้ตอนเลิกงานเหมือนเดิม” ผู้หญิงร่างอวบชี้มือสั่งด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง โรสทำงานที่นี่มาตั้งแต่สมัยยังเป็นสาว ผมเองไม่ค่อยรู้รายละเอียดเท่าไหร่นัก ก็แค่บังเอิญจำได้ตอนที่เธอพูดไปเรื่อย

       มีเพื่อนร่วมงานอีกหลายคนในคลับแห่งนี้ แต่สำหรับโซนที่ผมประจำ มีเพียงพนักงานแค่สามสี่คนที่ยืนอยู่ กับพ่อครัวที่ตะโกนโหวกเหวกมาจากห้องข้างๆ อีกสองคน

       “โจ! ถ้าแกยังขาดงานไม่บอกอยู่อีกฉันจะไล่แกออกแล้วนะ!” เสียงโรสตะโกนขึ้นเรียกให้ผมหันหน้าไปมอง ใบหน้าอวบอูมแสดงสีหน้าไม่พอใจพร้อมการขึ้นสีแดงจางๆ ตามแก้มและคาง ดวงตาจ้องเขม็งไปยังผู้ชายตัวสูงผมสีบลอนด์สว่างจนเกือบจะเป็นขาวที่ฉีกยิ้มทะเล้น เขาพาร่างตัวเองเดินผ่านโรสมาหยุดยืนตรงอ่างล้างจานไม่ไกลจากที่ผมยืนอยู่

       “อย่าโมโหไปเลยน่าโรส ผมแค่บังเอิญป่วยกะทันหันก็เท่านั้นเอง” เขายักไหล่ ฝ่ามือเริ่มเปิดน้ำแล้วหยิบจานมาล้างไปเรื่อยๆ ด้วยท่าทางคล่องแคล่ว

       “ถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่ ฉันจะไล่แกออกแน่ๆ! แล้วก็อย่าให้จับได้ว่าแอบขโมยอะไรที่ร้านกลับไปอีก เข้าใจไหม!” โรสชี้หน้า น้ำเสียงกดต่ำอย่างข่มขู่ ก่อนค่อยๆ เคลื่อนย้ายร่างอวบของเธอขึ้นบันไดกลับขึ้นไปในร้าน

       ผมเหลือบมองผู้ชายที่ชื่อว่าโจ เขาให้ความรู้สึกเหมือนเป็นใครสักคนที่สามารถพบเจอได้แถวๆ เนวาด้าที่ผมจากมา อาจจะเพราะไอ้ท่าทางแล้วก็บุคลิกเหมือนคนไม่เอาอะไรในชีวิตเลยนั่นก็ได้

       “มองอะไร” อยู่ดีๆ อีกฝ่ายก็ถามขึ้น ทั้งๆ ที่ดวงตายังจ้องมองแก้วที่ตัวเองขัดถูอยู่ ผมกะพริบตา หันมองรอบตัว ก่อนจะมั่นใจว่าประโยคคำถามเมื่อกี้มันถูกส่งตรงมาที่ผม

       ท่าทางดุไม่ใช่เล่น

       “ขอโทษ เปล่า ไม่มีอะไร” ผมรีบขอโทษ พลางก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองต่อ ตั้งใจจะอยู่เงียบๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการพูดคุย แต่โจก็เป็นฝ่ายชวนคุยขึ้นมาเอง

       “นายเด็กใหม่เหรอ”

       “.. ใช่”

       “งานที่นี่น่าเบื่อ คิดว่างั้นไหม”

       ไม่เลย.. นั่นเป็นสิ่งที่ผมคิด ไม่น่าเบื่อ และผมสามารถทำมันได้เรื่อยๆ แต่การตอบขัดบทไปแบบนั้นอาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเท่าไหร่นัก

       “คงงั้น” รอยยิ้มจางๆ ถูกจุดตรงมุมปากอีกฝ่ายทันทีที่ได้ยิน ดูเหมือนเขาจะพอใจที่มีคนคิดเหมือนตัวเองหรืออะไรทำนองนั้น

       “ชื่ออะไร นายน่ะ” เขาตวัดดวงตาสีฟ้ามาทางผม

       “ฟลอยด์”

       “อืม.. ไม่เคยมีคนรู้จักชื่อนี้มาก่อน ยังไงก็ตาม ฉันชื่อโจ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ผิดกับดวงตาที่กลอกขึ้นข้างบน “ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนด้วย เพิ่งย้ายเข้าเมืองมาใหม่ด้วยหรือเปล่า”

       เริ่มจะเหมือนถูกซักกลายๆ ซะแล้วสินะ..

       “ประมาณนั้น” ผมตอบสั้นๆ ได้ยินเสียงแก้วกระทบกันกับฟองจากน้ำยาล้างจานรอบๆ ฝ่ามือ คิดว่าถ้ายังต้องล้างแบบนี้ไปเรื่อยๆ มือผมคงโดนกัดจนแสบ

       แต่มันก็ไม่มีทางเลือกอะไร นอกจากก้มหน้าก้มตาทำมันต่อไปเท่านั้น

       “มาจากแถวไหนล่ะ” และแล้วคำถามที่ผมไม่อยากตอบที่สุดก็เกิดขึ้นจนได้ ผมหลุดถอนหายใจออกมาเบาๆ ริมฝีปากขยับยิ้มเย้ยหยัน ก่อนจะหุบมันลงในที่สุด

       “ทำไม นายไม่ชอบที่ที่จากมาหรือไง” โจถามห้วนๆ ด้วยน้ำเสียงเหมือนขบขัน

       “จะว่าอย่างนั้นก็ได้” ไม่ชอบเหรอ.. มันยิ่งกว่าคำนั้นเยอะ แต่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะต้องมานั่งอธิบายความรู้สึกของตัวเองให้คนอื่นฟังอยู่ดี

       “ฉันเองก็มาจากที่อื่นเหมือนกัน ว่าไงดีล่ะ ย้ายไปเรื่อยๆ ล่ะมั้ง ฉันเคยไปแถวๆ โอเรกอน ทำร้านขายของห่วยๆ ใกล้พัง ไม่ค่อยมีไรดีเท่าไหร่ แล้วก็อืม..” เขาทำหน้าครุ่นคิด ปากยังพูดไปเรื่อยๆ ขณะที่มือยังง่วนอยู่กับการล้างแก้วเบียร์

       “แล้วก็ไปแถวทางตอนใต้ของเนวาด้า เกือบจะเข้าแอริโซน่าได้อยู่แล้ว”

       !!

       ผมชะงักมือที่ล้างจานอยู่พลางหันไปมองอีกฝ่าย อะไรบางอย่างในตัวเต้นกระตุก และผมไม่รู้ว่ามันคือความรู้สึกประเภทไหนกันแน่ที่กำลังวิ่งพล่านทำงานอยู่ตอนนี้

       “ทำโรงแรมน่ะนะ ลากกระเป๋าเก็บกระเป๋า อะไรเทือกๆ นั้น งานไม่ยาก ได้ทิปเยอะด้วย.. คิดแล้วฉันไม่น่าไปมีเรื่องกับไอ้เวรนั่นเลย ให้ตาย” โจยังเล่าอดีตของตัวเองไปเรื่อยๆ ก่อนหรี่เสียงลงในตอนท้ายของประโยคราวกับต้องการแค่บ่นกับตัวเอง

       “ผม..” ผมเม้มปาก ชั่งใจ แต่อะไรบางอย่างในตัวก็เหมือนบังคับให้ผมหลุดจากการควบคุมตัวเอง “ผมเองก็มาจากที่นั่น หมายถึงเนวาด้า”

       “งั้นเหรอ นึกไงถึงย้ายมาล่ะ” เขาเลิกคิ้ว

       “ไม่รู้สินะ..” ผมเลี่ยงการตอบคำถาม นึกโทษตัวเองเล็กน้อยที่หลุดพูดอะไรแบบนั้นออกไปกับคนที่เพิ่งเคยเจอแค่ไม่ถึงสิบนาที

       ยังดีที่โจไม่ได้คาดคั้นอะไรต่อจากนั้น ดวงตาสีอ่อนจ้องมองผม กระแสสายตาแปลกประหลาดทำให้รู้สึกสบายใจ ก่อนที่เขาจะยิ้มแล้วพูดประโยคถัดมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

       “ชีวิตก็บัดซบแบบนี้ ชีวิตเฮ็งซวยๆ ทำให้เราเหนื่อยไม่จบไม่สิ้น”

       แล้วหลังจากนั้นผมกับโจก็ได้คุยเรื่องสัพเพเหระกันอีกเรื่อยๆ ตอนแรก ผมยอมรับว่ามองโจเป็นเหมือนคนที่มีปัญหา อย่างที่บอกไป เหมือนคนที่ไม่เอาอะไรเลยในชีวิต อยู่ไปวันๆ ซึ่งก็ไม่ผิดนักกับความคิดในตอนนี้ เพียงแค่ผมได้รู้เพิ่ม ว่าโจก็เป็นคนที่ดีคนหนึ่ง

       และอาจจะเพราะนิสัยเหมือนคนอยู่ไปวันๆ นั่นแหละ ที่ทำให้ผมรู้สึกสบายใจที่จะอยู่หรือพูดคุยด้วยอย่างน่าประหลาด

       บางที มีเพื่อนสักคนก็อาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้าย.. เขาทำให้ผมคิดได้แบบนั้นหลังจากเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง

       “แล้วนายพักอยู่ที่ไหน มาใหม่คงหาที่พักยาก แถวนี้คนไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ ว่างั้นไหม”

       “ผมอยู่กับคนรู้จักน่ะ แต่ก็คิดว่าคงอยู่ด้วยอีกไม่นาน” นั่นเป็นสิ่งที่ผมตั้งใจจริงๆ เมื่อไหร่ก็ตามที่เขายอมปล่อยผม ผมก็พร้อมจะกลับไปอยู่ที่ห้องเดิมนั่นทันที ถึงแม้ตอนนี้ผมจะไม่รู้เลยว่าอีกนานแค่ไหน กว่าจะถึงวันนั้น

       “มีคนรู้จักด้วยงั้นเหรอ ใคร” โจทำสีหน้าประหลาดใจ เขาล้างมือ พลางผละตัวออกจากอ่างล้างจานเมื่อล้างทั้งหมดเสร็จ

       “เดฟน่ะ ไม่รู้ว่ารู้จักหรือเปล่า” ผมตอบไปเรียบๆ แต่การชะงักที่เห็นได้จากโจทำให้ผมหยุดมือจากแก้วที่ล้างอยู่ขึ้นมอง “มีอะไรหรือเปล่า”

       “เดฟ? เดฟนั่นน่ะเหรอ” เขาทวนคำ “เดฟที่อยู่กับพวกแอช ฉันหมายถึง เดฟที่อยู่ในแก็งค์”

       ถึงผมจะไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับคำว่าแก็งค์หรืออะไรนั่น แต่ชื่อแอชที่ได้ยินก็เป็นตัวยืนยันว่าใช่เดฟเดียวกับที่ผมกำลังพูดถึงอยู่ แอช ผู้ชายที่ผมจะจำได้ยันวันตาย ผู้ชายที่มาหาเดฟที่บ้านวันนั้น แล้วก็กระทืบผู้ชายแปลกหน้าที่บาร์นั่น

       “ใช่”

       “ทำไมนายถึงไปรู้จักคนแบบนั้นได้”

       “ทำไม มันมีอะไรแปลกหรือว่ายังไง” ผมสวนกลับ ท่าทางแปลกประหลาดนี่เริ่มทำให้ผมสงสัย โจทำหน้าเคร่งเครียด

       “แปลกอยู่แล้วล่ะ นั่นเดฟนะ นั่นเดฟ” แล้วเขาก็ยังพูดอะไรที่ผมไม่เข้าใจด้วยอยู่ดี

       “นายรู้หรือเปล่า ว่าเขาเป็นคนยังไง” อยู่ดีๆ ผมก็ถามคำถามนั้นออกไป อาจจะเพราะด้วยความอยากรู้อยากเห็นหรืออะไรก็ตามแต่ แต่ท่าทางผิดปรกติของโจทำให้ผมมั่นใจว่าอย่างน้อยเขาต้องรู้อะไรสักอย่าง

       “ฉันก็เคยได้ยินต่อๆ กันมา ไม่ได้รู้จักอะไรเป็นการส่วนตัว นายเองน่าจะรู้จักเขามากกว่าฉันไม่ใช่หรือไง ไหนว่าอยู่ด้วยกัน” โจเอียงคอ ใบหน้านิ่งเครียดจ้องมองผมไม่วางตา ก่อนที่เขาจะหลุดถอนหายใจออกมา “แต่ก็เอาเถอะ อย่าไปบอกใครว่าฉันพูดล่ะ”

       “อืม”

       “เดฟ ก็เป็น หนึ่งในแก็งค์ที่ ยังไงดีล่ะ ใช้คำว่าคุ้มครองที่นี่อยู่ก็น่าจะได้ มีอิทธิพลน่ะ พอเข้าใจใช่ไหม เขาไม่ได้เป็นหัวหน้า แต่ก็เหมือนเป็นตัวคานอำนาจกับแอช ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรพวกนั้นเท่าไหร่ แต่ก็เคยได้ยินมาว่าเขาค่อนข้างรักสงบ ปลีกวิเวกน่ะ อยู่เงียบๆ ไม่ค่อยออกมาสุงสิงกับใครเท่าไหร่”

       “แล้วยังไงต่อ”

       “แล้วยังไง เขาก็น่ากลัวน่ะสิ นายอยู่ด้วยไม่คิดว่าเขาน่ากลัวหรือไง ไม่ว่าจะยังไง เท่าที่นายพูดก็ดูเหมือนนายไม่ได้สนิทอะไรกับเขาขนาดนั้นใช่ไหม ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันแนะนำให้ปลีกตัวออกมาตอนนี้จะดีกว่า อยู่ใกล้ๆ พวกนั้น ไม่มีอะไรดีหรอก นอกจากเสี่ยงตายน่ะ”

       “…” ผมเงียบ มองเห็นความจริงจังที่ถูกส่งมาจากคนตรงหน้า เสียงที่ได้ยิน ดังขัดกับสิ่งที่ผมรับรู้มาตลอด

       “แล้วก็อีกอย่าง ฉันได้ยินมา.. ว่าเขาเคยฆ่าแฟนของตัวเอง”



____

1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.7 Lean On Me (22/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: empty102153 ที่ 22-01-2017 20:23:30
กลิ่นอายของเรื่องน่าติดตามมากเลย
มาบ่อยๆนะคะ  :hao6:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.7 Lean On Me (22/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: candynosugar+ ที่ 22-01-2017 20:35:06
ลงชื่อร่วมอ่านทวนอีกรอบ
ภาษาซินยังเป็นเอกลักษณ์เหมือนเดิม ชอบๆ นะ :man1:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.7 Lean On Me (22/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 22-01-2017 21:00:14
ชูป้ายไฟ ชุนชอบเรื่องนี้ :hao7:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.8 Don't You Want To Stay (22/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mecinzano505 ที่ 22-01-2017 23:01:13

8_
Don't You Want To Stay




“งานเป็นยังไง” ผมชะลอฝ่าเท้า มองเห็นเดฟยืนกอดอกอยู่ข้างฮาร์เลย์สีดำคันใหญ่ของตัวเอง

ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าเขาจะมารับผมที่ทำงานแบบนี้ โจที่เดินตีคู่มากับผมหยุดเดินทันที ผิดกับผมที่ยังก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ ผมไม่ได้หันไปมองด้วยซ้ำว่าโจกำลังแสดงสีหน้าแบบไหนออกมาอยู่ ผิดกับเดฟที่ปราดสายตาเรียบเฉยข้ามไหล่ผมไป

“ไว้เจอกันนะ” โจพูดขึ้นเบาๆ แล้วรีบเดินจากไป เดฟถึงได้เลื่อนสายตากลับมาสบกับผม

“งานเป็นยังไง” แล้วเขาก็ถามคำถามเดิมออกมา มุมปากขยับขึ้นทำรอยยิ้มเล็กๆ

เดฟตรงหน้าผมดูเป็นผู้ชายธรรมดา และเพราะรอยยิ้มนั่นทำให้เขาดูใจดีขึ้นอีกเป็นกอง แค่คำพูดของโจก็ยังวนเวียนอยู่ในหัวของผมไม่หายไปไหน

‘ฉันแนะนำให้นายปลีกตัวออกมาตอนนี้จะดีกว่า’

หรือไม่ก็

‘เขาเคยฆ่าแฟนของตัวเอง’

ไม่ว่าจะประโยคไหน ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกที่ดีทั้งนั้น

“ก็ดี” ผมตอบสั้นๆ ก่อนจะหลีกเลี่ยงการพูดคุยด้วยการขยับพาตัวเองขึ้นไปซ้อนบนฮาร์เลย์ที่ตอนนี้ผมเริ่มคุ้นเคย

“แล้ว ‘ก็ดี’ นี่มันเป็นยังไง” เดฟหันมาพลางทาบมือข้างหนึ่งเข้ากับเบาะด้านหน้า เขาขมวดคิ้วมุ่น เดาได้ว่าอาจจะไม่ชอบใจกับคำตอบของผมเท่าไหร่

“ซ้ำซาก.. แสบมือ.. แล้วก็เสียงดัง” ผมไล่สิ่งที่อยู่ในหัวออกไปพลางสบตากับเดฟไปตรงๆ “แต่ผมคิดว่าผมชอบมัน”

แล้วผมก็ได้เห็นรอยยิ้มขันเล็กๆ จากเดฟ ทันทีที่พูดประโยคสุดท้ายออกไป เขาส่ายหน้าน้อยๆ เริ่มขยับขึ้นคร่อมเบาะฮาร์เลย์

“ฟังดูดีใช้ได้ แล้วก็ดูเหมือนว่านายจะยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง ฉันจะพาไปหาอะไรกินที่บุชคอร์เนอร์ แล้วก็คงไม่ว่าอะไรถ้าจะขอแวะซื้ออาหารกลับไปให้แทซก่อนกลับบ้าน”

“อืม” ผมส่งเสียงตอบในลำคอ แผ่นหลังกว้างภายใต้เสื้อยืดสีดำสนิทอยู่ห่างไปไม่ถึงหนึ่งฟุต รถฮาร์เลย์ยังจอดนิ่งสนิท แม้เสียงเครื่องยนต์จะทำงานขัดความเงียบรอบตัว เดฟหันเสี้ยวหน้ามาเล็กน้อย ก่อนที่ผมจะรู้สึกถึงการกระชากตัว แทบจะในทันทีที่ฝ่ามือสัมผัสกับเอวของอีกฝ่าย

คำเตือนและคำบอกเล่าจากโจยังติดค้างอยู่ในหู

ผมนึกปฏิเสธกับตัวเอง ว่านั่นเป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดี สิ่งที่โจพูด

แต่บางทีอาจจะเป็นเพราะรู้อยู่กับใจดี ว่าผมเองก็ไม่ได้รู้จักผู้ชายตรงหน้านี้ดีไปกว่าคนอื่น บรรยากาศระหว่างเราตอนนี้ถึงได้แปลกๆ ไปอย่างเห็นได้ชัด

 

 

“อ้าว นายนั่นเอง ฟลอยด์?” เซร่า พนักงานหญิงคนเดิมที่ผมเคยคุยด้วยร้องทักขึ้นมาด้วยสีหน้าแปลกใจ เธอไล่มองผมสลับกับเดฟที่ยืนตีหน้านิ่งอยู่ข้างๆ

“เป็นยังไงบ้าง เซร่า” เดฟเป็นฝ่ายถามขึ้น

“เรื่อยๆ ล่ะ เหมือนเดิม ไม่มีอะไรพิเศษ” เธอตอบยิ้มๆ ก่อนจะเลิกคิ้วสูง “แล้ว.. วันนี้รับอะไรดีล่ะคะ”

“อะไรก็ได้” ผมพูดขึ้นเมื่อเดฟหันหน้ามามอง เพราะผมไม่ใช่คนจ่ายเงินสำหรับมื้อนี้ และก็ใช่ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองอยากกินอะไร มันคงเป็นอารมณ์เหมือนกับว่าอะไรก็ได้ที่ทำให้ผมไม่อดตาย ซึ่งก็ดีแล้วที่เดฟไม่ใช่คนจู้จี้จุกจิกกับคำตอบกำกวมแบบนั้น เขาถึงได้หันกลับไปมองเซร่าที่ยืนรออยู่

“งั้นเอาเหมือนเดิมสองที่”

แล้วผมก็ได้กลับมานั่งบนโต๊ะของร้านอาหารนี้อีกครั้ง ไม่ใช่ในฐานะหน้าใหม่ที่สั่งอาหารราคาถูกที่สุดภายในร้าน ไม่ใช่คนที่เดินเข้ามาสมัครงานแล้วโดนปฏิเสธทั้งๆ ที่ยังไม่ได้โดนสัมภาษณ์ด้วยซ้ำ

ผมกลับมา และร้านนี้ให้ความรู้สึกอบอุ่นกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

อยู่ดีๆ เบาะเย็นเยียบนี่ก็อุ่นและให้ความรู้สึกต้อนรับ ราวกับผมเองก็เป็นส่วนหนึ่งของที่นี่

ในระหว่างที่รออาหารมาเสิร์ฟ ทั้งผมและเดฟต่างก็ตกอยู่ในความเงียบงัน ผมกวาดสายตามองรอบๆ ตัวเองไปเรื่อยๆ เก็บรายละเอียดเล็กน้อยที่มีอยู่ในร้านอย่างคนไม่รู้จะทำอะไร ทั้งรอยเปื้อนเล็กๆ ตรงข้างเคาน์เตอร์ใหญ่ หรือหยดน้ำที่เกาะอยู่ตรงตู้น้ำ ผิดกับเดฟที่เหม่อลอย ทิ้งสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง พอผมมองตามไป ก็พบว่ามันคือร้านสะดวกซื้อเก่าๆ ที่อีกฝ่ายจ้องมองอยู่

ร้านที่ผมเคยเข้าไปสมัครงานอีกเช่นกัน

“อาหารได้แล้วล่ะ” พอรู้ตัวอีกที เสียงของเซร่าก็ดังขึ้นเหนือหัว ผมมองจานขนาดใหญ่ที่มีอาหารหน้าตาน่ากินถูกวางลงบนโต๊ะ มันไม่ใช่อะไรแปลกใหม่ พูดให้ถูกก็คือเบอร์เกอร์ชิ้นใหญ่เหมือนที่ผมเคยกิน และเคยเห็นเดฟกินบ่อยๆ

เพราะเสียงทักนั้น ปลดสายตาผมให้หลุดออกจากใบหน้าของอีกฝ่าย ดวงตาเหลือบมองเซร่าที่ยิ้มและจากไป ก่อนจะลากไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์ และวนกลับมาที่เดิม

เมื่อครู่ ผมเผลอมองเขาไปนานโดยที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

ร่างกายของผมสะดุ้งเล็กๆ เมื่อประสานสายตากับเดฟที่มองมา เขาเลิกคิ้ว ดวงตาสีเข้มตรึงผมไว้กับที่

“หน้าของฉันมีอะไรผิดปรกติหรือไง” เขาเกริ่นถามด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก นั่นทำให้ผมเผลอตะโกนขึ้นในใจดังๆ

เขารู้ตัว

“เอ่อ.. ไม่” แล้วลิ้นกับสมองของผมก็เหมือนจะเริ่มรวนขึ้นมาทันที คราวนี้เดฟเอียงใบหน้าเล็กน้อย เขากะพริบตาช้าๆ หน้าแปลกที่ท่าทางเรียบง่ายนั่นสร้างความกดดันให้ผมมากขนาดนี้

“ถ้าอย่างนั้นการจ้องมองนั่น..” เขากะพริบตาอีกครั้ง “นายต้องการอะไร”

“เปล่า..” ผมตอบกลับไปแผ่วเบา แต่นั่นก็ยังไม่ทำให้เดฟหยุดไล่บี้ผมให้ตอบคำถามด้วยการจ้องมาอย่างกดดัน

โอเค ก็ได้

“ผมแค่มอง แล้วก็คิดว่าคุณดูดี” ทั้งหน้าตาดี แล้วก็ดูน่ากลัวดีด้วย ผมเสริมคำนั้นเงียบๆ ในใจ เห็นเดฟทำสีหน้าประหลาดใจออกมา ราวกับเขาไม่คิดว่าผมจะตอบกลับแบบนั้น

“นี่นายกำลังจีบฉันหรือเปล่า” เขาพูดด้วยสีหน้าสบายๆ ผิดกับผมที่แทบเอาหัวโขกโต๊ะตอนที่ได้ยิน

“เปล่า ไม่”

“อืม ฉันว่านายก็ดูดีเหมือนกัน พอมองๆ แล้ว” เขาเหยียดยิ้ม ไล่สายตามองไปรอบๆ หน้าของผมช้าๆ อย่างจงใจ

“ฉันชอบตาของนาย.. จมูก ปาก สีผิว สีผม.. ใบหน้า”

“…” ผมเงียบ ข้างในตีรวนเหมือนโดนปั่นด้วยอะไรที่มองไม่เห็น ฝ่ามือกำแน่นอยู่ที่หน้าตัก

“พอมาคิดดู ฉันชอบเกือบจะทั้งหมดที่มองเห็นอยู่ตอนนี้.. ทั้งหมดที่พูดไปนี่พิจารณาว่าฉันจีบนายได้หรือเปล่า”

“อ่า” ผมคลำหาเส้นเสียงของตัวเองในความเงียบ เดฟยังใช้สายตาขบขันจ้องมองมาพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ ตรงมุมปาก “ไม่”

ผมคิดแบบนั้น แน่ล่ะ ถึงรูปประโยคมันจะดูแปลกๆ แต่มันก็เหมือนกับที่ผมพูดใส่เขาไป ถ้าผมทำไปโดยไม่มีความตั้งใจจะจีบหรืออะไรทำนองนั้น แล้วทำไมผมต้องไปบอกว่าเขาทำไปเพราะจีบด้วย

เดฟหลุดหัวเราะ อาจจะเพราะเห็นท่าทางกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกหรืออะไรก็ตาม

หัวผมหมุนคว้าง เส้นเสียงในอากาศเหมือนถูกจับเขย่าจนเป็นคลื่นฟังไม่ได้ศัพท์

“โทษที..” เดฟเท้าค้างตัวเองกับฝ่ามือ เฟรนช์ฟรายหนึ่งชิ้นถูกหยิบเข้าปากอีกฝ่าย ก่อนที่เขาจะกลืนมันลงท้อง

“แต่เมื่อกี้ฉันจีบนายจริงๆ”






เพล้ง!

เสียงที่ดังมาจากฝั่งตรงข้ามเรียกทั้งผมและเดฟให้หันไปมอง สายตาสะดุดที่กลุ่มวัยรุ่นและร้านสะดวกซื้อเก่าๆ ที่ผมเคยเข้าไปครั้งหนึ่ง เดฟชะงักมือที่กำลังจับเบอร์เกอร์ เขาทิ้งมันลงกับโต๊ะลวกๆ ก่อนจะผุดลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

เกิดอะไรขึ้น..

คำถามนั้นดังลั่นอยู่ในหัวสมอง แต่ผมคิดว่าการเงียบแล้วคอยดูอยู่เงียบๆ น่าจะเป็นอะไรที่เข้าท่ามากกว่าการถามออกไปในตอนนี้

คนในร้านพากันมองออกไปนอกหน้าต่าง เซร่าเองก็เหลือบมองทางเดฟด้วยสายตาที่ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก บางที.. อาจจะเป็นสายตาของการฝากความคาดหวัง

ประตูกระจกถูกผลักออก เดฟก้าวเท้าเร็วๆ ไปที่หน้าร้าน ผมเดินตามหลังอีกฝ่ายออกไป แต่ก็ไม่ได้ใจกล้าบ้าบิ่นพอจะยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยว พอคิดได้แบบนั้น ผมถึงทำแค่ยืนนิ่งๆ ที่หน้าร้านบุชคอร์เนอร์โดยไม่ข้ามถนนตามไป

เสียงกระจกที่แตกลั่นเมื่อครู่ เป็นกระจกหน้าร้าน แม้กระทั่งตอนที่เดฟออกไปดู พวกเด็กนั่นก็ดูเหมือนจะยังไม่รู้สึกตัว ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จริงๆ แล้ว

แต่ดูเหมือนกลุ่มคนพวกนี้จะพยายามป่วนร้านนี่อยู่ ผู้ชายผมบลอนด์ที่เป็นคนเฝ้าร้าน ตอนนี้ทำได้แค่ยืนหน้าซีดอยู่ตรงประตูอย่างคนทำอะไรไม่ได้

แล้วปืนก็ถูกชักขึ้นมาอีกครั้ง..

ผมกำชายเสื้อตัวเองแน่น ฝ่ามือเริ่มชื้นเหงื่อ น่าแปลกที่ผู้ชายผมบลอนด์คนนั้นกลับมีสีหน้าที่ดีขึ้น แทบจะในทันทีที่เห็นเดฟปรากฏตัวพร้อมกับปืนในมือ

แค่ปืนกระบอกเดียว กับท่าทางคุกคามจริงจังของเดฟ

หยุดทุกการกระทำที่กำลังดำเนินอยู่ลงแทบจะในทันที

วัยรุ่นชายในชุดสีดำสนิทและหมวกบีนี่สีแดงเลือดหมูถูกร่างสูงกระชากจนแทบจะปลิวติดมือ เดฟตะคอกอะไรสักอย่างที่ผมจับประโยคไม่ได้

ถ้าผมเดาไม่ผิด กระจกหน้าร้านที่แตก.. น่าจะเกิดจากการไม้เบสบอลที่ผู้ชายคนนั้นถืออยู่

ทุกอย่างดำเนินไปท่ามกลางความวุ่นวาย แต่ไม่มีใครสักคนกล้ายื่นมือเข้าไปยุ่ง ผมหันกลับไปมองในบุชคอร์เนอร์ พนักงาน พ่อครัว หรือแม้กระทั่งชาวเมืองที่นั่งกินข้าวอยู่ ทุกคนเพียงแค่มองมาเงียบๆ อย่างตั้งใจ แค่นั้นจริงๆ

ลมเย็นๆ เริ่มพัดพาความชาบาดผิวเนื้อ ผมหันหน้ากลับไปมองทางเดฟที่อยู่อีกฝั่งของถนนอีกครั้ง

และภาพที่ผมมองเห็น..

คือปืนสีดำที่ถูกจ่อติดข้อมือของผู้ชายชุดดำคนนั้น ไม้เบสบอลถูกบีบให้ตกกลิ้งอยู่กับพื้น ไม่มีใครกล้าขยับตัว เป็นอีกครั้งที่ผมเหมือนเห็นภาพซ้อนทับ จากบาร์เก่าๆ นอกเมืองนั่น

เดฟที่ดูแปลกตาไปราวกับไม่ใช่คนที่ผมรู้จัก

ตัวสั่น.. ผู้ชายคนนั้นตัวสั่น ผิดกับเดฟที่ดูนิ่งสงบจนน่าแปลกใจ ทั้งๆ ที่มือกำลังถือของแบบนั้นอยู่ ฝ่ามือแข็งแรงอีกข้างบีบแขนอีกฝ่ายไว้ในมือไม่ให้ขยับหนี

เขาขยับปากพูดอะไรสักอย่าง..

กับผู้ชายชุดดำที่เอาแต่ส่ายหน้ารัวราวกับคนสติแตก

ในตอนนั้น ผมคิดไม่ออกเลยว่าอะไรจะเลวร้ายไปมากกว่านี้ได้อีก จนกระทั่งเดฟขยับปลายนิ้วที่แตะอยู่ตรงไกปืน

ปัง!

เสียงดังลั่นจากระยะใกล้อัดเข้าหู ก่อนจะตามมาด้วยเสียงหวีดแหลมในช่องหู กลุ่มคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นแตกตื่น บางคนสติแตก บางคนใบหน้าซีดเผือด ก่อนจะพากันวิ่งหนีไป ทิ้งผู้ชายที่โดนยิงทรุดลงบนพื้นพร้อมเลือดสีแดงเข้มที่ทะลักออกจากแขน

เดฟเก็บปืนเข้าที่ เขาเช็ดฝ่ามือทั้งสองข้างเข้ากับชายเสื้อ แล้วเริ่มเดินกลับมาทางผมที่ยืนนิ่งอยู่ โทรศัพท์ถูกหยิบขึ้นมากดแนบใบหู ในระหว่างนั้น ดวงตาคมกริบก็จับจ้องผมไม่วางตา

ไม่มีใครพูดอะไรออกมาทั้งนั้นในตอนนั้น ไม่มีประโยคใดหลุดออกมา นอกจากการเรียกรถพยาบาลให้มาที่นี่ จากปากผู้ที่เป็นฝ่ายลั่นไก

เสียงครวญครางยังดังแทรกเข้าการรับรู้ ผมกรอภาพที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ซ้ำไปซ้ำมาในสมอง

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ในตอนนั้น ผมถึงรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้..

น่ากลัวเกินไป

น่ากลัวเกินกว่าที่ผมจะกล้าสบตาด้วยด้วยซ้ำ





“เดฟ!” แล้วผู้ชายผมบลอนด์คนนั้นก็วิ่งเข้ามาประชิดร่างสูงที่ยืนอยู่ ผมเองก็เพิ่งจะเคยเห็นหน้าเขาชัดๆ ก็ครั้งนี้ เพราะครั้งแรกที่เข้าไปถามหางาน ดูเหมือนเขาไม่แม้แต่จะหันหน้ามามองผมเลยด้วยซ้ำ

“ฉันแค่อยากขอบคุณ!” เขาพูดขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงปนหอบ เดฟเลิกคิ้วเล็กน้อย เก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกง ก่อนจะหันมาทางผม

“อิ่มหรือยัง กลับกันเลยไหม”

“.. อืม” แล้วผมก็ได้แต่ตอบกลับไปสั้นๆ ลอบมองผู้ชายผมบลอนด์ที่มีสีหน้าแย่ลงจนเห็นได้ชัด

ต่อให้เป็นเด็กมาดูก็รู้ เมื่อกี้น่ะ.. เดฟจงใจเมินผู้ชายคนนั้นชัดๆ

“คำขอโทษก็ไม่รับ แล้วนี่ยังจะไม่รับแม้กระทั่งคำขอบคุณด้วยเหรอ”

ให้ตาย.. ผมตกเข้ามาอยู่ในสถานการณ์แบบไหนกันแน่

เดฟถอนหายใจออกมาช้าๆ ดวงตาสีเข้มหลุบมองพื้นถนน หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กๆ ก่อนที่เขาจะพยักหน้าให้ผมขยับขึ้นซ้อนท้าย พลางหันหน้าไปหาผู้ชายอีกคนที่ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ

“นาย.. ปิดร้านแล้วกลับบ้านไปซะ”

นั่นเป็นทั้งหมดจริงๆ ที่เดฟพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ผู้ชายคนนั้นเม้มปากแน่น แต่ก็ไม่ได้พูดขัดอะไรนอกจากรีบวิ่งกลับเข้าไปในร้านตามคำสั่งง่ายๆ

“จับแน่นๆ” แล้วน้ำเสียงนั่นก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง

ทั้งๆ ที่ก็เป็นประโยคคำสั่งเหมือนกัน แต่น้ำเสียงที่ได้ยิน กลับให้ความรู้สึกแตกต่างกันจนเป็นผมเองที่หยุดคิดเรื่องนี้ไม่ได้สักที

 


 

“เป็นอะไร” เสียงทุ้มดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ เสียงเล็บของแทซลากขูดกับพื้นตามจังหวะการเดินเบาๆ ก่อนจะจางหายไป

ผมกะพริบตา มองหน้าจอโทรทัศน์ที่ขึ้นสีดำสนิท ก่อนจะรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องมาจากเดฟที่นั่งอยู่บนโซฟาข้างๆ

ผมรู้ดี.. ว่าเพราะอะไรเขาถึงถามแบบนั้นออกมา

เพราะตั้งแต่กลับบ้านมา ผมไม่มีความกล้าที่จะทำอะไรเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว เดฟไม่ได้ให้ความรู้สึกชวนให้สบายใจเวลาอยู่ด้วยเหมือนเมื่อก่อน ใช่.. สบายใจ ถึงแม้จะปะปนไปด้วยความคลุมเครือและระแวดระวังในบางครั้งก็ตาม

ไม่ใช่เหมือนในตอนนี้… ความคิดนั้นชัดเจน ว่าเขาสามารถฆ่าหรือทำร้ายผมได้ง่ายๆ โดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายหรือคำเห่ยๆ พวกนั้น

ทำได้แม้กระทั่งการยิงมือคนคนหนึ่ง แล้วโทรเรียกรถพยาบาลให้ หลังจากนั้นก็ขี่ฮาร์เลย์กลับบ้านเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่นมันไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทำกัน

ผมเองก็น่าจะรู้ตั้งแต่แรก ว่าผู้ชายคนนี้ห่างไกลจากคำว่า ‘ธรรมดา’ ที่ผมเรียกหามากแค่ไหน

ประโยคที่เขาเคยเตือนผมถึงอันตรายของผู้ชายที่บาร์เก่านั่น ย้ำเตือนผมว่าเขาเองก็ไม่ต่างกันกับคนพวกนั้น

ไม่ต่างกันเลยสักนิดเดียว

“ผมกลับไปอยู่ที่ห้องผมได้หรือยัง” ผมถามออกไป หลีกเลี่ยงการสบตากับอีกฝ่ายด้วยการเพ่งไปที่จอทีวีอย่างเอาเป็นเอาตาย

เคยมีความรู้สึกไหม.. ความกลัวหรือเกร็งในอะไรสักอย่างที่มีมากจนไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว แล้วก็รู้สึกเหมือนว่าภายในถูกแช่ให้นิ่งแข็ง

“ทำไม” แล้วน้ำเสียงนั่นก็เริ่มติดแข็งกระด้าง เขาถามกลับมาสั้นๆ

ไม่พูด ไม่จา ไม่อนุญาต ได้ยินเสียงขยับตัวยวบยาบกับเบาะโซฟา ก่อนที่เสียงไฟแช็กจะตามมาในอีกไม่กี่วิหลังจากนั้น

“ผมไม่ควรจะอยู่ที่นี่ด้วยซ้ำ”

“อะไรทำให้นายคิดว่านายไม่ควรอยู่ที่นี่ล่ะ” ผมเงียบ รู้สึกเหมือนจนคำพูดไปชั่วขณะ เงาดำพาดผ่านหัวจากการที่เดฟยืดตัวขึ้นยืน เขาก้าวเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นอีก ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนโต๊ะเตี้ยๆ ด้านหน้า

บดบังหน้าจอสี่เหลี่ยมจากสายตาของผมโดยสมบูรณ์

“อะไรคือท่าทางพวกนี้” เขาเกริ่นเสียงเบา พลางสูบบุหรี่เข้าปอดแล้วปล่อยมันออกไปอีกทาง ใบหน้านิ่งเรียบสะบัดกลับมามองผมที่ยังเอาแต่เงียบ

ผมควรจะพูดอะไร

ที่กางเกงยีนส์ของเขา.. ยังมีรอยเลือดของผู้ชายคนนั้นติดอยู่เลยด้วยซ้ำ

“มองฉันสิ” เขาออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงทอดอ่อน ผมไม่รู้ว่าเขามองเห็นอะไรจากผมในตอนนี้ เพราะประโยคถัดมามันทำให้ผมนึกสงสัยในท่าทางของตัวเอง “ทำไม นายกลัวเหรอ”

“…”

“ฉันไม่รู้นะ ว่านายไปเอาความกลัวพวกนี้มาจากไหน” เขาพูดช้าๆ ความแข็งกระด้างในน้ำเสียงถูกทดแทนด้วยความโอนอ่อนที่ผมสัมผัสได้ชัดเจน

เข็มนาฬิกาเดินไปข้างหน้าช้าๆ โดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกร่วมนาที ผมได้แต่นั่งนิ่งไม่ไหวติง รับควันบุหรี่ที่ลอยคลุ้งอยู่ในสถานที่

แล้วเสียงถอนหายใจก็ดังขึ้นเหนือหัว มวนบุหรี่ถูกขยี้ให้ดับลงกับที่เขี่ยกระจกบนโต๊ะ รอยสักที่ผมไม่รู้ที่มาที่ไปโผล่พ้นมาให้เห็นตามท่อนแขน ก่อนที่ฝ่ามือนั้นจะขยับขึ้นแตะปลายคางผมแล้วดันให้เงยขึ้นเบาๆ หลังนิ้วชี้อุ่นร้อนแนบสัมผัสกับผิวหน้า และดวงตาจริงจังที่ทอดมองมา

เขามีสีหน้าสงสัย

กับคำถามที่กระตุกให้ใจผมหายวาบโดยไม่รู้สาเหตุ

“ผู้ชายคนนี้เคยทำอะไรให้นายรู้สึกไม่ดีหรือไง”

บางทีอาจจะไม่ได้เกิดจากคำถามที่เพิ่งได้ยิน แต่เป็นเพราะผมที่เพิ่งรู้ ว่าเดฟอยู่ใกล้มากแค่ไหนในตอนนี้

“นายไม่ตอบ”

“..ไม่เคย” ผมกระซิบตอบในลำคอ ความรู้สึกแปลกประหลาดที่ตีตื้นขึ้นทำให้ผมเบือนหน้าออกจากการเกาะกุม ปลายนิ้วเรียวยาวลากผ่านผิวแก้มผมเบาๆ จากการกระทำนั้น ก่อนที่เขาจะวางมือลงบนตัก

“งั้นฉันจะถามอีกแค่คำถามเดียว”

“…” กระแสความจริงจังที่ถูกส่งมา เหมือนตัวบังคับให้ผมหันหน้ากลับไปสบตาเดฟอีกครั้ง เนื้อกางเกงยีนส์สีเข้มของอีกฝ่ายแนบชิดอยู่กับขาทั้งสองข้างของผม เดฟเลิกคิ้ว โน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย

การกระทำแค่นั้นเหมือนริบเอาลมหายใจผมให้หายไป

“ไม่อยากอยู่ด้วยกันเหรอ”




____

1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.8 Don't You Want To Stay (22/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 22-01-2017 23:07:20
สนุก ชอบ ติดตามด้วยคน  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
เดฟ ฟลอยด์  :mew1: :mew1: :mew1:
เรย์ คิดไรกับฟลอยด์ หรือเปล่า
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.8 Don't You Want To Stay (22/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: kiolkiol ที่ 22-01-2017 23:59:21
สนุกดีค่ะชอบ
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.8 Don't You Want To Stay (22/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 23-01-2017 00:20:39
โฮ่ว~! ดาร์กมากกกกกก~ :hao7:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.9 Tender Things (23/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mecinzano505 ที่ 23-01-2017 13:11:38

9_
Tender Things




“ฉันขายยา..”

ประโยคนั้นฟังดูแปลกประหลาด ไม่ใช่ความหมาย แต่เป็นที่สถานการณ์รอบตัวที่ขับให้มันผิดแปลกไปต่างหาก

ผมสบตากับเดฟที่ยังนั่งอยู่ด้านตรงข้าม เขาอยู่ใกล้ ชวนให้รู้สึกอึดอัด แต่น่าแปลกที่ผมกลับไม่รู้สึกแบบนั้นเลยสักนิด..

“รู้ใช่ไหม ขายยา พวกที่ไม่ดีเท่าไหร่” เขาขยายความด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย แหวนเงินวงใหญ่ที่สวมติดอยู่ที่นิ้วสะท้อนกับแสงไฟจากด้านบนเล็กน้อย ฝ่ามือที่เอาไว้ใช้เหนี่ยวไกปืนเมื่อตอนค่ำ ตอนนี้วางนิ่งอยู่บนหน้าขาของตัวเอง ปล่อยให้หลังนิ้วโป้งแตะสัมผัสกับเนื้อกางเกงของผมเบาๆ โดยไม่คิดที่จะขยับย้ายหรือทำอะไรมากไปกว่านั้น

ผมไม่คิดว่าเขาจะยอมพูดเรื่องของตัวเองให้ผมฟัง.. แต่หลังจากคำถามทำนองเชิญชวนนั่นดังขึ้น ความเงียบก็สอดแทรกเข้ามา ก่อนที่ผมจะตอบกลับไปอย่างที่เคยตอบตลอดมา

‘ผมอยู่กับคนที่ไม่รู้จักไม่ได้หรอก’

ผมไม่เคยรู้จักผู้ชายคนนี้อย่างเมื่อวันแรกยังไง ตอนนี้ผมก็ยังคิดว่าตัวเองไม่รู้จักเขาอยู่เหมือนเดิม ..

การรู้จักกัน.. มันมากกว่าการรู้ชื่อหรือหน้าตา

แล้วเขาก็ยอมพูดขึ้นมาง่ายๆ เริ่มต้นการอธิบายเกี่ยวกับตัวตนของตัวเองให้ผมฟัง และผมไม่ชอบแบบนี้เลย เพราะอะไรน่ะเหรอ.. เพราะมันชวนให้รู้สึก สิ่งที่ไม่ควรรู้สึก

ราวกับว่าเขาแคร์เหลือเกิน ที่ผมจะอยู่หรือจะไป

“ถึงแม้เราจะไม่ขายให้คนทั่วไปทุกคน หรือขายมั่วซั่ว.. แต่นายก็ยังพิจารณาว่ามันเป็นการกระทำที่ไม่ดีได้อยู่ดี” เขาเผยยิ้มออกมาจางๆ

แต่ผมไม่คิดแบบนั้นหรอก ขายยาเหรอ  เป็นสิ่งที่ไม่ดีเหรอ

ผมไม่รู้สึกอะไรสักนิด ในเมื่อสิ่งที่ผมทำและพบเจอมาครึ่งค่อนชีวิตก็เป็นสิ่งที่คนทั่วไปตัดสินว่าน่ารังเกียจ

ขายยา กับ ขายตัว มันจะต่างกันสักแค่ไหน ในมุมมองของคนนอกที่มองเข้ามา

“ทำไมคุณถึงเลือกที่จะทำมันล่ะ ถ้ารู้ว่ามันไม่ดี” คำถามนี้ต่างหาก ที่ทำให้คนกลุ่มนั้นแตกต่างกัน

เดฟนิ่วหน้า เขาเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะหลุดเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ แหวนเงินที่นิ้วถูกหมุนเล่นไปมา “รู้ไหม บางครั้ง มันก็ไม่ใช่คำถามว่าทำไม เราถึงเลือกที่จะทำมัน หรือตั้งคำถามว่าเราทำมันไปทำไม”

“…”

“เพราะว่าสำหรับบางคน มันคือเส้นทางที่ถูกกำหนดให้ทำไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว ไม่มีข้อสงสัย ไม่มีข้อกังขา ไม่มีคำถาม.. นายแค่ต้องทำมัน เพราะว่านายต้องทำมัน” รอยยิ้มที่ปรากฎตัวบนมุมปากตรงหน้า สร้างความรู้สึกแปลกประหลาดให้ปะทุลั่นขึ้นในร่างกาย

“ถึงแม้ว่าบางครั้ง มันจะบังคับให้นายต้องทำ แม้กระทั่งฆ่าคนก็ตาม”

!!!

ผมใจหายวาบ ความเยียบเย็นไหลผ่านหลังคอจรดถึงแผ่นหลังและปลายนิ้ว ประโยคจากน้ำเสียงเรียบง่ายที่เพิ่งได้ยิน สร้างความตื่นตระหนกให้เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

ผมเม้มปาก และหลุบตาลงต่ำเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาจริงจังที่ทอดมองมา

“พอโดนผลักให้อยู่ในสถานะแบบนี้ ความเกรงกลัวและการข่มให้คนอื่นอยู่ใต้อำนาจก็เป็นสิ่งที่จำเป็นขึ้นมา ฉันได้เรียนรู้หลายอย่างโดยปราศจากครูสอน การต่อรอง การข่มขู่ การทำให้ยอมรับ .. แล้วก็ค้นพบว่าตัวเองค่อนข้างเก่งใช้ได้ในการทำทั้งหมดนั่น”

ผมเม้มปาก การเห็นด้วยกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินกู่ตะโกนลั่นในหัวสมอง ผมไม่ต้องตั้งคำถามสักนิด เพราะแทบจะตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ต้น

เส้นประสาทของผมก็เหมือนถูกปั่นขยี้ด้วยมือที่มองไม่เห็น ราวกับถูกไล่ต้อนให้เดินไปในทิศทางที่เขาต้องการอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าจ้องมองและขยับปากพูดเลยสักนิด

“มันก็ตลกดีนะ นายรู้ไหม” ผมได้ยินเสียงหัวเราะหลุดลอดมาพร้อมกับคำถาม

ผมนิ่วหน้า พยายามข่มให้ตัวเองนั่งนิ่งๆ และไม่เงยหน้าขึ้นไปสบตาคู่ตรงข้ามอย่างเด็ดขาด

“ตลกดี.. ที่บางครั้ง ฉันกลับอยากให้สายตาที่มองมาด้วยความเกรงกลัว เปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น.. อยากให้สายตาพวกนั้น เปลี่ยนไปเป็นความไว้เนื้อเชื่อใจและยอมรับ โดยเฉพาะกับคนบางคน”

ผมกัดปากตัวเองแรง สติเหมือนถูกเขย่าให้พร่าเลือนด้วยประโยคแปลกๆ ความรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว ชวนให้อยากยกฝ่ามือขึ้นลูบกอดตัวเอง กับความแกว่งไหวที่ลั่นรัวในช่องอก

“นายล่ะ?”

ผมถูกบังคับให้เงยหน้าขึ้นมองเดฟ โดยที่เขาไม่ต้องออกแรงเลยแม้แต่นิดเดียว

ดวงตาสีเข้มจ้องลึกเข้ามา พร้อมกับดึงทุกอย่างที่ผมเก็บซ่อนไว้ออกไปแรงๆ

“นายยอมรับฉันได้ไหม หลังจากที่ได้รู้จักกันแล้ว”





“ผมจะตัดสินได้ยังไง” หลังจากปล่อยให้ความเงียบทำงานอยู่ชั่วครู่ ผมก็พูดออกมาในที่สุด “ผมจะพูดอะไรได้ ในเมื่อสิ่งที่ผมทำก็เลวร้ายไม่ได้ต่างกัน”

“อะไรนะ” ผมเม้มปาก มีอะไรบางอย่างฉุดรั้งคำพูดเอาไว้ บางอย่างที่บอกว่าผมยังไม่ควรที่จะพูดอะไรออกไปมากกว่านี้

เดฟจ้องมาไม่วางตา สีหน้าแสดงคำถาม และชัดเจนว่าต้องการรู้คำตอบ

“ช่างมันเถอะ” ผมขมวดคิ้ว นึกรำคาญตัวเองขึ้นมาเฉยๆ การที่ต้องไตร่ตรองให้ดีก่อนพูดออกไป ยากกว่าการพูดไม่คิด แต่มันก็ยังดีกว่าพูดแบบไม่คิด แล้วทำให้ชีวิตยากมากกว่าเดิมอีกหลังจากนั้น

“แล้วก็.. ถ้าคุณอยากให้ผมอยู่ที่นี่แล้วก็เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของคนแปลกหน้าแบบผมมากนัก ผมก็จะอยู่จนกว่าคุณจะอยากให้ผมออกไปก็ได้ พอถึงเวลานั้น ผมจะไปให้ไกลจากที่นี่ด้วยตัวผมเอง” ผมเปลี่ยนเรื่อง ทั้งๆ ที่พูดออกไปแบบนั้นแล้ว แต่เดฟก็ยังมีสีหน้านิ่งเฉยเหมือนเดิม

เขาไม่ได้แสดงอาการพึงพอใจอะไรออกมา

“แต่คุณต้องตอบผมอีกอย่าง” ผมเม้มปาก รู้สึกไม่แน่ใจกับสิ่งที่ตัวเองกำลังจะถาม

“นายอยากรู้อะไร”

“คุณ” ดวงตาสีเข้มลอยเด่นชัดอยู่ตรงหน้า ผมมองลึกเข้าไป และมองเห็นเงาสะท้อนตัวเองจากในนั้น “ต้องการอะไรจากผม”

ต้องการอะไรกันแน่ จากการกระทำทั้งหมดนี่

เสียงนาฬิกาในบ้านดังเป็นเสียงเดียวที่เด่นชัดในตอนนั้น ผมมองเงาสะท้อนของตัวเอง ดวงตาสีน้ำตาลดำเหมือนดึงทุกสติของผมให้หยุดนิ่งอยู่กับที่

“แค่ทำให้ฉันพอใจ” ประโยคนั้นฟังดูยากและกำกวม “เป็นตัวของตัวเองและทำให้ที่นี่เป็นเหมือนบ้าน”

“ไม่ใช่คำตอบแบบนี้” ผมจ้องอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง แต่เดฟก็ยังทำท่าเหมือนไม่รู้ไม่ชี้แบบเดิม เขาเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง พลางขยับตัวเข้ามาใกล้

“แล้วนายอยากได้คำตอบแบบไหน”

“แค่ตอบมาตามความจริง บอกผมมาตรงๆ ไม่ได้หรือไง” เพราะน้ำเสียงของผมเริ่มแสดงความหงุดหงิดออกไป ผมถึงได้รีบหุบปากแล้วหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบสติอารมณ์

เพราะคำถามพวกนี้ เป็นสิ่งที่ผมถามออกไปแล้วไม่ต่ำกว่าสองครั้ง

และเขาเพิกเฉยมันทุกครั้ง

มันจะยากอะไร กับการบอกผมมาตรงๆ ว่าเขาต้องการอะไรจากคนที่ไม่มีอะไรเลยอย่างผม

เดฟนิ่งไปหลังจากนั้น ตาสีเข้มล้อกับแสงไฟที่ห้อยมาจากด้านบนเพดาน เขาแลบลิ้นเลียริมฝีปาก ก่อนจะใช้ฝ่ามือหยิบบุหรี่ขึ้นมาคาบไว้

เสียงไฟแช็กทำงานอีกครั้ง..

“ทำตามที่นายอยากทำ คิดอย่างที่นายอยากจะคิด” เขาตัดบท พลางอัดควันสีเทาเข้มเข้าร่างกายและปล่อยมันออกมา กลิ่นบุหรี่ลอยเจือจางมากับลมหายใจอุ่นร้อน

ผมเบือนหน้าหนี ความไม่สบอารมณ์ถูกสุมขึ้นภายใน เพราะความไม่ชัดเจนนี้ทำให้ผมหงุดหงิดมากกว่าทุกครั้ง

“ผมจะไปนอนแล้ว.. ราตรีสวัสดิ์” และการหลบเลี่ยงก็เป็นอีกหนึ่งทางแก้ปัญหาที่ผมสามารถทำได้ ผมยืดตัวขึ้นยืน โดยที่เดฟยอมขยับขาหลบให้เดินออกแต่โดยดี

แต่ก่อนที่ผมจะได้ขยับเท้าเดินไปไหน ฝ่ามือแข็งแรงก็ฉวยจับเข้าที่ข้อมือ ไม่ได้ออกแรงบีบ แต่ก็ไม่ได้หลวมจนสามารถสะบัดออกได้ง่ายๆ

ผมหันกลับไป หลุบตามองเดฟที่ยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม แหวนเงินที่เขาสวมใส่อยู่แนบกับผิวเนื้อสร้างความรู้สึกเย็น ขัดกับไออุ่นที่แผ่ออกมาจากฝ่ามือ

เดฟไม่สบตา ตรงกันข้าม เขากลับทิ้งสายตาลงที่อะไรสักอย่างด้านล่าง

“มีอย่างหนึ่งเหมือนกัน ที่ฉันอยากบอกให้รู้เอาไว้”

ปลายบุหรี่มวนยาวสว่างวาบเป็นสีแดง ผมจรดจ้องเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายที่เด่นชัดในความมืด

“ต่อให้นายออกไปจากที่นี่ เหตุผลที่ทำให้นายไป จะไม่ใช่เพราะฉันต้องการแบบนั้น” เขากระซิบเสียงแผ่ว

“และต่อให้นายไป.. นายจะไม่มีวันไปได้ไกล เกินกว่าที่ฉันจะมองเห็น”

นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมได้ยินจากปากของเดฟ ก่อนที่เขาจะปล่อยผมให้เป็นอิสระ แล้วเอาแต่สนใจกับบุหรี่ในมือ จมดิ่งอยู่กับตัวเองจนเหมือนผมไม่มีตัวตนอยู่ในบริเวณนั้น

และนั่นเป็นอีกครั้ง..

ที่ผมควบคุมความรู้สึกที่ไหลรุนแรงในร่างกายตัวเองไม่ได้

จนรู้สึกเหมือนกำลังพ่ายแพ้ให้กับอะไรบางอย่าง

 




‘ทำตามที่นายอยากทำ คิดอย่างที่นายอยากจะคิด ..’

นั่นเป็นสิ่งที่ยากที่สุดที่ผมเคยได้ยินมาในชีวิตนี้ เพราะผมไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าตัวเองควรจะคิดอะไร แล้วเขาต้องการอะไรกันแน่

แม่ง.. ทำไมต้องทำให้มันดูยุ่งยากขึ้นจนคนอย่างผมเข้าไม่ถึงด้วยนะ

ผมเหลือบตามองเดฟที่ยืนชงกาแฟอยู่ตรงเคาน์เตอร์เก่าๆ โซนครัว เสียงเปิดปิดตู้ดังขึ้นเป็นระยะ กับผมที่นั่งนิ่งๆ และแสร้งทำเป็นสนใจรายการทีวีตรงหน้า

สี่วัน.. ฟังดูเหมือนเป็นเวลาที่ไม่นานเท่าไหร่

แต่การที่ต้องอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้เหมือนยืดให้เวลากลับยาวนานจนน่าตกใจ

สี่วันนี้ทำให้ผมได้รู้อะไรหลายๆ อย่างที่ไม่เคยรู้มาก่อน แต่มันก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยที่ดูไม่สลักสำคัญอะไรนัก..

เดฟมักจะตื่นเช้าเสมอ เช้าก่อนที่ตะวันจะโผล่ขึ้นมาทำงานบนท้องฟ้า กับการพาแทซไปวิ่งเล่นและกลับมาพร้อมเหงื่อที่โชกเสื้อผ้า อาบน้ำ และออกไปอีกครั้ง กลับมาพร้อมกับอาหาร ดื่มกาแฟ.. และออกไปอีกครั้ง ในขณะที่ผมออกไปทำงานตอนค่ำ เราจะไม่พบกันอีกจนกว่าผมจะเลิกงาน และออกมาพบร่างสูงกับฮาร์เลย์คันใหญ่ที่มุมถนน เป็นภาพเดิมๆ ที่เห็นได้ตลอดสี่วัน

และความเรียบเรื่อยนั่นทำให้ผมสติหลุด

เพราะเดฟทิ้งผมเอาไว้กับกองคำถามและความสงสัย

หลายๆ ครั้งที่ความคิดแปลกๆ ผุดขึ้นมาในหัว.. เดฟมักจะมองผมเสมอเวลาที่อยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ สายตานั่นจะสอดส่ายหาผมจนเจอ

บางครั้งเราประสานสายตากัน แต่เดฟก็ทำแค่เบือนหน้ากลับไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

สี่วัน.. ความระแวดระวังถูกปลุกขยี้ทุกครั้งที่อีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้

และวันนี้ผมพอแล้ว

“เดฟ” ผมเรียกอีกฝ่ายสั้นๆ จ้องเดฟที่ตอนนี้อยู่ใกล้จนน่าตกใจ เขาเลิกคิ้วช้าๆ มือข้างหนึ่งยังถือแก้วกาแฟที่มีไอร้อน ขณะที่โน้มตัวมาหยิบหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่บนโซฟา “คุณกำลังทำอะไรกันแน่”

เขาเอียงหัวเล็กน้อย และถามกลับด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

“หมายความว่ายังไงทำอะไรกันแน่”

“คุณเป็นแบบนี้มาสี่วันแล้วนะ” ผมกดเสียง และใช่ กดความหงุดหงิดที่ตีขึ้นไว้ด้วยในเวลาเดียวกัน

เพราะว่าเขา เป็นแบบนี้มาสี่วันแล้ว

พาตัวเองเข้ามาอยู่ใกล้ๆ มันไม่ใช่คำว่าใกล้ในระยะหนึ่งเมตรหรือหนึ่งช่วงแขนด้วยซ้ำ เขาเข้ามาใกล้ผมจนได้กลิ่นสบู่กับบุหรี่อ่อนๆ ด้วยข้ออ้างงี่เง่าที่ฟังดูไร้เหตุผล การยืนซ้อนหลังผมตรงเคาน์เตอร์เพื่อหยิบแก้ว การหยิบรีโมทผ่านตัวผมที่นั่งอยู่ หรือแม้กระทั่งเมื่อกี้.. หยิบหนังสือพิมพ์เหรอ

นี่เป็นการหยิบหนังสือพิมพ์ที่ชวนให้เข้าใจผิดที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอ

“ฉันเป็นอะไร” เดฟตีหน้านิ่ง เขายืดตัวขึ้นยืนเหมือนเดิม ก่อนจะตีหนังสือพิมพ์เข้าที่ต้นขาตัวเองเบาๆ หนึ่งครั้ง

“คุณต้องการอะไรจากผม”

“ทำไมนายถึงไม่ยอมหยุดพูดเรื่องต้องการไม่ต้องการอะไรนั่นสักทีนะ” เดฟหลุดหัวเราะ เขาจะทรุดตัวลงนั่งที่ว่างข้างๆ กาแฟในมือถูกยกขึ้นจรดริมฝีปาก ก่อนเขาจะวางมันลงบนโต๊ะ

“โอเค.. ฉันจะต้องการอะไร นายอยากให้อะไรฉันล่ะ” เขาพยักหน้าอย่างยอมแพ้ เมื่อเห็นผมเอาแต่เงียบแล้วก็จ้องอย่างเอาเป็นเอาตาย ดวงตาสีเข้มมีประกายสนุกสนานปะปนอยู่

“แต่ผมไม่มีอะไรเลย” ผมพูดออกไป แต่เดฟก็หลุดยิ้มแล้วส่ายหน้าช้าๆ

“ไม่.. นายมี”

“แล้วมันคืออะไรกันแน่ จริงๆแล้ว” ผมขมวดคิ้ว

“ลองคิดดูด้วยตัวเองสิ” เดฟว่า เขาวางหนังสือพิมพ์ที่ถืออยู่ลงข้างๆ แก้วกาแฟ ก่อนที่ฝ่ามือทั้งสองข้างจะเริ่มประสานกันบนหน้าตัก

ปลายนิ้วโป้งขยับสีกันไปมาเบาๆ ระหว่างที่ปล่อยให้ผมคิด

ว่าอะไรคือสิ่งที่ตัวผมมี ..

ไม่มีเลยสักอย่าง คนที่มีแต่ตัวอย่างผมจะไปมีอะไร เงินทองเหรอ อำนาจ ไม่มีอะไรที่ผมมีอยู่ในครอบครองเลยสักอย่างเดียว

ไม่มีอะไรเลย ..

นอกจากร่างกาย

!

“มีจริงๆ เหรอ.. สิ่งที่ผมมี แล้วคุณต้องการ” ผมกลืนน้ำลาย ฝ่ามือเริ่มเย็นชื้น และเหมือนจะแข็งค้างไปเลยเมื่อได้ยินคำตอบ

“มีสิ”

“นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมคุณถึงเข้ามาช่วยเหลือผมตั้งแต่แรก ใช่ไหม”

เดฟนิ่งชะงักไปกับคำถามนั้น เขาเคาะปลายนิ้วชี้เบาๆ สองสามครั้ง “อาจจะใช่”

“แล้วถ้าผมยกมันให้” ผมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีเข้ม “คุณจะพอใจหรือเปล่า”

“ก็อาจจะ” คำตอบนั้นเรียบง่าย เปล่งออกมาไหลลื่น ไม่สะดุดหู

หัวใจผมเริ่มทำงานหนัก พอๆ กับชีพจรของผมที่วิ่งขึ้นลง หูเริ่มถูกแทรกด้วยเสียงอื้ออึงเบาๆ นี่นี่เอง.. คำตอบที่ผมมองหามานาน

“ครั้งหนึ่งที่ผมให้ไปแล้ว ผมจะไม่สามารถเอาคืนได้อีก คุณรู้ใช่ไหม” ผมถามย้ำ ปลายนิ้วสั่นเล็กๆ ตามมาด้วยความรู้สึกชาหนึบข้างใน

แต่ว่าเดฟก็ช่วยเหลือผมมากจริงๆ ถ้าไม่มีผู้ชายคนนี้.. บางทีผมอาจจะอยู่ได้ไม่เกินสามวันแบบที่เขาเคยบอกไว้ก็ได้

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องเอาคืน” เดฟพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ แสงสว่างจากด้านนอกที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่างทำให้ผมเห็นใบหน้าอีกฝ่ายชัดเจนแม้ในห้องนี้จะไม่เปิดไฟสักดวง

ถ้าเป็นเดฟ.. ก็คงไม่เป็นไร

ผมคิดแบบนั้น ก่อนจะตัดสินใจยั้งทุกอย่างที่พุ่งผ่านเข้ามาในสมอง ปิดทุกความคิด และเอื้อมมือไปสัมผัสเส้นผมสีดำสนิทช้าๆ

เดฟนิ่งไปแทบจะในทันทีกับการกระทำนั้น ความเงียบและการไม่ปฏิเสธที่ผมได้รับ ยิ่งย้ำสิ่งที่ผมคิดว่ามันถูกต้องแล้ว

ผมไม่ได้คิดอะไรผิดไป

พอความชัดเจนมาเยือนถึงที่ การตัดสินใจก็ถูกสั่งการต่อในเวลารวดเร็ว ผมสอดปลายนิ้วเข้าไปในเส้นผมนิ่ม ขยับใบหน้าไปใกล้จนได้กลิ่นบุหรี่ชัดเจนกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ก่อนที่ริมฝีปากจะทาบลงกดจูบแผ่วเบา

ในเสี้ยววินาทีหนึ่ง.. ผมเห็นดวงตาที่เบิกกว้าง

ก่อนที่เดฟจะกระชากทุกความนิ่งงันเมื่อครู่แล้วเปลี่ยนให้กลายเป็นความดิบเถื่อนที่ผมเกือบรับไม่ทัน เรียวลิ้นสอดแทรกเข้ามา พร้อมกับอากาศหายใจที่ถูกแย่งไป

หัวผมหมุนคว้างกับสิ่งที่เดฟยัดเยียดให้

ทุกความรู้สึกนึกคิดแตกกระจายเป็นวงกว้าง ในตอนที่แผ่นหลังสัมผัสกับพื้นโซฟา

ผมทำแบบนี้อีกแล้ว..

เปลือกตาหรี่ปิดลงช้าๆ กับความเป็นจริงที่ผมคิดได้ กลิ่นบุหรี่แทรกตัวเข้ามาในปาก ล่อหลอกให้รู้สึกหลงใหลจนนึกโมโหตัวเอง

ผมขยับมือลงไปด้านล่างช้าๆ ก่อนที่ปลายนิ้วจะสัมผัสกับซิปกางเกงของอีกฝ่าย

เดฟชะงักเล็กๆ ก่อนที่เขาจะถอนริมฝีปากออกแล้วกระซิบออกมาแผ่วเบา

“รู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่” คำถามฟังดูน่าตลกจนเกือบทำให้หัวเราะออกมา

ผมลืมตาขึ้นมอง พบกับใบหน้าของเดฟที่อยู่ห่างไปไม่ถึงหนึ่งคืบ

“รู้สิ..” ผมเม้มปาก

“รู้ว่ายังไง” เขาถามต่อ ลมหายใจอุ่นขาดห้วงในตอนที่ผมเริ่มขยับปลายนิ้ว เสียงซิปดังขัดในอากาศช้าๆ

“ร่างกายนี้เป็นทุกสิ่งที่อยากที่ผมมี..” ผมพึมพำติดริมฝีปาก มองเดฟที่เกร็งตัวเมื่อปลายนิ้วผมขยับแตะเข้าตรงเชิงกราน สัมผัสผิวเนื้ออุ่นด้วยปลายนิ้วเย็นเยียบ “และผมจะมอบมันให้คุณ แทนทุกคำขอบคุณ”

เดฟขบกรามแน่น

“และตอบแทนทุกบุญคุณที่เราเคยมีมา”

แล้วสายตาก็เปลี่ยนไปเป็นขุ่นขวาง เสียงคำรามขัดใจดังต่ำออกมาจากในลำคอ ก่อนที่ร่างสูงจะผุดขึ้นนั่ง เส้นผมสีดำสนิทถูกเสยลวกๆ ด้วยท่าทางหัวเสีย

เขาหันกลับมามองผม ดวงตาดุดันจนรู้สึกเหมือนกับว่าจะฆ่าให้ตาย

“ฉันไม่ต้องการ”

“.. ถ้าอย่างนั้น คุณต้องการอะไร” ผมกะพริบตา ความไม่เข้าใจฟาดผ่านลงกลางหัวราวกับฟ้าผ่า “แต่คุณเป็นคนบอกผมเอง”

คำทักท้วงของผมที่ดังขึ้น เรียกให้เดฟแสดงท่าทางก้าวร้าวออกมามากกว่าเดิม เขารูดซิปกางเกงขึ้น ก่อนจะผุดลุกขึ้นยืน ใบหน้าสะบัดลงต่ำพร้อมกับลมหายใจที่ถูกพ่นออกมาแรงๆ

“ต้องการอะไรก็พูดสิ ผมมีแค่นี้จะให้ผมทำยังไง” ผมหลุดเสียงตะคอกออกไป เพราะยิ่งเวลาผ่านไป ผมก็ยิ่งสติแตกเหมือนกับโดนปั่นหัวเล่นมากขึ้นทุกวันๆ

และนั่นมันไม่สนุกเลยสักนิด

เดฟหันมามอง ดวงตาขุ่นมัวขับให้อีกฝ่ายยิ่งดูน่ากลัวมากขึ้นกว่าครั้งไหนๆ ไหล่ของผมถูกกระชากแล้วกดแนบกับโซฟาจนรู้สึกถึงความเจ็บ เดฟแทรกเข่าข้างหนึ่งเข้ากลางลำตัว ก่อนที่ร่างกายสูงใหญ่จะขยับเบียดเข้ามาใกล้อีกครั้ง

“ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ฉันบอกว่าอยากได้ร่างกายของนาย” เขากระชากเสียงห้วนสั้น ดวงตาปราดมองลงต่ำอย่างจงใจ

“ถ้าอยากได้แค่นั้นจะมาเสียเวลาให้ทำไมตั้งนานขนาดนี้ นายนี่ตลกเป็นบ้าเลยว่ะ” เสียงหัวเราะหยันขึ้นจมูกดังในท้ายประโยค เดฟหายใจเข้าลึกๆ ริมฝีปากได้รูปคลี่ยิ้มเย็นขยับเข้ามาใกล้

“แล้วก็อย่าได้คิดจะไปขอบคุณใครด้วยวิธีแบบนี้อีก” ปลายจมูกโด่งแตะไล้ข้างใบหู กับน้ำเสียงข่มขู่ห้วนสั้น “ไม่งั้น.. นายมีปัญหาแน่”

ประโยคสุดท้ายที่เราคุยกันในวันนี้ลอยวนเวียนอยู่ในหัวผมตลอดทั้งวัน ก่อนที่เดฟจะผุดลุกขึ้นยืน กระชากกุญแจรถและเสื้อแจ็คเก็ตออกจากบ้านไป

หายไปจากการมองเห็นของผมทั้งวัน.. จนเป็นผมเองที่เริ่มรู้สึก

เหมือนกับว่าตัวเองทำอะไรผิดพลาดไป



____

1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.10 Foxy Walk (23/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mecinzano505 ที่ 23-01-2017 15:50:03

10_
Foxy Walk




แล้วเขาก็ยอมกลับเข้าสู่การมองเห็นของผมอีกครั้ง

ยืนนิ่งพร้อมกับบุหรี่ในมือ ข้างๆ มอเตอร์ไซค์คันเดิม อยู่ตรงมุมถนนเดิม ทำท่าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ดวงตาดุตวัดมองมาในตอนที่ผมก้าวเท้าออกจากประตูที่ทำงาน ไม่มีคำทักทาย แล้วก็ไม่มีการคุยเล่นหยอกเย้าเหมือนที่เขาชอบทำเป็นประจำ

ร่างสูงแค่ขยับตัวขึ้นคร่อมฮาร์เลย์ นิ่งรอโดยไม่ปริปากพูด และกระชากตัวออกจากตรงนั้นแทบจะในทันทีที่ผมขึ้นซ้อนเรียบร้อย

เส้นผมสีดำสนิทสะบัดตามลมแรงรอบตัว ผมลอบมองต้นคอ ใบหู และเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายยามหันมองด้านข้าง

เดฟดูอึมครึมกว่าทุกที

ผมเม้มปาก เริ่มสัมผัสได้ถึงอาการมึนตึงที่ได้รับ และความรู้สึกไม่ดีแปลกๆ ที่เกิดขึ้นในใจ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ บรรยากาศที่เกิดขึ้นตอนนี้ ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่าต้องทำอะไรสักอย่าง

แล้วฝ่ามือก็ขยับแตะชายเสื้ออีกฝ่ายช้าๆ..

ผมไม่ค่อยทำแบบนี้มากนัก ในตอนปกติ พอผมเริ่มชินกับการซ้อนท้ายฮาร์เลย์คันนี้ ผมก็หลีกเลี่ยงการสัมผัสตัวเดฟด้วยการวางมือไว้ที่ขาตัวเองแทบจะตลอดเวลา

เดฟไม่เคยว่าอะไร และเขาก็จงใจขี่ช้าลงเพราะว่าผมพร้อมจะหล่นลงไปที่พื้นได้ตลอดเวลากับท่านั่งแบบนั้น

แล้วปลายนิ้วก็สัมผัสได้ถึงความอุ่นที่แผ่ออกมาผ่านเสื้อยืด ผมลอบมองท่าทางที่อาจจะเกิดขึ้น อะไรบางอย่างตีวนขึ้นในอก เพราะท่าทางนิ่งเฉยที่ได้รับ

ให้ตาย ..

ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังพยายามทำอะไรอยู่ แล้วต้องการอะไร

พอคิดได้แบบนั้น ผมก็ขยับมือที่กอดเอวอีกฝ่ายอยู่กลับทันที พร้อมกับใจที่หล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่มและปลายนิ้วที่เอื้อมคว้าชายเสื้อสีดำสนิทไว้ในมือก่อนที่สมองจะสั่งการอีกครั้ง ลมเย็นที่ตีกระทบหน้า กับร่างผมที่เกือบลงไปนอนอยู่บนพื้นถนนเพราะอยู่ดีๆ เดฟก็เร่งความเร็วขึ้นจนน่ากลัว

ผมมองแผ่นหลังกว้างตรงหน้านิ่ง

ในชั่วพริบตาหนึ่ง ก็เหมือนถูกผลักให้ลอยคว้างอยู่กับความคิดไร้ซุ่มเสียง.. หัวสมองนึกซึมซับทุกอย่างที่กำลังดำเนินอยู่

สายลม.. ความอื้ออึงในหู.. ไออุ่น.. แสงไฟที่ตกกระทบใบหน้าเรียบเฉย

เส้นผมสีดำกลืนไปกับความมืดของตอนกลางคืน ..

 

กับผมที่เริ่มใจเต้นแรงโดยไม่มีเหตุผล

 

 



สุดท้ายแล้วก็ไม่มีแม้แต่เสียงที่แทรกระหว่างเรา

ผมกำลังโดนเพิกเฉย ..

คำสรุปนั้น แม้แต่เด็กเล็กๆ ก็ยังสรุปได้ ผมยกมือขึ้นจับต้นคอ ความเมื่อยล้าจากการยืนล้างจานนานๆ เริ่มกัดกินจนอยากรีบไปนอนพักผ่อน แต่ความอึดอัดที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับเดฟก็เป็นตัวฉุดรั้งเอาไว้

ผมยืนนิ่งอยู่กับที่ มองเดฟที่พอถึงบ้านก็เปิดประตู พาดเสื้อแจ็คเก็ตหนังไว้ลวกๆ บนโซฟา ก่อนจะเดินหายไปในห้องครัวและกลับมาอีกครั้งพร้อมกับแฮมเบอร์เกอร์ เขาวางมันบนโต๊ะ จำนวนสองชิ้นทำให้ผมรู้ว่าหนึ่งในนั้นเป็นของผม

“วันนี้เป็นยังไงบ้าง” ผมเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา เดฟตวัดตามอง ความนิ่งและดวงตาที่คาดเดาอารมณ์ไม่ได้ทำให้ผมประหม่า ก่อนที่เขาจะเบือนสายตากลับไป

“เป็นอย่างที่ควรจะเป็น” คำตอบนั้นยิ่งทำให้ผมอึดอัดมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ

ผมไม่เคยรู้มาก่อน.. ว่าผมชื่นชอบเดฟที่กวนโมโหและขี้เล่นมากขนาดนี้ อย่างน้อยก็มากกว่าเดฟในตอนนี้เยอะ

แล้วหลังจากนั้น ผมก็ไม่พูดอะไรอีก เช่นเดียวกันกับเดฟที่เอาแต่จ้องรายการข่าวท้องถิ่นในโทรทัศน์ ผมลอบก้มหน้าลง การหาวเป็นสัญญาณเรียกร้องให้ผมพาตัวเองไปพักสักที แต่ก็เท่านั้น ดูเหมือนร่างกายผมจะไม่ยอมฟังคำสั่งนั้นและยังนั่งอยู่ที่เดิม

เที่ยงคืนครึ่ง.. ตีหนึ่ง.. ตีหนึ่งเจ็ดนาที

ผมถอนหายใจ ยกหลังมือขึ้นทาบเปลือกตา ก่อนจะพบว่าเดฟจ้องมองมาในความมืด

“อะไร”

“ทำไมไม่ไปนอน” เขาถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

ทำไมน่ะเหรอ.. เพราะใครล่ะ

พอเดฟทำตัวผิดแปลกไป ผมก็พานทำตัวไม่ถูกขึ้นมาซะเฉยๆ นั่นไงเหตุผล

“ผมดูข่าวอยู่ ข่าวจบแล้วจะไป” ผมตอบปัด ก่อนจะรู้สึกเหมือนถูกแช่ให้แข็งค้างเพราะเดฟที่เอาแต่ทำหน้านิ่งมาทั้งวันหลุดยิ้มเล็กๆ ตรงมุมปากออกมา

แต่ความดีใจที่เกิดขึ้นนั้นก็อยู่ได้ไม่นาน

“อะไร..”

เดฟหุบยิ้ม เขาพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะหลุบตาลงต่ำ “ถ้าตั้งใจอยากดูมากขนาดนั้น ฉันก็ต้องขอโทษด้วย.. ที่เปลี่ยนช่องตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว”

!

ใบหน้าผมสะบัดกลับไปทางจอทีวีทันที หมีตัวใหญ่สีดำสนิทกำลังยืนสองขาเป็นภาพแรกที่ผมมองเห็น สมองเหมือนถูกตบแรงๆ จนสั่นเบลอ ก่อนที่ผมจะพบว่าตัวเองเพิ่งโชว์อ่อนไปเต็มๆ เมื่อครู่

“ถ้านายง่วงก็ไปนอน หรืออยากจะอยู่ต่อก็ได้นะ.. ถ้าอยากดูข่าวต่ออีก” ผมขยับตัวลุกขึ้นยืน เสียงของเดฟลอยวนอยู่ในช่องหู ดวงตาฉายประกายประหลาดชวนให้ใจภายในเต้นกระตุก ฝ่าเท้าก้าวยาวๆ ผ่านแทซที่นอนหมอบอยู่บนพื้นพรมเล็กๆ สีแดงเลือดหมู

แย่..

เมื่อกี้นี้แย่ชะมัด ผมทำบ้าอะไรลงไป





 

She’s ripped
She knocks me out in the first round

She towers over every time that I lay down

She’s fucked up
She’s got me bouncing till sundown

Two drinks in she’s the queen of the half crown

 

เสียงเพลงที่ดังลั่นมาจากทางโรงซ่อมดึงให้ผมพาตัวเองออกจากบ้าน แทซพ่นลมออกทางจมูกฟืดฟาด ก่อนจะขยับเท้าวิ่งเหยาะๆ ตามมาติดๆ กลิ่นใบไม้และอากาศเย็นชื้นแตะเข้าประสาทสัมผัสในตอนที่ผมก้าวเท้าผ่านทางเชื่อม พอประตูไม้เก่าๆ ที่กั้นอาณาเขตบ้านกับอู่รถถูกดันให้เปิดออก ร่างของใครอีกคนก็ปรากฏให้เห็นในสายตาทันที

เดฟในชุดเสื้อกล้ามสีดำสนิทกับกางเกงยีนส์สีเข้ม ผ้าผืนยาวสีเทาเลอะไปด้วยคราบน้ำมันดำๆ ถูกยัดลวกๆ แล้วปล่อยให้ชายผ้าห้อยลงมาจากขอบกางเกง แทซวิ่งผ่านร่างของผมไป ก่อนจะทรุดนั่งแลบลิ้นอยู่ข้างเดฟ

เขารู้ว่าผมอยู่ที่นี่ด้วย..

เพราะสายตาที่เหลือบมองมา ก่อนที่เขาจะเบนความสนใจกลับไปที่ฮาร์เลย์คันใหญ่และอุปกรณ์ช่างโดยที่ไม่แม้แต่จะเอ่ยคำทักทายหรือพูดอะไรกับผมสักประโยคเดียว

หลังจากเมื่อคืนที่หนีไปนอน ตื่นเช้ามาอีกวันหนึ่ง เดฟก็หายไปทั้งวัน และเนื่องจากวันนั้นเป็นวันพฤหัสบดี ผมเลยไม่มีความจำเป็นต้องไปทำงาน

และอีกนัยก็คือ ผมไม่พบกับเดฟในค่ำคืนนั้นเช่นกัน

เช้าอีกวัน วันศุกร์.. ผมตื่นนอนมาตอนเช้า พบกับซุปข้าวโพดอุ่นๆ ที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ครัว ไม่มีโน้ต ไม่มีคำสั่ง ไม่มีแม้แต่เงาของผู้ที่นำมันมาที่นี่

แล้วก็วันนี้.. เดฟยอมปรากฏตัวให้ผมเห็นอีกครั้งในรอบหลายวัน และเขาก็ยังทำเป็นเพิกเฉยผมเหมือนเดิม

ผมรู้สึกแย่ไหมกับการที่โดนเมินติดๆ กันเป็นวันๆ แบบนี้

แม่งโคตรห่วยเลยล่ะ

และผมคิดว่าวันนี้ควรเป็นวันสุดท้ายได้แล้ว ที่เขาจะปล่อยให้ผมจมอยู่กับความอึดอัดและคำถามว่าทำไมทุกอย่างถึงเป็นแบบนี้

ผมขยับตัวเดินเข้าไปใกล้ เดฟยังทำนิ่งและแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นผมไม่เปลี่ยน ร่างสูงชะงักมือเล็กน้อย เมื่อผมเดินไปขวางกลางระหว่างตัวเขากับชั้นวางเครื่องมือขนาดใหญ่

“มีอะไรหรือเปล่า” เขาถอนหายใจ ก่อนตวัดตามองผมที่แกล้งทำเป็นใจกล้าทั้งๆ ที่ในหัวกำลังว่างเปล่าและไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองควรจะต้องพูดอะไร

พอได้กลับมาอยู่ใกล้ๆ แบบนี้อีกครั้ง.. กลับกลายเป็นผมเองที่พูดอะไรไม่ออกขึ้นมา

“.. ไม่ ไม่มี” น้ำเสียงกระอักกระอ่วนฟังดูเป็นคนขี้แพ้อย่างไม่ต้องสงสัย

นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย ผมหาคำพูดของตัวเองไม่เจอด้วยซ้ำ

ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเข้มขึ้นจนเกือบจะเป็นดำ เขาจ้องมองมา จนผมเองเป็นฝ่ายยอมแพ้และหลบสายตาก่อน

ความเงียบขั้นกลางระหว่างเรา ก่อนที่เดฟจะยิ้มออกมานิดๆ แล้วก้มมองพื้น

“ถ้าไม่มีก็หลบไป” คำพูดร้ายกาจนั่นถูกปล่อยออกมาง่ายๆ และขาของผมขยับทำตามคำสั่งนั้นโดยไม่มีข้อขัดขืน เพราะว่ามันถูกสั่งออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง จริงจัง

และผมรู้ดีว่าลึกๆ ในตัวเองกำลังตะโกนร้องสั่งอย่างบ้าคลั่ง ว่าผมควรจะปฏิบัติตาม

เดฟฉายความพึงพอใจในแววตา ก่อนที่มือของผมฉวยจับชายเสื้อสีดำสนิทไว้แน่นในตอนที่อีกฝ่ายกำลังจะเดินผ่านไป เดฟหยุดทุกการเคลื่อนไหวแทบจะในทันที เขาก้มหน้าลงมองการยึดจับไร้สตินั่น แล้วก็กดดันผมด้วยความเงียบอีกเช่นเคย

“ขอโทษ..” ผมตัดสินใจพูดออกไปในที่สุด น้ำเสียงแผ่วเบาที่ได้ยินจากตัวเองเป็นตัวยืนยันว่าผมไม่แม้แต่จะมั่นใจด้วยซ้ำตอนพูดมันออกไป

เดฟหันกลับมา เขากวาดสายตาขึ้นสบกับผมช้าๆ ทุกความคิดถูกเหยียบไว้จนมิดและผมมองไม่ออกด้วยซ้ำว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในตอนนี้

อีกฝ่ายพยักหน้าเบาๆ เขาเช็ดฝ่ามือตัวเองเข้ากับชายผ้าเช็ดมือ ก่อนจะขยับตัวเข้ามาใกล้ผมช้าๆ กลิ่นน้ำมันเครื่องยนต์ลอยเข้าประสาทการรับรู้พร้อมๆ กับสะโพกของผมที่แนบชิดอยู่กับโต๊ะวางอุปกรณ์ เสียงครืดดังขึ้นจากการที่ผมชนมันเข้าเต็มๆ

แล้วเดฟก็หยุดเดินในที่สุด หยุดในความห่างที่ชวนให้รู้สึกแปลกประหลาด และกลับกลายเป็นผมเองที่รู้สึกอ่อนแอในสถานการณ์ตรงหน้า

“นายขอโทษเรื่องอะไรล่ะ” เขาเอียงหัวเล็กๆ สีหน้าสงสัยถูกฉายออกมาอย่างจงใจ

“..ทุกเรื่อง” ใช้เวลาไม่นานนักในการกลั่นกรองคำตอบโง่ๆ นั่น มันเป็นคำตอบที่กว้างและหว่านแหที่สุดเท่าที่ผมเคยคิดได้

เดฟอมยิ้ม และแค่ยิ้มเดียวเท่านั้นที่สร้างความรู้สึกสับสนให้เกิดขึ้นจนน่าหงุดหงิด

ทำไมผมถึงต้องเป็นฝ่ายรู้สึกผิดและพ่ายแพ้แบบนี้ ทั้งๆ ที่คนผิดควรจะเป็นเขา

“แล้วอะไรคือ ทุกเรื่อง ที่นายกำลังพูดถึงล่ะ” เขาขยับเข้ามาใกล้อีกหนึ่งก้าว

และผมถอยหลังอยู่ที่เดิมเพิ่มอีกหนึ่งครั้ง

“ทุกเรื่อง ก็คือ ทุกเรื่อง” ผมตอบสั้นๆ “ขอโทษสำหรับทุกเรื่องที่อาจทำให้คุณไม่พอใจ”

“ทำไมฉันจะต้องไม่พอใจอะไรด้วย” เขาเลิกคิ้ว “นายทำอะไร ฉันถึงจะต้องรู้สึกแบบนั้น”

ให้ตายเถอะ

ผมรู้สึกเหมือนถูกปั่นด้วยมือที่มองไม่เห็น แค่คำพูดไม่กี่คำทำเอาหัวหมุนจนคิดอะไรไม่ออก ผมรู้ซึ้งถึงการโดนต้อนจากคนตรงหน้าเป็นอย่างดี เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก

ผมน่าจะรู้ว่าเขาเก่งในเรื่องนี้มากขนาดไหน และผมไม่มีทางชนะมันได้เลย

มนุษย์คนหนึ่งจะสามารถเจ้าเล่ห์ร้ายกาจได้ขนาดนี้เลยเหรอ

“โอเค” ผมเม้มปาก ลำคอแห้งผากจนเสียงที่ออกมาฟังดูแปลกแปร่ง ผมสบตากับเดฟ ไม่มีความจำเป็นต้องโยกโย้เฉไฉกันอีกต่อไป ในเมื่อเขาบีบบังคับให้ผมพูดมันออกมาชัดๆ ด้วยตัวเองขนาดนี้

เดฟนิ่งฟัง ในตอนที่ผมกลั่นกรองคำพูดพร้อมกับหัวใจที่เต้นกระตุกแรง

“ผมขอโทษ.. ที่ดูถูกคุณวันนั้น” ผมลอบจิกปลายนิ้วเข้าฝ่ามือแรงๆ เพื่อควบคุมสติ “ขอโทษที่.. ตีความหมายของทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณทำให้ผมเป็นอะไรที่ไร้ค่าแบบนั้น และผมก็สำนึกแล้วว่า นั่นมันเป็นการกระทำที่แย่มาก”

ผมมองเดฟนิ่ง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มฉายแววประหลาดก่อนจะจางหายไป

“ผมไม่มีอะไรจะแก้ตัวแล้วจริงๆ .. และผมก็ห่วยแตกในเรื่องการพูดอะไรพวกนี้มากๆ ด้วย” ผมพึมพำในท้ายประโยค ก่อนหลุบตาต่ำลงมองปลายเท้าตัวเอง

ความเงียบเกิดขึ้นในชั่วพริบตา

มีเพียงเสียงดนตรีดังลั่นเท่านั้นที่ยังทำหน้าที่ของมันต่อไป

“ไม่เลย นายไม่ได้ห่วยในเรื่องนี้..” เขาว่า “ออกจะเก่งด้วยซ้ำไป”

เดฟผ่อนลมหายใจช้าๆ เพราะผมก้มหน้าอยู่ ผมถึงเห็นไม่เห็นว่าเขากำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ มีเพียงท่อนแขนแข็งแรงเท่านั้นที่ขยับมาข้างหน้า ฝ่ามือใหญ่พาดผ่านช่วงเอวของผมไปช้าๆ ก่อนที่ใบหน้าของเขาจะขยับเข้ามาใกล้

“แล้วก็ถ้าอยากได้ยินความจริงมากนัก”


But can't you give me a fix, so I'm craving confidence?
Well, I reek of sweat and teenage innocence



“ฉันไม่ได้คิดว่าสิ่งที่นายจะให้วันนั้นมันไร้ค่า.. ฉันไม่ได้พูดด้วยซ้ำว่าไม่อยากได้มัน”


Well, I want you so, but I know you'll never know
Cause I'm too shy, I'm too shy for the hometown girl!

 
“แต่ความจริงก็คือ.. ฉันไม่ได้อยากได้แค่นั้น”

!!

ลมหายใจอุ่นร้อนโลมไล้ใบหู ผมชะงักค้างไปกับสิ่งที่ได้ยิน เสียงกระทบกันของโลหะลั่นเข้าประสาท ก่อนที่เดฟจะผละออกไป ใบหน้าที่เคยนิ่งสนิท ตอนนี้ปรากฏรอยยิ้มเล็กๆ ตรงมุมปาก

พร้อมกับประแจสีเงินขนาดใหญ่ในฝ่ามือที่เขาเพิ่งเอื้อมหยิบมาจากด้านหลังของผมเมื่อครู่

ดวงตาสีเข้มห่างออกไปไม่ถึงหนึ่งฟุตฉายแววจริงจัง ราวกับเขากำลังกล่าวประโยคที่ซื่อตรงที่สุดในชีวิต

“ร่างกาย.. ความรู้สึก.. รอยยิ้ม.. สายตา.. เสียงเรียก และทุกๆ ตารางเมตรในความคิดของนาย”

“…”



“ฉันอยากได้มัน.. ทั้งหมด”




____

1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.10 Foxy Walk (23/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 23-01-2017 17:30:24
เดฟ โลภมากนะเรา~ :hao7:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.10 Foxy Walk (23/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 23-01-2017 18:42:22
.. ฉันไม่ได้อยากได้แค่นั้น”
“ร่างกาย.. ความรู้สึก.. รอยยิ้ม.. สายตา.. เสียงเรียก และทุกๆ ตารางเมตรในความคิดของนาย”
“…”
“ฉันอยากได้มัน.. ทั้งหมด”
โอ๊ย.......เดฟ นายยอดมาก  :z3: :z3: :z3:
เอาหัวใจคนอ่านไปเล้ย ❤️❤️❤️❤️❤️
ฟลอยด์ นายจะซึนขนาดไหนก็ตาม
นายควรรับรู้ ความอบอุ่น ความรัก ความต้องการ ของเดฟ  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ไรท์ สุดยอด เขียนดีมากกกกกก ชอบบบบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.10 Foxy Walk (23/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 23-01-2017 22:08:07
 :jul :ling1:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.11 Something In You (24/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mecinzano505 ที่ 24-01-2017 13:50:38

11_
Something In You




เดาสิว่าเกิดอะไรหลังจากนั้น ..

ผมรีบพาตัวเองออกมาจากตรงนั้น ไม่มีการต่อบทสนทนาอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากผมที่รีบพาตัวเองเดินเร็วๆ จนแทบจะเป็นวิ่งกลับเข้ามาในบ้าน โชคดีที่เดฟเองก็ดูไม่ได้จะต้องการสื่อสารอะไรต่อแล้ว เขาถึงปล่อยให้ผมทำแบบนั้นได้ง่ายๆ

แล้วทุกอย่างก็เกือบจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมหลังจากวันนั้น

เดฟกลับมาอยู่ในการมองเห็นของผมบ่อยๆ เหมือนเมื่อก่อน คำแซว การหยอกล้อ รอยยิ้ม การทักทาย ผมได้รับมันเหมือนเคย

แต่ที่บอกว่า เกือบ จะกลับเป็นเหมือนเดิม.. มันมีอะไรผิดเพี้ยนไปคือตัวของผมเอง

การสบตาเดฟตรงๆ เป็นสิ่งที่ทำได้ยากแล้วในเวลานี้ ความร้อนแผ่ลามจนถึงใบหู และผมที่ควบคุมตัวเองไม่ให้รู้สึกตื่นเต้นไม่ได้

สาบานเถอะ ว่าเขาไม่ใช่ผู้ชายคนแรกที่ผมเข้าใกล้

แต่พระเจ้า ตลกหรือเปล่า แค่มองยังทำไม่ได้เนี่ยมันจะไม่เกินไปหน่อยเหรอสำหรับคนที่เคยทำอาชีพอย่างว่าอย่างผมน่ะ

“อะไรคือสีหน้านั่นน่ะ” เดฟทักขึ้น ดึงสายตาผมให้หันไปมอง ใบหน้าอารมณ์ดีฉายแววขบขันออกมาตรงๆ

“ไม่มีอะไร” ผมขมวดคิ้ว และเดฟทำท่าเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่เสียงตบประตูที่ดังขัดขึ้นระหว่างเราดึงเขาให้ชะงักการกระทำนั้น ร่างสูงวางกระป๋องเบียร์ลงบนโต๊ะ ก่อนที่ขายาวๆ จะก้าวตรงไปที่บานประตู

ผู้ชายรูปร่างผอมสูง และหนวดสีดำสนิทเหมือนกับสีผม ผมจำได้ ว่าเขาเป็นหนึ่งในคนที่ขี่ฮาร์เลย์ไปที่บาร์เก่าๆ นั่นกับเราวันนั้น ดวงตาคมหรี่ตวัดมองผมเล็กน้อยตอนที่เขาเดินตามเดฟเข้ามาในตัวบ้าน

“วันนี้วันเสาร์” เขาเกริ่นขึ้นมา สะโพกภายใต้กางเกงยีนส์สีดำสนิทพิงชิดกับขอบโซฟาอีกตัวที่อยู่ไม่ไกล

เดฟเลิกคิ้ว กระป๋องเบียร์ถูกหยิบขึ้นมาถืออีกครั้ง “แล้วไง”

“ไม่เอาน่า วันนี้วันเสาร์ นายก็รู้ธรรมเนียมของเราดี นายไม่ได้ไปที่นั่นมาสองอาทิตย์ติดกันแล้วนะ” ผู้ชายแปลกหน้าวาดมือขึ้นทำท่าท้วงกลายๆ กลางอากาศ

“ตกลงว่านายมาวันนี้แค่จะลากฉันไปงั้นสิ” เดฟหยิบซองบุหรี่ที่วางข้างๆ ขึ้นมาถือ ดวงตาช้อนมองผู้ชายคนนั้น ขณะค่อยๆ เคาะมวนบุหรี่ให้ไหลออกจากซอง

เสียงกลไกไฟแช็กลั่นเข้าใบหู และผมได้แต่พยายามทำตัวให้ลีบเล็กที่สุดราวกับไม่ได้มีตัวตนอยู่ตรงนี้

“วันจันทร์ฉันต้องไปดูเด็กเม็กซิกัน ช่วงนี้ไม่ค่อยว่าง ทำไมนายไม่ลองไปบุกบ้านทิมดูบ้างล่ะ”

“ไม่เอาน่าเดฟ ไอ้ทิมมันเก่งซะที่ไหน ฉันยังต้องการเงินพนันไปเลี้ยงลูกเมียนะ ช่วงนี้เรามีปัญหากับพวกข้ามถิ่น นายก็รู้นี่ว่าสภาพการเงินของเราก็ถูกกระทบไปด้วย”

“ฉันรู้ ใจเย็นน่าชาร์ลี” เดฟถอนหายใจช้าๆ ดวงตาฉายประกายวาบขึ้นมาเสี้ยววินาที “พวกมันอยู่ได้ไม่นานนักหรอก..”

“ยังไงก็ตาม ไอ้หนุ่มนี่คือผู้ชายคนนั้นงั้นสิ” ผู้ชายที่ชื่อชาร์ลีพยักพเยิดมาทางผม “ที่ว่ามันตามมาเอาเรื่องถึงที่นี่”

“ใช่”

“นายก็เลย..” เขาลากเสียงช้าๆ ดวงตาเหลือบกลับมาสบกับเดฟที่ยกบุหรี่ขึ้นจรดริมฝีปาก “เอาเขามาอยู่ด้วยเนี่ยนะ”

เดฟเงียบไปชั่วอึดใจ บุหรี่ในมือถูกสูบเข้าปอดลึกและยาวนานกว่าทุกครั้ง ก่อนที่เขาจะปล่อยมันออกมา “ใช่”

ดีเลย คำตอบนั้นเรียบง่าย.. และทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทางขึ้นมาเฉยๆ

“นายทำอะไรผิดวิสัย เดฟ” ชาร์ลีขมวดคิ้ว

“ไม่.. สำหรับครั้งนี้” เดฟตอบกลับด้วยเสียงเรียบเฉื่อย “พอตอนนี้นายก็เปลี่ยนมาเป็นไล่ซักฉันแทนซะงั้นเหรอ ตกลงว่าอยากรู้เรื่องของฉันหรือว่าอยากให้ฉันไปช่วยมากกว่ากันล่ะ”

“เฮ้ ใจเย็นๆ” ชาร์ลียกมือขึ้นกลางอากาศ เขายังลอบมองผมอีกครั้ง ก่อนจะยอมเปลี่ยนเรื่องกลับไปแต่โดยดี “สามทุ่มเจอกัน แล้วฉันจะปิดปากให้สนิทเลยล่ะ”

“ไปได้แล้ว” เดฟพยักหน้าส่งๆ ไปทางประตู ความเงียบเกิดขึ้นชั่วคราวระหว่างที่เรามองชาร์ลีเดินออกจากบ้านไป

แล้วเสียงปิดประตูก็ดังขึ้น ปลดทุกอย่างให้กลับสู่อย่างที่ควรจะเป็นอีกครั้ง

“วันนี้ไม่ต้องไปทำงานใช่ไหม” เดฟถามขึ้นเบาๆ

“.. ใช่” และใช่ ผมไม่ต้องไปทำงานวันนี้ทั้งๆ ที่เป็นวันเสาร์ เพราะมีคนรวยสักคนไปเหมาที่นั่นสำหรับจัดงานปาร์ตี้วันเกิดอะไรพวกนั้น และทุกงานในกะของผมไม่จำเป็นต้องไป

ข่าวของเดฟรวดเร็วเสมอ ผมน่าจะรู้ดี

แต่ผมไม่คิดว่ามันจะลามมาจนถึงเรื่องภายในที่ทำงานของผมด้วย

กลิ่นบุหรี่ที่มีตัวตนชัดขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผมยอมหันกลับไปมองด้านหลัง เดฟไม่ได้ยืนอยู่ที่เดิมอีกต่อไปแล้ว เขายืนซ้อนอยู่ด้านหลังของโซฟาที่ผมนั่ง ฝ่ามือวางทาบลงบนพนัก แหวนสีเงินที่สวมใส่อยู่ยิ่งขับให้ฝ่ามือนั้นมีอิทธิพลต่อสายตา

“คืนนี้ไปด้วยกันสิ” คำชวนไม่มีที่มาที่ไปทำให้ผมขมวดคิ้วเล็กๆ

“ไปที่ไหน”

“เดอะรูท”

“ผมจะไปทำไมล่ะ” ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสถานที่นี้คือที่ไหน แล้วก็ด้วย ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปทำไมและมีประโยชน์อะไรที่นั่น

แล้วเดฟก็โน้มตัวมาข้างหน้าช้าๆ ท่อนแขนแข็งแรงไถลงจนแนบกับเบาะ ฝ่ามือยื่นมากุมจับกันเองด้านหน้า เขาโคลงหัวเล็กน้อย เส้นผมสีดำตกลงปรกหน้าผาก ดวงตาเหลือบมองด้านบนราวกับกำลังค้นหาอะไรสักอย่างในความคิด

“เขาเรียกว่าอะไรกันนะ…”

“…”


“กำลังใจ ใช่หรือเปล่า”









“นายนั่งอยู่แถวๆ นี้แหละ ถ้าเบื่อหน้ากรงก็ไปนั่งเล่นตรงบาร์ ลงบัญชีชื่อ MC พยายามอย่าเดินไปไหนไกล ถ้าเราจะกลับกันแล้วไม่เจอนายแม่งเสียเวลา” ชาร์ลีออกคำสั่ง ผมพยักหน้ารับง่ายๆ มองตามแผ่นหลังชาร์ลีกับผู้ชายในแก๊งค์ที่ผมไม่รู้จักอีกสองคนที่เดินนำไปข้างหน้า

ลมหายใจเผลอกลั้นเล็กๆ เมื่อตรงช่วงเอวสัมผัสได้ถึงแรงจับ เดฟเดินตามมาเป็นคนสุดท้าย เขายิ้มบางๆ ก่อนจะโน้มหน้ามาออกคำสั่งเพิ่มเติมข้างใบหู

“อย่าไปไหนไกล” และผมก็พยักหน้าอีกครั้ง

ผมไม่คิดจะไปไหนไกลอยู่แล้ว นั่นมันออกจะดูเป็นการหาเรื่องใส่ตัวเกินไปหน่อย และผมไม่ใช่คนที่ชอบหาเรื่องใส่ตัวมากขนาดนั้น อีกอย่าง สถานที่แบบนี้ก็ไม่ได้เชิญชวนให้ต้องเดินชมด้วย มันทั้งมืด เต็มไปด้วยผู้คนเบียดเสียดกัน แล้วก็กลิ่นของเหงื่อแล้วก็เลือดที่ไม่พึงประสงค์

ผมทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้บาร์ มันอยู่ในตำแหน่งที่ดี ไม่ไกลจากตรงกรงที่ให้คนเข้าไปสู้กัน แล้วก็เห็นได้ชัดเจนดีด้วย.. ใช่ อาจจะเป็นตำแหน่งที่ดีสำหรับหลายๆ คน แต่ไม่ใช่ผมแล้วคนหนึ่ง

“เห้ย ไอ้หนุ่ม จะเอาอะไรไหม” ผมเหลือบตามองผู้ชายร่างใหญ่ที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ เขาทาบฝ่ามือทั้งสองข้างลงบนบาร์ และกำลังจ้องตรงมาที่ผม

“น้ำเปล่าก็ได้ครับ.. ขอบคุณ” ผมตอบ “ลงที่บัญชีชื่อว่า MC”

“น้ำเปล่าฟรี” น้ำเสียงแข็งกระด้างสวนกลับมา พร้อมกับแก้วน้ำเปล่าที่วางอยู่ตรงหน้า ท่าทางไม่ค่อยเป็นมิตรถูกส่งมา แต่ผมก็ไม่ได้ติดใจอะไรกับพฤติกรรมแบบนั้น

จะให้คาดหวังความเป็นมิตรจากใครในสถานที่แบบนี้เหรอ

อีกอย่าง หน้าตาของผู้ชายคนนี้ก็ไม่ได้เหมาะกับการพูดจาดีๆ อยู่แล้ว

แล้วเสียงกู่ร้องก็ดังลั่นขึ้นกลางอากาศ ผมเงยหน้าขึ้นมอง ร่างสูงที่คุ้นเคยตอนนี้ดูแปลกตาไป เดฟยืนนิ่งอยู่ข้างบนนั่น ในกรงที่ยกสูงขึ้นจากพื้น เต็มไปด้วยผู้คนมุงดูอยู่ด้านล่าง รอยยิ้มที่ผมมักจะมองเห็นเสมอ ตอนนี้ไร้ตัวตนอยู่บนใบหน้าเรียบนิ่ง

นี่อาจจะเป็นครั้งแรก ที่รอยสักตรงสะโพกของอีกฝ่ายดึงดูดให้ผมมองเต็มๆ ตา ผมไม่รู้ว่ามันคือรูปอะไร เพราะความมืดรอบๆ ตัวไม่ทำให้การมองเห็นดีเท่าที่ควรจะเป็น

สิ่งเดียวที่เด่นชัดตอนนี้.. เห็นทีจะมีเพียงแค่แท็กสีเงินที่อีกฝ่ายห้อยอยู่ที่คอ กับใบหน้าจริงจังที่ยิ่งส่งเสริมให้เขาดูน่ากลัวขึ้นไปอีก และยิ่งดูน่ากลัวมากขึ้นกว่านั้นอีกเมื่อผู้ชายอีกคนเดินขึ้นไปบนนั้น

ทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยความรวดเร็ว เสียงหมัดดังลั่นเข้าโสตประสาท พร้อมกับผู้ชมที่บ้าคลั่งขึ้นเรื่อยๆ เพราะกลิ่นเลือดที่แผ่กระจายรอบสถานที่

“เขาเก่งนะ” เสียงที่ดังขึ้นจากด้านข้างดึงผมให้หันไปมอง

ผู้ชายตัวสูงใหญ่ ผมสีน้ำตาลอ่อน ตาสีฟ้าเหลือบไปทางเขียว ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่นักเพราะความมืดบิดเบือนการมองเห็นไปหมด รอยช้ำบนใบหน้าทำให้ผมพอเดาได้ ว่าเขาก็ขึ้นไปสู้บนนั้นมาเหมือนกัน

“ไม่รู้สิ” ผมตอบกลับไป เดฟอาจจะเก่ง ผมหมายถึง จากที่เห็นตอนนี้ เขาก็ดูเก่งจริงๆ นั่นแหละ เพราะผู้ชายอีกคนที่ทำท่าโงนเงนเหมือนเสียการทรงตัวน่าจะยืนอยู่แบบนั้นได้อีกไม่นาน

“นายรู้จักเขาไหม” อีกฝ่ายยังชวนคุยต่อ แก้วเหล้าในมือถูกยกขึ้นจรดริมฝีปาก ขณะที่ดวงตาหรี่ลงจ้องมองผม

“ฉันเห็นนายมองเขา”

“ใครๆ ก็มองเขาทั้งนั้นตอนนี้” ผมมองตรงไปที่เดฟ เดฟที่สร้างความรู้สึกตื่นเต้นลึกๆ ในใจมากกว่าความรู้สึกหวาดกลัว

ความรู้สึกของผมมันรวนไปหมด.. เหมือนกับคนบ้าที่ทำทุกอย่างในชีวิตผิดเพี้ยน

“แต่ไม่ใช่วิธีที่นายมองเขาแน่ ไม่รู้เหรอว่าสายตาของนาย ไม่ได้มองขึ้นไปบนนั้นเหมือนคนแปลกหน้ามองการแสดง” ผมตีหน้าเรียบนิ่ง รับฟังประโยคนั้นพร้อมกับดวงตาที่เบนกลับไปมองผู้ชายแปลกหน้าคนเดิม

“ไม่รู้สิ..” แล้วผมก็ตอบกลับไปด้วยประโยคเดิมอีกครั้ง เสียงพึมพำติดริมฝีปากกับความคิดประหลาดที่แล่นผ่านสมอง “บางครั้งก็เหมือนจะเป็นแบบนั้น”

“เป็นคนแปลกหน้าที่ไม่รู้อะไรเลย”

หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน ผมนึกขำความรู้สึกวูบไหวแปลกๆ พวกนี้ไม่ได้

“งั้นเหรอ..” ผู้ชายคนเดิมส่งเสียง หลังจากที่เราปล่อยให้ความเงียบทำงานอยู่ร่วมนาที ดวงตาเป็นประกายหรี่แคบลง มันเป็นท่าทางของการลองเชิง

“อยากไปหาอะไรทำต่อด้วยกันไหม หลังจากนี้”

“ไม่” ผมตอบ ไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยสักนิด อีกฝ่ายชะงักไป แล้วความไม่พอใจก็เริ่มระบายทั่วใบหน้า

อย่างกับเด็กที่หัวเสียเวลาไม่ได้ดั่งใจ

ผมขยับยิ้ม ใบหน้าพยักพเยิดไปทางกรงเหล็กกลางลาน “ผมต้องกลับบ้าน.. กับคนแปลกหน้าที่อยู่บนนั้น”

เขานิ่งไปหลังจากที่ได้ยิน

“ทำไมคุณไม่ชวนสาวๆ พวกนั้นล่ะ ผมเห็นพวกเธอจ้องมาทางนี้สักพักหนึ่งแล้ว”

ดวงตาสีอ่อนเหลือบกลับไปมองทางที่ผมแนะนำ เขาส่ายหน้า หันกลับมาและเริ่มระบายยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาว “ตลกดีนะ แต่ฉันจะพูดให้ชัดเจนก็ได้”

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ผมถึงไม่มีความรู้สึกอยากจะฟังมันมากขนาดนั้น

“ฉันเป็นเกย์..” เขาพูดเสียงเรียบ ดวงตาหยีลงพร้อมกับรอยยิ้ม “แล้วฉันก็มองเห็นอะไรบางอย่างในตัวนาย”

ผมไม่ค่อยชอบสถานการณ์ในตอนนี้เท่าไหร่.. มันให้ความรู้สึกที่ไม่ดี แต่ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากเลือกที่จะเพิกเฉยต่อมันแล้วก็นั่งเงียบๆ

แย่หน่อยที่เนวาด้าไม่เคยสอนวิธีปฏิเสธลูกค้า ดังนั้นผมเลยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองควรจะทำอะไรในตอนนี้ถึงจะเข้าท่าและไม่ทำให้เกิดเรื่อง

“ทำไมกันนะ?” เขาทอดเสียงเบา ปลายนิ้วขยับเคาะบาร์ ขณะทำท่าครุ่นคิด

และผมน่าจะรู้ ว่าคนเรากระหายที่จะหาเรื่องใส่ตัวเองกันทั้งนั้น ผู้ชายคนเดิมดีดนิ้ว เขายิ้มกว้างพร้อมกับใบหน้าที่โน้มเข้ามาใกล้จนได้กลิ่นแอลกอฮอล์

“ฉันรู้แล้ว…” เขาวางแก้วเหล้าลงบนบาร์ ดวงตาจ้องลึกเข้ามาในตาผมนิ่ง “ถ้าฉันไปขออนุญาตคนแปลกหน้าของนายได้ จะยอมไปด้วยกันไหมล่ะ”

ผู้ชายคนนี้จะต้องเป็นบ้าแน่ๆ …

แต่อาจจะเป็นผมที่บ้ามากกว่า เพราะท้องไส้ที่บิดเป็นเกลียวและความอยากรู้ในคำตอบนั่น

ผู้ชายคนนั้นส่งเสียงหัวเราะออกมา ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นจากบาร์แล้วเดินตรงดิ่งไปทางลาน

เขาดูมั่นใจ..

แต่ความมั่นใจที่อีกฝ่ายแสดงออกมา เทียบไม่ได้กับสิ่งที่ผมรู้สึกอยู่ข้างในเลยสักนิด

ความมั่นใจ ความหวัง ที่ว่าเดฟจะไม่มีทางยอมให้ผมไป

เขาเดินไปพูดอะไรสักอย่างกับคนคุมประตู ก่อนที่ตัวเขาจะเดินเข้าไปข้างใน สวนทางกับผู้ชายคนเดิมที่โดนหิ้วปีกออกมาโดยการ์ดร่างใหญ่สองคน

ริมฝีปากเหยียดยิ้ม และเริ่มขยับพูดอะไรบางอย่างตรงหน้าเดฟ

ในตอนนั้น ผมไม่รู้ว่าผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นพูดอะไรออกไป ระยะห่างที่มีมากเกินไป รวมทั้งเสียงโห่ร้องของผู้คนรอบกายปิดทุกการรับรู้ และสิ่งเดียวที่ผมทำได้คือจ้องมองไปยังด้านบน

ดวงตาทั้งสองคู่เหลือบมองกลับมาทางผมที่นั่งอยู่แทบจะพร้อมๆ กัน

เดฟเบิกตากว้าง สันกรามบดเข้าหากัน

เขาดูไม่เป็นมิตรมากขึ้นไปกว่าเดิมอีกในตอนนี้ และก่อนที่ผมจะได้จับจ้องอะไรมากไปกว่านั้น ทั้งสองคนก็เริ่มขยับตัว

เสียงหมัดกระทบผิวเนื้อดังลั่น พร้อมกับความรุนแรงที่ฉายภาพต่อเนื่องยาวนาน

กลิ่นคาวเลือดและเหงื่อ ความดิบเถื่อนน่ากลัวชวนให้เบือนหน้าหนี เดฟกระแทกผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นจนร่างเบียดแนบกับกรงเหล็ก ก่อนที่ฝ่ามือข้างหนึ่งจะบีบเน้นเข้าที่ลำคอเพื่อไม่ให้หันหนี แล้วเริ่มออกแรงต่อยแรงๆ ด้วยมืออีกข้าง

ผมไม่ใช่คนที่ชื่นชอบอะไรพวกนี้มากนัก

ในความเป็นจริง ผมควรจะเบือนหน้าหนีไป หยุดมองความก้าวร้าวที่ถูกแสดงออกมา จากผู้ชายที่มักจะแสดงด้านดีกว่านี้ให้ผมเห็น

 

ที่น่าแปลกก็คือ.. ในตอนนี้ ผมกลับละสายตาออกจากเดฟไม่ได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว

พรัอมกับหัวใจที่เต้นแรงและเริ่มกู่ร้องอย่างบ้าคลั่งภายใต้ท่าทางสงบนิ่งที่ผมสร้างขึ้นกลบเกลื่อน

 

 

 

 

พอจบการต่อสู้ครั้งนั้น ดูเหมือนความมั่นใจของผู้ชายคนนั้นจะถูกฝังลงดิน กลบให้หายไปพร้อมกับสติสุดท้ายที่ถูกกระชากเมื่อเดฟปล่อยให้อีกฝ่ายร่วงลงบนพื้นแล้วใช้เท้าเตะอัดเข้าไปที่ช่องท้อง เลือดสีเข้มถูกถ่มออกจากปากลงบนพื้นพร้อมกับน้ำลาย ก่อนที่เดฟจะก้าวยาวๆ ออกจากบนเวทีด้วยหน้าตาถมึงทึง ฝ่ามือฉวยหยิบเสื้อที่เคยใส่ขึ้นมาสวมทับอีกครั้งอย่างลวกๆ

เดินกลับมาหาผมที่เคาน์เตอร์ พร้อมกับน้ำดื่มของผมที่ถูกแย่งไปจากมือ เขายกน้ำเปล่าขึ้นกระดกจนหมด ก่อนจะกระแทกแก้วลงบนเคาน์เตอร์บาร์จนเกิดเสียงดัง

ผมที่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไป แน่นอนว่าก็ทำได้เพียงแค่เงียบเท่านั้น เงียบและมองท่าทางขุ่นขวางและสายตาไม่พอใจของเดฟที่ตวัดมองมา เขาเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะคว้าจับเข้าที่ข้อมือผมแล้วออกแรงดึงให้เดินตาม

ผมเม้มปาก ขึ้นซ้อนฮาร์เลย์ด้วยความรู้สึกสับสน เดินตามกลับเข้าไปในบ้าน และทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา ปราศจากคำพูดระหว่างเราจนกระทั่งถึงตอนนี้

“เจ็บหรือเปล่า” ผมถามออกไปในที่สุด จ้องมองเดฟที่ถอดเสื้อที่เคยสวมใส่แล้วเขวี้ยงมันมั่วๆ ลงไปบนโซฟา

เขาเดินหายเข้าไปในโซนครัว และกลับมาอีกครั้งพร้อมกับกล่องปฐมพยาบาลและขวดแอลกอฮอล์

เราสบตากัน ตอนที่เขาหยุดยืนอยู่ตรงนั้น ผมไล่สำรวจบาดแผล รอยฟกช้ำและคราบเลือดบนใบหน้าถมึงทึง ส่วนเดฟดุนลิ้นเข้าที่กระพุ้งแก้มช้าๆ เนิ่นนาน เสียงลมหายใจผ่อนออกแรงๆ ก่อนที่ร่างสูงจะขยับเข้ามาใกล้

กล่องปฐมพยาบาลถูกโยนลงบนโต๊ะตรงหน้า

“ทำแผล” เดฟออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง พลางทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ผม

แน่นอนว่าไม่มีทางเลือกให้ผมในประโยคนั้นอยู่แล้ว ผมพยักหน้า และเริ่มจัดการทุกอย่างตรงหน้าไปเรื่อยๆ ให้เบามือที่สุด

แต่เดฟก็ไม่ได้ส่งเสียงแสดงความเจ็บปวดหรือทำท่าโอดโอยอะไรออกมา แม้กระทั่งในตอนที่ผมเผลอพลั้งมือลงแรงไปมากกว่าปกติ เขาแค่นิ่วหน้า และเบนสายตามาสบอย่างตำหนิในที

“ทำไมนายถึงเป็นแบบนี้” เขาถามขึ้นห้วนๆ “ฉันแค่ปล่อยให้นายนั่งอยู่กับที่แค่แป๊บเดียวเท่านั้น”

นั่นฟังดูไม่ดีเท่าไหร่เลยในความคิดของผม

ผมหลุบตาลงมองแผลที่เป็นรอยเล็บแดงยาวตรงต้นแขนแข็งแรง และปลายนิ้วของตัวเองที่จับอยู่กับสำลีนุ่ม “แล้วทำไมคุณถึงต้องโมโหใส่ผมด้วยล่ะ”

แล้วข้อมือของผมก็ถูกจับแล้วบีบแน่นแทบจะในทันทีที่จบประโยค ดวงตาสีเข้มของเดฟเป็นประกายวาวในความมืด

“ทำไมฉันถึงโมโหเหรอ.. มันขึ้นมา แล้วก็พูดว่าอยากเอานายใจจะขาด จะให้ฉันต้องรู้สึกยังไง ยกนายให้มันไปเลยไหมล่ะ”

ผมเม้มปาก ทิ้งอุปกรณ์ทำแผลและเริ่มจ้องมองคนตรงหน้าตรงๆ

“คุณจะไม่ยกผมให้ใครทั้งนั้น เพราะผมไม่ใช่สมบัติของคุณ ผมเป็นของของตัวผมเอง”

เดฟกะพริบตา และกะพริบตาอีกครั้งหลังจากปล่อยให้เวลาผ่านไป พร้อมกับความเงียบที่โรยตัวช้าๆ เขาเป็นฝ่ายหลุบตาลงต่ำในรอบนี้ ก่อนที่จะช้อนขึ้นมองผมอีกครั้ง

แรงบีบตรงข้อมือเริ่มอ่อนแรงลง จนกลายเป็นแค่การกำไว้หลวมๆ ในที่สุด

“ใช่..” เขาพึมพำ “ใช่ นายไม่ใช่ของฉัน และนั่นไงคือเหตุผล”

ปลายนิ้วโป้งอุ่นไล้เบาๆ เหนือผิวเนื้อของผม ก่อนจะหยุดชะงักและนิ่งไปในที่สุด

“นายทำอะไรกับฉันกันแน่” เขาส่ายหน้าเบาๆ นั่นฟังดูไมใช่คำถามที่แท้จริง ผมไม่ได้ตอบอะไรออกไป เพราะคิดว่าเขาไม่ได้ต้องการคำตอบ

ผมทำอะไรกับเขางั้นเหรอ

ผมสิต้องถาม ว่าเขาทำอะไรกับตัวผมกันแน่

ทั้งความรู้สึกแปลกๆ ยามจ้องมอง เดฟที่โกรธจัดเมื่อครู่ดึงดูดให้ผมมองและรู้สึกดี ผมรู้สึกดีที่เขาทำให้ผู้ชายคนนั้นเลือดออก ผมรู้สึกดีที่เขากระแทกหมัดเข้าไปที่ปากของผู้ชายคนนั้น ปากที่เชิญชวนผมให้ออกไปด้วย

“แม้แต่ฉันคนนี้ยังไม่เคยได้สัมผัสนายเลย” เขาขมวดคิ้ว “แล้วไอ้นั่นมันเป็นใคร ถึงเดินเข้ามาแล้วพูดเหี้ยๆ แบบนั้นออกมา ดังนั้นช่วยทำให้ฉันพอใจเพิ่มอีกสักอย่างสองอย่างเป็นการตอบแทนแล้วกันนะ.. อย่าได้มีความคิดจะปล่อยให้ใครเข้ามาพูดห่วยๆ ใส่นาย อย่าหวังด้วยว่าฉันจะยอมถ้าได้ยิน แล้วก็ขออีกอย่างหนึ่ง..”

ช่องว่างตรงกลางที่น้อยนิด ผมไม่เคยแพ้การเข้าใกล้ของใครมาก่อนตลอดชีวิตนี้ ไม่เคยสัมผัสความรู้สึกทำอะไรไม่ถูก จนเดฟเป็นฝ่ายทำ และดูเหมือนเขาจะรู้ดีว่าการขยับเข้ามาใกล้ดีแต่จะทำให้ผมยอมอ่อนข้อและเชื่อฟังมากขึ้น

เขาโน้มตัวมาข้างหน้า

“อย่ายกอะไรก็ตามของนายให้ใครคนอื่น.. ไม่ว่ามันจะเป็นใครก็ตาม อย่า” น้ำเสียงข่มขู่ดังลอดออกจากคอ

ผมเหมือนถูกตรึงไว้ด้วยดวงตาที่อยู่ใกล้จนน่ากลัว ปลายจมูกโด่งเฉียดเบาๆ ผ่านผิวเนื้อ ลากให้ความรู้สึกวูบไหวเริ่มทำงาน

เดฟปล่อยลมหายใจอุ่นรินรดอยู่เหนือแก้ม ก่อนที่เขาจะออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงที่เบาจนแทบเป็นเสียงกระซิบ

“เพราะฉันเคยบอกไปแล้ว และฉันจะบอกซ้ำอีกแค่ครั้งสุดท้าย..” ผมมองเห็นความจริงจังที่แฝงตัวมาในแววตาและน้ำเสียง เป็นความจริงจังที่ผมจะตอกมันลงไปในความทรงจำลึกๆ และทำตามอย่างไม่มีเงื่อนไข

“ทุกๆ อย่างของนาย จะเป็นแค่ของฉันคนเดียวเท่านั้น” เขาหยุดปลายจมูกลงที่สันกรามของผม “ถึงจะยังไม่ใช่ตอนนี้ก็ตาม”

แล้วร่างสูงก็ขยับผละออกไป เขานั่งยืดหลังตรงอย่างวางท่า การคุกคามเล็กๆ ถูกส่งตรงมา และเดฟก็ส่งสายตาแทนคำสั่ง ให้ผมเริ่มทำแผลที่ติดค้างอยู่เมื่อกี้ต่อ

รอยยิ้มหยันถูกวาดขึ้น ก่อนจะเลือนหายไป เหลือไว้เพียงดวงตาที่มองมาอย่างสงบนิ่ง ผิดกับผมที่ขมวดคิ้วและเริ่มอยากหลุดสบถออกมาแรงๆ

เพราะทุกอย่างอยู่ภายใต้การมองเห็นของเขา

ทุกๆ อย่าง ทั้งความร้อนที่ลามทั่วใบหน้า และฝ่ามือที่สั่นเบาๆ ตอนขยับเข้าใกล้ร่างกายตรงหน้า

เพราะเขาชัดเจน..

ชัดเจนจนกลายเป็นผมเองที่เป็นฝ่ายโดนผลักให้ขยับไปตามที่เขาต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ

มากขึ้นเรื่อยๆ ทุกที



____

1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.11 Something In You (24/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 24-01-2017 18:29:48
นายเอกดูจะพยายามปกป้องตัวเอง แต่บางทีก็ตรงกันข้าม
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.12 Buried Alive In The Blues (24/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mecinzano505 ที่ 24-01-2017 19:31:51

12_
Buried Alive In The Blues




“วันนี้ไปด้วยกันสิ” เดฟชะโงกหน้าเข้ามาในห้องนอน ร่างสูงอยู่ในชุดสีดำ เสื้อแจ็คเก็ตหนังพาดลวกๆ อยู่บนบ่ากว้าง กับผมที่นั่งกอดเข่าอยู่บนเตียง

“ไปไหน” ผมถามออกไป และนึกแปลกใจกับคำตอบที่ได้รับ

“ที่คลับ”

เดฟมักจะพาผมไปที่นั่นที่นี่เสมอถ้าผมไม่ต้องไปทำงาน พาไปร้านอาหาร พาไปที่ร้านขายแผ่นเพลง ยืนดูเขาเลือกซื้อเพลงที่ผมไม่เคยฟัง พาไปแม้กระทั่งที่เดอะรูท

แต่เขาไม่เคยพาผมไปที่คลับมาก่อน

ผมพอจะรู้แล้วว่าเดฟทำงานเกี่ยวกับอะไร พอจะรู้ว่าคลับในที่นี้ หมายถึงสถานที่ที่พวกเขาไปรวมตัวกัน มันคือสังคมของเดฟอย่างแท้จริง สังคมเพื่อนฝูง พี่น้อง ครอบครัวและการทำงาน

และแน่นอนว่าผมก็ไม่รู้อีกเหมือนเคย ว่าผมจะไปทำอะไรที่นั่น แต่หลังจากหลายๆ ครั้งที่ผมถามคำถามเชิงนั้นออกไป และไม่เคยได้รับคำตอบตรงๆ กลับมา

ผมก็ล้มเลิกการตั้งคำถามนั่นไปเองโดยไม่รู้ตัว

ประโยคที่เดฟพูดนั่น ก็ไม่ใช่แค่คำเชิญชวน มันเป็นเหมือนคำสั่งที่ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องทำตามเพื่อความพึงพอใจของเขาอยู่ดี

“ไปสิ” ผมพูด ขยับตัวลุกขึ้นจากเตียง ผมตื่นมาอาบน้ำไปรอบหนึ่งแล้ว แต่เพราะไม่มีอะไรให้ทำต่อ ไม่มีข้างนอกให้ไป และห้องรับแขกเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยกองหนังสือพิมพ์นั่นก็ฟุ้งไปด้วยกลิ่นบุหรี่ที่ผมเอียน ผมถึงได้ซมซานกลับมานั่งนิ่งๆ อยู่บนเตียง และไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษโดยสมบูรณ์แบบ

เดฟยิ้มกว้างให้ผมหนึ่งครั้ง ก่อนที่เขาจะหายไปหลังบานประตูที่เปิดกว้าง ผมลุกขึ้น พาร่างของตัวเองในชุดเสื้อยืดคอกลมสีขาวกับกางเกงยีนส์สีดำสนิทออกจากห้อง

เดฟยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตูบ้าน พร้อมกับของในมือที่ทำให้ผมชะงักฝ่าเท้าลงทันที

มันคือเสื้อแจ็คเก็ตหนัง สีดำสนิท คล้ายๆ กับของเดฟ เพียงแค่ตัวเล็กกว่าอย่างเห็นได้ชัด

ไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่ามันคือของใคร

ผมไม่ได้ถามหรือพูดอะไรออกไปหลังจากที่เห็น เดฟก็ดูเหมือนจะไม่ได้ต้องการอธิบายอะไรออกมาด้วย เขาแค่ยื่นเสื้อตัวนั้นให้ผม และพยักหน้าเป็นเชิงให้สวมใส่มัน

ผมทำตามอย่างง่ายๆ ไร้ข้อโต้แย้ง.. และหันไปมองเงาสะท้อนตัวเองในกระจกบานยาวที่ตั้งอยู่ตรงหน้าประตู

แค่เสื้อตัวเดียว ทำให้ผมดูแตกต่างจากเดิมได้ในพริบตาเดียวที่สวมใส่

“ชอบหรือเปล่า” เขาถาม พิงต้นแขนเข้ากับผนังพร้อมกับยกแขนขึ้นกอดอก ดวงตาสีเข้มไล่มองผมอย่างพิจารณา “มันเหมาะกับนาย”

“มันราคาเท่าไหร่” นั่นเป็นสิ่งแรกที่ผมคิดได้ ก่อนจะเป็นเรื่องของความชอบ

ชอบหรือไม่ชอบ มันจะไม่มีความหมายอะไรเลย ถ้าผมไม่มีปัญญาจ่ายเงินเพื่อซื้อมันมาครอบครอง

เดฟฉีกยิ้มกว้างมากกว่าเดิม ราวกับเขารู้อยู่แล้วว่าผมจะถามแบบนั้นออกไป

“คิดซะว่าฉันให้ แทนคำขอโทษเมื่อวันก่อน ที่ลากให้นายต้องไปเจอเรื่องพวกนั้น”

ผมส่ายหน้า ถอดมันออก และรู้คำตอบของคำถามที่ถามไปได้โดยไม่ต้องไล่ซักเดฟอีก  “คำขอโทษราคาแพงเกินไป ผมคงรับไว้ไม่ได้”

ตัวเลข 331.00 ที่ติดอยู่บนแท็กราคาตรงคอเสื้อ ผมส่ายหน้าอีกครั้งและปล่อยเสื้อออกจากมือ จนเดฟต้องรีบคว้าเอาไว้ก่อนที่มันจะร่วงลงไปอยู่ที่พื้น

“แต่ฉันซื้อมาแล้ว.. ถ้านายไม่ยอมใช้ ไม่คิดว่ามันจะเป็นการสิ้นเปลืองไปเปล่าๆ มากกว่าเหรอ” เดฟก้มหน้าและช้อนตามองผม เขากำลังกดดัน ผมรู้ข้อนั้นดี และเขาจะกดดันทุกวิถีทางให้ผมยอมรับเสื้อตัวนั้นแน่ๆ

“ถ้าอย่างนั้นคราวหน้าคุณก็ควรจะคิดให้ดีๆ ก่อนที่จะซื้ออะไรมา” ผมหลบตา “เพราะคุณก็น่าจะรู้ว่าผมไม่ยอมรับอะไรฟรีๆ”

แล้วเราก็ตกอยู่ในวังวนความเงียบอีกครั้ง เดฟยังคงมองมา ส่วนผมก็เอาแต่หลบเลี่ยงและทิ้งสายตาลงบนพื้น

ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ จนเดฟเป็นฝ่ายถอนหายใจออกมาหนักๆ

“โอเค ถ้างั้นฉันขายต่อให้นาย สัก 10 เหรียญพอไหม ยังไงมันก็กลายเป็นขยะอยู่แล้วถ้านายไม่เอา” เขาขยับเข้ามาใกล้ เสื้อแจ็คเก็ตหนังที่ผมจำกัดคำนิยามไว้ว่าสวยถูกจับอ้อมไปด้านหลัง ก่อนที่เขาจะสวมมันคลุมทับไหล่ของผมและถอยออกไป

ดวงตาสีเข้มนิ่งเรียบ ขัดกับรอยยิ้มเย็นที่ถูกวาดขึ้นบนปาก

“10 เหรียญคงไม่ถือว่าฉันหน้าเลือดเกินไปนะ สำหรับขยะที่ไม่มีใครอยากได้”

ผมเงยหน้าขึ้นจ้องเดฟทันที และเขาจ้องกลับมาอย่างไม่ยอมแพ้

บางครั้งผมก็นึกสงสัย ว่ามีอะไรในโลกนี้บ้างไหม ที่ผู้ชายคนนี้ไม่เก่ง.. แม้แต่การประชดประชัน ผมยังไม่คิดว่าสามารถสู้เขาได้ด้วยซ้ำ

“คุณกำลังทำให้ผมเคยตัว แล้วก็ทำให้ผมมีนิสัยเห็นแก่ตัว รู้หรือเปล่า” ผมยอมแพ้ ขยับฝ่ามือสอดเข้าไปในช่องวงแขนเสื้อ ความรู้สึกพ่ายแพ้มาเยือนอีกครั้งเมื่อเดฟโคลงหัวรับคำแล้วก็แสดงสีหน้าพออกพอใจออกมา

“ฉันไม่เห็นว่าการเห็นแก่ตัวจะเป็นอะไรที่ไม่ดีตรงไหน”

ผมขัดผู้ชายคนนี้ไม่เคยได้เลยจริงๆ ให้ตาย





 

“พวกเราทำอะไรไม่ได้.. พวกตำรวจที่มีอยู่ก็อ่อนแอเหมือนกับเด็กผู้หญิงที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย พวกมันแกล้งทำเป็นปิดหูปิดตาเพื่อที่จะได้ไม่ต้องยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้.. สาบานได้ว่าถ้า FBI รู้เรื่องแล้วกระโดดเข้ามาแจมด้วย เราจบเห่กันมากกว่านี้แน่”

“พวกโคลเตนเริ่มไม่เชื่อใจการจัดการของเราแล้วด้วย... เรารอคำสั่งของนายอยู่”

“ไบรสันเพื่อนนายจะมาที่นี่วันนี้ด้วยใช่ไหม มันจะโผล่หัวมากี่โมง”

เสียงถกเถียงกันที่ดังมาจากด้านใน ดึงสายตาผมให้สบกับเดฟที่มองมา เขาก้มหน้า ถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมรอยยิ้มที่ผมตีความหมายไม่ได้บนริมฝีปาก ฝ่ามือจับค้างอยู่ที่ประตูไม้บานใหญ่

“ทำตัวสบายๆ” เขาพูดแค่นั้น ก่อนที่จะออกแรงผลักประตูให้เปิดออก และทันทีที่เดฟปรากฎตัว ทุกเสียงที่ตีปนกันอยู่ก็เงียบทันที สายตานับสิบคู่จ้องมองมาทางเรา แต่เดฟดูเหมือนจะไม่รู้สึกอะไร เขาเดินเอื่อยเฉื่อยไปหยุดยืนตรงบาร์ใหญ่ ปล่อยให้พวกที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะมุมในสุดมองมาไม่หยุด

“ขวดนึง กันเตอร์.. ขอบใจ” เขาผงกหัวเล็กๆ คว้าขวดเบียร์ที่ผู้ชายตัวใหญ่หลังเคาน์เตอร์สไลด์ให้มาถือ และพยักเพยิดมาทางผมที่ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ “นี่ฟลอยด์”

สายตาที่จ้องมองมาเต็มไปด้วยความแปลกใจ คนตรงหน้าเป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่ และมีหนวดขึ้นเต็มกรอบหน้า สวมใส่เสื้อกั๊กหนังไม่มีแขน กับเสื้อยืดสีขาวคอกลม “ฟลอยด์..” เขาพึมพำ เบียร์ขวดหนึ่งถูกหยิบขึ้นมาวางนิ่งๆ ตรงหน้าผม “คิดซะว่าเป็นของขวัญที่ได้รู้จักกัน”

“ขอบคุณครับ” ผมรับมาถือ ความเย็นเยียบจากขวดให้ความรู้สึกเหมือนกับถือของแปลกปลอม ผมไม่ได้ดื่มมันมานานมากแล้ว นานตั้งแต่หนีออกจากเนวาด้า

แต่รสหวานปนขมปร่าตรงต้นคอก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ผมเกลียด ผมยกขวดขึ้นจรดริมฝีปาก รับมิตรภาพที่กันเตอร์ยื่นให้

“ไปทางนั้นเถอะ พวกสอดรู้สอดเห็นรอกันอยู่เต็มไปหมด” กันเตอร์พยักหน้าไปทางโต๊ะใหญ่ แน่นอนว่าจนถึงตอนนี้ พวกเขาทุกคนก็ยังคงมองมาไม่ละสายตา

เดฟส่งเสียงหัวเราะในลำคอตอนได้ยินประโยคนั้น เขาเลิกคิ้ว “มานี่”

และผมเดินตาม

เข้าใกล้โต๊ะมากขึ้นเรื่อยๆ ผมเริ่มมองเห็นผู้คนที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตา ผมเคยเจอพวกเขาจากที่บาร์เก่านั่น ถึงวันนั้นเราจะไม่ได้คุยอะไรกันเลยก็ตาม แต่ผมก็มั่นใจว่าพวกเขาก็จำผมได้เช่นกัน

“ไอ้หนุ่มคนนั้นนี่..?” ผู้ชายคนหนึ่งถามขึ้นมาเสียงสูง มองผมอย่างสนอกสนใจ “นายพาเขามาที่นี่ทำไม”

แล้วเขาก็หันหน้ามาทางผม “นายอยู่กับเขาเหรอ”

“เปิดหูเปิดตา อยู่แต่บ้านก็กลัวจะเบื่อตาย” เดฟพูดเสียงเฉื่อย พลางทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ว่าง คำตอบนั้นตอบคำถามที่ผมเพิ่งได้รับไปพร้อมๆ กัน

เสียงฮือฮาและผิวปากดังขึ้นในหมู่พวกเขา

ผมกัดปากล่าง ความรู้สึกเหมือนทำตัวไม่ถูกจู่โจมเข้ามา

“นายแม่งโชคดีเป็นบ้า รู้ไว้ว่าเขาไม่ยอมอยู่กับใครง่ายๆ.. พวกโลกส่วนตัวสูงในที่สุดก็ยอมลดผนังลงจนได้” ผู้ชายอีกคนในชุดเสื้อหนังสีดำจากด้านซ้ายพูดขึ้น เขามีแบนดาน่าสีแดงตัดขาวคาดอยู่บนหัว เส้นผมสีบลอนด์อ่อน กับดวงตาสีน้ำตาลหยีมองผม

เสียงไฟแช็กทำงาน เดฟเอนหลังพิงเก้าอี้ เขาสูบบุหรี่อย่างไม่ทุกข์ร้อนต่อคำกล่าวนั้น ดวงตาสีเข้มเหลือบมองผมที่ยืนอยู่

ทั้งๆ ที่เขาเป็นฝ่ายที่ถูกล้อ แต่สายตาที่มองมาจากเจ้าตัว พลิกให้กลายเป็นผมที่รู้สึกกระดากอายแทนขึ้นมาได้ในทันที

“ก็ถึงว่า ทำงานทำการก็ลากเขาไปด้วย เห็นเขาเป็นดาเบรียหรือยังไง ถึงได้ติดกันขนาดนั้น” ผู้ชายตัวใหญ่อีกคนพูดแซวขึ้นมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

เดฟพาดแขนเข้ากับพนักเก้าอี้ เขายกบุหรี่ขึ้นจรดริมฝีปาก ก่อนจะขยับยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ ท่าทางชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่าเขาไม่คิดจะทำอะไรสักอย่างเลยกับการแซวหมู่ที่เกิดขึ้นอยู่ตอนนี้

“ฉันสงสัยอะไรอย่าง” ผู้ชายที่ดูเด็กที่สุดในกลุ่มร้องขึ้นมาเสียงดัง เขาปัดป่ายปลายนิ้วที่คีบบุหรี่อยู่ไปทางเดฟ “เขาเก่งเรื่องอย่างว่า อย่างที่ฉันเคยได้ยินข่าวลือมาจริงหรือเปล่าวะ”

คำถามโผ่งผ่างนั้นเรียกให้ทุกความร้อนในร่างกายไหลมาสุมอยู่ตรงหูและหลังคอ เสียงหัวเราะดังลั่นออกจากทุกคน แม้แต่แอชที่นั่งกอดอกอยู่นิ่งๆ มาตั้งแต่แรกยังหลุดรอยยิ้มออกมา

เดฟขมวดคิ้ว “แน่ใจว่านายควรหุบปาก ริค.. ก่อนที่นายจะเจอดี”

“พักก่อนแล้วกัน รอจนกว่าไบรสันเพื่อนของนายจะมาที่นี่ แล้วเราค่อยคุยกันต่อ” แอชเปลี่ยนเรื่อง เขาจ้องตาผู้ชายอีกคนหนึ่งที่นั่งอยู่ใกล้กับผมที่สุด อีกฝ่ายแค่พยักหน้ารับคำเบาๆ ก่อนที่จะเบนสายตาออกจากแอช มายังผมที่ยืนอยู่

ดวงตาสีเขียวจ้องผมไม่กะพริบ

“นาย ขึ้นไปนั่งเล่นข้างบนหรือตรงบาร์ก่อนก็ได้ ไป” เดฟหันมาพูดกับผม ใบหน้าติดยิ้มมีร่องรอยความตึงเครียดแฝงอยู่ ขณะที่ทุกคนพากันลุกออกจากโต๊ะแล้วเคลื่อนที่ไปยังโต๊ะพูล แอชเป็นคนเดียวที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม

เดาว่าเขาคงอยากคุยอะไรกัน ที่ผมไม่มีส่วนรู้เห็น และแน่นอนว่าจะดีกว่าถ้าไม่มีส่วนรู้เห็น

ผมพยักหน้า ผละตัวออกจากโต๊ะ แล้วเดินไปยังบันไดริมผนังอีกฝั่งที่เดฟชี้ให้ดู บันไดเล็กๆ แคบๆ ดังเอี๊ยดอ๊าดตอนที่ผมก้าวเท้าขึ้นไปเหยียบ ข้างบนก็มืดสลัว แต่ผมไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการที่ต้องนั่งอยู่ในที่มืดนัก

“ตกใจเป็นบ้า” เสียงทักดังขึ้นแผ่วเบาด้านหลัง ผมชะงักปลายนิ้วที่ลูบผ่านเนื้อโต๊ะไม้ ทั้งร่างแข็งชากับประโยคทักถัดมา และผมไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับไปมองคนพูดด้วยซ้ำ



“ทำไม เจนินที่โด่งดังคนนั้น ถึงได้มายืนอยู่ที่นี่.. ตอนนี้กันนะ”



ผมจ้องเขม็งไปที่โต๊ะไม้ที่จับอยู่  เข็มเวลาเคลื่อนผ่านไปข้างหน้าช้าๆ ให้ความรู้สึกยาวนานกว่าทุกวินาทีที่ผมเคยพบเจอ

ด้านหลัง มีอะไรบางอย่างที่ผมไม่อยากหันกลับไปมอง

ภาพอดีตของตัวผมเอง…

“หรือว่าฉันเข้าใจผิดไปเองกันนะ นายดูเหมือนเขามาก” เสียงนั้นยังคงพูดไปเรื่อยๆ ด้วยความดังที่มากขึ้น เสียงฝีเท้ากดดันผมอยู่จากด้านหลัง ก่อนที่ผู้ชายร่างสูงคนหนึ่งจะปรากฎตัวขึ้นในสายตา

เขาคือผู้ชาย ที่นั่งร่วมโต๊ะกับเดฟเมื่อครู่ ดวงตาสีเขียวหยียิ้ม มองผมอย่างพินิจวิเคราะห์ “เหมือนแม้กระทั่ง..”

!

ผมสะดุ้ง เท้าเผลอก้าวถอยหลังเพื่อรักษาระยะห่างเมื่อฝ่ามือแข็งแรงกระชากเข้าที่คอเสื้อผมแล้วออกแรงดึง

อีกฝ่ายจ้องผมนิ่ง “เหมือนแม้กระทั่งขี้แมลงวันตรงไหปลาร้า”

“คุณเป็นใคร” ผมถาม ถึงแม้เกินครึ่งในใจจะรู้คำตอบนั้นดีอยู่แล้ว

ร่างสูงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขาเหยียดยิ้มเย็นออกมา “เสียใจนะเนี่ยที่จำกันไม่ได้ นายขี้ลืมขนาดนั้นเชียวเหรอ”

ผมหรี่ตา ความระแวดระวังถูกสร้างขึ้นเป็นเกราะป้องกันทันที ผมถอยหลังอีกหนึ่งก้าว “ผมจำไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นชื่อหรือหน้าของคุณก็ตาม.. ดังนั้น คุณก็เป็นแค่คนแปลกหน้า”

เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังขึ้นทันที

เขาขยับเข้าใกล้ผมอีกหนึ่งก้าว

“คนแปลกหน้า.. ที่เคยนอนกับนายเลยนะ” เสียงกระซิบแผ่วเบา เรียกให้ปลายเล็บผมจิกเข้าฝ่ามือจนเจ็บ

ควรจะเจ็บ.. แต่ความกดดันที่เกิดขึ้นและความชาทั่วทั้งร่างกาย ผมทำทุกอย่างไปโดยไม่รู้สึกอะไรด้วยซ้ำ

ผมเบือนหน้าหนี ก่อนที่ผิวแก้มจะสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นที่เป่ารด “คนแปลกหน้าคนไหนก็มีอะไรกับผมได้ทั้งนั้น มันไม่ได้ทำให้คุณพิเศษกว่าคนอื่นขึ้นมาเลย”

“นายยอมรับแล้ว” เขายิ้มกว้าง “ว่านายคือเจนินคนนั้นน่ะ”

“ต้องการอะไร” ผมตรงเข้าประเด็น จะไม่มีการอ้อมค้อมป่วนประสาทเกิดขึ้นอีกต่อไป ผมพอแล้วกับชีวิตพวกนั้น ผมพอแล้วกับตัวตนห่วยๆ นั่นและความทรงจำที่เกิดขึ้นในอดีต

จะไม่มีมันอีกต่อไป

“ฉันน่ะ.. โคตร.. โคตรเสียใจเลยรู้ไหม ตอนที่กลับไปที่นั่นอีกครั้งเพื่อพบนาย แต่ต้องพบกับสีหน้าโกรธเกรี้ยวที่พร้อมจะวีนทุกคนของยัยบ้านั่น กับคำพูดว่านายหนีออกไปแล้ว.. ทำไมล่ะ เป็นที่รักที่ต้องการของผู้ชายเกือบทั้งเมือง ไม่ดีหรือไง ถึงได้หนีมันมาอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีอะไรเลยแบบนี้” เขาพึมพำ ก่อนจะหลุดรอยยิ้มขันออกมา “แม้แต่ผู้ชายที่ไม่ได้เป็นเกย์ยังต้องการจะนอนกับนายสักครั้งนึงเลย ไม่รู้สึกว่าตัวเองครอบครองสถานที่นั้นไว้ในมือบ้างเหรอ”

“ผมถามว่าต้องการบ้าอะไรกันแน่!” ผมตะคอก เหมือนเส้นความอดทนในหัวถูกปั่นขยี้จากคำพูดพวกนั้น ผมกัดฟัน

มากกว่าความรู้สึกเจ็บใจที่ผู้ชายแปลกหน้าคนนี้พูดใส่ คือผมนึกเจ็บใจการตัดสินใจของตัวเองขึ้นมาซะเฉยๆ

ปลายนิ้วอุ่นสัมผัสกับแก้มผมเบาๆ เขาเกลี่ยไล้มันช้าๆ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ผิดกับผมที่ยืนนิ่งและรู้สึกเหมือนโลกใบนี้มันขวางหูขวางตาและทำให้ผมสะอิดสะเอียน

ทั้งๆ ที่ออกจากที่นั่นมาแล้วแท้ๆ ..

“อย่ามองฉันแบบนั้นสิที่รัก ฉันก็แค่คิดถึงนายมากๆ เท่านั้นเอง” อีกฝ่ายสอดมือเข้าไปในเส้นผมของผมช้าๆ “ทำให้หายคิดถึงสิ.. มองฉันเหมือนตอนที่นายเคยใช้ปากให้ฉันไม่ได้เหรอ”

“นี่แม่งบ้าอะไรกันเนี่ย” ผมกัดฟันแน่น เปลือกตาปิดแน่นเมื่อได้ยินเสียงที่ดังแทรกขึ้นมา เดฟอยู่ที่นี่ ผู้ชายคนนั้น.. อยู่ที่นี่

สัมผัสที่จับต้องใบหน้าผมอยู่ค่อยๆ ผละออกไปช้าๆ ก่อนที่อีกฝ่ายจะขยับถอยหลังไปเล็กน้อย “ไง ไม่ได้คุยส่วนตัวกันนาน เดฟ”

“นายทำอะไร” เดฟถามขึ้น ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงฝีเท้าขยับเข้ามา

มือไม้เย็นเฉียบไปหมด.. ผมกลายเป็นคนโง่ที่ทำได้แค่ยืนหลับตาเพื่อหลบหนีทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้

ทั้งๆ ที่ผมไม่ควรจะรู้สึกอะไร แต่การที่เดฟเดินเข้ามาในเวลานี้ เหมือนยิ่งทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลง เขาเป็นหนึ่งคน ที่ผมไม่อยากให้ได้ยินเรื่องเส็งเคร็งทั้งหมดนั่น

เขาเป็นหนึ่งคน.. ที่ผมจงใจซ่อนอดีตพวกนั้นของตัวเอง

“ได้ยินว่านายสองคนอยู่ด้วยกันนี่ .. ทำไมนายถึงมาเอาผู้ชายคนนี้ล่ะ ตกต่ำลงเยอะเหรอ”

“ระวังปาก เทรซ” ข้อมือของผมถูกคว้า ก่อนที่ร่างของผมจะขยับตามแรงดึงเบาๆ “บอกสิว่านายขึ้นมาทำเหี้ยอะไรบนนี้กับคนของฉัน”

ประโยคนั้นควรจะสร้างความรู้สึกไว้วางใจ

ตรงกันข้าม.. เพราะคำถามนั้น คำถามนั้นเรียกสายตาผมให้เปิดลืมขึ้นทันที ผมสบตาผู้ชายที่ชื่อเทรซนิ่ง พยายามกดทุกความกลัวที่เกิดขึ้น สบตา และขอร้องอีกฝ่ายผ่านความเงียบ

แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะจงใจเพิกเฉยคำขอนั้น เขาแสยะยิ้ม มองเดฟด้วยแววตายียวน

“ฉันก็สงสัย ว่ามันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่สเป็คของนายลดลงมาจนต้องมาเอาผู้ชายที่ขายตัวแบบนี้”

เดฟนิ่งไปแทบจะในทันทีที่ได้ยิน ผมเม้มปาก พอจะเดาออกแล้วว่ารูปแบบของบทสนทนาครั้งนี้จะจบลงด้วยรูปแบบไหน ฝ่ามือเริ่มบิดออกจากการจับกุม และเดฟบีบข้อมือผมแน่นขึ้น ประกาศความต้องการชัดเจนว่าจะไม่ปล่อยให้ผมไปในตอนนี้

“ฉันไม่รู้ว่านายกำลังรนหาที่หรืออะไร แต่ฟลอยด์อยู่ในการดูแลของฉันตอนนี้ พูดขอโทษซะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ กระแสความจริงจังสอดแทรกตัวอยู่ในทุกพยางค์ที่เปล่งออกมา ก่อนที่เขาจะเผยรอยยิ้มเล็กๆ ขัดกับดวงตาดุดัน “ไม่งั้นระหว่างเรามีปัญหาแน่”







แล้วทุกอย่างก็ตกอยู่ในความนิ่ง

เดฟนิ่ง.. นิ่งพร้อมกับกดดันเทรซด้วยแววตาและท่าทางข่มขู่

เทรซนิ่ง.. นิ่งเพื่อวัดใจ ว่าเดฟจะทำอะไรต่อไป นิ่งเพื่อตัดสินใจว่าตัวเองควรจะทำอะไรเช่นกัน

ผมเองก็ตกอยู่ในความนิ่ง.. ราวกับนิ่งรอ ให้มีใครสักคนตัดสินความผิดบาปให้ โดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านั้นเลย

“หึ ขอโทษก็ได้” แล้วเทรซก็เป็นฝ่ายหลุดหัวเราะออกมา เขายิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ก่อนที่เขาจะเดินถอยหลังหนึ่งก้าว พลางยกมือทั้งสองข้างขึ้นเหมือนยอมแพ้

“โอเค เห็นแก่ธุรกิจของแก็งค์เรา เดฟ วันหนึ่งนายจะเสียใจที่เลือกกดดันฉันคนนี้ แทนที่จะเป็นเจนินที่ยืนอยู่ข้างนาย”

เดฟเองก็หลุดหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะที่สื่อความหมาย ราวกับว่าสิ่งที่เพิ่งได้ยินเป็นเรื่องไร้สาระ

“ฉันมองว่าเราคบค้ากันมานานนะ รู้ไว้เหอะ ว่าพวกนี้น่ะ..” เขาเบือนสายตากลับมาจ้องผม “เลี้ยงไว้ไม่ได้”

มือของเดฟกำข้อมือผมแน่นขึ้น ความเจ็บแล่นริ้วเข้ากระดูก แต่ผมก็ไม่มีความกล้าที่จะพูดทักอะไรออกไป และทันทีที่เทรซเดินลงบันไดไป เดฟก็ปล่อยมือผมทันที

ดวงตาสีเข้มจ้องผมไม่กะพริบ เขามองผมนิ่ง ไม่มีเสียงพูด ไม่มีคำถาม ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น นอกจากการจ้องมอง

ผมไม่รู้เลย ว่าเดฟกำลังมีความคิดแบบไหนอยู่ในหัวตอนนี้

ผมไม่รู้เช่นกัน ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่.. เพราะทุกอย่างดูเหมือนจะตีกันจนเละไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ความสับสนมีมากพอๆ กับความกลัวลึกๆ ที่ว่าเดฟจะไม่พอใจหรือโกรธผม

เพราะเดฟเป็นคนที่เข้าใกล้ผมที่สุดในตอนนี้.. ถ้าจะต้องมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้นระหว่างเรา

คงเป็นผมเองแน่นอน ที่เสียใจที่สุดกับสิ่งที่ตัวเองเคยทำในอดีต

เดฟถอยหลังช้าๆ ดวงตายังไม่ผละออกไปจากใบหน้าของผม เขาถอยไปเรื่อยๆ จนถึงตรงบันได ฝ่ามือแข็งแรงบีบเข้าที่ราว ก่อนที่เสียงทุ้มจะออกคำสั่งด้วยโทนนิ่งเรียบ ไม่ต้องกับสีหน้าของเจ้าตัว

“รออยู่ที่นี่”

 

 

 

เดฟหายไปด้านล่างเกือบสองชั่วโมง และปล่อยให้ผมสงบสติ นั่งนิ่งๆ ทบทวนและจัดเรียงความคิดในหัวตัวเองใหม่ เขากลับขึ้นมา ด้วยท่าทางที่แข็งกระด้างเหมือนเดิม ไม่มีการคุยเล่น ไม่มีรอยยิ้ม เขาโผล่หัวขึ้นมา และดึงให้ผมเดินตามลงไป ขึ้นซ้อนฮาร์เลย์ และหุบปากเงียบๆ อยู่บนเบาะหลังจนถึงบ้าน

เสียงประตูบ้านที่ปิดลงเสียงดัง พอจะบอกให้รู้ได้ว่าเดฟไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่ดีนัก

เขากดให้ผมนั่งลงบนโซฟา บุหรี่หนึ่งมวนถูกหยิบขึ้นจุด ก่อนที่เขาจะจ้องมองผมด้วยสายตานิ่งงัน เหมือนกันกับที่บาร์นั่น

“ผมขอโทษ..” ผมพูดออกไป สอดปลายนิ้วเข้าหากันและออกแรงบีบ ใบหน้าของเดฟไม่ได้ดึงดูดให้ผมมองในตอนนี้ ตรงกันข้าม ฝ่ามือที่สอดประสานอยู่บนตักตัวเองกลับเป็นเหมือนที่พึ่งเดียวที่ผมมีตอนนี้

เดฟไม่ตอบรับคำนั้น เขายืนสูบบุหรี่ไปเงียบๆ มองผมด้วยสายตาที่อยู่สูงกว่า

ความอึดอัดแผ่ขยายตัวอย่างรุนแรงในช่วงเวลาสั้นๆ นั้น และมันกำลังมีอิทธิพลโดยตรงกับทุกอย่างในตัวผม

“ใครคือเจนิน” เขาว่า

ผมจิกปลายเล็บเข้าที่ด้านข้างของนิ้วชี้ที่เริ่มชา “ขอโทษ”

และนั่นเป็นคำเดียวที่ผมคิดออกในสมองกลวงๆ ตอนนี้

เสียงหัวเราะฝืดเฝื่อนดังออกมาให้ได้ยิน เดาได้ว่าเดฟเข้าใจทุกอย่างดีแล้ว เผลอๆ อาจจะเข้าใจตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มอ้าปากถามผมด้วยซ้ำ ผมเริ่มกัดริมฝีปากตัวเอง เพราะความรู้สึกไม่ดีที่มีอยู่มากเกินไป ทำให้ต้องระบายลงกับอะไรสักอย่าง เช่นร่างกายตัวเอง

“เพราะอะไร” นั่นเป็นคำถามที่สองที่ผมได้ยิน

และผมไม่มีความสามารถที่จะตีความมันได้เลยในตอนนี้ เขากำลังอยากรู้อะไร

เพราะอะไร ผมถึงเป็นเจนิน ทั้งๆ ที่ผมคือฟลอยด์ หรือว่า เพราะอะไร ผมถึงขอโทษ หรือว่าอะไรกันนะ

“นายไม่บอกฉัน” เขาถามซ้ำ หลังจากที่ผมเอาแต่นั่งเงียบแล้วก้มหน้ามองมือตัวเอง

ผมเหยียดยิ้ม เงยขึ้นสบตากับเดฟที่มองตรงมา หัวใจเต้นหน่วงหนืด และผมโคตรเกลียดสิ่งที่กำลังรู้สึกอยู่ในตอนนี้เลย ให้ตายสิวะ

“แล้วผมควรจะพูดว่าอะไร” ผมถาม มองอีกฝ่ายโดยไม่หลบสายตาอีกต่อไป “คุณยอมรับได้ไหม เหรอ? หรือว่ายังไงล่ะ?”

เดฟไม่ตอบ

และผมหลุดเสียงหัวเราะแปลกแปล่งออกมา “ผมเคยขายตัว ขายจริงจังด้วยไม่ใช่แค่ลองขายสองสามครั้ง ผมขายร่างกายห่วยๆ นี่ของตัวเอง ผมอ้าขาของตัวเองแลกกับเศษเงิน ได้ยินที่เขาพูดหรือเปล่า ผมไม่ได้ผ่านแค่คนสองคน แต่เป็นผู้ชายทั้งเมือง..”

พอครั้งหนึ่งได้หลุดพูดสิ่งที่เก็บไว้ออกมา.. เราก็หลุดพูดมันออกมาเรื่อยๆ จนหมด

ผมยกมือทั้งสองข้างขึ้นกอดตัวเอง ดวงตาที่เริ่มพร่าเลือนยังไม่ละสายตาจากหน้าของอีกฝ่าย น้ำอุ่นๆ ที่เกิดขึ้น ผมทำได้แค่พยายามกลั้นมันเอาไว้ไม่ให้แสดงตัวออกมามากไปกว่านี้

และเดฟที่กำลังกำมือแน่น เป็นเหมือนกุญแจที่ปลดล็อคให้ผมเผยทุกอย่างที่เก็บไว้ออกมามากขึ้นอีก

เพราะว่าครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้าย ที่ผมได้พูดเรื่องเส็งเคร็งนี่กับเขา

“ผมไม่ได้แม้แต่จะชื่อฟลอยด์ แล้วก็ไม่ได้มาจากลอสแอนเจลิส ผมไม่เคยได้ยินชื่อหาดลาโฮย่าห่าอะไรนั่นด้วยซ้ำ ผมหลอกคุณ แล้วผมก็ปิดบังคุณ ผมใช้ชีวิตไร้ค่ามามากกว่าครึ่งหนึ่งที่ตัวเองมี” ผมสูดลมหายใจเข้าลึก จ้องเดฟที่กำลังพยายามควบคุมตัวเองไม่ต่างกัน “นั่นเพื่อนคุณใช่ไหม เทรซคนนั้น.. ได้ยินตรงนี้ด้วยหรือเปล่า เขาบอกว่าผมเคยใช้ปากให้เขา แต่เรื่องตลกก็คือผมจำไม่ได้แม้กระทั่งหน้าหรือชื่อของผู้ชายคนนี้ ทั้งหมดนี่คือผมเอง พอผมบอกแล้ว คุณจะรับผมได้ไหม นี่งั้นเหรอ จะให้ผมพูดแบบนี้เหรอ!”

“เออ ใช่! ฉันรับได้” เดฟตะคอกกลับมา เขากระชากต้นแขนผมและบังคับให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะออกแรงเหวี่ยงผมจนหลังกระแทกผนัง กองหนังสือพิมพ์ที่ตั้งอยู่บนชั้นข้างๆ ถูกแรงกระแทกจนล้มลงไประเกะระกะอยู่ที่พื้น ขณะที่เดฟใช้ฝ่ามืออีกข้างบีบเข้าที่กรอบหน้าของผมแรง

“พูดอีกสิ พูดออกมาให้หมด!” เขาออกแรงเขย่าเบาๆ ก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ น้ำเสียงทุ้มกระซิบรอดไรฟัน “พูดออกมาสิ อะไรก็ได้”

ผมเม้มปาก น้ำตาหยดแรกไหลลงจากดวงตา

ผมไม่ชอบสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้.. ถึงขั้นจะใช้คำว่าเกลียด

ความรู้สึกเศร้าและอึดอัดที่อัดแน่นอยู่ในอก ผมเหมือนคนตาบอดที่มองไม่เห็นวิธีการที่จะพาตัวเองให้หลุดพ้นจากมัน

“ผมจะไปเอง”

เดฟนิ่งชะงักไปแทบจะในทันทีที่ผมพูดจบ เขาเบิกตากว้าง

“แม่ง..” ฝ่ามือที่บีบอยู่เริ่มคลายลง เดฟกดหน้าผากตัวเองเข้ากับผนังห้อง มือที่เคยล็อคหน้าผมค่อยๆ เลื่อนทาบบนผนังอีกฝั่งเพื่อปิดช่องว่าง เขายืนขวางทาบผมอย่างสมบูรณ์

ผมไม่เคยรู้หรือเข้าใจมาก่อน

ว่าเพราะอะไร เดฟถึงได้เอาตัวเองลงมายุ่งหรือผูกกับผมมากขนาดนี้

ในตอนนี้เอง.. ความเข้าใจนั้นก็ยังไม่จางหายไป แต่กลับเพิ่มมากขึ้นจนผมนึกสับสนในทุกอย่าง

“พูดอะไรก็ได้ ที่จะปลดนายให้เป็นอิสระจากเรื่องพวกนั้น.. อะไรก็ได้ แล้วฉันจะรับฟัง” เขาพึมพำเสียงแผ่ว “แต่อย่า.. อย่าพูดเรื่องไปอะไรนั่นให้ฉันได้ยินอีกเป็นครั้งที่สอง เข้าใจที่พูดใช่ไหม”

“…”

“ให้คำสัญญา เดี๋ยวนี้”



____

1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.12 Buried Alive In The Blues (24/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: empty102153 ที่ 24-01-2017 20:32:14
เอาใจช่วยให้เจนินข้ามผ่านมันไปให้ได้
เดฟดูแลเอาไว้นะ
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.12 Buried Alive In The Blues (24/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 24-01-2017 23:06:03
เดฟ สายอาจจะไม่ใช่คนดี แต่นายเป็นคนรักที่ดีนะ :mew6:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.12 Buried Alive In The Blues (24/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 25-01-2017 01:11:14
สนุกมากเลยค่ะะะะ ติดตาม  :L2:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.13 Strange Brew (25/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mecinzano505 ที่ 25-01-2017 02:44:26

13_
Strange Brew




เขากำลังนิ่งรอ

นิ่งรอราวกับว่าต้องการได้ยินคำสัญญานั่นจากปากผมจริงๆ ผมทิ้งสายตาเลื่อนลอยข้ามผ่านไหล่ที่บดบังครึ่งหน้าของตัวเองอยู่ไป จับจ้องปืนลูกซองยาวที่ติดไว้กับผนัง ลมหายใจอุ่นยังเป่ารดอยู่ที่ผิวเนื้อ เดฟค่อยๆ ขยับตัวออก เขามองหน้าผมไม่วางตา

ผมมองเห็นการวอนขอ.. ไม่ใช่การข่มขู่บังคับเอาแต่ใจเหมือนกับหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา

ผมรู้ดี ว่าไม่ควรเอาตัวเองมาผูกกับอะไรแบบนี้ ไม่ควรสัญญา เพราะคำสัญญามักจะทำให้เดือดร้อนหรืออึดอัดใจในภายหลังเสมอ

คนที่เคยสัญญา หรือร้องขอคำมั่น… สุดท้ายแล้วก็เป็นฝ่ายจากไปก่อนทั้งนั้น

‘เจลิน.. อย่าทิ้งแม่ไว้ที่นี่คนเดียว อย่าทิ้งแม่ไว้คนเดียว สัญญากับแม่นะ’

แต่ก็มีไม่กี่คนนัก.. ผมสามารถนับจำนวนได้เลย นับได้ภายในเสี้ยววินาทีที่กะพริบตา

คนที่แสดงออกว่าผมมีความสำคัญ

ฝ่ามือเริ่มกำเข้าหากันแน่น ก่อนจะปล่อยออกจากกันในเวลาสั้นๆ ต่อมา

ผมเลื่อนสายตากลับมาสบกับเดฟ ทั้งๆ ที่ลำคอแห้งผาก แต่ภายในของผมกลับไม่รู้สึกอย่างนั้นเลยแม้แต่น้อย

ทั้งๆ ที่ก็รู้ดีอยู่แล้ว.. ว่าอย่าสร้างภาระผูกตัวเองไว้กับอะไรก็ตาม

“สัญญา”

แต่ผมก็พูดออกไปจนได้

เดฟไม่ได้พูดหรือแสดงท่าทางอะไรพิเศษออกมาหลังจากนั้น ผมเองก็ไม่ได้คาดหวังให้มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งหมดที่เขาทำ คือแค่ทิ้งสายตาไว้ที่ผมนานขึ้น ฝ่ามือรูดลงตามผนัง หยุดชะงักเหนือไหล่ของผม ก่อนที่เขาจะขยับตัวออกไป

ดวงตาสีเข้มเลื่อนมองนาฬิกาที่ติดอยู่ไม่ไกลลวกๆ

“ดึกแล้ว นายคงเพลีย” เขาเกริ่น

“ผมว่าจะไปนอนแล้วเหมือนกัน” ผมรีบสานต่อประโยคในทันที ฝ่าเท้าก้าวถอยหลัง พาตัวเองออกห่างจากเดฟช้าๆ ทั้งที่ดวงตายังประสานกันอยู่ เดฟปล่อยให้ผมห่างจากเขาเรื่อยๆ โดยไม่ได้ทักท้วงหรือพูดอะไรอีก

ราตรีสวัสดิ์..

คำอวยพรนั้นดังขึ้นแค่ภายในใจเท่านั้น ผมพยักหน้ากับตัวเองเบาๆ ก่อนจะหันหลังแล้วตรงดิ่งเข้าไปในห้องนอน

นั่นเป็นคืนแรก ที่ผมคิดอะไรแปลกประหลาดอย่างเช่นคำอวยพรนั่นออกมาด้วยตัวเอง ผมเคยมองว่าการพูดอะไรพวกนั้นใส่กันเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น

ผมจะนึกถึงฝันดีได้ยังไง ในเมื่อทุกวินาทีที่ลืมตา ผมถูกกระตุ้นและมองเห็นแค่สิ่งที่ไม่ดี

ผมสอดตัวเองเข้าไปในผ้าห่ม ร่างกายพลิกตะแคงหันข้างและงอตัว กลิ่นอ่อนๆ ที่ติดอยู่บนผ้ากับความอบอุ่นที่ผมได้รับ มันทำให้เกิดความรู้สึกปลอดภัยโดยไม่รู้ตัว

ผมดึงผ้าห่มขึ้นมาจนคลุมอยู่เหนือสันจมูก ก่อนจะค่อยๆ หรี่ตาลงจนปิดสนิท

ผมไม่ใช่คนที่หลับง่ายมากนัก ไม่ใช่คนที่พอหลับตา นับหนึ่งถึงสิบแล้วจะดำดิ่งสู่ความมืดและเงียบสงบได้

ผมยังคงนอนหลับตา แล้วก็ปล่อยให้หูได้ยินเสียงหลายๆ อย่างที่แว่วมาให้ได้ยินเป็นระยะ

เสียงเล็บของแทซขูดเข้ากับพื้นตอนที่เดินไปมา เสียงวางของ เสียงเปิดประตูห้องน้ำ เสียงฝีเท้าที่แม้จะแผ่วเบา แต่ผมก็ยังได้ยินตอนที่มันขยับเข้ามาใกล้

แล้วก็ยังมีความรู้สึก แบบเวลาที่มีสายตาอื่นจ้องมองมาด้วย

ผมเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ ก่อนจะมองฝ่าความมืดไปยังบานประตูที่เปิดค้างอยู่ เดฟยืดถือขวดน้ำ เขาเอนไหล่ตัวเองพิงกับกรอบประตู และมองฝ่าความเงียบงันภายในห้องมายังผม

คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเราประสานสายตากัน

“มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่า” ผมถาม ค่อยๆ ยันตัวเองขึ้นนั่ง

อีกฝ่ายส่ายหน้าเล็กๆ แทนคำตอบ ก่อนที่ขวดน้ำจะถูกยกขึ้นจรดริมฝีปาก

“แล้ว.. มีอะไรหรือเปล่า” ผมถามอีกครั้ง

เขาทำสีหน้าครุ่นคิด ใช้เวลาไม่นาน ในการวางขวดน้ำลงบนโต๊ะเล็กๆ ที่วางอยู่ใกล้ประตู แล้วเดินตรงมาหยุดอยู่ข้างเตียง

“เขยิบ” เขาออกคำสั่งห้วนๆ พยักพเยิดไปยังที่วางของเตียง “ฉันจะนอนตรงนี้”

“อะไรนะ” ผมขมวดคิ้วทันที ทาบฝ่ามือกับเตียงเพื่อตั้งหลัก

เดฟขยับยิ้ม ก่อนที่เขาจะหุบมันจนเหลือเพียงแค่สีหน้านิ่งเรียบ “คงไม่คิดว่าฉันจะยอมนอนโซฟาไปตลอดใช่ไหม..” เขาเริ่มขมวดคิ้ว พลางยกฝ่ามือขึ้นหนึ่งขึ้นแตะแผ่นหลังตัวเอง “ปัญหาเรื่องหลังน่ะ เข้าใจหรือเปล่า”

ผมเผยออ้าปากเล็กๆ ก่อนจะดันตัวเองขึ้นจากเตียง

ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าอีกฝ่ายมีปัญหาเรื่องหลังหรืออะไรพวกนั้น ถ้าผมรู้ตั้งแต่แรก คนที่นอนบนโซฟาเก่าๆ นั่นจะเป็นผม ไม่ใช่เจ้าของบ้านแน่ๆ

“ถ้างั้นผม..” เดฟขัดทุกคำพูดที่ผมกำลังจะพูดด้วยการยกมือดันผมกลับไป ผมรีบขยับตัวหนีไปที่อีกฝั่งของตัวด้วยความรวดเร็วเมื่อเดฟทิ้งตัวลงนอนโดยไม่พูดไม่จา

ฝ่ามืออุ่นคว้าเข้าที่ข้อมือและออกแรงดึงเบาๆ เมื่อผมตั้งท่าจะลุกอีกครั้ง

“อย่าทำให้มันยุ่งยาก” ดวงตาสีน้ำตาลฉายประกายเอาเรื่อง คล้ายกับว่าผมกำลังทำให้เขาหงุดหงิด “นอนซะ”

ผมรับฟังคำสั่งเด็ดขาดนั่น ลงความเห็นกับตัวเองว่าเตียงนี่ไม่ได้เหมาะสำหรับใช้งานโดยผู้ชายสองคนในเวลาเดียวกันเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะตัดสินใจหุบปากให้สนิทเมื่อเห็นสายตาที่อยู่ห่างไปไม่ถึงสองฟุต

ผมไม่มีทางเลือกอีกแล้ว.. ตราบใดที่ยังไม่อยากเสียพลังงานไปโดยเปล่าประโยชน์

ผมพยักหน้ารับคำ ล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ก่อนจะพลิกหันหน้าออก กลิ่นและไออุ่นไม่ได้มาจากผ้าห่มเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป มันแนบชิดอยู่ด้านหลังของผม ทำให้รู้สึกนิ่งสงบและลิงโลดในเวลาเดียวกัน

ผมนึกโมโหร่างกายตัวเองในช่วงเวลานั้น

“หวังว่านายจะจำได้นะ สัญญาที่ให้ไว้วันนี้.. หวังว่าจะจำได้ไปตลอด” เดฟพูดขึ้นเบาๆท่ามกลางความมืด

ผมไล้ฝ่ามือขึ้นตามผ้าปูที่นอน ก่อนจะวางมันชิดกับปลายคาง จรดริมฝีปากกับผิวเนื้อตัวเอง ระหว่างที่สมองกำลังสับสนในอะไรบางอย่าง

ผมไม่ได้ตอบรับประโยคนั้นของเดฟ

แต่ผมพูดกลับไป ในประโยคเดียวกัน

“ผมเองก็หวัง.. ว่าคุณจะจำได้ไปตลอดเหมือนกัน” ผมกระซิบ หรี่เปลือกตาให้ปิดสนิทเพื่อเตรียมตัดตัวเองออกจากสถานที่นี้

“เหตุผล ว่าทำไมคุณถึงต้องการคำสัญญานั่นมากเหลือเกินในวันนี้”

จำให้ได้ และอย่าเป็นฝ่ายทำลายมันลงก่อน

เพราะนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะยอมเชื่อในอะไรสักอย่าง จนถึงขนาดยอมเอาตัวเองไปผูกกับมัน







หลังจากคืนนั้น.. เดฟก็เริ่มโผล่เข้ามาในห้องนอนตอนกลางคืน อ้างเรื่องปวดหลังปวดตัวได้ทุกวัน จนแค่หนึ่งอาทิตย์หลังจากนั้น ทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็กลายเป็นความเคยชิน

เตียงที่เคยเล็กเกินไป อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นเตียงที่พอดีขึ้นมาซะอย่างนั้น

ผมไม่รู้ว่าเดฟต้องการอะไรในการทำทั้งหมดนี่ ความไม่เข้าใจนั้นถูกข่มเอาไว้ ผมไม่ได้ถามออกไป ถึงแม้ว่าจะสงสัยมากแค่ไหนก็ตาม

เพราะทุกๆ คืน ที่ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก.. จะไม่มีเดฟนอนอยู่บนเตียงอีกต่อไป

ร่างสูงจะนอนหลับสนิทอยู่บนโซฟาตัวเดิมที่ห้องรับแขก ด้านล่างมีแทซตัวใหญ่หนุนหัวเข้ากับพื้นพรมเก่าๆ เป็นแบบนี้ไม่ใช่แค่คืนเดียว แต่เป็นทุกๆ คืน

ราวกับว่าเขารอให้ผมหลับสนิท แล้วถึงพาตัวเองกลับไปอยู่ที่เดิม

นั่นล่ะ เป็นสิ่งที่ผมไม่เข้าใจ

“นี่.. เงินของผมออกแล้ว คุณจะให้ผมจ่ายเท่าไหร่” ผมเกริ่น ถูปลายเท้าของตัวเองเข้าหากันเบาๆ เมื่อสัมผัสได้ถึงความหนาว เดฟนั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงานที่รกไปด้วยกระดาษและเอกสารสีขาว เขาหันหน้ามามองผม ก่อนจะถอดแว่นกรอบเหลี่ยมที่สวมใส่อยู่ออกช้าๆ

“งั้นเหรอ” คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูง เขาแสดงสีหน้าครุ่นคิดออกมา ซึ่งผมรู้ว่านั่นเป็นแค่การแสร้งทำ “นายอยากจ่ายเท่าไหร่ก็วางไว้”

แล้วเขาก็เลิกขัดเวลาที่ผมต้องการจะจ่ายค่านู่นนี่นั่นให้เขาไปแล้วด้วย เช่นเดียวกันกับผมที่เลิกขัดเวลาที่อีกฝ่ายออกคำสั่งหรือแสดงความต้องการให้ผมทำนู่นทำนี่

เพราะผมรู้ดี ว่าเขาจะไม่มีวันยอมเลิกถ้าผมไม่ตกลง เหมือนกับเดฟที่รู้ ว่าผมจะไม่มีหยุดถ้าเขายังไม่ยอมรับเงินของผม

“คุณดูเหนื่อย” ผมถามออกไปสั้นๆ เมื่อเห็นใบหน้าอิดโรยของอีกฝ่าย เดฟในช่วงสองสามวันมานี้ โหมทำงานหนัก เอาแต่ขลุกตัวอยู่ที่โต๊ะนี่สลับกับขี่ฮาร์เลย์ออกไปด้านนอก เดาว่าเขาคงไปที่คลับหรืออะไรทำนองนั้น “อยากดื่มอะไรไหม”

เดฟเม้มปาก เขาเผยรอยยิ้มออกมาจางๆ เดฟที่ลดความขี้เล่นของตัวเองลงไปเยอะ ไม่ต้องพยายามคิดเลยว่างานที่เขาพบเจออยู่สร้างความตึงเครียดได้มากขนาดไหน

ผมคิดว่าเขาแค่ขายยา.. แค่ขายยาออกไปแล้วก็รับเงิน

แต่ความคิดนั้นโคตรผิด ผมเคยนั่งฟัง เวลาเดฟคุยโทรศัพท์เรื่องงาน นอกจากมันจะฟังดูตึงเครียดแม้กระทั่งกับผมที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแล้ว ผมก็ได้เห็นอะไรเพิ่มอีกหลายอย่าง

การข่มขู่ของเดฟ ที่ไม่เคยรุนแรงขนาดนี้มาก่อน

การตะคอก แบบที่ผมไม่เคยได้รับ

“นาย ดูเหนื่อยกว่าฉันอีก” เขาทิ้งปากกาลงบนโต๊ะ ก่อนจะหมุนเก้าอี้ให้หันมาทางผม “มีอะไรหรือเปล่า”

ผมกะพริบตา เพราะว่าผมเห็นเดฟทำตัวยุ่งอยู่ตลอดเวลา ผมถึงไม่อยากให้เขาต้องมาคิดเรื่องของผมเพิ่มเข้าไปอีก

“ผมจะมาบอก ที่ทำงานน่ะ” ผมเกริ่น หลุบตาลงมองปลายนิ้วตัวเองที่เกี่ยวพันกันเบาๆ “ไม่ต้องไปรับผมแล้วก็ได้”

เดฟจ้องหน้าผมนิ่ง เขาไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับมาในทันที มีเพียงคำถามสั้นๆ เท่านั้นที่ดังขึ้น

“ทำไม”

“ผมว่าผมเดินกลับเองได้แล้ว” ผมตอบไปตามตรง ถึงที่ทำงานจะไกลจากบ้านหลังนี้มากกว่าห้องพักเก่าของผม แต่ก็อย่างที่บอก

ผมไม่คิดว่าเรื่องของตัวเองสมควรเข้าไปเพิ่มความหนักใจหรือเป็นภาระให้อีกฝ่ายตอนนี้

แล้วถ้าดูแลตัวเองได้ ผมคิดว่านั่นก็เป็นทางเลือกที่ดีกว่าอยู่แล้ว ไม่ใช่เหรอ..

เดฟนิ่งคิด เขาจ้องลึกเข้ามาในตาของผม และทันทีที่ผมจ้องกลับไป อีกฝ่ายก็เริ่มพยักหน้าเบาๆ

“ก็ตามใจสิ”

“ขอบคุณ.. ผมไม่กวนแล้วทำงานต่อเถอะ” ผมหลุดยิ้มออกไป มองเห็นเดฟนิ่งชะงักเล็กๆ ก่อนที่สัมผัสอุ่นจะคว้าจับเข้าที่ข้อมือแล้วออกแรงกระตุกให้ผมไปยืนอยู่ระหว่างขา

เสียงร้องหลุดออกจากลำคอแผ่วเบา เดฟจ้องผมไม่กะพริบ ปลายนิ้วอุ่นลากผ่านผิวเนื้อตรงหลังมือ

สายตาที่มองมาสร้างความรู้สึกแปลกๆ ให้เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว อะไรบางอย่างตีวนรุนแรงอยู่ในช่องท้องตอนที่อีกฝ่ายยืดตัวขึ้นยืนเต็มความสูง

ร่างของผมถอยหลังช้าๆ จนสัมผัสชั้นหนังสือสูง ฝ่ามือที่เคล้าคลึงอยู่ตรงสะโพกทำให้ผมเผลอกัดริมฝีปากล่าง

หัวใจเต้นแรง

ผมมองไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะเปลือกตาที่ปิดสนิท แต่ลมหายใจอุ่นที่รดอยู่เหนือริมฝีปาก

มันควรจะสร้างความรู้สึกดี.. อย่างน้อยก็ควรจะทำให้รู้สึกดีมากกว่ารู้สึกกังวล

ผมขมวดคิ้วแน่น และก่อนที่อะไรจะถูกลากให้ไปไกลมากกว่าที่เป็นอยู่ ใบหน้าก็สะบัดหันหนีโดยไม่ทันรู้ตัว มันเหมือนเป็นหนึ่งในกลไกที่ร่างกายบังคับทำ

ผมลืมตา ก่อนจะทิ้งการมองเห็นลงที่โคมไฟตั้งโต๊ะสีแดงเข้ม ขณะที่เดฟชะงักทุกการกระทำ เขาผ่อนลมหายใจออกหนักๆ ใบหน้าตกลง จนหน้าผากกดทับอยู่ที่ไหล่

“.. 5 นาที” เขาร้องขอ สัมผัสหนักๆ ไม่ได้สร้างความรำคาญแม้แต่น้อย ผมอยากยกมือขึ้นลูบแผ่นหลังกว้าง แต่นั่นก็เป็นแค่ความอยากที่ถูกดำเนินการแค่ในความคิดเท่านั้น

ผมรู้สึกเป็นห่วงในการกระทำแปลกๆ ที่อีกฝ่ายแสดงออกมา นึกสงสัยว่าอะไรกัน ที่ทำให้เดฟเผยด้านที่ผมไม่เคยเห็นนี่ออกมา

แต่มากกว่านั้น คือผมหวาดกลัวเกินกว่าจะทำอะไรออกไป

มีอะไรบางอย่างในร่างกาย ที่ผมยังไม่พร้อมจะแสดงให้เดฟได้เห็น.. ผมกำมือแน่น เพราะอะไรบางอย่างที่ว่านั่น

กำลังตามหลอกหลอนผมอยู่

“เดฟ..” ผมพึมพำออกมาเบาๆ เมื่อปล่อยให้เวลาผ่านไปสักพัก ความคิดตึงเครียดในหัวทำให้เสียงของผมที่เปล่งออกไปฟังดูไม่ค่อยดีนัก ผมรู้สึกผิด อีกนัยน์หนึ่งก็คือกลัวเดฟจะเข้าใจผิด แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป

เสียงถอนหายใจดังออกมาให้ได้ยิน เดฟนิ่งค้างอยู่อย่างนั้นอีกพักใหญ่ ก่อนที่เขาจะผละตัวออกไป พร้อมกับบางสิ่งบางอย่างที่ผมจับได้

ดวงตาคมเข้มคู่นั้นฉายแววประหลาด

และกำลังหลบเลี่ยงที่จะมองมาทางผม

“นายไปนอนเถอะ” เขาพูดขึ้นมาเรียบๆ ขณะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม ใบหน้านิ่งเรียบก้มลงมองเอกสารสีขาวบนโต๊ะ

ผมไล่มองทุกอย่างข้างหน้า แว่นตากรอบเหลี่ยมที่วางนิ่งสนิท หนังสือพิมพ์เก่าๆ สองฉบับบนโต๊ะ ฝ่ามือ เส้นผมและเสี้ยวหน้าของเดฟ

“ราตรีสวัสดิ์” ผมพูดขึ้นในที่สุด และเมื่อแน่ใจว่าเดฟไม่ต้องการจะพูดหรือตอบกลับอะไรอีกหลังจากนั้น ผมถึงขยับถอยหลังพาตัวเองออกมา

ความนิ่มยวบสัมผัสกับสีข้างเมื่อผมทิ้งร่างลงนอนบนเตียง ผ้าปูที่นอนขยับเป็นรอยย่นเมื่อลากมือผ่าน ผมกดปลายจมูกลงไป และเริ่มสูดหายใจเข้าลึก

ผมรู้ดี ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อครู่ รู้ดีว่าเดฟต้องการอะไรในการกระทำทั้งหมดนั่น และสิ่งที่เดฟต้องการ ผมสามารถให้เขาได้ง่ายๆ

แต่ว่ามีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไป

.. ผมกำลังเปลี่ยนไป

ร่างกายที่ปล่อยให้หลายๆ คนได้เห็น ได้สัมผัส ครั้งหนึ่ง ผมเคยเกือบจะยกมันให้กับเดฟ ในตอนนั้น ผมไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่า ถ้าเป็นเดฟ ยอมทำอีกสักครั้งก็คงไม่เป็นไร

แต่พอมาวันนี้.. เมื่อครู่นี้.. ผมไม่สามารถทำแบบนั้นได้อีกแล้ว

เดฟไม่ได้ให้ความรู้สึกแปลกหน้าและห่างไกลเหมือนผู้ชายพวกนั้น เขาไม่ใช่ ใครก็ได้ ที่สามารถสัมผัสผมได้อีกต่อไป

แต่กลับกลายเป็น ใครสักคน.. ที่ผมไม่อยากให้ถลำลึกเข้ามา และรับรู้ว่าตัวผมนั้นสกปรกมากแค่ไหน

ใครสักคน.. ที่ผมเพิ่งเคยรู้สึกแบบนี้ด้วยเป็นครั้งแรก

ผมหรี่เปลือกตาลงจนกลายเป็นปิดสนิท พลางรับตัวตนของเดฟที่เด่นชัดอยู่รอบตัว

ขี้ขลาด.. เห็นแก่ตัว.. ผมทวนคำพวกนั้นซ้ำไปซ้ำมาในหัว ก่อนจะปล่อยให้ตัวเองนอนเพ่งความมืดอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน

นานจนได้ยินเสียงล็อคประตูจากด้านนอก

นานจนผมมั่นใจ.. ว่าในคืนนี้ เดฟไม่ได้เข้ามาที่ห้องนี้

เขาไม่ได้เข้ามา เพื่อนอนนิ่งๆ อยู่ข้างๆ ผมเหมือนกับทุกครั้ง



____

1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.13 Strange Brew (25/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 25-01-2017 06:54:46
เดฟสู้ๆนะ :mew1:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.13 Strange Brew (25/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 25-01-2017 07:24:26
เดฟ ฟลอยด์  :ling1: :ling1: :ling1:
ความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนจะพัฒนา
แต่ก็ชะงักไป ทั้งที่มีการสัญญากันแล้ว
การชะงักงัน มาจากทั้งฝั่งเดฟ และฟลอยด์
เดฟ ดูไม่กล้าเข้าหาใกล้ชิด ทั้งที่ในใจอยาก
ส่วนฟลอยด์ มีอดีตที่ฝังใจว่าตัวเองสกปรก ขี้ขลาด
เลยแสดงออก เหมือนไม่อยากให้เดฟสัมผัส
เลยยิ่งทำให้ระยะที่หดแคบเข้ามา
ห่างออกไปใหม่อีก  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
ไรท์ ลงก็ไม่สั้นนะ แต่คนอ่านเหมือนอ่านไม่พอ
อยากอ่านอีกๆๆๆๆๆ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.13 Strange Brew (25/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 25-01-2017 11:33:38
ไม่ได้เข้ามาแปปเดียวอัพเยอะมากก ขอบคุณมากนะค้าาา ขอให้ข้ามผ่านไปให้ได้นะฟลอยด์  :hao5:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.13 Strange Brew (25/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: panitanun ที่ 25-01-2017 11:48:24
รู้สึกเหมือนเดฟบอกรักฟลอยด์ตลอดเวลา :katai5:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.13 Strange Brew (25/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: felixia ที่ 25-01-2017 12:12:14
เหมือนจะใกล้กันมากขึ้นแต่ก็ไม่
ฟรอยยังแค่แง้มๆประตูยังไม่ยอมให้เดฟเข้ามาทั้งหมด
พี่เดฟสู้ๆนะคะ
รู้สึกว่าถ้าเขาคลิกกันทั้งคู่เมื่อไหร่คงจะแบบ หวานเว่อมากๆแน่ๆ
เพิ่งได้มาอ่าน ชอบอะไรแบบนี้จังเลย
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.13 Strange Brew (25/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 25-01-2017 14:53:45
เป็นนิยายเรื่องแรกเลยมั้งครับ ที่ตัวเอกเคยทำเรื่องไม่ดีมาก่อน แล้วมีความคิดที่เป็น consciousness ที่ดี ปกติหายากมากนะครับที่จะมีแนวแบบนี้ออกมา นิยายส่วนมากจะทำให้พอตัวเอกมีพื้นของการค้าประเวณี แล้วก็จะบ้าเซ็กซ์บ้ากามอะไรไปตามเรื่อง หรือไม่ก็คือใช้ตัวเข้าแลกเพื่อทำนู้นนี่นั่นไปเรื่อยๆ ซึ่งมันไม่ได้สะท้อนถึงค่านิยมของการรักษาคุณค่าของจิตใจตัวเอง ไม่ได้เป็นการดึงจิตสำนึกที่ดีและสร้างระบบการคิดที่สมจริงออกมา

แต่เจนีนไม่ใช่ทั้งหมดนั่น สารภาพตอนแรกเลยครับว่าพออ่านเจอว่าเจนีนเคยค้าประเวณีมาก่อนนี่ผมแบบ เรื่องนี้จะออกแนวกามๆอีกเรื่องรึเปล่าวะเนี่ย แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ เจนีนเป็นตัวอย่างที่ดีของมนุษย์ที่ทำเรื่องเลวร้ายไม่ใช่เพราะอยากจะทำ แต่เพราะเขาถูกบีบให้ทำเพื่อความอยู่รอด และเขาเองเมื่อทำแล้ว 'ก็ไม่ได้เสพติดหรือหลงมัวเมา' กับสิ่งนั้นๆ เขาไม่ได้ชอบเซ็กซ์ เขาทำเพราะต้องดูแลแม่และเขาไม่ได้มีโอกาสที่ดีอย่างอื่น เมื่อไม่มีแม่แล้ว เจนีนเองก็พยายามหนีออกจากวังวนนี้อย่างสุดกำลัง ทำอะไรก็ได้ที่จะไม่ลดคุณค่าของเขาลง เขายอมที่จะได้เงินน้อยลง แต่มีคุณค่าของจิตใจตัวเองมากขึ้น เขาไม่ยอมที่จะพึ่งพิงคนอื่นที่อาจจะเรียกค่าตอบแทนเป็นร่างกายของเขา เขาต้องการที่จะยืนหยัดด้วยตัวเอง นี่เป็นข้อคิดเชิงค่านิยมสังคมที่ดีมากๆ และควรสะท้อนให้เยาวชนอ่านและซึมซับครับ

สังเกตว่าเจนีนมีความคิดที่ต่อต้านการค้าประเวณีทุกครั้ง เขาเกลียดการทำแบบนี้ เขารู้ว่าการทำแบบนี้ผิด และเขาก็ 'ไม่ยินดี' รวมถึงถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ไม่ยินยอมที่จะทำ (ขัดกับหลายๆตัวละครที่เรามักจะเห็น ปากบอกไม่ดีๆไม่ทำๆ แต่พฤติกรรมทั้งเรื่องคุณมีเซ็กซ์มากกว่า 4-5 บทหรือแม้กระทั่งยอมไปพึ่งคนอื่นที่สุดท้ายก็มาจบที่เซ็กซ์ ทำให้นี่มันก็คงไม่สอดคล้องกับสิ่งที่คุณพูดน่ะนะ)

สิ่งที่ต้องพูดต่อมาก็คือตัวพระ ตัวพระเรื่องนี้โดดเด่นครับ ในแง่บุคลิกนะ ไม่ใช่ในแง่รูปลักษณ์ ถ้าเราพิจารณาว่านิยายเรื่องนี้มีพื้นหลังของชีวิตตัวละครเป็นสีเทาจนเกือบดำกันแทบทุกคน ถ้าเป็นนิยายพื้นหลังประเภทนี้ ส่วนมากจะเมนไปโฟกัสที่พระเอกหล่อล่ำรวย นางเอกอยากทำดี บลาๆ สุดท้ายพระเอกก็ปู้ยี่ปู้ยำและรักกัน(?) พระเอกเป็นเพอร์เฟกต์แมนที่ทำเรื่องติดกิเลสได้ทุกอย่าง โนสนโนแคร์ความรู้สึก แต่สักพักก็จะรักกันด้วยความดีของนางเอก(??) นี่เป็นพล็อตนิยมครับ

แต่เดฟไม่ใช่ ในแง่รูปลักษณ์ เขาตรงกับข้างบนเกือบหมดเลยครับ แต่ในแง่นิสัย เดฟแตกต่างมาก เขารู้ว่าเจนีนรู้สึกกับจิตใจของตัวเองยังไง แล้วก็เคารพกับความรู้สึกนั้น เดฟให้เกียรติเจนีนในฐานะมนุษย์คนนึงที่ควรได้รับโอกาสที่สอง มันเป็นบุคลิกที่โดดเด่นมาก แล้วพอมันแสดงออกเป็นพฤติกรรม มันก็ยิ่งทำให้ตัวละครนี้มีความแปลกใหม่และน่าชื่นชมพอๆกับตัวนางมากขึ้นไปอีก

สรุปแล้วคือคาแรกเตอร์ของเรื่องนี้มี 'นัยยะของความดี' แฝงอยู่ได้อย่างดีมาก ไม่ใช่ความดีที่เราพบเห็นทั่วๆไป แต่เป็นเรื่องของจิตสำนึกที่พยายามเข้มแข็ง การให้เกียรติคนที่เคยทำเรื่องไม่ดีและพยายามแก้ไข แค่นี้ก็ทำให้ผมแทบจะเรียกว่าเรื่องนี้เป็นนิยายที่ดีมากๆเรื่องนึงแล้วครับ

นี่ยังไม่นับการบรรยายที่ลื่นไหล การเล่าเรื่องที่ให้โทนเหมือนดูหนังต่างประเทศแนวดาร์คปนสืบสวนอยู่ เรื่องผมคิดว่าเน้นเรื่องบทพูดกับเรื่องความรู้สึกของเจนีน สิ่งที่เขาเห็น สิ่งที่เขาคิด สิ่งที่เขารู้สึก แค่นี้มันก็มีเสน่ห์มากพอในระดับหนึ่งแล้วโดยไม่ต้องมีการบรรยายองค์ประกอบเพิ่มเติม การใช้ภาษาก็ถือว่าดีเลยครับ น่าติดตามอ่านต่อมาก

ที่ควรระวังนิดหนึ่งคือต้องเลือกว่าจะให้ปมไหนเด่นกว่ากัน ปมความรู้สึกของตัวละครที่จะค่อยๆมีการพัฒนา หรือจะเล่นปมใหญ่ของสังคมในเมืองประหลาดๆนี้ ส่วนตัวผมคิดว่าเน้นปมแรกให้เด่นกว่าจะดี เพราะตัวคาแรกเตอร์แน่นมาก มีมิติที่เด่นมากพอจะทำให้เห็นตอนจบของปมความรู้สึกแล้วสามารถทำให้ผู้อ่านจบแบบ 'อิ่ม' ได้โดยไม่ค้างคา และเราไม่จำเป็นต้องไปโฟกัสเรื่องปมใหญ่ของสังคมด้วยซ้ำครับ แต่อาจจะต้องมีการสอดแทรกเพื่อรู้ความเป็นไปของสองคนนี้ในอนาคตหน่อยเพื่อทำให้โทนเรื่องจบได้อย่างลื่นไหล
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.14 Waiting In Vain (25/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mecinzano505 ที่ 25-01-2017 17:12:56

14_
Waiting In Vain




“นายดูแปลกๆ ไป”

คำทักนั้นดึงผมให้หลุดจากความคิดในหัว โจนั่งอยู่ตรงบันไดเหล็กที่ขึ้นสนิม ข้อศอกทั้งสองข้างวางแนบกับเข่า ที่ยกขึ้นมา พร้อมกับบุหรี่ที่ถืออยู่ในมือ

“ถ้าโรสจับได้ว่านายสูบบุหรี่ในนี้ นายมีปัญหาแน่” ผมเปลี่ยนเรื่อง เช็ดวนผ้าสีขาวกับจานใบใหญ่

โจเลิกคิ้ว เขาหลุดหัวเราะออกมาพลางสูบบุหรี่ต่ออย่างไม่ระแคะระคายต่อคำเตือนนั้น

เส้นผมสีบลอนด์สว่างแนบสัมผัสอยู่กับผนังปูนที่มีรอยร้าว “ก็ให้รู้ไปสิ แค่สูบบุหรี่มันจะอะไรนักหนา”

ผมยักไหล่ เพราะว่าไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ก็เลยปิดบทสนทนาแล้วตั้งใจทำงานต่อ

“นายขยัน” โจเป็นฝ่ายพูดขึ้นมา เขาจ้องผมไม่วางตา “รู้ไหม ถ้าขยันต่อไปอีกแบบนี้ พวกนั้นจะพานายไปจากฉันแน่”

“ใครจะพาไปไหนกันล่ะ” ผมถามเรียบๆ

“พวกนั้นไง โรส.. อาจจะเลื่อนขั้นให้นาย บางทีนายอาจจะอยากไปยืนหั่นผักดู หรือไม่ก็.. ไม่รู้สินะ เตรียมของสดล่ะมั้ง”

“ฉันทำอะไรก็ได้ ถ้าพวกนั้นให้เงินล่ะก็นะ” ผมยักไหล่อีกครั้ง ก่อนจะวางจานลงที่พัก

“ฮื้อ.. นายพูดจาเหมือนฉันขึ้นทุกวัน” โจทำหน้าประหลาดออกมา ก่อนจะนิ่งเงียบไปพร้อมกับรอยยิ้มค้างอยู่บนริมฝีปาก

ผมส่ายหัวเล็กๆ เช็ดมือทั้งสองข้างเข้ากับผ้ากันเปื้อน แล้วพาตัวเองไปนั่งข้างๆ โจ

“เป็นอะไรไป” ผมถาม สีหน้าของโจเหมือนคนที่มีอะไรสักอย่าง บางทีอาจจะคิดอะไรอยู่ อาจจะอยากบอกผมหรือไม่อยากบอกผม แต่ผมก็ถามออกไปแล้ว

“นายอยากรู้ความลับไหม” โจเกริ่น เขาเอียงหน้าเล็กน้อย

“ถ้าอยากบอกก็บอก” ผมตอบ “ต่อให้อยากรู้ถ้าไม่อยากบอก นายก็ไม่บอกอยู่ดี”

“เออน่า” โจตอบปัด ก่อนที่เขาจะพยักหน้าเบาๆ “ขยับมา”

ขยับกว่านี้ก็นั่งซ้อนกันได้แล้ว.. ผมขมวดคิ้ว แต่ก็ยอมเอนหัวเข้าไปใกล้กว่าเดิม

“วันนี้วันเกิดฉัน” เขาพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“อ้อ.. งั้นก็สุขสันต์วันเกิด” ผมอวยพร ถึงแม้จะไม่ค่อยเชื่อเรื่องการอวยพรเท่าไหร่นักก็ตาม “มีความสุขมากๆ นะ”

“ว่างั้นเหรอ” โจถามเสียงสูง ก่อนจะผละตัวออกแล้วเท้าคางตัวเองบนท่อนแขน ดวงตาสีอ่อนจ้องผมไม่กะพริบ “นำความสุขแรกมาให้หน่อยสิ”

“ความสุขอะไร”

“วันนี้..” โจเว้นจังหวะไป พร้อมกับแสดงสีหน้าไม่มั่นใจออกมา “ไปดื่มเป็นเพื่อนหน่อยได้หรือเปล่า”

นั่นถือเป็นคำขอ ผมคิดในใจ

โจก็นับเป็นคนหนึ่งที่ผมมองว่าเป็นเพื่อน.. และใช่ เพราะว่าเราทำงาน พูดคุยและเจอหน้ากันอยู่เกือบทุกวัน ถ้านั่นเป็นคำร้องขอ ผมก็คิดว่าไม่เสียหายอะไรที่จะให้

แล้วคำขอนั้นก็ฟังดูง่ายมากๆ  ด้วย

“ไปสิ” ผมตอบ ในใจนึกคิดถึงเดฟและบ้าน อย่างน้อยถ้าได้บอกอีกฝ่ายก่อน เขาจะได้ไม่ต้องสงสัยหรือคิดอะไรที่ผมกลับบ้านไม่ตรงเวลา

แต่ผมไม่มีโทรศัพท์และต่อให้มีโทรศัพท์ ผมก็ไม่มีเบอร์ของเดฟอยู่ดี

“ใกล้เลิกงานแล้ว” โจพึมพำหลังจากก้มดูนาฬิกาข้อมือ “นายถอดผ้ากันเปื้อนแล้วออกไปรอข้างนอกเลยก็ได้ ฉันจะเคลียร์รอบนี้ให้แล้วตามออกไป”

“ฉันช่วยก็ได้” ผมรีบเสนอ

“นายไปรอข้างนอก” แล้วโจก็พูดซ้ำประโยคเดิม “ฉันอู้งานมาเยอะแล้ว ไม่อยากทำไม่ดีฉลองวันเกิดตัวเอง ไปสิ”

ผมหลุดยิ้มออกมาตอนที่โจเอ่ยปากไล่ เพราะสีหน้าจริงจังนั่นขัดกับทุกบุคลิกที่เป็นโจ ความขยันและการอาสาทำโดยไม่ต้องให้ช่วยนั่นก็ขัดกับความเป็นโจเหมือนกัน

ผมปลดผ้ากันเปื้อนที่เกินเปื้อนไปแล้วออก ก่อนจะแขวนมันเข้าที่ประจำ สายตาหันไปมองโจที่ขะมักเขม้นกับการล้างจานในอ่างของตัวเองเป็นรอบสุดท้าย

“รอข้างนอกนะ” ผมกำชับ และทันทีที่โจหันมาพยักหน้ารับคำ ผมก็พาตัวเองออกจากห้องนั้น

รองเท้าผ้าใบย่ำแตะลงบนพื้นคอนกรีต ผมยกแขนทั้งสองข้างขึ้นกอดตัวเองหลวมๆ เมื่อร่างกายปะทะเข้ากับอากาศเย็นด้านนอก กลิ่นชื้นที่ลอยมาแตะจมูกกับพื้นถนนที่เปียกทำให้พอเดาได้ว่าฝนเพิ่งตกไปตอนที่ผมอยู่ในร้าน

“นั่นมันแรงมากนะ.. ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ฉันทำไม่ได้”

เสียงผู้หญิงที่ดังขึ้นดึงผมให้หยุดชะงัก ถึงเธอจะไม่ได้พูดขึ้นด้วยเสียงที่ดังมากมาย แต่เพราะระยะห่างที่มีอยู่น้อยนิดทำให้ผมได้ยินมันเข้าเต็มๆ

มุมถนน ถัดจากประตูหลังร้านที่ผมยืนอยู่ไป มีผู้หญิงรูปร่างดีในชุดเสื้อผ้ารัดรูป กับผู้ชายตัวสูงใหญ่อีกหนึ่งคน

พวกเขายังไม่รับรู้ถึงการมีตัวตนของผม

“ถ้ามีใครรู้.. ถ้าพวกเขารู้ว่าฉันเป็นคนทำ ฉันตายแน่ นายเข้าใจใช่ไหม ฉันทำไม่ได้หรอก” ผู้หญิงผมแดงยาวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงรัวเร็ว ก่อนที่ทั้งร่างจะถูกผลักชิดผนัง

“เธอทำได้สิ” เขาพูด ปลายนิ้วเรียวสัมผัสเข้าที่ข้างแก้มผู้หญิงเบาๆ “ไหนบอกว่าจะทำทุกอย่างที่ฉันขอไง”

“ไทเลอร์.. ขอร้องล่ะ”

ผมไม่ได้อยากมาอยู่ในสถานการณ์พวกนี้มากนัก ผมไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเขาและไม่รู้ว่าพวกเขากำลังพูดเรื่องอะไร

แต่สถานการณ์ในตอนนี้บีบบังคับและกดดันแม้แต่กับผมที่เป็นคนนอก

ผมทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากภาวนาให้โจรีบจัดการงานพวกนั้นของเขาแล้วออกมาเร็วๆ และเบือนหน้าหนีออกจากชายหญิงคู่นั้น เผื่อว่ามันจะทำให้ผมกลายเป็นคนสอดรู้สอดเห็นน้อยกว่านี้

“แค่หาทางใส่ยานี่ลงไป อย่าให้ใครเห็น แค่นั้นเอง ถ้าไม่มีใครเห็น ก็จะไม่มีใครรู้ว่าเธอทำ ทำเพื่อฉันได้ใช่ไหม.. และต่อให้เธอโดนจับได้ เธอก็จะไม่ตายเพราะฉันจะไม่ให้ไอ้หน้าไหนมาแตะเธอ”

“…”

“เลือกเอาสิ เพราะว่าถ้าเธอยังไม่ยอมทำ..” ผมหลับตาแน่น ยังคงย้ำคำเดิมว่าอยากพาตัวเองออกไปจากที่ตรงนี้เดี๋ยวนี้

ผมยกมือขึ้นกุมรอบหัวตัวเอง ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งยองๆ พลางใช้หลังพิงผนังอิฐนอกร้าน ก่อนที่ดวงตาจะเบิกกว้างกับประโยคถัดไปที่ได้ยิน

“ฉันจะเป็นคนฆ่าเธอเอง ตอนนี้เลย”

 







“จะแวะซื้ออะไรเข้าไปเลยไหม แวะร้านของเบิร์คเบอร์ตันก็ได้” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นใกล้ตัวกระตุกให้ในผมเต้นผิดจังหวะไปวูบหนึ่ง ความลนลานประหลาดๆ ถูกซัดขึ้นสมอง พร้อมๆ กับคำสบถ ก่อนที่ผมจะรีบเหลือบตาไปมองทางอีกฝั่งทันที

แย่แล้ว..

พวกเขารับรู้ถึงการมีตัวตนของผม

“เฮ้ นายเป็นอะไร” โจเอี้ยวตัวมาดักหน้า เขาขมวดคิ้วพลางทำหน้าสงสัย ผิดกับอีกสองคนที่เหลือ..

ผู้ชายคนนั้นตีหน้าเรียบ เขาจ้องผมไม่วางตา แต่ก็ไม่ได้ทำท่าจะก้าวเข้ามาหรือทำอะไรมากไปกว่าจ้องมอง

เป็นการจ้องมอง.. ที่ทำให้รู้สึกไม่ดี

โจหยุดโบกไม้โบกมือผ่านหน้าผมเมื่อเห็นผมไม่เล่นตัว เขาค่อยๆ หันไปมองตามทิศทางเดียวกับผม ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนไปแทบในทันที

มันนิ่งเรียบ แล้วก็กลายเป็นการยิ้มกว้าง

“โทษทีพี่ชาย พวกเราแค่ผ่านมา ถ้าเผลอขัดอะไรก็ขอโทษด้วยนะ!” เสียงตะโกนดังลั่นด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรจนเกินพอดี โจผงกหัวเบาๆ สองสามครั้ง ก่อนจะคว้าข้อมือผมแล้วออกแรงกระชากให้เดินไปอีกทาง

“ทำไมพวกนั้นถึงจ้องนายแบบนั้น” โจถามเสียงเบา ขณะที่เท้ายังก้าวไปข้างหน้าไม่หยุด

ผมไม่ตอบ

และใช่ ในขณะเดียวกัน ก็นึกถึงสิ่งที่เพิ่งได้ยินมา

‘ฉันจะเป็นคนฆ่าเธอเอง ตอนนี้เลย’

นั่นเป็นการข่มขู่.. ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรจะต้องพูดอะไรหรือเปล่าในตอนนี้ เกี่ยวกับสิ่งที่เพิ่งรับรู้มา พวกเขาสองคน ดูเหมือนเป็นคู่รักกัน ถ้ามองผ่านๆ การสัมผัสและการเข้าใกล้ในระยะนั้น ถ้าอยู่ในมุมไกลๆ ใครๆ ก็คิดว่าเป็นหนุ่มสาวมาพลอดรักกัน

แต่นั่น.. มันคือการข่มขู่

“ไม่รู้สิ” ผมตอบกลับไปสั้นๆ ก่อนจะอ้าปากหอบหายใจเข้าปอดเพราะโจยังคงลากผมให้เดินเร็วจนแทบจะเป็นวิ่งไม่เลิก “ปล่อยได้แล้วโจ”

“อะ .. โทษที” อีกฝ่ายหยุดชะงัก มือที่เคยบีบข้อมือผมไว้ชูค้างกลางอากาศ

“อือ” ผมส่งเสียงตอบในคอ หันซ้ายหันขวามองรอบตัว มันเป็นที่ที่ผมไม่คุ้นเคย เพราะว่าเราเดินมาทางถนนด้านหลังของร้าน ผ่านย่านที่อยู่อาศัยที่ผมไม่แม้แต่จะเคยคิดเข้าไปสำรวจ ถนนเปลี่ยวๆ ไร้รถรา กับไฟข้างทางที่ส่องออกมาริบหรี่ผ่านกระจกครอบเก่าๆ

“เดินต่ออีกหน่อย เดี๋ยวก็ถึงแล้วล่ะ ผ่านร้านเบอร์ตันมาแล้ว แต่ใต้ตึกก็มีขายอยู่เหมือนกัน ถึงยัยบ้านั่นจะพูดมากก็ตามเถอะ”

โจเปลี่ยนเรื่อง เขาเริ่มออกตัวเดินช้าๆ อีกครั้ง พร้อมท่าทางลุกลี้ลุกลนแปลกๆ ที่ค่อยๆ จางหายไป

“รู้จักเหรอ” ผมถาม ล้วงฝ่ามือทั้งสองข้างเข้ากระเป๋ากางเกง “พวกนั้น..”

“หือ?”

ผมปรายตามองโจ ก่อนจะก้มหน้าลงมองปลายรองเท้าผ้าใบตัวเองที่ก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ “พวกนั้น ผู้หญิงผมสีแดง กับผู้ชายที่ข้างกำแพงร้านนั่น”

“นายไม่ได้รู้จักเธออยู่แล้วเหรอ” เขาย้อนถาม

และผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป

“ไม่รู้สิ ถ้าหมายถึงผู้ชายคนนั้น แต่ถ้าผู้หญิงผมแดง.. นายไม่รู้จักเธอก็เป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว นั่นน่ะนีย่า” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “เธอไม่มีอะไรหรอก นอกจากทำตัวเหมือนอีตัวไปวันๆ เข้าร้านเสริมสวย แล้วก็เที่ยวไล่เคาะประตูบ้านคนในแก๊งค์”

ผมชะงักกับประโยคที่ได้ยิน การกระทำนั้นอยู่ในสายตาของโจ อีกฝ่ายจึงพูดต่อเบาๆ “นั่นสินะ.. ฉันก็แปลกใจว่าทำไมนายถึงไม่รู้จัก ในเมื่อนีย่าคนนั้น เป็นพวกเดียวกันกับเดฟของนาย”

“อะไรนะ” ผมทวนคำ เงยหน้าขึ้นสบตาโจ ท่าทางแปลกๆ และประโยคพวกนั้นดังลั่นอยู่ในหัวของผมซ้ำไปซ้ำมา

เรื่องยา.. การข่มขู่.. แก๊งค์..

นั่นสินะ ผมก็น่าจะรู้สึกอะไรบ้าง

พวกนั้นดูน่ากลัว ผมเองก็รู้อยู่ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น.. น่ากลัว ไม่ต่างจากผู้ชายอีกคนที่ผมรู้จัก

จนถ้าบอกว่าเป็นพวกเดียวกัน ผมเองก็ไม่ควรจะแปลกใจ

“นีย่า ผมสีแดงที่นายพูดถึง ฉันกำลังบอกว่าเธอเป็นพวกเดียวกันกับเดฟที่นายอยู่ด้วย.. เอาจริงนะ ฉันไม่เข้าใจนายเลยว่ะ ฉันก็เคยเตือนไปแล้ว ว่าพวกนั้นอันตรายแค่ไหน นายก็ยังวนเวียนอยู่รอบๆ พวกนั้น นาย..” โจเว้นจังหวะไป เขาหันมาจ้องผมด้วยแววตาจริงจัง “นาย เป็นอะไรกับเดฟกันแน่”

.. ลมหายใจผมสะดุดไปในเสี้ยววินาที

นั่นเป็นคำถามที่ดี นั่นเป็นคำถามที่ดีจริงๆ

ผมเองก็อยากรู้ ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ แล้วกำลังมีตัวตนอยู่ในสถานะไหนกันแน่ในตอนนี้

สิ่งที่เดฟทำนั้นชัดเจน ทั้งการกระทำ คำพูด จนผมน่าจะรู้ทุกอย่างแล้วแท้ๆ

แต่ในเสี้ยวพริบตาหนึ่ง.. ผมก็นึกคิดได้

ว่าผมไม่รู้อะไรเลย

ในความชัดเจนที่ผมได้รับ มีความกำกวมแฝงอยู่เต็มไปหมด ผมอยู่กับเดฟ และดูเหมือนจะรู้จักเขาดีกว่าใคร เพราะเวลาที่ใช้ร่วมกันในบ้านมันยาวนานมากกว่าหนึ่งหรือสองชั่วโมงต่อวัน

แต่ผมก็ไม่รู้อะไรเลย ในความเป็นจริง

ปัญหา อาจจะไม่ได้อยู่ที่เดฟ แต่เป็นตัวของผมเองก็ได้

ผมสบตากับโจ ความมืดที่ปกคลุมทำให้มองเห็นอะไรอะไรไม่ชัดเจนเท่าที่ควร โจดูเลือนราง และเสียงของผมก็ฟังดูห่างไกล



“ฉันเอง.. ก็อยากรู้คำตอบนั่นเหมือนกัน”









โจนิ่งไปตอนที่ได้ยิน

ผมไม่รู้ว่าโจกำลังคิดอะไรอยู่ ภายใต้ใบหน้านิ่งเรียบ กับรอยยิ้มที่เปื้อนเล็กๆ ตรงมุมปาก โจจ้องผม และปล่อยให้ความเงียบทำงานระหว่างเรา

“บางที อาจจะเป็นคนแปลกหน้าที่บังเอิญมีโชคให้คนเห็นอกเห็นใจ” ผมสานต่อประโยค เมื่อคิดว่าบรรยากาศรอบตัวแปลกไป

แล้วโจก็ยิ้มกว้าง ฟันสีขาวสบกันสนิทเผยให้เห็นในสายตา

เขาดูเหมือนขบขันกับสิ่งที่ผมพูด แต่ในอีกมุมหนึ่ง ก็ดูจะไม่เป็นแบบนั้น

“อาฮะ.. อาจจะ” เขาหรี่ตาลงข้างหนึ่ง ก่อนจะกลับมาทำสีหน้าปกติ บทสนทนาระหว่างเราชะงักไปร่วมนาที ผมกับโจเดินต่อไปเรื่อยๆ บนทางเท้าที่ปกคลุมไปด้วยเงาจากต้นวิลโลว์ ผมกวัดแกว่งมือตัวเองไปในอากาศ กลบเกลื่อนความจืดเจื่อนที่เกิดขึ้นรอบตัว

เสียงโซ่จักรยานดังขึ้น ก่อนจะเผยให้เห็นเด็กวัยรุ่นผู้ชายคนหนึ่งปั่นมันผ่านไป หมวกกันกระแทกสีส้มสด เสื้อยืดสีฟ้าซีดๆ กับกางเกงสามส่วน

ผมมองตามจักรยานนั่นจนมันหายไปในความมืด รอยยิ้มอ่อนล้าถูกวาดขึ้น ก่อนจะจางหายไปในเวลารวดเร็ว

“เขาได้อะไร” แล้วโจก็ถามขึ้นมา เขามองตรงไปข้างหน้า มีเพียงเสี้ยววินาทีที่ดวงตาสีสว่างนั่นเหลือบมาสบกับผม

“นายได้ที่พัก อาจจะ.. อาหารฟรี นายได้งานทำ” โจพูดต่อ “แล้วเขา.. ได้อะไร”

นั่นเป็นคำถามที่ผมรู้ดี ว่าผมไม่สามารถตอบได้ แม้จะด้วยการคาดเดาก็ตาม

เพราะมันก็เป็นสิ่งที่ผมพยายามหาคำตอบมานานเหมือนกัน หมายถึงคำตอบที่เป็นความจริงจริงๆ

“ไม่รู้สิ บางทีเขาอาจจะเป็นพวกชอบเล่นเกมเลี้ยงตุ๊กตาก็ได้” ผมตอบส่งๆ เพราะในสมองว่างเปล่าเกินกว่าจะคิดคำตอบที่เข้าท่ากว่านี้ได้

โจหยุดเดิน เขาหันหน้ามาจ้องผมแทบจะในทันที ความจริงจังถูกกระตุกให้เพิ่มขึ้นสูง

“นายจะไม่พูดแบบนั้น” ผมยิ้มกับสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะโคลงหัวเล็กๆ และไม่พูดอะไรต่อ

“เราถึงแล้ว” โจพยักเพยิดไปทางข้างหน้า ร้านขายของเก่าๆ พร้อมกับป้ายไฟว่า [เปิด] ติดยื่นออกมาจากอิฐเก่าๆ หน้าร้าน “นายจะดื่มอะไร”

“ตามใจเจ้าภาพสิ” ผมยักไหล่ มองเข้าไปในกระจกใสๆ ผู้ชายแก่ผมสีดอกเลายืนอ่านอะไรสักอย่างอยู่ตรงเคาน์เตอร์ และผู้หญิงผิวแทนรูปร่างดียืนม้วนผมหยิกสีดำสนิทของตัวเองอยู่ด้านใน โจกลอกตาขึ้นด้านบน ดูเหมือนครุ่นคิด ก่อนจะยิ้มกว้างแล้วผละตัวไป

สามนาทีเท่านั้น ทีผมยืนกอดอกอยู่นอกร้าน จ้องมองโจเดินเข้าไปเลือกหยิบของด้วยความรวดเร็วเหมือนคิดทุกรายการก่อนแล้ว เบียร์ขวด 2 แพคห้อยนิ่งอยู่ตรงปลายนิ้วชี้ทั้งสองข้าง และขนมเคี้ยวเล่นในอ้อมแขน ผมเห็นโจทำสีหน้าเหนื่อยหน่ายตอนรอคิดเงินตรงเคาน์เตอร์ ขณะที่ผู้หญิงผมดำคนนั้นกำลังพูดอะไรสักอย่าง

ไม่นานนักเขาก็เดินออกมา โยนเบียร์ให้ผมถือหนึ่งแพค “รับไป”

“ไม่คิดว่านี่เยอะเกินไปเหรอ สำหรับพรุ่งนี้ที่ไม่ใช่วันหยุดด้วยซ้ำ” ผมเลิกคิ้ว เริ่มก้าวไปข้างหน้าเอื่อยๆ พลางเหลือบมองโจที่เดินตีคู่อยู่ข้างๆ

“ฉันไม่คิดว่านี่เยอะเกินไป” เขาทวนคำตอบ และหรี่ตาลงอีกครั้ง พร้อมสีหน้าเหมือนกับจะพูดคำว่า ‘งั้นๆ’ หรืออะไรทำนองนั้น

ผมหลุดหัวเราะ ไม่ได้คาดหวังให้โจยอมรับและพูดออกมาว่านี่มันมากไปตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ดูก็รู้ เผลอๆ ผู้ชายคนนี้อาจจะเป็นพวกที่ผลาญเงินค่าจ้างตัวเองไปกับการซื้อเบียร์มาเทราดตัวเองทุกวันก็ได้

“เดินต่อไปอีกไม่กี่ช่วงตึก โจก็หยุดนิ่งหน้าตึกเก่าๆ เขาก้าวขึ้นบันไดสีเงินขึ้นสนิมไปจนถึงชั้นสอง ก่อนจะหันกลับมาจ้องผม พร้อมกับเริ่มส่งสัญญาณบอกใบ้อะไรสักอย่างที่ผมไม่เข้าใจ

“อะไร” ผมถาม

“นี่.. หยิบกุญแจที ในกระเป๋ากางเกง” เขาสั่ง พยักหน้าลงต่ำสองสามครั้ง

ผมขมวดคิ้ว ก้าวเข้าไปใกล้ แพคเบียร์ถ่วงน้ำหนักอยู่บนแขนซ้าย “ไหน กระเป๋าข้างไหน”

“ไม่ ไม่ ไม่ใช่ข้างนั้น กระเป๋าซ้าย”

“เดี๋ยว” ผมพูด ย้ายเบียร์ที่ถืออยู่ไปกอดไว้อีกข้าง ก่อนจะสอดมือเข้าไปควานหากุญแจตามที่โจบอก ขณะที่เจ้าตัวจ้องผมไม่กะพริบ

“เจอแล้ว” ผมบอก เมื่อปลายนิ้วแตะเข้ากับโลหะและหนังเล็กๆ ซึ่งพอหยิบออกมาก็ปรากฎเป็นที่ห้อยกุญแจหนังสี่เหลี่ยมเรียบๆ สีน้ำตาล

“เจอแล้ว โจ” ผมทวน ยื่นสิ่งที่ถืออยู่ให้คนตรงหน้าที่ยังนิ่งค้างอยู่กับที่ “โจ”

“ฮะ.. โอเค.. โอเค” เขาพูดรัว หลบทางให้ผมบนบันไดที่คับแคบ “ขึ้นไปชั้นสาม แล้วไขประตูนั้นล่ะ”

ผมเม้มปาก แต่ก็ทำตามง่ายๆ ด้วยการเดินเบียดผ่านอีกร่างไป บันไดสั่นไหวเบาๆ เมื่อผมก้าวผ่าน เพราะบันไดนี่เชื่อมอยู่ข้างๆ ตึก และแต่ละชั้น มีประตูเพียงแค่หนึ่งบานสำหรับการเข้าห้องหนึ่งห้อง

ผมเสียบกุญแจเข้าไป หมุนขวา จนได้ยินเสียงกริ๊กเบาๆ

“เข้าไปเลย”  เสียงของโจสนับสนุนอยู่ด้านหลัง

“ขออนุญาตด้วย” ผมพูดเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ  ดันประตูให้เปิดออก ภายในมืดสนิทจนต้องเอื้อมฝ่ามือควานแตะข้างหน้าเผื่อว่ามีสิ่งกีดขวางอะไร

แล้วทั้งห้องก็สว่าง โจถอนหายใจออกมาหนักๆ พร้อมใช้เท้าดันประตูให้ปิดสนิทกลับไปเหมือนเดิม ขณะที่ผมกวาดตาสำรวจรอบๆ ห้อง

ห้องขนาดไม่ใหญ่มากนัก ผนังสีครีม ตัดกับอีกด้านที่เป็นสีเขียวมะนาวลอกๆ.. ผมจ้องมันอยู่นาน เปรียบเทียบกับบุคลิกของเจ้าของห้องที่ก้าวมายืนข้างๆ

“ใช่.. ฉันไม่ค่อยชอบมันเท่าไหร่นักหรอก แต่ก็ขี้เกียจเกินกว่าจะลุกขึ้นมาจัดการอะไรๆ ให้เป็นไปตามที่ต้องการ” เขาแก้ตัว ปัดป่ายปลายนิ้วไปที่สีเขียวสด

“อาฮะ” ผมส่งเสียงตอบในลำคอ ส่งยิ้มล้อออกไปเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้ามองอย่างอื่นต่อ โซฟาสามที่นั่งสีน้ำเงินเข้มติดหน้าต่างสีขาวกับผ้าม่านเก่าๆ สีเดียวกัน พื้นปูกระเบื้องสีเทามีลาย พรมเช็ดเท้าที่เหมือนผ่านการใช้งานมาอย่างสมบุกสมบันกลางห้อง โต๊ะไม้เล็กๆ วางข้างกับโซฟาสีน้ำเงินอีกฝั่งหนึ่ง

ที่เหลือก็.. ขวดเบียร์ ขวดเบียร์ ขวดเบียร์ กระป๋องเบียร์ และถุงบุชคอร์เนอร์

“ไม่มีอะไรมากนักห้องนี้” เขาพูดอย่างไม่แยแส ก่อนจะเดินนำไปยังประตูบ้านเล็กที่ติดอยู่ “นี่ห้องนอน”

ถึงผมจะไม่มีความต้องการจะดูห้องที่นับว่าเป็นพื้นที่ส่วนตัว แต่ถ้าเจ้าบ้านกระตือรือร้นที่จะโชว์มัน ผมก็ไม่ขัดอะไร

“ที่นอนนี่ ฉันซื้อมันมาจากทอม รู้ไหม เขาเป็นไอ้เพี้ยนที่เมาจากเหล้าที่ขโมยมาจากหลังบาร์ แล้วก็เดินร้องเพลงเสียงดังไปตามถนนตอนกลางคืน ไอ้เพี้ยนที่เป็นคนจรจัด มีเตียง และฉันซื้อมันต่อมาจากเขา” โจดูจะภูมิใจกับสิ่งที่กำลังอวดอยู่ไม่น้อย เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นกอดอก “70 เหรียญ กับเบียร์อีกหนึ่งลัง.. 70 เหรียญเท่านั้น ฉันจ่ายไปง่ายๆ ไม่ต้องง้อพวกเตียงงี่เง่าราคา 400 เหรียญจากอิเกียห่าเหวอะไรนั่นด้วยซ้ำ”

เขาเบ้ปากในตอนท้าย ก่อนจะหันมายิ้มกว้างให้ผมพร้อมหลิ่วตา “ถ้านายอยากได้บ้าง ฉันหาให้ได้นะ”

ผมยกไหล่ขึ้นเล็กน้อย “จะจำประโยคนั้นไว้ ขอบคุณ”

“ดื่มเถอะ เปิดเบียร์เลย” เขาตัดประโยค ปิดไฟห้องนอนที่ไม่มีอะไรมากไปกว่าที่นอนบนพื้น กับโคมไฟและราวแขวนเสื้อเก่าๆ ใกล้พัง

“ฉันสบายใจนะรู้ไหม” เขาเริ่มชวนคุยอีกครั้ง หลังจากที่ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ผมเอนหลังพิงโซฟา พักขวดเบียร์ไว้บนเข่าที่สอดขัดสมาธิกันอยู่บนพื้น “อยู่ที่นี่ มันเป็นสวรรค์ของฉันเลย ถึงแม้สภาพจะดูเหมือนนรกก็ตาม”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก” ผมพูดขัด “ที่นี่ก็ไม่เลว อย่างน้อยนายก็จ่ายค่าที่ซุกหัวนอนนี่ด้วยตัวนายเอง”

โจชะงักเล็กๆ เขาวางขวดเบียร์ลงบนพื้น ดวงตาสีอ่อนจ้องผมราวกับจะคาดคั้นเอาคำตอบ

“นายไม่ได้จ่ายหรอกเหรอ” เขาหรี่ตา

พลาด ..

ผมพลาดอีกแล้ว

“จ่ายสิ” ผมแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่แห้งผากเบาๆ ก่อนจะขบฟันลงบนปากล่างแล้วฉีกยิ้มกลวงๆ แรงกดดันเพิ่มมากขึ้นเพราะโจเอาแต่จ้องไม่หยุด “อย่ามองฉันแบบนั้นน่ะ”

“เท่าไหร่” เขาถามจี้

“อะไร”

“นายจ่ายเงินเท่าไหร่ ในการเข้าไปอยู่ในบ้านหลังนั้น อยู่ในความคุ้มครองของผู้ชายคนนั้น”

รอยยิ้มที่ปรากฎอยู่บนหน้าเริ่มเลือนหายไป จนกลายเป็นใบหน้านิ่งสนิทโดยสมบูรณ์ ผมสบตากับโจ ก่อนจะหลุบตาลงมองปากขวดเบียร์ที่ถืออยู่

“300 เหรียญ” ผมตอบไปสั้นๆ เสียงหัวเราะเสียดสีดังออกจากลำคอตรงหน้า

โจกะพริบตา มีความเคลือบแคลงสอดแทรกอยู่ในนั้น

“นายจ่าย 300 เหรียญ แล้วได้อยู่ในบ้านแสนอบอุ่นนั่นเหรอ” เขาเอียงหัว “300 เหรียญ ที่ถูกกว่าที่นอนในอิเกียห่วยๆ นั่นอีก แล้วได้อยู่ที่นั่นน่ะนะ”

“...” ผมเงียบ ภายในเต้นกระตุกด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด ผมกลืนน้ำลายลงคอ รู้ดีว่านั่นเป็นสิ่งที่แปลก แต่ก็ไม่คิด ว่าจะแปลกขนาดที่ทำให้โจแสดงอาการหัวเสียออกมาแบบนี้

“คนแปลกหน้าที่บังเอิญได้รับความเห็นอกเห็นใจ นายคิดว่างั้นเหรอ” เขาถามเสียงสูง “รู้ไหมว่านี่มันห่างไกลจากคำว่าเห็นอกเห็นใจมาไกลมากแค่ไหน”

ผมทิ้งสายตาลงที่ขวดเบียร์เนิ่นนาน ไม่มีความคิดที่จะเลื่อนมันขึ้นมาสบกับโจเลยแม้แต่น้อย ความคิดในหัวตีกันยุ่งไปหมด พันกันยุ่งเหยิงเหมือนกับเชือกโง่ๆ ที่หาทางแก้ไม่ได้

“รู้ไหม.. หมาน่ะ มันไม่ยกกระดูกหรือบ้านของตัวเองให้ใครง่ายๆ หรอกนะ โดยเฉพาะจากความ ‘เห็นอกเห็นใจ’.. ยิ่งกับหมาที่ฉลาด ฉลาดมากๆ พอๆ กับความหวงของที่มีอยู่ในสายเลือดน่ะ”

“...”

“นายจะรู้ได้ยังไง ว่าเขาไม่ได้มีอะไรที่อยากได้จากนายจริงๆ” ผมขบฟันลงปากล่างตัวเอง สติถูกดึงกลับมาพร้อมกับความรู้สึกเหมือนโดนตบเข้าจังๆ ที่บ้องหู

อะไรที่อยากได้จากผม

ผมรู้ว่าเดฟต้องการอะไรจากผม ผมรู้แน่นอน ในเมื่อเขาเป็นคนประกาศมันชัดเจนแบบนั้น

แต่ผมแค่ไม่รู้..

ว่าสิ่งที่ผมเข้าใจในตอนนี้ มันถูกต้องและตรงกับความเป็นจริงมากแค่ไหน

“รู้ใช่ไหม ว่าพวกเขาอันตราย” โจกระซิบ มองผมด้วยสายตาจริงจัง และแฝง

.. ความเว้าวอน

“อย่าตกเป็นเครื่องมือของพวกนั้น” โจทำเสียงขึ้นจมูก และในช่วงเวลาที่ผมกำลังใช้ความคิดกับตัวเองอย่างถึงที่สุด ฝ่ามืออุ่นแตะเบาๆ ลงบนหัวเข่า

สายตาจริงใจและขอร้องจากคนที่ผมนับเป็นเพื่อนถูกส่งมาตรงๆ

 

“ย้ายมาอยู่ด้วยกันกับฉันไหม”



____
#เดฟฟลอยด์

1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.13 Strange Brew (25/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 25-01-2017 18:48:43
เจนิน พยายามทำทุกอย่างด้วยตนเอง
แม้ค่าแรงที่ได้จะน้อยมาก
แม้งานล้างจานนั้นจะซ้ำซาก แสบมือ แล้วก็เสียงดัง
แม้เดฟ จะขี่รถไปรับ ก็ขอเดินกลับเอง
โจ คิดไรกับเจนิน ชวนเจนินมาอยู่ด้วย
แต่โจ ปกป้องเจนินได้หรือ  :katai1: :katai1: :katai1:
มีคนเข้าหาเจนินตลอด
เจนิน จะตัดสินใจอย่างไร ในเมื่อเดฟบอกแล้ว
ฟลอยด์ไปไหนก็ตาม จะต้องอยู่ในสายตาเดฟ  :ling1: :ling1: :ling1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.15 A Punch And A Kiss (25/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mecinzano505 ที่ 25-01-2017 21:43:20

15_
A Punch And A Kiss




ความจริงจังที่ได้รับ ทำให้เกิดความลังเล

“โจ..” ผมพึมพำ ในช่วงหนึ่ง ก็เป็นเหมือนแค่การเปล่งเสียงกับตัวเอง เจ้าของชื่อไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เขาพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ ก่อนที่มือจะคว้าจับขวดเบียร์ขึ้นมาจรดริมฝีปาก

“นายเก็บกลับไปคิดก่อนก็ได้.. ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนหรอก” โจพูดช้าๆ “เก็บกลับไปคิดดีๆ”

ใช้เวลาไม่นานนักในการไตร่ตรองสิ่งที่เพิ่งได้ยิน ผมหลุบตาลงมองปลายนิ้วตัวเอง จรดจ้องมันเนิ่นนาน

โจเป็นเพื่อนที่ดี เขากำลังจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือผม ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ลำบากพออยู่แล้ว

มันก็อาจจะจริง ที่ว่าย้ายมาอยู่ที่นี่จะสร้างความรู้สึกสบายใจให้กับตัวเองได้มากกว่า แต่มีบางอย่าง ที่ดึงรั้งผมเอาไว้

“เรา.. มีอะไรติดค้างกันอยู่” ผมเปรย รับรู้ได้ถึงสายตาที่มองตรงมา “ฉัน กับผู้ชายคนนั้น”

เสียงขวดแก้วปะทะกับพื้นดังเข้าโสตประสาท โจดื่มเบียร์ในมือไปเรื่อยๆ ตั้งใจฟังสิ่งที่ผมกำลังจะสื่อสารโดยไม่ขัด ขณะที่ผมเลื่อนสายตาขึ้นสบกับอีกฝ่าย

“รู้ไหม ตอนที่ฉันลำบาก เขาก็เป็นหนึ่งคนที่ยื่นมือเข้ามาช่วย”

“นายไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องการตอบแทนบุญคุณทุกคนที่เข้ามาทำดีกับนายหรอกนะ” โจขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงห้วนแข็ง ก่อนที่เขาจะรีบปรับให้มันกลับสู่โทนปรกติ “มีไม่น้อยเลย ที่ทำดีกับคนอื่นเพราะอยากได้อะไรสักอย่างตอบแทน”

ผมเงียบ ลอบขบฟันลงบนริมฝีปากล่างเบาๆ ขณะที่ในหัวกำลังทำงานอย่างหนัก ความเงียบที่ผมหยิบยื่นกลับไป ทำให้โจตัดสินใจยุติบทสนทนานี้

ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกหลังจากนั้น

ขวดเบียร์สลับผ่านเข้ามาในฝ่ามือ ขวดแล้วขวดเล่า พร้อมกับความหนืดหน่วงที่เกาะค้างอยู่ในดวงตา ลมหายใจที่เต็มไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์ไม่ทำให้ผมหยุดการดื่มกินมัน

เพราะมีบางอย่างในหัว รบเร้าจนผมปล่อยให้ตัวเองอยู่เฉยๆ ไม่ได้

ความเยียบเย็นไล่ลามผ่านปลายเท้า ผมทิ้งศีรษะตัวเองลงบนโซฟาที่พิงอยู่ ได้ยินเสียงโจพึมพำอะไรสักอย่างที่ผมจับรูปประโยคไม่ได้

ดวงตาหรี่ปิดลงช้าๆ ทิ้งผมให้จมดิ่งอยู่กับความมืดที่สร้างขึ้นด้วยตัวเอง

มีอะไรบางอย่างสัมผัสแผ่วเบาที่สันกราม..

มันคือปลายนิ้วของโจ ตอนที่ผมลืมตาขึ้นมอง

ดวงตาสีอ่อนทอดมองมานิ่ง กับเส้นผมสีบลอนด์สว่างที่ตกลงจนระผิวแก้ม ผมกะพริบตาถี่ๆ ก่อนที่อะไรบางอย่างในตัวจะกระตุกรุนแรง พร้อมกับฝ่ามือที่ยกขึ้นปัดมือของโจออกไป

“อย่าจับ..” น้ำเสียงของผมแหบพร่า มันเป็นเสียงที่ดังก้องอยู่ในหัว เสียงที่กำลังตะโกนความคิดเห็นที่มีต่อร่างกายตัวเอง ความคิดเห็นที่มีต่อการสัมผัสร่างกายจากคนที่ผมไม่ได้รู้สึกอะไรด้วย

ปลายนิ้วจิกลากผ่านผิวเนื้อของตัวเอง ผมไม่แน่ใจ ว่ามันเป็นพฤติกรรมที่เกิดจากอะไรกันแน่ สาเหตุ คือผม หรือคนตรงหน้า

โจชะงักไป เขาเหยียดหัวเราะออกมาแผ่วเบา ใบหน้าส่ายไปมาราวกับไม่เห็นด้วย

“แม้แต่ในสิ่งที่สกปรก ก็ยังมีความงาม นายไม่คิดงั้นเหรอ” ผมเม้มปากกับสิ่งที่ได้ยิน ความรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวมาพร้อมกับการต่อต้านที่ผมห้ามไม่ได้

มันไม่ใช่แบบนั้นหรอก ..

“นายไม่เหมือนกับที่นายคิดหรอก” โจกระซิบ ดวงตาทิ้งนิ่งที่ใบหน้าของผม “นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันชอบนาย”

ทั้งร่างของผมเกร็ง พร้อมกับอะไรบางอย่างที่กดทุกประสาทสัมผัสเอาไว้ โจขยับเข้ามาใกล้ ขณะที่ผมหลับตาแน่น เสียงหอบหายใจดังขึ้นถี่รัวในกกหู

กลิ่นแอลกอฮอล์ เสียงกระซิบพึมพำ และสัมผัสอุ่นที่แตะลงบนริมฝีปาก

ตัวผมไม่รับรู้ถึงอะไรทั้งนั้น

นอกจากการต่อต้าน ..

ที่ผมมีต่อร่างกายของตัวเอง





 

ความมืดภายในห้อง เป็นสิ่งแรกที่เข้ามาสู่การรับรู้ของผม

จากนั้นก็.. ขวดเบียร์ กลิ่นแอลกอฮอล์ โจ.. ที่นอนไม่ได้สติอยู่บนพื้น ห่างไปไม่ถึงสองเอื้อมมือ..

ความปวดหน่วงตรงท้ายทอย ไล่ลามจนถึงเบ้าตาและขมับ

ผมยกมือขึ้นแตะหน้าผากของตัวเอง เสียงสบถดังแผ่วเบาออกจากลำคอ ผมจำไม่ได้ ว่าตัวเองหมดสติไปตอนไหน ใช้เวลาเพียงไม่นานนัก ในการรื้อฟื้นความทรงจำล่าสุดที่เกิดขึ้น ผมก้มมองตัวเอง ก่อนจะเหลือบมองโจที่ยังนอนนิ่งอยู่ที่เดิม

เสื้อผ้าที่ยังอยู่ครบ ทำให้ผมคลายวิตก และลงความเห็นกับตัวเองไปว่าเราอาจจะเมาจนหมดสติไปทั้งคู่

แม้แต่ในสิ่งที่สกปรก ก็ยังมีความงาม ..

นั่นเป็นประโยค..

ที่ชวนให้รู้สึกดีแบบพิลึก

ในความคิดของผม มันแสดงถึงการยอมรับ ไม่ใช่การปัดป้องและปฏิเสธว่าผมไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่เป็นการยอมรับในสิ่งที่ผมเป็น

โจก็คือโจ ผมให้ความรู้สึกสบายใจยามอยู่กับโจในบางครั้ง

ก็เพราะว่าเราผ่านอะไรที่ไม่น่าจดจำมาเหมือนกัน ในอดีต ชีวิตที่แหลกเหลว ไร้จุดยืนมั่นคง

ผมค่อยๆ ดันตัวขึ้นยืน ถึงแม้ว่าผ้าม่านจะหนาจนบดบังเกือบทุกแสงที่สาดเข้ามาในห้อง แต่ผมก็ยังมองเห็นขวดเบียร์ระเกะระกะตามพื้นได้จากแสงสลัวๆ ฝ่าเท้าเดินหลบเลี่ยง และโค้งตัวลงไปเก็บพวกมันขึ้นมาใส่ถุงช้าๆ ให้เกิดเสียงรบกวนน้อยที่สุด

ผมยังไม่อยาก.. เผชิญหน้ากับเจ้าของห้องตอนนี้

ผมเม้มปาก จ้องมองโจเป็นครั้งสุดท้าย เส้นผมสีบลอนด์อ่อนคลอเคลียอยู่ตรงหน้าผาก จมูกโด่งได้รูป กับริมฝีปากที่เผยอออกเล็กน้อย

ผู้ชายคนนี้ มอบความหวังดีให้ผมอย่างเต็มที่ ผมไม่ได้รังเกียจโจ เขาเป็นคนหนึ่งที่ผมกล้าพูดได้ว่าดี

แต่ผมไม่คิดว่าตัวเองพร้อมจะรับมันมาในเวลานี้

“สุขสันต์วันเกิด” ผมพึมพำ ไม่ได้ตั้งใจจะให้ใครได้ยิน ก่อนจะพาตัวเองออกมาจากห้องนั้น ภายใต้ความเงียบที่จะไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกตัวและตื่นขึ้นมา

และเพราะว่าสถานที่ทำงานของผม อยู่ใกล้กับที่พักของโจมากกว่าบ้าน ผมถึงได้ตัดสินใจพาตัวเองตรงดิ่งไปที่ร้านทันที และตั้งใจจะอยู่ที่นั่นจนกว่าจะเริ่มเวลาทำงาน

Velveeta’s อยู่ห่างไปอีกไม่ถึงหนึ่งช่วงตึก แต่แค่นั้นก็มากพอแล้วที่จะทำให้ผมมองเห็นเรื่องบังเอิญแรกของวัน

ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ฝ่ามือยกขึ้นแตะแขนอีกข้าง ก่อนจะกำมันไว้หลวมๆ

เขายืนอยู่ตรงนั้น ปลายนิ้วเรียวยาวคีบบุหรี่สีขาวที่ผมจำกลิ่นได้แม้ไม่ได้เข้าไปใกล้

ดวงตาสีเข้มจับจ้องตรงมา

ทำให้ผมรู้สึกร้อนรน โดยไม่ต้องทำอะไรไปมากกว่านั้น

เดฟยืนอยู่ข้างฮาร์เลย์คันเดิม เขาไม่ส่งเสียงทักทาย ไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมาทั้งนั้น ร่างสูงทำเพียงแค่กะพริบตา สูบอัดควันสีมัวเข้าไปในร่างกาย และส่งสายตาที่ทำให้รู้สึกกดดันมา

ผมค่อยๆ เดินเข้าไปหาอีกฝ่ายช้าๆ ถึงจะรู้ดีว่าการยืดถ่วงเวลาไม่ได้ช่วยให้ผมหลุดพ้นจากสถานการณ์นี้ก็ตาม

แล้วเราก็เผชิญหน้ากัน ผมหลุบตาลงมองปลายเท้า ก่อนจะเลื่อนขึ้นสบดวงตาสีเข้ม มองเห็นร่อยรอยประหลาด พร้อมกับมุมปากที่หยักโค้งขึ้นทำรอยยิ้มเล็กๆ

เป็นรอยยิ้ม ที่เหมือนแช่เอาทุกความรู้สึกของผมให้ด้านชา

“คุณมาทำอะไรที่นี่” น้ำเสียงของผมแหบแห้ง ลมเย็นๆ พัดแตะข้างใบหู

เวลายังไม่ถึงเที่ยงวัน กิจวัตรประจำวันของเดฟ ไม่สมควรจะมาเฉียดละแวกนี้ด้วยซ้ำ

เดฟหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ขัดกับดวงตาที่นิ่งจนน่ากลัว “ฉันตั้งใจมาดู เผื่อว่าร้านนี้ใช้งานนายหนักจนสลบไป หรือกักไว้เป็นแรงงานทาสจนทำให้กลับบ้านไม่ได้”

ฉับพลัน รอยยิ้มก็เลือนหายไปจากใบหน้าราวกับสับสวิตซ์

“แต่ดูจากกลิ่นเบียร์.. แล้วก็การเดินมาจากทางอื่น” เดฟชะงักคำพูดไปชั่วครู่ “เดาว่าฉันคงเป็นคนเดียวที่นั่งแทบไม่ติดที่เมื่อคืน”

เดฟก้มหน้าลงเล็กน้อย ก่อนที่ดวงตาสีเข้มจะช้อนขึ้นจ้องผมเขม็ง

“สนุกหรือเปล่าล่ะ” เดฟถาม

ผมเม้มปาก ทั้งๆ ที่อยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่หัวสมองของผมก็ตื้อเกินกว่าจะคิดอะไรที่เข้าท่าได้ตอนนี้

ทุกอย่างไม่ใช่ความผิดพลาด ผมไปที่นั่นด้วยความตั้งใจของตัวเอง และผมรู้ดี รู้ด้วยสติที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ตอนที่ไม่ได้หาทางติดต่อกับเดฟเมื่อคืน

“ผมแค่ ไปดื่ม ฉลองวันเกิดเพื่อนร่วมงานเท่านั้น เขา.. ขอให้ผมไปด้วย” ผมอธิบาย พยายามสบตากับเดฟตรงๆ เพื่อยืนยันสิ่งที่พูด “แต่ผมก็ต้องขอโทษด้วย ที่ไม่ได้บอกคุณก่อน”

เดฟเบือนหน้าหนีทันทีที่ผมพูดจบ เขาทิ้งสายตาไปที่ถนน คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน

ท่าทางนั้นหยุดทุกการกระทำและความคิดของผมไปเลย

“เราจะคุยเรื่องนี้กันทีหลัง” เขาตัดบท “กลับเข้าไปข้างในซะ”

อาจจะเป็นเพราะผมที่ยังไม่ทันตั้งตัว.. เท้าถึงได้ชาหนึบและยังปักหลักยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

เดฟทิ้งบุหรี่ที่ถืออยู่ลงบนพื้น ไฟสีแดงปะปนอยู่ที่ปลายมวน ก่อนจะดับไปเองในที่สุด

อากาศรอบตัวเย็นเยือก.. เพราะเป็นช่วงเวลาเช้า ลมหนาวพัดกรีดผิวหนังจนชา แต่นั่นเทียบไม่ได้เลย เมื่อเดฟเหยียดยิ้มหยันขึ้นเล็กๆ อีกครั้ง เปลือกตากะพริบแผ่วเบา ซ่อนความรู้สึกนึกคิดที่ผมไม่แม้แต่จะสามารถอ่านออก

“ไปสิ..” เขาออกคำสั่งอีกครั้ง พร้อมกับดวงตาที่แข็งกร้าวขึ้น “กลิ่นที่ติดมากับนาย กำลังจะทำให้ฉันสติแตก”

และนั่นเป็นเสียงสุดท้าย ที่ผมได้ยินจากปากของเดฟในเช้าวันนี้

ก่อนที่ผมจะค่อยๆ ถอยหลัง แล้วพาตัวเองกลับเข้าไปข้างในร้านให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

ภายในร่างเหมือนถูกกดดันด้วยอะไรสักอย่างที่มองไม่เห็น ผมเผยอปาก รับเอาอากาศเข้าไป พร้อมกับความรู้สึกร้อนที่ไล่ลามทั่วเปลือกตา

ชั่ววินาทีหนึ่ง.. แค่พริบตาเดียวเท่านั้น ก่อนที่ผมจะหันหลัง

สายตานิ่งเรียบของเดฟเปลี่ยนไป มันฉายประกายกรุ่นโกรธออกมาชัดเจน

และนั่นทำให้ผมแตะสัมผัสความกลัวได้แทบจะในทันที โดยที่เขาไม่ต้องใช้กำลังหรือข่มขู่เลยแม้แต่นิดเดียว



tobecontinued.


____
#เดฟฟลอยด์

1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.15 A Punch And A Kiss (25/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mecinzano505 ที่ 25-01-2017 21:46:12

15_
A Punch And A Kiss

(ต่อ)



 

ผมนั่งอยู่ในร้าน ตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น เนื่องจากยังไม่มีอะไรให้ทำ ผมเลยจบการตัดสินใจด้วยการพาตัวเองมานั่งอยู่ตรงบาร์ด้านหน้าร้าน ดูหนังจากโทรทัศน์ที่ห้อยลงมาจากเพดาน

มีหลายคนเดินเข้ามาทัก เรื่องกลิ่นแอลกอฮอล์ที่ติดอยู่บนตัวผม

เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผมมีพฤติกรรมแบบนี้

จนเวลางานเริ่ม ผมก็พาตัวเองกลับเข้าไปที่หลังร้าน พบเจอกับโจที่มาเข้างานตรงเวลาผิดวิสัย เขาพยายามจะพูดอะไรสักอย่างกับผม

แต่โรสก็เดินเข้ามาแทรกบทสนทนาซะก่อน เธอว่าวันนี้จะให้ผมหยุดล้างจานแล้วเข้าไปช่วยงานในครัว เพราะว่ามีคนขาดหนึ่งคน

ดังนั้น.. ผมก็เลยไป

มันไม่ใช่การหนีหน้าหรืออะไรงี่เง่าพวกนั้นหรอก ที่ผมกำลังทำอยู่.. อย่างน้อยถ้าใช้คำว่าหนีหน้า ผมก็คงไม่มาอยู่ที่ทำงาน เพื่อให้อีกฝ่ายเจอง่ายๆ แบบนี้

ผมแค่ ยังคาดเดาไม่ออก ว่าโจจะพูดอะไรตอนที่เราต้องคุยกัน และผมควรจะต้องตอบอะไรกลับไป ให้มันผลมันออกมาดีที่สุด

และเพราะโซนล้างจานที่โจยืนอยู่ แทบจะอยู่ติดกับที่ของผม ทุกอย่างเกือบจะเป็นปรกดี สำหรับชีวิตการทำงานวันนี้ จนกระทั่งผมได้ยินเสียงจานแตกมาจากหลังผนังเก่าๆ ตามมาด้วยเสียงโวยวายของโรสที่เดินลงมาดู

“หมอนั่นมันบ้า” เพื่อนร่วมงานอีกคน ที่ยืนล้างผักอยู่ข้างๆ ผมเปรยขึ้นเบาๆ ดวงตาตวัดมองไปทางต้นเสียง “นายสนิทกับมันไหมล่ะ”

“.. ก็ไม่เชิง” ผมตอบสั้นๆ ทั้งๆ ที่ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกไปเป็นพิเศษ แต่ข้างในผมกำลังรู้สึกไม่เห็นด้วย กับคำต่อว่าที่เขามีให้โจ

พอเลิกงาน ผมก็เดินออกจากร้านทันที สมองปัดเรื่องของโจทิ้งไป และจมปลักอยู่กับแค่เรื่องเดียว

วันนี้ผมจะต้องกลับบ้าน และอย่างที่เดฟบอก

เราจะต้องคุยอะไรสักอย่างกัน

“เฮ้..” เท้าของผมหยุดชะงัก หลังจากได้ยินเสียงทักและแรงจับเบาๆ ที่แขน

ภาพตรงหน้าถูกปกคลุมด้วยสีดำของท้องฟ้า หลังร้านยังเงียบและปราศจากผู้คนเหมือนเดิม ผมหันหน้ากลับไปหาโจ โจที่ตอนนี้กำลังแสดงสีหน้าแบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออกสุดๆ อยู่

“โจ” ผมทัก

“นาย.. เรื่องเมื่อคืนนี้” เขาเกริ่น เตรียมจะกระโดดเข้าเรื่องตรงๆ โดยไม่เสียเวลาอ้อมค้อม “จูบนั่น ฉัน..”

“โจ เอาไว้ก่อนได้หรือเปล่า” ผมขัด ความไม่แน่ใจฉายวาบในหัว ก่อนที่ผมจะลงความเห็นกับตัวเองว่าสิ่งที่ตัดสินใจไปนั้นดีแล้ว

“เราคุยเรื่องนี้กันทีหลังนะ” ผมพูดย้ำ ดวงตาตรึงการมองเห็นของโจเอาไว้ และผมกำลังร้องขอ โจชะงักไปตอนที่ได้ยิน เขาพยักหน้าเบาๆ อย่างยอมแพ้

“แต่นายต้องสัญญาว่าเราจะคุยเรื่องนี้กันจริงๆ.. เฮ้ ฟังนะ ฉันกำลังจริงจังอยู่ โอเคไหม.. เรื่องจูบนั่นน่ะ ไม่วิ่งหนี ตกลงนะ” ฝ่ามือที่จับแขนผมอยู่กำแน่นขึ้นเล็กน้อย

“นายเก็บไปคุยกันทีหลังได้ไหมล่ะ” อีกเสียงของผู้มาใหม่ที่ดังขึ้น เรียกหน้าผมให้หันไปมองได้ในเวลารวดเร็ว “ฉันก็มีเรื่องจะคุยกับผู้ชายคนนี้เหมือนกัน”

เดฟยืนนิ่ง ห่างจากผมไปแค่เอื้อมมือเดียว ใบหน้าฉายรอยยิ้มกลวงๆ กับดวงตาที่นิ่งสนิท ผมไม่รู้เลยว่าเดฟเดินมาตรงนี้ตั้งแต่ตอนไหน

เดฟก้าวเข้ามาข้างหน้าเพิ่มอีกหนึ่งก้าว เขาจ้องโจเขม็ง ไม่ว่าจะเพราะอารมณ์ที่แผ่ออกมา หรือขนาดร่างกาย

ผมไม่ชอบบรรยากาศตอนนี้เอามากๆ เลย

นั่น.. มันเป็นท่าทางของการแสดงอำนาจ

โจทำท่าจะพูดอะไรออกมา แต่ก็เงียบไป เขากัดริมฝีปากล่างตัวเองแรง ก่อนจะถอยหลังไปหนึ่งก้าวราวกับจะประกาศการยอมแพ้

“ครับ” เขาพึมพำเสียงเบา

และทันทีที่เสียงนั้นหลุดออกมา เดฟก็หันหลังเดินไปทันที ผมเหลือบมองโจเป็นครั้งสุดท้าย สีหน้าย่ำแย่นั่น ผมน่าจะทำอะไรได้สักอย่าง แต่ก็ไม่มีอะไรที่ผมทำได้ นอกจากทิ้งเขาไว้ตรงนั้นแล้วรีบวิ่งตามเดฟที่เดินนำไปไกล

ฮาร์เลย์คันใหญ่ไม่ได้จอดอยู่ในที่เดิมที่เขาเคยจอดรอผม มันจอดอยู่ด้านข้างของร้าน ไม่ต้องเดาเลยว่าทำไมมันถึงเงียบนักตอนที่เดฟเข้าถึงตัวพวกเรา

เดฟไม่ปริปากพูดอะไรออกมาสักพยางค์ ตอนที่ผมขยับขึ้นซ้อนท้าย เขาแค่กระชากฮาร์เลย์ออกไปด้วยความเร็วจนน่าตกใจ และถึงแม้ผมจะขยับมือขึ้นจับเอวแข็งแรงแน่น

ความเร็วก็ไม่ได้น้อยลงเลย แต่กลับเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ห่วยแตก..

ทุกอย่างเป็นภาพตัดไปตัดมา จนข้างในของผมเหมือนถูกแช่ให้แข็งค้างด้วยความกลัว

“เดฟ..” ผมส่งเสียงเรียก ไม่แน่ใจว่ามันสามารถช่วยอะไรได้ในตอนนี้ จนกระทั่งเดฟค่อยๆ ผ่อนความเร็วลง และจอดนิ่งสนิทอยู่ฝั่งตรงข้ามร้านบุชคอร์เนอร์

ร่างสูงดูหงุดหงิด งุ่นง่าน.. เขาดับเครื่องยนต์ ก่อนจะก้าวลงจากฮาร์เลย์แล้วหยุดยืนบนพื้นถนน ดวงตาสีเข้มฉายหลายๆ อารมณ์ออกมาในช่วงสั้นๆ ก่อนจะถูกกลบสนิทจนมองเห็นแค่ความหงุดหงิดเล็กๆ

“นั่นมันอะไร” เขาถามเสียงห้วน ขณะที่ผมค่อยๆ ขยับขาขึ้น เปลี่ยนจากการนั่งคร่อมบนเบาะ เป็นการนั่งหันหน้าเข้าหาเดฟ ฝ่ามือสอดประสานกันอยู่บนหน้าตัก

“หมายถึงอะไร” ผมถาม รับรู้ถึงความเย็นชืดบนผิวเนื้อของตัวเอง

“ช่วงนี้ สนิทกับผู้ชายคนนั้นหรือไง”

“.. อืม” ผมตอบไปตรงๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องหาคำอะไรมาเสริมเพิ่ม ในเมื่อ ใช่ โจเป็นเพื่อนคนเดียวที่ผมมีที่ทำงาน ในเมืองนี้

แล้วเดฟก็กระตุกยิ้มเหยียดออกมา เขาเอียงใบหน้าเล็กน้อย ทั้งๆ ทื่สายตาจะไม่ปลดออกไปจากผม

“แน่สินายคงสนิทกันมาก” เขากระซิบ “ถึงขนาดต้องให้ของขวัญเป็นจูบกันเลยใช่หรือเปล่า”

ตอนนั้น ผมรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าจากมือที่มองไม่เห็น

หนึ่งก็คือเดฟได้ยิน สิ่งที่ผมไม่อยากให้ได้ยินมากที่สุด

สองก็คือ.. คำพูดพวกนั้น

ผมบีบมือที่ประสานกันอยู่แน่น พยายามอย่างมากที่จะดึงทุกสติให้กลับมาครบถ้วนสมบูรณ์เหมือนเดิม เดฟยิ้มค้าง ไม่ได้พูดอะไรต่อ มีเพียงสายตาที่ขยับขึ้นมองอะไรสักอย่างผ่านช่วงไหล่ของผมไป

“ฉันจะเข้าไปซื้อบุหรี่” เขาพูด สายตามองผ่านผมไป พร้อมกับเท้าที่เริ่มขยับออก

แน่นอนว่าตอนนั้น ผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร

รู้แค่ว่า ผมควรจะไปกับเดฟ.. หมายถึงผมควรจะตามเขาไป

ร้านขายของเล็กๆ ที่ตอนนั้นมีเรื่องเกิดขึ้น กระจกที่แตกตอนนี้กลับมาอยู่ในสภาพเดิมเรียบร้อย เดฟผลักประตูร้านลวกๆ ก่อนจะเดินเข้าไปโดยมีผมเดินตามเงียบๆ

ร่างสูงหยิบขนมเคี้ยวเล่นสองสามถุง โยนมันลงบนเคาน์เตอร์ที่มีผู้ชายคนเดิมนั่งเฝ้าอยู่ อีกฝ่ายยังไม่เงยหน้าขึ้นมา เขาก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือที่ถืออยู่

จนกระทั่งเดฟพูดประโยคแรกออกไป

“เอาบุหรี่ .. เหมือนเดิม” เสียงทุ้มเรียบเรื่อย แฝงไปด้วยความแข็งกระด้าง

ผู้ชายผมบลอนด์คนนั้นรีบเงยหน้าขึ้นมาทันที พร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้างขึ้น ผมเพิ่งได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจนก็ครั้งนี้ หลายๆ ครั้งที่ผ่านมา เขาไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสนใจ และใช่ ครั้งล่าสุด ความมืดจากด้านนอกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ผมไม่ได้สนใจใบหน้าเขาเท่าที่ควร

ผิวขาว ซีด ราวกับคนไม่เคยออกไปโดนแดด.. ผมสีบลอนด์เป็นลอนดัดยาวจนถึงต้นคอ ดวงตาสีอ่อน เหมือนกับสีคิ้ว.. จมูกเชิดเล็กๆ เริ่มขึ้นสีแดงอ่อนตรงปลาย กับริมฝีปากที่เผยอออกเล็กน้อย

เขากะพริบตา.. และกะพริบตาอีกครั้ง

ก่อนจะส่งเสียงพึมพำออกมาแผ่วเบา

“เดฟ”

เจ้าของชื่อเลิกคิ้วสูง ก่อนจะพูดซ้ำเมื่อผู้ชายคนนั้นยังยืนนิ่งไม่ขยับ “บุหรี่ บี”

ผู้ชายคนนั้นเบิกตากว้างขึ้น ฝ่ามือแตะไล้ตรงชั้นวางบุหรี่ ก่อนจะหยิบมาออกมาหนึ่งซองโดยที่ตายังสอดประสานกับเดฟอยู่

เขาวางบุหรี่ลงบนเคาน์เตอร์

“บี.. คุณเพิ่งเรียกผมแบบนั้น” เขาพึมพำ ชั่ววินาทีหนึ่งที่ดวงตาถูกเติมเต็มด้วยความหวัง “เราคุยกันได้ไหม”

“ไม่” แล้วเดฟก็ทำลายมันลงในเวลารวดเร็ว เขาวางเงินลงบนเคาน์เตอร์ ดวงตาหลุบต่ำมองบุหรี่ที่ยังอยู่ใต้ฝ่ามืออีกคน “ส่งนั่นมาให้ฉัน”

ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนี้ ความรู้สึกแปลกๆ จู่โจมเข้ามาในร่างกาย จนกระทั่งผู้ชายที่ถูกเรียกว่า บี พาเดินออกจากหลังเคาน์เตอร์ ตอนนั้น ผมได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ จากร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ เดฟก้มหน้าลง ก่อนจะพูดเปรยออกมาลอยๆ โดยไม่ได้หันมามองผม

“แน่ใจเป็นบ้า ว่านายอยากออกไปรอข้างนอกก่อน” นั่นเป็นประโยคคำสั่ง

และผมทำตามอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง

อากาศด้านนอกเย็นลง ภายในเวลาสั้นๆ ที่เราเข้าไปข้างใน ปลายจมูกผมสัมผัสกับกลิ่นชื้น ต่อให้ไม่ต้องเดา ผมก็พอรู้อยู่ว่าฝนกำลังจะตก

ลมหนาวทำให้ขนอ่อนทั่วร่างลุกชัน ผมวาดมือขึ้นลูบต้นแขนตัวเองซ้ำไปซ้ำมา สัมผัสปลายนิ้วเย็นเยียบเข้ากับผิวอุ่น.. บุชคอร์เนอร์ที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม เปิดไฟสว่างจ้า กระจกใสๆ ทำให้มองเห็นภายในที่เต็มไปด้วยลูกค้าหน้าเดิมๆ

ผมยกมือขึ้นแตะหน้าผากตัวเอง ทุกอย่างดูฝืดเคืองไปหมดในความรู้สึก ก่อนที่ผมจะห้ามความคิดที่อยากจะหันกลับไปมองด้านในไว้ไม่ได้

พอสูญเสียการควบคุมตัวเองไป ผมก็ทำตามที่สมองสั่งทันที

ผมจะพูดยังไงดี

.. คุณเคยรู้สึก เหมือนกับอยู่ดีๆ เลือดที่มีอยู่ในร่างกาย ก็ไปหล่อเลี้ยงสมองและอวัยวะส่วนต่างๆ ไม่พอหรือเปล่า

เหมือนกับเลือดที่เคยไหลวนอยู่ทั่วร่าง หายไปทั้งหมด

ฝ่ามือของผม.. เย็นเยียบ

ตอนที่ฝ่ามือของ บี สัมผัสอยู่ที่ลาดไหล่ของเดฟ

ผมก็ยังไม่รู้ ว่าภายในไม่กี่วินาทีที่ผมหันหลังเดินออกมา เกิดอะไรขึ้นด้านใน แต่ในวินาทีนี้ ผมได้แต่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เหมือนคนโง่ที่ทำอะไรไม่ได้

ทุกความรู้สึกนึกคิดถูกสั่งให้หยุดทำงาน

ตอนที่ดวงตาผมสะท้อนภาพที่กำลังมองเห็น

เดฟไม่ได้ผลักอีกฝ่ายออก และในขณะเดียวกัน เขาก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่ายืนเฉยๆ แล้วอนุญาตให้ผู้ชายคนนั้นทำสิ่งที่อยากทำ

ผมยืนอยู่ตรงนี้ นิ่งรอ.. จนกระทั่งริมฝีปากของทั้งคู่สัมผัสกัน ร่างของผู้ชายคนนั้น ถูกยกขึ้นนั่งบนเคาน์เตอร์

นั่นเป็นเส้นคาบเกี่ยวสุดท้ายที่ยึดสติของผมเอาไว้ ก่อนที่มันจะขาดลง

ผมจำไม่ได้ว่าตัวเองเดินออกมาตอนไหน

จำไม่ได้ว่าฝนเฮงซวยพวกนี้ตกลงมาเมื่อไหร่

และตู้โทรศัพท์ที่ผมกำลังใช้หลบเม็ดฝนและความสับสนที่ตกกระแทกลงมาสัมผัสใบหน้านี่ คือที่ไหน

ผมไม่คิดว่าตัวเองสามารถคิดอะไรออกในตอนนี้ ดวงตาจ้องค้างอยู่ที่รอยฝ้าขุ่นมัวตรงกระจก ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าช้าๆ

กลิ่นฝน ไม่เคยทำให้รู้สึกอึดอัดและสะอิดสะเอียนเท่านี้มาก่อน

เสียงเครื่องยนต์ทำงานหนักแล่นเข้ามาในโสตประสาต ผมเหยียดยิ้ม ทั้งๆ ที่ไม่มีรอยยิ้มใดปรากฏบนใบหน้า ก่อนที่เงาสีดำจะพาดผ่านทั้งร่าง

เดฟ ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น

เนื้อตัวเปียกปอนไม่ต่างจากผม

“ทำไมนายถึงวิ่งหนี” นั่นเป็นประโยคแรกที่เขาถามเพื่อทำลายความเงียบระหว่างเรา

ผมเม้มปาก และแน่นอน

ไม่มีคำตอบใดหลุดออกไป

“ทำไมถึงไม่ตอบ” เขาถามซ้ำ ขยับเข้ามาเพิ่มอีกหนึ่งก้าว ดวงตาสีเข้มช้อนมองผมนิ่ง ใบหน้าจริงจัง ทำให้ผมยิ่งคิดอะไรไม่ออก

ใบหน้าเบือนหนีฝ่ามือที่เอื้อมเข้ามาใกล้

เดฟหยุดชะงักทุกการกระทำตรงนั้น เขายกมือค้างกลางอากาศ ห่างจากหน้าของผมไปเพียงแค่ไม่กี่นิ้ว น้ำเสียงทุ้มต่ำทอดอ่อน เป็นคำถามที่เหมือนกระตุกทุกอย่างที่ผมพยายามปิดบังไว้ให้แสดงออกมา

“ทำไม” เขาพึมพำ ปลายนิ้วสั่นเล็กๆ ก่อนจะหยุดนิ่งเหมือนเดิม “ถึงร้องไห้”

ตอนนั้น สติของผมขาวโพลน ตัดเป็นภาพสลับกับสีดำสนิท

ผมหลุดหัวเราะ จับน้ำเสียงตัวเองได้ว่ามันฝืดเฝื่อน ผมปัดมือของเดฟออกไป เลือกที่จะหันหน้าหนีไปอีกทาง

“เปล่า ผมไม่ได้ร้อง” ผมพูด ใช้ความพยายามอย่างมากในการควบคุมจังหวะหายใจของตัวเองให้คงที่ “หมดธุระแค่นี้ใช่ไหม.. ทำไมคุณไม่ไสหัวไปซะล่ะ”

เดฟเบิกตาเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะหลุดยิ้มกลวงๆ ออกมา “แล้วนายโมโหอะไรล่ะ”

เขาขยับเข้ามา เพิ่มอีกหนึ่งก้าว

“ทำไมไม่บอกล่ะ” เขาเริ่มต้อน ก่อนที่ผมจะหลุดตะคอกกลับไปเสียงดัง

“อย่า.. บังคับผม!” ผมหลับตาแน่น คิ้วขมวดเข้าหากันพร้อมกับความรู้สึกอื้ออึงตรงใบหู

มันคือความกดดัน

“ถอยออกไป” ผมออกคำสั่งเสียงแข็ง ดวงตาเปิดขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับเท้าที่ถอยหลังช้าๆ “อย่าแตะ! แล้วก็ถอยออกไป เดฟ!”

ดวงตาสีเข้มแน่วแน่ เขาขยับเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ คล้ายกับสิ่งที่ผมพูดออกไปไม่มีความหมายอะไรเลยสักนิดเดียว

“พูดสิ นายโมโหอะไร” เขาถามซ้ำ

“หยุด”

“นายโมโหอะไร ฟลอยด์”

นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่ผมได้ยิน ก่อนที่ร่างกายจะต่อต้านทุกคำสั่งที่ผมออกในหัว แรงกระแทกปะทะเข้าที่หลังมือ พร้อมกับเสียงที่ดังจนน่าตกใจ

เสียงของเดฟชะงักไป ขณะที่ใบหน้าสะบัดหันไปอีกทาง

.. ในช่วงเวลานั้น ความเงียบเริ่มโรยตัวช้าๆ

ผมหอบหายใจ ดวงตาจับจ้องเดฟ ที่ค่อยๆ หันใบหน้ากลับมา พร้อมกับรอยแตกเล็กๆ ตรงมุมปาก

นั่น เป็นการเหวี่ยงหมัดครั้งแรกในชีวิตของผม

.. และเป็นครั้งแรก ที่ผมคนนี้ ทำให้เดฟเจ็บตัว

อีกฝ่ายกะพริบตา ปลายนิ้วยกขึ้นแตะบาดแผลตัวเองเบาๆ ดวงตาสีเข้มฉายประกายประหลาด

“นายโมโหอะไร” เขาถามคำถามนั้นอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

ผมนิ่งค้างไปเกือบนาที ใบหน้าก้มลงต่ำ พร้อมกับร่างกายที่รับรู้แรงสั่นเบาๆ “คุณเป็นคนพูดมันออกมาเอง…”

เดฟนิ่งฟังโดยไม่พูดอะไรขัดออกมา

และผมเริ่มพูดต่อ “อย่ายกอะไรให้ใครคนอื่น.. น่าตลกดีนะ ที่คุณกลับเป็นฝ่ายทำมันเหมือนกัน จูบนั่น คุณก็ยกให้คนอื่นเหมือนกัน ไม่ใช่หรือไง”

“แล้วทำไม นายแคร์หรือไง” เขาสวนกลับแทบจะในทันทีที่ผมพูดจบ

ความเงียบเป็นสิ่งที่ผมตอบโต้กลับไป และใช่ อีกหนึ่งเหตุผลก็คือ ผมก็กำลังนิ่งคิดคำตอบนั้นกับตัวเองเหมือนกัน

“นายโกรธ ที่ฉันจูบกับคนอื่น.. ทั้งๆ ที่นายก็เพิ่งทำมันมาน่ะเหรอ” เขาถามเสียงสูง “มันไม่ฟังดูเป็นมุขตลกที่เท่าเทียมกันไปหน่อยหรือไง”

“ผมไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนั้น” ผมรีบพูด รู้สึกเหมือนทุกอย่างในร่างกาย ที่ผมพยายามกดเอาไว้ปะทุออกมาจนห้ามไม่อยู่อีกต่อไป

“คิดว่าผมเป็นคนแบบนั้นใช่ไหม ให้ใครก็ไม่รู้มาทำอะไรกับร่างกายตัวเองได้ตลอดเวลา .. สรุปก็คิดว่าผมเป็นคนแบบนั้นสินะ”

เดฟไม่ตอบในทันที เขาผ่อนลมหายใจตัวเองช้าๆ ดวงตาที่ช้อนมองผมอยู่วูบไหว

“เปล่า ฉันเปล่า” แล้วเขาก็กระซิบออกมาเบาๆ

แน่ล่ะ.. แน่ล่ะว่าเขาต้องคิดแบบนั้นอยู่แล้ว

ผมพ่นเสียงหัวเราะออกมา เดฟจ้องมองทุกการกระทำด้วยความนิ่ง ก่อนที่เขาจะถาม สิ่งที่แม้แต่ผมเองก็ยังไม่เข้าใจอย่างสมบูรณ์

“นายยังไม่ตอบคำถามสักคำถามเดียว ฟลอยด์” เขาเตือน ฝ่าเท้าขยับเข้ามาใกล้อีกก้าว จนปลายเท้าเขาแตะสัมผัสกับของผมที่ขยับถอยหนีอีกครั้ง

“ทำไมนายถึงวิ่งหนี..” เขาเปรย “ทำไมนายถึงโมโหขนาดนี้”

แผ่นหลังของผมสัมผัสกระจก เป็นจังหวะเดียวกับที่เดฟวางฝ่ามือทาบมันไว้ ใบหน้าเรียบนิ่งขยับเข้ามาใกล้

“บอกสิ ว่านายรู้สึกยังไง.. คิดอะไรอยู่” เสียงทุ้มอ่อนลง ให้ความรู้สึกเหมือนถูกหลอกล่อมากกว่าบีบบังคับ เดฟลดใบหน้าลง จนสายตาเราอยู่ในระดับเดียวกัน

ผมแสวงหาอะไรสักอย่างในดวงตาคู่ตรงหน้า..

ก่อนจะสัมผัสเข้าจังๆ กับความจริงใจและการรอคอยคำตอบ

“พูด”

ผมเม้มปาก ในช่องท้องตีรวนไปหมด พอๆ กับในหัวสมองที่ถูกปั่นเละ ทุกความคิดกระจัดกระจายไม่เป็นรูปร่าง

“ผมรู้สึก” ผมขมวดคิ้ว ฝ่ามือเย็นชื้นกำเข้าหากันแน่น “เหมือนกับตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทาง”

เดฟกะพริบตา

“ผมรู้สึก เหมือนกับว่า ผมไม่ควรยืนอยู่ตรงนั้น.. ไม่สามารถยืนอยู่ตรงนั้นได้”

“ตอนที่คุณจูบกับผู้ชายคนนั้น” ผมหลุบตาลงต่ำ หลีกเลี่ยงสายตาที่มองมาอย่างเค้นเอาคำตอบ “มันให้ความรู้สึก.. ทรมาน”

ชั่ววินาทีหนึ่ง ที่ผมตัดสินใจเลื่อนสายตาขึ้นสบกับเดฟ ภาพของตัวผมเองสะท้อนค้างอยู่ในดวงตาคู่นั้น

ชั่ววินาทีเดียวเท่านั้น.. ก่อนที่เดฟจะโน้มหน้าเข้ามาใกล้มากกว่าเดิม พร้อมกับริมฝีปากที่แตะทาบเหนือปากของผม จูบอบอุ่นทำให้รู้สึกอ่อนแอ

ผมกะพริบตา และสัมผัสได้ถึงความร้อนที่ตกออกจากดวงตา

ฝ่ามือทั้งสองข้างขยับขึ้นกำเสื้อที่เปียกชุ่มของอีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนที่ผมจะออกแรงผลัก ตามที่สมองสั่งให้ทำ

เดฟกัดริมฝีปากล่างผม ลิ้นอุ่นสอดเข้ามาทันทีที่ผมเผลออ้าปาก เขาส่งเสียงทุ้มต่ำในลำคอ ก่อนจะรวบมือทั้งสองข้างของผมไว้ด้วยมือข้างเดียว พร้อมกับเบียดตัวเข้ามาใกล้มากกว่าเดิม

ตอนนั้น.. ในหัวของผมว่างเปล่า

มีเพียงลมหายใจของเดฟที่เป่ารดอยู่บนใบหน้า ริมฝีปากเจือกลิ่นบุหรี่กดย้ำลงมา ร่างของผมถูกดันชิดกระจกจนแทบจะกลืนเป็นสิ่งเดียวกัน สะโพกรับรู้ถึงแรงบีบเค้นจากฝ่ามือ เสียงหอบหายใจดังลั่นในกกหู

ทั้งร่างของผมสะดุ้ง ตอนที่เดฟขบฟันลงมาบนริมฝีปากล่าง ปลายจมูกชื้นลากผ่านผิวแก้มของผมแรงๆ พร้อมกับริมฝีปากที่ทาบอยู่เหนือผิวเนื้อ

“นั่นก็เป็นสิ่งที่ฉันรู้สึก ตอนที่รู้ว่านายยอมมอบจูบให้คนอื่น”

เขากระซิบ

ฝ่ามือแข็งแรงบีบเข้าที่กรอบหน้าของผม ก่อนจะออกแรงบังคับให้หันเข้าหา ดวงตาสีเข้มหลุบต่ำ จ้องค้างเข้ามาในดวงตา

“คงไม่ว่าอะไรนะ ถ้าฉันจะขอทวงคืน”

____
#เดฟฟลอยด์

1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.15 A Punch And A Kiss (25/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 25-01-2017 23:28:13
ก็...บอกไม่ถูก เข้าใจว่านางก็อยู่ในโลกนั้นมานาน แต่ว่านะ... พูดยาก
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.15 A Punch And A Kiss (25/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 26-01-2017 00:10:44
 :hao4: :hao4:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.15 A Punch And A Kiss (25/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: toru10969 ที่ 26-01-2017 00:50:36
เนื้อเรื่องดีมากเลยค่ะ o13 o13 o13 o13 ภาษาอ่านแล้วไม่สะดุด เรียบเรียงดีมากๆ ตัวละครมีมิติ รอตอนต่อไปค่ะ

เอาใจช่วยทั้งคู่ :sad11: :กอด1:

ปล.ขอบคุณที่สร้างสรรค์งานเขียนอย่างปราณีตแบบนี้มาให้ได้อ่านนะคะ  :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.15 A Punch And A Kiss (25/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 26-01-2017 01:10:59
คั้นเวอร์ นิช้ำไปหมดละ แต่ชอบอะ ><
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.15 A Punch And A Kiss (25/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 26-01-2017 01:56:22
อ่านไปกดดันไป สนุกค่ะ555555555555อ่านแล้วลื่นดีจริงๆ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.15 A Punch And A Kiss (25/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 26-01-2017 02:11:47
เขียนดีสุดยอด
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.15 A Punch And A Kiss (25/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 26-01-2017 07:12:48
ทั้งคู่ทรมานจากการที่อีกฝ่ายมีคนมาจูบ
เดฟ จูบฟลอยด์ เอาคืนความหึงหวงซะเลย ชอบบบบ  :impress2:
ฟลอยด์ น่าจะรู้ตัวซะที ว่ารู้สึกดีๆกับเดฟแล้ว
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:     
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.15 A Punch And A Kiss (25/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: exo_yaoi ที่ 26-01-2017 08:53:45
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: 
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.15 A Punch And A Kiss (25/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: -.NF.- ที่ 26-01-2017 15:50:23
เรื่องนี้ดีมากเลยค่ะ คนเขียนสู้ๆนะคะ ทั้งฟินทั้งรู้สึกดี
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.16 As A Pain Killer (26/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mecinzano505 ที่ 26-01-2017 19:46:57

16_
As A Pain Killer




เรากลับมาถึงที่บ้าน

ฝนยังไม่หยุดตก แต่เราทั้งคู่ก็เปียกเกินกว่าจะกังวลกับเรื่องนั้น เสียงขูดเบาๆ ดังมาจากหลังประตู ผมเดาว่าเป็นแทซกำลังตะกุยเพราะว่าได้ยินเสียงฝีเท้าของเรา

แทซเลิกขู่หรือทำอะไรให้ผมระแวงไปสักพักหนึ่งแล้ว แต่แทซก็ยังเป็นแทซ

มันไม่มาสุงสิงกับผมถ้าไม่จำเป็น จะมีบางเวลาที่มันพาร่างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อมานอนอยู่ใกล้ๆ แต่ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองสนิทสนมกับมันมากจนสามารถจับหรือสัมผัสได้

เหมือนกับการต่างคนต่างอยู่กลายๆ ซึ่งผมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับส่วนนั้น

เดฟไขลูกบิดประตู ก่อนจะผลักมันให้เปิดกว้างแล้วหลบทางให้ ผมลอบมองอีกฝ่าย ก่อนจะรีบหลบตาเมื่อเขาเงยหน้าขึ้น

ผมเบี่ยงตัวเองเล็กน้อย ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปด้านใน เสียงปิดประตูดังตามมาหลังจากนั้น ความเงียบยังทำหน้าที่ของตัวเองอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ตั้งแต่ตอนที่ผมกับเดฟออกจากตู้โทรศัพท์นั่น

ผมเพ่งมองผ่านความมืดภายในบ้าน ได้ยินเสียงกระทบของอะไรสักอย่าง กับเสียงเดินไปเดินมาของแทซ ตั้งใจจะเอื้อมมือไปกดเปิดไฟ เมื่อแน่ใจว่าเดฟไม่คิดจะทำแบบนั้น

.. แล้วแขนของผมก็ถูกดันเบาๆ พร้อมกับวงแขนอุ่นที่สอดรัดเข้าตรงหน้าท้อง

ทั้งร่าง เหมือนถูกกดให้หยุดการเคลื่อนไหวในทันที

“จูบที่ร้านนั่น..” เดฟกระซิบเสียงเบา ใบหน้ากดลงวางบนลาดไหล่ผม “ฉันขอโทษ”

ผมไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคนี้

ไม่คิดด้วยซ้ำว่าเดฟจะพูดขอโทษออกมาง่ายๆ

แต่นั่น ก็ทำให้ความรู้สึกเลวร้ายที่เกิดขึ้นเจือจางลง เจือจาง.. แต่ก็ยังไม่หายไปไหน

“ตอนนั้น ฉันแค่อยากเรียกร้องความสนใจจากนายก็เท่านั้น” พอเห็นผมเงียบ เดฟก็พูดต่อ คำสารภาพง่ายๆ ทำให้ภายในผมเริ่มทำงานไม่เหมือนเดิมอีกครั้ง

“ทำไมคุณถึงจะต้องทำแบบนั้นด้วย” และนั่นเป็นความสงสัย ผมถามกลับไป รับรู้ถึงแรงกอดที่แน่นขึ้น

ใกล้เกินไป

ผมเม้มปาก ค่อยๆ แกะมือเดฟออก ก่อนจะผละตัวเองออกจากวงแขนนั่นช้าๆ

เดฟจ้องมองมา เขายอมให้ผมทำแบบนั้นโดยไม่ได้ขัดขวางหรือทักท้วงอะไร จนกระทั่งผมหันกลับไปเผชิญหน้ากับเขาตรงๆ

“นายไม่รู้เหรอ” เขาถามเสียงสูง ให้ความรู้สึกประชดประชันมากกว่าจะเป็นสงสัย เดฟเริ่มขยับเข้ามาใกล้ผมอีกครั้ง และผมไม่ได้ถอยหนีในครั้งนี้

“เพราะว่าตอนฉันเข้าหานาย นายผลักออกและถอยหนี.. นั่นโอเค ฉันก็เลยให้ช่องว่างกับนาย” เขาพูด ดวงตาสีน้ำตาลเข้มขึ้นจนเกือบเป็นสีดำกลืนไปกับความมืดในห้อง “แล้วยังไงต่อ ช่องว่างที่ฉันให้มันเยอะเกินไปเหรอ นายถึงหายตัวไป ทั้งคืน แล้วตอบแทนกันด้วยการจูบกับไอ้เวรที่ไหนก็ไม่รู้”

“ผมก็ไม่คิดว่าเรื่องจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน” ผมสวน จ้องอีกฝ่ายไม่วางตา “แล้วคุณก็ไม่ได้ถามอะไรด้วยเหมือนกัน”

เดฟหลบตาลงต่ำ ก่อนจะเหลือบขึ้นสบกับผมอีกครั้ง

พร้อมกับใบหน้า.. เหมือนคนสำนึกผิด

“นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันขอโทษ”

สำนึกผิดแบบเกินจริงซะด้วย

“แล้ว.. ผู้ชายคนนั้น” ผมเกริ่น ก่อนจะชะงักเมื่อมองเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายเคร่งเครียดขึ้น “คุณไม่ต้องบอกก็ได้ ถ้าไม่อยากบอก”

“ไม่.. เขาเป็น” เดฟรีบพูด คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่น พร้อมกับดวงตาที่หลับลงสองสามวิ “แฟนเก่า จะใช้คำแบบนั้นก็ได้”

ผมกดหน้าลงต่ำ ก่อนจะช้อนตาขึ้นจ้องอีกฝ่ายนิ่ง “แล้วคุณก็กลับไป จูบกับเขา?”

เดฟสะบัดหน้าไปอีกฝั่งพร้อมหลุดสบถออกมาเบาๆ ขณะที่ผมเริ่มก้าวถอยหลังช้าๆ

“ถ้างั้นก็ไม่ควรมีแค่ผมคนเดียว ที่ได้รับคำขอโทษ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “เล่นกับความรู้สึกของคน มันไม่ใช่เรื่องที่ดีนะ คุณรู้ใช่ไหม”

พอเห็นเดฟเงียบ ผมก็ไม่พูดอะไรต่อ มันไม่ใช่เรื่องที่ผมจะต้องไปเซ้าซี้อะไรอีกฝ่ายอยู่แล้ว

“ถ้างั้นผมขอตัวไปอาบน้ำ” ผมตัดบท มองเห็นเดฟพยักหน้าเบาๆ เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันหลังแล้วเดินฝ่าความมืดเข้าไปในบ้าน

น่าแปลกดี

ผมคุ้นเคยกับสถานที่นี้จนสามารถเดินแบบมองไม่เห็นได้ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้

สายน้ำเย็นๆ ช่วยทำให้ผมเย็นลงจนกลับเข้าสู่โหมดปรกติ พอออกมา เดฟก็เดินแทรกเข้าไป ในจังหวะที่สวนกัน รอยแผลเล็กๆ ตรงมุมปากอีกฝ่ายเด่นชัดในสายตา และย้ำเตือนว่าผมเผลอทำอะไรไปบ้างตอนขาดสติ

ผมเดินหากล่องอุปกรณ์ทำแผล พบมันที่ในตู้เก็บของห้องครัว กล่องเดียวกับที่เดฟเคยหยิบมาให้ผม หลังจากมีเรื่องที่เดอะรูท

หลังจากนั้นไม่นาน เดฟก็เดินออกจากห้องน้ำ ร่างสูงในชุดเสื้อยืดกับกางเกงวอร์มสีเทาเข้มเรียบๆ ตั้งท่าจะเดินผ่านผมไป แต่แล้วเขาก็ชะงักเมื่อเราสบตากัน ก่อนที่เขาจะพาตัวเองมาหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ

และนั่งลงข้างๆ ผม

ผมหลุดถอนหายใจเบาๆ แน่นอนว่าอาจจะเป็นเพราะเดฟมองเห็นอุปกรณ์ทำแผลที่เตรียมพร้อมอยู่ตรงนี้ หรืออาจจะเป็นเพราะเขารับรู้ว่าผมคนนี้อยากจะสื่อสารอะไรบางอย่างด้วย ผมไม่แน่ใจ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญนัก

ผมปลดสายตาจากใบหน้าอีกฝ่าย ก่อนหยิบอุปกรณ์ที่เตรียมไว้ขึ้นท่ามกลางความเงียบ

“นายไม่ต้องทำอะไรก็ได้.. แค่ปล่อยมันเอาไว้” เดฟขัดขึ้นเสียงเบา ก่อนจะเงียบไปเมื่อผมช้อนตาขึ้นสบ

แล้วนี่ก็เป็นอีกครั้ง ที่ผมได้ทำแผลให้คนตรงหน้า

ผมไม่น่าทำแบบนั้น.. ทั้งทำร้ายร่างกายอีกฝ่าย แล้วก็การปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือสติ

“ผมขอโทษ” ผมพึมพำ พลาสเตอร์ใสๆ แปะลงตรงมุมปากเบาๆ พร้อมกับดวงตาของผมที่ล็อคเข้ากับของอีกฝ่ายพอดี

แล้วเดฟก็หลุดยิ้มออกมา

“ไม่เป็นไร” เขาตอบกลับเรียบง่าย ก่อนที่คิ้วเข้มจะเลิกขึ้นสูง “อย่างน้อยฉันก็ได้รู้ ว่าฉันไม่ได้มีความรู้สึกไปเองคนเดียว”

ผมเม้มปาก ในตอนนั้น ความรู้สึกเหมือนทุกความร้อนที่มีอยู่ในร่างกายไหลไปรวมกันอยู่ที่ต้นคอและกกหู

“นายหลบตา” เขาทักด้วยน้ำเสียงล้อเลียน และผมรีบลบคำกล่าวหานั้นด้วยการสบตาเขาทันที

“ผมเปล่า” แล้วเดฟก็เลิกคิ้วแล้วพยักหน้า นั่นดู.. ช่างล้อเลียนดีชะมัด

“ตอนนั้น นายบอกว่ารู้สึกทรมาน” เขาวาดปลายนิ้วขึ้นไล้เหนือพลาสเตอร์ที่ผมแปะให้ ดวงตาคมจ้องผมไม่กะพริบ

“นั่นมันแปลว่านายก็ชอบฉันได้หรือเปล่า”

ผมเผลอจิกปลายเล็บเข้าฝ่ามือตัวเอง ความพยายามในการกดทุกอย่างให้สงบเริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆ

“นั่นมัน..” ผมขมวดคิ้ว อยู่ดีๆ ก็รู้สึกเหมือนทุกคำพูดหายไปจากหัวสมอง

ผมรู้ดี ผมไม่ได้เป็นคนโง่ที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งตัวเอง

แต่ผมแค่ ยังไม่อยากจะยอมรับมันง่ายๆ แบบนั้น

ยังไม่อยากที่จะต้องเปลี่ยนความคิด

ผมรู้ว่ามันฟังดูบ้าบอ แต่เชื่อเถอะ ว่าครั้งหนึ่งที่เราตัดสินใจที่จะมีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวแล้ว การที่ต้องยอมรับว่ามีใครอีกคนเข้ามามีบทบาท ไม่ใช่สิ่งที่น่ายินดีและทำได้ง่ายๆ

เพราะการมีชีวิตอยู่ โดยที่สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่ตัวเองแต่เป็นคนอื่น

ทำให้อะไรๆ ยุ่งยากมากขึ้น

“ถ้านั่นตีความหมายเป็นคำว่าชอบ คงเป็นคำว่าชอบที่ฟังดูประหลาดที่สุดที่ผมเคยได้ยิน..” ผมกดเสียงตัวเองให้นิ่งเรียบ อดไม่ได้ที่จะหลุบตาลงเพื่อหลีกเลี่ยงการสบตาอีกครั้ง “ทรมาน..”

ผมรู้สึกได้ถึงสายตาของเดฟที่จ้องมองมา

เสียงถอนหายใจดังๆ เป็นสิ่งแรกที่ผมได้ยินถัดจากความเงียบที่กู่ร้องลั่น ผมทิ้งสายตาลงที่หน้าตักตัวเอง ความกดดัน ความสับสน

ทุกอย่างทำหน้าที่อย่างไม่ขาดตกบกพร่องในหัวสมองกลวงๆ ของผม

แล้วเสียงเนื้อผ้าครูดกับโซฟาก็ดังขึ้น เงาดำที่พาดผ่านร่างทำให้ผมรู้ว่าเดฟยืนขึ้น ก่อนที่อีกฝ่ายจะทรุดตัวลงนั่งลงบนพื้น

ตรงหน้าของผม

ฝ่ามือทั้งสองข้างวางทาบกับเบาะโซฟา ปักหลักอย่างต้องการจะประกาศ ว่าเขาจะไม่ถอยไปไหนง่ายๆ

“เพราะอะไร ฟลอยด์” เขาถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ดวงตายังแสวงหาอะไรบางอย่างจากผมที่เอาแต่หลบหนี “เพราะอะไร ทุกครั้งที่ฉันเข้าหา นายถึงต้องถอยหลังแล้วกั้นกำแพงขึ้นตลอดเวลา”

หัวใจของผมเต้นกระตุก ก่อนที่ปลายนิ้วจะจิกเกร็งเข้าฝ่ามือแน่นกว่าเดิม

ผมไม่ตอบคำถาม และเดฟก็เอาแต่จ้องมาไม่หยุด

“แล้วนายจะทำยังไง” เขาโน้มตัวเข้ามาใกล้จนสีข้างแข็งแรงเสียดสีกับหัวเข่าของผม “นายจะทำยังไงถ้าฉันบอกว่าตอนนี้ ฉันอยากกอดนาย แรงๆ”

ทั้งร่างของผมนิ่งชะงักไป พร้อมกับลมหายใจที่เหมือนถูกพรากไปจากอก

ความวูบไหวรุนแรงวิ่งพล่านในเส้นเลือด

เดฟยิ้มเยาะ ดวงตาของเขากวาดมองทั่วร่างของผมช้าๆ ก่อนจะหยุดลงที่ใบหน้า “นาย.. ไม่ว่ามันจะคืออะไร ความกลัว ความไม่เข้าใจ หรือการหลอกตัวเอง”

ฝ่ามือข้างหนึ่งของเดฟผละออกจากโซฟา แรงสัมผัสแผ่วเบาแตะเข้าที่ช่วงเอวของผม ก่อนจะลากลงหยุดตรงสะโพก

“ต้องให้ฉันช่วยแสดงให้เห็นไหม ว่าร่างกายของนายอยากปฏิเสธคำสั่งในหัวของนายมากแค่ไหนตอนนี้”

ในตอนนั้น ผมนึกสงสัย ตั้งคำถาม.. ว่าเดฟรู้จักผมดีแค่ไหน เขามั่นใจแค่ไหนถึงได้พูดประโยคแบบนั้นออกมา

เขามองเห็นผม.. ชัดเจนกว่าที่ผมมองเห็นตัวเองหรือเปล่า

อาจจะเพราะเป็นความสับสนอะไรสักอย่างที่เข้ายึดพื้นที่ในสมอง ผมไม่ได้ผลักหรือแสดงท่าทางต่อต้านอีกฝ่ายออกไปในทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ตรงกันข้าม ทั้งร่างของผม เหมือนถูกแช่แข็งเอาไว้ ทำอะไรไม่ได้ มากไปกว่าการกะพริบตาและจ้องมองอีกฝ่าย

เดฟเว้นระยะว่างในช่องเวลา เขานิ่งรอ จนกระทั่งแน่ใจ

ใบหน้าเรียบนิ่งขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ลมหายใจอุ่นแตะรดปลายจมูก ผมไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไป แต่ในช่วงเวลาเดียวกัน ผมก็ไม่ได้ปฏิเสธหรือถอยหนีอีก

ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น แม้กระทั่งตอนที่ริมฝีปากตรงหน้ากดทาบลงมา

ผมไม่ได้เปิดริมฝีปาก และเดฟก็ไม่ได้บังคับจะทำให้มันกลายเป็นจูบที่ลึกซึ้ง เขาแค่แตะทาบไว้แผ่วเบา ก่อนจะสลับเป็นเบียดย้ำลงมาโดยไม่ได้รุกล้ำเข้ามาข้างใน

แน่นอนว่าตอนนั้น.. สติของผมหมุนคว้าง ไม่ต่างจากขวดจอห์นนี่ วอล์กเกอร์ที่ถูกใช้ในเกมวงเหล้า

ฝ่ามือที่แตะสัมผัสอยู่ด้านนอก ค่อยๆ สอดเข้าไปในเสื้อยืด ลากผ่านผิวเนื้อของผมเบาๆ ชวนให้รู้สึกดี

มันไม่ใช่ความรู้สึกของการถูกโอ้โลม.. แต่กลับกลายเป็นเหมือนกำลังถูกปลอบใจ

ทุกความรู้สึกนึกคิดของผมหลุดลอยไปไกล ความเงียบภายในห้อง เสียงเสียดสีของเนื้อผ้าและการขยับตัว

ผมสะดุ้งเฮือก พร้อมกับฝ่ามือที่ดันไหล่แข็งแรงตรงหน้าออกแรงๆ เพราะริมฝีปากที่แนบลงตรงลาดไหล่

“สกปรก!”

แล้วคำจำกัดความนั้นก็หลุดออกจากปากของผมอีกครั้ง ผมไม่ได้ตั้งใจให้มันหลุดลอดออกไป ความคิดที่เหยียบเอาไว้ แตกกระจายและฉายตัวตนต่อหน้าคนอื่น

ผมชะงักค้าง พอๆ กับเดฟที่จ้องมองมาด้วยสายตานิ่งงัน

เป็นผมเอง ที่เดาไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

พอจ้องเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ทุกอย่างก็ประเดประดังเข้ามา .. ผมเริ่มสั่น และนั่นไม่ใช่การสั่นจากความรู้สึกที่ดี

การจ้องมองอีกฝ่าย ทำให้ความกลัวที่สุดของผมเด่นชัดในความมืดมิด

สิ่งที่ผมกลัวที่สุด คือการรู้สึกเสียใจ ต่อสิ่งที่ตัวเองเคยทำไป

ผมเกลียด ผมขยะแขยงตัวเองในช่วงเวลานั้น แต่ผมไม่เคยรู้สึกเสียใจที่ทำมัน .. เพราะว่ามันไม่มีทางเลือกอะไรให้รู้สึกเสียใจในตอนนั้น

ยี่สิบสองเกือบยี่สิบสามปีที่ผมมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ความคิดความของผมตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงปัจจุบัน กำลังจะเปลี่ยนไป แค่เพราะผมกำลังสบตากับผู้ชายที่ผมไม่ได้รู้จักดีคนหนึ่งอยู่

ผมกำลังรู้สึกเสียใจ..

ผมรู้สึกดีกับผู้ชายคนนี้ .. มีสิ่งหนึ่งที่เขาอยากได้และผมอยากให้

แต่สิ่งนั้น มันไม่ต่างกับขยะที่ไร้ค่า

“นายไม่ได้สกปรก” หลังจากความเงียบอันแสนเนิ่นนาน เดฟก็พึมพำขึ้นแผ่วเบา ดวงตาช้อนมองผมนิ่ง ไม่ผละหนีไปไหน ฝ่ามือที่แตะหลังผมอยู่ ลากไล้เบาๆ ให้สัมผัสอ่อนโยนจนน่าใจหาย “ต้องให้ฉันพูดประโยคนี้กี่รอบกัน”

เขาขมวดคิ้ว

ขณะที่ผมเม้มปากแน่น ปลายนิ้วที่จับค้างอยู่บนไหล่อีกฝ่าย จิกเข้าหากันจนกลายเป็นการขยำเสื้อยืดสีขาวไว้ในมือ

เดฟเอียงหน้าเล็กน้อย ฝ่ามือหยุดการเคลื่อนไหว

“หรือถ้านายอยากคิดแบบนั้นมากจนทนไม่ได้ ทำไมไม่ลองคิดว่าฉันคนนี้ก็สกปรกไม่ต่างกันบ้างล่ะ”

มือของผมสั่นเบาๆ จากประโยคที่ได้ยิน ดวงตาของอีกฝ่ายฉายแววขบขันเล็กๆ ออกมา ก่อนที่มันจะสว่างวาบแล้วเปลี่ยนไป ตอนที่ฝ่ามืออุ่นเปลี่ยนมาวางทาบลงบนต้นขาของผม

“เดฟ” ผมหลุดเรียกชื่ออีกฝ่ายออกไป แต่ดูเหมือนเขาไม่ใส่ใจจะฟังผมพูดอะไรตอนนี้

“แต่ไม่สำคัญหรอก..  ความคิดติดลบพวกนั้นจะอยู่กับนายอีกไม่นาน”

เดฟช้อนดวงตาสีเข้มขึ้นมอง

“เพราะฉันจะแสดงให้นายเห็นเอง ว่าร่างกายของนายบริสุทธิ์แค่ไหนสำหรับผู้ชายคนนี้”

คำพูดนั้นหนักแน่น จนกลายเป็นผมเองที่หลุดยิ้มหยันออกมา

ไม่หรอก ที่เขาพูดแบบนั้น เพราะว่าเขายังไม่รู้อะไร

ไม่รู้ อะไรเลย

“คุณไม่จำเป็นต้องทำอะไรแบบนี้” มันไม่มีประโยชน์อะไร

เดฟตวัดดวงตาลงจ้องฝ่ามือตัวเอง ดวงตานิ่ง แฝงไปด้วยกระแสความจริงจัง

“นายก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเหมือนกัน” เขาพูด พร้อมกับยืดตัวขึ้นสูงอีกครั้งจนสายตาเราอยู่ในระดับเดียวกัน ริมฝีปากกดลงข้างขมับของผมหนักๆ “แค่รอดู ความจริงใจทั้งหมดที่ฉันมีให้ก็พอ”

ผมพ่นลมหายใจออกทางจมูก เหมือนกับการแค่นหัวเราะ ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรน่าขำ

“ไม่มีอะไรทำให้ร่างกายนี้ดีขึ้นมาได้หรอก” ผมเฉลย ดวงตาเกลือกขึ้นจ้องมองผนังสีขาวสนิท “ไม่มี”

“มีสิ” เขาเถียง ผมรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นและสัมผัสจากริมฝีปากที่ลากลงจนหยุดที่สันกราม “ฉันไง”

“ไม่.. คุณ..” แล้วถ้อยคำของผมก็ถูกกระชากให้หายไปกลางอากาศ เดฟใช้มือข้างหนึ่งประคองใบหน้าของผมไว้ ปลายนิ้วโป้งเกลี่ยเบาๆ ที่ข้างแก้ม ขณะที่ริมฝีปากบดเบียดเข้าหาผม ทั้งสัมผัสจากฝ่ามือ ทั้งปลายลิ้นที่แตะไล้เบาๆ ตรงปากล่าง

เหมือนกับการวอนขอ ให้ผมยอมเปิดทางให้

แต่ผมก็ยังคงนิ่ง ขัดกับฝ่ามือที่จิกทึ้งเสื้อของอีกฝ่ายราวกับจะบอกว่าผมกำลังต่อต้าน

เดฟใจเย็นกว่าที่ผมคิดเอาไว้ ไม่มีร่องรอยของความรีบ ไม่มีการเร่งให้รู้สึกลำบากใจ ไม่มีแม้แต่การบังคับหรือแสดงท่าทางหัวเสียออกมา

เขาแค่ถอยห่างออกไป เว้นระยะว่างระหว่างเรา สบตาผมนิ่ง ก่อนจะกดจูบลงมาอีกครั้งตรงมุมปาก

ผมเริ่มหรี่เปลือกตาลง จนกลายเป็นปิดสนิท ทุกความเหนื่อยล้าที่เคยสะสมมากำลังจะออกมาแสดงตัว เพราะร่างกายน่ารังเกียจนี้กำลังพบเจอกับความรู้สึกที่ชาตินี้ ผมไม่เคยคิดฝันว่าจะได้รับ

ทำราวกับมันสำคัญมากนัก

ทำราวกับว่ามันเปราะบาง จนจับต้องแรงๆ ไม่ได้

ริมฝีปากของผมค่อยๆ เปิดอ้าออกช้าๆ พร้อมกับลิ้นอุ่นร้อนที่แทรกตัวเข้ามา แตะสัมผัสเบาๆ กับปลายลิ้นของผมราวกับขออนุญาตอย่างเป็นทางการ

ไม่เห็นจะต้องทำให้มันดูมีค่าขึ้นมาขนาดนั้น

ลมหายใจของผมเริ่มติดขัด จูบของเดฟหนักแน่นขึ้นราวกำลังประกาศความจริงใจอยากที่เจ้าตัวว่า ชักนำ แต่ไม่ได้กระชากให้ผมไปตามทางที่เขาต้องการ

จูบนี้ให้ความรู้สึกที่ดีจนน่าใจหาย พอๆ กับความรู้สึกโกรธตัวเองที่มากขึ้นเทียบเท่ากัน

เพราะผมให้สิ่งที่ดีเท่าเทียมตอบแทนไม่ได้

ริมฝีปากอุ่นผละออกอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนจะแนบลงอีกครั้งที่ข้างแก้ม กดสัมผัสเนิ่นนาน ก่อนจะผละออกแล้วเลื่อนขึ้นไปตรงขมับอีกครั้ง ทำแบบเดียวกัน .. แล้วเปลี่ยนไปหยุดตรงหน้าผาก

ปลายคิ้ว.. เปลือกตา.. ปลายจมูก.. ริมฝีปาก.. คาง..

เสื้อยืดของอีกฝ่ายยับยู่ยี่อยู่ในมือของผม ก่อนที่ผมจะเริ่มคลายมันออก

ความคิดในหัวตีกันวุ่นวาย จนพอถึงจุดหนึ่ง ทุกอย่างก็หายวับไป เหลือไว้เพียงความว่างเปล่า กับสัมผัสเนิบนาบที่จรดลงบนผิวของผมช้าๆ เปลี่ยนตำแหน่งไปเรื่อยๆ จนแทบจะเป็นการจูบเอาทุกอย่างที่ผมมีบนร่างกาย

ลำคอ.. ไหปลาร้า.. ลาดไหล่.. แผ่นหลังของผมถูกเอนลงจนสัมผัสกับความอบอุ่นของโซฟา ขัดกับความหนาวเย็นที่ปะทะเข้าผิวหนัง ตอนที่เสื้อถูกเลิกขึ้นสูง

ผมไม่กล้าแม้แต่จะลืมตาขึ้นมอง หรือขยับตัว

แล้วจูบสะเปะสะปะก็พรมลงบนร่างกายอีกครั้ง พร้อมกับลมหายใจของผมที่เริ่มขาดเป็นห้วง

ฝ่ามือแข็งแรงบีบนวดไปตามช่วงสะโพก ก่อนจะหยุดนิ่งตรงต้นขา ผมผวาสะดุ้ง ตอนที่สะบักรับรู้ถึงปลายลิ้นและการลากเลียเนิบช้า

สัมผัสที่ได้ ไม่ใช่ความนุ่มนิ่ม

มันหยาบดิบไม่ต่างกับผู้กระทำ .. แต่สิ่งที่ผมไม่เคยเจอมาก่อนทั้งชีวิต คือสัมผัสที่ให้ความรู้สึกอ้อยอิ่งนี่ มันชวนให้รู้สึกว่าเขากำลังยกผมเป็นศูนย์กลางของสิ่งที่กำลังดำเนินอยู่ตอนนี้ ไม่ใช่ตัวเขาเอง

เขากำลังตามใจผม ไม่ใช่ตัวเอง

สัมผัสทั้งหมด เกิดขึ้นเพื่อผม ..

ผมสูดลมหายใจเข้า ก่อนจะเผลอกลั้นมันไว้พร้อมกับร่างกายทั้งเกร็งเครียด กางเกงผ้าที่สวมใส่อยู่ถูกรูดลงจนหลุดจากข้อเท้า

ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้นอีกเกือบนาที

“ลืมตาสิ” เดฟพูดขึ้นเบาๆ และผมใช้เวลาอีกร่วมนาที ในการทำตามคำพูดนั้น

ดวงตาของผมเลื่อนสบกับเดฟพอดี ราวกับว่าอีกฝ่ายกำลังจับจ้องผมอยู่ก่อนแล้ว ตลอดเวลา

เดฟพยักหน้าช้าๆ ก่อนที่ริมฝีปากร้อนจะกดลงตรงต้นขาผม ดวงตาช้อนขึ้นมอง ตรึงผมให้เห็นทุกการกระทำที่กำลังเกิดขึ้น

ไม่มีการสร้างรอย ไม่มีการรุกล้ำ เหมือนเดิม ..

มีเพียงแค่จูบหนักๆ ที่กดลงบนผิวของผมเนิ่นนาน ก่อนที่เรียวขาของผมจะถูกยกขึ้นพาดบนบ่าแข็งแรง เดฟทำทุกอย่างด้วยความไม่เร่งรีบ และไม่ปลดสายตาออกตาของผมด้วยเช่นกัน

ผมถอนหายใจหนักๆ ออกมา ตอนที่เขาประทับจูบลงตรงต้นขาด้านใน ริมฝีปากเผยออ้าเล็กน้อย พร้อมกับฟันขาวที่เสียดเบาๆ กับผิวเนื้อ ลมหายใจอุ่นร้อนลากเลียร่างกาย ก่อนที่ปลายลิ้นจะแตะไล้เป็นจังหวะเนิบนาบ

ตอนนั้น ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเป็นบ้าไป

ทุกสติแตกคว้างเป็นเศษเสี้ยว

รู้ตัวอีกที.. น้ำอุ่นๆ ก็หยดไหลออกจากดวงตา

“ฉันจะไม่ทำอะไร ถ้านายไม่ต้องการ” เดฟเอียงใบหน้า ก่อนจะแนบแก้มเขากับเรียวขาของผม ปลายนิ้วลากย้ำผ่านซ้ำไปซ้ำมา สร้างความรู้สึกสบายใจ

ผมยกหลังมือขึ้นปิดริมฝีปาก ฟันคมๆ กัดลงบนปากล่างจนรู้สึกเจ็บ ร่างกายสั่นไหว จากการสะอื้นจนตัวโยน ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากลำคออย่างที่ผมตั้งใจกดเหยียบมันเอาไว้

ผมกำลังรู้สึกอ่อนแอ

และเดฟกำลังแสดงท่าทางปกป้องออกมา

“จริงๆ นะ.. ฉันจะไม่ทำอะไร แค่นายสั่งให้หยุด” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน พร้อมกับสีหน้าเครียดขึง ความทรมานกระจายตัวอยู่บนใบหน้า และผมรู้ดีว่าเดฟกำลังพยายามหนักมากขนาดไหน

เดฟหายใจเข้าลึก

“มันก็แค่.. ต้องพยายามข่มอารมณ์เพิ่มขึ้นอีกหน่อยก็เท่านั้น"



____
#เดฟฟลอยด์

1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.16 As A Pain Killer (26/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: candynosugar+ ที่ 26-01-2017 22:09:59
ดีงามจริงๆ

เป็นกำลังใจให้เช่นเคยนะคะ สู้ๆ  :o8:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.16 As A Pain Killer (26/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 26-01-2017 22:43:22
เดฟ เป็นผู้ชายที่ยอดเยี่ยมจริงๆ
สะกดกลั้นอารมณ์ใคร่ที่เกิดขึ้น
ไม่รีบร้อน รุกเร้าตะโบม เอาแต่ใจตัวเอง ให้เสร็จๆไป
จูบอย่างเชื่องช้า ไม่เกินเลย สุภาพ ยอมกับเจ้าของเรือนร่าง
แค่คิดว่าให้เกียรติ ฟลอยด์  ก็อบอุ่น น่ารักแล้ว
ทั้งที่ต้อง อดกลั้น ระงับอารมณ์ตัวเองแทบตาย
ไรท์ ใช้ภาษาสวยงาม ยอดมาก  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.16 As A Pain Killer (26/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 26-01-2017 22:55:51
เดฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ~ :กอด1: :mew6: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.16 As A Pain Killer (26/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 26-01-2017 23:10:08
เปิดใจดูสิฟลอยด์มันอาจจะเป็นโลกใบใหม่เลยก็ได้ ลองเชื่ออีกสักครั้ง  :hao5:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Who'll Stop The Rain (27/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mecinzano505 ที่ 27-01-2017 17:00:13

17_
Who'll Stop The Rain




ทั้งๆ ที่เขายอมทำถึงขนาดนี้.. ทำให้ผมเริ่มรู้สึกดีกับร่างกายห่วยๆ นี่ ทำให้เห็นว่ามันมีค่าจนน่าตกใจในสายตาของเขา

แต่แล้ว ก็เป็นผมเองที่ทำลายทุกอย่างลง

มันเป็นเพราะความไม่แน่ใจในอะไรบางอย่าง ความรู้สึกหวาดกลัว ระแวดระวัง และเหมือนว่าผมกำลังจะสูญเสียอะไรบางอย่างไป ทุกอย่างมันเยอะเกินไป เกินกว่าที่ผมจะทำความเข้าใจได้ทั้งหมด

“ไม่..” เสียงของผมเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็หนักแน่นพอจะทำให้ดวงตาคู่ตรงข้ามหม่นวูบไปชั่วขณะ เดฟผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ ใบหน้าที่แนบชิดกับขาผมอยู่ก้มลงจนกลายเป็นเส้นผมที่เสียดสี

ฝ่ามืออุ่นลากตกลงอย่างหมดแรง และหยุดนิ่งอยู่ตรงข้อเท้าของผม

“นาย ยังไม่ยอมเปิดให้ฉันเข้าไปจริงๆ สินะ” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูห่างไกล รอยยิ้มจางๆ ถูกจุดขึ้นมุมปาก “แต่นั่นไม่เป็นไร”

เดฟยืดตัวขึ้นยืน หมอนอิงใบใหญ่ที่วางอยู่ถูกหยิบมาวางบังต้นขาที่เปล่าเปลือยของผมไว้ เขาจ้องค้างมา ก่อนจะปิดเปลือกตาแน่นแล้วสะบัดหน้าไปอีกทาง “ขอโทษด้วย ที่เร่งนายเกินไป”

น้ำเสียงนั้นห้วนกระด้าง.. ถ้าคิดในแง่ดี ผมคิดว่าเดฟไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะมาพูดจาเชิงอ่อนหวานกับใครในตอนนี้

ดูจากสันกรามที่บดเข้าหากัน กับจังหวะหายใจหนักๆ นั่น

ไม่ใช่ความโมโห ถึงจะดูเหมือนก็ตาม

ผมนึกสะท้อนแปลกๆ ในใจ มองความอึดอัดและการพยายามสกัดกลั้นอารมณ์ตรงหน้า

เดฟแตะปลายนิ้วเข้าที่หมอนอิง นิ่งค้างอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะผละออกไปเร็วๆ เสียงประตูห้องน้ำกระแทกปิด ก่อนที่ความเงียบจะครอบงำผมที่นั่งอยู่ตรงนี้คนเดียว

.. ยากเกินไป

การมีอะไรกับผู้ชายนับไม่ถ้วนที่ผมจำแม้กระทั่งหน้าไม่ได้ ทำให้ผมรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง เวลาที่คิดว่าจะต้องเปิดเผยความง่ายนั้น .. ให้คนที่ผมมีความรู้สึกด้วยเห็น

ผมขยับข้อมือกำรอบกางเกงตัวเอง ก่อนจะดึงขึ้นมาใส่เหมือนเดิม ความหนักอึ้งถ่วงหนักอยู่ในอกและสมอง ปลายเท้าสัมผัสกับพื้นเย็นๆ พาร่างของผมกลับเข้าไปในห้องนอน

นั่นเป็นอีกคืน

ที่ผมนอนไม่หลับ แม้จะพยายามข่มตาและนอนนิ่งๆ อยู่ทั้งคืน

 

 

 

 

พอตื่นขึ้นมาตอนเช้า ผมก็ต้องพบกับความรู้สึก.. ทำนองว่าวางตัวไม่ถูกอีกครั้ง

ผู้ชายผมสีบลอนด์ที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า กับเดฟที่นิ่งชะงักอยู่ด้านหลัง

ฝ่ามือของผมแตะค้างอยู่ที่ลูกบิดประตู เพราะมีใครสักคนมาเคาะมัน ผมถึงได้เดินออกมาเปิดเพราะว่าเดฟอยู่ในห้องน้ำ

สายตาที่มองมา ไม่เป็นมิตรและเย็นชาจนผมรู้ซึ้งได้ทันทีโดยไม่ต้องคาดเดา ว่าคนตรงหน้ามีความรู้สึกด้านบวกให้ผมมากน้อยขนาดไหน

“ขอคุยด้วยได้หรือเปล่า” เขาพูดขึ้นด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก กับสายตาที่มองเลยผ่านผมไปราวกับผมเป็นอากาศที่ขวางทางอยู่

ความรู้สึกอึดอัดแบบแปลกๆ เข้าเกาะกุม ก่อนจะสลายหายไปในไม่ถึงนาที เมื่อแผ่นหลังผมรับรู้ถึงความอบอุ่นที่ซ้อนทาบ

เดฟวางมือซ้อนมือของผม ประตูถูกบังคับให้เปิดกว้างขึ้น ก่อนที่ร่างของผมจะถูกดึงให้ถอยหลัง แรงบีบเบาๆ ตรงไหล่ ผมไม่แน่ใจว่าเดฟตั้งใจจะสื่อสารอะไรหรือแค่เผลอพลั้งมือจากอารมณ์ที่ไม่คงที่

“ส่วนตัว ไม่ได้เหรอ?” ผู้ชายที่เดฟเคยเรียกว่าบีร้องขอ ดวงตาตวัดมองผม ก่อนที่การแค่นหัวเราะจะหลุดออกมาเพราะคำตอบที่ได้รับ

“มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรตอนไหนกัน” นั่นเย็นชาน่าดู แม้แต่กับผมที่ไม่ได้เป็นคนรับประโยคนั้นโดยตรงยังสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงนั่น

บีเม้มปาก หน้าเสีย และดวงตาที่เริ่มขึ้นสีแดงจางๆ

เขาเดินไปทรุดตัวนั่งบนโซฟา ฝ่ามือประสานเข้าหากัน .. มันแข็งเกร็ง ขัดกับท่าทางสบายๆ ที่อีกฝ่ายพยายามแสดงออกมา

ผมคิดว่าตัวเองไม่ควรอยู่ตรงนี้สักเท่าไหร่ อย่างน้อย ถ้ามีอะไรระหว่างสองคนนี้ ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองต้องมีส่วนรู้เห็นด้วยในเรื่องนี้

บีก็อาจจะกำลังรู้สึกแบบนั้นก็ได้ ..

“ผมออกไปข้างนอกดีกว่า” แล้วผมก็พูดขัดออกไป เดฟปรายตามองมา เขาไม่ได้อนุญาต แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธต่อคำพูดนั้น สีหน้าเรียบนิ่งให้อารมณ์ทำนองว่า ‘อยากทำอะไรก็ทำ’

“นายก็อยู่ต่อสิ” กลับกลายเป็นบีที่พูดขึ้นมา ดวงตาจับจ้องค้างไปที่เดฟ ทั้งๆ ที่กำลังพูดอยู่กับผม “มีสิทธิ์อยู่ ก็ควรจะอยู่”

เสียง เหอะ หลุดออกจากลำคอของเดฟเบาๆ เขาเอียงหน้าเล็กๆ พร้อมกับแผ่นหลังที่เอนพิงตู้เก็บของด้านหลัง “ถ้าจะมาแค่ประชดแบบนี้ ไม่คิดว่าน่ารำคาญไปหน่อยหรือไง”

“ทำไมต้องพูดแรงใส่กันขนาดนี้ด้วย”

“แล้วทำไมนายไม่ถามตัวเองด้วยคำถามนั้นล่ะ ทำไมถึงได้ทำใส่กันได้แรงขนาดนั้น” เดฟสวนกลับไปแทบจะในทันที สีหน้าเรียบนิ่งเหมือนเดิม แต่ให้ความรู้สึกแตกต่างจากยามปรกติอย่างเห็นได้ชัด “แค่คำพูดพวกนี้ มันเทียบกันได้ไหมล่ะ”

“ผมก็ขอโทษแล้วไง ผมขอโทษไปแล้วไง!” บีลุกขึ้นยืน ขาก้าวยาวๆ มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าร่างสูง พร้อมกับฝ่ามือที่กำเข้าหากันแน่น

เดฟกัดริมฝีปากล่างเบาๆ รอยยิ้มเย้ยหยันวาดขึ้นชัดเจนอย่างจงใจ

“แล้วฉันต้องรับมันง่ายๆ ..” ดวงตาสีเข้มช้อนขึ้นจ้องอีกฝ่ายเขม็ง “เหมือนกับที่นายรับไอ้เวรนั่นให้เข้าไปอยู่ในร่างกายน่ะเหรอ”

!

“ผมไปข้างนอกดีกว่า” ผมพูดแทรกขึ้นไป ตั้งใจจะให้รบกวนการสนทนาพวกนี้ให้น้อยที่สุด แต่แรงบีบหนักๆ ตรงช่วงต้นแขนกระชากผมไว้ให้อยู่ที่เดิม

ฝ่ามือของบีเกร็งแน่นจนเห็นเส้นเลือด เขาส่งสายตาท้าทายไปที่คนตรงหน้า ขณะที่เดฟเริ่มมีสีหน้าที่น่ากลัวขึ้น

“นายไม่อยากลองดีแน่” เดฟพูดช้าๆ ด้วยโทนเสียงหนักแน่น

บีหลุดหัวเราะออกมา สีหน้าเขาย่ำแย่จนเห็นได้ชัด ดวงตาเริ่มแดงก่ำ พร้อมกับของเหลวใสๆ ที่คลอแน่นอยู่ “เปลี่ยนใจเร็วเหลือเกินนะเดฟ ไม่กี่เดือน คุณก็มาเอาคนใหม่ไม่ต่างกันนั่นแหละ”

คิ้วผมกระตุกจากคำพูดที่สาดใส่ร่างกาย ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังโมโห คนโมโหสามารถพูดอะไรก็ได้ แต่นั่นไม่ได้ช่วยให้ความกรุ่นโกรธเล็กๆ ที่เกิดขึ้นในตัวจางลงได้เลย

เขากำลังล้ำเส้น..

“เบน” เดฟกดเสียงต่ำ นั่นอาจจะเป็นชื่อจริงๆ ของผู้ชายคนนี้ ฝ่าเท้าก้าวเข้าหาช้าๆ อย่างคุกคาม ก่อนที่ร่างของเบนจะถูกเหวี่ยงแรงๆ จนกระแทกกับโซฟา

ผมเบิกตากว้าง เพราะความตกใจทำอีกฝ่ายเผลอปล่อยมือที่จับผมอยู่ และใช่ ผมเองก็ตกใจไม่ต่างกัน เพราะเสียงปะทะที่ดังลั่นเมื่อครู่

ดวงตาของเดฟมุ่งร้าย ขณะที่เขาตรงเข้าไปบีบไหล่อีกฝ่ายด้วยสองมือ

ในความโกรธที่แสดงออกมา..

มีความผิดหวังแทรกซึมอยู่ จนเป็นผมเองที่รู้สึกวูบโหวงแปลกๆ จากการมองเห็นมัน

“เข้ามาหา แล้วบอกว่าอยากให้ฉันชอบนาย” เดฟพ่นลมหายใจออกทางจมูก คล้ายกับการเยาะเหยียด “พอฉันเริ่มที่จะรู้สึกแบบนั้น..”

เบนเบิกตากว้าง น้ำตาที่เก็บอยู่ไหลลงในทันทีที่กะพริบตา

“ถ้าอยากเอากับคนอื่นมากนัก ฉันก็หลีกทางให้แล้วไง ต้องการอะไรอีก”

เบนเม้มปาก แรงสะอื้นเบาๆ เกิดขึ้น ก่อนจะกลายเป็นการร้องไห้อย่างสมบูรณ์แบบ ฝ่ามือผอมบางยกขึ้นจับเสื้อของเดฟก่อนจะบีบไว้แน่น

ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาหลังจากนั้น

“นายเป็นคนทำลายทุกอย่างทิ้งไปเอง ทุกอย่างที่ฉันให้ แล้วทีนี้ยังไง”

เดฟบีบไหล่อีกฝ่ายแน่นจนเห็นแรงสั่น “อยากได้โอกาสเหรอ” เขาถามเสียงสูง

ดวงตาของเบนหรี่ปิดลงแน่น ราวกับกำลังหลีกหนีจากสิ่งที่เผชิญอยู่

ไม่ต่างจากผมเองที่ก็ทำได้แค่ยืนนิ่งค้างอยู่กับที่ เริ่มรู้สึก เหมือนกับตัวเองไม่มีตัวตนอยู่ในสถานที่แห่งนี้ จนกระทั่งร่างสูงพูดประโยคถัดไปออกมา

 

“มันไม่มีหรอก ได้ยินไหม ไม่มีโอกาสอะไรทั้งนั้น เพราะว่าทุกอย่างที่ฉันมีในตอนนี้ คนที่ฉันอยากมอบทุกอย่างให้ในตอนนี้ ไม่ใช่นาย..”

ดวงตาสีเข้มเหลือบกลับมาสบกับผม กระแสความรู้สึกหนักแน่นไหลเวียน กระชากให้ผมกลับมายืนอยู่ตรงนี้

กลับมามีตัวตนอยู่ที่นี่อีกครั้ง

“แต่เป็นผู้ชายคนนั้น”









 

“เฮ้ ฟลอยด์!” สัมผัสที่คว้าเข้าตรงไหล่เรียกให้ทั้งร่างผมสะดุ้ง เหมือนถูกปลดออกจากความคิดซับซ้อนในหัว โจยืนอยู่ข้างๆ รอบตัวเราคือด้านหลังร้าน ที่ทำงานของผม

ตอนนั้น.. เป็นผมเองที่ไม่รู้ว่าควรจะต้องพูดหรือแสดงสีหน้ายังไง เช่นเดียวกันกับเบนที่นิ่งชะงักไป ริมฝีปากสีสดเม้มเป็นเส้นตรง ก่อนที่เขาจะพาตัวเองออกไป

ความเงียบโรยตัวหลังจากนั้น และผมก็เป็นฝ่ายเอ่ยประโยคขอตัวเบาๆ เพื่อหลบหนีจากทุกความกดดันที่เกิดขึ้นในสถานที่นั้น

ขี้แพ้

ผมรู้ดีว่าตัวเองเหมาะกับคำบรรยายนั้นมากแค่ไหน

“เฮ้!” เป็นอีกครั้งที่โจตะโกนออกมาเสียงดัง พร้อมกับฝ่ามือที่โบกไปมาตรงหน้าของผม ผมกะพริบตา เริ่มรับสภาพของปัจจุบันเข้ามาแทนที่อดีตที่จมอยู่

“โทษที”

“เป็นอะไรหรือเปล่า นายเหม่อ” โจถาม ดวงตาจ้องผมอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ “เหม่อทั้งวันเลยด้วย”

“ไม่มีอะไร”

“โกหก” ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ ยกมือขึ้นปัดไปมาราวกับจะปฏิเสธคำกล่าวนั้น

“ต่อให้มีก็ไม่อยากพูดตอนนี้ เข้าใจไหม” ความซื่อตรงเป็นสิ่งที่ทำให้โจหยุดรบเร้า เขาเม้มปาก ก่อนจะเอนตัวพิงเคาน์เตอร์ด้านหลัง เพราะว่าร้านใกล้จะปิดแล้ว พวกผมถึงมีเวลามายืนเฉยๆ กันแบบนี้ และใช่ เพราะว่าล้างจานเสร็จไปหมดแล้วด้วย

วันนี้คนที่ทำหน้าที่ในครัวคนนั้นกลับมาทำงานตามปรกติ ผมจึงถูกย้ายกลับมาทำตำแหน่งเดิมอย่างเลี่ยงไม่ได้ นั่นหมายความถึงการเผชิญหน้ากับโจด้วย

แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะผมไม่คิดว่าจะมีอะไรรบกวนจิตใจและความเครียดของผมไปได้มากกว่าผู้ชายอีกคนที่อยู่ที่บ้านหรอกตอนนี้

เรื่องของโจ กลายเป็นเรื่องเล็กๆ ที่ผมแทบไม่ใส่ใจเลยด้วยซ้ำ.. มันอาจจะฟังดูโหดร้าย แต่ผมบังคับความคิดความรู้สึกของตัวเองไม่ได้

ทำได้แค่เหยียบมันไว้ และแสดงออกราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเท่านั้น

“คราวนี้ เราจะคุยกันได้แล้วหรือยัง” อยู่ดีๆ โจก็พูดขึ้นมา และการเริ่มเรื่องแบบนี้ ผมไม่แปลกใจเลยสักนิด จากสีหน้ากระอักกระอ่วน และการหันมาแอบมองผมแทบจะตลอดเวลาตอนทำงาน ทำอย่างกับว่าผมไม่รู้ตัว แค่ไม่ได้หันไปมองเพราะว่าไม่รู้จะแสดงสีหน้ายังไงกลับไป

เขารอคอยช่วงเวลานี้มาตลอด

“คุยสิ” ผมผ่อนลมหายใจออกช้าๆ เป็นจังหวะเนิบนาบ ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนขั้นบันไดขั้นที่สาม เขี่ยปลายเท้าเข้ากับพื้นสกปรก ก่อนจะหยุดนิ่งพร้อมกับมือสองข้างที่ประสานกันบนหน้าขา

“อยากคุยเรื่องอะไร” ผมถามไปอย่างนั้นเอง อาจจะเป็นการช่วยให้คนตรงหน้าเริ่มประเด็นได้ง่ายขึ้นด้วยล่ะมั้ง

โจที่ดูไม่เคยกลัวอะไร ตอนนี้มีสีหน้าพิลึกจนผมเกือบหลุดหัวเราะออกมา

ถ้าไม่ติดว่าไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะทำแบบนั้นเลยสักนิด

“จูบนั่น..” โจเกริ่น อย่างที่ผมคิดว่าเขาจะทำ “ที่ฉัน.. จูบนาย ที่ห้องวันนั้น”

“จำได้น่ะ ไม่ได้ความจำเสื่อมนะ” ผมขมวดคิ้ว รู้สึกแปลกๆ กับการฟังคำบรรยายยาวเหยียดเจาะจง ที่เหมือนดึงผมให้กลับไปมองเห็นภาพนั้นชัดเจนอีกครั้ง

ผมไม่ถือสาหรอก ความจริงแล้ว มันก็เป็นแค่จูบ.. กับคนเมาด้วยยิ่งแล้วใหญ่ นั่นหมายถึง ยังไงล่ะ สติเกินครึ่งของอีกฝ่ายถูกละลายเป็นเต้าหู้เหลวๆ เพราะแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป

สิ่งที่ผมกังวล ไม่ใช่เรื่องการเอาปากมาสัมผัสกันโดยไม่มีสติ แต่เป็นความรู้สึกหลังจากนั้นต่างหาก

ผมยังไม่อยากเสียเพื่อนไปตอนนี้… ยิ่งเป็นเพื่อนจำนวนเท่าหยิบมือที่ผมมีอยู่ด้วย

“ฉัน.. ไม่.. ฉัน” โจอ้ำอึ้ง ขณะที่ผมเริ่มสอดปลายนิ้วเข้าหากันแล้วขยับเสียดสีเบาๆ “ฉัน.. ฉิบ!”

“โอเคไหม” ผมถาม โจในสายตาของผมตอนนี้ ดูงุ่นง่านจนน่าสงสาร เขาเหมือนคนที่คลำหาคำพูดของตัวเองไม่เจอ

โจเงยหน้าขึ้นมา จ้องผมเขม็ง ก่อนที่ทุกปลายประสาทในร่างกายผมจะแข็งทื่อ เมื่ออีกฝ่ายพุ่งเข้ามาหาด้วยความเร็วที่มากเกินกว่าจะตั้งตัวทัน

ริมฝีปากอุ่นบดเบียดเข้ามา พร้อมกับฝ่ามือที่ล็อคใบหน้าผมไว้

.. นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมเคยคาดเดาเอาไว้ว่าจะเกิดขึ้น

แรงขัดขืนเล็กๆ เกิดขึ้นในตอนแรก และโจดูเหมือนตั้งใจเพิกเฉยมัน หรือไม่ก็ขาดสติจนไม่ทันสังเกตเห็นอะไร พอเป็นแบบนั้น ผมถึงเริ่มออกแรงมากขึ้น

จูบที่อีกฝ่ายพยายามยัดเยียดให้ผมเริ่มเปลี่ยนไป

ในตอนแรก มันทาบทับลงมาคล้ายหวังให้ผมเปิดทางให้ เหมือนการร้องขอ

แต่ในตอนนี้ ยิ่งผมพยายามบิดตัวเองออกจากการจับกุมมากเท่าไหร่ ความรุนแรงและการยัดเยียดยิ่งเผยตัวตนชัดขึ้นเท่านั้น

ไม่ใช่แบบนี้..

ผมส่งเสียงประท้วงในลำคอ ก่อนจะรวบแรงทั้งหมดที่มีเพื่อผลักอีกฝ่ายออกไป พร้อมกับทั้งร่างที่ผุดลุกขึ้นยืน โจหอบหายใจ ขณะที่ผมยกปลายนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากตัวเอง

มันแสบ.. แล้วก็เห่อช้ำ

“คิดว่าตัวเองทำอะไรอยู่” เสียงของผมให้ความรู้สึกห่างไกลจนน่าตกใจ มันเป็นเสียง ที่ผมไม่คิดว่าตัวเองจะใช้พูดกับใครอีกในตอนนี้

โจถอยหลังไปสองสามก้าว ฝ่ามือทั้งสองข้างยกขึ้นกุมรอบศีรษะด้วยท่าทางสับสน ผมมองท่าทางนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ความโกรธแล่นริ้วในหัวสมอง

ครั้งแรกที่ห้องนั้น ผมไม่มองว่ามันเป็นอะไรทั้งนั้นนอกจากความผิดพลาด

แต่ในครั้งนี้.. มันให้ความรู้สึกของการบังคับมากเกินไป จนทำให้ผมรู้สึกโกรธ

แล้วภายในความรู้สึกไม่พอใจทั้งหมดที่เกิดขึ้น.. ใบหน้าของใครอีกคนแฝงตัวอยู่เงียบงัน แต่ชัดเจนหลังเปลือกตา

“ไม่คิดว่าเราจะคุยกันรู้เรื่อง” ผมเปรย ก่อนจะถอดผ้ากันเปื้อน พับมันลวกๆ แล้ววางไว้บนเคาน์เตอร์ ในชั่วขณะหนึ่งที่ผมจับท่าทางของตัวองได้ ชั่วขณะหนึ่งที่เดินผ่านร่างสูงที่ยืนนิ่งอยู่ มันคือการหลีกหนี ราวกับไม่อยากเข้าใกล้หรือสัมผัสตัว

ฝ่าเท้าของผมหยุดชะงักอีกครั้ง แรงบีบตรงข้อมือ ไล่ลามขึ้นมาถึงต้นแขน

ผมเพ่งสายตาไปที่ผนังมืดๆ ที่ไฟส่องไปไม่ถึง เสียงหอบหายใจของโจดังลั่นอยู่ในกกหู

“นาย ถือตัวกับฉันเหรอ” น้ำเสียงของเขาเหยียดหยัน คำพูดที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากคนคนนี้ เริ่มหลุดร่วงออกมาทีละเล็กละน้อย

“ดูสิ่งที่นายเคยทำที่เนวาด้าสิ นายทำอะไรที่นั่นกัน ไม่อยากจะเดาเลย” คำพูดนั้นเรียกเลือดลมในตัวผมให้สูบพล่าน ดวงตาเริ่มพร่ามัวและฉายอะไรเก่าๆ ที่ผมไม่อยากเห็น “แล้วทีนี้ นายกลับมาหวงตัวกับฉันเนี่ยนะ”

นั่น.. ร้ายกาจเป็นบ้า

ชวนให้รู้สึกเจ็บ กว่าคนแปลกหน้าที่ผมจำชื่อจำหน้าไม่ได้มาพูดใส่ซะอีก

เพราะสถานะที่ผมหยิบยื่นให้อีกฝ่าย มันคือมิตรภาพที่ผมตั้งใจให้ แต่ดูตอนนี้สิ..

พังไม่เหลือชิ้นดี แค่เพราะคำพูดที่ใช้เวลาเปล่งออกมาไม่ถึงสิบวินาที

พลั่ก!

แล้วเสียงหมัดกระทบเนื้อก็ดังลั่นขึ้น ผมสะบัดมือตัวเองเบาๆ ดวงตาปรายต่ำมองโจที่ทรุดลงไปนั่งที่พื้น

ถ้าผมเคยทำคนอย่างเดฟเลือดออกได้ หมัดในรอบที่ที่จงใจกว่ามากก็ทำให้โจอยู่ในสภาพไม่ต่างกัน ปลายนิ้วเรียวยาวยกขึ้นแตะเลือดและรอยช้ำวงใหญ่ตรงมุมปากและแก้มตัวเอง และก่อนที่เขาจะได้ทำอะไรมากกว่านั้น

ผมก็หันหลังแล้วเดินออกจากตรงนั้นทันที

เดินเร็วขึ้นเรื่อยๆ .. จนกลายเป็นการวิ่ง พร้อมทั้งความอึดอัดและการบีบรัดจนเจ็บที่หน้าอก ปลายนิ้วยกขึ้นกำเสื้อตรงอกตัวเองแน่น จิกย้ำลงไปเพื่อรับรู้ความชาที่ลุกลามใหญ่โต

 

ผมอาจจะเป็นบ้า

แต่ในตอนนี้ ผมยอมรับได้เต็มปากเต็มคำ

ว่าคิดถึงผู้ชายคนนั้นมากแค่ไหน









ฮาร์เลย์ของเดฟจอดนิ่งอยู่หน้าบ้านตอนที่ผมกลับไปถึง ผมไม่ได้ตรงกลับไปที่นั่นในทันทีที่เกิดเรื่อง แต่กลับพาตัวเองไปทิ้งดิ่งอยู่ที่บาร์เล็กๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่บาร์เดียวกับที่พวกเดฟสุมหัวอยู่

เงินทั้งหมดที่ผมมี ถูกยื่นไปเพื่อแลกกับแก้วช็อตนับไม่ถ้วน

จำไม่ได้แล้วว่าดื่มไปเท่าไหร่ …

ไม่ใช่โจหรอก ที่เป็นต้นเหตุในการทำตัวไร้สติแบบนี้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่โจไปซะทั้งหมด

พอถูกสะกิดแผลเข้านิดหน่อย.. สมองห่วยๆ นี่ก็กลับไปลากเอาทุกอย่างที่ผมมีในอดีตมาตบหน้าผมแรงๆ จนชา ความร้อนที่ไหลวนผ่านปลายลิ้นและลำคอบาดเฉือนภาพความทรงจำพวกนั้นให้ขาดวิ่น เยียวยาได้ไม่ถึงหนึ่งนาที ก็จำเป็นที่จะต้องดื่มกินลงไปซ้ำเพื่อให้ได้ผลลัพธ์แบบเดิม

เมาซะแล้ว …

ผมเตือนสติตัวเองย้ำๆ ตลอดทุกฝีก้าวที่มีตลอดทางกลับมาที่บ้าน ดวงตาจ้องค้างไปที่ฮาร์เลย์สีดำ ก่อนจะลากกลับไปมองประตูบ้าน

ตรงโซฟา.. ไม่มีใครอยู่ ปลายเท้าผมลากผ่านบนพื้นไปเรื่อยๆ จนเกิดเสียงเสียดสี กองหนังสือพิมพ์ยังวางเป็นระเบียบอยู่ตามพื้น ยกระดับสูงขึ้นมาจนเกือบจะเท่ากับตัวผม หนังสือตามชั้นวางอยู่ที่เดิม สะเปะสะปะแต่ก็ดูเป็นระเบียบอยู่ในที

แล้วผมก็พบเดฟ นั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน แผ่นหลังกว้างให้ความรู้สึกหลากหลายเวลามอง

แต่ไม่มีความคิดใดโผล่ขึ้นมาในหัวของผมเลยในช่วงเวลานั้น

“กลับช้านะ” เดฟทัก โดยที่ไม่หันมามอง “.. นึกว่าจะไม่กลับมาแล้ว”

ผมหลุดยิ้มฝืดเคือง อาจจะเป็นแบบนั้น.. ผมเป็นคนหนีออกไปจากที่นี่เอง ตอนที่มีเรื่องกันตอนเช้า

แล้วเดฟก็ชะงักไป ผมเดาได้ในทันทีว่าเขาสัมผัสได้ถึงอะไรที่แปลกไป อย่างเช่น กลิ่นแอลกอฮอล์ที่ลอยออกจากตัวผมตอนนี้เป็นไง

เพราะอะไรสักอย่าง ทำให้บรรยากาศระหว่างเราตอนนี้ผิดเพี้ยนไป ไม่สิ ถ้าพูดให้ถูกก็คือ เหมือนยกเอาความอึดอัดที่สะสมใส่กันมาวางไว้รอบตัวก็คงได้

แม้กระทั่งตอนที่ผมขยับตัวเข้าไปใกล้มากขึ้นกว่าเดิม เดฟก็ยังคงนั่งนิ่งและไม่หันมา ทำท่าราวกับกำลังสนใจกระดาษในมือมากมาย.. อาจจะเหนื่อยแล้วกับการสนใจแล้วก็เข้าหาผมก็ได้

ผมปลดกระดุมออกหนึ่งเม็ด ความร้อนเริ่มไล่ลามขึ้นตามช่องอกและสันกราม ไม่แน่ใจนักในตอนนี้ ว่าเหล้าทั้งหมดที่ผมดื่มไปช่วยลบล้างอะไรได้บ้าง

เศษความทรงจำยังติดค้างอยู่ที่ปลายสายตา

“คุณ .. ชอบผมใช่หรือเปล่า” เพราะอะไรผมเองก็ไม่แน่ใจ แต่คำถามนั้นก็หลุดออกจากริมฝีปากไปแล้ว

ปราศจากการไตร่ตรอง

เดฟหมุนเก้าอี้กลับมา เขาจ้องมองผมไม่วางตาด้วยสีหน้าประหลาดใจ อาจจะคิดไม่ถึงว่าผมจะกลายเป็นฝ่ายเริ่มประเด็นนี้ขึ้นมาก่อน

“ใช่” คำตอบเรียบง่าย

แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่มีคนบอกว่าชอบผม

ว่ากันตามจริง.. ใครๆ ก็ชอบผมทั้งนั้น

“บอกได้ไหมว่าทำไม”

อีกฝ่ายนิ่งไป สีหน้าราวกับครุ่นคิด ก่อนที่เขาจะสบตากับผม ริมฝีปากขยับช้าๆ เอ่ยคำตอบออกมาเป็นจังหวะเนิบช้า

“เพราะนายเรียกร้องให้ฉันเข้าหา” ผมกะพริบตา ไม่แน่ใจนักกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน

“ผมทำแบบนั้นตอนไหนกัน”

เดฟเผยรอยยิ้มออกมา ราวกับกำลังขบขันต่อคำถามนั้น ร่างสูงยืดตัวขึ้นยืน ก่อนจะสาวเท้าเข้ามาจนชิดกับผม แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเว้นระยะห่างไม่ให้ตัวเราสัมผัสกัน

ปลายนิ้วยกขึ้นทำท่าเหมือนจะจับใบหน้าของผม แต่ก็ชะงักค้างไว้กลางอากาศ

“ดวงตาคู่นี้มองตรงมาที่ฉัน.. ทั้งความหม่นเศร้า ความสงสัยใคร่รู้ ดึงดูดให้ฉันเข้าหา” เขาพึมพำ ดวงตาที่ทอดมองมาให้ความรู้อ่อนโยนผิดวิสัย “นายอาจจะไม่รู้ตัว ว่าทำสีหน้าแบบไหนใส่คนแปลกหน้าคนนี้ในวันนั้น”

เป็นอีกครั้งที่ผมละสายตาจากใบหน้าอีกฝ่ายไม่ได้

เดฟยังคงรักษาระยะห่างระหว่างเรา

“นายบอบบาง แต่ไม่ได้อ่อนแอ นั่นยิ่งทำให้ฉันปล่อยมือจากนายไม่ได้ รู้ไหม”

หลายๆ ความรู้สึกแฝงมาในรูปประโยคเรียบง่ายนั่น น่าแปลก ที่ผมสัมผัสได้ถึงทั้งการชื่นชม การยอมรับ การปกป้อง และการให้คำสัญญา

น่าแปลก ที่ความรู้สึกมากมายขนาดนั้น.. ทำให้ผมนึกหดหู่ แทนที่จะเป็นดีใจ

ภาพในอดีตยังซ้อนทับกับภาพที่ผมมองเห็นในปัจจุบัน ผมเม้มปากแน่น การตัดสินใจไม่ได้เกิดขึ้นจากสติที่ครบถ้วนสมบูรณ์

อันที่จริง ไม่มีการตัดสินใจอะไรเกิดขึ้นเลยมากกว่า ไม่มีอะไรทั้งนั้น นอกจากความรู้สึกสมเพชตัวเองและการประชดประชันที่มีเพียงผมคนเดียวที่จะรู้สึกเจ็บ

กลิ่นแอลกอฮอล์ยังคลอเคลียอยู่ตรงปลายจมูก ผ่อนผ่านออกมาสัมผัสอากาศพร้อมกับลมหายใจ

ผมกะพริบตา ก่อนจะก้าวปลายเท้าไปข้างหน้าเล็กน้อย ซ้อนนิ้วเท้าไว้บนปลายเท้าอีกฝ่ายเบาๆ พร้อมกับดวงตาที่ช้อนขึ้น

 

อีกแล้ว …

ความรู้สึกอึดอัดจนอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ แบบนี้

 

“แสดงให้เห็นสิ”

เข็มนาฬิกาเดินไปข้างหน้าช้าๆ ลมหายใจของผมถูกกำหนดเข้าออกเป็นจังหวะที่กดดันในตัวเอง.. เดฟต่อเวลาให้ผมด้วยการนิ่งราวกับต้องการจะดูเชิง

ก่อนที่เขาจะพรากทุกอย่างไปจากผม ทุกลมหายใจ ทุกสตินึกคิด ทุกการควบคุมตัวเอง

ร่างของผมถูกกระชากเข้าไป แรงกอดรัดตรงช่วงเอวแน่นจนทำให้หายใจลำบาก ริมฝีปากอุ่นร้อนบดเบียดเข้ามาโดยไม่รอให้ตั้งตัว ตัวผมถูกดันให้ถอยหลังช้าๆ จนสัมผัสแรงกระแทกเบาๆ ที่แผ่นหลัง

จูบนี้ให้ทั้งความรู้สึกดิบเถื่อน และความต้องการอยากจะครอบครอง

หนึ่งวินาทีรุนแรง หนึ่งวินาทีต่อมาก็เบาบางลงคล้ายกับเจ้าตัวพยายามกดมันเอาไว้

สะโพกของผมถูกเค้นหนักจากฝ่ามือแข็งแรง เรียวลิ้นที่สอดเข้ามาตวัดเกี่ยวกับลิ้นของผม ความอื้ออึงแทรกซ้อนเข้ามาในกกหู

ผมยกแขนโอบรอบคออีกฝ่าย พร้อมกับปลายนิ้วที่จิกแน่นลงบนช่วงไหล่ที่เต็มด้วยกล้ามเนื้อ

“ฮื่อ..” เพราะว่าเริ่มหายใจไม่ออก ผมถึงส่งเสียงประท้วงออกไป

ไม่แน่ใจว่าเดฟตีความหมายมันไปในทิศทางใด แต่หลังจากนั้น ร่างของผมก็ถูกยกลอยขึ้นจากพื้นทันที พร้อมกับร่างกายของอีกฝ่ายที่แทรกเข้าตรงระหว่างขา เบียดชิดเข้ามาจนแทบไม่มีพื้นที่ว่างระหว่างเรา

ผมเกี่ยวขาทั้งสองข้างเข้าที่สะโพกแข็งแรง ดวงตาเริ่มพร่าเลือนจนแทบมองไม่เห็นอะไรนอกจากกระแสความร้อนที่แผ่อยู่รอบกาย

เดฟถอนริมฝีปากออกไป ปลายนิ้วกดลงบนริมฝีปากล่างของผม ก่อนจะออกแรงปาดมันหนักๆ จนเผลอนิ่วหน้าออกมาเพราะรู้สึกเจ็บ

“ปากช้ำ..” เขาเกริ่นเสียงแหบ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจับจ้องผมในระยะใกล้ ตอนนั้น ผมจับความรู้สึกราวกับกำลังถูกรีดเค้นข้อมูล “ไปจูบกับใครมา”

ผมเม้มปาก ความเงียบที่ตอบโต้กลับไปยิ่งทำให้เดฟเบียดตัวเข้ามาใกล้มากกว่าเดิม

“ไม่ได้ตั้งใจ” นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ผมคิดได้ในตอนนี้

เขาเผยรอยยิ้มเครียดออกมา ชั่วพริบตาหนึ่งถึงจางหายไป “ครั้งที่แล้วก็ไม่ตั้งใจ”

ปลายนิ้วผมจิกลึกลงไปในผิวเนื้ออีกฝ่ายแรงกว่าเดิมเพราะความประหม่า เดฟนิ่วหน้า แต่ก็ไม่ได้ทักท้วงหรือว่าอะไรออกมา

ทั้งถูกกดดันในระยะใกล้ขนาดนี้.. ทั้งจูบที่ทำให้สมองหมุนคว้าง.. ทั้งกลิ่นเหล้าที่เหมือนยิ่งมอมเมาให้ผมตกลงไปในหลุมว่างเปล่า

ผมสูดลมหายใจลึก ก่อนจะทิ้งใบหน้าลงบนบ่ากว้างแล้วขยับเอียงเล็กน้อย ลมหายใจอุ่นเป่ารดอยู่ตรงช่วงลำคอที่เกร็งขึ้น

“ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ” ผมกระซิบ

ชั่งใจคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะรู้ตัว ริมฝีปากก็กดแนบลงไปตรงลำคอตรงหน้าแล้ว

คิดอะไรไม่ออก.. ผมกะพริบตา รู้สึกรั้นๆ ที่ปลายจมูกคล้ายกับคนใกล้จะร้องไห้

“แต่ตอนนี้ตั้งใจ”

ลมหายใจของเดฟสะดุดไปกลางอากาศ ก่อนที่ผมจะถูกกระแทกแรงๆ จนศีรษะปะทะเข้ากับผนังที่พิงอยู่ เดฟโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้จนหน้าผากเราสัมผัสกัน ดวงตาหรี่ลง ขณะที่วงแขนกระชับร่างของผมไว้ไม่ให้ตกลงไปที่พื้น

“ปั่นหัวกันเหรอ” เขากระซิบเสียงลอดไรฟัน ทั้งร่างเกร็งไปหมด ผิดกับผมที่เหมือนกล้ามเนื้อทุกส่วนไม่ทำงาน เหลือไว้เพียงร่างที่อ่อนปวกเปียก

ปั่นหัวเหรอ

ผมไม่แน่ใจนักว่าใครเป็นคนปั่นหัวใครกันแน่

เดฟทาบริมฝีปากลงมาอีกครั้ง บดเบียดแผ่วเบา ก่อนจะพึมพำทั้งๆ ที่ยังไม่ผละไปไหน

 

“ทำให้หวง ตั้งใจใช่ไหม”

 

ผมไม่ได้ตอบคำถามนั้น ไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้นนอกจากความคิดที่วิ่งวนอยู่ในหัวของตัวเอง

ปลายนิ้วที่จิกค้างอยู่บนร่างกายอีกฝ่ายค่อยๆ คลายออก ผมลูบฝ่ามือไปมาเบาๆ ราวกับขอโทษต่อบาดแผลที่ตัวเองเป็นคนสร้าง ก่อนจะไล่มันขึ้นช้าๆ จนหยุดอยู่ที่สองข้างแก้มอุ่น

เดฟหายใจแรง

ผิดกับผมที่แทบไม่หายใจ ตอนที่กล่าวประโยคในความคิดออกไป

 

“กอดนั่น.. ผมยังใช้สิทธิ์ได้อยู่หรือเปล่า”



____
#เดฟฟลอยด์

1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.17 Who'll Stop The Rain (27/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 27-01-2017 17:44:27
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.17 Who'll Stop The Rain (27/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 27-01-2017 19:18:28
เดฟฟฟฟฟฟ!~~~~~ เราดีใจกับนสยด้วยนะ :mc4: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.17 Who'll Stop The Rain (27/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 27-01-2017 19:52:03
การดำเนินเรื่องมันยอดมาก  :mew1: :mew1: :mew1:
อ่านไป ลุ้นไป สนุกกกก :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
โจ นายถูกฟลอยด์ตัดจากการเป็นเพื่อนแล้ว และนายสมควรโดนต่อยที่สุด  :z6: :z6: :z6:
แต่การกระทำของโจ ทำให้ภาพลักษณ์ของเดฟเด่นขึ้นในใจฟลอยด์
ทำให้ฟลอยด์ คิดถึงเดฟ
ชอบที่เดฟ บอกชอบฟลอยด์ เพราะฟลอยด์ดึงดูดเดฟให้เข้าหา
“ดวงตาคู่นี้มองตรงมาที่ฉัน.. ทั้งความหม่นเศร้า ความสงสัยใคร่รู้ ดึงดูดให้ฉันเข้าหา"
ไม่ใช่เพราะเดฟต้องการเซ็กส์ เหมือนคนอื่นๆ
ฟลอยด์ จูบเดฟ แบบตั้งใจ แถมบอกเดฟด้วย
“กอดนั่น.. ผมยังใช้สิทธิ์ได้อยู่หรือเปล่า”  :ling1: :ling1: :ling1:
เอิ่ม....เดฟ ถูกใจละสิ  :กอด1::กอด1::กอด1:
ไรท์ ขอ NC นะ :mew1: :mew1: :mew1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.17 Who'll Stop The Rain (27/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 27-01-2017 21:59:14
โจกลายเป็นคนที่ทำให้เดฟเป็นพระเอกในใจฟลอยด์แบบชัดเจน
ตกลงเราควรขอบคุณเขาเนอะ...ถึงแม้จะอยากซ้ำแผลที่โดนต่อยอีกหลายครั้ง 555

ลุ้นตอนต่อไปค่ะว่าเดฟจะได้ไปต่อหรือไม่ อิอิ
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.17 Who'll Stop The Rain (27/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 27-01-2017 22:33:30
รู้สึกอบอุ่นแทนฟลอยด์เลย เดฟฟฟฟฟนายทำเราเขินนโอ้ยยยยยย  :ling1:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.17 Who'll Stop The Rain (27/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: toru10969 ที่ 28-01-2017 00:51:08
 :monkeys: เดฟอบอุ่นมาก
รอบนี้ลุ้นมาก จะเป็นยังไงต่อ ฟลอยด์กับเดฟจะเลือกทางเดินเส้นกันต่อ :ling1:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.18 Behind The Wall (28/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mecinzano505 ที่ 28-01-2017 02:31:22

18_
Behind The Wall




สีหน้าแบบนั้น..

มุมปากผมกระตุกเป็นรอยยิ้มเล็กๆ เพราะท่าทางของอีกฝ่ายไม่หลุดลอดสายตาไป แม้เจ้าตัวจะพยายามกดมันไว้แค่ไหนก็ตาม

เดฟชะงักค้างไปแทบจะในทันทีที่ได้ยิน ดวงตาที่มองมาให้ความรู้สึกเหมือนกับร่างกายกำลังจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ หัวใจผมเต้นกระตุกแรงจนเจ็บหน้าอก ก่อนที่ใบหน้าจะเบือนออกในตอนที่เดฟโน้มใบหน้าเข้ามา

ลมหายใจอุ่นร้อนแตะค้างอยู่ตรงข้างแก้ม

ผมกระชับวงแขน สัมผัสเนื้อเสื้อยืดตรงปลายนิ้ว หลายๆ อย่างตีกันอยู่ภายในจนผมนึกรำคาญตัวเองขึ้นมา

“หาอะไรดื่มกันไหม” ผมถามออกไป สายตาทิ้งลงที่พื้น ไม่ได้หันไปมองคู่สนทนาที่ยังจรดปลายจมูกกับผิวเนื้อของผม

“อยากดื่มอะไร” เขาถามกลับเสียงเรียบ เป็นอีกครั้ง ที่ผมสำนึกได้ว่าทำให้อีกฝ่ายต้องตกที่นั่งลำบากจากการพยายามฝืนตัวเอง

แต่ตัวผมในตอนนี้.. ให้ความสนใจกับความจริงข้อเท่าเทียบได้เป็นศูนย์

เดฟสูดลมหายใจเข้าลึก ยาวนาน ก่อนจะค่อยๆ ผ่อนออกมาราวกับกำลังตั้งสมาธิ ฝ่ามือที่สอดอยู่ใต้บั้นท้ายผมค่อยๆ คลายออกช้าๆ ปล่อยตัวผมให้กลับไปยืนนิ่งอยู่บนพื้นอีกครั้ง

ใช้เวลาอยู่พอสมควร กว่าเดฟจะผละตัวออกไปได้แบบสมบูรณ์ ร่างสูงดูงุ่นง่าน ก้าวนำผมไปยังห้องครัว ก่อนจะกลับออกมาพร้อมกับขวดแจ็คแดเนียลถึงสองขวด

อย่างน้อยก็ดีกว่าเบียร์.. ในตอนที่ทั้งร่างกายผมเต็มไปด้วยเหล้าแบบนี้

“ขอบคุณ” ผมพึมพำ ทิ้งแผ่นหลังตัวเองพิงกับโซฟาที่ยวบลงไปจากน้ำหนักตัว เดฟทรุดตัวลงนั่งไม่ไกลนัก แต่ก็ไม่ได้เข้ามาใกล้จนอยู่ในระยะเอื้อมถึง

กลิ่นที่ผมไม่ได้สัมผัสมานานเจือปนอยู่ตรงปลายจมูก ก่อนจะสอดแทรกเข้าไปในริมฝีปากพร้อมกับรสร้อนที่บาดขัดตามลำคอ

ผมไม่ใช่คอแอลกอฮอล์.. พูดให้ถูกก็คือ ไม่ใช่คนที่ดื่มมันบ่อยครั้งนักในชีวิต

มีเพียงแค่ช่วงเดียวเท่านั้นที่ผมเสพเอาความมึนเมาพวกนี้เข้าไปในร่างกาย ช่วงที่ไม่จำเป็นต้องใช้เงินที่มีอยู่กับอะไรอีกแล้ว.. ช่วงที่ไม่มีใครที่ผมจะต้องคอยห่วงว่าจะรู้สึกไม่ถ้าได้กลิ่นแอลกอฮอล์จากตัวของผม

ช่วงที่ผมเหลืออยู่ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้

ในตอนนั้น ผมใช้มันเป็นเครื่องมือในการก้าวผ่านแต่ละวัน ทุกความรู้สึกสะอิดสะเอียน โศกเศร้าและหงุดหงิดถูกระบายลงกับการนั่งเงียบๆ อยู่มุมคลับและดื่มพวกมันเข้าไปราวกับน้ำเปล่า

มอมเมาให้ความรู้สึกนึกคิดผิดรูปไปจากเดิม ก่อนจะพาตัวเองกลับไปนอนบนเตียง สบตากับผู้ชายที่ผมไม่แม้แต่จะรู้จักมาก่อน คนแล้วคนเล่า

ชีวิตที่ไม่มีอะไรเลยสักอย่างถูกใช้จ่ายไปเรื่อยๆ จนผมนึกรังเกียจตัวเองจนทนไม่ไหวขึ้นมา

แล้วรถกระบะคันใหญ่ที่กำลังจะขับผ่านหน้าไปก็กระตุกความคิดแปลกประหลาดขึ้นมา ผมเริ่มเหยียดแขนออกไปข้างหน้า สัญลักษณ์ที่ไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต รู้ตัวอีกที ผมก็ขึ้นไปอยู่หลังรถคันนั้นแล้ว รถที่มุ่งหน้าไปที่ไหนก็ไม่รู้ ผมไม่แม้แต่จะสนใจในข้อนั้นด้วยซ้ำ

บ้าบิ่นเหลือเกิน ตัวผมในเวลานั้น..

ถ้าถูกจับได้ อาจจะตายแล้วโดนยัดศพไว้ที่ไหนสักที่ก็ได้ หรือไม่บางที.. ก็อาจจะแค่ถูกซ้อมแล้วลากกลับไปที่เดิม ถึงแม้ใครๆ จะกล่าวเยินยอว่าไม่มีใครกล้าทำอันตรายผมก็ตาม ด้วยความที่เป็นหน้าเป็นตาและเป็นลูกรักของที่นั่น

ผมหลุดหัวเราะออกมากับความคิดในหัว

ก่อนจะระลึกได้ว่าไม่ใช่ตัวเองที่นั่งอยู่ที่นี่คนเดียว เดฟจ้องมองมา เขายกแจ็คขึ้นดื่มช้าๆ อย่างไม่เร่งรีบ ไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากปาก

เสียงหัวเราะเริ่มแผ่วเบาลง จนกลายเป็นความเงียบในที่สุด ผมแต้มรอยยิ้มเล็กๆ ไว้ตรงมุมปาก สบตากับอีกฝ่ายเนิ่นนานราวกับกำลังเล่นเกมแข่งจ้องตา

รู้ตัวอีกที.. ผมก็ไม่สามารถขยับการมองเห็นไปไว้ที่ไหนได้อีก

คิ้วเข้มที่พาดอยู่เหนือดวงตาคมดุ โหนกแก้ม จมูกโด่งสวย ริมฝีปาก.. ผมจ้องมองทุกอย่างไปเรื่อยๆ พร้อมกับความทรงจำเก่าๆ ในหัวที่เริ่มหลุดลอยหายไป

เข็มนาฬิกาขยับไปข้างหน้าเป็นจังหวะคงที่ เพราะว่าเงียบมากเกินไป เสียงของเข็มถึงได้ดังลั่นราวกับมันมาเคลื่อนที่อยู่ข้างหู

ความร้อนเริ่มลุกลามใหญ่โต แผ่ขยายขึ้นมาจนถึงขมับและครอบครองพื้นที่ใต้เปลือกตา ขวดแจ็คที่เหลืออยู่น้อยนิดถูกทิ้งลงตรงช่วงหน้าท้องเพราะฝ่ามืออ่อนเปลี้ยไปหมด

เดฟจ้องมองทุกการกระทำด้วยความนิ่งงัน เพราะหลอดไฟที่เปิดอยู่นั้นอยู่ไกลออกไปจากบริเวณนี้ ผมเลยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังแสดงสีหน้าแบบไหนออกมา

ไม่รู้ จนกระทั่งร่างกายยืดตัวขึ้น แล้วเดินตรงไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้า

เสียงขวดแก้วปะทะกับพื้นไม้ที่มีพรมรองอยู่ ผมหายใจเข้าออกไร้จังหวะจากความประหม่าที่สุม สัมผัสเปียกๆ ตรงหน้าท้องกับเนื้อเสื้อเชิ้ตที่แนบชิดเสียดสีสร้างความรำคาญเล็กๆ ตอนขยับ

ผมหลุบตาลงต่ำ เสียงหายใจดังก้องอยู่ในกกหู ย้ำเตือนว่าผมอยู่ในสภาวะที่ไม่ปกติ

“…” ผมเผยอปากเล็กน้อย ตอนแรกนั้น ตั้งใจว่าจะพูดอะไรสักอย่างออกไป

อะไรสักอย่าง..

เดฟกำลังตั้งใจฟัง เขามองมาอย่างรอคอยว่าผมกำลังจะทำอะไรต่อไป แล้วความหงุดหงิดหัวเสียก็แทรกขึ้นกลางสมอง พร้อมๆ กับความรู้สึกของการทำอะไรไม่ถูก และยิ่งทำอะไรไม่ถูกหนักขึ้นไปอีก เมื่อขวดแจ็คที่ควรจะอยู่ในมือของเดฟ ตอนนี้ถูกกำแน่นอยู่ในมือของผม

ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน..

ที่แย่งมาถือเอาไว้

“.. โอเคหรือเปล่า” เขาถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ ฝ่ามือขยับขึ้นแตะหลังมือผมเบาๆ

ผมเม้มปาก ใบหน้าสะบัดส่ายไปมา พร้อมกับอัตราการเต้นของหัวใจที่ถี่รัวขึ้น ขวดเหล้าในมือตกลงนอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้น

ผมคิดอะไรไม่ออกสักอย่าง..

แม้กระทั่งตอนที่หัวเข่ากดทาบเข้าตรงสะโพกแข็งแรง หน้าท้องเสียดสีกับร่างกายอุ่นร้อน ขณะที่ฝ่ามือจิกแน่น รับเส้นผมนุ่มนิ่มให้แทรกตัวตามง่ามนิ้ว

สัมผัสอุ่นลากไล้เข้าตรงหลังสะโพก พร้อมกับริมฝีปากที่ผมจงใจบดเบียดลงไป

ถูก.. หรือ ผิด

ผมตัดสินอะไรไม่ได้สักอย่างเดียว

เรียวลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดกันในปาก ผมเอียงใบหน้าให้ได้องศา ขณะที่ร่างกายยืดสูงขึ้นเพื่อที่จะได้อยู่เหนือกว่า ใบหน้าของเดฟแหงนเงยขึ้นตามง่ายๆ ราวกับไม่ต้องการจะผละหลุดจากผมแม้แต่วินาทีเดียว ฝ่ามือทั้งสองข้างไล้ลงตามกรอบหน้า ลำคอ และหยุดวางนิ่งๆ บนบ่ากว้าง

ในช่องอกถูกเติมเต็มด้วยความวูบไหวรุนแรง

ไม่โอเคเลยสักนิด..

เสียงหอบหายใจดังวนอยู่รอบตัว ผมผละใบหน้าออก จ้องมองเดฟที่ดูเหมือนกำลังตามใจผมมากๆ ด้วยการไม่ขัดอะไรสักอย่าง สัมผัสจากปลายนิ้วไล้วนอยู่ตรงช่วงเอว

ผมขยับตัวเล็กน้อย ได้ยินเสียงยวบยาบจากโซฟา ก่อนที่ใบหน้าจะโน้มต่ำลงหาอีกฝ่ายอีกครั้ง ขณะที่ลำตัวเบียดเข้าหาจนแทบไม่มีช่องว่างตรงกลาง

เรียวแขนของผมสั่นเบาๆ ไม่ต่างจากทุกส่วนในร่างกาย จูบนั้นยังดำเนินต่อไปยาวนานตามการเรียกร้องของผม

มันก็น่าขำอยู่เหมือนกัน.. ที่ผมรู้จักตัวเองดี พอๆ กับรู้ว่าจะปฏิเสธตัวเองยังไง

 

จากแค่การประชดโง่ๆ ชั่ววูบ

กลับกลายเป็นความรู้สึกโหยหาอ้อมกอดอย่างแท้จริงไปได้

ความกังวล ความหวาดกลัว ความรู้สึกรังเกียจที่มีอยู่มากมาย ถูกย่อยสลายหายไปหมด เพียงเพราะผมไม่สามารถยั้งตัวเองได้อีกต่อไป

ในท้ายที่สุดแล้ว ถ้าจะมีใครเจ็บกับการตัดสินใจนี้

คนคนนั้นก็อาจจะเป็นผม

... เพียงแค่คนเดียว

 

“กอดผม.. เดี๋ยวนี้”

 


tobecontinued.




____
#เดฟฟลอยด์

1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.18 Behind The Wall (28/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mecinzano505 ที่ 28-01-2017 02:38:00

18_
Behind The Wall

(ต่อ)




“ฉันพูดว่ายังไง” เดฟกดเสียงต่ำ หน้าผากชื้นเหงื่อกดแนบกับหน้าผากผม

จะไม่ทนแล้ว..

“มองหน้า” เขาออกคำสั่งห้วนสั้น ดวงตาฉายประกายจริงจัง “มองแค่ฉัน.. เห็นแค่ฉัน ทำได้ไหม”

ผมเม้มปาก.. นิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้ากลับไป

“ดี”

แล้ววินาทีนั้น.. ผมก็สำนึกได้ชัดเจน ว่าจะไม่มีคำว่า ‘ยกเลิก’ สำหรับครั้งนี้

เดฟผ่อนลมหายใจออกช้าๆ ใบหน้าเคร่งเครียดค่อยๆ เลือนหายไปจนกลายเป็นใบหน้าปรกติ ริมฝีปากอุ่นกดทาบลงมาบนปากผม ขบเม้มแรงๆ ราวกับจะลงโทษ ลิ้นร้อนแทรกตัวเข้ามา กวาดต้อนเอาทุกอย่างที่ผมมี เสียงน้ำลายดังขัดหู ขณะที่ลมหายใจของผมเริ่มติดขัด

พอเปลือกตากำลังจะหรี่ปิดลงเพราะภาพในสมองถูกตีรวนปะปนกัน ฝ่ามือแข็งแรงก็บีบเข้าที่กรอบหน้าผม พร้อมกับคำสั่งเด็ดขาดที่ดังชัดเจน

“ลืมตา”

ดวงตาเปิดกว้างอีกครั้ง ความร้อนเริ่มไล่วนจนถึงขมับ ผมทิ้งสายตาลงที่ใบหน้าอีกฝ่าย เดฟเองก็จับจ้องผมไม่วางตา ขณะที่ใบหน้าคมดุลดระดับลงไปเรื่อยๆ จูบร้อนกดทาบลงที่แผ่นอก ปลายลิ้นลากเลียจนผมเผลอเกร็งตัวตาม

หน้าท้อง.. เชิงกราน.. ริมฝีปากนั่นกดลากผ่านไปทุกที่โดยไม่ฝากร่องรอยอะไรไว้

กางเกงที่ผมสวมอยู่ถูกปลดแล้วรูดลงด้วยความรวดเร็ว เสียงหอบหายใจดังขึ้นชัดเจน คล้ายกับว่าเป็นเสียงของตัวของผมเอง

ลมหายใจถูกปล่อยออกหนักๆ ผ่านริมฝีปาก ตอนที่โคนขารับรู้ถึงปลายลิ้นและจูบจากอีกฝ่าย ผมเกร็งขา เริ่มรู้สึกเหมือนไม่เป็นตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกวินาที

“อื้อ!..” ผมกัดริมฝีปากล่างแน่น สติหมุนคว้าง ตอนที่อีกฝ่ายใช้มือกอบกุมตัวตนของผมไว้ เดฟช้อนตาขึ้นมา เก็บทุกรายละเอียด ทุกท่าทางที่ผมแสดงออกไป

ปลายนิ้วจิกขยำผ้าปูด้านล่างจนยับ ผมเริ่มออกแรงทึ้งมันตามความอัดอั้นที่สุมอยู่ในร่างกาย ก่อนที่สติผมจะแตกละเอียดเป็นเสี้ยวเล็กๆ ตอนที่รับรู้ถึงลมหายใจอุ่น

“ไม่ สกปรก!” ผมหลุดตะคอก ร่างกายผุดลุกขึ้นนั่งขึ้นทันที ก่อนที่เรี่ยวแรงในร่างกายทั้งหมดจะถูกกระชากออกไป เพราะปลายลิ้นที่แตะละเลงลงมา

“ฮื่อ!” ผมกัดฟันแน่น ทิ้งศีรษะตัวเองให้แหงนเงย ปลายนิ้วจิกทึ้งเส้นผมของอีกฝ่ายแรง สัมผัสที่กระตุ้นช่วงล่างยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง

เร่งเร้าสลับเนิบนาบจนผมเหมือนสูญเสียจังหวะการหายใจที่แท้จริงไป

แล้วทุกภาพที่มองเห็นในหัวก็แตกกระจายเป็นเศษชิ้นส่วนเล็กๆ ลอยคว้างออกไปจากการมองเห็น

ทั้งร่างหอบหายใจหนัก ผมทิ้งน้ำหนักไปข้างหน้า ก่อนจะหล่นอยู่ในวงแขนอีกฝ่ายที่ไถลตัวขึ้นมารับพอดิบพอดี ฝ่ามืออุ่นสอดรัดเข้าที่เอว กอดแน่นราวกับกลัวผมจะหลุดมือไป

หน้าผากผมซบลงตรงไหล่กว้าง ฝ่ามือขยำชายเสื้ออีกฝ่าย ขณะที่ใบหูอื้ออึงจนแทบไม่ได้ยินเสียงอะไร

นอกจากเสียงของเดฟที่ดังชัดจนน่าตกใจ

“ตรงไหนกันที่สกปรก” เขาพึมพำ ฝ่ามือไล้วนแผ่นหลังผมเป็นรูปวงกลมซ้ำไปซ้ำมา

ผมค่อยๆ ปรับจังหวะหายใจตัวเองช้าๆ จนกลับมาเป็นปรกติ ใบหน้ายังกดฝังอยู่กับลาดไหล่แข็งแรง

เป็นคนดี.. มากเกินไป

ผู้ชายคนนี้ กำลังผลักผมให้ตกลงไปในหลุมลึก

หลุมที่ผมจะไม่มีวันปีนขึ้นมาได้อีก ..

“ไม่ต้องกังวลอะไรอีกแล้ว เข้าใจไหม” เขาทอดเสียงอ่อน ขณะที่ผมค่อยๆ ผละร่างตัวเองออก สิ่งสกปรกที่เลอะติดอยู่ที่ปากอีกฝ่าย

ผมขมวดคิ้ว ก่อนจะคลายออก..

ปลายนิ้วโป้งขยับขึ้นปาดมันออกช้าๆ

ไม่ว่านี่จะเป็นเรื่องโกหกที่หลอกลวงให้ผมตายใจ หรือเป็นความจริงที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นในชีวิตของผม ผู้ชายคนนี้ ..

ทำให้ผมเริ่มไม่แน่ใจ ว่ากลายเป็นตัวผมเองหรือเปล่า ที่อยากกระโดดลงไปในหลุมนั้นด้วยความเต็มใจ

และการที่ต้องยอมรับคนอื่นเข้ามาในชีวิต ก็เป็นเหมือนการประกาศว่าพ่ายแพ้

“คุณกำลังจะทำให้ผมล้มลง”

เดฟหลุดยิ้มเหยียดออกมา ริมฝีปากสะบัดหนีปลายนิ้วของผม ก่อนจะโน้มเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจ

“แล้วถ้าฉันล้มลงไปด้วยล่ะเป็นไง” ผมนิ่งชะงัก ขณะที่อีกฝ่ายกดจูบเข้าที่ใต้ใบหู “สกปรกไปด้วยกัน แบบที่เคยพูดไง”

แรงขบเม้มเล็กๆ ย้ำชัดเหนือผิวเนื้อ

เป็นอีกครั้ง ที่ผมรู้สึกเหมือนกำลังถูกล่อหลอก

จูบหนักๆ กดลงที่ลาดไหล่ พร้อมกับแรงกระชับจากวงแขนที่โอบรัดผมอยู่

ผมผ่อนลมหายใจตัวเองช้าๆ แผ่นอกเริ่มขยับขึ้นลงเพราะสัมผัสจากมืออีกฝ่ายเริ่มไล้วนสลับบีบเค้นช่วงสะโพก

“ไม่ต้องกังวลอะไรอีกแล้ว” เขาพูด

นั่นเป็นประโยคสุดท้าย ที่เหมือนกระชากผมออกจากการทรงตัวบนเส้นด้าย

ปลายนิ้วสอดไล้เข้าในเส้นผม ร่างของเดฟถูกพลิกโดยไม่ทันตั้งตัว พร้อมกับสะโพกที่กดลงนั่งตรงกลางตัวอีกฝ่าย

ผมเท้าแขนกับเตียง โน้มหน้าเข้าไปใกล้จนสายตาเราอยู่ในระดับเดียวกัน รับฟังเสียงหัวใจที่เต้นรัวอยู่ในช่องอก

“ไม่ต้องกังวลเหมือนกัน”



“เพราะผมก็กำลังจะแสดงให้คุณเห็น.. สิ่งที่ผมเป็นจริงๆ”

ริมฝีปากเลื่อนชิดข้างหู ลมหายใจอุ่นร้อนถูกปล่อยออกไปแตะไล้จนผมรับรู้ได้ถึงการเกร็งตัว รอยยิ้มเล็กๆ ถูกวาดขึ้นบนริมฝีปาก ขัดกับดวงตาที่นิ่งสนิท “ตั้งใจดูล่ะ”

มือของเดฟกลับมาแตะที่สะโพกผมแทนการตอบรับ ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา เช่นเดียวกับผมที่หยุดทุกความคิดที่เดือดพล่านในหัว ริมฝีปากกดแตะผิวเผินเหนือผิวเนื้อ ลากย้ำไปจนถึงรอยบุ๋มเล็กๆ ตรงคอ ร่างกายที่บดเบียดอีกฝ่ายอยู่ค่อยๆ ผละออกจนเหลือระยะห่างระหว่างเรา ผมเสียดสีช่วงขาตัวเองกับสะโพกแข็งแรง รับรู้ถึงแรงกดหนักๆ จากฝ่ามืออุ่น

หัวเข่าทั้งสองข้างเกร็งเพื่อต้านแรงกดอยู่บนผ้านวม.. เพราะเขาอีกฝ่ายต้องการให้ผมทาบกลับลงไปใหม่แบบเมื่อครู่

แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในตอนนี้

ผมช้อนตาขึ้นมอง ปลายนิ้วถูกยกขึ้นสัมผัสช่วงอกอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนลากลงต่ำอย่างจงใจ พร้อมกับปลายลิ้นที่แตะเข้ากับช่วงลำคอ เสียงครางต่ำหลุดลอดออกมาให้ได้ยิน ผมขยับตัวขึ้นสูง เริ่มย้ำสะโพกเพื่อสัมผัสร่างกายตัวเองกับอีกฝ่าย ขณะที่ริมฝีปากบดเบียดทาบปากอีกฝ่ายช้าๆ เป็นจังหวะเนิบนาบ

ศีรษะขยับเอียงไปมาเบาๆ หลุดเสียงหัวเราะต่ำๆ ในลำคอออกมาเมื่อรับรู้ได้ว่าเดฟกำลังอยู่ในช่วงอารมณ์แบบไหนตอนนี้

ปลายลิ้นผมกวาดไล้ริมฝีปากล่างอีกฝ่าย ก่อนที่ผมจะรีบปิดปากให้สนิททันทีเมื่อเดฟเริ่มส่งลิ้นกลับมา

เสียงครางแหบที่ได้ยิน ฟังดูเหมือนเขากำลังจะสติแตก

แรงบีบที่สะโพกผมแน่นขึ้น พร้อมกับการกดร่างผมให้ล้มลงบนตัว ความตกใจเล็กๆ ที่เกิดขึ้นทำให้เผลออ้าปาก แรงสอดเกี่ยวจากปลายลิ้นแทรกตัวเข้ามาทันที เสียงหอบหายใจที่ดังลั่นในตอนนี้กลับกลายเป็นเสียงของตัวผมเอง

ร่างของผมถูกพลิกกลับลงไปอยู่ด้านล่าง ผมกัดริมฝีปากล่างเบาๆ สบตากับเดฟที่จ้องมองมาด้วยสายตาที่แปลกไป

.. ราวกับเดฟคนนั้น ได้กลายเป็นอีกคนหนึ่งที่ผมแทบไม่รู้จัก

ดวงตาสีเข้มเปล่งแสงขัดกับความมืดที่รายล้อมอยู่รอบตัว ใบหน้าที่ให้ความรู้สึกร้อนยามจ้องมอง ไล่มาจนถึงริมฝีปากที่เผยอออกเล็กน้อย สัมผัสจากฝ่ามือขยำขึ้นมาจนถึงช่วงเอว ไล่กลับไปตรงสะโพก ฝากรอยแดงจากการบีบไว้บนผิวเนื้อของผม ก่อนจะหยุดสัมผัสดิบหยาบลงที่ต้นขาด้านใน

ผมทิ้งศีรษะลงกับผ้าปูเตียง ดวงตาเกลือกต่ำสบกับอีกฝ่ายไม่หลบเลี่ยง เสียงหายใจถูกปล่อยออกผ่านริมฝีปากที่อ้าออกเมื่อเดฟขยับมือสูงขึ้น ฝ่ามือแตะทาบเข้าที่หลังมืออีกฝ่าย ไล้วนปลายนิ้วกลางเป็นรูปวงกลมซ้ำๆ ก่อนลากผ่านจนสัมผัสเข้ากับผิวกายของตัวเอง

เรียวขาถูกยกขึ้น จงใจแตะข้อพับขาด้านในกับต้นแขนที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ทุกสัมผัสเกิดขึ้นจากความตั้งใจ ผมรู้ดี ว่าการสัมผัสเพียงเล็กน้อยในบางส่วนสร้างความรู้สึกได้มากกว่าการสัมผัสจาบจ้วงตรงๆ

และทฤษฎีนั้นใช้ได้ผล.. ผมกะพริบตา มุมปากขยับขึ้นยิ้มเล็กๆ ตอนที่เห็นเดฟเผลอกลั้นหายใจ

แล้วเสียงครางก็หลุดแผ่วออกจากลำคอ ผมกัดริมฝีปากตัวเองอีกครั้ง พร้อมกับลมหายใจที่ถูกสูดเข้าลึก ปลายนิ้วกดแทรกเข้าไปในร่างกายตัวเอง ฝ่าเท้าขยับลากกับผ้าปูจนเกิดเสียงเสียดสี

อาจจะเพราะว่าไม่ได้ทำเรื่องแบบนี้มาสักพัก.. ความรู้สึกแปลกๆ ถึงได้เข้าเกาะกุมสัมผัส

แต่ถึงจะรู้สึกแปลกแค่ไหน ความคุ้นชินก็เป็นอีกสิ่งที่ทำให้ผมหลุดเหยียดยิ้มออกมา

แรงสอดแทรกหยุดชะงักลงกะทันหัน ผมผงกหัวขึ้นมา สบตากับเดฟที่ขมวดคิ้วแน่น สายตามองต่ำลงไปเรื่อยๆ จนหยุดเข้ากับฝ่ามือของอีกฝ่าย ที่บีบแน่นอยู่ที่ข้อมือผม

ไม่เข้าใจ ..

ประโยคนั้นกระแทกเข้ากลางสมอง

“ทำอะไร” เดฟถามเสียงห้วน ผมถอนหายใจออกมา รอยยิ้มกลวงๆ ถูกวาดขึ้นบนริมฝีปาก

“เตรียมตัวเอง ให้คุณไง” สิ้นคำพูดนั้นไม่ทันถึงวินาที ริมฝีปากคล้ำก็กระแทกจูบเข้ามาแรงๆ จนรับรู้ได้ถึงความเจ็บ ลิ้นร้อนกดเหนือลิ้นของผมราวกับกำลังปราม จูบครั้งนี้สร้างความรู้สึก ราวกับกำลังถูกสั่งสอน ปลายนิ้วเลื่อนหลุดออกจากช่องทางของตัวเองเพราะการบังคับจากร่างสูง ข้อมือของผมถูกตรึงนิ่งอยู่กับเตียง

“ฮื่อ..” ผมเริ่มส่งเสียง ริมฝีปากเห่อช้ำจนแสบ กับอากาศหายใจที่เหมือนจะหมดลง แต่จูบนั้นยังคงอยู่ ราวกับเดฟไม่สนใจฟังคำวอนขอของผม

หนึ่งวินาที.. สี่วินาที.. สิบวินาทีหลังจากนั้น ดวงตาของผมเริ่มพร่าเลือน ก่อนที่เขาจะถอนจูบออกไป

ส่วนล่างถูกบดเบียดเข้ามา พร้อมกับวงแขนที่กระชับตัวผมไว้

โกรธอะไร.. คำถามที่ผมหาคำตอบไม่ได้ดังลั่นอยู่ในหัว

เดฟเม้มปาก ดวงตาจ้องมองมาอย่างหาเรื่อง “อยากได้แบบนี้เหรอ” เขาถามเสียงห้วน

ผมเม้มปาก หัวใจเต้นกระหน่ำจากหลายๆ ความรู้สึก

ไม่ตอบคำถาม.. ผมจ้องสบตากลับไปด้วยใบหน้าที่เริ่มแสดงความไม่พอใจ พอเห็นแบบนั้น เดฟก็หลุดสบถออกมา ต้นขาข้างหนึ่งของผมถูกกระชากยกขึ้นสูง เสียดกับกางเกงที่อีกฝ่ายใส่อยู่ พร้อมกับจูบหยาบคายที่บังคับแทรกเข้ามาเป็นรอบที่สอง

คราวนี้ผมยกมือขึ้นทุบหน้าอกเขาแรง แรงบีบรัดตรงต้นขาสร้างความระคายเคือง ไม่ต่างจากลิ้นที่กวาดเข้ามาลึก

“อื้อ!” ผมเริ่มออกแรงสะบัดตัว ลมหายใจถูกโกยเข้าปอดอย่างบ้าคลั่ง ตอนที่เดฟยอมถอยออกไป

รอยยิ้มหยันฉายขึ้นชัดอยู่เบื้องหน้า “ไม่ชอบใช่ไหม”

เขาถาม แรงบีบปล่อยออกจากต้นขา ย้ายมาไว้ตรงปลายคางของผม ใบหน้าถูกจับตรึงไว้ไม่ให้หันหนี “ไม่ชอบแบบนี้ใช่ไหม ตอบ”

ผมเม้มปาก ความรู้สึกรั้นๆ ไล่ลามอยู่ตามจมูกและคาง หัวใจเต้นหน่วงหนืดจนอึดอัด

“ตอบ”

“ไม่” ผมพึมพำ ปลายนิ้วขยำเข้าที่ไหล่กว้าง “ไม่ชอบ”

เดฟทิ้งสายตาลงที่หน้าผม ลมหายใจถูกปล่อยออกผ่านปลายจมูก การเม้มปากเกิดขึ้นไม่กี่วินาที ก่อนที่สีหน้าตึงเครียดเมื่อครู่จะสลายไปราวกับเป็นแค่ภาพลวงตาที่ผมคิดเห็นไปเอง จูบนุ่มนวลกดแนบลงที่ขมับ ป้ายแท็กสีเงินที่อีกฝ่ายสวมคออยู่ในระดับเดียวกับสายตาของผม

“ถ้าไม่ชอบก็อย่าทำแบบนั้นอีก” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ “อย่าทำ เหมือนกับฉันเป็นหนึ่งในลูกค้าของนาย”

!

ผมเบิกตากว้าง ทั้งร่างเหมือนถูกโยนลงไปในน้ำเย็น ต้นขาไล่ไปจนถึงปลายนิ้วเท้าชายิบไร้ความรู้สึก

“ฉันไม่ได้เป็นลูกค้าของนาย.. ไม่ได้อยากเป็นคนพวกนั้น” จูบกดไล่ลงจนถึงข้างแก้ม ก่อนจะผละออกไป

“นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของฉัน.. มันเป็นเรื่องของนาย เรื่องของเรา” แรงบีบรุนแรงถูกเปลี่ยนเป็นการนวดเบาๆ ราวกับเอาใจ “เข้าใจชัดเจนไหม”

สายตาจริงจังจ้องตรงมา “ถ้าไม่อยากให้ฉันปฏิบัติกับนายแบบนั้น.. อย่าปฏิบัติเหมือนฉันเป็นพวกนั้น”

ความจุกเล็กๆ แล่นปราดขึ้นตรงคอหอย ผมหลับตาแน่น ก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง

“ขอโทษ” เดฟส่ายหน้าช้าๆ รอยยิ้มจางๆ แต้มอยู่บนใบหน้า

“เข้าใจละ” เขาพึมพำ แนบหน้าผากลงมากับหน้าผากผม ลมหายใจอุ่นแตะอยู่ตรงปลายจมูก สร้างความรู้สึกดีจนน่าแปลกใจ ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ทำอะไรมากกว่าการจ้องมองในระยะใกล้

แต่ความรู้สึกที่ผมกำลังสัมผัสอยู่ตอนนี้ .. เหมือนกับกำลังโดนอีกฝ่ายเล้าโลมอย่างร้ายกาจ

เพราะสายตาเป็นประกาย กับรอยยิ้มที่มองเห็น เขาเอียงหน้าเล็กน้อย “นายอาจจะเก่งเรื่องเซ็กส์..” เสียงพูดเนิบนาบ เว้นจังหวะให้ผมสงสัยใคร่รู้ ก่อนจะฮุคเข้าเต็มๆ ท้องผมด้วยประโยคถัดไป “แต่ไม่เคยทำรักใช่หรือเปล่า”

ริมฝีปากของผมเผยอออก ราวกับร่างกายต้องการตอบโต้อะไรสักอย่างกลับไป แต่ก็มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่หลุดลอดออกจากลำคอ เดฟเลิกคิ้ว เขาค่อยๆ ดันกายลงต่ำ ใบหน้าเลื่อนผ่านผิวเนื้อเปลือยเปล่าของผมพร้อมกับการปล่อยลมหายใจร้อนให้คลอเคลียเหนือผิว

ผมเผลอกลั้นหายใจ

“คราวนี้ นายนั่นแหละ ที่จะต้องเป็นคนตั้งใจดู” นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่ผมได้ยิน ก่อนที่ร่างจะสะดุ้งเพราะปลายลิ้นที่ดุนดันตรงยอดอกทีเผลอ ฝ่ามือไล้ลงต่ำ ก่อนจะหยุดวางบนท้องน้อย

ผมกัดฟัน ดวงตาปรือปิดแน่นยิ่งทำให้ทุกสัมผัสชัดเจนขึ้นไปอีกในความคิด เส้นผมของเดฟไล้ผ่านร่างกายผมลงไปช้าๆ เรียวขาถูกยกขึ้นพาดบนไหล่กว้าง ทั้งร่างของผมสะดุ้งเฮือกกับจูบหนักแน่นที่กดลงตรงโคนขา ขบเม้มย้ำๆ อย่างหยอกล้อ

ปลายนิ้วกำผ้าปูติดเข้ามาในฝ่ามือ ก่อนจะออกแรงขยำแรงๆ ขณะที่ร่างกายเริ่มทุรนทุรายจากการหยุดหายใจนานๆ ฟันสบเข้าหากันพร้อมกับทั้งร่างที่เกร็งจนสั่น

“อ๊ะ…” เสียงร้องเล็ดลออดออกจากคำ ผมเผลอแอ่นตัว ปลายเท้าจิกเข้าที่แผ่นหลัง สัมผัสฝ่าเท้ากับเสื้อที่อีกฝ่ายสวมใส่อยู่ หัวสมองหมุนคว้างพร้อมกับความซ่านที่แล่นปราดขึ้นตามแนวสันหลัง ปลายลิ้นร้อนแตะย้ำลงตรงช่องทาง แรงบีบตรึงสะโพกของผมเอาไว้ไม่ให้ดิ้นหนี

“อื้อ เดฟ!” ผมจิกเกร็งฝ่ามือแน่น เสียงหอบหายใจดังลั่นอยู่ในกกหู ความร้อนไล่ลามกลืนกินทุกส่วนในร่างกาย แผ่นอกสะท้อนขึ้นลงเป็นจังหวะถี่

สัมผัสบุกรุกเริ่มกดแทรกเข้าด้านล่าง ปลายนิ้วของเดฟรุนรานเข้ามาช้าๆ ไม่เร่งรีบ เพราะหลับตาอยู่ ผมถึงมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น มองไม่เห็นอะไรเลย นอกจากใบหน้าของเดฟที่เหมือนติดค้างอยู่ตรงเปลือกตา

ริมฝีปากล่างถูกกัดจนได้รสสนิม เสียงร้องหลุดลอดออกไปเป็นระยะทั้งๆ ที่ผมไม่ใช่ประเภทที่ปล่อยเสียงตัวเองออกไปง่ายๆ สัมผัสเลื่อนเข้าออกตอกย้ำทุกประสาทการรับรู้ ผมบิดตัวไปมา ยิ่งปล่อยให้เวลาผ่านไปเท่าไหร่ ยิ่งรู้สึกเหมือนร่างกายถูกสาดด้วยอะไรร้อนๆ มากขึ้นเท่านั้น

“บอกให้ตั้งใจดูไง” แล้วเสียงกระซิบแหบต่ำระยะใกล้ก็เรียกเปลือกตาให้เปิดขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของเดฟอยู่ห่างไปไม่ถึงคืบ จูบร้อนแรงทาบทับลงมา พร้อมกับนิ้วที่ถูกถอนออกไป รับรู้ได้โดยไม่ต้องมอง ว่าอีกฝ่ายกำลังร้อนรนแค่ไหนกับการถอดกางเกงให้ตัวเอง

“ถามครั้งสุดท้ายนะ เจนิน” ชื่อของผมถูกปล่อยออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทั้งร่างชะงักไปทันทีที่ได้ยิน พร้อมกับความรู้สึกดีอย่างเหลือเชื่อที่ถาโถมเข้ามา

ผมไม่เคยรู้สึกดีขนาดนี้มาก่อน.. ตอนที่ใครสักคนเรียกชื่อนั้นออกมา ขณะที่อยู่บนเตียง

ไม่เคยรู้สึก จนกระทั่งถึงวันนี้

ฝ่ามือของเดฟประคองเข้าที่ใบหน้า แรงเสียดสีเกิดขึ้นเบาๆ แถวต้นขา หัวเข่าของเดฟกดฝังแน่นอยู่กับเตียง “นาย เป็นของฉัน อยู่กับฉัน ด้วยความเต็มใจแล้วใช่ไหม”

พอถูกถามตรงๆ ความเขินอายแปลกๆ ก็เต้นพล่านในเส้นเลือด

ผมเผลอเบือนหน้าหนี ก่อนจะที่ฝ่ามือนั้นจะบังคับให้ผมหันกลับไปสบตา แววตาคมดุฉายแววเว้าวอน ตอนที่เจ้าตัวกำลังร้องขอผมด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

“ใช่ไหม”

ผมพ่นลมหายใจออกทางจมูก เรียวขาด้านในถูกยกขึ้นจนสัมผัสกับเอวสอบ ผมโอบรัดร่างกายอีกฝ่ายไว้แน่น พร้อมกับปลายนิ้วที่ขยำเข้าแรงๆ ตรงเส้นผมละเอียด

“ใช่”

เฮือก!

ทั้งร่างของผมกระตุกเกร็ง ใบหน้าสะบัดแหงนเงย เรียวขาที่กอดรัดอีกฝ่ายสั่นไหวจนเกือบจะร่วงหลุด ถ้าไม่มีฝ่ามือแข็งแรงช้อนรับเอาไว้

ตัวตนของเดฟกดลึกเข้ามาจนสุดในครั้งเดียว ย้ำชัดถึงการมีตัวตนอยู่ในร่างกายของผม เสียงหอบหายใจถี่ดังผสมกันมั่วไปหมดในอากาศ เดฟพรมจูบลงบนใบหน้าผมสะเปะสะปะ ขณะที่สะโพกแข็งแรงเริ่มขยับเข้าออกเป็นจังหวะเนิบช้าแต่หนักแน่น

ผมกัดฟัน ทั้งร่างสั่นไปหมด ลำคอถูกงับเบาๆ ตามมาด้วยแรงดูดดึงที่ผิวเนื้อ

นั่นนับเป็นครั้งแรก ที่อีกฝ่ายทำรอยบนร่างกายนี้

ทำเป็นครั้งแรก หลังจากได้รับคำอนุญาตอย่างเป็นทางการแล้วงั้นเหรอ

หัวโบราณไม่เบา.. ผมหลุดยิ้มออกมา ขณะที่ทั้งร่างขยับแรงจากการกระแทกกระทั้นที่อีกฝ่ายยัดเยียดให้

ช่วงอารมณ์ของผมถูกดึงขึ้นสูงเรื่อยๆ จนฝ่ามือที่สอดแทรกอยู่ในเส้นผมอีกฝ่ายออกแรงกดให้ใบหน้านั้นลดต่ำลงมาใกล้

เสียงหอบหายใจยังเป็นเสียงที่ชัดเจนที่สุด ไม่นับเสียงเนื้อกระทบกันที่ให้ความรู้สึกหยาบโลน “ได้โปรด..”

ผมปล่อยขาตัวเองให้ตกลงบนเตียง เดฟชะงักไปเล็กน้อยกับคำขอนั้น ผมไม่แน่ใจนักว่าเขาเข้าใจมันว่ายังไง แต่แล้วทั้งร่างก็ถูก

พลิกให้นอนคว่ำ สะโพกถูกจับยกขึ้นเหนือเตียง พร้อมกับหัวเข่าทั้งสองข้างที่กดลงจนผ้าปูจมลงไปตามน้ำหนักตัว

หน้าท้องแข็งแรงแนบประกบชิดแผ่นหลัง ผมเริ่มแอ่นตัว เหงื่อไหลซึมลงตรงขมับทั้งๆ ที่อากาศภายในห้องเย็นสบาย ร่างกายโยกคลอนเป็นจังหวะถี่รัว พร้อมกับแรงฟอนเฟ้นจากฝ่ามือตามสะโพกและบั้นท้าย

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอนนี้สร้างความสับสนลึกๆ ในใจ

ว่าผู้ชายคนนี้.. จริงๆ แล้วเป็นคนประเภทไหนกันแน่

เดี๋ยวอ่อนโยน เดี๋ยวดิบเถื่อน.. เดี๋ยวพร่ำประโยครื่นหู เดี๋ยวหลุดสบถหยาบคาย..

ลิ้นอุ่นร้อนตวัดเลียติ่งหู ก่อนที่แรงขบเม้มจะตามมา ผมคว้ามือสะเปะสะปะไปด้านหลัง สัมผัสเข้ากับผิวเนื้อเปลือยเปล่า ปลายเล็บจิกลึกลงไปยังสะโพกแข็งแรงที่เคลื่อนที่ไม่หยุด

“แม่งเอ้ย” เสียงสบถห้วนดังขึ้นแผ่วเบา ฟังดูห่างไกลทั้งๆ ที่ริมฝีปากนั้นแนบชิดอยู่ที่หู ดวงตาของผมพร่าเลือน ลมหายใจตีกันวุ่นวายจนหาจังหวะที่แท้จริงไม่ได้ ความร้อนสุมอยู่ตามข้อพับ รวมไปถึงเหงื่อที่ชโลมอยู่ตรงหัวเข่า

มือของเดฟลากผ่านแผ่นหลังของผมแรงๆ

“นายทำฉันล้มแล้ว” เขากระซิบเสียงเครียด “ตกหลุมเข้าจังๆ เลย”


นั่นเป็นเสียงสุดท้ายที่สติของผมรับรู้ ก่อนที่ใบหูจะถูกแทรกด้วยเสียงลมหายใจและอัตราชีพจรที่ถี่รัวของตัวเอง

 


tobecontinued.




____
#เดฟฟลอยด์

1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.18 Behind The Wall (28/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 28-01-2017 02:47:35
น่อววววว เเต้มเสมอ1-1 ตกอยู่ไปในหลุมเดียวกัน
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.18 Behind The Wall (28/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 28-01-2017 08:58:52
แอ่ะ.....เดฟ สะดุดใจ ชอบเจนิน ตั้งแต่สบตากับเจนินแล้ว
ตอนนี้ตกหลุมรักเจนิน ทั้งตัวและ
เจนิน ก็เขิน สะเทิ้นกับเดฟ เป็นคนแรกเหมือนกัน
ที่ผ่านมา ไม่มีใครเข้าถึงใจเจนิน เลย
ไม่เคยชอบ รู้สึกเขินกับใครทั้งนั้น
เพราะเขาเหล่านั้นเป็นแต่ลูกค้า
เดฟ เจนิน  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
รู้สึกดีไปกับทั้งคู่ คนอ่านโลกสวย วายมาก  :ling1: :ling1: :ling1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.18 Behind The Wall (28/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 28-01-2017 12:28:40
ลงหลุมไปแล้วครับบเสมอ 1-1 และคาดว่าจะมีอีกหลายๆหลุมตามมาาาา อิอิ เป็นกำลังใจให้ทั้งคู่ค่ะะะะะ เย่  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.18 Behind The Wall (28/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mecinzano505 ที่ 28-01-2017 15:25:05

18_
Behind The Wall

(ต่อ 2)





ผมเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง ..

ใบหูได้ยินเสียงเข็มของนาฬิกาเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเป็นจังหวะเดิมๆ ดวงตาสอดส่ายหามันจนเจอ ก่อนที่สมองจะบันทึกเอาไว้ว่าตอนนี้เป็นเวลาตีสามกว่าๆ เสื้อเชิ้ตสีขาวที่สวมใส่อยู่ตกลงแน่นิ่งอยู่ตรงข้อพับแขน ก่อนที่ผมจะค่อยๆ ชันตัวขึ้นนั่งห้อยขาลงจากเตียง แล้วดึงมันขึ้นวางทาบบนไหล่อีกครั้ง

เดฟจากไปแล้ว เพราะโทรศัพท์ที่ดังขึ้นหลังจากจบเรื่องทุกอย่างไม่ถึงสิบนาที พูดให้ถูกก็คือเมื่อสิบนาทีที่แล้ว

ผมไม่รู้ว่าใครโทรหาเดฟเวลานี้ ไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายต้องรีบร้อนออกไป

ผมไม่ได้น้อยใจ หรือเกิดความรู้สึกเชิงลบอะไรทั้งนั้น.. ไม่รู้สินะ

อาจจะดีก็ได้ ในเวลาแบบนี้ .. ได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเองตามลำพัง

… ไม่รู้สิ

ผมแลบลิ้นเลียริมฝีปาก ก่อนจะค่อยๆ พยุงตัวเองลุกขึ้น พอจะเข้าใจอยู่ว่าผมทำให้อีกฝ่ายต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากๆ หลายครั้งแล้ว ในครั้งนี้ คนที่ต้องรับทุกอารมณ์ที่กักเก็บไว้ถึงได้เป็นผม ดวงตามองฝ่าความมืดในห้องไป เขาปิดไฟให้ผมก่อนจากไป เพราะคิดว่าผมผล็อยหลับแล้ว

ลมหายใจถูกสูดเข้าลึก ก่อนจะผ่อนออกมาราวกับต้องการปรับทุกอย่างในร่างกายให้กลับมาเสถียรเหมือนเดิม ผมลากเท้าตัวเองไปข้างหน้าช้าๆ ไม่รีบร้อน ออกจากห้องนอน แล้วทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาตัวใหญ่ แทซที่นอนอยู่มุมห้องโผล่เข้ามาในสายตา มันเดินยืดยาดมาหาผมช้าๆ ก่อนที่ร่างใหญ่ที่เต็มไปด้วยขนสั้นแน่นๆ จะกระโดดขึ้นมาบนโซฟาเดียวกับผม

ร่างกายเกร็งขึ้นโดยอัตโนมัติ เพราะว่าแทซไม่เคยเข้าใกล้ผมขนาดนี้มาก่อน

ทุกความระแวดระวังเกิดขึ้นได้ไม่ถึงห้าวินาที ก่อนที่ผมจะเผลอถอนหายใจแรงๆ อย่างโล่งอก เพราะมันแค่ขึ้นมา หมอบลงแล้วเกยใบหน้าเข้าที่ต้นขาเปลือยของผม

เหมือนเจ้านายไม่มีผิด

ผมนิ่งคิด ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งๆ ที่ตาสบอยู่กับหมาตรงหน้า ฝ่ามือค่อยๆ ขยับเข้าหาช้าๆ พยายามไม่เร่งเกินไปเผื่อว่ามันจะเกิดเปลี่ยนใจกัดผมขึ้นมาในตอนหลัง พอแน่ใจแล้วว่าจะไม่มีเหตุการณ์นองเลือดแบบนั้นเกิดขึ้น ผมถึงวางมือตัวเองลงไปบนหัวแทซ ปลายนิ้วเกลี่ยขนสั้นสีดำสนิทเบาๆ

แทซส่งเสียงฟืดฟาดในจมูก ก่อนที่ปลายลิ้นจะลากเลียผิวเนื้อของผมช้าๆ พร้อมกับหัวที่ขยับหันองศาไปมา

หัวใจของผมเต้นสะดุด เพราะลิ้นนั้นลากเลียทาบทับบริเวณเดียวกับที่เดฟทำรอยเอาไว้

เหมือนกันจนน่าโมโหเลยทีเดียว.. ผมขมวดคิ้ว ตัดสินใจละความสนใจจากแทซ สายตาปะทะเข้ากับซองบุหรี่กับไฟแช็กของเดฟที่อีกฝ่ายลืมเอาไว้บนโต๊ะ

ผมเม้มปาก หยิบมันมาถือไว้ เสียงไฟแช็กดังลั่นขัดความเงียบในห้อง ก่อนที่ปลายบุหรี่จะขึ้นสีแดงจากการจุดติด

ผมจรดมันเข้ากับริมฝีปาก ก่อนจะออกแรงสูบรับรสแสบร้อนเข้ามาในลำคอ

สมองหมุนคว้างจากหลายๆ ภาพที่ถาโถมเข้ามา ผมส่ายหน้าโดยไม่รู้เหตุผล ร่างกายค่อยๆ ปรับเอนนอนตะแคงบนโซฟา เบียดแผ่นหลังเข้ากับโซฟา ผมห่อตัวเข้าหากันเล็กน้อย ดวงตาจ้องมองสีแดงที่คุอยู่ตรงปลายมวน

รอยยิ้มเล็กๆ ฉายขึ้นบนใบหน้า ก่อนจะค่อยๆ ชัดเจนขึ้นจนกลายเป็นยิ้มกว้าง ตามมาด้วยเสียงหัวเราะแหบแผ่วที่เล็ดลอดออกจากคอ

เสียงหัวเราะที่ดังต่อเนื่องกินเวลาหลายวินาที ก่อนจะค่อยๆ เจือจางลง

ถูกแทรกแทนที่ด้วยก้อนสะอึกที่แล่นขึ้นจุกตรงคอ

ผมเม้มปากแน่น ฝ่ามือยกขึ้นปิดริมฝีปาก ทั้งร่างสั่นเล็กๆ โดยที่ผมไม่แม้แต่จะสนใจควบคุมมัน

น้ำอุ่นใสหยดแรกไหลออกจากดวงตา กลิ้งผ่านผิวเนื้อแล้วหยดลงบนโซฟา ผมกัดฟันแน่น แต่ก้อนที่ค้างอยู่ตรงช่องคอก็ขยายตัวใหญ่ขึ้น เสียดบาดหลอดลมจนต้องไอโขลกออกมา หวังให้ความเจ็บปวดนั้นบรรเทาลง

กลายเป็นเสียงสะอื้น.. ที่ฟังแล้วให้ความรู้สึกทรมานสาหัส

เสียงร้อง ที่คงทำให้คนฟังรู้สึกสงสาร .. ทำให้ผมสงสาร

แต่เจ้าของเสียงนั่น กลับกลายเป็นตัวของผมเอง

ผมจรดบุหรี่เข้าปากตัวเองอีกครั้ง ดวงตาจ้องมองควันสีเทาที่ลองลอยในอากาศ อ้อยอิ่ง เชิญชวนไม่ให้ละสายตา

หลายๆ อย่างประเดประดังเข้ามาในความคิด ผมนึกรังเกียจที่ตัวเองมานั่งนึกถึงอะไรที่ไม่อยากนึกถึง

ความรู้สึกวูบโหวงในช่องอก อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้

ฝ่ามือที่ปิดปากอยู่ค่อยๆ เลื่อนลง สัมผัสร่างกายตัวเอง ต่ำลงไปเรื่อยๆ จนหยุดที่หน้าท้อง ร่องรอยสีเข้มยังติดกระจายเป็นวงกว้างอยู่ตรงนั้น

ความสับสนที่แม้แต่ผมยังหาคำตอบไม่ได้

ในท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่ทำให้หลายๆ คนคลั่งไคล้ในตัวผมคืออะไรกันแน่

สิ่งที่ทำให้เขาชอบในตัวผม

 

แท้จริงแล้ว คืออะไรกันแน่

 




____
#เดฟฟลอยด์

1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.19 Dancin' With Mr. Gray (28/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mecinzano505 ที่ 28-01-2017 17:29:33

19_
Dancin' With Mr. Gray






เสียงที่กุกกักดังปลุกผมให้ตื่นจากการหลับใหล อาจจะเพราะความรู้สึกปวดหน่วงตรงเบ้าตาลามไปถึงบริเวณขมับ ทำให้ผมยังไม่ลืมตาขึ้นมองในทันที ร่างกายรับรู้ได้ถึงการผงกหัวของแทซที่นอนซบอยู่ตรงขา ไออุ่นที่คลอเคลียอยู่รอบๆ ตัว ค่อยๆ ปัดเป่าความเย็นชืดของบรรยากาศให้หลุดออกจากร่างกาย

เส้นผมที่ตกลงมาปรกหน้าผากของผมถูกปัดเบาๆ

“ทำไมถึงมานอนตรงนี้” เสียงที่ได้ยินฟังดูคุ้นหู ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ ก่อนสบเข้าจังๆ กับสายตาของเดฟที่มองมาในระยะใกล้ ร่างสูงนั่งยองๆ บนพื้นพลางแนบข้อศอกลงบนโซฟา

ผมยังไม่ตอบในทันที คล้ายสมองก็กำลังประมวลผลเพื่อหาคำตอบนั่นเหมือนกัน ผมแลบลิ้นเลียริมฝีปาก ค่อยๆ พยุงตัวเองขึ้นนั่ง ปล่อยร่างของตัวเองให้อยู่ในวงแขนของเดฟที่เหยียดปิดทางออกโดยสมบูรณ์อย่างไม่คิดจะทำอะไร

“กลิ่นบุหรี่..” เดฟเปรยขึ้นมาเบาๆ พร้อมกับดวงตาที่ตวัดมองหลักฐานบนโต๊ะ มวนบุหรี่มากมายถูกดับลงลวกๆ บนนั้น “ไม่รู้ว่าสูบด้วย”

เขาหันกลับมาสบตา ขณะที่ผมดันไหล่ตัวเองขึ้นเล็กๆ แทนการตอบรับต่อประโยคนั้น

“ขอโทษ” ผมพูดขึ้นในที่สุด เสียงแหบแปร่งที่หลุดลอดออกจากลำคอทำให้เผลอขมวดคิ้วตอนได้ยิน มันออกมาพร้อมกับความเจ็บเสียดที่แล่นขึ้นในลำคอ

“ไม่เป็นไร” เขาพึมพำ ดวงตาที่มองมาให้ความรู้สึกทอดอ่อนและเต็มไปด้วยประกายที่แปลกไป “ลุกออกมาตั้งแต่ตอนไหน”

พอได้ยินแบบนั้น ความเงียบก็เริ่มแทรกเข้าแทนที่ ผมเม้มปาก ความฝืดเฝื่อนเย็บติดริมฝีปากไว้ไม่ให้คลายออกจากกัน รวมถึงความร้อนตรงเบ้าตาที่ดูเหมือนจะขยายตัวเป็นวงกว้าง

แทนที่การกระทำแบบนั้นจะทำให้สถานการณ์ตรงหน้ายากขึ้น แต่เดฟก็ยังคงเป็นเดฟอย่างสมบูรณ์แบบ พฤติกรรมที่หลุดลอดออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจถูกประเมินอย่างรวดเร็วโดยที่ผมไม่จำเป็นต้องพูดอธิบายอะไร

เดฟ.. เป็นผู้ชายที่เหมือนจะรู้จักตัวผมดีจนน่ากลัว พอๆ กับการเป็นผู้ชายที่ดูเหมือนจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับผมเลยสักนิด

ฝ่ามืออุ่นสอดแตะเข้าตรงช่วงสะโพก ลากผ่านเนื้อเสื้อเชิ้ตด้วยจังหวะเชื่องช้าคงที่ ร่างสูงยืดตัวขึ้นสูง ก่อนจะแตะหน้าผากเข้ากับหน้าผากผม ดวงตาสบลึกเข้ามาราวกับกำลังแสดงความจริงใจด้วยการเปิดให้ผมมองเห็นทุกอย่างในระยะใกล้

“..ขอโทษ โดนเรียกตัวออกไปกะทันหัน” เสียงทุ้มติดแหบเล็กๆ อธิบายสั้นๆ “ไม่ได้ตั้งใจทิ้งให้นายอยู่คนเดียว”

ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่นยิ่งขึ้น ผมแสร้งหลุบตาลงต่ำเพื่อหลบเลี่ยงสายตาจริงจังคู่ตรงข้าม ก่อนที่ร่างกายจะถูกกระชับเมื่อทำแบบนั้น

“เฮ้ มันอาจจะฟังดูเหมือนข้อแก้ตัว” เขาผละใบหน้าออกไป ก่อนที่ร่างกายผมจะสัมผัสได้ถึงแรงกดจากริมฝีปาก จูบหนักแน่นแนบอ้อยอิ่งลงที่ลาดไหล่ ขบเม้มผิวเนื้อผ่านผ้าบางๆ ที่ขว้างกั้น “แต่เชื่อเถอะ ถ้าเลือกได้.. อยู่ตรงนี้กับนายทำให้รู้สึกดีกว่าออกไปเจอพวกเฮงซวยนั่นเป็นไหนๆ”

ผมกระตุกยิ้ม หัวใจเต้นกระตุกกับสิ่งที่ได้ยินราวกับกำลังตะโกนปฏิเสธ ใบหน้าเผลอเบือนออกด้านข้าง

เหมือนเดิม.. ผมเองก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไรออกไปในตอนนี้

ความคิดติดลบมากมายลอยพล่านอยู่ในสมอง การปฏิเสธความรู้สึกพวกนั้น พร้อมๆ กับการแก้ตัวให้ทั้งตัวเองและเดฟก่อนที่ผมจะผล็อยหลับไปไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด

“ไม่เชื่อ?” เขาถามเสียงสูง ใบหน้าล้อเลียนพร้อมกับการเลิกคิ้วสูงทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังทำตัวงี่เง่าไปเองคนเดียว ร่างกายถูกล็อคแล้วดึงเข้าหาตัว วงแขนโอบรัดผมแน่น ต้นขาทั้งสองข้างแนบชิดอยู่กับช่วงเอวแข็งแรง

“ทำอะไร” ผมรีบถามกลับ ร่างกายแข็งค้างจากความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากไล่กดซ้ำๆ ตรงไหล่ ก่อนจะแนบจูบสุดท้ายเนิ่นนานเหนือผิวเนื้อ พร้อมกับดวงตาเป็นประกายที่ช้อนขึ้นมอง

“ลูกผู้ชายต้องดูการกระทำก่อนคำพูดใช่หรือเปล่า” ลมหายใจอุ่นคลอเคลียผ่านเสื้อบางๆ ฝ่ามือของเดฟลากลงต่ำ ขณะที่ปลายนิ้วกดเน้นผ่านช่วงกระดูกสันหลัง “แสดงให้เห็นไง ว่าฉันหลงนายจนอยากจะอยู่ตรงนี้แทบตาย”

ความรู้สึกแปลกประหลาดพุ่งเสียดท้องน้อย อีกฝ่ายยืดตัวขึ้น พร้อมกับริมฝีปากที่ฉกวูบเข้าตรงลำคอ ร่างกายของผมรวนไปหมดจนเผลอกระทำขัดกับคำสั่งที่สมองสั่งการ ช่วงคอถูกเปิดเนื้อที่มากขึ้นจากการทิ้งศีรษะไปด้านหลัง ฝ่ามือของผมขยำแน่นอยู่ตรงบ่ากว้าง การกัดฟันแน่นแทนการกลั้นเสียงร้องอยู่ในการจับจ้องของอีกฝ่าย

เดฟผละใบหน้าออกไป ก่อนที่ริมฝีปากจะประทับลงหนักๆ ตรงคางอีกครั้ง แรงรัดที่แน่นขึ้นราวกับอีกฝ่ายต้องการบีบให้ร่างผมแหลกทำให้เผลอส่งเสียงประท้วงเล็กๆ ในลำคอออกมา

ดวงตาสีน้ำตาลเข้มขึ้นในความมืด หลังการสบถเบาๆ ติดริมฝีปาก

“แม่ง.. ถ้าไม่อยากขาดใจตาย” เสียงทุ้มต่ำกระซิบลอดไรฟัน “หยุดทำหน้าแบบนั้น หยุดส่งเสียงนั่นเดี๋ยวนี้”

เป็นไปตามคำสั่ง ผมหยุดทุกการกระทำเผลอไผลที่ดำเนินอยู่ ลมหายใจถูกสูดเข้าปอดลึกเป็นจังหวะเนิบช้า ก่อนที่ใบหน้าจะผงกกลับมาสบตากับเดฟตรงๆ

เกมจ้องตาเกิดขึ้นอีกครั้ง

และคราวนี้กลายเป็นผมเองที่ค่อยๆ เผยรอยยิ้มเล็กๆ ออกมาตรงมุมปาก เพราะสีหน้าสับสนของคนตรงหน้าแสดงออกชัดแม้อยู่ในความมืด

แต่ยิ้มนั้นก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะริมฝีปากที่เคลื่อนเข้ามาประชิด สัมผัสอุ่นบดเบียดเชื่องช้า ก่อนที่ผมจะใช้มือดันไหล่กว้างออก

“ไม่.. ผมยังไม่อยากตายตอนนี้” ผมพูด เห็นสีหน้าจริงจังพยักเบาๆ ก่อนที่แผ่นหลังจะรับรู้ได้ถึงสัมผัสจากฝ่ามือที่เริ่มขยับอีกครั้ง

“เดฟ” นั่นไม่ใช่การปรามสักทีเดียว แต่โทนเสียงที่เข้มและเด็ดขาดขึ้นก็ทำให้อีกฝ่ายชะงักทุกการกระทำ ใบหน้าสะบัดลงต่ำ พร้อมกับลมหายใจที่ถอนออกมาแรงๆ ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง

ฝ่ามือผละออกจากตัว พร้อมๆ กับปลายนิ้วที่ตรงเข้าจับเสื้อของผมแล้วเริ่มต้นกลัดกระดุมให้

ผมทอดมองอีกฝ่าย ไม่มีเสียงใดหลุดออกจากปากเราทั้งคู่อีก เดฟติดกระดุมให้ผมไปเรื่อยๆ มีสัมผัสหยอกเย้าจากหลังนิ้วแตะเข้าที่ลำตัวเป็นระยะราวกับต้องการจะแกล้ง ก่อนที่เขาจะผละตัวออกไป

“ใกล้เช้าแล้ว อยากนอนพักหรือเปล่า” เขาถาม ดวงตาปราดมองแทซที่เริ่มลุกขึ้นเหยียดตัว “ดูเหมือนนายนอนหลับไปไม่ถึงสองชั่วโมง”

“ผมคงนอนไม่หลับแล้วล่ะ” ผมส่ายหน้าประกอบคำพูด ฝ่ามือวางทาบที่ขาของตัวเอง “มีอะไรหรือเปล่า”

เดฟยืดตัวขึ้นยืนเต็มความสูง พร้อมกับแทซที่กระโดดลงจากโซฟา วิ่งวนไปรอบๆ บ้านแล้วหยุดนั่งอยู่ตรงประตู

“อยากให้ไปที่คลับด้วยกันหน่อย แต่ฉันต้องพาแทซไปวิ่งก่อน” เขาเหลือบตามองนาฬิกาที่ติดอยู่ตรงผนัง “ถ้าไม่นอน นายอาบน้ำรอเลยก็ได้”

“ถามได้ไหมว่าไปทำไม”

เดฟนิ่งไปชั่วอึดใจ ก่อนที่เขาจะเผยรอยยิ้มออกมาจางๆ

“เดี๋ยวไปถึงก็รู้เอง”

 

 

 

 

“อ้าว ไอ้หนูคนนั้นน่ะเอง ฟลอยด์ หายไปนานนะ” กันเตอร์ทักขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม ผมยิ้มตอบ สัมผัสได้ว่าสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายดูฝืดเฝื่อนกว่าที่เคยพบเห็น

“ขอบคุณครับ” ผมพูด รับขวดเบียร์ที่อีกฝ่ายยื่นให้อย่างไม่คิดขัดใจ ดวงตากวาดมองบรรยากาศอึมครึมรอบๆ คลับ ผู้ชายร่างใหญ่หลายคนนั่งประจำอยู่ที่โต๊ะใหญ่ตัวเดิม คราวนี้ไม่มีแอชคนนั้นที่ผมเคยเห็น

สิ่งที่แปลกไปอย่างเห็นได้ชัดก็คือ ไม่มีเสียงหัวเราะครื้นเครงและบรรยากาศที่ดีเหมือนกับครั้งแรกนั่น ไม่มีเลย ..

หนึ่งในนั้นหันมาทางเราแล้วพยักหน้าทักทายเดฟที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังของผม สีหน้าจริงจังสวมเป็นหน้ากากติดอยู่บนใบหน้าของทุกคน เดฟยกมือแตะไหล่ผมเบาๆ ก่อนจะเดินผ่านร่างของผมไปยังโต๊ะนั้น ฝ่ามือวางทาบลงบนโต๊ะตัวใหญ่ พร้อมกับใบหน้าที่โน้มลงต่ำ เขารับฟังอะไรสักอย่างจากคนพวกนั้น พยักหน้าสองสามครั้ง แล้วเดินกลับมาทางผม

“มานี่สิ” เขาพูดเสียงเรียบ ก่อนจะเดินนำผมขึ้นไปยังชั้นสอง บันไดส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเหมือนเคยยามที่ต้องรับน้ำหนักตัวของผู้เดินผ่าน

ข้างบนยังเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน ที่มีเพิ่มมา เห็นทีจะเป็นกล่องลังขนาดใหญ่ที่วางซ้อนกัน กลมกลืนไปกับลังเบียร์มากมาย เดฟเดินนำผมไปด้านในสุด บานประตูเก่าๆ ที่ผมคิดว่าเสียหรือไม่ก็เป็นห้องเก็บของที่ล็อคตาย สีฟ้าอ่อนซีดๆ  พร้อมรอยขีดข่วนสะเปะสะปะ เขาเปิดมันออก เผยให้เห็นทางเดินยาวๆ ประตูไม้เนื้อดีอีกสามบาน และบันไดลงไปด้านล่างที่ผมไม่เคยเห็นอีกหนึ่ง

มั่นใจว่าในตอนนี้ สายตาของผมเต็มไปด้วยคำถามมากมาย แต่เดฟก็แค่มองมา และยังไม่อธิบายอะไรให้ได้ยินทั้งนั้น

เขาเดินนำไป หยุดยืนที่ประตูบานหนึ่งซึ่งอยู่ด้านในสุด กุญแจดอกเล็กถูกหยิบขึ้นมาไข ข้างใน เป็นห้องนอนเล็กๆ มีเตียงขนาดห้าฟุตวางชิดผนัง โปสเตอร์วงดนตรีที่ผมไม่รู้จักแปะเต็มผนัง ปะปนไปกับหน้าหนังสือพิมพ์และรูปภาพเหตุการณ์สีขาวดำ มีโต๊ะทำงาน พรมเช็ดเท้าสีเทาหม่น โทรทัศน์เครื่องเล็กวางอยู่บนชั้น ตู้เก็บหนังสือ กระจกตั้งพื้น โซฟาตัวเล็ก ทุกอย่างถูกวางอัดกันอยู่ภายในห้อง

ไฟในห้องสว่างขึ้น พร้อมกับบานประตูที่ปิดลงเสียงดัง เดฟก้าวผ่านร่างของผมไป หยุดยืนอยู่ตรงข้างเตียง ดวงตาจ้องสำรวจผมไม่วางตา ขณะที่ผมเองก็กวาดตามองรอบๆ ห้องไปเรื่อยๆ

“ที่นี่คืออะไร” ผมถาม  คำตอบที่ต้องการไม่ใช่คำอธิบายว่านี่คือห้องนอนหรือห้องน้ำ แต่เป็นรายละเอียดที่มากกว่านั้น

“ห้องของฉัน” เขาตอบสั้นๆ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนเตียง “เป็นยังไงบ้าง”

ผมหันซ้ายหันขวาอีกครั้ง ฝ่ามือขยับขึ้นแตะแขนของตัวเอง “ก็.. ดี”

“อยากมาอยู่ที่นี่หรือเปล่า” เขาถามด้วยใบหน้าจริงจัง ขณะที่ผมรู้สึกเหมือนมีฟ้าผ่าลงกลางสมอง

“อะไรนะ” ผมถามทวน เสียงที่เปล่งออกไปแห้งตีบอยู่ในลำคอ

ความไม่เข้าใจซัดเข้าตบใบหน้า

เดฟแลบลิ้นเลียริมฝีปาก มองสีหน้าที่เปลี่ยนไปของผมด้วยความเฉยชา ก่อนจะกล่าวย้ำ

“ฉันอยากให้นายย้ายมาอยู่ที่นี่”

พอผมเงียบ เดฟก็ค่อยๆ หยัดตัวขึ้นยืน ฝ่าเท้าก้าวตรงมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า พร้อมกับน้ำเสียงเด็ดขาดที่ให้ความรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังออกคำสั่ง

“นายจะไม่อยู่ที่บ้านนั้นอีก ตกลงไหม นายจะอยู่ที่นี่”

!!

“หมายความว่ายังไง” ตัวผมในตอนนี้ ได้แต่ถามคำถามซ้ำไปซ้ำมาราวกับเป็นคนโง่ ใบหน้านิ่งเรียบ ขัดกับหัวใจที่ร่วงลงไปอยู่ที่พื้น

“หมายความตามที่พูด” เดฟตอบ สีหน้าเคร่งเครียดติดค้างอยู่บนใบหน้า

ผมก้าวถอยหลัง ในช่วงที่ความเงียบโรยตัว หัวสมองก็พยายามตีความหมายและสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ ไม่ว่าจะมองมุมไหน จะคิดกลับไปกลับมากี่รอบ ผลลัพธ์ที่ได้ในหัวก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลยสักนิด

ผมเหยียดยิ้ม ดวงตาเริ่มแข็งกร้าวขึ้น ก่อนจะถูกกลบซ่อนไว้อย่างรวดเร็ว

“เข้าใจแล้ว” ผมพึมพำ เอี้ยวตัวหลบมือของเดฟที่ขยับเข้าหา “ถ้างั้น ผมจะไปเอง”

“ไป?” เดฟทวนคำ หัวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น พร้อมกับดวงตาสับสนที่เริ่มฉายความไม่พอใจออกมา “นายพูดว่าไป”

“ถ้าคุณไม่อยากให้ผมอยู่ด้วยแล้ว ก็แค่พูดมาตรงๆ” ผมส่ายหน้าเบาๆ สองสามครั้ง “ถ้าไม่อยากให้อยู่ด้วยแล้ว ผมจะเป็นคนไปเอง แค่นั้น..”

เสียงลูกบิดประตูดังขึ้น ก่อนจะถูกกลบลงในเสี้ยววินาทีต่อมาด้วยแรงกระแทกจากบานประตู ร่างของผมถูกผลักไปข้างหน้า พร้อมกับแผ่นหลังที่ถูกเบียดอย่างจงใจจากอีกคน

“นายกำลังผิดคำสัญญา” เดฟกดเสียงต่ำ ลมหายใจอุ่นแนบชิดอยู่ข้างใบหู แรงบีบกำแน่นอยู่รอบช่วงเอว ผมหายใจแรง หลายๆ ความรู้สึกตบตีกันอยู่ในช่องท้อง

อึดอัด

“จำไม่ได้เหรอ ว่าเคยสัญญาอะไรไว้” เขาถามย้ำ ขณะที่ผมเผลอเกลือกตาขึ้นด้านบน รอยยิ้มปลอมๆ สว่างชัดบนริมฝีปาก

“คำสัญญาอะไรนั่นคงไม่มีความหมายแล้วมั้งในตอนนี้.. พูดออกมาตรงๆ สิ” ผมปิดเปลือกตาลงแน่น ก่อนจะเปิดอีกครั้งแล้วจับจ้องดวงตาไปที่บานประตูไม้ตรงหน้า

“นายกำลังเข้าใจผิด” น้ำเสียงที่ได้ยินเริ่มอ่อนลง พร้อมกับแรงบีบตรงช่วงเอวที่คลายลงจนกลายเป็นแค่การลูบไล้ไปมาเบาๆ

“ถ้าอย่างนั้นผมก็ให้โอกาสคุณอธิบาย” ถึงจะพูดออกไปแบบนั้น แต่การส่ายหัวเล็กๆ ที่เกิดขึ้นอีกครั้งโดยไม่รู้ตัวก็ดูขัดแย้งจนเห็นได้ชัด ร่างของผมถูกพลิกให้หันกลับไป

บานประตูถูกแทนที่ด้วยริมฝีปากคล้ำได้รูป

ผมค่อยๆ เลื่อนสายตาขึ้นสูง ก่อนจะหยุดที่ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม “ทำไมถึงพาผมมาที่นี่”

เกมวัดใจเกิดขึ้นชั่วครู่ เดฟจ้องตาผม ในขณะที่ผมก็ทำแบบเดียวกันโดยไม่ได้พูดอะไรออกไปอีก แล้วอีกฝ่ายก็หลุดถอนหายใจออกมาแรงๆ พร้อมกับวงแขนที่เกี่ยวร่างของผมไปไว้ในอ้อมกอด ริมฝีปากกดชิดลงมาที่ขมับ ก่อนที่เขาจะทาบคางลงกับไหล่ของผมนิ่ง

“รู้ไหม ฉันไม่อยากให้นายต้องมารับรู้เรื่องพวกนี้เลย” เขากระซิบ

“คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่พูด” ผมเบือนหน้าออก “ไม่ต้องพูดอะไรเลยก็ได้ ถ้ามันทำให้ลำบากใจมากขนาดนั้น”

“ถ้าฉันไม่พูด นายก็จะไป” วงแขนที่โอบรอบตัวอยู่กระชับแน่นขึ้นเล็กน้อย “ฉันพูดถูกไหม”

ผมไม่ตอบคำถาม ไม่แน่ใจนักว่าคำตอบของตัวเองจะออกมาเป็นแบบไหน เพราะในหัวหมุนคว้างไปหมด

เดฟผละตัวออกไป ฝ่ามือลากขึ้นตามช่วงแขน ก่อนจะหยุดนิ่งที่ลาดไหล่ ดวงตาที่จ้องมองมาเต็มไปด้วยความจริงจังและกระวนกระวาย

เดฟที่เคยฉายความนิ่งขรึม เคร่งเครียด และออกประโยคคำสั่งนั่นกับผมเมื่อครู่ ในตอนนี้ราวกับกลายเป็นคนละคน

“มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น อะไรบางอย่างที่ส่งผลกระทบต่อคนในกลุ่มของฉัน และอาจจะส่งผลต่อทุกคนที่พวกเราเกี่ยวข้องด้วย” เขาจ้องมองมาอย่างไม่หลบสายตา “ถ้านายจำได้.. เด็กผู้ชายที่เคยไปอยู่เป็นเพื่อนนายที่บ้าน”

“เรย์” ผมพูดชื่อในความทรงจำออกไป มองเห็นการพยักหน้ารับเล็กๆ พร้อมกับดวงตาที่แข็งกร้าวขึ้นของคนตรงหน้า

“เรย์..”   เขาทวน “หายไปจากการดูแลของเรา”

ผมไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายสื่อมากนัก แต่ก็ยังคงยืนเฉยๆ แล้วปล่อยให้เขาอธิบายต่อโดยไม่ได้ถามขัด

“ฉันไม่อยากให้นายหายไปแบบนั้น ไม่อยากให้นายต้องเจอกับอะไรที่อาจจะไม่ดี” เสียงทุ้มเงียบชะงักไป ฝ่ามือที่จับไหล่ผมอยู่ค่อยๆ ขยับขึ้นช้าๆ จนแบแนบกับผิวแก้ม ปลายนิ้วโป้งอุ่นเกลี่ยไล้เบาๆ ผ่านริมฝีปาก “ฉันไม่อยากให้ตัวเองกลายเป็นบ้าไปเหมือนกับเขาคนนั้น ไม่อยากจะต้องเสียใจแล้วก็รู้สึกเหมือนกำลังจะตายเพราะความไม่รู้อะไรเลย”

เรื่องที่อีกฝ่ายกำลังพูด แน่ชัดว่าอยู่ห่างไกลความเข้าใจของผม

แต่กระแสประหลาดบางอย่างที่จับได้จากตัวของอีกฝ่าย ทำให้แม้แต่ผมที่ไม่รู้อะไรเลยใจหายวาบ หลายๆ อย่างที่สุมอยู่ในตัวเบาโหวง เหลือเพียงแค่มวลลมที่หมุนอยู่ในช่องท้อง กับอะไรสักอย่างที่บีบก้อนเนื้อในอกจนเสียดไปหมด

“ดังนั้นถ้านายจะช่วย..” เขาปิดเปลือกตาแน่น สีหน้าอึดอัดใจระบายอยู่ทั่ว “ช่วยอยู่ที่นี่ อยู่ในสายตาของฉันได้หรือเปล่า”

ผมเม้มปาก ความคิดที่จะไปในตอนแรกแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ

ปลายนิ้วยกขึ้นแตะเปลือกตาของอีกฝ่ายแผ่วเบา พร้อมกับร่างกายที่ขยับเข้าชิด ไออุ่นที่สัมผัสได้ทำให้ใจอ่อนยวบ ผมสัมผัสได้ถึงความไม่สบายใจของอีกฝ่าย

โดยที่ไม่รู้สาเหตุ ความรู้สึกนั้นเผื่อแผ่เข้ามาจนครอบคลุมทุกความรู้สึกของผมด้วยเช่นกัน

“ไม่ไปแล้ว” ผมวาดวงแขนโอบรอบคออีกฝ่าย ดวงตาที่เปิดลืมขึ้นสะท้อนให้เห็นใบหน้าของผมด้านใน “ไม่ไปไหนแล้ว”

สีหน้ากังวลของเดฟเจือจางลง แต่ก็ยังคงไม่หลุดหายไปไหน ปลายจมูกแตะสัมผัสเข้าเบาๆ ที่จมูกของผม ก่อนที่ริมฝีปากอุ่นจะบดเบียดเข้ามา

จูบเอาอกเอาใจ ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังได้รับคำขอบคุณ

เดฟสอดแขนเข้ากอดผมอีกครั้ง กอดแน่นราวกับกำลังกลัวว่าผมจะหลุดลอยหายไป

“นายจะปลอดภัย” เขากระซิบเสียงเบาทั้งๆ ที่ริมฝีปากยังแตะค้างอยู่ ฝ่ามือกดผ่านผิวแก้มของผมหนักๆ เพื่อยืนยันในสัมผัสที่กำลังเกิดขึ้น

ผมยกยิ้มเล็กๆ ตรงมุมปาก ฟันคมๆ งับลงเบาๆ ที่ปากล่างของอีกฝ่าย ก่อนจะปล่อยออกในเวลารวดเร็ว

“คุณก็จะปลอดภัยเหมือนกัน”

ดวงตาคู่ตรงข้ามฉายรอยยิ้มออกมา เช่นเดียวกับผมที่เริ่มยิ้มกว้างยิ่งขึ้น

ขัดกับในใจที่กำลังกู่ร้องเสียงดัง รับรู้ถึงความกังวลและอันตรายที่วิ่งตรงเข้าหา

 


“คุณก็จะปลอดภัยเหมือนกัน ..”









หลังจากนั้น เดฟก็ออกจากห้องไป พร้อมกับเสียงโวยวายของทุกคนที่พร้อมใจกันดังขึ้น

ผมลอบเดินออกจากห้อง หยุดยืนอยู่ตรงบันไดขั้นที่มั่นใจว่าจะไม่มีใครสังเกตเห็นถ้าไม่จ้องตรงมาทางนี้ ผู้ชายที่ชื่อว่าแอชยืนอยู่ท่ามกลางทุกคน ใบหน้าเคร่งขรึมที่เคยไม่แสดงอารมณ์ ตอนนี้เต็มไปด้วยหลายๆ อย่างตีกันอยู่ในนั้น

ดวงตาที่วูบไหว เป็นอีกอย่างที่ผมมองเห็นได้อย่างชัดเจน แม้จะยืนอยู่ไกลมากก็ตาม

แล้วพวกเขาก็จากไป .. เสียงฮาร์เลย์กระหึ่มดังเข้ามาภายในคลับ กินเวลาไม่ถึงสองนาทีก่อนจะเงียบสงบลง ผมเม้มปาก ชั่งใจระหว่างการลงไปนั่งคุยเล่นกับกันเตอร์ กับการกลับเข้าไปในห้องแล้วใช้เวลาอยู่กับตัวเอง

แล้วผมก็เลือกทางเลือกหลัง

เดินกลับเข้าไปในห้อง กดล็อคประตู ทิ้งสายตาลงกับอะไรสักอย่างที่ไม่อยู่ในสายตา หัวสมองฉายภาพความคิดแบบเดิมๆ ความคิดที่จะตรงเข้าจู่โจมในทุกช่วงเวลาที่มีโอกาส

นานพอสมควรแล้ว ที่ผมหนีออกจากที่นั่นมาที่นี่ .. บางครั้งก็นึกสงสัย ว่าเขาคนนั้นเป็นอย่างไรบ้างในตอนนี้ ถึงจะบอกว่าไม่มีอะไรให้นึกถึงในสถานที่ห่วยแตกแบบนั้นอีก แต่ก็มีหลายครั้งที่ใบหน้าคุ้นตานั่นลอยเด่นชัด พร้อมกับรอยยิ้มปลอมๆ แบบที่เป็นภาพลักษณ์ประจำตัว

‘ถ้าวันหนึ่งนายหายไป ฉันคงจะเสียใจมาก’

ผมเหยียดยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่ถ้าเลือกได้ ก็ไม่คิดจะเปิดเผยมันให้ใครเห็นอีก ร่างกายล้มลงนอนบนเตียง กลิ่นที่คุ้นเคยเจือจางอยู่รอบกาย ถึงแม้จะอ่อนบางกว่าที่บ้าน แต่ผมก็สามารถตอบได้โดยไม่ต้องใช้เวลาคิดนาน ว่านี่คือห้องของเดฟจริงๆ

เปลือกตาค่อยๆ หรี่ปิดลง ความมืดเข้ามาเยี่ยมเยือนถึงที่

ไม่มีการต่อสู้กันเองในหัว ไม่มีการพยายามปฏิเสธภาพในอดีตเหล่านั้นเหมือนกับวันอื่นๆ

ผมหลับไปง่ายๆ เพียงเพราะแค่ร่างกายยอมจำนนต่อความโศกเศร้าในความทรงจำ
 


tobecontinued.



____
#เดฟฟลอยด์

1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.19 Dancin' With Mr. Gray (28/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mecinzano505 ที่ 28-01-2017 17:31:15

19_
Dancin' With Mr. Gray

(ต่อ)





เช้าวันรุ่งขึ้น ..

ไม่มีแม้แต่เงาของเดฟที่คลับ เขาหายไป พร้อมกับผู้ชายกลุ่มใหญ่น่ากลัวที่มักจะนั่งอยู่ตรงนั้น เหลือไว้เพียงผู้ชายร่างผอมสูงผมสีน้ำตาล ในชุดเสื้อยืดสีขาวกับแจ็คเก็ตหนังสีดำที่โผล่เข้ามานั่งกดโทรศัพท์เล่นอยู่ที่บาร์ กับกันเตอร์

ผมถูกขอร้องจากผู้ชายแปลกหน้าคนนั้น ไม่ให้ออกไปไหนในตอนนี้

รวมถึงห้ามไปที่ทำงานด้วยเช่นกัน ..

ถึงจะรู้สึกหงุดหงิดแปลกๆ กับคำขอไร้ที่มาที่ไปนั่น แต่ผมก็ยอมทำตามง่ายๆ โดยไม่คิดจะโต้เถียง ทั้งวันนั้นหมดไปกับการนั่งเฉยๆ ฟังเพลงที่กันเตอร์เปิด กินอาหารที่กันเตอร์ทำ แล้วก็กินเหล้าที่กันเตอร์ยื่นให้

พอตกเย็น ผมเห็นผู้ชายคนนั้นรับโทรศัพท์ที่ดังขึ้น ดวงตาเบิกกว้าง และท่าทางโกรธจัดที่แสดงออกมา เขาหันไปพูดอะไรสักอย่างกับกันเตอร์ที่ตั้งใจฟัง

แล้วบรรยากาศก็ถูกกดให้อึมครึมมากขึ้นยิ่งกว่าเก่า

เสียงพูดคุยหายไปจากคลับ พร้อมกับเสียงเพลงร็อคบาดหูที่ถูกกระชากให้รุนแรงและอึกทึกมากกว่าเดิม

ห้าทุ่ม.. ผมก็พาตัวเองกลับเข้าไปในห้องคับแคบ สอดร่างผ่านผ้าห่มผืนหนา นึกสงสัยและตั้งคำถาม

ว่าสิ่งที่ผมกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ ยังอยู่ในแผนการเดียวกับตอนที่ผมตั้งใจหนีออกจากเนวาด้าหรือเปล่า

ชีวิตสงบสุขและเป็นปรกติที่ผมเฝ้าฝันถึง

ใช่ชีวิตแบบเดียวกับที่ผมกำลังเจออยู่ตอนนี้จริงๆ หรือเปล่า











I'm gonna love you like nobody's loved you,

Come rain or come shine.

High as a mountain and deep as a river,

 

เสียงเพลงที่แว่วเข้ามาในโสตประสาท ปลุกผมให้ตื่นขึ้น เปลือกตากะพริบถี่ๆ ก่อนจะเปิดลืม แสงไฟสลัวๆ ในห้องเกิดจากไฟจากด้านนอกที่สาดเข้ามาผ่านหน้าต่างบานเล็ก

เสียงตกกระทบหนักๆ ดังเป็นจังหวะสะเปะสะปะมาจากข้างนอก

 

Come rain or come shine.

 

กลิ่นฝน กลิ่นแอลกอฮอล์ กับสายตาที่จับจ้องมา ผมขยับลุกขึ้นนั่ง ประสานสายตาเข้าพอดีกับเดฟที่นั่งนิ่งอยู่บนโซฟาปลายเตียง

ขวดเบอร์เบิ้นถูกยกขึ้นชิดริมฝีปาก แม้กระทั่งตอนที่เขาเงยหน้าขึ้นเพื่อรับมันลงคอ ดวงตาสีเข้มนั่นก็ยังจับจ้องผมไม่วาง

“เดฟ..” ผมออกปากทัก ในชั่วนาทีแรก เขาตอบโต้กลับมาเป็นความเงียบสนิทที่เปล่งผ่านลำคอ ร่างสูงยังคงยกเหล้าในมือขึ้นดื่มกินไปเรื่อยๆ ขณะที่ผมเองก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม



You're gonna love me like nobody's loved me,

Come rain or come shine.

 

เสียงหายใจแผ่วเบาที่ปล่อยผ่านปลายจมูก ดังย้ำในช่องหู ผมไม่ขยับตัวแม้แต่นิดเดียว ตอนที่เดฟยืดตัวขึ้นยืน แล้วเดินมาหยุดอยู่ที่ปลายเตียง

ฝ่ามือขยับมาข้างหน้า ก่อนจะแบหงายค้างกลางอากาศ

“ขอมือหน่อย” นั่นเป็นประโยคแรกที่เขาพูดขึ้น ผมทิ้งสายตาที่ฝ่ามือตรงหน้าโดยที่ยังไม่ขยับตัว

“จะทำอะไร..”

“ส่งมือมา เร็ว” เขาเอ่ยย้ำ ดวงตากลืนเป็นสีดำไปกับเงา ใบหน้านิ่งเรียบคาดเดาไม่ได้ว่าเจ้าตัวกำลังคิดอะไรอยู่

ผมขบฟันลงริมฝีปากล่างเบาๆ เว้นช่องว่างให้เข็มวินาทีเคลื่อนตัวไปข้างหน้าชั่วครู่ ก่อนที่ร่างกายจะเริ่มขยับเขยื้อน เข่าทั้งสองข้างกดลงกับเตียงนุ่ม ผมโน้มตัวไปข้างหน้า ไขว่คว้าเอาฝ่ามือของอีกฝ่ายมาจับไว้แน่น

แล้วทั่งร่างก็ถูกดึงจนหล่นลงจากเตียง เดฟประคองร่างของผมเอาไว้ไม่ให้ล้มลงไปนั่งที่พื้น ฝ่ามืออีกข้างสอดเข้าตรงช่วงเอว สัมผัสขวดเหล้าหนักๆ กับแผ่นหลังของผม

ทั้งร่างเกร็งเล็กๆ ขณะขยับเบาๆ ไปตามการชักจูงของอีกฝ่าย

ขยับเบาๆ ไปตามดนตรีจากแผ่นเสียงที่หมุนวนอยู่บนชั้นวางของด้านหลัง

ผมกล้าสารภาพว่าตัวเองไม่ใช่นักเต้นที่เก่งมากนัก ในชีวิตนี้ ผมเต้นนับครั้งได้ แต่ความสบายใจที่เกิดขึ้นในตอนนี้ก็ทำให้ผมยอมทำตามที่อีกฝ่ายต้องการไปเรื่อยๆ ท่อนแขนที่โอบอยู่ด้านหลังผละออกเป็นระยะในตอนที่เดฟยกเหล้าขึ้นดื่ม ก่อนจะสอดกลับเข้ามาใหม่

เส้นโค้งจากหน้าผาก ปลายจมูกและริมฝีปากตรึงสายตาของผมให้หยุดนิ่ง แสงไฟที่สาดเข้ามายิ่งขับให้ทุกอย่างในตอนนี้ก้ำกึ่งระหว่างความจริงและภาพฝัน

“รู้ไหม ว่าฉันรู้สึกยังไงตอนที่กลับมาเห็นนายนอนอยู่บนเตียงนี่” เสียงเกริ่นถามดังขัดขึ้นในความเงียบ

ฝ่ามือที่ประสานกันอยู่ผ่อนน้ำหนัก แขนที่อยู่ตรงช่วงเอวขยับลงต่ำ พร้อมกับร่างของผมที่หงายตกลงในช่วงอากาศ หยุดชะงักค้าง กินเวลาเนิ่นนานพอที่ดวงตาจะไล่กวาดลงจนเห็นสร้อยแท็กสีเงินที่อีกฝ่ายสวมใส่

ผมไม่ตอบคำถาม.. ทิ้งน้ำหนักลงศีรษะ ขยับเอียงช้าๆ ตามจังหวะเพลงที่ได้ยิน ก่อนทั้งร่างถูกดึงขึ้นอีกครั้ง

ริมฝีปากกดซับลงที่หน้าผาก ลมหายใจอุ่นตอกย้ำว่าตัวตนของอีกฝ่ายนั้นเป็นของจริง ไม่ใช่แค่ภาพลวงตา

“โล่งใจ.. ดีใจจนแทบเป็นบ้า” เสียงทุ้มกระซิบต่ำ “เหมือนกับคำวิงวอนที่มีต่อพระเจ้าเป็นจริง”

ผมหลุบตาลงต่ำ ฟังเสียงดนตรีที่ค่อยๆ แผ่วเบาจนกลืนหายไปกับความเงียบ

ฝ่ามือแตะไล้แผ่นหลังกว้างช้าๆ ขยับสูงขึ้นจนปลายนิ้วเอื้อมสัมผัสลาดไหล่แข็งแรง ผมกดใบหน้าตัวเองลงกับช่วงบ่ากว้าง ก่อนที่ใบหน้าจะเบือนออกไปแสวงหาอะไรสักอย่างจากนอกหน้าต่าง

ดนตรีจากเพลงใหม่ค่อยๆ เริ่มขึ้นช้าๆ เสียงกีต้าร์ทำให้หัวใจเต้นกระตุก ผมสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะตัดสินใจหันใบหน้ากลับไปเผชิญกับเดฟที่ยังคงจ้องมองมา

ริมฝีปากขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ใกล้มากขึ้น จนเป็นผมเองที่เริ่มรู้สึกกระวนกระวาย

เพราะอะไรบางอย่างในร่างกายกำลังจรดจ่อ ราวกับผมกำลังนับวินาทีเพื่อเฝ้ารอ

เรียวลิ้นแตะสัมผัสกันเนิบช้า แรกสัมผัส ให้ความรู้สึกยั่วยวน กลิ่นแอลกอฮอลด์ซึมซาบเข้ามาในลมหายใจ ผมขยับเอียงใบหน้า ปลายจมูกเสียดสีกับผิวเนื้ออุ่น

 

 

Well, minutes seemed like hours, an hour don't it seem like days?

Seems like my baby would stop her old evil way,


รสชาตินิ่งลึกของ Heaven Hill ไหลเข้ามาในช่องปาก ผมกลืนมันลงลำคออย่างเต็มใจ รับรู้ถึงชีพจรที่กระตุกถี่

ผมมองตรงไปข้างหน้า มองเห็นความต้องการที่ฉายชัดอยู่ในนั้น

ไม่ใช่จากเดฟ..

ความต้องการ ระบายชัดเจนอยู่บนใบหน้าของผม ที่สะท้อนอยู่ในดวงตาสีเข้ม

กลับกลายเป็นผมเอง ที่ถูกมอมเมาจนเปิดเผยความรู้สึกนึกคิดที่แท้จริงออกมา

“..คิดถึง” ผมพึมพำ ปัดป่ายปลายนิ้วบนบ่ากว้างไปมาเบาๆ มองเห็นฝ่ามือของตัวเองขยับขึ้นสูง พร้อมกับปลายนิ้วเรียวยาวที่จรดลง ลากไล้ไร้รูปร่างเนิบช้า

หัวสมองรับรู้ถึงการล่อลวงที่เด่นชัดผ่านแววตาคู่ตรงข้าม

ไม่ค่อยแน่ใจนัก ว่าเป็นเดฟที่ผลักผม หรือเป็นตัวของผม ที่ดึงกระชากร่างสูงเข้าหา

สัมผัสยวบยาบดันชิดแผ่นหลัง พร้อมกับศีรษะที่แหงนตกลงบนหมอนสีขาว ปลายนิ้วลากไล้ผ่านผิวเนื้อตรงเอว สอดผ่านเสื้อยืดที่ผมสวมใส่

เสียงฝน.. เสียงเพลงบลูส์จากแผ่นเสียงเก่าๆ ที่ตกสะดุดเป็นระยะ.. เสียงอื้ออึงดังซ้ำวนในช่องสมอง

และเสียงหอบหายใจของผมที่ดังชัดในห้องมืด

เดฟสอดกระแทกตัวตนเข้ามา ขณะที่ผมเบียดตัวรับ จมูกโด่งกดลงข้างมุมปาก กับสายตาจริงจังที่เพ่งผ่านความพร่ามัว

ผมกำลังสูญเสียหน้ากากที่สวมใส่อยู่ ..

เรียวขาของผมถูกยกขึ้นสูง ปลายนิ้วจิกลึกลงบนผิวเข้ม

เสียงของเดฟฟังดูห่างไกล เลื่อนลอย แต่กลับตอกย้ำหนักแน่นในความรู้สึก

 

“คิดถึง”









เสียงลูกบิดประตู.. ฝีเท้ากระทบพื้นเป็นจังหวะมั่นคง.. กับสามวินาทีที่ความสงบยังคงลอยตัวอยู่ในห้อง

“นี่มันอะไรกันเนี่ย”

เสียงทุ้มหนักแน่นอยู่ในลำคอ ผมกะพริบตาถี่ ดวงตารับรู้ถึงความสว่างที่สาดเข้านัยน์ตา การมองเห็นที่พร่ามัวค่อยๆ ถูกปรับจนทียบเท่าปรกติ

พร้อมๆ กับการปรากฏตัวของผู้หญิงแปลกหน้า.. ที่ผมไม่เคยเห็นหรือรู้จักมาก่อน

ไม่.. ไม่ใช่คำว่าแปลกหน้าสักทีเดียว

ถ้าจะดูกันที่หน้าตา ผมคิดว่าใบหน้าที่จ้องค้างมาทางนี้ดูคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก

“นาย” เธอเกริ่น ใบหน้ากดต่ำลงพร้อมกับดวงตาที่เกลือกขึ้นจ้องผมราวกับจับผิด หัวคิ้วที่ผ่านการแต่งทรงมาขมวดเข้าหากันแน่น “ใครน่ะ”

ผมอ้าปาก พยายามควานหาคำพูดของตัวเองในอากาศ ดวงตาจ้องสบกลับไป เมื่อรู้สึกพ่ายแพ้ ถึงได้ลากกลับมามองเดฟที่ยังนอนนิ่งอยู่ข้างๆ

“นั่นเขาใช่ไหม” ผู้หญิงคนนั้นถามเสียงสูง ฝ่าเท้าสาวเข้ามาใกล้ช้าๆ “เดฟ”

“เดฟ..” ผมที่ทำอะไรไม่ถูกได้แต่ช่วยเขย่าท่อนแขนที่เต็มไปด้วยรอยสักเพื่อช่วยปลุก

“เดฟ!” เสียงตะคอกดังขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย พร้อมกับหนังสือเล่มหนาจากบนชั้นวางของด้านหลังที่ถูกเขวี้ยงกระแทกจนเกิดเสียงดัง

เดฟผุดลุกขึ้นนั่ง ดวงตาฉายประกายไม่พอใจ ขณะที่ฝ่ามือยกขึ้นแตะหางคิ้วตัวเอง “เหี้ยอะไร”

แล้วดวงตาสีเข้มก็เบิกกว้าง

เช่นเดียวกับผมที่มีสีหน้าคล้ายๆ กัน ตอนที่ได้เห็นทั้งสองคนยืนอยู่ในกรอบรัศมีสายตาเดียวกัน

ผู้หญิงคนนั้น.. ดวงตาสีน้ำตาลเข้มภายใต้กรอบขนตาดกหนา จมูกโด่ง ริมฝีปากได้รูปฉายรอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกไม่ดีนัก เส้นผมสีบลอนด์อ่อนที่มีสีน้ำตาลเข้มเกือบดำติดอยู่ตรงโคนผม

เหมือนกันอย่างกับเป็นคนเดียวกัน ..

“ดาเบรีย” เดฟหลุดชื่อออกจากปาก

“เหี้ยอะไรเหี้ยอะไรล่ะ” เธอทวนคำพร้อมกับเลิกคิ้วสูง ดวงตาถลึงมองเดฟอย่างเอาเรื่อง “เราเพิ่งไปช่วยพวกเขามาเมื่อวาน ทุกคนวุ่นวายกันไปหมดแล้วแกทำบ้าอะไรอยู่”

“ไม่เอาน่ะ” เดฟว่า

“นี่ ซื้อกินเหรอ” ผู้หญิงที่ชื่อดาเบรียปรายตามองผม “ซื้อกิน หรือไปหิ้วมาจากที่ไหน”

“เหลวไหลดาเบรีย เธอก็รู้ว่าฉันไม่พาพวกนั้นขึ้นมาบนนี้” เดฟส่ายหัว ปลายนิ้วแตะเข้าเบาๆ ที่ช่วงเอวเปลือยของผมที่ซ่อนอยู่หลังผ้าห่มผืนหนา

อาจจะเป็นการเช็คว่าจะเกิดท่าทางต่อต้านหรือปฏิเสธอะไรหรือเปล่า

พอผมไม่ได้สะบัดหรือขยับตัวหนี เขาก็ลากสัมผัสหนักๆ ทิ้งไว้หนึ่งครั้งก่อนจะผละไป

“นี่ฟลอยด์”

“ฉันไม่ได้ถามชื่อ” ดาเบรียพูดแทรกขึ้นในทันที ฝ่าเท้าก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นจนชิดกับเตียง ก่อนร่างโปร่งจะหย่อนตัวลงนั่ง ฝ่ามือกดแนบกับที่นอน ขณะที่ใบหน้ายื่นเข้ามามองผมอย่างสำรวจ

เหมือนจนน่ากลัว

นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ผมคิดได้ในตอนนี้

“นายเป็นอะไรกับเขา” เธอถามเสียงเรียบ

“ผม..” ดวงตาของผมถูกตรึงให้ชะงักค้างอยู่กับที่ คำตอบมากมายวิ่งรวนอยู่ในสมอง แต่ไม่มีคำพูดไหนเลยที่ร่วงหลุดออกจากปาก

แล้วท่อนแขนแข็งแรงก็ยกขึ้นคั่นระหว่างร่างของผมกับดาเบรีย สีหน้าของเดฟติดจะหงุดหงิด ดวงตาสีเข้มฉายแววขุ่นเล็กๆ

“เขาอยู่กับฉัน” เดฟนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะอธิบายต่อสั้นๆ “ที่บ้าน”

ดาเบรียหลุดสีหน้าประหลาดใจออกมา มุมปากกระตุกเล็กๆ จนไม่แน่ใจว่าเกิดจากการยิ้มหรือความไม่พอใจ

“นายนี่เอง ต้นเหตุที่ทำให้ฉันไม่ได้เข้าไปในบ้านหลังนั้น”

ดวงตาดุหรี่ลง ก่อนที่ริมฝีปากภายใต้ลิปสติกสีเข้มจะค่อยๆ เผยรอยยิ้ม

“เคลียร์กันหน่อยไหม”





 

พอผมไม่ตอบ อีกฝ่ายก็เผยรอยยิ้มออกมาอีกครั้ง ดวงตาจ้องลึกเข้ามา ก่อนที่ร่างโปร่งจะยืดตัวขึ้นยืนเต็มความสูง รองเท้าบู้ทมีส้นสีน้ำตาลกระทบกับพื้นจนเกิดเสียงเป็นจังหวะ ดาเบรียหมุนตัวกลับมาอีกครั้ง

“ฉันจะรอข้างนอก แต่งตัวแล้วออกมา” ดวงตาสีเข้มตวัดมองเดฟหลังจากจบประโยค “นายด้วย ย้ายตูดเส็งเคร็งนั่นออกมาจากเตียงแล้วก็ตามมา”

พอประโยคคำสั่งจบลง เจ้าตัวก็ก้าวออกจากห้องพร้อมเสียงปิดประตูลั่นที่ดังไล่หลัง ความเงียบยังโรยตัวอยู่ร่วมนาที จนผมรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากฝ่ามือที่แตะทาบเข้าที่เอว

“นั่น.. นั่นคือ..” ผมส่ายหน้าเล็กๆ ตามความสับสนที่เกิดขึ้นในหัว คิ้วขมวดเข้าหากัน ขณะที่ดวงตาสลับมองระหว่างเดฟกับบานประตูที่ปิดสนิท

“พี่สาว” เขาตอบ สัมผัสจากปลายนิ้วลากไล้ขึ้นสูงตามกระดูกสันหลัง “ฝาแฝดน่ะ”

ไม่แปลกใจเท่าไหร่นักกับคำตอบที่ได้รับ อาจจะเพราะด้วยหน้าตาที่คล้ายคลึง ทำให้นึกสงสัยตั้งแต่แรกเห็นว่าต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด บวกเข้ากับท่าทางและพฤติกรรมที่เหมือนถอดแบบกันมา

ผมรับฟัง ไม่มีคำตอบหรือประโยคใดหลุดออกจากปากอีกหลังจากนั้น ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะอยู่ในสถานการณ์แบบนี้..

ไม่มีความคิดอะไรในหัวเลยแม้แต่น้อย

มันว่างเปล่า เป็นความกลวงที่ขยายตัวยิ่งใหญ่ แค่เพราะนึกถึงเรื่องที่ผมกำลังพบเจออยู่ …

ถึงจะโดนมองด้วยสายตาแบบนั้น แต่ไม่มีความหวาดกลัวอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น

ไม่มีความรู้สึกเชิงนั้นเลยสักนิด

สิ่งเดียวที่ผมรู้สึกในตอนนี้.. คือความวิตกกังวลเล็กๆ

ใบหน้าพยักขึ้นลงแทนการรับรู้อย่างเป็นทางการ ผมขยับตัวลงจากเตียง ผละตัวเองออกจากมือของเดฟ สองขาหย่อนลงข้างเตียง สัมผัสปลายเท้าเข้ากับพื้นแข็งๆ

รับรู้ถึงสายตาที่มองตามมา

ก่อนที่เราจะต่างคนต่างแต่งตัวให้ตัวเอง ผมทำทุกอย่างไปด้วยใบหน้านิ่งเฉย ไม่แสดงความกังวลหรือความคิดในหัวตัวเองออกมาให้เดฟรับรู้ด้วย

เสียงรูดซิปกางเกงดังขึ้นเป็นเสียงสุดท้าย ผมขยับตรงไปที่บานประตู ก่อนที่ทั้งร่างจะหยุดชะงักเพราะฝ่ามือที่คว้าจับเข้าที่สะโพก

“ไม่เป็นไรนะ” เขาพูด เพราะสายตาจับจ้องอยู่ที่ประตู ผมถึงไม่รู้ว่าเขาพูดมันออกมาด้วยสีหน้าแบบไหน “ไม่มีอะไรหรอก”

แล้วผมก็หันกลับไป เส้นผมที่ตกลงมาปรกหน้าถูกปัดเบาๆ จากปลายนิ้วเรียวยาว ผมช้อนตาขึ้นมองสบ ก่อนที่เดฟจะโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้

จูบเอาอกเอาใจแตะประทับเข้าที่ริมฝีปาก

“นายอยู่กับฉัน เป็นคนสำคัญ.. เธอจะเข้าใจ” ปลายนิ้วแตะประคองเข้าที่กรอบหน้า ไล้ลงจนหยุดอยู่ตรงสันกราม

ผมวูบไหวกับคำพูดที่ได้ยิน ความร้อนไล่ลามเข้าที่ช่วงแก้ม

เดฟเลิกข้างหนึ่งขึ้นสูง สีหน้าพึงพอใจตอนที่ได้เห็นท่าทางที่ผมเก็บไว้หลุดออกมา

“เขินเหรอ.. จูบเมื่อกี้น่ะ”

สุดท้ายแล้วคนที่น่าจะรู้ดีที่สุดก็น่าจะเป็นคนที่ถามมันออกมา

.. สิ่งที่มีผลกับผม ไม่ใช่การสัมผัสกันทางร่างกาย

แต่เป็นคำพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเมื่อครู่ต่างหาก คำพูดจริงจังที่ค่อยๆ แทรกตัวตนผ่านกำแพงที่ผมตั้งไว้เข้ามา

ตอกย้ำให้ผมรับรู้ลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่ผิวเผินเหมือนที่ผ่านมา



____
#เดฟฟลอยด์

1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.19 Dancin' With Mr. Gray (28/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 28-01-2017 18:51:20
+เป็ดค่ะ
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.19 Dancin' With Mr. Gray (28/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 28-01-2017 20:06:25
เดฟ คนจริง ทำให้ฟลอยด์ เข้มแข็ง มั่นใจ
“นายอยู่กับฉัน เป็นคนสำคัญ.. เธอจะเข้าใจ”
ทำถูกต้องแล้วเดฟ ดีมาก  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ที่ให้ความมั่นใจกับฟลอยด์
เพราะฟลอยด์ตัวคนเดียว ต้องไม่มั่นใจ ว้าเหว่ แน่ๆ  :mew2:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.19 Dancin' With Mr. Gray (28/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 28-01-2017 21:22:40
รู้สึกถึงความว่างเปล่า
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.19 Dancin' With Mr. Gray (28/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: dekzappp ที่ 28-01-2017 21:27:32
ทำไมเดฟเท่ขนาดนี้!!!! พ่อคุณ นอกจากจะดิบเถื่อนเซ็กซี่แล้วยังมั่นคงจริงใจ

ฮือออออิจฉาฟลอยด์ได้มะ
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.19 Dancin' With Mr. Gray (28/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 28-01-2017 21:40:37
เดฟหนักแน่นดีจริงๆ ทำแล้วดีทำแล้วเท่ทำต่อไปปป55555
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.13 Strange Brew (25/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 29-01-2017 20:44:17
เป็นนิยายเรื่องแรกเลยมั้งครับ ที่ตัวเอกเคยทำเรื่องไม่ดีมาก่อน แล้วมีความคิดที่เป็น consciousness ที่ดี ปกติหายากมากนะครับที่จะมีแนวแบบนี้ออกมา นิยายส่วนมากจะทำให้พอตัวเอกมีพื้นของการค้าประเวณี แล้วก็จะบ้าเซ็กซ์บ้ากามอะไรไปตามเรื่อง หรือไม่ก็คือใช้ตัวเข้าแลกเพื่อทำนู้นนี่นั่นไปเรื่อยๆ ซึ่งมันไม่ได้สะท้อนถึงค่านิยมของการรักษาคุณค่าของจิตใจตัวเอง ไม่ได้เป็นการดึงจิตสำนึกที่ดีและสร้างระบบการคิดที่สมจริงออกมา

แต่เจนีนไม่ใช่ทั้งหมดนั่น สารภาพตอนแรกเลยครับว่าพออ่านเจอว่าเจนีนเคยค้าประเวณีมาก่อนนี่ผมแบบ เรื่องนี้จะออกแนวกามๆอีกเรื่องรึเปล่าวะเนี่ย แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ เจนีนเป็นตัวอย่างที่ดีของมนุษย์ที่ทำเรื่องเลวร้ายไม่ใช่เพราะอยากจะทำ แต่เพราะเขาถูกบีบให้ทำเพื่อความอยู่รอด และเขาเองเมื่อทำแล้ว 'ก็ไม่ได้เสพติดหรือหลงมัวเมา' กับสิ่งนั้นๆ เขาไม่ได้ชอบเซ็กซ์ เขาทำเพราะต้องดูแลแม่และเขาไม่ได้มีโอกาสที่ดีอย่างอื่น เมื่อไม่มีแม่แล้ว เจนีนเองก็พยายามหนีออกจากวังวนนี้อย่างสุดกำลัง ทำอะไรก็ได้ที่จะไม่ลดคุณค่าของเขาลง เขายอมที่จะได้เงินน้อยลง แต่มีคุณค่าของจิตใจตัวเองมากขึ้น เขาไม่ยอมที่จะพึ่งพิงคนอื่นที่อาจจะเรียกค่าตอบแทนเป็นร่างกายของเขา เขาต้องการที่จะยืนหยัดด้วยตัวเอง นี่เป็นข้อคิดเชิงค่านิยมสังคมที่ดีมากๆ และควรสะท้อนให้เยาวชนอ่านและซึมซับครับ

สังเกตว่าเจนีนมีความคิดที่ต่อต้านการค้าประเวณีทุกครั้ง เขาเกลียดการทำแบบนี้ เขารู้ว่าการทำแบบนี้ผิด และเขาก็ 'ไม่ยินดี' รวมถึงถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ไม่ยินยอมที่จะทำ (ขัดกับหลายๆตัวละครที่เรามักจะเห็น ปากบอกไม่ดีๆไม่ทำๆ แต่พฤติกรรมทั้งเรื่องคุณมีเซ็กซ์มากกว่า 4-5 บทหรือแม้กระทั่งยอมไปพึ่งคนอื่นที่สุดท้ายก็มาจบที่เซ็กซ์ ทำให้นี่มันก็คงไม่สอดคล้องกับสิ่งที่คุณพูดน่ะนะ)

สิ่งที่ต้องพูดต่อมาก็คือตัวพระ ตัวพระเรื่องนี้โดดเด่นครับ ในแง่บุคลิกนะ ไม่ใช่ในแง่รูปลักษณ์ ถ้าเราพิจารณาว่านิยายเรื่องนี้มีพื้นหลังของชีวิตตัวละครเป็นสีเทาจนเกือบดำกันแทบทุกคน ถ้าเป็นนิยายพื้นหลังประเภทนี้ ส่วนมากจะเมนไปโฟกัสที่พระเอกหล่อล่ำรวย นางเอกอยากทำดี บลาๆ สุดท้ายพระเอกก็ปู้ยี่ปู้ยำและรักกัน(?) พระเอกเป็นเพอร์เฟกต์แมนที่ทำเรื่องติดกิเลสได้ทุกอย่าง โนสนโนแคร์ความรู้สึก แต่สักพักก็จะรักกันด้วยความดีของนางเอก(??) นี่เป็นพล็อตนิยมครับ

แต่เดฟไม่ใช่ ในแง่รูปลักษณ์ เขาตรงกับข้างบนเกือบหมดเลยครับ แต่ในแง่นิสัย เดฟแตกต่างมาก เขารู้ว่าเจนีนรู้สึกกับจิตใจของตัวเองยังไง แล้วก็เคารพกับความรู้สึกนั้น เดฟให้เกียรติเจนีนในฐานะมนุษย์คนนึงที่ควรได้รับโอกาสที่สอง มันเป็นบุคลิกที่โดดเด่นมาก แล้วพอมันแสดงออกเป็นพฤติกรรม มันก็ยิ่งทำให้ตัวละครนี้มีความแปลกใหม่และน่าชื่นชมพอๆกับตัวนางมากขึ้นไปอีก

สรุปแล้วคือคาแรกเตอร์ของเรื่องนี้มี 'นัยยะของความดี' แฝงอยู่ได้อย่างดีมาก ไม่ใช่ความดีที่เราพบเห็นทั่วๆไป แต่เป็นเรื่องของจิตสำนึกที่พยายามเข้มแข็ง การให้เกียรติคนที่เคยทำเรื่องไม่ดีและพยายามแก้ไข แค่นี้ก็ทำให้ผมแทบจะเรียกว่าเรื่องนี้เป็นนิยายที่ดีมากๆเรื่องนึงแล้วครับ

นี่ยังไม่นับการบรรยายที่ลื่นไหล การเล่าเรื่องที่ให้โทนเหมือนดูหนังต่างประเทศแนวดาร์คปนสืบสวนอยู่ เรื่องผมคิดว่าเน้นเรื่องบทพูดกับเรื่องความรู้สึกของเจนีน สิ่งที่เขาเห็น สิ่งที่เขาคิด สิ่งที่เขารู้สึก แค่นี้มันก็มีเสน่ห์มากพอในระดับหนึ่งแล้วโดยไม่ต้องมีการบรรยายองค์ประกอบเพิ่มเติม การใช้ภาษาก็ถือว่าดีเลยครับ น่าติดตามอ่านต่อมาก

ที่ควรระวังนิดหนึ่งคือต้องเลือกว่าจะให้ปมไหนเด่นกว่ากัน ปมความรู้สึกของตัวละครที่จะค่อยๆมีการพัฒนา หรือจะเล่นปมใหญ่ของสังคมในเมืองประหลาดๆนี้ ส่วนตัวผมคิดว่าเน้นปมแรกให้เด่นกว่าจะดี เพราะตัวคาแรกเตอร์แน่นมาก มีมิติที่เด่นมากพอจะทำให้เห็นตอนจบของปมความรู้สึกแล้วสามารถทำให้ผู้อ่านจบแบบ 'อิ่ม' ได้โดยไม่ค้างคา และเราไม่จำเป็นต้องไปโฟกัสเรื่องปมใหญ่ของสังคมด้วยซ้ำครับ แต่อาจจะต้องมีการสอดแทรกเพื่อรู้ความเป็นไปของสองคนนี้ในอนาคตหน่อยเพื่อทำให้โทนเรื่องจบได้อย่างลื่นไหล


ใช่เลยค่ะ เห็นด้วยมากๆ นิยายเรื่องนี้ดีจริงๆ อ่านรวดเดียว 19 ตอน โคตรสนุก หยุดอ่านไม่ได้ วางไม่ลง รอตอนต่อไปใจจดจ่อค่ะ
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.19 Dancin' With Mr. Gray (28/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 29-01-2017 22:08:53
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.19 Dancin' With Mr. Gray (28/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 30-01-2017 00:39:20
พระเอกดีเกิ๊นตอนนี้
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.20 Unnatural Space (04/02/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mecinzano505 ที่ 04-02-2017 17:19:49

20_
Unnatural Space






โต๊ะไม้บริเวณชั้นสอง.. การสบตา.. ความเงียบ และสายตาที่มองมาอย่างพิจารณา

ผมขยับตัวเล็กน้อย ได้ยินเสียงจุดไฟดังมาจากเดฟที่นั่งข้างๆ เขาเอนหลังพิงเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายๆ ก่อนที่ไฟแช็กสีแดงเข้มจะถูกโยนลวกๆ ลงบนโต๊ะ

“มีอะไรก็รีบพูดเถอะน่า..” เดฟพึมพำขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย ดวงตาเหลือบมองผมที่ยังเอาแต่นั่งนิ่ง “อย่าไปกดดันเขานักเลย”

ดาเบรียยักไหล่เบาๆ ก่อนที่ปลายนิ้วจะยกขึ้นกรีดไล่เส้นผมตัวเอง ก็ดูเป็นท่าทางที่ดูมีเสน่ห์ดี ถึงแม้เจ้าตัวจะไม่ได้ตั้งใจให้มันมีความหมายอะไรก็ตาม

“เป็นใครมาจากไหนล่ะ” ดาเบรียถาม ผละมือออกจากผมแล้วหยิบซองบุหรี่ขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง เสียงไฟแช็กดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะเงียบลง

“เนวาด้า” ผมตอบกลับไปสั้นๆ พลางแอบลอบมองท่าทางของคนข้างตัว ผมไม่รู้ว่าเดฟรู้หรือยัง เรื่องสถานที่ที่ผมจากมา

แต่ท่าทางนิ่งเงียบและสูบบุหรี่ต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ทำให้ผมคลายวิตกทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ลง

ต่อให้รู้ว่ามาจากที่ไหน ก็คงไม่สำคัญอะไรแล้ว

เขารู้จักผม.. ในแบบที่ผมเป็นจริงๆ ถึงจะไม่ทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็รู้ว่าเคยทำอะไรมา

“เนวาด้า” ดาเบรียทวนคำตอบ ใบหน้ากดต่ำพร้อมกับดวงตาที่ช้อนจ้องผมเขม็ง แล้วก็ทำให้ผมผิดคาดด้วยการเลิกถามเรื่องนั้นไปดื้อๆ ราวกับไม่ได้สนใจอะไรมากนัก

“ตั้งแต่เมื่อไหร่” เธอหยุดพูด บุหรี่มวนยาวถูกยกชิดริมฝีปาก “อยู่ด้วยกันตั้งแต่เมื่อไหร่”

ผมนิ่งไปกับคำถาม เพราะสมองกำลังพยายามนึกย้อนและนับออกมาเป็นคำตอบ แต่แล้วดาเบรียก็พูดขัดขึ้นอีกครั้ง

“ไม่สำคัญหรอก” เธอนิ่วหน้า ดวงตาคมดุตวัดมองเดฟที่นั่งเงียบอยู่ข้างผม “ร้อนรนมากนักหรือไง กับอีแค่ชวนคุยไม่กี่ประโยค”

ผมเหลือบตามองเดฟทันที

ไม่มีอะไรเลยที่ใกล้เคียงกับคำว่าร้อนรนที่เพิ่งได้ยิน.. เขานิ่งโดยสมบูรณ์แบบ ดวงตาเบนกลับมาสบกับผม พร้อมกับคิ้วที่ยกขึ้นสูง

“ชื่ออะไร.. นายน่ะ” เธอหันกลับมาคุยกับผมอีกครั้ง

“ฟลอยด์ครับ”

“ฟลอยด์” ดาเบรียพยักหน้า ใบหน้านิ่งเรียบเริ่มให้บรรยากาศที่ดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูก ทั้งๆ ที่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนัก “ฉันก็ถามไปอย่างนั้น.. ที่เข้าใจนายผิดไปตอนแรก ก็ขอโทษด้วย”

“ไม่เป็นไร” ผมตอบกลับไปง่ายๆ มองเห็นรอยยิ้มเล็กๆ จุดติดที่มุมปากสวย

“ดูๆ ไปก็หน้าตาดีใช้ได้” เธอเกริ่นชม ก่อนจะเท้าศอกเข้ากับโต๊ะแล้วเพ่งมองหน้าผม “น่าจะไปมีอนาคตที่ดีได้กว่านี้”

ผมเงียบ ได้แต่ยิ้มจางๆ กลับไปเพราะไม่รู้จะตอบว่าอะไร

กับเดฟที่หลุดสบถเบาๆ พลางหยิบบุหรี่มวนใหม่ขึ้นมาสูบ

“ฉันก็ประหลาดใจ ที่เขาเอานายมาที่นี่ ปรกติถ้าเป็นคนนอก..” ริมฝีปากสีเข้มหยุดไปราวกับเล่นจังหวะ “ก็น่าจะพาไปที่โรงแรม”

“หุบปากน่ะ พระเจ้า” เดฟสบถทั้งๆ ที่คาบบุหรี่ไว้ในปาก

ดาเบรียหลุดยิ้ม ก่อนที่ร่างโปร่งจะยืดขึ้นยืนเต็มความสูง ปลายนิ้วเรียวยาวกดบุหรี่ลงกับโต๊ะ ขณะที่ผมกับเดฟขยับยืนตาม

“ดูแลเขาให้ดีๆ ก็แล้วกัน.. พวกโสเภณีกับเด็กใจแตกในเมืองนี้อยากได้ผู้ชายคนนี้จนตัวสั่น” ประโยคที่ได้ยินชะงักเท้าผมให้หยุดอยู่กับที่ ดาเบรียกระตุกยิ้มเล็กๆ ดวงตาฉายประกายประหลาดตอนเห็นเดฟแสดงท่าทางหัวเสียออกมา

“รีบร่ำลาซะ เราต้องไปธุระกัน ฉันจะรอข้างล่าง” เสียงผู้หญิงทุ้มๆ ติดแหบออกคำสั่ง ขณะที่ดวงตาสีเข้มเหลือบมองผม “ยินดีที่ได้รู้จัก”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ผมกะพริบตา พยายามเก็บซ่อนทุกอย่างไว้ใต้ใบหน้าเรียบเฉย สบตากับเดฟเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ผมจะตัดสินใจเดินกลับเข้าห้องโดยไม่รอฟังคำพูดอะไรเพิ่ม

แต่เสียงฝีเท้าแปลกปลอมที่ดังไล่หลังทำให้ผมรู้ว่าอีกฝ่ายเดินตามเข้ามาด้วย เสียงประตูปิดลง ผมสูดลมหายใจลึก รับรู้ได้ถึงสายตาที่จ้องมองมา

ผมยกมือปิดปาก เท้าเดินนำไปข้างหน้า เพื่อหลีกทางให้เจ้าของห้อง.. เห็นภาพเคลื่อนไหวอยู่ปลายสายตา ว่าเดฟเดินนำไปนั่งที่เตียง ก่อนที่ร่างของผมจะถูกกระตุกเข้าหาจนเกือบเสียหลัก

แรงฝืนเล็กๆ เกิดขึ้นจากร่างกาย ยังปักหลักยืนนิ่งอยู่ตรงกลางระหว่างขาภายใต้กางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้ม วงแขนของเดฟสอดโอบช่วงสะโพก พร้อมกับกระชับให้ผมขยับเข้าใกล้มากกว่าเดิม

“เป็นอะไร” เขาถาม ผมหลุบตามองแพขนตาและดวงตาสีเข้มที่มองมาอย่างรอคอย

“ไม่.. ผมแค่” ผมนิ่วหน้า ความรู้สึกลำบากใจวิ่งปราดเข้าร่าง

“ฉันอยากให้นายพูดนะ.. พูดออกมาว่าคิดอะไรอยู่” ใบหน้าเข้มขยับเข้าใกล้ ก่อนที่ปลายจมูกและริมฝีปากจะกดแนบเข้ากับหน้าท้องของผม ลมหายใจอุ่นร้อนที่ทะลุผ่านเนื้อผ้าทำให้เผลอเกร็งตัว

ปลายนิ้วจิกขยำเสื้อตรงลาดไหล่อีกฝ่ายเบาๆ

“ ผมแค่” ผมเลื่อนสายตาขึ้นมอง จ้องตรงผ่านอากาศไปหยุดที่วอลเปเปอร์บนผนังอีกฝั่ง “รู้สึกไม่ค่อยดี.. จากคำบางคำ”

ผมรู้ว่าเขารู้ ว่าผมหมายความถึงคำไหน

เดฟผละใบหน้าออก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง “ฉันไม่อยากให้นายคิดมากเรื่องนี้อีก เธอไม่ได้หมายถึงนาย นายไม่ใช่พวกนั้นแล้วในตอนนี้ นายคือฟลอยด์.. ฟลอยด์ ที่ทำงานอยู่ก้นครัวที่สกปรกแล้วก็เสียงดังไง”

ผมไม่ตอบ ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน พร้อมกับหัวคิ้วที่ขมวดมุ่น

ถึงจะรู้ว่าไม่ต้องคิดมาก.. แต่มันก็เป็นความเคยชินไปเสียแล้ว

คำบางคำ กลายเป็นคำต้องห้ามที่ทำให้รู้สึกไม่ดี ถึงแม้ว่าตอนนี้เราจะไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับมันก็ตาม

แต่ความผิดบาปที่เกิดขึ้นแล้วในชีวิต ตอกย้ำซ้ำๆ ลงไปบนจิตสำนึกและความทรงจำ

ย้ำเตือนว่าผมเคยกระทำอะไรลงไป

“ก็แค่..” ผมจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ความขุ่นมัวในภาพการมองเห็นก็หยุดทุกอย่างลง เดฟนิ่งไปเกือบนาที เช่นเดียวกันกับผมที่จิกปลายเล็บเข้าที่เสื้ออีกฝ่ายแน่น

แล้วทั้งร่างก็ถูกเหวี่ยงลงแรงๆ ในจังหวะที่เผลอไผล ผมปิดเปลือกตาแน่นตามกลไกร่างกาย ก่อนจะเหลือบลืมขึ้นอีกครั้งแล้วมองเห็นใบหน้าของเดฟในระยะใกล้

ร่างสูงใหญ่คร่อมทับชิดร่างของผม

“นายไม่ใช่คนพวกนั้นอีกต่อไปแล้ว” เขาย้ำ กดปลายจมูกเข้าที่ขมับแล้วชะงักค้างไว้ “แล้วตอนแรก นายก็ดูไม่ได้อยากได้ฉันด้วยนี่ ออกแนวจะเป็นวิ่งหนีด้วยซ้ำถ้าจำไม่ผิด”

ผมสบตากับอีกฝ่าย ทั้งๆ ที่ใบหน้านิ่งเฉย แต่กลับจับสัญญาณแปลกประหลาดที่เต้นรัวในช่องอกได้ชัดเจน

แล้วเดฟก็ผละใบหน้าออกไป ก่อนพยายามจะเขย่าทุกอย่างให้พังเละอีกครั้งด้วยการเผยรอยยิ้มออกมา ดวงตาหรี่ลงคล้ายกับจะจับผิด ฝ่ามืออุ่นไล่บีบช่วงเอว เค้นไล่สัมผัสหนักๆ ลงต่ำเรื่อยผ่านสะโพกและต้นขา

หัวใจของผมเต้นแรง พร้อมกับใบหน้าที่เผลอเบือนหนีอย่างพ่ายแพ้

“เอ๊ะ.. หรือว่าอยากได้กันแน่นะ”









“เขาเป็นคนยังไง” ผมถามเกริ่น สบตากับกันเตอร์ที่ชะงักมือที่กำลังเช็ดแก้วไป ก่อนจะหลุบตาลงมองฝ่ามือตัวเองบนเคาน์เตอร์ “เดฟน่ะ”

เพราะว่าตอนนี้ทุกคนออกไปกันเกือบหมด ทั้งคลับจึงเหลือแค่ผม กันเตอร์ กับผู้ชายคนเดิมที่ถูกใช้ให้เฝ้าคลับ และลูกค้าสูงอายุประปรายที่นั่งรวมกลุ่มกันอยู่ตรงมุมคลับ พูดคุยเรื่อยเฉื่อยสลับเสียงหัวเราะที่ปล่อยออกมาให้ได้ยินเป็นบางที

“ฉันนึกว่านายจะรู้เรื่องนั้นดีกว่าฉัน” กันเตอร์ตอบพร้อมกับคิ้วที่เลิกขึ้นสูง แก้วใบใสถูกวางลงอย่างบรรจงลงบนชั้น ก่อนที่เขาจะเหวี่ยงผ้าเช็ดลงกับโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจ

“ทำไมไม่ไปถามแอช ไม่ก็ดาเบรีย.. สองคนนั้นรู้เรื่องนี้ดีกว่าทุกคนในคลับรวมกันเสียอีก”

ผมโคลงหัวเบาๆ ไม่เชิงเห็นด้วยกับคำพูดนั้น แต่ก็ไม่ได้ขัดอะไรออกไป

“แค่ลองพูดในมุมของคุณดูก็ได้” ได้ยินเสียงหลุดหัวเราะมาจากผู้ชายแก็งค์ที่นั่งอยู่ถัดไปสามเก้าอี้ เขาชื่อว่าแรม เป็นลูกชายของผู้ชายร่างท้วมใหญ่ที่ชื่อว่าแซม ผู้ชายที่คาดที่ปิดตาเอาไว้ข้างหนึ่งเหมือนกับพวกโจรสลัดในหนัง

“ถ้ามองในมุมเรา…” เขาเกริ่น ดวงตาเหลือบมองกันเตอร์ พร้อมกับสีหน้าเหมือนรู้กัน “เขาก็เป็นเหมือนพระเจ้านั่นแหละ ดูแลและให้ทุกอย่างที่พวกเราต้องการ เพียงแค่ร้องขอ”

“นายนอนห้องเดียวกับเขาไม่ใช่หรือไงล่ะ ทำไมพวกเราจะไปรู้จักเขาดีกว่านายกัน” แรมถาม พร้อมกับมุมปากที่กระตุกยิ้มเล็กๆ ขัดกับดวงตาที่นิ่งสนิท

“เดฟเป็นคนดี” กันเตอร์ที่เงียบไปนานพูดขึ้นบ้าง เสียงพูดนั้นดึงสายตาของแรมให้ผละออกจากผมไป “ไม่เคยดูถูกใครสักคนในเมืองนี้ ให้เกียรติผู้หญิงและเดินตามลำดับอาวุโสอย่างเคร่งครัด.. ผู้หญิงในทีนี้ ฉันหมายถึงผู้หญิงทุกคน นายเข้าใจใช่ไหม ทุกคนไม่เว้นแม้กระทั่งโสเภณีที่คนในแก็งค์ชอบพามาที่นี่ หรือสาวโพลแดนซ์ที่เต้นรูดเสาตามไนท์คลับ”

ผมรับฟังด้วยท่าทางสงบ นึกย้อนถึงคำพูดของดาเบรียที่เพิ่งได้ยินไป

‘ดูแลเขาให้ดีๆ ก็แล้วกัน.. พวกโสเภณีกับเด็กใจแตกในเมืองนี้อยากได้ผู้ชายคนนี้จนตัวสั่น’

นั่นอาจจะไม่ใช่คำพูดที่เกินจริงมากนัก ..

“โอลินเคยเกือบโดนเขาล่อตาย เพราะแค่ตบหน้าโสเภณีที่หิ้วมาได้จากข้างทาง มีปากเสียงกันในตอนเช้าที่ชั้นสอง สภาพดูไม่ได้เลยล่ะ ขนาดได้ชื่อว่าเป็นหลานของเดฟแท้ๆ” แรมเล่าด้วยโทนเสียงเรียบเฉย ปลายนิ้วเรียวยาวไล้ผ่านแก้วเหล้า ก่อนจะยกขึ้นกระดกลงลำคอ

กันเตอร์แต้มยิ้มเล็กๆ บนริมฝีปาก “ก็เพราะได้ชื่อว่าเป็นหลานไง ถึงได้โดนหนักมากถึงขนาดนั้น.. นายก็ระวังตัวเอาไว้ เขาค่อนข้างเซนซิทีฟกับเรื่องแบบนี้ ตอนนั้นนายอาจจะเด็กเกินกว่าจะรับรู้เรื่องราว แต่ถ้านายจำเพื่อนสนิทของเขาได้..”

“น้านาเดีย ผมต้องจำได้แน่นอนอยู่แล้ว” แรมเปรยเสียงเบา ก่อนที่ความเงียบจะเข้าปกคลุม กันเตอร์แค่พยักหน้ารับเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ประเด็นนั้นจะถูกจบลงราวกับเขาทั้งคู่ไม่ต้องการเอ่ยถึง

ผมรับฟัง สิ่งที่หลุดลอยมาให้รับรู้ จดจำและเก็บเอาไว้ในสมอง รู้เท่าที่พวกเขาอนุญาตให้รู้ การไม่กระเหี้ยนกระหือรือและแสดงออกจนเกินพอดีเป็นสิ่งที่ควรพึงกระทำ

แรมหยุดคุยกับผมไป แต่ก็ปล่อยให้ผมนั่งฟังเรื่องที่เขาคุยกับกันเตอร์โดยไม่ได้ออกปากไล่ ผมได้รู้อะไรหลายๆ อย่างมากขึ้นเกี่ยวกับเขาคนนี้

อายุเพิ่งจะ 19 ลาออกจากโรงเรียนเพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไป และเพราะว่าพ่อของเขานับถือกับเดฟเหมือนพี่น้อง เขาถึงจัดตัวเองเป็นหนึ่งในหลานของเดฟด้วยความยินดี พอตกเย็น ผู้หญิงท่าทางแรงจัดในชุดน้อยชิ้นก็เดินนวยนาดเข้ามาหาอีกฝ่ายถึงบาร์ กอดกระซิบอะไรบางอย่างใส่กัน ก่อนที่เขาทั้งคู่จะลุกออกไป

เดฟกำลังจะกลับมา..

กันเตอร์บอกแบบนั้น ผมพยักหน้า และเหลือบตามองนาฬิกาสีที่ผนัง เข็มเวลาเคลื่อนที่ไปข้างหน้าช้าๆ กับผมที่เริ่มรู้สึกกระวนกระวาย

ราวกับร่างกายกำลังรอคอย

ใบหน้าของเดฟเจือจางอยู่ในการมองเห็น ผมขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ โน้มตัวไปข้างหน้า กดศีรษะลงบนท่อนแขนที่วางนิ่งอยู่บนเคาน์เตอร์ ดวงตากะพริบเป็นระยะ

ความอยากพูดคุย อยากพบหน้า อยากได้ยินเสียง


ผมทำอะไรกับมันไม่ได้เลย นอกจากปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งอยู่กับหลุมที่นับวันจะยิ่งลึกและกว้างขึ้นเรื่อยๆ


tobecon.

____
#เดฟฟลอยด์

1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.20 Unnatural Space (04/02/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 04-02-2017 18:15:26
มาแล้วววเย้   :hao7:
ฟลอยด์เริ่มรู้สึกกับเดฟมากขึ้น
แล้วใช่ม้ายย มีคิดทงคิดถึงดั้วว งิิงิ
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.20 Unnatural Space (04/02/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 04-02-2017 18:46:16
โอ้.....เดฟ เป็นที่ต้องการของโสเภณี
และเด็กใจแตกทุกคนในเมือง
เพราะเดฟ เท่ ดูเป็นผู้นำ
ให้เกียรติผู้หญิง ปกป้อง ดูแลทุกคนได้
ก็ไม่แปลกที่ฟลอยด์จะตกหลุมเสน่ห์
หลงรักเดฟเหมือนคนอื่นๆ
แต่เดฟ เลือกฟลอยด์ เป็นคนสำคัญก่อนเลยนะ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.20 Unnatural Space (04/02/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 04-02-2017 20:12:48
หลังจากที่เดฟป่วยเป็นโรคเจนินลิซึมแล้ว เจนินก็กำลังจะป่วยเป็นโรคเดฟลิซึมด้วยสิน้าาา~~ :hao7:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.20 Unnatural Space (04/02/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Aimiya ที่ 04-02-2017 20:15:18
ชอบเดฟมากๆ อยากให้ฟลอยด์หลุดพ้นกับอดีตได้ มั่นใจในความรักของเดฟเถอะนะ เรากลัวใจฟลอยด์><
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.20 Unnatural Space (04/02/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Minerey ที่ 05-02-2017 01:56:25
อ้ากกกกกก ชอบบรรยากาศเรื่องนี้มากค่ะ อึมครึมๆ อ่านรวดเดียวไม่หลับไม่นอนกันเลยทีเดียว55555
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.20 Unnatural Space (04/02/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: kiolkiol ที่ 05-02-2017 17:09:20
ออกแนวหน่วงๆ มันเป็นความรักที่ไม่ถึงกับสุขเป้นความทุกที่ไม่ถึงกับเศร้า
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.20 Unnatural Space (04/02/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: skyberry ที่ 05-02-2017 21:57:14
ตอนที่เจนินเข้ามาในเมืองนี้ ทำให้นึกถึงบรรยากาศชั่นเรื่องFrom Dusk Till Dawn เพราะคิดว่าจะแฟนตาซี มีสัตว์ประหลาด งู ผีดูดเลือด 5555555555 เด่อไปอี๊กกกกก
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.0 Yesterday's Pain (20/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 18-02-2017 23:29:18
ตามมาจากแอชเรย์
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.5 Evictions On The Door (22/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 19-02-2017 01:41:01
ที่แท้ฟลอยด์ชื่อจริงๆคือเจนินสินะ ว่าแต่เดฟถูกชะตาจริงดิ :z1: แล้วใครเนี่ยมาเคาะประตู แอช? หรือคนที่อู่ซ่อมรถคนนั้น? ใครอ่ะ ครายยย :serius2:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.7 Lean On Me (22/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 19-02-2017 01:54:11
พวกไรอันสินะ  :fire: เดฟต้องจัดการมันนะ  :katai1: ต่อจากนี้เรื่องราวคงบู๊น่าดู อ้อ เดฟสินะเป็นคนไปเผาที่เก็บซ่อนยาของไรอัน
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.10 Foxy Walk (23/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 19-02-2017 02:24:30
โง้ยยยยย เจนินลูกกก เดฟเขาหมายถึงความรัก หมายถึงหัวใจงี้เปล่า  :katai1: เข้าใจกันไปคนละทางเลย
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.12 Buried Alive In The Blues (24/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 19-02-2017 03:03:21
หวังว่าในครั้งต่อไป เจนินคงไม่คิดมากกับชื่อดาเบรีย
และเทรซคงไม่ใช่ตัวก่อเรื่องในวันข้างหน้า
หรือแม้แต่ผช.ที่อยู่ในเดอะรูซคนนั้นหรอกนะ

 :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.13 Strange Brew (25/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 19-02-2017 04:19:02
ช่วยเพราะอยากได้อะไรตอบแทน.....

อย่างเช่นโจตอนนี้อ่ะหรอ คิดอะไรอยู่อ่ะโจ หืมมม

และก็ฟลอยด์ลืมอะไรหรือเปล่า ยังไม่ได้บอกเดฟเลยนะ ว่ามาที่นี่กับโจอ่ะ

ป.ล. หวังว่าไทเลอร์คงไม่มาทำอะไรฟลอยด์หรอกนะ

นีย่า หล่อนคงไม่นำความเดือดร้อนมาให้ฟลอยด์หรอกนะ

หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.20 Unnatural Space (04/02/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 19-02-2017 06:05:44
ขอบคุณนะคะ รออ่านตอนต่อไปนะคะ
กลัวจะมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นมาอีก :hao5:  :hao4:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.20 Unnatural Space (04/02/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 19-02-2017 11:12:43
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.20 Unnatural Space (04/02/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: jejiiee ที่ 20-02-2017 13:52:28
นิยายเรื่องนี้เราพลาดไปได้ยังไงกัน!!!!!! ตอนนี้เราอ่านในโทรศัพท์พิมพ์ไม่สะดวกเลย ตอนหน้าจะคอมเม้นจุใจไปข้างให้เหมือนกับที่นักเขียนะพิมพ์ยาวสะใจ ขนาดนี้นะคะ รอติดตามค่ะะ
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.20 Unnatural Space (04/02/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 22-02-2017 18:30:20
สนุกมาก  มาต่อไวๆนะ  ชอบบรรยากาศในเรื่องอึมครึมดี

เดฟโคตรเท่ห์  พระเอกในฝันเลย
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.21 Death of a Party (23/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mecinzano505 ที่ 23-03-2017 23:04:15

21_
Death of a Party






เสียงคลื่นกระทบเข้าฝั่งดังเข้าใบหู ผมเพ่งฝ่าความมืดสลัวไป จับจ้องทะเลและหาดทรายที่ทอดตัวยาวอยู่ตรงหน้า

ผมกะพริบตา รับกลิ่นที่ไม่คุ้นเคยผ่านปลายจมูก ความเย็นชื้นไล่ลามเข้าที่ลำคอ

เสียงเครื่องยนต์ฮาร์เลย์ที่ดังลั่นมาตลอดทางค่อยๆ แผ่วลงจนนิ่งสนิท หยุดห่างออกจากทางเดินลงหาดแค่ไม่ถึงห้าก้าวเท่านั้น

“นึกขึ้นได้ ว่านายยังไม่เคยมาที่นี่”

เดฟเกริ่นขณะขยับตัวลงจากรถ ดวงตาสีเข้มหลิ่วมองผมชั่วพริบตา ก่อนเขาจะย่นจมูกเบาๆ เมื่อได้ยินประโยคที่ผมพูด

“ก็คุณเป็นคนพูดเอง ว่าผมไม่ควรมา” ผมแสร้งทำหน้านิ่ง “อาจจะโดนคนเมายาลากไปทำอะไรก็ได้”

เดฟหลุดยิ้มกว้าง ใบหน้าขยับส่ายไปมา

“อะไร” ผมถาม จ้องมองอีกฝ่ายไม่กะพริบ “คุณพูดแบบนั้นจริงๆ นี่”

“แล้วกลัวหรือเปล่า” เขาเลิกคิ้ว ดวงตาหรี่เล็กลงเมื่อผมเริ่มส่ายหน้าช้าๆ

“คุณอยากได้ยินคำตอบแบบไหน” ผมช้อนตาขึ้นสบ รับรู้ถึงท่อนแขนที่เบียดเข้ากับช่วงลำตัวอย่างจงใจ ดูเหมือนว่านี่จะเป็นสิ่งที่เดฟชอบทำ

กักตัวผมไว้ในวงแขน.. สร้างความรู้สึกเสียเปรียบและพ่ายแพ้ให้โดยไม่ได้ร้องขอ

“คำตอบแบบไหนก็ได้..” เขาทอดเสียงอ่อน ขัดกับดวงตาที่ชวนให้รู้วูบโหวงในช่องท้อง “ที่ฉันมีส่วนได้ส่วนเสียในนั้น”

ผมหลุดหัวเราะ ใบหน้าแหงนขึ้นสูง ลมทะเลที่พัดจนเส้นผมปลิวแทบไม่ได้แตะส่วนอื่นของร่างกายผมเลยแม้แต่น้อย ร่างสูงที่เบียดชิดอยู่เหมือนปิดกั้นผมออกจากทุกอย่างรอบตัว

เสียงคลื่นทะเล เสียงนก ลมแรงๆ และความวุ่นวายในช่องความคิด

บังคับให้ผมรับรู้ถึงแค่ตัวตนของเขาเท่านั้นในเวลานี้

เสียงหัวเราะแผ่วเบาลง ผมสูดลมหายใจลึก ก่อนจะสบตากับเดฟที่จ้องมองมา

“ถ้าอย่างนั้น.. ก็คงจะตอบว่าไม่กลัวเลยสักนิด” ผมตอบ ใบหน้าขยับเอียงเล็กน้อย ทั้งๆ ที่ดวงตายังไม่เลื่อนหลุดจากดวงตาคู่ตรงข้าม หัวใจเต้นแรงขึ้น มันเป็นเพราะผมรู้ดีถึงความหมายของสิ่งที่กำลังจะเอ่ย

“คนขี้ยาพวกนั้น ผมรู้ว่าจะต้องทำยังไงถ้าบังเอิญได้พบเจอ” เดฟไม่พูดอะไรออกมา ราวกับเขารู้ว่านั่นไม่ใช่ทั้งหมดที่ผมต้องการจะพูด

ผมปลดสายตาออกจากอีกฝ่าย ก่อนจะมองผ่านช่วงไหล่แข็งแรง หยุดนิ่งที่น้ำทะเลสีดำสนิท

“มีอะไรที่น่ากลัวกว่านั้นเยอะในสถานที่นี้.. อะไรบางอย่างที่ทำให้หัวสมองหมุนคว้าง”

ดวงตาของเดฟเข้มขึ้นในความรู้สึก ใบหน้านิ่งเฉยจับจ้องมองผมในระยะใกล้

ผมเลื่อนสายตากลับไปสบกับเดฟ มองเห็นร่องรอยประหลาดแฝงตัวมาในการจ้องมองครั้งนี้

แต่เพราะเขาไม่ได้พูดอะไรขัดออกมา ผมถึงเริ่มพูดต่ออย่างไม่เร่งรีบ

“ทำให้สูญเสียความเป็นตัวเอง.. สร้างความรู้สึกสุขจนน่าใจหาย พร้อมๆ กับความวิตกกังวลจนแทบจะเป็นบ้าตาย”

รอยยิ้มเครียดเผยตัวขึ้นเหนือริมฝีปาก ผมฉาบเคลือบมันไว้ด้วยความนิ่งงันที่จงใจสร้างขึ้นกลบ ฝ่ามือบีบเข้าหากันแน่น

“อะไรบางอย่าง ที่ทำให้อ่อนแออย่างเลี่ยงไม่ได้”

ผมสูดรับอากาศเข้าไปในปอด พยายามระงับทุกความซ่านที่ปะทุขึ้นภายใน สายตาของเดฟที่มองมา ผมรู้ว่าเขาเข้าใจสิ่งที่ผมกำลังสื่อ

เพราะว่าอะไรบางอย่างที่ว่านั่น..

“ทั้งๆ ที่ฟังดูน่ากลัวออกขนาดนั้น แต่มันอยู่ตรงหน้าของผมนี่เอง” ผมพึมพำ แตะปลายนิ้วเข้าที่กรอบหน้าได้รูป ก่อนที่ฝ่ามือจะค่อยๆ ลดต่ำลงจนวางนิ่งอยู่ที่หน้าตักเหมือนเดิม

“อยู่ใกล้ จนน่าตกใจ”

แล้วความเงียบก็เข้าเกาะกุมช่องว่างระหว่างเรา เดฟก้มหน้าลงต่ำ ฝ่ามืออบอุ่นวางซ้อนเหนือมือของผมพลางออกแรงกระชับไม่แรงนัก เสียงลมจะหวีดหวิวอยู่ข้างใบหู ตอนที่เดฟขยับใบหน้าเข้ามาใกล้

“คุณน่ากลัวกว่าเห็นๆ.. กลัวถูกคุณลากเอาไป ดีกว่ากลัวพวกขี้ยาตั้งไม่รู้เท่าไหร่” ผมพลิกสถานการณ์ เพราะเขตที่ผมจงใจเหยียบย่างเข้าไปเมื่อครู่ ทำให้รู้สึกอึดอัดจนกลายเป็นผมเองที่ทนไม่ไหว

เดฟหลุดหัวเราะแผ่วเบา เสียงทุ้มต่ำคลอเคลียอยู่ข้างใบหู ขณะที่ริมฝีปากอุ่นกดแนบอยู่ตรงขมับ ไล่ลงย้ำๆ ตามผิวเนื้อ จนหยุดนิ่งที่ลาดไหล่

“ลากเลยเหรอ ถึงขนาดต้องให้ใช้กำลังกันขนาดนั้น” เดฟกระซิบเย้า “แน่ใจแล้วหรือเปล่า”

“หึ” ผมหลุดเสียงหัวเราะห้วนสั้น ริมฝีปากกระตุกยิ้มเล็กๆ ค้างเอาไว้เนิ่นนาน ก่อนจะจางหายไปเมื่อเดฟแตะริมฝีปากลงมา

ไม่รุกล้ำ ไม่ล่วงเกิน..

มีเพียงลมหายใจอุ่นเท่านั้นที่เป็นสัมผัสชัดเจน รองจากแรงกดจูบเหนือปาก

“ไม่มีอะไรให้ต้องกลัว.. เช่นเดียวกันกับความวิตกพวกนั้น” อีกฝ่ายพูดเนิบช้า แต่ชัดเจนในความรู้สึก ฝ่ามือแข็งแรงลูบผ่านเส้นผมของผมด้วยสัมผัสหนักๆ ก่อนจะหยุดค้างที่หลังต้นคอ

ปลายนิ้วชี้เกลี่ยไล้บนผิวเนื้อ

“มีแต่ความสุขเท่านั้นที่สิ่งนั้นจะมีให้ ดังนั้นฉันขอนายได้หรือเปล่า”

หน้าผากของเดฟแนบชิดกับหน้าผากของผม ดวงตาจริงจังจ้องมองมาในระยะใกล้ สะท้อนให้เห็นตัวผม

ผม.. .ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่มองเห็น ในดวงตาสีเข้มคู่นี้

ดวงตาที่ฉายแววอ้อนวอน ร้องขอ ไม่ต่างกับน้ำเสียงที่ทอดอ่อนชวนให้รู้สึกเคลิบเคลิ้ม

“หยุดฝืนตัวเอง แล้วปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามทางของมัน.. ถ้าสิ่งนั้นขอนายแบบนี้ นายจะว่ายังไง”

“…”


“ถ้าฉันขอนายแบบนี้ นายจะว่ายังไง”









 

ผมไม่ตอบคำถาม

แน่นอนว่าเหตุผลหลักก็คือไม่รู้

ไม่รู้ว่าจะทำตามคำขอนั้นได้หรือเปล่า .. หรืออาจจะเป็นไม่รู้ ว่าตัวเองได้ทำแบบนั้นไปแล้วหรือยัง

ลดการ์ดตัวเองเพื่อยอมให้อีกฝ่ายเข้ามา

ผมเองก็ไม่แน่ใจนัก ..

สายตาที่มองมา ผมรู้ดีว่าเดฟกำลังคาดหวังคำตอบแบบไหนอยู่ แต่มันก็ไม่ใช่หน้าที่ของผม ที่จะทำให้ความหวังของใครเป็นจริงขึ้นมาด้วยการตอบอะไรที่แม้แต่ตัวเองยังไม่แน่ใจออกไป

การซื้อความสบายใจด้วยคำพูดสวยหรู ไม่ใช่สิ่งที่ผมถนัดนัก

ความเงียบโรยตัวช้าๆ ผมจับจ้องดวงตาคู่ตรงข้ามไม่วางตา แน่นอนว่าเราทำแบบนั้นกันอยู่หลายนาที แค่มองหน้ากันไปเรื่อยๆ พร้อมรับกลิ่นทะเลที่ผมไม่คุ้นเคยเข้าร่างกาย

ระยะห่างที่มีอยู่น้อยนิดสร้างความรู้สึกแปลกประหลาด แต่ไม่ใช่ความอึดอัดหรือกดดัน

แล้วเดฟก็ยอมแพ้ในที่สุด.. เขาถอนหายใจออกมา พร้อมกับรอยยิ้มบางๆ แต้มติดตรงมุมปาก แต่เดฟก็ยังเป็นเดฟ ถึงแม้จะยอมแพ้และก้าวถอยหลังให้ แต่ความมั่นใจก็เป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญ สลักสักติดตัวตนของอีกฝ่ายไว้

“สักวันหนึ่ง..” เขาพึมพำ กดจูบหนักๆ ตรงขมับของผม ก่อนจะผละออกไป ดวงตาสีเข้มกะพริบแผ่วเบา “สักวันหนึ่ง”

เขาย้ำออกมาแบบนั้น

และผมรู้ดีว่ามันหมายความว่ายังไง

“สักวัน” กลายเป็นผมบ้าง ที่เป็นฝ่ายพูดคำนั้นออกไป จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่แน่ใจ

ว่าคำพูดนั้น ผมกำลังสื่อสารมันกับตัวเอง.. หรือกับผู้ชายตรงหน้ากันแน่

สีหน้าของเดฟเรียบเฉย เขาสะบัดหน้าไปทางทะเล ก่อนที่ฝ่ามืออุ่นจะฉวยจับเข้าที่ข้อมือของผม ออกแรงดึงให้เดินตาม พาผมเข้าใกล้ทะเลสีดำและคลื่นที่สาดเข้ามา ยิ่งเดินเข้าใกล้มากเท่าไหร่.. ยิ่งรู้สึกเหมือนร่างกายถูกดูดเข้าไปในมิติลึกลับบิดเบี้ยวมากเท่านั้น

แล้วเราก็หยุดเดิน ปลายเท้าห่างจากฟองสีขาวไม่ถึงหนึ่งก้าว ผมสูดลมหายใจลึก ก่อนจะค่อยๆ ผ่อนออกมา รับรู้ถึงการสอดประสานตรงเรียวนิ้ว เดฟเกาะกุมมือผมไว้หลวมๆ ปลายนิ้วโป้งเกลี่ยสัมผัสผ่านหลังมือผมเป็นจังหวะเอื่อยๆ ก่อนจะหยุดนิ่งลง

“มองไม่เห็นอะไรสักอย่าง” ผมเปรยออกไป นอกจากเสียงคลื่น ความเวิ้งว้างสีเข้ม กับภาวะไม่คุ้นเคยที่กดดันให้หัวใจผมเต้นหน่วงหนืด ผมสัมผัสไม่ได้ถึงอย่างอื่นในสถานที่แห่งนี้

“ไม่เห็นเหรอ” เดฟถามกลับมา เขาเลิกคิ้วสูง สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนไป แม้กระทั่งตอนที่ผมพยักหน้าเบาๆ เขาเบือนหน้ากลับไปที่ทะเล ทิ้งสายตาลงที่อะไรสักอย่าง ก่อนจะหันกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ “งั้นก็ลองไม่มองดู”

ผมไม่เข้าใจในประโยคนั้น.. สีหน้าสงสัยฉายชัดออกไป มองเดฟที่เคลื่อนตัวมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า

“หลับตา” ผมกะพริบตา และยังไม่ทำตามคำสั่งที่ได้ยินในทันที ไม่ทำ จนกระทั่งเดฟยื่นปลายนิ้วมาแตะเบาๆ ตรงหางคิ้ว

“หลับตาสิ”

แล้วความมืดก็มาเยือน

พอหลับตา ทุกอย่างก็ดูจะเด่นชัดขึ้นมาในความรู้สึกนึกคิด ทุกประสาทสัมผัสของผมตื่นตัว เสียงลม เสียงคลื่น ทุกอย่างพาให้หัวใจเต้นถี่เกินความจำเป็น

อะไรสักอย่างแตะเข้าตรงเรียวขา ผมชะงักเบาๆ ก่อนจะสรุปในใจว่ามันคือฝ่ามือของเดฟ ฝ่ามือแข็งแรงล็อคข้อเท้าของผมเอาไว้ ออกแรงบังคับให้ยกขึ้น ก่อนรองเท้าที่สวมใส่อยู่จะเลื่อนหลุดออกไปช้าๆ

เพราะไม่เคยเข้าใกล้ทะเล.. ผมถึงไม่เคยรู้มาก่อน ว่าหาดทรายให้ความรู้สึกละเอียดมากขนาดนี้ สัมผัสถี่เล็กแทรกซึมเข้าตามร่องนิ้วเท้า และผมได้แต่ขยับไปมากับสัมผัสแปลกประหลาดที่ไม่เคยรู้จัก

“มา” ฝ่ามือถูกฉวยจับไว้อีกครั้ง เสียงทุ้มต่ำดังผสมกับเสียงทะเล ผมเม้มปาก และขืนตัวไว้เล็กน้อย อะไรบางอย่างในตัว กระตุกให้ผมยืนนิ่งอยู่กับที่

อาจจะเป็นความกลัว.. อาจจะเป็นสัญชาติญาณที่ปกป้องตัวเอง

เรามักจะกลัวอะไร ที่ไม่รู้จักเสมอ

เดฟไม่ได้กระชากหรือออกแรงดึงให้ผมเดินต่อ เขาเพียงแค่ยืนอยู่เฉยๆ จับมือผมเอาไว้อย่างนั้นโดยไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกด้วยซ้ำ แขนที่ยกขึ้นสูงกลางอากาศ ผมรู้ได้ถึงระยะห่างที่เรามีให้กัน

ในภาพความคิดตอนนี้ เดฟยืนอยู่ในรัศมีที่ผมไม่คุ้นเคย ยืนอยู่ในน้ำทะเลที่ผมไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ภายในนั้น

สัมผัสเย็นๆ ซัดแตะเข้าที่ปลายนิ้วเท้า ผมกระตุกเท้าถอยหลัง ก่อนที่สมองจะเริ่มทำความเข้าใจ ว่าสิ่งนั้นก็เป็นแค่น้ำเย็นๆ

คลื่นซัดเข้ามาอีกครั้ง.. แตะปลายเท้าของผมแผ่วเบา แล้วลากถอยกลับไป เป็นอย่างนั้นอยู่ร่วมนาที จนร่างกายของผมเริ่มคุ้นเคยกับมัน

แล้วปลายเท้า ก็ก้าวไปข้างหน้าช้าๆ

ผมไม่รู้ว่าการกระทำนั้นส่งผลอะไร ไม่รู้ว่าเดฟมีสีหน้าแบบไหนตอนเห็นผมเริ่มเดิน ภาพในหัวที่ผมมี สิ่งเดียวที่ลอยเด่นชัดท่ามกลางความมืดของใบหน้าของอีกฝ่าย

สัมผัสละเอียดเล็กลากติดตรงฝ่าเท้า กับความเย็นเยียบที่คลอเคลียอยู่ตรงตาตุ่ม ผมเริ่มรู้สึกตัว ว่าเดินลงไปลึกมากขึ้นเรื่อยๆ มากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับฝ่ามือที่เริ่มบีบแน่น

น้ำทะเล.. อยู่ที่สะโพกของผม ร่างกายโอนเอนจากความไม่สมดุลภายในน้ำ

ผมเริ่มหายใจถี่รัว ฝ่ามือชื้นเหงื่อจนเหมือนจะลื่นหลุดจากเดฟเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วเขาก็หยุดเดิน หยุดเดินในระดับความสูงน้ำทะเลที่อยู่ตรงช่วงเอว

“ไม่มีอะไรต้องกลัว เห็นไหม” เสียงนั้นอยู่ใกล้ๆ ใบหู สร้างความรู้สึกสบายใจให้เกิดขึ้น ก่อนที่มันจะดับลงด้วยความรวดเร็วเพราะฝ่ามือที่เลื่อนหลุดออกไป

ผมถูกทิ้งให้ยืนแข็งค้างอยู่ตรงนั้น หัวใจเต้นถี่รัวราวกับจะหลุดออกจากอก ความกลัวแล่นซ่านขึ้นกลางสมอง ผมเปล่งเสียงเรียก และเริ่มกวาดมือไม้สะเปะสะปะกลางอากาศ

คลื่นที่ซัดเข้าตัว ไม่ได้เป็นเพียงแค่น้ำเย็นๆ อีกต่อไป มันเป็นอะไรสักอย่าง ที่ทำให้ผมรู้สึกกลัว สติสุดท้ายของผมกรีดร้องหวีดแหลมอยู่ข้างใบหู ผมเหมือนถูกผลักให้อยู่ในสภาวะอึดอันนั่นร่วมชั่วโมง

“ลืมตา” เสียงทุ้มต่ำนั่นปลดผมออกจากทุกความคิด เปลือกตาเปิดลืมขึ้นแทบจะในทันทีที่ได้ยินคำสั่ง ร่างของเดฟไม่อยู่ในการมองเห็น ไม่มีอะไรสักอย่าง นอกจากภาพทะเลสีดำขนาดใหญ่ ท้องฟ้าสีเข้ม กับดาวดวงเล็กๆ ที่กระจัดกระจายบนฟ้า

ลมหายใจอุ่นเป่ารดเบาๆ หลังใบหู ท่อนแขนแข็งแรงสอดรัดเข้าตรงช่วงเอว พร้อมกับฝ่ามือข้างหนึ่งที่ยกขึ้นจับปลายคางของผม

แผ่นหลังเบียดสัมผัสกับร่างกายอุ่นร้อน และผมไม่เคยคิดมาก่อน ว่าร่างกายนี้จะให้ความรู้สึกปลอดภัยและน่าโหยหาได้เท่านี้

“เห็นหรือยัง” นั่นเป็นคำถาม ใบหน้าของผมถูกตรึงให้อยู่กับที่ สายตารับภาพตรงหน้าเข้ามาในการรับรู้

คลื่นขนาดใหญ่.. น้ำทะเลสีดำ.. ท้องฟ้า ดวงดาว และร่างกายที่เบียดชิดอยู่ด้านหลัง

ผมไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ความกังวลใจพวกนั้นละลายหายไป ไม่รู้ว่าตั้งแต่ตอนไหน ที่เริ่มคุ้นชินกับสภาพรอบตัว และเริ่มรับรู้ความรู้สึกดีอย่างน่าประหลาดใจ

ผมหลุบตาลงต่ำ มองครึ่งร่างของตัวเองที่ถูกกลืนหายไปในเงาดำมืด ฝ่ามือแบออกและแตะลงเบาๆ เหนือผิวน้ำ ลากไล้เป็นวงกลม ก่อนจะทิ้งให้มันลอยนิ่งๆ น้ำสีเข้มไหลผ่านเข้ามาในอุ้งมือ

ผมสะบัดมือขึ้นจากน้ำ ถอยหลังเพิ่มหนึ่งก้าวเพื่อเบียดตัวเองเข้าหาอีกคน ก่อนที่ร่างจะถูกพลิกให้หันกลับไป ดวงตาสีเข้มกลับมาอยู่ในการมองเห็นของผมอีกครั้ง

“เป็นยังไง” เขาถามสั้นๆ แพขนตาหลุบลงทาบผิวเนื้อเมื่ออีกฝ่ายกะพริบตา

ผมยกฝ่ามือขึ้น ก่อนจะกำเอาเสื้อที่เปียกโชกของเขาไว้ในมือ

“กลัวแทบตาย”

เดฟหลุดยิ้มกว้างออกมาตอนที่ได้ยินคำตอบ “แล้วยังไงอีก”

ผมเม้มปาก แม้กระทั่งในตอนนี้ ร่างกายก็ยังตื่นตัวรับสัมผัสในทะเลให้เด่นชันในห้วงความรู้สึก

“งั้นกลับกันเถอะ” เดฟพูดตัดบท เมื่อเห็นว่าผมเอาแต่เงียบไม่ตอบคำถาม เขาแตะมือเข้าที่ข้อศอกของผมเบาๆ ขณะเดินถอยหลังกลับไปยังฝั่ง ประคองให้ผมเดินตามโดยไม่แสดงท่าทางว่าจะปล่อยมืออีก

หนึ่งก้าว.. สองก้าว.. สามก้าว..

ฝ่ามือข้างหนึ่งยกขึ้นลูบใบหน้า หยดน้ำเล็กๆ เกาะติดตามไรผมและผิวเนื้อ

สี่ก้าว.. ห้าก้าว..

ผมหยุดเดิน พร้อมกับมือที่กำเสื้อเดฟไว้แน่น

“เดี๋ยว” ผมร้องออกไปแบบนั้น จับจ้องเดฟที่มองมาด้วยใบหน้าสงสัย ชั่งใจอยู่ชั่วครู่กับความคิดในหัว

“ผมขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหม” น้ำเสียงของผมฟังดูแปลกแปร่ง ภายในปั่นป่วนไปหมดราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นปั่นขยี้

“ได้” เดฟตอบรับ ก่อนที่จะได้ยินคำขอเสียอีก

ร่างสูงยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า รอฟังสิ่งที่ตะโกนก้องอยู่ในหัวของผม ปลายนิ้วสั่นเล็กๆ ก่อนจะสงบลง

ผมสบตากับเดฟนิ่ง

พร้อมกับความต้องการที่ถูกเปล่งออกไป

 

 

“ขอจูบ.. ได้หรือเปล่า”

 

ดวงตาของเดฟเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย

.. และผมได้รับสิ่งที่ต้องการ โดยไม่ต้องร้องขอซ้ำเป็นครั้งที่สอง






tobecon.

____
#เดฟฟลอยด์

1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.21 Death of a Party (23/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mecinzano505 ที่ 23-03-2017 23:07:30

21_
Death of a Party

(ต่อ)



 

“หายกันไปนานจนฉันไม่คิดว่าจะกลับเข้ามากันอีกแล้ว” กันเตอร์ร้องทักขึ้นทันทีที่เห็นร่างผม เดฟก้าวเท้าตามมาติดๆ เนื้อตัวเปียกปอนไม่ต่างจากผม ทุกคนในคลับมองมาด้วยสายตาสงสัยใคร่รู้ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นล้อเลียนเมื่อเห็นสิ่งที่ร่างสูงถืออยู่ในมือ

รองเท้าผ้าใบที่เปียกโชกของผมถูกอีกฝ่ายวางลงลวกๆ ตรงขั้นบันได ถึงแม้ว่าเดฟจะถอดมันออกก่อนที่จะพาผมลงไปในทะเล แต่เพราะมัวแต่สนใจเรื่องอื่นและวางมันทิ้งไว้ตรงนั้น คลื่นที่ซัดเข้ามาถึงได้ทำให้มันอยู่ในสภาพไม่ค่อยดีนัก ยังไม่นับถึงพวกทรายและหินเม็ดเล็กๆ ที่แทรกเข้าไปอยู่ข้างใน

“เขามาที่นี่หรือยัง” เดฟเปรยถาม หลังจากกวาดตามองรอบๆ คลับ

กันเตอร์เลิกคิ้ว พลางยักไหล่เบาๆ เมื่อได้ยินคำถาม “มาแล้ว กลับไปแล้ว มาไม่ทันถึงสิบนาที ล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เดาว่าคงรีบกลับไปดูเรย์ที่บ้าน..” ดวงตาของกันเตอร์ฉายแววประหลาดออกมาชั่วครู่ “สั่งอะไรสักอย่างกับพวกชาร์ลี แล้วก็รีบออกไป บอกไว้ด้วย ว่าให้นายเข้าไปหาพรุ่งนี้เช้า”

ต้นแขนของผมถูกกำไว้หลวมๆ ก่อนที่เขาจะออกแรงดึงรั้งให้ผมนั่งลง ขั้นบันไดยังส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเหมือนเดิมตอนที่ต้องรับน้ำหนักตัวคน เดฟพยักหน้ากับสิ่งที่กันเตอร์บอกเล่า ขณะทรุดตัวลงนั่งลงบนพื้น

แพขนตาสีเข้ม สันจมูก และดวงตาที่หลุบลงต่ำ ผมมองเห็นนิ้วโป้งและนิ้วชี้เรียวยาวกำอยู่ตรงข้อเท้า ปลายนิ้วปัดเอาทุกเศษทรายที่ติดเท้าผมอยู่ออก ก่อนผมจะจบทุกฉากที่มองเห็นอยู่ด้วยการกระตุกเท้ากลับเพราะทนทุกสายตาที่เพ่งมองมาไม่ไหว

มากกว่านั้นก็คือ เป็นผมเองที่รู้สึกพ่ายแพ้ต่อการกระทำเมื่อครู่นี้ แพ้จนต้องหลบหนีออกมา ก่อนที่ความรู้สึกนึกคิดจะเตลิดไปมากกว่าที่เป็นอยู่

“หนีทำไม ยังไม่หมดเลย” เขาท้วงด้วยน้ำเสียงจริงจัง ขัดกับดวงตาที่เป็นประกายจนน่าหมั่นไส้ ใบหน้าของอีกฝ่ายแสดงชัดถึงความสนุก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ผมกวาดดวงตามองทุกคนในแก็งค์ที่พร้อมใจกันมองกลับมา

“ผมทำเองได้ ไม่เป็นไร” ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงนิ่งขึง พยายามอย่างมากที่จะไม่หลุดท่าทางอะไรพิลึกๆ ออกมา ทั้งๆ ที่ภายในร่างกายกำลังรวนถึงขีดสุด

แล้วเดฟก็หลุดยิ้มออกมา คิ้วเข้มๆ เลิกขึ้นสูงขณะที่อีกฝ่ายเอียงหน้าเล็กน้อย แต่ก่อนที่เขาจะได้ขยับปากพูดอะไรสักอย่างออกมา เสียงบานประตูที่ถูกกระชากเปิดออกก็เรียกทุกสายตาให้หันไปมองก่อน

เดฟผุดลุกขึ้นยืนทันที พร้อมๆ กับเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายที่ดังลอดเข้ามาแทนที่ความเงียบสงบเมื่อครู่ วัยรุ่นผู้ชายที่ชื่อแรมกับโอลินที่ผมจำได้ว่าเป็นหลานของเดฟมีสีหน้าตื่นตกใจ ขณะช่วยกันหามร่างปวกเปียกของใครสักคนเข้ามาภายในคลับ

ทุกคนที่นั่งกินเบียร์หรือทำกิจกรรมอยู่ลุกฮือ ไม่ต่างจากผมที่ค่อยๆ ยืดตัวขึ้นยืน บันไดขั้นที่สามสูงพอที่จะทำให้ผมมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่กลางร้าน ผู้ชายที่ผมจำได้ดี เส้นผมสีบลอนด์กับผิวกายขาวซีด ตอนนี้ซีดเผือดหนักกว่าที่เคยเห็นในความทรงจำ พร้อมกับรอยแผลฟกช้ำและคราบเลือดที่ติดอยู่ตามร่างกายและใบหน้า

ร่างที่สั่นเบาๆ ถูกวางลงนอนหงายบนพื้น ท่ามกลางทุกคนที่ลุกไปยืนมุงดู ไม่ต่างจากเดฟที่ก้าวไปตรงนั้นช้าๆ

ผมถูกห้ามให้ยืนอยู่กับที่ จากท่อนแขนแข็งแรงที่ยกขึ้นกั้นกลางอากาศ ดันให้ผมยืนแน่นิ่งอยู่ที่เดิม ปลายนิ้วแตะสัมผัสกับผนังเย็นชืดไว้ ทำได้เพียงมองแผ่นหลังกว้างเดินห่างออกไปทุกที

ดาเบรียเป็นเพียงคนเดียว ที่ไม่สนใจจะเข้าไปยืนอยู่ตรงนั้น เธอเดินมาหยุดยืนไม่ห่างจากผม ตรงพื้น ห่างลงไปสามขั้นบันได เธอทำเพียงแค่ยืนกอดอกนิ่งๆ มองภาพเหตุการณ์วุ่นวายตรงหน้าด้วยใบหน้าเรียบเฉย

ดวงตาคมดุปราดมองหน้าผม จ้องค้าง ก่อนจะเบือนกลับไป

พร้อมกับคำพูดที่ดังขึ้น

“ฉันจะไม่ถาม ว่าเพราะอะไรนายถึงอยู่ที่นี่ตอนนี้” ผมเหลือบมองเสี้ยวหน้าสวย สลับกับมองเดฟที่ย่อตัวลงนั่งคุกเข่าข้างๆ เบน

“เราไม่ได้ต้องการคนที่สมบูรณ์แบบ..” เสียงของดาเบรียยังดังเข้าหูผมอย่างต่อเนื่องด้วยโทนเสียงราบเรียบปราศจากอารมณ์ที่คาดเดาได้

“เราไม่ได้ต้องการอะไรไร้สาระพวกนั้นด้วยซ้ำ” เธอพึมพำแผ่วเบาในท้ายประโยค “แต่ที่ข้างกายเขา มีไว้สำหรับคนที่หนักแน่นมากพอ”

“…” ขณะที่ผมเอง ก็ยังคงทำได้แค่หุบปาก รับฟังและรับรู้ภาพตรงหน้า

เดฟในตอนนี้ เหมือนเริ่มหลุดจากการควบคุมตัวเองทีละน้อยๆ.. ใบหน้าติดดุเคร่งเครียด หัวคิ้วขมวดเข้าหากันมุ่น

เปลือกตาของผมกะพริบแผ่วเบา สัมผัสขนตาที่ให้ความรู้สึกหนักอึ้งกับผิวแก้มเปลือยเปล่า

มองฝ่ามือขาวซีดที่กำเสื้อของร่างสูงไว้แน่น

เหมือนเดิม.. ยังคงไม่มีความคิดหรือคำพูดใดแล่นหลุดออกจากปากของผม แม้กระทั่งตอนที่ดาเบรียหันกลับมาสบตาและถามคำถาม

คำถามที่เริ่มห่างไกลจากการรับรู้ของผมขึ้นทุกที

“นายแน่ใจเหรอ ว่าใช่คนคนนั้น”

ผมไม่แน่ใจ ว่าดาเบรียต้องการสื่อสารอะไรกันแน่ .. ทุกอย่างในตอนนี้ หลุดลอยเหนือความเข้าใจของผมไปไกล

ปลายนิ้วที่ขยำเสื้ออยู่ร่วงผล็อย ตกแน่นิ่งลงบนท่อนแขนแข็งแรง ผมมองเห็นการคว้าจับ มองเห็นการกุมมือ และมองเห็นสายตาที่แสดงชัดถึงความวิตกกังวล

สุ้มเสียงของเดฟเริ่มฟังดูห่างไกล ผมได้ยินคำถามมากมายดังออกจากปากของอีกฝ่าย มองเห็นรอยยิ้มอ่อนแรงและใบหน้าเศร้าหม่น

ผมมองเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้น ในความรู้สึกที่ว่าเวลาได้หยุดเดิน หรือเดินช้าลงจนแทบไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหว

“มองหน้าฉัน มองหน้าฉัน.. แม่งเอ้ย! โทรหาโรงพยาบาล!” ผมได้ยินเสียงตะคอกของเดฟ ท่าทางฉุนเฉียวที่ทุกอย่างไม่เป็นไปดั่งใจต้องการ

มองเห็นใบหน้าของเบนที่ซีดเผือด แต่กลับมีรอยยิ้มอ่อนๆ แต่งแต้มอยู่บนริมฝีปาก

“ไม่เห็นต้องแตกตื่นมากขนาดนี้เลย..” เขาพูด “คุณกำลังทำให้ผมดีใจ”

และผมกำลังได้ยิน สิ่งที่ไม่คิดว่าอยากได้ยิน

ทุกเส้นเสียงในอากาศเหมือนถูกเขย่าเป็นคลื่นถี่เล็ก ก่อนจะถูกกระชากรวบให้ตึงจนเกิดเสียงแหลมเสียดในช่องหู

“แม่ง! ห้ามหลับตา อย่าหลับตา! บี ฉันบอกให้ลืมตาก่อน! โทรหาโรงพยาบาลหรือยัง ส่งคนไปพาจูเลียมาที่นี่เดี๋ยวนี้!” เสียงของเดฟเล็กแหลมบิดเบี้ยวผิดไปจากปรกติ เขาก้มหน้าลงตะคอกร่างผอมบางที่นอนอยู่ ก่อนจะหันไปออกคำสั่งกับคนในแก็งค์ที่ยืนอยู่เสียงดัง ฝ่ามือของผมร่วงหล่นลงกลางอากาศ ผละสัมผัสเล็กๆ ที่ยึดติดระหว่างปลายนิ้วกับผนังเอาชืดให้ห่างออกจากกัน

ฝ่าเท้าพาผมก้าวถอยหลังช้าๆ ขยับพาตัวเองกลับไปชั้นบน ขยับพาให้ภาพตรงหน้าห่างไกลออกไปเรื่อยๆ ดาเบรียมองมา แต่ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร หรือไม่ ก็เป็นเพราะผมเองไม่ได้สนใจในจุดนั้น

ภาพที่มองเห็นถูกเปลี่ยนไปแล้ว กล่องลัง ขวดเบียร์ว่างเปล่า ความมืดสลัวตรงมุมห้อง บานประตู กลิ่นที่คุ้นเคยและร่างของผมที่ทรุดนั่งบนเตียง

แต่ภาพเมื่อครู่ยังติดแน่นอยู่หลังม่านตา

ผมนึกสงสัย ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเบนคนนั้น.. ทั้งบาดแผลและสภาพราวกับคนที่ถูกซ้อมมาอย่างหนัก

ผมนึกสงสัย ว่าเดฟคนนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ตอนที่เห็นภาพทั้งหมด รู้สึกอย่างไร และมีความคิดจะทำอะไรตอนที่นั่งอยู่ตรงนั้น

 

มากกว่าอะไรทั้งหมดที่กล่าวมา

ผมนึกสงสัย ว่าความรู้สึกชาๆ สลับปะปนกับการกระตุกลั่นในร่างกายจนน่าหงุดหงิดที่กำลังดำเนินอยู่ตอนนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร


ผม.. เป็นอะไรกันแน่









 

เสียงบานประตูที่ถูกเปิดไม่ได้ดึงสายตาของผมให้หันไปมอง มีไม่กี่ชื่อโผล่เข้ามาในหัว ใครจะกล้าเปิดเข้ามาในห้องนี้เวลานี้ ถ้าไม่ใช่เจ้าของห้อง

ผมทิ้งสายตาลงที่ฝุ่นบนชั้นวางของ จับจ้องมันมานานจนลืมไปแล้วว่าเป็นเวลาเท่าไหร่ ขณะที่ในหัวก็วุ่นวายกับการคิดนั่นคิดนี่ไปเรื่อยอย่างที่ผมไม่คิดแม้แต่จะหยุดหรือควบคุมมัน

ฝุ่นแปลกปลอมยังลอยเด่นอยู่เบื้องหน้า.. คราบสีเทาอ่อนไร้น้ำหนักที่จะถูกปัดทิ้งให้หายไปเมื่อไหร่ก็ได้

ผมหลุดยิ้มออกมา ตอนที่ได้ยินเสียงถอดเข็มขัด ตามมาด้วยร่างของเดฟที่ขยับเข้ามาใกล้ หยุดยืนบดบังสิ่งที่ผมกำลังจ้องมองอยู่

ใบหน้าคมเข้ม ยังมีร่องรอยความไม่สบายใจตกค้าง

“เป็นยังไงบ้าง” ผมเปรยถามออกไป ดวงตาเหลือบขึ้นสบกับอีกฝ่ายที่มองมานิ่ง

“โดนซ้อมมา โดนเอาตัวมาปล่อยทิ้งไว้ไม่ห่างจากที่นี่ เขาเดินมาเรื่อยๆ แล้วล้มลงที่หน้าคลับ” เดฟพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย

ผมพยักหน้ารับรู้ และไม่คิดจะถามอะไรต่อหลังจากที่ได้ยินเรื่องราวนั้น

ไม่มีความอยากรู้ ว่าใครเป็นคนทำ ไม่อยากรู้ว่าเพราะอะไร ในตอนนี้.. ผมไม่อยากรู้แม้กระทั่งสิ่งที่ลอยวนเวียนอยู่ในหัวของผมมาตั้งแต่เมื่อครู่ อย่างคำถามที่ว่าเดฟรู้สึกยังไง

เพราะพอมาจ้องมองในระยะใกล้ ทุกความรู้สึกที่ระบายอยู่บนสีหน้าตรงข้าม ตอบทุกคำถามในหัวของผมโดยไม่ต้องเอ่ยถาม

“เป็นอะไรหรือเปล่า” กลายเป็นเดฟที่ถามขึ้นมาแทนในคราวนี้ ดวงตาสีเข้มจับจ้องผมไม่วาง ขณะเขาขยับร่างเข้ามาใกล้ “คิดอะไรอยู่”

ผมชะงักเล็กๆ ฝ่ามือยกขึ้นลูบใบหน้าตัวเอง พร้อมกับใบหน้าที่ก้มลงต่ำ

ผมมองฝ่ามืออีกข้างที่ยังวางนิ่งอยู่บนหน้าตัก มันแข็ง เกร็ง และชาจนผมไม่สามารถขยับมันได้

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” หลังจากเว้นระยะไว้เกือบนาที ผมก็ตอบคำถาม พร้อมทั้งเสียงหัวเราะฝืดเฝื่อนที่ดังลอดออกมาด้วย ใบหน้าขยับเงยขึ้นอีกครั้ง สบตากับเดฟที่ยังไม่ละสายตาไปไหน “ไม่ได้เป็นอะไรหรอก”

อีกฝ่ายถอนหายใจออกมาแผ่วเบา ก่อนที่ร่างสูงจะทรุดตัวลงนั่งบนเตียง ถัดจากผมไปไม่ถึงหนึ่งเอื้อมมือ

ฝ่ามืออุ่นวางทาบลงบนต้นขา ออกแรงบีบกระชับจนรับรู้ถึงตัวตน

“ทำไมถึงยังโกหก ทั้งๆ ที่ทุกอย่างแสดงอยู่บนสีหน้าของนาย” เขากะพริบตา พลางปล่อยให้ความเงียบเข้าทำงาน

หัวใจผมเต้นกระตุกกับการโดนจับได้ โดยที่ไม่รู้ตัวเอง ผมปิดฝ่ามือไว้ที่ริมฝีปาก สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อดับทุกความว้าวุ่นที่ตีกันอยู่ในสมอง

“ถ้านายไม่พูด ฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรทำยังไง” เดฟกระซิบ เสียงทุ้มต่ำทอดอ่อนชวนให้รู้สึกดี ฝ่ามือที่วางอยู่บนต้นขาของผมขยับยกขึ้น ก่อนจะวางลงอีกครั้งบนหลังมือของผม ออกแรงกระชับแผ่วเบาแล้วพลิกให้หงายนิ่ง

“ถ้าไม่พูดอะไรเลยสักอย่าง.. ฉันก็ไม่รู้ว่าจะต้องแก้ตัวยังไง หรืออธิบายตรงจุดไหนให้นายเข้าใจ”

“ผม..” ผมชะงักสิ่งที่กำลังจะพูด ชั่งใจ พลางมองอีกฝ่ายที่ช้อนตาขึ้นสบอย่างรอคอย

ความรู้สึกผิดลอยชัดในห้วงความคิด.. เพราะไม่รู้ว่าผมเป็นอะไรกันแน่ ผมถึงได้ตีความหมายทุกอย่างในตอนนี้ว่างี่เง่า

ผมกำลังงี่เง่า ไร้เหตุผล และนั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมอยากจะเป็น

“ผมไม่รู้ ว่าตัวเองกำลังรู้สึกอะไร” ผมยอมตอบในที่สุด แม้จะพยายามเรียบเรียงทุกอย่างให้ออกมาเข้าใจง่ายแล้ว แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย สำหรับคนที่ไม่แม้แต่จะเข้าใจตัวเอง

“บางทีอาจจะเป็นโกรธ” ผมพึมพำ ภาพการจับกุมมือนั่นลอยเด่นในตา “.. แต่ก็อาจจะไม่ใช่”

เดฟรับฟังอย่างสงบ ไม่ได้แสดงท่าทางอะไรให้ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังพร่ำเพ้อเรื่องไร้สาระอยู่ ผมถึงได้กล้าพูดต่อ

“บางที อาจจะเป็นความรู้สึกของการโดนหักหลัง” ผมเม้มปาก ก่อนจะส่ายหน้าแรงๆ เมื่ออีกเสียงในหัวออกมาปฏิเสธคำกล่าวนั้นด้วยตัวเอง

“แต่คุณก็ไม่ได้หักหลังผม หรือทำอะไรแบบนั้น”

เดฟหลุดยิ้มจางๆ ออกมา ฝ่ามือของผมถูกกระชับให้แน่นขึ้น ปลายนิ้วเรียวยาวสอดสัมผัสเข้ากับนิ้วผมช้าๆ

สร้างความรู้สึกเหนียวแน่นและมั่นคง

“หรือบางที อาจจะเป็นแค่ความอิจฉา” ผมตอบสิ่งสุดท้ายที่คิดได้ในใจพลางลอบมองว่าอีกฝ่ายมีท่าทางอย่างไรตอนได้ยิน

พอเห็นร่องรอยความสงสัยและการชะงักงัน ผมก็พูดต่อ

“อาจจะเป็นความอิจฉาก็ได้ จริงๆ แล้ว..” ผมตัดสินใจหลบสายตาด้วยการก้มหน้าลง คำสารภาพที่ตกค้างอยู่ถูกกระเทาะออกมาจนหมดเปลือก “คุณอ่อนโยนเกินไป เป็นคนดีมากเกินไป แล้วก็ทำให้เสียนิสัย”

..

“ทำให้กลายเป็นคนขี้หวงแล้วก็ไม่มีเหตุผล”

ใบหน้าของผมถูกเชยขึ้นทันทีที่พูดจบประโยค รอยยิ้มที่ฉาบเคลือบอยู่บนริมฝีปากตรงหน้าทำให้รู้สึกร้อนรน

“ไม่เลย” เขาพึมพำทั้งใบหน้ายิ้มๆ ฝ่ามือสัมผัสเข้าที่ตัว ก่อนร่างของผมจะถูกดึงให้ขยับเข้าหาจนกลายเป็นการนั่งซ้อนเกยกัน

ท่อนแขนแข็งแรงโอบรัดช่วงเอวไว้แน่น ขณะที่ปลายจมูกอุ่นแตะเบียดกับจมูกของผม

“ฉันเองก็ไม่เคยเห็น.. การหึงหวงที่มีเหตุผลเท่านี้มาก่อน” สิ้นคำพูด ความร้อนก็ไล่ลามทั่วใบหน้าและลำคอ ผมเลือกที่จะเบือนหน้าหนี ก่อนจะถูกบังคับให้หันกลับมาเพราะช่วงตัวถูกรัดแน่นขึ้น

แล้วจูบเอาอกเอาใจก็ประทับลงตรงมุมปาก กดย้ำซ้ำๆ จนผมเผลอนิ่วหน้าเพราะรู้สึกกระดากปนจั๊กจี้กับไรหนวดที่สัมผัสใบหน้า

“ถ้านั่นเป็นการหวง ฉันก็ไม่รู้จะแก้ตัวอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับความดีใจที่เกิดขึ้นทั้งๆ ที่ไม่สมควร” เดฟเอียงคอ รอยยิ้มยังติดค้างอยู่บนใบหน้า

“แต่ถ้านั่นเป็นความอิจฉา” ฝ่ามือที่วางนิ่งอยู่ตรงช่วงเอวขยับสูงขึ้นจนกลายเป็นการลูบหลังกลายๆ “ฉันก็อยากยืนยันให้นายรู้ ว่าไม่มีอะไรที่ต้องอิจฉาในเรื่องนี้”

“…”

“คนที่มีมากกว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปอิจฉาคนที่ไม่มีอะไร” เขาอธิบายด้วยโทนเสียงเรียบเฉื่อย ชักจูงให้ผมคล้อยตามได้โดยไม่ต้องออกแรงบังคับ

“และที่มากไปกว่านั้น..” เดฟหยุดมือที่ลูบหลังผม ก่อนจะขยับมันมาแตะช่วงแก้มของผมแล้วออกแรงลูบช้าๆ “เขา รับเรื่องนี้แทนนาย”

ประโยคบอกเล่าดังแผ่วเบาเข้าใบหู ภายในผมกระตุกสั่นกับสิ่งที่ได้ยิน

ผมยังคงนิ่งเงียบในช่วงแรกที่ได้รับรู้ ก่อนจะหลุดถามออกไปในที่สุด

“หมายความว่าไง”

ดวงตาของเดฟหลุบต่ำ สีหน้าที่ไม่ชวนให้รู้สึกสบายใจลอยคว้าง คิ้วเข้มนิ่วหากัน ไหนจะรอยยิ้มที่ค่อยๆ จางหายไป

“พวกมันคิดว่าเขาคือนาย” คราวนี้ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกจากลำคอของผม เดฟส่ายหน้าเบาๆ สองสามครั้ง ปลายนิ้วเลื่อนลงต่ำ ก่อนที่เขาจะสัมผัสหลังนิ้วชี้เข้าที่คางของผมแล้วออกแรงดันให้ขยับสูง

 


“.. คิดว่าเขาคือคนรักของฉัน”





____
#เดฟฟลอยด์

ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ค่ะ เพราะว่าติดงานที่มหาวิทยาลัยแล้วก็ธุระส่วนตัวที่พร้อมใจกันอัดใส่หน้า
เลยหายไปนานมากเลย
ไม่มีอะไรจะแก้ตัว นอกจากบอกว่าจะพยายามเขียนมาลงให้ได้บ่อยๆเยอะๆเหมือนเมื่อก่อนนะคะ
.โค้ง

1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.21 Death of a Party (23/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 23-03-2017 23:22:09
กรี๊ดดดดดดดด ฟลอยด์ลูกเปิดใจรับเดฟเข้าไปเถอะนะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.21 Death of a Party (23/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Zetnezz ที่ 24-03-2017 02:18:50
แต่งสนุกมากก :L2: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.21 Death of a Party (23/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Ayame ที่ 24-03-2017 07:57:27
แต่งได้สนุกค่ะ อ่านแล้วแอบอิจฉาฟลอยด์ที่ได้เจอผู้ชายแบบเดฟ  :hao5:
รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.21 Death of a Party (23/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 24-03-2017 22:41:25
มาอีกเยอๆ นะคะ ^^
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.21 Death of a Party (23/03/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mecinzano505 ที่ 06-04-2017 21:16:18

22_
Count To Three





“ตื่นแล้วเหรอ มากินนี่ก่อนสิ ก่อนที่มันจะเย็นไปมากกว่านี้” กันเตอร์พยักพเยิดไปทางแซนวิชชิ้นใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้าตนเอง โดยไม่ต้องรอให้เขาเอ่ยเรียกซ้ำสอง ผมก็ก้าวเท้าตรงไปยังบาร์ทันที

“ขอบคุณ กันเตอร์” ผมยิ้มให้อีกฝ่าย พลางหยิบอาหารตรงหน้าขึ้นมากิน มองกันเตอร์ที่ยิ้มกลับมาด้วยใบหน้าใจดี

“เขาได้บอกไหมว่าจะกลับมาที่นี่กี่โมง เดฟน่ะ”

ผมส่ายหน้าเบาๆ ถึงจะรู้สึกตัวตอนที่เดฟลุกออกจากเตียงไปตอนเช้า แต่ผมก็ไม่ได้ลืมตาหรือลุกขึ้นมาพูดคุยอะไร แค่นอนหลับตานิ่งๆ รับฟังเสียงฝ่าเท้า การขยับตัว เสียงเสียดสีของเสื้อผ้าและการปิดประตูออกไปเท่านั้น

กันเตอร์ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก บทสนทนาสั้นๆ ระหว่างเราถูกขัดขึ้นพอดีจากผู้ชายแปลกหน้าที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้าน เขาสั่งเครื่องดื่ม และยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลให้กันเตอร์ที่รับไปด้วยใบหน้าเรียบเฉย

อีกฝ่ายเหลือบมองผมที่นั่งอยู่ ฝ่ามือยกขึ้นขยับหมวกแก๊บสีดำที่สวมใส่อยู่เล็กน้อย ก่อนจะกระดกช็อตเหล้าที่ได้แล้วเดินออกจากร้านไป

ทุกความสนใจเบนกลับมาหาร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์อีกครั้ง เขาฮัมเพลงด้วยเสียงทุ้มต่ำตามเพลงที่เปิดอยู่ในคลับ หยิบแก้วช็อตที่ว่างเปล่ากลับไปวางไว้ในอ่างล้างจาน และเดินวนกลับมาที่เดิม

“กันเตอร์” ผมตัดสินใจเรียกออกไป พอได้รับความสนใจ ความคิดในหัวก็ถูกปล่อยออกมา “มีงานอะไรให้ผมทำหรือเปล่า”

พอพูดออกไปแบบนั้น กันเตอร์ก็หลุดสีหน้าตกใจออกมา

“ผมหมายถึง.. ล้างจาน ทำความสะอาด หรืออะไรพวกนั้น” ผมรีบพูดต่อ จับจ้องสีหน้าที่ผ่อนลงคล้ายโล่งใจตรงหน้าด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด แต่สิ่งที่น่าสนใจมากกว่าในตอนนี้คือสิ่งที่ผมกำลังร้องขออยู่

เพราะผมไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปทำงานที่ร้าน ไม่ให้ออกไปไหนเกินรัศมีสองช่วงตึกจากที่นี่ นั่นหมายถึง นอกจากการนั่งฟังเพลง คุยกับกันเตอร์และพวกเด็กวัยรุ่นในแก็งค์ที่แวะเวียนมานั่งเล่นแล้ว

ผมก็ไม่มีอย่างอื่นให้ทำอีก

ในตอนแรก ผมคิดว่าคำขอนั้นจะอยู่ไม่นาน อย่างน้อยก็อาจจะแค่สองสามวันที่เดฟจะกักตัวผมไว้แบบนี้เพื่อความสบายใจของตัวเขาเอง ซึ่งผมก็ยอมทำตามง่ายๆ ไร้ข้อโต้แย้ง ในขณะที่วันเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ความหวังในการออกไปทำงานของผมยิ่งริบหรี่ ราวกับเรื่องนี้หลุดลอยออกจากสมองของอีกฝ่ายไปแล้ว.. และแน่นอน หลุดลอยออกไป พร้อมกับความสบายใจของตัวผมเองด้วย

พอไม่ได้ทำอะไรเลยสักอย่าง ความรู้สึกว่าไม่มีประโยชน์และไร้ค่าก็แทรกซึมเข้าเส้นเลือด

ผมหายใจเข้าออกไร้แก่นสาร นั่งเฉยๆ นับวันเวลาให้ผ่านไปอย่างเชื่องช้า

รอเดฟกลับมาหา ใช้เวลาด้วยกัน นอนหลับ รับรู้ว่าเดฟออกไป และรอเดฟกลับมาหาอีกครั้ง

ผมไม่ชอบสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้.. ไม่ได้หมายถึงเดฟหรือทุกคนที่นี่ แต่ผมหมายถึงตัวเอง

ความสบายกายที่มาพร้อมกับอะไรบางอย่างที่ติดค้างในใจ ไม่ใช่อะไรที่ผมโหยหา

“นายอยากทำอะไร” กันเตอร์เปรยถาม เขาเคาะปลายนิ้วลงกับเคาน์เตอร์จนเกิดเสียงกระทบเบาๆ

“อะไรก็ได้.. เริ่มจากล้างพวกแก้วนั่นให้คุณก่อนเลยก็ได้นะ ผมสัญญาจะไม่คิดเงินสักเหรียญเดียว” ผมทำหน้าตาจริงจังประกอบการพูด ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากอีกฝ่าย ก่อนที่เขาจะหลิ่วตา

“พวกนั้นน่ะฉันล้างเองใช้เวลาไม่ถึงห้านาที แต่ถ้านายอยากทำอะไรสักอย่าง.. ฉันขอมอบงานที่โหดสุดในวันนี้ให้เลย” กันเตอร์ว่า ก่อนจะหันหลังไปทำอะไรสักอย่าง ก่อนจะหันกลับมาพร้อมกับจานสีขาวขนาดใหญ่

มันคือออมเลทที่มีเบคอนและชีสอยู่ในนั้น

“นี่คือ..” ผมหลุบตามองจานตรงหน้า

“อาหารเช้าของคนที่อยู่ข้างบนนั้น” เขาเหลือบตาขึ้นมองด้านบน “เดฟซื้อมาให้ฉันก่อนจะออกไปหาแอช เดาว่านายคงลำบากใจ แต่ไม่มีใครยอมเอาขึ้นไปให้เขาสักคน”

“ของคนที่อยู่ข้างบน” ผมทวนประโยค พยายามค้นหาว่าใครคือคนคนนั้น ก่อนที่กันเตอร์จะเฉลยออกมา

“เบนน่ะ” คำตอบทำให้ผมชะงักไปทั้งตัว “เขานอนที่นี่ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ เดฟสั่งให้พักห้องว่างถัดจากห้องพวกนาย”

ผมจับจ้องอาหารในจานนิ่ง รับรู้ถึงการแผดเสียงไม่พอใจของความรู้สึกในร่างกาย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความนิ่งงันที่จงใจปล่อยออกมากลบสิ่งนั้นมันมากเกินไปหรือว่ายังไง กันเตอร์ถึงได้พูดดักออกมาเสียงอ่อย

“นี่ ถ้าลำบากใจ..”

“ไม่เป็นไรครับ” ผมพูดขัด ดวงตาช้อนขึ้นมองอีกฝ่ายตรงๆ “เดี๋ยวผมเอาขึ้นไปให้ก็ได้”

ผมแสร้งยิ้มให้กันเตอร์อีกครั้งเป็นการยืนยันคำพูด ไม่แน่ใจนักว่าเขามองมาด้วยสายตาแบบไหน เพราะความสนใจของผมหลุดลอยออกจากตรงนี้ไปเรียบร้อยแล้ว

รู้ตัวอีกที จานออมเลทก็อยู่ในมือ และฝ่าเท้าของผมก็ยืนถ่วงน้ำหนักอยู่หน้าบานประตูไม้

เสียงเคาะดังขึ้นสองสามครั้ง ผมทำมันไปโดยไม่มีความคิดอะไรสักอย่างในหัว นิ่งรออยู่เกือบนาที ความเงียบที่ได้รับกลับมาทำให้ต้องเคาะซ้ำลงไปอีก

“ใคร” เสียงตอบรับห้วนสั้นจากข้างใน ทำให้เผลอถอนหายใจออกมา

คราวนี้บานประตูถูกเปิดออกด้วยมือของผมโดยไม่ได้ร้องขออนุญาตหรือตอบคำถามก่อนหน้านี้ ภายในห้องไม่มีอะไรมากนัก ราวแขวนผ้าสีดำเรียบๆ เตียงนอน พรมเช็ดเท้า โซฟา และชั้นวางของที่ไม่มีอะไรวางอยู่

เบนนั่งพิงหัวเตียงอยู่ ร่างโปร่งสอดตัวเข้าไปในผ้าห่มผืนหนา ใบหน้าเบือนออกไปนอกหน้าต่าง เขาหันกลับมาสบตากับผม ใบหน้าแสดงความประหลาดใจออกมาชั่วครู่ ก่อนจะจางหายไป

“มีอะไร”

“ผมเอาอาหารขึ้นมาให้” ผมตอบ พลางวางจานไว้บนโต๊ะเล็กตรงหัวเตียง “วางไว้ตรงนี้นะ”

เบนมองการกระทำของผมโดยไม่ตอบรับอะไร ริมฝีปากสีซีดเม้มเข้าหากันแน่น ตอนที่เห็นอาหารในจาน ดวงตาเลื่อนลอยดึงให้ผมสงสัย ว่าอะไรคือสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ในหัวตอนนี้

“รู้หรือเปล่า..” เขาเกริ่นเสียงแหบ “เขายังรักฉันอยู่”

สุดท้ายก็ไม่พ้นเรื่องแบบนี้

ผมไม่ตอบคำถามนั้น.. ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ามันคือคำถามที่ต้องการคำตอบ

ในความรู้สึกของผม มันก็แค่ประโยคบอกเล่า ที่ปล่อยออกมาเพื่อสร้างความคิดแง่ลบชั่วพริบตา ไม่ได้มีผลอะไรมากไปกว่านั้น

“เงียบทำไม ตกใจที่ได้รู้หรือไง” เบนถามขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงติดเยาะ ท่าทางเลื่อนลอยในตอนแรกถูกกลบมิดด้วยภาพใหม่ที่เจ้าตัวจงใจสร้างขึ้น รอยยิ้มเล็กๆ ตรงมุมปากสนับสนุนให้ใบหน้าที่ซีดเผือดดูร้ายขึ้นจนน่าตกใจ

แต่การเสแสร้งเพื่อข่มแบบนั้น ไม่ได้ทำให้ผมมีอารมณ์ร่วมเลยแม้แต่น้อย

ดูเหมือนว่าชีวิตนี้ของผมจะเจอแต่อะไรพวกนี้มาเยอะ จนสิ่งที่พบเจออยู่กลายเป็นเรื่องเล็กเด็กน้อยไปในทันที อีกอย่างก็คือผู้ชายคนนี้ไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าจะต้องลงไปงัดด้วย มองยังไงก็เป็นแค่เด็กธรรมดาๆ

ผมส่ายหน้าเบาๆ ฝ่ามือทั้งสองข้างวางทาบกับกางเกงยีนส์ของตัวเอง ก่อนจะปล่อยตกลงนิ่งๆ ข้างลำตัว ผมจ้องใบหน้าอีกฝ่ายไม่ละสายตา

รอยยิ้มเริ่มเข้ามามีบทบาทในวงสนทนานี้.. ผมรับรู้ถึงการฉีกยิ้มของตัวเอง ทั้งๆ ที่ดวงตานิ่งสงบปราศจากความรู้สึก

“ที่ผมเงียบ เพราะผมไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องตอบ .. แต่ถ้าคุณอยากฟัง ผมก็จะบอกว่าผมไม่รู้” ผมว่า มองเห็นเบนที่หลุดหน้าเสียออกมา

ริมฝีปากเริ่มคลี่ยิ้มกว้างขึ้นจนเห็นฟัน ผมแสร้งหลุบตาลงต่ำ

“เพราะตอนที่อยู่ด้วยกัน เขายังไม่เคยพูดอะไรแบบนั้นให้ผมฟังสักที”

เด็ก..

ผมสรุปคำจำกัดความนั้นในหัว เด็กทั้งเบน.. เด็กทั้งการกระทำของผมที่ตอบโต้กลับไป

ผมไม่ชอบวิธีการตอบกลับแบบนี้เท่าไหร่นัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันทำให้เห็นผลลัพธ์เร็ว แล้วก็จบเกมไร้สาระนี่ได้โดยไม่ทำให้เสียเวลาและอารมณ์โดยเปล่าประโยชน์

“ผมไปนะ อาหารวางอยู่ตรงนี้ คุณกินเสร็จก็เอาลงไปให้กันเตอร์ด้วย เขาอยู่ที่บาร์” ผมพูดสรุป ก่อนจะหันหลังเตรียมจะเดินออกจากห้อง ไม่มีเหตุผลอะไรในการอยู่ตรงนี้ให้นานกว่านี้อีกแม้แต่วินาทีเดียว

เท้าขยับได้ไม่ถึงสามก้าว เสียงของตกกระทบพื้นก็ดังเสียดใบหู ผมหันใบหน้ากลับไปมอง สบเข้าจังๆ กับใบหน้าหาเรื่องของเบนที่ยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม

ก่อนที่สายตาจะเบนลงต่ำ จ้องมองอาหารที่เคยน่าทานบนจน ซึ่งตอนนี้หมดสภาพอยู่บนพื้นพรม บางส่วนกระเด็นมาไกลจนเลอะรองเท้าใส่ในบ้านที่ผมสวมอยู่

ลำบากใจจะแย่.. ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมใครๆ ถึงไม่อยากรับหน้าที่นี้

เอาแต่ใจตัวเอง

นั่นเป็นอีกหนึ่งคำจำกัดความที่แล่นปราดเข้ามาในห้วงความคิด

ยังคงไม่มีคำพูดใดหลุดลอดออกจากเราทั้งสองคน ผมยืนมองเศษอาหารนั่นอยู่อีกร่วมนาที ก่อนจะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบลงด้วยการถอนหายใจ

“คุณอายุเท่าไหร่แล้ว”

เบนเงียบ ปฏิกิริยาตอบรับเดียวที่ได้ในตอนนั้นคือการยกมือขึ้นกอดอก

“ผมกำลังถาม” ผมกดเสียงต่ำ พร้อมทั้งใบหน้าจริงจังที่จงใจยกขึ้นมาแสดง

“21 ทำไม” เสียงตอบสะบัดห้วนสั้น

ไม่มีความรู้สึกโกรธหรือไม่พอใจเกิดขึ้นในตัวของผม ในตอนนี้ สิ่งเดียวที่ดูจะเด่นชัดในร่างกายคือความว่างเปล่า

รู้สึกว่างเปล่าต่อทุกการกระทำ ทุกคำพูด และสายตาที่ได้รับจากคนคนนี้

ราวกับว่ามันไม่ส่งผลอะไรเลยกับตัวผม

ผมหลุดยิ้มจางๆ ออกมาตอนที่สำนึกได้แบบนั้น ดวงตาหลุบลงมองฝ่ามือ และเศษอาหารบนพื้น

“ต่อให้ไม่นับว่าผมโตกว่า ผมก็อยากสอนคุณอยู่ดี อายุ 21 ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว คุณควรเริ่มฝึกควบคุมตัวเองได้แล้ว” ผมถอยหลังเพิ่มหนึ่งก้าว หยุดยืนนิ่งอยู่ที่หน้าบานประตูที่ปิดสนิท

“อาหารพวกนี้ ผมจะเก็บให้คุณก็ได้ ในฐานะที่เห็นว่าคุณไม่อยู่ในสภาพที่พร้อมจะทำความสะอาดมัน.. แต่นี่คือบทเรียนที่คุณต้องเรียนรู้ ทำอะไร ต้องหัดจัดการกับผลที่ตามมาด้วยตัวเอง” ผมพูดรัวเร็ว อีกฝ่ายอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ผมก็เลือกที่จะแทรกขัดมันก่อนที่เขาจะได้โอกาสนั้น

“เก็บให้สะอาด ก่อนที่เดฟจะกลับมา” ผมส่งสายตาจริงจังไปให้ ฝ่ามือเอื้อมแตะลูดบิดประตูพร้อมกับเปิดมันออก

มองใบหน้าของคนทำอะไรไม่ถูกนั่นเป็นครั้งสุดท้าย

มองเศษอาหารจากบุชคอร์เนอร์นั่นอีกเป็นครั้งสุดท้าย

“รู้ใช่ไหม ว่าเขาจะพูดหรือรู้สึกยังไง ถ้ากลับมาเห็นอาหารที่เขาตั้งใจซื้อให้คุณแบบนี้”









เบนไม่ยอมออกมาจากห้องเลยทั้งวัน นับตั้งแต่ที่ผมเอาอาหารเข้าไปให้.. ผมไม่รู้ว่าเขายอมทำความสะอาดสิ่งที่ตัวเองเป็นคนสร้างแล้วหรือยัง ตัวผมเอง พอรู้ว่ามีอีกฝ่ายอาศัยอยู่ชั้นบน ก็ไม่มีความคิดจะกลับขึ้นไปที่ชั้นสองอีกเลย รวมถึงที่ห้องของตัวเองด้วย

“เป็นยังไงบ้าง เขายอมกินไหม” นั่นเป็นประโยคแรกที่เดฟพูด หลังจากเดินเข้ามาภายในคลับ กันเตอร์ยักไหล่แทนคำตอบว่าไม่รู้

หลังจากนั้น เดฟถึงค่อยๆ เบนสายตากลับมาสบกับผมที่นั่งอยู่บนเก้าอี้บาร์

“ไง” เขาทักเสียงอ่อน ฝ่ามือใหญ่วางลงบนเส้นผมของผมเบาๆ

“ไง” ผมตอบกลับไปในแบบเดียวกัน รับรู้ถึงความรู้สึกว่างเปล่าที่เพิ่มมากขึ้นในร่างกาย

บรรยากาศกลวงๆ แปลกๆ ระหว่างเราสร้างความหงุดหงิดและอึดอัด

แต่ผมก็ยังคงไม่พูดหรือแสดงท่าทางแปลกปลอมออกไป.. เหมือนเดิม

ไม่พูดหรือแสดงท่าทางอะไรทั้งนั้น แม้กระทั่งตอนที่สายตาหลุบลงมองสิ่งที่อีกฝ่ายถือไว้ในมือ.. อย่างถุงกระดาษของบุชคอร์เนอร์

เดฟทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ประตูคลับที่เปิดขึ้นก็ดึงสายตาผมให้หันไปมองก่อน ใบหน้าคุ้นตาชวนให้รู้สึกประหลาดใจกับการปรากฏตัวในครั้งนี้

“โจ?” ผมร้องทัก พร้อมๆ กับเดฟที่หันมองตามในทันที

“เฮ้..” เขาร้องทัก พอเห็นเดฟ โจก็แสดงท่าทางประหม่าออกมา ฝ่ามือสองข้างลูบย้ำๆ ที่ขาของตัวเอง ก่อนที่เขาจะพยักพเยิดไปทางประตูด้านหลัง “ขอคุยด้วยได้ไหม”

ใบหน้าของเดฟยังคงนิ่งเฉยตอนที่ผมลอบมอง มีเพียงฝ่ามือที่ยังวางอยู่บนหัวของผม ไม่ขยับเขยื้อนออกไปไหน

ใช้เวลาตัดสินใจไม่นานนัก กับการค่อยๆ เบี่ยงตัวออกจากที่นั่งอยู่ รับรู้ถึงสายตาของเดฟที่จ้องมา

แต่ผมไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองตอบ

“ได้สิ”

ความเย็นชาคุกรุ่นอยู่ที่ด้านหลัง ผมเม้มปาก และสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ขณะก้าวยาวๆ พาตัวเองออกมาด้านนอกของคลับ หลบมุมคุยกับอดีตเพื่อนร่วมงานที่ไม่ได้พบเห็นมาสักพัก

“เห็นนายไม่ได้ไปทำงานเลย.. ฉันก็เลย..” โจเริ่มบทสนทนาด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน “แวะมาดูว่านายสบายดี”

“สบายดี” ผมพูดขึ้นสั้นๆ เลือกที่จะกอดอกแล้วพิงแผ่นหลังเข้ากับผนัง “งานนั่น คงไม่ได้กลับไปทำแล้วด้วย.. ไม่รู้สิ”

พูดเองก็นิ่วหน้าเอง ผมไม่ชอบใจกับความรู้สึกนี้ แต่ก็ดูเหมือนจะมีคนไม่ชอบใจกับมันมากกว่าตัวผมเองอีก

“อะไรนะ ทำไมล่ะ” โจท้วงขึ้นด้วยเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิม ดวงตาไม่พอใจตวัดมองไปทางประตูคลับ “เขาให้นายออกเหรอ”

“นายไม่อยากพูดถึงเขา หรือมีปัญหาอะไรที่นี่หรอก” ผมเตือนสติ ดวงตาช้อนขึ้นมองใบหน้าที่ชะงักไปชั่วครู่

“หรือว่า เป็นเพราะฉันงั้นเหรอ” โจยังไม่หยุดการคาดเดาภายในหัวตัวเอง เขาขยับเข้ามาใกล้ ในขณะที่ผมยังยืนนิ่งอยู่กับที่ มีเพียงใบหน้าเท่านั้นที่ส่ายปฏิเสธข้อสรุปที่ได้ยิน

“เพราะฉันใช่ไหม เพราะสิ่งที่ฉันทำกับนาย”

“ไม่โจ.. ไม่ใช่” ผมสวนกลับ “ฉันไม่ชอบสิ่งที่นายทำก็จริง แต่นั่นไม่ใช่เหตุผล”

“งั้นฉันขอโทษได้ไหมล่ะ” แล้วเขาก็ชิงพูดขึ้นมา ราวกับรอจังหวะนี้มานาน ดวงตาจริงจังจ้องผมไม่กะพริบ “รับไว้ได้ไหมล่ะ คำขอโทษของฉันน่ะ ตอนนั้น ฉันไม่ได้.. ไม่ ฉันไม่ได้มีเจตนาให้นายรู้สึกไม่ดีแบบนั้น.. ฉัน แค่.. ฉันแค่”

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องพยายามพูดอะไรหรอก” ผมตัดบท ในตอนนั้น ผมรู้สึกโกรธ เพราะโจเป็นหนึ่งในคนที่ผมคิดจะให้ใจ ให้ความสนิทในฐานะเพื่อน ฐานะที่ไม่ใช่คนแปลกหน้าธรรมดาๆ แต่ความโกรธนั้นแตกต่างจากความเกลียด

ผมโกรธในตอนนั้น ไม่ได้หมายถึงมันจะกินเวลายาวนานมาจนถึงวันนี้

ยิ่งห่างหายกันไป เวลาก็ช่วยละลายความรู้สึกพวกนั้นให้จางลง

ผมยังคงจำได้ ว่าโจทำตัวไม่ดีแล้วก็พูดจาไม่ดีกับผม แต่นั่นก็เป็นเหมือนแค่ความทรงจำ เป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นและผมจำได้.. ในตอนนี้ ผมไม่มีแม้แต่ความต้องการจะเข้าใจ ว่าเขาทำแบบนั้นไปทำไมในตอนนั้น

“ฉันรับไว้ก็ได้ คำขอโทษ” ผมหมายความตามที่พูดจริงๆ

แต่การรับคำขอโทษ ก็ไม่ได้หมายถึงว่าผมจะยอมหรืออยากกลับไปสนิทหรือให้ความสนใจเหมือนอย่างเดิม

เพราะความทรงจำนั้น ผลักให้ผมรู้สึกเอียนกับผู้ชายคนนี้

“จากนี้ก็คงไม่ค่อยได้เจอกันเหมือนเมื่อก่อน ยังไงถ้าแวะผ่านไปทางนั้น จะเข้าไปทักทายนะ” ผมรีบพูดขึ้น ก่อนที่เขาจะได้ทำอะไรต่อ ใบหน้าที่แสดงความดีใจออกมาเลือนหายไปราวกับเมื่อกี้ผมแค่ตาฝาด

“ฉัน.. คงต้องกลับเข้าข้างในแล้ว” ผมเหลือบมองบานประตู ทุกความฟุ้งซ่านถูกปัดออกจากใจ ก่อนที่ร่างของผมจะชะงักอยู่กับที่เพราะสัมผัสที่กำรอบต้นแขน

ดวงตาเหลือบมองฝ่ามือแปลกปลอมนั่นนิ่ง

“ขอโทษ! ฉันไม่ได้ตั้งใจ” ว่าแล้วเจ้าของมือก็รีบชักมือกลับ

ผมก้มหน้า รอยยิ้มเล็กๆ ถูกวาดขึ้นบนริมฝีปาก ดวงตาเหลือบสบกับอีกฝ่าย “ขอบใจนะที่วันนี้อุตส่าห์มาถึงนี่”

โจดูตกใจกับคำขอบคุณไร้ที่มาที่ไปของผม ริมฝีปากอ้าออกเล็กน้อย ก่อนจะกลายเป็นรอยยิ้มที่ส่งกลับคืนมา

“อืม”

นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่ผมพูดคุยกับโจ การที่เขามาวันนี้ ลบเรื่องติดค้างในใจผมไปได้หนึ่งเรื่อง ถึงจะไม่ใช่เรื่องที่ใหญ่มากนักในตอนนี้ แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นอย่างปฏิเสธไม่ได้

กลับเข้ามาเผชิญกับปัจจุบันภายในคลับ เดฟนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ตัวที่ผมเคยนั่งพร้อมกับบุหรี่มวนยาวในมือ ดวงตาฉายความพึงพอใจออกมาตอนที่มองเลยไหล่ผมไปแล้วกับความว่างเปล่า

“ขึ้นข้างบนกัน” เดฟออกปากชวนทั้งที่ใบหน้านิ่งเรียบ เขาขยับลุกขึ้นยืน พร้อมกับฉวยฝ่ามือผมไปกำไว้

“อะไร ที่เพิ่งจะเวลาเท่าไหร่เอง” ผมส่งเสียงท้วง

“ขึ้นข้างบนกัน” อีกฝ่ายยืนยันคำเดิมอย่างเอาแต่ใจ และเพราะมันไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่ทำให้เดือดร้อน ผมถึงได้ยอมปิดปากแล้วเดินตามการจับจูงนั่นไปง่ายๆ

ยังไม่ทันจะเดินเข้าห้อง ความพอดิบพอดีก็บังเกิดขึ้นราวกับนี่เป็นบทละครแก้เครียดฆ่าเวลาของพระเจ้า เบนที่ไม่ยอมออกจากห้องมานาน หยุดยืนอยู่ตรงหน้าของเราไม่ถึงห้าก้าว ใบหน้าซีดจ้องมองเดฟ รวมไปถึงฝ่ามือของผมที่ถูกจับไว้ด้วยใบหน้านิ่งตึง

ผมเกือบจะไม่คิดไม่รู้สึกอะไรแล้ว ถ้าสัมผัสอุ่นตรงมือไม่ผละออกไปตอนที่เบนเดินเข้ามาใกล้ ผมหรี่ตา จ้องมองมือของเดฟที่ขยับขึ้นกลางอากาศ จับปลายคางของเบนแล้วออกแรงพลิกให้หันไปมา

“ลุกไหวแล้วเหรอ แผลเป็นยังไง” เขาเปรยถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ ขณะที่ดวงตาของเบนอัดแน่นไปด้วยประกายประหลาด มันดูมีชีวิตชีวา และเจือเต็มไปด้วยความหวัง

และก่อนที่เดฟจะผละมือกลับ ฝ่ามือผอมบางก็คว้าจับเอาไว้แน่นพลางแนบใบหน้าตัวเองเข้าหาสัมผัสอุ่น การวอนขอฉายชัดบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยบาดแผลฟกช้ำ

“ดี..” เบนเปรยเรียกเดฟเสียงสั่น ใบหน้าคล้ายคนกำลังจะร้องไห้ บรรยากาศที่ถูกแผ่ออกมาจากด้วยเต็มไปด้วยความอึดอัด ผิดกับเดฟที่ชะงักนิ่งไป

“คุยกันนะ..” คำร้องขอถูกส่งมาตรงๆ

เดฟนิ่งไปชั่วครู่ ลมหายใจถูกปล่อยออกมาเร็วๆ พร้อมกับใบหน้าที่สะบัดต่ำ เสียงสบถเล็ดลอดออกจากลำคอ

“ทำไมถึงอยากคุยอะไรได้ตลอดเวลาเลยนะ” เดฟถามกลับเสียงเบา

“เพราะคุณไม่เคยตั้งใจฟังผมเลยสักครั้งไง” เบนเถียง ก่อนจะเกลือกตาขึ้นมองด้านบนลวกๆ ล้อน้ำใสๆ ที่เคลือบอยู่ในนั้นกับแสงไฟที่สาดมาจากด้านบน

ในตอนนี้ ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรจะรู้สึกอะไร

มันเป็นความรู้สึกที่.. นิ่งงันมากกว่าเมื่อวานนี้หลายเท่านัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับตอนที่เดฟเหลือบตาขึ้นสบ มันคือการร้องขอเช่นเดียวกัน

“ผมเข้าห้องก่อนนะ”

และผมสนองคำขอนั้นอย่างคนไม่มีทางเลือก

เมื่อวานนี้ ผู้ชายคนนี้สอนให้ผมสัมผัสกับความมั่นใจ

ก่อนที่ในวันนี้มันจะโดนกระชากกลับไป โดยที่ผมไม่แม้แต่จะได้มีโอกาสตั้งตัว

ในตอนนี้ สิ่งเดียวที่ผมได้รับ ถูกยัดเยียดให้ ไม่ว่าจะจากความตั้งใจหรือไม่ก็ตาม

คือความรู้สึก

ของการไม่มีที่ยืน





tobecon.

____
#เดฟฟลอยด์

1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.22 Count To Three (06/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Zetnezz ที่ 07-04-2017 11:40:43
 :hao5: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.22 Count To Three (06/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 07-04-2017 16:59:27
หน่วง ไม่รู้เหมือนหน่วงของหน้ากากทุเรียนป่ะ
เดฟ กำลังทำอะไร ดูติดพันกับเบน
ถ้าฟลอยด์ จะห่างๆไป ก็ไม่แปลกนะเดฟ
เป็นเพราะเดฟ เอง
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.22 Count To Three (06/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 07-04-2017 18:41:19
ถ่านไฟเก่า มันเป็นอะไรที่........  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.22 Count To Three (06/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 08-04-2017 10:31:13
คุณเดฟค่ะ...อย่าให้ถ่านมันคุนะคะ แหมน่าเอาน้ำเย็นราดให้มันมอดซะจริง
#ทำไมฉันพึ่งเจอนิยายเรื่องนี้เนี้ยยยยย
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.22 Count To Three (06/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 08-04-2017 10:46:56
 :pig4:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.22 Count To Three (06/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 09-04-2017 03:05:54
 กรี๊ดดดดดดดดด  :ling1: เบน ฉันให้แก :z6:  เดฟ :fcuk:   o9 o9 o9 ปวดใจกับเดฟ ไปเถอะฟลอยด์ ไปตายเอาดาบหน้ากันมะ ฮือ :katai1:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.22 Count To Three (06/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: ijuney ที่ 13-04-2017 08:09:03
สนุกมากกรีบมาต่อนะ ส่วนเดพเลิกยุ่งกับแฟนเก่าสักทีเถอะ โกรธแทนฟลอยด์
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.22 Count To Three (06/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mecinzano505 ที่ 14-04-2017 03:17:12

22_
Count To Three

(ต่อ)



 

เข็มนาฬิกาเคลื่อนที่ไปข้างหน้าช้าๆ ผมพาตัวเองมาหยุดนั่งที่ริมหน้าต่าง มองผ่านกระจกสีชาออกไปด้านนอก รถรา ฮาร์เลย์และเสียงพูดคุยดึงแว่วมาให้ได้ยินเป็นระยะ ผมได้ยินเสียงหัวเราะของวัยรุ่นในแก็งค์ที่จับกลุ่มสูบบุหรี่กันอยู่ด้านหน้าคลับ

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่กันแน่ กว่าจะได้ยินเสียงเปิดประตูแทรกเข้ามา

ผมหันกลับไปมอง เพราะรับรู้ถึงสายตาที่จ้องมองมาจากด้านหลัง เดฟยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ใบหน้าเคร่งเครียดไม่ได้ถูกปรับให้ดีขึ้นในทันที มีอะไรบางอย่างกวนใจอีกฝ่ายอยู่

และผมอาจจะรู้ดี ว่ามันคืออะไร

“มันไม่มีอะไร”

นั่นเป็นสิ่งแรกที่เขาพูดขึ้นหลังจากกลับเข้ามาในห้อง ผมสบตากลับไปในความเงียบ รับรู้ถึงความจริงจังและการยืนยันคำพูดที่หนักแน่น

ลมหายใจถูกปล่อยออกมาพร้อมเสียงหัวเราะแผ่วเบา

“ผมยังไม่ทันว่าอะไร” ผมแสร้งพูดพลางส่งยิ้มกลับ ก่อนที่มันจะเลือนหายไปเมื่อผมสำนึกได้ว่าไม่มีอะไรน่าตลกในเรื่องนี้ “คุณมีสิทธิ์ทำอะไรก็ได้ที่คุณอยากทำ คุยกับใครก็ได้ที่คุณอยากคุย ผมจะไม่ว่าอะไรหรอก.. นั่นไม่ใช่สิทธิ์ที่ผมมี”

“ฟังที่พูดสิ” เดฟพึมพำเป็นจังหวะเนิบช้า พร้อมๆ กับร่างที่ขยับเข้ามาใกล้ เขาพาตัวเองกลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิมๆ แบบที่ชอบทำ กักตัวผมไว้ในวงแขน พร้อมกับยื่นความรู้สึกของการตกเป็นรองให้

ถึงแม้จะสบตากลับไปไม่หลบ แต่ลึกๆ ผมก็รู้ดี ว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายแพ้อีกครั้งในบทสนทนานี้

“อะไรทำให้นายคิดแบบนั้น นายสามารถพูดสิ่งที่นายรู้สึกได..”

“แต่ผมไม่มีอะไรจะพูด” ผมหลุดพูดแทรก ทั้งๆ ที่นั่นไม่ใช่วิสัยปกติที่จะทำ ความร้อนแปลกประหลาดแผดเผาในช่องอก ทำให้รู้สึกอึดอัดและอยากดิ้นรนออกจากที่นี่

“ถ้าฉันคุยกับเบน นายจะไม่ว่าอะไรจริงๆ น่ะเหรอ” เขาเลิกคิ้ว จรดลมหายใจอุ่นร้อนเข้าที่ผิวแก้มของผม แตะสัมผัสแผ่วเบาโดยไม่ขยับเขยื้อนไปไหน “ไม่มีอะไรจะพูด.. ไม่รู้สึกอะไรเลยด้วย” น้ำเสียงตวัดสูงแสดงคำถาม

ความรู้สึกแปลกปลอมปะปนเข้ามาในการรับรู้ ผมหลุดส่งเสียงหยันในลำคอ ขณะที่เดฟยังไม่ยอมผละตัวออกไป

 “แล้วที่พูดออกมานั่น..” เขาผละใบหน้าออกไป เว้นระยะห่างระหว่างเราไว้เกือบคืบ “ใจดี หรือว่าแค่ถ่อมตัวกันแน่”

ผมเลี่ยงคำถามด้วยความเงียบ เริ่มรู้สึกถึงอารมณ์ที่ขุ่นมัวของอีกฝ่ายเพราะระยะห่างที่มีอยู่น้อยนิดแสดงทุกอย่างให้เห็น

“ดี” เดฟพูดเสียงห้วน ดวงตาสีเข้มจ้องผมเขม็งพร้อมกับปล่อยให้เวลาดำเนินไปช้าๆ ฝ่ามือข้างหนึ่งค่อยๆ รูดลงจากผนังที่ผมพิงอยู่ คว้าจับเข้าที่สะโพกก่อนจะออกแรงบีบหนักๆ

ผมกำลังจะอ้าปากขอให้ปล่อย แต่เสียงก็ถูกกลืนกลับเข้าไปในลำคอ พร้อมกับใบหน้าที่สะบัดหันหนีตามกลไกของร่างกายเมื่อรับรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำอะไร ริมฝีปากที่ฉกวูบเข้ามาเมื่อครู่ เบียดชิดอยู่ที่สันกราม

“ถ้างั้นทำไมนายถึงเป็นแบบนี้”

ผมทิ้งสายตาลงที่ลูกบิดประตู ฝ่ามือกำแน่นที่ช่วงอกแข็งแรง

ได้ยินเสียงผ่อนลมหายใจแผ่วเบา

“หันหน้ากลับมา” อีกฝ่ายออกคำสั่ง โดยที่ไม่ต้องรอให้ผมตอบรับหรือทำตาม ฝ่ามือแข็งแรงก็ล็อกเข้าที่ปลายคาง บังคับให้ผมหันทันทีที่พูดจบ

น่าแปลกที่สีหน้าของเดฟไม่เป็นไปตามที่ผมคาดเดา ความหงุดหงิดที่เคยฉายชัดอยู่ละลายหายไปจนเกือบหมด ปลายนิ้วโป้งอุ่นเกลี่ยที่แก้มผมเบาๆ ลากลงพลางปาดผ่านริมฝีปากอย่างจงใจ

“ถ้าไม่ได้ไม่พอใจ ไม่ได้รู้สึกอะไร ทำไมถึงทำท่าทางแบบนี้” เขาตั้งคำถามพร้อมกับมองมาอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ “ไม่เห็นต้องเก็บเอาไว้เลยสักนิด ทำไมถึงคิดว่าไม่มีสิทธิ์.. นายพาผู้ชายคนอื่นออกไปคุยนอกสายตาฉัน ฉันไม่พอใจ ฉันจำเป็นต้องมีสิทธิ์อะไรพวกนั้นด้วยหรือไง”

ผมกะพริบตา แปลกใจกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน “อะไรนะ.. คุณหมายถึงผม กับโจเหรอ”

เดฟไม่ตอบคำถาม เขาใช้ดวงตาสีเข้มมองมานิ่ง ก่อนจะสะบัดหน้าลงต่ำแล้วหลุดสบถออกมาโดยที่ผมจับใจความไม่ได้ “หึงจนจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว หึงจนอยากรู้ว่าถ้าฉันทำแบบนั้นบ้าง นายจะเป็นเหมือนกันหรือเปล่า”

“นั่นมัน..” ผมหลุดครางเสียงอ่อน เพิ่งรับรู้ว่าพฤติกรรมที่แปลกไปจากเดิมของอีกฝ่ายที่หน้าห้องเกิดจากอะไร

“หึงจนอยากปิดปากนี่ไว้ จะได้ไม่ต้องไปคุยกับใครที่ไม่ใช่ฉัน” ปลายนิ้วของเดฟวนกลับมากดนิ่งอยู่เหนือริมฝีปากล่าง ก่อนที่น้ำเสียงจะทอดแผ่วเบาในประโยคต่อมา “เมื่อไหร่จะเลิกเป็นแบบนี้สักที ปากหนัก ทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่รู้สึกอะไรตลอดเวลาแบบนี้น่ะ”

ผมหลบตา ภายในเริ่มกระตุกรวนจากคำพูดตรงๆ ของอีกฝ่าย

“ก็ผมเป็นแบบนี้..”

เดฟสูดลมหายใจลึก ใบหน้าแหงนเงยขึ้นจนเส้นผมตกลงระต้นคอ ฝ่ามือขยับออกจากใบหน้าผม หยุดค้างไว้ที่ผนังแข็งๆ เหมือนเดิม เวลาผ่านไปเกือบนาที ผมไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ในหัว จนกระทั่งเขาเริ่มพูดอีกครั้ง

“เอางี้ เล่นเกมกันดีไหม..” เดฟก้มหน้าลง พลางช้อนดวงตาขึ้นมองผม ประกายประหลาดเล็ดลอดออกมา ราวกับเขาเพิ่งคิดอะไรดีๆ ออก “คนชนะได้จูบคนแพ้”

“ไม่เอา” ผมรีบตอบแทบจะในทันทีที่ได้ยิน “เสียเปรียบเห็นๆ”

รู้ได้เลยว่าเสียเปรียบ โดยไม่ต้องใช้เวลาไตร่ตรองนานด้วยซ้ำ

“งั้นคนแพ้ได้จูบก็ได้” อีกฝ่ายยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ

“ไม่เอา”

คราวนี้เดฟขมวดคิ้วมุ่น เขาหลุดชักสีหน้าออกมา พลางกดตาจ้องผมนิ่ง

“ผมเล่นแล้วได้อะไร” กลายเป็นผมที่ต่อบทสนทนานี้ด้วยตัวเองเพราะทนสีหน้านั่นไม่ไหว

“ได้จูบฉันไง”

ผมพ่นลมหายใจออกทางจมูก “ไม่”

เริ่มรู้สึกว่าร่างกายตัวเองรวนไปจากเดิม แค่เพราะมองเห็นภาพการกระทำแบบนั้นชัดเจนในหัว จูบของเดฟให้ความรู้สึกที่แปลกไม่เหมือนจูบอื่นๆ ในชีวิต มันเหมือนการโยนเอาระเบิดหรืออะไรสักอย่างเข้ามาในร่างกาย ทำให้รู้สึกร้อนและแปรปรวน ทั้งๆ ที่ภายนอกดำเนินไปอย่างเชื่องช้า

“ทำไม” เดฟถามเสียงสูง พร้อมกับคิ้วที่เลิกขึ้น ใบหน้าติดดุเอียงเล็กน้อย

 “ไม่เห็นจะอยากเลย” ผมกลั้นใจตอบไปห้วนๆ ใบหน้าเบือนหลบสีมองมาในระยะใกล้

“ไม่..” เดฟปฏิเสธห้วนสั้น ใบหน้าขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิม ไม่ต่างจากตัวที่เบียดเข้ามาจนชิด “ทำไมถึงหน้าแดง”

ผมกัดริมฝีปากแน่น ทุกอย่างที่เก็บไว้ตอนนี้ถูกระบายออกไปทางสีหน้าจนหมด ผมรู้ข้อนั้นดี ไหนจะความร้อนที่ไล่ลามตรงใบหูและขมับนี่อีก

“รู้ไหม นายไม่มีสิทธิ์เลือกหรอกนะ” เดฟพูดเสริม รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นตรงมุมปากขณะที่เขาผละใบหน้าออกไป ฝ่ามือใหญ่คว้าจับเข้าที่ข้อมือพลางออกแรงกระตุกให้เดินตามไปที่เตียง

ร่างสูงขยับขึ้นไปนั่งขัดสมาธิด้วยท่าทางสบายๆ ขณะที่ผมเองก็ขยับนั่งใกล้ๆ เมื่อเห็นสายตาแสดงคำสั่ง โดยไม่รอให้ผมตอบตกลง เขาก็เริ่มพูดถึงเกมที่จะเล่นทันที “ฉันกับนาย ผลัดกันถามคำถามทีละข้อ ฉันจะนับถึงแค่สาม ถ้าโกหกหรือไม่ตอบ..”

ประโยคถูกเว้นเอาไว้แค่นั้น และผมรู้ดีว่ามันคืออะไร

ผมไม่ชอบอะไรแบบนี้ ใจหนึ่งอยากลุกหนีออกไป อะไรบางอย่างลึกๆ ในตัวกู่ร้องเตือนว่าคำถามที่จะได้รับต้องไม่ใช่คำถามง่ายๆ ธรรมดา

แต่อีกใจหนึ่ง.. ผมก็มองเห็นว่านี่เป็นโอกาสที่ดีในการทำความรู้จักผู้ชายคนนี้

“ถือว่าตกลงแล้วนะ” เดฟยิ้ม ก่อนจะเริ่มคำถามแรกด้วยคำถามที่ผมไม่คาดไม่ถึง

“ชอบฤดูไหนที่สุด.. 1.. 2..”

“ใบไม้ผลิ” ผมตอบ สับสนนิดหน่อยกับคำถามที่เพิ่งได้ยิน ผู้ชายตรงหน้านี้ชอบทำอะไรหลุดออกไปจากการคาดเดาเสมอ ผมน่าจะรู้สักที “แล้วคุณล่ะ”

อาจจะเพราะยังไม่ชินกับเกมแบบนี้ และผมไม่รู้ว่าควรจะต้องถามอะไร การถามกลับเป็นกระจกแบบนี้จึงเป็นตัวเลือกที่ถูกหยิบมาใช้ และเดฟหลุดยิ้มออกมาพร้อมกับสีหน้าราวกับรู้อยู่แล้วว่าผมจะทำแบบนี้

“ฤดูร้อน” คำตอบนั่น ผมว่ามันก็เข้ากับเขาดี

“นายไม่ชอบฤดูอะไร..1..”

“ผมไม่ชอบฤดูหนาว” ผมมองเห็นเดฟพยักหน้า “แล้วคุณล่ะ..1..2..”

“ฉันจะไม่ชอบสักฤดู ถ้าไม่มีนายอยู่ที่นี่ด้วย”

ผมชะงัก รู้สึกถึงเลือดลมที่ตีวนใต้ผิวหนัง ฝ่ามือเผลอกำเข้าหากันแน่น และเดฟดูพึงพอใจกับท่าทางที่ผมหลุดออกไป แล้วรอยยิ้มพร้อมทั้งใบหน้าสบายๆ นั่นก็หายไปราวกับกดปุ่มหยุด

“นายคุยอะไรกับผู้ชายคนนั้น” เสียงของอีกฝ่ายจริงจัง

“.. เขาเป็นเพื่อนร่วมงาน แค่มาถามว่าทำไมไม่ไปทำงานเลย แค่นั้น” สีหน้าของเดฟดีขึ้นหลังจากได้ยิน คิ้วเข้มที่ขมวดเข้าหากันค่อยๆ คลายออกช้าๆ จนกระทั่งผมเป็นฝ่ายถามกลับ “แล้วคุณล่ะ”

...

“คุณคุยอะไรกับเบนคนนั้น” ในยามปกติ ผมไม่คิดว่าตัวเองจะถามคำถามแบบนี้ออกไป แต่ในสถานการณ์แบบนี้ เดฟเป็นคนที่เริ่มมันขึ้นก่อน และคงไม่แปลกอะไรถ้าผมจะถามกลับในคำถามเดียวกัน

“เขาบอกว่าขอโทษ อยากให้เรากลับไปเป็นเหมือนเดิม” เดฟตอบไวราวกับคำตอบนั้นถูกเตรียมในหัวมาก่อนแล้ว “นายตอบเขาไปว่าอะไร..1..”

“ผมบอกว่าคงไม่ได้กลับไปทำแล้ว ขอบคุณที่ช่วยเหลือมาตลอด” ผมตอบ และคราวนี้ชะงักคำถามที่จะถามไว้ในคอ ยังไม่กล้าถามออกไป และยังไม่อยากได้ยินคำตอบที่จริงจัง

เดฟกำลังมองมาอย่างรอคอย และเมื่อผมไม่พูดอะไร เขาก็ชิงตอบเองโดยที่ผมไม่ต้องถาม

“ฉันตอบกลับไป ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะขอแบบนี้อีก.. ในเมื่อฉันไม่มีวันทำแบบนั้น”

ในตอนนั้น ตอนที่ได้ยิน.. เหมือนทุกความกังวลในใจตัวผมถูกสลายหายไปหมด แค่เพียงประโยคเดียว ทำให้เกิดความสบายใจได้จนน่าตกใจในอำนาจของลมปาก

“แล้วตกลงว่านาย หึงฉันบ้างหรือเปล่า” คำถามนี้ทำให้ลมหายใจของผมสะดุด ดวงตาของเดฟหรี่ลง ก่อนที่เสียงทุ้มจะเริ่มนับ นับตัวเลขไปเรื่อยๆ ขณะที่ข้างในผมกระวนกระวายจนแทบคลั่ง

“1.. 2..” เดฟหยุดไว้ที่เลขสอง ราวกับจะยืดเวลาเพื่อช่วยต่อชีวิตของผม ความครั่นเนื้อครั่นตัวแปลกๆ เกาะกุมทั่วผิวกาย ผมจิกปลายนิ้วลงกับหน้าตัก ความสับสนในหัวกำลังหวีดร้อง

“..3”

รอยยิ้มที่มองเห็นทำให้ผมหลุดจากการเป็นตัวเอง ร่างกายไม่กล้าขยับเขยื้อน แม้กระทั่งตอนที่เดฟออกแรงดึงผมให้ขยับเข้าหา ทั้งร่างถูกยกขึ้น ก่อนจะวางให้นั่งซ้อนบนตักแข็งแรง ท่อนแขนอุ่นสอดรัดเข้าที่หลัง ออกแรงดันให้ตัวผมยิ่งขยับเบียดใกล้กว่าเดิม

จูบในครั้งนี้ให้ความรู้สึกราวกับโดนลงโทษ ตักตวงและแนบชิดเข้ามาลึกซึ้งเหมือนจะกระชากเอาทุกความจริงที่ผมไม่ยอมรับออกมา

เสียงลมหายใจหอบดังอยู่ในกกหู ผมเบือนหน้าหนี ใบหูร้อนฉ่าสัมผัสได้ถึงแรงขบเม้มแผ่วเบา “ถามต่อสิ”

“ผม..” ผมผงะถอยหลัง ร่างกายเกร็งเครียดจนสั่นเบาๆ ก่อนที่ผมจะสูดลมหายใจลึกเพื่อสงบสติอารมณ์

“คุณ ชอบกินอะไร” ผมเปลี่ยนเรื่อง แน่นอนว่าจะไม่ถามกลับด้วยคำถามจำพวก ‘แล้วคุณล่ะ’ อีก ในเมื่อเขาเพิ่งพูดกรอกหูอยู่ปาวๆ เมื่อครู่ว่าหึงหวงแค่ไหน

“1...2..”

ผมไม่คิดว่าคำถามที่ถามไปยากจนเดฟตอบไม่ได้ แต่เหมือนอีกฝ่ายต้องการจะแกล้งผม ด้วยการปล่อยให้ต้องพูดเยอะขึ้นทั้งๆ ที่เสียงยังสั่นอยู่แบบนี้

ร้าย..

“ฉันกินได้ทุกอย่าง นายจะทำหรือซื้ออะไรให้กินฉันก็ชอบทั้งนั้น” ผมหลุดหัวเราะสั้นๆ ออกมากับการจีบที่เพิ่งได้รับ

บ้าชะมัด ผู้ชายคนนี้

เดฟไม่ยอมถามกลับ มีเพียงดวงตาที่กะพริบแผ่วเบา มันเข้มขึ้นราวกับจะดึงดูดให้ผมจมลึกไปในการมอง แรงกอดกระชับขึ้นคล้ายป้องกันผมหนีหายไป

ผมนึกสงสัย ว่าคำถามในรอบนี้จะเป็นคำถามแบบไหน

แต่ความสงสัยนั้นก็มีตัวตนอยู่ไม่นาน

“ชอบฉันไหม” เดฟถาม ก่อนจะย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เริ่มที่จะรู้สึกชอบผู้ชายคนนี้บ้างหรือยัง”

ผมนิ่งไปราวกับถูกแช่แข็ง กับคำถามแบบนี้ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นในร่างกายตัวเอง จับสัมผัสไม่ได้ทั้งอัตราการเต้นของหัวใจ หรือเสียงเซ็งแซ่ในหัว ความนิ่งงัน ทุกๆ อย่างเกิดขึ้นพร้อมกันจนผมแยกแยะมันไม่ออก

สิ่งเดียวที่ระลึกได้ตอนนี้ มีแต่คำถามนั้นดังซ้ำไปซ้ำมา

ไม่รู้ว่าเดฟหยุดนับเลขไปตอนไหน แต่เรียวลิ้นที่กวาดย้ำในโพรงปากทำให้ผมรู้ว่าผมนิ่งคิดเกินเวลาไปมาก ผมถูกกวาดต้อนให้วิ่งไปในทิศทางที่เขาต้องการ เรียวขาขยับชันขึ้น ขยับเสียดสีช่วงสะโพกของอีกฝ่าย ปลายเท้าสัมผัสกับผ้าปูเตียงที่เย็นจากอากาศรอบตัว

ริมฝีปากอุ่นผละออกไปแล้ว แต่ความรู้สึกร้อนและละลายเป็นอะไรเหลวๆ ยังติดค้างอยู่ในห้วงความรู้สึก

ผมกลืนน้ำลาย เลือกที่จะแหงนหน้าขึ้นสูง ทิ้งสายตาให้จรดจ่ออยู่กับเพดานเก่าๆ

ภายในช่องอก ยังไม่หยุดเต้นรัวจนน่าอึดอัด

ริมฝีปากของเดฟกดทาบลงมาอีกครั้ง ขบกัดเบาๆ ตรงช่วงคอ ผมเผลอเกร็ง ก่อนจะได้ยินเสียงทุ้มต่ำบงการ

“ถาม”

“.. คุณ” ผมควานหาเสียงของตัวเองในอากาศ ดวงตาปิดแน่น “กำลังทำอะไรอยู่”

ได้ยินเสียงหัวเราะ พร้อมกับจูบที่พรมลงจนหยุดที่ซอกคอ “กอดนายไง” ไม่พอ ยังมีการรัดตัวผมแน่นขึ้นเสริมคำตอบอีกด้วย

“ชอบฉันแล้วหรือยัง” คำถามเดิมถูกปล่อยออกมาอีกครั้ง ผมเม้มปาก จ้องตาอีกฝ่ายเขม็ง

“ผมเพิ่งรู้ว่าทำแบบนี้ได้ด้วย”

เดฟไม่ตอบ แล้วก็ไม่ปฏิเสธอะไรออกมา รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ฉายวาบบนริมฝีปาก ก่อนที่เขาจะเริ่มนับ “1...”

“ขี้โกงนี่” ผมท้วง มองเห็นรอยยิ้มที่กว้างขึ้นราวกับเขาไม่สนใจคำกล่าวหานั้น

“2…” น้ำเสียงทุ้มทอดเนิบช้า ก่อนที่ผมจะยกสองมือขึ้นดันอกอีกฝ่ายไว้

เดฟเลิกคิ้ว ดวงตาหลุบต่ำมองการกระทำนั้นด้วยสีหน้าที่เริ่มกลับมานิ่งสงบ เดฟไม่ได้พยายามดึงผมเข้าหาหรือดันตัวเองเข้ามาบังคับจูบ ผมเกือบจะสบายใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก่อนจะหลุดร้องอุทานออกมาเพราะร่างกายที่โดนผลักถอยหลังไปในทิศทางที่ไม่ได้เตรียมใจไว้

แผ่นหลังสัมผัสกับเตียงนิ่ม พร้อมกับร่างสูงใหญ่ที่ขยับเข้ามาคร่อมทับโดยไม่เว้นจังหวะให้หนี “…3”

เสียงดังขึ้นห้วนๆ ฝ่ามือของผมวางเกะกะอยู่ข้างลำตัว ยังไม่ทันจะยกขึ้นมาช่วยเหลืออะไรตัวเอง ริมฝีปากร้อนก็กดเบียดลงมา ศีรษะของผมถูกลูบด้วยสัมผัสหนักๆ จากฝ่ามือ ใบหน้าถูกจับบังคับให้ขยับเงยขึ้นรับจูบที่อีกฝ่ายมอบให้

มือทั้งสองข้างเผลอตวัดขึ้นวางบนไหล่กว้าง ผมจิกกำเสื้อยืดใต้ฝ่ามือไว้แน่น เสียงครางประท้วงในลำคอหลุดลอดออกมาเมื่อร่างกายเริ่มทนไม่ไหว เสียงดูดดึงริมฝีปากล่างดังขึ้นอีกเป็นเสียงสุดท้าย ก่อนที่เดฟจะผละถอยกลับไป พร้อมกับปากของผมที่เริ่มเห่อช้ำ

“ไม่เล่นแล้ว” ผมร้อง หลังจากพยายามโกยลมหายใจตัวเองกลับเข้าปอดอยู่ร่วมนาที แต่เดฟก็ยังปักหลักอยู่ที่เดิม นอกจากจะไม่ลุกขึ้นแล้วยังจรดริมฝีปากลงมาใหม่อีกครั้ง แตะทาบกรอบหน้าของผม พรมจูบย้ำๆ ลงต่ำ.. ช่วงคอ กระเดือก หลุมเล็กๆ ตรงกลางไหปลาร้า แผ่นอกของผมยกขึ้นสูงพร้อมกับการกลั้นหายใจ เมื่อฟันคมๆ ลากผ่านผิวเนื้อที่ลอยขึ้นมาเพราะกระดูก ดวงตาหลุบมองร่างของอีกฝ่ายที่ค่อยๆ ขยับลงต่ำ

“เดฟ” ผมส่งเสียงเรียก มองเห็นการชะงักเล็กๆ ของอีกคน “ไม่เล่นแล้วได้ไหม”

ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองทำพลาดไปเมื่อเดฟเผยรอยยิ้มออกมา

“ถือว่านั่นเป็นคำถามนะ.. ไม่ได้” เดฟคลานเข่ากลับขึ้นมาอยู่ที่เดิม ฝ่ามือยกขึ้นปัดเส้นผมที่ปรกใบหน้าผมอยู่ออก ก่อนที่ปลายนิ้วจะจับมันทัดเข้าที่หลังใบหู “ฉันปล่อยนายไว้นานเกินไปแล้ว”

ผมเม้มปาก ทั้งๆ ที่น้ำเสียงเนิบช้าทอดอ่อน แต่ผมสัมผัสได้ถึงความเอาจริงเอาจังกว่าทุกทีในเสียงที่ได้ยิน

“ชอบฉันบ้างหรือเปล่า” เดฟเว้นช่องว่างระหว่างใบหน้าเราไว้เกือบสองฝ่ามือ ดวงตาจ้องลึกเข้ามาในตาผมราวกับจะแสวงหาคำตอบหรือความรู้สึกแบบที่เขาชอบทำ

นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มในตอนนี้ เจือแน่นไปด้วยความคาดหวัง

ผมไม่คิดว่าการพูดออกไปเป็นเรื่องยาก แต่ที่ยากคือการยอมรับความคิดนั้นกับตัวเอง

ผมจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีผู้ชายคนนี้ ผมจะเคว้งคว้างถ้ามองไปแล้วไม่เห็นเดฟอยู่ในสายตา ผมจะอ่อนแอและเอาแต่เรียกร้องให้อีกฝ่ายเข้ามาเติมเต็ม ผมจะไม่ใช่ผมคนเดิม คนที่สามารถทำอะไรด้วยตัวเองและไม่ต้องการคนอื่นอีกต่อไปแล้ว

การยอมรับความคิดแบบนั้น ทั้งๆ ที่นั่นเป็นตัวตนที่ผมยอมรับในตัวเองมาตลอดทั้งชีวิต เป็นเรื่องที่ยากกว่าที่เคยคิดเอาไว้

ผมหลบตา ใช้ความคิดอย่างหนักในการชั่งตวงความรู้สึกที่แท้จริง

ผมไม่อยากได้อะไรที่ฉาบฉวย ไม่อยากดึงความรู้สึกปลอมๆ มาเรียกว่าเป็นของจริงและทำให้ตัวเองอ่อนแอโดยไร้ประโยชน์

แต่เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ผมแก้มันไม่ได้ภายในหนึ่งหรือสองนาที

เดฟถึงได้ดูเหมือนถอยห่างออกไปเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ตัวเขาอยู่ใกล้ผมแค่เอื้อมมือออกไป

“คิดจะเอาความคลุมเครือมาแลกความชัดเจนไปอีกนานแค่ไหน”

ผมยังหลบตา ไม่ใช่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำแบบที่อีกฝ่ายพูดจริงๆ ไม่ใช่ไม่คิดตาม ระหว่างที่เว้นหน้าที่ให้ความเงียบเข้าทำหน้าที่แทนอย่างตอนนี้

“ฉันแก้ตัวทุกครั้งที่นายเข้าใจผิด ยืนยันทุกครั้งที่นายเริ่มรู้สึกไม่มั่นใจ ฉันบอกว่าฉันชอบนาย แล้วอะไรทำให้ฉันไม่สมควรได้รับการกระทำพวกนั้นกลับคืนเหรอ” เดฟหยุดมือที่ลูบหัวผม ก่อนจะดึงกลับไป ดวงตาคมหรี่ลง ขณะที่ใบหน้าแสดงคำถาม “ฉันไม่คู่ควรพอหรือทำอะไรผิดไปตรงไหนเหรอ”

ผมเม้มปากแน่น และคราวนี้เดฟไม่ยอมนับเลขสักตัว เขาปล่อยให้ผมใช้เวลาเท่าที่ต้องการเพื่อหาคำตอบในคำถามนี้

“ถ้ารู้สึกเหมือนฉันก็แค่พูดออกมา.. ถ้าไม่รู้สึก ไม่ได้ชอบเลยสักนิด ก็แค่พูดออกมาเหมือนกัน ทำไม่ได้เหรอ” เดฟหลุดเร่งเร้าเมื่อผมปล่อยให้เวลาผ่านไปนานกว่าที่ควรจะเป็น แววตาที่ฉายชัดถึงความหวังและความมั่นใจ เริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นวิตกกังวลเมื่อผมยังเอาแต่เงียบและจมอยู่กับความคิดในหัวของตัวเอง

ภายในร่างกายผมกำลังทำงานอย่างหนัก ทุกๆ อย่างผิดแผกและไม่เหมือนเดิม

ชอบ.. หรือไม่ชอบ

ยอมรับ.. หรือปฏิเสธ

“ก็ถ้าไม่ได้คิดอะไรกันเลย หรือฉันไม่ควรจะได้ยินคำพวกนั้น.. ก็ช่างมันแล้วกัน”

ดวงตาของเดฟหม่นวูบจนน่าใจหาย เขาสะบัดหน้าลงต่ำพร้อมหลุดรอยยิ้มกลวงๆ ออกมา ขณะที่ผมก็ยังเอาแต่ต่อสู้กับเสียงในหัว ทุกอย่างในตอนนี้บีบบังคับให้ผมรู้สึกกดดัน และยิ่งทำให้ร้อนจนอยู่ไม่ติดที่เมื่อเดฟทำท่าจะผละออกไป

เดฟชะงัก ฝ่ามือเท้าเข้ากับเตียง ขณะที่ท่อนแขนเหยียดตรงคล้ายคนกำลังจะลุก ดวงตาสีเข้มหลุบลงมองมือผมที่กำเสื้อยืดตรงหน้าท้องตัวเองไว้

“คุณยังไม่ได้นับถึงสาม” ผมท้วง

เดฟจ้องกลับมาด้วยแววตานิ่งเรียบ ผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ถึงแสดงสีหน้าแบบนี้ออกมา แต่เขาก็ยอมหยุดแล้วเริ่มนับ

“1..” เขาอาจจะไม่เข้าใจว่าผมกำลังทำบ้าอะไร เหมือนกันกับที่ผมไม่เข้าใจในตัวเอง

“2…” เดฟลากเสียงเอื่อยเฉื่อย ดึงเวลาให้ยาวนานขึ้น และเหมือนเดิม ผมยังคงเงียบ รับโอกาสที่เขามอบให้ พร้อมทั้งปล่อยให้มันหมดไปโดยไม่คิดจะทำอะไรเพิ่ม

“3..” หลังจากเลขสุดท้ายถูกปล่อยออกมา ทั้งผมและเขาก็โดนผลักเข้าสู่ความเงียบอย่างสมบูรณ์ เดฟมองมาด้วยสายตาเหมือนไม่เข้าใจในการกระทำของผม ก่อนที่รอยยิ้มจางๆ จะปรากฏขึ้นและร่างกายที่เริ่มถอยหลังออกไปอีกครั้ง

“เดี๋ยว” ผมพูดขัดอีกครั้ง ชัดเจนในตัวเองแล้วว่าที่ผมยังเอาแต่รั้งอีกฝ่ายอยู่แบบนี้เป็นเพราะอะไร

“เมื่อกี้ผมแพ้ไม่ใช่เหรอ” ดวงตาของผมหลุกหลิกไปมา เริ่มทำอะไรไม่ถูกและไม่รู้จะต้องพูดอะไรให้เข้าท่าในเวลานี้

เดฟมองมาอย่างสงบ ขณะที่ผมยกมือข้างหนึ่งขึ้นแตะเส้นผมสีดำสนิท

“จูบสิ”

พอถูกบีบ การกระทำโง่ๆ ที่ส่งตรงจากสมองก็ถูกกระทำโดยปราศจากการไตร่ตรองเช่นทุกที ทั้งๆ ที่เริ่มรู้ว่าแล้วว่าคำตอบจะออกมาเป็นแบบไหน แต่ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงพูดมันออกมาไม่ได้สักที

เดฟส่ายหน้าเล็กๆ สองสามครั้งราวกับไม่เชื่อหูตัวเอง ก่อนที่ฝ่ามือของผมจะถูกปัดออก พร้อมกับริมฝีปากที่เบียดทับลงมา แต่จูบนี้แตกต่างออกไปจากจูบครั้งก่อนๆ เดฟแค่แตะริมฝีปากแนบชิด ค้างอยู่ชั่วครู่แล้วผละออกไป

ผมผวาไขว่คว้าร่างของอีกฝ่ายไว้ เริ่มรู้สึกอึดอัดในช่องอก และมันเริ่มขยายตัวเป็นวงกว้างจนผมต้องรีบหาทางทำให้ตัวเองหลุดพ้นจากความรู้สึกแย่ๆ พวกนี้

“อย่าไป” ผมห้าม ขณะที่ดวงตาประสานกับเดฟที่ยังนิ่ง “รู้ไหมว่าผมคิดอะไรอยู่.. 1..2…”

“3” ผมนับมันโดยไม่เว้นจังหวะให้เขาคิดนาน “ชนะ”

เดฟขมวดคิ้ว คล้ายกับเขากำลังสับสนในการกระทำที่ดำเนินอยู่ของผม แต่ผมคิดอะไรไม่ออกสักอย่างเดียวในเวลานี้ มีเพียงร่างกายที่ขยับไปเรื่อยๆ ฝ่ามือออกแรงดึงเดฟให้ขยับเข้าใกล้อีกครั้ง ก่อนจะวางทาบลงตรงต้นคออุ่น ผมไล้ปลายนิ้วโป้งผ่านใบหู หยุดค้างตรงสันกรามที่บดเข้าหากัน

กลายเป็นผมเองที่ดันตัวขึ้นจูบอีกฝ่ายพลางใช้ฟันกัดเบาๆ ที่ริมฝีปากล่างจนเดฟอ้าปากออก ฝ่ามือที่ค้างอยู่ตรงท้ายทอยขยับเปลี่ยนเป็นใช้ท่อนแขนกอดจนแน่น จูบเนิ่นนานยิ่งตีสติที่ฟุ้งซ่านของผมให้แตกกระจาย ความร้อนไล่ลามตั้งแต่ช่วงขมับไปจนถึงเปลือกตา เราผละออกจากกัน ก่อนที่ผมจะขยับริมฝีปากเข้าชิดกับเขาอีกครั้ง

“อย่าไป”

เดฟหลุดสีหน้าครุ่นคิดออกมา ก่อนที่เขาจะผุดลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิเหมือนเดิมโดยกระชากร่างของผมตามไปติดๆ มือใหญ่คว้าจับเข้าที่ปลายคางพร้อมออกแรงบีบบังคับไม่ยอมให้หันหน้าหนี

ผมรู้ว่าในครั้งนี้ ผมได้รับโอกาสอีกครั้ง

“นายรู้สึกยังไงกันแน่... ชอบฉันหรือเปล่า” เขาถามซ้ำอีกครั้ง พร้อมตรึงดวงตาผมไว้ดวงความจริงจัง ไร้ซึ่งการล้อเล่นบนใบหน้าอีกต่อไป

ผมสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างยากลำบาก ความรู้สึกติดขัดค้างคาอยู่ตรงปลายจมูกและลำคอ มือทั้งสองข้างยกขึ้นวางทาบมือของเดฟที่ล็อกใบหน้าผมอยู่เบาๆ ออกแรงดึงให้เขายอมปล่อยออกพลางแนบริมฝีปากลงไปหนักๆ

เดฟมองการกระทำนั้นด้วยสายตาที่ผมอ่านไม่ออก จนกระทั่งผมขยับตัวขึ้นสูงแล้วโถมตัวใส่วงแขนที่อ้ารับ จูบดื้อดึงเอาแต่ใจถูกยื่นให้อีกฝ่ายด้วยตัวผมเอง ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ผมถึงเลิกทำแบบนั้น

มีไม่กี่อย่างที่ยังติดค้างอยู่ในห้วงความทรงจำ

เรียวลิ้นอุ่นชื้น ฝ่ามือที่บีบช่วงเอว ตักกว้างที่ผมนั่งทับอยู่ ลมหายใจคลอเคลียอยู่ตรงจมูก และดวงตาสีน้ำตาลเข้มอมดำ

น้ำใสๆ เจือจางอยู่ในดวงตา ผมกดหน้าผากลงที่บ่ากว้าง มองเส้นผมที่ตกลงบนช่วงไหล่อย่างคนคิดอะไรไม่ออก

“.. ชอบ”

ลมหายใจของเดฟชะงักไปเสี้ยววินาที ผมเอียงศีรษะ หันสายตาเข้ากับลำคอและผิวสีแทน “ชอบ.. จนรู้สึกเหมือนจะตายให้ได้เลย”

นั่นเป็นคำสารภาพแรกที่ผมยอมมอบให้อีกฝ่าย

ได้ยินเสียงเม็ดฝนตกกระทบหน้าต่าง จากเบาเริ่มกลายเป็นดังขึ้นเรื่อยๆ

ได้ยินเสียงอื้ออึงในกกหู

พร้อมกับจูบที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องใช้คำถามคั่นกลาง กับวงแขนอุ่นที่กอดรัดร่างของผมไว้ทั้งคืน







____
#เดฟฟลอยด์


1คอมเม้นต์1กำลังใจ
รักเสมอ

Cinzano 505.
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.22 Count To Three (06/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 15-04-2017 02:06:52
เขาบอกชอบกันเเล้วค่าาาาาา ไม่สิ  :z2: ต้องบอกว่าฟลอยบอกชอบเดฟแล้วววววว ลุ้นและดีใจแทนเดฟจริงๆขอหวานๆอีกอย่ามีดราม่ามาขัดเลยยย เอาบีออกไปไกลๆด้วย5555555  :hao6:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.22 Count To Three (06/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: ijuney ที่ 18-04-2017 22:58:27
สนุกมากก รีบมาต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.22 Count To Three (06/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Yundori ที่ 22-04-2017 03:29:12
โอ้โห รักเรื่องนี้มากแบบมากกกกกก
มากกกกกกก รักผู้ชายแบบเดฟมากกกกก
อันตรายแต่แบบ ดูเป็นคนดีจริงๆ
น่าอิจฉาเจนินมากๆ เอาจริงๆเธอไม่ควรเล่นตัว
อย่างที่บอก ไม่ใช่แค่โสเภณีกะเด็กนะที่อยากได้
ใครๆก็อยากได้เขา พูดเลย
สมน้ำหน้านังบี ทิ้งเขาไปเป็นไงล่ะ หึหึ และห้องติดกันด้วยนะ
นอนไม่ต้องหลับกันแล้ว จมกองน้ำตาไป
ยัยเจนินก็ชอบปากแข้ง จะอะไรนักหนาหะะะ บอกไปสิ ชอบก็คือชอบบบ
อย่ามาเล่นตัววววววว ไม่งั้นจะแย่งแล้วนะ  :katai4: :katai4:
รักคนเขียนค่ะ ภาษาเหมือนเป็นนิยายแปลเลย
ขอบคุณนะคะที่แบ่งปัน  :mew1:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.22 Count To Three (06/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 22-04-2017 12:57:50
เฮียเดฟ!!! หนูดีใจด้วยนะ ในที่สุดเมียเฮียก็ยอมรับความรู้สึกตัวเองแล้วอ่ะ :mew4: :mew4: อย่าทำร้ายฟลอยด์น้อยนะหลังจากนี้อ่ะ :katai5:

//รอร๊อรอ~
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.22 Count To Three (06/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 22-04-2017 13:40:38
ฮั่นน่อววววววว ที่แท้เดฟหึงนี่เอง  :hao7:  :serius2:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.22 Count To Three (06/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: R.michi ที่ 07-02-2018 02:18:49
โอ้ยยย เรื่องนี้มันดี ชอบ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.22 Count To Three (06/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: may27 ที่ 26-05-2018 18:13:48
มาอ่านตอนที่เค้าไม่มาต่อฮือๆๆๆ :o12:
หัวข้อ: Re: I BITE :: Chapter.22 Count To Three (06/04/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 21-06-2018 21:06:59
รอ ไรท์มาต่อนะ  สนุกมากกกกกกก   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: