พิมพ์หน้านี้ - My First Boyfriend Part 3:By Katesnk

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: anna1234 ที่ 02-01-2009 16:28:04

หัวข้อ: My First Boyfriend Part 3:By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 02-01-2009 16:28:04
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

............................
กรุณาอ่านภาคที่ 1-2 ก่อนนะจะได้เข้าใจ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2293.0
 :pig4: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่1 2/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 02-01-2009 16:28:27
บทที่ 1

“ที่รักครับ เราไปเดินสวนจตุจักรกันเถอะ อย่ามัวอุดอู้อยู่แต่ในบ้านเลยนะ”
เดียร์ร้องชวนผมทันทีที่โผล่เข้ามาในบ้าน วันนี้เด็กหนุ่มอยู่ในชุดเสื้อยืดตัวหลวม แขนกุดกับกางเกงลำลองขาสั้นเลยเข่ามานิดหนึ่ง แต่ถึงกระนั้น ร่างสูงนั้นก็ยังคงความหล่อเหลาสะดุดตา
เขาเดินเร็วๆเข้ามาหอมแก้มผมที่กำลังนั่งดูทีวีอยู่ในห้องรับแขก วันนี้ เด็กหนุ่มมาช้าไป 45 นาที แต่ผมไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะนับตั้งแต่วันที่เรามีอะไรกัน หมอนี่ก็ถือวิสาสะเข้าออกบ้านผมได้ตามอำเภอใจ นึกอยากจะมาวันไหนก็มา หากผมไม่อยู่ก็นั่งรอหน้าบ้าน บางทีก็ไปนั่งเล่นบ้านพี่สมชายหรือไม่ก็เดินเล่นเตร็ดเตร่อยู่แถวนี้จนกว่าผมจะกลับมา
เดียร์อ้างกับพี่สมชายว่าเขาเป็นญาติกับผม ซึ่งพี่สมชายจำเดียร์ไม่ได้ เขาไม่คิดว่าเด็กที่ชอบไปนั่งเล่นกับลูกของเขาที่บ้าน กับ เด็กคนที่เขาเห็นเคยส่งหนังสือพิมพ์เป็นคนๆเดียวกัน เพราะโดยปกติ เดียร์จะมาส่งหนังสือพิมพ์แต่เช้ามืด แล้วก็รีบกลับไป อีกทั้งในช่วงหลังนี้ เดียร์ก็ไม่ได้มาส่งหนังสือพิมพ์ที่บ้านผมดังเดิมอีก เวลาเห็นก็เห็นเพียงแค่แว่บๆ แกก็เลยจำไม่ได้ ซึ่งก็ดีกับผมมาก เนื่องจากขี้เกียจอธิบายให้พี่สมชายฟัง ว่าเรื่องราวมันเป็นมาอย่างไร
มีเด็กหนุ่มคนใหม่มาส่งหนังสือพิมพ์ แน่นอนไม่ได้ส่งบ้านผม เพราะผมไม่ได้สั่งอยู่แล้ว ก่อนหน้านั้นเดียร์ทำให้เป็นกรณีเฉพาะกิจ ก่อนที่เรื่องราวระหว่างเราจะลงเอยบนเตียงนอน หลังจากนั้นก็ไม่ทำต่อ บางทีผมก็คิดว่าการทำแบบนี้ของเดียร์ มันเข้าข่าย ทุ่มเทเพื่อให้รัก พอได้แล้วก็เปลี่ยนไป ทำตัวไม่เสมอต้นเสมอปลายเอาเสียเลย แล้วอย่างนี้จะเชื่อใจอะไรได้อีก
ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงคิดไปได้ถึงขนาดนั้น อาจจะเป็นเพราะเด็กหนุ่มคนนี้มาสร้างความเคยชินให้กับผมก็ได้ พอเขาเลิกทำสิ่งที่เคยทำเป็นประจำ ผมก็รู้สึกว่าอะไรบางอย่างมันขาดหายไป แล้วก็คิดเอาเองว่า เขาเป็นคนที่ไม่มีความมั่นคง ประมาณหลอกให้อยากแล้วจากไป แต่อันที่จริงแล้วไม่ใช่เลย เจ้าเด็กคนนี้หยุดมาหาผมในตอนเช้า เพราะว่าเขาได้รับการบรรจุให้เป็นพนักงานประจำในร้านกาแฟแทนการเป็นพนักงานชั่วคราว โดยเข้าทำงานกะดึก แล้วไปเลิกงานเอาตอนเช้า ทำให้เขาไปส่งหนังสือพิมพ์ไม่ได้ รายได้ตรงนี้มันดีมากกว่าที่จะไปตระเวนส่งหนังสือพิมพ์เสียอีก ซึ่งจากความจำเป็นในการดิ้นรนเพื่อเลี้ยงชีพในเมืองหลวงทำให้เดียร์ยอมเปลี่ยนงาน
ถึงแม้ผมจะไม่ได้เห็นหน้าเดียร์มาส่งหนังสือพิมพ์ในตอนเช้า แต่สิ่งที่เขาเพิ่มเติมมาให้ก็คือวันเวลาที่ได้อยู่กันมากขึ้น เขาจะมาหาผมบ่อยๆ แล้วก็อยู่ด้วยจนถึงประมาณ 2 ทุ่ม ก่อนที่จะออกไปร้าน มาทำกับข้าว ปัดกวาดเช็ดถูบ้านให้ รวมถึงเอาข้าวให้เจ้าหญิงกินด้วย ผมเองเคยรู้สึกเบื่อๆอยากๆ อารมณ์ประมาณว่า เวลาเดียร์อยู่ด้วยก็รำคาญ แต่ไม่ได้เห็นหน้าก็อดคิดถึงไม่ได้ เพราะเจ้าเด็กนี่ ชอบมาวุ่นวาย นัวเนียชิดใกล้ผมอยู่ตลอดเวลา แถมซ้ำออกแนวหึงหวงผมอีกด้วย แต่จะเป็นแบบนิดๆหน่อยๆไม่มากอะไร ยกเว้นแต่เมื่อไหร่ที่ผมพูดถึงศักดิ์ชาย เขาจะคอแข็ง ตัวแข็ง ตาขวางขึ้นมาทันที
ผมไม่ได้ต่อว่าอะไรเขาที่เขาละเมิดสัญญาที่จะมาหาผมแค่เฉพาะวันอาทิตย์ เพราะบางทีผมก็ได้คิดว่าการมีเด็กหนุ่มมาวุ่นวายอยู่ด้วย ทำให้ชีวิตที่ว่างเปล่าของผมรู้สึกสมบูรณ์ขึ้น มันดูไม่เงียบเหงาจนเกินไป แล้วอีกอย่างเขาก็ไม่เคยทำอะไรเสียหายร้ายแรง มีแต่จะมาคอยช่วยทำโน่นทำนี่ ทำให้บ้านของผมดูสะอาดสะอ้านมากกว่าเวลาที่ผมทำเอง หรือจ้างคนอื่นมาทำ แถมซ้ำเจ้าหญิงก็ได้เพื่อนเล่นคนใหม่ที่รักมัน แล้วก็เลี้ยงดูมันจนอ้วนพี เดี๋ยวนี้หมาของผมมันทรยศ รักคนอื่นมากกว่าเจ้าของมันเสียแล้ว
“ทำไมต้องไปถึงนั่นด้วย จะไปซื้ออะไรเหรอ”
“ต้นไม้อ่ะครับ บ้านเรียวน่ะ มีพื้นที่พอที่จะปลูกต้นไม้ได้ ผมเลยคิดว่า น่าจะลองหาต้นไม้ที่ดูทนๆ สวยๆมาปลูกบ้างอ่ะครับ จะได้ทำให้บ้านของเรียวดูสดใสขึ้นอ่ะ”
“ทำไมเหรอ บ้านฉันมันดูอึมครึมมากเลยหรือไง”
ผมย้อนถามอย่างขำขำ
“เมื่อก่อนน่ะใช่ แต่เดี๋ยวนี้ไม่แล้ว ตั้งแต่มีเดียร์คนดีของเรียวเข้ามา บ้านก็ดูสว่างไสวสดชื่นขึ้นตาเห็น ด้วยเหตุนี้แหละครับที่ทำให้ผมต้องมาหาเรียวบ่อยๆ เรียวจะได้มีช่วงเวลาที่มีความสุขบ้างไงครับ”
“ใครบอกกัน ว่าเวลานายอยู่ด้วยแล้วฉันจะมีความสุข”
“ไม่มีใครบอกหรอก ผมพูดเอง ก็รู้สึกอย่างนั้นนี่นา แล้วเรียวอ่ะครับ รู้สึกดีๆบ้างไหมที่มีผมมาอยู่ด้วย แต่ผมคิดว่าเรียวต้องรู้สึกดีแน่ๆ ดวงตาของเรียวมันฟ้อง ผมพูดถูกไหมล่ะครับ”
เดียร์ถามเสียงอ่อนเสียงหวาน เขามองสบตาผมด้วยดวงตาหวานซึ้ง ริมฝีปากเหยียดออกเป็นยิ้มกว้าง เห็นฟันขาวสะอาด และลักยิ้มบุ๋มที่ข้างแก้ม
“ไม่เคยรู้สึกแบบนั้นเลย”
ผมตอบเขาแบบไม่ตรงความจริงเท่าไหร่นัก และลอบสังเกตสีหน้าเขา เดียร์หุบยิ้ม ทำปากยื่น หน้างอ
“ใจร้าย พูดไม่ตรงความเป็นจริง โกหกนั้นตาย ตกนรกด้วย”
“ใครว่าต้องรอตอนตายก่อน..... ตอนนี้ฉันก็รู้สึกเหมือนกับตกนรกทั้งเป็นอยู่ดี ไม่เห็นว่าต้องรอเวลานั้นมาถึงเลย”
ผมแกล้งกัดเขาต่อ เด็กหนุ่มมีสีหน้าที่เคร่งขรึมขึ้น เขาจ้องตาผม แล้วถามด้วยน้ำเสียงซีเรียส เป็นจริงเป็นจังว่า
“อยู่กับผมแล้วเรียวทุกข์ใจอย่างนั้นเลยหรือครับ”
ตอนแรกผมตั้งใจจะอำเขาอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อเห็นหน้าจืดจ๋อยกับดวงตาเศร้าๆนั้นก็แกล้งไม่ลง รู้สึกสงสารขึ้นมาทันที
“จะบ้าเหรอ อยู่ๆก็เป็นอะไรขึ้นมาล่ะ พูดเล่นด้วยก็กลับคิดเป็นจริงเป็นจัง นี่แหละนรกชัดๆเลยอ่ะ ถ้าต้องมาพูดคุยกับคนที่ไม่ค่อยเข้าใจคนอื่นแบบนายอย่างนี้”
ใบหน้าหม่นหมอง ดูสดใสขึ้นมาทันที
“ผมก็คิดไว้อยู่แล้ว ว่าคงไม่ใช่หรอก เพราะผมเห็นเรียวยิ้มมากขึ้นกว่าเดิม เมื่อเทียบกับที่ผมเคยเห็น แสดงว่า เวลาเรียวอยู่ใกล้ๆผมต้องมีความสุขเหมือนได้ขึ้นสวรรค์เลย จริงไหมครับ”
เด็กหนุ่มยื่นหน้ามาจนชิด ทำหูตาแพรวพราว ผมใช้นิ้วจิ้มหน้าผากเขาแล้วผลักออกเบาๆ
“มาอีกล่ะ ไอ้โรคหลงตัวเองนี่ แก้ไม่หายเลยนะ แถมยังมีโรคอารมณ์แปรปรวนเพิ่มไปอีกด้วย เดี๋ยวทำหน้าตายิ้มแย้ม เดี๋ยวทำหน้าเศร้า ปรับตัวตามนายไม่ถูกหรอก”
ผมค่อนว่าเขา เดียร์ยิ้มแป้นให้ผม ทำหน้าทะเล้น
“ก็เรียวอ่ะ ทำให้ผมมีทั้งความสุขและความทุกข์ในเวลาเดียวกันอ่ะ แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ชอบที่จะได้อยู่ใกล้ๆเรียวนะครับ รู้สึกว่าบางสิ่งบางอย่างที่หายไป มันถูกเติมเต็มจากการที่ได้อยู่ร่วมกันกับคุณ ไม่รู้ว่าเรียวคิดแบบเดียวกับผมหรือเปล่า แต่ผมคิดแบบนั้นจริงๆครับ”
เด็กหนุ่มตอบด้วยท่าทางที่มีความสุข ผมสบตาเด็กหนุ่ม แล้วเกิดความรู้สึกสงสารอย่างบอกไม่ถุก เจ้าเด็กบ้าเอ้ย ทั้งๆที่รู้ดีว่าไม่มีหวัง แต่ก็ยังพยายามจนถึงที่สุด ผมนับถือน้ำใจเขาจริงๆ ถ้าเป็นผม คงถอดใจไปนานแล้ว
“อย่ามัวแต่พูดกันเลย จะไปสวนจตุจักรก็รีบไป เดี๋ยวจะร้อนมากกว่านี้ จะเดินสวนไม่สนุกนะ ลิสต์รายการไว้ก่อนเลย ว่าจะเอาอะไรบ้าง จะได้ไม่เดินสะเปะสะปะเสียเวลาไปเปล่าๆ ยังมีอะไรให้ทำอีกตั้งเยอะ”
ผมพูดตัดบทไม่อยากจะคุยกันให้มากความ เพราะเจ้าเด็กบ้านี่ ชอบพูดอะไรเข้าข้างตัวเองที่สุด ถ้าไม่ระมัดระวังตัวให้ดี ก็จะเข้าตัวผมทุกที ทางที่ดี ควรหลีกหนีไปจากสถานการณ์ที่ทำให้กระอักกระอ่วนใจดีกว่า
เราไปถึงสวนจตุจักรกันประมาณสายๆ แดดยังร้อนไม่มาก เดินกันได้สบายๆ เดียร์เดินจูงมือผมพาเดินลิ่วๆตรงไปยังโซนที่ขายต้นไม้ มือของเขาแข็งแรงมาก พยายามสะบัดอย่างไรก็ไม่ออก เด็กหนุ่มเห็นผมทำท่าขัดขืนไม่อยากให้เขาจูงมือผมในที่สาธารณะ ก็เลยพูดเสียงอ้อนน่าเห็นใจว่า
“คนมันเยอะนะครับ เดี๋ยวหลงกัน ผมกลัวว่าจะหาเรียวไม่เจออ่ะ”
“โทรศัพท์ก็มี โทรตามเอาก็ได้”
“บางมุมมันไม่มีสัญญาณนี่ครับ แต่เดินจูงมือกันไปแบบนี้ก็ดีแล้วนะครับ เรียวไม่ต้องอาย หรือรู้สึกไม่ดีนะ เป็นเพื่อนกัน ก็จูงมือกันได้นะครับ ไม่มีใครว่าอะไรหรอก เชื่อผมสิ”
“บ้าสิ ผู้ชายต่อผู้ชาย จูงมือกันเดินนี่นะ มันจะสำคัญกันเกินเพื่อนไปหน่อยมั้ง”
“แหม ก็อย่าคิดมากเลยนะครับ ไม่มีใครรู้จักเราหรอกนะ คนมันก็เยอะด้วย ผมจับมือเรียวไว้แบบนี้ จะได้อุ่นใจว่าเรียวอยู่ใกล้ๆผม ไม่ได้หนีหายไปไหน ผมห่วงเรียวอ่ะครับ ทั้งห่วงและหวงมากด้วย ถ้าไม่ให้จับมือ สงสัยผมต้องโอบไหล่ หรือโอบเอวเรียวไว้ แล้วเดินไปด้วยกันแล้วอ่ะครับ กลัวว่าคุณจะหายไปจริงๆนะ”
ผมมองหน้าตาอ้อนๆแล้วเกิดความรู้สึกหมั่นไส้ แต่ก็เป็นเพียงความรู้สึกเล็กน้อย สิ่งที่เดียร์ต้องการไม่ถึงกับสร้างปัญหาให้ผมเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะผมไม่เคยชินกับการที่จะถูกจับมือถือแขน จูงไม้จูงมือจากผู้ชายด้วยกัน โดยเฉพาะผมเพิ่งผ่านการมีอะไรกับผู้ชายคนนั้นเมื่อไม่นานมานี้เอง แล้วเขาก็รักผมมากเสียด้วย ก็เลยอดที่จะรู้สึกขัดเขิน ประดักประเดิดไม่ได้ กลัวสายตาที่คนอื่นมอง กลัวว่าเขาจะคิดว่าผมกับเดียร์เป็นพวกเดียวกัน
แต่อีกใจหนึ่งก็บอกว่า ไม่เป็นไรมั๊ง เพราะท่าทางบุคลิกภายนอกของเดียร์ ไม่ได้มีอะไรบ่งบอกสักนิดว่าเขาเป็นเกย์ นอกเหนือจากอาการที่ชอบออดอ้อน เอาอกเอาใจ นัวเนียไม่ยอมห่าง ซึ่งผมก็เคยเห็นผู้ชายแท้ๆบางคนก็เป็นกัน ผมก็ไม่เคยเห็นเดียร์ทำท่าตุ้งติ้ง เป็นผู้หญิง หรือ แสดงออกให้ใครรู้ว่าเป็นเกย์เลย ตรงกันข้าม ดูภายนอกเขาเป็นเด็กหนุ่ม ท่าทางแมนๆ กวนๆ ห้าวๆ หน้าตาหล่อเหลา หุ่นดี กล้ามสวย ความเป็นลูกครึ่ง ทำให้เขาได้เปรียบกว่าคนอื่นๆ สาวใดได้เห็นคงอดที่จะหลงรักเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้ เพราะเขาเป็นผู้ชายที่เรียกได้ว่าอยู่ในความฝันของสาวทุกคน หน้าตาดี จิตใจดี แถมซ้ำยังมีอารมณ์ขัน และทะลึ่งตึงตังอีกด้วย
น่าเสียดายที่เขาไม่เลือกไปหว่านเสน่ห์กับสาวๆพวกนั้น แต่ดันกลับมาเลือกหว่านเสน่ห์เอากับผมซึ่งไม่นิยมสร้างความสัมพันธ์ที่ผิดเพศ ถึงแม้ว่าผมจะเคยมีอะไรกับเขา แต่ผมก็ได้ข้อแก้ตัวสำหรับตัวเองแล้วว่า มันเป็นไปตามธรรมชาติของความอยากรู้อยากลองเท่านั้น ผมไม่ได้พิศวาสเขาแต่อย่างใด ดังนั้นแม้ว่าเดียร์จะทุ่มเทความรักให้ผมมากมายแค่ไหน ผมก็ยังคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ทำแล้วสูญเปล่าอยู่ดี
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่1 2/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 02-01-2009 16:29:49
ถึงผมจะรู้อยู่แก่ใจว่าเดียร์อ้างเหตุผลต่างๆฟังขึ้นบ้างไม่ขึ้นบ้าง เพื่อหว่านล้อมให้ผมยอมให้เขากุมไม้กุมมือพาไปไหนต่อไหนในสวนจตุจักรแห่งนี้ แต่อะไรบางอย่างไม่รู้สั่งการให้ผมไม่ขัดขืนเขาอีกต่อไป ดูเหมือนว่า เดียร์จะพออกพอใจมาก ที่ผมปล่อยให้เขาจูงมือผมไปโดยดี เขาจับมือผมไว้แน่น และคอยส่งสายตาหวานๆของเขามองผมตลอดเวลา เหมือนจะคอยดูแลคุ้มครองให้ ตรงไหนที่มีคนเยอะๆ เดียร์ก็จะเดินนำหน้า เอาตัวปะทะแหวกฝูงชนให้ก่อน โดยให้ผมเดินตาม เขาคอยเอาใจใส่ ถามไถ่ตลอดว่าผมเหนื่อยไหม หิวหรือเปล่า ทานน้ำไหม ท่าทางเป็นห่วงเป็นใยจนผมรู้สึกเขิน
“เรียวอยากจะปลูกต้นไม้อะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ”
เดียร์ถามเมื่อพาผมเดินไปยังแหล่งต้นไม้ ผมกวาดตามองไปทั่ว แล้วยักไหล่ ไม่รู้ว่าจะเลือกอะไรมาปลูกดีสำหรับผมแล้ว ต้นไม้มันหน้าตาเหมือนๆกันไปหมดเลย
“ไม่รู้สิเดียร์ ฉันไม่ค่อยมีความรู้เรื่องต้นไม้เท่าไหร่ นายล่ะ พอจะรู้เรื่องบ้างหรือเปล่า”
เดียร์ยิ้มให้ผม พลางส่ายหน้า
“เหรอ นายก็ไม่รู้เหมือนกันใช่ไหม แหมนึกว่าเก่งไปหมดเสียทุกอย่าง มีเหมือนกันแฮะ ที่นายก็ทำไม่เป็น”
ผมแสร้งว่าเขายิ้มๆ เดียร์หัวเราะ ทำท่าอายๆ
“ก็แหม ผมน่ะจะทำได้ดี ในเรื่องที่ผมสนใจน่ะครับ บางเรื่องผมไม่ได้ศึกษามาก็ไม่มีความรู้นะ เอาอย่างนี้ ในเมื่อเราสองคนไม่รู้เรื่องก็ถามเขาดีกว่านะครับ”
“ก็ได้ ว่าแต่คิดกันก่อนดีกว่าไหมว่าพื้นที่แค่นั้น น่าจะปลูกต้นไม้แบบไหนดี”
“เอาเป็นพวกไม้ประดับดีกว่านะครับ เพราะบ้านเรียวมีต้นมะม่วงซึ่งเป็นไม้ยืนต้นอยู่หน้าบ้านแล้ว เราก็ปลูกต้นไม้อื่นที่สวยๆดีกว่า ผมว่านะ”
“เอาแบบนั้นก็ได้ ไหนๆนายจะช่วยแล้ว ก็ช่วยคิดช่วยทำให้มันตลอดรอดฝั่งนะ ฉันไม่มีไอเดียทางด้านนี้เลย”
“ครับ เดี๋ยวผมจะถามวิธีการปลูก การดูแลมาให้เสร็จสรรพเลย แต่ว่าถ้าผมทำให้หมดทุกอย่าง เรียวจะมีรางวัลความขยันให้ผมบ้างไหมครับ”
เด็กหนุ่มทำหน้าเจ้าเล่ห์ ผมถอนหายใจ ทำท่าเบื่อหน่าย
“โธ่เอ๊ย นึกว่าจะใจดีทำให้ฟรี ที่แท้ก็หวังสินจ้างรางวัล”
“แหม ผมไม่ได้หวังอะไรที่มันเกินกว่าสิ่งที่เรียวจะทำได้นี่ครับ”
“แล้วอะไรล่ะที่อยากจะได้อ่ะ”
“ก็ถ้าผมทำสวนสวยๆให้กับเรียวได้สำเร็จ เรียวก็ต้องอนุญาตให้ผมเข้าไปในตัวเรียวอีกครั้งนะครับ”
ผมหน้าแดงก่ำ เมื่อได้ยินสิ่งที่เด็กหนุ่มพูด เจ้านี่บ้าไปใหญ่แล้ว กล้าดียังไงที่มาขอแบบนี้
“นั่นแหละคือสิ่งที่มันเกินกว่าที่ฉันจะทำได้”
“ไม่อ่ะ เคยทำมาแล้วตั้งสามครั้ง ก็แสดงว่ามันไม่ยากหรอกครับ เพียงแต่เรียวไม่อยากให้ผมทำเท่านั้นเอง ผมรู้”
เด็กหนุ่มทำเสียงน้อยอกน้อยใจ
“ก็นั่นแหละคือตัวปัญหาล่ะ ฉันไม่ได้ยินยอมให้เป็นแบบนั้นสักหน่อย แต่เอาล่ะ เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ฉันก็ไม่อยากจะโทษใคร แต่ถึงยังไงฉันก็ไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีก อย่ามาอ้อนวอนเสียให้ยากเลย
ผมตอบเขาด้วยสีหน้าจริงจัง เพราะผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ การเผลอไผลในคืนนั้น เพียงแค่ครั้งเดียวก็น่าจะเพียงพอแล้ว ผมไม่อยากจะให้มันเกิดขึ้นซ้ำๆอีก ผมรู้ว่าเดียร์รักผมมาก ก็หวังมาก หากผมยังยอมมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาอีก การจบกันของเราในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าก็จะยุ่งยากขึ้น
“อย่าคิดอะไรมากเลย ไปเลือกต้นไม้ดีกว่า แดดเริ่มร้อนแล้ว”
ผมบอกเขา เด็กหนุ่มมองผมอย่างรู้ทัน เขาไม่ว่าอะไรแต่กุมมือผมไว้แน่นเข้า ไม่ยอมปล่อย เหมือนพยายามจะส่งผ่านความรู้สึกทั้งมวลของเขาสู่ตัวผม ความรักที่เขามีให้มันมากมายสุดจะพรรณนา จนผมเองก็ได้แต่แอบรู้สึกสะท้อนสะท้านในใจ อยากรักเขาตอบแทน แต่ก็ติดตรงที่ว่า ผมกับเขาเป็นเพศเดียวกัน มันจะดีได้อย่างไร หากผู้ชายกับผู้ชายจะลุกขึ้นมารักกันเอง
“ไม้ที่เขานิยมปลูก ตอนนี้ที่มาแรงก็จะเป็นลีลาวดีนะคะ ดอกสวย ชื่อก็เพราะ แถมซ้ำตั้งแต่มีการบอกต่อๆกันว่าเป็นนามพระราชทานจากสมเด็จพระเทพฯ คนก็เลยฮือฮากันใหญ่ คนขายเร่งปลูก คนซื้อ แสดงความต้องการอยากได้อย่างมาก ทั้งที่จริงๆไม่ใช่เลยค่ะ”
คนขายที่เดียร์ไปถามไถ่ อธิบายถึงพรรณไม้ชนิดหนึ่ง ซึ่งแต่เดิมมีชื่อเรียกว่าลั่นทม และคนไทยสมัยก่อนส่วนใหญ่ไม่นิยมเอาไปปลูกในบ้านเพราะคิดว่าเป็นต้นไม้อัปมงคล เพราะเข้าใจกันไปว่าต้นไม้นี้ชื่อใกล้เคียงกับคำว่า ระทม ซึ่งหากปลูกในบ้านแล้ว จะทำให้คนในบ้านนั้นได้รับความระทมทุกข์ เศร้าหมอง จึงชอบที่จะเอาไปปลูกปลูกตามวัด หรือป่าช้ารวมถึงที่สาธารณะ
แต่ถ้าศึกษาด้านภาษาจริงๆแล้ว คำว่า ลั่นทม เป็นคำผสมจากคำว่า "ลั่น" กับคำว่า "ทม" ซึ่งคำว่า "ลั่น"นั้นมีความหมายว่า ละทิ้ง เลิก คำว่า "ทม" มาจากคำว่า ระทม ความระทม ความเศร้าหมองเมื่อนำมารวมกันจึงมีความหมายถึง ละทิ้งความระทม ละทิ้งความเศร้าหมองต่างๆนั่นก็คือการมีแต่ความสุขสดใสนั่นเอง
“นี่ก็เพิ่งไปอ่านมาจากในเวปนะคะ เขาบอกว่าทางกองบำรุงรักษาอุทยาน สวนจิตรลดาได้ยืนยันว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ไม่ได้พระราชทานนาม "ลีลาวดี" และทรงทักท้วงเกี่ยวกับเรื่องนี้มาแล้วในหลายโอกาส ชื่อใหม่ของ "ลั่นทม" ที่เปลี่ยนมาเป็น "ลีลาวดี"นั้นมีคนอื่นตั้งชื่อกันเอง ไม่ใช่ชื่อพระราชทานตามที่เข้าใจกันแต่อย่างใดค่ะ”
หญิงสาวเจ้าของร้านขายต้นไม้อธิบายฉอดๆ ท่าทางเป็นคนมีภูมิความรู้ เดียร์พูดคุยกับเจ้าของร้านอย่างเป็นกันเอง เลยได้รู้ว่า เธอจบมาจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และรักต้นไม้ กอร์ปกับที่บ้านเป็นร้านขายต้นไม้อยู่แล้ว จึงมาทำงานช่วยครอบครัวนับตั้งแต่เรียนจบ
ผมมองเด็กหนุ่มพูดคุยกับแม่ค้าขายต้นไม้ปริญญาตรีอย่างอดทึ่งไม่ได้ เด็กหนุ่มเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดี เข้ากับคนได้ง่าย เพราะความเป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใส มองโลกในแง่ดี ช่างพูดช่างคุยของเขา บวกกับหน้าตาและบุคลิกที่ดูดี ทำให้ดึงดูดผู้คนให้เข้าหาได้ง่าย ถึงแม้ว่าเดียร์จะอายุยังน้อย ความคิดความอ่านบางอย่างอาจจะดูเป็นเด็กอยู่บ้าง แต่ประสบการณ์ที่ผ่านมา ก็ทำให้เขามีความเติบโตทางความคิดมากกว่าเด็กหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกันที่ยังพึ่งพาเงินทองของพ่อแม่อยู่เลย
ความช่างพูดช่างคุยของเดียร์ทำให้เขาได้ต้นไม้สวยๆ ในราคาย่อมเยาว์ แถมได้รู้กลเม็ดเคล็ดลับในการเลี้ยงดูต้นไม้ให้อยู่รอดนานๆ ออกดอกออกผลให้เป็นที่น่าพอใจ จากแม่ค้าที่ช่างพูดอีกด้วย ท่าทางแม่ค้าสาวดูจะถูกชะตากับเด็กหนุ่มมาก ยังบอกอีกด้วยว่า หากมาซื้อครั้งต่อไปจะลดให้เป็นพิเศษ แล้วแถมต้นไม้ให้อีกด้วย เดียร์รับปากว่าจะมาอีก ทำให้แม่ค้ายิ้มแก้มแทบปริ
เนื่องจากยังพอมีเวลา เดียร์จึงชวนผมไปดูเสื้อผ้ามาใส่เล่น ใส่เที่ยว เราสองคนจึงฝากต้นลีลาวดี กับชวนชม ต้นไม้มงคล จำพวก วาสนาอธิษฐาน และว่านต่างๆไว้กับทางร้านก่อน แล้วจึงพากันเดินไปดูเสื้อผ้า โดยที่เดียร์ยังยึดมือผมมากุมไว้เหมือนเดิม
“เรียวครับ ดูเสื้อยืดสวยๆกันดีกว่านะ”
เด็กหนุ่มจูงมือผมไปยังร้านเสื้อยืดสีสันสดใส ลวดลายเก๋ไก๋ ร้านใหญ่ร้านหนึ่ง เขายืนกวาดตาไปทั่ว แล้วก็ชี้ให้ผมดูเสื้อยืดที่แขวนไว้แถบหนึ่ง เป็นเสื้อยืดสีหวานๆสดใส มีทั้งชมพู เหลืองอ่อน เขียวอ่อน ฟ้า สีม่วง แล้วก็สีครีม
“ตัวสีชมพูนั้นเหมาะกับเรียวมากเลยนะครับ มีลายเล็กๆน่ารักดี”
ผมมองตามมือชี้แล้วหน้าแดง นึกในใจว่า เจ้าเด็กนี่จะบ้าหรือเปล่า ให้ผมใส่เสื้อสีหวานแบบผู้หญิงใส่นี่นะ ผมไม่ใช่ตุ๊ดสักหน่อย จะใส่เข้าไปได้อย่างไร
“สีหวานแบบนั้นมันเหมาะกับผู้หญิงมากกว่า”
“อ๊า ไม่จริงนะครับ เดี๋ยวนี้ผู้ชายเขาก็ใส่กัน เรียวไม่รู้อะไรเสียแล้ว เดี๋ยวนี้น่ะ ผู้ชายเขาหันมาให้ความสนใจกับการแต่งเนื้อแต่งตัวมากขึ้นนะครับ ไม่ใส่อะไรที่ดูเฉิ่มๆเชยๆเหมือนสมัยก่อน เรียวคงได้ยินคำว่าผู้ชายเมโทรใช่ไหมครับ เมโทรเซ็กช่วลอ่ะครับ มีให้เห็นกันเกลื่อนเมือง เป็นผู้ชายก็สามารถแต่งตัวให้ดูดีได้พอๆกับผู้หญิงอ่ะครับ แล้วเขาก็หันมาใส่เสื้อผ้ามีสีสันกันแล้ว ไม่ใส่โทนทะมึนแบบที่เรียวใส่หรอกครับ”
เด็กหนุ่มพูดพร้อมกับมองมาที่เสื้อผ้าที่ผมใส่แล้วยิ้มๆ ผมก้มลงมองตนเอง แล้วรู้สึกหน้าชา เจ้าหมอนี่ดูถูกว่าผมใส่เสื้อผ้าเชยงั้นเหรอ ทั้งๆที่ผมก็ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเก่าคร่ำคร่าอะไรเพียงแต่สีเสื้อยืดที่ผมใส่อยู่มันเป็นสีดำเท่านั้นเอง แล้วมันเป็นยังไงเหรอ ก็ผมชอบอยู่แค่สองสีเท่านั้นนี่ สีขาวกับสีดำ นั่นแหละคลาสสิคที่สุดสำหรับผมแล้ว สีอื่นๆผมก็ใส่บ้างเหมือนกัน เพียงแต่ไม่ค่อยบ่อยเท่านั้น หมอนี่จะมาเหมาว่าผมเชยไม่ทันสมัยได้ไง
“อ๋อ หนุ่มเมโทร ซึ่งเป็นคำเรียกของเกย์ที่อ้างตัวเองเป็นแมนใช่หรือเปล่า อย่างนักร้องบางคนใช่ไหม ที่หน้าเด้งเวลาออกทีวี แต่งตัวมากมายยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก ถ้าหนุ่มเมโทรต้องแต่งตัวแบบนั้นทุกคน ฉันขอเป็นคนเชยๆดีกว่า”
ผมตอบเขาออกไปด้วยความหมั่นไส้ ใครจะอยากเป็นหนึ่งในกลุ่มเกย์เมโทรพวกนั้นกันล่ะ
“แหม เรียวนี่ก็ พูดนิดเดียวเท่านั้นเอง ออกตัวใหญ่เลยนะ กลัวว่าจะเป็นพวกเดียวกับผมหรือไงกันไม่ทราบครับ ที่ผมพูดเนี่ย ไม่ได้ต้องการให้เรียวแต่งเว่อร์ขนาดนั้นเสียหน่อย ผมเองเป็นเกย์แท้ๆก็รับไม่ได้เหมือนกันนะครับที่จะต้องแต่งตัวแบบนั้น เอาแค่รู้จักการแต่งเนื้อแต่งตัวให้ดูดี เอาแต่พอควรก็พอ ผมน่ะ แค่อยากให้เรียวลองเปลี่ยนลุคส์ตัวเองดูบ้าง รู้ไหม เรียวน่ะ เป็นผู้ชายที่หน้าออกแนวหวานๆ ผิวก็ขาว ถ้าใส่สีอ่อนๆหรือสีสันที่สดใสจะยิ่งดูน่ารักดีอ่ะครับ ผมอยากเห็นเรียวในเสื้อผ้าแบบนั้นจัง”
เดียร์ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ดูจริงจังและจริงใจ ผมสบสายตาของเขา แล้วเบือนหน้าหนี เข้าใจดีถึงความหวังดีที่มีให้ บางอย่างผมก็ยินดีรับ แต่ถ้ามันฝืนความรู้สึกจริงๆผมก็คงต้องปฏิเสธ
“ไม่เอาดีกว่าเดียร์ แต่ถ้านายชอบใจก็เลือกซื้อไปเถอะ เดี๋ยวฉันจะไปรอนายที่ร้านน้ำตรงนั้นแล้วกัน จะได้ไม่เสียเวลา ว่าแต่นายจะทานน้ำอะไรไหม เดี๋ยวฉันสั่งไว้ให้”
ผมชี้ให้เขาดูร้านน้ำที่ผมจะเดินไปนั่ง เขาทำท่าอิดออดจะไม่ยอมให้ผมไป แต่พอเขาเห็นหน้าเซ็งๆของผม เขาก็เลยยินยอมแต่โดยดี แต่บอกกับผมว่า ไม่ต้องสั่งน้ำให้เขา เดี๋ยวเขาจะไปกินเอง ให้ผมไปนั่งพักผ่อนให้หายเหนื่อยก่อนเถอะ ผมรู้สึกผิดที่ปล่อยเขาทิ้งไว้คนเดียว แต่ผมก็ไม่อยากไปเลือกซื้อเสื้อผ้าที่ผมไม่ชอบใส่ เพราะคิดว่ามันขัดแย้งกับบุคลิกของผม แต่เดียร์กลับชอบเสื้อผ้าสไตล์นี้ ผมเลยปล่อยให้เขาเลือกตามสบาย
ประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง เดียร์ก็เดินยิ้มแป้นมาหาผม ในมือถือถุงใส่เสื้อผ้ามาสองสามถุงพอนั่งลงตรงหน้า เขาก็ปาดเหงื่อ พร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาหันไปสั่งน้ำผลไม้ปั่นมาดื่ม ตามด้วยน้ำเปล่าอีก หนึ่งขวด หลังจากนั้นก็หันมายิ้มหวานให้ผม
“หิวไหมครับเรียว”
แทนที่ผมจะถามเขา เขากลับเอ่ยปากถามผมด้วยความห่วงใยเสียเอง จนผมอดรู้สึกแย่ไม่ได้ ที่ไม่ค่อยห่วงหาเขาเท่าไหร่ ไม่เหมือนเด็กหนุ่มที่คอยดูแลเอาใจใส่ความรู้สึกของผมอยู่ตลอดเวลา
“นิดหน่อย แต่เอาไว้ไปทำอะไรกินที่บ้านกันดีกว่า นายล่ะ หิวหรือยัง”
“ก็หิวอยู่เหมือนกันนะ จะกลับกันเลยก็ได้นะครับ ผมจะได้รีบเอาต้นไม้ไปลงดิน อ้อ เดี่ยวอาจจะต้องแวะซื้อปุ๋ย จอบและพลั่วไปด้วยอ่ะครับ ที่บ้านเรียวไม่มีอุปกรณ์พวกนี้เลย แต่เดี๋ยวเรียวไปรอที่รถก่อน ผมจะเดินไปซื้อเองนะครับ เพราะรอบเดียวคงแบกของไปไม่หมดไหนจะต้นไม้อีก ตั้งหลายต้นแน่ะ”
“เดินไปด้วยกันก็ได้”
ผมรู้สึกเกรงใจ ถ้าจะไปนั่งอยู่ในรถตากแอร์เย็นๆคนเดียว โดยที่ปล่อยให้เดียร์เดินท่อมๆซื้อของกลางแดดเปรี้ยงๆคนเดียว โดยเฉพาะของเหล่านั้น มันเป็นของที่ใช้สำหรับบ้านผม เดียร์อุตส่าห์ทำให้ ผมจึงไม่อยากจะเอาเปรียบเด็กหนุ่มโดยการนั่งอยู่เฉยๆไม่ทำอะไรเลย
“จะดีหรือครับ แดดมันร้อนนะ”
“นี่ ฉันไม่ใช่คนอ่อนแอนะ อะไรที่นายทำได้ ฉันก็ทำได้เหมือนกันแหละ”
“แต่บางอย่างที่ผมทำได้ เรียวก็ไม่เห็นจะอยากยอมทำนี่ครับ แล้วจะว่าเราสองคนเหมือนกันได้ไง”
เดียร์ทำน้ำเสียงยั่วเย้า คำพูดของเขามีความนัยซ่อนอยู่ ผมแสร้งทำหน้าดุใส่เขา
“นายนี่ มันทะลึ่ง จริงๆ ตอดนิดตอดหน่อยก็ยังดี”
เด็กหนุ่มหัวเราะจนตาหยี แล้วชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ กระซิบเบาๆที่ข้างหูว่า
“ทะลึ่งก็เฉพาะแต่กับเรียวเท่านั้นแหละครับ รักหรอกนะ ถึงได้แกล้งอำอยู่บ่อยๆ”
“ขอบใจนะ ไม่ต้องก็ได้ เบื่อแล้ว”
ผมทำเสียงลอดไรฟัน ไม่อยากพูดดังๆ เพราะอายคนอื่น เดียร์หัวเราะกิ๊กกั๊ก ชอบใจ พอคนเด็กเอาน้ำมาตั้งตรงหน้า เขาก็ละเลียดดื่มกินช้าๆ มองหน้าผมไป ท่าทางชอบอกชอบใจที่ได้แกล้งผม ช่างปะไร อยากทำอะไรก็ทำไป ไม่สนใจหรอก ผมแกล้งเบือนหน้าหนี หันไปมองนั่นมองนี่รอบๆตัว สายตามองผ่าน ร้านรวงที่แขวนเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ ราคาถูกอย่างเพลิดเพลิน พลันสายตาของผมก็ไปสะดุดที่ผู้ชายสองคนที่กำลังเดินเกี่ยวก้อยกันมาใกล้จะถึงร้านที่ผมกับเดียร์นั่งกันอยู่ หนึ่งในนั้นผมจำได้ดี เขาคือผู้บริหารคนที่มีเรื่องกับผมบ่อยๆ และเคยเจอผมกับเดียร์ที่ห้างสรรพสินค้ามาแล้ว เขาไม่ได้มากับผู้ชายคนเดิมที่ผมเห็นคราวก่อน แต่คราวนี้มากับเด็กหนุ่มหน้าตาดี ซึ่งมองอย่างไรก็คล้ายกับน้องแซ่บของเจ้าสันต์
ผมล้วงเงินออกมาวางบนโต๊ะ แล้วรีบสะกิดเดียร์ให้ลุกขึ้นหนีไปจากร้านนั้น เดียร์ลุกตามผมอย่างงงๆ พอพ้นร้านไปแล้ว ผมจึงค่อยหันไปมอง ก็เห็นสองคนนั่น นั่งในร้านเรียบร้อยแล้ว ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เขาไม่ทันเห็นผมกับเดียร์ จะได้ไม่ต้องเป็นขี้ปากของเขา แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็เริ่มรู้สึกหนักใจที่เห็นว่าคนที่เขาควงมาด้วยคือ คนที่เพื่อนรักของผมหมายปอง พยายามที่จะคิดในแง่ดีว่า เขาคงรู้จักกันธรรมดา หรือไม่ก็นัดกันมาซื้อประกัน แต่ท่าทางคล้องแขนที่เห็นมันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกได้เลยว่าเขาเป็นแค่เพื่อนกัน
นึกสงสารเจ้าสันต์ขึ้นมาทันที นี่มันจะรู้ไหมหนอ ว่าคนที่มันรักใคร่ชอบพอ ปันใจไปให้คนอื่น ถ้ารู้เข้ามันจะเสียใจหรือเปล่า หรือว่าทำเฉยๆ ผมเคยได้ยินมาว่า พวกเกย์มักจะชอบมั่ว คบกับใครไม่เคยยืดยาว ถึงเวลาหนึ่งก็เลิกร้างห่างกันไป ไม่เคยมีรักแท้ในหมู่เกย์ ไม่มีความสัมพันธ์ที่คงทนถาวร มีแต่ความรักที่ฉาบฉวย การเปลี่ยนคู่ควงบ่อยๆ การมีความสัมพันธ์กันเพียงแค่ต้องการปลดเปลื้องอารมณ์ใคร่ นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมทำใจยอมรับเดียร์ไม่ได้ เพราะนอกจากเดียร์จะไม่ใช่ผู้หญิงแล้ว ผมยังไม่เคยเชื่อมั่นในความรักของคนที่เป็นเกย์อีกด้วย สำหรับผมแล้ว มองความสัมพันธ์ที่ยืนยาวมากกว่า รักชั่วครั้งชั่วคราว หรือรักที่มุ่งหวังแต่เพียงเรื่องเซ็กส์เท่านั้น
“เฮ้ย มาได้ไงวะ”
มีคำกล่าวว่า พูดถึง โจโฉ โจโฉก็มา มันช่างใช้ได้กับสิ่งที่ผมเผชิญอยู่เสียจริง เจ้าสันต์ยืนยิ้มอยู่ตรงหน้า ข้างกายของเขา คือ นายแดนนี่ หนุ่มเก๊กแมน แต่สาวแตก ที่เจ้าสันต์มันสอยเอามาได้จากผับในสีลมซอยสองวันเดียวกับที่ผมโดนเดียร์จับตัวไป
ผมรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ไม่อยากจะนึกเลยว่า คนที่รักกันหวานแหวว อย่างเจ้าสันต์ และน้องแซ่บหากต้องมาเจอกันในสภาพที่ต่างคนก็ต่างพาใครอีกคนมา มันจะเกิดอะไรขึ้นหนอ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่1 2/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 02-01-2009 16:31:55
 :m23: เหอะๆเนื้อเรื่องมันเยอะอ่ะ
เลยโพส 2 หน้า ไม่ว่ากันนะ :bye2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่1 2/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 02-01-2009 16:36:39
^
^
จิ้มคุณแอน  :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่1 2/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: nanalonely ที่ 02-01-2009 16:40:40
มาจองที่อ่านเรื่องนี้


ขอไปอ่านก่อนนะคะ


+1เป็นกำลังใจให้พี่แอนคะ

~~~~~~~~~~~~~~~~~~


เฮ้อ เมื่อไหร่เรียวจะใจอ่อนซะที

สงสารเดียร์ หงอย
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่1 2/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 02-01-2009 17:26:15
มาให้กำลังใจพี่แอน  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่1 2/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 02-01-2009 18:15:53
มาจองที่อ่านเรื่องนี้


ขอไปอ่านก่อนนะคะ


+1เป็นกำลังใจให้พี่แอนคะ

~~~~~~~~~~~~~~~~~~


เฮ้อ เมื่อไหร่เรียวจะใจอ่อนซะที

สงสารเดียร์ หงอย
เค้าสอยกันไปเรียบร้อยแล้วแนนนี่ :z3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่1 2/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: Mint ที่ 02-01-2009 18:21:08
 :mc4: :mc4:

มาฉลองเรื่องใหม่


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่1 2/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: unnoname ที่ 02-01-2009 20:23:27
   
                                                  เรื่องใหม่  ^^

                                    เนื้อเรื่องน่าติดตามมาก รออ่านตอนต่อไปค่ะ

           
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่1 2/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: kittyfun ที่ 02-01-2009 22:05:59
มาลงภาคสามต่อให้แล้ว

กรี๊ดดดดดดดดดดด

ดูพี่เรียวยังใจร้ายกับน้องเดียร์ได้ลงคอ

น้องเดียร์ออกจะน่ารัก

หัวใจเรียวยังไม่ละลายอีกเหรอเนี่ย

ฝากบอกพี่เคทด้วยนะคะว่านิยายเรื่องนี้สนุกมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่1 2/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: nanalonely ที่ 02-01-2009 22:14:14
มาจองที่อ่านเรื่องนี้
ขอไปอ่านก่อนนะคะ
+1เป็นกำลังใจให้พี่แอนคะ
~~~~~~~~~~~~~~~~~~
เฮ้อ เมื่อไหร่เรียวจะใจอ่อนซะที
สงสารเดียร์ หงอย
เค้าสอยกันไปเรียบร้อยแล้วแนนนี่ :z3:
แนนหมายถึงเมื่อไหร่

เรียวจะใจอ่อนยอมให้เดียร์....อีก :-[

อร้ายย แนนแอบหื่นนอีกแล้ววว

พี่แอนก้อ ดูจิ แนนพูดอะไรออกไป อายอ่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่1 2/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: rayjikung ที่ 03-01-2009 01:38:30
 :z2:

เย้ๆๆๆๆๆๆ


ได้อ่านพามสามแร้วววววว!!!!!~~~
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่1 2/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: YO DEA ที่ 03-01-2009 02:50:08
เข้ามาอ่านเรื่องใหม่ด้วยคนครับ


^V^



หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่1 2/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: Ugly-TheBeast ที่ 03-01-2009 05:19:34
ตามมาติดๆคับผม
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่1 2/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 03-01-2009 13:16:23
 :o8: ขอบคุณฮ่ะที่ให้กำลังใจ

+1 ให้ทุกคนที่น่ารักเลย :3123:

ไม่รู้พี่เคทมาอ่านบ้างป่ะ อยากจะถามจริ๊งจริง
อย่างน้องเดียร์นี้ไปหาจองได้ที่ไหน :m17:
จะแย่งมาจากเรียกก็กลัวเรียวจะเป็นม่าย o7
เค้าอยากได้แบบเดียร์ซักคนดิ หาให้หน่อย o9
นะพี่เคทนะ เค้าจะรอให้พี่เคทหาให้ดีกว่า :impress:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่1 2/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 03-01-2009 14:28:35
ขอ ชม ครับ

เรื่อง นี้ ไช้ถาษ ได้ดี มาก โดน อย่าง แรงงง
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่1 2/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 03-01-2009 15:39:22
 :z1: มาต่อให้แล้วขออนุญาติแบ่งเป็น 2 ตอนนะ
ก็มันยาวอ่ะ :m17: สงสารเค้าหน่อยนะ


บทที่ 2.1

เจ้าสันต์มองผมกับเดียร์สลับกันไปมา สายตาเจ้าเล่ห์มีแววอยากรู้อยากเห็น

“วันนี้คุณลูกค้า มาช่วย พ่อครัว ซื้ออะไรกันเหรอ”

“จะรู้ไปทำไมกันวะ”

ผมถามมันอย่างเคืองๆ นึกโกรธที่อุตส่าห์หลบจากผู้บริหารปากเสีย ก็ดันมาเจอเจ้าสันต์จอมปากโป้งจนได้ ความโมโหทำให้ผมพูดเสียงห้วนใส่มันไป มันทำหน้ายิ้มๆ ไม่ยักโกรธ

“แหม ก็แค่ถามเท่านั้นเอง ก็แค่อยากรู้ว่า ในวันอาทิตย์แบบนี้ ร้านก็ปิด ทำไมพ่อครัวกับลุกค้าจึงมาเจอกันได้ นอกจากจะนัดกันมา”

เจ้าสันต์พยายามคาดเดา แต่แดนนี่ กลับโผล่งขึ้นมา หลังจากยืนฟังได้สักครู่

“แหม สันต์ก็ จะไปอยากรู้ทำไม ก็เพื่อนคุณเขาก็มากับแฟนเขา เหมือนกับที่เราสองคนก็มาด้วยกันไง”

“แฟน.....??????”
 

o22 o22 o22 o22 o22 o22 o22 o22 o22 o22 o22


ผมกับเจ้าสันต์พูดขึ้นพร้อมกัน เจ้าสันต์ทำหน้างงๆ ก่อนจะหันไปหาแดนนี่ เหมือนจะให้ช่วยอธิบายคำพูดของเขาที่พูดออกไปเมื่อสักครู่

“ก็หนุ่มคนนี้ คือ คนที่ เราเจอกันที่ผับในซอยสองไงครับ จำได้ป่ะ ที่ตอนนั้นผมจีบคุณเรียวอยู่ แล้วกำลังชวนกันไปทานข้าว แต่คุณเรียวไม่ไป เพราะมีแฟนมารออยู่แล้ว แฟนเขาก็น้องคนนี้ไงครับ ผมจำได้ดีเลย ถึงแม้ว่าไฟในบาร์มันจะมืดอยู่สักหน่อย แต่ผมก็จำหน้าตาของเขาได้ เพราะเขาหล่อสะดุดตาเหลือเกิน”

แดนนี่ อธิบายให้เจ้าเพื่อนรักของผมเข้าใจ ผมยืนนิ่ง รู้สึกหวั่นวิตกในใจ กลัวเจ้าสันต์จะจำเดียร์ได้ แล้วเขาก็จะเดาเรื่องออก มันยิ่งเก่งในเรื่องของการสืบค้นหาอยู่ด้วย
สิ่งที่ผมกลัวกลายเป็นจริง เจ้าสันต์หันขวับมาที่เดียร์ซึ่งกำลังยืนยิ้มทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยุ่ หลังจากยืนพิจารณาใบหน้าของเด็กหนุ่ม จ้องเอา จ้องเอาอย่างไม่เกรงใจแล้ว มันทำหน้าเหมือนกับกำลังบรรลุสัจจธรรมในชีวิต ดวงตาของมันเปล่งประกาย เจ้าสันต์ลากผมไปยืนห่างจากเดียร์และแดนนี่ พร้อมกับพูดกับผมเสียงเบาๆแต่ได้ใจความว่า

“อย่างนี้นี่เอง ถึงว่าทำไมถึงได้คุ้นหน้าคุ้นตาจัง ที่แท้นายก็รู้จักกันมาก่อน โชคดีของนายนะ ที่วันนี้ฉันไม่ว่าง ต้องรีบไป แต่เอาไว้วันหลังฉันจะจับนายมาซักฟอก ให้นายบอกฉันทุกอย่างเลย ห้ามปิดบังด้วย” :m12:

ผมยักไหล่ ไม่รับปากมัน คิดเหรอว่าจะมาล้วงความลับผมได้ มันเองก็มีเรื่องที่ปิดบังอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะการแอบนอกใจด้วยการมากับกิ๊กเก่า ถ้ามันปูดเรื่องของผม ผมก็จะบอกเรื่องนี้กับน้องแซ่บเหมือนกัน

“นี่เดียร์ทำไมยืนนิ่งอยู่ได้ ไม่ช่วยกันบ้างเลยนะ”

ผมหันไปต่อว่าเด็กหนุ่ใทันทีที่เจ้าสันต์เดินจากไปแล้ว เดียร์ยิ้มอย่างเห็นขัน

“เรียวจะให้ผมช่วยยังไงล่ะครับ”

“ก็พูดอะไรก็ได้ ที่จะทำให้เจ้าสันต์ไม่ต้องเข้าใจผิด”

เด็กหนุ่มหัวเราะก๊ากที่เห็นผมพาลหาเรื่องใส่เขา เขาถามผมว่า สันต์เข้าใจผิดตรงไหน สิ่งที่สันต์และแดนนี่พูดมามันก็ถูกต้องแล้ว เขากับผมรู้จักกันมาก่อน แล้วก็รู้จักกันตั้งแต่ตอนที่อยู่ในบาร์ที่สีลม แล้วเราก็ทำสัญญาเป็นแฟนกันด้วย เพียงแต่ผมไม่กล้าที่จะยอมรับความจริง แล้วก็หาทางปกปิดมันตลอด วันหนึ่ง คนก็ต้องรู้เห็นเรื่องของผมและเดียร์อยู่ดี

“แต่ถึงอย่างไร ฉันก็จะไม่มีวันให้ใครรับรู้ถึงข้อตกลงระหว่างเราหรอก มันไม่ใช่เรื่องดีงามอะไร ออกจะน่าอายด้วยซ้ำที่ นายใช้เล่ห์เหลี่ยมบังคับฉัน”

ผมอ้างถึงสิ่งที่เขาได้ทำกับผม เพื่อบอกเป็นนัยๆให้รู้ว่า ถึงผมจะยอมทำตามข้อสัญญา แต่ผมก็ไม่ชอบวิธีการของเขาเช่นกัน เด็กหนุ่มนิ่งไปอึดใจ และแล้วใบหน้าหล่อเหลานั้นก็มีรอยยิ้มระบายอยู่บนใบหน้าให้เห็น

“มันเป็นกุศโลบาย เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่หวังครับ จำได้ไหม ผมเคยบอกกับเรียวหลายต่อหลายครั้งแล้ว ว่าคุณคือคนที่ช่วยชีวิตผมไว้ เป็นคนที่ผมต้องตอบแทนบุญคุณ ความดีของเรียว ช่วยทำให้ชีวิตที่ไร้ค่าของผมมีคุณค่าขึ้น แล้วผมก็รักเรียวมากจริงๆ หากผมไม่ใช้วิธีนี้ ผมคงไม่มีวันเข้าถึงตัว แล้วก็ได้เรียวมาเป็นของผมก็ได้” :m16:

อารมณ์ของผมยังคงขุ่นมัวอยู่ จึงไม่อาจจะทำใจให้ปลื้มไปกับถ้อยคำจริงใจที่เขาพูดออกมา ผมเดินหน้ามุ่ยตรงไปยังร้านขายต้นไม้ ไม่มีกระจิตกระใจจะเลือกซื้อข้าวของอย่างอื่นอีก อยากกลับไปบ้าน หนีขึ้นไปบนห้องนอน ปิดประตูขังตัวเองไว้ในห้อง ปล่อยให้เดียร์ทำอะไรไปตามเรื่องตามราว ผมไม่อยากเห็นหน้าเขาอีก ความที่ผมกลัวว่าเจ้าสันต์จะพูดมากปากโป้ง นำเรื่องของผมไปพูดคุยให้ใครต่อใครฟัง ทำให้ผมพาลเอากับเดียร์โดยไม่มีสาเหตุ
หลังจากเดียร์กับผมช่วยกันเอาต้นไม้ไว้ด้านหลังรถแล้ว ผมก็ก้าวขึ้นไปนั่งด้านคนขับ ล้มเลิกความตั้งใจที่จะช่วยเดียร์เดินเลือกซื้ออุปกรณ์สำหรับปลูกต้นไม้ เด็กหนุ่มมองหน้าผม มีแววไม่เข้าใจอยู่ในดวงตาของเขา แต่เดียร์เลือกที่จะเงียบ ในยามที่อารมณ์ของผมกรุ่นไปด้วยความโกรธ เขาเดินจากไปอย่างเงื่องหงอย ในทิศทางที่เป็นโซนขายต้นไม้และอุปกรณ์ทำสวน
เดียร์กลับมาในอีกครึ่งชั่วโมงให้หลัง หอบจอบเสียม และปุ๋ยกลับมาด้วย เหงื่อผุดพรายท่วมตัวของเขา แก้มแดงจัดเพราะถูกแดด ผมรู้สึกสงสารเด็กหนุ่มที่ลงทุนทำทุกอย่างเพื่อผม แต่ความรู้สึกที่ว่า เขาเป็นคนพาเรื่องยุ่งยากมาให้ ทำให้ผมทำตัวเป็นคนใจดำ เมินเฉยต่อความเหนื่อยล้าของเขา ไม่ถามหรือพูดอะไรที่ให้กำลังใจเขาสักคำ พอเขาเอาของมาเก็บเรียบร้อย ขึ้นนั่งรถแล้ว ผมก็ออกรถทันที โดยระหว่างทางกลับบ้าน ไม่มีคำพูดใดๆเปล่งออกมาจากปากเราสองคน ผมนั่งเงียบ เดียร์ก็นั่งนิ่งเช่นกัน ต่างคนต่างปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปใกล
พอผมขับรถมาถึงหน้าบ้านแล้ว เดียร์ไม่ยอมลง แต่หันหน้ามาหาผม แล้วถามผมด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ดูเศร้าสร้อย แววตาหม่นหมอง

“เรียวโกรธผมทำไมหรือครับ แค่เรื่องที่ผมไม่ช่วยพูดแก้ต่างให้เรียวน่ะเหรอ หรือเรื่องที่ผมไม่ปฏิเสธที่เขาว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน ถึงทำให้คุณมึนตึงเฉยชากับผมแบบนี้”

คำพูดเชิงน้อยใจของเขา ทำให้ผมสะอึก พยายามนึกหาเหตุผลที่จะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นว่า โกรธเขาด้วยเรื่องอะไร มันก็ดันนึกไม่ออก จะว่าไปแล้ว สิ่งที่เดียร์ทำลงไป หากผมขัดขืนไม่ยอมซะอย่าง เดียร์ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ก็ในเมื่อผมเองไม่คัดค้านอย่างแข็งขันตั้งแต่แรก ผมจะไปโทษเขาได้อย่างไร คนที่ควรจะถูกตำหนิร่วมด้วยก็คือผมไม่ใช่ใครที่ไหนเลย
สำนึกดีของผมกลับคืนมา รู้สึกละอายใจที่พาลใส่เด็กหนุ่มทั้งๆที่เขาพยายามเอาใจผมทุกอย่าง ดูสิ เขาเหนื่อยกับการซื้อข้าวแบกของให้ผมจนเหงื่อตก ผมยังไม่ยอมเห็นใจเขาอีก ผมนี่มันไร้หัวใจจริงๆ ขืนเป็นแบบนี้เท่ากับผมกำลังสร้างประสบการณ์ใหม่ๆให้กับเดียร์ว่า ทำดีแล้วไม่ได้ดี เดี๋ยวเขาจะท้อใจไปเสียก่อน

ผมยิ้มให้เด็กหนุ่มแทนการขอโทษเขาจากใจ ถึงผมจะหงุดหงิดที่เจอใครต่อใครที่รู้จัก ซึ่งอาจจะทำเรื่องวุ่นวายให้งานของผมพัง แต่ผมก็ไม่ควรจะไปลงโทษเด็กหนุ่มคนนี้ ผมไม่มีทางเลือกอีกแล้ว นับตั้งแต่วันที่ได้ตัดสินใจยอมรับเงื่อนไขสัญญานั้น สิ่งที่จะทำได้ในตอนนี้คือ ต้องทำใจยอมรับ และพยายามหาทางไม่ให้เรื่องมันร้ายแรงมากยิ่งขึ้น

“ไม่มีอะไรหรอกนะ อย่าคิดมากเลย ฉันแค่หงุดหงิดกับบางเรื่องเท่านั้นเอง เดี๋ยวก็หายแล้ว เข้าบ้านกันดีกว่านะ มีงานให้ทำอีกเยอะเลย ทั้งปลูกต้นไม้ และทำความสะอาดบ้าน วันนี้นายจะทำอะไรให้ฉันกินน่ะ ชักอยากรู้ซะแล้ว ท่าทางจะอร่อยแน่ ตอนนี้หิวมากๆเลยนะ รีบไปทำกับข้าวกันเถอะ ฉันจะไปช่วยนายทำด้วย จะได้เสร็จไวไวนะ”

เดียร์ยิ้มหวาน เมื่อได้ฟังคำพูดชื่นชมจากผม เด็ก หนอ เด็ก เมื่อกี้ทำท่าน้อยอกน้อยใจผมอยู่ พอผมพูดจาดีด้วย ก็ยิ้มหน้าบานหุบไม่ลง เจ้าเด็กบ้านี่ ดูไปก็น่ารักดีเหมือนกันนะ

“ได้เลยครับ วันนี้ผมจะโชว์ฝีมือเมนูใหม่ล่าสุดที่ผมไปร่ำเรียนและฝึกปรือมา รับรองเรียวต้องชอบแน่ๆเลย ถ้าเรียวไปช่วยผมทำ ผมยิ่งมีกำลังใจทำสุดฝีมือเลยล่ะครับ”

ผมกลายเป็นลูกมือช่วยเดียร์ทำอาหาร และทำตามคำสั่งของเขาอย่างว่าง่าย ท่าทางเดียร์ดูจะมีความสุขมาก คุยฟุ้งถึงเรื่องการทำอาหารไม่หยุดปาก เขาให้ผมช่วยผัดผักให้ด้วย พอสุกได้ที่ เดียร์ก็มายืนใกล้ๆ แล้วก็สูดดมกลิ่นอาหารตรงแก้มผม แล้วก็บอกว่า ใช้ได้แล้ว

ผมงง ถามเขาว่า รู้ได้ไงว่ามันใช้ได้ แก้มคน กับอาหารมันคนละเรื่องกันเลย มาหลอกแต๊ะอั๋งผมใช่ไหม เดียร์หัวเราะก๊ากชอบใจที่ถูกจับได้ แต่ก็ยังแถไถบอกว่า กลิ่นอาหารมันติดที่แก้มผม เขาดมจากตัวผม ก็เหมือนกับได้ดมจากอาหารโดยตรง ให้ความรู้สึกดีกว่ากันเยอะเลย ผมรู้สึกขวางเขายิ่งนักที่เด็กหนุ่มคอยแต่จะหาเศษหาเลยกับผมอยู่ตลอดเวลา แต่ถึงกระนั้นก็ยังอดรู้สึกวูบวาบ พึงพอใจกับความเจ้าเล่ห์ของเขาที่คอยหาเรื่องลวนลามผมไม่ได้
หลังจากช่วยกันทำอาหาร แล้วก็ยกไปทานกันจนอิ่มพุงกาง ผมก็อาสาเก็บกวาดในครัว โดยที่เดียร์แยกไปเอาต้นไม้ลงดิน เราต่างแบ่งหน้าที่กันและกันทำเพื่อให้เสร็จเร็วขึ้น จะได้มีเวลาเหลือสำหรับการนั่งเล่นพักผ่อน หลังจากที่ผมจัดการเรื่องในครัวเสร็จแล้ว ผมก็เดินออกไปหน้าบ้าน เพื่อดูว่าเด็กหนุ่มทำสวนสวยให้ผมไปถึงใหน

ภาพที่ผมเห็นในตอนนั้นคือ ร่างสูงๆที่ไร้อาภรณ์ปกปิดลำตัวท่อนบนของเดียร์ชุ่มเหงื่ออยู่กลางแสงตะวันยามบ่ายคล้อย เด็กหนุ่มกำลังเอาต้นไม้ต้นสุดท้ายลงดิน และปรับแต่งดินที่โคนต้นให้ดูเรียบร้อยสวยงาม ผมยืนมองเดียร์อย่างเพลิดเพลิน เด็กหนุ่มเอาเศษใบไม้คลุมดินที่เพิ่งปลูกต้นไม้ลงไป และรดน้ำให้ความชุ่มชื้นกับมัน
เขายืนกอดอกเอียงคอมองผลงานของตัวเองด้วยความรู้สึกปลื้มปิติ และดูเหมือนว่าเขาจะรู้ว่าถูกแอบมองอยู่ เขาหันขวับมาทางประตูบ้านที่ผมยืนมองอยู่ทันที รอยยิ้มกว้างที่เห็นฟันขาวสะอาดตาผุดขึ้นที่ใบหน้าเปียกเหงื่อของเขา เดียร์เดินตรงมาหาผม แล้วถามอย่างขอความคิดเห็น แต่จริงๆแล้ว เหมือนอยากให้ผมชมมากกว่า

“เป็นไงบ้างครับ ผมจัดตกแต่งสวนให้เรียวสวยไหม มีอะไรต้องเพิ่มเติมหรือเปล่า”
ผมคิดจะแกล้งเขาด้วยการบอกว่าเขาทำได้ห่วยแตกมาก แต่แล้วก็เปลี่ยนใจพูดความจริงกับเด็กหนุ่มดีกว่า คนทำดี ต้องให้กำลังใจกันหน่อย ที่ผ่านมา ผมแกล้งเขามากเกินไปแล้ว

“ก็สวยดีนะ ไหนบอกว่าไม่เคยทำไง ดูไม่เหมือนเป็นครั้งแรกของนายเลย”

“แหมอะไรที่เป็นการทำครั้งแรกน่ะ ผมต้องพยายามทำให้ดีที่สุดอยู่แล้ว เรียวจะได้ประทับใจ แล้วใช้บริการผมอีกบ่อยๆ จริงไหมครับ เรียวคิดว่างั้นไหม ทำดีๆแล้วจะได้ทำอีกอ่ะ”

 :m3: :m11: :m3: :m11: :m3:


เด็กหนุ่มหลิ่วตา ทำหน้าเจ้าเล่ห์ ประกอบคำพูดที่แฝงความนัย ผมหน้าแดงก่ำ เมื่อนึกได้ว่า เด็กหนุ่มหมายถึงอะไร ร้องด่าเขาว่า บ้า แล้วก็ด่าเขาอีกว่าไอ้เด็กทะลึ่ง เดียร์หัวเราะอย่างชอบใจ บอกว่า เขาไม่ได้คิดอะไรนะ ผมต่างหากที่ทะลึ่ง คิดไปเอง เขาหมายถึงว่า การทำอาหาร หรือ ทำสวนให้ผมต่างหาก ผมเลยผลักเขาหน้าหงายแล้วเดินหนีเข้าบ้าน เดียร์หัวเราะเสียงดังลั่นไล่หลังมา
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่1 2/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 03-01-2009 15:49:50
“ล้อเล่นอ่ะ ที่รัก แต่มันก็มีส่วนจริงอยู่นะครับ เพราะว่าคนที่ผมรักและคาดหวังว่าจะอยู่ด้วยไปตลอดชีวิตก็คือเรียวไงครับ ผมจึงพยายามทำทุกอย่างที่ดีเลิศที่สุดให้กับเรียวอ่ะ ผมน่ะ อยากให้เรียวเห็นผมเป็นคนที่สำคัญที่สุดของเรียว ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ต้องพยายามเท่าไหร่ ผมก็จะอดทนแล้วก็ทำให้มันเกิดขึ้นให้จงได้ หากผมทำให้เรียวพอใจ ทำให้เรียวชอบผมได้มากขึ้นเท่าไหร่ ผมก็มีโอกาสมากขึ้นเท่านั้นนะครับ”

เด็กหนุ่มเดินตามเข้ามาในบ้าน และทรุดลงนั่งที่โซฟาตัวเดียวกับที่ผมเพิ่งนั่งลงเมื่อสักครู่ แล้วก็พูดกับผมด้วยสีหน้าและแววตาที่ดูมุ่งมั่นจริงจังผมรู้สึกปวดหนึบที่ตรงหัวใจ จากความปลาบปลื้มตื้นตันอย่างบอกไม่ถูกที่มีคนอื่นมาให้ความสำคัญกับตัวเองอย่างมากมาย บวกกับความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถจะทำให้คนที่รักเราขนาดนั้นสมหวังได้ ผมทั้งดีใจและรู้สึกแย่ไปพร้อมๆกัน

“ตัวนายเหม็นเหงื่อมากเลยนะ ไปอาบน้ำเถอะ”

ผมแสร้งว่าเขาเพื่อหลีกเลี่ยงไปจากสถานการณ์ที่ทำให้ตนเองอ่อนแอ ยิ่งรู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้ มีความดี ความน่ารักในตัวมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งไม่ปลอดภัยกับหัวใจของผมเองเท่านั้น ผมกลัวเหลือเกินว่า สักวันหนึ่ง ผมจะหลงรักเขาจนถอนตัวไม่ขึ้น ดังนั้นเพื่อตัดไฟเสียแต่ต้นลม ผมควรจะหนีให้ห่างเดียร์เข้าไว้ แล้วสร้างกำแพงขึ้นมาเป็นเกราะกำบังปิดกั้นความรู้สึกของตัวเองไม่ให้แสดงออกมา

“จริงเหรอ เหม็นจริงๆอ่ะ”

เดียร์ทำยกแขนขึ้นและเอี้ยวคอมาดมรักแร้ตัวเองทั้งสองข้าง ทำจมูกฟุดฟิด หน้าย่นยู่ ผมลอบยิ้มเมื่อเห็นท่าทางของเขา แต่ซ่อนหน้าไม่ทัน เดียร์เงยหน้าขึ้นมาพอดี และเห็นผมกำลังยิ้มอยู่ เขากรอกตาไปมา แล้วยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ กระเถิบตัวเข้ามาจนชิดผม พร้อมกับยื่นหน้ามาใกล้

“โกหกมั๊ง ลองดมดูสิ ไม่เหม็นหรอก”

ไม่พูดเปล่า เด็กหนุ่มดึงผมเข้ามากอดเสียแน่น จนแทบหายใจไม่ออก ผมไม่ได้ดิ้นหนี เจ้าความรู้สึกบางอย่างมันบอกให้ผมอยู่นิ่งๆและซึมซับเอาความอบอุ่นจากอ้อมกอดของเดียร์ให้มากที่สุด เดียร์เองก็นิ่งไปเหมือนกัน เขารัดผมแน่นเข้า เนื้อตัวสั่นเทาเพราะแรงแห่งอารมณ์ สักพักเดียร์ก็ดันผมออก เขายิ้มใส่ตาผม ทำท่าทะลึ่งตึงตังขึ้นมาทันที :m29:

“ไม่เหม็นใช่ไหมครับ เรียวให้ผมกอดโดยไม่ดิ้นหนีเลย แสดงว่าผมไม่เหม็นมากเท่าไหร่ แต่ว่าเพื่อความสบายใจของเรียว ผมจะไปอาบน้ำประแป้งให้หอมกว่านี้นะ เพื่อว่า วันนี้ เราอาจจะได้ทำอะไร กุ๊กกิ๊กๆกัน เรียวจะได้ไม่ขาดใจตายไปเพราะเหม็นตัวผมอ่ะครับ”

“บ้า”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
 

เดียร์หัวเราะอย่างร่าเริง ก่อนจะฉวยกระเป๋าเป้บรรจุเสื้อผ้าของเขาเดินเข้าห้องน้ำไป ครึ่งชั่วโมงต่อมา เด็กหนุ่มก็เดินกลับเข้ามาในห้องรับแขก ในสภาพใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ เนื้อตัวสะอาดเอี่ยม หอมฟุ้งด้วยแป้งฝุ่นสำหรับเด็ก เขาเดินมานั่งที่โซฟาตัวเดียวกับที่ผมนั่งมาตั้งแต่แรก มาถึงก็ยิ้มให้กับผม หน้าตาสดชื่นรื่นเริง

“งานก็เสร็จหมดทุกอย่างแล้ว ตัวก็หอมแล้ว มากุ๊กกิ๊กกันดีกว่า” :z1: :haun4:


เด็กหนุ่มส่งแววตาหื่นกระหายมายังผม จนผมอดไม่ได้ต้องหัวเราะออกมาด้วยความขำ แล้วยกเท้าขึ้นมายันเขาให้ออกไปห่างๆตัว

“นี่ อย่ามาทำบ้านะ ไอ้เด็กทะลึ่ง”o12

 “แหม เรียวอ่ะ ก็เราสองคนน่ะ ไม่ได้มีอะไรกันมาตั้งนานเลยนะ แล้ววันนี้อ่ะมันเป็นวันครบรอบ 1 เดือนพอดีที่เราเป็นของกันและกัน เรียวจำได้ไหมครับ โดยปกติเวลาครบรอบอะไรสักอย่าง เราต้องฉลองกันไม่ใช่เหรอ งั้นวันนี้เรามาฉลองกันเถอะนะนะนะ”


“…..”


ผมถึงกับอึ้งเมื่อได้ยินที่เด็กหนุ่มพูด เจ้าบ้านี่ จำได้ด้วยเหรอ ว่าเรามีอะไรกันวันไหน ผมยังจำไม่ได้เลย ที่จริงคิดว่าไม่อยากจำมากกว่า หลังจากมีอะไรกันกับเด็กหนุ่มแล้ว ก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ยิ่งเป็นเรื่องที่ตัวเองต้องเสียชายให้กับผุ้ชายด้วยกัน ยิ่งไม่ควรจะเก็บไว้เป็นความทรงจำใหญ่ แต่เจ้าหมอนี่กลับจดจำได้เป็นอย่างดี ดูเหมือนว่ามันจะเป็นสิ่งที่มีความหมายกับเขามาก


“อันที่จริงมันก็เป็นเวลาสองเดือนแล้วที่เราเป็นแฟนกัน แล้วก็ครบรอบ 1 เดือนด้วยที่เรามีอะไรกัน ผมน่ะ จำวันนั้นได้ดีเลย เพราะเป็นวันที่เรียวกลายเป็นของผม นี่ไง ผมยังจดไว้ในไดอะรี่ของผมเลยนะ อะไรที่เกี่ยวกับเราสองคนผมจดไว้หมดเลยในไดอะรี่ ผมอยากเก็บไว้ดูเพื่อเตือนใจว่า ผมกับเรียวอ่ะผูกพันกันแค่ไหน เมื่อไหร่ แล้วก็อย่างไรด้วย”


เด็กหนุ่มโชว์ไดอะรี่ตรงหน้าที่เป็นปฏิทินรายเดือนที่เขาขีดเขียนไว้เต็มไปหมดให้ผมดู ผมมองวันที่เขาวงแดงๆเอาไว้ แล้วถามเขาว่าไอ้เจ้าสัญญลักษณ์ XR3 คืออะไร เขายิ้มแล้วถามว่าอยากรู้จริงเหรอ ผมพยักหน้า เขาเลยเฉลยให้ฟัง

“มันเป็นเครื่องหมายที่ผมทำเอาไว้ดูไงครับ ว่าวันนี้ อ่ะ ผมได้ XXX กับเรียวไปถึงสามครั้งด้วยกัน คราวหน้าผมจะต้องทำสถิติเพิ่มมากขึ้น แล้วก็มีถี่ขึ้นด้วยอ่ะ น้อยกว่านั้นจะกลายเป็นคนฝีมือตกอ่ะ อุ๊บบบบบบบบบบ..........”


ผมไม่รอให้เดียร์พูดจบ ขว้างหมอนใส่หน้าเขา แล้วลุกเดินหนี เจ้าเด็กบ้านี่ ลามกตลอดศก สงสัยในหัวจะมีแต่เรื่องแบบนี้ คิดแล้วก็เสียววาบตรงก้นขึ้นมา ในใจนึกไปถึงการมีอะไรกับเขาในครั้งก่อน ที่เขาทำจนผมระบมไปหมด ตอนเช้าเลยต้องลางานอีกวัน เพราะทั้งป่วย เดินขากาง นั่งไม่ได้ แถมซ้ำมีรอยคิสมาร์คเต็มตัวไปหมด ทั้งคอ และหน้าอก ใครจะกล้าไปทำงานในสภาพแบบนั้น คนได้ล้อตายเลย แค่คิดว่าเขาจะเอาเจ้าหนูน้อยของเขา มามุดถ้ำผมอีกครั้ง ผมก็อุปทานว่าเจ็บก้นเสียแล้ว อยู่ห่างเจ้านี่ไว้ดีกว่า ท่าทางจะปลอดภัย


มีเสียงหัวเราะกิ๊กๆกั๊กอย่างถูกอกถูกใจดังมาจากคนหน้าทะเล้น เดียร์หงายตัวลงนอนกับโซฟา เอาหมอนที่ผมปาเขามากอดและหอม ทำตาเจ้าชู้ใส่ผม มองตามความเคลื่อนไหวของผมทุกอริยาบท จนผมทำอะไรไม่ถูก จะเดินขึ้นห้อง ก็กลัวเจ้าบ้านี่จะเดินตาม ผมเลยเดินมาทรุดตัวลงนั่งกับพื้นห้อง ตรงหน้าตู้วางทีวี และเปิดตู้หยิบพวกซีดีต่างๆที่ผมสะสมไว้ และวางสุมๆกันตอนที่ดูเสร็จแล้วไม่มีเวลาเก็บกลับมาจัดเรียงใหม่


“ผมช่วยนะ”


เด็กหนุ่มเลื่อนตัวลงจากโซฟา แล้วเดินมาทรุดลงนั่งใกล้ๆ ขันอาสาที่จะช่วย


“ไม่ต้องหรอก นายทำงานตั้งเยอะตั้งแยะแล้ว พักผ่อนเถอะ ตรงนี้ฉันทำเอง”


ผมรู้สึกเกรงใจเดียร์มาก เท่าที่เขาทำทุกอย่างให้ ก็น่าจะเหนื่อยพอแรงแล้ว

“งั้นผมมาอยู่ข้างๆเป็นกำลังใจให้นะ”


เด็กหนุ่มทำเสียงอ้อน ผมมองหน้าที่ยิ้มประจบประแจงนั้นเนิ่นนาน โดยไม่มีคำพูดใดหลุดจากปาก มันพูดไม่ถูกเนื่องจากไม่รู้จะวางตัวอย่างไร จะไล่เขาไปก็สงสาร ให้เขาอยู่ข้างๆก็รู้สึกเขิน

“ไม่พูดแปลว่ายอมให้ผมอยู่ใกล้ๆนะครับ”

เดียร์ทำหน้าชื่นบาน เดินไปหยิบหมอนอิงมาใบหนึ่ง แล้วกลับมาไถลตัวลงนอนข้างๆผม พอผมขยับตัวห่างออกจากเขา เขาก็คลานกระดึ๊บ กระดึ๊บ ตามมา ส่งเสียงตัดพ้อ

“ขออยู่ใกล้ๆหน่อยน้า..... อย่าเพิ่งถอยหนีสิ คิดถึงอ่ะ”

“นายนี่มันเป็นเอามากแฮะ คิดถึงบ้าบออะไร อยู่ด้วยกันตลอดทั้งวัน”

ผมว่าเขาอย่างนึกหมั่นไส้ มือก็เลือกซีดี และดีวีดีออกมากองแยกจากกัน เดียร์ไถตัวมาจนศีรษะชนกับสะโพกของผมจึงหยุด เขายื่นปากมาจูบตรงแก้มก้นผมทีหนึ่ง พอผมหันมาทำตาดุใส่ เขาก็ฉีกยิ้มกว้างให้ผม ทำท่าประจบประแจง

“ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกันอ่ะครับ รู้แต่ว่า มันคิดถึงอ่ะ อยู่ด้วยมากเท่าไหร่ ก็ยังไม่พอเลย อยากอยู่อีก อยู่ด้วยนานๆ ตลอดชีวิตก็ยิ่งดีอ่ะครับ”

น่าแปลกที่ผมรู้สึกแปล๊บๆที่ตรงหัวใจอีกแล้ว คำพูดของเดียร์ทำให้ผมสะเทือนใจเสียจริง เจ้าเด็กบ้านี่ พูดคุยอย่างอื่นไม่เป็นหรือไง คุยแต่แบบนี้ ผมจะคุยกับเขาได้นานซักแค่ไหน คุยทีไรก็เข้าตัวทุกที ยิ่งพูดจากันแบบนี้ใจของผมก็ยิ่งถลำลึก รู้สึกดีกับเขามากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ น้ำแข็งที่เกาะกินอยู่ในใจผม มันเริ่มละลายอย่างช้าๆ

จะว่าไปแล้วสองเดือนที่ผ่านมาตั้งแต่เราคบกัน มีความเปลี่ยนแปลงมากมายเกิดขึ้นในบ้านของผม มันดูสะอาดสะอ้าน ดูเป็นบ้านที่มีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าเดิม เดียร์มีส่วนช่วยอย่างมากที่ทำให้ทุกอย่างภายในนี้ดูสดใส และไม่ใช่แค่บ้านหลังนี้เท่านั้น ในใจของผมก็มีการเปลี่ยนแปลง จนผมเองก็รู้สึกกลัว ....กลัวที่จะรักเขา..... กลัวว่าผมจะต้องการเดียร์มากไปกว่านี้

“ผมซีเรียสจริงๆนะครับเรียวสำหรับวันนี้น่ะ ถ้าไม่ได้ไปฉลองกับเรียวสองคนที่ไหน คงรู้สึกแย่แน่ๆ อุตส่าห์เป็นวันครบรอบ 1 เดือนที่เรามีอะไรกันทั้งที น่าจะหาอะไรทำที่มันประทับใจ สักหน่อยอาจจะออกไปกินข้าวกันข้างนอก ไปเที่ยวกลางคืนกัน หรือ จะกินที่บ้านนี่ก็ได้ แต่สร้างบรรยากาศให้โรแมนติก แบบดินเนอร์ใต้แสงเทียนก็ดี ทำเหมือนว่าเราฮันนีมูนกัน เป็นปาร์ตี้กางเกงในก็เก๋ดีนะ แล้วก็จบลงด้วยการกุ๊กกิ๊กกันก็ได้ ผมพร้อมเต็มที่เลย ยินยอมมอบทั้งตัวและหัวใจให้เรียวอยู่แล้ว”

พูดเฉยๆก็พอทน แต่มือซุกซนของเดียร์กลับเลี้ยวลดเอื้อมพาดขาของผมผ่านมาตรงซอกขาหนีบด้านใน เขาลูบไล้ไปมาและคืบคลานมือไปเรื่อยๆ กำลังจะถึงน้องชายของผมอยู่แล้ว แต่ผมจัดการหยุดมันเสียก่อนด้วยการซัดผั๊วะไปที่มือของเขา เดียร์สะบัดมือเร่าๆ

“นี่แน่ะ ผลของการอยู่เฉยๆไม่เป็น และนี่สำหรับการคิดลามก ปาร์ตี้กางเกงในเหรอ กุ๊กกิ๊กกันเหรอ ทำไปคนเดียวเถอะ ไอ้เด็กทะลึ่ง”

ผมกำมะเหงกเขกลงบนหัวเขาทีหนึ่ง ไม่แรงมาก แต่ก็ทำให้เขาเจ็บได้ เดียร์ร้องโอ๊ย และยกมือขึ้นมาคลำหัว ทำหน้าตาน่าสงสาร

“ใจร้ายจังเลย เราไม่ใช่คนอื่นคนใกลกันแล้วนะ เรามีอะไรกันแล้วด้วย ทำไมถึงทำกับผมแรงๆแบบนี้ล่ะ ไม่สงสารผมหรือไง”

“นี่ๆๆๆๆ อย่ามาพูดแบบสาวบริสุทธิ์แบบนี้สิ ฉันรู้สึกแย่นะ มีอะไรกันแล้วไงล่ะ ฉันต้องรับผิดชอบทุกอย่างเลยหรือไง ฉัน
ไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มนะ นายต่างหาก คนที่ควรจะเรียกร้องนั่น เรียกร้องนี่น่าจะเป็นฉันไม่ใช่นายนะ”

เดียร์พลิกตัวขึ้น เอาคางมาเกยขาผม ช้อนสายตาที่เป็นประกายแพรวพราวขึ้นมอง

“งั้นขอเลย ขอให้ผมรับผิดชอบเลย นะนะนะ ผมมีอะไรกับเรียวแล้ว ผมต้องรับผิดชอบ เราแต่งงานกันเลยนะ ดีไหม เรียวจะได้ไม่อายใครไงล่ะ”

ผมหัวเราะก๊ากกับคำพูดของเจ้าเด็กลูกครึ่ง

“ตลกแล้ว คิดได้ไงกันหือเดียร์ ใครจะไปขออย่างนั้นกันเล่า ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนี่ แล้วนายก็ไม่ใช่ผู้หญิงด้วย เราแต่งงานกันไม่ได้หรอก ถ้าฉันจะขอนะ ก็ขอให้นายอยู่ห่างๆ อย่าเกะกะฉันให้มาก มันน่ารำคาญน่ะ ทำได้ไหมล่ะ”

เดียร์เลื่อนตัวเอาหัวมาวางพาดไว้บนตักของผม แล้วเอามือสองข้างโอบเอวผมไว้ แก้มข้างหนึ่งแนบอยู่ตรงต้นขาด้านใน จมูกโด่งอยู่ใกล้กับบริเวณพุงของผม

“ไม่ได้หรอก ผมจะอยู่ห่างหัวใจตัวเองได้ไงอ่ะครับ รู้สึกเหมือนจะขาดใจตายเสียให้ได้ ถ้าไม่ได้เห็นหน้า ไม่ได้ยินเสียง ไม่ได้อยู่ใกล้ๆเรียว ใจผมก็จะเป็นทุกข์ มันรู้สึกกระวนกระวาย อยู่ไม่เป็นสุขเลยอ่ะครับ บางทีทำงานอยู่ ก็ใจลอย นึกเร่งวันเร่งคืน อยากให้เลิกงานเร็วๆ จะได้มาหา เวลาเจอหน้ากันผมจะใจเต้นตึ๊กๆอยู่ตลอดเวลาเลยล่ะครับ ตัวก็อุ่นๆนะ เหมือนมีอะไรร้อนๆวิ่งผล่านทั่วร่างกายเลย ถ้าไม่เชื่อ เรียวก็ลองจับตรงหัวใจของผมดูสิครับ”

เด็กหนุ่มดึงมือผมออกจากซีดีที่กำลังเรียงอยู่มาจับตรงตำแหน่งที่เป็นหัวใจของเขา และใช้สองมือตัวเองกดทับมือผม หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นรัวแรงอยู่ภายใต้ทรวงอกนั้น ผมสบตากับเดียร์ที่จ้องมองมา เขายิ้มให้ผมทั้งปากและตา มันเป็นยิ้มที่หวานซึ้งแต่ดูเศร้าสร้อย

และอย่างช้าๆ ผมค่อยๆดึงมือออกจากการเกาะกุมของเขา และเลื่อนขึ้นมาวางที่ศีรษะที่มีเรือนผมหยิกสลวยปกคลุมอยู่
และลูบไล้แผ่วเบาด้วยความลืมตัว รู้สึกเจ็บแปล๊บที่หัวใจตนเองอีกครั้งด้วยความเศร้าสะเทือนใจ ทำไมหนอเรื่องแบบนี้ ถึงต้องมาเกิดกับผมด้วย เด็กหนุ่มตรงหน้านี้ รักและภักดีกับผมไม่มีวันเสื่อมคลาย แต่ผมกลับรักเขาไม่ได้ ทั้งๆหัวใจของผมเริ่มอ่อนไหวลงทุกที

เดียร์หลับตาพริ้มในท่าที่ศีรษะหนุนอยู่ตรงตักของผม ท่าทางมีความสุข ผมอดยิ้มอย่างเอ็นดูเด็กคนนี้ไม่ได้ ที่เขาพยายามอย่างมากที่จะเข้าใกล้ผมทีละนิด ตอนแรกก็นอนอยู่ห่างๆ แล้วตอนนี้สิ คืบคลานกระดึ๊บ กระดึ๊บ ขึ้นมาหนุนตักผมจนได้ ทุกๆอย่างที่เขาทำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนี้ หรือเรื่องไหน ล้วนแล้วต่อส่งผลต่อความรู้สึกในใจของผมทั้งสิ้น เดียร์ค่อยๆก้าวเข้ามาในหัวใจของผมทีละน้อยๆ จนผมเองยังนึกหวั่นไหว กลัวเหลือเกินว่ากำแพงที่ผมก่อไว้มันจะทลายลงในวันหนึ่ง
****************************
:z13: นี้แนะนี้แนะ จิ้มเรียวให้ตายเลย ใจแข็งนัก
แล้วเราก็เอาเดียร์มาครองซะ :laugh5:
เป็นเอามาก  :m3: รักเดียร์หวงเดียร์ ซะงั้น อิอิ

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่2.1 3/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: Ak@tsuKII ที่ 03-01-2009 16:56:29
แหม  น่าจะมีแบบเดียร์แพคใส่กระป๋องไว้ขายตามร้านสะดวกซื้อนะคะ  อิชั้นจะไปเหมา  อิอิ   

ปล. ขอบคุณพี่ไต๋คร้าบบบบบบบบบบบ

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่2.1 3/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 04-01-2009 08:40:40
ตามมาแล้วค่ะ นั่งลุ้นต่อว่าเรียวจะใจอ่อนเมื่อไร

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่2.1 3/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 04-01-2009 09:03:34
เตรียมฉลองไว้ก่อน  :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่2.1 3/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: fround ที่ 04-01-2009 13:39:22
อ๊ากกกชอบมาก


เร่งวันเร่งคืนอ่านเลย

เพื่อนมันเคยแนะนำเรื่องนี้แต่ตามหาอ่านไม่ได้

เผอิญเห็นในบอร์ดนี้ก็รีบวิ่งเข้ามาดู

อ๊ากกก เรียวจ๋าเป้นของเดียร์อีกทีนะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่2.1 3/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 04-01-2009 13:56:45
 :z1: มาต่อ 2.2 ให้แล้วนะ


ตอนแรกตั้งใจจะผลักใสเขาไปให้ห่างๆตัว แต่ใจหนึ่งก็บอกว่าอย่า เดียร์ทำอะไรหลายอย่างให้ผมมากมาย ถึงแม้ว่าผมจะให้ใจกับเขาไปไม่ได้ ผมก็ยังสามารถให้ความสุขทางกายและใจกับเดียร์ได้เหมือนกัน นีจึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่เดียร์สามารถทำอะไรต่ออะไรในบ้านผมได้อย่างสบายใจ ตราบใดที่เขาไม่ล่วงละเมิดข้อตกลงในการที่จะอยู่ร่วมกันระหว่างผมกับเขา ซึ่งเดียร์ก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
นับตั้งแต่วันที่ผมเผลอไผลไปมีอะไรกันกับเขา เด็กหนุ่มก็เอาอกเอาใจผมมากกว่าเดิม แต่ไม่มีสักครั้งที่เขาจะหักหาญน้ำใจทำอะไรบุ่มบ่าม อาจจะมีบ้างที่จะมานัวเนียชิดใกล้ กอดจูบลูบไล้ แต่ก็อยู่ในขอบเขต หากผมไม่ยินยอมพร้อมใจ เขาก็ไม่ทำในสิ่งที่ฝืนใจผม
“ไม่เอาซีดีคืนไปหรือเดียร์ ทิ้งไว้หลายวันแล้วนะ ซื้อไว้ทำไมไม่เอาไปดูล่ะ”
ผมถามเขาหลังจากที่หันกลับมาเลือกซีดีอีกครั้ง จนไปเจอหนังแผ่นที่เขาลืมทิ้งไว้เมื่อหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นมองแล้วก็พูดยิ้มๆ
“เอาไว้นี่แหละนะครับ ผมซื้อมาเพื่อเอาไว้ดูกับเรียวสองคนอ่ะ ถ้าวันไหนว่างๆเราจะได้นั่งดูด้วยกันไงครับ”
“รวมทั้งซีดีโป๊นี่ด้วยเหรอ”
ผมหยิบหนังเอ็กซ์ชายหญิง และชายกับชายที่แทรกอยู่ในกองหนังเกย์เหล่านั้น ขึ้นมาให้เดียร์ดู ทำหน้าล้อเลียนเขา เดียร์สบตาผมแล้วหัวเราะจนตาหยี หน้าแดงก่ำ
“ถ้าเรียวอยากดูก็ได้ครับ ผมจะได้ดูเป็นเพื่อน แต่ว่า ดูแล้วเกิดอะไรขึ้น ไม่รับประกันความปลอดภัยนะครับ โอ๊ยยยยยยยย”
เด็กหนุ่มร้องเสียงหลงเมื่อผมเขกหัวเขาอีกครั้ง เดียร์รีบดึงมือข้างที่ใช้ทำร้ายเขามาหนีบเอาไว้ตรงซอกรักแร้ ทำปากยื่น บ่นอุบอิบ
“ทำร้ายกันเรื่อยเลยนะครับ เรียวอ่ะ ใจร้ายจัง ผมเจ็บนะ”
“จริงเหรอ .......โทษทีนะ ก็นายอยากทะลึ่งทำไมล่ะ”
ผมบอกเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แล้วชักมือออกจากแขนของเขา ลูบไล้ตรงบริเวณศีรษะของเดียร์อย่างแผ่วเบา เดียร์ยิ้มให้ผมก่อนจะดึงมือข้างนั้นมาหอมอย่างรักใคร่ มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เราสองคนต่างมองหน้ากัน พยายามฟังว่า เป็นเสียงที่ดังมาจากเครื่องของใคร และแล้วเดียร์ก็พูดขึ้นมา
“ไม่ใช่เสียงโทรศัพท์ของผมหรอก ของเรียวนั่นแหละครับ เดี๋ยวผมไปหยิบมาให้นะ”
เด็กหนุ่มลุกขึ้นไปที่โซฟา แล้วหยิบมือถือของผมที่วางอยู่บนโต๊ะพร้อมกับกุญแจรถ ผมแอบเห็นเขามองที่เบอร์โทรศัพท์หน้าจอ จากนั้นคิ้วของเขาก็ขมวดขึ้น ทำหน้าไม่พอใจ ผมมองหน้าเขาอย่างงงๆตอนที่เขายื่นโทรศัพท์มาให้ เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม แต่เขาไม่ตอบ ทำหน้ามุ่ย แล้วไถลตัวลงนอน เอาศีรษะหนุนบนตักผมต่อ เสียงจากปลายสายที่ตอบกลับมา ทำให้ผมรู้สาเหตุที่ทำให้เดียร์โมโห ศักดิ์ชายนั่นเอง เขาบอกว่าผ่านมาทางแถวนี้ แล้วจะรับผมออกไปเที่ยว ผมปฏิเสธทันที
“ออกข้างนอกกันเถอะ”
ผมรีบเรียงซีดีเข้าตู้ แล้วหันมาชวนเด็กหนุ่มที่นอนทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่
“ไปไหนหรือครับ”
คิ้วเข้มๆของเดียร์ขมวดขึ้น ทำหน้าสงสัย
“ไปหาข้าวเย็นกินกัน ไปดูหนังสักรอบ แล้วก็อาจจะเดินซื้อของกัน แล้วแต่ว่าเวลาจะพอหรือเปล่า นายไม่อยากอุดอู้อยู่ในบ้านไม่ใช่เหรอ”
“แต่เราเพิ่งกลับเข้ามาเมื่อตอนบ่ายนี้เองไม่ใช่เหรอครับ นี่จะออกไปอีกแล้ว เรียวไม่เหนื่อยเหรอ แล้วมันเนื่องในโอกาสอะไรกันล่ะครับ”
อยู่ๆเจ้าเด็กบ้านี่ ก็เกิดเป็นคนพูดยาก ขี้สงสัยขึ้นมาทันที จะให้ผมตอบเขาไปได้อย่างไรล่ะ ว่าศักดิ์ชายกำลังจะมาที่บ้านนี้ เมื่อกี้เขาบอกกับผมว่าเขาอยากชวนผมออกไปหาอะไรกินข้างนอก แล้วเขาก็มาทำธุระใกล้ๆบ้านผม อีกครึ่งชั่วโมงก็เสร็จแล้ว จะมารับที่บ้าน ผมสู้อุตส่าห์ปฏิเสธไป บอกว่าผมไม่สะดวก กำลังจะออกไปนอกบ้าน จะให้เขารู้ได้ยังไงว่าเดียร์อยู่กับผมที่นี่ เดี๋ยวศักดิ์ชายเก็บเอาไปคิดเป็นตุเป็นตะจะยิ่งยุ่งไปกันใหญ่ แล้วอีกอย่าง เดียร์ก็ชอบแสดงตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของผมต่อหน้าศักดิ์ชาย ดูเหมือนว่าเขาพยายามจะชิงดีชิงเด่นกับเพื่อนเก่าของผมในการที่จะทำให้ผมพอใจ แถมซ้ำเขายังกล่าวหาว่าเพื่อนของผมคนนี้เป็นเกย์อีกด้วย ขืนให้เจอกันสองคนนี้คงสร้างเรื่องวุ่นวายให้ผมเดือดเนื้อร้อนใจเป็นแน่
แต่ดูเหมือนว่า เดียร์เองจะรู้คร่าวๆจากการที่ฟังผมสนทนาว่าศักดิ์ชายจะมาหาผมที่บ้าน การทำเป็นไม่รู้ประสีประสา ถามผมอย่างกับคนปัญญาอ่อนแบบนี้ ทั้งที่เมื่อก่อนอยากออกไปเที่ยวกับผมนักหนา มันเป็นอาการดื้อดึงของคนที่กำลังหึงหวงต่างหาก เดียร์รู้ว่าผมไม่อยากให้ศักดิ์ชายล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเขา และเขาก็คิดเอาเองว่าศักดิ์ชายก็หมายปองในตัวผม ดังนั้นหากศักดิ์ชายไม่รู้ว่าผมกับเดียร์มีอะไรกันแล้ว เจ้าเพื่อนคนนี้ก็คงจะหาโอกาสมายุ่งกับผมตลอด เดียร์จึงคิดจะตัดไฟเสียแต่ต้นลม ด้วยการประกาศให้รู้ไปเลยว่าผมเป็นของๆเขา และเขาก็หวงมากด้วย ใครหน้าไหนก็ตามอย่าได้คิดยุ่งกับผมเด็ดขาด ซึ่งผมจะยอมให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นไม่ได้
ในเมื่อผมปฏิเสธไปแล้วว่าผมมีธุระที่จะต้องทำ ผมจึงต้องออกไปจากบ้าน ก่อนที่ศักดิ์ชายจะมาหาตามปากว่า ถึงแม้เดียร์จะทำท่าอิดออดไม่ยอมไปขึ้นมา ผมก็จะต้องลากเขาไปให้ได้
“เนื่องในโอกาสครบรอบสองเดือนที่เราเป็นแฟนกันไง เราจะไปฉลองกัน ถ้านายไม่ไปก็ตามใจนะ ฉันไปคนเดียวก็ได้”
เดียร์รีบเด้งตัวขึ้นมานั่งทันที ทำตาหวานแล้วส่งเสียงอ้อนๆว่า
“ไปสิครับ แล้วให้ผมกุ๊กกิ๊กๆได้เป็นพิเศษเลยนะ”
ผมมองหน้าหมอนี่ อยากจะตอบปฏิเสธ แต่กลัวว่าหมอนี่จะไม่ยอมไปอีก เลยพยักหน้า เขาร้องเย้ โผเข้ามากอดผมทันที แต่ผมผลักเขาออก แล้วบอกว่าให้ได้แค่กอดเท่านั้น เดียร์หน้างอ แต่ก็ยอมโดยดี กำขี้ดีกว่ากำตด คงเป็นคำที่เหมาะสมจะอธิบายความลิงโลดในใจของเดียร์ตอนนี้

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่2.2 4/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 04-01-2009 13:59:42
ไปแอบอ่านมาแหละ แยอะมาก สงสัยต้องอัพมันทุกวันแหละ
ช่วยๆกันหน่อยนะ แยอะจริ๊งจริง พี่เคทช่างคิดช่างเขียนจริงๆ
+1 ให้พี่เคทสุดสวยเลย :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่2.2 4/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: nanalonely ที่ 04-01-2009 16:40:46
 :z13:จิ้มมมมพี่แอน


พี่แอน ทำไมตอนนี้มันสั้นจัง


 :sad4:อยากอ่านอีกอ่ะ


พี่แอนลงต่ออีกตอนน๊า
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่3 4/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 04-01-2009 17:18:15
จัดให้เอาไปตามขอจ้า อิอิ :3123:



บทที่ 3

“เมื่อวานนายไปไหนมาวะ”
คำถามนี้ถูกถามจากเพื่อนรักทั้งสองของผม ทันทีที่เห็นหน้า แต่ต่างกรรม ต่างวาระกัน ผมเจอเจ้าศักดิ์ชายคนแรกที่หน้าประตูห้องทำงาน ตอนเช้าตรู่ ดูเหมือนว่ามันจะมาดักรอที่จะพูดกับผม กริยาท่าทางที่มันถาม เหมือนจ้องจะจับผิด จนผมชักสงสัย และไม่แน่ใจในท่าทางที่มันปฏิบัติต่อผม เอ หรือมันจะจริงตามที่เดียร์ว่า เจ้าหมอนี่ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เกิดมารักใคร่ในตัวผม มันจะเป็นไปได้อย่างไร เพื่อนรักที่เคยเรียนด้วยกันมาตลอดอย่างมันเนี่ยนะ จะมาพิศวาสผมได้ แล้วทำไมมันไม่แสดงออกตั้งแต่แรกกันวะ ผมจะได้ระมัดระวังตัว ไม่คลุกคลีกับมันจนคิดมากแบบนี้ แต่มาคิดอีกที อาจจะเป็นความห่วงใยธรรมดาจากมันก็ได้ เดียร์อาจจะหึงไปเอง เจ้าศักดิ์ชายมันแต่งงานแล้ว ลูกของมันก็น่ารัก มันคงไม่ออกลายเป็นเกย์ตอนนี้หรอก
พอผมบอกศักดิ์ชายว่าผมไปธุระที่สำคัญ มันก็รัวคำถามใส่ผมถี่ยิบ ว่าผมไปกับใคร ไปที่ไหน ไปกับเด็กเดียร์นั่นหรือเปล่า ผมไม่ตอบทุกคำถามนั้น แต่ย้อนถามมันไปว่า มันมีอะไรกับธุระของผมหรือ การที่มันถามแบบนั้นหมายความว่าอย่างไร ผมไม่ได้ไปกินข้าวกับมัน ก็ไม่ได้หมายความว่า ธุระที่ผมไปทำจะมีความสำคัญน้อยเสียเมื่อไหร่ ผมเองก็ต้องมีเรื่องที่ผมทำ มันเองก็มีของมันเหมือนกัน ถ้าผมบอกว่าธุระของผมสำคัญ มันก็หมายความว่ามันสำคัญจริงๆ และไม่จำเป็นที่จะต้องบอกให้มันรู้ว่าคือเรื่องอะไรและจะไปกับใคร ผมยังย้อนถามมันอีกว่า มันเป็นอะไรมากหรือเปล่า นึกยังไงถึงมาถามไถ่เรื่องของผมมากมายขนาดนี้ ทั้งที่เมื่อก่อนมันไม่เคยถาม เจ้าศักดิ์ชายถึงกับอึ้งแล้วก็ขอโทษขอโพยผมใหญ่ จากนั้นก็บอกว่า มันแค่อยากคุยกับผมเท่านั้น รู้สึกนึกถึงวันเวลาเก่าๆที่เป็นเพื่อนกัน พอแยกย้ายกันไป ถึงจะได้มาเจอกันอีกที โอกาสที่จะพูดคุยกันก็มีน้อยมาก มันก็แค่ยากมีเวลาพบปะสังสรรค์กับผมฉันท์เพื่อนเท่านั้น
ผมเห็นหน้าหงอยๆของมันแล้วก็อดสงสารมันไม่ได้ เลยรับปากกับมันไปว่า ผมจะไปกินข้าวเย็นที่บ้านกับมันสักวันหนึ่ง มันดีใจใหญ่ แล้วบอกว่าจะรอเวลานั้น
หลังจากเพื่อนร่วมชั้นเรียนจากไปไม่นาน เพื่อนร่วมงานก็มาหาผม มันมองหน้าผมอย่างเจ้าเล่ห์ ทำตาล้อๆ ไม่พูดไม่จา จนผมต้องเตะตูดมันถึงได้ยอมพูด มันเริ่มต้นด้วยการซักไซร้ไล่เลียงผมด้วยเรื่องของเดียร์ หาว่าผมโกหกมันเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเด็กหนุ่มลูกครึ่ง มันทำเป็นน้อยอกน้อยใจว่า ผมไม่บอกมันเลยเรื่องที่ผมรู้จักเดียร์มาก่อนหน้านั้น ไม่ยอมบอกมันว่าเดียร์กับเด็กคนที่ผมช่วยเหลือในบาร์แถวสีลมเป็นคนเดียวกัน ต้องปล่อยให้มันไปสืบค้นเอาเอง จนกระทั่งรู้โดยบังเอิญ มันยังถามอย่างสงสัยว่า ผมมีความสัมพันธ์อะไรลึกซึ้งกับเดียร์หรือเปล่า มันยินดีรับฟัง หากผมยอมพูดความจริงกับมัน ผมรู้สึกสะอึกกับคำพูดของเจ้าสันต์ ไม่อยากโกหก อยากเล่าให้มัฟังทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะผมก็อึดอัดใจมานาน แต่ก็รู้สึกว่าเสี่ยงจนเกินไปที่จะยอมรับความจริง
ผมรู้ว่าความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่ความจริงบางอย่างจำเป็นต้องปิดบังซ่อนเร้น เพราะการเปิดเผยมากไปอาจจะนำความวุ่นวายมาสู่ชีวิต ผมจึงเลือกที่จะบอกกับเจ้าสันต์ไปเพียงแค่ความจริงบางส่วนที่ผมอยากให้เขารู้เท่านั้น
“ก็ใช่ ฉันรู้จักเดียร์มาก่อน ก็ตั้งแต่วันนั้นที่ฉันช่วยเขาไว้นั่นแหละ แต่ฉันไม่รู้จริงๆนะว่า เด็กนั่น มาเป็นผู้ช่วยกุ๊กที่ร้านนั้น มันเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า และเจ้านั่น พอเห็นว่าฉันชอบไปกินเอาหารที่ร้านบ้านคุณป้าบ่อยๆ ก็เลยทำอาหารให้ฉันพิเศษ เป็นการตอบแทนบุญคุณฉันน่ะ ที่ได้ช่วยเขาไว้ไม่ให้ถูกลวนลาม”
“โดยยอมเสี่ยงต่อการที่จะถูกคุณป้าเจ้าของร้านต่อว่า เรื่องการเอาของในร้าน มาใช้เพื่อการส่วนตัวนี่นะ”
เจ้าสันต์ยังสงสัย โชคดีที่ผมเคยถามประโยคนี้กับเดียร์มาแล้ว เด็กหนุ่มบอกกับผมว่า เขาคุยกับคุณป้าเจ้าของร้านแล้ว ว่าเขาขอทำอาหารให้ผมเป็นพิเศษ เพราะผมมีบุญคุณต่อเขามาก และเพื่อไม่ให้น่าเกลียดจนเกินไป เขาขอให้คุณป้าเจ้าของร้าน ลดเงินเดือนของเขาลง ตอนแรกคุณป้าจะไม่ยอม เพราะแกถูกชะตากับเดียร์มาก และคิดว่าเรื่องแค่นี้ ไม่ทำให้เกิดความเสียหายกับร้านแต่อย่างใด แต่เดียร์ยืนกรานหนักแน่นให้คุณป้าหักเงิน เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างกับคนอื่น ไม่อย่างนั้นแล้วพนักงานในร้านก็จะใช้เหตุผลเดียวกับเดียร์มาให้ส่วนลดพิเศษ หรือเอาข้าวของในร้านกำนัลให้คนของตัวบ้าง เมื่อได้ยินแบบนั้น คุณป้าก็เลยยอมหักเงินของเดียร์เพื่อแลกกับสิ่งที่เด็กหนุ่มขอร้อง
ตอนแรกที่เดียร์เล่าให้ผมฟัง ผมรู้สึกแย่มากๆ ที่ทำให้เดียร์เดือดร้อน และไม่อยากไปทานอาหารที่ร้านอีก เพราะไม่อยากเอาเปรียบเขา ผมไม่อยากให้เดียร์ลดในส่วนที่ตัวเองควรจะได้เพื่อมาเติมเต็มความสุขให้กับผม แต่เดียร์ขอร้องว่า เขาได้พูดกับคุณป้าไปแบบนั้นแล้ว ถึงอย่างไรคุณป้าก็ต้องหักเงินเขาตามที่ร้องขอ ถ้าหากผมหนีไม่ยอมไปกิน เขาก็ถูกหักเงินเปล่าอยู่ดี ดังนั้น การที่ผมไปกินข้าวที่ร้านนั้นบ่อยๆ จะทำให้ความพยายามของเขาไม่สูญเปล่า
ผมเลยเสนอที่จะชดเชยรายได้ที่หายไปให้กับเดียร์ แต่เด็กหนุ่มปฏิเสธ เขาบอกว่าสิ่งที่ทำให้ผมมันมาจากความรักของเขา ไม่ได้ต้องการเงินจากผม เขาไม่สามารถรับข้าวของเงินทองจากผมได้ ผมก็บอกว่า ถ้าเขาไม่รับเงินจากผม ผมก็ไม่กล้ากินของเขาเหมือนกัน เพราะผมไม่สบายใจที่จะปล่อยให้เขาลำบากอยู่คนเดียว เหมือนเอาความรักของเดียร์มาเป็นเครื่องต่อรองที่จะให้เขาทำดีกับผม เราเถียงกันอยู่นาน แล้วก็ได้ข้อสรุปที่พึงพอใจกันทั้งสองฝ่าย
สิ่งที่ผมต้องทำแลกเปลี่ยนให้กับเดียร์คือการสอนภาษาและเป็นติวเตอร์วิชาเลขให้กับเขา เนื่องจากสองวิชานี้ เป็นสิ่งที่เดียร์จะต้องผ่านไปให้ได้ ภาษาอังกฤษเป็นวิชาเอกที่เดียร์เลือกเรียนไว้ ถึงแม้เด็กหนุ่มจะเป็นเด็กลูกครึ่ง และอยู่แถวพัทยา ได้พูดคุยกับฝรั่งบ้าง แต่ก็เป็นการพูดคุยแบบไม่ถูกหลักไวยากรณ์ เป็นเหมือนมวยวัดมากกว่า ส่วนวิชาเลข เป็นวิชาที่เดียร์เรียนอ่อนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว การเรียนรามคำแหง ในคณะวิชาที่เดียร์เลือกเรียน จำเป็นต้องผ่านวิชาเลข 4 ตัว และเป็นเลขที่มีความยากมาก ซึ่งเดียร์ไม่ถนัดเอาเสียเลย หากเขาไม่ได้รับความช่วยเหลือเขาก็จะไม่ผ่าน
บังเอิญสองวิชานั้น เป็นวิชาที่ผมถนัดเป็นอย่างดี ผมพูดภาษาอังกฤษได้คล่อง และวิชาเลขก็เป็นวิชาที่ผมโปรดปราน เมื่อผมเห็นว่าสองสิ่งนี้เป็นปัญหาของเดียร์ผมเลยอาสาที่จะช่วยติวให้เขาเป็นการแลกเปลี่ยน ซึ่งข้อตกลงแบบนี้ ทำให้เราได้รับความพึงพอใจทั้งสองฝ่าย เดียร์ได้เอาอกเอาใจผมเหมือนเดิม แถมซ้ำยังมีคนช่วยเขาในเรื่องเรียน ส่วนผมก็ได้ตอบแทนสิ่งที่เด็กหนุ่มทำให้ โดยไม่ต้องรู้สึกผิดที่เอาเปรียบเขาอีกต่อไป
ผมเล่าให้เจ้าสันต์ฟังแค่ว่า เดียร์ช่วยเรื่องอาหารการกินให้ผม โดยที่ผมเป็นครูจำเป็นให้กับเขา แต่ไม่ได้เล่าดีเทลรายละเอียดอะไรมากมาย เจ้าสันต์ยังคงสงสัย แต่มันก็ไม่กล้าถาม เพราะเห็นผมทำท่าไม่อยากพูดต่อ ถึงกระนั้นมันก็พูดให้ผมได้คิดว่า ผมจะทำอะไร จะเป็นอะไร จะชอบอะไร หรือจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน มันไม่เคยสนใจ มันยังคงเห็นว่าผมเป็นเพื่อนคนหนึ่ง หากมีปัญหาอะไร หรือมีเรื่องไหนที่ทำให้ไม่สบายใจ ก็ให้บอก หรือพูดคุยให้มันฟังได้ มันยินดีให้คำปรึกษาและยืนอยู่ข้างผมเสมอ
ตอนแรก ผมไม่ค่อยเข้าใจในคำพูดของมันนัก แต่ตอนหลังจึงได้รู้ว่า เจ้าสันต์พูดกับผมเป็นนัยๆ เหมือนมันจะรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเดียร์นั้นลึกซึ้งเกินกว่าแค่คนรู้
จักกัน หากผมยอมเปิดใจกับมัน มันก็ยินดีจะให้ความช่วยเหลือ และมันก็ยินดีเข้าข้างผมเสมอ
เจ้าสันต์มันเล่าให้ผมฟังเมื่อผมเป็นฝ่ายซักถามมันบ้างถึงเรื่องที่ผมไปเจอมันกับแดนนี่ที่สวนจตุจักรทั้งๆที่มันรักกันจี๋จ๋าดีอยู่กับเด็กที่ชื่อแซ่บ เพื่อนร่วมงานของผมคุยอย่างเปิดอกว่าน้องแซ่บเป็นคนดี เป็นคนที่มันอยากจะใช้ชีวิตอยู่ด้วย แต่น้องแซ่บมีบางสิ่งบางอย่างที่เหมือนจะปิดบังมันอยู่ มันกับเด็กเสิร์ฟคนนั้นมีอะไรกันแค่ครั้งสองครั้ง ซึ่งเป็นสองครั้งที่ไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่นัก เนื่องจากเด็กนั่น ท่าทางหวงเนื้อหวงตัวกับมันมาก ทั้งๆที่มันก็บอกกับแซ่บว่ามันจริงใจไม่คิดหลอกลวง แต่เด็กหนุ่มก็เหมือนจะไม่ค่อยวางใจในตัวมันนัก บางทีก็ทำมึนตึงเฉยชากันมัน เมื่อเจ้าสันต์ไม่สามารถแสวงหาความสุขที่ต้องการได้จากคนที่มันรัก มันจึงหวนกลับมาหาคู่ขาเก่าก็คือ แดนนี่ กับแมนอีกครั้ง แล้วสองคนนั้นก็ตอบสนองความสุขทางเพศให้มันได้อย่างดี
สิ่งที่เจ้าสันต์เล่าทำให้ผมนึกปลงขึ้นมา สงสารเพื่อนก็สงสาร แต่ก็ไม่รู้จะช่วยอะไรได้ ถึงแม้เจ้าสันต์จะเป็นเกย์ เจ้าสันต์ก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง เป็นมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาที่มีอารมณ์มีความต้องการ เมื่ออารมณ์ใคร่ของมันไม่ได้รับการตอบสนอง เจ้าสันต์ก็จำเป็นต้องหาทางออกด้วยการมีอะไรกับคนอื่นๆนอกเหนือจากคู่ของตนเอง
เรื่องที่ผมไม่สามารถจะเดาได้ออกก็คือ ทำไมเด็กแซ่บจึงรังเกียจที่จะมีเพศสัมพันธ์กับเจ้าสันต์ แต่ในขณะที่กับผู้บริหารที่ผมเห็นเขาควงไปด้วยที่สวนจตุจักรวันนั้น เขากลับมีทีท่ารักใคร่ใยดี ปฏิบัติต่อกันเหมือนเป็นคู่รักหวานแหววที่เพิ่งจะคบกันได้ไม่นาน ผมไม่รู้ว่าเจ้าสันต์มีปัญหาอะไรกับเด็กแซ่บนั้นหรือเปล่า และไม่รู้ด้วยว่าผู้บริหารคนนั้นมีอะไรดี จึงผูกมัดใจเด็กเสิร์ฟคนนั้นได้ แต่สิ่งที่ผมรู้ก็คือ หากเพื่อนของผมรู้เรื่องนี้เข้า เขาคงทำใจรับไม่ได้ เพราะเขารักเด็กคนนั้นมากเหลือเกิน
“แล้วแซ่บรู้หรือเปล่า เรื่องที่นายมีแดนนี่ กับแมน”
ผมพยายามหาเหตุผลที่ทำให้แซ่บไม่สนใจใยดีในตัวของเจ้าสันต์ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นดูรักกันปานจะกลืนกิน เจ้าสันต์ขมวดคิ้ว ทำท่าครุ่นคิด ซักพักก็พยักหน้า
“ก็รู้นะ ฉันเคยบอกเขาว่าก่อนหน้าที่ฉันจะมีแซ่บ ฉันเคยมีแดนนี่ และแมนมาก่อน แต่ฉันก็บอกกับแซ่บนะ ว่าฉันจะพยายามหยุดเพื่อที่จะมีเขาคนเดียว”
“อื้ม แล้วมันเป็นไปได้ไหมที่เขาบังเอิญได้รู้ว่านายพูดไม่จริง นายมีสองคนนี้ระหว่างที่เป็นแฟนกับเขาน่ะ เขาก็เลยมีปฏิกริยา”
“ไม่มีทาง”
เจ้าสันต์ร้องบอกอย่างมั่นใจ
“ตอนที่ฉันคบกับแซ่บ ฉันไม่เคยไปไหน หรือมีอะไรกับใครเลย ฉันมีกับเขาคนเดียว ถึงแม้ฉันจะเคยพูดโอ้อวดว่าฉันมีคนนั้นคนนี้ แต่ว่า พอเอาเข้าจริงฉันก็ไม่อยากทำร้ายน้องแซ่บน่ะ ฉันเพิ่งจะหันมาหาแดนนี่กับแมน หลังจากที่แซ่บมึนตึงเฉยชาต่างหาก ก็ใครจะไปทนได้ ในเมื่อเมียเราไม่ให้เราทำอะไรด้วย เราก็ต้องหันไปหาคนที่เขายินยอมสิ”
ผมมองหน้าเจ้าสันต์อย่างอึ้งๆ คำพูดของเจ้าสันต์สะกิดใจผมอย่างแรง จริงสิ ถ้าหากผมมึนตึงเฉยชากับเดียร์ เพราะผมไม่อยากมีอะไรกับเขา การทำวิธีนี้ จะทำให้เขาหวนไปหาคนอื่นที่ยินยอมพร้อมใจที่จะรักเขามากกว่าผมหรือเปล่า แล้วคนๆนั้นจะหน้าตาเป็นอย่างไร จะน่ารักและเหมาะสมกับคนอย่างเดียร์ไหม แล้วเรียวจะติดใจเขามากกว่าผมหรือเปล่า จะดูแลเอาใจใส่อย่างดีเหมือนกับที่ทำให้กับผมไหม คำถามมากมายวนเวียนอยู่ในสมองของผม โดยหาคำตอบไม่ได้
“บางทีอาจจะไม่มีอะไรก็ได้ แซ่บอาจจะเหนื่อยเรื่องงานจนไม่มีอารมณ์ก็ได้นะ”
ผมพยายามปลอบใจเพื่อน ไม่กล้าบอกให้เขาฟังถึงสิ่งที่ผมได้เห็น
“ฉันก็ไม่รู้ อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้”
เจ้าสันต์ทำน้ำเสียงเหมือนกับปลง ผมเห็นมันเศร้า ก็เลยพูดแหย่มันเพื่อให้มันอารมณ์ดีขึ้น
“อย่าเศร้าไปเลยวะ คนอย่างนายอ่ะ มันหาคนมาแนบกายได้ตลอดน่ะแหละ เห็นเศร้าอยู่แป๊บเดียว พอเห็นคนหน้าตาหล่อๆ หุ่นดีเข้าหน่อย ก็ทำกระดี๊กระด๊า ทำความรู้จักกับเขาไปหมด กี่คนแล้วล่ะที่อยู่ในบัญชีรายชื่อของนาย ถ้าพลาดจากน้องแซ่บไป นายก็ยังมีหนุ่มหล่อๆสำรองอีกบานตะไท ลองหาคนที่ถูกใจดูสักคนจากบรรดาคนที่นายรู้จักสิ บางทีอาจจะทำให้นายมีความสุขมากกว่านี้ก็ได้”
เจ้าสันต์ทำท่าคล้อยตาม มันพูดกับผมเหมือนกับว่าเพิ่งคิดได้ หลังจากโง่มานาน
“เออ มันก็จริงว่ะ แต่ในชื่อที่ฉันมีอ่ะ ยังไม่ปิ๊งใครพอที่จะอยากใช้ชีวิตร่วมด้วยแบบน้องแซ่บนี่หว่า แต่จะว่าไปก็อยู่คนหนึ่งว่ะ ที่ฉันเริ่มจะรู้สึกว่าปิ๊งๆอยู่เหมือนกัน แต่เขาคงมีคนที่ชอบอยู่แล้วมั้ง ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยสนใจฉันเท่าไหร่ แต่คนที่เขาปิ๊งอยู่ก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยสนใจเขาเหมือนกัน นี่ถ้าหากคนนั้นอ่ะ ตาไม่ถึง ไม่เห็นคุณค่าในตัวของพ่อหนุ่มคนนั้น ฉันว่า ฉันจะไปแย่งมาเป็นของฉันเลยว่ะ”
“เหรอ ก็ดีสิวะ แล้วหนุ่มคนนั้นหล่อไหมล่ะ ให้ฉันเดานะ ต้องหล่อ หุ่นดี และอายุน้อยใช่ไหม สเปคนายมันเป็นอย่างนั้นนี่”
ผมเดา เจ้าสันต์ยิ้มกริ่ม ทำตาเจ้าเล่ห์
“แน่ละสิ ไม่หล่อ ไม่ดีจะเอามาทำไม ไม่ใช่แค่นั้นนะโว้ย หนุ่มคนนี้น่ะ เป็นลูกครึ่งเชียวนะโว้ย ตัวสูง ผมหยิก คิ้วเข้ม จมูกโด่ง ตาสวยมากๆ ฟันสวย มีลักยิ้มด้วย แถมซ้ำยังยิ้มเก่งชะมัด”
“เหรอ........”
คำบอกลักษณะที่เจ้าสันต์พูดถึงคนที่มันชอบ ทำไมมันจึงดูคุ้นๆอย่างนี้นะ
“ท่าทางแมนๆ ดูห้าวๆด้วย แต่ดูเหมือนเป็นคนอารมณ์ดี น่าจะเป็นคนจิตใจอ่อนโยน และเอาใจเก่งด้วยนะ”
“อื้ม.....”
ใจของผมเริ่มคิดถึงภาพของใครบางคน เจ้าสันต์ยังคงพร่ำพรรณนาต่อ
“ฉันไม่รู้ว่าเขาเป็นเกย์แบบฉันด้วยหรือเปล่า แต่ท่าทางขี้อ้อนแบบนั้นน่าจะเป็นนะ ไม่รู้สิ อะไรบางอย่างมันบอก เหมือนว่ามันดูกันออกแค่สบตาน่ะ ถ้าเป็นเกย์ ก็คงเป็นเกย์รุกนะฉันว่า แถมซ้ำท่าทางจะเป็นพวกขยันทำการบ้านซะด้วย แต่ไม่เป็นไรหรอก ถ้าฉันได้มีโอกาสเป็นแฟนกับเขา จะให้มีอะไรคืนหนึ่งเป็นสิบครั้งก็ยอมนะ แหมก็หล่อล่ำแข็งแรงขนาดนั้น”
“........”
หน้าทะเล้น และรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเดียร์แว่บเข้ามาในหัวสมองของผม ภาพนั้นทำให้ผมรู้สึกตกใจมาก ผมหันไปจ้องหน้าเจ้าสันต์และมองอย่างระแวง เหมือนเจ้าสันต์จะคอยจับสังเกตกริยาอาการผมอยู่ก่อนแล้ว มันยิ้มยียวนให้ ผมมองหน้ามันแล้วจึงได้สติ รู้แล้วว่ามันพูดถึงใคร แต่ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ และฉวยโอกาสด่ามัน
“ประสาทหรือเปล่า ใหนบอกว่านายเองก็เป็นเกย์ฝ่ายรุกไม่ใช่เหรอ เห็นคุยว่าเป็นฝ่ายทำคนนั้นคนนี้ แล้วนี่จะมายอมเป็นฝ่ายรับ เห็นหนุ่มหล่อเป็นไม่ได้ แล้วทำกันตั้งสิบกว่าครั้ง ก้นนายไม่บานหรือไง”
สำหรับผมแค่สามครั้ง ก็จะแย่อยู่แล้ว ยิ่งนึกถึงตอนที่บางส่วนของร่างกายที่ใหญ่โตของเดียร์พยายามจะชำแรกเข้ามาในร่างกายของผม แถมซ้ำเมื่อเข้ามาได้แล้ว เขายังนำสิ่งนั้นเข้าออกครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ยิ่งทำให้ผมนึกสยอง มันมีความสุขมากก็จริงแต่ก็เจ็บจนยากจะลืมเลือน
“อุวะ ไอ้เนี่ย ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องของเกย์ๆเขาก็อย่าพูดมากเลย เกย์มันมีหลายประเภทโว้ย ฉันน่ะ ถนัดที่จะเป็นฝ่ายทำ หรือชอบเป็นสามีมากกว่าเป็นเมีย แต่บางครั้งถ้ามีคนหล่อๆ ดีๆ ลองเป็นเมียเขาสักครั้งก็ไม่น่าเสียหายนะโว้ย”
เจ้าสันต์ทำเป็นโวยวายเสียงดัง จนผมต้องจุ๊ปากให้มันเงียบ เพราะกลัวว่าใครจะมาได้ยินเรื่องที่เราคุยกัน โดยเฉพาะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างหมิ่นเหม่เสียด้วย เจ้าสันต์ลดเสียงลง
“โอกาสหาความสุขทางเพศแบบนี้ มันไม่ได้มีเข้ามาได้บ่อยๆ เราต้องรีบตักตวงความสุขไว้สิ ฉันน่ะไม่ได้หน้าตาดีแบบนาย อายุเราห่างกันแค่ไม่กี่ปี แต่หน้านายยังดูเด็กกว่าฉันเกือบรอบ ขืนเลือกมาก แก่ตัวไปก็จะยิ่งหากินยาก ตอนนี้ยังพอหาได้ ไม่ว่าจะรุกจะรับฉันก็เอาทั้งนั้นแหละ”
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางส่ายหน้าเมื่อฟังมันพูดจบ ไม่เข้าใจพวกเกย์จริงๆ ทำไมจะต้องดิ้นรนไขว่คว้าหาความสุขทางเพศจนไม่คำนึงถึงอะไรเลยแบบนี้นะ ดูเหมือนในหัวของพวกเขาจะมีแต่เรื่อง เซ็กส์ เซ็กส์ เซ็กส์ การมีเพศสัมพันธ์ กับการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้มากที่สุด ไม่มีใครเลยหรือไง ที่จะใส่ใจกับการมีความรักที่จีรังยั่งยืน ความรักระหว่างหญิงกับชาย กลับกลายเป็นเรื่องที่สวยงามมากกว่า เพราะสามารถพัฒนาไปจนถึงการสร้างครอบครัว การดำรงเผ่าพันธุ์ มากกว่าจะเป็นแต่เรื่องการปลดเปลื้องความใคร่แต่เพียงอย่างเดียว
เจ้าสันต์คงจะเดาใจผมถูกว่าผมคิดอะไรอยู่ มันพูดกับผมด้วยเสียงที่จริงจังหนักแน่น
“เกย์ก็ผู้ชายคนหนึ่งนะเรียว ผู้ชายทั่วไปมันก็เจ้าชู้ ถ้ามีโอกาสมันก็ฟันไม่เลือกเหมือนกัน ถึงแม้จะมีเมียเป็นตัวเป็นตน ก็อดที่จะหาเศษหาเลยไม่ได้ เกย์ก็เหมือนกัน ถึงแม้จะมีคนที่ตัวเองรัก และปรารถนาจะอยู่ด้วย แต่ถ้าได้มีโอกาสลองกับคนอื่นๆ มันก็อดไม่ได้ทั้งนั้นแหละ แต่ถึงยังไง เราก็ยังรักคนของเราอยู่นะ แล้วเกย์บางคนอ่ะ เขาก็ไม่เลือกหรอกว่าจะเป็นฝ่ายทำหรือฝ่ายถูกทำ มันอยู่ที่ความพึงพอใจ และการตกลงกันของคนสองคน อีกหน่อยนายคงจะเข้าใจเองแหละ”
ผมคิดไปตามคำพูดของเจ้าสันต์ จริงเหรอ ผู้ชายที่มีอะไรกับเกย์ บางทีก็เป็นได้ทั้งฝ่ายทำและฝ่ายที่ถูกทำ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ผิดสิ ที่ผมคิดอยากจะเอาคืนกับเดียร์บ้าง แล้วเดียร์ล่ะ เขาเป็นฝ่ายทำผมก่อน ถ้าวันหนึ่งผมเป็นฝ่ายทำกับเขา เขาจะยอมให้ผมทำไหมหนอ
โธ่เว้ย คิดอะไรกันวะเนี่ย ผมเอามือกุมศีรษะ เมื่อรู้สึกตัวว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ทำไมผมต้องคิดแบบนี้ด้วย นี่ผมอยากจะมีอะไรกับเดียร์จริงๆเหรอ คราวนี้ผมยังอยากจะเป็นฝ่ายทำเขาอีกด้วย เป็นเพราะผมถูกเดียร์ทำจนรู้สึกว่าถูกหมิ่นเชิงชายหรือเปล่า ผมยอมไม่ได้ที่เดียร์มาทำกับผมเหมือนกับว่าผมเป็นผู้หญิงใช่ไหม หรือที่จริงแล้วผมมีความปรารถนาในตัวเดียร์มาก และอยากจะให้เขาเป็นของผมบ้าง อะไรกันแน่หนอคือความรู้สึกที่แท้จริงที่รบกวนจิตใจผมตลอดเวลา ยามนี้ผมสับสนเหลือเกิน ยิ่งคิด ก็ยิ่งปวดหัว ไม่รู้เลยว่าตนเองเป็นอะไรกันแน่
“เป็นอะไรไปอ่ะเรียว ปวดหัวเหรอ”
สันต์ถามขึ้น เมื่อเห็นผมเงียบไป และเอามือกุมหัว ผมเอามือออก และเงยหน้าขึ้นมองเขา สั่นหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ
“เปล่า แค่ปวดหัวกับเรื่องของพวกนายอ่ะ”
“ก็บอกแล้วไง สักวันหนึ่งนายก็จะเข้าใจได้เองน่ะแหละ”
เพื่อนตัวดีของผม พูดกำกวมเป็นปริศนา ผมคิดว่า มันคงพยายามคาดเดาความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเดียร์อยู่ และมันคงจับสังเกตอะไรบางอย่างได้ จึงมาพูดกับผมแบบนี้ แต่ไม่มีวันเสียล่ะ ที่ผมจะยอมรับกับมัน ผมแกล้งปล่อยผ่านคำพูดนั้นไป เหมือนเป็นคำธรรมดาคำหนึ่ง
“ฉันอยู่ข้างนายเสมอนะ มีอะไรทุกข์ร้อน หรือต้องการคำปรึกษาบอกฉันได้”
มันพูดทิ้งท้ายพร้อมกับตบบ่าผมเบาๆก่อนจะกลับออกไปทำงานของตัวเอง เวลาที่ผมพูดคุยกับมันทั้งสิ้นเกือบชั่วโมง ทำให้ผมรู้อะไรหลายอย่างมากมาย อย่างน้อย ผมก็รู้ว่า เจ้าสันต์พร้อมที่จะเข้าใจผมทุกเรื่อง และคนอย่างมันก็คงจะไม่ทำร้ายผมด้วยการเปิดโปงเรื่องที่มันได้รู้ได้เห็นมาอย่างแน่นอน เพียงแค่ผมเปิดใจคุยกับมัน แต่เวลานี้ผมยังไม่พร้อมที่จะให้มันรับรู้เรื่องใดๆทั้งสิ้น เอาไว้เมื่อผมรับมือกับสิ่งต่างๆไม่ได้ ผมจะขอความช่วยเหลือจากมันเอง
“เฮ้ย คนที่ฉันพูดถึงน่ะ หมายถึงน้องเดียร์นะโว้ย น่ารักดี เขาคงมีแฟนแล้ว แต่คนนั้นคงไม่ชอบเขา นายจะว่าไงบ้าง ถ้าฉันจะขอเสียบแทนหากคนนั้นทำให้น้องเดียร์เสียใจ”
เจ้าสันต์โทรศัพท์มาหาผมตอนเย็นก่อนจะกลับบ้าน ฟังจากน้ำเสียงของมันเหมือนจะลองหยั่งเชิงว่าผมจะพูดยังไง ตอนแรกที่ได้ฟังผมก็นึกเคืองมันอยู่เหมือนกัน ที่มันพูดแบบนี้ เจ้าเด็กบ้านั่น ไม่ใช่สิ่งของนะที่ใครพอใจก็จะมาหยิบฉวยเอาไปไว้กับตัว ใจอยากจะด่ามันที่บังอาจมาพูดจาแบบนั้นกับผม ถึงไม่รู้ว่ามันมีเจตนาจะยั่วผมหรือไม่ ผมก็ไม่พอใจอยู่ดี แต่ความที่ผมยังไม่อยากเปิดเผยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเดียร์ ทำให้ผมบอกให้มันไปคุยกับเดียร์เอง มาคุยกับผมทำไม มันกลับย้อนมาอย่างขำๆว่าเห็นผมสนิทกับเดียร์เผื่อจะช่วยพูดเชียร์มันได้ ผมบอกกับมันไปว่า ผมไม่ใช่แม่สื่อพ่อชัก ทำเรื่องแบบนี้ไม่เป็น รักใครชอบใครก็ทำเอาเอง เจ้าสันต์ไม่พูดอะไรแต่หัวเราะตอบกลับมา พอผมถามว่ามันหัวเราะอะไร มันก็บอกว่า ผมพูดเหมือนกันท่ายังไงไม่รู้ สงสัยผมจะหวงเดียร์มาก ผมเลยด่ามันแล้วก็วางหูไปเลย
เจ้าตัวต้นเหตุโทรมาหาผมตอนห้าทุ่มกว่า ผมกำลังจะเข้านอนพอดี เขาส่งเสียงเจื้อยแจ้วมาตามสายถามไถ่ว่าผมทานข้าวหรือยัง ทำงานเหนื่อยหรือเปล่า คิดถึงเขาบ้างไหม ผมตอบบ้างไม่ตอบบ้าง ด้วยยังนึกขุ่นใจเรื่องที่เจ้าสันต์พูดเมื่อตอนเย็น พูดกระแหนะกระแหนเขาว่า เสน่ห์แรงเหลือเกิน ใครๆก็ถามถึง เดียร์งง ไม่เข้าใจว่าผมหมายถึงอะไร ผมเลยบอกให้เขาฟังว่า เจ้าสันต์ถามถึงเดียร์ เด็กหนุ่มหัวเราะก๊าก แล้วถามผมว่า ที่ผมพูดไม่ดีกับเขาเนี่ย เป็นเพราะหึงเขาหรือเปล่า เขาไม่เคยคิดอะไรกับสันต์เลยนอกจากคิดกับผมคนเดียว ผมไม่ตอบ รู้สึกโกรธที่เดียร์พูดเหมือนเจ้าสันต์ที่มองว่าผมหึงหวงเขา เลยพาลตัดสายไม่พูดกับเขาเอาดื้อๆ แถมซ้ำยังปิดเครื่องเพื่อไม่ให้เดียร์โทรมาหาอีก จากนั้นผมก็เข้านอนทั้งๆที่ยังหงุดหงิดแบบนั้น พลิกซ้ายพลิกขวายังไงก็นอนไม่หลับ จนกระทั่งตีหนึ่ง เสียงกริ่งหน้าประตูบ้านก็ดังขึ้น
เดียร์ฉีกยิ้มปากเกือบถึงใบหูให้ผมตอนที่เปิดประตูรับเขาเข้ามา เด็กหนุ่มยืนอยู่หน้าบ้านในชุดเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์สีซีดๆ สะพายเป้ไว้ด้านหลัง ในมือถือถุงขนมที่นำมาจากร้าน โลโก้บนถุงเด่นหรา พอเห็นผมทำหน้าบึ้งหน้าตึงใส่ เขาก็แถเข้ามาใกล้ ขอโทษขอโพยเสียงออดอ้อน
“ขอโทษนะครับที่รัก ที่มาเอาเสียดึกเสียดื่นป่านนี้ ก็คุณน่ะ พูดยังไม่ทันจบก็วางสายผม ท่าทางโมโหโทโส พอผมโทรกลับมา ก็ไม่ยอมรับสาย ผมเป็นห่วงคุณมากรู้ไหม ไม่รู้ว่าคุณไม่สบาย หรือเป็นอะไรหรือเปล่า เลิกงานก็รีบนั่งแท็กซี่มาหาเลย เป็นอะไรหรือเปล่าครับ แล้วทำไมป่านนี้ยังไม่นอนอีกล่ะ ดึกแล้วนะ เดี๋ยวมันจะไม่ดีต่อสุขภาพนะครับ”
“กำลังจะนอน แต่ได้ยินเสียงกริ่งเสียก่อน ว่าจะไม่ลงมาเปิดแล้ว แต่กลัวยุงหามนายไปกิน ทีหลังถ้ามาแบบนี้อีก จะปล่อยให้นั่งหน้าบ้านเสียให้เข็ด”
ผมตอบโดยไม่มองหน้า พลางแกะไม้แกะมือของเดียร์ที่กำลังโอบกอดผมออก
“ใจร้ายจังนะ คนเขาอุตส่าห์เป็นห่วง แต่ไม่เป็นไรครับ ถ้าเรียวนอนไม่หลับ เดี๋ยวผมจะกล่อมให้นะ รับรองเรียวหลับสนิทรวดเดียวถึงเช้าแน่เลย”
เด็กหนุ่มพูดยิ้มๆ ผมมองหน้าตาเจ้าเล่ห์ของเขา แล้วรีบเดินหนี
“วันนี้เรียวเป็นอะไรอ่ะ ทำไมหงุดหงิดจังเลยครับ เมื่อวานนี้ เรายังดีๆกันอยู่เลย อะไรกันเพิ่งฉลองสองเดือนที่คบกันไปเมื่อวานนี้ พอวันนี้กลับมาโกรธผมอีกแล้วหรือครับ”
น้ำเสียงและหน้าตาของเดียร์ดูน่าสงสาร เขาเดินตามผมมาจากหน้าบ้านจนถึงห้องรับแขก โดยที่ผมไม่พูดไม่ทักทายเขาสักคำ ผมมองหน้าเขาก็พลันคิดถึงคำพูดของเจ้าสันต์ที่พูดกับผมเรื่องเดียร์ เลยเกิดนึกรำคาญขึ้นมา จนเผลอพูดในสิ่งที่ทำร้ายจิตใจเดียร์ออกไป
“ไม่มีอะไรหรอก แต่วันนี้ไม่ให้นอนค้างนะ ฉันอยากอยู่คนเดียว ไม่อยากให้ใครกวนใจ”
ทันทีที่คำพูดแบบไร้เยื่อใยหลุดจากปากของผม เดียร์ก็มีสีหน้าสลดลง หัวใจผมหล่นวูบ เมื่อเห็นใบหน้าหมองๆนั้น รู้สึกสงสารเขาขึ้นมาจับใจ แต่ทำไงได้พูดออกไปแล้ว ก็ต้องเป็นไปตามนั้น เด็กหนุ่มเม้มปากแน่น ทำตาแดงๆ เขานิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง พลันใบหน้าของเดียร์ก็มีรอยยิ้มระบายขึ้น
“ถ้าเรียวอยากอยู่คนเดียว ผมก็ไม่รบกวนแล้วนะครับ แค่อยากมาเห็นกับตาว่าเรียวเป็นอะไรหรือเปล่าเท่านั้น พักผ่อนให้มากๆนะครับ อย่านอนดึกนะ ผมกลับล่ะครับ”
เดียร์กลับไปแล้ว ด้วยท่าทางเหงาๆ ส่วนผมกลับมานอนในห้องเหมือนเดิม แต่ผมไม่สามารถข่มตาตัวเองลงได้ พอพยายามจะหลับตาลงทีไร หน้าเศร้าๆของเดียร์ก็ลอยไปลอยมา ผมรู้สึกแน่นในอก รู้สึกว่าตัวเองได้ทำในสิ่งที่ร้ายกาจมากที่ไล่เดียร์ไปกลางดึกแบบนั้น ทั้งๆที่เจ้าเด็กบ้านั่น รีบนั่งแท็กซี่มาหาผมทันทีที่เลิกงาน ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย กลัวว่าผมจะไม่สบาย กลัวว่าจะไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อน โดยที่ตัวเขาเองก็ทำงานหนักมาทั้งวัน และยังไม่ทันได้พักผ่อน แต่ผมกลับไม่ใส่ใจความรู้สึกของเขา และใช้คำพูดที่ทำให้เดียร์ต้องเจ็บปวด ผมมันแย่มากจริงๆ ไม่รู้สึกในความหวังดีของคนอื่น แถมซ้ำยังไร้หัวใจอีกด้วย มัวแต่ไปเก็บเอาคำพูดบ้าๆของคนอื่นมาคิด กลัวในสิ่งที่มันยังไม่เกิด ปิดกั้นตัวเอง ทำร้ายคนที่รักผมทั้งๆที่เขาไม่เคยทำอะไรให้เลย ความเครียดในสิ่งที่ตัวเองทำลงไปทำให้ผมนอนไม่หลับ จนกระทั่งรุ่งเช้า
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่3 4/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 04-01-2009 17:19:37
:z3: ไม่มีเวลาจัดช่องไฟอ่ะ ทนอ่านเอานะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่3 4/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: nanalonely ที่ 04-01-2009 17:26:40
จิ้มมม  พี่แอน

แล้วไปอ่านก่อนน๊า


~~~~~~~~~~~~~~~~~~

 :o12:สงสารเดียร์

เรียวจังใจร้ายยย ดูเด่ะ เดียร์หงอยเลย
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่3 4/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: unnoname ที่ 04-01-2009 19:26:27


                                  ทำไมทำร้ายจิตใจเดียร์อย่างนั้นนน :o12:

                                                   :sad4:เรียวใจร้ายยยยย
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่3 4/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 04-01-2009 22:23:35
อ่านซะตาลายเลยค่ะ พี่แอน
ชอบเดียร์นะ เดะอะไรมะรู้น่ารักจริงๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่4 5/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 05-01-2009 14:06:44
 :z13: จิ้มจิ้ม

บทที่ 4

หลายวันมานี้ ผมหมกตัวอยู่กับเรื่องงาน เพื่อให้ลืมความขุ่นมัวต่างๆที่เกิดขึ้นในใจ มาทำงานแต่เช้า และกลับบ้านดึกมาก บางวันก็ไม่ลงไปทานข้าวข้างล่าง แต่จะสั่งให้เลขาซื้อมาให้ทานข้างบน เจ้าสันต์ชวนไปไหน ผมก็ไม่ได้ไป จนมันบ่นน้อยใจว่าผมทำตัวห่างเหินกับมัน ศักดิ์ชายยังคงมาป้วนเปี้ยนกับผมเหมือนเดิม แถมซ้ำทำตัววุ่นวายกับผมมากมาย ทั้งที่มันไม่เคยทำอย่างนี้มาก่อน จนผมรู้สึกเซ็งมาก ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ผมยอมรับว่าตอนที่เราเรียนอยู่ด้วยกัน มันดูแลเอาใจใส่ผมดีมาก จนผมคิดว่ามันเป็นเพื่อนที่ดีของผมคนหนึ่ง แต่หลังจากที่แยกจากกัน จนกระทั่งได้มาเจอกันอีกครั้งที่บริษัทนี้ เราก็ไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกันเท่าไหร่
ผมสังเกตว่า ศักดิ์ชาย เริ่มเข้ามายุ่งเกี่ยวกับผมมากเกินควรตั้งแต่ตอนที่มันได้เจอเดียร์ครั้งแรก เหมือนกับว่ามันไม่พอใจที่เดียร์มาสนิทสนมกับผม มันคอยแต่จะถามไถ่อยู่ตลอดเวลา ว่าผมไปไหน ไปกับเดียร์หรือเปล่า เดียร์เป็นใคร รู้จักกันได้ไง ญาติโกโหติกาอยู่ที่ไหน ทำไมถึงได้ดูสนิทสนมเข้านอกออกในบ้านผม จนเกินกว่าคนรู้จักธรรมดา ผมขี้เกียจตอบคำถามพวกนั้น มันก็ทำเป็นน้อยอกน้อยใจผม แล้วก็พร่ำบอกว่า มันเป็นห่วง กลัวว่าเดียร์จะเป็นคนไม่ดี กลัวว่าเขาคิดหวังอะไรจากผมจึงมาสนิทด้วย พอผมถามมันว่ามันรู้หรือว่าเดียร์หวังอะไร ในเมื่อผมไม่ใช่คนร่ำรวยมีสมบัติพัสถานมากมาย มันก็อ้ำอึ้งไม่ยอมตอบ
ในช่วงที่ผมกำลังวุ่นวายกับเรื่องงานและเรื่องคน เดียร์กลับเงียบหายไปอีกแล้ว เขาไม่ได้โทรมาหาผม แต่ก็ยังคงส่งอาหารกลางวันมาให้ โดยไม่มีการคิดเงินเหมือนเดิม เลขาของผมต้องเอาเงินมาคืนผมทุกครั้ง จนผมต้องบอกให้เลขาไปซื้อข้าวร้านอื่น เพราะผมรู้สึกเกรงใจ ไม่อยากให้เขาลำบากและเดือดร้อนเรื่องเงินอีก
ผมไม่รู้ว่าเดียร์เงียบหายไปเพราะสะเทือนใจที่ผมไล่เขาไปวันนั้นหรือเปล่า เวลาที่เขาไม่โทรมา หรือมาหา มันทำให้ผมรู้สึกอ้างว้างเปลี่ยวเหงา ถึงแม้ว่าการหายไปจะไม่ใช่เป็นครั้งแรก แต่ผมก็รู้สึกแย่อยู่ดี จิตใจของผมมันคอยแต่จะนึกถึงเขาอยู่ตลอดเวลา ยิ่งไม่เห็นหน้าหรือได้ยินเสียง ผมก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก
แต่ถึงกระนั้น ผมก็เลี่ยงที่จะไปพบกับเดียร์ที่ร้านอาหารบ้านคุณป้า นึกเคืองเขาที่หายไป เลยทำให้ผมไม่อยากไปให้ความใส่ใจกับเขา เด็กนั่นจะอยู่อย่างไร จะดีหรือร้าย ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับผม เขาก็อยู่ส่วนเขา และผมก็อยู่ส่วนผม เราไม่ควรที่จะมายุ่งเกี่ยวกัน
พอถึงวันศุกร์ ในขณะที่ผมอยู่คนเดียวในห้อง กำลังง่วนอยู่กับงานตรงหน้าที่พิจารณาอย่างติดพันจนทำให้ยังไม่มีเวลาลงไปทานข้าว เลขามาถามผมว่าต้องการทานอะไรหรือเปล่า แต่ผมกินอะไรไม่ลง รู้สึกเบื่ออาหาร เบื่อทุกอย่างไปหมด จึงบอกกับจุ๋มว่า ผมยังไม่อยากทานอะไร เดี๋ยวถ้าหิวผมจะหาเวลาลงไปทานเอง แล้วผมก็หันมาง่วนกับงานต่อ
จนกระทั่งเกือบบ่ายโมง ก็มีโทรศัพท์จากยามหน้าประตูโทรเข้ามา บอกว่ามีคนจากร้านอาหารเอาของมาส่งให้ผม ผมขมวดคิ้วอย่างสงสัยว่าใครกันนะที่มาหา คงไม่ใช่เจ้าแซ่บหรอก เพราะเวลานี้เจ้าสันต์คงจะยังอยู่ที่ร้าน และคงไม่ปล่อยให้แซ่บคลาดสายตาเป็นแน่ อาจจะเป็นคนในร้านคนใดคนหนึ่งที่เดียร์ฝากให้เอากับข้าวมาให้ผมก็ได้
สิ่งที่ยามพูด ไม่ได้ทำให้ผมแปลกใจเลยแม้แต่น้อยเพราะเดียร์เคยฝากอาหารมากับพนักงานในร้าน เพื่อนำมาให้ผมออกบ่อย เวลาที่ผมไม่ลงไปกินข้าวที่ร้านแล้วก็ไม่ได้ไปกินข้าวที่ไหนด้วย เดียร์น่ารักตรงนี้ ตรงที่คอยดูแลเอาใจใส่ผมอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเรื่องอาหารการกิน เรื่องในบ้าน เขาคอยเป็นธุระให้ จนผมเริ่มจะชินกับการที่เขาทำทุกอย่างให้
ผมเดินออกไปข้างนอกเพื่อรับของที่คนมาส่งด้วยตนเอง ไม่อยากใช้ใครให้มันดูเป็นที่เอิกเกริก พอเดินไปข้างนอก ก็เห็นคนส่งของมารออยู่ก่อนแล้ว พร้อมด้วยรอยยิ้มเปื้อนหน้าอย่างที่คุ้นเคย หัวใจผมกระตุกวูบ มือไม้อ่อนแรง เมื่อเห็นเจ้าเด็กบ้านั่น ยืนอยู่ตรงหน้า ในมือถือถุงใส่อาหารกล่อง กับข้าวถุงมาให้ผม สีสันดูน่าทาน
อุตส่าห์ไม่พยายามจะคิดอะไรแล้วเชียวนะ หายไปเสียได้ ก็ดี ยังกลับมาโผล่ให้เห็นจนได้ การมาปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเขา ทำให้ผมเตรียมตัวเตรียมใจไม่ทัน เผลอแสดงอาการดีใจออกไปแว่บหนึ่ง เลยต้องรีบทำเป็นหน้าบึ้งตึงใส่
“มาทำไม”
ผมถามคำถามปัญญาอ่อนออกไป รู้ทั้งรู้ว่าเดียร์มาส่งอาหารกล่องให้ แต่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับเขาดี เด็กหนุ่มไม่มีทีท่าสนใจคำพูดของผม เขากลับยิ้มหวานให้
“เห็นว่าเรียวไม่ลงไปทานข้าวที่ร้านมาหลายวันแล้ว แถมซ้ำยังไม่ได้ไปสั่งอาหารที่ร้านด้วย คิดว่าเรียวคงทำงานจนเพลิน ไม่มีเวลาลงไปทานข้าวข้างล่าง ผมเป็นห่วงก็เลย ทำอาหารไว้ให้ แล้วเอาขึ้นมาให้ด้วยตัวเองอ่ะครับ”
เด็กหนุ่มยื่นถุงใส่อาหารในมือมาตรงหน้าผม แต่ผมกลับมองเฉยๆ เดียร์หยุดรอ พลางส่งสายตาวิงวอนมายังผม เหมือนต้องการให้ผมรับของที่เขาทำให้ไปจากมือ และยกโทษให้กับเขาในสาเหตุอะไรก็ตามที่ทำให้ผมไม่พอใจเขาอยู่
“วันนี้มีเมนูอร่อยๆมาฝากอ่ะครับ ผมทำสุดฝีมือเลยนะ คิดว่าเรียวคงชอบแน่ๆเลย เป็นข้าวผัดทะเลผงกะหรี่ แล้วก็มีแกงจืดด้วยนะครับ กับผัดยอดมะระด้วยอ่ะ เรียวคงหิวแล้ว ทานเลยไหมครับ ตอนนี้กำลังอุ่นๆอยู่ ปล่อยไว้นานจะชืดเสียหมดนะ”
เดียร์เชิญชวนผม ใบหน้ายิ้มละไม ผมมองใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นแล้วถอนหายใจ นี่ผมเป็นอะไรไป เด็กหนุ่มตรงหน้าทำอะไรผิดเหรอ ผมถึงได้ทำท่าปั่นปึ่งกับเขาแบบนี้ ทั้งที่เขาพยายามทำดีกับผมทุกอย่าง แต่ผมกลับเห็นเขาเป็นที่ระบายอารมณ์ ผมนี่ นิสัยไม่ดีเอาจริงๆเลย
ในที่สุดผมก็ยื่นมือออกไปรับถุงใส่อาหารจากเขา พลางกล่าวขอบคุณ แต่ก็ไม่วายพูดจาเย็นชาใส่เขาทำนองว่า เขาไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้หรอก ผมไม่ปลื้มในสิ่งที่เขาทำเลยสักนิด
เดียร์มีสีหน้าหมองลง แต่เพียงชั่วครู่ใบหน้าหล่อเหล่านั้นก็กลับร่าเริงขึ้นมาอีกครั้ง เขายิ้มให้ผม แล้วบอกว่า เขายินดีทำสิ่งนี้ มันไม่เหลือบ่ากว่าแรงของเขาอยู่แล้ว อะไรที่ผมพึงพอใจเขายินดีทำให้ทำให้ เพราะเขาตั้งใจไว้แล้ว ว่าเขาจะทำให้ผมมีความสุข ผมถึงกับอึ้งพูดอะไรไม่ออกไปชั่วครู่ พยายามตั้งสติให้มั่นเพื่อก่อกำแพงในใจให้สูงขึ้นไปอีก
“แล้วมาอย่างนี้ ทางร้านไม่ว่าเอาเหรอ แล้วใครทำกับข้าวให้เขาล่ะ ทำแบบนี้บ่อยๆไม่ดีนะเดียร์ เขาจะว่าเอาได้ แล้วฉันก็ไม่ชอบด้วย ถ้านายจะมีปัญหาในเรื่องงานเพราะฉัน”
อดไม่ได้ที่จะถามเขาด้วยความรู้สึกเป็นห่วง เพราะนึกขึ้นมาได้ ว่าช่วงนี้ เป็นช่วงที่ยุ่งที่สุดของร้านในตอนกลางวัน แต่เขากลับหนีงานจากทางโน้นเพื่อเอาอาหารมาให้ผม ทั้งที่เขาสามารถจะใช้งานให้คนอื่นเอามาให้ก็ได้
“อ๋อ วันนี้ มีพ่อครัวมาใหม่อีกคนนะครับ เรียว คือว่าผมลาหยุดกับคุณป้าในอาทิตย์หน้าไว้นะครับ เพราะผมมีคอนเสิร์ตที่จะต้องไปซ้อมนะครับ ผมก็เลยฝากเพื่อนที่รู้จักอีกคนที่เขาทำอาหารเก่งเหมือนกันไปทำงานที่ร้านคุณป้าแทนในช่วงที่ผมไม่อยู่ แต่หากคุณป้าพอใจจะรับเขาทำงานอีกคนก็ได้ เพราะเห็นคุณป้าอยากได้คนเพิ่มอยู่เหมือนกันครับ แล้วเขาก็เพิ่งลาออกมาจากร้านเดิมที่ผมกับเขาเคยทำงานด้วยกันอ่ะครับ”
เด็กหนุ่มตอบผมยิ้มๆ แต่ผมยังไม่ได้รับคำตอบในสิ่งที่ผมต้องการรู้อยู่ดี
“อ๋อ พอมีคนใหม่อีกคน นายก็ทิ้งงานที่ทำเลยเหรอ”
ผมกล่าวหาเขา เดียร์สั่นศีรษะ รีบพูด
“เปล่าครับ ที่มานี้ ผมทำอาหารไว้ตามออเดอร์ที่สั่งแล้ว พอเห็นว่าคนในร้านเริ่มซาๆ ผมก็ขออนุญาตแว่บออกมาครับ บอกคุณป้าแล้วว่าผมขอมาธุระแป๊บเดียวครับ ใจนึกเป็นห่วงเรียว กลัวว่าจะไม่ได้ทานอะไร ก็เลยรีบมา เดี๋ยวนี่ จะรีบไปแล้วครับ”
“ขอบใจมากนะ ที่รู้สึกเป็นห่วงกัน แต่คราวหน้านายไม่จำเป็นต้องมาเองหรอก ฝากใครมาก็ได้นะ เดียร์ หากนายต้องออกจากงานเพราะฉัน ฉันคงรู้สึกแย่แน่”
ผมบอกเด็กหนุ่มด้วยความรู้สึกที่ออกมาจากใจ รู้ว่าเขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อผม แต่ผมไม่ต้องการให้เขาเดือดร้อนจากการที่มาเอาอกเอาใจผมมากเกินไป สงสารเขา ไม่อยากให้เขาทุ่มอะไรลงไปแล้วไม่ได้อะไรกลับมาซักอย่าง ความรักจากผมก็ไม่ได้ แถมซ้ำยังสูญเสียงานการอีก เด็กหนุ่มมองสบตาผม แล้วยิ้มให้
“อย่าคิดว่าเป็นเรื่องลำบากอะไรเลยครับ เราไม่ใช่คนอื่นคนไกลกันแล้ว เรียวไม่ต้องเกรงใจหรอก อะไรที่ทำให้เรียวมีความสุข ผมยินดีทำให้นะ”
ผมนิ่งอึ้ง เจ็บแปลบที่หน้าอกอีกแล้ว ทำไมผมจึงรู้สึกสะเทือนใจง่ายนักกับคำพูดเพียงไม่กี่คำของเดียร์ หรือเป็นเพราะสิ่งที่เขาพูดนั้นล้วนแล้วแต่ออกมาจากใจ จึงทำให้ผมรู้สึกหวั่นไหวและเจ็บปวดไปกับสิ่งที่ได้ยิน เดียร์หนอเดียร์ เขาจะรู้บ้างไหมหนอว่าผมลำบากใจแค่ไหน ที่ต้องพยายามห้ามใจไม่ให้รักเขา ผมต้องเพิ่มความพยายามมากกว่าเดิมในการที่จะตั้งกำแพงกั้นเราสองคนให้ห่างจากกัน และผมเริ่มอ่อนแรงลงทุกที ใจของผม ใกล้จะต้านทานไม่ไหวแล้ว ผมต้องหนี หนีไปให้พ้นจากสถานการณ์ต่างๆที่จะทำให้ผมเกิดความผิดพลาดในการใช้ชีวิตคู่ ผมพร่ำบอกตัวเองว่า ตอนนี้ผมเพียงแค่ทดลองมีประสบการณ์ทางเพศในรูปแบบใหม่ๆ ผมไม่ได้ติดใจความสัมพันธ์แบบนี้ และแน่นอน คนที่ผมจะแต่งงานด้วยต้องเป็นผู้หญิง
ความรู้สึกในใจของผมต่อสู้กัน ระหว่าง ใจอ่อนให้เดียร์ กับ เข้มแข็งเข้าไว้ และดูเหมือนว่าฝ่ายแรกจะมีพลังรุนแรงกว่า จวนเจียนที่คำพูดหวานๆจะหลุดออกจากปากผม เพื่อขอบคุณสิ่งดีๆที่เดียร์ทำให้ผม ก็เหมือนระฆังช่วย เจ้าสันต์เดินยิ้มให้ผมมาแต่ไกล มันทำท่าชงัก เมื่อเห็นผมยืนคุยกับเดียร์อยู่ แต่แล้วก็ตรงรี่เข้ามาหา พอเข้าใกล้ตัวผมและเดียร์มันก็ทักทายเดียร์เหมือนคนที่คุ้นเคยกันมานาน
“เฮ้ เจ้าหนูนักปรุง มาได้ไงเนี่ย มาส่งของให้ลูกค้าขาประจำเหรอ”
“ครับ ไม่เห็นคุณเรียวลงไปทานอาหารมาหลายวันแล้ว แถมซ้ำ ไม่ได้ฝากใครไปซื้อด้วย ก็เลยคิดว่าคุณเรียวคงทำงานเพลิน จนไม่มีเวลาลงไปทานแน่อ่ะครับ เลยทำของขึ้นมาให้ครับ เป็นบริการพิเศษ สำหรับลูกค้าประจำ ไม่คิดเงินเพิ่มครับ”
เดียร์ตอบสันต์ด้วยท่าทีสุภาพ สันต์ยิ้มกริ่ม ทำหน้าเจ้าเล่ห์ ถามเดียร์เสียงอ่อนเสียงหวาน
“อย่างพี่นี่ ถือว่าเป็นลูกค้าขาประจำหรือเปล่า”
“ครับ เป็นสิครับ”
“งั้นถ้าพี่หายไปอ่ะ แบบไม่ไปกินข้าว เพราะมัวแต่วุ่นอยู่กับการทำงานแบบเพื่อนพี่ เดียร์จะเอากับข้าวขึ้นมาส่งหรือเปล่าจ๊ะ”
“ก็ถ้าพี่อยากทานอะไร ก็โทรสั่งไปได้นะครับ ก็จะมีคนมาส่งให้ครับ เป็นบริการจากทางร้านอยู่แล้วครับ”
“ไม่ใช่ พี่หมายถึงว่า หากพี่หายไปเฉยๆ ไม่ลงไปกินข้าว ไม่ได้สั่งอะไร จะมีคนมาสนใจ หวงใยไหม”
เจ้าสันต์ถามเดียร์ แล้วก็หันมามองผม ส่งสายตามีความหมาย กับยิ้มยั่วมาให้ ผมลอบมองเดียร์ดูว่าเขาจะทำหน้าอย่างไร แต่ก็พบว่า เด็กหนุ่มลอบมองผมด้วยเช่นกัน ตาของเราสองคนสบกันอย่างจัง ผมต้องเป็นฝ่ายหลบตาก่อน
“ถ้าคุณสันต์หายไปจริงๆ แซ่บคงไม่ยอมหรอกมั๊งครับ เขาคงอดรนทนไม่ได้ ขึ้นมาหาคุณสันต์เองน่ะแหละ คุณสันต์กับเขาสนิทกัน และรู้ใจกันดีนี่ครับ คุณก็เหมือนเป็นลูกค้าประจำของแซ่บอ่ะครับ เขาคงไม่ยอมให้ใครขึ้นมาส่งข้าวส่งน้ำให้คุณแทนเขาหรอก”
ผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อฟังเดียร์พูดจนจบ เจ้าเด็กคนนี้ ช่างยอกย้อนได้เก่งจริงๆ เล่นเอาเจ้าสันต์ซึ่งทำท่าป้ออยู่ ใบ้รับประทานไปเลย

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่4 5/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 05-01-2009 14:08:14
“แหม ร้ายกาจจังนะ นึกว่าเก่งอยู่แต่ในครัว ไม่รู้ว่าจะสนใจเรื่องคนอื่นด้วย”
สันต์พูดยิ้มๆ หลังจากยืนเอ๋อไปชั่วครู่
“ แซ่บ เป็นเพื่อนของผมนี่ครับ แล้วเขาก็มักจะเล่าเรื่องของคุณสันต์ให้ฟังเสมอเลย ผมก็เลยพลอยรู้จักคุณไปด้วยอ่ะครับ”
คำพูดของเด็กหนุ่มเล่นเอาเจ้าสันต์ถึงกับตาโตด้วยความสนอกสนใจ
“จริงเหรอ แล้วเขาพูดถึงฉันยังไงบ้าง”
“เล่าตรงนี้ ตอนนี้จะดีหรือฮะ จะรบกวนเวลาทำงานหรือเปล่า คุณเรียวก็ยังไม่ได้ทานอะไรด้วย ให้คุณเรียวไปทานข้าวก่อนดีไหมครับ”
เด็กหนุ่มพูดยิ้มๆ เป็นเชิงตัดบท สันต์หันมามองหน้าผมและถุงอาหารที่อยู่ในมือ แล้วทำท่านึกขึ้นได้ มันขอโทษขอโพยผม ที่มาขัดจังหวะ แล้วไล่ให้ผมไปกินข้าว ก่อนจะหันมาบอกกับเด็กหนุ่มว่า จะคุยด้วยในเรื่องของแซ่บในวันหลัง เดียร์พยักหน้าแล้วก็พูดว่า เขาจะคุยเฉพาะเรื่องแซ่บเท่านั้นนะ ไม่คุยเรื่องอื่น สันต์สบตากับผม ท่าทางเหมือนมันจะรู้สึกทึ่งกับความฉลาดทันคนของเดียร์จนไม่ยอมหลงกลกับการหาทางเกี้ยวพาราสีเขาของตนเอง ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ รีบหิ้วถุงกับข้าวหันหลังกลับ ตรงไปยังแคนทีน หลีกเลี่ยงการสนทนากับเจ้าสันต์และเดียร์ ทั้งคู่ไม่ได้ตามผมมา และผมก็ไม่ได้หันหลังกลับไป ทำตัวเหมือนคนใจดำ แม้แต่คำพูดขอบคุณเด็กหนุ่มสักคำก็ไม่มี รู้สึกผิดในใจ แต่ก็ปล่อยปละละเลยให้เขาเข้าใจว่าผมเป็นคนอย่างนั้น ดีกว่าที่จะมาคอยทำดีให้เขาพอใจ จนเด็กหนุ่มถลำลึกไปมากกว่านี้ ผมไม่อยากทำร้ายเขาด้วยการทำให้เขาหลงเชื่อว่าผมพอใจสิ่งที่เขาทำ ยิ่งเด็กหนุ่มเข้าใจผมผิดมากเท่าไหร่ เขาจะได้ตัดใจเร็วเท่านั้น
ประมาณบ่ายสาม เดียร์ก็โทรศัพท์มาหาผม เขาส่งเสียงรื่นเริงตามสายมา ถามไถ่ผมว่าทานข้าวแล้วใช่ไหม อร่อยหรือเปล่า ตอนแรกผมคิดจะทำใจดำต่อ แต่เมื่อได้ยินเสียงอันสดใสของเขา ก็ทำให้ผมแกล้งเขาต่อไม่ลง หน้าซื่อๆไร้เดียงสาของเขาลอยผ่านเข้ามาในความคิด ดูเหมือนว่าเดียร์จะไม่เคยพยายามรับรู้ถึงสิ่งที่ผมทำกับเขาเลยแม้สักนิด ไม่ว่าผมจะเฉยชา มึนตึงใส่เท่าไหร่ เขาก็จะโต้ตอบผมกลับมาด้วยความรู้สึกดีๆ กับใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสทุกครั้ง หลายต่อหลายครั้งเขาเจ็บปวด สังเกตได้จากแววตาที่หม่นหมอง ความสะเทือนใจที่เขาปกปิดไม่มิด มันฉายให้เห็นแม้เพียงแว่บเดียว ผมก็รู้สึกได้ แต่นั่นแหละ เด็กหนุ่มจะกลบเกลื่อนความขมขื่นที่มีอยู่ด้วยรอยยิ้มที่สดใสร่าเริง เหมือนเขาไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยเสียทุกครั้ง ถึงอย่างไร ผมก็รู้อยู่ดีว่าเขาเจ็บแค่ไหน
ผมตอบเขาไปว่าผมได้ทานอาหารเรียบร้อยแล้ว และขอบคุณเขาที่ทำอาหารมาให้ทาน เดียร์หัวเราะเสียงใส ตอบว่าไม่เป็นไรหรอก เป็นหน้าที่ของเขาอยู่แล้วที่จะดูแลให้ผมมีความสุข ผมทอดถอนใจรู้สึกตื้นตันกับคำพูดของเด็กหนุ่มอีกแล้ว เลยรีบตัดบทบอกว่าผมมีงานที่จะต้องทำ เพราะผมไม่อยากรู้สึกหวั่นไหวไปมากกว่านี้อีกแล้ว จึงต้องยุติการสนทนาโดยพลัน ก่อนที่หัวใจของผมจะแสดงความอ่อนแอออกมาให้เขาเห็น เดียร์รับคำอย่างว่าง่าย และขออนุญาตไปหาผมที่บ้านคืนนี้ ผมไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร เพราะคราวก่อนก็ไล่เขา จึงตอบตกลงไป
เด็กหนุ่มดีใจมาก บอกว่าเขาเตรียมเมนูสุดอร่อยไว้เพื่อทำให้ผมกินโดยเฉพาะ อยากให้ผมกลับมาบ้านเร็วๆจะได้มีเวลาทานด้วยกัน ผมตอบเขาไปว่า ผมไม่แน่ใจว่าผมจะกลับบ้านได้เร็วหรือเปล่า ขึ้นอยู่กับงานที่คั่งค้างว่ามีปริมาณมากแค่ไหน หากไม่มีอะไร ผมก็คงจะถึงบ้านได้อย่างช้าไม่เกิน 1 ทุ่ม เดียร์บอกว่า เขาจะคอยผมที่หน้าประตูบ้าน เพราะเขาไม่มีกุญแจไขเข้าไป แล้วก็พูดอ้อนๆกับผมประมาณว่าอยากให้ผมให้กุญแจเขาสักดอก เขาจะได้ไขเข้าบ้านไปทำกับข้าว ทำความสะอาดให้ผมได้ แต่ผมปฏิเสธ โดยแสร้งพูดกับเขาขำขำว่า กลัวว่าเขาจะเป็นสายโจร มาลักขโมยข้าวของของผม เดียร์หัวเราะเสียงขื่นๆ บอกว่า เขาจะเป็นโจรปล้นสวาทได้เท่านั้น จะขโมยหัวใจของผม ข้าวของอื่นไม่สน ผมเลยแกล้งพูดว่า นั่นแหละที่น่ากลัวมากกว่าอย่างอื่น เพราะหัวใจของผมไม่สามารถจะให้ไปกับใครง่ายๆ อยากเก็บไว้กับตัวเองให้นานที่สุด เด็กหนุ่มถอนหายใจยืดยาว แล้วก็สรุปด้วยน้ำเสียงที่เด็ดเดี่ยวว่า เขาจะทำให้ผมยอมมอบหัวใจให้เขาให้ได้ไม่ว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนก็ตาม ผมเลยนิ่งเงียบไม่โต้ตอบ
ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก เดียร์เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตของผมมากขึ้น แล้วผมก็ดันมีความพึงพอใจกับสิ่งที่เด็กหนุ่มทำให้เรื่อยๆ พร้อมกันนั้นจิตใจที่แข็งแกร่งของผมก็เริ่มอ่อนแอลงทุกที ผมคิดถึงเดียร์มากขึ้นกว่าแต่ก่อน เวลาที่เขาอยู่ด้วยก็รู้สึกรำคาญน้อยลง ไม่หงุดหงิดที่เขามาคอยนัวเนียชิดใกล้ บางจังหวะอารมณ์ผมก็รู้สึกพึงพอใจด้วยซ้ำ ผมเริ่มมองเห็นด้านดีงามของเด็กหนุ่ม ความมุ่งมั่นตั้งใจจริง ความขยันขันแข็ง ไม่ย่อท้อต่องาน ไม่งอมืองอเท้า รอโชควาสนา หรือเงินทองที่ได้มาโดยไม่ต้องลงมือทำอะไร แม้จะมีรูปสมบัติเป็นทุนแต่เขาก็ไม่เคยใช้ความหน้าตาดีของตนเอง เป็นทางลัดที่จะให้ได้ทุกสิ่งทุกอย่างมาเป็นของตนเองอย่างง่ายๆ
เดียร์เคยเล่าให้ผมฟังอยู่บ่อยๆว่า ที่ร้านกาแฟที่เขาไปทำงานอยู่นั้น เป็นร้านที่อยู่ในย่านที่มีเกย์พลุกพล่าน มีคนที่เข้ามานั่งในร้านติดใจในตัวเขา และทาบทามให้เขาไปอยู่ด้วย บอกจะเลี้ยงดูอย่างดี ให้บ้านให้รถ ให้เงินใช้ แต่เดียร์ปฏิเสธพวกเขาไป บอกว่า เขาสามารถหาสิ่งเหล่านั้นได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง อีกทั้งเขาก็มีแฟนอยู่แล้วด้วย แล้วเขาก็รักแฟนของเขามาก ถึงจะพูดออกไปอย่างนี้ แต่คนเหล่านั้นก็ยังไม่เลิกตื้อเสียที ซึ่งเดียร์ก็ไม่ยอมใจอ่อน ผมเสียอีกที่เป็นฝ่ายยุให้เขาคบกับคนพวกนั้น เขาจะได้ไม่ต้องมาเสียใจในเรื่องของผม
และเมื่อผมพูดแบบนี้ทีไร เดียร์ก็จะทำหน้าตาซีเรียสใส่ ย้อนถามผมว่า ถ้าเขาออกจากชีวิตผมไป ผมจะมีความสุขจริงๆเหรอ ถ้าเป็นเมื่อก่อนนั้น ผมอาจจะตอบเขาอย่างทันควันเลยว่าใช่ แต่ไม่รู้ทำไมเดี๋ยวนี้ ผมถึงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ช้ามาก เอาเข้าจริงๆผมก็ไม่ได้รู้สึกแย่เมื่อมีเขาอยู่ใกล้ เวลาที่เจ้าเด็กนี้ไม่อยู่ด้วย ผมกลับเริ่มรู้สึกเหงาอย่างแปลกประหลาด มันทำให้ผมเริ่มกลัวมากยิ่งขึ้น กลัวว่าผมจะหลงรักเขาจนถอนตัวไม่ขึ้น ผมเลยต้องพยายามที่จะออกห่างจากเขาให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้หัวใจตนเองถลำลึกไปมากกว่านั้น
นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมไม่ยอมให้ในสิ่งที่เดียร์ต้องการ ผมกลัวว่า หากผมให้กุญแจบ้านกับเดียร์ไป และเขาเข้านอกออกในบ้านผมได้มากขึ้น ผมจะหนีเขาได้ลำบาก
“คุณเรียวคะ วันนี้ท่านผู้อำนวยการนัดประชุมด่วนตอนห้าโมงเย็นค่ะ เรื่องการพิจารณาเคสวงเงิน 100 ล้านของคุณสุริยะค่ะ”
จุ๋ม เลขาของผม โทรเข้ามาบอกเล่าเรื่องการนัดหมายเย็นนี้ ชื่อของนายสุริยะ ผู้บริหารที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับผม ทำให้ความคิดที่กำลังล่องลอยฟุ้งซ่านไปถึงเรื่องของเดียร์สะดุดหยุดลง ผมขมวดคิ้วเข้าหากัน ได้กลิ่นความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นแล้ว
นายสุริยะ เพิ่งส่งงานเข้ามาเป็นเคสใหญ่วงเงิน 100 ล้าน ลูกค้าเป็นไฮโซตระกูลดัง เจ้าของร้านเพชร อายุอานามไม่ใช่น้อย แต่ยังเป็นโสดสนิท ไร้คนข้างกาย ข่าวซุบซิบบอกว่า เขาเป็นคนที่นิยมไม้ป่าเดียวกัน และเปลี่ยนคู่ควงบ่อยมาก
ผมต้องพิจารณาเคสทำนองนี้จากนายสุริยะค่อนข้างเยอะ เขาชอบจับลูกค้าเป็นเกย์มาทำประกัน ซึ่งน่าจะมาจากการที่ตัวเขาเองก็เป็นเกย์ด้วยเช่นกัน ลูกค้าส่วนใหญ่จึงเป็นคนกลุ่มนี้ คนที่เขารู้จักมักร่ำรวย บางคนก็เป็นผู้มีอิทธิพล กว้างขวางในแวดวงธุรกิจ พอผมปฏิเสธ หรือไม่ให้เขาผ่านการพิจารณา นายสุริยะจะไม่พอใจมาก ผมมักมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกับเขาทุกครั้ง หากการตัดสินใจของผมทำให้เขาเสียประโยชน์ สูญเสียรายได้ที่ควรจะได้จากค่าคอมมิชชั่น และค่าตอบแทนต่างๆจากการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน โบนัส หรือคุณวุฒิรางวัลต่างๆ
ใช่ว่าผมจะกลั่นแกล้ง ไม่อยากพิจารณางานให้เขา แต่บางครั้งเป็นเพราะเขาชอบทำผิดเงื่อนไขกฎเกณฑ์ต่างหาก ตัวอย่างเช่น ไปขายประกันโดยเวนคืนกรมธรรม์เดิมของลูกค้าทำให้เขาเสียประโยชน์ เอาคนที่มีความเสี่ยงสูงเข้ามาทำ บางครั้งก็ซิกแซกหมกเม็ดปกปิดความจริงเกี่ยวกับตัวลูกค้า โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพและหน้าที่การงาน ผู้ใหญ่ในบริษัทก็รู้ ซึ่งก็ได้หามาตรการต่างๆมาป้องกัน บางทีก็ต้องเชิญผู้บริหารท่านนี้มาพูดคุยให้เข้าใจถึงสิ่งที่บริษัทตัดสินใจ แต่บางครั้ง ก็มีนโยบายให้ผมผ่อนปรนกฎเกณฑ์อันเข้มงวดทางการพิจารณารับประกันลง เพื่อเห็นแก่หน้าผู้บริหารคนนี้ไว้ เพราะเขาเป็นผู้บริหารอันดับหนึ่งของบริษัท และกว่าครึ่งของตัวเลขผลผลิตรวม มาจากการทำงานของผู้บริหารท่านนี้และหน่วยงานของเขา อะไรที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรง ก็แกล้งทำเป็นเอาหูไปนา เอาตาไปไร่เสีย แต่ถ้ามันเกินกว่าที่จะรับประกันให้ได้ ก็อาจจะพิจารณาให้ทุนประกันที่ต่ำลง หรือไม่อนุมัติไปเลย
ผมเพิ่งส่งเคาน์เตอร์ออฟเฟอร์ลดวงเงินในการทำประกันลูกค้าร้านเพชรของนายสุริยะลง จาก 100 ล้าน เป็น 50 ล้าน และ ยอมให้เขาได้ ถึง 70 ล้าน เมื่อนายสุริยะมาเจรจากับผู้ใหญ่ขอต่อรองเป็น 100 ล้านตามเดิม โดยอ้างว่าลูกค้าของตนเป็นลูกค้าคุณภาพและมีฐานะการเงินมั่นคงเพียงพอที่จะทำประกันในวงเงินสูงได้ นอกจากนี้ แบบประกันที่นายสุริยะเลือกให้ลูกค้าทำก็เป็นแบบประกันระยะสั้น เน้นการออมทรัพย์ เบี้ยประกันที่ได้เข้ามาสามารถเพิ่มยอดให้บริษัทได้
เนื่องจากในประวัติของเขา ได้มีการทำประกันกับหลายบริษัทในวงเงินค่อนข้างสูงมาก เป็นการทำเกินกว่าความจำเป็น เมื่อเทียบกับรายได้ และทรัพย์สินที่เขามีอยู่ ในขณะที่ตัวเองก็อยู่ในภาวะความเสี่ยงจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตคู่ที่ไม่เหมือนคนปกติทั่วไป ผมจึงไม่อาจให้ได้ตามที่ขอ
การตัดสินใจของผม ทำให้นายสุริยะไม่พอใจ เขาแจ้งมาทางผู้ใหญ่ของผมว่าลูกค้ารู้สึกว่าเสียเกียรติที่ไปลดวงเงินของเขาอย่างนั้น และยืนกรานที่จะขอซื้อประกันในวงเงิน 100 ล้านตามเดิม มีการวิ่งเต้นเจรจาเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ ดังนั้น การที่เจ้านายของผมเรียกไปประชุมด่วนด้วยเรื่องนี้ มันทำให้ผมสังหรณ์ใจว่า ผมอาจจะถูกบีบบังคับจากเบื้องบนให้ดำเนินการพิจารณารับประกันลูกค้ารายนี้ตามวงเงินที่เขาขอร้องมาก็ได้
สิ่งที่ผมคิดไว้เป็นความจริง เจ้านายของผมเปิดฉากเจรจาทันทีที่ผมเข้าไปพบ เขาพูดถึงความจำเป็นของบริษัทในการที่จะรักษาตัวแทนที่มีฝีมือเอาไว้ โดยเฉพาะในช่วงที่ระยะเวลาใกล้จะปิดบัญชีประจำปี เพราะยอดผลผลิตยิ่งมากเท่าไหร่ ย่อมส่งผลถึงกำไรและความมั่นคงของบริษัท จากนั้นก็พูดถึงเคสของนายสุริยะ เจ้านายให้ผมเล่าให้ฟังถึงการตัดสินใจของตนเองว่าทำไมผมถึงได้ลดวงเงินลงจนเหลือแค่ 70 ล้าน ผมก็เลยเล่าให้ฟังจากข้อมูลต่างๆที่ผมได้รวบรวมมา ทั้งจากประวัติการรักษาตัวในโรงพยาบาลของเขา ข้อมูลการทำประกัน ข่าวซุบซิบในวงสังคมเกี่ยวกับตัวเขา และการใช้บริการนักสืบเพื่อดูว่าเขามีความเสี่ยงในการดำรงชีวิตแค่ไหน
เนื่องจากลูกค้าของนายสุริยะเป็นคนดัง มีข่าวลงคอลัมน์ซุบซิบไม่เว้นแต่ละวัน จากข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ระบุว่าเขาเปลี่ยนคนข้างกายบ่อยมาก และ มักจะทำประกันโดยยกให้กับคู่ขาของเขาเหล่านั้น ซึ่งผิดหลักของการคุ้มครอง และเรื่องของส่วนได้เสียตามกฎหมาย แต่เขาก็เลี่ยงโดยการที่รับผู้ชายเหล่านั้นเป็นบุตรบุญธรรมเสมอ เพื่อให้สามารถโอนผลประโยชน์ให้กันได้
ผมเล่าข้อมูลที่ผมไปสืบทราบมาอีกหลายเรื่องที่บ่งบอกถึงความเสี่ยงภัยที่มีอยู่ให้เจ้านายของผมรับฟัง ตลอดเวลาเหล่านั้นเขานั่งนิ่งเงียบฟังผมเล่า เมื่อผมพูดจบ แทนที่เขาจะช่วยแก้ปัญหาให้ เขากลับย้อนถามผมว่า ผมจะพิจารณาอย่างไร ผมเลยบอกว่า ผมยืนยันที่จะลดวงเงิน แต่เจ้านายของผมก็บอกว่า ผู้บริหารระดับสูง แทงเรื่องลงมา ขอให้ทบทวนการพิจารณาใหม่ ทำอย่างไรก็ได้ ที่จะทำให้นายสุริยะและลูกค้าพอใจ เขาจะได้สร้างผลงานอย่างต่อเรื่อง นำเบี้ยเข้าบริษัทเยอะๆ และทำอย่างไรจึงจะให้บริษัทเสียหายน้อยที่สุด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องคำนึงถึงตัวเลขผลผลิตสวยๆที่บริษัทจะโชว์ให้ผู้ถือหุ้นเห็น การเอาใจผู้บริหารท่านนี้ยังจะช่วยไม่ให้ตัวเขาและทีมงานของเขาย้ายไปที่บริษัทอื่นในช่วงเวลาที่บริษัทจะปิดยอดอีกด้วย
เจ้านายให้ผมไปคิดเป็นการบ้านมาว่าจะทำอย่างไร แล้วมาตอบในวันรุ่งขึ้น เขาคาดหวังว่าผมจะให้คำตอบที่น่าพอใจและเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย เป็นแบบวิน วิน หรือให้แต่ละฝ่ายเสียประโยชน์น้อยที่สุด ผมรับปากว่าจะรีบคิดหาทางแก้ไขเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด เจ้านายของผมยิ้มด้วยความสมหวังที่เห็นผมยอมอ่อนข้อให้ ไม่ทำท่าทีแข็งกร้าวดึงดันในสิ่งที่ผมตัดสินใจลงไป เขาตบหลังตบไหล่ผม พลางชวนไปทานข้าว
ผมเหลือบดูนาฬิกาที่ข้อมือ สองทุ่มกว่าแล้ว เลยเวลาที่บอกกับเดียร์ว่าจะกลับบ้านไปตั้งหนึ่งชั่วโมง ป่านนี้เจ้าเด็กบ้านั่นคงนั่งรออยู่หน้าบ้านด้วยความกระวนกระวายใจว่าทำไมผมจึงยังไม่กลับมา จะโทรบอกก็ไม่ได้เพราะติดประชุมอยู่ มือถือก็วางไว้ในห้องทำงานไม่รู้ว่าเขาโทรมาหามั๊ย
“วันนี้คงต้องขอตัวก่อนนะครับ ผมรู้สึกเพลียน่ะ อยากกลับบ้านไปพักผ่อน”
ผมโกหกไปว่าเหนื่อย แต่ที่ไม่ได้โกหกคือผมอยากกลับบ้านจริงๆ ใจกังวลถึงเด็กหนุ่ม ที่ไม่รู้ว่าโดนยุงหามไปแล้วหรือยัง เจ้านายถามไถ่ว่าไม่หิวข้าวหรือ แต่ผมก็บอกว่า ผมยังอิ่มอยู่จากการทานข้าวเมื่อตอนกลางวัน เขาทำหน้าไม่เชื่อถือ แต่ด้วยความที่เป็นหัวหน้าคน เมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิเสธ เขาก็ไม่เซ้าซี้ให้ผมรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังงอนง้อลูกน้องอีกต่อไป
“วันหลังต้องไปนะ เจ้านายเลี้ยงทั้งทีต้องให้เกียรติ ปฎิเสธแบบนี้ ระวังหัวหน้างานจะไม่พอใจ เดี๋ยวจะมีผลกระทบต่องานการที่ทำเปล่าๆ”
เขาแกล้งพูดอำผม ท่าทางไม่จริงจังนัก ผมยิ้ม และตอบกลับไปเบาแบบหยอกล้อเหมือนกันว่า คราวหน้าผมจะเสนอตัวเป็นคนแรกถ้าหากเขาจะเลี้ยงอีกครั้ง เจ้านายผมก็ตอบกลับมาว่า เขาขอคิดดูก่อนแล้วกัน อาจจะไม่เลี้ยงอีกแล้วก็ได้ ของฟรีมีไม่บ่อยนัก แล้วอารมณ์ดีก็ไม่ได้มีบ่อยๆ วันนี้ผมทำให้เขาอารมณ์เสีย เพราะไม่ยอมกินข้าวเป็นเพื่อนเขา ดังนั้นเขาไม่ยอมให้อภัยแน่ แต่ถ้าหากผมทำตัวดีๆ พิจารณางานไม่ให้มีปัญหากับบริษัท เขาอาจจะเปลี่ยนใจไปเลี้ยงผมอีกก็ได้ ผมไม่ตอบว่าอะไร ได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆกลับไป
กว่าจะเก็บข้าวของเสร็จ และขับรถฝ่าการจราจรเข้ามาในหมู่บ้าน ก็ล่วงเข้าไปเกือบ 4 ทุ่มแล้ว เดียร์นั่งหลับคุดคู้อยู่หน้าบ้าน ข้างตัวมีข้าวของพะรุงพะรัง ผมรีบลงจากรถ เดินตรงไปหาเขา แล้วหยุดยืนมองเด็กหนุ่มอยู่ชั่วครู่ ความรู้สึกสงสารเข้าเกาะกุมจิตใจ
“เจ้าเด็กบ้าเอ๊ย มารอทำไมไม่รู้ บ้านช่องไม่ยอมกลับ ทีหลังถ้ารอนานขนาดนี้แล้วยังไม่มีวี่แววว่าฉันจะกลับมา นายก็ควรกลับบ้านได้แล้ว”
ผมต่อว่าเขา ทันทีที่ปลุกให้เขาลุกขึ้น เดียร์ยิ้มหวานให้ผม ดวงตาเป็นประกายสดใส ไม่มีร่องรอยความเหนื่อยล้า หรือง่วงงุนให้เห็น
“จะกลับได้ไงอะครับ ก็เรียวยังไม่ได้ทานข้าวเลย ผมสัญญาว่าจะมาทำอาหารให้เรียวทานยังไงละครับ ตอนนี้หิวแล้วหรือยังครับ รีบเข้าบ้านกันเถอะนะ เดี๋ยวผมจะทำอาหารอร่อยๆ ง่ายๆให้เรียวทาน รับรองเรียวอิ่มท้องแน่นอน”
เด็กหนุ่มอวดอ้างสรรพคุณเสียงแจ้ว ผมยิ้มให้เขา ความรู้สึกเหนื่อยล้าจากงานประจำที่แสนหนักรวมถึงการประชุมที่เคร่งเครียดเมื่อครู่มลายหายเป็นปลิดทิ้ง เมื่อเห็นท่าทางกระตือรือร้นสดชื่นของเดียร์ เขาทำให้ผมรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาได้อย่างแปลกประหลาด
ในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง กับข้าวหลายอย่างก็วางขึ้นโต๊ะ เขาทำอาหารง่ายๆที่ใช้เวลาทำไม่นานนักให้ผมทาน เช่นแกงจืด ผัดผัก ไข่เจียว และหมูทอดกระเทียมให้ผมทาน เขาบอกกับผมว่า ตอนแรกตั้งใจจะทำอาหารชนิดใหม่ที่เขาไปเรียนรู้และฝึกปรือฝีมือมาให้ผมได้ลองชิม แต่ว่าขั้นตอนการทำมันยุ่งยาก เกรงผมจะหิว ก็เลยขออนุญาตทำอาหารพื้นๆมาให้ผมทานก่อน ผมกล่าวขอบคุณเด็กหนุ่มและบอกว่าแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว เวลาหิวจัดๆผมทานอะไรก็ได้ เขายิ้มให้ผมและสัญญิงสัญญาว่าคราวต่อไปถ้าเขามีเวลามากกว่านี้ เขาจะทำอาหารอร่อยๆให้กินสุดฝีมือเลย
 

o1 ขออภัยนะฮ่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่4 5/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: MiTo™ ที่ 05-01-2009 15:49:37
เฮ้ย !!!

สงสารเดียร์ก๊าบบบ

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่4 5/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: Ak@tsuKII ที่ 05-01-2009 17:08:42
กอดเดียร์แน่นๆ :กอด1: หมั่นเขี้ยว  ทำไมเป็นเด็กที่น่ารักอย่างนี้  ..... .

สู้ๆนะเดียร์  น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน  อิอิ 

อยากมีเดียร์ไว้คลอเคลียร์ซักตัว  เฮ้ย!  คน    น่ารักๆๆจุ๊บบบ 

แทงคิ้ว  ( :pig4:)ค่ะ พี่ไต๋
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่4 5/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 05-01-2009 19:22:16
 :man1: ลงหลายตอนเลย  :man1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่5 6/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 06-01-2009 10:22:32
บทที่ 5

กิจกรรมหลังจากทานข้าวและเก็บกวาดห้องครัวเสร็จ ก็คือ นั่งดูทีวีด้วยกันที่ห้องรับแขก แต่รายการทีวีไม่มีอะไรที่น่าสนใจเลย ผมเลยปล่อยให้เดียร์นั่งดูคนเดียว ส่วนตัวเองเดินไปที่มุมห้องรับแขกซึ่งผมวางโต๊ะคอมพิวเตอร์ไว้ตรงนั้น เสียบปลั๊กคอมฯ และนั่งลงข้างหน้า รอเครื่องเปิด เวลาที่ผมว่างไม่มีอะไรทำ นอกเหนือจากการดูทีวี หรือทำงานบ้านไปก๊อกๆแก๊กๆแล้ว การหาข้อมูลข่าวสารในคอมพิวเตอร์ก็เป็นสิ่งที่ผมมักจะทำประจำ ยกเว้นเวลาที่ผมทำงานมาอย่างหนัก และผมเหนื่อยมากๆ วันหยุดอยู่บ้านก็จะกลายเป็นวันพักผ่อนไปโดยปริยาย
ข้อมูลที่ผมหาอ่านส่วนใหญ่ จะเกี่ยวข้องกับการประกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นข่าวอาชญากรรม ข่าวเศรษฐกิจ การเมือง รวมถึงพวกข่าวซุบซิบต่างๆ นอกจากนี้ ผมยังอ่านข้อมูลเกี่ยวกับโภชนาการ สุขภาพ และ ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการดำเนินชีวิตของผู้คนในสังคมอีกด้วย ดูเผินๆ มันอาจจะเป็นข้อมูลทั่วไป แต่อันที่จริง มันเหมาะสำหรับคนที่ทำงานทางด้านการพิจารณารับประกันอย่างผม มันช่วยทำให้สามารถเข้าใจถึงไลฟ์สไตล์ของคน ทำให้ผมกำหนดความเสี่ยงภัยของคนที่จะมาทำประกันกับบริษัทของผมได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริง
สมัยก่อน ไม่ว่าบริษัทใหนก็จะปฏิเสธบุคคลที่เป็นเกย์ ไม่ยอมรับมาทำประกัน เพราะคนเป็นเกย์ หรือพวกเบี่ยงเบนทางเพศ เป็นผู้ที่มีความเสี่ยงสูงในเรื่องของเอดส์ และการฆาตกรรม ต่อมา คนที่เป็นเกย์ มีความระมัดระวัง แล้วใช้ชีวิตที่มีความเสี่ยงน้อยลง ก็ทำให้เราสามารถที่จะผ่อนผัน รับพิจารณาคนที่เป็นเกย์ได้
แต่เมื่อไม่นานมานี้ มีการสำรวจ พบว่า กลุ่มของรักร่วมเพศ มีการติดเอดส์เพิ่มสูงจาก 18 เปอร์เซ็นต์ เป็น 28 เปอร์เซ็นต์ และมีผู้ป่วยเอดส์ที่ดื้อยาร้อยละ 10 มีการคาดการณ์ว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า หากไม่มีมาตการป้องกันที่ชัดเจน จะทำให้มีผู้ป่วยเอดส์เพิ่มขึ้น เพราะมีผู้ป่วยที่ไม่ได้พบแพทย์ แต่ซื้อยากินเอง จนทำให้ดื้อยาเพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังพบอีกว่าชายรักร่วมเพศส่วนหนึ่งไม่ชอบใช้ถุงยางอนามัย และมีเพศสัมพันธ์กันในแบบชั่วครั้งชั่วคราวหรือมีมีคู่นอนแบบฉาบฉวย เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 20.9 ในปี 2546 เป็นร้อยละ 25 ในปี 2548 จึงเป็นสาเหตุสำคัญในการแพร่ระบาดของโรคเอดส์เพิ่มขึ้นในประชากรกลุ่มนี้ รวมทั้งยังพบอีกว่าผู้ที่มีความเสี่ยงในกลุ่มนี้ไม่กล้าไปตรวจเลือด รวมทั้งไม่กล้าไปใช้บริการจากโรงพยาบาลหรือคลินิกให้คำปรึกษา ทำให้เชื้อเอดส์สามารถแพร่ระบาดไปในประชากรกลุ่มนี้มากขึ้น จากข้อมูลที่ได้มา ส่งผลให้บริษัทของผม ต้องหันมาทบทวนนโยบายเกี่ยวกับการรับบุคคลรักร่วมเพศมาทำประกัน ผมจึงต้องเข้มงวดในการพิจารณาบุคคลที่คาดว่าน่าจะมีพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนทางเพศเป็นพิเศษ ซึ่งหมายรวมถึงลูกค้าของคุณสุริยะด้วย ซึ่งมักจะเป็นคนในกลุ่มที่มีรสนิยมทางเพศเบี่ยงเบน ผมเองก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมเขาถึงเลือกขายแต่ลูกค้าเฉพาะกลุ่มนี้ หรืออาจจะเป็นเพราะสังคมของเขาแวดล้อมไปด้วยเกย์ เขาจึงมีลูกค้าที่เป็นอย่างเดียวกันกับเขาสมัครเข้ามาทำประกัน หรือเขาเองก็รู้ดีว่าคนพวกนี้มีความเสี่ยง เลยพยายามที่จะหาอะไรมาเป็นหลักประกันเพื่อให้ชีวิตมีความมั่นคงขึ้น
ขณะที่ผมกำลังอ่านข้อมูลจากในเนตเพลินๆ เดียร์ก็เดินเข้ามาโอบกอดผมจากทางด้านหลัง เด็กหนุ่มซุกจมูกโด่งของเขาตรงข้างแก้มของผม และสูดจมูกอย่างแรง เหมือนจะพยายามให้กลิ่นกายจากผิวแก้มของผมซึมซับเข้าไปในร่างกายเขามากที่สุด
“ทำไรอยู่หรือครับเรียว”
“เตะบอลอยู่”
ผมแกล้งตอบคำถามเขาอย่างกวนๆ พลางขยับร่างที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา แต่เดียร์กลับกอดแน่น ไม่ยอมปล่อยง่ายๆ พลางพูดเสียงกระซิบ ลมหายใจที่เป่ารดอยู่แถวๆข้างหูผม ทำให้ผมอดรู้สึกขนลุกไม่ได้
“เล่นมุขอีกแล้วอ่ะ แต่มันเก่าแล้วนี่นา”
“....”
“ให้ตอบใหม่ครั้งหนึ่ง แต่ถ้าตอบแบบกวนๆอีก จะหอมจนกว่าแก้มจะช้ำเลย”
เด็กหนุ่มทำเป็นขู่ แต่น้ำเสียงรื่นเริงจนกลบอาการไม่อยู่
“บ้าน่ะสิ ใครจะให้นายทำอ่ะ”
“งั้นก็บอกมาสิครับ ว่าทำอะไรอยู่ บอกได้ไหมอ่ะครับ เผื่อบางทีผมอาจจะช่วยได้”
“นายไม่รู้เรื่องหรอก จะช่วยได้ไงล่ะ”
ผมมองเขาอย่างไม่เชื่อถือ เจ้าเด็กบ้านี่ ถึงจะมีความสามารถหลากหลาย แต่เรื่องเกี่ยวกับการพิจารณารับประกันไม่ใช่งานที่เขาถนัดแน่ เด็กหนุ่มแอบหอมแก้มผมอีกทีหนึ่ง ก่อนที่จะยื่นมือไปชี้ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งผมกำลังเปิดเวปไซด์ของกระทรวงสาธารสุข เกี่ยวกับ.โรคเอดส์ค้างอยู่ ผมเอี้ยวตัวมองเขางงๆ นึกในใจว่าเด็กนี่จะรู้เรื่องอะไร พลันสบสายตาที่เขามองมายิ้มๆ
“ประชากรชายรักชายเป็นเอดส์มากขึ้น...........”
เด็กหนุ่มอ่านข้อความจากจอตรงหน้า
“อื้อม แล้วไง หมายความว่านายก็คิดว่ามันไม่ควรเกิดขึ้นใช่ไหม แล้วนายก็คิดว่าจะเลิกเป็นเกย์ แล้วสัญญาเราจะได้สิ้นสุดงั้นเหรอ”
ผมแกล้งถาม ถึงจะรู้ว่า ข้อมูลแค่นี้ ไม่อาจจะทำให้เกย์เปลี่ยนแปลงจิตใจกันง่ายๆ แต่บางส่วนในใจก็แอบหวัง หากมันสามารถเป็นไปได้ ผมก็ไม่ต้องทนอึดอัดในสภาพแบบนี้
“แหม......... ทนไม่ไหวแล้ว คนอะไรเนี่ย ใจร้ายจัง คำก็เลิก สองคำก็เลิก ขอจูบซะทีเถอะ เพื่อว่าจูบของผมหวานพอที่จะทำให้คุณเปลี่ยนใจได้”
เด็กหนุ่มเอี้ยวตัวมาด้านหน้า แล้วใช้มือข้างที่โอบผมดันจนหน้าผมหันมาเจอเขา และก่อนที่ผมจะทันเอ่ยปากประท้วง เดียร์ก็ก้มหน้าลงมา และมอบจูบที่หวานล้ำให้ จูบที่ทำให้ผมอ่อนแรง และหัวใจสั่นไหว จนไม่สามารถประคองร่างกายได้ ต้องยกแขนขึ้นโอบรอบคอเขาเพื่อพักพิร่างกาย ไม่ให้ล้มโครมลงไป เพราะไม่อาจจะต้านทานไฟเสน่หาที่คุโชนในกาย
ผมจูบตอบเด็กหนุ่มกลับไป ปล่อยใจปล่อยตัวเต็มที่ ทั้งๆที่พยายามฝืนใจ ห้ามใจ แต่ผมก็ไม่เคยยับยั้งการปลุกเร้าจากเดียร์ได้สักครั้ง ผมคิดว่า ผมกำลังหลงรสพิศวาสที่เดียร์ปรนเปรอ มันเป็นความแปลกใหม่ตื่นตาทางเพศรส ผมไม่เคยได้รับสิ่งเหล่านี้ จากผู้หญิงที่ผมมีอะไรด้วย เดียร์ให้ความหวานล้ำรัญจวนใจ ผมเลยเผลอไผลได้ปลี้ม มันไม่ได้เกิดจากความรักที่มีต่อเขา ผมเชื่ออย่างนั้น ไม่ใช่สิ ผมสั่งตัวเองให้ต้องเชื่ออย่างนั้น ผมไม่อยากจะเชื่อเป็นอย่างอื่น โดยเฉพาะผมไม่มีวันที่จะยอมเชื่อว่าที่ผมโอนอ่อนผ่อนตามเดียร์ เพราะว่าผมรักเขา ไม่มีทาง ผมทำงานตรงนี้ รู้ดีว่าความรักระหว่างชายกับชาย มันผิดปกติ และเสี่ยงอันตรายแค่ไหน และผมจะไม่มีวันยอมอยู่ในวังวนนั้น ยกเว้นแต่เพื่อความสุขทางเพศชั่วคราว ซึ่งผมคิดว่า เมื่ออารมณ์มันหมดไป ผมก็คงจะเลิกยุ่งเกี่ยวเลิกคิดถึงเขาและสิ่งที่เขาทำไปได้เอง
“เรียวน่ารักจริงๆเลย ปากของเรียวก็หอมหวานมาก จูบด้วยแล้วรู้สึกดีจริงๆ”
เดียร์ถอนริมฝีปากออก แต่สองมือยังประคองใบหน้าผมไว้ สายตาของเขาประสานอยู่กับสายตาของผม ตาหวานเยิ้ม ใบหน้ายิ้มละไม พูดกับผมด้วยน้ำเสียงกระเส่า ผมจ้องหน้าเขาตอบสักพักอย่างงงๆ แต่แล้วสติก็กลับคืนมา ผมปัดมือเขาออกจากใบหน้าของผม แล้วเบือนหน้าหนี ซ่อนความหวั่นไหวที่กำลังจะแสดงออกทางสายตาให้เขาเห็น
“ถ้าอยากรู้เกี่ยวกับเรื่องเกย์ เดี๋ยวผมหาเวปไซด์ให้ดีไหมครับ ผมพอจะรู้จักหลายเวปเหมือนกันที่มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีทั้งเวปไทยและเวปต่างประเทศเลยนะครับ แต่เอาเวปไทยก่อนดีกว่านะครับ”
เด็กหนุ่มบอกผมด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการ กุลีกุจอช่วยเหลือผมเต็มที่ เขาเดินไปลากเก้าอี้มาตัวหนึ่งแล้วทรุดลงนั่งข้างๆผม ไหล่ของเราชนกัน สะโพกและต้นขาด้านหนึ่งอยู่แนบชิดกัน เดียร์จดชื่อเวปเกย์ให้ผม สี่ห้าเวป พร้อมคำอธิบายว่า แต่ละเวปจะมีเนื้อหาประเภทไหน ผมมองหน้าเขางงๆ เจ้าหมอนี่ เข้าเวปพวกนี้ด้วยเหรอ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเขาเป็นเกย์นี่นา เขาก็ต้องเชี่ยวชาญในการเข้าเวปเกย์เป็นธรรมดานะสิ คงจะดูเวปบ่อยมาก จนรู้ดีไปหมดว่าตรงไหนมีอะไรยังไง เหมือนเขาจะล่วงรู้ความคิดของผม เขาทำหน้ายิ้มๆแล้วรีบพูดเพื่อไม่ให้ผมเข้าใจผิด
“อย่ามองหน้าผมแบบนี้สิครับ ผมน่ะ เข้าเวปพวกนี้ก่อนที่ผมจะแน่ใจตนเองว่าเป็นเกย์ แล้วก็มีรสนิยมชอบผู้ชายด้วยกัน ผมอ่ะค่อนข้างสับสนในใจนะครับ ไม่แน่ใจ ก็เลยพยายามอ่านข้อมูล ว่าผมเป็นพวกผิดปกติตรงไหนหรือเปล่า ต้องปฎิบัติตัวอย่างไร เวปพวกนี้มันทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้นอ่ะครับ”
ผมนิ่งฟังเด็กหนุ่มพูด มือก็กดแป้นพิมพ์ชื่อเวปลงไป รอเพียงแป๊บเดียว เวปเหล่านั้นก็ปรากฏอยู่ในสายตา
“เวปนี้ จะหนักไปทางข่าวสารข้อมูลนะครับ เป็นพวกบทความเกี่ยวกับเกย์ มีเรื่องน่ารู้น่าสนใจมากมาย เรียวศึกษาไว้ก็ดีนะครับ เรียวจะได้เข้าอกเข้าใจคนแบบเดียวกับผมมากขึ้น รวมถึงเข้าใจผมด้วยไงครับ”
ผมหัวเราะหึหึ นึกขำเจ้าหมอนี่นัก ที่พยายามจะโน้มน้าวจิตใจของผมให้เข้าอกเข้าใจคนที่เป็นเกย์อย่างเขา เจ้าเด็กบ้าเอ๊ย ใจคอไม่คิดจะปล่อยผมเลยหรือไร ไม่คิดบ้างหรือว่า ยิ่งเขาพยายามจะผูกมัดใจผมมากเท่าไหร่ ผมก็ต้องยิ่งออกแรงดิ้นหนีมากขึ้นเท่านั้น
“ฉันไม่ได้อยากเข้าใจนายหรอกนะ ฉันหาข้อมูลเกี่ยวกับเกย์ เพราะว่าฉันจำเป็นต้องตอบหัวหน้าของฉันเกี่ยวกับเคสที่พิจารณาค้างไว้ เขาจะเอาคำตอบพรุ่งนี้ ฉันเลยอยากศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับคนในกลุ่มรักร่วมเพศ เพื่อที่ฉันจะได้ตัดสินใจได้อย่างถูกต้องเท่านั้น”
ผมตอบเขาไปตามความเป็นจริง เด็กหนุ่มไม่ได้มีสีหน้าสลดหลังจากฟังผมพูดจบแต่อย่างใด เขากลับยิ้มหวานให้ผม แล้วพูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นอีก ว่าเขายินดีจะช่วยผมหาข้อมูลที่ต้องการ และหากผมมีข้อสงสัยใดๆ ผมก็สามารถถามเอาจากเขาได้ ผมมองใบหน้าอ่อนเยาว์ของเขา แล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ จะปฏิเสธก็กลัวว่าตัวเองจะไม่มีข้อมูลในการไปตอบหัวหน้าของตนเองในวันรุ่งขึ้น จึงได้แต่พยักหน้าตกลง ยอมให้เขาช่วยผมค้นคว้าหาข้อมูลด้วย
ผมเลื่อนตัวให้เขามานั่งอยู่หน้าคอมแทนผม โดยที่ผมขยับไปข้างๆ เด็กหนุ่มเปิดหาข้อมูลจากเวปเกย์ให้ผม เวลาเจอบทความที่เกี่ยวข้อง เขาจะชี้ชวนให้ผมอ่าน แต่เนื่องจากข้อมูลเยอะมาก อ่านกันไม่หวาดไม่ไหว เราเลยเห็นพ้องต้องกันว่าน่าจะพิมพ์ออกมาดูกันว่าเรื่องอะไรที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้กับงานของผม
เวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เอกสารมากมายก็วางกองอยู่ตรงหน้าผม เป็นข้อมูลที่เดียร์หามาให้ส่วนหนึ่ง และผมหาเองส่วนหนึ่ง ผมขอเวลาศึกษาข้อมูลที่ได้มาเพียงลำพัง เพราะผมต้องใช้สมาธิในการอ่านและไตร่ตรองข้อมูล ไม่อยากถูกรบกวนสมาธิจากเด็กหนุ่ม เดียร์เข้าใจในสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ เขาปล่อยให้ผมทำงานตามลำพัง ส่วนตัวเองไปนั่งอยู่ที่โซฟา นั่งดูทีวี แต่ดูเหมือนเขาเองก็ไม่ได้จดจ่ออยู่กับรายการทีวีที่ดูเท่าไหร่นัก สายตาของเขาคอยแต่จะจับจ้องผมทุกการเคลื่อนไหวมากกว่า ที่ผมรู้ก็เพราะหลายครั้งที่ผมหันไปมองเขา ก็มักจะเห็นเขามองผมอยู่ก่อนแล้ว พร้อมด้วยรอยยิ้มที่ส่งมาให้เป็นกำลังใจ จนผมเองก็เริ่มที่จะไหวหวั่นไปกับความรักความภักดีที่เขามีให้
เมื่อเงยหน้าดูเวลาที่เครื่องคอม ก็พบว่าเวลามันผ่านไปดึกโขแล้ว อีก 15 นาทีจะเที่ยงคืน ผมบิดตัวด้วยความเมื่อยขบ เก็บเอกสารที่กองอยู่ตรงหน้า ผมได้ข้อมูลที่ใช้ประกอบการตัดสินใจแล้ว ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องการพิจารณารับประกันโดยตรง แต่มันก็ทำให้ผมมีมุมมองที่แตกต่างไปจากเดิม ผมเริ่มรู้จักคนในกลุ่มนี้มากยิ่งขึ้น ผ่านบทความต่างๆที่ผมได้อ่าน และสิ่งที่เพิ่มขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว คือความเข้าอกเข้าใจที่มีต่อกลุ่มคนที่น่าสงสารเหล่านั้น
“เสร็จแล้วหรือครับเรียว มีอะไรสงสัยไหมครับ ถามผมได้นะ”
เดียร์เดินมาหาผม และสวมกอดผมไว้ในอ้อมแขนของเขาอีกครั้ง ผมหลับตาลง ใจหนึ่งก็อยากจะสลัดให้หลุดจากการนัวเนียชิดใกล้ของเขา แต่ใจหนึ่งก็ปรารถนาที่จะซุกซบลงไปกับอกอุ่นนั้น เพื่อให้ร่างกายและจิตวิญญาณของผมถูกปกป้องดูแลจากใครบางคนที่รักผมอย่างจริงใจ ผมไม่รู้ว่าทำไมความต้องการอย่างหลังจึงทวีคูณขึ้นทุกวัน
ในอดีตที่ผ่านมาผมคอยคุ้มครองคนอื่นตลอดเวลา ผมมักจะดูแลและเป็นห่วงเป็นใยเพื่อนๆและคนรอบข้างเสมอ ช่วยเหลือเท่าที่กำลังและความสามารถของผมจะช่วยได้ แม้แต่ตอนที่พบคบกับเจ้าศักดิ์ชาย ถึงแม้มันจะพยายามเอาใจคอยดูแลผมแต่ผมก็มักจะเป็นฝ่ายช่วยเหลือตัวเองมากกว่า และในบางครั้งผมก็เคยทำอะไรเพื่อมัน แต่คราวนี้มันกลับต่างกันออกไป ผมกลับอยากเป็นฝ่ายถูกดูแลเอาใจใส่บ้าง อยากมีคนคอยห่วงใย ทำอะไรต่ออะไรให้ ผมไม่รู้ว่าความคิดแบบนี้มันเกิดขึ้นกับผมตอนไหน กว่าจะรู้สึกตัวผมกลับต้องการมันมากขึ้นทุกวัน อาจจะเป็นเพราะว่าผมเหนื่อยมากกับการดูแลใครต่อใคร แล้วเขาก็ไม่เคยเห็นค่า หรือไม่ก็เป็นเพราะว่า เดียร์นั่นแหละที่กำลังทำให้ผมเสียคน ผมเริ่มชินกับการที่มีเขาอยู่ใกล้ ชินกับการเอาใจใส่ ห่วงใย และดูแลไม่ยอมห่างจากเขา เขานั่นแหละ ที่เป็นตัวการทำให้ผมอยู่คนเดียวเพียงลำพังไม่ได้ ผมเริ่มทำอะไรด้วยตัวเองไม่เป็นแล้ว
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่5 6/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 06-01-2009 10:22:54
เมื่อก่อนนี้ ตอนผมอยู่คนเดียว ผมจะทานอะไรง่ายๆ บ้านช่องก็ไม่ได้ดูแลรักษามากมายนัก ทว่านับตั้งแต่เดียร์ก้าวเข้ามาในชีวิตของผม เขาทำให้ความคุ้นเคยเดิมๆของผมเปลี่ยนไป เขาทำให้ผมติดใจในรสชาติอาหารที่เขาทำให้กิน บ้านช่องเขาก็ดูแลให้จนสะอาดสะอ้าน เสื้อผ้าก็ซักและรีดให้จนสะอาดหมดจด เจ้าหญิงได้รับการอาบน้ำ แปรงขนให้ ข้าวปลาก็ดูแลให้กิน จนเดี๋ยวนี้ เจ้าหญิงกลายเป็นหมาที่สมบูรณ์แข็งแรงมากกว่าตอนที่อยู่กับผมด้วยซ้ำ
และไม่ใช่ว่าเจ้าหญิงเท่านั้นที่ดูสดชื่นขึ้น ผมยอมรับอย่างไม่อายเลยว่า ผมเองก็รู้สึกมีชีวิตชีวาเวลาอยู่กับเขา บางวันเดียร์ก็ทำให้ผมรู้สึกวุ่นวายใจ บางทีเขาก็ทำให้จิตใจผมสงบสุข มีอยู่หลายครั้งทีเดียวที่เขาทำให้ผมรู้สึกร้อนเร่าด้วยแรงราคะ แล้วเขาก็ดับความกระหายให้กับผมด้วยการปรนเปรอความรักและความพิศวาสจนทำให้ผมลุ่มหลงจนจะถอนตัวไม่ขึ้นอยู่แล้ว เหมือนว่าเขากำลังกักขังผมไว้อีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ได้ใช้เชือกมัดผมอีกเช่นเคย ผมถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนที่เรียกว่าความรักและภักดี ทำให้ผมรู้สึกลังเลใจที่จะหนีไปจากเขา
“เหนื่อยหรือครับ”
เสียงกระซิบเบาๆข้างหู ทำให้ผมตื่นจากภวังค์ ผมแกะมือที่โอบรัดรอบตัวผมไว้ แต่ไม่สามารถปลดแขนแข็งแรงนั้นออกโดยง่าย เดียร์ยังคงตระกองกอดผมไว้ในอ้อมแขน ใบหน้าคมคายซุกซบอยู่ที่ไหล่ของผม
“ก็นิดหน่อยนะ เหนียวตัวด้วย อยากไปอาบน้ำ นายละ ไม่ไปอาบน้ำหน่อยเหรอ ทำงานมาทั้งวัน คราบเหงื่อคราบอาหารหมักหมมตามตัว เดี๋ยวจะทำให้เป็นผื่นคันหรือโรคผิวหนังไปเปล่าๆ”
พูดแรงไปหรือเปล่าไม่รู้ แต่ผมห่วงเขาด้วยใจจริง เดียร์คลายมือจากการกอดรัดผม และยกแขนขึ้น ดมรักแร้ตัวเองทั้งสองข้าง แล้วทำหน้าย่นยู่
“อื้อ จริงด้วย มีกลิ่นตัวกลิ่นอาหารติดมาจริงๆ มิน่าล่ะ เรียวถึงไม่ยอมกอดผมตอบเลยสักครั้ง คงเป็นเพราะผมมีกลิ่นไม่สะอาดนี่เอง แต่ตัวเรียวยังหอมอยู่เลยนะครับ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผมถึงชอบกอดแล้วก็หอมเรียวอยู่บ่อยๆ ผมคงต้องไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวแล้วล่ะ ทำตัวให้หอมๆ เรียวจะได้อยากกอดผมบ้างอ่ะ”
เดียร์ว่ายิ้มๆไม่ได้โกรธคำพูดของผม ทำให้ผมเบาใจลงบ้าง แต่ผมก็รู้ว่าเขาเองก็แอบกัดผมตอบบ้างเล็กน้อย ผมชอบเด็กหนุ่มตรงนี้ ตรงที่ไม่เคยโกรธหรือถือสาอะไรกับคำพูดเหน็บแนม หรือ คำพูดแรงๆจากผม เขากลับยิ้มแย้มแจ่มใส อารมณ์ดีกับผมทุกครั้ง ถ้าจะมีโต้ตอบบ้าง ก็เป็นเชิงหยิกแกมหยอก น่าเอ็นดูมากกว่าน่ารังเกียจ ยิ่งเห็นเขาเป็นแบบนี้ เลยทำให้ผมไม่อยากจะทำให้เขาเสียใจอีกต่อไป
“อย่ามัวพูดมากเลย ไปอาบน้ำเถอะ จะได้นอนซะที”
ผมไล่เขาไปอาบน้ำ เพราะผมเองก็อยากจะพักผ่อนเต็มที พอได้ยินคำว่านอนหลุดจากปากผม เดียร์ก็ทำตาเจ้าเล่ห์ แลบลิ้นเลียริมฝีปาก ทำหน้าหื่นๆใส่ผม ด้วยความหมั่นไส้ ผมจึงผลักเขาหน้าหงาย รีบลุกเดินหนีไป มีเสียงหัวเราะกิ๊กกั๊กจากเดียร์ดังไล่หลังมา ผมไม่ได้หันไปมอง นึกขวางเจ้าเด็กบ้านั่นที่กวนประสาทไม่ลดละ อยู่ๆผมก็หัวเราะกับตัวเอง บอกไม่ถูกว่าทำไมถึงโกรธเด็กหนุ่มไม่ลง เขาสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้ผม ด้วยการแทะโลมด้วยคำพูด และกริยาท่าทางต่างๆ นัวเนียชิดใกล้ตามติดตลอดเวลา ความรำคาญแต่เก่าก่อนถูกแทนที่ด้วยความพึงพอใจที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าเด็กลูกครึ่งคนนี้เป็นบุคคลที่อันตรายเสียจริง อยู่ใกล้แล้วทำให้ไหวหวั่น ต้องพยายามหนีให้ไกลจากเขา เพื่อความปลอดภัยของหัวใจตนเอง
ตอนที่ผมเดินลงมาข้างล่างอีกครั้งก็พบว่าเดียร์อาบน้ำอาบท่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาอยู่ในชุดเสื้อกล้าม และกางเกงผ้ายืดหลวมๆสีขาวสะอาดตา กำลังนั่งเล่นคอมพิวเตอร์อยู่ ผมเดินเฉียดกรายเข้าไปใกล้ดูว่าเขาเปิดเวปอะไรอยู่ ก็พบว่า เด็กหนุ่มกำลังโหลดเพลงจากในอินเตอร์เนต แปะไว้ในเครื่องให้ผมอยู่ เขาหันมายิ้มกว้างให้ผม ดวงตาเป็นประกายสุกใส
“ไม่ต้องหันไปมอง แค่ได้กลิ่น ก็รู้ว่าเป็นเรียวอ่ะ”
“อื้ม ไม่ยักรู้ว่าดมกลิ่นก็เป็น แย่งหน้าที่เจ้าหญิงทำตั้งแต่เมื่อไร่เนี่ย น่าจะไปทำงานกับกองพิสูจน์กลิ่นนะ แต่เอาเถอะ รู้ว่าเก่ง ไม่ต้องทำมาเป็นพูดเพื่อให้ทึ่งหรอก อยู่กันสองคนแค่นี้ แล้วฉันก็ไม่ได้เดินแบบย่องเบา ใครก็เดาออก ถ้าไม่ใช่นาย ก็ต้องเป็นฉันนะแหละ เดากี่ครั้งก็ถูกล่ะ”
ผมค่อนขอดเขา เดียร์หัวเราะก๊าก ยื่นมือออกมาเพื่อฉุดผมไปนั่งบนตักของเขา ผมขัดขืน แต่เขาออกแรงทีเดียวก็ดึงผมจนเซมาปะทะเขาจนได้ ผมประมาทไปหน่อยคิดว่าเขาเป็นแค่เด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง ลืมไปว่าเขาเคยเป็นนักมวยมาก่อน จึงมีเรี่ยวแรงมากมายจนเกินกว่าที่พละกำลังอย่างคนทำงานแบบผมจะไปต่อกรกับเขาได้
เด็กหนุ่มโอบแขนไปรอบเอวของผมอย่างรวดเร็ว และรั้งให้มานั่งที่ตักเขา และซบหน้าลงกับหลังของผม พลางละเลงจูบไปทั่ว ถึงแม้จะมีเสื้อผ้ากั้นอยู่อีกชั้น แต่ดูเหมือนความร้อนแรงแห่งอารมณ์ของเดียร์จะแทรกผ่านเนื้อผ้าลงสู่ผิวกายของผมจนร้อนผ่าวไปทั่ว
“แล้วมันทำให้เรียวตาสว่างขึ้นหรือเปล่าละครับ ผมรู้ว่า ถ้าพูดอะไรออกไปที่มันขัดหูเรียว คุณก็จะอดไม่ได้ที่จะโต้ตอบผม มันได้ผลทุกครั้งเลยอ่ะ เพราะว่าคุณพร้อมที่จะต่อต้านผมอยู่ตลอดเวลา แต่ผมก็ชอบนะ ทะเลาะกันไป แหย่กันมา เดี๋ยวเรียวก็รักผมเองนะแหละ จริงไหม”
เดียร์ถามผมด้วยเสียงอ่อนหวาน ผมไม่ตอบ เพราะไม่อยากโกหกทั้งเขาและตนเอง ที่เด็กหนุ่มพูดมาก็ถูกหลายอย่างทั้งเรื่องที่ผมพยายามต่อต้านเขา กับเรื่องที่ยิ่งทะเลาะก็ยิ่งรัก สิ่งเหล่านั้นมันได้เกิดขึ้นกับผมจริงๆ ผมจึงยอมให้มันเกิดขึ้นไม่ได้ การหลีกเลี่ยงจากเขาจะทำให้หัวใจของผมเข้มแข็งขึ้น ไม่ถลำตัวไปรักเขาง่ายๆ
“ไม่ง่วงหรือไง”
“ยังหรอกครับ ผมกำลังเลือกเพลงเพราะๆใส่เครื่องคอมไว้ให้เรียว เวลาเรียวมาเปิดคอมพิวเตอร์ ทำงานไปด้วย ฟังเพลงไปด้วย จะได้เพลินๆไงครับ แล้วก็จะได้คิดถึงผมด้วยอ่ะ”
เด็กหนุ่มตอบผมยิ้มๆ เขาจูบที่ซอกคอของผม เล่นเอาขนลุกซู่ ผมพยายามจะลุกขึ้น แต่เขาก็กอดเสียแน่น จนหนีไม่ได้
“กอดเรียวแบบนี้ได้อารมณ์ดีจัง คิดถึงค่ำคืนนั้นมากๆเลยนะครับ เราไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นกันมาตั้งนานแล้วนะ เรียวไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือไงครับ”
เดียร์พึมพำอยู่ข้างซอกหูของผม ปากและลิ้นก็แตะไล่เลื่อยไปทั่วซอกคอและใบหู ผมพยายามเบี่ยงตัวหนี แต่ก็ไปได้ไม่ไกลเกินอ้อมกอดของเขาที่กางกั้นอยู่
“ไม่ได้ทำก็ดีแล้ว เป็นเด็กเป็นเล็กอย่าหมกมุ่นเรื่องเซ็กส์ให้มากนัก จะเสียทั้งงานและการเรียน”
ผมทำเสียงจริงจัง เหมือนพวกพ่อแม่ที่ดุว่าบุตรหลานให้สนใจเรื่องเรียนมากกว่าเรื่องรัก จุดประสงค์คือต้องการจะหยุดยั้งการเล้าโลมของเขา เพราะมันเริ่มจะทำให้อารมณ์ของผมเริ่มปั่นป่วนขึ้นอีกแล้ว เดียร์ไม่ยอมหยุดจูบผม คราวนี้เขาใช้ลิ้นเลียไปที่ใบหูและชอนใชเข้าไป จนผมต้องทำคอย่นด้วยความรู้สึกเสียวซ่าน
“ไม่อยากเป็นเด็กเลยครับ ตอนนี้อ่ะ อยากเป็นผู้ใหญ่เร็วๆ จะได้ทำอะไรตามใจตัวเองได้เต็มที่ เวลาจะรักใคร ก็แสดงออกได้ตามต้องการ โดยที่ไม่มีใครมาคอยว่า เราเป็นเด็ก แหม ทำอย่างกับว่า เด็กไม่มีหัวใจงั้นแหละ ถึงอย่างไร ผมก็โตพอที่จะรักและรับผิดชอบชีวิตของเรียวได้ก็แล้วกัน ผมน่ะนะ พร้อมเต็มที่เลย ถ้าเรียวให้โอกาสผมละก็ ผมก็จะพิสูจน์ให้เรียวเห็นว่า ผมน่ะ รักคุณมากมายแค่ไหน ผมยินดีอุทิศชีวิตของผมทั้งชีวิตเพือ่ดูแลเรียวเพียงคนเดียว จริงๆนะ”
น้ำเสียงมุ่งมั่นของเขา ทำให้ผมต้องแอบถอนหายใจ รู้สึกเป็นปลื้มกับสิ่งที่ได้ยิน แต่มันก็ผสานไปกับความรู้สึกเสียดาย ทำไมเรื่องแบบนี้ จึงบังเอิญมาเกิดระหว่างผู้ชายกับผู้ชายด้วยกันนะไมตอนที่ผมคบกับอรจิรา หรือผู้หญิงคนอื่นก่อนหน้านั้นถึงไม่มีใครมาทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นในหัวใจได้เท่ากับที่เดียร์ทำให้ผม หรือว่าโชคชะตาจะเล่นตลกให้ผมได้มีคู่ครองเป็นผู้ชายด้วยกัน ยิ่งคิดผมก็ยิ่งหวั่นใจ กลัวว่ามันจะเป็นแบบนั้นจริงๆ
“เอาเถอะ อยากพยายาม หรือจะทำอะไรก็เชิญเลย ไม่ว่ากัน เพราะฉันก็มั่นคงในความคิดของฉันเหมือนกัน ว่าไม่มีทางที่นายจะทำให้ฉันสามารถเปลี่ยนใจฉันได้”
ผมบอกเขาไปอย่างเชื่อมั่น เดียร์กอดผมแน่นเข้าไปอีก แล้วก็พูดใกล้ๆหูผมว่า
“งั้นเราลองมาพนันกันสักตั้งไหมครับ ถ้าภายในหกเดือนนี้ ผมสามารถทำให้เรียวรักผมไม่ได้ ผมจะยอมทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เรียวปรารถนา แม้ว่าจะต้องเป็นการจากไปก็ตาม”
“เอ๊ะ มันก็อยู่ในข้อสัญญาอยู่แล้วนี่”
ผมแย้งเขาด้วยความสงสัย
“ครับ แต่ผมเพิ่มว่า ผมยินดีทำทุกอย่างที่เรียวต้องการไงครับ จะให้ผมขึ้นเขา ลงห้วยอย่างไรก็ยอม จะให้ดูแลปรนนิบัติ ทำงานบ้าน ทำกับข้าวไปตลอดก็ได้”
“...”ผมยังคงเฉย สิ่งที่เขาเสนอ ยังไม่เห็นว่าน่าสนใจตรงไหน
“ถึงแม้ว่าเราจะเลิกราต่อกันแล้ว แต่หากเรียวต้องการให้ผมมาหา ผมก็จะมาในทันใด หรือจะปฏิบัติกับผมอย่างเป็นคนที่คอยปลดเปลื้องอารมณ์ให้เรียวก็ได้ ผมยอมทั้งนั้น”
ดูเด็กบ้านี่พูดเข้าสิ ถ้อยคำที่บอกมาแต่ละอย่างมีแต่เขานั่นแหละที่ได้ประโยชน์
“ไม่เอาดีกว่า นายมาวนเวียนอยู่ใกล้ฉัน เดี๋ยวก็ลวนลามฉันอีกจนได้ อยู่ห่างกันหลังจากหกเดือน ตามข้อตกลงก็ดีแล้ว”
“แหมเรียวอ่ะ แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าพนันกันได้ไงละครับ มันต้องมีของเดิมพันสิ”
“ก็ฉันไม่คิดจะพนันกับนายนี่ ถึงยังไงฉันก็ชนะอยู่วันยังค่ำ นายอย่าพยายามเลย ฉันไม่มีทางเปลี่ยนใจง่ายๆหรอก”
ผมยังคงเชื่อมั่นในความคิดของตนเอง เดียร์อึ้งไปนิดหนึ่ง แล้วก็พยายามต่อ
“แล้วถ้าผมชนะละครับ หากผมทำให้เรียวมารักผมได้อ่ะ เรียวจะว่าอย่างไร”
หลังจากนิ่งอึ้งฟังคำท้าทายจากเขา ทิฐิมานะที่มีอยู่ในใจทำให้ผมกล้าเอ่ยพนันขันต่อกับเขาออกไป
“ถ้านายมีความสามารถแบบนั้นจริงๆนะ ฉันก็จะยอมทำทุกอย่างตามที่นายต้องการ ไม่ว่านายอยากให้ฉันทำอะไร ฉันก็จะทำทั้งนั้น”
เด็กหนุ่มนิ่งขึงไปชั่วครู่ เหมือนกับกำลังใช้ความคิดอยู่ พักหนึ่ง เขาก็เอ่ยคำถามผม เพื่อเน้นย้ำความเข้าใจให้กับตนเอง
“ไม่ว่าอะไร ก็จะทำหรือครับ”
“ใช่ ถ้าฉันแพ้พนัน นายอยากได้อะไร ก็บอกมาได้เลย”
“ถ้าผมขอมีอะไรกับเรียวทุกวันเลยอ่ะ”
เด็กหนุ่มถามผมด้วยน้ำเสียงจริงจัง ไม่ได้เล่นทะเล้นทะลึ่งอย่างเคย เวลาที่พูดถึงเรือ่งนี้ ผมอึ้งไปอึดใจ แต่ด้วยความมั่นใจว่าผมจะชนะพนันรักครั้งนี้แน่นอนผมเลยรับสิ่งที่เขาพูด
“ก็ถ้านายทำให้ฉันรักนายได้จริงๆภายใน หกเดือนนี้ ก็ถือว่าฉันแพ้พนันนาย ฉันจะยอมมีอะไรกับนายทุกวันเลย”
“จำคำพูดไว้ให้ดีนะครับ ต้องให้ผมจดบันทึกเป็นหลักฐานไว้ไหม”
เดียร์ถามผม พลางหลิ่วตาล้อ ผมไม่ชอบสีหน้าแบบนี้ของเขาเลย มันดูท้าทายยังไงไม่รู้คิดว่าผมไม่กล้าทำจริงเหรอ เอาล่ะ ไม่ว่านี่จะเป็นหลุมพรางที่เขาดักล่อ หรือเปล่า ผมก็พร้อมที่จะกระโจนลงไป อย่างไรเสียหากผมต้องแพ้พนันกับเขาจริงๆ ก็แปลว่า ผมกับเขารักกัน ดังนั้นการจะมีอะไรกันคงไม่แปลก แต่ผมอาจจะให้เขาเป็นฝ่ายรับดูบ้าง ไม่ยอมให้เขาทำคนเดียวหรอก
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก ฉันจดจำคำพูดของฉันได้”
ผมว่าอย่างหมั่นไส้ เดียร์ยิ้มกริ่ม ยื่นหน้ามาใกล้
“ถ้างั้นขอจูบมัดจำไว้ก่อนเลยนะครับ”
ไม่พูดเปล่า เขากลับหมุนตัวผมให้หันมาหาเขา แล้วจูบปากผมอย่างรวดเร็วโดยไม่รอให้อนุญาต ผมหายใจหายคอแทบไม่ทันเมื่อเขาระดมจูบผมไม่ยั้ง
“นี่นี่นี่........”
ผมร้องอย่างทนไม่ไหว พยายามแกะไม้แกะมือเขาที่กอดรั้งตัวผม เดียร์จูบที่ซอกคอผมเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะคลายมือออก แล้วหัวเราะหึหึ ท่าทางสมใจที่ได้ล่วงเกินผมอย่างที่ตัวเองต้องการผมลุกขึ้นยืน ทำหน้าไม่พอใจ
“ฉวยโอกาสตลอดเวลาเลยหรือไงห๊ะ อยู่เฉยๆเป็นบ้างไหมเนี่ย ละเมิดสัญญาตลอดเวลาเลยนะ”
เดียร์ยิ้มกริ่ม ทำท่าอ้อนใส่ผม
“ก็เพราะว่าผมรักเรียวมากไงครับ อยู่ใกล้ทีไรก็อดใจไม่ไหวทุกทีเลย แต่ว่า ดูท่าทางเรียวก็ชอบเหมือนกันนะ เวลาที่ผมจูบทีไร เรียวก็จูบตอบทุกทีเลย ....”
ผมยังคงหน้าบึ้งอยู่ เดียร์จึงยื่นมือมาแตะผมเบาๆ แต่ผมสะบัด เดียร์ก็เลยคว้าข้อมือผมไว้ แล้วก็ดึงให้เข้ามาหาเขา
“เราอย่างอนกันเลยนะ ผมไม่ทำแบบนั้นอีกแล้วก็ได้ มานั่งตรงนี้ดีกว่านะครับ ผมมีโปรแกรมอะไรจะมาเสนอคุณน่ะ บางทีคุณอาจจะชอบก็ได้”

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่5 6/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: Seiki ที่ 06-01-2009 18:21:50
ตามอ่านต่อนะ  :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่5 6/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 06-01-2009 19:32:08
แหม๋ งานนี้ใครจะชนะพนันล่ะ  :man1: :man1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่5 6/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 06-01-2009 23:17:07
ใจแข็งจริงๆเลยเรียว....คนอ่านลุ้นแล้วลุ้นอีก
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่5 6/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: the_pooh9 ที่ 07-01-2009 00:00:58
 :give2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่6 7/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 07-01-2009 13:05:26
บทที่ 6

เห็นหน้าอ้อนๆ บวกกับสายตาอ่อนหวานที่มองมายังผม ทำให้ผมต้องใจอ่อนให้เขาอีก เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ผมนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆเขาอย่างว่าง่าย
“อันนี้เป็นโปรแกรมสำหรับแชตนะครับ มีหลายอย่างเลย แต่ที่ผมเล่นบ่อยจะเป็นอันนี้”
เดียร์เปิดโปรแกรมที่มีไว้สำหรับพูดคุยกันให้ผมดูโปรแกรมหนึ่ง เขาแนะนำว่ามันช่วยทำให้คนใกล้ชิดกันมากขึ้น ติดต่อกันได้ไวขึ้น สะดวกพอๆกับการใช้โทรศัพท์ แต่เสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่า การโทรคุยกันโดยใช้มือถือ แถมซ้ำยังสามารถคุยโดยได้ยินเสียง และเห็นภาพได้ด้วย ผมเองก็พอจะรู้บ้างเหมือนกัน บางทีก็เห็นน้องๆในฝ่ายมันแอบเล่นกันหลังเลิกงาน แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราะผมไม่ได้ติดต่อพูดคุยนอกจากเพื่อนๆที่ทำงาน และยังเห็นว่ามันไร้สาระอีกด้วย ในเมื่อเราก็เจอกันพูดคุยกันในที่ทำงานแล้ว คิดถึงก็โทรหากัน ไม่เห็นจำเป็นต้องคุยกันทางอินเตอร์เนตนี่
เด็กหนุ่มลงชื่อสมัครให้ผมด้วย แม้ว่าผมจะปฏิเสธเพราะไม่เห็นประโยชน์จากการทำอย่างนั้น แต่เขาก็ยังดื้อดึง ถามข้อมูลผม และจัดการให้เรียบร้อย ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่ายอมบอกเขาไปทำไม สงสัยคงเป็นเพราะแววตาใสซื่อกับท่าทีกระตือรือร้น และคำพูดเชิญชวนที่บอกว่า เขาจะไปทัวร์คอนเสิร์ตแล้วในอีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้าต้องซ้อมหนักเกือบทุกวันก่อนที่จะไปทัวร์คอนเสิร์ตกับนักร้องชื่อดังตั้งสองสัปดาห์ คงไม่มีเวลาได้มาหาหรือคุยกัน แต่เวลาที่ว่างซ้อมเขาจะมานั่งที่ร้านเนต ผมกับเขาจะได้มีโอกาสคุยกันได้ เพราะบางทีสัญญาณมือถืออาจจะไม่มีก็ได้ แล้วบางทีเขาก็อาจจะฝากข้อความไว้ในอีเมล์ผมด้วย ผมจึงได้ยอมตกลง
“ถ้าหากเรียวมีกล้องนะ เราก็สามารถมองเห็นกันทางเวปแคมได้ด้วยนะ แล้วถ้าซื้อไมค์มาติด ก็ยังคุยกันได้อีกอ่ะครับ ตอนนี้ ร้านเนตอ่ะ มักจะมีกล้องและไมโครโฟนบริการลูกค้าแล้ว ค่าชั่วโมงก็ถูกด้วย”
เดียร์บอกผมด้วยดวงตาเป็นประกาย ดูเหมือนเขาจะพยายามโน้มน้าวใจของผม ให้ติดต่อกับเขาด้วยวิธีนี้อีกทางหนึ่ง แต่ผมไม่รับมุข
“ฉันไม่มีเวลาว่างขนาดนั้นหรอก”
“ก็ไม่ต้องตั้งอกตั้งใจเล่นก็ได้ครับ เจ้าโปรแกรมนี่ พอเราเปิดเครื่องอ่ะ มันก็จะเด้งขึ้นมาให้อัตโนมัตินะ เวลามีคนมาทักเรามันก็จะขึ้นเป็นแถบสีส้มมาให้เห็น กับมีเสียงเรียก แต่ถ้าเรียวไปเปิดในที่ทำงานอ่ะครับ เรียวก็ปิดเสียงเอาไว้ จะได้ไม่มีใครได้ยิน นี่ผมแอดอีเมล์ของผมไว้ในเครื่องเรียวแล้วนะครับ ถ้ามีคนทักมาก็ผมนี่แหละครับ ไม่มีคนอื่น”
“ยิ่งไม่น่าเปิดใหญ่”
“แหม เรียวอ่ะ ใจร้ายจังเลยนะ ไม่คิดถึงผมบ้างเหรอ เดือนหน้า ผมไม่อยู่ด้วยเกือบสามอาทิตย์แน่ะ นี่ผมขาดทุนนะเนี่ย ไม่ต่อเวลาให้ผม ก็น่าจะให้โอกาสผมได้พูดคุยกับเรียวบ้าง ทางโทรศัพท์ หรือทางอินเตอร์เนตก็ได้ ผมน่ะ คงจะขาดใจตายแน่ๆเลย ถ้าไม่ได้เจอ ได้คุยกับคุณอะครับ เรียวอ่ะ จะคิดถึงผมบ้างหรือเปล่าน้า”
เด็กหนุ่มทำเสียงออดอ้อน ผมมองหน้าเด็กหนุ่ม แล้วเกิดใจหายขึ้นมา นี่เขาจะไม่อยู่ตั้งสามอาทิตย์เชียวเหรอ อาทิตย์หน้านี่แล้วด้วย ผมตอบไม่ถูกว่าจะคิดถึงเขาบ้างหรือเปล่า เหตุการณ์ยังมาไม่ถึง ก็เลยไม่อาจจะรู้จิตใจตนเอง อาจจะเหงา หรืออาจจะสบายอกสบายใจที่ไม่มีใครมากวนก็ได้
“ฉันจะไปนอนแล้วล่ะ ดึกแล้ว นายจะเล่นต่อก็ได้ แล้วปิดเครื่องให้ด้วยแล้วกัน”
ผมลุกขึ้นยืน เตรียมตัวจะขึ้นไปนอน เดียร์ยึดมือผมไว้ แล้วทำหน้าอ้อนๆ
“รอด้วยสิครับ ผมไปนอนด้วยคน ง่วงเหมือนกันนะ”
“ง่วงก็นอนสิ ที่นอนนายก็ที่เดิมในห้องรับแขกอ่ะ”
เด็กหนุ่มทำปากยื่น ทำหน้าเหมือนเด็กที่ถูกขัดใจ ร้องโวยวายว่า
“ทำไมยังให้นอนที่ห้องรับแขกอีกละครับ ผมไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเรียวอีกแล้วนะ”
“ทุกทีก็เคยนอนที่โซฟาได้ แล้วทำไมตอนนี้กลับจะมาทำเป็นเรื่องมากอีกอ่ะ”
“ก็นั่นมันก่อนที่เราจะมีอะไรกันนี่ครับ แต่ตอนนี้ผมกับเรียวก็ใกล้ชิดกันมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ทำไมถึงอนุญาตให้ผมไปนอนด้วยในห้องไม่ได้ล่ะครับ อีกอย่างผมก็ไม่ได้มาบ้านเรียวบ่อยๆ นานๆมาที อาทิตย์หน้าก็ไม่ได้มา แล้วจะไม่ได้มาอีกตั้งสามอาทิตย์แน่ะ ถ้าต้องนอนคนเดียว โดยที่ต้องฝันถึงสามอาทิตย์ที่จะได้เจอกันอีกครั้ง แบบนี้ไม่ไหวแน่ ผมคงตายไปเสียก่อน ยังไงก็สงสารผมหน่อยนะครับ เห็นแก่หนุ่มน้อยที่คลั่งรัก ตาดำๆคนนี้เถอะครับ อย่าทำให้ผมเป็นบ้าไปมากกว่านี้เลยนะ”
เด็กหนุ่มหว่านล้อมผมด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน และหน้าตาที่น่าสงสาร ผมสบตาเขาแล้วก็ต้องถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้ม เจ้าเด็กบ้านี่ ขอร้องมากมายเสียจริง แล้วผมก็ใจอ่อนให้กับแววตาซื่อใสนั้นทุกทีไป ปีศาจชัดๆ เขาคงเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ในการที่จะสะกดจิตใจผู้คนให้ทำตามที่เขาต้องการ
ถ้าไม่เห็นว่าจะไม่ได้เจอกันถึงสามอาทิตย์ผมคงไม่ยินยอมตกลงหรอก เจ้าเด็กลูกครึ่งปีศาจคนนี้ดีกับผมอย่างมากมาย ทำทุกอย่างให้โดยไม่ปริปากบ่น เขาทำให้ผมเชื่อได้จริงๆว่าเขาพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อตอบแทนบุญคุณของผม แล้วผมก็เชื่อด้วยว่าทุกอย่างที่เขาทำไป ล้วนแล้วแต่มาจากพลังแห่งความรักที่เขามีต่อผมทั้งสิ้น
แต่เรื่องที่ทำให้ผมลำบากใจก็คือผมไม่อาจจะทำให้ยอมรับรักที่เขามอบให้กับผมได้ พอเขาดีมากๆ ผมก็ร้ายใส่เขาก็ไม่ได้ จะเออออห่อหมกไปด้วยก็ไม่ได้อีกผมรู้สึกสับสนไปหมด ไม่รู้จะวางตัวอย่างไรอีกแล้ว เขาทำให้กระบวนการทางความคิดผิดชอบชั่วดีของผมรวนไปหมดแล้ว
เด็กหนุ่มกุลีกุจอ ปิดเครื่องคอม แล้วเดินตามผมขึ้นไปบนห้องอย่างว่าง่าย ผมให้เขานอนบนเตียงด้วยกัน แต่คนละฝาก เขาขอไม่ให้ผมเอาหมอนข้างมากั้นกลางแล้วก็ขอให้ผมนอนหันหน้ามาทางเขาด้วย เพราะอยากจะเห็นหน้าผมชัดๆ เนื่องจากจะไม่ได้เจอกันอีกหลายวัน ผมยอมตามใจเขา แลกกับการที่ไม่ต่อเวลาในสัญญาให้ ถือว่าเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่เขาดันมีงานติดพันกันเอง ไม่เกี่ยวกับผม เดียร์พยายามออดอ้อนให้ผมทดเวลาให้เขา แต่ผมปฏิเสธ เขาทำหน้าผิดหวัง แต่ก็ยอมโดยดี
“พอผมกลับมา สองวันถัดจากนั้นก็ตรงกับวันเกิดผมพอดี เรียวรู้ไหมครับ ผมเกิดวันคริสต์มาสด้วยนะ เกิดวันที่ 25 ธันวาคมอ่ะครับ ซานตาครอส คงเอาผมมาส่งผิดบ้านอ่ะ เลยทำให้ผมต้องโชคร้ายมาตั้งแต่เด็กๆไม่มีใครรักผมเลย”
ท้ายประโยคดูน้ำเสียงเศร้าเหลือเกิน ดวงตาของเด็กหนุ่มมีแววเจ็บปวดให้เห็นแต่ก็เพียงแว่บเดียว เขาก็กลับมาร่าเริงต่อ
“ผมอายุ 19 แล้วนะครับ อีกปีเดียวก็บรรลุนิติภาวะแล้ว ผมจะเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว เรียวก็ไม่ต้องกังวลใจที่ผมเป็นเด็กแล้ว สามารถมีอะไรกับผมได้อย่างเต็มที่เลยนะครับ”
กำลังนอนฟังเขาพูดเพลินๆ อยู่ดีๆก็เหมือนถูกหมัดฮุคที่กลางลำตัวด้วยประโยคสุดท้ายของเขา เจ้าเด็กลามกเอ๊ย คิดแต่จะมีเซ็กส์กับผมหรือไงวะ
“ทำไมฉันจะต้องอยากมีอะไรกับนายด้วย พูดแบบนี้หมายความว่าไง คิดว่าฉันอยากจะมีอะไรกับนายงั้นรึ”
ผมพูดอย่างฉุนๆ หนอยแน่ะ เจ้าบ้านี่ หลวมตัวไปมีอะไรด้วยแค่นี้ คิดว่าผมติดใจเขานักหรือไง เดียร์มองหน้าผมทำท่าขำที่ผมอารมณ์เสียขึ้นมา เขาหัวเราะร่วน
“ก็เรียวเคยบอกไว้นี่ครับ ว่าไม่ชอบยุ่งกับคนที่ไม่บรรลุนิติภาวะ แล้วก็ชอบหาว่าผมเป็นเด็กเป็นเล็กด้วย ถ้าผมโตแล้ว เรียวก็ยุ่งกับผมได้นี่ครับ ไม่ต้องเจอข้อหาพรากผู้เยาว์ด้วยนะ แล้วผมก็เต็มใจยุ่งกับเรียวด้วย เรียวไม่ติดคุกหรอกครับ ผมสมยอม”
“แต่ก็ตั้งอีก 1 ปีกว่าที่นายจะโตเป็นผู้ใหญ่พอ ตอนนี้แค่ 19 ก็ถือว่ายังเด็กอยู่ดี อีกอย่างไม่ว่านายจะอายุเท่าไหร่ฉันก็ไม่อยากยุ่งด้วยหรอก”
ผมทำเป็นไม่ใส่ใจใยดีกับเขา เพื่อให้เขาเสียใจ จะได้เลิกพยายาม
“เฮ้ออออออ” เดียร์ถอนหายใจยืดยาว
“ช่างเป็นเรื่องที่ฟังแล้วชวนให้ทรมานใจทั้งยามหลับและยามตื่นเสียจริง ไม่เป็นไร ผมจะพยายามทำให้เรียวรักผมให้จงได้ ภายใน 6 เดือนนี้ ว่าแต่ เรียวครับ จะวันเกิดผมแล้วอ่ะ ไม่คิดอยากจะให้ของขวัญอะไรผมบ้างเหรอ ถือว่าทดแทนที่ผมต้องสูญเสียเวลาที่จะทำคะแนนกับเรียวไปตั้ง 3 อาทิตย์แน่ะ แล้วก็เป็นช่วงคริสต์มาสต่อปีใหม่ด้วย รวบไปเลยทีเดียว”
ผมมองใบหน้าอ่อนเยาว์ที่นอนตะแคงตรงข้ามผม เขายิ้มให้ ส่งสายตาออดอ้อนออเซาะเต็มที่ ใจนึกอยากจะปฏิเสธ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาควรจะได้รับการชดเชยในสิ่งที่เสียไป ในเมื่อผมไม่ให้เขาทดเวลาที่เขาไปทัวร์คอนเสิร์ต ผมก็น่าจะให้อะไรเขาเป็นพิเศษบ้าง ที่ผ่านมา เดียร์ทำอะไรหลายอย่างให้ผม โดยที่ผมมีโอกาสตอบแทนเขาเพียงน้อยนิด เนืองจากเขาไม่ยอมคิดค่าใช้จ่ายใดๆกับผมเลยสักครั้ง ครั้งนี้ก็ถือโอกาสตอบแทนเขาบ้างแล้วกัน
“อยากได้อะไรล่ะ ถ้าให้ได้ฉันจะให้”
ผมบอกเขาในที่สุด เดียร์ทำตาโต ผลุดลุกขึ้นมานั่ง ท่าทางดีอกดีใจ
“โอ๊ย มีตั้งเยอะแน่ะครับ อยากได้หลายอย่างมาก”
“ก็เอาสิ มากกว่า หนึ่งอย่างก็ได้ ถ้ามันไม่เหลือบ่ากว่าแรงนะ ขอมา ก็จะให้”
เดียร์ตื่นเต้นเหมือนเด็กๆ ไล่นิ้วมือไปมา แล้วบอกผมมาทีละข้อ
“อย่างแรกเลยที่อยากได้ คือ กุญแจบ้านของเรียว เวลาที่ผมมาบ้านนี้ ผมจะได้สามารถไขเข้ามาได้เลย อย่างน้อยๆ ก็มาทำกับข้าวไว้รอท่า ปัดกวาดเช็ดถูบ้านให้ อาบน้ำเจ้าหญิง และเอาข้าวให้กิน ไม่ต้องมานั่งรอที่หน้าบ้านให้ยุงกัดเล่นอ่ะครับ”
“อืม”
“สิ่งที่อยากได้ต่อมาก็คือ อยากให้เรียว ยอมให้ผมขึ้นมานอนในห้องนี้ด้วยทุกครั้งที่เรามาเจอกัน ไม่ต้องให้ผมไปนอนข้างล่างคนเดียว อยากให้อนุญาตโดยที่ผมไม่ต้องร้องขออะครับ”
“อย่างอื่นละ”
“ผมอยากให้เรียวยอมรับกับคนอื่นครับ ว่าผมเป็นแฟนของเรียว และอยากจะให้เราคบกันอย่างเปิดเผยนะครับ แต่มันอาจจะยากไปสำหรับเรียว ถึงยังไงก็อยากให้ลองพยายามดูนะครับ”
“..”
“อยากเป็นแฟนกับเรียวไปตลอดชีวิต อยากอยู่ด้วยกัน ไม่ใช่แค่ 6 เดือนนี้เท่านั้น ไม่อยากให้มีกำหนดเวลาระหว่างเรานะครับ ถึงแม้ว่าเราจะเริ่มต้นกันด้วยการทำสัญญา แต่ผมอยากจะให้เราลงเอยกันด้วยความรัก โดยมองข้ามข้อความตามสัญญาไปนะครับ”
“แค่นี้เหรอสิ่งที่นายอยากได้”
“มีอีกข้อครับ ข้อนี้สำคัญสำหรับผมกับเรียวมากจริงๆ แต่พูดออกไปแล้วอย่าโกรธผมนะครับ แต่หากเรียวทำได้ จะเป็นของขวัญชั้นยอดสำหรับผมเลยนะครับ แล้วแถมซ้ำเรียวก็จะมีความสุขไปกับมันด้วยครับ”
เด็กหนุ่มยังไม่ยอมบอกสิ่งที่เขาอยากจะได้มันในข้อสุดท้าย ท่าทางกล้าๆกลัวๆที่จะพูด จนผมต้องดุใส่เขา เพื่อให้บอกออกมา
“ผมอยากมีอะไรกับเรียวทุกวันเลยครับ อย่างน้อย วันละ 2 ครั้งก็ยังดี มันจะทำให้เราทั้งคู่ได้ใช้เวลาอย่างมีความสุขร่วมกันไงครับ”
ของขวัญข้อสุดท้ายที่เขาอยากได้ เล่นเอาผมนั่งอึ้ง พูดไม่ออกบอกไม่ถูกอยู่หลายวินาที พ่อเจ้าประคุณรุนช่องเอ๊ย ของที่พ่อขอแต่ละอย่างมีแต่เขาเท่านั้นที่ได้ประโยชน์ ผมน่ะ เสียเปรียบเต็มๆ แล้วแบบนี้ใครจะไปยอมกันเล่า
“เท่าที่ฟังมานะ ไม่มีอะไรที่ให้ได้เลยสักอย่าง เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ฉันจะพานายไปเลี้ยงฉลองวันเกิดดีกว่า นายเลือกเอาสักที่หนึ่ง อยากจะไปที่ไหนก็บอก ฉันเป็นเจ้ามือเอง เป็นต่างจังหวัดก็ได้นะ นายไม่ต้องลงมือทำกับข้าวหรือทำอะไรทั้งนั้น วันเกิดของนายควรจะเป็นวันพักผ่อน ไม่จำเป็นต้องไปเหนือ่ยมาทำอะไรต่ออะไรให้ใครหรอก”
นอกจากผมจะไม่ให้ในสิ่งเขาขอแล้ว ผมยังตัดสินใจที่จะเลือกของขวัญให้เขาเอง พาเดียร์ไปกินอาหารอร่อยๆในร้านหรูๆดีกว่า เด็กบ้านี่จะได้พักผ่อนบ้าง แล้วเขาอาจจะได้สัมผัสบรรยากาศ และชิมอาหารที่อร่อยๆ ซึ่งอาจจะมีประโยชน์ต่ออาชีพของเขาก็ได้ ผมพูดดักไว้ด้วยเลย เพราะรู้ดีว่า เดียร์ขี้เกรงใจ เขาไม่อยากให้ผมเสียเงินเสียทองเพื่อเขา ดังนั้นเขาคงเลือกที่จะเป็นฝ่ายทำอาหารให้ผมกินมากกว่าจะไปสิ้นเปลืองข้างนอก แต่ผมยอมให้เขามาทำกับข้าวให้ผมกินในวันเกิดของเขาเองไม่ได้หรอก ผมพาเขาไปกินอาหารข้างนอกบ้านดีกว่า
เดียร์ร้องว้าอย่างผิดหวังที่ผมไม่ตามใจให้ในสิ่งที่เขาต้องการ แต่แล้วก็เหมือนว่าเขาทำใจยอมรับสภาพได้ เขากลับยิ้มแย้มอีกครั้ง
“ไม่ตรงกับสิ่งที่คาดหวัง แต่ก็ไม่เป็นไรครับ ได้เท่านี้ก็ดีใจแล้ว เรียวไม่ค่อยออกไปข้างนอกบ้านเท่าไหร่ การที่เรียวตั้งใจจะพาผมออกไปกินข้าวข้างนอกด้วย แค่นี้ผมก็มีความสุขมากเลยนะครับ อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมรู้สึกได้ว่า เรียวเห็นว่าผมสำคัญกับเรียวจริงๆ”
เขาไถลตัวลงบนที่นอน ตะแคงข้างมาทางผมแล้วยิ้มให้ ผมยิ้มตอบเขา
“นี่นี่นี่ เรียวฮะ ผมบอกเรียวไปหรือยังครับว่าหน้าของเรียวใสมากเลย ไม่น่าเชื่อเลยว่าเรียวจะอายุ 27 ปี แล้ว หน้าตาของเรียวอ่อนเยาว์มากเลยครับ แถมซ้ำยังเป็นคนหน้าตาดีมากอีกด้วย ผมชอบมองใบหน้าของเรียวมากที่สุดเลยครับ”
“ขอบใจมากนะ นายเองก็หน้าตาหล่อเหลาไม่เบาเหมือนกัน หุ่นก็ดีด้วย ฉันไม่ค่อยชมใครหรอกนะ แต่เห็นว่านายชมฉัน ฉันก็เลยชมนายตอบบ้าง”
ผมพูดจาสัพยอกเขากลับไป เดียร์ยิ้มกริ่มหูตาแพรวพราว
“เราถึงได้เหมาะสมกับไงครับ เรียวก็หน้าตาดี ออกหวานนิดๆ ส่วนผมก็หล่อเข้ม มาดแมน เราสองคนเป็นคู่ที่เพอร์เฟคที่สุดเลย เรียวคิดว่างั้นไหมครับ”
หลังจากพูดเข้าข้างตัวเองจบประโยค เขาก็ถามเพื่อให้ผมคล้อยตามเป็นพวก แต่ผมรู้ทันรีบชิงปิดเปลือกตาลงเสียก่อน ทำทีว่าต้องการหลับ เพื่อยุติการสนทนา
“อ้าว เรียวครับ ยังไม่ตอบผมเลยนะ ว่าเห็นด้วยหรือเปล่า”
เขายังคงคาดคั้น ผมซ่อนยิ้มไว้ในหน้าไม่ยอมให้มันเผยออกมา รู้สึกขำเจ้าเด็กซนคนนี้ที่อยากจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นดั่งใจตัวเองยิ่งนัก
“ไม่มีความเห็นหรอก ง่วงนอนแล้ว พรุ่งนี้ต้องทำงานแต่เช้า เชิญนายเพ้อไปคนเดียวเถอะ ฉันขอหลับก่อนแล้วกัน”
ผมตอบเขาโดยไม่ลืมตา พยายามทำตัวเฉยเมยเต็มที่ แอบได้ยินเดียร์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แต่ผมก็ไม่ยอมเปิดเปลือกตาขึ้นมอง ชั่วอึดใจหนึ่งที่ความเงียบเข้ามาครอบงำ ผมรู้สึกว่าที่นอนยุบยวบเนื่องจากมีการเคลื่อนไหว จากนั้นร่างของผมก็ถูกดึงไปสู่อ้อมกอดของใครคนหนึ่ง เมื่อผมลืมตาขึ้น ก็เห็นหน้าเจ้าเล่ห์ของเดียร์ยิ้มเผล่ให้ผมอยู่ก่อนแล้ว
“โทษทีครับเรียว ผมลืมเอาตุ๊กตาหมูเรียวจังมาอีกแล้ว นอนไม่หลับถ้าไม่ได้กอดอะครับ เลยว่าจะขอยืมตัวเรียวมากอดอีกวันหนึ่งนะครับ”
เห็นท่าทางอ้อนๆกับสายตาเว้าวอนของเขา ก็เลยคร้านที่จะเถียง ถึงผมจะปฎิเสธอย่างไร เจ้าหมอนี่ก็ต้องหาเรื่องมากอดมาหอมคลอเคลียผมจนได้ นี่มันดึกมากแล้ว และผมก็ง่วงมากด้วย เลยไม่อยากจะพูดคุยโต้แย้งกับเขาอีกต่อไป
ผมหลับอยู่ในอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นของเดียร์จนรุ่งเช้า ตอนที่ผมตื่นขึ้นมานั้น เดียร์ยังคงหลับสนิทอยู่บนเตียง เขาคงจะเพลียมาก เพราะทำงานหนัก แล้วไหนจะยังมาช่วยทำกับข้าวให้ผมกิน ทำความสะอาดบ้านให้ผม แถมยังช่วยผมหาข้อมูลในเวปไซด์อีกด้วย ผมค่อยๆปลดแขนของเขาออกจากการกอดรัดผม เขาไม่มีทีท่าว่าจะตื่นมาง่ายๆ
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว ผมก็เดินมาดูเขาที่เตียง เดียร์นอนหลับตาพริ้ม ผมเผ้ายุ่งเหยิง ทรวงอกสะท้อนขึ้นลงจากการหายใจ ผมมองใบหน้าและเรือนร่างของเขาอย่างพิจารณา ตุ่มแดงๆ บนแขน และใบหน้าของเขาทำให้ผมรู้ว่าเด็กหนุ่มต้องผจญกับมหันตภัยยุงร้ายยามค่ำคืนที่ผ่านมา เมื่อเขาต้องนั่งหลับรอผมอยู่หน้าบ้าน ความสงสารเดียร์แล่นเข้าท่วมท้นหัวใจ
และแล้วผมก็ทำในสิ่งที่ผมปฏิเสธที่จะทำมาตลอด และมันก็เป็นสิ่งที่เดียร์ได้ขอร้องผมด้วย เพื่อมอบให้เป็นของขวัญวันเกิดแก่เขา ผมจัดการปลดลูกกุญแจ 2 ดอกออกจากพวงกุญแจในกระเป๋าหนัง ดอกหนึ่งเป็นกุญแจประตูรั้วหน้าบ้าน อีกดอกหนึ่งสำหรับประตูบ้าน เอาวางไว้บนโต๊ะหัวนอน พร้อมเขียนโน้ตเล็กๆให้เขา ข้อความหยอกเย้าว่า ผมไม่อยากเห็นเขาตัวลายเป็นตุ๊กแกเวลามารอผมหน้าบ้าน จึงมอบกุญแจ 2 ดอกนี้ให้ ขอให้เขารักษามันไว้อย่างดี อย่าทำหาย และอย่าได้ให้ใครเป็นอันขาด ผมยังอำเขาอีกว่าผมไว้ใจเขาด้วยว่าจะไม่พาคนมายกเค้าบ้านผม ทั้งนี้เมื่อเขาเข้าบ้านได้แล้ว ต้องดูแลทำความสะอาด พร้อมทำอาหารไว้รท่าผมกลับมาด้วย จากนั้นผมก็ไปทำงานโดยทิ้งเขานอนอยู่ที่บ้าน ในห้องของผมเพียงลำพัง
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่6 7/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 07-01-2009 13:05:49
ตอนสายสัก 9 โมงเช้า เดียร์ก็โทรมาหาผมน้ำเสียงใสแจ๋ว ขอบคุณผมใหญ่ ท่าทางดีใจยิ่งกว่าวานรได้แก้ว รับปากว่าจะปฏิบัติตามที่ผมต้องการทุกประการ หลังจากนั้นเขาก็ถามไถ่ว่าผมทานข้าวปลาอาหารหรือยัง พอผมบอกว่ายังไม่ได้ทาน รอทานเที่ยงทีเดียว ก็ดุผมใหญ่หาว่าผมไม่ดูแลตัวเอง จากนั้นก็สั่งเสียยืดยาว บอกว่าวันนี้เขาไม่ได้ไปทำงานร้านป้า เพราะลาเอาไว้ แต่ก็จะโทรไปให้แซ่บเอาอาหารมาให้ผม หากผมไม่ลงไปทาน ผมต้องสัญญิงสัญญากับเขาว่าผมจะลงไปทานข้าวจริงๆ เขาถึงจะยอมเชื่อ ผมยิ้มให้กับโทรศัพท์ รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างประหลาด เสียงคุยเจื้อยแจ้วของเดียร์ เสียงบ่นง๊องแง๊งของเขาไม่ทำให้รู้สึกโกรธ แต่กลับทำให้หัวใจผมอบอุ่น
น่าแปลกที่ตามปกติ ผมจะคอยตัดบทเวลาที่เขาโทรมาหา แต่เช้านี้ผมพูดคุยกับเขาตั้งครึ่งชั่วโมง กำลังสงสัยตัวเองว่าเพราะอะไรถึงยอมละเมิดกฏเกณฑ์ต่างๆที่ตนเองตั้งไว้ พลันก็ได้คำตอบเมื่อตาเหลือบไปมองที่ปฏิทิน เดียร์จะมีโอกาสกวนใจผมได้แค่อาทิตย์นี้เท่านั้น แล้วก็แค่ทางโทรศัพท์อย่างเดียว ที่ร้านอาหารผมก็ไม่ได้เจอเขาอีกแน่นอน เพราะว่าเขาลางานเพื่อไปซ้อมเต้น พอถึงอาทิตย์หน้าเขาซ้อมหนักเพื่อเตรียมตัวไปทัวร์คอนเสิร์ตทั่วประเทศ ก็จะไม่ได้เจอกันอีกเลย ยาวนานไปจนกว่าจะครบสามอาทิตย์โน่นแน่ะ ผมจึงคิดว่าการที่ผมคุยกับเขานานๆในครั้งนี้คงเป็นเพราะผมต้องการชดเชยเวลาให้กับเขานั่นเอง
หลังจากวางหูแล้ว ผมก็หันมาทำงานต่อ พอสัก11 โมง เจ้านายของผมก็เรียกตัวเข้าพบ เขาคงต้องการคำตอบจากผมว่าจะพิจารณาเคสนี้อย่างไร ซึ่งผมเองก็มีคำตอบในใจอยู่แล้ว ผมตัดสินใจที่จะอนุมัติให้ได้เต็มจำนวนที่ร้องขอ ทั้งตัววงเงินเอาประกันหลัก และ ตัวสัญญาเพิ่มเติมสุขภาพ เพราะจากการดูข้อมูลที่ได้มา ลูกค้าสุขภาพไม่มีปัญหามากนัก ถึงแม้ว่าอายุจะมาก แต่เขาก็เป็นคนที่ดูแลสุขภาพอย่างดี มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และไปตรวจสุขภาพเป็นประจำ แต่ผมไม่ขายตัวสัญญาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการฆาตกรรมให้กับเขา เนื่องจากความเสี่ยงในการใช้ชีวิตคู่ เนื่องจากไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน แสดงว่าเขาอาจจะคบกับคนอื่นแบบชั่วครั้งชั่วคราวไปเรื่อยๆ และยังให้เขาเปลี่ยนตัวผู้รับประโยชน์เป็นบุคคลอื่น เช่นพ่อแม่ หรือญาติพี่น้องแทน
เจ้านายชื่นชมการตัดสินใจของผมว่าเป็นการตัดสินใจที่ทำให้บริษัทได้ประโยชน์มาก ผมได้แต่ยิ้มๆ เพราะรู้ดีว่า ถึงอย่างไรเคสนี้ก็ต้องอาศัยกำลังภายในจนสามารถผ่านเข้ามาจนได้ เพราะทำวงเงินสูงขนาดนั้นย่อมหมายถึงเบี้ยประกันที่จะเข้ามาสู่บริษัท หากผมไม่ยินยอม ผมก็ต้องถูกกดดันให้รับอยู่ดี โชคดีที่ผมได้อ่านข้อมูลเกี่ยวกับเกย์มาบ้าง จึงทำให้ผมสามารถเข้าใจและพิจารณาได้โดยที่ไม่หักหาญน้ำใจลูกค้าและฝ่ายขาย และบริษัทก็ไม่ต้องมานั่งรับความเสี่ยงมากเกินไป
คราวนี้เจ้านายไม่ยอมให้ผมปฏิเสธเรื่องการทานข้าวเย็นร่วมกัน และเพื่อไม่ให้ผมมีทางเลือกมานักเขาได้บอกให้เลขาจัดการจองโต๊ะให้เรียบร้อยที่ภัตตาคารอาหารจีนที่หรูหราแห่งหนึ่ง โดยจองไว้ทั้งหมด 10ที่ แต่เขาไม่ยอมบอกให้ผมรู้ว่าเขาเชิญใครมาทานข้าวบ้าง
จนกระทั่งถึงเย็น ผมยังคงพิจารณางานติดพันอยู่ เจ้าสันต์ก็โผล่หน้ามาเคาะประตูเรียกผม เลยทำให้ผมรู้ว่า เขาก็เป็นหนึ่งในคนที่เจ้านายผมเชิญให้ไปทานข้าวด้วย
“ไปด้วยกันเลยไหมวะ ฉันเสร็จงานแล้ว นายอ่ะ เสร็จหรือยัง”
“กำลังจะเสร็จอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว”
ผมบอกเขาพลางตวัดลายเซ็นลงไปในเอกสาร ก่อนจะหยิบมันเข้าแฟ้ม แล้ววางไว้บนถาดเอกสารออก เพื่อที่เลขาของผมจะได้นำมันไปดำเนินการในวันรุ่งขึ้น ยังไม่ทันที่ผมกับเจ้าสันต์จะเดินออกจากห้อง ศักดิ์ชายก็เยี่ยมหน้าเข้ามา
“ฉันจะไปทานข้าวกับพวกนายด้วย ไปรถฉันไหม เดี๋ยวพอเลิกแล้วฉันจะมาส่งที่นี่ให้”
“เอ้าจริงดิ หัวหน้าของนายชวนศักดิ์ชายไปด้วยหรือวะ”
เจ้าสันต์หันมากระซิบกระซาบถามผม ซึ่งผมได้แต่สั่นหน้าปฏิเสธ จะรู้ได้ไงล่ะ ในเมื่อเขาไม่ได้บอกผมสักคำว่าเขาชวนใครบ้าง เจ้าสันต์ทำหน้าเซ็งๆท่าทางเขาไม่ค่อยชอบศักดิ์ชายเพื่อนเก่าของผมคนนี้สักเท่าไหร่
“เมื่อไหร่ มันจะเลิกเก็กแมนซะทีวะ”
สันต์พึมพำรอดไรฟัน แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังได้ยิน ผมขมวดคิ้วอย่างสงสัย แต่ยังไม่ได้ถามว่าคำที่มันพูดหมายถึงอะไร เพราะศักดิ์ชายเดินไปด้วย ถึงแม้ว่าเขาจะเดินล่วงหน้าไปแล้วก็ตาม แต่ผมก็กลัวว่าเขาจะได้ยิน กะว่าจะถามเจ้าสันต์อีกครั้งหลังจากที่อยู่ด้วยกันสองคนตามลำพัง
เราสองคนเดินตามศักดิ์ชายไป ภัตตาคารที่ว่า อยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานนัก แต่ก็ใช้เวลานานเหมือนกันหากจะต้องเดินไป พวกเราจึงตัดสินใจว่าไปรถของศักดิ์ชายดีกว่า แล้วจอดรถของตัวเองทิ้งไว้ที่นี่ เพราะไม่อยากไปเสียเวลาวนหาที่จอดรถ แล้วก็กลัวรถจะติดด้วย
ประมาณ 20 นาที เราก็ไปถึงภัตตาคารที่เจ้านายผมสั่งจองโต๊ะไว้ เจ้านายของผมนั่งอยู่ก่อนแล้ว พร้อมด้วยแขกรับเชิญที่ทำให้ผมรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ
คุณอนันต์ นั่งอยู่ก่อนแล้วทางด้านขวามือของเจ้านายผม ข้างๆเขาคืออรจิรา อดีตคนรักของผม ถัดจากอรจิราคือ ผู้บริหารฝ่ายขายคนที่ผมเพิ่งอนุมัติเคสให้กับเขาไปวันนี้ เขามาพร้อมกับผู้ชายสูงอายุคนหนึ่ง ท่าทางดูออกเลยว่าเป็นพวกนิยมไม้ป่าเดียวกัน และที่น่าตกใจก็คือ น้องแซ่บหนุ่มน้อยที่เจ้าสันต์คั่วอยู่ก็มานั่งรวมกลุ่มอยู่กับเขาด้วย
ผมหันไปมองเจ้าสันต์ก็เห็นมันมองแซ่บอยู่ก่อนแล้ว มันทำท่าประหลาดใจนิดหนึ่ง แต่แล้วก็ทำเป็นนิ่งเฉยเสีย เวลาแบบนี้ เจ้าสันต์ต้องเก็บอาการลูกเดียว ในสถานการณ์ที่ไม่รู้เลยว่าเจ้าเด็กแซ่บปรากฏตัวในโต๊ะที่มีแต่ผู้บริหารระดับสูงแบบนี้ทำไม แล้วเด็กนี้มีความสำคัญแค่ไหน การทำเป็นไม่พูดอะไรเลย ดูจะช่วยได้มากกว่าที่จะเข้าไปทักทายเหมือนคนคุ้นเคย ซึ่งอาจจะทำให้เกิดคำถามตามมาอีก ว่ารู้จักกันได้อย่างไร คุ้นเคยกันแค่ไหน
เจ้านายของผมเอ่ยปากให้ผมนั่งข้างๆเขา โดยที่เจ้าสันต์นั่งตามลงมา และตบท้ายด้วยศักดิ์ชาย พอเรานั่งกันเรียบร้อย เจ้านายของผมก็พูดเชื้อเชิญทุกคนให้รับประทานอาหาร
“ยังเหลือแขกพิเศษอีกคนหนึ่งที่คงยังเดินทางมาไม่ถึง แต่ไม่ต้องรอหรอกครับ เขาบอกกับผมว่าจะมาช้าสักหน่อย ให้พวกเราทานกันไปก่อน ผมให้เขาลงของลองท้องจำพวกติ่มซำเอาไว้ ที่นี่เขาทำอร่อยมากครับ เชิญทานกันได้เลย”
ก่อนที่พวกเราจะเริ่มลงมือทานอาหาร นายสุริยะ ผู้บริหารที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับผม ก็พูดแทรกขึ้นมา
“ก่อนอื่น ผมใคร่อยากจะขอขอบคุณคุณเรียวมากครับที่ช่วยพิจารณาเคสของผมให้ผ่านการอนุมัติ มันทำให้ผมรู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทำงานในบริษัทที่มีบุคลากรที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลอย่างคุณเรียวอย่างนี้ ผมอดไม่ได้ที่จะนำข่าวดีนี้ไปบอกลูกค้าของผม และเขาเองก็อยากจะมาขอบคุณคุณเรียวด้วยตัวเอง”
นายสุริยะยิ้มให้ผมพร้อมกับหันไปมองทางด้านข้างของตนเองที่ชายสุงอายุนั่งอยู่
“ผมขออนุญาตแนะนำลูกค้าของผม คุณทรงพล รุ่งเรืองวิระกิจานนท์ ครับ คุณทรงพลเป็นเจ้าของร้านจิลเวลลี่ในห้างดังๆหลายแห่ง และมีกิจการในต่างประเทศอีกด้วย เขาเพิ่งมอบความไว้วางใจให้กับบริษัทของเราด้วยการทำประกันวงเงิน 100 ล้านบาทครับ ซึ่งเพิ่งได้รับการพิจารณาอนุมัติจากคุณเรียวเมื่อเช้าวันนี้เอง”
นายทรงพลยิ้มให้กับทุกคน โดยเฉพาะกับผมเขายิ้มให้กว้างมากเป็นพิเศษ ท่าทางเป็นมิตร เหมือนผู้ใหญ่ที่มีจิตใจเมตตาปราณี
“ขอบคุณคุณเรียวที่ทำใจเปิดกว้าง ยอมรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลกของเรา ไม่ปิดกั้นคนส่วนน้อยที่อยากจะได้ในสิ่งที่คนส่วนใหญ่มีโอกาส ผมนับถือคุณจริงๆ”
ผู้สูงวัยกว่า กล่าวชื่นชมผม โดยละเว้นข้อความบางอย่างให้เข้าใจกันเอง ผมยิ้มให้เขา ในใจก็นึกขอบคุณเดียร์ที่ช่วยหาข้อมูลให้กับผม การได้อ่านบทความที่เกี่ยวกับเกย์จำนวนมากเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา ทำให้ผมพอจะเข้าใจถึงความคิด และวิถีการดำเนินชีวิตของพวกเกย์ได้มากขึ้นกว่าแต่ก่อน
คนที่อยู่ตรงหน้าผม ถึงแม้ว่าผมจะดูออกว่าเขาเป็นเกย์ แต่เขาก็เป็นคนที่ดูน่าเชื่อถือ ท่าทางของเขานุ่มนวลสงบเสงี่ยม ดูสุภาพไม่ออกอาการจนโอเว่อร์แบบเกย์ที่ผมเห็นทั่วๆไป
“ผมพิจารณาไปตามที่เห็นสมควรนะครับ ดูจากประวัติและการที่ได้มาเห็นตัวตนของคุณในวันนี้ ผมก็บอกได้เลยว่า คุณสามารถที่จะผ่านการพิจารณาได้แน่นอน แต่มีบางเรื่องที่ผมอนุมัติตามที่คุณขอมาไม่ได้ ซึ่งทางคุณสุริยะคงจะได้บอกคุณไปแล้วนะครับ เราได้ส่งหนังสือไปหาคุณแล้ว ก็รอจนกว่าคุณจะเซ็นต์ตอบรับกลับมา การประกันก็จะได้เริ่มความคุ้มครองครับ ทางบริษัทเองรู้สึกยินดีมากที่ทางคุณทรงพลมอบความไว้วางใจให้กับพวกเราในการที่จะดูแลคุณและธุรกิจของคุณ เราเชื่อมั่นว่าคุณจะไม่ผิดหวังแน่นอนครับ”
ผมตอบเขาไปอย่างเป็นงานเป็นการ นายทรงพลยิ้มกว้าง
“ถ้าพูดกันแบบนี้ ผมก็เข้าใจนะครับ ตอนแรกที่ผมโมโหก็เพราะว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังมา มันเหมือนกับว่า ผมน่ะมีความเสี่ยงมากเสียจนไม่อยากจะรับประกันผม ยังคิดว่า ทำไมเหรอ พวกผมไม่ใช่คนหรือไง แต่พอได้ฟังคุณพูดแบบนี้ ผมก็เบาใจ อันที่จริง ผมไม่ได้รับเชิญมาทานที่นี่ด้วยหรอก แต่ผมอยากจะเจอคุณเรียว ผมเลยขอคุณสุริยะมา ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้บอกกันก่อน แต่การได้เจอคุณในวันนี้ ทำให้ผมรู้สึกว่าไม่เป็นการเสียเวลาเปล่าจริงๆ”
เขาจบคำพูดด้วยการทิ้งสายตาให้ผมอย่างมีความหมาย ผมมองหน้านายทรงพลอย่างเข้าใจ ผมเองก็เคยรู้สึกมีอคติเวลาพิจารณารับประกันเหมือนกัน เป็นเพราะผมได้รับข้อมูลในด้านลบเกี่ยวกับพวกรักร่วมเพศมามาก จนกลัวว่าหากรับเข้ามาโดยขาดความระมัดระวังอาจจะก่อให้เกิดผลเสียกับบริษัท แล้วอีกอย่างหนึ่ง ภาพพจน์ของเกย์ที่แสดงออกให้เห็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะตามสื่อโทรทัศน์ ตามหน้าหนังสือพิมพ์ ก็ล้วนแล้วแต่ออกมาในแนวรุนแรงทั้งนั้น
“คุณทรงพลได้เซ็นต์เอกสารมาเรียบร้อยแล้วครับ พร้อมทั้งเปลี่ยนตัวผู้รับประโยชน์คนใหม่มาแล้วด้วย”
นายสุริยะเอ่ยขึ้นบ้าง หลังจากนิ่งเงียบฟังผมพูดคุยกับนายทรงพลอยู่เป็นเวลานาน
“อื้อ อันที่จริงผมก็ไม่ได้อยากให้พ่อกับแม่หรอก เพราะท่านก็อายุมาก 80-90 กันแล้ว แถมซ้ำท่านยังร่ำรวยจากทรัพย์สมบัติเดิมที่มีอยู่ ร้านที่ผมดูแลก็เป็นสมบัติเดิมของท่าน ผลกำไรท่านก็ได้ ว่ากันตามตรง ท่านก็คงจะอยู่กันไม่ได้นานเท่าไหร่ อาจจะไปก่อนผมด้วยซ้ำ แต่ผมก็ไม่มีญาติคนอื่น แล้วบริษัทคุณก็ไม่ให้ผมยกประโยชน์ให้กับคนที่ไม่ใช่ญาติเสียด้วยสิ ก็เลยต้องยกให้ท่านทั้งสองตามที่คุณต้องการไง”
ชายผู้แก่วัยกว่าผมพูดเหมือนเชิงบ่น แต่ท่าทางเขาไม่ได้ซีเรียสอะไรนัก
“เราพิจารณาเรื่องของส่วนได้เสียเป็นหลักครับ อย่างพ่อแม่ลูกถือว่าเป็นส่วนได้เสียทางสายโลหิตนะครับ ถ้าทำประกันเราก็ยกผลประโยชน์ให้กันได้อยู่แล้ว นอกนั้นเรายังอาจจะยกให้กับสามี ภรรยา หรือ คู่หมั้นได้นะครับ เพราะเป็นส่วนได้เสียทางการสมรส คือ คนพวกนี้ เขาจะเสียประโยชน์เมื่อเราจากไปมากกว่าจะได้ประโยชน์จากการเสียชีวิตของเรานะครับ ถ้าให้คนอื่น มันก็จะพิสูจน์เรื่องการมีส่วนได้เสียกันยาก และอาจจะเป็นผลร้ายต่อผู้เอาประกันเองด้วย เขาอาจจะมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมากกว่าปกติ เนื่องจากทำประกันแล้วยกให้กับคนอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขานะครับ เราก็เป็นห่วงลูกค้าตรงนี้”
ผมบอกเขาไปตามตรง ตามปกติเพื่อให้เขาเข้าใจ นายทรงพลพยักหน้าหงึกๆ ท่าทางพึงพอใจกับสิ่งที่ได้ยิน ผมคิดว่า เขาเป็นคนที่เข้าใจอะไรได้ง่ายๆ ไม่ดื้อรั้นดันทุรังเหมือนคนมีเงินทั่วๆไป ที่เวลาไม่ได้ดังใจก็มักจะไม่ฟังเหตุและผล
“คุณเป็นคนตรงไปตรงมาดีนะครับ ผมชอบ บริษัทของคุณนี่ ได้คนดีเข้ามาทำงานจริงๆ ไม่ได้หวังแต่ประโยชน์เสียจนลืมความถูกต้องชอบธรรม คนอย่างนี้น่าจะรักษาไว้ให้อยู่กับบริษัทนานๆนะครับ เพราะว่าเขาจะมีส่วนช่วยทำให้บริษัทก้าวหน้ายิ่งขึ้น คุณว่าไหม”
ท้ายประโยคนายทรงพลหันมาถามเจ้านายผมดื้อๆ ผมเห็นเจ้านายของผมยิ้มหน้าบานเป็นจานเชิง เขากล่าวขอบคุณนายทรงพลแล้วพูดประโยคที่ทำให้ผมเองก็ไม่นึกว่าจะได้ยินมาก่อนกลางวงอาหารค่ำที่มีผู้ร่วมวงเป็นคนทำงานในบริษัทเดียวกันทั้งฝ่ายขาย และฝ่ายสต๊าฟ
“คุณเรียวเป็นคนหนุ่มที่มีคุณภาพครับ ทำงานดี ขยันขันแข็ง และยุติธรรม เขาช่วยเราได้เยอะมาก สิ้นปีนี้ เราคิดว่า อยากจะตอบแทนความตั้งอกตั้งใจทำงานของเขาด้วยการเลื่อนตำแหน่งและเพิ่มเงินเดือนให้เขามากขึ้นนะครับ”
น้ำเสียงของเจ้านายผมดูจริงจัง จนผมอดตกใจไม่ได้ เรื่องการขึ้นเงินเดือน หรือเลื่อนตำแหน่งปลายปี ไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาพูดกันอย่างล้อเล่น โดยเฉพาะต่อหน้าคนหมู่มาก เพราะเหมือนคำมั่นสัญญาว่าจะต้องปฏิบัติตาม บิดพริ้วไม่ได้
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่6 7/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: kittyfun ที่ 07-01-2009 14:24:57
ตามมาอ่านต่อ

อ่านกี่ภาคเรื่องนี้ เดียร์ก็ยังคงความน่ารัก

ส่วนเรียวเมื่อไหร่จะใจอ่อนกับเดียร์

เป็นของเขาแล้วยังทำเป็นใจแข็งอีก
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่6 7/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: b_hihi ที่ 07-01-2009 17:53:30
เริ่ด
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่6 7/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 07-01-2009 18:11:18
ขอบคุณค่ะ ยังติดตามอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่6 7/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 07-01-2009 19:24:07
สู้ๆ คุณแอน ดูจากเนื้อเรื่องแล้ว หนทางยังอีกยาวไกล  :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่6 7/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 08-01-2009 00:04:19
เข้ามาให้กำลังใจ พี่แอนจุดจ๋วย   :L2:

ชอบ นู๋เดียร์ ชอบพี่เรียว ... ถ้าพี่เรียว ไม่เอานู๋เดียร์
 ยกนู๋เดียร์ ให้ คนจ๋วยก้อด๊ะนะ คิคิ   :-[
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่6 7/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: the_pooh9 ที่ 08-01-2009 00:34:36
 o22 มะค่อยมีเดียร์เลยตอนนี้อ่ะ
คิดถึงนู๋เดียร์จริง นะ เรียวน่ารักดี
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่6 7/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: unnoname ที่ 08-01-2009 03:03:13



                                จะมีแค่การกินข้าวอย่างเดียวหรือจะมีอะไรต่อไปน้า ^^
             
                                                    รอตอนต่อไปค่ะ
                                                            
                                                   สู้ๆนะค้ะ V^_^V
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่6 7/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 08-01-2009 14:33:20
บทที่ 7

อีกอย่างคนพูดก็ไม่ใช่ พนักงานระดับล่าง แต่เป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูงของผม สิ่งที่เขาพูด มันหมายถึงความจริงที่จะเกิดขึ้น หากเบี่ยงเบนไปจากนั้นเขาจะกลายเป็นคนไม่น่าเชื่อถือในทันที แล้วตัวผมซึ่งเกี่ยวข้องด้วยในเรื่องนี้เป็นผู้รับผลกระทบไปเต็มๆ ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ก็ตาม
“อันที่จริง เรื่องนี้มันก็ควรจะเก็บไว้เป็นความลับนะครับ ไม่ควรจะเปิดเผยให้รู้จนกว่าจะถึงสิ้นปี แล้วผมเองก็ไม่ได้คุยเรื่องนี้กับคุณเรียวด้วย แต่ผมก็เฝ้ามองการทำงานของเขามาเนิ่นนาน รู้ว่าเขามุ่งมั่นจริงจัง และเขาสมควรจะได้ ตำแหน่งงานที่สูงขึ้นกว่านี้ แต่ในเมื่อคุณทรงพลพูดถึงการทำงานของคุณเรียว และชื่นชมลูกน้องคนนี้ของผมอย่างจริงใจ ผมก็เลยพูดให้คุณทรงพลได้รู้ว่า เราก็เห็นเหมือนคุณเช่นกัน
แล้วเราไม่มีทางปล่อยให้คนที่ทำงานดีๆอย่างเขาหลุดมือไปได้หรอกครับ แต่ผมก็อยากจะขอร้องทุกคนที่ได้ยินได้ฟังอยู่ในที่นี้นะครับว่าอย่าเพิ่งแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป เดี๋ยวมันจะมีปัญหาตามมาภายหลังนะครับ”
เจ้านายของผมอธิบายให้ทุกคนทราบถึงการตัดสินใจของตัวเอง และขอร้องให้ทุกคนอย่างเพิ่งแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป ซึ่งทุกคนก็รับปากอย่างแข็งขัน โดยตลอดเวลาเหล่านั้น ผมได้แต่นั่งเงียบ และยิ้มให้แต่ละคนที่มองมา ไม่เว้นแม้แต่อรจิรา ที่มองผมด้วยดวงตาเป็นประกาย
“งั้นมื้อนี้ นอกจากจะมาเลี้ยงเพื่อขอบคุณทุกคนที่ร่วมมือกันทำงานอย่างแข็งขันแล้ว ก็ขอถือโอกาสเลี้ยงฉลองให้คุณเรียวล่วงหน้าเลยดีไหมครับ”
คุณอนันต์ พูดขึ้นมา เขายิ้มให้ผมด้วยความจริงใจ ทุกคนเออออเห็นด้วยไปกับเขา ต่างพากันแสดงความยินดีกับผมถ้วนหน้า
“เก่งมากเพื่อนเรา อีกหน่อยนายมีรถประจำตำแหน่งแล้ว ก็ขายต่อรถโฟร์วีลของนายให้ฉันเถอะนะ ฉันชอบรถนายมากเลย ”
สันต์แอบกระซิบให้ผมได้ยินกันแค่สองคน ผมไม่ตอบ ได้แต่นั่งยิ้ม เรื่องอะไร ผมจะขายให้กับเจ้าสันต์ รถคันนี้เป็นน้ำพักน้ำแรงที่ผมซื้อมา ผมไม่มีวันขายให้ใครหรอก จะจอดอยู่ที่บ้านอย่างนั้นแหละ หรือไม่ ก็อาจจะให้เดียร์ยืมไปขับชั่วคราว เพราะเจ้าเด็กบ้านั่น ไปโน่น มานี่อยู่ตลอดเวลา มีรถจะได้ไปไหนมาไหนสะดวก แต่ว่า ไม่มีใบขับขี่ อาจจะถูกตำรวจจับได้ง่ายๆ อาจจะต้องรอให้เขามีก่อน ค่อยว่ากัน
“โชดดีมากเลยเรียว ความพยายามของนายสัมฤทธิ์ผลจนได้ พอประกาศเลื่อนตำแหน่งออก ฉันจะพานายไปเลี้ยง”
ศักดิ์ชายแสดงความยินดีกับผมเป็นคนต่อมา ผมยิ้มให้กับเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ พลางตอบขอบคุณเขาเบาๆ อรจิรา กล่าวแสดงความยินดีกับผมเป็นคนสุดท้าย ท่าทีที่มีต่อผม ไม่แข็งกระด้างเหมือนเดิม เธอยิ้มหวานให้ผม ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์มาก เพราะตั้งแต่เลิกรากัน เธอไม่เคยพูดดี หรือทำกริยาดีๆใส่ผมเลย
ผมไม่แน่ใจว่าการเปลี่ยนแปลงท่าทีของเธอ มาจากการที่ได้ยินคนชื่นชมผม หรือเป็นเพราะเธอยินดีกับตำแหน่งหน้าที่การงานที่ผมจะได้รับในวันข้างหน้ากันแน่ คิดไว้ในแง่ดีก่อนดีกว่า ว่าสิ่งที่เธอแสดงออกอาจจะมาจากความจริงใจที่เธอมีต่อผมก็ได้
ตกลงมื้อนั้น เลยรวบทีเดียวสองงาน คือ เป็นการเลี้ยงขอบคุณจากเจ้านายผมที่ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันจนทำให้บริษัทเติบโตก้าวหน้า แต่ละคนที่เชิญมา นอกจากผู้บริหาร เป็นคนที่เราต้องทำงานร่วมด้วยตลอดเวลา ไม่ว่าฝ่ายสินไหม ฝ่ายตรวจสอบ และฝ่ายประชาสัมพันธ์
เจ้านายใหญ่ของผมเขาควบคุมฝ่ายปฏิบัติการประกันชีวิตทั้งฝ่าย และดูแลไปจนถึงฝ่ายตรวจสอบที่ตอนนี้ศักดิ์ชายย้ายมาทำงานแทนเจ้าสันต์ซึ่งย้ายไปอยู่ฝ่ายสินไหม ส่วนฝ่ายประชาสัมพันธ์ซึ่งอรจิราทำงานอยู่ ได้ช่วยเผยแพร่ข้อมูลให้ทั้งลูกค้าและฝ่ายขายได้รับรู้ เจ้านายผมจึงเชิญเธอมาเลี้ยงขอบคุณ สำหรับคนรักใหม่ของเธอนั้น กลายมาเป็นเพื่อนสนิทของเจ้านายผม เขาจึงเชิญมาร่วมเป็นสักขีพยาน
ผมเพิ่งทราบในภายหลังว่า นายสุริยะ กับทรงพลนั้นมาขอร่วมวงไพบูลย์ด้วย ทันทีที่ได้ข่าวว่าเจ้านายของผม จะมาเลี้ยงข้าวพวกเราวันนี้ เขาอ้างว่าต้องการมาขอบคุณผมที่ช่วยดูแลเคสของเขาให้ตลอดเวลา และลูกค้าของเขาก็ต้องการรู้จักผม เจ้านายผมเลยตกลงให้คนทั้งคู่มาทานร่วมกัน
ในระหว่างที่การทานอาหารกำลังดำเนินไป เราต่างคุยกันด้วยเรื่องการเติบโตของบริษัท เจ้านายผมออกปากชื่นชมนายสุริยะ ว่าเป็นคนดีมีฝีมือ เพราะเขาสามารถผลิตผลงานเข้าบริษัทได้มากเป็นอันดับหนึ่งของบริษัท หวังว่าเขาคงจะอยู่ช่วยบริษัทไปนานๆ
ด้านนายสุริยะก็กล่าวชมการทำงานของฝ่ายสต๊าฟกลับ นอกจากจะชมฝ่ายพิจารณารับประกันซึ่งผมรับผิดชอบดูแลอยู่ เขายังชมฝ่ายสินไหม ว่าจ่ายเงินได้อย่างเที่ยงธรรมไม่ล่าช้า แต่ก็แอบแขวะไปถึงฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่อรจิราดูแล ว่าไม่ค่อยโดนใจสักเท่าไหร่ ดูเชย ไม่ทันสมัย และไม่เข้าถึงกลุ่มคน
มีหรือที่สาวเก่งอย่างอรจิราจะยอมแพ้ เธอแก้ตัวว่า โฆษณาและการประชาสัมพันธ์ที่ฝ่ายของเธอจัดทำนั้น ได้มีการสำรวจแล้วว่าเข้าถึงกลุ่มคนได้มาก ส่วนจะตรงใจหรือไม่ ก็แล้วแต่มุมมอง เพราะบริษัทเน้นไปที่ความจริงใจที่มีต่อลูกค้า โฆษณาจึงออกมาค่อนข้างเป็นทางการ แต่นายสุริยะก็บอกว่าโฆษณาบางทีก็มีส่วนที่ทำให้คนนึกถึงชื่อบริษัทได้เช่นกัน
ดูอย่างโฆษณาที่พ่อเกิดอุบัติเหตุ แล้วก็หวนคิดถึงสิ่งที่ยังไม่ได้ทำไว้กับลูกหลายอย่างสิ เป็นโฆษณาที่ดี และก่อให้เกิดกระแสการวิพากษ์วิจารณ์ทั่วไป แต่อย่างน้อยคนก็จดจำโฆษณานี้ และนึกถึงชื่อบริษัทมากขึ้น และทำให้ยอดขายของบริษัทนั้นเพิ่มมากขึ้นด้วย
พอโดนวิพากษ์วิจารณ์ไปแรงๆแบบนั้น สาวเก่งอย่างอรจิรา ก็เริ่มจะเก็บอาการไม่อยู่ เธอหน้าแดงก่ำ เม้มปากแน่น ผมมองหน้าเธอ ก็เห็นเธอตวัดสายตามองมายังผมท่าทางโกรธๆที่มีคนมาต่อว่างานของเธออย่างไม่เข้าใจ แถมซ้ำไม่มีใครพูดอะไรบ้างเลย
แววตาของเธอเหมือนจะบอกกับผมเป็นนัยๆว่าช่วยพูดอะไรเสียบ้าง ผมสบตาของเธอแล้วก็ขยับปากจะแก้ต่างให้ แต่คุณอนันต์เป็นฮีโร่มาช่วยคนรักของเขาเช่นเคย
“อื้อ แนวความคิดของคุณสุริยะน่าสนใจดี ไว้ผมจะช่วยคุณอรจิรา พูดกับหัวหน้าของเธออีกแรงนะครับ ว่าฝ่ายขายมีความเห็นแบบนี้”
คุณอนันต์พูดตัดบทเพือ่ไม่ให้เรื่องมันบานปลาย อรจิรา ยังคงทำหน้าไม่พอใจอยู่ แต่สุริยะทำหน้ายิ้มๆ เขาคงรู้ว่าคำพูดของเขาทำให้พีอาร์สาวสวยของบริษัทไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ แต่เขาก็ไม่ใส่ใจคงคิดว่า ความคิดเห็นของฝ่ายขายสำคัญกับบริษัทอยู่แล้ว
หัวข้อสนทนาเบี่ยงเบนไปในเรื่องอื่นๆ อยู่ดีๆก็มีคนพูดถึงกรณีรักร่วมเพศขึ้นมา จึงเรียกความสนใจจากคนรอบข้าง และเกิดเป็นหัวข้อสนทนาที่ต่างคนต่างพูดคุยแสดงความคิดเห็นกันอย่างเต็มที่ ผมลอบมองหน้าเพื่อนรักทั้งสอง ว่ามันจะทำหน้าอย่างไร ก็เห็นเจ้าสันต์ยังคงวางหน้าเฉย ในขณะที่ศักดิ์ชายทำหน้าเจื่อนๆ แต่ก็ตั้งอกตั้งใจฟัง
“เดี๋ยวนี้ คนเป็นเกย์กันเยอะมากจริงไหมคะ”
อรจิราถามคำถามขึ้นมา พลางกวาดสายตาไปยังคนที่นั่งอยู่รายรอบ ทำให้ผมมองตาม แล้วก็แอบสะดุ้งนิดๆ เมื่อคิดได้ว่า หลายคนที่นั่งอยู่ในโต๊ะนี้เข้าข่ายบุคคลที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นนายสุริยะ ที่ผมเคยเห็นเขาควงหนุ่มไปไหนมาไหนบ่อยๆ ท่าทางสนิทสนมกันเกินกว่าคนร่วมงานกัน เจ้าเด็กแซ่บซึ่งเจ้าสันต์กำลังคั่วอยู่
นายทรงพลน่ะใช่เลย เพราะชื่อเสียงเกี่ยวกับการใช้ชีวิตของเขาเป็นที่รู้ดีในวงสังคม แล้วเขาก็ไม่ได้ปิดด้วยเรื่องที่เขาเป็นเกย์ เจ้าสันต์เพือ่นผมน่ะ ยอมรับอย่างเต็มร้อย คนทั้งบริษัทก็รู้ ส่วนศักดิ์ชายยังน่าสงสัยอยู่ ว่าเป็นหรือไม่เป็นกันแน่ แล้วตัวผมเองล่ะ จัดอยู่ในกลุ่มใด ผู้ชายแท้ๆ หรือตอนนี้ผมได้กลายเป็นเกย์พวกเดียวกับคนเหล่านี้ไปเสียแล้ว
“ถามเพื่อต้องการอยากได้ข้อมูล หรือ อยากรู้อยากเห็นเฉยๆครับ”
นายสุริยะถามพลางยิ้มเหยียดๆ อรจิราทำตาโต ยกมือทาบอก เหมือนกับว่าเพิ่งนึกขึ้นได้
“อุ้ย ขอโทษที ลืมไปว่า.......”
“ไม่เป็นไรครับ”
ผุ้บริหารหนุ่มเกย์โบกไม้โบกมือ
“บางทีคุณอร อาจจะอยากทราบเอาไว้ จะได้ไม่เผลอตัวเผลอใจไปรักเกย์ใช่ไหมครับ”
“ค่ะ”
แม่คนรักของผมรับคำ พลางปรายตามามองผมกับเจ้าสันต์ ผมหน้าชาที่ถูกมองด้วยแววตาหยามหยันอย่างนั้น แต่เจ้าสันต์กลับยิ้มละไม ไม่มีคำพูดใดๆออกจากปากของมัน
“มันไม่ได้เพิ่มขึ้นมากมายกว่าเดิมสักเท่าไหร่หรอกครับ ที่คุณเห็นว่ามันมีเยอะ เพราะสังคมมันเปิดกว้างขึ้น คนยอมรับเพศที่สามมากกว่าแต่ก่อน คนที่เคยปิดตัว ก็กล้าที่จะเผยตัวตนที่แท้จริงออกมานะครับ ซึ่งก็ดีนะ มันทำให้คนเหล่านี้ มีความสุขมากขึ้น ที่ไม่ต้องหลอกตัวเอง หรือว่าหลอกใครต่อใคร”
นายสุริยะพูดด้วยทีท่าเคร่งขรึม ซึ่งเป็นท่าทางปกติของผู้บริหารคนนี้ เวลาที่ต้องการจะพูดเรือ่งที่มันซีเรียสจริงจัง
“เอ.......แล้วเป็นอย่างนี้ มันมีความสุขจริงหรือครับ ขอโทษนะที่ผมถามแบบนี้ คือผมยังสงสัยนะ เพราะว่าคนที่จะยอมรับก็ไม่ได้มีมากมายเท่าไหร่ คนส่วนใหญ่ก็ยังทำใจยอมรับไม่ได้ ที่จะให้ผู้ชายมารักกันเอง หรือเห็นผู้หญิงกลายเป็นทอม เป็นดี้ไปน่ะ”
คุณอนันต์ถามอย่างสนใจใคร่รู้ ไม่ได้มีทีท่าว่าอยากจะประณามหยามเหยียดแต่ประการใด
“ก็มีทั้งความทุกข์ และความสุขนะครับ สิ่งที่คุณอนันต์พูดก็มีส่วนถูก ถึงแม้สังคมจะเปิดกว้างก็จริง แต่ก็ใช่ว่าจะยอมรับได้ทั้งหมด พ่อแม่บางคนยังคงไม่ชอบให้ลูกเป็นเกย์ เพื่อนฝูงยังรังเกียจไม่อยากคบด้วย การใช้ชีวิตในสังคมบางครั้งก็กลายเป็นเรื่องที่ยากอยู่เหมือนกัน”
คราวนี้คุณทรงพลเป็นฝ่ายตอบคำถามนั้นเสียเอง
“แล้วคุณทรงพลเคยเผชิญปัญหานั้นไหมคะ”
“อะไรหรือครับ”
ผมเห็นประกายตากล้าจากดวงตาของผู้สูงวัยเหมือนจะไม่พอใจคำถามละลาบละล้วง แต่เขากลับปฏิบัติตนต่ออรจิราอย่างสุภาพ
“เอ้อ .....อาจจะละลาบละล้วงไปหน่อย แต่ดิฉันคิดว่าคุณเองก็ไม่ต้องการปิดบังใครๆอยู่แล้ว”
“แน่นอนครับ ผมเป็นในสิ่งที่ผมต้องการเป็น แล้วก็ไม่ต้องการโกหกคนอื่นๆด้วย แต่ประเด็นของคุณที่ต้องการถามคืออะไรครับ”
คุณอนันต์ทำท่ากระแอมกระไอ เหมือนต้องการให้คนรักของตัวเองหยุดพูด แต่คุณทรงพลปรายตามาห้ามปราม ดูท่าทางเขานึกสนุกที่ได้ตอบคำถามของแม่พีอาร์สาวแสนสวย อรจิราสบตาของทรงพล แล้วก็กวาดตามองไปยังกลุ่มคนที่นั่งอยู่รายล้อมอยู่รอบตัว แล้วเธอก็ตัดสินใจถามออกมา
“คือดิฉันสงสัยว่า ตอนที่คนที่เป็นเกย์เกิดมา เราก็เกิดมาพร้อมเพศที่มีมาตั้งแต่แรก ชายเป็นชาย หญิงเป็นหญิง แล้วเมื่อโตขึ้นความรู้สึกนึกคิดเปลี่ยนไป ไม่ชอบผู้หญิงเหมือนเดิม แต่ชอบผู้ชาย แน่นอนคนรอบข้างย่อมรับไม่ได้ กรณีของคุณทรงพลละคะ พ่อแม่ยอมรับได้ไหม เพื่อนรอบข้างรังเกียจหรือเปล่า แล้วคุณทำตัวอย่างไรคะ”
“เฮ้อออออ”
มีเสียงถอนหายใจดังขึ้นจากศักดิ์ชาย ดุเหมือนว่าเพื่อนผมจะอึดอัดเมื่อได้ยินคำถามนี้จากปากอรจิรา สาวสวยของบริษัท
“แหม ถามลึกเหลือเกินนะครับอร คุณจะทำวิจัยหรือครับ”
เจ้าสันต์เพื่อนผม อดไม่ได้ เลยแซวขึ้นมา อดีตคนรักของผมมองเจ้าสันต์ตาขุ่น
“จริงด้วย หรือว่าเป็นกรณีศึกษาเพื่อที่จะทำประชาสัมพันธ์ให้กับผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัท กันครับ ว่าไง บริษัทเราจะรับประกันพวกรักร่วมเพศได้โดยไม่มีข้อแม้แล้วเหรอ อย่างนี้ผมก็สามารถส่งงานได้อีกหลายเคสนะสิ ถ้าไฟเขียวแบบนี้ ผมทำยอดได้ไปเที่ยวรอบโลกแน่”
นายสุริยะถามเจ้านายผมยิ้มๆ เรียกเสียงหัวเราะครืนจากคนที่นั่งอยุ่เกือบทั้งหมด ยกเว้นผมและอรจิรา ซึ่งยิ้มไม่ออก แม่คนรักของผมพยายามจะปั้นหน้าให้ดูเป็นปกติ แต่แววตาขุ่นเคืองที่คนรอบข้างหัวเราะเธอ ส่วนผมยิ้มไม่ออกเพราะสมองมันคอยจะย้อนคิดมาถึงตัวเอง นึกเปรียบเทียบสิ่งได้ยินได้ฟัง กับสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ พลางบอกกับตัวเองว่าผมไม่ใช่พวกเดียวกับพวกเขาแน่นอน
“เอาล่ะ ถ้าอยากรู้ผมก็จะตอบให้ฟังนะครับ ถือว่าแลกเปลี่ยนประสบการณ์เผื่อว่า พวกคุณฟังแล้วอาจจะได้ไอเดีย นำไปพัฒนาสินค้าตัวใหม่ ที่มีกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างพวกผม รับรองว่าขายได้แน่นอน จริงไหมคุณสุริยะ”
นายทรงพลหันมาถามผู้บริหารคู่ปรับเก่าของผม ด้วยใบหน้ายิ้มละไม
“จริงอย่างที่สุดครับ”
“อันที่จริงผมก็ไม่ได้คิดหรอกนะ ว่าผมจะเป็นโตขึ้นมาจะเป็นแบบนี้ ผมไม่ได้อยากผิดปกติ แต่ทำไงได้ ผมดันไม่ชอบผู้หญิงเสียแล้ว ดันรักชอบผู้ชายเต็มตัว พ่อแม่ก็ห้ามนะ ผมก็ปิดบังมาตลอด ในสมัยที่ผมเป็นหนุ่มอ่ะ การเป็นเกย์ ยังไม่ได้ยอมรับอย่างกว้างขวางเท่าไหร่ ผมก็ต้องแกล้งทำเป็นชอบผู้หญิง ทั้งๆที่ใจยอมรับไม่ได้ พ่อแม่ก็จับให้แต่งงาน ท้ายที่สุดก็ไปด้วยกันไม่ไหว โชคดีที่ไม่มีลูกด้วยกันนะ ไม่งั้นผมคงเสียใจมากกว่านี้”
ผู้สูงวัย รำลึกถึงความหลัง ใบหน้าขณะที่กำลังกล่าวถึงเรื่องอดีตที่ผ่านมา ไม่มีความเศร้าหมอง มีแต่รอยยิ้มระบายจางๆ เขาเหมือนคนที่เข้าใจโลกดี และเรียนรู้ที่จะยอมรับในทุกสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับตัวเขา
“หลังจากเลิกกัน ผมก็ใช้ชีวิตตามใจปรารถนา มีแฟนเป็นผู้ชาย แต่ก็ยังคงแอบซ่อนอยู่ กลัวว่าพ่อแม่จะรับไม่ได้ จนวันหนึ่งผมทนปิดต่อไปไม่ไหว ก็เปิดตัวขึ้นมา ตอนนั้นผมทะเลาะกับพ่อแม่ใหญ่โตเลยนะ ก็ถูกไล่ออกจากบ้าน ถูกตัดออกจากกองมรดก ผมก็มุมานะสร้างธุรกิจร้านเพชรของตนขึ้นมา จนสำเร็จ เวลาผ่านไป พ่อแม่แก่ลงมาก คงปลงกับเรื่องของผม แล้วลูกหลานคนอื่นๆ ก็สร้างความหนักใจให้ท่านไม่แพ้กัน ท่านเลยคิดว่า เรื่องของผมก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไร เลยยอมรับมากขึ้น ให้ผมไปบริหารร้านเพชรพลอยให้เหมือนเดิม ซึ่งผมก็ไม่ทำให้ทันผิดหวัง ท่าเลยปล่อยให้ผมทำอะไรตามใจตัวเองน่ะครับ ไม่ขัดขวางด่าว่าให้ช้ำในอีกต่อไป”
“เฮ้อ ดีจังเลยครับที่ได้ฟังแบบนี้ อยากให้พ่อแม่ผมมาได้ยินได้ฟังบ้างจัง”
สันต์พูดขึ้นมาบ้าง ท่าทางยินดีไปกับนายสุริยะด้วย
“แล้วเกย์ทุกคนอยากเปิดตัวแบบคุณทรงพลหรือเปล่าคะ”
“เฮ้ออออออ”
เสียงถอนหายใจดังมาจากศักดิ์ชายอีกครั้ง อรจิราหันไปเขวี้ยงค้อนใส่
“ไม่คิดว่าถามมากไปหรือครับอร แค่นี้ก็เป็นการรบกวนคุณทรงพลเพียงพอแล้ว ตามปกติ เราจะไม่ถามเรื่องส่วนตัวของคนที่เราเพิ่งรู้จักเขาเพียงแค่ครั้งแรกไม่ใช่เหรอครับ แล้วคุณทรงพลก็อยู่ในฐานะลูกค้าของเราด้วย”
อีกครั้งที่เจ้าสันต์เหลืออดจนต้องพูดออกมา
“พอได้แล้วละอร คุณทรงพลให้ข้อมูลที่ดีเยี่ยมกับพวกเรามามากแล้ว ขอโทษนะครับที่คุณอรละลาบละล้วงไปหน่อย เธอติดนิสัยพีอาร์มานะครับ ”
ผมพูดขึ้นบ้าง รู้สึกเกรงใจคุณทรงพลอย่างมาก ที่เขาถูกซักไซ้ไล่เลียงอย่างเสียมารยาท อรจิรามองผมอย่างโกรธที่ผมเองก็ขัดเธอเหมือนคนอื่น
“งั้นอรต้องขอโทษด้วยนะคะ อรแค่อยากรู้เท่านั้น เพราะบางทีอรก็ไม่รู้ว่าใครเป็นหรือไม่เป็นเกย์ อรวางตัวลำบาก ไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไรนะคะ ถ้าได้รู้ว่าใครเป็นใครตั้งแต่แรก จะได้ปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้องน่ะค่ะ”
“ผมไง เป็นเกย์ ผมกล้าแสดงออกไม่สนด้วย ว่าใครจะคิดอย่างไร ทีหลังถ้าอรอยากรู้ว่าเกย์คิดอย่างไร อรมาถามผมสิ ผมจะบอกให้ฟังอย่างหมดเปลือกเลย อย่าไปถามคุณทรงพลเลย ให้คุณทรงพลทานข้าวบ้างเถอะ ตอบอรจนไม่ได้กินข้าวกินปลาแล้ว”
สันต์ขัดจังหวะขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยคำพูดกึ่งแซวกึ่งจริงจัง พีอาร์สาวหน้าสวย มองสันต์อย่างจะกินเลือดกินเนื้อ แต่เพื่อนผมก็ส่งยิ้มให้อย่างท้าทาย
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมยินดีเปิดเผยข้อมูลของตัวเอง เพื่อให้คุณผู้หญิงท่านนี้คลายความสงสัย เธอจะได้รู้ว่า เกย์น่ะ ไม่ได้น่าเกลียดน่ากลัวเลยสักนิด เกย์ก็คือมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดา มีเลือดมีเนื้อ มีความคิด มีคนที่รัก มีสังคม รักเป็นเกลียดเป็น เพียงแต่รสนิยมทางเพศที่แตกต่างเท่านั้น หากเกย์ได้รับการยอมรับมากขึ้น เขาสามารถที่จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแบบคู่ผัวตัวเมียแบบคนทั่วไป โดยไม่มีใครรังเกียจเดียดฉันท์ ผมว่า คนเหล่านั้นก็ไม่ต้องหลอกลวงใคร ไม่ต้องหลอกลวงพ่อแม่ ไม่ต้องหลอกลวงเพื่อนฝูง ไม่ต้องหลอกลวงคนรัก ไม่ต้องแสร้งทำตัวเป็นชายแท้เพื่อให้สังคมยอมรับ และไม่ต้องไปแต่งงานกับผู้หญิง เพื่อให้คนหลงเชื่อว่าตัวเองไม่ผิดปกติ สามารถมีลูกเมียได้ ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว ผู้หญิงก็ไม่ถูกหลอก ไม่มีใครเสียใจ ลูกเกิดมาก็ไม่มีปมด้อย ไม่ต้องรังเกียจพ่อของตัวเองด้วยครับ”
คำพูดของนายทรงพล เล่นเอาทุกคนนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ สักพักเสียงปรบมือก็ดังขึ้นจากสันต์
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่7 8/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 08-01-2009 14:33:38
“ว้าว คำพูดของคุณทรงพล โดนใจผมมาก ผมชอบจริงๆครับ ที่คุณเป็นคนที่มีความคิดความอ่านน่านับถือจริงๆ”
เจ้าสันต์ยังปรบมือไม่ยอมหยุด
“อรสนใจตรงประเด็นที่ว่า ถ้าตัวเองเป็นเกย์ ก็ไม่ควรจะมาหลอกคนอื่นนะค่ะ ทำแบบนี้ มันไม่ยุติธรรมต่อผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อเสียจริงๆ พวกที่โกหกได้แม้กระทั่งตัวเองนี่น่ารังเกียจจังเลยนะคะ เป็นแล้วก็ยอมรับกับตัวเองก็สิ้นเรื่อง”
“บางคนเขาก็อาจจะมีความจำเป็นนี่ครับถึงได้ทำไปอย่างนั้น เขาอาจจะไม่ได้มีเจตนาจะหลอกผู้หญิงดีๆให้ช้ำใจหรอกครับ”
สันต์พูดสวนขึ้นมาทันควัน ผมรู้ว่าเจ้าสันต์กำลังแก้ต่างให้กับผม เพราะรู้ดีว่าอรจิราพูดแขวะผมโดยตรง
“แล้วในความคิดของคุณทรงพลล่ะค่ะ ตอนนี้ รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ชอบแบบไหนแล้ว คุณทรงพลยังคิดจะแต่งงานกับผู้หญิงเพื่อปกปิดความเป็นจริงอยู่อีกหรือเปล่า ยังคิดที่จะทำให้ผู้หญิงเสียใจอีกไหม”
คนที่เคยฉลาดอย่างอรจิรา กลับมาตกม้าตายด้วยคำถามสิ้นคิด ผมไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงฆ่าตัวตายด้วยคำพูดแบบนั้น แต่เมื่อเห็นหางตาที่เธอมองมายังผม ก็พอจะคาดเดาได้ว่า เธอกำลังฟาดฟันผมให้เจ็บปวด ด้วยการยิงคำถามใส่นายทรงพลอย่างต่อเนื่อง แสดงอาการอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเรื่องของเกย์เต็มที่ แม่คนรักของผมคงหวังที่จะได้ยินคำพูดบางคำที่เธอจะนำมันมาย้อนรอยต่อว่าผมในภายหลัง
นี่เธอคงเชื่ออย่างฝังใจเต็มที่ว่าผมเป็นเกย์อย่างแน่นอน ก่อนหน้านั้น เธอเคยหึงหวงผมกับเจ้าสันต์ ที่ผมมักจะไปไหนกับมันบ่อยยิ่งกว่าไปกับเธอ กอร์ปกับผมเองก็ยังไม่พร้อมที่จะใช้ชีวิตคู่ แม้เธอจะพูดเรื่องการแต่งงานบ่อยครั้งก็ตาม เนื่องจากผมเห็นว่าฐานะยังไม่มั่นคง มันทำให้เธอรอผมไม่ได้ เธอจึงหันไปคบกับคุณอนันต์แทน ยิ่งเธอได้มีโอกาสเห็นผมกับเดียร์ในวันนั้นอีก เธอก็เลยปักใจว่าผมนั่นเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ผมไม่ใช่ผู้ชายแท้ และเธอคงคิดว่าผมหลอกกินไข่แดงเธอไปฟรีๆ ไม่ยอมแต่งงานกับเธอเพราะผมเป็นเกย์ นี่จึงเป็นวิธีหนึ่งที่เธอจะได้แก้แค้นผม
คุณอนันต์เริ่มขยับตัวอย่างอึดอัด เมื่ออรจิราหลุดประโยคคำถามนั้นออกไป ถึงแม้ว่ามันจะเป็นคำพูดเรียบๆ ไม่ได้กระโชกโฮกฮาก อีกทั้งคนพูดก็ทำกริยาสุภาพขณะตั้งคำถามนั้น แต่เขาคงจะรู้สึกได้ว่าคนรักของเขาถามคำถามที่ค่อนข้างจะหมิ่นเหม่เหลือเกิน โดยเฉพาะคำถามนั้นเป็นคำถามที่เกี่ยวกับรสนิยมความชอบทางเพศ เป็นการถามเอากับลูกค้าที่ทำประกันไว้ในวงเงินที่สูงมาก ซึ่งถือได้ว่าเป็นคนสำคัญของบริษัทระดับวีไอพี
แน่ล่ะทุกคนรู้ว่าเขาเป็นเกย์ แล้วเขาก็ไม่ได้ปิดบังตัวเอง แถมยังใจดีเล่าให้ฟังถึงอดีตที่ผ่านมา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ทุกคนจะตั้งคำถามจาบจ้วงเอากับเขาได้ ผมมองว่า คราวนี้อรจิราทำตัวเอง เธอจงใจจะเล่นงานผมจนขาดสติ ทั้งๆที่ตอนแรกเธอก็ดูเหมือนจะยินดีด้วยซ้ำที่ผมจะได้เลื่อนตำแหน่งหน้าที่การงานใหม่ อาจจะเป็นเพราะประเด็นที่เราคุยกันที่ดันมาวกเข้าเรื่องเกย์มันสะกิดใจของเธออย่างแรง จนเธอทนไม่ไหว ต้องพูดในสิ่งที่เธอคิดและรู้สึกกับผมออกมา ผ่านทางการพูดคุยกัน
บางทีความรัก กับ ความแค้นที่สุมอยู่ภายในใจใครสักคน ก็อาจจะบั่นทอนสติปัญญาของเขา ความยับยั้งชั่งใจหดหาย และกระทำตัวเหมือนคนโง่บ้าไปได้
“คุณอรนี่ ถ้าหากผมไม่ได้รู้ว่ากำลังหมั้นหมายอยู่กับคุณอนันต์ ผมคงคิดว่า คุณอรเพิ่งจะถูกเกย์ทำให้อกหักเป็นแน่ เพราะแต่ละคำถามที่ถามมา มันชวนให้คิดได้อย่างเดียว ว่าคุณคงจะเคยเสียใจเพราะเกย์แน่นอน”
นายสุริยะพูดยิ้มๆ เหมือนหยอกเอินเล่นๆ แต่มันคงจะแทงใจดำของอรจิรา เพราะผมเห็นเธอนิ่งอึ้งไปชั่งขณะ ใบหน้าเปลี่ยนสี สักพักใบหน้าที่สวยงามนั้นก็เชิดขึ้นดังเดิม รอยยิ้มที่เธอพยายามฝืนให้มีชีวิตชีวาก็ปรากฏขึ้นที่ริมฝีปาก
“ไม่ค่ะ อรแค่อยากรู้ เผื่อว่าวันข้างหน้าจะเจอแบบนี้ จะได้เตรียมการได้”
“คงไม่มีโอกาสได้เจอหรอก เพราะคุณอนันต์เองก็ไม่มีทีท่าว่าเป็นเกย์นี่นา เอหรือว่าเป็น คุณไปทำอีท่าไหนเหรอ ถึงทำให้คุณอรกังวลได้ขนาดนี้”
เกย์หนุ่มผู้บริหารฝ่ายขายถามด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ คุณอนันต์หัวเราะตาม และโบกไม้โบกมือ ปฏิเสธเสียงลั่น
“เปล่านะครับ ถึงผมไม่ได้รังเกียจคนที่เป็นเกย์ แต่ผมก็ไม่ได้เป็นเกย์นะครับ ผมยังชอบผู้หญิงอยู่ กับอรนี่ ผมก็เร่งวันเร่งคืน ขอแต่งงานกับเธอ เธอก็ไม่ยอมใจอ่อนเสียที เธอยังสนุกอยู่กับงานน่ะครับ”
“โชคดีแล้วนะครับ ที่เจอคุณอร ผู้หญิงที่ทั้งสวย และเก่ง”
ผมเห็นรอยยิ้มเหยียดๆที่มุมปากนายสุริยะเมื่อเขาพูดประโยคนี้ ดูเหมือนเขาไม่ได้รู้สึกไปกับสิ่งที่เขาพูดเท่าไหร่ แต่อรจิราคงไม่ได้สังเกตเห็น เธอกำลังปลื้มกับคำชม
“เอาล่ะ มาสู่คำถามที่ว่านะ ที่คุณอรถามผม จำที่ผมพูดไปก่อนหน้านั้นได้ไหม ที่ผมบอกว่าผมน่ะรู้แน่แก่ใจแล้วว่าผมชอบอะไร ผมตั้งใจแล้วว่าจะไม่หวนกลับไปทำให้ผู้หญิงคนไหนเสียใจอีก ที่ผ่านมาผมผิดมากพอแล้ว ตอนนี้ผมได้เจอคนที่ผมรักมากคนหนึ่ง และผมคิดว่าจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับเขา ผมคิดว่าผมคงทำให้เขามีความสุขได้ แล้วเขาก็คงทำให้ผมมีความสุขได้เช่นกัน”
อุปาทานหรือเปล่าไม่ทราบ ผมเห็นนายทรงพล ปรายตาไปยังเด็กแซ่บแล้วทำหน้ายิ้มละไม ในขณะที่เด็กหนุ่มก็หันไปมองตอบ แล้วก็หน้าแดงก่ำ ผมรู้สึกเจ็บที่ต้นขา เมื่อชำเลืองมองด้วยหางตาไปยังจุดเกิดเหตุก็พบว่าเจ้าสันต์เกร็งมือข้างซ้ายของมันขยุ้มเนื้อตรงต้นขาของผมไว้เหมือนกำลังตื่นเต้นเมื่อได้รับรู้สิ่งที่น่าตกใจบางอย่าง ผมลอบมองใบหน้าด้านข้างของเจ้าสันต์แล้วตวัดสายตาอย่างรวดเร็วไปยังแซ่บที่นั่งตรงข้าม เห็นสองคนกำลังจ้องกันอยู่ สักพักก็เห็นแซ่บหลบสายตา

โดยไม่ต้องอธิบายกันให้มากความผมก็รู้แล้วว่า การปรากฏตัวของแซ่บในโต๊ะที่มีแต่ผู้บริหารระดับสูงมันหมายความว่าอย่างไร เจ้าเด็กแซ่บก็คือคนรักคนใหม่ของนายทรงพลนั่นเอง ผมไม่แปลกใจเลยที่เด็กนั่นจะเลือกชายผู้สูงวัยกว่าตัวเองตั้งเยอะ เนื่องจากเพื่อนของผมเองก็มีส่วนไม่ดีหลายข้อ ไม่ว่าจะเป็นความเจ้าชู้ของมัน ในขณะที่มันคบกับเด็กแซ่บมันก็ยังไม่เลิกติดต่อกับสองหนุ่ม แมน และแดนนี่ ความโลเลหลายใจของมันอาจจะทำให้เจ้าเด็กแซ่บเริ่มไม่แน่ใจที่จะใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วย
ผมไม่กล้าฟันธงลงไปว่า ฐานะที่มั่นคงกว่าของนายทรงพลจะเป็นสิ่งที่ทำให้แซ่บเปลี่ยนใจได้หรือเปล่า แต่สิ่งที่ผมรู้อย่างหนึ่งก็คือ เด็กแซ่บเอง ก็แสบสมชื่อไม่ใช่เล่น ถ้าจะว่าเจ้าสันต์เจ้าชู้ มั่วไม่เลือก แซ่บเองก็ไม่ใช่คนที่ซื่อสัตย์อะไร วันที่เขานัวเนียหวานชื่นกับนายสุริยะที่สวนจตุจักรเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้เป็นอย่างดี
อรจิราทำท่าจะซักไซ้ต่อ แต่คุณอนันต์เป็นฝ่ายเบี่ยงเบนประเด็นไปก่อน เขาสรุปด้วยการกล่าวขอบคุณนายทรงพลที่ให้ข้อมูลที่เปิดอก และทำให้พวกเรามีมุมมองที่แตกต่างไปจากเดิมในเรื่องของเกย์ ในวันข้างหน้าบริษัทเราอาจจะสามารถพิจารณารับประกันพวกรักร่วมเพศได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งคำพูดของเขาได้รับการเห็นด้วยจากเจ้านายผมเอง และคุณสุริยะซึ่งเป็นฝ่ายขาย จากนั้น ก็เริ่มเปิดประเด็นใหม่เป็นเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเมืองต่อ ซึ่งเรียกความสนใจให้กับคอการเมืองทั้งหลายได้วิพากษ์วิจารณ์กันเต็มที่ โดยมีเจ้าสันต์ เจ้านายผม และคุณสุริยะ เป็นตัวหลักในการพูดคุย
ผมนั่งฟังทุกคนพูด โดยออกเสียงน้อยที่สุด รู้สึกเบื่อที่ต้องมานั่งฟังพวกเขาคุยกัน และอึดอัดที่ต้องมานั่งมองอรจิรา คนรักเก่าคลอเคลียอยู่กับคุณอนันต์ไม่ยอมห่าง อยากกลับบ้านเต็มทน รู้สึกเป็นสุขเมื่อได้อยุ่ในพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง
อยู่ดีๆผมก็ดันคิดถึงเดียร์ขึ้นมา วันนี้เจ้าเด็กบ้านั่น จะมาที่บ้านผมหรือเปล่าหนอ จากการพูดคุยเมื่อตอนเช้า เห็นบอกว่า จะไปลุยซ้อมเต้นอย่างหนักในอาทิตย์หน้า แล้วช่วงนี้ล่ะ อีกตั้ง2-3 วัน กว่าจะถึงวันอาทิตย์ เด็กนั่นไปทำอะไรที่ไหน ร้านป้าก็ไม่ได้ไปทำแล้ว ซ้อมอาทิตย์หน้า แต่ทำไมถึงเริ่มหยุดตั้งแต่ตอนนี้ล่ะ ผมชักสงสัยเสียแล้วสิ
“เฮ้ย เหม่ออะไรวะ ไม่ได้ยินหรือไง ที่คุณทรงพลถาม”
เจ้าสันต์เป็นคนปลุกให้ผมตื่นจากภวังค์ ผมหันมาหาคุณทรงพล ก็เห็นเขายิ้มให้ผมอยู่แล้ว
“ใจลอยคิดถึงใครอยู่เหรอ คุณเรียว คิดถึงแฟนหรือไง”
“เปล่าครับ”
ผมปฏิเสธ คนที่ผมกำลังคิดถึงอยู่ ไม่ใช่แฟนผม เป็นเพียงแค่เด็กบ้าๆคนหนึ่งที่เข้ามาทำให้ชีวิตผมมีแต่ความวุ่นวายต่างหาก ผู้ชายด้วยกันจะยอมรับเป็นแฟนได้ไง
“ผมถามคุณว่า คุณมีแฟนหรือยัง แต่จากอาการเหม่อเมื่อครู่ ทำให้ผมได้คำตอบแล้วละครับ ว่าคุณคงจะมีคนรักอยู่แล้วแน่นอน”
“เอ๊........ทำไมถึงคิดอย่างนั้นละครับ เห็นแค่นี้ก็ทำนายได้เลยเหรอ”
ผมถามเขาอย่างงงๆ ไม่เชื่อว่าเขาจะสามารถเดาใจผมได้ถูก
“ก็ไม่เชิงหรอก แค่ดูหลายอย่างประกอบกันน่ะ คุณเรียวเป็นคนหน้าตาดี และเป็นคนเก่ง แน่นอนว่าเป็นบุคลิกของหนุ่มในฝันของผู้หญิงหลายคน หน้าหล่อแบบหวานๆอย่างนี้ ผมเพิ่มให้ด้วยว่าไม่ใช่เฉพาะสาวๆเท่านั้น อาจจะมีพวกชายไม่แท้ปะปนมาหลงชอบคุณอยู่ด้วย ดังนั้นคุณก็น่าจะมีใครสักคนอยู่บ้างแล้ว เมื่อกี้ตอนที่คุณเหม่อ ผมสังเกตเห็นใบหน้าคุณเดี๋ยวก็มีรอยยิ้ม เดี๋ยวคิ้วก็ขมวด คงอาจจะกำลังนึกถึงเรื่องบางเรื่องที่ทำให้ทั้งมีความสุข ทั้งไม่สบายใจไปพร้อมกัน ถ้าไม่ใช่เรื่องงานก็ต้องเป็นเรื่องของคนรักน่ะครับ”
ผมลูบคลำใบหน้าตัวเอง นี่ผมแสดงสีหน้าจนคนจับได้ขนาดนั้นเลยเหรอ
“คุณทรงพลคิดว่า คุณเรียวนี่ สเปคเกย์หรือคะ”
พอได้ช่อง แม่คนรักของผมก็หาทางเล่นงานผมทันที
“ผมเพียงแต่พูดว่า คุณเรียวน่าตาดี น่าจะเป็นที่หมายปองของหญิงแท้ และชายเทียมครับ หรือคุณอรจิราไม่เห็นด้วยละครับ บอกตรงๆว่าผมเองยังชอบมองเลย นี่ถ้าผมไม่มีคนที่ผมรักอยู่แล้ว ผมอาจจะจีบคุณเรียวก็ได้ อยากได้คนหล่อๆเก่งๆมาช่วยดูแลร้านจิลเวอรี่ของผมน่ะครับ”
คำตอบของทรงพลเล่นเอาทุกคนเฮ แล้วหันมามองจ้องผมเป็นตาเดียว
“จริงด้วยครับ ผมน่ะรับรู้ว่าคุณเรียวเป็นคนที่หน้าตาหล่อ แต่พอมองใกล้ๆแบบนี้ก็เพิ่งเห็นว่าคุณเรียวนะหน้าหวานมาก ปากก็แดงๆ เวลาอายๆแก้มก็แดงด้วย โหเพิ่งจะรู้ว่าหน้าตาแบบที่พวกเกย์ชอบกัน เป็นอย่างนี้นี่เอง”
คุณอนันต์พูดติดตลกเพื่อสร้างความครื้นเครง มากกว่าที่จะพูดให้ผมอับอาย แต่ยิ่งพูดยิ่งทำให้ผมรู้สึกร้อนวาบตามใบหน้าและเนื้อตัว ไม่ได้พึงใจกับคำชมนั้นเท่าไหร่ ทำไมจะต้องมาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องหน้าตาของผมกันนักนะ บอกแค่ว่าหล่อยังพอรับได้ แต่พูดว่าสเปคเกย์นี่ รู้สึกว่าเกินทนจริงๆ
“แต่ถึงจะหล่อแบบนี้ ก็ไม่มีแฟนหรอกครับ เพื่อนผมอ่ะ มันเข็ดเรื่องความรักไปแล้ว รักผู้หญิงเขาก็ไม่สนนะครับ”
เจ้าสันต์พูดแก้ต่างให้ผม มันคงเห็นว่าผมกำลังอึดอัดอยู่ที่ทุกคนพุ่งประเด็นความสนใจว่าผมหล่อถูกใจเกย์ มันเลยพยายามให้ใครเข้าใจไปอย่างอื่น แต่ไม่ช่วยดีกว่าไหม เพราะกลายเป็นว่าทุกคนกลับให้ความสนใจผมหนักขึ้นไปอีก
“อ้าวจริงหรือนี่ ใครกันหนอที่เมินคนหน้าตาดีๆอย่างคุณเรียวไปได้”
คุณอนันต์ร้องถามอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว ผมอยากจะร้องไห้ออกมาเสียจริง นึกโกรธไอ้เพื่อนเวรที่ยุ่งไม่เข้าเรื่อง แล้วพาลไปโกรธศัตรูหัวใจของผมด้วย
“เดี๋ยวนี้หล่อแต่ไม่รวย ผู้หญิงก็ไม่สนนะครับ”
เจ้าสันต์ถือโอกาสว่าอรจิรา แต่คนรักเก่าของผมก็ไม่ยอมแพ้
“เดี๋ยวนี้หล่อแล้วเป็นเกย์ก็เยอะนะคะ หล่อ แต่ไม่รวย แถมเป็นเกย์ ผู้หญิงคงไม่เลือกหรอกค่ะ หรือถ้าจะเลือกก็คงจะเก็บไว้เป็นตัวเลือกท้ายๆนั่นแหละ อันนี้ไม่ได้ว่าคุณเรียวนะคะ เพราะคุณเรียวคงไม่ได้เป็นเกย์ แต่แค่พูดให้ฟังในฐานะผู้หญิงว่า ทำไมถึงเปลี่ยนใจมีคนใหม่”
“อื้อม คุยกับพวกคุณนี่น่าสนุกดีนะครับ เดี๋ยววันหลังผมเชิญพวกคุณไปทานข้าวบ้านผมกันดีกว่า ไปกันทุกคนเลยนะ ผมชอบคุยกับคนเยอะๆ ได้ความรู้มากมายครับ”
นายทรงพลยุติการสนทนาเรื่องนี้ด้วยการเชิญชวนให้ทุกคนไปเที่ยวบ้านเขา จังหวะหนึ่งผมมองไปที่ทรงพลก็เห็นเขามองผมอยู่ก่อนแล้ว ใบหน้ายิ้มละไม แต่ดวงตาที่จ้องมา เปล่งประกายความหมายลึกล้ำ ผมว่าเขาฉลาดมาก และคงเดาเรื่องออกว่า อรจิรากับผมอาจจะมีเรื่องบาดหมางอะไรกันบางอย่าง แต่แสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขี้นเพื่อรักษาภาพต่อหน้าคนอี่น ผมมองสบตาเขาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่มีความจำเป็นใดๆที่ผมจะต้องให้เขารู้เรื่องนี้
และแล้วอาหารมื้อนั้นก็สิ้นสุดลง โดยที่แขกผู้มีความสำคัญไม่สามารถเดินทางมาร่วมด้วยได้ เนื่องจากติดภารกิจสำคัญ พวกเราเลยไม่ต้องรอเขา มีสิ่งที่ทำให้ผมกระอักกระอ่วนใจเกิดขึ้น เมื่อเราทานข้าวกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เตรียมจะแยกย้ายกันกลับ นายทรงพล ก็ได้มอบของขวัญให้ผมชุดหนึ่ง เป็นกระดุมเสื้อ และ กระดุมข้อมือทองคำฝังเพชรใช้สำหรับเสื้อสูท ซึ่งทำจากร้านของเขา ผมปฏิเสธไม่ยอมรับ รู้สึกเหมือนว่าของเหล่านี้เหมือนสินจ้างรางวัลหรือสินบนที่ผมทำในสิ่งที่เขาต้องการ ผมไม่อยากได้ของที่ไม่อยู่ในวิสัยที่ผมควรจะได้ ในเมื่อผมทำงานอย่างตรงไปตรงมา ผมก็ไม่ควรจะแอบอ้างเอาของขวัญของชำร่วยจากใคร คำปฏิเสธของผม ทำให้ผมถูกมองด้วยสายตาที่แตกต่างกันออกไป คุณอนันต์มองผมด้วยสายตาชื่นชม เจ้าสันต์มองอย่างเสียดาย แต่อรจิรากลับมองผมด้วยสายตาที่บอกให้รู้ว่าผมกำลังเล่นตัว งี่เง่าไม่เข้าเรื่อง
“รับไปเถอะ แล้วอย่าคิดมากว่าเป็นสินจ้างรางวัลอะไรที่คุณช่วยทำให้ผมสามารถทำประกันกับบริษัทคุณได้ บอกได้เลยว่าผมมีประกันเยอะแยะ และไม่มีความหมายเลยถ้าบริษัทคุณจะไม่ยอมรับ มีที่อื่นที่พร้อมจะทำให้ผม แต่ที่ผมให้คุณ ถือว่าเป็นของขวัญที่เราได้รู้จักกัน ผมชอบความเที่ยงธรรมตรงไปตรงมาของคุณ ให้ก็บอกให้ ไม่ให้ก็บอกไม่ให้ มันอ้ำอึ้ง อ้อมค้อม นิสัยข้อนี้ของคุณเป็นข้อดี ที่ควรจะสนับสนุนให้มีต่อไป เอาเป็นว่า รับไว้เพื่อเห็นแก่มิตรภาพของพวกเราเถอะครับ”
ผมทำท่าจะปฏิเสธอีก แต่หัวหน้าผมเอาศอกกระทุ้งที่สีข้าง ทำให้ผมต้องจำใจยื่นมือออกไปรับและกล่าวขอบคุณเขา นายทรงพลยิ้มและยื่นมือออกมาให้ผมจับ ผมจึงยื่นมือออกไป เราจับมือกัน เขาบีบมือผมไว้นานกว่าจะปล่อยออก ผมรู้สึกสยดสยองในใจยังไงไม่รู้ เมื่อเห็นสายตาเชื่อมๆที่มองมาจากลูกค้าผู้สูงวัยคนนี้
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่7 8/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 08-01-2009 14:39:35
 :-[ ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะฮะ
+1 ให้ทุกคนเลย :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่7 8/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 08-01-2009 15:38:36
+1 ให้ไต๋

โทษฐานขยันอัพมากๆ  ช๊อบ ชอบ แหะๆ

ตอน 7 นี่สนุกจัง ดุเดือด เลือดพ่าน (เวอร์ไปม้างงงงงงงงงงเนี่ย 55+)

แต่แอบคิดถึงเดียร์ นะเนี่ย
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่7 8/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 08-01-2009 17:29:55
+1ให้คนโพส

เดียร์เริ่มมีคู่แข่ง ลุ้นๆ

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่7 8/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: Ak@tsuKII ที่ 08-01-2009 18:14:31
เบื๊อ  เบื่อ  ยัยอรมากๆๆๆๆเลย   :beat:


อยากให้คุณอนันต์  เป็นเกย์  รึไม่ก็ทิ้งชีไปเลย    :z6: 


 :pig4:พี่ไต๋คับโผมมมมมมมมม
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่7 8/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: nanalonely ที่ 08-01-2009 22:43:07
อ่านสามตอนรวด

แต่ยังไม่จุใจเลยอ่ะ

ขออีกเยอะๆน๊าพี่แอน

ปอลอ เดียร์น่าร๊ากกกกกกก :-[
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่7 8/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: YO DEA ที่ 08-01-2009 23:04:14
 :กอด1:


น่าร้ากกกกกกกก
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่7 8/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: the_pooh9 ที่ 09-01-2009 01:15:57
อ่านสามตอนรวด

แต่ยังไม่จุใจเลยอ่ะ

ขออีกเยอะๆน๊าพี่แอน

ปอลอ เดียร์น่าร๊ากกกกกกก :-[

อ้ะๆๆ ว่าแล้วทำไมวันนี้มะอัพ แอบมาวิ่งเล่นอยู่นี่เอง จับได้แล้วๆ กลับบ้านด่วนเลยนะนู๋แนน :a11: :เฮ้อ:

ป.ล.+1 :pig4: เดียร์น่ารักยกกำลัง3
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่8 9/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 09-01-2009 13:29:29
บทที่ 8

“ตาลุงทรงพลทำท่าแปลกๆ ว่ามั๊ย เหมือนเขาจะจีบๆเรียวยังไงไม่รู้”
ศักดิ์ชายเอ่ยขึ้น ขณะขับรถพาพวกเรามาส่งที่บริษัทตามเดิม หลังจากทานอาหารค่ำมื้อนั้นเสร็จเรียบร้อย ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันกับ ผมกับเจ้าสันต์ซึ่งนั่งรถมากับศักดิ์ชายเลยต้องติดรถมาลงที่หน้าบริษัท เพื่อเอารถที่จอดทิ้งไว้
“แปลกยังไง ฉันว่าเขานิสัยดีออก ท่าทางจะชอบนายเรียวของเราอยู่ไม่น้อย
เจ้าสันต์หันมาลิ่วตาล้อเลียนผมทางด้านหลัง วันนี้เจ้าสันต์ทำตัวเป็นไม้กันหมา มันนั่งข้างหน้ากับศักดิ์ชายทั้งไปและกลับ เหมือนมันไม่ค่อยไว้ใจศักดิ์ชายยังไงไม่รู้
“นั่นแหละเห็นแล้วอยากจะอ้วก ตอนให้ของเรียว ทำตาหวานใส่ซะจนเอียน แก่แล้วยังจะตัณหากลับอีก เห็นหนุ่มหน้าหวานๆหน่อยไม่ได้ เรียวเองก็หน้าตาดีซะจนคนพวกนี้แทบคลั่ง นี่ถ้าตาแก่นั่นไม่บอกว่ามันมีแฟนแล้วนะ มันคงจ้องจะงาบเรียวเป็นแน่”
ศักดิ์ชายพูดอย่างโมโหโกรธา จนผมเองยังนึกงง เจ้าสันต์เอี้ยวตัวมามองผม แล้วยักไหล่ เมื่อเห็นผมทำหน้าเหวอๆ
“มันเป็นความผิดของฉันหรือวะ ที่หน้าตาแบบนี้ ฉันควรจะดีใจไหมเนี่ย ถ้าเป็นสาวๆมาชื่นชม ฉันจะปลื้มมากกว่าอีก”
“นั่นสิ ไอ้เรียวมันก็หน้าตาหล่อของมันแบบนี้มาตั้งแต่เกิด จะไปว่ามันก็ไม่ได้ ต้องไปโทษพ่อแม่มันโน่น ที่ทำไมไม่ให้กำเนิดลูกหน้าตาขี้เหร่แบบนายกับฉัน จะได้ไม่ต้องมีคนมาตอมมันหึ่งอย่างนี้ แต่ฉันก็ไม่เข้าใจว่า แกจะไปเดือดร้อนอะไรกับมันนักหนาวะเจ้าศักดิ์ชาย แกทำเป็นเดือดเป็นแค้นเสียจนฉันนึกว่าแกหึงหวงมันซะอีก”
“เฮ้ย…..”
ผมกับศักดิ์ชายร้องขึ้นพร้อมกัน
“คิดได้ไงวะ ฉันไม่เคยคิดอย่างนั้นกับเจ้าเรียวมันเลยนะเว้ย เรียวอย่าไปฟังไอ้สันต์ มันบ้าไปแล้ว มาคิดได้ไงว่าฉันหวงนายเรียว ฉันมีเมียและลูกแล้วโว้ยยย”
ศักดิ์ชายเถียงเจ้าสันต์เสียงสั่น ท่าทางตื่นเต้น เหมือนคนที่แก้ตัวเวลาถูกจับได้ว่าทำผิด
“อ้าว ก็จะรู้ได้ไงวะ ก็เห็นโวยวายลั่นรถ เรียวมันเป็นฝ่ายถูกกระทำ มันยังไม่เห็นพูดไรเลย มีแต่นายที่นะแหละที่แสดงอาการออกมากกว่าใครอื่น”
“ก็ฉันอดโมโหแทนเรียวมันไม่ได้นี่หว่า”
“เฮ้ย พอทีเถอะ...”
ผมรีบตัดบทเมื่อเห็นเจ้าสันต์จะขยับปากโต้ตอบ ไม่อยากให้พวกมันทะเลาะกันต่อหน้าต่อตาผมด้วยเรื่องของตัวผมเอง แถมซ้ำประเด็นเกี่ยวข้องกับการที่เกย์มาชอบผมอีกด้วย
“จะทะเลาะอะไรกันนักหนาวะ บางทีนายทรงพลอาจจะไม่คิดอะไรมากก็ได้ พวกแกต่างหากที่คิดกันไปใหญ่โต ไร้สาระสิ้นดีว่ะ”
“เออออออ...ขอให้มันจริงทีเถอะเพื่อน ถ้าหากนายทรงพลมาเทียวไร้เทียวขื่อแกอีก ก็แสดงว่าเขาชอบแกแน่นอน แล้วจะมาหาว่าฉันไม่เตือนไม่ได้นะโว้ยยยย”
ศักดิ์ชายทำเสียงงอนๆ แต่ผมขี้เกียจง้อมัน ไอ้เพื่อนบ้า หาสิ่งดีๆมาให้หน่อยก็ไม่ได้ ทำไมต้องมาเอาผมไปโยงกับเรื่องเกย์ด้วยวะ แค่นี้ผมก็เครียดจะตายอยู่แล้ว
“แล้วนี่ยัยอรนั่น เป็นอะไรมากไหมเนี่ย อยู่ดีๆก็ตั้งคำถามแบบนี้ขึ้นมา เหลือเชื่อเลย ในหัวสวยๆนั่น ไม่มีมันสมองดีๆเหลืออยู่หรือไงวะ เมื่อก่อนนี้เห็นว่าทั้งสวย ทั้งขยันขันแข็ง แต่ไม่นึกว่าจะงี่เง่าได้ขนาดนี้ ใครหลงชอบหล่อนเข้าไปได้กันวะนี่ อยู่ดีๆก็ไปถามแบบนั้นได้ไง เขาเป็นลูกค้าด้วย นี่ถ้าเขาโกรธไม่ทำประกันกับบริษัทเรา แล้วเอาบริษัทไปนินทาว่าพนักงานบริษัทนี้ไร้มารยาทจะทำไง อยู่ประชาสัมพันธ์แท้ๆ แทนที่จะรักษาภาพจน์ให้บริษัท กลับมาทำความเสียหายให้เสียเอง เหลือเชื่อเลยยัยนี่”
เจ้าศักดิ์ชายยังไม่เลิกบ่น คราวนี้พื่อนเก่าผมมันเปลี่ยนเป้าหมายไปที่อรจิรา ศักดิชายพ่นคำพูดเป็นชุด ทำเอา เจ้าสันต์ หัวเราะก๊าก แต่ผมนั่งเซ็ง
“หัวเราะอะไรวะ”
เพื่อนสมัยเรียนของผมถามเจ้าสันต์อย่างโกรธๆที่อยู่ดีๆก็ไปหัวเราะคำพูดของมัน
“ก็นายน่ะสิ ว่าเขาฉอดๆ นายไปเดือดร้อนไรด้วย ทำเหมือนว่าเขาว่าตัวเองงั้นแหละ เป็นเกย์เหรอ ขนาดฉันยังไม่โกรธมากแบบนายเลย”
เจ้าสันต์อดแหย่ศักดิ์ชายไม่ได้ เพื่อนเก่าของผมนิ่งไปชั่วครู่ แล้วมันก็เถียงขึ้นมาอย่างไม่ยอมแพ้
“ถึงฉันไม่ได้เป็นเกย์แบบนาย แต่ฉันก็ไม่ชอบที่ยัยนั่นพูด ดูสิ ไม่มีมารยาทเลย ไปถามคนที่เป็นเกย์ ว่ารู้สึกอย่างไร คิดยังไงถึงเป็นเกย์ พ่อแม่พี่น้องไม่ว่าเอาเหรอ แล้วคิดจะหลอกผู้หญิงมาแต่งงานไหม ดูสิดู ทำไปได้ ยัยนี่ถ้าไม่บ้าก็โง่แล้ว สงสัยเป็นอย่างที่นายสุริยะนั่นว่าแน่ ยัยอรนี่ต้องถูกเกย์หักอกมาแน่ๆ ว่าแต่ใครวะที่หักอกเขา คนในบริษัทเราหรือเปล่า นายพอจะรู้ไหม”
ศํกดิ์ชายถามเจ้าสันต์อย่างอยากรู้อยากเห็น แต่เจ้าสันต์ไม่ตอบกลับหัวเราะลงลูกคออย่างชอบอกชอบใจ พลางเอี้ยวตัวมายักคิ้วให้ผมแล้วยิ้มยั่ว
“นายอยากรู้ไปทำไมวะศักดิ์ชาย”
ผมถามเพื่อนเก่าขึ้นมา สงสัยว่ามันต้องการรู้ไปทำไม ในเมื่อไม่เห็นว่าจะมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับมันสักหน่อย
“อ้าว ก็ถ้ายัยนี่ถูกเกย์คนไหนอกหักจริงๆ ฉันจะได้ไปขอบคุณเกย์คนนั้น เรื่องที่เขาสามารถทำให้แม่สาวสวยของบริษัทผู้แสนเหย่อหยิ่งอกหักจนได้”
“บางทีแม่นี่อาจจะเป็นฝ่ายทำให้คนๆนั้นอกหัก มากกว่าจะเป็นฝ่ายถูกทิ้งนะ ป่านนี้ ผู้ชายที่ถูกทิ้งคนนั้น อาจจะทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสอยู่ก็ได้”
เจ้าสันต์พูดยิ้มๆ พลางปรายตามาทางข้างหลัง ผมขึงตาใส่มันเริ่มโกรธที่มันขุดคุ้ยเรื่องที่มันควรจะจบแล้วขึ้นมาอีก เจ้าสันต์ยักไหล่อย่างคนที่ไม่ใส่ใจอะไรอีกครั้ง
“เฮ้ย ผู้หญิงน่ารังเกียจแบบนั้นน่ะเหรอ ที่จะสามารถทำให้ผู้ชายอกหักได้ ใครหนอที่โง่ไปชอบแม่นี่ ตาคงบอดและพิการทางปัญญาซ้ำซ้อนจริงๆ ดูก็รู้ว่าแม่นี่อ่ะนิสัยไม่ได้ดีตามหน้าตาหรอก ร้ายกาจจะตาย แต่จะว่าไปแล้วก็ดีเหมือนกัน ถ้าเขาหักอกผู้ชายดีๆคนนั้นนะ ผู้ชายคนนั้นอาจจะได้หูตาสว่างซะที ป่านนี้คงจะเข็ดขยาดผู้หญิงจนกลายเป็นเกย์ไปแล้วมั๊ง”
เหมือนมีลูกศรที่ถูกยิงออกมาจากคันธนูแล้ววิ่งผ่านอากาศมาปักลงตรงเป้าหมายที่กลางใจผม ไม่ใช่ดอกเดียว แต่หากเป็นหลายร้อยหลายพันดอกที่ทิ่มแทงให้ผมเจ็บปวด สิ่งที่ศักดิ์ชายพูดไปโดยไม่คิด เพราะเขาไม่รู้ว่าผมกับอรจิราเคยเป็นแฟนกันมาก่อน มันทำให้ผมรู้สึกแปลบเข้าไปในอก
บาดแผลจากการเลิกรากันระหว่างผมกับอรจิรา ยังไม่หนักหนาสาหัสเท่ากับรอยแผลใหม่ที่เกิดขึ้น ทำไมนะ ผู้ชายที่ผิดหวังจากผู้หญิง ทำไมจะต้องกลายเป็นเกย์ด้วย ผมไม่เข้าใจเลย คนทั่วไปเขาคิดกันอย่างนี้เหรอ หรือเพราะว่าไอ้พวกนี้มันเป็นเกย์ มันเลยคิดว่าบทสรุปของผู้ชายที่อกหักต้องเป็นเกย์เสมอไป
เจ้าสันต์หัวเราะก๊าก มันคงขำคำพูดของเจ้าสันต์ที่พร่ำออกมาอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว ส่วนผมก็ได้แต่นั่งทำหน้าเรียบเฉย ถึงจะรู้สึกไม่พอใจเจ้าสันต์แต่ก็แสดงออกมาให้ใครรู้ไม่ได้ ผมต้องการจบเรื่องนี้และลืมเรื่องราวทุกสิ่งทุกอย่างระหว่างผมและอรจิราให้หมดสิ้น ไม่ต้องคิดถึง ไม่ต้องทนเจ็บปวดกันอีกต่อไป
“นายนี่เป็นเอามากเลยนะศักดิ์ชาย ฉันไม่เข้าใจว่านายจะไปเกลียดเขาทำไมกัน เขาก็แค่แสดงความคิดเห็นเท่านั้นเอง ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่มีใครชอบเกย์หรอกว่ะ เพราะเขาคิดว่าเกย์มาแย่งคนรักของเขาไป นายเป็นผู้ชายแท้ๆ นายน่าจะเห็นด้วยกับยัยอรจิราด้วยซ้ำ ผู้ชายแท้ๆก็เกลียดเกย์ไม่ใช่หรือวะ”
คราวนี้เจ้าสันต์ยิงคำถามเอากับศักดิ์ชายตรงๆ ความเงียบเข้ามาปกคลุมชั่วขณะที่เพื่อนเก่าของผมอ้ำอึ้งไม่ตอบโต้ ผมไม่รู้ว่าคำพูดของเจ้าสันต์กระทบความรู้สึกของศักดิ์ชายมากน้อยแค่ไหน แต่มันก็คงจะมีผลมากพอที่จะทำให้คนขี้บ่นอย่างมันหุบปากเงียบได้
จนกระทั่งรถของศักดิ์ชายแล่นเข้ามาจอดตรงหน้าบริษัท ก่อนที่ผมกับเจ้าสันต์จะลงจากรถ เพื่อนเก่าของผมจึงได้เปิดปากขึ้น ท่าทางของมันดูจริงจังขณะพูด
“ใช่ ฉันเป็นผู้ชายแท้ๆ แต่ฉันก็ไม่ได้เกลียดเกย์เลย ฉันเข้าใจความรู้สึกของอรจิรา แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็ไม่ชอบให้แม่นั่น วิพากษ์วิจารณ์อย่างเกลียดชัง เหมือนว่าพวกกระเทยพวกเกยเป็นพวกวิปริตผิดมนุษย์มนา แล้วนายไม่คิดหรือว่า คำพูดที่แม่นั่นพูดมันเกินไปจริงๆ”
ท้ายประโยคศักดิชายหันมาตั้งคำถามผมกับเจ้าสันต์
“ฉันคิดว่ามันก็แรงไปนะ แต่ช่างเถอะ อย่าไปใส่ใจอะไรเลย อรเขาก็เป็นคนแบบนี้ หวาดระแวง และคิดมาก เขาอาจจะพูดอะไรออกไปโดยไม่คิด แต่เดี๋ยวพอเขานึกได้ ก็จะรู้เองแหละว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นมันมีผลเสียอย่างไร นายควรจะดูเจ้าสันต์เป็นตัวอย่างนะ กับเรื่องนี้ มันยังไม่เดือดร้อนเลย ทั้งๆที่มันเป็นเกย์ แล้วนายจะมาเดือดร้อนด้วยทำไม ฉันก็ไม่ได้เกลียดเกย์เหมือนนาย แต่ฉันก็ไม่อยากยุ่งกับเรื่องนี้สักเท่าไหร่ นายก็อย่าไปคิดแทนพวกเขาเลย”
ผมตอบศักดิ์ชายไป เพราะเห็นว่าเจ้าสันต์นิ่งเฉยๆไม่พูดว่าอะไร มันคงขี้เกียจพูด เพราะได้โต้เถียงกับเพื่อนเก่าของผมไปมากแล้ว ขณะที่ผมเปิดประตูเตรียมจะลงจากรถ ศักดิ์ชายก็พูดกับผมในประโยคที่เล่นเอาผมถึงกับอึ้ง
“นายไม่เกลียดคนที่เป็นเกย์จริงๆเหรอ ฉันดีใจมากเลยที่ได้ยินคำพูดแบบนี้จากปากนาย เรียว นายนี่นอกจากจะหน้าตาดีแล้ว ยังจิตใจงดงามอีกด้วย ฉันภูมิใจในตัวนายมากจริงๆ นี่ถ้าเกย์คนไหนมาได้ยินนายพูด คงรักนายมากน่าดูเลย”
“......”
“เฮ้ย พอๆๆๆ อย่าชมเสียเว่อร์ เรียวน่ะ มันก็ไม่เคยเกลียดเกย์ตั้งแต่แรกแล้ว ถ้าเกลียดแล้วมันจะมาคบฉันทำไม นายเป็นเพื่อนกันมาตั้งนาน ก็น่าจะรู้ว่าไอ้เรียวมันใจดี ใจอ่อน มันไม่ค่อยเกลียดใครเลยด้วยซ้ำ แล้วนี่ ฉันก็ไม่ได้รักเจ้าเรียวมากมายกว่าที่เคยรักมัน มันเป็นเพื่อนที่ดี มันไม่เกลียดเกย์ ฉันชอบมันตรงนี้ แต่ไม่ได้รักมากขึ้นอย่างที่นายพูดหรอกว่ะ จริงอยู่มันหล่อ มันแสนดี แต่ก็เป็นได้แค่เพื่อนเท่านั้นโว้ย แต่ถ้ามันเปลี่ยนใจมาเป็นเกย์สิ ฉันอาจจะพิจารณามันดู อาจจะจีบมันตั้งแต่แรกๆ ไม่ต้องมานั่งเก็กแมนหรอกโว้ย เดี๋ยวหมาคาบไปกิน มันยิ่งน่ารักอยู่ด้วย”
เจ้าสันต์พูดซะเสียงดัง มันคงหมั่นไส้ศักดิ์ชายเสียเต็มประดาที่ทำเหมือนกับผมได้หลุดคำพูดศักดิ์สิทธิ์ออกไป แถมมันยังแอบกัดศักดิ์ชายอีกต่างหาก ที่ผมรู้เพราะผมคบกับมันมานาน รู้ว่าถ้ามันไม่ชอบคนไหน แล้วคนๆนั้นมาพูดจาขัดหูขัดใจมัน เจ้าสันต์ก็อดไม่ได้ที่จะแขวะกลับจนเหวอะ ยิ่งเป็นศักดิ์ชาย คนที่มันปักใจเชื่อ 100 % ว่าเป็นเกย์เก็กแมนมันยิ่งหาโอกาสในการกัดอยู่เรื่อยๆ แล้วศักดิ์ชายก็ช่างเป็นเหยื่อให้เจ้าสันต์ขบเอาเสียจริงๆ
“ไอ้บ้าเอ๊ย นายทำงั้นไม่ได้หรอก จะมาจีบเพื่อนได้ไงฟะ ไม่ดีนะโว้ย”
ศักดิ์ชายร้องห้ามเสียงหลง
“เออ ก็ใช่นะสิ จีบเพื่อนรักน่ะ ไม่ดีหรอก นี่ฉันก็เกือบรักมันให้แล้ว หน้าตาไอ้เรียวยิ่งหล่อได้ใจอยู่ด้วย ถ้านายไม่พูดฉันจีบมันไปแล้ว เฮ้อ อย่าเป็นห่วงเลย ฉันจะจำคำพูดนายไว้ ว่าถ้าเอาเพื่อนเป็นแฟนมันจะไม่ดี เดี๋ยวมันจะเสียทั้งแฟน และเสียทั้งเพื่อน ขอบใจนะที่เตือน ไปล่ะ ไอ้เรียวอ่ะ ไปหรือยังวะ”
เจ้าสันต์พูดจบก็เปิดประตูลงจากรถ พลางร้องเรียกให้ผมลงไปด้วย ผมหันไปกล่าวลาศักดิ์ชายซึ่งทำหน้าเหมือนอยากจะพูดคุยกับผมต่อแต่กริ่งเกรงที่จะพูดออกมา ผมยิ้มให้มันแล้วเปิดประตูก้าวลงจากรถ ตอนที่ผมปิดประตู ผมเหลือบเห็นศักดิ์ชายมองตามผม ท่าทางอาลัยอาวรณ์ ผมรู้สึกขนลุกเกรียว
ทำไมเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ต้องมองผมด้วยสายตาแบบนั้นนะ ที่ผ่านมามันเคยส่งสายตาแบบนี้ให้ผมบ้างหรือเปล่า ผมจำไม่ค่อยได้เลย บางทีความที่เราเป็นเพื่อนกัน ผมเลยไม่ได้คิดอะไรมาก จึงไม่สนใจในรายละเอียด แต่ ณ ตอนนี้ อะไรหลายๆอย่างมันเปลี่ยนไป มีเกย์มากมายแวดล้อมรอบตัวผม จนไม่ใส่ใจไม่ได้ ยิ่งศักดิ์ชายมาทำหน้าตาแบบนี้ใส่ ผมยิ่งคิดมาก หรือว่าเขาจะเป็นอย่างที่เจ้าสันต์พูดนะ เป็นเกย์ไม่แสดงออก และมันอาจจะชอบผมอยู่ แต่เป็นไปไม่ได้หรอก มันแต่งงานมีลูกมีเมียแล้ว และมันก็รักลูกมากด้วย ถ้าเป็นเกย์คงไม่ชอบผู้หญิงมั๊ง เพราะเจ้าสันต์ยังไม่สนสาวๆคนไหนเลย ถ้างั้นมันมองผมแบบนั้นทำไมกันนะ
“ไอ้บ้าศักดิ์ชายเอ๊ย นึกว่าไม่รู้หรือไงว่าคิดอะไรอยู่”
เจ้าสันต์บ่นศักดิ์ชายไล่หลัง ผมเดินหนี ขี้เกียจจะฟังมัน ยังนึกโมโหที่มันชอบเอาชีวิตรักที่พังพินาศระหว่างผมกับอร มาเป็นเรื่องล้อเล่น รู้ดีว่ามันคงพูดด้วยความหมั่นไส้ ที่ผมไม่เชื่อมันตั้งแต่แรกที่บอกให้เลิกกับอรจิราเสีย พอผมพลาดขึ้นมา มันก็เลยซ้ำ ลึกๆลงไปแล้วผมก็รู้ว่ามันรักและห่วงผม แต่เล่นเอาเรื่องนี้มาพูดบ่อยๆ เพื่อนก็เพื่อนเถอะ ผมมีสิทธิ์โกรธมันได้เช่นกัน
“เฮ้ย เรียว จะรีบเดินไปไหนนักหนาวะ บ้านของนายยังตั้งอยู่ที่เดิมนั่นแหละ ไม่มีใครขโมยไปหรอก”
“อยากจะรีบกลับบ้านว่ะ วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว อยากพัก”
ผมเดินจ้ำอ้าวๆตรงไปยังลานจอดรถ โดยมีเจ้าสันต์วิ่งตาม พอทันกันมันก็เอ่ยขึ้นมา
“ฉันอยากจะขอคุยอะไรกับนายด้วยหน่อยสิรู้สึกอึดอัดอ่ะ ถ้าไม่ได้คุยต้องแย่แน่ๆ”
“ไม่คุยโว้ย แกจะจีบฉัน ฉันกลัว ไม่คุยด้วยหรอก”
ผมแกล้งแหย่มัน เมื่อเห็นท่าทางซีเรียสจริงจัง จะเป็นจะตายของมัน เจตนาเพื่อให้มันอารมณ์ดีบ้าง แต่เหมือนไปยั่วยุให้มันโกรธขึ้นมา
“อ้าว ไอ้เวรนี่ เดี๋ยวโดนเตะแน่ คนกำลังจะคุยเรื่องเป็นงานเป็นการ”
มันทำเสียงหงุดหงิดใส่ผม
“ก็คุยมาสิ นี่มันจะห้าทุ่มแล้วนะโว้ย กว่าจะถึงบ้านมีหวังเที่ยงคืนแน่ พรุ่งนี้ฉันมีประชุมเรื่องสินค้าตัวใหม่แต่เช้า เลยอยากจะรีบไปพักผ่อน พรุ่งนี้หัวจะได้โล่งๆ”
“เออๆๆ ช่วยฟังเพื่อนพูดหน่อยแล้วกัน คือมันสืบเนื่องมาจากตอนที่ทานข้าว นายไม่สงสัยเหรอว่าทำไมน้องแซ่บสุดแสนน่ารักของฉันถึงมาปรากฏตัวที่นั่นด้วยวะ”
นึกแล้วว่ามันต้องหาโอกาสถามผม มันคงสงสัยเหมือนกัน ผมไม่อยากจะตอบในสิ่งที่ผมคาดเดาไว้ ไม่แน่ใจว่ามันจะจริงหรือเปล่า เกิดไม่ใช่ขึ้นมาเดี๋ยวสองคนนี้ทะเลาะกัน ผมจะแย่
“อื้ม ไม่รู้ว่ะ สงสัยอยู่แต่ไม่อยากถาม แล้วก็ไม่เห็นมีใครพูดถึง แต่ถ้าจะให้เดานะ คิดว่าคงมากับพวกนายสุริยะน่ะ เลยไม่อยากละลาบละล้วง”
ผมตอบมันไปตามที่คิด แต่ไม่ทั้งหมด เจ้าสันต์พยักหน้าตามอย่างเห็นด้วย
“ฉันก็ว่างั้นแหละ น้องแซ่บคงต้องมากับคนพวกนั้น ไม่รู้ว่ารู้จักกันได้ไง แล้วไปรู้จักกันตอนไหนเมื่อไหร่ ทำไมฉันไม่เห็นรู้เลย”
มันพูดกับผมเป็นเชิงถามความคิดเห็น ผมไม่ตอบ ใจนึกไปถึงวันที่ผมเจอแซ่บกับสุริยะที่สวนจตุจักร
“นายว่าฉันควรจะถามแซ่บดีไหมวะ”
“อื้ม.......ถ้าสงสัยก็ลองถามดู ถ้านายไม่ถาม นายจะเก็บความสงสัยไว้ได้ไหม แต่หากนายจะถามเขา นายคิดว่าน้องเขาจะตอบคำถามนายทุกเรื่องหรือเปล่าล่ะ”
ผมตั้งคำถามให้มันคิด เจ้าสันต์นิ่งเงียบท่าทางลังเลไม่มั่นใจ
“ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ะ ช่วงหลังๆนี้ ฉันมีความรู้สึกว่า น้องแซ่บมีอะไรบางอย่างที่ปิดบังฉันอยู่ เรื่องวันนี้ก็เหมือนกัน เกิดฉันถามไปแล้วเขาไม่ตอบฉันต้องเป็นบ้าตายแน่”
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่8 9/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 09-01-2009 13:29:56
“......”
“โอ๊ย จะบ้าตาย น้องแซ่บรู้จักพวกนั้นได้ไงวะ”
อยู่ๆมันก็ร้องโวยวายขึ้นมา ผมเลยหยุดแล้วหันมามองมันด้วยสายตาตำหนิ
“เฮ้ย เก็บอาการหน่อยสิวะ พูดเบาๆก็ได้ท่านผู้จัดการ แค่นี้คนก็จะแตกตื่นกันอยู่แล้ว เดี๋ยวใครมาเห็นจะสิ้นความนับถือในตัวนายกันพอดี ยิ่งถ้าคนพวกนั้นเป็นลูกน้องนายด้วยล่ะก็ แย่แน่ๆเลย อย่านึกว่าดึกแล้วจะโวยวายยังไงก็ได้นะโว้ย ”
“ก็ช่างมันปะไร ดึกป่านนี้ก็มีแต่พวกยามเท่านั้นแหละที่อยุ่ ไอ้พวกลูกน้องฉันนะเหรอ มันเปิดตูดแน่บไปตั้งแต่งานเลิกแล้ว ไม่มีใครขยันทำงานบ้าเลือดแบบฝ่ายนายหรอก แล้วขืนไอ้ตัวไหนมันกล้าเอาฉันไปเม้าท์ ไม่ว่ายามหรือลูกน้อง พ่อจะเด้งมันให้ดู”
เจ้าสันต์พูดอย่างพาลๆ ท่าทางมันจะหงุดหงิดเรื่องเด็กแซ่บอย่างมาก ความไม่รู้ชัดเจนถึงสัมพันธ์ระหว่างเด็กนั่น กับนายสุริยะ และ นางทรงพล ทำให้เพื่อนร่วมงานของผมคิดมาก ออกอาการงุ่นง่านพาลพาโลอย่างเห็นได้ชัด ผมไม่อยากคิดเลย ถ้าหากมันได้รู้ในสิ่งที่ผมรู้ มันจะคลุ้มคลั่งมากมายแค่ไหนหนอ
“นายว่า น้องแซ่บคือคนที่ทรงพลพูดถึงหรือเปล่าวะ”
ผมมองหน้ามัน ในใจก็คิดว่านี่มันไม่รู้จริงๆ หรือ แกล้งไม่รุ้กันแน่นะ เขาควงกันมาขนาดนั้น หากแซ่บไม่ใช่คนสำคัญ จะมีโอกาสไปนั่งร่วมวงกับพวกเราได้อย่างไร ถึงผมจะไม่กล้าพูดออกมาตามตรง แต่ผมก็คิดว่าต้องเป็นแบบนั้นเหมือนกัน
“ไม่รู้เหมือนกันว่ะ เขาไม่ได้ระบุชื่อเฉพาะเจาะจงออกมา ฉันก็ไม่กล้าเดา เดี๋ยวผิด”

“น้องแซ่บเข้ามยุ่งอะไรด้วยนะ ชักอยากรู้ซะแล้ว ถ้าหากน้องแซ่บเป็นคนที่นายทรงชัยพูดฉันคงอกแตกตายแน่ ไม่ได้การแล้ว ฉันต้องจัดการเรื่องนี้ ไม่ให้มันคาราคาซังอีก ว่าแต่ถ้าฉันไปเคลียร์กับน้องแซ่บ นายไปกับฉันด้วยได้ไหมวะ”
“เรื่องของนายสองคน ควรจะคุยกันเองมากกว่า อย่าให้มือที่สามมือที่สี่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเลย เดี๋ยวจะยุ่งเปล่าๆ”
ผมปฏิเสธคำขอร้องของเจ้าสันต์อย่างนุ่มนวล ไม่อยากเอาตัวเข้าไปพัวพัน กลัวว่าตัวเองจะอดไม่ได้พูดในสิ่งที่ตัวเองเห็นขึ้นมา เดี๋ยวคำพูดของผมจะกลายเป็นชนวนให้เกิดความร้าวฉานกันยิ่งขึ้น หากเขาตกลงกันได้ก็ดีไป หากเขาตกลงกันไม่ได้ เจ้าสันต์จะพาลมาเกลียดผมเปล่าๆ ที่ไม่บอกมันตั้งแต่แรก มันเองเคยบอกผมตลอดเวลา ว่าอรจิราไม่ใช่คนที่เหมาะสมกับผม พยายามหาทางพิสูจน์ทฤษฎีความเชื่อของมัน แต่ผมก็ไม่เคยฟัง ในท้ายที่สุดความรักของผมก็ต้องจบลง
แต่ในกรณีของเจ้าสันต์ ผมกลับไม่กล้าบอกความจริงให้มันรู้ เพราะมันพัวพันกับคนหลายคน ทั้งนายสุริยะ และนายทรงพล ซึ่งเป็นผู้ที่ทำผลประโยชน์ให้กับบริษัท สิ่งที่ผมได้เห็นมันอาจจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ได้ ในเมื่อผมไม่รู้อะไรแน่ชัด ทุกอย่างเป็นแค่ความสงสัยในใจของผม ดังนั้นผมจึงไม่กล้าที่จะเล่าให้มันฟัง เพราะหากเจ้าสันต์ขาดสติขึ้นมา มันอาจจะทำการจาบจ้วง นายสุริยะ และทรงพลยิ่งกว่าที่อรจิราทำวันนี้ก็ได้
มันไม่เป็นผลดีเลย ถ้าสต๊าฟกับฝ่ายขายจะทะเลาะกันด้วยเรื่องชู้สาว ที่สำคัญ เป็นเรื่องของการแย่งผู้ชายคนเดียวกันอีกต่างหาก รู้ถึงไหน คงขายหน้าไปถึงนั่น วงการนี้ ข่าวคราวมันถึงกันง่าย ถ้าเกิดรั่วไหลไปยังบริษัทคู่แข่ง แล้วเอาเรื่องนี้มาโจมตี อาจจะมีผลกระทบต่อภาพพจน์ของบริษัทก็ได้ ซึ่งแน่นอน ผมไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น รวมทั้งห่วงเจ้าสันต์เพื่อนผมด้วย
“นายจะไปพูดคุยสักถามอะไรกับเด็กนั่น ฉันไม่ว่าหรอกนะ มันเรื่องของนาย แต่ว่าพูดจากันดีๆก็แล้วกัน อย่าไปพูดในลักษณะกล่าวหา เพราะหากไม่ใช่ในสิ่งที่นายคิดขึ้นมา เด็กคนนั้นก็จะโกรธ คราวนี้นายก็จะเข้าหน้าลำบาก แต่นายก็ต้องคิดเผื่อไว้ด้วย ว่าถ้าใช่ นายจะทำไงต่อ จะโวยวาย แย่งกลับมา หรือไปวีนใส่คุณทรงพลกับคุณสุริยะ ถ้าทำอย่างนั้น นายก็ต้องคำนึงถึงผลกระทบด้วย ทะเลาะกับฝ่ายขายและลูกค้าด้วยเรื่องผู้ชาย มันไม่ใช่เรื่องงามสักเท่าไหร่ อาจจะกระทบถึงเรื่องการเรื่องงานด้วย”
ผมให้ข้อคิดมันด้วยความเป็นห่วง แต่ดูเหมือนมันยังหงุดหงิดอยู่ จึงยังไม่พร้อมจะรับฟังมันเท่าไหร่
“ทะเลาะก็ทะเลาะสิ งานก็ส่วนงาน เรื่องหัวใจก็ส่วนเรื่องหัวใจ ทำไมเหรอ สต๊าฟต้องเป็นฝ่ายเสียสละทุกอย่างให้ฝ่ายขายเหรอ ใครบัญญัติกฎข้อนี้วะ งี่เง่าสิ้นดีเลย ไม่รู้ล่ะ ถ้าเรื่องมันเป็นอย่างนั้นจริง ฉันจะไปวีนคนพวกนั้นด้วยตัวเอง”
เจ้าสันต์ตอบอย่างพาลๆ
“นายกำลังโกรธ เสียจนไม่มีสตินะสันต์ ยังไม่รู้อะไรแน่ชัดก็อย่าไปตีโพยตีพาย อีกอย่างถ้าจะต้องสูญสิ้นทุกอย่าง เพื่อแลกกับความรักที่ไม่รู้จะจีรังหรือเปล่า มันเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือ”
ผมพยายามพูดให้มันสงบลง แต่เจ้าสันต์ยังคงดื้อ ท่าทางมันหงุดหงิดมาก
“นายมันหน้าตาหล่อเหลา มีสาวๆหนุ่มๆรุมตอม นายไม่เข้าใจความรู้สึกของเกย์ ที่หน้าตาไม่ดีอย่างฉันหรอก ฉันเองก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าความรักของฉันกับน้องแซ่บจะจีรังยั่งยืนไปนานแค่ไหน แต่ฉันรู้อย่างเดียวว่าฉันจริงใจกับเขามาก หวังที่จะใช้ชีวิตกับน้องเขา แต่ยังไม่ทันที่ทุกอย่างจะลงตัว ก็มาเป็นแบบนี้แล้ว ฉันยอมไม่ได้หรอก ถ้าจะต้องตัดใจจากกัน โดยไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทำไมน้องแซ่บถึงเปลี่ยนใจ”
เจ้าสันต์เริ่มที่จะโวยวายขึ้นมาอีก คราวนี้มันแขวะผมเต็มๆ ทำท่าเหมือนน้อยอกน้อยใจในวาสนาที่เกิดมาไม่หล่อ แล้วก็ยังยืนกรานที่จะรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขี้น ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่เข้าใจว่ามันจะตีตนไปก่อนไข้ทำไม ทั้งๆที่ยังไม่รู้อะไรกระจ่างแม้แต่สักเรื่องเดียว
“เออ ฉันก็แค่หวังดีกับนายเท่านั้น ไม่อยากให้นายเอาชีวิตทั้งหมดไปทิ้งไว้กับผู้ชายเพียงคนเดียว นายยังมีอนาคตที่ไกลกว่านี้ บางทีหนทางข้างหน้าอาจจะมีคนที่รักนายจริงรออยู่ก็ได้ ฉันก็พูดได้เท่านี้แหละเพื่อน จะงอนจะโกรธก็ตามใจโว้ย แล้วอีกอย่างนะ อย่ามาพูดว่าฉันหน้าตาดี แล้วหน้าตาฮ่วย เลยทำให้นายต้องมีชีวิตแบบนี้ มันช่วยไม่ได้ใช่ไหมที่ฉันเกิดมาหน้าตาดี มีทั้งผู้หญิงผู้ชายมาชอบฉัน แล้วนายเห็นหรือเปล่าว่าฉันก็ไม่ได้มีความสุขมากไปกว่านายเลย ตอนนี้ฉันไม่มีใครเลยด้วยซ้ำ เพิ่งอกหัก โดนผู้หญิงทิ้ง ชีวิตฉันเลยมีแต่งาน กับงานเท่านั้น ฉันคิดอยู่เสมอว่า ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเราจะไม่มีใคร แต่เราก็ยังสามารถที่จะอยู่ได้ มีการมีงานทำ อีกหน่อย คนดีๆก็จะผ่านเข้ามาในชีวิตเราเอง ฉันถึงไม่รีบร้อนไง แล้วอยากให้นายเป็นแบบนี้บ้าง อย่าด่วนใจร้อนตัดสินใจแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง มีแค่นี้แหละที่จะพูด ไม่ฟังก็อย่าฟัง ฉันจะกลับบ้านแล้ว”
นั่นคือคำพูดเตือนสติยาวเหยียดที่สุดที่ผมเคยพูดกับมัน นับตั้งแต่คบกันมา รู้สึกโมโหนิดหน่อยที่มันยอมให้ความรักเข้าครอบงำจนไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ห่วงตัวเอง ไม่ห่วงหน้าที่การงาน ดื้อดึงเพราะความรักอย่างเดียว ผมอยากจะหัวเราะให้ฟันหักนัก แต่ก็หัวเราะไม่ออก นี่หากไอ้เพื่อนหัวรั้นของผม มันได้เห็นน้องแซ่บสุดน่ารักของมันนัวเนียกับนายสุริยะ ก่อนจะมานั่งใกล้ชิดกับนายทรงพล เจ้าสันต์มันจะเลิกบ้าไหม
ถ้าหากผมไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลย ผมอาจจะพูดเชียร์มันให้ปรับความเข้าใจกับน้องแซ่บ เชียร์ให้มันรักกัน เพราะเห็นว่ามันคลั่งไคล้นัก แต่เมือ่ผมเห็นพฤติกรรมอย่างนี้ของเด็กนั่น ผมก็ไม่เห็นว่าเจ้าสันต์จะต้องไปลุ่มหลงกับเด็กนั่นอีกทำไม การที่ไปรักคนที่เขาก็พร้อมที่จะไม่ซื่อสัตย์ต่อตนเอง สักวันมันนั่นแหละ ที่จะเป็นฝ่ายเจ็บปวด
“ฉันรู้ว่านายหวังดีกับฉัน แต่นายไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของฉันหรอก เอาไว้ถ้านายรู้สึกว่ารักใครมากจนกระทั่งยอมทำทุกอย่างได้เพื่อเขา นายจะรู้ว่าฉันคิดอย่างไร”
“เคยสิ ฉันก็เคยรักอรจิรามาก”
ผมเถียงมัน แต่เจ้าสันต์ส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธว่าสิ่งที่ผมเข้าใจมาตลอดว่านั่นคือความรักแท้ที่มีต่ออรจิรา เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
“นายอาจจะเคยรัก แต่ยังไม่มากพอที่จะทำทุกอย่างได้เพื่อหล่อน ไม่อย่างนั้น นายต้องทำทุกวิถีทางที่จะแย่งเธอคืนมาจากนายอนันต์ ฉันรู้ว่าอรจิรายังคงรักนายอยู่ แต่เมื่อเขาเห็นว่านายเฉยชา ไม่ยอมทำอะไรเพื่อพิสูจน์ว่านายรักเขาจริง เขาก็ยิ่งโกรธแค้น เขาคงอยากให้นายสำนึกผิด และเห็นคุณค่าของเขาบ้าง ไม่ใช่ปล่อยเขาไปง่ายๆแบบนี้”
ความรักต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างมากมาย เพื่อคนที่เรารักหรือ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องไม่ถูกต้องใช่ไหม นี่มันเป็นกฎเกณฑ์ของความรัก หรือเป็นสิ่งที่เจ้าสันต์คิดและปฏิบัติเฉพาะตัวมันเองเท่านั้น มันค้านความเชื่อของผมเสียจนต้องเถียงกันมัน
“จะให้ฉันทำไงล่ะ เขาไม่ชอบที่ฐานะฉันไม่มั่นคง ไม่ยอมขอเขาแต่งงานซักที ไม่ชอบที่ฉันคบนายด้วย นายจะให้ฉันทำทุกอย่างเพื่อเขา โดยการเลิกคบกับพวกนาย หาเงินมาเยอะๆ แล้วก็ไปขอเขาแต่งงานเหรอ คงยากแล้วล่ะ เขาเจอคนที่รวยกว่า ดีกว่าฉัน แล้วฉันก็ไม่เห็นว่าจะต้องเลิกคบกับใครเพื่อมารักเขานี่นา”
“นั่นไง ฉันถึงว่านายรักเขาไม่มากพอที่จะเสียสละทุกสิ่ง ถ้าเป็นฉันนะ ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อความรัก แม้ว่าฉันจะต้องแลกมันมากับอะไรก็ตาม”
เจ้าสันต์แค่นยิ้ม มันคงนึกว่าผมไม่เข้าใจคำว่ารักแท้จริงๆ ถึงได้ว่าผมแบบนั้น แต่ผมก็มีเหตุผลของผมเช่นกัน เราอาจจะทำอะไรเพื่อคนที่เรารักได้ แต่ก็ต้องมีสติแยกแยะเพียงพอว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ อย่างเช่นที่เจ้าสันต์กำลังพยายามยัดเยียดแนวคิดให้ผมแบบนี้
“ถึงแม้ว่าในภายหลัง นายจะพบว่า นายกับแฟนไปกันไม่ได้งั้นเหรอ นายยอมสูญเสียทุกอย่างเพื่อความรักที่มันอาจจะไม่สมหวังในวันข้างหน้า เกิดนายคิดผิดขึ้นมา นายก็จะไม่เหลืออะไรเลยนะเพื่อน ตรองดูใหม่เถอะ”
ผมถามมันด้วยความสงสัย อยากรู้ว่าถ้าบังเอิญมันรู้ความจริงว่าคนรักที่มันพยายามทุกวิถีทางที่จะเอากลับคืนมานั้นไม่ได้ซื่อสัตย์กับมันแม้แต่น้อย มันจะรู้สึกอย่างไร แล้วถ้าแย่งมาได้ โดยมันต้องแลกกับหน้าที่การงาน การนับหน้าถือตาจากคนอื่น แต่ในท้ายที่สุดก็ต้องเลิกรากันไป มันจะเสียใจบ้างไหม
“ไม่มีใครรู้หรอกเรียว ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ฉันรู้แต่เพียงว่าขอให้ได้ทำวันนี้ให้ดีที่สุดเพื่อคนรักก็พอ อนาคตจะเป็นอย่างไรฉันไม่สน ถ้าปัจจุบันเราเริ่มต้นด้วยดี บทสรุปของความรักมันอาจจะลงเอยด้วยการอยู่กันอย่างมีความสุขก็ได้ เชื่อฉันเถอะเรียว ถ้าวันหนึ่งนายรักใครบางคนอย่างมากมาย นายจะรู้ด้วยตัวเองว่านายจะต้องทำอย่างไร บางทีนายอาจจะยิ่งกว่าฉันก็ได้”
สันต์ทำหน้าเคร่งขรึมจริงจังขณะพูดประโยคนั้นกับผม
“อย่าด่วนตัดสินใจอะไรลงไปโดยไม่คิดให้รอบคอบถ้วนถี่แล้วกัน”
ผมพูดกับมันแค่นั้น พลางตบไหล่มันเบาๆ ก่อนที่จะแยกไปขึ้นรถของตัวเอง นึกกังวลใจเรื่องของเจ้าสันต์กับแซ่บอยู่ครามครัน ห่วงหน้าที่การงาน ห่วงความรู้สึกของมัน กลัวมันจะเจอเรื่องที่เจ็บปวด แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากได้แต่หวังว่ามันจะไม่ให้ความรักมาครอบงำจนทำอะไรโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง และท้ายสุดผมปรารถนาที่จะให้เรื่องราวทุกอย่างเป็นการเข้าใจผิดมากกว่าจะเป็นเรื่องจริง
ผมสลัดศีรษะไล่ความคิดวิตกออกไปจากหัวสมอง เจ้าสันต์โตจนป่านนี้แล้ว มันคงจะมีวิธีการแก้ปัญหาดีๆที่ทำให้เกิดเรื่องเสียหายน้อยที่สุด บางทีผมอาจจะห่วงเพื่อนมากเกินไปก็ได้ รอให้ปัญหามันเกิดขึ้นมาก่อน แล้วผมค่อยช่วยมันคิดดีกว่า ผมเองก็มีปัญหาวุ่นวายพออยู่แล้ว ยังจะไปเอาเรื่องของคนอื่นมาเป็นกังวลอีก พอนึกได้อย่างนั้นผมก็เลิกคิดวุ่นวายเรื่องของเจ้าสันต์ แล้วขับรถมุ่งตรงกลับบ้านทันที
เกือบเที่ยงคืนแล้ว ตอนที่ผมเลี้ยวรถเข้าประตูบ้านมา ผมจัดการล๊อคประตูรั้วเรียบร้อย รู้สึกแปลกใจอยู่ครามครัน ว่าทำไมไฟที่ประตูรั้ว และที่ประตูบ้านจึงเปิดอยู่ เจ้าเด็กบ้านั่นยังไม่ได้ออกจากบ้านผมไปหรือยังไงนะ หนอยแน่ะ พอผมให้กุญแจบ้าน ก็เลยคิดจะสิงสถิตอยู่นี่ไม่ยอมไปไหนหรือไง แถมซ้ำยังโกหกผมด้วยว่าจะไม่อยู่ เจ้าเล่ห์นักนะ เจอหน้าจะว่าให้แสบเลย
ผมเห็นเงาตะคุ่มๆเป็นรูปคนยืนอยู่ด้านในตรงหน้าประตู คงเป็นเจ้าเด็กบ้านั่นแน่ๆเลย คงรอจะทักทายผม แต่อย่าหวังเลย ต้องดุกันสักหน่อยแล้ว ผมรีบไขกุญแจประตูออกทันที แต่ผมกลับต้องพบกับความประหลาดใจเมื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้าผมไม่ใช่เด็กหนุ่มที่ผมหวังจะว่าให้สาแก่ใจ แต่มันเป็นอะไรอย่างหนึ่งที่มีใบหน้าเหมือนกับเดียร์ทุกประการ ผมรีบเปิดไฟที่แผงตรงข้างประตูเพื่อดูให้ชัด แล้วผมก็ต้องหัวเราะออกมา
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่8 9/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 09-01-2009 16:54:23
น้องเดียร์ทำอะไรไว้ เซอร์ไพส์ เรียวน้า  :z2: :z2:

 :o8:เป็นตุ๊กตายางหน้าน้องเดียร์แน่ๆเลย   ก๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่8 9/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: โน๊อา ที่ 09-01-2009 17:38:06
ไต๋ up ได้มันส์มากเลยอ่ะ


แต่ ..  ว่า ... ยังอ่านตามไม่ทันเลย



ขอบคุณนะ    :man1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่8 9/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 09-01-2009 17:46:18
คืออะไรหว่า....เดียร์ทำไรกันแน่...... :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่8 9/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 09-01-2009 19:48:29
อะไรน้อ  :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่8 9/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 09-01-2009 21:34:15
 :jul1: :jul1:   ชอบมากกกกกกกกกก กับเรื่อง นี้


ไม่ว่า จะเปน การ ใช้ ภาษา

คน แต่ง ก็ ขยัน



มา ต่อ ไวไว น่ะ






คอยอยู่
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่8 9/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 09-01-2009 21:53:41
  :haun5: หุหุ มาอัพทุกวันจ้า
เจอกันพรุ้งนี้น้าาาาาาาา
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่8 9/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: the_pooh9 ที่ 09-01-2009 23:55:48
^
^
^
จิ้มๆๆ จิ้ม :z13: ทำให้เค้าฉงฉัยอีกแย้ว
 :z13: :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่9 10/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 10-01-2009 17:59:28
บทที่ 9


เดียร์ที่เห็นเป็นใบหน้าที่ถ่ายออกมาจากเครื่องปริ๊นเตอร์ขาวดำของผม ขยายออกมาเป็นลำตัวทีละส่วนแล้วตัดแปะบนกระดาษแข็ง ตั้งอยู่บนฐานกระดาษที่ทำอย่างแข็งแรง ความสูงขนาดเท่าตัวของเด็กหนุ่ม
มือของหุ่นกระดาษกางออก มีสายเชือกที่ผูกกระดาษที่ตัดเป็นแผ่นๆคล้ายธงริ้วๆ จากมือซ้ายไปมือขวา มีข้อความเป็นภาษาอังกฤษ ว่า

“welcome home”

ผมมองหน้าที่ยิ้มแป้นแล้นสีขาวดำนั้นอย่างนึกขำปนโกรธนิดๆ รู้สึกโล่งใจปนหวิวๆที่เห็นว่า เดียร์ไม่ได้อยู่ในบ้านนี้จริงๆ
เขาคงจะกลับไปแล้ว แต่ก่อนกลับยังมีแก่ใจมาทำเจ้าตุ๊กตากระดาษไว้รอต้อนรับผมอีก เจ้าเด็กบ้านั่น ชอบทำอะไรที่ผมคาดไม่ถึงจริงๆ
ชั่วขณะหนึ่ง ผมมองเห็นบางสิ่งบางอย่างจากทางหางตาของ มีเงาดำเคลื่อนไหวได้ ทาบทับอยู่บนพื้น ผมไล่สายตามองหาที่มาของเงานั้น
เมื่อมองสูงขึ้นไปยังเพดาน ก็ต้องตกใจที่เห็นห้องรับแขกของตนเองมีสภาพคล้ายกับห้องที่กำลังจะมีงานปาร์ตี้ สายระโยงรยางค์คล้ายสายรุ้งพุ่งจากตรงกลางห้องไปยังมุมห้องทั้งสี่ด้าน

มีกระดาษขนาดโปสการ์ดห้อยอยู่เต็มสายสีขาวนั้น เมื่อผมเดินเข้าไปมองใกล้ๆจึงได้เห็นว่า ที่เห็นห้อยอยู่นั้นเป็นภาพของเดียร์ในอิริยาบถต่างๆ เต็มไปหมด และตรงกลาง ก็มีโมบายห้อยลงมา
ซึ่งสิ่งที่แขวนอยู่ ก็คือ รูปภาพของเดียร์ ซึ่งทำจากกระดาษถ่ายเอกสารแปะบนกระดาษแข็งตัดเท่าขนาดโปสการ์ดนั่นเอง
เมื่อเหลียวมองไปรอบห้อง ก็เห็นร่องรอยของเดียร์เต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นที่ตู้โชว์ในห้องรับแขก เดียร์ก็เอารูปของตัวเอง ไปสอดไว้เต็มกระจกทุกแผ่น

ตรงช่องว่างระหว่างห้องครัวกับห้องรับแขกบัดนี้ปรากฏม่านทำเองซึ่งไม่บอกก็รู้ว่าเป็นฝีมือใครกั้นกลางอยู่ เป็นม่านที่ทำจากกระดาษแข็งเจาะรู แล้วร้อยด้วยเส้นเอ็น จำนวนหลายๆสาย ห้อยอยู่ รูปในกระดาษแข็งก็เป็นรูปของนายเดียร์ตัวดีนั่นแหละ
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ นี่เดียร์ทำอะไรกับบ้านของผมเนี่ย เขาพยายามจะทำให้ผมคิดถึงเขาอยู่หรือไง ดูเหมือนเป็นการบังคับกันทางอ้อมด้วยการให้ผมพบเจอแต่หน้าของเขา กะไม่ให้ผมมีช่วงเวลาที่จะได้อยู่คนเดียวเลยหรือ

แล้วนี่เขาใช้เวลาอยู่ในบ้านผมนานเท่าไหร่ ถึงได้ทำอะไรมากมายแบบนี้ คงเพลินกับการปริ๊นรูปตัวเองจากคอมของผม แล้วก็ตัดปะลงบนกระดาษแข็งซึ่งไม่รู้ว่าซื้อมาตั้งแต่แรก
หรือออกไปซื้อตอนที่ผมออกไปทำงานแล้ว ที่หายเงียบไปหลังจากโทรมาหาผม ก็คงมานั่งทำอะไรบ้าบอแบบนี้นี่เอง

ผมรู้สึกอ่อนอกอ่อนใจกับเจ้าเด็กบ้านี่หรือเกิน ชักไปกันใหญ่แล้ว ถือวิสาสะทำตามอำเภอใจ เหมือนกับว่าบ้านนี้เป็นของตัวเอง ผมเห็นจะต้องทบทวนเรื่องการให้กุญแจบ้านกับเขาใหม่เสียแล้ว
อาจจะต้องริบคืน แล้วไม่ให้อีกเลย ต่อให้มาอ้อนวอน คราวนี้ผมก็จะไม่ใจอ่อนให้เขาอีกเป็นอันขาด ถึงแม้จะต้องเห็นเขาตัวลายเป็นตุ๊กแกเวลามานั่งรอผมอยู่หน้าบ้านก็ตาม
ผมเดินไปเปิดประตูห้องเก็บของแล้วหยิบบันไดอลูมิเนียมออกมาจากในนั้น แบกมันมาวางไว้ตรงกลางห้องแล้วปีนขึ้นไปกระชากสายรุ้งรูปหน้าของเดียร์ออกมาจนหมด และขยำมันเป็นก้อน โดยไม่แม้แต่จะมองภาพในกระดาษเหล่านั้น จ
ากนั้นผมก็ปีนลงจากบันได เอามันเก็บเข้าที่ แล้วไล่ฉีกรูปออกจากตู้โชว์ เสร็จแล้วก็เดินไปที่ห้องครัว แล้วก็ใช้มีดตัดเส้นเอ็นที่ห้อยเป็นม่านนั้นออก ผมขยำทุกอย่างทิ้งลงถังขยะที่อยู่ในครัวนั่นเอง

ความที่วันนี้ผมเหนื่อยมาทั้งวัน หวังจะพักผ่อนให้สบายใจ แต่กลับต้องมาเจอสิ่งที่เดียร์ทำไว้กับบ้านของผมทำให้ผมรู้สึกโกรธเขานิดหน่อย

ถึงจะรู้ว่าเขาทำแบบนี้เพื่อให้ผมนึกถึงเขาบ้าง แต่การเอารูปตัวเองติดทั่วบ้านมันเหมือนกับยัดเยียดให้ผมรู้สึกดีกับเขา ซึ่งผมคิดว่ามันมากจนเกินไป ผมอยากอยู่อย่างสบายอกสบายใจมากกว่า

หลังจากเสียเวลาดึงรูปของเดียร์ออกจากทุกๆที่ในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นที่ประตูตู้เย็น ตุ๊กตาสปริงที่ใช้ลวดขดเป็นวงๆแล้วมีรูปหน้าเขาแปะซึ่งเอาไปติดที่ตรงหัวบันได หรือแม้กระทั่งพื้นที่ส่วนตัวของผม

ไล่ตั้งแต่ประตูหน้าห้องนอนของผม ที่โต๊ะทำงาน ตรงหน้ากระจกแต่งตัว ตู้เสื้อผ้าและหน้าห้องน้ำ ผมก็แทบจะหมดแรง เหนื่อยล้าจากงาน ยังต้องกลับมาเสียพลังงานที่บ้านอีก วันนี้ผมเลยคิดว่า ผมจะรีบนอนเลยดีกว่า

ผมถอดเสื้อผ้าทิ้งไว้ในตะกร้า แล้วก็หยิบผ้าขนหนูผืนใหญ่และผืนเล็กเดินเข้าห้องน้ำ ตั้งใจอาบน้ำและสระผม เพื่อที่ความเย็นฉ่ำของสายน้ำที่ไหลผ่านตัว และศีรษะจะช่วยทำให้ผมผ่อนคลายและสมองโล่ง นอนคืนนี้ผมจะได้หลับรวดเดียวโดยไม่ต้องฝันอะไร

ผมใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำเกือบครึ่งชั่วโมง ทั้งสระผมและอาบน้ำชำระร่างกายให้หมดคราบเหงื่อไคลที่หมักหมมมาทั้งวัน

ตอนที่ผมเดินออกมาจากห้องน้ำ มีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไป ข้าวของบางชิ้นไม่ได้อยู่ในที่เดิม แต่ผมไม่แน่ใจอะไรนัก คิดว่าตัวเองคงเบลอมากกว่า ความที่คิดว่าตนเองอยู่คนเดียวทำให้ผมไม่ได้ระวังตัว เดินไปมาในห้องด้วยผ้าขนหนูที่พันกายท่อนล่างอย่างหมิ่นเหม่ และมีผ้าขนหนูผืนเล็กอยู่บนหัว

ขณะที่ผมสาละวนอยู่กับการเช็ดผมให้แห้ง อยู่ๆผมก็รู้สึกแว่บขึ้นมาว่าผมไม่ได้อยู่ในห้องนี้คนเดียว มีคนแปลกหน้าไม่ได้รับเชิญอยู่ในห้องผมด้วย

ผมเกร็งตัวขึ้นมาด้วยสัญชาตญาณของการป้องกันตัว เหลียวหาอาวุธที่พอจะช่วยเหลือตัวเองได้ ก็มีเพียงแค่พวกขวดครีมบำรุงผิว และน้ำหอมเท่านั้น

สิ่งที่พอจะต่อสู้ได้ อย่างเช่น โต๊ะเก้าอี้ โคมไฟ ก็อยู่ไกลจากจุดที่ผมยืนอยู่ ในขณะที่ผมกำลังลังเลอยู่ว่าจะทำไงดี ร่างทั้งร่างของผมก็ปลิวหวือเข้าไปสู่อ้อมแขนของใครคนหนึ่ง
ความอบอุ่นแผ่นซ่านจากนวลเนื้อของคนที่กอดรัดสู่ผิวกายของผม อาการตื่นตระหนกตั้งแต่แรกหายไป เปลี่ยนเป็นความแปลกใจเข้ามาแทนที่

ถึงกระนั้นผมก็ยังไม่ได้พูดอะไร ได้แต่เอนตัวแนบร่างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามนั้น แล้วปล่อยให้แขกยามวิกาลไล้ลิ้นไปทั่วร่างกายที่เต็มไปด้วยหยดน้ำอันเนื่องจากยังไม่ได้เช็ดตัวให้แห้งของผม

“เรียวนี่น่ากินที่สุดยิ่งกว่าอาหารจานไหนๆที่ผมเคยชิมหรือเคยปรุงเลย.......เป็นเหมือนอาหารทิพย์ กินเท่าไหร่ก็ไม่เคยอิ่ม ไม่เคยเบื่อ ไม่เคยพอ มีแต่จะร่ำร้องอยากกินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ”
......................................
เดียร์กระซิบที่ข้างหูผมเสียงกระเส่า เขากำลังโลมลิ้นไปทั่วซอกคอและแผ่นหลังของผม

ลมหายใจของเขาร้อนผ่าว ราวกับจะแผดเผาน้ำบนกายผมให้เหือดแห้ง ผมขนลุกซู่ รู้สึกปั่นป่วนทั่วร่างกาย โดยเฉพาะในส่วนที่ต่ำกว่าเอวลงไปเริ่มมีปฏิกริยา

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดของเดียร์เมื่อสักครู่หรือเปล่า ที่ทำให้ผมโอนอ่อนตามเขาไปอย่างง่ายดาย ลืมความเหนื่อยล้า และความโกรธเคืองที่เขาทำบ้าๆบอๆไว้กับบ้านผมไปเสียสิ้น

ผมยอมให้เด็กหนุ่มโอบประคองผมไปที่เตียง เขาผลักผมให้นอนลงบนที่นอนอย่างเบาๆ และก้าวตามขึ้นมานอนข้างๆ พลางรั้งร่างผมไปหา

“เดียร์ จะดีหรือที่ทำแบบนี้”

ผมพยายามทักท้วง ถึงแม้ว่าบางส่วนในร่างกายเริ่มจะเรียกร้องการสัมผัสจากเด็กหนุ่ม แต่ถึงกระนั้นจิตสำนึกส่วนหนึ่งก็ยังคงคิดว่ามันไม่ควรจะเป็นแบบนี้อยู่ดี

เด็กหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธ เป็นเชิงว่าไม่อยากจะถกเถียงกันด้วยเรื่องควรหรือไม่ควรเวลานี้ เขายิ้มให้ผมอย่างอ่อนหวานที่สุด เมื่อเห็นผมยังคงงงงันอยู่

เขาเลยโอบกอดผมไว้แนบแน่น และระดมจูบผมไปทั่วไม่ว่าจะเป็นหน้าผาก ดวงตา แก้ม ริมฝีปาก และซอกคอ ผมได้แต่ครางอือ อกใจสั่นไหว ความรู้สึกสับสน ทั้งอยากให้เขาหยุด และ อยากให้เขาทำต่อไป แต่ใจของผมกลับพ่ายแพ้ให้กับความต้องการของตัวเอง

ผมนึกโทษจูบอันหวานล้ำที่เขามอบให้

นึกเกลียดลิ้นของเขาที่ชอนไชเข้าไปในปาก มันไล่วนนัวเนียอยู่ในปากของผม ทั้งอ่อนโยน ดุดันเรียกร้องอยู่ในที

นึกชังมือไม้ของเดียร์ที่จาบจ้วงร่างกายของผม ไม่ว่าจะแตะไปตรงไหน ผิวกายก็แทบจะมอดไหม้หลอมละลายติดมือของเขาไป

อยากจะปัดมือขวาของเด็กหนุ่มที่กำลังทาบทับอยู่ที่หน้าอกด้านซ้ายของผม เขาวางมือใหญ่ๆของเขาตรงนั้น ผมไม่รู้ว่าเขาจะสัมผัสได้ไหมกับหัวใจของผมที่เต้นแรงรัวอยู่ใต้ฝ่ามือของเขา

แต่จากการที่เขานวดเคล้นไปมาตรงบริเวณนั้น มันทำให้ผมตระหนักว่า เขาเองก็รู้ได้ว่าหัวใจผมกำลังร่ำร้องอยากให้เขาพาผมไปพบเจอกับความสุข

มือซ้ายของเด็กหนุ่มค่อยๆเลื่อนต่ำลงมาที่ท้องน้อย เพียงแค่กระตุกนิดเดียว ผ้าขนหนูที่พันกายส่วนล่างของผมก็ปลิดปลิวไปกองอยู่ที่พื้นห้อง ร่างกายที่ไม่มีผ้าปกปิดเริ่มตื่นตัว เดียร์ใช้มือข้างซ้ายนั้นกระตุ้นจนน้องชายของผมเติบโตขึ้น

เนิ่นนานทีเดียวที่เดียร์ปลุกเร้าอารมณ์ของผมจนเตลิดถึงขีดสุด จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นถอดเสื้อผ้าออกจากตัวจนร่างกายของเขาเปลือยเปล่าเช่นเดียวกัน เขาทาบร่างของเขาลงบนร่างของผมตามเดิม และเริ่มต้นจูบเฟ้นฟอนผมใหม่อีกครา

เขาจูบและจับต้องผมทั่วทุกซอกมุมในร่างกาย โดยที่ผมนอกจากจะไม่ขัดขืนเขาแล้ว ยังยินยอมพร้อมใจร่วมไม้ร่วมมือกับเขาเต็มที่

และแล้ววินาทีที่รอคอยก็มาถึง เด็กหนุ่มแยกขาของผมให้กว้างออกแล้วก็สอดแขนของเขาไปใต้ขา ทำให้สะโพกของผมยกขึ้น

ผมมองเขาตาปรอย นึกกลัวว่าจะเจ็บแบบวันก่อนอีก แต่เดียร์กลับยิ้มให้ผมเพื่อสร้างความมั่นอกมั่นใจให้ ผมเหลือบมองไปที่ร่างกายแข็งแกร่งของเขาที่อยู่ใกล้บั้นท้ายของผมเหลือเกินด้วยสายตาหวาดหวั่น กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น

เด็กหนุ่มไล่ตามสายตาของผมจนมาเจอสาเหตุที่ทำให้ผมวิตก เขายิ้มน้อยๆพลางพยักหน้าให้ผมอย่างเข้าใจ จากนั้นเดียร์ก็โน้มตัวลงมาหาเอาสองมือลูบไล้ใบหน้าของผม แล้วก็ก้มลงมาจูบใหม่ เขาจูบจนผมสั่นระริก ความปรารถนาในรสสัมผัสท่วมท้น
“อ๊ะ ผมจะใส่เข้าไปแล้วนะครับ ยอดรัก อย่าฝืน หรือเกร็งนะครับ”

เดียร์กระซิบบอกผมด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาอ่อนโยน ดวงตาคมหวานของเขาจ้องมองผมด้วยความรักและลุ่มหลง ผมนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ ถึงแม้ครั้งนี้จะเป็นครั้งที่สองแล้วที่เรามีอะไรกัน แต่ผมก็ยังคงไม่ชินอยู่ดี เขาทำหน้าขอโทษขอโพย

“ทนหน่อยนะครับที่รัก คุณไม่ค่อยได้ทำสักเท่าไหร่ ร่างกายยังฟิตมาก ทำใจให้สบายนะครับ ผ่อนคลาย อย่าเกร็ง เดี๋ยวจะยิ่งเจ็บ ถ้าใส่เข้าไปจดหมดแล้ว มันก็จะค่อยๆหายเจ็บเอง อดทนหน่อยนะครับเรียว”

เขาปลอบผมด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล แล้วยิ้มให้ พลางจูบที่ปากของผมอีกครั้ง เหมือนจะให้ผมลืมความสนใจจากตรงนั้นไปชั่วครู่ ซึ่งมันก็ได้ผล ผมหลงเพลินกับรสจูบของเขา กว่าจะรู้ตัว ร่างของเดียร์ก็ผนึกเป็นร่างเดียวกับผมอย่างแนบแน่น

“อี้มมมมมมมมม”

เขาร้องครางอย่างสุขสันต์

“รู้สึกดีจริงๆ ที่ได้อยู่ในตัวของเรียวแบบนี้ ชอบชอบที่สุดเลย”

เสียงของเขากระเส่า เด็กหนุ่มหลับตาพริ้ม บดสะโพกแช่นิ่งไว้กับร่างกายท่อนล่างของผม ก่อนจะค่อยๆเคลื่อนไหวสะโพกตัวเองอย่างเนิบช้า ท่าทางเขาถนุถนอมผมมาก

“รักมาก รักเรียวที่สุด รักจนไม่อยากจากไปไหนเลยแม้แต่นาทีเดียว”

เขาบอกกับผมเสียงอ่อนหวาน ดวงตาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของผม ขณะเคลื่อนไหวร่างกายตนเอง จากเนิบช้า เป็นเร่งความเร็วขึ้น

“เดียร์ ฉัน ฉันไม่ไหว ไม่ไหวแล้ว”

ผมรู้สึกเจ็บและคับแน่นที่ร่างกายท่อนล่าง เขาตัวใหญ่เสียเหลือเกิน จนผมคิดร่างของผมจะแตกแยกออกเป็นเสี่ยงเมื่อเขาเคลื่อนไหวอยู่ภายในตัวของผม จนต้องครางฮือเรียกชื่อเขา

ทำท่าจะผลักเขาออก แต่แล้วผมก็เปลี่ยนใจเป็นเอื้อมมือไปโอบร่างเขาไว้ราวกับจะใช้เขาเป็นที่ยึดเหนี่ยว ใจจะขาดเสียให้ได้ ร่างกายสั่นไหว ตามจังหวะการเข้าออกของเด็กหนุ่ม

“รอผมแป๊บนะ เราจะไปพร้อมกัน ผมสัญญาว่าผมจะทำให้เรียวมีความสุขที่สุดเลยครับ”

เดียร์กระซิบให้คำมั่นสัญญากับผม จากนั้นเขาก็พลิกร่างผมให้อยู่ในท่าคลาน โดยในระหว่างนั้น ร่างกายของผมและเขาไม่ได้แยกจากกันเลย

เด็กหนุ่มแนบร่างทาบกับแผ่นหลังของผม และกอดผมไว้แนบแน่น เขาจูบไซร้ๆเบาๆที่ซอกคอเพื่อปลุกเร้าอารมณ์ผมอีกครั้ง จากนั้นก็หยัดกายขึ้น สองมือจับสะโพกผมไว้ และขยับร่างกายของเขาเข้าออกบั้นท้ายผมถี่ยิบ

“อ๊ะ เดียร์ .....เดี๊ยะ........เดียร์......อ๊า.......”

ผมครวญครางเรียกชื่อเด็กหนุ่มไม่ขาดปาก สองมือขยุ้มผ้าปูที่นอนจนข้อเกร็งไปหมด หน้าแนบกับหมอน เนื้อตัวสั่นไปตามการเคลื่อนไหวที่ไม่หยุดยั้งของเดียร์

เขาเองก็ร่ำร้องเรียกชื่อผมด้วยเช่นกัน คำรักมากมายพรั่งพรูออกมาจากปากของเขา สะท้อนความรู้สึกทั้งมวลที่มีต่อตัวผม ในขณะที่อารมณ์ของผมปั่นป่วนถึงขีดสุด

ในอึดใจต่อจากนั้น เด็กหนุ่มก็โหมแรงใส่ผมไม่ยั้งก่อนที่ร่างกายของเขาจะกระตุก ผมรู้สึกอุ่นวาบภายในร่างกายรับรู้ได้ว่าเดียร์มอบความรักหลั่งไหลอยู่ในตัวผม ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ผมทะลักทะลายความสุขออกมาจนเต็มที่นอน เดียร์โน้มตัวลงมากอดผม ซุกจมูกที่ตรงซอกคอ และจูบเบาๆ

“ยอดรักของผม ขอบคุณมากนะครับ ที่ไว้เนื้อเชื่อใจกัน ยอมให้ผมนำทางคุณไปสู่แดนสุขสันต์ ผมรักคุณมากที่สุดในชีวิตเลยครับ ไม่เคยรักใครแบบนี้มาก่อนเลย ด้วยเกียรติของผม สัญญาว่าจะทำให้คุณมีความสุขมากๆ และจะรักคุณคนเดียวไปตลอดครับ”

เด็กหนุ่มพึมพำเสียงอ่อนเสียงหวาน เขายังไม่ยอมละออกจากร่างกายผม แต่ตระกองกอดไว้ โดยที่โอบผมลงมานอนโดยที่เขาซ้อนอยู่ที่ด้านหลังและร่างกายส่วนหนึ่งของเขายังคงอยู่ในร่างกายของผม

“นายทำให้ฉันต้องอาบน้ำใหม่อีกแล้ว”

ผมพูดด้วยน้ำเสียงหอบๆ ใบหน้าและเนื้อตัวร้อนผ่าวจากเหตุการณ์วาบหวามเมื่อสักครู่ เดียร์หัวเราะหึหึ ซุกจมูกลงตรงแถวซอกคอแล้วไล้ลิ้นวนอยู่ตรงบริเวณนั้น จนผมขนลุกขึ้นมาอีกครั้ง เขาพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนออเซาะ

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมช่วยอาบน้ำให้เรียวเอง งานแบบนี้ผมขออาสาโดยไม่คิดเงินเลยนะครับ พูดแบบนี้ ชักอยากอาบน้ำให้เรียวขึ้นมาทันทีทันใด เราเข้าห้องน้ำกันเถอะ แล้วผมจะช่วยขัดหลัง และสระผมให้ใหม่นะ”

“บ้านะสิ”

ผมรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนวาบขึ้นมา ด้วยรู้สึกอายคำพูดของเขา และอายตัวเองที่เผลอไผลยอมมีอะไรกับเดียร์อีกแล้ว ทั้งๆที่เมื่อกี้ยังนึกเคืองเด็กหนุ่มอยู่เลย

อยากจะด่าเขา แต่พอเห็นหน้าคำพูดทุกอย่างที่ต้องการพูดก็ลืมจนหมดสิ้น ยิ่งถูกเขาสัมผัสจนทำให้ผมเกือบละลาย ทำให้ผมเคลิบเคลิ้มโดยง่าย ลงท้ายต้องมานอนอยู่ในเตียงเดียวกันกับเขาจนได้

“นายมันคนโกหก ลวงโลก”

ผมต่อว่าเขา ไม่สนใจคำพูดเชิญชวนเมื่อสักครู่

“เอ๊……ทำไมมากล่าวหากันอย่างนั้นล่ะครับ”

เด็กหนุ่มทำเป็นงง แต่ปากและจมูกยังไม่หยุดทำงาน ยังคงจูบไซร้ซอกคอผมอย่างเมามัน และผมเองก็เหนื่อยเกินกว่าที่จะห้ามปราม เลยปล่อยให้เขาทำตามสบาย

เดียร์เองก็ย่ามใจที่เห็นผมนอนเฉยๆ เขาจึงจูบกอดผมไม่ยอมหยุด ขนแขนของผมลุกซู่ รู้สึกว่าในส่วนลึกของจิตใจ ผมเองก็รู้สึกชอบที่เขาทำอย่างนี้กับตัวเองอยู่ไม่น้อย

..........................................
“ไหนบอกว่า จะไม่อยู่สามอาทิตย์ แล้วทำไมยังมาอยู่ที่บ้านฉันได้ แล้วไปหลบอยู่ที่ไหน ทำไมตอนเข้าบ้านมาฉันถึงไม่เห็น”

ผมยิงคำถามใส่เขาเป็นชุด เด็กหนุ่มหัวเราะเสียงใส มือที่กอดผมอยู่เมื่อสักครู่เริ่มเคลื่อนไหว ลูบคลำไปทั่วร่างผมอีกครั้ง

“ผมเริ่มซ้อมจริงๆวันอาทิตย์นี้ครับ ซ้อมหนึ่งอาทิตย์เต็มๆก่อนไปเต้นจริง เนื่องจากเป็นคอนเสิร์ตใหญ่ และต้องไปหลายจังหวัด ต้องฟิตซ้อมให้ดี

แต่นี่ผมลาล่วงหน้าไว้ก่อนครับเพราะมีธุระบางอย่างที่ต้องไปทำ เมื่อกี้ก็ไม่ได้ไปไหนไกลหรอก แค่เดินไปตรงร้านค้ากลางซอยเท่านั้นครับ ไปซื้อข้าวของจำพวกบะหมี่สำเร็จรูป ปลากระป๋อง อาหารแห้ง และไข่ มาตุนไว้ให้เรียวไงครับ
กลัวว่าถ้าผมไม่อยู่แล้ว เดี๋ยวเรียวจะไม่มีใครอะไรให้กิน เลยหาของง่ายๆที่เรียวจะทำกินเองได้ไม่ลำบากเอาไว้ให้ครับ”

เขาอธิบายให้ผมฟังถึงการที่อยู่ๆเขาก็โผล่มา ทั้งๆที่ในเวลานี้เขาควรจะอยู่ที่บ้านของเขาไม่ใช่บ้านของผม สิ่งที่ผมได้ยินจากปากเขา มันทำให้ผมใจอ่อนไหวยิ่งนัก เด็กบ้าเอ๊ย จะไปอยู่แล้วยังมีแก่ใจห่วงผมอีก มาคอยเอาใจใส่ผมอยู่แบบนี้ทำไมกันนักหนา แค่นี้ผมก็ลำบากใจมากพออยู่แล้ว กลัวที่สุดว่าตัวเองจะไปหลงรักเขาเข้า

“ไม่เห็นต้องทำเพื่อฉันขนาดนี้เลยนะเดียร์ นายกำลังทำให้ฉันเคยตัวรู้ไหม ก่อนหน้านั้นฉันก็อยู่คนเดียวได้ แล้วหลังจากหกเดือนฉันก็ต้องอยู่คนเดียวโดยไม่มีนายอยู่แล้ว นายทำแบบนี้ เหมือนกำลังทำให้ฉันขาดนายไม่ได้ เพราะฉะนั้นให้ฉันจัดการชีวิตของฉันเองดีกว่า ฉันช่วยเหลือตัวเองได้หรอกน่า”

ผมบอกเด็กหนุ่มไปตามตรง


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่9 10/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 10-01-2009 17:59:53
“ทำไมถึงจะห้ามผมล่ะครับ เรียวน่ะ ไม่รู้ใจผมบ้างเลย เราใช่คนอื่นคนไกลกันที่ไหน
ความสัมพันธ์ของเราลึกซึ้งขึ้นมากกว่าเดิม เรียวเป็นของผมแล้ว เปรียบไปเรียวก็คือภรรยาของผมในสังคมปกติ ผมไม่ทำดีกับเมียตัวเอง แล้วจะให้ผมไปทำดีกับใครที่ไหนล่ะครับ”

“เลิกเรียกฉันด้วยคำนั้นซักทีเถอะ ฟังดูแปลกๆ ไม่ชิน แล้วก็ไม่ชอบด้วย”

ฟังคำที่เขาเรียกผมแล้ว ยังไงก็รับไม่ได้อยู่ดี

“ได้ครับ งั้นผมเรียกคุณว่า ยอดรักของผมแบบเดิมก็ได้ ดีไหม”

เดียร์พูดอย่างเอาใจ เขากอดผมแน่นเข้าไปอีก ราวกับว่าเขาต้องการให้ผมและเขาหลอมร่างกายเป็นหนึ่งเดียวกัน เขาแนบแก้มของเขากับแก้มของผม และฝังจมูกลงที่ตรงซอกคอ สูดลมหายใจเข้าปอดยาวนาน

“อันที่จริงถ้าเรียวจะรู้สึกว่าขาดผมไม่ได้เลย มันก็ยิ่งดีใหญ่ เรียวจะได้ไม่ขับไล่ไสส่งผมให้ไปห่างๆตัวยังไงละครับ ผมน่ะยินดีที่จะดูแลปกป้องเรียวตลอดชีวิตของคุณเลยนะ ไม่มีวันเปลี่ยนใจไปหาคนอื่นหรอก เรียวสบายใจได้เลย”

ผมชอบคำนี้ของเขาจัง “ยินดีที่จะดูแลปกป้องเรียวตลอดชีวิตของคุณ” มันให้ความหมายดีที่สุด เขารักผมและอยากดูแลผมไปตลอด
คำว่าชั่วชีวิตของมันอาจจะไม่เท่ากัน ผมอาจจะอายุสั้น หรือเขาอาจจะจากผมไปก่อนก็ได้ แต่ตราบใดที่ผมยังมีชีวิตอยู่ เขาจะไม่มีวันทอดทิ้งผม

“ทุกวันนี้ ผมอยากจะอยู่ใกล้ชิดกับเรียวตลอด ได้แต่หวังว่าจะมีสักวันหนึ่งที่คุณจะเห็นใจผม และยอมให้ผมอยู่เคียงข้างด้วยได้
ทำไมผมจะไม่รู้ว่าเรียวเองไม่ได้รักผมเลยสักนิด พยายามจะเลี่ยงผมโดยตลอด ถึงกระนั้นผมก็ยังหน้าด้าน ดื้อดึงที่จะเข้าหาคุณอยู่ดี
ผมพยายามอย่างมากที่จะทำตัวน่ารักกับคุณ ไม่เกเร ค่อยๆให้คุณเรียนรู้ตัวผมไปทีละนิด ไม่อยากบุ่มบ่ามหักหาญน้ำใจคุณ
แต่บางครั้งผมก็ไม่สามารถบังคับอารมณ์ หรือห้ามความรู้สึกของตัวเองได้ ยิ่งอยู่ใกล้ ก็ยิ่งรักมากขึ้น ต้องการเรียวมากขึ้นทุกวัน ผมรักคุณจนแทบจะคลั่งอยู่แล้ว ไม่อยากให้คุณไปไหนไกลตาเลย”

เด็กหนุ่มบอกความรู้สึกในใจของเขาให้ผมฟังด้วยเสียงเศร้าๆจนผมอดรู้สึกสงสารเขาไม่ได้ รู้สึกแปล๊บๆในหัวใจทุกครั้งที่เด็กหนุ่มพูดจาทำนองนี้ รู้สึกผิดที่รับจากเขามากกว่าที่จะเป็นฝ่ายให้

“นายเองก็รู้ดีอยู่แล้วนี่ ว่าฉันไม่มีวันจะเปลี่ยนใจ”

“ครับ ทราบครับ”

เด็กหนุ่มหัวเราะเบาๆ เขาคงรู้ว่าผมกำลังก่อกำแพงในใจขึ้นมาอีกแล้ว

“ได้เท่านี้ก็ดีแล้วครับ นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อนนะ เรียวคงจะขัดขืนผมมากกว่านี้ แต่ตอนนี้ เรียวเชื่อใจผม ยอมมีอะไรกับผม มันก็เป็นนิมิตหมายที่ดีแล้ว เราสองคนน่าจะไปกันได้ดีในวันข้างหน้า”

เหมือนมีคนเอาไม้มาตีแสกหน้า คำพูดที่เด็กหนุ่มพูดออกมา มันสะกิดใจผมอย่างแรง จริงสิ เมื่อกี้นี้ผมแทบจะไม่ได้ขัดขืนเขาเลย
ทุกอย่างมันผ่านไปอย่างรวดเร็วมาก นับตั้งแต่วินาทีที่เขาดึงผมเข้าสู่อ้อมกอด ทำรักกับผม และนอนทับซ้อนกันอยู่บนเตียงในขณะนี้
ผมนึกไม่ออกเลยว่ามีตอนไหนบ้างไหมที่ผมต่อสู้เขา เท่าที่จำได้ก็คือ ผมจูบและกอดตอบเขาตลอดด้วยความเต็มอกเต็มใจ
ยิ่งคิด ผมก็ยิ่งอับอายตัวเอง รู้สึกสับสนในใจ ไม่รู้ว่าทำไมเหตุการณ์อย่างนี้จึงเกิดขึ้นกับตัวผม นับวันผมก็ต่อต้านเด็กหนุ่มน้อยลง ร่างกายและจิตใจยอมรับเขามากขึ้น

เขาเหมือนตัวไวรัส ที่เข้ามาทำลายภูมิคุ้มกันตัวเองของผม กว่าจะรู้ตัว ผมก็ติดโรคจากเขาไปแล้ว เห็นทีผมต้องไปหาวัคซีนจากหมอเก่งๆเพื่อมาต้านทานไวรัสที่ชื่อเดียร์ตัวนี้เสียแล้ว ก่อนที่ผมจะเป็นโรครักเขาจนถอนตัวไม่ขึ้น

“ฉันนึกว่านายกลับไปแล้วเสียอีก แล้วนี่บอกว่าจะธุระ ทำไมไม่เห็นไปล่ะ”

ผมเปลี่ยนเรื่องซะงั้น เมื่อหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ว่าทำไมผมถึงไหวหวั่นกับเขามากมายถึงเพียงนี้ บางทีการออกไปเสียจากตรงที่ที่ทำให้เราลำบากใจ อาจจะกลายเป็นผลดีกับตัวผมเอง

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”


เดียร์หัวเราะอีกแล้ว เจ้าเด็กบ้านี้ฉลาดนัก เขามักจะสังเกตอผมอยู่ตลอดเวลา และรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ เขาน่ารักตรงที่ พยายามเข้าอกเข้าใจถึงความลำบากใจของผม และไม่พยายามที่จะกดดันให้เสียเรื่อง

“ที่จริง ผมตั้งใจจะกลับไปพัทยาก่อนครับ พอดีว่าจะไปเยี่ยมเจ้าน้อย มันมีเรื่องนิดหน่อยครับกับแฟนหนุ่มที่อยู่ด้วยกัน ตั้งใจว่าจะไปวันนี้ แต่พอโทรไปมันบอกไม่สะดวก
แฟนมันขอปรับความเข้าใจ ผมก็เลยระงับไว้ก่อน แต่ถึงอย่างไรก็ต้องไปหามันอยู่ดีครับ ว่าจะไปนอนค้างกับมันวันหนึ่ง แล้วค่อยกลับ ไปที่ค่ายเพลงแล้วเริ่มซ้อมเลยครับ”

เด็กหนุ่มตอบข้อข้องใจที่ผมกำลังสงสัยอยู่พอดีว่าทำไมเขาถึงได้ลามาก่อนวันที่จะซ้อม แต่สิ่งที่เขายังไม่ตอบผมคือ ทำไมเขาถึงยังอยู่ที่บ้านนี้อยู่

“พอน้อยไม่สะดวก นายก็เลย จะมาอยู่ที่บ้านฉันหรือไง”

ผมถามอย่างระแวง เดียร์หัวเราะอีกครั้ง คงขำที่ผมทำท่ากลัวว่าเขาจะมาอยู่ด้วย ก็แน่ละสิ ผมยอมรับโดยไม่ปิดบังว่ากลัวการมาอยู่ที่นี่ของเด็กบ้านี่ ดูสิ ขนาดผมนึกโกรธที่เขาเที่ยวได้เอารูปตัวเองมาติดทั่วบ้านผม แต่พอเจอหน้าเดียร์ ถูกเขาเล้าโลมแป๊บเดียว ผมก็ยอมให้เขาทำกับผมได้ถึงขนาดนี้ เขาจึงเป็นบุคคลที่ไม่น่าเข้าใกล้อย่างยิ่ง

“เปล่าจ้า เปล่า.......อันที่จริงผมกลับไปบ้านมาแล้วรอบหนึ่งนะครับ ตั้งแต่ตอนที่โทรหาคุณน่ะ แต่ว่าตอนที่กลับไปถึงบ้านเช่าที่ผมพักอยู่กับเพื่อนน่ะ

ไอ้เพื่อนตัวดีมันดันพาแฟนมานอนด้วย และขอร้องให้ผมไปอยู่ที่อื่นก่อน พอมันรู้ว่าผมจะไปเต้นหลายอาทิตย์ มันก็เรียกแฟนมันมานอนด้วยเลย ผมไม่มีที่ไปที่ไหน เลยกลับมาหาคุณน่ะครับ หวังจะขออาศัยอีกสักคืนหนึ่ง ก่อนไปหาเจ้าน้อยอ่ะ”

“พอมีกุญแจบ้านฉัน ก็ไขเข้ามาอยู่ และทำอะไรตามอำเภอใจในบ้านฉัน โดยไม่ขออนุญาตเลยนะ”

ผมต่อว่าเขา ยังนึกฉุนอยู่ไม่หายที่เห็นภาพถ่ายของเด็กหนุ่มห้อยระโยงรยางค์เต็มบ้างไปหมด

“เห็นภาพของผมที่ทำเก็บเอาไว้ให้คุณแล้วหรือครับ”

เขาถามผมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลไม่สนใจคำต่อว่าต่อขานของผม

“เห็นแล้ว ทำบ้าอะไรไม่รู้ บ้านฉันเลอะเทอะหมด นี่ฉันไล่ฉีกทิ้งไปแล้ว”

ผมบอกเขาอย่างฉุนๆ

“ใจร้ายที่สุด แถมซ้ำไม่มีอารมณ์โรแมนติกเอาบ้างเสียเลย ต้องจับลงโทษแล้ว”

เขากัดที่ไหล่ผมเน้นๆ ผมร้องโอ๊ย เขาหัวเราะใหญ่

“ทำอะไรเนี่ย เดี๋ยวหลังฉันเป็นแผลหมดหรอก”

ผมพยายามเบี่ยงตัวออก แต่เขากลับกอดผมไว้แน่น แล้วใช้ลิ้นเลียเบาๆตรงที่เขากัดเมื่อครู่

..................................
“ก็อยากใจร้ายทำไมล่ะ ดูสิ คนเขาอุตส่าห์ทำทั้งวัน นั่งหลังขดหลังแข็ง ถ่ายรูปตัวเอง ก๊อปปี้ลงเครื่อง จากนั้นก็ปริ้นท์ ไปซื้อกระดาษมาตัดแปะ แล้วก็เอาไปติดในที่ต่างๆ แต่คุณฉีกทิ้งแป๊บเดียวเอง ผมอุตส่าห์ทำไว้ให้คุณดู จะได้หายคิดถึงกัน”

เด็กหนุ่มว่าอย่างตัดพ้อ

“บ้าน่ะสิ เห็นบ้านฉันเป็นสถานที่จัดงานวัดหรือไงอ่ะ”

“ว้ากกกก ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะครับ ผมอุตส่าห์ทำให้เหมือนงานปาร์ตี้มากว่า”

เดียร์ว่าขำขำ

“ก็มันไม่ได้เรื่องจริงๆนี่นา มีแต่กระดาษถ่ายเอกสาร ติดทั่วบ้าน รกรุงรังไปหมด แน่จริงนายก็ถ่ายรูปเป็นโปสการ์ดมาเยอะๆสิ ขาวดำแบบนี้ นึกว่าโผล่เข้ามาในงานศพ ไม่ใช่บ้านตัวเอง”

“นี่แน่ะ ปากไม่ดี พูดเป็นลางแบบนี้ได้ไง ผมกำลังเดินทางไกลนะ ตบปากตัวเอง 20 ทีเดี๋ยวนี้เลย ....... .............ผมจัดการให้ดีกว่า”

เขาผละออกจากตัวผม แล้วดึงผมกลับเข้ามาสู่อ้อมกอดเขาใหม่ แต่คราวนี้ เขาหันให้หน้ามาเผชิญกันกับเขา เดียร์จ้องตาผม และแล้วก็ก้มลงจูบแรงๆที่ริมฝีปาก

“ตบด้วยจูบของผมนี่แหละ อยากแช่งผมดีนัก”

เดียร์พูดอย่างขำๆ เมื่อผละออกจากผมหลังจากที่มอบจูบที่ยาวนานจนผมหายใจหายคอแทบไม่ทัน หูตาของเขาแพรวพราว ใบหน้าเจ้าเล่ห์ระบายไปด้วยรอยยิ้ม

“ฉันขอโทษนะ”

ผมรู้สึกเสียใจที่พูดอะไรออกไปโดยไม่ได้คิด จริงสิ พูดอย่างนั้นได้ไงนะ หมอนี่ กำลังจะไปทำงานในที่ไกลๆจากผม ผมควรจะพูดแต่สิ่งที่ดีและเป็นมงคลมากกว่า

“ไม่เป็นไร ผมไม่เชื่อถือโชคลางสักเท่าไหร่ แต่ถ้าหากเรียวรู้สึกแย่ที่พูดไม่ดีกับผม เรียวจะขอโทษผมด้วยการให้ผมมีอะไรด้วยอีกครั้งก็ได้”

“มันเกี่ยวกันซะเมื่อไหร่ล่ะ นายนี่มันเหลือเกินจริงๆ ในหัวสมองทำไมมันถึงเต็มไปด้วยเรื่องแบบนี้กันนะ ทะลึ่งลามกเกินเด็กมากไปแล้วนะเรา”

“ก็แหม อดใจไหวซะที่ไหนล่ะ ดูสิ ได้กอดเรียวแนบชิดแบบนี้ แถมซ้ำเรียวก็เปลือยกาย ต่อหน้าต่อตาเป็นใครก็ต้องอยากกุ๊กกิ๊กกับเรียวซ้ำๆ
กลิ่นกายของเรียวก็หอมยวนใจ ยิ่งเหงื่อออกอย่างนี้ ยิ่งยั่วใจผมนัก เรียวเองก็ไวต่อการสัมผัสด้วย จับตรงไหน เรียวก็มีใจตอบสนอง แบบนี้ผมจะกลั้นได้ไง ผมเชื่อได้เลย ใครได้นอนกอดเรียวแบบผมแค่ 5 นาที ก็ทนไม่ไหวแล้ว”

ไม่พูดเปล่า เจ้าเด็กบ้านั่นก็แกล้งด้วยการดูดที่ซอกคอผมแรงๆ มือก็เลื่อนต่ำลงมาอย่างว่องไว ทำท่าจะคว้าน้องชายผมไปกอบกุม ผมเบี่ยงตัวหนี แล้วรีบลุกขึ้นคว้าผ้าขนหนูบนพื้นมานุ่ง

“งั้นฉันไปอาบน้ำก่อนล่ะ เดี๋ยวนายจะมีอารมณ์อีก”

“ผมไปอาบน้ำด้วยคนนะ”
เดียร์รีบลุกตามมายืนใกล้ๆ แต่ผมรีบถอยหนี ไม่กล้ายืนใกล้ๆร่างเปลือยเปล่าของเขา
เจ้าหมอนั่นก็ช่างกระไร มายืนแก้ผ้าต่อหน้าคนอื่นอยู่ได้ ถึงจะผู้ชายด้วยกันก็เถอะ แต่บางสิ่งบางอย่างที่ผมกับเขามีเหมือนกัน เขาดันเอามันมาใช้กับผมนี่สิ มันทำให้ผมรู้สึกอายจนไม่อยากเห็นมันอีก

“ไม่เอา ฉันอาบคนเดียวดีกว่า ไม่ไว้ใจนายอีกต่อไปแล้ว หนก่อนก็บอกว่าจะทำตัวเรียบร้อย แต่นายก็ละเมิดสัญญา”

ผมอ้างไปถึงเหตุการณ์ครั้งเก่า เดียร์ยิ้มอายๆที่ผมยังจำได้ถึงวันที่เขาตามผมเข้าไปอาบน้ำด้วย และล่วงละเมิดผมซ้ำสองหลังจากที่เขากึ่งบังคับฝืนใจผมในครั้งแรก
ผมไม่สบตาเขาแต่เสมองไปยังเตียงนอนแล้วก็ต้องหน้าแดงด้วยความอายเมื่อเห็นร่องรอยที่ตัวเองทำไว้

“ดูสิ นายทำให้ฉันต้องทำผ้าปูที่นอนเลอะเลย”

ความอายทำให้ผมโยนความผิดไปให้เขา เดียร์ยิ้มยั่ว หลิ่วตาล้อ แต่ปากกลับส่งเสียงอ้อนๆ

“ผมเอาไปซักให้เองนะ ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวปูผ้าให้ใหม่ด้วย เรียวไปอาบน้ำเถอะครับ”

น่ารักเหลือเกิน อยู่ๆผมก็เกิดนึกถึงเดียร์แบบนี้ขึ้นมา เมื่อเห็นใบหน้าอ่อนเยาว์นั้น ยิ้มหวานให้ เขาลุกขึ้นและเลิกผ้าปูที่นอนออก ขมวดเป็นก้อนขนาดใหญ่เอาไปใส่ในตะกร้า แล้วเดินไปหยิบผ้าปูที่นอนผืนใหม่มาปูให้ ท่าทางแข็งขัน
ผมยืนมองเด็กหนุ่มจัดการกับที่นอนของผมจนเสร็จ ด้วยความรู้สึกเพลิดเพลิน เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมามองผม เมื่อปูที่นอนให้เรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นว่าผมกำลังยืนดูเขา ไม่ยอมไปเข้าห้องน้ำตามที่บอกไว้ เดียร์ก็ยิ้มให้

“ยังไม่ไปอาบน้ำเหรอครับ เอ หรือว่า เรียวรอผมกันแน่น๊า.... เปลี่ยนใจจะให้ผมอาบน้ำด้วยใช่ไหม หรือว่าอยากให้ผมถูหลังกันนะ”

เขาทำเสียงล้อๆ จนผมรู้สึกอายขึ้นมา รีบเดินหนี เดียร์ส่งเสียงอ้อนตามหลัง

“ผมสัญญาว่าจะทำตัวดีๆนะ ไม่เกเรกับคุณอีกแล้ว ให้ผมไปอาบด้วยคนนะ เป็นการประหยัดน้ำไง เปิดน้ำทีเดียว อาบได้ตั้งสองคนแน่ะ "

“......”

“จะได้ช่วยถูหลังให้คุณด้วยดีไหมครับ คุณถูหลังเองไม่ได้หรอก แขนอ้อมไม่ถึง ถ้าผมถูหลังให้ จะได้สะอาดๆไงครับ”

ผมลอบยิ้มให้กับความพยายามของเจ้าเด็กบ้านั่น ดูเหตุผลที่เขาอ้างมาแต่ละข้อสิ ฟังขึ้นที่ไหนกัน แต่เอาเถอะ เห็นแก่ความน่ารักของเขา เอ๊ย ไม่ใช่สิ เห็นแก่ความดีของเจ้าเด็กนี่แล้วกัน ที่อุตส่าห์เป็นห่วงเป็นใย หากับข้าวมาตุนไว้ให้ผม อาบน้ำด้วยกันแค่นิดหน่อย คงไม่เป็นไรหรอก

“มัวแต่พูดมากอยู่นั่นแหละ อยากจะอาบก็ตามมาสิ”

“คร้าบบบบบบบบ”

เดียร์ขานรับท่าทางลิงโลด รีบเดินแทบจะแซงหน้าผมไปยืนรออยู่ในห้องน้ำ คงกลัวผมจะเปลี่ยนใจกระมัง เห็นกริยาอาการของเขาแล้วผมเลยอดหัวเราะไม่ได้ เดียร์หัวเราะตอบอย่างสุขใจ

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่9 10/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 10-01-2009 18:05:46
 o22 อ๊ากกกกกกกกกกกกกก
มีช่องไฟ เว้นสวยงามมากเลยว่าป่ะ
เหอะเหอะ เราไม่ได้ทำหลอก
คนอื่นเค้าทำแต่เราตามไปโพสมาเฉย
ดูหน้าอ่านขึ้นเน้อ คือเป็นคนขี้เกลียดนะ อิอิ :m23:


 :m29: 1-8 พี่เคทให้มาแบบไหนโพสมันแบบนั้นเลย
ส่วน 9-เท่าไรก็ไม่รู้ ไปโพสต่อเค้ามานะ
เลยมีช่องไฟสวยงามอลังการงานสร้างเลย อิอิ :m13:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่9 10/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 10-01-2009 20:36:09
ซูดดดดดดดดด ยออออออออออออดด ไปเรยยยยยยย



น่า รัก จัง เรย



แต่ ไม่อยากไห้เดียร ไปไหน ไกลๆๆๆๆๆ



ไม่ไว้ ใจ ศัก ชายเรย
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่9 10/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: b_hihi ที่ 10-01-2009 21:01:22
กรี้ดๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่9 10/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: kittyfun ที่ 10-01-2009 21:19:17
กรี๊ดเดียร์น่ารักที่สุด

เรียวเปิดใจรับเดียร์เถอะ


ยิ่งอ่านยิ่งหลงรักสองคนนี่ที่สุดเลย
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่9 10/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: the_pooh9 ที่ 10-01-2009 22:30:20
 :mc4: กรี๊ดดดดดดดดดด
 :z1:  น่ารักได้อีกนะเดียร์เนี่ย  :pig4:ไต๋
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่9 10/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: nanalonely ที่ 11-01-2009 02:01:40
^

^

จิ้มthe_pooh9มั่ง

แอบจิ้มแนนมาหลายทู้แล้ว เอาคืน งุงิงุงิ


กรี๊ดดดดดดด ตอนนี้เรียกเลือด

แต่ตบด้วยจูบนี่น่าอิจฉาเรียวจัง

น่ารักมากนู๋เดียร์
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่10 11/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 11-01-2009 13:57:50
บทที่ 10


เดียร์กอดผมไว้แนบทรวงอก ลูบเนื้อตัวเปลือยเปล่าของผมไปมา เราสองคนกลับมานอนที่เตียงกว้างใหญ่ของผมอีกครั้ง หลังจากที่กิจกรรมในห้องน้ำผ่านไปแบบซ้ำรอยเดิม

ผมกับเดียร์ใช้เวลาในห้องน้ำด้วยกันเกือบชั่วโมง โดยที่เดียร์ทำให้ผมกลายเป็นของเขาไปอีกตั้งสองครั้ง ซึ่งผมไม่ได้ห้ามปรามหรือขัดขืนแม้แต่นิดเดียว ตอนแรกเดียร์พยายามทำตัวเรียบร้อยตามที่ลั่นวาจาไว้ เราต่างคนต่างอาบน้ำกันไป โดยหันหลังให้กัน อยู่ๆ เดียร์กันหันมาหาผม แล้วก็ช่วยผมถูสบู่และขัดหลังให้

มือเขาสั่นระริกยามที่แตะเนื้อต้องตัวผม มันบังคับให้ผมสั่นตาม และเพียงแค่มองตากัน เราสองคนต่างก็รู้กันโดยอัตโนมัติ ว่าเราปรารถนากันและกันมากแค่ไหน เราสองคนร่วมรักกันอย่างเร่าร้อนภายใต้สายน้ำที่ชุ่มฉ่ำ ผมปล่อยตัวปล่อยใจให้กับเดียร์เต็มที่ เหมือนเด็กที่เชื่อฟังว่านอนสอนง่าย ยอมรับรสรักที่เขามอบให้อย่างอ่อนหวานและรุนแรง

หลงลืมความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ศักดิ์ศรีของความเป็นผู้ชายไปชั่วขณะ รู้แต่เพียงว่าความสุขที่เดียร์มอบให้ มันช่างสร้างความรู้สึกปั่นป่วนไปทั่วสรรพางค์กายอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน

ระหว่างเป็นฝ่ายทำกับฝ่ายที่ถูกทำให้ผลที่ต่างกันราวฟ้ากับดิน เวลาที่ผมมีสัมพันธ์สวาสกับผู้หญิง ผมเป็นฝ่ายนำทางให้พวกเธอเหล่านั้น
เหนื่อยหน่อยเวลาที่เป็นฝ่ายรุกเร้าให้พวกเธอเกิดอารมณ์ เพราะพวกเธอบางคนไม่กล้าที่จะเป็นฝ่ายเริ่ม หรือกล้าที่จะสนองตอบผมอย่างถึงพริกถึงขิง

ด้วยอายที่เป็นผู้หญิงจึงต้องรักนวลสงวนตัว และเรื่องเพศสำหรับผู้หญิงไทยยังเป็นเรื่องของการเก็บกดอารมณ์เสียเป็นส่วนใหญ่
พวกเธอจะรู้สึกอายที่จะต้องทำตัวยั่วยวน หรือทำตัวเป็นโสเภณีบนเตียงนอนอย่างที่บางคนเคยกล่าวว่ามันจะช่วยทำให้ผูกมัดใจสามีได้ ความสุขที่ได้รับมันจึงเป็นไปในลักษณะที่ผมเป็นคนลงมือแต่เพียงฝ่ายเดียวมากกว่า

สำหรับคนที่ดูก๋ากั่นหน่อย ก็อาจจะเป็นฝ่ายปลุกเร้าผมบ้าง แต่น้อยคนนักที่จะทำให้อารมณ์ของผมเตลิดไปไกลสุดกู่อย่างที่เดียร์ทำให้
สามยก ต่อการร่วมรักในแต่ละครั้งที่เจอกัน มันมากไปไหมนะ ผมเคยทำได้สูงสุดมากกว่านั้นแค่ 2 ครั้ง แต่ไม่สามารถทำได้บ่อย สำหรับเดียร์ซึ่งยังเป็นเด็กหนุ่มมีกำลังวังชามากมาย เขาคงทำได้เยอะมากกว่านั้น

ถ้าหากเขาเกิดขยันทำขึ้นมาจริงๆผมน่ะจะรับไว้เหรอ ไม่สิ ทำไมผมถึงต้องเป็นฝ่ายรับอยู่ตลอดเวลาล่ะ ในเมื่อผมก็ทำเป็น ผมน่าจะเป็นฝ่ายรุกเขาบ้าง แต่คิดอีกที ถ้าผมเป็นฝ่ายทำมันจะเป็นการแสดงออกว่าผมเป็นเกย์ หรือเปล่า ระหว่างเป็นเกย์ เป็นผัวเกย์ หรือเป็นเมียเกย์ อะไรที่น่ารังเกียจน้อยกว่ากันนะ ผมสับสนไปหมดแล้ว

“รู้ไหม นายละเมิดสัญญานะ”

เมื่อหาทางออกให้กับความสับสนในใจตัวเองไม่ได้ การโทษเขาจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้ความรู้สึกของผมดีขึ้น เด็กหนุ่มหัวเราะ เขาเชยคางผมขึ้นให้หันมาทางเขา มองผมอย่างรู้เท่าทัน
“ไม่ได้ละเมิดอะไรเลยนะ จำได้ไหมครับ เรียวยอมให้ผมทำต่างหากล่ะ”

เดียร์ทำตาเจ้าชู้ใส่ผม

“ก็นายทำแบบนั้น ใครจะไม่หวั่นไหว ถ้าอยากจะรักษาสัญญาจริงๆ ก็อย่าเริ่มสิ”

ผมยังว่าเขาต่อเนื่อง รู้สึกว่าตัวเองพาลพาโลเหลือเกิน เมื่อเอาผิดเขาไม่ได้ เพราะเขาลื่นไหลไปเรื่อยๆ ผมก็ต้องหาเหตุมาอ้างเผื่อให้เขายอมรับว่าตนเองนั่นแหละผิดที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้

“ถ้ามันทำให้เรียวไม่พอใจ ผมก็ต้องขอโทษเรียวมากๆเลยนะครับ เรียวครับ เราสองคนจะไม่ได้เจอกันอีกตั้งสามอาทิตย์แน่ะ
ผมน่ะอดคิดถึงคุณไม่ได้เลย หากต้องอยู่โดยไม่ได้เจอคุณ ผมคงแทบคลั่ง แต่ว่า ผมเองก็ต้องไปทำงาน ทั้งที่อยากอยู่กับเรียวใจจะขาด แต่ผมก็จำเป็นต้องทำเพื่อให้ได้เงินมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของตนเอง
ผมไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีที่จะทำให้ความทรงจำระหว่างเราเป็นไปในทิศทางที่ดี อยากจะให้เรียวคิดถึงผมบ้าง ก็เลยต้องใช้วิธีนี้ อย่าถือโทษโกรธผมเลยนะ”

เดียร์กล่าวขอโทษขอโพยผมด้วยเสียงอ้อนๆ ดวงตาที่จ้องมองผมเต็มไปด้วยความรักและภักดี ผมไม่สามารถสบสายตาของเขาได้นานนัก ใจคอเริ่มหวั่นไหวไปกับความรักที่เด็กหนุ่มมอบให้
เจ้าเด็กโง่เอ๊ย ทำแบบนี้แล้ว ผมยิ่งรู้สึกแย่มากๆ เขากำลังทำให้จิตใจของผมโอนเอียงไปทางเขามากขึ้นเรื่อยๆ หากผมไม่สามารถควบคุมตนเองได้ สักวันหนึ่งผมคงตกอยู่ในบ่วงเสน่หาของเดียร์อย่างแน่นอน

“ทำไมต้องทำงานมากมายนักนะเดียร์ ฉันเห็นนายทำอะไรต่ออะไรเยอะแยะไปหมดเลย ไม่ว่าจะส่งหนังสือพิมพ์ ทำงานร้านอาหาร ทำงานกลางคืนที่ร้านกาแฟ แล้วยังไปเต้นอีก แถมซ้ำยังลงเรียนด้วย ไม่เหนื่อยบ้างหรือไง”

“ก็เหนื่อยเหมือนกันนะครับ แต่ทำยังไงได้ล่ะ ผมไม่มีใครช่วยเหลือดูแล ต้องทำงานตั้งแต่เป็นเด็กๆแล้วนับจากวันที่ผมหนีออกจากบ้านมา ถ้าไม่ทำก็คงจะใช้ชีวิตอยู่อย่างลำบากน่ะครับ”

เดียร์พูดยิ้มๆ ท่าทางไม่ค่อยอนาทรร้อนใจสักเท่าไหร่ เหมือนว่าการทำงานหนักไม่ใช่ปัญหาสำคัญที่เขาควรจะใส่ใจ

“ฉันเคยได้ยินได้ฟังมาว่า เกย์บางคนที่หน้าตาดีๆก็มีเสี่ยเลี้ยง หรือไม่ก็เข้าวงการบันเทิง นายอยู่ในวงการเต้นอยู่แล้ว
ไม่คิดจะเป็นนักร้องหรือดาราบ้างเหรอ รายได้จะได้ดีขึ้น ไม่ต้องมาทำหลายอย่างให้เหนื่อยยาก นายหน้าตาดีแบบนี้เป็นนักแสดงได้สบายอยู่แล้ว”

ผมถามเด็กหนุ่มด้วยความสงสัย เดียร์เป็นคนหน้าตาดีมาก โครงสร้างร่างกายแข็งแรง รูปร่างสูงใหญ่ ลูกครึ่งพิมพ์นิยมที่วงการบันเทิงต้องการ
เขาน่าจะเข้าสู่วงการมายามากกว่าที่จะมาทนร้อนอยู่หน้าเตา หรือเต้นให้เหงื่อซ่ก ได้เงินมากกว่ากันเยอะเลย

“เรียวนี่ต้องเป็นปลาทองแน่ๆเลย”

อยู่ๆเดียร์ก็ว่าผม เขาหัวเราะลงลูกคอเอิ๊กอ๊ากเมื่อเห็นผมทำหน้างงๆ

“เรื่องไรมาว่าฉันเป็นปลาทอง....”
ผมย้อนถามเสียงขุ่น

“ก็เรียวอ่ะ เคยถามผมตั้งแต่ตอนที่ช่วยผมครั้งแรกเมื่อ 4 ปีที่แล้วไงครับ ว่าทำไมไม่อยากเป็นดารา เพราะหน้าตาก็ออกดี๊ดี ผมก็ตอบไปว่า ผมไม่ชอบวงการนี้ครับ ผมไม่ชอบการหลอกลวง
การเป็นนักแสดง ไม่ว่าจะเป็นดารา หรือนักร้อง มันก็มีส่วนดี อย่างน้อยๆทำให้เรามีรายได้มากขึ้น มีเงินเก็บเยอะขึ้น มีชื่อเสียงด้วย
แต่ผมไม่ชอบตรงที่เราไม่มีความเป็นส่วนตัว รักชอบอะไร ก็บอกใครไม่ได้ ต้องอยู่ในสายตาประชาชนตลอด ผมไม่ชอบการโกหกแบบนั้นนี่ครับ”

“ก็ไม่เห็นมีเรื่องอะไรต้องโกหกนี่”

ผมย้อนถามเขา เด็กหนุ่มถอนหายใจ ทำหน้าเหมือนกับว่าผมไม่เคยรู้อะไรเลย

“แล้วจะให้ผมตอบพวกเขาไปว่าไงล่ะเรื่องพ่อแม่ แล้วสิ่งที่ผมเป็นอยู่นี่ละครับ จะให้โกหกหรือพูดความจริงกัน เรื่องที่ แม่ผมเป็นเมียเช่า แถมตัวเองก็เป็นเกย์อีกด้วย เขาจะยอมรับผมกันล่ะหรือ
แล้วถ้าให้ผมเปลี่ยนใจ เลิกรักเรียว ผมก็ทำไม่ได้หรอก ผมอุตส่าห์ตามหาคุณมาตั้งนาน กว่าจะได้เจอตัวคุณ วางแผนเพื่อให้ตัวเองได้เป็นแฟนกับเรียว แล้วอยู่ๆจะให้ผมทิ้งทุกอย่างเพื่อเป็นดารา ผมไม่เอาหรอกครับ ผมไม่ยอมแลกเรียวกับใครทั้งสิ้นหรอก”

เออจริงสิเนอะ ผมลืมเรื่องนี้ไปสนิทเลย พอจะจำได้คลับคล้ายคลับคลาแล้ว ว่าเขาเคยพูดเรื่องนี้กับผมอย่างไม่ปิดบังด้วย
ผมรู้สึกว่าตัวเองแย่จังเลยที่ไปซักเขาจนทำให้ต้องพูดในสิ่งที่ไม่อยากจะเล่าให้ใครฟังออกมา แต่ความรู้สึกผิด ถูกกลบด้วยความรู้สึกกลัวใจตนเองมากกว่า ยิ่งได้ฟังประโยคท้ายของเขา ผมยิ่งหวั่นไหว

“พอนายมีเงินแล้ว แถมดังด้วย ขี้คร้านจะมีคนดีๆมาให้นายเลือก ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่ถ้านายเปลี่ยนใจมาชอบผู้หญิงได้ก็ดีนะ หรือถ้าไม่ชอบ ก็หาผู้ชายหล่อๆดีสักคนมาเป็นแฟนก็ได้”

ผมยุส่ง รีบหันเหความสนใจของเขาไปทางอื่นที่ไม่ใช่ตัวผม แต่ทุกอย่างที่ผมพยายามทำ มันไม่เคยสำเร็จ ถึงอย่างไรเดียร์ก็วกกลับมาที่ผมจนได้

“แล้วเรียวเมียผมจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ”

“อีกแล้วนะ”

ผมทำเสียงเหมือนไม่พอใจ รู้สึกไม่อยากได้ยินคำนี้อีกเลยจากปากเขา เดียร์อุทานเสียงสูง แล้วรีบขอโทษขอโพย

“ขอโทษครับ...........ยอดรักของผม ผมอ่ะแค่จะบอกว่า ผมไม่มีวันทิ้งเรียว เข้าใจไหมครับ จะต้องให้บอกกี่ครั้งกันเนี่ยหือ คนแก่สมองปลาทอง ผมรักเรียวคนเดียว ตราบใดที่ผมยังทำให้เรียวรักผมไม่ได้ จะไม่มีวันรามืออย่างเด็ดขาด
แล้วถึงแม้ว่าเรียวจะรักผมแล้ว ผมก็จะยังไม่หยุดรัก จะคอยดูแลปกป้องเรียวไปตลอด ด้วยความคิดแบบนี้ มันทำให้ผมไม่ได้อยากเป็นดาราหรือเป็นอะไรทั้งนั้น เรียวคือสิ่งมีค่าที่สุดของผม มากกว่าชื่อเสียงเงินทอง หรือลาภยศอื่นใด ผมไม่แลกเรียวกับใคร หรือกับอะไรทั้งนั้น โปรดเข้าใจไว้ด้วยนะครับ”
เด็กหนุ่มทำเสียงเข้มใส่ผม ท่าทางขัดใจที่ผมไม่ยอมเข้าใจอะไรเอาเสียเลย อากัปกริยาของเขาที่เปลี่ยนไป เล่นเอาผมต้องนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก เดียร์จริงจังกับผมมากจนผมนึกกลัว

“ที่ถามผมว่า เกย์บางคนมักจะมีเสี่ยเลี้ยง มันก็ถูกอ่ะครับ เดี๋ยวนี้คนเรารักสบายขึ้น ไม่ว่าชายหรือหญิง ไม่มีใครอยากลำบาก ต้องทำงานงกๆ แล้วได้เงินมาไม่พอยาไส้

ผู้หญิงหรือผู้ชายบางคนจึงเลือกที่จะรับเงิน ข้าวของ ความฟุ่มเฟือยสะดวกสบายที่มีใครบางคนหยิบยื่นให้ เพียงแต่ว่า
มันอาจจะดูแปลกๆที่ผู้ชายยอมขายตัว หรือยอมบำเรอความสุขให้กับคนที่มีเงินเลี้ยงเขา เท่าที่ผมรู้และเคยเห็นมานะครับ
บางคนก็ทำไปเพราะความจำเป็นทางการเงิน เช่นมีภาระเลี้ยงดูคนอื่น แล้วไม่รู้ว่าจะหาหนทางใดที่จะให้ได้เงินมามากๆ จึงต้องทำวิธีนี้
บางคนก็อาจจะหลงไปกับค่านิยมทางวัตถุ เช่น อยากได้เงินใช้จ่ายสุลุ่ยสุร่าย อยากได้มือถือ อยากใช้ของแพงๆ อยากได้บ้าน หรือรถ
การทำงานไปตามปกติ ไม่ช่วยให้เขาได้สิ่งเหล่านั้นมา ถ้าไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทอง จะอาศัยทำงานอย่างเดียว เก็บเป็นชาติก็ไม่รู้ว่าจะได้หรือเปล่า ก็ต้องหาเอาทางลัดอ่ะครับ

บางคน ได้ทั้งเงิน ได้ทั้งของ แล้วก็ได้ความสนุกทางเพศด้วย คนหน้าตาดีก็มีสิทธิเลือกได้มากนะครับ”

เดียร์อธิบายเหตุผลที่ผู้ชายหันมาเป็นฝ่ายรับการดูแลมากยิ่งขึ้น เขาเงียบหลังจากที่พูดจบ เพื่อรอฟังว่าผมจะพูดว่าอะไร แต่เมื่อเห็นผมนิ่งเฉย เขาก็พูดต่อ

“ถ้าถามผมว่า ถ้ามีใครมายื่นโอกาสแบบนี้ให้ ผมจะเอาไหม ขอตอบเลยครับว่า “ไม่” เรียวเองก็เคยช่วยผมจากผู้ชายที่คิดจะมาซื้อผมใช่ไหมครับ ก็น่าจะรู้คำตอบดีโดยไม่ต้องถาม

หัวใจ และร่างกายนี้ ผมไม่ได้มีเอาไว้สำหรับซื้อขาย ผมไม่สนเรื่องเงินทองจำนวนมาก ใจเท่านั้นถึงจะซื้อใจของผมได้
แต่ตอนนี้ ผมไม่เหลือขายให้ใครแล้ว ผมมอบทั้งตัวและหัวใจให้เรียวไปจนหมด ได้แต่หวังว่าเรียวคงไม่นำมันไปขายทอดตลาดให้กับคนอื่น ความรักของผมที่มีต่อเรียว มันเป็นความรักแท้นะครับ

เรียวได้จ่ายให้ผมไปแล้ว จ่ายด้วยความเมตตาปรานีที่เรียวมีต่อผม ทั้งๆที่ไม่รู้จักกัน แต่ผมกำลังรอการจ่ายงวดสุดท้ายของเรียว นั่นคือ การมอบหัวใจที่ล้ำค่าของเรียวมาให้

แต่ถึงแม้ว่าเรียวจะไม่ยอมมอบให้ผมจริงๆ ผมก็ภูมิใจที่ผมผ่านทุกอย่างมาได้ถึงขั้นนี้แล้ว แค่ได้อยู่กับเรียวก็เป็นความสุขขั้นสูงสุดของผมแล้ว จริงๆนะครับ อย่าพยายามผลักไสผมไปอยู่กับคนอื่นเลยนะ”

เขากอดผมไว้แนบแน่น ราวกับว่าผมจะหนีหายจากเขาไป ผมได้แต่อึ้งพูดอะไรไม่ออก สำเหนียกได้ถึงความรักท่วมท้นของเดียร์ที่มีต่อผม
คำขอร้องที่ว่าอย่าผลักไสเขาไป มันทำให้ผมเกิดความเศร้าสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูก เด็กเอ๋ยเด็ก ถ้าผมไม่ทำอย่างนั้น

ผมเองก็จะเป็นฝ่ายทุกข์ทรมานเอง ถ้าบังเอิญเกิดรักเขาขึ้นมาจริงๆ ผมยังต้องอยู่ในสังคมนี้ การอยู่กินกับเกย์ ไม่ใช่สิ่งที่ได้รับการยอมรับจากคนทั่วไป ผมตอบตัวเองไม่ได้ว่าผมจะสามารถละทิ้งทุกอย่าง เพื่อความรักตัวเดียวได้หรือเปล่า

“ฉันเข้าใจแล้วเดียร์ .....ขอบคุณมากสำหรับความรักที่มีให้กับฉันอย่างล้นเหลือ ฉันไม่อยากให้นายมาจมปลักอยู่กับฉัน นายน่าจะเจอคนดีๆที่รักนาย จะได้ไม่เสียใจภายหลัง”
“บอกแล้วไง ว่าผมไม่เลิกรักเรียวง่ายๆหรอก แล้วไม่ต้องพูดเรื่องนี้อีกแล้วนะครับ ไม่ว่าอย่างไรผมก็จะไม่ชอบคนอื่นอีกแล้วนอกจากคุณ
เป็นเมียภาษาอะไรกัน จะขับไล่สามีตัวเองให้ไปรักคนอื่น อย่ามาทำเป็นใจดีนักเลย ถ้าวันหนึ่งผมไม่อยู่จริงๆ เรียวอาจจะเหงา และเศร้าใจก็ได้ ใครจะรู้”

เขากอดแน่นเข้า แต่ผมดิ้นหนี รู้สึกไม่พอใจที่เขาเรียกผมว่าเมียอีกแล้ว แต่เดียร์ยิ่งกอดแน่น

“ฉันจำได้ว่าขอร้องนายไม่รู้ตั้งกี่ครั้งให้เลิกเรียกฉันแบบนั้น”

“ก็เรียวอยากพูดจาผลักไสผมทำไมล่ะ ผมก็พูดให้เรียวรู้จักสถานะของตัวเองนะสิ ว่าเป็นอะไรกับผม”

“แค่มีสัมพันธ์ทางเพศด้วยกันแค่นี้เหรอ มันไม่ได้ผูกพันเหมือนชายหญิงถึงขนาดนั้นเลย อย่าเอามาเปรียบเทียบกัน”

ผมยังไม่หายขุ่นใจ

“เรียวอาจจะคิดว่าไม่มีความหมายอะไร เพราะเรียวไม่เคยรักผมเลย แต่สำหรับผมแล้ว เรียวเป็นครอบครัวของผมครับ
ถึงเรียวไม่รัก ผมไม่ว่า แต่ขอร้องอย่างเดียวว่าอย่าปฏิเสธผม อย่างน้อยก็หกเดือนตามสัญญา ทำได้ไหมล่ะครับ และถ้าขืนเรียวยังเสนอความคิดที่จะให้ผมหันไปชอบคนโน้นคนนี้อีก
ผมก็จะเรียกเรียวว่าเมียอย่างนี้ไปเรื่อยๆ แล้วจะเพิ่มคำว่าจ๋าเข้าไปด้วย เรียกแบบนี้ไงครับ “เมียจ๋า เมียจ๋า” เรียวจะได้ตระหนักเสียทีว่าเรียวเป็นของผมแล้ว และผมเป็นสามีของเรียว จะขับไล่ใสส่งอะไรก็ขอให้คิดถึงข้อนี้บ้าง”

เดียร์เองก็ทำท่าฉุนๆเหมือนกัน เขาคงโมโหคำพูดผมเมื่อสักครู่ ผมเองก็สุดจะทนเหมือนกัน ไม่อยากได้ยินคำๆนั้นกับเขา มันชวนให้คิดว่าผมเป็นฝ่ายหญิงอยู่ร่ำไป

“ฉันไม่ใช่เมียนาย”

ผมพูดแทบจะตะโกนด้วยความเหลืออด พลางเอามือทั้งผลักทั้งดันเดียร์ให้ห่างจากตัวผม

“ทำไมจะไม่ใช่ ของๆผมอยู่ในนี้ของคุณตั้ง 6 ครั้ง มันมากพอที่จะเรียกว่าเราสองคนเป็นผัวเป็นเมียกันได้แล้ว”

เด็กหนุ่มฟาดไปที่ก้นเปลือยเปล่าของผมค่อนข้างแรง เพื่อเป็นการตอกย้ำคำพูดของตนเอง และยุติการดิ้นหนีของผม ซึ่งมันได้ผล
ผมหยุดชะงัก มองจ้องเขาตาเขม็งด้วยความโมโหที่เขามาฟาดผม แถมซ้ำยังพูดไม่รู้เรื่องอีก เขาจ้องตอบมาด้วยสายตาโกรธขึ้ง
จังหวะที่ต่างคนต่างจ้องกันอยู่นั้นเอง ผมก็งอเข่าขึ้นและง้างขาขึ้นมาถีบเขาออกไปให้พ้นตัว เพื่อให้เขาผละออกจากผม เดียร์ผงะออก จากนั้นเขาก็ใช้แรงทั้งหมดที่มีอยู่โถมขึ้นมาทับตัวผม และจับแขนผมสองข้างรวบไว้เหนือหัว

“ยังสงสัยอยู่ใช่ไหม เอาสิ ผมจะทำให้ดูอีกครั้งว่าเป็นผัวเป็นเมียน่ะ เขาทำอย่างไง จะได้เลิกเถียงกับผมเสียที”

“อย่าได้คิดทำอะไรที่ฉันไม่อนุญาตเชียวนะ”
ผมร้องห้ามเมื่อเห็นเด็กหนุ่มกำลังจะทำอย่างที่ขู่ แต่คำพูดของผมหรือจะขวางเดียร์ที่กำลังโมโหได้ เขาก้มหน้าลงมาที่ซอกคอของผม และจูบซุกไซร้แรงๆ แต่ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์เคลิบเคลิ้มในสิ่งที่เขาทำอีกต่อไป ผมพยายามดิ้นเพื่อให้หลุดจากการเกาะกุม เมื่อไม่เป็นผลผมก็งัดไม้ตายขึ้นมาตอบโต้

“ถ้านายยังไม่หยุด งั้นเราก็เลิกกันวันนี้เลย”

เสียงของผมค่อนข้างดังพอที่จะหยุดเขาได้ เดียร์ชะงัก เขาเงยหน้าขึ้นมองผม ก็เห็นผมจ้องตอบอย่างเอาเรื่องอยู่ก่อนแล้ว
หน้าของเด็กหนุ่มสลดลง สายตาที่จ้องกลับมามีแววเศร้าสร้อย เขาก้มลงจูบปากผมอีกครั้ง ก่อนจะปล่อยมือสองข้างผมให้เป็นอิสระแล้วกอดผมไว้แนบแน่น

“หยุดแล้วครับ อย่าเลิกกันนะ ผมขอโทษ ผมโมโหไปหน่อย”


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่10 11/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 11-01-2009 13:58:27
ผมตัวสั่นสะท้านด้วยอาการหอบจากการดิ้นรนเมื่อครู่ และความพยายามที่จะระงับอารมณ์โกรธที่พลุ่งพล่านในใจ
นึกโกรธตัวเองที่ปล่อยให้เรื่องมันล่วงเลยมาจนถึงป่านนี้ ยอมมีอะไรกับเขาจนทำให้เรื่องมันยุ่งยากขึ้น พาลโกรธคนที่กำลังกอดผมอยู่ขณะนี้ด้วย

“ผมสัญญาว่าจะไม่เรียกคุณด้วยคำนั้นก็ได้หากทำให้คุณไม่สบายใจ แต่ขอว่าอย่าไล่ผมไปจากชีวิตของคุณเลย
เรียวกำลังจะฆ่าผมให้ตายรู้ไหม ผมจะไปไหนได้ ผมจะอยู่ตรงไหนได้ ถ้าที่นั่นไม่มีคุณ จะให้ผมอยู่ห่างหัวใจของตัวเองได้ยังไง”

เด็กหนุ่มทำเสียงตัดพ้อ ฟังดูน่าสงสาร ผมถอนหายใจ พยายามข่มความรู้สึกหวั่นไหวที่วูบวาบขึ้นมา

“ยังไม่เคยบอกเลยว่าจะไล่ไปไหน ถ้าไล่ นายก็ไม่ได้มานอนอยู่บนเตียงฉันแบบนี้หรอก”

“งั้นอย่าไล่ผมไปเลยนะ ให้ผมอยู่ด้วยกับคุณตลอดได้ใช่ไหม”

เขาพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน ท่าทางวุ่นวายใจ

“อย่าสร้างความรำคาญให้ฉันแล้วกัน”

ผมตอบเขาไปอย่างเซ็งๆ เดียร์คงจะจับน้ำเสียงได้ ว่าผมก็คงจะเบื่อเขาอยู่บ้าง แต่เดียร์เลือกที่จะไม่เก็บประเด็นที่นำความทุกข์มาใส่ใจ
เขายกเอาเรื่องราวของความสุขมาตีความข้างตนเอง ดังนั้นสิ่งที่ผมได้เห็นจากเดียร์ก็คือรอยยิ้มกว้างอย่างสุขสมหวัง ผมถอนหายใจอีกครั้ง กับอากัปกริยาที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของเขา

เมื่อกี้โกรธผม พอผมไม่ยอม และพูดแรงๆใส่ เขาก็ทำท่าน้อยอกน้อยใจ มาเมื่อครู่นี้ ผมพูดดีด้วย เขาก็ทำหน้าบานเป็นจานเชิง เด็กยังไงก็เป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ

“ไม่แล้วครับ เรียกเรียวว่า ที่รักจ๋าดีกว่า ถ้าเรียกแบบนี้ เรียวก็จะไม่โกรธใช่ไหม แล้วเรียวก็จะให้ผมอยู่เคียงข้างเรียวตลอดเวลาด้วย เรียวใจดีมากเลย ผมรักเรียวที่สุด”

เขาเกลือกหน้าตัวเองลงกับหน้าของผม ท่าทางมีความสุข ผมอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอีก

“นอนดีกว่า เหนื่อยแล้ว ไม่อยากจะพูดอะไรอีกต่อไป”

ผมตัดบท ขี้เกียจต่อปากต่อคำกับเด็กหนุ่ม เดียร์พลิกตัวลงนอนหงายและดึงผมเข้ามาไว้ในอ้อมกอดของเขา


“ได้ครับ แต่ถ้านอนแบบนี้ เรียวจะหนาวหรือเปล่า แต่ไม่เป็นไรนะ ผมนอนกอดเรียวให้ตัวอุ่นได้ รับรองเรียวจะไม่มีทางเป็นหวัด เมื่อนอนในอ้อมกอดของผมครับ”

จริงสินะ ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า หลังจากที่เราสองคนออกมาจากห้องน้ำ เดียร์ก็เช็ดตัวผมจนแห้ง แล้วโอบประคองผมมานอนบนเตียงเลย

เขาแข็งแรงมากจริงๆ จนผมไม่อาจจะขัดขืนเขาได้ ผมรู้สึกเพลียจนอยากจะหลับลงเสียตอนนี้เลย จึงปิดเปลือกตาลง ช่างมันเถอะ
ผมไม่มีความลับเรื่องร่างกายของผมกับเดียร์อีกต่อไปแล้ว เขาเห็นและสัมผัสตัวผมทุกซอกทุกมุม แทบไม่มีตรงไหนที่เขาไม่เคยจับต้อง เดียร์จะกอดผมหรือจะทำอะไร ผมก็ไม่มีแรงจะต่อกรกับเขาหรอก

เดียร์กอดผมไว้แนบแน่น ศีรษะซุกซบอยู่กับศีรษะของผม หลังจากจูบที่หน้าผากผมเบาๆแล้ว เขาก็นอนนิ่งเงียบ
ผ่านไปอึดใจผมก็ได้ยินเสียงลมหายใจที่ดังสม่ำเสมอจากเขา เดียร์หลับไปแล้ว ทั้งๆที่ยังตระกองกอดผมไว้ ผมค่อยๆผ่อนคลายตัวเอง เลิกเกร็ง และทำจิตใจให้สบายขึ้น จากนั้นผมก็ค่อยๆเอนซบเขา แล้วก็หลับไป






เป็นเวลาอาทิตย์หนึ่งแล้ว นับจากคืนนั้นที่เดียร์มาบ้านของผม เขาออกไปแต่เช้ามืด เพื่อไปทำธุระที่พัทยา ไปหาน้อยเพื่อนของเขา
เดียร์ไม่ได้ปลุกผม แต่ทิ้งโน้ตพร้อมด้วยภาพถ่ายสีของเขาในอิริยาบถต่างๆ รวมถึงภาพที่ถ่ายจากงานคอนเสิร์ตที่เขาไปเต้นให้ศิลปินชื่อดังต่างๆ

ผมคิดว่ามันคงเป็นภาพถ่ายที่เขาเก็บเอาไว้สำหรับพรีเซ้นต์งานของเขาให้บรรดาเอเจนซี่ทั้งหลายดู เพราะผมเห็นภาพเดียวกันในแฟ้มของเดียร์ที่วางทิ้งไว้รวมกับข้าวของของเขาในห้องนอนของผม
เดียร์คงตั้งใจที่จะแบ่งภาพเหล่านั้นส่วนหนึ่งเอาไว้ให้ผมดูต่างหน้า ยามที่เขาไม่อยู่ เขาเอากรอบรูปใหม่ที่ใส่รูปของเขามาวางตั้งไว้ใกล้ๆรูปของผมที่หัวเตียง

เอารูปไปติดไว้ที่หน้าโต๊ะแต่งตัว ที่ประตูตู้เสื้อผ้า หน้าประตูห้องน้ำ ตรงชั้นที่วางแชมพู เดียร์ก็ตัดรูปเขาใส่กระดาษแข็งทำคล้ายๆกับตุ๊กตากระดาษเอาไปแปะตรงหน้ากระจก ตรงไหนที่เขาพอจะเอารูปเขามาแปะได้ เขาจะทำจนไม่เหลือช่อง
ผมนึกขำกับความพิเรนทร์ของเขา เจ้าเด็กโง่นั่นคงคิดว่า ผมจะระลึกถึงเขาได้เพียงแค่การมองเห็นหน้าเขาบ่อยๆ หรือบางทีเขาอาจจะอยากให้ผมจดจำความเพี้ยนของเขาก็ได้

ผมล้มเลิกความคิดที่จะฉีกทิ้งทำลายภาพของเดียร์ ไม่ใช่เพราะผมคิดถึงเขา แต่ผมเสียดายภาพทั้งหมดของเดียร์ มันอาจจะเป็นเงินจำนวนไม่น้อยที่เขาต้องจ่ายไป เขากลับมาอาจจะต้องใช้
ผมไม่รู้ว่าเดียร์ไปอัดภาพเหล่านี้มาเมื่อไหร่ และเขาได้จ่ายเงินไปเท่าไหร่ อีกทั้งไม่รู้ว่าเขาเอาเวลาไหนไปทำ อาจจะเป็นตอนเช้ามืดที่เขาอาจจะตื่นมาก่อนผม แล้วมานั่งทำจนได้เวลาไปขึ้นรถทัวร์ก็ได้ แต่ถ้าหากเขาทำด้วยความรู้สึกดีต่อผม ผมก็ไม่ควรจะทำให้เขาเจ็บปวดด้วยการทำลายมันทิ้งไม่ใช่หรือ

ผมปล่อยให้รูปของเดียร์อยู่ในห้องผมแบบนั้น เพราะคิดว่ามันคงไม่ได้สร้างปัญหาอะไรมากนัก แต่พอผมเปิดตู้เสื้อผ้าของตนเอง ผมก็อดรู้สึกโมโหนิดๆไม่ได้ เจ้าเด็กบ้านั่น ถือวิสาสะเอาเสื้อผ้าของตัวเองมาใส่ไว้รวมกับเสื้อผ้าของผมตั้งมากมาย เหมือนกะจะมาอาศัยอยู่กับผมระยะยาว
ผมปลดเสื้อผ้าของเดียร์ออกจากตู้ ตอนแรกกะจะโยนลงตะกร้าด้วยความโมโห แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ เอามาวางพาดซ้อนๆกันตรงเก้าอี้ ไม่อยากจะทำร้ายกันจนเกินไปนัก ถ้าเขามาผมจะบอกให้เขาเอากลับไปให้หมด ผมเพิ่งจะรู้ว่า นอกจากเดียร์จะทิ้งร่องรอยของเขาไว้ในบ้านของผมแล้ว เขายังเป็นชนวนที่สร้างเรื่องราวชวนปวดหัวให้กับผมอย่างไม่น้อย

เริ่มจากตอนเช้าก่อนออกจากบ้าน ผมเจอพี่สมชาย ยืนอยู่ที่ประตูรั้วด้านหน้า มองผมยิ้มๆ ผมทักทายพูดคุยตามปกติ
อยู่ๆแกก็พูดถึงเดียร์ขึ้นมา พี่สมชายเจอเดียร์ตอนออกจากบ้านของผมไปเมื่อตอนเช้ามืด เขาเลยรู้ว่าเดียร์นอนบ้านผมเมื่อคืน
อันที่จริง พี่สมชายคงจะเห็นมาหลายคืนแล้ว ว่าเดียร์ชอบมาค้างที่บ้านผม ก็บ้านเราตรงข้ามกันขนาดนั้น ถ้าตั้งอกตั้งใจมองจริงๆก็คงจะเห็นความเคลื่อนไหวภายในบ้านที่เกิดขึ้น

พี่สมชายคงจะเก็บความสงสัยไว้นานมาก พอวันนี้ สบโอกาสเหมาะ แกก็เลยถามผมขึ้นมา ผมเดาว่าพี่สมชายคงกำลังสงสัยในความสัมพันธ์ของผมกับเดียร์ ถึงแม้ว่า เดียร์จะเคยบอกแกว่าเป็นน้องชายของผม แต่ดูเหมือนพี่สมชายจะไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่
แกทำท่าเหมือนว่าแกรู้อะไรบางอย่างที่ผมปกปิดเอาไว้ คำถามที่ถามผมแต่ละคำ ก็เหมือนกับจะกล่าวหาว่าผมกับเดียร์มีอะไรกัน
ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่หลงไปตอบคำถามอะไรที่จะผูกมัดตัวเอง ในเมื่อแกไม่ถามตรงๆออกมาเลยว่าผมกับเดียร์มีอะไรกันลึกซึ้งหรือเปล่า ผมก็ไม่จำเป็นต้องไปขยายความให้แกมั่นใจยิ่งขึ้นในสิ่งที่เชื่อ

ผมเก็บความไม่พอใจพกไปในที่ทำงานด้วยในเช้าวันนั้น แต่ยังไม่ทันนั่งลง โทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้น ศักดิ์ชายโทรมาโวยวายแต่เช้า
มันบอกว่ามันโทรมาหาผมตอนประมาณสักตีห้า โทรมาตั้งนานมาก พอมันกำลังจะวางหู ก็มีเสียงตอบรับ เป็นเสียงผู้ชาย มันก็ถามหาผม แต่เสียงนั้นตอบกลับมาว่าโทรผิดแล้ว จากนั้นก็ตัดสาย

พอมันโทรอีก ก็ถูกตัดสายตลอด ตอนแรกมันก็คิดว่าโทรผิด แต่เมื่อเช็คเบอร์แล้ว ก็รู้ว่าจำไม่ผิดแน่นอน มันถามผมว่าเกิดอะไรขึ้น มีใครอยู่กับผมด้วยเหรอ

ผมใจหายวาบ นึกเดาว่าคนที่รับสายศักดิ์ชายต้องเป็นเดียร์แน่นอน แต่หมอนั่นไม่ได้บอกผมให้รู้เลย
เดียร์คงได้ยินโทรศัพท์ที่ศักดิ์ชายโทรมาหลายครั้ง เลยอดไม่ได้ที่จะรับโทรศัพท์ แต่ก็ยังดีที่เด็กนั่นบอกว่าโทรผิด ไม่อย่างนั้น
ผมคงเจอศักดิ์ชายซักฟอกมากกว่านี้ ผมเลยแกล้งบอกมันไปว่า ผมไม่เห็นได้ยินโทรศัพท์อะไรเลย แล้วผมก็ไม่ได้มีใครมาอยู่ด้วย มันคงโทรผิดจริงๆ

จากนั้นผมก็ด่ากลับไปว่า มันมีเรื่องอะไรนักหนาเหรอ ถึงได้โทรมาหาผมตอนเช้ามืดแบบนั้น ไม่เกรงใจคนจะหลับจะนอนบ้างเลยเหรอ
เพื่อนเก่าของผมมันทำเป็นสำนึกผิด บอกกับผมว่า อยู่ๆมันก็คิดถึงคำพูดของผมวันนั้นขึ้นมา แล้วอยากจะคุยกับผมเรื่องนี้
พอผมถามว่าเรื่องอะไร มันกลับอ้ำอึ้งไม่พูดออกมา ผมเลยตัดบทขอทำงานต่อ แต่ไม่วายแกล้งทำเป็นหัวเสียใส่มันว่า
คราวหน้าคราวหลังถ้าจะโทรมาด้วยเรื่องไร้สาระก็อย่าโทรมาอีก มันรับคำเสียงอ่อย แต่ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก ที่พ้นจากการถูกซักฟอกมาได้อย่างหวุดหวิด

แต่เรื่องยังไม่จบแค่นั้น เจ้าสันต์มาหาผมตอนเที่ยง ทำหน้าตาเจ้าเล่ห์มาเชียว มันบอกว่ามันโทรมาหาผมตอนสัก ตีห้ากว่าๆ คงจะเป็นหลังจากที่เจ้าศักดิ์ชายโทรมา มีผู้ชายรับสายและบอกว่าโทรผิด

แต่มันบอกว่ามันโทรเบอร์ของผมแน่นอน แล้วก็ถามผมว่า ผมพาใครมานอนด้วยเหรอ ผมนึกโกรธพวกมันมาก มันเป็นอะไรกันนักหนาถึงได้ระดมโทรมาหาผมในวันเดียวถึงตั้งสองคน แล้วจำเพาะต้องโทรมาหาผมตอนที่ผมกับเดียร์อยู่ด้วยกันด้วย

ผมจะต้องถามเดียร์ในวันหลังว่าทำไมถึงไม่บอกผม อาจจะเป็นเพราะเดียร์ไม่อยากกวนผมก็เป็นได้ แต่อย่างน้อยก็น่าจะบอกกันผมจะได้รับมือถูก แต่เอาเถอะ ตอนนี้ ผมมีปัญหาเฉพาะหน้าที่จะต้องแก้ไข คือ ทำอย่างไร ไอ้สันต์คนเจ้าเล่ห์ มันถึงจะเชื่อคำพูดของผม เจ้าสันต์ยิ่งเชื่อยากกว่าศักดิ์ชายเสียอีก

ผมบอกมันไปเหมือนเดิมว่าผมไม่รู้ไม่เห็น ไม่ได้รับโทรศัพท์ใดๆทั้งสิ้น แล้วก็ใช้มุขเดิมคือ โวยวายกลับว่า มันกับศักดิ์ชายเป็นอะไรกันเหรอ ถึงได้พยายามกวนใจผมในตอนเช้ามืดแบบนั้น
มันหัวเราะแหะแหะ แล้วแก้ตัวโดยการโยนความผิดให้ศักดิ์ชายว่า เจ้าเพื่อนเก่าของผม มันโทรมาหาผมแล้วก็มีผู้ชายรับสาย ต่อมาก็โทรไม่ติด เลยโทรมาหาเจ้าสันต์ให้ช่วยเช็คให้หน่อย มันก็เลยโทรมา

ผมเลยดักทางมันด้วยการย้อนถามว่า มันก็อยากรู้อยากเห็นด้วยใช่ไหม ว่าผมเอาคนมานอนด้วยจริงตามที่ศักดิ์ชายสงสัยหรือเปล่า
เจ้าสันต์เห็นผมทำท่าโมโห มันก็เลยยอมรับด้วยเสียงอ่อยๆ แต่กระนั้น มันก็ยังบอกผมด้วยว่า ถึงผมจะทำจริงๆมันก็ไม่ว่าอะไร มันยินดีรับฟังเสมอ เพราะมันเป็นเพื่อนผม มันเข้าข้างผมอยู่แล้ว

ถึงแม้จะซาบซึ้งในสิ่งที่เจ้าสันต์พูด แต่ผมก็ยังคงทำตัวเป็นผู้ร้ายปากแข็ง ไม่ยอมรับพูดความจริงกับมันง่ายๆ ของแบบนี้ใครจะมาพูดกัน ยิ่งความสัมพันธ์ของผมกับเดียร์ไม่ได้เกิดขึ้นแบบปกติทั่วไป ผมเลยไม่สามารถจะพูดคุยกับมันได้
เลยกลายเป็นว่าอาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์ ถึงจะไม่มีเดียร์มาคอยทำให้ผมวุ่นวายใจ แต่ผมก็ยังต้องมานั่งครุ่นคิดด้วยเรื่องของเจ้าเด็กบ้านั่นจนได้ เวลาไปทำงาน ก็ต้องพยายามทำตัวให้เป็นปกติ เพราะดูเหมือนว่าเจ้าสันต์จะไม่ค่อยเชื่อเรื่องที่ผมพูดนัก

มันปักใจเต็มร้อยว่ามันไม่ได้โทรผิดแน่นอน เพราะเบอร์ที่โชว์ในมือถือของมันคือเบอร์ของผม เพียงแต่ว่าเมื่อผมไม่ยอมรับว่าใครคือบุคคลปริศนาที่มารับโทรศัพท์ผมเช้ามืดวันนั้น มันก็ไม่ซักถามกวนใจ แต่มันก็มีพูดเป็นนัยๆให้ผมรู้ว่ามันยินดีรับฟังความจริง ซึ่งผมก็ได้แต่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เหมือนเดิม

ใจนึกอยากจะให้เดียร์โทรมาหาเหลือเกิน จะได้พูดคุยกันให้รู้เรื่อง ผมเข้าใจว่าเดียร์คงหวังดีไม่อยากให้เสียงโทรศัพท์ดังกวนผม แต่การบอกว่าโทรผิด ก็ไม่ช่วยแก้สถานการณ์ให้ดีขึ้นเท่าไหร่

หลอกเจ้าศักดิ์ชายน่ะหลอกได้ แต่สำหรับคนขี้สงสัยแบบเจ้าสันต์นี่สิ ต้องหาเหตุผลที่ดีกว่านั้นมันจึงจะเชื่อ ที่จริงเขาไม่น่าจะรับโทรศัพท์ตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ แต่ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กบ้านั่นจึงคิดไม่ได้ หรือว่าที่จริงผมอาจจะเข้าใจผิด
เดียร์อาจจะไม่ได้หวังดีต่อผม เขาอาจจะรับโทรศัพท์เจ้าสองคนนี่ ทันทีที่เห็นเบอร์โชว์ขึ้นมา เพื่อประกาศให้รู้กลายๆว่า ผมกับเขามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันเพียงไรตั้งใจทำ หรือ ไม่ คนที่ตอบได้คือเดียร์เท่านั้น


ในความวุ่นวาย ก็ยังพอจะมีอะไรดีๆอยู่บ้าง ตอนกลางสัปดาห์ เจ้านายก็ได้พาแขกรับเชิญพิเศษ ซึ่งไม่ได้มาในวันที่พวกเราไปทานอาหารกันมาแนะนำให้พวกเรารู้จัก

คุณแคทลียา สาวสวยลูกครึ่ง ไทย อเมริกัน วัย 25 ปี หลานสาวของประธานบริษัทได้ก้าวเข้ามาร่วมงานในแผนกของผม
เธอจบทางด้านคณิตศาสตร์ประกันภัยมาจากเมืองนอก และมีประสบการณ์การทำงานอยู่ที่ฝ่ายพิจารณารับประกันที่บริษัทประกันชีวิตในต่างประเทศมาปีหนึ่ง ก่อนจะกลับมาทำงานที่บริษัทของลุงของตนเอง

นัยว่าเพื่อที่จะนำความรู้ความสามารถที่ได้ร่ำเรียนมา และประสบการณ์การทำงานกับบริษัทเมืองนอกมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับการประกันชีวิตในเมืองไทย
เธอเข้ามาทำงานในฐานะผู้ช่วยของผม โดยในระยะแรกเธอผมต้องเป็นผู้ประกบสอนเธอให้รู้เกี่ยวกับการพิจารณารับประกันในเมืองไทย เราเลยต้องอยู่ด้วยกันเกือบตลอดเวลา

ผมชอบ อัธยาสัย ของเธอมาก เธอเป็นคนตรงไปตรงมา คิดอย่างไรก็พูดไปอย่างนั้น ไม่อ้อมค้อม และมีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก ท่าทางเธอดูนักเลง แต่ก็ดูจริงใจดี
ผมภาวนาให้เราทำงานเข้าขากัน อย่างน้อย มันก็เป็นการลดความอึดอัดของผมที่ต้องทำงานกับลูกหลานของคนในบริษัท แต่เธอก็ไม่ได้แสดงอำนาจบาตรใหญ่ ถือว่าเป็นลูกท่านหลานเธอแต่อย่างไร

ถ้าเธอเข้าใจอะไรผิด เธอก็ขอโทษ แล้วเธอก็เข้มแข็งพอที่จะไม่ถือเป็นอารมณ์ เมื่อโต้แย้งกันในเรื่องงาน ผมจึงรู้สึกชื่นชมเธอมาก
อย่างน้อยๆการทำงานกับคุณแคทลียาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้จะเพียงแค่สองสามวัน มันก็ทำให้ผมรุ้สึกดี เธอช่วยปลุกให้ผมเกิดความกระตือรือร้นยิ่งขึ้นไปอีก และลืมเรื่องราวปวดหัวเกี่ยวกับเรื่องของเดียร์ไปเสียสิ้น ตราบจนกระทั่งวันสุดสัปดาห์มาเยือน................

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่10 11/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 11-01-2009 14:07:11
 o1 ขอบคุณสำหรับคอมเน้นท์นะฮ่ะ
+1 ให้ทุกคนเลย :3123:



มาแล้วจ้ามาแล้วนางอิจฉาร้อยๆจ้า :jul3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่10 11/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 11-01-2009 18:46:19
 :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่9 10/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: the_pooh9 ที่ 12-01-2009 00:42:10
^

^

จิ้มthe_pooh9มั่ง

แอบจิ้มแนนมาหลายทู้แล้ว เอาคืน งุงิงุงิ


กรี๊ดดดดดดด ตอนนี้เรียกเลือด

แต่ตบด้วยจูบนี่น่าอิจฉาเรียวจัง

น่ารักมากนู๋เดียร์

ว้า เค้าอุตส่าห์ย่องมานะเนี่ย  :m32:งุงิงุงิ
เจอกันที่บ้าน เพราะรัก/ปรัชญานะนู๋แนน
จะไปปูเสื่อนอนรอใครบางคนไปอัพ :z1:

กรี๊ดดดดดดด ตอนนี้เรียกเลือด

แต่ตบด้วยจูบนี่น่าอิจฉาเรียวจัง

น่ารักมากนู๋เดียร์..เห็นด้วยก๊าบนู๋แนน
..จิงๆนะ ไต๋ฮับ +1 ขอบคุณนะที่ขยันๆๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่9 10/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: nanalonely ที่ 12-01-2009 01:32:09
อร้ายย ตัวร้ายออกแล้วเหรอ

อย่าร้ายมากนะ สงสารนู๋เดียร์

นี่ขนาดมาไม่กี่วันเรียวยังลืมเรื่องของเดียร์

โอ้ ม่ายยยยยยย ไม่อยากให้มีตัวร้ายย

นู๋เดียร์สู้ๆๆน๊า ^o^
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่10 11/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 12-01-2009 10:34:31
 :เฮ้อ: สงสารเดียร์จัง  เมื่อไหร่ความรักของเดียร์จะข้ามกำแพงของเรียวไปได้

 :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่11 12/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 12-01-2009 13:09:56
บทที่ 11



ผมสะดุ้งตกใจตื่นขึ้นมาในตอนเช้ามืดของวันเสาร์เมื่อได้ยินเสียงกริ่งหน้าบ้านดังรัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
วูบแรกผมนึกถึงเด็กบ้าที่ชอบกวนโทสะผมมาตลอด คิดว่าเขากลับมาแล้ว แต่ดูจากพฤติกรรมการกดรัวอย่างต่อเนื่อง ก็รู้ว่าไม่ใช่แน่ เพราะเดียร์จะไม่ทำแบบนั้น เพราะมันจะเป็นการรบกวนผมและเพื่อนข้างบ้าน
อีกอย่างเดียร์ก็บอกผมแล้วว่าเขาไปซ้อมเต้นและไปทัวร์คอนเสิร์ต จึงเป็นไปไม่ได้ ที่เขาจะอยู่ในกรุงเทพ ในเมื่อไม่ใช่เดียร์
คนที่กำลังก่อกวนการนอนหลับของผมและคนอื่นๆอยู่ในขณะนี้ ถ้าไม่ใช่พวกโรคจิตก็จะต้องเป็นคนที่กำลังเดือดร้อนอย่างที่สุดเป็นแน่

ด้วยความสงสัยทำให้ผมต้องรีบผลุนลันออกจากห้อง ลงไปเปิดประตูหน้าบ้าน เพื่อที่จะได้พบว่าไอ้คนที่ก่อกวนความสงบยามเช้าตรู่ของผม คือ เจ้าสันต์เพื่อนรักที่ตอนนี้เมาหยำเปจนสิ้นสภาพ

มันยืนโงนเงนอยู่ตรงประตูรั้วบ้านผม มือค้างอยู่ที่กริ่ง ส่วนอีกมือเกาะที่ประตูรั้วเพื่อพยุงตัวเองไว้ ทันทีที่มันเห็นผม มันก็ฉีกยิ้มกว้าง

“เฮ้ย เป็นบ้าอะไรวะสันต์ ถึงได้มากดกริ่งกวนชาวบ้านที่กำลังหลับกำลังนอนแต่เช้ามืดแบบนี้วะ รู้ไหมเนี่ย มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ตีสี่โว้ย วันเสาร์ด้วย ฉันกำลังหลับสบายอยู่เลย”

ผมอดไม่ได้ที่จะต่อว่ามันด้วยความโมโห ดูสิ ผมอุตส่าห์รีบมาเปิดประตู นึกว่าใครกำลังต้องการความช่วยเหลือ ที่ไหนได้ กลับกลายเป็นเจ้าสันต์ที่กลายสภาพเป็นขวดเหล้าเดินได้

“โทษษษ.....ทีว่ะ เพิ่งง กลับมาจากเที่ยว ผาบ มานปิดแล้ววว แต่ยางม่ายอยากกลับบ้าน.... ม่ายรู้จาปายหนาย....ก้อ เลย ย ย ย มา หา นาย ย ย เนี่ย แหละ”

เจ้าสันต์พูดเสียงยานคาง ผมยืนมองมันตาขุ่น ยังไม่อยากเปิดประตูให้มัน นึกในใจว่า ไอ้เพื่อนเลวนี่มันไม่รับรู้บ้างเลยหรือไง ว่ามาสร้างความยุ่งยากให้คนอื่นแค่ไหน

ดีนะเนี่ยที่เป็นผม ซึ่งไม่อยากจะถือสาหาความเอากับมันเท่าไหร่ ถ้าเป็นเพื่อนคนอื่นเขาจะลงมาเปิดหรือเปล่ายังไม่รู้ กลางค่ำกลางคืนแบบนี้ไว้ใจกันได้ที่ไหน เกิดเป็นพวกประสงค์ร้าย เป็นขโมย เป็นโจรมาหลอกลวงเจ้าของบ้านแล้วจะทำอย่างไร

เมื่อกี้ผมก็รีบร้อนลงมาโดยขาดความระมัดระวังตัวด้วย โชคดีที่เป็นเจ้าสันต์ ไม่งั้นผมอาจจะถูกทำร้าย หรือโดนปล้นจากความอยากรู้อยากเห็นของผมก็ได้

“แล้วทำไมถึงไม่กลับบ้านกลับช่องไปเล่า มาหาฉัน เดี๋ยวนายก็ต้องกลับไปบ้านอยู่ดี”

“จายคอ จะคุยกานโดยย ม่าย เปิดปาตูรับช้านนนข้าววปาย หรือ งาย วะ ฉันมาวจะแย่อยู่แล้ววววววว ยุงก้อ กัดด้วยยยยย”

ขวดเหล้าเดินได้ ร้องทักท้วง เสียงอ้อแอ้ ผมมองดูสภาพเพื่อนรัก แล้วส่ายหน้า ทั้งโมโหทั้งสงสารมัน อยากแกล้งปล่อยให้ยืนตากยุงอยู่หน้าบ้าน โทษฐานที่มันมาปลุกขณะที่ผมกำลังพักผ่อนอยู่

แต่พอเห็นทาทางมันแล้วก็ทำไม่ลง จึงตัดสินใจเปิดประตูรับมันเข้ามา เจ้าสันต์เซแซ่ดๆเป็นนกปีกหัก ถ้าผมคว้ามันไม่ทัน มันต้องหัวโหม่งพื้นแน่ ผมเลยต้องเป็นภาระพามันเดินเข้าบ้าน
หลังจากประคับประคองมันไปนั่งตรงโซฟาได้ เจ้าสันต์ก็แหกปากร้องไห้คร่ำครวญเสียงดัง จนผมตกใจ ที่อยู่ๆมันก็ทำตัวเสียจริตได้ขนาดนั้น

“เฮ้ย ไรวะ เบาหน่อยสิ อยู่ๆก็แหกปากร้องขึ้นมา ปลุกฉันคนเดียวก็พอ ไม่ต้องปลุกคนอื่นให้ตื่นมาด้วยหรอก”

ผมร้องห้ามมันเสียงหลง มันช่วยทำให้เจ้าสันต์ลดเสียงลง แต่มันยังไม่ยอมหยุดร้องไห้ ผมนั่งมองเจ้าสันต์ที่ร้องห่มร้องไห้อย่างเงียบๆ ไม่กล้าแม้แต่จะพูดสั่งให้มันหยุดร้อง หรือปลอบใจมัน

คนเข้มแข็งอย่างเจ้าสันต์ ผ่านคืนวันอันแสนร้ายกาจมามาก แต่มันก็ไม่เคยท้อถอยหรือร้องไห้ให้ใครเห็น แต่การที่มันฟูมฟายกลายเป็นคนเจ้าน้ำตาแบบนี้ คงต้องมีเรื่องบางอย่างที่ทำให้มันทุกข์ใจอย่างมากเป็นแน่
ผมไม่รู้ว่ามันคือเรื่องอะไร ไม่อยากซักถามมันตอนนี้ รอให้มันสงบลงก่อน แล้วเล่าให้ผมฟังเองจะดีกว่า

“ฉันรู้แล้วเรียว.......น้องแซ่บบอกฉันหมดแล้ว บอกหมดเลยทุกสิ่งทุกอย่าง”

เพื่อนรักของผม พูดออกมาด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น ท่าทางมันเหมือนคนจะขาดใจตาย ผมนั่งมองมันตาปริบๆ รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
เจ้าสันต์คงไปเจอเด็กแซ่บตามที่ได้คุยกับผมไว้ และคงจะซักถามเอาความจริงจากแซ่บจนได้เรื่อง และคงจะเป็นสิ่งที่ทำให้มันเจ็บปวดไม่น้อย
ถึงแม้ว่าผมจะเคยคาดเดาเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ว่าเรื่องแบบนี้มันจะต้องเกิดขึ้นกับเจ้าสันต์สักวัน แต่เมื่อเห็นมันคร่ำครวญน่าเวทนา ผมก็เลยอดที่จะสงสารมันไม่ได้

“เขาบอกว่า เขาตกลงใจที่จะอยู่กินกับนายทรงพลแล้ว ที่ผ่านมา เขาบอกว่าเราสองคนไปกันไม่ได้เลย เขาพยายามแล้ว แต่ฉันไม่ใช่คนที่เขาต้องการ”

ถึงแม้มันจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ขาดเป็นห้วงๆ แต่รวมความแล้ว มันต้องการจะสื่อสารให้ผมรู้อย่างนั้น

“เรียว......ฉันจะทำยังไงดี ฉันรักน้องแซ่บ ฉันขาดเขาไม่ได้”

อยู่ๆมันก็ถามผมขึ้นมา ผมมองหน้าที่เปรอะไปด้วยน้ำตาของมันแล้วต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ผมไม่ค่อยเข้าใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชายกับชายนัก ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า

คนเป็นเกย์เวลาเลิกกันจะฟูมฟายได้ขนาดนี้ แต่เมื่อนึกเปรียบเทียบกับตัวเอง ตอนที่เลิกรากับเจนจิราว่าผมเจ็บปวดมากแค่ไหน ผมเลยพยายามเอาประสบการณ์ในตอนนั้นทำความเข้าใจในสิ่งที่เจ้าสันต์กำลังเผชิญอยู่

“แต่แซ่บเขาเลือกคนอื่นไปแล้ว เขาไม่ได้เลือกนาย ถึงร้องไห้ โวยวายไปก็ไม่เกิดประโยชน์ นายต้องทำใจสถานเดียว”

ผมไม่รู้ว่าจะปลอบใจอะไรมันได้มากกว่านี้ เลยพยายามที่จะให้มันยอมรับความเป็นจริง

“แล้วฉันมันไม่ดีตรงไหนวะ สู้ไอ้เฒ่านั่นตรงไหนไม่ได้บ้าง หน้าที่การงานฉันก็ดีกว่า หนุ่มกว่าด้วย อาจจะไม่รวยเท่า แต่ที่ผ่านมาน้องแซ่บไม่
เคยแสดงออกให้เห็นเลยนี่ว่าเป็นคนเห็นแก่เงิน แล้วทำไมเขาถึงไม่เลือกฉัน เรียว แกตอบฉันหน่อยสิ ฉันแย่ตรงไหน”


เจ้าสันต์ถามผมอย่างคาดคั้น ผมก้มหน้านิ่ง ไม่อยากตอบคำถามมัน ผมจะรู้ได้ไง ว่าเด็กนั่นคิดอะไร การที่เขาไม่แสดงออกว่าเขาเห็นแก่เงิน ก็อาจจะเป็นได้ว่า เด็กนั่นหยิ่งในศักดิ์ศรี หรือไม่ก็เป็นคนที่เก็บความละโมบในใจได้เก่งก็ได้

เรื่องเงินเรื่องทองผมไม่รู้ แต่สิ่งที่ผมเคยเห็นคือ เขาเป็นเด็กที่ไม่ซื่อสัตย์ การโอบกอด นัวเนียอยู่กับสุริยะวันนั้น และการที่เขายอมเป็นแฟนของคนที่แก่กว่าตัวเองไม่รู้จักกี่รอบ มันเหลือทางเลือกให้คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย

แต่ก็นั่นแหละ ผมไม่อยากจะเข้าข้างเพื่อนตัวเองจนอคติแต่เด็กคนนั้น เขาอาจจะรักทรงพลจริงก็ได้ เจ้าเพื่อนผมมันก็มีข้อตำหนิอยู่หลายอย่าง ที่ร้ายแรงก็คือเรื่องความเจ้าชู้ มันคบกับแซ่บแต่มันยังไปมีอะไรกับแดนนี่และแมนอยู่เลย

ถึงแม้ทั้งคู่จะไม่ซื่อสัตย์ต่อกันเวลาที่อยู่ลับหลัง แต่ก็อาจจะอยากให้คนที่แฟนของตัวเองซื่อสัตย์ก็ได้ บางทีแซ่บอาจจะระแคะระคายเรื่องนี้ เลยเลิกกับมันเสียเลย

“เรียว....แกยังไม่ได้ตอบคำถามฉันเลยนะ”

ไอ้เพื่อนขี้เมาทวงคำถามจากผม

“ฉันไม่รู้ว่านายดีหรือไม่ดีตรงไหน ฉันเป็นเพื่อนนายมานาน เลยมองข้ามสิ่งเลวๆที่นายทำไว้ไปหมด เลยตอบไม่ได้ว่ะ แต่ถ้าจะให้คิดแทนเด็กแซ่บเพื่อหาคำตอบให้นาย

ฉันก็คงบอกได้แค่ว่า เรื่องของความรักมันฝืนใจกันไม่ได้ ไม่ใช่ว่าแค่มีความดี แล้วจะทำให้ได้คนรัก มันจำเป็นต้องมีส่วนประกอบอื่นๆด้วย ไม่เคยได้ยินเหรอ ที่คนเขาเลิกกันเพราะว่าอีกฝ่ายดีเกินไป

บางคนดีแต่อาจจะไม่เร้าใจ บางคนก็อาจจะร้ายจนเกินกว่าที่จะรัก มาตรฐานของแต่ละคนไม่เหมือนกันหรอก เอาเป็นว่า มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้ว เด็กนั่นปฏิเสธนาย ก็แปลว่า ต้องมีอะไรที่เขาไม่ชอบ เขาเลยจากไปดีกว่า”

“แล้วมันคืออะไรล่ะ ฉันอยากรู้จะได้ปรับปรุงตัวเอง น้องแซ่บจะได้กลับมารักฉันอีก”

เจ้าสันต์ตีโพยตีพายต่อ

“ฉันว่าตอนนี้นายอย่าเพิ่งไปหาสาเหตุว่ามันเกิดจากอะไรเลยดีกว่า นายกำลังเมาอยู่ กำลังขาดสติ เอาไว้สร่างแล้วค่อยว่ากันอีกที สิ่งที่นายควรจะทำคือสงบอกสงบใจซะ
แล้วก็พักผ่อนให้มากๆ นอนที่โซฟานี้ก็ได้ ยังไม่ต้องกลับบ้านหรอก เดี๋ยวฉันจะหาหมอนกับผ้าห่มมาให้ แล้วก็หวังว่านายคงจะไม่อ้วกใส่ห้องรับแขกฉันจนเลอะเทอะหมดนะ”

“.....”

คนเมายังนั่งเซื่องซึมไม่รับรู้คำพูดแหย่เล่นของผม เห็นอาการมันเป็นอย่างนั้นผมก็ได้แต่อ่อนใจ ไม่รู้จะช่วยอะไรมันได้ คนมันเลิกรักกันไปแล้ว ถึงจะให้พยายามอย่างไรก็ไม่มีทางหวนคืน

ยิ่งคู่แข่งของเจ้าสันต์ มีอำนาจเงินตราที่พอจะทำให้แซ่บสุขสบายมากกว่า ยิ่งยากที่เด็กคนนั้นจะเปลี่ยนใจ ผมเคยผ่านช่วงเวลานั้นมาแล้ว การที่ต้องสูญเสียคนรักให้กับคนที่เขารวยและดีกว่าเรา

ถึงแม้จะปวดใจแค่ไหน แต่ก็ต้องพยายามทำใจให้ได้ ผมอยากจะให้เจ้าสันต์เข้มแข็งอย่างผมบ้าง มันจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดไปมากกว่านี้
หลังจากเอาหมอนกับผ้าห่มมาให้เจ้าสันต์แล้ว ผมก็ขึ้นไปนอนบนห้อง อันที่จริงในบ้านของผมยังมีห้องว่างเหลืออยู่ที่แขกพอจะมาพักได้อีกตั้งสองห้อง แต่ผมไม่ได้ทำความสะอาดสักที
ห้องหนึ่งเป็นห้องเปล่า ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไร ส่วนอีกห้องมีข้าวของวางเก็บไว้ระเกะระกะก็เลยต้องปิดเอาไว้ กอปร กับผมอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีญาติที่ไหน

แถมเพื่อนๆก็ไม่ค่อยได้มาพักด้วย ผมจึงไม่ได้จัดเตรียมห้องนอนเอาไว้เผื่อใคร ดังนั้นเวลามีแขกมาฉุกเฉิน ผมก็จะให้นอนที่โซฟาในห้องรับแขกเป็นการชั่วคราวไปก่อนอย่างเช่นเดียร์และเจ้าสันต์
เอาไว้ผมมีเวลาว่างเมื่อไหร่ ผมจะทำความสะอาดเตรียมเอาไว้ แล้วให้เจ้าเด็กบ้านั่นนอนอีกห้องเวลามาที่บ้านหลังนี้ ส่วนอีกห้องก็เก็บไว้รับรองเพื่อนๆที่มากะทันหันแบบนี้

แต่ผมก็ไม่รู้ว่าในอนาคตข้างหน้านี้ บ้านของผม จะต้อนรับเพื่อนๆให้มานอนที่บ้านหรือเปล่า ยิ่งเดียร์ชอบมาที่บ้านผมและมานอนค้างบ่อยๆแบบนี้ ผมอาจจะไม่ให้ใครมาพักอีกเลยก็ได้
ขณะที่ผมกำลังจะเคลิ้มหลับ ก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยเสียงเคาะประตูดังลั่น ผมงัวเงียเดินไปเปิดประตู เห็นเจ้าสันต์ยืนตาแดงก่ำอยู่หน้าห้อง

ผมมองดูสารรูปของเพื่อนรัก แล้วรู้สึกปลง สันต์ตอนนี้มีสภาพไม่ต่างจากไอ้ขี้เมาหยำเป เสื้อผ้าหลุดลุ่ยเหม็นคลุ้งด้วยกลิ่นเหล้า ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าหมองคล้ำเป็นมันแผล่บ

“มีอะไรหรือวะ ถึงมาปลุกฉันซ้ำสองแบบนี้”

ผมถามมันอย่างรู้สึกรำคาญ

“มากินเหล้าเป็นเพื่อนนน.......หน่อยดิ”

“อะไรวะ ก็กินมาแล้วไม่ใช่หรือไง ไปนอนได้แล้ว”

“นอนม่ายหลับ.......อยากเมา”

“พอเถอะ กินมาทั้งคืน แล้วนี่อีก ชั่วโมงเดียวก็เช้าแล้ว นอนพักซะบ้างเถอะ”

“เครียดว่ะ อยากกินเหล้าอีก แต่ม่ายอยากกินคนเดียววว อยากกให้ นายย....กินด้วยกัน”

“ไม่อ่ะ ฉันเลิกกินเหล้ามาตั้งนานแล้ว ไม่อยากหวนกลับไปเมาหยำเปเหมือนก่อนอีก นายก็ควรจะเลิกด้วยเหมือนกันนะ มันเป็นผลดีต่อนายเชื่อฉันสิ ตอนนี้นายไปนอนเถอะ อย่าฟุ้งซ่านเลย นายเมามากพอแล้วด้วย พรุ่งนี้ค่อยคุยกันดีไหม”

เจ้าสันต์อ้าปากจะทักท้วง แต่เมื่อเห็นผมไม่เอาด้วยกับมัน เพื่อนเก่าของผมก็ทำหน้าจ๋อย มันเดินโงนเงนลงบันไดไป
ผมมองตามคิดจะเข้าไปช่วยเหลือ แต่เมื่อเห็นว่ามันเกาะราวบันไดค่อยๆพยุงตัวเองลงไปได้อย่างปลอดภัย โดยไม่ล้มกลิ้งลงไปเสียก่อน ผมก็เลยหมดห่วง

ผมยืนมองเจ้าสันต์จากบันไดชั้นบน เห็นมันเดินไปล้มตัวลงนอนบนโซฟา ซักครู่เมื่อเห็นว่าเจ้าสันต์หลับไปแล้ว ผมก็เลยเดินเข้าห้อง เหลือบดูนาฬิกาตรงโต๊ะหัวนอน มันบอกเวลา ตีห้าครึ่งแล้ว
ผมอยากหลับต่อสักพัก ไม่ต้องกังวลเรื่องการตื่นสาย เพราะพรุ่งนี้เป็นวันหยุด ผมไม่ต้องเร่งรีบไปทำงานเหมือนเช่นทุกวัน ผมกะว่าจะตื่นสัก 10 โมง แล้วค่อยปลุกเจ้าสันต์ มันเมาเหล้าแบบนั้นคงไม่ตื่นขึ้นมาง่ายๆหรอก อย่างน้อยๆมันน่าจะตื่นสักเที่ยง ซึ่งก็ดีแล้วพักผ่อนบ้างจะได้รู้สึกดีขึ้น

แต่ผมคิดผิดไป คนอกหัก ซึ่งเพิ่งกินเหล้าเมามายเมื่อคืนกลับตื่นเช้าผิดปกติ ตอนที่ผมตื่นนอนตอน 10 โมงเช้า ตามนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ ผมเห็นเจ้าสันต์มานั่งซึมอยู่บนที่นอนตรงที่ว่างข้างๆตัวผม
ตอนแรกผมตกใจนึกว่าผีมาหลอกกัน ทั้งที่ผมไม่ใช่คนกลัวผี แต่สภาพของเจ้าสันต์นั่นดูทรุดโทรมน่ากลัวเหลือเกิน ไม่น่าเชื่อว่าภายในชั่วคืน หนุ่มเจ้าสำอางอย่างมันจะกลายเป็นคนที่ดูสกปรกมอมแมมได้ถึงเพียงนี้

ความรักนี่มันช่างมีอานุภาพรุนแรงเสียเหลือเกิน มันทำให้คนที่เคยเห็นความรักเป็นเพียงเครื่องเล่น กลายมาเป็นคนที่ถูกความรักเล่นงานจนแทบเสียผู้เสียคน ผมไม่เคยเห็นเจ้าสันต์ตกอยู่ในสภาพแบบนี้มาก่อน พอมาได้เห็น ผมก็อดสังเวชมันไม่ได้

“เฮ้ย อยู่ๆขึ้นมาทำไมที่ห้องนอนฉันวะ เป็นไรหรือเปล่า”

“เหงา อยากมีเพื่อนว่ะ ตื่นเร็วๆสิ อยากคุยด้วย”

เสียงมันไม่อ้อแอ้แบบเมื่อคืน แสดงว่ามันอาจจะสร่างเมาบ้างแล้ว

“เดี๋ยวสิโว้ย คนเพิ่งตื่นนอน จะรีบคุยอะไรนักหนา ขอทำธุระส่วนตัวก่อน นายเอง ก็น่าจะไปอาบน้ำบ้างนะโว้ย สารรูปดูไม่ได้เลย เมื่อกี้ฉันตกใจแทบช๊อคแน่ะ ที่เห็นนายมานั่งก้มหน้าผมเผ้าปรกตาอยุ่ข้างเตียง นึกว่าผีหลอกซะแล้ว”

ผมไล่มันไปอาบน้ำอาบท่าที่ห้องน้ำข้างล่าง มันทำท่าจะไม่ไป แต่พอผมขู่ว่าผมจะไม่คุยกับมันด้วย มันก็รับคำอย่างเสียไม่ได้ ผมเอาเสื้อเชิ้ตแขนสั้นให้มันไปหนึ่งตัว เพื่อใส่เปลี่ยนกลับบ้าน

แต่ผมไม่ได้ให้กางเกงมันยืม เพราะมันตัวเตี้ยกว่าผม พอมันลงไปข้างล่าง ผมก็เข้าห้องอาบน้ำ ทำธุระส่วนตัวยามเช้าจนเสร็จสรรพ หลังจากแต่งตัวเสร็จ ลงไปข้างล่างก็เจอเจ้าสันต์ซึ่งอาบน้ำอาบท่าเรียบร้อยแล้ว นั่งซึมอยู่ที่โซฟาตัวเดิมที่มันนอนเมื่อคืน ท่าทางไม่เหมือนคนเมาแบบเมื่อคืน

คำพูดมากมายพรั่งพรูออกมาจากปากมัน แต่โชคดีที่ผมไม่ต้องทนเห็นน้ำตาของเจ้าสันต์อีกต่อไป มันคงร้องไห้มามากพอแล้ว และคงเริ่มที่จะปลงได้ จึงไม่ทำตัวฟูมฟายให้เป็นที่เวทนาแก่ใครต่อใครอีก
สันต์เล่าให้ผมฟังว่า หลังจากที่ไปกินอาหารค่ำวันนั้น มันก็พยายามโทรติดต่อแซ่บมาโดยตลอด แต่เด็กนั่นก็ไม่ยอมรับสาย อ้างโน่นอ้างนี่เรื่อยมา ไม่ว่างบ้าง ไม่สะดวกบ้าง งานเยอะบ้าง

ถามอะไรก็ไม่ยอมพูด บอกไว้วันหลังจะเล่าให้ฟัง จนกระทั่งเมื่อวานนี้ เจ้าสันต์มันนัดแซ่บอีก แต่แซ่บก็ไม่ยอมออกมาพบ มันทนไม่ไหวก็เลยสะกดรอยตามแซ่บไปจนเจอ และได้รู้ว่า แซ่บนัดกับคุณทรงพลไว้ ทั้งสองเกี่ยวก้อยกันกระหนุงกระหนิงไม่แคร์สายตาใคร
นายทรงพลพาแซ่บไปซื้อมือถือ ซื้อนาฬิกา สร้อยแหวน เครื่องประดับต่างๆ จากนั้นก็พากันไปซื้อรถ เด็กแซ่บท่าทางมีความสุขมาก ออดอ้อนฉอเลาะเฒ่าหัวงูนั่น ทำกริยาอาการแบบที่ไม่เคยทำกับเจ้าสันต์มาก่อน เพื่อนรักของผมเล่าให้ฟังว่า

มันต้องทนมองภาพความหวานชื่นของทั้งสองคน ด้วยดวงใจที่หม่นไหม้ทุกข์ระทม เจ้าสันต์ตามไปจนกระทั่ง แซ่บกับทรงพลแยกทางกัน มันถึงได้แสดงตัวต่อหน้าแซ่บ เด็กนั่นไม่มีทีท่าตกใจเท่าไหร่
พอเจ้าสันต์คาดคั้นถึงความสัมพันธ์ระหว่าง เขากับนายทรงพล แซ่บก็บอกกับเพื่อนผมว่า เขาจะใช้ชีวิตอยู่กับตาเฒ่านั่น และขอให้ลืมเรื่องราวของเขากับเจ้าสันต์เสีย

แค่นี้ เจ้าสันต์ก็สติแตก มันทั้งโกรธทั้งโมโหที่มันอุตส่าห์ทุ่มเทความรักให้กับแซ่บอย่างมากมาย หวังจะชุบเลี้ยงพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารขึ้นมาอยู่กินด้วยกันอย่างมีความสุข แต่แซ่บก็ดันมาทรยศหักหลังกันอย่างง่ายๆด้วยการเลือกที่จะมีความสุขกับคนที่ถึงพร้อมไปด้วยลาภยศเงินทอง

ความโกรธเกรี้ยว ทำให้เจ้าสันต์เผลอลงมือทำร้ายเด็กแซ่บนั้น ทำให้เด็กแซ่บโกรธ ประกาศตัดเป็นตัดตายกับเพื่อนผม ไม่ต้องมาเจอหน้ากันอีกต่อไป

จากนั้นเด็กแซ่บก็จากไปทิ้งให้เพื่อนผมจมอยู่กับความทุกข์ใจแสนสาหัส ทุกข์ที่เสียคนรัก และทุกข์จากการทำร้ายคนที่เปรียบเสมือนหัวใจของตนเอง เมื่อไม่มีทางออกให้กับตัวเอง มันก็เลยเข้าผับเข้าบาร์ กินเหล้า เพื่อทำให้ลืมเด็กนั่น แต่ยิ่งกิน มันกลับยิ่งจำ ไม่อาจจะสลัดภาพแต่หนหลังออกไปจากใจได้เลย

ผมนั่งนิ่งฟังเจ้าสันต์พูดด้วยความรู้สึกหลากหลาย สงสาร และ เห็นใจ แต่ก็ไม่รู้จะช่วยอะไรมันได้ สิ่งที่เพื่อนรักของผมเล่ายิ่งตอกย้ำความรู้สึกของผมเข้าไปใหญ่ ว่าเกย์ไม่มีรักแท้ เพราะในท้ายที่สุด ทุกอย่างต้องจบลงด้วยการเลิกรากันเสมอ
ผมนึกย้อนถึงตัวเองกับเดียร์ เราผูกพันกันด้วยพันสัญญา ในวันหนึ่งข้างหน้าเราต้องแยกจากกัน และผมคิดว่า ผมคงไม่มีวันที่จะฟูมฟายร้องไห้ เหมือนอย่างที่เจ้าสันต์เป็น

“ฉันคิดว่า นายควรจะทำใจยอมรับมันให้ได้ และรีบลืมเด็กคนนั้นซะ ยังมีคนดีๆอีกมากมายที่รอนายอยู่ สำหรับเด็กคนนี้ เขากับนายคงไม่มีวาสนาต่อกันแล้ว คิดไปก็ป่วยการว่ะ”

สำหรับผมแล้ว ให้มันได้แค่นี้แหละ คำปลอบโยนของเพื่อนที่หวังดีคนหนึ่ง

“แกไม่มีวันเข้าใจหรอก คนหน้าตาดีอย่างแก เลิกกับใคร ก็สามารถหาคนใหม่มาได้อย่างรวดเร็ว ไม่เหมือนฉัน กว่าจะหาคนถูกใจได้สักคนก็ต้องใช้เวลา พอเจอแล้ว ทำให้เขารักก็แสนยาก แล้วเขาก็มาจากไปอีก กลุ้มโว้ย”

เจ้าสันต์เริ่มจะตีโพยตีพายขึ้นมาอีก

“เออว่ะ พูดอยู่ได้ บอกแล้วไง ฉันก็ไม่ได้วิเศษกว่านาย ตอนนี้ฉันยังโสดอยู่เลย”

“แต่กำลังจะไม่โสด”

“พูดไรของนาย”

ชักเริ่มงงคำพูดของไอ้หมอนี่แล้ว ดูมันมีเลศนัยเหลือเกิน

“อย่ามาทำเป็นไขสือเลย ........นึกว่าไม่มีใครรู้ใครเห็นหรือไงวะ”

“พูดมาดีกว่า อย่ามาอ้อมค้อม น่ารำคาญว่ะ รู้อะไรก็บอกมา สิ่งที่รู้อาจจะเข้าใจคลาดเคลื่อนไม่ถูกต้องก็ได้”

“ก็นายกับคุณแคทลียาสุดสวยนั่นไง”

“เฮ้ย ไอ้บ้า.......ใครเขาคิดแบบนั้นกันวะ”

ผมร้องด่ามัน แต่ในใจแอบโล่ง ที่เรื่องที่มันจะพูดไม่มีอะไรเกี่ยวข้องระหว่างผมกับเดียร์

“เกือบทุกคนที่รู้จักแก”

“บ้าน่า ........รู้จักกันยังไม่ทันถึงอาทิตย์นี่จับฉันกับเขาเข้าคู่กันแล้วหรือวะ”

“ไม่รู้ เขาเห็นแกกับแม่แหม่มสาวสวยนั่น เข้ากันได้ดี แล้วนายกับเขาก็ทั้งสวยทั้งหล่อด้วย เหมาะสมกันจะตาย เวลาไปไหนคู่กันอย่างกับกิ่งทองใบหยก มีบางคนเชียร์ให้นายกับคุณแคทลียาเป็นแฟนกันแล้วด้วย”

สิ่งที่ผมได้ยินได้ฟังจากปากเจ้าสันต์มันอดทำให้ผมนึกประหลาดใจไม่ได้ นี่ผมกลายเป็นหัวข้อสนทนาของใครต่อใครไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมใครต่อใครถึงชอบจับให้ผมเป็นแฟนกับคนโน้นคนนี้กันนัก หรือว่าเห็นว่าผมโสด ก็เลยทุกข์ทรมานแทนผม ทั้งๆที่ผมแทบไม่รู้สึกอะไรเลย

“ไม่ดีหรือไง เขาก็น่ารักดีนะ สวยกว่า ฉลาดกว่า และท่าทางนิสัยดีกว่าแม่อรจิราตั้งเยอะ หากนายได้เป็นแฟนกับคุณแคทลียา นายก็ลืมแม่อรนั่นไปได้เลย”

ดีจริงเหรอ .....ผมเองก็ไม่แน่ใจ ตอนนี้ผมเองยังตอบไม่ได้ว่าผมต้องการอะไรกันแน่ ผมไม่ได้รักอรจิราอีกแล้ว เพียงแต่ที่ผมยังรู้สึกเจ็บปวด มาจากการที่เธอมักจะมองผมด้วยสายตารังเกียจเหมือนกับผมเป็นตัวอะไรตัวหนึ่งที่ไร้ค่า

ทั้งที่เราเคยรักกันอย่างหวานซึ้งมาก่อน ตอนนี้หัวใจของผมก็ยังไม่มีใครมาครอบครอง อาจจะมีวูบวาบหวั่นไหวไปบ้าง ยามที่เดียร์อยู่ใกล้ แต่ผมก็สั่งใจตัวเองไว้แล้ว ว่าห้ามรักเขา เพราะผมไม่อาจจะฝืนใจยอมรับการใช้ชีวิตคู่ร่วมกันระหว่างชายกับชายได้
สำหรับแคทลียา ผมไม่ได้มีความรู้สึกชอบพอเธอฉันท์ชู้สาวเลยแม้แต่น้อย ผมอาจจะชื่นชมความสวย และความเก่งของเธอ แต่เรารู้จักกันไม่มากพอที่จะปักใจรักใคร่ในตัวเธอ

แล้วผมก็ไม่อยากใช้เธอเป็นเครื่องมือรักษาแผลใจ หรือ เป็นเกราะกำบังไม่ให้ใครต่อใครนินทาว่าร้ายผม มันไม่ยุติธรรมกับเธอ หากใครสักคนจะมาสนใจเธอแค่เหตุผลเหล่านั้น


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่11 12/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 12-01-2009 13:10:39
“อาจจะก็ได้.......แต่ตอนนี้ฉันยังไม่คิดอะไรทั้งนั้นแหละ”

“ไม่คิดนี่เพราะเข็ด หรือ เพราะว่ามีคนอื่นที่นายรักมากกว่าอยู่แล้ว”

เจ้าสันต์จับจ้องมองผมอย่างค้นหาคำตอบ ผมสบตาที่แดงก่ำของมัน พยายามที่จะไม่หลบ กลัวจะมีพิรุธ แต่ก็รู้ว่าหน้าตัวเองเปลี่ยนสีไปนิดหนึ่ง อย่างคนที่กำลังร้อนตัว

“พูดไรวะ ฉันไม่มีใครทั้งนั้นแหละ”

“แล้วพ่อครัวรูปหล่อคนนั้นล่ะ”

“พูดถึงใคร”

ผมแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ ย้อนถามมัน

“หนูเดียร์นั่นไง”

“จะบ้าหรือไง นั่นผู้ชายนะโว้ย คิดได้ไงวะ ว่าฉันจะชอบผู้ชาย ฉันไม่ใช่นายนี่หว่า”

“ก่อนนั้นไม่ชอบ ตอนนี้อาจจะชอบก็ได้ เจ้าหนูนั่นน่ารักออก หน้าตาหล่อ หุ่นก็ดี ทำอาหารก็อร่อย ท่าทางจะขี้อ้อน ฉันสบตาเจ้าเด็กนั่น บางทีก็ยังหลงเลย เพียงแต่ไม่อยากจะฟันดาบกับเจ้าเด็กนั่นเท่านั้นเอง”

“อะไรคือการฟันดาบวะ”

ศัพท์แปลกๆของเจ้าสันต์เล่นเอาผมงง คนที่เพิ่งสร้างเมา ถอนหายใจ

“ผู้ช๊ายย ผู้ชายจริงนายนี่ ฟันดาบ ก็คือ เกย์ที่เป็นรุกทั้งคู่ไงโว้ย คือเป็นฝ่ายทำ ไม่ใช่ฝ่ายถูกทำอ่ะ มีอะไรกันแค่ภายนอก แต่ไม่ล่วงล้ำ ฉันไม่ชอบว่ะ ชอบขุดทองมากกว่า”

เอาอีกแล้ว ไอ้ศัพท์บ้าๆที่ผมไม่เข้าใจมาอีกแล้ว ทีนี้มันคืออะไรอีกล่ะ มันเห็นผมทำหน้างงๆมันก็เลยหัวเราะ

“เรียว..นายนี่มันใสซื่อจริง เรื่องแบบนี้ก็ไม่รู้ น่าเอ็นดูจริงๆว่ะ ไอ้คำว่าขุดทอง ก็คือ มีฝ่ายหนึ่งเป็นรุก ฝ่ายหนึ่งเป็นรับ ฝ่ายรุกก็มีเสียม ฝ่ายรับก็มีบ่อทอง ก็ขุดบ่อไง
บางทีขุดไปก็เจอทอง บางทีก็ไม่เจอทอง ฉันไม่ชอบเจอทองหรอกว่ะ แต่ถ้ามันสุดวิสัยจริงๆ เป็นทองของคนที่เรารักก็โอเคนะ สำหรับคนรักของเรา ทำอะไร ก็อภัยให้ได้เสมอ”

เล่นพูดซะเห็นภาพแบบนี้ เลยเดาได้เลยว่าหมายถึงอะไร ผมหน้าแดงก่ำเมื่อนึกไปถึงตอนที่มีอะไรกันกับเดียร์
ผมทำอะไรขายหน้าแบบนั้นบ้างหรือเปล่า ไม่เห็นเดียร์พูดบ่นอะไรเลย ชมแต่ว่าร่างกายผมสะอาดสะอ้าน หวังว่าคงไม่เคยนะ หากผมเกิดเคยแถมทองให้เดียร์ขึ้นมา แล้วเขาเอามาล้อ ผมคงต้องแทรกแผ่นดินหนีแน่เลย

“เจ้าเด็กนั่น ท่าทางจะมีเสียมใหญ่พอตัว สงสารหลุมที่เขาต้องขุดจัง ถ้าเป็นหลุมใหม่ๆที่ยังไม่เคยขุดมาก่อน คงจะเจ็บแย่แน่เลย”

คำพุดของไอ้เพื่อนบ้า เล่นเอาผมตัวร้อนวาบ เกร็งก้นขึ้นมาซะเฉยๆ ผมผลุดลุกขึ้นจากโซฟา ด่ามันเสียงดังลั่น

“ไอ้บ้า พูดอะไรวะ ลามกมากนะเอ็ง ยิ่งพูดยิ่งชวนอ้วก เมาแล้วอุบาทว์นี่หว่า”

“จะโวยวายไปทำไมวะ ฉันก็แค่พูดถึงสิ่งที่เราใช้เรียกกันในหมู่เกย์ นายศึกษาไว้ก็ได้นี่นาไม่เห็นจะต้องมาทำรังเกียจเลย”

“ก็แล้วทำไมฉันจะต้องมาศึกษาเรื่องพรรค์นี้ด้วยวะ”

“ย้อนไปคำถามแรกที่ฉันถามนายสิ นายกำลังมีอะไรที่ลึกซึ้งกับเด็กเดียร์นั่นหรือเปล่า”

เจ้าสันต์ตั้งคำถามที่จี้ใจดำผมมาก เล่นเอาผมอึ้งไปหลายวินาที

“ฉันไม่มีอะไรกับเด็กนั่น”

“จริงเหรอ”

มันยังทำท่าไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูด

“ฉันจะโกหกนายไปทำไม”

“บางทีนายอาจจะไม่อยากให้ใครรู้ก็ได้ แต่ฉันเป็นเพื่อนนาย ฉันยินดีรับฟังทุกอย่าง และพร้อมที่จะให้คำแนะนำกับนายด้วย”

“ยืนยันอีกครั้งว่าฉันไม่มีอะไรกับเด็กนั่น”
“แล้วทำไมนายต้องมีรูปนายเดียร์ในห้องของนายด้วย ไม่ใช่แค่รูปเดียว แต่หลายรูปด้วย ทั้งบนโต๊ะหัวเตียง หน้ากระจกโต๊ะแต่งตัว ตรงประตูตู้เสื้อผ้าอีกด้วย
คนเราถ้าไม่มีอะไรกัน ไม่ได้คิดอะไรกับใคร ทำไมจะต้องเก็บสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของเขาไว้ด้วย นายอย่าบอกฉันนะว่า นายไม่รู้ว่าในห้องนายมีรูปพวกนี้”

เหมือนถูกปืนยิงตัดขั้วหัวใจ ทำให้ผมชะงักงัน คำถามของมันเล่นเอาผมเหงื่อตก หายใจไม่ทั่วท้อง ด้วยกลัวว่าความลับเรื่องผมกับเดียร์จะถูกเปิดเผย

ไอ้เพื่อนเลว คงอาศัยช่วงจังหวะที่ขึ้นไปบนห้องของผมสำรวจไปทั่ว ตอนที่ผมกำลังหลับอยู่ และได้เห็นภาพเดียร์ที่อยู่ในห้อง มันยังไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างผมกับเดียร์

ตอนนี้มันแค่สงสัยเท่านั้น ว่าเราสองคนเป็นอะไรกัน และมันก็ไม่รั้งรอที่จะรีดคำตอบจากผม แต่มีหรือที่ผมจะยอมรับสารภาพ เรื่องแบบนี้จะบอกให้ใครรู้ได้ไง มันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะป่าวประกาศสักหน่อย

“ไม่ใช่อย่างที่นายเข้าใจแล้วกัน”

ผมทำเป็นว่าไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร

“ใจคอจะไม่บอกเพื่อนหรือไงวะ ไม่ไว้ใจฉันเหรอ”

เจ้าสันต์ทำเป็นฉุน ผมส่ายหน้า พยายามทำใจเย็น ไม่โมโหตามมัน ทั้งๆที่ในใจนึกโกรธ เจ้าสันต์ที่มันสาระแนอยากรู้อยากเห็นเรื่องของผมนัก ถึงขนาดขึ้นไปสำรวจห้อง เพื่อจะจับผิด

แต่ผมก็ไม่อาจจะแสดงอารมณ์ออกมาได้ เพราะบางทีสันต์มันอาจจะไม่ได้ตั้งใจก็ได้ มันอาจจะนอนไม่หลับอย่างที่มันบอก และขี้นไปหาผมที่ห้อง แล้วก็เจอเข้าพอดี เพราะผมเองก็สะเพร่า ไม่ได้เก็บรูปทิ้ง เนื่องจากไม่คิดว่าจะมีใครก้าวล้ำเข้ามาในห้องส่วนตัวของผมนั่นเอง
อีกอย่างในเมื่อผมบอกว่าผมไม่มีอะไรกับเดียร์ หากผมยังโวยวายด่าว่ามัน ก็อาจจะดูเหมือนว่าผมกำลังร้อนตัว หรือปกปิดความลับบางอย่างไว้ก็ได้

การนิ่งเงียบ จะทำให้เจ้าสันต์ค่อยๆเลิกคิดไปเองว่าผมกับเดียร์มีอะไรกัน และต่อจากนี้ผมคงต้องระวังตัวมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมแล้ว รูปนี่ก็คงจะต้องเอาออกให้หมด เกิดใครมาเจอเข้าแบบวันนี้อีก สักวันสิ่งที่ผมปกปิด ต้องถูกคนล่วงรู้เข้าจนได้

“ไม่ใช่ไม่ไว้ใจ แต่ฉันไม่มีเรื่องอะไรที่ปกปิดนายต่างหาก บอกว่าฉันไม่ได้เป็นอะไรกับเดียร์ก็เชื่อกันบ้างสิ สิ่งที่นายเห็นน่ะ มันไม่ได้เป็นอย่างที่นายคิดหรอก ฉันบอกอะไรนายไม่ได้มากกว่านี้
แต่ฉันไม่ได้คิดอะไรกับเด็กนั่นแน่นอน นายก็รู้ฉันไม่ได้รังเกียจผู้ชายสีรุ้งอย่างพวกนาย แต่ฉันก็ไม่ชอบความสัมพันธ์แบบนี้ ชายจริงหญิงแท้ คือ สิ่งที่ฉันชอบมาตลอด นายคงเข้าใจ”

ผมพูดความจริงในเรื่องที่เป็นความรู้สึกของตัวเอง แต่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ผมโกหกเจ้าสันต์ทั้งหมด ทั้งนี้ก็เพื่อให้เจ้าสันต์ไม่หวาดระแวงในตัวผม

“ทำไมถึงพูดไม่ได้วะ ถ้านายชอบเดียร์ก็บอกมาเถอะ ฉันไม่ได้ว่าอะไรนายหรอก ไม่รังเกียจนายด้วย”

“ก็ไม่ได้ชอบแบบนั้น”
“นายไม่ชอบ แต่เด็กนั่นชอบนายใช่ไหม มองตาก็รู้”

“เรื่องนี้ฉันตอบนายไม่ได้ เพราะฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ช่างเถอะ ถึงยังไง เรื่องของฉัน ก็ไม่ใช่เรื่องที่นายกังวลใจอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่เหรอ เมื่อกี้เราพูดเรื่องอะไรกันอยู่วะ
ทำไมถึงวกมาเป็นเรื่องฉันได้ อ้อ เรื่องที่ฉันบอกให้นายทำใจยอมรับการเลิกรากับน้องแซ่บนั่นเอง เชื่อฉันเถอะวะเพื่อน นายเป็นคนดี และทุ่มเทให้กับความรัก นายต้องเจอใครที่ดีกว่าแซ่บแน่นอน”

“ฉันก็หวังว่าอย่างนั้นนะ”

ในที่สุดผมก็เปลี่ยนเรื่องได้สำเร็จ เจ้าสันต์หันมาให้ความสนใจเรื่องของตัวเองอีกครั้ง ผมลอบถอนหายใจด้วยความล่วงอกที่ไม่ต้องพูดเรื่องของตัวเองอีกต่อไป เพื่อนผมคนนี้เป็นคนฉลาด
ถ้าหากมันอยากจะรู้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องผมจริงๆ มันก็สามารถที่จะหาวิธีไปสืบรู้มาจนได้ คนที่เคยทำงานฝ่ายตรวจสอบมาก่อนอย่างเจ้าสันต์ ถนัดในเรื่องหาข้อเท็จจริงอยู่แล้ว ขืนยังอยู่กับมันในประเด็นนี้ มันต้องทำให้ผมคายความลับออกมาได้อย่างแน่นอน

“เรียว.......ถ้าหากว่าฉันลืมเขาไม่ได้ จะทำยังไงดีวะ”

เสียงที่ถามผม เต็มไปด้วยความเครียด ผมมองหน้าเศร้าๆของเจ้าสันต์แล้วเกิดความสงสารมันจับใจ ทำไมเพื่อนผมจึงยอมให้ความรักมามีอิทธิพลกับตัวเองมากมายขนาดนี้นะ
ผมเคยเผชิญเรื่องแบบนี้มาก่อน ผมรู้ว่ามันเจ็บมาก กว่าที่เราจะลืมคนที่เคยรักมันต้องอาศัยเวลาคอยเยียวยารักษาแผลใจ ผมอยากให้มันเลิกบ้า แล้วกลับมาเป็นคนเดิมเร็วๆ

“นายต้องทำได้สิวะ ฉันเชื่อมั่นในตัวนาย ระหว่างนี้นายต้องเลิกคิดถึงเขา แล้วก็เปิดใจให้กว้างยอมรับคนใหม่ๆเข้ามา แดนนี่กับแมนล่ะ สองคนนี้ไม่มีใครที่สามารถผูกใจนายได้เลยหรือ”

“สองคนนั่นก็น่ารักดี แต่ฉันชอบแซ่บมากกว่า เรียว.......ฉันเจ็บมากนะ ที่ต้องจากกันแบบนี้ คงอีกนานกว่าฉันจะทำใจได้ ช่วงนี้ฉันต้องการกำลังใจเหลือเกิน นายจะอยู่เป็นเพื่อนฉันได้ไหมวะ อย่าทิ้งฉันไปอีกคนนะ”

“เออว่ะแกเป็นเพื่อนฉัน จะทิ้งแกไปได้ไง”

ผมหมายความตามนั้นจริงๆ ตอนที่ผมเลิกรากับอรจิรา ก็ได้เจ้าสันต์นี่แหละเป็นเพื่อนปลอบใจ ไปไหนไปด้วย เวลาผมเมามาย มันก็อยู่ดูแลตลอดเวลา คราวนี้ถึงตามันบ้าง ผมต้องทำหน้าที่เพื่อนที่ดีในการอยู่เคียงข้างมัน

“ขอบใจว่ะ ว่าแต่ฉันจะไม่โดนเด็กนั่นเข้าใจผิดนะ”

“หมายถึงเดียร์น่ะเหรอ บอกว่าไม่มีไรกันก็ไม่มีสิวะ”

อย่างที่นึกไว้ไม่มีผิด เจ้าสันต์ไม่ยอมเชื่ออะไรง่ายๆ มันคงปักใจเชื่อเสียแล้วว่าผมกับเดียร์ต้องมีความสัมพัน์ที่ลึกซึ้งต่อกันอย่างแน่นอน

“ให้มันจริงเถอะวะเรียว ฉันเองก็หวังดีต่อนาย เหมือนที่นายหวังดีต่อฉัน อยากเห็นนายมีความสุข เจอคนที่รักและดีต่อนายจริงๆ ไม่ว่าเขาจะเป็นหญิงหรือชายฉันรับได้ทั้งนั้น”

“รับรองคนที่ฉันจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยต้องเป็นผู้หญิงเท่านั้น”

“ก็ดี เพราะตอนนี้มันมีข่าวลือเกี่ยวกับตัวนายอยู่เหมือนกัน”

คำพูดของเจ้าสันต์ทำให้ผมหูผึ่ง

“ข่าวลือเรื่องอะไร”

“เขาลือกันว่า นายกำลังคบกับผู้ชายด้วยกัน”

“ใครเอามาพูด”

ความตกใจต่อสิ่งที่ได้ยินทำให้ผมเผลอตัวพูดเกือบเป็นตะคอกใส่เจ้าสันต์

“อย่ารู้เลย เอาเป็นว่า มีคนซุบซิบกันนะ เขาอ้างว่ามีคนเห็นนายกับผู้ชายหนุ่มคนหนึ่งไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยมาก นายเคยให้เด็กนั่นขึ้นมาหาที่ทำงานตอนกลางคืนใช่หรือเปล่าวะ
รูปพรรณสัณฐานของคนที่นายคบอยู่นะ มันตรงกับน้องเดียร์สุดหล่อเป๊ะเลย ฉันถึงสงสัยไงล่ะ ว่าทำไมนายถึงมีรูปเดียร์ในห้องด้วย”

ในที่สุดผมก็รู้แล้ว ว่าต้นตอของเรื่องทั้งมวลมาจากไหน มีคนที่ทำงานในบริษัทนี้เพียงไม่กี่คนที่เคยเห็นผมไปไหนมาไหนกับเดียร์ เท่าที่ผมจำได้มีแค่ อรจิรากับคุณอนันต์ นายสุริยะ เจ้าสันต์ และยามที่เปิดประตูให้เดียร์เข้ามาหาผมคืนนั้น
ข่าวลือที่เกิดขึ้น น่าจะออกมาจากปากของคนเหล่านี้ ผมตัดเจ้าสันต์ออกไป เพราะมันไม่เคยนินทาว่าร้ายผมกับคนอื่นๆ และที่ผ่านมา มันจะมาถามผมด้วยตนเองทุกครั้ง ผมไม่โกรธเจ้าสันต์ที่เอาเรื่องนี้มาบอก แต่ไม่พอใจที่มีคนเอาเรื่องที่ไปเจอผมกับเดียร์มาพูดคุยวิพากษวิจารณ์กันอย่างสนุกสนาน

“ช่างนินทา สอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนอื่นกันจริงนะ ไม่รู้อะไรเลยก็เอาไปพูดกันเป็นตุเป็นตะ แย่มาก”

“ถ้านายอยากระบายก็บอกฉันมาได้เลยนะเพื่อน ฉันยินดีรับฟัง”

เจ้าสันต์ยังย้ำคำเดิม แต่ผมก็ยังคงยืนกรานกระต่ายขาเดียวไม่ยอมรับ

“ไม่มีอะไรจะพูด หรือระบายทั้งนั้นแหละ”

ผมบอกมันไปอย่างฉุนๆ เจ้าสันต์มองหน้าผมอย่างผิดหวัง มันพยายามอย่างยิ่งที่จะให้ผมพูดคุยกับมันอย่างเปิดอก แต่เมินเสียเถอะ
ถ้าเรื่องอื่นผมอาจจะคุย สำหรับเรื่องนี้ ปล่อยให้มันเป็นความลับระหว่างผมกับเดียร์ก็พอ ใครจะเห็นจะพูดอย่างไรก็ไม่อยากไปแก้ข่าว
เดื๋ยวคนจะหาว่าผมแก้ตัว แล้วคอยจ้องจับผิดผมมากขึ้น อีกไม่นานก็จะครบ หกเดือนตามสัญญา เรื่องราวทุกอย่างก็คงจบลง ผมก็พ้นข้อครหาไปทุกอย่าง เดียร์จะหายไปจากชีวิตผม และความสงบสุขก็จะกลับมาสู่ผมดังเดิม

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่11 12/1/09 มีรูปเดียร์มาฝากด้วย
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 12-01-2009 16:11:22
เป็นรูปในจิตนาการพี่เคทนะฮ่ะ อิอิ :haun4:


(http://www.invisionplus.net/forums/uploads/katesnk1405/post-2-1154800415.jpg)
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่11 12/1/09 มีรูปเดียร์มาฝากด้วย
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 12-01-2009 16:17:05
 :haun4: เดียร์ในจินตนาการของพี่เคท น่าเซ็กซี่จริงๆ

แต่น้องเดียร์ในจินตนาการของเรา   ใสกว่านี้อ่ะ แหะๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่11 12/1/09 มีรูปเดียร์มาฝากด้วย
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 12-01-2009 16:46:34
 :haun4: :haun4: :haun4:



ทามมาย เดียร์ 



ผม ม่ะ ค่อย หยิก เรยยย



แต่ โดย รวม ก็ โอ น่ะ


อิอิ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่11 12/1/09 มีรูปเดียร์มาฝากด้วย
เริ่มหัวข้อโดย: dokjarn ที่ 12-01-2009 16:54:27
:pighaun: :jul1: :pighaun:

 :oo1:

คุณ..ไต๋....อ่านตอนแรกๆ ช่วยด้วย  ..

เราเกือบตายเพราะความ..น่ารัก..ของเรื่องนี้แล้วอ่ะ

ยังตามไม่ทันเดี๋ยวกลับไปตามต่อที่บ้าน อิ อิ

แต่จิ้ม + ให้คนโพสแล้วอ่ะ  ขยันมากมาย

คนเขียน คุณเคทก็ช่าง แต่งได้สุดๆ...จริง

เรื่องนี้เข้าใจว่าจะถูกเล่าขานไปอีกนาน

ขอบคุณทั้งคนโพส  คนแต่งเน้อ

 :z10:  :pig4: :pig4::z10:

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่11 12/1/09 มีรูปเดียร์มาฝากด้วย
เริ่มหัวข้อโดย: Ak@tsuKII ที่ 12-01-2009 18:48:56
 :pighaun:   >>  ขอสำรองเลือดด่วน
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่11 12/1/09 มีรูปเดียร์มาฝากด้วย
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 12-01-2009 20:02:54
 :z1: :z1: น่ากิน เอ้ย น่ารักอ่ะ  :haun4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่11 12/1/09 มีรูปเดียร์มาฝากด้วย
เริ่มหัวข้อโดย: the_pooh9 ที่ 13-01-2009 00:23:43
 :z1: :pighaun: :m25: :jul1: :haun4:
ฉกนู๋เดียร์ กลับมาบ้านซะดีมะเนี่ย Sexy ซะจิ้ง

ป.ล.+1 :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่12 13/1/09 มีรูปเดียร์มาฝากด้วย
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-01-2009 13:03:36
บทที่ 12


เพราะไปรับปากว่าจะอยู่เป็นเพื่อนมันไปจนกว่าจะหายโศกเศร้า ทำให้ผมต้องยอมตามใจมันด้วยการมาเที่ยวผับที่สีลมซอยสองกับมันอีกครั้ง
เจ้าสันต์กลับบ้านไปหลังจากมาขลุกอยู่ที่บ้านผมจนถึงบ่าย แต่แล้วมันก็โทรชวนผมออกไปด้วยกันกับมันอีก บอกว่าอยากกินเหล้า มันอยู่คนเดียวไม่ได้ ฟุ้งซ่าน

ผมชวนให้มันไปนั่งที่อื่น มันก็ไม่ไป มันบอกว่า ตรงนี้เป็นแหล่งทำมาหากินของมันบางที มันอาจจะเจอใครบางคนที่สามารถทำให้มันลืมแซ่บได้

วันนี้ผมไม่เจอสองหนุ่ม แมนกับแดนนี เพราะเจ้าสันต์บอกว่า สองคนนี้ติดธุระทั้งคู่เลย ซึ่งก็ดีเหมือนกัน เพราะมันเองก็ไม่อยากเจออดีตคู่ขาของมันสักเท่าไหร่ มันบอกผมว่ามันเบื่อที่จะผูกพันกับใครบางคนแค่เรื่องของเซ็กส์ ณ ตอนนี้มันอยากจะหารักแท้เท่านั้น
การไปสีลมคราวนี้ มีเรื่องที่ทำให้ผมแปลกใจหลายเรื่อง อย่างแรกเลย คือผมเจอกับคนสองคนซึ่งตรงรี่เข้ามาทักทายผมอย่างเป็นกันเองในช่วงที่เจ้าสันต์แยกตัวไปนัวเนียกับหนุ่มรูปหล่อที่มันเจอในผับ แล้วทิ้งให้ผมนั่งอยู่ที่บาร์คนเดียว ผมแน่ใจว่าไม่เคยรู้จักสองคนนี้มาก่อน แต่กลับรู้สึกคุ้นหน้าพวกเขายิ่งนัก

คนหนึ่งเป็นชายร่างใหญ่หน้าตาเหี้ยมเกรียม ส่วนอีกคนแก่วัย และเตี้ยกว่า ผมอาจจะต้องเก็บความสงสัยไว้อีกนาน หากบังเอิญชายร่างเตี้ยไม่เอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงเชิงหยอกล้อว่า

“เจ้าหนูจอมลีลาไม่มาด้วยหรือครับ ทำไมเขาถึงปล่อยให้คุณมาคนเดียวล่ะ อุตส่าห์ทำถึงขั้นนั้นแล้ว ยังจะทิ้งคนน่ารักอย่างคุณไว้อีก แย่จังเลย”

“หมายความว่าอย่างไรหรือครับ”

ผมถามเขาอย่างงงๆ พยายามจะคาดเดาความหมายในคำพูดประโยคนั้น

“ก็หมายความว่าคุณกับเดียร์เป็นแฟนกันแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมเขาถึงปล่อยคุณไปไหนมาไหนคนเดียว ทั้งๆที่เด็กนั่นคลั่งคุณมากมายนักหนา ถึงขนาดหาวิธีการที่จะทำให้ได้คุณมาเป็นแฟนไงครับ พวกผมสองคนเลยต้องช่วย เอ้อ......ทำไมมองแบบนั้น.......หรือว่า”

ในบัดดล ความคิดบางอย่างก็สว่างวาบขึ้นมาในหัวสมองของผม ผมได้ล่วงรู้ความจริงโดยบังเอิญในสิ่งที่ผมสงสัยมาโดยตลอดว่าเพราะอะไร เดียร์จึงเข้าไปอยู่ในผับวันนั้น แถมซ้ำยังไปอยู่ในเวลาที่เหมาะเหม็งกับช่วงเวลาที่ผมอยู่

สิ่งต่างๆในวันนั้น ไม่ได้เกิดโดยความบังเอิญ ผมไม่ได้เข้าไปช่วยเขาเพราะว่าเขากำลังถูกทำร้าย แต่เขาวางแผนกับเพื่อนๆให้ผมเข้าใจเป็นแบบนั้น เพื่อล่อลวงผม แยกผมออกมาจากเจ้าสันต์ เขารู้จุดอ่อนของผม ว่าผมขี้สงสาร และคงอยู่เฉยๆไม่ได้เมื่อเห็นใครลำบาก

พอผมแยกจากเพื่อนออกมาแล้ว เขาก็ตามประกบผม และลักพาตัวผมไปถ่ายภาพแบล็คเมล์นั่นเอง เด็กบ้านั่นช่างร้ายกาจเสียเหลือเกิน ทำกับผมแบบนี้ได้อย่างไรกัน

“........เดียร์.....ไม่ได้บอกคุณหรือ?????”
ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมาในใจเมื่อได้ยินชื่อของเด็กบ้านั่น อยากจะเจอหน้าไอ้คนบงการนัก ป่านนี้คงไปตะลอนๆอยู่ที่ไหนสักแห่ง เจอตัวเมื่อไหร่จะจับมาเขย่าๆ แล้วตบกะโหลกเสียให้หายโมโห

นึกแค้นใจนักที่เจ้าบ้านั่น วางแผนที่จะได้ตัวผมไว้ในครอบครองตลอดเวลา ผมต้องตกเป็นเหยื่อเขาครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความใจดีของตนเอง ต่อไปนี้ผมต้องระมัดระวังให้มากขึ้น จะไม่หลงกลหน้าซื่อๆนั่นอีกต่อไปแล้ว

สองคนนั่นเห็นท่าไม่ดี ก็เลยทำท่าจะเดินหนีไป แต่ผมขวางไว้ไม่ยอมให้จากไปง่ายๆ ผมต้องเล่นงานคนพวกนี้ พร้อมกับซักถามเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น จะได้ซัดกับเดียร์ได้ง่ายๆ

“ยังไปไหนไม่ได้นะ จนกว่าพวกคุณจะเล่าให้ผมฟังทั้งหมด ไม่งั้นผมจะไปบอกเดียร์ว่าผมเจอพวกคุณ และได้รู้ถึงแผนการทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาและพวกคุณทำ ผมอยากจะรู้นักว่าเดียร์จะว่าไง
ถ้าหากเขารู้ว่าผมรู้ความจริงแล้ว ผมอาจจะแจ้งความเอาเรื่องกับคุณสามคน ในข้อหาสมคบคิดกันหลอกลวงผม ทำร้ายผมด้วยอีกหนึ่งกระทง เลือกเอาแล้วกัน จะบอกผม หรือ จะให้ผมแจ้งความ”

ผมพูดจาข่มขู่เขา ไม่รู้หรอกว่า ทำได้หรือไม่ เพราะผมเองก็ไม่ได้รู้กฎหมายอะไรมากมายนัก เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้วด้วย แถมซ้ำยังไม่มีพยานหลักฐานอะไรที่จะไปมัดตัวพวกเขา ข้อหาที่จะกล่าวโทษก็ไม่มากพอ

ผมคงไม่กล้าแจ้งความกับตำรวจหรอกว่าถูกล่อลวงให้ทำสัญญาเป็นแฟนกันกับเกย์คนหนึ่ง มือถือก็ถูกทำลายไปแล้วใช้เป็นหลักฐานไม่ได้ หนังสือสัญญานั่น ก็มีลายมือชื่อผมเซ็นยินยอมรับสภาพเป็นแฟนกับเขาอีกด้วย

ถึงจะอ้างว่าถูกข่มขู่ อาจจะเอาเรื่องเขาได้ แต่มันจะคุ้มหรือไม่กับสิ่งที่ผมจะสูญเสียไป ทั้งหน้าที่การงานและชื่อเสียงที่สั่งสมมา

“ผมขอโทษครับ ไม่น่าพูดเลย แย่จริง ถ้าเดียร์รู้เข้าโกรธตายแน่ๆเลย อุตส่าห์ย้ำหนาว่าอย่าแพร่งพรายให้ใครฟัง ผมก็ดันลืมไปเสียสนิทเลย
เคยได้ยินเดียร์เล่าให้ฟังว่า ตอนนี้คุณกับเขาเป็นแฟนกันแล้ว เขาทำสำเร็จแล้ว ก็เลยนึกว่าเขาบอกคุณให้รู้เรื่องหมดทุกอย่าง ไม่คิดว่าเขาจะยังปกปิดคุณอยู่น่ะครับ”

คนร่างใหญ่ แต่ใจไม่ใหญ่สมชื่อ ระล่ำระลักบอกผม ท่าทางดูหงอๆ ไม่กร่างเหมือนเมื่อเจอกันครั้งก่อน จนผมเองรู้สึกแปลกใจ

“อย่าโกรธ เจ้าหนูนั่นเลยนะครับ เขารักคุณจริงๆ สู้อุตส่าห์มาตามหาคุณในกรุงเทพ อยากมาดูแลคุณ พอเจอแล้วก็พยายามเข้าหา แต่ก็ไม่มีโอกาส เพราะคุณมักจะอยู่กับเพื่อนตลอด หรือไม่ก็ทำงาน แล้วก็กลับบ้าน ไม่ค่อยออกไปไหน
เขาเลยได้แต่ติดตามคุณไปตลอด จนกระทั่งคุณมาที่นี่ เขาก็เลยมาขอร้องพวกผมให้ช่วยเขาครับ เพราะเขาอยากจะเป็นคนรักของคุณมากๆ ถ้าไม่มีวิธีการเข้าถึงตัว เขาก็กลัวว่าจะเสียคุณไปนะครับ”

ชายสูงวัยกว่าบอกผมด้วยท่าทีสุภาพ ดูเหมือนเขากำลังร้องขอความเห็นใจให้กับเดียร์ ไม่อยากให้ผมไปโกรธเด็กบ้านั่น ที่ทำกับผมแบบนี้

“พวกคุณรู้หรือเปล่าว่าทำอะไรลงไป รู้ไหมว่าทำให้ผมลำบากมากแค่ไหน”
ความโกรธทำให้ผมลืมตัวตะคอกคนทั้งสองด้วยเสียงอันดัง ผมจ้องพวกเขาอย่างขุ่นเคือง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับผม มีพวกเขาเข้ามาเกี่ยวข้องร่วมมือด้วย ถ้าผมไม่เจอเดียร์ ไม่ถูกคนเหล่านี้หลอกลวง ชีวิตผมคงจะสงบสุขกว่านี้

ชายร่างเตี้ยมองหน้าผมอย่างเข้าอกเข้าใจ เขาขอร้องให้ผมไปคุยกับพวกเขาข้างนอกบาร์ ไม่ต้องมาตะโกนกันให้เมื่อยแบบนี้
ผมเห็นว่าเจ้าสันต์ยังติดลมอยู่ เรียกให้ออกมามันคงไม่ยอม แล้วผมก็ไม่อยากอยู่ในบาร์เกย์อีกด้วย ไม่ชอบความแออัดเบียดเสียด ไม่ชอบถูกสายตาคนมองอย่างโลมเลีย

อีกทั้งผมก็อยากจะรู้เรื่องของเจ้าเด็กบ้านั่นด้วย จึงยอมตามพวกเขาออกไป ไม่กลัวว่าพวกเขาจะล่อลวงผมอีกครั้ง

“เรารู้ว่าคุณไม่พอใจ ที่พวกเราวางแผนทำให้คุณต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้ แต่พวกเราสงสารเขานะครับ ผมไม่เคยเห็นใครที่เป็นแบบเขามาก่อนเลย
เขารักคุณมากนะ พูดถึงคุณให้เราฟังทุกๆวัน รอคอยที่จะได้พบกับคุณ เดียร์พยายามทำงานเก็บเงินมาอยู่กรุงเทพฯ ลำบากแค่ไหนก็ไม่ยอมบ่น ได้เงินมาแล้ว ก็เก็บเงินส่วนหนึ่งไปเรียนทำอาหาร

ถึงแม้ว่าเขาจะพอทำเป็นอยู่บ้าง แต่เขาก็อยากเรียนเพิ่มเติม เขาบอกว่า เขาอยากจะทำอาหารให้คุณทาน อยากปรนนิบัติดูแล ตอบแทนความดีที่คุณเคยช่วยเขาหลายต่อหลายครั้งมาก”

ทันทีที่นั่งลงในร้านกาแฟไม่ไกลจากบาร์เกย์ในซอยสองเท่าไหร่นัก ชายร่างเตี้ยที่ผมเพิ่งทราบชื่อเขาในภายหลังว่า “โสภิตนภา”ก็เอ่ยคำพูดออกมา เพื่อให้ผมเข้าใจในตัวพวกเขาและเดียร์มากขึ้น โดยมี “สมฤทัย” ชายหน้าเหี้ยม พูดสนับสนุกคำพูดของเขา

“เห็นเขาทุ่มเทมากมายเพื่อความรักแบบนี้ พวกผมก็รู้สึกภูมิใจในตัวเขา เดียร์เป็นตัวอย่างที่ดีของเกย์ที่มีรักแท้ ได้เห็นความมุ่งมั่นแบบนั้น เราก็เลยอดที่จะให้ความร่วมมือกับเขาไม่ได้
เพราะเขาเปรียบเสมือนแรงบันดาลใจให้เราไขว่คว้าหารักแท้แบบนั้นบ้างครับ หลังจากที่ได้ช่วยให้เขาได้พบกับคุณที่บาร์วันนั้น เราก็ได้เจอเขาอีกครั้ง เขามาบอกให้พวกผมทราบว่า เขาทำสำเร็จแล้ว คุณกับเขาเป็นแฟนกันแล้ว

ท่าทางเขาดีใจมากเลยนะครับ คุยจ้อไม่ยอมหยุดเลย บอกว่าคุณน่ารักและใจดีกับเขามากเลย เขายังบอกพวกผมว่า ตอนนี้คุณยังไม่ได้รักเขา แต่เขาก็จะพยายามไม่ท้อถอย จะทำให้คุณรักเขาให้ได้เลย นี่ก็ตั้งนานแล้วที่เราไม่ได้เจอเขา ก็เลยคิดว่าคงเรียบร้อยกันไปแล้ว”
ผมรู้สึกว่ามีเลือดสูบฉีดแถวบริเวณใบหน้า เมื่อผมเกิดความรู้สึกอับอายเมื่อได้ยินในสิ่งที่สมฤทัยพูด เจ้าเด็กบ้านั่น คุยอะไรกับคนพวกนี้ไว้บ้างก็ไม่รู้

“เราว่าคุณสองคนก็เหมาะสมกันดีนะครับ หน้าตาหล่อด้วยกันทั้งคู่เลย เห็นคุณตอนแรก แม้ว่าจะอยู่ในที่มืดๆ ก็ยังคิดว่าคุณหน้าตาดี ตอนที่เดียร์พร่ำเพ้อถึงคุณก็ไม่คิดว่าตัวจริงจะดูดีขนาดนี้

ที่สำคัญคุณใจดีกับเจ้าเด็กน่าสงสารคนนั้นมากๆ คุณทำให้เขามีกำลังใจที่จะต่อสู้กับทุกสิ่ง เจ้าหนูของเรา เป็นเด็กที่ขาดความรัก ไม่มีใครเหลียวแล มีแต่คนใจร้ายกับเขา พอเขาโตขึ้น คนก็รักเขาที่หน้าตา ทำดีเพราะอยากได้ตัวเขา
ไม่ใครจริงใจกับเขาสักคน มีแต่คุณเท่านั้น ที่ช่วยเหลือเขา โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน เขาปลื้มคุณมากนะ เหมือนคุณเป็นนางฟ้าประจำตัวของเขาเลย

ถ้าคุณยอมเป็นแฟนกับเขา พวกเราก็ดีใจมาก ที่เดียร์จะได้มีคนที่รักเขา และอยู่กับเขาไปตลอดชีวิต หนูเดียร์จะได้มีความสุขกับเขาบ้างสักที”
สมฤทัยตบท้ายด้วยคำพูดกึ่งอ้อนวอน กึ่งคาดหวังว่าผมควรจะทำตัวอย่างนั้น เพื่อเดียร์ ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ นี่การช่วยคนของผมมันทำให้ผมก้าวเข้าสู่สถานการณ์ที่ยากลำบากถึงเพียงนี้เชียวเหรอ
ผมต้องเสียสละตัวเอง เพื่อช่วยทำให้คนที่ขาดความรักคนหนึ่งได้มีความสุขหรือไง ทั้งที่เขามาเปลี่ยนแปลงชีวิตผม สร้างความยุ่งยากลำบากให้แบบนี้นี่นะ

ถึงจะไม่ชอบใจในคำพูดทำนองขอร้องของพวกเขาที่ทำเหมือนเป็นแม่สื่อแม่ชักให้ผมกับเจ้าเดียร์ได้รักกัน
แต่ผมก็เข้าใจความหวังดีของพวกเขา จึงไม่อยากจะโกรธเคืองสองคนนี้สักเท่าไหร่ ความโกรธของผมไปรวมอยู่ที่เด็กบ้าที่หายเงียบไปตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมามากกว่า
จากการพูดคุยพบว่า ทั้งสอง เคยทำงานร่วมกันกับเดียร์ที่พัทยา ในคณะคาร์บาเรต์ แต่พวกเขาลาออกกันมาก่อน เพราะอยากจะเข้ามาเสี่ยงโชคที่กรุงเทพ เพราะคิดว่าน่าจะมีโอกาสดีกว่า

สมฤทัยและโสภิตนภาได้เข้ามาแสดงโชว์ในกรุงเทพร่วมกับคณะโชว์ที่มีชื่อเสียงคณะหนึ่ง ทว่าอยู่กันได้ไม่นานนัก เนื่องจากมีการแข่งขันกันภายใน แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันระหว่างเด็กใหม่กับเด็กเก่า ทำให้อยู่กันไม่ได้ จึงพากันผันตัวมาช่วยทำงานในบาร์เกย์แถวสีลม
อาศัยว่าเป็นคนตัวใหญ่ หน้าตาน่าเกรงขาม จึงทำให้สามารถรับหน้าที่เป็นคนคุมบาร์ได้ เดียร์จึงสามารถเข้าไปสถานที่ซึ่งห้ามเด็กอายุยังไม่ถึง 20 เข้าได้อย่างสบาย

สองคนนี้พักอยู่ในบ้านเช่าห้องเดียวกันกับเดียร์ พวกเขาแบ่งที่ว่างในห้องให้ โดยที่เดียร์ช่วยออกค่าน้ำค่าไฟ และช่วยทำอาหารให้พวกเขากิน แต่เวลาที่พวกเขาพาแฟนมานอนข้างด้วย เดียร์ก็ต้องระเห็จไปอยู่ที่อื่น
แต่โดยมากเดียร์จะไม่ค่อยได้อยู่ที่ห้องเช่าสักเท่าไหร่ วันๆของเด็กหนุ่มหมดไปกับการทำงาน จะกลับบ้านมาดึกดื่น แล้วก็ออกไปแต่เช้า โดยสมฤทัยให้ความเห็นว่า เดียร์คงไม่ต้องการรบกวนพวกตน และคงอยากเก็บเงินไว้เยอะๆ จะได้มีบ้านเป็นของตัวเองสักที
ทั้งโสภิตนภา และ สมฤทัย ต่างผลัดกันเล่าเรืองราวเกี่ยวกับตัวเดียร์ให้ผมฟัง ผมได้รับรู้อะไรหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการที่เดียร์เข้ามากรุงเทพ เมื่อ 6 เดือนก่อน

เขาตามหาผมจากที่อยู่ตามนามบัตรมากว่า 2 เดือน เมื่อเจอแล้ว เขาก็เฝ้าติดตามผมตลอด โดยที่ผมเองก็ไม่เคยรู้มาก่อน โดยแต่ละวันเขาก็จะเอาความคืบหน้ามาเล่าให้เพื่อนทั้งสองฟัง
ส่วนใหญ่จะเป็นการพร่ำเพ้อของเดียร์เกี่ยวกับตัวผม จนทั้งสองเกิดความสนอกสนใจ พอเดียร์ขอให้พวกเขาช่วยจึงพากันรับปากโดยไม่ลังเล เพราะเห็นแก่ความสุขของเด็กหนุ่มลูกครึ่งที่พวกเขารักเหมือนน้องเหมือนนุ่ง

“พวกเรารู้ว่า คุณต้องเผชิญกับความยากลำบากในการตัดสินใจในเรื่องที่เกี่ยวกับเจ้าหนูจอมลีลาของเรา เดียร์บอกว่า คุณไม่ชอบความสัมพันธ์แบบชายกับชาย แล้วคุณก็เคยมีแฟนเป็นผู้หญิงมาก่อน อาจจะทำใจไม่ได้ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง อีกทั้งหน้าที่การงานที่คุณทำอยู่ กับสภาพสังคมที่แวดล้อมคุณ มันทำให้คุณไม่ยอมเปิดใจให้กับตัวเขา.......”

สมฤทัยกล่าวขึ้นอย่างเคร่งขรึม เขามองหน้าผม ก่อนที่จะกล่าวต่อ

“ถึงจะรู้ว่ามันมีอุปสรรคมากมาย แต่เจ้าเด็กดื้อนั่น ก็ยังหวังว่าคงจะมีสักวันที่คุณจะเห็นความดีของเขาบ้าง เขาคิดว่าด้วยพลังแห่งความรักที่เขามีต่อคุณ จะช่วยเปิดดวงตา และเปิดหัวใจของคุณ ให้ยอมรับเขาเข้าไปในชีวิต

ในฐานะที่ผมสองคนเป็นเพื่อน และ เป็นพี่ที่รักเจ้าหนูนั่น เราอยากเห็นเขามีความสุข ถ้าเป็นไปได้ เราก็อยากให้คุณรับเขาเข้าไว้ในหัวใจคุณ แม้ว่าคุณจะยังตอบอะไรไม่ได้ในตอนนี้ คุณจะรัก หรือ ไม่รักเดียร์เราไม่อาจจะฝืนใจ แต่พวกผมก็อยากให้คุณฟังเสียงหัวใจตัวเองนะครับ
บางทีการแคร์สังคมรอบข้าง มากกว่าสิ่งที่หัวใจของคุณต้องการจริงๆ มันอาจจะทำให้คุณพบกับความเจ็บปวดก็ได้ อย่าดูกันแค่ที่เปลือกนอก หรือ สภาพที่เห็นด้วยตา แต่อยากให้มองไปถึงข้างในนะครับ”

ประโยคยืดยาวที่ชายหน้าตาเหี้ยมเกรียมพูดฝากไว้ ก่อนจะขอตัวกลับไปทำงานตามเดิม ทำให้ผมต้องนั่งอึ้ง บอกไม่ถูกว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี
ความโกรธที่ถูกหลอกลวง การรวมหัวกันเพื่อทำให้ผมต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากต่อการใช้ชีวิตอย่างคนปกติทั่วไปในสังคมเป็นสิ่งที่เกินกว่าจะให้อภัยกันได้

แต่กับเหตุผลที่ได้ยินได้ฟัง กอปร กับสิ่งดีๆที่เจ้าเด็กร้ายกาจปฏิบัติต่อผม ความภักดีที่เขามีให้ มันยากที่จะชิงชังเขาได้ลง
ถึงอย่างไรก็ตาม ผมก็ต้องจัดการอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่เช่นนั้นแล้ว เดียร์ก็จะทำร้ายผมอย่างนี้ไปตลอด
การอ้างว่าทำเพราะความรัก แต่ล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวของผม ทำร้ายผมเพราะความเอาแต่ใจของตนเอง อยากได้ใคร่ดีจนต้องทำทุกอย่างโดยไม่สนใจความรู้สึกของคนอื่น เป็นสิ่งที่ไม่สมควรให้อภัย

ผมจะไม่มีวันเห็นดีเห็นงามไปกับการสิ่งที่เดียร์ทำลงไปอย่างแน่นอน เขาต้องได้รับบทเรียนเสียบ้าง ก่อนที่จะคิดการณ์ใหญ่ ทำร้ายกันไปมากกว่านี้

ในขณะที่ผมกำลังนั่งครุ่นคิดเกี่ยวกับการหาทางจะจัดการกับเด็กบ้านั่น เจ้าสันต์ก็เดินโอบประคองหนุ่มหน้าหล่อที่มันนัวเนียอยู่ในบาร์เข้ามาในร้าน มันทำท่าแปลกใจที่เจอผม พลางปราดเข้ามาหา ในสภาพที่บอกให้รู้ว่ามีอาการเมาๆ หน้าแดงก่ำ กลิ่นเหล้าและเบียร์ระเหยออกจากปากยามที่มันพูด บ่งบอกให้รู้ว่ามันดื่มมามากแค่ไหน

“ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้วะเรียว เบื่อหรือไง ไอ้ฉันก็มองหา ไม่รู้ว่านายอยู่ไหน พอดีบาร์เลิกแล้ว อยากนั่งพัก ก็เลยขึ้นมานี่แหละ”

“เออ เจอคนถูกใจก็ทิ้งเพื่อนเลยนะโว้ย ไม่คิดจะโทรถามกันบ้างหรอว่าอยู่ไหน นี่หากไม่เจอกัน นายคงทิ้งฉันไปที่ชอบที่ชอบเลยล่ะสิ”

ผมต่อว่ามันอย่างโกรธๆ เคืองเรื่องเดียร์อยู่เมื่อครู่ กลับมามีเรื่องให้โมโหซ้ำ ดูสิ เมื่อวานกับวันนี้มันยังฟูมฟายยังกับผู้ชายหายไปทั้งโลก พอตกค่ำ เจอคนหล่อเข้าหน่อยก็ทำระริกระรี้

นี่ถ้าไม่เห็นว่าเป็นเพื่อนกัน แล้วมันยังคงเศร้าใจอยู่ ผมจะเตะก้นมันสักพลั่ก เจ้าสันต์ร่าเริงแบบนี้ ผมคงไม่ต้องห่วงมันกระมัง ท่าทางมันคงหายเศร้า อีกไม่นานก็คงหายหัวไป ตามนิสัยที่มันเคยทำประจำ
“ไอ้นี่มันไปหัวเสียกับใครมาวะ พูดจาหมาไม่แดก เพื่อนยังไม่ตายโว้ย จะได้ไปสู่ที่ชอบที่ชอบ ไอ้บ้านี่ ก็ใครจะไปรู้วะ ว่านายมานั่งหลบอยู่ที่นี่ เออหรือว่า ไม่ได้หลบวะ แต่มาอ่อยเหยื่อ”

เจ้าสันต์จบคำพูดด้วยการหัวเราะก๊ากอย่างชอบอกชอบใจ ผมมองมันตาขุ่นขวาง รู้ว่ามันเมา ไม่อยากถือสา แต่ก็ไม่ชอบที่มันมาพูดจากับผมแบบนี้ ไอ้เพื่อนขี้เมาหยุดหัวเราะทันที เมื่อเห็นผมมองมันอย่างโกรธๆ แต่ตาของมันก็ไม่วายล้อเลียน

“เออๆ ฉันขอโทษว่ะ ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ไม่พอใจ แค่ล้อเล่นนะ อย่าโกรธเลยนะ เอออ......ลืมไป ฉันพาเพื่อนมาด้วยคนหนึ่ง ยังไม่ได้แนะนำให้นายรู้จักเลย เขาชื่อ เบน เจอกันในบาร์อ่ะ”

เพื่อนเกลอของผมผายมือไปยังหนุ่มตี๋หน้าตาดี ผิวขาวสะอาดสะอ้าน แต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตรัดรูป กับกางเกงฟิตเปรี๊ยะ หนุ่มคนนั้น ยิ้มให้ผม และยื่นมือมาให้จับ

ผมลังเลอยู่ชั่วครู่ ด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ภายใน ทำให้ไม่อยากทำความรู้จักกับใครในตอนนี้ แต่ผมไม่อยากจะฉีกหน้าเพื่อนรักของผม ในเมื่อมันกำลังมีความสุข ลืมเด็กแซ่บไปได้อย่างน้อยก็ชั่วขณะ ผมก็จำเป็นต้องเล่นไปตามน้ำ คิดได้ดังนั้น ผมจึงยื่นมือออกไปให้เบนจับ เขาบีบมือผมแน่น และยิ้มหวานให้ผม

“ฉันจะกลับบ้านแล้วล่ะสันต์ ง่วงนอนแล้ว นายจะกลับพร้อมกัน หรือจะไปต่อล่ะ”

ผมหันไปบอกความต้องการกับเจ้าสันต์ รู้สึกเหนื่อยแล้ว อยากกลับบ้านไปนอน ไม่อยากจะลืมตาตื่นมาเพื่อรับรู้อะไรแล้ว แค่นี้ผมก็เซ็งจะแย่ บางทีการทีได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ อาจจะทำให้หัวสมองของผม มีทางออกที่ดีในการจัดการปัญหาระหว่างผมกับเดียร์ก็ได้
ขี้เมาที่แปลงร่างเป็นนักรักในชั่วข้ามคืนหันไปมองหน้าเบน ก่อนจะกลับมาจ้องหน้าผม มันทำสายตาวิงวอนขอร้อง แต่คราวนี้ผมขอใจดำ ไม่อยู่เป็นเพื่อนกับมันดีกว่า

แค่เห็นรอยยิ้มหวานๆของ เบน ผมก็รู้สึกขนลุกแล้ว ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคนเหล่านี้ให้มากนัก แค่เรื่องเดียร์กับศักดิ์ชายผมก็ปวดหัวจะแย่อยู่แล้ว อย่าเพิ่มใครมารบกวนความสงบสุขของผมอีกเลย

“ก็ได้ .......”

เจ้าสันต์ทำเสียงงอนๆ ที่ผมขัดใจมัน แต่ผมทำเป็นเฉย มันคงรู้ว่าผมกำลังอารมณ์ไม่ดี มันเลยไม่เซ้าซี้ต่อ นักรักเจ้าน้ำตาบอกกับผมว่า มันคงจะนั่งคุยกับ เบน อีกสักพัก แล้วค่อยกลับบ้าน ผมก็เลยขอตัวกลับก่อน
ระหว่างทางที่ผมเดินกลับไปยังรถที่ผมจอดไว้ข้างทาง ใจผมก็ไพล่ไปนึกถึงเหตุการณ์เมื่อหลายเดือนก่อน ตอนที่เดียร์โปะยาสลบผมและลักพาตัวไปทำสัญญาเป็นแฟนเขา

ตอนนั้นผมก็เดินไปที่รถเพียงลำพัง ความหวาดระแวงทำให้ผมเดินเหลียวหน้าเหลียวหลังล่อกแล่ก ด้วยเกรงว่าจะมีใครตามมาอีก
ทั้งที่คิดว่า เหตุการณ์ที่ผ่านมา มันไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นซ้ำรอยเดิมได้อีก แต่กระนั้น ผมก็ยังกังวล จังหวะที่ผมมองซ้ายมองขวาอยู่นั้น สายตาก็พลันไปพบกับสิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจ นอกเหนือจากได้เจอเพื่อนร่วมก๊วนของเดียร์ และเห็นเจ้าสันต์เริงร่าทั้งที่อกหักมาหมาดๆ
ไม่ใกล้ไม่ไกลจากรถของผมที่จอดอยู่ แต่เป็นอีกฝากหนึ่งของถนน ผมเห็นหญิงชายคู่หนึ่ง ยืนจูบกอดกันนัวเนีย ที่น่าตกใจก็คือ แม้จะเห็นเพียงด้านหลัง ผมก็จำได้ว่าผู้หญิงคนนั้นคือใคร
ตอนแรกผมก็ไม่แน่ใจสายตาของตนเอง คิดว่าความมืดอาจจะพลางตาทำให้ผมเข้าใจผิด แต่หลังจากเขม้นมองดู ก็รู้ว่าสายตาไม่ได้หลอกตัวเอง

สาวสวยของบริษัท คุณแคทลียา พนักงานใหม่ของบริษัท กำลังยืนกอดจูบกับผู้ชายคนหนึ่งใกล้ๆกับรถเบนส์คันโตสีบรอนซ์เงิน
ผมละสายตาจากภาพนั้นแล้วขึ้นรถสตาร์ทออกไปจากที่นั่น พยายามไม่สอดรู้สอดเห็นในเรื่องของชาวบ้าน
ถึงแม้จะค่อนข้างแปลกใจที่เห็นเธอในย่านที่เป็นสถานที่เที่ยวของเกย์ แถมซ้ำเธอยังนัวเนียกอดจูบอยู่กับผู้ชายโดยไม่แคร์สายตาใคร แต่ผมก็คิดว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของเธอ ที่จะทำอะไรก็ได้ เพราะนี่มันนอกเวลาทำงานแล้ว

ทุกคนย่อมมีสิทธิที่จะดำเนินชีวิตของตัวเองโดยไม่ต้องขึ้นอยู่กับกฎระเบียบข้อบังคับของพนักงาน ไม่มีข้อห้ามใด ไม่ให้พนักงานเที่ยวนี่
แล้วเธอก็โตพอแล้ว คงรู้ผิดชอบแยกแยะได้ ว่าอะไรควรไม่ควร หากเธอคิดว่าเธอสามารถทำกริยาอาการแบบนั้นโดยไม่แคร์สายตาใคร ก็แปลว่าคุณแคทลียา ก็คงพร้อมที่จะรับผลที่ตามมา แล้วผมก็รับประกันว่า ผมจะไม่มีทางปูดเรื่องที่ได้เห็นนี้แน่นอน
ภาพลักษณ์ สาวสวย ฉลาด และมั่นใจตัวเอง เป็นภาพที่งดงามเหมาะสมสำหรับเธออยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเอาสีมาระบายให้มันโดดเด่นขึ้นไปอีกหรอก


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่12 13/1/09 มีรูปเดียร์มาฝากด้วย
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-01-2009 17:22:18
ตีสองกว่า เป็นเวลาที่ผมขับรถกลับถึงบ้าน หลังจากอาบน้ำสระผมแล้วก็นั่งรอให้ผมแห้ง ระหว่างนั้นผมไม่รู้จะทำอะไรดี ก็เลยลงไปนั่งดูทีวี แต่ยามดึกไม่มีรายการอะไรน่าสนใจ แล้วผมก็ยังไม่ง่วงด้วย
น่าแปลกที่ผมหนีจากสถานที่ตรงนั้นเพื่อที่จะได้กลับมาพักผ่อน แต่เมื่อมาถึงแล้ว ผมกลับไม่อยากนอนเอาเสียเลย รู้สึกเหงา และ หดหู่เสียจริงๆ เหมือนว่ามันขาดอะไรไปสักอย่าง

ทั้งๆที่บ้านนี้ผมก็อยู่มานานจนคุ้นเคย ข้าวของทุกอย่างก็ไม่ได้หายไปไหน แต่ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่าเหมือนมีบางอย่างที่ไม่สมบูรณ์อยู่ ซึ่งผมตอบไม่ได้ว่ามันคืออะไร
ในเมื่อจะนอนก็ไม่ได้ ผมก็ยังไม่แห้ง แถมซ้ำตาก็ยังสว่างอยู่ ผมก็เลยมองหากิจกรรมที่จะทำเพื่อฆ่าเวลา ในที่สุดผมก็เลือกที่จะหาหนังที่มาดู ในตู้ที่ผมวางทีวี มีชั้นเก็บพวกซีดีต่างๆ ซึ่งเป็นหนังที่ส่วนใหญ่ผมจะเก็บไว้ดูเวลาว่าง แต่ยังไม่มีโอกาสจะได้ดูสักที
ผมไล่มือไปตามสันกล่องที่เรียงไว้ มีหนังหลายประเภท ทั้งแอคชั่น ดราม่า และ คอมเมดี้ ผมไม่มีอารมณ์อยากจะดูหนังดราม่าสักเท่าไหร่ เพราะชีวิตผมตอนนี้ ก็น่าหดหู่พอสมควร อยากดูหนังตลกมากกว่า


ขณะที่มือผมไล่ไปเรื่อยๆนั้น ก็สะดุดเข้ากับหนังเรื่องหนึ่ง เป็นหนังที่มีชื่อยาวเหยียด ผมหยิบกล่องซีดีขึ้นมาดูด้วยความสนใจ “The Adventures of Priscilla, Queen of the Desert” คือเชื่อหนังเรื่องนั้น
ภาพที่ปรากฏบนกล่อง มีสีสันสดสวย น่าสนใจ ดึงดูดผม ภาพรถสีสันฉูดฉาดที่จอดอยู่กลางทะเลทรายสีส้มแสบตา โดยมีหญิงสาว ไม่ใช่สิ น่าจะเรียกว่ากระเทยมากกว่า ในชุดแต่งตัวคล้ายพวกนางโชว์ยืนอยู่บนหลังรถปล่อยให้ลมพัดชุดยาวปลิวไสว พล็อตเรื่องของหนังที่ผมพลิกอ่านจากด้านหลังกล่อง เป็นดังนี้
“Two drag-queens (Anthony/Mitzi and Adam/Felicia) and a transexual (Bernadette) contract to perform a drag show at a resort in Alice Springs, a resort town in the remote Australian desert.
They head west from Sydney aboard their lavender bus, Priscilla. En route, it is discovered that the woman they've contracted with is Anthony's wife. Their bus breaks down, and is repaired by Bob, who travels on with them”

จากข้อมูลเบื้องต้น ประกอบกับภาพที่เห็นจากแผ่นปก ทำให้ผมเกิดอยากดูเรื่องนี้ขึ้นมา แม้จะรู้ว่ามันเป็นหนังของเกย์กะเทย แต่ผมก็คิดว่ามันเป็นหนังที่น่าจะดูสนุกเรื่องหนึ่งมันคล้ายกับมีบางสิ่งบางอย่างดลใจ ให้ผมเลือกหนังเรื่องนี้ แต่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร

หนังเรื่องนี้ เป็นหนังปี 1994 (พ.ศ.2537) นำแสดงโดย ดาราสามคนที่เป็นชายแท้ คือ เทอเรนส์ แสตมป์ , ฮิวโก้ เวฟวิ่ง , และ กาย เพียซ ทั้งหมดแสดงเป็นสาวประเภทสอง ซึ่งทุกคนสามารถแสดงได้อย่างแนบเนียนและเป็นธรรมชาติจนผมเองยังรู้สึกทึ่ง และสนุกไปกับภาพที่เห็น
เรื่องมันมีอยู่ว่า กะเทยสามนางจากซิดนีย์ซึ่งประกอบไปด้วย ราฟท์ กะเทยที่ได้ผ่านการผ่าตัดแปลงเพศไปเรียบร้อยแล้ว และเปลี่ยนชื่อเป็น เบอร์นาเดท บาเซนเจอร์ ทำงานเป็นนางโชว์จนกระทั่งวัยและสังขารร่วงโรย

เธอกับเพื่อนทั้งสองคือ มิทซี่ ซึ่งมีชื่อเดิมก่อนแปลงเพศว่าแอนโทนี่ และ เฟลิเซีย กระเทยเด็กผู้มาดมั่น ได้รับการว่าจ้างจากเมียเก่าของแอนโทนี่ ให้ไปแสดงโชว์ที่ อลิซ สปริง รีสอร์ทแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่อีกฟากของออสเตรเลีย

พวกเธอตกลงตัดสินใจหารถบัสคันใหญ่เป็นพาหนะสำหรับการเดินทาง และ บรรทุกกระเป๋าเสื้อผ้า รวมถึง อุปกรณ์สำหรับการโชว์ต่างๆ ข้ามทะเลทรายเพื่อไปแสดงโชว์คาร์บาเรต์ พวกเธอได้ตั้งชื่อพาหนะของพวกเธอว่า “พริสซิลล่า” และตกแต่งรถอย่างสวยงามและมีสไตล์
หนังอุดมไปด้วยฉากการแต่งองค์ทรงเครื่องตามแบบนางโชว์ที่อลังการ ฉูดฉาดบาดตา และฉากร้องรำทำเพลงแบบลิปซิ้ง

ในขณะที่หนังยังแทรกด้วย การเดินทางไปยังรีสอร์ท ซึ่งระหว่างนั้น คนทั้งสามต่างร่วมทุกข์สุข และเรียนรู้ซึ่งประสบการณ์ชีวิตของกันและกัน
ทันทีที่ดูหนังเรื่องนี้จบลง ผมกลับคิดไปถึงใครบางคนที่เคยทำงานอย่างนี้มาก่อน เด็กบ้านั่นจะมีชีวิตที่คล้ายๆกับตัวละครในหนังเรื่องนี้หรือเปล่าหนอ

ผมเคยเห็นเดียร์เป็นนางโชว์แค่ครั้งเดียว ตอนนั้นเขาใส่ชุดสีแดงเพลิง แต่งหน้าเข้มสวยเหมือนผู้หญิงจริงๆ ท่าทางการเต้นประกอบเพลง และร้องลิปซิงค์ทำได้แนบเนียนเหมือนพวกมืออาชีพ
น้อยเล่าว่า เดียร์ไม่ได้เต้นแบบผู้หญิง แต่ใส่เสื้อผ้า เต้นและร้องแบบผู้ชาย ถ้าไม่ใช่เพราะตัวแสดงเดิมไม่สามารถขึ้นได้ ก็คงไม่มีโอกาสเห็นเดียร์ในชุดเสื้อผ้าผู้หญิงเฉิดฉายบนเวทีอย่างแน่นอน

ตอนนั้นผมรู้สึกเฉยๆกับคำพูดนั้น แต่หลังจากได้ดูหนังเรื่องนี้ ผมก็รู้ว่าเดียร์ไม่เหมาะกับเสื้อผ้าผู้หญิงเลย เพราะรูปร่างของเขาไม่อรชรอ้อนแอ้นเหมือนกะเทยทั่วไป โครงสร้างร่างกายของเดียร์เต็มไปด้วยมัดกล้าม ไม่ใหญ่โตหนาบึกแบบพวกนักกีฬา หรือคนเล่นกล้าม แต่ก็ดูสวยงาม
ถ้าหากเขาเป็นกระเทยไม่ใช่เกย์ ก็คงจะเป็นกระเทยที่ตัวใหญ่เกินไป อย่างที่เคยได้ยินเจ้าสันต์มันเรียกว่า “กระเทยควาย” ผู้ชายแท้ๆก็คงจะกลัวและไม่กล้าจีบอย่างแน่นอน การคิดถึงเดียร์ในแง่มุมนั้น ทำให้ผมต้องหัวเราะออกมา
กำลังเริ่มอารมณ์ดีอยู่แท้ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ผมลุกขึ้นเดินไปรับโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะตรงมุมห้อง นึกเดาว่า น่าจะเป็นเจ้าสันต์โทรมารายงานถึงเหตุการณ์ระหว่างมันกับ เบน หนุ่มหน้าหล่อคนนั้น

เจ้าเพื่อนคนนี้ มันยิ่งขี้อวดเสียด้วย ที่โทรมาหาในเวลาเกือบจะตีห้าอย่างนี้ คงไม่มีอะไรมากไปกว่าชวนคุยเรื่องหนุ่มๆเป็นคุ้งเป็นแคว
ผมเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้บ่อยๆ เคยคุยกับมันนานเป็นชั่วโมงจนเกือบหลับไปเลยก็มี ด่ามันไปก็ตั้งหลายครั้ง แต่มันก็ยังไม่เข็ด คราวนี้ผมตั้งใจจะฟังมัน เพราะรู้ว่า ในยามนี้ เจ้าสันต์ต้องการเพื่อนมากๆ หากว่าจะช่วยให้เพื่อนหายเศร้าได้ ผมก็ยินดีที่จะทำอย่างเต็มที่
เสียงที่ได้ยินจากปลายสาย ทำให้ผมต้องยืนนิ่งตัวแข็ง อารมณ์ขึ้น ความโกรธแล่นลิ่ว คนที่โทรมาไม่ใช้สันต์อย่างที่เข้าใจ แต่กลับกลายเป็นเดียร์ คนที่สร้างเรื่องสร้างราวปวดหัวให้ผม

คนที่วางแผนให้ผมติดกับ คนที่ผมเพิ่งจะโมโหฉุนเฉียวเมื่อล่วงรู้แผนการที่เขาทำกับผม คนที่หายไปอาทิตย์กว่า คนที่กล้าโทรเข้ามาในเบอร์บ้านทั้งที่ผมสั่งห้าม เจ้าคนที่เอาแต่ใจตัวเอง ไม่คำนึงถึงความรู้สึกของคนอื่น โทรมาก็ดีแล้ว ผมจะได้จัดการเสียที

“หวัดดีครับเรียว นอนดึกจังเลยนะครับ ผมคิดถึงคุณจัง แล้วคุณล่ะ คิดถึงผมบ้างไหมน้า”

เสียงออดอ้อนอ่อนหวานที่คุ้นเคยดังมาทางปลายสาย แต่ผมไม่ใส่ใจ กลับตอบกลับเสียงห้วน ทำให้รู้ไปเลยว่าผมไม่อยากคุยกับเขา

“โทรมาทำไม.....”

เดียร์ชะงักไปนิดหนึ่ง เมื่อได้ยินเสียงมะนาวไม่มีน้ำของผม แต่แล้วเขาก็ตอบกลับมาด้วยเสียงอ้อนๆเหมือนเดิมที่เคยได้ยิน

“พอดีผมเพิ่งกลับมาถึงโรงแรมครับ เต้นโชว์เสร็จตอนประมาณ 4 ทุ่มกว่า พี่หัวหน้า เขาก็พาแดนเซอร์ไปทานข้าว แล้วก็ไปร้องคาราโอเกะ ก่อนจะแยกย้ายกันไปนอน แต่ผมยังไม่ง่วงครับ
คิดถึงเรียวมาก จนนอนไม่หลับ ก็เลยโทรมาหา อยากได้ยินเสียง อยากคุยกับคุณ จะได้ฝันดี และมีกำลังใจในการทำงานต่อไปครับ”

“ไม่เห็นจำเป็น......เมื่อก่อนไม่มีฉัน นายก็อยู่ได้อยู่แล้ว ไม่ต้องมาสร้างความคุ้นเคยให้ตัวเองด้วยการมีฉันตลอดเวลาหรอก”

อ้อนมา ผมก็ห้วนกลับ ความโกรธเมื่อตอนค่ำๆเริ่มเข้ามาแทนที่อารมณ์ดีที่เพิ่งเกิดขึ้น

“เมื่อก่อนอยู่ได้ แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมนี่นา ผมคิดถึงเรียวทุกวัน และมากขึ้นเรื่อยๆเลยนะ อยากเร่งวันเร่งคืนให้จบคอนเสิร์ตเร็วๆจะได้ไปหาคุณ อยากอยู่ใกล้ๆแล้วล่ะ”

เจ้าเด็กร้ายกาจยังคงพูดจาออดอ้อนต่อ

“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฉันอยากคุยกับนายเหมือนกัน นายมาบ้านฉันบ่อยเกินไปแล้ว นี่มันเกินกว่าที่สัญญาไว้ เราตกลงกันว่าแค่วันอาทิตย์เท่านั้นที่นายจะมีสิทธิ์มาบ้านฉัน และห้ามค้าง หวังว่าเมื่อนายกลับมาแล้ว จะปฏิบัติให้เหมือนตามที่ตกลงกันไว้”


ผมหยิบยกข้อความที่อยู่ในสัญญาขึ้นมาเป็นการกีดกันไม่ให้เดียร์เข้าใกล้ผมอีก ยิ่งเขาออกห่างจากผมเท่าไหร่ มันน่าจะเป็นเรื่องที่ดี

“เรียวครับ ทำไมเกิดเข้มงวดขึ้นมากะทันหันแบบนี้อ่ะ ที่เป็นอยู่นี้ ก็ดีแล้วนี่นา เราสองคนกำลังไปกันได้ดีเลย เรียวใจดีกับผมแล้วทำไมไม่ทำให้ตลอดล่ะฮะ”

เดียร์ถามผม ด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความงุนงง สงสัย ผมไม่ตอบคำถามนั้น แต่พูดในสิ่งที่ผมอยากพูดมาตลอดออกไป

“ฉันจะไม่ใจดีกับนายอีกต่อไปแล้ว เพราะนอกจากจะไม่เกิดประโยชน์อะไร มันกลับยังทำให้เกิดผลร้ายต่อตัวฉันด้วย ดังนั้น อย่าได้คาดหวังว่าฉันจะเป็นเหมือนเดิม”

“เรียวเป็นอะไรหรือครับ อารมณ์ไม่ดีเหรอ ผมนึกว่าจากกันไปแบบนี้เรียวจะคิดถึงผมบ้าง ไม่สักนิดเลยหรือครับ นี่มันก็ผ่านมาตั้งอาทิตย์กว่าแล้วนะฮะ
เราไม่ได้คุยกันเลยตั้งแต่วันที่ผมไปหาคุณ ผมสู้อุตส่าห์คิดถึงคุณมาตลอด รีบโทรมาทันทีที่มีเวลาว่าง แต่เรียวกลับทำน้ำเสียงไม่ดีใส่ โกรธอะไรผมหรือเปล่าฮะ”

แน่ะ ทำมาเป็นถามเหมือนไม่รู้เรื่องงั้นแหละ ผมล่ะเกลียดจริงเชียว

“ยังมีหน้ามาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อีกเหรอ ทั้งๆที่ก่อเรื่องไว้มากมาย ทำให้คนเขาลำบาก เดือดเนื้อร้อนใจเอากับความเอาแต่ใจของตัวเองนี่แหละ”

ผมต่อว่าเขาอย่างฉุนๆ ไม่ค่อยชอบใจนักที่เดียร์มาทำเป็นใสซื่อ ทั้งๆที่วางแผนกับเพื่อนหลอกลวงผมมาตลอด

“เรียวขยายความให้ผมฟังหน่อยได้ไหม พูดแบบนี้ผมงงนะครับ”

เด็กบ้านี่ทำเป็นซื่อ แต่ผมไม่หลงกลเขาอีกต่อไปแล้ว

“วันนี้ฉันเจอโสภิตนภา กับสมฤทัย เขาบอกฉันหมดทุกอย่างแล้ว นายหลอกฉันมาตลอด ที่แท้นายวางแผนตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม รวมหัวกันกับเพื่อน ทำเป็นถูกสองคนนั่นรังแก เพื่อให้ฉันเข้าไปช่วยเหลือ จะได้แยกฉันออกมาจากเพื่อน
ฉันมันโง่เอง ที่ไม่สงสัยว่าทำไมเหตุการณ์มันถึงประจวบเหมาะเหลือเกิน ทำไมนายต้องไปเจอฉันโดยบังเอิญในสถานที่แบบนั้นด้วย นายทำอย่างนี้กับฉันทำไม”

ในที่สุดผมก็โพล่งในสิ่งที่ผมค้างคาใจออกไป เดียร์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ฟังไม่ออกเลย ว่าเขากำลังรู้สึกอะไรอยู่

“อ๋อ เรื่องนี้เองน่ะเหรอครับ พิ่โสภิตโทรมาบอกผมแล้วเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา แกคงกลัวว่าเรียวจะโมโหให้ผมหลังจากที่รู้เรื่องจากปากคำของพวกเขา พี่โสภิตเดาถูกจริงๆ
เป็นเรื่องแค่นี้ เองใช่ไหมที่ทำให้เรียวไม่พอใจ เรียวโกรธในความผิดที่ผมได้ทำมันผ่านมาแล้ว ทั้งๆที่ผมก็ได้อธิบายทุกอย่าง แล้วก็พยายามทำดีกับเรียว แต่เรียวก็ยังคงไม่พอใจ ยังคงโกรธผมอยู่ ผมจะทำอย่างไรดีละครับ เรียวถึงจะหายโกรธผม”
ผมนิ่งฟังเดียร์ด้วยความแค้นเคือง หนอยทำผิดแต่ไม่ยอมรับผิด จะขอโทษสักคำก็ไม่มี ยังมีหน้ามาบอกด้วยว่า เหตุการณ์มันผ่านมาแล้ว จะให้ผมจบมันลงง่ายๆ ด้วยการพูดดีกับเขาหรือไง

“นายนี่มันแย่จริงๆ เห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ ทำให้คนอื่นเดือดร้อน แล้วก็ทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันล่ะเชื่อนายจริงๆเลย ทำไมนายทำตัวได้น่ารังเกียจขนาดนี้นะ”

“ตกลงว่าเราจะทะเลาะกัน โกรธกันด้วยความผิดที่ผมก่อแต่หนหลังใช่ไหมครับ”

เด็กหนุ่มย้อนถามผมด้วยเสียงเครียดๆ ท่าทางเขาเริ่มจะมีอารมณ์บ้างแล้ว

“ฉันชิงชังนายจริงๆ”

ผมว่าเขา ด้วยรู้สึกเหลืออดจริงๆ

“แล้วเรียวจะให้ผมทำอย่างไรละครับ ถึงจะแก้ไขความผิดพลาดที่ผมทำกับคุณได้ บอกผมมาสิครับ ผมยินดีทำทั้งนั้น”

“ออกไปจากชีวิตฉันซะทีสิ.......ฉันจะมีความสุขมาก”

“ไม่ได้หรอกครับ ผมพยายามทำทุกอย่างก็เพื่อวันนี้ ไม่ยอมรามือง่ายๆหรอกครับ”

“ด้วยวิธีการที่สกปรก รวมหัวกันเพื่อล่อลวงฉันนี่นะ อย่างนี้นะเหรอที่นายเรียกว่าทำไปเพราะความรัก เห็นแก่ตัวสิไม่ว่า”

ผมด่าว่าถากถางเขา กะเล่นงานให้เจ็บปวด .....เดียร์นิ่งไปอีกแล้ว เขาเงียบไปจนผมนึกว่าเขาคงจะโกรธผม จนวางหู แต่เปล่าเลย เขาตอบกลับผมด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความน้อยอกน้อยใจ
จนผมแทบจะจินตนาการได้เลยว่ายามนี้ตาของเขาคงจะแดงทั้งสองข้าง น้ำตาคงจะเอ่อมาคลอตา แต่เจ้าตัวพยายามจะฝืนมันเอาไว้ ไม่ให้มันหยดแม่ะลงมา

“.........ผมจะทำอะไรได้มากไปกว่านี้หรือครับเรียว ถ้าผมไปเจอคุณ แล้วก็บอกรักคุณเฉยๆ คุณจะยอมเป็นแฟนผมไหม
คุณแน่ใจเหรอ ว่าจะไม่หัวเราะใส่หน้าผม จะไม่ไล่เตะ หรือ เรียกให้ยามมาหิ้วตัวผมออกไป บางทีคุณอาจจะแจ้งตำรวจมาจับผมแล้วยัดข้อหาว่าผมเป็นคนร้ายที่มาก่อกวนคุณก็ได้
หรือหากว่าคุณใจดีไม่ทำแบบนั้นกับผม แล้วคุณคิดว่าตัวเองจะยอมฟังผมพูดจนจบหรือเปล่า
เรียวจะให้โอกาสผมอธิบายถึงเหตุผลที่ผมอยากจะอยู่ใกล้ๆคุณ อยากใช้ชีวิตร่วมกับคุณแต่โดยดีด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง เข้าอกเข้าใจผมไหม.......”

“......”

คราวนี้ผมเป็นฝ่ายอึ้งบ้าง รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดของเดียร์ผ่านทางคำพูดของเขา

“คุณอาจจะมองผมด้วยแววตาดูหมิ่นเกลียดชัง เห็นผมเป็นไอ้งั่ง พูดจาไร้สาระ แล้วก็จะหันหลังให้ผม กันผมออกไปจากชีวิตคุณ
เมื่อผมได้พูดสิ่งที่ตัวเองอยากพูดออกไป มันก็จะกลายเป็นครั้งเดียวเท่านั้นที่ผมจะมีโอกาสได้พูด แล้วหลังจากนั้น ผมน่ะ จะไม่มีโอกาสได้เจอ ได้ใกล้ชิดคุณอีกเลย……”

“.........”

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่12 13/1/09 มีรูปเดียร์มาฝากด้วย
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-01-2009 17:53:43
:m15: ร้องให้แทนเดียร์
สงสารโว๊ย  :angry2:



คนโพสอ่านแล้วเกิดอารมณ์ :z6:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่12 13/1/09 มีรูปเดียร์มาฝากด้วย
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 13-01-2009 18:47:10
 :sad11: :sad11: :sad11: :sad11:
สงสาร เดียร์   จัง เรยยยย



อย่า เพิ่ง ท้อ น่ะ



คนมัน กำลัง โกรธ ฏ้ แบบนี้ แหละ



ทน หน่อย  อดเปรี้ยว ไว้ กิน หวาน
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่12 13/1/09 มีรูปเดียร์มาฝากด้วย
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 13-01-2009 19:32:28
ใจเย็นๆค่ะใจเย็นๆ..........เอาใจช่วยเดียร์เต็มที่
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่12 13/1/09 มีรูปเดียร์มาฝากด้วย
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 14-01-2009 08:52:05
รูปเรียวในจินตนาการของเราเองแหละ
(http://images.torrentmove.com/ix/anan07022uo3.jpg)
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่12 13/1/09 มีรูปเดียร์มาฝากด้วย
เริ่มหัวข้อโดย: kimagain ที่ 14-01-2009 09:01:19
สงสารเดียร์อ่า  :o12:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่12 13/1/09 มีรูปเดียร์มาฝากด้วย
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 14-01-2009 09:34:31
 :monkeysad: สงสารเดียร์อ่ะ เรียวขยันสร้างกำแพงจริงๆ  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่13 14/1/09 มีรูปเรียวมาฝากด้วย
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 14-01-2009 14:33:12
บทที่ 13



สิ่งที่เขาพูดมาไม่ไกลจากความเป็นจริงเลย ถ้าเจ้าเด็กบ้านั่นมาพูดตรงๆกับผม คงจะเจอเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งตามที่เขาคาดเดาเอาไว้

“..........ไม่ว่าผมจะใช้วิธีการใด...... มันก็เป็นวิธีการที่ผิดทั้งสิ้น ถึงจะคิดลักพาตัวคุณมาเอง หรือขอร้องให้คนอื่นๆช่วยเหลือ ในความคิดของคุณ ผมก็ไม่มีวันที่จะผิดน้อยลง
ผมรู้ดี แต่ผมก็ยังอยากจะเสี่ยง เพราะถ้าผมไม่ทำอะไร ผมก็ไม่มีโอกาสได้อยู่กับคุณ แต่ถ้าผมได้ลองทำดู มันอาจจะสำเร็จ หรือล้มเหลวก็ได้ คุณอาจจะเกลียดผมไปตลอดชีวิตของคุณ
หรือคุณอาจจะรักผม เมื่อสัญญาสิ้นสุดลงเราอาจจะได้อยู่ด้วยกันไปตราบชั่วชีวิต ผมไม่อาจจะหยั่งรู้อนาคต ว่ามันจะดีจะเลวร้ายยังไง แต่อย่างน้อย ผมก็จะพยายามทำอย่างสุดความสามารถ เพียงเพื่อให้คุณได้รู้ว่า ผมน่ะรักคุณมากแค่ไหน.........”


เจ้าเด็กลูกครึ่งหน้าคมคายพูดด้วยน้ำเสียงเครือ เหมือนคนที่อารมณ์กำลังพลุ่งพล่าน คำพูดของเขาแต่ละคำ ทำเอาผมใจสั่น รู้สึกเจ็บแปล๊บที่หัวใจ เขาทำให้ผมหวั่นไหวอีกค
รั้ง
“.......ทำไมหรือครับเรียว ทำไมผมถึงรักคุณไม่ได้ บอกหน่อยสิครับ บอกให้ผมเข้าใจหน่อย ผมมันโง่ ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกรักและภักดีที่ผมมีให้เรียว มันทำร้ายคุณมากถึงขนาดนี้
คุณจะรังเกียจผมก็ได้ ชิงชังที่ผมใช้เล่ห์เหลี่ยมหลอกลวงเอากับคุณ แต่เรียวจะช่วยกรุณาลืมสิ่งที่ผมทำพลาดในอดีต แล้วมองถึงสิ่งที่ผมกำลังทำดีกับคุณในปัจจุบัน และต่อๆไปในอนาคตไม่ได้หรือครับ ให้โอกาสกับผมได้แสดงออกถึงความจริงใจที่ผมมีต่อคุณได้ไหม......”

“......”

คำพูดของเดียร์มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนหนามเป็นพันๆเล่มทิ่มแทงตรงดวงใจของผม มันทำให้ผมเจ็บปวดร้าวราน ผมกับเขาใครจะเจ็บมากกว่ากันหนอ ระหว่างคนที่ถูกทำร้าย กับฝ่ายทำลายที่เสียใจกับการกระทำของตนเองแล้วกำลังวอนขอความเห็นใจ นี่ผมควรจะเชื่อหัวใจตัวเอง หรือทำเพื่อความถูกต้องดี

“ไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร ผมเข้าใจดี ผมขอโทษนะ ที่ทำให้คุณลำบากใจ ขอโทษจริงๆ ผมจะชดใช้ ชดใช้คุณให้หมดเลยครับ......”

“ไม่ต้องโทรมาหาฉันอีกต่อไป ..........ฉันไม่อยากคุยกับนายอีกแล้ว”

ผมตัดสินใจ ยุติเรื่องทุกสิ่ง อย่างน้อยนี่ก็คือการให้บทเรียนกับเขา

“.............”

เด็กหนุ่มนิ่งไปอึดใจ จากนั้นเขาก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงที่สั่นเครือมากยิ่งขึ้น จนผมเองรู้สึกหดหู่ตามไปด้วย

“ถ้านั่นคือความต้องการของเรียว... ผมก็ยินดีปฏิบัติครับ”

“......ไม่ต้องกลัวหรอก.....ฉันน่ะ....ยังคงรักษาสัญญาตามเดิม ......เพียงแต่ฉันไม่อยากพูดคุยกับนายเท่านั้น ขออย่ามารบกวนใจฉันอีก คงเข้าใจแล้วนะ ”

ผมวางสายลงหลังจากพูดจบ ไม่รอฟังต่อว่าเด็กหนุ่มนั่นจะพูดว่าอะไร จากนั้นผมก็เดินไปปิดทีวีที่ผมเพิ่งดูจบไปเมื่อครู่ก่อนที่เขาจะโทรศัพท์มา
รู้สึกปวดหัวตุ๊บๆจนรู้สึกอยากจะพัก เลยตั้งใจจะขึ้นไปนอน เพื่อที่จะหลับแล้วก็พยายามลืมทุกสิ่ง พอเข้าห้องได้ ผมกลับไม่นอนได้แต่นั่งนิ่งอยู่บนเตียงอย่างคนที่ไม่รู้จะจัดการกับชีวิตตนเองอย่างไร
อาการปวดหัวมาเยือนผมอีกแล้ว พร้อมๆกับอาการเจ็บแปลบที่หัวใจ บอกไม่ถูกว่า อาการอย่างไหน ที่สร้างความเจ็บปวดให้ผมมากกว่ากัน
ผมยกสองมือกุมขมับ โดยที่ข้อศอกเท้าอยู่บนหน้าขาทั้งสองข้าง นั่งอยู่ในท่านั้นเกือบครึ่งชั่วโมงเหมือนคนที่คิดไม่ตก
จากนั้นผมก็หงายหลังผลึ่งลงไปนอนอยู่บนเตียง ตาจ้องมองเพดานอย่างเลื่อนลอย มือกุมที่หัวใจ พยายามกดมันลงไปไม่ให้เจ็บปวดไปมากกว่าเดิม

นี่ผมทำอะไรผิดหรือเปล่านะ ผมคิดว่า การให้บทเรียนกับเดียร์เป็นสิ่งที่สมควรทำ แต่ทำไมผมถึงไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลย มันกลับแย่อย่างบอกไม่ถูก น้ำเสียงน้อยอกน้อยใจของเดียร์ดังก้องอยู่ในหูของผมตลอดเวลา

มันทำให้ผมข่มตาหลับไม่ลง เด็กนั่นคงจะเจ็บปวดกับคำพูดของผม เสียงของเขาสั่นมาก เขาจะร้องไห้หรือเปล่านะ ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน เดียร์จะทำท่าเข้มแข็งให้ผมเห็นตลอด จะมีร้องไห้บ้าง ก็ด้วยเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เช่นดูหนังเศร้า แล้วเขาก็ร้องไห้

ถึงแม้ว่าจะแอบร้อง ผมก็เห็นอยู่ดี ซึ่งเขาก็ทำหน้าอายๆทุกครั้ง เวลาที่อ่อนแอให้ผมเห็น กับร้องไห้เมื่อผมและเขามีอะไรด้วยกันครั้งแรก ซึ่งเขาบอกว่ามันเป็นน้ำตาแห่งความปลี้มปิติ ที่เราสองคนได้เป็นหนึ่งเดียวกัน นอกจากสองเรื่องนี้ ก็ไม่มีเหตุผลใดที่เขาจะร้องไห้ให้ผมเห็นเลย
ผมพลิกตัวไปมา เอามือก่ายหน้าผากครุ่นคิดถึงสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไป ความรู้สึกของผมแตกแยกออกเป็นสองฝ่าย เหมือนมีคนสองคนอยู่ในตัวผม

คนหนึ่งเป็นตัวแทนแห่งจิตสำนึกอันดีงามที่พูดกรอกรูหูผมว่า ผมได้ทำในสิ่งที่ร้ายกาจที่สุด กับคนๆหนึ่งซึ่งรักผมอย่างมากมาย อีกอย่างความผิดนั่นมันก็เกิดขึ้นมาแล้ว มันได้รวมเป็นส่วนหนึ่งในแผนการลักพาตัวผม
ในเมื่อผมก็ให้อภัย และยินยอมเซ็นต์สัญญาเป็นแฟนกับเขาไปแล้ว และเดียร์ก็ทำดีกับผมทุกอย่าง หลังจากเหตุการณ์ล่อลวงวันนั้น ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่เดียร์จะทำให้ผมขุ่นข้องหมองใจ

ดังนั้น การที่ผมยังเก็บเรื่องในอดีตที่เพิ่งรับรู้มาไปลงโทษเขา จึงเป็นการกระทำที่ดูเหมือนคนไร้หัวใจอย่างมาก
แต่จิตสำนึกอีกส่วน เป็นตัวแทนแห่งผู้พิทักษ์ความถูกต้อง แม้ว่าการตัดสินใจทำอะไรลงไปบางครั้งจะดูเหมือนจะรุนแรงร้ายกาจก็ตาม
แต่เขาก็บอกกับผมว่า มันเป็นเรื่องที่สมควรทำ การห้ามไม่ให้เดียร์โทรมาหา หรือจำกัดวันมาแค่อาทิตย์ละครั้ง นี่มันเป็นการลงโทษที่เบาไปหน่อย

ความผิดในข้อหาล่อลวงคนอื่น ใช้เล่ห์กระเท่ห์ แบล็คเมล์สารพัด มันต้องถึงขนาดที่ทำลายสัญญาทิ้ง และเลิกคบหากันไปเลย


ตัวแทนทั้งสองฝ่ายต่างพูดจาโน้มน้าวผมให้คล้อยตาม จนผมปวดหัวไปหมด ไม่รู้จะเชื่อใครดี ใจผมไม่เป็นสุขเลย เดียร์ในจินตนาการลอยอยู่ในหัวไปมา
ผมนึกเห็นภาพว่าเขากำลังนั่งร้องไห้ เสียอกเสียใจกับคำพูดที่ร้ายกาจของผม ไม่เป็นอันหลับอันนอนเหมือนที่ผมกำลังเป็นอยู่
ผมรู้ว่าเดียร์รักผมมาก ทั้งคำพูดและการกระทำของเขาแสดงให้ผมรู้อยู่ตลอดเวลา ผมไม่ได้เกลียดเขา ไม่ได้ชิงชังความรักของเขาตามที่เดียร์

ตั้งข้อกล่าวหา ผมรังเกียจวิธีการที่เขาใช้กับผมมากกว่า

ทำไมเขาไม่ทำความรู้จักกับผมดีๆ แบบที่คนอื่นเขาทำกัน

ทำไมไม่จีบผมเหมือนที่เจ้าสันต์ไปจีบคนอื่น

ทำไมต้องวางแผนล่อลวงจับตัวผมไปด้วย

ทำไมต้องใช้วิธีการแบล็คเมล์เพื่อให้ผมยอมเขา

ทำไมไม่ให้ผมตัดสินใจเป็นแฟนกับเขาโดยไม่มีการบังคับฝืนใจ

เขาน่าจะใช้วิธีการในการเข้าถึงผมที่ดีกว่านี้

คำถามมากมายวนเวียนอยู่ในความคิดของผม แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ผมไม่สามารถให้คำตอบกับตัวเองได้ นั่นก็คือ หากเดียร์ใช้วิธีการอย่างที่ผมตั้งคำถามให้กับตนเอง ผมจะยอมเป็นแฟนกับเขาจริงๆนะหรือ

สิ่งที่เดียร์ตั้งข้อสงสัยเอากับผม เป็นเรื่องที่ผมน่าจะทำกับเขา เดียร์รู้เหมือนที่ผมรู้ว่าผมไม่มีโอกาสเปิดทางให้เขาอย่างแน่นอน อย่าว่าแต่ผมจะไม่ยอมตกลงเป็นแฟนเขาเลย เดียร์แทบจะไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้ผมเป็นซ้ำสองเลยด้วยซ้ำ

เพราะเขารู้ดีว่าผมไม่มีทางที่จะชอบผู้ชายอย่างแน่นอน เพราะตลอดทั้งชีวิตของผมที่ผ่านมา ผมไม่เคยมีเรื่องชู้สาวกับผู้ชายด้วยกันมาก่อน
การจะให้ผมยอมรับเขาเป็นแฟนแต่โดยดีจึงไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ เดียร์จึงต้องใช้เล่ห์กระเท่ห์เพื่อให้ได้ใกล้ชิดตัวผม และบังคับผมให้เซ็นสัญญาเพื่อที่จะปรนนิบัติผมอย่างที่เขาลั่นวาจาไว้

ผมยกมืออีกข้างขึ้นก่ายหน้าผาก รู้สึกตัวว่าต่อว่าเดียร์แรงเกินไป เขาจะคิดมากกับคำพูดที่ผมบอกว่าผมรังเกียจและชิงชังเขาไหมนะ ผมเองก็ไม่ดี ดันปากไวเกินไป เพราะกำลังโมโห จนไม่มีเวลาที่จะกลั่นกรองคำพูด
รู้แต่ว่าตัวเองน่ะโกรธเด็กหนุ่มมาก และอยากให้เขาไปให้พ้นจากชีวิต แต่เมื่อปล่อยเวลาให้ผ่านไป สำนึกส่วนดีก็มีชัยเหนือกว่า ความรู้สึกบอกว่า ผมควรจะให้อภัยเขาเหมือนที่เคยให้อภัยมาตั้งแต่แรก

ตอนที่ผมถูกเดียร์จับมามัด ผมทั้งกลัวและตกใจ แต่เมื่อได้ฟังเหตุผลของเขา ใจผมก็อ่อนลง แล้วก็กลับมาโกรธใหม่ เมื่อเดียร์แบล็คเมล์ผม แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังยอมทำตามที่เขาต้องการ ทั้งที่ผมมีโอกาสจะขัดขืน
แต่ผมก็มัวแต่ไปรักษาคำมั่น ทำให้ชีวิตตัวเองต้องไปผูกพันอยู่กับเขาจนเลยเถิดมีอะไรกัน ผมบอกไม่ถูกว่าทำไมเมื่อตอนนั้นผมถึงใจอ่อนให้กับเขา

ถ้าเพียงผมจะเข้มแข็งปฏิเสธ เดียร์ก็จะไม่มีวันทำอะไรผมได้ผมพยายามหาคำตอบให้กับตนเองว่ามันเกิดจากอะไร ผมรู้แก่ใจดีว่ามัน ไม่ใช่เพราะรสสัมผัสที่เขามอบให้ ไม่ใช่เพราะการบังคับฝืนใจ
แต่บางทีมันอาจจะเป็นเพราะผมสัมผัสได้ถึงหัวใจของเขา หัวใจรักที่บริสุทธิ์มั่นคงที่มีต่อผมเพียงแค่คนเดียว ใบหน้าซื่อๆกับแววตาจงรักภักดีของเขาต่างหากที่ทำให้ใจผมสั่นไหว จนต้องยินยอมพร้อมใจโดยไม่ขัดขืน


แล้วสำหรับครั้งนี้ มันเป็นความผิดต่อเนื่องกัน ในเมื่อผมเคยอภัยให้เขา ผมจะยกโทษให้เขาอีกครั้งไม่ได้หรือ
เจ้าเด็กนั่นก็ไม่ได้ร้ายกาจอะไรกับผมมากมาย เขาทำเรื่องดีๆให้ผมตั้งเยอะ ทำกับข้าวให้ทาน ดูแลซักเสื้อผ้าทำความสะอาดบ้านให้ เอาใจใส่ตัวผม และแถมด้วยหมาของผมอีก

ออกจะน่ารำคาญไปบ้าง ตรงที่ชอบเอาแต่ใจตัวเอง และชอบนัวเนียชิดใกล้ แต่บางครั้งก็ดูน่ารักดีไม่น้อย เขาทำให้ผมวุ่นวายในขณะเดียว ก็ทำให้ผมหายเหงาได้ด้วย ในเมื่อเขาเรื่องก็ล่วงเลยมาจนถึงป่านนี้แล้ว ผมก็น่าจะลืมๆความผิดของเขาไปเสีย
คำพูดเป็นนาย กายเป็นบ่าวจริงๆดั่งที่เขาว่า ผมได้พูดรุนแรงกับเดียร์ไปเสียแล้ว เนื่องด้วยเพราะต้องการให้เขาได้สำนึกว่า สิ่งที่เขาทำลงไปเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง และเป็นการปรามไปด้วยในตัวว่าต่อจากนี้ไปอย่าได้คิดที่จะทำอีก

ถึงแม้ว่าผมจะอยากให้อภัยเขา แต่เมื่อพูดไปแล้ว ผมก็ไม่อยากเป็นคนพูดกลับไปกลับมาอีก ไม่อย่างนั้นเดียร์จะไม่เกรงใจผม และคิดว่าความโกรธของผมไม่มีความหมาย จะยิ่งสร้างนิสัยเอาแต่ใจตนเอง ไม่เห็นแก่คนอื่นอีก
ผมพลิกคว่ำพลิกหงายพยามยามจะข่มตาให้หลับแต่ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะใจมันคิดวุ่นวายสับสน ในที่สุดผมก็ตัดสินใจลุกขึ้นและเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดวอร์ม หยิบรองเท้าผ้าใบขึ้นมาสวม และหยิบกุญแจบ้านมาถือไว้

ตั้งใจจะออกไปวิ่งรอบหมู่บ้านให้เหนื่อยกลับมาจะได้นอนหลับ อีกไม่นานก็จะเช้าแล้ว แต่เนื่องจากยังอยู่ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ผมจึงไม่ต้องไปทำงาน จะนอนแล้วตื่นมาตอนไหนก็ได้
ตอนนี้ ผมอยากหลับแล้ว แต่มันไม่ง่วงเอาเสียเลย จิตใจก็ฟุ้งซ่าน การออกไปวิ่งแล้วสมาธิจดจ่ออยู่กับเส้นทางที่มุ่งตรงไปข้างหน้า อาจจะทำให้ผมลืมเรื่องขุ่นข้องหมองใจนี้เสียก็ได้

ตอนที่ผมวิ่งออกไปจนเกือบจะถึงทางแยกที่จะออกไปหน้าหมู่บ้าน รถคันหนึ่งก็วิ่งสวนเข้ามาแล้วก็จอดลงเลยทางแยกเข้ามานิดหน่อย ผู้ชายคนหนึ่งลงจากรถมา เขายืนเปิดประตูรถคุยอะไรกับคนข้างในสักพัก แล้วก็ปิดประตู จากนั้นรถก็แล่นออกไป ซึ่งเป็นจังหวะที่ผมวิ่งไปเกือบจะถึงชายคนนั้นแล้ว พอผมเห็นเขาถนัดตา ผมก็วิ่งตรงเข้าไปหา พี่สมชายทำท่าตกใจนิดๆ เขายิ้มเจื่อนๆให้ผม ท่าทางเหมือนคนมีพิรุธ

“ออกมาวิ่งหรือเรียว นึกอย่างไรขึ้นมาล่ะ ทุกทีไม่เคยเห็น”

“เพิ่งจะเริ่มวิ่งนะครับพี่สมชาย ช่วงนี้เอาแต่ทำงาน กินแล้วก็นอน ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายสักเท่าไหร่ ก็เลยจะลองฟิตดูบ้างนะครับ แล้วพอดีนอนไม่หลับด้วย ก็เลยว่าจะวิ่งสักพัก แล้วกลับไปนอน พี่เพิ่งกลับมาจากเที่ยวหรือครับ”

“อื้ม ก็ไม่เชิงหรอกนะ พอดีเจ้านายพาไปเลี้ยงเหล้า และร้องคาราโอเกะน่ะ เพิ่งกลับมานี่แหละ นี่ก็จะรีบเข้าบ้านแล้ว เดี๋ยวเมียบ่นน่ะ ไปก่อนนะ”

พี่สมชายตอบโดยไม่มองตาผม และเดินจากไป ท่าทางลุกลี้ลุกลน เหมือนคนที่ไปทำความผิดอะไรมา แล้วกลัวถูกจับได้ ผมมองตามเห็นพี่สมชายเดินไปยังบ้านพักของแกด้วยท่าทางเหมือนคนเมา พอพี่สมชายเข้าบ้านได้แล้ว ผมจึงหันกลับไปวิ่งต่อ

ผมนึกว่าผมจะได้หลับอย่างสบายใจรวดเดียวโดยไม่ต้องรีบตื่น ให้สมกับการที่ไปวิ่งมารอบหมู่บ้าน จนเหนื่อยลิ้นห้อย
กว่าจะกลับเข้าบ้านก็เกือบหกโมงแล้ว อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ก็ล้มตัวลงนอนแล้วหลับเป็นตาย แต่ผมกลับถูกปลุกเอาเมื่อตอนใกล้เที่ยงด้วยโทรศัพท์ของเจ้าสันต์เพื่อนตัวดีของผม

มันบอกว่าจะมาหาถึงบ้าน ตอนแรกผมปฏิเสธเพราะรู้ว่ามันคงมาเล่าเรื่องที่ไปกับเบนมาให้ผมฟัง แต่ทนเสียงออดอ้อนของมันไม่ได้ ก็เลยยอมให้มันมาหาถึงบ้าน แต่มีข้อแม้ให้มันซื้อกับข้าวมากินด้วย เพราะผมทำไม่เป็น
จากนั้นผมก็นอนต่อแล้วต้องเด้งตัวขึ้นมาใหม่เพื่อมารับโทรศัพท์ของศักดิ์ชาย มันบอกว่าอยากมาหาผมที่บ้าน ผมเห็นว่าไหนๆเจ้าสันต์ก็จะมาบ้านผมอยู่แล้ว หากศักดิ์ชายมาด้วยอีกคนก็คงไม่เป็นไร ก็เลยตอบตกลง

พอวางหูจากเจ้าสันต์ผมกลับนึกขึ้นมาได้ว่า เดียร์เคยขอร้องผมไว้ว่าไม่ให้ผมอนุญาตให้พาใครมาบ้านได้ นอกจากเขา
แต่นี่ผมอนุญาตทั้งเจ้าสันต์และศักดิ์ชาย โดยเฉพาะคนหลังนี้ เดียร์ไม่พอใจเอามากๆ จนถึงขั้นลงมือปล้ำผมเมื่อคราวก่อน
ถ้าเดียร์รู้ เจ้าเด็กนั่นคงจะโกรธแล้วก็อาละวาดใส่ผมเป็นแน่ แต่ช่างเถอะ นี่บ้านของผม ผมจะให้ใครมาก็ได้ เขาไม่มีสิทธิมาห้าม ทิฐิมานะที่มีอยู่ทำให้ผมเพิกเฉยต่อสัญญาที่ให้ไว้ต่อกัน

หลังจากรับโทรศัพท์ของสองคนนั้น ผมก็ล้มตัวลงนอนตั้งใจจะหลับต่อ แต่แล้วผมก็ต้องเด้งตัวขึ้นจากเตียงเมื่อนึกอะไรได้
ผมมองปราดไปที่โต๊ะหัวเตียง รูปของเดียร์ยังอยู่ในกรอบตั้งเด่นอยู่ข้างๆโคมไฟ เสื้อผ้าของเดียร์ที่ผมเอาออกมาจากตู้ ยังพาดอยู่ตรงเก้าอี้มุมห้อง มีร่องรอยของเดียร์มากมายอยู่บนนี้

และที่ข้างล่าง รองเท้าของเดียร์ซึ่งมีขนาดใหญ่แตกต่างกว่าเท้าผมโดยสิ้นเชิงยังวางอยู่ที่ชั้นวางรองเท้า หากศักดิ์ชาย และ สันต์เข้ามาที่ในบ้าน และเห็นเข้า เรื่องคงแตกแน่
คราวที่แล้ว เจ้าสันต์บุกขึ้นมาถึงในห้อง แล้วเห็นรูปเดียร์มันยังซักถามผมล้วงลึกราวกับว่าผมกำลังปกปิดอะไรบางอย่าง
คราวนั้นผมบ่ายเบี่ยงไปได้ แต่ก็ไม่ค่อยจะแนบเนียนนัก หากวันนี้เจ้าสองคนนั่น รวมพลังขุดคุ้ย ซักถาม ผมคงเผลอหลุดอะไรให้มันจับได้เป็นแน่

คิดได้ดังนั้นแล้ว ผมก็รีบลุกขึ้น อาบน้ำ และเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวสำหรับออกไปนอกบ้าน ผมนุ่งกางเกงยีนส์ และหาเสื้อยืดมาใส่
ขณะที่กำลังเลือกเสื้ออยู่นั้น ตาผมก็ไปสะดุดเข้ากับเสื้อยืดสีสันสดใส สามสี่ตัวที่พับเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ในลิ้นชัก มีริบบิ้นสีสวยคาดเสื้อรวมกัน มีการ์ดสอดอยู่ตรงโบว์ด้วย ผมเอื้อมไปหยิบมาอ่าน

“ที่รักของผม เสื้อยืด 4 ตัวนี้ ผมซื้อให้เป็นของขวัญสำหรับเรียวนะครับ ในวันครบรอบ 1 เดือนที่คุณเป็นของผม สีมันหวานดี เหมาะกับผู้ชายผิวขาวๆหน้าหวานๆแบบเรียว คุณอาจจะไม่ชอบ เพราะไม่ใช่สไตล์ของคุณ แต่ผมอยากให้คุณลองเปลี่ยนดูบ้างนะครับ เรียวอาจจะชินอยู่กับเสื้อผ้าสีขาว ดำ ชอบใส่มัน เพราะนี่คือตัวตนของเรียว

แต่รู้ไหมครับว่า โลกเราไม่ได้มีแค่สองสีนี้เท่านั้น ยังมีสีอื่นๆด้วย เหมือนกับชีวิตคนเรา จะจมอยู่กับความทุกข์ตลอดไปไม่ได้ เราต้องก้าวออกมาจากสิ่งที่ทำให้ใจเราไม่เป็นสุข ยังมีวันเวลาดีๆ และผู้คนอีกมากมาย รอที่จะได้รู้จักกับเรา ทำให้ชีวิตของเรามีสีสันขึ้น ผมคิดว่าเรียวยอดรักของผม เหมาะกับเสื้อผ้าในทุกๆสี เพราะคุณเป็นคนดี จิตใจอ่อนโยน มีเมตตากับคนรอบข้าง

เรียวเป็นคนที่มีค่ามากสำหรับผมและใครๆ เรียวรู้ไหมครับ สีทุกสีมีคุณค่าในตัวของมันเอง ดูเศร้าก็ได้ ทำให้ดูร่าเริงแจ่มใสก็ได้ ฮึกเหิมก็ได้ ผมอยากให้เรียวสดชื่น แข็งแรง มากกว่าจะอยู่ท่ามกลางความหดหู่ทุกข์ทรมานครับ”

ผมอ่านข้อความที่เป็นลายมือของเดียร์จนจบ รู้สึกจุกจนหายใจไม่ออก เหมือนมีใครเอาค้อนปอนด์มาทุบตรงหัวใจของผม
รู้สึกปวดร้าวเหลือเกิน เจ้าเด็กบ้านั่น ทำไมถึงได้ทำกับผมแบบนี้ เขาจะดีกับผมมากมายไปเพื่ออะไร รู้ทั้งรู้ว่าผมไม่อาจเปลี่ยนใจ แต่ก็ยังพยายามที่จะทำทุกอย่างเพื่อผม

แม้แต่รายละเอียดเล็กน้อย เรื่องการใส่เสื้อผ้า การแต่งตัวของผม เขาก็ยังเป็นห่วงเป็นใย ยังไม่นับอารมณ์ความรู้สึกของผมที่เขาเฝ้าคอยจับสังเกตจับตามอง และพยายามที่จะทำให้ผมอารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา
ผมรู้สึกเกลียดเจ้าเด็กบ้านั่นเหลือเกิน ชิงชังเขา เพราะเขาทำให้ผมใจอ่อนลงทุกวัน เพราะเขาทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองทำผิดทุกครั้งที่เผลอร้ายกาจกับเขา และเพราะเขาอีกเช่นกันที่ทำให้กำแพงหัวใจที่ผมสร้างขึ้นมาทะลายลงไปเรื่อยๆ

เมื่อวานนี้เองที่ผมโกรธเขามากทันทีที่รู้เรื่อง และได้ตัดสินใจจัดการกันเขาห่างไปจากชีวิต เพียงเพราะผมรู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำกับผม มันเลวร้ายเกินไป มันเหมือนการก่ออาชญากรรมเล็กๆโดยวางแผนร่วมมือกันหลายคน เพียงเพื่อที่จะยึดครองผมไว้เป็นของตัวเอง เขาทำให้ผมกลายเป็นของเขายังไม่พอ ยังพยายามจะให้ผมกลายเป็นพวกเดียวกับเขาให้ได้


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่13 14/1/09 มีรูปเรียวมาฝากด้วย
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 14-01-2009 14:34:06
ถึงแม้ว่าผมจะเห็นว่าเขาดีแค่ไหน แต่ผมก็ไม่อยากอภัยให้กับเขาเลย เพราะเหมือนผมกำลังส่งเสริมพฤติกรรมที่ผิดให้กลายเป็นถูก
แต่ตอนนี้เวลาผ่านไปแค่ไม่กี่ชั่วโมง นับตั้งแต่ที่ผมต่อว่าเขา ใจผมกลับเริ่มอ่อนลงอีกแล้ว ไม่เป็นตัวของตัวเองเลย สับสนไปหมด โกรธเขาก็โกรธ แต่สงสารก็สงสาร นี่ผมจะทำอย่างไรดี ผมมองเสื้อพวกนั้นใจก็ลอยคิดไปถึงเจ้าของลายมือ

ที่สู้อุตส่าห์ซื้อเสื้อมาฝาก นอกจากจะเปลี่ยนผมให้กลายมาเป็นเกย์แบบเขาแล้ว นี่ยังจะมาเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ของผมด้วยหรือ
เขาคิดอย่างไรของเขา ที่เขียนแบบนั้น ต้องการอะไร เขาเห็นผมจมอยู่ในความทุกข์โศกจริงๆ แล้วอยากให้ผมเป็นคนที่สดใสร่าเริง
หรือเพียงแค่เห็นว่าผมใส่แค่ขาวดำ มันดูเชยไม่ทันสมัย ผมก็ว่า ผมแต่งตัวตามสมัยนิยมแล้วนะ ไม่เคยแต่งตัวที่ดูไม่เหมาะสมหรือไม่ดูดีเลยสักครั้ง

เสื้อสีหวานสดใสสี่ตัว ถูกผมหยิบขึ้นมาพิจารณา สีชมพูใส ฟ้าละมุน ม่วงอ่อน และเหลืองนวล แบบและสีเหมือนที่เขาเคยชี้ให้ผมดูตอนที่ไปสวนจตุจักรด้วยกัน มิน่าวันนั้นเดียร์ให้ผมเดินล่วงหน้าไปก่อน เพื่อที่เขาจะแอบไปซื้อมาให้ผมนั่นเอง ผมไม่เห็นเขาเอาออกมาโชว์เลย ตอนเปิดตู้เพื่อหยิบเสื้อผ้ามาใส่ก็ไม่เห็น

เดียร์คงแอบเอามาวางไว้ก่อนไปงานคอนเสิร์ต ผมไม่ค่อยได้ออกไปไหน จึงไม่ได้เปิดดูลิ้นชักเสื้อยืด เขารู้ในข้อนี้ เลยเอามาเก็บไว้ให้เซอร์ไพรส์ ของขวัญสำหรับวันครบรอบ 1 เดือนที่ผมกับเขามีอะไรกัน เจ้าเด็กบ้านั่น จดจำมันได้ด้วยหรือ เหมือนกับว่ามันเป็นวันสำคัญที่สุดของเขา

แล้วเขาอยากจะทำอะไรให้มันดูพิเศษเพื่อเก็บไว้ในความทรงจำ เดียร์ช่างเป็นคนที่ละเอียดอ่อนเสียจริง ผมยังไม่เคยจะจดจำสิ่งเล็กๆน้อยแบบนี้เลยด้วยซ้ำ อาจจะเป็นเพราะผมคิดว่ามันไม่น่าที่จะเก็บไว้ในความทรงจำมากกว่า เลยไม่ค่อยให้ความสำคัญ
กลิ่นหอมของน้ำยาปรับผ้านุ่มจากตัวเสื้อ บอกให้รู้ว่าเดียร์เอาเสื้อไปซักรีดมาให้เรียบร้อยแล้ว แล้วเขารู้ได้ไงว่าผมจะใส่เสื้อผ้าที่เขาเอามาให้
ผมเอามือลูบไล้ไปบนเสื้อสี่ตัวนั้น เนื้อผ้าดีนุ่มไม่ระคายมือแสดงว่ามีราคาพอสมควร และอย่างไม่รู้ตัว ผมดึงริบบิ้นออกแล้วหยิบเสื้อตัวสีชมพูขึ้นมาสวมใส่

สีมันสวยหวานมาก ทั้งที่แบบมันธรรมดา มีลายเพียงเล็กน้อยช่วงบ่า และหน้าอก แต่มันก็ดูสะดุดตา เดียร์เลือกเสื้อผ้าได้เท่ากับขนาดตัวของผมมาก ผมมองตัวเองในกระจก แล้วใช้มือลูบไล้ไปตามเสื้อที่สวมใส่ รู้สึกแปลกๆที่เห็นตัวเองในเสื้อผ้าสีอื่นๆ รู้สึกไม่คุ้นตา จนอยากจะถอดออก ถ้าไม่นึกถึงสิ่งที่เจ้านั่นเขียนไว้

“โลกเราไม่ได้มีแค่สองสีนี้เท่านั้น ยังมีสีอื่นๆด้วย เหมือนกับชีวิตคนเรา จะจมอยู่กับความทุกข์ตลอดไปไม่ได้ เราต้องก้าวออกมาจากสิ่งที่ทำให้ใจเราไม่เป็นสุข ยังมีวันเวลาดีๆ และผู้คนอีกมากมาย รอที่จะได้รู้จักกับเรา ทำให้ชีวิตของเรามีสีสันขึ้น”

ผมไม่ได้อยากรู้จักใครมากมาย แล้วก็ไม่ได้อยากใส่เสื้อตัวนี้ เพราะรู้สึกผิดที่พูดจาไม่ดีใส่เด็กหนุ่มนั่น ผมเพียงอยากทดลองอะไรบางอย่าง ไม่อยากจะจมอยู่ในความทุกข์อีกแล้ว บางทีลองเปลี่ยนตัวเอง อาจจะนำพาสิ่งดีๆมาสู่ชีวิตผมก็ได้
หลังจากส่องกระจกสำรวจความเรียบร้อยให้กับตนเอง และเรียกความกล้าด้วยการสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ผมก็เดินลงมาจากห้องนอน พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่หันหลังกลับไปถอดออก

ไหนๆก็ไหนๆแล้วลองดูสักตั้งหนึ่ง ว่าการเปลี่ยนแปลงตัวเองของผม จะทำให้เกิดเรื่องอะไรขึ้น อยู่ๆก็นึกไปถึงเจ้าของเสื้อ
นี่ถ้าเจ้าเด็กบ้านั่นมาเห็นผมใส่เสื้อที่เขาซื้อมาให้อย่างนี้ เขาจะว่ายังไงบ้างหนอ ป่านนี้จะมัวนั่งร้องไห้อยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้ หวังว่าคงไม่นะ
เด็กนั่นเข้มแข็งจะตาย ถ้าเขาไม่มัวแต่เจ็บปวดกับคำพูดของผมอยู่ เขาน่าจะคิดได้ว่าที่ผมด่านั้นเพียงเพราะไม่อยากให้พฤติกรรมร้ายกาจนั้นเป็นที่ยอมรับอีก ถ้าเขาทำตัวดีๆเสียแต่แรก ผมก็จะไม่ด่าว่าเขารุนแรงแบบนั้น

ประมาณหนึ่งชั่วโมง เพื่อนทั้งสองก็มาถึงบ้าน ศักดิ์ชายมาก่อนล่วงหน้าเจ้าสันต์ 10 นาที ผมมารอสองคนที่หน้าบ้าน ไม่ยอมให้คนทั้งสองเข้าไปโดยอ้างกับคนพวกนั้นว่าที่บ้านแอร์เสีย ร้อน อยู่ไม่ได้ ออกไปหาอะไรกินและคุยกันข้างนอกดีกว่า
ศักดิ์ชายเชื่อสนิทใจ ทำท่าลิงโลด เหมือนว่าผมจะออกไปกับเขาเพียงลำพัง ในขณะที่เจ้าสันต์ทำหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เจ้านี่มันขี้สงสัยอยู่แล้ว มันมองผมอย่างจับผิด แต่ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ รีบลุนหลังพวกมันให้ขึ้นรถ

ตกลงว่า ผมกับเจ้าสันต์จอดรถทิ้งไว้ที่บ้านผม แล้วนั่งรถศักดิ์ชายไป เพราะไม่อยากขับรถไปคนละคัน ที่จอดรถก็หายาก รถติด แถมสิ้นเปลืองน้ำมันอีกด้วย เจ้าสันต์นั่งหน้า และให้ผมนั่งหลังตามเคย

“เกิดอะไรขึ้นหรือวะเรียว นายดีใจที่จะได้ไปกับพวกฉันถึงขนาดงัดเสื้อผ้าสีหวานแหววขึ้นมาใส่เลยหรือวะ”

เจ้าสันต์อดปากคันไม่ได้ แต่ผมเตรียมตัวมาพร้อมแล้วสำหรับคำวิจารณ์ ผมจึงไม่โมโห แต่แกล้งย้อนถามมัน

“ทำไมหรือวะ ใส่สีนี้ มันดูไม่ดีหรือไง”

“ไม่นะ นายใส่สีนี้ ดูดีมากๆเลยเรียว มันทำให้นายดูหวาน เอ้อ หล่อขึ้นมากเลยว่ะ”

ศักดิ์ชายเป็นฝ่ายตอบ ผมเห็นเขามองผมอย่างตะลึงงันตั้งแต่แรกที่เห็นผมแล้ว

“เออว่ะ นายใส่แล้วดูหวานเหมาะกับหน้าของนายเลยเรียว แต่ที่ฉันแซวนี่ เพราะเห็นว่ามันแปลกดี นายไม่เคยใส่เสื้อผ้าสีสันแบบนี้ เห็นแต่ใส่สีขาวดำ หรือไม่ก็สีทึมๆทั้งปีทั้งชาติ เหมือนกับไว้ทุกข์ให้กับใครอย่างงั้นแหละ
พอใส่สีนี้ มันทำให้สดชื่นขึ้นมาหน่อย โธ่เว้ย ฉันปล่อยให้นายหลุดมือฉันไปได้ไงวะ นี่ถ้าสดใสแบบนี้ตั้งแต่แรก ฉันจีบนายไปนานแล้ว”

ไอ้เพื่อนบ้า ยังไม่วายทำหน้าทะเล้นใส่ ผมรู้ว่ามันพูดเล่นขำขำ เจ้าสันต์มันไม่มีทางชอบผมได้หรอก เพราะมันรู้ว่า ผมไม่สนใจผู้ชาย

“เฮ้ย....สันต์นายพูดไรวะ เรียวมันเพื่อนเรานะโว้ย”

ศักดิ์ชายโวยวายกลับมา

“ทำไม ไม่ให้ฉันชอบมัน เพราะนายจะชอบมันซะเองเหรอวะ”

เจ้าสันต์ตอกกลับ ทำหน้ายิ้มยั่ว ผมสบตากับศักดิ์ชายที่กระจกมองหลัง เห็นมันทำหน้าแดงๆ ไม่รู้ว่ามันโกรธหรือมันอายกันแน่ แต่ที่รู้ๆผมยอมให้พวกมันมาทะเลาะกันเพราะเรื่องผมไม่ได้ ต้องออกโรงห้ามศึกเสียแล้ว

“สองคนนี้ เป็นอะไรกันวะ เข้าใกล้กันทีไร จะกัดกันทุกที ถ้านายทะเลาะกันอีก ก็พาฉันไปส่งบ้าน ฉันไปต้มมาม่ากินเองก็ได้ เบื่อไปกับพวกนายสองคน ทะเลาะกันไม่หยุดเสียที”

“เออๆๆๆๆๆๆๆ หยุดก็ได้วะ ฉันไม่ได้เริ่มสักหน่อย แล้วฉันก็ยังไม่พูดทำอะไรด้วย มีแต่ไอ้บ้าสันต์นะแหละ หาเรื่อง รู้งี้ถีบมันลงไปจากรถซะก็ดี แล้วให้เรียวมานั่งหน้า”

ศักดิ์ชายทำหน้ามุ่ยๆ บ่นกระปอดกระแปด เหมือนไม่พอใจเจ้าสันต์ แต่ไอ้เพื่อนนักรักของผมยังลอยหน้าลอยตาทำทะเล้น

“นายแต่งแบบนี้ไปตลอดเลยก็ดีนะเรียว มันทำให้นายดูสดใสขึ้น ฉันน่ะอยากเห็นนายเป็นเรียวคนเก่าที่ร่าเริงแจ่มใส เปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวแล้วก็ทำจิตใจให้มันเหมาะกับเสื้อผ้าที่ใส่ด้วยนะโว้ย
นายหน้าตาอ่อนเยาว์ใสปิ๊งใสปิ๊งอ่อนกว่าอายุจริงอยู่แล้ว หลอกใครๆได้สบายเลย ขี้คร้านจะพบรักใหม่ในเร็ววัน ไม่ต้องมาทำตัวหงอยเหงาซึมเศร้าอยู่กับบ้านเหมือนอย่างทุกวัน”

เจ้าสันต์หันมาแนะนำเชิงสอนผมให้วางตัวให้เหมาะกับลุคใหม่ เจ้าบ้าเอ๊ย แค่เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวนี่นะ จะต้องเปลี่ยนนิสัยใจคอไปพร้อมๆกันด้วยหรือไง บ้าหรือเปล่าวะ

“ฉันเห็นด้วยกับสันต์ว่ะ งานนี้ เรียวคนก่อน น่ารัก ร่าเริง ใจดี ใครๆก็อยากเข้าหานาย แต่เดี๋ยวนี้ นายเอาแต่คร่ำเคร่งอยู่กับงาน แล้วก็ขรึมมากกว่าแต่ก่อน บางทีก็ดูเหมือนหงุดหงิดง่ายด้วย มันเกิดอะไรขึ้นหรือวะ อยากถามมาตั้งนานแล้วแต่ไม่กล้า กลัวนายโกรธ”

ศักดิ์ชายเอ่ยปากถามผม ด้วยน้ำเสียงกล้าๆกลัวๆ

“ฉันเปลี่ยนไปมากถึงขนาดนั้นเลยเหรอวะ”

ผมย้อนถามพวกนั้น ไม่แน่ใจว่ามันพูดเล่นหรืออำผมกันแน่ ไม่คิดว่าตัวเองเปลี่ยนไป

“ใช่ นายไม่เหมือนก่อน ตอนที่เรียนด้วยกันมา นายร่าเริงสนุกสนาน น่ารักกว่านี้ตั้งเยอะ เดี๋ยวนี้นายดูเครียดๆ จนบางครั้งฉันไม่กล้าแหย่นายเลย”

“เห็นไหมวะเรียว ไม่ใช่ฉันคนเดียวที่สังเกตเห็น นายเปลี่ยนไปจริงๆนะ ซึมเศร้า เอาแต่งาน เหมือนคนไม่มีความสุข
ฉันบอกนายเป็นร้อยเป็นพันหนแล้ว ว่าอย่าไปทุ่มเทหัวใจให้กับผู้หญิงคนนั้น แล้วเป็นไง เขาทิ้งนายไปหาคนอื่นที่รวยกว่า หน้าที่การงานสูงกว่า แล้วตัวเองก็มานั่งเศร้า ทรมานอยู่คนเดียว ไม่เปิดใจให้คนอื่นเลย”

เจ้าสันต์ว่าผมโดยไม่ติดเบรก ในที่สุดมันก็หลุดคำพูดที่เป็นเรื่องที่รู้กันเพียงแค่ผม เจ้าสันต์ อรจิรา และคนไม่กี่คนเท่านั้น ผมเอามือตบไปที่กระบาลมันด้วยความโมโห

เจ้าสันต์ร้องโอ๊ย หันมาหาผม พอเห็นผมทำหน้ายักษ์ใส่มันก็ยกมือขึ้นอุดปาก ทำท่านึกขึ้นได้ แต่ช้าไปเสียแล้ว ศักดิ์ชายได้ยินคำพล่ามของมันเต็มรูหู มันหันมาสบตาผมในกระจก แล้วถามด้วยความสงสัย

“นายเคยอกหักด้วยหรือวะเรียว ใครวะ ที่สามารถทิ้งผู้ชายหน้าตาดีๆอย่างนายได้ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย ทำไมนายไม่เล่าให้ฉันฟังบ้างวะ บางทีฉันอาจจะช่วยอะไรนายได้บ้าง”

“ช่วยอะไรวะ จะหาแฟนใหม่ให้หรือไง โธ่เอ๊ย เป็นเพื่อนกันแล้วไงวะ ต้องเล่าให้ฟังทุกอย่างเลยเหรอ ไม่ต้องมาทำเป็นน้อยอกน้อยใจเลย เรื่องแค่นี้เพื่อนสนิทไม่ต้องเล่าก็เดาได้เฟ้ย

ถ้าช่างสังเกตเอาหน่อย และติดตามข่าวคราว ไอ้เจ้าเรียวมันเดี๋ยวรักเดี๋ยวเลิกกับพวกแฟนๆมันมาหลายรอบแล้ว เรียวมันหน้าตาดีจะตาย มีแฟนก็ตั้งหลายคน บางครั้งมันก็ทิ้งเขา บางทีเขาก็ทิ้งมัน คนมันไปด้วยกันไม่ได้ จะทนอยู่ด้วยกันไปทำไม”

คราวนี้ไอ้เพื่อนปากมาก พยายามแก้หน้าให้ผม มันทำท่าฉุนเฉียวใส่ศักดิ์ชาย เหมือนว่าไอ้นี่ มันไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลย เป็นเพื่อนกันได้ไง ศักดิ์ชายทำหน้าโกรธๆที่เจ้าสันต์เหมือนรู้อะไรดีกว่ามัน แล้วยังมาด่าว่ามันอีก

“แหม ฉันก็แค่สงสัยว่าทำไมเรื่องแบบนี้ มีแต่นายที่รู้แล้วฉันไม่รู้ ทั้งๆที่ฉันกับเรียวเป็นเพื่อนกันมาตั้งนาน เพิ่งจะแยกกันไม่กี่ปี ตอนเรียนจบ แต่เราก็สนิทกัน ฉันอยากรู้ทุกเรื่องของเรียว เพราะมันเป็นเพื่อนฉัน ถ้ามีอะไรที่ฉันช่วยได้ก็อยากช่วย ก็แค่นี้ที่ฉันรู้สึกน้อยใจ ทำไมนายต้องมาทำเหมือนกับว่าฉันโง่เง่านักวะ”

“ฉันไม่ได้ว่านายโง่สักหน่อย แต่แค่สงสัยว่า เพื่อนกันไม่จำเป็นต้องรู้ไปเสียทุกเรื่องก็ได้”

“นี่ หยุดกัดกันซักที น่ารำคาญว่ะ จะไปด้วยกันแท้ๆ ยังมาทะเลาะกันเป็นเด็กๆอีก โตๆกันแล้วนะโว้ย ไอ้สันต์ก็ชอบแหย่ไอ้ศักดิ์มันทำไมนักวะ
นายเองก็เหมือนกัน ไม่เห็นจะน่าน้อยใจอะไร มันเรื่องส่วนตัวนี่นา ทำไมฉันต้องไปโพนทะนาให้ใครๆรู้ด้วยว่าตอนนี้มีแฟน หรือตอนนี้อกหัก ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องป่าวประกาศให้ใครรู้สักหน่อย”

ผมด่าพวกมันสองคนอย่างฉุนๆ ที่พวกมันตั้งหน้าตั้งตาแต่จะคอยแขวะกัน เจ้าสันต์เพื่อนผมมันไม่ชอบศักดิ์ชายเพียงเพราะว่า มันคิดว่าเพื่อนเก่าของผมเป็นเกย์ แล้วปกปิดไว้ไม่กล้าเผยตัว ต่างจากมันที่แสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง
มันไม่ชอบที่สันต์หลอกได้แม้กระทั่งตัวเอง แถมซ้ำยังหลอกคนอื่นๆด้วย นอกจากนี้มันยังคิดเอาเองด้วยว่าศักดิ์ชายแอบชอบผม จึงพยายามกันท่าเต็มที่

แต่นอกเหนือจากสองประเด็นนี้ มันก็ไม่ได้รู้สึกเกลียดศักดิ์ชาย บางครั้งมันทั้งสองก็เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย เวลาจะจับผิดผม

“โหย เรียวแค่นี้ โกรธหรือวะ เห็นไหมว่านายเปลี่ยนไปจริงๆ หงุดหงิดขี้โมโหง่ายจังเลยว่ะ”

เจ้าสันต์ทำเป็นบ่น ผมเลยตบหัวมันอีกครั้ง

“เพราะพวกนายสองคนนั่นแหละ ทำให้ฉันเปลี่ยน ยั่วโมโหกันจริงเชียว อารมณ์กำลังดีอยู่แท้ๆ มากัดกันให้อารมณ์ขึ้นอีก ถ้าทะเลาะกันอีกนะ ฉันลงจากรถทันที”

ผมขู่พวกมันเพราะรำคาญเต็มแก่ อีกทั้งต้องการเปลี่ยนเรื่องไม่ให้เข้ามาใกล้ตัวผมมากนัก เจ้าสันต์ทำเป็นหน้าทะเล้นบอกว่ามันไม่พูดเรื่องผมก็ได้ พูดเรื่องมันดีกว่า

“เบนน่ารักมากเลยว่ะ”

นึกอยู่แล้วว่าคนอย่างเจ้าสันต์มันอดที่จะเล่าถึงคนที่มันถูกใจไม่ได้หรอก ทันทีที่เปลี่ยนเรื่องพูด มันก็เริ่มจ้อถึงหนุ่มเบนทันที

“แล้วลืมน้องแซ่บไปแล้วหรือวะ”

ผมแกล้งดักคอมัน รู้สึกหมั่นไส้ที่มันทำท่าร่าเริงเกินเหตุ เมื่อวานผมยังนั่งปลอบใจมันอยู่แท้ๆ แต่คราวนี้ ผมกลับต้องมานั่งฟังมันเล่าถึงผู้ชายคนใหม่ด้วยท่าทางระริกระรี้

“ยังหรอก ฉันยังรักเขาอยู่ อยากได้เขากลับคืนมา แต่ก็ไม่รู้จะมีหวังหรือเปล่า ท่าทางตาแก่หัวงูนั่นไม่ยอมปล่อยมาง่ายๆด้วย น้องแซ่บนะน้องแซ่บ เห็นเงินดีกว่ารักแท้ไปได้ แต่ช่างมันเถอะ
ถ้าไม่เพราะทุกข์เรื่องน้องแซ่บ ฉันก็ไม่มีทางได้เจอกับเบนหรอก บางทีเบนอาจจะช่วยทำให้ฉันลืมเรื่องที่ไม่สบายใจก็ได้นะ....”

เจ้าสันต์พูดอย่างมีความหวัง ดูเหมือนเพื่อนผมมันจะไม่เข็ดหลาบกับความรักสักเท่าไหร่ ถึงผมจะหมั่นไส้มัน แต่ก็รู้สึกยินดีไปกับมันไม่ได้ เพื่อนผมร่าเริงแบบนี้ก็ดีแล้ว การเห็นมันร้องไห้ เป็นเรื่องที่ทำให้ผมพลอยหดหู่ไปกับมันด้วย

“ใครคือน้องแซ่บเหรอ แล้วนี่สันต์นายอกหักเหรอ คนที่ทำนายอกหักนี่ผู้ชายใช่ไหม”

ศักดิ์ชายซึ่งไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย ถามออกมาให้เข้าทางเจ้าสันต์ซึ่งจ้องจะกัดจนได้

“เออ ฉันเป็นเกย์แสดงออกให้เห็นอย่างทนโท่แบบนี้ ไม่อกหักเพราะผู้ชาย จะให้ฟูมฟายเพราะผู้หญิงหรือไงวะ ไม่ต้องถาม นั่งฟังเฉยๆ ก็ถือว่ามีส่วนร่วมแล้ว ไม่มีใครเขาว่าอะไรหรอก”

“เฮ้ย..........อะไรวะ”

ศักดิ์ชายร้องอย่างเหลืออด มันเบรกรถกระทันหัน จนพวกเราหน้าทิ่มไปตามๆกัน เสียงรถที่ตามหลังมาบีบแตรลั่น เพราะอยู่ดีๆพ่อเจ้าประคุณก็จอดรถมันซะกลางถนนเสียยังงั้น

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่13 14/1/09 มีรูปเรียวมาฝากด้วย
เริ่มหัวข้อโดย: b_hihi ที่ 14-01-2009 16:01:23
รวดเร็วทันใจ

ต่เร็วมากๆ

รักเธอ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่13 14/1/09 มีรูปเรียวมาฝากด้วย
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 14-01-2009 17:30:29
เค้า จา ไปไหน


กัน เนี่ย



แล้ว เดียร์ อ่ะ



เปงงัย บ้างงง


เปง ห่วง จังงงงง
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่13 14/1/09 มีรูปเรียวมาฝากด้วย
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 14-01-2009 20:44:14
เรียวน่ากินนะเนี่ย  :z1:

อยากรู้ว่าเดียร์จะง้อเรียวแบบไหน ลุ้นอีกแหล่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่13 14/1/09 มีรูปเรียวมาฝากด้วย
เริ่มหัวข้อโดย: โน๊อา ที่ 15-01-2009 10:15:53
ขอบคุณคับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่13 14/1/09 มีรูปเรียวมาฝากด้วย
เริ่มหัวข้อโดย: fayossy ที่ 15-01-2009 14:10:21
สงสารเรียวจัง แต่ก็สงสารเดียร์ด้วย
ทำไมเรียวปิดกั้นตัวเองขนาดนั้น คนที่เพียรพยายามก็ทำำไป
รู้สึกเหนื่อยบ้างมั้ยเนี่ย เหนื่อยได้แต่อย่าท้อนะ

 :sad11:
อ่านเรื่องนี้แล้วอินได้อีกตู
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่13 14/1/09 มีรูปเรียวมาฝากด้วย
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 15-01-2009 15:30:13
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ทั้งเรียว ทั้งเดียร์ต่างก็มีเหตุผลของตัวเองทั้งคู่

ได้แต่เอาใจช่วย  :เฮ้อ:

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่14 15/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 15-01-2009 17:56:48
บทที่ 14


“นายมีอะไรคาใจกับฉันหรือเปล่าวะ ถึงคอยกัดอยู่เรื่อย ถามอะไรนิดอะไรหน่อยเป็นต้องแขวะทุกที อารมณ์เสียแล้วนะโว้ย”

ศักดิ์ชายถามอย่างฉุนเฉียว คราวนี้ผมเข้าข้างเพื่อนเก่าของผม เนื่องจากเจ้าสันต์มันทำเกินไปจริงๆ

“เป็นอะไรไปวะสันต์ ฉันก็เห็นศักดิ์ชายมันถามดีๆนี่หว่า ทำไมต้องไปแขวะมันด้วย มันไม่ได้รู้เรื่องอะไรสักหน่อย พอนายเล่า มันก็แค่อยากรู้เท่านั้น เพื่อนกันก็พูดดีใส่กันหน่อยไม่ได้หรือไง ... ถ้าไม่อยากให้ศักดิ์มันรู้ ก็ไม่ต้องเล่าหรอก เอาไว้อยู่กันสองคนค่อยเล่าแล้วกัน เอาล่ะ ศักดิ์นายขับรถต่อเถอะ มาจอดกลางถนนแบบนี้ มันกีดขวางการจราจร และอันตรายด้วยนะ
ดูสิ รถติดกันแล้ว ข้างหลังก็บีบแตรไล่พวกเราด้วย ไปเถอะ เดี๋ยวเขาก็ลงมาด่ากันหรอก”

ผมต่อว่าเจ้าสันต์เสร็จ ก็หันมาบอกให้ศักดิ์ชายออกรถ นั่นแหละ เจ้าเพื่อนเก่าขี้ใจน้อยก็เลยได้สติ ขับรถเคลื่อนออกไปจากจุดที่ทำให้เกิดปัญหาการจราจรนั้น บรรยากาศในรถหลังทะเลาะกัน เต็มไปด้วยความเครียด

ศักดิ์ชายนั่งหน้ามู่ทู่ไม่พูดไม่จา เจ้าสันต์นั้นทำหน้ากวนๆ มันพยายามสบตาผมหลายรอบเพื่อจะคุยด้วย แต่ผมแสร้งทำเป็นมองออกไปนอกรถ ไม่สนใจมัน

ในที่สุดศักดิ์ชายก็พารถเข้าไปจอดในศูนย์การค้าที่พวกเราตกลงกันไว้ตั้งแต่แรกว่าจะมาหาอาหารกินกัน แล้วอาจจะมีกิจกรรมอื่นๆทำต่อกันด้วย

หลังจากตกลงเรื่องร้านอาหารอยู่นาน ในที่สุดก็ตกลงกันว่า จะไปทานอาหารญี่ปุ่นกัน เพราะกินอาหารไทยทุกวันเลยอยากจะเปลี่ยนรสชาติ เจ้าสันต์เสนอเป็นอาหารแบบบุปเฟต์เพราะจะได้ทานเยอะๆ ให้คุ้มกับเงินที่ต้องจ่าย

ในเมื่อไม่มีใครออกความเห็นเป็นอย่างอื่น พวกเราก็เลยต้องยอมตามใจเจ้าสันต์ แล้วปล่อยให้มันเดินนำตรงไปยังร้านอาหารที่ว่านั้น
ระหว่างทานอาหาร เจ้าสันต์พยายามจะเล่าต่อ แต่ผมตั้งกติกาให้มันก่อนว่า ถ้าจะเล่า ก็ห้ามแขวะคนอื่น เพราะมันเปิดประเด็นขึ้นมากลางวง ยั่วให้เกิดความอยากรู้อยากเห็น

เพราะฉะนั้นทุกคนมีสิทธิถามได้ ไม่ว่าคำถามนั้นจะดูซื่อบื้อแค่ไหน มันก็ต้องตอบ ความที่มันอยากเล่า ทำให้มันรีบรับปาก หลังจากนั้น ทั้งผมกับศักดิ์ชาย ก็ฟังมันพล่ามถึงเบนจนหูชา

“สันต์นี่มันดีเนอะ กล้าเปิดเผยความรู้สึกของตนเอง”

ศักดิ์ชายพูดกับผมขณะที่เจ้าสันต์ไปเข้าห้องน้ำเนื่องจากท้องเสียขึ้นมากะทันหันเพราะกินมากไปหน่อย ทิ้งให้เราสองคนเดินดูเสื้อผ้าไปเรื่อยๆในห้าง หลังจากทานเสร็จ

“อื้ม มันก็เป็นของมันอย่างนี้ล่ะ เปิดเผย ปากไว ตรงไปตรงมากับความรู้สึกของตัวเอง แต่มันก็เป็นคนจิตใจดีนะ คอยเป็นห่วงเป็นใยเพื่อนฝูง กับฉันมันก็คอยมาดูแล รำคาญมันนิดหน่อย แต่รวมๆแล้วมันก็เป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง”
ผมตอบศักดิ์ชายไปตามความรู้สึกที่มีต่อเจ้าสันต์ พลางหยุดยืนอยู่ที่แผนกเสื้อผ้าชาย และมองดูเสื้อเชิ้ตหลากสีที่แขวนไว้ในราวแบบเรียงโทนสี ดูสวยสะดุดตา

“นายดูสนิทสนมกับสันต์มากกว่าฉันอีกนะ”

ศักดิ์ชายเดินเข้ามาใกล้ผม แล้วพูดเหมือนน้อยใจ ผมขยับตัวออกเล็กน้อยรู้สึกอึดอัด ทำเป็นเดินไปดูเสื้อเชิ้ตที่แขวนไว้

“ก็สนิทกับมันตอนทำงานนั่นแหละ เมื่อสี่ห้าปีก่อน ออกพื้นที่กับมันบ่อย มันอยู่ฝ่ายตรวจสอบ ที่นายย้ายเข้าไปทำนี่แหละ ส่วนฉันยังเป็น
พนักงาน ต้องดูแลพื้นที่ทางภาคตะวันออก พอมีปัญหาก็ต้องลงไปกับมันน่ะ นายถามแบบนี้หมายความว่ายังไงเหรอ น้อยใจอะไรหรือเปล่า”

ผมย้อนถามมัน พลางหยิบเสื้อโทนสีฟ้าขึ้นมาดู

“เปล่าหรอก แค่นึกถึงว่า เมื่อก่อนฉันก็สนิทสนมไปไหนมาไหนกับนายบ่อยๆ เหมือนที่นายไปกับเจ้าสันต์ พอเราไม่เจอกัน แค่ไม่กี่ปีหลังจากเรียนจบ มันก็ดูเหมือนห่างเหินกัน”

ศักดิ์ชายพูดเหมือนน้อยอกน้อยใจ ผมมองหน้ามัน เห็นมันทำหน้าเศร้าๆ ก็รู้สึกแปลกๆ ไอ้หมอนี่มันเป็นอะไรของมันนะ ทำท่ายังกับว่าอกหักยังไงยังงั้น ผมก็เลยต้องพูดอธิบายให้มันฟังเพื่อที่มันจะได้สบายใจ แล้วก็ปลอบโยนมันไปด้วย

“คิดมากน่า ยังไงนายก็ยังเป็นเพื่อนฉันเหมือนเดิม แต่เราจะไปไหนด้วยกันบ่อยๆไม่ได้หรอก เพราะว่านายเองก็แต่งงานแล้ว ต้องให้เวลากับลูกกับเมีย ฉันกับเจ้าสันต์มันพวกคนโสดด้วยกันทั้งคู่ ไม่มีใครต้องมานั่งรอพวกเราที่บ้านอยู่แล้ว จึงสามารถรวมหัวไปเที่ยวกันได้ แต่ช่วงนี้ ฉันก็ไม่ได้ไปกับมันแล้วล่ะ มันเบื่อน่ะ”

“คราวหลังนายไปเที่ยวกับฉันบ้างได้ไหม”

เจ้าศักดิ์เดินมาใกล้ผมอีก ผมเลยคว้าเสื้อสีฟ้าซึ่งสีต่างกับตัวแรกมาอีก สองตัว แล้วเดินไปที่กระจกเงาบานใหญ่ตั้งพื้น รู้สึกอึดอัดเมื่ออยู่ใกล้ๆมัน เดี๋ยวนี้ศักดิ์ชายทำตัวไม่เหมือนก่อน ชอบแสดงอาการงอน หรือ น้อยอกน้อยใจในตัวผมเรื่อย บางทีก็มาทำหวานใส่ผมจนนึกกลัว

“ไปได้เหมือนกัน แต่ไม่บ่อยนะ นานๆทีก็ได้ เดี๋ยวนี้ไม่ชอบเที่ยว อีกอย่าง ไม่อยากไปรบกวนเวลาของเมียนายและลูกน่ะ เอ...นายว่าเสื้อสีฟ้านี้ใส่แล้วจะดูเหมาะกับฉันไหมวะ”

ผมพยายามเปลี่ยนเรื่อง โดยการถามความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องเสื้อผ้ากับมัน ศักดิ์ชายกอดอกแล้วเอียงคอไปมายามมองดูผม แล้วก็ยิ้มให้

“ผิวขาวอย่างนาย ใส่อะไรก็ดูดี ยิ่งสีฟ้า ยิ่งทำให้หน้านายสว่างขึ้นนะ”

“จริงเหรอ อย่ามาแกล้งชมให้ตายใจนะโว้ย”
“จริงสิ นายน่ารักอยู่แล้ว ยิ่งเติมสีสันเข้าไป ยิ่ง ดูหวาน น่ารักอย่างบอกไม่ถูกเลย”

ศักดิ์ชายชมผมใหญ่ เล่นเอาผมเขิน แล้วก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆกับคำชมของมัน จนไม่อยากจะรับคำชมนั้น ผมเลยแกล้งโวยวายใส่มัน

“เฮ้ย...เปลี่ยนคำชมหน่อยได้ไหมวะ บอกว่าหล่อยังพอเข้าใจ บอกหน้าหวานนี่ชวนให้คิดถึงตุ๊ด ถึงแต๋ว ฉันไม่ใช่ผู้ชายนะยะ นะเว้ย อย่าทำให้ขนลุกอย่างงี้สิวะ”

ศักดิ์ชายทำหน้าสลด มันเอื้อมมือจะมาคว้าข้อมือผม แต่ผมเดินเลี่ยงกลับมาที่ราวแขวนเสื้อผ้าอีก คราวนี้หยิบเสื้อสีโทนม่วง กับชมพู สีอ่อนๆ ขึ้นมาถือไว้ในมือทั้งสองข้าง

“นี่นายจะลองเสื้อพวกนี้หมดเลยหรือเรียว”

เสื้อผ้าที่เต็มไม้เต็มมือของผม เรียกความสนใจจากศักดิ์ชายไปชั่วขณะ ผมยิ้มให้มันแบบเจ้าเล่ห์นิดๆ
อันที่จริง เสื้อผ้าพวกนี้ มันก็สีสวยใช้ได้อยู่หรอก แต่จุดประสงค์ทีผมหอบมาลองดูนั้นไม่ใช่เพราะผมต้องการซื้อเสื้อผ้าใหม่ แต่ผมต้องการถ่วงเวลาจนกว่า เจ้าสันต์จะมาตามหาพวกเราเจอต่างหาก

อย่างน้อยการเข้าไปอยู่ในห้องลองเสื้อผ้าที่คับแคบ ก็ยังดีกว่าอยู่กับศักดิ์ชายในที่กว้างๆ แต่อึดอึดทุกทีเวลามันเข้าใกล้
ยอมรับว่าคำพูดของเจ้าสันต์ มีผลต่อผมจริงๆ อย่างน้อยๆเวลาที่ผมเห็นศักดิ์ชายทำท่างอนๆใส่ ผมก็รู้สึกกลัวทุกที กลัวว่าจะมีเดียร์คนที่สองเกิดขึ้นในชีวิตของผม

“จะเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวหรือเรียว นึกอะไรขึ้นมาวะ หรือว่านายเจออะไรที่เป็นแรงบันดาลใจถึงต้องลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองเป็นคนใหม่อย่างนี้”
ศักดิ์ชายยังไม่วายสงสัย พลางเดินตามผมมาที่ห้องลองเสื้อผ้า ทำท่าเหมือนจะก้าวตามไปด้วย แต่ผมรีบปิดประตู ก่อนจะร้องตอบมันออกไป
“อื้ม.....ก็อยากลองทำอะไรที่ไม่เคยทำน่ะ”

หึหึ แรงบันดาลใจอะไรล่ะ คำพูดที่ว่า “โลกนี้ไม่ได้มีเพียงแค่สองสีเท่านั้น ยังมีสีอื่นอีกด้วย” ของเจ้าเด็กบ๊องนั่นนะเหรอ ก็มีส่วนอยู่บ้าง แต่มันไม่ใช่ตัวเร่งให้รีบปฏิบัติอย่างรวดเร็วเสียเมื่อไหร่

นายต่างหากที่ทำให้ฉันกลัวจนต้องหนีเข้าห้องแต่งตัวน่ะ .......ผมนึกในใจ อยากตอบไปอย่างนั้น ก็เกรงว่าจะเป็นการคิดมาก เดี๋ยวเพื่อนจะเสียใจ ถ้าหากมันไม่ได้คิดอะไรกับผม จะยิ่งเป็นการไม่ยุติธรรมกับมัน
เสื้อเชิ้ตสำหรับใส่ทำงาน ถูกนำมาสวมกับตัว ผมมองภาพตัวเองในกระจก ก็เห็นหนุ่มหน้าใสมองตอบกลับมา สีฟ้าอ่อนของเสื้อ ทำให้ผมดูแปลกตาออกไป

ผมถอดเสื้อออก แล้วหยิบอีกตัวที่มีสีเข้มกว่าขึ้นมาสวม แล้วเอียงตัวไปมา อื้ม เข้าท่าดีเหมือนกัน ผมลองสีชมพูอ่อนดูบ้าง ก็ได้ความรู้สึกอีกแบบ มันดูหวานๆนุ่มนวลตาดีจัง ทำให้ผมเกิดความรู้สึกชอบเสียแล้วสิ
หลังจากสาละวนลองไปลองมา ผมก็ตัดสินใจที่จะซื้อเสื้อเชิ้ตสีฟ้า สองเฉดสี และ สีชมพูอ่อน รวมเป็นสามตัว ผมเดินออกมาจากห้องลอง ก็เห็นศักดิ์ชายยืนรออยู่ก่อนแล้ว

มันยิ้มให้ผม แล้วถามว่าทำไมไม่ลองให้มันดูบ้างว่าใส่แล้วเป็นอย่างไร ผมบอกไม่อยากให้ใครเห็น เก็บเอาไว้เซอร์ไพรส์ดีกว่า เพื่อนเก่าของผม เลยทำท่าว่าเสียดายที่ไม่ได้เข้าไปดูด้วย
ขณะที่ผมกำลังจ่ายเงินให้กับแคชเชียร์ เจ้าสันต์ก็ตามหาพวกเราเจอพอดี มันทำท่าแปลกใจที่เห็นผมซื้อเสื้อผ้าที่มีสีสัน
พอผมบอกว่าอยากจะลองเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวดูบ้าง มันก็ดีดนิ้วเปาะ พลางเดินไปที่ราวที่แขวนเสื้อเชิ้ต แล้วหยิบเสื้อสีที่เข้มกว่าตัวที่ผมเลือกมาอีก 2-3 ตัว
ผมมองเสื้อสีชมพูช็อคกิ้งพิ้งค์ สีฟ้าอมม่วง และ สีชมพูกุหลาบ นั้นอย่างงงๆ มันยิ้มให้ผมแล้วบอกว่า ไหนๆจะเปลี่ยนแล้ว ก็ควรจะเลือกสีที่เข้มๆเอาไว้สลับกันด้วย

พอผมบอกว่าผมไม่เอาด้วยหรอก อยู่ๆจะให้มาเปลี่ยนเป็นใส่สีแบบนี้ได้ไง โดยเฉพาะสีที่มันเลือกมาให้แต่ละตัวดูมันหวานเหมาะกับผู้หญิงใส่มากกว่าผมอีก มันก็ด่าว่าผม ว่าถ้าไม่เหมาะ แล้วเขาจะดีไซน์ออกมาเป็นเสื้อผ้าผู้ชายได้ไง
เมื่อเห็นว่าผมยังอิดออดมันก็ควักกระเป๋าเงินออกมา แล้วจ่ายเงินให้กับพนักงานตัดหน้าผม ซึ่งยืนถือเสื้อสามตัวที่เลือกไว้ แล้วก็หันมายิ้มกวนๆ พลางบอกว่า เพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ดีของเพื่อน มันยินดีซื้อเสื้อสามตัวนี้ให้เป็นของขวัญ

เลยกลายเป็นว่าตลอดช่วงบ่าย ทั้งสันต์และศักดิ์ชายชวนผมเดินช็อปปิ้งเพื่อเลือกซื้อเสื้อผ้าให้กับผม นัยว่าพวกมันเห็นด้วยที่จะแปลงโฉมผมเสียใหม่ ให้กลายเป็นหนุ่มเมโทรผู้ทันสมัยตั้งแต่หัวจรดเท้า
ผมได้กางเกงมาสามตัว และ เนคไทใหม่ๆลายเก๋อีก 4-5 เส้น โดยที่ศักดิ์ชายซื้อเนคไทให้ผม 2 เส้นเป็นของขวัญในวันที่ผมกับมันเป็นเพื่อนกันมานาน

ผมรู้สึกแปลกๆกับของขวัญที่ศักดิ์ชายซื้อให้ เพราะข้ออ้างในการที่มันให้ของผม ฟังดูเป็นเรื่องที่พิกลอยู่ ผมเป็นเพื่อนกับมันมาก็นานมาก มันก็ทำดีกับผมมาตลอด แล้วผมก็ไม่ได้อยากได้อะไรของมันด้วย
พอจะไม่รับ มันก็ทำท่าเป็นงอนผม ก็เลยต้องยอมด้วยกลัวมันจะโกรธ แต่ผมก็ตอบแทนพวกมันด้วยการบอกว่าจะจ่ายค่าโบว์ลิ่งเกมส์กับค่าห้องคาราโอเกะให้มัน เพราะเห็นเจ้าสันต์บ่นมาตั้งนานแล้วว่าอยากไป

ที่ห้องคาราโอเกะ เจ้าสันต์ผูกขาดอยู่กับการร้องเพียงแค่คนเดียว ในขณะที่ผมนั่งฟังอยู่เฉยๆ ส่วนศักดิ์ชายก็เอาแต่จ้องผม ที่ผมรู้เพราะเวลาผมหันไปมองมันทีไร ก็เห็นมันมองผมแล้วยิ้มให้อยู่ก่อนแล้ว ผมเสียอีกที่ต้องไปฝ่ายเบือนหน้าหนีมันทุกครั้ง

“เปลี่ยนเป็นเพลงสไตล์ลูกทุ่งดีกว่า อิอิอิ”

เจ้าสันต์กดเพลงใหม่ โดยเลือกเอาเพลงลูกทุ่งที่นำมาร้องใหม่ด้วยนักร้องนำระดับซุปเปอร์สตาร์ และเป็นเพลงที่กำลังฮิตอยู่ พอเพลงมา เจ้าสันต์ก็วาดลวดลายทั้งร้องทั้งเต้น
มันหันมาชวนให้ผมกับศักดิ์ชายร้องด้วยกัน และยื่นไมค์มาให้ ผมปฏิเสธ เพราะรู้สึกเขิน แต่ตาก็จับจ้องอยู่ที่ทีวี พยายามร้องตามไปกับมันโดยไม่ใช้ไมค์

เพลงใหม่ขึ้นมาอีก คราวนี้ ภาพในจอทำให้ผมตาลุก นักร้องสาวสวยที่กำลังดัง ในเสื้อผ้าสุดเซ็กซี่ กำลังร้องเพลงในเนื้อหาที่ออกไปในแนวพิศวาสบาดลึก

ผมไม่ได้จ้องนักร้องคนนั้น หากแต่จ้องแดนเซอร์ที่เธอกำลังนัวเนียในเพลงมากกว่า ผมจำเรือนกายที่สูงใหญ่กับใบหน้าที่คมเข้มได้ดี
พ่อหนุ่มเดียร์แต่งกายด้วยกางเกงยีนส์เพียงแค่ตัวเดียวท่อนบนเปลือย กำลังเต้นอยู่กับนักร้องสาวในจังหวะที่เร่าร้อนวาบหวาม มือใหญ่ๆของเดียร์วางอยู่ที่ตรงเอวสองข้างของเธอ ทั้งสองโยกตัวไปมาด้วยท่วงท่าที่สอดคล้องประสานกัน
ใบหน้าของผมร้อนผ่าว รู้สึกแปลกๆเมื่อได้เห็นเดียร์ในมิวสิควิดิโอเพลงดัง ถึงแม้จะรับรู้มาตลอดว่าเดียร์เป็นแดนเซอร์ แต่ผมมักจะจินตนาการเดียร์ในภาพสุดท้ายที่ผมเคยเห็นตอนเขาเป็นนางโชว์ พอมาเห็นเขาเต้นแบบแดนเซอร์จริงๆ ก็อดทึ่งไม่ได้
ภาพบนจอเปลี่ยนไปอีกแล้ว คราวนี้เป็นเพลงใหม่ของนักร้องสาวคนเดิม ดูท่าเจ้าสันต์จะติดใจการร้องเลียนแบบนักร้องสาวคนนี้นัก
มันจีบปากจีบคอร้องเพลงทำเสียงเหมือนผู้หญิงโดยไม่ได้ใส่ใจผม และศักดิ์ชาย ซึ่งก็เป็นการดี เพราะมันจะได้ไม่สังเกตเห็นว่าผมกำลังให้ความสนใจกับภาพมากกว่าเพลง

คราวนี้เป็นเพลงเร็ว โดยนักร้องสาวคนเดิมออกมาเต้นกลับกลุ่มแดนเซอร์หนุ่มๆ ผมไม่ได้สนใจแดนเซอร์คนอื่นๆ นอกจากหนุ่มลูกครึ่งร่างสูงผมหยิกที่เคลื่อนไหวร่างกายไปตามจังหวะเพลงด้วยท่วงท่าที่แข็งแรง และ สวยงาม
ดูเหมือนช่างกล้องก็มักจะจับภาพเดียร์ สลับกับนักร้องสาวคนนั้นบ่อยๆ มากกว่าแดนเซอร์คนอื่นๆ อาจจะเป็นเพราะใบหน้าที่หล่อเหลา และเรือนกายที่ดูดีของเขาก็ได้

ผมนั่งมองเดียร์ในมิวสิควิดิโออย่างตะลึง นี่เป็นอีกแง่มุมหนึ่งของเดียร์ที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ผมรู้ว่าเดียร์เคยเป็นนักมวยมาก่อน แล้วเขายังเคยทำงานเป็นนางโชว์ในคณะคาร์บาเรต์ เป็นพ่อครัว เป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ และพนักงานในร้านกาแฟ แต่กับภาพที่เห็นเบื้องหน้า มันเป็นอะไรที่ผมไม่เคยจินตนาการไปถึง

“สนใจเพลงหรือสนใจนักร้องอยู่หรือเรียว”

ศักดิ์ชายมานั่งข้างๆผมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เขาถามผมเบาๆในช่วงที่เจ้าสันต์ร้องเพลงจบและกำลังสาละวนกดเพลงใหม่ที่มันต้องการ

“นักร้องคนนี้ชื่ออะไรเหรอ”

ผมแกล้งถามมัน ทำทีเป็นสนใจในตัวนักร้อง ให้มันเข้าใจไปแบบนี้ก็ดีแล้ว เกิดมันรู้ว่าผมไม่ได้สนใจทั้งสองอย่าง แต่กำลังสนใจแดนเซอร์หน้าหล่อ เดี๋ยวจะยุ่งกันไปใหญ่

ศักดิ์ชายบอกชื่อนักร้องมา แล้วก็บอกรายละเอียดมาเสร็จสรรพ ว่าเธอเคยเป็นดารามาก่อน แล้วก็มาออกเทปก็ดังเปรี้ยงปร้าง
แต่ตอนนี้มีข่าวฉาวๆเกี่ยวกับตัวเธอมากมายเกี่ยวกับการที่เปลี่ยนคู่ควงหลายคน ผมฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ยอมรับว่าศักดิ์ชายข้อมูลดี แต่ผมไม่ค่อยสนใจเรื่องข่าวซุบซิบในวงการบันเทิงเท่าไหร่

เมื่อก่อนนี้ตอนที่ผมยังไม่ได้บ้างาน ผมก็ชอบดูหนังฟังเพลง และรู้จักพวกดาราฮอลลีวู้ดหลายคน เพราะผมมักจะทำการบ้านก่อนและหลังการดูหนังทุกครั้งเพื่อทำความเข้าใจกับเนื้อเรื่อง
แต่นับจากอกหัก ผมก็ห่างหายไปจากวงการหนังและละคร ทุ่มชีวิตจิตใจให้กับงานอย่างเดียว ผมจึงไม่ค่อยได้รู้เรื่องราวอะไรมากนัก แล้วอีกอย่างตอนนี้ผมก็ไม่อยากจะรู้เรื่องของคนอื่นด้วย

มีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ เอาใจเขามาใส่ใจเรา ผมไม่อยากให้ใครมาวุ่นวายสอดรู้สอดเห็นในเรื่องของผม ดังนั้นผมจึงไม่พยายามไปรู้เรื่องของคนอื่นๆ เพราะเขาก็คงไม่พอใจเหมือนผมเช่นกัน

“สองคนนั้น คุยอะไรกันวะ หนุงหนิงเชียว ให้มาร้องเพลง ไม่ใช่ให้มาจีบกันโว้ย”

เจ้าสันต์หันมาเห็นเราสองคนเข้าพอดี เลยแซวเสียงดังลั่นห้อง ทำให้ทั้งผม และ ศักดิ์ชายต่างเขยิบตัวออกจากกันโดยอัตโนมัติ
“บ้าแล้วไอ้สันต์ เรียวแค่ถามฉันว่านักร้องคนนี้ชื่ออะไร แล้วฉันก็ตอบเท่านั้น คิดอะไรไปไกลวะ เพื่อนกันนะโว้ย จะมาจ่งมาจีบอะไร”

ศักดิ์ชายเถียงปากคอสั่น จนผมรู้สึกสงสารที่มันชอบเป็นลูกไล่ให้เจ้าสันต์ขบกัดเอาอยู่เรื่อย ผมเลยด่าเจ้าสันต์มันกลับไปว่า
ไอ้พวกใจอกุศล ชอบคิดไม่ดีอยู่เรื่อย มันทำหน้างอ หาว่าผมไปว่ามัน เลยพาลไม่ร้องคาราโอเกะต่อ ทำเป็นกระฟัดกระเฟียด ผมเลยยกเท้าถีบมันทีหนึ่งด้วยความหมั่นไส้ พอจ่ายเงินเสร็จ ผมก็แกล้งทำเป็นลืมไม่ไปเล่นโบว์ลิ่งต่อเสียเลย

ตอนที่เราสามคนกำลังจะกลับบ้านนั้น ก็สวนกับขบวนของนายทรงพลเข้าอย่างจัง ที่ผมเรียกว่าขบวนก็เพราะ นายทรงพล กำลังเดินจับมือถือแขนกับน้องแซ่บอดีตชายคนรักของเพื่อนผม โดยมีบอดี้การ์ดในชุดเครื่องแต่งกายลำลอง 4- 5 คน รายล้อมรอบคนทั้งสอง
แต่ละคนหุ่นล่ำ สูงสง่า หน้าตาใช้ได้ ทันทีที่นายทรงพลเห็นพวกผม เขาก็เดินตรงรี่เข้ามาทักทาย พอรู้ว่าพวกเรากำลังจะกลับบ้าน เขาก็ขอร้องว่าอย่าเพิ่งกลับ ไหนๆจะมาเจอกันแล้ว เขาขอเลี้ยงอาหารเย็นพวกเราสักมื้อ

ผมหันไปมองหน้าเจ้าสันต์ เห็นมันทำหน้าโกรธๆ ตาจ้องน้องแซ่บเขม็ง ส่วนศักดิ์ชายก็ดูเหมือนไม่อยากจะร่วมวงด้วยเท่าไหร่ มันไม่ชอบนายทรงพลตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันแล้ว
ผมเห็นเพื่อนทั้งสองทำท่าไม่อยากไป ก็จะขยับปากปฏิเสธแต่ช้าไปกว่า นายทรงพลซึ่งคงจะสังเกตอากัปกริยาพวกผมอยู่ก่อนแล้ว เขาทำหน้ายิ้มๆ และพูดในสิ่งที่พวกผมปฏิเสธไม่ได้

“เป็นโชคจริงๆที่ได้มาเจอพวกคุณ ผมตั้งใจว่าจะไปหาที่บริษัท เพื่อที่จะปรึกษาเรื่องการทำประกันเพิ่มให้กับคนที่บ้านของผม อยากทำให้พวกพี่น้องและหลานๆ แล้วก็ทำให้กับพนักงานของผมอีก แต่ก็ยังหาเวลาว่างไม่ได้
วันนี้ บังเอิญได้มาเจอคนในบริษัท ผมก็อยากจะขอโอกาสเลี้ยงข้าวพวกคุณ และปรึกษาหารือเรื่องการทำประกันไปด้วย หวังว่าพวกคุณคงไม่รังเกียจคำขอของลูกค้าคนนี้นะครับ”

แน่นอนสำหรับผมแล้ว เรื่องงานการและผลประโยชน์ของบริษัทย่อมมาก่อน เพื่อนสองคนของผมก็เหมือนกัน พวกเราถูกสอนให้พยายามรักษาผลประโยชน์ของบริษัท และช่วยกันรับผิดชอบให้บริษัทมียอดขายที่มากขึ้น ทั้งทางตรงหรือทางอ้อม
ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่ค่อยชอบใจนักที่เวลาส่วนตัวของพวกเราถูกทำลาย แต่เราต้องจำเป็นต้องเสียสละความสุขของตัวเองเพื่องาน ซึ่งผมคิดว่า คงไม่ใช้เวลามากมายสักเท่าไหร่ อย่างเก่งก็ไม่เกิน สองชั่วโมงเท่านั้น

นายทรงพลยิ้มกริ่มอย่างพออกพอใจ ตาของเขามองมาที่ผมอย่างมีความหมาย แต่ผมหลบตาแล้วหันไปมองทางอื่นเสีย เจ้าของร้าน อัญมณี พาเราเดินเข้าร้านอาหารอิตาลีราคาแพงที่จัดตกแต่งร้านอย่างหรูเลิศ
พอนั่งที่กันเรียบร้อย เขาก็ให้พวกเราสั่งอาหารมาทานกัน ระหว่างที่รออาหารมาเสิร์ฟ นายทรงพลก็พูดคุยถึงร้านที่เขาดูแลอยู่ด้วยท่าทีสบายๆ ผมเพิ่งรู้ว่ามหาเศรษฐีวัยกลางคนมีสาขาของร้านขายเครื่องประดับอัญมณีอยู่ในห้างนี้ด้วย
แล้วเขาก็มักจะมาดูแลร้านที่สาขานี้เป็นประจำ เพราะอยู่ในย่านใจกลางเมือง และลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเป็นพวกไฮโซมีระดับ ร้านที่ห้างแห่งนี้ ทำยอดขายได้ดีกว่าร้านที่ไปเปิดในโรงแรมใหญ่ๆเสียอีก
“คุณเรียว รู้จักคุณอรจิรามานานหรือยังครับ”


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่14 15/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 15-01-2009 17:57:21
อยู่ๆการสนทนาของทรงพลก็วกเข้ามาประเด็นนี้ เล่นเอาผมนิ่งอึ้งไปเลย ไม่รู้ว่านายทรงพลจะมาไม้ไหน กว่าจะตอบก็เงียบไปหลายวินาที

“ก็หลายปีครับ รู้จักกันในฐานะเพื่อนร่วมงาน ถามทำไมเหรอครับ”

โกหกไปแล้วผมก็ย้อนถามด้วยความสงสัย

“เธอสวยดีนะ กล้าพูด กล้าถามดี สมแล้วกับที่เป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์ แต่บางครั้งความกล้าของเธอก็มีมากเกินไปหน่อย จนบางทีมันก็เกินงาม หรือคุณว่าไง”

นายทรงพลโยนคำถามกลับมาให้ผมอีกครั้ง คราวนี้ผมไม่ตอบ ได้แต่ยิ้ม ถึงจะเห็นด้วยกับคำพูดนั้น แต่ก็ไม่ใช่วิสัยผมที่จะไปวิพากษ์วิจารณ์ผู้หญิง โดยเฉพาะผู้ซึ่งเคยเป็นอดีตคนรักเก่าของผมมาก่อน

“คุณเป็นสุภาพบุรุษดีจังเลยนะครับคุณเรียว ผมนับถือคุณจริงๆ”

เมื่อเห็นผมไม่ตอบ นายทรงพลก็เลยชมผมขึ้นมา ผมมองสบตาที่แหลมคมนั้นถึงได้รู้ว่าเขามองผมอย่างเข้าใจ เจ้าของร้านเพชรคนนี้ เป็นคนที่มีความสามารถในการคาดเดาเรื่องต่างๆได้ดีจากการสังเกตสังกาของตนเอง และผมคิดว่าเขาคงรู้ว่าระหว่างผมกับอรจิรามีเรื่องราวบางอย่างที่บาดหมางกัน

“ครับ ขอบคุณครับ”

ผมกล่าวขอบคุณ ทำเป็นรู้ไม่เท่าทันความคิดของผู้สูงวัยกว่า เขามองผมยิ้มๆ จากนั้นต่างคนก็ต่างให้ความสนใจกับอาหารตรงหน้าที่พนักงานเอามาเสิร์ฟ

“คุณทรงพลชอบไปไหนกับเพื่อนเยอะๆแบบนี้หรือครับ”

อยู่ๆเจ้าสันต์เพื่อนผมก็พูดโพล่งขึ้นมา มันกวาดสายตาไปยังหนุ่มๆของนายทรงพลก่อนจะมาหยุดนิ่งอยู่ที่น้องแซ่บ
ผมเห็นเจ้าเด็กนั่นหลบตาเพื่อนของผม ทำเป็นหยิบนั่นจิ้มนี่เข้าปากง่วนอยู่ นายทรงพลหัวเราะเบาๆ พลางยักไหล่ เหมือนเรื่องที่สันต์ถามไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาดอย่างใด

“พวกน้องๆน่ะ เป็นทั้งเพื่อน บอดี้การ์ด และ บรรดาคนรู้ใจของผมนะครับ ผมน่ะ มันคนนิสัยไม่ค่อยดี ชอบที่จะอยู่ท่ามกลางคนหน้าตาดีๆ มันทำให้รู้สึกอบอุ่น และมีความสุขนะครับ เหมือนตอนนี้ผมก็ยิ่งรู้สึกดีเพิ่มขึ้นที่มีคนหน้าตาดีๆอย่างคุณเรียวมาร่วมวงด้วย”

“เหรอครับ อื้ม ดีจังเลยนะครับ เป็นแบบคุณทรงพลนี่ รวยซะอย่าง อยากได้อะไรก็ต้องได้ ผมชักอยากเป็นแบบคุณทรงพลจัง บางทีเงินนี่ ก็สามารถซื้อได้ทุกสิ่งจริงๆนะครับ แม้แต่หัวใจของคน ลำพังหัวใจอย่างเดียว คงไม่สามารถซื้อความภักดีของใครได้”

เจ้าสันต์ทำเป็นชื่นชมนายทรงพล แต่ผมรู้ว่า เจ้านี่แขวะน้องแซ่บเต็มๆ แล้วมีหรือที่คนฉลาดอย่างเจ้าของร้านเพชรคนนี้จะไม่เข้าใจความหมายในคำพูดนั่น เขาปรายตามองไปทางเด็กแซ่บ แล้วก็แค่นยิ้ม
มันก็เป็นส่วนประกอบอย่างหนึ่งล่ะครับ ทำไงได้ ผมไม่ได้หล่อ แบบคุณเรียวนี่ครับ แล้วก็แก่แล้วด้วย มีทางเดียวที่ผมจะยื้อความสุขให้อยู่กับตัวเองได้นานที่สุด นั่นก็คือใช้เงินที่ผมมีให้เกิดประโยชน์
ผมรู้ว่า อย่างที่ผมเป็นอยู่นี้ หาคนจริงใจ มอบความรักแท้ให้ได้ยาก บางคนก็มาหาเราเพื่อผลประโยชน์ แต่ผมไม่แคร์
ถ้าผมให้ พวกเขาก็ต้องตอบแทนผมบ้าง ขอมาก ก็ต้องให้ผมอย่างคุ้มค่าที่ผมเสียไป ทำอย่างนี้ ต่างคนก็ต่างได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบครับ”

“แล้วคุณทรงพล ช่วยเหลือในรูปแบบไหนบ้างล่ะครับ”

ศักดิ์ชายทำเป็นอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาซะงั้น แต่นายทรงพลไม่ยักจะโกรธคำถามล้วงลึกนั่น กลับแสดงท่าเต็มอกเต็มใจตอบคำถาม

“อ๋อ ก็แล้วแต่พวกเขาจะมาขอน่ะครับ บางคนก็ให้การช่วยเหลือทางด้านการเงิน หลักหมื่น หลักแสน ไปจนถึงหลักล้าน บางคนก็ขอบ้าน ขอรถ ขอสิ่งของที่จะช่วยให้ความเป็นอยู่สะดวกสบายขึ้น ผมก็จัดสรรให้ตามต้องการ อยากได้อะไรก็เอาไป แต่เวลาผมขอ ก็ต้องให้ผมบ้าง นะครับ.....”

นายทรงพลหยุดพูด แล้วกวาดสายตามายังพวกเราที่นั่งอยู่ แล้วทำหน้ายิ้มๆก่อนจะเอ่ยขึ้นเป็นการดักคอ

“เอ....ถามผมแบบนี้ เกี่ยวกับเรื่องการประกันหรือเปล่า หวังว่าคงไม่ยกเลิกกรมธรรม์ผมนะครับ ถึงผมจะมีน้องๆเยอะแยะ แต่ผมก็ระมัดระวังป้องกันตัวอย่างดี เรื่องสุขภาพ หรือเรื่องที่จะถูกทำร้าย จากใครๆนี่ตัดไปได้เลยครับ ไม่ต้องห่วง ผมยุติธรรมกับทุกคนที่ดีกับผม และผมไม่เอาเรื่องใครไปประจานให้เกิดความเสียหายแน่ๆ”

“แหม ผมชักอยากจะเป็นน้องๆของคุณทรงพลจัง”

เจ้าสันต์กล่าวเชิงสัพยอก นายทรงพลหัวเราะ แล้วทำเป็นป้องปากเหมือนจะพูดกับพวกผมสามคน แต่ที่จริงเขาก็พูดด้วยเสียอันดัง พลางทำหน้ายิ้มๆ เหมือนพูดทีเล่นทีจริง

“แหม เสนอมาอย่างนี้ ผมก็อยากรับไว้นะครับ แต่โชคร้ายไปหน่อยที่ผมชอบแต่คนหน้าตาหล่อๆ แบบคุณเรียวนี่ ถ้าเบื่อที่จะทำงานแล้ว อยากนั่งกินนอนกินสบายๆ มาคุยกับผม
อยากได้อะไร ผมก็จะให้เลยนะครับ แต่ว่าคงจะยาก เพราะท่าทางคุณเรียวคงไม่ชอบสักเท่าไหร่ แต่ถ้าคุณสันต์สามารถทำให้คุณเรียวยอมได้ ผมจะตอบแทนอย่างคุ้มค่าเลยครับ”

“โห ล้อเล่นใช่ไหมครับนี่.....”

ผมหน้าร้อนผ่าว ไม่คิดว่า นายทรงพลจะกล้าพูดจาแบบนี้กับผม ต่อหน้าต่อตาพวกเพื่อนทั้งของผมและของเขา ผมหันไปมองเห็นเจ้าสันต์กับศักดิ์ชายทำหน้าเหมือนตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน แต่บอดี้การ์ดสามสี่คนนั่น ทำหน้ายิ้มๆ เหมือนฟังเรื่องขำขำมากกว่า

“ครับ ล้อเล่นครับ........คิดว่าเรื่องจริงเหรอ ผมแค่แหย่คุณเรียวเท่านั้น ไม่ทำจริงหรอก ไม่งั้น แซ่บโกรธ ผมตายแน่ จริงไหมจ๊ะที่รัก”
นายทรงพลโอบไหล่แซ่บให้เข้ามาหา พลางจูบที่หน้าผาก พวกเราต่างตะลึงที่เห็นชายสูงวัยแสดงความรักกับหนุ่มวัยละอ่อนต่อหน้าต่อตาในเวลากลางวันแสกๆ แถมเป็นที่สาธารณะเสียด้วย

เด็กแซ่บเองก็ดูท่าจะตกใจไม่น้อย แต่คงไม่ได้เกิดเนื่องจากนายทรงพลโอบกอด แต่คงเป็นเพราะเห็นเจ้าสันต์มองตาค้างมากกว่า

“ผมรู้จักน้องแซ่บนี่จากการแนะนำของคุณสุริยะ แซ่บเขาถูกชักชวนให้มาขายประกัน แล้วแซ่บก็มาหาผมพร้อมกับคุณสุริยะนี่แหละ คุณสุริยะพามาศึกษางานขายในภาคสนาม แต่ผมถูกตาต้องใจเขา ผมก็เลยขอมาจากคุณสุริยะดื้อๆเลย ก็รู้นะ ว่าเขาชอบพอกัน แต่ของแบบนี้ ใครดีใครได้ ผมได้เขามาแล้ว ผมก็ต้องพยายามจะดูแลเขาอย่างดีที่สุดครับ”

ผู้เฒ่าทรงพลพูดยิ้มๆ

“ท่าทางจะเป็นคนเสน่ห์แรงสินะครับ น้องแซ่บของคุณทรงพลนี่ ใครๆก็ชอบหน้าตาหล่อๆแบบนี้ ผมเห็นผมยังชอบเลยครับ”

เอาอีกแล้วเจ้าสันต์ แกว่งปากหาเรื่องจริงๆ มีเสียงหัวเราะชอบอกชอบใจมาจากนายทรงพล เขามองสบตากับสันต์แล้วพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะว่า

“ผมก็ว่างั้นแหละ เห็นคุณจ้องอยู่ตาเป็นมันเลย อื้ม ไม่แน่นะ ถ้าหากว่าคุณอยากได้จริงๆ แล้วแซ่บเขาอยากไป ผมก็อาจจะยกแซ่บให้คุณก็ได้ แต่ต้องแลกกันนะ คุณสันต์ต้องหาคนหล่อๆมาให้ผมเป็นการตอบแทน เอาหล่อๆหน้าตาดีแบบคุณเรียวนี่เลยนะ สเป็คผมเลยล่ะ”

พูดจบนายทรงพลก็หัวร่องอหาย ราวกับว่าเรื่องที่พุดนั้นมันขำเสียเต็มประดา แต่คนที่หัวเราะไม่ออกคือผม เริ่มรู้สึกไม่ชอบขี้หน้าลูกค้ารายนี้เสียแล้ว ภาพพจน์ผู้ดีที่มีความคิดหลักแหลมเมื่อแรกเห็นถูกแทนที่ด้วยภาพ ตาแก่ลามก ที่จ้องจะงาบผู้ชายอยู่ตลอดเวลา
นี่ถ้าผมเห็นเขาเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกก็อย่าหวังเลยว่าผมจะรับประกัน ท่าทางเจ้าชู้แบบนี้ เสี่ยงต่อการดำรงชีวิตอย่างปลอดภัยของเขานัก หากไม่มีความระมัดระวังพอ อาจจะเป็นเอดส์ หรือถูกบรรดาคู่ขาฆ่าตายแน่

“อื้ม ผมคงไม่กล้าอาจเอื้อมหรอกครับ เพราะผมไม่รวยพอ น้องแซ่บมาอยู่กับผมคงอดตาย สู้ผมไปหาคนที่เขาพร้อมจะมีรักแท้ให้ผมดีกว่าครับ”

เจ้าเพื่อนผมมันพูดยิ้มๆ แต่ตาก็ยังจ้องน้องแซ่บอยู่ไม่วางตา ผมเห็นเด็กนั่นหลบตาเจ้าสันต์ ท่าทางอึดอัดที่หัวข้อสนทนาเป็นเรื่องของตนเอง

“ว้า.....แย่จังเลยนะครับ ผมก็อดได้รู้จักกับคนใหม่ๆสไตล์คุณเรียวนะสิ”

ทรงพลทำท่าเสียดาย พลางมองหน้าผมยิ้มๆ ผมนึกเกลียดหน้าตาหื่นๆนั้น แต่ด้วยมารยาทของพนักงานบริษัทที่ดีที่ต้องดูแลเทคแคร์ลูกค้าที่ทำตัวดั่งพระเจ้า ทำให้ผมต้องแสร้งทำว่าเรื่องที่ได้ยินได้ฟังทั้งหมดเป็นเพียงแค่เรื่องแหย่เล่นขำขัน ไม่จริงไม่จังอะไร

“คุณทรงพล คงจะเจอคนที่หน้าตาหล่อ และดีกว่าผมในวันข้างหน้าแน่นอนครับ ดูจากคนที่แวดล้อมรอบตัวคุณทรงพลสิ ก็ใช่ว่าจะขี้ริ้วขี้เหล่ อะไร แต่ละคนก็หน้าตาดีทั้งนั้นเลยนะครับ”
ผมกล่าวชมหนุ่มๆของเขา เบี่ยงเบนประเด็นออกจากตัวเอง นายทรงพลทำหน้าเหมือนรู้ทัน เขาสบตาผมแล้วก็ยิ้มอย่างมีความหมาย

“อื้ม ผู้ชายหล่อๆ หาง่ายครับคุณเรียว แต่คนที่จะจริงใจกับเรานั่นมันหายากครับ ยิ่งคนที่ปฏิเสธเงินของผม ยิ่งหายากเข้าไปใหญ่ ผู้ชายสมัยนี้ส่วนใหญ่ชอบความสะดวกสบายทั้งนั้นละครับ หวังรวยทางลัดกันซะมากกว่าการทำงานหนักแบบหามรุ่งหามค่ำ อะไรที่มันง่ายๆมันถึงไม่ค่อยน่าสนใจไงครับ”

“งั้นหรือครับ”

ผมถามไปอย่างแกนๆ ไม่ได้สนใจเรื่องคำตอบสักเท่าไหร่ เหมือนพูดออกไป เพราะไม่รู้ว่าจะคุยกับเขาเรื่องอะไรมากกว่า ไหนบอกว่าจะมาคุยเรื่องการทำประกันเพิ่มไง แล้วไหงเรื่องที่คุยกลับไม่พ้นเรื่องส่วนตัวของเขากับพวกหนุ่มๆล่ะ
ผมหันไปมองศักดิ์ชายกับสันต์เพื่อดูว่าเพื่อนผมจะมีปฏิกิริยาอะไรบ้าง ก็เห็นว่าสองหนุ่มนั่นนั่งทำหน้าเบื่อๆด้วยกันทั้งคู่

“เห็นว่าคุณทรงพลอยากทำประกันเพิ่มให้กับพนักงานในร้านเหรอครับ อันที่จริงเรื่องนี้ ถามคุณสุริยะก็ได้เหมือนกัน เพราะเขาเป็นตัวแทนที่ดูแลคุณ แต่หากจะถามความเป็นไปได้ว่าจะผ่านไหม หรือ ต้องใช้หลักฐานอะไรบ้างหรือเปล่า ก็ถามพวกเราได้ครับ”

เมื่อไม่อยากทนอึดอัดนั่งให้นายทรงพลแทะโลม โดยไม่สามารถโต้ตอบได้ดังใจ เพราะเกรงว่า จะทำให้บริษัทเสียลูกค้า ผมก็เลยเปลี่ยนเรื่องพูด เรื่องการทำประกันเป็นสิ่งที่เขาใช้เป็นข้ออ้างในการชวนพวกผมมาทานข้าว
ดังนั้นผมจะไม่ยอมให้เวลาของพวกเราสูญไปโดยเปล่าประโยชน์ อย่างน้อยก็ถือว่าได้ทำหน้าที่ให้การบริการกับลูกค้าของบริษัท และหาช่องทางในการขายเพิ่ม

ซึ่งแน่นอน ในเมื่อนายทรงพล มีตัวแทนที่คอยดูแลอยู่แล้ว ผมจึงไม่ก้าวก่ายไปขายแทน คงต้องบอกให้เขากลับไปตกลงกับนายสุริยะอีกครั้ง หลังจากฟังรายละเอียดต่างๆแล้ว
เฒ่าร้านเพชรทำหน้าเหมือนรู้เท่าทันความคิดผม แต่เขาก็นิ่งเฉยเสีย ไม่แสดงออกว่าโกรธเคืองที่ผมวกเข้ามาหาเรื่องประกันแต่อย่างใด
ผมว่าเขารู้เท่าๆกับที่ผมรู้ว่า การคุยเรื่องประกันเป็นเพียงแค่ข้ออ้างเท่านั้น แต่ถ้าหากเขาไม่คุยกับผมด้วยเรื่องนี้ ต่อ คราวหลังคำพูดของเขาทุกอย่างจะเป็นสิ่งที่เชื่อถืออะไรไม่ได้

เขาจึงต้องเล่นตามน้ำ โดยถามผมเกี่ยวกับเรื่องการประกันกลุ่ม เขาถามถึงจำนวนคนขั้นต่ำที่จะต้องทำประกัน ว่าสามารถทำได้กี่คน มีเงื่อนไขรับประกันอย่างไร
ผมก็บอกเขาไปว่า เขาสามารถที่จะเลือกได้ว่า จะทำประกันแบบกลุ่ม หรือ ทำประกันแบบ สะสมทรัพย์รายเดือน อย่างแรก ต้องอยู่ในรูปบริษัท คนทำขั้นต่ำ 5 คนขึ้นไป ต้องเป็นพนักงานประจำเท่านั้น โดยที่ตัวเขาจะจ่ายเงินค่าประกันให้ลูกจ้างทั้งหมด หรือ จะให้ลูกจ้างออกส่วนหนึ่งก็ได้

แต่การทำประกันวิธีหลังนั้นลูกจ้างในร้านสามารถทำประกันโดยที่สามารถหักจ่ายเป็นรายเดือน สามารถเอาบุคคลในครอบครัว เช่น พ่อแม่ สามี และลูกมาทำประกันร่วมด้วยได้ โดยหักเงินจากบัญชีเงินเดือนของพนักงาน
ผมบอกถึงเอกสารต่างๆที่ต้องใช้ รวมถึงผลประโยชน์คร่าวๆ ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ให้เขาติดต่อกับนายสุริยะเพื่อดำเนินการอธิบายและจัดการทำประกันให้ก่อนนำส่งบริษัทอีกที
ขณะที่ผมกำลังอธิบาย นายทรงพลทำท่าเหมือนตั้งอกตั้งใจฟัง แต่สายตาของเขาที่มองมา มันบอกให้รู้ว่า สิ่งที่ผมพูดไป ไม่ได้เข้าหัวอะไรนายทรงพลเลย

สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ผม ใบหน้ายิ้มละไม ผมต้องสะกดกลั้นอารมณ์ความรู้สึกไม่ให้เผลอแสดงความโกรธออกมา ลูกค้าถูกเสมอ ถึงอย่างไร ผมก็ไม่สามารถทำกริยามารยาทที่ไม่ดีกับผู้มุ่งหวังที่จะเป็นลูกค้าของเราได้

อำนาจหน้าที่ของผมจะมีอยู่เต็มต่อเมื่อ ตัวแทนส่งงานเข้ามายังบริษัท และผมก็พิจารณาไปตามความเสี่ยงภัยจากข้อมูลที่ได้รับมา เมื่อนั้นแหละ ผมจะสามารถตัดสินใจได้ว่าใครจะสามารถทำประกันได้
แต่ผมก็ไม่เคยเอาความเกลียดชังส่วนตัว มาพัวพันในเรื่องงาน ผมให้ความยุติธรรมกับลูกค้าทุกราย รวมถึงไม่ทำอะไรที่ทำให้บริษัทเกิดความเสี่ยง ดังนั้น แม้ผมจะเริ่มไม่ชอบขี้หน้านายทรงพลแค่ไหน ผมก็ทำได้เพียงแค่อดทนเท่านั้น
สันต์รับลูกต่อผม ด้วยการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเรียกร้องค่าสินไหม ในกรณีที่ลูกจ้างในร้านเกิดบาดเจ็บขึ้นมา ก็ให้ทางนายจ้างเป็นผู้เรียกร้องแทนในกรณีประกันกลุ่ม

ในคำถามตอบที่เกี่ยวกับกฎหมาย ศักดิ์ชายจะเป็นผู้ให้คำตอบนั้น เขาอยู่ฝ่ายตรวจสอบ แต่เขาก็เรียนมาทางสายกฎหมายด้วย
พวกเราต่างร่วมแรงแข็งขัน อธิบายให้นายทรงพลฟัง ซึ่งเขาก็จำต้องยอมฟังแต่โดยดี นับว่าพวกเราประสบความสำเร็จ เพราะในท้ายที่สุด นายทรงพลก็รับปากว่าจะพูดคุยกับ นายสุริยะเรื่องนี้

พวกเรานั่งทานข้าวเป็นเพื่อนนายทรงพลสักพัก เพื่อไม่ให้ถูกครหาได้ว่า พอเสร็จธุระก็ชิ่งหนี แต่คราวนี้ นายทรงพลแทบจะไม่มีโอกาสได้คุยเรื่องตัวเองอีกต่อไป เพราะพวกเราพร้อมใจกันซักถามข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท และลูกค้าของเขา เพื่อที่จะใช้ข้อมูลนั้น ประกอบการพิจารณาคร่าวๆให้เขารู้ว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ที่บริษัทจะรับ หากส่งเข้ามาจริงๆ
หลังจากที่ถามตอบกันไปสักพัก นายทรงพลก็เริ่มเบื่อ เขาขัดจังหวะพวกเราด้วยการเรียกพนักงานเสิรฟ์ มาสั่งของหวานต่อ
ตอนแรก พวกผมจะปฏิเสธ เพราะไม่อยากให้การสนทนายืดเยื้อยาวนานเกินไป แต่นายทรงพลก็บังคับพวกเราทางอ้อม โดยการ สั่งของหวานที่ขึ้นชื่อของร้านแห่งนี้มาให้เราลองทาน

พอพนักงานเสิร์ฟไปแล้ว นายทรงพลก็ได้โอกาสเปลี่ยนเรื่องพูดโดยหันมาถามผมทันที ถึงเรื่องกระดุมที่เขาให้ผมไปในวันก่อน ว่าผมนำไปใช้หรือยัง ผมตอบไปตามตรงว่าผมไม่รู้จะเอามันไปใช้ยังไง
ผมไม่อยากเอาของที่ได้มาไปทดแทนกระดุมเก่าของเสื้อสูทที่ผมมีอยู่ อีกอย่างช่วงนี้ผมยังไม่มีความจำเป็นที่จะตัดเสื้อใหม่ด้วย นายทรงพลพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ จากนั้นก็บอกผมให้เอามาคืน แล้วเขาจะหาของชิ้นใหม่ให้
พอผมทำท่าอึกอัก เพราะไม่อยากรับของจากเขา แต่นายทรงพลก็คะยั้นคะยอ บอกว่า เขายินดีให้ เพื่อเป็นการขอบคุณ ไม่อยากให้ผมคิดมาก
เมื่อไม่อาจจะปฏิเสธได้ ผมก็เลยบอกว่าผมจะเอากระดุมไปคืน แล้วเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นมาแล้วกัน ผมแกล้งรับปากส่งๆไปอย่างนั้น กะว่าเมื่อเอาไปคืนแล้ว จะไม่รับของสิ่งใดกลับมาเลย

“ถามจริงๆ เถอะ คุณเรียวยังไม่มีแฟนหรือครับ.....เป็นไปได้ยังไงเนี่ย ไม่อยากเชื่อ”

คำถามเจาะลึก มาอีกแล้ว ผมเบื่อกับคำถามประเภทนี้เสียจริง ดูเหมือนทุกคนอยากรู้อยากเห็นว่าหนุ่มโสดในวัยขนาดผม ทำไมยังไม่คิดเรื่องแต่งงานเสียที

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่14 15/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 15-01-2009 19:05:38
หุหุ ตอบเลย มีแล้ว  :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่14 15/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: Ak@tsuKII ที่ 15-01-2009 19:51:56
เรียวนี่พี่ไต๋จิ้นเป็นจุนเหรอ   อืม ๆๆๆ    ลองนึกดูก่อนว่าเราจิ้นเป็นใคร? :confuse:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่14 15/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 15-01-2009 22:45:54
เจอลูกค้าแบบนี้ เซ็งตายเลย...

เรียวตอบไปเลยว่ามี ตัดปัญหาซะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่14 15/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: the_pooh9 ที่ 16-01-2009 00:32:43
เรียวบ้าๆๆๆๆๆ เรียวใจร้าย :a14:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่14 15/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: nanalonely ที่ 16-01-2009 22:23:02
^

^

จิ้มมม the_pooh9

ไม่ได้เข้าหลายวัน พี่แอนลงหลายตอนเลย

เห็นแล้วตาลายอ่ะ แนนขอแปะไว้ก่อนนะคะ

เด๋วหายไม่สบายแล้วจะเข้ามาอ่าน

+1 เป็นกำลังใจให้พี่แอนนะคะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่14 15/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: momo_2007 ที่ 17-01-2009 01:22:39
อ่าาา เรื่องนี้เคยออ่านจนจบแล้ว เป็นอีกเรื่องของคุณเคท ที่ชอบมากๆ
อ่านจบไปแล้ว แต่ก็จะมาอ่านอีกรอบ เข้ามาเป็นกำลังใจให้นะคับ
สงสารเดียร์มากมาย + รู้สึกอิจฉาเรียว ฮาๆๆ ไมไม่มีคนมาทำแบบนี้กับตัวเองมั่ง
เป็นกำลังใจให้ครับ แล้วค่อยมาอ่านย้อนใหม่ อ่าาา มันเยอะมากมาย เรืองนี้ จำได้ว่ามัน 3 ตอน
ว่าจะย้อนกลับไปอ่าน 1 กับ 2 ใหม่ เหอๆๆ เพราะจำได้ ตอนอ่านครั้งแรกติดงอมแงม
ใช้เวลาอ่านต่อวันไม่ต่ำกว่า 5-6 ชั่วโมง เรื่องเดียวนีแหละ เป็นสัปดาห์ จนจบ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่14 15/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: the_pooh9 ที่ 17-01-2009 01:43:33
^

^

จิ้มมม the_pooh9



เค้า เกาะติด ทู้กสถานการณ์ กะลังเศร้ามาก เรียวใจร้าย ทำร้ายจิตใจเดียร์
ด้วยหละตะเอง เศร้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  :o12:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่15 17/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 17-01-2009 20:35:29
บทที่ 15


“ยังไม่เจอคนถูกใจนะครับ”

ประโยคที่ผมมักพูดเสมอ เมื่อเจอคำถามแบบนี้

“ไม่น่าเชื่อว่าคนที่หน้าตาดีแบบคุณเรียว จะยังไม่มีใครเป็นเจ้าของหัวใจ แต่ถ้าไม่มีจริงๆ มันก็น่าจะมีสาเหตุมาจากหลายทางอย่างเช่น ไม่เจอคนในสเปคอย่างที่คุณบอก อาจเป็นไปได้ว่า วางสเปคไว้สูงเกินไปจนไม่มีใครเข้าข่าย หรือไม่งั้นก็เพิ่งอกหักมา เลยเข็ดขยาดกับความรัก
กับอีกประเภทหนึ่งนั้นก์คือพวกที่แอบจิต ภายนอกเป็นแมน แต่ชอบชายไม่ชอบหญิง ประเภทหลังนี่น่าสงสารมากเลยครับ ไม่อาจจะเป็นตัวของตัวเองได้ ชีวิตขึ้นอยู่กับคำพิพากษาของสังคม โชคดีที่คุณเรียวไม่ใช่คนแบบนั้น”

“ครับ”

ผมรับคำสั้นๆ นายทรงพลยังคงซักถามต่อ

“แล้วนี่ไม่คิดจะมีเหรอบ้างเลยหรือครับ ”

“เมื่อก่อนไม่ แต่ตอนนี้เพื่อนผมมันเปลี่ยนใจแล้วครับ มันกำลังปิ๊งผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ ตอนนี้อยู่ในระหว่างศึกษานิสัยใจคอกัน หากไปกันได้ เร็วๆนี้คงมีข่าวดีมาบอกพวกเราครับ”

เจ้าสันต์ไม่รอให้ผมตอบ มันชิงตัดหน้า แล้วกุเรื่องขึ้นสดๆร้อนๆ แม้ผมไม่ชอบใจนัก แต่ก็รู้สึกดีกับมันที่พยายามช่วยเหลือผม บางทีเรื่องที่ได้ยินนี้ มันอาจจะช่วยให้ทำให้นายทรงพลเลิกยุ่งกับผมเสียทีก็ได้

“จริงเหรอ ครับ อย่าหลอกกันนะ เปิดเผยได้ไหม ว่าผู้โชคดีคนนั้นเป็นใคร”

นายทรงพลทำหน้ายิ้มๆเหมือนจะรู้ว่า สันต์สร้างเรื่องโกหก แต่มีหรือที่สันต์จะยอมจนมุม มันแถไถต่อไปเรื่อยๆ แต่เรื่องที่มันสร้างขึ้นมานี่สิ ฟังแล้วอดตกใจไม่ได้

“คุณทรงพลไม่รู้จักหรอกครับ เธอเป็นพนักงานใหม่ของบริษัท ทำงานอยู่แผนกเดียวกับคุณเรียวนี่แหละครับ ทำงานใกล้ชิดกันไป ใกล้ชิดกันมา ก็อดปิ๊งปั๊งกันขึ้นมาไม่ได้อ่ะครับ”

เอาแล้วไหมล่ะ คนที่เจ้าสันต์ใส่สีใส่ไข่ให้กลายมาเป็นแฟนของผม ก็คือ คุณแคทลียา สาวที่ทั้งสวย รวย และฉลาด
ผมไม่เคยคิดฝันว่าจะเป็นแฟนของเธอ ไม่ใช่เพราะผมรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่า เพียงแต่รู้สึกว่าเธอเหมาะจะเป็นเพื่อนมากกว่า แถมซ้ำเธอเองก็มีแฟนแล้วด้วย คนที่เธอกอดจูบอยู่ข้างๆรถเบนซ์ของเธอยังไงล่ะ

ถ้าหากว่าเธอมารู้เข้าว่าพวกเราใช้ชื่อของเธอเป็นเครื่องมือในการกำจัดใครบางคนออกไปจากชีวิตของผม เธอจะว่าอย่างไรหนอ จะโกรธจนไม่พูดกับผมหรือเปล่านะ

ผมชอบเธอเหมือนกัน ตรงที่เธอเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีของผม ขยัน ใฝ่รู้ และ มีความคิดแปลกๆ ทำงานกับเธอแล้วรู้สึกสบายใจ และผมก็ไม่ต้องการเสียเพื่อนร่วมงานที่มีคุณภาพไป เพียงเพราะเราใช้ประโยชน์จากตัวเธอ
แต่เอาล่ะ เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปได้ก่อน ผมจึงยอมเออออห่อหมกตามไปด้วย หวังว่าเรื่องนี้ คงไม่เข้าถึงหูเธอ ถึงทรงพลจะได้ยิน ชื่อเธอเต็มสองหูแต่ก็คงไม่รู้จักเธออยู่ดี

“อื้ม ชื่อแคทลียาหรือครับ หมายถึงพนักงานฝ่ายพิจารณารับประกันที่เพิ่งเข้ามาใหม่นะเหรอ ใช่คนสวยๆ ท่าทางมั่นใจในตัวเองคนนั้นหรือเปล่า”

คำถามของนายทรงพล เล่นเอาผมกับเจ้าสันต์สะดุ้ง หันไปมองหน้ากันโดยอัตโนมัติ แปลกใจว่าทำไมลูกค้าอย่างนายทรงพล ถึงได้รู้จักสต๊าฟบริษัทด้วย จะว่านายสุริยะเล่าให้ฟัง ก็ไม่เห็นว่าทำไมจึงจะต้องเล่าละเอียดขนาดนั้น

“เผอิญ ผมรู้จักยัยหนูนี่ เพราะพ่อแม่ของเขาซึ่งก็คือน้องของประธานบริษัทประกันที่พวกคุณทำอยู่บังเอิญเป็นลูกค้าประจำร้านจิลเวอรี่ของพ่อแม่ผม พอผมมาทำกิจการค้าเพชรบ้าง เขาก็ยังตามมาเป็นลูกค้าของผมด้วย เราเลยรู้จักกัน
ผมเห็นยัยหนูแคทมาตั้งแต่เด็กๆแล้วครับ จนกระทั่งแกไปเรียนเมืองนอก ที่จริงแกไม่อยากไปหรอก ถ้าไม่เพราะว่าผู้ชายที่เป็นรุ่นพี่ในโรงเรียนเดียวกันกับแก แต่งงานไปกับผู้หญิงที่พ่อแม่หาให้ แกเลยตัดใจเลิกราจากเขา ไปเรียนและทำงานที่เมืองนอกนั่นเลย นี่ก็เพิ่งกลับมาไม่กี่เดือนเอง......”

พอนายทรงพลพูดจบ พวกเราก็แทบหงายหลังตกเก้าอี้ เมื่อกี้แค่แปลกใจ แต่ตอนนี้ ผมและเพื่อนๆต่างพากันหน้าแตกหมอไม่รับเย็บ โดยเฉพาะเจ้าสันต์ถึงกับหน้าม้านไปเลย เพราะจุดไต้ตำตอโครมเบ้อเริ่ม

ปากที่กำลังจะขยับคุยโม้ต่อของมันหุบอย่างเฉียบพลัน ผมเองก็พูดไม่ออก ตอนแรกความรู้สึกก็สับสน ทั้งเห็นด้วย และไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เจ้าสันต์พูด แต่คราวนี้ ผมกลับรู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก

นึกอายนายทรงพลที่พวกเราทำเป็นอวดเก่ง คิดว่าพูดแค่นี้ จะทำให้นายทรงพลเลิกตอแยกับผมได้ แต่กลายเป็นว่าเมื่อเริ่มต้นโกหก มันก็ทำให้เรื่องราวกลับยุ่งยากมากยิ่งขึ้น เพราะคนที่รู้จริงอยู่ตรงหน้าพวกเรา
เขาใกล้ชิดสนิทสนมกับคนในครอบครัวของประธานบริษัทเป็นอย่างดี จนกระทั่งรู้รายละเอียดแทบทุกอย่าง คราวนี้พวกผมจะทำยังไงต่อกันดีล่ะ จะโกหกต่อไปก็ใช่ที่ จะยอมรับว่า พูดปดตั้งแต่แรก ก็ทำไม่ได้

ไม่ว่าจะยังไง พวกเราก็เดินเกมส์ผิดตั้งแต่แรก อันที่จริงมันผิดตั้งแต่ไปอ้างชื่อของคนที่มีตัวตนอยู่จริงๆแล้ว ถึงแม้ว่าเจ้าตัวเขาจะไม่รู้ แต่ความลับไม่มีในโลก สักวันหนึ่ง เธอก็ต้องรู้จนได้

นี่ละหนาที่เขาว่าการโกหก เป็นจุดเริ่มต้นของการก่ออาชญากรรม บางคนโกหกเพื่อปกปิดความลับบางอย่าง เมื่อมีคนไม่เชื่อ เขาก็จะพยายามพูดให้มากขึ้นกว่าเดิม เพื่อหาเหตุผลมาประกอบให้คำพูดมันน่าเชื่อถือ ยิ่งโกหกก็ยิ่งถลำลึก โกหกเพิ่มเรื่อยๆ พอมีคนขุดคุ้ย เขาก็หาวิธีในการที่จะทำให้สิ่งที่ตนเองพูดเป็นเรื่องจริง และในหลายครั้งจบลงด้วยการก่อเหตุสะเทือนขวัญ
ขณะนี้พวกผมเองก็กำลังตกที่นั่งลำบาก แม้ว่าเรื่องที่พูดมันจะไม่ร้ายแรงอะไรนัก มันแค่โกหกให้พ้นตัวเท่านั้น แต่พวกผมจะไปกล้าสารภาพอย่างไร

พวกเราเองก็เป็นผู้ใหญ่ด้วยกันทั้งนั้น จะมาพูดเหลาะแหละไร้สาระเป็นเด็กไม่รู้จักโตไม่ได้ แล้วถ้าเหตุผลของการโกหก เพียงเพราะต้องการกันนายทรงพลออกไปห่างๆ ยิ่งเป็นสิ่งที่ไม่สมควรจะพูดใหญ่

เพราะหากว่าสิ่งที่พวกเราคิด หรือรู้สึกกัน เป็นสิ่งที่คิดไปเอง นายทรงพลไม่ได้มีเจตนาจะทำอย่างนั้นกับผม จะไม่เป็นการตีตนไปก่อนไข้เหรอ
แต่ถ้าไม่พูด แล้วนายทรงพลเกิดไปถามเอากับคุณแคทลียา แล้วเธอมาถามเอากับพวกผม แล้วรู้ว่าเธอถูกเอาชื่อไปอ้างจริงๆด้วยเหตุผลที่ต้องการหลอกนายทรงพลซึ่งสนิทสนมกับครอบครัวเธอเป็นอย่างดี เธอคงจะโกรธพวกผม
ดีไม่ดีเรื่องที่พวกเราพาดพิงตัวเธอ อาจจะได้ยินไปถึงหูบริษัท ทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อหน้าที่การงานของพวกผมก็ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้ม ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ได้แต่มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา บนโต๊ะอาหาร ต่อหน้านายทรงพลอย่างนั้น

นายทรงพลกวาดตามองพวกเราด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงการมีชัยที่เหนือกว่า เขารู้ว่าพวกเราโกหกเขา แล้วก็รู้ด้วยว่าตอนนี้พวกเรากำลังตกใจ เมื่อสิ่งที่พวกเราพูดมันกลายมาเป็นบ่วงรัดคอพวกเราเอง เขาถือดีว่ารู้จักคุณแคทลียาและครอบครัว ด้วยสิ่งที่เขามีอยู่นี้ มันทำให้พวกเราไม่กล้าพูดอะไรออกไปอีก

“....วันก่อนก็เกือบได้ไปกินอาหารร่วมกับพวกเราที่ภัตรคารอาหารจีนวันนั้น จำได้ไหมครับ ที่มีผม มีคุณสุริยะ แล้วก็แซ่บไปร่วมทานกันด้วย แต่แกไม่ยอมมา เพราะติดธุระซะก่อน
ผมว่าจะแนะนำให้แกรู้จักกับพวกคุณ เสียดายจริงๆ แต่ไม่เป็นไร แกมาทำงานที่นี่ พวกคุณก็ได้รู้จักกันแล้ว ในฐานะเพื่อนร่วมงาน และหลานของประธานบริษัท ถ้าหากคนที่คุณสันต์พูดถึงว่าหนูแคทคือคนที่กำลังปิ๊งปั๊งอยู่กับคุณเรียว ก็นับว่าตาแหลมคมมากเลยครับ หนูแคททั้ง สวย รวย ฉลาด ที่สำคัญ นิสัยดี ไม่เรื่องมากอีกด้วยครับ”

นายทรงพลทำหน้ายิ้มๆ เหมือนพูดคุยกันตามปกติ แต่ในใจของเขาผมว่ามีอะไรมากกว่านั้น ลักษณะการพูดเรียบๆ เหมือนประโยคบอกเล่า แต่แฝงความเชือดเฉือนบาดลึกในหัวใจของผม

“ที่แท้ คุณก็รู้จักคุณแคทแล้วนั่นเอง ตอนแรกผมก็ตกใจนึกว่าคุณรู้จักได้ไง ที่แท้เรื่องมันเป็นแบบนี้นี่เอง เพิ่งจะรู้ว่าคุณเองก็เกี่ยวข้องกับคนในครอบครัวของท่านประธานด้วย”

เจ้าสันต์ดูจะปรับอารมณ์เร็วกว่าคนอื่น มันยิ้มเยื้อนบนใบหน้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่แสดงความแปลกใจอะไร ผมว่าเพื่อนผมคนนี้ มันเป็นนักแสดงที่เก่งมาก

“ใช่ครับ ไม่เห็นบอกกันบ้าง พวกเราเลยปล่อยไก่เลย”

ผมเสริมคำพูดของเจ้าสันต์ นายทรงพลยักไหล่ เสมือนว่าเรื่องนี้ ไม่สลักสำคัญอะไร แต่คำพูดของเขาที่กล่าวต่อมา มันบอกให้รู้เป็นนัยๆว่า พวกเราควรจะต้องใส่ใจในตัวเขาแค่ไหน

“ก็แค่เป็นคนรู้จักกันเท่านั้นนี่ครับ ผมก็เลยไม่เห็นว่าจำเป็นต้องพูดอะไรมากมาย หากพวกคุณช่างสังเกต ก็คงจะรู้ได้เอง ว่าผมมีความพิเศษอย่างไร
คุณไม่คิดบ้างเหรอว่า ทำไมผมถึงทำประกันกับบริษัทนี้ในวงเงินสูงเป็นร้อยล้านได้โดยง่าย โดยไม่เรียกร้องอะไรมากมายนัก
แล้วไม่คิดบ้างหรือไงว่าทำไมงานนี้ หัวหน้าของคุณเรียวจึงต้องลงมาเกี่ยวข้อง ทั้งขอร้องแกมบังคับคุณเรียวเพื่อให้พิจารณารับประกันผมให้ผ่าน

ทำไมผมถึงไปปรากฏตัวอยู่ในภัตราคารวันนั้น ทั้งๆที่ผมเป็นเพียงลูกค้าคนหนึ่งซึ่งไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกคุณเลย
เห็นไหมครับมันมีสัญญาณมากมายที่จะทำให้รู้ แต่พวกคุณไม่เห็นเอง

จะบอกให้นะ ว่าที่ผมได้สิทธิพิเศษมากมาย ก็เพราะว่าอย่างน้อยผมก็มีคอนเนคชั่นที่ดีกับทายาทของตระกูลนี้ ถ้าคนที่รู้จักกัน หลุดไปทำประกันกับบริษัทอื่นในวงเงินที่สูงมากๆอย่างที่ผมทำนี่ มันน่าอายนะครับ จะเรียกความเชื่อถือมายังบริษัทได้ไง
คราวนี้ เข้าใจหรือยังครับ ว่าผมเป็นลูกค้าวีไอพีระดับไหน”

ในที่สุดสิ่งที่ผมคาดเดาไว้ ก็เป็นจริง ผมได้คำตอบแล้ว ว่าทำไมระยะหลัง เจ้านายทำไมถึงกดดันเรื่องการรับประกันนายทรงพลกับผมนัก
แม้ว่าจะยืนกรานอย่างไร เขาก็หว่านล้อมให้ผมเชื่อสนิทว่า สิ่งที่เขาให้ผมทำ มันเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว และบริษัทก็ไม่เสียเปรียบอะไรด้วย ที่แท้นายทรงพลก็เป็นบุคคลที่เส้นใหญ่มากจริงๆ

“ครับ คราวนี้ผมรู้แล้วว่าคุณสำคัญกับบริษัทมาก ที่ผ่านมาผมก็แค่ไม่แน่ใจ สงสัยว่าทำไมเจ้านายถึงมาล้วงลูกกับผมนัก เพิ่งจะถึงบางอ้อเมื่อกี้นี้เอง ก็ต้องขอโทษด้วย ที่สิ่งที่ผมปฏิบัติ อาจจะทำให้คุณไม่พอใจ เพราะผมทำอย่างโปร่งใส ตรงไปตรงมา เพื่อให้ทุกคนได้รับประโยชน์สูงสุดทั้งลูกค้า และบริษัทครับ”

หวังว่าท่าทีสุภาพ และการเจรจาอย่างเป็นการเป็นงาน จะช่วยทำให้นายทรงพลได้รับรู้ว่าผมคิดกับเขาแบบใด
ผมจงใจที่จะพูดขอโทษเขา เพื่อให้เขารู้ว่า ผมมีแนวทางในการทำงานอย่างตงฉิน รับประกันได้ก็ให้ ถ้าไม่ได้ ก็ต้องปฏิเสธ ยกเว้นแต่ว่าผมจะถูกกดดันให้ทำในสิ่งที่เห็นว่าไม่ถูกต้อง

แต่นั่นแหละ ในเมื่อผู้ใหญ่ในบริษัทเห็นว่าไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย ผมในฐานะผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาก็จะต้องปฏิบัติตามคำสั่ง ทั้งนี้ทั้งนั้น มันจะต้องไม่ดูน่าเกลียดจนเกินไป
ประเภทที่ไม่สามารถรับประกันได้ แต่ยังรับเข้ามา นั่นไม่ใช่วิสัยผม และผมไม่ยอมให้ศักดิ์ศรีแห่งอาชีพของผมถูกทำลายลงเนื่องจากอามิสสินจ้างของใครเด็ดขาด

“โหยคุณเรียว ผมยังไม่ได้ว่าอะไรเลย จำได้ไหมที่ผมไปเจอคุณที่ภัตตาคารวันนั้นน่ะ ตั้งใจจะไปขอบคุณคุณจริงๆ คุณทำงานตรงไปตรงมาดี ผมชอบ

ก็แค่อยากชื่นชมคุณให้หัวหน้าคุณเห็น พอได้ข่าวว่านายคุณจะเลี้ยง พวกผมก็เลยขอเข้าไปแจมด้วยเท่านั้นเอง คุณเรียวอย่ากังวลเลย
คุณทำงานแบบนี้น่ะดีแล้ว บริษัทมีคนทำงานดีๆแบบคุณ ถือว่าเป็นโชคของบริษัทน่ะครับ ผมเองก็ไม่อยากทำตัวเป็นลูกค้าที่มีปัญหา เราคนทำมาค้าขาย ผมเองก็ชอบให้ลูกค้าของตัวเองพูดง่ายเหมือนกันนะครับ เจอลูกค้าเรื่องมากทีไร อดโมโหไม่ได้ทุกที
ผมก็เลยไม่อยากทำตัวแบบนั้น แต่ผมจะถือคติว่า เราต้องให้บริการที่ดีเยี่ยมเกินกว่าที่ลูกค้าคาดหวังเสมอ ลูกค้าจึงจะพอใจในบริการของเรา ว่าแต่บริษัทของคุณมีบริการอะไรที่เกินกว่าคนอย่างผมจะคาดหวังบ้างครับ”
วิสัยของพ่อค้าที่กลายมาเป็นผู้บริโภค ย่อมอดไม่ได้ที่จะต้องการของที่พิเศษกว่าคนอื่น ทั้งๆที่ปากก็บอกว่าอยากเป็นลูกค้าคุณภาพดี ไม่มีปัญหา แต่เมื่อเห็นช่องทางก็อดไม่ได้ ที่จะร้องขอ

ผมมองหน้านายทรงพล พลางครุ่นคิดว่า คนที่มีทุกอย่างพร้อมอย่างเขา ยังต้องการอะไรจากบริษัทอีก บริการที่เกินกว่าการคาดหวังของเขาคืออะไรหนอ

ถ้าในความหมายของผม มันน่าจะหมายถึง การดูแลเอาใจใส่ลูกค้าอย่างดี ให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ และช่วยให้ได้รับความสะดวกจากการทำประกันกับบริษัท
แต่ถ้าความหมายที่นอกเหนือไปจากนั้น ผมยังนึกไม่ออกว่าเป็นอะไร จะให้ไปไหนมาไหนด้วย หรือเอาอกเอาใจกันเกินความจำเป็น ผมก็คงทำไม่ได้ เพราะไม่ใช่หน้าที่โดยตรง

อันที่จริง คนที่ควรจะให้การดูแล น่าจะเป็นตัวแทนที่ขายประกันให้กับเขา ค่าคอมมิชชั่นที่บริษัทจ่ายถือเสมือนหนึ่ง เป็นค่าตอบแทนที่ช่วยดูแลลูกค้าให้บริษัทแล้ว สต๊าฟอย่างพวกผม คงจะช่วยดูแลในเรื่อง ข้อมูล และบริการด้านกรมธรรม์เท่านั้น

“เราให้บริการได้เฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับการทำประกันเท่านั้นครับ เราบริการให้ได้ ทั้งก่อนและหลังการทำประกัน ทั้งเรื่องข้อมูลข่าวสาร สิทธิประโยชน์ และดูแลเรื่องการเรียกร้องค่าสินไหม เงินคืนเมื่อครบสัญญา
แต่หน้าที่ในแง่ของการพบปะเยี่ยมเยียน ไปมาหาสู่พูดคุย หรืออื่นๆ เรามีฝ่ายที่ดูแลอยู่ถึงสองฝ่ายด้วยกัน คือฝ่ายตัวแทน คือคนที่ไปขายประกันให้คุณทรงพล กับฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ซึ่งเป็นสต๊าฟของบริษัทครับ ผมคิดว่า พวกนั้นคงให้การบริการที่ดีเกินกว่าที่คุณทรงพลจะคาดหวังได้ครับ”

เป็นครั้งแรกที่ศักดิ์ชายพูดขึ้นมา หลังจากที่สงบปากสงบคำอยู่นาน ตามประสาคนที่ทำงานฝ่ายตรวจสอบ ต้องฟังมากกว่าพูด เพราะต้องเก็บข้อมูลต่างๆ แต่เวลาที่พูดขึ้นมาแต่ละทีก็คมคายใช่ย่อย
ผมนึกขอบคุณเพื่อนเก่าของผม ที่ได้พูดสิ่งที่อยู่ในใจของผมออกไปจนหมด เหมือนว่ามันรู้ว่าผมอยากพูดอะไร แต่ด้วยนิสัยของผม ที่ไม่ชอบมีเรื่อง ทำให้ผมไม่พูดออกมา มันเลยพูดถือโอกาสถ่ายทอดความรู้สึกของผมออกจากปากมันแทน

“เคยได้ยินมาว่า มีการขายประกันแบบ วันแอ๊พ วัน อึ้บ ด้วย ไม่ทราบว่า พวกคุณคิดว่าอย่างไรครับ”

อยู่ๆนายทรงพลก็ถามประโยคนี้ขึ้นมา หลังจากที่ศักดิ์ชายพูดจบ ดูเหมือนเขาไม่ได้ให้ความสนใจกับคำพูดของศักดิ์ชายนัก จึงเปิดประเด็นใหม่ขึ้นมาอีก สันต์กรอกตาไปมา ยังไม่ได้พูดว่าอะไร ในขณะที่ทรงพลหน้าแดงก่ำ ผมเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนตอบ

“ในส่วนตัวของผม คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องนักนะครับ เพราะการทำประกัน ลูกค้าต้องตกลงใจทำเพราะเห็นว่ามันสำคัญกับตัวเขาและครอบครัวจริงๆ ไม่ใช่ทำประกันเพราะมีสิ่งล่อหลอก
ในขณะเดียวกันตัวแทนจะต้องโน้มน้าวจิตใจลูกค้าให้ทำโดยการแสดงให้เขาเห็นถึงปัญหาที่เขาเผชิญอยู่ทุกวันนี้ และต้องตอบให้ได้ว่า ประกันชีวิตช่วยแก้ปัญหาให้เขาได้อย่างไรบ้างครับ
แต่ว่าทุกวันนี้ มันมีการแข่งขันกันสูง คุณวุฒิรางวัลต่างๆมากๆมาย ทำให้ตัวแทนเร่งอยากทำผลผลิต จึงอาจจะใช้วิธีการที่ไม่เหมาะสมไปบ้างนะครับ”
นายทรงพลมองผมแล้วยิ้มกริ่ม

“คุณเรียวนี่ เป็นคนดีจริงๆ ทำอะไรเป็นหลักเป็นการ ไม่ยอมเฉไฉไปกับสิ่งล่อใจเลย ทำอะไรตามกฎเกณฑ์มากไปหน่อย จะเป็นทุกข์ได้ในภายหลังนะครับ
หัดทำตามหัวใจตัวเองบ้างเถอะ ชีวิตจะได้มีความสุขมากขึ้น เอาล่ะ ผมลองถามคนอื่นบ้างดีกว่า ถามคุณเรียว คงได้แต่คำตอบแบบนี้แหละ คุณสันต์ว่าไงล่ะครับ”

ลูกค้าวีไอพีของเรา หันไปถามเจ้าสันต์ เพื่อนผมทำหน้าเบื่อๆ แต่ก็ยอมตอบสิ่งที่มันคิดออกมา


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่15 17/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 17-01-2009 20:36:14
“สำหรับผมคิดว่า มันเป็นเรื่องส่วนตัวของเขาน่ะครับ มันเป็นวิธีการที่คนๆหนึ่ง จะทำให้ได้เงินมา ส่วนใหญ่ที่เจอ ก็มักจะเป็นกับตัวแทนสวยๆ และลูกค้ามีเงินนะครับ
ตัวแทนสาวที่สวยหน่อยก็จะถูกลูกค้าแทะโลม บางทีก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนในการทำประกัน ถ้าไม่ชอบ ก็บอกปัดไปได้นี่ครับ
แต่ถ้าชอบ ตกลงยินยอมพร้อมใจกันทั้งสองฝ่าย ก็ไม่ควรที่จะเอามาพูดให้ขายขี้หน้ากันหรอกครับ มันไม่ดี ในเมื่อต่างคนก็ได้ในสิ่งที่ต้องการ ก็จบครับ ถือว่าอาชีพของเขา เขาเลือกเอง ไม่มีใครบังคับนี่ครับ”

คำตอบของเจ้าสันต์เรียกเสียงหัวเราะจากนายทรงพล และผองเพื่อนชายของเขา ผมมองหน้าคนเหล่านั้น บางคนก็ทำท่าเหมือนสะใจที่ได้ยิน บางคนก็ทำเป็นตกใจราวกับว่าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรกัน บางคนก็นั่งเฉยเหมือนเรื่องพวกนี้ไม่มีผลต่อชีวิตของพวกเขา
ผมไม่ชอบเลยที่นายทรงพลพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา แม้มันจะเป็นความจริงที่เกิดขึ้นในสายอาชีพนี้ แต่การวิพากษ์วิจารณ์กันไป ไม่ก่อให้เกิดผลดีสักเท่าไหร่ มันจะยิ่งทำให้คนทั่วไปเข้าใจผิดในเรื่องของการประกันไปมากกว่าเดิม

ทำนองปลาเน่าตัวเดียว ทำให้เหม็นทั้งข้อง ทั้งที่มีตัวแทนที่ทำมาหากินโดยสุจริตอยู่มากมาย แต่อาชีพของเขาต้องถูกทำลายลง เพียงเพราะตัวแทนที่ไม่มีคุณธรรมบางคน

“สมกับเป็นคำพูดจากปากของคนกล้าพูดกล้าคิดแบบคุณสันต์นะครับ แล้วคนที่พูดน้อยที่สุดของเราล่ะ ในสายตาของคุณศักดิ์ชายคิดว่าเรื่องนี้ เป็นสิ่งที่ควรทำหรือไม่ทำอย่างไรครับ”

“ถามผมเหรอ ผมค่อนข้างหัวโบราณนะ ผมคิดว่า มันเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจที่ตัวแทนจะลดตัวไปทำอย่างนั้น
มันเหมือนกับว่าเป็นการขายตัวขายเกียรติไม่ควรทำอย่างยิ่งครับ ผมไม่ทราบว่า คุณทรงพล ถามความคิดพวกเราไปทำไม มีใครมาเสนอให้คุณทำประกันโดยแลกกับการให้เงื่อนไขพิเศษเหรอครับ”

นอกจากจะตอบแบบตรงไปตรงมาแล้ว ศักดิ์ชายยังยิงคำถามไปยังนายทรงพลอีกครั้ง คราวนี้ เขาถามตรงกับที่ใจผมอยากรู้อีกแล้ว

“ถ้ามีก็ดีสิ ผมกำลังมองหาตัวแทนประเภทนี้อยู่ แต่ขอเป็นผู้ชายนะครับ ผู้หญิงไม่สน...”
พูดจบก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากด้วยความชอบอกชอบใจ แต่กลายเป็นว่า มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่ขำ ผมสามคน นั่งมองหน้ากันไปมา ไม่รู้ว่าควรจะผสมโรงขำตาม ทำเนียนว่าพูดเล่น หรือควรจะลุกหนีไปจากโต๊ะนี้สักที

“นี่แหละที่ผมกำลังถามหา บริการเกินความคาดหวัง ผมรู้ว่าของแบบนี้ อาจจะมีการแลกเปลี่ยนระหว่างผู้ขายกับผู้ซื้อ มันเป็นเรื่องธรรมดาของการทำการค้าระหว่างกัน
สองฝ่ายต่างให้ในสิ่งที่อีกฝ่ายพอใจ แต่ที่ผมถามเนี่ย อยากรู้ว่า แล้วสต๊าฟอย่างพวกคุณมีนโยบายแบบนี้หรือเปล่าละครับ ใครก็ได้ช่วยตอบผมหน่อย คุณเรียวก็ได้ ว่าไงล่ะครับ มีไหม ฮ่าฮ่าฮ่า”

นึกเกลียดเสียงหัวเราะกับตาแก่ลามกนี่นัก ผมพยายามนับหนึ่งถึงสิบในใจ แล้วก็หาเหตุผลมาอ้างในการที่จะไม่โกรธเขา สิ่งที่ผมหาได้ระหว่างพูดคุยกันก็คือ

ข้อแรกเขาเป็นลูกค้า ดังนั้นจะพูดอะไร ทำตัวแย่แค่ไหน ก็ต้องอดทน

ข้อที่สอง เขารู้จักคุณแคทลียา ครอบครัวเขาสนิทกัน ผมชอบเพื่อนร่วมงานคนนี้ ผมเลยไม่อยากเกลียดคนที่เธอคุ้นเคย

ข้อที่สาม เขารู้จักกับประธานของบริษัท ซึ่งมีผลต่อการงานของผม ดังนั้นผมจึงไม่ควรไปมีเรื่องกับเขา

ข้อที่สี่ เขาแก่แล้ว ตามประเพณีวัฒนธรรมอันดีงาม เราควรให้ความเคารพผู้ใหญ่ ไม่ควรไปแสดงกริยาสามหาวลบหลู่ เราเป็นเด็กกว่า ต้องอดทนให้มาก

และข้อสุดท้าย คิดอย่างใจเขาใจเรา นายทรงพลอายุมากแล้ว เป็นเกย์เฒ่า ซึ่งไม่ได้มีหน้าตาเรียกร้องให้คนมองสักเท่าไหร่ การที่มีชีวิตที่แตกต่างจากคนอื่น อาจจะทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยวเหงา และรอคอยรักแท้ที่อาจจะไม่มีวันได้มา

ดังนั้น จึงเป็นไปได้ว่า การที่เขาต้องเผชิญกับความเจ็บปวดจากความรักที่ไม่สมหวัง ทำให้เขากลายเป็นคนแบบนี้ไปได้ และเนื่องจากเขามีความร่ำรวยเป็นสิ่งที่ชดเชย เขาจึงใช้เงินซื้อทุกอย่างเป็นว่าเล่น แม้แต่หัวใจของคน

ห้าข้อก็คงจะพอยับยั้งความโกรธในใจผม แต่มันก็ยากเสียเหลือเกิน ดูสิ่งที่เขาพูดแต่ละอย่างสิ มันเหมือนกับว่า เขากำลังจะเล่นเกมส์ซื้อขายกับพวกผมอยู่ โดยสินค้าที่เขาต้องการคือตัวผม

แม้เขาจะไม่ได้พูดให้โจ่งแจ้งนัก แต่พูดทีเล่นทีจริงแบบนี้ มันก็ส่อให้เห็นว่าเจตนาว่าเขาคิดอย่างไร นี่เขาคิดว่าผมเป็นอะไรเหรอ เป็นคนที่ซื้อได้ด้วยเงินหรือไง ว่าจะไม่โมโหแล้ว ก็อดไม่ได้อยู่ดี

“ผมล้อเล่นนะครับ แหม....รู้หรอกน่าว่าพวกสต๊าฟ เป็นพวกมีศักดิ์ศรี ผมก็แค่ตาแก่ปากหมาคนหนึ่ง รู้สึกถูกชะตาใครก็แหย่ไปเรื่อย อย่าได้ถือสาหาความผมเลยนะครับ”

นับว่า หาทางออกได้สวย แม้จะข้างๆคูๆไปก็ตาม นายทรงพลนี่เป็นนักอ่านสีหน้าและแววตาคนได้เก่ง เขาคงเดาออกว่าผมเริ่มโมโหแล้ว ก็เลยทำเป็นหัวเราะและพูดกลบเกลื่อน คำพูดพล่อยๆของเขา

แต่เอาเถอะ ผมยอมหายโกรธก็ได้ ไม่อยากจะมีเรื่องราวกับลูกค้าเท่าไหร่ เพราะมันกระเทือนถึงภาพลักษณ์ของบริษัท ถึงแม้เราจะถูกก็ตาม แต่หนึ่งเสียงที่กระจายออกไป ว่าบริษัทของเราทำไม่ดีกับลูกค้า อาจจะกลายเป็นเรื่องเป็นราวทำให้บริษัทเสียหายก็ได้
“แหม ล้อเล่นหรอกหรือครับ โอ้โฮ ผมเกือบโกรธไปแล้วนะครับนั่น โชคดีที่คุณทรงพลพูดออกมาเสียก่อน ไม่เป็นไรครับ ถ้าแค่แหย่กันเล่น มันก็ช่วยทำให้บรรยากาศไม่ตึงเครียดเกินไป
ผมก็นึกแล้ว ว่าผู้ใหญ่ที่น่าเคารพอย่างคุณทรงพล คงไม่เอาเรื่องจริงๆมาพูดจนกลายเป็นเรื่องไร้สาระ แต่แหม คราวหลัง ถ้าจะล้อเล่นกันแบบนี้ ช่วยบอกล่วงหน้าก็ดีนะครับ ผมจะได้เตรียมตัวเตรียมใจได้ทัน”

อดไม่ได้ที่จะแขวะนายทรงพล แต่แค่ขบกัดเบาะๆแบบนี้ เขาคงไม่รู้สึกอะไรหรอก ตอนแรกว่าจะอยู่เฉยๆ แต่ก็คิดว่าทำให้รู้บ้างดีกว่าว่าผมไม่ได้ชื่นชอบวิธีการพูดแบบนั้นของเขาสักเท่าไหร่

ถึงผมจะมีข้ออ้างมากมายไม่ให้โกรธเขา แต่มันก็ไม่ได้มีข้อห้ามที่จะไม่ให้ผมปกป้องตัวเอง จากสิ่งไม่ดีที่เขาทำกับผมนี่นา ผมรักบริษัท รักงานที่ทำ รักลูกค้า แต่ผมไม่จำเป็นต้องแลกทุกอย่างกับสิ่งเหล่านี้จนสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง
นายทรงพลฉลาดจริงๆ เขารู้ด้วยว่าผมไม่พอใจเขา แต่รักษามารยาทอยู่ เขาหัวเราะทำเป็นกลบเกลื่อนด้วยการชวนพวกเราทานขนมหวานที่พนักงานร้านนำมาเสิร์ฟ แล้วเรื่องที่พูดคุยหลังจากนั้นก็กลายเป็นเรื่องสัพเพเหระไป

ก่อนจะแยกทางกันกลับนายทรงพลก็ได้ให้ความมั่นใจกับพวกเราว่า การเสียเวลาของพวกเรามาทานอาหารค่ำร่วมกับเขาและเพื่อนจะไม่เป็นการเสียเวลาเปล่า เพราะเขาสัญญาว่าเขาจะทำประกันกลุ่มกับบริษัทเราอย่างแน่นอน
หลังอาหารเย็นมื้อนั้น ศักดิ์ชายก็ขับรถไปส่งผมที่บ้าน โดยมีเจ้าสันต์นั่งมาด้วยเพราะมันจอดรถไว้ที่บ้านผม ระหว่างทางพวกเราอดไม่ได้ที่จะพูดถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นไป ผมหันไปต่อว่าเจ้าสันต์ว่า ไม่น่าเอาเรื่องของคุณแคทลียาเข้ามายุ่งเกี่ยวเลย

มันก็บอกผมว่า ที่มันตัดสินใจทำแบบนั้น เพราะว่าแค่อยากกันนายทรงพลไม่ให้มาทำรุ่มร่ามกับผม ไม่คิดว่าผลจะออกมาเป็นแบบนี้ มันยังเสนออีกว่า เมื่อนั่งหลังเสือแล้ว จะลงก็ลงไม่ได้ ผมก็ควรจะจีบคุณแคทลียาซะ เพราะเธอเองก็เป็นคนที่ดีเพียบพร้อมเหมาะกับผม
ผมก็เลยด่ามันว่า เรื่องความรักจะมาสรุปกันง่ายๆแบบนี้ได้ไง ผมชอบเธอแค่ในฐานะเพื่อนร่วมงานเท่านั้น ศักดิ์ชายสนับสนุนความคิดนี้ของผมด้วย ว่าถ้าไม่รัก ก็ไม่ควรจะฝืนใจหลอกลวงกัน

เจ้าสันต์ก็บอกว่าไม่เห็นจะเสียหายอะไร ที่จะเริ่มต้นคบหา ตอนนี้ไม่ได้รัก ดูใจกันไปสักระยะอาจจะรักกันก็ได้ มันบอกเหตุผลว่า ถ้าผมเป็นแฟนกับคุณแคทลียาจริงๆ เรื่องทุกอย่างมันก็จะจบลงอย่างสมบูรณ์ที่สุด นั่นคือ สามารถกันนายทรงพลออกไปได้ สิ่งที่เราพูดกับนายทรงพลวันนี้ ก็จะไม่กลายเป็นเรื่องโกหก

อีกอย่างผมซึ่งถูกคนจับตามองว่าป่านนี้ทำไมยังเป็นโสด ก็จะได้เลิกวิพากษ์วิจารณ์กันเสียที ข่าวลือไม่ดีเกี่ยวกับผมก็จะได้หายไป แถมซ้ำผมยังจะได้ไปเกี่ยวข้องกับลูกหลานประธานของบริษัท อาจจะทำให้อนาคตการงานของผมก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปด้วย
ไม่ว่าจะด้วยแง่มุมไหน ผมก็ได้ประโยชน์จากการที่เป็นแฟนกับคุณแคทลียา ดังนั้นผมจึงไม่ควรปฏิเสธ ยกเว้นแต่ว่าผมจะมีใครบางคนในใจอยู่แล้ว

น่าแปลกที่พอสันต์พูดจบ ผมก็ดันคิดไปถึงเด็กหนุ่มหน้าเข้มที่ผมเพิ่งต่อว่าเขาไป วันนี้มีเรื่องราวมากมาย ที่พอนึกไปนึกมาผมก็อดคิดถึงเขาไม่ได้ ป่านนี้เดียร์จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ เขาโดนผมดุไปขนาดนั้น จะยังเต้นโชว์ได้หรือเปล่านะ
“เฮ้ย เรียว นายใจลอยถึงใครอยู่วะ ไม่ได้ยินฉันพูดหรือไง”

เสียงเจ้าสันต์ดังขึ้น ปลุกผมตื่นจากภวังค์ ผมถามมันอย่างงงๆ ว่ามันพูดว่าอะไร มันก็ด่าผมว่า มันแต่เหม่ออยู่นั่นแหละ ปล่อยให้มันพูดคนเดียวอยู่ได้

จากนั้น มันก็บอกกับผมว่า มันอยากให้ผมไปคิดทบทวนดู เพราะสิ่งเหล่านี้ มันเป็นประโยชน์ต่อผมทั้งสิ้น ถึงไม่เห็นด้วยในวันนี้ แต่ในวันข้างหน้า ผมอาจจะขอบคุณมันก็ได้

มันยังย้ำอีกด้วยว่า ผมเป็นเพื่อนรักของมัน ขอให้เชื่อเถอะว่ามันไม่ได้คิดร้ายต่อผม ฟังเสียง และเห็นท่าทางของมันแล้ว ผมก็รู้ว่าเจ้าเพื่อนคนนี้ มันหวังดีกับผมจริงๆ เลยได้แต่เออออ บอกมันไปว่าผมจะลองคิดดูแล้วกัน

แต่ถ้าไม่ใช่ในสิ่งที่มันเสนอก็อย่ามาว่ากัน ความรักมันฝืนกันไม่ได้อยู่แล้ว สิ่งที่ผมพูดออกไปได้รับการสนับสนุนจากศักดิ์ชายอีกครา จนเจ้าสันต์งอนขึ้นมาอีก หาว่าผมสองคนไม่เชื่อมัน แล้วจะเสียใจ ทั้งสันต์และผมก็เลยหัวเราะ จากนั้น เราก็ไม่พูดอะไรกันอีก ต่างคนต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเองจนกระทั่งถึงบ้าน

ผมเดินเข้าบ้านด้วยความรู้สึกหดหู่เงียบเหงา วันนี้ผมรู้สึกเหนื่อยกับการทำกิจกรรมมากมาย แถมซ้ำยังเหนื่อยหน่ายหัวใจ ตั้งแต่ตอนที่ได้เจอกับนายทรงพลอีก

ผมเปลี้ยเพลียแรงยิ่งกว่าตลุยทำงานหนักที่บริษัท ความรู้สึกมันบอกให้ผมพัก และปลีกตัวไปเสียจากเรื่องที่ทำให้ผมไม่สบายใจเหล่านี้
อยู่ๆผมก็ปรารถนาที่จะมีใครสักคนอยู่เคียงข้าง คอยฟังเรื่องราวที่ผมพูด ทำให้ผมสบายใจ สร้างความอบอุ่นและทำให้ผมหัวเราะได้ คนๆนั้นจะจับต้องตัวผมเบาๆ ลูบไล้ด้วยความรัก พร่ำกระซิบเรียกชื่อผมอยู่ข้างหู

“เรียวครับ ผมรักคุณมากที่สุดในโลกเลย อยากอยู่ใกล้ อยากดูแลไปจนตลอดชีวิต อยากปกป้อง และทำให้คุณมีความสุขมากๆครับ”
เสียงหนึ่งดังก้องในหู เป็นเสียงที่คุ้นเคยเหลือเกิน ผมได้ยินเสียงนี้บ่อยมากตั้งแต่เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว จนย่างเข้าเดือนที่สาม เสียงนี้ก็ยังคงอยู่ในความคิดคำนึงของผมตลอดเวลา

เสียงของเดียร์ที่พร่ำเรียกชื่อผม บอกรักวันละหลายร้อยครั้งเวลาอยู่ด้วยกัน ไม่ใช่แค่พูด แต่เขายังแสดงออกให้ผมรู้ตลอดเวลาว่าเขารักผมมากแค่ไหน

ทำไมอยู่ๆผมถึงคิดถึงเดียร์ขึ้นมาได้นะ หรือว่าเดียร์คือคนที่อยู่ในใจผมตลอดเวลา บางทีผมอาจจะทบทวนในสิ่งที่สันต์พูด ถ้าหากต้องการลบภาพของเดียร์ออกไปจากความคิด
ผมนอนพลิกตัวไปมา ตั้งใจว่าจะหลับ เพราะไม่อยากจะคิดถึงสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว แต่ก็ไม่สามารถทำได้ดังใจ ที่นอนที่ผมเคยนอนประจำ ทำไมมันดูกว้างใหญ่เหลือเกิน มันเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างที่หายไป

ผมนอนลืมตาโพลงอยู่บนเตียง มีหมอนข้างวางอยู่ใกล้ๆ ก่อนหน้านี้ผมรู้สึกแบบนี้หรือเปล่านะ ทั้งที่เตียงนี้ผมก็ซื้อมันมานานแล้ว ขนาดของมันยังเท่าเดิม แต่ทำไมเมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อน ผมรู้สึกว่ามันคับแคบ แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่น
ใครบางคนที่นอนถัดจากหมอนข้างข้างตัวผมเคยนอนอยู่ตรงนั้น เขามักจะดึงหมอนหนี แล้วก็รั้งตัวผมไว้ในวงแขนแข็งแรงของเขา
จำได้ว่าผมอึดอัดเหลือเกินที่ต้องนอนแนบชิดกับเขาในครั้งแรก พยายามจะออกห่าง แต่เขาก็กอดผมเสียแน่น ไม่ยอมให้หนีไปไหน นานเข้าผมก็เริ่มเคยชินกับการที่มีร่างสูงใหญ่ นอนอยู่ใกล้ๆ
เสียงหัวใจของเขาที่เต้นอยู่ข้างหู ลมหายใจที่เป่ารดหน้าผาก กลิ่นเนื้อหนุ่มที่ผมสูดเข้าปอดการตระกองกอดผมไว้แนบอกทุกค่ำคืนที่เขามาหา สิ่งเหล่านี้มันได้กลายเป็นความคุ้นเคยของผมไปเสียแล้ว

พอมันขาดหายไป ก็ทำให้ผมโหยหาขึ้นมา เหมือนว่าห้องทั้งห้องว่างเปล่า ความเหงาบังเกิดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
นี่กลายเป็นว่า ที่ผมนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย เพราะคิดถึงเด็กหนุ่มหน้าเข้มคนนั้น เขาทำให้ช่วงเวลาพักผ่อนของผม ไม่เหมือนเดิมไปเสียแล้ว

ขณะที่กำลังพยายามข่มตาให้หลับอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น มันเป็นเสียงที่ผมตั้งไว้เป็นพิเศษโดยเฉพาะ เพื่อแยกให้ได้ว่าใครโทรมา
ทำนองที่คุ้นหูทำให้ผมรู้ว่า คนที่กำลังเรียกเข้ามานั้น โทรมาจากเครื่องของนายเดียร์คนที่ทำให้ผมนอนไม่หลับอยู่ตอนนี้ ตายยากเสียจริงๆ แค่คิดถึง เสียงก็มาแล้ว

ผมทำเป็นไม่ใส่ใจเสียงโทรศัพท์ หวังจะให้มันหยุดไปเอง แต่เสียงนั้นก็ดังอย่างต่อเนื่อง จนผมนึกฉุน
เจ้าเด็กบ้านี่ เพิ่งจะด่าไปหยกๆ ว่าไม่ให้โทรมา แต่ไม่ทันไร ก็ลืมสิ่งที่ผมสั่งไปเสียสิ้น ทำไมเขาถึงได้หน้าด้านหน้ามึนแบบนี้นะ เดี๋ยวผมจะด่าให้สำนึกเสียบ้าง

“บอกแล้วไงว่าอย่าโทรมาอีก ไม่ฟังกันบ้างเลยนะ”

พอคว้าโทรศัพท์ขึ้นมารับ ผมก็กรอกเสียงดุๆลงไป ปลายสายเงียบไปอึดใจหนึ่ง จากนั้นก็มีเสียงตอบรับที่ไม่คุ้นหูดังตอบมา

“อุ้ยยยย ขอโทษค่ะ คุณเรียว นี่น้อยเองค่ะ ที่จริงเดียร์ไม่ได้อยากให้โทรมา เพราะกลัวคุณจะโกรธ เขาไม่อยากรบกวนคุณ แต่นี่น้อยแอบโทรมา เพราะอยากแจ้งข่าวให้ทราบเท่านั้น เดียร์เขาเกิดอุบัติเหตุค่ะ................”

“อะไรนะ เดี๋ยวๆๆๆ พูดใหม่สิ”

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่15 17/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 17-01-2009 20:37:50
 :z13: จิ้มพี่แอนสุดสวย
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่15 17/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: kimagain ที่ 17-01-2009 20:52:06
เรียวใจร้าย  :o12:


รับโทสัพได้ก็ตะคอกเลย นี่ถ้าเปนเดียร์โทรมานะคงเสียใจอย่างมากกกกกกกกก  :serius2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่15 17/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 17-01-2009 21:23:35
 :กอด1: คิดถึงทุกคนน้าาาาาาาา
+1 ให้เป็นกำลังใจ
 :z3:ก็รู้นะ ว่าอ่านแล้วตาลาย
ตัวหนังสือแยอะมากๆ o2
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่15 17/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 17-01-2009 21:41:32
^
^
^
 :z13:ตามมาจิ้มไต๋
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่15 17/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: nanalonely ที่ 17-01-2009 21:53:51
กว่าเรียวจะรู้นะว่าการมีเดียร์อยู่ข้างๆๆแล้วรู้สึกยังไง

พอไม่มีเดียร์แล้วรู้สึกเลยใช่ไหมว่าอะไรคือสิ่งที่ขาด

กว่าจะรู้ตัวจะสายไปไหมเนี่ย

สงสารเดียร์ที่ซู้ดดดดดด

เดียร์จะเป็นอะไรไหมเนี่ย

อยากอ่านต่อจัง

พี่แอนคนสวย มาลงต่ออีกตอนจิคะ

มาลงต่อน๊า พลีสส เด๋วแนนจะไปกินยานอนแล้ว

แต่อยากอ่านต่ออีกอะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่15 17/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: the_pooh9 ที่ 18-01-2009 00:34:29
^
^
^
จิ้มตูดน้องแนน
^

^

กว่าเรียวจะรู้นะว่าการมีเดียร์อยู่ข้างๆๆแล้วรู้สึกยังไง

พอไม่มีเดียร์แล้วรู้สึกเลยใช่ไหมว่าอะไรคือสิ่งที่ขาด

กว่าจะรู้ตัวจะสายไปไหมเนี่ย สงสารเดียร์ที่ซู้ดดดดดด

เดียร์จะเป็นอะไรไหมเนี่ย  อยากอ่านต่อจัง พี่แอนคนสวย มาลงต่ออีกตอนจิคะ

มาลงต่อน๊า พลีสส เด๋วแนนจะไปกินยานอนแล้ว  แต่อยากอ่านต่ออีกอะ

 เห็นด้วยทุกประการเลย สงสารเดียร์จัง เป็นไงบ้างมะรู้

แต่บางทีกว่าเราจะรู้ว่ารัก ก็เกือบจะสายไป ขอให้เรียวแค่เพียง

เกือบ ก็พอนะ อย่าให้มันสายเกินไปกว่านี้เลย

ว่าแต่นู๋แนน ก็ไปกินยานอนได้แล้ว ไป๊ :z2:

เดี๋ยวเค้ากลิ้งรอพี่แอน ให้แทน (จะได้แอบอ่านก่อนนู๋แนน อิอิ)

อยากอ่านต่อจัง พี่แอนคนสวย มาลงต่ออีกตอนนะจ๊ะ

+1 :pig4: ขอบคุณนะคะพี่แอน สำหรับความขยัน + การแบ่งปัน  :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่15 17/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: fayossy ที่ 18-01-2009 00:58:45
เดียร์เป็นอะไรมากป่าวเนี่ย 

วันใดขาดเดียร์แล้วเรียวจะรู้สึก 
คงรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปบางอย่างนะ
หวังว่าจะได้ยินคำบอกรักจากปากเรียวมากๆเลย

อยากอ่านต่อแล้วอ่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่16 18/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 18-01-2009 15:42:18
บทที่ 16

ผมตกใจมากกับสิ่งที่ได้ยิน แต่เสียงทางนั้นขาดหายไปแล้ว ผมเลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมรออยู่สักครู่ ก็ไม่มีโทรศัพท์เรียกเข้ามาอีก ชั่งใจอยู่นาน ก่อนตัดสินใจโทรเข้าไปที่มือถือของเดียร์

แต่เสียงตอบรับอัตโนมัติตอบกลับมาว่าไม่สามารถติดต่อได้ ณ ขณะนี้ ไม่รู้ว่าเพราะอยู่ในทีไม่มีสัญญาณ แบตหมด หรือว่าเกิดเหตุขัดข้องอะไร ถึงทำให้ติดต่อไม่ได้ ผมรู้สึกหงุดหงิดมาก เพราะข่าวสารที่ได้ฟังจากน้อย มันสร้างความงุนงงให้ผมไม่ใช่เล่น
เกิดอุบัติเหตุขึ้นกับเจ้าเด็กนั่นเหรอ อุบัติเหตุแบบไหนกัน ที่ไหน เมื่อไหร่ เกิดได้ยังไง ตอนนี้เขาเป็นไงบ้าง บาดเจ็บมากน้อยแค่ไหน เป็นอะไรมากไหม กระดูกแตกหัก หรือแค่ถลอกปอกเปิก

ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล หรืออยู่ที่ไหน อยู่จังหวัดอะไร ใกล้ไกลจากกรุงเทพหรือเปล่า มีใครอยู่กับเขาด้วยไหม.......
คำถามมากมายผุดขึ้นมาในความคิด แต่ไม่มีคำตอบให้กับผม เพราะโทรศัพท์นั่นสายดันตัดไปเสียก่อน ทำให้ผมไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าเด็กบ้านั่น

หวังว่าเรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องที่อำกันเล่นเพื่อให้ผมหายโกรธเดียร์หรอกนะ ถ้าเป็นอย่างงั้นจริงๆ ผมจะไม่พูดกับเขาอีกเลย เล่นกับความรู้สึกของคนแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน แต่จากน้ำเสียงตื่นตระหนกของน้อยที่ได้ยิน มันชวนให้คิดว่าเป็นเรื่องจริง
ความกังวลใจกับสิ่งที่ได้ยินเพียงครึ่งๆกลางๆทำให้ผมนอนไม่หลับเข้าไปใหญ่ นึกโทษตัวเอง ที่พูดไม่ดีออกไป โดยไม่ฟังให้ชัดเจนเสียก่อนว่าเด็กนั่นโทรมาเพื่ออะไร

ไม่รู้ว่าอยู่ดีๆทำไมถึงโกรธขึ้นมาแบบนั้น จะว่าเป็นเพราะอารมณ์ยังค้างอยู่กับความโกรธที่ได้รู้ว่าเขาวางแผนกับเพื่อนจับตัวผมหรือก็เปล่า นึกขุ่นใจนิดหน่อย แต่ก็เลิกโกรธไปนานแล้ว

งั้นผมโกรธเรื่องอะไรล่ะ โกรธที่เขาหายไป หรือโกรธที่เขาอยู่ในความคิดคำนึงของผมตลอดเวลา
เป็นเรื่องหลังนี่แน่นอน ผมพยายามจะสลัดเขาออกไปจากชีวิต แต่ยิ่งพยายามเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งคิดถึงเขามากขึ้นทุกที เขาทำให้ผมนอนไม่หลับ เขาทำให้ผมเคยชินกับชีวิตที่มีเขามาคอยดูแล เขาทำให้ความรู้สึกของผมเปลี่ยนแปลงไป

เมื่อตอนเย็น มีช่วงหนึ่งที่ผมคิดไปถึงเรื่องของเดียร์ ตอนที่พวกเราพากันโกหกคุณทรงพล ถึงแม้ผมจะไม่ได้เป็นคนพูด แต่การนิ่งเฉยคือการยอมรับ ทำให้คนเข้าใจผิดได้ สิ่งที่ผมทำลงไป เพื่อช่วยให้ตัวเองรอดพ้นจากสถานการณ์ที่ตนเองไม่ปรารถนา มันทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ผมเองก็ไม่ต่างอะไรจากเดียร์เลย คือทำผิดเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ

ผมต้องต่อสู้กับความคิดของตัวเอง ระหว่างคุณธรรมและความชอบใจ ผมโกหก ผมก็ผิดอยู่แล้ว แต่ที่ปล่อยให้เกิดขึ้น เพราะมันเป็นความพึงพอใจที่จะไม่ต้องเห็นตัวเองถูกแทะโลม พอผมคิดแบบนี้ ผมก็เลยรู้สึกโกรธขึ้นมาที่เผลอด่วนไปด่าว่าเขา ลงโทษเขา ในสิ่งที่เด็กนั่นทำ ในขณะที่ตัวเองก็ทำผิดเสียเอง
ผมเองยังไม่มีความยับยั้งชั่งใจเลย แล้วผมจะไปตัดสินว่าใครผิดใครถูกอย่างไรได้ เขาทำให้ผมรู้สึกแย่ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ผมโกรธตัวเองแล้วก็โกรธที่เดียร์ทำให้ผมรู้สึกแย่ ถ้าเขาไม่ทำแบบนี้กับผม ผมก็คงไม่โกรธเขา แล้วเวลาที่ผมทำผิด ผมก็ดันไปนึกถึงที่ว่าเขาไว้

นี่กระมังคือเรื่องที่ทำให้ผมไม่สบายใจ จนกระทั่งเผลอต่อว่าเขาไปเมื่อกี้ เหมือนผมกำลังหาแพะรับบาปให้กับความผิดของตัวเอง พอสายของเขาก็เข้ามา ผมก็ขาดความยั้งใจ ต่อว่าเขาออกไปจนได้

แต่กาลกลับกลายเป็นว่า ความโมโหของผมกลับทำให้ผมหงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิม
ตั้งใจจะว่าเขาเจ็บๆแสบๆ แต่ ผมกลับได้รับข่าวร้ายเรื่องอุบัติเหตุของเด็กนั่น ผมไม่รู้เลย ว่าตอนนี้เขาเป็นอย่างไร ติดต่อไม่ได้ กดโทรศัพท์จนมือแทบหงิก ก็ไม่มีการตอบกลับมา ความห่วงในตัวของเดียร์ทำให้ผมนอนไม่หลับจนรุ่งเช้า
ผมไปทำงานในสภาพที่เรียกได้ว่าไม่พร้อมจะรับรู้อะไรทั้งสิ้น วันนี้มีประชุมตั้งแต่สิบโมงเกี่ยวกับเรื่องสินค้าตัวใหม่ที่ยังถกเถียงกันไม่จบด้วยรูปแบบของผลประโยชน์ จำนวนเงินที่ลูกค้าต้องจ่ายและเงื่อนไขการรับประกัน

ผมนั่งฟังแต่ละคนถกเถียงกันไปมา ด้วยความรู้สึกปวดหัวมาก พอถึงตาผมพรีเซ็นต์ ผมก็ทำได้ไม่ค่อยดีนัก จนเจ้าสันต์ออกปากถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม

ตอนบ่ายหลังจากเริ่มต้นทำงานได้สองชั่วโมง ผมก็มีประชุมเกี่ยวกับเรื่องงานปีใหม่ของบริษัท ซึ่งจะจัดขึ้นในปลายเดือนธันวาคม เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ รวมถึงเป็นรางวัลให้กับพนักงานด้วย พวกเขาทำงานหนักมาทั้งปี สมควรจะได้รับสิ่งตอบแทนกันบ้าง
งานนี้บริษัททุ่มงบลงไปห้าล้านบาทสำหรับงานครั้งนี้ เงินจำนวนนี้ เป็นค่าสถานที่จัดงาน ค่าโชว์บนเวที และค่าของรางวัลที่จะให้กับพนักงานด้วย

ผมได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในคณะกรรมการจัดงาน โชคดีข้อแรกที่ผมไม่ได้เป็นประธานในการจัด และโชคดีซ้ำสองที่เขาเลือกคุณแคทลียามาเป็นกรรมการด้วย จึงทำให้ผมซึ่งไม่อยู่ในสภาพที่จะออกไอเดียในการจัดงานทำหน้าที่เป็นเพียงผู้ฟัง และให้ความเห็นว่าชอบหรือไม่ชอบเท่านั้น

พวกเขาถกเถียงกันด้วยรูปแบบของงาน และเลือกโชว์ที่จะมาแสดง ผมฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ใจลอยไปถึงเด็กหนุ่มนั่น นึกกังวลในตัวเขา เพราะผมติดต่ออะไรใครไม่ได้เลย
เบอร์โทรของน้อยผมก็ไม่มีด้วย เบอร์โทรของแดนเซอร์ก็ไม่มี เลยไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขาเต้นโชว์คอนเสิร์ตกันอยู่ที่ไหน เดียร์คุยให้ผมฟังว่าเขาเดินสายไปทั่ว เริ่มจากภาคเหนือ มาภาคอีสาน เข้าภาคตะวันออก แล้วก็จะลงใต้ ก่อนจะย้อนมาทางภาคตะวันตก ภาคกลาง แล้วก็กรุงเทพ นี่เขาหายไปสิบกว่าวันแล้ว เขาน่าจะอยู่ตรงไหนหนอ

“คุณเรียวครับ พวกเราคิดว่า อยากจะจ้างนักร้องสาวที่กำลังดังอยู่ตอนนี้ พร้อมโชว์ของคณะแดนเซอร์ที่เขาเต้นให้กับศิลปินในค่ายเพลงยักษ์ใหญ่นะครับ เขามีนักเต้นฝีมือดีหลายคน นักเต้นพวกนี้ ก็เต้นให้นักร้องสาวคนที่กำลังดังนี่ด้วย มิวสิควิดีโอเปิดทั่วประเทศ แดนเซอร์แต่ละคนทั้งสวยทั้งหล่อ หุ่นดีกันทั้งนั้น คุณเรียวเห็นว่าไงครับ”
“เอ้อ ....เอาสิครับ”

เสียงถามจากผู้ร่วมประชุม ทำให้ผมสะดุ้ง ผมฟังไม่ถนัดว่าเขาพูดว่าอะไร เพราะมัวแต่ใจลอยคิดถึงเรื่องของเดียร์อยู่ แต่ไม่อยากถาม เพราะมันจะฟ้องเอาได้ ว่าผมไม่ใส่ใจการประชุม
ผมจึงพยักหน้ารับ และบอกกับพวกเขาไปว่า ลองให้ออร์แกนไนเซอร์เอามางานของนักร้องคนนี้มาพรีเซ็นต์ แต่ขอเป็นหลายๆเจ้า แล้วเรามาตกลงกันอีกที

พวกนั้นมองผมอย่างงงๆ ผมไม่รู้ตัวหรอกว่า ผมพูดจาไม่รู้เรื่อง จนกระทั่งคุณแคทลียา มาบอกผมตอนช่วงเบรกสิบห้านาที
ผมขอโทษขอโพย แล้วก็เสพูดไปว่า ผมไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับการแสดงมากนัก แต่อยากให้แต่ละออร์แกนไนซ์เซอร์ที่จะจัดงานให้เรา นำเสนอรูปแบบงานมาให้ดู และนำงานของดารานักร้องที่จะจ้างมาให้ดูด้วย พร้อมทั้งเสนอราคามาเสร็จสรรพ เราจะได้พิจารณาได้
คุณแคทลียาทำหน้าเข้าใจ จากนั้นเราก็กลับเข้าที่ประชุมต่อ

วันนี้ ผมรีบกลับบ้านแต่วัน ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทำงานไม่ได้ คิดวุ่นวายใจไปหมด นึกเป็นห่วงเจ้าเด็กนั่น ไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดียังไง นับจากที่ผมรู้เรื่องอุบัติเหตุของเขา มันก็ทำให้ผมอยู่ไม่เป็นสุข
เดียร์มีอิทธิพลกับผมถึงเพียงนี้เลยหรือ แค่รับรู้ว่าเขาเกิดอุบัติเหตุก็เล่นเอาผมกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยทีเดียว ผมพยายามหาเหตุผลว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม มันน่าจะเพราะว่าเด็กนี่ดีกับผม ตลอดเวลา พอเขาเดือดร้อน ผมก็เลยต้องห่วงใยเขาใช่ไหม หรือว่าเพราะ.........เพราะผมรักเขา.......

ไม่นะ คงไม่ใช่หรอก ผมไม่อยากคิดต่อแล้ว เจ้าเด็กนั่นก็แค่คนๆหนึ่งที่มาทำให้ผมวุ่นวายใจ ผมไม่มีทางรักเขา ผมเป็นผู้ชาย จะมารักคนเพศเดียวกันได้ไง บางทีมันอาจจะเป็นแค่ความสงสารก็ได้มั๊ง เหมือนว่าเราได้ยินข่าวว่าเพื่อนเราถูกรถชน เราก็อดห่วง อดกังวลไม่ได้ ผมคงคิดกับเขาแค่แง่มุมนั้น ไม่มีอย่างอื่น
ก็แล้วทำไม ผมถึงทำอะไรไม่ถูกเลย นี่ก็เดินวนเวียนอยู่ในห้องรับแขกเป็นหนูติดจั่นหลายรอบแล้ว มือก็กดโทรศัพท์เป็นระวิง แต่ก็ไม่ยักมีเสียงตอบรับจากเลขหมายปลายทาง

เจ้าบ้านี่ เป็นอะไรมากหรือเปล่านะ ไม่ชอบเลย หายไปแบบนี้ แถมยังมีข่าวไม่ดีอีก ชักโกรธแล้วนะ อย่าให้เจอตัวเชียว จะจับเขย่าๆ เขกกบาลให้บวมปูดเลย

แต่เอ...... ถ้าไอ้เจ้านั่นมันเจ็บหนักล่ะ เกิดรถที่ขนแดนซ์เซอร์ดันไปประสานงาเข้ากับรถสิบล้อ ทำให้แดนเซอร์เจ็บหนักล่ะ
เกิดตอนนี้อยู่ห้องไอซียู สมองกระทบกระเทือน หรือไม่แขนขาด ขาขาดไปจะว่าไง พิการ เสื่อมสมรรถนะทางเพศ ตาบอด โอ๊ย ทำไมผมถึงคิดแต่เรื่องร้ายๆในหัวได้นะ คงไม่ถึงขนาดนั้นมั๊ง

สมองกระทบกระเทือนจำอะไรไม่ได้เหรอ ก็ดีสิ สัญญาจะได้โมฆะเพราะเขาจำอะไรไม่ได้ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น เดียร์คงจะลืมผมไป แล้ว มันจะดีจริงๆเหรอ ถ้าเขาฟื้นขึ้นมา แล้วเขาไม่รู้ว่าผมคือใคร ถ้าผมรู้จักเขา แต่เขาไม่มีความทรงจำเรื่องของผมเหลืออยู่เลย ผมยังจะรู้สึกสบายใจเหรอ

โธ่เว้ยยยยยย ........รับโทรศัพท์ซักทีสิ ใครก็ได้ น้อย หรือ เดียร์ ช่วยโทรมาบอกข่าวได้ไหม บอกมาว่านี่คือเรื่องโกหกกัน ผมไม่โกรธก็ได้ อย่าหายไปอย่างนี้ ผมไม่สบายใจ ไอ้เด็กบ้า ฉันบอกไม่ให้โทรมา ถ้ามันเรื่องไร้สาระ แต่เรื่องร้ายแรงแบบนี้ ต้องโทรมาบอกกันสิ

“ไอ้เด็กบ้า.....ไปไหนวะ”

อดไม่ได้ที่จะตะโกนดังๆ ด้วยความโมโห เจ้าหญิงเห่าผมดังขรม คงแปลกใจว่าทำไมผมถึงตะโกนลั่นบ้านขนาดนั้น ผมเดินไปหาเจ้าหญิงโอบกอดมัน มีกลิ่นสาบนิดหน่อยมาจากตัวเจ้าหญิง มันไม่ได้อาบน้ำมาหลายวันแล้ว
นับตั้งแต่เดียร์ไม่อยู่ ผมมัวแต่ทำงาน ไม่มีเวลาให้เจ้าหญิงเลย พอเดียร์ไม่อยู่สักคน บ้านก็ดูเหมือนไม่ได้รับการดูแล ผ้าผมก็ยังไม่ได้ซักเลย บ้านก็ยังไม่ได้กวาดถู

ผมกลับมาก็เหนื่อยจากการทำงาน เลยไม่ได้ลงมือทำงานบ้านเลย ถ้าหากผมเลิกรากับเดียร์แล้ว คงจะต้องจ้างแม่บ้านสักคนมาคอยดูแลทำความสะอาดให้แล้ว
เจ้าเด็กบ้านั่นทำให้ผมนิสัยเสีย เมื่อก่อนผมดูแลทำความสะอาดบ้านเอง พอเขามาแย่งทำจนหมด ผมไม่มีอะไรทำก็เลยขี้เกียจขึ้นมา
ตอนนี้เขาไม่อยู่แล้ว บ้านช่องก็พลันสกปรก สุนัขของผมก็ตัวเหม็น เริ่มผอมกว่าตอนที่เดียร์มา ผมสงสารเจ้าหญิงของผมมาก ที่ละเลยไม่ดูแลมัน

ต่อจากนี้ผมคงต้องปลีกเวลามาเอาใจใส่มันให้มากขึ้นกว่าเดิมแล้ว เพราะหากว่าเดียร์ไม่อยู่กับผมจริงๆ จะได้ไม่เกิดปัญหาขึ้นกับทั้งสุนัขและบ้านที่ผมครอบครองอยู่
เจ้าหญิงกระดิกหางให้ผม แล้วเอาหน้าซุก มันครางหงิงออดอ้อนออเซาะ ตอนที่ผมพามันไปอาบน้ำ เช็ดตัว แล้วเอาอาหารให้มันกิน ดูท่าทางมันดีใจที่ผมเอาใจใส่ต่อมัน ผมลูบหัวเจ้าหญิงและพูดกับมันถึงเด็กเดียร์นั่น รู้สึกได้ว่าเสียงตัวเองสั่นๆ

“เจ้าหญิง เจ้าเด็กนั่น ได้รับอุบัติเหตุ ไม่รู้เป็นไงบ้างนะ ติดต่อไม่ได้เลย เจ้าหญิงคิดถึงเขาไหม เด็กนั่นน่ะ ถึงจะวุ่นวายและรบกวนฉันมากไปหน่อย แต่เขาก็ทำเรื่องดีๆไว้หลายอย่างนะ บางทีเขาก็น่ารักดี ฉันชอบเขาเหมือนกัน ไม่อยากให้เขาเจออะไรรุนแรงเลย หวังว่าเขาคงปลอดภัยนะ”

ผมทรุดตัวลงนั่งกับโซฟาอย่างเหนื่อยอ่อน หลังจากเอาอาหารให้เจ้าหญิงทาน และกวาดบ้านถูบ้านแล้ว สมองครุ่นคิดถึงแต่เรื่องของเดียร์
จะว่าไปแล้ว เดียร์ก็ดีต่อผมมากเสียจริง เขาทำอะไรให้ผมมากมาย แต่ผมไม่เคยตอบแทนเขาเลย คิดแล้วก็สงสารเขา นอกจากผมจะไม่เคยสำนึกในความดีที่เขาทำให้ผม ผมยังมักต่อว่าเขาแรงๆอีกด้วย
หลังจากนั่งซึมอยู่เกือบชั่วโมง นึกโมโหที่ติดต่อเขาไม่ได้ สลับกับนั่งโทษตัวเองไปร้อยแปด ความที่ครุ่นคิดกังวลอยู่กับเด็กบ้านั่น ส่งผลให้ผมทำอะไรประหลาดๆที่ไม่เคยทำ

อยู่ๆผมก็เดินไปที่ชั้นวางทีวี เอื้อมมือไปยังที่วางพวกซีดี และ ดีวีดีที่เก็บไว้ เดียร์ทิ้งหนังให้ผมดูต่างหน้า บอกว่าอยากให้ผมดูด้วยกันกับเขา แต่ผมเพิ่งได้ดูไปกับเด็กนั่นแค่เรื่องเดียวเอง

เขาบอกว่าถ้าผมดูแล้วมันจะทำให้ผมเข้าใจพวกเขาได้มากขึ้น เดียร์อยากบอกอะไรผมนะ ถ้าผมดูหนังพวกนี้ ผมจะเข้าใจความรู้สึกของเดียร์มากยิ่งขึ้นหรือเปล่า แล้วถ้าผมได้ดูแล้ว ใจของผมที่ห่วงกังวลถึงตัวเขาในตอนนี้มันจะสงบลงบ้างไหม

ผมเลือกหนังแผ่นเรื่องหนึ่งมาดู เป็นหนังจีน เดียร์เคยแนะนำว่าเรื่องนี้ เป็นหนังดีที่ผมควรดู เขาว่าตัวเขาเองก็คล้ายๆกับตัวเอกที่ชื่อหลันอี้ (หลันยู่) ในเรื่องนี้ จำได้ว่าผมหัวเราะเขาที่เอาหนังแผ่นมาสาธยายให้ผมฟัง ว่าแต่ละเรื่อง มันดียังไง บอกเรื่องย่อคร่าวๆมาเสร็จสรรพ แต่ผมก็ไม่ใส่ใจ
จนกระทั่งเวลาที่เดียร์ไม่อยู่ นึกถึงเขาขึ้นมาทีไร ผมก็ไล่เปิดหนังที่เขาทิ้งไว้ให้ดูทีละเรื่อง ตอนนี้ผมก็คิดถึงเดียร์อีกแล้ว ความกลัดกลุ้มที่ไม่สามารถจะติดต่อเขาได้ ทำให้ผมต้องหาอะไรบางอย่างมาทำเพื่อบรรเทาความรู้สึกอัดอั้นที่อยู่ภายในใจ

Lan Yu เป็นเรื่องราวของ Chen Handong นักธรุกิจหนุ่มใหญ่ที่บังเอิญไปมีเพศสัมพันธ์กับ Lan Yu เด็กหนุ่มบ้านนอก ที่เข้ามาเรียนสถาปัตยกรรม ทั้งคู่ได้พบกันในคลับแห่งหนึ่ง Lan Yu เป็นเด็กหนุ่มที่ยึดมั่นในรักแท้ ในขณะที่ Handong เป็นคนเจ้าชู้ไม่รู้จักพอ วันหนึ่งเด็กหนุ่มได้พบภาพบาดตาระหว่าง Handong กับเด็กหนุ่มอีกคน ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็มีอันต้องแยกจากกัน

Handong ได้พบกับ Lan Yu อีกครั้งเมื่อทางการยกกำลังไปกวาดล้างพวกนักศึกษาที่ประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ทั้งสองจึงกลับมาสร้างความสัมพันธ์กันใหม่อีกครั้ง เศรษฐีหนุ่มได้ซื้อบ้านหลังใหม่ไว้ให้ Lan Yu เพื่อที่ทั้งสองจะได้อยู่ด้วยกัน แต่เวลาไม่นานเขาก็ได้เจอกับผู้ร่วมงานสาวคนหนึ่งซึ่งสามารถพูดคุยกันถูกคอ จึงตัดสินใจที่จะแต่งงานกับหญิงสาวคนนั้น ทำให้ Lan Yuต้องเสียใจและต้องเป็นฝ่ายจากไป แต่ในที่สุดการแต่งงานครั้งนั้นก็ไปไม่รอด ต้องลงเอยด้วยการหย่ากัน ทำให้ เศรษฐีกับหนุ่มนักศึกษาได้กลับมาพบกันใหม่ และใช้ชีวิตคู่ร่วมกันดังเดิมอีกครั้ง

เด็กหนุ่มได้ขายบ้านที่ได้รับมาจาก Handong และนำเงินเก็บที่ตนมีอยู่ไปประกันตัวเศรษฐีหนุ่มที่ถูกจับเนื่องจากมีปัญหาเกิดขึ้นในธุรกิจ ทั้งสองก็กลับมาใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง แต่แล้วก็เหมือนสวรรค์แกล้ง ความสุขที่กำลังก่อตัวขึ้นพังทลายลงเมื่อ Handong ได้รับโทรศัพท์แจ้งข่าวร้าย

ร่างที่นอนอย่างสงบอยู่บนเตียงของคนที่เขารักมาก ทำให้น้ำตาของ Handong ทะลัก
ทะลายออกมาอย่างไม่ขาดสาย คนที่เขารักได้จากไปแล้ว อย่างไม่มีวันกลับ พร้อมๆกับที่ตัวละครร้องไห้ น้ำตามากมายจากไหนไม่รู้ก็พรั่งพรูออกมาจากนัยน์ตาผม จนภาพที่อยู่บนจอทีวีพร่าเลือนไปหมด แต่กระนั้น หูของผมก็ได้ยินเสียงเพลงประกอบภาพยนตร์ที่ทำให้ผมปวดร้าวเข้าไปอีก

“Everyday I miss you so
But I’m lonely and you don’t know
When will my beautiful dream come true?
My darling I wish to see you
Autumn ‘s come, the wind’s blowing on my face.
I remember our past when we were in the autumn day
What are you thinking?
Why did you leave me alone?
You are the only one I love
How could you leave me in sorrow?
When I need you most
You left me silently
You are the only one I love
How could you leave me in sorrow?
I’ve been so good to you
But you’ve never been moved…”

ไม่อาจจะเรียกได้ว่าเรื่องราวของคนสองคนที่เห็นในภาพยนตร์ กับเรื่องระหว่างผมกับเดียร์จะเหมือนกันเสียทีเดียวนัก ผมอาจจะมีอะไรกับผู้หญิงมาหลายคน แต่นั่นก็เป็นไปตามการเรียกร้องจากธรรมชาติ ผมไม่ใช่คนเจ้าชู้ แล้วผมก็ไม่เคยมีอะไรกับผู้ชายมากหน้าหลายตา จะมีก็กับเดียร์เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น แต่ผมก็ยอมรับว่าชีวิตของเดียร์ก็คล้ายกับ หลันอี้ ตรงที่ เขารักผมมากมาย และทำทุกอย่างเพื่อผม ในขณะที่ผมแทบไม่เห็นค่าของเขาเลย

ผมปาดน้ำตาทิ้ง เดินไปปิดทีวี แล้วกลับมานั่งที่โซฟาใหม่ ผมร้องไห้เพื่ออะไรกันนะ คงเพราะหนังมันเศร้ากระมัง แต่ว่า มันเศร้า ที่ตัวหนัง หรือที่มันเศร้า เพราะว่าผมดันเอาชีวิตของเดียร์เข้าไปเปรียบด้วยกับหนังเรื่องนี้ ผมรู้ว่าวันหนึ่ง เราสองคนต้องเลิกร้างห่างกันไกล แต่ในใจผมก็ไม่อยากให้เราสองคนต้องจากตายแบบในหนัง อยากให้แยกจากกันด้วยความสุขทั้งสองฝ่าย มากกว่าที่จะจบลงแบบสะเทือนใจ

บ้าที่สุด ไม่น่าเชื่อเจ้าเด็กบ้านั่น แล้วหยิบหนังเรื่องนี้ขึ้นมาดูเลย ทำไมตอนจบถึงเป็นแบบนี้ไปได้นะ จะจบให้มันดีกว่านี้ไม่ได้หรือไง ผมยิ่งเครียดเข้าไปใหญ่ เพราะตอนนี้ผมไม่รู้ข่าวคราวของเดียร์เลย จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ แล้วผมจะไปตามเขาได้ที่ไหนล่ะ ผมไม่รู้จักเพื่อนๆ หรือญาติของเดียร์เลย รู้จักแต่น้อยกับ โสภิตนภา และ สมฤทัยเท่านั้น

ผมเด้งตัวจากที่นั่งขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ เออ จริงสิ บางทีโสภิตนภา กับ สมฤทัยอาจจะรู้ก็ได้ ถ้าผมไปถามเขา เขาจะตอบไหมนะ วันก่อน ผมไปด่าว่าพวกเขา ไม่รู้ว่าเขาโกรธผมหรือเปล่า แล้วถ้าเขาไม่พอใจ รวมหัวกันไม่บอกล่ะ บางทีเขาอาจจะไม่อยากยุ่ง เพราะผมแสดงออกให้รู้ว่าผมไม่พอใจแค่ไหน ผมควรจะไปหาพวกเขาถามในสิ่งที่กังวลใจดี หรือว่าควรจะอยู่เฉยๆ รอให้เดียร์หรือน้อยโทรมาหาเอง ถ้าผมไปแล้ว เขาเกิดไม่รู้เรื่อง หรือไม่อยู่ล่ะ แล้วผมจะทำไงดี ปวดหัวไปหมดแล้ว เจ้าเด็กบ้านี่ หาเรื่องให้ผมไม่หยุดหย่อนเลย

เมื่อรู้ตัวว่าไม่อาจจะทนอยู่เฉยๆกับบ้านได้แล้ว ผมก็แต่งตัวแล้วก็ขับรถไปที่สีลมทันที สองคนนั้นทำงานอยู่ที่บาร์ไหนสักแห่ง วันนั้นผมก็ลืมถามชื่อไป แต่เอาเถอะ ถึงจะต้องเดินหามันทั้งคืน ผมก็ต้องทำ ผมจอดรถไว้ในที่ที่เคยจอดประจำ แล้วรีบเร่งเดินออกจากซอย เพราะได้เวลาที่บาร์จะเลิกแล้ว ผมกลัวว่าจะหาใครไม่เจอ


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่16 18/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 18-01-2009 15:43:05
จังหวะที่ผมกำลังจะเดินเข้าไปในซอยสอง ผมก็ปะทะเข้ากับใครคนหนึ่งพอดี ด้วยความที่มัวแต่ก้มหน้าก้มตาเดิน ไม่มองหน้าใคร เลยไม่ทันเห็นว่าเขาเดินสวนมา ผมเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นใบหน้าของคนที่คุ้นเคย เราต่างคนต่างตกใจที่ได้เจอกันในสถานที่ อโคจรแบบนี้
พี่สมชายเดินออกมาจากซอยสอง ในขณะที่ผมกำลังเดินเข้าไปพอดี เขายิ้มเจื่อนๆให้ผม แบบเดียวกับที่ผมยิ้มให้เขา เราต่างคนต่างอึ้ง มองหน้ากันไปมา รอให้อีกฝ่ายพูดขึ้นก่อน เมื่อไม่มีใครพูด ผมก็เลยเป็นฝ่ายเริ่ม

“มาเที่ยวหรือครับพี่สมชาย”

เพื่อนบ้านของผมหน้าแดงก่ำ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอาย หรือ ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่เขาดื่มเข้าไปกันแน่ ถ้าเป็นอย่างแรก ผมก็เข้าใจความรู้สึกของเขา เพราะผมเองก็อายเหมือนกัน

การที่เราต้องมาเจอคนรู้จักในสถานที่ซึ่งผู้ชายทั่วไปไม่มาเที่ยวกัน ทำให้เกิดความรู้สึกประดักประเดิดบอกไม่ถูก ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะเข้าใจผิดว่าเราเป็นพวกเดียวกับคนที่มาเที่ยว ผมน่ะแน่ใจตัวเองว่าไม่ใช่แน่ แต่ก็ยังแอบสงสัยอยู่ว่า พี่สมชายจะเป็นแบบเดียวกับผม หรือ เป็นคนละพวกกับผม

“เอ้อ พอดี วันนี้ มากับเพื่อนน่ะ เขาอยากให้เปิดหูเปิดตา รับรู้ความเป็นไปของโลกบ้าง ว่ามีอะไรเกิดขึ้น นี่ก็กำลังจะกลับล่ะ เป็นห่วงบ้านอ่ะ แฟนอยู่คนเดียว”

พี่สมชายตอบเร็วปรื๋อ แต่ให้ตายสิ ฟังดูน้ำเสียงก็รู้ว่าเขากำลังแก้ตัวอยู่ คงกลัวว่าผมจะเข้าใจว่าเขาเป็นเกย์กระมัง แต่ช่างเถอะ ถึงจะสงสัย มันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของผม ปัญหาของตัวเองก็มีมากพออยู่แล้ว ไม่อยากรับรู้เรื่องของใครให้ปวดหัว

“อื้อ หรือครับ นี่ผมก็กำลังจะเข้าไปหาเพื่อนพอดี เจ้าสันต์นะครับ พี่สมชายคงเคยเห็นมั๊ง เขาชอบมาเที่ยวที่นี่”

ผมเองก็โกหกเหมือนกัน รู้สึกรับไม่ได้ ถ้าคนอื่นจะมารู้วัตถุประสงค์ที่แท้จริงในการเข้าไปในบาร์ที่มีแต่เกย์พรึ่บพรั่บไปหมด เราต่างยิ้มให้กันแบบคนที่เข้าใจกันดี ไม่ต้องพูดอะไร ก็รับรู้ได้ถึงสิ่งเราสองคนซ่อนเร้นไม่ให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้
พี่สมชายผงกศีรษะให้ผม จากนั้นก็ขอตัวเพื่อจะกลับบ้าน จากนั้นเขาก็เดินจากไปในขณะที่ผมยืนมองเขาตรงปากซอยสอง จนกระทั่งเห็นเขาเดินลับตาไปแล้ว ผมจึงเดินเข้าไปข้างในบ้าง

โสภิตนภา และ สมฤทัย ไม่อยู่ตรงด้านหน้าบาร์อย่างที่เขาบอก ผมเดินเข้าไปข้างใน ด้อมๆมองๆหาสองคนนั่น มีคนเดินผ่านไปผ่านมามากมาย บางคนก็จ้องผม บ้างก็เดินเฉียดกรายมาใกล้ ส่งยิ้มเชิญชวน

ผู้ชายบางคนก็จงใจเดินมากระแซะผม แต่ผมก็เดินหลบ พยายามที่จะไม่มองพวกเขาเหล่านั้น ไม่ใช่ว่าหยิ่ง แต่ผมไม่ได้มีจุดประสงค์ในการมาหาแฟนที่นี่ ผมมาตามหาคนที่น่าจะรู้เบาะแสของเดียร์เท่านั้น
ผู้คนทยอยออกมาจากบาร์เรื่อยๆ เพราะบาร์ปิดแล้ว ผมยืนหลบมุมอยู่ในเงามืด คอยสังเกตคนที่เดินออกมา แต่ถึงแม้จะพยายามชะเง้อชะแง้อย่างไร ผมก็ไม่เห็นเงาของสองคนนั้น

ยืนรออยู่ประมาณเกือบชั่วโมง จนกระทั่งคนเริ่มบางตา โสภิตนภา และ สมฤทัยก็ไม่โผล่ออกมาให้เห็น จนผมเริ่มท้อใจ คิดว่าวันนี้ ผมคงไม่ได้เจอสองคนนั่นแล้ว โง่จริงที่รีบผลุนผลันออกมา โดยลืมไปว่า

ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสองคนนั่นเลย ทำงานที่บาร์ไหน เข้างานกี่โมง วันนี้เป็นวันหยุดของเขาหรือเปล่า ผมก็ไม่ได้เช็คให้ละเอียด อารามรีบร้อนเพราะ อยากรู้เรื่องของเดียร์ทำให้ผมรีบออกจากบ้าน
ในขณะที่ผมเดินคอตกกลับออกมา ผมก็ต้องพบกับความแปลกใจซ้ำสอง เมื่อในกลุ่มคนที่ยืนออกันอยู่ตรงหน้าซอยมีคนที่ผมรู้จักยืนอยู่ด้วย
แคทลียา สาวสวยหลานประธานบริษัท กำลังถูกหิ้วปีกโดยผู้ชายสองคน คนหนึ่งร่างเตี้ย อีกคนร่างสูงใหญ่ หน้าตาโหดเหี้ยม ผมปราดเข้าไปหาทันที

โสภิตนภา และสมฤทัยพากันถอยกรูดเมื่อเห็นผมเดินทำหน้าเคร่งเครียดเข้าไปหา แต่ผมเดินไปขวางทางพวกนั้นแล้วดึงแคทลียาที่มีทีท่ามึนเมาเข้ามาหาตัว แต่ชายร่างใหญ่รั้งเอาไว้ เราจึงยืนยื้อกันอยุ่อย่างนั้น ผมถามเขาด้วยเสียงห้วนๆ รู้สึกไม่ไว้ใจพวกเขาสักเท่าไหร่

“จะพาผู้หญิงคนนี้ไปไหน”

“จะพาเธอไปเรียกแท็กซี่ แต่เธอเมามากไปไม่ไหว พูดอะไร ถามอะไรก็ไม่รู้เรื่อง เลยจะพาไปนั่งในร้านกาแฟนะครับ เผื่อว่าเธอจะหายเมา ”

ชายร่างใหญ่ ประคองคุณแคทลียาไว้ในวงแขน แล้วพาออกเดิน ความห่วงใยในตัวของเพื่อนร่วมงานสาว ทำให้ผมทนนิ่งเฉยให้เธอไปกับสองคนนี้ตามลำพังไม่ได้ ต้องยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

“เธอมาคนเดียวเหรอ หรือมากับเพื่อน”

“เห็นมากับผู้ชายคนหนึ่ง ท่าทางเป็นคู่รักกัน ตอนแรกเธอก็ไม่ได้เมามากขนาดนี้หรอกครับ แต่ก่อน สงสัยจะทะเลาะกัน ฝ่ายผู้ชายเลยผลุนผลันออกไป คุณคนนี้ ก็เลยดื่มเสียหนักเลย

ร้านเลิก เรากำลังจะกลับ เห็นเธอฟุบอยู่ แต่ไม่มีใครสนใจ เพราะนี่มันบาร์เกย์ หนุ่มๆทั้งหลายเขาพากันควงคู่ออกไปต่อกันที่อื่น หรือไม่ก็กลับบ้านกัน ไม่มีใครสนชะนีที่ถึงแม้จะสวยและเซ็กซี่ขนาดนี้หรอกครับ

พวกเราเห็นเธอถูกทอดทิ้งอยู่คนเดียว ก็เลยเข้าไปถามไถ่ แต่ก็อย่างที่เห็นเธอเมามายไม่ได้สติ ไม่รู้นึกไง มาเมาเหล้าอยู่ในบาร์เกย์แบบนี้ ถามอะไรก็ไม่รู้เรื่อง แฟนเธอก็ไม่รู้อยุ่ไหน เลยจะพาขึ้นแท็กซี่กลับบ้านกันนะครับ”

“อ้าว เป็นแฟนกันแล้วทำไมมาทิ้งกันแบบนี้ล่ะ ใช้ได้ที่ไหนกัน ....เอ้อ ....ไม่เป็นไร ส่งตัวมาให้ผมเถอะ ผมรู้จักผู้หญิงคนนี้ ผมจะพาไปส่งเอง”

บอกไปงั้นเอง ไม่รู้หรอกว่าบ้านเธออยู่ที่ไหน แต่ที่รับอาสาพาเธอกลับบ้าน ดีกว่าปล่อยให้เธอมาหมดสติในสถานที่แบบนี้
นึกหาเหตุผลว่า ทำไมคนที่เป็นแฟนกันจึงปล่อยคนรักของตัวไว้เพียงลำพัง แล้วให้คนแปลกหน้าพาไปส่งถึงรถแท็กซี่ สองคนนี้ถึงจะเป็นเกย์ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ทำอะไรกับผู้หญิงนี่

โดยเฉพาะในขณะที่เธอกำลังเมามายไม่ได้สติ แค่ยืนก็จะไม่ไหวอยู่แล้ว หรือถ้าเขาสองคนเป็นคนดี แต่แท็กซี่ล่ะ จะไว้ใจได้ไง
ผมเคยเห็นเธอขับรถมาเที่ยวแถวนี้ครั้งหนึ่ง แต่ในสภาพที่เมาแประแบบนี้ คงขับรถไม่ได้ ผมอาจจะพาเธอไปที่บ้านผมก่อน รอจนกว่าจะฟื้นแล้วค่อยส่งเธอกลับบ้าน รถคงทิ้งไว้แถวนี้ก่อน เพราะผมคงไม่มีปัญญามาเดินตามหารถของเธอ โดยทิ้งเธอไว้ในรถผมหรอก มันอันตรายเกินไป

“เหรอครับ งั้นก็ดีสิ พวกผมสองคนจะได้กลับบ้านกันเสียที ฝากด้วยนะครับ”

สมฤทัยชายหน้าเหี้ยมส่งตัวคุณแคทลียาซึ่งยังคงไม่ได้สติมาให้ผม แล้วทำท่าจะเดินจากไปทว่าต้องหยุดชะงัก เมื่อผมเรียกเขาด้วยเสียงอันดัง

“เดี๋ยวสิ เดินไปด้วยกันที่รถผมหน่อยได้ไหม ผมมีบางอย่างจะถามพวกคุณ”

“มีอะไรเหรอ.....”
โสภิตนภาถามผมด้วยความสงสัย ผมยังไม่ตอบ แต่ประคองคุณแคทลียาเดินออกไปจากตรงนั้น สมฤทัยเห็นท่าทางเก้ๆกังๆของผม ก็เลยอาสาแบกสาวสวยขึ้นหลัง และเดินตามผมไปยังที่จอดรถ

ระหว่างทางผมถามพวกเขาว่า เดียร์ได้ติดต่อมาบ้างไหม สองคนนั่นมองหน้ากัน และสั่นหน้าปฏิเสธ ทำให้ผมผิดหวังมาก ไม่รู้ว่าอากัปกริยาแบบนั้นของพวกเขามันแปลว่า พวกเขาไม่ได้รับการติดต่อจากเดียร์ หรือ ไม่อยากพูดคุยกับผมด้วยเรื่องของเดียร์กันแน่

พอผมถามเขาสองคนเกี่ยวกับเรื่องอุบัติเหตุของเดียร์ว่าพวกเขาทราบกันไหม พวกนั้นกลับทำหน้าตกใจได้อย่างแนบเนียนมาก

พวกเขาทำเหมือนไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน จนผมเองก็ไม่แน่ใจว่า คนพวกนี้ กำลังเล่นมุขอะไรกับผมอยู่ พวกเขาไม่รู้เรื่องของเดียร์จริงๆ หรือว่าแกล้งทำเป็นไม่รู้กันนะ โกรธที่ผมต่อว่าพวกเขาเมื่อคราวก่อนหรือเปล่า

ผมซักไซ้อีกสองสามคำถาม ก็รู้แน่แล้วว่า สองคนนี้ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอุบัติเหตุของเดียร์เลย เดียร์ไม่ได้ติดต่อกับพวกเขา แล้วก็ไม่มีใครสามารถติดต่อได้ ผมถามถึงน้อย เพราะน้อยเป็นคนโทรมาหาผม

พวกเขาก็บอกว่า เมื่อสองสามวันก่อน เห็นโทรมาหาพวกเขาถามไถ่เกี่ยวกับเรื่องเดียร์ว่ามีอะไรที่ทำให้ไม่สบายใจหรือเปล่า เพราะเดียร์โทรไปหาน้อย ท่าทางมีเรื่องกลัดกลุ้ม แต่ไม่ยอมบอกน้อยว่าเรื่องอะไร

น้อยคิดว่า สมฤทัยกับโสภิตนภาน่าจะรู้ดีว่า อะไรคือสิ่งที่เดียร์กังวล เพราะสองคนนี้ เช่าบ้านอยุ่ร่วมกันกับเดียร์น่าจะรู้อะไรดีๆ แต่ทั้งสองปฏิเสธ บอกว่า ตั้งแต่เดียร์ออกไปทัวร์คอนเสิร์ตกับนักร้องสาวชื่อดัง ก็แทบจะไม่ได้เจอกันเลย นั่นคือครั้งสุดท้ายที่ได้คุยกับน้อย

จากหน้าตา และคำพูดซื่อๆ ของพวกเขา ทำให้ผมรู้ว่า เขาไม่ได้โกหกผม เดียร์กับน้อยคงไม่ได้บอกเรื่องการเกิดอุบัติเหตุให้สองคนนี่รับรู้ หรือไม่อีกทีอุบัติเหตุก็ไม่ได้เกิดขึ้นตั้งแต่แรก น้อยกับเดียร์แค่สมคบคิดกันเพื่อหลอกลวงผมเท่านั้น

แม้จะลังเลไม่แน่ใจ ผมก็เชื่อไว้ก่อนว่าเกิดเหตุขึ้นจริง คงไม่มีใครกล้าแช่งตัวเองโดยการกุเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อให้คนสงสาร เพราะนอกจากมันจะไม่ได้ผล ผมยังจะเกลียดเขาไปจนวันตาย เดียร์น่าจะรู้ข้อมูลนี้ดี เขาคงไม่ทำแบบนี้กับผมหรอก

ฟังคำตอบที่ทำให้ผมรู้สึกว่าไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันไปแล้วก็ให้รู้สึกเซ็งขึ้นมา นี่ผมอุตส่าห์ออกจากบ้าน มาที่บาร์เกย์ตามลำพัง เสี่ยงต่อการถูกแทะโลมลวนลามทั้งคำพูดและสายตา

รีบร้อนจนกระทั่งไม่ได้ระวังว่าจะเจอคนรู้จัก สิ่งเหล่านี้กลับไม่มีประโยชน์อะไรทั้งสิ้น โสภิตนภา และสมฤทัย ไม่รู้อะไรเลยแม้แต่น้อย

ผมขอเบอร์โทรศัพท์ของน้อยจากคนเหล่านั้น เขาก็ดันจำไม่ได้ เลยตัดสินใจให้เบอร์ผมกับพวกเขาแล้วบอกว่าหากมีข่าวเกี่ยวกับตัวเดียร์ให้โทรแจ้งผมด้วย
หลังจากที่พยายามปลุกคุณแคทลียาหลายครั้ง เธอก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมา ผมเลยตัดสินใจพาเธอกลับมาที่บ้าน เพราะไม่รู้ว่าจะพาเธอไปส่งที่ไหนดี

จะโทรไปที่บ้านของนายทรงพล เพื่อถามทางไปบ้านของคุณแคทลียา ก็กลัวว่าจะเป็นที่เอิกเกริก เดี๋ยวคุณแคทลียาจะเสียหาย แล้วไม่รู้ว่าเธอแอบออกมาเที่ยวโดยไม่บอกกล่าวหรือเปล่า

แต่โตเป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้ จะทำอะไรก็คงไม่มีใครว่ากระมัง ยิ่งเคยร่ำเรียนเมืองนอกเมืองนามาก่อน แถมเป็นลูกครึ่งฝรั่ง อาจจะเคยชินกับธรรมเนียมปฏิบัติสมัยอยุ่เมืองนอกก็ได้

หลังจากคิดไปคิดมาหลายตลบ ผมก็เลยคิดว่า บ้านของผมน่าจะเหมาะสำหรับให้เธอได้พัก ก่อนจะฟื้นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น สภาพอย่างนี้ ไม่รู้ไปทำงานได้หรือเปล่า แต่คงไม่เป็นไร เพราะผมก็เหมือนเป็นหัวหน้าของเธอกลายๆ

ตำแหน่งเราต่างกันเพียงแค่ระดับเดียว แล้วเราก็ทำงานร่วมกันเหมือนเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง มากกว่าเจ้านายกับลูกน้อง ในเมื่อผมเห็นเธอเป็นอย่างนี้ ผมจะบังคับเธอให้ไปทำงานทั้งๆที่ไม่พร้อมได้ยังไง

ผมประคองร่างโงนเงนไม่ได้สติของเธอไปนอนในห้องนอนของตัวเองเนื่องจากห้องพักรับรองแขกของผมกลายเป็นห้องเก็บของไปแล้ว จากนั้นหอบหมอนกับผ้าห่มที่เคยให้เดียร์ใช้ ลงไปนอนที่โซฟาข้างล่างแทน รู้สึกเหนื่อยอ่อนกับเรื่องต่างๆที่ได้เผชิญมาในวันนี้
ปรารถนาที่จะหลับเพื่อที่จะได้ไม่ต้องคิดถึงสิ่งที่ทำให้เป็นกังวล แต่ผมก็สลัดเรื่องของเดียร์ออกไปจากใจได้ไม่หมด เมื่อล้มตัวลงนอนบนโซฟา นอนบนหมอนที่เคยให้เดียร์หนุน และผ้าห่มที่เด็กนั่นใช้คลุมกายกันหนาว

อุปาทานหรือเปล่าไม่รู้ ผมคิดว่า ผมได้กลิ่นกายของเดียร์แทรกอยู่ในทุกอณูของเส้นใยเนื้อผ้า เป็นกลิ่นหนุ่มที่เร้ารึงใจจนเผลอที่จะสูดเข้าปอดไม่ได้

คืนนั้นผมสามารถหลับได้จริงๆ แต่หลับไปโดยที่มีเดียร์ติดตามผมไปในความฝันด้วย ผมฝันว่าเดียร์เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง เลือดท่วมตัว และกำลังยืนหน้าเศร้ามองผมซึ่งกำลังตกตะลึงกับภาพตรงหน้า

ในฝัน ผมวิ่งไล่ตามเดียร์ แต่เขาก็หนีห่างผมไปเรื่อยๆ ผมตะโกนก้องแทบขาดใจ เพื่ออ้อนวอนขอให้เดียร์อยู่กับผม อย่าไปไหน แต่เดียร์กลับหายไปต่อหน้าต่อตา ในฝัน ผมเห็นตัวเองหลั่งน้ำตาด้วยความเสียใจ แต่ไม่ว่าจะร้องจนน้ำตาเป็นสายเลือดแค่ไหน เดียร์ก็ไม่กลับมาหาผมอีกแล้ว

เช้าวันรุ่งขึ้น ผมตื่นนอนขึ้นมา พร้อมกับอาการปวดหัวตุ๊บๆ ไม่รู้ว่าเกิดจากการนอนไม่พอ หรือ เพราะปัญหาที่ทำให้ผมต้องคิดหนัก
ผมไม่อาจจะทนนอนต่อไปได้อีก จึงเก็บผ้าห่มและหมอน เดินขึ้นไปบนห้อง เคาะประตูเสียงดัง เพื่อเป็นการเตือนคนข้างในให้รู้ตัว ว่าผมกำลังจะเข้าไป ถึงแม้จะเป็นห้องนอนของตนเอง แต่ตอนนี้ มีคนอื่นมาใช้อยู่ เป็นผู้หญิงเสียด้วย ผมจึงไม่อยากละลาบละล้วง ตอนนี้ เธออาจจะอยู่ในสภาพไม่พร้อมที่จะให้ใครเห็นก็ได้

มีเสียงตอบรับจากข้างใน แสดงว่าคุณแคทลียาตื่นแล้ว ผมเปิดประตูเข้าไป ก็เห็นเพื่อนร่วมงานของผม ในชุดเสื้อผ้าชุดเดิม ยืนอยู่ตรงริมหน้าต่าง ตามองออกไปข้างนอก ตรงทิศทางที่เป็นบ้านตรงข้าม หน้าของเธอซีดเผือด แม้เนื้อตัวจะสะอาดสะอ้าน ผมเผ้าการแต่งเนื้อแต่งตัวเรียบร้อย แต่ท่าทางของเธอยังดูอิดโรย คล้ายสติยังไม่ฟื้นคืนจากการเมาเหล้าเมื่อวาน

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่16 18/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: b_hihi ที่ 18-01-2009 20:20:01
รีบมาต่อเลยห้ามค้าง
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่16 18/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 18-01-2009 20:34:35
ขอบคุณค่ะ ยาวได้ใจมาก  :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่16 18/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: โน๊อา ที่ 19-01-2009 12:10:43
มา กระดี๊ กระด๊า อ่ะ   :o8:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่16 18/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: fayossy ที่ 19-01-2009 17:07:46
ตกลงเดียร์เป็นไรป่าวเนี่ย
โอ๊ย!!!! ลุ้นๆ

รอตอนต่อไปอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่17 19/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 19-01-2009 21:26:13
บทที่ 17


เธอถามผมโดยไม่หันมามองหน้าว่า ผมเป็นคนพาเธอมาที่นี่เหรอ พอผมบอกว่าใช่ เธอก็หมุนตัวกลับมา นัยน์ตาแดงก่ำเหมือนคนที่ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก

ผมงุนงงกับภาพที่ได้เห็น ไม่เข้าใจว่าทำไมคุณแคทลียาจึงต้องร้องไห้ด้วย หรือว่าเธอยังคงเศร้าอยู่กับเรื่องเมื่อคืน จริงสินะ เห็นสองคนนั่นบอกว่าเธอทะเลาะกันแฟน แต่นั่นมันเป็นเรื่องของเธอไม่ใช่เรื่องผม หากเธอไม่อยากเล่า ผมจะไปถามเธอทำไม
คุณแคทลียากล่าวขอบคุณผมเสียงเบาที่ผมเป็นธุระพาเธอมา เมื่อคืนนี้เธอเมามากไปหน่อย มีปัญหาบางอย่างที่ทำให้เครียดหนัก ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วอนุญาตให้เธอลาพักได้ 1 วัน

เธอกล่าวขอบคุณผมอีกครั้ง แต่เธอยืนยันกับผมว่า เธอสามารถไปทำงานได้ เพียงแต่ขอเข้าสายหน่อย เพราะต้องกลับบ้าน เธอไม่อยากให้เรื่องส่วนตัวมาทำให้งานเสีย

เห็นเธอพูดแข็งขันแบบนั้นว่าตัวเองไม่เป็นไร ผมเลยไม่ขัด ได้แต่บอกกับเธอไปว่า ผมจะไปส่งเธอที่บ้าน ก่อนไปทำงาน แล้วก็ขอใช้ห้องเพื่ออาบน้ำแต่งตัว

สาวสวยหลานประธานบริษัท ทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ ขอโทษ ขอโพยผมที่มายึดห้อง จากนั้นเธอก็ลงไปรอข้างล่าง
เสร็จธุระจากการส่งคุณแคทลียาที่บ้านพักแล้ว ผมก็ขับรถมาทำงาน ช่วงเวลาเช้าของผมผ่านไปอย่างวุ่นวายพอควร เพราะมีงานเข้ามาให้ต้องพิจารณาเป็นระยะ กว่าจะได้โงหัวขึ้นจากโต๊ะก็เกือบเที่ยง

วันนี้ ผมแว่บไปทานข้าวที่ร้านป้าเพียงลำพัง โดยไม่ได้ชวนเจ้าสันต์ เพราะเจตนาจะสอบถามคนในร้านเกี่ยวกับเรื่องของเดียร์ เผื่อว่า จะมีคนทราบบ้าง แต่ผมก็ต้องพบกับความผิดหวัง เพราะไม่มีใครรู้เลย

เด็กเสิร์ฟซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานของเดียร์รับรู้เพียงแค่ ผู้ช่วยพ่อครัวของร้าน ลางานไปทำธุระสามอาทิตย์ ไม่มีใครได้รับการติดต่อใดๆจากเขา แม้กระทั่งคุณป้าเจ้าของร้าน ซึ่งวันนี้ ลงมาทำอาหารด้วยตนเอง เพราะเดียร์ไม่อยู่ ทำให้คนทำครัวไม่พอ
อาหารมื้อนั้น ผมกินแทบไม่ลง เนื่องจากฝีมือคนปรุงที่ต่างออกไป ไม่คุ้นลิ้น จริงอยู่ ผมทานอาหารโดยฝีมือใครทำก็ได้ เพราะถึงไม่มาร้านนี้ ผมก็ไปร้านอื่น แต่เมื่อมาที่นี่ทีไร คนที่ลงมือทำอาหารให้ผมทุกครั้ง ก็คือ เด็กที่หายไปโดยไม่ทราบข่าวคราวคนนั้น

เขาจะแถมอาหารจานพิเศษมาให้ผม แถมซ้ำกับข้าวก็ให้มากกว่าใครๆ รสชาติก็แสนอร่อย จากที่ไม่ชอบ ผมก็เริ่มเคยตัวแล้วกับการเอาอกเอาใจจากเขา พอมันกลับคืนสู่สภาพเดิม ผมก็เลยรู้สึกแปลกทั้งที่ไม่ควรจะรู้สึกอย่างนั้นเลยแม้แต่น้อย
คุณแคทลียามาเข้างานตอนบ่าย เธอแต่งตัวเรียบร้อยสวยงามเหมือนเดิม ไม่มีคราบเมรีขี้เมาให้เห็น มาถึงก็ก้มหน้าก้มตาทำงาน ไม่พูดไม่จากับใคร

จนกระทั่งตกเย็น ทุกคนกลับบ้านไปหมดแล้ว เหลือแค่เธอกับผมสองคนที่ยังนั่งทำงาน อยู่ๆคุณแคทลียาก็เดินเข้ามาในห้องของผม บอกมีบางอย่างที่จะขอพูดคุย พอผมอนุญาต เธอก็เปิดฉากเจรจา เล่นเอาผมอ้าปากค้างเพราะคาดไม่ถึง
เธอขอให้ผมเป็นแฟนกับเธอ ท่าทางเอาจริงเอาจังมาก ผมหงายหน้าหัวเราะ คิดว่าเธอเล่นตลกยามเย็น แต่สีหน้าและแววตาที่เธอแสดงออก มันบอกให้รู้ว่าเธอไม่ได้กำลังมาอำผม เธออยากให้เป็นเช่นที่พูดจริงๆ ผมหยุดหัวเราะ แล้วถามถึงเหตุผลว่าทำไมเธอจึงมาขอผมแบบนี้
คุณแคทลียา ยิ้มเครียดๆแล้วบอกว่า เธอมีเหตุผลบางอย่างที่พูดให้ผมฟังไม่ได้ แต่นี่เป็นการขอร้องของเธอ เธออยากให้ผมแสดงตัวเป็นแฟนกับเธอ คิดเสียว่าเป็นการช่วยเหลือกัน

แล้วอีกอย่าง เธอก็รับรู้มาว่า ผม สันต์ และศักดิ์ชาย ก็เที่ยวเอาไปโพนทะนาว่าเธอกับผมเป็นแฟนกัน อย่างน้อยเมื่อเรื่องนี้มันออกไป เธอก็ได้รับความเสียหาย เพราะคนส่วนใหญ่ก็เชื่อตามนั้น

ผมรู้สึกตกใจที่ได้ยินคำพูดนั้นจากปากเธอ ถามว่าเธอรู้มาได้ไง เธอก็บอกว่า นายทรงพลไปเล่าให้พ่อแม่ของเธอฟังว่าเธอมีแฟนอยู่แล้วในที่ทำงาน

ไม่ใช่แค่พ่อแม่เท่านั้น แต่รวมถึงลุงของเธอที่ประธานบริษัทด้วย แล้วทั้งหมดก็มาคะยั้นคะยอ ถามว่าจริงหรือไม่ ซึ่งเธอก็ได้บ่ายเบี่ยงไป แล้วคิดจะมาถามผมให้รู้เรื่อง แต่ตอนนี้ เธอเปลี่ยนใจที่จะไม่ถาม และไม่ปฏิเสธเรื่องเหล่านั้น เธออยากให้ผมแสดงตัวเป็นแฟนกับเธอจริงๆ
เรื่องที่เธอเล่า ทำให้ผมรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง นายทรงพล นำเรื่องที่เราโกหกกันในวันนั้น ไปขยายจนเป็นเรื่องใหญ่จนได้ แล้วผมจะทำอย่างไรดี

อันที่จริง ผมไม่ได้เป็นคนพูดเสียด้วยซ้ำ ไอ้เพื่อนตัวดีมันกุขึ้นมา นึกโกรธมันนักที่ทำให้ผมประสบความยุ่งยากซ้ำสองอีกแล้ว ครั้นจะกล่าวโทษมันทั้งหมด แล้วลากตัวมันให้มารับผิดชอบคำพูดพล่อยๆของมัน ผมก็ทำได้ไม่ถนัด เพราะวันนั้น เจ้าสันต์มันก็ทำเพื่อช่วยผมให้รอดพ้นจากการถูกแทะโลมของตาเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่น

ใครเลยจะรู้ว่านายทรงพลรู้จักกับครอบครัวของคุณแคทลียาเป็นอย่างดี จะพูดความจริงไปก็ไม่ได้ เพราะมีผลต่อหน้าที่การงานอย่างแน่นอน แต่จะรับปากเลยก็ใช่ที เพราะผมไม่ได้มีจิตพิศวาสในตัวของคุณแคทลียาแม้แต่น้อย
เห็นเธอเป็นแค่เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเท่านั้น เรื่องวุ่นๆของตัวเองก็ยังไม่จบ สัญญาเป็นแฟนกับเดียร์ก็ยังคาราคาซัง เหลืออีกตั้งหลายเดือนกว่าที่จะเลิกร้างกันไป

ตอนนี้เด็กนั่นเป็นตายร้ายดียังไง ผมก็ไม่อาจจะรู้ได้ นี่ยังต้องมาแก้ปัญหาเรื่องการโกหกของผมและเพื่อนอีก ไม่ได้พูด ก็เหมือนว่าพูด เพราะผมนิ่งเฉย จนทำให้นายทรงพลเข้าใจไปแบบนั้น แล้วเอาไปขยายจนคุณแคทลียา และครอบครัวของเธอรู้อีกด้วย แถมซ้ำนายใหญ่ประธานบริษัท ก็ดันรู้เรื่องไปด้วย หากผมไม่คิดหาหนทางจัดการให้รอบคอบ มีหวังถูกเด้งออกจากงานกันเป็นแถว

หลังจากขอร้องแกมบังคับผมให้รับปากเป็นแฟนกับเธอ โดยไม่บอกเหตุผลให้แน่ชัด เธอก็ขอตัวกลับ โดยบอกว่าให้ผมไปคิดก่อนก็ได้
เธอไม่เร่งรัดเอาคำตอบตอนนี้ แต่ถึงอย่างไร ผมก็ควรจะให้คำตอบกับเธอภายในอาทิตย์นี้ ก่อนที่เรื่องราวมันจะเข้าหูคนไปกันใหญ่ ผมพยักหน้าให้กับคุณแคทลียา แล้วก็นั่งทำหน้าเซ็งๆอยู่ที่โต๊ะ รู้สึกเหมือนถูกแบล็คเมล์อีกครั้ง

ไอ้ตัวการต้องรับผิดชอบ ผมนึกถึงเจ้าสันต์ขึ้นมาทันที มันเป็นคนก่อเรื่อง ดังนั้นมันต้องมาแก้ ผมรีบหมุนโทรศัพท์หามันทันที โชคดีที่มันยังไม่กลับบ้าน ผมเลยเชิญให้ไอ้คนเจ้าคิดย้ายก้นมาหาผมที่ห้องทันทีทันใด
ไม่ถึง 10 นาที เจ้าสันต์ก็ทำหน้ายุ่งๆเดินเข้าห้องผมมา มันอ้าปากจะด่าผมตามสไตล์แต่ผมไวกว่า ผมต่อว่ามันที่หวังดีจนผมต้องมารับเคราะห์
ตอนแรกมันงงงัน ที่อยู่ๆผมก็เปิดฉากด่ามันก่อน แล้วก็แปรเปลี่ยนเป็นหัวร่องอหาย เมื่อผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้มันฟังจนจบ
ไม่สิ ผมกั๊กเรื่องที่ผมไปเจอคุณแคทลียาแถวบาร์เกย์เอาไว้ ไม่เล่าให้มันฟัง ไอ้นี่มันเป็นมนุษย์เจ้าปัญหา ลองให้มันได้รู้ว่าผมไปเผ่นผ่านแถวบาร์เกย์ ตอนตีหนึ่งตีสอง ไม่ยอมหลับยอมนอน มันต้องซักไซ้ไล่เลียงผมดุจทนายซักจำเลยเป็นแน่

“ดีแล้วไง คุณแคทไม่ดีตรงไหนวะ รูปสวย รวยทรัพย์ สติปัญญาดี เชื่อฉันเถอะ แกชอบเขา แกก็จะสบายไปทั้งชาติ”

ฟังคำพูดของเพื่อนรัก แล้วอยากจะเตะก้นมันสักป๊าบ ไอ้นี่มันคิดว่าผมเป็นคนประเภทไหนกัน ผมไม่ใช่พวกสิ้นคิดรักความสบาย จนขายศักดิ์ศรีของตัวเองอย่างนั้นหรอก

“ไอ้บ้า ฉันไม่ใช่คนที่หวังรวยทางลัดนะโว้ย อีกอย่างฉันไม่ได้ชอบคุณแคทด้วย ฉันรู้ว่าเขาดีเพียบพร้อมทุกอย่าง แต่เราไม่จำเป็นต้องชอบคนดีที่คนที่เข้ามาในชีวิตนี่ สมัยก่อนฉันจำได้ว่า มีผู้หญิงในออฟฟิศเรา ซึ่งทั้งสวย และแสนดี มาชอบแก แต่ทำไมไม่เห็นแกไปชอบเขาเล่า พอตาฉันจะมาบังคับกันได้ไง”

ผมโวยวายใส่มันอย่างนึกฉุน

“โอ๊ย ไอ้บ้านี่ ฉันกับแกมันเหมือนกันที่ไหนวะ ฉันเป็นเกย์ แค่ผู้หญิงเข้าใกล้ ก็ขนลุกตายห่ะ แล้ว แต่แกมันผู้ชาย ชอบผู้หญิงที่สวยแบบนี้ ก็ไม่เห็นจะน่าเสียหายตรงไหน
คนไม่ชอบสิ น่าแปลก บางทีฉันยังแอบสงสัยเลยว่าแกเป็นแบบฉันหรือเปล่าวะ แต่พอเห็นว่าแกยังไม่เลิกรักยัยอรจิรานั่น ฉันก็คิดว่าแกคงไม่ใช่ บางทีแกอาจจะไม่ชอบผู้หญิงดีๆ อาจจะชอบคนที่ร้ายกาจเห็นแก่ตัว อย่างยัยอรนั่นก็ได้”

เจ้าสันต์พูดประชดผมเห็นๆ ไอ้เพื่อนบ้า มันน่าเตะก้นนัก มันก็รู้ว่าผมเลิกคิดถึงอรจิราไปนานแล้ว เพียงแต่เวลาเจอหน้ากันผมไม่รู้จะพูดอะไรกับเธอต่างหาก เพราะอรจิราระวังตัวเหลือเกิน จนแม้กระทั่งคำว่าเพื่อน เธอก็ให้ผมไม่ได้
ผมจึงพยายามหลีกเลี่ยงที่จะเจออรจิราทุกครั้ง เพราะไม่สนิทใจที่จะพูดคุยกับเธออีก แต่คนทำงานอยู่บริษัทเดียวกัน ถึงยังไงก็ต้องเจอวันยังค่ำ เจ้าสันต์รู้ดี แต่มันก็ยังแหย่ผม

ผมไม่โต้ตอบมัน หากแต่บอกเจ้าสันต์ไปว่า ผมจะขอโทษคุณแคทลียา และเล่าเรื่องทุกอย่างให้เธอฟัง บอกว่าเราไม่ได้ตั้งใจที่จะให้มันเกิดเรื่องราวแบบนี้ขึ้น และอาจจะต้องตามแก้ข่าวให้เธอกับคุณทรงพล และท่านประธานด้วยหากเธอต้องการ แต่ผมจะไม่ยอมตกกระไดพลอยโจน ยอมเป็นแฟนของเธอทั้งๆที่ไม่ได้รัก

เจ้าสันต์ด่าผม หาว่าผมจะทำให้ทุกคนเดือดร้อนกันหมด เรื่องแบบนี้มาพูดพล่อยๆในขณะที่พวกเราก็มีหน้าที่การงานใหญ่โตกันได้อย่างไร ประธานบริษัทคงไม่พอใจแน่ เมื่อเรียนผูกแล้วก็ต้องเรียนแก้ โดยผมต้องยอมเป็นแฟนกับคุณแคทลียาไปสักพัก แล้วค่อยหาทางเลิกรากัน
ฟังคำพูดของมันแล้วผมถึงกับอ่อนอกอ่อนใจ นึกอยู่แล้ว ว่ามันต้องไม่เห็นด้วย ที่จะให้ผมสารภาพกับคุณแคทลียา ดูเหมือนมันจะยุยงให้ผมชอบกับเธอด้วยซ้ำ

มันพูดเหมือนกันว่าทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายๆ เพราะไม่ใช่ตัวมันนี่ที่ต้องมารับกรรม แต่กลายเป็นผมซึ่งไม่เต็มใจในเรื่องที่เกิดขึ้น

“นายไม่รู้สึกแปลกอะไรบ้างเลยหรือวะ เรียว ทำไมคนสวยๆอย่างคุณแคทนี่ จึงมาขอร้องให้นายเป็นแฟนกับเขา มันต้องมีอะไรมากกว่าการกลัวเสียชื่อเสียงเป็นแน่ น่าจะลองสืบหาเหตุผลดูนะ บางทีเราอาจจะได้เจอเรื่องตื่นเต้นที่คาดไม่ถึงก็ได้”

เจ้าสันต์ทำท่ากระเหี้ยนกระหือรือ จนผมอยากจะยันโครม หนอยแน่ะ อยากเป็นนักสืบ แล้วให้ผมเป็นตัวล่อให้ความจริงเปิดเผยนี่นะ จะบ้าไปหน่อยแล้วมั๊ง

ผมขยับปากจะด่ามัน แต่เจ้าสันต์ซึ่งสังเกตท่าทีผมอยู่ก่อนแล้วรีบชิงพูดขึ้นมาทันที ราวกับจะรู้ว่าผมจะพูดอะไรต่อ

“ไม่ต้องพูดเลย ไอ้เรียว ห้ามปฏิเสธอะไรนะโว้ย ตอนนี้ ฉันเห็นว่าเราควรทำแบบนี้ไปก่อน เพื่อความสงบสุขของพวกเราทั้งหมด
ฉันรู้ว่าฉันมันปากพล่อยทำให้นายเดือดร้อน แต่ฉันก็คิดอะไรที่ดีนอกเหนือไปจากวิธีการนี้ไม่ได้แล้ว ถึงอย่างไรฉันก็ไม่ปล่อยให้นายฝืนใจทำสิ่งที่ไม่ชอบไปนานๆหรอก ฉันจะพยายามหาทางออกที่ดีให้

ไม่แน่นะ บางทีกว่าที่ฉันจะคิดออก นายอาจจะชอบคุณแคทขึ้นมาจริงๆก็ได้ หากเป็นแบบนี้จริงๆ นายเองก็เท่ากับตกถังข้าวสาร แล้วยายอรจิราหน้าบ้านั่น จะได้รู้สึกเสียดายที่ปล่อยให้นายหลุดมือไป....”

เจ้าสันต์กรอกตาไปมา เหมือนมีบางสิ่งบางอย่างอยู่ในใจ เพื่อนซี้ของผมทำตาโตใส่ ท่าทางเหมือนคนที่บังเอิญไปรู้ความลับอะไรบางอย่าง แล้วต้องการมาขยายให้คนอื่นๆรู้

“นี่...มีอีกอย่างหนึ่งนะ ที่ฉันคิดได้........ฉันว่าเรื่องนี้มันมีกลิ่นแม่งๆนะโว้ย หากนายยอมเออออไปก่อน จนกระทั่งเรารู้ความจริงว่ามันคืออะไร
บางทีสิ่งที่เราได้รู้มันอาจจะทำให้เราสามารถช่วยเหลือคุณแคทคนสวยได้ ทั้งนายและฉันก็อาจจะได้ความดีความชอบไปด้วย ได้ทั้งกุศล ได้ทั้งผลประโยชน์เชียวนะโว้ย”

ไอ้เพื่อนตัวดีพยายามหว่านล้อม เวลาที่มันอยากให้ผมทำอะไร มันจะเรียกแทนชื่อผมว่านาย แต่ถ้ามันอยากจะด่าเมื่อไหร่ มันจะขึ้นว่า “แก”
แต่ก็ยังดีที่มันไม่เคยขึ้น กู ขึ้น มึง กับผมสักครั้ง อาจจะเป็นเพราะเรารู้จักกันในหน้าที่การงาน และพวกเราก็จำเป็นต้องรักษาภาพลักษณ์ เพราะต่างคนต่างมีตำแหน่ง จะมาด่ากันหยาบคายใช้ภาษาพ่อขุนไม่ได้

ผมฟังสิ่งที่มันพูดแล้วรู้สึกทึ่ง แม้ไม่เห็นด้วยที่มันพยายามจะโน้มน้าวให้ผมทำตามที่มันบอก แต่ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าเจ้าสันต์นี่มันช่างจินตนาการเสียจริง

ความที่มันทำงานฝ่ายตรวจสอบมาก่อน ทำให้มันคิดนั่นคิดนี่มากกว่าคนอื่น แม้กระทั่งกรณีของคุณแคทลียาที่อยู่ดีๆมาขอร้องผมให้เป็นแฟนของเขา มันก็ช่างคิดไปได้ไกลว่าอาจจะมีบางสิ่งบางอย่างเคลือบแฝง

ตัวผมเองก็รู้สึกว่ามันแปลกๆเช่นกัน เพียงแต่เพราะผมรู้สึกเห็นใจ และไม่คิดว่าเพื่อนร่วมงานสาวของผมจะใช้ผมเป็นเครื่องมือในการทำอะไรบางอย่าง ผมจึงไม่เคยนึกระแวงสงสัยในตัวเธอ จนกระทั่งมันมาพูดสะกิดใจผมอีกครั้ง ผมเลยอดคิดตามไม่ได้
“แกก็พูดง่ายสิวะ ไอ้สันต์ ไม่ใช่ตัวแกนี่หว่า แล้วทำไมแกไม่อาสาเองล่ะ”

ผมโวยวายใส่มัน ถึงยังไง ก็ยังไม่ยอมรับเป็นแฟนคุณแคทลียาอยู่ดี ผมคิดว่า มันน่าจะมีวิธีอื่นที่ดีกว่านี่น่า

“บ้าหรือไง เขาสนใจนายไม่ใช่ฉัน ช่วยไม่ได้ อยากเกิดมาหน้าตาดีเองทำไม นี่แหละที่เขาเรียกว่าทุกขลาภล่ะ สมน้ำหน้า ใครต่อใครก็มามะรุมมะตุ้ม รุมรักนาย ทั้งผู้หญิงทั้งเกย์

ทีหลังเวลาจะเกิด ก็อธิษฐานให้หน้าตาแบบฉันสิ สบายใจดี ไม่ต้องไปกลุ้มใจว่าใครจะมาชอบ เพราะเป็นฝ่ายไปชอบเขาซะเอง หุหุหุ”

พูดจบมันก็หัวเราะอย่างชอบใจ ผมเลยขี้เกียจคุยกับมัน บอกมันไปแค่ว่า ผมยังไม่ตัดสินใจที่จะเป็นแฟนกับคุณแคทลียา เพราะไม่ใช่เรื่องที่ผมจะต้องไปทำแบบนั้น ผมจะพยายามหาทางออกอย่างอื่น

ถ้าไม่ได้จริงๆ ผมจะสารภาพกับเธอว่าพวกเราทำไปเพราะอะไร หวังว่าเธอคงจะเห็นใจและให้อภัยพวกเราที่ดึงเธอมาเกี่ยวข้อง แต่ผมจะไม่ยอมอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกับที่เดียร์ทำกับผมอีกแล้ว

เจ้าสันต์ทำท่าจะโวยวาย แต่เมื่อเห็นหน้าตาซีเรียสของผม มันก็รู้ว่าผมไม่พอใจจริงๆ คนฉลาดอย่างเจ้าสันต์จึงหุบปากเงียบ ไม่เซ้าซี้ผมต่อ
หลังจากพูดคุยด้วยเรื่องทั่วไปที่ไม่เกี่ยวกับคุณแคทลียาได้สักพัก มันก็ขอตัวกลับก่อน เพราะมีนัดกับหนุ่มหล่อ นายเบนเจ้าเก่า
ผมแซวมันว่าเดี๋ยวนี้หายใจหายคอเป็นเบนแล้วเหรอ แล้วคนรักเก่าเอาไว้ใหน มันก็ยักไหล่แล้วบอกว่า มันยังคงรักน้องแซ่บอยู่ แต่มันคงให้ในสิ่งที่น้องแซ่บต้องการไม่ได้ จึงต้องปล่อยน้องแซ่บไป

หลังจากที่ผมแยกย้ายกับเจ้าสันต์แล้ว ผมไม่ได้กลับบ้านอย่างที่เคยทำประจำ แต่ขับรถไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย ไม่อยากจะกลับบ้าน
เดี๋ยวนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร บ้านที่ผมเคยอยู่เคยนอน มันถึงดูอ้างว้างหงอยเหงาอย่างประหลาด เหมือนว่ากำลังรอคอยใครบางคนมาทำให้บ้านทั้งหลังกลับมามีชีวิตชีวาเหมือนเดิม ไม่ใช่แค่บ้านเท่านั้น มันยังรวมถึงตัวผมเองด้วย

ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุผลใดแน่ชัด ทำให้ผมขับรถเลยจนมาถึงเอกมัย แล้วเลี้ยวรถเข้าไปจอดในร้านบ้านไร่กาแฟ ร้านที่ผมมานั่งกับเดียร์หลังจากที่ถูกจับไป ที่นี่เป็นที่ที่ผมกับเดียร์ได้ทำสัญญาตกลงเป็นแฟนกัน

ผมจอดรถ แล้วเดินขึ้นไปนั่งที่ชั้นสอง ซึ่งแบ่งเป็นลานกว้าง ไม่มีหลังคา มีเพียงโต๊ะให้นั่งสำหรับสั่งกาแฟ เครื่องดื่ม หรืออาหารมารับประทาน และส่วนที่ใช้สำหรับเป็นที่สัมมนาย่อยๆ มีหลังคาคลุมเพียงครึ่ง ผมเลือกเดินเข้าไปนั่งเงียบๆคนเดียวที่ส่วนในสุด
หลังจากสั่งกาแฟ และ อาหารว่างสำหรับทานเล่นแล้ว ผมก็นั่งทอดกายไปตามความยาวของเก้าอี้ สายตามองเหม่อออกไป ใจครุ่นคิดถึงเรื่องต่างๆไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งไปหยุดลงที่เรื่องของเด็กหนุ่มคนที่ผมไม่เห็นหน้าเขามาหลายวันแล้ว

เดียร์เป็นอะไรมากหรือเปล่านะ ไม่น่าไปพูดพล่อยๆแบบนั้นเลย ที่เดียร์เอารูปภาพขาวดำมาแปะเต็มบ้านแล้วผมว่าเหมือนงานศพ มันจะกลายเป็นลางอะไรหรือเปล่านะ
ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองนั่งเหม่ออยู่นานเท่าไหร่ จนกระทั่งได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผมรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เห็นเป็นเบอร์แปลกๆ ภาวนาขอให้เป็นโสภิตนภา หรือ สมฤทัยโทรมาทีเถอะ

แต่แล้วผมก็ต้องผิดหวัง เพราะคนที่โทรมาคือตัวแทนที่ถามปัญหาเกี่ยวกับเคสที่เขาส่งมาว่าผ่านหรือไม่ ติดขัดอะไรตรงไหน ถึงผมจะหัวเสียที่ไม่ใช่คนที่ต้องการให้โทรมา แต่ผมก็ต้องเก็บอารมณ์ แล้วตอบคำถามไปอย่างสุภาพ

ผมเหมือนกับคนบ้าที่ไม่สามารถบังคับจิตใจให้สงบลงได้ ยิ่งเด็กหนุ่มหายไปหลายวันแบบนี้ ทิ้งปริศนาค้างคาให้ผมต้องครุ่นคิดถึงการเกิดอุบัติเหตุของเขา มันยิ่งทำให้ผมเริ่มกังวลใจมากขึ้นเรื่อยๆ ติดต่อใครก็ไม่ได้ จะไปตามก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน เพราะเดียร์เดินสายไปทั่วประเทศ ตอนนี้อาจจะอยู่ที่จังหวัดไหนสักแห่ง

จริงสิ น้อยเป็นคนโทรมาหาผม เป็นไปได้ไหมว่า น้อยไปเจอกับเดียร์ที่คอนเสิร์ตทางภาคตะวันออก อาจจะอยู่บริเวณพัทยา ชลบุรี หรือไม่ก็สัตหีบ

หากไกลกว่านั้น น้อยคงไม่สามารถตามไปดูเพื่อนของตัวเองได้ เนื่องจากต้องคุมร้านอาหาร ถ้าการสันนิษฐานของผมเป็นจริง เดียร์อาจจะประสบอุบัติเหตุและนอนอยู่ที่โรงพยาบาลแถวพัทยาอยู่ก็ได้

ทำยังไง ผมถึงจะรู้ได้นะ ว่าเด็กนั่นอยู่ที่พัทยาตามที่ผมคิดหรือเปล่า นับตั้งแต่วันที่ได้ทราบข่าวอุบัติเหตุของเดียร์ ผมก็พยายามตามข่าวสารทั้งในหน้าหนังสือพิมพ์และอินเตอร์เนต ดูว่ามีข่าวคราวเกี่ยวกับอุบัติเหตุหรือไม่

เพราะนักร้องดังขนาดนั้น หากมีการเกิดอุบัติเหตุขึ้น กับ คาราวานที่ขนนักร้องนักแสดงไป ก็น่าจะมีข่าวบ้างสิ แต่นี่ไม่มี ผมก็เลยไม่แน่ใจว่าการเกิดเหตุนั้นเกิดขึ้นกับเจ้าเด็กนั่นเพียงคนเดียวหรือเปล่า การไม่รู้อะไรสักอย่างเลยนี่มันสร้างความหงุดหงิดให้ผมเสียจริงๆ


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่17 19/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 19-01-2009 21:26:54
ขณะที่ผมกำลังจะก้าวออกจากร้านเพื่อกลับบ้านไปนอน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก เป็นเบอร์ที่ไม่คุ้นตาอีกเช่นเคย แต่คราวนี้แปลกแฮะ เป็นโทรศัพท์ที่เป็นหมายเลขจากต่างจังหวัด ขึ้นต้นด้วย 043 น่าจะเป็นทางภาคอีสาน

ตัวแทนแถบนั้นไม่ค่อยจะได้โทรมาหาผมสักเท่าไหร่ เพราะผมมีลูกน้องที่ดูแลพื้นที่แทนผม แต่หากเมื่อใดก็ตามที่เรื่องมาถึงผม มันมักจะเป็นเคสใหญ่ที่มีปัญหาเกือบทั้งสิ้น

ผมกดโทรศัพท์ แล้วกรอกเสียงสุภาพลงไป เสียงทางปลายสายฟังดูไม่ค่อยชัดเจนนัก เหมือนโทรอยู่ข้างถนน ได้ยินเสียงรถราและเสียงพูดคุยของผู้คนดังแทรกเข้ามาเป็นระยะ ผมพยายามเงี่ยหูฟังอยู่ตั้งนาน ว่าคนปลายสายต้องการอะไร แต่แล้วเสียงที่ได้ยิน กลับทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก

“คุณเรียวหรือเปล่าคะ ...นี่น้อยเอง น้อยโทรไปหาพี่สมฤทัย แล้วเขาบอกว่าคุณอยากคุยกับน้อย มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ”

“เดียร์เป็นไงบ้าง.......”

ประโยคแรกที่ผมถามออกไป แล้วก็ต้องหลับตากลั้นใจ กลัวจะได้ยินข่าวที่ไม่เป็นมงคล

“อยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ”

“ที่ไหน”
“เอ้อ.....ขอนแก่นค่ะ”

“ทำไมถึงอยู่ที่นั่น........”

“ตู้ด ดด ดดดดดดดดดดดดดด”

โทรศัพท์ตัดลงอย่างฉับพลัน เนื่องจากทางปลายสายหลุดไปก่อน ผมเดาเอาว่า น้อยคงโทรจากตู้สาธารณะ แล้วเหรียญคงหมด เลยทำให้ไม่สามารถคุยกับผมได้อีก

ผมกำโทรศัพท์แน่น รู้สึกหัวหมุน เจ้าเด็กบ้านั่น นอนอยู่ที่โรงพยาบาลที่ขอนแก่น แล้วอยู่ตรงไหนกันล่ะ ในตัวเมือง หรือ นอกเมือง ถ้าในเมืองมันก็มีโรงพยาบาลตั้งหลายแห่ง ผมจะไปเยี่ยมเขาได้ไงล่ะ

เยี่ยมเหรอ ผมทวนคำในใจ ผมกังวลถึงขนาดที่ว่าจะไปหาเจ้าเด็กนั่นถึงที่เลยหรือไงเนี่ยขอนแก่น ไกลจากกรุงเทพมาก อย่างน้อยๆก็ต้องลางานสัก 1 วันเพื่อขับรถไป

แล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องอยู่อีกนานไหม เผื่อเจ้านั่นเป็นอะไรมาก ผมอาจจะต้องอยู่เพื่อดูแลเขา ดูแล.......เอ๊....ทำไมผมถึงต้องดูแลเจ้าบ้านั่นด้วย เพราะว่าเขาดีกับผมงั้นหรือ

แล้วผมต้องดูแลเขาตอบแทนใช่ไหม นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมไม่ค่อยสบายใจ คงไม่ใช่เพราะผมมีใจรักใคร่ใยดีในตัวเขาหรอก
ผมเกือบจะหมดความอดทนอยู่แล้ว ระหว่างรอโทรศัพท์ของน้อย หลังจาก 1 ชั่วโมงผ่านไป น้อยก็โทรเข้ามาหาผมใหม่บอกว่าตอนนี้เดียร์อยู่ในโรงพยาบาล หมอกำลังตรวจอาการอยู่

น้อยบอกชื่อโรงพยาบาลให้กับผม และบอกเบอร์ห้องที่เดียร์อยู่ แต่ไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรไปมากกว่านั้น เนื่องจากเหรียญที่แลกมามีไม่พอ แต่แค่นั้นก็พอแล้ว

ไม่ต้องลังเลอะไรกันมากเลย ผมตัดสินใจได้ในทันทีที่จะขับรถไปขอนแก่นเพื่อดูอาการของเด็กหนุ่ม ระหว่างทางผมก็หยุดเพื่อโทรศัพท์ไปแจ้งจุ๋มเลขาของผมว่าผมมีธุระด่วนที่จะไปจัดการ จะไม่เข้าออฟฟิศวันหนึ่ง หรืออาจมากกว่านั้น ซึ่งผมจะแจ้งให้ทราบในภายหลัง หากมีอะไรด่วนก็ให้โทรเข้ามา หรือส่งอีเมล์มาก็ได้

ผมแวะกลับบ้านเพื่อเอาโน้ตบุคส์ และ เสื้อผ้าของใช้จำเป็นติดรถไปด้วย รวมทั้งเงินสดติดกระเป๋าไปจำนวนหนึ่งเผื่อจำเป็นจะต้องใช้ อย่างน้อยๆก็ค่ารักษาพยาบาล เผื่อว่าเจ้าเด็กนั่นไม่สามารถจ่ายได้

ผมขับรถตลอดทั้งคืน โดยไม่ได้นอนเลย กว่าจะไปถึงขอนแก่นก็รุ่งเช้าพอดี ใช้เวลาในการเดินทาง 5-6 ชั่วโมง เพราะผมไม่ค่อยชำนาญเส้นทางนัก ต้องแวะพักตามปั๊มน้ำมันเพื่อดูแผนที่ที่มักจะติดรถเอาไว้ด้วยไปพร้อมๆกับการเข้าห้องน้ำ เติมน้ำมันรถ หรือทานกาแฟแก้ง่วง
จากการสอบถามเอากับคนท้องถิ่นถึงสถานที่ที่ผมต้องการไป ได้ความว่า ผมต้องขับรถไปตามถนนสายมิตรภาพวิ่งตรงเข้าสู่ตัวเมืองขอนแก่น จะไปเจอสี่แยกไฟแดงที่ใหญ่ที่สุดใจกลางเมือง ด้านขวามือเป็นสวนสาธารณะ และซุ้มประตูเมืองซึ่งขณะนี้กำลังก่อสร้างอยู่

ตรงไปจะเป็นมหาวิทยาลัยขอนแก่น ให้เลี้ยวซ้ายที่แยกไฟแดงนั้น ตัวโรงพยาบาลจะอยู่ห่างไปจากสี่แยกประมาณ 100 เมตร แต่ไม่ต้องห่วง ผมสามารถที่จะเห็นตัวโรงพยาบาลได้แต่ไกล เพราะเป็นตึกสูงหลายชั้น อยู่ทางด้านขวามือของถนน โรงพยาบาลชื่อ ขอนแก่นราม
ผมจอดรถไว้ข้างตึกผู้ป่วย 1 แล้วเดินมาเข้าทางด้านหน้า ประตูทางเข้าเป็นกระจกใสสูง มีเจ้าหน้าที่คอยเปิดประตูให้ ตรงหน้าประตูมีป้าย ยินดีต้อนรับ ซึ่งเขียนเป็นสามภาษาด้วยกัน คือ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และ ภาษาลาว

ผมเดินตรงไปทางด้านซ้ายมือซึ่งเป็นส่วนประชาสัมพันธ์ เพื่อสอบถามทางไปห้องพักผู้ป่วย พีอาร์สาวสวย หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ช่วยอธิบายให้ผมจนเข้าใจ ผมกล่าวขอบคุณแล้วก็เดินตรงไปที่ลิฟท์ กดขึ้นไปยังชั้นที่ต้องการทันที

ตลอดเวลาที่เดินทางแม้กระทั่งตอนที่อยู่ในลิฟท์ ผมภาวนาอยู่ในใจขออย่าให้เดียร์เป็นอะไรมากเลย จริงอยู่ผมอาจจะไม่พอใจเจ้าเด็กลามกนั่นหลายอย่าง แต่ผมก็อดที่จะนึกถึงสิ่งดีๆที่เขาทำให้ผมไม่ได้

ถึงเจ้าเด็กนั่นจะร้ายกาจเอาแต่ใจตัวเอง แต่ผมก็รู้ซึ้งถึงความรักมากมายที่เขามีให้ผม มันเป็นความรักที่บริสุทธิ์ รักที่มีแต่การให้ แม้มันจะแฝงไปด้วยความต้องการยึดครอง อยากได้ผมเป็นของตัวเอง แต่เขาก็ปฏิบัติต่อผมอย่างดี เอาอกเอาใจ ทำทุกอย่างให้สารพัด
ใบหน้าอ่อนเยาวน์นั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มเสมอ ดวงตาวาววามสุกใส มีความรักความภักดีให้เห็นอยู่ตลอดเวลา ท่าทางออดอ้อนออเซาะ ชอบมาอยู่ใกล้ๆ พูดหวานๆใส่ คอยเป็นเพื่อนอยู่เคียงข้างทำให้ผมหายเหงา

ผมยอมรับโดยไม่ลังเลใจเลยว่าเดียร์ทำให้ช่วงเวลาที่ผมได้อยู่กับเขาเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขอย่างแท้จริง
เจ้าเด็กนั่นจะเป็นอะไรมากหรือเปล่าหนอ ผมใจคอไม่ดีเลย อยากเจอหน้าเขาเร็วๆ อยากรู้ว่าอาการเป็นอย่างไรบ้าง
ผมพยายามจะทำใจ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขา ผมจะพยายามรับมันให้ได้ คิดดูแล้ว ผมก็โมโหตัวเอง ที่ไม่น่าไปพูดจาไม่ดีใส่เขา
ตอนที่เขาโทรมาหาครั้งสุดท้าย ตอนนั้น ผมโกรธมาก อยากขับไล่ใสส่งเขาออกไปจากชีวิต แต่ตอนนี้ ผมไม่ได้รู้สึกอย่างที่พูดเลยแม้แต่น้อย

ลิฟท์มาจอดตรงชั้นที่ผมกดเลือกไว้ ผมเดินออกจากลิฟท์ด้วยแข้งขาที่มีอาการสั่นเล็กน้อย ไม่รู้ว่ามันเกิดจากอาการเพลียเพราะอดนอนหรือเพราะผมจิตใจว้าวุ่นไม่เป็นสุขเพราะห่วงใยกันแน่

รู้แต่ว่า การจะบังคับขาตัวเอง เดินไปยังห้องผู้ป่วยที่เดียร์นอนรักษาตัวอยุ่ มันช่างยากเย็นเสียจริง แต่ในที่สุดผมกับฝืนให้ตัวเองเดินไปหยุดอยู่หน้าห้องผู้ป่วยรวมที่จนได้ หมายเลขห้องตรงกับที่น้อยบอกทุกอย่าง แต่ผมยังไม่กล้าที่จะเข้าไปเผชิญหน้ากับเดียร์ กลัวจะเห็นในสิ่งที่ทำให้ตัวเองรับไม่ได้

หลังจากยืนนิ่งทำใจหน้าห้องอยู่นานพอสมควร ผมก็ตัดสินใจผลักบานประตูเข้าไป ผมหลับตานิ่ง สำรวมจิตใจด้วยความรู้สึกทรมานเหลือเกิน จากนั้นก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมาช้าๆ แล้วเลื่อนสายตากวาดไปทั่วห้องทีละน้อย

ห้องสีขาวขนาดใหญ่ ถูกกั้นออกเป็นสองส่วน เพื่อแยกผู้ป่วยออกเป็นสองเตียง โดยมีผ้าม่านกั้น ส่วนที่อยุ่ลึกเข้าไปมีผ้าม่านรูดปิดไว้ และอยู่ในแสงสลัวลาง แต่ส่วนที่ไม่ได้กั้นนี่สิ ที่ทำให้ผมต้องผงะ รู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกที่ลำคอ น้ำตารื้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

ที่เตียงนอนด้านนอกสุด ไม่ได้มีผ้าม่านกั้นรอบ ร่างของชายคนหนึ่ง นอนอยู่บนนั้น ผิวของเขาสีน้ำตาล ร่างสูงใหญ่ จนแทบจะเต็มเตียงพยาบาล ศีรษะบวมโตเพราะมีผ้าก๊อตพันแผลอยู่เต็ม เหลือช่องว่างเพียงแค่จมูก ปากและตาเท่านั้น มีถุงน้ำเกลือ และ ถุงให้เลือดห้อยระโยงระยาง
ผมเดินเข้าไปหาร่างนั้นอย่างเชื่องช้า ใจมันจะขาดเสียให้ได้ เมื่อเห็นความเสียหายที่เกิดกับร่างนั้น ตามลำตัวเต็มไปด้วยแผลถลอกปอกเปิกช้ำเลือดช้ำหนอง ซึ่งกินพื้นที่ผิวหนังไปมากมาย ขาสองข้างเข้าเฝือกไว้ เหมือนว่าจะล็อคไม่ให้คนไข้เคลื่อนไหวร่างกายไปไหน

ดูมันยับเยินเกินกว่าจะรับได้ ผมพยายามบังคับตัวเองไม่ให้ทรุดฮวบลงไป นึกในใจว่า โชคดีแค่ไหนแล้ว ที่เจ้าเด็กบ้านี่ ไม่เสียชีวิตไป
ร่างที่นอนนิ่งไม่ไหวติงนั้นมีใบหน้าบวมผิดรูปผิดร่างจากบาดแผล จนแทบจะจำเค้าโครงเดิมไม่ได้ อุบัติเหตุที่รุนแรงทำให้ร่างกายของเขาดูผิดแผกไปจากที่เคยเห็น

ภาพที่อยู่ในสายตาของผม ทำเอาผมหมดแรง จนต้องทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆกับเตียง ผมนั่งซึมมองใบหน้าที่บิดเบี้ยวนั้น รู้สึกสงสารจับใจ

ทำไมเจ้าเด็กบ้านี่ถึงได้โชคร้ายเสียจริง เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่นะ จากสภาพที่เห็น น่าจะร้ายแรงไม่ใช่เล่น รถชน หรือว่าไปโดนอะไรมา
น้อยเห็นเหตุการณ์ด้วยหรือเปล่า เขาเป็นคนแจ้งข่าวเรื่องเดียร์ น่าที่น้อยจะรู้ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่าแต่น้อยตามเดียร์มาที่นี่ด้วยหรือ แล้วนี่ ไปไหนเสียล่ะ อยากเจอน้อยเหลือเกิน อยากรับรู้ว่าเดียร์เกิดอุบัติเหตุได้อย่างไร

ทำไมน้อยถึงได้ทิ้งเดียร์ปล่อยให้อยู่คนเดียว หากเขาต้องการอะไรขึ้นมา แล้วจะทำอย่างไร นี่เขาฟื้นตัวหรือยังก็ไม่รู้ หมอก็ยังไม่มาเลย ใจผมอยากจะเดินไปตามหมอหรือพยาบาล มาถามให้รู้เรื่อง แต่ก็กลัวว่าระหว่างที่เดินออกไปจากห้อง เดียร์จะตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอใคร จะยิ่งกระทบกระเทือนใจไปใหญ่

ขณะที่ผมนั่งซึมอยู่นั้น พยาบาลสาวหน้าตาเป็นคนท้องถิ่น ก็เดินเข้ามาหา ผมได้ยินแว่วๆว่าเธอเรียกผมสองสามครั้ง แต่ผมไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ เพราะสมองอื้ออึงไปหมด จนกระทั่งเธอขึ้นเสียงใส่ผมซะดังลั่น ผมจึงได้สติ

“ยังไม่ใช่เวลาให้เยี่ยมได้นะคะ ทำไมเดินเข้ามาเองอย่างนี้ล่ะ ออกไปก่อนได้ไหม ไปรออยู่ข้างนอก ได้เวลาแล้วค่อยเข้ามา”

“ขอผมเฝ้าคนไข้หน่อยได้ไหม”

ผมขอร้องเธอ ใจอยากจะอยู่เป็นเพื่อนเด็กหนุ่ม อยากให้เขาเห็นผมตอนเขาตื่นขึ้นมา

“เป็นญาติหรือเปล่าคะ.....”

เธอย้อนถาม ผมพยักหน้า เธอมองผมด้วยสายตาแปลกๆ คงเห็นเป็นเรื่องประหลาดที่เห็นผู้ชายมาดูแลเฝ้าไข้ผู้ชายด้วยกันอย่างใกล้ชิดแบบนี้ ในสังคมชนบทคงเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเคยเห็น

แต่ช่างเถอะ จะมองยังไงก็ได้ ถึงอย่างไร ถ้าเดียร์ฟื้นขึ้นมา ผมก็ตั้งใจว่า จะเอาตัวเขากลับไปรักษาที่กรุงเทพ เพื่อที่ผมจะได้มีเวลามาเยี่ยมเขาได้บ่อยกว่านี้ โดยไม่ต้องลางาน

“ไม่ได้ค่ะ ถึงเป็นญาติก็ต้องให้ถึงเวลาก่อนค่ะ เพราะเราอยากให้คนไข้ได้พักผ่อนก่อน อีกอย่างพอคนไข้ฟื้นขึ้นมา เราก็ต้องเช็ดเนื้อเช็ดตัว แล้วหมอก็ต้องมาตรวจอาการเขาอีก”

นางพยาบาลชุดขาวปฏิเสธ แต่มีหรือผมจะยอม

“ผมเช็ดตัวให้เขาก็ได้ คุณพยาบาลไม่ต้องเป็นห่วง ผมเคยทำเวลาที่เขาไม่สบาย ผมทำได้”
“มันเป็นกฎค่ะคุณ นี่มันยังเช้ามากอยู่เลย คนไข้ต้องการพักผ่อน อย่าให้ดิฉันลำบากใจเลยค่ะ กรุณาออกไปเถอะ”

เธอเริ่มทำเสียงเขียวใส่ผม แต่ผมไม่ละความพยายาม ผมอยากดูแลเด็กหนุ่มคนนี้ ทดแทนที่ผมทำไม่ดีกับเขาไว้เยอะมาก ในเมื่อเดียร์ดีกับผม เวลาที่เขาลำบาก ผมควรจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่

“ผมขอนั่งเฝ้าเฉยๆ รับรองจะไม่ทำเสียงรบกวนอะไรเลยครับ”

“ไม่ได้ค่ะ โธ่ พูดรู้เรื่องหน่อยสิคะคุณ ถ้าดิฉันใจอ่อน อนุญาตให้คุณเฝ้าได้ ญาติคนไข้คนอื่นๆ ก็จะต้องเข้ามาด้วย ทีนี้ มันจะเกิดความวุ่นวายกับผู้ป่วยคนอื่นๆนะคะ คุณไม่เห็นหรือว่าที่นี่มันเป็นห้องผู้ป่วยรวม

เราไม่อนุญาตให้ญาติเข้ามาเฝ้า เพราะอาจจะทำเสียงดัง และทำให้คนไข้อีกเตียงถูกรบกวนเวลาพักผ่อนได้ ดิฉันเห็นใจคุณนะคะ แต่คุณก็ต้องเห็นใจพวกนางพยาบาลอย่างดิฉันด้วย เรามีหวังโดนดุแน่ถ้าปล่อยให้คุณนั่งเฝ้านอกเวลาเยี่ยมแบบนี้”

เมื่อไม่อาจจะขอร้องนางพยาบาลให้ใจอ่อนยอมให้ผมเฝ้าเดียร์ได้ ผมก็เลยจำใจต้องออกไปรอด้านนอกเสียแต่โดยดี

ผมมองเด็กหนุ่มบนเตียงแว่บหนึ่ง สวดอ้อนวอนเทพยดาฟ้าดินสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในใจให้คุ้มครองเด็กลามกเอาแต่ใจตัวคนนี้ของผมด้วย ขออย่าให้เขาเป็นอะไรเลย ผมคงไม่สามารถอยู่อย่างเป็นสุขได้แน่

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า กว่าเข็มวินาที จะกระดิกไปแต่ละทีมันนานมากเสียจนผมแทบคลั่ง การรอคอยมันทุกข์ทรมานแบบนี้เอง ระหว่างผมกับเดียร์ มีกำแพงที่ขวางกั้นเราแค่ประตูห้องผู้ป่วยเท่านั้น แต่ใจของผมโลดแล่นไปอยู่ใกล้ๆคนที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงแล้ว

ผมซบหน้าลงบนฝ่ามือ อยากจะร้องไห้ แต่ก็ร้องไม่ออก ได้แต่นั่งนิ่งอยู่ในท่านั้น รู้สึกอัดอั้นตันใจ เหมือนเวลาที่เราต้องการจะทำอะไร แล้วถูกขัดขวาง ไม่สามารถทำได้

เดียร์อยู่ใกล้แค่เอื้อมนี้เอง แค่ผลักประตูเข้าไปเท่านั้น แต่ผมกลับต้องรออยุ่ด้านนอก เพื่อให้ถึงเวลาที่เหมาะสมที่จะได้ไปนั่งเคียงข้างเขาเพื่อเป็นกำลังใจ

ถ้าเดียร์ตื่นมา แล้วเห็นหน้าผมเป็นคนแรก เขาจะดีใจไหมนะ เด็กน่ารัก จิตใจดี เข้มแข็งอย่างเดียร์คงไม่เป็นอะไรมากหรอก รักษาตัวสักระยะก็คงจะกลับมาหายได้เป็นปกติ

แต่ถ้าไม่หาย พิกลพิการขึ้นมา ผมก็จะดูแลเขาไปตลอดทดแทนที่เขาเองก็ดูแลผมมาในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
นาฬิกาข้อมือบอกเวลา 9 โมงเช้าแล้ว 2 ชั่วโมงเต็มๆที่ผมนั่งแกร่วรออยู่หน้าห้อง อย่างไม่รู้จะทำอะไรดี บัดนี้ได้เวลาเยี่ยมแล้ว คงไม่มีใครมาห้ามไม่ให้ผมนั่งเฝ้าเดียร์ได้อีก

ผมเปิดประตูเข้าไปในห้อง เดินตรงไปนั่งเก้าอี้ที่อยุ่ข้างเตียง เดียร์ยังคงหลับอยู่ ผมนั่งมองเขาและเอื้อมไปกุมมือเขาไว้ หวังให้สิ่งที่อยู่ในใจของผมถ่ายทอดไปสู่เขา ให้เขารับรู้ว่า

ผมมาหาเขาแล้ว มาอยู่ตรงนี้เป็นเพื่อนเขา ขอให้เขาแข็งแรง หายป่วยไวๆ แล้วเราจะได้กลับมาอยู่ด้วยกัน
มีเสียงประตูเปิด ผมหันไปมองก็เห็นผู้ชายในร่างหญิง ใส่เสื้อสีส้มแปร๊ดเดินเข้ามา น้อยทำตาโต ยกมือทาบอกเมื่อเห็นหน้าผม ร้องทักทายอย่างดีใจ แล้วถามผมว่า มาทำไม พอผมบอกมาเยี่ยมเดียร์ น้อยก็ทำเสียงแหลมใส่ผม

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่17 19/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 19-01-2009 21:38:06
หุหุ กว่าจะรู้สึก  :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่17 19/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: โน๊อา ที่ 20-01-2009 07:57:37
^

^


ขอจิ้ม พี่ทิพย์ ทีนะ  อิอิ  :z13:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่17 19/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 20-01-2009 17:03:07
ภาวนาให้ผิดเตียง  :call:

ไม่อยากให้เดียร์เจ็บหนักอ่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่18-19 20/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 20-01-2009 20:12:52
บทที่ 18-19


“แล้วทำไมถึงไปนั่งอยู่ตรงนั้นล่ะคะ”

ผมทำหน้าเหรอหรา แล้วชี้ไปที่ร่างที่นอนอยู่บนเตียง น้อยมองตาม แล้วก็หันมามองผม จากนั้นดูเหมือนว่าน้อยจะเข้าใจในสิ่งที่ผมสื่อให้เธอรู้ อยู่ๆน้อยก็หัวเราะดังลั่นขึ้นมา

“หัวเราะอะไรกัน คนจะเป็นจะตาย เป็นเรื่องน่าขำนักเหรอ”

รู้สึกฉุนขึ้นมาแล้ว ทำไมน้อยต้องมาหัวเราะผมที่มาเฝ้าเดียร์ด้วย ถึงแม้ว่าผมจะทำเหมือนขับไล่ใสส่งเดียร์อยู่ตลอดเวลา
แต่ตอนนี้เขาป่วย ผมก็ควรจะดูแลเขาบ้าง นี่คงคิดว่าผมมีใจกับเจ้าเด็กบ้านี่ล่ะสิ ถึงได้ขำผมนักหนา เอาเถอะ จะขำก็ขำไป รอเดียร์หายก่อน
ผมจะทำให้รู้ว่า ผมแค่ห่วงเขาในฐานะคนรู้จักกันเท่านั้น น้อยรีบโบกมือปฏิเสธ คงกลัวว่าผมจะเข้าใจเขาผิด เขารีบพูดขึ้นมาทันที

“เปล่าค่ะ น้องไม่ได้หัวเราะเรื่องความเป็นความตายอะไรนั่นหรอก แต่ที่น้อยหัวเราะก็เพราะว่า คนที่นอนอยู่บนเตียงนั่น ใช่เดียร์ซะเมื่อไหร่ละคะ เจ้าหนูคนที่คุณดั้นด้นมาหาถึงขอนแก่นนี่ เขานอนหลับอุตุอยู่ที่เตียงด้านในโน่นต่างหาก”

“หา.......จริงหรือนี่”

ผมคลายมือออกแล้วรีบผลุดลุกขึ้นยืนทันทีทันใด ขาก้าวถอยห่างออกจากเตียงโดยอัตโนมัติ ไม่ใช่เดียร์หรอกหรือ มิน่า ผมถึงได้รู้สึกว่ามันแปลกๆ เขาสูงเขาสูงผิวเข้มก็จริง แต่ดูดีๆแล้วผิวเขากร้านกว่า แล้วก็ตัวล่ำกว่า

แต่เพราะความห่วงกังวลในตัวเขา เลยทำให้ผมไม่ทันคิดไตร่ตรองให้ดี รับรู้ข้อมูลเพียงว่าเดียร์เกิดอุบัติเหตุ พอเห็นร่างที่บาดเจ็บนอนอยู่อย่างนั้นก็เลยเหมาเอาว่าเป็นไอ้เด็กทะลึ่งนั่น รู้สึกขายหน้าอย่างไรชอบกล

“แล้วเดียร์เป็นอะไรมากหรือเปล่า”

ถึงแม้จะโล่งใจที่คนที่นอนอยู่ไม่ใช่เดียร์ แต่ก็ยังไม่วายกังวลใจอยู่ดี น้อยไม่ตอบ เพราะยังไม่หยุดขำ แต่ก็เดินนำหน้าผมมาหยุดที่เตียงผู้ป่วยด้านใน แล้วรวบผ้าม่านออกไปอีกทาง

“ดูเอาเองแล้วกัน”

ภาพที่ผมเห็นตรงหน้า คือ เด็กหนุ่มหน้าทะเล้นที่มองผมออกมาจากเตียงด้วยดวงตาแป๋วแหวว ผมรีบกวาดตาสำรวจไปทั่วร่างกายเดียร์อย่างรวดเร็ว ที่ศีรษะได้รูปสวยนั้น มีผ้าก๊อตแปะติดแถวขมับด้านซ้าย หน้าอก แขน ลำตัว อยู่ในสภาพปกติ มีเพียงแต่ขาข้างหนึ่งเท่านั้นที่ใส่เฝือกเอาไว้

นั่นไง ผมเจอเจ้าเด็กบ้าที่รบกวนความคิดและจิตใจของผมตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว เขาไม่เป็นอะไรมาก นั่งตาใสแจ๋วมองหน้าผม เขาพยายามจะยิ้มหวานให้ แต่คงเห็นหน้าดุๆของผม รอยยิ้มก็เลยดูแหยๆ ผมตวาดใส่เขาเสียงดังลั่น ด้วยความโมโห

“ไอ้เด็กบ้า....”
เดียร์ทำท่าหงอๆเมื่อเห็นกริยาอาการโกรธของผม เขาขยับตัวไปมาอยู่บนเตียงพยายามจะลุกขึ้นนั่ง น้อยสอดหมอนไว้รองหลังให้ เดียร์มองตาผมปริบๆ อย่างนึกหวั่นเกรงในโทสะของผม

“เนี่ยเหรอ ที่บอกว่าเกิดอุบัติเหตุ แค่นี้เองเหรอ ถึงได้โทรมาหา รบกวนชาวบ้าน ทำให้คนอื่นกังวลใจเป็นทุกข์เนี่ยมันดีนักหรือไง”

“ครับๆๆๆ....... เรียวอยากให้ผมเป็นหนักว่านี้ อยากให้พิการหรือไม่ก็ถึงตายเลยเหรอ ครับเกลียดผมนักใช่ไหม ไม่ให้อภัยในความผิดของผมบ้างเลยหรือไง”

เด็กหนุ่มทำตาแดงๆ ถามผมเสียงเครือ ผมเห็นหน้าเขา แล้วใจไหววูบ เจ้าเด็กบ้า ใครจะไปคิดถึงขนาดนั้น ผมยกมือจะเขกหัวเขา ตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก แต่แล้วมือก็ตกลง เปลี่ยนเป็นลูบศีรษะแทน ผมบอกเขาเสียงสั่น

“ดีแล้ว............ ที่ไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่านี้.......”

เด็กหนุ่มสบตาผม แล้วก็เอื้อมมืออย่างกล้าๆกลัวๆมาคว้ามือผมไว้ พอเห็นผมเฉยๆ ไม่มีทีท่าขัดขืน เขาก็ดึงมือผมไปจูบ แล้วเอามาแนบแก้มเขา

“คิดถึงจังเลยครับ....ดีใจมากที่สุดเลยครับที่เรียวมาหาผม”

เดียร์ทำเสียงอ้อนอีกแล้ว ท่าทางน่ารักน่าสงสารนั่นทำให้ผมใจอ่อนเหมือนทุกทีที่เขามาออดออเซาะ ทั้งที่เมื่อกี้ผมนึกโกรธเมื่อเห็นเด็กหนุ่มไม่ได้มีอาการร้ายแรงอย่างที่กังวล

อันที่จริงผมก็ไม่แน่ใจนักว่าตนเองรู้สึกอย่างไรกันแน่ ผมมานี่ ด้วยความรู้สึกวิตกจริต ห่วงใยเดียร์ไปสารพัด ตอนที่นึกว่าเขาคือผู้ชายที่นอนอยู่บนเตียงคนนั้น ผมก็รู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก

เมื่อรู้ว่าไม่ใช่ คนที่ผมห่วง กลับเพียงแค่เข้าเฝือกที่ขากับหัวแตก ผมก็รู้สึกโกรธ ที่เหมือนถูกปั่นหัวให้งุ่นง่าน เป็นทุกข์ ในขณะที่รู้สึกโล่งใจที่เจ้าเด็กทะเล้นปลอดภัยดี ไม่สาหัสอย่างที่นึกกลัว อารมณ์ผมมันสลับไปมาจนตัวเองยังงง

“เรียวครับ มาตามผมถึงนี่เลย เพราะว่าเรียวเป็นห่วงผมใช่ไหมครับ.....”

“....”

ผมนิ่งขึง ขี้เกียจตอบเจ้าเด็กบ้านี่ พอใจดีเข้าหน่อย ก็ทำเป็นออเซาะขึ้นมาเชียว น่าจะเกิดอุบัติเหตุจนพูดไม่ได้ไปเลยด้วยซ้ำ

“ผมรู้นะ...... ว่าเรียวก็รู้สึกดีๆกับผมเหมือนกันใช่ไหม คิดถึงผม เวลาผมไม่อยู่ใช่หรือเปล่า
บ้านมันเงียบเหงา ขาดสีสันไปใช่ไหม พอผมไม่โทรไป เรียวก็คิดว่า เจ้าเด็กบ้านั่นมันไปอยู่ที่ไหนกันนะ คิดอย่างนี้ใช่หรือเปล่าครับ”

ผมไม่ตอบอีก จะตอบทำไม ในเมื่อเด็กนี่ก็รู้ทันผมไปเสียหมดทุกอย่าง

“เรียวหายโกรธผมแล้วใช่ไหมครับ เรียวคงเข้าใจผมแล้ว ว่าผมทำทุกอย่างลงไปเพราะรักเรียวจริงๆ ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร ทำไปเพราะหมดหนทางแล้วก็รู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่ผมสัญญาว่าจะไม่ทำแบบนี้กับเรียวอีกแล้วนะครับ เรียวเชื่อผมได้เลยนะ”
เด็กหนุ่มให้คำมั่นสัญญากับผม เขายิ้มหวานให้ ดวงตาของเขาที่มองมา ฉายแววความรักและเทิดทูนในตัวผม มันทำให้ผมหวั่นไหว ยามมองหน้าอ่อนเยาว์นั่น เดียร์คิดกังวลใจเรื่องผมอยู่ตลอดเวลา พอเจอหน้ากันก็รีบพูดเพื่ออธิบายสิ่งที่ตัวเองทำลงไป เขาคงหวังว่าจะให้ผมเลิกโกรธเขา

“เรียวออกเดินทางมาหาผมตั้งแต่เมื่อคืนหรือครับ เลิกงานก็มาตามเลยเหรอ”

เดียร์ถามเสียงใส

“รู้ได้ไง”

“ก็เรียวยังอยู่ในชุดทำงานอยู่เลยนี่ครับ”

เกลียดนักพวกชอบสังเกตคนอื่นนี่ ผมนึกในใจ ไม่ยอมตอบคำถามเจ้าเด็กบ้านี่ เรื่องอะไรจะไปยอมรับกับเขากลายๆล่ะ ว่าตัวเองห่วงเขาจนต้องรีบมาหาถึงขนาดนี้

เดียร์หัวเราะเบาๆ สบตาผมแล้วยิ้มให้ เขากระตุกมือผมสองสามครั้ง แต่ผมยังไม่เข้าใจสัญญาณของเขา จึงมองหน้าอย่างงงๆ
เขามองตอบอย่างอ้อนวอน จากนั้นก็ดึงผมให้ลงนั่งบนเตียงเดียวกับเขา แล้วก็กระเถิบเข้ามาใกล้ มือแข็งแรงโอบไปรอบเอวผมอย่างรวดเร็ว และรั้งให้เข้ามาหา ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตั้งตัว เดียร์ก็ขโมยหอมแก้มของผมแรงๆไปแล้ว 1 ที

“ชื่นใจจังเลย ชอบกลิ่นเนื้อของเรียวมากเลย ไม่ได้กลิ่นนี้มาตั้งเกือบสองอาทิตย์แล้ว คิดถึงมากที่สุดเลยครับ”

“นี่นี่นี่ พอแล้ว เลิกเลย เจ็บขนาดนี้ ยังจะมาลวนลามคนอื่นได้อีก”

ผมพยายามแกะมือที่โอบผมออกด้วยรู้สึกอายที่เด็กหนุ่มจาบจ้วงผมต่อหน้าเพื่อนของเขา น้อยยิ้มแล้วยิ้มอีก ดูท่าทางพึงพอใจด้วยซ้ำที่เห็นเดียร์กอดผมเสียแน่น

“ก็มันคิดถึงนี่นา ไม่ได้เจอ ไม่ได้เห็นหน้าเลย คิดว่าเรียวคงโกรธผม จนไม่อยากจะมองหน้าผมด้วยซ้ำ แต่พอเห็นเรียวมาหาผมถึงที่นี่ ผมก็ยิ่งรู้สึกดีใจมากเลยนะครับ ว่าแต่น้อยโทรไปบอกคุณเหรอ”

“อื้มใช่ บอกรายละเอียดก็ไม่หมด ถ้ารู้ว่าไม่เป็นไร ฉันไม่ถ่อมาถึงนี่หรอก”

เดียร์กอดผมแน่นเข้าไปอีก แล้วซุกหน้าตรงซอกคอของผม

“ตอนแรกผมก็โกรธน้อยเขาเหมือนกัน ที่เขาโทรไปรบกวนคุณ ยิ่งคุณห้ามไม่ให้ผมโทรหาโดยไม่จำเป็น ผมก็เลยไม่อยากทำให้คุณไม่พอใจ อันที่จริงก็ไม่ได้เจ็บอะไรมาก แต่น้อยเขาอยากให้คุณรู้ แต่ผมไม่เห็นด้วยหรอกครับ กลัวคุณจะยิ่งรำคาญผมเข้าไปใหญ่ แต่ถึงตอนนี้ ผมรู้แล้วว่า คุณไม่ได้คิดอย่างนั้นเลยใช่ไหมครับ”

เด็กหนุ่มถามผมเสียงอ่อนเสียงหวาน

“คิดแล้ว....ทีแรกไม่คิด แต่เห็นคนเจ็บหน้าบานเป็นจานดาวเทียมแบบนี้ เลยคิดขึ้นมาทันที คิดว่า นายกับน้อยสมคบคิดกันหลอกลวงฉันหรือเปล่า”

ผมแสร้งทำเป็นตั้งข้อสงสัย น้อยร้องเสียงหลง
“อุ้ย เปล่านะคะ ไม่ใช่อย่างที่คุณคิด น้อยต้องขอโทษด้วย ที่โทรไปหาครั้งแรกนั้นเพราะตกใจ แล้วก็เป็นห่วงเดียร์มาก ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นไร ก็เลยรีบไปแจ้งให้คุณรู้ไว้ก่อน แต่เดียร์ห้าม แล้วก็ดึงมือถือไป บอกน้อยไม่ให้โทร แล้วเขาก็ปิดมือถือเลย

จนกระทั่งวันก่อน น้อยโทรไปหาพี่สมฤทัยกับพี่โสภิตนภา แกก็เล่าให้น้อยฟังว่าคุณอยากให้น้อยโทรไปหา แต่ไม่บอกว่าเรื่องอะไร น้อยถึงได้โทรไปหาคุณนั่นแหละ ขอโทษนะคะที่บอกข้อมูลไม่หมด ไม่คิดว่าคุณจะตามมาถึงนี่”

เป็นอย่างนี้นี่เอง เจ้าเด็กนั่นจำสิ่งที่ผมสั่งเขาไว้ ว่าห้ามโทรหา ทำให้เขาปิดมือถือเพราะไม่อยากรบกวน ผมเลยติดต่อเขาไม่ได้ แต่เรื่องที่ผมสงสัยไม่ได้มีอยู่แค่นั้น ผมยิงคำถามใส่น้อยและเดียร์อย่างมากมาย ด้วยความอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วทำไมน้อยถึงมาอยู่ที่นี่ด้วย
เดียร์เล่าให้ฟังว่า หลังจากซ้อมเต้นเรียบร้อย ก็ถึงเวลาออกงานคอนเสิร์ต พวกเขาตะเวนไปตามหัวเมืองต่างๆในแต่ละภาค เพื่อเต้นประกอบการแสดงสดของนักร้องหญิงยอดนิยมอันดับหนึ่ง ขวัญใจมหาชน โดยเริ่มจากใต้ขึ้นมาก่อน แล้วไปที่ภาคตะวันออก

โดยในวันที่เจอกันนั้น มีการแสดงที่ชายหาดเมืองพัทยา น้อยได้ไปดูการแสดงด้วย แต่ไม่ได้ดูนักร้อง แต่อยากจะเจอ เพื่อนรักมากว่า หลังจากแสดงจบ วันรุ่งขึ้นเดียร์ก็ประสบอุบัติเหตุ น้อยพูดเสริมขึ้นมาบ้างว่า

“ไม่รู้เกิดบ้าอะไรขึ้นมา พอแสดงเสร็จ เดียร์ก็อ้อนน้อยให้พาไปเที่ยวบาร์ เพราะเขาอายุไม่ถึงเลยมาขอให้น้อยใช้เส้น พอดีน้อยรู้จักกับเพื่อนๆที่ทำงานบาร์เยอะ ก็เลยไปด้วย

จากนั้นเดียร์ก็สั่งเหล้ามาดื่มอย่างไม่บันยะบันยัง ไม่รู้ไปเสียอกเสียใจอะไรนักหนา ถามทีไร ก็เอาแต่ร้องไห้ หลอกถามอยู่นาน ถึงได้รู้ว่า เพราะทะเลาะกับคุณแล้วคุณก็ไม่เข้าใจเขา เกลียดเขา......โอ๊ยยยย อะไรกันเนี่ย”

น้อยพูดยังไม่ทันจบ ก็ถูกเดียร์หยิบหมอนขว้างใส่หน้าเป็นเชิงให้หยุดพูด ผมหันไปทำตาดุใส่เด็กหนุ่ม ก่อนจะหันไปหาน้อยพยักหน้าให้เล่าต่อไป น้อยหันมาสบตาเดียร์ จากนั้นปากที่ช่างเจรจาก็ขยับเผาเพื่อนต่อ

“เดียร์กินเหล้าจนฟุบ น้อยก็เลยต้องไปส่งเดียร์ที่โรงแรมที่พัก แล้วก็ค้างคืนที่ห้องของเขากับเพื่อนแหละ วันรุ่งขึ้นเดียร์ยังไม่ทันสร่างเมาดี ทางทีมงานก็ให้ย้ายเช็คเอาท์เพื่อที่จะไปแสดงต่อ มีงานเปิดแจกรางวัลประจำปีของบริษัทที่คนใหญ่โตแถวแปดริ้วเป็นเจ้าของ
เขาว่าจ้างให้นักร้องคนนี้ไปแสดงตอนเที่ยงๆ ซึ่งเป็นรายการนอกโปรแกรม แต่ทางค่ายอนุญาตให้พาแดนเซอร์ไปเต้นด้วย น้อยเห็นเดียร์อาการไม่ดี นึกหวั่นใจยังไงไม่รู้ เลยลางานตามไปดู

แล้วสิ่งที่น้อยกังวลก็จริงด้วย เดียร์เต้นก้าวพลาดตกจากเวทีที่สูงมาก ลงมาข้อเท้าแพลง แต่ก็ยังมีสปิริตขึ้นไปเต้นต่อ โชดดีที่มันเป็นสองเพลงสุดท้าย แล้วท่าก็ไม่โลดโผยมาก เดียร์เลยประคับประคองตัวเองไปได้”

ผมเอี้ยวตัวมามองหน้าเดียร์ รู้สึกสงสารเขาขึ้นมาจับใจ คำพูดของผม มีอิทธิพลต่อความคิดของเด็กหนุ่มจริงๆด้วย เขาคงคิดมาก จนต้องไปดื่มเหล้าเสียเมามาย จนทำให้เกิดอุบัติเหตุ เพราะผมแท้ๆเชียว ที่มีส่วนทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น
“น้อย พอเถอะ อย่าพูดเลย”

เดียร์ท้วง แต่ผมกลับบอกให้น้อยเล่าต่อ เพราะอยากรู้ว่าจากพัทยามาขอนแก่นนี่ มีอะไรเกิดขึ้นกับเขา จนทำให้ต้องมานอนแบ่บอยู่ในโรงพยาบาลแบบนี้

“ที่จริงเดียร์จะไม่ อยู่ในสภาพนี้ ถ้าหากพักผ่อนร่างกาย และดูแลขาของตัวเองให้ดี แต่เจ้าหนูของเรากลับฝืนค่ะ ไม่สงสารตัวเอง เดินทางไปกับทีมเต้นต่อ ทั้งๆที่ขาเจ็บ แต่ก็หลอกคนดูแลทีมว่าไม่เป็นไร ก็ฝืนเต้นไปเรื่อยๆ จากโคราช แล้วก็มาที่ขอนแก่น เมื่อคืนนี้เอง ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น

แล้วคงจะเป็นคราวเคราะห์ของพ่อเดียร์เขา นักร้องสาวเกิดอยากร้องเพลงจากในมิวสิคขึ้นมา ซึ่งเดียร์เขาเต้นด้วย ก็โยกย้ายทำท่าไปตามนั้น คนก็เฮๆ ชอบอกชอบใจกันใหญ่ โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่นหนุ่มสาว

พอตอนจบ นักร้องกับแดนเซอร์ก็ไปโค้งคารวะคนดู แล้วก็ให้จับมือ แจกลายเซ็นต์ คนอื่นๆไม่เป็นไร แต่พ่อนี่ดันหล่อเกินหน้าคนอื่นๆ แล้วก็เต้นดี เต้นยั่วเสียด้วย มีคนกรี๊ดเยอะ พอไปยืนให้แฟนๆจับมือบ้าง ก็เลยถูกกระชากลงมาจนตกเวทีซึ่งสูงมาก ผลก็คือ ขาหัก หัวแตกอย่างที่เห็น”

น้อยเล่าอย่างยืดยาว แต่ก็ทำให้ผมพอเห็นภาพ ผมขยับปากจะต่อว่าเด็กหนุ่มที่ไม่ดูแลตัวเอง แต่เมื่อเห็นหน้าจ๋อยๆของเขาตอนที่น้อยเล่าจบก็รู้สึกสงสาร

“ขี้ฟ้อง...”

เด็กหนุ่มต่อว่าเพื่อน น้อยแลบลิ้น ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

“ไปว่าน้อยเขาทำไม ดีแล้วที่บอกมาให้หมด ฉันจะได้รู้ เอาล่ะตัดประเด็นเรื่องสมคบคิดกันไปได้ นายสองคน คงไม่ยอมเจ็บตัวเพื่อทำให้เรื่องมันแนบเนียนแน่ เอาเป็นว่าฉันเชื่อว่าเกิดอุบัติเหตุจริงๆ คราวหน้าคราวหลัง ถ้าไม่สบายใจอะไรก็อย่าไปกินเหล้าเมายาจนทำให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกนะ”

ผมทำเสียงดุใส่เดียร์ เด็กหนุ่มกอดผมแน่นเข้าไปอีก แล้วจูบที่แก้มผมเบาๆ พลางกระซิบเสียงอ้อน

“ไม่ทำแล้วครับ ตอนนั้นผมแค่น้อยใจ คิดว่าคุณรังเกียจผม เสียใจมาก อยากจะลืมๆคำที่คุณด่าว่า แต่ตอนนี้ผมจะไม่ทำแบบนั้นแล้ว เพราะผมรู้ว่านอกจากคุณจะไม่ได้เกลียดผมจริงๆ คุณยังห่วงใยผมอีกด้วย เพราะถ้าไม่ห่วงคุณจะตามมาหาผมเหรอ จริงไหมครับ”

“ใครบอก พอดีว่าฉันมีธุระแถวนี้ต่างหาก”

“ไม่จริงหรอก ผมได้ยินที่คุณพูดกับนางพยาบาล ตอนที่คุณไปนั่งเฝ้าคนไข้เตียงนั้นนะ คุณบอกว่า คุณจะเฝ้าไข้ผม แล้วก็เช็ดตัวให้ผมด้วย”
คนเจ็บขาเดี้ยง ทำหน้าเจ้าเล่ห์ จนน่าหมั่นไส้ สงสัยคงแอบฟังอยู่นานล่ะสิ

“บ้า เข้าใจอะไรผิดแล้ว ฉันแค่สงสารคนนั้นต่างหาก เขาเจ็บมากกว่านายอีก”

“แต่คุณโทรมาหาผมเป็นร้อยๆรอบเลยนี่ มันขึ้นมิสคอลล์อ่ะ”

หนอยแน่ะ เห็นแล้วยังไม่โทรกลับมาอีกเด็กบ้า .....ผมไม่ได้ตอบไปงั้นหรอก แต่สิ่งที่ผมตอบคือ ที่ผมโทรไปเพื่อจะด่าเขาต่างหาก
“ไม่จริงอ่ะ หลอกใครหลอกได้ แต่อย่าหลอกตัวเองสิครับ คุณห่วงผมมาก จนต้องไปตามหาข้อมูลของผมจากพี่ๆทั้งสองที่สีลมอ่ะ
พี่เขาบอกว่าท่าทางคุณหงุดหงิดด้วย กำชับพวกเขาตั้งหลายครั้งว่าถ้าติดต่อผมได้ให้โทรไป.......แล้วก็มาตามหาผมถึงที่นี่ ขับรถมาจากกรุงเทพไม่ใช่กิโลสองกิโล ทำถึงขนาดนี้ ไม่เรียกว่าห่วงแล้วจะเรียกว่าอะไรครับ”

เด็กหนุ่มพูดยิ้มๆ ผมนิ่งอย่างจนปัญญาเถียง สิ่งที่เดียร์พูดทั้งหมดมันคือเรื่องจริง แล้วมันฟ้องให้ผมได้รู้ว่า ผมคิดถึงและเป็นห่วงเด็กหนุ่มมากมายแค่ไหน แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่อยากจะยอมรับความจริง เพราะมันเป็นสิ่งที่ฝืนกับความเชื่อของตัวเอง

“พูดเป็นต่อยหอยแบบนี้ คงกลับกรุงเทพฯเองได้กระมัง ฉันคงไม่ต้องพากลับ”

ผมเบี่ยงประเด็นไปเสีย ไม่อยากคุยด้วยเรื่องเดิมๆ ที่ผมไม่มีทางยอมรับ

“ไม่อาว กลับด้วยคนนะ..... นะ ครับ เรียวอุตส่าห์มารับผม จะให้เรียวกลับไปคนเดียวได้ไงจริงไหม แล้วผมอ่ะ ก็ไม่ได้แสดงคอนเสิร์ตแล้วล่ะ เพราะขาเป็นแบบนี้

ทางทีมงานเขาให้ผมพักก่อน แต่พวกเขาจะไปต่อ เขาให้น้อยจ้างรถพาผมกลับน่ะครับ แต่ถ้าผมได้กลับพร้อมกับเรียว ก็ยิ่งดีกว่า เพราะผมจะเดินทางกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย แถมซ้ำยังอบอุ่นใจอีกด้วย”

ไม่พูดเปล่า เจ้าเด็กบ้านี่ยังซุกหน้าลงกับซอกคอของผม แล้วจูบเอาจูบเอาจนผมขนลุกซู่ เลือดสูบฉีดแล่นทั่วไปหน้าจนร้อนผ่าว ด้วยความอายที่เดียร์ล่วงเกินผมต่อหน้าเพื่อนโดยไม่อาย จะหนีก็ไม่ได้ เพราะอ้อมแขนที่รัดร่างผมนั้นแน่นหนาเหลือเกิน

แถมซ้ำในส่วนลึกของจิตใจ ผมกลับไม่ปรารถนาจะหลีกเร้นไปจากเขา อ้อมกอดที่สร้างความอบอุ่น กับจูบที่อ่อนหวานของเดียร์ทำให้หัวใจของผมพองโตอย่างมีความสุข

แล้วในที่สุดคนป่วยขาหักก็ถูกผมรับกลับมาบ้าน หลังจากที่ให้หมอตรวจอาการอีกครั้งและจ่ายค่ารักษาพยาบาลเรียบร้อยโดยที่ทางทีมงานค่ายเพลงออกค่ารักษาให้

อาการของเดียร์ไม่ได้หนักหนาสาหัสมากมายสามารถกลับไปรักษาตัวที่บ้านได้ แต่ต้องระมัดระวังในเรื่องการเดินเหิน และการออกกำลังกายในช่วงนี้ คาดว่า ไม่เกินสองอาทิตย์ ขาของเดียร์ก็จะหายเป็นปกติ

เด็กหนุ่มบ่นอุบ บอกว่าอยากหายก่อนวันที่ 25 วันเกิดของเขา ไม่งั้นแล้ว คงไม่ได้ ฉลองวันเกิดกับผมแน่ ผมหมั่นไส้ เลยเขกหัวคนเจ็บไปหนึ่งที

บอกว่ารักษาร่างกายเสียก่อนเถอะ วันเกิดฉลองย้อนหลังก็ได้ ถึงอย่างไรผมก็รักษาคำพูดที่ให้เขาไว้ ว่าจะไปฉลองกับเขาสองคนอยู่แล้ว
เสียงคุยเจื้อยแจ้ว ดังมาไม่ขาดปาก จากคนที่นอนหนุนตักผมอยู่ขณะนี้ ผมไม่ได้ขับรถเอง เพราะรู้สึกเพลียจากการขับรถมาทั้งคืน น้อยเลยอาสาขับแทน

ผมให้กุญแจน้อยไป โดยไม่ได้เกี่ยงงอน เพราะคิดว่าน้อยคงจะขับรถพาผมกับเดียร์กลับบ้านโดยปลอดภัย ส่วนตัวผมเองก็นั่งข้างหลังกับเดียร์ เด็กหนุ่มอ้อนขอนอนหนุนตักผม อ้างว่าเพลีย และจะได้วางขาสบายๆ

ผมเห็นหน้าอ้อนๆนั้นก็อดสงสารไม่ได้อีก เลยยอมตามใจเจ้าเด็กบ้าให้หนุนตักได้ตามที่ขอ พอได้ที่เหมาะๆ เดียร์ก็เริ่มซุกซน เขาจับมือผมไปกอดจูบลูบคลำ ปากก็คุยไปเรื่อยถึงการไปแสดงคอนเสิร์ตของเขา เด็กหนุ่มเล่าให้ผมฟังอย่างมีความสุข ดูท่าทางเขาจะชอบอาชีพของเขามาก
สักพักเสียงคนคุยก็ค่อยๆแผ่วหาย พร้อมๆกับมีเสียงลมหายใจที่ดังสม่ำเสมอ เข้ามาแทนที่ ผมก้มลงมองใบหน้าอ่อนเยาว์บนตัก แล้วอมยิ้ม
เดียร์หลับตาพริ้มโดยที่เกาะกุมมือข้างหนึ่งของผมวางไว้ที่หน้าอกด้านซ้ายตรงตำแหน่งที่เป็นหัวใจของเขา ผมไม่ได้ดึงมือออกปล่อยให้มันอยู่ตรงนั้นตามเดิม แต่ใช้มือข้างที่ว่าง ลูบไล้เรือนผมหนานุ่มหยิกสลวยนั้นอย่างแผ่วเบา


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่18-19 20/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 20-01-2009 20:14:44
เด็กหนอเด็ก ทำเป็นอวดดี เข้มแข็งให้คนที่ตัวเองรักเห็น เพื่อที่จะได้ถือสิทธิ์ในการปกป้องดูแล แต่กลับกลายมาเป็นคนอ่อนแอให้ผมต้องเอาใจใส่ซะเอง

ผมรู้สึกตัวอีกที เมื่อน้อยปลุกผม บอกว่าถึงกรุงเทพแล้ว น้อยจะขับไปส่งให้ถึงบ้าน แต่ต้องบอกมาว่าไปทางไหน
ผมบอกน้อยไปถึงสถานที่อยู่ของผม จากนั้นก็หันมามองคนที่นอนหนุนตักเมื่อครู่ ซึ่งบัดนี้ ลุกขึ้นมานั่งตัวตรงเคียงข้างผมแล้ว เขายิ้มตาหวานเยิ้มให้ผม ทำท่าประจบประแจง

“เรียวคงเมื่อยขาแย่เลย ที่ผมนอนหนุนตักตั้งหลายชั่วโมง กลับไปถึงบ้าน แล้วผมจะนวดให้นะ เรียวจะได้หายปวดเมื่อย”

“ไม่ต้องหรอก ขายังไม่หาย อย่ามาทำซ่าส์หน่อยเลย”

“นี่ เลยอดเลย อดทำกับข้าวให้เรียวทานเลย....ขามาเดี้ยงแบบนี้แล้วอ่ะ”

เด็กหนุ่มรำพึงรำพัน ท่าทางเสียดายจริงๆ ผมแตะมือของเดียร์เบาๆ เป็นเชิงบอกให้เขารู้ว่า ไม่เป็นไร ผมไม่ได้ซีเรียสกับเรื่องนี้
ใจผมอยากจะบอกเขาเหลือเกินว่า แค่เขาไม่เป็นไรมาก หายดีกลับมาเป็นเด็กร่าเริงแจ่มใสตามเดิม ผมก็ดีใจมากแล้ว แต่ผมกลัวว่าเขาจะเข้าใจว่าผมรักเขา จึงเป็นการดีที่ผมจะไม่พูดออกไป

พวกเราถึงบ้านกันตอนสามทุ่มกว่า ผมชวนน้อยให้ค้างคืนที่บ้านด้วย แต่น้อยขอตัวบอกจะรีบกลับไปที่พัทยา เพราะฝากร้านให้ลูกน้องดูแล เนื่องจากเป็นห่วงเดียร์เลยติดสอยห้อยตามไปจนถึงขอนแก่นด้วย

ชายในร่างสาวรีบปฎิเสธเมื่อผมอาสาว่าจะไปส่งที่ท่ารถทัวร์ น้อยขอร้องให้ผมอยู่เป็นเพื่อนเดียร์ เพราะเจ้าเด็กหน้าทะเล้น เดินเหินไม่ถนัดต้องใช้ไม้ค้ำยัน อาจจะทำอะไรได้ไม่สะดวก น้อยไปเรียกแท็กซี่เองก็ได้

ผมจำนนด้วยเหตุผลที่น้อยให้มา จึงกล่าวขอบคุณเขาที่ช่วยดูแลเดียร์อย่างดี น้อยบอกว่าไม่เป็นไร มันเป็นหน้าที่ของเพื่อน
น้อยรู้จักกับเดียร์มาตั้งแต่สมัยเรียน รักและดูแลกันมาตลอด แต่น้อยก็ทำได้แค่นี้ ส่วนคนที่เดียร์อยากให้อยู่เคียงข้างมากที่สุดคือผมต่างหาก
ก่อนจะจากกัน น้อยก็พูดถึงเดียร์ให้ผมฟังอีกครั้ง ว่าเขาทุกข์ใจเพียงใดที่เป็นคนทำให้ผมไม่สบายใจ เขากลัวมากว่าจะเสียผมไป จึงกินเหล้าเมายาร้องไห้ฟูมฟายจนไปเกิดอุบัติเหตุ

น้อยหวังว่า ความเข้าอกเข้าใจที่ผมมีต่อเดียร์ในวันนี้ จะทำให้เด็กหนุ่มมีความสุขมากขึ้น

“น้อยขอนะคะ ขอให้คุณเรียว ใช้หัวใจของตัวเองมองให้ลึกซึ้งลงไปถึงความรักที่เดียร์มีต่อคุณ ตอนนี้ชีวิตของเขามีแค่คุณเพียงคนเดียวเท่านั้น

ถ้าหากมันไม่เลวร้ายสำหรับคุณจนเกินไปนักที่จะยอมรับความรู้สึกของตัวเอง น้อยก็อยากให้คุณเปิดใจรับเดียร์เข้ามาในชีวิตค่ะ เพื่อความสุขทั้งตัวคุณเอง แล้วก็เจ้าหนูจอมลีลาของน้อยด้วย

เดียร์เขาน่าสงสารมากๆ แล้วเขาก็รักคุณจริงๆค่ะน้อยคงไม่มีเวลาได้ดูแลเขาเหมือนคุณ....ฝากเพื่อนน้อยคนนี้สักคนนะคะ”
น้อยกลับไปแล้วแต่ทิ้งคำพูดให้ผมต้องครุ่นคิด

“ถ้าหากมันไม่เลวร้ายสำหรับคุณจนเกินไปนักที่จะยอมรับความรู้สึกของตัวเอง น้อยก็อยากให้คุณเปิดใจรับเดียร์เข้ามาในชีวิตค่ะ”

เลวร้ายหรือเปล่านะ ที่จะรับเจ้านี่เข้ามา ผมไม่อาจจะรู้ได้ รู้เพียงว่ารู้สึกดีกับเด็กทะลึ่งทะเล้นคนนี้มาก เป็นห่วงเป็นใยเขา คิดถึงเขาแทบตลอดเวลา

แต่อะไรบางอย่างมันบอกกับผมว่าความรู้สึกนี้ไม่ใช่เรื่องน่ายินดี หรือควรเปิดเผยสักเท่าไหร่ มันควรถูกเก็บงำไว้ในซอกลึกที่สุดของหัวใจ ไม่ควรแสดงออกมาให้ใครรู้เห็น

ขณะที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ ร่างของผมก็ปลิวเข้าไปสู่อ้อมอกแข็งแรงที่แสนจะคุ้นเคย เดียร์ใช้แขนข้างที่ว่าง รัดร่างผมเข้ามากอดเสียแน่น แล้วซุกจมูกลงที่ซอกคอของผมพลางกระซิบเสียงอ่อนหวาน

“มาทำอะไรอยู่หน้าบ้านอย่างนี้ละครับ เข้าบ้านได้แล้วนะ ข้างนอกยุงเยอะ เดี๋ยวผิวขาวๆของเรียวจะลายพร้อยกันพอดี”

“ก็ปล่อยก่อนสิ นี่ขนาดมีแค่แขนเดียวนะ ขาก็เดี้ยง ยังไม่วายทำตัวรุ่มร่ามอีก”

ผมดุเขา เดียร์หัวเราะ เขาจูบผมที่ข้างแก้มอีกครั้ง ก่อนจะปล่อยแขนที่รัดร่างผมออก พลางเดินโขยกเขยกนำหน้าไป
ผมส่ายหน้าที่เห็นคนไม่เจียมตัวที่ใช้ไม้ค้ำยันรักแร้ เพื่อพยุงร่างกายไม่ให้ล้ม ท่วงท่าการเดินที่ยากลำบากบอกให้รู้ว่าเจ้าเด็กบ้านี่เจ็บปวดเพียงไร ในที่สุดผมก็ทนเห็นเขาเดินไปแบบนั้นไม่ได้ ต้องรีบเข้าไปประคองเขาให้มานั่งที่โซฟา

“ใส่เฝือกขาแบบนี้ จะเดินขึ้นไปนอนข้างบนคงไม่สะดวก เห็นทีจะต้องนอนอยู่ที่ตรงโซฟาในห้องรับแขกนี่แหละ”

ผมสรุป เพราะมันน่าจะสะดวกดีต่อการที่จะทำอะไรต่อมิอะไร ห้องน้ำ ห้องครัว โต๊ะทานข้าวก็อยู่ใกล้ ไม่ต้องตะกายขึ้นบันไดไปให้ลำบาก
สภาพเจ้านี่ไม่พร้อมที่จะใช้ขาไปในกิจกรรมที่ไม่จำเป็นอยู่แล้ว ให้นั่งๆนอนๆตรงโซฟานี้ไปสักระยะหนึ่ง ไม่ต้องขึ้นๆลงๆให้เจ็บตัวไปมากกว่าเดิม แต่ดูเหมือนสิ่งที่ผมพูด เดียร์จะไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไหร่ เขาทำหน้าอ้อนๆ ส่งสายตาวิงวอนมาหาผม

“ถ้าผมนอนตรงนี้ แล้วเรียวจะอยู่เป็นเพื่อนกับผมหรือเปล่าครับ ผมไม่อยากอยู่คนเดียว เวลาไม่สบายแบบนี้ อยากให้เรียวมาอยู่ใกล้ชิดกับผมน่ะครับ

แต่ถ้าเรียวไม่สะดวกใจ เราขึ้นไปนอนกันข้างบนก็ได้นะครับ ผมขึ้นไปได้ แค่ใส่เฝือกแค่นี้ ไม่ถึงตายหรอกครับ แต่ถ้าไม่ได้อยู่ใกล้ๆเรียว ผมกลัวว่าจะขาดใจตายมากกว่า ”

ฟังเหตุผลของคนเจ้าเล่ห์ที่ยกมาอ้าง เพื่อขออยู่ใกล้ชิดกับผม มันทั้งน่าปลื้ม และน่าหมั่นไส้ระคนกัน แต่ถึงกระนั้น ผมก็ยอมตามใจเขาอีกจนได้

ผมหอบที่นอน หมอน ผ้าห่ม มาจากข้างบน 2 ชุด สำหรับเดียร์และตัวเอง ผมจัดแจงเอาหมอนและผ้าห่มวางไว้ที่โซฟาตัวยาว แล้วบังคับให้เดียร์นอน

ส่วนตัวเองจัดการเอาโซฟาเดี่ยว ตัวใหญ่สองตัว หันหน้ามาชนกัน ทำให้เกิดแอ่งที่ว่าง สามารถลงไปนอนได้แต่จะคับแคบหน่อย ผมวางหมอนและผ้าห่มลงไป
คนป่วยนั่งจ้องผมตาแป๋ว เมื่อเห็นผมไม่นอน เขาก็ยังนั่งเฉย จนผมต้องหันมาดุ เขาก็บอกว่าเขานอนไม่หลับ มันเหนียวตัว
ผมเลยนึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่เดินทางมา เรายังไม่ได้อาบน้ำอาบท่ากันเลย ผมเลยเดินเข้าไปในครัว แล้ว เอากาละมังรองน้ำใส่ครึ่งหนึ่ง แล้วหยิบผ้าขนหนูผืนสีขาวสะอาดสะอ้านผืนเล็กติดมือมาด้วย

เดียร์นั่งมองผมที่เดินถือกาละมังเข้ามาหา ทำตาโตหน้าระริกรื่น จนผมรู้สึกหมั่นไส้ เขาคงรู้ว่า ผมจะช่วยเขาเช็ดเนื้อเช็ดตัว จึงรีบวางไม้ค้ำยันไว้ข้างโซฟา พลางเอนกายลงนอน ปลดเสื้อออกจากตัว แต่ตายังคงจ้องผมเขม็ง
ผมบิดผ้าขนหนูที่ชุบน้ำจนชุ่ม แล้วเช็ดไปทั่วหน้าก่อนจะเลื่อนมาที่ตรงซอกคอและแผ่นอกกว้างที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม พยายามไม่มองสบตาใบหน้าทะเล้นที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างสุขใจ

ผมเช็ดตัวต่ำลงไปเรื่อยๆ พอถึงขอบกางเกงเล (เดียร์ใส่กลับมาเนื่องจากนุ่งกางเกงปกติไม่ได้ เพราะเขาเข้าเฝือกขา) ผมรู้สึกลังเลใจไม่กล้าเช็ดร่างกายที่อยู่ต่ำกว่านั้น เลือดอุ่นๆฉีดพล่านไปทั่ว

อารมณ์วาบไหวเมื่อนึกถึงว่าภายใต้ผ้าที่ปกปิดเอาไว้มีบางส่วนของร่างกายของเดียร์ที่เคยแนบชิดเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกายของผมมาหลายครา มีเสียงหัวเราะคิกคักดังมาให้ได้ยินจนผมต้องหันไปมอง

“เรียวครับ.....ทำไมต้องหน้าแดงแบบนั้นด้วยล่ะ เรียวก็เห็นร่างกายของผมหมดทุกซอกทุกมุมแล้วนี่นา เรียวยังจะเขินอีกเหรอครับ หรือว่าเรียวมีความรู้สึกยามที่จับต้องตัวผม เรียวชอบเหมือนที่ผมชอบจับต้องเนื้อตัวเรียวใช่ไหม ”

เจ้าบ้าเอ๊ย อวดทำเป็นรู้ดีไปได้ เรื่องอะไรผมจะต้องมาตอบคำถามแบบนี้ด้วย อยากดึงลิ้นคนพูดออกมาตัด จะได้เลิกพูดจาที่ทำให้คนอื่นได้อายแบบนี้สักที

“อายที่จะพูดหรือครับ ไม่เห็นต้องอายเลย ผมน่ะ ชอบทุกครั้งที่ได้สัมผัสตัวของเรียว ชอบที่จะได้กอด ลูบไล้ ได้หอม ได้จูบ
รู้ไหมครับ อากาศที่ผมสูดผ่านจากเนื้อตัวของเรียวมันช่างหอมเย้ายวนจริงๆตรึงใจไม่รู้ลืม แล้วไหนจะยังปากนุ่มๆของเรียวอีก
เวลาที่สอดลิ้นเข้าไป ให้อารมณ์ที่สุด เหมือนได้ลิ้มรสของหวานที่ทานไม่รู้เบื่อ.....ผมน่ะคิดถึงเรียวทีไร ก็นึกอยากทำแบบนี้กับเรียวทุกวัน ทุกๆสถานที่ และทุกเวลาเลย โอ้ยยยยย .....อย่าแกล้งกันแบบนี้สิครับ”

ผมหยุดเสียงพร่ำเจื้อยแจ้วของเดียร์ที่พูดถึงความปรารนาที่เขามีต่อตัวผม ด้วยการเช็ดถูเนื้อตัวเขาแรงๆ เด็กหนุ่มร้องอุทธรณ์
เมื่อเห็นผมหัวเราะอย่างสะใจ เขาก็ดึงตัวผมเข้าไปหาตัว แล้วกอดผมแน่น พลางกดหน้าผมให้จมูกแนบกับแผ่นอกของตัวเอง คงอยากแกล้งให้ผมได้สัมผัสกับตัวเขาบ้าง

แต่ผมพยายามดิ้นหนี ช่วงนี้เป็นโอกาสดีที่ผมจะแข็งข้อ เพราะเด็กหนุ่มบาดเจ็บ จนใช้แรงได้ไม่มากเหมือนเดิม สิ่งที่ผมคิดมันตรงข้ามกับความเป็นจริง

เดียร์ขาเจ็บ แต่แขนสองข้างนั้นทรงพลังเหมือนเดิม เขาขยับกายลุกขึ้นนั่ง แล้วลากผมเข้าไปกอดจูบ สัมผัสของเขาเรียกอารมณ์ผมให้ลุกโพลงขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

เวลาสองอาทิตย์ที่ห่างหายกันไปแทนที่จะทำให้ผมลืมเขาโดยง่าย แต่กลายเป็นว่าทั้งร่างกายและจิตใจผมกลับเรียกร้องหาเดียร์อยู่ตลอดเวลา

ผมปรารถนาที่จะให้เขาสัมผัสร่างกายของผม อยากซบลงในอ้อมกอดนั่น ให้เขาทำอย่างที่เคยทำโดยไม่เกี่ยงงอนอะไรอีกต่อไปแล้ว
หลังจากเดียร์กอดจูบลูบคลำผมจนหนำใจ โดยปราศจากการต่อต้าน เดียร์ก็ขอให้ผมลุกขึ้น ซึ่งผมก็ทำตามอย่างว่าง่าย โดยมายืนอยู่ตรงหน้าเขา

เดียร์ขยับนั่งตัวตรง มองหน้าผม ส่งยิ้มอ่อนหวานที่แฝงนัยความหมายที่รู้กันดีระหว่างเราสองคน เขาเอื้อมมือมาที่เข็มขัดของผม แล้วปลดออกจากนั้นก็ปลดตะขอ แล้วรูดซิบกางเกงผมลง พลางแนบหน้าเข้ามาใกล้

ผมผงะออกเมื่อสำนึกได้ว่า เดียร์กำลังจะทำอะไรกับน้องชายของผม แต่เด็กหนุ่มรีบคว้าเอวผมไว้ แล้วใช้มืออีกข้าง ดึงกางเกงนอกและกางเกงในของผมลงพร้อมกัน ก่อนที่มือใหญ่นั้นจะสอดเข้าไปกอบกุมแก่นกายของผมไว้ และลูบไล้อย่างนุ่มนวล

“อย่านะเดียร์.....อย่าทำเลย.....มัน....ไม่สะอาดเท่าไหร่ ...เอ้อ....ฉัน...ฉันยังไม่ได้อาบน้ำ...”

ผมบอกเขาเสียงพร่า เริ่มหวั่นไหวไปกับแรงมือที่คลึงเคล้าไม่ยอมหยุด เดียร์ก้มหน้าลงไปสูดดมของหวงของผม แล้วก็เงยหน้าขึ้นมายิ้ม

“ผมไม่รังเกียจหรอก กลิ่นนี้เป็นกลิ่นของเรียว ร่างกายนี้เป็นของคนที่ผมรัก ถึงอย่างไรก็หอมหวานสำหรับผมเสมอ...”

“ไม่นะ....ฉัน...ไม่อยากทำแบบนี้....เอ้อ ...ในตอนนี้”

ประท้วงพลางใช้สองมือยันไหล่เขาไว้ เด็กหนุ่มค่อยๆแกะมือสองข้างของผมออกจากบ่า แล้วรวบมากุมไว้ ยกขึ้นจูบ พลางทำเสียงกระซิบกระซาบออดอ้อน

“ให้ผมทำเถอะนะครับ ยอดรัก สองอาทิตย์แล้วที่เราไม่ได้เจอกันเลย ผมคิดถึงเรียวมาก แล้วผมก็รู้ว่าเรียวรู้สึกอย่างเดียวกับผม
ตอนที่ผมไม่อยู่ เรียวเองก็คงไม่ได้ทำอะไรเพื่อปลดปล่อยตัวเองใช่ไหม ตอนนี้ผมอยู่ที่นี่แล้ว ผมอยากช่วยทำให้เรียวมีความสุข อนุญาตให้ผมทำเถอะนะคนดี ผมสัญญาว่าจะทำให้วันเวลาเก่าๆที่เราอยู่แนบชิดกัน กลับมามีความสุขเหมือนเดิม”

เดียร์ทำท่าจะก้มลงไปจัดการกับน้องชายของผมเหมือนเคย แต่ผมไม่มั่นใจในตัวเอง เลยขืนตัวไว้ เด็กหนุ่มเหมือนจะรับรู้ว่าผมกังวลใจอยู่ เขาก็เลยหาทางแก้ปัญหา โดยการดึงผ้าขนหนูจากมือผมที่ถือค้างเอาไว้ แล้วเอามาเช็ดทำความสะอาดเนื้อตัวส่วนนั้นให้

“แบบนี้ก็สะอาดแล้ว แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะหมดจดหรือเปล่า ต้องให้ผมจัดการเป็นขั้นตอนสุดท้าย”

ยังไม่ทันที่ผมจะทันขัดขืน เดียร์ก็กอบกุมน้องชายของผมไว้ พลางเลื่อนริมฝีปากอุ่นเข้าครอบครองแก่นกายของผม สองมือก็ดันสะโพกเข้าหาใบหน้าของเขา ผมส่งเสียงครางอื้ออึง เมื่อเดียร์ใช้ลิ้นโลมเลียและดูดเน้นไปทั่ว

ความวาบหวามที่ได้รับ ทำให้ผมขยับสะโพกอย่างเผลอตัว สองมือสอดเข้าไปในเรือนผมหยิกสลวยนั่นแล้วลูบไล้แผ่วเบา ก่อนจะกดหน้าของเขาแนบชิดเรือนกายท่อนล่างของผมยิ่งขึ้นไปอีก

ในเวลาไม่นานนักร่างกายที่ขมึงตึงของผมก็ปลดปล่อยธารรักออกมาจนชุ่มปากของเดียร์ ผมตัวสั่นระริก ก้มลงใบหน้าที่อยู่ต่ำลงไปมองเห็นริมฝีปากของเดียร์ยังครอบครองน้องชายของผมอยู่

ปลายลิ้นของเขาแลบเลียของเหลวที่ไหลออกมาจากส่วนปลายของแก่นกายที่ขึงเขม็ง เด็กหนุ่มดูดกลืนจนหมดสิ้นพลางใช้ลิ้นแลบเลียทำความสะอาดให้ผมจนทั่ว
“เห็นไหมครับ ร่างกายของเรียวตอบรับสัมผัสจากผม แล้วเรียวก็มีความสุขมากๆด้วย แสดงว่าเรียวก็คิดถึงผมมากๆเหมือนกัน
ถ้าเราต่างคนต่างคิดถึงกันแบบนี้ คราวหลังเราอย่าทะเลาะกันอีกเลยนะครับ เรามาดีกันเถอะนะ ผมสัญญาว่าจะไม่เกเรกับเรียวอีกแล้ว แล้วเรียวก็อย่าหงุดหงิดเอากับผมง่ายๆอีกนะครับ

อยากให้ผมทำอะไรก็บอกมาได้เลย ผมยินดีทำเพื่อเรียวครับ ขอแค่สองอย่างเท่านั้น คือ อย่าห้ามไม่ให้ผมยุ่งเกี่ยวกับร่างกายของเรียว แล้วก็อย่าเพิ่งเลิกรากันไปก่อนเวลา นะครับ นอกนั้นผมให้เรียวได้ทุกอย่าง แม้แต่ชีวิตของผม”

คำพูดที่อ่อนหวานและจริงจังของเดียร์ ทำให้ผมเต็มตื้นในหัวใจ รู้ตัวว่าหน้าตนเองต้องแดงก่ำแน่ๆเมื่อเด็กหนุ่มเดาใจผมถูก
เขารู้ว่าผมคิดถึงและปรารถนาในตัวเขาเช่นกัน ความอายที่มีคนมาล่วงรู้สิ่งที่ตัวเองพยายามปกปิด ทำให้ผมแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับคำพูดนั้น
เสไปจัดการสวมใส่กางเกงให้กับตัวเอง แต่มือไม้ก็สั่นเทาจากอารมณ์ปรารถนาที่เพิ่งถูกดับไปสดๆร้อนๆ มันฟ้องว่าผมรู้สึกอย่างไร

เพื่อไม่ให้เดียร์จับสังเกตอาการของผม แล้วเอามาพูดไปมากกว่านี้ ผมจึงขอตัวขึ้นไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวนอน แล้วบอกให้เขาพักผ่อนได้แล้ว เดียร์ยิ้มให้ผมทั้งปากและตา จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนบนโซฟาแล้วหลับตาลง

เด็กหนุ่มหลับไปแล้ว ตอนที่ผมอาบน้ำแล้วเดินลงมา ผมมองหนุ่มน้อยที่นอนเอาขาดทั้งสองพาดไปตามแนวยาวของโซฟา แล้วให้รู้สึกสงสาร เห็นใจ

ขาเจ็บแบบนี้ แล้วนอนในที่คับแคบ คงจะไม่ค่อยสบายสักเท่าไหร่ แต่ผมจะแบกเขาขึ้นไปข้างบนด้วยก็ไม่ไหว
อีกอย่างเวลาที่ผมไม่อยู่ ไปทำงาน จะมีใครคอยพาเขาขึ้นลง ให้นอนแบบนี้ไปชั่วคราวก่อนแล้วกัน

เดี๋ยวพรุ่งนี้ ผมจะแว่บไปซื้อโซฟาที่พับเป็นเตียงนอนได้มาไว้ เจ้าเด็กนี่จะได้นอนหลับสบายๆ ขาจะได้หายเร็วๆ
ผมไม่ปล่อยให้เดียร์ต้องรอนาน ในตอนเย็นของวันต่อมา โซฟาขนาดใหญ่ก็ถูกนำมาส่งที่บ้านของผม เดียร์มองอย่างคาดไม่ถึง
เขาดีใจมากเมื่อทราบว่าผมจัดการซื้อโซฟาตัวนี้มาเพื่อเขา แม้ผมจะแกล้งพูดว่าผมอยากเปลี่ยนมาแทนโซฟาตัวเก่า แต่เดียร์ก็ทำหน้ารู้ทัน
หลังจากที่ผมจ่ายเงินให้กับพนักงานที่มาส่งของเรียบร้อย และคนพวกนั้นกลับไปแล้ว เด็กหนุ่มก็รั้งตัวผมไปกอดในอ้อมแขน แล้วระดมจูบผมไม่ยั้ง

อาทิตย์หนึ่งผ่านไปด้วยความราบรื่น งานของผมไม่มีอะไรติดขัด สันต์ก็ไม่มากวนใจ ได้ข่าวว่ามันกำลังลุ่มหลงหนุ่มเบนอย่างหนัก
ศักดิ์ชายก็ไปต่างจังหวัดเนื่องจากมีเคสใหญ่ที่ต้องไปตรวจสอบ จะมีก็แต่เรื่องของคุณแคทลียาเท่านั้นที่ผมยังไม่ได้ให้คำตอบ แล้วเธอก็ไม่ได้เร่งเร้าอะไรผมมากจนกระทั่งผมคิดว่าเธอคงลืมความตั้งใจไปแล้ว

ซึ่งมันก็เป็นเรื่องดี เพราะตอนนี้ เดียร์ก็เข้ามาอยู่บ้านผมแล้วด้วย เป็นการอยู่ชั่วคราว พอเขาหายแล้วต้องกลับไปอยู่บ้านเช่าตัวเองดังเดิม
เด็กหนุ่มหายวันหายคืนอย่างน่าพอใจ เขาทำตัวว่าง่ายยอมเชื่อฟังผม นอนพักฟื้น ทานยาที่หมอให้มา แล้วไม่พยายามทำอะไรที่ต้องใช้เรี่ยวแรงมากมาย เดียร์ยังคงช่วยผมกวาดบ้าน ถูบ้านบ้าง แต่งานซักผ้า เอาข้าวให้เจ้าหญิง และล้างชาม ผมแย่งเอามาทำจนหมด
เราไม่ได้ทำกับข้าวกินกันอย่างเคย หากแต่ผมซื้อกับข้าวสำเร็จรูปมาไว้ แล้วจะอุ่นให้เดียร์ทานตอนเช้าก่อนออกจากบ้านไปทำงาน
ตลอดสัปดาห์ที่อยู่ด้วยกัน เดียร์ทำตัวน่ารัก ไม่งอแง หรือเอาแต่ใจให้เห็น ผมยอมลงมานอนที่โซฟาข้างล่างเป็นเพื่อนกับเขา ปล่อยให้เดียร์นอนบนโซฟาตัวใหม่ที่ผมวางไว้ชิดผนัง ส่วนผมนอนบนโซฟาตัวเดิม

แรกๆเดียร์ทำท่าไม่ยอมอยากให้ผมนอนเตียงเดียวกับเขาด้วย แต่พอผมขู่ว่าจะหนีขึ้นไปนอนบนห้อง เขาก็ยอมให้ผมนอนแยกกับเขาโดยดี ถึงอย่างไร ก็ยังได้อยู่ใกล้ๆผม ดีกว่านอนกันคนละที่ เดียร์บอกกับผมแบบนั้น

เช้าวันที่ 25 ธันวาคม อากาศหนาวเย็นยะเยือกเริ่มพัดผ่านเข้าสู่กรุงเทพฯ ผมตื่นนอนแต่เช้ามืดกะตั้งใจว่าจะพาเดียร์ไปใส่บาตร แล้วพาเขาไปทานอาหารซักหน่อย

เด็กหนุ่มตื่นและอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาตื่นก่อนผมร่วมชั่วโมง แล้วนั่งมองผมที่ยังนอนหลับคุดคู้อยู่บนโซฟา เราสองคนยังไม่ได้ย้ายขึ้นไปนอนข้างบน เพราะเดียร์ยังไม่ได้ถอดเฝือกออกเลย

แต่ร่างกายที่แข็งแรงของเดียร์ทำให้เขาฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว เดินเหินได้คล่องกว่าแต่ก่อน จะมีอาการปวดขาเพียงเล็กน้อย แต่ไม่มาก
ทันทีที่ผมเห็นเขา ผมก็กล่าวอวยพรขอให้เขามีความสุข ได้พบเจอกับสิ่งดีๆ และขอให้ได้ในทุกสิ่งที่ต้องการ เดียร์กล่าวขอบคุณพลางยิ้มกว้างให้ผม

เขาบอกกับผมว่า ขอให้คำอวยพรของผมเป็นจริง เพราะสิ่งที่เขาต้องการคือความรักจากผม และทุกอย่างมันสามารถเป็นจริงได้ หากนางฟ้าซึ่งก็คือตัวผม จะร่วมมือทำให้มันเกิดขึ้น

หลังจากพาเดียร์ไปวัด ทำบุญ ใส่บาตร ทำสังฆทาน ไถ่ชีวิตโคกระบือ แล้วก็บริจาคโลงศพแล้ว เดียร์ก็ขอร้องให้ผมพาไปโรงพยาบาล เพื่อผ่าตัดเอาเฝือกออกด้วย

เขายืนยันว่าเขาหายดีแล้ว สามารถเดินได้ วันนี้ เป็นวันพิเศษของเขา เดียร์ไม่อยากใช้ไม้ค้ำยันในการพาตัวไปไหนต่อไหนกับผม เขายินดีให้หมอตรวจอาการอีกครั้ง หากหมอบอกว่า เขายังไม่ควรจะเดินมาก เขาก็จะเคารพในกติกานั้น

เมื่อขัดเดียร์ไม่ได้ ผมเลยต้องจำใจพาเดียร์ไปหานายแพทย์ที่ผมรู้จักดีที่โรงพยาบาล เนื่องจากผมทำงานทางด้านพิจารณารับประกัน จำเป็นต้องมีการแต่งตั้งแพทย์ของบริษัท เพื่อคอยตรวจสุขภาพลูกค้าที่มาทำประกัน และผมต้องเข้าไปทำสัญญากับนายแพทย์แต่ละท่าน รวมถึงการเข้าพบเพื่อตรวจสอบข้อมูลลูกค้าบ่อยครั้ง ทำให้ผมสนิทกับแพทย์หลายคน

นายแพทย์สอบถามข้อมูลและตรวจอาการของเดียร์ จากนั้นก็ตัดสินใจผ่าเฝือกออกให้ เพราะเดียร์ค่อยยังชั่วแล้ว แถมซ้ำเจ้าตัวยังบอกอย่างแข็งขันว่าหายดีแล้ว ไม่เป็นอะไรมาก

แต่กระนั้น หมอก็ยังคงพันผ้าให้ เพื่อที่จะยึดเอาไว้ ไม่ให้ขาได้รับความกระทบกระเทือนจากกิจกรรมต่างๆ แต่แค่นั้นเดียร์ก็พอใจ เขาแค่อยากเดินเหินเป็นอิสระ ไม่ต้องขโยกเขยกไปพร้อมกับไม้ยันรักแร้ อยากให้วันเกิดของเขาเป็นวันที่ได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

เราสองคนตกลงกันว่าจะไปทานอาหารที่เมืองชายทะเล เดียร์จากบ้านมานานแล้ว เขาเคยกินกุ้งหอยปูปลาสดๆมาก่อน พอมาอยู่กรุงเทพของที่นำมาใช้ทำอาหารก็ไม่สดเหมือนเดิม รสชาติจึงอร่อยสู้ไปกินถึงที่ไม่ได้ ผมเลยอยากพาเขาไปรำลึกถึงบรรยากาศเก่าๆ
ในตอนแรกผมตั้งใจไว้แบบนั้น ว่าจะพาเดียร์ไปริมทะเล แถว บางแสนหรือไม่ก็แถวพัทยา แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าผมเคยสัญญากับเด็กหนุ่มคนนี้ ว่าผมจะพาเขาไปเที่ยวเพื่อตอบแทนสิ่งดีๆที่เขาทำให้ผม

ก็เลยคิดว่าครั้งนี้น่าจะเป็นโอกาสดีที่จะไปด้วยกัน เพราะวันนี้เป็นวันเกิดของเดียร์แถมซ้ำตรงกับวันหยุดสุดสัปดาห์อีกด้วย
เดียร์บอกกับผมว่า มีสถานที่หนึ่งที่เขาอยากไปมานาน แต่ไม่เคยไปเสียที นั่นก็คือ เกาะเสม็ดซึ่งอยู่ในจังหวัดระยอง ใกล้กับบ้านเกิดของเขา
แต่ว่าตั้งแต่หนีออกจากบ้านมา จนเข้ามาทำงานในกรุงเทพ เขาก็ยังไม่เคยได้ไปที่นั่น เพื่อนๆเล่าให้ฟังว่าที่เกาะเสม็ดสามารถเที่ยวและพักได้รอบเกาะ มีหาดทรายสวยๆ และสามารถลงเล่นน้ำได้ด้วย

ผมก็ถามเขาว่า เป็นแบบนี้ แล้วจะเดินทางไปไกลขนาดนั้นได้เหรอ แถมซ้ำยังมีลงน้ำด้วย ขาอาจจะเจ็บมากกว่าเดิมก็ได้ แต่เดียร์ก็บอกว่า เขารู้สึกสบายดีทุกอย่าง ขาก็หายปวดแล้ว หมอกังวลมากไปเอง ตัวเขาย่อมรู้แก่ใจตัวเองดี ว่าร่างกายของตัวเองเป็นอย่างไร หมอจะมารู้มากไปกว่าเขาได้ไง

เห็นท่าทางดื้อดึงจะไปให้ได้แบบนั้นของเดียร์ ผมก็เริ่มใจอ่อนยอมตกลงไปพักค้างคืนบนเกาะกับเขา บอกไม่ถูกว่าทำไมถึงเกิดอยากตามใจเด็กบ้านี่นักหนา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะต้องการชดเชยความผิดที่ผมพูดไม่ดีใส่เขาจนทำให้เดียร์เกิดอุบัติเหตุ หรือว่าเป็นเพราะผมเองก็อยากไปเที่ยวกับเขาเหมือนกัน

นานแล้วที่ผมไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหน หมกตัวอยู่กับการงาน บางทีการได้ปลดปล่อยตัวเองออกจากภารกิจประจำวันที่ยุ่งเหยิง อาจจะช่วยทำให้ชีวิตผมมีความสุขมากกว่าเดิมก็ได้

ในคู่มือการท่องเที่ยวจังหวัดระยองที่ผมได้มาจากการแวะร้านสะดวกซื้อตอนไปเติมน้ำมันระบุว่า เกาะเสม็ดหรือ เกาะแก้วพิสดาร เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อแห่งหนึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลเพ อำเภอเมือง จังหวัดระยอง

เป็นเกาะที่มีรูปทรงสามเหลี่ยม ส่วนฐานของเกาะอยู่ด้านทิศเหนือ ซึ่งหันเข้าสู่ฝั่งบ้านเพ มีภูเขาสลับซับซ้อนกันอยู่ 2-3 ลูก มีที่ราบอยู่ตามริมฝั่งชายหาด ส่วนใหญ่จะอยู่ทางด้านเหนือและตะวันออก อยู่ห่างจากชายฝั่งบ้านเพประมาณ 6.5 กิโลเมตร มีเนื้อที่ประมาณ 3,125 ไร่
ชื่อเสม็ด มาจากการที่เกาะแห่งนี้ มีต้นเสม็ดขาว เสม็ดแดงขึ้นอยู่เต็ม ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา ชาวบ้านมักจะนำไปใช้ทำเป็นไต้จุดไฟ
ส่วนชื่อเกาะแก้วพิสดารนั้น มาจากชื่อเกาะที่ท่านสุนทรภู่กวีเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ซึ่งมีบ้านเกิดอยู่ที่ระยองรจนาไว้ในวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณี

สันนิษฐานว่าท่านคงจะเคยมาเที่ยวที่เกาะเสม็ดแห่งนี้ แล้วเกิดติดใจในความงามของธรรมชาติและหาดทรายที่ขาวบริสุทธิ์จึงนำไปประพันธ์เรื่องพระอภัยมณีขึ้นโดยมีฉากหลังที่สำคัญตอนหนึ่งที่เกาะแก้วแห่งนี้


บนเกาะเสม็ดไม่มีแม่น้ำลำคลอง ประมาณ 80% ของพื้นที่ เป็นภูเขาและป่าไม้เบญจพรรณ ฤดูฝนเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-กันยายน ช่วงเดือนพฤษภาคมมีมรสุมและคลื่นลมจัดมาก เดือนสิงหาคมมีฝนตกชุก

ผมกับเดียร์เดินทางกันเดือนธันวาคม ซึ่งมันอยู่ในช่วงหน้าหนาวแล้ว ไม่แน่ใจนักว่าจะเจอพายุหรือเปล่า แต่คาดว่า น่าจะไม่มีแล้ว ถึงอย่างไรเราสองคนก็ตั้งใจจะลองเสี่ยงดู บางทีสภาพอากาศอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่คิดก็ได้

เกาะเสม็ดมีหาดทรายที่สวยงามหลากหลายหาด ผมเคยมาเที่ยวกับเพื่อนๆสมัยเรียนมหาวิทยาลัยซึ่งก็นานเกือบ 10 ปี หาดที่ผมไปมาแล้วคืออ่าวลุงหวัง และอ่าววงเดือน

ตอนที่ผมเข้าปีหนึ่งได้ถูกรับน้องมหาวิทยาลัยที่อ่าวลุงหวัง ซึ่งอยู่ถัดจากอ่าวนวล และอยู่ติดกับอ่าววงเดือน เป็นอ่าวขนาดกลางที่ นิสิตนักศึกษาหลายสถาบันหลายยุคสมัยกว่า 30 ปีรู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีในชื่อหาดลุงหวังหรืออ่าวลุงหวัง โดยนิยมมาจัดกิจกรรม รับน้องกัน
และมีกลุ่มนักศึกษาศิลปะจากเพาะช่าง ช่างศิลป์ ศิลปากร นิยมมาอาศัยเขียนรูปกันอยู่เป็นแรมเดือน สมัยนั้นนักท่องเที่ยวต้องมาใช้น้ำจืดจากบ่อบาดาลของลุงหวัง เนื่องจากบนเกาะมีบ่อน้ำบาดาลอยู่เพียงไม่กี่แห่ง

ลุงหวัง เป็นหนึ่งในสี่ “ผู้เฒ่าทะเล แห่งเกาะเสม็ด “ที่ชื่อของแก สืบทอดมาเป็นชื่ออ่าวเล็ก ๆ อ่าวนี้ ที่นี่มีต้นไม้ใหญ่อายุยืนต้นหนึ่งริมหาด ที่มีอายุอยู่มาหลายชั่วคนแล้ว

มีสะพานไม้ขนาดใหญ่ทอดยาวจากกลางอ่าวยื่นออกไปในทะเล หน้าหาดที่นี่สวยงาม หาดทรายสีขาวละเอียด น้ำไม่ลึก เหมาะแก่การเล่นน้ำอย่างยิ่ง ปัจจุบันนี้คนอาจจะรู้จักกันอีกชื่อหนึ่งว่า อ่าวช่อ


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่18-19 20/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 20-01-2009 20:15:37
สำหรับอ่าววงเดือนนั้น รูปร่างของชายหาด เว้าโค้งเข้าไปดั่งพระจันทร์ครึ่งดวง ทำให้อ่าวนี้ชื่อว่า “ อ่าววงเดือน “ เป็นอ่าวที่ไม่เคยหลับ เช่นเดียวกับหาดทรายแก้ว

เราสามารถทำกิจกรรมต่างๆได้มากมายตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ที่อ่าววงเดือน มีสถานที่พักผ่อนหย่อนใจให้เลือกได้หลายบรรยากาศ
ถ้าต้องการความสงบเงียบ สันโดษไม่ชอบความพลุกพล่านก็ต้องพักทางด้านริมอ่าว ส่วนคนที่ชอบความคึกครื้นหน่อยก็ต้องมาพักแถวๆกลางอ่าว กีฬาทางน้ำที่นี่ก็มีให้เลือกมากมายเช่นกัน

ผมมาเที่ยวที่อ่าวนี้กับเพื่อนหลังจากขึ้นปีสองแล้ว ตอนนั้นผมกำลังอินเลิฟกับนักศึกษารุ่นน้อง พอเพื่อนๆชวนให้มาเที่ยวที่เสม็ดอีกครั้งผมก็เลยพาแฟนสาวตามมาด้วย

แต่ทว่าหลังจบจาก ทริปเกาะเสม็ด ผมและแฟนสาวคนนั้นก็มีอันต้องเลิกรากันไป เพราะเธอไปเจอคนที่รวยกว่าผม จึงผละจากผมไปโดยง่าย
ระยะหลังผมได้ข่าวเพียงแค่ว่า เธอกับสามีแยกทางกันเรียบร้อยแล้วต่างคนต่างแบ่งลูกแบ่งสมบัติ และอยู่กันแบบตัดขาดจากกันแบบไม่เผาผี เธอหอบลูกไปตั้งรกรากอยู่เมืองนอกไม่กลับมาเมืองไทยอีก ทำให้ผมไม่มีโอกาสได้เจอหรือได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเธออีกเลย
เส้นทางสายตะวันออกเป็นเส้นทางที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะตอนที่ผมมาทำงานที่บริษัทนี้ใหม่ๆ ผมรับผิดชอบดูแลพื้นที่ ตั้งแต่ฉะเชิงเทรา ไปจนถึงตราด และปราจีนบุรี เคยลงมาปฏิบัติงานในภาคสนามบ่อยๆ

ดังนั้นผมจึงสามารถที่จะขับโดยกะเวลาที่จะไปให้ทันขึ้นเรือไปเกาะเสม็ดได้อย่างสบาย ผมขับรถไปตามทางหลวงหมายเลข 34 บางนา-ตราด ขึ้นทางยกระดับโทลเวย์ 40 กว่ากิโลเมตร ทางสิ้นสุดที่บางปะกง

เมื่อลงทางยกระดับแล้ว ผมก็เลี้ยวเข้าเส้นทาง “ชลบุรีเลี่ยงเมือง" ขับตามป้าย "พัทยา-ระยอง" เรื่อยมาจนสุดทาง ชลบุรีเลี่ยงเมืองจะมาชนกับทางหลวงหมายเลข 36 เลี้ยวไปตามป้ายระยอง

จากจุดนั้นห่างจากตัวเมืองระยองประมาณ 60 กิโลเมตร ขับมาเรื่อย ๆ ผ่านห้างบิ๊กซีที่อยู่ทางซ้ายมือเพื่อแวะซื้อขนมขบเคี้ยว และของใช้บางอย่างที่จะเอาไปใช้ที่เกาะ จากนั้นก็ขับรถขึ้นสะพานข้ามแยกตรงมาตามเส้น "จันทบุรี-ตราด" มาเรื่อย ๆ เพื่อตรงมายัง บ้านเพ ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองระยอง 19 กิโลเมตร

ผมขับตรงไปเรื่อย ๆ จนถึงสี่แยกหาดแม่รำพึง เลี้ยวขวาเข้าบ้านเพประมาณ 2 กิโลเมตร พอเห็นป้ายสวนสนทางด้านซ้าย ผมก็เลี้ยวไปตามนั้น จากจุดนั้นตรงมาอีกประมาณ 2 กิโลเมตร เจอโค้งหักศอก ผมขับตามโค้งนั้นมาจนกระทั่งเจอสามแยกศรีบ้านเพ ก็ขับเลี้ยวซ้ายอีกที และตรงมาประมาณ 2 กิโลเมตร ก็ถึงท่าเรือ ในเวลาประมาณ 4 โมงเย็น

หลังจากที่แวะเอารถเข้าไปฝากและพักทานข้าวเสร็จเรียบร้อย เดียร์กับผมก็นั่งดูรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่พัก เพราะยังไม่แน่ใจว่าจะไปพักที่รีสอร์ทไหนดี ผมอนุญาตให้เดียร์เป็นคนเลือก เพราะเขาเพิ่งมาครั้งแรก ส่วนผมอย่างไรก็ได้เพราะเคยไปมาแล้ว

เดียร์ตัดสินใจเลือกที่จะพักที่อ่าวทับทิม เขาเคยได้ยินเพื่อนเกย์ของเขาเล่าให้ฟังว่าหาดที่นี่สวยดี นอกจากนี้ยังมีเรื่องให้น่าตื่นเต้นด้วย เดียร์เคยถามพวกนั้นว่าเป็นเรื่องอะไร แต่เพื่อนของเขาก็ไม่ยอมบอก เขาได้เก็บความสงสัยขึ้นมา แล้วอยากจะไปสัมผัสกับความน่าตื่นเต้นนั้นด้วยตนเอง

คำอธิบายในคู่มือการท่องเที่ยวจังหวัดระยองมีเพียงย่อๆ ใจความว่า “อ่าวทับทิม” เป็นหาดทรายขาวทอดยาวตลอดด้านเหนือของเกาะตั้งแต่แหลมน้อยหน่าซึ่งอยู่บริเวณมุมเกาะด้านตะวันตกจนถึงแหลมเจ้าทับทิมซึ่งมองเห็นจากฝั่งเพด้านหลังเป็นแนวเขากระโจนติดต่อเขาพลอยแหวน ซึ่งกำบังลมทำให้มีผู้คนมาตั้งบ้านเรือนอยู่จำนวนมาก เรียกว่า "หมู่บ้านเกาะเสม็ด"

ทางด้านแหลมทับทิมมีโขดหินขนาดใหญ่สลับซับซ้อนเหมาะสำหรับนั่งชมธรรมชาติของท้องทะเลยามเย็น อ่าวนี้เล็กๆ ที่มีพื้นที่ติดกันหรือ จะเรียกว่าเป็นพื้นที่เดียวกับอ่าวพุทราก็ว่าได้

รวมๆ แล้ว ก็เป็นอ่าวเล็กๆ ที่เงียบสงบน่าพัก สำหรับหาดทรายและสถานที่เล่นน้ำทะเลแล้ว ที่อ่าวทับทิม เรียกว่าสะอาดพอสมควร คนที่มาพักที่อ่าวทับทิม ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติเสียเยอะ เพราะเงียบสงบ เป็นอีกอ่าวหนึ่งที่น่าพักผ่อนในวันหยุด

จากบ้านเพ มีเรือโดยสารข้ามไปเกาะเสม็ด โดยสามารถลงเรือได้ จากท่าเรือที่มีอยู่ 3 ท่าด้วยกัน อัตราค่าโดยสารไม่แพงนักราคาประมาณ 20-50 บาท สำหรับการเดินทางเพียงแค่เที่ยวเดียว แต่ใช้เวลานานมากกว่าจะไปถึง
ถ้าเราอยากจะไปให้ถึงอย่างรวดเร็วก็เลือกไปสปีดโบทดีกว่า เพราะสามารถจะเข้าไปจอดหน้าอ่าวที่เราต้องการได้ เนื่องจากผมกังวลใจเกี่ยวกับขาของเดียร์ ไม่อยากให้เขาลำบากในการเดินทาง จึงตัดสินใจที่จะขึ้นเรือสปีดโบทโดยให้ไปจอดที่หน้าหาดเลย

แต่เนื่องจากผมกับเดียร์ไปกันแค่สองคน เราจึงจำเป็นต้องรอผู้โดยสารคนอื่นๆด้วยที่จะไปพร้อมกันกับเรา ระหว่างนี้ผมกับเขาเลยไปนั่งรอเรียกขึ้นเรืออยู่ตรงซุ้มกาแฟใกล้ๆ



ประมาณ 10 นาทีให้หลัง เจ้าหน้าที่ก็ประกาศเรียกให้ผู้โดยสารที่จะไปสปีดโบทลงเรือ ผมคว้าสัมภาระมาถือเอาไว้ แล้วจูงมือเดียร์พาไปขึ้นเรือเพราะกลัวว่าเขาจะเดินตามผมมาไม่ทันเนื่องจากเจ็บขา เด็กหนุ่มหน้าบานยิ้มกริ่มไปตลอด ท่าทางจะมีความสุขมากๆเมื่ออยู่ใกล้ๆผม
แต่แล้วก็เหมือนสรรค์แสร้ง ทำให้การเดินทางครั้งนี้ของเราเจอเข้ากับอุปสรรคที่คิดไม่ถึง เมื่อผู้ที่ลงเรือมาด้วยในจำนวน 4-5 คนนั้น คือคนที่เดียร์คุ้นเคยเป็นอย่างดี

ผมเห็นเดียร์ทำหน้าตกใจเมื่อเห็นคนพวกนั้น เลยมองตามสายตาของเขาที่จับจ้องไปที่ชายหนุ่มวัยประมาณ 20 ต้นๆ คนหนึ่ง ซึ่งย้อมผมสีทอง ร่างกายล่ำสัน มีรอยสักที่แขนทั้งสองข้าง น่าจะสูงสัก 170 เห็นจะได้ เพราะเตี้ยกว่าเดียร์และผม

หน้าตายียวนกวนประสาทนั้นมีรอยยิ้มแสยะอยู่ตลอดเวลา เขาเจาะคิ้วด้านซ้ายใส่ห่วงไว้ ที่หูก็มีอีกสองสามรู เขามากับเด็กหนุ่มท่าทางอ้อนแอ้น ดูก็รู้ว่าเป็นกระเทย ส่วนอีกสามคนที่เหลือ เป็นหนุ่มกล้ามใหญ่ แต่ท่าทางตุ้งติ้งคล้ายผู้หญิง

เด็กหนุ่มโอบแขนเข้ารอบเอวผมโดยอัตโนมัติ ตาก็มองไปที่ชายคนนั้นไม่วางตา ตอนแรกคนพวกนั้นไม่ทันเห็นเราสองคน จนกระทั่งลงมาในเรือลำเดียวกันแล้ว พวกเขาจึงสังเกตเห็น ชายวัยรุ่นผมทองสะแหยะยิ้ม เมื่อเห็นพวกเราเข้า

“ว้าววววววว.......ไม่นึกไม่ฝัน ว่าจะได้เจอน้องเดียร์สุดหล่อที่นี่ มาเที่ยวหรือจ๊ะ มากับใครน่ะ หน้าตาคุ้นๆ หน้าหวานดีนี่ แนะนำให้รู้จักบ้างได้ไหม”

“อย่ามายุ่งเรื่องของชาวบ้าน แล้วก็ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าน้องดงน้องเดียร์อะไรนั่น แกกับฉันตัดขาดจากกันไปนานแล้ว”

เดียร์ส่งเสียงดุดันโต้ตอบ หน้าของเด็กหนุ่มบึ้งตึงไม่เป็นมิตร ผมมองหน้าผู้ชายคนนั้น พยายามนึกให้ออกว่าเป็นใคร ด้วยรู้สึกคุ้นหน้าเหมือนเคยเห็นที่ไหนสักแห่งมาก่อน

“อะไรกันเล่า ....น้องเดียร์ จะโกรธพี่ไปใย ที่พี่ทำไปก็เพราะรักเดียร์นะ รักมานานแล้ว จนอดใจไม่ไหว ก็เลยออกจะทำอะไรเกินเลยไปหน่อย.....”

ชายคนนั้นเดินเข้ามาหา เดียร์เลยผลักผมไปทางด้านหลัง แต่ผมตระหนักในอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ จึงยืนอยู่ข้างๆเด็กหนุ่ม ถ้าอยู่ในสภาพที่แข็งแรง ลำพังเดียร์คนเดียวก็อาจจะล้มคนพวกนี้ได้
ถ้าเกิดการวิวาทขึ้นมา แต่นี่เดียร์เจ็บขา ยังไม่หายดี อาจจะเพลี่ยงพล้ำ ผมเลยยืนเคียงข้างเขา หากมีอะไรที่ต้องช่วย จะได้จัดการได้ทันที

“ไม่หน่อยละมั๊ง.....สิ่งที่แกทำกับฉันมันเรียกว่า “ความเลว” แต่แกคงไม่รู้จักหรอก เพราะมันเป็นคำสามัญสำหรับแกไปแล้ว คนอย่างแกคุ้นกับคำนี้ จนไม่รู้จักว่า “ความดี”มันเป็นอย่างไร ทำให้แยกไม่ออกยังไงล่ะ”

เดียร์ยืนนิ่ง ไม่มีอาการตื่นกลัวชายคนนั้นกับพวกที่เดินล้อมเข้ามา จากพื้นที่ในเรือที่แคบทำให้เราไม่สามารถถอยไปไหนได้ ต้องเผชิญหน้ากันอยู่อย่างนั้น

“โอ้โฮ ด่าได้เจ็บปวดมาก ไม่นึกเลย ว่าน้องน้อยของฉัน โตขึ้นนอกจากจะหล่อเหลาเร้าใจได้ถึงขนาดนี้ แล้วยังปากดีอีกต่างหาก น่าสนใจกว่าแต่ก่อนอีก.....”



“หยุดเห่า หอน แล้วไปนั่งที่ได้แล้ว อย่ามาทำให้คนอื่นเขาต้องเดือดร้อนรำคาญใจเพราะแกเลยไอ้บอย.....”

“โอ้ย....ด่าอีกแล้ว เจ็บจริงๆ ....แต่ก็ดีใจนะ ที่น้องเดียร์ยังจำชื่อพี่ชายสุดที่รัก คนนี้ได้ แสดงว่ารสสวาทที่พี่ทำไว้ให้มันยังตราตรึงอยู่ในหัวใจใช่ไหม”

พูดจบนายบอยก็แหงนหน้าหัวเราะ เพื่อนที่มาด้วยอีก 4-5 คนก็หัวเราะตาม ผมสะดุดใจกับชื่อที่เดียร์เรียกชายผมทองคนนั้น ชื่อบอยเหรอ ผมมองหน้าผู้ชายที่หัวเราะราวกับขำเสียเต็มประดานั่น แล้วครุ่นคิด

สักพักผมก็นึกออก ใช่แล้วนายบอยพี่ชายที่คิดจะข่มขืนเดียร์คนนั้นนั่นเอง มิน่าผมถึงได้คุ้นหน้าเขานัก เหตุการณ์ที่มันผ่านไป 4 ปีกว่า มันนานมากจนทำให้ผมจำเขาไม่ได้ในทันที

“ฉันจำความเลวของแกได้ต่างหาก ไอ้สิ่งที่แกทำกับฉันน่ะ มันเรียกว่าความกักขฬะ ฉันไม่มีอารมณ์ร่วมไปกับแกหรอก มีแต่จะรู้สึกสังเวช และขยะแขยงตัวแกมากที่สุด แช่งชักหักกระดูกให้แกตายทุกวัน ไม่นึกไม่ฝันว่าจะมาเจอแกที่นี่ คนเลวๆแบบนี้มีแต่จะทำให้คนดีๆต้องเป็นทุกข์ใจ”

“แหมๆๆๆ....... ดูพูดเข้า ถึงพี่จะเลว จะชั่วอย่างไร แต่อย่างน้อยพี่ก็สามารถทำให้น้องเดียร์ได้รู้ใจตัวเองใช่ไหม ว่าจะเลือกทิศทางไหน
ตอนนี้เดียร์เองก็คงเป็นแบบเดียวกับพวกพี่ใช่ไหมล่ะ แถมซ้ำยังคบกับคนหน้าหวานได้ใจอีกต่างหาก นี่เมียหรือผัวของน้องเดียร์เล่าจ๊ะ……..
อย่าปฎิเสธเชียวนะ ผู้ชายสองคนที่ไปไหนด้วยกัน แถมยืนกอดกันกลมแบบนั้น ให้คิดเป็นอื่นไปไม่ได้หรอกนอกจากเป็นคู่เกย์กัน แต่น้องเดียร์ก็ตาแหลมมากนะที่คว้าคนหล่อๆแบบนี้มาได้”

ชายคนนั้นไม่พูดเปล่ากลับยื่นมือหมายจะสัมผัสใบหน้าผม แต่ก่อนจะทันถึงหน้า แขนนั้นก็ถูกจับบิดอย่างแรงด้วยมือของเดียร์ที่คว้าหมับทันควัน พร้อมตวาดดังลั่น
“อย่า เสื...ก ถ้าไม่อยากเจ็บตัว”

“โห ดุจริงๆเลย ปล่อยเถอะเดียร์ พี่บอยเจ็บนะจ๊ะ”

พี่ชั่วของเดียร์ทำหน้าเหยเก เหมือนเจ็บปวดแสนสาหัส เพื่อนๆคนอื่น ถลันจะเข้ามาช่วย แต่เมื่อเห็นหน้าถมึงทึงของเดียร์ก็หยุดชะงัก
เดียร์จับมือของนายบอยแล้วบิดไขว้ไปด้านหลัง เด็กหนุ่มอาจจะทำอะไรมากกว่านั้น หากไม่มีชายหนุ่มหญิงสาวอีกสองคู่เดินตรงมาที่เรือสปีดโบทที่จอดอยู่ ทำท่าเหมือนจะลงเรือเข้ามานั่งกับพวกเราด้วย

เดียร์เลยผลักชายผมทองจนเซถลาไปกระแทกเพื่อนๆจนเรือโคลง นายบอยรีบถลันลุกขึ้นมา ก็พอดีกับที่หนุ่มสาวสี่คนนั้นก้าวลงมาในเรือพอดี พี่ชายจิตทรามของเดียร์จึงได้แต่จ้องมองอย่างอาฆาตแค้น

เดียร์พาผมไปนั่งด้านในสุดทางด้านหัวเรือ แยกจากพวกนายบอย เขาพยายามเดินให้เหมือนปกติ คงเพราะไม่อยากให้พี่ชั่วของเขารู้ถึงอาการบาดเจ็บของตัวเอง เดี๋ยวจะกลายเป็นจุดอ่อนให้บอยกับพวกโจมตีเอาได้

เขาโอบกอดเอวผมไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้าง เกาะกุมมือผมไว้แน่น เหมือนจะปลอบประโลมผมว่าไม่ต้องกลัวคนชั่วคนนั้น เขาพร้อมจะปกป้องผม จะไม่มีใครทำอันตรายผมได้ น่าแปลกที่ผมเองก็รู้สึกได้ถึงความปลอดภัยเมื่ออยู่ใกล้เขา


เรือทยอยส่งผู้โดยสารไปเรื่อยๆ หนุ่มสาว 2 คู่ที่ลงเรือมาพร้อมกันกับเรา ลงที่หาดทรายแก้ว จึงเหลือผมกับเดียร์ และบอยกับเพื่อนนั่งเผชิญหน้ากัน ผมไม่รู้ว่าคนพวกนี้จะไปหาดเดียวกับเราหรือเปล่า ถ้าใช่การไปเที่ยวด้วยกันระหว่างผมกับเดียร์คงไม่สนุกแน่

สิ่งที่ผมกังวลใจ กลายเป็นเรื่องจริง เมื่อเรือจอดเทียบท่าที่อ่าวทับทิม กลุ่มนายบอย และเราสองคนก็ลงที่หาดนี้พร้อมๆกัน ผมเห็นนายบอยมองมาที่ผมอย่างมีเลศนัย

ผมรู้สึกไม่ชอบเลยกับแววตาแบบนั้น แต่ไม่ได้บอกให้เดียร์รู้ เพราะผมไม่อยากให้เด็กหนุ่มที่น่าสงสารนี้ไปมีเรื่องมีราวกับใครในวันเกิดของเขาเอง เขาควรจะฉลองวันเกิดอย่างมีความสุข

เมื่อขึ้นฝั่งได้ ผมกับเดียร์ก็เดินตรงไปที่บ้านพักที่ตั้งอยู่หน้าอ่าวทับทิม ก่อนจะขึ้นเรือเราโทรมาจองห้องไว้แล้ว มีห้องว่างเหลืออยู่หนึ่งห้องพอดี เพราะคนที่มาเช่าพักก่อนหน้านั้น ได้กลับออกไปตั้งแต่ตอนเที่ยง

ตอนที่ผมรับกุญแจจากพนักงานที่ดูแลเรื่องบ้านพักเพื่อไปเปิดห้อง พวกนายบอยก็เดินสวนเข้ามา ผมใจหายวาบนึกกังวลใจถ้าจะต้องพักใกล้ๆกับคนพวกนี้

แต่แล้วผมก็โล่งใจเมื่อพนักงานบอกว่า ห้องเต็มหมดแล้ว พวกนายบอยไม่ได้จองไว้ก่อน จึงไม่มีห้องให้ นายบอยถามว่า แถวนี้มีที่พักที่ไหนที่ยังไม่เต็มบ้าง พนักงานก็บอกว่าไม่รู้ ช่วงนี้ เป็นช่วงคริสต์มาสและใกล้ปีใหม่ แล้ว แต่ละหาดก็มีการจัดงานเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวในช่วงปลายฝน ต้นหนาวเพื่อเม็ดเงินจำนวนมากจะได้หลั่งไหลไปหล่อเลี้ยงชีวิตของผู้คนบนเกาะ
ที่พักอาจจะเต็มก็ได้ ให้ไปลองไล่ถามดู แต่ถ้าไม่ได้ที่พักจริงๆก็อาจจะนอนเต๊นท์ หรือไม่ก็ไปกลับโดยเรียกให้สปีดโบทมารับก็ได้
นายบอยท่าทางหัวเสียมาก หันไปเอะอะเอ็ดตะโรกับหนุ่มรูปร่างอ้อนแอ้นอรชรที่มากับเขาด้วย เป็นทำนองว่า ทำไมไม่จองที่พักเอาไว้ตั้งแต่แรก แล้วเย็นแบบนี้จะไปหาที่ไหน มิต้องตระเวนถามไปเรื่อยๆหรือ

เด็กหนุ่มนั่นก็เถียงนายบอยไม่ลดละ หาว่าเป็นเพราะนายบอยเองที่มัวแต่ชักช้า ไม่ได้ความ นอนตื่นสาย แล้วยังออกมาสาย ยึกยักว่าจะมาบ้างไม่มาบ้าง เอาแน่เอานอนไม่ได้ เขาก็เลยไม่จองไว้ ความผิดของตัวเองก็มีส่วนหนึ่ง จะมาโทษเขาคนเดียวได้ไง

ทั้งผมและเดียร์ไม่อยู่ฟังคนพวกนั้นทะเลาะกัน เราเดินลัดเลาะไปตามชายหาดจนถึงบังกะโลห้องพัก ไขกุญแจประตูแล้วเอาของเข้าไปไว้ พอจัดวางเสื้อผ้าข้าวของเสร็จ เดียร์ก็ดึงตัวผมไปโอบกอดไว้ในวงแขน พลางกระซิบปลอบขวัญ

“อย่าไปกังวลใจกับคนพวกนั้นเลยนะครับ ผมอยู่นี่ทั้งคน รับรองว่าคุณจะไม่มีอันตรายใดๆมาแผ้วพาน ผมไม่ให้พวกเขาทำร้ายคุณได้หรอก ต้องข้ามศพผมไปก่อน”

“ไม่เอาเดียร์ จะไม่มีการข้ามศพใครทั้งนั้น เพราะเราสองคนจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนพวกนั้น เข้าใจไหม ไม่คุ้มหรอกที่จะไปแลกกับคนพวกนั้น สู้อยู่ห่างๆดีกว่า เดี๋ยววันอาทิตย์ก็กลับแล้ว คงไม่ได้เจอหน้ากันอีกหรอก”

ผมตอบเดียร์ไปทั้งๆที่ใจหวาดหวั่น แต่ผมไม่อยากให้เดียร์รู้ว่าผมกังวลใจ เพราะเดียร์จะระมัดระวังมากขึ้นจนทำให้ไม่สนุก ผมอยากให้วันเกิดเขามีแต่ความทรงจำที่ดี เรามาอาศัยที่นี่เพียงแค่คืนเดียวแล้วก็กลับ ถ้าเราเลี่ยงที่จะไม่เจอกับคนพวกนั้น ปัญหาก็คงไม่น่าที่จะเกิด


“ไหน เจ้าของวันเกิด ลองบอกมาสิ วันนี้จะทำอะไร”

ผมเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากพูดถึงนายบอยอีก ใจคิดว่าพวกนั้นคงไปหาที่พักที่อื่นที่ไม่ใช่แถวบริเวณนี้แล้ว คงไม่มารบกวนเราสองคนอีก ดีไม่ดีหากหาที่พักกันไม่ได้ พวกนั้นอาจจะกลับกันคืนนี้เลยก็ได้

“เล่นน้ำ”

เดียร์ตอบกลับมา

“นี่มันมืดแล้วนะ ลงเล่นไม่กลัวเหรอ”

“ไม่หรอก ดีเสียอีก เล่นน้ำตอนมืดๆ จะได้แก้ผ้าเล่นสบายๆไม่ต้องอายใครเลย เรียวล่ะ อยากเล่นน้ำกับผมหรือเปล่า”

เด็กหนุ่มย้อนถามทำหน้ากรุ้มกริ่ม ผมหน้าแดงซ่านด้วยความอาย

“จะบ้าเหรอ ใครจะไปแก้ผ้าเล่นน้ำกับนาย ไม่ใช่เด็กๆ นายอยากทำก็ทำไปคนเดียวเถอะ”

พูดไปงั้นเอง ลงท้ายผมก็ต้องเดินตามเดียร์ต้อยๆลงทะเลไปอยู่ดี จริงๆแล้วไม่ได้นึกอยากจะเล่นน้ำตอนกลางคืนหรอก ผมคิดว่ามันอันตราย เนื่องจากมืด และมองไม่เห็น ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ใต้น้ำบ้าง

ทั้งโขดหินเอย หรือแม้แต่สัตว์น้ำต่างๆอย่างเช่นพวกหอยเม่น แมงกะพรุนไฟ ซึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจว่าจะมีหรือเปล่า เพราะห่างหายกับการเที่ยวทะเลมาเสียนาน

นอกจากนี้ยังอาจจะมีเศษสิ่งต่างๆที่ถูกน้ำทะเลซัดเข้าหาฝั่ง เช่นเปลือกหอยแตกๆ ปะการัง หรือขวดเบียร์ ขวดเหล้าที่ถูกโยนลงน้ำแล้วก็ลอยมาเกยชายหาด ความมืดอาจจะทำให้เราแยกแยะสิ่งต่างๆไม่ออก และก้าวพลาดไปเหยียบทำให้เกิดเป็นบาดแผล

ไหนจะความลึกตื้นของน้ำทะเลอีกล่ะ ชายหาดแต่ละที่ จะมีส่วนที่ตื้นลึกไม่เหมือนกัน ว่ายไปว่ายมาอยู่ดีๆ ขาอาจจะเหยียบไม่ถึงพื้น ผลุบหายไปเลยก็ได้

แต่เพราะใจนึกห่วงเจ้าเด็กลูกครึ่งเจ้าของวันเกิด ที่ทำตัวซ่าส์ไม่คำนึงถึงสังขารตัวเอง ทำให้ผมต้องยอมเล่นน้ำกับเขา กลัวว่าหากเจ้านี่เกิดเจ็บขาขึ้นมา หรือเป็นตะคริว แล้วใช้ขาสองข้างไม่ได้

เกิดจมน้ำทะเลไปจะว่าไง ยิ่งไม่มีใครเห็นก็จะขอความช่วยเหลือลำบาก ถ้าผมอยู่กับเขา เกิดอะไรขึ้นมา จะได้ช่วยกันทันท่วงที
น้ำทะเลตอนกลางคืนยามหน้าหนาว เย็นยะเยือก เล่นได้แป๊บเดียวก็ทนไม่ไหว ผมร้องบอกให้เดียร์หยุดเล่นแล้วกลับขึ้นบ้านพักไปอาบน้ำอาบท่า แล้วไปหาข้าวทานกัน

แต่เดียร์กลับติดลม ดำผุดดำว่าย ด้วยความสนุกสนาน ร้องบอกให้ผมว่ายไปกับเขาเหยงๆ ผมไม่ยอมตามไปกับเขาด้วย แต่เรียกให้เขากลับเข้ามา

พอเขาดื้อ ผมก็แสร้งทำเป็นงอนว่า จะหาเรือสปีดโบทกลับ ไม่อยากอยู่กับคนไม่เชื่อฟัง เด็กหนุ่มรีบโผเข้ามาหาผม แล้วกอดผมไว้แนบแน่น รีบอ้อนว่าขอแค่ห้านาที ให้เขาได้ดื่มด่ำกับการเล่นน้ำทะเลที่เกาะเสม็ดให้สาสมกับที่เขาอยากมาแต่ไม่มีโอกาส ครั้งนี้เป็นครั้งแรกของเขา รู้สึกตื่นเต้นมาก

ฟังเสียงอ้อนๆแบบนี้ กับได้เห็นท่าทีกระตือรือร้นแบบเด็กๆของเขา ผมก็ใจอ่อนในที่สุด เด็กหนุ่มเลยจูบผมเสียยกใหญ่เป็นการขอบคุณที่ผมใจดีกับเขา ผมตำหนิว่าเขาน่าไม่อายทำอะไรในที่สาธารณะ เขาบอกว่าไม่เห็นต้องอาย คนอื่นทำยิ่งกว่าเราสองคนอีก



พอเห็นผมทำหน้างงๆ เดียร์ก็เลยชี้ให้ผมดูเงาตะคุ่มๆในน้ำที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ผมกวาดตามองตามมือชี้ ก็เห็นว่าที่ด้านขวามือของผม มีคู่รักหนุ่มสาวกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่ในน้ำ ท่าทางไม่สนใจใคร เหมือนว่าในโลกนี้มีเพียงแค่เขาและเธอเท่านั้น

ผมเบือนหน้าหนี ไม่อยากมีส่วนรู้เห็นกับกิจกรรมทำรักในน้ำของคนทั้งสอง แต่พอหันไปด้านซ้ายมือ ผมก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นชายคู่หนึ่งกำลังทำอะไรบางอย่างที่เกินเลยกว่าการกอดจูบกันธรรมดา

เสียงครวญครางดังลั่นทำให้ผมเข้าใจในทันทีว่าพวกเขากำลังปฏิบัติกามกิจร่วมกัน ฝ่ายหนึ่งเป็นคนไทย อีกคนเป็นฝรั่ง ผมรีบหันกลับมาทันที ไม่อยากจะเชื่อว่าพวกเขากล้าทำอะไรกันในที่โล่งแจ้งเช่นนี้ เดียร์หัวเราะเบาๆ พลางจูบผมที่ข้างแก้มและซอกคอ แต่ผมขืนตัวหนี

“ทำไมล่ะครับ แบบนี้มันตื่นเต้นดีนะ ต้องคอยลุ้นว่าจะมีใครมาเห็นหรือเปล่า”

“ชอบเหรอ.....”

“ถ้าเรียวชอบ ผมก็ชอบครับ”

“ฉันไม่ชอบ....”

“ก็คิดว่างั้นแหละ ไม่งั้นเรียวจะหันหน้าหนีทำไม...”

“ฉันว่ามันเป็นเรื่องของคนสองคน ไม่ควรจะให้ใครได้มารับรู้ ไม่เห็นจะน่าตื่นเต้นตรงไหนเลย น่าละอายใจมากกว่า ที่จะให้ใครมาเห็นเราเปลือยทำอะไรกันอยู่ แต่คนพวกนั้นดูท่าทางเขาไม่เห็นจะกลัวว่าใครมาเห็นเลยนี่ เห็นยังทำกันเฉยเลย”

“คนบางคนก็ชอบโชว์นะครับ การที่มีคนอื่นมารู้มาเห็นทำให้อารมณ์ของพวกเขาพลุ่งพล่านถึงขีดสุด เขามีความสุขที่มีคนมองอ่ะครับ”

จบคำพูด เดียร์ก็พยายามจะจูบผมอีก แต่ผมผลักเขาออก แล้วเดินลุยน้ำหนีเข้าฝั่ง

“นายก็เป็นพวกชอบโชว์ด้วยล่ะสิ งั้นทำไปคนเดียวเถอะ ฉันจะขึ้นแล้ว”

“โธ่ ล้อเล่นนะครับ รอด้วยสิ ผมไปด้วย”

เดียร์รีบลุยน้ำตีคู่ขึ้นมากับผมจนกระทั่งขึ้นมาบนชายหาด ที่ทอดยาวออกไปไกลจากฝั่งพอประมาณ ตั้งใจว่าจะกลับบ้านพักไปอาบน้ำ แล้วก็ลงมากินข้าว มื้อนี้ผมขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงเอง แต่ยังไม่ทันถึงที่พัก เดียร์ก็ร้องเอะอะขึ้น มือลูบคลำที่คอตัวเอง

“สร้อย ....สร้อยที่เรียวให้ผม มันหายไปแล้วครับ สงสัยจะตกอยู่แถวชายหาดหรือไม่ก็ในน้ำ เดี๋ยวผมไปดูก่อน”

เด็กหนุ่มร้อนรน ทำท่าจะเดินจากไป

“ไม่เป็นไรหรอก แค่สร้อยเอง หายไปก็ช่างมันเถอะ”

“ไม่ได้หรอกครับ สร้อยเส้นนี้เป็นของที่แม่ของเรียวให้ไว้ แล้วเรียวก็ให้ผมมาอีกที เรียวบอกให้ผมรักษามันให้ดีๆเพราะเรียวรักมันมาก อย่าทำหาย ผมต้องรีบไปหามัน เพราะมันเป็นตัวแทนของเรียว คุณรอผมอยู่ที่นี่ก่อนนะครับ อย่าไปไหน เดี๋ยวผมมา แล้วเราค่อยกลับด้วยกัน”

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่18-19 20/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: nanalonely ที่ 20-01-2009 22:57:49
 :z13:พี่แอน


มีไปเทียวกันด้วย จะโรแมนติกป่าวว รอลุ้น

เอ๊ะ สร้อยของเรียวหายไปไหน

จะมีอะไรเกิดขึ้นไหมอ่ะ

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่18-19 20/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: fayossy ที่ 20-01-2009 23:15:36
แล้วจะหาสร้อยเจอมั้ยเนี่ย
มันมืดนะนั่นหน่ะ

เดียร์ก็เพิ่งจะหายป่วยเองนะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่18-19 20/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: the_pooh9 ที่ 21-01-2009 00:12:10
 :เฮ้อ: ดีกันแล้ว
แต่มีมารโผล่มาอีกละ

เดียร์นี่น่ารักดีอ่ะ ลองจิ้นว่าหนุ่มล่ำกับตาใส  :impress2: น่ารักๆ :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่18-19 20/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: SheRbEt ที่ 21-01-2009 02:49:40

กำกำ ไปคนเดียว เดี๋ยวเกิดเรื่องแน่

สาธุ อย่าเจอไอ้บอยเลย
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่18-19 20/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: โน๊อา ที่ 21-01-2009 07:38:05
โห ไต๋ ให้อ่านสะใจมากมาย


ขอบคุณนะ  o13
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่18-19 20/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 21-01-2009 15:08:20
จะห่วงเรียวหรือเดียร์กันดีล่ะงานนี้ เจ้าบอยจะย้อนกลับมาไหมนะ

ลุ้นอีกแหล่ะ.....
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่18-19 20/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 22-01-2009 14:49:14
เอาคนนี้มาให้ดูพอจะเป็นเรียวได้ป่ะ ขอความคิดเห็นนะ :z3:
ตัดสินใจไม่ถูก

(http://61.19.248.235/uploads/ebf224d315.jpg) (http://imagehost.compgamer.com/getimg.php?img=ebf224d315.jpg)
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่20 22/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 22-01-2009 15:25:02
บทที่ 20


เด็กหนุ่มเดินแกมวิ่งจากไป ผมเห็นเขาเดินไปทั่วหาดทรายแถวๆนั้น และเดินลึกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งแสงไฟจากชายหาดส่องผ่านไปไม่ถึง
ผมยืนมองจนกระทั่งเขาลับตาไป ตั้งใจว่า จะยืนรอจนกว่าเขาจะมาแล้วค่อยกลับบ้านพักพร้อมกัน แต่ลมทะเลที่พัดผ่านเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นที่ชุ่มน้ำของผม มันทำให้เกิดความหนาวสั่นขึ้นมา

ผมทนยืนรออยู่ประมาณ ครึ่งชั่วโมง ก็ยังไม่มีวี่แววเด็กหนุ่มจะกลับขึ้นมา แต่ผมก็ยังมองเห็นร่างตะคุ่มๆของเดียร์เดินค้นหาอยู่บริเวณหาดทราย
ความหนาวเย็นที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ผมตัดสินใจจะกลับบ้านพักไปอาบน้ำก่อน เดียร์คงไม่ว่าอะไร กว่าเดียร์จะขึ้นมา ผมก็คงอาบน้ำเสร็จแล้ว จะได้ไม่ต้องแย่งห้องน้ำกัน แล้วจะได้รีบลงไปทานข้าวก่อนที่ครัวจะปิด

ผมหันหลังเดินกลับขึ้นไป ตามทิศทางที่เป็นบ้านพัก รีสอร์ทที่พักของผมอยู่ห่างจากสถานที่ที่ลงมาเล่นน้ำพอสมควร ต้องเดินผ่านประมาณ 2 – 3 หาด

เสม็ดยามค่ำคืนมีกิจกรรมมากมายเหมือนเวลากลางวัน เพียงแต่ต่างกันออกไป บนหาดทราย มีร้านค้า เอาเสื้อมาปู มีเบาะนั่ง ตั้งโต๊ะเอาไว้ สำหรับให้คนมาพักรับประทานอาหาร

ในขณะที่เลยออกไปก็เป็นบาร์ชายฝั่ง ที่เปิดเพลงเสียงดังลั่นเพื่อเรียกนักท่องเที่ยวผู้รักเสียงเพลงและการเต้นรำ ให้เข้ามาร่วมสนุกกัน บางหาดเมื่อมองเข้าไปข้างใน จะเห็นร้านอาหารที่เปิดแบบโอเพ่นแอร์ ให้คนสัมผัสกับธรรมชาติ มีเพลงฟังเบาๆ แสงไฟสลัวลาง สร้างบรรยากาศ
ที่พักของผมอยู่ตรงหัวโค้งของหาด จะมีบางช่วงที่เวลาเดินผ่านมันจะมืดมิดไม่มีแสงไฟส่องมา ต้องอาศัยความสว่างของดวงจันทร์เพื่อนำทางไปสู่ตัวบ้าน

ผมเดินจ้ำอ้าวๆ ไปเรื่อยๆ ใจอยากไปให้ถึงที่พัก จังหวะที่ผมจะผ่านโขดหินที่อยู่ทางด้านซ้ายมือริมทะเล ซึ่งมืดพอสมควร เสียงกรีดร้องครวญครางดังลั่น ราวกับมีใครบางคนถูกทำร้ายก็ดังขึ้น ทำให้ผมต้องชะงักฝีเท้าที่กำลังจะเดินเงี่ยหูฟัง

สรรพสำเนียงที่ได้ยิน เป็นเสียงร้องของผู้ชาย ที่คร่ำครวญราวกับจะขาดใจ เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆและถี่ๆแต่กลับแปลกประหลาด แต่แรกผมคิดว่ามีใครขอความช่วยเหลือ

ทว่าหลังจากยืนฟังชั่วอึดใจหนึ่ง ผมกลับหน้าแดงก่ำ เมื่อรู้ว่า เสียงที่ได้ยิน เป็นเสียงครางของคนที่กำลังเสพสังวาสกัน ผมหันหน้าหนี แล้วรีบมุ่งตรงไปยังบ้านพัก แต่ระหว่างทางนั้น

ดูเหมือนเสียงร้องครวญครางเหมือนจะดังตามมาหลอกหลอน เพราะมันทำให้หูผมแว่ว ได้ยินเสียงคนครวญครางด้วยความสุขสมดังมาจากสองข้างทาง ตามโขดหิน พุ่มไม้ ไม่เว้นแม้แต่บนพื้นทราย ยิ่งทำให้ผมเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น อยากกลับคืนเรือนไวไว เพื่ออาบน้ำอาบท่า

ไม่อยากแอบดู ไม่อยากเห็นอะไรทั้งสิ้น นี่ถ้าผมเป็นคนขวัญอ่อนเสียหน่อย ได้ยินเสียงครวญครางแผ่วๆสลับกับโหยหวนดังลั่นในบางครั้ง ผมต้องวิ่งป่าราบเป็นแน่ เพราะนึกว่าเป็นเสียงผีป่า หรือภูติพราย
ยังไม่ทันจะถึงทางโค้ง ผมก็สวนเข้ากับคนคู่หนึ่งที่เดินตัดมาจากริมทะเลทางด้านซ้าย ซึ่งตรงนั้นมีโขดหินก้อนใหญ่บังตาอยู่
คาดว่าสองคนนี้ คงแอบไปทำกิจกรรมอย่างว่ากันและเพิ่งเสร็จ ผมเดินเลี่ยงคู่รักที่กำลังหยอกเย้ากระซิกกระซี้กันไปอีกทาง
ทว่าไม่พ้น เพราะสองคนนั้นปราดเข้ามาขวางทันที ผมชะงักกึก มองพวกเขาเขม็ง ดูจากท่าทางแล้วคงเมากันได้ที่ ทั้งเมาเหล้า และเมารัก

“จะเดินไปไหนหรือครับ.....เดินคนเดียวไม่เหงาเหรอ เราสองคนไปส่งให้ไหม”

หนึ่งในสองชาย ทักขึ้นด้วยเสียงที่บ่งบอกถึงอาการมึนเมา

“ไม่เป็นไรครับ จะถึงแล้ว ผมเดินไปเองได้”

ผมบอกออกไปอย่างสุภาพ ไม่อยากมีเรื่องมีราวกับคนเมา

“กลัวพวกผมสองคนเหรอ พวกผมใจดีนะ ...ไม่ต้องกลัวหรอก ผมไม่ทำอะไรหรอก”

อีกคนพูดขึ้นมา ท่าทางเมามายเหมือนกัน ผมปฏิเสธไปอีกครั้ง แล้วเดินเลี่ยงไปอีกทาง แต่มีมือหนึ่งมายื้อยุดฉุดแขนผมไว้

“โอ้โฮ ตัวเย็นเฉียบเลยนี่ครับ ไปลงเล่นน้ำมาเหรอ คงจะหนาวแย่ ไปกับพวกผมสองคนดีกว่านะครับ จะช่วยทำให้หายหนาว”

ชายขี้เมาคนแรกพยายามจะฉุดผมให้มาหาเขา แต่ผมสะบัดมือให้หลุดจากการเกาะกุม แต่มือเขาเหนียวยิ่งกว่ามือตุ๊กแกจับแน่นไม่ยอมปล่อย

“กรุณาทำตัวสุภาพหน่อยครับ ผมไม่ไปกับพวกคุณจะกลับบ้าน แฟนผมกำลังเดินตามมา หากมาเห็นพวกคุณทำตัวรุ่มร่ามกับผมแบบนี้ แฟนผมต่อยคุณน่วมแน่”

หลุดปากพูดออกไปแบบนั้น หวังจะขู่ให้ขี้เมาสองคนนี้กลัว ผมเม้มปากแน่น ลุ้นใจระทึกว่ามันจะได้ผลหรือไม่

“อื้ม มากับแฟนหนุ่มหรือครับ งั้นก็เป็นเกย์เหมือนพวกผมสิ ดีเลย กำลังหาคู่สวิงกิ้งกันพอดี มาร่วมกับพวกเราไหมครับ”

ชายคนที่ยื้อยุดฉุดแขนผมไว้ กล่าวเชิญชวนด้วยน้ำเสียงหื่นๆท่าทางจะไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว คงไม่ใช่พวกขี้เมาที่มาพลอดรักกันตามโขดหินธรรมดา อาจจะเป็นพวกคนร้ายอีกด้วย

ผมสะบัดมือหนี พร้อมดิ้นสุดแรง เมื่อไม่เป็นผล ผมจึงยกเท้าถีบคนที่จับมือผม จนกระเด็น ปล่อยมือออกทันที ผมรีบฉวยโอกาสนั้นหนีไปทางเรือนบ้านพัก พลางร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ

มีเสียงวิ่งไล่กวดและร้องเอะอะตามหลัง แต่ผมไม่หันไปมองวิ่งใส่ตีนหมาเต็มที่ ด้วยกลัวพวกนั้นจะตามทัน อารามรีบร้อนจึงไม่ทันเห็นร่างสองร่างที่เลี้ยวมาจากมุมมืดของต้นไม้และหยุดยืนทะมึนขวางทางเอาไว้

แสงไฟจากหลอดไฟฉายนีออน สาดส่องเข้าเต็มหน้าผมอย่างกระทันหัน ทำให้ผมตาพร่าต้องยกมือขึ้นบังดวงตา มีเสียงหัวเราะหึหึดังมาจากผู้มาใหม่ จากนั้นไฟฉายก็เลื่อนไปส่องพวกที่ตามไล่ล่าผมมา

“เกิดอะไรขึ้นเหรอวะ”
หนึ่งในสองของผู้ที่ขวางทางผมไว้ พูดขึ้นด้วยเสียงอันดัง ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยิน เริ่มรับรู้ได้ถึงภัยอันตรายที่กำลังจะมาเยือน เพราะคนข้างหน้าผม คือ นายบอย พี่ชายใจทรามของเดียร์ กับเพื่อนหนุ่มร่างอ้อนแอ้น

“อ๋อ...เราสองคนกำลังจะชวนหนุ่มคนนี้ไปเล่นเซ็กส์หมู่ด้วย แต่เขาทำหยิ่ง ไม่เล่นด้วย แถมซ้ำทำร้ายฉันอีกแน่ะ”

ขี้เมาสองคนนั้น ตามมาทันพอดี เขายืนอยุ่ทางข้างหลังของผม เจ้าคนที่ถูกทำร้ายฟ้องนายบอย ด้วยน้ำเสียงโกรธๆ มีเสียงหัวเราะเยาะหยันดังขึ้นมาอีกจากปากของนายบอย

“รู้ไหมว่าแกไล่ล่าใครมา .....พวกแกนี่มันเก่งจริงๆ รู้ไหมคนที่แกจะชวนเขาไปร่วมกิจกรรมด้วยก็คือ หนุ่มหน้าหวาน แฟนของไอ้เดียร์น้องชายสุดแสบของฉันไง .....

ขอบคุณพวกนายนะโว้ย ที่ต้อนหนุ่มคนนี้มาให้ ฉันจะได้ถือโอกาสนี้แก้แค้นไอ้น้องระยำของฉันสักที มันทำกับฉันแสบนัก มันก็ต้องรับกรรมอันนั้นด้วย”

นายบอยพูดด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียมจนผมอดเสียวสันหลังไม่ได้ นึกโกรธตัวเอง ที่ไม่ยอมรอเดียร์เลยต้องเจอเรื่องแบบนี้ ถ้าหากมาพร้อมกับเขา คนพวกนี้คงไม่กล้าทำอะไรแน่

แต่นี่มาคนเดียว แล้วคนพวกนี้ ก็ยืนล้อมกรอบแบบปิดทางผมจนหมด ดูท่าจะหนีไปไหนได้ยาก แถมซ้ำนายบอยยังจะมาพูดเรื่องแก้แค้นอะไรอีกด้วย

เขาอยากจะทำร้ายเดียร์โดยใช้ผมเป็นเครื่องมือ ซึ่งน่าจะมีวิธีเดียวคือลงมือข่มขืนผม แต่ไม่มีวันหรอก ผมยอมตายดีกว่า

“แล้วผมไปเกี่ยวอะไรกับพวกคุณด้วย ผมไม่ได้รู้จักกับพวกคุณเสียหน่อย หลีกทางไปเถอะ ผมจะรีบกลับไปบ้าน”

ผมพยายามพูดดีๆ ไม่แสดงความโมโห หรือ หวั่นกลัวให้เห็น นายบอยหัวเราะเยาะหยันอีกครั้ง ยืนปักหลักมั่น ไม่ยอมถอยไปง่ายๆ

“ทำไมจะไม่เกี่ยว แกเป็นแฟนไอ้เดียร์ แล้วมันก็ท่าทางว่าหวงแกมาก สงสัยจะรักแกมาก สิ่งใดที่ไอ้เดียร์รัก กูจะทำลายมันให้สิ้นซาก ให้สาสมกับที่มันบังอาจทำร้ายกู ”

ชายล่ำ ผมทอง พูดอย่างเหี้ยมเกรียม

“คุณแค้นนายเดียร์ที่เขาทำกับคุณ แต่คุณก็ทำกับเขาเจ็บแสบเช่นกัน ก็น่าจะหายกันไปแล้วนี่ จะมาจองเวรกันทำไม”

ผมกล่าวเตือนสติด้วยเสียงเรียบๆให้ดูเหมือนว่าคำพูดของนายบอย ไม่มีผลกระทบอะไรกับตัวผม แล้วสิ่งที่เขากล่าวหาเดียร์นั้น ก็น่าจะทดแทนสมน้ำสมเนื้อกันไปแล้ว

ถึงแม้ท่าทางภายนอกผมจะแสดงออกว่าผมไม่ได้กลัวเขาเลย แต่ในใจนั้นหวาดวิตก พูดไปก็มองหาทางเล็ดลอดออกจากกลุ่มคนพวกนี้
อยากให้มีพวกนักท่องเที่ยวเดินผ่านมา ผมจะได้ไปขอความช่วยเหลือ หรือไม่ก็ให้เดียร์รีบมาหาผมก็ได้ มีกันสองคน ย่อมดีกว่าอยู่คนเดียว ท่ามกลางคนชั่วร้ายทั้งหลาย

แสงไฟจากในมือนายบอยถูกส่องมาต้องหน้าผมอีก สักครู่หนึ่งเสียงหัวร่องอหายก็ดังขึ้น
“ว้าววววว ไม่อยากจะเชื่อเลย มึงนี่เอง.... พ่อหนุ่มหน้าหวานขวัญใจของเดียร์ที่ร่วมกันสร้างรอยแค้นให้กับกู
ตอนแรกคิดว่าเป็นแค่แฟนกันเฉยๆ แต่รู้สึกว่าคุ้นหน้าอย่างบอกไม่ถูก

หลังจากพยายามนึกตั้งนานว่ามึงเป็นใคร หน้าหวานๆนี่เคยเห็นที่ไหน ตอนนี้กูนึกได้แล้ว ที่แท้มึงก็คือฮีโร่ที่มาช่วยเดียร์ให้รอดพ้นเงื้อมือของกูในวันนั้นนั่นเอง

กูอุตส่าห์จะลากเดียร์กลับไปปล้ำ แต่ไอ้คุณมึงก็ดันกลับมาขวางทางแล้วคว้ามันขึ้นรถไป....”

ในที่สุดนายบอยก็จำผมได้ขึ้นมา มันสำรากใส่ผม ขึ้นมึงขึ้นกูอย่างหยาบคาย ผมสังหรณ์ใจอย่างบอกไม่ถูก ว่าต้องมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นกับผมแน่ๆ

“แค้นมากเลยนะที่มึงเข้ามาสอดเรื่องของชาวบ้าน แล้วไง ช่วยกันจนได้เป็นผัวเป็นเมียกันเลยหรือไง คงจะไปส่งกันแล้วก็สานสัมพันธ์กันต่อล่ะสิ น้ำเน่ามากๆ...

ไม่คิดว่าจะได้มาเจอกันที่นี่อีก สวรรค์ช่วยจริงๆ ทำให้กูได้มีโอกาสที่จะแก้แค้นคนที่ทำกับกู เจ็บแล้วต้องจำ ใครทำอะไรไว้ ต้องได้รับบทเรียน
ในเมื่อมึงทำให้กูพลาดไม่ได้ไอ้เดียร์เป็นเมีย มึงก็ต้องชดใช้ด้วยการต้องยอมเป็นเมียกูซะเอง แต่กูเป็นคนใจบุญศุนทานโว้ย มีอะไรแบ่งปันคนอื่น กูจะไม่ยอมสนุกกับหนุ่มหน้าหวานน่ากินทั้งเนื้อทั้งตัวอย่างมึงคนเดียวหรอก

แต่จะให้เพื่อนๆร่วมสนุกด้วย ดีใจไหมที่กูจะทำให้มึงได้ประสบการณ์แปลกๆ เอาแต่กับไอ้เดียร์คนเดียวจะมันส์อะไร ต้องมีบทเรียนให้มันหลากหลาย จะได้เก่งๆ วันนี้จะสอนเรื่องเซ็กส์หมู่ให้ รับรองจะต้องติดใจลืมไอ้เดียร์มันไปเลย”

สิ้นคำของนายบอย พี่ชั่วของเดียร์ก็ย่างสามขุมเข้ามา โดยมีพรรคพวกของเขาเดินบีบวงล้อมกรอบผมเข้ามาด้วย ผมกวาดตามองคนเหล่านั้น หัวสมองครุ่นคิดถึงทางหนีทีไล่

อย่างรวดเร็ว ผมยกเท้าถีบหนุ่มร่างอ้อนแอ้นล้มกลิ้ง ใจหนึ่งก็รู้สึกสงสารที่ไปทำคนอ่อนแอแบบนั้น แต่นั่นเป็นทางเดียวที่ผมจะแหวกวงล้อมออกมาได้

ผมถลาวิ่งออกออกไป ปากก็ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือไปพลาง ทว่าวิ่งไปได้สักระยะ ร่างหนาหนักร่างหนึ่งก็โถมเข้ามา จนผมผวากลิ้งไปตามพื้นทราย โดยมีร่างนั้นตามติดกอดรัดฟัดเหวี่ยงผมมาด้วย

ความที่กลัวว่าตัวเองจะตกเป็นเหยื่อความหื่นของนายบอยกับพวกทำให้ผมดิ้นรนต่อสู้เท่าที่แรงจะมีผมต่อย เตะถีบคนที่กอดผมพัลวัน
เมื่อไม่มีทางหลุดง่ายๆ ผมก็เงื้อมมือแล้วกำเป็นกำปั้นทุบลงที่เบ้าตาเพื่อนของนายบอย เจ้าหมอนั่นร้องโอ๊ย ปล่อยมือจากผมแล้วกุมเบ้าตาตัวเอง

ผมรีบถลันลุกขึ้น แต่ก็ต้องล้มฟาดลงกับพื้นอีกครั้ง เมื่อนายบอยพุ่งกระโจนเข้ารวบขาผมไว้ ผมพยายามยกเท้าถีบนายบอย แต่เขาก็ล็อคขาผมไว้แน่น

เพื่อนอีก 3 คนของเขาวิ่งกรูกันเข้ามา ชายตัวใหญ่คนที่ผมต่อยเบ้าตาเขายึดข้อมือผมไว้คนละข้างตรึงไว้กับเด็กหนุ่มร่างอ้อนแอ้นที่ก่นด่าผมไม่ขาดปาก อีกคนตรงเข้ามารวบขาผมไว้แทนนายบอย ซึ่งกำลังลุกขึ้น แล้วปลดกางเกงออกจากตัวอย่างรวดเร็ว

“ปล่อยนะ จะทำอะไรนะ ....พวกแกไม่มีสิทธิ์มาแตะต้องตัวฉันนะโว้ย”

ผมส่งเสียงดังลั่น พลางดิ้น เตะถีบเต็มที่ ความหวังที่จะมีคนมาช่วยเริ่มริบหรี่ เพราะผมทั้งวิ่งทั้งตะโกนตั้งนาน ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครได้ยินและโผล่เข้ามาช่วยเหลือ
“จะร้องโวยวายไปทำไม ถึงยังไงก็ไม่มีใครสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยหรอก ไม่เห็นหรือไง หลายคนเขาก็ทำกิจกรรมอย่างเดียวกัน อย่างดีถ้ามีคนเข้ามาเห็นเขาก็คงนึกว่าเล่นเซ็กส์หมู่กันเท่านั้น ใครจะอยากยุ่งเรื่องของชาวบ้านวะ จริงไหมพวกเรา”

นายบอยหันไปถามพรรคพวก ซึ่งก็ได้ยินเสียงตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน ซึ่งทำให้พี่ชายโฉดของเดียร์ย่ามใจ แหงนหงายหน้าหัวเราะเสียงดังลั่น ผมพยายามดิ้นรนอีก ปากก็ขู่พวกเขา

“เดียร์ไม่มีวันยอมให้แกกับพวกทำกับฉันแบบนี้หรอก”

“โอ๊ยยยยย งั้นเหรอ แล้วเดียร์สุดที่รักของแกไปไหนเสียล่ะ นอนอยู่ในบ้าน หรือไปคั่วหนุ่มคนอื่นแล้ว เห็นกอดกันกลมเมื่อตอนอยู่ในเรือ แต่ตอนนี้กลับมาทิ้งกัน

ป่านนี้คงนออยู่ในอ้อมกอดของใครแล้วมั้ง กว่าจะนึกขึ้นได้ ออกมาตามหา ก็สายไปเสียแล้ว แกคงเป็นเมียของฉันกับพวกไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว คนละหลายรอบแน่”

พูดจบก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาอีก ท่าทางรุ่มรวยอารมณ์ขันเหลือเกิน นายบอยปลดกางเกงในลงไปกองอยู่ที่พื้น แล้วยืนจังก้าเปลือยท่อนล่างตรงหน้าผม

“ดูสิ ว่าสวยงามน่ากินกว่าของไอ้เดียร์ไหม”

น้ำเสียงหื่นๆ กับกริยาท่าทางที่กักขฬะนั่น ทำให้ผมต้องเบือนหน้าหนี พี่ชั่วของเดียร์หัวเราะแล้วก้มตัวต่ำลงมา จากนั้นก็เอื้อมมาที่กางเกงขาสั้นของผมทำท่าจะปลดกางเกงออกจากตัว แต่ผมดิ้น เหวี่ยงแขนเหวี่ยงขาไปมา

ในที่สุดผมก็ดิ้นจนขาสองข้างหลุดจากมือคนตัวใหญ่ที่ยึดเท้าผมอยู่ จากนั้นผมก็งอเข่าขึ้นแล้วยันเปรี้ยงไปที่ใบหน้าของนายบอยที่กำลังก้มต่ำลงมา

ในจังหวะที่ทุกคนกำลังตื่นตะลึงที่เห็นพี่ชั่วของเดียร์ดิ้นเร่าๆเอามือกุมหน้า ทำให้การยึดเหนี่ยวผมทำได้หละหลวมจนผมสามารถสะบัดหลุดได้

ผมรีบพลิกตัวลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปจากที่นั่นได้ยินเสียงพี่ชั่วของเดียร์กรีดร้องเสียงดังลั่นอย่างคั่งแค้น ร้องตะโกนให้พวกเพื่อนของตัวเองไล่จับผมมาให้ได้

ผมตะเกียกตะกายวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต หวังจะไปให้ถึงบ้านเร็วๆ แต่โชคร้ายเป็นของผม เมื่อวิ่งมาได้สักระยะหนึ่ง เห็นแสงไฟหน้าบ้านพักรำไร แต่ผมไปไม่ถึง เมื่อปะทะเข้ากับร่างใหญ่ร่างหนึ่งเต็มแรงจนผมกระดอนไปอีกทาง

มือใหญ่มือหนึ่งก็คว้าคอเสื้อผมไว้ แล้วดึงกลับมาอย่างรวดเร็ว ผมดิ้นอึกอัก แต่ก็ไม่สามารถผลักไสร่างนั้นได้ ชายคนนั้นเอาแขนสองข้าง ล็อคแขนของผมไว้แน่น แล้วยืนรอจนกระทั่ง นายบอยและพวกอีก 3 คนตามมาทัน

“ขอบใจโว้ยที่มาทันเวลาพอดี ร้ายนักนะมึง ทำกูได้ นึกว่าจะหนีพ้นเหรอ ทำกูเจ็บแบบเดียวกับที่ไอ้เดียร์ทำกับกูเลย อย่างนี้มันต้องโดนให้สาสม”

สิ้นเสียงนายบอย มือใหญ่ๆก็ฟาดโครมลงมาบนใบหน้าของผมจนหันไปตามแรงมือ รู้สึกได้ถึงเลือดอุ่นๆที่ไหลซึมเต็มปาก แก้มเจ็บจนชาไปทั้งแถบ

“นั่นสำหรับที่มึงถีบหน้ากู และนี่สำหรับการเสือกไม่เข้าเรื่องของมึง”

หมัดลุ่นๆของนายบอยตุ๊ยเข้าที่ท้องผมอย่างจัง เล่นเอาจุกจนตัวงอไปหมด
“ขออีกทีเถอะ สำหรับความหมั่นไส้คู่รักของมึง ไอ้เดียร์ไอ้น้องเหี้.....”

นายบอยง้างกำปั้นซัดเต็มเข้าที่ท้องผมอีกครา ผมถึงกับทรุดฮวบลงกับพื้น สิ้นเรี่ยวแรงที่จะเตะถีบ หรือต่อสู้เพื่อให้ตัวเองรอด

ผมเอามือกุมท้อง พยายามกัดฟันตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน แต่ก็ถูกเตะล้มคว่ำลงไปอีก ผมลุกไม่ขึ้นอีกต่อไป ความเจ็บปวดรวดร้าวเกิดขึ้นทั่วสรรพางค์กาย จะร้องก็ร้องไม่ออก

ผมหลับตาลง น้ำตาไหลริน ไม่อยากรับรู้ชะตากรรมเลวร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเอง

แขนขาของผมถูกจับแยกไปคนละทาง และถูกตรึงด้วยมือที่แข็งแรงของพวกเพื่อนๆนายบอย โดยมีไอ้คนชั่วนั่งคร่อมอยู่บนตัวผม


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่20 22/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 22-01-2009 15:27:09
เสื้อผ้าถูกฉีกทึ้งไปออกจากตัว กางเกงขาสั้นถูกปลดลงด้วยฝีมือของปีศาจร้าย นายบอยกระชากปราการด่านสุดท้ายของผมจนขาดติดมือมัน เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งดังบาดลึกเข้าไปในความรู้สึก

ขาของผมถูกแยกกว้างและสะโพกถูกยกขึ้น พร้อมกับที่รับรู้ได้ว่ามีบางอย่างที่แข็งขึงเสียดสีอยู่กับซอกหลืบที่มีเพียงเดียร์เท่านั้นที่เคยได้สัมผัส และเจ้าสิ่งนั้นมันกำลังจะเข้ามาซ้ำรอยเดิมที่เด็กหนุ่มทำเอาไว้

ความรู้สึกอับอายที่ถูกหยามเกียรติโดยคนชั่วช้าสามานย์ ความเกลียดชัง ขยะแขยงที่ถูกผู้ร้ายใจทรามแตะต้องร่างกาย โดยไม่อาจจะต้านทานได้ทำให้ผมเป็นลมสิ้นสติ

แต่ก่อนที่สำนึกสุดท้ายจะจากหายไป ท่ามกลางม่านน้ำตาที่ทำให้ดวงตาพร่าเลือน ผมรู้สึกว่าร่างกายของผมถูกยกลอยขึ้น จากนั้นผมก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย

ตอนที่ผมลืมตาตื่นขึ้นมานั้น ผมเห็นเดียร์ฟุบหลับอยู่ข้างๆเตียงของผม โดยนั่งอยู่บนพื้นห้อง และซบศีรษะอยู่บนแขนของตนเอง

ผมขยับตัวลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบากด้วยจุกเสียดแถวบริเวณหน้าท้องและปวดเมื่อยเนื้อตัวไปหมด รู้สึกเจ็บบริเวณใบหน้าเมื่อลองเอามือคลำดูรู้สึกว่ามันบวมผิดปกติ แถมซ้ำยังมีความรู้สึกว่าตัวเองปากเจ่ออีกด้วย ผมสะอื้นในอก นายบอยกับพวกสร้างความเสียหายต่อร่างกายและจิตใจของผมอย่างยับเยิน

ผมนั่งซึมมองดูเดียร์อยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็เอื้อมมือมาลูบผมหยิกสลวยของเดียร์อย่างแผ่วเบาด้วยรู้สึกสงสารเขาจับใจ เด็กหนุ่มสะดุ้งเงยหน้าขึ้นมองเหมือนว่าเขาเตรียมพร้อมที่จะตื่นอยู่ตลอดเวลาที่มีการเคลื่อนไหวบนเตียง

“เรียวตื่นแล้วหรือครับ เป็นไงบ้าง หายปวดท้องหรือยังครับ”

เขาถามผมด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย ผมยิ้มให้เด็กหนุ่มแทนคำขอบใจที่เขาช่วยดูแลผม เดียร์ยิ้มตอบ แล้วลุกขึ้นมานั่งข้างๆผมบนเตียง

“ค่อยยังชั่วขึ้นมากแล้วล่ะ ปวดท้องหน่อยๆ แต่คงไม่เป็นอะไรมากแล้ว”

ผมโกหกเขา เพื่อให้เด็กหนุ่มสบายใจ แต่เดียร์ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูด

“นี่กลับมาบ้านแล้วเหรอ ใครพาฉันมา นายเหรอเดียร์”

แสร้งถามเขาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ไม่ให้เขาห่วงใยผมมากนัก

“ครับ”

“ฉันหลับไปนานเท่าไหร่แล้วหือเดียร์”

“2 วันครับ”
“จริงหรือ นานขนาดนั้นเลยเหรอ ฉันนึกว่าแค่คืนเดียวเสียอีก เลยต้องรบกวนนายพาเข้ามากรุงเทพเลย ฉันนี่แย่จริงๆ”

เดียร์ใช้สองแขนรั้งตัวผมมากอด โดยให้ศีรษะผมซุกซบกับไหล่ของเขา

“อย่าโทษตัวเองเลยครับเรียว ผมยินดีทำเพื่อคุณทุกอย่าง แค่นี้ไม่เหลือบ่ากว่าแรงของผมหรอก”

“แล้วไอ้คนชั่วพวกนั้นล่ะ”

อดไม่ได้ที่จะถาม อย่างน้อยๆผมก็อยากรู้ว่า หลังจากนายบอยกับพวกย่ำยีผมจนสาแก่ใจแล้ว มีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขาบ้าง มีคนแจ้งตำรวจไหม พวกนั้นถูกจับตัวไปลงโทษหรือเปล่า หรือว่าเดียร์แก้แค้นให้ผมแล้ว

เด็กหนุ่มมองตาผม ใบหน้าของเขาดูเศร้าหมอง กรามบดกันจนแก้มเป็นสันนูน ริมฝีปากเม้มแน่น มือกำแล้วคลาย คลายแล้วกำ อย่างคนที่พยายามควบคุมสติอารมณ์ของตัวเอง ผมรู้สึกหวิวๆคล้ายจะเป็นลมด้วยความกลัวเรื่องที่กำลังจะได้ยินจากปากของเดียร์ นึกกลัวว่าเรื่องมันจะร้ายแรงสาหัส กลัวว่าเดียร์จะเดียดฉันท์ในตัวผม เขาอาจจะไม่ต้องการผมอีกต่อไปในเมื่อผมผ่านผุ้ชายคนอื่นๆนอกเหนือไปจากเขา แต่เหนือความกลัวทั้งหมด คือความยากรู้อยากเห็น ต้องการได้ยินแม้ว่าสิ่งที่ได้รับฟังจะสร้างความปวดร้าวให้ผมมากมาย อย่างน้อยๆจะได้จัดการกับตัวเองได้ถูกว่าจะใช้ชีวิตไปแบบไหน

หลังจากนิ่งเงียบงันไม่พูดไม่จา เดียร์ก็เปิดปากเล่าถึงเหตุการณ์ต่อจากตอนที่ผมสลบไป เด็กหนุ่มเล่าให้ฟังว่า เขาสาละวนหาสร้อยอยู่เป็นนาน แต่ไม่เจอ จึงตัดสินใจเดินขึ้นฝั่งมาหาผม แต่ก็พบว่า ผมไม่อยู่ในบริเวณนั้นแล้ว ก็คิดในใจว่าผมกลับบ้านแน่นอน จึงมุ่งตรงไปยังบ้านพัก ได้ยินเสียงคนร้องตะโกนให้ช่วย คิดว่าหูแว่ว กำลังจะเดินผ่านไป แต่เสียงร้องที่ดังขึ้นมาอีกครา ฟังดูคล้ายกับเสียงของผม เดียร์หยุดยืนมอง ก็เห็นเงาตะคุ่มๆวิ่งไล่กวดกันไปตามชายหาด ไม่รู้มีลางบอกเหตุอะไร ทำให้เด็กหนุ่มฉุกคิดแว่บไปถึงผม และเกรงกลัวว่าผมจะเป็นอันตราย จึงแอบตามคนพวกนั้นมา จนกระทั่งเห็นคน

กลุ่มหนึ่งกำลังจะลงมือข่มขืนคนบางคนที่ตรงหาดทราย ลับหลังโขดหิน เสียงข่มขู่ด่าทอของนายบอย ทำให้เดียร์รู้ว่า คนที่กำลังถูกเล่นงานคือใคร

ด้วยความที่พวกนั้นกำลังสนุกอยู่กับการได้เล่นงานผม กับเสียงคลื่นที่ดังอยู่ใกล้ๆ และความเมามายจากการดื่มสุรา จึงทำให้พวกนั้นประมาท หลงลืมเรื่องการระแวดระวังภัย ไม่ทันได้สังเกตว่ามีแขกที่ประสงค์ร้ายต่อคนทั้งกลุ่มกำลังมาเยือน

เด็กหนุ่มฉวยท่อนไม้ขนาดใหญ่ ที่หักลงจากพายุพัด เป็นอาวุธคู่มือ ตอนที่เดินย่องไปยังสถานที่เกิดเหตุ และก่อนที่นายบอยจะยัดเยียดสิ่งเลวร้ายให้กับผม เดียร์ก็ถีบพี่ชายแสนชั่วล้มกลิ้งโค่โร่ลงกับพื้น แล้วตามไปกระทืบที่ใบหน้าและลำตัวของนายบอยจนสลบเหมือด จากนั้นก็ใช้ไม้ไล่ฟาดทุบตีทำร้ายพวกเพื่อนๆของนายบอยทุกคน แรงโทสะที่มีอยู่ ทำให้เดียร์จัดการกับคนชั่วพวกนั้นอย่างรุนแรงจนหมอบกระแตริมชายหาด




หลังจากที่แก้แค้นเอากับคนที่มันทำร้ายผมแล้ว เดียร์ก็แบกร่างที่สลบไสลของผมขึ้นหลัง พามาบ้าน ทำความสะอาดร่างกาย และบาดแผลให้ผม สวมเสื้อผ้าให้เสร็จจากนั้น ก็เดินไปยังทีทำการของรีสอร์ท ไปยืนเรียกตั้งนาน เพื่อที่จะแจ้งให้คนดูแลทราบว่ามีการทำร้ายกันเกิดขึ้น และผู้ร้ายนอนสลบเหมือนอยู่ริมหาด ให้แจ้งความจับไปดำเนินคดีได้ เดียร์ยังขอให้ทางพนักงานช่วยเรียกเรือสปีดโบทให้ด้วย เพื่อพาผมกลับเข้าฝั่งในคืนนั้น

เดียร์ขับรถพาผมซึ่งหมดสติอยู่กลับเข้ากรุงเทพเพื่อไปรักษาตัว เขาไม่วางใจโรงพยาบาลต่างจังหวัดว่าจะรักษาผมดีหรือเปล่า แถมซ้ำยังไม่อยากอยู่ใกล้ๆคนชั่วร้าย เพราะกลัวอดใจไม่ไหว ที่จะจัดการกับคนพวกนั้นอีก เขาบอกผมว่า อยากจะฆ่าพวกนั้นให้ตายเนื่องจากทำกับผมถึงขนาดนี้ เขาโกรธคนพวกนั้นมาก ถ้าพวกนั้นลอยนวลรอดคุกตารางมาได้ เจอที่ไหนเขาจะจัดการทันที

อันที่จริงอาการบาดเจ็บของผมไม่มากอะไรมาก แต่ผมกลับเป็นไข้หนัก เพราะแช่น้ำนานไปหน่อย ตัวเปียกๆรับลมเย็นในหน้าหนาว แถมถูกทำร้ายร่างกายมาเสียน่วม หมอตรวจดูแล้วบอกว่าไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล สั่งยาให้ไปทาน พักฟื้นสักวันสองวันก็คงหาย เดียร์จึงนำตัวผมกลับมาบ้าน แล้วก็อยู่ดูแลเฝ้าไข้ผมถึงสองวันสองคืนเนื่องจากผมนอนซมลุกไม่ขึ้น พร้อมกับโทรไปลางานให้ผมเสร็จสรรพ
สิ่งที่เดียร์บอกผม สร้างความรู้สึกโล่งใจให้อย่างบอกไม่ถูก ผมดีใจที่ตัวเองไม่ได้มีมลทินแปดเปื้อน ไอ้พวกบ้ากามนั้นยังไม่ทันได้ข่มขืนผมอย่างที่นึกกลัว เดียร์ช่วยผมไว้ได้ทัน แถมซ้ำยังเอาคืนคนพวกนั้นอย่างสาหัสพอกัน เขาช่างแข็งแรงเหลือเกิน ขนาดตัวเองบาดเจ็บอยู่ ยังซัดพวกนั้นเสียหมอบ หวังว่าพวกนั้นคงจะเข็ดและไม่กล้าตอแย เราสองคนอีก

“หิวไหมครับ เดี๋ยวผมทำอาหารอ่อนๆให้เรียวทานนะ เรียวทานแล้วจะได้ทานยา แล้วพักผ่อนต่อ จะได้หายไวๆไงครับ”

เสียงกระซิบแผ่วเบาของเดียร์ แม้มันจะดังแว่วๆอยู่ข้างหู แต่ก็สามารถปลุกให้ผมตื่นจากภวังค์

“ไม่ต้องลำบากหรอกเดียร์ เดี๋ยวโทรสั่งเขาเอาก็ได้ ขานายยังเจ็บอยู่ไม่ใช่เหรอ กะเผลกๆไปทำอาหารแบบนั้นได้ไง ขืนใช้ขามากๆ เดี๋ยวก็บวมไม่หายหรอก”

ผมบอกเดียร์ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน รู้สึกเกรงใจที่จะต้องรบกวนเจ้าเด็กบ้านี่ เนื่องจากตัวเขาเองก็ยังบาดเจ็บอยู่ แต่ยังมาพยาบาลผมอีก

“ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่นี้เอง ไม่เจ็บมากหรอก ผมทนได้ เรียวจำไม่ได้เหรอว่าผมแข็งแรงแค่ไหน ไม่งั้นผมจะแบกเรียวกลับมาที่กรุงเทพฯได้ไงล่ะ”

จริงสินะ เดียร์ต้องแบกผมขึ้นเรือทั้งๆที่ผมยังคงหมดสติอยู่ แล้วก็พาขึ้นฝั่ง จากนั้นก็ขับรถกลับมาส่งผมที่บ้านอีก เขาทำไปทั้งๆที่ขาเขายังเจ็บอยู่โดยไม่ได้นึกถึงตัวเองบ้างเลย เขาดีกับผมมากจริงๆ ไม่เคยมีใครดีกับผมเช่นนี้มาก่อนเลย

“โกหก.....ไหนดูข้อเท้าสิ”



“ไม่เป็นไรจริงๆนะ เชื่อสิ เดี๋ยวผมไปทำกับข้าวให้เรียวทานดีกว่าครับ สายแล้ว ”

เด็กหนุ่มรีบลุกขึ้น แล้วยืนเต็มฝ่าเท้า ผมเห็นเขาทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เหมือนร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งได้รับความเจ็บปวด แต่เมื่อเห็นผมจ้องมองอยู่ เดียร์ก็ทำเป็นฉีกยิ้มให้ผมเหมือนกับว่าเขาไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร จากนั้นเขาก็ รีบเดินเร็วๆจากไป
ดึกแล้ว ผมยังนอนไม่หลับ บนเตียงกว้าง มีผมนอนอยู่เพียงแค่คนเดียว ส่วนเดียร์ลงไปนอนที่โซฟาข้างล่าง ดูเขาเจียมเนื้อเจียมตัวมาก คงกลัวว่าผมจะโกรธและเกลียดเขาหากเขาดื้อดึงที่จะนอนด้วย เพราะผมได้ลั่นวาจาไว้แล้วว่าห้ามขึ้นมารบกวน ผมรู้สึกเหงาหงอยอ้างว้าง นึกอยากให้เดียร์มาอยู่ใกล้ ๆ บอกไม่ถูกว่าทำไมผมถึงต้องการเขานักหนา บางทีอาจเป็นเพราะผมเพิ่งผ่านเรื่องร้ายๆ โดยที่รอดมาได้เพราะเด็กหนุ่มคนนี้ ผมจึงมีความประสงค์ที่จะอยู่ใกล้ๆเขาเพื่อความอุ่นใจ

ด้วยความที่คิดถึงเดียร์ ทำให้ผมย่องลงบันไดไปเพื่อดูว่าเดียร์นอนแล้วหรือยัง ไฟในห้องรับแขกปิดหมดแล้ว แต่ตรงโซฟาที่เดียร์นอนประจำ มีโคมไฟเปิดอยู่ ผมพยายามย่องอย่างเงียบกริบไปดูก็เห็นเดียร์นั่งเอาขาชันขึ้นมา บนโต๊ะกลางมีอ่างน้ำร้อนควันพวยพุ่ง ผมมองเห็นเขากำลังเอาผ้าชุบน้ำร้อน มาประคบตรงข้อเท้า ซึ่งบวมเป่งแดงก่ำ เดียร์คงจะเจ็บมากแต่ไม่ปริปากออกมาให้ผมได้ยิน ผมมองภาพนั้นด้วยความสงสารเด็กหนุ่ม ขอบตาของผมร้อนผ่าว รู้สึกสะเทือนใจต่อสิ่งที่พบเห็น ภาพของเดียร์ที่ต่อสู้กับคนโฉดทั้งห้าเพื่อปกป้องเกียรติของผมแว่บเข้ามาในความคิด เดียร์บอกว่าทั้งเตะ ทั้งกระทืบคนพวกนั้น แสดงว่าเขาต้องออกแรงขามาก แถมซ้ำต้องมาแบกผมขึ้นหลังอีก ทำให้ขาของเด็กหนุ่มระบมขึ้นมา

“ทำตัวเป็นนักสืบหรือครับ”

อยู่ๆเดียร์ก็พูดทำลายความเงียบขึ้นมา ทำเอาผมสะดุ้งที่เขารู้ว่าผมมายืนแอบมองเขาอยู่ ผมกระพริบตาปริบๆ ไล่น้ำตาที่ดูเหมือนจะพยายามซึมออกมาให้กลับเข้าไปข้างใน

“มาดูคนโกหก หลอกลวงตลอดเวลา”

ผมพยายามบังคับตัวเองไม่ให้เสียงสั่นขณะกล่าวหาเขา ด้วยกลัวว่าเด็กหนุ่มจะจับได้ ว่าผมกำลังหวั่นไหวกับสิ่งที่ได้เห็น เดียร์ทำหน้าอายๆ แล้วพูดอ้อนๆกับผม

“ขอโทษทีครับ ผมไม่อยากหลอกนะ แต่ว่า แค่ไม่อยากให้เรียวกังวลใจนะครับ”

“ เจ้าเด็กบ้า.......”
ผมทำเสียงดังใส่เขา แล้วเอื้อมมือหมายจะเขกกะโหลกเดียร์แรงๆอย่างที่เคยทำเวลาที่หมั่นไส้เขามากๆ เจ้าเด็กบ้านั่น ทำคอย่นก่อนที่มะเหงกของผมจะสัมผัสศีรษะเขาเสียอีก ผมเปลี่ยนใจไม่ทำร้ายเขา แต่เอามือลูบศีรษะที่ปกคลุมด้วยเรือนผมหนาหยิกสลวยนุ่มมือของเดียร์อย่างแผ่วเบา แล้วดึงเข้ามาหาตัว พลางพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ ถึงฉันจะรู้สึกดีที่มีนายมาคอยดูแล แต่ถ้านายต้องเจ็บตัวเพราะฉันบ่อยๆ ฉันก็ไม่มีทางสบายใจได้หรอก”

ผมต่อว่าด้วยเสียงดุๆ เดียร์มองสบตาผมแล้วส่งยิ้มอ้อนๆมาหา



“สำหรับเรียวแล้ว ผมยินดีทำให้ทุกอย่างเลยครับ”

“ไม่ต้องพูดมาก ไหนดูขาสิ”

เด็กหนุ่มยื่นขามาให้ผมดูแต่โดยดี ผมมองขาที่บวมเป่งนั่นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะดุเขาอีก

“โห บวมขนาดนี้เชียว บอกแล้วว่าอย่าเดินมาก แล้วก็เลิกทำโน่นทำนี่เสียที นอนพักผ่อนซะบ้าง ขาจะได้หาย”

“ไม่ได้หรอกครับ นอนมากๆก็รู้สึกเบื่อ ทำโน่นทำนี่มันก็เพลินดี”

“เอาล่ะ เอาเป็นว่าฉันสั่งก็แล้วกัน”

ผมสรุป แต่เดียร์ทำท่าทางให้รู้ว่าไม่เห็นด้วย

“แล้วใครจะช่วยทำกับข้าว ให้เรียวอ่ะ ไหนจะงานบ้านอีก”

“แหม ฉันทำได้หรอกน่า ก่อนหน้านั้น ฉันก็ดูแลทำความสะอาดบ้านเอง ถึงตอนนี้จะมีนายมาคอยช่วยเหลือ แต่นายเป็นแบบนี้ แล้วฉันจะยังมาเห็นแก่ตัวใช้นายทำคนเดียวได้ยังไงกันล่ะ”

ผมบอกเขาด้วยความรู้สึกจากใจจริง เดียร์มองผมด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความรักอย่างลึกซึ้งที่มีต่อผม ก่อนจะพูดกับผมยืดยาว ทว่ากินใจ

“คร้าบบ ผมรู้ว่าเรียวเคยทำ และทำได้ แล้วเรื่องทำกับข้าวล่ะ เรียวทำกับข้าวกินเองไม่เป็นนิ่นา แล้วผมก็ชอบทำกับข้าวให้เรียวทานด้วย เรียวรู้ไหมครับ เวลาที่ผมเดินไปตลาด หรืออยู่ในซุปเปอร์มาร์เกต ผ่านร้านอาหาร หรือ ร้านขนมร้านไหน ผมจะคิดถึงเรียวตลอดเวลา อยากจะซื้อให้คุณได้ลองชิมลองทานบ้าง คิดในใจว่าจะอร่อยไหมน้า คุณจะชอบทานไหม ยามผ่านพวกของสด หมู เห็ด เป็ด ไก่ ใจก็จะคอยแต่คิดว่า มื้อกลางวัน หรือมื้อเย็นนี้จะทำอะไรให้คุณทานดี ต้ม ผัด แกง ทอด อะไรที่เรียวน่าจะอยากทานมากกว่ากัน..........

............ตอนที่ผ่านร้านหนังสือ ก็อดไม่ได้ที่จะตรงไปยังมุมหนังสือทำอาหาร จะไปเปิดดูว่า มีอาหารอะไรแปลกๆใหม่ๆบ้าง อันไหนหน้าตาท่าทางน่ากิน ผมก็จะจดสูตรเอาไว้ เอามาลองทำจนแน่ใจว่ามันอร่อยจริง ถึงได้ลงมือปรุงให้คุณกิน อยากทำโน่น อยากทำนี่ให้เรียวทานตลอดเลย ตอนที่ทำกับข้าว หน้าของเรียวจะลอยอยู่ตามกระทะ ตามหม้อแกง ตามอ่างล้างผัก ในจานในถ้วยก็มีหน้าเรียวลอยอยู่ ผมน่ะคิดถึงหน้าคุณเสมอ อยากรู้ว่า เมื่อผมทำอาหารให้คุณทานแล้ว มันจะถูกปากคุณไหมหนอ เรียวจะชอบสิ่งที่ผมทำไหม เรียวจะทานมันจนหมดหรือเปล่า ทานแล้วจะนึกถึงคนทำบ้างไหม เรียวจะรู้ไหมว่า ผมทำทุกอย่างให้เรียวด้วยความรัก ..........

.........อาหารทุกจาน ผมใส่หัวใจของผมลงไปด้วย ยิ่งรักเรียวมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องทุ่มเทฝีมือตัวเองลงไปมากยิ่งขึ้นเท่านั้น เพื่อที่ว่า ถ้าเรียวชอบอาหารที่ผมทำ เรียวจะได้เผื่อแผ่ความชอบนั้นมาถึงผมบ้าง ไม่ใช่แค่เฉพาะการทำอาหารให้คุณทานเท่านั้นนะครับ ทุกๆอย่างที่ผมทำให้เรียว ผมทำด้วยความเต็มใจ อยากเห็นคุณมีความสุข ถ้าคุณรู้สึกดีกับมัน ผมก็รู้สึกปลาบปลื้มตามไปด้วย นี่เป็นวิธีการแสดงออกในเรื่องความรักของผมที่มีต่อคุณ ว่าผมรักเรียวมากมายแค่ไหน....”

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่20 22/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 22-01-2009 15:30:53
 :เฮ้อ: แปลกเน้อทำมััยใครๆก็ไม่ชอบคนดี :z3:
เกิดเป็นคนดีนั้นแสนลำบาก  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่20 22/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 22-01-2009 16:41:49
 :เฮ้อ:

โล่งอก  นึกว่าเดียร์  จะมาช่วย เรียวไม่ทันซะแล้ว   

หวังว่า เรียวจะใจอ่อนลงอีกหน่อยนะ

เดียร์สู้ๆ :กอด1:

ปอลอ  +1 ให้คุณไต๋  โทษฐานขยันลง
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่20 22/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: โน๊อา ที่ 22-01-2009 17:31:58
โอย ลุ้นแทบตาย
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่20 22/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 22-01-2009 21:07:55
 :L1: ให้พี่แอน
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่20 22/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: the_pooh9 ที่ 23-01-2009 01:34:05
 :serius2: ถ้าเดียร์มาไม่ทัน ก็กะจะมะอ่านแล้ว เศร้ามากมาย อดเที่ยวเลย

 :z6: ฝากให้ไอ้พี่บอย สัก 3ดอก มาทำกับ เรียวจัง ได้ นิสัย   :beat:


เออ รูปที่ว่าเหมาะ ที่จะเป็นเรียวไหม ไม่ค่อยชอบอ่ะ ดูล่ำไปไหมอ่ะ

ขนแขน แล้วก็ ขนหน้าแข้งเยอะด้วยอ่ะคร้าบ    :z1:


 :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่20 22/1/09
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 23-01-2009 10:05:08
ขอบคุณคนโพสที่ขยันลงให้สม่ำเสมอ..

ส่วนรูปเรียวรูปแรกที่เคยลง น่ารักน่าถนอมกว่าค่ะ...

เหมาะที่จะให้เดียร์หลงรัก...รูปล่าสุดดูล่ำเกินไป ตัวใหญ่ไปค่ะ

..........
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่21 23/1/09 เอาหนูเดียร์มาให้ชมอีกละ
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 23-01-2009 15:53:35
บทที่ 21

คำพูดเหล่านั้นแล่นผ่านจากหูเข้าสู่สมอง นำความรู้สึกเต็มตื้นด้วยความสุขมาสู่จิตใจผม เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้ ช่างมีความรักภักดีให้กับผมอย่างมั่นคงไม่มีเปลี่ยน เขาทำทุกอย่างให้ผมด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ ความรักที่เดียร์มอบให้กับผมนั้นช่างเปี่ยมค่าและมากล้นไปด้วยความหมายเสียจริง จนผมเองยังนึกละอายที่มองผ่าน และไม่เคยเห็นค่าความรักของเขา

“นายดีกับฉันจริงๆ ทำอะไรให้ฉันตั้งมากมาย แต่ฉันไม่เคยทำอะไรให้นายเลย”

ผมรู้สึกผิดจริงๆที่รับหลายสิ่งหลายอย่างจากเขามากกว่าการให้ เด็กหนุ่มยิ้มหวานให้ผม ท่าทางเข้าอกเข้าใจ

“ผมทำให้เรียวเพราะว่าผมรักคุณไงครับ ตอนนี้ เรียวอาจจะยังไม่รักผม ผมก็ไม่ว่าอะไร ไม่เร่งรีบ เรียวไม่พร้อมก็ยังไม่ต้องให้ในสิ่งที่ผมขอก็ได้ ผมน่ะเข้าใจเรียวนะ อยากให้เวลาเรียวในการคิดตัดสินใจ เพราะมันคือชีวิตทั้งชีวิตของเรียว สำหรับผมน่ะ แค่เรียวมองผม ด้วยสายตาที่อ่อนโยนแบบนี้ ผมก็รักคุณจนจะแย่อยู่แล้ว”

รู้สึกแน่นหน้าอกอีกแล้ว ไอ้อาการเจ็บแปลบทุกครั้งที่เดียร์พูดให้ผมสะเทือนใจ มันเกิดขึ้นบ่อยครั้งในระยะ 2 เดือนที่ผ่านมา ผมจะทำอย่างไรดี ผมจะรับมืออย่างไรดี กับพลังแห่งความรักของเดียร์ ที่โถมใส่ผมไม่ยั้ง ดุจดังพายุที่โหมกระหน่ำระลอกแล้วระลอกเล่า จวนเจียนที่กำแพงหัวใจของผมจะพังลง ผมเจ็บปวดกับความรู้สึกนี้หรือเกิน ทำไมผมต้องมาเจอกับสถานการณ์ที่ทำให้ลำบากใจแบบนี้ด้วยนะ

เดียร์โจมตีผมทุกวัน อาวุธของเขาคือ ความจงรักภักดีที่มีต่อผม เขาช่างน่ารัก เหลือเกิน เจ้าเด็กปีศาจนั่นมอบความรักให้กับผมอย่างมากมาย เดียร์ทำอะไรให้ผมหลายอย่าง ผมเพิ่งจะรู้ตัวว่าผมเองมีความสุขแค่ไหนที่ได้อยู่กับเขา ผมโหยหาเดียร์ตลอดเวลาทั้งหลับและตื่น พึงพอใจกับอาหารที่เขาทำให้กิน ชอบทุกสิ่งที่เขาทำให้ ไม่ขัดขืนเวลาที่เขาขอมีอะไรด้วย ตอบสนองเขาแทบทุกครั้งไม่เคยเกี่ยงงอน นี่ผมคงหลงรักเดียร์เข้าให้แล้ว ผมรักเขาจนหมดหัวใจ แต่ผมไม่กล้าที่จะใช้ชีวิตอยู่กับเขา ผมกลัวการพิพากษาของสังคม พอๆกับที่ผมกลัวหัวใจตนเอง

นี่ผมคงจะกลับไปเป็นนายเรียวคนเดิมอีกไม่ได้แล้ว ผมไม่มีความรู้สึกอยากจะมีอะไรกับผู้หญิงอีกต่อไป ดูหนังโป๊ชายหญิง ผมก็ไม่เกิดอารมณ์ เริ่มที่จะใส่เสื้อออกแนวหวานๆตามที่เดียร์เลือกซื้อให้ เวลาเขาขอ จูบ ขอกอดผม เดินจูงมือในที่

สาธารณะ ผมก็ปฎิเสธเขาไม่ลง ด้วยหาเหตุผลไม่เจอว่าทำไมต้องปฏิเสธเด็กหนุ่มที่น่ารักอย่างเขาด้วย ไอ้เด็กบ้าเอ๊ย ผมรักเขาเหลือเกิน รักเขาจนหมดหัวใจแล้ว โง่มากที่มายุ่งกับผมเนี่ย ไม่รู้เหรอว่าเวลาผมรักใคร ผมมักจะทำให้มันเสียเรื่องเสมอ ผมไม่อยากเสียเขาไปเลย แต่หลายอย่างก็ส่อแววว่าเราจะไปกันไม่รอดจริงๆ

“เลยกลายเป็นว่า วันเกิดนายกลับต้องมามีเรื่องยุ่งๆไม่ได้ฉลองวันเกิดเลย”



ผมเปลี่ยนเรื่องพูดให้ใกลตัว เด็กหนุ่มทำหน้าเศร้า เมื่อพูดถึงการพลาดโอกาสที่จะได้ฉลองวันเกิดของตัวเอง และวันคริสต์มาสไปพร้อมๆกัน

“นั่นสินะครับ ปีหนึ่งก็มีวันพิเศษแค่หนเดียวเท่านั้น พลาดไปแล้วก็ต้องรอไปปีหน้าเลย อันที่จริงผมอยากทานเค้ก เป่าเทียนวันเกิด ร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์กับเรียว แต่สงสัยต้องรอคราวหน้าแล้วมั๊ง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสหรือเปล่า สัญญามันสิ้นสุดลงเสียก่อน แล้วไม่รู้ว่าผมจะสามารถทำให้เรียวมารักผมได้หรือเปล่า ถ้าไม่ได้ ช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองมันก็หมดไปแล้วล่ะ”

เด็กหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ ผมมองหน้าอ่อนเยาว์ที่หมองลงนั้นอย่างนึกสงสาร แล้วผมก็ตัดสินใจทำบางสิ่งบางอย่างที่ผมใคร่ครวญแล้วว่าเป็นเรื่องที่สมควรทำ

“ถึงแม้จะไม่มีเค้กให้ฉลอง แต่นายก็สามารถกินตัวฉันได้นะ”
ผมเอ่ยกับเด็กหนุ่มพลางก้าวมายืนตรงหน้าเดียร์ที่นั่งอยู่บนโซฟา ผมถอดเสื้อออกจากตัว แล้วปลดกางเกงนอนของตัวเองลงกองกับพื้น ร่างเปลือยเปล่าของผมอยู่ตรงหน้าเดียร์ รอเวลาที่เขาจะละสายตาจากการประคบผ้าร้อนใส่ขาตัวเองขึ้นมองผม พยายามข่มความอายที่ทำท่าเหมือนเชิญชวนให้เขามามีเพศสัมพันธ์กับตนก่อน ทั้งที่แต่ไหนแต่ไรมา ผมเป็นฝ่ายหนีเดียร์เสียแทบทุกครั้ง

หลังจากเหตุการณ์ร้ายที่เพิ่งผ่านไปสดๆร้อนๆ ทำให้ผมฉุกคิดได้ว่า ชีวิตคนเราเอาอะไรแน่นอนไม่ได้ วันนี้มีความสุขดี แต่วันหน้าอาจจะมีทุกข์ถนัด การจะทำอะไรควรนึกถึงจิตใจของตัวเองเป็นหลัก สิ่งไหนที่มีทำแล้วมีความสุข และไม่มีใครเดือดร้อนก็ทำไป หากไปยึดติดกับกรอบประเพณี สังคม หรือคำพูดของคนอื่นเกินไปนัก เวลาพลาดขึ้นมาก็จะต้องมานั่งเสียใจที่ไม่เชื่อความรู้สึกของตัวเอง

ตอนแรกผมมัวแต่หวงตัวกับเดียร์ ไม่อยากให้เขาแตะต้อง ทั้งที่มีความสุขทุกครั้งที่เดียร์มีสัมพันธ์ทางเพศกับผม เพราะคิดว่าเป็นผู้ชายด้วยกัน ความห่วงใยชื่อเสียงของตนเอง และหวั่นคำครหานินทาทำให้ผมแสดงท่าทีเฉยชาใส่เขา แต่แล้วผมก็เกือบจะเสียท่าให้กับคนพาล มาคิดดูแล้วถ้าจะต้องเสียให้กับคนแบบนั้น สู้ยอมมีอะไรกับเดียร์ด้วยความเต็มใจดีกว่า
เดียร์มองผมด้วยแววตาที่เข้าอกเข้าใจ เขาส่ายหน้าปฏิเสธแล้วบอกกับผมว่า

“เรียวไม่ต้องขอบคุณผมแบบนี้ ก็ได้ครับ ผมเข้าใจดี อันที่จริง ผมชอบที่จะมีอะไรกับเรียว แต่อยากให้เรียวเต็มใจมากกว่าที่ต้องยอมเพราะสถานการณ์บีบบังคับนะครับ”

“แล้วใครบอกว่าฉันไม่เต็มใจล่ะ”

ผมบอกเขายิ้มๆ

“จริงหรือครับ”

เด็กหนุ่มทำตาโต ผมพยักหน้าเป็นเชิงยอมรับ ผู้ชายที่ผมควรจะมีอะไรด้วยควรจะเป็นเดียร์เท่านั้น

“นายเคยขอของขวัญวันเกิด เป็นร่างกายของฉัน แล้วฉันก็ให้แล้วไง ถ้าไม่อยากรับก็ได้”

ผมก้มลงจะคว้ากางเกงมาสวม แต่เดียร์ยื่นมือมารัดร่างผมไว้แนบอกของเขา



“รับสิ ทำไมจะไม่รับล่ะ ว่าแต่เรียวยอมเป็นขนมเค้กวันเกิดให้ผมลิ้มชิมรสหรือครับ ช่างเป็นเค้กที่แสนหวานจริงๆ ถ้างั้นผมขอเป่าเทียนวันเกิดเลยนะครับ”

สองมือของเด็กหนุ่มประคองใบหน้าของผมไว้ ผมเห็นแววตาเจ็บปวดของเดียร์เมื่อมองใบหน้าบวมแดง และปากที่เจ่อของผมอันเนื่องมาจากฝีมือของพี่ชายแสนชั่ว เดียร์ไล้มือใหญ่ไปบนใบหน้าของผมอย่างทะนุถนอมก่อนจะก้มมาจูบผม เขาทำอย่างแผ่วเบามากเพื่อไม่ให้ผมเจ็บปวดไปมากกว่าเดิม เดียร์เลื่อนจมูกและปากมาแถวซอกคอ เขาจูบซุกไซร้สูดดมเรือนกายของผมเลื่อนต่ำลงมาจนถึงยอดอกและดูดเน้นที่ตุ่มเนื้อไวต่อการสัมผัสของผม จนต้องแอ่นตัวเข้าหา เขาไล้ลิ้นต่ำลงมาเรื่อยๆจนกระทั่งถึงกลางลำตัวของผม ริมฝีปากอุ่นๆโอบอุ้มน้องชายตัวน้อยของผมไว้ในปาก เด็กหนุ่มปลุกเร้าแก่นกายนุ่มของผมจนฉ่ำเยิ้มไปด้วยน้ำใส ผมครางอื้ออึงด้วยความสุขสม เดียร์ถอนริมฝีปากออก ยิ้มให้ผมจนตาหยี

“น้ำตาเทียนของเรียวนี่ รสละมุนจริงๆ สมกับเป็นเทียนชั้นดีเลยนะครับ แต่ว่า ...เรียวครับ ตามปกติ ต้องปักเทียนให้เกินกว่าอายุจริงไม่ใช่เหรอ ผมอายุ 19 แล้ว ต้องได้เป่าเทียน 20 เล่ม งั้นแปลว่ายังเหลืออีก 19 ครั้งนะครับ”
ผมส่ายหน้า ไม่ยอมโอนอ่อนไปกับคำหยอกล้อเล่นๆนั้น เดียร์ทำปากยื่น บอกว่าวันเกิดเขาทั้งทีก็น่าจะตามใจหน่อย ในเมื่อจะให้ผมเป็นของขวัญวันเกิดแล้ว ก็น่าจะให้ผมได้ทำเต็มที่ ถ้าไม่ให้ทำกับน้องชายอีก ก็ขอให้เขาได้เข้ามาอยู่ในตัวผมอีกสักครั้ง ผมไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่ถามเขาเสียงนุ่ม

“จะเจ็บขาหรือเปล่าถ้าทำแบบนี้”

“ก็คงจะมีบ้าง...ถ้าต้องยืนนานๆ หรือใช้บางท่าที่ไม่เหมาะสม..... เรียวห่วงผมหรือครับ”

ผมพยักหน้า

“แต่มันก็มีอีกวิธี ที่เรียวจะช่วยผมได้ แต่ว่าเรียวต้องร่วมมือกับผมด้วยนะ ตกลงไหม ถ้าทำแบบนี้แล้ว ผมก็จะไม่ปวดขาด้วยครับ”

ผมไม่ตอบ แต่เดียร์ก็สามารถรับรู้ได้จากดวงตาของผม เขากอดจูบผมอีกครา เราต่างคนต่างแลกจูบที่ดูดดื่มให้แก่กันและกัน จากนั้นเด็กหนุ่มก็ให้ผมลุกขึ้นส่วนเขาจัดการถอดเสื้อผ้าออกจากตัวจนเปลือยเปล่าแบบเดียวกับผม เขาดึงตัวผมเข้ามาหาและปลุกเร้าน้องชายผมอีกครา ในขณะที่มือคลึงเคล้าก้นของผมก่อนจะแหวกทางออกจากกัน เดียร์ดูดนิ้วกลางของตัวเองจนชุ่มน้ำลายจากนั้นก็ไล้วนไปตรงช่องทางที่เปิดรอไว้ เขาค่อยๆกดลงไปจนสุดโคนนิ้ว แล้วขยับนิ้วเข้าออกเพื่อคลายความฝืดคับในกายผม บางครั้งเขาก็ใช้ลิ้นช่วยๆเพื่อให้มันลื่นยิ่งขึ้นจากนั้นก็สอดนิ้วที่สองเข้าไป ผมแอ่นกายด้วยความซ่านกระสันจากการถูกรุกจากทางด้านหน้าและด้านหลัง อารมณ์พลุ่งพล่านถึงขีดสุด เดียร์เองก็คงจะรับรู้ได้ถึงอารมณ์ของผม เขากระซิบเสียงพร่า

“ตอนที่เรียวมีอะไรกันกับผู้หญิง เคยให้พวกนั้นอยู่ข้างบนไหมครับ”

“เคยสิ ทำไมเหรอ”


“ถ้างั้นเรียวคงจำวิธีการได้ เพราะผมจะใช้วีธีการนั้นกับเรียว เพียงแต่ว่าคุณต้องเปลี่ยนบทบาทมาอยู่ข้างบนแทนน่ะครับ...ท่านี้จะสะดวกสำหรับผมมากด้วย เรียวนั่งหันเข้าหาผมสิครับ แล้วค่อยๆนั่งลงมาบนตัวผมช้าๆนะ ผมเปิดทางของเรียวเพื่อรับผมไว้ให้แล้ว”

ผมยันกายขึ้นอย่างว่าง่าย ก่อนจะค่อยๆนั่งคร่อมลงมาบนตักของเดียร์ เด็กหนุ่มประคองสะโพกของผมไว้ทั้งสองข้าง จากนั้นก็กดสวนลงมาในขณะที่เขาเด้งสะโพกดันขึ้นไป

“คล้ายๆกับการขี่ม้านะครับ เรียวขี่ม้าเป็นไหม......”

ผมไม่ตอบคำถามนั้น ได้แต่พยักหน้า เดียร์ยิ้ม พลางลูบหลังลูบไหล่ผมอย่างอ่อนโยน

“นั่นแหละครับ เรียวต้องพยายามนึกถึงเวลาที่ไปขี่ม้าซึ่งเรียวต้องยกสะโพกขึ้นลงตามความเคลื่อนไหวของมัน แล้วทีนี้ก็สมมติว่าผมเป็นม้าที่เรียวกำลังขี่อยู่นะครับ เรียวต้องยกตัวไปตามการโยกของผม เราถึงจะสามารถมีความสุขไปพร้อมๆกันได้”

เดียร์พูดด้วยเสียงนุ่มนวล ไม่จงใจจะแกล้งหยอกล้อ ทว่าผมกลับรู้สึกอายอย่างบอกไม่ถูกที่เป็นฝ่ายเริ่มเหมือนตัวเองเป็นผู้หญิง เด็กหนุ่มคงจะเห็นสีหน้าลังเลใจของผมแล้วคงจะเดาออกว่าผมรู้สึกอย่างไร เขาจึงโอบกอดผมไว้แนบแน่น แล้วจูบเพื่อปลุกเร้าอารมณ์ของผมอีกครา

“ถ้าเราควบคุมมันได้แล้ว คราวนี้ เรียวจะให้มันช้าหรือเร็วก็สามารถทำได้เลยครับ”

มือสองข้างของเดียร์แตะอยู่ตรงสะโพกของผม ช่วยจับให้มันเคลื่อนไหวไปยังจุดที่ทำให้ผมมีความสุขสูงสุดในขณะที่เด็กหนุ่มก็เริ่มกระแทกกระทั้นจากทางด้านล่าง เดียร์มีความชำนาญชาญในขณะที่ผมยังคงงกๆเงิ่นๆ รู้สึกว่าการขึ้นมาควบทะยานเสียเองไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก เด็กหนุ่มพยายามให้กำลังใจผมด้วยการจูบซุกไซร้เพื่อให้อารมณ์เตลิดมากยิ่งขึ้น แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนจะขาดใจให้ได้ ในที่สุดเดียร์คงเห็นว่าผมเป็นจ๊อกกี้ที่ไม่ได้ความ อ่อนหัด เขาจึงช้อนขาสองข้างของผมให้เกี่ยวกระหวัดรัดเอวเขาไว้ จากนั้นก็ลุกขึ้นโดยที่ร่างของผมยังถูกตรึงอยู่กับร่างของเขา เด็กหนุ่มค่อยๆหมุนตัวผม แล้ววางลงบนโซฟาโดยหันหลังให้กับเขา เดียร์จับตรงสะโพกผมและดันขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะแทรกร่างของเขาเข้ามาใหม่จนสุด ผมผวาเฮือก มือเกาะขอบโซฟาแน่น เดียร์โน้มตัวลงมาแนบกับผม มือใหญ่ของเดียร์ลูบไล้ไปทั่วแผ่นอกแบนราบของผม

เขากระซิบหยอกล้อ ข้างๆหู

“เปลี่ยนตัวคนขี่ดีกว่าครับ เอาไว้วันหลัง ค่อยมาเรียนขี่ม้ากันใหม่ เรียวคงล้างเวทีไปนานเลยทำไม่คล่อง ปล่อยให้ผมได้แสดงฝีมือการขี่แบบมือโปรให้คุณดูดีกว่า รับรองจ๊อกกี้คนนี้ ฝีเท้าดี ควบเก่ง เรียวถึงเส้นชัยอย่างมีความสุขแน่นอนครับ”
ผมห่อปากด้วยความสุขสม เด็กหนุ่มประคองสะโพกผมด้วยมือทั้งสองข้างจากนั้นก็เริ่มโยกตัวเพิ่มความเสียวกระสันให้ผมอย่างมาก

แรงกระแทกกระทั้นถี่ยิบทำให้ผมถึงกับหัวสั่นหัวคลอน แต่กระนั้นก็เปี่ยมล้นไปด้วยความรัญจวนใจจนต้องครวญครางเรียกชื่อเดียร์ออกมาอย่างลืมตัว

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่21 23/1/09 เอาหนูเดียร์มาให้ชมอีกละ
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 23-01-2009 15:54:19
ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะเข้าใจอารมณ์ของผมว่าร้อนแรงเพียงใด เขาเลยเติมเชื้อไฟให้มันลุกโพลงมากยิ่งขึ้นจนผมแทบขาดใจกว่าที่เราสองคนจะบรรลุปลายทางแห่งสวรรค์ร่วมกัน

เดียร์ตระกองกอดผมไว้แนบอก ร่างของเราสองคนชื้นไปด้วยเหงื่อจากกิจกรรมที่เพิ่งเสร็จสิ้น เดียร์กระซิบกระซาบอยู่ตรงหน้าผากผมเสียงอ่อนเสียงหวาน

“เป็นของขวัญที่แสนวิเศษมากเลยครับ ชักอยากจะเกิดทุกๆวันเสียแล้ว”

“บ้านะสิ...”

“ผมไม่นึกไม่ฝันเลยจริงๆ ว่าเรียวจะยอมให้ผมได้ทำกับเรียวอีก หลังจากที่เรียวโกรธผมแบบเอาเป็นเอาตายแบบนั้น ผมมีความสุขมากๆเลย”

“นายทำดีต่อฉันหลายเรื่อง ฉันก็แค่ให้ตามสิ่งที่ขอเท่านั้น ก็ถือว่าเป็นรางวัล หรือสิ่งตอบแทนที่นายทำเพื่อฉันแล้วกัน”
ไม่อยากบอกออกไปว่าที่จริงแล้ว ผมให้เขาเพราะว่าผมคิดว่าผมรักเขา อันที่จริงผมคงรักเขามานานแล้ว แต่เพิ่งแน่ใจตนเองในสองสามวันที่ผ่านมา

การที่เกือบจะถูกข่มขืน ทำให้ผมตระหนักกับตัวเองว่า ร่างกายและจิตใจของผมเป็นของเด็กหนุ่มคนนี้ นอกจากเขาแล้วผมจะไม่ให้ใครคน ไหนได้มาแตะต้องผมอีก

“ถ้ารางวัลแห่งความดีที่ผมทำทุกอย่างให้กับเรียว ออกมาแบบนี้เสมอผมยอมมอบกายถวายชีวิตให้เลยนะครับ...”
เด็กหนุ่มกระชับวงแขนที่โอบกอดผมไว้แนบแน่น


“ขายังเจ็บอยู่หรือเปล่า...”

ผมถามด้วยความห่วงใย เดียร์ปฏิเสธไม่เต็มเสียงบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก แต่ผมรู้ว่าเขาคงยังเจ็บอยู่เพียงแต่ผู้ร้ายปากแข็งอย่างเขามีหรือจะพูดในสิ่งที่ทำให้ผมไม่สบายใจ ซึ่งผมเองก็ไม่อยากจะเซ้าซี้เขาอีก

ผมบอกให้เขาพยายามทานยาแก้ปวดซะจะได้หาย แล้วก็หยุดทำงานอะไรที่มันหนักๆ ถ้าหากไม่เชื่อฟังกันบ้าง ผมจะโกรธแล้วไม่ยอมพูดด้วย

เขาก็ทำหน้างอๆ แต่ก็ยังมาต่อรองกับผมว่า เขายินดีจะทำตามที่ผมต้องการ เมื่อหายแล้ว เขาขอขึ้นไปนอนกับผมทุกคืนที่ในห้องด้วยได้ไหม ผมมองหน้าที่เต็มไปด้วยความหวังนั้นแล้วก็ใจอ่อน พยักหน้าให้เขาแทนคำอนุญาต
ไหนๆผมก็เริ่มรู้สึกรักเดียร์เข้าแล้ว แถมซ้ำเขายังดีกับผมมากมายขนาดนี้ เลยไม่รู้จะเกี่ยงงอนอะไรอีก เวลาที่จะอยู่ด้วยกันมันก็ไม่ได้มากมายเท่าไหร่

ไม่นานก็จะครบ 6 เดือนแล้ว เราก็คงต่างคนต่างแยกย้ายกันไป ความอึดอัดใจที่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับผู้ชายด้วยกัน คงจะหมดไปได้เอง

“เรียวครับ ผมหาสร้อยไม่เจอ มันหายไปแล้วล่ะ ผมรู้สึกแย่จังเลยที่ทำให้ของที่เรียวรักมากสูญหายไป”

เขาทำหน้าเศร้าๆ อย่างคนสำนึกผิดทั้งๆที่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นหาใช่เป็นสิ่งที่เด็กหนุ่มตั้งใจให้มันเกิด ผมพูดให้เขาสบายใจว่า อย่าไปกังวลกับของนอกกายแบบนั้น หายแล้วก็หายไป มันเป็นเหตุสุดวิสัย และผมก็ไม่ติดใจในเรื่องนี้ แต่ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มก็ยังไม่เลิกกังวลใจอยู่ดี

“เรียวครับ สร้อยมันหายไปก่อนจะครบหกเดือน มันคงไม่เป็นลางอะไรหรอกนะ”

“ไม่หรอกน่ะ”

“ผมกลัวครับ กลัวว่าเราจะเลิกกันก่อนจะครบ หกเดือนอ่ะ อันที่จริงไม่อยากให้มีวันนั้นเลย อยากให้เราอยู่ด้วยกันไปตลอดอ่ะครับ เรียวล่ะอยากเลิกกับผมไหม”

เด็กหนุ่มมองผมด้วยดวงตาเศร้าสร้อยจนผมรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมา ผมควรจะดีใจหรือเปล่านะ ถ้าเราได้เลิกกันก่อน แต่ทำไมผมจึงรู้สึกว่ามันเศร้าๆนะ

เหมือนผมยังคงไม่อยากให้เรื่องของเรามันจบกันเร็วเกินไป อย่างน้อยความสัมพันธ์ก็น่าจะดำเนินไปจนกว่าจะครบกำหนดเวลาตามเงื่อนไข มากกว่าจะต้องจากกันไปก่อนสัญญาสิ้นสุด

“ฉันเป็นคนรักษาสัญญา ตกลงไปแล้วก็ต้องทำตามให้ได้”

ผมเลี่ยงที่จะไม่ตอบคำถามล่อแหลมนั้น จริงอยู่ผมเองก็ยังไม่อยากเลิกกับเด็กหนุ่มคนนี้ เพราะใจเริ่มที่จะมีความสุขเมื่อได้อยู่ใกล้

แต่จะให้ผมยอมรับกับเขาเลยทันทีก็กะไรอยู่ ผมกลัวความเป็นจริง กลัวใจตัวเอง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผมรักผู้ชายเข้าให้แล้ว นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นเกย์หรือเปล่านะ

“ทำไมต้องพูดถึงแต่สัญญาตลอดเวลาละครับ เรียวเคยคิดว่าอยากจะเป็นแฟนกับผมตลอดไปบ้างมั๊ย”

ท่าทางที่ส่อแววสนใจใคร่รู้กับดวงตาใสซื่อนั่น ทำให้ผมต้องถอนใจออกมาอีกครา ทำไมจะต้องมาเอาคำตอบตอนนี้หนอ ปล่อยให้เรื่องราวมันดำเนินไปเรื่อยๆไม่ได้หรือไง

ผมไม่อยากตอบในสิ่งที่ทำให้ตัวเองรู้สึกแย่ รักเด็กหนุ่มก็รัก กลัวการวิพากษ์ของสังคมก็กลัว ถ้าไม่ต้องตอบแล้วก็คบกันไปแบบนี้ ผมว่าน่าจะเป็นวิธีที่เข้าถึงความสุขได้มากกว่า

“อาบน้ำกันไหม”

ผมหาวิธีที่จะเบี่ยงเบนประเด็นได้แล้ว เด็กหนุ่มอ้าปากจะถามต่อ แต่เมื่อเห็นผมลุกจากเตียงแล้วเดินเปลือยไปที่ประตูห้องน้ำ

เขาก็ทำตาโต ยิ้มกริ่ม ดูเหมือนจะลืมสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจไปเสียสิ้น เขารีบเดินตามผมไปห้องน้ำด้วยท่าทางกระตือรือร้นเหมือนเด็กๆ

และในห้องน้ำนั้นเองที่ผมมอบร่างกายให้กับเด็กหนุ่มอีกครา เป็นการยุติข้อกังขาทั้งปวง ผมเปิดใจเปิดกายแทนคำพูดให้เขารู้ว่า ผมเองก็ต้องการเขามากแค่ไหน

ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากจะอยู่กับเขาไปตลอด เรื่องราวของเราน่าจะจบลงด้วยความสุข ถ้าเพียงแต่ ผมและเขาไม่ใช่ผู้ชายด้วยกันทั้งคู่.......

เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นตรงหัวเตียง มันส่งเสียงมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ทว่าไม่มีใครรับ เพราะเราสองคนต่างกอดก่ายนัวเนียเติมเต็มความสุขให้แก่กันและกันบนเตียงจนลืมฟังสรรพสำเนียงใด

จนกระทั่งเดียร์ผละออกจากร่างกายของผม ปล่อยให้ผมนอนตาปรือด้วยความสุขอยู่เคียงข้างเขา นั่นแหละเราทั้งคู่ถึงได้ยินเสียงที่แทรกเข้ามาในความเงียบนั่น

เดียร์อยู่ใกล้โทรศัพท์ที่สุด เขาจึงเอื้อมมือไปรับแล้วกรอกเสียงลงไป จากนั้นเด็กหนุ่มก็ยื่นโทรศัพท์มือถือมาให้ผมซึ่งนอนตะแคงมองเขาอยู่

เมื่อนั้นผมจึงได้สำนึกว่า เสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงเรียกเข้ามาในโทรศัพท์มือถือของผมนั่นเอง ผมใจหายวาบ รีบคว้าจากมือเดียร์มาทันที
ผู้ที่โทรศัพท์มารบกวนผมในตอนเช้าอย่างนี้ ก็คือเจ้าสันต์ เพื่อนตัวดีที่เห็นผมขาดงานไปเกือบอาทิตย์ก็เลยนึกสงสัยว่าผมเป็นอะไรมากหรือเปล่า เลยโทรมาหาผมบอกว่าจะมาเยี่ยมเย็นนี้

อันที่จริง ผมก็ไม่ได้อยากขาดงานเกือบอาทิตย์แบบนี้ หลังจากเดียร์โทรไปลางานให้ผมสองวัน ผมก็คิดว่าผมจะสามารถไปทำงานได้ในวันรุ่งขึ้น

แต่เนื่องจากร่องรอยบนใบหน้าจากการถูกทำร้าย ยังไม่จางหายไป ทำให้ผมไม่กล้าไปทำงาน กลัวจะมีคนซักถามถึงที่ไปที่มาของรอยช้ำบวมบนใบหน้า

ถ้าผมโกหก ก็จะมีพวกที่ไม่เชื่อ คอยขุดคุ้ย ซึ่งย่อมไม่ดีกับผมอย่างแน่นอน เพราะความลับเรื่องผมกับเดียร์อาจจะถูกเปิดโปง กลายเป็นหัวข้อสนทนาที่พูดคุยกันอย่างสนุกปาก

ผมไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น จึงลางานต่อ โดยบอกกับเจ้านายว่าผมไม่สบายมาก ถ้าหายแล้วจะรีบกลับไปทำงานทันที
เพื่อไม่ให้การทำงานของผมต้องขาดตอน ผมจึงให้จุ๋มเลขาของผมส่งเมล์งานที่สำคัญๆมาให้ แล้วผมก็จะดูแล้วก็ตอบกลับไป

สำหรับงานที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณารับประกัน ผมก็ให้จุ๋มฝากแมสเซนเจอร์มาให้ และเมื่อพิจารณาเรียบร้อยผมก็จะโทรเรียกให้มอร์เตอร์ไซด์รับจ้างนำงานไปส่งให้ถึงบริษัท

ด้วยวิธีการแบบนี้ งานของผมจึงไม่เสียหาย สามารถพิจารณาเคสให้กับบริษัทได้ทันตามกำหนด

ถึงแม้ผมจะจัดการทุกอย่างได้เรียบร้อย แต่ผมก็ไม่สามารถจัดการกับความอยากรู้อยากเห็นของเจ้าสันต์ได้ หลังจากที่มันโทรมาหาผมและคะยั้นคะยอให้ผมอนุญาตให้มันมาหาที่บ้าน

ผมทนการรบเร้าจากมันไม่ไหวเลยตอบตกลงไป แล้วก็มานั่งกลัดกลุ้มว่าผมจะจัดการอย่างไรกับเดียร์ดี จะขับไล่ไสส่งเด็กหนุ่ม ก็ให้รู้สึกสงสารเพราะถึงแม้ว่าขาของเดียร์จะค่อยยังชั่วขึ้นมามากแล้ว

แต่เขาก็ยังมีปวดๆบ้างๆบางครั้ง ถ้าผมใจร้ายให้เขากลับบ้านไปก็ดูจะไม่เป็นการยุติธรรมกับเขา เข้าทำนองหมดประโยชน์ก็ถีบหัวส่ง ซึ่งผมไม่ใช่คนแบบนั้น แต่ครั้นจะให้เดียร์อยู่ด้วยก็ไม่รู้จะอธิบายเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเด็กหนุ่มว่ายังไง

เจ้าสันต์มันยิ่งเป็นคนจินตนาการกว้างไกล เดี๋ยวมันก็จับพิรุธได้ แล้วคงจะเดาถูกว่าผมกับเดียร์เป็นอะไรกัน จะซ่อนเด็กหนุ่มก็ไม่รู้จะไปซ่อนไว้ที่ตรงไหน เกิดเจ้าสันต์ไปค้นเจอขึ้นมา ผมจะยิ่งถูกมองว่าแอบเอาผู้ชายมาเก็บไว้ในบ้าน เจ้าสันต์ก็จะยิ่งมองผมในภาพลบอีก

หลังจากวนเวียนคิดไปมา ตลอดเช้านั่น ผมก็ได้ข้อสรุปคือ ให้เดียร์กับสันต์ได้เจอกันไปเลย ถึงจะปกปิดอย่างไร ความลับก็ต้องเปิดเผยขึ้นมาสักวัน

ที่สำคัญ ตอนที่สันต์โทรเข้ามา เดียร์ก็เป็นคนรับสายด้วย ผมแก้ตัวไม่ออกเลย ว่าทำไมเดียร์ถึงมาอยู่ในบ้านของผมตอนเช้ามืดขนาดนั้น

ผมอาจจะต้องสารภาพกับเจ้าสันต์ไปตามตรงถึงความสัมพันธ์ของผมกับเดียร์ ผมรู้ดีว่า เจ้าสันต์เป็นเพื่อนที่ไม่คิดทำร้ายเพื่อน มันคงเข้าใจเหตุผลของผม ดีไม่ดี มันอาจจะช่วยผมแก้ปัญหาที่ผมกำลังเผชิญอยู่ด้วยก็ได้ ผมบอกเด็กหนุ่มลูกครึ่งให้รับรู้ว่า

เย็นนี้ สันต์จะมาหาผมที่บ้าน เดียร์ทำหน้าตกใจ เขาถามผมด้วยความห่วงใยว่า ต้องการให้เขาออกไปจากบ้านไหม ผมบอกกับเขาไปว่า ผมอยากให้เขาอยู่ด้วย เรื่องมันเลยเถิดมาถึงขนาดนี้แล้ว สักวันต้องมีคนรู้จนได้ อยู่ที่ช้าหรือเร็วเท่านั้น
เดียร์มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ผมรู้ว่าเขากังวลใจแทนผม คงกลัวว่าผมจะได้รับความเสียหาย เขารู้ดีว่าผมไม่ต้องการเปิดเผยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเขาให้ใครรู้ เพราะมันเกี่ยวข้องโดยตรงกับหน้าที่การงานของผม

แต่เมื่อผมยืนยันอย่างหนักแน่น ว่าผมไม่เป็นไร เขาก็เลยเงียบ ไม่ทำท่าวิตกให้ผมเห็นอีก เขาปล่อยให้ผมจัดการกับปัญหาโดยเป็นฝ่ายเฝ้ามองเงียบๆแบบพร้อมจะยืนเคียงข้างผมทันทีหากมีอะไรเกิดขึ้น

กลางวันวันนั้น ผมกับเดียร์ต่างคนต่างก็วุ่นวายอยู่กับภารกิจของตัว ไม่มีใครพูดถึงเรื่องการจะมาเยี่ยมเยียนของเจ้าสันต์อีก

ผมเปิดอีเมล์อ่านงานที่จุ๋มส่งมาให้ ดูว่าผมมีอะไรที่ต้องจัดการบ้าง แล้วก็นั่งพิจารณาเคสที่ทางแมสเซนเจอร์นำมาให้เมื่อวานนี้


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่21 23/1/09 เอาหนูเดียร์มาให้ชมอีกละ
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 23-01-2009 15:54:43
ส่วนเดียร์ช่วยผมจัดการในบ้านเล็กๆน้อยๆ ห้ามเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง ยังคงดื้อ ปัดกวาดเช็ดถูล้างถ้วยล้างชามให้ จนผมคร้านที่จะดุเขาอีกแล้ว ปล่อยให้เดียร์ทำตามที่ต้องการไป ส่วนผมก็วุ่นกับงานของตัวเองต่อ

ดูท่าทางเด็กหนุ่มจะมีความสุขมาก กับการได้ดูแลทำความสะอาดบ้านให้ผม พอทำงานเสร็จแต่ละชิ้น เดียร์ก็จะเข้ามานัวเนียผม เหมือนขอรางวัล ตอนแรกผมทำหน้างงๆ ไม่เข้าใจว่าเขาอยากได้อะไร

เด็กหนุ่มก็เลยขอจูบ หรือ กอดผม แลกกับสิ่งที่เขาทำให้ ผมแกล้งทำเป็นโกรธที่เขาทำงานหวังสินจ้างรางวัล ทำแต่ละอย่างก็จะมาขอโน่นขอนี่

ผมบอกเดียร์ว่าไม่ต้องทำหรอก ผมทำเองก็ได้ แต่เด็กหนุ่มก็อ้อนตอบว่า เขาทำด้วยความเต็มใจ ไม่ได้หวังสินจ้างรางวัล แค่อยากให้ผมกอด หรือ หอมเขาบ้าง เขาจะได้ชื่นใจ ว่าผมชอบที่เขาทำ

แต่เขารู้ว่าผมไม่ทำอย่างนั้นแน่ เลยอยากจะเป็นฝ่ายกอด หรือ หอมผมเสียเอง เด็กหนุ่มยังอ้อนต่อไปว่า เขาคิดถึงผมมาก

ขนาดอยู่ใกล้ๆในบ้านเดียวกัน ในห้องรับแขก ใกล้ขนาดเดินไม่กี่ก้าวก็ถึงตัวแล้ว แต่ก็ยังมีความรู้สึกคิดถึงอยู่ตลอดเวลา อยากหยุดทุกอย่างเอาไว้ ไม่ต้องทำอะไร นอกจากนอนกอดผมอย่างเดียว

สิ่งที่เขาพูดกับกริยาท่าทางของเขา ทำให้ผมอดนึกถึงเจ้าหญิงไม่ได้ มันชอบมานัวเนียอยู่ใกล้ๆผม เวลาคาบหนังสือพิมพ์ หรือคาบรองเท้ามาให้

เจ้าหญิงก็จะนั่งสองขาอยู่ตรงหน้าผม พลางแกว่งหางไปมา รอให้ผมลูบหัว หรือ ดึงเข้าไปกอด ตอนนี้เจ้าหญิงไม่ได้ทำแบบนั้นกับผมสักเท่าไหร่ เพราะเปลี่ยนใจไปรักเดียร์มากกว่าผมแล้ว เลยปล่อยให้เดียร์ทำกริยาอาการนัวเนียกับผมแทนตัวมันเอง

ผมนึกขำ เมื่อเปรียบเทียบเดียร์กับเจ้าหญิง ยิ่งตอนนี้ เด็กหนุ่มมานั่งจ้องผมตาแป๋วแหววข้างหน้า ยิ่งทำให้ผมอดหัวเราะดังๆไม่ได้

เดียร์ทำหน้าฉงนที่อยู่ๆผมก็ขำออกมา อ้าปากจะถาม ผมเลยดึงตัวเดียร์เข้ามากอด เพื่อกลบเกลื่อนเปลี่ยนความสนใจของเดียร์ไปซะ ไม่อยากบอกเดียร์ว่าผมคิดว่าเขาเหมือนกับเจ้าหญิง เดี๋ยวเขาจะงอนหาว่าผมไปว่าเขาเป็นหมา
แต่อันที่จริง ผมว่าทั้งเจ้าหญิงและเดียร์น่ารักดีออก ดูไปเดียร์ก็คล้ายหมาตัวโตๆ ที่คอยอยู่ใกล้ๆ ดูแลปกป้องผม และเป็นเพื่อนที่ทำให้ผมสบายใจ เวลาเหนื่อยล้าหรือเพลียกลับมา

พอเจอหน้าเดียร์ผมก็รู้สึกเป็นสุข เขาทำให้โลกของผมสว่างสดใสขึ้น และโดยที่ไม่ทันตั้งตัว เดียร์ก็ก้าวเข้ามาจับจองพื้นที่ว่างในหัวใจของผมจนหมด ผมไม่เหลือใจให้ใครอีกแล้ว นอกจากเด็กหนุ่มหน้าทะเล้นคนนี้คนเดียวเท่านั้น
เด็กหนุ่มกอดตอบผมแนบแน่น แล้วแนบริมฝีปากของเขาลงมาที่ปากของผม เราต่างมอบจูบที่หวานล้ำให้แก่กัน ผมแทบละลายไปกับอ้อมอกที่แสนอบอุ่นของเขา

แรงปรารถนาที่มีต่อเดียร์ทำให้ผมเกือบยั้งใจไม่อยู่และร่วมรักกับเขาตรงหน้าโต๊ะทำงานนั่น หากแต่ภารกิจที่ยังทำคั่งค้าง ทำให้ผมยอมได้แค่กอดจูบลูบไล้เท่านั้น

เนิ่นนานทีเดียวกว่าที่เดียร์จะผละออกจากผม เขาทำท่าว่าเสียดายอยู่เหมือนกันที่ไม่ได้ไปต่อให้ถึงจุดสิ้นสุด แต่เด็กหนุ่มรู้ดีว่า

เขาควรให้เวลากับผม ไม่ควรรุกล้ำผมมากจนเกินไป เพราะหากผมถูกรบกวนมากๆเข้า ผมอาจจะต่อต้านขึ้นมา แล้วในท้ายที่สุดสัมพันธภาพที่กำลังไปกันด้วยดี อาจจะพังลงในพริบตา

เสียงกระแอมไอที่ดังขึ้นเบื้องหลัง ทำให้เราสองคนถึงกับสะดุ้ง และหันขวับไปทางต้นเสียงโดยพร้อมเพรียงกัน
เจ้าสันต์ยืนกอดอก พิงประตู มองเราสองคนด้วยสีหน้าที่บอกถึงความประหลาดใจเต็มที่ เมื่อประสานสายตาผมกับเดียร์ที่หันไปมอง ใบหน้าของสันต์ก็แปรเปลี่ยนเป็นยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมาทันที

“ขอโทษทีที่มาขัดจังหวะคู่รักหวานแหวว ให้ฉันกลับออกไปก่อนไหม เผื่อว่านายสองคนอาจจะยังมีธุระที่ยังทำคั่งค้างกันอยู่ เอาไว้ เสร็จแล้ว ค่อยเรียกฉันก็ได้ เดี๋ยวฉันรอไปอยู่ในรถหน้าบ้านนี่แล้วกัน”

เจ้าเพื่อนตัวแสบทำท่าจะหมุนตัวกลับ หากแต่ผมเรียกมันไว้ก่อน เจ้าสันต์จึงหยุดแล้วหันมายิ้มให้เราสองคนอีก ผมเห็นอากัปกริยายียวนกวนประสาทกับคำพูดล้อเลียนที่มันทำกับผม แล้วอยากจะลุกไปยันมันให้ล้มกลิ้งไปเลย

นึกเจ็บใจตัวเองที่เองที่ปล่อยให้มันมาเห็นผมกับเดียร์กอดจูบลูบคลำกัน หลักฐานทั้งภาพและเสียงแน่นหนาออกอย่างนี้
ผมเลยกลายเป็นจำเลยของเจ้าสันต์อย่างดิ้นไม่หลุด แก้ตัวไม่ได้อีกแล้ว เจ้าเพื่อนตัวดี ได้คำตอบที่มันสงสัยมานานก็วันนี้เอง

“ไหนบอกว่าจะมาตอนเย็น นี่มันเพิ่งจะบ่ายโมง หนีงานมาหรือไง”

ผมกล่าวหามัน ทั้งนี้เพื่อข่มความอับอายที่เจ้าเพื่อนรักดันมาเห็นในสิ่งที่พยายามปกปิดมาตลอด เจ้าสันต์เดินมานั่งตรงโซฟา มองมาที่เราสองคนแล้วยิ้มยั่ว

“มาช้ากว่านี้ ก็อดเห็นของดีน่ะสิ ได้ดูแต่ของจัดฉาก สู้ดูสดๆ แบบแอบถ่ายดีกว่า”

คำพูดหยอกเย้าของมันทำให้ผมหน้าแดงก่ำ จะโกรธมันก็ไม่ได้ เพราะตัวเองพลาดเอง จริงอย่างที่มันว่าด้วย ผมคิดว่ามันมาตอนเย็น ก็เลยไม่ได้ระวังตัว

ปล่อยอารมณ์เต็มที่กับเดียร์เพราะไม่คิดว่าเจ้าเพื่อนตัวดี จะแอบทำตัวเป็นนักสืบโดยย่องมาหาตั้งแต่ยังไม่ตะวันตกดิน

“ระวังจะถูกฟ้องร้องในข้อหาถ้ำมอง และละเมิดสิทธิส่วนบุคคลนะ”

ผมว่ามันอีก ไอ้เพื่อนตัวดี แอบมาเงียบๆ แล้วยังมาทำพูดจาให้ผมได้อายอีก เจ้าสันต์ยักไหล่ ดูท่าทางมันพอใจที่ได้ต้อนผมให้จนมุม

มันคงเอาคืนที่ผมปฏิเสธ และ ด่ามันตลอดที่หาว่าผมมีอะไรกับผู้ชายด้วยกัน พอผมจำนนด้วยหลักฐานมันจึงได้ทียั่วเย้าไม่ยั้ง

“เอาสิ นายคงพร้อมแล้วมั๊ง กับการเปิดเผยตัวตน”
“เอ้อ....ไม่ทราบคุณจะมาเยี่ยมเยียน หรือมาหาเรื่องเรากันครับ”

หลังจากนิ่งฟังมาเนิ่นนาน รอดูสถานการณ์ว่าจะเป็นยังไง พอเห็นผมถูกเจ้าสันต์พูดจาให้ได้อายหนักเข้า เดียร์ก็เริ่มไม่พอใจ

เด็กหนุ่มเดินไปหาสันต์ ท่าทางเอาเรื่อง พลางพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงความโมโห เพื่อนรักของผมมองเดียร์ซึ่งยืนค้ำหัว หน้าตาบึ้งตึง ก็เริ่มรู้ว่ามันคงแหย่ผมต่อไม่ได้แล้ว จึงยกมือขึ้นสองข้างทำท่ายอมแพ้

“แหม ดุดันจริงเจ้าหนู ฉันแค่อำเล่นเท่านั้น ไม่มีอะไรหรอก อย่าทำหน้าเครียดแบบนั้นสิ แค่มาเยี่ยม แต่บังเอิญได้เห็นของดีเท่านั้นเอง”

“แล้วไงครับ เห็นแล้วเป็นไงเหรอ .....มีอะไรหรือเปล่า”

เดียร์ยังทำเสียงหาเรื่องต่อ เล่นเอาเจ้าสันต์ทำตาปริบๆ คงนึกเกรงร่างกายที่ใหญ่โต กับใบหน้าดุดันนั่น

“ไม่มีจ้า ....นั่งลงเถอะพ่อหนุ่ม ฉันมาดีนะ เอ้า เรียว แกช่วยบอกพ่อครัวสุดหล่อคนนี้หน่อยสิ ว่าฉันเป็นคนดี ฉันไม่ทำร้ายใคร แค่ปากหมาเท่านั้น แต่ไม่ปากโป้งนะ”

เจ้าสันต์หันมาขอความช่วยเหลือจากผม ถึงแม้ผมจะรู้สึกหมั่นไส้มัน อยากให้เดียร์ข่มขู่ให้มันกลัวจะได้ไม่ทำตัวเป็นนักสืบจุ้นจ้านชีวิตของผู้อื่นอีก แต่ผมก็ต้องระงับความคิดนั้นไว้

เพราะถึงยังไงเจ้าสันต์มันก็เพื่อนรักของผม และที่สำคัญมันไม่เคยขยายความลับของเพื่อน มีแต่จะช่วยแก้ปัญหาให้ ผมอาจจะได้พึ่งพาอาศัยมันก็คราวนี้

ผมเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่ม และเอื้อมมือไปแตะต้นแขนของเขา แล้วดึงเข้ามาหา ผมกระซิบบอกให้เดียร์รู้ว่า สันต์ไม่ใช่คนมีพิษมีภัยอะไร ไว้ใจได้ ไม่ต้องเป็นห่วง

ผมขอให้เขาไปช่วยเตรียมอะไรมาให้ทานเป็นของว่าง ส่วนทางนี้ผมจะคุยกับเจ้าสันต์เอง มีอะไรที่เราสองคนจะคุยกันมากมาย เดียร์สบตาผม ทำท่าว่าห่วงใย

แต่พอเห็นผมไม่มีทีท่าหวาดหวั่นต่อความลับที่ถูกเปิดเผยขึ้นมาอย่างกระทันหัน เขาก็ยิ้มให้ผม แล้วยอมกลับเข้าครัวไปปรุงของว่างเพื่อมารับแขก

พอเดียร์คล้อยหลังไปแล้ว ผมก็หันมาเผชิญหน้ากับเจ้าสันต์ เป็นไงก็เป็นกัน ในเมื่อเพื่อนผมได้เห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็นแล้วผมก็หลบเลี่ยงไม่ได้อีกแล้ว มีอยู่ทางเดียว คือเปิดใจพูดกันไปเลย

“เห็นหมดแล้วนี่ มีอะไรจะพูดก็ว่ามาสิ......”

ผมยืนเท้าสะเอวถามมัน เจ้าสันต์มองผมอย่างประเมินท่าที จากนั้นก็หงายหน้าหัวเราะก๊าก

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่21 23/1/09 เอาหนูเดียร์มาให้ชมอีกละ
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 23-01-2009 15:56:00
ขอบคุณสำหรับคำติชมนะ
รูปนี้ของพี่เคทแหละเรามาให้ชมอีก อิอิ
(http://img82.imageshack.us/img82/9426/rafaellazzini10g01gg7.jpg)
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่21 23/1/09 เอาหนูเดียร์มาให้ชมอีกละ
เริ่มหัวข้อโดย: Ak@tsuKII ที่ 23-01-2009 18:51:39
>>>  เอ่อ   ...........


         :m25: :m25: 


>>>ประกาศขอรับบริจาคเลือดกรุ๊ป O   

>>>  ให้กำลังใจพี่ไต๋  พี่เคท   เรียว  เดีย   :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่21 23/1/09 เอาหนูเดียร์มาให้ชมอีกละ
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 23-01-2009 23:01:46
 :z6: :z3: :z3:

อย่า ไห้ ค้าง คา


 มาต่อ ไวไว น่ะ


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่21 23/1/09 เอาหนูเดียร์มาให้ชมอีกละ
เริ่มหัวข้อโดย: nanalonely ที่ 24-01-2009 00:19:13
เสียเลือดอีกแล้ววว :jul1:

ขอเลือดด่วนจะหมดแล้ว

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่21 23/1/09 เอาหนูเดียร์มาให้ชมอีกละ
เริ่มหัวข้อโดย: the_pooh9 ที่ 24-01-2009 00:43:35
^
^
จิ้มก้น แนน แหมๆๆๆ หื่นจิงเชียว

มามะเค้าพาไปรับเลือดเอาป่ะ  :laugh:

หวานแหวว กำลังดี แต่อีกไม่นานก็คงเศร้าใช่มะ

โอ้ววววววว อยาก แฮบ เดียร์ในรูปจิงจิ้ง  :z1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่21 23/1/09 เอาหนูเดียร์มาให้ชมอีกละ
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 24-01-2009 13:40:21
รูปก็นะ เนื้อเรื่องก็นะ.... :haun4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่21 23/1/09 เอาหนูเดียร์มาให้ชมอีกละ
เริ่มหัวข้อโดย: โน๊อา ที่ 24-01-2009 14:55:01
สมดั่งใจหมาย คุณสันต์ แล้วดิ o22
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่21 23/1/09 เอาหนูเดียร์มาให้ชมอีกละ
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 24-01-2009 18:43:04
 :haun4: รูปพวกนี้พี่เคทท่านประทานมา
หื่นได้ที่เลยดิ +1 ให้ช่วยหื่นทั้งหลาย
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่22 24/1/09 เอาหนูเดียร์มาให้ชมอีกละ
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 24-01-2009 18:46:07
บทที่ 22


“หัวเราะอะไร”

ผมแหวใส่มัน

“นี่มันเป็นท่าทางของคนที่พร้อมจะเปิดเผยตัวเองต่อสังคมหรือเปล่าวะ เท้าสะเอวแบบเกย์มากๆเลย ไอ้หนูเดียร์นี่แน่จริงโว้ย เปลี่ยนนายได้ขนาดนี้เลยเหรอ”

“ไอ้บ้า.....”

มือผมตกลงที่ข้างลำตัวทันทีที่ได้ยินมันพูด เจ้าสันต์เลยยิ่งหัวเราะใหญ่

“ไอ้โรคหวาดระแวง และปิดกั้นตัวเองมันคงอยู่กับนายไปจนตายเลยมั๊งเรียว ฉันแค่พูดล้อเล่นเท่านั้น เหมือนกงเหมือนเกย์ที่ไหนกัน ท่าทางแกไม่ให้หรอก แต่ฉันว่าใจแกน่ะมันไปแล้ว จริงไหมวะ”

ผมตกหลุมพรางมันอีกตามเคย เจ้าสันต์มันเจ้าเล่ห์แสนกล หรือเพราะผมเฝ้าระวังจนขาดสติไตร่ตรองกันแน่ เลยแยกแยะไม่ออกระหว่างเรื่องล้อเล่นกับเรื่องจริง

ผมคงจะเหมือนวัวสันหลังหวะ ใครพูดอะไรนิดอะไรหน่อยก็อดที่จะแสดงพิรุธออกมาไม่ได้ ผมไม่อยากตกอยู่ในสภาพนี้เลย ดูมันเสียหน้าอย่างไรไม่รู้ เวลาที่ถูกคนต้อนจนมุมเนี่ย

“ถ้าจะถามเรื่องเดียร์ก็ไม่ต้องอ้อมค้อม......”

ไหนๆก็ไม่สามารถจะปิดมันต่อไปได้แล้ว ผมก็มุ่งเข้าสู่ประเด็นเลย ยิ่งบ่ายเบี่ยง ก็ยิ่งถูกคนเจ้าเล่ห์อย่างเจ้าสันต์ไล่เบี้ยเอา พูดออกมาเองดีกว่าจะถูกซักฟอกจนต้องคายความลับออกมา

“อยากให้ฉันรู้อะไรก็เล่ามาเถอะ ฉันไม่อยากทำตัวเป็นพวกชอบขุดคุ้ยเรื่องของชาวบ้าน นายก็รู้ว่าฉันอยู่ฝ่ายตรวจสอบมาก่อน ถ้าฉันซักฟอกขึ้นมา มันจะลงลึกนายจะลำบากใจเปล่าๆ

เอาเป็นว่าแค่ไหนที่นายบอกให้ฉันรู้แล้วนายสบายใจก็บอกมาเถอะ ไม่ต้องกลัวหรอกเพื่อน ฉันจะเก็บไว้เป็นความลับไม่แพร่งพรายให้ใครรู้ นายเชื่อใจฉันได้ว่าไม่ทำร้ายนายแน่นอน”

สีหน้าและแววตาของเจ้าสันต์บ่งบอกถึงความจริงใจ ผมมองหน้าเพื่อนรัก รู้ดีว่าสิ่งที่เจ้าสันต์พูดเป็นความจริง ตลอดเวลาที่คบกัน เจ้าสันต์แสดงให้ผมรู้ว่ามันเป็นเพื่อนที่ไม่เคยทรยศหักหลังเพื่อน

ถึงแม้ว่ามันจะปากหมาไปบ้าง แต่มันก็คอยเป็นห่วงเป็นใยผมเสมอ ผมคิดว่าถึงแม้มันจะรู้เรื่องของผมจนหมด มันก็ไม่มีทางปริปากพูดให้ใครฟัง

ในที่สุดผมก็ตัดสินใจเล่าทุกอย่างให้เจ้าสันต์ได้รับรู้โดยไม่ปิดบังอำพราง คำพูดทุกอย่างพรั่งพรูออกจากปากเหมือนทำนบที่พังทลาย ความอัดอั้นตันใจถูกถ่ายทอดให้เพื่อนรักฟังจนหมด

ตั้งแต่วันที่ผมได้ช่วยเดียร์ให้รอดพ้นจากการถูกตามล่าจากพี่ชายที่ต้องการจะข่มขืนเขาเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ไปจนกระทั่งการช่วยเหลือในครั้งต่อๆมาซึ่งเจ้าสันต์เองก็มีส่วนรับรู้ในเหตุการณ์ด้วย มันทำหน้างงๆคล้ายเวลาที่ผมได้ฟังเรื่องต่างๆจากเดียร์ครั้งแรก ผมเลยต้องทบทวนความหลังให้มันฟัง
เพื่อให้มันเข้าใจว่ามันมาเกี่ยวกับข้องกับเรื่องนี้ได้อย่างไร ผมจึงพูดให้เจ้าสันต์ย้อนนึกไปถึงเหตุการณ์ในอดีต ตั้งแต่สมัยที่ผมกับเขายังมีตำแหน่งเป็นแค่พนักงานบริษัท

มันทำงานอยู่ฝ่ายตรวจสอบ ส่วนผมทำงานอยู่ในฝ่ายพิจารณารับประกัน เราสองคนร่วมกันปฏิบัติงานในพื้นที่ทางภาคตะวันออก ตั้งแต่ฉะเชิงเทรา ไปจนถึงจังหวัดตราด และปราจีนบุรี

ในคืนหนึ่งที่พวกเราเสร็จสิ้นจากการทำงาน และได้ไปเที่ยวชมโชว์คาร์บาเรต์ และกำลังหาข้าวกินก่อนเข้าที่พัก ระหว่างทางเราได้ช่วยกระเทยคนหนึ่งไว้จากพวกนักเลงอันธพาลที่หวังจะครอบครองตัวเด็กหนุ่มคนนี้
ตอนนั้นเจ้าสันต์เมาเหล้าอยู่ในรถของผมแต่ถึงกระนั้นมันก็ทำท่าก้อร้อก้อติกกับกระเทยคนนั้น เพื่อนผมทำหน้าเหมือนจำได้

มันหันไปมองเดียร์ที่ยืนทำกับอาหารง่วนอยู่ในครัว แล้วผิวปากหวือบอกกับผมว่า ไม่น่าเชื่อว่ากระเทยแสนสวยคนนั้นคือเจ้าหนูเดียร์พ่อครัวคนเก่งคนนี้ แต่มันก็ยอมรับว่าหน้าตาของกระเทยคนนั้นกับเดียร์มีส่วนที่คล้ายกันจริงๆ
ขณะที่นั่งฟังผมเล่า ดูมันทำท่าสนอกสนใจเกินเหตุ ตอนที่ผมบอกว่าเดียร์ประทับใจในตัวผมที่ได้ช่วยชีวิตเขาไว้หลายครั้งก่อให้เกิดเป็นความรัก

จนกระทั่งได้ตามผมมาจนถึงกรุงเทพฯ แต่ไม่สามารถเข้าถึงตัวผม จนกระทั่งโอกาสเปิดตอนที่สันต์ชวนผมไปเที่ยวสีลมซอยสองอันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมกับเดียร์ต้องมาเกี่ยวข้องกันด้วยพันธะสัญญาบางอย่าง
ผมลังเลใจว่าจะเล่าให้มันฟังถึงข้อตกลงระหว่างเราดีหรือไม่ แต่เมื่อเห็นใบหน้าอยากรู้อยากเห็นจากเจ้าสันต์ผมก็รู้ดีว่าถึงผมไม่บอก มันก็ต้องซักถามเอาจนได้ อีกอย่างผมก็โทษว่าเป็นความผิดของมันด้วย
ถ้ามันไม่ชวนผมไป ผมก็ไม่ต้องเจอกับเดียร์ ไม่ต้องถูกเขาจับมัด ไม่ต้องถูกถ่ายภาพแบล็คเมล์ แล้วก็ไม่ต้องตกลงทำสัญญาบ้าๆนั่น

และในท้ายที่สุด ผมคงไม่ต้องหลวมตัวรักเด็กหนุ่มคนนี้อย่างมากมาย ผมคงจะใช้ชีวิตได้อย่างปกติเหมือนหนุ่มธรรมดาทั่วไป มีความรักกับหญิงสาว แต่งงาน มีลูก ดำรงเผ่าพันธุ์ต่อไป ไม่ต้องมานั่งกลุ้มใจที่มารักเกย์แบบนี้
เพื่อนผมทำตาโตเมื่อได้ยินสิ่งที่ผมเล่าว่า เดียร์ก็คือคนที่เราเจอในผับที่ผมบอกกับทุกคนว่าเดียร์เป็นแฟนผมเพื่อกันแดนนี่กับแมนไปห่างๆ

เจ้าสันต์ตบเข่าฉาดทำท่าสะใจตอนที่ฟังผมเล่าถึงช่วงที่เดียร์แบล็คเมล์ผม มันหัวเราะชอบใจ บอกว่าเดียร์เจ้าเล่ห์มาก ใช้วิธีการร้ายกาจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ดูน่ารักดี

สงสัยมันต้องขอยืมวิธีแบบนี้ของเดียร์ไปใช้กับหนุ่มๆที่มันปิ๊งบ้าง เขาจะได้ยอมมันโดยง่าย พอเห็นผมทำหน้าโกรธๆ มันก็เลยแสร้งทำเป็นหัวเราะแฮะๆ บอกว่ามันแค่อำเล่นเท่านั้น แต่อันที่จริงมันก็รู้สึกแย่ที่เป็นต้นเหตุให้ผมเจอเหตุการณ์แบบนี้

“ฉันขอโทษทีนะเพื่อน ไม่รู้มาก่อนเลยว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา นายตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคลายไม่ออกมาโดยตลอด ถึงว่าทำไมเด็กนี่ถึงคอยนัวเนียชิดใกล้นายนัก ฉันก็ดันคิดไปว่า นายมีลับลมคมใน แอบมีแฟนเป็นเกย์แล้วอายไม่กล้าเปิดเผย

ถ้ารู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนายไม่เต็มใจ และต้นเหตุนั้นก็มาจากฉันด้วย ฉันก็คงไม่ทำตัวอยากรู้อยากเห็น และหาทางช่วยนายเร็วกว่านี้ เอาล่ะ เพื่อนรัก เรื่องมันเป็นแบบนี้แล้ว นายจะทำยังไงล่ะ ”

นั่นสิ ผมควรจะทำอย่างไรดี ทุกวันนี้ ยังให้คำตอบตัวเองไม่ได้ จึงต้องปล่อยเลยตามเลย
“นายอยากเลิกกับเด็กนั่นหรือเปล่า......”

เจ้าสันต์ถามตรงๆ เล่นเอาผมถึงกับอึ้ง ผมรู้ว่าวันหนึ่งผมคงต้องเลิกรากับเดียร์อย่างแน่นอน แต่ถ้าถามตอนนี้ ผมยังบอกไม่ได้ว่าผมอยากเลิกกับเขาหรือเปล่า ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว

เดียร์เป็นเสมือนส่วนหนึ่งของชีวิตผม ขาดเขาไปก็ไม่รู้ว่าตนเองจะเป็นอย่างไร นี่ถ้าคำถามนี้ได้ถูกถามก่อนที่เรื่องราวมันจะถลำลึกลงเรื่อยๆ ผมคงตอบได้โดยไม่ลังเลว่าผมต้องการยุติความสัมพันธ์กับเจ้าเด็กนั่น ไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับเขาแม้แต่นิดเดียว

“ฉันนี่มันก็ถามอะไรออกไปโง่ๆ ดูก็รู้แล้วว่านายสองคนมีใจให้แก่กันแค่ไหน เอาล่ะ ถ้าไม่อยากเลิกแล้วนายจะทำอย่างไรต่อไป เปิดเผย หรือ ว่าให้มันเป็นไปอย่างลับๆแบบนี้ .......”

มันพูดยิ้มๆ จากนั้นก็เริ่มถามผมด้วยท่าทางซีเรียส

“นายไม่ต้องเปิดปากบอกใครไปนะ ฉันไม่อยากให้มีจนรู้ไปมากกว่านี้ เพราะว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นเพียงแค่การทำตามคำสัญญาที่ให้ต่อกันเท่านั้น พ้นระยะหกเดือนไปแล้ว ชีวิตฉันก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม”

บอกเจ้าสันต์ไป ทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ ผมรู้ตัวดีว่าผมไม่สามารถกลับไปเป็นนายเรียวคนเดิมได้แล้ว ตอนนี้ผมรักผู้ชายด้วยกัน

ต่อให้ครบกำหนดสัญญาไปแล้ว ผมก็ยังได้ชื่อว่าผมเคยเป็นของเด็กหนุ่มคนนี้อยู่ดี ผมรักเขามาก เลิกรากันไปแล้วผมจะลืมเขาได้ละหรือ ผมไม่แน่ใจตัวเองเลย

เจ้าเพื่อนรักมองผมด้วยแววตาที่บ่งบอกถึงความเข้าใจ มันรู้เหมือนที่ผมเองก็รู้ว่าตัวเองกำลังสับสนแค่ไหน การเปลี่ยนแปลงตัวเองจากผู้ชายที่เคยรักผู้หญิง มารักผู้ชายด้วยกัน มันทำให้ผมปรับตัวค่อนข้างลำบาก

ผมไม่มั่นใจ ผมลังเล ไม่รู้ว่าชีวิตของตัวเองควรจะเดินไปในทิศทางใด

สันต์เอื้อมมือมาบีบมือผมเบาๆ แล้วพูดคล้ายเตือนสติให้ผมได้คิด

“ฉันเข้าใจดี เพราะฉันก็เคยตกอยู่ในสภาพเดียวกับนายมาก่อน กว่าจะยอมรับได้ว่าตัวเองชอบทางนี้ ฉันก็สูญเสียอะไรไปหลายๆอย่าง

แต่ฉันไม่แคร์ เพราะทางเลือกที่ฉันค้นพบนำความสุขใจมาให้กับฉัน ไม่ต้องหลอกลวงใคร ไม่ต้องทำให้ใครเสียใจ แค่นี้ก็นับว่าดีแล้ว.....”

เพื่อนผมหยุดพูด พลางมองสำรวจใบหน้าผม เมื่อเห็นว่าผมนิ่งฟังอย่างสนใจ มันก็พูดต่อ

“....สำหรับนายเอง ไม่ได้เป็นเพราะว่ารักชอบเหมือนกับฉัน แต่เริ่มต้นจากการถูกบังคับฝืนใจ จนกระทั่งเหตุการณ์เลยเถิดมีความสัมพันธ์ที่ล้ำลึกกับเด็กนั่น

อันที่จริงเดียร์เองก็ผิด ที่ใช้วิธีการสกปรกบีบคั้นนายจนต้องยอมทำตาม ถึงแม้เหตุผลจะพอฟังได้ว่าทำไปเพราะรัก แต่มันก็ละเมิดชีวิตของคนอื่นอยู่ดี

แต่ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นแล้ว เรียกร้องให้กลับมาเหมือนเดิมไม่ได้ นายก็ต้องพยายามที่จะเรียนรู้แล้วก็ยอมรับกับมัน

ลูกผู้ชายเรื่องแค่นี้มันไม่เสียหายอะไรหรอกว่ะ เป็นประสบการณ์ทางเพศอย่างหนึ่ง ถ้าไม่ชอบ ครบหกเดือนนายก็กลับมาชอบผู้หญิงตามเดิม

แต่ถ้านายคิดว่าความรักที่แท้ไม่มีการระบุเพศของคนรัก แล้วเด็กนั่นดีพอที่นายจะใช้ชีวิตอยู่ด้วย นายจะเดินตามเส้นทางนี้ต่อก็ได้

ที่สำคัญนายอย่าไปฟังคนอื่น ฟังเสียงหัวใจตัวเองนะเรียว ว่านายต้องการแบบไหน นายเท่านั้นที่จะตอบได้ ว่าอะไรที่ทำให้นายมีความสุข”
คำพูดของเพื่อนเกย์ผู้มีประสบการณ์ของผมทำให้ต้องคิดตาม ฟังเสียงหัวใจของตัวเองหรือว่าต้องการอะไร ผมจะรู้ได้ไงกันล่ะ เพราะตอนนี้ ผมยังไม่รู้เลยว่าหัวใจของผมมันอยู่ตรงไหน ยังอยู่กับตัวเอง หรือสูญเสียให้เดียร์ไปจนหมดแล้ว

“แล้วนี่หน้านายไปโดนอะไรมาเหรอ”

อยู่ๆเจ้าสันต์ก็เปลี่ยนเรื่องเฉยเลย ความรู้สึกของผมเหมือนนั่งรถมาด้วยความเร็วสูง อยู่ดีๆ คนขับก็เบรกเอี๊ยด เล่นเอาหัวทิ่มหัวตำ

พอหายมึนงงกับคำถามที่ยิงเข้ามากระทันหัน ผมก็เริ่มเข้าใจว่า เจ้าสันต์ไม่อยากจะบีบคั้นผมจนเกินไปนัก มันรู้ว่าได้พูดให้ผมคิดในสิ่งที่ไม่เคยนึกถึงมาก่อน

ดังนั้น มันเลยต้องการให้เวลาผมในการตัดสินใจเอาเอง ไม่อยากชี้นำอะไรผมมาก เพราะหากว่าผมทำตามแล้วได้ผลไม่น่าพอใจขึ้นมา จะกลายเป็นว่ามันได้แนะนำสิ่งผิดกับผม

“นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้นายไม่ไปทำงานใช่หรือเปล่า ไม่ใช่แค่ไม่สบายเฉยๆ แต่นายบาดเจ็บเลยนี่นาเพื่อน”

เจ้าสันต์ เอามือแตะใบหน้าของผม แล้วพยายามเพ่งพินิจว่ารอยบวมช้ำนั้นเกิดจากอะไร เห็นท่าทางห่วงใยนั้นแล้ว ผมก็เลยเปิดปากเล่าให้มันฟังถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เกาะเสม็ด ซึ่งเป็นต้นเหตุให้ผมไม่สามารถไปงานได้ หวังจะให้มันเข้าใจ และอย่างน้อยก็จะได้ช่วยผมแก้ปัญหา เวลากลับไปทำงานเหมือนเดิม

“เป็นอย่างนี้นี่เอง ฉันสงสารนายมากเลยนะเรียว ถ้าฉันอยู่ด้วย คงได้ช่วยกับเจ้าหนูเดียร์ รุมกระทืบไอ้คนพวกนั้นแทนนายแล้ว”

เพื่อนรักเอื้อมมือมาจับที่หัวเข่าของผมและบีบเบาๆ แววตาที่มองมาเปี่ยมด้วยความสงสารและเห็นอกเห็นใจ

“นายหยุดไปหลายวัน มีแต่คนสงสัยว่านายเป็นอะไรมากหรือเปล่า หลายคนอยากมาเยี่ยม รวมถึงเจ้าศักดิ์ชายด้วย ดีนะ ที่ฉันชิงตัดหน้าพวกนั้นมาเยี่ยมก่อน จึงได้รู้ว่าความจริงมันเป็นอย่างไร เอาล่ะ นายไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวฉันจะช่วยนายเรื่องนี้เอง รับรองไม่มีใครล่วงรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้แน่”

ผมกล่าวขอบคุณเจ้าสันต์ เป็นครั้งแรกที่ผมดึงตัวมันเข้ามากอด ด้วยความซาบซึ้งกับสิ่งดีๆที่มันทำให้กับผม อย่างน้อยผมก็คิดถูกที่เลือกที่จะไว้วางใจเจ้าเพื่อนคนนี้ มันไม่เคยทำร้ายผมเลยแม้แต่สักครั้งเดียว ขนาดมันได้ล่วงรู้ความลับของผม มันยังตั้งใจที่จะช่วยปกป้องให้อีก

“อดเจ็บใจแทนนายไม่ได้จริงๆว่ะ ดูสิ หน้าสวยๆของนายถูกมันตบเอาซะบวมไปหมด อย่างนี้มันต้องโดนเล่นงานให้สาสม พูดแล้วก็แค้นว่ะ”

เจ้าสันต์เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน มันคงนึกโกรธแทนผมจริงๆ
“ช่างมันเถอะ ฉันไม่เป็นไรแล้วล่ะ อีกอย่างเดียร์ก็จัดการพวกนั้นเสียย่ำแย่ไปเลย ป่านนี้ก็ไม่รู้จะเป็นไงกันบ้าง คงจะสะบักสะบอมไม่ต่างไปจากฉันหรอกน่า ต่างคนต่างเจ็บก็เลิกแล้วต่อกันดีกว่า ถือว่าเป็นคราวเคราะห์ของฉันแล้วกันที่ไปเจอพวกนั้นเข้า ”

ผมบอกกับมันเป็นเชิงให้รู้ว่าไม่อยากเอาเรื่องเอาราวอะไร อยากให้มันจบๆกันไป ต่างคนต่างอยู่ ไม่อยากให้ทั้งผมและเดียร์ต้องไปเจอกับคนพวกนั้นอีก ผมไม่อยากให้คนที่ผมรักไปทำร้ายใครเข้า เดี๋ยวจะมีปัญหาตามมาในภายหลัง ทำให้การอยู่ด้วยกันของเราไม่สงบสุข

“จ้า พ่อคนใจดี เฮ้อ พวกมันทำกับตัวเองขนาดนี้ ยังจะไปให้อภัยมันอีก แต่เอ ...จะว่าไปแล้วโลกมันก็กลมจริงๆแหละ ฉันว่ามันอาจจะเป็นโชคชะตาก็ได้ จะว่าไปแล้วนายบอยก็คล้ายกามเทพนะ

คิดดูสิ นายเคยช่วยเจ้าหนูเดียร์ให้รอดจากเงื้อมมือของนายบอย ซึ่งนั่นทำให้เป็นจุดเริ่มต้นที่นายกับเดียร์ได้เจอกัน แล้วเจ้าหนูนั่นก็ติดอกติดใจรักนายนักหนา สู้อุตส่าห์ตามมาเอาอกเอาใจหวังให้รัก

ช่วงที่นายสองคนยังไม่รู้จะเอายังไงกับความสัมพันธ์ที่ผิดปกตินี้ นายบอยก็โผล่เข้ามาถูกจังหวะพอดี โฮะโฮะ ไม่เรียกว่าเป็นกามเทพได้อย่างไร สิ่งที่นายบอยทำกับนาย มันช่วยเปลี่ยนความรู้สึกที่นายมีต่อเจ้าหนูจอมลีลานั่นได้ไม่ใช่เหรอ
อย่างน้อยๆนายก็เห็นว่าเขาเป็นคนดี และน่ารักเพียงพอที่นายจะยอมมีอะไรกับเขาด้วย ทั้งที่นายปฏิเสธเรื่องแบบนี้ตลอดเวลานี่นา”

คำพูดของเจ้าสันต์เหมือนมีดที่ทิ่มแทงเข้ากลางใจผม สิ่งที่มันคิดและพูดออกมา เป็นความจริงทั้งสิ้น ความรู้สึกของผมเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆโดยไม่รู้ตัว ตั้งแต่มีเดียร์เข้ามาอยู่ด้วย และเริ่มแน่ชัดเมื่อวันที่ผมถูกนายบอยกับพวกทำร้าย
ผมรักเดียร์มาก รักอย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน แม้กระทั่งผู้หญิงหลายคนที่ผ่านมาในชีวิต ผมก็ไม่รักและผูกพันลึกซึ้งเหมือนที่เป็นกับเดียร์เลย

แต่แหม จะให้ผมยอมรับกับเจ้าสันต์เลยก็ใช่ที่ ถึงผมจะจำนนต่อหลักฐาน และ ยอมพ่ายแพ้ให้กับความรู้สึกในใจตนเอง ไม่ปิดกั้นเดียร์อีกต่อไป แต่มันก็อดจะแปลกๆไม่ได้ ที่ผมซึ่งใช้ชีวิตแบบผู้ชายธรรมดารักและสนใจผู้หญิงมาโดยตลอด จะมาสนใจผู้ชายด้วยกัน ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกะทันหันกับผมอย่างนี้ มันทำให้ผมยังทำใจยอมรับได้ยากที่จะเปิดเผยให้คนอื่นรู้

“ไม่ต้องอายหรอกน่า เรียว แรกๆก็จะรู้สึกแปลกๆแบบนี้แหละ ฉันก็เคยมีอารมณ์แบบเดียวกับนายเลย แต่ตอนนี้สบายมาก นายไม่จำเป็นต้องเปิดเผยให้ใครรู้แบบฉันก็ได้ นายก็คบกันไปกับเดียร์แบบนี้แหละ ศึกษากันไป อย่ามีอคติในใจ
เวลายังอีกหลายเดือนกว่าจะครบกำหนดสัญญา บางทีเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์นะ ว่าสิ่งไหนกันแน่ที่ทำให้นายมีความสุข ระหว่างนี้ฉันก็จะปิดปากเงียบไม่แพร่งพรายให้ใครรู้ ไม่ว่าผลของการตัดสินใจของนายจะเป็นอย่างไร

ฉันก็เชื่อว่านายคงเลือกในสิ่งที่นายคิดดีแล้วว่าให้ความสุขกับนายเต็มที่ ฉันเคารพในการตัดสินใจของนาย และความลับของนายจะไม่มีวันรั่วไหลจากปากฉันแน่ๆ.....ฉันสัญญา”

น้ำเสียงของสันต์ขณะที่พูดให้คำมั่นกับผมดูจริงจังน่าเชื่อถือ ผมยิ้มให้กับเพื่อนรัก รู้สึกซึ้งในน้ำใจของมันยิ่งนัก ที่ไม่คิดจะฉวยโอกาสเปิดโปงผม ทั้งๆที่กำความลับของผมไว้
“ขอบคุณนะสันต์.....ขอบคุณที่เข้าใจฉัน”

“ไม่เป็นไรหรอก นายเป็นเพื่อนรักของฉันนี่นา ถ้าฉันไม่เข้าใจนายแล้วจะไปเข้าใจใครล่ะ เวลาฉันไม่สบายใจ นายก็อยู่ข้างฉันตลอดเวลานี่นา แล้วก็ถ้าไม่เพราะฉันชวนนายไป นายก็คงไม่เกิดเรื่อง


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่22 24/1/09 เอาหนูเดียร์มาให้ชมอีกละ
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 24-01-2009 18:46:42
ฉันเลยต้องรับผิดชอบเต็มๆ แต่จะว่าไปแล้ว ก็ดีเหมือนกันนะ เจ้าเด็กนั่น น่ารักใช่ย่อย ฉันเองก็ชอบเขานะ ยิ่งได้ยินได้ฟังจากนาย ว่าเขาตามมา ปรนนิบัติ เพราะรัก ทำให้ลืมสิ่งที่เขาทำไม่ดีไปเสียสนิทเลย

อย่าว่าโง้นงี้เลยนะ ถ้าไม่คิดไรมาก ฉันก็อยากเชียร์ให้นายรักกับเจ้าหนูนี่ซะ คนดีๆ มีไม่เยอะนะโว้ย แล้วเท่าที่ฟังนายเล่า เขาก็รัก และปกป้อง ทำเพื่อนายมาโดยตลอด จะหาได้จากไหนอีก

ดีกว่ายัยอรจิราหญิงแท้นั่นหลายร้อยเท่า ไม่ใช่ว่าเชียร์พวกเดียวกันนะโว้ย แต่ฉันพูดเพราะหวังดีกับนายจริงๆ ฉันเชื่อมั่นว่านายกับเจ้าหนูเดียร์ต้องไปกันได้ แต่ก็นั่นแหละ ทุกอย่างมันแล้วแต่นายว่ะ เรียว ....”

เจ้าสันต์พูดเสียยืดยาว เหมือนจะสั่งสอนผมไปด้วยในตัว ผมเข้าใจเจ้าสันต์ดี มันไม่ได้โน้มน้าวใจผมเพียงเพราะเห็นว่าเดียร์เป็นเกย์เหมือนมัน แต่มันพูดเพราะมันหวังดีกับผม และอยากให้ผมมีความสุขจริงๆ ผมเลยแกล้งว่ามันเพื่อเปลี่ยนเรื่องซะ ยังไม่อยากยอมรับอะไรในตอนนี้

“ไหนตอนแรก นายเชียร์ฉันกับคุณแคทไงล่ะ ทีตอนนี้จะมาเชียร์ให้ชอบเดียร์ซะแล้ว”

“อ้าว ระหว่างชะนี กับ เกย์ ฉันก็เชียร์เกย์สิโว้ย ไอ้บ้านี่ จะไปเชียร์คนต่างพวกทำไม”

เพื่อนผมทำเป็นร้องโวยวาย เหมือนว่าผมนี่ช่างไม่รู้อะไรเลย พอเห็นผมทำหน้าเหวอๆ มันก็หัวเราะชอบอกชอบใจใหญ่

“ฮ่าฮ่าฮ่า พูดเล่นน่า แล้วแต่นายสิ ฉันเห็นใครดี ก็ว่าไปตามนั้น คุณแคทก็นิสัยน่ารัก หนูเดียร์ก็เป็นเด็กดี น่าสงสาร
แกชอบใครในสองคนนี้ ฉันก็ชอบด้วยทั้งนั้นแหละ แต่อย่าลืมนะ แกเป็นของหนูเดียร์ไปแล้ว อยู่ๆไปแต่งงานกับคุณแคท แล้วตอนหลังเค้ามารู้เข้า ว่าผัวเขาเคยเป็นเมียผู้ชายมาก่อน เขาจะรับได้หรือวะ”

ดูเจ้าเพื่อนตัวดีมันพูดสิ ผมก็อายเป็นเหมือนกันนะ

“โอ๊ย ไอ้บ้าเอ๊ย พูดมาได้ คิดไปถึงไหนกันเนี่ย ฉันไม่ตกลงปลงใจกับใครทั้งนั้นแหละ ไม่ต้องมาเชียร์เลย บางทีฉันอาจจะอยู่คนเดียวก็ได้”

“จริงเหรอ ถ้างั้น.....ฉันขอเจ้าหนูเดียร์นะ”

มันทำหน้าทะเล้น รู้สึกว่าเจ้าสันต์จะรู้สึกพึงพอใจที่ได้แหย่ผมเหลือเกิน คงอยากให้ผมยอมรับเสียแต่โดยดีกระมัง แต่ไม่มีวันเสียล่ะ

“ถ้านายคิดว่าสามารถทำให้เด็กนั่นชอบได้ก็เอาสิ”

“อ่าฮ้า......อย่ามาเสียใจภายหลังแล้วกัน”

เจ้าสันต์ยิ้มยั่ว กวนประสาทนักเจ้านี่ อยากเตะมันสักพลั่กเหลือเกิน แต่ช่างเถอะ ผมไม่จำเป็นต้องแสดงอาการอะไรออกไป ถึงอย่างไร เจ้าเด็กนั่นก็รักผม เขาไม่มีทางเปลี่ยนใจง่ายๆหรอก
“อาหารว่างมาแล้วครับ”

เสียงของเดียร์ดังขึ้น ทำให้เราสองคนต้องยุติการสนทนาไว้เพียงแค่นั้น เขาวางจานอาหารว่างแบบไทยๆ ลงบนโต๊ะ ก่อนจะเดินมานั่งข้างๆผม สายตาจ้องประสานกับเจ้าสันต์ไม่ลดละ

แต่เจ้าสันต์ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ หยิบอาหารใส่ปาก แล้วนั่งอมยิ้มมองผมกับเดียร์ด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความสนใจอยากรู้อยากเห็นกึ่งล้อเลียน

“คุยอะไรกันอยู่เหรอครับ”

เด็กหนุ่มหันมาถามผมด้วยน้ำเสียงเบาๆ จงใจให้ได้ยินกันสองคน ผมเอียงหน้าไปบอกเด็กหนุ่มว่าเป็นเรื่องไร้สาระทั่วไป เจตนาให้เขาเข้าใจแบบนั้น

ผมไม่อยากให้เด็กหนุ่มรู้ว่าเราคุยอะไรกันไปมากแค่ไหน เพราะเกรงว่าเด็กหนุ่มจะเอาเรื่องที่ผมพูดมาผูกมัดให้ผมยุ่งยากอีกในภายหลัง เดียร์พยักหน้าหงึกๆ ผมรู้ว่าเขาไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูดหรอก แต่เขาก็ไม่เซ้าซี้ถามขึ้นมาให้ผมลำบากใจต่อนายเพื่อนรักของผม

“ฝีมือดีไม่ตกเลยนะเจ้าหนู อร่อยมากเลยอาหารว่างที่ทำมาให้กินเนี่ย ชักอิจฉานายเสียแล้วสิเรียวที่มีคนเอาใจใส่ดูแลตลอดเวลาแบบนี้ ทำไมฉันไม่มีคนที่น่ารักอย่างเดียร์มาเคียงข้างกายบ้างนะ ถ้าได้อย่างนี้ละก็ รับรองฉันทุ่มเทความรักให้จนหมดหัวใจแน่ๆ”

สันต์ทำเป็นพูดกล่าวชมเชยเดียร์ แต่แฝงในเชียร์เด็กหนุ่มคนนี้อย่างชัดเจน ผมเห็นเดียร์มีสีหน้าแช่มชื่นขึ้น เลิกเกร็งและผ่อนคลาย ท่าทางพอใจในคำพูดของสันต์ และเริ่มรู้สึกเป็นมิตรกับเพื่อนรักของผมมากยิ่งขึ้น

ผมเห็นเดียร์ลอบมองหน้าผมดูว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไร แต่ผมแกล้งเบือนหน้าหนี เพื่อซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงภายในใจ เจ้าเด็กบ้านี่ อยากให้ผมพูดออกมาหรือไง ว่าผมรักเขา แค่ยอมให้เขาทำทุกอย่างได้ตามอำเภอใจ แค่นี้ผมก็อับอายจนจะแย่อยู่แล้ว ยังต้องให้ผมยอมรับโดยวาจาอย่างนั้นอีกหรือ

“ขอบคุณมากนะ เดียร์ ที่ช่วยปกป้องเรียวให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของพวกคนร้าย ถ้าไม่มีนาย ก็ไม่รู้ว่าเจ้าเรียวจะเป็นอย่างไร

เพื่อนฉันคนนี้ถึงมันบ้างานซะจนไม่สนใจความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง และปากแข็งไปบ้าง แต่ก็เป็นคนดีทีเดียวนะ เขาใจดีมากกว่าลักษณะท่าทางแข็งๆที่เห็นอีก ได้เรามาดูแลแบบนี้ ฉันก็หมดกังวลใจหายห่วงจะได้มีชีวิตเป็นของตัวเองซะที”
เอาเข้าไป ไหงมาลงท้ายด้วยการฝากฝังผมไว้กับเดียร์ล่ะ ทั้งที่มันเองก็ไม่เคยต้องมาดูแลอะไรผมมากเสียหน่อย แต่มันพูดราวกับว่า มันโล่งใจที่มีใครมาช่วยแบ่งเบาภาระของมันในการดูแลผมเสียได้

แล้วพูดอย่างนี้ ก็เท่ากับบอกเป็นนัยๆให้รู้สิว่า สันต์รู้เรื่องผมกับเดียร์แล้ว และมันก็เชียร์ให้เราสองคนคบหากันแบบลึกซึ้งอีกด้วย

ผมรู้สึกว่าแก้มร้อนผ่าว เนื่องจากเลือดอุ่นๆฉีดพล่านไปทั่วใบหน้าและลำตัว อายทั้งเจ้าสันต์และกับเดียร์คนที่ผมเพิ่งรู้ตัวว่ารักเขาอย่างมากมาย จนทำอะไรไม่ถูก

ได้แต่ถลึงตาใส่เพื่อนตัวดี เป็นเชิงบังคับให้มันหยุดพูด แต่มันลอยหน้าลอยตา แสร้งทำเป็นใสซื่อ เหมือนไม่รู้ว่าคำพูดของมันทำให้ผมลำบากใจ

“แน่นอนอยู่แล้วครับ ผมยินดี ทำทุกอย่างเพื่อเรียวครับ”
“ขอบคุณมากนะ เดียร์ ที่ช่วยปกป้องเรียวให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของพวกคนร้าย ถ้าไม่มีนาย ก็ไม่รู้ว่าเจ้าเรียวจะเป็นอย่างไร เพื่อนฉันคนนี้ถึงมันบ้างานซะจนไม่สนใจความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง และปากแข็งไปบ้าง แต่ก็เป็นคนดีทีเดียวนะ เขาใจดีมากกว่าลักษณะท่าทางแข็งๆที่เห็นอีก ได้เรามาดูแลแบบนี้ ฉันก็หมดกังวลใจหายห่วงจะได้มีชีวิตเป็นของตัวเองซะที”

เอาเข้าไป ไหงมาลงท้ายด้วยการฝากฝังผมไว้กับเดียร์ล่ะ ทั้งที่มันเองก็ไม่เคยต้องมาดูแลอะไรผมมากเสียหน่อย แต่มันพูดราวกับว่ามันโล่งใจที่มีใครมาช่วยแบ่งเบาภาระของมันในการดูแลผมเสียได้ แล้วพูดอย่างนี้ ก็เท่ากับบอกเป็นนัยๆให้รู้สิว่า สันต์รู้เรื่องผมกับเดียร์แล้ว และมันก็เชียร์ให้เราสองคนคบหากันแบบลึกซึ้งอีกด้วย ผมรู้สึกว่าแก้มร้อนผ่าว เนื่องจากเลือดอุ่นๆฉีดพล่านไปทั่วใบหน้าและลำตัว อายทั้งเจ้าสันต์และกับเดียร์คนที่ผมเพิ่งรู้ตัวว่ารักเขาอย่างมากมาย จนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ถลึงตาใส่เพื่อนตัวดี เป็นเชิงบังคับให้มันหยุดพูด แต่มันลอยหน้าลอยตา แสร้งทำเป็นใสซื่อ เหมือนไม่รู้ว่าคำพูดของมันทำให้ผมลำบากใจ

“แน่นอนอยู่แล้วครับ ผมยินดี ทำทุกอย่างเพื่อเรียวครับ”

ไปกันใหญ่เลย เจ้าหนูเดียร์ของผม พอมีคนสนับสนุนเข้าหน่อย ก็ทำท่ากระตือรือร้นขึ้นมาเชียว ไอ้เพื่อนตัวดีทำหน้าพออกพอใจที่ได้ยิน มันหันมามองผม แล้วยักคิ้วให้ เหมือนจะบอกว่า เห็นไหม มันว่าแล้ว เจ้าหนูเดียร์เป็นคนดีเหมาะสมกับผมจริงๆ ผมล่ะขวางทั้งเพื่อนและคนที่ผมรักนัก ใจคอจะบีบคั้นให้ผมยอมสารภาพความในใจจนหมดเปลือกเลยหรือไง อย่างน้อยก็น่าจะเหลือทางเลือกให้ผมบ้าง ให้ผมได้มีเวลาคิดสักหน่อยว่าผมจะจัดการอย่างไรกับตัวเองต่อไป ทำแบบนี้เหมือนมัดมือชกให้ผมยอมรับเดียร์เข้ามาในชีวิตของผม และครองคู่กันไปแบบคนรัก ซึ่งผมเองยังคงมีความรู้สึกต่อต้านนิดๆ

กว่าที่เจ้าสันต์จะกลับไปก็หลังอาหารมื้อเย็นไปแล้ว เดียร์เลยต้องลงมือทำอาหารค่ำมากินกันทั้งหมดสามคน ผมสงสารหนุ่มน้อยของผมมากที่เดินกระเผลกไปทั่วบ้านเพื่อทำกับข้าวกับปลามาให้กับพวกเราและยกมาตั้งวางไว้ แต่ดูเหมือนเดียร์จะเต็มอกเต็มใจทำให้ เขาพยายามอยู่ใกล้ๆผม ดวงตาจับจ้องมองอยู่ตลอดเวลา สบสายตาเด็กหนุ่มทีไรก็เห็นแต่ความรักภักดีอยู่ในนั้นทำให้ผมใจหวั่นไหวทุกที เดียร์เอาอกเอาใจผมมาก ตักโน่นตักนี่ชี้ชวนให้ผมชิมตลอดเวลา จนผมนึกอายเจ้าสันต์ที่จ้องมองเราสองคนด้วยดวงตาของนักสังเกตการณ์พลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

เดียร์เองก็เหมือนจะรู้ว่าสันต์เข้าข้าง เห็นด้วยกับความรักของเขา เด็กหนุ่มจึงแสดงความรักที่มีต่อผมอย่างไม่ปิดบัง ผมเสียอีกที่เป็นฝ่ายอึดอัดใจ แม้จะชอบอยู่เหมือนกันที่เดียร์ดูแลผมดีถึงเพียงนี้ แต่ความอายเพื่อนฝูงนี่สิ ทำให้ผมไม่ค่อยอยากให้เจ้าหนูมาทำอะไรให้สักเท่าไหร่ พอเจ้าสันต์กลับไปแล้ว ผมก็ถือโอกาสพูดกับเขา ให้เขาระมัดระวังตัวบ้าง เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น เดียร์ก็เถียงผมว่า สันต์เป็นเพื่อนรักของผม เขารู้เรื่องระหว่างเราแล้ว และเห็นดีเห็นงามด้วย คงไม่ต้องระวังตัวนัก เขาไม่อยากแสร้งปั้นหน้า หรือทำเฉยเมยเหมือนว่าไม่ได้รักผม เขาคิดว่าความรู้สึกรักที่เขามีให้ เป็นเรื่องที่งดงามและควรที่จะแสดงออกต่อบุคคลภายนอก แต่หากผมไม่สบายใจ เขาจะระมัดระวังก็แล้วกัน

ท้ายเสียงที่พูดดูห่อเหี่ยวเศร้าสร้อยอย่างบอกไม่ถูก จนผมรู้สึกแย่ที่ไปทำร้ายความรู้สึกของเดียร์ ผมกลัวว่าเด็กหนุ่มจะคิดมากกับคำพูดของผม เลยพูดให้เข้าใจว่า เวลาที่อยู่ในสังคมคนหมู่มาก ซึ่งยังรับกับเรื่องราวแบบนี้ไม่ได้ การเปิดเผยถึงจะสบายใจ ก็ใช่จะมีความสุข ยิ่งให้คนอื่นได้รู้เห็นมากไปก็อาจจะกลายเป็นทุกข์ ตัวผมเองก็มีหน้าที่การงานที่ดี เลยไม่อยากให้ใครมาติฉินนินทาว่าร้ายเอาได้ เพราะมันจะส่งความเสียหายมาสู่ตัวผม ทำให้คนเสื่อมสิ้นศรัทธา อันที่จริงผมก็ไม่ได้รังเกียจรังงอนอะไรเขาแล้ว ยินยอมปฏิบัติตามพันธะสัญญาที่ให้ไว้ต่อกัน แต่วันข้างหน้าไม่อาจจะรู้ได้ หากผมได้กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมที่เคยเป็น ผมก็ไม่อยากให้ใครได้ล่วงรู้ว่าครั้งหนึ่งผมเคยมีอะไรกับผู้ชายมาก่อน

เดียร์พยักหน้าแสดงทีท่าว่าเข้าใจในสิ่งที่ผมพูด แต่สีหน้ามันบอกให้รู้ว่าเขาไม่เข้าใจเลยสักนิด เขามองผมด้วยแววตาที่ยากจะบรรยาย มันทั้งโศกสลด สับสน และน้อยใจจนผมต้องเบือนหน้าหนี ไม่อยากให้เขาเห็นความอ่อนแอของผม กลัวว่าตนเองจะยอมทำตามคำเรียกร้องของหัวใจ
หลังจากช่วยเดียร์เก็บกวาดในครัวแล้ว ผมก็ขอตัวขึ้นไปอาบน้ำ อยากนอนเร็ว เพราะยังคงรู้สึกไม่ค่อยสบายสักเท่าไหร่ ผมไม่ได้ล็อคกลอนตั้งแต่อนุญาตให้เดียร์เข้ามานอนในห้องด้วยได้ เดี๋ยวเจ้าเด็กนั่นทำอะไรเสร็จก็คงจะขึ้นมาเอง

ผมอยากหลับก่อนที่เขาจะเข้ามา จะได้ไม่ต้องพูดคุย หรือทำกิจกรรมอะไรกับเขาอีก ผมรู้ตัวดีว่าผมใจอ่อนขึ้นเรื่อยๆ ให้กับความน่ารัก และจิตใจที่ดีงามของเด็กหนุ่ม

กลัวเหลือเกินว่าวันหนึ่ง ผมจะเป็นฝ่ายฉีกกฏเกณฑ์ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อบังคับให้ใช้ชีวิตอย่างถูกครรลองคลองธรรมเสียเอง ไม่อยากให้ตัณหา หรือความรักเข้ามาครอบงำจิตใจจนต้องทิ้งทุกอย่างในชีวิต ถ้าเป็นไปได้ ผมไม่อยากจะสูญเสียอะไรเลย มันจะมีทางไหนบ้างไหมที่ผมจะสามารถอยู่กับเดียร์อย่างมีความสุขและได้รับการยอมรับจากสังคม หากทางนั้นมีจริงก็คงจะดี จะได้ไม่ต้องมีใครเสียใจ ไม่ต้องทิ้งอะไรไปเพื่อให้ได้อีกสิ่งหนึ่งมาครอบครอง

ที่นอนยุบยวบลงข้างลำตัว เมื่อร่างสูงใหญ่ก้าวขึ้นมานอนบนเตียง ผมนอนนิ่ง แสร้งทำเป็นหลับแล้ว ทั้งที่ยังตื่นอยู่ เพราะมัวแต่คิดวุ่นวายมีแต่เรื่องของเดียร์อยู่ในหัวสมอง ทำให้ผมไม่ยอมหลับทั้งที่อยากพักเต็มทน เพราะไม่สบายและเพลียมาก ผมได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆของคนที่อยู่ด้านหลัง จากนั้นร่างของผมก็ถูกดึงรั้งเข้าไปไว้ในอ้อมกอดแข็งแรงนั้น แล้วริมฝีปากร้อนผ่าวของเดียร์ก็แตะเบาๆตรงหน้าผาก จากนั้นเสียงกระซิบก็ดังขึ้น

“เรียวนอนไม่หลับหรอกครับ ถ้าไม่ได้นอนอยู่ในอ้อมแขนของผม”

“ทำเป็นรู้ดี”

ผมว่าเขาด้วยความหมั่นไส้ ทั้งๆที่ไม่ลืมตาขึ้นมา

“ก็นี่ไง โต้ตอบผมอยู่แบบนี้ จะเรียกว่าหลับได้ไงครับ มามะคนดี ผมจะทำให้เรียวหลับและฝันดีอยู่ในอ้อมอกของผมนะครับ”

“จะทำอะไร....ไม่ไหวแล้วนะ ....ฉันเหนือ่ย”

ผมรีบลืมตาขึ้น ร้องห้ามเขาเสียงระรัว เดียร์หัวเราะกิ๊กกั๊ก มองผมด้วยดวงตาหวานฉ่ำ ความเศร้าโศก ตัดพ้อ และน้อยใจเมื่อตอนเย็นไม่มีให้เห็นอีกแล้ว เด็กหนุ่มกลับกลายเป็นคนเดิมที่ทะลึ่งทะเล้น และชอบทำเจ้าเล่ห์หลอกลวงให้ผมติดกับ ผมชอบใบหน้าของเขายามนี้จัง

ไม่ใช่สิ ไม่ใช่ชอบแค่ใบหน้าอ่อนเยาว์กับสายตาเจ้าเล่ห์นั่น แต่ชอบรวมไปถึงอารมณ์ของเขาที่ร่าเริงแจ่มใสอยู่เสมอ ไม่ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ที่เดียร์พบเจอกับเรื่องร้ายๆไม่สบาย แต่เขาก็จะยิ้มสู้เสมอ หม่นหมองพักเดียว เดี๋ยวก็หาย กลับมาเป็นเด็กหนุ่มที่รื่นรมย์กับการใช้ชีวิตตามเดิม

“ไม่หรอกครับ ผมเองก็เหนื่อยเหมือนกันนะ เจ็บขาด้วย แค่จะนอนกอดและจูบเรียวเฉยๆเท่านั้นเองครับ ให้คุณหลับอย่างสบายในอ้อมกอดของผมนี่แหละ ดีไหมครับ หรือว่าเรียวอยากจะให้ทำอย่างอื่น”

“อย่าเลย สงสารน่ะ รู้หรอกน่าว่าที่พูดออกไปอย่างนั้นเพราะไม่อยากถูกหัวเราะว่าไม่มีน้ำยา ทำมาเป็นเจ้าหนูจอมพลัง ฟิตเปรี๊ยะ ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนือ่ย ที่แท้ก็หมดแรงเป็นเหมือนกัน”

ผมแสร้งว่าเขายิ้มๆ เดียร์หัวเราะชอบใจ พลางเม้มปากงับติ่งหูผมเล่นอย่างมันเขี้ยว
“โอ๊ะโอ๋ พูดแบบนี้ จะให้เข้าใจว่าอย่างไรเนี่ย ท้าทายหรือเปล่าครับ ไม่รู้เลยหรือไง ว่าเดียร์คนนี้ เป็นคนที่ชอบรับคำท้าด้วย ถ้าเรียวต้องการมากกว่าจูบและกอดล่ะก็ ถึงจะเจ็บขาแค่ไหนก็ใจสู้ครับ”

พร้อมกับคำพูด เดียร์ก็จับผมพลิกร่างอย่างรวดเร็ว จนขึ้นไปทาบทับอยู่บนตัวเขา แล้วเอามือตะปบสะโพกของผมให้กดทับลงไปตรงร่างกายส่วนกลางที่นูนเด่นขึ้นมา จากนั้นก็แกล้งผมด้วยการขยำก้นแล้วจับให้ส่ายบดเบียดกับน้องชายที่กำลังตื่นตัวของเขา

“เห็นไหม พร้อมรบเสมอ....เริ่มทำศึกกันเลยไหมครับ”

เดียร์พูดเสียงกลั้วหัวเราะ ตาวาววามนั้นจับจ้องผมอย่างยั่วเย้า ผมรู้สึกว่าเริ่มหายใจขัดขึ้นมา ตามหน้าตาเนื้อตัวร้อนผ่าว ปฏิกิริยาบางอย่างส่งผลทำให้ร่างกายเบื้องล่างขยายใหญ่ขึ้น ผมรีบตะกายลงจากตัวเดียร์มานอนข้างๆเขาตามเดิม เด็กหนุ่มหัวเราะชอบอกชอบใจที่เห็นผมตกใจกับความรู้สึกของตัวเอง เขานอนตะแคงมองผม และยิ้มทะเล้น

“ทำเป็นพูดดี ที่แท้ก็กลัวล่ะสิ กลัวผม หรือ กลัวใจตัวเองกันแน่นะ”

น้ำเสียงยั่วล้อของเดียร์ทำให้ผมอับอายจนต้องพลิกตัวกลับมาอีกด้าน ไม่อยากพูดคุยกับหมอนี่ด้วยเรื่องใต้สะดือแบบนี้ เดียร์หัวเราะหึๆก่อนจะดึงตัวผมเข้ามาสู่อ้อมกอดอีกครั้ง

“ทำท่าเขินอายน่ารักจัง เหมือนพวกเมียๆที่งอนผัวเลยอ่ะครับ”

ดูเจ้าหนูของผมพูดเข้า คิดได้ไงเนี่ย

“บ้าน่ะสิ ดูพูดเข้า เคยมีหรือไง”

“เปล่าครับ เห็นแต่ในละครทีวี...เลยเดาเอาว่าในชีวิตจริงต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ แต่เอ.....ถามแบบนี้ แปลว่า ...............หึง รึเปล่า”

เกลียดเสียงหยอกล้อแบบนี้จัง เลยแหวออกไปเสียงลั่น

“ใครจะไปหึงนาย....”

“ก็เรียวไง....”

คนพูดทำหน้าทะเล้นอีก ผมเลยเงียบขี้เกียจต่อปากต่อคำ

“ตกลงว่า เราต่อกันเลยไหมครับ เพื่อเรียว ผมหายเหนื่อยก็ได้...”

เด็กหนุ่มทำหน้ากรุ้มกริ่ม

“ฉันไปพูดขอร้องนายตั้งแต่ตอนไหน...เพ้อแล้ว”

“เมื่อกี้ไง ....”

“พูดประชดต่างหาก”

“ก็ช่างเถอะ อยากทำจริงๆนี่นา.....”

“ไม่เอานะ.....ฉันจะนอน...”

“กุ๊กกิ๊กกันก่อนนะ เสร็จแล้วค่อยนอนก็ได้ บอกแล้วไงว่าผมจะทำให้เรียวนอนหลับสบาย”

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่22 24/1/09 เอาหนูเดียร์มาให้ชมอีกละ
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 24-01-2009 18:49:31
กุ๊กกิ๊กกันก่อนนะ เสร็จแล้วค่อยนอน
 :-[ ตรงนี้พี่เคทหน้าจะเขียนผิดนะ
กุ๊กกิ๊กกันก่อนนะ เสร็จแล้วคงไม่ได้นอน :laugh:


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่22 24/1/09 NC กระจาย
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 24-01-2009 21:43:53
 :z13:

ขอจิ้มหน่อย เห็นเขาชอบทำกัน เอามั่งๆ

+1 ให้คนขยันเช่นกันค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่22 24/1/09 NC กระจาย
เริ่มหัวข้อโดย: the_pooh9 ที่ 24-01-2009 23:38:24
อ้าว ๆ แล้ว ไม่กุ๊กกิ๊ก ก่อนหรอ

ตัดได้ไงอ่ะ  o9 จะกุ๊กกิ๊กๆๆๆ

กะว่า กุ๊กกิ๊กแล้วจะไม่นอน เอ้ยหลับซะบายอ่ะ :m10:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่22 24/1/09 NC กระจาย
เริ่มหัวข้อโดย: nanalonely ที่ 25-01-2009 01:49:25
^
^
จิ้มก้น แนน แหมๆๆๆ หื่นจิงเชียว
มามะเค้าพาไปรับเลือดเอาป่ะ  :laugh:
หวานแหวว กำลังดี แต่อีกไม่นานก็คงเศร้าใช่มะ
โอ้ววววววว อยาก แฮบ เดียร์ในรูปจิงจิ้ง  :z1:
อ้าว ๆ แล้ว ไม่กุ๊กกิ๊ก ก่อนหรอ
ตัดได้ไงอ่ะ  o9 จะกุ๊กกิ๊กๆๆๆ
กะว่า กุ๊กกิ๊กแล้วจะไม่นอน เอ้ยหลับซะบายอ่ะ :m10:

อร้ายยย แนนไม่หื่นน๊า

ดูได้จากสองรีพลาย

ว่าใครหื่นกว่ากัน 555


พี่แอนคนสวยย

ตัดฉับบไปเลย

แนนอยากอ่านตอนที่โดนตัดอ่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่22 24/1/09 NC กระจาย
เริ่มหัวข้อโดย: โน๊อา ที่ 25-01-2009 01:56:38
555   เช้าพอดี อาบน้ำไปทำงานเลยอ่ะดิ   :z1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่22 24/1/09 NC กระจาย
เริ่มหัวข้อโดย: the_pooh9 ที่ 25-01-2009 12:41:21
        :mc4: ซินเจียยู่อี่ ซินนีฮวดใช้   :mc4:

 :mc4: เจ้าของบ้าน แล้วก็ลูกบ้านทูกคน จ้า  :mc4:

       :mc4:  :mc4:  :mc4:  :mc4:  :mc4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่22 24/1/09 NC กระจาย
เริ่มหัวข้อโดย: nanalonely ที่ 25-01-2009 16:42:50
新正如意 新年发财 ซินเจิ้งหรูอี้ ซินเหนียนฟาไฉ
新正如意 ซิงนี้ตั่วถั่ง


(http://i223.photobucket.com/albums/dd277/akapong/ChineseNewYear/09-01-2008_01.gif)
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่22 24/1/09 NC กระจาย
เริ่มหัวข้อโดย: kakoku_kin ที่ 25-01-2009 17:05:42
kakoku_kin: 新正如意 新年发财 ตามมาเอาอังเปา อิอิอิ :laugh:

 และแถมท้ายด้วยการจิ้มคนแต่ง :z13:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่22 24/1/09 NC กระจาย
เริ่มหัวข้อโดย: kimagain ที่ 25-01-2009 17:57:38
อ่านแล้วก็ อืมมม.....นะ 555 :mc4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่22 24/1/09 NC กระจาย
เริ่มหัวข้อโดย: โน๊อา ที่ 25-01-2009 21:58:38
ทำไมวันนี้ยังไม่มาอ่า 

รอนะรอเธออยู่ แต่ไม่รู้เธออยู่หนใด

เธอจะมา เธอจะมาเมื่อใด

ไม่ได้นัดกันไว้ แต่ทำไมไม่มา ....

ฉันเป็นห่วง ฉันเป็นห่วงตัวเธอ

อย่าให้เก้อ ชะเง้อมองหา

ไม่ได้นัดไว้ แต่เธอควรมา โอ้เธอจ๋า อย่า อะ อะ อย่าช้า ระ ระ เร็ว  อีก
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่22 24/1/09 NC กระจาย
เริ่มหัวข้อโดย: fayossy ที่ 27-01-2009 09:21:49
รออ่านตอนต่อไปอยู่น้า

เข้ามาปูเสื่อนอนรอและ :z3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่22 24/1/09 NC กระจาย
เริ่มหัวข้อโดย: โน๊อา ที่ 27-01-2009 22:21:54
มารอ มารอ  :z10:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่22 24/1/09 NC กระจาย
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 28-01-2009 14:41:40
ยังรออ่านอยู่นะคะ  :mc4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่22 24/1/09 NC กระจาย
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 28-01-2009 15:47:37
มา ต่อ ไวไว น่ะ คร้าบบบบบบบบบ




รออ่าน อยู่
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่22 24/1/09 NC กระจาย
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 28-01-2009 20:51:02
หลอกให้อยากแล้วจากไป  :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่23-24 28/1/09 NC กระจาย
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 28-01-2009 21:40:34
บทที่ 23

ไม่พูดเปล่า จมูกโด่งเลื่อนมาซุกอยู่ซอกคอของผม เดียร์จูบและหอมตรงนั้น ก่อนจะใช้ปากและเล็มที่ใบหูรวมถึงติ่งหูผมเล่น จนกระทั่งผมใจอ่อน ยอมให้เขาลวนลามแต่โดยดี

ความตั้งใจที่จะนอนพักมลายไป กลายเป็นว่าบนเตียงกลับกลายเป็นสนามรบอีกครั้ง ผมเลยไม่ต้องหลับต้องนอนกันพอดี เพราะเอาตัวลงไปมีส่วนร่วมในปฏิบัติการแห่งความรักด้วยกันกับเขา

เด็กหนุ่มมอบความรักให้ผมครั้งแล้วครั้งเล่าจนผมอ่อนระทวยไปหมด ไม่มีเรี่ยวแรงจะลุกขึ้นอีกแล้ว ได้แต่ซุกซบอยู่ในอ้อมแขนที่อบอุ่นนั้น

ใบหน้าแนบกับแผ่นอกของเดียร์ นอนฟังเสียงหัวใจของเขาที่เต้นรัวจนกระทั่งมันค่อยๆสงบลง โชคดีที่วันพรุ่งนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ และเป็นวันหยุดยาวเนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ แถมซ้ำไม่มีงานอะไรวุ่นวายมากนัก ทำให้ผมสามารถนอนหลับและตื่นสายได้

เมื่อกลางวันผมโทรไปถามไถ่งานจากจุ๋มเป็นระยะเพื่อมอบหมายงานแต่ละอย่างให้ลูกน้องของผมทำ ถึงจะลางาน แต่ผมก็ยังเป็นห่วง เมื่อเห็นว่าที่แผนกสามารถทำงานกันได้ ไม่มีอะไรที่ต้องกังวลผมก็เลยเบาใจ

จากนั้นผมก็โทรไปขออนุญาตเจ้านายลาป่วยต่อและลาพักร้อนช่วงปีใหม่พร้อมกันโดยผมได้ส่งอีเมล์ไปยังเจ้านายและฝ่ายทรัพยากรบุคคลให้รับทราบด้วย เป็นการใช้สิทธิ์ของตัวเอง ไม่เอาเปรียบผู้อื่นโดยการหยุดไปเฉยๆและเก็บวันลาเอาไว้

เจ้าหนูของผมนอนหลับไปแล้ว ทั้งที่กอดผมเอาไว้แนบแน่น เดียร์คงจะเหนื่อยมาก เพราะทั้งช่วยผมทำงานบ้านแล้วยังจะมาออกแรงกับผมอีกในยามค่ำคืน เสียงลมหายใจของเขาดังสม่ำเสมอ

ผมเงยหน้าขึ้นมองเขา เห็นเปลือกตาของเด็กหนุ่มปิดสนิท แพขนตางอนยาวดกหนาคลี่ทาบทับกับโหนกแก้มสีน้ำตาลทอง ผมมองภาพเดียร์ที่กำลังหลับอย่างเพลิดเพลิน

รู้สึกว่าตัวเองกำลังยิ้ม เป็นยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขสมหวัง ผมรักเด็กคนนี้มากมายเหลือเกิน อยากอยู่กับเขาให้นานที่สุด ตั้งใจไว้แล้วว่าเวลาที่เหลืออยู่ จะพยายามไม่ให้เกิดเรื่องบาดหมางระหว่างเราขึ้นมา

ปรารถนาที่จะเก็บเกี่ยวความทรงจำที่ดีไว้ ก่อนที่จะเลิกร้างจากกันไปในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ถึงแม้ผมจะกลับไปรักผู้หญิง ผมก็ไม่อยากจะลืมเด็กหนุ่มคนนี้ เขาเป็นเด็กดี แล้วก็น่ารักเกินกว่าที่จะลบเลือนเขาออกไปจากใจ

ผมปิดเปลือกตาลง ไม่อยากคิดอะไรอีกต่อไปแล้ว เริ่มล้ากับการต่อสู้กับความรู้สึกของตัวเอง ทั้งอยากอยู่ใกล้ ทั้งอยากหนีหายไปจากเดียร์

ไม่อาจจะแน่ใจได้ว่าอะไรคือสิ่งที่ผมต้องการอย่างแท้จริง ผมคล้ายคนบ้าเข้าไปทุกทีที่เอาแต่คิดวนเวียนไม่จบไม่สิ้น เพื่อไม่ให้ตัวเองฟุ้งซ่านไปมากกว่าเดิมการหลีกลี้ความเป็นจริงเข้าสู่โลกแห่งความฝันในห้วงนิทราจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

ผมหลับตาลงและแนบหน้าเข้ากับหน้าอกของเดียร์ ฟังเสียงหัวใจของเขาที่เต้นเป็นจังหวะต่อเนื่อง จนกระทั่งหลับไป
อากาศเริ่มหนาวเย็นลงทุกที ฤดูหนาวครั้งนี้ทำให้คนกรุงเทพได้มีโอกาสใส่เสื้อกันหนาวอยู่หลายวัน วันนี้เป็นวันเสาร์สิ้นปี ส่วนพรุ่งนี้เป็นวันเริ่มต้นปีใหม่ เพราะมัวแต่ป่วยกันทั้งสองคน ทำให้ทั้งผมและเดียร์ไม่ได้เตรียมการอะไรเป็นพิเศษ กว่าจะคิดได้ก็ล่วงเข้าสู่เทศกาลแล้ว

“เดียร์ อยากไปไหนบ้างหรือเปล่า”

ผมถามเด็กหนุ่มขณะทำความสะอาดอยู่ด้วยกันในห้องรับแขก เด็กหนุ่มกำลังปัดกวาดฝุ่นอยู่ตรงแถวๆโซฟา ในขณะที่ผมเอาผ้าเช็ดถูทีวีและเครื่องเสียง เดียร์เงยหน้าขึ้นจากงานที่ทำ แล้วหันมาหาผม

“เรียวไปไหน ผมก็ไปที่นั่นล่ะครับ”

“ไม่ต้องมาหวานใส่เลย อยากไปเที่ยวไหนวันปีใหม่ก็บอกมา จะได้พาไป”

“จริงหรือครับ เรียวใจดีจังเลย”

เดียร์เดินเข้ามาใกล้ผมและทำท่าจะกอด แต่ผมเดินหนีด้วยรู้สึกเขิน พลางดุเขา

“พูดมาก ตอบคำถามมาสักทีสิ มัวแต่โยกโย้ อยู่ได้ เดี๋ยวก็ไม่พาไปซะเลยนี่”

“โอ๊ยยยย อย่าทำอย่างนั้นนะครับ”

เด็กหนุ่มทำเสียงอ้อน พลางเดินเข้ามาประชิดตัวแล้วคว้าผมมากอดไว้ก่อนจะทันหนี

“งั้นก็บอกมา”

“ที่ไหนก็ได้ครับเรียว คุณไปที่ไหนผมก็ไปที่นั่นอ่ะครับ”

“เอ๊ะ ที่ที่ฉันชอบ กับที่ที่นายชอบอาจจะไม่เหมือนกันก็ได้ ไหนๆก็เป็นวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ทั้งที ฉันก็อยากจะตามใจนายสักครั้งพาไปที่ไหนๆก็ได้ที่นายชอบน่ะ”

“ผมอยากไปทุกที่ที่มีเรียวอยู่ด้วยนะครับ เรียวอยู่ที่ไหน ผมก็ชอบที่จะอยู่ที่นั่น ความสุขของผมคือการที่ได้อยู่ใกล้ๆเรียวครับ”

คำพูดอ้อนๆของเดียร์ทว่าแฝงไปด้วยความจริงใจนั้นมันทำให้ผมรู้สึกเป็นสุขอย่างบอกไม่ถูก เด็กหนุ่มไม่เพียงพูดจาหวานหูให้ผมเคลิบเคลิ้ม การแสดงออกของเขากลับมีความหมายมากยิ่งกว่า เขาทำให้ผมตระหนักว่าความรักที่มีให้ผมนั้นมากมายเพียงใด

“ช่วงหยุดยาวปีใหม่แบบนี้ ถ้าออกต่างจังหวัดก็คงไม่มีที่พักแล้วล่ะ แล้วคนก็คงจะเยอะแยะไปหมดทุกที่ ทางที่ดี เราควรจะฉลองปีใหม่กันในกรุงเทพนี่แหละ นายว่าไงล่ะ”

“ดีครับ ผมเองก็ไม่ชอบอยู่ในที่ที่มีคนเยอะๆ อยากอยู่ที่บ้านนี้ กับเรียวและฉลองกันสองคนก็พอแล้ว”

“ไม่เบื่อหรือไง อุดอู้อยู่แต่ในบ้านแบบนี้น่ะ”
“การได้อยู่กับเรียวไม่ใช่อะไรที่น่าเบื่อหน่ายสำหรับผม เรียวทำให้ผมอยากอยู่กับบ้านมากกว่าอ่ะครับ ผมรู้ซึ้งถึงคำว่าครอบครัวซึ่งผมไม่เคยมีมาก่อนเมื่อได้มาใช้ชีวิตร่วมกับคุณ ก่อนหน้านั้นผมต้องร่อนเร่ไปมาอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่เป็นนักมวย และนักแสดงโชว์คาร์บาเรต์ พอมาเป็นแดนเซอร์ก็ต้องไปเต้นในที่ต่างๆไม่ได้อยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง พอได้เจอกับเรียวมันทำให้ผมคิดที่จะลงหลักปักฐานสร้างครอบครัวเล็กๆของผมขึ้นมา ตอนนี้ผมเฝ้ารอเวลาที่จะให้มันสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ผมอยากได้บ้านที่สมาชิกครอบครัวอยู่กันอย่างถาวรไม่ใช่ชั่วคราวนะครับ”

น้ำเสียงของเดียร์ขณะที่พูดกับผมก่อให้ความรู้สึกหลายอย่างขึ้นมา ถึงแม้โดยรวมแล้วสิ่งที่เด็กหนุ่มกำลังบอกเล่ากับผมจะให้ความรู้สึกหงอยเหงาเศร้าสร้อย ทว่ากลับแฝงไปด้วยความหนักแน่นจริงจัง เด็กหนุ่มคงคาดหวังให้ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นจริงๆกับเขา

ผมฟังแล้วรู้สึกสะท้านในอก สงสารเดียร์อย่างบอกไม่ถูก เด็กหนุ่มที่ขาดความรักความอบอุ่นมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยได้รู้ความหมายของคำว่าครอบครัวอย่างแท้จริง พ่อแม่และญาติมิตรที่แท้ไม่เคยมีใครดีกับเขา ทำให้เด็กหนุ่มต้องแสวงหาความรักไปเรื่อยๆ โชคดีที่เขาได้รู้จักคนดีๆที่คอยหยิบยื่นความรักให้ แต่มันก็ยังดูไม่เพียงพอต่อความต้องการ จนกระทั่งมาเจอผมเข้า เด็กหนุ่มก็ทำดี เอาอกเอาใจ หวังให้ผมตอบรับรักเขาบ้าง ผมเป็นเสมือนบ้านหลังสุดท้ายที่เขาจะขอพักพิงอาศัย เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ผมยังจะกล้าทิ้งเขาไปได้ละหรือ

“สักวันนายคงจะได้เจอคนดีๆที่จะทำให้ครอบครัวในฝันของนายสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น”

“คงไม่ต้องรอหรอก เพราะตอนนี้ผมเจอแล้วครับ แต่คนที่ผมต้องการให้เขาเป็นสมาชิกถาวรในครอบครัวของผมยังไม่ยอมรับใจตัวเอง ผมเลยต้องพยายามอย่างสุดความสามารถครับที่จะทำให้เขารักผมให้ได้”

พูดแบบนี้ ทำไมผมจะไม่รู้ว่าเดียร์หมายถึงใคร สิ่งที่เขาอยากได้ ผมก็ดันลังเลที่จะให้ ผมได้แต่แอบทอดถอนใจอยู่คนเดียว ทำไมเรื่องแบบนี้ถึงต้องมาเกิดขึ้นกับผมหนอ เด็กที่น่ารัก น่าสงสารคนนี้ ทำไมถึงไม่เป็นผู้หญิงนะ ผมคงไม่ต้องให้เขาง้องอนผมถึงขนาดนี้หรอก เพราะผมนั่นแหละจะเป็นฝ่ายร้องขอให้เขาอยู่กับผมไปตลอดชั่วชีวิต แต่เพราะเดียร์กับผมเป็นเพศเดียวกัน ผมถึงได้วุ่นวายใจแบบนี้ แล้วผู้ชายกับผู้ชายรักกัน มันจะจีรังยั่งยืนเหมือนผู้หญิงกับผู้ชายละหรือ ในเมื่อไม่มีอะไรที่จะผูกพันกันไปตลอด โซ่ทองคล้องใจอย่างเช่นลูกก็มีให้แก่กันไม่ได้ แล้วมันจะเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ไปได้อย่างไร

“ขานายค่อยยังชั่วหรือยัง....”

“ดีขึ้นมากแล้วครับ เดินได้คล่องแล้วล่ะ .......จะชวนผมไปตระเวณที่ไหนเหรอ”

“อื้ม จะชวนนายไปเดินเล่นซะหน่อย อาจจะไปซื้อข้าวของเครื่องใช้ ซื้อของขวัญของฝากไปทานข้าวนอกบ้านสักมื้อ ต่อจากนั้นอาจจะดูหนัง หรือโยนโบล์ เดินดูไฟยามค่ำคืน รอเวลาที่เขาจะนับเวลาถอยหลังไปสู่ปีใหม่กัน นายคิดว่าเป็นไง ไอเดียนี้”

“โอ๊ย ดีครับ ไป ไป ไป ที่ไหนที่มีเรียว ผมไปทั้งนั้นครับ แล้วไปกันตอนนี้เลยหรือเปล่า”

เดียร์ถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เขากอดผมไว้แน่น และใช้ปากซุกไซร้อยู่แถวซอกคอของผม เบี่ยงตัวหนียังไง ก็ไม่พ้น โดนเขาทั้งจูบทั้งกอดแบบนี้ เล่นเอาผมอารมณ์กระเจิดกระเจิง

“นี่นี่นี่ ปากบอกว่าไป แต่ทำไมยังมากอดมาจูบอยู่ได้ เดี๋ยวก็ไม่ต้องไปไหนกันพอดี หมกตัวอยู่แต่ในบ้านนี่แหละ เจ้าเด็กลามก”

ผมเอ็ดเขาเสียงดัง พลางแกะไม้แกะมือที่ยุ่มย่ามเป็นปลาหมึกออกจากตัว เดียร์หัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ ตีหน้าทะเล้นใส่

“ก็แหม มันอยากทำทั้งสองอย่างนี่ครับ ช่วยไม่ได้นี่ เรียวอยากน่ารักทำไมล่ะ ให้ผมขลุกอยู่กับเรียว กุ๊กกิ๊กกันทั้งวันทั้งคืนโดยไม่ต้องเห็นเดือนเห็นตะวันเลยก็ยังได้อ่ะ ชอบมาก เวลาอยู่กับเรียวสองต่อสอง ผมมีความสุขที่สุดเลยรู้ไหม”

เอาอีกแล้ว พูดแบบนี้ผมก็เสร็จนะสิ ใจเต้นไม่เป็นส่ำเลย นี่หน้าผมคงแดงก่ำด้วยความอายปนความสุขต่อหน้าเขาแน่ๆ เพราะผมรู้สึกร้อนวาบๆด้วยเลือดที่ฉีดพล่าน เจ้าบ้าเอ๊ย จะพูดทำไมกันนะ แค่เพียงไม่กี่ประโยคที่เปล่งออกมา ก็สามารถโยกคลอนภูเขาน้ำแข็งในใจของผมได้แล้ว ขืนฟังบ่อยๆต้องใจอ่อนเข้าสักวันแน่เลย
“รีบๆทำงานบ้านเข้าเถอะ แล้วแต่งตัวออกจากบ้านกันได้แล้ว โปรแกรมเยอะแบบนี้ขืนไปช้า จะทำได้ไม่หมดทุกอย่าง”

ชิ่งหนีก่อนดีกว่า ขืนอยู่ใกล้มากๆ เดียร์คงปล้ำผมในห้องรับแขก ไม่ต้องออกไปไหนกันเลย เจ้าเด็กบ้านี่ยิ่งไว้ใจไม่ได้อยู่ ชอบทำเจ้าชู้ยักษ์ใส่ตลอดเวลา เผลอเป็นไม่ได้ ทั้งปาก จมูกมือไม้ลวนลามผมไม่หยุด นับวันผมก็ยิ่งต่อต้านเขาน้อยลงขึ้นเรื่อยๆ แถมซ้ำบางทีก็ออกอาการรู้เห็นเป็นใจให้เขาทำกับผมเสียอีก คิดแล้วก็ให้เหงื่อตก นี่ผมกลายเป็นเกย์ไปแล้วหรือยังนะ ทำไมเวลาที่เด็กหนุ่มนัวเนียเข้าใกล้ มันถึงได้มีแต่ความสุขไม่มีความรังเกียจหลงเหลืออยู่เลยล่ะ
เสียงเดียร์หัวเราะลงคอเอิ๊กอ๊าก ทำท่าเหมือนรู้เท่าทันความคิดของผม โชคดีที่เด็กหนุ่มไม่ทำดึงดันกลั่นแกล้งเหมือนที่เคยยามที่อยากได้ตัวผม เขาแค่ยิ้มล้อเลียนจากนั้นก็ทำท่าตะเบ๊ะเหมือนทหารที่รับคำสั่งให้ไปปฏิบัติก่อนจะหันไปง่วนอยู่กับงานที่ทำคั่งค้างอยู่

ในเวลาไม่นานนัก เราสองคนก็ช่วยจัดการงานทุกอย่างในบ้านเสร็จตั้งแต่กวาดบ้าน ถูบ้าน อาบน้ำให้เจ้าหญิง เอาข้าวให้มันทาน รดน้ำต้นไม้ และซักผ้า ผมกับเดียร์แข่งกันทำเวลาเข้าห้องน้ำ เขาเข้าห้องข้างล่าง ส่วนผมเข้าห้องข้างบน กว่าจะตกลงกันได้ ก็นานพอสมควร เพราะหนุ่มน้อยของผมงอแง จะขออาบน้ำด้วย อ้างว่าจะช่วยผมขัดเนื้อตัว จะได้เร็วขึ้น แต่เมินเสียเถอะผมไม่หลงกลหรอก ขืนเชื่อเขากว่าจะได้ออกจากห้องน้ำก็คงใช้เวลาไม่ต่ำกว่าชั่วโมงแน่

ผมเปิดตู้เสื้อผ้า เพื่อเลือกหาอาภรณ์ที่จะใส่ไปเที่ยวกับเดียร์ แล้วก็เพิ่งจะสังเกตเห็นว่า เสื้อผ้าของเด็กหนุ่มที่ผมวางไว้ข้างนอกตอนที่เขาไปทัวร์คอนเสิร์ตได้กลับเข้ามาแขวนเหมือนเดิม แต่แขวนไว้มุมในสุดถ้าไม่รื้อไปด้านในก็จะไม่เจอ ผมนึกละอายใจที่วางเสื้อผ้าเขาทิ้งไว้อย่างไม่ใยดี เดียร์คงมาเห็นเข้าแล้วคงจะสะเทือนใจ แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการโกรธเคืองออกมาให้เห็น กลับแอบเอามาแขวนไว้ตามเดิมเงียบๆ ผมเอามือลูบไล้ไปตามเสื้อผ้าของเด็กหนุ่มแล้วกล่าวคำขอโทษในใจที่ทำลงไปอย่างนั้น
เสื้อผ้าที่มีอยู่ในตู้ส่วนใหญ่เป็นโทนสีขาวดำ ยกเว้นแต่เสื้อเชิ้ตที่ผมซื้อมาใหม่สี่ห้าตัวที่มีสีสันสดใส ผมเปิดลิ้นชักออก เสื้อยืดที่เดียร์ซื้อให้ยังพับเรียบร้อยอยู่ในนั้น คราวที่แล้วผมใส่ตัวสีชมพูไป คราวนี้ ผมจะใส่เสื้อของเขาอีกดีไหมหนอ เดียร์จะดีใจมากแค่ไหนกันนะ ที่รู้ว่า ของที่เขาให้ผมมา ไม่ได้ถูกทิ้งขว้างไปไหน

หลังจากลังเลใจอยู่นาน ในที่สุดผมก็หยิบเสื้อยืดตัวสีฟ้าอ่อนละมุนตาขึ้นมาสวม เป็นเสื้อคอกลมมีลายเล็กๆอยู่ตรงหน้าอกเป็นรูปหมีสองตัวกอดกัน ผมเลือกกางเกงยีนส์สีซีดๆตัวหนึ่งมาใส่ เมื่อแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินลงไปข้างล่าง ยังไม่ทันจะลงไปถึงบันไดขั้นสุดท้ายก็ได้ยินเสียงผิวปากวิ๊ดวิ้ว มาจากคนหน้าทะเล้นที่ยืนมองผมตาเป็นประกายแพรวพราว เดียร์จ้องเอาจ้องเอาจนผมแทบจะเดินตกบันได เพราะเขินอายและวางตัวไม่ถูก

“มองอะไร เจ้าเด็กบ้า ไม่เคยเห็นกันเลยหรือไง มองอยู่ได้”

ผมแสร้งทำหน้าบึ้งใส่ กลบเกลื่อนอาการเขินจัดของตัวเอง เดียร์ยิ้มยั่วเย้า

“ทุกวันว่าน่ารักแล้ว แต่วันนี้กลับน่ารักมากมายกว่าเดิม นึกแล้วไม่มีผิด คนหน้าหวานแบบเรียว ยิ่งใส่เสื้อผ้าสีสันสดใส ยิ่งดูดีมากยิ่งขึ้น หวานจนจะอดใจไม่อยู่แล้ว เปลี่ยนใจได้ไหมครับ ไม่อยากไปกินข้าวนอกบ้านแล้วอ่ะ อยากกินของหวานที่อยู่ในบ้านมากกว่า”

“นี่นี่นี่ ตื่นได้แล้ว....เพ้ออยู่ได้ ฉันจะออกไปข้างนอกล่ะ ถ้าจะไปก็ตามมา ถ้าไม่อยากไป ก็เชิญอยู่บ้านคนเดียว แล้วนั่งพล่ามไปเถอะ”
พูดจบก็เดินหนีเด็กหนุ่มตรงไปยังประตูหน้าบ้าน เดียร์รีบกระวีกระวาดตามมา จัดการปิดประตูบ้านให้ผมเสร็จสรรพ แล้วก็ขึ้นไปนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ในรถ ผมลอบยิ้มเมื่อเห็นท่าทางกระตือรือร้นนั่น ดูๆไปเจ้าเด็กหน้าทะเล้นนั่นก็น่ารักใช่เล่น ยิ่งเวลาดีอกดีใจก็จะแสดงออกมาโดยไม่ปิดบังคล้ายกับเด็กๆ ทำให้ผมซึ่งเก็บงำความรู้สึกตัวเองมาตลอดอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกลายเป็นคนที่แก่ต่างจากเด็กหนุ่มโดยสิ้นเชิง

“ไปเดินสวนจตุจักรกันไหม ที่นั่นมีของเยอะดี น่าจะซื้อหามาเป็นของฝากได้ อากาศคงไม่ร้อนสักเท่าไหร่ เพราะอยู่ในช่วงหน้าหนาว”

ผมเสนอความคิดกับเดียร์ เด็กหนุ่มพยักหน้า เดียร์เคยบอกผมมานานแล้ว ว่าเขาชอบไปเดินสวนจตุจักร ผมออกไปเที่ยวกับเขาครั้งแรกก็ที่นี่เหมือนกัน เมื่อเดียร์ไม่มีความเห็นขัดแย้ง ผมเลยขับรถมุ่งหน้าตรงไปยังถนนพหลโยธินทันที รถไม่ติดมาก เนื่องจากเป็นช่วงวันหยุดยาวสิ้นปี คนออกไปฉลองกันที่ต่างจังหวัดส่วนหนึ่ง ทำให้ถนนโล่ง ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ผมก็ถึงสวนจตุจักรแล้ว

ร้านรวงบางร้านปิดไปบ้าง ทว่าคนก็ยังคึกคักสำหรับการมาจับจ่ายซื้อของ ผมเดินชมสินค้าไปเรื่อยๆ ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะซื้ออะไรบ้าง ก่อนออกมาจากบ้าน ผมลิสต์รายชื่อ คนที่ผมจะต้องให้ของขวัญไว้แล้ว มีตั้งแต่ระดับผู้ใหญ่เจ้านายของผม ลูกน้องในแผนก เพื่อนร่วมงาน เพื่อนที่สนิทกันสมัยเรียน และ เพื่อนข้างบ้านด้วย โดยกำกับลักษณะนิสัยและความชอบของแต่ละคนเอาไว้ เพื่อที่ผมจะได้ซื้อของให้เหมาะสมกับแต่ละคน
ผมเลือกของขวัญที่ทำจากพวกไม้ เช่นพวกแจกัน โคมไฟที่มีรูปทรงแปลกๆให้กับพวกผู้ใหญ่ เจ้านายโดยตรงของผมชอบสะสมรูปภาพ ผมจึงเลือกงานเขียนพระพุทธรูปลงบนไม้ให้ ส่วนน้องๆในฝ่าย ผมซื้อชุดสำหรับใส่เครื่องเขียนที่ทำจากดินเผาให้

จากนั้นก็มาถึงบรรดาเพื่อนร่วมงาน ถ้าเป็นผู้หญิง ผมจะให้ของน่ารักๆเช่นพวกกรอบรูป กระปุก หรือ ตุ๊กตาต่างๆ ทั้งที่ทำจากเรซิน หรือผ้า ส่วนเพื่อนผู้ชาย ก็จะได้เสื้อยืดที่พิมพ์ข้อความกวนๆแต่สื่อความหมายถึงเพื่อนแต่ละคนได้ดี อย่างเช่นเสื้อที่เขียนว่า “don’t u know I’m a good gay” และ “รักใสใสหัวใจสีรุ้ง” ผมเลือกซื้อให้เจ้าสันต์ ตั้งใจจะแหย่มันเล่นๆ ส่วนเสื้อที่เขียนว่า “เมียจ๋าผมสับสน” ผมดันนึกถึงศักดิ์ชายขึ้นมาทันที เดียร์เลือกเสื้อ “หญิงแท้หรือจะสู้กระเทยไทย”ให้น้อย “ได้หลังลืมหน้า” ให้สมฤทัย และ “โปรดเข้าเยี่ยมชมทางประตูหลัง”ให้ โสภิตนภา ผมเลือกซื้อเสื้อที่พิมพ์คำว่า “I’m not a perfect guy” สำหรับตัวเอง ส่วนเดียร์ซื้อเสื้อสีขาว สกรีนสีดำตัวเป้ง สองแถวว่า “I’m your man”

ตอนที่จ่ายเงิน ผมเห็นคนขายยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ท่าทางตุ้งติ้งเหมือนกระเทย เขามองเราสองคนเขม็ง และมองเสื้อที่พวกเราเลือกซื้อ ผมหน้าร้อนผ่าวด้วยความอาย เมื่อนึกได้ว่า เสื้อแต่ละตัวมันสื่อไปในความหมายของชายรักชายทั้งนั้น ทั้งๆที่ร้านนี้มีเสื้อยืดที่มีข้อความต่างๆเยอะแยะ ไม่เกี่ยวกับเกย์ก็มี แต่เรากลับเลือกซื้อแต่ข้อความที่ระบุความเป็นเพศที่สามออกมาอย่างชัดเจน ก็สมแล้วที่คนขายจะมองด้วยสายตาแบบนั้น

“มีอะไรเหรอครับ”

เดียร์ถามโพล่งออกไป คงจะสังเกตเห็นเหมือนกันว่า คนขายมองเราอยู่ ชายท่าทางตุ้งติ้งจีบปากจีบคอโต้ตอบทันที

“เปล่าค่ะ คือเห็นว่าคุณสองคนหน้าตาดีด้วยกันทั้งคู่เลย มาด้วยกันด้วย ก็เลยสงสัยว่าเป็นแฟนกันหรือเปล่า ถ้าใช่ก็เหมาะสมกันมากเลยค๊า”


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่23-24 28/1/09 NC กระจาย
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 28-01-2009 21:55:14


ผมก้มหน้าลงทันที อายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี เพราะเสียงคนพูด ดังไม่ใช่น้อย เล่นเอาคนที่เลือกซื้ออยู่หันมามองเราสองคนเป็นตาเดียว

“ขอบคุณนะครับที่ชม แบบนี้น่าจะได้เสื้อฟรีมาใส่นะครับ เพราะคุณเอาแต่จ้องพวกผมสองคน นี่ถ้าเป็นข้าวของคงจะสึกหรอหมดแล้วละครับ”

เดียร์กล่าวยิ้มๆ ไม่มีทีท่าโมโหแต่อย่างใด เขาดึงข้อศอกของผมให้เดินออกมาจากที่นั่น ยังไม่ทันพ้นร้านดี ผมก็ต้องตกใจเป็นซ้ำสองเมื่อเห็นอรจิรา ยืนอยู่ที่ร้านถัดไป ในลักษณะที่หันหน้ามามองผมกับเดียร์ด้วยดวงตาเบิกกว้าง ผมไม่รู้ว่าเธอได้ยินคำโต้ตอบอันดังพอสมควรเมื่อกี้หรือเปล่า

“ไม่น่าเชื่อว่าจะเจอกันที่นี่ บังเอิญจริงๆนะคะ”

อดีตคนรักกล่าวขึ้นมาก่อน เธอปรายตามองเดียร์แล้วหันมาทางผมเหมือนจะให้แนะนำ แต่ผมทำเป็นเฉย ไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องไปอธิบายว่าเด็กหนุ่มคือใคร ผมไม่อยากโกหกพอๆกับไม่ยอมรับความจริง
“อื้มใช่ ไม่นึกว่าจะเจอคุณเหมือนกัน ผมมาซื้อของที่จะใช้เป็นของขวัญปีใหม่สำหรับแจกคนที่บริษัทครับ แล้วอรล่ะ”

“อื้ม อรมาซื้อเสื้อผ้าและของกระจุ๊กกระจิ๊กบางอย่างค่ะ แล้วนี่มากับใครคะเนี่ย”

ในที่สุดอรจิราก็ถามผมจนได้ ในขณะที่ผมยืนนิ่ง กำลังนึกว่าจะตอบว่าอะไรดี เดียร์ก็เป็นฝ่ายตอบขึ้นมาเอง

“ผมเป็นญาติผู้น้องของเรียวครับ มาเที่ยวกรุงเทพฯ เลยมาขอพักอาศัยที่บ้านของเรียว แล้วนี่ก็ออกมาช่วยพี่เขาถือข้าวของครับ เพราะเรียวเขาซื้อของเยอะแยะกลัวจะหอบไปไม่หมด”

กล่าวจบเดียร์ก็ยิ้มหวานให้กับอรจิรา แฟนเก่าของผมมองเราสองคนอย่างสำรวจตรวจตรา เดาได้เลยว่าเมื่อครู่นี้เธอคงได้ยินข้อความที่คนขายท่าทางตุ้งติ้งคนนั้นพูด แล้วก็นำมาโยงเข้าด้วยกันเมื่อเห็นผมเดินคู่มากับเดียร์ และครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่สองแล้วที่เธอเห็นเราสองคน

“คุณอนันต์ไม่มาด้วยหรืออร”

ผมเปลี่ยนเรื่องเป็นถามถึงคนรักของเธอ พลันดวงตาของอรจิราก็หม่นวูบลง หน้าตาเศร้าหมอง ดูเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติเกิดขึ้น

“คุณอนันต์เขากลับบ้านไปเยี่ยมครอบครัวเขา ที่เมืองนอก อีกไม่นานก็คงกลับมา เอ้อ.....อรขอตัวก่อนนะ”

กล่าวจบอรจิราอดีตคนรักของผมก็เดินจากผ่านเราสองคนไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับที่ผมและเดียร์จะไป ท่าทางเหมือนไม่อยากสนทนาด้วยเรื่องนี้ แต่ผมคิดว่าไม่แปลกเท่าไหร่ เพราะตั้งแต่เลิกกันอรจิราก็แทบไม่อยากคุยกับผมเลยด้วยซ้ำ

ทันทีที่แฟนเก่าของผมจากไปแล้ว เดียร์ก็หันมาถามผมว่าคนนี้คือคนรักเก่าของผมใช่ไหม เขาจำได้ว่าเคยเดินควงกับผมพักหนึ่ง ตอนที่เด็กหนุ่มเข้ามากรุงเทพและสะกดรอยตามผม

หลังจากนั้นก็ไม่เคยเห็นผมไปไหนมาด้วยกันอีกเลย ผมพยักหน้าเนือยๆ เล่าให้เดียร์ฟังคร่าวๆว่าผมกับเธอเลิกกันแล้ว และตอนนี้เธอก็มีแฟนใหม่เป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัท และอีกไม่นานเธอคงมีข่าวดีเรื่องวิวาห์

เดียร์พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้แต่เขาก็พูดกับผมเหมือนที่เจ้าสันต์เคยพูดว่า ดูท่าทางอรจิรายังคงรักผมอยู่ เพราะสายตาตอนที่เธอเห็นผมกับเดียร์อยู่ด้วยกันมันแฝงไว้ด้วยความปวดร้าว

ผมเลยแสร้งพูดกับเดียร์ว่า ถ้ายังงั้นผมกลับไปรักกับอรจิราดีไหม ถ้าเธอยังคงมีเยื่อใยกับผม เด็กหนุ่มก็ทำเสียงเข้มใส่ บอกว่าอย่าแม้แต่คิดจะทำอย่างนั้นเด็ดขาด เพราะผมผูกพันกับเขาแล้ว อย่างน้อยๆก็ต้องเป็นแฟนกันไปจนกว่าจะครบหกเดือน ตามข้อตกลงของเรา

ระหว่างที่เป็นแฟนกัน ห้ามมีคนอื่นเด็ดขาด เขายังบอกว่าอรจิรามีแฟนใหม่ไปแล้ว เรื่องก็ควรจะจบลงแค่นี้ ไม่ควรสานต่อ

ผมไม่มีเวลาจะครุ่นคิดเรื่องของอรจิรา เพราะเดียร์จูงมือผมเดินไปเลือกซื้อข้าวของต่อ ในที่สุดผมก็ได้ข้าวของจนครบ โดยไม่ลืมซื้อมาฝากพี่สมชาย และคุณแคทลียาด้วย ผมซื้อต้นไม้ฝากเพื่อนบ้าน ส่วนคุณแคทลียา

ผมซื้อชุดปลอกหมอนทำจากผ้าไทยๆให้กับเธอ เพราะเห็นว่าเธอเป็นลูกครึ่งฝรั่งที่สนใจในผลิตภัณฑ์หัตถกรรมพื้นบ้านของไทยมาก สังเกตจากการแต่งเนื้อแต่งตัวของเธอที่ใช้ผ้าไหมไทยมาตัดสูท และของประดับโต๊ะตั้งแต่หมอนรองหลัง ที่ใส่ปากกา กล่องทิชชู่ ถังขยะล้วนแต่เป็นของที่ทำจากงานช่างฝีมือชาวไทยทั้งสิ้น
หลังจากเลือกซื้อของเสร็จ แล้วเอาใส่รถเรียบร้อย ผมก็พาเดียร์ไปห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง เพื่อที่จะดูหนังกับเขาสักเรื่อง ก่อนจะทานอาหารค่ำ รอเวลาที่จะเคาท์ดาวน์ด้วยกัน

หลังอาหารค่ำ ยังพอมีเวลาเหลือ ผมพาเดียร์เดินเล่นในห้างเพื่อย่อยอาหาร เราเดินกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงร้านแห่งหนึ่ง ชื่อของร้านดูคุ้นหูเหลือเกิน สินค้าในร้านเรียกความสนใจของผม ให้เดินเข้าไปดู มันเป็นร้านเพชรของนายทรงพล

ผมตั้งใจพาเดียร์มาเดินที่ห้างนี้ เพราะจำได้ว่า นายทรงพลเคยบอกว่าเขามีร้านจิลเวลลี่ อยู่ที่นี่ ก่อนออกจากบ้าน ผมเอากระดุมที่เขาให้ติดมือมาด้วย ตั้งใจว่าจะเอาไปคืนนายทรงพล เพราะผมคงไม่ได้เอาไปใช้ประโยชน์อะไร ผมไม่นิยมของฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็นอยู่แล้ว

พนักงานขายหญิงสาวหน้าตาน่ารัก เป็นคนเดินเข้ามาต้อนรับเราทั้งสอง แล้วพาเดินไปดูที่ตู้โชว์อัญมณีเพื่อให้พวกเราได้เลือกดูตามความพอใจ ผมกล่าวขอบคุณ และเดินมองของที่อยู่ตามตู้ด้วยความรู้สึกเฉยๆ ไม่ได้คิดอยากจะซื้อหาของจำพวกนี้มาใส่

อันที่จริงอยากจะคืนกระดุมข้อมือให้กับเจ้าของร้าน แล้วรีบเดินกลับออกไป แต่เห็นเดียร์ให้ความสนอกสนใจกับพวกแหวนในตู้ ผมก็เลยรีรออยู่ อีกอย่างผมอยากคืนให้กับนายทรงพลโดยตรง ไม่อยากฝากใครไว้ ถ้าหากเขาไม่อยู่ที่ร้าน ผมอาจจะเอากลับไปบ้านแล้วมาคืนเขาในวันหลัง

แต่ผมไม่ต้องรอนานเลย ในขณะที่ผมกำลังนั่งเลือกดูแหวนกับเดียร์ เสียงของนายทรงพลก็ดังขึ้น ผมเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นเขาเดินออกมาจากห้องด้านในที่มีผนังกั้นขวางอยู่ ตรงนั้นคงจะเป็นห้องทำงานส่วนตัวของนายทรงพลกระมัง ตามติดเขาออกมาคือแซ่บ คนรักใหม่ของชายวัยกลางคนแฟนเก่าของเจ้าสันต์ และเพื่อนของหนุ่มน้อยที่ยืนอยู่ข้างผม

“ลมอะไรหอบมาถึงนี่ครับคุณเรียว”

นายทรงพลทักทายผมด้วยน้ำเสียงเจ้าชู้กรุ้มกริ่ม ผมยิ้มให้ แล้วล้วงกระดุมออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วยื่นส่งให้ นายทรงพลทำหน้างงๆ

“ผมเอากระดุมข้อมือมาคืนนะครับ เพราะว่าไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ผมไม่ค่อยได้ตัดสูทใหม่นะครับ จะเก็บไว้ก็เสียดาย หากมันไม่ได้ใช้ประโยชน์ เลยคิดว่าน่าจะเอามาคืนคุณ จะได้เอาไปให้คนอื่น ไปขาย หรือไปทำอะไรที่น่าจะดีกว่าเอามาเก็บไว้เฉยๆครับ”

ผมตอบไปด้วยท่าทางสุภาพ นายทรงพลแย้มเยื้อน ทำหน้าเหมือนไม่ได้โกรธอะไร แต่ดวงตาของเขาฉายแววไม่พอใจให้เห็น

“ถ้าเหตุผลที่คุณว่ามา ไม่ได้เกิดจากความรังเกียจข้าวของที่ผมให้ ผมก็ยินดีรับคืนครับคุณเรียว บอกกันตามตรงนะ ตอนที่ผมเอามันมาให้คุณ ก็คิดแล้วคิดอีกว่าจะหาอะไรมาตอบแทนความมีน้ำใจของคุณดี จะให้เป็นสร้อย แหวน หรือนาฬิกาก็ดูจะไม่เหมาะสม

ผมเองก็ไม่อยากให้คุณคิดมากด้วย เลยให้เป็นพวกกระดุมข้อมือดีกว่า เพราะน่าจะเอาไว้ใช้ได้ คุณเอามาคืนแบบนี้ ผมเองก็รู้สึกแย่ครับ เหมือนกับว่าไม่ได้ตอบแทนในสิ่งที่คุณทำให้สักที”
น้ำเสียงเหมือนตัดพ้อน้อยอกน้อยใจ ผมเลยต้องกล่าวขอโทษขอโพยเขาที่ทำให้เขารู้สึกไม่ดี ผมขอบคุณเขาที่ให้ของล้ำค่าแก่ผม ซึ่งไม่มีความจำเป็นใดๆที่ต้องให้เลย เพราะผมทำตามหน้าที่เท่านั้น ไม่ได้ทำดีอะไรให้เป็นพิเศษ นายทรงพลก็บอกว่า เขาตั้งใจแล้ว ว่าเขาจะให้ผม เพราะผมเป็นเจ้าหน้าที่ของบริษัทที่ทำงานอย่างตรงไปตรงมาที่สุด แต่ในเมื่อผมไม่รับเป็นของ เขาก็ยินดีที่จะให้เป็นส่วนลด 70 % สำหรับผมหากมาซื้ออัญญมณีที่ร้านของเขา

ในระหว่างที่ผมกับนายทรงพลคุยกันอยู่นั้น ผมแอบเห็นนายทรงพลลอบสังเกตเดียร์กับแซ่บที่กำลังคุยกันอย่างสนิทสนม เดียร์เอาแหวนมาลองใส่ ในขณะที่แซ่บก็เชิญชวนให้ลองวงนั้นวงนี้เป็นที่สนุกสนาน สักพักเศรษฐีร้านเพชรก็หันมาหาผม

“เด็กหนุ่มหน้าตาดีคนนี้ มาด้วยกันกับคุณหรือเปล่าครับ”

ผมพยักหน้าแทนคำตอบ นายทรงพลทำตาเจ้าเล่ห์ขึ้นมาทันที
“ไม่อยากจะละลาบละล้วงถามหรอกครับ ว่าเด็กคนนี้เกี่ยวพันกับคุณยังไง แต่คงจะเป็นคนที่รู้ใจคุณแน่นอนใช่ไหมครับ”

ถามมาอย่างนี้ก็เหมือนพยายามจะล้วงความลับน่ะแหละ แต่ผมไม่ตอบ ได้แต่ยิ้มๆ ให้นายทรงพลเก็บไปคิดเอาเอง หากเขาคิดว่าผมกับเดียร์มีความสัมพันธ์ที่ล้ำลึกต่อกันก็ช่างเขาเถอะ ดีเสียอีก จะได้ไม่ต้องมาวอแว แทะโลมผม

“ท่าทางแซ่บกับเพื่อนคุณคงจะสนิทสนมกันมาก นี่เขารู้จักกันมาก่อนเหรอ”

“คงงั้นมั๊งครับ”

“ต้องคุยกับแซ่บเสียหน่อยแล้ว รู้จักกับคนหน้าตาดีเยอะแยะไม่เห็นบอกกันมั่งเลย”

พูดจบ นายทรงพลก็เดินไปยืนใกล้ๆกับแซ่บ จ้องมองเดียร์ก่อนจะหันไปมองที่แซ่บแล้วมองมายังผมอีกครั้งทำท่าทำทางเหมือนอยากให้แนะนำให้รู้จักว่า เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่ยืนเลือกแหวนอยู่เป็นใคร ผมเลยเดินเข้าไปใกล้ๆเดียร์แล้วกล่าวแนะนำขึ้น

“เดียร์นี่คุณทรงพล เจ้าของร้านนี้นะ คุณทรงพลครับ นี่คือเดียร์ เพื่อนของผมครับ”

นายทรงพลยิ้มกว้าง เขายื่นมือออกมาให้เดียร์จับ แต่เด็กหนุ่มกลับพนมมือไหว้ ผู้เฒ่าทรงพลก็เลยหดแขนกลับไปวางไว้บนตู้โชว์อย่างเก้อๆ

“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ แหม เพื่อนคุณเรียวนี่ยังเป็นหนุ่มน้อยอยู่เลย หน้าตาหล่อจัง ชื่อก็น่ารักดีแปลได้ว่าที่รัก เวลาเรียกชื่อแล้วให้ความรู้สึกดีจัง เอ้อ ไม่ทราบว่าเป็นลูกครึ่งหรือเปล่าครับ”

“ครับ”

เด็กหนุ่มตอบสั้นๆ ก่อนจะก้มลงไปดูแหวนต่อ

“สนใจแหวนเหรอครับ”
นายทรงพลถามต่อ เดียร์เงยหน้าขึ้นมองคนถาม ก่อนจะหันมามองผม มีแววฉงนอยู่ในดวงตาคู่นั้น คงนึกสงสัยว่าตาคนที่ยืนพูดกับผม มาให้ความสนใจกับเขาทำไม

“ที่ถามเพราะจะได้แนะนำให้ได้อย่างถูกต้อง ถ้าสนใจจะซื้อก็บอกกันได้ สำหรับคุณเรียวและเพื่อน ทางร้านยินดีลดให้ 70%ครับ”

“จริงเหรอครับ ดีจังเลย ไม่ยักรู้ว่าเป็นเพื่อนเรียวแล้วจะได้อะไรพิเศษแบบนี้”

เด็กหนุ่มทำตาโต แต่ใบหน้ากลับเฉยเมย เหมือนไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นจริงจัง ตามคำพูดที่ออกไป นายทรงพลมองหน้าเด็กหนุ่มยิ้มๆ
“เรียวครับแหวนวงนี้สวยดีนะ”

เด็กหนุ่มยื่นมือซ้ายที่ใส่แหวนไว้ตรงนิ้วนางมาให้ผมดูอย่างอวดๆ
“เสียดายที่มันหลวมนิดหน่อย”

เดียร์ถอดแหวนออกวาง นายทรงพลจึงเอาที่วัดซึ่งเป็นลักษณะแท่งยาวๆ แล้วเอาแหวนสวมเข้าไป พลางบอกว่า เดียร์ต้องใส่ไซส์ที่เล็กลงมากว่านี้อีกเบอร์หนึ่งถึงจะพอดี

ผมยืนมองอย่างสนใจและแอบจำเบอร์แหวนของเดียร์ไว้ ตอนทำสัญญากัน เดียร์ให้แหวนผม แลกกับสร้อยคอรูปตัวอาร์ แต่เขาได้ทำมันหายไป ซึ่งเด็กหนุ่มเสียดายมาก

ผมเลยคิดว่าจะซื้ออะไรให้เขาสักหนึ่งชิ้น อาจจะเป็นแหวน หรือสร้อยคอเหมือนเดิมก็ได้ และเป็นการให้ของขวัญปีใหม่กับเขาด้วย ผมยังไม่เคยให้อะไรกับเขาเป็นชิ้นเป็นอันเลย มีแต่รับจากเด็กหนุ่มมาตลอด นี่อาจจะเป็นของขวัญชิ้นแรกที่ผมให้เขาโดยไม่ต้องร้องขอ

“อยากได้หรือครับ ขนาดนิ้วของคุณสั่งได้ด้วยนะครับ”

“ไม่เอาดีกว่าครับ มันแพงจัง ซื้อไม่ไหวหรอก”

“งั้นผมให้แล้วกัน”

“เอ๋……”

เด็กหนุ่มทำหน้างงงัน

“ทำไมต้องให้ผมด้วยครับ ....”

“อันที่จริงผมต้องการให้ของบางอย่างกับคุณเรียวแต่เขาไม่ยอมรับ ในเมื่อคุณเป็นเพื่อนของเขา ผมเลยอยากให้คุณรับแทนน่ะครับ”

“มันยิ่งไม่สมเหตุสมผลใหญ่ ผมไม่รับหรอกครับ ผมกับคุณไม่ใช่เพื่อนหรือญาติกัน แล้วของซื้อของขายแบบนี้ ผมจะมาฉกฉวยเอาจากคุณฟรีๆได้ไง”

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่23-24 28/1/09 NC กระจาย
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 28-01-2009 21:57:42
บทที่ 24

หนุ่มน้อยของผมตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังเล่นเอานายทรงพลถึงกับอึ้ง คงไม่ค่อยมีใครปฏิเสธของขวัญล้ำค่าจากเขาสักเท่าไหร่ ชายวัยกลางคนเจ้าของร้าน มองผมกับเดียร์สลับไปมา แล้วก็ยักไหล่ ใบหน้ายิ้มละไม

“ไม่เป็นไรครับ ผมแค่อยากจะให้เท่านั้นเอง เพราะคิดว่าคุณเรียวเป็นเพื่อนที่ผมค่อนข้างจะชอบนิสัยใจคอ แถมซ้ำคุณเองก็ยังเป็นเพื่อนกับน้องแซ่บคนรักของผมด้วย ในโอกาสที่คุณสองคนมาเยี่ยมร้านเราวันปีใหม่ ผมก็แค่อยากให้ของขวัญเท่านั้นเองนะครับ ไม่ได้คิดเป็นอย่างอื่นเลย”

“ขอบคุณมากครับ ไม่เป็นไรหรอก แค่น้ำใจที่คุณมีให้ ก็ซาบซึ้งมากเลยครับ เอ้อ ผมต้องขอตัวก่อนนะครับ พอดีว่ายังต้องไปธุระกันที่อื่นต่อนะครับ ไว้วันหลังจะแวะมาเยี่ยมใหม่”

ผมรีบตัดบท ไม่อยากจะอยู่ในร้านนี้ต่อไป เกรงว่าจะมีปัญหาตามมา เพราะท่าทางเดียร์จะเริ่มไม่พอใจเท่าไหร่ที่เห็นทรงพลตอแยกับผม

การถูกปฏิเสธซึ่งหน้าและทีท่าไม่ใส่ใจใยดีกับสิ่งของที่เขาพยายามจะยัดเยียดให้เราทั้งสองส่งผลให้นายทรงพลเกิดอารมณ์โกรธนิดๆ สังเกตได้จากแววตาที่แข็งกร้าว

แต่เศรษฐีร้านเพชรลูกค้าวีไอพีของบริษัทก็เลือกที่จะตีหน้ายิ้มใส่เราสองคน และทำเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร

เขากล่าวขอบคุณเราสองคนที่แวะเวียนมาเยี่ยมเขา และเน้นย้ำในคำพูดเดิมว่า ถ้าเรามาซื้อสินค้าในร้านเขาเมื่อไหร่ ไม่ว่าเวลาไหน หรือของชิ้นนั้นมีมูลค่าเท่าไหร่ ทั้งผมและเดียร์จะได้รับส่วนลดตามที่บอกอย่างแน่นอน

ผมกล่าวขอบคุณเขา จากนั้นก็สะกิดเดียร์ให้เดินออกจากร้านมาด้วยกัน

“คุณทรงพลนี่เป็นใครกันหรือครับเรียว คนรู้จัก หรือลูกค้าของบริษัท ดูๆแล้วอีตาลุงคนนี้ท่าทางไม่น่าไว้ใจเลย ท่าทางหื่นกามลามกยังไงไม่รู้

ผมเห็นที่เขามองคุณมันเป็นแววตาของคนเจ้าชู้ โลมเลียคุณแทบจะทั่วตัวเลย สงสัยอยากจะฟันเรียวแหงๆ เรียวอาจจะไม่ทันสังเกต แต่ผมน่ะเห็นเต็มสองตาเลย หนอยแน่ะ จะมายุ่งกับคนรักของผมเหรอ เดี๋ยวได้ซวยกันไปข้างหนึ่งหรอก”

เด็กหนุ่มบ่นอย่างไม่พอใจ ท่าทางคงไม่ค่อยชอบขี้หน้านายทรงพลเอามากๆ ผมแอบหัวเราะเมื่อได้ฟังเขาพูด เจ้าเด็กบ้านี่ เที่ยวได้ว่าคนอื่นว่าทำตาเจ้าชู้ใส่ผม

แล้วตัวเขาล่ะ ทั้งสีหน้าแววตา กริยาท่าทางออกแนวหื่นชัดเจนเวลาอยู่ด้วยกัน แถมซ้ำยังมือไม้ว่องไวเป็นปลาหมึก ล่วงเกินผมแทบทุกครั้ง ตัวเองทำน่ะไม่รู้สึก

พอคนอื่นจะทำมั่งก็ไม่พอใจ พอได้ยินเสียงหัวเราะเด็กหนุ่มก็ทำแก้มพองหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่ ถามงอนๆว่าผมหัวเราะอะไร หัวเราะที่เขาหวงและหึงผมน่ะเหรอ

แล้วก็บ่นต่ออีกว่า เขารักผมมาก เขาก็ย่อมหวงผมเป็นธรรมดา ใครจะมาวุ่นวายกับผมไม่ได้ นอกจากเขาคนเดียวเท่านั้น ผมเห็นเขายิ่งบ่นผมก็ยิ่งหัวเราะ

เด็กหนุ่มก็หน้างอขึ้นเรื่อยๆ ผมเลยต้องเล่นบทบาทเป็นฝ่ายง้อเฉลยสิ่งที่ผมคิดให้เขาฟัง เขาก็เลยหัวเราะก๊ากหน้าตาแช่มชื่นขึ้น บอกว่าใครอยู่ใกล้ผมไม่มีทางอดใจได้หรอกเพราะผมน่ารักน่ากินไปทั้งตัว เล่นเอาผมเขินจัดเมื่อเขาชมซึ่งหน้า
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า เขาไม่มาวุ่นวายกับฉันหรอก มีน้องแซ่บอยู่ข้างกายทั้งคน จะไปยุ่งกับคนอื่นก็แปลกไปล่ะ”

บอกเพื่อให้เด็กหนุ่มสบายใจ แต่เด็กหนุ่มก็ยังทำหน้ายุ่งๆอยู่ดี

“ถึงยังไงผมก็ยังคงไม่ไว้ใจตาลุงหื่นนั่นอยู่ดี นี่ถ้าไม่คิดว่าเป็นลูกค้าของบริษัทเรียวนะ ผมจะด่าให้สติแตกไปเลย หรือถ้ายังดื้ออีกก็จะตั๊นหน้ามัน

เรียวก็อย่าไปใจดีกับเขามากนักนะครับ คนบางคนก็ไม่เหมาะสมจะไปดีด้วย เกิดเขาคิดร้ายขึ้นมาแล้วเรียวจะลำบาก”

แล้วตัวเองล่ะ ทำมาพูดดีว่าคนอื่น ชิชะ นายเองก็ทำแบบนั้นเหมือนกันแหละ พอฉันทำดีด้วยแบบคนทั่วไปพึงจะทำกับคนที่ต้องการความช่วยเหลือ

นายก็กลับมาบีบบังคับให้ฉันต้องตกอยู่ในสภาพการเป็นแฟนของนายไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วอย่างนายนี่ควรจะใจดีด้วยไหมนะ

เปล่าหรอก ผมแค่คิดในใจ ไม่กล้าพูดดังๆออกไป เพราะเดี๋ยวเดียร์จะงอนใส่ แล้วก็จะมาทำตาแดงๆ หน้าเศร้าๆซึ่งผมไม่อยากเห็นในช่วงเทศกาลแห่งความสุขนี้

อยากเห็นใบหน้าที่ร่าเริงของเขามากกว่า แต่ดูเหมือนว่าผมจะซ่อนยิ้มบนใบหน้าไม่มิด เพราะทันทีที่เด็กหนุ่มมองเห็นเขาก็รู้ได้ทันทีว่าใจผมคิดอะไร

“ไม่เหมือนกันน๊า.....เรียวห้ามเอาผมไปเปรียบเทียบกับอีตาลุงบ้ากามนั่น ผมไม่ได้แค่หวังจะฟันเรียวเฉยๆ แต่ผมรักเรียวจริงๆ อยากอยู่ด้วยตลอดไป

เรามีอะไรกันแล้ว ผมก็ไม่คิดทิ้งขว้างเรียวนะ ตั้งใจจะรับผิดชอบชีวิตเรียว อยากดูแลให้มีความสุข ถ้าเรียวจะยอมให้ผมทำแบบนั้น”

เด็กหนุ่มรีบพูดแก้ความเข้าใจผิดของผม แต่ก็นั่นแหละ ผลที่ได้ก็เหมือนกันแหละว้า ในที่สุดเขาก็ปล้ำผมจนได้ แล้วดูพูดเข้าสิ จะรับผิดชอบชีวิตของผม

ทำยังกับผู้ชายที่ได้กับผู้หญิงแล้ว แสดงตัวเป็นสุภาพบุรุษยอมรับต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เอาเถอะ ผมกำลังรื่นรมย์อยู่ เลยไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงสักเท่าไหร่ พึงพอใจกับภาพที่เห็นตรงหน้ามากกว่า

เวลาเห็นผู้ชายหึงนี่มันดูตลกและน่ารักแบบแปลกๆดีเหมือนกันนะ โดยเฉพาะเด็กเจ้าเล่ห์ขี้อ้อนแบบนั้นที่วันๆคอยแต่ออดออเซาะผม แต่บทที่จะหวงขึ้นมาก็ทำท่าฉุนเฉียวได้น่าเอ็นดูจริงเชียว

ผมเคยมีช่วงเวลาแบบนี้บ้างไหมหนอ หึงหวงใครสักคนที่เรารัก และพาลโกรธเวลาที่เขาไม่ค่อยเชื่อเรา อื้มมมม ...มีหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไม่ยักจะจำได้เลย

สงสัยผมคงเลิกร้างห่างไกลจากบรรดาแฟนๆในอดีตของผมมากไปหน่อย เหตุการณ์ต่างๆมันถึงได้ลางเลือนขนาดนั้น

“เรียวอ่ะ....ทำหน้าหัวเราะเยาะผมอีกแล้ว ใจร้ายมากเลยอ่ะครับ ผมไม่เหมือนตาลุงนั่นนะ มองตาก็รู้แล้วว่าลุงแก่บ้ากามเป็นพวกชอบความสัมพันธ์ฉาบฉวย มีอะไรกันแค่เบื่อแล้วก็จากกันไป

แต่ผมอ่ะรักจริงหวังแต่งนะ ไม่เชื่อเหรอ ให้ผมพิสูจน์ไหมล่ะ เราสองคนมาแต่งงานกันไหม ที่ไหนก็ได้ที่เขายินยอมให้เราแต่งงานและจดทะเบียนกันได้

แล้วผมจะพิสูจน์ให้ดูว่าผมจะดูแลปกป้องเรียวได้มากน้อยแค่ไหน แต่ถ้าไม่แต่งกันอยู่เฉยๆกันก็ได้นะ ผมน่ะพร้อมพิสูจน์ความจริงใจอยู่แล้ว ว่าแต่เรียวอ่ะ อยากให้ผมพิสูจน์หรือเปล่า”
เดียร์เริ่มงอแงอีกแล้ว เมื่อเห็นผมยังคงยิ้มค้างอยู่ เขาพยายามพูดหว่านล้อมให้ผมเชื่อคำพูดเขาให้ได้ แต่ใครจะไปบ้าตามล่ะ มีที่ไหนจะให้ผมแต่งงานกับเขา

ที่ไหนเขาจะยอมรับกันล่ะ หรือถ้ามี ผมจะกล้าไปแต่งกับเขาหรือ แค่นี้ผมยังไม่แน่ใจเลย ว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเขาจะยืนยาวแค่ไหน

ขนาดผมมีแฟนเป็นผู้หญิงแท้ยังอยู่ด้วยกันไม่ได้ ต้องเลิกราจากกันไป แล้วนี่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายกับผู้ชายด้วยกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ไปกันไม่ได้อยู่แล้ว

“จะบ้าเหรอ ใครจะไปแต่งงานกับนายหือ เจ้าเด็กฝันเฝื่อง”

ต่อว่าเขาอย่างขำๆ ไม่ได้นึกโกรธหรือรำคาญใจแต่อย่างใด รู้ดีว่าเด็กหนุ่มกำลังหึงผม ก็เลยพาล แล้วก็เฉไฉไปพูดเรื่องแต่งงงแต่งงาน เจตนาจริงๆก็คือจะผูกมัดผมให้อยู่กับเขานั่นแหละ

ผมแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจดีกว่า ทำเป็นเรื่องตลกไปซะ ให้รู้กลายๆว่าผมไม่เอาจริงแบบเขา จะได้เลิกพูดเสียที เจ้าเด็กบ้าเอ๊ย เจ้าคนไม่รู้จักพอ ได้คืบจะเอาศอก ฝันไปเถอะ

“ก็ด้ายยยยยย ......”

เด็กหนุ่มหน้างอ เมื่อเห็นผมไม่เออออด้วย ที่จริงเขาก็คงรู้ดีแก่ใจว่าถึงไง ผมก็ไม่หลงกลไปกับคำพูดของเขา แต่ด้วยนิสัยไม่ยอมแพ้ต่างหากที่ทำให้เดียร์พยายามตอดนิดตอดหน่อย ด้วยหวังว่าจะทำให้ผมเปลี่ยนใจได้ในสักวัน

“ยังไม่แต่งตอนนี้ก็ได้ รอเอาไว้ให้เรียวพร้อมก่อน แล้วค่อยมาคุยกันอีกที แต่พูดจริงๆนะครับ ผมน่ะไม่ชอบอีตาคนนี้เลย กลัวว่าเขาจะทำเรื่องเดือดร้อนให้เรียวในวันหลัง ระมัดระวังตัวอย่าเข้าใกล้เขามากนักนะครับ ผมเป็นห่วง”

สีหน้าและแววตาที่มองมา บอกให้รู้ว่าเขาห่วงใยผมจริงๆ ผมอดรู้สึกซาบซึ้งไม่ได้ ในขณะเดียวกันก็เริ่มรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างบอกไม่ถูกว่าคำเตือนของเดียร์จะเป็นจริงในสักวัน

อย่าว่าแต่เดียร์เลยที่จะรู้สึกไม่ไว้วางใจลูกค้าสูงวัยของบริษัทคนนั้น ผมเองก็อดที่จะรู้สึกหวาดหวั่นพิกลเมื่อต้องมีเหตุให้เผชิญหน้ากับเขา

“เจ้าแซ่บนี่ก็แปลกพิลึก ระหว่าง ตาลุงบ้ากาม กับ นายสันต์จอมจุ้น เพื่อนเรียวยังจะน่ารักแล้วก็ดูจริงใจกว่า นายคนนี้ ท่าทางเจ้าชู้ และชอบคิดว่าเงินคือพระเจ้า

พอใจใครก็จะเอาเงินมาฟาดหัว คงมีแต่พวกสิ้นคิดนั่นแหละ ที่จะรับเงินจากเขาเพื่อบำรุงบำเรอความสุขตนเอง แซ่บไม่น่าคิดสั้นเลย สักวันน้ำตาต้องเช็ดหัวเข่าแน่”

เดียร์ยังบ่นไม่ยอมหยุด จนผมต้องหัวเราะออกมาดังๆด้วยความขำ หมอนี่เป็นเอามากแฮะ นี่หึงหวงผม ไม่ชอบหน้านายทรงพลถึงขนาดนี้เชียวหรือ ตลกจัง

แล้วไปยุ่งอะไรกับชีวิตของคนอื่นด้วย แซ่บเขาเลือกทางเดินชีวิตของตัวเองแล้ว ส่วนเจ้าสันต์ก็กำลังมีความสุขกับแฟนใหม่ ทั้งสองฝ่ายต่างมีความสุข ไม่ใช่เรื่องที่เดียร์จะต้องมาเดือดร้อนแทนเสียหน่อย

เดียร์มองหน้าผมแล้วทำปากยื่น ทำท่างอนใส่ที่ผมหัวเราะขำเขา ผมเลยรีบเปลี่ยนเรื่อง กลัวเจ้าเด็กดื้อจะพาลพาโรไปมากกว่านั้น เดี๋ยวการเที่ยวฉลองปีใหม่ของเราสองคนจะหมดสนุกกันพอดี
“อยากได้แหวนหรือเรา”

“อื้ม......ก็.... เห็นมันสวยดีครับ เลยลองใส่ดูเล่นๆ แต่คงไม่ซื้อหรอกครับ แต่ละวง แพงมาก ขนาดตานั่น ลดพิเศษให้ด้วยความเสน่หาในตัวเรียวตั้ง 70% แล้วก็ยังแพงอยู่ดี ไม่ไหวหรอกครับ ทำงานเก็บเงินเอาไว้ไปเที่ยวกับเรียวดีกว่า”

อดไม่ได้ที่จะแขวะนายทรงพลแฮะ แต่คราวนี้ดูเหมือนแขวะผมเข้าไปด้วย พอเขานึกขึ้นได้ว่าพาดพิงมาถึงผม เด็กนั่นก็ยิ้มหวาน ทำท่าประจบประแจงขึ้นมาทันที คงกลัวผมจะโกรธ

“ถ้าจะซื้อก็คงไม่ซื้อให้ตัวเอง แต่จะซื้อให้เรียวอีกวงหนึ่ง เอาไว้เป็นแหวนสำหรับขอเรียวแต่งงานครับ”

เล่นพูดกันแบบนี้ซึ่งๆหน้าเลยนะ ผมก็เขินเป็นเหมือนกันนี่ จะบ้าเหรอ พูดออกมาได้ แหวนสำหรับขอผมแต่งงาน ฟังดูแปลกๆแต่ทำไมเวลาได้ยินถึงรู้สึกดีจังเลยนะ

ผมเผลอตัวเอามือลูบไปที่นิ้วนางข้างซ้ายที่สวมแหวนทองเกลี้ยงของเดียร์อยู่ เครื่องหมายแห่งพันธะสัญญายังคงอยู่ตรงนั้น

ผมใส่มันติดนิ้วมือมาตลอดตั้งแต่ตอนที่เดียร์ตัดพ้อผม แล้วก็ใส่เรื่อยมาจนเกิดความเคยชิน

ลืมไปเลยว่าการได้มาของแหวนนี้แลกมาด้วยอิสรภาพและร่างกายของผม และบัดนี้มันได้รวมถึงหัวใจของผมเข้าไปด้วย ผมรักเจ้าของแหวนนี้อย่างไม่มีข้อสงสัยเลย

ผมให้แหวนเดียร์บ้างดีไหมน้า ไม่ได้ให้เพราะอยากจะแต่งงานด้วย แต่อยากให้เพราะผมไม่เคยให้อะไรเขาต่างหาก เห็นเดียร์ลองแหวนแล้ว ก็คิดว่าเขาอาจจะชอบ

เมื่อกี้นายทรงพลบอกไซส์แหวนสำหรับนิ้วนางของเดียร์และผมก็จำมันได้ขึ้นใจ คงต้องแอบมาทำให้เดียร์สักวง แต่เอ ทำไมต้องเป็นแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายด้วยก็ไม่รู้ นิ้วอื่นไม่มีหรือไง

เออ จริงสินะ ก็เจ้านี่ ลองแต่นิ้วนี้ตลอดนี่นา ถ้าผมไปถามเขา มันก็ไม่เซอร์ไพรส์สิ ช่างเถอะ นิ้วนี้ก็นิ้วนี้ ไม่เป็นไรหรอกมั๊ง เจ้าเด็กบ้านี่ คงไม่คิดว่าผมกำลังขอหมั้นเขาหรอกนะ

ผมคิดเองตอบเองในหัวสมอง แล้วก็ยิ้มอย่างมีความสุข นึกอยากทำแหวนขึ้นมาเร็วๆ แล้วเอามามอบให้เขา อยากเห็นหน้าเดียร์นักว่าจะเป็นยังไง

คงยิ้มแก้มปริ แล้วก็กระโดดเข้ามากอดผม หอมแก้ม แล้วเขาคงจะจูบต่อมั๊ง ต่อจากนั้นเขาคงพาผมไปที่เตียง แล้วอะไรอีกนะ....

โอ๊ย ยิ่งคิดจินตนาการก็เริ่มพิเรนทร์ขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกตกใจกับตัวเอง เริ่มร้อนผ่าวจากคางไปถึงใบหน้า มันคงจะแดงให้เดียร์เห็นแหงๆเลย แต่แปลกจริง ยิ่งคิดยิ่งมีอารมณ์วาบหวามขึ้นเรื่อยๆ ผมต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ

“เรียวรู้สึกดีใช่ไหมครับ เวลาอยู่ใกล้ผม”

อยู่ๆเดียร์ก็พูดขึ้นมา เล่นเอาผมสะดุ้ง ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เดียร์ก็เลยยิ้มหวานให้ผม

“ก็เห็นเรียวยิ้มน้อยยิ้มใหญ่นี่ครับ มองผมตั้งหลายครั้ง ผมก็คิดเอาว่าเรียวต้องมีความสุขแหงๆเลย ดีใจจริงๆที่ทำให้คุณพอใจได้”

ผมยิ้มให้เด็กหนุ่ม ไม่ตอบว่าอะไร ขี้เกียจโกหก ก็มันเป็นอย่างที่เขาว่าจริงๆนี่นา เจ้าเด็กบ้านี่ทำให้ผมมีความสุขได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“ใช่จริงๆด้วย ดีใจจังเลย ในที่สุดเรียวก็ยอมรับเสียที ว่าผมสามารถทำให้เรียวมีความสุขได้ เป็นของขวัญปีใหม่ที่วิเศษสุดจังเลย”

เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง สายตาที่มองมายังผมเปี่ยมล้นไปด้วยความรัก ผมยิ้มตอบเขาด้วยเช่นกัน รู้สึกเขินนิดหน่อยที่จะยอมรับความรู้สึกตัวเอง แต่ ณ เวลานั้น มันรู้สึกอยากจะยิ้มออกมาจริงๆ สุขล้นเกินจะบรรยาย

เราสองคนพากันเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ บนทางเชื่อมจากสถานีรถไฟฟ้าสยาม ไปลงที่เวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์ ผู้คนค่อนข้างจะพลุกพล่านเนื่องจากถนนตรงหน้าห้างถูกปิดเป็นลานกว้างสำหรับให้ชาวกรุงเทพที่ไม่ได้ไปฉลองที่ไหน ได้มาร่วมนับถอยหลังเพื่อต้อนรับปีใหม่กันที่นี่

บนทางเดินเท้าสองฝากฝั่งมีร้านรวงขายของมากมาย จำพวกของขวัญของฝากปีใหม่ ตั้งแต่เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ ตุ๊กตุ่นตุ๊กตา สลับกับรถเข็นขายน้ำ และอาหารการกิน

มีเสียงดนตรีจากการแสดงของนักร้องนักดนตรี ดังให้ได้ยินกระหึ่ม เดียร์จูงมือผมลัดเลาะไปยืนดูอยู่ตรงหน้าห้างนารายภัณฑ์ซึ่งมีคนยืนอยู่หนาแน่นพอสมควร

เขาจับมือผมไว้แน่นด้วยกลัวผมจะพลัดหลงไปไหน ตาก็มองผมตลอดเวลา เหมือนจะคอยระแวงระวังภัยให้ ผมเดินตามเด็กหนุ่มไปต้อยๆ อากาศหนาวเย็นยะเยือก แต่ผมกลับอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ถึงจะเหนื่อยและร้อนแค่ไหนที่ต้องเบียดเสียดผู้คน แต่เมื่อมีเดียร์อยู่ด้วย มันกลับกลายเป็นความสุขจนผมไม่นึกเบื่อเลย

นาฬิกาที่ข้อมือของผม บอกเวลา 23.45 น.แล้ว เรายืนดูการแสดงมาร่วมชั่วโมง ตอนนี้บนเวทีหยุดการแสดงชั่วคราว โฆษกออกมาประกาศเชิญชวนให้ทุกคนร่วมกันนับเวลาย้อนหลัง

“........15 – 14 – 13 – 12 – 11 – 10.......”

ทุกคนที่เบียดเสียดกันอยู่บนลานกว้าง ประสานเสียงพร้อมกัน รวมทั้งหนุ่มน้อยที่ยืนอยู่ข้างๆผมด้วย ท่าทางเขาตื่นเต้นจนเห็นได้ชัด

“9 – 8 – 7 – 6 – 5 – 4 – 3 ......”

เด็กหนุ่มบีบมือผมแน่นเข้า

“2 – 1 เย้ๆๆๆๆ สวัสดีปีใหม่ Happy New Year ครับ”

มีเสียงเฮ กับเสียงไชโยโห่หิ้วกึกก้องลานเวิร์ลด์เทรด พลุมากมายถูกจุดขึ้นสู่ท้องฟ้า แตกเป็นดาวกระจายระยิบระยับดูสวยงามตัดกับท้องฟ้ายามค่ำคืน

ผมหันไปสบตากับเดียร์เราต่างยิ้มให้กันอย่างมีความสุข แล้วเหมือนมีแรงดึงดูด เราเคลื่อนกายเข้าหากันอย่างรวดเร็ว เดียร์อ้าแขนออกโอบกอดผมไว้แนบแน่น

และก่อนที่จะทันตั้งตัว เดียร์ก็แนบริมฝีปากร้อนผ่าว ลงมาบนปากที่เผยอของผม เขาสอดลิ้นนุ่มเข้ามาในปาก เราต่างแลกจูบกัน เป็นจูบแรกสำหรับปีใหม่ของเราสองคน

จูบที่ทำให้ผมยอมรับเดียร์อย่างแท้จริง ว่าเขาคือคนที่ผมรักและต้องการอยู่ด้วยมากที่สุด

เสียงคนโห่ร้องแสดงความยินดียังดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง สลับกับแสงวูบวาบของแสงแฟลช ที่ผู้คนที่มาร่วมเฉลิมฉลองปีใหม่งัดขึ้นมาถ่ายภาพตนเอง ภาพเพื่อน หรือภาพพลุ เพื่อเก็บเกี่ยวช่วงเวลาที่มีความสุขในวันปีใหม่เก็บไว้ดู

รอบๆตัวผมก็มีคนถ่ายภาพหลายคน แสงแฟลชวาบขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีช่วงจังหวะหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังจูบอยู่กับเดียร์ ผมรู้สึกได้ถึงแสงแฟลชที่วาบผ่านหน้า

เมื่อลืมตาขึ้นมอง ก็เห็นผุ้ชายคนหนึ่งมองมาที่เราสองคนยิ้มๆ ในมือถือกล้องที่ลดระดับลงมาอยู่ข้างตัวผมมองหน้าคนๆนั้น ไม่ใช่คนที่ผมรู้จัก แต่เป็นใครไม่รู้

ผมรู้สึกไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ แต่ก็พยายามไม่คิดอะไรมาก คงไม่มีใครรู้จักเราสองคนและคิดจะถ่ายรูปผมกับเดียร์เก็บเอาไว้หรอกนะ
เสียงคนโห่ร้องแสดงความยินดียังดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง สลับกับแสงวูบวาบของแสงแฟลช ที่ผู้คนที่มาร่วมเฉลิมฉลองปีใหม่งัดขึ้นมาถ่ายภาพตนเอง ภาพเพื่อน หรือภาพพลุ เพื่อเก็บเกี่ยวช่วงเวลาที่มีความสุขในวันปีใหม่เก็บไว้ดู

รอบๆตัวผมก็มีคนถ่ายภาพหลายคน แสงแฟลชวาบขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีช่วงจังหวะหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังจูบอยู่กับเดียร์ ผมรู้สึกได้ถึงแสงแฟลชที่วาบผ่านหน้า

เมื่อลืมตาขึ้นมอง ก็เห็นผุ้ชายคนหนึ่งมองมาที่เราสองคนยิ้มๆ ในมือถือกล้องที่ลดระดับลงมาอยู่ข้างตัวผมมองหน้าคนๆนั้น ไม่ใช่คนที่ผมรู้จัก แต่เป็นใครไม่รู้ ผมรู้สึกไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ แต่ก็พยายามไม่คิดอะไรมาก คงไม่มีใครรู้จักเราสองคนและคิดจะถ่ายรูปผมกับเดียร์เก็บเอาไว้หรอกนะ

สิ่งที่ผมกังวลเป็นจริงขึ้นมา เมื่อผมโผล่หน้าเข้าไปทำงานหลังจากที่ลาป่วยและลาพักร้อนยาวช่วงปีใหม่ ผมเอาของฝากแจกพนักงานในฝ่ายทุกคน และเพื่อนๆ เสร็จแล้วก็เข้าไปนั่งสะสางงานที่คั่งค้างอยู่ สักพักจุ๋มก็เข้ามาบอกว่าเจ้านายเรียกผมเข้าไปพบ มีเรื่องสำคัญอยากจะคุยด้วย

ผมเอาของขวัญปีใหม่ให้กับหัวหน้า เขากล่าวขอบคุณผม จากนั้นก็เชื้อเชิญให้นั่งลงเพื่อพูดคุยบางสิ่งบางอย่าง เจ้านายของผมเริ่มต้นด้วยการกล่าวชมผลการปฏิบัติงานของผมที่ผ่านมา

แล้วบอกถึงความตั้งใจว่าปีนี้เขาได้เสนอชื่อผมให้เลื่อนตำแหน่ง จากผู้ช่วยผู้อำนวยการขึ้นเป็นผู้อำนวยการฝ่ายพิจารณารับประกัน รวมถึงการปรับเงินเดือนให้ผม พร้อมกับให้รถประจำตำแหน่งไว้ใช้ด้วย

เรื่องกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา ตอนนี้ผ่านขั้นตอนหลายขั้นตอนแล้ว เหลือแต่การลงนามจากท่านประธานและกรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัทเท่านั้น

หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร คำสั่งนั้นก็จะมีผลบังคับใช้กลางเดือนมกรา ซึ่งจะมีการประกาศในงานวันปีใหม่ที่บริษัทได้จัดให้มีขึ้นในวันศุกร์ที่ 15 มกราคมด้วย

สิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ทำให้ผมรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก ผลแห่งความเพียรพยายามทำงานหนักมาตลอดปีได้ส่งผลแล้ว หน้าที่การงานที่สูงขึ้น

เงินเดือนและรถประจำตำแหน่งเป็นสิ่งที่พนักงานทุกคนปรารถนา ไม่เว้นแม้แต่ตัวผมเอง เพราะนอกเหนือจากตัวผลประโยชน์ที่มากขึ้นจากการทำงานหนักแล้ว มันยังบ่งบอกให้ทุกคนได้รู้ว่า เรามีคุณค่ากับบริษัทเพียงไร

แต่ผมก็ดีใจไม่นาน เมื่อหัวหน้าของผมวกตรงเข้าสู่ประเด็นที่เขาต้องการคุยกับผมจริงๆ เขาเปิดอีเมล์หนึ่งให้ผมดู เป็นฟอร์เวิร์ดเมล์ที่ส่งมาให้เฉพาะหัวหน้าของผมเท่านั้น

มีภาพสองสามภาพของผู้ชายสองคน ที่ยืนเกาะกุมมืออิงแอบแนบชิดกัน เป็นภาพถ่ายที่ค่อนข้างชัดมาก แม้ว่ารอบข้างจะมีแสงสว่างเพียงน้อยนิด แต่คนถ่ายสามารถเก็บรายละเอียดได้ดี

เขาซูมมาให้เห็นชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นใบหน้า และอารมณ์ในภาพบ่งบอกให้รู้ว่าคนในภาพทั้งคู่มีความรู้สึกที่ลึกซึ้งให้กันเพียงไร

ผมมองภาพเดียร์ที่ก้มลงกระซิบที่ใบหูผม ในขณะที่ผมกำลังยิ้มแย้มอย่างมีความสุข ร่างของผมซ้อนอยู่กับเดียร์ทางด้านหน้า มือหนึ่งของเด็กหนุ่มโอบอยู่รอบเอวผม เหมือนเราทั้งคู่กำลังตระกองกอดกัน

ภาพที่เหลือก็เป็นภาพอิริยาบถที่เราพูดคุยกันอยู่เท่านั้น โชคดีที่ไม่มีภาพอะไรที่ส่อเค้าให้ผมกับเดียร์เสียหาย แต่แค่นี้มันก็ยากต่อการที่จะอธิบายแล้ว ว่าทำไมผู้ชายสองคนจึงสนิทสนมชิดใกล้กันถึงขนาดนั้น

เมื่อผมเงยหน้าขึ้นจากภาพที่เขาให้ดูก็เห็นเจ้านายมองผมอยู่ก่อนแล้ว ผมรีบปรับสีหน้าจากตกใจเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น รอฟังว่าหัวหน้าของผมจะพูดว่าอะไร ผมเห็นเขาทำหน้าตาซีเรียสจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดูเหมือนเขาลำบากใจต่อเรื่องที่เห็น
“คุณมีอะไรจะอธิบายไหมเรียว”

“เรื่องภาพนี้นะเหรอครับ”

เจ้านายผมพยักหน้า ท่าทางอยากได้ยินคำอธิบายจากปากผมว่าเรื่องราวมันเป็นไงมาไง ผมทำงานกับเขามานานเลยรู้ดีว่าเขาเป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูงที่ค่อนข้างใจกว้าง รับฟังลูกน้อง

ไม่ตัดสินคนจากสิ่งที่เห็น ให้โอกาสได้อธิบาย จากนั้นก็จะไตร่ตรองด้วยความคิดและประสบการณ์ของตนเอง ถึงแม้เขาจะดูเหมือนเป็นคนข้างจะดุไปบ้าง

แต่บทจะดีก็ดีใจหาย การที่เขารับฟังผมพูดแบบนี้ แปลว่าเขายังมีทางเลือกให้ผมบ้าง ไม่ตัดสินว่าผมผิดจากหลักฐานที่คนอื่นส่งมา

“ผมไม่ทราบครับ ว่าใครส่งมาให้หัวหน้า แต่คนในภาพเป็นผมจริงๆ กับเพื่อนของผมครับ เราไปเที่ยวกันเมื่อวันปีใหม่ที่ผ่านมา หลังจากที่ผมเพิ่งหายป่วยครับ”

“เหรอ นึกว่ามีเพื่อนสนิทแค่คุณสันต์กับศักดิ์ชาย”

เขาพูดยิ้มๆ ผมกลับรู้สึกเหมือนตัวเองหน้าชาที่โกหกเขา แต่เรื่องแบบนี้ ไม่มีความจำเป็นจะต้องเปิดเผยให้ใครรู้นี่ว่าผมกับเดียร์เป็นอะไรกัน

“คนนี้ก็เป็นเพื่อนที่สนิทอีกคนนะครับ แต่เขาไม่ได้ทำงานที่บริษัทนี้”

“อ๋อ อย่างนั้นเหรอ แต่ดูจากรูปแล้ว ท่าทางจะสนิทกันมากนะ”

“ครับ.....”

ผมตอบรับเบาๆ พยายามจะไม่หลบตาหัวหน้า ทั้งๆที่ใจคอไม่ค่อยจะดีนัก ด้วยเดาใจไม่ถูกว่าเจ้านายของผมจะมาไม้ไหน ในที่สุดวินาทีแห่งการรอคอยก็มาถึง เมื่อผู้บังคับบัญชาของผมเอ่ยขึ้นอย่างตรงไปตรงมา

“เอาล่ะ เรียว ผมคิดว่าผมควรเชื่อคุณนะ คุณเป็นลูกน้องผมมานาน ตลอดเวลาที่ผ่านมาคุณไม่เคยทำตัวมัวหมองเสื่อมเสีย มีแต่แสดงให้เห็นว่าคุณมุ่งมั่นขยันขันแข็งแค่ไหน

คุณเป็นกำลังสำคัญของบริษัท เป็นหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง ที่นอกจากจะมีฝีมือดีแล้ว ยังแถมพ่วงด้วยหน้าตาดีอีกต่างหาก มีสาวๆในบริษัทแอบชอบคุณหลายคนนะ

เพียงแต่ว่า คุณเอาแต่ยุ่งอยู่กับการทำงาน แล้วก็ไม่ค่อยสนใจใคร ทำให้ไม่มีใครกล้ามายุ่งกับคุณ แต่พวกเขาก็ยังคงชอบคุณอยู่ ด้วยคุณสมบัติที่หล่อ และเก่ง แบบนี้ อาจจะเป็นไปได้ที่ทำให้คุณมีศัตรูโดยที่ไม่รู้ตัว........”

เจ้านายของผมเว้นวรรค ดูว่าผมจะพูดอะไร แต่ผมกลับนิ่งเฉยฟังเขา ยามนี้ รู้ดีว่า ไม่ควรจะพูดอะไรทั้งสิ้น เพราะคำพูดของผมอาจจะถูกโยงไปเกี่ยวข้องกับใครบางคนที่ผมเองก็สงสัย เพียงแต่ว่าพูดไปก็ไม่ดี เพราะผมอาจจะคิดผิดก็ได้


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่23-24 28/1/09 NC กระจาย
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 28-01-2009 21:58:25
“ที่จริงผมก็ไม่ค่อยเชื่อรูปพวกนี้เท่าไหร่ ผมว่ามันเป็นการกระทำของพวกหน้าตัวเมียที่จ้องจะทำร้ายผู้อื่นนะ การเอารูปมาฟอร์เวิร์ดส่งต่อแบบนี้

แล้วนี่ส่งให้ผมเพียงคนเดียว มันส่อเจตนาอยู่แล้ว ว่าต้องการทำลายคุณ เพราะผมเป็นเจ้านายของคุณ ถ้าหากผมหลงเชื่อกับรูปภาพนี้ แล้วเรียกคุณมาด่า โดยไม่ไต่สวน ผมอาจจะสูญเสียพนักงานบริษัทที่มีคุณภาพอย่างคุณไปก็ได้.....”

“ใช่จริงๆด้วย ดีใจจังเลย ในที่สุดเรียวก็ยอมรับเสียที ว่าผมสามารถทำให้เรียวมีความสุขได้ เป็นของขวัญปีใหม่ที่วิเศษสุดจังเลย”

เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง สายตาที่มองมายังผมเปี่ยมล้นไปด้วยความรัก ผมยิ้มตอบเขาด้วยเช่นกัน รู้สึกเขินนิดหน่อยที่จะยอมรับความรู้สึกตัวเอง แต่ ณ เวลานั้น มันรู้สึกอยากจะยิ้มออกมาจริงๆ สุขล้นเกินจะบรรยาย

เราสองคนพากันเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ บนทางเชื่อมจากสถานีรถไฟฟ้าสยาม ไปลงที่เวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์ ผู้คนค่อนข้างจะพลุกพล่านเนื่องจากถนนตรงหน้าห้างถูกปิดเป็นลานกว้างสำหรับให้ชาวกรุงเทพที่ไม่ได้ไปฉลองที่ไหน ได้มาร่วมนับถอยหลังเพื่อต้อนรับปีใหม่กันที่นี่

บนทางเดินเท้าสองฟากฝั่งมีร้านรวงขายของมากมาย จำพวกของขวัญของฝากปีใหม่ ตั้งแต่เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ ตุ๊กตุ่นตุ๊กตา สลับกับรถเข็นขายน้ำ และอาหารการกิน มีเสียงดนตรีจากการแสดงของนักร้องนักดนตรี ดังให้ได้ยินกระหึ่ม เดียร์จูงมือผมลัดเลาะไปยืนดูอยู่ตรงหน้าห้างนารายณ์ภัณฑ์ซึ่งมีคนยืนอยู่หนาแน่นพอสมควร เขาจับมือผมไว้แน่นด้วยกลัวผมจะพลัดหลงไปไหน ตาก็มองผมตลอดเวลา เหมือนจะคอยระแวงระวังภัยให้ ผมเดินตามเด็กหนุ่มไปต้อยๆ อากาศหนาวเย็นยะเยือก แต่ผมกลับอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ถึงจะเหนื่อยและร้อนแค่ไหนที่ต้องเบียดเสียดผู้คน แต่เมื่อมีเดียร์อยู่ด้วย มันกลับกลายเป็นความสุขจนผมไม่นึกเบื่อเลย
นาฬิกาที่ข้อมือของผม บอกเวลา 23.45 น.แล้ว เรายืนดูการแสดงมาร่วมชั่วโมง ตอนนี้บนเวทีหยุดการแสดงชั่วคราว โฆษกออกมาประกาศเชิญชวนให้ทุกคนร่วมกันนับเวลาย้อนหลัง

“........15 – 14 – 13 – 12 – 11 – 10.......”

ทุกคนที่เบียดเสียดกันอยู่บนลานกว้าง ประสานเสียงพร้อมกัน รวมทั้งหนุ่มน้อยที่ยืนอยู่ข้างๆผมด้วย ท่าทางเขาตื่นเต้นจนเห็นได้ชัด

“9 – 8 – 7 – 6 – 5 – 4 – 3 ......”

เด็กหนุ่มบีบมือผมแน่นเข้า

“2 – 1 เย้ๆๆๆๆ สวัสดีปีใหม่ Happy New Year ครับ”

มีเสียงเฮ กับเสียงไชโยโห่หิ้วกึกก้องลานเวิร์ลด์เทรด พลุมากมายถูกจุดขึ้นสู่ท้องฟ้า แตกเป็นดาวกระจายระยิบระยับดูสวยงามตัดกับท้องฟ้ายามค่ำคืน ผมหันไปสบตากับเดียร์เราต่างยิ้มให้กันอย่างมีความสุข แล้วเหมือนมีแรงดึงดูด เราเคลื่อนกายเข้าหากันอย่างรวดเร็ว เดียร์อ้าแขนออกโอบกอดผมไว้แนบแน่น และก่อนที่จะทันตั้งตัว เดียร์ก็แนบริมฝีปากร้อนผ่าว ลงมาบนปากที่เผยอของผม เขาสอดลิ้นนุ่มเข้ามาในปาก เราต่างแลกจูบกัน เป็นจูบแรกสำหรับปีใหม่ของเราสองคน จูบที่ทำให้ผมยอมรับเดียร์อย่างแท้จริง ว่าเขาคือคนที่ผมรักและต้องการอยู่ด้วยมากที่สุด

เสียงคนโห่ร้องแสดงความยินดียังดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง สลับกับแสงวูบวาบของแสงแฟลช ที่ผู้คนที่มาร่วมเฉลิมฉลองปีใหม่งัดขึ้นมาถ่ายภาพตนเอง ภาพเพื่อน หรือภาพพลุ เพื่อเก็บเกี่ยวช่วงเวลาที่มีความสุขในวันปีใหม่เก็บไว้ดู รอบๆตัวผมก็มีคนถ่ายภาพหลายคน แสงแฟลชวาบขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีช่วงจังหวะหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังจูบอยู่กับเดียร์ ผมรู้สึกได้ถึงแสงแฟลชที่วาบผ่านหน้า เมื่อลืมตาขึ้นมอง ก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งมองมาที่เราสองคนยิ้มๆ ในมือถือกล้องที่ลดระดับลงมาอยู่ข้างตัวผมมองหน้าคนๆนั้น ไม่ใช่คนที่ผมรู้จัก แต่เป็นใครไม่รู้ ผมรู้สึกไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ แต่ก็พยายามไม่คิดอะไรมาก คงไม่มีใครรู้จักเราสองคนและคิดจะถ่ายรูปผมกับเดียร์เก็บเอาไว้หรอกนะ

สิ่งที่ผมกังวลเป็นจริงขึ้นมา เมื่อผมโผล่หน้าเข้าไปทำงานหลังจากที่ลาป่วยและลาพักร้อนยาวช่วงปีใหม่ ผมเอาของฝากแจกพนักงานในฝ่ายทุกคน และเพื่อนๆ เสร็จแล้วก็เข้าไปนั่งสะสางงานที่คั่งค้างอยู่ สักพักจุ๋มก็เข้ามาบอกว่าเจ้านายเรียกผมเข้าไปพบ มีเรื่องสำคัญอยากจะคุยด้วย

ผมเอาของขวัญปีใหม่ให้กับหัวหน้า เขากล่าวขอบคุณผม จากนั้นก็เชื้อเชิญให้นั่งลงเพื่อพูดคุยบางสิ่งบางอย่าง เจ้านายของผมเริ่มต้นด้วยการกล่าวชมผลการปฏิบัติงานของผมที่ผ่านมา แล้วบอกถึงความตั้งใจว่าปีนี้เขาได้เสนอชื่อผมให้เลื่อนตำแหน่ง จากผู้ช่วยผู้อำนวยการขึ้นเป็นผู้อำนวยการฝ่ายพิจารณารับประกัน รวมถึงการปรับเงินเดือนให้ผม พร้อมกับให้รถประจำตำแหน่งไว้ใช้ด้วย เรื่องกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา ตอนนี้ผ่านขั้นตอนหลายขั้นตอนแล้ว เหลือแต่การลงนามจากท่านประธานและกรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัทเท่านั้น หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร คำสั่งนั้นก็จะมีผลบังคับใช้กลางเดือนมกรา ซึ่งจะมีการประกาศในงานวันปีใหม่ที่บริษัทได้จัดให้มีขึ้นในวันศุกร์ที่ 15 มกราคมด้วย

สิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ทำให้ผมรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก ผลแห่งความเพียรพยายามทำงานหนักมาตลอดปีได้ส่งผลแล้ว หน้าที่การงานที่สูงขึ้น เงินเดือนและรถประจำตำแหน่งเป็นสิ่งที่พนักงานทุกคนปรารถนา ไม่เว้นแม้แต่ตัวผมเอง เพราะนอกเหนือจากตัวผลประโยชน์ที่มากขึ้นจากการทำงานหนักแล้ว มันยังบ่งบอกให้ทุกคนได้รู้ว่า เรามีคุณค่ากับบริษัทเพียงไร

แต่ผมก็ดีใจไม่นาน เมื่อหัวหน้าของผมวกตรงเข้าสู่ประเด็นที่เขาต้องการคุยกับผมจริงๆ เขาเปิดอีเมล์หนึ่งให้ผมดู เป็นฟอร์เวิร์ดเมล์ที่ส่งมาให้เฉพาะหัวหน้าของผมเท่านั้น มีภาพสองสามภาพของผู้ชายสองคน ที่ยืนเกาะกุมมืออิงแอบแนบชิดกัน เป็นภาพถ่ายที่ค่อนข้างชัดมาก แม้ว่ารอบข้างจะมีแสงสว่างเพียงน้อยนิด แต่คนถ่ายสามารถเก็บรายละเอียดได้ดี เขาซูมมาให้เห็นชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นใบหน้า และอารมณ์ในภาพบ่งบอกให้รู้ว่าคนในภาพทั้งคู่มีความรู้สึกที่ลึกซึ้งให้กันเพียงไร

ผมมองภาพเดียร์ที่ก้มลงกระซิบที่ใบหูผม ในขณะที่ผมกำลังยิ้มแย้มอย่างมีความสุข ร่างของผมซ้อนอยู่กับเดียร์ทางด้านหน้า มือหนึ่งของเด็กหนุ่มโอบอยู่รอบเอวผม เหมือนเราทั้งคู่กำลังตระกองกอดกัน ภาพที่เหลือก็เป็นภาพอิริยาบถที่เราพูดคุยกันอยู่เท่านั้น โชคดีที่ไม่มีภาพอะไรที่ส่อเค้าให้ผมกับเดียร์เสียหาย แต่แค่นี้มันก็ยากต่อการที่จะอธิบายแล้ว ว่าทำไมผู้ชายสองคนจึงสนิทสนมชิดใกล้กันถึงขนาดนั้น

เมื่อผมเงยหน้าขึ้นจากภาพที่เขาให้ดูก็เห็นเจ้านายมองผมอยู่ก่อนแล้ว ผมรีบปรับสีหน้าจากตกใจเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น รอฟังว่าหัวหน้าของผมจะพูดว่าอะไร ผมเห็นเขาทำหน้าตาซีเรียสจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดูเหมือนเขาลำบากใจต่อเรื่องที่เห็น

“คุณมีอะไรจะอธิบายไหมเรียว”

“เรื่องภาพนี้นะเหรอครับ”

เจ้านายผมพยักหน้า ท่าทางอยากได้ยินคำอธิบายจากปากผมว่าเรื่องราวมันเป็นไงมาไง ผมทำงานกับเขามานานเลยรู้ดีว่าเขาเป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูงที่ค่อนข้างใจกว้าง รับฟังลูกน้อง ไม่ตัดสินคนจากสิ่งที่เห็น ให้โอกาสได้อธิบาย จากนั้นก็จะไตร่ตรองด้วยความคิดและประสบการณ์ของตนเอง ถึงแม้เขาจะดูเหมือนเป็นคนข้างจะดุไปบ้าง แต่บทจะดีก็ดีใจหาย การที่เขารับฟังผมพูดแบบนี้ แปลว่าเขายังมีทางเลือกให้ผมบ้าง ไม่ตัดสินว่าผมผิดจากหลักฐานที่คนอื่นส่งมา

“ผมไม่ทราบครับ ว่าใครส่งมาให้หัวหน้า แต่คนในภาพเป็นผมจริงๆ กับเพื่อนของผมครับ เราไปเที่ยวกันเมื่อวันปีใหม่ที่ผ่านมา หลังจากที่ผมเพิ่งหายป่วยครับ”

“เหรอ นึกว่ามีเพื่อนสนิทแค่คุณสันต์กับศักดิ์ชาย”

เขาพูดยิ้มๆ ผมกลับรู้สึกเหมือนตัวเองหน้าชาที่โกหกเขา แต่เรื่องแบบนี้ ไม่มีความจำเป็นจะต้องเปิดเผยให้ใครรู้นี่ว่าผมกับเดียร์เป็นอะไรกัน

“คนนี้ก็เป็นเพื่อนที่สนิทอีกคนนะครับ แต่เขาไม่ได้ทำงานที่บริษัทนี้”

“อ๋อ อย่างนั้นเหรอ แต่ดูจากรูปแล้ว ท่าทางจะสนิทกันมากนะ”

“ครับ.....”

ผมตอบรับเบาๆ พยายามจะไม่หลบตาหัวหน้า ทั้งๆที่ใจคอไม่ค่อยจะดีนัก ด้วยเดาใจไม่ถูกว่าเจ้านายของผมจะมาไม้ไหน ในที่สุดวินาทีแห่งการรอคอยก็มาถึง เมื่อผู้บังคับบัญชาของผมเอ่ยขึ้นอย่างตรงไปตรงมา

“เอาล่ะ เรียว ผมคิดว่าผมควรเชื่อคุณนะ คุณเป็นลูกน้องผมมานาน ตลอดเวลาที่ผ่านมาคุณไม่เคยทำตัวมัวหมองเสื่อมเสีย มีแต่แสดงให้เห็นว่าคุณมุ่งมั่นขยันขันแข็งแค่ไหน

คุณเป็นกำลังสำคัญของบริษัท เป็นหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง ที่นอกจากจะมีฝีมือดีแล้ว ยังแถมพ่วงด้วยหน้าตาดีอีกต่างหาก มีสาวๆในบริษัทแอบชอบคุณหลายคนนะ

เพียงแต่ว่า คุณเอาแต่ยุ่งอยู่กับการทำงาน แล้วก็ไม่ค่อยสนใจใคร ทำให้ไม่มีใครกล้ามายุ่งกับคุณ แต่พวกเขาก็ยังคงชอบคุณอยู่ ด้วยคุณสมบัติที่หล่อ และเก่ง แบบนี้ อาจจะเป็นไปได้ที่ทำให้คุณมีศัตรูโดยที่ไม่รู้ตัว........”

เจ้านายของผมเว้นวรรค ดูว่าผมจะพูดอะไร แต่ผมกลับนิ่งเฉยฟังเขา ยามนี้ รู้ดีว่า ไม่ควรจะพูดอะไรทั้งสิ้น เพราะคำพูดของผมอาจจะถูกโยงไปเกี่ยวข้องกับใครบางคนที่ผมเองก็สงสัย เพียงแต่ว่าพูดไปก็ไม่ดี เพราะผมอาจจะคิดผิดก็ได้

“ที่จริงผมก็ไม่ค่อยเชื่อรูปพวกนี้เท่าไหร่ ผมว่ามันเป็นการกระทำของพวกหน้าตัวเมียที่จ้องจะทำร้ายผู้อื่นนะ การเอารูปมาฟอร์เวิร์ดส่งต่อแบบนี้

แล้วนี่ส่งให้ผมเพียงคนเดียว มันส่อเจตนาอยู่แล้ว ว่าต้องการทำลายคุณ เพราะผมเป็นเจ้านายของคุณ ถ้าหากผมหลงเชื่อกับรูปภาพนี้ แล้วเรียกคุณมาด่า โดยไม่ไต่สวน ผมอาจจะสูญเสียพนักงานบริษัทที่มีคุณภาพอย่างคุณไปก็ได้.....”
ผมรับฟังอย่างเข้าใจ และนึกขอบคุณที่เจ้านายของผมไม่ใช่คนมีนิสัยแบบนั้น

“อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าผมจะไม่เชื่อ แต่ผมก็ไม่อยากจะให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก ผมไม่ต้องการได้รับรูปจากอีเมล์ หรือ ได้ยินข่าวคราวที่ไม่ดีเกี่ยวกับลูกน้องใต้สังกัดของผมไม่ว่าจะเป็นใครทั้งนั้น ผมเป็นผู้ชาย เคารพในสถาบันครอบครัว คิดว่าหญิงและชายเท่านั้นที่จะแต่งงานและครองคู่กันอย่างมีความสุข แต่เมื่อโลกมันเปลี่ยนไป ผมก็ใจกว้างพอที่จะยอมรับความเปลี่ยนแปลง ใครจะมีรสนิยมแบบไหน ผมไม่สน ขอให้ทำงานได้ก็พอ....”

หัวหน้าของผมหยุดพูดแล้วจ้องหน้าผม ผมมองตอบพยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติ

“ที่ผมพูดนี่ ก็ไม่อยากให้คุณเข้าใจผิด คิดว่าผมเรียกคุณมาด่า หรือลงโทษปรักปรำคุณนะ เรียว ผมแค่เตือนไว้ ในฐานะ หัวหน้า ในฐานะพี่ชาย ผมอยากให้ลูกน้องของผมทุกคนที่ผมโปรโมทขึ้นมา เต็มไปด้วยภาพลักษณ์ที่ใสสะอาด และสง่างาม ไม่อยากให้ใครติฉินนินทา เพราะถ้าหากเขาด่าพวกคุณ มันหมายความว่าด่าผมไปด้วย ที่ไม่ดูแลลูกน้องในปกครองให้ดี หรือเลือกคนที่ไม่เหมาะสมขึ้นมาปกครองดูแลคนอื่นๆ ผมชอบคุณ เห็นว่าคุณเป็นคนดี ทำงานเก่ง ขยัน และมุ่งมั่น คุณทำเพื่อบริษัทมาเยอะ ทางเราก็อยากตอบแทนคุณ อยากให้คุณมีหน้าที่การงานที่ดียิ่งขึ้น ผมดีกับคุณ แล้วก็อยากให้คุณเองก็รักษาหน้าผมบ้าง”

ผมขยับตัวอย่างอึดอัด เริ่มมองเห็นสัญญาณบางอย่างแล้ว นึกเดาได้ว่าเจ้านายกำลังจะพูดอะไรกับผม

“เรื่องความสัมพันธ์ของคุณกับน้องผู้ชายคนนี้ จะจริงหรือไม่ ลึกซึ้งเพียงใดไม่มีใครรู้ได้ บางทีอาจจะไม่มีอะไรเลย เป็นแค่ความเข้าใจผิด หรือใครบางคนอาจจะพยายามหาเรื่องใส่ความคุณให้เสื่อมเสีย แต่เชื่อเถอะ สิ่งที่ผมได้ตัดสินใจลงไปแล้ว ผมไม่กลับคำแน่ คุณจะไปทำอะไรกับใครผมไม่ว่า ขอเพียง อย่าทำให้มันโจ่งแจ้งนัก เพราะมันจะนำมาซึ่งความเสื่อมศรัทธาในตัวของคุณเอง และหน่วยงานซึ่งคุณดูแล ผมพูดเปิดใจกับคุณแบบนี้ ก็หวังว่าคุณคงจะเข้าใจ ผมไม่โกรธคุณ แล้วก็ไม่ยุ่งเรื่องของคุณ แต่ผมอยากให้คุณได้รับการยอมรับนับถือจากคนทั่วไป เพราะผมชอบการทำงานของคุณ รู้สึกเสียดายหากคุณจะเจอแรงกดดันต่างๆจนอยู่ไม่ได้ อยากทำงานร่วมกันไปตลอด ไม่รู้ว่า พี่ชาย คนหนึ่งขอร้องคุณแบบนี้ คุณจะทำให้ผมได้ไหมนะ”

ท้ายประโยคเขาย้อนถามผมตรงๆ แล้วรอฟังคำตอบจากผมด้วยท่าทางใจเย็น ผมนิ่งอึ้ง พยายามปรับอารมณ์ความรู้สึกให้อยู่ในระดับปกติ นับตั้งแต่แรกที่ผมเห็นภาพตัวเองกับเดียร์ ผมรู้สึกตกใจ แล้วแปรเปลี่ยนเป็นโกรธ จากนั้นก็กลับเป็นหวาดวิตก กลัวว่าเจ้านายของผมจะเล่นงานเอะอะเอ็ดตะโรแล้วเค้นถามผมให้สารภาพทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เมื่อเจอท่าทีที่หัวหน้าแสดงออกว่าเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับภาพที่เห็น และก็ไม่สนด้วยว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไร ผมก็เบาใจมากขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ต้องมาหนักใจกับสิ่งที่เจ้านายของผมมาขอร้องในตอนท้าย ผมจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดี
“ครับ ผมจะพยายามระมัดระวังไม่ให้เกิดเรื่องทำนองนี้ขึ้นอีก”

ผมให้คำมั่นสัญญากับหัวหน้า ดูท่าทางเขาพออกพอใจมาก จากนั้นก็อวยพรวันปีใหม่ให้กับผม แล้วก็อนุญาตให้ผมกลับมาทำงานได้ ผมเดินเข้าห้องอย่างมึนงง

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เริ่มต้นด้วยดีกับเรื่องตำแหน่งใหม่ แต่ลงท้ายความสัมพันธ์ของผมกับเดียร์ที่ถูกฟ้องด้วยภาพถ่ายกลับกลายเป็นปัญหาที่ทำให้ผมต้องคิดหนัก จะว่าไปแล้ว มันก็ไม่ใช่ความผิดของผมกับเดียร์เลยที่เราจะรักกัน สังคมต่างหากที่ปิดกั้น ไม่ยอมรับความสัมพันธ์แบบนี้

นึกโกรธตัวเองที่ประมาทเลินเล่อ ไม่รู้จักระมัดระวังตัวเผลอไผลแสดงความรักออกมาในที่สาธารณะ แต่ตอนนั้น บรรยากาศมันพาไป ทำให้ยั้งใจไม่อยู่ จนมีมือดีถ่ายภาพเราเอาไว้ได้

นึกสังหรณ์ใจตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาเห็นหมอนั่นแล้ว ใครกันนะที่ทำแบบนี้ ผมไม่รู้จักเขาเลย และคิดว่า คงไม่เคยมีเรื่องอะไรบาดหมางใจกัน เป็นไปได้หรือไม่ ว่าผู้ชายคนนั้นถูกจ้างวานมาเพื่อเก็บภาพผมกับเดียร์เอาไว้ใช้เพื่อจุดประสงค์อะไรบางอย่าง

ภาพที่ส่งให้หัวหน้าผม คิดว่ายังไม่หมดแค่นั้น คงยังมีอีก แต่การที่เขาไม่ส่งมาให้ทั้งหมด อาจจะเป็นการเตือนผมทางอ้อมก็ได้ ในไม่ช้า รูปที่เหลือซึ่งเป็นรูปเด็ดกว่านี้ อาจจะถูกส่งมา พร้อมกับข้อต่อรองอะไรบางอย่างที่จะให้ผมทำให้เขา

มันคือการแบล็คเมล์ชัดๆ แย่จังที่ผมไม่รู้ว่าเจ้าของรูปนั้นคือใคร จะขอเมล์จากหัวหน้าก็ไม่กล้า กลัวว่าจะซักถามมากมาย แล้วไอ้ที่ผมโกหกเขาไว้ว่าผมกับเดียร์เป็นเพื่อนกัน มันจะความแตกเสียก่อน

ถูกจับได้ว่าโกหกยิ่งแย่หนักเข้าไปใหญ่ เพราะมันหมายถึงว่า หัวหน้าไม่อาจจะไว้วางใจอะไรในตัวผมได้เลยแม้แต่คำพูด ดังนั้นผมต้องหาทางสืบเอาเองว่าใครคือตัวการ มีผู้ต้องสงสัยอยู่มากมาย ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่เคยเห็นผมกับเดียร์อยู่ด้วยกัน จะใช่คนที่ผมคิดไว้ในใจหรือเปล่าก็ไม่อาจจะรู้ได้

แต่น่ากลัวเหลือเกิน ต่อไปจะทำอะไรก็ต้องระมัดระวังหน่อย เพราะว่าผู้ที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง คงต้องการหลักฐานให้มากกว่านี้เพื่อมาบีบคั้นผมอย่างแน่นอน

กว่าจะข่มจิตข่มใจให้สงบลง แล้วทำงานต่อ ก็ปาเข้าไปเกือบจะบ่ายโมงแล้ว ผมยังไม่ได้ลงไปทานข้าวเลย ความโกรธทำให้ลืมความหิวไปได้ แถมซ้ำวันนี้เจ้าสันต์ก็ไม่มากวนใจ มันคงแว่บไปทานข้าวเที่ยงกับเบนกระมัง

หมู่นี้จู๋จี๋กันบ่อยเหลือเกิน ท่าทางมีความสุขเต็มที่ เวลาเดือดร้อนอย่างนี้ จะพึ่งมันไม่ได้เลย แต่ผมก็โกรธมันไม่ลง ไม่ใช่เรื่องของมันเสียหน่อยที่จะมาวิตกกังวลใจเกี่ยวกับตัวผม ปล่อยให้มันมีความสุขไปเถอะ เพราะมันเพิ่งจะฟื้นจากการอกหักมา บางทีรักครั้งนี้ของมันอาจจะทำให้เจ้าสันต์ได้ค้นพบความสุขที่แท้จริงก็ได้

มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เดียร์นั่นเอง ผมปล่อยให้ดังอยู่อย่างนั้น ด้วยอารมณ์โกรธที่ยังคุกรุ่นอยู่ แต่เมื่อดังนานเข้า ก็รู้สึกสงสารคนที่โทรเข้ามา เจ้าเด็กนั่นไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่ด้วยเลย

เขาเองก็ถูกลอบถ่ายเหมือนกัน โชคดีที่เขาเป็นแค่แดนเซอร์นักร้องดัง ไม่ได้เป็นดารามีชื่อเสียง ไม่งั้นคงฉาวโฉ่มากกว่านี้ แต่นี่คนทำต้องการเล่นงานผมเพียงแค่คนเดียว แสดงว่าเขาต้องรู้จักผม อยากทำลายผม หรือไม่ก็อยากสั่งสอนผม เพราะพุ่งเป้ามาทางนี้เพียงอย่างเดียว ในเมื่อเด็กนั่นไม่ผิด ผมจะใจร้ายกับเขาทำไม
เดียร์ส่งเสียงง๊องแง๊งมาตามสายต่อว่าผมว่าทำไมรับโทรศัพท์ช้า แต่เมื่อเห็นผมไม่ค่อยโต้ตอบ และทำเสียงเนือยๆใส่ เขาก็เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นห่วงใยขึ้นมาทันที

“เรียวเป็นอะไรหรือครับ ยังรู้สึกไม่สบายอยู่หรือเปล่า หรือว่าเหนื่อย หยุดไปหลายวันงานคงเยอะสิครับ ผมอยากช่วยนะ แต่ทำงานของคุณไม่เป็น เอาเป็นว่าคืนนี้ กลับจากร้านกาแฟแล้ว ผมจะนวดให้นะครับ คุณจะได้สบายตัว หรือจะทำอย่างอื่นให้ด้วยก็ได้ ดีไหม ”

ในยามปกติ น้ำเสียงของเด็กหนุ่มอาจจะทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาได้โดยไม่รู้ตัว แต่ในยามที่ผมกำลังหงุดหงิดแบบนี้มันไม่มีกะจิตกะใจจะซาบซึ้งไปกับความห่วงหาอาทรของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว

ผมบอกเขาไปว่า ผมอาจจะหลับเร็วหน่อยคืนนี้ เพราะผมเพลียจากการทำงาน คงไม่ได้อยู่รอ เขามีกุญแจอยู่แล้ว ก็ไขเข้าบ้านมาได้เลยแล้วกัน

เด็กหนุ่มเป็นคนที่เรียนรู้อารมณ์คนได้เร็ว โดยเฉพาะอารมณ์ของผม เขาคงรู้ว่ามีบางอย่างที่ทำให้ผมไม่สบายใจอยู่ เขาก็เลยไม่เซ้าซี้ต่อ แต่บอกกับผมว่า เขาเห็นว่าผมไม่ได้ลงมาทานข้าวที่ร้านป้าเหมือนเดิม เขาเลยแวะมาฝากกับข้าวไว้ให้ยามเอาขึ้นไปให้

วันนี้ เขาต้องรีบไปซ้อมเต้น เพราะทางค่ายเพลงเรียกตัวมา บอกว่า จะมีงานให้ทำ เป็นงานฉลองปีใหม่ เขาต้องเต้นให้กับนักร้องสาวที่กำลังดังอยู่ตอนนี้ แต่เรื่องสถานที่และวันต้องไปคุยวันนี้ถึงจะรู้ แล้วหลังจากนั้นเขาจะเลยไปทำงานที่ร้านกาแฟต่อ อาจจะกลับดึกหน่อย แล้วเขาจะซื้อขนมมาฝาก จากนั้นเขาก็ส่งจูจุ๊บมาตามสาย ก่อนจะวางหูไป

ผมหัวเราะหึหึ แม้ในช่วงที่เป็นทุกข์ใจ เด็กหนุ่มก็ยังอุตส่าห์ทำให้ผมมีรอยยิ้มได้ ผมขำเดียร์ที่รายงานให้ผมทราบว่าจะไปที่ไหนบ้าง ทำตัวเหมือนกับสามีที่รายงานความเคลื่อนไหวของตัวเองให้ภรรยาได้รับรู้ก่อนที่จะถูกซักฟอก

แล้วยังน้ำใจของเขาที่มีต่อผม ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหารที่ผมชอบแล้วหิ้วมาฝากยามเอามาให้ผม หรือแม้แต่ขนมที่จะแวะซื้อติดมือมาให้ เขาทำให้ผมรู้สึกประทับใจในตัวเขาหลายอย่าง ในขณะเดียวกันก็สร้างความสับสนให้บังเกิดขึ้นในใจผมอีกด้วย

ยามเอาข้าวกล่องและกับข้าวสองสามอย่างที่เดียร์ฝากขึ้นมาให้ ผมกล่าวขอบคุณแล้วก็ให้เงินยามไป 100 บาท เป็นสินน้ำใจ จากนั้นก็ลงมือทานอาหารที่เด็กหนุ่มทำมา

อาหารยังร้อนๆอยู่เลย แสดงว่า เดียร์เพิ่งทำได้ไม่นาน เขาคงจะรอจนคนในร้านเริ่มซา แล้วทำกับข้าวมาให้ผม แล้วขออนุญาตคุณป้าเจ้าของร้านออกมา

ตั้งแต่เดียร์ไปทัวร์คอนเสิร์ต จนกระทั่งเกิดอุบัติเหตุ ต่อเนื่องไปถึงเหตุการณ์ที่เกาะเสม็ดที่เราต้องไปเผชิญหน้ากับนายบอย เดียร์ไม่ได้ทำงานการอะไรเลย

ผมให้เขามาอยู่บ้านผม แต่เดียร์ก็แสดงความเกรงอกเกรงใจด้วยการดูแลบ้านให้ เขาไม่ยอมใช้จ่ายเงินของผมฟรีๆ เขาบอกกับผมว่า ผู้ชายที่เกาะคนรักกิน เป็นคนไม่น่าชื่นชมสักเท่าไหร่ ไร้ศักดิ์ศรี

ในฐานะสามี เขาอยากทำให้ภรรยาของตัวเองมีความสุข เขาอยากให้ผมปลาบปลื้มในตัวเขา ดังนั้นเมื่อเขาเดินได้เป็นปกติแล้ว เขาก็กลับมาทำงานที่ร้านคุณป้า และที่ร้านกาแฟดังเดิม เขาบอกกับผมว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมาเขามีความสุขมากที่ได้อยู่กับผม แต่ตอนนี้ต้องกลับไปทำงานแล้ว เข้าสู่โลกของความเป็นจริงเสียที

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่23-24 28/1/09 NC กระจาย
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 28-01-2009 22:00:25
 :z3: ขอโทษไม่นึกว่าจะได้ไปนานขนาดนี้
+1 ให้กำลังใจคนรอแล้วกันนะนะ :3123:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่23-24 28/1/09 NC กระจาย
เริ่มหัวข้อโดย: andyus1 ที่ 28-01-2009 23:14:23
อ่าๆๆ ไก้จบแล้วดิ

แต่ยังเลื่องหั้ยปวดหัวอีกหลายเลย

เอาเปนว่ารออ่านตอนต่อไปละกันคร้าบบ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่23-24 28/1/09 NC กระจาย
เริ่มหัวข้อโดย: the_pooh9 ที่ 29-01-2009 02:10:34
 :serius2: เหมือนได้กลิ่น รางมะดีเลย
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่23-24 28/1/09 NC กระจาย
เริ่มหัวข้อโดย: โน๊อา ที่ 29-01-2009 08:04:01
มาเยอะเลย ดีจัง ขอบคุณคับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่23-24 28/1/09 NC กระจาย
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 29-01-2009 08:39:42
เรียวจะเจออะไรอีกไหมหนอ น่าเป็นห่วงจริงๆ...

ขอบคุณคนโพสมากค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทท&
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 29-01-2009 08:42:55
 :laugh: ยังไม่ครึ่งเรื่องเลยเพ่ อีกนานกว่าจะจบ
ถึงบอกไงว่าจะพยายาม up ทุกวันอ่ะ
วันละตอน ตอนหนึ่งยาวโคตรๆเลย อิอิ :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่23-24 28/1/09 NC กระจาย
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 29-01-2009 16:05:30
มา ต่อ ไวไว น่ะ


โด เรียน มา อ่าน นิยาย เรยยยยยยย

อิอิ   เรวว เรย กู
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่25 29/1/09 NC กระจาย
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 29-01-2009 17:50:38
บทที่ 25

คราวที่แล้วตอนไปเกาะเสม็ด ยังไม่ทันที่จะได้เที่ยวเล่นกันอย่างมีความสุข ก็มาถูกขัดจังหวะเสียก่อน เขาเสียดายมากที่มีโอกาสแล้ว กลับไม่ได้ใช้ให้คุ้มค่า ตั้งใจจะทำงานเก็บเงินให้ได้เยอะๆ จะได้พาผมไปเที่ยวสองต่อสองอีก

ดังนั้นเขาอาจจะไม่ได้มาบ้านผมบ่อยๆ หรือมาดึกกว่าเดิม ซึ่งเขาหวังว่าผมคงเข้าใจเขา เพราะเขาไม่ได้เถลไถลไปไหน แต่ไปทำงานเพื่อครอบครัวของตัวเอง เจ้าเด็กบ้านั่น เอาผมเข้าไปรวมเป็นคนในครอบครัวของเขาเสียแล้ว

กับข้าวที่เดียร์ทำให้ ยังคงความอร่อยเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง หรืออาจจะอร่อยมากขึ้นเสียอีก เพราะคราวนี้ ผมรู้แล้วว่าเดียร์ได้ใส่ความรักลงไปในกับข้าวทุกๆอย่างที่ทำให้ผม ยิ่งคิดถึงกันมากเท่าไหร่ เด็กหนุ่มก็ยิ่งตั้งอกตั้งใจทำจนสุดฝีมือ

เพราะหวังว่า เมื่อผมได้ทานอาหารแล้วติดใจ จนทำให้ผมนึกถึงคนทำที่ทุ่มเทเอาใจใส่ อยากให้ผมได้สัมผัสความสุขจากเขาบ้าง แล้วคนที่ทำให้ผมมากมายแบบนี้ ผมจะทำร้ายจิตใจของเขาได้อย่างไร

ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้ม ไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับตนเองดี หน้าที่การงานกับเงินเดือนที่สูงขึ้น มันเป็นสิ่งที่คนทำงานอย่างผมต้องการ ที่ผ่านมาผมเสียโอกาสหลายอย่างในชีวิต เช่นการแต่งงานมีครอบครัว

เพียงเพราะคนที่ผมรักดูถูกว่าผมจนเกินไป แล้วเลือกผู้ชายคนใหม่ที่ร่ำรวย ฐานะการเงินมั่นคง และตำแหน่งสูงกว่าผม ณ ตอนนี้โอกาสที่ผมจะมีเหมือนคนอื่นๆมาถึงแล้ว เหลือเพียงแค่ให้ผมตัดสินใจเท่านั้นว่าผมจะใช้ชีวิตอยู่ตามกรอบเดิมๆที่เคยวางไว้ หรือจะก้าวข้ามมันออกมาไปสู่ชีวิตใหม่ที่สังคมไม่ยอมรับ สูญเสียทุกอย่าง แต่สุขใจที่ได้อยู่กับคนที่รักเราอย่างแท้จริง

ผมรู้สึกวุ่นวายสับสนอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้เลยว่า อะไรคือสิ่งที่ผมต้องการมากที่สุดกันแน่ เงินทอง ลาภยศ ความมั่นคงทางสังคม เมื่อนำมาชั่งเปรียบเทียบกับความรักที่เดียร์มอบให้ผมอย่างล้นเหลือ สิ่งใดที่ทำให้ใจผมโอนเอียง

จะแน่ใจได้อย่างไรว่า เมื่อผมมีฐานะดีขึ้น หน้าที่การงานสูงกว่าเดิม ผมจะได้รับความรักอย่างจริงใจจากผู้หญิงดีๆสักคน ลาภยศที่ได้มา จะเพียงพอต่อการผูกพันใครสักคนให้รักและภักดีเราได้ไหม

แล้วจะแน่ใจได้อย่างไรว่า ชีวิตที่เคยผูกพันกับคนที่เป็นเกย์มาก่อน มันจะสามารถกลับไปใช้ชีวิตแบบปกติได้ตามเดิม ผมจะยังสามารถชอบผู้หญิงได้อีกหรือไม่

แล้วถ้าคนรักของผมรู้ว่า ผมเคยมีแฟนเป็นผู้ชายมาก่อน พวกเธอจะยอมรับผมได้ไหม สิ่งที่ผมต้องการ อยากได้อยากมี กับความสุขที่ได้รับอยู่ทุกวันนี้จากเดียร์ มันเพียงพอที่จะแลกกันหรือเปล่า

คำถามเหล่านั้นวิ่งวนอยู่ในสมองทำให้ผมเครียดแทบจะกินข้าวไม่ลง แต่เมื่อนึกถึงหน้าของเดียร์ ภาพที่เขากำลังตั้งอกตั้งใจทำอาหารให้ผมลอยเด่นเข้ามาในห้วงความคิด ทำให้ผมต้องทนฝืนกินจนหมด ไม่อยากให้เด็กหนุ่มเสียใจ ที่ทำอะไรให้แล้วผมไม่เห็นคุณค่า เจ้าเด็กที่น่าสงสารนั่นมีผมเพียงแค่คนเดียว ถ้าผมทิ้งเขาไป เขาจะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างไรนะ
สิ่งที่หัวหน้าร้องขอ ทำให้ผมเครียดจนปวดหัวไปหมด ได้เวลาเลิกงานแล้ว ผมไม่ได้อยู่ทำงานต่อเหมือนทุกวัน แต่ขับรถไปเรื่อยเปื่อยไร้จุดหมายปลายทาง มารู้อีกทีก็พบว่าตัวเองได้จอดรถลงที่หน้าร้านกาแฟที่เดียร์ทำงานอยู่ ผมนั่งนิ่งๆอยู่ชั่วอึดใจ ลังเลว่าจะเข้าไปในร้านดีหรือไม่ เด็กหนุ่มคงจะแปลกใจที่ได้เห็นผม เพราะร้อยวันพันปี ผมไม่เคยย่างกรายไปในสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับเขาเลย ยกเว้นแต่ร้านอาหารครัวคุณป้า ซึ่งตอนหลังก็ไม่ค่อยได้ไปตั้งแต่เดียร์ติดทัวร์คอนเสิร์ต
เด็กหนุ่มง่วนอยู่กับการชงกาแฟ และรับออเดอร์อยู่หน้าร้าน กว่าจะเห็นผมก็เมื่อผมเดินเข้าไปนั่งด้านในแล้ว เขาทำตาโตด้วยความประหลาดใจ จากนั้นก็ส่งยิ้มหวานมาให้ แต่เขายังไม่ว่างเพราะมีลูกค้ามาสั่งกาแฟตรงเคาน์เตอร์ เขาก็เลยให้เด็กในร้าน มารับออร์เดอร์แทน

ประมาณ 5 นาที ของที่ผมสั่งก็มาวางอยู่ตรงหน้า แต่มันผิดเพี้ยนไปจากที่ผมต้องการไปมาก จนผมต้องร้องถามพนักงานเสิร์ฟ

“เอ๊ นี่คุณ ผมสั่งกาแฟ แต่ทำไมได้เป็นน้ำผลไม้มาแทน เค้ก กับ ลาซานญ่าผักขมนี่ก็ไม่ได้สั่ง ส่งผิดคนหรือเปล่า”

เด็กหนุ่มคนเสริฟ ทำท่าลังเล แต่กระนั้นเขาก็ยังยืนยันว่า เป็นของผมแน่นอน

“พี่ที่เขาทำอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์ให้มาแบบนี้ ครับ เดี๋ยวผมจะลงไปเช็คให้นะ”

ครู่ใหญ่ๆ ผมก็ได้คำตอบ แต่คนที่กลับมาพร้อมกับถาดอาหาร ไม่ใช่เด็กเสิร์ฟคนเดิม แต่เป็นเดียร์ที่เดินยิ้มแป้นเข้ามาหา เขาวางถาดลงบนโต๊ะ จัดแจง เอาน้ำและอาหารเมื่อครู่วางตรงหน้าผมเหมือนเดิม

“ทานกาแฟ ตอนกลางคืนแบบนี้ มันจะทำให้นอนไม่หลับนะครับ ทานน้ำผลไม้ดีกว่านะ แล้วก็นี่ ผมทำให้คุณทาน ลาซานญ่า ผักขม ของอร่อยขึ้นชื่อที่ร้านนี้ แล้วก็เค้กนี่ คนก็ชอบสั่งกันเยอะมาก ลองทานดู ถ้าติดใจ จะซื้อเอากลับไปทานที่บ้านก็ได้นะครับ”

เด็กหนุ่มอธิบายด้วยเสียงนุ่มนวล เขามองผมด้วยดวงตาหวานฉ่ำ ผมเห็นความรักที่ลึกซึ้งของเขาที่มีต่อผม ผ่านทางใบหน้า และสายตาคู่นั้น มันทำให้ผมจิตใจหวั่นไหว ถ้าผมต้องทิ้งเด็กหนุ่มคนนี้เพื่อเลือกทางเดินที่เหมาะสมให้กับตัวเอง ผมจะทำได้ไหมหนอ

“ท่าทางเรียวไม่ค่อยดีเลย มีเรื่องไม่สบายใจอะไรหรือเปล่าครับ อยากเล่าให้ผมฟังไหม”

สงสัยผมคงจะแสดงท่าทีเหนื่อยล้าออกมาให้เดียร์เห็น เขาจึงถามด้วยความห่วงใย ผมมองหน้าเด็กหนุ่ม ไม่รู้จะบอกกับเขาอย่างไรดี เด็กหนุ่มคงไม่ชอบใจที่ได้ยิน เขาอุตส่าห์สู้มาจนถึงวันนี้แล้ว และเขาก็สามารถเอาชนะใจผมได้ เหลือเพียงอย่างเดียวคือการให้ผมยอมรับเขาอย่างเต็มใจ ถ้าให้เขายอมรามือง่ายๆสิ่งที่ทำมาทั้งหมดก็จะไม่มีความหมาย

ดีไม่ดี เขาอาจจะมาคาดคั้นให้ผมตัดสินใจว่าจะเลือกอะไร ปฏิกิริยาของเขาที่จะแสดงต่อผม อาจจะทั้งรุนแรง และนุ่มนวล อ้อนวอนขอร้อง หรือไม่อาจจะโศกเศร้าเคล้าน้ำตา ทำตัวเป็นผู้เสียสละยอมจากไป ผมคาดเดาไม่ออกเลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเดียร์รู้เข้า แต่ไม่ว่าแบบไหน ผมก็ยังไม่อยากจะได้เห็นในตอนนี้ อยากจะเก็บภาพความทรงจำที่ดีของเราไว้ให้นานๆ
“ไม่มีอะไรหรอก แค่เหนื่อยงานนิดหน่อยเอง”

ผมบอกเขา ยังไม่พร้อมที่จะให้เด็กหนุ่มได้ล่วงรู้ คำขอ ของหัวหน้า และการตัดสินใจของผม เนื่องจากผมเองก็ยังคิดไม่ออกว่าควรจะทำตัวเช่นไร

“ครับ งั้นช่วงนี้ เรียวก็อย่าหักโหมทำงานหนักนะ เพิ่งหายป่วย ไปลุยงานหนักเดี๋ยวจะทรุดอีก นี่เรียวตั้งใจมาหาผมเลยหรือเปล่าครับ ดีใจจังเลย ตอนแรก คิดว่า จะรีบทำงานให้เสร็จ แล้วไปหาคุณที่บ้าน ไปช่วยนวดให้ผ่อนคลาย ไม่นึกว่าจะได้เจอคุณที่นี่”

“ฉันรู้สึกเหนื่อยๆเพลียๆน่ะ แต่ยังไม่อยากกลับบ้าน ไม่รู้จะไปไหน เลยเถลไถลมานี่น่ะ”

“อือม ฟังแล้วรู้สึกดีจังเลยน้า...... สิ่งที่เรียวพูด เหมือนกับว่าผมได้รับเกียรติให้เป็นคนสำคัญของเรียวเลยครับ เวลาเรียวไม่สบายใจก็คิดถึงผมคนแรกเลย ชอบจัง ความรู้สึกนี้....”

ดวงตาของเด็กหนุ่มเปล่งประกายสดใสระยิบระยับ หน้าบานเป็นจานเชิง ท่าทางสุขใจจริงๆอย่างปากว่า ผมลอบถอนใจเมื่อเห็นอากัปกริยารื่นเริงของเขา เจ้าเด็กบ้านี่ ทุกข์ใจกับใครเขาเป็นบ้างไหมหนอ รู้ตัวบ้างไหม ว่าเป็นต้นเหตุทำให้ผมคิดมากจนต้องมาที่นี่ ใช่แล้ว ผมคิดถึงเขามากจนอยากมาหา ไม่ว่าผมจะตัดสินใจอย่างไรลงไปผมก็ยังคงอยากจะรักษาช่วงเวลาที่ดีๆต่อกันไว้

“แล้วนี่เรียวตั้งใจจะทำอะไรต่อครับ กลับบ้านเลย หรือว่าจะรอกลับพร้อมกับผม”

“คงจะกลับบ้านเลย นี่แวะมาบอกด้วย ว่า วันนี้ นายไม่ต้องมาที่บ้านฉันหรอกนะ ฉันมีเรื่องที่ต้องใช้สมาธิในการคิด อยากอยู่คนเดียว ไม่อยากให้ใครมากวนใจ”

บอกออกไปแล้ว ก็รู้สึกใจหายวาบเมื่อเห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มสลดลง เดียร์หุบยิ้ม มองผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม แต่เดียร์ไม่ได้พูดในสิ่งที่สงสัยออกมา

“ได้ครับ ถ้าหากเรียวต้องการอย่างนั้น อันที่จริงโทรมาบอกผมก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมาด้วยตัวเอง ท่าทางเรียวคงเหนื่อย น่าจะกลับไปพักผ่อนมากกว่า”

น้ำเสียงนั้นเจือไปด้วยความห่วงใย มันทำให้ผมยิ่งรู้สึกแย่ขึ้นไปอีก ที่ทำร้ายความรู้สึกของเขา แต่ผมอยากอยู่คนเดียวจริงๆ การที่ผมมาหาเขาที่นี่ เพราะเสียงหัวใจของผมเรียกร้อง อยากมาเห็นหน้าเขาให้ชัดๆ เพื่อที่ผมจะได้กลับไปคิดในคืนนี้ ว่าผมควรจะตัดสินใจอย่างไรดี

“ฉันแค่อยากมาบอกเท่านั้นเอง แบตโทรศัพท์มันหมดด้วย”

ผมโกหก แต่คงไม่เนียนนัก เพราะเดียร์ทำหน้าเหมือนรู้ทัน ผมก็เลยลุกขึ้นทำท่าว่าจะกลับ เดียร์ลุกตามแล้วก็เดินออกไปส่งที่ลานจอดรถ ไล่ให้กลับไปทำงานต่อก็ไม่ฟัง ยังดื้อไปกับผมจนได้ หลังจากผมขึ้นรถแล้ว เขาก็ยังพูดเหมือนสั่งผมต่อ ให้ผมกลับไปนอนพักผ่อนให้มากๆ ไม่ต้องคิดวิตกกังวลในเรื่องใด ทุกอย่างมันจะคลี่คลายไปเองเมื่อถึงเวลาหนึ่ง

ก่อนที่ผมจะเคลื่อนรถออกไป เดียร์ก็โน้มตัวเข้ามาหาผมแล้วมอบจูบที่หวานล้ำให้ จนผมต้องเผลอไผลโต้ตอบเขาไปด้วยความรักความเสน่หา ขณะที่จูบใจก็แว่บไปคิดถึงเหตุการณ์เมื่อวันปีใหม่ รู้สึกหวาดระแวงว่าจะมีใครแอบตามมาถ่ายภาพผมกับเดียร์ที่นี่อีกไหมหนอ คงไม่มีหรอกมั๊ง ผมนึกปลอบใจตัวเอง ถ้าเล่นสะกดรอยตาม แอบถ่ายกันแบบนี้ แสดงว่าต้องมีคนไม่ประสงค์ดีกับผมอย่างที่หัวหน้าว่าไว้จริงๆ แล้วใครกันล่ะ ที่จะทำแบบนั้น
ก่อนที่ผมจะเคลื่อนรถออกไป เดียร์ก็โน้มตัวเข้ามาหาผมแล้วมอบจูบที่หวานล้ำให้ จนผมต้องเผลอไผลโต้ตอบเขาไปด้วยความรักความเสน่หา

ขณะที่จูบใจก็แว่บไปคิดถึงเหตุการณ์เมื่อวันปีใหม่ รู้สึกหวาดระแวงว่าจะมีใครแอบตามมาถ่ายภาพผมกับเดียร์ที่นี่อีกไหมหนอ คงไม่มีหรอกมั๊ง ผมนึกปลอบใจตัวเอง

ถ้าเล่นสะกดรอยตาม แอบถ่ายกันแบบนี้ แสดงว่าต้องมีคนไม่ประสงค์ดีกับผมอย่างที่หัวหน้าว่าไว้จริงๆ แล้วใครกันล่ะ ที่จะทำแบบนั้น

เมื่อถึงบ้านแล้ว ผมกลับไม่ได้หลับอย่างที่ตั้งใจไว้ พยายามข่มตานอนเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถทำได้ สมองผมวนเวียนครุ่นคิดอยู่ตลอดถึงเรื่องของเดียร์กับอนาคตของตัวเอง จนกระทั่งล่วงเข้าตีสามเช้าวันใหม่แล้ว ก็ยังไม่ได้หลับเลย

มีเสียงประตูเปิดขึ้น ตอนแรกนึกว่าเป็นขโมย แต่เมื่อเงี่ยหูฟังไม่ได้ยินเสียงเห่ากรรโชกของเจ้าหญิง มีแต่เสียงครางหงิงๆ ดังลอดมาให้ได้ยิน กับเสียงพูดทักทาย หยอกล้อกันข้างล่าง

ผมก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นเดียร์นั่นเอง เจ้าเด็กบ้านั่นไม่รักษาสัญญาเลย รับปากว่าจะไม่มา ไม่ทันไร ก็มาโผล่ที่บ้านผมเสียแล้ว ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือยังไงนะ ว่าจะลงไปด่าซะหน่อย แต่คิดไปอีกทีก็นอนอยู่ข้างบน แกล้งทำเป็นหลับดีกว่า ไม่อยากให้เจ้านั่นเข้าใจผิดคิดว่าผมรอเขา

ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง เด็กหนุ่มก็เปิดประตูห้องเข้ามา ผมหลับตาลง แต่หูก็คอยฟังสรรพสำเนียงต่างๆ สักพักหนึ่ง ที่นอนข้างตัวผมก็ยุบยวบ จากนั้นร่างของผมก็ถูกดึงไปกอดเหมือนเช่นเคย

เดียร์เนื้อตัวเย็น แต่หอมกรุ่น คงจะอาบน้ำมาใหม่แล้วทาแป้งฝุ่นเพื่อให้สบายตัว แต่กระนั้นผมก็ยังรู้สึกได้ถึงไออุ่นของเลือดเนื้อที่ส่งผ่านจากกายเขามาสู่ผม

เด็กหนุ่มซุกจมูกที่ซอกคอและข้างแก้มของผม จนขนลุกซู่ ผมต้องเกร็งตัว ไม่ขยับเขยื้อนเพราะกลัวว่าเดียร์จะจับได้ว่าผมไม่นอนหลับ แต่เรื่องแค่นี้ มีหรือที่เดียร์ซึ่งคอยสังเกตผมอยู่ตลอดเวลาจะไม่รู้

เขาพลิกตัวผมให้หันหน้าเข้ามาหา แล้วจูบผมที่ริมฝีปากอย่างนุ่มนวลทว่าร้อนแรง มือไม้ก็ซุกซนไม่หยุด จนผมต้องเผลอครางออกมาด้วยอารมณ์ที่ถูกปลุกให้กระเจิดกระเจิง เสียงหัวเราะเบาๆอย่างชอบใจของเด็กหนุ่ม ทำให้ผมต้องลืมตาขึ้น ไม่อาจจะแสร้งหลับได้อีกต่อไป

“ดึกป่านนี้ แล้ว ยังไม่นอนหลับอีก คนแก่นี่ดื้อจริงๆเลย ไหนบอกว่าเหนื่อยและเพลียไงครับ นอนน้อย ระวังจะปวดหัวนะ ไม่ดีต่อสุขภาพรู้ไหม นี่แอบไปดื่มกาแฟตอนกลับมาอีกหรือเปล่า เลยทำให้ตาค้างนอนไม่หลับ หรือว่า เป็นเพราะผมไม่ได้นอนอยู่ข้างๆเรียวกันแน่นะ...”

เดียร์กระซิบงึมงำ เสียงอ่อนเสียงหวาน ปากกับมือก็ซุกซนไม่ยอมหยุด ผมพยายามระงับอารมณ์ปรารถนาที่พลุ่งพล่านขึ้นมา พยายามแกะไม้แกะมือเขาออก แต่ก็พ่ายแพ้ให้กับใจตัวเอง ในที่สุดแขนสองข้างที่คอยผลักไส ก็เปลี่ยนเป็นโอบรัดเด็กหนุ่มไว้แนบแน่น

“เราควรจะนอนกันดีกว่านะเดียร์ จะตีสี่แล้วนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปทำงานสายกันพอดี”

แม้จะตอบรับการรุกรานจากเขา แต่ผมก็ยังพอมีสติสัมปชัญญะ หลงเหลืออยู่บ้าง จึงร้องห้ามออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นๆอย่างคนที่พยายามสะกดกั้นอารมณ์ เด็กหนุ่มหัวเราะเบาๆ และกระซิบข้างหูเสียงพร่า

บอกว่าเขาไม่ทำอะไรผมก็ได้ แต่เขาขอกอดและจูบอย่างนี้ก็แล้วกัน คำพูดของเขากับผมแทบไม่มีความหมายอะไรนัก เหมือนพูดแก้เก้อกันไปอย่างนั้น

เพราะเมื่อถูกปลุกเร้ากันขนาดนี้ แม้ใจจะปฏิเสธ แต่ร่างกายผมก็เตรียมพร้อมที่จะมีอะไรกับเขาอีกแล้ว ในที่สุดก็ต้องปล่อยเลยตามเลย ให้เดียร์ครอบครองผมอีกครั้งโดยปราศจากการต้านทานจากผมอีก
เมื่อทุกอย่างกลับสู่สภาวะปกติ เดียร์ก็กกกอดผมไว้แนบอก โดยร่างกายของผมซ้อนแนบอยู่กับร่างกายด้านหน้าของเขา ภายใต้ผ้าห่มที่คลุมร่างเปลือยเปล่าของเราทั้งคู่เอาไว้ เดียร์จูบที่ไหล่และซอกคอของผมอย่างแผ่วเบา

“ไหนรับปากว่าจะไม่มากวนใจไง”

ผมถามเขา เด็กหนุ่มหัวเราะ แล้วพูดเสียงอ้อนๆ

“ที่จริงก็อยากทำตามสัญญานะ แต่เห็นหน้าเรียวหม่นหมองแบบนั้น ก็รู้ว่า เรียวอาจจะมีเรื่องที่ไม่สบายใจเกิดขึ้น ผมก็เลยอยากมาอยู่เป็นเพื่อน เผื่อว่าผมจะสามารถช่วยอะไรเรียวได้บ้าง อย่างน้อย เป็นผู้รับฟังก็ยังดี”

คำตอบของเด็กหนุ่มทำให้ผมเต็มตื้นในหัวอก ซาบซึ้งไปกับความห่วงใยที่เขามีให้

“ไม่มีอะไรหรอก....”

ผมปดเขา ถึงอย่างไร ก็ยังไม่อยากให้เดียร์รู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น

“งั้นดีแล้วละครับ แล้วนี่สบายขึ้นบ้างแล้วหรือยังครับเรียว รู้สึกง่วงนอนบ้างไหม”

น่าแปลก พอเดียร์ถามคำถามนี้ขึ้นมา ผมก็เกิดรู้สึกอยากหลับขึ้นมาทันที เปลือกตาเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ ผมไม่ตอบ แต่ผงกหัวให้เขา

“อื้ม เห็นไหม ต้องทำแบบนี้ เรียวถึงจะหลับได้”

“ทำแบบไหน.......”

“ก็......แบบเมื่อกี้ไง”

พูดจบก็หัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดี เจ้าเด็กบ้านี่ทำตัวร่าเริงอยู่ได้ ไม่รู้จักง่วงเหงา หาวนอนบ้างเลยหรืออย่างไร แถมซ้ำมาพูดจาเป็นนัยๆให้คนอายเสียอีก

“โอ๋ๆ อย่างอนนะครับ ผมหมายถึงว่า เรียวนะ จะหลับได้ ถ้าหากว่ามีผมนอนอยู่ข้างๆแล้วกอดคุณไว้แบบนี้ต่างหากล่ะ เพราะเรียวเริ่มชินที่จะมีผมอยู่ด้วยแล้ว ใช่ไหมครับ ดีใจจริงๆนะ ถ้าหากมันเป็นอย่างที่ผมพูดจริงๆ”

เด็กหนุ่มอ้อนเสียงอ่อนเสียงหวาน ผมหรุบเปลือกตาลง และลอบยิ้ม นึกในใจว่า ไม่ได้งอนเสียหน่อย เจ้าบ้านี่คิดเอง เออเองทั้งนั้น

“หลับเถอะนะครับ ลืมเรื่องที่ไม่สบายใจทั้งมวลนะ ทิ้งมันไปนะครับ เดี๋ยวทุกอย่างมันคงจะคลี่คลายไปได้ด้วยดี ไม่ว่าเรื่องมันจะร้ายแรงแค่ไหนก็ตาม แต่ผมก็เชื่อมั่นว่า ด้วยพลังแห่งความรัก จะทำให้เราสองคนผ่านพ้นมันไปได้”

เขาพูดเหมือนกับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม ไม่สิ เดียร์จะมารู้เรื่องที่ผมโดนหัวหน้าเรียกไปอบรมได้อย่างไร เขาอาจจะแค่พูดปลอบใจไป เพราะเห็นว่าผมทำหน้าหมองๆก็ได้ บางทีผมอาจจะคิดมากจนเกินไป เลยแสดงอาการไม่มีความสุขออกมาให้เขาเห็น ถึงอย่างไรผมก็ยังไม่กล้าจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้เดียร์ฟังอยู่ดี
“เดียร์ ถามอะไรหน่อยสิ”

“ครับ....”

“ถ้าวันหนึ่ง ฉันตัดสินใจที่จะเลิกกับนาย .....เอ้อ ฉันหมายถึงเมื่อสัญญาสิ้นสุดแล้ว และฉันไม่เป็นแฟนนายต่อ นายจะเป็นยังไง จะทำอะไรหลังจากนี้”

ในที่สุดผมก็ตัดสินใจถามออกไป เพื่อหยั่งรู้ถึงความรู้สึกของเขา เด็กหนุ่มนิ่งเงียบไม่ตอบ นานมากจนผมนึกว่าเขาหลับไปแล้ว จึงเอี้ยวศีรษะไปมอง

จากแสงไฟที่หัวเตียงทำให้มองเห็นหน้าเด็กหนุ่มชัดเจน เดียร์หน้าเศร้าหมอง ขอบตาแดงก่ำ ริมฝีปากเม้มแน่น แต่กระนั้น ก็ยังพยายามฝืนยิ้มให้ เมื่อเห็นผมมองมา

“ผมคงเสียใจจนแทบเป็นบ้า อาจจะทำอะไรทิ่สิ้นคิด
หลายอย่าง.......”

เด็กหนุ่มกอดผมแน่นเข้าอีก แล้วแนบหน้าเข้าที่ศีรษะของผม


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่25 29/1/09 NC กระจาย
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 29-01-2009 17:51:04
“ไม่รู้ครับ ตอบไม่ได้ว่าผมจะอยู่อย่างไรถ้าปราศจากคุณ รู้แต่ว่าชีวิตผมคงไม่มีความหมาย อาจจะไม่มีความสุขเหมือนเดิมอีกต่อไป.......ไม่รู้สิ ......อย่าให้ผมตอบอะไรตอนนี้เลยนะครับ ....แต่....ถึงอย่างไร ผมก็ไม่โกรธเรียวนะ คุณคงคิดดีแล้ว ถ้าหากว่ามันเป็นความสุขของคุณที่ไม่ต้องมีผมเข้ามายุ่มย่ามในชีวิต ถึงวันนั้น ผมก็จะไปจากคุณครับ”

ทำไมคำตอบของเดียร์ถึงทำให้ผมรู้สึกเศร้าอย่างนี้นะ ปวดแปลบไปทั่วทั้งใจจนแทบจะทนไม่ไหว นี่ผมต้องการจะเลิกกับเดียร์จริงๆนะหรือ

“แต่ถึงอย่างไร เราก็ยังมีกันและกันอยู่จนกว่าจะครบ หกเดือนใช่ไหมครับ....”

เดียร์ถามเหมือนย้ำให้ตัวเองแน่ใจ ว่าผมจะไม่เปลี่ยนแปลงกลางคัน

“อืม....”

ตอบงืมงำไปอย่างไม่เต็มเสียงนัก ไม่กล้ารับปากจริงๆจังๆ เพราะไม่แน่ใจตัวเองว่าจะรักษาสัญญาได้ตลอดรอดฝั่งหรือเปล่า

“งั้นอย่าเพิ่งไปคิดอะไรที่มันยังมาไม่ถึงนะครับ ทำปัจจุบันของเราให้ดีที่สุดแล้วกัน”

เสียงตอบกลับมาเหมือนให้กำลังใจตัวเองมากกว่าที่จะให้กับผม จากนั้นเดียร์ก็เงียบเสียงไป สักพักเสียงหายใจสม่ำเสมอเริ่มดังแผ่วๆให้ได้ยิน

เด็กหนุ่มคงหลับไปแล้วคงเหนื่อยและเพลียมาก ผมเองก็เช่นกัน ขอหยุดพักเรื่องเครียดเข้าสู่โหมดการนอนหลับในอ้อมแขนของคนรักก่อนดีกว่า บางทีพรุ่งนี้ผมอาจจะคิดอะไรได้ดีกว่านี้ และมันน่าจะเป็นประโยชน์กับเราสองคน

รุ่งเช้าเดียร์เป็นคนมาปลุกผมเพราะเห็นว่าสายแล้วแต่ผมยังไม่ยอมตื่น พอเขาเห็นท่าทางเหมือนคนไม่สบายของผม ก็ขอร้องให้ลางานเพื่อพักผ่อน

แต่ผมไม่ยอม บอกกับเขาว่าผมทำไหว เพิ่งเริ่มต้นปีใหม่จะให้ผมหยุดเลยได้อย่างไร เมื่อปลายปีที่แล้วก็ลาป่วยแล้วหยุดพักร้อนไปหลายวัน

ขืนลาอีกก็โดนเพ่งเล็งพอดี ผมไม่ได้บอกเดียร์ถึงปัญหาใหม่ที่กำลังเผชิญอยู่ ไม่อยากให้เขาคิดมากและพยายามจะแก้ไขปัญหาเอาเอง ผมตัดสินใจไปทำงานโดยพกพาอาการปวดหัวไปกับผมด้วย
เช้านี้ เหมือนนรกชัง สวรรค์กลั่นแกล้งจริงๆ ผมติดอยู่บนท้องถนนนานนับชั่วโมง กว่าจะไปถึงที่ทำงานก็เกือบเที่ยง พอนั่งลงก้นยังไม่ทันหายร้อน

จุ๋มเลขาของผมก็มาแจ้งให้ผมทราบว่า นายสุริยะมาเอะอะเอ็ดตะโรที่แผนกเรื่องที่ผมปฏิเสธการรับประกันให้กับลูกค้าของเขา จะพบกับผมให้ได้ พอบอกว่าผมยังไม่มาทำงาน ก็โมโห แล้วก็ขอเข้าพบกับหัวหน้าของผมไปแล้ว และหัวหน้าก็บอกว่าทันทีที่ผมเข้ามา ให้ผมไปหาที่ห้องด้วย

ตอนที่ผมเดินเข้าไปในห้อง เจ้านายผมกับนายสุริยะ กำลังพูดคุยกันอยู่ ท่าทางนายสุริยะโมโหมาก พอเห็นผมเท่านั้นก็ใส่ผมไม่ยั้งเสียงดังลั่นห้อง ผมนิ่งฟังพยายามรวบรวมสมาธิไม่ให้โกรธกับการเปิดฉากต่อว่าโดยไม่มีการถามไถ่

เรื่องที่ทำให้นายสุริยะโมโห ก็คือ ผมปฏิเสธการรับประกันให้กับเหล่าบอดี้การ์ดของนายทรงพลที่ทำประกันเข้ามา สาเหตุก็เพราะแจ้งแหล่งที่มาของรายได้ และอาชีพไม่ชัดเจน แถมซ้ำแต่ละรายก็ทำประกันในวงเงินที่สูงมากซึ่งมันเกินความจำเป็น

ในเมื่อผมร้องขอข้อมูลมาประกอบการพิจารณาแล้ว แต่ทางนายสุริยะและฝ่ายลูกค้าไม่ได้ให้ผมมา และเกินเวลาที่กำหนด ผมจึงปฏิเสธการรับประกันไป ซึ่งนายสุริยะก็บอกว่าผมได้ทำเรื่องที่โง่เง่ามากที่ปฏิเสธเงินที่จะเข้าบริษัทหลายล้าน และอยากให้ผมเปลี่ยนแปลงผลการพิจารณาใหม่

ผมก็ยืนกรานตอบกลับไป ว่าผมไม่สามารถอนุมัติให้ได้ตามที่ต้องการ เนื่องจากนายทรงพลสมัครทำประกันให้กับคนของเขา ในวงเงินที่สูงมาก ถึงคนละ 5 ล้านบาท โดยที่ฐานรายได้ของแต่ละคนไม่เหมาะสมกับทุนประกันที่ได้รับ

และเบี้ยประกันก็สูงมาก เกินกว่า 10 % ของรายได้ ของผู้สมัครทำประกัน ซึ่งอาจจะทำให้มีการขาดการส่งเบี้ยในภายหลัง ถึงแม้ว่า นายทรงพลจะเป็นคนออกเงินให้ก็ตาม

แต่นายทรงพลก็ไม่มีส่วนได้เสียที่จะต้องมาทำประกันให้ หากในภายหลัง นายทรงพลไม่จ่ายเงินไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม กรมธรรม์เหล่านี้ก็สิ้นผลบังคับอยู่ดี

นายสุริยะโวยวายไม่ยอมด้วยความโมโห แต่ผมก็โต้ตอบด้วยหลักการ ในท้ายที่สุด หัวหน้าของผมจึงหาทางออกให้กับนายสุริยะว่า ทางบริษัทยินดี ทำประกันกลุ่มพนักงานให้ แต่ต้องระบุตำแหน่งหน้าที่การงานมาให้ถูกต้อง จะได้พิจารณาทุนประกันให้ได้

แต่หากต้องการทำประกันรายบุคคล ทุนประกันต้องลดลงจากเดิม และควรจ่ายเบี้ยประกันแบบ single premium คือจ่ายก้อนเดียวจบ จะได้ไม่มีปัญหาเรื่องการจ่ายเงินภายหลัง

ดูเหมือนผู้บริหารหนุ่มใหญ่จะไม่ค่อยพอใจนัก กระนั้นเขาก็งับเอาข้อเสนอที่ให้มา เพราะดีกว่าที่จะทิ้งเบี้ยประกันจำนวนหนึ่งไปเปล่าๆ ก่อนจะกลับนายทรงพลก็ไม่วายทิ้งระเบิดใส่ผม เขาถามผมตรงๆต่อหน้าเจ้านายของผมว่า

ทำไมผมถึงอคติต่อพวกเพศที่สามนัก ทั้งๆที่ผมเองก็กำลังคบหาอย่างใกล้ชิดกับคนในกลุ่มนี้ด้วย นึกว่าเมื่อคบกันลึกซึ้งแล้วจะเห็นอกเห็นใจพวกเดียวกันเสียอีก

พูดจบเขาก็ทำยิ้มเยาะเย้ยก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้ผมยืนเผชิญหน้ากับผู้บังคับบัญชาตามลำพัง เจ้านายเดินมาตบไหล่ผม บอกว่าเขาเข้าใจสิ่งที่ผมทำดี และเชื่อการตัดสินใจของผม แต่ก็ไม่วายที่จะบอกให้ผมระมัดระวังตัวเพราะสิ่งที่เขาเตือนเริ่มจะเป็นจริงแล้ว
ดูเหมือนผู้บริหารหนุ่มใหญ่จะไม่ค่อยพอใจนัก กระนั้นเขาก็งับเอาข้อเสนอที่ให้มา เพราะดีกว่าที่จะทิ้งเบี้ยประกันจำนวนหนึ่งไปเปล่าๆ ก่อนจะกลับนายทรงพลก็ไม่วายทิ้งระเบิดใส่ผม เขาถามผมตรงๆต่อหน้าเจ้านายของผมว่า ทำไมผมถึงอคติต่อพวกเพศที่สามนัก ทั้งๆที่ผมเองก็กำลังคบหาอย่างใกล้ชิดกับคนในกลุ่มนี้ด้วย นึกว่าเมื่อคบกันลึกซึ้งแล้วจะเห็นอกเห็นใจพวกเดียวกันเสียอีก พูดจบเขาก็ทำยิ้มเยาะเย้ยก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้ผมยืนเผชิญหน้ากับผู้บังคับบัญชาตามลำพัง เจ้านายเดินมาตบไหล่ผม บอกว่าเขาเข้าใจสิ่งที่ผมทำดี และเชื่อการตัดสินใจของผม แต่ก็ไม่วายที่จะบอกให้ผมระมัดระวังตัวเพราะสิ่งที่เขาเตือนเริ่มจะเป็นจริงแล้ว

ผมเดินกลับมาห้องของตัวเองด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก พอผ่านโต๊ะของจุ๋ม ผมก็บอกกับเขาว่า วันนี้ ไม่ลงไปทานข้าว ฝากให้เธอไปรับข้าวที่ผมสั่งไว้ที่ร้านเดิมที่ผมทานประจำ รู้สึกเกรงใจเลขาอยู่เหมือนกัน เพราะผมไม่รู้ว่าเธอจะแวะไปทานข้าวแถวนั้นหรือเปล่า แต่ผมกลัวว่า ถ้าผมหายไม่โผล่หน้าไปทานข้าวที่ร้าน เดี๋ยวเจ้าหนูเดียร์ของผม ก็ต้องทำอาหารมาให้ อาจจะฝากใคร หรือเอาขึ้นมาให้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ก็ไม่ดีทั้งนั้นในสถานการณ์ตอนนี้ ผมไม่อยากให้ใครมาวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการใช้ชีวิตของผม อยากอยู่อย่างสงบมากกว่า

พอเปิดเนตขึ้นมา เพื่อจะดูเช็คอีเมล์จดหมายงาน ผมก็ต้องหัวเสียซ้ำสองเมื่อมีไฟล์จากคนชื่อไม่คุ้นส่งมาให้ เป็นไฟล์รูปภาพชื่อหัวข้อ “ชื่นรักวันปีใหม่” ผมสังหรณ์ใจแล้วเปิดดูก็จริงอย่างที่ผมคิดไว้ ภาพที่เหลือทั้งหมด ถูกส่งมาให้ผมดูเพียงคนเดียวอย่างมีจุดมุ่งหมาย

ภาพในอีเมล์มีจำนวน 10 กว่าภาพ แต่ถ่ายจากสองสถานที่ ชุดแรกเป็นภาพคู่ระหว่างผู้ชายสองคนที่กำลังยืนกอดจูบกันอยู่ ถึงแม้จะไม่เห็นหน้าตาชัดเจนนัก เห็นเพียงแค่เสี้ยวหน้าบางส่วน แต่ก็มองออกได้ทันทีคนในภาพนั้นคือใคร บรรยากาศในภาพ มีฉากหลัง เป็นการเฉลิมฉลองงานปีใหม่ที่ผ่านมานี้เอง ส่วนภาพอีกชุด น่าจะเพิ่งถ่ายเมื่อวาน ตรงลานจอดรถ มีภาพของผมกำลังเดินออกมาจากร้านกาแฟพร้อมกับเดียร์ ภาพที่สองเป็นภาพถ่ายให้เห็นรถของผม มีเลขทะเบียนให้เห็นชัดเจน ส่วนภาพที่สาม เป็นภาพที่เดียร์กำลังโน้มตัวมาจูบกับผม ทันที่ที่เห็นภาพเหล่านั้น ผมก็เลือดขึ้นหน้าด้วยความโกรธจัดทันที ใครกันนะที่สะกดรอยตามถ่ายภาพผมแบบนี้ แล้วเขาทำไปทำไม ต้องการอะไรจากผม

ด้วยความอยากรู้ ผมจึงส่งอีเมล์ถามกลับไปว่า ต้องการอะไร ในขณะเดียวกันก็จดชื่ออีเมล์ไว้ พลางโทรไปหาเพื่อนที่ทำงานอยู่ฝ่ายไอที ให้ลองเช็คข้อมูลให้หน่อยว่าอีเมล์นี้มีต้นตอมาจากไหน เจ้าเพื่อนคนนั้น พยายามถามผมว่ามีอะไร ทำไมผมถึงต้องเช็คเมล์ด้วย ผมก็บ่ายเบี่ยงบอกแค่ว่าเรื่องงาน เท่านี้ มันก็ไม่ถามอะไร เพราะมันคิดว่าผมคงเอาไปใช้ประกอบงานพิจารณารับประกัน

ในขณะที่ผมกำลังรอคำตอบจากเพื่อน ก็มีอีเมล์ตอบกลับเข้ามาบอกว่า ถ้าอยากรู้ คืนนี้เวลาหนึ่งทุ่มตรง ให้ไปเจอกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งที่อยู่ในสวนลุมไนท์บาซาร์ ให้ผมไปคนเดียวเสียด้วย แถมกำชับว่า ถ้าไปเรื่องก็จบ แต่ถ้าไม่ไป ภาพเหล่านี้จะถูกส่งไปยังหัวหน้าของผม

ข้อความที่เขียนตอบกลับมาทำให้ผมโกรธจนแทบระงับสติอารมณ์ไม่อยู่ อะไรกันเนี่ย ทำไมชีวิตผมต้องเจอกับการแบล็คเมล์ไม่รู้จักจบจักสิ้น หนก่อนเดียร์ก็ทำเอาชีวิตผมแทบพัง ทว่าทุกอย่างจบลงด้วยการที่ผมยินยอมมีอะไรกับเขาด้วยความรัก เด็กนั่นร้ายกาจกับผมในตอนแรก แต่เขาก็สามารถเอาชนะใจผมด้วยคุณงามความดีที่เขามีอยู่ในตัว เขาชดใช้สิ่งที่เขาทำลงไปด้วยความรักที่มีต่อผม ทำให้ผมลืมเลือนความผิดครั้งนั้นของเขา แต่กับกรณีแบล็คเมล์ที่เกิดขึ้นใหม่นี้ คนที่ทำคงไม่ได้มีเจตนาดีอย่างเดียร์แน่ น่าจะมีความมุ่งร้ายแฝงอยู่ ซึ่งผมจำเป็นต้องรู้ให้ได้ว่ามันคืออะไร แม้จะต้องเสี่ยงภัยก็ตาม แต่ผมตัดสินใจว่าคืนนี้ ผมจะไปหาเขาให้รู้แน่ๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ใครเป็นคนทำ และเขาอยากได้อะไรจากผม
เจ้าสันต์โผล่หน้าเข้ามาหาผมในตอนเย็น มาถึงก็ยิ้มแย้มแจ่มใส เล่าเรื่องเบนให้ฟังอย่างมีความสุข ผมอวยชัยให้พรมัน ขอให้มันสุขสมหวังในชีวิต ได้เจอคนที่รักมันจริงเสียที มันกล่าวขอบอกขอบใจผม แล้วก็วกมาถามเกี่ยวกับเรื่องเดียร์ ผมอ้ำอึ้งพูดไม่ออก เลยถูกมันซักใหญ่ ในที่สุดผมก็ทนไม่ไหว ระบายความอึดอัดใจออกมาให้มันฟัง

“แล้วนายรักเจ้าหนูนั่นหรือเปล่าล่ะ”

สันต์หยั่งเชิงด้วยการถามผมถึงความรู้สึกที่มีต่อเด็กหนุ่ม ผมส่ายหน้า ตอบมันไปว่า ผมเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร ผมสับสนเหลือเกิน ผมไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายมาก่อน ผมไม่รู้ว่ารักเขาหรือไม่ แล้วก็ไม่รู้ว่า การได้อยู่กับผู้หญิ งหรือผู้ชายที่ทำให้ผมมีความสุขมากกว่ากัน

เจ้าสันต์พยักหน้าอย่างเข้าใจ โชคดีที่มันไม่พยายามยัดเยียดความรู้สึกรักในเพศเดียวกันให้กับผม เจ้าสันต์รู้ว่า ต้องให้เวลาผมได้คิด เพื่อจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง เพื่อนอย่างมันทำได้แค่รับฟังสิ่งที่ผมพูด และให้คำปรึกษาเมื่อผมร้องขอเท่านั้น

กลับมาที่เรื่องภาพที่เป็นต้นเหตุให้ผมต้องถูกหัวหน้าเรียกตัวเข้าไปหา ผมเล่าให้มันฟังถึงภาพชุดนี้ กับภาพที่หัวหน้าได้เห็น เราต่างวิเคราะห์ตรงกันว่า คนทำคงมีจุดประสงค์ต้องการจะขู่ผม รูปที่ส่งไปให้หัวหน้าเป็นแค่การเตือน แต่รูปที่ส่งมาให้ผมนั้น คนส่งกำลังบอกว่าเขามีบางอย่างที่อยากได้จากผม

เจ้าเพื่อนรักรู้สึกเป็นห่วงเป็นใย เมื่อรู้ว่า ผมกำลังจะไปหาตัวการที่ส่งรูปมาให้ ใจจริงมันอยากจะไปด้วย แต่บังเอิญติดขัดตรงที่วันนี้เป็นวันเกิดของเบนคนรักของเจ้าสันต์ และเขาปรารถนาที่จะฉลองสองคนกับเพื่อนผมเท่านั้น หากไม่ไป ความรักที่เพิ่งเริ่มต้นอาจจะมีปัญหาได้

สันต์ให้ผมระมัดระวังตัวให้ดี หากมีเหตุอะไรที่ผิดปกติให้รีบชิ่งหนีออกมา ถ้ามันสามารถปลีกตัวจากงานวันเกิดเบนได้เร็ว มันจะมาหาผม สันต์เสนอให้โทรไปบอกเดียร์ก่อน บางทีอาจจะให้เดียร์ไปเป็นเพื่อน แต่ผมปฏิเสธ เพราะไม่อยากดึงเด็กหนุ่มเข้ามาเกี่ยวข้อง

วันนี้เขาบอกกับผมว่า เขาจะไปซ้อมเต้น ตอนทุ่มครึ่ง แล้วจะไปทำงานที่ร้านกาแฟสักประมาณ สี่ทุ่ม เลิกประมาณ ตีสอง อาจจะไม่ได้แวะมาหาผม เพราะต้องกลับไปที่บ้านเช่า เพื่อขนของเตรียมย้ายมาอยู่ด้วยกันหลังจากที่ผมอนุญาตให้เขามาพักด้วยได้ เห็นเขามีกิจกรรมที่ต้องทำเยอะแยะแบบนี้

ผมก็เลยไม่ต้องการไปรบกวนเวลาของเขา ให้เดียร์จัดการในเรื่องของตัวเอง ส่วนผมจะจัดการเรื่องนี้ตามลำพัง และหวังว่าคงไม่มีอะไรร้ายแรงอย่างที่คิด

เวลาทุ่มตรง ผมมาถึงร้านอาหารในส่วนลุมตามที่นัดหมาย ผมต้องแปลกใจเมื่อเจอแซ่บนั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหาร เด็กหนุ่มมองผมด้วยแววตาแปลกๆ กึ่งสังเวช กึ่งเดียดฉันท์ จนผมเดาไม่ถูกว่าอารมณ์ของเขาเป็นอย่างไรกันแน่ในตอนนี้
ยังไม่ทันที่ผมจะถามไถ่เด็กหนุ่ม เขาก็ลุกขึ้นแล้วบอกกับผมว่าจะพาผมไปสถานที่แห่งหนึ่ง ผมมองเขาอย่างอย่างหวาดระแวง นึกในใจว่าทำไมจึงไม่คุยกันเสียให้รู้เรื่องที่นี่

พลางสงสัยต่ออีกว่า เรื่องนี้ นายทรงพลจะมีส่วนรู้เห็นหรือไม่ หรือเป็นการกระทำของเด็กแซ่บเพียงแค่คนเดียว ซึ่งผมยังหาเหตุผลให้กับตัวเองไม่ได้เลยว่า ทำไมเขาต้องทำแบบนี้

หึงหรือเปล่าที่นายทรงพลมาก้อร่อก้อติกเอากับผม เลยให้คนมาตามถ่ายรูปเพื่อเป็นการข่มขู่ให้ผมเลิกยุ่งกับแฟนของตัวเอง ถ้าเป็นเรื่องแค่นี้ เขาก็น่าจะคุยกับผมตรงๆก็ได้

การใช้วิธีการสกปรกแบบนี้ มันอาจจะทำให้เขาต้องไปพัวพันกับคุกตาราง หากผมเอาเรื่องขึ้นมา อีกอย่าง เขากับเดียร์ก็เป็นเพื่อนกัน ตัวเขาเองก็คงจะรู้เป็นนัยๆว่าเราสองคนมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งแค่ไหน

ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ผมจะนึกพิศวาสตาเฒ่านั่น ที่ผ่านมาผมก็ได้แสดงให้รู้อยู่ตลอดว่าผมไม่หวั่นไหวไปกับการแทะโลม หรือเกี้ยวพาราสีของนายทรงพล จึงไม่น่าจะเป็นสาเหตุให้แซ่บมาหวาดระแวงผมเลย

ใจผมร่ำๆอยากจะถามแซ่บให้รู้เรื่อง แต่เด็กนั่นไม่ยอมพูดอะไรเลยระหว่างทาง เขามานั่งรถคันเดียวกับผม ส่วนรถที่เขานั่งมาที่สวนลุม มีคนขับตามมาห่างๆ เหมือนกลัวว่าผมจะหลบลี้หนีหายไปไหน แซ่บสงบปากสงบคำมาก จะพูดเฉพาะบอกทางเท่านั้น เมื่อผมยิงคำถามเอากับเขาว่าเกิดอะไรขึ้น เด็กนั่นก็จะพูดเพียงว่า ไปถึงที่หมายแล้วจะรู้เอง

รถจอดลงที่คอนโดสุดหรูแห่งหนึ่งที่อยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา สนนราคาของมันต่อห้อง คงจะมีราคาเป็นสิบล้าน เพราะความหรูหรา และสะดวกสบายตั้งแต่ทางเข้าไปจนกระทั่งด้านในตัวตึกบ่งบอกให้รู้ถึงความมีระดับของผู้ที่เป็นเจ้าของ

แซ่บใช้คีย์การ์ดรูดพาผมเข้าไปข้างใน และกดลิฟท์ไปยังชั้นสูงสุด ซึ่งทำเป็นเพนท์เฮ้าส์ ทั้งชั้นถูกตกแต่งอย่างอลังการด้วย
เฟอร์นิเจอร์ และของตกแต่งราคาแพงจากเมืองนอก ใช้ทำเป็นทั้งที่ทำงาน และที่พัก ยาวตั้งแต่ปีกตึกด้านหนึ่ง ไปชนอีกด้านหนึ่ง

เด็กแซ่บเดินนำผมไปยังห้องใหญ่ด้านในสุดทางปีกขวาของตึก และเปิดประตูเข้าไป เขาบอกให้ผมรออยู่ที่ตรงส่วนที่เป็นโถงรับแขก ซึ่งมีโซฟาขนาดใหญ่หุ้มด้วยหนังชั้นดีสีน้ำตาลเข้ม เข้ากันกับเครื่องเรือนไม้ทันสมัย ส่วนตัวเขา หายเข้าไปในห้องอีกห้องหนึ่งที่อยู่ด้านใน สักพักชายสูงอายุคนที่ผมคิดมาตลอดว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็ก้าวออกมา พร้อมด้วยบอดี้การ์ดอีก 3-4 คน โดยมีเด็กแซ่บรั้งท้าย

“ขอต้อนรับสู่สวรรค์ลอยฟ้าของผมครับคุณเรียว”

นายทรงพลทักทายด้วยใบหน้ายิ้มละไม ท่าทางพึงพอใจที่ได้เห็นหน้าผม เขาพยักพเยิดให้บอดี้การ์ดออกไปจากบริเวณนั้น ส่วนเด็กแซ่บ ถอยห่างออกไปนั่งอีกฝากของห้องในส่วนที่เป็นมุมพักผ่อน พลางเปิดเครื่องเสียง และเอาเฮดโฟนสวมหัว หันหน้ามาทางผมกับนายทรงพลเหมือนคอยสังเกตการณ์

ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์หันไปมองเด็กหนุ่มแล้วยักไหล่ เหมือนไม่ใส่ใจที่จะมีแซ่บอยู่ในห้องด้วยระหว่างพูดธุระกับผม เขาเชื้อเชิญให้ผมนั่ง แล้วเปิดฉากพูดคุยทันที

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่25 29/1/09 เกือบเสียรู้
เริ่มหัวข้อโดย: b_hihi ที่ 29-01-2009 22:01:02
เจิม
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่25 29/1/09 เกือบเสียรู้
เริ่มหัวข้อโดย: r.anddy ที่ 29-01-2009 22:38:01
จบตอน อย่างนี้เลยเหรอ

โอ้ ม่ายยยยนะ ยิ่งกว่าค้างอีก  :z3: :z3: :z3:


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่25 29/1/09 เกือบเสียรู้
เริ่มหัวข้อโดย: the_pooh9 ที่ 30-01-2009 01:57:25
 :z6: จัดไปให้นายทรงพล กะ แซ่บ  :beat:


จัดไป +1 ให้คนขยันจ้า  o13
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่26 30/1/09 เกือบเสียรู้จริงๆนะ
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 30-01-2009 15:31:53
บทที่ 26

“ดีใจกับตำแหน่งใหม่ของคุณที่จะได้รับการโปรโมทในอีกไม่กี่วันข้างหน้านะครับคุณเรียว แต่ที่ผมให้แซ่บพาคุณมานี่ไม่ได้ต้องการจะแสดงความยินดีกับคุณเพียงแค่อย่างเดียว คุณคงจะเดาถูกว่าผมจะพูดเรื่องอะไร เพราะมันเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณมาตามคำเชิญใช่ไหมครับ ผมรู้สึกดีนะที่คุณไม่ดื้อดึง ไม่งั้นเรื่องคงจะยุ่งยากกว่านี้”

ผมจ้องหน้านายทรงพลเขม็ง นึกไว้ไม่มีผิดเลย ตาแก่ตัณหากลับคนนี้เองที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทุกอย่าง เจตนาก็คงไม่พ้นเรื่องที่เกี่ยวกับตัวผมเป็นแน่

“พูดมาเลยดีกว่าว่าคุณต้องการอะไร การใช้วิธีสกปรกชนิดที่คนโตๆกันแล้ว และมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักหน้าค่าตากันดีในวงสังคมแต่ยังกล้าทำแบบนี้ แสดงว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องแค่ล้อเล่นกันแน่นอน...”

ไม่ต้องมีความเกรงใจกันอีกแล้วสำหรับคนที่ละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น ผมต่อว่าเขาทันทีอย่างไม่เกรงอกเกรงใจว่าเป็นลูกค้าวีไอพีของบริษัท

“ใจเย็นๆสิครับคุณเรียว ผมเองก็ต้องขอโทษด้วยที่เล่นงานคุณด้วยการส่งคนตามประกบ แล้วก็ถ่ายรูปแบล็คเมล์ ส่งไปให้หัวหน้าคุณดู หวังว่ามันคงไม่มีผลกระทบต่อการปรับเลื่อนตำแหน่งหน้าที่การงานของคุณนะครับ”


นายทรงพลเฒ่ายิ้มแย้มกลับมา ทำราวกับว่าความโกรธของผมเป็นแค่เรื่องที่ชวนขำ ไม่เห็นจำเป็นที่ผมต้องโกรธมากมายนักหนากับเรื่องนี้ คำพูดของเขาที่ตอบกลับมาไม่มีตรงไหนเลยที่แสดงให้เห็นว่าเขาสำนึกผิดในสิ่งที่ทำลงไป

“อ๋อ ไม่หรอกครับ เผอิญหัวหน้าของผม เป็นคนที่ไม่หูเบา เขาไม่เชื่อภาพถ่ายพวกนี้จนนิดเดียว และยังเชื่อว่าเป็นฝีมือพวกที่ชอบเล่นสกปรกหวังทำลายผู้อื่นนะครับ”

ผมกรีดกลับหวังให้ตาเฒ่าสำนึก

“งั้นก็โล่งอกไปที นี่ผมพยายามเลือกรูปที่เสียหายน้อยที่สุดแล้วนะครับ ถ้าส่งรูปชุดหลังที่ส่งให้คุณไป ก็ไม่แน่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

นายทรงพลยิ้มยั่ว สร้างความแค้นเคืองให้ผมอย่างมาก คำพูดของผมไม่ทำให้เขาเกิดความละอายใจ กลับลอยหน้าลอยตาทวงบุญคุณ ผมพยายามจะระงับอารมณ์โกรธไม่ให้มันพลุ่งพล่านออกมา เพราะอาจจะตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำให้กับตาเฒ่าเจ้าเล่ห์คนนี้ได้ ท่าทางเขาเหมือนพยัคฆ์ที่คอยจะขม้ำเนื้อกวางน้อยอย่างผม ดังนั้นต้องระมัดระวังตัวให้ดี อย่าพลาดท่าเสียทีตกลงไปในหลุมพรางของเขาที่ขุดล่อ

“คุณทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรคุณทรงพล”
ผมถามอีกครั้งอย่างอยากรู้คำตอบ

“โกรธแค้นที่ผมไม่พิจารณารับประกันให้บรรดาบอดี้การ์ดของคุณหรือเปล่า ไม่ต้องทำกันถึงขนาดนี้ก็ได้ ถามผมก่อนสิ ว่าผมมีเหตุผลอะไรถึงไม่ให้ ผมรู้ดีว่าคุณมีจิตพิศวาส ให้กับคนของคุณและอยากจะทำทุกอย่างให้พวกเขา แต่ที่เราไม่ให้ เพราะมันยังขาดในเรื่องส่วนได้เสียตามกฎหมาย และเป็นการทำประกันที่สูงเกินกว่าความสามารถในการหารายได้ของพวกเขา คนของคุณไม่มีความจำเป็นต้องทำประกันสูงขนาดนั้น แต่ทางเราก็อนุโลมให้ถ้าหากคุณจะจ่ายเบี้ยประกันงวดเดียวเข้ามา หรือไม่ก็ประกันกลุ่ม”

ใช่เรื่องนี้หรือเปล่าไม่รู้ แต่ไม่น่าจะมีเรื่องไหนที่ทำให้เขาโกรธจนถึงขนาดจะทำลายผมได้ ผมคงไปขัดขวางเขาทำให้ไม่สามาถทำประกันให้กับเด็กๆในสังกัด อาจจะทำให้เขาเสียหน้าคนเหล่านั้น เลยเกิดหงุดหงิดเลยต้องมาลงกับผม เพื่อขู่ให้กลัว จะได้ยอมพิจารณาให้ผ่านโดยดี

“คุณมองโลกในแง่ดีเกินไปจริงๆคุณเรียว แถมซ้ำยังซื่ออีกด้วย ผมยอมรับว่าโกรธคุณอยู่บ้าง ที่ไม่ยอมรับประกันให้กับเด็กๆที่น่ารักของผม แต่ผมก็เข้าใจนะ ว่าคุณไม่ได้ทำลงไปเพราะความอคติไม่ชอบขี้หน้าผม แต่คุณทำเพื่อบริษัท คุณปฏิบัติอย่างตรงไปตรงมาไม่เห็นแก่หน้าใคร ถึงจะรู้ว่าผมสนิทสนมเป็นอย่างดีกับประธานบริษัท รู้จักแม้กระทั่งเพื่อนร่วมงานของคุณ แถมซ้ำคุณสุริยะก็เป็นฝ่ายขายมือหนึ่ง ที่บริษัทต้องง้อ แต่คุณก็ยังกล้าขัดใจ ผมชื่นชมคุณมากในข้อนี้”

นายทรงพลกล่าวยิ้มๆ มองผมไม่วางตา

“ผมยังทัดทานคุณสุริยะด้วยซ้ำ ไม่ให้ไปเล่นงานคุณที่บริษัท แต่เขาก็ไม่เชื่อผม ยังไปโวยวายกับคุณและหัวหน้าคุณจนได้ ผมเห็นใจเขาเหมือนกันนะ ฝ่ายขายกว่าจะขายมาได้แต่ละเคสก็ยากลำบาก ต้องปากเปียกปากแฉะกว่าจะพูดจาหว่านล้อมให้ลูกค้าเซ็นต็สัญญาทำประกัน ถูกลูกค้าด่าบ้าง ดูถูกบ้าง ก็ต้องทน แต่พอส่งงานเข้ามาบริษัทแล้วดันถูกปฏิเสธ อารมณ์เสียย่อมเกิดเป็นธรรมดา แต่ผมไม่สนในเรื่องนั้นหรอก ไม่ได้ก็คือไม่ได้ ผมไม่วอรี่ ผมมีหนทางที่จะทำให้เด็กๆของผมมีความสุขมีเงินมีทองได้มากกว่านั้น”

คำพูดของเฒ่าเจ้าเล่ห์ทำให้ผมงง ถ้าเขาไม่โกรธผมด้วยเรื่องนี้ แล้วมันเรื่องอะไรกันล่ะที่ทำให้เขาต้องส่งคนมาสะกดรอยตามผม แถมยังถ่ายรูปไปประจานอีก

“ถ้าอย่างนั้นคุณทำเรื่องแบบนี้ทำไม”

“นี่คุณยังไม่รู้ตัวอีกเหรอคุณเรียว ว่าที่ผมทำเรื่องแบบนี้ก็เพราะคุณไง ผมชอบคุณ ผมอยากได้คุณมาเป็นของผม ก็เลยต้องทำอย่างนี้”
คำตอบของเขาเล่นเอาผมผงะ ไม่นึกว่าตาแก่ตัณหากลับ จะกล้าพูดจากับผมแบบนี้

“คุณก็รู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ ผมไม่......”

ยังไม่ทันจะพูดจบ นายทรงพลก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน

“คุณคงไม่บอกนะว่าคุณไม่ชอบผู้ชาย .....”
“.......”
คำพูดของเขาเล่นเอาผมสะอึก พูดไม่ออก ได้แต่นั่งหน้าชา เหมือนถูกตบหน้า
“ผมรู้น่าว่าตอนนี้ คุณมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งถึงขึ้นอยู่กินแบบลับๆกับเด็กผู้ชายคนที่ชื่อเดียร์ คนที่คุณพาไปไหนต่อไหนด้วย ผมรู้ว่าคุณต้องปฏิเสธแน่ๆ จึงต้องพยายามหาหลักฐานมาผูกมัดให้คุณดิ้นไม่หลุด จากรูปถ่ายที่คุณก็ได้เห็นไปแล้ว คงปฏิเสธไม่ได้ใช่ไหมว่าผมพูดไม่จริง”
“นี่มันเรื่องส่วนตัวของผม”
ผมกัดกรามเป็นสันนูน โกรธจนแทบระงับอารมณ์ไม่อยู่ มันเรื่องอะไรของไอ้เฒ่านี่ด้วย ถึงต้องมาวุ่นวายเรื่องของผม นึกหรือว่า ถ่ายรูปผมกับเดียร์แล้ว จะมาบังคับให้ผมทำตามใจเขาได้ง่ายๆ
“พูดแบบนี้ ก็เหมือนยอมรับทางอ้อมใช่ไหม ว่าคุณกับเด็กนั่นมีอะไรกัน มิน่าคุณอรจิราถึงได้โกรธคุณนักหนา ถึงขนาดพูดจาถากถางคุณเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา เธอรู้ใช่ไหมว่าคุณชอบผู้ชายด้วยกัน มากกว่าที่จะชอบผู้หญิง”
เหมือนถูกแทงเข้าตรงขั้วหัวใจ นายทรงพลชักรู้เรื่องของผมมากไปเสียแล้ว
“อย่ามาเดาเลยคุณทรงพล ผมไม่จำเป็นต้องตอบคำถามนี้ มันเป็นเรื่องส่วนตัวของผม ว่าธุระมาดีกว่า ผมไม่มีเวลาพอ”
“ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้นก็ได้ครับ ถ้ามีอารมณ์ คุยกันไปก็ไม่รู้เรื่อง ผมว่า ผมหาน้ำหาท่ามาให้คุณแก้กระหายก่อนดีกว่า ดีไหมครับ”
นายทรงพลไม่ตอบ ทำเป็นโยกโย้ เขาหันไปหาเด็กแซ่บ แล้วดีดนิ้ว เป็นสัญญาณให้เดินมาหา เด็กหนุ่มถอดเฮดโฟนออก เดินตรงมาที่เรานั่งกันอยู่ นายทรงพลสั่งให้แซ่บไปเอาน้ำที่เตรียมไว้มาให้ผมทาน เจ้าเด็กนั่น ปรายตามองมายังผม เขาทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วกลับไม่พูดออกมา ผมจ้องเขาตอบ ไม่เข้าใจความหมายในตาคู่นั้น
“ไปได้แล้ว”
เฒ่าเจ้าเล่ห์สั่งเด็กแซ่บเสียงเข้ม ทำหน้าตาดุดันใส่ แซ่บมองนายทรงพล อุปาทานหรือเปล่าไม่รู้ แต่ผมว่าผมเห็นความไม่พอใจฉายชัดออกมาในดวงตาคู่นั้น
“รู้หรือเปล่าว่าการสะกดรอยตามคนอื่น และแอบถ่ายภาพมาแบล็คเมล์ มันเข้าข่ายละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ทำให้ผู้อื่นเสียหาย ผมสามารถแจ้งความเอาเรื่องกับคุณได้นะคุณทรงพล ....”
“ก็เชิญสิ ถ้าคุณคิดจะงัดข้อกับผม คุณก็รู้ว่า ผมมีเงินมากมายแค่ไหน แจ้งความจับผมได้ แต่ก็เอาผิดอะไรผมไม่ได้ ผมมีทนายที่เก่งพอ อย่างไงผมก็ไม่ยอมติดคุกหรอก แต่คุณนี่สิ จะเสียหายหนักยิ่งกว่าผม ถ้าจะต้องมีคดีความกันโดยมีรูปภาพถ่ายเป็นหลักฐาน คุณจะทนได้หรือ......”
เขาเลิกคิ้วถามผม ทำหน้าเยาะหยัน
“ถ้าหากใครมาล่วงรู้ว่าคุณมีสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับผู้ชายด้วยกัน บรรดา ลูกค้าเกย์ๆที่คุณเคยปฏิเสธ ผู้บริหารฝ่ายขายที่ชอกช้ำ จากการที่คุณไม่อนุมัติงานของเขา โดยเฉพาะคุณสุริยะ จะต้องรุมถล่มคุณอย่างหนัก เพราะคุณไม่ปกป้องพวกเดียวกัน คุณไม่ยอมให้เกย์ทำประกัน ทั้งๆที่คุณเองก็อยู่กินกับเกย์ คุณจะรับมือกับแรงกดดันแบบนี้ไหวเหรอ คิดให้ดีก็แล้วกันคุณเรียว”
นอกจากจะไม่เกรงกลัวคำขู่ของผมแล้ว เขายังตอบกลับมาทำให้ผมถึงกับอึ้ง ยอมรับความจริงในสิ่งที่เฒ่าเจ้าเล่ห์พูด กระนั้นผมก็จะไม่ยอมให้นายทรงพลมาขู่เอาง่ายๆ
ผมย่อมรู้ดีแก่ใจว่าผมไม่เคยลำเอียง หรือมีอคติใดๆต่อเพศที่สาม

ในระหว่างที่ผมทำงาน ผมได้ชื่อว่าใจซื่อมือสะอาด ทำงานอย่างตรงไปตรงมา ผิดก็ว่ากันไปตามผิด ถ้าพิจารณาแล้วว่าทำได้ ไม่มีความเสี่ยงภัยที่สูงมาก ให้ได้ผมก็จะให้ อะลุ้มอะล่วยก็มาก

แต่ถ้ามีเจตนาไม่ซื่อ ทำประกันเข้ามาจนน่าห่วงว่าจะมีการฆาตกรรมเกิดขึ้นในภายหลัง หรือมีการแถลงความเท็จเกี่ยวกับประวัติของผู้เอาประกันในแง่สุขภาพและอาชีพ ผมจะไม่ยอมให้

สำหรับคนที่เป็นเกย์ ผมจำเป็นต้องมีความเข้มงวดด้วยประเด็นหลักในเรื่อง วิถีการดำเนินชีวิต และความเสี่ยงของสุขภาพในเรื่องการเป็นโรคเอดส์ หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

ซึ่งต้องยอมรับว่าคนกลุ่มนี้มีความเสี่ยงที่สูงมาก แต่ใช่ว่าผมจะปฏิเสธมันเสียทุกราย คนไหนที่ดูแลตัวเองดี ผมก็ให้ แต่ถ้าหากดูแล้วมีความน่าสงสัย ผมก็จะเข้มงวดไม่ปล่อยผ่าน ดังนั้น ผมจึงเชื่อมั่นว่า จะไม่มีใครมาโจมตีผมตรงจุดนี้ได้

แต่การกล่าวหาว่าผมไม่ปกป้องพวกเดียวกันเอง มันดูเหมือนจะไม่ค่อยจะเป็นธรรมกับผมนัก ผมรักเดียร์ เป็นของเขา แล้วเราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตอนนี้ ก็เป็นเพียงแค่ทำตามสัญญาเท่านั้น

ผมไม่ได้เป็นพวกเดียวกันกับเดียร์ นายสุริยะหรือนายทรงพล ไม่ได้ทรยศต่อใคร ผมไม่ชอบใจนักที่ตาเฒ่ามาพูดจาราวกับว่า ผมได้ทำเรื่องเสื่อมเสียกับเผ่าพันธุ์ของตัวเอง ทั้งๆที่ไม่ใช่เลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าผมเลิกกับเดียร์ ผมก็กลายเป็นผู้ชายปกติแล้ว

“ขอบคุณนะครับ ที่เป็นห่วงแทนผม แต่คุณทรงพลไม่จำเป็นต้องมาเป็นเดือดเป็นร้อนแทนหรอกครับ เพราะผมไม่ได้ทำอะไรผิด ผมทำทุกอย่างด้วยความถูกต้องมาโดยตลอด และเชื่อว่าทุกคนคงเข้าใจ และแยกออกระหว่างเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวของผม”

ตอบออกไปเสียงห้วน ไม่ต้องรักษามารยาทกันอีกแล้ว

“งั้นหรือครับ ดูเหมือนว่าคำพูดกับกริยาอาการของคุณมันสวนทางกันนะครับ ถ้าไม่ใส่ใจ ทำไมต้องรีบร้อนมาตามนัดด้วยล่ะ ในเมื่อภาพพวกนั้นไม่มีความหมาย ไม่สามารถทำให้คุณเดือดร้อนจากการถูกคนอื่นล่วงรู้ความลับได้ ก็ไม่จำเป็นจะต้องมาเจอผมก็ได้นี่ครับ”

เฒ่าเจ้าเล่ห์ย้อนถามเย้ยหยัน เหมือนเขากำลังคิดว่าถือไพ่เหนือผมอยู่

“ผมมาหาคุณเพื่ออยากรู้ว่าต้องการอะไร และจะมาขอรูปทั้งหมดคืน มันเป็นรูปส่วนตัวของผมที่คุณกับพวกมาละเมิด ผมไม่ใช่บุคคลสาธารณะที่จะต้องมีคนคอยตามถ่ายตามขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวตลอดเวลา

อันที่จริงถ้าผมรู้ว่าเป็นฝีมือคุณตั้งแต่แรก ผมก็ไม่จำเป็นจะต้องมาหรอก ผมหาทางจัดการด้วยวิธีอื่นเอาก็ได้ แต่ในเมื่อผมมาแล้ว ผมก็จะขอให้คุณคืนภาพพวกนั้นมาหรือไม่ก็ทำลายมันเสีย แล้วเราก็จะเลิกรากันไป ผมก็พิจารณารับประกันให้คนของคุณตามเดิม ถือซะว่าเรื่องทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้น อย่างนี้ดีไหมครับ”
ท้ายประโยค ผมพยายามอย่างยิ่งที่จะสุภาพกับเขา เพื่อหวังให้เขาคืนภาพเหล่านั้นมาให้ผม ไม่อยากใช้คำพูดแรงๆ

เพราะรู้ดีว่า คนรวยที่เอาเงินฟาดหัวคนอื่นเป็นว่าเล่นอย่างนายทรงพล ย่อมไม่พึงพอใจที่จะให้ใครขู่บังคับให้เขาทำตามต้องการเป็นแน่

“ผมมีข้อเสนอที่ดีกว่านั้น เอางี้ ผมฟังสิ่งที่คุณพูดมามากแล้ว คุณฟังผมบ้างดีกว่า ผมรู้ว่าคุณเองก็พอจะเดาออกว่าผมคิดอย่างไรกับคุณ และผมเอาจริงด้วย

ที่อุตส่าห์ลงทุนทำอะไรไปหลายอย่างก็เพื่อให้ได้คุณมาเท่านั้น จะโกรธ จะเกลียดผม โมโห ก็ได้ ไม่ว่ากัน ผมขอแค่ได้มีโอกาสเสนอทางเลือกที่ดีกว่าให้คุณเพื่อไว้พิจารณา...........”

นายทรงพลตบมือดังๆ สองสามครั้ง สักพัก บอดี้การ์ดในชุดดำ ก็ถือกล่องและกระเป๋าหลากหลายขนาดเข้ามาหา แล้วนำมาวางตรงหน้า นายทรงพล เฒ่าเจ้าเล่ห์

เปิดกล่องให้ผมได้ทัศนาทีละใบ ใบแรกเป็นกล่องกำมะหยี่มีความยาวประมาณเกือบ หนึ่งไม้บรรทัด ข้างในบรรจุนาฬิกาข้อมือราคาแพงจากแหล่งผลิตนาฬิกามีชื่อระดับโลกหลายเรือน

ถัดมาเป็นกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินขนาดสี่เหลี่ยมจตุรัส มีแหวนของผู้ชายดีไซน์สวยงามและใช้เพชรราคาแพงอยู่สี่ห้าวง และเข็มเสียบเนคไทฝังเพชรอีก 5 แบบ

กล่องที่สามที่เปิดออกมาให้ดู เป็นกุญแจรถเบนซ์ ส่วนกระเป๋าใส่เอกสารใบสุดท้ายที่เปิดออกมา ข้างในมีเงินสดอัดแน่นอยู่เต็ม ผมเงยหน้ามองนายทรงพลด้วยสายตาตำหนิ ไม่ได้รู้สึกแปลกใจต่อสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่

เพียงแต่ไม่พอใจที่เขาทำอย่างนี้กับผม นี่เขาคิดจะแลกศักดิ์ศรีของผมด้วยของพวกนี้ละหรือ ผมดูเหมือนคนสิ้นคิด รักสบายมากเลยใช่ไหม จนทำให้เขาต้องหยิบยื่นของพวกนี้ให้ ทำแบบนี้มันดูถูกกันชัดๆ ไม่น่าให้อภัยเลยแม้แต่น้อย

“ผมรู้ว่าคุณต้องคิดมาก แต่อย่าเพิ่งอคตินะครับคุณเรียว นี่ไม่ใช่การซื้อขาย แต่สิ่งที่ผมกำลังจะมอบให้คุณเหล่านี้ มันเป็นของแทนใจของผม

ซึ่งผมได้พยายามคัดสรรสิ่งที่ดีมีค่าคู่ควรกับคุณเรียวเพื่อแสดงให้เห็นว่าผมรู้สึกดีกับคุณมากมายเพียงไร ผมรู้ว่า เงินเดือนในตำแหน่งใหม่ของคุณเรียวก็เกือบแสนห้าแล้ว

และกำลังจะได้รถยนต์ประจำตำแหน่ง แต่ถ้าหากผมหยิบยื่นให้คุณบ้าง เงินสดห้าแสนต่อเดือน รถเบนซ์สปอร์ต 1 คัน และสร้อย แหวน นาฬิกาพวกนี้ หรือจะมากกว่านี้ก็ได้หากคุณต้องการ

ขอเพียงแค่คุณยอมอยู่เคียงข้างกายผมเท่านั้น ไม่ว่าเดือนดาว อะไรก็ตามที่คุณอยากได้ ขอเพียงแค่บอก ผมหาให้คุณได้ทันที”

น้ำเสียงที่ดูจริงจัง และ แววตาที่จ้องมองมาจากใบหน้าที่แสดงอาการอ้อนวอนขอร้องนั้น มันชวนให้เชื่อได้ว่า เขามีความต้องการในตัวผมจริงๆ

แต่สำหรับผมแล้วมันเป็นเรื่องที่ตลกสิ้นดี ที่คนอย่างผมถูกคนรวยเอาเงินฟาดหัว เพื่อให้อยู่กินกับเขา นานมาแล้ว ผมเคยอยากเป็นคนร่ำรวย เร่งทำงานหนักเร่งสร้างฐานะ แต่ไม่ทันการณ์ หญิงคนรักตีจากไปเสียก่อน


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่26 30/1/09 เกือบเสียรู้จริงๆนะ
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 30-01-2009 15:32:16
เวลานี้ โอกาสมาถึงผม ทั้งจากการมุ่งมั่นของตัวเอง และลาภลอยที่คนหยิบยื่นให้ แต่ผมกลับไม่รู้สึกยินดียินร้ายเลยแม้แต่น้อย
“คุณคงเข้าใจอะไรผิดไปนะครับ คุณทรงพล เอาล่ะ เพื่อเห็นแก่หน้าคุณ ที่เป็นลูกค้าวีไอพีของเรา และท่านประธานที่รู้จักกับคุณ

ผมจะไม่ถือโทษในสิ่งที่คุณปฏิบัติต่อผม ทรัพย์สินที่คุณหยิบยื่นให้มีค่ามากมายมหาศาล แต่มันจะมีประโยชน์มากกว่า หากไปอยู่ในมือของคนที่ต้องการมันจริงๆ

ผมไม่ใช่เด็กๆแล้ว ไม่ต้องงอมืองอไม้ขอเงินจากใคร ตอนนี้ผมมีงานการ มีเกียรติ เงินทองถึงแม้ว่าจะไม่มากเท่าที่คุณเสนอ แต่มันก็เยอะพอสมควร

ด้วยเงินเท่านี้ ผมอยู่ได้ คุณเก็บเงินและข้าวของพวกนี้ ไว้ให้คนอื่นดีกว่า ยังมีเด็กหนุ่มมากมายที่น่าจะสนใจในข้อเสนอของคุณ อย่ามาทุ่มให้ผมเลย เสียเวลาเปล่า”

พยายามจะบังคับเสียงตัวเองไม่ให้สั่นเพราะความโกรธที่คุกรุ่นภายในใจ ท่องไว้ตลอดเวลาว่า อย่าเอาตัวไปแลกกับคนแบบนี้ เพราะหากนายทรงพลเกิดโมโหขึ้นมา อาจจะทำอะไรบ้าๆเพื่อรักษาหน้าตัวเองก็ได้ ดังนั้นจึงไม่คุ้มที่จะไปแลกกับเขา

“มันก็ถูกนะ ....คุณอายุมากกว่าเด็กๆคนอื่นที่ผมได้มาก็จริง แต่คุณมีสิ่งที่คนพวกนั้นไม่มี นั่นก็คือ ความจริงใจ เด็กบางคนอยู่กับผม เพียงเพราะหวังผลประโยชน์ที่ผมหยิบยื่นให้

จะดีด้วยต่อเมื่ออยากได้จากผม และ จะร้าย ต่อเมื่อต้องการตีจาก คุณเป็นคนแรกที่ปฏิเสธสิ่งที่ผมให้ ขนาดดาราหนุ่มหล่อหลายคนที่กำลังดังอยู่ในตอนนี้ ก็ยังเคยพึ่งพาผมมาก่อน

ไม่มีใครแสดงอาการไม่อยากได้ จนออกนอกหน้าเหมือนคุณสักคนเลย นี่แหละยิ่งทำให้ผมชอบมาก และอยากจะคิดปักหลักกับคุณไปตลอดชีวิต จะเป็นไปได้ไหม.... ให้ความหวังผมหน่อยสิครับ”

“มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วนี่ครับ ผมน่ะไม่ได้ชอบแบบนี้นะครับ.....”

เกือบจะหลุดปากออกไปแล้ว ว่าเรื่องของผมกับเดียร์มันเป็นการผูกพันกันตามสัญญาเท่านั้น แต่ก็นึกขึ้นได้ว่า หากพูดไปแบบนั้น ก็อาจจะเป็นการไปให้ความหวังกับนายทรงพล เขาคงจะรอจนเราสองคนเลิกกันแน่

“นั่นเป็นข้ออ้างต่างหาก เพราะคุณเองก็ไม่ได้ปฎิเสธเรื่องความสัมพันธ์ของคุณกับเด็กเดียร์นั่น แสดงว่า คุณก็ต้องรู้แน่แก่ใจตัวเอง ว่าอะไรคือสิ่งที่ชอบ และไม่ชอบ

ที่คุณไม่ตอบตกลงกับผมเนี่ย เป็นเพราะเด็กคนนั้นหรือเปล่า คุณไม่อยากทำร้ายจิตใจเขาใช่ไหม คุณรักเขา และอยากอยู่กับเขาตลอดไป ที่ผมพูดเนี่ย ผมเดาถูกใช่ไหม”

เขาคาดคั้นจะเอาคำตอบ แต่ผมนิ่งไม่ปริปาก อยากคิดอะไรก็คิดไปสิ ผมไม่ยอมให้คำพูดมาผูกมัดตัวเองหรอก แล้วก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องพูดความในใจ หรือบอกเล่าเรื่องราวระหว่างผมกับเดียร์ให้ใครต่อใครฟัง มันเป็นเรื่องระหว่างเราสองคนเท่านั้น จะรักจะเลิกกันมันก็ไม่เกี่ยวกับใคร

“ข้อนี้ผมไม่ตอบแล้วกัน คุณทรงพล และไม่ตกลงกับคุณด้วย ผมแค่ขอร้องคุณให้เอาภาพนั้นคืนมาให้ผม ระหว่างเราควรคบกันอย่างเป็นมิตร มากกว่าที่จะคบกันอย่างศัตรู

ผมไม่อยากทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่นะครับ การทำแบบนั้นของคุณมันเข้าข่ายละเมิดสิทธิบุคคลอื่น แบล็คเมล์ ทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหายทั้งต่อหน้าที่การงาน และ ได้รับการดูถูกดูหมิ่นจากบุคคลอื่น

ผมรู้ดีว่า เงินของคุณมีมากพอที่จะช่วยทำให้รอดพ้นจากข้อกล่าวหาได้ รู้ดีว่า ถ้าคุณเอารูปผมไปประจาน ผมจะต้องอับายเสื่อมเสีย

แต่ถ้าหากมันสุดวิสัยจริงๆ ผมเกรงว่าคงจะต้องปล่อยให้มันเกิด และแตกหักกันไปเลย เพราะใช่ว่าผมจะเสียชื่อเพียงคนเดียว ร้านของคุณวงศ์ตระกูลของคุณก็คงจะเสื่อมเสียด้วยเช่นกัน”
เอาสิ ถ้าเข้าตาจนแล้ว ผมยังไม่อาจจะเอาภาพเหล่านั้นมาได้ ผมก็พร้อมจะเสีย แต่ไม่มีวันยอมยุ่งเกี่ยวกับตาเฒ่าเจ้าเล่ห์นี่เด็ดขาด
บ้าชะมัดเลย เด็กอื่นๆหน้าตาหล่อกว่าผม อายุน้อยกว่าผมก็มีถมไป ทำไมถึงไม่ไปยุ่งกับเขา แล้วนี่ มาพูดจาต่อหน้า เด็กแซ่บซึ่งตัวเองเพิ่งได้มานี่นะ

เขาจะรู้สึกอย่างไร ทำแบบนี้ มันเหยียบย่ำน้ำใจกันชัดๆ แค่นี้ก็รู้แล้วว่านายทรงพลเป็นคนพูดจาเชื่อถือไม่ได้ สิ่งที่เขาพูดกับผมก็คงจะถูกใช้มานับไม่ถ้วน กับเด็กในสังกัดของเขานั่นแหละ

ยิ่งคิดยิ่งนึกรังเกียจ หากย้อนเวลากลับไปได้ ผมคงจะยืนยันเสียงแข็งให้มากกว่านี้ ในการปฏิเสธไม่ยอมรับประกันเขา จะได้ไม่ต้องมาสร้างปัญหาให้กับบริษัทและกับคนอื่นๆ

แซ่บเดินเอาน้ำมาวางให้ผมและนายทรงพลอย่างกระแทกกระทั้นนิดๆ หน้าตาบึ้งตึง ผมเดาเอาว่า เขาคงได้ยินทุกคำพูดจึงมีสีหน้าไม่พอใจขนาดนี้

ก็แน่ละ เป็นใครจะทนไหว ถ้าหากคนของตัวเอง กำลังหว่านเงินเพื่อเกี้ยวพาราสีคนอื่นให้เห็นต่อหน้าต่อหน้า คิดแล้วก็สงสารเจ้าเด็กนี่ยิ่งนัก

“ใจเย็นๆน่าคุณเรียว ผมเองก็ไม่ได้อยากเป็นศัตรูนะ อยากเป็นเพื่อนมากกว่า คุณพูดแบบนี้ ทำให้ผมสะอึกเหมือนกัน เอางี้เราหยุดพักกันสักแป๊บ แซ่บเอาน้ำมาให้ทานแล้ว คุณทานก่อนให้ใจเย็นๆนะ แล้วเราค่อยคุยกัน บางทีถ้าเราตกลงกันได้ ผมก็จะคืนรูปให้คุณไป ไม่มีอะไรติดค้างดีไหม”

ก็ดีเหมือนกัน เถียงกันไปมา จนผมรู้สึกคอแห้ง นึกว่านายทรงพลจะไร้มารยาทแม้กระทั่งการต้อนรับแขกเสียแล้ว ผมหยิบแก้วมาถือไว้ ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์มองผมยิ้มๆ ทำหน้าเหมือนคนสำนึกผิด และกำลังพยายามขอความเห็นใจ ให้ยกโทษให้

“ผมต้องขอโทษคุณด้วยนะครับ คุณเรียว ที่สร้างความลำบากยุ่งยากให้กับคุณมาตลอด ไอ้ผมน่ะมันเป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเองจนเคยชิน

อยากได้อะไรก็ต้องได้ ไม่ว่าจะใช้วิธีแบบไหนก็ตาม ลองมาหมดแล้ว ทั้งทำดี และ วางแผนการณ์ที่ชั่วร้าย ผมน่ะ ชอบคุณจริงๆนะ

แรกๆตอนที่คุณสุริยะบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวคุณให้ผมฟัง ผมก็รู้สึกทึ่งกับความตรงไปตรงมาไม่เห็นแก่หน้าใครของคุณ พอยิ่งได้มาเจอตัวจริง ก็หลงรักใบหน้าหวานๆ กับท่าทีสุภาพของคุณในทันที.......”

เขาหยุดนิ่งและมองหน้าผมด้วยสายตาชื่นชมหลงใหล ผมเสยกน้ำขึ้นดื่ม ไม่พยามมองหน้าเขาโดยตรง ตาเหลือบไปยังเด็กแซ่บเพื่อดูว่าเขามีปฏิกิริยาอย่างไร ก็เห็นเด็กนั่นส่ายหน้าและส่งสายตาวิตกกังวลมายังผม

พอหันกลับมามองนายทรงพลอีกทีก็เห็นประกายตาวาวโรจน์เหมือนสมใจฉายชัด แต่ก็เพียงครู่เดียว ดวงตานั้นก็กลับหม่นหมองลง ผมรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างแปลกประหลาดว่าอาจจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น แต่ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร

บางที ผมอาจจะคิดมากไปเอง นายทรงพลอาจจะสำนึกผิดจริงๆก็ได้ สำหรับเด็กแซ่บนั้น คงไม่พอใจที่ผมเป็นตัวแทรกกลางระหว่างความรักของเขา ผมวางแก้วน้ำลง ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่นายทรงพลขยับปากพูดกับผมต่อ
“ที่ผ่านมา ผมพยายามทดสอบคุณอยู่ตลอดเวลา ว่าเหมือนกับคนอื่นๆบ้างไหม ที่เห็นเงินของผมแล้วตาโต แต่คุณไม่เคยเลยที่จะงับเหยื่อล่อที่ผมวางเอาไว้

มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าคุณเป็นคนดีที่คู่ควรที่ผมจะใช้ชีวิตอยู่ด้วย น่าแปลกที่ผมหลงรักคุณหลังจากที่เจอกันไม่กี่ครั้ง
รู้ไหมว่าผมรู้สึกหึงหวงคุณแค่ไหนที่คุณพาแฟนหนุ่มของคุณมาที่ร้านวันนั้น ผมพยายามไม่คิดอะไรมาก พยายามดีกับแฟนคุณ แต่เขาก็ไม่รับไมตรีเลย

มองตากันก็คงรู้แล้วมั๊งว่าผมคิดอย่างไรกับคุณ ท่าทางเขาก็รักและหวงคุณมากนะ ตาดูแหวนก็จริง แต่คอยชำเลืองมองเราสองคนคุยกันตลอดเวลา.......”

ผมลอบยิ้ม การพูดถึงเดียร์ ทำให้ผมรู้สึกมีความสุขขึ้นมา เจ้าเด็กนั่น คอยสังเกตผมอยู่เสมอ เขาคอยระแวดระวังภัยให้ ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่ผมเดือดร้อน เขาจะแสดงตนช่วยเหลือทันที

“ยิ้มนั่น ทำให้ผมรู้สึกริษยานะครับ คุณเรียวคงกำลังคิดถึงพ่อหนุ่มเดียร์อยู่ใช่ไหม เขาโชคดีชะมัด ที่ได้คนหน้าตาดี และนิสัยเยี่ยมอย่างคุณไปเป็นคนรัก อย่างว่าแหละ คนหล่อสองคนย่อมเหมาะสมที่จะครองคู่กัน”

คำพูดตรงไปตรงมาของเขาทำให้ผมกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก รู้สึกคอแห้งขึ้นมา จนต้องยกแก้วน้ำขึ้นมาจิบ มันใช่สาเหตุนั้นเสียที่ไหนกันเล่า

ผมไม่ได้มองคนที่เปลือกนอกที่สวยงาม แต่มองไปถึงจิตใจต่างหาก แต่เผอิญว่าหนุ่มน้อยของผม มีใบหน้าที่หล่อเหลา ทุกอย่างเลยดูดีไปหมด

“ความอิจฉาคุณทั้งคู่ เลยทำให้ผมอยากแย่งคุณมา จึงสั่งให้คนของผมสะกดรอยตามคุณไป ถ่ายภาพแบล็คเมล์เพื่อบีบบังคับให้คุณยอมตามใจผม คิดว่ามันจะได้ผล

แต่ฟังจากสิ่งที่คุณพูดเมื่อกี้แล้ว ทำให้ผมรู้ว่าคิดผิด วิธีการนี้ใช้ไม่ได้ผลกับคุณหรอก เพราะถ้าคุณยอมแลกชื่อเสียงของคุณกับภาพพวกนั้น แต่ไม่ยอมรับเงื่อนไขของผม เราสองคนต่างคนต่างพังแน่ และคุณจะเกลียดผมไปตลอด แต่ผมไม่ต้องการแบบนั้น....”

อื้ม ก็เป็นคนเข้าใจอะไรได้ง่ายๆนี่ ไม่เลวแฮะ ด่านิดเดียวก็เกิดจะหน้าบางขึ้นมา พวกคนรวยศักดิ์ศรีเยอะนี่เข้าใจยากจริงเชียว ผมคิดในใจ พลางยกแก้วน้ำดื่มรวดเดียวจนหมด

เมื่อวางแก้วลง ผมเห็นนายทรงพลยิ้มอย่างพึงพอใจ ประกายตาฉายแววเจ้าเล่ห์ ผมเบือนหน้าหนี หันมามองเด็กแซ่บซบหน้าลงกับฝ่ามือ และสั่นศีรษะไปมา

“เอาอะไรมาทานเล่นไหมครับ.....”

นายทรงพลถามยิ้มๆ แต่ผมส่ายหน้า เขากล่าวต่อ ตาก็จับจ้องมองผม

“วิธีการที่จะให้ได้คุณมาเป็นของผม ยังมีวิธีอื่นอีกมากมาย ผมไม่ย่อท้อง่ายๆกับเรื่องแบบนี้หรอก อะไรที่ผมอยากได้ ผมก็ต้องได้ ไม่เคยมีใครขัดใจผมมาก่อน และผมก็ไม่ชอบให้ใครมาทำแบบนั้นกับผมด้วย

หนก่อนที่คุณปฏิเสธการทำประกันให้ลูกน้องผม นั่นทำให้โกรธมาก แต่เอาล่ะ มันเป็นเรื่องของกฎเกณฑ์ผมเข้าใจ แต่การปฏิเสธไมตรีของผมนี่ มันเกินกว่าที่ผมจะยอมรับได้ ผมต้องขอโทษคุณไว้ล่วงหน้าด้วย

หากผมทำบางสิ่งบางอย่างกับคุณ หวังว่าเมื่อทุกอย่างผ่านพ้นไปแล้ว คุณคงจะยกโทษให้ผมด้วย ผมทำไปเพราะรักคุณจริงๆ”
อะไร นายทรงพลพูดอะไรน่ะ ผมไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย เขาทำอะไรกับผมเหรอ ผมชักงงกับท่าทีที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
ตอนแรกทำท่ากระเหี้ยนกระหือรืออยากได้ผม ต่อรองแบบนักธุรกิจใหญ่ แล้วก็มาตีบทโศก เป็นสำนึกผิด มาตอนนี้ทำหน้าหื่นใส่ผมอีกแล้ว

หน้าตาของเขาน่ากลัวมาก ปากแสยะยิ้ม กว้างขึ้น กว้างขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าที่เห็นดูพร่าเลือน ซ้อนๆกัน คล้ายน่าปีศาจ .....
ทำไมอยู่ๆผมก็เกิดตาลายขึ้นมานะ เกิดอะไรขึ้นกับผมนี่ ทำไมมันถึงรู้สึกมึนๆง่วงๆขึ้นมาอย่างกระทันหัน เป็นเพราะเมื่อคืนผมไม่ได้หลับอย่างเต็มที่หรือเปล่า คิดมาก แถมเดียร์ยังมากวนอีก และยังต้องไปทำงานแต่เช้า เลยทำให้เพลียกระมัง
ไม่สิ.... มันต้องไม่เกิดกะทันหันแบบนี้ นี่มันเป็นอาการเหมือนว่าผมกำลังจะหลับ รู้สึกง่วงนอนอย่างหนัก ตาลืมแทบจะไม่ขึ้น ผม...ถูกวางยาหรือเปล่านะ สติของผมเร่งทบทวนความจำอย่างรวดเร็ว พยายามหาจุดที่ผิดสังเกตของการสนทนาเมื่อครู่

นายทรงพลบอกว่า มีวิธีการมากมายที่จะจัดการให้ผมเป็นของเขา แล้วเขาก็ขอโทษที่ทำมันลงไปแล้ว นี่หรือเปล่าที่ตาเฒ่าบอกผมให้รู้เป็นนัยๆ

แน่แล้ว เขาใส่ยานอนหลับให้ผมกิน ผมมันซื่อบื้อเองที่หลงไว้เนื้อเชื่อใจสัตว์ร้ายที่กระหายจะขย้ำเหยื่อ ผมอยู่ที่นี่ไม่ได้อีกแล้ว

ความพยายามที่จะลุกขึ้นล้มเหลว ผมเซถลาด้วยความง่วงเข้าครอบงำจนต้องคว้าขอบโซฟาประคองตัวไว้ ภาพลางเลือนตรงหน้าที่เห็นคือนายทรงพล ลุกขึ้นและก้าวมาหาผม

“คุณนี่มันอ่อนต่อโลกจริงๆคุณเรียว.......เก่งกาจในเรื่องงาน พิจารณาได้เก่งนัก ใครเจ้าเล่ห์อย่างไรจับได้หมด แต่คุณไม่เอาความฉลาดในการสังเกตสังกาที่คุณมีอยู่เปี่ยมล้น มาใช้กับชีวิตประจำวันเลย

คุณใจดีเกินไป ใสซื่อเกินไป จนไม่เท่าทันความร้ายกาจของคนอื่น มันเลยทำให้คุณติดกับผมโดยง่าย บอกแล้วว่า ไงว่า ผมต้องได้ตัวคุณ

ขอโทษทีนะที่ใช้วิธีนี้ ถ้าคุณเป็นของผมแล้ว ผมจะชดเชยทุกอย่างให้กับคุณด้วยความมั่งคั่งที่ผมมี......................................”

ไอ้บ้า ไอ้คนเฮงซวย ไอ้ตาแก่ ตัณหากลับ ผมด่าเขาออกมาพลางก้าวถอยหนี เงาของคนๆหนึ่งเคลื่อนผ่านแว่บเข้ามาใกล้ตัวนายทรงพล พร้อมๆกับเสียงทุ่มเถียงอะไรไม่รู้ฟังไม่ได้ศัพท์

เสียงแซ่บกับนายทรงพล เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นหลายเครื่องพร้อมกัน ผมยื่นมือออกมาเพื่อขอความช่วยเหลือจากเด็กหนุ่มคนนั้น

แต่ก็คว้าเข้ากับอากาศ ซึ่งผ่านมือผมไป เสียงสุดท้ายที่ได้ยินคือประโยคจากปากนายทรงพลดังมาแว่วๆเหมือนพูดในที่ไกลแสนไกล

ดูเหมือนเขาจะไล่ให้แซ่บไปให้พ้นๆหน้าด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย จากนั้นสติสัมปชัญญะต่างๆของผมก็ดับวูบลง

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่26 30/1/09 เกือบเสียรู้จริงๆนะ
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 30-01-2009 16:31:04
เพลงนี้เหมือนน้องเดียร์ป่ะ
http://media.imeem.com/m/7Z5hWPbOd6
(http://61.19.248.235/uploads/5e25c57f8f.jpg) (http://imagehost.compgamer.com/getimg.php?img=5e25c57f8f.jpg)
 ดูรูปประกอบแล้ว o13 เข้าก๊ันเข้ากัน
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่27 upเพิ่ม 30/1/09 เกือบเสียรู้จริงๆนะ
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 30-01-2009 21:00:12
บทที่ 27

อะไรบางอย่างเย็นๆสัมผัสตามใบหน้าของผมจนต้องลืมตาตื่นขึ้นมา ภาพแรกที่เห็นคือมือใหญ่ๆของคนที่ผมถวิลหาเคลื่อนไหวไปตามหน้าตาและเนื้อตัวของผม โดยมีผ้าขนหนูที่ชุบน้ำและบิดแห้งอยู่ในมือ

หน้าของเดียร์ค่อยๆชัดเจนขึ้น ทันทีที่เขารู้ว่าผมตื่นแล้ว เขาก็ยิ้มให้ผมและก้มลงแนบริมฝีปากร้อนผ่าวกับปากที่เผยออ้าของผม เป็นจูบที่หวานที่สุดนับจากผมตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

ผมเหลียวมองไปรอบๆ พบว่าตัวเองอยู่ในห้องนอนที่บ้านตามเดิม โดยที่เดียร์นั่งข้างๆอยู่บนเตียงหันหน้าเข้าหา ผมสลัดศีรษะไล่ความมึนงงออกไป

พยายามจะจำให้ได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผมมันเป็นเพียงความฝัน หรือมันได้เกิดขึ้นจริงแล้ว ถ้าเป็นอย่างหลัง ผมมาที่นี่ได้อย่างไร และผมพลาดท่าเสียทีให้กับนายทรงพลหรือเปล่า

“เดียร์พาฉันกลับมาบ้านเหรอ”

“ครับ”

เด็กหนุ่มกลัดกระดุมเสื้อนอนให้ผมตามเดิม เขาเอามือลูบไล้ใบหน้าผมอย่างแผ่วเบา ดวงตาที่จ้องมองมาเปี่ยมล้นไปด้วยความรัก ตอนนี้เองที่ผมเพิ่งสังเกตเห็นหน้าเดียร์ชัดๆ มีรอยฟกช้ำอยู่บนใบหน้าหล่อเหลานั่น ทั้งที่ปาก และตรงข้างแก้ม
“สู้กับพวกนั้นมาด้วยใช่ไหม”

หนุ่มน้อยของผมพยักหน้า ผมรีบผลุดลุกขึ้นนั่ง แล้วเอื้อมมือมาจับแขนเดียร์ ถามไถ่เขาด้วยความห่วงใย
“เป็นอะไรมากหรือเปล่า เจ็บมากไหม”

เดียร์ยิ้มให้ แล้วดึงร่างของผมมากอดไว้แนบแน่น เขาจูบที่หน้าผากของผม ไม่ยอมตอบว่าอะไร พอผมซักถามอีกครั้ง เขาก็ส่ายหน้าปฏิเสธบอกว่า เจ็บกายน้อยกว่าเจ็บใจ แค่นี้ยังไม่เท่ากับที่นายทรงพลทำไว้กับผมเลย

ผมใจหายวาบ ถามเขาไปอย่างกล้าๆกลัวๆว่า ตอนที่เขาไปรับผมมา สภาพผมเป็นอย่างไร ผมโดนข่มขืนหรือเปล่า เดียร์กอดผมแน่นเข้าไปอีก แล้วบอกว่า เกือบแล้ว หากเขามาไม่ทันเพียงนิดเดียว ผมมีหวังเสร็จนายทรงพลแน่
“ทีหลังจะไปไหน จะทำอะไร บอกผมหน่อยนะครับ ผมจะได้รู้ เผื่อว่ามีอันตรายจะได้ช่วยคุณได้ทัน ไม่ใช่ช่วยแบบจวนเจียนแบบนี้ เกิดคราวหลังพลาดขึ้นมาช่วยไม่ได้

ผมคงเสียใจแย่ แล้วก็อย่าไว้ใจใครง่ายๆ เรียวน่ะ ใจดีขี้สงสาร ชอบใจอ่อนกับคนไปทั่ว คิดว่าเขาจะดีเหมือนกับเรามันไม่ได้หรอกนะ คนบางคนทำดีด้วยไม่ได้จริงๆ อย่างเช่นนายทรงพล

จำได้ไหมครับเรียว ผมเคยเตือนคุณแล้ว ว่าตาแก่คนนี้ท่าทางไม่น่าไว้ใจ เขาต้องนำเรื่องเดือดร้อนมาสู่เราในวันหลัง ไม่ทันไรเลย เขาก็ก่อเหตุเสียแล้ว ไม่รู้ว่าเรียวยอมไปหาเขาทำไม”
ผมนิ่งเงียบ ยอมรับฟังคำบ่นแต่โดยดี รู้ว่าเด็กหนุ่มดุผม เพราะเป็นห่วง ผมเองก็ทำอะไรไม่ระวัง เชื่อง่ายเกินไป จนเกิดเรื่องเกิดราวให้เขาต้องตามไปช่วยเหลือ ก็สมควรแล้วที่เดียร์จะโมโห

ผมยังไม่กล้าบอกเดียร์ถึงเหตุผลที่ทำให้ผมต้องไปหานายทรงพล แต่กลับถามเรื่องที่ผมอดข้องใจไม่ได้ เดียร์รู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่บ้านตาเฒ่านั่น และทำไมถึงไปช่วยผมได้ทันเวลา

“ใครบอกนายเหรอว่าฉันอยู่ที่คอนโดนายทรงพล และกำลังมีอันตราย”

“แซ่บบอก…?”

ผมทวนคำด้วยความงุนงง เจ้าเด็กนั่นเนี่ยนะ นึกว่ารู้เห็นเป็นใจกับนายทรงพลเสียอีก

“ใช่ ตอนแรกผมโทรมาหาคุณจะถามว่ากลับถึงบ้านหรือยัง แต่คุณก็ไม่รับสาย ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่โทรหาคุณ แต่เป็นคุณสันต์ด้วย

เขากังวลว่าคุณไม่ติดต่อกลับหาเขา เขารู้ว่าคุณไปไหนแ แต่โทรเข้ามือถือคุณเท่าไหร่ ก็ไม่ยอมรับ ไม่รู้ว่าคุณไปไหน เขาเลยนึกถึงผมขึ้นมาได้ รีบไปหาเบอร์ร้านกาแฟที่ผมทำงานอยู่แล้วโทรมาหา บอกกับผมว่า คุณน่าจะกำลังอยู่ในอันตราย
ผมไม่เป็นอันทำอะไรเลย โทรตามคุณให้วุ่นไปหมด แล้วยังไงไม่รู้ ผมเกิดนึกถึงตาทรงพลนั่นขึ้นมา สังหรณ์ใจว่าตาแก่นี่น่าจะเป็นคนสร้างปัญหายุ่งยากให้ ผมเลยโทรไปหาแซ่บ

เขากำลังโมโหนายทรงพลอยู่พอดี สงสัยคงทะเลาะกัน เขาเลยบอกผมหมดทุกอย่าง ผมเลยขอยืมมอเตอร์ไซด์ของเพื่อนที่ร้านและบึ่งมาหาคุณที่คอนโดนี่แหละ”

สิ่งที่เดียร์บอกสร้างความงุนงงให้ผมหนักขึ้นไปอีก ทำไมแซ่บต้องช่วยผมด้วย ทั้งๆที่จริงๆแล้วเขาร่วมมือกับนายทรงพลพาผมไปที่นั่น และเป็นคนวางยานอนหลับให้ผม หรือว่าหึงหวงจนเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา

“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับฉัน หรือกับแซ่บหรือเปล่า”

ผมถามด้วยความสงสัย เพราะกว่าเดียร์จะมามันก็คงนานพอสมควร และใช่ว่ามาถึงแล้วจะขึ้นมาโดยง่าย ที่นี่ระบบรักษาความปลอดภัยค่อนข้างดี เดียร์ไม่มีทางผ่านไปได้ นอกจากจะได้รับอนุญาต

“ไม่หรอกครับ เรียวอย่ากังวลเลยนะ คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองเรียวให้รอดปลอดภัยจากมือมาร ทำให้ผมไปช่วยคุณไว้ได้ทัน แต่ก็เกือบล่ะ นายทรงพลได้เห็นคุณเปลือยหมดทุกซอกทุกมุมเลย

ก็ไอ้เจ้ายามหน้าคอนโดนี่สิมันถ่วงเวลา ไม่ยอมให้ผมเข้า ทะเลาะกันเกือบจะฆ่ากันตาย ดีนะที่แซ่บลงมาเปิดประตูให้ เลยรีบขึ้นไป โชคยังดีหน่อยที่ตาแก่นั่นมันบ้ากามขนาดนัก จนถึงขั้นจะถ่ายวิดิโอเอาไว้ตอนที่มันทำอะไรคุณเพื่อหวังแบล็คเมล์รอบสอง

มันเลยเสียเวลาจัดการตรงนี้นานไปหน่อย แต่กระนั้นมันก็ยังถอดเสื้อผ้าคุณ ได้ใช้สายตาชั่วๆของมันโลมเลียคุณ เห็นคุณจนหมด ผมน่ะแค้นนัก เกลียดมันที่มันทำชั่วได้ขนาดนั้น แต่ไม่ต้องห่วงครับ ผมแก้แค้นให้

แล้ว ........................”

เดียร์บอกอย่างแค้นเคือง ท่าทางยังคงไม่หายโมโห

“ทำยังไงเหรอ”
ผมนิ่งเงียบ ยอมรับฟังคำบ่นแต่โดยดี รู้ว่าเด็กหนุ่มดุผม เพราะเป็นห่วง ผมเองก็ทำอะไรไม่ระวัง เชื่อง่ายเกินไป จนเกิดเรื่องเกิดราวให้เขาต้องตามไปช่วยเหลือ ก็สมควรแล้วที่เดียร์จะโมโห

ผมยังไม่กล้าบอกเดียร์ถึงเหตุผลที่ทำให้ผมต้องไปหานายทรงพล แต่กลับถามเรื่องที่ผมอดข้องใจไม่ได้ เดียร์รู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่บ้านตาเฒ่านั่น และทำไมถึงไปช่วยผมได้ทันเวลา

“ใครบอกนายเหรอว่าฉันอยู่ที่คอนโดนายทรงพล และกำลังมีอันตราย”

“แซ่บบอก…?”

ผมทวนคำด้วยความงุนงง เจ้าเด็กนั่นเนี่ยนะ นึกว่ารู้เห็นเป็นใจกับนายทรงพลเสียอีก

“ใช่ ตอนแรกผมโทรมาหาคุณจะถามว่ากลับถึงบ้านหรือยัง แต่คุณก็ไม่รับสาย ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่โทรหาคุณ แต่เป็นคุณสันต์ด้วย

เขากังวลว่าคุณไม่ติดต่อกลับหาเขา เขารู้ว่าคุณไปไหนแ แต่โทรเข้ามือถือคุณเท่าไหร่ ก็ไม่ยอมรับ ไม่รู้ว่าคุณไปไหน เขาเลยนึกถึงผมขึ้นมาได้ รีบไปหาเบอร์ร้านกาแฟที่ผมทำงานอยู่แล้วโทรมาหา บอกกับผมว่า คุณน่าจะกำลังอยู่ในอันตราย
ผมไม่เป็นอันทำอะไรเลย โทรตามคุณให้วุ่นไปหมด แล้วยังไงไม่รู้ ผมเกิดนึกถึงตาทรงพลนั่นขึ้นมา สังหรณ์ใจว่าตาแก่นี่น่าจะเป็นคนสร้างปัญหายุ่งยากให้ ผมเลยโทรไปหาแซ่บ

เขากำลังโมโหนายทรงพลอยู่พอดี สงสัยคงทะเลาะกัน เขาเลยบอกผมหมดทุกอย่าง ผมเลยขอยืมมอเตอร์ไซด์ของเพื่อนที่ร้านและบึ่งมาหาคุณที่คอนโดนี่แหละ”

สิ่งที่เดียร์บอกสร้างความงุนงงให้ผมหนักขึ้นไปอีก ทำไมแซ่บต้องช่วยผมด้วย ทั้งๆที่จริงๆแล้วเขาร่วมมือกับนายทรงพลพาผมไปที่นั่น และเป็นคนวางยานอนหลับให้ผม หรือว่าหึงหวงจนเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา

“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับฉัน หรือกับแซ่บหรือเปล่า”

ผมถามด้วยความสงสัย เพราะกว่าเดียร์จะมามันก็คงนานพอสมควร และใช่ว่ามาถึงแล้วจะขึ้นมาโดยง่าย ที่นี่ระบบรักษาความปลอดภัยค่อนข้างดี เดียร์ไม่มีทางผ่านไปได้ นอกจากจะได้รับอนุญาต

“ไม่หรอกครับ เรียวอย่ากังวลเลยนะ คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองเรียวให้รอดปลอดภัยจากมือมาร ทำให้ผมไปช่วยคุณไว้ได้ทัน แต่ก็เกือบล่ะ นายทรงพลได้เห็นคุณเปลือยหมดทุกซอกทุกมุมเลย

ก็ไอ้เจ้ายามหน้าคอนโดนี่สิมันถ่วงเวลา ไม่ยอมให้ผมเข้า ทะเลาะกันเกือบจะฆ่ากันตาย ดีนะที่แซ่บลงมาเปิดประตูให้ เลยรีบขึ้นไป โชคยังดีหน่อยที่ตาแก่นั่นมันบ้ากามขนาดนัก จนถึงขั้นจะถ่ายวิดิโอเอาไว้ตอนที่มันทำอะไรคุณเพื่อหวังแบล็คเมล์รอบสอง

มันเลยเสียเวลาจัดการตรงนี้นานไปหน่อย แต่กระนั้นมันก็ยังถอดเสื้อผ้าคุณ ได้ใช้สายตาชั่วๆของมันโลมเลียคุณ เห็นคุณจนหมด ผมน่ะแค้นนัก เกลียดมันที่มันทำชั่วได้ขนาดนั้น แต่ไม่ต้องห่วงครับ ผมแก้แค้นให้

แล้ว ........................”

เดียร์บอกอย่างแค้นเคือง ท่าทางยังคงไม่หายโมโห

“ทำยังไงเหรอ”
ผมนิ่งเงียบ ยอมรับฟังคำบ่นแต่โดยดี รู้ว่าเด็กหนุ่มดุผม เพราะเป็นห่วง ผมเองก็ทำอะไรไม่ระวัง เชื่อง่ายเกินไป จนเกิดเรื่องเกิดราวให้เขาต้องตามไปช่วยเหลือ ก็สมควรแล้วที่เดียร์จะโมโห

ผมยังไม่กล้าบอกเดียร์ถึงเหตุผลที่ทำให้ผมต้องไปหานายทรงพล แต่กลับถามเรื่องที่ผมอดข้องใจไม่ได้ เดียร์รู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่บ้านตาเฒ่านั่น และทำไมถึงไปช่วยผมได้ทันเวลา

“ใครบอกนายเหรอว่าฉันอยู่ที่คอนโดนายทรงพล และกำลังมีอันตราย”

“แซ่บบอก…?”

ผมทวนคำด้วยความงุนงง เจ้าเด็กนั่นเนี่ยนะ นึกว่ารู้เห็นเป็นใจกับนายทรงพลเสียอีก

“ใช่ ตอนแรกผมโทรมาหาคุณจะถามว่ากลับถึงบ้านหรือยัง แต่คุณก็ไม่รับสาย ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่โทรหาคุณ แต่เป็นคุณสันต์ด้วย

เขากังวลว่าคุณไม่ติดต่อกลับหาเขา เขารู้ว่าคุณไปไหนแ แต่โทรเข้ามือถือคุณเท่าไหร่ ก็ไม่ยอมรับ ไม่รู้ว่าคุณไปไหน เขาเลยนึกถึงผมขึ้นมาได้ รีบไปหาเบอร์ร้านกาแฟที่ผมทำงานอยู่แล้วโทรมาหา บอกกับผมว่า คุณน่าจะกำลังอยู่ในอันตราย
ผมไม่เป็นอันทำอะไรเลย โทรตามคุณให้วุ่นไปหมด แล้วยังไงไม่รู้ ผมเกิดนึกถึงตาทรงพลนั่นขึ้นมา สังหรณ์ใจว่าตาแก่นี่น่าจะเป็นคนสร้างปัญหายุ่งยากให้ ผมเลยโทรไปหาแซ่บ

เขากำลังโมโหนายทรงพลอยู่พอดี สงสัยคงทะเลาะกัน เขาเลยบอกผมหมดทุกอย่าง ผมเลยขอยืมมอเตอร์ไซด์ของเพื่อนที่ร้านและบึ่งมาหาคุณที่คอนโดนี่แหละ”

สิ่งที่เดียร์บอกสร้างความงุนงงให้ผมหนักขึ้นไปอีก ทำไมแซ่บต้องช่วยผมด้วย ทั้งๆที่จริงๆแล้วเขาร่วมมือกับนายทรงพลพาผมไปที่นั่น และเป็นคนวางยานอนหลับให้ผม หรือว่าหึงหวงจนเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา

“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับฉัน หรือกับแซ่บหรือเปล่า”

ผมถามด้วยความสงสัย เพราะกว่าเดียร์จะมามันก็คงนานพอสมควร และใช่ว่ามาถึงแล้วจะขึ้นมาโดยง่าย ที่นี่ระบบรักษาความปลอดภัยค่อนข้างดี เดียร์ไม่มีทางผ่านไปได้ นอกจากจะได้รับอนุญาต

“ไม่หรอกครับ เรียวอย่ากังวลเลยนะ คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองเรียวให้รอดปลอดภัยจากมือมาร ทำให้ผมไปช่วยคุณไว้ได้ทัน แต่ก็เกือบล่ะ นายทรงพลได้เห็นคุณเปลือยหมดทุกซอกทุกมุมเลย

ก็ไอ้เจ้ายามหน้าคอนโดนี่สิมันถ่วงเวลา ไม่ยอมให้ผมเข้า ทะเลาะกันเกือบจะฆ่ากันตาย ดีนะที่แซ่บลงมาเปิดประตูให้ เลยรีบขึ้นไป โชคยังดีหน่อยที่ตาแก่นั่นมันบ้ากามขนาดนัก จนถึงขั้นจะถ่ายวิดิโอเอาไว้ตอนที่มันทำอะไรคุณเพื่อหวังแบล็คเมล์รอบสอง

มันเลยเสียเวลาจัดการตรงนี้นานไปหน่อย แต่กระนั้นมันก็ยังถอดเสื้อผ้าคุณ ได้ใช้สายตาชั่วๆของมันโลมเลียคุณ เห็นคุณจนหมด ผมน่ะแค้นนัก เกลียดมันที่มันทำชั่วได้ขนาดนั้น แต่ไม่ต้องห่วงครับ ผมแก้แค้นให้

แล้ว ........................”

เดียร์บอกอย่างแค้นเคือง ท่าทางยังคงไม่หายโมโห

“ทำยังไงเหรอ”
“ผมก็ต่อยมันที่ตาทั้งสองข้างสิครับ จนตาปูดตาบวมไปหมด คงจะใช้ตาชั่วๆมองใครได้ไม่ถนัดแล้ว ที่จริงอยากจะควักลูกตามันออกมาทั้งสองข้างด้วยซ้ำ อยากให้มันตาบอดไม่ต้องมองเห็นโลกอีกต่อไป

ถ้าไม่เห็นแก่เจ้าแซ่บ ตาแก่นั่นตายคามือผมแน่ แต่เอาเถอะ ตาไม่บอดไม่เป็นไร แต่มันคงทำชั่วข่มขืนใครไม่ได้อีกแล้ว เพราะผมกระทืบกล่องดวงใจมันไปเรียบร้อยแล้ว ถ้ามันอยากมีอะไรกับคนอื่น คงต้องเป็นเมียแล้ว เพราะทำหน้าที่ผัวไม่ได้”

เด็กหนุ่มหัวเราะด้วยความสะใจ ผมกอดเขาไว้แนบแน่น

“แล้วทำไมหน้าตานายถึงเขียวช้ำแบบนั้น นายทรงพลสู้หรือไง”

“เปล่า บอดี้การ์ด สี่ห้าตัวของมันต่างหาก ตอนผมแบกเรียวออกจากห้องมา ไอ้พวกนั้นถูกสั่งให้ขัดขวาง แต่มันไม่รู้จักนักมวยเก่าเสียแล้ว

ผมจัดการเสียจนสลบเหมือด แต่ก็มีเจ็บตัวบ้าง เพราะพวกมันเยอะนี่ครับ แต่ถึงอย่างไร ผมก็ปกป้องเรียวยอดรักของผมให้รอดพ้นจากมือคนทรามได้อีกครั้ง”

รู้สึกอบอุ่นในหัวใจเหลือเกินเมื่อได้ยินคำนั้น เจ้าเด็กนี่ คอยอยู่ข้างๆผม ทำให้ผมมีความสุขในขณะเดียวกันก็คอยดูแลปกป้องผมอยู่ตลอดเวลา เมื่อยามที่ผมเจอเรื่องร้ายๆเขาก็จะเอาตัวเข้าแลกไม่คำนึงถึงความเจ็บปวด เขาช่างดีกับผมมากมายเสียจริง

“ครั้งนี้ตาแก่นั่นคงเจ็บและจำไปอีกนาน แต่ก็ดีแล้วที่ไม่ได้ทำอะไรกับเรียวของผม ไม่อย่างนั้นต้องตายกันไปข้าง นี่ผมทำกับเขาเจ็บแสบเหมือนกัน ถ้าเขาฟื้นขึ้นมามีหวังชักตาตั้ง”

“ทำอะไรไว้อีกล่ะ.....”

“ก็ด้วยความโมโหไงครับ ผมก็จัดการทำลายข้าวของ และเอาทรัพย์สมบัติที่เขาเอาออกมาโชว์ให้กับแซ่บไป เพราะเขาอยู่กับตาเฒ่านั่น สมควรจะได้อะไรบ้าง อีกอย่างก็เพื่อขอบคุณเขาที่บอกรายละเอียดให้กับผม จนสามารถช่วยคุณออกมาได้”

“เดี๋ยวตานั่นโมโหมาเอาเรื่องล่ะ จะทำไง”

ผมพูดอย่างรู้สึกเป็นกังวลนิดหน่อย แต่เดียร์แค่นหัวเราะ

“ก็เอาสิ อยากมีเรื่องก็จะได้เรื่องแน่นอน ผมไม่กลัวหรอก เขาบังอาจมายุ่งกับเมียผม ไม่มีทางจะปล่อยให้มันลอยนวลแน่ ...ถ้ามันยังไม่หยุด ผมจะจัดการขั้นเด็ดขาด เอาให้เลิกบ้าไปเลย”

“อย่าเลยนะเดียร์ ฉันไม่อยากให้นายเดือดร้อน แค่นี้นายก็ช่วยฉันมากพอแล้ว”

“ผมยินดีทำเพื่อเรียวครับ..ที่รักของผม”

“เดียร์.....ถ้า....เอ้อ.....ถ้านายมาช่วยฉันไม่ทันล่ะ....หากว่านายทรงพลล่วงเกินฉันแล้ว........ฉันไม่ได้เป็นของนายเพียงแค่คนเดียว......นายยังจะ...ยังจะ....รักฉันเหมือนเดิมไหม

ถามออกไปอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก ถึงแม้จะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว แต่ก็ยังอยากได้ยินซ้ำ นึกอายอยู่เหมือนกันกับคำพูดที่ออกจากปาก

ฟังดูคล้ายกับผู้หญิงซึ่งพลาดท่าเสียทีแล้วกลัวคนที่ตนรักรังเกียจ ทำไงได้ผมอยากรู้นี่นาว่าเดียร์จะยังคงมีความรู้สึกกับผมเหมือนเดิมไหมหากผมมีมลทิน
เดียร์หัวเราะขำกับคำพูดของผม เขาเชยคางผมให้ขึ้นมามองหน้าเขา และส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ สายตาที่มองมามีแววเข้าอกเข้าใจในสิ่งที่ผมกังวล เขาจูบที่ข้างแก้ม และหน้าผาก ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลน่าฟัง

“ทำไมถึงถามอย่างนี้ละครับเรียว ผมน่ะ ไม่ใช่แค่รักเรียวเพียงแค่ร่างกาย แต่ผมรักเรียวที่หัวใจ เรียวเป็นคนดี จิตใจอ่อนโยน มีเมตตาต่อคนรอบข้าง

ไม่เคยคิดร้ายต่อคนอื่น สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่ผูกมัดใจผม นอกเหนือไปจากรูปร่างหน้าตา ถ้าหากว่าเรียวเกิดพลาดพลั้งขึ้นมา ผมก็รู้ว่า มันไม่ได้เกิดจากความตั้งใจ ผมไม่ถือสาหรอก ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ผมก็ยังรักเรียวเสมอ”

ฟังคำพูดของที่รักแล้วรู้สึกชื่นใจจังที่เขาไม่ชิงชังรังเกียจผมเลยแม้แต่น้อย ผมรู้สึกสุขใจอย่างบอกไม่ถูก โชคดีเสียจริงที่มีคนอย่างนี้มารักผม

เดียร์ทำให้วันเวลาที่อยู่ด้วยกันเป็นวันที่น่าจดจำ เขาทำให้ผมได้รู้ว่า รักแท้มีจริงในโลก และมันไม่มีข้อจำกัดทางด้านเพศแต่อย่างใด

“ที่ผมโวยวายเมื่อครู่ ก็เพราะผมแค่หวงคุณต่างหากละครับ ถ้าเป็นไปได้ ผมไม่อยากให้ใครมาแตะต้องคุณ หรือ มาเห็นคุณ ผมไม่อยากให้คุณเป็นของใครครับ นอกจากเป็นของผมแค่คนเดียวเท่านั้น

รู้ไหมครับ เรียวน่ะหวานไปทั้งเนื้อทั้งตัวแบบนี้ ก็น่าอยู่หรอกที่ใครเห็นจะอดใจไว้ไม่อยู่ ผมเองก็ไม่อยากโทษนายทรงพลหรอกที่ห้ามตัวเองให้ทำชั่วกับเรียวไม่ได้

ขนาดผมเองมีโอกาสกุ๊กกิ๊กกับเรียวบ่อย ก็ยังคงอยากทำหวานๆกับเรียวอยู่เรื่อยๆ อยากน่ารักน่ากินแบบนี้ ก็ต้องทำใจนะครับ ผมน่ะชอบกินอยู่แล้ว ยิ่งของหวานแบบเรียว กินเท่าไหร่ ก็ไม่เคยเบื่อเลย ”

พร้อมกับคำพูด เด็กหนุ่มก็ดันร่างของผมกลับลงไปบนเตียงนอนใหม่แล้วก้าวขึ้นมาทาบทับ พลางจูบปากของผม ลิ้นอุ่นๆสอดเข้ามาเกี่ยวกระหวัดลิ้นของผมในปาก

จูบของเด็กหนุ่มทำให้ผมขนลุกซู่ ร่างกายร้อนรุ่มไปด้วยเพลิงปรารถนา แต่ยังก่อน ยังไม่ใช่ตอนนี้ ผมรู้สึกว่าตัวผมสกปรกเหลือเกิน เมื่อได้รับรู้ว่านายทรงพลถอดเสื้อผ้าผมจนหมด ไม่อยากจินตนาการเลย ว่าเจ้านั่นจะใช้อวัยวะในร่างกายส่วนใหนบ้างโลมเลียผม


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่27 upเพิ่ม 30/1/09 เกือบเสียรู้จริงๆนะ
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 30-01-2009 21:00:56
ยิ่งคิดยิ่งคับแค้นใจ อยากจะเป็นฝ่ายควักลูกตาตาแก่นั่นเสียเอง นอกจากนั้นจะตัดมือตัดเฒ่าลามกอีกด้วยที่บังอาจมาแตะต้องตัวผม

“ เดียร์อย่าเพิ่งเลยนะ ฉันอยากอาบน้ำน่ะ ขอฉันเข้าห้องน้ำก่อนได้ไหม....”
“อื้อ อย่าเพิ่งเลยนะครับ เดี๋ยวเดียวเองนะ เดี๋ยวเข้าห้องน้ำพร้อมกันนะครับ”
เด็กหนุ่มพูดเสียงอู้อี้ เพราะปากและจมูกซุกไซร้อยู่ตรงซอกคอของผม

“แต่...ฉันรู้สึกไม่สะอาด รู้สึกขยะแขยงน่ะ”

“หืม....เรียวรังเกียจผมเหรอ ผมตัวเหม็นหรือเปล่า”

ที่รักของผมยืดตัวขึ้น โดยเอามือสองข้างยันที่นอนไว้ ตัวยังคงคร่อมอยู่บนร่างของผม เขาทำจมูกฟุดฟิดเพื่อดมกลิ่นตัวเอง และมองหน้าผมอย่างมีคำถาม ผมส่ายหน้าปฏิเสธ

“เปล่า ...ไม่ใช่นายน่ะ ....”

“งั้นทำไมล่ะครับ เรียวไม่ได้อาบน้ำเหรอ ไม่เป็นไรนะ เนื้อตัวเรียวหอมอยู่แล้ว”
“ไม่ช่ายยยยย....คือ....นายทรงพล..เอ้อ ...คือ...ถ้านายมาเจอฉันตอนเปลือยหมดทั้งตัวแบบนั้น แสดงว่าตาเฒ่านั่นต้องจับต้องเนื้อตัวฉัน ไม่รู้ว่าทำอะไรบ้าง แต่ฉัน...ฉันรู้สึกรังเกียจ...ฉันไม่สะอาดพอสำหรับนายในตอนนี้น่ะ ..”

เดียร์หัวเราะเบาๆ และยิ่งกอดจูบลูบคลำผมมากยิ่งขึ้น

“คิดมากจังเลยเรียวนี่ รู้สึกชื่นใจจังเลย ที่เรียวห่วงเรื่องแบบนี้เพื่อผม หวงเนื้อหวงตัวแบบนี้ดีแล้วครับ แต่อย่าคิดมากนะ ผมไม่เคยรังเกียจเลย

ไอ้แก่นั่นฉวยโอกาสเอากับเรียว คุณไม่ได้ยินยอมสักหน่อย ถ้าผมเกลียด ขยะแขยง ก็ไม่ยุติธรรมกับคุณสิ ผมรักเรียวนะ ผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้นล่ะรู้ไหม เรียวไม่ต้องกังวลใจนะครับ ยอดรักของผม”

แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับคำตอบของเขา น่ารักเหลือเกินหนุ่มน้อยของผม เดียร์ทำให้ผมมั่นใจยิ่งขึ้นว่าผมรักคนไม่ผิด ความรักที่เขามอบให้ผมเป็นสิ่งที่ล้ำค่าจริงๆ

ในที่สุดผมก็ไม่ได้ไปอาบน้ำตามที่ตั้งใจไว้ เพราะเดียร์รั้งผมไว้บนเตียงนอนกับเขา และทำให้ผมได้รู้ว่า เขาไม่รังเกียจร่างกายของผมที่ถูกแตะต้องโดยคนโฉดชั่วสักนิด

เขาสัมผัสผมด้วยมือและปากแทบจะทุกซอกทุกมุมของร่างกาย และมอบความรักที่นุ่มนวลอ่อนหวานให้กับผมครั้งแล้วครั้งเล่า จนเราสองคนอ่อนเปลี้ยเพลียแรงและหลับไปในอ้อมแขนของกันและกัน

วันเวลาแห่งความสุขบางทีมันก็มาอยู่กับเราเพียงชั่วเวลาสั้นๆ ท้องฟ้าสดใสอยู่ดีๆ เมฆหมอกสีดำก็ค่อยๆเคลื่อนเข้ามาปกคลุม เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อผมไปทำงาน ผมก็ถูกเจ้านายเรียกตัวไปตำหนิแต่เช้าด้วยเรื่องของนายทรงพล

เขาแจ้งว่าตาเฒ่านั่นฟ้องท่านประธานว่าผมกับเดียร์ทำร้ายเขา และเขาต้องการเอาเรื่องจนถึงที่สุด ถ้าหากไม่มีการจัดการใดๆ เขาจะแจ้งความกับตำรวจเพื่อเอาผิด รวมถึงจะฟ้องร้องทางหนังสือพิมพ์ให้ลงข่าวนี้ด้วย ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีชื่อเสียงในด้านลบ

“รู้ไหมว่าเพื่อนคุณทำอะไรไว้กับคุณทรงพลบ้าง ทุบทำลายข้าวของบนเพนท์เฮ้าส์สุดหรูจนเสียหายยับเยิน แถมซ้ำ
ยังเอาของมีค่าของเขาจำพวก แหวน นาฬิกา รถเบนซ์ และเงินสดไปด้วย นี่เขากำลังจะแจ้งความข้อหาทำร้ายร่างกาย และปล้นทรัพย์กับเพื่อนของคุณไว้ด้วยนะ

สำหรับคุณเขาไม่ได้แจ้งอะไรเพียงแค่รายงานความประพฤติของคุณให้ท่านประธานทราบ และให้พวกเราตักเตือนคุณด้วยการทำฑัณฑ์บนจนกว่าคุณจะสำนึกผิด แต่ไม่แน่นะ หากคุณไม่ไปขอโทษเขา เขาอาจจะดำเนินคดีกับคุณด้วยก็ได้”
สิ่งที่หัวหน้าบอก ทำให้สติผมขาดผึง นึกชิงชังรังเกียจเจ้าคนชั่วคนนั้นอย่างที่สุด เรื่องทุกอย่างเป็นความผิดของเขา เขาเป็นคนก่อ แต่ใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น คนอย่างนี้ถ้ามัวแต่ไปกลัวเกรงคำขู่ ก็รังแต่จะทำให้เขาย่ามใจและทำร้ายคนอื่นไปทั่ว
ไหนๆเรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ผมเลยตัดสินใจเล่าเรื่องทุกอย่างให้หัวหน้าฟังทั้งหมดโดยไม่ปิดบัง ตั้งแต่เรื่องนายทรงพลส่งคนไปตามถ่ายรูปผม

ส่งเมล์มาให้หัวหน้าและแบล็คเมล์ผม ยื่นข้อเสนอที่ไม่ยอมรับ และในท้ายที่สุดก็วางยากัน ผมจำเป็นที่จะต้องให้เขาได้รู้ เป็นการป้องกันตัวเองและคนที่ผมรักด้วย ถ้าหากจะเอาความผิดกับเดียร์

คนที่ก่อเรื่องทั้งหมดก็ควรจะรับโทษด้วยเช่นเดียวกัน นายทรงพลไม่ควรจะลอยนวลจากปัญหาและปล่อยให้คนดีๆถูกพิพากษาเพราะการกลั่นแกล้งของเขา
“ตกลงคุณกับเด็กหนุ่มคนนั้น เป็นคู่รักกันจริงๆใช่ไหม”

เจ้านายถามผมมาตามตรง ผมนิ่งเงียบ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ

“โอเค ไม่เป็นไร ผมลืมไปที่ถามแบบนั้น ฟังจากที่คุณเล่ามา นายทรงพลนี่ก็เลวได้ใจจริงๆ ถ้าเป็นผมนะ คงจะทำมากกว่านั้นอีก ไม่นึกเลยว่าตาเฒ่านี่จะลามกบ้ากามขนาดนั้น

ดูภายนอกสุภาพ พูดจาเป็นงานเป็นการ น่าเคารพเลื่อมใส แต่หลังฉากกลายเป็นคนชั่วช้าสามานย์ คนเรานี่ดูกันแค่เปลือกนอกไม่ออกจริงๆ ผมสงสารคุณจริงๆเรียว ที่ต้องเจอเรื่องแบบนี้ซ้ำซาก”

“ครับ ขอบคุณที่หัวหน้าเข้าใจ”

ผมกล่าวขอบคุณหัวหน้าด้วยใจจริง เขาโบกไม้โบกมือเป็นทำนองว่าไม่ต้องคิดมาก

“ไม่ต้องขอบคุณผมหรอกเรียว ผมน่ะ ได้รับการร้องเรียนมาจากทั้งนายทรงพล และท่านประธานก็ต่อสายตรงมายังผมด้วย แต่ผมก็ไม่ได้เชื่อไปทั้งหมดนะ

ผมทำงานกับคุณมาตั้งนาน รู้ดีว่าคนอย่างคุณไม่มีทางทำร้ายใครก่อนแน่ คุณใจดีมากเกินไปจริงๆ จนบางครั้งผมก็ยังแอบกังวลใจเลยว่าคุณจะเสียทีคนอื่น แล้วมันก็เป็นจริงจนได้”

“ผมขอโทษครับที่ทำเรื่องมาให้เดือดร้อนอยู่เรื่อยๆ ต่อไปผมจะระมัดระวังตัวไม่ให้มันเกิดขึ้นนะครับ”

“ผมเข้าใจคุณนะเรียว แต่ไม่รู้ว่าท่านประธานจะเข้าใจหรือเปล่า เพราะนายทรงพลนั่นก็รู้จักกันดี เข้านอกออกในบ้านท่านบ่อย แต่ผมจะลองคุยเรื่องนี้กับท่านประธานดู เล่าให้ฟังเหมือนอย่างที่คุณเล่าทั้งหมดนี้แหละ ดูสิว่าท่านจะว่าอย่างไร
ผมจะพยายามช่วยพูดให้คุณเท่าที่จะทำได้ แต่ตอนนี้ผมก็มีเรื่องขอร้องคุณอย่างหนึ่งนะเรียว สิ่งที่ผมพูดคุณอาจจะรับไม่ได้ แต่ผมอยากให้คุณลองคิดสักนิด มันดีต่อตัวคุณเอง ต่อหน้าที่การงาน และยังดีต่อคนที่คุณรักคนนั้นด้วย”
เรื่องที่หัวหน้าจะพูดกับผม ต้องเป็นสิ่งที่ผมกังวลใจมาตลอดแน่ๆ ผมสังหรณ์ใจยังไงพิกล

“สิ่งที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดนั้น ถึงแม้ว่าจะเกิดจากการกระทำของนายทรงพล คุณไม่ผิดอะไร แต่เมื่อเรื่องราวมันแพร่กระจายออกไป มันจะนำมาซึ่งความเสียหายต่อตัวคุณ และ บริษัทด้วย

ผมไม่ห้ามเรื่องความรัก เรื่องของหัวใจมันบังคับกันไม่ได้ คุณมีสิทธิจะชอบได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง แต่คุณมีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โต ดูแลลูกน้องมากมาย ติดต่อคนเยอะ เป็นที่รู้จักทั้งฝ่ายขาย และพนักงานบริษัท
ถ้าหากคุณมีเรื่องเสียหายแบบนี้ คุณคิดว่าคนอื่นเขาจะเคารพนับถือคุณต่อไปไหม

ผมไม่รู้ว่า นายทรงพลจะยอมรับความผิดตัวเองหรือเปล่า แต่ถ้าหากเขาไม่ยอมรับและเอาเรื่องขึ้นมา คนรักของคุณก็จะตกที่นั่งลำบาก เพราะทำร้ายร่างกาย ทำร้ายทรัพย์สิน และ ขโมยด้วย

ตามที่กล่าวหามาทั้งหมด เขาอาจจะติดคุกด้วยนะ คุณยอมให้มันเกิดหรือ ถ้าเป็นผมนะ ผมจะหยุดเรื่องทุกอย่างด้วยการยุติความสัมพันธ์ลงชั่วคราว พอให้เรื่องมันเงียบแล้วค่อยคบกันต่อ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ไม่เสียหายอะไร
ผมพูดแค่นี้ คุณเข้าใจหรือเปล่า”
นั่นไง ว่าแล้ว ผมคิดไม่ผิดเลย เจ้านายของผมพูดมายืดยาว แต่สรุปสั้นๆก็คือ เขาต้องการให้ผมเลิกคบกับเดียร์ เพื่อประโยชน์ต่อตัวผมเอง และ ต่อเด็กหนุ่มด้วย

ผมเองก็ใช่ว่าอยากจะผิดสัญญากับเดียร์ตอนนี้ และเดียร์เองก็ไม่มีความผิดอะไร เขาดีกับผมเสียด้วยซ้ำ เป็นฝ่ายช่วยเหลือผมมาตลอด

แต่เมื่อคิดว่า นายทรงพลคงเล่นงานเดียร์ไม่เลิก ผมก็ชักลังเลใจ ผมไม่อยากให้เด็กหนุ่มต้องมาหมดอนาคตด้วยเรื่องแบบนี้

“เอาล่ะผมให้เวลาคุณไปคิด หวังว่าคุณคงจะตัดสินใจในเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อตัวคุณเองอย่างมากที่สุด
ผมชอบคุณนะเรียว คุณเป็นคนดี มีฝีมือ และผมอยากให้คุณทำงานอยู่ที่นี่นานๆ ไม่อยากจะเสียคุณไป
เดี๋ยวผมจะไปพบท่านประธาน ไปทำหน้าที่ของผม หน้าที่ปกป้องคนในสังกัด ส่วนคุณก็ควรจะกลับไปทำหน้าที่ของลูกน้อง และ พนักงานที่ดีของบริษัท อย่าให้ผมผิดหวังในตัวคุณนะเรียว”

เจ้านายเดินมาตบบ่าผม ก่อนจะโบกมือให้ผมออกจากห้องได้ ผมเดินคอตกออกมาจากห้องของเขา ระหว่างทางไปห้องทำงานของผม รู้สึกราวกับว่า ผมถูกจับจ้องจากพนักงานในฝ่าย

บางคนก็แอบซุบซิบกันเมื่อผมเดินผ่าน พอผมหันไปมองพวกเขาก็หลบหน้าหลบตา แล้วรีบก้มลงทำงาน ทำเหมือนกับว่า ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น แต่พอผมคล้อยหลังไปแล้ว เสียงเหล่านั้นก็ดังขึ้นอีก

สันต์โทรมาหาผมทันทีที่ผมวางก้นแปะลงบนเก้าอี้ มันคงเห็นผมเดินหน้ามุ่ยเข้ามาจากอีกฝากหนึ่งของห้อง ก็เลยโทรมาถาม ผมเลยเล่าให้มันฟังถึงเหตุการณ์อันเป็นชนวนที่ทำให้ผมถูกตำหนิ และได้รับการขอร้องให้เลิกกับเดียร์
เพื่อนรักของผม นิ่งฟัง ปากก็สบถด่ามาเป็นระยะ ด้วยความที่สันต์โกรธแค้นนายทรงพลเป็นทุนเดิมอยู่แล้วที่บังอาจมาเป็นศัตรูหัวใจ

พอได้รู้ว่าตาเฒ่าสร้างแผนการณ์ชั่วร้ายต่างๆเพื่อหลอกผมไปเป็นของเขา ไอ้เพื่อนรักก็เป็นฟืนเป็นไฟราวกับเป็นฝ่ายถูกกระทำเสียเอง

แต่พอผมบอกกับมันไปว่า เดียร์จัดการทรงพลไปอย่างไร มันก็หัวร่อลงลูกคอเอิ๊กอ๊าก บอกว่านั่นยังน้อยไป ถ้าเจ้าสันต์อยู่ที่นั่นด้วย มันจะเผาเพนท์เฮ้าส์ และจับนายทรงพลเปลือยมัดอยู่หน้าคอนโด ประจานเลย

เราคุยกันสักพัก เจ้าสันต์ก็ขอตัวเพราะมีงานเข้ามา แต่มันก็สัญญาว่า มันจะมาคุยกับผมเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
ทำงานได้สักพัก คุณแคทลียาก็เดินเข้ามาหาถึงในห้อง เธอเข้ามาปรึกษางานเกี่ยวกับการพิจารณารับประกัน มีบางอย่างที่เธอไม่เข้าใจ

ผมในฐานะพี่เลี้ยง ก็เลยต้องช่วยอธิบายให้เธอเข้าใจ นอกเหนือจากเรื่องนี้ เธอยังมารายงานให้ผมทราบเกี่ยวกับความคืบหน้าเรื่องงานปีใหม่ เนื่องจากผมป่วยและลาพักร้อน ในระหว่างนั้นเธอจึงเข้าประชุมแทนผม

บริษัทมีการจัดสรรงบประมาณไว้ก้อนหนึ่งประมาณ 3-5 ล้านบาท เพื่อเนรมิตงานปีใหม่ที่ยิ่งใหญ่อลังการให้เป็นของขวัญพนักงานมีการจ้างโชว์มาแสดง อาจจะเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียง หรือดาราที่กำลังอยู่ในความนิยม

มีกลุ่มแดนเซอร์มาเต้นเปิดงาน เงินส่วนหนึ่งซื้อเป็นของรางวัล เช่นสร้อยคอทองคำ ตู้เย็น ทีวี เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ พนักงานแต่ละคนจะได้รับคูปองจับฉลาก 1 ใบ เพื่อลุ้นโชคปีใหม่
นอกเหนือไปจากการแสดงโชว์ของนักร้อง ดารารับเชิญที่จ้างมาแล้ว ยังมีกิจกรรมการแสดงของพนักงานบริษัทแบ่งเป็น ระดับพนักงานถึงระดับผู้จัดการ

ส่วนผู้บริหารระดับสูงตั้งแต่ผู้ช่วยผู้อำนวยการเป็นต้นไป จะมีการแสดงรวมกัน 1 ชุดของฝ่ายบริหาร อันจะเป็นการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายและลูกน้องให้สนิทแน่นแฟ้น ผ่านทางการทำกิจกรรมร่วมกัน

ปีนี้การแสดงโชว์ของผู้บริหารเป็นชุดระบำนานาชาติ เนื่องจากทางบริษัทได้ทำแคมเปญการแข่งขันพิชิตคุณวุฒิท่องเที่ยวรอบโลก เพื่อดึงดูดให้ตัวแทนฝ่ายขาย ทำผลงานเข้ามายังบริษัทให้ได้เยอะเป็น 2 เท่าของเป้าหมายปีที่ผ่านมา

คุณแคทได้เอารายชื่อผู้บริหารที่ต้องแสดง รวมถึงชุดที่ทุกคนต้องใส่มาให้ผมดูด้วย เจ้านายของผมก็ได้ร่วมแสดงกับเขา พร้อมกับผู้บริหารคนอื่นๆ

โดยที่หัวหน้าผมต้องแต่งชุดอินเดียนแดงเพื่อโปรโมทอเมริกาที่เราจะไป คุณแคทเล่าว่า ผมถูกเลือกให้แต่งตัวเป็นจักรพรรดิ์ของจีน เพราะมีผิวขาว และบุคลิกดูสง่างาม

ในขณะที่คุณแคทลียา ได้แต่งตัวเป็นพระนางคลีโอพัตรา เพราะดูเซ็กซี่ และมีมาด เจ้าสันต์เพื่อนผมถูกเลือกให้แต่งตัวเป็นไวกิ้ง

ศักดิ์ชายกลายเป็นจูเลียสซีซาร์ แห่งกรุงโรม นอกจากนี้ ยังมีการแต่งตัวแทนประเทศต่างๆทั้งในทวีปเอเชียและยุโรปด้วย
โดยที่พวกเรามีเวลาเหลือกันประมาณ อาทิตย์กว่า สำหรับการซ้อมเต้นและลองชุด ซึ่งน่าจะเป็นวันพรุ่งนี้ที่ทางทีมงานแดนเซอร์ที่จ้างมาจะมาซ้อมเต้นให้ ขอให้ผมทำตัวว่างด้วย

เมื่อเสร็จธุระแล้วแทนที่คุณแคทลียาจะออกไปจากห้อง เธอกลับนั่งจ้องมองผมด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ จนผมต้องเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ในใจเดาว่าเธอคงต้องรู้อะไรมาบางอย่างที่เกี่ยวกับตัวผม

ก็แน่ละสิ ครอบครัวเธอกับนายทรงพล สนิทกันจะตาย และแถมซ้ำ นายทรงพลยังรู้จักกับประธานบริษัทที่เป็นญาติของคุณแคทอีก เธอคงจะได้ยินเรื่องของผมกับนายทรงพลแล้ว เพียงแต่ผมยังไม่รู้ว่า ผู้ร่วมงานของผม จะคิดอย่างไรกับเรื่องแบบนี้

“แคทรู้เรื่องหมดแล้วค่ะ ลุงทรงพลเล่าให้พ่อแม่แคทฟัง ตอนที่ไปเยี่ยมท่านที่โรงพยาบาล ท่านบอกว่าคุณกับเพื่อนคุณไปทำร้ายแก

แต่แคทไม่เชื่อเท่าไหร่นะคะ เพราะถึงแม้แคทจะมาทำงานกับคุณได้ไม่นาน ก็สัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนที่อยู่ในใจของคุณ อย่างวันนั้นที่คุณช่วยพาแคทซึ่งเมามายไม่ได้สติกลับมาบ้าน

อันที่จริง คุณไม่จำเป็นต้องรับมาเป็นภาระก็ได้ แต่คุณเห็นแคทเป็นเพื่อนร่วมงาน คุณเลยยื่นมือเข้ามาช่วย แคทเคยได้ยินน้องๆพี่ๆในฝ่ายเล่าให้ฟัง ว่าคุณชอบใจดีกับคนอื่นๆเสมอ คุณเป็นคนดี พวกเราชอบที่จะได้ทำงานกับคุณน่ะค่ะ”
น้ำเสียงที่ออกจากปากของคุณแคทลียา บ่งบอกถึงความจริงใจ ผมยิ้มและกล่าวขอบคุณเธอ

“แคททราบมาว่า คุณลุงคงจะเอาเรื่อง ท่านไม่ยอมเจ็บตัวฟรีๆหรอก แคทพยายามถามนะคะ ว่า ทำไมคุณลุงถึงถูกทำร้าย เพราะคนอย่างคุณเรียวไม่ทำใครก่อนแน่ แต่คุณลุงก็ไม่ยอมบอก แกบาดเจ็บสาหัสขนาดนั้น แถมยังเสียหน้าที่โดนหยาม แกคงไม่ปล่อยเพื่อนคุณง่ายๆแน่เลยค่ะ”
“ครับ”

“แคทไม่รู้ว่ามันเกิดจากอะไร แต่ก็พอจะเดาออกจากนิสัยของคุณลุงที่ได้ยินได้ฟังมา ท่านคงมาเกาะแกะกับคุณ และเพื่อนของคุณไม่ยอมเลยมีเรื่องกันใช่ไหมคะ

เอางี้ แคทจะช่วยพูดกับคุณลุงให้ คิดว่าคุณลุงคงเห็นแก่หน้าพ่อแม่ของแคท ไม่เอาเรื่องกับคุณ แต่แคทมีข้อแม้เพียงแค่ข้อเดียวเท่านั้นคือ ขอให้คุณยอมตกลงเป็นแฟนกับแคท

เอ้อ ...ไม่ใช่เป็นแฟนกันจริงๆ แค่หลอกตบตาใครบางคนจนกว่าเขาจะยอมรับว่าทำผิดกับแคทนะคะ ได้ไหม”
ท้ายเสียงอ้อนวอนขอร้อง ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดมาก เรื่องของผมเองก็ยังไม่เรียบร้อย แล้วนี่ยังจะต้องมาช่วยคนอื่นอีก โดยที่คนกำลังขอความช่วยเหลือมีสิ่งแลกเปลี่ยนที่จะทำให้ผมกับเดียร์ไม่ต้องมีปัญหากับนายทรงพลภายหลัง ข้อเสนอนี้เล่นเอาผมถึงกับลังเล

“ลองคิดดูนะคะ คุณเรียว ระหว่างนี้ แคทจะไปพูดกับคุณลุง ถ้าสำเร็จแล้ว แคทจะมาทวงคำตอบนะคะ”
คุณแคทลียากลับออกไปแล้ว แต่ผมยังนั่งซึมอยู่กับโต๊ะ คิดไม่ออกว่าจะจัดการกับชีวิตตัวเองอย่างไรดี จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง สังคมยอมรับ หรือจะทำตามหัวใจตัวเองดีหนอ มีใครเคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกับผมอย่างนี้บ้าง
แล้วเขาทำอย่างไรกันนะ เลือกงาน หรือเลือกความรัก แล้วหลังจากที่เลือกแล้ว พวกเขาเป็นอย่างไร มีความสุขในสิ่งที่ตัวเองเลือกไหม

ผมนึกถึงเพื่อนสองคนของผมขึ้นมาทันที ศักดิ์ชาย และ เจ้าสันต์ มีชีวิตที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว เพื่อนเก่าเพื่อนแก่สมัยเรียนของผม เป็นคนที่ขยัน มุ่งมั่นในการทำงาน เรียนจบแล้ว ก็ทำงานในบริษัทนี้ กินตำแหน่งใหญ่โตพอๆกับผม
เขาแต่งงานแล้ว กับสาวสวยคนหนึ่ง มีลูกด้วยกัน ลูกเขาหน้าตาน่ารักน่าชัง ศักดิ์ชายรักภรรยาและลูกของเขามาก ชีวิตของศักดิ์ชายน่าจะมีความสุข แต่ทำไมบางครั้ง หน้าตาเขาก็หม่นหมองอมทุกข์ เวลาที่เขาเจอผมทีไร ผมเห็นเขาทำหน้าเศร้าๆทุกที

เจ้าสันต์เคยค่อนขอดเพื่อนคนนี้ของผมว่า เป็นคนที่ไม่ยอมรับความจริง หลอกลวงคนอื่น และหลอกลวงตัวเองด้วย จึงทำให้ชีวิตไม่มีความสุข สันต์เชื่อว่าศักดิ์ชายเป็นเกย์ แต่ไม่ยอมรับ เพราะกลัวจะสูญเสียพื้นที่ที่ตนยืนอยู่ในสังคม
ศักดิ์ชายกลัวคนอื่นไม่ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น จึงไปแต่งงานกับผู้หญิงเพื่อลบภาพเกย์ออกจากตัวเอง แต่สิ่งที่ศักดิ์ชายทำกลับทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ แถมซ้ำยังทำให้ลูกเมียไม่มีความสุขด้วย

พ่อคนช่างสังเกตยังบอกอีกด้วยว่า มองตาศักดิ์ชายก็เห็นไปถึงความรู้สึกในก้นบึ้งของหัวใจ มันฟันธงว่าศักดิ์ชายรักผม รักมานานแล้ว แต่ไม่กล้าเปิดเผย ได้แต่อ้ำอึ้งไม่พูดออกมา

ในท้ายที่สุด ก็สร้างภาระให้ตัวเองด้วยการแต่งงาน ทำให้เขาและผมไกลห่างกันออกไป เวลามาเจอหน้ากันกับผมทีไร ศักดิ์ชายก็อดที่จะเสียใจไม่ได้ ที่ไม่บอกความจริง และต้องทนเจ็บช้ำ เมื่อผมกำลังจะหลุดลอยไป

จริงหรือเปล่าไม่รู้ ผมไม่ค่อยอยากจะเชื่อจินตนาการของเจ้าสันต์นัก เพราะมันมักจะโอเว่อร์เกินจริง แต่หลายครั้งก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ฝ่ายตรวจสอบเก่าอย่างเจ้าสันต์ คิดถูกในหลายเรื่อง ผมเลยชักจะคล้อยตามว่าศักดิ์ชายเป็นเกย์จริงๆ แต่ที่ไม่รู้คือ เขามีความสุขในชีวิตที่เป็นอยู่นี้หรือเปล่า
ส่วนเจ้าสันต์ เป็นพวกเปิดเผย ไม่แคร์สังคม คนทั้งบริษัทรับรู้ว่ามันเป็นเกย์ มันกล้าควงหนุ่มๆให้คนเห็นโดยไม่สนใจว่าใครจะครหา

รู้สึกสนุกทุกครั้งที่มีใครมาคอยซักถามมันเกี่ยวกับเรื่องนี้ และจะร่วมวงคุยฟุ้ง ราวกับว่าภูมิใจนักหนาที่ได้เกิดมาเป็นเกย์

เพื่อนร่วมงานของผมคนนี้ ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เขาได้ผ่านความทุกข์ระทมเจ็บปวดมามากจากการไม่ยอมรับของคนทั่วไปที่ดูถูกเรื่องที่เขารักชอบคนเพศเดียวกัน

แต่เดี๋ยวนี้ทุกคนยอมรับในสิ่งที่มันป็น แม้จะมีคนนินทา หรือ แอบกัดเจ้าสันต์แรงๆ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง มันก็ไม่เคยเอามาเป็นอารมณ์

ถ้ามันโต้ตอบได้มันจะตอบไปทั้งอย่างเบาๆ และรุนแรง แต่คำพูดเหล่านั้นไม่มีอิทธิพลเพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตของเจ้าสันต์

สิ่งที่ทำให้เพื่อนผมไร้ความสุข คือ การเจ็บปวดจากความรัก ครั้งแล้วครั้งเล่าที่มันต้องพบกับความผิดหวัง การหลอกลวง และคนที่หาแต่เพียงประโยชน์จากมัน หมดประโยชน์แล้วก็จากไป ทำให้เจ้าสันต์หัวใจด้านชา กลายเป็นคนที่มีความ

สัมพันธ์กับคนมากหน้าหลายตาเพียงแค่ความสุขชั่วครั้งชั่วคราว

เพื่อนรักของผม ได้ลองพยายามที่จะมีคนรักเป็นตัวเป็นตน แต่ก็ต้องเลิกรากันหลายครั้ง จนกระทั่งในที่สุดมันก็ได้มาเจอกับน้องแซ่บ ซึ่งทำท่าว่าจะเป็นรักจริงของมัน

แต่เจ้าเด็กนั่นก็ต้องถูกพรากไปจากอก มันเจ็บเจียนตาย ต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะเข้าสู่สภาวะปกติ ในเวลานี้ เจ้าสันต์กำลังเริ่มต้นปลูกต้นรักใหม่ โดยมีนายเบนคอยช่วยรดน้ำพรวนดิน และหวังว่าคราวนี้จะเป็นรักครั้งสุดท้ายเสียที

ผมไม่รู้ว่า ระหว่างเจ้าสันต์กับศักดิ์ชาย ใครจะมีความสุขมากกว่ากัน เปิดกับปิดกั้นตัวเอง เมื่อชั่งน้ำหนักกันแล้วอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับการใช้ชีวิต และถ้าจะต้องเลือกว่าเป็นใครสักคนในสองคนนี้ ผมควรจะทำตัวเหมือนเพื่อนคนไหนดี

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่26 30/1/09 เกือบเสียรู้จริงๆนะ
เริ่มหัวข้อโดย: nanalonely ที่ 30-01-2009 21:49:56
โหม่งพี่แอน

อร้ายย ไม่ได้มาหลายวัน พี่แอนลงเพียบเลย

แนนแปะไว้ก่อนนะคะพี่แอน

วันนี้ไม่มีแรงแล้ว

เดี๋ยวพรุ่งนี้ตามเข้ามาอ่านนะคะ

คืนนี้ฝันดีนะคะ

ปอลอ เพลงน่ารักดีคะ ชอบบบ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่27 upเพิ่ม 30/1/09 เกือบเสียรู้จริงๆนะ
เริ่มหัวข้อโดย: โน๊อา ที่ 31-01-2009 07:43:20
เฮ้อ นึกว่าจะเสร็จซะละ



ลุ้นแทบแย่ ขอบคุณไต๋ เช่นเดิม  :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่27 upเพิ่ม 30/1/09 เกือบเสียรู้จริงๆนะ
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 31-01-2009 14:35:18
สู้ๆ น่ะ ครับ


เปน กำลัง ใจ ไห้ ทั้ง คู่ เรยยยยย

มา ต่อ ไววไว น่ะ คร้าบบบบบบบบ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่27 upเพิ่ม 30/1/09 เกือบเสียรู้จริงๆนะ
เริ่มหัวข้อโดย: the_pooh9 ที่ 31-01-2009 20:15:14
 :เฮ้อ: หวาดเสียวสุด เกือบเเล้วนะเรียวจัง
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่28 upเพิ่ม 1/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 01-02-2009 17:41:39
บทที่ 28

“นี่เป็นครูที่จะมาสอนเต้นให้กับพวกเราค่ะ เขาชื่อน้องเดียร์ เป็นแดนเซอร์ที่ทางบริษัทส่งมา โดยจะเริ่มสอนให้กับพวกเราตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จนถึงวันงานอาทิตย์หน้านี้นะคะ”

คุณแคทลียา แนะนำแดนเซอร์ลูกครึ่งหน้าตาหล่อเหลาให้พวกเรารู้จักกันทุกคน ผมยืนตะลึงจ้องเดียร์เขม็ง
เขาเองก็ชะงักไปเหมือนกันที่เห็นว่าหนึ่งในลูกศิษย์ที่เขาจะสอนมีผมอยู่ด้วย เราต่างคนต่างไม่รู้มาก่อนเลย ผมไม่ได้บอกเดียร์ว่าที่บริษัทจะมีงานปีใหม่ เพราะเห็นว่าไม่เกี่ยวข้องกับเขา

ส่วนเดียร์ก็ไม่ได้มาหาผมเมื่อวานนี้ บอกว่าจะนอนที่สตูดิโอของบริษัท เพราะมีซ้อมเต้น และที่สำคัญบริษัทได้มอบหมายงานพิเศษให้เขาชิ้นหนึ่ง

ซึ่งเขารับรู้เมื่อวานนี้เอง มันทำให้เขาต้องเข้าไปซ้อมเต้นไม่ได้กลับมานอนที่บ้านผมเหมือนเคย และเจ้างานที่เขาว่าก็คงจะเป็นงานนี้เอง

เดียร์คงไม่รู้เหมือนกับที่ผมไม่รู้ว่าเขามาสอน ถ้ารู้ล่วงหน้าผมจะได้ถอนตัวไม่แสดง เพราะผมไม่อยากให้ใครรู้ว่า เราสองคนรู้จักกัน

เนื่องจากตอนนี้เรื่องราวของผม นายทรงพล และเดียร์ยังไม่ได้ข้อสรุป ตาเฒ่ายังคงนอนอยู่ในโรงพยาบาล และยืนกรานที่จะเอาเรื่องกับเดียร์ให้ได้

ส่วนผมนายทรงพลแค่อยากได้คำขอโทษ หัวหน้ามาบอกแล้วแต่ผมปฏิเสธไป เพราะผมคิดว่าคนที่ควรขอโทษคือนายทรงพลต่างหาก เพราะเขาทำกับผมเจ็บแสบมาก ผมไม่อยากเห็นหน้าเขา

โชคดีที่เจ้านายเข้าใจ เลยไม่เซ้าซี้ให้ผมทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ต้องการ แต่เพื่อให้หัวหน้าสบายใจ รวมถึงไม่อยากให้เดียร์ถูกกลั่นแกล้ง

ผมเลยกะว่าจะไม่เจอเดียร์หรือไปไหนกับเขาด้วยสักระยะหนึ่ง แต่ไม่ทันได้บอกให้เขารู้ ไม่นึกเลยว่าเขาจะกลับกลายมาเป็นครูสอนเต้นให้กับพวกเราเสียอีก

ผมพยายามไม่สบตากับเดียร์ที่มองมา มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมเผลอมองเขาขณะที่กำลังอธิบายเกี่ยวกับท่าเต้นให้พวกเราฟัง ก็เห็นเดียร์จ้องมองผมอยู่ก่อนแล้ว

เขาส่งตาหวานและยิ้มให้ แต่ผมแสร้งทำเป็นเหมือนไม่รู้จักเขา ทำให้เด็กหนุ่มเอ๋อไปพักหนึ่ง แต่แล้วผมก็เห็นเขาพยักหน้าให้สัญญาณกับผมว่าเขาเข้าใจในสิ่งที่ผมทำอยู่

เดียร์คงรู้ว่าผมลำบากใจ และไม่ต้องการให้ใครรับรู้ และเขาก็รับมุขนั้น ทำเป็นเพิ่งเคยเจอกับผมเป็นครั้งแรกเช่นกัน
ช่วงจังหวะที่พักดื่มกาแฟ และทานของว่าง ผมเดินมาที่โต๊ะที่วางเค้ก กาแฟ และน้ำผลไม้ ตรงหน้าห้องประชุมที่ใช้เป็นที่ซ้อมเต้นเป็นคนสุดท้าย

คนอื่นๆแยกย้ายกันไปนั่งทาน และพูดคุยกันอยู่ในห้อง บางคนก็ลองซ้อมท่าเต้นอยู่ ทำให้ไม่มีใครออกมาข้างนอก จึงเป็นโอกาสที่เดียร์จะเข้ามาพูดคุยกับผม เขาทำหน้าระรื่น หลิ่วตาล้อ

“เรียวเต้นด้วยหรือครับ…ดีใจจังที่มีเรียวเป็นลูกศิษย์ สงสัยต้องติวเข้มกันหน่อยแล้ว”

“เดียร์ระวังหน่อยนะ ที่นี่มันที่ทำงาน ไม่ใช่ที่บ้าน อย่าทำตัวรุ่มร่าม ฉันไม่อยากให้มีเรื่องยุ่งยากเกิดขึ้นที่นี่”

ผมบอกเขาเสียงดุ เดียร์หน้าจ๋อยลงไปทันที ผมรีบเดินหนี สงสารเขา แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร
“เฮ้ย เรียว นายรุ้มาก่อนหรือเปล่าวะ ว่าเจ้าหนูนั่นมาสอนที่นี่”

เจ้าสันต์ถามผม ทันทีที่หมดชั่วโมงการซ้อม เดียร์กลับไปก่อนเพราะต้องรีบไปซ้อมเต้นต่อ ส่วนผมกับเจ้าสันต์นั่งคุยกันอยู่ในห้องทำงาน

ผมส่ายหน้าปฏิเสธ บอกว่าผมเองก็เพิ่งรู้ และค่อนข้างกังวลใจมาก กลัวเดียร์จะเผลอทำท่าว่ารู้จักผม มันถามว่าเพราะอะไรถึงต้องกลัวคนอื่นรู้ขนาดนั้น

ผมเลยเล่าเรื่องที่เจ้านายขอร้องมาให้สันต์ฟัง รวมถึงเรื่องที่คุณแคทลียาพูดกับผมด้วย

“เฮ้ย เอาแบบนี้เลยเหรอ สงสารเจ้าหนูนั่นว่ะ ไม่ได้ผิดอะไรสักหน่อย คนที่ควรจะได้รับการตำหนิ คือ นายทรงพลมากกว่า
โลกเรานี่ไม่ยุติธรรมเลย คนรวยเท่านั้นที่จะเป็นฝ่ายถูก เลยทำให้พวกนี้ถูกสอนมาอย่างผิดๆว่าเงินซื้อทุกสิ่งได้ แม้กระทั่งความรัก และความยุติธรรม

แล้วนายจะว่าไงล่ะ เชื่อหัวหน้า เชื่อทุกคน แล้วเลิกยุ่งกับเจ้าหนูนั่นเหรอ
นายทำได้ลงคอหรือเรียว ทิ้งความรัก ทิ้งคนที่ภักดีกับเรา ไปคว้าเอาเกียรติ เอาชื่อเสียง เอาความนับหน้าถือตาจากคนที่ไม่เคยสนใจเลยว่าความสุขของเราคืออะไร ….”

เจ้าสันต์โวยวายเสียงดังตามสไตล์มัน ผมต้องจุ๊ปาก เพื่อให้มันทำเสียงเบาๆลงหน่อย เดี๋ยวใครมาได้ยิน มันก็เลยลดเสียงลง แต่ยังคงพูดเตือนสติผมต่อ

“พวกนั้นแค่อยากให้เราเป็นในสิ่งที่เขาต้องการ แล้วก็บอกว่านั่นคือสิ่งที่เหมาะสมกับเรา เขาบอกว่าเขาแนะนำเราด้วยความรัก เขาหวังดีอยากเห็นเรามีความสุข

แต่จริงๆแล้วคนพวกนั้นห่วงตัวเองมากกว่า เขารับไม่ได้ที่จะเห็นสังคมแปลกไปจากความเคยชินเดิมๆที่ตัวเองเคยเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

การเปลี่ยนแปลงทำให้เขาต้องมาเริ่มต้นคิดใหม่ทำใหม่ คนพวกนั้นเหนื่อยล้าเกินไป ไม่อยากรู้เห็นในสิ่งที่ไม่คุ้นตา ทำราวกับว่า พระอาทิตย์ต้องขึ้นทางทิศตะวันออกเท่านั้น ถ้าเมื่อไหร่ขึ้นทางทิศตะวันตก แปลว่าโลกมันวิปริต”

สิ่งที่เจ้าสันต์พูดทำให้ผมต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ใช่ว่าจะไม่รับรู้ถึงความหวังดีของมันที่พยายามให้ผมได้คิด และเลือกในสิ่งที่ถูกต้อง แต่ผมยังอยากได้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิตผมอยู่ดี

“แล้วจะให้ฉันทำอย่างไรล่ะ ให้ฉันเลือกเดียร์เหรอ ฉันน่ะ ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำนะ ว่าฉันรักเขาถึงขนาดอยากใช้ชีวิตคู่ด้วยกันไหม

ไม่แน่ใจว่าจะอยู่ด้วยกันได้ตลอดรอดฝั่ง เพราะเราแค่ตกลงทำสัญญากันแค่ หกเดือนแค่นั้น ถึงเวลาก็จากกันไป
เขาอายุยังน้อย ยังมีสิทธิที่จะเจอคนดีๆ คนที่เขารักเดียร์จริงๆ คนที่เป็นเหมือนกับเขา บางทีถ้าเขาเจอแล้ว อาจจะเปลี่ยนใจจากฉันก็ได้ แล้วมันจะไม่กลายเป็นว่า ฉันต้องมาเคว้งคว้างต่อไปอีกเหรอ

อีกอย่างนะนายทรงพลเองก็ยังไม่ยอมเลิกรา ยังพยายามจะหาเรื่องเด็กนั่นด้วยการแจ้งขอหาเพื่อเอาเขาเข้าซังเต
ถ้าหากฉันยอมทำตามคำขอร้องของหัวหน้า และ คุณแคทลียา บางที เดียร์อาจจะรอดพ้นคุกก็ได้ บอกตรงๆ ฉันไม่อยากให้เจ้าเด็กนั่นลำบากเพราะฉันอีก เขาช่วยฉันมามากพอแล้ว

คราวนี้เจ้าสันต์เป็นฝ่ายถอนหายใจบ้าง เมื่อฟังผมพูดถึงสิ่งที่คิดอยู่ในใจจนจบ
“ตกลงว่านายจะทำตามคำขอของคุณแคท ว่างั้นเถอะ”

“ยังไม่รู้เลย ยังไม่อยากคิดอะไรตอนนี้ทั้งนั้นแหละ แต่ถ้ามันจำเป็นจริงๆ บางทีฉันอาจจะรับข้อเสนอของคุณแคทก็ได้ ถ้ามันจะช่วยไม่ให้เจ้าเด็กนั่นไม่ให้เกิดปัญหา”

ตอบไปแบบนั้นเพราะผมเองก็ยังมืดแปดด้านกับเรื่องนี้จริงๆ
“งั้นตามใจนายแล้วกันว่ะ เรียว ฉันก็ไม่รู้จะพูดไงดี ถ้าฉันโดนแบบนี้ ก็คงจะอึดอัดแย่ อะไรวะ ประเมินคนจากวิถีชีวิตของเขามากกว่าจะเน้นไปที่ความสามารถ

มันเลือกยากเสียด้วยนะ ความรัก กับหน้าที่การงาน โดยเฉพาะอย่างหลัง มันมีของเดิมพันสูงเป็นเงินเดือน หลักแสน รถยนต์ และ ห้องทำงานสุดหรูเสียด้วย

สุดยอดปรารถนาของคนทำงานอย่างเราเลยที่จะได้ขึ้นทำเนียบเป็นนักบริหารที่มีความสามารถ ยิ่งถ้านายได้ขึ้นเป็นผู้อำนวยการตอนยังหนุ่มฟ้อ อายุเพียงแค่ 27 ด้วยแล้ว มันบ่งบอกว่านายน่ะมีฝีมือจริงๆ

เพราะไอ้ตำแหน่งนี้น่ะ คนบางคนทำงานมาเป็นสิบยี่สิบปี เชียวกว่าจะได้ ดูแต่ละคนสิ อายุเข้า 40-50 วัยกลางคนกันเข้าไปแล้ว เป็นฉันก็คิดหนักเหมือนกันว่ะ

เฮ้อ.......มีที่ตรงไหนในโลกไหมหือเรียว ที่เราจะสามารถเป็นตัวของตัวเอง และได้รับการยอมรับจากสังคมรอบข้างด้วย หรือว่าต้องรอให้ตายแล้วเกิดใหม่ คนถึงจะยอมรับพวกเราเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขาวะ”

กลายเป็นว่าเจ้าสันต์เป็นคนบ่นแทนผมเสียเอง คำพูดยืดยาวของมันเหมือนกำลังตัดพ้อต่อโชคชะตาที่เล่นตลกจนทำให้เราไม่สามารถได้ในสิ่งที่ต้องการทั้งหมด แถมซ้ำมันยังนับผมเป็นพวกเดียวกับมันเข้าไปด้วยอีก

“พวกเรา”งั้นเหรอ ที่ผ่านมา ผมมีความรู้สึกว่าสันต์ต่างหากที่เป็น “พวกเขา (เกย์) ” ไม่ใช่ “พวกเรา (ชายรักหญิง/คนปกติ)”ไม่รู้เมื่อไหร่กันแน่ที่ผมเริ่มรู้สึกว่าโลกของผมกับโลกของคนอย่างเจ้าสันต์มันใกล้กันเข้าไปทุกที

มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นหน้าห้อง ผมร้องบอกให้เข้ามาได้ จากนั้นหน้าของศักดิ์ชายก็โผล่เข้ามา ตายยากเสียจริง เมื่อกลางวันนี้ผมนึกถึงมันอยู่ ตอนเย็นมันก็มาหาผมพอดี

ศักดิ์ชายมองหน้าผมแปลกๆ จนผมชักเอะใจ หรือว่ามันจะได้ยินเรื่องที่ผมกับสันต์พูดกัน ไม่น่า ศักดิ์ชายไม่ใช่คนที่ชอบแอบฟังคนอื่นพูด บางทีมันอาจจะมีเรื่องอะไรบางอย่างค้างคาในใจก็ได้

ช่วงหลังๆมานี้ มันยิ่งชอบมองผมด้วยสายตาที่เจ้าสันต์ชอบเรียกว่า “มองแบบหมาเสียดายของ” ผมหัวเราะเพราะไม่เคยได้ยินคำพูดนี้มาก่อน มันเลยบอกว่ามันตั้งเอง เพราะหมั่นไส้ที่ศักดิ์ชายทำท่าเสียดายผมจนออกนอกหน้า มันสะใจที่ศักดิ์ชายต้องทุกข์ทรมานกับการไม่กล้าแสดงออกของตัวเอง
ศักดิ์ชายเข้ามาถามผมด้วยประโยคเดียวกับที่เจ้าสันต์ถาม ว่ารู้หรือเปล่าว่าเดียร์มาสอน ผมก็ตอบไปด้วยคำตอบเดียวกัน มันก็บ่นอีกว่าเดียร์สอนท่ายาก อย่างนี้จะไปเต้นได้ไง ไม่ใช่นักเต้นเสียหน่อย เอาแบบธรรมดาก็ได้

เจ้าสันต์ก็เลยตอกหน้าว่าเป็นถึงผู้บริหาร ผ่านทุกอย่างมามาก จะมายอมแพ้กับเรื่องพวกนี้ได้ไง อีกอย่าง งานปีใหม่ครั้งนี้ ใช่ว่าจะมีแต่พวกผู้บริหารที่ขึ้นไปแสดง พนักงานทุกคนก็ต้องส่งโชว์มาประกวดด้วย

พวกเขาพยายามกันเต็มที่ แล้วพวกเราจะทำเหลาะๆแหละได้ไง ต้องแสดงให้ทุกคนเห็น ว่าผู้บริหารอย่างพวกเรามีประสิทธิภาพเหมาะแก่การเป็นผู้นำในทุกๆด้าน คำพูดของเจ้าสันต์ทำเอาศักดิ์ชายอึ้งเถียงไม่ออก แต่กระนั้นก็หาเรื่องบ่นต่อว่าไม่มีเวลาซ้อม เพราะต้องทำงานเยอะ ถ้าทำไม่ได้จะว่าไง

จากนั้นมันก็ถามผมว่าผมจำท่าได้บ้างไหม ผมก็บอกว่าได้ เพราะที่เดียร์สอนเป็นเพียงการก้าวเดินง่ายๆ ยังไม่ได้ออก step อะไรมาก เนื่องจากพวกเรายังไม่คุ้นกัน

ศักดิ์ชายรีบขอให้ผมช่วยซ้อมให้มันหน่อย ผมยังไม่ทันตอบรับหรือปฏิเสธ เจ้าสันต์ก็รีบชิงพูดขึ้นมาว่างานของผมเยอะ ปล่อยให้ผมสะสางงานไปเถอะ ตัวมันว่าง ช่วงนี้งานของฝ่ายสินไหมไม่ค่อยเยอะ ให้มันสอนให้ก็ได้

ผมเห็นศักดิ์ชายหน้าจ๋อยที่เจ้าสันต์รับอาสาจะสอน พอเหลือบตามองก็เห็นสันต์ยักคิ้วให้ผมและยิ้มกวนๆ ผมเลยอดขำไม่ได้ เจ้าสันต์นี่ทำหน้าที่เป็นไม้กันหมาได้ดีจริงๆ

เย็นวันรุ่งขึ้น เดียร์มาสอนพวกเราตามเดิม คราวนี้ เริ่มที่จะสอนท่าเต้นบ้างแล้ว โดยใช้มือไม้แขนขาทุกส่วนประกอบกัน แต่เป็นท่าง่ายๆไม่เหมือนกับที่พวกแดนเซอร์เต้น

เด็กหนุ่มสอนซ้ำๆอย่างตั้งอกตั้งใจจนพวกเราสามารถตามได้จนทัน เพื่อนผู้บริหารที่ร่วมเต้นกับผมรู้สึกชื่นชมเดียร์มาก ทุกคนชมเปาะว่าเขาสอนเก่ง แล้วก็หล่อด้วย ขนาดหัวหน้าของผมก็ยังพอใจจนต้องพูดออกมา

“แดนเซอร์คนนี้เต้นสวยดีนะ หน้าตาก็ดี ทำไมไม่เป็นนักร้องเสียเองล่ะ รับรองดังระเบิดแน่ๆ อาจจะเป็น “เรน” เมืองไทยก็ได้”

หัวหน้าผมรู้จักนักร้องซุปเปอร์สตาร์เกาหลีคนนี้ด้วย ทันสมัยจริงๆ พอเขาพูดแบบนี้ ผมก็นึกขึ้นได้ ว่าเดียร์เต้นได้สวยจริงๆ นี่ขนาดแค่ทำให้ดูเพื่อการสอนนะ ถ้าเต้นจริงๆจะสวยแค่ไหน

ผมเคยเห็นเขาเต้นครั้งหนึ่ง ในมิวสิควิดิโอ ตอนไปร้องคาราโอเกะกับสันต์และศักดิ์ชาย ผมยังทึ่งเลยเพราะไม่เคยเห็นมาก่อน เจ้าเด็กคนนี้มีพรสวรรค์จริงๆ

“อื้ม ผมก็ว่างั้นแหละครับ”

“คุณทำไมไม่บอกเขาล่ะ เพื่อนคุณไม่ใช่เหรอ คนในรูปถ่ายน่ะ”

คำพูดของหัวหน้า เล่นเอาผมสะดุ้ง นี่เขาจำได้ด้วยเหรอ ตายล่ะ มองไปมองมา ในที่นี้มีคนที่รู้จักเดียร์ตั้งหลายคน เจ้าสันต์ หนึ่งล่ะ เจ้านี่รู้ลึกรู้ดีเสียด้วย ว่าเดียร์เป็นอะไรกับผม ศักดิ์ชายเคยเห็นเดียร์ที่บ้าน และหัวหน้า เห็นเดียร์กับผมจากเมล์ที่นายทรงพลส่งมา

ผมสู้อุตส่าห์แสร้งทำเป็นไม่รู้จักเดียร์ ไม่อยากให้ผิดสังเกต แต่กลายเป็นว่าความลับทำท่าจะปกปิดไม่มิดเสียแล้ว
“คุยอะไรกันอยู่หรือคะ”

เสียงของแคทลียานำมาก่อน ทำให้ผมรู้สึกโล่งใจที่ไม่ต้องตอบคำถามของหัวหน้า เธอเดินมาหาผม พร้อมด้วยรอยยิ้มหวาน จากนั้นก็เข้ามาแทรกกลางระหว่างผมกับเจ้านาย แล้วขออนุญาตแยกตัวผมออกไปคุยด้วยเพียงลำพัง เธอบอกข่าวดีบางอย่างให้กับผมทราบ

“แคทคุยกับคุณลุงแล้วนะคะ ว่าขอให้คุณลุงเลิกจองเวรคุณเรียวกับเพื่อน แคทบอกว่า แคทชอบคุณ และอยากเป็นแฟนกับคุณ ถ้าหากว่า คุณลุงยังจะหาเรื่องแฟนของแคท มันก็ไม่ใช่เรื่องดี จะกลายเป็นว่าครอบครัวเรามาผิดใจกันด้วยเรื่องของผู้ชายแค่คนเดียว”
ผมยิ้มขอบคุณเธอ คุณแคทลียาเล่าต่อ

“ตอนแรกคุณลุงไม่ยอมนะคะ ท่าทางจะโกรธเอามากๆ และยิ่งหัวเสียหนักด้วย พอแคทพูดไปว่าชอบคุณ แกพูดว่า แคทไม่มีทางสมหวังหรอก เพราะคุณเรียวมีแฟนอยู่แล้ว ก็เพื่อนคุณที่ไปทำร้ายคุณลุงนั่นแหละ


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่28 upเพิ่ม 1/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 01-02-2009 17:42:06
แคทก็เลยปะติดปะต่อเรื่องได้ จึงเอาสิ่งที่คิดถามคุณลุงว่าใช่ไหม คุณลุงทรงพลก็ยอมรับมาตามตรงว่าทำไม่ดีกับคุณเรียวจริงๆ แต่ทำไปเพราะความรัก

แคทก็เลยพูดขู่ๆไปนะคะว่า ถ้าคุณลุงยังขืนไปฟ้องร้องอาจจะแพ้ก็ได้ หากคุณเรียวฟ้องกลับ เพราะคุณลุงก็ทำกับคุณเรียวเจ็บแสบเหมือนกัน

แคททั้งขู่ทั้งปลอบแก ยกเอาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาอ้าง จนกระทั่งบอกกับแกว่า แคทจะเล่าให้ท่านประธานฟังถึงเรื่องจริงที่เกิดขึ้น แกก็เลยยอมอ่อนให้ แต่กว่าจะอ่อนลงก็นานเหมือนกันนะคะ

ตกลงเป็นว่า แกไม่ฟ้องแล้ว ทีนี้ แคทก็จะมาทวงคำตอบจากคุณเรียวบ้างล่ะ แคททำให้คุณจนสำเร็จแล้ว คุณล่ะ ยินดีจะช่วยแคทไหม”

ผมหันไปมองเดียร์ ก็เห็นเขามองมาที่ผมกับคุณแคทลียาเขม็ง แต่คุณแคทลียาไม่เห็นเพราะเธอยืนหันหลังให้กับเด็กหนุ่ม และอยู่ไกลกันด้วย

ผมหลบสายตาของเดียร์แล้วหันมามองคุณแคทลียา เธอทำหน้าเหมือนรอคอยความหวังจากผม การช่วยเหลือด้วยการแสร้งเป็นแฟนกันหลอกๆเพื่อให้ใครบางคนที่เธอว่าสำนึกผิดที่ทำให้เธอเสียใจ

เอาเถอะ ในเมื่อเธอช่วยไปพูดกับตาแก่หัวรั้นจอมลามกให้เลิกเอาเรื่องเดียร์ ทำให้หนุ่มน้อยของผมไม่ต้องเผชิญกับปัญหาจนต้องไปพัวพันกับคุกตะราง ผมควรจะต้องตอบแทนความดีของเธอบ้าง

มันเป็นแค่การโกหกเพื่อช่วยคนที่ช่วยเรานี่นา ไม่ใช่เรื่องจริงเสียหน่อย ผมไม่ได้เป็นแฟนกับเธอจริงๆ พอเธอคืนดีกับคนๆนั้นแล้ว เราก็เลิกรากัน

“ตกลงครับ...ผมจะช่วยคุณเป็นการตอบแทน แต่แค่ชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นนะครับ”

สิ้นคำพูดของผม คุณแคทก็ผวาเข้ามาจับมือจับไม้ ท่าทางดีอกดีใจ

“จริงหรือคะ อุ้ยดีใจจังเลย ไม่เป็นไรค่ะ แคทก็ไม่ได้อยากให้คุณมาเป็นแฟนแคทถาวรหรอก ไม่ต้องกลัวค่ะ ถึงคุณจะเป็นคนหน้าตาหล่อเหลา และจิตใจดีแค่ไหน แคทก็ชอบคุณเหมือนเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเท่านั้นนะคะ

แล้วคุณก็มีแฟนแล้วด้วย คงรักกันมาก แคทไม่แย่งหรอกค่ะ ส่วนแคทเองก็ยังคงรักใครคนนั้นอยู่ แค่อยากสั่งสอนให้เขาสำนึกว่าเวลาที่แคทไม่ง้อ และมีคนอื่นบ้าง เขาจะว่าอย่างไร ยิ่งได้คนหล่อๆแบบคุณมาช่วย จะได้ทำให้คนๆนั้นสำนึกเร็วขึ้นไงคะ”

ตาของผมเหลือบแลไปที่เดียร์อีกครั้ง ก็เห็นว่าเขาคุยกับเจ้าสันต์อยู่ แต่ตาของเด็กหนุ่ม ยังคงมองผมอยู่ไม่วางตา
“ไปเต้นกันเถอะค่ะ เร้วๆๆๆ”

คุณแคททำท่ากระตือรือร้น ฉุดไม้ฉุดมือผมให้เข้าไปในห้องประชุมอีกครั้ง เพื่อซ้อมเต้นกันต่อ จังหวะที่เดินผ่านเดียร์ ผมเห็นเขาจ้องผมด้วยสายตาเคลือบแคลงสงสัย แต่ผมแสร้งเดินผ่านไม่ทักทาย

ถึงแม้จะมีคนรู้จักเดียร์กับผม แต่มันก็แค่สามคนเท่านั้น ผมไม่อยากขยายวงให้กว้างขึ้นไปอีก และรู้ดีว่าเดียร์จะต้องตั้งคำถามเอากับผมว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมผมจึงเฉยชากับเขา แต่พูดคุยยิ้ม
“จริงหรือคะ อุ้ยดีใจจังเลย ไม่เป็นไรค่ะ แคทก็ไม่ได้อยากให้คุณมาเป็นแฟนแคทถาวรหรอก ไม่ต้องกลัวค่ะ ถึงคุณจะเป็นคนหน้าตาหล่อเหลา และจิตใจดีแค่ไหน แคทก็ชอบคุณเหมือนเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเท่านั้นนะคะ แล้วคุณก็มีแฟนแล้วด้วย คงรักกันมาก แคทไม่แย่งหรอกค่ะ ส่วนแคทเองก็ยังคงรักใครคนนั้นอยู่ แค่อยากสั่งสอนให้เขาสำนึกว่าเวลาที่แคทไม่ง้อ และมีคนอื่นบ้าง เขาจะว่าอย่างไร ยิ่งได้คนหล่อๆแบบคุณมาช่วย จะได้ทำให้คนๆนั้นสำนึกเร็วขึ้นไงคะ”

ตาของผมเหลือบแลไปที่เดียร์อีกครั้ง ก็เห็นว่าเขาคุยกับเจ้าสันต์อยู่ แต่ตาของเด็กหนุ่ม ยังคงมองผมอยู่ไม่วางตา

“ไปเต้นกันเถอะค่ะ เร้วๆๆๆ”

คุณแคททำท่ากระตือรือร้น ฉุดไม้ฉุดมือผมให้เข้าไปในห้องประชุมอีกครั้ง เพื่อซ้อมเต้นกันต่อ จังหวะที่เดินผ่านเดียร์ ผมเห็นเขาจ้องผมด้วยสายตาเคลือบแคลงสงสัย แต่ผมแสร้งเดินผ่านไม่ทักทาย ถึงแม้จะมีคนรู้จักเดียร์กับผม แต่มันก็แค่สามคนเท่านั้น ผมไม่อยากขยายวงให้กว้างขึ้นไปอีก และรู้ดีว่าเดียร์จะต้องตั้งคำถามเอากับผมว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมผมจึงเฉยชากับเขา แต่พูดคุยยิ้มแย้มกับคุณแคทลียา ซึ่งผมไม่อยากจะตอบเขาตอนนี้ ด้วยเกรงว่าจะเสียเรื่อง เอาไว้มีโอกาสเหมาะๆค่อยเล่าให้เดียร์ฟังทีหลัง

ดึกแล้ว ผมกลับมาถึงบ้านอย่างเหนื่อยล้า หลังจากซ้อมการแสดงให้บริษัทเสร็จ ผมก็ไปทานข้าวกับผู้บริหารท่านอื่นๆ โดยมีเจ้านายของผมควักทุนเลี้ยง เขาชวนเดียร์ไปด้วย แต่เด็กหนุ่มปฏิเสธ เพราะต้องกลับไปซ้อมเต้นต่อที่บริษัท

สองคืนแล้วที่เดียร์ไม่ได้กลับมาที่บ้านผม เขาโทรมาบอกเพียงแค่ว่า ต้องซ้อมเต้นเยอะมาก เพราะทางค่ายไปได้งานใหญ่มา และต้องทำให้ดี เพราะเสร็จจากงานนี้แล้ว ทางบริษัทที่จัดให้ไปเต้นก็ทาบทามต่อให้ไปแสดงในงานสัมมนาประจำปีที่จัดให้กับฝ่ายขายของบริษัท ซึ่งใหญ่กว่างานนี้อีกหลายเท่า หากทำครั้งนี้ได้ดี ก็มีหวังได้งาน แต่ถ้าลูกค้าไม่พอใจก็ชวด ทางผู้จัดการจึงสั่งลงมาให้แดนเซอร์ซ้อมเต้นกันอย่างเต็มที่ ห้ามพลาดเด็ดขาด

ด้วยความเหงาอย่างประหลาด ทำให้ผมไม่กลับบ้าน และตกปากรับคำไปกับเจ้านาย ซึ่งสันต์ ศักดิ์ชายและคุณแคทก็พ่วงไปด้วย กว่าจะกลับถึงบ้านก็เกือบห้าทุ่ม อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงของตัวเอง ผมเหลียวมองไปด้านข้างโดยอัตโนมัติ แต่ไม่เจอสิ่งที่คุ้นตา พยายามข่มตาลง ก็นอนไม่หลับ รู้สึกแปลกๆที่เตียงที่ผมเคยนอนมันกลับดูเย็นเยียบ และกว้างใหญ่เสียเหลือเกิน คล้ายกับผมเป็นเพียงจุดเล็กๆที่อยู่บนกระดาษแผ่นใหญ่ คนที่เคยทำให้เตียงของผมคับแคบไปเนื่องจากร่างกายอันใหญ่โตของเขาไม่อยู่เสียแล้ว ไม่น่าเชื่อเลยว่าเดียร์จะมีอิทธิพลต่อผมได้ถึงเพียงนี้ นี่ถ้าต่อไปเราจะต้องจากกัน ผมจะสามารถอยู่โดยไม่มีเขาได้ไหมหนอ
หนุ่มน้อยของผม หายไปสองวันเต็มๆ พอตกตอนเย็นเขาก็มาทำหน้าที่สอนตามเดิม แต่วันนี้ เขาพาเพื่อนมาด้วย เป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีทีเดียว รูปร่างอ้อนแอ้นคล้ายผู้หญิง เขาแนะนำเพื่อนของเขาให้พวกเรารู้จักว่าเป็นคนที่จะมาช่วยสอนเต้น เนื่องจากวันนี้ จะมีท่าเข้าคู่

เด็กหนุ่มคนนั้นชื่อ อชิตะ แต่ผมเห็นเดียร์เรียกด้วยท่าทางสนิทสนมว่า พี่ชิ เดียร์ให้พวกเราทวนท่าที่สอนไปเมื่อวาน ถ้าหากเห็นใครเต้นผิดไปจากลายที่สอนไว้ เขาจะแก้ทันทีไม่ยอมปล่อยผ่าน ตอนที่เขาสอน น้ำเสียงจะดูดุนิดหน่อย แต่หน้าตาของเดียร์จะยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา ทำให้ไม่ค่อยมีใครโกรธเขา เมื่อเห็นว่าพวกเราพอจะเริ่มทำได้แล้ว เขาก็สอนท่าใหม่ ซึ่งเป็นท่าจับคู่กัน เต้นในสไตล์ละติน แต่เป็นแบบเบาๆช้าๆ เขาจับคู่กับชิ เต้นให้ดูรอบแรก เพื่อให้นับจังหวะก่อน จากนั้นก็ให้พวกเราจับคู่กัน ผมได้คู่กับคุณแคท ในขณะที่หัวหน้าของผมจับคู่กับผู้บริหารหญิงอีกท่านหนึ่ง โชคดีที่มีการคัดเลือกผู้แสดงให้มีฝ่ายชาย และฝ่ายหญิงอย่างละเท่าๆกัน เจ้าสันต์และ ศักดิ์ชายเลยไม่ต้องมาจับคู่กันเอง

เดียร์กับชิ ให้พวกเราเต้นตามพวกเขาสองคน ซ้ำไปซ้ำมาอีกครั้ง แต่ผลที่ได้ก็ยังไม่น่าพอใจ เนื่องจากพวกเราไม่ใช่แดนเซอร์มืออาชีพ เลยเต้นพลาด ผมกับคุณแคทพลัดกันเหยียบเท้า จนต้องหัวเราะออกมาด้วยความขำ ทุกครั้งที่เสียงหัวเราะอย่างร่าเริงของเพื่อนร่วมงานของผมดังออกมา เดียร์ก็จะจ้องมองมาที่เราสองคนแทบทุกครั้ง ดูท่าทางหึงหวงยังไงไม่รู้
ในที่สุด เดียร์ก็หันมาแยกผมกับคุณแคทออกจากกัน อ้างว่าเพื่อให้สามารถเต้นได้ถูกต้อง เขาให้คุณแคทลองเต้นกับชิ เพื่อนของเดียร์โอบประคองคุณแคทโลดแล่นไปตามจังหวะเพลงที่สนุกสนาน ส่วนผมซึ่งยืนเอ๋อเพราะถูกแยกคู่ก็ถูกเดียร์จับมาให้เต้นกับเขา โดยเขาให้ผมเต้นในแบบผู้ชายตามเดิม ส่วนเขาจะเต้นเป็นผู้หญิง และบอกให้ทุกคนจับตาดู ทั้งสองคู่ระหว่างชิกับคุณแคท และเดียร์กับผม พยายามจับจังหวะและเต้นตามให้ได้

ตอนแรกผมจะไม่ยอมเต้นกับเดียร์เพราะรู้ถึงเจตนาของเขา แต่เพื่อนคนอื่นๆเข้าใจว่าผมเขิน เลยยุส่ง บอกว่า ผมเต้นดี อยากให้ผมลองทำให้ดู พวกเขาจะได้เห็นและเลียนแบบได้ ผมเลยจำใจต้องเต้นกับเขา เดียร์ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ยิ้มให้ผม และยื่นมือมาแตะไหล่ผมไว้ อีกข้างหนึ่ง ก็จับมือผมและชูขึ้น และขยับกายตามท่วงทีลีลาของการเต้นแบบละติน

“ท่าทางคุณสนิทกับคุณแคทจังเลย จะยั่วให้ผมหึงหรือไง”

เด็กหนุ่มพึมพำเบาๆให้ได้ยินกันแค่สองคน ผมไม่ตอบทำทีเป็นใส่ใจอยู่กับการเต้น

“คิดถึงผมบ้างหรือเปล่า”

เดียร์ถามเสียงอ้อน แต่ผมทำหน้าดุใส่เขา และเอ่ยเตือน

“ขอร้องล่ะเดียร์ นี่มันที่ทำงาน ฉันไม่อยากให้ใครรู้เรื่องของเรา ช่วยกรุณาทำให้เหมือนกับครูสอนเต้นทั่วๆไปหน่อย”

“ครับ”

เดียร์รับคำเสียงอ่อย จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก จนกระทั่งเต้นจนจบท่าที่เขาต้องการสอนจึงผละออกจากผม พร้อมๆกับที่ชิก็ผละออกมาจากคุณแคทเช่นกัน ทั้งสองคนเดินไปคุยกันอย่างสนิทสนม เพื่อนร่วมงานสาวของผมเดินยิ้มเข้ามาหา ท่าทางสนุกกับการเรียนรู้ ในขณะที่ผมเริ่มที่จะเซ็ง

หลังจากฝึกซ้อมเต้นโดยที่เดียร์กับชิจับคู่กันเต้นนำจนกระทั่งพวกเราสามารถทำได้อย่างถูกต้อง เดียร์ก็ให้พวกเราพัก ผมรีบเดินออกมานอกห้อง ต้องการจะหนีไปให้พ้นๆเดียร์ เพราะกลัวเขาจะตามมาพูดคุยด้วยอีก แต่เขากลับไม่ตามมา เพราะกำลังคุยอยู่กับเพื่อนของเขา สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสขณะพูดคุยกับชิ ทำให้ผมเริ่มรู้สึกขวางหูขวางตา บอกไม่ถูกว่าอยู่ดีๆ ทำไมถึงเกิดไม่พอใจขึ้นมา รู้แต่ว่าไม่อยากจะเห็น

ใจสั่งให้ไม่มอง แต่ตามันก็คอยแอบชำเลืองแลอยู่ดี ตอนนี้มีคนเข้าไปร่วมวงคุยกับคนทั้งคู่อีกคือเจ้าสันต์ คุณแคท และรวมถึงศักดิ์ชายด้วย ผมเบือนหน้าหนีมาจากภาพนั้น พอหันมาก็เจอเจ้านายของผม ยืนถือถ้วยกาแฟอยู่ข้างๆ เขาถามว่าผมจะทานกาแฟหรือเปล่า เพราะผมยืนบังตู้กดน้ำไว้ ผมเลยรีบหลีกทางให้เจ้านาย พอเขากดน้ำร้อน และชงกาแฟผงจนละลายเรียบร้อยจึงเอ่ยประโยคแรกกับผม

“คุณโชคดีมากเลยนะเรียว คุณทรงพลไม่เอาเรื่องคุณกับเพื่อนแดนเซอร์ของคุณแล้วล่ะ”

“งั้นหรือครับ”
“ใช่...ตอนที่ผมไปพูดกับท่านประธาน ท่าทีของคุณทรงพลก็ยังคงแข็งกร้าวอยู่ แต่ถัดจากนั้นไม่กี่วันก็อ่อนลงไป เห็นได้ข่าวว่าคุณแคทไปช่วยเจรจาให้ด้วยไม่ใช่เหรอ ไม่รู้ว่าพูดกันอีท่าไหนถึงยอมให้คุณทรงพลยอมได้ แต่ก็นับว่าเก่งพอสมควร คุณควรจะไปขอบคุณเธอนะ”

หึหึหึ ผมแอบหัวเราะในใจ ช้าไปแล้วล่ะครับ ผมขอบคุณเธอเรียบร้อยไปแล้ว ด้วยการยอมเป็นแฟนกับเธอไง จนกว่าเธอจะกลับมาคืนดีกับแฟนเก่า ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่

“ครับ”

ผมรับคำสั้นๆ ไม่ได้พูดในสิ่งที่คิดออกมา

“เจ้านายกับลูกน้อง แอบมาคุยเรื่องงานกันอีกแล้ว.....ขอยืมตัวคุณเรียวสักครู่นะคะ”

เราสองคนสะดุ้ง เมื่อได้ยินเสียงที่ขัดจังหวะขึ้นมา คุณแคทมาตั้งแต่เมื่อไหร่รู้ มาถึงก็มาคล้องแขนผม และดึงออกจากการสนทนา พอออกไปห่างจากคนอื่นๆ คุณแคทก็เปิดฉากขอร้องผมทันที เธอต้องการให้ผมไปเป็นเพื่อนในงานแต่งงานของเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ในวันที่ 14 มกราคม ก่อนหน้างานปีใหม่ของบริษัทหนึ่งวัน คุณแคทบอกว่างานนี้ คู่รักเก่าของเธอคนที่ทำให้เธอเจ็บช้ำน้ำใจก็ไปด้วย ถ้าโชคดี เขาหึงเราสองคน และกลับมาขอคืนดี ข้อตกลงเป็นแฟนกันระหว่างผมกับเธอจะได้สิ้นสุดกันเสียที ผมรีบตกลงโดยไม่ลังเลใจ เพราะเริ่มอึดอัดกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่นี้ ผมกลัวว่าเดียร์จะรู้ว่าผมตกลงเป็นแฟนกับคุณแคทซ้อนกันกับเขา ไม่รู้ว่าเดียร์จะโกรธมากมายหรือเปล่าที่ผมทำแบบนี้ เขาจะคิดว่าผมละเมิดสัญญาไหม เพราะเราตกลงกันแล้วว่า ระหว่างนี้จะไม่มีใคร ถึงแม้ว่าผมจะทำเพื่อช่วยไม่ให้นายทรงพลเอาเรื่องกับเขาก็ตาม และลึกลงไปแล้วความรู้สึกบางอย่างบอกกับผมว่า ผมไม่ได้รู้สึกอยากจะมีแฟนเป็นผู้หญิงอีกต่อไป

พอกลับเข้าไปในห้องสำหรับซ้อมเต้นอีกครั้ง ผมก็เห็นเดียร์มองผมด้วยแววตาน้อยอกน้อยใจอีกแล้ว และอย่างเคยผมแสร้งทำเป็นเมิน มองไม่เห็น จับคู่เต้นรำกับคุณแคทต่อ ทำเหมือนไม่ได้เกิดอะไรขึ้น เดียร์เองก็หันกลับไปเต้นกับชิต่อ ผมมองสองร่างที่แนบชิดกัน เห็นยิ้มหวานๆ กับตาเชื่อมๆที่ชิมองเดียร์ ส่วนหนุ่มน้อยของผมก็ยิ้มตอบด้วยดวงตาซึ้งๆ การได้เห็นคนทั้งคู่ออกอาการหวานเหมือนเป็นคู่รักกัน ทำให้ผมพาลหมดอารมณ์ที่จะเต้น แต่ต้องจำใจซ้อมให้มันหมดๆเวลาไป หลังจากเลิกคลาสแล้ว ผมก็เดินจ้ำอ้าวออกไปจากห้องทันที โดยมีคุณแคทวิ่งตามมาติดๆ

เธอถามว่าผมหงุดหงิดอะไรหรือเปล่า หรือเธอเต้นไม่ดีจนผมไม่พอใจ ผมปฏิเสธ บอกว่า รู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นมา เพราะนอนดึกหลายคืนติดต่อกัน อยากกลับไปพัก เธอพยักหน้าอย่างเข้าใจ และปล่อยผมกลับไปแต่โดยดี
เดียร์โทรเข้ามาที่มือถือของผมขณะที่กำลังจะขับรถออกจากบริษัท บอกว่าคืนนี้ถ้าซ้อมเสร็จเร็วจะมาหาผมที่บ้าน เขาพูดเสียงอ้อนๆว่าคิดถึงผมมาก ไม่ได้เจอมาสองวันแล้ว อยากนอนกอดให้ชื่นใจ แต่ด้วยความที่ผมหงุดหงิดที่เห็นเขาหัวเราะต่อกระซิกกับชิ ทำให้ผมปฏิเสธเขาไปด้วยน้ำเสียงห้วนๆว่าไม่ต้องมา ผมไม่อยากให้เขารบกวน เพราะผมนอนดึกมาหลายคืนแล้ว อยากพักผ่อนให้เต็มอิ่ม ถ้าหากเขายังดื้อรั้นไม่ฟัง ผมจะไม่พูดกับเขาอีกเลย

พอเดียร์วางสายไปแล้ว ผมก็ซบหน้าตัวเองกับพวงมาลัย รู้สึกสับสนไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ทำไมผมต้องโกรธด้วย ที่เห็นเขาอยู่กับคนอื่น ทั้งที่ผมควรจะรู้สึกดีใจเสียด้วยซ้ำ หากว่าเดียร์เลิกรักผมแล้ว และมีคนรักใหม่ ไม่แน่ใจว่าที่ผมนึกโกรธเขาขึ้นมานี่เป็นเพราะผมรักเดียร์มาก จนถึงขั้นหึงหวงหรือเปล่า ถ้าใช่ มันก็น่าจะเป็นอันตรายกับตัวเองไม่ใช่น้อย เพราะผมอาจจะไม่สามารถสลัดเดียร์ออกไปจากใจได้เลย

เพื่อพิสูจน์ว่าผมไม่ได้รักเดียร์ถึงขั้นที่จะขาดเขาไม่ได้ เวลาที่เดียร์มาซ้อมให้กับพวกเรา ผมก็หาโอกาสที่จะหลบเลี่ยงไม่อยู่ใกล้เขาตลอดโดยได้คุณแคทเป็นกันชน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะข้อตกลงที่ผมให้ไว้กับคุณแคทหรือเปล่าที่ทำให้เธอพาตัวเข้ามาชิดใกล้กับผม พูดคุยหยอกล้อด้วยไม่ยอมห่าง หลายวันมานี้ เธอชอบตามไปทานข้าวกับผมที่ร้านบ้านคุณป้าด้วยบ่อยๆ หลายครั้งที่ผมเห็นเดียร์แอบมายืนเมียงๆมองๆ อยากรู้อยากเห็นว่าความสัมพันธ์ของผมกับคุณแคทอยู่ในขั้นไหน สายตาที่มองมา บางทีก็ออกอาการหึงหวง

ผมรู้ว่าเดียร์ไม่พอใจอย่างมาก ที่ผมทำเหมือนมีลับลมคมในกับเขา เหมือนคนที่กำลังไม่ซื่อสัตย์ต่อคนรัก ใจหนึ่งก็กลัวว่าเดียร์จะโกรธ แต่ใจหนึ่งก็บอกว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิด ผมเป็นแฟนกับคุณแคทเพราะอยากช่วยเขาต่างหาก แต่ถ้าเกิดเขาไม่เข้าใจโกรธผมจนเลิกราไป ผมก็จะมีชีวิตอิสระเสียที ผมพยายามคิดในแง่นี้เพื่อให้ตัวเองสบายใจขึ้น แต่กลับเป็นว่ายิ่งทำให้ความรู้สึกแย่ลง การพิสูจน์ความรักที่ผมมีต่อเดียร์แบบนี้ ได้ข้อสรุปตอกย้ำลงไปชัดเจน ว่าผมรักเดียร์มากมายแค่ไหน

แค่เดียร์มองมาด้วยสายตาโกรธๆ ผมก็ใจแป้ว ต้องรีบชิ่งห่างจากคุณแคทแทบทุกทีที่เขามองมา แต่ดูเหมือนว่าคุณแคทจะไม่รู้อะไรเลย เพราะเธอคอยแต่จะเข้ามาหา คลุกคลีอยู่ใกล้ๆ ราวกับว่าผมเป็นคนรักของเธอจริงๆ

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่28 upเพิ่ม 1/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: โน๊อา ที่ 01-02-2009 17:47:21
รัก ไต๋ จริง ๆ เลย แค่นึก ๆ ไต๋ ก็มา
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่28 upเพิ่ม 1/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 01-02-2009 21:37:01
ขอบคุณมากๆนะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่28 upเพิ่ม 1/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: nanalonely ที่ 01-02-2009 21:50:25
วู้       อ่านทันแล้ว


แต่แคทมานัวเนียอะไรเรียวเนี่ย

เรียวใจร้ายอ่ะม่ะสงสารเดียร์เลย
 
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่28 upเพิ่ม 1/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: the_pooh9 ที่ 02-02-2009 01:06:34
^
จิ้มก้น แนน ตัดหน้าเค้าได้ไงอ่ะ

แวะมา +1 ให้กับความขยัน ของพี่แอนคร้าบบ o13
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่28 upเพิ่ม 1/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 02-02-2009 16:49:59
มา ต่อ ไวไว


น่ะ คร้าบบบบบบบบ


คอย อ่าน ทุก วัน เรยยยยยยย o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่29 3/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 03-02-2009 12:15:24
บทที่ 29

ผมยืนสำรวจตัวเองในกระจกดูความเรียบร้อย ภาพที่สะท้อนออกมา เป็นร่างของชายหนุ่มผิวขาวในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนมีสูทสีเทาเข้มที่ตัดด้วยผ้าเนื้อดีสวมทับเข้ากับกางเกงสีเดียวกัน ผมขยับเนคไทลายสวยที่เจ้าสันต์เลือกให้ มองที่กระจกอีกครั้งจนพอใจแล้วว่าไม่มีส่วนใหนที่ยับย่นดูไม่งามตา จากนั้นก็ก้าวออกมาจากห้องนอน

วันนี้ผมนัดกับคุณแคท ว่าจะไปเป็นคู่ควงในงานแต่งงานของเพื่อนเธอ เพื่อยั่วให้แฟนเก่าเธอหึงหวง เราสองคนซ้อมเต้นได้แค่ครึ่งชั่วโมง แล้วก็ขอตัวกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อไปให้ทันงานแต่งตอนทุ่มครึ่ง ตอนออกมาจากห้อง เดียร์ทำท่าไม่ค่อยพอใจที่ผมไม่อยู่ซ้อม แต่กลับมาพร้อมกับคุณแคท ผมไม่มีเวลาอธิบายให้เด็กหนุ่มรับฟัง ไม่มีใครรู้เรื่องผมกับเดียร์นอกจากเจ้านายและเพื่อนๆ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องไปคอยบอกกล่าวให้กับครูสอนเต้นได้รับรู้ว่าผมจะไปไหน

ตอนที่ผมกำลังจะขับรถออกจากบ้าน พี่สมชายก็เปิดประตูรั้วออกมาพอดี เขาแต่งตัวราวกับจะไปงานเหมือนกับผม วันนี้เขาไม่ขับรถออกมา เพราะรถของพี่สมชายถูกชนตอนนี้อยู่ในอู่ซ่อมรถ ส่วนรถอีกคัน เมียของแกก็จะพาลูกๆไปกินข้าวที่ห้าง แกก็เลยจะเดินออกไปเรียกแท็กซี่ข้างนอก ผมเห็นว่ามันน่าหัวเราะที่เขาจะเดินออกไปในเสื้อสูทอย่างนั้น ก็เลยรับขึ้นรถมาด้วย และถามทางว่าเขาจะไปที่ไหน จะได้แวะส่งใกล้ๆ เขาบอกว่าจะไปงานแต่งงานของเพื่อน เป็นโรงแรมเดียวกับที่ผมจะไปเสียด้วย จึงนับว่าโชคดีมากที่เขาได้มาเจอผม เพราะจะได้ไปและกลับพร้อมกัน

คุณแคทรอผมอยู่ก่อนแล้วตรงล็อบบี้ในโรงแรม ทันทีที่เห็นผมกับพี่สมชายเดินมาด้วยกัน เธอก็ชะงัก มองเราสองคนนิ่งนาน จนผมแนะนำให้เธอรู้จักกับพี่สมชาย เธอจึงปรับสีหน้าเป็นปกติ ท่าทางเธอคงจะงงมาก ที่ผมมีคนมาด้วย

“แปลกไหมคุณแคท พี่สมชายได้รับเชิญมางานนี้ด้วย แกบอกว่ารู้จักกับเจ้าบ่าวเจ้าสาวเป็นการส่วนตัว นัยว่าเคยเป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่เรียนด้วยกันมาล่ะ คุณเองก็เรียนที่เดียวกันกับเจ้าบ่าวเจ้าสาว คุณรู้จัก หรือเคยเห็นพี่สมชายบ้างหรือเปล่า”

ผมถามคุณแคท หลังจากที่พี่สมชายเดินแยกออกไปแล้ว คุณแคทยืนนิ่งไม่ยอมตอบคำถามผม จนต้องถามซ้ำ เธอถึงได้ทำท่าเหมือนตื่นจากภวังค์

“จำไม่ได้หรอกค่ะ แคทไปเมืองนอกตั้งนาน”
“แปลกไหมคุณแคท พี่สมชายได้รับเชิญมางานนี้ด้วย แกบอกว่ารู้จักกับเจ้าบ่าวเจ้าสาวเป็นการส่วนตัว นัยว่าเคยเป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่เรียนด้วยกันมาล่ะ คุณเองก็เรียนที่เดียวกันกับเจ้าบ่าวเจ้าสาว คุณรู้จัก หรือเคยเห็นพี่สมชายบ้างหรือเปล่า”

ผมถามคุณแคท หลังจากที่พี่สมชายเดินแยกออกไปแล้ว คุณแคทยืนนิ่งไม่ยอมตอบคำถามผม จนต้องถามซ้ำ เธอถึงได้ทำท่าเหมือนตื่นจากภวังค์

“จำไม่ได้หรอกค่ะ แคทไปเมืองนอกตั้งนาน”

เธอตอบอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียง จากนั้นก็ควงแขนผมพาเดินเข้าไปในงานซึ่งเจ้าบ่าวเจ้าสาวยืนต้อนรับแขกเหรื่ออยู่ด้านหน้า สองหนุ่มสาวต่างทำท่าแปลกใจเมื่อเห็นคุณแคทลียาที่เดินควงคู่มากับผม ปากก็เอ่ยชมว่าคุณแคทเปลี่ยนไปเยอะมาก จนจำเกือบไม่ได้ แถมยังได้แฟนหล่อเสียด้วย

คุณแคทยิ้มหน้าบานเป็นจานเชิง จากนั้นผมก็ได้ยินเจ้าสาวแอบถามคุณแคทว่าทำใจได้หรือยัง แฟนเก่าของคุณแคทมางานนี้ด้วย คุณแคทชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะตอบกลับไปด้วยสีหน้ามั่นใจว่าเธอพร้อมที่จะเผชิญกับสถานการณ์ทุกอย่างโดยไม่หวั่นไหว

หลังจากพูดคุยกันสักพัก เจ้าบ่าวเจ้าสาวก็ขอตัวทำหน้าที่ต้อนรับแขกเหรื่อต่อ เราสองคนถ่ายรูปกับคู่บ่าวสาวจากนั้นก็เดินเข้าไปข้างในซึ่งจัดงานเลี้ยงแบบค๊อกเทล มีบรรดาแขกเหรื่อ ยืนอยู่รอบๆซุ้มอาหาร

พี่สมชายยืนพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกับเพื่อนสาวรุ่นราวคราวเดียวกันที่มุมหนึ่ง เขาหันมาเห็นผมที่เดินควงแขนกับคุณแคทแล้วก็ยิ้มให้อย่างเจื่อนๆ ตามองผมกับคุณแคทสลับไปมา

ผมยิ้มตอบไปอย่างแกนๆเช่นกัน ในขณะคุณแคทเพียงแค่ปรายตามองพี่สมชายเท่านั้น แล้วก็ทำท่าเชิดๆใส่ จนผมเองก็อดที่จะรู้สึกแปลกใจไม่ได้

คุณแคทบอกว่า ไม่รู้จักพี่สมชาย แต่เวลาเจอกันทีไรผมเห็นคุณแคทลอบมองพี่สมชาย นัยน์ตาก็ฉายแววเจ็บปวดบางอย่าง แต่เมื่อรู้สึกตัวว่าผมสังเกตอยู่ เธอก็จะทำคอแข็ง มองเพื่อนบ้านของผมด้วยแววตาเฉยเมย เหมือนคนที่ไม่รู้จักกัน

ผมเดินเข้าไปหาพี่สมชายและปักหลักยืนอยู่ตรงนั้น เพราะผมไม่รู้จักใครเลยในงานนี้ นอกจากคุณแคทเพียงคนเดียว และรู้สึกเขินๆที่ถูกจ้องมองเวลาผมเดินไปพร้อมกับคุณแคท สายตาที่จับจ้องมองมาเหมือนอยากรู้อยากเห็น ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าคุณแคทเป็นคนที่สวยมากกระมัง เลยถูกจับตามองเป็นพิเศษ ว่าเธอควงคู่มากับใคร

พี่สมชายเชิญชวนให้ผมลองทานอาหารในซุ้ม ซึ่งเป็นพวกอาหารไทยๆ จำพวกเป๊าะเปี๊ยะทอด กระทงทอง และขนมปังหน้าหมูหั่นเป็นชิ้นพาคำดูน่าอร่อย ผมหยิบจานยื่นให้คุณแคท เธอรับมาถือไว้ และกล่าวขอบคุณพร้อมกันนั้นก็อิงแอบเข้ามาซะใกล้ชิดจนผมรู้สึกอึดอัด

“เรียวช่วยตักกระทงทองให้แคทหน่อยได้ไหมคะ”

เธอพูดเสียงอ้อน มองผมด้วยดวงตาหวานเยิ้ม แบบที่ไม่เคยทำมาก่อน โดยปกติคุณแคทจะเป็นสาวมั่น ร่าเริงแจ่มใส พูดจาตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม แม้จะเป็นคนหน้าตาสะสวย แต่เธอก็ไม่เคยมีจริตเหมือนหญิงสาวทั่วไป

เธอออกจะเก่งกล้าไม่เคยอ้อนขอให้ผู้ชายคนไหนในออฟฟิศช่วยเหลือเธอสักครั้ง แต่คราวนี้เธอทำเป็นไร้เดียงสา ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แม้กระทั่งการตักอาหาร มันทำให้ผมรู้สึกได้ถึงมารยาหญิงที่เธอแสดงออก ทำแบบนี้ แปลว่า คนบางคนที่ทำให้เธอเจ็บปวดอยู่ใกล้ๆแถวนี้กระมัง เธอจึงเลือกที่จะอ้อนผมเผื่อยั่วให้ใครบางคนหึง

ไหนๆก็รับปากเธอแล้วว่าจะช่วยทำให้สำเร็จ ผมจะได้หมดบุญคุณกับเธอไป แล้วมีชีวิตอิสระกับเธอเสียที ขืนชักช้าไปเกิดเดียร์รู้ขึ้นมา ผมจะตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากอีก แค่นี้ผมก็รู้สึกสับสนวุ่นวายใจจะแย่อยู่แล้ว ดังนั้นผมจึงต้องเล่นตามน้ำด้วยการแสดงตัวเป็นสุภาพบุรุษที่เทคแคร์หญิงสาวด้วยการตักอาหารใส่จานให้และพูดคุยด้วยท่าทีนุ่มนวล แต่ตาของผมก็คอยลอบมองว่ามีใครที่ต้องสงสัยในบริเวณนั้น
มีผู้ชายหนุ่มหลายคนยืนปะปนกันอยู่แถวซุ้มอาหาร

คุณลุงคนนั้นไม่น่าจะใช่ เพราะแก่เกินกว่าจะเป็นรุ่นพี่คุณแคทได้น่าจะเป็นญาติข้างฝ่ายเจ้าสาวหรือเจ้าบ่าวมากกว่า

หนุ่มคนนั้นมากับแฟนสาว เห็นท่าทางกระหนุงกระหนิงกัน

ผู้ชายที่หน้าตาดีคนนั้นมาคนเดียว แต่ท่าทางออกตุ้งติ้ง ไม่น่าจะใช่อดีตคนรักของคุณแคท

หนุ่มใส่แว่นมาดดีนั้นก็ไม่เหลือบแลมาทางคุณแคทเลยแม้แต่นิดเดียว มัวแต่ก้มหน้าก้มตาให้ความสนใจกับอาหาร

มีอยู่สองสามคนที่มองมาทางผมและคุณแคท พวกเขายิ้มให้ แต่ตักอาหารเสร็จแล้วก็เดินจากไปยังซุ้มอาหารอีกฝาก

ผมกวาดตามองไปทั่วจนกระทั่งเจอเข้ากับดวงตาของพี่สมชายที่มองผมอยู่ก่อนแล้ว พอเห็นผมสบตาด้วย พี่สมชายก็เอ่ยปากถามยิ้มๆ

“อร่อยถูกปากไหมครับ”

“เอ้อ....”

ผมงงเพราะยังไม่ได้ทานอะไรเข้าไป หันไปมองคุณแคทก็เห็นเธอกำลังมองพี่สมชายอยู่ พอหันไปมองเพื่อนบ้านของผมก็พบว่าเขามองคุณแคทด้วยเช่นกัน

สองคนประสานสายตากันนิ่งนาน และแล้วมือข้างหนึ่งของคุณแคทก็เลื่อนมาโอบเอวผมไว้โดยอัตโนมัติ ศีรษะได้รูปสวยเอนมาอิงซบกับบ่าของผม

แม้จะรู้สึกตกใจที่เธอทำกริยาอย่างนั้น แต่ผมก็ทำสีหน้ายิ้มแย้มแสร้งทำเป็นพอใจเพื่อให้ใครบางคนที่ผมยังไม่รู้จักตัว ได้เห็นเพื่อแผนปฏิบัติการณ์ทวงคนรักคืนของคุณแคท

..................................................

วันนี้ลงให้สองตอนก่อนนะคะ ไว้พรุ่งนี้จะลงให้ใหม่นะคะ นอนหลับฝันดีทุกคนค่ะ
“คิดว่าคงอร่อยมั๊งครับ เพราะท่าทางคุณแคทเธอจะชอบ ใช่ไหมครับคนดี”
“ค่ะ เรียว แหม คุณนี่รู้ใจแคทจริงๆว่าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เป็นผู้ชายที่น่ารักที่สุดในโลกเลยค่ะ ไม่เสียแรงที่แคทเลือกที่จะคบหากับคุณ”
คุณแคทลียาพูดด้วยเสียงอันดัง พี่สมชายเลิกคิ้ว มองผมกับคุณแคทด้วยท่าทางประหลาดใจ จนผมเองก็ชักจะเริ่มรู้สึกอึดอัดกับสายตาของเพื่อนบ้านพ่อลูกอ่อนที่มองมา แน่ละสิ เขาย่อมจะต้องสงสัยเป็นธรรมดา ผมรู้ว่า ตลอดเวลาที่เดียร์มาบ้านผม พี่สมชายก็รู้เห็นเต็มตา ถึงแม้ว่าเดียร์จะบอกกับเขาแค่ว่าเป็นน้องชายของผม แต่เขาเองก็คงสงสัย เพราะบ่อยครั้งที่เจ้าเด็กบ้านั่น นัวเนียกอดรัดผมทั้งในบ้านและนอกบ้าน บางทีมาหาผมตอนดึกๆ แล้วก็กลับไปตอนเช้า ยิ่งช่วงหลังยิ่งมาเกือบทุกวัน บางครั้งผมก็เห็นแว่บๆว่าพี่สมชายยืนมองดูอยู่จากสวนหน้าบ้าน หรือไม่ก็บนห้องของเขา แต่เมื่อไม่ถาม และผมเองก็ไม่อยากเล่า เราเลยต่างคนต่างอยู่ พอคุณแคทกับผมแสดงท่าหวานใส่กัน ย่อมทำให้พี่สมชายเพิ่มความงุนงง แปลกใจเข้าไปอีก
“แปลกไหมคุณแคท พี่สมชายได้รับเชิญมางานนี้ด้วย แกบอกว่ารู้จักกับเจ้าบ่าวเจ้าสาวเป็นการส่วนตัว นัยว่าเคยเป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่เรียนด้วยกันมาล่ะ คุณเองก็เรียนที่เดียวกันกับเจ้าบ่าวเจ้าสาว คุณรู้จัก หรือเคยเห็นพี่สมชายบ้างหรือเปล่า”

ผมถามคุณแคท หลังจากที่พี่สมชายเดินแยกออกไปแล้ว คุณแคทยืนนิ่งไม่ยอมตอบคำถามผม จนต้องถามซ้ำ เธอถึงได้ทำท่าเหมือนตื่นจากภวังค์

“จำไม่ได้หรอกค่ะ แคทไปเมืองนอกตั้งนาน”

เธอตอบอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียง จากนั้นก็ควงแขนผมพาเดินเข้าไปในงานซึ่งเจ้าบ่าวเจ้าสาวยืนต้อนรับแขกเหรื่ออยู่ด้านหน้า สองหนุ่มสาวต่างทำท่าแปลกใจเมื่อเห็นคุณแคทลียาที่เดินควงคู่มากับผม ปากก็เอ่ยชมว่าคุณแคทเปลี่ยนไปเยอะมาก จนจำเกือบไม่ได้ แถมยังได้แฟนหล่อเสียด้วย คุณแคทยิ้มหน้าบานเป็นจานเชิง

จากนั้นผมก็ได้ยินเจ้าสาวแอบถามคุณแคทว่าทำใจได้หรือยัง แฟนเก่าของคุณแคทมางานนี้ด้วย คุณแคทชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะตอบกลับไปด้วยสีหน้ามั่นใจว่าเธอพร้อมที่จะเผชิญกับสถานการณ์ทุกอย่างโดยไม่หวั่นไหว หลังจากพูดคุยกันสักพัก เจ้าบ่าวเจ้าสาวก็ขอตัวทำหน้าที่ต้อนรับแขกเหรื่อต่อ เราสองคนถ่ายรูปกับคู่บ่าวสาวจากนั้นก็เดินเข้าไปข้างในซึ่งจัดงานเลี้ยงแบบค๊อกเทล มีบรรดาแขกเหรื่อ ยืนอยู่รอบๆซุ้มอาหาร

พี่สมชายยืนพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกับเพื่อนสาวรุ่นราวคราวเดียวกันที่มุมหนึ่ง เขาหันมาเห็นผมที่เดินควงแขนกับคุณแคทแล้วก็ยิ้มให้อย่างเจื่อนๆ ตามองผมกับคุณแคทสลับไปมา ผมยิ้มตอบไปอย่างแกนๆเช่นกัน

ในขณะคุณแคทเพียงแค่ปรายตามองพี่สมชายเท่านั้น แล้วก็ทำท่าเชิดๆใส่ จนผมเองก็อดที่จะรู้สึกแปลกใจไม่ได้ คุณแคทบอกว่า ไม่รู้จักพี่สมชาย แต่เวลาเจอกันทีไรผมเห็นคุณแคทลอบมองพี่สมชาย นัยน์ตาก็ฉายแววเจ็บปวดบางอย่าง แต่เมื่อรู้สึกตัวว่าผมสังเกตอยู่ เธอก็จะทำคอแข็ง มองเพื่อนบ้านของผมด้วยแววตาเฉยเมย เหมือนคนที่ไม่รู้จักกัน

ผมเดินเข้าไปหาพี่สมชายและปักหลักยืนอยู่ตรงนั้น เพราะผมไม่รู้จักใครเลยในงานนี้ นอกจากคุณแคทเพียงคนเดียว และรู้สึกเขินๆที่ถูกจ้องมองเวลาผมเดินไปพร้อมกับคุณแคท สายตาที่จับจ้องมองมาเหมือนอยากรู้อยากเห็น ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าคุณแคทเป็นคนที่สวยมากกระมัง เลยถูกจับตามองเป็นพิเศษ ว่าเธอควงคู่มากับใคร

พี่สมชายเชิญชวนให้ผมลองทานอาหารในซุ้ม ซึ่งเป็นพวกอาหารไทยๆ จำพวกเป๊าะเปี๊ยะทอด กระทงทอง และขนมปังหน้าหมูหั่นเป็นชิ้นพาคำดูน่าอร่อย ผมหยิบจานยื่นให้คุณแคท เธอรับมาถือไว้ และกล่าวขอบคุณพร้อมกันนั้นก็อิงแอบเข้ามาซะใกล้ชิดจนผมรู้สึกอึดอัด

“เรียวช่วยตักกระทงทองให้แคทหน่อยได้ไหมคะ”

เธอพูดเสียงอ้อน มองผมด้วยดวงตาหวานเยิ้ม แบบที่ไม่เคยทำมาก่อน โดยปกติคุณแคทจะเป็นสาวมั่น ร่าเริงแจ่มใส พูดจาตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม แม้จะเป็นคนหน้าตาสะสวย แต่เธอก็ไม่เคยมีจริตเหมือนหญิงสาวทั่วไป

เธอออกจะเก่งกล้าไม่เคยอ้อนขอให้ผู้ชายคนไหนในออฟฟิศช่วยเหลือเธอสักครั้ง แต่คราวนี้เธอทำเป็นไร้เดียงสา ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แม้กระทั่งการตักอาหาร มันทำให้ผมรู้สึกได้ถึงมารยาหญิงที่เธอแสดงออก ทำแบบนี้ แปลว่า คนบางคนที่ทำให้เธอเจ็บปวดอยู่ใกล้ๆแถวนี้กระมัง เธอจึงเลือกที่จะอ้อนผมเผื่อยั่วให้ใครบางคนหึง

ไหนๆก็รับปากเธอแล้วว่าจะช่วยทำให้สำเร็จ ผมจะได้หมดบุญคุณกับเธอไป แล้วมีชีวิตอิสระกับเธอเสียที ขืนชักช้าไปเกิดเดียร์รู้ขึ้นมา ผมจะตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากอีก แค่นี้ผมก็รู้สึกสับสนวุ่นวายใจจะแย่อยู่แล้ว ดังนั้นผมจึงต้องเล่นตามน้ำด้วยการแสดงตัวเป็นสุภาพบุรุษที่เทคแคร์หญิงสาวด้วยการตักอาหารใส่จานให้และพูดคุยด้วยท่าทีนุ่มนวล แต่ตาของผมก็คอยลอบมองว่ามีใครที่ต้องสงสัยในบริเวณนั้น
มีผู้ชายหนุ่มหลายคนยืนปะปนกันอยู่แถวซุ้มอาหาร คุณลุงคนนั้นไม่น่าจะใช่ เพราะแก่เกินกว่าจะเป็นรุ่นพี่คุณแคทได้น่าจะเป็นญาติข้างฝ่ายเจ้าสาวหรือเจ้าบ่าวมากกว่า หนุ่มคนนั้นมากับแฟนสาว เห็นท่าทางกระหนุงกระหนิงกัน ผู้ชายที่หน้าตาดีคนนั้นมาคนเดียว แต่ท่าทางออกตุ้งติ้ง ไม่น่าจะใช่อดีตคนรักของคุณแคท หนุ่มใส่แว่นมาดดีนั้นก็ไม่เหลือบแลมาทางคุณแคทเลยแม้แต่นิดเดียว มัวแต่ก้มหน้าก้มตาให้ความสนใจกับอาหาร มีอยู่สองสามคนที่มองมาทางผมและคุณแคท พวกเขายิ้มให้ แต่ตักอาหารเสร็จแล้วก็เดินจากไปยังซุ้มอาหารอีกฝาก ผมกวาดตามองไปทั่วจนกระทั่งเจอเข้ากับดวงตาของพี่สมชายที่มองผมอยู่ก่อนแล้ว พอเห็นผมสบตาด้วย พี่สมชายก็เอ่ยปากถามยิ้มๆ

“อร่อยถูกปากไหมครับ”

“เอ้อ....”

ผมงงเพราะยังไม่ได้ทานอะไรเข้าไป หันไปมองคุณแคทก็เห็นเธอกำลังมองพี่สมชายอยู่ พอหันไปมองเพื่อนบ้านของผมก็พบว่าเขามองคุณแคทด้วยเช่นกัน สองคนประสานสายตากันนิ่งนาน และแล้วมือข้างหนึ่งของคุณแคทก็เลื่อนมาโอบเอวผมไว้โดยอัตโนมัติ ศีรษะได้รูปสวยเอนมาอิงซบกับบ่าของผม แม้จะรู้สึกตกใจที่เธอทำกริยาอย่างนั้น แต่ผมก็ทำสีหน้ายิ้มแย้มแสร้งทำเป็นพอใจเพื่อให้ใครบางคนที่ผมยังไม่รู้จักตัว ได้เห็นเพื่อแผนปฏิบัติการณ์ทวงคนรักคืนของคุณแคท

“คิดว่าคงอร่อยมั๊งครับ เพราะท่าทางคุณแคทเธอจะชอบ ใช่ไหมครับคนดี”

“ค่ะ เรียว แหม คุณนี่รู้ใจแคทจริงๆว่าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เป็นผู้ชายที่น่ารักที่สุดในโลกเลยค่ะ ไม่เสียแรงที่แคทเลือกที่จะคบหากับคุณ”

คุณแคทลียาพูดด้วยเสียงอันดัง พี่สมชายเลิกคิ้ว มองผมกับคุณแคทด้วยท่าทางประหลาดใจ จนผมเองก็ชักจะเริ่มรู้สึกอึดอัดกับสายตาของเพื่อนบ้านพ่อลูกอ่อนที่มองมา แน่ละสิ เขาย่อมจะต้องสงสัยเป็นธรรมดา ผมรู้ว่า ตลอดเวลาที่เดียร์มาบ้านผม พี่สมชายก็รู้เห็นเต็มตา ถึงแม้ว่าเดียร์จะบอกกับเขาแค่ว่าเป็นน้องชายของผม แต่เขาเองก็คงสงสัย เพราะบ่อยครั้งที่เจ้าเด็กบ้านั่น นัวเนียกอดรัดผมทั้งในบ้านและนอกบ้าน บางทีมาหาผมตอนดึกๆ แล้วก็กลับไปตอนเช้า ยิ่งช่วงหลังยิ่งมาเกือบทุกวัน บางครั้งผมก็เห็นแว่บๆว่าพี่สมชายยืนมองดูอยู่จากสวนหน้าบ้าน หรือไม่ก็บนห้องของเขา แต่เมื่อไม่ถาม และผมเองก็ไม่อยากเล่า เราเลยต่างคนต่างอยู่ พอคุณแคทกับผมแสดงท่าหวานใส่กัน ย่อมทำให้พี่สมชายเพิ่มความงุนงง แปลกใจเข้าไปอีก

“คุณสองคนคบหากันหรือครับ”

อยู่ๆพี่สมชายก็โพล่งขึ้นมา คงจะเก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่ ผมไม่ทันจะอ้าปากตอบคุณเคทก็สวนขึ้นมา

“ค่ะ เราสองคนเหมาะสมกับไหมคะ”

เพื่อนบ้านผมทำหน้าแปลกๆ เหมือนไม่ค่อยจะเชื่อสักเท่าไหร่ เขาหันมาทางผมแล้วถามเชิงตัดพ้อนิดๆ

“ผมไม่เห็นทราบเรื่องนี้เลย ทั้งๆที่อยู่บ้านตรงข้ามกันแท้ๆ”

“อื้ม คุณอาจจะไม่เคยสังเกตเห็นก็ได้นี่คะ เพราะอาจจะยุ่งเกี่ยวกับครอบครัวของคุณเสียเพลินจนไม่ได้สนใจอะไรเลยก็ได้ ว่าใครจะอยู่ใครจะไป ที่จริงแล้ว แคทก็เคยไปนอนค้างบ้านเรียวเขามาครั้งหนึ่งนะคะ แคทก็ไม่ได้เจอคุณเหมือนกัน”
เอาแล้วไง คุณแคทเล่นอะไรกันเนี่ย เปิดเผยเรื่องของตัวเองซะงั้น คนที่ไปอยู่เมืองนอกเมืองนามานานอย่างเธอนี่เปลี่ยนนิสัยกลายเป็นคนกล้าพูดคุยเรื่องแบบนี้อย่างไม่เกรงคำครหาเลย ตัวเองเป็นสาวเป็นแส้แท้ๆ ทำไมต้องทำให้คนอื่นมองให้มีมลทินติดตัวด้วยนะ

“งั้นหรือครับ ขอโทษที ผมมันคงโง่ มองไม่เห็นเอง”

พี่สมชายทำเสียงประชดประชัน ผมไม่รู้ว่าทำไมคนสองคนนี้ถึงดูเหมือนไม่ค่อยจะกินเส้นกันทั้งที่เพิ่งเห็นหน้ากันแค่ครั้งแรก หรือว่าที่จริงแล้ว คุณแคทโกหกผม เขาสองคนรู้จักกันมาก่อน แต่อาจจะมีเหตุให้บาดหมางใจกัน จนทำให้ไม่พูดกันก็ได้ หรือว่า ที่จริงแล้ว พี่สมชายก็คือคนที่คุณแคทรัก แต่ไม่น่าจะเป็นไปได้หรอก ในเมื่อพี่สมชายเขารักครอบครัวของเขายังกับอะไรดี

“ถามจริงๆเถอะคุณแคท ได้โปรดอย่าโกหกผมเลยนะ คุณกับพี่สมชายน่ะรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่าครับ”

หลังจากทนเก็บความสงสัยไว้จนกระทั่งงานเลิก ผมก็ถามคุณแคททันทีตอนที่เดินออกมาด้วยกัน
“ทำไมถึงถามแบบนี้ล่ะคะ”

“ความรู้สึกของผมมันบอกว่า คุณสองคนทำท่าหมางเมินกันเกินกว่าที่จะเพิ่งเคยเห็นหน้ากันครั้งแรก มันดูเกลียดกันเกินไปน่ะครับ”

“จริงหรือคะ หน้าตาท่าทางแคทมันฟ้องออกไปอย่างนั้นเหรอคะ”

หญิงสาวเอียงคอย้อนถามเสียงใส ท่าทางดูปกติ ถ้านี่เป็นการเล่นละครของคุณแคท เธอก็ทำหน้าตาซื่อๆได้เก่งมาก

“ไม่รู้จักกันหรอกค่ะ จะเคยเห็นกันด้วยหรือเปล่านี่แคทก็ไม่แน่ใจนะคะ คุณเคยได้ยินคำว่าศรศิลป์ไม่กินกันหรือเปล่าคะ แบบว่าบางทีเราก็นึกไม่ชอบหน้าใครตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น บอกไม่ถูกว่าเพราะอะไร แคทอาจจะรู้สึกอย่างนั้นกับเพื่อนบ้านคุณเรียวก็ได้นะคะ”

“ถ้าคุณได้มีโอกาสรู้จักพี่สมชายจะรู้ว่าเขาเป็นคนดี เป็นคนน่ารักนะครับ เขามีครอบครัวที่อบอุ่น มีลูกเล็กๆ 1 คน ผมเห็นแล้วยังอดอิจฉาไม่ได้เลย ”

เพราะไม่อยากให้คุณแคทตัดสินคนจากการเห็นเพียงแค่ครั้งแรก ผมจึงชื่นชมพี่สมชายให้ฟัง ซึ่งการพูดของผมไม่เกินจริงเลย เพราะมีสมชายเป็นคนแบบนั้นจริงๆ

“การเป็นคนดี กับเป็นคนรักที่ดีมันต่างกันนะคะ แคทยินดีกับเพื่อนบ้านของคุณด้วยที่มีครอบครัวที่มีความสุข แต่ไม่เห็นจำเป็นจะต้องบอกแคทเลยนี่คะ แคทไม่ได้อยากรู้ซักหน่อย”

อยู่ๆคุณแคทก็เกิดหงุดหงิดขึ้นมาซะงั้น เธอคงไม่พอใจที่ผมพยายามจะทำให้เธอเห็นว่าพี่สมชายเป็นคนดี ทั้งๆที่เธอไม่ชอบ ผมมันก็หวังดีเกินไปหน่อย จนดูเหมือนว่าจะไปบีบบังคับให้คนรู้สึกดีกับคนอื่นอย่างที่ตัวเองเป็น คนเรามันห้ามความคิดกันไม่ได้ พี่สมชายอาจจะดีกับผม แต่สำหรับคนที่เพิ่งเคยเห็นหน้ากันอาจจะมีอะไรบางอย่างในตัวพี่สมชายที่ทำให้คนหมั่นไส้เอาก็ได้
หลังจากส่งคุณแคทลียาขึ้นรถและยืนมองจนกระทั่งเธอขับรถลับตาไปแล้ว ผมจึงเดินกลับมาที่รถของตัวเอง แล้วก็เจอเข้ากับพี่สมชายที่มายืนดักรอผมอยู่ก่อนแล้วเพื่อขออาศัยกลับบ้านไปด้วยกัน

“คุณเรียวรู้จักคุณแคทมานานแล้วเหรอครับ”


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่29 3/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 03-02-2009 12:16:03
ทันทีที่ก้าวขึ้นรถ พี่สมชายก็เอ่ยปากถามผม ทำให้ผมงงเอามากๆกับท่าทีสนอกสนใจที่เพื่อนบ้านของผมมีให้กับคุณแคทลียา ทั้งๆที่เมื่อตอนอยู่ในงาน ทำเป็นเฉยเมย ไม่ทักถามอะไรเสียด้วยซ้ำ ผิดมารยาทของคนที่เพิ่งรู้จักกัน แต่ตอนนั้นผมคิดว่าพี่สมชายไม่อยากถาม เพราะเห็นท่าทีไม่รับแขกของคุณแคท เลยไม่อยากจะคุยด้วย พอเขามาถามแบบนี้ผมก็อดงงไม่ได้

“คุณแคทเป็นเพื่อนร่วมงานของผมน่ะครับ เราก็สนิทกันมากพอสมควร”

ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นมา ทำให้ผมพูดออกไปแบบนั้น

“เธอเป็นอย่างไรบ้างครับ”

“พี่สมชายหมายถึงอะไรครับ”

ผมย้อมถาม เพื่อนบ้านผมทำท่าอ้ำอึ้งจากนั้นก็พูดว่าเขาหมายถึงนิสัยโดยทั่วๆไป ซึ่งผมก็บอกว่าเธอเป็นคนนิสัยดีน่ารัก เหมือนเพื่อนผู้ชาย แต่จริงใจแล้วผมก็ชอบเธอมาก บอกออกไปแบบนั้น แล้วก็ลอบสังเกตกริยาท่าทางของพี่สมชาย เพราะผมเริ่มสงสัยอะไรบางอย่าง แต่พี่สมชายนิ่งเงียบไม่ตอบว่าอะไร เราเลยนั่งเงียบๆไม่ได้พูดกันจนกระทั่งถึงบ้าน

เดียร์มารอผมอยู่ก่อนแล้ว เขาทำหน้ามุ่ยๆท่าทางดูหงุดหงิด ผมเห็นหน้างอๆนั่น ก็เดินเลี่ยงขึ้นห้อง ไม่อยากคุย ถ้าหากเขาอารมณ์ยังไม่ดี เดียร์เดินตามขึ้นมา แล้วถามผมด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่าผมไปไหนมา ทำไมมืดค่ำถึงเพิ่งกลับ แล้วทำไมโทรไปถึงไม่ยอมรับ แล้วพรุ่งนี้จะมีงานแล้ว เต้นได้แล้วเหรอ ทำไมถึงหนีกลับออกมาก่อนไม่ยอมซ้อมให้จบ ผมไม่ตอบคำถามที่รัวมาถี่ยิบนั้น เดินไปเปิดตู้ แล้วหยิบผ้าขนหนูมาเตรียมจะอาบน้ำ

“นี่ ทำไมถึงไม่พูดกับผมหือเรียว หรือว่าไปทำผิดอะไรมา ถึงไม่กล้าตอบ”

เด็กหนุ่มถามเสียงเข้ม ก้าวมายืนขวางหน้าห้องน้ำไม่ให้ผมไปไหน ผมมองเดียร์อย่างนึกโมโห พยายามสะกดอารมณ์โกรธไม่ให้คุกรุ่นขึ้นมา ไม่พอใจที่เขามาซักไซร้ไล่เลียงต่อว่าต่อขานผม ราวกับว่าผมเป็นผู้ต้องหายังไงยังงั้น

“ทำไมต้องมาทำน้ำเสียงแบบนี้กับฉันด้วย ฉันไม่ได้ไปทำอะไรผิดสักหน่อย แล้วฉันจะไปทำอะไรที่ไหนก็เรื่องของฉัน ทำไมต้องบอกนายด้วย จะก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวกันมากไปแล้ว ฉันไม่ชอบนะแบบนี้”

โต้ตอบไปอย่างโกรธๆแล้วเดินหนี แต่เจ้าเด็กลูกครึ่งก็คว้าแขนผมไว้แล้วลากมาที่เตียงผลักให้นั่งลง จากนั้นเขาก็นั่งข้างๆ แล้วโอบกอดผมไว้ในวงแขน

“ก็ผมห่วงเรียวนี่ ผมกลัวว่าเรียวจะได้รับอันตรายอีก คุณแคทนั่นเห็นมีคนบอกว่ารู้จักกับนายทรงพลด้วย เกิดเขารู้กันแล้วพาเรียวไปส่งให้นายทรงพล ผมจะทำอย่างไรละครับ”
คำพูดของเขาทำให้ใจผมอ่อนยวบ ลืมนึกถึงข้อนี้ไปสนิทใจ จริงสิ ตั้งแต่วันที่ผมรอดพ้นมาจากอันตราย เดียร์ก็คอยเฝ้าระมัดระวังเป็นหูเป็นตาให้ผม ถ้าวันไหนเขาไม่ได้มาหาผมที่บ้าน เขาก็จะโทรมาสั่งให้ผมกลับบ้านดีๆ คอยสังเกตสังการอบข้าง อย่าไว้ใจคนง่ายๆ เข้านอนแต่หัวค่ำ อย่าเปิดรับใครเข้าบ้าน บางทีผมก็แอบนึกรำคาญที่เขาทำเหมือนกับว่าผมเป็นเด็กๆดูแลตัวเองไม่เป็น แต่เมื่อได้ฟังน้ำเสียงห่วงใยที่เดียร์พูดกับผมก็อดที่จะรู้สึกเห็นใจเขาไม่ได้

“ไม่ต้องห่วงหรอกนะ คุณแคทเขาเป็นคนดีออก เขาไม่ใช่พวกเดียวกับนายทรงพล และไม่เห็นด้วยกับการกระทำนั้นด้วยซ้ำ”

ใจผมร่ำๆอยากจะบอกออกไปว่า ถ้าไม่ได้คุณแคทช่วยเหลือ ป่านนี้เดียร์อาจจะถูกจับกุมข้อหาทำร้ายร่างกายเอาก็ได้ แต่คิดอีกทีก็เงียบดีกว่า เจ้าเด็กนี่อารมณ์ร้อน เดี๋ยวได้ฟังแล้วเกิดโมโห แล่นไปตะบันหน้านายทรงพลอีกครั้ง จะยิ่งซวยหนักเข้าไปใหญ่

“ถึงงั้นก็เถอะ ผมยังไม่อยากไว้ใจคนเจ้าเล่ห์แบบนั้น ว่าแต่วันนี้ทำไมไม่ซ้อมล่ะครับ พรุ่งนี้มีงานแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วเต้นได้ดีหรือยัง ไปไหนกันทำไมต้องรีบร้อนขนาดนั้นล่ะครับ”

เดียร์ซักถามอีกครั้ง ดูเหมือนท่าไม่ได้รับคำตอบที่พอใจ เขาคงจะตั้งคำถามให้ผมตอบอีกจนได้ ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะบอกไปตามตรงว่าผมไปงานแต่งงานเป็นเพื่อนคุณแคท เขาก็ทำหน้างอนๆใส่อีก

“ดูท่าทางเรียวสนิทสนมกับคุณแคทจังเลยนะครับ ชอบเขาเหรอ เห็นกุ๊กกิ๊กกันตลอดเวลา ผมหึงนะครับ”

“บ้าน่า เขาเป็นผู้หญิงนะ”

ตอบออกไปแล้วก็รู้สึกแปลกๆที่พูดออกไปอย่างนั้น เหมือนกับผมจะบอกเขาว่าจะมาหึงทำไมกับผู้หญิง ผมไม่สนซะหน่อย ถ้าเป็นผู้ชายว่าไปอย่าง โอ๊ยอะไรกันเนี่ย ผมเริ่มคิดแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เดียร์ยิ้มเจ้าเล่ห์ เหมือนพึงพอใจกับคำพูดที่หลุดออกจากปากผม คราวนี้ผมเป็นฝ่ายหน้างอบ้าง ที่เผลอพูดไปโดยไม่คิด

“หึงทั้งนั้นแหละ ไม่ว่ากับใครอ่ะ ไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับที่รักของผมนี่นา”

เดียร์กอดผมแน่นเข้าไปอีก แล้วทำเสียงอ้อนๆ

“เรียวหนีออกไปก่อน เลยไม่ได้ซ้อมเลยนะ เดี๋ยวผมทบทวนให้เอาไหมครับ เอาให้เต้นคล่องๆ พรุ่งนี้จะได้ไม่ลืม”

“แล้ววันนี้ไม่ไปซ้อมต่อเหรอ”

“ไม่ครับ วันนี้ เขาให้มาพัก แต่พรุ่งนี้ต้องไปซ้อมก่อนเข้างานตั้งแต่ตอนบ่ายเลยครับ คงต้องลางานคุณป้าอีกวัน สงสารแกเหมือนกันนะครับ ผมทำงานให้ไม่ค่อยได้เต็มที่เลย นี่กะว่า อาจจะลาออกนะครับ แล้วให้น้อยมาทำงานแทน”

“น้อยจะเข้ามาทำงานที่กรุงเทพเหรอ แล้วร้านที่โน่นล่ะ”
ผมถามด้วยความสงสัย น้อยรักร้านนั้นมาก เพราะสร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของน้อย โดยการสนับสนุนของแฟนหนุ่มต่างชาติ ถ้าเข้ามาทำงานที่กรุงเทพแล้วใครจะดูแลร้านให้น้อยล่ะ

“น้อยขายแล้วครับ เพราะเขาเลิกกับแฟนแล้วก็เลยขายร้านแบ่งเงินกัน แฟนเขาก็กลับไปอยู่เมืองนอกครับ แล้วอีกอย่างน้อยก็อยู่ที่โน่นไม่ได้แล้วด้วยครับ”

“อ้าว ทำไมล่ะ ทำไมถึงอยู่ไม่ได้ แถวนั้นก็บ้านน้อยนี่”

“ก็น้อยดันพาเพื่อนที่เป็นนักมวย ไปมีเรื่องกับพวกพี่บอยนี่ครับ น้อยเขาโกรธแทนผมกับเรียว เลยไปจัดการให้ นี่ผมก็เพิ่งรู้ไม่กี่วันนี่เอง เห็นว่าไปเล่นงานเสียสะบักสะบอมเลย เอ้อ แบบว่า พาเพื่อนไปข่มขืนพี่บอยเลยครับ แถมสั่งไม่ให้มันเอาเรื่อง ไม่งั้นจะพานักมวยทั้งค่ายมาเล่นงานอีก แต่น้อยก็แค่ขู่อ่ะครับ เพราะเอาเข้าจริงตัวเองก็กลัวการแก้แค้น เลยต้องเผ่นมาจากตรงนั้นน่ะครับ”

คำบอกเล่าของเดียร์ทำเอาผมหนักใจ ทำไมพวกเกย์ถึงอารมณ์แรงกันอย่างนี้นะ ถึงแม้ผมจะเจ็บใจที่นายบอยเกือบจะลงมือข่มขืนผม และซ้อมผมจนน่วม แต่ผมก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะต้องใช้วิธีรุนแรงตอบโต้ แก้แค้นกันไปแก้แค้นกันมาแบบนี้ ก็เหมือนยิ่งทำให้ความโกรธเกลียดชังมันเพิ่มมากขึ้น ชีวิตก็ไม่มีวันสงบ ต้องคอยลี้ภัย หรือไม่ก็ต้องตามทำร้ายกันไปเรื่อยๆ

ผมเห็นว่าเรื่องนี้มันควรจะจบลงได้แล้ว ผมอโหสิกรรมให้นายบอย ตั้งแต่ที่เขาเล่าให้ฟังว่าเขาได้ทำร้ายพี่ชายของเขาสาหัสแค่ไหน เดียร์ได้ทำเพื่อผมมากพอแล้ว ผมไม่อยากให้เขาหรือใครๆมาก่อเวรก่อกรรมอีก โดยเฉพาะถ้าหากมันจะมาจากที่ต้องการแก้แค้นให้ผมและเดียร์ ยิ่งไม่น่าจะกระทำใหญ่ เพราะไม่ใช่เรื่องของพวกเขาเลย

“แล้วน้อยจะเข้ามากรุงเทพวันไหนล่ะ”

“อาทิตย์หน้าครับ และผมก็มีเรื่องจะขอร้องเรียวนิดหน่อยนะ คือว่า ผมอาจจะต้องมาขออาศัยเรียวสักพักนะครับ จนกว่าน้อยจะมีที่อยู่ ตอนนี้ผมให้น้อยไปพักที่บ้านเช่าของผมก่อนนะครับ ให้อยู่กับพี่สมฤทัยกับพี่โสภิต มีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันได้ สามคนนั้นเขาสนิทกันครับ”

ชิส์ ทำอย่างกับว่าทุกวันนี้ ตัวเองไม่ได้มาอาศัยงั้นแหละ มาบ้านผมเกือบทุกวัน มีช่วงนี้เท่านั้นที่หายไปซ้อมเต้นจนดึกดื่นไม่กลับ ผมเองก็ไม่ได้รังเกียจรังงอนอะไร หากเขาจะมาหา แต่ทำไมผมถึงรู้สึกตะขิดตะขวงใจนักนะเวลาที่เขาพูดว่าจะมาอาศัยอยู่ด้วย หรือเป็นเพราะผมกลัวว่าเขาจะมาอยู่ด้วยตลอดไป ไม่ยอมกลับไปห้องพักของตนเอง ถ้าเป็นแบบนี้ การเลิกกันก็น่าจะลำบากน่ะสิ เห็นหน้ากันทุกวัน ยิ่งเดียร์ชอบมานัวเนียใกล้ๆ ทำดีด้วยบ่อยๆ จะไม่กลายเป็นว่าผมรักเขามากขึ้นจนไม่คิดอยากเลิกกับเขาเลยหรือ ผมไม่แน่ใจว่าผมพร้อมแล้วหรือไม่ที่จะใช้ชีวิตแลบนี้

“ทำไมไม่ให้เขามาพักด้วยที่บ้านฉันล่ะ”

อย่ากระนั้นเลย หาบุคคลที่สามมาอยู่ด้วยดีกว่า เดียร์จะได้เกรงใจไม่กล้าทำอะไรรุ่มร่าม
“ผมไม่อยากรบกวนเรียวไปมากกว่านี้ครับ น้อยเองก็ไม่ได้สนิทอะไรกับเรียวมาก เรียวอาจจะอึดอัด อยากอยู่เป็นส่วนตัว อีกอย่างน้อยเองถึงจะเป็นเพื่อนรักของผม เป็นคนดีจริงใจน่าคบหา แต่น้อยก็ขี้เม้าช่างพูด ผมกลัวว่าเขาจะเผลอพูดเรื่องผมกับคุณให้ใครฟัง เดี๋ยวคุณจะเสียหายครับ ก็เลยคิดว่า ให้แยกกันอยู่ไปแบบนี้ดีกว่า พอจบงานคราวนี้แล้ว ผมจะพาน้อยไปฝากไว้ที่ร้านคุณป้า น้อยทำอาหารอร่อยใช้ได้ทีเดียว คุณป้าคงชอบ พอเขาได้งาน ก็คงมีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน พอแยกออกไปแล้ว ผมก็กลับไปอยู่บ้านตามเดิมครับ”

เออจริงสินะ ผมไม่ทันได้คิดถึงข้อนี้ พอเดียร์พูดขึ้นมา ผมก็นึกภาพน้อยขึ้นมาทันที กระเทยแปลงเพศร่างล่ำลัน ใส่เสื้อสีสันฉูดฉาด และช่างพูดช่างคุย ปากเก่งเหมือนใครหนอ คุ้นๆ นี่ถ้าจับคู่กับเจ้าสันต์คงนินทาชาวบ้านกันมันพิลึก

“เอาแบบนั้นก็ได้”

เดียร์หอมแก้มผมฟอดใหญ่ แล้วกล่าวขอบคุณ จากนั้นเขาก็โอบประคองผมให้ลุกขึ้นบอกว่าจะทบทวนการเต้นรำให้ โดยรอบแรกเขาให้ผมเป็นผู้หญิงก่อน แล้วให้สังเกตวิธีการนำของเขา พอรอบสองเขาให้ผมลองนำดูบ้าง ส่วนเขาเต้นเป็นผู้หญิง ผมรู้สึกขัดเขินที่เต้นกับเขาเพียงลำพัง แต่ถูกเขาดุว่าถ้าไม่อยากขายหน้าเวลาขึ้นไปแสดงบนเวที ก็ให้ตั้งใจซ้อม ผมก็เลยฮึดขึ้นมา

ผ่านไปชั่วโมงหนึ่ง ผมก็เริ่มมั่นใจขึ้น เพราะจำท่าและเต้นตามได้ถูกจังหวะ แม้ผมจะไม่ได้อยากเป็นนักเต้นมืออาชีพ แต่ผมก็ไม่อยากหน้าแตกบนเวที ตำแหน่งหน้าที่การงานมันค้ำคออยู่ เลยทำให้ผู้บริหารทุกคนต้องถูกจับตามองเป็นพิเศษ ผมไม่อยากทำเปิ่นๆให้พนักงานเอามาล้อเลียนกันเป็นที่สนุกปาก ใครจะว่าผมคิดมากก็ช่าง แต่ผมอยากทำทุกอย่างให้ออกมาดีเพื่อเป็นแบบอย่างกับทุกคนว่า ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ควรจะตั้งใจทำจริงๆ ไม่เหลาะแหละเหลวไหล ไม่มีอะไรที่เราจะทำไม่ได้ หากใช้ความพยายามแล้วมันต้องสำเร็จ นี่คือวิธีการทำงานของผม หากพนักงานทุกคนเอาจริงเอาจังเรื่องการทำงานเท่ากับเวลาที่ทำเรื่องไร้สาระ ชีวิตของพวกเขาทุกคนก็จะก้าวหน้าประสบความสำเร็จกันทุกคน

“เรียวเหนื่อยไหมครับ”

เด็กหนุ่มถามด้วยความห่วงใย ผมยิ้มเนือยๆให้กับเขา รู้สึกเหนื่อยเพราะวันนี้ทำกิจกรรมหลายอย่าง ทั้งทำงาน ซ้อมเต้น และยังไปเดินอยู่ในงานแต่งตั้งหลายชั่วโมง กลับมาก็ถูกเดียร์จับมาซ้อมเต้นอีกจนเมื่อยไปหมด

“ก็นิดหน่อย”

“งั้นพักกันดีกว่านะครับ เรียวทำได้ดีมากแล้วนะ รับรองพรุ่งนี้เรียวได้เกิดแน่”

“บ้าน่ะสิ เอาแค่สนุกๆ ไม่ได้อยากเต้นเอาจริงเอาจังเป็นอาชีพแบบนายนี่”

“ดีแล้วครับ เรื่องเต้นเป็นหน้าที่ของผม เรียวแค่เป็นแฟนของนักเต้นก็พอนะครับ”

เขาทำน้ำเสียงยั่วเย้า น่าหมั่นไส้ยิ่งนัก ผมรีบผละจากเขา แต่เดียร์ดึงผมมากอดไว้ และตั้งต้นลวนลามกอดจูบผมไม่ยอมหยุด เหมือนคนที่อดอยากหิวโหยมานานแสนนาน พอเจออาหารก็กระโจนเข้าใส่ ผลักไสอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย ในที่สุดเดียร์ก็ปล้ำถอดเสื้อออกจากตัวผมจนได้ และโอบประคองผมลงนอนลงบนเตียงแล้วขึ้นมาทาบทับตัวผม
“คิดถึงมากเลยรู้ไหม ไม่ได้เจอกันตั้งเกือบอาทิตย์ เวลาไปสอนพวกคุณที่บริษัทผมอยากจะดึงตัวคุณมากอด แต่ก็ไม่มีโอกาสที่จะได้ทำ แถมซ้ำเรียวยังมัวแต่คลอเคลียอยู่กับคุณแคททำให้ผมหึงอยู่ตลอดเวลาอีก ต้องทำโทษเรียวที่ทำให้ผมคิดมาก แบบนี้ แบบนี้ และแบบนี้”

เขาระดมจูบผมทั่วทั้งใบหน้าและลำคอจากนั้นก็มาหยุดนิ่งเนิ่นนานที่ริมฝีปากของผม เดียร์ทำให้ผมรู้สึกอ่อนอกอ่อนใจ ในที่สุดผมก็ไม่เคยขัดขืนเด็กหนุ่มได้สักที นับตั้งแต่วันที่ผมแน่ใจตัวเองว่าผมรักเดียร์ ผมก็ปล่อยให้อารมณ์พิศวาสเข้าครอบงำยอมให้เดียร์ครอบครองร่างกายของผมครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความเต็มอกเต็มใจ

หนนี้ก็เช่นกันแม้จะพยายามห้ามใจไม่ให้หวั่นไหวไปกับสัมผัสของเด็กหนุ่ม แต่ความโหยหาอาวรณ์ในตัวเขา ทำให้ร่างกายของผมโอนอ่อนไปกับการแตะเนื้อต้องตัวอย่างรักใคร่นั้น กว่าจะหายมึนงงกับสัมผัสของเดียร์ เด็กหนุ่มก็ช้อนสะโพกของผมขึ้น และฝังร่างกายของเขาเข้ามาในร่างของผมเสียแล้ว ผมผวาเฮือก โอบกอดเดียร์ไว้แนบแน่น

ใบหน้าหล่อเหลาชื้นเหงื่อของเดียร์ชะโงกลอยอยู่เหนือใบหน้าของผม เขามองผมด้วยดวงตาที่ฉ่ำเยิ้ม ใบหน้าของเดียร์ยิ้มละไม มือสองข้างของเขาโอบประคองอยู่ตรงใบหน้าของผม มือลูบไล้ศีรษะของผมไปมา ในขณะที่ร่างกายท่านล่างของเขาก็ขยับเข้าออกเป็นจังหวะ

เวลาเดียร์ขยับร่างกายใหญ่โตของเขาทีไร ผมแทบจะกรีดร้องออกมาด้วยความสุขสม เขาทำให้อารมณ์ผมปั่นป่วนถึงขีดสุด ร่างกายเกร็งเขม็ง เคลื่อนไหวไปตามการบัญชาการของเด็กหนุ่ม ผมครางเรียกชื่อเดียร์เสียงลั่นราวกับจะตายเสียให้ได้ ยิ่งทำให้เด็กหนุ่มพอใจและทุ่มเทพละกำลังใส่ผมไม่หยุดยั้ง และแล้วก็ถึงช่วงเวลาแห่งสุขสุดยอด เดียร์พลิกตัวผมให้อยู่ในท่าคลานจากนั้นเขาก็เอามือข้างหนึ่งมาเกาะกุมน้องชายที่กำลังตื่นตัวของผม

มือใหญ่โตของเดียร์คลึงเคล้าให้ความสุขสันต์ ในขณะที่ร่างกายท่อนล่างของเขาก็เคลื่อนไหวต่อเนื่องไม่ยอมให้ขาดจังหวะ และเพิ่มความเร็วขึ้นตามช่วงอารมณ์ที่เตลิดเพริด ความหฤหรรษ์เกิดขึ้นกับผมระลอกแล้วระลอกเล่า ผมก้มหน้าลงหลับตาแน่น อ้าปากหายใจ มือเกร็งขยุ้มที่นอน ร่างของเดียร์กระตุกถี่ๆ และแล้วสายน้ำที่อุ่นวาบก็ถูกฉีดเข้ามาสู่กายผมพร้อมๆกับที่ไหลออกมาจากเรียวน้อยจนเลอะรดมือของเดียร์ที่กอบกุมมันอยู่

เด็กหนุ่มพลิกร่างผมให้นอนหงายตามเดิมทันทีที่เขาคลายตัวออก จากนั้นเดียร์ก็ใช้ปากทำความสะอาดน้องชายตัวล่อนจ้อนของผมจนสะอาดหมดจด เขายิ้มให้ แล้วก็เลื่อนตัวขึ้นมานอนกอดร่างกายที่ยังสั่นระริกของผม

“ยอดรักของผม คุณน่ารักเสมอเลย ผมรักคุณที่สุด พ่อแมวยั่วสวาทของผม”

“ใครเป็นแมวยั่วสวาทของนายกัน นั่นมันคำที่เขาใช้เรียกผู้หญิงไม่ใช่เหรอ”

ผมแหวใส่เขาเสียงสั่นๆ ยังไม่หายเหนื่อยจากปฏิบัติการณ์รักเมื่อครู่ เดียร์หัวเราะเอิ๊กอ๊าก อย่าง มีความสุข มือใหญ่ๆลูบไล้ไปมาบนเรือนร่างของผม พลางกระซิบเสียงอ้อนแถวๆข้างหูผม จนอดรู้สึกจั๊กกะจี้ไม่ได้

“ก็นี่ไงแมวยั่วสวาท เวลาเห็นเรียวเปลือยกายทีไร มันอดใจไม่ไหวจริงๆ เรียวอาจจะไม่รู้ตัวมาก่อนก็ได้ ว่าตัวเองมีร่างกายที่ยวนยั่วชะมัด ผิวขาว เนื้อตัวนุ่มเนียนหอมกรุ่น กล้ามเนื้อพอสวย โดยเฉพาะก้นแน่นน่าจับ เห็นแล้วน้ำลายสอ อยากกุ๊กกิ๊กด้วยทุกวันเลย นี่ถ้าเราแต่งงานกันนะครับ ผมจะพาเรียวไปฮันนีมูนในที่ไกลหูไกลตาผู้คน ที่ๆมีสายลมหนาว และเมฆหมอกปกคลุมทั่วขุนเขา ถ้ามีฝนตกทั้งวันได้ยิ่งดี ผมจะได้ไม่ต้องพาเรียวออกไปข้างนอก ขลุกกันแต่ในบ้าน และทำรักด้วยกันทุกชั่วโมงเลย”

ดูคนพูดสิ คิดได้ยังไงกัน เอาแต่ได้ไม่รู้จักพอจริงๆ นึกแล้วก็หมั่นไส้นัก เห็นผมเป็นของกินเล่นหรือไง ถึงจะมาชิมแล้วชิมอีก แล้วดูสิเจ้าคนพูดเริ่มซุกซนไม่อยู่สุขอีกแล้ว ผมเหนื่อยจนเกินกว่าที่จะแสดงภาคต่อของซีรี่ส์ชุดกลกามแห่งความรักกับเดียร์อีก เลยผลักเขาออก แล้วร้องชิส์ ใครจะไปฮันนีมูนกับนายกัน เชิญฝันเฝื่องไปคนเดียวเถอะ จะนอนแล้ว

เดียร์หัวเราะก๊ากๆชอบอกชอบใจ ดึงตัวผมกลับเข้าไปสู่อ้อมกอดของเขาใหม่พลางกระซิบงึมงำ บอกว่าไม่ต้องอาบน้ำหรอก เขาอยากสูดกลิ่นกายของผมหลังที่เราผ่านสมรภูมิรักมาด้วยกัน กลิ่นเหงื่อของผมเร้าใจดี ผมดิ้นหนีอีก รีบตะกายลงจากเตียงเพราะกลัวว่าเดียร์จะเริ่มบทอัศจรรย์ต่ออีก แล้วร้องบอกก่อนจะฉวยผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำ ว่าไม่ชอบทำตัวซกม่กแบบเขา เดียร์หัวเราะอย่างร่าเริง กระโจนลงจากเตียงทีเดียวก็ถึงตัวผม แล้วคว้าตัวเข้ามากอด จากนั้นก็ดันตัวผมเข้าห้องน้ำ และพูดเสียงอ้อนๆว่า อาบน้ำก็ดีเหมือนกัน เพราะผมตอนตัวหอมๆกอดจูบแล้วก็ชื่นใจ

ผมร้องหึนึกขวางคนตรงหน้าเมื่อกี้ยังบอกว่าชอบกลิ่นเหงื่อของผม ตอนนี้บอกว่าชอบดมเวลาผมสะอาดสะอ้าน พูดจาไม่อยู่กับร่องกับรอยจริงๆ เหมือนเดียร์จะเดาความคิดของผมออก เขายิ้มทะเล้น พูดเสียงออดอ้อนว่า อันที่จริง แบบไหนเขาก็ชอบ เพราะเขารักผม จะมีเหงื่อโทรม หรือเนื้อตัวหอมกรุ่น เขาก็ชอบทั้งนั้น พูดจบเขาก็อุ้มผมลงไปวางในอ่างน้ำ เปิดน้ำจากก๊อก แล้วก็ก้าวตามลงไป พยายามแย่งเอาสบู่มาถูเนื้อถูตัวผม หลังจากขัดขืนได้สักพัก ผมก็เสร็จเดียร์อีกจนได้ ปล่อยให้เขาเผด็จศึกผมจนหมดแรงนอนซบหน้ากับแผ่นอกของเดียร์ในอ่างน้ำนั่นเอง

ข้อสรุปที่ผมได้รับจากการที่เดียร์มาขลุกอยู่ด้วย มันทำให้ผมตกใจที่ตัวเองเปลี่ยนแปลงไปได้ขนาดนี้ นับวันผมก็ยิ่งต้านทานเดียร์ได้น้อยลง จากเดิมไม่เคยคิดที่จะอยากให้เขาแตะเนื้อต้องตัว แต่เมื่อผ่านค่ำคืนแรกที่เรามีอะไรด้วยกัน จนกระทั่งเมื่อผมแน่ใจว่ารักเขา ไม่มีวันไหนที่ผมจะต้องการเดียร์น้อยลงเลย ความปรารถนาในตัวเขาเพิ่มขึ้นทุกวันจนน่าใจหาย ใช่ว่าเดียร์จะอยากมีอะไรกับผมแค่คนเดียว ตัวผมเองก็อยากร่วมรักกับเขาทุกครั้งที่อยู่ด้วยกัน ผมรู้สึกกลัว กลัวว่าวันหนึ่งเมื่อสัญญาของเราสิ้นสุดลงแล้ว ผมนั่นแหละที่จะไม่กล้าเดินไปจากชีวิตของเดียร์ กลัวจะเลือกเด็กหนุ่มคนนี้มากกว่าหน้าที่การงาน นี่ผมจะทำอย่างไรดีหนอถึงจะหยุดรักเขาได้ หรือว่าผมควรจะใช้คุณแคทเป็นเครื่องมือทำให้เดียร์เข้าใจผมผิดจนเลิกยุ่งกับผมดี แต่ถ้าทำแบบนี้แล้วผมจะมีความสุขจริงๆหรือเปล่านะ ....ผมเองก็ยังสงสัยอยู่

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่29 3/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: โน๊อา ที่ 03-02-2009 12:25:37
คริ คริ

รักแท้ แพ้ใกล้ชิด   :impress2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่29 3/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: bigrat ที่ 03-02-2009 20:13:42
 :L2: เอาดอกไม้มาฝากพี่แอนคนจ๋วย
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่29 3/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: โน๊อา ที่ 04-02-2009 17:59:00
ไม่ได้นะ ตกมาหน้า 2 อ่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่30 4/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 04-02-2009 18:34:34
บทที่ 30

และแล้วก็ถึงวันงานปีใหม่ที่บริษัทจัดขึ้น ซึ่งก็ตรงกับวันครบรอบวันเกิดของผมด้วย ปีนี้ผมมีอายุครบ 28 แล้ว อายุเพิ่มขึ้นมาอีก 1 ปี มีทั้งเรื่องดีๆและเรื่องร้ายๆผ่านเข้ามาในชีวิตผมมากมาย ผมนึกอยากจะไปทำบุญตักบาตรในตอนเช้า จึงรีบปลุกเดียร์ให้ลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวไปดักรอพระที่หน้าหมู่บ้านเพื่อใส่บาตรด้วยกัน ก่อนที่ผมและเดียร์จะแยกย้ายกันไปทำงาน

เด็กหนุ่มพยายามจะซักถามผมว่าทำบุญเนื่องในโอกาสอะไร แต่ผมไม่ตอบคำถามของเขา บอกแต่เพียงว่า ไม่ได้ทำบุญมานานมากแล้ว อยากจะทำอะไรให้สบายใจบ้าง หลังจากผมผ่านเหตุการณ์ที่ไม่ดีถึงสองครั้งและรอดมาได้ โดยไม่เสียตัวให้กับคนเหล่านั้น เดียร์พยักหน้าอย่างเข้าใจ และเชื่อตามที่ผมพูด แต่ก็ไม่วายบ่นกระปอดกระแปดว่าน่าจะบอกกันแต่เนิ่นๆ เพราะเขาจะได้เตรียมตัวทำกับข้าวไว้เยอะๆ นานๆจะได้ทำบุญร่วมกับผมสักที น่าจะมีเวลามากกว่านี้ ไม่ต้องมาซื้อกับข้าวมาใส่บาตร เพราะหากทำดีๆ ผมกับเขาก็จะได้เจอกันอีกทุกชาติไป

ผมก็ดุเขาไปว่าเวลาทำบุญ ไม่ต้องบ่นอะไรให้มันมาก จะทำกับข้าวใส่บาตรเอง หรือซื้อมาใส่ ก็ได้บุญเหมือนกัน หากใจเราเปี่ยมไปด้วยศรัทธาตั้งมั่น มัวแต่คิดเล็กคิดน้อย บุญกุศลก็จะไม่ส่ง โดนผมว่าไปแบบนั้น เขาก็เลยได้แต่หัวเราะแหะๆ แล้วบอกกับผมว่า คราวหน้าถ้าผมจะไปทำบุญอีก อย่าลืมชวนเขาด้วยนะ เขาขอไปทำด้วย ผมกำลังอารมณ์ดี และเห็นว่าไม่เสียหายอะไร ผมไม่อยากกีดกันเด็กหนุ่มเพียงเพราะคำพูดที่ว่า อยากครองคู่กันทุกชาติไป เรื่องของบุญกุศลจะมาห้ามไม่ให้ใครทำนั้นไม่ได้ ผมเลยยอมตอบตกลงทำให้เดียร์ดีใจมาก ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ท่าทางร่าเริง

ทำบุญเสร็จ เราก็แยกย้ายกันไปทำงาน ผมถึงออฟฟิศแต่เช้า และเริ่มต้นทำงานอย่างที่ทำประจำ วันนี้บริษัทให้พนักงานเลิกเร็ว สามโมงครึ่งใครที่ทำงานเสร็จเรียบร้อยก็ให้เดินทางไปที่โรงแรมได้ โชคดีที่สถานที่จัดงานสามารถที่จะนั่งรถไฟฟ้าไปถึงและอยู่ไม่ไกลนัก คนที่มีรถจึงฝากรถกับบริษัทไม่ต้องขับออกไปให้มันติดอยู่บนท้องถนน ผมเองก็จอดรถไว้ที่บริษัทเช่นกัน กะว่าเลิกงานแล้วค่อยนั่งรถไฟฟ้ามาเอารถกลับบ้าน เพราะไม่ได้ตั้งใจจะอยู่นานนัก แค่แสดงเสร็จ แล้วอยู่อีกสักพักก็กลับบ้านแล้ว
คณะผู้บริหารที่จะขึ้นแสดงโชว์นัดแนะกันว่า จะไปซ้อมกันอีกครั้งเพื่อความมั่นใจที่โรงแรมเวลาประมาณบ่ายสาม เพราะพวกเราต้องแต่งตัวกันด้วย ทางคนจัดได้เปิดห้องวีไอพีให้พวกเราสองห้อง แยกเป็นของผู้บริหารชายและหญิง ซึ่งจะสามารถอาบน้ำแต่งตัวกันได้ในห้องนั้น

วันนี้ เดียร์ไม่ได้มาซ้อมให้พวกเราเพราะว่าเดียร์ต้องไปเต้น เขาบอกผมในตอนที่แยกกันว่าเขาให้พี่ชิ มาสอนแทน ซึ่งก็ไม่ต้องซ้อมอะไรมาก แค่กำหนดจุดให้ยืนบนเวที และซ้อมเต้นประกอบเพลงเพื่อดูความพร้อมกันแสดง โดยเขาจะกันไม่ให้ใครเข้างาน จนกว่าพวกเราจะซ้อมเสร็จ เพื่อเป็นการเซอร์ไพรซ์ จากนั้นก็จะปล่อยเวทีให้กับพวกพนักงานที่ส่งการแสดงเข้าประกวด ได้มาลองซ้อมกันบนเวทีบ้าง

พอพวกเราซ้อมกันเสร็จ ทีมงานผู้จัดก็จะต้อนพวกเราไปแต่งตัว ซึ่งชุดนั้นไปเช่ามาตามที่กำหนดไว้ว่าใครจะแสดงเป็นตัวไหน พวกเราต่างตื่นเต้นกันมาก โดยเฉพาะเจ้าสันต์กับศักดิ์ชายซึ่งสงบศึกกันชั่วคราว เพราะสองคนนั้น ต่างตื่นเต้นด้วยกันทั้งคู่ ผม เจ้าสันต์ และศักดิ์ชายได้ขึ้นเวทีแสดงเป็นครั้งแรก ก็เลยยังมีความกังวล คุณแคทเองก็ดูจะเครียดอยู่ไม่น้อย เธอแยกไปซ้อมคนเดียวหลังจากแต่งตัวเสร็จ บ่นงึมงำฟังความได้ว่ากำลังนับจังหวะอยู่

ฝ่ายจัดงานแจ้งให้พวกเราทราบว่า จะปล่อยให้พนักงานเข้าไปในห้องบอลรูมที่จัดงานประมาณ 5 โมงเย็นเมื่อทุกคนทะยอยเข้ามาจนหมด ก็จะมีโชว์จากแดนเซอร์ที่จ้างมา 4 ชุดเป็นการเปิดตัว ตามด้วย การแสดงเซอร์ไพรส์จากผู้บริหาร จากนั้นท่านประธานจะขึ้นไปกล่าวเปิดงาน ประกาศชื่อผู้ได้รับการโปรโมทเป็นผู้บริหารระดับสูง แล้วจึงจะเปิดโต๊ะจีนเอาอาหารหลักลงให้ทานกันได้ เวลาที่พวกเราจะแสดงจริงๆก็คือ ประมาณ 1 ทุ่มตรง หลังจากนั้นก็จะเป็นการแสดงของศิลปินนักร้องสาวสวยที่กำลังดังทั่วบ้านทั่วเมืองอยู่ขณะนี้สลับกับการแจกรางวัลและการแสดงโชว์ของพนักงาน

นาฬิกาข้อมือของผมบอกเวลา 6 โมงแล้ว ตอนนี้ทุกคนแต่งตัวเรียบร้อยและพร้อมที่จะขึ้นแสดงแล้ว ทีมงานมาเชิญพวกผมไปนั่งในโต๊ะวีไอพีสำหรับผู้บริหารระดับสูงที่อยุ่ทางด้านหน้า ใกล้เวที ผมรู้สึกเขินๆทั้งจากชุดที่ใส่และจากการที่ต้องไปนั่งร่วมโต๊ะกับผู้บังคับบัญชาระดับสูงเหล่านั้น ด้วยเป็นครั้งแรกที่ผมต้องไปร่วมโต๊ะกับพวกเขา แต่หัวหน้าบอกให้ผมไปนั่งด้วย เพราะว่าในงานจะมีการประกาศการเลื่อนตำแหน่งของผม และผู้บริหารท่านใหม่ท่านอื่นๆที่ได้รับการโปรโมตในปีนี้

พอเดินเข้างานมากลุ่มของพวกเราก็ถูกจับตามองเป็นพิเศษ เพราะแต่ละคนแต่งตัวอย่างอลังการในชุดประจำชาติของประเทศต่างๆ คุณแคทเองเรียกเสียงฮือฮาได้มาก ตอนเดินผ่านเข้ามาในงาน เพราะเธอทั้งสวยและเซ็กซี่ ในขณะที่มีเสียงชื่นชมไล่หลังผมด้วยเช่นกัน

เพลงที่คลอเบาๆ หยุดลงเมื่อผู้บริหารทั้งหมดนั่งที่จนครบหมดแล้ว ไฟในห้องดับพรึ่บเป็นการให้อานัติสัญญาณว่างานจะเริ่มขึ้นแล้ว ทุกคนต่างพากันเงียบ และแล้วหมอกควันก็พวยพุ่งปกคลุมเวทีเต็มไปหมด พร้อมกับเสียงกลองในจังหวะเร้าใจดังกระหึ่ม และแล้วคนป่าฝูงหนึ่งก็กรูกันขึ้นมาบนเวทีจากนั้นก็แหวกเป็นสองข้าง ชายหนุ่มร่างสูงในชุดแต่งกายชาวป่า ท่อนล่างนุ่งห่มหนังสัตว์ผืนเดียว ลำตัวท่อนบนเปลือยเปล่า มีสร้อยร้อยจากเขี้ยวเล็บ ฟันสัตว์ และขนนกอยู่ที่คอเดินเท้าเปล่าออกมาจากหลังเวที พอมาถึงตรงกลางก็เต้นไปตามจังหวะเพลงที่เร้าใจด้วยท่วงท่าที่แข็งแรง เป็นการโปรโมทคุณวุฒิท่องเที่ยวอาฟริกา
ตอนที่การแสดงเริ่มต้นนั้น ผมกำลังเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม ผมเกือบทำแก้วหลุดจากมือตกแตกเมื่อเห็นผู้ที่เต้นอยู่บนเวทีชัดเจน ใบหน้าหล่อเหลาที่ดูเรียบเฉย มีสีป้ายที่แก้มเป็นแถบแต่ไม่ทำให้ผมหลงลืมผู้เป็นเจ้าของ นายเดียร์สุดที่รักของผมกำลังเต้นอย่างเริงร่าอยู่บนเวที

ผมตะลึงงันจ้องมองบนเวทีตาไม่กระพริบ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเดียร์เต้นจริงๆไม่ใช่แค่ในมิวสิค หรือการสอนอย่างที่เขามาซ้อมให้พวกผม เดียร์เต้นเก่งมาก ดูพลิ้วไหวสวยงาม ทว่าแข็งแรงและทรงพลัง ผมมองอย่างทึ่งและชื่นชมในตัวของเขา

สักพักเพลงก็เปลี่ยนทำนองเป็นเพลงอินเดีย ฉากที่เพ้นท์ไว้เป็นป่าถูกชักขึ้น เป็นทัชมาฮาล มีสาวๆในชุดส่าหรี สีแสบสันต์ออกมาเต้นระบำ ยักไหล่ ส่ายหน้า และเลื้อยลำตัวอย่างอ่อนช้อย เพลงเปลี่ยนไปแล้ว แต่ตาผมยังจ้องอยู่บนเวที ไม่ได้ชื่นชอบกับนางระบำแขกตรงหน้า ใจของผมล่องลอยไปถึงหนุ่มชาวป่าที่เพิ่งลับหายเข้าไปหลังเวทีเมื่อสักครู่นี้

เดียร์มาแสดงที่บริษัทผมด้วยหรือ ทำไมเขาไม่บอกให้ผมรู้ แม้กระทั่งคุณแคทและคณะกรรมการคนอื่นๆก็ไม่บอกผม แต่มาคิดอีกที ผมอาจจะหลงลืมอะไรไปก็ได้ รู้สึกเหมือนเคยได้ยินว่าพวกเขาจ้างนักร้องผู้หญิงจากค่ายดัง และทีมเต้นจากค่ายเพลงนั้น จริงสินะ เดียร์เคยเต้นให้นักร้องคนนี้ ผมเห็นจากมิวสิค แล้วเขาก็ไปทัวร์คอนเสิร์ตกับนักร้องคนนี้ด้วย จึงเป็นไปได้ที่เขาจะเรียกใช้ทีมงานเดิม เพราะรู้งานดีแล้วไม่ต้องสอนกันใหม่ ผมมันไม่เฉลียวใจเอง อีกอย่างเดียร์ก็บอกผมว่าเขาจะไปเต้นให้งานปีใหม่ที่บริษัทแห่งหนึ่ง แถมซ้ำเดียร์ยังมาสอนพวกผมเต้นอีกด้วย แต่เป็นเพราะผมไม่ใส่ในที่จะถามเดียร์เองต่างหาก ผมจึงไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้

บนเวทีเพลงเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เป็นเพลงจีน เพลงญี่ปุ่น เพลงเกาหลี เพลงคันทรี่ของฝรั่ง และมีระบำรองเง็ง จนกระทั่งครบประเทศที่ตั้งไว้ว่าเป็นคุณวุฒิที่ท้าทายให้ตัวแทนพิชิต การแสดงชุดแรกจบลง ผมชะเง้อ ชะแง้มองหาเดียร์โดยไม่รู้ตัว อยากเห็นเขาอีกครั้ง แต่ไม่รุ้ว่าเดียร์จะออกมาเต้นอีกหรือเปล่า ไฟบนเวทีดับลงอีกครั้ง เพื่อเปลี่ยนชุดการแสดง

จากนั้นเสียงเพลงจังหวะละตินของเชอกีร่าก็ดังขึ้น แล้วแดนเซอร์สาวคนหนึ่งก็นวยนาดออกมา ทันทีที่เพลง Hips don’t lie ดังขึ้น จากนั้นเสียงปรบมือฮือฮาก็ดังอย่างต่อเนื่อง เมื่อหนุ่มลูกครึ่งผมหยิกสลวย ที่อยุ่ในชุดกางเกงรัดรูปสีดำ ท่อนบนเปลือยเปล่าอีกเช่นเคย เดินเข้ามาหาสาวสวยที่เต้นยั่วอยู่กลางเวที

ผมใจคอไม่เป็นปกติ เมื่อเห็นลีลาเคลื่อนไหวที่ร้อนแรงยั่วใจที่สองหนุ่มสาวแสดงด้วยกัน นึกโมโหคนที่เลือกชุดการแสดงว่าทำไมถึงให้มีโชว์แบบนี้กันหนอ มันหวาบหวามจนเกินไป เดี๋ยวพนักงานของบริษัทได้ใจแตกกันพอดี ผมลอบสังเกตไปยังคนที่อยุ่ในโต๊ะเดียวกับผม เห็นเจ้าสันต์มองตาค้าง ข้างฝ่ายศักดิ์ชายก็ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเอง คุณแคทนั่งยิ้มอย่างพึงพอใจ ในขณะที่ผู้บริหารสาวๆอีกสองสามคนจ้องมองอย่างชื่นชม

มีเสียงพูดคุย อย่างชอบอกชอบใจดังขึ้นจากพนักงานโต๊ะข้างหลังผม ดูท่าทางเดียร์จะได้ใจสาวๆที่บริษัทผมไปเยอะ ไม่ว่าจะเป็นการเต้นที่สวยงาม และรูปร่างหน้าตาที่แสนจะเพอร์เฟค จนผมแอบภาคภูมิใจนิดๆ ที่คนใกล้ตัวของผมมีคนชื่นชมมากมายขนาดนี้ พร้อมๆกับที่นึกโมโหทั้งคนจัดงาน และเดียร์ที่รับงานมาเต้นวาบหวามแบบนี้ ทำไมต้องถอดเสื้อแสดงด้วยนะ ใส่เสื้อผ้าเต้นไม่เป็นหรือไง แล้วถ้าจะโปรโมตคุณวุฒิท่องเที่ยวประเทศในแถบละตินอเมริกา ก็ไม่น่าจะเลือกเพลงนี้นี่นา เพลงอื่นก็มี แล้วท่าเต้นก็เรียบร้อยกว่านี้ก็ได้ ยิ่งคิดผมก็ยิ่งขวางหูขวางตาไปหมด
โชคดีที่เดียร์ไม่ได้แสดงในอีกสองชุดสุดท้าย เขาคงจะไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเพื่อเต้นให้กับนักร้องสาว ทำให้ผมไม่ต้องหงุดหงิดไปมากกว่าเดิม ทีมงานจัดงาน มากระซิบพวกเราว่าถึงคิวแสดงแล้ว ให้ทะยอยกันเดินไปซ่อนอยู่หลังเวที พวกเรารับทราบ และค่อยๆทะยอยลุกขึ้น พร้อมๆกับที่ไฟบนเวทีดับมืดลง จากนั้นสไลด์แอบถ่ายพนักงานที่นำมาตัดต่อประกอบกับเพลงก็ถูกฉายขึ้นมาบนจอที่ถูกทิ้งลงมาหน้าเวที เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจไปจากพนักงาน เหล่านักแสดงระดับวีไอพีจะได้ไปแอบกันได้โดยไม่มีใครรู้

สไลด์จบ ไฟในห้องยังดับมืดมีเพียงสปอตไลท์ที่ส่องมาที่โพรเดียม พิธีกรคู่เดินขึ้นไปบนเวทีกล่าวทักทายกันตามธรรมเนียมและเชิญชวนให้พนักงานชมการแสดงโชว์จากเหล่าศิลปินรับเชิญที่ทุ่มเทให้กับงานนี้เป็นพิเศษ ระหว่างที่พิธีกรประกาศอยู่นั้น ผมเหลียวมองไปรอบๆเพื่อที่จะมองหาใครบางคน และก็พบว่าคนร่างสูงใหญ่ใบหน้าหล่อเหลา ซึ่งตอนนี้อยู่ในเสื้อคลุมขนสัตว์กำลังมองผมพร้อมส่งยิ้มหวานมาให้เป็นกำลังใจอยู่ตรงข้างหลังเวทีอีกด้าน

ผมเผลอยิ้มตอบให้กับเดียร์ ได้เห็นเขาพูดอะไรบางอย่าง อ่านปากได้ว่า ขอให้โชคดี จากนั้นเดียร์ก็ลอบส่งจูบมาให้ผม ทำเอาผมเขินอายหน้าแดงก่ำ ชะงักงันไม่กล้าก้าวขึ้นเวทีทั้งๆที่พิธีกรประกาศแล้วจนกระทั่งเจ้าสันต์ต้องเอาศอกกระทุ้งสีข้าง ผมจึงได้สติ มันกระซิบข้างหูผมบอกว่า ไม่ใช่เวลาจะมาหวานแหวว ได้เวลาโชว์ความสามารถของผู้บริหารแล้ว จากนั้นก็เดินแซงหน้าผมขึ้นเวทีไปอย่างมั่นอกมั่นใจ ทั้งๆที่จริงๆตอนอยู่ข้างล่างมันแสดงอาการปอดมากกว่าคนอื่น

การแสดงจบลงแล้วอย่างน่าประทับใจ เสียงปรบมือกึกก้อง จากพนักงานทุกคน มีเสียงเป่าปาก เสียงตะโกนว่าเอาอีก เอาอีก จากพวกที่กล้าๆ และคนที่ดื่มเข้าไปเยอะ พวกเรายิ้มอย่างปลาบปลื้มกับความสำเร็จในฐานะนักแสดงกิตติมศักดิ์ของพวกเรา ไม่นึกว่าคนจะชื่นชอบกันขนาดนี้ หูตาของผมพร่าพราย ความเครียดต่างๆมลายหายไปสิ้น เหมือนภูเขาถูกยกออกไปจากอก โล่งไปหมด

แต่แล้วคลื่นแห่งความวิงเวียนก็โถมทับกลับเข้ามาใหม่จนผมอยากจะอาเจียน ต้องรีบเดินไปเข้าห้องน้ำ แต่ก็ไม่มีอะไรออกมา ผมคงเครียดจัดเพราะอดนอนจากการทำงาน และการฝึกซ้อมจนดึกดื่นเพราะอยากให้มันออกมาดีเลยทำให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยา ผมพยายามนั่งนิ่งๆในห้องน้ำ เพื่อให้อารมณ์สงบลง พอค่อยยังชั่วแล้ว กำลังจะเปิดประตูออกมา เสียงคนคุยกันจากภายนอกก็ดังขึ้น ทำให้มือที่กำลังจะเอื้อมไปจับลูกบิดชะงักค้าง

“เฮ้ยเป็นไปได้ไงวะ คุณเรียวที่เคร่งขรึมจะออกมาทำอะไรแบบนั้น คนจัดงานนี่เก่งว่ะ ตะล่อมให้คุณเรียวแกออกมาเต้นได้”

ใครบางคนเอ่ยถึงผมออกมา ทำให้ผมไม่กล้าออกมาเผชิญหน้าเขาได้แต่ยืนฟังอยู่ในห้องอย่างเงียบๆ

“ปีนี้บริษัทจัดงานได้ใจมาก ได้ดูผู้บริหารที่วันๆเอาแต่เก๊กดุด่าพวกเรามาเต้นแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ แล้วการแสดงก็ดูดีมาก โดยเฉพาะโชว์เปิดตัวสี่ชุด นักเต้นมืออาชีพมากเลยว่ะ”
ชายหนุ่มอีกคนพูดชื่นชมการจัดงานของบริษัทออกมา ซึ่งอันนี้เป็นเรื่องดีที่คนพึงพอใจการทำงานของคณะกรรมการชุดนี้

“ฉันละช๊อบชอบ แดนเซอร์คนที่หล่อๆ ตัวสูงๆคนนั้นน่ะ ล้อหล่อนะพวกเธอ”

เสียงที่สามดังขึ้น ฟังจากน้ำเสียงแล้วไม่น่าจะใช่ผู้ชายแท้ๆ

“เห็นมีคนบอกว่า แดนเซอร์คนนั้นน่ะ เป็นคนรู้ใจของคุณเรียวนะ”

ผมรู้สึกหน้าชาเมื่อได้ยินประโยคนั้น ใครกันนะ ที่บังอาจมานินทาผมในห้องน้ำ จะออกไปแสดงตัว ก็กลัวจะพลาดเรื่องดีๆ บางทีการฟังคนอื่นวิพากษ์วิจารณ์เราก็ดีเหมือนกัน จะได้เป็นกระจกส่องเงาสะท้อนภาพว่าคนอื่นมองเราอย่างไร

“ฮ้า จริงเหรอ ไม่ใช่คุณแคทหรอกเหรอ เห็นสองคนนั่นสนิทกันจะตาย”

“ไม่หรอกคุณแคทน่ะมาทีหลัง แต่คุณเรียวกับแดนเซอร์นั่นเขาชอบพอกันมาตั้งนานแล้ว ก่อนหน้าที่คุณแคทจะมาอีก”

เสียงเดิมกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ

“แล้วไปรู้เรื่องนี้ได้ไง”

“โหย จากแหล่งข่าวที่เห็นมาด้วยตาตัวเองเลยล่ะ คนแรกก็ยามที่เฝ้าประตูไง เขาเคยเห็นพ่อแดนเซอร์คนนี้ขึ้นมาหาคุณเรียวที่ห้องทำงานด้วย นานมาแล้ว และพ่อแดนเซอร์นี่ก็แวะเวียนเอาของฝากมาให้คุณเรียวประจำ ที่ฉันรู้เพราะว่าเอ้อ ฉันไปมีอะไรกับยามนั่นมา แล้วเจ้ายามนั่นก็ปากพล่อยพูดขึ้นมาว่า ที่บริษัทเรามีเกย์หลายคน ต่อมอยากรู้ของฉันมันก็เลยทำงาน ถามมันไปว่าใครบ้าง เจ้ายามนั่นก็เลยเล่าให้ฟังน่ะ”

ผู้ชายคนนั้นตอบข้อสงสัยให้กับเพื่อนทั้งสอง ผมจินตนาการได้เลยว่าคนพูดกำลังลอยหน้าลอยตาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของคนอื่นอย่างไร นึกโกรธคนพวกนี้และเจ้ายามปากมากนั่นด้วย นึกแล้วว่าเขาจะต้องเอาเรื่องที่เดียร์มาหาผมพูดให้คนอื่นรู้ ผมไม่น่าใจดียอมให้เดียร์ขึ้นมาหาได้เลย

“แค่ยามพูดจะเชือ่ถือได้ไงวะ โธ่เอ๊ยอีตุดส์ เห็นใครหล่อหน่อยก็จะอยากให้เขาเป็นเกย์ เป็นกระเทยไปหมด เซ็งจริง”

เสียงแรกกล่าวตำหนิผู้ที่กำลังพูดคุยเรื่องของผม

“ต๊ายยยยย พวกเธอนี่ไม่รู้อะไรเลยนะยะ ถ้าไม่เชื่อยาม แล้วจะเชื่อคนอื่นไหมล่ะ รับรองว่าเรื่องนี้มีมูลความจริงแน่ ฉันได้ยินเรื่องนี้อีกครั้งจากปากของคุณอรจิราโดยบังเอิญนะ วันก่อนฉันน่ะไปทานข้าวกับกิ๊กของฉันที่ร้านอาหารไฮโซแห่งหนึ่ง กำลังสวีทกันอยู่ดีๆ ก็ได้ยินคนถกเถียงกันเสียงดังที่โต๊ะข้างๆ ก็เลยแอบแหวกต้นไม้ที่กั้นระหว่างโต๊ะออกดู ก็เห็นคุณอรจิรากับคุณอนันต์กำลังถกเถียงกันอยู่ ทำนองว่าคุณอรจิราโกหกเรื่องเคยเป็นแฟนกับคุณเรียวมาก่อน คุณอรแกก็บอกว่าแกเลิกแล้ว เพราะว่าคุณเรียวเป็นเกย์น่ะ คุณอรยังบอกอีกว่า น่าจะเป็นมาตั้งนานแล้ว และแฟนคนแรกของคุณเรียวก็คือคุณสันต์ ที่ตอนนี้กลายมาเป็นเพื่อนกันน่ะ”
“เออ ก็เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าคุณเรียวกับคุณอรจิราเคยเป็นแฟนกันมาก่อน แล้วก็เลิกกันไป เพราะคุณอรไปเป็นแฟนกับคุณอนันต์ แต่ถึงไงฉันก็ไม่เชื่ออยู่ดีว่ะ เพราะคุณอรเองก็เป็นผู้หญิงที่ร้ายกาจเหมือนกัน ชอบทำตัวหยิ่งๆไฮโซ นี่ก็ได้ข่าวว่าคุณอนันต์เขาเบื่อ เขี่ยทิ้งแล้วนี่ สมน้ำหน้า ผู้หญิงไฝ่สูงแบบนั้น เห็นเงินดีกว่า เป็นฉันๆก็ไม่เอาว่ะ”

ผู้ชายคนที่สองโต้ตอบผู้พูดคนที่สามบ้าง ถึงแม้จะรู้สึกไม่พอใจที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในทางที่เสื่อมเสียและไม่มีมูลความจริงในเรื่องของสันต์และเหตุผลของการเลิกรากับอรจิรา ทว่าผมก็รู้สึกดีขึ้นมานิดหนึ่งที่ยังมีคนไม่เชื่อเรื่องราวนินทาเกี่ยวกับตัวผม แต่มันจะมีคนที่ไม่สนใจข่าวลือของคนอื่นสักกี่มากน้อย อีกไม่นานคำพูดเหล่านี้มันก็คงกระจายไปต่อปากไปทั่ว ผมรู้สึกอึดอัดขับข้องใจ ไม่ชอบที่มีคนเอาเรื่องของคนอื่นมานินทาแบบนี้ โดยเฉพาะคนนินทาเป็นเพียงพนักงาน และผู้ถูกนินทาเป็นผู้บังคับบัญชา

ผมไม่ได้ถือยศถือศักดิ์ว่าเป็นผู้บริหารแล้วใครจะแตะต้องไม่ได้ หรือทำผิดไม่เป็น แต่ผมมองเรื่องของการควรหรือไม่ควรมากกว่า เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องส่วนตัวไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องงาน จริงหรือไม่จริงไม่ควรจะเอามาพูดกันไป เพราะหากได้ยินไปถึงหูคนที่ถูกนินทา พนักงานอาจจะถูกเพ่งเล็งและถูกตักเตือนเรื่องความประพฤติได้ ดีไม่ดีอาจจะถูกภาคฑัณฑ์ หรือพักงานไปเลย ถ้าถูกจับได้ว่าเป็นต้นตอที่ปล่อยข่าวลือทำลายผู้บังคับบัญชาให้ได้รับความเสียหายถูกดูหมิ่นเกลียดชัง แต่ผมไม่ใช่คนใจร้ายแบบนั้น ผมคงไม่ไปทำลายอนาคตใครแบบนั้น

แค่รู้สึกไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงต้องเอาเรื่องของคนอื่นมานินทาเล่นเพื่อความสนุกปาก ถ้าผมจะทำอะไรหรือเป็นอะไร มันสร้างความเสียหายให้กับคนอื่นๆมากมายกระนั้นหรือ ทำไมจึงไม่มองคนที่ความสามารถมากกว่าที่จะมองว่าเขาเป็นคนที่ปกติเหมือนคนอื่นหรือเปล่า


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่30 4/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 04-02-2009 18:35:01
ผมกับเดียร์ไม่ได้ทำอะไรผิด ถ้าผมกับเขาจะรักกันมันเป็นเรื่องของหัวใจ และผมเองก็พยายามระมัดระวังตัวไม่ทำอะไรให้เกิดความเสื่อมเสีย เรื่องระหว่างเราในวันข้างหน้ายังไม่อาจจะรู้ได้ว่ามันจะมีบทสรุปอย่างไร ผมอาจจะเลิกยุ่งเกี่ยวกับเขา ต่างคนต่างไป หรือผมอาจจะทำตามเสียงเรียกร้องของหัวใจอยู่กินกับเขาอย่างเปิดเผย มันเป็นทางเลือกที่ผมเองก็ยังไม่รู้ว่าจะตัดสินใจอย่างไรเลยด้วยซ้ำ แล้วคนพวกนี้มีสิทธิ์อะไรที่จะวิพากษ์วิจารณ์ในตัวผม

รู้สึกว่าจะอยู่เฉยๆไม่ได้อีกแล้ว ผมน่าจะแสดงตัวให้พวกเขารู้ว่าคนที่พวกเขากำลังนินทากันอยู่ ได้ยินข้อความทั้งหมดเต็มสองรูหู ขณะที่ผมกำลังจะบิดประตูเพื่อเปิดมันออก ประตูห้องน้ำห้องถัดไปก็เปิดออก พร้อมด้วยเสียงดังอย่างมีอำนาจของใครบางคนที่ต่อว่าคนที่อยู่หน้าห้อง

“พวกคุณไม่มีอะไรทำกันหรือไงครับ ถึงได้มานินทาคนอื่นแบบนี้ ระวังหน่อยนะครับ นั่นผู้บริหารระดับสูงของคุณไม่ใช่เหรอ ถ้าเขามาได้ยินเข้าแล้วไปฟ้องเจ้านายของพวกคุณจะมีปัญหาในภายหลังนะครับ เรื่องแบบนี้จะจริงหรือไม่จริงมันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา พวกคุณไม่มีสิทธิวิพากษ์วิจารณ์ ชื่นชมเขาที่ผลงานก็พอครับ”

เสียงนั้นดูคุ้นๆเหมือนเคยได้ยินที่ไหน ถึงอย่างไรผมก็รู้สึกขอบคุณที่เขาเข้ามาช่วยเหลือ
“ว้ายๆๆๆ ขอโทษฮ่ะ คุณทรงพล พวกเราไม่ได้เม้าท์อะไรมากมายฮ่ะ เพียงแค่จะบอกว่า เขาสมกันดี ระหว่างคุณเรียวกับนายแดนเซอร์นั่น คนหนึ่งก็ล้อหล่อ อีกคนก็หน้าหวานฮ่ะ ก็แค่ชื่นชมเท่านั้นเอง ถ้าเขาเป็นอย่างพวกผมก็ดีสิฮะ”

ชื่อของนายทรงพลที่พนักงานคนนั้นเรียกทำให้ผมชะงักมือที่กำลังจะเปิดประตู และยืนนิ่งเงียบอยู่ในห้องน้ำไม่อยากออกไปเผชิญหน้ากับคนที่เคยทำร้ายผม รู้สึกตกใจและแปลกใจ ที่อยู่ๆก็ได้รู้ว่านายทรงพลมาเกี่ยงข้องในเรื่องนี้ด้วย แถมซ้ำยังช่วยพูดด่าคนพวกนั้นให้อีก

ไม่รู้ว่าตาเฒ่าคนนี้มาโผล่ในงานปีใหม่ของบริษัทได้ไง ใครเป็นคนเชิญมา งานนี้เป็นงานที่จัดเฉพาะคนในบริษัทเท่านั้น พนักงานสามารถนำครอบครัวมาร่วมสนุกด้วยได้ แต่ไม่อนุญาตให้ลูกค้าเข้ามาร่วมด้วย คุณแคทชวนมาหรือเปล่านะ ไม่น่าจะใช่ น่าจะเป็นคนที่ตำแหน่งใหญ่กว่านั้นมากกว่า อาจจะเป็นท่านประธานก็ได้ นายทรงพลคงขอมาร่วมด้วยเนื่องจากเป็นลูกค้าวีไอพี และรู้จักกับผู้ที่กุมบังเหียนบริษัทเป็นอย่างดี

เห็นทางสต๊าฟจัดงานบอกว่า รางวัลที่จะแจกให้พนักงานปีนี้ ได้มีการขอสปอนเซอร์มาจากฝ่ายขายซึ่งพวกเขาก็ยินดีจะให้เพื่อเป็นการขอบคุณที่พนักงานบริษัทได้ช่วยทำให้งานของฝ่ายขายดำเนินไปอย่างราบรื่น แม้แต่ร้านเพชรของนายทรงพลก็ร่วมด้วย เขาใจป้ำให้ช่วยเงินสดมา 10000 บาท และบัตรกำนัลลด 25 % สำหรับคนที่จะไปทำเพชรที่ร้านอีกตั้ง 5 ใบ แถมด้วยสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาทอีก 1 เส้น ซึ่งนับว่ามากกว่าผู้บริหารคนอื่นๆ

ด้วยเหตุนี้กระมังเขาจึงถือสิทธิ์ที่จะเข้ามางานที่มีเฉพาะสต๊าฟและครอบครัว คงคิดว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทนี้เช่นกัน นี่ผมจะสามารถหลบไม่เจอเขาไปได้ตลอดหรือเปล่า แค่นึกถึงการที่ต้องไปเจอหน้าตาตาเฒ่านั่น ผมก็เอือมจนจะแย่อยู่แล้ว รู้สึกผะอืดผะอำราวกับว่าอาหารที่กินเข้าไปพร้อมใจกันจะออกมา

นายทรงพลกล่าวตำหนิคนพวกนั้นถึงความควรไม่ควรต่อไป เขาเทศนาสั่งสอนอยู่นานซึ่งคนเหล่านั้นก็ยอมรับผิด และยังขอร้องให้นายทรงพลอย่าเอาเรื่องนี้มาบอกให้ผมทราบ นายทรงพลก็รับปาก หลังจากนั้นคนทั้งสามก็ขอตัวออกไปจากห้องน้ำ

ทันทีที่ปลอดคน นายทรงพลก็พูดด้วยเสียงอันดังเรียกชื่อผมเหมือนว่าเขารู้ว่าผมอยู่ข้างในห้องด้วย ผมยังยืนเฉย เขาก็พูดทำนองว่า เขารู้ว่าผมอยู่ในนั้น เพราะเดินตามมาเข้าห้องน้ำติดๆ ให้ผมออกมาเถอะอย่ามัวแต่ซ่อนตัวอยู่ในนั้นเลย จะทนดมกลิ่นเหม็นๆอยู่ทำไม การซ่อนตัวก็ไม่ใช้วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้อง เพราะถึงอย่างไรผมก็หนีความจริงไปไม่พ้น สู้ออกมาเผชิญกับปัญหาที่เกิดขึ้นดีกว่า

ในเมื่อเขารู้แล้วว่าผมอยู่ในที่นั้น ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องหลบซ่อน ผมเปิดประตูออกมาจากห้อง และเตรียมจะเดินหนี แต่นายทรงพลกับเรียกผมไว้อีกครั้ง พลางต่อว่าผมว่าเป็นคนไม่รู้บุญคุณคน เขาอุตส่าห์ช่วยไล่พนักงานปากมอมให้ ก็น่าจะอยู่คุยกับเขาสักหน่อย จะโกรธกันยันตายเลยหรือ ผมแค่นยิ้มบอกเขาไปว่าผมขอบคุณที่เขายื่นมือเข้ามาช่วย แต่ผมไม่มีเรื่องจะพูดคุยกับเขาอีก แต่นายทรงพลบอกว่ามี สำคัญมากด้วย เขาขอท่านประธานมางานนี้ เพื่อจะหาโอกาสมาพูดคุยกับผมโดยเฉพาะ พอผมย้อนถามเขาว่ามีเรื่องอะไร เขาก็หัวเราะ
จากนั้นนายทรงพลก็เอ่ยปากขอโทษขอโพยผมในสิ่งที่ทำลงไป มันอาจจะดูแย่ที่วางแผนล่อลวงผมขนาดนั้น และรู้ว่าผมไม่มีวันที่จะอภัยให้กับเขา เขาไม่อาจจะบังคับให้ผมมาเชื่อหรือชอบเขาตอบได้ แต่เขาทำลงไปเพราะความชื่นชอบในตัวของผมจริงๆ และต้องขอบคุณที่ผมไม่เอาเรื่องกับเขา ทำให้เขาซาบซึ้งใจมาก

ผมยืนฟังคำพร่ำพรรณาของนายทรงพลอย่างอดทน อยากเดินหนีไปเสียให้พ้นๆ ไม่อยากทำตัวเป็นคนมีมารยาทกับคนที่กล้าทำกับคนอื่นแบบนี้ แม้ว่าผมจะไม่เชื่อจริงๆว่านายทรงพลสำนึกผิด แต่ผมกลับไม่ขยับขาเดินหนี เพราะผมอยากให้ทุกอย่างมันจบลงด้วยดี

อย่างน้อยๆก็ไม่อยากมีเรื่องกับนายทรงพลในงานของบริษัท เดี๋ยวงานจะกร่อย และเพื่อให้เกียรติแก่ท่านประธานที่มาร่วมเป็นเกียรติในงานด้วย น้ำขุ่นไว้ในน้ำใสไว้นอก เป็นสิ่งที่ผมพยายามท่องให้ขึ้นใจเพื่อระงับความโกรธเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับคนไร้ยางอายแบบตาเฒ่าลามกคนนี้

“แฟนของคุณเรียว หล่อมากเลยนะ ยิ่งเห็นลีลาการเต้นบนเวทีที่เร้าใจแบบนี้ บอกได้คำเดียวว่าน่ารักน่าหลงเป็นที่สุด มิน่าคุณถึงไม่เปลี่ยนใจ”

อยู่ๆนายทรงพลก็วกเข้ามาที่เรื่องนี้ ผมทำหน้าเฉยเมย ไม่จำเป็นต้องตอบรับหรือปฏิเสธคำพูดของเขา
“แต่หมัดหนักชะมัด รู้มั๊ย เขามาเล่นงานผมเสียหมอบเลย ตอนแรกผมกะจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด แต่คุณแคทมาขอร้องให้ผมเลิกแจ้งความกับแฟนของคุณ

หึหึหึ รู้ไหมคุณแคทพูดถูกหลายอย่าง ผมเอาเรื่องแฟนคุณได้ ใช้อิทธิพลเอาเขาเข้าคุก แต่ผมจะเสียมากกว่าที่จะได้ อย่างน้อยๆเมื่อมีการต่อสู้กันในศาลเกิดขึ้นเพราะคุณคงไม่ยอมเห็นคนรักของคุณเข้าซังเตฟรีๆแน่ การขุดคุ้ยก็จะเกิด ผมก็จะถูกแจ้งความกลับที่พยายามทำร้าย และทำอนาจารกับคุณ......

หนังสือพิมพ์คงชอบข่าวพวกนี้นัก จริงๆหรือไม่จริง แต่ข่าวมันก็คงลงไปแล้ว ตระกูลผม ร้านผมคงดังระเบิดกันทีนี้ แต่ในทางเสื่อมเสีย ชื่อผมคงจะขึ้นแบล็คลิสก์จากบริษัทประกัน เพราะมีประวัติก่อเรื่องในเชิงชู้สาว แถมซ้ำกับเจ้าหน้าที่พิจารณารับประกันของบริษัทด้วย ทีนี้บริษัทอื่นคงเข้มงวดกับการรับประกันผมแน่ แถมซ้ำผมก็จะต้องผิดใจกับท่านประธานอีกด้วย ที่ไปยุ่งเกี่ยวกับคนในบริษัทของเขาจนมีเรื่อง”

ก็รู้ดีนี่ ผมนึกค่อนในใจ นายทรงพลมองหน้าผม และยิ้มให้ แต่ผมไม่ยิ้มตอบ ใจยังนึกโกรธอยู่ไม่หาย จึงไม่พยายามจะรับไมตรีที่เขาหยิบยื่นมาให้อีก เฒ่าเจ้าเล่ห์ยักไหล่ และกล่าวต่อ

“พอคุณแคทมาขอร้อง ผมก็เลยยอมตกลง เพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์อันดีของครอบครัวเราสองคน และเพื่อเห็นแก่หน้าคุณด้วย ผมไม่ได้อยากทำร้ายคุณนะ ผมแค่จะเอาคืนแฟนคุณเท่านั้น แต่ตอนนี้ก็จบกันไป แต่เอาล่ะ เรื่องมันจบลงตรงที่ผมไม่เอาความแฟนคุณ

แต่ผมก็ยังทนไม่ได้อยู่ดีที่จะเห็นคุณสองคนครองรักกัน เพราะใจผมมันเจ็บปวดที่คนที่ตัวเองชอบ เป็นแฟนกับคนที่ทำร้ายผมเสียจนตาเกือบบอด อย่างน้อยๆผมก็อยากให้เขาเจ็บปวดบ้าง และวิธีการที่จะทำให้เขาเจ็บปวดก็คือ การที่คุณกับเขาต้องเลิกรากัน”
นายทรงพลพูดด้วยน้ำเสียงHereมเกรียม นึกแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ คนอย่างนายทรงพล คงไม่สามารถที่จะกลับตัวเป็นคนดีได้หรอก เพราะความชั่วช้าในใจมันคงฝังรากหยั่งลึกเสียแล้ว เสียเวลาเปล่า ผมไม่น่าทนยืนฟังอยู่เลย

คิดได้ดังนั้นผมก็หมุนตัวจะเดินกลับไปยังห้องจัดงาน แต่นายทรงพลเดินเร็วๆมาคว้าแขนผมไว้ ผมสะบัดอย่างแรงด้วยนึกรังเกียจตาเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่น เขาทำหน้าตกใจที่เห็นผมหลุดอาการโมโหออกมา ถอยออกไปยืนหน้าเจื่อน เมื่อปรับสีหน้าได้แล้ว รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็กลับมาเหมือนเดิม และคำพูดชั่วร้ายก็ออกจากปากนายทรงพลออกมาอีก

“อย่าลืมสิ คุณแลกเปลี่ยนการที่ผมไม่แจ้งความจับแฟนคุณ ด้วยการรับปากจะเป็นแฟนกับคุณแคท นึกว่าผมไม่รู้เหรอว่าเป็นข้อตกลงของคุณสองคนเพื่อตบตาผม อย่ามาอ้างว่าคุณสองคนรักกันเลย ผมไม่เชื่อหรอก เวลาเพียงแค่ไม่กี่เดือนคุณสองคนจะมาสานสัมพันธ์กันอะไรได้เร็วขนาดนั้น

แล้วคุณแคทก็ยังลืมแฟนเก่าไม่ได้ คุณเองก็หลงรักแฟนคุณหัวปักหัวปำ เพราะผมเห็นสายตาของคุณมองนายแดนเซอร์นั่น มันบ่งบอกว่าคุณรักเขาแค่ไหน แต่เมื่อรับปากแล้วว่าจะไม่ยุ่งกับคุณผมก็ต้องรักษาคำพูด

หากเมื่อไหร่ที่จับได้ว่าคุณกับคุณแคทแค่เล่นตลกหลอกผมอย่างที่ผมเดาไว้ ผมก็จะมาทวงความยุติธรรมให้กับตัวเองบ้าง คุณกับนายเดียร์จะต้องชดใช้

ผมมีเงิน มีอิทธิพลพอสมควร ถึงจะเอากฏหมายมาเล่นงานไม่ได้ แต่รับรองว่าผมสามารถทำให้เดียร์หายไปจากชีวิตคุณได้ตลอดกาล ถ้าคิดโกหกเพื่อให้ผมวางมือ พวกคุณต้องได้เจอดีแน่ แต่ถ้าคุณกับคุณแคทจะจริงจังต่อกัน โดยที่คุณยอมเลิกกับนายเดียร์นั่น ผมก็จะหลีกทางให้ แต่คุณต้องทำใจหน่อยนะกับอดีตของคุณแคทที่ผ่านมา ถ้ารับได้ก็โอเค”

นายทรงพลยังพูดพล่ามอะไรอีกมากมาย ผมฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ใจเดือดปุดๆ สุดจะทนฟังเรื่องบ้าๆนี้อีกต่อไปแล้ว ผมตัดสินใจเปิดประตูห้องน้ำ แล้วเดินออกไปด้วยความโมโห รู้สึกโกรธและเกลียดนายทรงพลเพิ่มขึ้นอีกเป็นร้อยเท่าทวีคูณ ตลอดชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยเห็นใครเลวทรามต่ำช้าแบบนี้มาก่อนเลย ตัวเองทำผิดแล้ว นอกจากจะไม่สำนึกยังจะมาข่มขู่คนอื่นให้ทำตามที่เขาต้องการอีก

มาพูดจาข่มขู่ให้ผมเลิกคบหากับเดียร์ อ้างว่ามันดีกับตัวเผมเอง เพราะถึงอย่างไร หน้าที่การงานของผมก็ค้ำคอ หากยังรักที่จะทำงาน รักความก้าวหน้า ก็ต้องเลิกกับเดียร์ซะ ไม่อย่างนั้น ผมจะไม่เหลืออะไร ฟังคำขู่ของนายทรงพล ผมเองกลับรู้สึกเกลียดเขามากยิ่งขึ้น นายคนนี้เป็นคนที่เห็นแก่ตัว หน้าด้านไร้ยางอายที่สุด เขามีสิทธิ์อะไรที่จะมาห้ามไม่ให้ผมยุ่งกับเดียร์ หรือใหญ่มาจากไหนที่จะสั่งให้ผมคบกับใคร
คิดจะชี้นำให้ผมทำตามเขามันเป็นการทำเกินไปแล้ว เห็นว่าตัวเองเป็นอะไร มีอิทธิพลมากมายที่ผมต้องไปคอยเอาใจหรือ ไม่ใช่ญาติโกโหติกาของผมด้วยซ้ำ ก็แค่เป็นลูกค้าคนหนึ่ง เป็นคนที่รู้จักกับประธานของบริษัท คิดว่าเป็นคนรวยมีอิทธิพลแล้วจะทำอะไรก็ได้งั้นล่ะสิ จะลากใครไปทำมิดีมิร้ายก็ได้ จะทำให้ใครหายไปจากโลกก็ไม่ยาก

แสร้งทำมาเป็นพูดนั่นพูดนี่ ที่จริงอยากจะเล่นงานเดียร์ใจแทบขาด ที่ไปทำร้ายสาหัสขนาดนั้น แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะแจ้งความแล้วตัวเองก็อาจจะโดนด้วย เพราะตัวเองก็ผิดอยู่เต็มประตู เพราะล่อลวงจะทำร้ายผมก่อน คนอย่างนายทรงพลมันน่าที่จะเจอเดียร์จัดการให้หนักกว่านี้อีก เอาให้ปากพูดคำชั่วช้าไม่ได้เลย

ผมยังไม่อยากกลับไปนั่งที่โต๊ะ เพราะจิตใจยังขุ่นมัวอยู่ ไม่อยากหงุดหงิดให้ใครเห็นจึงเดินเรื่อยเปื่อยออกไปนั่งที่โซฟาหน้าตรงหน้าห้องจัดงาน แต่เลือกเอามุมที่ไกลหูไกลตาผู้คนเพื่อนั่งทำอารมณ์ให้สงบลงก่อน ผ่านไป เกือบ 10 นาที อารมณ์ผมเริ่มเย็นลง แต่ยังอยากนั่งสักพัก เบื่อความวุ่นวายในนั้น จู่ๆหัวหน้าของผมมาจากไหนไม่รู้ เดินมาตบที่บ่าผมเบาๆ

“ใจเย็นๆนะเรียว ผมรู้ว่าคุณโกรธมาก แต่อย่าไปถือสาหาความอะไรคนแก่คนนั้นเลย”

“หัวหน้าได้ยินหรือครับ”

“ก็ผมตามหลังนายทรงพลมาอีกทีไง ผมเห็นเขาเดินตามคุณออกมา เลยไม่ไว้ใจ กลัวคุณสองคนจะมีเรื่องกันอีก ผมเลยตามมาห่างๆ และเข้าห้องน้ำอีกด้านหนึ่ง โชคดีที่ห้องน้ำมันกว้างและมีสองด้านชนกัน ทำให้เขาไม่มีทางเห็นเลยว่ามีผมอีกคนอยู่ในห้องนั้นด้วย ผมจึงได้ยินทั้งหมดตั้งแต่ต้น ตั้งแต่พนักงานพวกนั้นกล่าวพาดพิงถึงคุณ และสิ่งที่นายทรงพลพูดทั้งหมด”

ผมพยักหน้าอย่างเนือยๆ รู้สึกตกใจที่หัวหน้ามาได้ยินเรื่องของผมทั้งหมด แต่ใจหนึ่งก็คิดว่าดีเหมือนกันที่หัวหน้ามาได้ยินแบบนี้ จะได้รู้กันซักทีว่านายทรงพลเป็นคนเช่นไร

“ผมไม่ชอบวิธีการพูดข่มขู่ของนายทรงพลนะ รู้สึกว่าเขาทำไม่ถูกต้องที่จะเอาการแก้แค้นส่วนตัวมาบีบบังคับให้คุณชอบหรือเลิกกับใคร แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นด้วยก็คือ อยากให้คุณลองพิจารณาตัดสินใจเกี่ยวกับตัวเองให้รอบคอบ หน้าที่การงานมันเป็นเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับชีวิตคุณไม่ใช่หรือ พยายามมากมายเพื่อจะมีวันนี้ แต่พอทุกอย่างเป็นไปตามที่คุณต้องการก็กลับจะละทิ้งมัน ไม่น่าเสียดายหรอกหรือคุณเรียว”

“เอ้อ.....”

ผมรู้สึกลำคอตีบตันพูดไม่ออก ไปๆมาๆหัวหน้าของผมก็คงจะต้องการให้ผมเลิกคบกับเดียร์อีกคน

“ที่จริงผมไม่อยากจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของคุณนะเรียว ไม่อยากบีบคั้นคุณ ผมแค่ห่วงคุณ และชอบคุณเท่านั้น เห็นคุณเป็นคนดี และอยากสนับสนุน ไม่ต้องเลิกกับเขาถาวรก็ได้ ให้เว้นห่างกันไปสักระยะหนึ่ง อย่างที่ผมเคยแนะนำนั่นแหละ รอจนทุกอย่างมันลงตัวแล้วค่อยคบกันใหม่ก็ได้ ตอนนี้ มันจะดีสำหรับคุณที่จะเลิกกับเขานะ เพราะคนในบริษัทเริ่มรู้เรื่องของคุณแล้ว อีกไม่นานก็คงพูดกันไปทั่ว คุณนั่นแหละจะลำบากใจ และอยู่ไม่ได้เสียก่อน ”

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่30 4/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 04-02-2009 18:35:53
 :z13: จิ้มพี่ไต๋
 :o211:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่30 4/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 04-02-2009 19:44:30
เจ็บนะมาจิ้มเค้ามั้ยละ :m15:
 :z13: :z13:จิ้มคืนนี่แหนะนี่แหนะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่30 4/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: โน๊อา ที่ 04-02-2009 19:58:49
555 ว่าแล้ว ว่าไต๋ต้องมา  :z13:  ขอซ้ำหน่อยนะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่30 4/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: sasa ที่ 04-02-2009 20:39:49
ขอบคุณมากที่เอาเรื่องสนุก ๆ มาให้อ่านกัน
อยากบอกว่าอ่านไป ยิ้มไป ร้องไห้ไป แบบว่าอินสุด ๆ
ชอบมากมาก เลยอ่ะ

ป.ล.รอตอน ต่อๆ ไปอยู่นะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่30 4/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: nanalonely ที่ 04-02-2009 21:29:10
นายทรงพล :z6:

รอตอนต่อไปอย่างสงบ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่30 4/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: sasa ที่ 05-02-2009 13:12:44
มายัง มายัง
อยากอ่านอ่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่30 4/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 05-02-2009 22:05:41
รอก่อนนะยังไม่เสร็จงานเลย
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่30 4/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 05-02-2009 23:54:41
 :z13: จิ้มเฮียซะนี่แน่ะๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่30 4/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: โน๊อา ที่ 06-02-2009 14:59:14
ไต๋ หาย ไป ไหน อ่ะ :z10:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่30 4/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 06-02-2009 16:16:25
บทที่ 31

หัวหน้าทิ้งค้างคำพูดไว้แค่นั้น เพราะทีมงานมาตามผมเข้างานเนื่องจากจะเชิญผู้บริหารที่ได้รับการโปรโมทในปีนี้ขึ้นเวที กำหนดการมันเคลื่อนไปตั้งแต่ตอนแรก เพราะท่านประธานเห็นว่าควรปล่อยให้พนักงานได้ทานอาหารก่อน ไม่อยากให้มานั่งรอให้พิธีการมันจบ ในระหว่างนี้ก็เปิดเพลงคลอประกอบไปก่อนสัก 45 นาที จากนั้นค่อยมีการประกาศการเลื่อนตำแหน่งและต่อด้วยการแสดงของนักร้องสาวคนดัง

ตอนที่ผมเดินตามทีมงานกลับเข้ามา พีธีกรกำลังประกาศการเลื่อนตำแหน่ง และเชิญผู้ได้รับการโปรโมทขึ้นบนเวทีอยู่พอดี ทันที่ที่พิธีกรกล่าวถึงชื่อผม ทีมงานก็มาพาไปส่งที่บันไดและให้ผมเดินขึ้นเวทีไปเอง ผมเดินไปรวมกับผู้บริหารคนอื่นๆที่ยืนอยู่บนนั้นก่อนแล้ว สันต์กับศักดิ์ชายที่ได้รับการโปรโมทพร้อมกับผมในปีนี้ส่งยิ้มมาให้ สองคนยืนใกล้กันอีกด้านหนึ่งของเวที จากนั้นพิธีกรได้กล่าวเชิญท่านประธานขึ้นมามอบของที่ระลึกปีใหม่ให้กับพวกเราทุกคน เป็นชุดถ้วยชามเนื้อดีลายเบญจรงค์คนละ 1 ชุด จากนั้นก็ถ่ายรูปร่วมกัน และเชิญท่านประธานบริษัทเป็นคนกล่าวแสดงความยินดี ถ่ายรูปร่วมกัน จากนั้นท่านประธานก็กล่าวขอบคุณพวกเราทุกคนที่ช่วยกันทำงานจนบริษัทเติบโต และกล่าวชื่นชมการทำงานของพวกผม และขอให้พนักงานได้ดูเป็นตัวอย่าง หากทำความดีขยันมุ่งมั่น ก็จะมีโอกาสได้รับความสำเร็จก้าวหน้าเช่นเดียวกับพวกกผม และก่อนที่ทุกคนจะลงจากเวทีไป ท่านประธานก็ได้ประกาศให้ทุกคนได้รู้ทั่วกันว่า วันนี้ตรงกับวันคล้ายวันเกิดของผม ขอให้พวกเราช่วยร้องเพลงอวยพรวันเกิดให้กับผมด้วย

สักครู่ไฟในห้องจัดงานเลี้ยงก็ดับพรึ่บลงจนมืดไปหมด และแล้วแสงจากเทียนไขก็ส่องสว่างขึ้น พนักงานของโรงแรมคนหนึ่งเข็นรถที่วางขนมเค้กขนาดใหญ่ขึ้นมาบนเวที เค้กถูกเข็นมาอยู่ตรงหน้าพอผมพอดี ทำให้ผมเห็นข้อความที่อยู่บนเค้กนั่น

“สุขสันต์วันเกิดคุณเรียว ขอให้มีความสุขมากๆ จากใจพวกเราชาวประกัน”

จากนั้นเพลงแฮปปี้เบิร์ทเดย์ก็ดังขั้น จากเสียงใสๆของนักร้องสาวคนหนึ่ง และเริ่มดังขึ้นทั่วห้องบอลลูมจนผมเริ่มรู้สึกเขินนิดๆ ที่บริษัทเซอร์ไพรส์ผมไม่มีการบอกล่วงหน้า ผมเป่าเทียนที่อยู่บนเค้กทั้ง 29 เล่มจนดับหมด พลันไฟในห้องก็สว่างขึ้น
บนเวทีนอกจากจะมีผม และเพื่อนๆผู้บริหารใหม่ และท่านประธานยืนอยู่บนนั้นแล้ว ข้างๆผมยังมีนักร้องสาวแสนสวยในชุดการแต่งตัวสุดเซ็กซี่มายืนอยู่ข้างๆ เบื้องหลังเป็นแดนเซอร์หนุ่มๆทียืนเรียงกันเป็นแผงในชุดเสื้อคลุมคนสัตว์ ผมเห็นเดียร์มองผมทำหน้างอนๆ คงน้อยใจที่ผมไม่ยอมบอกเขากระมังว่าวันนี้เป็นวันเกิดของผม ผมสบตาเดียร์แล้วก็เบือนหน้าหนี รู้สึกไม่ดีที่เห็นแววตาเศร้าๆนั่น พลางหันหลังจะเดินลงเวทีตามเพื่อนๆคนอื่นๆที่ทะยอยเดินลงไปเพื่อเปิดทางให้บนเวทีได้มีการแสดงของนักร้องและนักเต้น แต่สาวสวยในชุดวาบหวามฉุดรั้งผมไว้บนเวที แล้วพูดกับทุกคนว่าไหนๆวันนี้ ก็ตรงกับวันเกิดของผม อยากให้ผมได้ร้องเพลงบ้าง ใครเห็นด้วยให้ช่วยปรบมือ ปรากฏว่าเสียงดังขึ้นกระหึ่มทั่วห้อง ทั้งเสียงปรบมือและเสียงตะโกนเชียร์ให้ผมโชว์ลูกคอหน่อย ผมเหลือบไปมองหัวหน้าเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่หัวหน้าของผมกลับโบกมือแล้วพยักหน้าให้ผมทำตามความต้องการของพวกพนักงาน

มันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันมาช้านานแล้วของบริษัท เมื่อถึงคราวจัดงานรื่นเริงปีใหม่ ทุกคน ต้องวางหัวโขนทิ้งไว้ แล้วมาสนุกกันเต็มที่ ไม่มีเจ้านาย ไม่มีลูกน้อง พนักงานมีอิสระเสรี ในการแสดงออก จะกิน จะดืม หรือจะเต้นเมามันส์แค่ไหน ไม่มีใครห้าม ขอเพียงแค่อยู่ในเงื่อนไขของการกระทำที่เหมาะสม และเวลาที่กำหนดให้ ลูกน้องอาจจะขอให้หัวหน้าร้องเพลงได้ เลยไปจนถึงการโค้งเพื่อให้ออกมาเต้นรำด้วย และตามมารยาทที่ดี หัวหน้าก็ต้องไม่ปฏิเสธคำขอของพวกพนักงาน เพราะนี่เป็นเพียงแค่วันเดียวในรอบปีที่พวกเราจะได้ใกล้ชิดกันโดยไม่ต้องกังวลกับความแตกต่างหรือศักดิ์ศรีของเจ้านายและลูกน้อง

แม้จะรู้ธรรมเนียมข้อนี้ดี แต่เรื่องการร้องเพลง ผมไม่ค่อยถนัดเอาเสียเลย เคยฟังเพลงบ้าง ตอนขับรถไปทำงาน หรือบางครั้งเวลานั่งทำงานอยู่บ้าน ผมจะเปิดเพลงคลอไปเบาๆ ส่วนใหญ่เป็นเพียงแค่เสียงดนตรีไม่มีเนื้อร้อง เพลงไทยพอฟังอยู่บ้าง แต่ไม่เชี่ยวชาญถึงขนาดที่จะบอกได้ว่าใครร้องเพลงอะไร และนักร้องคนไหนกำลังโด่งดังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมไม่รู้จักนักร้องสาวคนดังที่บริษัทว่าจ้างมาให้มาสร้างความสนุกสนานด้วยเสียงเพลงให้กับพนักงาน

แต่เมื่อบ่ายเบี่ยงบอกว่าร้องไม่เป็น ผมก็ยังคงถูกคะยั้นคะยอให้ตอบตกลงจนได้ ยอมร้องแล้ว แต่ผมก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่าจะร้องเพลงอะไร ฉับพลันเพลงๆหนึ่งก็แว่บเข้ามาสู่สมอง เป็นเพลงที่ผมได้ยินบ่อยๆเวลาที่เดียร์มาบ้านผม เขาจะเปิดเพลงนี้ไปพร้อมๆกับปัดกวาดเช็ดถูบ้าน หรือทำกับข้าว แรกๆผมก็ไม่ค่อยชอบเนื้อหาของเพลงเท่าไหร่ เพราะมันเหมือนกับเดียร์จงใจจะเปิดเพลงนี้ให้ผมฟังเป็นนัยๆให้รู้ว่าเขาจะไม่มีวันเลิกรากับผม แต่เมื่อฟังหลายๆเที่ยว ผมก็ดันชอบขึ้นมา และเป็นเพลงเดียวที่นึกออกตอนนี้ และผมพอจะจำเนื้อร้องได้บ้างนิดหน่อย

ผมกระซิบบอกนักร้องสาวว่าผมจะร้องเพลงอะไร แล้วผมยังบอกไปด้วยว่าผมร้องไม่เก่ง นะ ถ้าเป็นไปได้ช่วยผมหน่อย เพราะผมอาจจะประหม่าตื่นเต้นและจำเนื้อไม่ได้ นักร้องสาวยิ้มหวานให้แล้วบอกว่าไม่ต้องกลัวเธอจะหาคนช่วย ในทีมแดนเซอร์มีคนที่ร้องเพลงเพราะอยู่ จากนั้นเธอก็เหลียวไปมองด้านหลัง ผมกวาดสายตาตามเธอ ดูว่าจะเลือกใคร สายตาไปสบกับเดียร์ที่มองมาอย่างจัง ผมหลบวูบ ภาวนาในใจว่าอย่าเลือกเดียร์เลย ไม่งั้นผมคงร้องไม่ออกแน่ แต่ดูเหมือนพระเจ้าจะกลั่นแกล้ง นักร้องสาวสุดสวยเดินตรงไปที่เดียร์แล้วดึงมือออกมากลางเวที แล้วบอกว่าเขาคือคนที่จะช่วยผมร้อง
มีเสียงปรบมือเกรียวกราวสลับกับเสียงเป่าปากและตะโกนด้วยความชอบอกชอบใจจากคนดูข้างล่างเวที แสดงว่านักร้องสาวเลือกคนได้ถูกใจ ผมเลยตกกระไดพลอยโจนยืนเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่ม เขาถามว่าเพลงอะไร ผมบอกชื่อเพลงกับเขาไป บังคับไม่ให้เสียงสั่น ด้วยรู้สึกอายที่เลือกเพลงที่เดียร์ชอบฟัง เขายิ้มหวานให้ผม จากนั้นก็หันไปให้สัญญาณกับนักดนตรีให้เล่นเพลง พอเสียงดนตรีดังขึ้นเท่านั้นข้างล่างก็เฮกันใหญ่ ทำให้ผมถึงกับชะงักร้องไม่ออกยืนอึ้งอยู่ ดูเหมือนนักดนตรีจะมีความชำนาญพอและรู้ปัญหาที่เกิด เขาก็เลยวนขึ้นต้นใหม่อีกครั้ง ผมมองเดียร์เริ่มรู้สึกกลัวเล็กน้อย เกรงว่าจะทำได้ไม่ดี แต่เด็กหนุ่มยิ้มให้กำลังใจและเมื่อเห็นว่าผมทำท่าจะหยุด เขาก็เป็นฝ่ายเริ่มต้นร้องก่อน

“หยุดไม่ได้หรอก หยุดไม่ได้หรอก
จะให้ทำอย่างเธอนั้น มันไม่ได้หรอก
หยุดไม่ได้หรอก หากต้องทำอย่างนั้น มันฝืนใจ
จบไม่ได้หรอก จากไม่ได้หรอก ฉันรักเดียวใจเดียว
เธอคนเดียวเท่านั้น เปลี่ยนไม่ได้ทั้งนั้น……”

เสียงของเดียร์สะกดผมและคนฟังทั้งห้องบอลรูมให้เงียบงัน เนื้อเสียงของเขาดีมาก ร้องเพลงเพราะ ไม่คร่อมจังหวะเลยแม้แต่น้อย ทั้งเสียงร้องเสียงเอื้อน ลูกคอทำได้เหมือนมืออาชีพ โดยเฉพาะใบหน้าและท่าทางที่แสดงออกกลมกลืนไปกับเพลง จนผมเองยังตะลึง อกใจสั่นไหว เคลิ้มไปกับเพลงที่เขาร้อง ราวกับว่าเขานั่นคือสิ่งที่เขาพยายามจะสื่อให้ผมได้รับรู้ เดียร์สบตาผมและพยักหน้าให้สัญญาณว่า ถึงท่อนที่ผมต้องร้องต่อ

“สั่งให้ฉันนั้นหยุดรักเธอ สั่งให้ฉันให้เลิกคบเธอ
เหมือนกับสั่งให้หยุดหายใจ ยังไงยังงั้น
สั่งให้ฉันต้องหยุดรักเธอ เท่ากับฉันต้องหยุดหายใจ
ถ้าฉันขาดเธอไป รับรองว่าต้องขาดใจตาย......”

ผมร้องไปตามทำนองเพลงที่นึกได้ ก่อนหน้านั้นกลัวเล็กน้อย แต่เมื่อเริ่มร้องไป ทุกอย่างมันก็ไหลลื่นโดยไม่ติดขัดจนผมยังอดทึ่งที่ตัวเองสามารถทำได้ดีจนคนข้างล่างปรบมือให้ อาจจะเป็นเพราะความบีบคั้นที่ผมได้รับทั้งจากนายทรงพล หัวหน้าและคนอื่นๆที่รู้เรื่องราวระหว่างผมกับเดียร์ ทำให้ผมรู้สึกอยากระบายความอึดอัดใจที่มีอยู่ และเพลงนี้คือการส่งผ่านความรู้สึกทั้งมวลของผมไปยังเดียร์เช่นกัน ผมอยากประกาศให้เดียร์และคนที่อยู่ในห้องประชุมนี้รู้ว่าผมไม่ได้อยากเลิกกับเด็กหนุ่ม เพราะผมรู้สึกรักเขาเหลือเกิน เดียร์ยิ้มให้ผม และค่อยๆเดินเข้ามาหา จนกระทั่งยืนอยู่ข้างๆผม ปากก็ร้องเพลง แต่สายตาจับจ้องมองผมตลอดเวลา

“ทำไม่ได้หรอก หยุดไม่ได้หรอก
หยุดเมื่อไหร่ หยุดวันไหน ตายเมื่อนั้นเลย
ยอมไม่ได้หรอก หากต้องทำอย่างนั้นฉันเสียใจ
เปลี่ยนไม่ได้หรอก ยอมไม่ได้หรอก ฉันมันคนฝังใจ
เปลี่ยนใจได้ที่ไหน ขาดเธอคงไม่ไหว”
ผมสบตากับหนุ่มน้อยของผม ใจเริ่มหวั่นไหวมากขึ้น ไม่ใช่แค่เพราะแค่เนื้อเพลงที่มีความหมายลึกซึ้ง แต่ผมรับรู้ได้ถึงความรักที่เดียร์มีต่อผมอย่างเปี่ยมล้นไม่ว่าจากดวงตาที่จ้องมองผมอย่างหวานซึ้ง และใบหน้าที่มีรอยยิ้มละไม ทั้งให้กำลังใจ และปลอบขวัญไม่ให้ผมตื่นกลัวอยู่ในที

เพราะมัวแต่มองเขา พอถึงจังหวะที่ผมจะต้องร้องต่อผมก็ดันร้องไม่ออก เดียร์เลยต้องร้องนำก่อนผมถึงค่อยหายงง และร้องต่อ เลยกลายเป็นว่าท่อนนี้เราสองคนร้องไปด้วยกัน โดยมีเดียร์คอยร้องคลอให้ เราสองคนต่างมองหน้ากัน เหมือนกับพยายามสื่อสารอะไรกันบางอย่างที่เรารู้กันเพียงแค่สองคน ความรักที่เปี่ยมล้นอยู่ในหัวใจของเรา

“สั่งให้ฉันนั้นหยุดรักเธอ สั่งให้ฉันให้เลิกคบเธอ

เหมือนกับสั่งให้หยุดหายใจ ยังไงยังงั้น

สั่งให้ฉันต้องหยุดรักเธอ เท่ากับฉันต้องหยุดหายใจ

ถ้าฉันขาดเธอไป รับรองว่าต้องขาดใจตาย…………”

เสียงปรบมือดังกึกก้องเมื่อเพลงจบลง ทุกคนดูชอบอกชอบใจการร้องเพลงของทั้งผมและเดียร์ สังเกตได้จากระหว่างที่ร้องเพลงจะมีคนเอาดอกไม้มาให้เราสองคนตลอดเวลา และมีคนมาถ่ายรูปคู่ของเราขณะร้องเพลงไว้ด้วย

ผมมองหน้าเดียร์อย่างเขินๆ กล่าวขอบคุณเขาที่ร้องเพลงเป็นเพื่อนผม เขายิ้มให้อย่างหยาดเยิ้ม จนผมอายหนักเข้าไปใหญ่ กลัวว่าจะมีคนเห็นเดียร์ทำหวานใส่ผม พอมองเห็นคนจ้องเราสองคน ผมก็เริ่มที่จะวางตัวไม่ถูก รีบคืนไมค์และรีบลงจากเวที

แต่ก็ยังทันได้ยินนักร้องสาวพูดแซวผมว่าร้องเพลงเข้าคู่กับแดนเซอร์หนุ่มหล่อของเธอได้ดีมาก หากสนใจอยากเป็นนักร้องก็บอก จะได้ชวนไปออกอัลบั้มดูโอ วงการเพลงจะได้มีนักร้องหล่อเพิ่มขึ้นมาอีก สองคน จบคำพูดของนักร้องสาวเสียงหัวเราะ และเสียงตบมือ เป่าปากอย่างชอบอกชอบใจก็ดังขึ้น ทำเอาผมแทบจะก้าวพลาดตกบันไดเวทีด้วยความประหม่าเขินอาย ดีที่ประคองตัวได้ทัน

บนเวทีเป็นหน้าที่ของนักร้องสาวที่จะสร้างความบันเทิงต่อไป เธอทั้งร้องทั้งเต้นวาดลวดลายเรียกเสียงฮือฮาให้กับพนักงานของบริษัท หลายคนขยับออกมาที่ตรงพื้นที่ว่างหน้าเวที และขยับแข้งขา เคลื่อนไหวร่างกายไปตามจังหวะเพลงที่สนุกสนาน บนเวที แดนเซอร์แต่ละคนก็เต้นกันอย่างสุดเหวี่ยง แต่ละคนเต้นได้สวยมาก สายตาผมจับจ้องไปบนเวที ตาแทบไม่กระพริบ นานทีเดียวถึงจะรู้สึกตัวว่า โฟกัสของผมไปตกอยู่ที่เด็กหนุ่มลูกครึ่งเพียงแค่คนเดียว

“แม่โว้ย เรียวเอ๊ย เมื่อกี้นี้นายร้องเพลงยังกับเป็นนักร้องอาชีพแน่ะ ร้องได้ดีแบบนี้เพราะว่าอินไปด้วยใช่เปล่าวะ”

เจ้าสันต์ซึ่งแต่เดิมนั่งอยู่ตรงข้ามกับผม อยู่ๆก็เดินมานั่งข้างๆและหยอกล้อผมอย่างมีเลศนัยหลังจากผมเดินลงจากเวทีมานั่งที่โต๊ะแล้ว

“พูดบ้าอะไรวะ”

ผมด่ามันกลับไป ทำเป็นโมโหใส่มันที่พูดอะไรไม่รู้เรื่อง มันหัวเราะแล้วบุ้ยใบ้ไปบนเวที ที่เดียร์กำลังวาดลวดลายอยู่ ผมหน้าแดงก่ำเมื่อเห็นมันทำหน้าล้อเลียนผม
“เจ้าหนูนั่นมันหล่อ และดูดีจริงๆเลยว่ะ กล้ามเนื้องี้สวยเชียว เห็นแล้วน้ำลายไหล ไอ้ศักดิ์ยังมองตาไม่กระพริบ ฉันน่ะสมเพชมันจริง ไม่ยอมรับว่าเป็นเกย์ แต่เห็นหนุ่มๆเปลือยอกเข้าหน่อยก็ใจสั่น ข้าวปลาไม่ยอมกินเลย ไม่รู้มันจะหลอกตัวเองไปทำไมกัน”

เจ้าสันต์พูดพลางจ้องหน้าผม แต่ผมแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ นึกรู้ว่ามันตีวัวกระทบคราด แต่ผมไม่จำเป็นต้องร้อนตัวโต้ตอบให้มันจับไต๋ได้นี่

“เฮ้อ นายนี่โชคดีนะที่มีคนรักนายจริงจังแบบนี้ ตอนที่นายสองคนร้องเพลง ฉันน่ะโคตรอินตามไปด้วยเลยว่ะ นึกว่าคู่รักสองคนกำลังบอกรักกัน คนอื่นสังเกตเห็นหรือเปล่าไม่รู้ แต่ฉันเห็นสายตาเทอดทูนบูชาจากหน้าหล่อๆนั่น ยามจ้องมองแกว่ะ มันบอกให้ฉันรู้ว่า เด็กนั่นรักแกมากแค่ไหน เป็นฉันน่ะ ใครมามองฉัน และร้องเพลงหวานๆสื่อความในใจให้ฉันฟังแบบนี้ ตอนจบเพลงฉันจะไม่แค่ลงจากเวทีมาเฉยๆหรอก ฉันจะกระโดดกอดและจูบให้สมกับความรักที่มีให้กันเลย”

เพื่อนผมมันท่าจะเพี้ยน เพราะนั่งทำตาลอยฝันหวานเมื่อพูดถึงเรื่องนี้

“บ้าน่ะสิ ใครจะไปแสดงออกแบบนั้น ไม่ใช่พวกหน้าด้านไม่แคร์สังคมเหมือนนายนี่”

“แล้วทำไมต้องไปแคร์ใครด้วยวะ คนมันรักกันนี่หว่า”

“เออ นายก็มองไปรอบข้างสิวะ คนพวกนี้จะคิดยังไงกับนายล่ะ”

“ช่างมันสิ ฉันมันบูชาความรักเฟ้ย ประกาศให้รู้ไปเลยว่ารักชอบกัน ความรักมันผิดตรงไหนวะ ทำไมต้องห้ามไม่ให้คนรักกันด้วย”

“ไม่มีใครห้ามไม่ให้คนรักกันหรอก ไม่ห้ามการแสดงออกถ้าอยู่ในขอบเขต แต่เราอยู่ในสังคมนะ มีชื่อเสียง มีหน้าตา มีงานมีการทำ คนเขานับถือเรา ยกย่องเรา เราก็ต้องวางตัวให้ดีเป็นแบบอย่าง ไม่งั้นเราจะสอนคนของเราอย่างไร ถ้าหากตัวเราเองก็ยังไร้ระเบียบ สังคมของเราก็เละเทะน่ะสิ หากมีคนทำอะไรแหกคอกเยอะแยะแบบนายน่ะ”

ผมเริ่มเตือนสติมัน เพราะเห็นว่าเจ้าเพื่อนรักของผมมันชักจะไปกันใหญ่แล้วที่เอาอุดมการณ์สูงส่งด้านความรักของมัน มาปะปนกับการวางตัวในที่ทำงาน ผมอยากให้มันแยกให้ออกว่าอะไรควรไม่ควร บางทีคนเราก็ต้องรู้จักอดกลั้น ไม่ทำตามใจตัวเองจนเกินไปนัก ไม่งั้นชีวิตอาจจะพังลงอย่างง่ายๆ ถ้าปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล

“โหย อะไรวะ แค่นี้ต้องเป็นการเป็นงานด้วย เมื่อไหร่นายจะเลิกตีกรอบให้ตัวเองเสียทีวะ การเป็นคนจิตใจงดงาม ทำอะไรถูกต้องตามที่สังคมกำหนด มันเป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว ฉันเองก็ใช่ว่าจะไม่ชอบนะ แต่บางครั้งการแหกกฏเพียงนิดหน่อย เพื่อให้เรามีความสุขบ้าง ก็เป็นสิ่งที่น่าจะลองทำดูไม่ใช่เหรอ เราอาศัยอยู่ในสังคมก็จริง แต่ก็ไม่ใช่ให้สังคมกำหนดว่าเราจะทุกข์จะสุขอย่างไร

ทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวเราเอง อย่าเชื่อคนอื่นมากนักเลย เชื่อใจตัวเองบ้างเถอะ เอาง่ายๆ นายลองมองขึ้นไปบนเวทีสิ มองเจ้าหนูนั่น ใช้ใจมอง อย่าใช้ตามอง แล้วตอบตัวเองสิ ว่านายรู้สึกรักชอบเด็กนั่นบ้างหรือเปล่า มีสักครั้งไหมที่นายคิดถึงเขาเวลาที่ไม่ได้เจอหน้ากัน หงุดหงิดสุดๆเมื่อเขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย หึงหวงเวลาที่เห็นเขาอยู่กับคนอื่น ครุ่นคิดถึงชีวิตของตัวเองว่าจะเป็นอย่างไรถ้าอยู่โดยปราศจากเขา ไม่ต้องตอบฉัน ตอบตัวเอง นายเท่านั้นที่จะรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองต้องการคืออะไร”
กลายเป็นว่าผมถูกมันเทศนากลับ เวลามันพูดเรื่องนี้กับผมทีไร ผมก็ได้แต่อ้ำอึ้งโต้เถียงมันไม่ออก เพราะสิ่งที่มันพูดเป็นจริงหลายอย่าง ผมคิดถึงเจ้าเด็กบ้านี่ตลอด รู้สึกว่าความวุ่นวายที่เขาสร้างให้ผมในแต่ละครั้งที่มาเจอกัน ค่อยๆกลายเป็นความเคยชินทีละน้อย

วันไหนที่เดียร์ไม่มาหา ผมจะหงุดหงิดใจอย่างบอกไม่ถูก ล่าสุดผมเพิ่งรู้ว่าผมไม่พอใจเวลาที่เห็นเขาอยู่กับคนอื่น ผมรู้ตัวเองตั้งนานแล้วว่าผมรักเขา แต่ผมไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นเอามากถึงเพียงนี้ การที่ผู้ชายหึงหวงผู้ชายด้วยกันผมเห็นเป็นเรื่องน่าขันมาโดยตลอด แต่คราวนี้ผมตลกไม่ออกแล้ว เพราะว่าผมดันรู้สึกแบบนั้นกับเดียร์เสียเอง

การที่ผมไม่โต้ตอบอะไรออกไป ทำให้เจ้าสันต์รู้เป็นนัยๆว่าผมจำนนกับคำพูดของมัน เพื่อนรักของผมยิ้มให้อย่างเข้าอกเข้าใจและตบบ่าผมเบาๆ จากนั้นมันก็อวยพรวันเกิดให้กับผม จากนั้นมันก็หยิบแก้วใส่เหล้าที่ผสมแล้วจากพนักงานโรงแรมมาให้ผม และขอชนแก้วกันเพื่อฉลองวันเกิด

ผมบ่ายเบี่ยงแต่มันไม่ยอม บอกว่าวันนี้เป็นวันดี ขอให้ผมแหกกฏตัวเองที่ว่าจะไม่ดื่มเหล้าสักวัน ผมเลยต้องยอมชนแก้วกับมัน คิดว่าแค่แก้วเดียวก็คงพอ ที่ไหนได้ พอคนอื่นๆเห็นผมดื่มเหล้าเท่านั้นก็เดินมาขอชนแก้วกันใหญ่ จากแก้วแรกไปสู่แก้วที่สอง แก้วที่สาม และต่อๆไปอีกหลายแก้วจนผมชักตึงๆ

การแสดงบนเวทียุติลงแล้ว นักร้องและแดนเซอร์ทะยอยกันลงจากเวที พิธีกรขึ้นไปเชิญผู้บริหารขึ้นมาจับรางวัลให้กับพนักงาน ผมมองนาฬิกาที่ข้อมือตนเองจะห้าทุ่มแล้ว เริ่มรู้สึกอยากกลับบ้านไปนอนพักผ่อน ไม่อยากอยู่ต่อเพราะกลัวถูกขอร้องแกมบังคับให้ดื่มต่อ เดี๋ยวจะเมามากจนกลับบ้านไม่ไหว

อีกอย่างผมจอดรถไว้ที่บริษัทด้วยไม่อยากเข้าไปเอารถตอนดึกๆ กลัวรถไฟฟ้าหมดด้วย ผมยังไม่สามารถกลับได้เลยในทันที ต้องไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวก่อนไม่อยากไปในชุดฮ่องเต้ที่กำลังใส่อยู่แบบนี้ ผมจึงบอกลาหัวหน้าของผม และท่านประธานเพื่อขออนุญาตกลับก่อน จากนั้นก็เดินไปบอกเจ้าสันต์ ศักดิ์ชายและคุณแคทลียาว่าผมจะกลับแล้ว

ทั้งสามคนขอให้ผมอยู่จนงานเลิก และจะชวนผมไปเที่ยวผับต่อ แต่ผมขอตัว เพราะไม่ไหวแล้วเริ่มมึนๆ เพราะถูกคะยั้นคะยอให้ดื่มเข้าไปมาก ทั้งๆที่สัญญากับตัวเองว่าจะเลิกเหล้าโดยเด็ดขาด แต่ผมก็ขัดคนที่มาร่วมแสดงความยินดีกับตำแหน่งใหม่ของผมไม่ได้

คุณแคทเห็นว่าผมไม่ไปเธอก็เลยปฏิเสธสองคนนั่นด้วย และบอกจะกลับบ้านเหมือนกัน ตกลงเจ้าสันต์กับศักดิ์ชายเลยชวนกันไปต่อเพื่อฉลองให้กับตนเอง ไม่น่าเชื่อวันนี้สองคนเข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย ไม่ทะเลาะกันให้เห็น คงเป็นเพราะวันนี้เป็นวันดีของพวกเราก็ได้ เลยไม่อยากมีเรื่อง

ตอนที่ผมขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องพัก ผมเจอเข้าพอดีกับนายทรงพลที่กำลังจะกลับเหมือนกัน เขาเดินตรงจะมาหาผมตรงบันไดที่จะขึ้นไปชั้นบน แต่ผมรีบเดินหนี แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น แต่มีหรือคนที่ชอบหาเรื่องสนุกใส่ตัวในการแกล้งคนอื่นอย่างเขาจะปล่อยให้ผมผ่านไปโดยง่าย

เขาตะโกนเรียกชื่อผมเสียงดังลั่นจนคนหันมามองผมเป็นตาเดียว ทำให้ผมต้องหยุดเดินแกล้งไม่รู้ไม่ชี้ไม่ได้อีกต่อไป ผมหยุดยืนรอในขณะที่เขาเดินรี่เข้ามา เขาหยุดยืนห่างจากผมพอสมควร จากนั้นก็ยิ้มแบบมีเลศนัยให้ผม ถ้อยคำที่ไม่น่าฟังหลั่งไหลออกมาจากปากเขา
“เป็นปลื้มล่ะสิ ที่ได้ร้องเพลงกับแฟนคุณเอง ทำไปได้ไงนะคุณ ประกาศให้คนรู้เขารู้ทั่วกันหรือไงว่าคุณสองคนรักกัน และจะไม่ยอมเลิกราไม่ว่าใครจะว่าอะไรก็ตาม เดี๋ยวนี้ไม่แคร์คนรอบข้างแล้ว ไม่กลัวคนอื่นจะนินทาแล้วสินะ ดีแล้ว เปิดตัวออกมาก็ดีว่าชอบอะไร จะได้ไม่ต้องทนอึดอัดเวลาเอาเรื่องคุณมาวิพากษ์วิจารณ์”


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่31-2 6/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 06-02-2009 16:17:42
“แล้วมันกงการอะไรของคุณไม่ทราบ”

ผมย้อนถามออกไปอย่างฉุนๆ

“รู้สึกว่าคุณจะยุ่งเรื่องของผมมากเกินไปหรือเปล่าครับ สิ่งที่คุณถาม ผมขออนุญาตไม่ตอบ เพราะมันไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องงานการ ผมขอสงวนสิทธิ์ให้บริการกับคุณแค่เรื่องการทำประกันเท่านั้น เรื่องอื่นไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้ข้อมูล หวังว่าคุณคงเข้าใจนะครับ”

แทนที่นายทรงพลจะโกรธเขากลับหัวเราะดังลั่น คงชอบใจที่ยั่วให้ผมโกรธได้

“จี้ใจดำแค่นี้ ก็โมโหโทโสขึ้นมาเชียวนะครับ เอาเป็นว่าผมถามเรื่องเกี่ยวกับกฏเกณฑ์การทำประกันดีกว่านะครับ คือตอนที่เห็นคุณกับแฟนคุณร้องเพลงบนเวที ผมก็ดันมีข้อสงสัยขึ้นมาทันทีเลยนะครับ ผมอยากจะรู้ว่า การที่คนเราปกปิดไลฟ์สไตล์ของตัวเอง ไม่แจ้งให้บริษัทที่ทำประกันทราบนี่มันผิดไหมครับ

เช่น ไม่บอกว่าตัวเองมีรสนิยมทางเพศที่ชอบผู้ชายด้วยกัน ทั้งๆที่ก็รู้ว่าเรื่องนี้มันเป็นความเสี่ยงภัยอย่างหนึ่ง แต่ก็ยังดันทุรังทำประกันเข้ามานี่มันผิดไหม เข้าข่ายปกปิดข้อเท็จจริงแถลงเท็จหรือเปล่า แล้วคนที่เป็นสต๊าฟบริษัทนี่ ก็ต้องใช้กฏเกณฑ์นี้แบบเดียวกับลูกค้าไหม แล้วมีสิทธิที่จะถูกปฏิเสธไม่รับประกันหรือเปล่า ถ้าสืบทราบได้ว่าเขาอยู่กินกับผู้ชายด้วยกัน”

พูดจบนายทรงพลก็หยุดรอฟังคำตอบ แต่ใบหน้าและแววตาเหยียดหยาม เขาทำให้ปรอทวัดความเกลียดชังที่ผมมีต่อตัวเขาพุ่งปรี๊ด รู้ได้ทันทีว่าเขาตั้งคำถามมาเพื่อเย้ยหยันผม ซึ่งคำถามแบบนี้ตอบไปก็เปลืองตัว ไม่ตอบแต่เดินหนีก็จะกลายเป็นคนขี้แพ้ไม่ยอมรับความจริง ผมเลยเลือกที่จะตอบไปแบบไม่ตอบ แล้วย้อนเกล็ดเขาแทน

“การปกปิดข้อเท็จจริงหรือแถลงข้อความเป็นเท็จมันผิดกฏหมายอยู่แล้วครับ แต่ความจริงบางอย่างก็ไม่จำเป็นจะต้องบอกมาทั้งหมดหรอกครับ เพราะไม่มีผลต่อความเสี่ยงในการรับประกัน อย่างเช่นความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ล่อลวง คุกคาม พูดจาดูหมิ่นเหยียดหยามทำให้คนอื่นได้รับถูกการเกลียดชัง ละเมิดความเป็นส่วนตัวของคนอื่น

เราก็แค่ระมัดระวังไม่ให้เขาซื้อสัญญาจำพวกฆาตกรรมอย่างนี้นะครับ เพราะเขาอาจจะเสี่ยงต่อการถูกฆ่าเพราะทำร้ายคนอื่นไว้เยอะ แต่ถ้าหากยังอยู่ในระหว่างมีคดีความกัน อันนี้เป็นความเสี่ยงเฉพาะกาล บริษัทสามารถปฏิเสธ หรือเลื่อนเวลาการรับประกันออกไปได้ครับ แค่นี้ใช่ไหมครับที่จะถาม ขอตัวก่อนนะครับ ผมจะรีบ”
ตอบไปอย่างยืดยาวจากนั้นก็ตัดบท เดินขึ้นบันไดไปยังห้องพักรับรองที่ทางทีมงานจัดไว้ให้ ผมเห็นเดียร์มายืนแกร่วๆแถวนั้น นึกแปลกใจว่าเขาขึ้นมาทำไมกัน ตรงนี้มีห้องแต่งตัวให้นักร้องและแดนเซอร์ด้วยเหรอ แล้วเขาได้ยินที่ผมพูดกับนายทรงพลหรือเปล่านะ ถ้าหากได้ยินเขาจะรู้สึกอย่างไรบ้าง โกรธเหมือนผมไหม

“มาทำอะไรตรงนี้น่ะ”

ผมย้อนถามเขาไป เด็กหนุ่มไม่ตอบกลับย้อนถามผมด้วยน้ำเสียงห่วงใย

“เรียวดื่มเหล้ามาหรือครับ”

“ก็นิดหน่อยน่ะ นี่นายเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเสร็จแล้วเหรอ”

“ครับ ห้องแต่งตัวอยู่บนนี้ พอดีกำลังจะลงไปข้างล่าง แต่เห็นคุณกำลังเดินขึ้นมา เลยมาดักรออยู่น่ะครับ อยากรอรับคุณกลับบ้านด้วยกัน”

“แล้ว.....เอ่อ......”

ผมมองกลับลงไปยังด้านล่าง นายทรงพลไม่ได้อยู่แถวบริเวณบันไดแล้ว

“ครับ ผมได้ยินทุกอย่าง กำลังนึกอยู่ว่าจะลงไปตั้นท์หน้ามันดีไหม ที่พูดจาจ้วงจาบทำร้ายคุณ แต่ผมไม่อยากมีเรื่องที่นี่ ผมกลัวว่าเรื่องมันจะโยงใยมาถึงเรียว แล้วทำให้คุณได้รับความอับอาย ผมก็เลยยืนฟังอยู่เฉยๆ พอดีได้ยินการโต้ตอบของคุณ ก็เลยคิดว่าคุณน่าจะรับมือได้นะครับ”

เขาตอบคำถาม ผมนึกในใจว่าดีแล้วที่เดียร์ไม่บุ่มบ่ามลงไปฉะนายทรงพลด้วยความโมโห เพราะมันจะยิ่งทำให้คนอื่นรู้เรื่องระหว่างเรามากยิ่งขึ้น

“สุขสันต์วันเกิดนะครับเรียว วันสำคัญอย่างนี้ ทำไมไม่คิดจะบอกให้ผมรู้บ้างเลย หรือว่า เรียวไม่อยากให้ผมได้ร่วมแสดงความยินดีด้วย ผมมันคนไม่สำคัญใช่ไหมครับ เรียวเลยไม่ใส่ใจที่จะบอกให้ฟัง ต้องให้ผมมารู้ทีหลังคนอื่นๆ”

เดียร์เปลี่ยนเรื่อง ถามผมด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ

“ทีนายก็ไม่เคยบอกฉันเหมือนกันนั่นแหละว่านายจะมาแสดงที่บริษัทนี้ด้วย ฉันนึกว่านายไปเล่นให้ที่อื่น”

อารมณ์ขุ่นมัวเริ่มมาหลังจากถูกนายทรงพลเข้ามาวุ่นวายถากถาง แถมซ้ำคนข้างตัวของผมยังต่อว่าเรื่องที่ผมไม่บอกกับเขาเกี่ยวกับวันเกิดของผมเอง ทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่เคยบอกให้ผมรับรู้เหมือนกัน แถมซ้ำยังเต้นเปลือยท่อนบนให้ใครต่อใครเห็น ความรู้สึกฉุนมันยังคงค้างคาอยู่ พอเด็กหนุ่มพูดจาไม่ดีใส่ผม ก็เลยฉุนฟิวส์ขาด

“เรียวเคยถามผมเสียที่ไหนล่ะครับ ที่จริงไม่เคยใส่ใจในตัวผมและความรู้สึกของผมเลยมากกว่า ผมจะเล่นที่ไหน จะแสดงที่ไหนเรียวไม่แม้แต่จะถาม”

“ช่วยไม่ได้ ฉันไม่ได้เป็นคนเรียกร้องในตัวนาย ไม่เคยสัญญาว่าจะรักและสนใจนาย นายคิดและเพ้อฝันไปคนเดียวต่างหาก”
อารมณ์โกรธที่ยังคงต่อเนื่องอยู่ ทำให้ผมพูดจาไม่ดีใส่เดียร์ไป ผมเห็นเดียร์มีสีหน้าที่หม่นหมองลง ทั้งๆที่บนเวทีเมื่อสักครู่เขายังยิ้มให้กับผม เราหวานให้กัน แต่พอลงมาจากเวที เราทั้งคู่กลับมาทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ ผมรู้สึกใจหายที่พูดร้ายๆใส่เขาไป แต่เดียร์เองก็ไม่น่าที่จะเริ่มก่อนนี่นา

ผมเกือบจะขยับปากเอ่ยคำขอโทษเดียร์ออกไปแล้ว หากไม่เป็นเพราะเสียงของคุณแคทที่ดังแทรกขึ้นมา ทำให้ผมต้องปิดปากตัวเองโดยอัตโนมัติ และหันไปทางต้นเสียง คุณแคทเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเสร็จเรียบร้อยแล้ว กำลังเดินขึ้นบันไดมาหาผม

เธอถามว่าผมจะไปหรือยัง ผมเลยตอบเธอไปว่ากำลังจะลงไป แล้วผละจากเดียร์ทันที โดยไม่ได้แม้แต่จะกล่าวลา ไม่ได้ถามสักคำว่า คืนนี้ เขาจะกลับบ้านไหม ความขุ่นข้องในใจที่โดนเดียร์ต่อว่า ทำให้ผมเลือกที่จะเฉยชากับเดียร์

นายทรงพลยังยืนอยู่ด้านล่าง แต่ย้ายไปอยู่แถวบริเวณหน้าลิฟท์ คุณแคทเอามือคล้องแขนผมโดยอัตโนมัติ และเอาตัวแนบชิดกับผมเมื่อเดินตรงไปยังที่ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ยืนอยู่ หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเผชิญหน้ากัน เ พราะตรงนั้นเป็นเพียงลิฟท์แห่งเดียวที่จะพาลงไปชั้นล่าง

“คุณลุงจะกลับแล้วหรือคะ”

“ครับ คุณแคทล่ะ จะกลับเหมือนกันเหรอ หรือจะไปต่อกับคุณเรียว”

คนแก่ตัณหากลับ เหลือบตามามองผม มีรอยยิ้มยั่วในดวงตาคู่นั้น แต่ผมเบือนหน้าหนี ปล่อยให้คุณแคทโต้ตอบกับตาเฒ่านั่น จนกระทั่งลิฟท์ที่เรียกไว้ลงมารับ เราสองคนจึงก้าวเข้าไปข้างในโดยมีนายทรงพลตามมาติดๆ ตาเฒ่านั่นมองผมอย่างเปิดเผย แต่ผมไม่ยอมสบตาเลยแม้แต่น้อย แต่หูได้ยินแว่วๆถึงการถามตอบระหว่างเพื่อนร่วมงานของผมกับคนรู้จักของเธอ

พอลิฟท์ลงมาถึงชั้นหนึ่ง ผมก็สะกิดคุณแคทให้เดินออกมาโดยหันไปพยักหน้าให้นายทรงพลนิดหน่อยเป็นเชิงกล่าวอำลา นายทรงพลไม่ได้ลงตามมาด้วย เขาลงลิฟท์ไปยังลานจอดรถเลย น่าแปลกที่วันนี้เขาไม่มีบอดี้การ์ดตามเป็นพรวนเหมือนทุกที วันนี้คงฉายเดี่ยว

ขณะที่ผมเดินกลับพร้อมๆกับคุณแคท ระหว่างทางเธอก็คุยกับผมหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่นายทรงพลมางานนี้ได้อย่างไร รวมถึงคำพูดไม่ดีที่นายทรงพลพูดกับผม ซึ่งทำให้เธอแปลกใจมากว่าเธอรู้ได้อย่างไร เธอก็บอกว่าบังเอิญได้ยินคนเขานินทากันว่าคุณทรงพลกับคุณเรียวทะเลาะกัน

คนพูดไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องอะไร แต่เธอเดาเอาว่าต้องไม่เป็นเรื่องดีแน่ เพราะตามปกติผมไม่ใช่คนขี้โมโหง่าย คนที่จะทำให้ผมโมโหได้แสดงว่าต้องทำร้ายกาจจนผมเหลืออด ในที่สุดผมก็ตัดสินใจเล่าเรื่องที่นายทรงพลพูดกับผมให้คุณแคทฟัง เธอทำหน้าเห็นอกเห็นใจผม และบอกว่าถ้าเป็นเธอก็คงจะโกรธจัดไม่ใจเย็นเหมือนผมหรอก

จากนั้นเธอก็ถามผมว่า แดนเซอร์ที่ร้องเพลงกับผมใช่คนที่เขาลือกันว่าเป็นแฟนผมหรือเปล่า แล้วเธอก็ยังบอกอีกด้วยว่า เธอเคยเห็นรูปของเดียร์ในห้องนอนของผมตอนที่ผมพาเธอไปค้างที่บ้าน พอมาเห็นเดียร์ที่นี่ และเห็นสายตาของเดียร์ที่มองผมก็รู้ได้ว่า เด็กคนนั้นรักผมมากแค่ไหน

“นี่แคทมาทำให้คุณสองคนผิดใจกันหรือเปล่าคะ”
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอกครับ เดียร์ไม่ได้เป็นอะไรกับผม ทำไมเขาจะต้องไม่พอใจด้วย”

ผมโกหกออกไปด้วยไม่อยากยอมรับง่ายๆกับคนที่ทำงานอยู่ด้วยกันว่าผมกำลังรักอยู่กับผู้ชาย ผมไม่รู้ว่าพวกเขาจะคิดยังไง รู้หน้าไม่รู้ใจ ถึงจะสนิทกับคุณแคทพอสมควร แต่ผมก็ยังอยากรักษาความลับของตัวเองไว้

“งั้นเหรอคะ ถ้างั้นแคทก็ฟังผิดไปเอง ขอโทษด้วยนะคะที่แคทคิดว่าคุณกับน้องเดียร์เป็นอะไรกัน ได้ฟังอย่างนี้แคทก็รู้สึกสบายใจนะ เพราะแคทไม่อยากทำให้คุณมีปัญหากับคนที่ตัวเองรัก ที่ผ่านมาก็เกรงใจจะแย่อยู่แล้วที่คุณคอยช่วยเหลือ อีกไม่นานหรอกค่ะ คุณก็ไม่ต้องมาช่วยแคทแล้ว เพราะแคทกำลังจะได้คำตอบที่ตัวเองต้องการแล้ว”

“จริงเหรอ”

“ค่ะ คืนนั้นหลังจากกลับจากงานแต่งแล้ว คนรักเก่าของแคทก็โทรมาหา เขาต่อว่าแคทใหญ่เลยที่ไปกับผู้ชายคนอื่น ถามใหญ่เลยว่ารู้จักคุณได้ไง และคุณกับแคทเป็นแฟนกันจริงๆหรือเปล่า เราคุยกันตั้งเกือบสองชั่วโมงแน่ะ แคทดีใจมากๆเลย ที่วิธีนี้ได้ผล แต่ดูเหมือนว่าเขายังดื้ออยู่ ยังไม่ยอมรับความจริงว่าเขาต้องการแคทมากกว่าลูกเมียเขาเสียอีก”

ท่าทางคุณแคทมีความสุขขณะที่เล่า แต่ผมเองกลับรู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก นี่ผมกำลังช่วยคุณแคททำบาปหรือเปล่านะ ถ้าแฟนเก่าของเธอกลับมาหา แล้วลูกเมียเขาล่ะจะอยู่ที่ไหน ผลกรรมนี้มันจะตามมาสนองทำให้ผมไม่สมหวังในความรักด้วยหรือเปล่า

“รู้ไหมพี่สมชายถามถึงคุณแคทด้วยล่ะ เขาถามผมหลายอย่าง ถามว่ารู้จักคุณมานานแล้วหรือยัง สนิทกันแค่ไหน แปลกจังเลยตอนอยู่ในงานทำท่าไม่อยากพูดคุย แต่พอคุณลับตาไปกลับสนอกสนใจขึ้นมา นี่ถ้าไม่คิดว่าเขามีภรรยาและลูกที่น่ารักอยู่ที่บ้าน ผมต้องคิดว่าพี่สมชายสนใจคุณแน่นอน”

ในที่สุดผมก็ตัดสินใจพูดออกไป เพื่อดูปฏิกิริยาของคุณแคทเพราะผมเริ่มสงสัยอะไรบางอย่าง ทำไมเหตุการณ์มันถึงได้ประจวบเหมาะกันแบบนี้หนอ คนสองคนเคยเรียนที่เดียวกันมาก่อน พี่สมชายเป็นรุ่นพี่คุณแคท ตรงซุ้มอาหารก็ไม่มีใครที่น่าสงสัยว่าจะเป็นแฟนคุณแคท มีเพียงพี่สมชายอยู่บริเวณนั้นเท่านั้น

และพี่สมชายยังแต่งงานและมีลูกแล้ว ซึ่งไปพ้องกับคนรักเก่าของเธอ อยู่ๆผมก็นึกถึงตอนที่ไปถามข่าวคราวของเดียร์ที่ผับแถวสีลม ผมได้เจอคุณแคทกับพี่สมชาย และไม่ใช่แค่ครั้งเดียว ยังได้เห็นคุณแคทยืนกอดจูบกับใครบางคน แต่ตอนนั้นผมยังไม่เฉลียวใจสักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ผมเอาแต่ละชิ้นส่วนมาปะติดปะต่อกัน และเริ่มมั่นใจว่าคนรักเก่าของคุณแคทก็คือพี่สมชายนั่นเอง

ชั่วขณะหนึ่งคุณแคทมีทีท่าว่าสนใจ เธอยิ้มออกมา แต่พอเห็นสายตาของผมที่มองจ้อง เธอก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นเรียบเฉย ผมพยายามลอบสังเกตหาสิ่งผิดปกติ แต่เหมือนเธอจะรู้ตัวกลบเกลือนจนเนียน เลยไม่รู้ว่าความจริงคืออะไรกันแน่ สิ่งที่ผมคิดมันถูกต้องหรือไม่ ถ้าใช่ผมอาจจะถอนตัวจากเรื่องนี้ เพราะผมไม่อยากจะทำร้ายใคร โดยเฉพาะคนนั้นดันเป็นเพื่อนบ้านของผม

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่31-2 6/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 06-02-2009 16:18:46
บทที่ 32

“ถามจริงๆเถอะ คุณแคทเป็นแฟนเก่าของพี่สมชายหรือเปล่า”

ผมถามออกไปโดยไม่อ้อมค้อม คุณแคทร้องว้าย เอามือทาบอก พลางสั่นหน้า

“คุณเรียวคงจะเมาแน่ๆ เลยพูดประโยคแบบนั้น แคทไม่ได้เป็นแฟนก่งแฟนเก่าอะไรกับพี่สมชายของคุณเสียหน่อย เราไม่เคยรู้จักกันเลยนะคะ”

พูดปด ผมรู้ดี เพราะผมเห็นเธอหลบสายตาผมตอนที่ปฏิเสธคำถามของผม เอาเถอะไม่ยอมรับไม่เป็นไร ผมต้องพยายามหาความจริงให้ได้ และรีบเอาตัวออกห่างไม่อยู่ในแผนการณ์ของคุณแคท ถ้าหากมันจะทำให้ครอบครัวของคนดีๆต้องแตกแยกกัน แม้ผมจะเห็นใจคุณแคท และต้องการทำเพื่อให้เดียร์ปลอดภัยจากเงื้อมมือของนายทรงพล แต่ผมก็มีความยุติธรรมพอที่จะไม่เอาเรื่องส่วนตัวของตนเอง มาทำร้ายครอบครัวคนอื่น ผมจะหาทางช่วยเดียร์วิธีอื่น

“ถ้างั้นผมก็ต้องขอโทษด้วยที่เข้าใจคุณแคทผิด ผมจะได้รู้สึกสบายใจด้วย ว่าไม่ได้ทำให้ครอบครัวของคนที่ผมรู้จักต้องบ้านแตกสาแหรกขาด”

ผมย้อนไปตามคำพูดของเธอที่เคยพูดกับผม เราต่างคนต่างส่งยิ้มแห้งแล้งให้กัน และเดินกันไปเงียบๆจนถึงสถานีรถไฟฟ้า ขึ้นรถได้ก็ต่างคนต่างเงียบ อยู่ในโลกส่วนตัวของตนเอง ผมเห็นคุณแคทเหม่อลอย นัยน์ตาครุ่นคิด ส่วนผมเองก็เริ่มจะมึนๆจากการดื่มเข้าไปเยอะมาก ตาชักจะเริ่มลายแล้ว ตอนลงบันไดมา ผมก็เกือบจะเดินพลาดต้องจับราวบันไดไว้ แต่คุณแคทไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของผม เพราะมัวแต่เดินคิดอะไรอยู่ จนกระทั่งเดินไปถึงรถคุณแคท เธอจึงได้หันมาสังเกตเห็นว่าผมเริ่มจะเดินไม่ตรงทางแล้ว เธอถามว่าผมขับรถไหวไหม ผมบอกว่าไหวสบายมากไม่ต้องเป็นห่วง จากนั้นก็รีบไล่ให้เธอกลับบ้านไปพักผ่อน พอเธอขับรถออกไปแล้วผมก็เดินกลับไปยังรถของผม ตอนที่กำลังจะไขกุญแจรถนั้น เสียงห้วนๆแบบไม่พอใจก็ดังขึ้นข้างหลัง

“ไปไหนกันมาหรือครับ เห็นออกมาตั้งนานแล้ว ทำไมเพิ่งจะถึง”

ผมหันขวับไปตามเสียง ก็เห็นเดียร์สะพายเป้ยืนเยื้องออกไป หน้าตาบึ้งตึง

“แล้วนายมีปัญหาอะไร....”

“ผมเป็นห่วง เห็นนายทรงพลอยู่ในงานด้วย กลัวว่าคุณจะเป็นอันตราย”

คำพูดของเดียร์ทำให้ผมสะอึก เด็กนี่เป็นห่วงผมเลยมาดักรออย่างนั้นหรือ

“เกือบชั่วโมงแล้ว จากโรงแรมที่จัดงานมาถึงบริษัทของคุณ ผมเฝ้ารออย่างกระวนกระวายกลัวว่าคุณจะเป็นอะไร ที่แท้ก็มัวแต่ไปอี๋อ๋ออยู่กับยัยชะนีนั่น รู้งี้ไม่เป็นห่วงซะก็ดี”
เขาพูดอย่างโกรธๆ ผมก็เลยอารมณ์ขึ้นมาอีกครั้ง หนอยแน่ะ มีสิทธิอะไรมาต่อว่าผม แถมซ้ำยังไปเรียกคุณแคทว่าชะนีอีก ตอนแรกใจอ่อนสงสารเขา แต่พอพูดจาสุนัขไม่รับประทานอย่างนี้ผมก็อดนึกโมโหไม่ได้ เลยพูดเสียงดังกลับไปว่า คราวหลังไม่ต้องมาคอยติดตามหรือคอยเป็นห่วงอีก ผมดูแลตัวเองได้ เลิกยุ่งเกี่ยวกับชีวิตผมได้แล้ว จะไปทำอะไรที่ไหนก็ไป

รู้ตัวว่าพูดแรงเหมือนกัน แต่มันยั้งไม่อยู่แล้ว เจ้าเด็กบ้านี่เคยรู้อะไรบ้างไหม เอาแต่ใจตัวเองฝ่ายเดียว อยากได้อะไรก็ต้องได้ โดยไม่คำนึงถึงจิตใจคนอื่น เคยคิดบ้างไหมว่าผมจะรู้สึกอย่างไร ผู้ชายอย่างผมซึ่งเคยมีอะไรกับผู้หญิงเท่านั้น วันดีคืนดีก็ถูกบังคับขืนใจให้มารักผู้ชายด้วยกัน เสียตัวให้กับเขาโดยง่าย ปล่อยให้นายเดียร์ตักตวงความสุขเอาจากร่างกายของผม เขาทำให้ผมอับอายที่จะต้องยอมรับกับตัวเองว่าผมปรารถนาในตัวเขาแค่ไหน

ในแต่ละวันผมต้องต่อสู้กับความรู้สึกของตัวเอง ต้องนั่งคิดใคร่ครวญว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไร ระหว่างการทำตัวให้ถูกครรลองครองธรรม หรือทำตามใจปรารถนา ผมต้องทนรับมือกับข่าวซุบซิบนินทา ถูกกดดันจากหัวหน้าและถูกแบล็คเมล์จากนายทรงพล แถมซ้ำยังต้องมารับหน้าเป็นแฟนกับคุณแคท ทั้งๆเรื่องที่เกิดทั้งหมดนี้มาจากการกระทำของเขาทั้งสิ้น

ถ้าเขาไม่มายุ่งกับผม ไม่แบล็คเมล์จนต้องเซ็นต์สัญญาเป็นแฟนกับเขา ป่านนี้ผมคงไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ เป็นนายเรียว ผู้อำนวยการหนุ่มที่มีหน้าที่การงานมั่นคง ได้แต่งงานกับใครสักคนที่ผมรัก มีลูกด้วยกันมีครอบครัวที่มีความสุข ไม่ใช่มาอยู่กับผู้ชายแบบหลบๆซ่อนๆ กลัวใครจะเห็นแบบนี้

แทนที่เขาจะเข้าใจผม กลับมาทำโวยวายเพียงเพราะผมไปกับผู้หญิงคนอื่น เขาไม่น่าจะหึงผมด้วยซ้ำเพราะเขาไม่มีสิทธิ์ตั้งแต่แรก ผมเป็นของเขาแค่เพียงกาย และแม้ว่าใจผมจะมีเขาอยู่เต็มหมดทั้ง 4 ห้อง แต่ผมก็ไม่ได้สัญญาว่าจะครองคู่กับเขาไปตลอด วันข้างหน้าผมอาจจะเลิกกับเขา แล้วไปมีแฟนใหม่เป็นผู้หญิง ชีวิตเป็นของผม ดังนั้นผมจะใช้ชีวิตอิสระเสรีอย่างไรก็ได้

พอผมหลุดคำพูดนั้นออกไป เด็กหนุ่มก็หน้าถอดสี จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นแดงก่ำด้วยความโกรธ เขาปราดเข้ามาหาผม แล้วยืนค้ำหัว พลางพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน สองมือขยุ้มไหล่ผม ราวกับจะบีบให้แหลกคามือ

“ใช่สิ ผมมันไม่เคยมีความหมายกับคุณเลยนี่ ทั้งๆที่ผมพยายามทำดีกับคุณ แต่คุณก็ไม่เคยรับรู้หรือแม้แต่จะทำความเข้าใจ เพียงเพราะผมเป็นผู้ชาย คุณจึงรักไม่ได้ แต่ทีกับคนที่แปลงเพศแล้ว คุณกลับชอบและให้ความสนิทสนมด้วยเป็นอย่างดี ตกลงว่าคุณชอบแบบไหนกันแน่ ชอบผู้หญิง ผู้ชาย หรือกระเทย”

“พูดอะไรของนาย ฟังไม่เห็นจะรู้เรื่อง นี่ถ้าจะมาชวนทะเลาะล่ะก็ ไปหาคนอื่นเถอะ ฉันไม่เอาด้วยหรอก จะกลับบ้านแล้ว”

ผมตัดบท ไม่อยากโต้เถียงด้วย ยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งดังขึ้น แม้ผมจะเมาและตาลายขนาดไหน แต่ผมก็ยังแอบเห็นยามผลุบๆโผล่ๆมองเราอยู่ที่ตรงป้อม และช่างเหมาะเจาะเสียจริงที่เป็นยามคนเดิมที่เคยเห็นผมกับเดียร์ คนที่ปากพล่อยพูดเรื่องผมกับเดียร์ให้พนักงานฟัง วันนี้เขามาเข้ากะดึกเสียด้วย พรุ่งนี้เช้าคงมีเรื่องได้พูดสนุกปากแน่ ยิ่งคิดผมก็ยิ่งโมโหเดียร์ ทำไมต้องมาดักรอเพื่อจะทะเลาะกับผมในลานจอดรถตรงนี้ด้วยนะ จะทำให้ผมได้รับความอับอายไปถึงไหน แค่นี้คนก็เริ่มระแคะระคายและเริ่มนินทาแล้ว จะให้ผมอยู่ที่นี่ไม่ได้ เพื่อที่จะไปครองรักกับเขาแบบตกกระไดพลอยโจนหรือยังไง
ผมเปิดประตูรถได้ และกำลังจะก้าวขึ้นไปนั่งยังด้านคนขับ แต่เดียร์เอื้อมมาดึงกุญแจรถไปจากมือผม แล้วดึงตัวผมให้ลงจากรถ จากนั้นก็กึ่งลากกึ่งประคองผมไปยังอีกด้าน แล้วเปิดประตูจับผมยัดเข้าไป ผมโวยวาย เขาก็บอกว่าเขาจะขับเอง ผมเมามากแล้วคงขับไม่ไหว ขืนดื้อขับไปคงได้เจออุบัติเหตุ จากนั้นเขาก็ก้าวขึ้นมานั่ง ล็อครถและขับออกไป ผมหลับตาลงเริ่มรู้สึกมึนหัวมากยิ่งขึ้นจนอยากจะนอนพัก ไม่อยากพูดคุยกับเขาอีก กลัวว่าจะโต้เถียงกันไปมากกว่านี้ การทะเลาะกันในภาวะที่ขาดสติ อาจจะทำให้ผมเผลอพูดจาอะไรที่รุนแรงออกไปอีกจนได้

ถึงบ้านแล้ว เดียร์ก็เข้ามาประคองผม แต่ผมไม่ยอมให้เดียร์ช่วยเหลือ จึงปัดมือเขาออกแต่ก็เซถลาอย่างเสียศูนย์ เพราะแอลกอฮอล์ในเลือดเริ่มสำแดงเดช ดีที่เดียร์เอื้อมมือมาคว้าตัวผมไว้ได้ เขากอดผมไว้แน่น แล้วก็พยายามจะอุ้มผม แต่ผมขัดขืน จังหวะที่ยื้อยุดนั้น ผมก็ได้ยินเสียงประตูรั้วบ้านตรงข้ามเปิดออก พี่สมชายเดินออกมาพอดี และเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ผมก็เลยยิ่งนึกโมโหหนักขึ้น ความลับเริ่มจะปกปิดไม่มิดอีกต่อไปแล้ว

มีคนรู้เรื่องผมกับเดียร์มากขึ้นเรื่อยๆทุกวัน และยิ่งทำให้ชีวิตผมไม่เป็นปกติสุข ความโกรธที่ไม่สามารถจะรักษาชีวิตแบบเดิมๆของตัวเองไว้ได้ทำให้ผมยิ่งพาลใส่เดียร์อีก แข็งใจเดินเข้าไปในบ้านด้วยตัวเอง เดียร์ปิดประตูบ้านเสร็จ ก็จะเดินตามมาส่งผมขึ้นห้อง ผมร้องบอกว่าคืนนี้ให้เขานอนอยู่ข้างล่างนั่นแหละไม่ต้องมานอนด้วย ผมอยากอยู่คนเดียวจากนั้นผมก็ตะกายขึ้นไปนอนบนเตียงและฟุบหลับไป

ตื่นเช้าขึ้นมา ผมรู้สึกปวดหัวตึ้บๆ หลังจากสั่นศีรษะขับไล่ความมึนงงสักพัก ผมก็เห็นตัวเองนอนอยู่บนเตียงในสภาพแต่งกายด้วยชุดนอนเรียบร้อย เนื้อตัวสะอาดสะอ้านไม่มีกลิ่นอาหารหรือกลิ่นเหล้าติดตัวเหมือนตอนกลับมา เสื้อผ้าที่ใส่แล้วหายไปจากตะกร้า ห้องถูกกวาดถูเรียบร้อย ผมเหลือบตาดูนาฬิกาบนหัวเตียง เข็มนาฬิกาชี้ไปที่เวลา 10.25 นาที นี่ผมตื่นนอนสายขนาดนี้เลยหรือ ผมรีบกระโดยลงจากเตียง อาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันแล้วเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืดแขนสั้น และกางเกงผ้ายืดสำหรับใส่อยู่กับบ้านและเดินลงมาข้างล่าง

ในห้องรับแขกไม่มีเดียร์อยู่ตรงนั้น ผ้าห่มกับผมถูกพับเก็บเรียบร้อยวางไว้บนโซฟา บนโต๊ะอาหารในห้องครัว มีอาหารเช้าร้อนๆตั้งอยู่ มีข้าวต้ม ผัดหัวไชโป้วหวานใส่ไข่ และไข่เจียวเห็ดหอม กับน้ำเย็นเหยือกหนึ่งวางไว้ ตัวคนทำไม่ได้อยู่ที่นั่น

ผมเดินไปดูที่หลังบ้านคิดว่าเดียร์อาจจะพาเจ้าหญิงไปเล่นซน แต่ก็พบเพียงเสื้อผ้าของผมที่ซักตากขึ้นราวไว้เรียบร้อย นึกสงสัยว่าเขาไปไหน เลยเดินออกมาที่ด้านหน้าบ้าน ก็พบเดียร์นั่งกอดเข่าท่าทางซึมๆอยู่ใต้ต้นมะม่วง มีเจ้าหญิงนอนแกว่งหางอยู่ที่ปลายเท้า ผมเห็นอาการหงอยเหงาของเดียร์แล้วก็เกิดความสงสาร สำนึกได้ว่าเมื่อคืนนี้ผมพูดแรงกับเขามากไปจริงๆ ความโกรธ ความโมโห หงุดหงิดต่อสิ่งที่เผชิญอยู่ บวกกับความเงา ทำให้ผมไม่เก็บกดอารมณ์ ไปลงที่เขาอย่างเต็มที่ ผมรู้ว่าเดียร์เองก็โกรธผมไม่ใช่น้อย แต่เขาก็ยังเป็นห่วงผม ดูแลเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ แม้ผมจะขับไล่ไสส่งไม่ให้เขาเข้าใกล้ ยิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจที่ทำกับเดียร์เกินไป ผมจึงเปิดประตูออกไปหาเขา
เดียร์รีบยืนขึ้นเมื่อผมเดินตรงมาหา เขาส่งยิ้มให้ผม ถามว่าตื่นแล้วเหรอ ปวดหัวไหม หิวหรือเปล่า ผมรู้สึกเจ็บแปลบที่ตรงหัวใจ เจ้าเด็กบ้าเมื่อคืนนี้ทะเลาะกันอยู่ แต่เช้าขึ้นมาก็มาทำดีกับผมอีกแล้ว ผมมองหน้าเดียร์ เห็นหน้าของเขาซีดเซียวอิดโรยเหมือนคนไม่ได้นอนมาทั้งคืน ตาบวมแดงช้ำ สงสัยไม่ได้หลับเพราะนั่งนึกน้อยใจผมอยู่กระมัง

เห็นแล้วก็รู้สึกสงสาร เลยตั้งใจว่าจะไถ่โทษที่ทำผิดกับเขาเสียหน่อย อยากจะชวนเขาไปฉลองวันเกิดด้วยกันสองต่อสอง ไปหาร้านเค้ก หรือร้านไอศกรีมอร่อยๆทานกัน จากนั้นก็พาเขาไปเที่ยวไหนก็ได้ที่เขาอยากไป

“ไปกินเค้กกันไหม”

ผมเอ่ยปากชวนเขา เดียร์ทำตาโต ถามผมว่าจะกินจริงๆเหรอ ผมพยักหน้า เขาก็ถามอีกว่าตอนกลางวันนี่นะ ผมก็บอกว่าใช่ เขาก็ถามว่า ไม่ทานข้าวก่อนหรือ ผมก็หัวเราะ นึกในใจว่าเจ้าบ้านี่ถามมากจัง จะออกไปทานข้าว ข้างนอก แล้วจะกินข้าวในบ้านอีกทำไม

เด็กหนุ่มยิ้มกว้างขึ้น จากนั้นก็ตรงเข้ามาหาผม และช้อนร่างผมมาอุ้ม ผมตกใจมาก แค่จะไปทานข้าวข้างนอกกันแค่นี้ ไม่ต้องดีใจถึงขนาดที่ต้องอุ้มผมแบบนี้หรอก ผมพยายามจะดิ้นลงจากอ้อมแขนของเขา แต่เดียร์ก็รัดแน่น แรงของเขามีมากมายมหาศาล ไม่น่าเชื่อว่าจะอุ้มผู้ชายตัวโตๆอย่างผมได้ จากนั้นเขาก็เดินเร็วๆเข้าไปในบ้านและพาผมขึ้นบันไดไปยังห้องนอนชั้นบน ผมเริ่มเอะใจขึ้นมาตะหงิดๆ คาดว่าเดียร์คงจะเข้าใจอะไรผิดเป็นแน่

“นี่จะทำอะไรน่ะ”

ผมร้องถามเขา พยายามจะดิ้นให้หลุดจากการเกาะกุม เดียร์หัวเราะร่าเริง จากนั้นก็วางผมลงบนเตียงแล้วกระโจนขึ้นมาทับ พลางกอดจูบผมเป็นพัลวัน ผมแกะไม้แกะมือเด็กหนุ่มที่ยุ่มย่ามแถวตัวผม แต่เดียร์มือเหนียวมาก แกะไม่ยอมออก ร้องทัดทานอย่างไรก็ไม่ยอมฟัง เขาสัมผัสผมไปทั่วตัว และมอบจูบที่เร่าร้อนให้ เขาตรึงร่างผมให้อยู่ใต้ร่างของเขาไม่ให้เคลื่อนไหวไปไหน แล้วก็จูบกอดจนผมอารมณ์เปลี่ยน ความวาบหวามเข้ามาแทนที่ มือที่ผลักไสกลายเป็นโอบกอดไปรอบตัวเขา ปากจูบโต้ตอบ เนื้อตัวบดเบียดอยู่กับร่างกายแข็งแรงนั่น และในไม่ช้า ผมก็ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ

พอทุกอย่างผ่านพ้นไปแล้ว ผมก็ต่อว่าต่อขานเดียร์ทั้งที่ยังหายใจหอบอยู่

“ใครบอกให้นายทำแบบนี้กันฮึ....”

“ก็กินเค้กไง เรียวบอกผมให้มากินเค้ก ผมก็มาตามคำชวน กินเค้ก กินเค้ก กินเค้ก”

เขาพูดซ้ำๆ ผมมองหน้าตาทะเล้นทะลึ่งนั่นแล้วก็รู้สึกปวดหัว นี่เขาไม่เข้าใจที่ผมพูดหรือแกล้งทำเป็นไม่รู้กันแน่ ว่าผมหมายถึงอะไร
“เมื่อกี้ที่ฉันพูดหมายถึงว่า จะชวนไปทานข้าวนอกบ้านกัน แล้วค่อยพานายไปกินเค้กแล้วก็เลี้ยงไอติม เพื่อฉลองวันเกิดกันไม่ใช่ชวนให้มาทำแบบนี้เสียหน่อย”

ผมว่าเขาเสียงขุ่น เดียร์ยิ้ม ทำหน้าเจ้าเล่ห์ แก้ตัวไปข้างๆคูๆ บอกผมว่านึกว่าเหมือนกับครั้งก่อน ตอนที่กลับมาจากเสม็ดคราวนั้นผมชวนเขากินเค้ก แล้วเขาก็ได้ทำแบบนี้กับผม ผมล่ะขวางเขานัก เจ้าเด็กบ้า หน้าด้านที่สุด ตีความเข้าข้างให้ตัวเองได้ประโยชน์ ไม่มีใครจะหน้ามึนได้อย่างนายเดียร์สักคน

“ไม่เป็นไรนะครับ เข้าใจผิดแค่นิดหน่อยเอง แต่เรียวก็ชอบให้ผมกินเค้กใช่ไหม นี่นี่ ผมว่านะ ไม่ต้องออกไปทานข้าวข้างนอกกันหรอก ทานในบ้านนี่แหละ ฉลองกันสองคน เดี๋ยวผมจัดการให้ เรื่องอาหารผมถนัด เรียวอยู่เฉยๆ คอยดูแลตกแต่งสถานที่ก็พอ ดีไหมครับ”

เดียร์ทำเสียงออดอ้อนฉอเลาะ จนผมลืมความโกรธเมื่อครู่ ยิ่งเขามาเอาใจใส่ในตัวผม คิดจะทำโน่นทำนี่ให้ มันทำให้ความขุ่นข้องหมองใจมลายหายไปสิ้น

“เราไม่โกรธกันแล้วใช่ไหมครับ นะนะนะ ดีกันนะครับคนดี ผมผิดเองที่ทำเสียงดังใส่คุณ ผมขอโทษนะครับที่รัก คราวต่อไปผมจะไม่หงุดหงิดใส่คุณอีกแล้ว ผมสัญญา เรียวอย่าเกลียดผมเลยนะครับ ผมใจคอไม่ค่อยดีเวลาที่คุณไม่สนใจใยดีในตัวผม เราสัญญาเป็นแฟนกันแล้ว เราก็ต้องพยายามประคับประคองรักของเราไปให้ตลอดรอดฝั่งนะครับ”

เด็กหนุ่มขอโทษขอโพยผม แล้วก็อ้อนขอให้เราคืนดีกัน เห็นหน้าตาใสซื่อนั่นผมก็โมโหไม่ลงแล้ว ยิ่งมาทำท่าน่ารักน่าสงสารแบบนี้ ใจผมยิ่งอ่อนยวบเข้าไปใหญ่ พอเห็นผมเฉยๆ ไม่ว่าอะไร เจ้าเด็กบ้านี่ก็โมเมเอาว่าผมให้สัญญากับเขาแล้วที่จะไม่โกรธกัน เขากอดผมแนบแน่น และเอาหน้าของเขาคลอเคลียแนบชิดกับศีรษะของผม

“เรียวครับ เพลงที่ร้องเมื่อคืนนี้ ร้องเพื่อผมหรือเปล่า”

เดียร์ถามแล้วยิ้มทะเล้นให้ ผมเบือนหน้าหนี กลัวจะต้องยอมรับความจริงต่อหน้าเขาว่าผมเลือกเพลงนี้จากแรงกดดันในที่ทำงาน และเพราะว่าผมไม่อยากเลิกกับเขาจริงๆ

“เปล่า ฉันไม่รู้จะร้องเพลงไหนดี”

“แต่ผมคิดว่าเรียวต้องร้องเพลงนี้ให้ผมแน่เลย เพราะเรียวกำลังจะบอกผมทางอ้อมว่าไม่อยากจะเลิกกับผมใช่ไหมครับ”

ตีความเข้าข้างตัวเองอีกแล้ว ช่างน่าหมั่นไส้เสียจริงๆเชียว

“ใครบอก ฉันน่ะ เร่งวันเร่งคืนให้ครบกำหนดสัญญาเร็วๆ เพื่อที่จะได้เป็นอิสระจากนายไงล่ะ อย่ามาทำเป็นสู่รู้ใจคนอื่นเลย”

โกหกกลับ
“เรียวน่ะ ชอบทำเป็นปากแข็งอยู่เรื่อย แถมปากไม่ตรงกับใจอีกด้วย เอาเถอะ ผมจะรอวันนั้น วันที่เรียวสามารถที่จะยอมรับได้อย่างเต็มปากว่ารักผมเหมือนกัน ผมไม่โกรธหรอกที่เรียวพูดแบบนี้ เพราะเรียวอาจจะยังไม่รู้ใจของตัวเองสักเท่าไหร่ ถึงเรียวจะพูดไม่ดีใส่ แต่ผมก็รักเรียวนะครับ สำหรับผมแล้ว เพลงที่ร้องออกไปเมื่อคืนมันมาจากความรู้สึกนึกคิดของผมจริงๆ ผมไม่อยากเลิกกับเรียว ผมรักคุณมาก และอยากจะอยู่กับคุณไปชั่วชีวิตเลย”

คำพูดที่จริงใจนั้นทำให้ผมรู้สึกหวั่นไหว ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เดียร์ก็ยังยืนยันความรู้สึกเดิมๆที่มีต่อผม เขาไม่เคยเปลี่ยนแปลงคำพูด ทำตัวเสมอต้นเสมอปลายตลอด ตั้งแต่วันแรกที่ผมเจอเขาจนล่วงเลยมาถึงป่านนี้ ไม่มีวันไหนที่เขาจะทำตัวเหินห่าง เขาได้ตัวผมไปแล้ว สมหวังในสิ่งที่ต้องการ แต่เขาก็ไม่ยอมที่จะเลิกรากับผม ความรักของเขาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนผมเองยังรู้สึกได้

ผมหลับตาลง เพื่อยุติการรับรู้เรื่องทั้งปวง การได้เห็นใบหน้าและแววตาที่จริงใจของเขา ทำให้ผมใจอ่อนทุกครั้ง ความสงสารเห็นใจเป็นบ่อเกิดแห่งความรัก ผมเริ่มตระหนักว่าตนเองต้องการเขามากแค่ไหน และผมไม่อยากจะสูญเสียเขาไปเลย อยากอยู่กับเขาไปนานๆด้วยเช่นกัน เพียงแต่ผมขี้ขลาดเกินกว่าจะยอมรับความเป็นจริง ผมยอมรับว่าผมกลัว กลัวการพิพากษาของสังคม ผมกลัวที่จะถูกกันออกมาเป็นคนนอก เพียงเพราะว่าผมรักผู้ชายด้วยกัน และผมยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้ไม่ได้ ทางเดียวที่จะทำให้ผมยังมั่นคงอยู่ในสถานภาพเดิมๆ คือการพยายามที่จะหยุดรักเขา

เสียงหายใจที่สม่ำเสมอทำให้ผมรู้ว่าเดียร์เข้าสู่ห้วงนิทราแล้ว เขาคงจะเพลียมาก เนื่องจากอดนอนทั้งคืน แม้เดียร์จะไม่ปริปากบ่น แต่ผมก็รับรู้ได้จากใบหน้าเหน็ดเหนื่อยนั่น ผมเอื้อมเอามือแตะไปที่ใบหน้าของเดียร์เบาๆ ลูบไล้สัมผัสด้วยความรู้สึกรักและเอ็นดูในตัวเขา เดียร์เอ๋ย วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ถ้าเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน เราสองคนจะขาดใจตายจริงๆอย่างที่เพลงเขาว่านั้นหรือเปล่านะ ผมชักสงสัยเสียแล้ว

ไม่รู้ว่าเพราะเหนื่อย หรือ ยังไม่หายมึนจากการดื่มเหล้าเมื่อคืน ทำให้ผมผล็อยหลับตามเดียร์ไปด้วย ตื่นมาอีกทีก็บ่ายคล้อยแล้ว เดียร์ไม่ได้อยู่บนเตียงกับผม เขาคงจะลงไปข้างล่าง หางานบ้านมาทำเพื่อไม่ให้อยู่ว่างๆ เดียร์ชอบที่จะปัดกวาดเช็ดถูบ้านให้ผม เขาทำราวกับว่าเป็นเจ้าของบ้านที่มาคอยดูแลทำความสะอาดไม่ให้มันรกรุงรัง ผมเป็นเจ้าของบ้านแท้ๆยังไม่ค่อยจะได้ทำ ยิ่งเดียร์มาอยู่ด้วยแบบนี้ เขาจัดการให้หมดทุกอย่างจนผมเริ่มที่จะขี้เกียจ


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่31-2 6/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 06-02-2009 16:19:17
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ผมหยิบมาดู ปรากฏว่าเป็นคุณแคทโทรมา เธอหัวเราะร่าเริง แซวผมว่าเพิ่งตื่นหรือ ผมหัวเราะแหะๆ บอกว่านอนเพลินไปหน่อย เธอก็บอกว่าลุกขึ้นแต่งตัวได้แล้ว เพราะเธอกับสันต์ และศักดิ์ชาย นัดแนะกันว่าจะไปหาผมที่บ้าน เพื่อไปฉลองวันเกิดให้กับผม จะเอาอาหารไปทำกินกัน ให้ผมจัดบ้านไว้ด้วย ผมยังไม่ทันจะอ้าปากทัดทาน เธอก็วางสายไปเสียก่อน

ผมรีบโทรไปหาเจ้าสันต์ทันทีว่ามันเกิดอะไรขึ้น จะมาหาผมทำไมไม่บอกผมสักคำ มันก็หัวเราะแล้วบอกว่า ตกลงกันไว้แต่แรกว่าจะมาเซอร์ไพรส์ผมแบบไม่ให้รู้เนื้อรู้ตัว แต่ในเมื่อเพื่อนสาวของผมเผลอบอกไปแล้ว ก็ไม่เป็นไร ก็ให้ผมเตรียมตัวเอาไว้ เพราะในอีก 1 ชั่วโมงข้างหน้า ก็คงจะถึงบ้านผมกันแล้ว ขอให้เคลียร์บ้านด้วย หากไม่สะดวก ซุกซ่อนความลับอะไรไว้ก็ขอให้บอกมาก่อน จะได้ยับยั้งกันได้ทัน ผมอึกอัก ไม่กล้าพูดว่าเดียร์อยู่ด้วย จึงปล่อยเลยตามเลย
วางหูเสร็จ ผมก็รีบถลาลงจากเตียง ลงมาตามหาเดียร์ข้างล่าง ผมได้กลิ่นอาหารหอมหวลฟุ้งตลบอบอวลไปหมด กลิ่นเค้กในเตาอบ และอาหารนานาชนิด คนปรุงยืนอยู่ในครัว เขาแต่งตัวด้วยเสื้อกล้าม และกางเกงขาสั้นตัวใหญ่ยาวคลุมเข่า มีผ้ากันเปื้อนคาดอยู่ที่ลำตัวด้านหน้า บนโต๊ะอาหารมีเค้กขนาดใหญ่ ที่ตกแต่งเสียสวยงาม และมีอาหารไทยกับอาหารฝรั่ง สี่ห้าอย่างอยู่บนโต๊ะ พอเดียร์หันมาเห็นผม เขาก็ยิ้มให้อย่างอ่อนหวาน

“ตื่นแล้วหรือครับเรียว หิวหรือยัง รอแป๊บนะครับ ผมกำลังทำอาหารอยู่ อีกแป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว เรียวไปอาบน้ำก่อนดีไหมครับ เดี๋ยวเราจะได้มาฉลองวันเกิดเรียวกัน”

“นี่นายออกไปซื้อเองทั้งหมดเลยเหรอ ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

“ก็สักบ่ายโมงนะครับ พอตื่นมาก็รีบออกไปเลย ไม่ได้ปลุกคุณ พอดีเจอพี่สมชาย เขากำลังจะออกไปห้างกับภรรยาและลูกเขาพอดี เลยอาศัยติดรถเขาไปด้วย เลยไปและกลับไวไงครับ อ้อ เขาฝากแฮบปี้เบิร์ทเดย์ เรียวมาด้วยนะครับ พวกเขาทำท่าอยากมาร่วมงานด้วย แต่ผมไม่ได้ชวนเขา ไม่รู้ว่าคุณอยากให้ชวนหรือเปล่า จริงๆแล้วผมน่ะอยากฉลองกับเรียวสองคน แต่ถ้าคุณอยากจะให้พวกเขามาร่วมสนุกด้วยผมก็จะไปเชิญเขามานะครับ”

เดียร์รายงานเสียงแจ้ว ในขณะที่มือก็หยิบจับโน่นนี่เป็นระวิง ผมสบตาที่มองมาอย่างรักใคร่นั้น รู้สึกดีที่เขาทำสิ่งนี้ให้ผม แต่ก็รู้สึกหนักใจอยู่ไม่น้อยที่บรรดาเพื่อนๆจะพากันแห่มาบ้าน ผมอยากจะฉลองกับเดียร์สองคน เขาอุตส่าห์ตื่นไปซื้อกับข้าวที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต และรีบกลับมาทำอาหารให้ผม เราควรจะได้ใช้เวลานี้ด้วยกัน แต่พวกเพื่อนก็ดันมาเป็นตัวมารขัดขวาง แมซ้ำยังเดินทางมากันแล้ว จะปฏิเสธไม่ให้มา มันก็คงจะสงสัยว่าทำไมผมถึงไม่ยอมให้เข้าบ้าน คนโสดอย่างผมซุกซ่อนอะไรที่ไม่อยากให้ใครรู้หรือเปล่า สารพัดคำถามที่มันจะขุดคุ้ย ผมทั้งไม่อยากกินข้าวกับพวกมัน พอๆกับที่ไม่อยากตอบคำถามเหล่านั้น

“ขอโทษทีนะครับเรียว ที่ผมตัดสินใจเองโดยไม่ถามไถ่คุณก่อน ผมรู้สึกดีนะครับ ที่คุณจะพาผมไปทานข้าวนอกบ้าน แต่วันดีๆแบบนี้ ผมกลับอยากที่จะเป็นคนทำอาหารให้คุณทานเองมากกว่าที่จะไปกินฝีมือคนอื่น ในเมื่อผมเองก็ทำอาหารเป็น มีฝีมืออยู่พอตัว จะปล่อยให้ที่รักของตนเองไปกินอาหารนอกบ้านในวันที่สำคัญได้อย่างไร”

เด็กหนุ่มพูดไป ยิ้มไป ท่าทางมีความสุข เขาทำให้ผมพูดไม่ออก มือที่ถือโทรศัพท์ กำแน่น

“รู้ไหมครับเรียว เค้กนี่ผมตั้งใจทำเป็นพิเศษสำหรับเรียวเลยนะครับ เค้กช๊อคโกแลตสำหรับคนรัก สอดใส้บัตเตอร์ครีมและแยมสตอร์เบอรี่ แต่งหน้าด้วยวิปปิ้งครีม และเชอรรี่ รูปหัวใจ 29 ลูกเลย ผมทำอันใหญ่ๆหน่อยจะได้ใส่เชอรี่ได้ครบทุกลูก อยากให้มันสื่อแทนใจ ว่าผมรักคุณมากแค่ไหน เราอาจจะกินกันไม่หมด แต่เรียวจะตัดแบ่งเก็บไว้กินเอง หรือแจกเพื่อนบ้าน แจกน้องๆที่ทำงานก็ได้ รับรองอร่อยนะครับ ผมเคยลองทำให้คนอื่นๆลองทานแล้ว เขาว่าอร่อยกัน เรียวเองก็คงจะชอบถ้าได้ชิมนะครับ”
เดียร์ยิ้มหวานให้ผมขณะอธิบาย ผมมองอาหารบนโต๊ะแล้วอยากจะร้องไห้
“นายไม่น่าลำบากทำให้ฉันเลย”

ผมบอกออกไปด้วยรู้สึกเต็มตื้นในหัวใจที่เขาทนลำบากทำอาหารเพื่อฉลองวันเกิดให้ เดียร์เดินมาหาผมแล้วยิ้มหวาน มองผมด้วยสายตาอ้อนๆ เขาโอบผมไว้ด้วยวงแขนของเขา แล้วพาเดินไปยืนตรงโต๊ะที่วางอาหารไว้ พลางพูดประจบเอาใจ

“ไม่ลำบากเลยนะครับ เรียวอย่าคิดมากเลยนะ นี่วันเกิดของคุณทั้งที ผมน่ะต้องทำให้คุณสุดฝีมืออยู่แล้วล่ะ อีกอย่าง ไปทานข้างนอกมันก็เปลืองนะครับ ใหนจะค่าน้ำมันรถ แล้วก็ค่าอาหารอีก ทำกินเองประหยัดกว่า จะเลือกกินแบบไหนตามใจ แล้วบรรยากาศในบ้านก็สร้างเองได้ครับ แค่ดับไฟ จุดเทียน ทานข้าวกัน แค่นี้ก็โรแมนติกสุดๆแล้ว ที่ไหนก็ตามที่มีเรียวอยู่ ที่นั่นก็หวานเสมอสำหรับผมนะครับ”

ผมอ้ำอึ้งพูดไม่ออก ไม่กล้าเอ่ยปากขอให้เดียร์ออกไปจากบ้าน รู้สึกสงสารเดียร์ที่ทำอะไรให้มากมาย สุดท้ายก็จะไม่ได้อยู่ฉลองกัน

“นี่ผมอบคุ้กกี้ให้ด้วยนะ ลองทำดูน่ะ ไม่รู้จะอร่อยหรือเปล่า ถ้ารสชาดดีก็จะเอาเก็บใส่ขวดโหลไว้ ให้เรียวเอาไปทานที่ทำงานนะครับ เรียวน่ะดื้อที่สุด ไม่ค่อยยอมทานอาหารเช้าเลย พอผมไม่อยู่บังคับ เรียวก็ทำอย่างที่ตัวเองคุ้นเคย ดื่มแต่กาแฟอย่างเดียว ไม่ได้แล้ว เรียวน่ะ ต้องดูแลสุขภาพดีๆรู้ไหม ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย ไม่ค่อยทานอาหาร เดี๋ยวจะไม่สบาย ดูสิ ผอมหมดแล้ว พอกุ๊กกิ๊กกันทีไร เรียวก็หมดแรงง่ายๆ เมื่อก่อนตัวหนักอุ้มลำบาก แต่ตอนนี้ ผมอุ้มเรียวได้สบายเลย”

คนพูดทำสีหน้ากรุ้มกริ่ม ขณะที่เอามือแตะไปตามร่างกายของผมเพื่อประกอบคำพูดว่าผมนั้นผอมจริงๆ

“ผมจะปรนเปรอเรียวให้อิ่มแปร้ทุกมื้อเลย เรียวจะได้อวบๆขึ้นมาหน่อย ไม่งั้นเสียชื่อแย่ที่มีแฟนเป็นพ่อครัวที่ทำอาหารเก่งที่สุด อร่อยที่สุด แต่ตัวเองกลับผอมแห้ง”

เขาอวดตัว ตามปกติ ผมคงจะตอกเขากลับด้วยความหมั่นไส้ แต่คราวนี้ผมรู้สึกแย่ เพราะกำลังจะพูดสิ่งที่ทำร้ายจิตใจของเด็กหนุ่มออกไป ทำให้ผมไม่นึกขำคำพูดของเขา

“เรียวคงจะหิวแย่เลย ผมก็มัวแต่คุยเพลิน เอางี้ เรียวไปอาบน้ำก่อนดีไหมครับ เดี๋ยวเอาคุ๊กกี้ออกจากเตา และทำพันซ์ก็เสร็จแล้วครับ วันนี้งดเหล้านะ เพราะเมื่อคืนเรียวดื่มเข้าไปมาก ไม่อยากจะเช็ดอ้วกเรียวอีก”

เด็กหนุ่มทำสีหน้าล้อๆ พลางก้มลงมาจูบที่แก้มของผม

“หืม ฉันอ้วกด้วยเหรอ”

“ครับ .........พอขึ้นไปนอนได้สักพัก เรียวก็อ้วกออกมา ผมได้ยินเลยฝ่าฝืนคำสั่งที่เรียวไม่ให้ผมขึ้นไปที่ห้อง เป็นห่วงนะครับเพราะเรียวเมามาก กลัวจะเป็นอะไร พอเข้าไปในห้องก็เห็นเรียวอ้วกเลอะเสื้อกับผ้าปูที่นอน ผมเลยเปลี่ยนเสื้อผ้า กับปูเตียงให้ใหม่

ตอนคุณเมานี่คุณเกเรดีจังเลยครับ ถีบผมตั้งหลายครั้ง ตอนที่ผมจับคุณถอดเสื้อผ้า ร้องโวยวายใหญ่ ผมนึกว่าคุณไม่พอใจผมแต่พอฟังไปฟังมากลายเป็นว่าคุณด่านายทรงพลใหญ่เลย สงสัยคิดถึงตอนที่ถูกทำร้าย ผมเลยต้องนอนกอดคุณจนกระทั่งคุณหลับไป ถึงจะลงมานอนข้างล่างได้ อันที่จริงอยากอยู่ข้างๆคุณ แต่กลัวคุณโกรธเวลาตื่นมาเจอผมน่ะครับ”

นึกภาพตามที่เด็กหนุ่มเล่า แล้วก็รู้สึกอับอายที่ทำอะไรขายหน้า ต้องให้เขามาลำบากทำความสะอาดให้กับผม เดียร์เล่าเหมือนปกติธรรมดาทั่วไป เหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ผมรู้ว่าเขาเจ็บกับสิ่งที่ผมทำกับเขา และเพราะว่ารู้ว่าเดียร์ต้องทนเก็บกดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ มันทำให้ผมรู้สึกเจ็บแปลบตรงหน้าอกด้านซ้ายอีกแล้ว รู้สึกสงสารเดียร์ไปพร้อมๆกับชิงชังตนเอง

“นี่นายจ่ายเงินค่าอาหารไปทั้งหมดเท่าไหร่ เดี๋ยวมาเอาเงินกับฉันนะ”

ผมเปลี่ยนเรื่องด้วยการถามไถ่ถึงค่าใช้จ่ายที่เด็กหนุ่มออกเงินไปเพื่อจัดงานฉลองให้ผม เพิ่งสังเกตเห็นเทียนเล่มใหญ่บนโต๊ะ และแจกันดอกไม้ พร้อมกุหลาบช่อเบ้อเริ่มที่วางในอ่างล้างจาน

“ไม่ต้องหรอก วันนี้ ผมเลี้ยงเอง คราวก่อนวันเกิดผม คุณยังออกให้เยอะแยะเลย พาไปเที่ยวด้วย วันเกิดคุณทั้งทีผมเลยอยากทำให้มั่ง อย่าคิดมากนะครับ เราผัวกันเมียกัน.......เอ้อ เป็นแฟนกัน ถ้าผมไม่ทำให้คนรักของผม แล้วจะไปทำให้ใครกันละครับ หือ.....ถ้าอยากขอบคุณผมก็แค่ยิ้มหวานๆ แล้วก็ให้ผมจูบคุณก็พอ ดีไหม ถือว่าเป็นการช่วยค่าใช้จ่าย พ่อครัวคนนี้ไม่ต้องการเงิน แต่ต้องการแค่กำลังใจ”

คำพูดหวานๆ หน้าตาอ้อนๆกับท่าทางเจ้าชู้กรุ้มกริ่มนั่น ทำให้ผมรู้สึกตัวว่าหน้าแดงด้วยความเขินจัด เดียร์ไม่รอให้ผมตอบตกลง เพราะการนิ่งคือกายยอมรับ มันเป็นทฤษฎีที่เขางัดมาใช้กับผมเป็นประจำเวลาอยากจะทำอะไรตามใจ เขาเชยคางผมขึ้นและมอบจูบที่หวานล้ำให้ ผมแทบละลายไปกับจูบเรียกร้องนั้น รู้สึกอ่อนแรงจนต้องใช้สองมือโอบรอบคอเขาไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวไม่ให้ล้มลง

“พอดีกว่า อยากจูบต่อนะ แต่เดี๋ยวมันจะเลยเถิด อาหารใหม้กันพอดี อดเปรี้ยวไว้กินหวานคืนนี้ดีกว่า หวังว่าเมื่อคุณกินเค้กที่ผมทำให้แล้ว คุณจะให้ผมกินเค้กของคุณบ้าง ผมกินจุอยากทานหลายๆปอนด์เลย เค้กของเรียวอร่อยที่สุด กินไม่เบื่อ อยากกินแล้วกินอีกทุกวัน”

เขาทำน้ำเสียงยั่วเย้า ก่อนจะผละออกจากผม ตาจับจ้องอยู่ที่ปากของผมด้วยท่าทางเสียดาย ผมถอนหายใจเฮือก มองเขาอย่างตัดสินใจ

“มองผมแบบนั้นมีอะไรหรือเปล่าครับ อยากบอกอะไรไหม”

เด็กหนุ่มเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย ผมรวบรวมความกล้าพูดออกไป

“เดียร์...เอ้อ...คือเพื่อนที่ทำงานฉันจะมาเยี่ยมบ้าน......เย็นนี้”
ผมเห็นเดียร์ชะงัก จากนั้นเขาก็ผละจากผมตรงไปที่เตาอบ แล้วก็เปิดฝามันออก เอาถุงมือผ้ามาสวมแล้วหยิบถาดคุ้กกี้ออกมา แล้วเดินเอามาวางบนโต๊ะเขาหยิบขึ้นมาชิ้นหนึ่ง เอามาเป่าให้คลายร้อนแล้วยื่นให้ผม แต่ผมปฏิเสธ เดียร์วางมันลงในถาดเหมือนเดิม จากนั้นก็มองผม สายตามีเครื่องหมายคำถาม ผมก้มหน้า พูดอะไรไม่ออก

“งั้นหรือครับ ก็ชวนทานด้วยกันสิ ..........หรือว่า..............”

เขาค้างคำพูดไว้แค่นั้น และแล้วเหมือนเดียร์จะเข้าใจเรื่องได้ตลอด เขาหุบยิ้ม หน้าเจื่อนจ๋อย

“เข้าใจแล้ว......”

พูดเหมือนกระซิบ เด็กหนุ่มมองผมด้วยสายตาขมขื่น ตาเขาแดงๆ จมูกพะเยิบพะยาบ เขาเม้มริมฝีปากแน่น

“ถ้าเรียวอยากให้ผมออกไปข้างนอก ไม่มาวุ่นวายในบ้าน ผมก็จะไปครับ....”

น้ำเสียงนั้นเศร้าเหลือเกิน จนรู้สึกเหมือนกับว่าคนพูดกำลังจะร้องไห้ แต่พยายามกล้ำกลืนบังคับน้ำตาไม่ให้มันไหลรินออกมา ผมรู้สึกสงสารเดียร์จับใจ พูดไม่ออกบอกไม่ถูก อยากอยู่กับเขาแต่ก็ไม่อยากให้ใครรู้ ผมเพิ่งโกหกคุณแคทไปเมื่อวานว่าผมไม่ได้เป็นอะไรกับเดียร์ ถ้าหากวันนี้เธอมาเจอเขาอยู่กับผม เธอคงจะคิดว่าผมมันเป็นคนโกหกเชื่อถืออะไรไม่ได้

“ฉัน...”

“ไม่เป็นไร ผมเข้าใจดี เรียวยังไม่พร้อม ผม....ไม่อยากฝืนใจเรียวครับ...”

เดียร์เดินไปหยิบขวดโหลเปล่าสองใบที่เขาล้างคว่ำไว้ มาบรรจุคุ๊กกี้ลงไป พอเสร็จ ปิดฝา เขาก็นำมันไปวางไว้ที่ชั้นวางของใบหนึ่ง ส่วนที่เหลือวางไว้บนโต๊ะ เดียร์ก้มหน้าก้มตาทำงาน ไม่พยายามสบตาผมอีกเลย เหมือนกำลังพยายามระงับความรู้สึกอยู่

“ขอโทษนะ เพื่อนมันโทรมากระทันหัน แล้วมันก็กำลังเดินทางมาแล้วด้วย ฉันไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร”

“ไม่เป็นไรครับ ไม่ใช่ความผิดของเรียวหรือใครๆทั้งนั้น....”

กลัวจังเลยว่าเดียร์จะพูดออกมาว่า “เป็นความผิดของเขาเอง” ถ้าเขาหลุดคำนั้นออกมาเมื่อไหร่ ผมคงจะโทษตัวเองมากยิ่งขึ้น แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้พูดออกมา เพราะถึงแม้ว่าเขาจะพูด ผมก็คงไม่โกรธเขา เพราะผมรู้ว่าเขาเสียใจแค่ไหน ที่อุตส่าห์เตรียมทุกอย่างไว้ แต่ไม่มีโอกาสที่จะร่วมฉลองด้วยกัน
“ถึงผมจะไม่ได้อยู่ฉลองด้วย แต่ผมก็จะทำอาหารเตรียมไว้ให้เรียวได้ฉลองนะครับ ไหนๆก็ทำมันแล้ว อย่าให้มันเสียเปล่า ผมจะดีใจมากเลย ถ้าเรียวจะเอาอาหารที่ผมทำมาเลี้ยงฉลองกัน”

เสียงคนพูดดูเศร้าสร้อยบีบคั้นอารมณ์ของผมได้อย่างแปลกประหลาด ผมได้แต่ยืนนิ่งอย่างไม่รู้จะทำอะไร สงสารเดียร์มาก และนึกโกรธตัวเองที่ขี้ขลาดไม่กล้ายอมรับความเป็นจริง

“เพื่อนๆของเรียวคงใกล้จะมาแล้วกระมังครับ ขึ้นไปอาบน้ำเถอะนะครับ พอคุณลงมาทุกอย่างก็คงจะเตรียมไว้เสร็จเรียบร้อย ไม่ต้องห่วงนะครับ รับรองเพื่อนของเรียวจะไม่เจอผมในบ้านนี้แน่ๆ ผมไม่ทำให้เรียวลำบากใจหรอกครับ”

เขาฝืนยิ้มให้ผม พลางรุนหลังให้ผมเดินขึ้นห้องไป ผมไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเดียร์ กลัวที่จะรั้งตัวเขาไว้ไม่ให้ไปไหน และนั่นมันจะทำให้ทุกอย่างพังลง

เข้าห้องได้แทนที่ผมจะไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อรอรับเพื่อนๆที่กำลังเดินทางมาหา ผมกลับเดินไปนั่งที่เตียงและซบหน้าลงกับฝ่ามือ รู้สึกเครียดอย่างบอกไม่ถูก เมื่อวานนี้เป็นวันเกิดของผมแท้ๆ แต่ผมกับเดียร์ก็เพียงแค่ใส่บาตรด้วยกัน ตกกลางคืนมีเพียงช่วงเดียวที่ผมได้แสดงความรู้สึกต่อเดียร์บนเวที ก่อนที่เราจะทะเลาะกัน แล้วก็กลับมาคืนดีกันอีกครั้งเมื่อตอนสายๆ

อุตส่าห์ตั้งใจว่าจะฉลองสองคนกับเดียร์ทดแทนเมื่อวานนี้ที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่แล้วก็ถูกขัดขวาง นี่ผมทำถูกหรือเปล่าหนอที่ให้เดียร์ไปเร่ร่อนอยู่ข้างนอก ในขณะที่ผมและเพือ่นดื่มกิน อาหารที่เขาจัดเตรียมไว้ให้ ผมไร้ใจเกินไปไหมนะ ถึงเวลาหรือยังที่ผมควรจะยอมรับความเป็นจริง และทำในสิ่งที่หัวใจต้องการเสียที

เนิ่นนานทีเดียวที่ผมนั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ในที่สุด ผมก็ตัดสินใจได้ ผมรีบก้าวออกจากห้อง เดินลงไปยังห้องครัว ไม่มีเดียร์อยู่ที่นั่น บนโต๊ะอาหาร มีแจกันดอกไม้สวยงามตั้งอยู่ มีเทียนไขปักอยู่ในเชิงเทียนสวยงาม อาหารร้อนๆวางอยู่ในจานมีภาชนะครอบ โต๊ะทานข้าวถูกปูด้วยผ้าสีขาวลายลูกไม้

เดียร์พิถีพิถันจัดโต๊ะอาหารอย่างสวยงาม ผมรู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตาเมื่อมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เดียร์เตรียมไว้ให้ เหลียวมองไปรอบๆเผื่อว่าจะเจอเดียร์ อยากจะบอกเขาว่าผมเปลี่ยนใจแล้ว ผมอยากให้เขาอยู่กับผมด้วย ใครจะว่ายังไงก็ช่าง ผมไม่สนแล้ว วันสำคัญของผมแบบนี้ ผมควรจะมีคนที่รักผม และผมก็รักเขาอยู่เคียงข้าง ไม่ใช่ผลักไสเขาไปใกลตา

ทว่าเดียร์ไม่ได้อยู่ในห้องครัว หรือที่ไหนๆในบริเวณบ้าน ผมทรุดลงนั่งกับโซฟาอย่างอ่อนแรงหลังจากที่เดินหาเขาไปทั่ว ทั้งบ้านไม่มีร่องรอยของเดียร์เลย เด็กนั่นคงออกจากบ้านไปแล้วตามคำขอ ผมมันโง่เอง กว่าจะคิดได้ก็ช้าไปแล้ว ผมรีบเอามือถือมากดหาเดียร์ แต่ติดต่อไม่ได้ เดียร์คงปิดมือถือ เขาคงโกรธและน้อยใจผมมากจนไม่อยากจะรับสาย ป่านนี้ไม่รู้จะไปเตร็ดเตร่แถวไหน ผมกลุ้มใจไปหมดแล้ว ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ถึงจะติดต่อให้เดียร์กลับมา

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่31-2 6/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 06-02-2009 16:22:26
 :z3: เหนื่อยใจแทบขาด กลางคืนเทคแคร์
กลางวันวิ้งส่งงาน  :เฮ้อ:
 :serius2: เมื่อไรจะมีใครมาช่วยซักที่
:3123: ขอคุณคนอ่านที่อุสารอ +1 ให้เลย
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่31-2 6/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: โน๊อา ที่ 06-02-2009 16:45:25
ไว้ช่วยคืนนี้ได้หรือเปล่า ช่วย แบบว่า เอ่อ ... เอ่อ ...

ขอบคุณนะ เหมือนเดิม คิดถึงไต๋ ไต๋ ก็มา
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่31-2 6/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 06-02-2009 17:04:45
 :-[ ขอบคุณนะโน๊อาที่จะช่วย
แต่แบบนั้นไม่ต้องดิ เราเลือกเองได้ เชอะๆ :a14:

ว่าแต่จุดธูปละซิ ถึงได้สื่อถึงเราได้นะ
ลอยมาตามลม อิอิ :laugh3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่31-2 6/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 06-02-2009 17:34:57
สงสาร เดียร์ จัง



คุน เรียว ใจ ร้ายยยยยยยย อ่ะ



 :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่31-2 6/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 07-02-2009 16:09:45
 :z13: คนโพสต์  :z1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่31-2 6/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 07-02-2009 17:16:03
 :z13: :z13: :z13:  คนเขียน  จร้าๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่31-2 6/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 07-02-2009 17:20:23
มา ต่อ ไวไว


น่ะคร้าบบบบ :mc4: :mc4: :mc4: :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่31-2 6/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: กะทิน้อย ที่ 07-02-2009 17:49:24
โอ้ย โอ้ย จะตาย   :serius2:
คุณเรียวใจร้ายไปมั้ยเนี่ย ???
ยิ่งอ่านยิ่งเห็นใจเดียร์ไปทุกตอนทุกตอน
เดียร์เอ้ยยยยยยยยยยยยย .. รักคุณเรียวต้องอดทนไว้นะ .. ไอ่น้อง

อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
สง
สาร
เดียร์
 :o12:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่31-2 6/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: panpan ที่ 07-02-2009 20:14:31
สงสารเดียร์จัง :m15:

เมื่อไรเรียวจะยอมรับความจริงซะที


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่31-2 6/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 07-02-2009 22:22:30
มาต่อให้วันเว้นวันนะ ที่ละ 2 ตอนเลยเอานะนะ
วันนี้เค้าเหนื่อยจริงๆ :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่33-34 6/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 08-02-2009 14:15:49
บทที่ 33

“เฮ้ย เป็นอะไรไปวะเรียว ทำไมไม่เห็นสดชื่นเลย งานเลี้ยงวันเกิดตัวเองแท้ๆ ยิ้มหน่อยสิวะ”

เจ้าสันต์เอาข้อศอกกระทุ้งสีข้างของผมเมื่อเห็นว่าผมนั่งเหม่อลอยไม่ยอมแตะต้องอาหารที่พวกมันซื้อกันมา ตอนนี้สนามหญ้าหน้าบ้านผมถูกดัดแปลงเป็นที่จัดงานปาร์ตี้ย่อยๆ โดยมีผม คุณแคท สันต์ ศักดิ์ชาย และแขกรับเชิญพิเศษ เพื่อนบ้านที่แสนดี พี่สมชาย และภรรยา มาร่วมวงเฮฮา

ตอนแรกพวกนั้นอยากจะไปจัดงานข้างในบ้าน แต่ผมไม่อยากให้พวกเพื่อนๆเห็นร่องรอยของเดียร์ จึงอ้างว่าข้างนอกบรรยากาศดีกว่า คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงด้วย แล้วอาหารที่พวกนั้นเตรียมมา ก็เป็นพวกอาหารปิ้งย่าง พวกกุ้ง หอย ปลา ปลาหมึก และบาร์บีคิว ซึ่งควันจะคลุ้ง ผมไม่อยากให้ครัว และข้างในบ้านเหม็น เนื่องจากตัวคนเดียว ทำความสะอาดลำบาก แต่พวกนั้นก็ทำท่าไม่เชื่อ บอกว่ายินดีช่วยทำความสะอาดให้ ถ้าไม่ได้เจ้าสันต์ซึ่งเหมือนจะล่วงรู้ความลำบากใจของผมช่วยจัดการให้ ป่านนี้ผมก็คงห้ามพวกนั้นไม่ให้เข้าไปวุ่นวายในบ้านผมไม่ได้

“นั่นนะสิคะเรียว เป็นอะไรมากไหม ยังเหนื่อยอยู่หรือคะ”

คุณแคทเอนตัวเข้ามาถามผมใกล้ๆ ท่าทางห่วงๆ แต่กริยาอาการเหมือนกำลังยั่วใครบางคนให้หึงมากกว่า ผมส่ายหน้า และยิ้มให้กับพวกเพื่อนๆที่กำลังมองผมอย่างสนใจ

“เปล่าครับ นั่งมองพวกคุณทานก็รู้สึกเพลิน อิ่มอกอิ่มใจน่ะ ทานกันให้เยอะนะครับ”

ผมกลบเกลื่อนด้วยการชี้ชวนให้ทุกคนทานอาหาร

“พวกเราทานกันจนพุงกางไปหมดแล้ว แต่เจ้าของงานนี่สิ ไม่เห็นจะกินอะไรเลย”

พี่สมชายถามอย่างห่วงใย ผมเชิญพี่สมชายพร้อมภรรยามาร่วมงานด้วย เพราะเห็นเดียร์บอกว่าเขาทำท่าอยากมาร่วม และผมต้องการที่จะพิสูจน์ความจริงอะไรบางอย่าง โชคดีที่พี่สมชายไม่ได้ถามผมเรื่องเดียร์ แค่มองสบตากัน ก็เหมือนว่าแกจะรับรู้ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จึงไม่ได้ทักอะไรให้ผมขายหน้า

“ทานอะไรหน่อยนะคะ คุณผอมมากรู้ไหม เมื่อก่อนหุ่นดีกว่านี้อีก เดี๋ยวแคทไปหาอะไรมาให้ดีไหม เอากุ้งหรือปลาหมึกดี หรือว่าจะเอาหอยด้วย เอาทุกอย่างรวมกันดีกว่า”

คุณแคทกุลีกุจอเดินไปตักอาหารให้

“แฟนคุณเรียวนี่น่ารักดีนะคะ เอาอกเอาใจดูแลไม่ยอมห่าง เมื่อไหร่จะมีข่าวดีกันล่ะ”

ภรรยาของพี่สมชายกล่าวชมคุณแคท และยิงคำถามใส่ผม เล่นเอาทุกคนอึ้งกันไปพัก ศักดิ์ชายซึ่งกำลังซดน้ำแกงต้มยำกุ้งถึงกับสำลัก ไอค่อกแค่ก ผมแอบได้ยินศักดิ์ชายถามสันต์ว่าผมและคุณแคทเป็นแฟนกันตั้งแต่เมื่อไหร่ เจ้าสันต์ยิ้ม และพูดรอดไรฟันว่า ตั้งนานแล้ว นายไม่สังเกตเองต่างหาก ผมหันไปมองพี่สมชาย ก็เห็นเขาทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เหมือนไม่อยากยุ่งเรื่องชาวบ้าน
“มาแล้วค่ะ”

คุณแคทลียา ส่งเสียงหวาน พลางเดินมาหา ในมือถือถาดที่ใส่จานกุ้ง ปลาหมึก และปูที่ย่างไว้เรียบร้อยแล้วมาวางให้ตรงหน้า ผมเหลือบแลไปทางพี่สมชายโดยอัตโนมัติก็เห็นเพื่อนบ้านผมลอบมองอยู่ก่อนแล้ว เห็นสายตาที่เขามองคุณแคท และกริยาของเพื่อนร่วมงานสาวที่ดูจะอี๋อ๋อกับผมเป็นพิเศษเวลาอยู่ต่อหน้าพี่สมชาย ทำให้ผมไม่มีข้อสงสัยเลยว่า สองคนนี่ต้องรู้จักกันมาก่อนแน่ๆ และพี่สมชายก็คือคนรักเก่าของคุณแคท ที่เธอต้องการทวงคืนจากภรรยาและลูกของเขา

พี่ผู้หญิงดูจะไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังชื่นชมคนรักเก่าของสามีของตัวเอง ถ้าเธอรู้เข้า บ้านคงแตก เพราะใครๆก็รู้ดีว่า แฟนของพี่สมชายนอกจากจะช่างพูดแล้ว ยังดุมากอีกด้วย พี่สมชายไม่กล้าหือเลยสักครั้ง ด้วยเหตุนี้กระมังที่ทำให้พี่สมชายเริ่มที่จะปันใจให้กับกิ๊กเก่าที่ยังสวยยังสาวแบบคุณแคท เพราะเมียตัวเองพอมีลูกแล้วก็ไม่ปรุงแต่งตัวเอง ปล่อยให้เป็นยัยเพิ้ง แถมยังพูดจาไม่รักษาน้ำใจกัน ผู้ชายส่วนใหญ่ชอบทำตัวเป็นผู้นำอยู่แล้ว เมื่อเมียข่มขู่มากๆ อาจจะะเบื่อหน่าย และแสวงหาผู้หญิงคนใหม่ที่ทำให้ตัวเองสบายใจมาเป็นชู้รัก

คิดแล้วก็ไม่อยากจะเข้าร่วมในเกมส์นี้ของคุณแคทเลย สงสารลูกและเมียของพี่สมชาย ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ไม่เคยทำร้ายใคร แต่กลับมีคนจ้องจะแย่งสามีและพ่อของลูกไป และคนที่สมรู้ร่วมคิดก็ดันเป็นเพื่อนบ้านที่คุ้นเคยกันดีด้วย ผมไม่อยากทำบาปเลย เพราะแค่คิดจะช่วยเหลือ ผมและเดียร์ก็มีปัญหากันเสียแล้ว นี่คงเป็นผลกรรมกระมังที่ไปช่วยคนให้แย่งสามีชาวบ้านเขามา

คุณแคทคะยั้นคะยอให้ผมทานอาหารที่เธอนำมาให้ ด้วยการแกะเนื้อปู และ เอากุ้งมาลอกเปลือกออกและวางบนจานให้ ชวนผมพูดคุยด้วยถ้อยคำหวานหู จนศักดิ์ชายและเจ้าสันต์ลอบมองหน้ากัน ตอนนี้ความสนใจของทุกคนไม่ได้อยู่ที่อาหาร แต่กลับมาอยู่ที่ผมและคุณแคทซึ่งกำลังสวีทหวานแหววกัน

แม้ว่าจะอึดอัดแค่ไหน แต่ผมก็ต้องฝืนใจทำเป็นยิ้มสดชื่น เพื่อให้สิ่งที่ตัวเองกับคุณแคทเริ่มไว้ จบลงเสียที ยิ่งยืดเยื้อนานออกไป ผมกับเดียร์ก็จะยิ่งไม่เข้าใจกัน และจะห่างกันออกไปทุกที นี่ก็ไม่รู้ว่าหนุ่มที่ผมคิดถึงไปอยู่ที่ไหน ข้าวปลาจะได้กินหรือยัง กำลังร้องไห้เพราะผมอยู่หรือเปล่า โทรไปหลายรอบแล้วก็ไม่ยอมรับสาย ติดต่อไม่ได้ ไม่รู้ว่าทำอะไรอยู่ วันนี้เดียร์ไม่ทำงาน เพราะเขาขอหยุดเพื่ออยู่ดูแลผม ดังนั้นเขาคงไม่ได้ไปที่ร้านกาแฟนั่นแน่ๆ น่าจะโทรมาบอกกันบ้าง ไม่ใช่เงียบหายไปแบบนี้ ผมคิดถึงและเป็นห่วงเขา

เมื่อไหร่พวกนี้จะกลับไปบ้านช่องของตัวเองนะ ดูท่าว่าแต่ละคนจะไม่ยอมกลับกันง่ายๆ ตอนนี้ทุกคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนานเป็นกันเอง ขนาดเพื่อนบ้านซึ่งผมเพิ่งแนะนำให้รู้จักกันกับพวกเขา ยังเข้าร่วมวงสนทนาด้วยอย่างครึกครื้น

ภรรยาของพี่สมชายกลับบ้านไปก่อนแล้ว เพราะเป็นห่วงลูกน้อยที่อยู่กับคนใช้เพียงลำพัง ส่วนพี่สมชายติดลมบนอยู่ต่อ แต่ก็ถูกคำสั่งเคอร์ฟิวส์จากผู้เป็นเมียให้อยู่ได้แค่ไม่เกิน 4 ทุ่มเท่านั้น เมื่อไม่มีสายตาของคู่ชีวิตที่คอยจ้อง พี่สมชายก็มองคุณแคทด้วยสายตาตัดพ้อเต็มที่
ดูเหมือนคุณแคทก็รู้ตัวว่ากำลังถูกมอง เธอยิ่งเอาอกเอาใจผมมากยิ่งขึ้น จนผมเองก็เริ่มที่จะอึดอัด เพราะเห็นศักดิ์ชายมองมาอย่างสงสัย แถมซ้ำพี่สมชายก็มองผมตาขวาง คนที่ดูเหมือนจะมีความสุขมากที่สุดในวันนี้กลับกลายเป็นคุณแคท สงสัยแผนการณ์ที่วางไว้ คงจะเป็นผล เธอคงยั่วให้พี่สมชายหึงผมกับเธอได้

หลังจากปั่นหัวเป้าหมายได้แล้ว เธอก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำซึ่งอยู่ในบ้าน เธอหายไปสักพัก พี่สมชายก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำบ้าง บนโต๊ะอาหารกลางสนามจึงเหลือเพียงผม สันต์ และศักดิ์ชายแค่สามคน เพื่อนสมัยเรียนรัวคำถามเกี่ยวกับคุณแคทไม่ยั้ง ตั้งแต่เป็นแฟนกันเมื่อไหร่ เป็นแฟนกันจริงเหรอ คบหากันจริงหรือแค่เล่นๆ คบกันมานานหรือยัง ท่าทางศักดิ์ชายอยากรู้อยากเห็นเต็มที่ ในขณะที่สันต์นั่งเฉย เพราะรู้เรื่องทุกยอ่างตั้งแต่แรกแล้ว

ผมบอกศักดิ์ชายไปเพียงบางเรื่อง ไม่ได้โกหก แต่ไม่พูดความจริง เพราะขี้เกียจอธิบาย ศักดิ์ชายเป็นคนที่เข้าใจอะไรยาก มักตั้งคำถามที่คนตอบรู้สึกอึดอัด อย่างเช่นกรณีนี้ ผมแค่บอกมันว่า ผมกับคุณแคทสนิทกัน จะเรียกว่าเป็นคนรู้ใจกันก็ได้ มันก็ดันซักถามว่า ไอ้คำว่าคนรู้ใจของผมนี่ มันกินความกว้างแค่ไหน มันหมายถึงเป็นแฟนกัน และพร้อมจะแต่งงานกันหรือไม่

ผมบอกว่าไม่แน่ใจ ยังตอบไม่ได้ มันก็เลยพูดเป็นเชิงสั่งสอนผมว่า จะคบกับใครก็ต้องดูให้ดีเสียก่อน ตอ้งแน่ใจว่ารักชอบกันจริงๆ ค่อยตกร่องปล่องชิ้นกัน มันทำราวกับว่าผมคิดเองไม่เป็น จนผมกับสันต์ต้องลอบมองหน้ากันและยิ้มด้วยความขำ

คุณแคทกับพี่สมชายหายไปห้องน้ำกันนานมาก ไม่รู้ว่าไปทะเลาะกันหรือเปล่า หรือบังเอิญไปเจอข้าวของๆเดียร์ในห้องนั่งเล่น แล้วชวนกันขุดคุ้ยหาความลับของผม ความที่กลัวความลับแตกทำให้ผมนั่งไม่ติด เลยขอตัวกลับเข้าบ้าน อ้างว่าจะไปเอาเครื่องดื่มมาเพิ่มเติม ให้สันต์กับศักด์ชายนั่งอยู่ด้วยกันสองคน

ประตูห้องน้ำเปิดกว้าง คุณแคทไม่ได้อยู่ในนั้น ข้างบนในส่วนที่เป็นห้องนอนผมก็ปิดล็อคเริยบร้อย ผมกำลังจะเดินไปเปิดประตูเพื่อไปสู่ลานซักรีดด้านหลัง ก็เห็นร่างของคนสองคน ที่กำลังกอดจูบนัวเนียแนบชิดกันผ่านทางหน้าต่างบานเกล็ด แสงจันทร์ที่สาดส่องทำให้มองเห็นว่าพี่สมชายกำลังจูบซุกไซร์อยุ่ตรงเนินอกของคุณแคท มือข้างหนึ่งสอดเข้าไปใต้เสื้อและเกาะกุมคลึงเคล้นทรวงอกอวบนั่น หน้าของเธอแหงนหงาย สองมือกดสะโพกพี่สมชายเข้าหาตัวเอง

ผมรู้สึกตกใจต่อภาพที่เห็น ถอยหลังกรูด และย่องออกมาจากบ้านเงียบๆ ไม่มีข้อกังขาใดๆทั้งสิ้นสองคนนี้เคยรักกันมาก่อนจริงๆ แต่มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น ทำให้ต้องแยกทางกันไป พี่สมชายไปแต่งงาน ส่วนคุณแคทครองตัวเป็นโสด จนถึงปัจจุบันนี้
สองคนนั้นโวยวายกันใหญ่ที่ผมเดินกลับมามือเปล่า ผมบอกว่า ทุกอย่างขนออกมากินจนหมดแล้วจริงๆ แต่พวกมันไม่เชื่อ จะเดินเข้าไปเอาเอง ผมต้องทำเสียงดังใส่มันบอกว่าไม่มีก็คือไม่มีสิ ศักดิ์ชายมองหน้าผมอย่างงงๆ เพราะร้อยวันพันปี ผมจะไม่ค่อยทำหงุดหงิดใส่ใคร ถ้าผมเริ่มโมโห แสดงว่าผมต้องไม่พอใจมากจริงๆ พวกมันสองคนก็เลยเงียบ

ประมาณครึ่งชั่วโมงให้หลัง คุณแคทก็เดินออกมาจากตัวบ้าน ตรงมาที่สนามที่พวกเรานั่งกันอยู่ หน้าตาของเธอแช่มชื่น มีความสุข มาถึงก็แก้ตัวพัลวัน

“ขอโทษที่มาช้านะคะ เผอิญว่าแคทท้องเสีย สงสัยเป็นเพราะอาหารอาจจะย่างไม่สุกน่ะค่ะ แต่ตอนนี้ค่อยยังชั่วแล้ว”

“อ๋อ มิน่าล่ะ ดูเหมือนคุณแคทจะเหนื่อยๆ เห็นเหงื่อเต็ม เลย คงไปอยู่ในห้องน้ำนานนี่เอง”

ศักดิ์ชายเอ่ยทักอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ผมต้องเบือนหน้าหนี ไม่อยากสบตาคุณแคท เพราะกลัวว่าสายตามันจะฟ้องออกไปว่าผมรู้ดีว่าคุณแคทไปทำอะไร

“เอ แล้วนี้ใครเอาตัวเพื่อนบ้านนายไปไหนแล้ววะเรียว เห็นบอกว่าจะไปห้องน้ำ ท้องเสียเหมือนคุณแคทหรือเปล่าวะ หายไปตั้งนาน หรือแอบย่องกลับบ้านไปจู๋จี๋กับเมียแล้ว”

เจ้าสันต์ก็อีกคน ผมคิดว่ามันรู้เหมือนที่ผมรู้ ถึงมันไม่เห็น แต่มันก็คงจะพอเดาได้ เจ้านี่มันฉลาดจะตาย ชอบคิดวิเคราะห์จับโน่นมาผสมนี่ บางครั้งสิ่งที่มันคิดก็ถูกต้องตรงเผง เสียดายที่มันไม่ได้ทำงานด้านการตรวจสอบต่อ ไม่อย่างนั้นบริษัทคงจับผิดลูกค้าที่ทุจริตเข้ามาทำประกันได้อีกหลายราย แต่เอามันไปอยู่ฝ่ายสินไหมก็ดีเหมือนกัน เพราะมันก็ช่วยทำให้บริษัทไม่ต้องจ่ายสินไหมที่ไม่เป็นธรรมมากนัก

“มาแล้วครับ”

ตายยากจริงๆ พูดถึงก็มา พี่สมชายเดินกุมท้องตัวงอมาแต่ไกล ผมต้องก้มหน้าลง ซ่อนยิ้ม เมื่อพี่สมชายใช้ข้ออ้างเดิมแบบที่คุณแคทพูดขึ้นมาเมื่อสักครู่ว่าท้องเสียเลยเข้าห้องน้ำนานไปหน่อย สงสัยกินอาหารสุกๆดิบไม่สะอาดเข้าไป ศักดิ์ชายซึ่งไม่เคยรู้อะไรกับเขาเลยรีบพูดขึ้นมาอย่างปริวิตกว่า คนท้องเสียตั้งสองคน สงสัยเป็นเพราะอาหารจริงๆ บอกแล้วให้หาอย่างอื่นมากิน แทนที่จะเป็นพวกกุ้งหอยปูปลาย่าง เพราะบางทีมันอาจจะไม่สะอาด

เจ้าสันต์ก็เถียงว่า อาหารอย่างอื่นกินตามโรงแรมบ่อยแล้ว อยากเปลี่ยนบรรยากาศมากกว่า และกินแบบนี้ ก็อร่อยด้วย เพียงแค่ย่างให้สุกเท่านั้น สองคนนั้นตั้งท่าจะวางมวยต่อ ผมเลยต้องรีบห้ามทัพบอกว่าให้เกรงใจคุณแคทกับพี่สมชายบ้าง จะมาทะเลาะกันต่อหน้าแขกทำไม คุณแคทเลยบอกว่าจะกลับบ้านแล้วก่อน เพราะเธอรู้สึกปวดท้อง อยากกลับไปพัก จากนั้นก็อวยพรวันเกิดขอให้ผมมีความสุขให้มากๆ ผมเลยอาสาจะไปส่งเธอที่รถ

พี่สมชายก็ลุกขึ้นบ้าง บอกว่าเขาเองก็ขอตัวกลับเช่นเดียวกัน เดี๋ยวภรรยาและลูกจะคอยนาน นี่มันก็ดึกแล้ว ไม่อยากจะรบกวนเวลาผมไปมากกว่านี้ จากนั้นเขาก็อวยพรให้ผมยืดยาว ผมกล่าวขอบคุณ และเดินไปส่งคนทั้งสอง ทิ้งให้สันต์กับศักดิ์ชายนั่งอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม

ตอนที่เดินกลับมา ผมก็เห็นเพื่อนสองคนกำลังเถียงกันหน้าดำหน้าแดง ผมส่ายหน้าด้วยความระอาใจ ปล่อยสองคนนี้ไว้ด้วยกันทีไร ต้องกัดกันทุกที

“เฮ้ย เป็นอะไรวะสองคนนี่ ทะเลาะกันอยู่ได้ นี่ขนาดมางานวันเกิดฉันแท้ๆ ยังจะมาทะเลาะกันเป็นเด็กๆอีก”
“ก็ฉันถามสันต์ดีๆ ว่าตกลงนาย ชอบคุณแคท หรือ ชอบไอ้เด็กแดนเซอร์กันแน่ มันก็โวยวายหาวว่าฉันยุ่งไม่เข้าเรื่อง”

ก็น่าอยู่หรอกที่สันต์มันจะด่าศักดิ์ชายไปอย่างนั้น ทำไมมันถึงจะต้องมาอยากรู้เรื่องของผมด้วย นี่ถ้ามันถามผม ผมก็คงจะด่ามันเช่นกัน

“ทำไมถึงถามแบบนี้วะ”

ผมชักฉุน ศักดิ์ชายทำหน้าเอ๋อๆ เพิ่งนึกได้ว่าเผลอพูดอะไรออกไป มันทำหน้าสำนึกผิด รีบอธิบายให้ผมเข้าใจ

“ฉันขอโทษทีนะ เรียว ฉันแค่ได้ยินได้ฟังเรื่องราวบางอย่างมา ก็เลยไม่สบายใจ มีคนเขาไปลือกันว่านายกับเด็กเดียร์แดนเซอร์ที่มาสอนเต้นให้พวกเรากำลังคบหากันอยู่ ฉันไม่แน่ใจก็เลยอยากรู้ เพราะแต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยเห็นนายมีข่าวด้วยเรื่องแบบนี้ แล้วเมื่อสักครู่ คุณแคททำท่าสนิทสนมเอาอกเอาใจนายเหมือนกับว่าเป็นแฟนกัน ฉันก็เลยอดสงสัยไม่ได้น่ะ พอถามเจ้าสันต์มันก็ด่าฉัน ทั้งๆที่ฉันไม่ได้คิดจะอยากยุ่งเรื่องนายเลยนะ แค่เป็นห่วงเท่านั้นเอง เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง ถ้าเรื่องที่พูดมาไม่มีมูลความจริง ฉันจะไปด่าพวกนั้นให้”

ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน รู้สึกเบื่อหน่ายเพื่อนๆและผู้คนรอบข้าง ทำไมถึงชอบอยากรู้อยากเห็นเรื่องราวชีวิตของคนอื่นกันจังนะ หรือว่า การได้รู้ข่าวคาวๆของคนอื่น มันทำให้ชีวิตของพวกเขาสูงส่งขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ดูสิ แม้แต่เพื่อนผมเอง ก็อดไม่ได้ที่จะให้ความสนใจในเรื่องของผม มันอยากจะช่วยจริงๆ หรืออยากจะให้รู้แน่แก่ใจว่าผมชอบผู้ชายหรือผู้หญิงกันแน่ แล้วถ้ามันรู้ว่าผมเป็นอย่างไร มันยังจะคบผมต่อ หรือแสดงอาการรังเกียจเดียดฉันท์ หรือนับเข้าพวกกับมันล่ะ

“ขอบใจนะ แต่ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ นายก็น่าจะรู้ดีนี่ศักดิ์ ว่าคนมันก็ชอบลือชอบพูดกันไป จริงหรือไม่จริงก็เอามาใส่สีใส่ไข่ให้สนุกปาก สำหรับคุณแคทน่ะฉันยอมรับว่าช่วงนี้เราสนิทกันมาก เพราะทำงานด้วยกันตลอด แต่จะพัฒนาไปเป็นแฟนหรือเปล่า เป็นเรื่องของอนาคตนะ นายน่ะ ก็ฟังหูไว้หูแล้วกัน อย่าเดือดร้อนไปรบราฆ่าฟันกับใครเพื่อฉันเลย เดี๋ยวนายจะซวยไปด้วย”

ผมตอบข้อสงสัยของศักดิ์ชาย โดยพูดเป็นนัยๆให้มันเลิกสนใจเรื่องของผม

“อย่างที่ฉันบอกนั่นแหละสันต์ รู้ไปแล้วได้อะไรขึ้นมาวะ นี่เพื่อนนะโว้ย มันจะชอบใครก็เรื่องของมันสิ วิถีชีวิตของใครของมัน โตๆกันแล้ว ตัดสินใจกันเองได้น่า ว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้ตัวเองมีความสุขที่สุด อย่าไปยุ่งกับไอ้เรียวมันนักเลยวะ ยุ่งเรื่องของตัวเองเถอะ ตัวเองก็มีเรื่องที่จะต้องคิดไม่ใช่เหรอ ขนาดตัวเองยังตอบไม่ได้ว่าต้องการอะไร แล้วจะมาบังคับให้คนอื่นตอบได้ไง ไม่เอาล่ะ กลับบ้านกันดีกว่าว่ะ ศักดิ์ชาย เรากวนเจ้าเรียวมันมามากแล้ว มันคงอยากพักผ่อน ฉันก็จะไปหานายเบนบ้าง หมู่นี้ ไม่ได้เจอกัน เห็นงอนๆอยู่ต้องรีบไปเอาใจว่ะ นายเองก็ต้องกลับไปหาลูกหาเมียเหมือนกันนี่นา งั้นเราลาเรียวกันตรงนี้เลยดีไหม”
เจ้าสันต์อดไม่ได้ที่จะพูดเหน็บเพื่อนเก่าของผม จากนั้นมันก็หาทางลากศักดิ์ชายกลับบ้านจนได้ ผมชอบมันตรงนี้แหละ ถึงสันต์จะปากมาก แต่มันก็คอยช่วยเหลือผมทุกอย่าง เช่นตอนนี้ มันรู้ว่าผมเริ่มอึดอัดใจกับคำถามของศักดิ์ชาย ไม่อยากจะตอบในสิ่งที่ผมเองก็ยังไม่ได้ตัดสินใจ มันเลยรับลูกด้วยการต่อว่าศักดิ์ชายแทนผม แล้วพากลับบ้านเสียเลย

ผมเดินไปตบหลังมันเป็นการขอบคุณ หลังจากที่ส่งศักดิ์ชายขึ้นรถแล้ว มันหันมายักไหล่ บอกว่าไม่ต้องขอบอกขอบใจอะไรหรอก มันเองก็รู้สึกรำคาญศักดิ์ชายอยู่ไม่น้อย แต่ที่ชวนมาด้วย เพราะว่า คุณแคทอยากให้มีคนมาบ้านผมเยอะๆ คงกลัวคำครหาที่จะมาบ้านผู้ชายสองต่อสอง จากนั้นมันก็ถามผมถึงเดียร์ พอผมบอกว่า ไม่อยู่ออกไปข้างนอก มันก็ถามว่าเป็นเพราะพวกมันหรือเปล่า ถึงผมไม่ตอบแต่มันก็คงจะเดาได้จากอากัปกริยาของผม เจ้าสันต์ส่ายหน้า มันคงนึกระอาผมที่ทำอะไรไม่ได้ดังใจมัน เจ้าสันต์เลยเอ็ดตะโรผมอย่างโกรธๆ

“ทำไมนายถึงไม่เคยทำอะไรตามใจตัวเองบ้างวะเรียว จะแคร์คนอื่นไปทำไม ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร เพื่อความถูกต้องงั้นเหรอ แล้วใครวะที่เจ็บ คนอื่น หรือแกวะ อย่าบอกนะว่าไม่รู้สึกอะไร แกให้เดียร์ไปที่อื่นไกลจากหูตาของพวกฉัน เด็กนั่นก็คงจะน้อยใจ เตลิดไปไหนก็ไม่รู้ ส่วนตัวเองก็มานั่งห่วงกังวล ไม่กินข้าวกินปลา ใครกันแน่วะที่เจ็บปวด แกใช่หรือเปล่า

เลิกยึดถือได้แล้วกับไอ้หลักการบ้าบออะไรนั่น ไม่จำเป็นหรอกโว้ยที่ตัวผู้จะต้องได้กับตัวเมียเท่านั้น ใครแม่งบัญญัติขึ้นมาวะอยากจะรู้ ฉันล่ะโคตรจะแอนตี้เลย มันทำให้สังคมอยู่ได้อย่างมีความสุขก็จริงที่คนเราปฏิบัติตัวให้อยู่ในทำนองครองธรรม แต่คนเรามันจะอยู่ได้ไง ถ้าปราศจากหัวใจ

ถามจริงๆเถอะ แกแคร์นักใช่ไหมกับการเป็นคนดีของสังคม เป็นคนดีที่ทำถูกต้อง ชีวิตไม่เคยด่างพร้อย แต่ต้องเจ็บปวด ทำร้ายทั้งคนอื่น และทำร้ายตัวเองอีกด้วย ฉันล่ะเชื่อแกจริงๆ อยากจะด่าแกว่าไอ้งั่ง แต่เห็นแก่ที่แกเป็นคนดี จิตใจงาม เข้าใจว่าแกคงทำไปเพียงเพราะความรู้สึกดีๆของแกที่มีต่อสังคม แกไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สังคมเบี่ยงเบนไปจากปกติ แกเป็นคนดีที่ไม่รักตัวเองเลย งั้นฉันขอด่าแกแค่ไอ้ชื่อบื้อ ไอ้ทึ่มก็แล้วกัน งี่เง่าจริงๆ ด่าแกนี่ ฉันเหนื่อยนะโว้ย”


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่33-34 6/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 08-02-2009 14:16:23
มันหอบจนตัวโยน หลังจากร่ายยาวด่าผมแบบไม่มีเบรค ผมอ้าปากจะเถียงมัน แต่เห็นอาการของมันแล้วก็โกรธมันไม่ลง นี่ถ้ามันไม่รักผม คงไม่ด่ามากมายขนาดนี้ทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องของมันสักหน่อย มันคงหวังดีกับผมจริงๆ ผมเลยยิ้มแหยๆให้มันเป็นการยอมรับไปโดยปริยายว่าสิ่งที่มันพูดถูกต้อง ผมน่ะ มันงี่เง่าจริงๆ ที่ไม่เห็นความดีที่เด็กนั่นทำให้ เขาอุตส่าห์ทำเพื่อผมตั้งมากมายแต่ผมกลับตอบแทนน้ำใจของเขาด้วยการกันเด็กหนุ่มออกไปให้ห่างๆ เพียงเพราะเขาเป็นผู้ชายเท่านั้นเอง
อันที่จริง เรื่องที่หัวหน้าและคนรอบข้าง ยกขึ้นมากล่าวอ้างเป็นเหตุผลให้ผมเลิกกับเดียร์ ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงเงินทอง ลาภยศ ผมไม่เคยใส่ใจเลย ผมยินดีสละมันได้ เพื่อคนที่ผมรัก

หากแต่สิ่งที่ทำให้ผมยังคงลังเลใจอยู่ นั่นคือการที่เราสองคนดันมีเพศเดียวกัน ผมไม่เคยแม้แต่จะคิดมาก่อนว่าตนเองจะต้องไปรักกับผู้ชายถึงขั้นอยู่กินกันอย่างเปิดเผย การที่ผมได้มาเป็นแฟนกับเดียร์ผมก็ไม่ได้เต็มใจด้วยซ้ำ ตั้งแต่แรก

ผมถูกบังคับให้ทำในสิ่งที่ผมไม่ชอบโดยไม่อาจจะขัดขืนได้ นั่นก็เป็นอีกข้อหนึ่งที่ผมไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ ผมเพิ่งมารักเขาในเวลาต่อมา หลังจากเห็นความดีในสิ่งที่เขาทำให้ผม แต่เมื่อจะต้องตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตร่วมกับเขา ผมก็เลยเกิดความลังเล ไม่แน่ใจ

ผมกลัว กลัวว่าจะไปกันไม่รอด การตัดสินใจคบกัน มันต้องอาศัยกำลังใจอย่างใหญ่หลวง ต้องอดทนต่อคำติฉินนินทาจากคนรอบข้าง และที่สำคัญ ผุ้ชายกับผู้ชาย ไม่มีอะไรผูกพันธ์กันเหมือนผู้ชายกับผู้หญิง การแต่งงานไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม สร้างครอบครัวร่วมกันได้ลำบาก มีลูกด้วยกันก็ไม่ได้ อายุของเราก็ต่างกัน เขายังเด็ก ยังมีโอกาสจะได้เจอคนอีกมากมาย ส่วนผมอายุมากกว่าเขา นิสัยเราก็ต่างกัน หากเราไปกันไม่ได้ ผมจะทำอย่างไร

เขาว่ากันว่า เกย์ส่วนใหญ่ ไม่มีรักแท้ มีความรักแค่ฉาบฉวย ไม่จีรังยั่งยืน ผมไม่แน่ใจว่า เมื่อผมทิ้งงานการ ทิ้งทุกอย่างที่มีเพื่อเขา และเราไม่สามารถไปกันได้รอด ผมจะอยู่ได้อย่างไร จะไม่กลายเป็นว่า สิ่งที่ผมตัดสินใจทำลงไปมันสูญเปล่าหรือ

ผมต้องการความรักที่มั่นคง ผมไม่ต้องการความผิดหวังอีกแล้ว ครั้งที่ผ่านมา ผมก็เจ็บปวดเกินพอ ถ้าผมจะมีรักใหม่ผมต้องแน่ใจว่า ผมจะสามารถใช้ชีวิตกับคนรักของผมตลอดไป และผมก็ไม่ต้องการปิดบังซ่อนเร้น การหลบๆซ่อนๆไม่ใช่เรื่องดี ขนาดผมยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะอยู่กับเดียร์ แต่ต้องมาหลบซ่อนเพื่อนๆของผม มันยังทำให้ผมทุกข์ทรมานเลย

ที่ผมยังไม่ตัดสินใจอะไรลงไป เพราะผมต้องการเวลา ผมอยากให้ตัวเองแน่ใจว่า ผมรักเดียร์มากจริงๆถึงขนาดที่จะเปิดเผยตัวตนโดยไม่เกรงคำครหา ผมต้องการความมั่นใจว่า ความรักครั้งนี้มันจะจีรังยั่งยืนเพียงพอและเราสามารถครองคู่กันไปได้ตลอดรอดฝั่ง

และลึกๆลงไปแล้ว ผมต้องการพิสูจน์ว่า ผมสามารถรักเกย์ได้จริงๆโดยไม่นึกรังเกียจ บางทีความรักอย่างเดียว มันอาจจะไม่เพียงพอที่จะอยู่ร่วมกัน ต้องอาศัยความเข้าใจ อดทน อดกลั้น และความเสียสละ เพราะต้องละเลิกสิ่งที่เคยมี และเปลี่ยนวิถีชีวิตเดิมๆ หากผมไม่มั่นใจว่าจะยอมแลกทุกสิ่งได้ ก็ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะไปให้ความหวังกับเดียร์ เพราะจะเป็นการไปสร้างความเจ็บปวดให้กับเขาเปล่าๆ สู้ปล่อยเขาไปหาคนที่รักเขาจริงดีกว่า

“เรียว อย่าว่าโง้นงี้เลยนะ ถือว่าฉันขอร้องแล้วกัน ตามใจตัวเองซักครั้ง ลองดู อย่าอคติ แล้วถามตัวเองว่าชอบไหม รักไหม อยู่ด้วยกันได้ไหม ถ้าคำตอบคือไม่ นายไม่มีความสุข ก็เลิกซะ อย่ายื้อ จะเจ็บปวดทั้งสองฝ่าย แต่ถ้าชอบจริง รักจริง ก็ตัดสินใจเลย อย่ารอช้า คนดีๆ ไม่อยู่รอเรานานๆหรอกนะ เดี๋ยวหมามันจะคาบเอาไปก่อน แต่ถ้านายไม่ต้องการจริงๆ บอกฉันนะ ทั้งหล่อและดีแบบนายเดียร์ ฉันยอมเปลี่ยนบทบาทจากรุกกลายเป็นรับเลยว่ะ ดีกว่าพลาดปล่อยให้หลุดมือไป”
“เรียว อย่าว่าโง้นงี้เลยนะ ถือว่าฉันขอร้องแล้วกัน ตามใจตัวเองซักครั้ง ลองดู อย่าอคติ แล้วถามตัวเองว่าชอบไหม รักไหม อยู่ด้วยกันได้ไหม ถ้าคำตอบคือไม่ นายไม่มีความสุข ก็เลิกซะ อย่ายื้อ จะเจ็บปวดทั้งสองฝ่าย แต่ถ้าชอบจริง รักจริง ก็ตัดสินใจเลย อย่ารอช้า คนดีๆ ไม่อยู่รอเรานานๆหรอกนะ เดี๋ยวหมามันจะคาบเอาไปก่อน แต่ถ้านายไม่ต้องการจริงๆ บอกฉันนะ ทั้งหล่อและดีแบบนายเดียร์ ฉันยอมเปลี่ยนบทบาทจากรุกกลายเป็นรับเลยว่ะ ดีกว่าพลาดปล่อยให้หลุดมือไป”

สันต์หยุดโวยวายเปลี่ยนเป็นพูดหว่านล้อมผม เมื่อเห็นผมทำท่าเหมือนคนใกล้จะตาย คำด่าของมันเมื่อครู่ทำให้ผมยิ่งคิดมากเข้าไปใหญ่ เสียใจที่ทำร้ายเดียร์และเริ่มเป็นห่วงว่าเขาอยู่ที่ไหน ผมไม่น่าให้เดียร์ออกจากบ้านไปเลย การกังวลใจถึงใครบางคน ไม่มีความสุขเวลาที่เขาไม่อยู่ แบบนี้เรียกว่าผมมีรักแท้ให้เดียร์หรือเปล่า ผมยังสงสัย บางทีสันต์อาจจะพูดถูก คงถึงเวลาที่ผมจะต้องตัดสินใจได้เสียที ว่าจะเลือกใช้ชีวิตแบบใด จะกลับไปอยู่กับสังคมเดิมของตัวเองโดยปราศจากเด็กหนุ่มนั่น หรือจะเลือกทำตามหัวใจตัวเอง และทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง

“ฉันขอโทษนายด้วยนะ ที่พวกฉันมาขัดจังหวะเวลาที่นายกับหนูเดียร์จะได้อยู่ด้วยกัน หากเพียงแค่นายปฏิเสธ ไม่ยอมตามใจพวกฉัน นายก็คงไม่ต้องมานั่งทุกข์ใจแบบนี้ บางทีฉันอาจจะพูดแรงเกินไป นายอาจจะเจ็บปวด แต่ฉันหวังดีกับนายจริงๆนะเพื่อน ฉันรู้ว่านายเป็นคนดี ตลอดชีวิตของนาย พยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่สร้างปัญหาให้กับสังคม แต่การทำเพื่อให้ตัวเองมีความสุขบ้างด้วยการแหกกฏเกณฑ์เล็กๆน้อยๆมันไม่ทำให้สังคมปั่นป่วนมากมายนักหรอก เป็นคนดีแบบเดิมเถอะเรียว แต่เป็นคนดีที่มีความสุข แล้วสังคมรอบข้างก็จะมีความสุขตามไปด้วย เชื่อฉันเถอะนะ โทรไปหาเขาซะนะเรียว ถ้าคำตอบคือ เด็กนั่นคือหัวใจของนาย ”

สันต์กลับไปแล้ว โดยทิ้งข้อความให้ผมได้กลับไปคิด ผมเดินมานั่งที่เก้าอี้ตรงสนามหญ้าหน้าบ้านอย่างอ่อนแรง นี่ผมคงทำผิดไปจริงๆ แม้แต่เจ้าสันต์ก็ยังเอ่ยปาก แต่ก็นั่นแหละ เพื่อนรักของผมมันเชียร์ให้เปิดใจตัวเองตั้งแต่แรก ถ้าทุกอย่างมันง่ายอย่างที่พูดก็ดีนะสิ ผมคงไม่ต้องมานั่งกลุ้มอกกลุ้มใจอยู่อย่างนี้

เจ้าเด็กบ้านั่น ก็ติดต่อไม่ได้ ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน กินข้าวแล้วหรือยังก็ไม่รู้ โทรไปก็ติดต่อไม่ได้ เหมือนกับโทรศัพท์ปิดเครื่อง หรือว่าโกรธ น้อยใจผม จนไม่อยากจะพูดคุยด้วยนะ ก็น่าอยู่หรอก อุตส่าห์ทำกับข้าวให้ตั้งมากมาย หวังจะได้ฉลองด้วยกัน แต่ผมก็ดันหักหลังเขาเสียได้ แล้วนี่จะกลับมาที่บ้านผมหรือเปล่า หรือจะงอนไม่มาเลย เล่นไม่รับสายแบบนี้ ผมจะรู้ได้ยังไง

ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้ม ผมเลยหาอะไรทำฆ่าเวลาระหว่างที่รอเดียร์กลับมา เก็บข้าวของจานชาม อาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ พวกเพื่อนๆกินแล้ว ก็เผ่นหนี ไม่ยอมช่วยเก็บเลย ผมนึกถึงเดียร์อีกแล้ว ถ้าเจ้าหนูนั่นอยู่ เค้าคงไม่ปล่อยให้เลอะเทอะแบบนี้ เขาต้องจัดการมันก่อนที่ผมจะลงมือทำด้วยซ้ำ เขาทำทุกอย่างโดยไม่ปริปากบ่น แต่ผมกลับมองสิ่งที่เขาทำเหมือนว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญ ผมนี่มันโง่จริงๆที่ทำตัวแย่ๆกับคนที่รักเราถึงเพียงนี้

เก็บของเสร็จผมก็มานั่งรอเด็กหนุ่มอยู่ที่ห้องรับแขก เปิดทีวีดูรายการต่างๆไปเรื่อยเปื่อย แต่ดูไม่รู้เรื่อง นาฬิกาที่ฝาผนังบอกเวลาเที่ยงคืนแล้ว ผมอ้าปากหาว รู้สึกง่วงเหลือเกิน พยายามจะฝืนลืมตา เวลาที่เดียร์มาผมจะได้เห็น แต่แล้วผมก็แพ้สังขารของตัวเอง ความเหนื่อยล้า ทำให้ผมเผลอหลับไป
รู้สึกตัวอีกทีต่อเมื่อร่างของผมลอยขึ้น ผมลืมตาตื่นก็เห็นว่าตัวเองกำลังอยู่ในอ้อมกอดของเด็กหนุ่ม เขาอุ้มผมกำลังจะพาขึ้นไปยังชั้นบน ผมรีบร้องห้าม แล้วบอกให้เขาปล่อยผมลง

“เพิ่งกลับมาหรือเดียร์ เมื่อกี้ไปอยู่ที่ไหนมา ทำไมไม่รับสายล่ะ ฉันโทรไปตั้งหลายรอบ”

เดียร์ยิ้มให้ผม หน้าเขายังเศร้าๆอยู่

“เห็นแล้วครับ เผอิญผมปิดมือถือไว้นะครับ กลัวตัวเองจะเผลอโทรมารบกวนคุณ เลยรีบปิดก่อนที่จะยั้งใจไม่อยู่ พอเปิดดูก็เห็นมิสคอลล์ขึ้นเป็นร้อยเลย เป็นเบอร์คุณทั้งหมด ผมก็เลยรีบมาหากลัวว่าคุณจะเป็นอะไรนะครับ”

ผมรู้สึกเต็มตื้นในหัวใจ เมื่อได้ฟังคำพูดจากปากของเด็กหนุ่ม ขนาดตัวเองถูกทำร้ายจิตใจ ก็ยังไม่วายจะห่วงผม

“พวกเพื่อนๆไปหมดแล้วหรือครับ แล้วทำไมเรียวถึงไม่ขึ้นไปนอนพักข้างบนล่ะ นอนตรงนี้มันไม่ค่อยสบายนะ แล้วนี่ก็ดึกแล้ว ไปพักผ่อนเถอะครับ”

“ไม่ง่วงแล้วล่ะ ฉัน.....เอ้อ .....ฉัน....มารอนายน่ะ”

“หืม....รอผมน่ะหรือครับ”

เดียร์ทวนคำถามอย่างงงๆ ทำหน้าประหลาดใจกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน ผมรู้สึกว่าเลือดมันฉีดพล่านไปทั่วใบหน้า รู้สึกอายที่ต้องยอมรับกับเขาว่า ผมรอเขากลับมา มันรู้สึกเหมือนภรรยาที่รอสามีกลับมาบ้านยังไงยังงั้น

“อื้ม....เอ่อ....นายหายไปตั้งนาน ฉันไม่รู้ว่านายไปไหน แล้วจะกลับมาหรือเปล่านะสิ แล้วนายไปไหนมาล่ะ”

เด็กหนุ่มยิ้ม ความร่าเริงกลับมาแล้ว ที่จริงท่าทางเขาสดชื่น ตั้งแต่ผมพูดว่ามานั่งรอเขาแล้ว เด็กหนุ่มโอบกอดผมไว้ในวงแขนแข็งแรงของเขา ผมเอนตัวเอาศีรษะพิงซบไหล่กับเด็กหนุ่ม ความอบอุ่นแผ่ซ่านจากตัวเขาเข้าสู่ร่างกายของผม

“จะไปไหนได้ละครับ ในเมื่อหัวใจของผมอยู่ที่นี่ ไปไกลได้แค่ตรงสวนสาธารณะในหมู่บ้านเท่านั้นแหละครับ ไปนั่งเล่นคิดอะไรเรื่อยเปื่อย อยากจะโทรมาถามเหมือนกันว่าเพื่อนๆคุณกลับไปหมดหรือยัง ก็ไม่กล้า กวนรบกวนเวลาปาร์ตี้ของเรียวนะครับ ก็เลยนั่งอยู่ตรงนั้น จนกระทั่งเปิดโทรศัพท์แล้วเห็นเบอร์เรียวนั่นแหละ โทรกลับมาแล้วก็ไม่มีใครรับ เลยรีบมา กลัวว่าคุณกำลังมีเรื่องเดือดร้อน และอยากให้ผมช่วยน่ะ”

ผมเม้มริมฝีปากแน่น เจ้าบ้าเอ๊ย แทนที่จะโกรธ กลับมาห่วงใยผมอีก อย่าดีกับผมมากมายนักสิ ทำแบบนี้ผมก็ยิ่งรู้สึกแย่ มันเหมือนผมเป็นคนที่เอาเปรียบเดียร์ รับแต่ความรัก ความปรารถนาดีของเขาอย่างเดียว แต่ไม่เคยให้อะไรเด็กหนุ่มเลย

“หิวข้าวหรือเปล่า ทานข้าวมาหรือยัง”

“ยังครับ รู้สึกหิวนิดหน่อยน่ะ”
ปดผมอีกแล้ว จำได้ว่าเขาเพิ่งทานข้าวมื้อเช้าไปแค่มื้อเดียวเอง จากนั้นก็ออกไปซุปเปอร์มาร์เก็ต เพื่อจ่ายตลาด แล้วก็กลับมาทำอาหารให้ผม นี่ก็ปาเข้าไปจะตีสองแล้ว เขาต้องหิวมากแน่ๆเลย ผมเอามือกดไปที่พุงของเด็กหนุ่ม จิ้มอยู่สองสามที จนเดียร์หัวเราะกิ๊กกั๊ก จากนั้นผมก็แสร้งว่า ท้องเขายุบหายไปตั้งคืบ แสดงว่าในนี้ไม่มีอะไรบรรจุอยู่เลย ป่านนี้น้ำย่อยกัดกะเพราะหายไปแล้ว

เดียร์ก็บอกว่า ไม่เป็นไร ป่านนี้คงไม่มีอะไรกินแล้วล่ะ เขาทานนมก็แล้วกันมันจะได้มีอะไรอยู่ท้อง ผมก็แย้งเขาไปว่า ทำไมจะไม่มี ว่าแล้วก็เดินจูงมือเขาไปที่ห้องครัว จากนั้นก็ยกอาหารที่เขาทำเอาไว้เมื่อตอนเย็น ที่เก็บไว้ในตู้กับข้าวทั้งหมดออกมา เดียร์ทำตาโตร้องถามผมว่า ผมไม่ได้เอาอาหารที่เขาทำไว้ให้ไปเลี้ยงคนอื่นหรอกหรือ

ผมส่ายหน้าบอกว่า พวกเพื่อนๆเอาอาหารทะเลมาปิ้งย่างกินกันที่นี่ แล้วอีกอย่างอาหารเหล่านี้ เดียร์ทำไว้เพื่อเลี้ยงฉลองวันเกิดกับผมสองคน ดังนั้นเขาควรจะได้กิน ไม่ใช่คนอื่น เด็กหนุ่มทำท่าเสียดายที่อุตส่าห์ทำอาหารให้ผมได้กินอย่างสุดฝีมือ แต่ผมกลับไม่ได้ลิ้มชิมรส เพราะมัวแต่ทานอาหารของเพื่อนที่เอามา ถึงแม้เขาจะรู้สึกดีที่ผมนึกถึงเขา แต่เขาจะฉลองคนเดียวได้ไง

“เด็กโง่ ใครบอกกันล่ะ ว่าจะไม่ฉลองกับนาย นายทำอาหารมาเพื่อเราสองคน แล้วฝีมือนายก็ทำอาหารได้อร่อยเสียด้วย ไม่กินก็โง่แล้ว”

“จริงๆเหรอ แต่เรียวกินอาหารกับเพื่อนไปแล้วนี่ ถ้าอิ่มแล้วก็ไม่เป็นไรนะครับ อย่าฝืนทำเพื่อผมเลยนะ”

“ใครบอก ฉันยังกินได้อีกเยอะเลยนะ”

“เหรอครับ งั้นผมอุ่นกับข้าวก่อนนะครับ”

เดียร์ทำท่าดีอกดีใจ เขาหอมแก้มผมฟอดใหญ่ จากนั้นก็เดินไปเปิดเตา เอาอาหารบางอย่างใส่หม้อ บางอย่างใส่กะทะ เพื่ออุ่นให้ร้อนๆ เสร็จแล้ว เขาก็เทกลับใส่จานใหม่ แล้ววางลงบนโต๊ะซึ่งมีแจกันดอกไม้ และเทียนไขตั้งอยู่ ทุกอย่างไม่มีการขยับ คงรูปแบบเดิมเหมือนเมื่อตอนที่เดียร์เพิ่งจัดเสร็จ เด็กหนุ่มยิ้มหวานให้ผม และเชื้อเชิญให้ผมนั่งโต๊ะ จากนั้นเขาก็จุดเทียนไข แล้วเดินไปปิดไฟ ก่อนที่จะกลับเข้ามานั่งที่โต๊ะตามเดิม แล้วนั่งมองผมหน้าผมพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ผมสบตาหวานฉ่ำของเดียร์ที่จ้องมา แล้วก็รู้สึกเขิน จึงแกล้งทำเป็นเสียงแข็งใส่เขา

“มองอะไร...ทำไมถึงไม่กินข้าวล่ะ หิวไม่ใช่เหรอ ทานสิ”

“มองเจ้าของวันเกิดสิครับ เรียวน่ารักที่สุดเลย รู้ไหม ผมอ่ะ คิดว่าจะไม่ได้ฉลองวันเกิดกับเรียวซะแล้ว ยอมรับว่าผมทั้งโกรธและน้อยใจเลยนะครับ ทั้งๆที่เรามีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง เรียวก็ยังมองว่าผมเป็นคนนอก และกันผมออกไปจากสังคมของคุณ ไม่อยากให้เพื่อนได้รู้เห็นการมีตัวตนของผม ตอนเดินอยู่ตรงสวนสาธารณะนั่น ผมคิดวุ่นวายไปหมด พยายามนึกว่า ตัวเองทำผิดอะไร เรียวถึงได้รังเกียจผมนัก สิ่งดีๆที่ผมทำให้ เรียวไม่ตระหนักบ้างเลยหรือ...”

เด็กหนุ่มพูดให้ผมฟังถึงสิ่งที่อยู่ในความคิดของเขา
“.....แต่พอคิดไปคิดมา ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่า สิ่งที่ผมทำกับเรียว มันหนักหนาสาหัสเอาการ ก็น่าอยู่หรอกที่เรียวจะยังทำใจยอมรับผมไม่ได้ ผมผิดเองที่พยายามเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรียว บังคับให้ผู้ชายคนหนึ่ง มามีอะไรกับผู้ชายด้วยกัน แล้วยังจะให้เรียวมารักและใช้ชีวิตอยู่กับผมด้วย ผมนี่แย่มากจริงๆ ไม่เคยคิดถึงจิตใจเรียวเลย เอาแต่ได้ แต่ผมรักเรียวมากจริงๆ ถึงจะรู้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องที่ทำแบบนี้กับคนที่ผมรัก แต่ผมก็ยังคาดหวังว่ามันจะสำเร็จ เพราะผมไม่รู้ว่าชีวิตของผมที่ปราศจากคุณ มันจะอยู่ได้อย่างไร ผมเลยเข้าใจว่าเรียวอึดอัดแค่ไหน จึงหายโกรธหายน้อยใจเรียวเลยครับ”

เขาน่ารักตรงนี้ ตรงที่ยอมเข้าใจอะไรง่ายๆ แม้ว่าจะดื้อรั้น ทำอะไรเอาแต่ใจ แต่เขาก็ยังห่วงใยความรู้สึกของผม

“แล้วพอรู้ว่าเรียวเก็บอาหารทุกอย่างไว้ เพื่อรอฉลองกับผม ยิ่งทำให้ผมรู้สึกดีมากยิ่งขึ้น ที่อย่างน้อย เรียวก็ห่วงความรู้สึกของผมเหมือนกัน แบบนี้ มันแปลว่าผมพอจะมีความหวังบ้างแล้วใช่ไหมครับ”

เดียร์ถามด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ ผมไม่ตอบ รู้สึกอายเกินกว่าจะยอมรับ ทำไมต้องมาถามกันด้วยนะ เรื่องแบบนี้ใครเขาจะบอกกันล่ะ สังเกตเอาเองไม่เป็นหรือไง

“การนิ่งเฉย ผมถือว่าเรียวยอมรับนะครับ ว่าเรียวเองก็รู้สึกดีกับผมเหมือนกัน”

ทึกทักหน้าตาเฉย แต่คราวนี้ผมไม่ได้ฉุนโกรธอะไร ก็ผมรู้สึกดีกับเขาจริงอย่างที่เดียร์ว่า และไม่อยากจะโกหกอีกต่อไป

“มัวแต่พูดมากอยู่นั่นแหละ กินซะทีสิเจ้าเด็กบ้า”

ผมดุเขาแก้เก้อ เมื่อเห็นเดียร์ยังไม่แตะต้องอาหาร

“คร้าบ เรียวก็เหมือนกันนะ กินเยอะๆนะ”

เด็กหนุ่มรับคำ แล้วคะยั้นคะยอ ให้ผมกินโน่นกินนี่ โดยเขาเป็นฝ่ายตักใส่จานให้ ผมมองหน้าสดใสนั่นอย่างมีความสุข เจ้าเด็กโง่เอ๊ย โกรธง่ายหายเร็วจริงๆ เมื่อกี้ยังทำหน้าเศร้าๆอยู่เลย แต่ตอนนี้ร่าเริงแจ่มใส เหมือนไม่เคยผ่านเรื่องทุกข์ใจมาก่อนเลย

“เดียร์ ฉันขอโทษนะ”

“หืม........ขอโทษผมเรื่องอะไรหรือครับ”

มือที่กำลังตักอาหารมาใส่จานของผม ชะงักค้างกลางอากาศ เด็กหนุ่มมองผมตาแป๋ว รอฟังคำตอบว่าผมขอโทษเขาทำไม ผมกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนที่จะตัดสินใจพูดออกไป

“ที่....เอ้อ....ที่ฉันให้นายออกจากบ้านไป ตอนที่เพื่อนมาน่ะ ฉันไม่น่าทำแบบนั้น อันที่จริงฉันควรจะให้นายอยู่ เพราะเพื่อนๆทั้งหมด นายก็รู้จัก เขาเคยเห็นนายมาก่อน แล้วก็มีบางคนที่รู้เรื่องระหว่างนายกับฉันน่ะ”

เด็กหนุ่มลูกครึ่งยิ้มหวานให้ผม ก่อนจะวางอาหารที่ตักให้ลงบนจาน

“ไม่เป็นไรนะครับ ผมไม่โกรธเรียวหรอก ผมเข้าใจ เรียวคงจะไม่อยากให้คนที่เหลือรับรู้ใช่ไหม ถึงแม้ว่าผมจะอยากให้เรียวยอมรับในตัวผม แต่ถ้าต้องทำลายหน้าที่การงานของเรียว ผมก็ไม่อยากทำครับ เราอยู่กันไปแบบนี้ก็ได้นะ ไม่ต้องให้ใครรับรู้ ไม่ต้องแสดงตัว ขอแค่ให้เรียวรักผมบ้าง แค่นี้ผมก็มีความสุขมากๆแล้วครับ คงไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้แล้วล่ะ”
“เดียร์ ฉันขอโทษนะ”

“หืม........ขอโทษผมเรื่องอะไรหรือครับ”

มือที่กำลังตักอาหารมาใส่จานของผม ชะงักค้างกลางอากาศ เด็กหนุ่มมองผมตาแป๋ว รอฟังคำตอบว่าผมขอโทษเขาทำไม ผมกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนที่จะตัดสินใจพูดออกไป

“ที่....เอ้อ....ที่ฉันให้นายออกจากบ้านไป ตอนที่เพื่อนมาน่ะ ฉันไม่น่าทำแบบนั้น อันที่จริงฉันควรจะให้นายอยู่ เพราะเพื่อนๆทั้งหมด นายก็รู้จัก เขาเคยเห็นนายมาก่อน แล้วก็มีบางคนที่รู้เรื่องระหว่างนายกับฉันน่ะ”

เด็กหนุ่มลูกครึ่งยิ้มหวานให้ผม ก่อนจะวางอาหารที่ตักให้ลงบนจาน

“ไม่เป็นไรนะครับ ผมไม่โกรธเรียวหรอก ผมเข้าใจ เรียวคงจะไม่อยากให้คนที่เหลือรับรู้ใช่ไหม ถึงแม้ว่าผมจะอยากให้เรียวยอมรับในตัวผม แต่ถ้าต้องทำลายหน้าที่การงานของเรียว ผมก็ไม่อยากทำครับ เราอยู่กันไปแบบนี้ก็ได้นะ ไม่ต้องให้ใครรับรู้ ไม่ต้องแสดงตัว ขอแค่ให้เรียวรักผมบ้าง แค่นี้ผมก็มีความสุขมากๆแล้วครับ คงไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้แล้วล่ะ”

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่33-34 6/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 08-02-2009 14:17:56
บทที่ 34

คำพูดของเดียร์ทำให้ผมปวดหนึบที่หัวใจ ในขณะที่ผมเป็นฝ่ายคิดมากวุ่นวาย แต่เดียร์กลับมีทางออกให้กับตัวเอง เขารักผม อยากอยู่กับผมไปตลอด ปรารถนาที่จะให้ผมรับเขาไว้ในใจ แต่เขาก็ไม่เรียกร้องให้ผมทิ้งทุกอย่างเพื่อเขา อะไรก็ตามที่เป็นความสุขของผม เขาไม่อยากมาพรากมันไป ขอเพียงให้ผมรักเขาบ้างก็พอ ทำไม ผมถึงไม่คิดให้ได้อย่างเดียร์บ้างนะ ความสุขแบบพอเพียง คือการอยู่ด้วยกันด้วยความรักและเข้าใจ มีใครบางคนอยู่เคียงข้างเราตลอดไป

“เค้กวันเกิด เรียวก็ไม่ได้ทานหรือครับ งั้นก็ยังไม่ได้เป่าเค้กเลยสินะ เป่าเลยไหม ผมร้องเพลงให้ เสียงผมดีนะ”

เค้กที่เดียร์เตรียมไว้ถูกนำมาวางตรงหน้า แต่มีเทียนเพียงเล่มเดียวที่ปักไว้ เดียร์บอกกับผมว่า ไม่อยากปักไว้เยอะๆ เดี๋ยวเค้กจะเป็นรอยบุ๋มไม่สวย และน้ำตาเทียนจะหกใส่ เดี๋ยวผมจะเอาไปฝากคนที่ทำงานไม่ได้ แล้วเทียน 1 เล่ม ก็มีความหมายว่า ผมเป็นที่หนึ่งในใจของเขาเสมอ คำพูดของเขาเรียกเลือดอุ่นๆให้ไหลเวียนมาที่แก้มและลำคอของผม ใจเต้นแรงด้วยความสุขทั้งจากคำพูดและการกระทำของเขา

เทียนถูกจุดขึ้น จากนั้น เดียร์ซึ่งเดินมายืนข้างๆผมก็ร้องเพลงอวยพรให้ ผมเป่าเทียนบนเค้กจนดับหมด จากนั้นเดียร์ก็ยื่นมีดพลาสติกมาให้เพื่อให้ผมแบ่งเค้ก ผมตัดชิ้นหนึ่ง ใหญ่พอควรส่งให้เขา และชิ้นเล็กๆสำหรับตัวเอง เพราะผมรู้สึกอิ่มจนจุกไปหมดแล้ว

“ทานเค้กหน่อยนะครับ”

เดียร์ตักเค้กจากส่วนของตัวเอง ยื่นมาให้ผมถึงปาก ผมทำท่าลังเล แต่เมื่อเห็นสีหน้ากระตือรือร้นของคนป้อน ผมก็เลยอ้าปากรับ เด็กหนุ่มยิ้มอย่างพึงใจ จากนั้นก็ตักเค้กเข้าปากตัวเองมั่ง เขาทำหน้ายิ้มกรุ้มกริ่ม แล้วบอกว่า

“ทานเค้กช้อนเดียวกัน เหมือนได้จูบเรียวทางอ้อมเลย ดีจัง ตรงที่เป็นรอยปากของเรียว ยังอุ่นๆอยู่เลยนะครับ”

คำพูดเกี้ยวพาราสี เจ้าชู้นั่น ทำให้ผมเขิน นึกไปถึงตัวเองว่า เคยมีอารมณ์กุ๊กกิ๊กโรแมนติคบ้างไหม เวลาอยู่ต่อหน้าสาวๆ คงมีมั๊ง แต่ไม่หวานแหววมากแบบที่เจ้าเด็กนี่ทำ แล้วดูสิ ไม่เขินแม้แต่นิดเดียว มีแต่ผมเท่านั้นที่รู้สึกอายยามที่คนตรงหน้าทำหวานใส่

ช้อนถูกยื่นมาตรงหน้าอีก ผมทำท่าจะปฏิเสธว่าผมทานเองได้ แต่หน้าทะเล้น กับแววตาซุกซนนั้นก็ทำให้ผมต้องอ้าปากกินเค้กที่เขาส่งมาให้อีกครั้ง เดียร์มองผมด้วยตาเจ้าเล่ห์

“สงสัยคำมันใหญ่ไปหน่อยมั๊ง มันเลยเลอะปากของเรียวเลย แต่ไม่เป็นไรผมทำความสะอาดให้นะครับ”
คนพูดยื่นหน้าเข้ามาจนชิด และแลบลิ้นของเขา ตวัดเร็วๆผ่านริมฝีปากของผม เพื่อเลียครีมที่เลอะอยู่ ผมเหมือนหัวใจจะหยุดนิ่ง เมื่อลมหายใจของเดียร์ปะทะเข้าที่แก้ม และอย่างรวดเร็ว ปากนุ่มของเดียร์ ก็ทาบทับลงมาที่ริมฝีปากผม

“หวานจัง”

หลังจากถอนจูบออกไปแล้ว เดียร์ก็นั่งมองหน้าผมตาหวานฉ่ำ ผมอายจนต้องเสไปมองเค้กที่อยุ่เบื้องหน้า เชอรี่ลูกโตสีแดงเข้มรูปร่างเหมือนหัวใจวางแปะอยู่บนวิปครีมรอบเค้ก ช่างน่ากินนัก ผมเสหยิบมากินลูกหนึ่ง รสชาดของมันอร่อยดีจริงๆอย่างที่ผมคิด

“อร่อยใช่ไหมครับ แต่กินอย่างนี้อร่อยกว่า”

พูดจบก็หยิบเชอรี่ขึ้นมาลูกหนึ่ง แล้วเดียร์ก็กระเถิบเข้ามาจนชิด จากนั้นเขาก็สบตาผม แล้วแลบลิ้น วางลูกเชอรี่ไว้ข้างบน และทำมือให้ผมอ้าปากบ้าง พอผมทำตาม เขาก็โน้มคอผมเข้ามาใกล้ แล้วป้อนเชอรีใส่ปากด้วยวิธีที่ทำให้ผมแทบละลายลงไปตรงนั้น

ลูกที่สามถูกหยิบขึ้นมาใหม่ แต่คราวนี้เด็กหนุ่มอ้อนขอให้ผมป้อนให้เขาบ้าง ผมส่ายหน้าปฏิเสธบอกทำไม่เป็น แต่เด็กหนุ่มทำท่างอแง บอกว่า ทำให้ดูไปแล้วลูกหนึ่ง น่าจะทำตามได้ แต่ถ้ายังไม่เป็น เขาจะสอนให้อีก จากนั้นเขาก็เริ่มต้นสาธิตใหม่อีกครั้ง ผมจะไม่ยอมทำตามก็ไม่ได้ เอาวะ ผมนึกในใจ ไหนๆผมก็ทำผิดกับเดียร์มามาก ทำตามใจเขาสักหน่อยก็คงจะทำให้เขามีความสุข ชดเชยกับความร้ายกาจที่ผ่านมาของผมได้บ้าง

หมดโอกาสที่จะบ่ายเบี่ยงแล้ว ผมต้องป้อนเข้าบ้าง ลูกที่สี่ ผมป้อนให้เด็กหนุ่มตามวิธีการของเขา มันทุลักทุเลเพราะผมไม่เคยทำอย่างนั้น แม้แต่กับพวกผู้หญิงที่ผมเคยจีบเป็นแฟน และมีอะไรด้วยกัน ผมมีความโรแมนติกในวิธีการของผม แต่ไม่ใช่วิธีการแบบที่เดียร์กำลังสอนให้

หลังจากทานเชอรี่จากปากผมไปลูกหนึ่ง เดียร์ก็แสร้งทำหน้าครุ่นคิดแบบคนเจ้าเล่ห์ แล้วก็บอกกับผมว่า ฝีมือผมพอใช้ได้แล้ว ต้องพัฒนาอีกหน่อยถึงจะเก่งเท่าเขา แต่วันนี้ เขายินดีเป็นคู่ซ้อมให้ จากนั้นเขาก็หยิบเชอรี่ขึ้นมา แล้วก็มองผมเป็นเชิงให้รับไป

ในเวลาต่อมา เชอรี่ทั้งหมดที่เหลือก็ถูกเราพลัดกันป้อนจนหมดโดยวิธีปากต่อปาก และไม่ใช่แค่นั้น เค้กทั้งก้อน ผมก็ถูกเดียร์ป้อนให้จนหมดไปเกือบครึ่งปอนด์ ตอนนี้ท้องของผมจุกแน่นไปหมดแล้ว อาหารเก่า อาหารใหม่ถูกบรรจุเต็มอยู่ในท้องของผม จนแทบไม่มีที่ว่างตรงไหนเหลือให้ใส่ลงไปได้อีก

“ง่า.....เค้กจะหมดแล้วอะครับ เหลือแค่ครึ่งเดียวเอง คงเอาไปให้น้องๆที่ทำงานของคุณไม่ไหว เอางี้ เก็บไว้ทานกับกาแฟตอนเช้าดีกว่าไหม”

ระฆังช่วยพอดี เมื่อเดียร์เสนอขึ้นมา ดูเหมือนเดียร์เองก็รู้ว่าผมทานเข้าไปมากแล้ว และคงรับอะไรเข้าไปอีกไม่ไหว ผมรีบเออออด้วยทันที จากนั้น เราสองคนก็ช่วยกันเก็บข้าวของ แต่เดียร์ไล่ให้ผมขึ้นมาอาบน้ำเพราะดึกมากแล้ว เดี๋ยวเขาจะทำเอง

ก่อนที่ผมจะเดินผละไป เด็กหนุ่มก็ดึงตัวผมมากอดไว้ พลางกระซิบเสียงเซ็กซี่ใส่หูผมว่า ผมกินเค้กของเขาแล้ว เดี๋ยวเขาจะขอกินเค้กของผมบ้าง ผมต้องเลี้ยงตอบแทนเขา ผมร้องบ้า แล้วก็เดินหนีอย่างอายๆ แต่เด็กหนุ่มไวกว่า เขาตบก้นผมเบาๆ แล้วหัวเราะกิ๊กกั๊กเมื่อผมหันมาทำตาดุๆใส่เขา ยิ้มทะเล้นให้ จากนั้นก็หันกลับไปจัดการกับข้าวของบนโต๊ะ พลางผิวปากเป็นเพลง คนใจง่าย อย่างที่เขาชอบทำบ่อยๆเวลาที่อยู่ในบ้านด้วยกัน
“ง่า.....เค้กจะหมดแล้วอะครับ เหลือแค่ครึ่งเดียวเอง คงเอาไปให้น้องๆที่ทำงานของคุณไม่ไหว เอางี้ เก็บไว้ทานกับกาแฟตอนเช้าดีกว่าไหม”

ระฆังช่วยพอดี เมื่อเดียร์เสนอขึ้นมา ดูเหมือนเดียร์เองก็รู้ว่าผมทานเข้าไปมากแล้ว และคงรับอะไรเข้าไปอีกไม่ไหว ผมรีบเออออด้วยทันที จากนั้น เราสองคนก็ช่วยกันเก็บข้าวของ แต่เดียร์ไล่ให้ผมขึ้นมาอาบน้ำเพราะดึกมากแล้ว เดี๋ยวเขาจะทำเอง

ก่อนที่ผมจะเดินผละไป เด็กหนุ่มก็ดึงตัวผมมากอดไว้ พลางกระซิบเสียงเซ็กซี่ใส่หูผมว่า ผมกินเค้กของเขาแล้ว เดี๋ยวเขาจะขอกินเค้กของผมบ้าง ผมต้องเลี้ยงตอบแทนเขา ผมร้องบ้า แล้วก็เดินหนีอย่างอายๆ แต่เด็กหนุ่มไวกว่า เขาตบก้นผมเบาๆ แล้วหัวเราะกิ๊กกั๊กเมื่อผมหันมาทำตาดุๆใส่เขา ยิ้มทะเล้นให้ จากนั้นก็หันกลับไปจัดการกับข้าวของบนโต๊ะ พลางผิวปากเป็นเพลง คนมันรัก อย่างที่เขาชอบทำบ่อยๆเวลาที่อยู่ในบ้านด้วยกัน

ยังไม่ทันจะได้อาบน้ำ ผมก็รู้สึกปั่นป่วนในท้อง จุกเสียดแน่นไปหมด เหมือนอาหารมันจะขย้อนออกจากปาก ผมรีบวิ่งไปที่ห้องน้ำและอาเจียนออกมากองโต ปวดท้องจิ๊ดๆ ผมอยู่ในห้องน้ำประมาณครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ ทั้งอาเจียนทั้งถ่ายจนหมดแรง

เสียงผิวปากดังมาให้ได้ยิน จากนั้นประตูก็ถูกเปิดออก เดียร์ที่อาบน้ำ อาบท่าเนื้อตัวสะอาดสะอ้านเดินยิ้มกรุ้มกริ่มเข้ามา ปากก็พูดว่า กินเค้ก กินเค้ก แต่พอเห็นผมยังอยู่ในชุดเดิม แถมซ้ำนอนตัวงอก่องอขิง เอามือกุมท้องอยู่บนฟูก เขาก็ร้องอุทานอย่างตกใจ เดินพรวดเดียวถึงเตียง และทรุดนั่งลงข้างๆผม โน้มตัวเข้ามาใกล้

“เรียวเป็นอะไรหรือครับ ไม่สบาย หรือเปล่า ท่าทางคุณไม่ดีเลย”

“ฉันท้องเสีย แล้วก็อ้วกด้วย สงสัยอาหารทะเลที่กินเข้าไปอาจจะเป็นพิษน่ะ”

ไม่ค่อยจะแน่ใจนักว่าเป็นแค่อาหารทะเลอย่างเดียว หรือเพราะผมกินมากหลายขนาน จนเกิดอาการอย่างที่เป็นอยู่ ผมไม่อยากให้เดียร์คิดมากว่าเป็นอาหารที่เขาคะยั้นคะยอให้ผมกิน เดี๋ยวเจ้าตัวจะคิดมากที่เป็นต้นเหตุให้ผมท้องเสีย

“ไปหาหมอก่อนดีไหมครับ อย่าปล่อยไว้เลย เดี๋ยวจะแย่กว่านี้”

น้ำเสียงที่ถามเจือด้วยความห่วงใย เดียร์ประคองผมให้ลุกขึ้นนั่ง จากนั้นเขาก็ถามผมว่าลุกไปโรงพยาบาลไหวไหม ผมพยักหน้า พยายามจะลุกขึ้น แต่ก็ทรุดฮวบ เอามือกุมท้อง เจ็บปวดแทบขาดใจ เหมือนไส้ถูกบิดอย่างแรง เดียร์เลยแบกผมขึ้นหลัง พาเดินลงบันไดไปขึ้นรถ เขาอาสาเป็นคนขับให้เอง

หมอตรวจอาการเสร็จก็บอกว่าที่ผมท้องร่วงและอาเจียนมากมาย เพราะลำไส้มีเชื้อบิด อาจจะเกิดจากการกินอาหารที่สุกๆดิบๆเข้าไป ผมนึกถึงอาหารทะเลที่พวกเพื่อนๆเอามาปิ้งย่างกินทันที อาจจะเป็นไปได้ที่มันไม่สุกและล้างอาจจะไม่สะอาดพอแล้วพวกเราก็เอามากินกันแล้ว แถมซ้ำ ผมยังกินอาหารที่เดียร์ทำให้เข้าไปอีก มันก็เลยอาจจะไปตีกันในท้อง ทำให้เกิดท้องเสียขึ้นมา

พอหมอไปแล้ว เดียร์ก็ดุผมทันทีว่าไม่รู้จักดูแลตัวเอง จะหยิบอะไรใส่ปากใส่ท้องก็ต้องดูให้ดีก่อนว่ามันสุกมันสะอาดพอไหม เขาบ่นอะไรไม่รู้หลายต่อหลายเรื่อง ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่ผมปล่อยปละละเลยไม่ใส่ใจในสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ ชอบทานแต่กาแฟเป็นอาหารเช้า ต้องบังคับถึงจะกิน นอนก็ดึก ทำงานก็หนัก ไม่ยอมออกกำลังกายอีก

ผมได้แต่นอนฟังตาปริบๆ ถึงตัวเองกำลังโดนคนที่อายุน้อยกว่าต่อว่า แต่ก็โกรธไม่ลง เพราะเจ้าหนูนี่เป็นห่วงเป็นใยผมจนทนไม่ไหว ต้องพูดออกมา เขาบอกว่า ถ้าไม่มีเขาคอยทำอาหาร หรือคอยกำชับให้ผมดูแลตัวเอง ผมก็จะไม่สบายแบบนี้ นี่ยังโชคดีที่ไม่เป็นอะไรมาก แค่นอนพักให้น้ำเกลือคืนเดียว พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้ว ต่อไปนี้นะ เขาจะเข้มงวดกับผมให้มากกว่าเดิมอีก
“ต่อไปอย่าไปทานอะไรสุ่มสี่สุ่มห้านะครับ เอางี้ไหม ผมจะตื่นมาทำอาหารเช้าให้เรียวทานทุกวัน แล้วตอนกลางวันผมจะทำข้าวกล่องให้ทานด้วย ผมไม่ได้ไปทำอาหารที่ร้านป้าแล้วนะครับ น้อยมาแล้ว ผมให้น้อยเขาไปช่วยงานร้านคุณป้าแทนผม

ถ้าวันไหนเรียวอยากไปทานอาหารร้านป้า ก็สั่งให้น้อยทำได้ ผมไว้ใจฝีมือเขา แต่ถ้าเรียวงานยุ่ง ก็ทานข้าวกล่องที่ผมทำให้นะ ที่บริษัทมีไมโครเวฟอุ่นอาหารได้นี่นา ก็อุ่นแป๊บเดียวเอง แล้วตอนเย็น ถ้าผมไม่ติดไปซ้อมเต้น ผมจะทำอาหารไว้ให้ ก่อนออกไปทำงานที่ร้านกาแฟนะครับ”

ไอเดียแบบนี้ฟังดูเหมือนกำลังถูกผูกมัดให้ติดอยู่กับความเคยชินที่มีเขาอยู่ด้วย แต่ผมก็ชอบแฮะ น่าแปลกจังที่ก่อนหน้านี้เคยดูแลคนอื่น ตอนนี้กลับต้องถูกดูแลซะเอง แถมผมยังชอบเสียด้วย มันดูอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก ที่มีใครบางคนคอยห่วงใย และเคียงข้างเราไปตลอด

“เลยอดกินเค้กของเรียวเลย”

คำพูดของเขาทำให้ผมนึกหมั่นไส้ ยังจะมีแก่ใจคิดเรื่องนี้อีก ดีแค่ไหนแล้วที่ผมเกิดอาการขึ้นมาก่อน ไม่งั้นตอนที่เรามีอะไรกัน ผมคงทำเลอะเทอะ ขายหน้าหนักเข้าไปอีก เจ้าเด็กบ้า คิดเป็นอยู่เรื่องเดียวหรือไงนะ

“ไม่เป็นไร กินวันหลังก็ได้เนอะ เรียวติดผมไว้หนึ่งมื้อนะครับ”

ใบหน้าอ่อนเยาว์ยิ้มประจบประแจง ผมอดขำไม่ได้ ดูสิ คิดได้เนอะ คนลามก หื่นได้ตลอดเวลาเลย หากมีคนแบบนายเดียร์หลายๆคนในโลกนี้ คนรอบข้างคงปวดหัวตายแน่

“ตอนนี้เป็นไงบ้างครับ หายปวดท้องหรือยัง ยังอยากจะอ้วกอีกไหม จะเข้าห้องน้ำหรือเปล่า เดี๋ยวผมพาไป”

เด็กหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เขาชะโงกเข้ามาใกล้ แล้วเอามือลูบไล้แผ่วเบาไปตามใบหน้าของผม ท่าทางเป็นห่วงเป็นใย ผมส่ายหน้า บอกว่ายังปวดท้องอยู่บ้าง แต่ก็เริ่มรู้สึกดีขึ้นแล้ว เพราะหมอให้กินยาแก้อาเจียน และให้ยาฆ่าเชื้อมาด้วย แต่คงต้องถ่ายบ่อย เชื้อจะได้หมดไป

เดียร์ยิ้มเจ้าเล่ห์ บอกว่าก้นของผมของระบมหมดแน่เพราะถ่ายเยอะ แต่ไม่เป็นไร หายแล้วเขาจะพยาบาลตรงนั้นให้เอง ผมเลยเขกหัวเขาไปทีหนึ่งค่อนข้างดัง และชักผ้าห่มขึ้นมาคลุมบอกว่าจะนอนแล้ว เพราะกว่าที่เดียร์จะพาผมมาหาหมอ กว่าจะตรวจเสร็จ ก็ปาเข้าไปจะตีห้าแล้ว ยังไม่มีใครได้นอนกันเลย เดียร์ทำปากยื่นใส่ผม เอามือคลำหัวป้อยๆ บอกว่าผมรังแกเขาอีกแล้ว ผมก็เลยบอกว่า ก็อยากบ้ากามไม่รู้กาละเทศะทำไม โดนแค่นั้นยังน้อยไปด้วยซ้ำ

เด็กหนุ่มก็เลยหัวเราะชอบใจ บอกว่า เขาหื่นแต่กับผมคนเดียวเท่านั้น เพราะเขารักผมมาก อยู่ใกล้ๆผมแล้วมีความสุข และอยากเก็บผมไว้กับตัวคนเดียว ไม่แบ่งให้ใคร ผมคร้านจะเถียงกับเขา เพราะเข้าตัวเองตลอด เลยหลับตา นอนเงียบๆ

มีเสียงหัวเราะเบาๆจากคนข้างๆ จากนั้น จมูกและริมฝีปากของเดียร์ก็สัมผัสเข้าที่แก้มของผม เขาจูบที่ปากของผมเป็นที่สุดท้ายก่อนจะกล่าวราตรีสวัสดิ์ ผมพลิกตัวตะแคงข้างแล้วอมยิ้มอย่างมีความสุข เจ้าเด็กบ้านี่ทำให้ชีวิตของผมมีเรื่องปวดหัวได้ตลอด แต่เขาก็น่ารักมากๆ ความทะเล้นทะลึ่ง อารมณ์ดี ขี้อ้อน นี่เป็นเสน่ห์ของเขาที่ทำให้ผมรัก
ตื่นขึ้นมาอีกทีในตอนสายเพราะอยากเข้าห้องน้ำ ผมมองไปข้างเตียง ก็เห็นเดียร์นั่งหลับ โดยหนุนแขนตัวเองอยู่บนเตียงของผม ดูท่าทางน่าจะเมื่อย โซฟาที่ใช้นอนก็มีแต่ไม่ยอมไปนอน คงเป็นห่วงจนไม่อยากทิ้งไว้ให้อยู่คนเดียวบนเตียง เลยต้องมาอยู่ข้างๆ ความห่วงหาอาทรที่เขามีให้ ทำให้จิตใจผมปวดร้าว เขาดีกับผมมากจริงๆ จนผมไม่รู้ว่า ผมจะดีได้เท่าครึ่งหนึ่งของเขาที่ทำให้ผมหรือเปล่า

ผมเอื้อมมือไปลูบไล้ศีรษะของเดียร์อย่างแผ่วเบา และขยับตัวลงจากเตียง แต่เด็กหนุ่มรู้สึกตัวเสียก่อน เขาเงยหน้าขึ้นมองผม และยิ้มให้จนตาหยี กุลีกุจอลุกขึ้นช่วยพาผมไปยังห้องน้ำ แล้วปิดประตูให้ ตอนเปิดประตูออกจากห้อง พยาบาลก็มารออยู่ก่อนแล้ว บอกว่าจะเช็ดตัวให้ และเอายามาให้ทาน แต่เดียร์กลับอ้อนขอทำเอง โดยบอกว่า เขาเป็นน้องของผม เขาช่วยทำให้ได้ พยาบาลทนลูกตื้อไม่ไหว เลยยอมให้เดียร์ทำให้ ผมดุเดียร์ทันที

“ตื่นมาก็ทำเรื่องยุ่งเชียว ไปแย่งหน้าที่พยาบาลเขาเดี๋ยวก็โดนดุเอาหรอก”

“แหม ก็เรื่องอะไรจะให้เขามาเห็นร่างกายของเรียวล่ะ โดยเฉพาะน้องชายของเรียวน่ะ ผมให้ใครเห็นไม่ได้หรอก นอกจากผมคนเดียวเท่านั้น”

ไม่พูดเปล่า มือไวซุกซนของเดียร์ก็วางแหมะลงตรงเป้าของผมพอดี ผมซัดพลั๊วะเข้าที่มือของเขา พอเห็นเขาสะบัดมือด้วยความเจ็บผมก็หัวเราะ

“สมน้ำหน้า ไอ้เด็กลามก”

เดียร์ทำปากยื่น เดินไปรูดม่านรอบเตียง จากนั้นก็เดินมาแก้ปมที่ผูกเสื้อของผมออกจากกัน ก่อนจะเอาผ้าขนหนูที่ชุบน้ำบิดแห้งหมาดๆ มาเช็ดตัวผม จากนั้นก็มาถึงกางเกงที่ผมใส่อยู่ เขากระตุกเชือกรัดเอวออก จากนั้นก็รูดกางเกงผมลง เขาหัวเราะหึหึ เมื่อผมเอาสองมือมากุมน้องชายปกปิดไว้จากสายตาเขา เดียร์ใช้มือที่แข็งแรงกว่า แกะมือผมออก แล้วก็กระซิบยั่วเย้า

“อายทำไมกันน้า .. า ...า.....า ผมเห็นออกบ่อยๆ”

คนพูดเอามือลูบไล้อย่างทะนุถนอม ผมเบี่ยงตัวหนี และทำเสียงเข้มใส่เขา

“นี่มันโรงพยาบาลนะ รุ่มร่ามจริงเชียว เดี๋ยวใครมาเห็นกันพอดี”

“ก้อด้าย งั้นถ้าอยู่ในที่ลับตาคน อย่างเช่นที่บ้านของเรา เรียวต้องให้ผมดูแลน้องชายของคุณอีกนะ ผมคิดว่าเขาคงเหงา อยากให้พี่ชายใหญ่อย่างผมอยู่ด้วย”

มือแข็งแรงถูกเลื่อนออกไป โดยคนพูดยกมือตัวเองขึ้นมาดม แล้วสูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอด ใบหน้าแสดงออกถึงความพึงพอใจ ผมยิ่งเขินจัดที่เห็นเขาทำแบบนั้น เจ้าเด็กบ้า ชอบทำท่าหื่นใส่อยู่ตลอด จะมีใครหน้าด้าน หน้ามึนแบบเขาอีกไหมนะ ผมทั้งฉุนทั้งขำ ไหนจะคำว่า “บ้านของเรา” อีกล่ะ บ้านของผม กลายเป็นบ้านของเราไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน อยู่ๆก็โมเมเฉยเลย แต่ทำไมมันฟังแล้ว ให้ความรู้สึกอบอุ่นดีจัง

“เอาล่ะ เสร็จแล้วครับ”
เด็กหนุ่มผูกเชือกกลับเข้าไปเหมือนเดิม แล้วยิ้มหวานให้ผม จากนั้นเขาก็อ้อนขอรางวัลที่ช่วยเช็ดตัวให้ เหลือเชื่อเลยเจ้านี่ นึกว่าทำดีแบบให้เปล่า ที่แท้ก็หวังผล ผมเมินทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เด็กหนุ่มก็ทำหน้างอ จากนั้นก็ถือวิสาสะจูบผมอีก

ขณะที่เด็กหนุ่มกำลังปล้ำจูบผมอยู่นั้น ประตูห้องก็เปิดผล๊วะออกมา เจ้าสันต์ร้องอุทาน แล้วจะเดินออกไป แต่ผมรีบผลักเดียร์ออก แล้วเรียกเพื่อนรักของผมไว้ มันทำหน้าล้อเลียน ตอนที่เดินมาหาพวกเราสองคน เดียร์รีบเดินหนี เพราะกลัวว่าผมจะอายหนัก แต่ผมคว้าข้อมือของเดียร์ไว้ แล้วบอกว่าไม่เป็นไร สันต์รู้เรื่องของเราสองคนแล้ว เขาเลยทรุดตัวลงนั่งข้างๆผม

“โหย คนป่วยได้กำลังใจแบบนี้ ก็หายวันหายคืนสิวะเนี่ย อิจฉาจังโว้ย”

“รู้ได้ไงวะ ว่าฉันป่วยนอนโรงพยาบาลอ่ะ”

ผมไม่สนใจคำถามหยอกเอินนั่น แต่กลับถามกลับ เพราะผมงงมากที่เจอมันที่นี่


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่33-34 6/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 08-02-2009 14:18:31
“ก็เมื่อคืนฉันโทรมาหานาย เพราะฉันก็ท้องเสียเหมือนกัน ก็เลยโทรมาถามว่า นายเป็นบ้างหรือเปล่า แต่เจ้าหนูเดียร์เป็นคนรับโทรศัพท์ แล้วบอกว่านายอาหารเป็นพิษนอนอยู่ที่โรงพยาบาลน่ะ พอตอนเช้าฉันค่อยยังชั่ว ก็เลยมาหานายนี่ล่ะ โชคดีนะเนี่ย ที่ฉันธาตุแข็ง แค่ท้องเสียอย่างเดียว ไม่เป็นอะไรมาก ไม่งั้นต้องนอนโรงพยาบาลคนเดียว ไม่มีใครมาดูแลข้างเตียง แล้วทำสวีทหวานแหววแบบนี้ เฮ้อออออออ พูดแล้วก็อิจฉาว่ะ”

“คนอื่นๆจะเป็นยังไงบ้างไม่รู้นะ จริงสิ เมื่อวานนี้ พี่สมชายกับคุณแคทก็บอกว่าท้องเสีย ฉันก็ไม่คิดว่าจะเจออย่างนี้กันทุกคนน่ะ”

หลีกเลี่ยงคำพูดเข้าตัวด้วยการถามถึงคนอื่นๆ สองคนนั่น ท้องเสียจริงๆ หรือว่าหลอกเล่นนะ ถ้าปวดท้องกันจริงๆ แล้วทำไมถึงมายืนจูบกันที่หลังบ้านของผมล่ะ

“ก็ไม่รู้สิ ฉันอาจจะกินเข้าไปมากด้วยมั๊ง อาหารทะเลน่ะ ไม่ค่อยได้กินบ่อย นี่อุตส่าห์ไปซื้อถึงในตลาดสดเลยนะ ไปกันสองคนกับคุณแคท ไปช่วยกันจ่ายตลาดเลย แต่สงสัยพวกเราจะเคยมีแต่คนทำให้กินบ่อยๆ เลยเลือกซื้อกันไม่เป็นว่ะ เอ้อ แล้วนายเป็นไงบ้าง ค่อยยังชั่วแล้วยัง นายมันธาตุอ่อนตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่หว่า กินอะไรนิดก็มีปัญหา เจ้าหนูเอ๊ย ต้องช่วยดูแลเพื่อนรักฉันให้ดีหน่อยนะ อีตานี่น่ะ ไม่ค่อยห่วงตัวเองสักเท่าไหร่ สนแต่งาน ไม่ใส่ใจสุขภาพ ตัวเองน่ะ”

หลังจากถามไถ่ผมด้วยความห่วงใยแล้ว เจ้าเพื่อนรัก ก็แขวะผมเอากับเดียร์เฉยเลย ผมเห็นเดียร์หันมามองผมทำตาประมาณว่า เห็นไหมผมบอกแล้วไม่เชื่อ คุณน่ะ ไม่ดูแลตัวเองเลย จากนั้นเขาก็หันไปยิ้มให้กับสันต์ ผมคิดว่าเดียร์รู้ว่าเพื่อนของผมคนนี้ ไม่มีพิษมีภัย และคงจะเห็นใจในความรักของเราสองคน เขาเลยยอมเป็นมิตรด้วย

“เรียวน่ะ ดื้อจะตายครับ พูดอย่างไรก็ไม่ยอมฟังครับ ถ้าไม่มีผมอยู่ด้วย เรียวคงไม่ดูแลตัวเองยิ่งกว่านี้อีก”

เจ้าหนูของผมได้ทีก็เลยฟ้องซะเลย สันต์หัวเราะก๊ากชอบอกชอบใจใหญ่
“เออช่ายๆๆๆ งั้นนายก็อย่ารามือก่อนเสียล่ะ ดูแลไอ้คนดื้อคนนี้ ให้ใช้ชีวิตตามใจตัวเองบ้างเสียที ทำเพื่อคนอื่นมามากนัก ไม่เห็นจะยักทำเพื่อตัวเองบ้างเลย เมื่อก่อนฉันก็ด่ามันจนขี้เกียจจะด่าแล้ว ได้นายมาช่วยอีกคน ฉันก็เบาแรงไปเยอะเลย หวังว่าด้วยความตั้งใจจริงของนาย คงจะทำให้เจ้านี่ หูตาสว่างขึ้นมาได้บ้างนะ”

ดูเหมือนสันต์กับเดียร์เริ่มจะถูกคอกันเข้าให้แล้ว ผมนั่งหน้างออยู่บนเตียง นี่ถ้าไม่ติดว่ามีสายน้ำเกลือห้อยติดกับตัวผมล่ะก็ ผมคงจะเดินหนีออกนอกห้อง ปล่อยให้สองคนนี้นั่งคุยกันให้พอใจไปเลย

คุยกันสักพัก เดียร์ก็ขอตัวออกไปข้างล่าง เพื่อไปหาซื้ออะไรกิน เขาฝากสันต์ให้ช่วยดูแลผม เพื่อนรักรับปากแต่โดยดี พอเดียร์ไปแล้วมันก็หันมาทำหน้าล้อๆ ผมเลยหน้าหงิกใส่มัน ถามว่าเป็นอะไร มันก็บอกว่า คนป่วยทำไมหน้าตามีความสุขจัง ผมก็เลยด่ามันว่ายุ่ง เจ้าสันต์หัวเราะลั่น บอกเพิ่งเคยเห็นผมงอนครั้งแรกนี่แหละ แต่ก็น่ารักดีจัง สักพักมันก็โพล่งขึ้นมา

“เฮ้ยรู้ไหม ใครมาทำเคลมกับบริษัท”

เจ้าสันต์ทำท่าทางตื่นเต้น ยังไม่ทันที่ผมจะตอบ มันก็รีบพูดขึ้นมาทันที เหมือนคนที่ได้ล่วงรู้อะไรบางอย่างและอดไม่ได้ที่จะเป็นผู้ประกาศมันออกมา

“นายทรงพลไง”

“หืม ตั้งแต่เมื่อไหร่ วันศุกร์ยังเจอกันอยู่เลยนี่”

ชื่อนี้เรียกความสนใจของผมขึ้นมาทันที

“คืนวันเสาร์ ตอนที่ฉันไปหานายเบน แล้วอยู่ๆฉันก็ได้รับโทรศัพท์จากนายสุริยะว่าตอนนี้ นายทรงพลถูกแทงอยู่ที่โรงพยาบาล ถ้าจำไม่ผิด เขาอยู่โรงพยาบาลนี้ด้วยว่ะ ฉันว่าพอเยี่ยมนายเสร็จ แล้วจะขึ้นไปเยี่ยมเขาสักหน่อย”

ช่างบังเอิญจริงๆที่เราสองคนต้องมาป่วยและมาอยู่โรงพยาบาลเดียวกันอีก แต่อย่างว่าแหละ โรงพยาบาลนี้ เป็นโรงพยาบาลที่มีคอนแทคกับบริษัท คนที่ทำประกันทุกคน เวลาเจ็บป่วยสามารถยื่นบัตรทองได้เลย โดยไม่ต้องรอตรวจสอบว่ามีเงินพอที่จะรักษาไหม เพราะข้อมูลในบัตรทองสามารถลิงค์กันได้กับกรมธรรม์ของลูกค้า

ทางโรงพยาบาลจะทราบได้เลยว่า ลูกค้าที่เข้ารับการรักษาซื้อแผนประกันสุขภาพแผนไหน วงเงินเท่าไหร่ เป็นการอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า สามารถเข้ารับการรักษาได้ทันท่วงที แม้ไม่มีเงินรักษา เพราะกรมธรรม์จะคุ้มครองค่ารักษาให้ตามผลประโยชน์ที่เขาซื้อไว้

โดยก่อนจะออกจากโรงพยาบาลลูกค้าจะจ่ายเฉพาะส่วนต่างที่อยู่นอกเหนือจากความคุ้มครองเท่านั้น ทั้งพนักงานและลูกค้าส่วนใหญ่จะใช้บริการที่โรงพยาบาลนี่เป็นหลัก เพราะเป็นโรงพยาบาลใหญ่ และมีเครื่องมือทางการแพทย์ทันสมัย ทีมแพทย์มีฝีมือ รวมถึงมีการบริการที่ดีเยี่ยม

“เป็นอะไรล่ะ”

“ถูกแทง.......โอ๊ยสะใจว่ะ แล้วมือมีดน่ะคือนายแซ่บ แฟนเก่าฉันเองว่ะ น้องแซ่บทำดีโว้ย นี่ถ้าคบกันอยู่เหมือนเดิม จะกระโดดกอดให้หนำใจเลย สงสัยคงจะโมโหตาเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่น เลยลงไม้ลงมือซะ ว่าแต่ถ้าเขาเคลมมา ฉันแกล้งถ่วงให้เคลมมันล่าช้าดีไหมวะ หมั่นไส้มันเหลือเกิน เอาเก็บใส่ลิ้นชักไว้สักสองเดือนค่อยทำเรื่องจ่ายให้มันดีกว่า หรือปฏิเสธเคลมมันดี บอกว่าไม่เข้าข่ายเงื่อนไข ”
“ถูกแทง.......โอ๊ยสะใจว่ะ แล้วมือมีดน่ะคือนายแซ่บ แฟนเก่าฉันเองว่ะ น้องแซ่บทำดีโว้ย นี่ถ้าคบกันอยู่เหมือนเดิม จะกระโดดกอดให้หนำใจเลย สงสัยคงจะโมโหตาเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่น เลยลงไม้ลงมือซะ ว่าแต่ถ้าเขาเคลมมา ฉันแกล้งถ่วงให้เคลมมันล่าช้าดีไหมวะ หมั่นไส้มันเหลือเกิน เอาเก็บใส่ลิ้นชักไว้สักสองเดือนค่อยทำเรื่องจ่ายให้มันดีกว่า หรือปฏิเสธเคลมมันดี บอกว่าไม่เข้าข่ายเงื่อนไข ”

เจ้าสันต์รู้สึกกระเหี้ยนกระหือรือเสียเหลือเกินที่จะได้กลั่นแกล้งนายทรงพล แต่ผมไม่เห็นด้วยที่เพื่อนรักจะเอาชื่อเสียงของตัวเองมาแลกกับคนอย่างนั้น นอกจากจะเป็นการทำลายภาพพจน์ของบริษัทมันยังจะทำให้เจ้าสันต์มีความผิดอีกด้วย

“ไม่ได้นะ เสียชื่อบริษัทหมด แยกแยะงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันดีกว่าว่ะเพื่อน ทำแบบนี้ลูกค้าด่าเอาได้ ถึงแม้ว่าคนที่ด่าคือคนที่พวกเราไม่ชอบหน้าก็ตาม แต่เขาคือลูกค้าของเรานะ”

“จ้า พ่อคนดี เขาทำกับตัวเองขนาดนี้แล้ว ยังจะไปห่วงความรู้สึกเขาอีก”

เพื่อนรักของผมพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน

“ฉันไม่ได้ห่วงความรู้สึกเขา แต่ในเมื่อเขาเป็นลูกค้า เราก็เลือกปฏิบัติไม่ได้น่ะ เอาน่า ช่างมันเถอะเขาก็ได้รับผลกรรมที่ก่ออย่างสาสมแล้ว อย่าไปจองเวรจองกรรมกันเลย”

“สาธุ นี่ถ้าคิดไม่ตกเรื่องชีวิตคู่ ก็ไปบวชซะเถอะพ่อ ใจบุญสุนทานเหลือเกิน ให้อภัยคนไปเรื่อย ทีอย่างนี้ยกโทษให้อีตาทรงพลได้ แล้วทำไมไม่หัดยกโทษให้เดียร์มันบ้างวะ”

พูดเรื่องนายทรงพลอยู่ดีๆ ไหงโดนแขวะมาเรื่องของเดียร์ได้ก็ไม่รู้

“ยกโทษเรื่องอะไร เจ้าเด็กนั่นยังไม่ได้ทำอะไรผิดนี่”

งงกับคำพูดมันเหลือเกิน ที่ผ่านมา เดียร์ล่อลวงผมจนต้องกลายมาเป็นของเขา แต่ผมก็ได้ยกโทษให้เขาแล้ว และนี่เขาเองก็ไม่ได้ทำความผิดครั้งใหม่เลย มีแต่ผมเท่านั้นที่จะทำผิดกับเขา คนที่ควรจะร้องขอให้คนอื่นยกโทษให้ น่าจะเป็นผมมากกว่า

“ทำไมจะไม่ผิด ผิดสิ ผิดเต็มประตูเลย ผิดที่เกิดมาเป็นผู้ชายและดันมารักนายไงวะ ตอนเทวดาส่งมาเกิด ทำไมไม่เลือกเพศเป็นผู้หญิงซะล่ะ เวลาได้มาเจอกัน นายจะได้ไม่ต้องตะขิดตะขวงใจ รักเจ้าเด็กนั่นได้เต็มที่ อ๊ะ อย่ามาปฏิเสธนะโว้ย ว่าไม่ได้รักเด็กนั่น ลืมแล้วเหรอ ว่าฉันทำงานเป็นนักสืบให้กับฝ่ายตรวจสอบมาก่อน ไม่มีอะไรที่เล็ดลอดตาฉันได้หรอก

นายน่ะรักเด็กนั่นเต็มเปา แต่เกี่ยงที่เขาเป็นผู้ชายเท่านั้น ก็นี่แหละที่ฉันบอกว่าเจ้าเด็กนั่นผิดที่เกิดมาไม่ถูกเพศ ฉันถึงขอให้นายอภัยให้เขาไง ลืมซะทีสิวะเพื่อน ว่าเด็กนั่นเป็นผู้ชาย ทำตามหัวใจของตัวเอง รักก็บอกว่ารัก จะกั๊กเอาไว้ทำไมให้มันเจ็บปวดกันทั้งสองฝ่ายวะ”
โดนมันด่ากระแนะกระแหนมา ทำเอาผมอึ้งพูดไม่ออก รู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจ เพราะสิ่งที่เจ้าสันต์พูดมันจริงทุกอย่าง ผมรักเดียร์แต่ผมก็ติดอยู่เพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่เขาเป็นผู้ชาย อยากรักเขาและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันแต่ก็เกรงว่าสังคมจะครหา ไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สังคมไม่ปกติ เพราะเรื่องนี้ที่ทำให้หลายต่อหลายครั้งทีเดียวที่ผมคิดหักดิบหัวใจตัวเองด้วยการเลิกรากับเขา

เจ้าสันต์นั่งคุยกับผมสักพักด้วยเรื่องของนายทรงพลกับน้องแซ่บ ฟังได้ความว่า ตำรวจได้ควบคุมตัวแซ่บเอาไว้เพื่อสอบปากคำตั้งแต่เมื่อคืน เพราะเด็กนั่นเป็นคนโทรไปหาตำรวจเอง แต่ตอนนี้ถูกปล่อยตัวออกมาแล้วเพราะคนเจ็บไม่ติดใจเอาความ

ส่วนนายทรงพลถูกนำตัวมาโรงพยาบาลเมื่อคืนนี้ อาการไม่ได้สาหัสอะไรมากมาย คิดว่าเด็กนั่นคงแค่สั่งสอน ไม่ได้กะเอาให้ถึงตาย ตอนนี้เด็กแซ่บก็อยู่กับนายทรงพลที่โรงพยาบาลด้วย
ผมขอให้เจ้าสันต์พาผมไปเยี่ยมนายทรงพลบ้าง อย่างน้อยก็ในฐานะลูกค้าของบริษัท ถึงเขาจะเคยทำชั่วช้ากับผม แต่คนเราก็ต้องพยายามแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวให้ออกจากกัน หน้าที่การบริการลูกค้าให้ได้รับความสะดวกสบายเมื่อมาใช้บริการกับบริษัทเป็นสิ่งที่พึงกระทำ

แม้จะกระแหนะกระแหนหาว่าผมเป็นคนดีจนเกินไป แต่มันก็ยอมที่จะพาผมไปโดยดี แต่ต้องรอให้ผมเช็คเอาท์ออกจากโรงพยาบาลก่อน สันต์อาสาไปเดินเรื่องให้ระหว่างรอให้หมอตรวจ โชคดีที่ตอนนี้มันทำงานทางด้านฝ่ายพิจารณาสินไหม มันเลยรู้กระบวนการอย่างดีว่าต้องทำอะไรบ้าง พอมันออกไปจากห้อง เดียร์ก็เข้ามาพร้อมกับนางพยาบาลที่เข็นรถใส่ถาดอาหารมาให้

หลังจากทานอาหารเสร็จ สักพักคุณหมอเจ้าของไข้ก็เข้ามาตรวจอาการผม และบอกให้ผมกลับบ้านได้ โดยเอายาไปทานและให้หยุดพักผ่อนได้อีกหนึ่งวัน ผมเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับมาเป็นชุดเดิมที่ใส่มา แล้วเดียร์ก็พาผมไปรับยา โดยมีสันต์ตามไปสมทบทีหลัง จากนั้นพวกเราทั้งหมดก็พากันไปเยี่ยมนายทรงพล

ชายสูงอายุที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ ดูแก่ไปถนัดใจ ใบหน้าซีดเซียว มีถุงน้ำเกลือ กับถุงเลือดแขวนห้อยระโยงระยางอยู่กับราวเหล็ก แต่ดูท่าทางคงจะไม่เป็นอะไรมาก เพราะเขาอยู่ในห้องคนไข้พิเศษเท่านั้นไม่ได้อยู่ในห้องไอซียู

ตอนที่พวกเราเข้าไปเยี่ยมเขากำลังหลับอยู่โดยมีแซ่บนั่งอยู่ข้างๆเตียง ใบหน้าหม่นหมอง ไม่ยอมลุกขึ้นมาต้อนรับ ห่างออกไป มีบอดี้การ์ดหน้าหล่อหุ่นดี ยืนคุมเชิงอยู่คนหนึ่ง คงคุมเด็กนั่นไม่ให้ก่อเรื่องตอนที่นายทรงพลกำลังหลับ ถึงแม้ไม่ติดใจเอาความ แต่ตาเฒ่านั่นก็อาจจะยังคงไม่ไว้ใจอยู่ บอดี้การ์ดนั่นเพียงแต่หลีกทาง เพื่อให้พวกเราเข้ามาเยี่ยมกันได้โดยสะดวก

“คุณทรงพลเป็นไงบ้างน่ะ แซ่บ”

สันต์ถามไถ่ เด็กหนุ่มเงยหน้าที่เปรอะไปด้วยน้ำตาขึ้นมองพวกเรา แล้วบอกว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว เพราะไม่ได้ถูกแทงในที่สำคัญ

“มันเกิดขึ้นได้ยังไง”
ผมถามบ้าง และเหมือนคำพูดของผมไปสะกิดใจเด็กหนุ่มเข้า แซ่บร้องไห้สะอึกอื้นขึ้นมาอย่างคนกลั้นไม่อยู่ จากนั้นคำพูดก็พรั่งพรูออกมา แซ่บเล่าให้พวกเราฟังว่า คืนวันเกิดเหตุ เขากับนายทรงพลทะเลาะกันใหญ่โต สาเหตุหลักๆก็มาจากความเจ้าชู้ของทรงพลเป็นเหตุ และการไม่ให้เกียรติกัน

ทรงพลหงุดหงิดตั้งแต่ตอนที่แซ่บช่วยเหลือเดียร์โดยการเปิดประตูให้ขึ้นมาทำร้ายเขา และปล่อยให้ผมลอยนวลออกไปได้ แถมเดียร์ยังมาทุบทำลายข้าวของเสียหาย นายทรงพลด่าว่าแซ่บเนรคุณเลี้ยงไม่เชื่อง ไม่น่าจะเอามาอยู่ด้วยเลย หาว่าแซ่บรวมหัวกับเดียร์เพื่อทำร้ายเขา อธิบายอย่างไรก็ไม่ฟัง แม้ว่าแซ่บจะบอกว่า ที่เขาทำลงไปเพราะรักนายทรงพล อยากให้หยุดพฤติกรรมแบบนี้ แล้วทำตัวเป็นคนใหม่ เพื่อที่จะได้ครองรักกันอย่างมีความสุข

แต่นายทรงพลกับเย้ยหยันบอกว่า แซ่บนั้นเอามาแค่ขัดตาทัพเท่านั้น เห็นนายสุริยะชมเป๊าะว่าดีอย่างนั้น อย่างนี้ เลยขอเอามาเป็นของตัวเองซึ่งๆหน้าแต่แซ่บก็มีดีแค่เรื่องเซ็กส์อย่างเดียว อย่างอื่นไม่ได้เรื่อง แถมซ้ำยังโง่เป็นควายอีก รักษาสมบัติของเขาก็ไม่ได้ แล้วจะมารักตัวเขาได้ยังไง ที่ทำให้แซ่บโกรธจัดก็คือ นายทรงพลบอกกับแซ่บว่าจะขายเขาทิ้งให้กับเพื่อนเกย์อีกคน เขาจ่ายให้แซ่บแพงมาก ตอนนี้หมดประโยชน์แล้ว เพราะเขาเจอคนที่เขาชอบ และอยากจะเอามาเชยชมให้ได้ คนๆนั้นก็คือผม ดังนั้น การมีแซ่บอยู่จึงเป็นตัวขวางทางรักของเขา

นั่นเองที่ทำให้แซ่บเดือดดาล จริงอยู่เด็กหนุ่มยอมรับว่า เปลี่ยนใจจากสันต์มาหาทรงพลก็เพราะเงินตัวเดียว แต่หลังจากอยู่ด้วยกันไป ก็ได้รู้ใจตัวเองว่ารักนายทรงพลเข้าแล้ว ถึงนายทรงพลจะแก่กว่าตน เจ้าชู้ และไม่เห็นคุณค่าของตัวเขา แต่ยามอยู่ด้วยกัน นายทรงพลก็ดีกับเขามาก ช่วยเหลือด้านการเงินครอบครัวเขา ซื้อบ้าน ให้พ่อและแม่ ส่งเสียให้น้องของแซ่บได้เรียน

สิ่งเหล่านี้ทำให้เด็กหนุ่มประทับใจและกลายเป็นความรัก และไม่ต้องการให้ทรงพลไปยุ่งกับคนอื่นอีก แต่ในเมื่อดึงดันพูดไม่ยอมฟัง จึงต้องทะเลาะกัน ถึงขั้นที่นายทรงพลลงไม้ลงมือกับแซ่บ ทำให้เด็กหนุ่มบันดาลโทสะ จ้วงแทงเข้าที่ท้องของตาเฒ่านั้น หวังหยุดพฤติกรรมโหดของเขา

ฟังเรื่องของแซ่บจบ ผมก็รู้สึกสงสารและเห็นใจเด็กหนุ่มมาก รู้เลยว่า เขาต้องเผชิญกับอะไรบ้าง เพราะผมเองก็เคยโดนตาเฒ่านี่ ทำร้ายกาจใส่มาแล้ว แต่ผมก็ยังรู้สึกดีใจไปกับนายทรงพลด้วย ที่ถึงเขาจะร้ายขนาดไหน ก็ยังมีคนที่รักเขาจริง หวังว่าสิ่งที่แซ่บทำ คงจะเป็นครั้งสุดท้าย และทำให้นายทรงพลตระหนักได้เสียที ว่ามีคนที่รักเขาจริงแค่ไหน จะได้เลิกไขว่คว้าหาคนที่เขาไม่ต้องการตัวเองเสียที

“ที่จริงนายน่าจะเอาให้หนักกว่านี้นะ”

เดียร์กับสันต์พุดออกมาเกือบจะพร้อมกัน ท่าทางทั้งคู่คงอยากเห็นนายทรงพลด่าวดิ้นไปตรงหน้า คนหนึ่งแค้นที่ถูกแย่งแฟน อีกคนหนึ่งแค้นที่เขามาทำร้ายผม

“อย่าเลยน่า อโหสิให้เขาเถอะ แค่นี้เขาก็คงจะได้รับบทเรียนแล้วล่ะ”

สองหนุ่มหันมามองผมเป็นตาเดียว จากนั้นก็หันไปยิ้มให้กัน แถมแอบกระซิบกันให้ได้ยินอีกว่า “พ่อคนใจดี” ผมแลยยกมือขึ้นเขกหัวเพื่อนสองคนด้วยความหมั่นไส้ จากนั้นก็หันไปปลอบโยนเด็กแซ่บว่า สิ่งที่เขาทำลงไปแม้ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง แต่สักวันหนึ่ง นายทรงพลจะรู้ได้เองว่าแซ่บรักเขาแค่ไหน

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่33-34 6/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 08-02-2009 15:56:26
ดีใจ ด้วย น่ะ นาย เดียร์




ที่ เรียว เริ่ม ยอม รับ นาย แร้ววววว


คุน สันต์ ช่าง ดี จิงๆๆๆๆ ช่วย กัน หนับ หนุนนน เต็มที่





สู้ ๆๆ น่ะ เดียร์   อีก นิด เดียววว แร้ววววว





มา ต่อ ไวไว น่ะ คร้าบบบบบ :z13: :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่33-34 6/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 08-02-2009 20:15:19
 :z10: :z10:
กาดึบ กาดึบ ยังอีกยาวกว่าจะจบ
พี่เคทไม่ใจดีให้จบแต่เพียงเท่านี้หลอก
มี 40 หรือ 50 ตอนแหละ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่33-34 6/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: the_pooh9 ที่ 08-02-2009 23:35:13
เมื่อไหร่กันนะ ที่เรียว จะยอมรับเดียร์

อย่างเปิดเผยสักที

เรียวบ้า ใจร้าย ทำเดียร์ร้องไห้ได้ไง  :m15:

เดี๋ยวแช่งให้ นู๋เดียร์ กินเค้กทุกวันซะนี่

กินเค้ก กินเค้ก กินเค้ก  :z1:

+1 ขอบคุณนะคร้าบบบ พี่แอนคนสวย
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่35 9/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 09-02-2009 17:51:47
บทที่ 35

หลังจากปลอบโยนและให้กำลังใจแซ่บแล้ว พวกเราก็พากันลากลับ แต่ยังไม่ทันจะได้ออกจากห้อง นายทรงพลก็ฟื้นคืนสติ เขาลืมตาขึ้นมาเห็นผมพอดี และเรียกชื่อผมด้วยเสียงแหบพร่า ผมหันไปมองแซ่บที่นั่งน้ำตารื้นอยู่ แล้วก็ตัดสินใจเดินตรงไปที่เตียงคนไข้ พยามยามข่มใจอโหสิกรรมให้กับเขา เดียร์เดินตามผมมายืนใกล้ๆ และโอบเอวผมไว้ เหมือนเขาจะคอยกันไม่ให้ผมถูกทำร้าย

“ขอบคุณมากครับคุณเรียว ที่มาเยี่ยมผม”

ผู้เฒ่าเจ้าเล่ห์ยิ้มให้ผมด้วยใบหน้าที่อ่อนระโหยโรยแรง ผมยิ้มให้เขา บอกว่ามันเป็นหน้าที่ของพนักงานที่จะต้องปฏิบัติต่อลูกค้า และผมก็ไม่ได้มาเยี่ยมคนเดียวยังมีสันต์มาเยี่ยมด้วย เขากล่าวขอบคุณพวกเราทุกคน จากนั้นก็หันมาทางเดียร์ เด็กหนุ่มจ้องมองตอบ แววตาไม่เป็นมิตรนัก ผมเผลอตัวจับมือเดียร์อีกข้างไว้แน่น

“ขอบคุณนะน้องชาย ที่อุตส่าห์มาเยี่ยม ขอโทษด้วยนะ ที่ทำไม่ดีกับคุณเรียว น้องชายกับคุณเรียวนี่เหมาะสมกันมาก ช่วยดูแลเขาดีๆนะ”

หูผมฝาดไปหรือเปล่าเนี่ย นายทรงพลกลายเป็นคนดีขึ้นมากระทันหันหลังจากถูกแทงไปแผลหนึ่ง โหยไม่น่าเชื่อ ออกจากห้องนายทรงพลแล้วพวกเรายังพูดกันไม่เลิก แม้กระทั่งเดียร์เองยังอึ้ง เมื่อเห็นตาเฒ่าเจ้าเล่ห์มามุขนี้

“เฮ้ยเป็นไปได้ไงวะ ที่ตาเฒ่านั่นยอมเลิกราง่ายๆ กลายเป็นเสือสิ้นลายไปเสียแล้ว”

เสียงป๊าบๆประกอบคำพูดมาจากสันต์ที่ตบศีรษะตัวเองแรงๆเพื่อขับไล่ความึนงง

“เขาอาจจะสำนึกผิดจริงๆแล้วก็ได้นะ ซึ่งมันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ”

ผมย้อนถามมันไป

“ถ้าได้อย่างนั้นก็ดีนะสิครับเรียว หากเลิกยุ่งกับคุณได้ ผมจะดีใจมากเลย”

เด็กหนุ่มพูดอย่างไม่เชื่ออีกคน

“นี่แหละนะที่เขาบอกว่า คนเรา ถ้าเลือดไม่ตกยางไม่ออก ก็ไม่มีวันจะรู้สึก คราวนี้ได้เจ็บตัวก็เลยรู้ซึ้งกระมัง ดีๆๆเลิกซ่าส์ เลิกบ้ากามไปเลยก็ดี ถ้าหากตาเฒ่านั่นเลิกทำชั่วได้จริงๆ ก็ต้องขอบคุณน้องแซ่บล่ะ ที่ช่วยทำให้หนุ่มๆในโลกนี้ ยังพอเหลือเผื่อแผ่มาถึงคนอื่นบ้าง ไม่ถูกอำนาจเงินของเขากว้านซื้อไปจนหมด”

คงยังไม่หายแค้นใจ เจ้าสันต์เลยพูดจาประชดประชันออกมาแบบนั้น

“เอาน่า อภัยให้เขาเถอะ คนทำผิดที่สำนึกได้ เราก็ควรให้อภัยเขานี่นา”

ผมพยายามพูดให้เพื่อนรักเลิกมีอคติกับนายทรงพล แต่นอกจากจะไม่ได้ผลแล้วเจ้าสันต์ยังหันมาค้อนผมตาประหลักประเหลือกแถมย้อนผมเข้าให้ต่อหน้าเด็กหนุ่ม
“เออ....พูดได้สวยนี่ จำไว้ใช้บ้างก็ดีนะ กับตัวเองน่ะ เห็นใครบางคนเขาก็สำนึกผิดแล้ว ที่ทำไม่ดีกับนายไว้ และทุกวันนี้เขาก็ทำดีเพื่อชดใช้ ทำไมตัวเองถึงไม่ยอมเห็น ไม่ยอมใจอ่อนสักทีล่ะ หรือการให้อภัยน่ะ มีไว้แค่กับคนอื่น แต่กับคนใกล้ตัวใกล้ใจ ไม่มีโอกาสได้รับสิทธิ์นั้น”

อุปทานหรือเปล่าไม่รู้ แต่เหมือนว่าผมเห็นนายเดียร์ของผมแอบลอบยิ้ม คงสะใจกับคำพูดของเจ้าสันต์นั่น เพราะมันแสดงออกถึงอาการเข้าข้างกันเต็มที่ ตกลงเพื่อนรักของผม มันปันใจไปเป็นพวกเดียวกับเด็กลูกครึ่งนั่นเรียบร้อย

“สิ่งที่แซ่บทำลงไปแม้ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง แต่สักวันหนึ่ง นายทรงพลจะรู้ได้เองว่าแซ่บรักเขาแค่ไหน …….ชิส์ พูดออกมาได้ ลองเปลี่ยนชื่อแซ่บไปเป็นชื่อใครบางคน และเปลี่ยนจากนายทรงพลเป็นตัวนายสิ แล้วถามตัวเองบ้างนะ ว่ารักคนๆนั้นหรือยัง”

คราวนี้ผมเห็นเดียร์ก้มหน้าหัวเราะคำพูดล้อเลียนของเจ้าสันต์ ที่ยกเอาสิ่งที่ผมปลอบประโลมแซ่บย้อนกลับมาใช้กับผม น่าหมั่นไส้นักทั้งเพื่อนทั้งคนที่ผมรักเลย

“ไอ้บ้าสันต์ ไปให้ไกลๆเลย พูดบ้าอะไรวะ ไม่เห็นรู้เรื่อง”

ผมแกล้งโวยวายกลบความอายที่มันพูดอย่างนั้นต่อหน้าเด็กหนุ่ม สองคนนั้นมองตากัน แล้วต่างคนต่างเบือนหน้าหนีกันไปคนละทาง แต่ผมเห็นพวกเขาแอบยิ้มให้กัน ก่อนที่จะหันไปซ่อนยิ้มไม่ให้ผมเห็น เออ เอาเข้าไป เข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ยนัก ก็เชิญกลับไปด้วยกันเถอะ นึกได้อย่างนั้น ผมก็รีบเดินเร็วๆหนีสองคนนั่นไปอย่างฉุนๆ ได้ยินเสียงหัวเราะไล่หลัง และเสียงเจ้าสันต์ตะโกนมาว่า พูดจี้ใจดำแค่นี้ทำเป็นงอน ผมเลยรีบเดินเร็วยิ่งกว่าเดิม

อารามรีบร้อนที่จะหนีไปจากสถานการณ์ที่เพื่อนรักกับคนที่ผมพึงใจพยายามไล่ต้อนให้ผมยอมรับความจริง ทำให้ผมไม่ทันสังเกตเห็นกลุ่มคนที่กำลังเดินตรงเข้ามา จนกระทั่งเกือบจะชนกันอยู่แล้ว เสียงหนึ่งก็ร้องทักขึ้น
“คุณเรียว มาได้ไงคะเนี่ย”

คุณแคทนั่นเอง เธอมาพร้อมกับนายสุริยะ , เจ้านายของผม อรจิรา และผู้ใหญ่อีก สองสามคน ซึ่งผมเดาเอาว่าน่าจะเกี่ยวข้องเป็นญาติกับคุณแคทเพราะเห็นหน้าตาคล้ายๆกัน

ไม่ใช่เพียงผมเท่านั้นที่ไม่ได้สังเกต เดียร์เองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมหยุดทำไม ทันทีที่เขาถึงตัวผม เขาก็คว้าตัวผมมากอดไว้ โน้มหน้าลงมาจะจูบที่แก้ม แต่พอเห็นผมดิ้นหนี และผลักเขาออก เขาถึงได้ตระหนักว่าผมกำลังเผชิญหน้าอยู่กับคนที่รู้จัก ด้วยความหัวไวของเขาที่รู้ว่าผมยังไม่พร้อมจะเปิดเผยเรื่องนี้ให้ใครรู้

เขารีบผละออกจากผม และโค้งให้เป็นเชิงขอโทษ บอกว่าทักคนผิด เขานึกว่าเป็นแฟนเขา จากนั้นก็เดินชิ่งหนีออกไป ผมลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ทว่าเมื่อมองไปที่หน้าของคนเหล่านั้น ผมก็เห็นอรจิรามองผมด้วยดวงตาโตอย่างจ้องจับผิด

มีความเคลือบแคลงสงสัยในตาของคุณแคทลียา แต่ก็เพียงแว่บเดียว จากนั้นเธอก็ยิ้มแย้มให้ตามปกติ ส่วนนายสุริยะ มองผมยิ้มๆ ท่าทางมั่นอกมั่นใจในอะไรบางอย่างที่ตัวเองกำลังคิด และแล้วเจ้าสันต์ก็เดินตามเข้ามาพอดี อัศวินม้าขาวของผมที่ช่วยเหลือผมในยามขับขันหลายเรื่อง คราวนี้มันมาทันเวลาพอดี
“เฮ้ย แกเห็นแฟนฉันหรือเปล่าวะ เมื่อกี้เพิ่งพลัดกัน”

เจ้าสันต์เอ่ยขึ้น ผมคิดว่ามันคงเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว เพราะมันเดินตามหลังมา

“คนที่เดินไปเมื่อครู่นี้หรือเปล่าคะ แคทเห็นเขาเข้ามากอดคุณเรียว คงนึกว่าเป็นคุณแน่”

เพื่อนร่วมงานของผมรีบรับลูกทันที ผมสบตาคุณแคทอย่างขอบคุณ ผมคิดว่าเธอยื่นมาเพื่อช่วยผม แต่เพราะอะไรไม่รู้

“อ้อ เหรอครับ ขอบคุณนะที่บอก แต่เอ๊ะ พวกคุณจะไปไหนกันหรือครับ ทำไมมาที่นี่ได้ล่ะ มาเยี่ยมใครเหรอ”

เจ้าสันต์ตีลูกบื้อ ผมรู้ว่าคนฉลาดอย่างมันรู้ แต่มันแกล้งไปอย่างนั้นเอง คุณแคทลียา และครอบครัว มาในฐานะคนรู้จักกัน นายสุริยะเป็นตัวแทนเจ้าของเคส ย่อมต้องมาดูแลเพื่อที่จะทำเรื่องเรียกร้องค่าสินไฮามอยู่แล้ว ส่วนอรจิรา คงมาทำข่าว ในฐานะฝ่ายประชาสัมพันธ์ เพราะลูกค้าเคสใหญ่ ถ้าประชาสัมพันธ์ออกไปว่าบริษัทเราดูแลเอาใจใส่ดีแค่ไหน ย่อมส่งผลในแง่ของภาพลักษณ์ที่ดีของบริษัท ส่วนเจ้านายของผมเป็นตัวแทนของผู้ใหญ่ในบริษัท นั่นจึงเป็นเหตุผลที่พวกเขามารวมตัวกันที่นี่

“เมื่อกี้แคทก็เพิ่งถามคุณเรียวไปแบบนั้นค่ะ คุณเรียวยังไม่ทันตอบ ก็พอดีแฟนคุณคนนั้นมากอดคุณเรียวซะก่อน พวกเราก็เลยมัวแต่ตกตะลึงกัน นี่พวกเรามาเยี่ยมคุณลุงทรงพลค่ะ แกป่วยอยู่ที่ตึกนี้ แล้วพวกคุณละคะ มาทำอะไรที่นี่”

เพื่อนร่วมงานสาวของผมกล่าวยิ้มๆ

“พวกเราก็มาเยี่ยมคุณทรงพลเหมือนกัน ได้ข่าวเมื่อคืนนี้น่ะครับ”

ผมใจชื้นขึ้น ที่เจ้าสันต์ไม่ได้เล่าเรื่องที่ผมนอนให้น้ำเกลืออยู่ที่นี่เหมือนกัน ไม่งั้นเรื่องยาวแน่ ต้องมีคนซักเข้าจนได้ ว่าใครเป็นคนพาผมมา หลังจากที่บอกเล่าถึงอาการของนายทรงพลตามที่พวกเราเห็นกันให้คนเหล่านั้นฟัง พวกเราก็ต่างแยกย้ายกันกลับ ในขณะที่ผมเดินผ่านอรจิรา อดีตคนรักของผม ก็พูดให้ได้ยินกันสองคนว่า อย่านึกว่าจะหลอกใครต่อใครได้ ถึงเวลาแล้วที่หน้ากากของผมจะถูกกระชากออก

ผมยิ้มให้กับอรจิรา รู้สึกสังเวชใจที่เธอตามราวีผมไม่หยุดยั้ง ทั้งที่เราก็เลิกกันไปแล้ว และเธอก็มีคนใหม่ไปก่อนด้วยซ้ำ ทำไมถึงยังคงโกรธผมอยู่ ผมต่างหากที่ควรจะเป็นฝ่ายแค้นเคือง เพราะผมเป็นฝ่ายโดนทิ้ง ผมยังให้อภัยเธอ จึงใม่มีเหตุผลใดๆเลยที่อรจิราจะชิงชังผม หรือว่า เป็นอย่างที่ใครหลายๆคนบอก อรจิรายังคงรักผมอยู่ และทนไม่ได้ที่ผมจะมีคนอื่นที่ไม่ใช่เธอ ในเมื่อเธอไม่ได้ตัวผม ใครก็อย่าหวังว่าจะได้ ความรักของอรจิรารวมไปกับความแค้น และการทำลายล้าง ช่างน่ากลัวเสียจริง

“เดี๋ยวแคทเยี่ยมคุณลุงทรงพลเสร็จจะแวะไปหาคุณที่บ้านนะคะ”
เสียงหวานๆของคุณแคทดังขึ้นขัดจังหวะ พร้อมกันนั้นร่างนุ่มๆหอมกรุ่นของเธอก็เดินกรายเข้ามาใกล้ แขนเรียวยาวคล้องหมับเข้าที่แขนของผม

เธอหันมาเห็นตอนที่อรจิรากระซิบผมพอดี และคงเดาเอาว่าผมไม่พอใจเรื่องที่ได้ยินนัก เธอเลยเข้ามาช่วย ผมนึกขอบคุณเธอในใจ ถึงแม้ผมจะไม่ชอบวิธีการบางอย่างที่เธอกำลังทำอยู่ตอนนี้ในเรื่องของพี่สมชาย แต่ผมก็รู้สึกดีกับเธออยู่ไม่น้อย นับว่าเธอเป็นเพื่อนที่จริงใจกับผมอีกคนรองจากเจ้าสันต์

ประกายขุ่นเคืองแว่บขึ้นมาในดวงตาของอรจิรา จากนั้นหน้าสวยๆก็เชิดขึ้น เธอเดินสบัดหน้าจากไปทันที คุณแคทยักไหล่และแลบลิ้นให้ผม จากนั้นก็เดินตามไปสมทบกับคุณสุริยะและครอบครัวของเธอที่เดินไปล่วงหน้าแล้ว

“เกือบไปแล้วไหมล่ะ เจ้าหนูนั่นเกือบทำให้นายถูกเปิดโปง แต่นายอย่าไปโกรธเด็กนั่นนะ เขาคงไม่ได้ตั้งใจจะให้นายอับอาย ใครจะไปรู้ละว่าจะบังเอิญมาเจอโจทก์เก่าของนายพร้อมกันแบบนี้ ดีนะเนี่ยที่เดียร์ยังหัวไวแก้สถานการณ์ได้ทัน แต่ก็เล่นเอาใจหายใจคว่ำว่ะ

นี่ นายจะจัดการยังไง จะตัดสินใจยังไงก็เอาสักอย่างนะ ปิดบังซ่อนเร้นแบบนี้น่ะ มันดีตรงที่ยังรักษาภาพตัวเองได้ แต่มันก็เสี่ยงเหลือเกิน เปิดเผยก็ดีไม่ต้องระมัดระวังตัวมาก ทำอะไรก็จะได้สบายใจ แต่มันอาจจะทำให้คนที่รู้จักนายยอมรับไม่ได้ ไม่มีอะไรที่ได้มาโดยง่าย ต้องเสียบางอย่างไป เพื่อให้ได้บางอย่างมา เลือกทำในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับตัวเองก็แล้วกันเพื่อน”

เพื่อนรักของผมพูดให้ผมต้องเก็บไปคิดอีกแล้ว จริงสินะเรื่องระหว่างผมกับเดียร์จะปิดได้นานอีกแค่ไหนกัน ถึงอย่างไรเรื่องนี้มันก็ต้องแดงออกมาอยู่วันยังค่ำ เพราะเริ่มมีคนเห็นเดียร์กับผมบ่อยขึ้น เมื่อครู่นี้ถ้าไม่นับรวมญาติของคุณแคท ทุกคนก็เคยเห็นเดียร์มาก่อนแล้วทั้งสิ้น

พวกเขาย่อมไม่เชื่ออย่างแน่นอนว่าเดียร์จะเป็นแฟนกับนายสันต์ แต่ที่เขาไม่พูด เพราะผมไม่ยอมรับ และเดียร์เองก็ไม่ได้พูดออกมาอย่างโจ่งแจ้งว่ามีความสัมพันธ์กับผมแบบไหน แถมซ้ำคุณแคทกับเจ้าสันต์ยังคอยช่วยเหลือผมอีก ทำให้ไม่มีใครกล้าฟันธงลงไปว่าผมรักชอบอยู่กินกับผู้ชายจริงๆ

สถานการณ์ต่างๆดูจะบีบคั้นผมมากขึ้น บางทีอาจจะต้องถึงคราวตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับชีวิตของตัวเองแล้วกระมัง เพราะขืนแอบซ่อนอยู่แบบนี้ คนจะยิ่งสงสัยและขุดคุ้ยกันมากยิ่งขึ้น ชีวิตผมอาจจะไม่สงบสุขเหมือนเดิม

ตอนนี้ทางเลือกของผมคงมีแค่ เลิกกับเดียร์และกลับไปแต่งงานกับผู้หญิงตามเดิม และทำงานอยู่กับบริษัทที่มั่นคง มีเงินเดือน ตำแหน่งหน้าที่การงานสูง เทียมหน้าเทียมตาคนอื่นๆ เป็นคนดีที่ไม่เคยทำให้สังคมด่างพร้อย

หรือละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต กลับไปเป็นคนธรรมดาสามัญไม่มีตำแหน่งหน้าที่การงานใดๆ เป็นกบฏต่อความเชื่อของตนเอง แหกบรรทัดฐานการใช้ชีวิตที่สังคมวางกรอบเอาไว้ แต่มีความสุขอยู่กับคนที่รักผมและผมก็รักเขา สองทางเลือกนี้ช่างตัดสินใจได้ยากลำบากจริงๆ

เด็กหนุ่มลูกครึ่งยืนดักรอผมตรงลานจอดรถ เพื่อจะพาไปยังที่รถที่จอดไว้ เพราะเขาเป็นคนขับตอนมาโรงพยาบาลนี้ ผมมองใบหน้าอ่อนเยาว์ที่มองผมด้วยแววตาเสียใจแล้วให้รู้สึกสงสาร ท่าทางเขากังวลใจมาก สงสัยกลัวว่าผมจะโกรธที่เผลอทำตัวรุ่มร่ามเมื่อสักครู่

เดียร์รู้ดีว่าผมไม่ชอบให้ใครมาเห็นผมกับเขาอยู่ด้วยกัน พอเขาทำพลาดก็เลยเกรงว่าผมจะไม่พอใจเขา ผมยิ้มให้กับเดียร์ อยากจะโกรธแต่ทำไม่ลง จริงอย่างที่สันต์ว่า เขาไม่ได้ทำผิดอะไร เพราะเขาเองก็ไม่รู้จักคนพวกนั้น และไม่รู้ว่าจะมาเจอกันที่โรงพยาบาลด้วย

คำพูดของเจ้าสันต์ลอยไปลอยมาอยู่ในความคิดของผม อภัยให้คนอื่นได้ แล้วทำไมไม่ยอมให้อภัยคนใกล้ตัว ทั้งที่เขาก็สำนึกผิดในสิ่งที่ทำลงไป และพยายามดีกับผมตลอดมา ผมควรจะดีกับเขาบ้าง เพื่อตอบแทนน้ำใจที่เดียร์ทำทุกอย่างเพื่อผม
“ขอโทษนะครับ ที่ผมทำให้คุณลำบากใจเมื่อครู่นี้ หวังว่าพวกเขาคงไม่สงสัยคุณนะครับ ผมน่ะโง่เองที่ไม่ระมัดระวังตัวเวลาอยู่ในที่สาธารณะ มัวแต่คิดทำตามใจตัวเอง ลืมไปว่าเรียวก็มีสังคมที่ต้องแคร์ แต่ผมไม่มีใครให้ห่วง ไม่ต้องไปกังวลเรื่องชื่อเสียงจะเสียหายอะไร เพราะผมอยู่ตัวคนเดียว ต่อไป ผมจะพยายามไม่ให้มันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกครับ”

“ช่างเถอะเดียร์ ฉันไม่เป็นไรหรอก อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิดนะ”

บอกกับเขาไปแบบนั้นเพื่อไม่ให้เขาต้องคิดมาก และปลุกปลอบใจตนเอง ผมตัดสินใจแล้วที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริง เพราะถึงอย่างไร ผมก็หลีกเลี่ยงเรื่องนี้ไม่พ้น กลับไปทำงานวันจันทร์ คงมีข่าวเรื่องผมกับเดียร์เกิดขึ้น ผมสังหรณ์ใจว่าจะเป็นแบบนั้น และผมจะไม่หนีอีกแล้ว

“ขอบคุณนะครับ ที่ไม่โกรธผม เรียวใจดีจังเลยครับ เดี๋ยวผมขับรถให้นะ เรียวเพิ่งออกมาจากโรงพยาบาล ควรพักผ่อนให้เยอะๆนะครับ”

ท่าทางประจบเอาใจนั่น ทำให้ผมต้องยอมทำตามเขาอีกครั้ง ผมยื่นกุญแจรถให้เดียร์ และก้าวขึ้นไปนั่งบนรถ จากนั้นก็หลับตาลง ปล่อยให้เด็กหนุ่มพาผมกลับไปส่งยัง “บ้านของเรา”

สิ่งที่ผมสังหรณ์ใจเป็นจริงขึ้นมาเมื่อผมย่างเท้าเข้ามาทำงานในวันจันทร์ ผมน่าจะซื้อหวยบ้างจะได้ถูกรางวัลใหญ่ๆ แล้วเอาเงินที่ได้ไปตั้งบริษัทเอง ไม่ต้องมาทำงานในบริษัทที่มีแต่คนคอยจ้องจะพูดคุยถึงเรื่องของคนอื่น

ตอนแรกเดียร์จะไม่ยอมให้ผมมาทำงาน เพราะเห็นว่าผมยังคงท้องเสียอย่างต่อเนื่อง เพราะยาที่หมอสั่งมาให้ มันเป็นการถ่ายออกมาจะทำให้เชื้อไม่มีเหลือค้างคาให้เป็นสาเหตุโรคในครั้งต่อไป แต่ผมเห็นว่าระยะของการถ่ายแต่ละครั้งมันห่างกันมาก แล้วผมก็รู้สึกดีขึ้นแล้ว ไม่อาเจียน ไม่ค่อยปวดท้อง ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่บ้านโดยทิ้งงานไว้ให้ลูกน้องทำ การเป็นผู้บังคับบัญชาที่ดี ต้องทำเป็นตัวอย่างให้ลูกน้องเห็น พวกเขาจะได้ขยันยันแข็ง ไม่เหลาะแหละ ทำงานแบบไร้คุณภาพ แต่รับเงินเต็มในแต่ละเดือน

อย่างที่คิดไว้เลย เจ้านายเห็นหน้าผมปุ๊บ ก็เรียกไปดุอีกครั้งเกี่ยวกับเรื่องเดียร์ เขาหาว่าผมไม่ยอมฟังในสิ่งที่เขาพูดบ้างเลย ทั้งๆที่เขาเตือนด้วยความเป็นห่วง หากผมทำตามเขา มันก็จะดีกับตัวของผมเอง ผมได้แต่นิ่งฟัง ไม่ได้โต้เถียงอะไร เพราะรู้ว่าหัวหน้ากำลังโมโห

การที่เขารู้สึกหัวเสีย เพราะเขาหวังในตัวผมไว้มาก ผมเป็นคนทำงานฝีมือดี ที่เขาไว้ใจได้ และเขาไม่อยากให้คนภายใต้การดูแลของเขามีเรื่องเสื่อมเสีย ผมลองย้อนคิดไปถึงว่า หากลูกน้องของผมมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ผมก็คงรู้สึกแย่เหมือนกัน เพราะผมเองก็ปรารถนาให้ลูกน้องของผมทุกคน เติบโตก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่อย่างสง่างาม ปราศจากข้อครหานินทา แต่ตอนนี้ผมชักไม่แน่ใจว่า พฤติกรรมทางเพศที่เบี่ยงเบน จะเป็นประเด็นที่ถูกพิจารณามากกว่าความสามารถหรือเปล่า

“กลับไปคิดดูอีกทีนะเรียว ผมหวังว่าคุณจะตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง”
เขาสั่งผมเสียงห้วนจากนั้นก็ปล่อยให้ผมกลับไปทำงานตามเดิม ตลอดเช้านั้น ผมนั่งทำงานอย่างใจลอย รู้สึกไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไหร่ มัวแต่ครุ่นคิดไปถึงคำตอบที่จะให้กับหัวหน้าของตนเอง จะเลือกแบบไหนดีหนอ ทำตามใจตัวเอง หนีไปมีความสุข ทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังดีไหมหนอ

ถ้าผมตัดสินใจเลือกเดียร์ ผมก็อยู่ที่นี่ไม่ได้ แล้วลูกน้องของผมจะอยู่กันยังไง ใครจะมาดูแล หัวหน้าของผมจะมีคนช่วยงานไหม กว่าที่จะหาคนมาทดแทนกว่าจะทำงานให้เข้ากับระบบก็อาจจะกินเวลานาน งานก็อาจจะเสียหาย

แต่อีกเสียงหนึ่งในตัวผมก็บอกว่า ช่างมันปะไร ไม่เห็นจะต้องไปสนใจเลย คนทุกคนถูกสอนให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการดิ้นรน หากผมไม่อยู่ดูแลพวกเขาแล้ว คนพวกนั้นก็จะต้องปรับตัวให้ได้กับหัวหน้าคนใหม่ที่เข้ามาแทนที่ผม งานของบริษัทอาจจะชะงักงันอยู่บ้าง แต่บริษัทใหญ่ขนาดนี้ ย่อมมีเงินจ้างพนักงานระดับมืออาชีพมาร่วมงาน ถึงแม้ว่าเงินเดือนจะแพงแสนแพงขนาดไหน หากมีความจำเป็น พวกเขาก็ยอมทุ่มเงินลงไปจ่ายได้อยู่แล้ว

ในขณะที่ผมกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ อยู่ดีๆประตูห้องทำงานก็เปิดพลั๊วะเข้ามา จากนั้นหน้าหงิกๆของศักดิ์ชายก็โผล่มาให้เห็นก่อน แล้วตามด้วยตัวของมันก่อนที่ไอ้ซี้เก่าจะปิดประตูตามหลัง มันกระแทกตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามกับโต๊ะทำงานที่ผมนั่งอยู่ แต่หน้าตายังบอกบุญไม่รับ พอผมถามว่ามันไปกินรังแตนที่ไหนมา มันก็เลยตะคอกผมด้วยเสียงอันดัง

“นายนั่นแหละที่ทำให้ฉันเป็นแบบนี้ ทำไมนายจะต้องโกหกกันด้วย เห็นฉันเป็นตัวอะไรวะ เรื่องแค่นี้ทำไมต้องปิดบังกัน”

“อะไรวะ มาถึงก็เปิดฉากด่า ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมวะ ว่านายโมโหฉันเรื่องอะไร”

ผมพยายามไม่โมโหไปกับมันด้วย แค่ถูกด่าตอนเช้าก็ทำให้ผมเครียดพอสมควรแล้ว อยู่ๆก็มาถูกเพื่อนโวยวายใส่อีก ด้วยเรื่องอะไรไม่ชัดแจ้ง หากผมไม่รู้จักระงับสติอารมณ์ คงได้ฉะกันสักตั้งแน่ ศักดิ์ชายมองจ้องผม ท่าทางโกรธจัด

“นายเป็นแฟนกับไอ้เด็กเดียร์นั่นใช่ไหม มีอะไรกันแล้วอยู่กินกันแล้วด้วย แต่นายโกหกฉัน โกหกพวกเราทุกคน ว่านายไม่ได้ชอบแบบนั้น นายทำให้ฉันแย่มากๆเลยรู้ไหมเรียว ไม่อยากจะเชื่อเลย เพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งนมนามจะเป็นคนแบบนี้”

“ใครบอกเรื่องนี้กับนาย”

มันร้อนมา ผมก็เลยพยายามทำให้มันเย็นลงด้วยการเอาน้ำเย็นเข้าลูบ แต่ใจผมนี่สิ กลับเริ่มเดือดปุดๆแล้ว

“โอ๊ย เขาพูดเรื่องของนายกันเกือบจะทั้งบริษัทแล้วนะโว้ย ฉันน่ะรู้เป็นคนสุดท้ายได้แล้วมั๊ง บอกมาสิ ว่ามันจริงหรือเปล่า นายช่วยบอกให้ฉันสบายใจหน่อยได้ไหม ว่าไอ้พวกนั้นมันโกหก ขอเพียงนายบอกมาคำเดียวเท่านั้นว่ามันไม่จริง ฉันจะไปเล่นงานไอ้พวกบ้านั่น เอาให้กระเจิงเลย”

สิ่งที่มันพูดทำให้ผมรู้สึกตกใจมาก คนข้างนอกเขาวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับตัวผมจริงๆเหรอ ข่าวมันไปไวจริง คงปิดไม่มิดแล้วมั๊งคราวนี้
“มันสำคัญกับนายมากไหมเพื่อน ในการที่จะรู้ให้ได้ว่าฉันเป็นอย่างไร ความชอบหรือไม่ชอบของฉันต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง วิถีชีวิตที่ฉันเลือกเดินมันมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ 10 กว่าปีของเราหรือไม่ นายตอบฉันให้ได้ก่อนแล้วฉันจะบอกว่าสิ่งที่นายได้ยินได้ฟังมา มันจริงหรือเปล่า”

ผมไม่ตอบ แต่ย้อนถามมัน เพราะผมเองก็อยากจะรู้ว่า ศักดิ์ชายจะคบที่ผมเป็นผม หรือคบผมอย่างที่มันอยากให้เป็น เพื่อนเก่ามองหน้าผมแลทำหน้าเจื่อนไปเล็กน้อยเมื่อเห็นผมแข็งใส่มันบ้าง มันโอดครวญเรียกร้องความเห็นใจ

“โธ่เรียว นายอย่าพูดแบบนั้นสิ ฉันน่ะ ไม่ได้ต้องการพูดเพื่อให้นายไม่สบายใจนะ ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไร นายก็เป็นเพื่อนที่ฉันรัก เรารู้จักกันมาตั้งนาน ฉันก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว ว่าฉันปรารถนาดี และห่วงใยนายแค่ไหน แต่ที่ฉันถามนี่ เพียงแค่อยากรู้เท่านั้นเองว่ามันจริงหรือเปล่า เพราะถ้าไม่จริง สิ่งที่พวกนั้นพูดก็เข้าข่ายหมิ่นประมาท นายควรจะออกมาปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเอง ร้องเรียนคนพวกนั้น ให้ได้รับโทษกันบ้าง จะได้ไม่ต้องอยากรู้อยากเห็นเรื่องของคนอื่นอีกต่อไป นะนายบอกฉันเถอะ ฉันอยากรู้จริงๆ”


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่35 9/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 09-02-2009 17:52:19
ถ้าเป็นในยามปกติ ผมคงจะปลาบปลื้มไปกับคำพูดของศักดิ์ชาย แต่สิ่งที่มันกำลังทำอยู่ตอนนี้ มันทำให้ผมคิดได้อย่างเดียวว่า มันอยากรู้ว่าผมเป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกันหรือไม่ และมันคงไม่พอใจที่ผมไปมีข่าวกับเด็กที่มันเคยทะเลาะด้วย

ผมแค่นยิ้มให้มัน ได้คำตอบกับตัวเองแล้ว ว่าทำไมคนถึงอยากรู้เรื่องราวของผมนัก เรื่องคาวๆโดยเฉพาะเรื่องที่มันแปลกผิดธรรมชาติเป็นอาหารชั้นดีที่คนอยากเสพ อยากรู้เพื่อเปรียบเทียบกับชีวิตของตนเอง หรือต้องการมีเรื่องที่จะพูดคุยกันได้สนุกปาก อย่าว่าแต่คนอื่นเลย แม้แต่เพื่อนของผมแท้ๆ ยังอยากได้ยินจนต้องแล่นมาถามผมถึงห้อง

“ใช่ฉันคบกับนายเดียร์อยู่จริงๆ”

ในที่สุดผมก็ตัดสินใจบอกไป และเมื่อพูดไปแล้วก็เหมือนยกภูเขาออกจากอกได้ลูกหนึ่ง อยากรู้ว่าคนคิดอย่างไรกับเรา ก็ต้องเริ่มจากเพื่อนสนิทก่อน คนที่เคยคบกันมาหลายปี มันจะรู้สึกอย่างไร ศักดิ์ชายทำหน้าเหมือนถูกผีหลอก มันยกมือขึ้นปิดปากที่อ้ากว้างของมัน และทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

“เรียว .....เป็นไปได้ไง....นายประชดฉันใช่ไหม โธ่ ทำไมนายถึงทำแบบนี้วะ ไม่น่าเลย แล้วทำไม ....นายเพิ่งมาเป็น....เอ้อ.....”

“ทั้งที่เมื่อก่อนฉันไม่มีวี่แววเลยใช่ไหม ไม่รู้สิศักดิ์ ฉันตอบนายไม่ได้หรอกว่าทำไม เพราะฉันเองก็ยังตอบไม่ได้ แต่เมื่อนายถามฉันก็บอกไป นายอยากรู้ฉันก็ไม่อยากปิดบัง ฉันหวังว่าการที่นายรู้เรื่องของฉัน คงไม่ทำให้มิตรภาพความเป็นเพื่อนของเราเสียไปนะ”
ผมยอมรับกับมันไปตรงๆ แค่บอกว่าคบกับผู้ชายก็อายจะแย่อยู่แล้ว จะให้ผมบอกรายละเอียดว่าชอบตอนไหน ยังไง เพราะอะไร ผมคงบอกไม่ได้ เพราะผมเองก็สับสนพอสมควร ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ผู้ชายที่เคยควงกับผู้หญิงมาตลอด เคยมีอะไรกัน และถึงขั้นจะแต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่ง

แต่แล้วก็หันมาคบกับผู้ชาย แถมซ้ำยังอยู่กินด้วยกัน มันเป็นสิ่งที่น่าแปลกใจ ชวนให้สงสัย ว่ามีสาเหตุอะไรที่ทำให้เบี่ยงเบนได้ถึงขนาดนั้น ความรัก หรือเพียงความใคร่ที่หลงมัวเมาไปชั่วครู่ หรือว่าทั้งสองอย่างรวมกัน อะไรคือสิ่งที่สามารถอธิบายการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจของผม

“ทำไมฉันถึงไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย ทำไมเรียว ทำไมนายถึงไม่บอกฉันบ้าง”

“เรื่องแบบนี้จำเป็นต้องป่าวประกาศให้คนรู้ด้วยเหรอ”

“อย่างน้อยๆก็น่าจะบอกเพื่อนฝูงให้รู้บ้าง ฉันเป็นเพื่อนนายแท้ๆนะ”

“บอกแล้ว นายจะช่วยอะไรฉันได้ ทำให้ฉันเปลี่ยนใจงั้นเหรอ หรือคิดจะหันเห ทำให้ฉันมาชอบนายแทนเดียร์”
ผมย้อนถามมันออกไป กะว่าคงสะกิดใจมันบ้าง หากสิ่งที่เจ้าสันต์พูดเป็นจริงว่าศักดิ์ชายแอบรักผม มันก็ควรจะเลิกคิดได้แล้ว

“ไม่ใช่นะเรียวคือว่าฉัน....เอ้อ......ฉันแค่คิดว่า บางที นายอาจจะหลงผิดไปชั่วครู่ แต่ถ้ามีคนคอยช่วยเหลือ พูดเตือนสตินาย อาจจะทำให้คิดขึ้นมาได้ และไม่เกิดเรื่องบัดสีแบบนี้ขึ้น”

บัดสี เหรอ เฮอะ นี่เพื่อนรักเพื่อนเก่าพูดแบบนี้กับผมนะเนี่ย คนอื่นไม่ต้องไปคิดเลย ว่าเขาจะรู้สึกกับเรื่องนี้อย่างไร มิน่าคนส่วนใหญ่จึงไม่พร้อมที่จะเปิดเผยตัวเอง ก็ในเมื่อคนใกล้ตัวยังมองว่าพวกเขาเป็นตัวประหลาด แล้วอย่างนี้เขาจะกล้าบอกใครๆได้อย่างไร ว่าเขาใช้ชีวิต หรือมีความชอบไม่เหมือนคนอื่นๆ ใครๆก็ไม่อยากจะถูกกันออกไปจากสิ่งแวดล้อมเดิมๆของตนเอง คนที่เป็นเกย์จึงได้แอบกันอย่างสุดฤทธิ์ เพราะไม่อยากจะสูญเสียสถานภาพทางสังคม

“ขอบคุณนะที่คิดจะช่วย แต่มันคงสายไปแล้วล่ะ เพราะฉันตัดสินใจคบกับเดียร์ไปแล้ว คงอีกนานกว่าจะเลิกกัน หรือไม่ก็อาจจะไม่เปลี่ยนใจจากเดียร์เลยก็ได้”

คราวนี้ผมโยนก้อนหินถามทาง ลองหยั่งเชิงว่ามันจะรับได้หรือเปล่า ศักดิ์ชายอ้าปากค้าง กว้างกว่าเดิม มันคงไม่เชื่อหูตัวเองว่าผมจะกล้าพูดออกมาแบบนี้

“เฮ้ย ทำงั้นได้ไงอ่ะเรียว นี่อย่าบอกนะว่านายชอบเรื่องแบบนี้ แน่ใจตัวเองแล้วใช่ไหม ว่าการชอบผู้ชายมีความสุขกว่าการชอบพวกผู้หญิง”

“ยังไม่แน่ใจชัดเจนหรอก ว่าอะไรมีความสุขกว่ากัน รู้แต่ว่าตอนนี้ฉันมีความสุขก็แค่นั้น นี่มีอะไรอีกไหม นายรู้ทุกอย่างหมดแล้ว จะคบฉันหรือไม่ก็ตามใจ ฉันไม่บังคับ”

“คบสิ ทำไมล่ะ ก็เราเพื่อนกัน ว่าแต่นายไม่คิดจะเปลี่ยนใจแน่หรือเพื่อน คิดใหม่ก็ได้นะเว้ย เกย์คบกันไม่ยืดหรอก อีกหน่อยก็คงต้องเลิกรากัน นายเดียร์เองก็ดูไม่เหมาะสมกับนายสักเท่าไหร่ เรียนจบหรือยังไม่รู้ หัวนอนปลายเท้าเป็นไงนายรู้จักดีแล้วหรือ ถึงนายจะเผลอตัวเผลอใจไป ก็คงอยู่กันได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง นายเคยคิดไหมว่า จะเลิกกับเดียร์เมื่อไหร่”
โดนถามแบบนี้ผมก็ได้แต่อึ้ง พูดไม่ออก ดูไอ้เพื่อนตัวดีสิ มันพูดแบบนี้จะให้ผมคิดว่าไง มันหวังดีเพื่อตัวผม หรือเพื่ออะไรกันแน่ ศักดิ์ชายยังไม่ได้รู้รายละเอียดเกี่ยวกับการคบหาระหว่างผมกับเดียร์เลย มันก็มาตัดสินเอาตามที่มันคิดว่าเราคงจะเลิกกัน

เห็นเพื่อนเก่าผมพูดถึงเดียร์แบบนี้แล้ว ก็ให้สงสารเขายิ่งนัก เด็กนั่นไม่ควรถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างไม่ยุติธรรม ถึงแม้เขาจะอายุน้อยกว่าผม เรียนยังไม่จบ เป็นเด็กกำพร้า ญาติพี่น้องไม่เหลียวแล แต่เขาก็สู้ชีวิตตามลำพัง ไม่เคยงอมืองอเท้า พึ่งพาใคร จิตใจเข็มแข็ง ทำงานส่งเสียตัวเอง และมีใจที่ใฝ่เรียน ขยัน อดทนไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา

นอกจากนี้เขายังมีความภักดีให้กับผมเพียงแค่คนเดียว ถึงแม้ว่าเขาจะได้ตัวผมสมใจอยาก เด็กหนุ่มก็ยังมั่นคงในความรักที่มีให้กับผมโดยไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าเทียบกันแล้วเขายังดีกว่าพวกผู้หญิงหลายต่อหลายคนที่ก้าวเข้ามาในชีวิตของผมเสียอีก

“ถามทำไม...”

“ก็แค่อยากรู้ไง ถ้านายมีแนวโน้มจะเลิกกันไวๆฉันก็จะช่วยปิดเรื่องนี้ให้”

“หึหึหึ....ไหนนายบอกว่าเขาลือกันทั้งบริษัทแล้วเรื่องฉันกับเดียร์ จะปิดอย่างไรก็คงไม่ได้ผลมั๊ง อีกอย่างฉันตั้งใจจะเผชิญหน้ากับความเป็นจริง ไม่หนีอีกต่อไปแล้ว”

พูดออกไปอย่างเด็ดเดี่ยว เพราะผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ที่ผ่านมาผมได้รับความกดดันเกินพอแล้ว ทุกคนพยายามคาดหวังในตัวผม กลุ่มหนึ่งอยากให้ผมปิด อยากให้เลิกกับเดียร์ อีกข้างหนึ่งก็อยากให้ผมทำตัวบูชารักแท้ ผมต้องเลือกเอาเองว่าจะยืนอย่างข้างไหน

ถึงตอนนี้ผมจะยังไม่แน่ชัดในผมจะเลือกอะไร แต่ในไม่ช้าไม่นานผมก็ต้องให้คำตอบตัวเองและคนอื่นๆด้วย ดังนั้นการได้พูดออกไปซะบ้าง น่าจะช่วยทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น และเป็นการลองหยั่งเชิงดูว่าทุกคนจะมีปฏิกิริยาอย่างไร รับได้แค่ไหน และจะมีผลต่อหน้าที่การงานของผมเพียงใด

“อย่านะเรียว อย่าทำอย่างนั้น”

ศักดิ์ชายร้องห้ามด้วยเสียงอันดัง แล้วทำน้ำเสียงอ้อนวอนให้ผมทบทวนดูใหม่

“นายไม่ห่วงเรื่องชื่อเสียงของตัวเองบ้างเลยหรือเรียว จะทิ้งงานการที่กำลังมั่นคง เพื่อจะอยู่กินกับผู้ชายคนหนึ่งแค่นั้นเหรอ ทั้งๆที่นายก็เพิ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่ง ได้เงินเดือนใหม่ รถคันใหม่ พยายามมาถึงวันนี้แล้วไม่รู้สึกเสียดายบ้างหรือไง จะหันหลังให้กับทุกสิ่งเพื่อบูชาความรักน่ะมันโง่สิ้นดี คนที่จะทำแบบนี้ ฉันเห็นมีแต่ในนิยายเท่านั้น ทำไมนายไม่คิดบ้างล่ะว่า พอนายมีเงิน นายจะมีแฟนสักกี่คนก็ได้ แค่เด็กเมื่อวานซืนอย่างนายเดียร์ ทำไมต้องทุ่มเทให้ขนาดนี้”

“เป็นอะไรมากหรือเปล่านายน่ะ ฉันแค่บอกว่าฉันไม่หนีความจริงอีกแล้ว แต่ฉันยังไม่ได้บอกว่าฉันจะตัดสินใจยังไง นายก็มาตีโพยตีพายไปก่อน ฉันจะตัดสินใจแบบไหน มันก็เรื่องของฉันนี่นา นายจะมารู้ดีไปกว่าฉันได้ไง ว่าสิ่งไหนทำให้ฉันมีความสุขถามจริงๆเถอะไอ้ศักดิ์ นายเดือดร้อนแทนฉันไปเพื่ออะไร มีจุดประสงค์อะไรหรือเปล่า ”

ชักโมโหมันแล้ว ว่าจะไม่โกรธ แต่พอมันทำท่าทางยังกับว่าผมทำสิ่งที่ผิดมหันต์ อารมณ์เลยขึ้น ยิงคำถามมันไปตรงๆจะได้รู้ว่ามันมีอะไรอยู่ในใจ เห็นโวยวายกับเรื่องของผมนัก ทั้งที่ผมเองเป็นคนที่ถูกติฉินนินทา ผมยังกล้าที่จะแอ่นอกเผชิญกับทุกสิ่ง อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด
“เปล่าหรอกเพื่อน ฉันแค่ห่วงนายมากเกินไป ไม่อยากให้นายตัดสินใจผิดพลาด อยากให้นายเลือกทางเดินที่ถูกต้องให้กับตนเองน่ะเรียว นายจะได้มีความสุขในชีวิต”

“แปลว่าตอนนี้ นายได้เลือกทางเดินที่ถูกต้องให้กับตนเองแล้วล่ะสิ แล้วนายกำลังจะบอกฉันอีกใช่ไหมว่า นายรู้สึกมีความสุขกับชีวิตที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน”

คำถามของผมเล่นเอาศักดิ์ชายนิ่งเงียบ มันมองหน้าผม เม้มริมฝีปากแน่น แววตาเจ็บปวด

“เอ้อ....ฉัน.....ฉันไม่รู้จะพูดยังไงดีเรียว ฉันขอโทษ ที่ฉันพูดไม่ดีใส่นาย ขอโทษที่หงุดหงิด แล้วก็ยุ่งเรื่องของนายมากไปหน่อย ฉันเพียงแต่ช็อคกับสิ่งที่ได้ยินจากคนหลายคนรวมถึงจากปากนายด้วย เพราะว่าฉันไม่เคยรู้มาก่อน ว่านายจะเลือกเดินเส้นทางนี้ แล้วฉันก็เสียใจที่นายไม่เคยบอกฉัน

พร้อมกันนั้นฉันก็นึกเจ็บใจตัวเอง ที่ไม่เคยมีความกล้าหาญอย่างนาย และเจ้าสันต์ บางทีฉันก็อยากแสดงความรู้สึกของฉันออกไป แต่ฉันก็ไม่กล้า เพราะฉันมัวแต่ขี้ขลาด เลยทำให้ฉันสูญเสียโอกาสดีๆในชีวิตไป ถ้าเพียงแต่ฉันจะกล้า กล้าบอกให้คนที่ฉันชอบรู้ ฉันก็จะไม่ต้องมานั่งเสียใจเหมือนอย่างที่เป็นอยู่นี้ ”

คำพูดแฝงนัยของเพื่อนเก่า ทำให้ผมเข้าใจเรื่องราวได้ทะลุปุโปร่ง เป็นจริงอย่างที่เจ้าสันต์ว่า ศักดิ์ชายคงคิดอะไรกับผมอยู่ลึกๆ แต่เนื่องจากว่าเราเป็นเพื่อนกัน แล้วศักดิ์ชายก็ไม่เคยแสดงออกว่าชอบผู้ชายให้เห็น ในขณะที่ผมก็มีเพื่อนสาวที่เป็นแฟนด้วยหลายคน เราจึงคบกันในฐานะเพื่อน

ผมไม่เคยรู้เลยว่าศักดิ์ชายคิดกับผมอย่างไร ความสนิทสนมที่มันมีให้กับผม ถูกมองเป็นเรื่องธรรมดาที่เพื่อนจะมีให้แก่กัน ตลอดเวลาเหล่านั้นมันคงเจ็บปวดที่ต้องทนเก็บกดเอาไว้ไม่ให้ผมรู้ แล้วพอถึงวันหนึ่ง ผมดันเกิดมีแฟนเป็นผู้ชายขึ้นมา ศักดิ์ชายก็เลยรับไม่ได้

“ทำไมนายต้องโกหกฉันด้วยหือเรียว ทั้งๆที่ฉันก็ถามนายหลายครั้ง ทำไม ถ้านายไม่โกหกฉัน บางทีฉันอาจจะ อาจจะ.........”

มันพูดตะกุกตะกักจนผมนึกรำคาญนิดๆ มันต้องการบอกอะไรผม อยากจะพูดว่า มันรักผมใช่ไหม คิดว่าเมื่อพูดแล้วจะทำให้อะไรมันดีขึ้นงั้นหรือ ผมรู้สึกกับมันอย่างไรก็อย่างนั้น เห็นมันเป็นเพื่อนมาตลอด ไม่คิดจะเห็นเป็นอื่น ถึงแม้ว่าตอนนี้มันอาจจะอยากสารภาพกับผมว่ามันรักผู้ชายด้วยกัน และถึงผมจะยอมรับว่าผมเริ่มเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อความรัก แต่ผมก็รักศักดิ์ชายไม่ได้อยู่ดี

“ถ้าฉันไม่โกหก แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหรือไอ้ศักดิ์ บางทีเราก็ไม่อาจจะพูดความจริงได้ทุกเรื่อง แต่ละคนก็มีความลับของตัวเองที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้ นายเองก็มีไม่ใช่เหรอ ความลับที่ไม่ต้องการบอกใครแม้เพียงสักคน การที่ฉันไม่บอกนาย เพราะฉันเองก็ไม่แน่ใจอะไรหลายๆอย่าง ถึงตอนนี้ก็บอกได้เลยว่าไม่แน่ใจอะไรทั้งนั้น แต่ฉันก็จะพยายามเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับชีวิตตัวเอง ว่าแต่นายเถอะ จะบอกฉันมาได้หรือยัง ว่าถ้าฉันพูดความจริงกับนาย นายจะทำอะไร”
ความเดินตอนที่แล้ว



“เปล่าหรอกเพื่อน ฉันแค่ห่วงนายมากเกินไป ไม่อยากให้นายตัดสินใจผิดพลาด อยากให้นายเลือกทางเดินที่ถูกต้องให้กับตนเองน่ะเรียว นายจะได้มีความสุขในชีวิต”

“แปลว่าตอนนี้ นายได้เลือกทางเดินที่ถูกต้องให้กับตนเองแล้วล่ะสิ แล้วนายกำลังจะบอกฉันอีกใช่ไหมว่า นายรู้สึกมีความสุขกับชีวิตที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน”

คำถามของผมเล่นเอาศักดิ์ชายนิ่งเงียบ มันมองหน้าผม เม้มริมฝีปากแน่น แววตาเจ็บปวด

“เอ้อ....ฉัน.....ฉันไม่รู้จะพูดยังไงดีเรียว ฉันขอโทษ ที่ฉันพูดไม่ดีใส่นาย ขอโทษที่หงุดหงิด แล้วก็ยุ่งเรื่องของนายมากไปหน่อย ฉันเพียงแต่ช็อคกับสิ่งที่ได้ยินจากคนหลายคนรวมถึงจากปากนายด้วย เพราะว่าฉันไม่เคยรู้มาก่อน ว่านายจะเลือกเดินเส้นทางนี้ แล้วฉันก็เสียใจที่นายไม่เคยบอกฉัน

พร้อมกันนั้นฉันก็นึกเจ็บใจตัวเอง ที่ไม่เคยมีความกล้าหาญอย่างนาย และเจ้าสันต์ บางทีฉันก็อยากแสดงความรู้สึกของฉันออกไป แต่ฉันก็ไม่กล้า เพราะฉันมัวแต่ขี้ขลาด เลยทำให้ฉันสูญเสียโอกาสดีๆในชีวิตไป ถ้าเพียงแต่ฉันจะกล้า กล้าบอกให้คนที่ฉันชอบรู้ ฉันก็จะไม่ต้องมานั่งเสียใจเหมือนอย่างที่เป็นอยู่นี้ ”

คำพูดแฝงนัยของเพื่อนเก่า ทำให้ผมเข้าใจเรื่องราวได้ทะลุปุโปร่ง เป็นจริงอย่างที่เจ้าสันต์ว่า ศักดิ์ชายคงคิดอะไรกับผมอยู่ลึกๆ แต่เนื่องจากว่าเราเป็นเพื่อนกัน แล้วศักดิ์ชายก็ไม่เคยแสดงออกว่าชอบผู้ชายให้เห็น ในขณะที่ผมก็มีเพื่อนสาวที่เป็นแฟนด้วยหลายคน เราจึงคบกันในฐานะเพื่อน

ผมไม่เคยรู้เลยว่าศักดิ์ชายคิดกับผมอย่างไร ความสนิทสนมที่มันมีให้กับผม ถูกมองเป็นเรื่องธรรมดาที่เพื่อนจะมีให้แก่กัน ตลอดเวลาเหล่านั้นมันคงเจ็บปวดที่ต้องทนเก็บกดเอาไว้ไม่ให้ผมรู้ แล้วพอถึงวันหนึ่ง ผมดันเกิดมีแฟนเป็นผู้ชายขึ้นมา ศักดิ์ชายก็เลยรับไม่ได้

“ทำไมนายต้องโกหกฉันด้วยหือเรียว ทั้งๆที่ฉันก็ถามนายหลายครั้ง ทำไม ถ้านายไม่โกหกฉัน บางทีฉันอาจจะ อาจจะ.........”

มันพูดตะกุกตะกักจนผมนึกรำคาญนิดๆ มันต้องการบอกอะไรผม อยากจะพูดว่า มันรักผมใช่ไหม คิดว่าเมื่อพูดแล้วจะทำให้อะไรมันดีขึ้นงั้นหรือ ผมรู้สึกกับมันอย่างไรก็อย่างนั้น เห็นมันเป็นเพื่อนมาตลอด ไม่คิดจะเห็นเป็นอื่น ถึงแม้ว่าตอนนี้มันอาจจะอยากสารภาพกับผมว่ามันรักผู้ชายด้วยกัน และถึงผมจะยอมรับว่าผมเริ่มเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อความรัก แต่ผมก็รักศักดิ์ชายไม่ได้อยู่ดี

“ถ้าฉันไม่โกหก แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหรือไอ้ศักดิ์ บางทีเราก็ไม่อาจจะพูดความจริงได้ทุกเรื่อง แต่ละคนก็มีความลับของตัวเองที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้ นายเองก็มีไม่ใช่เหรอ ความลับที่ไม่ต้องการบอกใครแม้เพียงสักคน การที่ฉันไม่บอกนาย เพราะฉันเองก็ไม่แน่ใจอะไรหลายๆอย่าง ถึงตอนนี้ก็บอกได้เลยว่าไม่แน่ใจอะไรทั้งนั้น แต่ฉันก็จะพยายามเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับชีวิตตัวเอง ว่าแต่นายเถอะ จะบอกฉันมาได้หรือยัง ว่าถ้าฉันพูดความจริงกับนาย นายจะทำอะไร”


..........................................................<<<>>>>.................................................


ย้อนถามไปอย่างคาดคั้น ดูสิศักดิ์ชายจะกล้าพูดหรือไม่ แล้วคนอย่างเพื่อนเก่าของผมคนนี้ก็มักจะทำให้คนอื่นผิดหวังเสมอ มันไม่เคยยอมรับความจริง ทั้งๆที่มันด่าผมอยู่ แต่พอถึงตาตัวเองก็พูดไม่ออก หลังจากนิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่ง ศักดิ์ชายก็เงยหน้าขึ้นมองผมแล้วพูดตรงข้ามกับความจริงที่มันอยากจะให้ผมรู้

“ช่างเถอะ ฉันเสียใจมากไปหน่อยเลยพูดเพ้อเจ้อไปเอง ไม่มีอะไรหรอก นายอย่าคิดมากเลยนะ เอาล่ะ ฉันรบกวนนายมามากแล้ว คงต้องไปเสียที นายจะได้ทำงานต่อ”

ศักดิ์ชายลุกขึ้น แต่ก่อนจะออกจากห้อง มันก็เอ่ยกับผมว่า

“อย่ารักใครเพียงเพราะแค่เหงา เพราะช่วงที่เราว่างไม่มีใคร เราอาจจะคิดฟุ้งซ่านไปมากมาย พอใครเขามาดีด้วยหน่อย เราก็เคลิบเคลิ้มหลงรัก แต่เมื่อเมฆหมอกแห่งความพิศวาสจางหายไป ต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริง บางทีเราอาจจะรู้ว่า สิ่งที่เราตัดสินใจทำลงไป มันทำลายทุกสิ่งที่เราได้สร้างขึ้นมา

ที่บริษัทนี้ ยังต้องการคนดีมีความสามารถอย่างนาย ตำแหน่งหน้าที่การงานสูงๆ และสวัสดิการดีๆไม่ได้มีมาได้โดยง่าย หากนายลาออกไปเพียงเพื่อจะอยู่กับคนเพียงแค่คนเดียว ฉันก็รู้สึกเสียดายแทน เพราะกว่าที่นายจะไปหางานใหม่ อาจจะได้ไม่ดีเท่าเดิม

ถ้าเดียร์รักนายจริง ทำไมเขาไม่เป็นฝ่ายเสียสละตนเองล่ะ ทำไมเขาต้องดึงนายลงมาด้วย ทำไมไม่ออกไปจากชีวิตของนาย แล้วปล่อยให้นายเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน อย่างนี้ มันไม่ใช่ความรักแท้แล้ว มันเป็นความเห็นแก่ตัวของคนเดียว ที่อยากจะได้คนอื่นมาครอบครอง โดยไม่สนว่าคนที่ตัวเองรักจะต้องสูญเสียอะไรบ้าง......

ขอโทษทีนะ ที่คำพูดของฉันอาจจะทำให้นายรู้สึกแย่อีกครั้ง แต่ในฐานะเพื่อนเก่า ฉันยอมไม่ได้ที่จะให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ฉันเสียดายแก...........”

หลังจากที่พูดกับผมเสียยืดยาว ศักดิ์ชายก็เดินออกไปจากห้องทิ้งให้ผมจมอยู่กับความคิดคำนึงถึงสิ่งที่มันได้พูดไป เพื่อนรักทั้งสองของผม มีมุมมองในเรื่องนี้ไปกันคนละอย่าง ต่างคนต่างยกเหตุผลมาอ้าง เพื่อให้ผมคล้อยตาม ทำให้ผมต้องคิดหนัก หน้าที่การงานกับความรัก สิ่งเดียวเท่านั้นที่ผมจำเป็นต้องเลือก ไม่มีวันที่จะได้สองสิ่งมาครอบครองในเวลาเดียวกัน

ตลอดสัปดาห์นั้น ผมต้องเผชิญหน้ากับการซุบซิบนินทาเรื่องราวระหว่างผมกับเดียร์ มีคนบางคนไปปล่อยข่าว และช่วยกันกระพือให้กระจายไปทั่วๆ หลายต่อหลายครั้งที่คนมองผมด้วยสายตาแปลกๆ ผู้บริหารบางคนก็แซวผมสองแง่สองง่าม พนักงานหลายคนที่ไม่เคยคุยกับผมเลย เพียงแค่เคยเห็นหน้า เริ่มเข้ามาถามผมเกี่ยวกับเรื่องของเดียร์ แต่อ้อมแอ้มเป็นเชิงชื่นชมว่าแดนเซอร์คนที่มาเต้นในงานหล่อมาก

ผมก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง เพราะถึงผมตัดสินใจว่าจะไม่หนีหน้าความจริง แต่ผมก็ไม่จำเป็นที่จะเที่ยวป่าวประกาศให้ใครต่อใครรู้ ถ้าหากพวกเขาซอกแซกเรื่องส่วนตัวผมจนเกินงาม ผมก็ไม่ตอบ และบางครั้งผมก็เหน็บกลับเอาบ้าง ว่าผมไม่คุยเรื่องส่วนตัวในที่ทำงาน และขอให้ทุกคนเคารพสิทธิส่วนบุคคลของผมด้วย ซึ่งหลายคนก็เข้าใจและไม่ถามผมอีก

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่35 9/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: nanalonely ที่ 09-02-2009 22:40:55
 :z13: จิ้มพี่แอนคนสวย


อ่านอย่างเต็มอิ่มเลย


มาต่อไวๆนะคะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่35 9/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: meeyai ที่ 09-02-2009 22:53:40
ผมพึ่งได้อ่านเรื่องของคุณไต๋ครับ เศร้าจังเลยอะ......... :o7: :o7: :o7:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่35 9/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 09-02-2009 22:55:40
 :z13:จิ้มพ่อหมีทะลุไปถึงพี่ไต๋  :really2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่35 9/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 10-02-2009 11:58:58
 :z13:นี่แหนะ ช่วงเอาคืนนะครับรูปหล่อ :laugh:



 :เฮ้อ: ชีวิตจริงมันเศร้าว่าในเรื่องอีกครับคุณหมี
 

:กอด1: สาวน้อยแนนนี่



หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่35 9/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 10-02-2009 17:12:20
ความ สุข


คือ อ่ะราย เรา คนเดียว เท่า นั้น


ที่ จนผู้ ตอบ คำถาม นี้ ได้


อิอิ :z13:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่35 9/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: ltahset ที่ 10-02-2009 21:46:10
+1คนโพสไว้ก่อน

พึ่งอ่านได้หน้าเดียวเอง

^^

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่35 9/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: meeyai ที่ 11-02-2009 00:03:04
+1 ให้คุณไต๋อีกรอบครับ ยิ่งอ่านยิ่งชอบนิยายของคุณไต๋ครับ กำลังอ่านตามอยู่ยังไม่จบเลยครับ........ :oni2: :oni2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่35 9/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 11-02-2009 04:40:01
 :-[ จิ้มพี่หมี +1 ให้ด้วยครับ

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่35 9/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: sasa ที่ 11-02-2009 12:01:09
ขอบคุณคนแต่ง ขอบคุณคนโพส ที่เอาเรื่องสนุก ๆ มาให้อ่าน
ยังคงติดตามตอนต่อไปอยู่เน้อ  :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่36 11/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 11-02-2009 20:12:02
บทที่ 36

เมื่อทนอึดอัดใจไม่ไหว ผมก็เลยนัดสันต์มาคุยเพื่อระบายความอัดอั้นที่มีอยู่ ผมเลือกร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีการกั้นเป็นห้องๆเพื่อความเป็นส่วนตัว และพยายามเลือกห้องในสุดดูที่ไม่มีผู้คนพลุกพล่าน แต่ดูเหมือนว่าโชคไม่เข้าข้าง แม้ว่าผมไม่อยากจะได้ยินอะไรที่เกี่ยวกับตัวผมอีกแล้ว แต่ก็เหมือนเป็นพระเจ้าต้องการทดสอบความเข้มแข็งของผม ว่าจะสามารถทนรับปัญหาที่เกิดขึ้นได้มากน้อยแค่ไหน โดยไม่สติแตกไปก่อน

ในขณะที่ผมนั่งรอเจ้าสันต์อยู่เงียบๆคนเดียวในห้อง เสียงคนกลุ่มหนึ่งก็ดังขึ้นในอีกห้องหนึ่งที่อยู่ติดกัน แสดงว่ามีคนเข้ามาใช้บริการ ผมชะโงกหน้าออกไปมองทางด้านนอก เห็นมีลูกค้ามานั่งกันจนเต็มไปหมด ก็แน่ล่ะ นี่มันเที่ยงกว่าเข้าไปแล้ว เจ้าสันต์มาช้าตามเคย อุตส่าห์รีบออกจากที่ทำงานมาตั้งแต่ 11 โมง หวังจะคุยให้เสร็จ แล้วก็รีบกลับไปทำงาน แต่เจ้าคนที่ผมหวังปรึกษาด้วย มันกลับมาไม่ตรงเวลา

ขณะที่ผมนั่งและเล็มซูชิลองท้องไปเรื่อยๆระหว่างรอเจ้าสันต์ เสียงพูดคุยของคนที่อยู่ห้องข้างๆเริ่มดังแบบไม่เกรงใจใคร และที่น่ารำคาญก็คือ เรื่องที่พูดคุยดันมีหัวข้อเกี่ยวโยงมาถึงผมเสียอีก ต้องเป็นคนในบริษัทเดียวกันกับผมแน่เลย ผมพยายามเงี่ยหูฟัง เพื่อที่จะจับสำเนียงว่าเป็นคนที่ผมรู้จักไหม จากการพูดคุยผมว่าน่าจะมีคนอยู่ในห้องนั้นไม่ต่ำกว่า 5-6 คน

“ต๊าย ไม่อยากเชื่อเลยนะ ว่าคุณเรียวน่ะ มีรสนิยมชอบไม้ป่าด้วยกัน มิน่าอายุขนาดนี้แล้วยังไม่มีแฟน ทั้งๆที่หล่อเหลา และมีคนชอบออกเยอะแยะ”

เสียงผู้หญิงคนหนึ่ง พูดพาดพิงเกี่ยวกับตัวของผม ดังค่อนข้างชัดเจน เล่นเอาผมสะดุ้ง นี่เล่นพูดกันแบบนี้เลยเหรอ ออกชื่อมาชัดเจนแบบนี้ ไม่กลัวคนอื่นเขาได้ยิน แล้วเอาไปวิพากษ์วิจารณ์ต่อหรือไง

“บ้า เขาเพิ่ง 27 เองไม่ใช่เหรอ ยังไม่มากมายนี่ เขาอาจจะยังไม่มีใครถูกใจก็ได้ เคยได้ยินมาว่าเมื่อก่อนเขาก็มีแฟนเป็นผู้หญิงหลายคนนะ แล้วก็เลิกรากันไป ล่าสุดได้ข่าวว่าคุณเรียวเธออกหัก เพราะไปรักผู้หญิงในบริษัทเราคนหนึ่งนี่แหละ แต่ผู้หญิงเขาไปมีแฟนใหม่ คุณเรียวเลยเข็ดขยาดความรักมั๊ง เลยทำให้ไม่มีแฟน”

อีกเสียงหนึ่งค้านขึ้นมา

“ก็เพราะอกหักไง พลาดจากผู้หญิงเลยไปชอบผู้ชายไงเล่า”

เสียงเดิมตอบกลับ แล้วหัวเราะอย่างชอบใจ

“นั่นนะสิ เห็นทำแต่งาน มุ่งมั่นเอาจริงเอาจัง ก็เลยคิดว่าคงจะทำงานเพื่อเก็บเงินสักพัก รักไม่ยุ่งมุ่งแต่งาน ไม่สนใจผู้หญิงคนไหน ไม่นึกว่าที่ไม่สน เพราะชอบผู้ชายมากกว่าผู้หญิงนี่เอง”

คราวนี้เป็นเสียงผู้ชายพูดขึ้นมา
“รู้งี้ ไม่ปล่อยให้หลุดมือ หรอก จีบตั้งแต่แรกแล้ว หน้าหวานๆ นิสัยดีๆแบบนี้ ใครได้ไปก็คงจะรักและหลงตายเลย....”

ผู้ชายเสียงแหบห้าวที่พยายามจะดัดให้แหลมเล็กอีกคนพูดเสริม ผมรู้สึกคุ้นหูกับเสียงนั้นอย่างบอกไม่ถูก เหมือนเคยได้ยินมาก่อนที่ไหนสักแห่ง แต่จำไม่ได้

“อย่างแกไม่ได้แอ้มหรอกย่ะ อีกระเทย”

ผู้หญิงคนที่เปิดประเด็นร้องด่าเพื่อน เรียกเสียงหัวเราะดังลั่น

“ทำไม่ยะ......ของอย่างนี้มันไม่แน่หรอกเว้ย คุณเรียวลองได้มีอะไรกับผู้ชายไปแล้ว อาจจะติดใจในรสชาด อยากมีประสบการณ์กับคนอื่นๆอีกก็ได้”

คนที่ถูกต่อว่าสวนกลับ

“ฝันไปเถอะ หน้าตาแกมันยังกับปลาบู่ชนเขื่อน ดูตัวเองซะมั่ง คนหน้าตาดีอย่างคุณเรียวเขาไม่แลแกหรอก เขาต้องได้คนที่สมกันโว้ย”

ผู้ชายอีกคนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้

“เออ....ฉันได้ยินข่าวลือมาว่า ......เขามีแฟนแล้วไม่ใช่เหรอ เห็นว่าเป็นแดนเซอร์ คนที่ มาเต้นในงานของบริษัทเราไง หล่อมาก หุ่นก็ดี๊ดี เต้นก็เก่ง เห็นแล้วยังตะลึงเลย คนอะไรหล่อชะมัด นี่ถ้าเขาเป็นแฟนกัน ก็เหมาะสมกันนะ ว่าไหม คนหนึ่งก็ล้อหล่อ อีกคนก็ออกแนวหวานๆ โอ๊ย เสียดายจัง ทำไมคนหล่อๆแบบนี้ ถึงต้องมาเป็นแฟนกันเองนะ”

ผู้หญิงคนแรกพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความเสียดาย

“รู้ได้ไง ไปเป็นจิ้งจกตุ๊กแกเกาะฝาห้องนอนเขาหรือไงยะ”

“แหมไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอก เขาลือกันให้แซ่ดไปทั่วแล้วจ้า ไปอยู่ที่ไหนมา ถึงไม่รู้เรื่องอะไรกับเขาเลย มีคนเขาเห็นคุณเรียวเดินกับนายแดนเซอร์นี่บ่อยมากนะ แล้วยามที่บริษัทของเราก็เคยเห็นหนุ่มคนนั้น มาหาคุณเรียวตั้งหลายครั้ง แถมซ้ำฝากของกินมาให้กันด้วย”

“ใช่ ข่าวนี้ยืนยันว่าถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ ฉันได้ยินมากับหูเลยจากปากของยามคนนั้น และแถมซ้ำยังได้ยินจากคุณอรจิราประชาสัมพันธ์แสนสวยของบริษัท เธอเล่าให้ฟังเป็นฉากๆเลย เพราะเธอเองก็เห็นคุณเรียวไปเดินเกี่ยวก้อยช๊อปปิ้งกับแดนเซอร์หนุ่มที่สวนจตุจักร

ก่อนหน้านั้นก็เจอกันที่ห้างสรรพสินค้า ท่าทางสวีทหวานแหววยังกับคู่รัก แถมซ้ำล่าสุดยังไปจ๊ะเอ๋กันในโรงพยาบาล ที่อีตาทรงพลไปรักษาตัวน่ะ เธอเล่าว่าพ่อรูปหล่อ เท้าไฟ เดินมาโอบกอดคุณเรียว แถมยังจะจูบกันอีก ในโรงพยาบาลเลยนะ กล้ามากๆเลย สงสัยคงจะเปิดตัวแล้วล่ะ”
คนเล่าใส่อารมณ์อย่างเมามัน เรียกเสียงฮือฮาจากคนฟังที่นั่งอยู่ด้วย แล้วคนพูดก็หัวเราะกิ๊กกั๊กอย่างชอบอกชอบใจ ชื่อของอรจิราที่ได้ยินเป็นครั้งที่สอง สร้างความเจ็บปวดให้กับผมไม่น้อย คนรักเก่าตามจองล้างจองผลาญผมจริงๆ นี่คงเที่ยวเอาไปพูดให้กับคนที่เธอรู้จักฟังจนลือกันไปทั่ว ต้นตอข่าวลือคงมาจากเธอนี่เอง

นึกแล้วว่าอรจิราคงไม่เชื่อสิ่งที่เดียร์และเจ้าสันต์พูด พวกเราเจอกันหลายครั้ง และแต่ละครั้งเธอก็จ้องเดียร์กับผมอย่างกับจะพยายามจำให้ขึ้นใจ พอได้โอกาสเธอก็เอาสิ่งที่เธอเห็นกับจินตนาการของเธอมาใช้เป็นเครื่องมือทำลายผมให้เสียหายยับเยิน เธอคงแค้นเคืองผมมากมายจริงๆ

“ดูการแต่งตัวสิ เดี๋ยวนี้แต่งตัวมีสีสันสดใส วันก่อนก็ใส่เสื้อสีชมพูหวานซ้า แต่ฉันก็ชอบนะ ดีกว่าแต่งตัวขาวๆดำๆ เป็นไหนๆ คุณเรียวลุคใหม่นี่หล่อแบบหวานๆจริงๆ น่ากิ๊นน่ากิน”

“อื้ม ตามปกติก็แต่งตัวดูดีอยู่แล้ว แต่พอมาแต่งแบบนี้ ยิ่งดูดีมากๆเลย มีสีสันสดใสมาก ฉันชอบนะที่คุณเรียวแต่งแบบนี้”

ผู้หญิงอีกคนกล่าวถึงผมอย่างชื่นชม

“ก็นั่นแหละ ฉันถึงว่า ตอนนี้คงรู้ใจตัวเองกระมังว่าชอบแบบไหน เลยแต่งเปิดตัวซะขนาดนั้น แต่ก็ยังดีนะที่รักษามาด ไม่แสดงอาการแต๋วแตกออกมาให้เห็น ไม่งั้นฉันคงกรี๊ดแน่”

“แกน่ะพูดเพ้อเจ้อไปใหญ่แล้วอีตุ๊ด ฉันไม่เคยเห็นคุณเรียวแกกระตุ้งกระติ้งสักที ท่าทางก็ออกแมนๆ เป็นผู้ชาย ไอ้ทำท่านิ้วกระดก ส่องกระจกนานๆ เดินตูดบิด หรือพูดเสียงดัดจริตอย่างแกก็ไม่มี หรือไอ้อาการแบบที่เห็นในหนังแก๊งค์ชะนีกับอีแอบ ก็ไม่เคยปรากฏ ฉันว่าเขาแมนเต็มร้อยเลยนะโว้ย แถมยังสุภาพและใจดีอีกด้วย”

ผู้ชายคนที่ดูเหมือนจะเป็นคนเดียวในกลุ่มที่เข้าข้างผมด่าชายเสียงแหบนั่นอย่างหมั่นไส้ ผมแอบขอบคุณเขาในใจ

“ช่าย ข้อนี้ฉันเห็นด้วยนะ ฉันน่ะ อดนึกอิจฉาเพื่อนๆที่ทำงานกับคุณเรียวไม่ได้ เขาว่าคุณเรียวน่ะ รักลูกน้อง ใจดีมากๆด้วย เวลางานแกมุ่งมั่นจริงจัง เป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกน้องเห็น คนที่แผนกคุณเรียว ส่วนใหญ่ขยันกันทุกคน เพราะได้หัวหน้าดี เวลาลูกน้องทำผิดก็แค่ดุ แต่ไม่เคยด่าว่าเลย ให้ไปแก้ตัวใหม่

เวลาลูกน้องทำงานดึกๆดื่นๆ คุณเรียวก็จะใจดี ซื้อข้าว ซื้อขนมมาเลี้ยงลูกน้อง ให้ได้อิ่มกันทุกคน ตัวเขาเองก็มาเช้า กลับดึก ทำให้ลูกน้องแต่ละคนไม่กล้ามาสาย ไม่เหมือนหัวหน้าฉันเลย มาก็สาย กลับก็เร็ว เอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น ถ้าลูกน้องทำผิด ด่าเสียๆหายๆเหมือนกับเขาไม่ใช่คน ฉันว่านะ จะดีจะชั่วน่ะ ไม่ได้อยู่ที่ว่าเขาเป็นอะไร หรือเขาต่างจากเรามากแค่ไหน อย่าไปมองที่รสนิยมของเขาเลยว่ะ ดูที่ผลงานของเขาดีกว่า”

เมื่อผู้หญิงคนที่สองพูดจบ คนที่ชอบขัดผู้ชายที่เสียงแหบก็เออออสนับสนุน แต่อีกสามคนที่เหลือไม่เห็นด้วย เพราะยังอยากจะฟังเรื่องคาวๆของคนอื่น ซึ่งคนที่นำเรื่องมาเปิดโปงเล่าได้อย่างเห็นภาพเสียด้วย ดังนั้นใครไม่ฟังก็นั่งอุดหูไป จากนั้นทั้งสามก็เร่งเร้าให้ผู้ชายเสียงแหบห้าวเล่าต่อ
หูของผมได้ยินชายคนนั้นพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์ตัวผมกับเดียร์ต่ออย่างมันส์ปาก ชักเริ่มคุ้นกับน้ำเสียงและวิธีการพูดของคนที่กำลังจีบปากจีบคออยู่ตอนนี้แล้ว เขาคือกระเทยคนที่นินทาผมในห้องน้ำในโรงแรมนั่นเอง นี่ขนาดรับปากกับนายทรงพลแล้วว่าจะไม่นินทาผมอีก แต่เขาก็ยังไม่เลิก แถมซ้ำใส่สีใส่ไข่เข้าไปอีกมากมายเพื่อให้เรื่องดูน่าเชื่อถือ

ผมอยากจะเดินเข้าไปแสดงตัวนัก แล้วก็ต่อว่าที่เขานินทาผมถึงสองครั้ง ดูว่าพวกเขาจะทำอย่างไรกัน พอคิดอีกที ก็เห็นว่าควรจะนิ่งเฉยเสีย เพราะการเดินออกไปบอกให้เขาหยุดพูดกัน ก็คงทำได้เพียงแค่ห้ามการสนทนาแค่ในที่ตรงนี้ แต่ไม่สามารถห้ามปากไม่ให้ไปพูดในที่อื่นๆได้อีก

พอดีพอร้าย จะยิ่งเสริมเติมแต่งเข้าไปใหญ่ ว่าผมออกมาแก้ตัวพัลวัน จะรอเล่นงานโดยฟ้องหัวหน้าพวกเขา ก็ไม่รู้จะเอาเหตุผลข้ออ้างอะไร เพราะยิ่งอธิบาย ก็จะยิ่งสร้างความสงสัย บรรดาหัวหน้างานของคนพวกนี้ก็จะคุ้ยเขี่ยหาที่มาที่ไป ทำให้เรื่องแพร่กระจายกันมากขึ้น และเผลอๆ ก็จะเป็นปมขัดแย้งระหว่างผู้บริหารระดับสูงด้วยกัน


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่36 11/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 11-02-2009 20:12:59
แล้วผมก็ไม่รู้ว่าพนักงานพวกนี้เป็นใคร อยู่แผนกไหน หัวหน้าชื่ออะไร กล่าวหากันไป ถ้าไม่ใช่ก็จะผิดใจกันเปล่าๆ ผมเลยได้แต่ทนนิ่งเฉย พยายามระงับอารมณ์โกรธที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นึกในใจว่า นี่เป็นอีกบทพิสูจน์ความอดทน ถ้าหากผมต้องการที่จะเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงของตน ผมก็ต้องเผชิญกับการติฉินนินทา อย่างกล้าหาญ และไม่หวั่นไหวง่ายๆ

“นี่ๆๆ หยุดวิพากษ์วิจารณ์กันได้แล้ว เป็นพนักงานทำไมไม่สนใจเรื่องของตัวเอง มานั่งยุ่งเรื่องของชาวบ้านอยู่ได้ สนุกนักหรือไง เรื่องเสียหายของคนอื่นๆน่ะชอบนัก ทำไมไม่ใส่การทำงานของตัวเองให้เหมือนใส่ใจเรื่องของคนอื่นล่ะ เดี๋ยวจะไปฟ้องหัวหน้าพวกเธอให้หมดเลย

อะไร เป็นแค่พนักงาน แต่มาวิพากษ์วิจารณ์ผู้บังคับบัญชา โทษของการนินทามันต้องถูกภาคฑัณฑ์ พักงาน หรือไม่ก็ไล่ออกไม่ใช่เหรอ ไปดูในกฏข้อบังคับสิ”

เสียงของเจ้าสันต์นั่นเอง มันคงเดินผ่านมา แล้วได้ยินพอดี เพราะห้องที่พวกนั้นนั่งนินทากันมันอยู่ก่อนที่จะถึงห้องผม

“อุ้ย คุณสันต์ มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ แล้วได้ยินด้วยเหรอ”

“แน่ละสิ ได้ยินลั่นไปทั้งร้านได้แล้วมั๊ง พวกเธอนี่มันนิสัยไม่ดี ฉันจะฟ้องหัวหน้าพวกเธอจริงๆ เตรียมตัวไว้ได้เลยนะ”

เจ้าสันต์พูดขู่ ซึ่งก็ได้ผล หนึ่งในสามคนที่อยากฟังเมื่อครู่ รีบชิ่งออกมาจากวงทันที

“โอ๊ย พวกเราไม่รู้เรื่องนะคะ ไม่ได้นินทา อีตานี่เล่าให้ฟัง เราก็แค่อยากรู้แค่นั้นเอง อย่าไปฟ้องหัวหน้าเลยนะคะ ยิ่งถูกคาดโทษอยู่ด้วย เดี๋ยวซวยพอดี”

“เธอนั่นแหละตัวเปิดประเด็นพูดขึ้นมาก่อน ฉันเลยเล่าตามมา แหมพอจะซวยเลยทำเป็นเอาตัวรอดเหรอ”

“พวกเธอทั้งสองคนนั่นแหละ เห็นไหมล่ะ พวกฉันเลยซวยไปด้วย”

“ช่ายๆๆ ห้ามแล้วก็ไม่ฟัง เป็นไงล่ะ เลยซวยกันไปหมดเลย”

“หนอยแน่ แล้วมาฟังทำไมล่ะ ทำไมไม่ลุกออกไป ตัวเองก็อยากรู้เหมือนกันนั่นแหละ”

“ก็มาด้วยกัน อาหารก็สั่งมาแล้ว แกก็ดันมาเล่ากลางวง กำลังกินอยู่ จะให้ไปไหนวะ ก็ต้องฟังน่ะสิ นี่ถ้าเชื่อตั้งแต่แรกก็คงไม่ต้องมาซวยแบบนี้
เริ่มโทษกันเองแล้ว เจ้าสันต์นี่มันใช้หลักจิตวิทยาได้ผลจริงๆ คนส่วนใหญ่ก็รักตัวกลัวตายทั้งนั้น พอเห็นว่าเรื่องมันจะบานปลายกระทบถึงความอยู่รอดของตัวเอง ก็เลยแตกคอกันทันที พยายามจะหนีไม่ให้ตัวเองพลอยเดือดร้อนไปด้วย

“ไม่รู้ล่ะ ฉันจะไปแจ้งหัวหน้าพวกเธอให้หมดเลย แล้วถ้าฉันได้ยินอีกเป็นครั้งที่สองว่ามีการนินทาคนในระดับผู้บังคับบัญชาอีก ฉันจะไปแจ้งที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลให้ไล่ออกไปเลย คราวหลังจะได้ไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น”

เจ้าสันต์สำทับอีก ด้วยน้ำเสียงดุดันเอาจริงเอาจัง

“พวกเราขอโทษด้วยค่ะ / ครับ ต่อไปจะไม่ทำอีกแล้วนะ”

“จะมาขอโทษฉันทำไม ไปขอโทษคนที่พวกเธอนินทาดีกว่า เขานั่งห้องข้างๆพวกเธอนั่นแหละ ป่านนี้คงได้ยินทุกคำพูดแล้วมั๊ง ดีแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ลุกขึ้นมาอาละวาด เป็นฉันหน่อยไม่ได้ จะโวยให้แตกกระเจิงเลย ไม่สุภาพ แบบคุณเรียวเขาหรอก”

ไอ้บ้าสันต์เอ๊ย อุตส่าห์ไม่แสดงตัว มันก็ดันพูดให้พวกนั้นรู้จนได้ ผมได้ยินเสียงอุทานจากคนทั้งหมดนั่น จากนั้นก็ได้ยินเสียงลุกขึ้น พร้อมกันนั้นคนทั้ง 6 คน ก็เดินออกมายังห้องที่ผมนั่งอยู่ และกล่าวขอโทษเกือบจะพร้อมเพรียงกัน แต่ละคนทำหน้าแหยๆเหมือนกลัวความผิด

มกวาดสายตามองพวกนั้นทีละคน ในนั้นล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ผมเคยเห็นหน้า บางคนอยู่ฝ่ายไอที ผมเคยเรียกใช้บริการให้มาดูระบบคอมพิวเตอร์ที่ฝ่าย บางคนอยู่แผนกเดียวกับศักดิ์ชาย ในขณะที่ผู้ชายคนที่ท่าทางเหมือนผู้หญิง ทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราวอยู่ที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ฝ่ายเดียวกับอรจิรา ผมเดาเอาว่าคนนี้คือคนที่เล่าเรื่องทั้งหมด และคงรู้มาจากแฟนเก่าของผม อีกคนมาจากฝ่ายตัวแทนสัมพันธ์ สองคนที่เหลือผมไม่รู้ว่าอยู่ที่แผนกไหน

“ขอโทษค่ะ / ขอโทษครับ พวกเราไม่รู้จริงๆว่าคุณเรียวนั่งอยู่ที่ห้องนี้”

ทั้งหมดเอ่ยคำขอโทษผม โดยที่ลูกจ้างคนนั้นเป็นคนเอ่ยประโยคต่อมา

“เลยนินทากันอย่างสนุกปากเลยใช่ไหม”

ทุกคนก้มหน้าอย่างยอมรับผิด

“ทำยังไงกับพวกนี้ดีวะเรียว นินทากันเผาขนแบบนี้ ไม่น่าเอาไว้เลยนะโว้ย พนักงานปากไม่ดี เป็นความฉิบหายขององค์กร เพราะอาจจะนำเรื่องไม่ดีไม่งามภายในบริษัท ไปพูดให้กับคนภายนอกได้รู้ จนทำให้บริษัทเสียหาย แบบนี้มันต้องลงโทษขั้นเด็ดขาด นายในฐานะผู้ได้รับความเดือดร้อนจากปากไม่มีหูรูด สักแต่นินทาคนอื่นให้สนุกปาก ฉันขอให้นายเป็นคนตัดสินใจ”

เจ้าสันต์โยนเรื่องมาให้ผม ทั้ง6 คน มองผมหน้าซีด พยายามส่งสายตาอ้อนวอนขอความเห็นใจ ผมสบตาเหล่านั้นแล้วก็ใจอ่อน ทั้งที่เมื่อครู่โกรธแทบตาย ถ้าผมเอาเรื่องพวกเขา ทุกคนก็คงหมดอนาคตที่จะได้ทำงานที่นี่ แล้วก็ต้องไปวิ่งเต้นหางานทำใหม่ ถึงจะกำจัดคนปากมอมออกไปได้ ก็ใช่ว่าผมจะพ้นการนินทา

ถ้าหากไม่อยากให้ใครวิพากษ์วิจารณ์ผม คงต้องไล่คนออกทั้งบริษัทแล้ว ในเมื่อผมคิดจะเผชิญหน้ากับความเป็นจริง ผมก็ต้องอยู่ให้ได้ท่ามกลางคำกล่าวร้าย ไม่หวั่นไหวกับเรื่องที่ได้ยิน
“ถ้าคุณเรียวไม่เอาเรื่อง พวกเราก็จะขอสัญญาว่าจะไม่พูดพาดพิงถึงคุณเรียวอีกแน่นอนครับ ถ้าพวกเรายังทำอีก ยินดีให้ไล่ออกเลยครับ”

หนุ่มกระเทยอ้อนวอนด้วยใบหน้าที่น่าสงสาร

“เชื่อได้ด้วยเหรอ คำพูดของพวกนายน่ะ...”

เจ้าสันต์ได้ทีก็ขู่ใหญ่ ผมต้องซ่อนยิ้มไว้ไม่ให้พวกนั้นเห็น

“โธ่จริงสิครับ ผมสัญญา ใช่ไหมพวกเรา”

หันไปหาพรรคพวก ทุกคนพยักหน้าหงึกหงัก

“แล้วนายว่าไงล่ะ เรียว จะเอาเรื่องหรือจะปล่อยไปก่อน”

สันต์หันมาถามผม มันรู้คำตอบดีอยู่แล้วว่าผมต้องตอบอย่างหลัง แต่ต้องขู่ไว้ก่อน ซึ่งผมก็รับลูกจากมันต่อ

“คราวนี้จะปล่อยไปก่อน แต่คราวหน้าถ้ายังเป็นแบบนี้อีก คงจะจัดการขั้นเด็ดขาด”

“ช่าย ....นี่คุณเรียวเขาใจดีหรอกนะ ทั้งๆที่พวกเธอว่าเขาเสียหาย ควรจะขอบคุณเขาที่ไม่เอาความ แต่คราวหน้าถ้าได้ยินอีก ฉันจะพาคุณเรียวไปแจ้งความในฐานะหมิ่นประมาทดูหมิ่นดูแคลนทำให้คนอื่นเสียชื่อเสียง”

เพื่อนผมขู่อีก ซ้ำๆกัน จนพวกนั้นเริ่มกลัวหงอ หลังจากที่ให้สัญญิงสัญญาว่าจะไม่ทำอีกต่อไปแล้ว และผมก็ยกโทษให้ พวกนั้นกล่าวขอบคุณจากนั้นก็รีบเช็คบิลล์กลับไปทันที พอคนทั้งหมดจากไป ผมกับสันต์ก็หัวเราะให้กันด้วยความขำ พอหยุดหัวเราะ สันต์ก็ทำหน้าจริงจัง

“มีเรื่องอะไรเหรอวะ ถึงได้เรียกฉันมาคุย เรื่องนายกับเดียร์หรือเปล่า”

“อื้ม...นายคงได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับฉันแล้วสินะ”

“ช่าย แต่อย่าไปใส่ใจเลยวะเรียว ก็แค่คำพูดของคนที่ไม่รู้จักเราอย่างแท้จริง ถ้าเราไม่เอาชีวิตตัวเองไปติดอยู่กับปากคนอื่น มันก็จะไม่มีผลอะไรต่อตัวเราหรอก”

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ พูดน่ะมันง่าย แต่ทำน่ะมันยาก แต่ถึงอย่างไร ผมก็จะลองเผชิญหน้ากับมันดู เรื่องแค่นี้คงไม่ทำให้ผมถึงตายกระมัง

“วันก่อนศักดิ์ชายมาคุยกับฉัน ขอร้องให้เลิกกับเดียร์เพื่ออนาคตของตัวเอง”

“แล้วนายว่าไงล่ะ จะทำตามที่เจ้าศักดิ์มันบอกหรือเปล่า”

“ไม่รู้สิ นายกับศักดิ์พูดกันคนละอย่าง เรื่องเดียวกันแต่มองต่างมุม ฉันเข้าใจนะ ว่ามันพูดออกมาด้วยความห่วงใย ไม่อยากให้ฉันสูญเสียทุกอย่างที่สั่งสมมา”

“หวงก้างนะสิไม่ว่า ไอ้บ้าเอ๊ย ....ตัวเองไม่กล้าพูด พอจะสูญเสียมันไปก็มาพูดนั่นพูดนี่ ไอ้ขี้ขลาดเอ๊ย จมอยู่กับในความทุกข์นั่นแหละ อย่าได้โงหัวขึ้นมาเลย”
สันต์พูดด้วยความหมั่นไส้ จนผมต้องห้ามปรามไม่ให้มันพูดถึงศักดิ์ชายแบบนั้น และให้ความเห็นว่าบางทีศักดิ์ชายอาจจะหวังดีจริงๆก็ได้ เจ้าสันต์ก็เลยหัวเราะ มันไม่เชื่อนักว่าศักดิ์ชายจะหวังดีกับผม100 % แต่ก็ยอมรับว่าสิ่งที่ศักดิ์ชายพูดนั้นน่าคิด


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่36 11/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 11-02-2009 20:13:46
เรื่องความรักกับหน้าที่การงานมันเลือกยากจริงๆ ผมเลยบอกให้มันรู้ถึงเรื่องที่เจ้านายพูดกับผมด้วย มันรับฟังพลางครุ่นคิดไปกับสิ่งที่จากนั้นมันก็ให้ความเห็นว่า ผมควรจะชั่งน้ำหนักให้กับทางเลือกทั้งสอง เพราะล้วนแล้วแต่เป็นทางเลือกที่ดี

ถึงแม้มันจะเชียร์ให้ผมทำตามหัวใจตัวเอง แต่มันก็เสียดายความสามารถของผมเหมือนกัน แล้วผมก็เพิ่งได้ตำแหน่ง การทิ้งสิ่งที่สู้พยายามอดทนทำมาจนประสบความสำเร็จ จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายยิ่ง ดังนั้นผมต้องตอบตัวเองให้ได้ ว่าอะไรคือความสุขของผม ถ้าหากงานคือความสุข ก็อย่าทิ้งมันไป แต่ถ้าอยู่กับเด็กหนุ่มมีความสุขมากกว่า ก็อาจจะไปเริ่มต้นงานใหม่ในที่ใหม่ มืออาชีพอย่างผมใครๆก็ต้องการตัว บริษัทประกันชีวิตมีมากมาย พร้อมที่จะทุ่มทุนจ้างอยู่แล้ว หากผมกล้าที่จะเปลี่ยนความเคยชินเดิมๆที่มี

“นี่ไหนๆก็มีโอกาสได้คุยกันแล้ว ฉันก็อยากจะบอกอะไรให้นายรู้ไว้ ตอนที่ฉันได้ยินเรื่องนี้ ฉันก็ไม่เชื่อเหมือนกัน จนไปสืบค้นหาหลักฐานมาได้ จึงได้เชื่อว่ามันจริงๆ”

เจ้าสันต์มีประเด็นใหม่มาคุยอีกแล้ว ท่าทางมันตื่นเต้นมาก

“อะไรเหรอ”

ผมถามมันอย่างเนือยๆ นอกจากเรื่องตาเฒ่าทรงพลถูกแทง ยังจะมีอะไรที่ทำให้มันสนใจได้ขนาดนี้อีกนะ

“คุณแคทเป็นกระเทยแปลงเพศว่ะ”

“เฮ้ย......พูดเป็นเล่นไป สวยอย่างนี้นี่นะ”

“เออสิวะ แม่....ง ต้มพวกเราซะสนิทเลย ที่แท้ก็ผู้ชายเหมือนกัน แต่ยอมรับว่ะ ว่าทำมาได้เนียนจริงๆ ดูไม่ออกเลย ขนาดฉันช่ำชองมองปราดเดียวก็รู้ว่าใครเกย์ ใครแอบ แต่กับคุณแคทนี่ดูไม่ออกจริงๆ”

“แล้วนายรู้ได้ไงวะ”

“ก็ฉันดันไปรู้มาจากฝ่ายทรัพยากรบุคคลอ่ะดิ แต่ที่จริงก็ไม่ได้เป็นความลับอะไรหรอก เพราะคุณแคทแกสมัครมาในชื่อของผู้ชายอยู่แล้วเพียงแต่ว่าที่ไม่มีใครพูดเพราะไม่มีใครรู้ต่างหาก”

เรื่องที่ได้ยินจากปากเจ้าสันต์ ทำให้ผมลืมเรื่องของตัวเองไป แล้วหันมาใส่ใจกับเรื่องนี้แทน

“ไม่น่าเชื่อเลย คุณแคทเหมือนผู้หญิงมาก ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา ผิวพรรณ ไหนจะน้ำเสียงอีก”

“ของแบบนี้มันตกแต่งกันได้ว่ะ เพื่อน แต่หมอที่ทำนี่เก่งมาก ทำได้สวยจนดูไม่รู้เลย ฉันพลาดได้ไงวะ โหย ตบตาเก่งมากๆเลย”

ขนาดเจ้าสันต์ยังไม่รู้ แล้วพี่สมชายล่ะ เขารู้ไหมว่าคนรักเก่าเขาเป็นผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิง

“นี่ฉันมีรูปคุณแคทสมัยเป็นผู้ชายมาให้ดูนะโว้ย ลงทุนไปสืบหามาจากโรงเรียนเก่าที่เขาเรียนเลย ด้วยความอยากรู้อยากเห็นสุดขีด นี่ไง”

พ่อนักสืบหยิบรูปจากในแฟ้มที่ถือติดมือมาด้วยให้ผมดู ผมมองภาพจากในหนังสือรุ่นที่เจ้าสันต์ไปขอยืมมาอย่างทึ่ง คุณแคทลียาในวัยรุ่น หน้าตาสวยเหมือนผู้หญิงตั้งแต่ตอนที่เป็นเด็กผู้ชายแล้ว จึงไม่น่าแปลกที่เธอเสริมเติมแต่งเพียงแค่เล็กน้อย เธอก็จะดูเป็นผู้หญิงจริงๆ

“เป็นไง น่าทึ่งไหมเล่า”

“ช่าย”

ผมพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เธอสวยจริงๆ เพราะว่าเธอดูเหมือนผู้หญิงมาตั้งแต่แรก จึงเป็นแรงบัลดาลใจให้เธออยากแปลงเพศหรือเปล่านะ หรือว่าสภาพแวดล้อมทำให้เธออยากเป็น

“นายสงสัยเหมือนฉันไหมเรียว....”

เจ้าสันต์ถามผม ท่าทางกระตือรือร้นจะเอาคำตอบ

“เรื่องอะไรล่ะ”

ถามอย่างงงๆ ความสงสัยในเรื่องของคุณแคทมีมากมาย แต่เรื่องไหนกันล่ะที่มันอยากรู้จากปากผม

“ฉันกำลังคิดว่า เป็นเพราะเหตุใด คุณแคทถึงเลือกที่จะมาขอร้องให้นายเป็นแฟนกับเขา แล้วเขาทำไปเพื่ออะไร ทำไมเขาจึงใช้ความเป็นผู้หญิงมาหลอกด้วย มันต้องมีสาเหตุอะไรสักอย่าง แต่ฉันไม่รู้ว่าเพราะอะไร”

จริงสินะ เรื่องนี้ผมก็คิดอยู่เหมือนกัน ผมพอจะมีคำตอบให้กับเรื่องนี้ แต่ยังไม่มั่นใจเท่าไหร่ ว่ามันจะถูกต้องตามที่ผมคาดไว้หรือไม่ บางทีเธออาจจะกำลังใช้ผมเป็นเครื่องมือเพื่อไปสู่พี่สมชายก็ได้ สิ่งที่ผมยังไม่แน่ชัดคือ คุณแคทรู้ได้อย่างไรว่าพี่สมชายเป็นเพื่อนบ้านกับผม

“เรื่องแบบนี้ฉันชอบว่ะ ไม่เหลือบ่ากว่าแรงนักสืบเก่าอย่างฉันหรอก ไม่เกินอาทิตย์ ได้รู้ผลแน่ๆเลยเพื่อน”

เจ้าสันต์ทำท่าหมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องเอาความจริงเรื่องนี้มาเปิดเผยให้ได้ ผมไม่โต้แย้งอะไร เพราะผมก็อยากรู้เหมือนกัน กอรปกับผมชักไม่สนุกเสียแล้วกับการที่ต้องมาช่วยเหลือคุณแคทให้พรากสามีมาจากอ้อมอกภรรยาและลูก มันเป็นการกระทำที่โหดร้าย ผมซึ่งเป็นเพื่อนบ้าน ไม่สมควรที่จะกระทำการทรยศหักหลังพวกเขาเช่นนี้ เพราะผมอาจจะต้องสูญเสียเพื่อนบ้านที่ดีไป แล้วได้ศัตรูมาแทน

ผมพกพาเรื่องปวดหัวกลับเข้าบ้านในแต่ละวัน ซึ่งเดียร์เองก็คงจะสังเกตเห็น แต่เขาไม่พูดอะไรยังคงเอาอกเอาใจผมตามปกติ ช่วงนี้เดียร์เปลี่ยนกะมาทำงานร้านกาแฟตอนกลางวัน ส่วนตอนเย็นว่างไว้ ในกรณีที่มีการเรียกตัวเพื่อซ้อมเต้น เขาจะได้ไปโดยไม่ต้องลางาน วันไหนที่เขาไม่มีซ้อม เดียร์ก็จะอยู่รอรับหน้าผม คอยทำอาหารให้ทาน และดูแลเอาใจใส่จนผมหายเหนื่อยหายเพลียบ้านที่เคยเงียบเหงา น่าเบื่อ กลายเป็นวิมานสำหรับผมไปแล้ว เมื่อมีเดียร์อยู่เป็นเพื่อน
วันหนึ่งผมกลับบ้านมาอย่างอ่อนระโหยโรยแรง ไหนจะเหนื่อยกับงานที่เริ่มมีเยอะขึ้น เพราะบริษัทอัดคุณวุฒิโปรโมทการท่องเที่ยวเข้าไป ทำให้ตัวแทนส่งผลงานเข้ามาเยอะมาก ฝ่ายพิจารณาทำงานกันอย่างหนัก แทบจะไม่มีเวลาหายใจ

แล้วยังจะต้องข่มใจต่อการถูกซุบซิบนินทาที่นับวันจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ โดยการปล่อยข่าวของอดีตสาวคนรัก และการพูดแบบปากต่อปาก ทำให้คนพูดถึงผมไปในทิศทางเสียหาย ส่วนใหญ่คนจะเชื่ออย่างสนิทใจ มีน้อยมากที่จะกล้าถามผมเพื่อหาความจริง แต่ผมก็ไม่เคยตอบใคร หรืออธิบายให้ใครฟัง สู้ทนเก็บกดเอาไว้ เพราะเลือกแล้วที่จะเผชิญหน้ากับทุกสิ่ง


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่36 11/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 11-02-2009 20:14:26
ดียร์เห็นหน้าตาหมองๆของผม เขารู้ได้ทันทีว่าผมมีเรื่องไม่สบายใจมา เด็กหนุ่มโอบกอดผมไว้ในวงแขนของเขา กดศีรษะผมไว้แนบอก เขาทำราวกับว่าผมเป็นเด็กตัวเล็กๆที่ต้องการคนปลอบขวัญเวลาที่มีเรื่องร้อนใจ เราต่างคนต่างนั่งนิ่งไม่มีใครพูดอะไรกัน สักพักเมื่อผมตั้งสติได้แล้ว ผมก็ผลักเขาออก แล้วยิ้มให้เดียร์อย่างอ่อนโยน เด็กหนุ่มยิ้มตอบผมอย่างอบอุ่น

“มีอะไรที่เรียวไม่ได้บอกผมหรือครับ อยากให้ผมแชร์ความทุกข์ร้อนในใจคุณบ้างไหม อยากให้ผมช่วยอะไร บอกมาได้เลยนะครับ”

น้ำเสียงที่นุ่มนวลชวนฟังของเด็กหนุ่มที่ถามไถ่ด้วยความห่วงใยทำให้ใจของผมรู้สึกเป็นสุข ผมปฏิเสธไม่อยากเอาเรื่องรกสมองมาบอกให้เดียร์รู้ บอกเพียงแค่ว่า ผมเหนื่อยจากการทำงาน เดียร์อาสานวดให้ผม เขาวางหมอนอิงไว้บนตักตัวเอง แล้วดึงผมลงมานอน

จากนั้นเขาก็กางมือออกสองข้าง แล้วนวดที่ศีรษะของผม เขาคลึงนิ้วไล่วนไปมาตั้งแต่หางคิ้ว ขมับ และหน้าผาก แรงจากปลายนิ้วช่วยทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย ผมหลับตาลง พยายามปลดปล่อยอารมณ์เครียดของตัวเองออกไป ไม่คิดอะไรให้มันรกสมอง สักพักผมก็หลับไปด้วยความเพลีย

เสียงร่ำไห้จากที่ไหนสักแห่งปลุกผมให้ตื่นขึ้นมา ผมเดินไปตามเสียง ก็เห็นเดียร์กำลังนั่งปลอบประโลมภรรยาของพี่สมชายอยู่ตรงหน้าบ้าน เธออุ้มลูกน้อยเอาไว้ในวงแขนฟูมฟายน้ำตาไหลพราก ผมเดินเข้าไปหาสองคนนั่น แล้วถามด้วยความห่วงใย

“พี่ภาเป็นอะไรหรือครับ ร้องไห้ทำไม มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า”

เหมือนคำพูดของผมจะเรียกน้ำตาให้ไหล่บ่าทะลักล้นจนคุมไม่ได้ ผมมองเดียร์ที่ลูบหลังลูบไหล่พี่วิภาที่กำลังสะอึกสะอื้น และรอเวลาที่จะให้เธอพูดออกมา

“พี่สมชายเขาไม่รักพี่แล้ว เขากำลังนอกใจพี่”

คำพูดที่หลุดจากปากของพี่วิภาทำให้ผมสะดุ้ง แผนการดึงตัวคนรักกลับคืนของคุณแคทได้ผลแล้วหรือนี่ ผมยกมือขึ้นลูบใบหน้าของตัวเอง นึกเสียใจที่ตัวเองมีส่วนทำให้เกิดเหตการณ์แบบนี้ขึ้น และที่สำคัญ ผมกำลังจะทำให้พี่สมชายกลายเป็นเกย์ เพราะไปรักผู้ชายที่แปลงเพศเป็นผู้หญิง มันจะทำให้ผมมีบาปกรรมซ้ำซ้อนหรือเปล่านะ

“ใจเย็นๆนะครับพี่ภา บางทีมันอาจจะไม่เป็นอย่างที่พี่คิดก็ได้”

ปลอบใจภรรยาของเพื่อนบ้านไป ทั้งที่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น

“พี่คิดว่าต้องใช่แน่นอน เพราะช่วงนี้พี่สมชายเปลี่ยนไป ดูเคร่งขรึม และเฉยชากับพี่ เราทะเลาะกันค่อนข้างบ่อย เพราะพี่จับได้ว่าช่วงหลังๆมานี้ เขาโกหกพี่มาตลอด กลับบ้านดึกๆดื่นๆ อ้างว่ามีประชุม แต่พอพี่โทรเช็คไปยังที่ทำงาน ทางหน่วยงานของเขาก็บอกว่าไม่ได้จัดประชุมตอนเย็นๆ มานานมากแล้ว

ส่วนใหญ่ จะเป็นในเวลางาน แล้วกลางคืนเขาไปไหน ทำไมเลิกงานแล้วไม่ตรงกลับบ้าน บางทีก็มีกลิ่นเหล้ามาหึ่งเลย ล่าสุดนี้มีรอยลิปสติคติดเสื้อกลับมาบ้านด้วย แล้วอย่างนี้จะให้พี่คิดว่าไงล่ะคุณเรียว”

พี่วิภาพูดไป ร้องไห้ไป อย่างน่าสงสาร น้ำตาของเพื่อนบ้าน ทำให้ผมปวดร้าวใจอย่างบอกไม่ถูก หลังจากช่วยกันกับเดียร์ปลอบประโลมให้พี่วิภาหายเศร้า จนเธอหยุดร้องไห้ และสามารถกลับบ้านไปรอเผชิญหน้ากับสามีได้แล้ว ผมก็เดินมานั่งหน้าเศร้าที่โซฟา โดยมีเดียร์เดินตามานั่งใกล้ๆ เขาเอื้อมมือมาบีบที่หน้าขาผม แล้วถามด้วยความห่วงใย

“เป็นอะไรไปหรือครับ เศร้าแทนพี่วิภาเหรอ”

“อื้ม สงสารเขานะ”

“พี่สมชายไม่น่ามาดีแตกตอนที่มีลูกมีเมียแบบนี้เลยนะครับ จะทะเลาะจนแยกทางกันหรือเปล่าก็ไม่รู้ สงสารเด็กตาดำๆนั่นจังเลย จะกำพร้าพ่อคราวนี้กระมัง”

อยู่ๆก็เจ็บจี๊ดขึ้นมาในหัวใจ ทันทีที่เดียร์พูดออกมาอย่างซื่อๆ ผมนึกด่าตัวเองในใจ ไอ้เรียวนะไอ้เรียว ทำอะไรไม่หัดคิดเสียบ้าง คิดแต่จะให้คนที่ตัวเองรักพ้นทุกข์ แต่ไปสร้างความร้าวฉานให้กับครอบครัวของคนอื่น เห็นแก่ตัวจริงเชียว สักวันกรรมต้องตามทันแน่

“เดียร์ นายเคยทำผิดอะไรบ้างไหม”

รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงแผ่วๆจากที่ไหน พอเงี่ยหูฟังดีๆจึงได้รู้ว่ามันเป็นคำพูดจากปากผมเอง เดียร์เลิกคิ้ว มองหน้าผมอย่างงงๆ ที่อยู่ๆผมก็ถามขึ้นมาแบบนั้น ใบหน้าหล่อเหลามีรอยยิ้มกว้างขึ้น ขณะที่ตอบคำถามของผม
“มีสิครับเรียว ผมว่าคนเราก็เคยทำผิดมาด้วยกันทั้งนั้นแหละ ตัวผมเองก็ผิดพลาดหลายครั้งนะ แต่ผมก็พยายามเอาสิ่งที่ผิดพลาดนั้นสอนตัวเอง แล้วพยายามทำมันให้ดีขึ้นในครั้งต่อไปครับ”

“แล้วนายเคยสร้างความแตกแยกในครอบครัวของใครบ้างหรือเปล่า”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ทำไมเรียวถามอย่างนั้นล่ะ ไม่เคยครับ ผมกลัว กลัวว่ามันจะย้อนกลับเข้าตัวเองนะครับ ผมน่ะเฝ้าตามจีบให้คุณใจอ่อนยอมอยู่กับผมตลอดไป แค่นี้ก็ต้องลุ้นกันจนเหนื่อยแล้วว่าคุณจะยอมหรือไม่ ผมไม่มีเวลาไปแยกคู่ใครเขาหรอก กลัวบาปมันจะตามสนองทำให้ผมกับเรียวต้องเลิกกันนะครับ”

คำพูดของเดียร์ทำให้ผมสะอึก เขาช่างคิดได้ตรงใจกับผมเสียจริง เพียงแต่ว่า ผมนั้นได้ทำลงไปแล้ว และสิ่งที่ผมทำมันกำลังแสดงผลอยู่ ครอบครัวของพี่สมชายกำลังประสบปัญหากันจริงๆ

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่36 11/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: meeyai ที่ 12-02-2009 02:05:48
+1 ให้ความขยันนะคร้าบดึกขนาดนนี้ยังอุตสาห์มาลงเรื่องให้อ่าน อิอิ  :oni2: :oni2:

เด๋วผมจะพยามอ่านให่ทันนะครับจิ้มไว้ก่อน :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่36 11/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: sasa ที่ 12-02-2009 12:24:34
ฝากไปบอกเรียวหน่อยดิ
ถ้าเป็นขนาดนี้แล้ว เปิดตัวไปเลย!!

ติดตามตอนต่อไปอยู่นะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่36 11/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 12-02-2009 19:43:52
สู้ๆๆๆๆ น่ะคุน เรียวววว


อย่า เพิ่ง ยอม แพ้ น่ะ


ปัญหา ทุกอย่างมีทางออก เสมออ

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: the_pooh9 ที่ 13-02-2009 00:15:42
 o22

+1 ตอบแทนค่ะ พี่สาวคนสวย
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-02-2009 12:48:38
บทที่ 37

“ใครกันนะ ที่ทำให้พี่สมชายเปลี่ยนไป อยากเจอหน้านัก ว่าจะสวยแค่ไหน แล้วทำไมถึงใจร้ายจัง ช่างกล้านะ ที่ทำลายครอบครัวคนอื่น”

นายเคยเจอแล้วล่ะเดียร์ ผมตอบในใจ คนที่นายว่าเป็นกระเทยยังไงล่ะ นายนี่เก่งจัง เจอกันไม่กี่ครั้งก็ดูออก ขนาดสันต์ยังดูไม่รู้เลย ถ้าเดียร์รู้เรื่องนี้ เขาจะว่ายังไงนะ เขายิ่งเคยหึงหวงผมกับคุณแคทเสียด้วยสิ นี่ถ้ารู้ว่าผมร่วมมือกับคุณแคทเพื่อแย่งพี่สมชายกลับคืน เขาจะนึกชิงชังผมไหมนะ แล้วถ้าผมอธิบายให้เขาฟังว่าผมทำเพื่อให้เขาพ้นเงื้อมมือของนายทรงพล เขาจะเชื่อผมรึเปล่า

“เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้นกับเราสองคนใช่ไหมครับ รู้ไหม ผมอ่ะ ขี้หึงมากนะครับ ผมหวงเรียวเพราะว่าผมรักเรียวมากที่สุดอย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน ไม่อยากให้ใครมาพรากเอาคุณไปจากผม ผมยิ่งมีเวลาเหลือน้อยเข้าไปทุกทีที่จะทำให้คุณรักผม

ดังนั้นใครบังอาจมาแย่งคุณไปต้องได้เจอดีกันแน่ ตอนนี้คนที่พยายามจะเป็นมือที่สามตัวเบ้งๆ ก็มีอันเป็นไปแล้ว ป่านนี้คงนอนให้แซ่บหยอดน้ำข้าวต้มจนเห็นอกเห็นใจกัน ดีแล้วจะได้ไม่ยุ่งกับเรียวของผม และหวังว่าคงไม่มีคนต่อๆไปนะครับ”

เด็กหนุ่มพูดกับผมด้วยน้ำเสียงอ้อนๆแต่ทว่าดูจริงจัง เขาหมายความตามนั้นทุกคำพูด ผมทั้งปลาบปลื้มใจที่เด็กหนุ่มรักผมมากมาย แต่ก็กังวลใจต่อเหตุการณ์ต่างๆที่จะตามมา ตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าผมกับคุณแคทร่วมมือกัน และข้อตกลงในการร่วมมือนั้นคือต้องแสดงออกด้วยการเป็นคู่รัก เพื่อให้เป้าหมายของคุณแคทเข้าใจผิด ถ้าเขาเกิดมารู้แบบครึ่งๆกลางๆ แล้วดันเข้าใจว่าผมทรยศหักหลังเขา เดียร์จะพุ่งเป้ามาเล่นงานที่ผมกับคุณแคทสองคนหรือไม่หนอ ไม่อยากจะคิดเลย

“เรียวทำหน้าซีเรียสอีกแล้วนะครับ วันนี้คุณเองก็มีเรื่องไม่สบายใจกลับมา แถมซ้ำยังมีเรื่องพี่วิภาให้คิดอีก คุณก็เลยเครียดใช่ไหมครับ อย่าคิดมากเลยนะ เดี๋ยวทุกอย่างมันก็คลี่คลายไปเอง ตอนนี้เรียวไปอาบน้ำ ทานข้าว แล้วขึ้นไปพักผ่อนนะครับ ตื่นมาตอนเช้า จะได้สดใสขึ้น ดีไหม

พรุ่งนี้ วันเสาร์ ไม่ต้องไปทำงานด้วย ผมก็ไม่มีทั้งคอนเสิร์ต หรือซ้อมเต้นที่ไหน ร้านกาแฟก็มีคนมาขอแลกเป็นกะดึก กลางวันเลยว่าง เราไปเดินเที่ยวเล่น หรือหาอะไรทำสนุกๆคลายเครียดกันดีกว่าไหมครับ”

คนปลอบโยนผม เชิญชวนด้วยท่าทีกระตือรือร้น ผมเห็นใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นรอคำตอบอย่างมีความหวัง ก็เลยพยักหน้า เป็นเชิงตกลง นานแล้วที่ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวกันสองต่อสอง หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่เกาะเสม็ดครั้งนั้น บางทีการหนีจากความเป็นจริงไปอยู่ในสถานที่ที่มีเพียงเรา อาจจะทำให้ผมมีความสุข แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆก็ตาม เด็กหนุ่มโผเข้ากอดผมด้วยความดีใจ ท่าทางเขาเหมือนเด็กๆ ที่อ้อนวอนขอสิ่งที่ต้องการ แล้วผู้ใหญ่ก็ตอบรับ

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-02-2009 12:49:28
“ดีใจจัง เรียวน่ารักที่สุดเลย ผมอยากไปเที่ยวสวนสนุกครับ ไม่ได้ไปมาตั้งนานแล้ว เรียวไปกับผมนะ”

ดูเอาเถอะ สถานที่เที่ยวของเราสองคนคือสวนสนุกงั้นหรือ เด็กหนอเด็ก ช่างคิดมาได้ แต่เอาเถอะ ผมเองก็ไม่ได้ไปสวนสนุกนานโข ตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัย ผมก็เลิกทำตัวเป็นเด็กน้อย นานๆทีได้หวนกลับคืนไปใช้ชีวิตวัยเยาว์ก็คงจะดีเหมือนกัน

“ก็ได้ งั้นก็รีบทานข้าว แล้วก็รีบไปนอนกันได้แล้ว พรุ่งนี้จะได้ไปแต่เช้า ตอนสายๆไม่อยากขับรถ มันร้อน แล้วก็ลดติดด้วย ต้องออกนอกเมืองอีก”

“คร้าบบบบบ ผม”

เราทานอาหารค่ำด้วยกันสองต่อสองอย่างมีความสุข จากนั้นก็ช่วยกันทำความสะอาดห้องครัว ก่อนจะแยกย้ายกันไปอาบน้ำ เดียร์อาบที่ห้องข้างล่าง ส่วนผมอาบน้ำที่ห้องข้างบน แต่เราอาบน้ำเสร็จพร้อมๆกัน วันนี้ไม่มีกิจกรรมพิเศษยามค่ำคืนเหมือนเคย เพราะผมบอกกับเดียร์ว่าผมเหนื่อย และอยากหลับจริงๆ

เขางอแงเล็กน้อย บอกว่า อุตส่าห์ได้อยู่บ้านตอนกลางคืนกับผม แต่ต้องมาอดกุ๊กกิ๊กกันอีก มันเป็นอะไรที่ทรมานเขาสิ้นดี แถมซ้ำตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล เราสองคนก็แทบจะไม่มีอะไรกันเลย เพราะเขาห่วงเรื่องสุขภาพของผม พอเริ่มหายดี ก็กลับแห้ว อดอีก

แต่ไม่เป็นไร วันหลังยังมี เอาไว้ให้ผมหายเหนื่อย เขาค่อยคิดดอกเบี้ยทบต้นทบดอกชดเชยที่ไม่ได้กุ๊กกิ๊กกันตั้งหลายวัน สำหรับคืนนี้ เขายอมแค่นอนกอดผมก็พอ

ฟังเขาพูดเข้าสิ ผมไม่ได้สัญญิงสัญญาอะไรด้วยเลย พูดเอง เออเองทั้งนั้น ผมก็เลยว่าเขาไปแบบที่ใจคิด แล้วบอกว่า ผมไม่ใช่ธนาคารที่จะมาฝากมาถอนอะไร แล้วคิดต้นคิดดอก

เขาหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ พลางกอดกระชับผมไว้ในอ้อมแขน บอกว่า ผมเป็นสถานที่รับฝากใจของเขายังไงล่ะ เขาเทใจให้ผมจนหมด ไม่มีเหลือแล้ว และก็คาดหวังว่าธนาคารแห่งนี้จะจ่ายดอกเบี้ยเป็นหัวใจให้กลับคืนมาบ้าง จะได้รู้สึกกระชุ่มกระชวย

คำพูดของเขาทำให้ผมหัวเราะ แล้วบอกว่า ไม่รับฝาก เรื่องมากนักก็ถอนออกไปสิ เขาก็เลยลงโทษด้วยการจูบผมจนแทบหายใจหายคอไม่ทัน

ดึกแล้ว เราสองคนตั้งใจว่าจะหลับ แต่ก็ไม่สามารถข่มตาลงได้ เพราะเสียงดังจากบ้านตรงข้ามรบกวนยามดึกที่แสนสงบเงียบ ของบ้านใกล้เรือนเคียงบริเวณนั้น ไฟบ้านข้างๆเปิดขึ้น เพื่อดูว่ามีเหตุร้ายอะไรที่บ้านพี่สมชายหรือเปล่า แล้วก็ดับไฟลง เมื่อรู้ว่าเป็นเรื่องของผัวเมียตีกัน

เสียงผู้หญิงร้องห่มร้องไห้เสียงดัง ผสานกับเสียงเด็กที่กรีดร้องเสียงลั่น สลับกับเสียงทะเลาะกันของหญิงชายคู่หนึ่ง ที่ไม่มีใครลดลาวาศอกให้กับใคร ผมฟังแล้วก็ให้รู้สึกทุกข์ใจยิ่งนัก ที่คู่สามีภรรยาที่น่ารักต้องมาทะเลาะกัน

ความอึดอัดใจที่มีส่วนร่วมในแผนการนี้ทำให้ผมรู้สึกเหน็บหนาวในใจจนต้องเบียดร่างเข้าหาเดียร์เพื่อให้เขาช่วยกอดผมให้อบอุ่น เด็กหนุ่มปลอบผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนไม่ให้ผมคิดมาก เดี๋ยวสองผัวเมียนั้นคงจะดีกันเอง ยังไง ก็คงไม่ถึงขั้นแตกหักกันหรอก เพราะยังมีลูกน้อยเป็นโซ่ทองคล้องใจ

ผมเองก็อยากให้มันเป็นอย่างที่เดียร์พูด นึกภาวนาในใจให้เรื่องทุกอย่างลงเอยกันด้วยดี ขออย่าให้ทั้งคู่เลิกกันเลย

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-02-2009 12:50:02
คำอธิษฐานจิตของผมไม่ส่งผล ตอนเช้ามืดขณะที่ผมกับเดียร์กำลังหลับกันอยู่ พี่สมชายก็มากดออดที่บ้าน เพื่อเรียกให้ผมออกไปคุยด้วยเรื่องที่สำคัญมาก ผมออกไปนั่งคุยกับพี่สมชายหน้าบ้าน ส่วนเดียร์ซึ่งตื่นแล้วลงมาเตรียมอาหารที่จะเอาไปทานที่สวนสนุก

“วิภาหนีออกจากบ้านไปเมื่อตอนเช้ามืด ไปพร้อมกับลูกด้วย ผมปวดหัวไปหมดแล้วคุณเรียว ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้กับครอบครัวผมด้วยนะ”

พี่สมชายเปิดฉากพูดด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความวิตกกังวล

“ใจเย็นๆครับพี่ มีปัญหาอะไรกันหรือครับ ถึงทำให้พี่วิภาต้องหนีออกไปอย่างนั้น บางทีอาจจะเป็นการเข้าใจผิดกันก็ได้ พี่เขาอาจจะไปเยี่ยมครอบครัวของเขามั๊ง”

พยายามที่จะปลอบใจให้เพื่อนบ้านของผมมองในแง่ดี ถึงแม้ผมจะอดหวั่นใจไม่ได้ ว่าเรื่องที่พี่สมชายเล่า น่าจะร้ายแรงพอควร

“ไม่หรอกคุณเรียว ถ้าวิภาจะไปบ้านพ่อบ้านแม่ เขาต้องบอกผมให้รู้ทุกครั้ง ไม่ใช่หนีออกไปดื้อๆแบบนี้ เมื่อคืนเราทะเลาะกันหนัก เลยแยกห้องนอนกัน เขาไปนอนห้องลูก ส่วนผมนอนห้องที่เรานอนด้วยกัน พอตื่นมาตอนเช้า ก็ไม่เจอเขาแล้ว เสื้อผ้าก็ไม่ได้เอาไปด้วย ไปกับลูกแค่สองคนเท่านั้น โทรเข้ามือถือก็ไม่รับสาย โทรไปที่บ้านพ่อแม่เขาก็ไม่มีใครรู้เรื่อง นี่ผมกลุ้มจะตายแล้วนะคุณเรียว”

เพื่อนบ้านของผมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

“เอ้อ ขอโทษนะครับ แล้วพี่สองคนทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไรละครับ มันร้ายแรงมากเลยเหรอ ถึงทำให้พี่เขาทนอยู่ไม่ได้”

“ก็......เอ้อ.....”

พี่สมชายอ้ำอึ้ง มองผมอย่างไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี ในที่สุดคำพูดต่างๆก็พรั่งพรูออกมาจากปากพี่สมชายอย่างอัดอั้น เพื่อนบ้านของผมเล่าให้ฟังว่า พี่วิภาสงสัยว่าเขาจะนอกใจเธอ เพราะพี่สมชายมีพฤติกรรมแปลกๆ เช่นกลับบ้านไม่ตรงเวลา เลยพยายามจะสืบเรื่องนี้ โดยการโทรไปถามข้อมูลเขาในที่ทำงาน พอรู้ว่าเขาพูดไม่ตรงกับความเป็นจริง ก็เริ่มจับผิด หาเรื่องทะเลาะ ล่าสุดเมื่อคืนนี้

เขากลับบ้านมาดึก พี่วิภารออยู่ก่อนแล้ว ก็มาซักถามว่าเขาไปไหน พอเขาไม่ตอบก็โวยวายทุบตีเขา จนเกิดปากเสียงกันใหญ่โต แล้วก็หนีจากบ้านไป ผมเลยถามเขาว่า พี่สมชายนอกใจพี่วิภาจริงหรือเปล่า เขาก็อ้ำอึ้ง แต่แล้วก็ยอมรับออกมาตามตรง

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-02-2009 12:50:26
“ที่จริง จะเรียกว่าผมนอกใจวิภาก็ไม่ถูกนะ ผมรู้จักกับผู้หญิงคนนี้ ตั้งแต่ตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัย ผมเป็นรุ่นพี่ของเขา เรารักกันมาตั้งนานแล้ว แต่ถูกพ่อแม่กีดกัน จนกระทั่งเธอไปเรียนนอก ผมคิดว่าคงไม่มีหวังจะได้ใช้ชีวิตกับเธออีกแล้ว เลยแต่งงานกับคนที่พ่อแม่หาให้ซึ่งก็คือวิภานี่แหละ

แรกๆผมก็ไม่ได้รักเธอหรอก จนกระทั่งเรามีลูกด้วยกัน ผมก็เริ่มรักเธอ เห็นความดีที่เธอมีต่อผม ในขณะที่ชีวิตคู่ของเรากำลังไปได้สวย เธอคนนั้นก็กลับมา แล้วเราก็สานสัมพันธ์กันต่อ ผมพยายามห้ามใจตัวเอง ไม่อยากจะทำเรื่องที่ผิดศีลธรรม แต่คนรักเก่าของผมก็ไม่ยอมเลิกรา

ดูเหมือนว่าเธอจะทำใจไม่ได้ ที่จะเห็นผมเป็นของคนอื่น แล้วยิ่งเธอรู้ว่าผมไม่ได้รักภรรยาของผมมาตั้งแต่แรก เธอก็พยายามจะแยกเราออกจากกัน จนผมทนไม่ไหว ทะเลาะกับเธอ แล้วก็ตัดความสัมพันธ์กับเธออีกครั้ง แต่แล้ว ก็ให้มีเหตุที่ต้องมาเจอกันอีก เธอยั่วให้ผมโกรธ ยั่วโมโหผม จนผมหึงหวง แล้วผมก็กลับไปมีอะไรกับเธออีก จนกระทั่งแฟนผมจับได้นี่แหละ ผมไม่น่าไปยุ่งกับเรื่องนี้เลยจริงๆ”

ท่าทางพี่สมชายจะรู้สึกเสียใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ หน้าเขาเศร้าหมอง ตาแดงก่ำ

“แล้วพี่สมชายจะตัดสินใจอย่างไรละครับ”

“ไม่รู้เหมือนกัน ผมมืดแปดด้าน ผมรักผู้หญิงคนหนึ่งมาก แต่ผมก็แต่งงานอยู่กินกับเธอไม่ได้ กับผู้หญิงคนหนึ่งผมก็ผูกพันธ์ เพราะเรามีลูกด้วยกัน แม้ผมจะไม่ได้รักเธอเท่ากับผู้หญิงคนแรก แต่ผมก็ทิ้งเธอไม่ได้ ทั้งสองคนอยากให้ผมเลือก แต่ผมไม่ต้องการจะเสียใครไปเลย”

นี่เป็นความคิดของคนที่เห็นแก่ตัวหรือเปล่านะ ทำไมเรื่องของเขากับผมจึงคล้ายกันจังเลย ต่างกันแค่ว่า ผมต้องเลือกระหว่างงาน กับ คนรัก และผมไม่ต้องการจะสูญเสียอะไรไปเลยสักอย่าง

“แต่มันเป็นไปไม่ได้ พี่จำเป็นต้องเลือกแล้วล่ะครับ ต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าอยู่กับผู้หญิงคนไหน คือความสุขที่แท้จริงของพี่”

“ถ้าจะถาม ก็ต้องตอบว่าคนรักคนแรกของพี่ให้ความสุขได้มากกว่า เรารักกันมานาน รู้ใจเห็นอกเห็นใจกัน เติมเต็มกันได้ดีทุกเรื่องแม้แต่เรื่องเซ็กส์ วิภาไม่สามารถสนองให้พี่ได้ แต่เขามีความดีตรงที่เป็นแม่บ้านแม่เรือนคอยดูแลพี่อย่างดี แม้จะปากมากไปก็ตาม ที่สำคัญเขาสามารถมีลูกให้พี่ชื่นชมได้ ในขณะที่ผู้หญิงคนแรกทำไม่ได้”

“เพราะอะไรละครับ”

ถามไปอย่างนั้น แต่ใจก็กลัวคำตอบที่จะได้ยิน ถ้าคนรักเก่าของพี่สมชายคือคุณแคท ย่อมแน่นอนว่าเธอจะไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้ เพราะเธอเป็นผู้ชาย

“เพราะเธอไม่เหมือนคนอื่นๆนะสิ”

พี่สมชายเลี่ยงที่จะไม่พูดถึง ผมก็เลยไม่ถามต่อ

“ผมถามคุณเรียวข้อหนึ่งนะครับ อยากให้คุณตอบออกมาตรงๆ”

“ครับ ว่า มา”

“คุณเรียวรู้จักคุณแคทมานานแล้วหรือยัง สนิทกันแค่ไหน แล้วคุณรู้สึกชอบคุณแคทจริงๆหรือเปล่า...อย่าโกหกนะครับ”

“ก็...รู้จักกันมาสักระยะหนึ่งแล้วครับ สนิทพอสมควร แล้วผมก็ชอบคุณแคทด้วย เธอเป็นคนดี น่ารัก และเคยช่วยผมหลายครั้ง”

ลองพูดหยังเชิง เพื่อดูว่าพี่สมชายจะพูดอะไรต่อ ถามผมแบบนี้ คงมีเรื่องจะบอกผมแน่

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-02-2009 12:51:20
“งั้นเหรอ แล้วคุณดูออกหรือเปล่าว่าคุณแคทน่ะ ไม่ใช่ผู้หญิงจริงๆ”

“หือ”

ผมงง ไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่สมชายพูด แล้วผมก็ต้องรู้สึกเหมือนมีใครเอาก้อนหินมาทุบหัว เมื่อเพื่อนบ้านผมพูดประโยคต่อไป เล่นเอาผมต้องหันมามองพี่สมชายอีกครั้งอย่างแปลกใจ

“เธอเป็นผู้ชายนะครับ”

“รู้ได้ไงครับ”

“ทำไมจะไม่รู้ละครับ เพราะเธอน่ะ เป็นอดีตแฟนเก่าของผม เรารักกันมาก เธอไม่ได้เล่าให้คุณฟังหรอกหรือ”
เหมือนคนเอาก้อนหินมาทุบที่หัวผมจนมึน ผมเริ่มงงไปหมดแล้ว อะไรกันเนี่ย พี่สมชายรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าคุณแคทมีเพศเดียวกับตนเอง แล้วก็คบกันมาตลอด แสดงว่าพี่สมชายก็เป็นเกย์แอบแมนแต่งงานเพื่อปิดบังไม่ให้ใครรู้

ถ้างั้นเขาก็ต้องคบกันตั้งแต่สมัยที่คุณแคทลียายังไม่ได้แปลงเพศนะสิ นี่มันบ้ากันไปใหญ่แล้ว ทำไมจึงมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นด้วย ทำไมคนที่อยู่รอบตัวผมมันจึงเป็นเกย์ เป็นกระเทยกันไปเสียหมด ไม่ว่าจะเป็นนายสันต์ ศักดิ์ชาย คุณแคทเพื่อนร่วมงานสาวแสนสวย นายเดียร์ที่ผมรัก ไม่เว้นแม้แต่พี่สมชายเพื่อนบ้านพ่อลูกอ่อนที่มีความสุขกับครอบครัวอย่างล้นเหลือ

ทุกๆคนเป็นคนรักเพศเดียวกัน แล้วทำไมผมจะต้องไปเกี่ยวข้องกับคนพวกนี้เสียแทบทุกครั้ง หรือว่าโลกมันเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจนเกินกว่าที่ผมจะตามได้ทัน ไม่งั้นก็เป็นไปได้ว่า ผมน่ะเป็นเกย์ตั้งแต่แรกแต่ผมไม่รู้ตัว สิ่งที่ได้รับรู้จากปากพี่สมชายทำให้ผมเริ่มที่จะไม่เข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง มึนงงจนเกิดอาการผะอืดผะอมจนอยากอ้วกออกมา

“ผมยอมรับกับคุณตรงๆเลยนะคุณเรียวว่าผมเป็นไบเซ็กช่วล ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ตามปกติ ผมไม่อยากจะพูดให้ใครรู้หรอก เพราะมันเป็นเรื่องที่น่าอาย และอาจจะถูกมองว่าวิปริตผิดปกติ แต่นี่ผมเห็นว่าคุณถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย ผมก็เลยจำเป็นต้องพูดออกมา ไม่อยากให้คุณถูกคุณแคทใช้เป็นเครื่องมือในการบีบบังคับผมโดยที่คุณเองไม่รู้เรื่องอะไรด้วย”

“ถูกใช้เป็นเครื่องมือ.......ทำไมคุณแคทต้องเลือกผมด้วยล่ะครับ”

นี่เป็นสิ่งที่ผมต้องหาคำตอบให้ได้ว่าทำไมต้องเป็นผม

“ผมไม่รู้ว่าเขารู้ได้ไง ว่าคุณกับผมรู้จักกัน เขาเข้าทางคุณอย่างมีแผน เพื่อยั่วให้ผมหึง ซึ่งมันก็ได้ผล ผมหึงจริงๆ ตอนแรกผมคิดว่าคุณไม่รู้ว่าเขาเป็นผู้ชาย แล้วสวยๆอย่างคุณแคทอาจจะหลอกใครได้หลายคน แต่ผมก็รู้ว่าที่จริงคุณก็มีรสนิยมเดียวกันกับผมคือชอบผู้ชายด้วยกัน

ก็เลยยิ่งหึงหวงนักเข้าไปอีก ผมไม่มั่นใจว่าคุณรู้สึกกับคุณแคทแบบไหน พอคุณสองคนมาแนะนำว่าเป็นแฟนกัน ผมก็เลยโทรไปหาคุณแคท แล้วนัดออกมาเจรจากัน มันก็เหมือนมีคนเอาไม้ไปเขี่ยถ่านไฟเก่าให้มันปะทุขึ้น เรากลับมามีอะไรกันอีก แล้วครั้งนี้ดูท่ามันจะไม่เลิกราง่ายๆ”

“แล้วพี่จะให้ผมทำอย่างไรละครับ”

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-02-2009 12:52:28
ย้อนถามออกไปอย่างไม่เข้าใจจุดประสงค์ของพี่สมชายนัก

“ตอนนี้ผมจะไปตามเมียผมกลับมาก่อน ผมคงไม่ทิ้งลูกและเมียของผมแน่นอน แล้วผมก็จะไปคุยกับคุณแคทให้รู้เรื่อง บางทีถ้าต้องเลือก ผมอาจจะทิ้งเธอ เพราะเราอยู่ด้วยกันไม่ได้ ถึงอย่างไรสังคมก็คงไม่ยอมรับ อีกอย่างผมสงสารลูกและเมียของผมด้วย จะปล่อยให้ลูกของผมกำพร้าพ่อได้อย่างไร

ผมไม่อยากให้ลูกอับอายที่พ่อเลือกกระเทยแปลงเพศมาแต่งงานด้วยแทนแม่ของเขา แต่ถ้าผมทำแบบนี้ คุณแคทจะต้องโกรธ เพราะเธอลงทุนทำถึงเพียงนี้ คงไม่ยอมเลิกราง่ายๆ ผมเลยอยากอขอร้องให้คุณยุติการเกี่ยวข้องเรื่องนี้

อย่าให้คุณแคทมาหาคุณที่บ้านอีก อย่าไปไหนตามคำชวนของเธอ อย่าปล่อยโอกาสให้เธอใช้คุณเป็นเครื่องมือยั่วผม ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าคุณสองคนไม่ได้รักกันจริงๆ แล้วคุณก็มีนายเดียร์ทั้งคน ถ้าคุณยังขืนช่วยคุณแคท ก็เหมือนมีส่วนทำให้ครอบครัวของผมบ้านแตกสาแหรกขาด”

สิ่งที่ออกจากปากของพี่สมชาย ทำให้ผมได้เห็นธาตุแท้ของผู้ชายเห็นแก่ตัว ผมรู้ว่าพี่สมชายลำบากใจในการที่จะชี้ชัดลงไปว่าคนไหนที่เขาต้องการใช้ชีวิตอยู่ด้วย แต่การจับปลาสองมือในเวลาเดียวกันอาจจะทำให้เขาไม่เหลือปลาสักตัวไว้กิน

พี่สมชายคงจะรู้เรื่องนี้ดี จึงพยายามจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง ผมว่าเขาคิดถูกแล้วที่จะไม่ทำร้ายเมียและลูก เพราะจะทำให้มีคนเสียใจถึงสองคน แต่ผมไม่ชอบใจตรงที่พี่สมชายพูดถึงเหตุผลในการที่จะทิ้งขว้างคุณแคท ทั้งๆที่เขาก็รู้ตั้งแต่แรกว่าเธอเป็นอะไร แต่เขาก็เลือกที่จะคบหาด้วย

พอถึงเวลาที่ปัญหามันเกิด เขากลับจะทิ้งเธอไม่ใยดี โดยอ้างว่าเธอไม่คู่ควรเป็นภรรยาเขา ทั้งๆที่เหตุผลที่ยกมา เป็นเรื่องที่เขายอมรับและเอาตัวไปพัวพันกับเธอจนเกิดเรื่อง ถ้าเขาให้เหตุผลในการเลิกราดีกว่านี้ ผมอาจจะยังรู้สึกเคารพเขาอยู่ แต่พอเขาพูดมาแบบนี้ทำให้ศรัทธาที่มีต่อเขาพังทะลาย

เรื่องที่เขาขอร้องผม เป็นสิ่งที่ผมคิดไว้แล้ว ผมตั้งใจจะพูดกับคุณแคทไปตามตรง ว่าผมไม่สบายใจที่จะเป็นส่วนหนึ่งในแผนการของเธอ การได้เห็นน้ำตาของพี่วิภา และการได้ทราบข่าวว่าเธอหนีออกจากบ้านเพราะน้อยใจในตัวสามี ทำให้ผมรู้สึกเสียใจ และละอายต่อสิ่งที่ตัวเองทำลงไป

แม้ผมจะไม่ใช่ตัวต้นเหตุโดยตรง แต่การที่ช่วยคุณแคทจนพี่สมชายหึง แล้วย้อนกลับมาผูกพันกันใหม่ จนกระทั่งพี่วิภามารู้เข้า มันก็ทำให้ผมหลีกเลี่ยงที่จะรับผิดชอบด้วยไม่ได้

พี่สมชายกลับไปแล้วพร้อมกับคำรับปากของผมที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาบอกผมว่าจะไปตามหาแฟนของเขา บางทีเธออาจจะไม่ไปไหนไกล ผมเองก็อยากให้เป็นเช่นนั้นอยากให้เขากลับมาคืนดีกัน ผมจะได้บาปน้อยลง

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-02-2009 12:52:59
เดียร์เตรียมข้าวของเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนที่ผมเดินกลับเข้าไปข้างใน เขาถามผมว่าเกิดอะไรขึ้น พี่สมชายมาหาด้วยเรื่องอะไร ผมเลยเล่าเรื่องที่พี่วิภาหนีออกจากบ้านให้ฟัง โดยงดเว้นไม่เล่าเรื่องในส่วนที่เกี่ยวกับคุณแคท เดียร์รับฟังเฉยๆโดยไม่พูดว่าอะไร

แต่ผมรู้ว่าเขาเองก็ไม่ชอบที่พี่สมชายทำแบบนี้เหมือนกัน เพราะเดียร์เองค่อนข้างสนิทกับพี่วิภามาก เวลาที่ผมไม่อยู่หรือกลับดึก เดียร์จะชอบไปเล่นกับพี่วิภาและลูกบ่อยๆ ซึ่งพี่วิภาก็ให้ความเอ็นดูกับเดียร์มาก ไม่เคยนินทาว่าร้ายเดียร์ หรือ เอาเรื่องที่เดียร์อยู่กับผมไปนินทา

ทั้งที่พี่วิภาเป็นคนช่างพูด ขี้สงสัย แต่เธอก็เชื่อเดียร์ ที่บอกกับใครต่อใครว่าเป็นน้องชาย เป็นญาติของผม สาเหตุที่สองคนนี้เข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย เป็นเพราะเดียร์ทำอาหารเก่ง พี่วิภาชอบคุยกับเด็กหนุ่มเรื่องเคล็ดลับการทำอาหาร บางครั้งก็ให้ช่วยสอนสูตรแปลกๆ เพื่อที่จะได้ทำให้พี่สมชายทาน

และบ่อยครั้งที่สองคนจะมานั่งคุยกันแก้เหงา ระหว่างที่เดียร์รอผมกลับบ้าน และพี่วิภารอพี่สมชาย แถมซ้ำเดียร์ยังเคยช่วยพี่วิภาเลี้ยงลูกอีก พี่วิภาจึงรักเดียร์เหมือนเป็นน้องชายคนหนึ่งทีเดียว ดังนั้นพอเกิดเรื่องขึ้นเดียร์จึงเข้าข้างพี่วิภาเต็มที่

“พี่สมชายนี่ก็เหลือเกิน ยึกยึกอยู่ได้ จะเลือกอะไรก็ไม่เลือกไปสักอย่าง รักพี่เสียดายน้องอยู่นั่นแหละ เลยต้องทำให้คนหลายๆคนต้องเจ็บปวด ที่จริงน่ะ น่าจะคิดออกได้แล้วนะว่าสิ่งใดที่ทำให้ตัวเองมีความสุข

ยิ่งยื้อนานตัดสินใจไม่ได้ ก็จะยิ่งทำให้เรื่องมันเลวร้ายลงไป แล้วนี่ พี่วิภาก็ไม่อยู่แล้ว จะทำไงล่ะครับ ไปตามหรือเปล่า หรือจะทิ้งพี่วิภา แล้วไปหาผู้หญิงคนนั้น ฟังแล้วยิ่งไม่ชอบพี่สมชายครับ คนโลเลแบบนั้น คิดแต่ความสุขของตัวเองเป็นหลัก ไม่เห็นใจคนอื่นบ้างเลย”

เสียงของเดียร์เข้ามาในหูของผม และลอยวนอยู่ในโสตประสาทไม่ออกไปไหน เดียร์ทำให้ผมอึ้ง ถึงแม้เขาจะว่าพี่สมชาย แต่ผมรู้สึกเหมือนกับเดียร์ได้ว่าผมโดยที่เขาไม่รู้ตัว ผมเองก็ไม่ต่างจากพี่สมชายเท่าไหร่ โลเลตัดสินใจไม่ได้ เลือกไม่ถูกว่าจะยอมมีชีวิตที่สมบูรณ์เพรียบพร้อม โดยละทิ้งเดียร์ไว้ หรือจะยอมใช้ชีวิตอยู่กับเขาแล้วมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่

ก่อนที่เดียร์จะโมโหให้พี่สมชายไปมากกว่านั้น ผมเลยเล่าให้ฟังว่าพี่สมชายตัดสินใจไปตามพี่วิภาแล้ว และอาจจะเลิกรากับผู้หญิงคนใหม่ ผมไม่ได้บอกเหตุผลว่าเพราะอะไร เพราะไม่อยากจะต้องอธิบายยืดยาว ไหนๆก็ตั้งใจปิดแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องพูดให้เดียร์ฟัง

เด็กหนุ่มรู้สึกจะพอใจที่ได้ยินแบบนั้น ที่จริงแล้วเขาเองก็ไม่อยากจะให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดต้องเจ็บปวด หากพี่สมชายแน่ชัดว่าจะเลือกข้างไหน ย่อมมีบางคนที่ต้องเสียใจ แต่อย่างน้อยก็จะมีคนที่สมหวัง แต่ก็ยังดีกว่าที่จะปล่อยไว้แล้วทำให้คนที่เข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ต้องทนทุกขเวทนา จากความไม่รับผิดชอบของผู้ชายแค่คนเดียว

“เราอย่าไปคิดวุ่นวายกับเรื่องของคนอื่นเลยนะครับ ยุ่งเรื่องของเราดีกว่านะ ผมเตรียมอาหารเสร็จแล้วครับ เหลือแต่รออาบน้ำแต่งตัว กินข้าว แล้วก็ไป เรียวจะอาบน้ำพร้อมกับผมหรือเราจะแยกกันอาบดีครับ”

คนพูดทำหน้ากรุ้มกริ่ม แน่นอนผมต้องเลือกอย่างหลังสิ เขาทำหน้างอ เพราะคิดว่าผมจะให้รางวัลที่เขาทำความดี แต่พอผมปฏิเสธเขาก็บ่นปากยื่นปากยาว หาว่าผมหายเหนื่อยแล้ว ยังไม่รักษาสัญญาอีก ใจร้าย ใจดำ สารพัดจะหาคำพูดมาต่อว่าผม แม้เขาจะพูดเล่นๆ แต่ผมก็อดหมั่นไส้ไม่ได้ เลยยกเท้าถีบก้นเขาเบาๆ เด็กหนุ่มแสร้งทำเป็นโกรธ เขาคว้าผมไว้อย่างรวดเร็ว แล้วจับผมพลิกจากนั้นก็ฟาดที่ก้นของผมไม่แรงนัก แต่ก็เจ็บอยู่เหมือนกัน

“ทำโทษซะเลย ทีหลังอย่าใช้เท้าถีบสามีตัวเองแบบนี้นะครับ ไม่สุภาพรู้ไหม”

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-02-2009 12:53:35
แล้วเดียร์ก็ดันตัวผมไปจนชิดผนัง จากนั้นก็ปล้ำจูบผมเป็นพัลวัน ผมดิ้นหนี แต่เดียร์ก็เอามือมาตรึงแขนทั้งสองข้างของผมไว้เหนือหัว เมื่อไม่มีทางจะหลีกเลี่ยงแล้ว แถมซ้ำจุมพิตของเดียร์ก็ยังหวานเรียกเลือดให้ฉีดพล่านทั่วกายของผมอีกด้วย ผมเลยจูบโต้ตอบเขาด้วยอารมณ์ร้อนแรงพอๆกัน

“น่ารักจริงๆเมียรักของผม”

ทันทีที่เดียร์ถอนริมฝีปากออก เขาก็ทำตาเยิ้มใส่ผม แล้วหยอกล้อด้วยถ้อยคำที่ทำให้ผมอายหน้าแดงเข้าไปใหญ่ เมื่อก่อนเคยนึกโมโหที่เขาทำราวกับว่าผมเป็นผู้หญิง เป็นเมียของเขาจริงๆ แต่ตอนนี้เฉยๆแล้ว เพราะเด็กหนุ่มหลุดคำพูดอย่างนี้ออกมาบ่อยๆ ผมเพียงแต่นึกหมั่นไส้เขาเท่านั้นเอง เลยแหวออกไป แสร้งทำเป็นเคือง

“ใครเป็นเมียนายกัน ไอ้เด็กลามก ขี้ตู่ หน้าด้าน หน้ามึนที่สุด”

เดียร์หัวร่อเอิ๊กอ๊าก ชอบอกชอบใจใหญ่ที่ถูกด่า เขาเอามือสองข้างยันฝาผนังไว้ ผมเลยหนีไปไหนไม่ได้ หน้าคมเข้มหล่อเหลาโน้มมาใกล้ๆแล้วเขาก็กระซิบยั่วเย้าที่ข้างหูผม

“ด่าเก่งนัก ระวังจะถูกปล้ำจูบจนพูดไม่ออกนะ ต้องให้ผมแสดงสถานะของคุณให้เห็นสักกี่ครั้งกันล่ะ ตอนนี้เลยดีไหม......”

เด็กหนุ่มทำเป็นครุ่นคิด แต่พอเห็นผมถลึงตาใส่ เขาก็ยิ้มกริ่มแล้วรีบบอกว่า ไม่เอาดีกว่า เดี๋ยวไม่ต้องออกจากบ้านไปเที่ยวกันพอดี แล้วเจ้าเด็กบ้าก็หัวเราะชอบใจเสียงดังลั่น ก่อนจะปล่อยตัวผมให้ขึ้นไปอาบน้ำ

หนึ่งชั่วโมงถัดมา ผมก็พร้อมแล้วสำหรับการออกไปเที่ยวกับเดียร์ ตอนที่เดินลงมาข้างล่าง ผมเห็นเดียร์ยืนมองผมมาจากบันได หน้าตาหงิก

ผมงงที่เขาเปลี่ยนแปลงอารมณ์กระทันหัน เพราะเมื่อสักครู่ยังหยอกล้อผมเล่นอยู่เลย หรือว่างอนที่ผมลงมาช้านะ แต่ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะผมใช้เวลาตามปกติ อีกอย่างตอนนี้ก็เพิ่งจะ 9 โมงเอง ก็ยังไม่สายมากนัก ยังพอขับรถไปได้สบายๆ

พอเดินลงมายังบันไดขึ้นสุดท้าย ผมก็รู้ถึงสาเหตุที่ทำให้เดียร์ไม่พอใจแล้ว คุณแคทลียา เจ้าสันต์ ศักดิ์ชาย และอรจิราอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาที่ห้องรับแขกของผม ไม่รู้เกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจึงแห่กันมาหาผมที่บ้านอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา โดยไม่บอกกล่าวอีกด้วย เจ้าสันต์นะเจ้าสันต์ โทรมาบอกกล่าวผมหน่อยก็ไม่ได้ จะได้ตั้งรับได้ทัน

ผมมองเดียร์ซึ่งจ้องหน้าผมอยู่ก่อนแล้ว เขาคงไม่พอใจที่คนพวกนี้มาที่บ้าน เดียร์คงกลัวว่าผมจะยกเลิกการเที่ยวแล้วก็ไล่เขาหนีไปกระมัง เอาสิ อยากมาโดยไม่บอกกล่าว คงต้องการเห็นกันให้ชัดใช่ไหมว่าผมอยู่กันอย่างไร ในเมื่อจะจับผิด ผมก็ให้เห็นกันจะๆไปเลย ผมพยักหน้าให้เดียร์เดินตามมานั่งที่ห้องรับแขกด้วย เด็กหนุ่มเดินตามผมมาอย่างระแวง

“ลมอะไรหอบพวกแกมาหือสันต์ แหม โทรมาบอกหน่อยก็ไม่ได้นะโว้ย จะได้เตรียมการต้อนรับ”

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-02-2009 12:54:05

ผมเหน็บเจ้าเพื่อนรัก มันหน้าเจื่อนๆ มองผมอย่างต้องการให้ยกโทษให้มัน แต่ผมแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น นึกโกรธมันในใจ

“เราไม่ได้มาด้วยกัน หรือนัดกันมาหรอกค่ะ แคทมานี่เพราะมีเรื่องจะคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว ส่วนสันต์เขาก็มีเรื่องบางอย่างที่จะคุยกับคุณ เราบังเอิญมาเจอกันที่นี่ค่ะ”

คุณแคทลียาชิงอธิบาย สันต์พยักหน้าเป็นเชิงว่าเรื่องที่คุณแคทพูดถูกต้อง ผมหันมาทางศักดิ์ชาย และอรจิรา นึกในใจว่าแล้วสองคนนี้น่ะมาทำไม ศักดิ์ชายไม่ค่อยน่าแปลกใจเท่าไหร่ แต่อรจิราสิ เป็นเวลานานมากแล้วที่เธอไม่ได้เหยียบย่างมาบ้านผม

“ฉันลืมของไว้ที่บ้านนายน่ะ นึกขึ้นได้ ก็เลยมาเอา”

“อรมาเยี่ยมเจ้าหญิงค่ะ ไม่ได้เจอกันนาน คิดถึงมันค่ะ”

สองคนหลังนี่ เหตุผลฟังไม่ขึ้นเลย อยู่ๆจะมาคิดถึงผม หรือหมาถึงผมอะไรกระทันหัน จับผิดผมน่ะสิไม่ว่า สองตาของอรจิรายังไม่เหลือบแลเจ้าหญิงด้วยซ้ำ เจ้าสุนัขแม่ทิ้ง เลยไปหมอบอยู่แทบเท้าของเดียร์ซึ่งนั่งโซฟาตัวเดียวกับผม

อรจิราคงมาหาผมอย่างตั้งใจจะมาจับผิดมากกว่าอื่นใด เพราะเธอได้ลั่นวาจาไว้แล้ว ว่าจะกระชากหน้ากากของผม แล้วเธอคงจะพยายามทำตามคำพูดส่วนเจ้าศักดิ์ชายเคยบอกแล้วว่าเขาไม่เห็นด้วยเรื่องผมกับเดียร์ มันคงมาที่นี่ด้วยจุดประสงค์บางอย่าง ผมมองคนทั้ง 4 อย่างหนักใจ นึกสงสารเดียร์ขึ้นมาทันที นี่ผมจะไล่คนพวกนี้ออกจากบ้านไปดีหรือเปล่า มันจะขัดกับมารยาทที่ดีไหม

“จะไม่แนะนำให้รู้จักหนุ่มน้อยคนนี้หน่อยเหรอคะ”

อรจิราปรายตามาทางเดียร์แล้วยิ้มเยาะ จนผมรู้สึกหน้าชา ผมมองเห็นเดียร์ปรายตามองอรจิราตอบ ใบหน้าเรียบเฉย

“หลายคนในที่นี้ก็รู้จักดีนี่ครับ แต่จะแนะจำอีกก็ได้ นี่คือเดียร์เพื่อนผม แล้วนี่คือ คุณสันต์ คุณศักดิ์ชาย คุณแคท และคนสุดท้ายคุณอรจิรา”

ผมแนะนำให้ทุกคนรู้จักกันอีกครั้ง

“เมื่อกี้เรียวบอกว่าเขาเป็นเพื่อน หรือเพื่อนชายคะ อรฟังไม่ถนัด”

นางร้ายในละครน้ำเน่าตัวจริงเสียงจริงมาแล้ว ผมคิดในใจด้วยความกลัดกลุ้ม พยายามมองหาภาพนางเอกใสซื่อที่เคยเป็นจุดขายในตัวของอรจิราที่ทำให้ผมหลงรัก แต่กลับไม่เห็นภาพนั้นอีกแล้ว มีแต่ภาพผู้หญิงใจร้ายที่คอยจ้องจะทำลายผมอยู่แทน

“คุณอยากจะได้ยินว่าอะไร ก็เติมคำลงในช่องว่างเอาเถอะนะอร เอาเป็นว่าผมปล่อยฟรีสไตล์แล้วกัน เพราะบางทีสิ่งที่ผมคิดกับสิ่งที่คุณคิดมันอาจจะไม่เหมือนกันก็ได้”

ย้อนกลับไปบ้าง ที่จริงไม่อยากพูดแรงๆกับพวกผู้หญิง โดยเฉพาะกับคนที่เคยเป็นคนรักเก่า เพราะความทรงจำดีๆที่เคยมีให้กันนั้นมันยังคงอยู่ในใจผม แต่อรจิราก็ถามล่อเป้าชวนให้ด่าเหลือเกิน ทำไมชอบที่จะฉีกหน้าผมต่อหน้าคนอื่นนักหนา เห็นเป็นเรื่องสนุกหรืออย่างไร ทำแบบนี้คิดว่าคนอื่นเขาจะไม่โต้ตอบกลับบ้างหรือ

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-02-2009 12:54:55
“ผมกำลังจะออกไปข้างนอกอยู่พอดี พวกคุณคงมาไม่ถูกจังหวะแล้วละครับ เอาไว้กลับไปที่ทำงานแล้วค่อยคุยกันดีไหมครับ ผมยินดีให้พวกคุณเข้าพบทุกคนเลย”

พูดตัดบทให้รู้ว่าผมยังไม่พร้อมจะพูดคุยกับพวกเขาในเวลานี้ เดียร์มีสีหน้าแช่มชื่นขึ้น หลังจากนั่งเงียบหน้าจ๋อยๆมาได้พักใหญ่ แต่แล้วคุณแคทก็ดับความหวังในการที่ผมจะไปเที่ยวสองคนกับเดียร์ด้วยการขอติดตามผมไปด้วย ผมมองหน้าเธออย่างงงๆ เธอจะตามผมไปทำไม แล้วเธอรู้หรือว่าผมจะไปไหน เพราะอะไรถึงอยากจะตามผมนักหนา ผมไม่ได้พาพี่สมชายไปด้วยสักหน่อย เธอจะได้ตามไปยั่วให้หึง

“งั้นฉันไปด้วยคนสิวะ เรียว กำลังเซ็งๆอยู่พอดี ว่าแต่นายจะไปไหนล่ะ”

ตอนแรกที่เจ้าสันต์พูด ผมกำลังนึกโมโหมัน ที่อยู่ๆก็จะมาเป็นมารความสุขของผมกับเดียร์ซะงั้น แต่เมื่อมองสบตามันก็รู้ว่า เจ้าสันต์คงไม่ได้อยากไปจริงจัง เพียงแต่อยากช่วยผมเท่านั้น การที่เราคบกันมานาน เลยพอจะรู้ว่ามันคิดอย่างไร มันคงจะไปทำหน้าที่เป็นไม้กันหมากันคุณแคทไม่ให้เข้ามาวุ่นวายกับผมและเดียร์มากนัก เป็นการไถ่โทษที่มาโดยไม่บอกไม่กล่าวนั่นเอง

“เฮ้น่าสนุกดีนะคะ ศักดิ์ อรว่าพวกเราทำงานกันมาก็หนัก ได้ปลดปล่อยกันบ้างก็ดี เราไปด้วยกับพวกเขาดีกว่า ไปด้วยคนนะคะเรียว หวังว่าคงจะไม่ขัดข้องนะคะ”

ขัดข้องสิ แถมซ้ำไม่พอใจมากด้วย ผมตะโกนก้องในใจ นี่มันอะไรกันนักหนา อยู่ๆก็ขนกันมาที่บ้านผมโดยไม่ได้รับเชิญ พอไล่ทางอ้อมว่าจะออกไปข้างนอก ก็ยังจะยกโขยงกันไปอีก ใจคอจะไม่ให้ผมและเดียร์มีความสุขกันตามลำพังตามประสาคู่รักเลยหรือไง แบบนี้ถ้าด่าไปเจ็บๆ พวกเขาจะคิดได้กันไหมหนอ แล้วจะทำให้ความสัมพันธ์ในฐานะเพื่อนร่วมงานมันพังลงไปไหม

“จะดีหรือครับ ที่ๆผมไปมันอาจจะไม่สนุกก็ได้”

พยายามข่มใจ ไม่แสดงอารมณ์โกรธออกมา พูดอ้อมๆแบบนี้ จะเข้าใจกันไหมนะ ว่าผมไม่ได้ต้องการอยากให้ไปด้วย

“เรียวจะไปไหนหรือคะ”

คุณแคททำเสียงหวานใส่ผม อะไรกันก็ไม่รู้ คุณแคทเนี่ย อยู่ๆก็อยากติดผมเป็นตังเมขึ้นมา อย่าบอกนะว่าจะเอาผมเป็นตัวแทนของพี่สมชาย ผมไม่ชอบนะที่จะมาคิดแบบนั้นกับผม

“ไปทำบุญที่บ้านเด็กพิการซ้ำซ้อนที่ปากเกร็ดครับ ช่วงนี้ไม่รู้เป็นไง มีแต่เรื่องไม่ดีเข้ามาในชีวิต เลยกะว่าจะไปทำบุญทำทานบ้างนะครับ เพื่อว่าอะไรๆในชีวิตจะได้ดีขึ้นครับ”

โกหกวันหนึ่ง คงบาปน้อยกว่าพูดคำหยาบ ด่าทอ หรือฆ่าคนกระมัง ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนอยากจะทำอย่างนั้นกับคนทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้า ความใจเย็นของผมเริ่มหดหาย และความร้ายในตัวของผมเริ่มแสดงออกมา นี่ผมมาถึงขีดจำกัดของความอดทนแล้วกระมัง

การที่มีคนเข้ามายุ่งวุ่นวายในชีวิต คอยสอดแนม คอยติดตามว่าผมจะไปทำอะไร กับใครที่ไหน มันเป็นเรื่องที่ทำให้ผมไม่สบายใจปวดเศียรเวียนเกล้าอย่างที่สุด ได้โปรดเถิดทุกๆคน คืนชีวิตส่วนตัวให้ผมบ้างได้ไหม ทำไม กับอีแค่รักผู้ชายคนที่เขาดีกับผมมากๆ ทุกคนถึงตามติดผมคอยสอดส่องยังกับเป็นตัวประหลาด

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-02-2009 12:55:19

“เด็กพิการซ้ำซ้อนหรือคะ....”

อรจิราตาโต ทำหน้าเหยเก ผมเห็นเดียร์มองไปที่แฟนเก่าของผม จากนั้นก็ก้มหน้าลอบยิ้มด้วยความขำ เด็กหนุ่มคงรู้แล้วว่าการที่ผมเปลี่ยนแปลงกระทันหัน เพราะผมต้องการสลัดพวกนี้ให้หลุดจากการติดตาม แต่เนื่องจากเดียร์เป็นคนนอก เขาพูดอะไรได้ไม่มาก จึงได้แต่นั่งเฉย ปล่อยให้ผมลงมือจัดการกับเพื่อนๆตัวยุ่ง

“ครับ เด็กที่พิการมาตั้งแต่กำเนิด แขนขาอาจจะไม่มี แถมซ้ำ ยังพิการทางด้านสติปัญญาด้วยครับ พวกเขาน่าสงสารมากเลยครับ ผมกะจะไปบริจาคสิ่งของ และบริจาคเงินไว้เป็นทุนรอนให้ใช้ซื้ออาหารและของใช้ให้เด็กครับ อรอยากไปด้วยไหม”

“ดีเลยเรียว ฉันก้อยากทำบุญด้วยเหมือนกันว่ะ”

ในขณะที่อรจิราทำท่าเหมือนไม่อยากไป แต่ไอ้เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดดันกลับตอบรับด้วยอาการกระตือรือร้น ร้อยวันพันปีไม่เห็นศักดิ์ชายเคยทำบุญที่ไหน คราวนี้เสนอหน้าอยากไปด้วย จะให้ผมคิดยังไง นอกจากมันต้องการไปเพื่อดูให้แน่ใจกับตาตัวเองว่าผมกับเดียร์ผูกพันกันแค่ไหน

“โอเค อยากไปก็ไป แคทกับสันต์ไปด้วยกันใช่ไหมครับ”

ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ชวนไปให้หมดเลย หวังว่าเดียร์คงไม่ว่านะ ผมคิดว่าเขาคงเข้าใจในตัวผม สถานการณ์มันเป็นอย่างนี้ ถ้าไปเที่ยวกันเหมือนเดิมคงลำบาก ติดไว้ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวผมจะมาชดใช้คืนให้เดียร์ในวันหลัง คราวนี้เพิ่มดอกเบี้ยให้ด้วย เป็นเที่ยวด้วยกันสองครั้งเลย แต่ขอให้ผ่านครั้งนี้ไปก่อนเถอะ

สองคนนั้นตกลงไปด้วยกันกับพวกเรา แก๊งค์ทำบุญโดยบังเอิญ จึงนัดแนะกันว่าจะขับรถตามกันไปที่ห้างสรรพสินค้า เพื่อเลือกซื้อของที่จะให้เด็กพิการ จำพวก อาหารและของใช้ประจำวัน ก่อนจะเดินทางไปยังบ้านเด็กพิการซ้ำซ้อนที่ปากเกร็ดเพื่อทำบุญกัน

พอแยกกันขึ้นรถ ผมก็กล่าวขอโทษเดียร์ที่ไม่ได้ไปเที่ยวกันตามที่ตกลงไว้ แถมอาหารที่เดียร์อุตส่าห์ปรุง เราก็ขนมาทำบุญจนหมด เด็กหนุ่มยิ้มให้ผมอย่างเข้าใจ บอกว่าผมทำดีที่สุดแล้ว เขาไม่ได้โกรธ และค่อนข้างเห็นใจผม แต่ที่เด็กหนุ่มสงสัยก็คือ ทำไมคนพวกนี้จึงมาวุ่นวายกับผมนัก

ผมก็ได้แต่อ้ำอึ้งพูดไม่ออก บอกไม่รู้เพียงแค่อย่างเดียว ผมไม่กล้าบอกเดียร์ไป ว่าคนเหล่านี้รู้เรื่องของเราสองคนหมดแล้ว และกำลังตามมาพิสูจน์ว่ามันจริงตามที่ลือหรือเปล่า ผมไม่อยากให้เดียร์หงุดหงิด หรือเกร็งเวลาอยู่กับคนพวกนี้ อยากให้เขาทำตัวตามธรรมชาติ ปล่อยให้ทุกอย่างมันดำเนินไปตามทางของมัน ไหนๆผมก็คิดว่าจะไม่ปิดใครอีกแล้ว ผมก็อยากจะดูเหมือนกันว่าพวกเขาจะรู้สึกอย่างไร รับได้ไหม กับเรื่องแบบนี้

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-02-2009 12:55:48
เด็กหนุ่มถามผมว่า จะให้เขาไปด้วยจริงๆหรือ การมีเขาไปปรากฏตัว จะทำให้ผมถูกจับตามอง ถูกจ้องจับผิดเอาหรือเปล่า เขาไม่อยากจะทำให้ผมต้องถูกนินทาว่าร้าย อาจจะกระทบกระเทือนต่อหน้าที่การงาน ทำให้ผมได้รับความเดือดร้อน ผมบอกให้เด็กหนุ่มเลิกกังวลใจ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ไม่วันใดวันหนึ่งพวกเขาก็จะต้องรู้ สู้ๆให้เห็นกันไปเลยดีกว่า

อีกอย่างเราไม่ได้ทำอะไรน่าเกลียด แค่ไปทำบุญด้วยกันเท่านั้น ไม่ได้ไปทำอะไรบัดสีบัดเถลิงเสียหน่อย ใครจะว่ายังไงก็ช่าง เราบริสุทธิ์ใจ พวกเขาก็คงจะไม่สามารถทำอะไรเราได้ พอผมพูดจบ เดียร์ก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ สิ่งที่ผมบอกเขาคงสร้างความพึงพอใจให้เด็กหนุ่มได้ไม่น้อย มันเหมือนผมยอมรับเขากับคนอื่นกลายๆ ทำให้เด็กหนุ่มมีความสุขมาก

เสียงโทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้นขณะที่ผมกำลังขับรถอยู่ ผมหยิบsmall talk มาเสียบแล้วกดรับสาย เจ้าสันต์โทรมา มันระล่ำระลักขอโทษผม บอกว่ามันไม่ได้พาคนเหล่านี้มา มันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อันที่จริง เจ้าสันต์มันตั้งใจจะมาหาผม เพื่อคุยเรื่องของคุณแคท เพราะมันไปสืบมาจนรู้ว่าคุณแคทมาขอผมเป็นแฟนด้วยจุดประสงค์อะไร แต่ไม่อยากคุยกันทางโทรศัพท์ เลยอยากจะมาหาที่บ้าน

กำลังจะโทรมาหาผม ศักดิ์ชายก็โทรเข้ามา ชวนมันมาบ้านผมด้วยกัน อ้างว่าลืมของไว้ แล้วก็อยากมาเที่ยวเล่นบ้านผมบ้าง มันนึกรู้อยู่แล้วว่าศักดิ์ชายเจตนาไม่ดีเท่าไหร่ คงอยากมาให้เห็นกับตาเรื่องเดียร์ แต่แก้เก้อ ด้วยการชวนสันต์มาด้วย แต่มันไม่รู้จะห้ามอย่างไร เลยบอกว่าจะมาก็มา แล้วศักดิ์ชายก็คงจะไปชวนอรมาด้วยกระมัง เพราะช่วงหลังสองคนเข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย ไปไหนด้วยกันออกบ่อย ไม่รู้ว่ามีแผนอะไรกันหรือเปล่า

ผมถามมันว่าแล้วไม่คิดจะโทรมาบอกให้ผมรู้บ้างหรือยังไง เล่นมาแบบไม่บอกกล่าว ถ้าหากผมไม่อยู่ในสภาพพร้อมที่จะให้เจอ จะไม่เสียหายกันไปใหญ่หรือ มันก็ขอโทษขอโพยบอกว่ามันลืม พอวางสายจากศักด์ชายปั๊บ คุณแคทก็โทรมาทันที แล้วอ้อนว่าอยากให้สันต์มาบ้านผมเป็นเพื่อนกัน มันไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร เพราะมันเองก็ต้องการมาที่นี่อยู่แล้ว เลยปล่อยเลยตามเลย

พอวางหูเสร็จ ก็รีบออกจากบ้าน กะว่าจะมาให้ทันก่อนพวกนั้น แต่รถก็มาติดอีก ทำให้มาถึงบ้านผมในเวลาไล่เลี่ยกัน เลยไม่มีเวลาจะอธิบาย แต่สันต์ก็รับปากว่าจะช่วยผมกับเดียร์กันคนอื่นออกไปไม่ให้มาวุ่นวายชขัดขวางความสุข

แต่ก่อนจะวางหู มันถามผมว่า ตั้งใจจะไปทำบุญจริงๆเหรอ ผมบอกเปล่า อยากไปสวนสนุก แต่ต้องเปลี่ยนโปรแกรมกระทันหัน มันก็หัวเราะแล้วบอกว่า เข้าใจแกล้งพวกนั้นดีจัง แถมยังบอกว่า เสร็จแล้วให้ไปที่เกาะเกร็ดต่อด้วยนะ ให้นั่งเรือ ตากแดดกันให้เข็ด ผมเห็นด้วยกับไอเดียนี้ทันที

เด็กหนุ่มถามผมด้วยความสงสัยทันทีที่ผมวางหู ว่ามีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า ผมไม่บอกความจริงกับเดียร์ แต่บอกกับเขาแค่ว่า สันต์โทรมาขอโทษที่ไม่บอกเท่านั้น เลยรบกวนเวลาเราสองคน จากนั้นผมก็บอกเดียร์ว่าจะไปเที่ยวเกาะเกร็ดกัน เพราะที่นั่นมีเครื่องปั้นดินเผาสวยๆ เดียร์อาจจะชอบ

แถมซ้ำยังมีขนมหวานอร่อยๆด้วย ไม่ได้ไปสวนสนุก แต่ไปชมบรรยากาศ บ้านริมคลองก็น่าจะดีเหมือนกัน เดียร์ยิ้มหวานให้ผม บอกว่า เขายินดีไปทุกๆที่ หากมีผมอยู่ด้วย เราสองคนสบตากัน และยิ้มให้กันอย่างมีความสุข

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-02-2009 12:56:11
พวกเราแวะซื้อของในห้างก่อนที่จะไปยังบ้านราชาวดี สถานสงเคราะห์เด็กพิการทางสมองและปัญญา ผมกับเดียร์ช่วยกันขนผ้าอ้อมสำเร็จรูป เสื้อผ้าเด็ก และข้าวสาร ใส่ในรถเข็น จำนวนมาก จากนั้น ก็ช่วยกันเลือกของเล่นให้กับเด็กๆ โดยเลือกของที่ไม่เป็นอันตรายเพื่อให้พวกเขาได้เล่นกัน

สันต์ และคนอื่นๆ ก็ไปเลือกของที่ตัวเองตั้งใจจะบริจาค เจ้าสันต์ซื้อนมกล่องไป 20 กว่าแพ็ค และพวกขนมคบเคี้ยวต่างๆ คุณแคทเลือกซื้อสมุดวาดเขียนและสีเทียนให้กับเด็กๆ เพื่อว่าพวกเขาจะได้หัดขีดหัดเขียนกัน ส่วนอรจิรากับศักดิ์ชาย เดินเลือกของไปมา แต่ไม่มีอันไหนถูกใจ เลยไม่ซื้อ แล้วบอกว่าขอบริจาคเป็นเงินแทน

ซื้อของเสร็จ ผมก็แวะกดเงิน ผมเบิกมาสองหมื่น ตั้งใจบริจาคเป็นทุนให้กับเด็กๆที่ด้อยโอกาส เดียร์กดของตัวเอง แล้วเอามาให้ผมห้าพัน บอกว่าเขาขอร่วมทำบุญด้วย ผมบอกว่าไม่ต้อง ใช้เงินของผมก็ได้ แต่เขาไม่ยอม บอกว่า ทำบุญทำกุศล ก็ควรจะใช้เงินในส่วนของตัวเอง ไม่เบียดบังคนอื่น

ผมก็ว่า อย่าคิดอะไรมาก แค่ใจเราศรัทธาก็พอ แต่เดียร์ก็บอกว่า เขาอยากใช้เงินของตัวเอง เขาไม่อยากรบกวนผม อีกอย่างเขาต้องทำตัวเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี จะมาพึ่งพาเงินของคนรักได้อย่างไร ต่อไปในภายภาคหน้า เขาอยากจะเลี้ยงดูผมให้ได้รับความสะดวกสบายไม่ต้องทำงาน อยู่กับบ้านคอยรอเขากลับมาก็พอ

ถึงแม้เดียร์จะพูดให้ดูตลก แต่ก็แฝงไปด้วยความจริงใจ คำพูดของเขาทำให้ผมอึ้งพูดไม่ออก เด็กหนุ่มคิดไกลจนถึงขนาดสร้างครอบครัวกับผมเลยหรือนี่ แถมซ้ำ ยังจะแสดงบทบาทเป็นผู้นำครอบครัวที่ดี ไม่ต้องให้ผมลำบาก

ทั้งๆที่เมื่อเทียบกันแล้ว เงินเดือนหลักแสนของผมมากมายกว่าเงินเดือนที่เขาได้จากการทำงานหลายที่ หลายเท่าตัวนัก ผมไม่ได้ดูถูกเดียร์ที่เขาไม่เจียมตัว แต่ผมซาบซึ้งในตัวเดียร์อย่างบอกไม่ถูก ผมเคยได้ยินมาว่า เกย์บางคนชอบให้คนอื่นเลี้ยงดูตัวเองเพื่อให้สุขสบาย แต่ยอดชายนายเดียร์ไม่เคยทำตัวพึ่งพิงให้ผมรู้สึกแบบนั้น

ถึงเขาจะมีรายได้น้อย แต่เขาก็พยายามแย่งออกค่าใช้จ่ายทุกอย่าง กับข้าวทุกมื้อ ผมแทบไม่ต้องจ่ายเงินเลย ให้ก็ไม่ยอมรับ อ้างว่าแลกกับที่ผมให้เขาได้พักอาศัย เดียร์ไม่เคยเบียดเบียนเงินผมเลยแม้แต่ครั้งเดียว

ไม่เกินเที่ยงขบวนของพวกเราก็ถึงสถานสงเคราะห์เด็กพิการทางสมองและปัญญา ผมเดินไปติดต่อเจ้าหน้าที่ แจ้งความประสงค์จะมาบริจาคเงินและสิ่งของ เจ้าหน้าที่ที่เป็นหญิงสูงอายุ ให้พวกเราเอาของมาวางรวมกันไว้ แล้วจดรายละเอียดว่าของมีอะไรบ้าง เดียร์รับอาสาจัดการให้ ในระหว่างทีรอผมก็หยิบโบร์ชัวร์ขึ้นมาอ่าน

ที่นี่จัดตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2517 ที่ตำบลบางตลาด อำเภอ ปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ในเนื้อที่ 10 ไร่เศษ และเปิดดำเนินการรับเด็กพิการเข้าอุปการะอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2519 เป็นต้นมา ทั้งนี้เพื่อรองรับเด็กพิการทางสมองและปัญญาซึ่งเข้ารับการสงเคราะห์ รวมอยู่ในสถานสงเคราะห์ต่าง ๆ ให้ได้รับการฟื้นฟูและพัฒนาที่เหมาะสมตามแนวทางสำหรับผู้พิการทางสมอง และปัญญา โดยเฉพาะ ปัจจุบันมีผู้รับบริการ ซึ่งเป็นผู้พิการทางสมองและปัญญา เพศชาย อายุเมื่อแรกรับเข้า สถานสงเคราะห์ ระหว่าง 7 – 18 ปี จำนวนมากกว่า 600 คน

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-02-2009 12:56:39
เด็กที่นี่จะแยกออกเป็น เด็กปัญญาอ่อน คือพวกที่มีระดับสติปัญญาและการเรียนรู้ต่ำกว่าบุคคลปกติตั้งแต่ระดับไม่รุนแรงมาก เด็กพิการทางสมอง เป็นพวกเด็กที่มีการเคลื่อนไหวผิดปกติ เนื่องจากสมองส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหวถูกทำลาย

เด็กที่มีอาการทางจิตประสาท หรือโรคบางอย่าง เช่น ลมชัก มีอาการก้าวร้าว ทำร้ายตนเอง ฯลฯ 00(กลุ่มนี้บางครั้งไม่มีภาวะปัญญาอ่อน) และสุดท้ายคือ เด็กพิการซ้ำซ้อน คือ จะมีอาการพิการร่างกายร่วมกับภาวะปัญญาอ่อน

เสียงเด็กร้องดังขึ้นเรียกความสนใจจากพวกเรา ผมหันไปดูเห็นเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง กำลังอุ้มเด็กหญิงวัยประมาณสักขวบหรือสองขวบ หน้าตาน่ารักน่าชัง แต่เธอพิการแขนสองข้างไม่มี เหลือขาข้างเดียว แต่อีกข้างหนึ่งลีบเล็ก และสั้นกว่าเป็นเหมือนแค่ก้อนเนื้อที่ยื่นออกมาจากร่างกายเท่านั้น เธอกำลังร้องไห้อย่างหงุดหงิด คงทำอะไรไม่ได้อย่างใจ

“น้องมุกเขาจะงอแงบ่อยๆค่ะ เขาพยายามจะช่วยเหลือตัวเอง หัดลุก แต่เขาทำไม่ค่อยจะได้ เพราะไม่มีแขนขาช่วยยัน ต้องกลิ้งตัวเอา เขาเลยหงุดหงิดบ่อยๆค่ะ แต่ตามปกติ เขาจะอารมณ์ดี ชอบฟังเพลงและกล่อมตัวเองให้นอน”

พี่เลี้ยงเด็กใจอารี อุ้มเด็กไว้ในวงแขน แล้ว อธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้น้องมุกร้องโยเยออกมา ผมเห็นเดียร์ยื่นมือออกไป ขออุ้มเด็กหญิงที่กำลังร้องไห้ พี่เลี้ยงคงเห็นแววอาทรในตาของเดียร์ เลยยื่นน้องมุกมาให้อุ้ม เด็กหนุ่มรับมากอดไว้อย่างไม่นึกรังเกียจพลางโยกตัวกล่อมไปมา สักพักน้องมุกก็เงียบ พอเดียร์ทำหน้าหลอกล้อ เด็กหญิงผู้พิการก็หัวเราะอย่างชอบใจ สงสัยน้องมุกจะหลงเสน่ห์เดียร์เข้าให้แล้ว

“ตายจริง เพื่อนคุณเก่งจังเลยนะคะ ทำให้น้องมุกหยุดร้องไห้ได้ สงสัยเข้าอกเข้าใจคนที่ไม่เป็นปกติเหมือนกัน”

เอาอีกแล้ว คำพูดที่ทำให้ความน่ารักของอรจิราลดหายไปกว่าครึ่ง ทำไมปากงามน่าจูบนั้น ถึงไม่พูดอะไรดีๆบ้าง หรือว่าหัวทุยสวยได้รูป จะไม่มีสมองอย่างที่เจ้าสันต์ชอบค่อนขอด ช่างกล้าพูดโดยไม่ไว้หน้าคนอื่นบ้างเลยนะ

หาว่าเดียร์เป็นคนไม่ปกติ เหมือนน้องๆที่พิการซ้ำซ้อนพวกนี้น่ะเหรอ คิดว่าคนเป็นเกย์คือคนพิการอย่างหนึ่งหรือไง ผมว่านะ คนที่บกพร่องด้านสติปัญญา น่าจะเป็นอรจิรามากกว่า ผมชักเริ่มทนไม่ไหว กับพฤติกรรมตามล้างตามผลาญของเธอเสียแล้ว

แค่ปล่อยข่าวให้ผมเสียหายในที่ทำงาน ผมยังไม่มีโอกาสได้ต่อว่าเอาเรื่องกับเธอเลย น่าจะคิดบ้างว่าผมใจดีกับเธอแค่ไหน เห็นแก่ว่าเราเคยรักกันมาก่อน ครั้งหนึ่งเธอเคยทำให้ชีวิตของผมมีความสุขจนถึงขนาดจะแต่งงานด้วย ถึงแม้จะช่วงสั้นๆก็ตาม แต่ผมก็ยังคงจดจำภาพที่งดงามนั้น และไม่เคยคิดจะทำร้ายเธอเลยแม้แต่น้อย แต่ทำไมเธอถึงจ้องจะเล่นงานผมนัก

ทั้งๆที่โมโหให้กับคำพูดของอรจิราแต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากทำเป็นไม่ใส่ใจคำพุดของคนรักเก่า ผมเดินไปหาเดียร์ และขออุ้มเด็กน้อยนั่นบ้าง แต่น้องมุกไม่ยอมมาหาผม ซุกตัวไว้ในอ้อมแขนแข็งแรงของเดียร์ จนผมแอบคิดในใจเล่นๆไม่ได้ว่าน้องมุกคงชอบความอบอุ่นที่เดียร์มอบให้ ขนาดผมเองยังรู้สึกดีทุกครั้งยามที่เขากอด นี่ถ้าน้องมุกโตเป็นสาวที่มีร่างกายครบถ้วนสมบูรณ์ ก็อย่าหวังเลยว่าผมจะยอมให้อยู่ในอ้อมแขนของเดียร์แบบนั้น

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-02-2009 12:57:29
หลังจากเจ้าหน้าที่เช็คของที่พวกเรานำมาบริจาค และออกใบรับเงินทำบุญของพวกเราเรียบร้อยแล้ว เธอได้ให้พี่เลี้ยงเด็กคนหนึ่งพาพวกเราไปเยี่ยมชมสถานที่ เพื่อสัมผัสกับน้องๆผู้พิการ ช่วงที่เราไปถึงได้เวลาอาหารกลางวันพอดี มีผู้ใจบุญนำอาหารกลางวันมาเลี้ยงเด็กๆพิการด้วย ผมกับเดียร์เลยเอาอาหารที่พวกเราเตรียมไว้จะไปปิคนิคกันให้กับแม่ครัวเพื่อแจกจ่ายให้เด็กๆได้ทานกันด้วย

หนุ่มน้อยของผมนั่งมองเด็กๆทานข้าวด้วยดวงตาที่รื้นด้วยน้ำตา ผมไม่เคยรู้เลยว่าเดียร์จะมีความอ่อนโยนในหัวใจได้ถึงขนาดนี้ ดูเหมือนเขาจะรู้สึกสะเทือนใจที่ได้เห็นสภาพของเด็กที่ด้อยโอกาส แต่ละคนถ้าไม่พิการแขนขา ก็ดูท่าทางจะมีปัญหาด้านสมองแต่พวกเขาก็ร่าเริงตามวัยของเขา ทุกคนพยายามอย่างมากที่จะดิ้นรนมีชีวิตอยู่ให้รอดได้ในโลกที่แสนโหดร้าย

อาจจะเป็นเพราะการได้เห็นพวกเขา มันทำให้เดียร์คิดถึงตัวเองสมัยยังเยาว์ที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง แล้วต้องไปอยู่กับคนอื่น ซึ่งคนที่เลี้ยงดูเขาก็ไม่ได้ให้การดูแลอย่างรักใคร่ เขาอาจจะโชคดีที่มีแขนขาครบถ้วน แต่ทางด้านจิตใจแล้วเขาได้รับแต่ความโหดร้าย

ญาติแท้ๆกลับไม่ให้ความเมตตาปราณีกับเขา เลี้ยงดูเดียร์เยี่ยงคนใช้ ตบตีด่าทอเหมือนว่าเขาไม่ได้สืบสายเลือดมาจากคนเหล่านั้น ชีวิตที่ขมขื่นในวัยเด็ก ทำให้เดียร์แสวงหาความรักเพื่อช่วยเยียวยาบาดแผลในใจ และเมื่อมีโอกาสที่จะมอบความรักให้กับใคร เขาเลยพยายามที่จะแสดงความรู้สึกนั้นออกมาอย่างเต็มที่

เดียร์อาสาเจ้าหน้าที่เข้าไปช่วยป้อนข้าว ป้อนน้ำให้น้องๆเหล่านั้น พวกเราหลายคนขยับตามรวมถึงผมด้วย อรจิราทำหน้าย่น ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยชอบการดูแลเด็กๆเท่าไหร่ เวลาที่เด็กเหล่านั้นเอื้อมมือมาดึงเสื้อ หรือจับแขนเธอ แฟนเก่าของผมก็จะสบัดอย่างลืมตัว

แต่พอเห็นเจ้าหน้าที่ และคนอื่นๆมองอยู่ เธอก็จะแสร้งทำเป็นอ่อนหวานใส่เด็กๆ แต่ก็รีบปลีกตัวหนีออกไปยืนข้างนอกอย่างรวดเร็ว อ้างว่ารู้สึกไม่สบาย ต่างกับคุณแคทที่ดูจะเข้ากันได้ดีกับพวกเด็กๆ พอๆกับเดียร์และเจ้าสันต์




ผมมองเดียร์ที่ถูกมะรุมมะตุ้มจากพวกเด็กๆ แล้วอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ เด็กๆดูจะชอบหน้าตาหล่อๆของเขา จึงยื่นมือมาจับมาลูบใบหน้า บางคนก็กอดคอเขา บางคนก็ดึงเสื้อ ดึงกางเกงเดียร์จะให้มานั่งด้วย ซึ่งเดียร์ก็ตามใจเด็กเหล่านั้นโดยไม่เดียดฉันท์

แม้ว่าแต่ละคนจะน้ำลายฟูมปาก หรือกินเลอะเทอะ ขี้หูขี้ตาเกรอะกรัง หรือโยเยก้าวร้าวแค่ไหน พ่อหนุ่มน้อยก็ไม่เลือกปฏิบัติ เขาดีกับเด็กๆเท่าเทียมกัน ไม่รู้ว่าเด็กที่มีความอ่อนด้อยทางปัญญาจะสามารถแยกแยะความงามกับความขี้เหร่ออกจากกันได้หรือเปล่า แต่สิ่งหนึ่งที่เด็กรับรู้ได้ว่าเดียร์มีอย่างเปี่ยมล้นคือความเมตตาอารี

“เฮ้ย นายเดียร์ของนายนี่มันมีเสน่ห์กับคนรอบข้างเสียจริง ขนาดเด็กพิการยังรับรู้เลยว่าเด็กนั่นจิตใจดีแค่ไหน แต่นายซึ่งสติปัญญาดีกว่า ทำไมถึงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นความดีของเด็กนั่นวะ”

เจ้าสันต์มาอยู่ข้างผมเมื่อไหร่ไม่รู้ มันพูดกระซิบหยอกจากนั้นก็ชิ่งหนีไปเพราะกลัวถูกด่า ผมโต้ตอบมันในใจว่าทำไมผมจะไม่เห็น ผมรู้ดีว่าเด็กหนุ่มน่ารักเพียงใด และผมก็ตระหนักถึงคุณค่าในตัวของเขา ผมรักเดียร์มาก แต่ผมยังไม่มั่นใจพอที่จะแสดงออกให้ใครต่อใครรู้ต่างหาก

พวกเราใช้เวลาอยู่ที่สถานสงเคราะห์นั้นถึงบ่ายโมง จากนั้นก็ลาเจ้าหน้าที่กลับ สันต์เริ่มแผนกลั่นแกล้งพวกที่ตามผมมา ด้วยการชวนไปเที่ยวเกาะเกร็ด ซึ่งต้องลงเรือข้ามแม่น้ำไป คุณแคทเป็นคนแรกที่ยกมือขอตามไปด้วย ตามด้วยศักดิ์ชาย

ส่วนอรจิราซึ่งแต่แรกทำท่าอิดออด แต่พอถูกศักดิ์ชายคะยั้นคะยอ เธอก็เลยตกลงตามไปด้วย ผมกับสันต์มองหน้ากันและลอบยิ้ม อยากรู้เหมือนกันว่าจะตามไปได้แค่ไหน โชคดีที่เดียร์เองก็ทำตัวดี ไม่รุ่มร่ามให้ใครเขาจับผิด เด็กหนุ่มพูดน้อยมากๆ เขาจะตอบต่อเมื่อมีคนถามเท่านั้น เดินห่างกัน ส่วนใหญ่ จะเดินคุยกับสันต์มากกว่า

ผมเดาเอาว่าเดียร์คงรู้ว่ามีคนจ้องจับผิด เพราะบ่อยครั้งทีเดียวที่ผมเห็นศักดิ์ชายกับอรจิราคอยจับตามองเราสองคน แล้วเดียร์หันไปเห็นพอดี ไม่ต้องเอ่ยมาเป็นคำพูดเราสองคนก็รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไร

การล่องเรือชมวิถีชีวิตชุมชนมอญเกาะเกร็ดของพวกเราได้เริ่มต้นขึ้นที่ท่าน้ำวัดปรมัยยิกาวาส โดยพวกเราขับรถไปจอดไว้ที่วัดสนามเหนือ แล้วขึ้นเรือข้ามฝากไปยังวัด โดยเราจะลงเรือต่อไปเพื่อเที่ยวชมบรรยากาศบ้านเรือนตามริมน้ำรอบๆเกาะ ซึ่งนอกจากจะมีบ้านเรือนชาวมอญให้เห็นแล้ว ยังมีสวนผลไม้ และแปลงปลูกผักปลอดสารพิษด้วย

เรือแวะเข้าไปจอดที่คลองขนมหวาน หรือที่เรียกอีกชื่อว่าคลองบางบัวทอง เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ชมวิธีการทำขนมไทย สามารถที่จะชิมฟรี หากถูกใจก็เลือกซื้อเป็นของฝากติดไม้ติดมือกลับไปได้

พ่อครัวเอกของผมไปยืนดูเขาทำขนมหวานด้วยท่าทางสนอกสนใจ เดียร์ชอบทำอาหารมาก เขาคงพยายามจดจำวิธีทำเอาไว้ใช้บ้าง ผมนึกถึงน้องๆที่ฝ่าย ไหนๆก็มาเที่ยวที่นี่แล้ว ก็เลยซื้อขนมไทยๆไปฝากพวกเขาบ้าง ทุกคนทำงานช่วยผมอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย น่าที่ผมจะตอบแทนความมีน้ำใจของเขาบ้าง ไปๆมาๆ ผมหมดเงินไปกับการซื้อขนมหวานอร่อยๆไปเกือบสองพันบาท ทั้งซื้อเก็บไว้กินเอง และฝากชาวบ้านเขา

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-02-2009 12:57:51
จ้าสันต์เห็นผมซื้อขนมมากมาย ก็แกล้งแซวว่าผมจะเปิดร้านขายขนมหรือไง ผมหัวเราะแล้วบอกว่าจะซื้อไว้เป็นของฝากชาวบ้านเขา แล้วย้อนถามมันว่าไม่ซื้ออะไรให้ใครบ้างเลยหรือ มันบอกว่าของหวานกับมันไม่ค่อยถูกโรคกัน เอาไว้ไปถึงชุมชนเครื่องปั้นดินเผา ค่อยซื้อของกระจุ๊ก กระจิ๊กแต่งบ้านให้ดีกว่า แต่เลือกให้เฉพาะคนที่สมควรได้เท่านั้น ผมเลยด่ามันว่าไอ้งก เงินเดือนก็มากมาย ยังจะมาขี้ตืดกับเด็กในฝ่ายอีก มันก็หัวเราะบอกว่า เงินมันมีเอาไว้สำหรับใช้ส่วนตัวเท่านั้น เรื่องอื่นมันไม่สน

คุณแคทกับอรจิราได้ขนมกันมาคนละ 3-4 ถุง พอเห็นผมถือถุงใส่ขนมมากมาย อรจิราก็ทำตาโต แซวผมว่าช๊อปปิ้งเก่งยิ่งกว่าผู้หญิงอีก ผมได้แต่ยิ้มไม่พูดว่าอะไร เบื่อจะต้องมานั่งอธิบายในสิ่งที่ตัวเองทำ ใครอยากจะเข้าใจว่าอย่างไรก็เชิญ

เรือจอดให้เราพักซื้อขนมนานพอสมควร ผมเลยเดินไปนั่งพักตรงท่าน้ำ รอให้เขาเรียกขึ้นเรือ ตรงที่ผมนั่งอยู่สามารถมองเห็นเดียร์ได้ด้วย คุณแคทสบโอกาสที่เห็นผมอยู่คนเดียว จึงเดินเข้ามานั่งใกล้ๆผม เนื่องจากเวลามีน้อย เธอไม่พูดพล่ามทำเพลง โพล่งเข้าเนื้อเรื่องเลย

เธอขอคำปรึกษากับผมว่า จะทำอย่างไรดี เรื่องแฟนของเธอ ตอนแรกคิดว่าน่าจะไปได้สวย เพราะว่าเขาหึงหวง และกลับมาหาเธอ ทว่ามีความสุขได้แค่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว เขาก็ทำท่าจะตีจาก เพราะเมียของเขารู้เรื่อง

คุณแคทไม่ได้เอ่ยชื่อของคนที่เกี่ยวข้องด้วย ถึงผมคันปากอยากจะพูดออกไป แต่ในเมื่อเธอไม่ยอมรับออกมา ผมก็จะไปกล่าวหาเธอไม่ได้ จึงได้แต่ให้คำแนะนำกลางๆไปว่า ความรักของเธอมีอุปสรรคตรงที่ฝ่ายชายแต่งงานและมีลูกแล้ว ความผูกพันธ์ที่มีอยู่ย่อมมากกว่า

ดูท่าเธอจะไม่ค่อยพอใจกับคำแนะนำของผมนัก ทำท่าจะคุยต่อ แต่ถูกเรียกให้ขึ้นเรือเสียก่อน ผมเลยไม่ต้องฟังคำพร่ำพรรณาของเธอ ตอนนี้ผมไม่ค่อยอยากจะช่วยเธอสักเท่าไหร่ เพราะไม่อยากไปทำร้ายครอบครัวของคนอื่น

เดียร์เห็นผมถือของมากมาย เลยกุลีกุจอมาช่วยเหลือ จังหวะหนึ่งที่มือของเราแตะกันโดยบังเอิญ ความอบอุ่นจากมือของเดียร์แผ่นซ่านเข้ามาสู่มือของผม แม้จะเพียงแค่สัมผัสผิวเผินเท่านั้น ผมเงยหน้าขึ้นมองเดียร์ ตาของเราประสานกัน

ผมยิ้มให้เด็กหนุ่ม ซึ่งเขาก็ยิ้มให้ผมอย่างอ่อนหวาน พอผมละสายตาจากเดียร์หันไปทางเพื่อนๆในกลุ่ม ก็เห็นทุกคนจ้องมองผมกับเดียร์อยู่ก่อนแล้ว แววตาของแต่ละคน ครุ่นคิดกับภาพที่เห็นแตกต่างกันออกไปจนผมรู้สึกได้

“แหม เมื่อกี้นี้ เป็นช๊อตที่หวานน่าดูเลยนะคะ เหมือนกับเป็นคู่รักกันเลย”

แฟนเก่าของผมพูดพลางยิ้มเยาะ ศักดิ์ชายหน้าแดงก่ำ เม้มริมฝีปากแน่น มองผมด้วยแววตาโกรธเคือง คุณแคททำหน้าเฉยๆ มีแค่รอยยิ้มบางๆระบายบนใบหน้าเท่านั้น ส่วนเจ้าสันต์เพียงแค่ยักไหล่ แต่แล้วปากคันๆของมันก็อดรนทนไม่ได้ ต้องพูดแหย่อรจิราขึ้นมา

“อิจฉาหรือครับ คุณอร หาคนมาทำหวานด้วยแบบนี้ไม่ได้หรือไง ได้ข่าวว่าช่วงนี้โสดสนิทไม่ใช่เหรอ แฟนไม่มาหรือแฟนไม่มีอ่ะ”

อรจิราค้อนขวับ ที่เจ้าสันต์พูดจี้ใจดำ ใครๆเขาก็พูดกันไปทั่ว ว่าอรจิรากับคุณอนันต์เลิกกันแล้ว ตอนนี้คุณอนันต์ไปเมืองนอก อีกหลายเดือนกว่าจะกลับ มันเลยทำให้ข่าวนี้น่าเชื่อถือขึ้น

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-02-2009 12:58:22

“ไม่ได้อิจฉาหรอกค่ะ แค่สังเกตเห็นว่า คุณเรียวกับเพื่อนดูจะสนิทสนมรู้ใจกันเป็นพิเศษ เกินกว่าจะเป็นเพื่อนกันอีกค่ะ ท่าทางจะรักกันดี ที่พูดนี่ชื่นชมนะคะคุณสันต์ อรไม่ได้ว่าอะไรนะ”

เจ้าสันต์แค่นยิ้ม มันเดินมาหาผม แล้วแทรกกลางระหว่างผมกับเดียร์จากนั้นมันก็โอบไหล่ผม ตอนแรกผมก็งงว่ามันมากอดผมทำบ้าอะไร ร้อนก็ร้อน อายคนด้วย แต่พอมันพูดผมจึงถึงบางอ้อ เข้าใจทันทีว่ามันต้องการช่วยผมนั่นเอง

“ครับผมรู้ อรก็แค่สงสัย แต่อรก็ไม่เคยถามไง เหมือนเมื่อก่อนที่ผมสนิทกับเรียว ไปไหนด้วยกัน กอดกันแบบนี้ อรก็ยังเอาไปคิดได้ว่าเราเป็นแฟนกันไง ใช่ไหมเรียว”

อรจิราหน้าแดงก่ำ เมื่อได้ยินเจ้าสันต์ขุดคุ้ยความหลังขึ้นมาพูด

“มันเหมือนกันที่ไหนกันละคะ คุณสันต์ ตอนนั้นมันอาจจะไม่ใช่ แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันอาจจะเปลี่ยนแปลงแล้วก็ได้ ใครจะรู้จริงไหมคะเรียว”

ท้ายประโยคหันมาย้อนถามผม สีหน้าและแววตาท้าทาย ผมผงกหัวให้อรจิรา รู้สึกเซ็งๆที่คนรักเก่าหาเรื่องลากผมเข้าไปเกี่ยวด้วยจนได้

“ครับ คงงั้นมั๊ง บางที เราอาจจะเริ่มคิดได้ ว่าใครกันที่ทำให้เรามีความสุข ดีกับเราเสมอต้นเสมอปลาย ไม่เคยทิ้งเราในยามยาก และไม่จ้องทำลายเราด้วยน่ะครับ อรล่ะ เคยมีใครที่อรอยากจะดีกับเขาแบบนี้บ้างหรือเปล่า คนที่เราพร้อมจะทิ้งทุกอย่างเพื่อเขา แม้แต่การเปลี่ยนแปลงนิสัยที่ไม่ดีของตัวเอง ลองหาดูสักคนนะครับ มันช่วยทำให้ชีวิตเราดูมีค่ากว่าเดิมนะ”

อรจิราหน้าซีด แล้วก็แดงก่ำ ตามองผมอย่างเคียดแค้น ผมเบือนหน้าหนี ไม่อยากมองสบตา กลัวจะใจอ่อน อันที่จริงเมื่อพูดเหน็บอรจิราออกไปแล้ว ก็ใช่ว่าผมรู้สึกดี ผมไม่ชอบมีเรื่องกับใคร หรือพูดจาทำให้คนอื่นเสียใจ แต่เมื่อกี้มันอดรนทนไม่ไหวจริงๆ เลยจำเป็นต้องโต้ตอบอรจิราบ้าง เธอจะได้หยุดพฤติกรรมที่ไม่ดีเสียที

“เฮ้ย เมื่อกี้หูฉันฝาดไปหรือเปล่าล่ะ คนที่ใจเย็นเป็นน้ำแข็งขั้วโลกอย่างนาย กลับร้อนเป็นไฟราวภูเขาที่มีลาวาเดือดอยู่ข้างใต้ นายโต้ตอบยายอร เจ๋งไปเลยว่า สงสัยคราวนี้หน้าคงชา กลบความหน้าด้านของตัวเองไปเลย”

สันต์ซึ่งนั่งเลือกที่จะนั่งอยู่ข้างๆผม หลังจากที่เราขึ้นเรือเรียบร้อยกล่าวชม ท่าทางสะใจที่ผมเล่นงานอรจิราได้ ตามปกติ มันชอบด่าว่าผมเป็นไอ้ซื่อบื้อ ปล่อยให้แฟนเก่าเล่นงานอยู่ได้ข้างเดียว โดยที่ตัวเองทำตัวเป็นพ่อพระไม่เอาเรื่อง มันยุอย่างไรก็ไม่ขึ้น

ผมไม่เคยโต้ตอบอรจิราเลยสักครั้ง ผมบอกมันว่าไม่อยากทำร้ายผู้หญิงซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นแฟนเรา มันก็ค่อนขอดหาว่าผมมัวแต่ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษอยู่ได้ ผู้หญิงบางคนก็แย่เกินกว่าที่จะได้รับการเทคแคร์ดีๆจากพวกผู้ชาย เพราะพวกเธอทำตัวร้ายกาจเลยทำให้ผู้ชายเข็ดขยาด กลายเป็นเกย์กันไปหมด

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-02-2009 12:58:48
ผมไม่ตอบมัน ไม่หลงเชื่อไปกับคำยุยง ถึงอย่างไรผมก็ไม่อยากทำให้อรจิราเจ็บมากนัก ผมยังคงคิดว่าผู้ชายควรจะหนักแน่น และให้เกียรติผู้หญิงบ้าง เมื่อผมไม่พูดอะไร ต่างคนก็ต่างนิ่งเงียบ และให้ความสนใจไปกับทิวทัศน์ บ้านมอญขวาง ซึ่งเป็นบ้านที่ปลูกขวางแนวแม่น้ำเรียงรายกันอยู่ค่อนข้างหนาแน่นเต็มไปหมด

พอเรือจอดเทียบท่าที่วัดปรมัยยิกาวาส พวกเราก็พากันขึ้นจากเรือเพื่อเดินเท้าไปชมหมู่บ้านช่างปั้น ซึ่งมีชื่อเรียกว่าบ้านกวานอาม่าน จะเป็นชุมชนที่ยึดอาชีพ ปั้นเครื่องปั้นดินเผาเพื่อเลี้ยงชีพ ซึ่งที่นี่จะเป็นการปั้นแบบมอญโบราณ มีพวกกระถาง แจกัน และภาชนะดินเผารูปทรงแกะสลักสวยงาม

มีตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่ เดียร์เลือกซื้อพวกโมบายรูปทรงแปลกๆ ที่จะเอามาห้อยให้ลมมันพัด เขาเคยบอกว่าเสียงของมันดังกรุ๋งกริ๋งน่าฟังดี นอกจากนี้เดียร์ยังควักเงินตัวเองซื้อพวกรูปปั้นดินเผารูปทรงแปลกๆไว้ตั้งหลายชิ้น

แดดค่อนข้างร้อนมาก เพราะเป็นเวลาบ่ายแล้ว พวกผู้ชายอย่างเราไม่ค่อยกลัวแดด เดินได้อย่างสบาย ในขณะที่อรจิรากับคุณแคทต้องคอยวิ่งไปหลบแดดใต้ชายคาเป็นระยะ เจ้าสันต์ถูกอกถูกใจพวกแจกัน และอ่างน้ำเป็นพิเศษ มันกำลังอยากได้ของแต่งบ้านอยู่พอดี แต่เนื่องจากว่าการขนย้ายลงเรือจะทำได้ลำบาก เพราะมาคนเดียว มันจึงซื้อไปเฉพาะกระถางสวยๆเท่านั้น ช่างปั้นที่นี่ฝีมือดีทีเดียว

เราเดินเยี่ยมชมไปเรื่อยๆ ไม่นานก็รู้สึกหิวกัน เพราะตั้งแต่เช้า ยังไม่มีใครได้ทานอาหาร จึงพากันสอดส่ายสายตาหาร้านอาหารที่พวกเราจะนั่งพักรับประทานข้าวมื้อกลางวันกัน เนื่องจากเกาะเกร็ด จะเป็นชุมชนที่อยู่กลางแม่น้ำ จึงมีร้านค้าส่วนหนึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำ

เราเลือกได้ร้านที่เหมาะ น่านั่ง ลมเย็นพัดสบาย มีอาหารให้เลือกซื้อหลายอย่าง ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารพื้นเมือง ผมเดินไปดูว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง เดียร์ซึ่งหายไปคุยกับแม่ค้าพ่อขาย เดินเข้ามาหา และชี้ชวนให้ผมลองกินอาหารที่ทำจากหน่อกะลา เขาบอกว่าเป็นอาหารแนะนำขึ้นชื่อ เมื่อมาถึงแล้วต้องหากินให้ได้

หน่อกะลาเป็นพืชชนิดหนึ่ง คล้ายๆกับต้นข่า เขาว่ากันว่ามีสรรพคุณเหมือนเป็นยาที่ช่วยขับลมและแก้ร้อนในได้ มีอาหารที่ทำจากหน่อกะลามากมาย เดียร์กับผมเลือกซื้อ หน่อกะลายำ ห่อหมกหน่อกะลา น้ำพริกเผาทอดมันหน่อกะลา และต้มข่าไก่หน่อกะลามากิน

เจ้าสันต์ขอร่วมวงด้วย เพราะมันขี้เกียจเลือก คุณแคทก็เอาตามอย่างบ้าง อรจิราซึ่งกินยาก และไม่ค่อยเข้าพวกกับใคร เลือกกินข้าวแช่ เพื่อคลายร้อน ส่วนศักดิ์ชายทานก๋วยเตี๋ยวเรือ กับขนมจีนน้ำยา

เด็กหนุ่มซื้อกาแฟเย็นมาให้ผมทานด้วย ซึ่งบรรจุอยู่ในภาชนะดินเผามีหูหิ้ว สามารถนำกลับบ้านได้ นอกจากนี้เขายังซื้ออาหารว่างพวกไก่โสร่ง ถุงทองมาให้ผมทานอีก การเอาใจใส่ที่เดียร์มีต่อผม อยู่ในสายตาของศักดิ์ชายและอรจิราที่จ้องมองมา

เพื่อนเก่าของผมคงทนไม่ได้ที่เห็นเด็กหนุ่มดูแลผมอย่างดี เลยแซวขึ้นมาว่า ผมคงทานข้าวได้มากกว่าคนอื่นๆ เพราะมีคนเอาใจไม่ห่าง เจ้าสันต์หัวเราะก๊าก ตอกหน้าศักดิ์ชายชนิดที่ผมก็อายแทน มันย้อนถามไปว่า ศักดิ์ชายต้องการเปลี่ยนคนที่จะเอาใจผมหรือเปล่า มันอยากจะมาทำหน้าที่นี้แทนเดียร์ใช่ไหม ศักดิ์ชายนิ่งเงียบ ทำหน้าบอกบุญไม่รับ คงโมโหที่สันต์รู้ทัน แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-02-2009 12:59:31
ทานข้าวกันอิ่มแล้ว พวกเราก็เดินย่อยอาหารด้วยการเดินเที่ยวไปเรื่อยๆ นายเดียร์ของผมดูจะให้ความสนอกสนใจเป็นพิเศษกับข้าวของที่ขายอยู่ตามร้านรวงสองข้างทาง บางร้านขายขนมที่เราเคยเห็นกันในสมัยก่อน แต่ปัจจุบันไม่ค่อยได้เห็นนักในกรุงเทพ มีของเล่นด้วย

เดียร์เดินไปหยุดอยู่ที่ร้านขนมโบราณย้อนยุค มีขนมจำพวกกิมจ๊อ เยลลี่กระดาษสี ลูกอมไข่รสส้ม และขนมฝรั่งกุฎีจีน ของพวกนี้ผมเคยกินสมัยยังเป็นเด็กๆ แล้วก็ไม่เคยเจออีกเลย พอเห็นอีกทีก็อดไม่ได้ที่จะหวนรำลึกถึงวันเก่าๆ

คุณแคทท่าทางสนอกสนใจไม่น้อย เธอเป็นพวกลูกคนรวย กินแต่ของนอกราคาแพง พอมาเจอขนมแปลกๆแบบนี้ก็อดถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกไม่ได้ พออรจิราเห็นคุณแคทเอากล้องขึ้นมาถ่าย เธอก็เอามือถือของเธอขึ้นมาบ้าง หากแต่โฟกัสคงไม่ได้อยู่ที่ขนม แต่เป็นผมกับเดียร์ที่กำลังเลือกของอยู่หน้าร้าน แต่เอาเถอะ อยากจะถ่ายก็ถ่ายไป ผมไม่ได้ทำอะไรผิด และผมก็ไม่คิดจะปิดบังอีกต่อไปแล้ว มันทรมานความรู้สึกของตนเอง

หลังจากเดินกันอย่างเพลิดเพลิน เข้าซอกนั้นซอยนี้เพื่อเยี่ยมชมบ้านของชาวมอญ เลือกหาซื้อของฝากจำพวกเครื่องปั้นดินเผาและงานไม้ พวกเราก็เดินไปที่ท่าเรือเตรียมตัวกลับ ผมซื้อของมากมายหอบกันพะรุงพะรังสองคนกับเดียร์ ไหนๆก็มาแล้ว ไม่อยากเสียเที่ยว

นี่ถ้าเอารถมาได้ ผมคงจะขนไปมากกว่านี้ แต่แค่นี้ก็ทำให้ถูกแซวจากเพื่อนๆในกลุ่มแล้ว โดยเฉพาะศักดิ์ชายที่ค่อนขอดผมว่า ดูเหมือนผมจะมีความสุขกับการเที่ยวครั้งนี้มากกว่าคนอื่นๆนะ ทั้งๆที่ร้อนๆก็ร้อนเหนื่อยก็เหนื่อย

ผมก็เลยย้อนมันไปว่า ผมตั้งใจจะมาเที่ยว ก็ต้องทำตัวให้สนุก พวกเจ้าศักดิ์ขอตามมาเอง ผมก็บอกแล้วว่า พวกมันอาจจะไม่ชอบก็ได้ แต่ในเมื่อขอตามมาแล้ว ก็อย่าบ่นให้มาก พอผมโต้ตอบศักดิ์ชายออกไปทีไร เจ้าสันต์ก็หัวเราะก๊ากด้วยความสะใจทุกที

เรือมารับพวกเราแล้ว ผมให้พวกสาวๆลงเรือไปก่อน ส่วนผมลงตามเดียร์ไปติดๆ เพราะเราสองคนถือของเยอะแยะ และเดียร์จะคอยช่วยผมรับของต่ออีกที เจ้าสันต์กับศักดิ์ชายลงเรือมาเป็นคู่สุดท้าย บรรยากาศตอนขากลับต่างกับตอนขามาตรงที่ แดดเริ่มอ่อนแสงลงเนื่องจากเป็นเวลาเย็นแล้ว บรรยากาศสองฝากฝั่งแม่น้ำให้ความสวยงามแปลกตาไปอีกแบบ

เดียร์นั่งอยู่ข้างๆผมทางด้านฝั่งขวา โดยที่เจ้าสันต์นั่งฝั่งซ้ายมือเป็นตัวกันคนอื่นๆ ศักดิ์ชายนั่งต่อจากเจ้าสันต์ตามด้วยอรจิราและคุณแคท ผมกับเจ้าสันต์แอบยิ้มให้กันอย่างสะใจ ที่แกล้งพวกนี้ได้สำเร็จ พรุ่งนี้คงได้เมื่อยตัว ปวดขากันเป็นแถว อยากตามกันมาดีนัก ความอยากรู้อยากเห็นทำให้ตัวเองได้รับความเดือดร้อนโดยแท้

อรจิราดูจะหงุดหงิด กระสับกระส่ายมากกว่าคนอื่น เธอคงร้อนและเบื่อที่ต้องมาเดินหลายชั่วโมง แล้วไหนจะหอบถุงขนมหลายถุง ซึ่งหนุ่มสองคนก็ไม่ยอมมีน้ำใจช่วยถือ แฟนเก่าของผมแต่งตัวในสภาพที่ไม่พร้อมจะมาลุยด้วย เพราะเธอใส่เสื้อผ้าบางเบาแขนกุด กางเกงยีนส์ขาสามส่วนแล้วก็รองเท้าส้นสูงซึ่งเหมาะจะไปเดินห้างมากกว่าที่จะเดินอยู่ในชุมชนโบราณแห่งนี้

แถมซ้ำเธอกับคุณแคทยังถูกคนมองเนื่องจากสวยด้วยกันทั้งคู่ คุณแคทพึงพอใจที่คนอื่นมองเธออย่างชื่นชม แต่อรจิรากลับรู้สึกไม่พอใจ และแสดงอาการออกมาให้เห็น

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-02-2009 13:00:08
เรือเทียบท่าแล้ว ผมกับเดียร์ขึ้นไปก่อน เพื่อที่จะเอาของไปวางไว้ข้างบน ก่อนที่จะมาช่วยฉุดสาวๆให้ขึ้นจากเรือ ในขณะที่อรจิรากำลังจะก้าวขึ้นมานั้น เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ไม่รู้ว่าเธอเดินจนขาอ่อนแรง หรือเพราะความไม่ระมัดระวังกันแน่

จังหวะที่จะก้าวจากเรือมาขึ้นบนสะพาน ตรงท่าน้ำ เรือกับท่ามีช่องว่างห่างกันพอสมควร คนขับเรือพยายามจะจอดเทียบให้ชิดกับท่ามากที่สุด แต่อรจิราซึ่งกำลังหัวเสียไม่ยอมรอ ก้าวเร็วไปหน่อยเหมือนจะกระโดดให้พ้น แต่ลืมไปว่าตัวเองใส่ส้นเข็มอยู่ จึงลื่นพรืด แล้วเสียหลักกลิ้งตกน้ำไป ท่ามกลางความตื่นตะลึงของผู้โดยสารที่อยู่ในเรือและอยู่บนฝั่ง

ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เกินกว่าที่ใครจะคาดคิด ผมหันมาเห็นพอดี ด้วยความตกใจ และเป็นห่วงอรจิรา ซึ่งจมหายลงไปใต้ผืนน้ำที่กระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะของคลี่นจากเรือลำอื่นๆที่วิ่งไปมา ผมฝากมือถือและกระเป๋าเงินให้เดียร์ซึ่งกำลังยืนงง และกระโจนลงไปในน้ำทันที

มีเสียงตูมตามหลังมา เดียร์นั่นเองที่ลงมากับผมด้วย ที่จริงผมรู้ว่าเขาไม่ได้มาช่วยอรจิรา แต่เขาห่วงผมมากกว่า เราสองคนมองหน้ากัน ไม่พูดอะไรมากมาย แค่มองตาก็รู้ว่าเราจะทำอะไรต่อไป ผมดำลงไปในน้ำ พยายามมองหาอรจิรา

แต่น้ำก็ขุ่นมากเหลือเกิน ว่ายน้ำก็ไม่คล่องตัวเท่าไหร่ เพราะผมลงมาทั้งเสื้อผ้าและรองเท้า ซึ่งก็ถ่วงพอสมควร ผมทะลึ่งพรวดขึ้นมาหายใจเหนือน้ำ ก็เห็นเดียร์ขึ้นมาก่อนแล้ว แต่ไม่มีอรจิราอยู่กับพวกเราคนใดคนหนึ่ง เราสองคนตัดสินใจดำลงไปใหม่ แล้วว่ายไปเลยฝั่งออกไปอีก เผื่อว่าน้ำจะพัดอรจิราไปไกล

ดำลงไปพักหนึ่ง แต่ผมก็ไม่เจออะไร พอโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ ผมก็เห็นเด็กหนุ่มหาอดีตคนรักของผมเจอพอดี เดียร์เอามือล็อคคอของอรจิราลากเข้าฝั่ง โดยพยายามประคองหน้าให้เธอเงยหงายขึ้นพ้นน้ำเพื่อให้หายใจได้ มีคนมายืนอออยู่บนสะพาน เพื่อดูเหตุการณ์จำนวนมาก มีพวกเพื่อนร่วมงานของผมยืนอยู่ด้วย สันต์ก้มลงเอื้อมมาฉุดอรจิราซึ่งสลบไสลขึ้นไป จากน้ำ โดยมีศักดิ์ชายช่วยอีกแรง ส่วนเดียร์คอยดันอยู่ในน้ำ พอดึงอรจิราขึ้นไปได้แล้ว เดียร์กับผมก็จึงค่อยตามขึ้นไป

สันต์อุ้มอรจิรามาวางไว้บนที่นั่งตรงศาลาที่พัก เพื่อไม่ให้เกะกะทางขึ้นลง และช่วยกันปฐมพยาบาลอรจิราให้ฟื้นคืนสติ แต่ยังไม่มีทีท่าว่าเธอจะรู้สึกตัว พอผมเดินเข้ามาเจ้าสันต์ก็บอกว่าคงต้องผายปอด แต่ทั้งสันต์และศักดิ์ชายไม่มีใครยอมประกบปากช่วยเหลือเธอ

เจ้าสันต์นั้นรู้กันอยู่ว่ามันรังเกียจที่จะแตะต้องผู้หญิง ส่วนศักดิ์ชายผมไม่ทราบเหตุผล เดือดร้อนถึงผมซึ่งกระโดดลงไปช่วยอรจิราในน้ำ และยังต้องทำให้เธอฟื้นขึ้นมาอีก

อรจิราฟื้นขึ้นมาหลังจากที่ผมผายปอดให้กับเธอ ทันทีที่ลืมตาขึ้นมาเห็นผม เธอก็ทำตาโต และพอลำดับความได้ว่าเกิดอะไรขึ้น อรจิราก็ผวาลุกขึ้นแล้วกอดผมไว้แน่น ร่ำไห้สะอึกสะอื้นเหมือนคนขวัญเสีย ท่าทางจะตกใจมากกับเหตุการณ์เมื่อครู่

ผมเลยต้องกอดเธอเพื่อเป็นการปลอบโยนให้หยุดร้อง สายตาของผมเหลือบแลไปทางเดียร์ เห็นเขาจ้องมองผมและอรจิราอย่างเคืองๆ พอเห็นว่าผมมองเขาอยู่ หนุ่มน้อยของผมก็เมินหน้าหนีไปทางอื่น เขาคงไม่อยากเห็นผมกอดกับใครนอกจากเขา

แต่เด็กหนุ่มก็แสดงความหึงหวงออกมาไม่ได้ อีกอย่างนี่ไม่ใช่การกอดกันในเชิงชู้สาว ผมแค่ทำให้อรจิราหายจากอาการช๊อคที่เธอพลาดตกลงไปในน้ำเท่านั้น ถึงแม้เนื้อตัวเธอจะเปียกปอน แนบชิดอยู่กับตัวผม แต่ก็ไม่มีอิทธิพลพอที่จะสร้างความปั่นป่วนให้ผมแต่อย่างใด

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-02-2009 13:00:52
หลังจากปลอบโยนให้เธอหยุดร้องไห้ได้แล้ว เราก็ตกลงใจที่จะพากันกลับบ้าน เดิมทีอรจิรามากับศักดิ์ชาย แต่หลังจากเธอตกน้ำตัวเปียกปอน ศักดิ์ชายก็ทำท่าอิดออดขึ้นมา เป็นที่รู้ๆกันอยู่ว่าศักดิ์ชายเป็นคนหวงรถของเขามาก ดูแลรักษาเป็นอย่างดี ถ้ามีอะไรมาขีดข่วนรถของเขา เพื่อนผมจะบ่นไม่ยอมหยุด พอเห็นมันทำหน้ายุ่งยากใจ ผมเลยอาสาที่จะขับรถไปส่งอรจิราที่บ้าน เนื่องจากผมรู้จักทางไปบ้านเธอเป็นอย่างดี

คุณแคทคืนมือถือและกระเป๋าสตางค์ที่เดียร์ฝากไว้ตอนกระโจนลงน้ำไปให้ ก่อนแยกจากกันเธอพูดให้ผมได้ยินกันสองคนว่า เดียร์น่ารักจริงๆ เขาห่วงผมมาก ทันทีที่ผมกระโจนลงไป เดียร์ก็ฝากของไว้แล้วกระโจนตามลงไปทันที จะหาใครที่จริงใจกับผมเท่าเขาไม่มีอีกแล้ว และขอให้ถนอมความรักนี้ไว้นานๆนะ

ผมรู้สึกแปลกใจที่คุณแคทพูดแบบนี้ แสดงว่าเธอเองก็รู้ว่าเดียร์กับผมคบกันอยู่ แต่เธอก็ยังมาใช้ผมเป็นเครื่องมือโดยเอาเรื่องเดียร์มาอ้างนี่นะ เธอคิดอะไรของเธอกันนะ

ตอนที่ผมไปส่งอรจิรา เดียร์นั่งรถไปกับผมด้วย เขานั่งข้างหลัง โดยให้อรจิรานั่งข้างหน้า แอร์ที่เย็นฉ่ำ ทำให้เธอหนาวสั่น ผมจึงเอาเสื้อสูทที่แขวนอยู่ในรถให้เธอห่มเพื่อให้คลายหนาวจากนั้นก็ปรับเบาะเอนลงให้เธอนั่งสบายๆ คนรักเก่าของผมกล่าวขอบคุณ จากนั้นก็นั่งเงียบๆ ไม่พูดคุยหรือแขวะผมเหมือนเคย ทำให้ผมไม่เสียสมาธิมากขณะขับรถไปส่งเธอ

พอถึงบ้านของอรจิรา ผมก็ประคองเธอเข้าไปข้างใน โดยที่เดียร์นั่งรออยู่ในรถ อรจิราขอให้ผมไปส่งเธอที่ห้องนอน ตอนแรกผมปฏิเสธ แต่พอเห็นหน้าซีดๆคล้ายจะเป็นลมของเธอ ก็รู้สึกสงสาร กลัวว่าหากผมก้าวออกจากบ้านไป แล้วเกิดเธอเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมา ใครจะอยู่ดูแลเธอ

ใหนๆก็ช่วยกันมาขนาดนี้แล้ว ก็ทำให้มันเสร็จจนเธอดูแลตัวเองได้ก่อนก็แล้วกัน เธอเองก็เคยเป็นแฟนผมมาก่อน ช่วงเวลาที่เคยดีด้วยกันมันก็ยังไม่จางหายไปไหน เลิกกันแล้ว ผมก็อยากให้เรายังคงเป็นเพื่อนกันอยู่ แม้ว่าเธอจะเห็นผมเป็นศัตรูก็ตาม

อรจิราพักอยู่คนเดียวในบ้านทาว์เฮ้าส์สองชั้น เดิมที เธอพักอยู่กับแม่ แต่ตอนหลังมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกัน แม่ของเธอก็เลยหนีกลับไปบ้านนอก จนป่านนี้ก็ยังไม่ยอมกลับมาอยู่ด้วย อรจิราเป็นฝ่ายไปเยี่ยมซึ่งก็นานๆครั้ง ถึงจะไป เธอมีแม่บ้านที่คอยดูแลทำความสะอาดให้ แต่จะเป็นแบบไปกลับ

เพราะอรจิราไม่ชอบความวุ่นวาย และไม่ชอบอยู่ร่วมกับคนใช้ กลัวจะถูกตีเสมอ เธอจึงใช้ชีวิตตัวคนเดียว อย่างน่าสงสาร ตอนที่เป็นแฟนกับคุณอนันต์ก็ได้ข่าวว่าย้ายข้าวของไปอยู่ด้วยกันกับเขา แต่ตอนนี้เธอกลับมาอยู่บ้านแสดงว่าข่าวลือที่ว่าเธอกับคุณอนันต์เลิกกันนั้นเป็นจริงอย่างไม่มีข้อสงสัย

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-02-2009 13:01:20

ผมประคองอรจิราซึ่งตัวสั่นระริกด้วยความหนาวเข้าไปในห้องนอนของเธอ ห้องนี้ผมเคยมานอนค้างสมัยที่เราเป็นแฟนกัน ทุกอย่างเปลี่ยนไปมาก

อรจิราเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์แพงๆประดับตกแต่งห้อง เครื่องเรือนเก่าๆสมัยที่เราเคยใช้อยู่ด้วยกันถูกขายเกลี้ยงหลังจากที่ผมแยกทางกับอรจิรา นัยว่าคนรักเก่าของผมไม่อยากเก็บความทรงจำระหว่างเราเอาไว้ ไม่อยากเห็นมันให้แสลงใจ เธอต้องการลืมผม ไม่อยากข้องเกี่ยวกันต่อไป

ผมตามใจเธอ โดยไม่ร้องขอส่วนแบ่งทั้งๆที่เฟอร์นิเจอร์บางอย่างผมเป็นคนซื้อ แต่ผมก็ให้เธอจนหมด ไม่เอาแม้แต่สตางค์แดงเดียว อย่างน้อยๆเธอควรจะได้อะไรบ้างเป็นการตอบแทน

ผ้าขนหนูสีขาวที่ผมเจอแขวนอยู่ในห้องน้ำ ถูกนำมาให้อรจิราเพื่อเช็ดเนื้อตัวและผมเผ้าให้แห้งสนิท ผมขอตัวกลับ เพื่อให้อรจิราได้เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวและนอนพักผ่อน ขณะที่ผมกำลังจะเดินออกจากห้อง อรจิราก็โผเข้ากอดเอวผมไว้และซุกหน้าลงกับแผ่นหลังของผม กริยาอาการของอรจิราทำให้ผมตกใจ รีบแกะไม้แกะมือออก แต่เธอไม่ยอมปล่อยผมง่ายๆ

“อร ปล่อยผมก่อน ทำไมถึงทำแบบนี้”

“ไม่ปล่อยหรอกค่ะ เรียว อร อยากทำแบบนี้มานานแล้ว อร...อรคิดถึงคุณมากรู้ไหมคะ”

คำพูดของแฟนเก่าทำให้ผมถึงกับอึ้ง นี่จะมาไม้ไหนกันอีกล่ะ อรจิราทำแบบนี้กับผมทำไม มีแผนอะไรหรือเปล่า ผมรีบมองไปรอบห้อง มองหากล้องว่ามีการแอบซ่อนไว้ตรงไหนบ้าง เธอพูดว่าคิดถึงผม มันออกมาจากใจจริงๆ หรือต้องการกลั่นแกล้งแบล็คเมล์กันแน่

เป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อเธอเองก็มีแฟนอยู่แล้ว และแถมซ้ำเธอก็หาเรื่องผมอยู่ตลอดเวลา เจ้าสันต์บอกว่าเธอยังรักผมอยู่ ผมเองก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะถ้ารักแล้วทำไมถึงจ้องทำลายผมนัก เมื่อตอนกลางวันก็แขวะผมไปตั้งหลายครั้ง มาตอนนี้จะมาบอกว่าคิดถึงผม อะไรคือเรื่องจริง อะไรคือสิ่งลวงกันแน่

“อร คุณคงไม่ได้ตกน้ำจนเพี้ยนไปหรอกนะ ถ้ายังมีสติอยู่ล่ะก็ ปล่อยเอวผมนะ เราทำแบบนี้มันไม่ดีหรอก เดี๋ยวใครจะนินทาว่าร้ายเอาได้”

ผมพูดเตือนสติอรจิรา แต่นอกจากเธอจะไม่ฟังแล้ว ยังพยายามจะลากผมไปยังเตียงนอนให้ได้ ผมพยายามผลักเธอออกเบาๆ ไม่อยากใช้ความรุนแรง แต่ดูเหมือนยิ่งผลักอรจิราก็ยิ่งเบียดตัวเข้าแนบชิด จนเนื้อตัวนุ่มๆของเธอเสียดสีกับร่างกายของผม

“ช่างปะไร ใครจะว่าก็ว่าไปสิ อรเคยเป็นแฟนคุย เรามีอะไรด้วยกันมาก่อน เรียวเคยรักร่างกายนี้ เคยสัมผัส เคยแตะต้องอย่างทะนุถนอม ตอนนี้อรอยากให้คุณสัมผัส ร่างกายของอรอีกครั้ง อยากให้ความทรงจำดีๆในคืนวันเก่าๆของเรากลับคืนมา”

บ้ากันไปใหญ่แล้ว อรจิรา เธอพูดแบบนี้กับผมได้ไง ถ้าเป็นช่วงตอนที่เลิกรากันใหม่ๆ ผมอาจจะโดดเข้าใส่อรจิราด้วยความรู้สึกอยากจะคืนดีใจแทบขาด แต่เวลามันผ่านมาเนิ่นนานแล้ว

ผมผ่านช่วงแห่งความทุกข์ระทมในการไม่มีอรจิราอยู่เคียงใกล้ จนตอนนี้เริ่มจำไม่ค่อยจะได้แล้วว่าเศร้าเสียใจเพียงใด เธอเป็นคนเลือกเองที่จะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างระหว่างเรา เพื่อไปหาคนใหม่ที่รวยกว่า ตอนนี้ เธอและเขาแยกทางกัน

อรจิรากำลังจะกลับมาหา และเรียกร้องให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิม มันไม่เป็นการอยุติธรรมกับผมไปหน่อยเหรอ ผมไม่ใช่ตัวสำรองของใครนะ จะมาจะไปก็ควรจะนึกถึงใจของผมบ้าง แล้วที่สำคัญตอนนี้ผมไม่เหลือใจให้ใครอีกแล้ว นอกจากนายเดียร์สุดที่รักของผม การนอกใจเขาเป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำอย่างยิ่ง

“มันจบไปแล้วนะ อร เราไม่มีทางกลับมาเป็นคนรักกันเหมือนเดิมได้อีกแล้ว”

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-02-2009 13:01:50
“ไม่หรอกค่ะ เรียว มันเริ่มต้นใหม่ได้ ถ้าหากว่าเรียวยังรักอรอยู่”

น้ำเสียงเด็ดเดี่ยวของอรจิราบ่งบอกว่าเธอได้ตัดสินใจอย่างแน่แน่วแล้วที่จะสานสัมพันธ์กับผมต่อ

“เป็นไปไม่ได้หรอก คุณเองก็มีแฟนใหม่แล้ว คุณอนันต์จะว่าอย่างไร แค่คุณมาทำแบบนี้กับผม หากเขารู้เข้าคงจะเสียใจแย่”

ชื่อของคุณอนันต์ที่ผมกล่าวขึ้นมาหวังให้เธอหยุดพฤติกรรมการนอกใจคนรัก มีอิทธิพลพอที่จะทำให้อรจิราถึงกับชะงัก เธอเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะพูดด้วยเสียงสั่นเครืออย่างน่าสงสาร

“เราเลิกกันไปแล้วค่ะ มันมีอะไรบางอย่างที่ไปกันไม่ได้ ต้องขอโทษคุณด้วยนะคะเรียว ที่อรทิ้งคุณอย่างไม่เห็นค่า ตอนนี้น้อยรู้แล้วว่าคุณมีความหมายต่ออรมากมายเพียงไร

ที่อรด่าคุณ แขวะคุณ หรือพูดร้ายต่อคุณ อรทำไปเพราะอรหึงหวง อรยังคงรักคุณอยู่ และไม่อยากเสียคุณให้ใครไป อรจึงทำทุกอย่างเพื่อแยกคุณออกมาจากคนพวกนั้น อรเกือบจะสิ้นหวังแล้วคิดว่าคุณคงไม่หวนกลับมาหาอรแน่ เพราะอรทำกับคุณไว้มาก

แต่วันนี้ ตอนที่คุณกระโดดน้ำลงไปช่วยอร มันทำให้อรรู้ว่าคุณยังรักและห่วงอรมากแค่ไหน ในเมื่อใจเราตรงกัน ก็ไม่น่าจะมีอุปสรรคอะไรในการที่จะคบกันอีกครั้ง ขอเพียงคุณให้โอกาสอร เราก็จะเริ่มต้นใหม่ด้วยกัน”

แม้จะสงสารเพียงไร แต่ผมก็ไม่ใจอ่อน เจ็บแล้วก็ต้องจำ ถ้าไม่เพราะอรจิราที่ทำกับผมอย่างเจ็บปวด ผมก็คงไม่ต้องเผชิญสถานการณ์ที่ยากลำบากต่อการตัดสินใจเหมือนที่เป็นอยู่ ณ ตอนนี้ผมเลือกแล้วที่จะเดินไปตามเส้นทางใหม่ โดยมีเดียร์เดินเคียงข้างผมไปตลอด เรื่องระหว่างผมกับอรจิราจบลงไปแล้ว อย่าหวังเสียให้ยากว่ามันจะรื้อฟื้นขึ้นมาได้อีก

“พูดจาไปกันใหญ่แล้วอร ไม่เอาดีกว่า ผมกลับบ้านก่อนแล้วกัน คุณอาจจะยังช็อคอยู่ เลยพูดอะไรไม่รู้เรื่องออกมา เอาเป็นว่าผมไม่ถือสาอรก็แล้วกัน”

ผมแกะมืออรจิราออก แล้วก็หันหลังเดินหนี มีเสียงแคว่กดังมาให้ได้ยิน เหมือนบางสิ่งบางอย่างถูกฉีกทึ้งทำลาย เมื่อผมหันกลับไปมองใหม่ ก็เห็นอรจิรายืนเปลือยอยู่กลางห้อง ในมือถือเศษผ้าขาดรุ่งริ่งซึ่งครั้งหนึ่งมันเคยเป็นเสื้อผ้าที่ห่อหุ้มร่างกายของเธอเมื่อตอนกลางวันนี้

สภาพของอรจิราที่ผมเห็น ทำให้ผมหวนนึกไปถึงละครน้ำเน่าที่คนติดกันทั่วบ้านทั่วเมือง ฉากที่คุ้นตาในละครส่วนมาก คือฉากที่นางร้ายพยายามยั่วยวนพระเอก เมื่อไม่เล่นด้วยก็ฉีกเสื้อผ้าตัวเอง ร้องโวยวายว่าพระเอปล้ำ หวังว่าอรจิราจะไม่จำมุขดาษดื่นมาใช้กับผม เพราะนี่คือชีวิตจริง ไม่ใช่ละคร

ผมไม่ใช่คนโง่ ที่จะยอมรับผิดในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำ เพียงเพราะจำนนต่อหลักฐานเท็จที่ตัวละครร้ายๆสร้างขึ้นมา มันไม่สมเหตุสมผลที่คนเราจะโง่ได้ขนาดนั้น แม้ไม่มีใครรู้เห็นเป็นพยาน นอกจากคนเพียงแค่สองคน แต่การพิสูจน์เจตนาว่าล่วงเกินจริงหรือไม่ มันน่าจะทำได้ง่ายไม่เหลือบ่ากวาแรง เราไม่ต้องรับผิดชอบ และไม่ต้องเข้าคุกอีกด้วย

ก่อนที่ผมจะคิดเลยเถิด โดยใช้มุขจากนิยายมาจินตนาการฟุ้งซ่านไปไกล ผมตัดสินใจหันหลังเดินออกจากห้องทันทีโดยไม่รั้งรอ อรจิราวิ่งตามผมมาติดๆทั้งๆที่ร่างกายไม่มีผ้าผ่อนปกปิดสักชิ้น เธอทุบตีหลังไล่ผม ท่าทางคลั่งแค้นที่ผมไม่ทำในสิ่งที่เธอต้องการ ผมผลักไสเธอพัลวัน

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-02-2009 13:02:18
สภาพของอรจิราที่ผมเห็น ทำให้ผมหวนนึกไปถึงละครน้ำเน่าที่คนติดกันทั่วบ้านทั่วเมือง ฉากที่คุ้นตาในละครส่วนมาก คือฉากที่นางร้ายพยายามยั่วยวนพระเอก เมื่อไม่เล่นด้วยก็ฉีกเสื้อผ้าตัวเอง ร้องโวยวายว่าพระเอกปล้ำ หวังว่าอรจิราจะไม่จำมุขดาษดื่นมาใช้กับผม

เพราะนี่คือชีวิตจริง ไม่ใช่ละคร ผมไม่ใช่คนโง่ ที่จะยอมรับผิดในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำ เพียงเพราะจำนนต่อหลักฐานเท็จที่ตัวละครร้ายๆสร้างขึ้นมา มันไม่สมเหตุสมผลที่คนเราจะโง่ได้ขนาดนั้น แม้ไม่มีใครรู้เห็นเป็นพยาน นอกจากคนเพียงแค่สองคน แต่การพิสูจน์เจตนาว่าล่วงเกินจริงหรือไม่ มันน่าจะทำได้ง่ายไม่เหลือบ่ากว่าแรง เราไม่ต้องรับผิดชอบ และไม่ต้องเข้าคุกอีกด้วย

ก่อนที่ผมจะคิดเลยเถิด โดยใช้มุขจากนิยายมาจินตนาการฟุ้งซ่านไปไกล ผมตัดสินใจหันหลังเดินออกจากห้องทันทีโดยไม่รั้งรอ อรจิราวิ่งตามผมมาติดๆทั้งๆที่ร่างกายไม่มีผ้าผ่อนปกปิดสักชิ้น เธอทุบตีหลังไล่ผม ท่าทางคลั่งแค้นที่ผมไม่ทำในสิ่งที่เธอต้องการ ผมผลักไสเธอพัลวัน

“ทำอะไรน่ะ อร อย่าเล่นบ้าๆแบบนี้นะ กลับไปใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย และไปนอนซะ อย่าคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะเหนี่ยวรั้งผมไว้ให้อยู่กับคุณได้

คุณถ่มน้ำลายแล้ว จะกลืนกับเข้าคออีกทำไม จะมาบอกรักผมทำไมตอนนี้ มันสายเกินไปแล้ว ผมไม่ได้รู้สึกเหมือนเดิมอีกต่อไป แต่ผมยังคงรู้สึกดีกับคุณ เรายังเป็นเพื่อนกันได้ การทำแบบนี้จะทำให้เรามองหน้ากันไม่ติด และเป็นเพื่อนกันไม่ได้อีกต่อไป อรอยากให้มันเป็นแบบนั้นหรือ”

ผมพูดเสียงเข้มใส่เธอ พลางเดินหนีเร็วๆลงบันได แล้วก็ต้องชะงักหยุดนิ่งอยู่ตรงขั้นบันได ที่ข้างล่างตรงห้องรับแขกเดียร์ยืนรีๆรอๆผมอยู่ตรงนั้น เขาคงเห็นว่าเราสองคนหายเข้ามานานมาก เลยเดินเข้ามาดู แต่ไม่กล้าละลาบละล้วงขึ้นไปถึงบนห้อง

เด็กหนุ่มทำตาโตเมื่อเห็นร่างเปลือยของอรจิรา เขามองผมกับแฟนเก่าสลับกันไปมา ใบหน้าแสดงความงุนงงสงสัยปนกับความโกรธขึ้ง เด็กหนุ่มสะบัดหน้าหนี แล้วเดินออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว ผมจะเรียกเขาก็ไม่ทัน อรจิราเดินลงมาถึงตัวผมพอดี แล้วกอดผมทางด้านหน้า เบียดหน้าอกนุ่มกับเรือนกายหอมกรุ่นแนบชิดกับร่างกายของผม พลางซบศีรษะไว้ตรงแผ่นอก

“กลับขึ้นไปใส่เสื้อผ้าเดี๋ยวนี้เลยนะอร คุณจะแก้ผ้าโทงๆให้คนเห็นแบบนี้หรือไง ไม่อายเขาบ้างเลยหรือ”

ต่อว่าอย่างเหลืออด เดียร์มาเห็นเข้าจนได้ นี่ไม่รู้จะจินตนาการไปถึงไหนๆแล้ว อรจิราก็เป็นอะไรไม่รู้ เมื่อก่อนเป็นผู้หญิงที่ถือตัวรักศักดิ์ศรี ทำไมวันนี้ถึงเปลี่ยนเป็นคนไร้ยางอายไปได้ จริงอยู่ ร่างกายนี้ผมเคยเห็นมากอด เคยกอดจูบลูบคลำด้วยความรักใคร่ แต่เวลานี้ร่างเปลือยของอรจิราไม่มีความหมายกับผมเสียแล้ว

“ไม่ค่ะ เรียว อรไม่อาย ทำไมล่ะคะ เรียวเคยเห็นอรเปลือยมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วนี่ เราไม่มีอะไรต้องปิดบังกันแล้ว วันนี้อรพร้อมที่จะเป็นของเรียวอีก ด้วยความเต็มใจ เรียวไม่รักอรแล้วเหรอ ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือไง เรียวจะทิ้งอรไปหรือคะ”

อดีตคนรัก พยายามจะถอดเสื้อผมออก ต้องยื้อยุดกับเป็นพัลวัน ไม่ให้เธอได้ทำตามใจ ผมพยายามยุติการกระทำของเธอ แล้วรีบออกไปให้พ้นๆจากบ้านหลังนี้ ก่อนที่เดียร์จะเข้าใจผิดกันไปใหญ่ ผมไม่อยากให้หนุ่มน้อยของผมคิดว่า ผมกับแฟนเก่ากลับมาคืนดีกันอีก

“มันจบกันไปแล้วนะอร อย่ารื้อฟื้นอีกเลย ถึงอย่างไรผมก็รักคุณไม่ได้อีกแล้ว ”

“ทำไมหรือคะ คุณมีคนอื่นใช่ไหม แล้วคุณก็รักเขามากๆด้วย รักมากกว่าอรใช่ไหมคะ”

คนรักเก่าของผม ถามเสียงสั่นเครือ เธอเลื่อนแขนขึ้นมาโอบรัดรอบคอของผม พลางเงยแหงนหน้าขึ้นมาใกล้ ๆ ดวงตาวาววามเต็มไปด้วยหยดน้ำใสที่รื้นออกมา เห็นน้ำตาของเธอแล้วก็อดใจอ่อนไม่ได้ ทำไมพวกผู้หญิงชอบใช้น้ำตามาบีบบังคับคนอื่นด้วยนะ มันทำให้ผมไม่กล้าทำอะไรรุนแรงกับเธอเลย

“บอกให้อรรู้หน่อยได้ไหมว่าคู่แข่งของอรคือใคร ใช่นายเดียร์คนเมื่อกี้หรือเปล่า”

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-02-2009 13:08:52
“....”

“คุณรักเด็กคนนั้นใช่ไหมคะ บอกมาสิเรียว กล้าๆพูดหน่อยว่าเดี๋ยวนี้คุณหันเหไปรักผู้ชายด้วยกัน คุณไม่มีใจให้กับผู้หญิงอีกแล้ว ใช่ไหม”

เมื่อผมไม่ยอมพูด อรจิราก็ถามผมอย่างคาดคั้น ผมมองหน้าอรจิรา พลางดึงมือที่โอบรอบคอผมออก ไม่ต้องการจะตอบคำถามอะไรทั้งนั้น

“กลัวคำพูดมันจะผูกมัดตัวเองหรือไง ถึงบอกออกมาไม่ได้ เป็นลูกผู้ชายหรือเปล่า กล้าทำก็กล้ารับสิคะ อ๋อ หรือว่าตอนนี้เริ่มรู้ตัวเองแล้วว่าไม่ใช่ผู้ชายเต็มตัว แต่เป็นอะไรอย่างอื่นที่สังคมไม่ยอมรับเลยไม่กล้าพูด

ไม่ต้องกลัวหรอกค่ะ ตอนนี้เราอยู่กันแค่สองคน แล้วอรก็ไม่ได้ไฮเทคขนาดติดเครื่องดักฟัง หรือซ่อนกล้องเพื่อที่จะมาแบล็คเมล์ ที่อรถาม เพราะอรอยากรู้ ในฐานะที่เคยเป็นแฟน เคยเป็นเมียของคุณมาก่อน อรมีสิทธิรู้นี่คะ ว่าการที่เราต้องเลิกกัน เป็นเพราะอรแพ้ให้กับผู้ชายเพศเดียวกันกับคุณหรือเปล่า ตอบอรมาสิคะ”

อรจิรา กลับมาเหยียดหยามผมตามเดิม น้ำเสียงของเธอกราดเกรี้ยวยามจะเอาคำตอบจากผมผมมองอรจิราอย่างนึกไม่ถึง เธอแขวะผมหลายครั้ง แต่ไม่มีครั้งใหนที่เธอจะจงใจใส่ความร้ายกาจลงไปในคำพูดได้มากเท่านี้

เธอทำให้ผมรู้สึกขยะแขยง สมเพชเวทนาในตัวเธอยิ่งนัก นี่หรือผู้หญิงที่ผมเคยรัก คนที่เคยคิดจะแต่งงานด้วย เธอดีไม่เท่าแม้เพียงเสี้ยวหนึ่งของเดียร์เลย ใจผมคิดถึงสุดที่รักอีกแล้ว รีบๆออกไปจากที่นี่เสียทีดีกว่า ไปหาคนรักของผม

เขาคงรออยู่ด้วยความกระวนกระวาย อาจจะน้อยอกน้อยใจที่ผมไม่ยอมออกไปหาเขาเสียที ปล่อยให้ผู้หญิงเสียสติคนนี้อยู่ที่นี่คนเดียว ให้เธอคุ้มคลั่ง กรีดร้องตามอำเภอใจ ผมจะไม่รองรับอารมณ์ของเธออีกแล้ว

“จะไปไหนล่ะคะ เรียว ดูอรให้เต็มตาก่อนสิคะ ว่าความงามนุ่มนวลของผู้หญิงแบบนี้ หรือความแข็งแกร่งของผู้ชายกล้ามล่ำที่อยู่ข้างนอกนั่น คือสิ่งที่คุณปรารถนา....”

แฟนเก่าของผมคงบ้าไปแล้วจริงๆ เธอเห็นผมหันหลังเดินหนีจะออกจากบ้าน จึงวิ่งมาดักหน้า กางมือ กางไม้ กางกั้นผมไว้ไม่ให้ไปที่ประตู ผมหยุดชะงัก พลางเลื่อนสายตามองร่างเปลือยนั้นพลางครุ่นคิด แล้วค่อยเลื่อนขึ้นมาจ้องหน้าอรจิราเขม็ง ความรู้สึกในใจของผมบอกว่า ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงไปแล้วจริงๆ

เมื่อก่อนนี้ผมเคยหลงไหลในเรือนร่างนุ่มนวลเต็มไปด้วยส่วนเว้าส่วนโค้งของผู้หญิง คิดว่าช่างมหัศจรรย์จริงๆที่พระเจ้าสร้างได้สร้างมนุษย์เพศเมียขึ้นมาบนโลกใบนี้ หลงรูปอยู่ตั้งเป็นนาน จนกระทั่งวันเวลาผ่านไป ผมเลิกรากับผู้หญิงมากมาย แต่ละคนก็ฝากแผลใจให้คนละนิดคนละหน่อย

จนกระทั่งถึงอรจิราซึ่งเป็นผู้หญิงคนสุดท้ายในชีวิตของผม เธอทำให้ผมเจ็บปวดจนแทบไม่เป็นผู้เป็นคน ผมเหมือนคนไร้หัวใจ ก่อนที่จะมาเจอกับเดียร์ หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็เติมเต็มความสุขให้ใจผมอีกครั้ง เหมือนน้ำฝนที่รินรดลงบนพื้นนาที่แห้งผาก ทำให้เมล็ดพันธ์แห่งความสุขงอกเงย ฟื้นคืนชีพได้ใหม่

ผมยอมรับอย่างไม่อาย ว่าผมมีความสุขเหลือเกินเมื่อได้อยู่กับเด็กหนุ่มคนนี้ ความดีของเขาทำให้กำแพงในใจของผมที่ปิดกั้นเขาไว้ค่อยๆพังทะลาย

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-02-2009 13:09:16
ถ้าคำถามของอรจิราได้ถูกถามก่อนหน้านี้สัก 4-5 เดือน ผมคงตอบได้อย่างไม่ลังเลว่าผมยังรักชอบพวกสาวๆอยู่ ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะสามารถชอบเพศอื่นที่นอกเหนือจากผู้หญิงได้ แต่ตอนนี้บอกได้เลยว่า ผมไม่แคร์อีกแล้วว่าคนที่ผมชอบจะเป็นเพศใด

คนที่ผมรักสองคนให้ประสบการณ์กับผมแตกต่างกันออกไป อรจิราทำให้ผมได้รู้ว่า ความสวยงามบนใบหน้า กับจิตใจ บางทีมันก็ไปด้วยกันไม่ได้ ความรักของเธอผสมปนเปไปกับความแค้น เธอพร้อมจะหวานเมื่ออยู่ในห้วงแห่งความรัก และกลายร่างเป็นผีร้ายที่พร้อมจะทำลายคนที่ทำให้เธอผิดหวัง

ในขณะที่เดียร์สอนให้ผมได้รู้จักว่ารักแท้ที่มาพร้อมกับความเสียสละตนเป็นยังไง การที่ได้คบกับเดียร์ทำให้จิตใจผมเปลี่ยนแปลง เริ่มคิดว่าคนที่เราจะเลือกเป็นคู่ชีวิต อาจจะมีเพศเดียวกันกับเราก็ได้ จิตใจสวยงามกว่าร่างกายภายนอก เขาดีกับผมมากมายเหลือเกิน จนผมมองข้ามเพศที่เขาถือกำเนิดไปแล้ว แต่ที่ผมยังไม่บอกรักเขาไป เพราะผมยังลังเลใจกับสถานภาพทางสังคมเท่านั้นเอง

“อย่าทำอย่างนี้กับผมเลยอร ถึงอย่างไร มันก็ไม่สามารถที่จะดึงผมกลับมาหาคุณได้หรอก การที่คุณทำอย่างนี้มันยิ่งจะทำให้คุณค่าของคุณเสื่อมถอย

ผมยังอยากจะสานความสัมพันธ์กับคุณต่อนะอร แต่ในฐานะเพื่อน ไม่ใช่คนรัก จริงๆแล้วคุณก็มีส่วนดี น่าคบหา แต่ความริษยาในใจของคุณมันทำให้คุณน่ารักน้อยลงไปจากเดิม เชื่อผมเถอะ กลับขึ้นไปอาบน้ำอาบท่า พักผ่อนซะบ้าง คุณจะได้รู้สึกดีขึ้น ผมต้องรีบไปแล้ว”

พูดจบผมก็เดินเลี่ยงหนีไปจากตรงนั้น แต่อรจิราไม่ยอม เธอคว้ามือของผมไว้

“คำเดียวเท่านั้น บอกมา แล้วอรจะยอมปล่อยให้คุณไปจากที่นี่ ......คุณยัง....รักอรอยู่ไหม”

ผมมองหน้าอรจิรา พลางส่ายหน้าแทนคำตอบ อรจิรา ปล่อยมือจากผม แขนตกลงข้างตัวอย่างอ่อนแรง เธอก้มหน้านิ่ง สักพักก็เงยหน้าขึ้นมา ตาแดงก่ำ มีหยาดน้ำใสๆเอ่อคลอเบ้า เธอชี้มือสั่นระริกไปยังนอกบ้าน แล้วถามผมสียงเครือ

“แล้วเด็กที่อยู่ข้างนอกนั่นล่ะ บอกมาสิว่า คุณรักเขาหรือเปล่า ขอแค่รู้เท่านั้น ว่าใจคุณมีใคร แล้วอรจะปล่อยมือ เลิกยุ่งกับคุณทันที........”

“อื้ม....ผมรักเขา...รักมากด้วย”

ตัดสินใจบอกความรู้สึกที่แท้จริงออกไป เพื่อให้เธอตัดใจจากผมเสียที ทั้งคำพูดที่ออกจากปาก และการผงกหัวยอมรับ ก็คงจะเพียงพอแล้วสำหรับคำตอบที่อรจิราต้องการ

“แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ชายหรือคะ....”

เธอถามผมด้วยน้ำเสียงบ่งบอกถึงความร้าวรานใจ

“ใช่....แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ผมรักเขาที่หัวใจ รักที่ความดีที่มีอยู่ในตัว สิ่งที่เขามีมันทำให้ผมมองข้ามความเป็นเพศชายของเขา ผมไม่เคยรู้สึกรักใครเท่านี้มาก่อนเลย แม้แต่กับ กับอร”

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-02-2009 13:09:46

ในเมื่ออยากรู้ ผมก็บอกไปตามตรง เหมือนกับคำตอบที่ได้จะทำให้อรจิราหมดเรี่ยวแรง เธอทรุดฮวบลงกับพื้น และร่ำไห้เสียงดัง ผมมองภาพของแฟนเก่าที่ร้องไห้เหมือนเป็นเด็กเล็กๆด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก ทั้งสงสารเห็นใจและเวทนา

อรจิราตอนนี้ ไม่เหลือภาพหญิงสาวสวยผู้เย่อหยิ่งอีกต่อไป คงเหลือเพียงผู้หญิงหัวใจแตกสลายจากความรักที่ไม่สมหวัง เธอทุ่มกายร้องไห้เหมือนคนบ้า ผมตัดสินใจเดินเข้าไปหาคนรักเก่าของผม ช้อนร่างเธอขึ้นมาอุ้มไว้ในวงแขน จากนั้นก็พาขึ้นไปยังห้องนอน วางเธอลงบนเตียง และชักผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างเปลือยไว้

อรจิราน้ำตาไหลพรากไม่ยอมหยุด เธอไม่พูดอะไรกับผมสักคำ จนกระทั่งผมเดินไปถึงประตูห้องนอน เธอจึงพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ว่าขอบคุณที่ช่วยชีวิตเธอให้รอดจากการจมน้ำตาย

ผมยิ้มให้ แล้วบอกว่า คนที่เธอควรจะขอบคุณคือเดียร์ต่างหาก เขาเป็นคนงมหาเธอขึ้นมาจากในน้ำ ผมได้ยินเสียงสะอื้นดังๆจากปาก ของอรจิราอีกครั้ง ผมรีรอว่าเธอจะพูดอะไรต่อ แต่เมื่อเห็นเธอเงียบ ผมจึงกล่าวคำว่า “ลาก่อน” กับเธอ ก่อนที่จะเดินลงไปข้างล่าง

เดียร์นั่งทำตาแดงๆอยู่ในรถของผม พอผมเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับ เดียร์ก็เอนตัวลงนอนตรงเบาะด้านหน้าที่ปรับไว้แล้วตอนที่ให้อรจิรานั่ง เบาะกำมะหยี่เปียกชื้น เพราะเราสามคนต่างเปียกปอนมาจากท่าน้ำ ทำให้ไม่น่าจะนั่งสบายนัก

ผมกำลังจะเอ่ยปากพูดคุยกับเดียร์ถามไถ่ว่าเขารอนานไหม แต่เดียร์ชิงหลับตาเสียก่อน คงงอนและน้อยใจผมที่หายไปนาน แถมยังเห็นผมเดินลงมาจากห้องชั้นบน โดยมีอรจิราเดินเปลือยตามมาติดๆ ในหัวของเดียร์คงจินตนาการเรื่องระหว่างผมกับคนรักเก่าวุ่นวายเต็มไปหมด เลยไม่ยอมพูดกับผม

ช่างเถอะ วันนี้ผมเองก็เหนื่อยไม่น้อย ใหนจะเหนื่อยกายที่ต้องเดินเกือบทั้งวัน และยังแบกของหนักๆด้วย แล้วไหนจะเหนื่อยใจอีก ทำให้ผมไม่อยากจะทะเลาะกับเดียร์ในรถ เกิดเขายังไม่หายโมโหผม เอาไว้ถึงบ้านก่อนแล้วค่อยคุยกันอีกที ถ้าโกรธก็คงต้องง้อละนะ ทำไงได้ล่ะ ผมรักเขา ไม่อยากให้ทำให้เขาเข้าใจผิดนี่นา

พอถึงบ้าน เดียร์ก็ช่วยผมขนของจากรถเข้าไปเก็บไว้ ระหว่างนั้น เรายังคงไม่ได้พูดอะไรกัน สงสัยเดียร์จะยังงอนไม่เลิก ผมคิดในใจ พยายามมองสบตาเขา แต่เดียร์หันหนีตลอด คนเจ้าเล่ห์ก็ขี้งอนเป็นเหมือนกัน ไหนบอกผมว่าจะไม่คิดมากยังไง ใครกันนะที่บอกว่าเข้าใจความรู้สึกของผม ที่แท้ก็ทำใจไม่ได้

หึงผมล่ะสิ เจ้าเด็กบ้า เดี๋ยวก็ปล่อยให้งอนไม่พูดด้วยจริงๆหรอก ดูสิว่าใครจะทนไม่ได้ก่อนกัน คิดได้อย่างนั้น ผมก็ทำเฉยไม่พูดกับเขาบ้าง เก็บของเสร็จก็ขึ้นไปห้องน้ำเพื่อชำระล้างร่างกายตัวเองที่เต็มไปด้วยเหงื่อ และน้ำจากแม่น้ำ

ตอนที่เดินลงมาข้างล่าง ผมเห็นเดียร์ซึ่งอาบน้ำอาบท่าเรียบร้อย กำลังนั่งซึมอยู่ที่เก้าอี้ในห้องรับแขกโดยที่เจ้าหญิงนอนหมอบอยู่แทบเท้า ผมเดินเข้าไปนั่งที่โซฟาอีกตัวหนึ่ง ปรายตามองเดียร์ก็เห็นเขาหลุบตาลงมองมือของตัวเอง

ยังไม่ยอมที่จะมอง หรือพูดกับผมอีก ผมหมั่นไส้ เลยเรียกเจ้าหญิงให้มาหา เจ้าหญิงกระดิกหาง และร้องครางหงิงๆ ผมลูบหัวเจ้าหมากำพร้าแม่ด้วยความรัก และแกล้งพูดเสียงดังๆว่า

“หิวแล้วหรือเจ้าหญิง ยังไม่ได้กินอะไรเลยทั้งวันเลยสินะ ฉันโชคดีกว่าแก ตรงที่ได้กินข้าวกลางวันไปมื้อหนึ่ง แต่ตอนนี้มันเย็นมากแล้ว หิวมากด้วย แต่จะได้กินข้าวหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะฉันทำกินเองไม่เป็น แล้วคนที่เคยทำให้ก็งอนไม่พูดไม่จากับฉันด้วย สงสัยวันนี้คงอดกินแน่ๆ”

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-02-2009 13:10:12
จากหางตาที่ลอบมองเดียร์ ผมเห็นเด็กหนุ่มแอบยิ้ม และเขาคงจะกลั้นไม่อยู่จึงส่งเสียงหัวเราะให้ได้ยิน จากนั้นเดียร์ก็เงยหน้าขึ้น แล้วมองผมอย่างงอนๆ ทำปากยื่น ปากยาวต่อว่า

“คนใจร้าย ใจคอจะพูดอยู่กับหมาอย่างเดียวหรือไง ทีผมไม่ยอมคุยด้วย ...หิวข้าวแล้วทำไมไม่บอกผม บอกเจ้าหญิง แล้วจะได้กินยังไงล่ะ”

การโต้ตอบของเดียร์ทำให้ผมใจชื้นขึ้น อย่างน้อยๆก็รู้ว่าเขาแค่งอนผม แต่ไม่ได้โกรธมากมายอะไร พอผมลองแหย่เขาดูเขาก็หายโกรธแล้ว นี่คงงอนรอให้ผมพูด หรืออธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกระมัง เดียร์ช่างน่ารักเสียเหลือเกิน

“ก็จะบอกได้ไง ทำหน้าหงิกหน้างอ ใครเขาจะกล้าคุย เดี๋ยวโมโหใส่ขึ้นมาจะว่าไง”

ผมแสร้งว่าเขา แอบหัวเราะในใจที่สามารถยั่วจนเขาพูดกับผมจนได้ เด็กหนุ่มลุกขึ้น แล้วเดินมารวบตัวผมไว้ในวงแขน แล้วหอมผมที่แก้มแรงๆหลายฟอด ผมอ่อนระทวยไปกับอ้อมกอดนั้น ยิ้มให้กับตัวเองอย่างมีความสุข

“ใครกันล่ะที่ทำให้โกรธ วันนี้ผมหึงคุณจนหูอื้อตาลายเลยนะ โกรธคนพวกนั้นด้วย แต่ก็พยายามจะระงับอารมณ์ ไม่แสดงออกมา ทำไมวันนี้ทุกคนจึงมาวุ่นวายกับเรานักละครับ ตั้งแต่ตอนเช้ามืดแล้ว พี่สมชายก็มารบกวนเวลานอน ดึงคุณไปปรึกษาเรื่องภรรยาตัวเองอยู่ได้ ทั้งที่ตัวเองนั่นแหละเป็นฝ่ายทำผิด พอเราจะไปเที่ยวกัน เพื่อนคุณก็ยกขโยงมาจากไหนไม่รู้จนเราต้องเปลี่ยนโปรแกรม แต่เรื่องนั้นผมไม่ซีเรียสหรอก เพราะถึงไม่ได้ไปเที่ยว แต่ได้ไปทำบุญก็มีความสุขไปอีกแบบ แต่คุณแคท กับ ยัยอรจิราอะไรนั่น ก็พยายามจะนัวเนียอยู่กับคุณ ดีนะที่พี่สันต์แกกันไว้ให้”

เดียร์บ่นอุบอิบอยู่ข้างหูของผม มือไม้ของเขาเริ่มซุกซนอีกแล้ว เจ้าหนุ่มนี่ ช่างอัจฉริยะจริงๆ ปากก็พูดเรื่องหนึ่ง แต่มือก็ทำอีกสิ่งหนึ่ง

“นึกว่าจะได้กลับบ้านมาอยู่กันสองต่อสอง ยัยอรจิราก็ดันเกิดเรื่อง ช่วยให้ขึ้นมาจากน้ำแล้ว ยังต้องพากลับบ้านอีก ต้องช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กันด้วยเหรอ ถึงได้ลงมาในสภาพแบบนั้นน่ะ ผมหึงนะ โกรธยัยนั่น แล้วก็เคืองคุณด้วย ที่ไม่ยอมรีบออกมา หายไปนานแบบนั้น ไปทำอะไรกันอยู่หรือครับ แอบไปมีอะไรกันหรือเปล่า”

เด็กหนุ่มซักถามผมอย่างอยากรู้ เขามองผมตาแป๋ว รอฟังคำตอบ ผมเลยเล่าให้ฟังว่า อรจิรากับผมเคยเป็นแฟนเก่ากันมาก่อน แต่เราเลิกกันแล้ว เธอไปมีคนรักใหม่เป็นคนที่ทำงานอยู่ในบริษัทเดียวกับผม ช่วงนี้เธอมีปัญหากับแฟน และเธอต้องการกลับมาหาผมอีก แต่ผมปฏิเสธไป เธอก็เลยโกรธ ร้องไห้

เดียร์ถามผมว่าแล้วทำไมต้องเปลือยกายด้วย ผมตอบเลี่ยงๆไปว่า เธอแค่เรียกร้องความสนใจจากผมเท่านั้น ผมไม่อยากบอกรายละเอียดไปมากกว่านี้ เพราะจะทำให้คนมองอรจิราไม่ได้ ถึงอย่างไรเธอก็เป็นผู้หญิงและเคยเป็นแฟนเก่า ผมจึงอยากให้เกียรติเธอ

“แล้วเรียวปฏิเสธไปด้วยเหตุผลอะไรครับ...บอกแบบนี้ใช่หรือเปล่า....”

เดียร์กระแอมไอ แล้วทำเป็นวางมาด จีบปากจีบคอทำเสียงสูง

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-02-2009 13:10:37
“อรจิราเอ๋ย มันสายไปเสียแล้วล่ะ มารักอะไรตอนนี้ วันที่จะเสียฉันไป ตอนนี้ฉันมีคนรักใหม่แล้ว เขานิสัยดี รูปหล่อ ทำกับข้าวเก่ง ทำงานบ้านได้สารพัด ร้องเพลงก็เพราะ แถมยังกุ๊กกิ๊กได้ไม่มีลิมิตจำนวนครั้งอีก อย่างเธอนะ กลับไปหา ผู้ชายรวยๆมาทำแฟนเถอะ อย่ามาแยกฉันกับคนรักออกจากกันเลย โฮะๆๆๆๆๆ........เรียวได้พูดไปแบบนี้ไหม”

คนถามทำหน้าทะเล้น จนผมทำขำทั้งหมั่นไส้

“บ้าเหรอ ใครจะไปพูดอย่างนั้นล่ะ.....”

“งั้นบอกว่าอะไรละครับ .....บอกมานะ ไม่งั้นไม่ต้องกินข้าว ผมจะกอดจูบลูบคลำคุณอยู่แบบนี้ไม่ยอมให้ไปไหนเลยจนกว่าจะพูดออกมา”

เขากระซิบเสียงขู่ ไม่พูดเปล่า จมูกโด่งๆของเดียร์ก็ซุกเข้ามาที่ซอกคอของผม คราวนี้ทั้งปากและจมูกซุกไซร้อยู่แถวบริเวณนั้นจนผมซ่านสยิว มือไม้ยุ่มย่ามอย่างกับเป็นหนวดปลามึก ข้างหนึ่งสอดเข้าไปใต้เสื้อยืดของผม ลูบไล้บริเวณแผ่นอก

อีกข้างหนึ่งเล็ดลอดลงไปในกางเกง และกำลังคลึงเคล้นน้องชายของผมอยู่ ผมหายใจแทบไม่ทั่วท้อง ความรู้สึกวาบหวามโจมตีผมเป็นระลอก รู้สึกว่าเรียวน้อยที่นอนสงบนิ่งอยู่ถูกปลุกขึ้นมาจากความงัวเงีย และแสดงท่ากระปรี้กระเปร่าเต็มไม้เต็มมือของเขา แต่ผมยังไม่อยากมีอะไรกับเดียร์ตอนนี้ กลัวจะเป็นลมไปเสียก่อนด้วยความหิว จึงต้องขืนตัว และพยายามดิ้นหนีจากการรุกรานของคนข้างตัวให้ได้

“ฉันก็บอกไปอย่างนั้นแหละ บอกว่ามีแฟนแล้ว”

“บอกชื่อแฟนไปหรือเปล่า ว่าผู้โชคดีคนนั้น ชื่อเดียร์ หรือนายพันธกานต์ ยอดรัก”

เดียร์ถามผม มือยังไม่หยุดนิ่งยังคงซุกซนอยู่ในกางเกงของผม ผมไม่ตอบ เรื่องอะไรจะบอกให้เด็กนี่รู้ล่ะว่าผมยอมรับกับอรจิราไปแล้วว่าผมรักเดียร์ แต่ผมไม่ได้บอกชื่อจริงของเด็กหนุ่มไปเต็มยศแบบนี้หรอก ก็ดูทั้งชื่อและนามสกุลเขาสิ พันธกานต์ แปลว่าผูกพันธ์ ด้วยความรัก หรือผูกมัดผู้เป็นที่รัก ส่วนนามสกุลแทบไม่ต้องอธิบายเลย พระที่ตั้งชื่อให้กับเดียร์ ช่างตั้งได้สอดคล้องกับนามสกุลเสียจริง

“หืม ไม่ได้บอกออกไปหรอกหรือ ใจร้ายจังเลยนะคนเรา ต้องลงโทษกันหน่อยแล้วล่ะ”

มือของเด็กหนุ่มรูดซิปกางเกงของผมลง จากนั้นเขาก็พาน้องชายของผมออกมาชมโลกภายนอก เนื้อตัวของเรียวน้อยถูกนวดด้วยมืออุ่นๆของเดียร์จนแข็งเขม็งไปหมด ผมเอนกายพิงร่างของหนุ่มผู้เป็นที่รัก อารมณ์ปั่นป่วน หัวใจเต้นรัวแรงแทบจะหลุดออกมานอกอก เดียร์แนบหน้าของเขาเข้ากับใบหน้าของผมจมูกโด่งและริมฝีปากร้อนผ่าวของเดียร์เคล้าเคลียอยู่ข้างแก้ม

เด็กหนุ่มขยับร่างและให้ผมเอนตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ตรงหว่างขาของเขา สะโพกของผมสัมผัสเข้ากับความแข็งแกร่งตรงกลางลำตัวของเดียร์ และรับรู้ว่าเขากำลังต้องการผมมากแค่ไหน ผมรู้ว่าเขาเองอยากจะจับผมกดลงบนโซฟาตัวนั้น และรักกับผมให้สมกับที่เราไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกันตั้งหลายวัน แต่เขาพยายามห้ามใจ เพราะยังต้องมีอะไรทำอีกมากมาย เขาคงหิวพอๆกับทีผมหิว แต่เขาแค่อยากลงมือสังสอนผมเบาะๆตามวิธีของเขาเท่านั้น

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-02-2009 13:11:03
“อรจิราเอ๋ย มันสายไปเสียแล้วล่ะ มารักอะไรตอนนี้ วันที่จะเสียฉันไป ตอนนี้ฉันมีคนรักใหม่แล้ว เขานิสัยดี รูปหล่อ ทำกับข้าวเก่ง ทำงานบ้านได้สารพัด ร้องเพลงก็เพราะ แถมยังกุ๊กกิ๊กได้ไม่มีลิมิตจำนวนครั้งอีก อย่างเธอนะ กลับไปหา ผู้ชายรวยๆมาทำแฟนเถอะ อย่ามาแยกฉันกับคนรักออกจากกันเลย โฮะๆๆๆๆๆ........เรียวได้พูดไปแบบนี้ไหม”

คนถามทำหน้าทะเล้น จนผมทำขำทั้งหมั่นไส้

“บ้าเหรอ ใครจะไปพูดอย่างนั้นล่ะ.....”

“งั้นบอกว่าอะไรละครับ .....บอกมานะ ไม่งั้นไม่ต้องกินข้าว ผมจะกอดจูบลูบคลำคุณอยู่แบบนี้ไม่ยอมให้ไปไหนเลยจนกว่าจะพูดออกมา”

เขากระซิบเสียงขู่ ไม่พูดเปล่า จมูกโด่งๆของเดียร์ก็ซุกเข้ามาที่ซอกคอของผม คราวนี้ทั้งปากและจมูกซุกไซร้อยู่แถวบริเวณนั้นจนผมซ่านสยิว มือไม้ยุ่มย่ามอย่างกับเป็นหนวดปลามึก ข้างหนึ่งสอดเข้าไปใต้เสื้อยืดของผม ลูบไล้บริเวณแผ่นอก

อีกข้างหนึ่งเล็ดลอดลงไปในกางเกง และกำลังคลึงเคล้นน้องชายของผมอยู่ ผมหายใจแทบไม่ทั่วท้อง ความรู้สึกวาบหวามโจมตีผมเป็นระลอก รู้สึกว่าเรียวน้อยที่นอนสงบนิ่งอยู่ถูกปลุกขึ้นมาจากความงัวเงีย และแสดงท่ากระปรี้กระเปร่าเต็มไม้เต็มมือของเขา แต่ผมยังไม่อยากมีอะไรกับเดียร์ตอนนี้ กลัวจะเป็นลมไปเสียก่อนด้วยความหิว จึงต้องขืนตัว และพยายามดิ้นหนีจากการรุกรานของคนข้างตัวให้ได้

“ฉันก็บอกไปอย่างนั้นแหละ บอกว่ามีแฟนแล้ว”

“บอกชื่อแฟนไปหรือเปล่า ว่าผู้โชคดีคนนั้น ชื่อเดียร์ หรือนายพันธกานต์ ยอดรัก”

เดียร์ถามผม มือยังไม่หยุดนิ่งยังคงซุกซนอยู่ในกางเกงของผม ผมไม่ตอบ เรื่องอะไรจะบอกให้เด็กนี่รู้ล่ะว่าผมยอมรับกับอรจิราไปแล้วว่าผมรักเดียร์ แต่ผมไม่ได้บอกชื่อจริงของเด็กหนุ่มไปเต็มยศแบบนี้หรอก ก็ดูทั้งชื่อและนามสกุลเขาสิ พันธกานต์ แปลว่าผูกพันธ์ ด้วยความรัก หรือผูกมัดผู้เป็นที่รัก ส่วนนามสกุลแทบไม่ต้องอธิบายเลย พระที่ตั้งชื่อให้กับเดียร์ ช่างตั้งได้สอดคล้องกับนามสกุลเสียจริง

“หืม ไม่ได้บอกออกไปหรอกหรือ ใจร้ายจังเลยนะคนเรา ต้องลงโทษกันหน่อยแล้วล่ะ”

มือของเด็กหนุ่มรูดซิปกางเกงของผมลง จากนั้นเขาก็พาน้องชายของผมออกมาชมโลกภายนอก เนื้อตัวของเรียวน้อยถูกนวดด้วยมืออุ่นๆของเดียร์จนแข็งเขม็งไปหมด ผมเอนกายพิงร่างของหนุ่มผู้เป็นที่รัก อารมณ์ปั่นป่วน หัวใจเต้นรัวแรงแทบจะหลุดออกมานอกอก เดียร์แนบหน้าของเขาเข้ากับใบหน้าของผมจมูกโด่งและริมฝีปากร้อนผ่าวของเดียร์เคล้าเคลียอยู่ข้างแก้ม

เด็กหนุ่มขยับร่างและให้ผมเอนตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ตรงหว่างขาของเขา สะโพกของผมสัมผัสเข้ากับความแข็งแกร่งตรงกลางลำตัวของเดียร์ และรับรู้ว่าเขากำลังต้องการผมมากแค่ไหน ผมรู้ว่าเขาเองอยากจะจับผมกดลงบนโซฟาตัวนั้น และรักกับผมให้สมกับที่เราไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกันตั้งหลายวัน แต่เขาพยายามห้ามใจ เพราะยังต้องมีอะไรทำอีกมากมาย เขาคงหิวพอๆกับทีผมหิว แต่เขาแค่อยากลงมือสังสอนผมเบาะๆตามวิธีของเขาเท่านั้น

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-02-2009 13:11:48
ภายในเวลาไม่นาน ผมก็ทะลักทะลายความสุขเลอะรดมือเขาอีกครั้ง เดียร์จัดการใช้ปากทำความสะอาดให้ผมเรียบร้อย จากนั้นก็กอดผมไว้แนบแน่น กระซิบหยอกเย้าข้างหูผม

“อดเปรี้ยวไว้กินหวานคืนนี้ดีกว่า ตอนนี้ผมไปทำกับข้าวให้เรียวกินก่อน จะได้มีแรงกุ๊กกิ๊กกับผม ราตรีนี้ยังอีกยาวนาน ไม่ต้องไปทำงานแล้ว เพราะเพื่อนโทรมาขอแลก แต่พรุ่งนี้ทำสองกะเลย เพราะฉะนั้น คืนนี้ต้องพิเศษหน่อยนะครับ”

คนพูดลุกเดินไปที่ห้องครัวแล้ว เสียงเปิดปิดตู้เย็น และตู้ใส่อุปกรณ์ทำครัวดังขึ้น ผมมองไปทางห้องครัว เห็นเดียร์กำลังรื้อของที่เก็บไว้ในตู้เย็นออกมาวางไว้บนโต๊ะ เขาผิวปากเป็นเพลงตามสมัยนิยม ท่าทางมีความสุข

ผมยิ้มให้กับตัวเอง ชอบจังบรรยากาศแบบนี้ มันให้ความรู้สึกเป็นครอบครัวที่อบอุ่น อยู่กันสองคนตามประสาผัวเมีย เอ๊ะ ผัว....แล้วก็เมียเหรอ ..........ไอ้เจ้าเด็กบ้านั่น ชอบพูดเสมอว่าตัวเองเป็นสามี แล้วเขาก็พยายามปกป้องผม ทำตัวเป็นหัวหน้าครอบครัว

ถ้างั้นผมก็อยู่ในสภาพของภรรยาน่ะสิ ไม่เอานะ.......ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ด้วยล่ะ ผมเองก็ทำเป็นเหมือนกันนี่นา ที่ผ่านมาผมยอมเป็นของเขาด้วยความเสน่หา แล้วถ้าหากว่าผมร้องขอให้เขาเป็นของผมบ้างล่ะ เขาจะยอมไหมหนอ พอคิดมาถึงตรงนี้ ผมก็อดขนลุกไม่ได้ ไปๆมาๆ ผมทำท่าว่าจะติดใจความสัมพันธ์แบบนี้ซะแล้วสิ นี่ผมกลายเป็นคนผิดปกติไปแล้วหรืออย่างไร

อาหารมื้อค่ำ หวานล้ำอบอวลไปด้วยความรักของเราสองคน เดียร์ทำอาหารหลายอย่างให้ผมทาน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความหิวจนหน้ามืดตามัวหรือเปล่าที่ทำให้เด็กหนุ่มลงมือปรุงอาหารมากมายซะขนาดนั้น

ผมมองกับข้าว 4- 5 อย่างในจานใบโตอย่างท้อใจ จะกินข้าวไปได้ยังไงจนหมดเนี่ย เลยร้องอุทธรณ์กับเดียร์ตอนที่เขาบังคับให้ผมทานเยอะๆ เขาหัวเราะแล้วบอกว่า วันนี้ไม่ต้องกินอิ่มมากก็ได้ แค่ชิมทุกจานที่เขาทำให้ก็พอ คืนนี้อาจจะมีศึกหนัก เขาไม่อยากให้อาหารที่ผมกินเข้าไปจำนวนมาก ทำลายบรรยากาศการลงทุนของเขา

เดียร์บอกว่าผมติดหนี้เขาไว้หลายครั้ง ดังนั้น เขาจะถอนทุนให้หมดภายในคืนเดียว ผมทำคอย่น นึกสยองไปตามคำพูดของเด็กหนุ่ม แต่คนเจ้าเล่ห์กลับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ท่าทางหมายมั่นปั้นมือที่จะเอาคืนผมทั้งต้นทั้งดอก

“เรียวครับ วันนี้ผมรู้สึกดีมากๆเลยรู้ไหม ที่เรียวยอมพาผมไปเที่ยวกับเพี่อนคุณด้วย ถึงเพื่อนคุณแต่ละคนจะน่ารำคาญไปบ้าง โดยเฉพาะ ยัยอรจิรา กับอีตาศักดิ์ชาย แต่การที่คุณกล้าพาผมไปด้วย มันลบล้างความรู้สึกไม่ดีที่ผมมีต่อคนเหล่านั้น และทั้งกับคุณ มันเหมือนว่าคุณยอมรับพร้อมทั้งเปิดตัวผมกลายๆให้เพื่อนคุณได้รับรู้ถึงความสัมพันธ์ของเราใช่ไหมครับ…..”

เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นหลังจากนอนอยู่บนเตียงเดียวกัน เดียร์กอดผมไว้แนบแน่น แผ่นหลังของผมแนบชิดไปกับลำตัวด้านหน้าของเขา .......................................

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-02-2009 13:12:12
“เรียวครับ วันนี้ผมรู้สึกดีมากๆเลยรู้ไหม ที่เรียวยอมพาผมไปเที่ยวกับเพี่อนคุณด้วย ถึงเพื่อนคุณแต่ละคนจะน่ารำคาญไปบ้าง โดยเฉพาะ ยัยอรจิรา กับอีตาศักดิ์ชาย แต่การที่คุณกล้าพาผมไปด้วย มันลบล้างความรู้สึกไม่ดีที่ผมมีต่อคนเหล่านั้น และทั้งกับคุณ มันเหมือนว่าคุณยอมรับพร้อมทั้งเปิดตัวผมกลายๆให้เพื่อนคุณได้รับรู้ถึงความสัมพันธ์ของเราใช่ไหมครับ…..”

เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นหลังจากนอนอยู่บนเตียงเดียวกัน เดียร์กอดผมไว้แนบแน่น แผ่นหลังของผมแนบชิดไปกับลำตัวด้านหน้าของเขา

“ใครบอกว่าฉันเปิดตัวนาย.....แค่ไม่อยากให้เหงาอยู่คนเดียวในบ้านเท่านั้น”

“จะทำอย่างไรกับผู้ร้ายปากแข็งดีน้อ ....คำพูดกับใจไม่เคยตรงกันเลยนะครับ อย่างนี้ต้องทำโทษรู้ไหม”

ริมฝีปากของเดียร์ซุกซนอยู่แถวต้นคอผม เขาจูบและใช้ลิ้นวนจนผมขนลุกซู่ไปหมด

“เรียวรักผมแล้วใช่ไหมครับ.....ผมรู้นะ ถึงเรียวไม่พูด แต่ผมก็ดูออก”

“เอาอีกแล้ว เจ้าโรคขี้ตู่ คิดเองเออเอง เมื่อไรจะหายไปจากตัวนายสักทีนะ”

ยังคงปากแข็งตามเดิม รู้สึกอายเด็กหนุ่มที่จะยอมรับความจริง

“แล้วไอ้โรคดื้อ ปากอย่างใจอย่างนี่ล่ะ จะรักษาอย่างไรดี กันนี่ฮึ......เอางี้ผมขอเสนอตัวเป็นหมอดีกว่า แล้วรักษาคุณตามวิธีการของผมดีไหม”

คนพูดขันอาสาจะมาช่วยแก้อาการของผมด้วยท่าทางขึงขัง

“วิธีการไหนก็ใช้ไม่ได้ผลหรอก เพราะฉันไม่มีวันรักนาย”

ไม่รู้ว่าผมโกหกออกไปได้ไง ทั้งที่จริงผมควรจะสารภาพออกไปด้วยซ้ำว่าผมรักเขาแค่ไหน แต่แหม บอกรักผู้ชายด้วยกัน มันยากยิ่งกว่าอะไรดี ก่อนหน้านี้ ผมรังเกียจเขารวมถึงวิธีการที่เขาทำกับผม ปฏิเสธ และพยายามขัดขืนตัวเองตลอดมา

แต่ในที่สุดผมก็ฝืนธรรมชาติตัวเองไม่ไหว ผมตกเป็นของเขาด้วยเหตุสุดวิสัย แต่ในครั้งต่อๆมาผมยอมให้เขามีอะไรกับผมด้วยความเต็มใจ ความผูกพันธ์ทางกาย ผสานกับความรู้สึกดีที่เขามีให้กับผม ทำให้หลงรักเขาโดยไม่รู้ตัว ผมรู้สึกเขินที่จะให้เดียร์รู้ว่า ตอนนี้หัวใจของผมถูกเขาครอบครองจนหมดแล้ว

อีกเหตุผลหนึ่งที่ผมคิดว่าไม่ควรจะพูดออกไป เพราะผมไม่มั่นใจในอนาคตระหว่างสองเรา หากผมไม่ได้เลือกเขา ผมก็ไม่อยากให้เด็กหนุ่มเจ็บ เพราะถ้าเดียร์รู้ว่าผมรักเขา เขาก็ยิ่งพยายามอย่างมากที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผม ต้องต่อสู้เพื่อให้ได้ผมมา

ซึ่งคำตอบมันก็คือเราอยู่ร่วมกันไม่ได้ หากเขาไม่รู้ว่าผมรักเขา เด็กหนุ่มก็จะยอมแพ้ไปเอง เราจะได้จากกันไปโดยไม่มีอะไรติดค้างในใจ เพราะถึงยังไง สัญญาก็ได้สิ้นสุดลง แล้วเขาก็ได้พยายามทำมันเต็มที่แล้ว

“งั้นเรามาพิสูจน์กันดีกว่า ว่าวิธีการของผม จะทำให้เรียวบอกรักออกมาได้หรือเปล่า”

เดียร์พูดอย่างมีเลสนัย หน้าทะเล้นเวลายิ้มยั่ว ดูน่ามองนัก ผมไม่ยอมสบตาเขา เบือนหน้าหนี แต่เด็กหนุ่มไม่ยอมให้ผมปลีกตัวไปจากเขา ถึงแม้ว่าผมจะหนีหัวใจตัวเองได้ แต่ทางกายไม่อาจจะหลบเลี่ยงจากเขา โดยเฉพาะยามที่ใกล้ชิดกันถึงเนื้อถึงตัวแบบนี้

เด็กหนุ่มกับมือซุกซนของเขายุ่มย่ามตามตัวผมจนในที่สุดก็ปล้ำถอดเสื้อผมออกจากตัวได้จนหมด เขายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ พลางก้าวขึ้นมาทาบทับ ใบหน้าหล่อเหลาบาดใจโน้มเข้ามาหา ริมผีปากอุ่นๆของเดียร์แตะที่ปากที่กำลังเผยออ้าของผม เขาแทรกลิ้นเข้าไป และจูบผม

จุมพิตที่ทำให้หัวใจเต้นระรัว ความร้อนรุ่มแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย แขนขาอ่อนเปลี้ย หมดสิ้นเรี่ยวแรง จนผมต้องยื่นแขนไปโอบรัดรอบตัวเดียร์ไว้ เพื่อเป็นหลักยึดเหนี่ยว

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-02-2009 13:12:39
เนื้อตัวของผมถูกลูบไล้ด้วยมือใหญ่ๆของเดียร์ เขาถอนจุมพิตออก แล้วเลื่อนลงมาเคล้าคลึงที่หน้าอกของผม ลิ้นของเด็กหนุ่มแลบเลียอยู่บนยอด ส่วนมืออีกข้างก็ค่อยๆขยับลงมาคลึงเคล้าหยอกล้ออยู่กับน้องชายของผม

ความปั่นป่วนรัญจวนใจของผมดำเนินมาจนใกล้จะถึงขีดสุด เมื่อเดียร์โอบอุ้มเรียวน้อยไว้ในปากของเขา เด็กหนุ่มตั้งอกตั้งใจมอบความสุขให้กับผม ตาหวานฉ่ำของเขาที่มองมาเปี่ยมล้นไปด้วยความรักภักดีอย่างเห็นได้ชัด หลังจากปลุกเร้าอารมณ์ของผมทำให้ลุกโชนขึ้น เด็กหนุ่มก็พร้อมที่จะพาผมไปสู่ดินแดนแห่งความหฤหรรษ์

เขาแยกขาของผมออก แล้วช้อนสะโพกขึ้น จากนั้นก็ฝังแก่นกายของเขาเข้ามาในร่างของผม แม้เราจะเคยมีอะไรกันหลายครั้ง แต่ผมก็ยังอดที่จะสะดุ้งเฮือกไม่ได้ เวลาที่เข้าผ่านเข้ามาข้างใน ร่างกายของเขาใหญ่โตสมกับมีเลือดต่างชาติครึ่งหนึ่ง แต่ด้วยชั้นเชิงลีลาของเด็กหนุ่มที่นับวันก็ยิ่งฝีมือจัดจ้านขึ้น ทำให้ผมค่อยๆรู้สึกผ่อนคลายและรู้สึกสุขสันต์ยามที่เขาขยับตัวอยู่บนร่างของผม

ในขณะที่เดียร์เคลื่อนไหวร่างกายอย่างเนิบช้าอยู่นั้น หูของผมก็พลันแว่วได้ยินเสียงหนึ่งดังอยู่ข้างล่างทางด้านนอก เนื่องจากห้องนอนของผม อยู่ชั้นสองทางด้านหน้า สามารถที่จะมองผ่านกระจกออกไปยังบริเวณรั้วบ้าน และได้ยินเสียงที่เกิดขึ้นได้ด้วย เสียงนั่นดังขึ้นอย่างต่อเนื่องยาวนาน เรียกร้องความสนใจของผม จนอดที่จะเอ่ยปากออกมาไม่ได้

“ได้ยินเสียงอะไรหรือเปล่าหือเดียร์”

“หือ....ได้ยินสิ เสียงครวญครางของเรียวที่เรียกชื่อผม”

เดียร์กระซิบที่ข้างหูผมเสียงกระเส่า เขายังคงเคลื่อนไหวร่างกายไม่ยอมหยุด แม้ผมจะรู้สึกวาบหวามเพียงใด แต่เสียงที่ดังอย่างไม่หยุดนั้นก็รบกวนจิตใจผมไม่น้อย

“ไม่ใช่ ...เสียงเหมือนเสียงกริ่งหน้าบ้านถูกกดนะ...ลองฟังดูสิ”

เด็กหนุ่มหยุดการเคลื่อนไหวชั่วครู่ แล้วก็เงี่ยหูฟัง เมื่อเราสองคนหยุดกิจกรรมลง เสียงนั้นก็ชัดขึ้น สักพักเดียร์ก็ขยับสะโพกต่อ และซุกไซร้แถวซอกคอผม เป็นการบอกให้รู้เป็นนัยๆว่าให้เลิกสนใจกับสิ่งภายนอก เขาพยายามดึงตัวผมเข้ามาสู่โลกที่มีเราเพียงแค่สองคน ทว่า ผมติดใจเสียงกริ่งนั่นเสียแล้ว

“มันดังอยู่หน้าบ้านเรานะ ฉันว่า...ลงไปดูก่อนดีไหม”

“ไม่เอานะครับ คนดี ...อย่าเพิ่งเลย...เสียเวลาเปล่า .ผมว่าไม่ใช่หรอกครับ คงบ้านอื่นมากกว่า เดี๋ยวเจ้าของบ้านคงมาเปิดรับกันเองแหละ เราอย่าไปยุ่งเรื่องของชาวบ้านเลย มากุ๊กกิ๊กกันต่อดีกว่านะครับ ที่รักของผม”

ทว่ายังไม่มีเจ้าของบ้านคนใด มาแสดงตัวรับคนที่กดกริ่งนั้นเข้าไป เพราะเสียงนั้นยังดังระรัวไม่ยอมหยุด ผมชวนเดียร์ลงไปดูอีกครั้ง ได้ยินเดียร์ถอนหายใจอย่างหงุดหงิด เขาไม่ยอมตอบ ไม่ยอมไป แต่ยังพยายามที่จะทำภาระกิจของตัวเองต่อ

เดียร์ก้มลงมาจูบผมอีกครั้ง มือไม้ก็ลูบไล้ไปทั่วในขณะที่สะโพกก็ขยับเป็นจังหวะต่อเนื่อง แต่ผมหมดอารมณ์เสียแล้ว ความสงสัยเข้ามาแทนที่ ผมคิดว่าเสียงนั้นไม่ได้ดังที่บ้านอื่น แต่ดังที่บ้านของผมเอง และแขกผู้มาเยี่ยมยามวิกาลกำลังมีเรื่องอะไรบางอย่างที่เดือดร้อน ต้องการความช่วยเหลือ ถึงได้กดกริ่งเรียกแบบไม่ยั้งอย่างนั้น

เหมือนจะรู้ว่าผมไม่มีกระจิตกระใจจะทำต่อแล้ว แต่เดียร์ก็ยังหวังว่าการเริ่มต้นเล้าโลมผมอีกครั้งจะช่วยสร้างความพิสวาสให้เกิดขึ้นกับผมใหม่ได้ เขาจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะให้ผมละความสนใจจากตรงนั้นเพื่อดำเนินกิจกรรมแห่งความรักกับเขา

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-02-2009 13:13:18

เหมือนจะรู้ว่าผมไม่มีกระจิตกระใจจะทำต่อแล้ว แต่เดียร์ก็ยังหวังว่าการเริ่มต้นเล้าโลมผมอีกครั้งจะช่วยสร้างความพิสวาสให้เกิดขึ้นกับผมใหม่ได้ เขาจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะให้ผมละความสนใจจากตรงนั้นเพื่อดำเนินกิจกรรมแห่งความรักกับเขา

“เดียร์พอเถอะ ....ฉันไม่อยากทำแล้วล่ะ....ฉันว่าจะลงไปดูข้างล่างดีกว่า.....”

“ไม่นะครับ อย่าเพิ่งทิ้งกันไปนะ...รอก่อนได้ไหมครับ...คนดี....ให้ความร่วมมือกับผมก่อน แล้วเดี๋ยวเราค่อยลงไปพร้อมกันนะครับ...”

เด็กหนุ่มพยายามอ้อนขอทำต่อ จากนั้นก็เริ่มต้นเล้าโลมผมใหม่อีกครั้ง แต่ผมไม่มีอารมณ์อีกแล้ว เริ่มที่จะรู้สึกรำคาญที่เขาเห็นแก่ความสุขส่วนตัว จนไม่คำนึงถึงคนอื่น คนข้างล่างอาจจะเป็นใครบางคนที่กำลังเดือดร้อนมา

ผมนึกไปถึงเด็กสาวๆที่อาจจะหนีการตามไล่ล่าจากพวกโจรข่มขืน หรือไม่ก็อาจจะถูกแย่งชิงทรัพย์สิน และมากดกริ่งขอความช่วยเหลือ หากแต่มันอยู่ในช่วงที่คนกำลังหลับนอน เลยอาจจะไม่ได้ยิน หรือไม่ก็อาจจะไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้จึงไม่มีใครคิดจะมาช่วยเหลือ

แต่ผมตื่นอยู่ ผมสามารถลงไปให้ความช่วยเหลือได้ ก่อนจะเกิดเหตุร้ายขึ้น สำหรับการกุ๊กกิ๊กกันกับเดียร์ เรามีเวลาที่จะทำกันอีกมากมาย ที่จริงเดียร์น่าจะเข้าใจ ไม่น่าจะดื้อรั้นอย่างนี้

แต่ผมลืมไปข้อหนึ่งก็คือ คนเราอารมณ์กำลังเตลิดสุดๆ ก็คงอยากจะจัดการทุกอย่างให้เสร็จสิ้น เหมือนรถที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูง อยู่ดีๆก็มีคนวิ่งตัดหน้า ต้องเบรกกระทันหัน ทำให้รถต้องเสียหลัก และเกิดการบาดเจ็บขึ้น ผมมัวแต่คิดถึงคนอื่น เลยลืมคิดถึงความรู้สึกของเดียร์ไป

ความหงุดหงิดทำให้ผมไม่คิดหน้าคิดหลังให้รอบคอบ เมื่อเดียร์มีทีท่าว่าไม่ยอมหยุดสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ ผมก็หงุดหงิด โมโห และงอเข่าขึ้น ผมเห็นเดียร์ส่ายหน้าปฏิเสธ เหมือนขอร้องให้ผมหยุดสิ่งที่ผมกำลังคิดจะทำ

แต่ช้าไปเสียแล้ว ผมใช้เท้ายันร่างของเดียร์ออกไปให้พ้นตัวอย่างแรง ได้ผลลัพธ์อย่างที่ต้องการ เดียร์หลุดออกจากตัวผม แล้วกระเด็นตกจากเตียงกระแทกกับพื้นก้นจ้ำเบ้า

เสียงของเนื้อที่กระทบกับพื้นทำให้ผมรีบผวาลุกขึ้นนั่ง มองลงไปข้างล่าง ก็เห็นเดียร์เบิกตากว้างมองผมอย่างตกใจ และแปรเปลี่ยนเป็นน้อยใจผสมกับความโกรธขึ้ง คิ้วขมวดมุ่น ตาของเขาแดงก่ำ น้ำใสๆจำนวนหนึ่งเอ่อล้นขอบตา

เขาเม้มริมฝีปากแน่น ทรวงอกสะท้อนขึ้นลง ร่างกายชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ ผมใจหายหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม รู้ตัวแล้วว่าทำผิดไปมหันต์ นึกขึ้นได้ว่าตัวเองก็เคยอยู่ในห้วงอารมณ์พิศวาสแบบนี้ ขณะที่โรมรันพันตูกับคู่ของตัวเอง หากถูกขัดจังหวะแม้เพียงเสียงโทรศัพท์ ผมก็เคยหงุดหงิดมาก่อน

แต่นี่ผมใช้กำลังเอากับเขาโดยที่เดียร์ไม่ทันตั้งตัว ก้นกระแทกกับพื้นแรงขนาดนั้นในขณะที่น้องชายของเขากำลังแข็งตัวอยู่ มันจะทำให้เขาบาดเจ็บหรือเปล่านะ ผมอยากจะร้องไห้เหลือเกิน ร่ำร้องในใจว่าผมขอโทษ จะโกรธผมก็ยอมแต่อย่าเป็นอะไรมากเลยนะ

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-02-2009 13:13:48
ผมเลื่อนตัวลงจากเตียงเดินมาหาเขา แล้วยื่นมือออกมา แต่เดียร์รีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ผมมองไปที่กลางลำตัวของเขาโดยอัตโนมัติ รีบสำรวจหาร่องรอยการบาดเจ็บ แต่ไม่พบอะไร

น้องชายของเขายังไม่ได้สงบลงทันที อาจจะบาดเจ็บอยู่ข้างในก็ได้ ผมกำลังจะเอ่ยปากขอโทษเขาแล้วถามว่าเป็นอะไรมากไหม แต่เดียร์ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ราวกับคนที่กำลังพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ของตัวเอง

“รอผมนิดหนึ่งไม่ได้หรือครับเรียว....รอให้เสร็จก่อนไม่ได้ใช่ไหม ....คนข้างล่างเป็นใครก็ไม่รู้ แต่เรียวห่วงเขามากกว่าห่วงผม คุณใจดีกับคนอื่นๆ แต่ไม่เคยใส่ใจกับความรู้สึกของผมเลย”

น้ำเสียงตัดพ้อต่อว่าของเขาทำให้ผมคอตก ประโยคต่อไปของเขายิ่งทำให้ผมเจ็บปวด

“ไปเถอะครับเรียว ลงไปดูเขา ไปช่วยเหลือเขาให้พอใจ....ผมน่ะมันไม่มีความหมายอะไรกับเรียวเลยแม้แต่นิดเดียว.....”

“เดียร์...ฉัน...”

ยังไม่ทันที่จะหลุดคำว่าขอโทษ เดียร์ก็พูดแซงขึ้นมาอีก เหมือนว่าเขาจะรู้สึกอัดอั้นจนทนไม่ไหว

“ช่างเถอะครับเรียว.....ที่จริงจะโทษคุณก็ไม่ถูก....ผมผิดเองที่รักคุณ และควรที่จะทำใจตั้งแต่แรกว่า คุณไม่เคยรักผมเลย ดังนั้นคุณจะมาใส่ใจกับความรู้สึกของผมทำไม ผมมันก็แค่คนโง่ที่หวังว่าจะมีปาฎิหารย์เกิดขึ้น คิดว่ารักแท้ของผมจะช่วยเปลี่ยนแปลงใจคุณได้ แต่...มันไม่เคยเป็นจริงเลย คุณยังคงเกลียดผม และเห็นคนอื่นดีกว่าผมเสมอ”

มันไม่จริงเลย ทำไมผมจะไม่รักเดียร์ ผมรักเขามากด้วย และเห็นเขามีค่าสำหรับผม ถ้าไม่รักผมจะยอมเป็นของเขาได้ไง ที่ผ่านมาผมอาจจะเคยหนีเขา แต่หลังจากที่ผมรู้แน่แก่ใจตัวเองแล้วผมก็ยอมเขามาโดยตลอด

ปาฏิหารย์มีจริง สิ่งที่เขาเพียรทำความดีกับผม มันได้ผล ผมรักเขามากมายเหลือเกิน เมื่อกี้ผมผิดเอง ผมลืมไป ผมแค่มองต่างมุมเท่านั้น เห็นว่าเรายังมีเวลาให้แก่กันอีกมาก แต่คนข้างล่างอาจจะกำลังโดนทำร้ายอยู่ก็ได้

ผมแค่อยากช่วย แต่ผมไม่ได้เห็นว่าเขาสำคัญกว่าเดียร์เลย ผมไม่คิดว่าเด็กหนุ่มจะโกรธผมด้วยเรื่องแค่นี้ แต่เขาคงจะน้อยใจผมหลายครั้งจนเก็บสะสมไว้มากเข้ามากเข้า โดยเฉพาะวันนี้เขาก็เคืองเพื่อนๆผม แถมยังงอนที่ผมปล่อยให้เพื่อนตามไปขัดขวางความสุขของเรา พอเกิดมาเกิดเรื่องนี้ขึ้นตอนที่กำลังเข้าได้เข้าเข็ม แล้วผมก็เผลอตัวทำร้ายเขาด้วย เดียร์จึงน้อยใจสุดๆ

ผมอ้าปากจะขอโทษเดียร์ และถามว่าเป็นอะไรไหม แต่เดียร์สะบัดหน้าและเดินหนีเข้าห้องน้ำไป ทิ้งให้ผมยืนเคว้งคว้างอยู่ในห้องแต่เพียงลำพัง กับความกลัดกลุ้มที่เกิดจากการกลัวว่าเดียร์จะโกรธจนไม่พูดกับผม

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-02-2009 13:14:16

มันไม่จริงเลย ทำไมผมจะไม่รักเดียร์ ผมรักเขามากด้วย และเห็นเขามีค่าสำหรับผม ถ้าไม่รักผมจะยอมเป็นของเขาได้ไง ที่ผ่านมาผมอาจจะเคยหนีเขา แต่หลังจากที่ผมรู้แน่แก่ใจตัวเองแล้วผมก็ยอมเขามาโดยตลอด ปาฏิหารย์มีจริง

สิ่งที่เขาเพียรทำความดีกับผม มันได้ผล ผมรักเขามากมายเหลือเกิน เมื่อกี้ผมผิดเอง ผมลืมไป ผมแค่มองต่างมุมเท่านั้น เห็นว่าเรายังมีเวลาให้แก่กันอีกมาก แต่คนข้างล่างอาจจะกำลังโดนทำร้ายอยู่ก็ได้ ผมแค่อยากช่วย แต่ผมไม่ได้เห็นว่าเขาสำคัญกว่าเดียร์เลย

ผมไม่คิดว่าเด็กหนุ่มจะโกรธผมด้วยเรื่องแค่นี้ แต่เขาคงจะน้อยใจผมหลายครั้งจนเก็บสะสมไว้มากเข้ามากเข้า โดยเฉพาะวันนี้เขาก็เคืองเพื่อนๆผม แถมยังงอนที่ผมปล่อยให้เพื่อนตามไปขัดขวางความสุขของเรา พอเกิดมาเกิดเรื่องนี้ขึ้นตอนที่กำลังเข้าได้เข้าเข็ม แล้วผมก็เผลอตัวทำร้ายเขาด้วย เดียร์จึงน้อยใจสุดๆ

ผมอ้าปากจะอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เดียร์สะบัดหน้าและเดินหนีเข้าห้องน้ำไป ทิ้งให้ผมยืนเคว้งคว้างอยู่ในห้องแต่เพียงลำพัง กับความกลัดกลุ้มที่เกิดจากการกลัวว่าเดียร์จะโกรธจนไม่พูดกับผม

ทว่าผมไม่มีเวลาที่จะงอนง้อเดียร์ในตอนนี้ เพราะเสียงกดกริ่งระรัวข้างล่าง เร่งเร้าให้ผมลงไปหาต้นเหตุที่ทำให้เกิดเสียงดังนั่น

ผมคว้าเสื้อและกางเกงนอนมาสวม และใส่เสื้อคลุมทับอีกที จากนั้นผมก็ออกจากห้องเดินลงไปข้างล่าง ที่ประตูรั้วมีร่างหนึ่งยืนอยู่ เมื่อผมเดินเข้าไปใกล้จึงได้เห็นว่าคนที่กดออดบ้านผมอยู่นั้นเป็นใคร ผมมองสารรูปคนที่อยู่ตรงหน้า ทั้งแปลกใจและโกรธขึ้ง

นี่เหรอต้นเหตุที่ทำให้ผมบาดหมางกับเดียร์ สาวเก่งนามแคทลียา ยืนโงนเงนแทบจะทรงตัวไม่ได้อยู่หน้าบ้านผม มือกดค้างที่กริ่งกำลังจะกดซ้ำ แต่ผมเรียกเธอไว้เสียก่อน

“ไปไงมาไงเนี้ยคุณแคท เมามาอีกแล้วใช่ไหม ทำไมไม่กลับบ้าน แล้วจะมาบ้านผมทำไมไม่โทรมาบอก ดุ่มๆมาแบบนี้ มันเสี่ยงมากนะ ถ้าผมนอนขี้เซา ไม่ได้ยินขึ้นมาจะทำไง”

ผมต่อว่าต่อขานเธอ แต่ก็เปิดประตูให้เธอเข้ามา

“คุณเรียวเหรอ ช่วยแคทด้วย แคทไม่รู้จะทำไงดี แคทกลุ้ม คิดอะไรไม่ออก แก้ปัญหาอะไรไม่ได้ เลยมาหาคุณนี่แหละ”

“เข้ามาคุยกันในบ้านดีกว่า”

ผมพาเธอไปห้องรับแขก หาน้ำหาท่ามาให้กิน และเอาผ้าชุบน้ำเย็นๆ มาส่งให้เธอเพื่อเช็ดหน้าเช็ดตา จากนั้นก็นั่งรอเธอสักพัก พอเห็นว่าเธอพอจะพูดรู้เรื่องขึ้นบ้าง จึงได้เอ่ยปากถาม

“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ ผมนึกว่าพอแยกกันแล้ว คุณจะกลับไปบ้าน ไม่นึกว่าคุณจะไปต่อ”

“ที่จริงแคทตั้งใจจะมาพูดคุยกับคุณด้วยเรื่องเดิมๆ ที่แคทอึดอึดใจอยู่ค่ะ แต่เมื่อตอนกลางวันนี้ โชคไม่ดีเลย เวลาน้อย แคทเข้าไม่ถึงตัวคุณ แต่แคทยังอึดอัดใจอยู่ ไม่มีที่ระบายแคทเลยไปเที่ยวต่อ แล้วก็มาหาคุณนี่แหละ”

เธอพูดด้วยท่าทีที่รู้สึกอัดอั้น ดูเหมือนว่าเธอจะเมานิดหน่อย ผมเลยให้เธอพักผ่อนก่อน เดี๋ยวค่อยมาคุยต่อ แต่คุณแคทไม่ยอม บอกว่าอุตส่าห์มาถึงบ้านผม แถมซ้ำมีเรื่องเดือดร้อนอยากมาปรึกษา รอต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เพราะใจเธอมันร้อนรุ่มเหลือเกิน ขอเวลาเธอแค่แป๊บเดียว ถ้าเธอสร่างเมาแล้ว จะเล่าให้ผมฟังแทบทุกอย่าง ผมเลยจำเป็นต้องนั่งรอคุณแคท ซึ่งนับนิ่งเงียบไปอีกราวครึ่งชั่วโมง

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-02-2009 13:15:02
เกิดอะไรขึ้นหรือครับ ผมนึกว่าพอแยกกันแล้ว คุณจะกลับไปบ้าน ไม่นึกว่าคุณจะไปต่อ”

“ที่จริงแคทตั้งใจจะมาพูดคุยกับคุณด้วยเรื่องเดิมๆ ที่แคทอึดอึดใจอยู่ค่ะ แต่เมื่อตอนกลางวันนี้ โชคไม่ดีเลย เวลาน้อย แคทเข้าไม่ถึงตัวคุณ แต่แคทยังอึดอัดใจอยู่ ไม่มีที่ระบายแคทเลยไปเที่ยวต่อ แล้วก็มาหาคุณนี่แหละ”

เธอพูดด้วยท่าทีที่รู้สึกอัดอั้น ดูเหมือนว่าเธอจะเมานิดหน่อย ผมเลยให้เธอพักผ่อนก่อน เดี๋ยวค่อยมาคุยต่อ แต่คุณแคทไม่ยอม บอกว่าอุตส่าห์มาถึงบ้านผม แถมซ้ำมีเรื่องเดือดร้อนอยากมาปรึกษา รอต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เพราะใจเธอมันร้อนรุ่มเหลือเกิน ขอเวลาเธอแค่แป๊บเดียว ถ้าเธอสร่างเมาแล้ว จะเล่าให้ผมฟังแทบทุกอย่าง ผมเลยจำเป็นต้องนั่งรอคุณแคท ซึ่งนับนิ่งเงียบไปอีกราวครึ่งชั่วโมง

“เขาบอกเลิกกับแคทอีกแล้วค่ะ เขาขอเลือกลูกกับเมียเขามากกว่าที่จะอยู่กับแคท ขนาดตื้อและอ้อนวอนเท่าไหร่ เขาก็ไม่ยอมฟัง เขาบอกว่าเขาไม่ได้รักเมียเท่าไร แค่รู้สึกผูกพัน แต่เขารักลูกมากกว่า เพราะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา และแคทเองก็มีลูกให้กับเขาไม่ได้ค่ะ”

คุณแคทพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น เธอเริ่มต้นที่จะร้องไห้อีกแล้ว ผมหยิบทิชชู่ส่งให้เธอซับน้ำตา จากนั้นก็พูดกับเธอออกไปตรงๆ

“ในเมื่อรู้ว่าไม่มีหวังแล้ว ทำไมไม่ตัดใจล่ะครับ สวยอย่างคุณแคท หาเอาใหม่ก็ได้”

“แล้วใครจะมายอมรับในตัวแคทล่ะคะ ในเมื่อแคทไม่เหมือนคนอื่นเค้า....”

“ทำไมหรือครับ....ผมไม่เข้าใจ ว่าจะไม่มีคนยอมรับในตัวคุณแคทได้ไง ในเมื่อคุณแคทสวย ฉลาด และทำงานเก่งออกขนาดนี้ ใครเห็นใครก็หลงรัก”

แม้จะคาดเดาว่าคำตอบคืออะไร แต่ผมก็อยากจะรู้ให้แน่ชัด เลยลองทำตัวเป็นนักสืบอย่างสันต์ดูบ้าง ด้วยการวางคำถามให้เธอตอบ อย่างน้อยๆ การได้ทราบที่ไปที่มา อาจจะทำให้ผมสามารถช่วยแก้ปัญหาให้คุณแคทได้ มันจะได้จบๆกันไปเสียที ปล่อยไว้คาราคาซัง มันก็จะยิ่งยุ่ง ไม่เพียงแต่คู่ของคุณแคทที่เลิกรากัน ผมกับเดียร์ก็จะบาดหมางแคลงใจกันไปด้วย

“ก็มีคุณไงคะที่ไม่เคยมองแคท ทั้งที่เราทำงานใกล้กัน คุณสันต์ และคนอื่นๆ เขาก็แค่ชื่นชมแคท แต่ไม่มีใครจีบสักคน มีเพียงเขาที่รักและยอมรับแคทได้ แคทจึงไม่อยากเสียเขาไปไงคะ”

มายกอ้างผมกับเจ้าสันต์ได้ไงกันเนี่ย เจ้าสันต์มันเป็นเกย์ มันไม่สนผู้หญิงหรือคนที่แปลงเพศแบบคุณแคทหรอก ส่วนผมมีใครบางคนอยู่ในหัวใจแล้ว และผมก็รักเขาจนไม่มีสายตาไปมองคนอื่นอีกแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าที่คุณแคทพูดจะเป็นความจริง สวยๆแบบนี้ทำไมไม่มีแฟน หรือว่าใครต่อใครเขามองออกนะ ว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงแท้

“ผมว่าคุณแคทไม่ได้มองคนอื่นมากกว่านะครับ ลองดูสิ ในเมื่อคุณไม่สามารถที่จะมีความรักที่สมหวังกับคนที่เขามีลูกเมียแล้ว ทำไมไม่มองหาหนุ่มโสดนิสัยดีๆสักคนละครับ ผมว่าน่าจะหาเจอนะ”

คุณแคทแค่นยิ้ม ก่อนจะเสยผมที่ปรกระใบหน้า ท่าทางของเธอยังมึนๆอยู่ แต่กระนั้นก็พอจะพูดสื่อสารให้เข้าใจได้

“ถ้าเขารู้ความจริงว่าแคทเป็นกระเทย เขาก็คงจะหนีไปเหมือนกับคนอื่นๆที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิต จะมีใครสักกี่คนล่ะคะที่จะอยากแต่งงานกับคนที่ไม่ใช่ผู้หญิงแท้....มีลูกให้เขาก็ไม่ได้ แต่งงานกันไปสังคมก็ไม่ยอมรับ...ไม่มีใครหรอกค่ะที่อยากจะมาร่วมหัวจมท้ายด้วย....”

ในที่สุดคุณแคทก็โพล่งออกมาอย่างยอมรับความเป็นจริง ผมฟังน้ำเสียงที่เศร้ารันทดของเธอแล้วอดคิดไปถึงตัวเองไม่ได้ ทำไมเหตุการณ์มันถึงได้คล้ายกันนะ เพียงแต่ว่าสลับกันนิดหน่อยตรงที่ ผมเป็นผู้ชายที่ลังเลใจที่จะใช้ชีวิตคู่กับคนที่เป็นเกย์ กลัวการไม่ยอมรับของสังคม ปรารถนาที่จะใช้ชีวิตครอบครัวที่มีทั้งพ่อแม่และลูก ไม่เคยคิดฝันว่าจะต้องมาอยู่กินกับผู้ชายด้วยกัน

การที่ได้ฟังความในใจของกระเทยอย่างคุณแคท ทำให้ผมได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดของคนที่เป็นเพศที่สาม พวกเขามีความรักแบบเดียวกับชายหญิงทั่วไป แต่ความรักของคนเหล่านั้นไม่ค่อยจะสมหวัง เพราะไม่มีใครกล้าที่จะใช้ชีวิตอยู่ด้วย ต่างคนต่างก็กลัวการพิพากษาของสังคม กลัวถูกกีดกันไม่ยอมรับ เกรงว่าจะสูญเสียทุกอย่างในชีวิต ทำให้คนที่เป็นเกย์หรือกระเทยต้องพบกับความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนไม่กล้าที่จะคิดที่จะสร้างความสัมพันธ์ในระยะยาวกับใครสักคน

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-02-2009 13:15:32
“อึ้งเลยละสิ เห็นไหมคะ ทุกคนที่รู้ความจริง มีอาการแบบคุณเรียวทุกคนเลย ผู้ชายส่วนใหญ่ รับไม่ได้หรอกค่ะ ที่จะมายุ่งเกี่ยวกับกระเทย ต่อให้เราพยายามจะเลียนแบบผู้หญิงให้เหมือนกว่า สวยและมีเสน่ห์ หรือทำตัวดีกว่าอย่างไร พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะเลือกเราเป็นคู่ชีวิตหรอกค่ะ ถึงยังไงเพศที่เราถือกำเนิดมาก็รบกวนจิตใจของพวกเขาอยู่ดี....”

ใช่ สิ่งที่คุณแคทพูดมาถูกต้องเลย ผมเองก็มีข้อจำกัดเรื่องนี้เหมือนกัน ทำให้ไม่กล้าเปิดใจกับเดียร์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ทั้งๆที่ผมรักเขามากจนขาดเขาไม่ได้แล้วตอนนี้

“ผมขอถามความจริงอะไรคุณแคทอย่างหนึ่งได้ไหมครับ....”

“อะไรหรือคะ ถามมาสิ ถ้าตอบได้แคทจะตอบ.....แต่ตอบแล้วมันช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้างไหมคะ....”

“ลองตอบก่อนแล้วกัน คือผมสงสัยมานานแล้ว เลยอยากจะถามคุณแคทว่า คุณแคทเป็นแฟนเก่าของพี่สมชายใช่ไหมครับ”

คำถามของผม เล่นเอาคุณแคทชะงัก เธอยกมือขึ้นลูบใบหน้า นิ่งอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้า แล้วสิ่งที่อัดอั้นตันใจก็ถูกระบายออกมา ราวกับทำนบกั้นน้ำที่พังทะลาย

“ใช่ค่ะ เราสองคนเคยเป็นแฟนกัน เรารักกันมาตั้งนานแล้วก่อนที่พี่สมชายจะแต่งงานเสียอีก แคทเคยเรียนโรงเรียนเดียวกันกับเขา แต่เขาเป็นรุ่นพี่หลายปีมาก ตอนแคทเข้า ม.1 พี่สมชายก็อยู่ ม.6 แล้ว แคทก็แอบรักพี่เขามาโดยตลอด แต่พี่สมชายไม่รู้ตัว

จนกระทั่งแคทเรียนจบ สอบเข้ามหาวิทยาลัย ก็มาเจอเขาอีก ไม่น่าเชื่อเลย พี่สมชายแกเข้ามาเรียนก่อนเป็นรุ่นพี่ แต่แกบ้ากิจกรรมมาก แล้วมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ดรอปเรียน ออกไปแสวงหาตัวตนอะไรของเขาก็ไม่รู้ตั้งเกือบ 2 ปี พอกลับเข้ามาเรียนใหม่ เราก็มีโอกาสได้เจอกันอีก

ตอนแรกที่เขาจบออกไปก่อน แคทตัดใจแล้วนะคะว่าคงไม่มีหวัง แต่พอได้เห็นหน้าเขาที่มหาวิทยาลัย ความรู้สึกเดิมๆมันก็กลับมาอีก แล้วเขาก็ดีกับแคทมาก ดูแลเทคแคร์ตลอด ตอนนั้นแคทยังไม่ได้แปลงเพศ เป็นเพียงผู้ชายคนหนึ่ง แต่เขาก็ยังมอบความรักให้กับแคท ในที่สุดเราก็มีอะไรกัน..........”

พอเล่ามาถึงตรงนี้ คุณแคทก็หลับตาลง แต่ใบหน้าฉาบไปด้วยรอยยิ้ม ผมเดาเอาว่า เธอคงกำลังหวนระลึกไปถึงความทรงจำที่มีความสุขระหว่างเธอกับพี่สมชาย ก่อนที่ทุกอย่างมันจะเปลี่ยนแปลง สักพักคุณแคทก็ลืมตาขึ้น

“เราวาดฝันถึงอนาคตร่วมกัน ว่าถ้าแคทเรียนจบแล้ว เราจะไปเมืองนอก ไปแต่งงานอยู่กินกัน ในประเทศที่เขาอนุญาตให้ผู้ชายแต่งงานกันได้ แต่แล้วความรักของเราก็ต้องพังทะลายลง เมื่อเรื่องรู้ไปถึงหูผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย

พ่อแม่ของพี่สมชาย เขามีผู้หญิงที่เลือกไว้ให้กับลูกชายตัวเองแล้ว ส่วนพ่อแม่ของแคทก็ไม่ชอบพี่สมชาย เพราะท่านอยากให้แคทเป็นในสิ่งที่ท่านต้องการ ตอนนั้นท่านยังรับไม่ได้ที่ลูกชายตัวเองมาชอบพอกับผู้ชายด้วยกัน ท่านทั้งสองบีบบังคับแคทมาก

พอเจอปัญหาและอุปสรรคต่างๆเข้า เราสองคนก็เลยต้องเลิกรากัน จากนั้นแคทก็ไปนอก ไปอยู่ที่นั่น แคทก็ยังคิดถึงพี่สมชายอยู่ คิดว่าถ้าได้มีโอกาสกลับมาเมืองไทยเมื่อไหร่ แคทจะมาหาพี่สมชาย มาอยู่กับเขาให้ได้ ใครว่าอย่างไรก็จะไม่ฟังแล้ว

พ่อแม่ก็มากดดันแคทอยู่เรื่อยๆ บังคับมากนัก แคทก็เลยประชดชีวิตด้วยการแปลงเพศเป็นผู้หญิงเสียเลย จะได้ครองคู่กับคนที่ตัวเองรักอย่างมีความสุข และพ่อแม่จะได้เลิกยุ่งกับแคทเสียที เพราะแคทตัดสินใจได้แล้วว่าแคทจะเป็นอะไร รู้ไหมคะ การผ่าตัดได้ผลเป็นที่น่าพอใจมาก คุ้มค่าเงินที่เสียไปกับการเจ็บตัวจากการผ่าตัดหลายครั้ง

แคททำทั้งตัวเลย ทั้งใบหน้า หน้าอก สะโพก และเสียงด้วย จนดูเหมือนผู้หญิงจริงๆ มีคนมาจีบมากมาย แต่พอเขารู้ว่าแคทเป็นผู้ชายมาก่อน เขาก็หนีหายไป แต่แคทก็ไม่ใส่ใจเพราะแคทมีคนที่รออยู่ทางนี้ .......”

เธอหยุดพูด ดวงตามองเหม่อไปอย่างไร้จุดหมาย สักพักสติเธอก็กลับคืน จึงเริ่มเล่าต่อ

“พ่อแม่รู้ว่าห้ามแคทไม่ได้แล้ว ก็เลยปล่อยเลยตามเลย พยายามทำใจยอมรับว่าลูกชายได้กลายเป็นลูกสาวไปแล้ว แคทก็พยายามเรียน อดทนมุ่งมั่น ไหนๆก็ทำให้พ่อแม่เสียใจแล้ว ก็น่าจะทำอะไรเพื่อเป็นการชดเชย

แคทกลับมาพร้อมด้วยใบปริญญาบัตร เป็นนักศึกษาปริญญาโท ชาวเอเชียที่ทำคะแนนได้ดีมาก พ่อแม่ปลื้มใจ แคทเองก็มีความสุขที่ทำให้พวกท่านสบายใจได้ เรียนจบแคทก็ทำงานอยู่ที่นั่นสักพัก คิดถึงบ้าน และคนบางคนที่อยู่ทางนี้ ก็เลยกลับมา

ลงจากเครื่องก็ได้ข่าวว่าพี่สมชายแต่งงานแล้วจากปากพ่อและแม่เลย สงสัยไปสืบมา ลูกจะได้ตัดใจ ตอนนั้นแคทก็เสียใจมากนะคะ ที่คนที่เรารักไม่รอเรา แต่ก็พยายามตัดใจว่าเขาไม่ใช่ของเรา จนกระทั่งเจอกันในงานเลี้ยงรุ่นของมหาวิทยาลัย เรามีโอกาสได้เจอกันอีกครั้ง

ตอนแรกพี่สมชายจำแคทไม่ได้ แต่พอแคทบอกเขาว่าแคทเป็นใคร เขาถึงกับอึ้งและบอกว่าแคทเปลี่ยนไปมาก สวยขึ้นจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนเดียวกับเด็กผู้ชายที่เขารู้จัก แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร เขาก็ยังคงรักแคทเสมอ ได้ฟังแล้วแคทถึงกับอ่อนระทวย ขาดความยับยั้งชั่งใจ จากนั้นเราก็ยุ่งเกี่ยวด้วยกันอีก แล้วสานสัมพันธ์กันเรื่อยมา แคทรู้ว่าพี่สมชายรักแคทมาก เขาพร่ำบอกอยู่ตลอดเวลาว่าไม่ได้รักเมียเขา แต่เนื่องจากมีลูกด้วยกัน ทำให้เขาต้องรับผิดชอบตัวเธอ.....”

คุณแคทแค่นยิ้มเมื่อเล่ามาถึงตรงนี้

“แล้วเมียเขาก็เกิดระแคะระคายขึ้นมา เพราะพี่สมชายกลับบ้านดึกดื่น เลยคอยจับผิดอยู่ตลอด ก็แน่ล่ะ เลิกงานแล้วเราก็มาขลุกด้วยกัน มีอะไรกันเพื่อชดเชยวันเวลาที่หายไป ความสุขที่แคทได้รับจากพี่สมชาย เป็นความสุขชั่วครู่ชั่วยาม

พอเมียเขายื่นคำขาด ให้เลิกกับผู้หญิงอีกคนไม่เช่นนั้นจะพาลูกหนี เขาก็เลยมาขอเลิกกับแคท แต่แคทไม่ยอม แคทอยากได้เขาคืนมา ผู้หญิงคนนั้นต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายหลีกทางให้ เพราะแคทมาก่อน เรารักกันมานานแล้ว....”

“คุณก็เลยหลอกใช้ผมใช้ไหม ผมกลายเป็นเครื่องมือของคุณแคทในการทวงความรักคืน เป็นความคิดที่แยบยลมากนะ เพราะผมอยู่บ้านตรงข้ามกับพี่สมชายพอดี ต่อหน้าต่อตาแบบนี้ พี่สมชายเลยทนไม่ได้”

ผมสรุปเรื่องราวที่เกิดขึ้น เธอพยักหน้ายอมรับ แววตาสำนึกผิด


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-02-2009 13:16:01
“แคทต้องขอโทษด้วยนะคะ ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เกิดปัญหากับคุณ หรือกับแฟนของคุณ ที่จริงแคทเองก็มืดแปดด้าน ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี เลยนัดพี่สมชายออกมาเคลียร์ปัญหากัน ก็ทะเลาะกันนิดหน่อยค่ะ

วันที่คุณไปเจอแคทเมาที่สีลมนั่นแหละ แคททะเลาะกับเขาใหญ่โต เขาหาว่าแคทพูดไม่รู้เรื่อง เขาโกรธแคทเลยหนีกลับบ้านก่อน แคทเลยกินเหล้าจนเมา โชคดีที่เจอคุณมาช่วยเอาไว้ และพามาบ้าน

พอแคทตื่นมา แคทตกใจแทบช๊อคเลย ที่รู้ว่าพี่สมชายอยู่บ้านตรงข้ามกับคุณนี่เอง ความคิดที่จะเอาคืนพี่สมชายบ้าง แล่นเข้ามาในสมอง ยอมรับเลยค่ะ ว่าแคทเอาเรื่องที่คุณกำลังถูกคุณลุงเล่นงานมาเป็นข้อต่อรองให้คุณทำตามความต้องการของแคท แต่ตอนนั้น แคทไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ต้องขอโทษคุณเรียวด้วยนะคะ”

เธอทำหน้าตาน่าสงสารจนผมใจอ่อนโกรธไม่ลง พยายามนึกว่า ถ้าหากผมเป็นเธอ ผมจะทำแบบนี้บ้างไหม คำตอบคือไม่ เพราะผมไม่ใช้วิธีการนี้มาทำให้คนอื่นเดือดร้อนแน่ แล้วถ้าเป็นนายเดียร์สุดที่รักของผมล่ะ เขาจะแก้ปัญหาอย่างไร ถ้าผมไปรักคนอื่นที่ไม่ใช่เขา เด็กหนุ่มจะใช้วิธีการแย่งผมมา หรือว่าจะปล่อยผมไป

“ถ้าผมรู้ว่าคนรักเก่าของคุณเป็นพี่สมชาย ผมจะไม่ให้ความร่วมมือกับคุณเลย เพราะเท่ากับผมทำบาป พรากผัวพรากเมีย พรากลูกของเขา มันไม่ดีเลย ทำไมเราต้องทำอะไรที่ผิดศีลธรรมด้วยครับ ทั้งๆที่เราสามารถยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น และตัดใจซะ

ถึงอย่างไร เราก็คงไปด้วยกันไม่ได้ ออกมาจากชีวิตของพี่สมชายเสียตั้งแต่ตอนนี้ แล้วเริ่มต้นคบกับคนใหม่ วิธีการนี้ก็จะทำให้ทุกคนมีความสุข เด็กก็ไม่กำพร้าพ่อ หรือบ้านแตกสาแหรกขาดอีกด้วย”

ผมว่ากล่าวตักเตือนเธอไปตามความรู้สึกที่แท้จริงของตนเอง ผมคิดไตร่ตรองดีแล้ว ว่าจะไม่ยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้นอีก จะไม่เป็นเครื่องมือในการแยกผัวแยกเมียเขาอีกต่อไป คุณแคทซบหน้ากับฝ่ามือ ความอัดอั้นตันใจทำให้เธอร้องไห้ออกมาอีกครั้ง เธอสะอื้นจนตัวโยน พลางพูดจาขอโทษขอโพยผม

“แคทผิดไปแล้วค่ะ ขอโทษจริงๆ แคทมันโง่เองที่ทำแบบนั้น ใช้คุณเป็นเครื่องมือ ทำให้คุณเดือดร้อน แถมซ้ำยังไม่ได้คิดใกลไปถึงลูกและเมียของเขาด้วย แต่แคทตัดใจจากเขาไม่ได้ แค่รักเขา ไม่อยากจะเสียเขาไป เลยวางแผนการณ์ที่มันผิดศีลธรรม....แคทจะทำอย่างไรดีคะเรียว ...”

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-02-2009 13:18:30
 :bye2: น่าจะไม่ว่างมาโพสหลายวัน
เลยลงไปซะเต็มที่ รักคนอ่านจังเลย :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37-40 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 13-02-2009 13:47:33
+1 ให้คุณแอนสุดขยัน  :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37-40 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 13-02-2009 17:49:26
นู๋ เดียรื จะเปนงัย บ้าง เนี่ยยย

เปน ห่วงงง


เพราะ คุน แคท คนเดียว  เรยยยจึง เกิด เหตุ การ เเบบนี้ ขึ้น



ที หลัง จา ทาม อาราย ไห้ คิด ไห้ ดีดี ก่อนน่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37-40 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: kakoku_kin ที่ 14-02-2009 00:32:09
สุขสันต์วันแห่งความรักขอรับ

 :3123:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37-40 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: meeyai ที่ 14-02-2009 01:46:49
สุขสันต์ หวานชื่น รื่นรมณ์ สมใจ ในวันแห่งความรักครับ จิ้มไว้ก่อนแล้วค่อยมาอ่านต่อให้ทันครับ  :z13:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37-40 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 14-02-2009 10:37:56
ตั้งใจอ่านหน่อยจิ พี่หมีเอ้ยน้องหนีหย่าย  o18
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37-40 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: the_pooh9 ที่ 15-02-2009 00:01:03
:m1: "HAPPY  :L2: VALENTINE" จ้า:m3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37-40 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: kakoku_kin ที่ 15-02-2009 01:19:13
สุขสันต์วันแห่งความรัก อีกครั้ง แอบย่องมาเที่ยว ชอบปลาการ์ตูนจังขอรับ  :bye2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37-40 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: nanalonely ที่ 15-02-2009 01:24:49
ได้อ่านเต็มอิ่มเลย

รอตอนต่อไปนะคะพี่แอน
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37-40 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: sasa ที่ 15-02-2009 14:00:37
คนโพสอย่าหายไปนานนะ เขาคิดถึง  :กอด1:

เนื้อเรื่องกำลังเข้มข้น สงสารเดียร์สุด  อดทน ทนอดจริงๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37-40 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 15-02-2009 16:36:07
 :z13: :z13: :z13: :z13: :z13: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3:


ถึงกำหนด   มาลงตอน ต่อไป ได้ แร้วววว


คนอ่าน คอย จน น้ำ ย้อยยย แล้วว ค้าบบบบบ



 :fire:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37-40 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 15-02-2009 16:42:12
 :m15: อยากโพสใจจะขาดแต่ยังไม่สะดวก
เอาคอมมาลง ilife อยู่ พรุ้งนี้นะ พรุ้งนี้จริงๆ :3123:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่37-40 12/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 15-02-2009 20:23:14
 :z13: :z13: คุณแอน
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่41 16/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 16-02-2009 15:42:21
บทที่ 41

เธอตั้งคำถามเอากับผม น้ำตาคลอตา ผมมองหน้าเธอ แล้วเสนอความคิดเห็น แม้ว่าจะรู้ว่ามันทำได้ลำบาก แต่การตัดใจตอนนี้ย่อมดีกว่า เสียใจเพียงแค่คนเดียว ดีกว่าลากคนอื่นๆเข้ามาเกี่ยวข้องจนเดือดร้อนไปกันหมด

คำแนะนำของผมคือให้คุณแคทตัดใจ ความรักระหว่างเขาสองคนไม่มีทางจะลงเอยกันได้ ถึงแม้ว่าเธอกับพี่สมชายจะรักกันมากแค่ไหน แต่พี่สมชายก็คงไม่ฝืนกระแสสังคม อีกอย่างเขารักลูกของเขามากด้วย เขาคงไม่อยากให้เด็กขาดพ่อ

แล้วผมก็ไม่อยากให้คุณแคทไปทำให้ครอบครัวเขาแตกแยกกัน สงสารเด็กที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เขาจะเติบโตมาอย่างมีปัญหา คุณแคทเองก็จะได้รับผลกระทบ ถึงจะสามารถแย่งชิงพี่สมชายมาได้ แต่เธอจะมีความสุขหรือ สังคมจะคิดยังไงกับเรื่องแบบนี้ พวกเขาจะประณามสิ่งที่เธอทำหรือเปล่า สู้ปล่อยมือจากเขา คืนชีวิตครอบครัวให้กับคนที่เธอรัก ให้เด็กได้มีพ่อและแม่สมบูรณ์ น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

ตลอดเวลาที่ฟังผมพูด เธอได้แต่นั่งนิ่ง มีเพียงน้ำตาที่ไหลเอ่อล้นมาตามร่องแก้ม ทำท่าเหมือนเข้าใจในสิ่งที่ผมกำลังบอกกับเธอ คนอย่างคุณแคทไม่ใช่คนโง่ แล้วเธอก็ไม่ได้ใจไม้ใส้ระกำอะไรนักหนา เพียงแต่เธอยังทำใจยอมรับไม่ได้เท่านั้น

หลังจากให้ข้อคิดกับเธอไปแล้ว เราสองคนก็ต่างคนต่างนิ่ง เธอไม่พูด ไม่ถาม ผมก็ไม่ตอบ แล้วก็ไม่ได้ซักไซ้เอาความจริงต่อ พอเธอเลิกสะอึกสะอื้น ผมก็บอกให้เธอนอนพัก โดยไปเอาผ้าห่มกับหมอนในห้องของตัวเองมาจัดวางให้บนโซฟาที่ปรับเอนนอนได้ ที่ผมเพิ่งซื้อมาใหม่

ทีแรกว่าจะให้เธอขึ้นไปนอนที่ห้องผม แต่ติดตรงที่เดียร์อยู่ด้วย และเขายังไม่ออกมาจากห้องน้ำเลย ไม่รู้ว่าเข้าไปทำอะไรนานมาก ผมไม่กล้าเคาะเรียก เลยตัดสินใจให้เธอนอนข้างล่าง และโซฟาตัวนั้นก็นอนสบายคล้ายกับเตียงจริงๆ แต่นุ่มกว่าเพราะหุ้มด้วยกำมะหยิ่ คุณแคทคงนอนได้ไม่ลำบาก

กว่าที่คุณแคทจะนอนหลับได้ ก็ปาเข้าไปเกือบตีสองแล้ว ผมจึงกลับขึ้นห้อง พอเปิดประตูเข้าไปก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมานิดหนึ่งที่เห็นร่างของเด็กหนุ่มนอนตะแคงอยู่บนเตียง หันหน้าเข้าหาผนังด้านหนึ่ง ถึงแม้จะโกระจะงอนผม แต่เขาก็ไม่ได้หนีหายไปไหน แต่เขายังคงนอนเป็นเพื่อนผมอยู่ในห้องนี้

ผมเดินไปหยุดยืนข้างๆเตียง ตรงด้านที่เขาหันหน้ามา ผมมองดูก็เห็นเด็กหนุ่มที่นอนหลับตานิ่ง ลมหายใจสม่ำเสมอ สงสัยคงน้อยใจผมจนนอนหลับไปแล้ว ผมนั่งลงที่บนเตียงข้างๆเขา ยื่นมือออกไปจะสะกิดเรียกให้เขาตื่น เพื่อที่จะอธิบายเรื่องราวทั้งหมด

ทว่าผมเปลี่ยนใจเป็นเอามือลูบไล้เรือนผมหยิกสลวยสีน้ำตาลเข้มนั่นอย่างแผ่วเบา ผมไม่ต้องการรบกวนเวลานอนของเดียร์ด้วยการปลุกเขาขึ้นมาคุย ด้วยเกรงว่าเขาอาจจะยังโมโหอยู่ เดี๋ยวจะพาลทะเลาะกันผมอีก ผมตัดสินใจเดินกลับมาขึ้นเตียงจากอีกฝั่ง แล้วนอนลงไม่ห่างจากเขานัก พยายามข่มตา แต่ไม่ยอมหลับ ได้แต่พลิกตัวไปมาแล้วก็ถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้มเกี่ยวกับเรื่องเด็กหนุ่มคนที่นอนอยู่เคียงข้าง

“อย่าพลิกตัวไปมาสิครับ รบกวนสมาธิของคนอื่น จะนอนก็นอนไม่ได้”
ผมเดินไปหยุดยืนข้างๆเตียง ตรงด้านที่เขาหันหน้ามา ผมมองดูก็เห็นเด็กหนุ่มที่นอนหลับตานิ่ง ลมหายใจสม่ำเสมอ สงสัยคงน้อยใจผมจนนอนหลับไปแล้ว

ผมนั่งลงที่บนเตียงข้างๆเขา ยื่นมือออกไปจะสะกิดเรียกให้เขาตื่น เพื่อที่จะอธิบายเรื่องราวทั้งหมด ทว่าผมเปลี่ยนใจเป็นเอามือลูบไล้เรือนผมหยิกสลวยสีน้ำตาลเข้มนั่นอย่างแผ่วเบา ผมไม่ต้องการรบกวนเวลานอนของเดียร์ด้วยการปลุกเขาขึ้นมาคุย ด้วยเกรงว่าเขาอาจจะยังโมโหอยู่ เดี๋ยวจะพาลทะเลาะกันผมอีก

ผมตัดสินใจเดินกลับมาขึ้นเตียงจากอีกฝั่ง แล้วนอนลงไม่ห่างจากเขานัก พยายามข่มตา แต่ไม่ยอมหลับ ได้แต่พลิกตัวไปมาแล้วก็ถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้มเกี่ยวกับเรื่องเด็กหนุ่มคนที่นอนอยู่เคียงข้าง

“อย่าพลิกตัวไปมาสิครับ รบกวนสมาธิของคนอื่น จะนอนก็นอนไม่ได้”

เสียงของเดียร์ทำให้ผมสะดุ้ง นี่เขายังไม่นอนอีกหรือนี่ อารามดีใจทำให้ผมพลิกตัวอย่างรวดเร็ว จึงไปชนกับด้านหลังของเขา มือของผมปาดไปโดยแขนของเด็กหนุ่มเข้าเลยรีบชักมือออก

“ยังไม่นอนอีกหรือเดียร์.....”

ผมถามเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาดุจกระซิบ

“จะนอนเข้าไปได้ไง คนข้างๆกระสับกระส่าย แล้วถอนหายใจตลอดเวลาแบบนั้นน่ะ”

น้ำเสียงของเขาเหมือนยังโกรธอยู่ ผมเลยวางมือลงบนแขนของเขาแล้วดึงเบาๆเพื่อที่จะให้หันหน้ามาพูดกัน แต่เด็กหนุ่มขืนตัวไว้

“เดียร์ เอ้อ .....ฉันน่ะ.....”

“อยากจะกอดผมก็กอดสิ จะอยู่เฉยทำไมละครับ”

อะไรเนี่ย เสียงห้วนๆนั่น เขาล้อเล่นกับผม หรือเอาจริงกันแน่นะ ถ้าจะให้เลิกโกรธ ผมต้องยอมตามใจด้วยการกอดเขาหรือเปล่า ผมยังคงรู้สึกลังเลไม่แน่ใจกับสิ่งที่เขาพูด ในขณะที่ผมยังงงกับคำพูดของเดียร์อยู่

เด็กหนุ่มหันมาหาผม จนหน้าเราเกือบชิดกัน เขาดึงมือผมให้โอบไปรอบเอวเขาแล้วจ้องตาผมเขม็ง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ทำหน้าดุๆ จนผมหายใจไม่ทั่วท้อง สงสัยคงโกรธผมอยู่แน่ๆ

“เดียร์ฉันขอโทษนะเมื่อสักครู่นี้น่ะ ฉันหงุดหงิดไปหน่อยแต่ไม่ได้ตั้งใจทำให้นายเจ็บนะ”

“โหย นี่ไม่ได้ตั้งใจหรือครับ ถีบเข้ามาที่ยอดอก แรงจนกระทั่งผมตกเตียงลงไปก้นจ้ำเบ้าเลย ไม่คิดว่าจะกล้าทำตอนที่เรากำลังมีอะไรกันแบบนี้ มันอันตรายมากนะครับ”

เสียงของเขายังคงเข้ม หน้าตาบึ้งนิดๆ ผมเอื้อมมือไปลูบตรงหน้าอกของเขา แล้วถามด้วยความห่วงใย

“ฉันขอโทษจริงๆนะ ก็นายน่ะ พูดดีๆก็ไม่ยอมเลิกทำนี่นา ฉันก็เลยหาทางจะหยุดนายไง ไม่คิดว่าถีบออกไปแล้วมันจะแรงขนาดนั้น แล้วเจ็บมากหรือเปล่า ไปหาหมอกันไหม ช้ำในหรือเปล่าก็ไม่รู้ ฉันขับรถไปส่งให้นะ”

เดียร์หน้างอไม่เลิก จับมือของผมไปวางไว้ที่ตรงตำแหน่งที่เป็นหัวใจของเขา

“ช้ำในน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ช้ำใจมากกว่าน่ะสิครับ....บาดแผลทางกายน่ะรักษาง่าย แต่บาดแผลทางใจมันรักษายาก”

ดูเขาพูดเข้าสิ ตัดพ้อต่อว่าแบบนี้แสดงว่ายังไม่หายงอน แล้วผมจะต้องทำอย่างไรกันล่ะเนี่ย เกิดมาก็ไม่เคยง้อผู้ชายมาก่อนเลย

“ยังงอนฉันอยู่เหรอ บอกแล้วไงว่าฉันขอโทษ จะให้ฉันทำยังไงล่ะ นายถึงจะหายโมโห”

“กอดผมก่อนสิ”

“เอ๊ะ....ยังไงกัน ....ทำแบบนี้แล้วจะหายโกรธฉันจริงๆเหรอ นายพูดจริง หรือว่า อำเพราะหื่นกันแน่เนี่ย”
ผมถามอย่างสงสัยเดียร์หน้าบึ้งหนักเข้าไปอีก เขาพลิกตัวตะแคงข้าง หันหน้าหนีผมไปดื้อๆจนผมไม่แน่ใจในอากัปกริยาของเขา


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่41 16/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 16-02-2009 15:43:11
สงสัยจะโกรธจริงๆนั่นแหละ แถมซ้ำผมยังไปพูดจาสงสัยเขาอีก ถ้าทางจะงอนไม่เลิกแล้วมั๊งคราวนี้ ผมเลยเอื้อมมือไปแตะที่สะโพกของเขาเบาๆ เดียร์หันขวับ แล้วดึงมือข้างนั้นของผมรั้งตัวให้เข้ามาหาเขา จากนั้นเขาก็จับผมกดลงบนที่นอนโดยที่มีตัวเขาก้าวขึ้นทาบทับ พูดเสียงเข้ม หน้าตาดุดัน

“น่ารำคาญคนแก่งุ่มง่ามเสียจริง กอดแค่นี้ก็คิดนั่นคิดนี่อยู่ได้ ไม่รู้จะคิดมากไปถึงไหน มามะจะแสดงตัวอย่างให้ดูว่า การขอโทษคนที่เราทำให้เขาเสียใจ มันต้องทำอย่างไร”

คนพูดฝังจมูกและปากลงที่ซอกคอของผม มือไม้สอดเข้าไปใต้เสื้อนอนของผมและลูบไล้ไปทั่ว ผมส่งเสียงอุทธรณ์อื้ออึง แต่ไม่ได้ปัดป้อง

“เอ๊ะ....อะไรนะ นี่มัน.....ช่ายเหรอ....”

มีเสียงหัวเราะออกมาจากปากของคนที่เมื่อครู่นี้ยังทำหน้าบึ้งตึงอยู่เลย เขาประกบปากที่กำลังอ้าค้างของผมด้วยริมฝีปากของเขา จุมพิตที่เดียร์ให้ผมเร่าร้อนเต็มไปด้วยความพิศวาส เขาบดขยี้ริมฝีปากของผมอย่างหนักหน่วงจนรู้สึกว่าปากตัวเองบวมเจ่อ ยามเขาถอนริมฝีปากออก

“ทำเจ้าเล่ห์กับฉันอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย....”

ผมถามอย่างดักคอ แอบรู้สึกดีนิดหนึ่งที่เขาไม่ได้โกรธแบบโมโหโกรธาใส่ผม ถ้าเขาทำอย่างนั้นจริง ผมคงตะบะแตก โต้ตอนจนแตกหัก เด็กหนุ่มกอดผมไว้แนบแน่น แล้วหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ เขาหอมแก้มผมฟอดใหญ่ ก่อนจะตอบ

“ก็นิดหน่อยครับ จะได้หายกัน กับที่คุณทำกับผม ที่จริงต้องทำมากกว่านี้ เพราะคุณถีบผมแรงมาก จนจุกเลยอ่ะครับ”

“ขอโทษนะเดียร์ ฉันไม่ได้ตั้งใจ คือว่าฉัน.....”

กำลังจะเอ่ยปากอธิบายถึงเหตุผลที่ทำให้ผมรีบร้อนไม่รอเขา แต่เด็กหนุ่มก็ชิงพูดขึ้นก่อน

“อย่าโทษตัวเองเลยครับ ผมเข้าใจในสิ่งที่เรียวทำดี เมื่อกี้ผมน่ะหัวเสียมากไปหน่อย เพราะผมกำลังมีความสุขกับคุณอยู่ดี ก็มาถูกขัดจังหวะ ผมน่ะว่าเรียวว่าไม่แคร์ความรู้สึกของผม แต่เป็นผมเองต่างหากที่เห็นแค่ความสุขของตัวเอง ไม่เข้าใจความรู้สึกของเรียวเลยแม้แต่น้อย.....ผมควรจะเป็นฝ่ายขอโทษเรียวมากกว่าที่ว่าคุณไปแบบนั้น ขอโทษนะครับ...ที่รัก ยกโทษให้ผมด้วยนะ”

เจ็บแปลบที่หัวใจอีกแล้ว เดียร์นอกจากจะไม่โกรธผม เขายังขอร้องให้ผมยกโทษให้เขาด้วย นี่มันอะไรกันผมงงไปหมดแล้ว

“ยังไงกันน่ะ ....ไม่เข้าใจ...นี่นายไม่โกรธฉันเลยเหรอ”
“โกรธสิ โกรธมากด้วย......”

เขาบอกยิ้มๆ พอเห็นผมทำหน้างงๆ เขาก็เฉลย

“ตอนที่เรียวดื้อไม่ยอมรอให้ผมรักคุณจนเสร็จอ่ะ ผมก็น้อยใจนะ แถมมาถีบผมจนจุกด้วย ยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่ นึกโมโหว่าคนเป็นเมียทำไมทำแรงกับสามีตัวเองแบบนี้กันนะ

ผมเสียใจมากเลยที่คุณทำเหมือนกับผมไม่มีค่าไม่มีความหมาย เห็นคนอื่นสำคัญตลอด แต่กับผม เรียวไม่เคยมีที่ว่างในหัวใจให้เลย”

“ขอโทษ.....”

ผมพูดซ้ำอย่างเสียใจจริงๆ ฝ่ามือของผมลูบไล้บริเวณทรวงอกของเด็กหนุ่มไปมา เดียร์ดึงมือข้างนั้นของผมขึ้นมาจูบ แล้วจับไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

“ไม่เป็นไร ผมหายโกรธแล้วล่ะ พอเข้าห้องน้ำไปจัดการตัวเอง อาบน้ำอาบท่า ระหว่างนั้นผมก็คิดเรื่องของคุณนี่แหละ ในที่สุดผมก็เริ่มเข้าใจ เลิกงอนคุณอีกต่อไป ก็เรียวอ่ะ เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาเป็นกับผม

ถ้าไม่ใช่เพราะความใจดีของเรียวที่ยื่นมือไปช่วยเหลือคนที่กำลังเดือดร้อนอยู่ตลอดเวลา ผมก็จะไม่มีวันที่ได้รู้จักและรักเรียวเลย หากวันนั้นเรียวขับรถเลยผ่านไป ไม่ช่วยผมให้รอดพ้นเงื้อมือของพี่บอย ป่านนี้ผมคงเสร็จ เป็นเมียมันไปแล้ว และคงตกระกำลำบากมากกว่านี้

เรียวใจดีมากที่ช่วยเหลือผมหลายต่อหลายครั้ง โดยไม่คำนึงถึงอันตราย และไม่คำนึงถึงตัวเองด้วยซ้ำ ไม่เลือกช่วยเฉพาะบางคน แต่ช่วยเหลือไปทั่ว ทั้งที่เรียวไม่เคยรู้จักคนเหล่านั้นเลย

เพราะเรียวเป็นแบบนี้ผมถึงได้รักเรียวมากๆยังไงละครับ ในเมื่อผมเลือกแล้วที่จะรักเรียวและต้องการที่จะได้คุณเป็นคู่ชีวิตของผม ผมก็ต้องเข้าใจเรียวด้วยครับ เรียวอย่าโกรธผมนะ ที่ว่าคุณต่างๆนานา เรามาดีกันเถอะนะครับ”

น้ำเสียงอ้อนวอนกับดวงตาสำนึกผิดของเด็กหนุ่มทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรมาติดตรงแถวๆลำคอทำให้พูดไม่ออก ดูสิ เจ้าเด็กบ้า ผมทำให้เขาเสียใจแท้ๆ แต่เขาไม่ยักจะโกรธผม กลับหาเหตุผลมาสนับสนุนการกระทำของผมอีก

เขาช่างเป็นเด็กน่ารักเสียจริง แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ผมรักเขาได้อย่างไร ผมรู้สึกปลาบปลื้มระคนเสียใจ สุดที่รักของผมเป็นเด็กที่มีความคิดอ่านเป็นผู้ใหญ่ โกรธเหมือนเด็กๆได้แป๊บเดียว สักพักพออารมณ์เย็นลงสติเริ่มมี เขาก็จะสามารถมองทุกสิ่งได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน รู้สึกเสียใจที่ไม่เคยเข้าถึงความรู้สึกของเขาได้เท่ากับที่เขาเข้าใจผม ช่างเป็นคนรักที่แย่จริงๆ

เดียร์ถามย้ำอีกครั้งว่าผมจะยกโทษให้เขาได้ไหม ผมไม่ตอบแต่ซุกหน้าแนบอกกว้างนั้นแทนคำพูดทั้งมวล จะให้บอกออกมาได้ไงกัน เจ้าเด็กโง่เอ๊ย


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่41 16/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 16-02-2009 15:43:46
ผมน่ะอายเกินกว่าที่จะสารภาพกับเขาว่าผมเองก็วิตกกังวลไม่แพ้กัน ตอนที่เขาทำหน้างอนๆใส่ผม ด้วยกลัวว่าเขาจะโกรธและไม่พูดกับผมอีก แต่ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายขอคืนดีก่อน ผมก็ถือโอกาสนี้ดีกับเขาโดยไม่ต้องบอก จะได้ไม่เสียฟอร์ม อุตส่าห์เก๊กมาตลอด จะยอมรับว่ารักเขาแล้ว ได้ง่ายๆอย่างไรกัน
“รักเรียวที่สุดเลย ยอดรักของผม....”

เดียร์กระซิบที่ข้างหูเมื่อช่วงเวลาหฤหรรษ์ผ่านพ้นไป หลังจากเราสองคนอาบน้ำชำระร่างกายเรียบร้อย ผมกับเดียร์ก็นอนกอดก่ายกันบนเตียง เด็กหนุ่มรัดร่างผมไว้ในวงแขนแนบแน่น โดยมีศีรษะของผมซบลงอยู่ตรงไหล่ของเขา

“คุณแคทเขามาบ้านเราทำไมหรือครับ..”

อยู่ๆเด็กหนุ่มก็ถามถึงคุณแคทขึ้นมา ตอนนี้เขาเรียกบ้านของผมว่าบ้านของเราโดยไม่กระดากปาก และผมเองก็ไม่ได้นึกเคืองแต่อย่างใด ผมเล่าให้เดียร์ฟังคร่าวๆว่าคุณแคททะเลาะกับแฟน เธอกลุ้มใจที่คนรักแต่งงาน มีลูกแล้ว และขอตัดขาดจากเธอ

ผมไม่ได้ลงรายละเอียดทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายคนนั้นคือเพื่อนบ้านของเราสองคน รวมถึงไม่ได้บอกด้วยว่าคุณแคทเป็นผู้ชายแปลงเพศมา ในประเด็นหลังนั้น ผมคิดว่าเดียร์น่าจะรู้ดีอยู่แล้ว เพราะเขาเคยต่อว่าผมเมื่อคราวก่อน ซึ่งตอนนั้นผมยังไม่ปักเชื่อคิดว่าเดียร์หึงจนใส่ร้ายคนไปทั่ว

“อื้มก็น่าสงสารอยู่เหมือนกัน แต่ทำไงได้ล่ะครับ เกิดมาไม่เหมือนคนอื่น ก็ต้องทำใจยอมรับว่าจะอาจจะเจอรักที่ไม่สมหวัง และพยายามเลิกเศร้าและหาคนใหม่ให้เร็วที่สุด”

“ แล้วถ้าเป็นนายล่ะ”

“ผมน่ะเหรอ......ก็...คงเศร้ามั๊ง แต่ว่าผมจะพยายามจนถึงที่สุดนะครับ ไม่ท้อถอยง่ายๆหรอกนะ แล้วผมก็คิดว่าผมคงไม่ต้องหาคนใหม่หรอก เพราะดูเหมือนว่าเรียวเองก็เริ่มรู้สึกดีกับผมแล้วใช่ไหมครับ บางทีผมอาจจะสมหวังก็ได้ หากว่าเรียวเมตตาผมบ้าง”

เด็กหนุ่มทำเสียงออดอ้อนเหมือนจะขอความเห็นใจ ผมได้แต่นิ่งเงียบ คิดไปตามคำพูดของเขา ตอนนี้ผมให้ใจเดียร์ไปแล้ว เหลือแต่การกล้ายอมรับต่อสังคมเท่านั้น ถ้าผมเลือกเขา ผมก็ต้องสละทุกสิ่ง

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ยังไม่รีบร้อนนะ เอาไว้ให้เรียวแน่ใจตัวเองก่อนว่ารักผมจริงๆ ค่อยมาตอบผมก็ได้ ถึงตอนนั้นผมหวังว่าคำตอบของเรียวคือเราจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไปนะครับ”

เหมือนว่าเขาจะคิดว่าคำตอบต้องเป็นแบบนั้นจริงๆ ผมลอบถอนหายใจ คิดไม่ตกเลยว่าถ้าผมปฏิเสธเดียร์จะเป็นอย่างไร จะเสียใจมากแค่ไหนก็ไม่รู้ แล้วผมล่ะ จะอยู่ได้หรือเปล่า ถ้าหากว่าต้องเสียเขาไป

“เรียวครับวันเสาร์ที่จะถึงนี้ เป็นวันวาเลนไทน์ ผมลางานล่วงหน้าไว้แล้ว เรามาฉลองกันนะครับ ผมได้เมนูมาใหม่ จะลองทำให้เรียวทาน แล้วผมจะทำเค้กทีรามิสึ ให้ทานด้วย เค้กคู่รักอ่ะครับ แต่ว่าถ้าเรียวไม่ชอบ จะให้ทำเค้กแบบอื่นๆก็ได้ ชอบทานอะไรเป็นพิเศษก็บอกผมได้นะครับ ผมทำให้สุดฝีมือเลย ฉลองกันที่บ้านเราเนี่ยแหละ กินเค้กเสร็จ เราก็กุ๊กกิ๊กกันต่อได้เลย ดีไหมครับ”
เด็กหนุ่มเชิญชวนผมเสียงอ้อน วาเลนไทน์แล้วเหรอ ผมไม่รู้เรื่องเลย มัวแต่ทำงานจนเพลินและยุ่งกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ จนลืมเวลาไปเลย นี่เดือนกุมภาพันธ์แล้วสินะ ถ้างั้นผมก็คบกับเดียร์มา 4 เดือนแล้วสิ

นี่ย่างเข้าเดือนที่ห้าแล้ว นับไปนับมาก็ไม่ถึงสองเดือนดี ที่สัญญาเป็นแฟนกันระหว่างผมกับเดียร์จะสิ้นสุดลง รู้สึกใจหายอย่างไรพิกล ระยะเวลาที่ผ่านมา เราสองคนเผชิญกับเหตุการณ์หลายอย่างร่วมกัน ทั้งร้ายและดี ผมยอมรับว่ามันเป็นสี่เดือนที่ผมมีความสุขมาก

ถึงแม้มันจะเริ่มต้นที่ไม่ค่อยสวยนักก็ตาม แต่มันกลับดำเนินไปด้วยความงดงาม ยังไม่ทันที่ผมจะได้ดื่มด่ำกับความรู้สึกดีๆที่ผมและเดียร์มีให้กันอย่างเต็มที่ เวลาของเราก็ดำเนินมาใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดแล้ว

แม้จะยอมรับกับตัวเองว่าผมรักเดียร์มากแค่ไหน แต่สิ่งที่ผมยังตอบไม่ได้ก็คือ ผมจะรักกับเดียร์ตลอดไป หรือจะเลิกราเมื่อวันสิ้นสุดสัญญามาถึง แม้จะหลีกเลี่ยงที่จะไม่พูดถึงมัน แต่ สุดท้ายผมก็ต้องตัดสินใจเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ดี

“รู้ไหมเดียร์ นายน่ะเป็นเด็กลามก หี่นอยู่ตลอดเวลา ฉันไม่เคยเห็นใครเป็นแบบนายมาก่อนเลย ในหัวสมองคิดแต่เรื่องแบบนี้อย่างเดียวหรือไงนะ”

ผมต่อว่าเขายิ้มๆ นึกขำมากกว่ารำคาญ เดียร์หัวเราะกิ๊กกั๊ก แกล้งหอมผมแรงๆที่ข้างแก้ม

“ก็แหม ใครจะอดใจไหวนะ ที่จริงน่ะ ผมไม่ได้หื่น หรือลามกโรคจิตตลอดเวลาหรอก ทำอย่างอื่นก็เป็น ไม่ใช่ทำแบบนี้ได้อย่างเดียว เพียงแต่ว่าตอนนี้ผมไม่รู้เป็นอะไร ใจมันคอยแต่หึงเรียวตลอด เห็นคุยกับใครก็คิดเป็นตุเป็นตะ ว่าเขามาจีบเรียวหรือเปล่าน่ะครับ

พอหึงมากๆ ก็หวงคุณ กลัวว่าใครมันจะมาคว้าคุณไป กลัวว่าคุณจะเปลี่ยนใจไม่รักผม ก็เลยพยายามที่จะมีอะไรกับคุณเรื่อยๆ เผื่อว่าถ้าคุณชอบที่ผมทำ คุณจะได้รักผมบ้าง ....นี่ผมพูดความจริงเลยนะ ไม่อยากโกหกเรียวน่ะครับ ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ

อ้อ ....อีกอย่าง อยู่ใกล้ๆเรียวทีไร เหมือนมีแรงดึงดูด อดใจไม่ไหวสักที อยากกอดจูบ อยากสัมผัสเรียวตลอด เรียวอยากน่ารักทำไมล่ะ”


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่41 16/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 16-02-2009 15:44:20
เหตุผลของเจ้าเด็กบ้ากาม ทำให้ผมทั้งขำที่เขาช่างคิดมาได้เรื่องที่อยากจะมีอะไรกับผมตลอด นึกในใจว่า นอกจากเขาแล้วผมจะไปมีอะไรกับใครได้

ผมรักเขาคนเดียวเท่านั้น และการที่เสียตัวให้กับผู้ชายด้วยกัน คนเดียวก็น่าจะเพียงพอแล้ว นอกจากนี้ผมยังรู้สึกวิตกที่เดียร์เริ่มที่จะหึงหวงผม ถ้ามันอยู่ในขอบเขต ไม่ตามราวีมาก มันก็ไม่น่ารำคาญอะไร แต่ถ้าถึงขั้นตามอาละวาด หรือทำร้ายร่างกายกัน แบบนี้เห็นที่จะไม่ไหว

ผมเองไม่ได้มีทีท่าว่าจะทำอะไรที่เป็นการหักหลังเขา ไม่เคยคบกับใครทั้งผู้ชายและผู้หญิง ยกเว้น แต่การคบกับคุณแคทเพื่อหลอกลวงพี่สมชายเท่านั้น ถ้าเขารักผมจริง เขาต้องไว้เนื้อเชื่อใจผม ว่าจะไม่มีวันทำตัวสำส่อนมั่วไม่เลือกแน่นอน

“เรียวยังไม่ได้ตอบผมเลยว่า เรียวจะฉลองวาเลนไทน์กับผมหรือเปล่า”

เดียร์คาดคั้นเอาคำตอบ ผมครุ่นคิดถึงตารางงานของตนเอง โดยปกติผมไม่ค่อยได้ทำงานในวันหยุดอยู่แล้ว ยกเว้นแต่ว่าถ้างานมันเยอะจริงๆเช่นช่วงปิดบัญชี ผมก็จะหอบงานกลับมาทำที่บ้าน มากกว่าจะไปนั่งทำในออฟฟิศ

แต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ งานยังไม่มากมายเท่าไหร่ ผมคิดว่าน่าจะอยู่ฉลองกับเดียร์ด้วยได้ ดีเหมือนกัน เพราะวันเวลาของเราเริ่มเหลือน้อยลงไปทุกที หากว่าผมตัดสินใจทิ้งเขา นี่ก็จะเป็นวันวาเลนไทน์แห่งความทรงจำของเราสองคน ซึ่งผมจะเก็บมันไว้ในใจ ยามที่คิดถึงเขา
“เรียวว่างใช่ไหมครับ....”

เดียร์ถามซ้ำอีก ดวงตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง ผมพยักหน้าให้เขาช้าๆ เดียร์ยิ้มแก้มแทบปริ ระดมจูบผมยกใหญ่จนหายใจหายคอแทบไม่ทัน ท่าทางมีความสุขมาก

เด็กหนุ่มกระชับอ้อมกอดให้แน่นเข้าจนร่างกายเปลือยเปล่าของเราเบียดเสียดแนบชิดกัน ผมสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากร่างของเดียร์ ความเย็นยะเยือกจากแอร์คอนดิชั่น และจากอากาศหนาวภายนอกก็ไม่อาจทำร้ายผมได้

ผมซุกหน้าหน้าลงที่ไหล่ของเด็กหนุ่ม ปิดเปลือกตาลง และหลับไปในที่สุด

ตอนที่ตื่นขึ้นมานั้น เด็กหนุ่มไม่ได้อยู่ในห้องแล้ว เขาคงลงไปทำอาหารเช้าให้ผมอย่างที่เคยทำ ผมลุกไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าแปรงฟันและอาบน้ำเพื่อความสดชื่น เมื่อสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยผมก็เดินลงไปข้างล่าง


เด็กหนุ่มอยู่ที่ครัวอย่างที่ผมคิด เขาถือกระทะมือหนึ่ง อีกมือหนึ่งถือตะหลิว คุณแคทซึ่งอยู่ในเสื้อผ้าชุดเดิมนั่งอยู่ที่โต๊ะทานข้าว กำลังนั่งมองเดียร์ทำอาหารอย่างเพลิดเพลิน

ผมเดินตรงไปทักทายคนทั้งสอง คุณแคทหันมายิ้มให้ผม ใบหน้าของเธออิดโรย ดวงตาแดงก่ำเหมือนคนที่ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ผมเผ้ายุ่งเหยิง

ผมไล่ให้เธอไปอาบน้ำ โดยอนุญาตให้ใช้ห้องน้ำส่วนตัวของผมข้างบน ผมหาเสื้อเชิ้ตทำงานที่ผมไม่ค่อยได้ใส่แล้วให้เธอ พร้อมกับเอากางเกงนอนผ้ายืด ให้เธอสวมใส่ โดยวางไว้บนเตียงนอน จากนั้นก็เดินลงไปข้างล่าง

ที่รักของผมทำอาหารเสร็จแล้ว เขากำลังลำเลียงอาหารมาตั้งบนโต๊ะ มือเช้านี้เดียร์ทำข้าวต้ม ทานกับยำไข่เค็ม ปลาสลิดทอด และผัดผักให้ผมทาน เขาทำเผื่อคุณแคทด้วย ผมช่วยเขาจัดวางจานและช้อนส้อม ในเวลาไม่นานนัก ทุกอย่างก็จัดเรียบร้อย

เดียร์ขอบคุณผมที่ช่วยเขา ทำให้งานเสร็จเร็วขึ้น ผมบอกเขาว่าคนที่ควรจะได้รับการขอบคุณคือตัวเขาต่างหาก ที่มีน้ำใจเสียสละเวลามาทำอาหารให้ผม ทั้งๆที่จะไม่ถือเอาเป็นธุระก็ได้ เดียร์ยิ้มให้ผม บอกว่าคิดอะไรมากมาย เขายินดีทำให้ผมอยู่แล้ว เจอหยอดคำหวานยามเช้าแบบนี้ ทำให้ผมยิ้มแก้มแทบปริอย่างมีความสุข
ที่รักของผมทำอาหารเสร็จแล้ว เขากำลังลำเลียงอาหารมาตั้งบนโต๊ะ มือเช้านี้เดียร์ทำข้าวต้ม ทานกับยำไข่เค็ม ปลาสลิดทอด และผัดผักให้ผมทาน

เขาทำเผื่อคุณแคทด้วย ผมช่วยเขาจัดวางจานและช้อนส้อม ในเวลาไม่นานนัก ทุกอย่างก็จัดเรียบร้อย เดียร์ขอบคุณผมที่ช่วยเขา ทำให้งานเสร็จเร็วขึ้น ผมบอกเขาว่าคนที่ควรจะได้รับการขอบคุณคือตัวเขาต่างหาก ที่มีน้ำใจเสียสละเวลามาทำอาหารให้ผม ทั้งๆที่จะไม่ถือเอาเป็นธุระก็ได้

เดียร์ยิ้มให้ผม บอกว่าคิดอะไรมากมาย เขายินดีทำให้ผมอยู่แล้ว เจอหยอดคำหวานยามเช้าแบบนี้ ทำให้ผมยิ้มแก้มแทบปริอย่างมีความสุข

“แล้วเรียวจะตอบแทนผมยังไงดีน้า ........ผมทำดีแบบนี้”

มาอีกแล้ว มุขนี้ อ้อนขอความเห็นใจ เดี๋ยวก็คงมาหาเศษหาเลยจากผมแน่ รีบเดินหนีดีกว่า แต่ยังไม่ทันที่ผมจะก้าวออกไปจากห้องครัว เดียร์ซึ่งคอยจังหวะอยู่แล้วก็คว้าแขนผมดึงเข้ามาหาตัว จากนั้นก็ใช้สองมือประคองใบหน้าของผม และมอบจูบยามเช้าที่แสนหวานล้ำให้

มีเสียงกระแอมไอดังอยู่ด้านหลัง แต่เดียร์ยังไม่ยอมปล่อยผม เขากลับกอดแน่นเข้า และจูบผมต่อไปอีกระยะหนึ่ง จากนั้นจึงถอนริมฝีปากออก แต่ยังคงกอดผมอยู่

ดูเหมือนว่าเขาต้องการแสดงตนให้คุณแคทรู้ว่าเขาเป็นเจ้าข้าวเจ้าของในตัวผม แม้จะรู้ว่าเดียร์ทำอย่างนั้นเพื่ออะไร แต่ผมก็ไม่ได้รำคาญหรือนึกรังเกียจในตัวเขา

ผมเพียงแค่แกะมือที่โอบกอดผมออก ทว่าแกะได้แค่มือเดียวเพราะเดียร์เอามืออีกข้างโอบไว้รอบเอวของผม และก้มลงจูบที่ไหล่ของผม คุณแคทมองเราสองคนด้วยดวงตาฉายแววล้อเลียน


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่41 16/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 16-02-2009 15:44:58
ผมรู้ว่าคุณแคทพอจะระแคะระคายเรื่องผมกับเดียร์มาบ้าง จากปากของคนในที่ทำงาน และจากนายทรงพลด้วย เธอจึงไม่ตกใจอะไร แถมซ้ำยังพูดเป็นนัยๆในผมฟังหลายครั้งว่าเธอรู้เรื่องนี้ดี ในเมื่อผมเธอรู้แล้ว แต่ไม่พูดอะไรออกมา แถมซ้ำไม่เคยนินทาผมในเรื่องนี้ จึงนับว่าเธอก็เป็นคนที่น่าจะวางใจได้ ผมก็เลยไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปิดอีกต่อไป

ดูเหมือนเดียร์เองก็ดูจะพึงพอใจอยู่ไม่น้อยที่ผมไม่มีทีท่าผลักไสเขา เด็กหนุ่มเลยสามารถที่จะล่วงเกินผมต่อหน้าคุณแคทได้ตามอำเภอใจ เขาลูบไล้หลังไหล่และแอบเอาจมูกโด่งๆมาคลอเคลียแถวแก้มของผมอยู่ตลอดเวลา

เพื่อนสาวของผมก็คงจะรู้สัญญาณที่เดียร์พยายามบอกกล่าวกับเธอ เด็กหนุ่มคงบอกให้รู้ด้วยภาษากายว่า ผมเป็นของเขาห้ามคนอื่นมายุ่ง

เธอยิ้มให้กับพวกเราสองคน แล้วก้าวเข้ามานั่งที่โต๊ะอาหาร ไม่พูดถึงสิ่งที่เห็น แต่กล่าวถึงอาหารที่อยู่ตรงหน้า เธอชมว่ากลิ่นหอมน่าทาน ท่าทางจะอร่อย และผมโชคดีมากที่มีคนทำอาหารให้กินแบบนี้ สิ่งที่คุณแคทพูดสามารถเรียกรอยยิ้มจากคนที่อยู่ข้างๆผมได้เป็นอย่างดี

เราสองคนก้าวเข้ามานั่งที่โต๊ะ ผมเชิญชวนให้เธอทานอาหารเช้าด้วยกัน และแกล้งบอกคุณแคทว่า ต้องทำใจหน่อยว่าอาจจะท้องเสียเอาได้ เดียร์คำรามอยู่ในลำคอ จนผมกับคุณแคทต้องหัวเราะออกมา

จบจากอาหารมื้อเช้าแล้ว เดียร์ขอตัวออกไปทำงาน วันนี้เขากลับดึก เพราะต้องทำงานแทนเพื่อนด้วย ควบทีเดียวสองกะเลย แต่เขาทำอาหารไว้เผื่อผมแล้ว เป็นไก่อบ ผมสามารถที่จะเอาไก่เข้าไมโครเวฟอุ่นกินได้เลย และเขายังทำน้ำสลัดไว้ให้ผมกินกับผักสดที่อยู่ในตู้เย็นอีกด้วย

คุณแคทรู้สึกจะชื่นชอบเดียร์เป็นพิเศษ เธอกล่าวชมเด็กหนุ่มไม่ขาดปาก ว่านอกจากจะหล่อ นิสัยดีแล้ว ยังเอาใจเก่งอีกด้วย เธออยากมีแฟนแบบนี้บ้าง

เมื่อก่อนนี้พี่สมชายก็เคยดีกับเธอแบบนี้ แต่เมื่อเทียบกันแล้ว เดียร์ดีกว่ามากมายนัก และรู้สึกเสียดายแทน หากผมจะปล่อยให้เด็กหนุ่มหลุดมือไป

ผมยิ้มไม่ตอบว่าอะไร รู้ว่าคุณแคทก็คล้ายๆกับเจ้าสันต์ที่เห็นความน่ารักของเดียร์แล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะเชียร์ผมกับเขา แต่ในเมื่อผมยังไม่แน่ใจว่าตัวเองจะตัดสินใจแบบไหน ผมก็เลยไม่อยากจะพูดอะไรให้มันมัดตัวเอง

เพื่อเปลี่ยนหัวข้อสนทนาออกจากตัว ผมจึงเอ่ยปากถามคุณแคทว่าจะเอายังไงกับเรื่องของพี่สมชายดี เธอบอกกับผมว่า เธอนอนคิดมาทั้งคืน และตัดสินใจแล้วว่าเธอจะไม่ยื้อเขาอีกต่อไป

เธอบอกว่าผมพูดถูก ในเมื่อเธอไม่มีความหวังที่จะได้พี่สมชายคืนมา เธอก็ควรจะลืมเขาเสีย ตัดเขาออกไปจากชีวิต ให้ความสัมพันธ์เหลือแค่เพียงพี่กับน้องร่วมมหาวิทยาลัยก็พอ อีกอย่างเธอรู้สึกแย่ถ้าจะต้องทำให้เด็กคนหนึ่งกลายเป็นกำพร้า

เธอไม่อยากให้เด็กคนนั้นมีปมด้อย ว่าพ่อของเขาถูกกระเทยแย่งไป สู้ปล่อยให้พี่สมชายมีความสุขกับครอบครัวของเขา และเธอไปหาคนใหม่ที่เขารักเธอจริง และยอมรับในสิ่งที่เธอเป็นดีกว่า

การตัดสินใจของคุณแคทนับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง ผมรู้สึกนิยมชมชอบเธอขึ้นมาอีกที่เธอเป็นคนที่ยอมรับอะไรง่ายๆ ไม่ดึงดัน ผมไม่อยากเกลียดชังเพื่อนร่วมงานดีๆอย่างเธอ เพียงเพราะเธอแย่งของรักของคนอื่น ผมรู้ว่าการตัดใจจากคนที่เคยรักเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะผมเองก็เคยเผชิญกับเหตุการณ์นี้มาก่อน แต่มันก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงหากจะลองพยายามดู
“แคทอาจจะต้องอาศัยเวลาสักหน่อยในการทำใจ มันไม่ง่ายเลยที่เราจะลืมคนที่เราเคยผูกพันธ์ด้วย เขาเป็นคนรักคนแรก และเป็นรักเดียวที่แคทเฝ้ารอ มันกลายเป็นรักไม่สมหวังเสียแล้ว

แคทคิดว่าเราสองคน ต่างคนก็ต่างเจ็บปวด พี่สมชายมีทางเดินของตัวเอง ส่วนแคทก็จะพยายามอยู่โดยไม่มีเขาให้ได้ ช่วงนี้ แคทอาจจะต้องขอรบกวนคุณหน่อยนะคะ เพราะแคทคาดว่าเมื่อบอกเลิกกันไปแล้ว พี่สมชายก็อาจจะยังทำใจไม่ได้ และอาจจะมายุ่งเกี่ยวกับแคทอีก แคทจึงอยากให้คุณช่วยแคทเป็นครั้งสุดท้าย ......”

เอาอีกแล้ว ทำไมต้องลากผมเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยล่ะ ในเมื่อเธอจะเลิกกับพี่สมชายแล้ว ข้อตกลงที่ว่าผมจะช่วยทำให้เขาหึง เพื่อดึงตัวเขากลับมา ก็น่าจะสิ้นสุดไป แล้วนี่เธอกำลังจะวางแผนอะไรอีก

“ให้ผมช่วยเป็นแฟนกับคุณแคทอีกหรือครับ”


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่41 16/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 16-02-2009 15:45:24
ผมถามอย่างที่สงสัย เธอพยักหน้า แล้วอธิบายว่า ถ้าพี่สมชายเห็นว่าเธอมีคนที่ชอบแล้ว เขาจะได้ตัดใจไม่ต้องยื้อกันอีกต่อไป

แต่ผมไม่เห็นด้วยกับเธอ เพราะว่า ผมกับพี่สมชายอยู่บ้านตรงข้ามกัน เขารู้เกี่ยวกับเรื่องผมกับเดียร์ดี การหลอกครั้งนี้คงไม่สำเร็จเหมือนเดิม แต่เธอก็บอกว่าเธอไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครอีกแล้ว และเธอก็ไม่ต้องการรบกวนของผมมากมายอะไร

เพียงแค่แสดงตัวว่าเป็นแฟนกันเวลาอยู่ต่อหน้าพี่สมชายก็พอ เรื่องระหว่างผมกับเดียร์ถึงแม้ว่าพี่สมชายจะรู้ แต่ผมเองก็ไม่ได้เปิดเผยอะไรไม่ใช่หรือ แล้วคนที่เป็นเกย์ก็เปลี่ยนใจได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว การที่ผมจะมีทั้งเดียร์ และมีทั้งคุณแคทด้วย ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

จากที่ไม่อยากช่วยเธออยู่แล้ว พอเธอมาพูดทำนองว่าผมเป็นเกย์ มันทำให้ผมรับไม่ได้เข้าไปใหญ่ ทำไมผมต้องมายุ่งวุ่นวายกับเรื่องพวกนี้ด้วยนะ นี่กลายเป็นว่า ช่วยเธอแล้ว ก็ยังต้องช่วยต่อไปอีก

ครั้งแรกช่วยเพราะแลกกับการที่เธอทำให้นายทรงพลไม่เอาเรื่องเดียร์ แต่ในเมื่อผมสำเร็จ พี่สมชายหึงหวงเธอแล้ว งานของผมก็น่าจะยุติลง แต่นี่ผมกลับต้องมาแสร้งทำเป็นแฟนเธอเพื่อให้พี่สมชายตัดใจอีกหรือนี่

“นะคะ ถ้าไม่เห็นแก่แคท ก็เห็นแก่ครอบครัวของพี่สมชายแล้วกัน นึกว่าเป็นการไถ่บาปที่เราสองคนร่วมมือกันพรากพ่อมาจากลูกนะคะ”

ใครกันที่ทำแบบนั้น ผมไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย เธอเป็นคนวางแผน ลากผมเข้ามายุ่งด้วย แล้วมาโทษกันเฉยเลย ถ้าผมรู้ว่าคนๆนั้น มีครอบครัวที่อบอุ่นอยู่แล้ว และแถมซ้ำเป็นเพื่อนบ้านของผมอีก

ผมคงไม่ยอมตกลงหรอก แต่จะว่าไป ผมก็ไม่แน่ใจตัวเองว่าเธอเคยบอกผมเรื่องนี้หรือเปล่า ถ้าเธอบอกแล้วแต่ผมจำไม่ได้ ก็เท่ากับว่าผมเองก็ร่วมมือเธอโดยดี ดังนั้นผมก็หลีกเลี่ยงความผิดไม่ได้

“ผมไม่รู้ว่าแผนนี้จะได้ผลหรือเปล่า แต่จะลองดูแล้วกัน ไม่รับรองเรื่องผลสำเร็จนะครับ บางทีพี่สมชายอาจจะจับได้ว่าเราหลอกแกก็ได้”

ในที่สุดผมก็รับปากว่าจะทำให้ ทั้งนี้เพราะผมเองก็รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย และต้องการที่จะล้มล้างความผิดของตัวเอง ให้พี่สมชายตัดใจจากคุณแคทแล้วไปอยู่กับครอบครัวของตัวเอง

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่41 16/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 16-02-2009 15:49:40
ผมถามอย่างที่สงสัย เธอพยักหน้า แล้วอธิบายว่า ถ้าพี่สมชายเห็นว่าเธอมีคนที่ชอบแล้ว เขาจะได้ตัดใจไม่ต้องยื้อกันอีกต่อไป

แต่ผมไม่เห็นด้วยกับเธอ เพราะว่า ผมกับพี่สมชายอยู่บ้านตรงข้ามกัน เขารู้เกี่ยวกับเรื่องผมกับเดียร์ดี การหลอกครั้งนี้คงไม่สำเร็จเหมือนเดิม แต่เธอก็บอกว่าเธอไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครอีกแล้ว และเธอก็ไม่ต้องการรบกวนของผมมากมายอะไร

เพียงแค่แสดงตัวว่าเป็นแฟนกันเวลาอยู่ต่อหน้าพี่สมชายก็พอ เรื่องระหว่างผมกับเดียร์ถึงแม้ว่าพี่สมชายจะรู้ แต่ผมเองก็ไม่ได้เปิดเผยอะไรไม่ใช่หรือ แล้วคนที่เป็นเกย์ก็เปลี่ยนใจได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว การที่ผมจะมีทั้งเดียร์ และมีทั้งคุณแคทด้วย ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

จากที่ไม่อยากช่วยเธออยู่แล้ว พอเธอมาพูดทำนองว่าผมเป็นเกย์ มันทำให้ผมรับไม่ได้เข้าไปใหญ่ ทำไมผมต้องมายุ่งวุ่นวายกับเรื่องพวกนี้ด้วยนะ นี่กลายเป็นว่า ช่วยเธอแล้ว ก็ยังต้องช่วยต่อไปอีก

ครั้งแรกช่วยเพราะแลกกับการที่เธอทำให้นายทรงพลไม่เอาเรื่องเดียร์ แต่ในเมื่อผมสำเร็จ พี่สมชายหึงหวงเธอแล้ว งานของผมก็น่าจะยุติลง แต่นี่ผมกลับต้องมาแสร้งทำเป็นแฟนเธอเพื่อให้พี่สมชายตัดใจอีกหรือนี่

“นะคะ ถ้าไม่เห็นแก่แคท ก็เห็นแก่ครอบครัวของพี่สมชายแล้วกัน นึกว่าเป็นการไถ่บาปที่เราสองคนร่วมมือกันพรากพ่อมาจากลูกนะคะ”

ใครกันที่ทำแบบนั้น ผมไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย เธอเป็นคนวางแผน ลากผมเข้ามายุ่งด้วย แล้วมาโทษกันเฉยเลย ถ้าผมรู้ว่าคนๆนั้น มีครอบครัวที่อบอุ่นอยู่แล้ว และแถมซ้ำเป็นเพื่อนบ้านของผมอีก

ผมคงไม่ยอมตกลงหรอก แต่จะว่าไป ผมก็ไม่แน่ใจตัวเองว่าเธอเคยบอกผมเรื่องนี้หรือเปล่า ถ้าเธอบอกแล้วแต่ผมจำไม่ได้ ก็เท่ากับว่าผมเองก็ร่วมมือเธอโดยดี ดังนั้นผมก็หลีกเลี่ยงความผิดไม่ได้

“ผมไม่รู้ว่าแผนนี้จะได้ผลหรือเปล่า แต่จะลองดูแล้วกัน ไม่รับรองเรื่องผลสำเร็จนะครับ บางทีพี่สมชายอาจจะจับได้ว่าเราหลอกแกก็ได้”

ในที่สุดผมก็รับปากว่าจะทำให้ ทั้งนี้เพราะผมเองก็รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย และต้องการที่จะล้มล้างความผิดของตัวเอง ให้พี่สมชายตัดใจจากคุณแคทแล้วไปอยู่กับครอบครัวของตัวเอง

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่41 16/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 16-02-2009 15:52:26
 
:เฮ้อ: ไม่อยากเอามาลงในวันวาเลนไทน์
เพระอะไรอ่านเอาแล้วกัน
จุดจบของรักที่ทุ่มเท
และจุดเริ่มต้นของรักที่แปลเปลี่ยน
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่41 16/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anawas ที่ 17-02-2009 00:23:21
ยังไงเนี่ย  อย่าบอกนะว่า...เศร้า   o22
:pig4:  คุณไต๋
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่41 16/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: ไฉไล ที่ 17-02-2009 01:24:45
ดูท่าความยุ่งยากจะมาเยือนอีกครั้งป่ะเนี่ย

อร๊ายย...ปี้เรียว ของนู่เดียร์ ใจดีอีกครั้งแล้ว

ใจดีทีไร ได้เรื่องทุกที  o22


จิ้มๆ พี่แอน คนจ๋วย  อิอิ  :mc4:   
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่42 17/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 17-02-2009 16:29:54
บทที่ 42

คุณแคทเริ่มแผนการของเธอแล้ว เธอนัดพี่สมชายมาเจอกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง โดยขอร้องให้ผมไปเป็นเพื่อนด้วย เราเลือกที่นั่งในมุมที่สงบไม่ค่อยมีคน เพื่อที่จะได้คุยกันโดยไม่มีใครคอยใส่ใจ พอเราต่างนั่งกันเรียบร้อย คุณแคทก็ทำในสิ่งที่เหลือเชื่อออกมา เธอบอกเลิกกับพี่สมชายต่อหน้าผม

ทั้งพี่สมชายและผมต่างอึ้ง ไม่คิดว่าเธอจะกล้าทำแบบนี้ เพื่อนบ้านของผมมองหน้าผมกับคุณแคทสลับกันไปมา ผมคิดว่าเขาคงช๊อคหลายอย่าง

แค่เห็นผมเดินมากับคุณแคท เขาก็แปลกใจอยู่แล้ว นี่คุณแคทยังมาบอกเลิกเขาในขณะที่ผมอยู่ด้วยอีก แววตาของเขาแฝงไว้ด้วยความคลางแคลงใจเวลาที่มองผม เขาคงกำลังคิดว่า ผมรู้เรื่องของเขามากน้อยแค่ไหน ผมเองก็ฝืนมองหน้าพี่สมชายตอบ ทั้งที่จริงอยากจะหลบลี้หนีหายไปจากตรงนั้น

สีหน้าของพี่สมชายเปลี่ยนเป็นโกรธขึ้ง สงสัยโกรธผมแน่ๆ เพราะเขาเคยขอร้องให้ผมเลิกยุ่งกับคุณแคท ไม่อยากให้ผมเป็นเครื่องมือของเธอในการแก้แค้นเขา ดูเหมือนว่านอกจากผมจะไม่เชื่อ แถมซ้ำยังมาร่วมเป็นสักขีพยานในการบอกเลิกครั้งนี้ด้วย เขาพูดกับเราสองคนด้วยเสียงเย็นชา

“เล่นตลกอะไรกันอีกหรือคุณแคท จะมาอำว่าเป็นแฟนกันให้ผมหึงหวงหรือไง แกล้งโง่ หรือไม่รู้จริงๆกันนี่ว่าคุณเรียวกับเดียร์เขาอยู่ด้วยกันอย่างคนรักมาตั้งนานแล้ว จะอำอะไร ก็หาคนที่สร้างความน่าเชื่อถือกว่านี้หน่อยสิ เลิกเสียทีเถอะกับการลากเอาคนที่เขากำลังมีความสุขมาร่วมในแผนการของตัวเองน่ะ”

นึกแล้วว่ามันต้องไม่ได้ผล พี่สมชายไม่ใช่คนโง่ที่จะดูไม่ออก อีกอย่างเรื่องของผมกับเดียร์อยู่ในหูตาแกมาโดยตลอด ถึงแม้ว่าเดียร์จะบอกแกว่าเป็นน้องชายของคน แต่ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน เดียร์เอาแต่นัวเนียกอดจูบผม

หลายครั้งที่ผมรู้ว่าพี่สมชายแอบเห็นเวลาที่เดียร์ทำแบบนั้น กริยาอาการเกินกว่าพี่น้อง ทำให้เพื่อนบ้านคนนี้พอจะเดาได้ เพียงแต่ไม่พูดออกมาเท่านั้นเอง

“แล้วแต่พี่สมชายจะคิดนะคะ จะคิดว่าอำก็ตามใจ แต่ถึงอย่างไร แคทก็ขอยืนยันว่า ที่แคทขอเลิกกับพี่นั้นเป็นเรื่องจริง จากนี้ไปเราจะเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น พี่มีครอบครัวที่อบอุ่น มีเมียที่ดี มีลูกที่น่ารัก แคทไม่ควรจะเข้าไปแทรกกลางทำให้เกิดความร้าวฉาน เราต่างคนต่างแยกทางกันไปดีกว่า ถึงอย่างไรพี่ก็ไม่เลือกแคทอยู่แล้ว”

คุณแคทพูดกับพี่สมชาย ผมรู้ว่าเธอพยายามทำตัวเข้มแข็ง ไม่ร้องไห้ออกมา ทั้งที่มือเธอเริ่มสั่น ผมเห็นมันวางอยู่บนหน้าขาของเธอ เลยเอื้อมมือไปบีบเบาๆเพื่อให้กำลังใจ เธอหันมาสบตาผม มีคำขอบคุณอยู่ในนั้น

“ถ้าจะพูดกับผมด้วยเรื่องนี้ กรุณานัดมาใหม่อีกครั้ง แต่แค่ผมกับคุณสองคนนะ คุณเรียวไม่เกี่ยว มันเป็นเรื่องระหว่างเรา อย่าดึงเขามาเกี่ยวข้องเลย”
เพื่อนบ้านผมพูดอย่างโกรธๆ เขาผลุดลุกขึ้น คุณแคทลุกตาม

“จะไม่มีการครั้งใหม่อีกแล้วค่ะ แคทคิดว่า เราได้พูดกันจบแล้ว ถึงอย่างไร แคทก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจ เลิกก็คือเลิก เราเป็นแค่พี่น้องกันก็พอค่ะ”

“จะเอางั้นเหรอ ต้องการเลิกกัน ก็มาบอกกันง่ายๆแบบนี้นะ สร้างภาพว่าเพื่อเห็นแก่ครอบครัวของผม ไม่อยากจะทำให้แตกแยก แต่การที่ดึงคุณเรียวเข้ามาร่วมด้วย ทั้งๆที่เขาก็มีคนที่ชอบอยู่แล้ว อย่างนี้ไม่เรียกว่าแทรกแซงหรือไง ถ้าคิดผิดก็คิดใหม่ได้นะ เอาไว้หายบ้าแล้วค่อยนัดเจอกันอีกที”

พี่สมชายพูดด้วยเสียงค่อนข้างดัง ท่าทางจะโมโหคุณแคทมาก ผมเห็นคุณแคทตัวสั่นด้วยความโกรธ จึงดึงมือของเธอให้นั่งลงเพื่อที่สงบสติอารมณ์ บอกกับเธอว่าให้ใจเย็นๆ ค่อยพูดค่อยจากัน แต่เธอสะบัดมือออก จากนั้นก็โต้ตอบพี่สมชายอย่างเผ็ดร้อนพอกัน

“ก็ตอนนี้ไงคะที่แคทหายบ้า หูตาสว่างแล้ว ที่จริงแคทเองก็ไม่ได้อยากจะเลิกกับพี่ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา พี่เอาแต่พูดว่าครอบครัวพี่ต้องมาก่อน แคทเป็นได้แค่ตัวสำรอง ไม่มีวันได้เป็นตัวจริง พอให้เลือกพี่ก็ตัดสินใจไม่ได้ เอาแต่ห่วงลูก

ในเมื่อพี่คิดว่า พี่ไม่อาจจะทิ้งครอบครัวตัวเอง แคทก็เลือกที่จะเป็นฝ่ายไปไงคะ แบบนี้มันดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย แคทหาทางออกให้แล้ว ยังจะมีปัญหาอะไรอีก หรือว่าเสียดายแคท ไม่อยากให้เป็นของคนอื่น

ทำอย่างนี้เขาเรียกว่าเป็นคนเห็นแก่ตัวค่ะ เอาแต่ได้ อย่าจับปลาหลายมือสิคะ เดี๋ยวมันจะดิ้นหลุดจากมือจนหมด จะอดกิน แคทไม่ยอมเป็นปลาในมือของพี่อีกแล้ว ปล่อยแคทไปเถอะค่ะ ถึงเราจะไม่ได้เป็นแฟนหัน แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ อย่าทำให้ความรู้สึกดีๆที่เคยมีต่อกันเสียไปเลยค่ะ”

เสียงตบโต๊ะดังปัง เล่นเอาผมกับคุณแคทสะดุ้ง พี่สมชายมองคุณแคทอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ แต่เธอจ้องตาตอบอย่างไม่หวั่นไหว

“คิดว่าทำอย่างนี้แล้ว จะเป็นเพื่อนกันได้เหรอ เชิญเลย อยากจะทำอะไรก็ทำไป ผู้หญิงอย่างเธอ ฉันไม่อยากจะยุ่งด้วย จะมีแฟนใหม่ สักกี่คน ก็ตามสบาย หวังว่าคงจะเจอคนดีๆ คนที่เขาใจกว้างพอ ที่จะรับกระเทยคนหนึ่งมาเป็นเมียได้ เลือกเอาคนที่มีพี่ชายหรือน้องชายหน่อยนะ ตระกูลเขาจะได้ไม่หมดสิ้น เพราะลูกชายดันไปรักคนที่ไม่อาจจะมีลูกให้เขาได้

หรือหากคุณเรียวจะยอมรับผู้หญิงเทียมคนนี้ไปเป็นแฟนก็ได้นะ เปลี่ยนรสนิยมไง เกย์กับกระเทยคงไม่ต่างกันเท่าไหร่ เป็นผู้ชายเหมือนกัน ถ้ารสนิยมชอบแบบนี้ ก็เชิญเลย”

ท้ายประโยคพี่สมชายพาลเอากับผม อะไรกันเนี่ย ทำไมผมต้องมาถูกแขวะด้วยเล่า อยู่ดีไม่ว่าดี ก็โดนคนด่า แถมซ้ำยังเป็นเพื่อนบ้านที่เคยมีความรู้สึกดีๆให้กันอีก การยื่นมือไปช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยากนี่ บางทีก็นำเรื่องปวดหัวมาให้เหมือนกัน
เลยกลายเป็นว่าผมถูกมองว่าเป็นพวกนิยมชมชอบไม้ป่าเดียวกันเสียแล้ว คำพูดที่ออกมาจากคนที่กำลังโมโหมันสร้างความฉุนเฉียวให้เกิดขึ้นกับผม ต้องพยายามระงับอกระงับใจไม่คิดมาก ไม่อยากจะมีเรื่องมีราวกับเพื่อนบ้าน เราอาจจะต้องพึ่งพากันในวันหน้า

ต่อให้ไม่ชอบแค่ไหน ก็ต้องเก็บงำเอาไว้ไม่พูดออกมา แต่ในใจของผมก็เฝ้าบอกตัวเองว่า คราวนี้คงจะยุ่งกับเรื่องของคนอื่นเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว เรื่องของตัวเองก็ปวดหัวมากพอดู แก้ปัญหายังไม่ได้ ยังจะมาช่วยเรื่องของคนอื่นอีก พอดีพอร้าย เสียหายมันไปทุกเรื่อง คนที่แย่อาจจะเป็นผมก็ได้

พอพี่สมชายกลับไปแล้ว คุณแคทก็นั่งลงอย่างอ่อนแรง น้ำตามากมายจากไหนไม่รู้ ทะลักทะลายเลอะเต็มใบหน้าของคุณแคท ผมเอื้อมมือไปดึงตัวเธอมากอดปลอบประโลม คุณแคทสะอื้นจนตัวโยน เนิ่นนานทีเดียวกว่าที่เธอจะหยุดร้อง และมีสติเพียงพอที่จะเดินออกจากร้านได้

แต่คุณแคทไม่ยอมกลับบ้าน เธอบอกว่าไม่อยากกลับไปเศร้าอยู่คนเดียว เลยขอให้ผมไปนั่งเป็นเพื่อนด้วย เราสองคนเลือกไปนั่งในร้านกาแฟ ไม่ค่อยได้พูดอะไรกันมาก

ผมเดาเอาว่าเธอไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะพูดอะไรทั้งนั้น ต่างคนเลยนั่งเฉย คุณแคทเอาแต่เหม่อลอยเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ผมไม่รู้จะปลอบอย่างไร ทำได้แค่นั่งเป็นเพื่อนเท่านั้น และเพื่อไม่ให้เวลามันสูญเปล่า ผมก็หอบเอาหนังสือแมกกาซีนในร้านมานั่งอ่านค่าเวลา

เสียงโทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้น พอรับมาเปิดดูผมก็เห็นว่าเป็นเดียร์นั่นเองที่โทรมา เขาส่งเสียงหวานมาตามสาย ถามว่าผมอยู่ที่ทำงานหรือเปล่า งานเยอะไหม จะกลับบ้านมากี่โมง

เขากลับมาถึงบ้านแล้ว กำลังจะเตรียมตัวทำกับข้าวรอผมมาทาน ผมเหลือบดูนาฬิกาที่ข้อมือตัวเอง จะสามทุ่มแล้ว ผมอยู่เป็นเพื่อนกับคุณแคทตั้งแต่เลิกงานจนถึงตอนนี้ ข้าวปลายังไม่ได้ตกถึงท้อง

เมื่อครู่ไปเป็นเพื่อนกับคุณแคทที่ร้านอาหาร แต่ไม่ได้สั่งอะไรมาทานอะไรเลย พอคุณแคททะเลาะกับพี่สมชาย เธอก็กินอะไรไม่ลง ทำท่าเหมือนจะอาเจียน เลยรีบออกมากันก่อน

พอพูดถึงอาหาร ท้องผมก็ร้องอุทธรณ์ขึ้นมาทันที ผมบอกเดียร์ไปว่าผมกำลังจะกลับบ้านแล้ว จะไปทานข้าวด้วย แต่บอกให้เดียร์ทำข้าวต้มให้ผมถ้วยเดียวก็พอ ดึกแล้วไม่อยากกินอะไรมาก เขารับคำอย่างกระตือรือร้น ส่งจูบมาตามสาย เร่งให้ผมกลับบ้านเร็วๆบอกว่าคิดถึงผมใจจะขาดแล้ว

วางสายเสร็จก็เห็นคุณแคทมองผมอยู่ก่อนแล้ว เธอยิ้มให้กับผม บอกว่ารบกวนเวลาผมมานาน ได้เวลากลับบ้านเสียที ผมปลอบใจไม่ให้เธอคิดอะไรมาก เดี๋ยวทุกอย่างก็คงจะดีขึ้น เธอก็บอกว่าเธอเตรียมตัวที่จะเผชิญหน้ากับทุกสิ่ง

รับรองเธอไม่ฆ่าตัวตายด้วยเรื่องแบบนี้แน่ จากนั้นก็บอกให้ผมกลับบ้าน คนรักที่รออยู่จะได้ไม่ต้องกัวลใจ เราต่างยิ้มให้กันก่อนที่จะลาจากกันในค่ำคืนนั้น

เดียร์โผเข้ามากอดผมทันทีที่เห็นหน้า เขาทำท่าง๊องแง๊งต่อว่าผมว่า มัวแต่ทำงานทำการหนัก ไม่ยอมพักผ่อนเสียบ้างเลย ไม่ดูแลตัวเอง ผมเห็นว่าเดียร์เข้าใจไปแบบนั้นก็เลยขี้เกียจอธิบายว่าผมไปไหนมา ไม่อยากให้เด็กหนุ่มคิดมากอีก ท่าทางเขาจะเป็นคนขี้หึงไม่ใช่เล่นเลย

“หวังว่าวันที่ 14 กุมภา ที่เราจะฉลองวาเลนไทน์ด้วยกัน เรียวคงไม่มีงานด่วนเข้ามานะครับ ถ้าเป็นอย่างนั้นคงไม่สนุกแน่ๆเลย”

รู้แล้วล่ะ ไม่ต้องทำมาพูดดักคอหรอก ผมค่อนขอดในใจ รับปากว่าอยู่ฉลองด้วยได้ ก็ต้องเป็นไปตามนั้น เห็นผมไม่รักษาคำพูดหรือไงนะ ขนาดสัญญาระหว่างเราผมยังไม่เบี้ยวเขาเลย
“ถ้าไม่เชื่อใจกัน ก็ไม่ต้องพูดกันอีกแล้ว”

แสร้งทำหน้าเสียงง๊องแง๊งกลับไปบ้าง นึกว่างอแงไม่พอใจเป็นคนเดียวหรือไง เดียร์รีบออดอ้อนผมทันที

“โอ๋ๆๆๆ เรียวครับ ผมไม่ใช่ไม่เชื่อใจนะ แต่เรียวน่ะ วันๆเอาแต่สนใจเรื่องงาน ผมก็เลยกลัวว่าเรียวจะสนุกกับมันจนเพลิน ลืมนัดของเราน่ะครับ แต่ผมเชื่อใจเรียวนะ ว่ารับปากแล้วคำไหนคำนั้น งั้นผมไม่พูดดีกว่า เรียวจะได้ไม่ต้องโกรธผมนะครับ .....”

“ดีแล้ว...”

ผมพูดยิ้มๆ จากนั้นหัวข้อสนทนาก็เปลี่ยนเป็นเรื่องอื่นแทน เดียร์เล่าให้ผมฟังว่า เขากำลังจะได้งานใหม่เป็นครูสอนเต้นรำในฟิตเนส ได้ ชั่วโมงละ 800 บาท สอนวันละ คลาส อาทิตย์ละ 6 ครั้ง ซึ่งตกเดือนหนึ่งเขาจะมีรายได้ถึงเดือนละเกือบ 20000 บาท

ซึ่งบวกกับรายได้จากการทำร้านกาแฟตอนกลางคืนอีกเดือนละ 6000 บาท เขาจะมีเงินพอใช้จ่ายสำหรับตัวเองสบายๆ ถ้าช่วงไหนมีงานคอนเสิร์ต หรือ ถ่ายมิวสิควิดิโอเข้ามาอีก ก็จะได้มากหน่อย ถ้าไม่ฟุ่มเฟือยมาก หลังจากทำไปได้สักสองสามเดือน ก็คงจะมีเงินเก็บพอที่จะพาผมไปเที่ยวต่างจังหวัดแล้ว

กริยาอาการของเดียร์ที่เล่าให้ผมฟังด้วยความดีอกดีใจนั้น ทำให้ผมรู้สึกปลื้มไปกับเขาด้วย ที่เห็นว่าเดียร์มีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานขึ้นเรื่อยๆ

เขาได้ทำในสิ่งที่เขารักและมีความพึงพอใจในสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ ผมอดนึกเปรียบเทียบตัวเองก็เดียร์ไม่ได้ เงินเดือนของเด็กหนุ่มเพียงแค่เศษเสี้ยวของเงินเดือนที่ผมได้รับ แต่เขากลับมีความสุขมากกว่า

หรือว่าแท้จริงแล้ว เงินทองทรัพย์สิน ลาภยศสรรเสริญ หาได้เป็นสิ่งที่สำคัญในชีวิตของเราไม่ บางทีอาจจะเพียงแค่ใช้สอยอย่างประหยัด อยู่แบบพอเพียงกับคนที่เรารัก เคียงข้างกันตลอดไป เท่านี้ชีวิตก็มีความหมายมากกว่าการอยู่บนกองเงินกองทองแต่ไร้คนรู้ใจ

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่42 17/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 17-02-2009 16:30:41
“แล้วนายไม่ทำงานที่ร้านอาหารอีกแล้วหรือ เสียดายฝีมือของนายนะ”

“ก็อยากทำเหมือนกันครับ แต่เอาไว้ให้มีทุนก่อนนะ ผมตั้งใจไว้ว่าจะเปิดร้านอาหาร ร้านเล็กๆ ขายกาแฟ ขนมอบด้วย ผมเป็นพ่อครัวลงมือปรุงเอง ส่วนเรียวเป็นแคชเชียร์คอยเก็บเงินก็พอ ไม่ให้เข้าไปยุ่งในครัวหรอก เดี๋ยวทำเลอะเทอะ”

เขาว่าผมยิ้มๆ ไม่ทันไรก็เจ้ากี้เจ้าการคิดแทนผมเสียแล้ว นี่เขาวางอนาคตของเราสองคนไว้อย่างนั้นเลยหรือ

“ใครจะไปทำร้านอะไรกับนาย ....”

ผมปฏิเสธเสียงหลง เดียร์หัวเราะหึหึ

“ไม่ชอบหรือครับ...งั้นเอาโครงการสองของผมไปลองคิดดูก็ได้ ผมว่าจะเปิดโรงเรียนสอนเต้นรำนะครับ สอนพวกเด็กๆที่อยากจะเป็นนักเต้น เขาจะได้มีพื้นฐานที่ดี เวลาจะไปประกวด หรือเอาไปทำงานเป็นอาชีพ จะได้สู้คนอื่นเขาได้ไงครับ ผมให้เรียวเป็นเจ้าของโรงเรียนเลยนะ ดีไหม”

“เออนะ ....ไม่ได้อย่างนั้นก็เอาอย่างนี้ พ่อนักธุรกิจ รู้สึกว่าจะคิดไปไกลเลยนะ ทำอะไรหลายต่อหลายอย่าง จะเอาเวลา และเอาทุนรอนมาจากไหนกัน”

“ก็เงินเก็บของผมไงครับ พอจะมีอยู่บ้างนะ แต่ไม่มาก เลยต้องรีบทำงานทำการเก็บเงินไว้ แต่ก็อย่างว่าแหละ ผมทำคนเดียวไม่ได้หรอก เลยต้องขอให้คุณมาช่วยผมไงครับ เรียวคิดว่า เราสองคนจะเริ่มต้นธุรกิจอันแรกอะไรกันดีน้า....เรียวอยากทำร้านอาหาร หรือร้านเต้นรำล่ะ”

“ทำไมฉันต้องทำล่ะ ......ในเมื่องานฉันก็มี ฉันไม่ใช่จอมโปรเจคอย่างนายนี่ จะได้ทำอะไรหลายๆอย่างพร้อมๆกัน.”

“ก็เผื่อว่าเรียวกับผมได้อยู่ด้วยกัน ผมก็อยากจะทำอะไรร่วมกับคุณนะครับ อยากมีสิ่งที่เป็นสมบัติร่วมกันระหว่างเรา ผมน่ะไม่อยากให้ใครมานินทาว่าผมมาเกาะคุณกินครับ ผมอยากเป็นฝ่ายเลี้ยงดูเรียวมากกว่า ไม่อยากให้ทำงาน ผมอยากจะหาเลี้ยงคุณเองครับ”

สิ่งที่เขาพูดทำให้หัวใจผมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอบอุ่น เดียร์เป็นเด็กน่ารัก มีความรับผิดชอบ หากเขารักผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เขาจะกลายเป็นผู้นำครอบครัวที่ดี ลูกและเมียของเขาคงจะมีความสุข

“ฉันกำลังสนุกอยู่กับงาน คงไม่คิดลาออกง่ายๆหรอก ไม่ว่าจะมีเหตุผลดีเพียงใดก็ตาม”

ตอบออกไปอย่างไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไหร่นัก

“ตอบผิดครับ สิ่งที่เรียวต้องตอบให้ผมฟัง ไม่ใช่อย่างนี้นี่นา เอาเป็นว่าให้ไปคิดเป็นการบ้านดีกว่า ถ้าผมเอาคำตอบตอนนี้มันอาจจะเร็วเกินไป เรียวอาจจะยังตั้งรับไม่ทัน เอาไว้ผมมาฟังคำตอบวันหลังนะครับ”

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เดียร์ก็พูดขึ้นมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หากดวงตาของเขาฉายแววเศร้าสร้อย จนน่าใจหาย

“เรียวทายสิครับ วันนี้มีใครไปเยี่ยมผมที่ร้านกาแฟเมื่อตอนกลางวัน”

“สันต์เหรอ”

“เปล่าครับ คุณศักดิ์ชาย กับ คุณอรจิรา เพื่อนของคุณน่ะครับ”

ชื่อของสองคนที่เดียร์เอ่ยถึง ทำให้ผมแปลกใจ สองคนนี่จะเล่นอะไรกันอีกล่ะ

“เขารู้จักร้านนั้นได้อย่างไร ฉันไม่เคยบอกเขานะ”

“เอ.....ไม่ทราบสิครับ อยู่ๆผมก็เจอหน้าเขาสองคน แต่เราไม่ได้คุยอะไรกันหรอกครับ เขามานั่งกันแป๊บเดียว ช่วงเที่ยงๆแล้วก็กลับไป เหมือนเขามานั่งเฝ้าดูผมมากกว่า

สงสัยจะสืบให้รู้ว่า ผมเป็นใคร ทำไมถึงต้องไปกับเรียวในวันนั้น หรือไม่บางทีเขาก็อาจจะรู้แล้วว่าเราเป็นแฟนกัน เลยมาสอดแนมว่าผมทำงานอะไร เหมาะกับคุณไหม

อาจจะแอบมาดูว่าผมกุ๊กกิ๊กกับใครหรือเปล่า นอกจากเรียว อิอิอิ แต่ผมไม่ได้ทำอะไรเสียหายนะครับ ผมขยันขันแข็งไม่อู้เลยวันนี้ รับรองเรียวไม่ขายหน้าหรอก ไม่มีใครมาว่าได้ว่าผมไม่เอาถ่าน คอยดูนะ ผมจะทำให้ทุกคนรู้ว่าผมสมกับเรียวจริงๆ”
ด้วยความสงสัยใคร่รู้ว่าสองคนนั้นวางแผนอะไรกันอีก ผมเลยกดโทรศัพท์หาเจ้าสันต์เผื่อว่ามันจะรู้อะไรบ้าง แต่เพื่อนรักของผมไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วย แสดงว่าสองคนนั้นไม่ได้ที่อยู่ร้านกาแฟที่เดียร์ทำจากมัน คงไปสืบหาจากแหล่งอื่น แต่ผมไม่รู้ว่าเป็นแหล่งใด และยิ่งงงเข้าไปใหญ่ว่าสองคนนั้นมีวัตถุประสงค์อันใดกันแน่

ข้อสงสัยของผมได้รับการเฉลยในวันรุ่งขึ้น เมื่ออรจิราเดินนวยนาดเข้ามาหาผมถึงห้อง หลังจากที่เลิกงานแล้ว ผมอยู่ต่อยังไม่กลับบ้านทันที เพราะมีเคสใหญ่ที่ต้องพิจารณา และผมต้องใช้ข้อมูลจำนวนมากเพื่อประกอบการตัดสินใจ จึงเลือกเก็บไว้ทำตอนเย็นที่พนักงานส่วนใหญ่กลับบ้านกันไปหมดแล้ว ผมจะได้มีช่วงเวลาที่สงบๆในการอ่านข้อมูลและวิเคราะห์ก่อนที่จะฟันธงลงไปว่ารับหรือไม่ แต่แทนที่ผมจะได้นั่งทำงานอย่างสงบกับต้องมาต้อนรับอดีตคนรักเก่า ซึ่งผมไม่รู้เลยว่าเธอจะมาไม้ไหนกับผมอีก

“นั่งสิอร”

พยายามรักษามารยาทด้วยการกล่าวเชื้อเชิญเธอ อรจิรานั่งลงตรงเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของผม เราสองคนสบตากัน อรจิราเริ่มเปิดฉากพูดถึงวัตถุประสงค์ที่เธอมาหาผมทันที

“เมื่อวานนี้ อรกับศักดิ์ ไปทานอาหารที่ร้านที่นายเดียร์แฟนของคุณทำงานอยู่...”

“ครับ”

ผมรับคำสั้นๆ เรื่องนี้ผมรู้แล้วจากปากของเดียร์ กำลังรอให้อรจิราพูดให้ฟังว่าเธอกับเจ้าศักดิ์ไปที่นั่นทำไม

“แค่ครับเท่านั้นเองหรือ จะไม่ถามหรือคะว่าทำไมเราสองคนถึงไปกินที่ร้านนั้น”

“ถ้าอรจะเล่า ก็บอกมาเถอะครับ”

นึกรำคาญนิดๆที่เธอวางท่ามากมาย จะเหตุผลอะไร ผมก็รับได้ทั้งนั้น

“อรอยากไปดูให้เห็นชัดๆ ว่าศัตรูหัวใจของอร หน้าตาเป็นแบบไหน เป็นใคร เหมาะกับเรียวมากกว่าอรหรือเปล่า เลยชวนศักดิ์ไปเป็นเพื่อน ขานั้นเขาไม่ค่อยพอใจเดียร์เท่าไหร่ ที่มายุ่งกับคุณ ดูเหมือนว่าเขาจะโกรธที่เด็กนั่นทำให้คุณมัวหมอง ถูกครหานินทา นี่ถ้าเขารู้ว่าหนึ่งในคนที่ปล่อยข่าวเรื่องคุณกับเดียร์คืออร ไม่รู้ว่าเขาจะว่ายังไงบ้าง”

คนรักเก่าของผมเล่าถึงเหตุผลที่เธอไปที่นั่น ด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ท่าทางของเธอช่างเย็นชาเหลือเกิน จนผมรู้สึกอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก

“แล้วไงครับ เห็นเขาแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง คิดเหมือนเจ้าศักดิ์ไหม”

ผมย้อนถามเธอไปตรงๆ

“หล่อดีนะคะ ขยันดีด้วย ทำงานไม่หยุดมือเลย ท่าทางใช้ได้ น่าจะเป็นผู้นำที่ดี ยังสงสัยว่า คุณก็ออกจะมีเงิน หน้าที่การงานใหญ่โต เด็กนั่นไม่ต้องทำมาหากินอะไรก็ได้ แค่มาอยู่กับคุณก็สบายไปแล้ว 10 ชาติ”
อรจิรายิ้มเหยียดๆ ผมรู้สึกสะอึกกับคำพูดของคนรักเก่า แบบนี้นี่เอง เดียร์ถึงต้องพยายามทำงานอย่างหนัก เขาไม่อยากให้ใครว่าเขา ขนาดผมเอง แค่ได้ยิน ก็ยังนึกโมโหแทน แล้วเดียร์ล่ะ เขาต้องต่อสู้มากแค่ไหนกันกับคำนินทา ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสารเด็กหนุ่ม

“แต่แล้วอรก็คิดได้นะคะ ว่า เด็กนั่นเหมาะสมกับคุณมากจริงๆ การที่เขาต้องไปทำงานเหนื่อยสายตัวแทบขาดแบบนั้น อาจจะเป็นเพราะเขาต้องการได้รับการยอมรับจากทุกๆคน

เขาไม่ต้องการให้ใครมาหาว่าเขาเกาะเรียวกิน ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นผู้ชายที่มีรสนิยมทางเพศผิดปกติไปจากคนธรรมดาทั่วไป แต่เขาก็พยายามทำตนเป็นคนดี ไม่เป็นภาระกับใคร”

ชักงงเสียแล้ว ตกลงนี่จะชื่นชมเดียร์หรือจะด่ากันแน่

“ที่อรมานี่ เพื่ออยากจะบอกให้คุณรู้ว่า อรยอมแพ้แล้ว เด็กนั่นเหมาะสมกับคุณจริงๆ สมแล้วที่คุณรักเขา ถึงแม้ว่าอรจะไม่ได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีโอกาสสังเกตเวลาคุณกับเดียร์อยู่ด้วยกันทุกครั้ง

แต่จากที่เห็นตอนไปเกาะเกร็ด การเจอคุณสองคนโดยบังเอิญ และที่ไปนั่งเฝ้าดูเขาที่ทำงาน เพียงแค่นี้ก็ทำให้อรรู้ว่า เดียร์เป็นคนที่ดีพร้อม สมแล้วที่คุณรักเขา

ยินดีกับคุณด้วยจริงๆ ที่ได้เจอคนที่เสียสละทำได้ทุกอย่างเพื่อคุณ อรทำอย่างนั้นไม่ได้เลย มีแต่จะสร้างปัญหาให้คุณตลอดมา เรียวเป็นคนดี ถ้าได้คนดีๆมาดูแล ก็จะทำให้เรียวมีความสุข และเดียร์คือคนๆนั้นค่ะ”

เกิดอะไรขึ้น อยู่ๆอรจิราก็กลับมาเห็นดีเห็นงามเรื่องเดียร์ซะงั้น เมื่อไม่กี่วันก่อน ยังกรี๊ดใส่ผมอยู่เลย วันนี้กลับมานิยมยกย่องเดียร์เสียแล้ว ผู้หญิงนี่เข้าใจยากเสียจริง กินยาลืมเขย่าขวดหรือเปล่า หรือมีแผนอะไรอยู่นะ

“อรขอโทษนะคะ ที่ร้ายกับเรียวมาตลอด กว่าจะรู้สึกว่าเรียวมีค่าแค่ไหน ก็สายไปแล้ว รู้สึกเสียดายคุณเหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะรั้งคุณไว้ด้วยวิธีไหน

ถึงอย่างไรคุณก็คงไม่มีวันกลับมาหาอรอีก กับคุณอนันต์ เราก็ไม่อาจจะสร้างอนาคตร่วมกันได้ อรคงทำบาปทำกรรมไว้เยอะ ผู้ชายดีๆที่พอจะฝากผีฝากไข้ก็หลุดมือไปหมด เลยเริ่มที่จะปลงแล้วค่ะ”

อรจิราพูดยิ้มๆ ทว่าดวงตาเธอกลับว่างเปล่าไร้ชีวิตชีวา

“ขอบคุณมากนะคะเรียว ฝากขอบคุณนายเดียร์ด้วย ที่ช่วยชีวิตอรให้รอดพ้นจากการจมน้ำ ขอบคุณที่ไปส่งอรที่บ้าน คำพูดของคุณวันนั้นทำให้อรคิดได้ ต่อจากนี้ไปอรจิราคนนี้จะไม่ราวีคุณอีกแล้วนะคะ คุณจะทำอย่างไร หรือจะเป็นอะไร อรก็จะไม่ยุ่งอีกแล้ว”

ถ้าสิ่งที่คนรักเก่าพูดเป็นเรื่องจริงที่ออกมาจากใจเธอ ก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีไม่น้อย

“ไม่เป็นไรครับ เราเพื่อนกัน ผมยินดีช่วยคุณเสมอครับ....”

“เรียวน่ะ ใจดีอยู่เรื่อยเลย ขนาดอรทำร้ายกาจกับคุณหลายอย่าง แต่คุณก็ไม่เคยโกรธ หรือถือโทษอรสักครั้ง กระทั่งคุณเองก็รู้ว่าอรเป็นคนปล่อยข่าวเรื่องคุณ เรียวก็ยังอภัยไม่เอาเรื่อง คนดีๆอย่างคุณต้องได้รับสิ่งดีๆเป็นการตอบแทน อรเชื่ออย่างนั้นค่ะ”

“ครับ ขอบคุณครับอร”
“อรมาหาคุณ นอกจากจะบอกเรื่องที่ไปเจอเดียร์มาเมื่อวาน และมาขอโทษคุณที่ทำไม่ดีใส่ วันนี้อรถือโอกาสมาลาเรียวอีกด้วยค่ะ”

“ลา....... จะไปไหนหรืออร”

ความสงสัยทำให้ผมถามอรจิราขึ้นมา

“ไปเมืองนอกค่ะเรียว ไปอเมริกา เพื่อนอรเปิดร้านอาหารไทยที่นั่น เขาขาดคน อรเลยว่าจะไปช่วยเขา นี่บ่ายเบี่ยงมาหลายเดือนแล้ว คราวนี้ได้ฤกษ์ไปสักที”

“แล้วไปเมื่อไหร่ครับ”

รู้สึกใจหายเหมือนกัน ที่คนเคยรัก จะจากไปไกลลับตา แล้วไม่รู้ว่าวันใดจะได้มาเจอกัน

“สิ้นเดือนนี้ล่ะค่ะ อรทำเรื่องลาออกไว้แล้ว กระทันหันนิดหน่อย โดนเจ้านายบ่นเลย แต่ช่างมันเถอะ อยู่ต่อไปนานกว่านี้มันก็ไม่ช่วยอะไรดีขึ้น มีแต่จะทำให้แย่ลง สู้ไปเริ่มต้นใหม่ดีกว่า”

“ถ้าอรคิดว่าการทำแบบนี้จะช่วยทำให้อรรู้สึกดีขึ้น ผมก็ขอเอาใจช่วยให้ได้พบเจอคนที่คู่ควร และเขาก็รักคุณ ขอให้อรเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างมีความสุขนะครับ”

ยามนี้ไม่มีคำพูดใด จะดีไปกว่าการอวยพร และให้กำลังใจกับเธออีกแล้ว เป็นครั้งแรกที่อรจิรายิ้มให้ผมอย่างจริงใจ ตาของเธอเป็นประกาย ไม่แห้งแล้งจืดชืดเหมือนเมื่อครู่

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่42 17/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 17-02-2009 16:31:30
“ขอบคุณค่ะ....อรหมดธุระแล้ว ขอกลับไปพักผ่อนที่บ้านก่อนนะคะ”

อรจิราลุกขึ้นยืน ผมลุกตาม เดินไปส่งเธอที่ประตูห้องทำงาน อดีตคนรักหันมายิ้มให้ผม และพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมกลัดกลุ้มขึ้นมาอีก

“อรเลิกราวีคุณแล้ว แต่ศักดิ์ชายคงไม่หยุดง่ายๆ อรไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่มันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ คุณกับเดียร์อาจจะมีเรื่องเดือดร้อนเพราะศักดิ์ในวันข้างหน้า ระวังไว้ก็ดีเหมือนกันนะคะ”

“ครับ”

รับคำแล้วก็มานั่งครุ่นคิดถึงเหตุผลที่ศักดิ์ชายเอาตัวเข้ามายุ่งเกี่ยวในเรื่องนี้ด้วย นี่มันหวังดีกับผมจริงๆ หรือเป็นเพราะว่าไอ้ศักดิ์มันหึงหวงผมกันแน่ แล้วแผนการที่มันกำลังคิดที่จะทำอยู่ มันคืออะไรกันนะ

“คิดอะไรอยู่หรือครับ เรียว ผมเรียกตั้งนานก็ไม่ได้ยิน กำลังคิดถึงผมอยู่หรือเปล่าครับ”

เสียงกระซิบข้างๆหูทำให้ผมถึงกับสะดุ้ง นี่ผมเก็บเรื่องที่ได้ยินมาคิดตลอดหรือนี่ ขนาดกลับบ้านแล้วและนอนอยู่บนเตียงโดยแอบอิงซุกอกอุ่นของเดียร์อยู่ จิตใจก็ยังล่องลอยครุ่นคิด สงสัยผมคงกังวลกับเรื่องนี้มากไปจริงๆ ศักดิ์ชายอาจจะไม่ได้คิดร้ายอะไรก็ได้

“เปล่าหรอก ไม่ได้คิดถึงนาย หรือคิดถึงเรื่องอะไรทั้งนั้นล่ะ”

ผมปดเดียร์อีกครั้ง เด็กหนุ่มกระชับวงแขนที่กอดผมไว้แนบแน่น จากนั้นก็ซุกจมูกลงสูดกลิ่นที่ซอกคอของผมฟอดใหญ่
“เรียวมีเรื่องอะไรที่ไม่สบายใจหรือเปล่าครับ บอกผมได้นะ ใช้ผมเป็นที่ระบายก็ได้ครับ ผมยินดีรับฟัง บางทีเรียวอาจจะรู้สึกดีขึ้นมาก็ได้”

อากัปกริยาเหม่อลอยของผม ไม่สามารถรอดหูตาเดียร์ไปได้ เด็กหนุ่มจึงพูดแฝงความนัยขึ้นมา ผมเม้มริมฝีปากแน่นราวกับกลัวว่าคำพูดจะหลุดปากออกมา จะให้บอกออกไปได้อย่างไรกันล่ะว่ามีคนอยากรู้อยากเห็นเรื่องของเราสองคน จนต้องคอยสะกดรอยตามไม่ลดละ

ขืนบอกไปเจ้าเด็กนี่คงได้ไปตามอาละวาดกับคนพวกนั้นแน่ๆ เขายิ่งไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายเรื่องของเราซะด้วย

“บอกว่าไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไรสิ...นอนได้แล้ว ห้ามชวนคุยอีกนะ พรุ่งนี้ฉันต้องไปทำงานแต่เช้า ไม่อยากตื่นขึ้นมาพร้อมด้วยอาการปวดหัว เพราะนอนไม่พอ”

แกล้งพูดเสียงดุเพื่อตัดบท เขาจะได้ไม่เซ้าซี้ถามต่อ เด็กหนุ่มเงียบเสียงลง แต่ผมรู้ว่าเขายังไม่หลับ เดียร์คงกังวลใจเกี่ยวกับท่าทีของผมที่ดูแปลกไปตั้งแต่ตอนเย็นแล้ว แต่ในเมื่อผมไม่อยากพูด เขาก็เลยไม่รบกวนผม

ตอนที่ผมตื่นขึ้นมานั้น เดียร์ออกจากบ้านไปแล้ว ผมพบโน้ตที่เด็กหนุ่มวางไว้บนโต๊ะอาหาร เขาบอกว่าวันนี้เขาเข้ากะเช้า เพราะตอนบ่ายเขาต้องไปซ้อมเต้นให้กับนักร้องเพื่อเตรียมตัวเล่นคอนเสิร์ตเปิดอัลบั้มใหม่ อาจจะอยู่ซ้อมไปจนถึงดึกเลย

แต่เขาทำอาหารเช้า และเตรียมมื้อเย็นไว้ให้แล้ว เก็บไว้ในตู้เย็น เมื่อมาถึงผมสามารถเอาอุ่นแล้วกินได้เลย ผมยิ้มอย่างมีความสุข เดียร์เป็นแบบนี้เสมอ เอาอกเอาใจ ห่วงใยผมตลอดเวลา ถึงแม้ตัวเองไม่อยู่ เขาก็จะตระเตรียมทุกอย่างไว้ให้พร้อมเสมอสำหรับผม

มองออกไปข้างๆบ้านก็เห็นสิ่งที่ผมคาดไว้แล้ว เสื้อผ้าของผมและของเขาถูกนำมาซัก และเอาไปตากขึ้นราวเรียบร้อย เขาทำให้ผมแม้แต่กางเกงในและถุงเท้า โดยไม่เคยนึกรังเกียจเลย

ดูเหมือนเขาจะมีความสุขมากๆกับการดูแลผม รวมถึงทุกๆสิ่งทุกอย่างในบ้านหลังนี้ ทั้งต้นไม้ คน หมา และข้าวของเครื่องใช้ เขาถนุถนอมราวกับว่าเป็นของๆเขาเสียเอง เด็กหนุ่มกลายเป็นส่วนหนึ่งของบ้านนี้ไปเสียแล้ว เขายังเป็นเสมือนชีวิตจิตใจของผม เขาทำให้รู้สึกว่าจะขาดเขาไม่ได้เอาเสียเลย

นึกแล้วก็สะท้อนในหัวอก ทำไมเด็กนั่นถึงได้ดีกับผมมากมายแบบนี้หนอ ที่จริงเขาก็ได้ทุกอย่างไปจากผมจนหมดแล้ว ทั้งร่างกาย และจิตใจ แต่เขาก็ไม่หยุดทำดีเพื่อผม ยังคงทำตัวเสมอต้นเสมอปลายดีอย่างไรก็เป็นแบบนั้นตลอด จนผมรู้สึกหวั่นไหว

หากผมทิ้งเขาจริงๆผมเองก็คงจะหัวใจแตกสลาย เพราะคนดีๆอย่างเดียร์หาไม่ได้ง่ายๆ ผู้หญิงหลายคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตผม ยังไม่มีใครเทียบกับเดียร์ได้เลยแม้แต่คนเดียว เขาทำให้ผมติดใจ รู้สึกดีที่จะได้อยู่กับเขา

นอกเหนือจากจิตใจงดงามของเดียร์ ความมุ่งมั่นอดทน ความทะเล้นทะลึ่ง อารมณ์ขันการมองโลกในแง่ดี มีความสุขกับการใช้ชีวิต เป็นเสน่ห์ที่ทำให้ผมรักในตัวของเขา

ไม่นับรวมความหื่นเล็กๆที่เขาชอบแกล้งทำเสมอเวลาอยู่กับผม และการปรนเปรอให้ผมได้รับความสุขทางเพศรสถึงขีดสุด ไม่น่าเชื่อว่าเดียร์จะทำสิ่งเหล่านี้ให้ผมรู้สึกอิ่มเอมเปรมปรีด์เวลามีเขาอยู่ข้างกาย และเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ก็คือ เดี๋ยวนี้ผมไม่มีความรู้สึกทางเพศกับผู้หญิงอีกแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม
นึกแล้วก็สะท้อนในหัวอก ทำไมเด็กนั่นถึงได้ดีกับผมมากมายแบบนี้หนอ ที่จริงเขาก็ได้ทุกอย่างไปจากผมจนหมดแล้ว ทั้งร่างกาย และจิตใจ แต่เขาก็ไม่หยุดทำดีเพื่อผม ยังคงทำตัวเสมอต้นเสมอปลายดีอย่างไรก็เป็นแบบนั้นตลอด จนผมรู้สึกหวั่นไหว

หากผมทิ้งเขาจริงๆผมเองก็คงจะหัวใจแตกสลาย เพราะคนดีๆอย่างเดียร์หาไม่ได้ง่ายๆ ผู้หญิงหลายคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตผม ยังไม่มีใครเทียบกับเดียร์ได้เลยแม้แต่คนเดียว เขาทำให้ผมติดใจ รู้สึกดีที่จะได้อยู่กับเขา

นอกเหนือจากจิตใจงดงามของเดียร์ ความมุ่งมั่นอดทน ความทะเล้นทะลึ่ง อารมณ์ขันการมองโลกในแง่ดี มีความสุขกับการใช้ชีวิต เป็นเสน่ห์ที่ทำให้ผมรักในตัวของเขา
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่42 17/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 17-02-2009 16:32:16

ไม่นับรวมความหื่นเล็กๆที่เขาชอบแกล้งทำเสมอเวลาอยู่กับผม และการปรนเปรอให้ผมได้รับความสุขทางเพศรสถึงขีดสุด

ไม่น่าเชื่อว่าเดียร์จะทำสิ่งเหล่านี้ให้ผมรู้สึกอิ่มเอมเปรมปรีด์เวลามีเขาอยู่ข้างกาย และเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ก็คือ เดี๋ยวนี้ผมไม่มีความรู้สึกทางเพศกับผู้หญิงอีกแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม

ไม่ใช่เพราะว่าผมเบื่อผู้หญิงที่เอาแต่ใจ คอยหาเรื่องมาให้ตลอดเวลา หรือทำกริยาเหมือนเด็กๆช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เพราะนั่นเป็นลักษณะนิสัยของผู้หญิง ที่ขี้งอน ชอบให้คนมาง้อ บางครั้งก็ดูน่ารักน่าทะนุถนอม

ผมพอจะหาคำตอบได้บ้างว่าการที่ผมเปลี่ยนไป จากชอบผู้หญิงมาเป็นชอบคนเพศเดียวกับตัวเอง เป็นเพราะผมเริ่มรู้สึกว่าผู้ชายอย่างเดียร์ก็น่ารักน่าเอ็นดูเหมือนกัน

เขามีทั้งความแข็งแกร่ง และความนุ่มนวลอยู่ในตัว เป็นคนที่พึ่งพาอาศัยได้ เขาใจดีคอยปกป้องผมเสมอ ผมเริ่มรักเขามากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งลืมความรักที่มีต่อเพศหญิงไป

พอเริ่มรู้สึกว่าขาดเขาไม่ได้ มันก็ใกล้เวลาที่เราจะต้องจากกันแล้ว สัญญากำลังจะสิ้นสุดลง แถมซ้ำปัญหาและอุปสรรคต่างๆก็ถาโถมเข้ามาไม่หยุดยั้ง

ไม่ว่าจะเป็นข่าวลือเกี่ยวกับตัวผม การยื่นคำขาดให้เลิกรากับเดียร์จากเจ้านาย เรื่องของคุณแคท นายทรงพล นายบอย ที่เคยมีเรื่องกัน แล้วใหนจะการสอดแนมจากเพื่อนรักของผม เจ้าศักดิ์ชาย โชคยังดีที่อรจิราวางมือไปแล้ว ไม่เช่นนั้นผมคงกลุ้มใจมากกว่านี้ที่ทั้งเพื่อน เจ้านายและคนรักเก่ากดดันอย่างไม่หยุดยั้ง

เจ้าตัววุ่นศักดิ์ชาย เดินผ่านไปผ่านมาหน้าห้องผมหลายรอบ ทำท่าเหมือนอยากจะเข้ามาพูดคุยด้วย แต่ผมกำลังทำงานติดพันอยู่ เลยไม่มีโอกาสพูดคุยกัน ใจหนึ่งก็อยากจะถามมันให้รู้เรื่องว่ามันติดใจอะไรเกี่ยวกับเรื่องของผมและเดียร์

เราเคลียร์กันไปเรียบร้อยแล้วนี่ มันเองก็รับรู้ว่าผมคบกับเด็กหนุ่มนั่น ถึงมันจะเสียดาย หรือไม่เห็นด้วยยังไง ก็ห้ามเราสองไม่ได้หรอก เพราะความผูกพันธ์ของเรามันมีความนัยลึกซึ้ง เกินกว่าจะอธิบายให้คนเข้าใจได้โดยง่าย ว่าเหตุไฉนเราสองคนจึงมาคบกัน

เพราะมัวแต่ทำงาน เลยลืมความตั้งใจของตัวเองที่จะคุยกับเพื่อนเก่า กว่าจะนึกได้ก็เลิกงานไปแล้ว ศักดิ์ชายหายแว่บไปไหนไม่รู้ เจ้าสันต์ก็มัวแต่ไปจี๋จ๋าอยู่กับเบน

ผมไม่รู้จะไปไหนดี ยังไม่อยากกลับบ้านไปอยู่คนเดียว วันนี้เดียร์คงกลับดึกมาก น่าแปลกจัง แต่ไหนแต่ไร ผมเคยอยู่ตามลำพังได้ แต่เดี๋ยวนี้ ถ้าไม่มีเดียร์อยู่ด้วย บ้านมันเงียบเหงาพิกล

ในที่สุดผมก็ได้คำตอบสำหรับตัวเองว่าจะไปเถลไถลที่ไหนก่อนกลับบ้าน อีกสองสามวันจะตรงกับวันวาเลนไทน์แล้ว ผมอยากหาของขวัญให้กับเดียร์สักชิ้น

คราวก่อนตั้งใจจะซื้อแหวนให้เดียร์สักวงหนึ่ง แต่ก็ดันมาเกิดเรื่องกับตาทรงพลเสียก่อน ผมก็เลยยังไม่ได้ไปเอามา ร้านนายทรงพลมีแหวนดีไซน์สวยแปลกตาเยอะแยะ ผมจำได้ว่ามีอยู่สองสามวงที่เดียร์ลองใส่ดูแล้วชอบมันนักหนา แถมยังมีขนาดนิ้วของเดียร์อีกด้วย

ผมลองแวะไปที่ร้านนั้นดีกว่า เจ้าของร้านถูกแฟนแทงไปขนาดนั้น คงรักษาตัวอยู่ ไม่มีเวลามาวุ่นวายกับผมหรอกมั๊ง

โชคดีเสียจริงที่ผมไม่ต้องไปร้านของนายทรงพลคนเดียว คุณแคทซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนเหมือนกันเดินจากห้องของตัวเองมาหาผม และชวนผมไปเดินเล่นในห้างเป็นเพื่อน พอบอกชื่อห้างมาผมก็ตกลงทันที เพราะห้างที่ว่านั้นมีร้านเพชรของนายทรงพลอยู่ด้วย พ

อดีเลย ผมจะได้ชวนเธอไปเลือกแหวนให้เดียร์ด้วยกัน อย่างน้อยๆ หากนายทรงพล
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่42 17/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 17-02-2009 21:47:32
ขอบคุณมากค่ะ ไม่ได้เข้ามาอ่านหลายวัน
อ่านซะจุใจเลย
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่42 17/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: nanalonely ที่ 17-02-2009 22:54:22
อ่านได้ครึ่งเดียวม่ะไหวแล้วพี่แอน

แปะไว้ก่อนนะคะ วันนี้ปวดเบ้าตาอ่ะ

เดี๋ยวพรุ่งนี้เข้ามาอ่านต่อ

คืนนี้ฝันดีนะคะพี่แอน
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่42 17/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: kakoku_kin ที่ 18-02-2009 01:11:45
แอบมาจิ้มปลาการ์ตูน :z13:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่42 17/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 18-02-2009 09:53:58
ตามบายเลยเพ่ปลาการ์ตูนยอมให้จิ้ม อิอิ :impress2:
อย่าให้ถึงที่เราบ้างน้า หุหุ  o18
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่42 17/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: sasa ที่ 18-02-2009 10:48:22
 :pig4:  :pig4:  :pig4:

แต่เหมือนจะค้าง ๆ ขาด ๆ หาย ๆ

มาต่อด่วน....
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่42 17/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: โน๊อา ที่ 18-02-2009 17:21:53
ไม่ได้ โพส ห้องนี้เลย

อ่านอย่างเดียว วันนี้เลยมา +1 ให้คนโพสเรื่องเป็นรางวัล
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่42 17/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: katesnk ที่ 19-02-2009 11:26:12
ขอบคุณทุกๆท่านค่ะ ที่ชอบนิยายเรื่องนี้ ตอนนี้พี่เคทกำลังจะรวมเล่มนิยายเรื่องนี้อยู่ (ภาค 2-3) ไม่ทราบว่ามีใครสนใจไหมคะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่43 19/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 19-02-2009 20:03:18
บทที่ 43

หลังจากไปยืนขาแข็งเป็นเพื่อนคุณแคทเลือกซื้อเสื้อผ้า และเครื่องสำอาง ก็ถึงตาผมบ้างซักที ผมพูดชวนเธอไปร้านนายทรงพล เธอทำตาโตอย่างสงสัยว่าจะไปทำอะไรที่นั่น หายโกรธคุณลุงของเธอแล้วหรือ

ผมบอกว่าผมอภัยให้กับนายทรงพลไปตั้งนานแล้ว ไม่รู้จะรังเกียจไปทำไม เพราะนายทรงพลก็ได้รับผลกรรมที่ตัวเองก่อไว้ ผมแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้ แม้ไม่ชอบขี้หน้าเขามากเท่าไหร่ ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ทำธุรกิจกันต่อไป ถึงอย่างไรเขาก็เป็นลูกค้าที่บริษัท ผมต้องดีกับเขาอยู่แล้ว

คุณแคทกล่าวชมผมยกใหญ่ที่ผมไม่เอาความแค้นส่วนตัวมาพัวพันเรื่องงาน แล้วเธอก็ถามผมอีกครั้งว่าผมจะไปร้านคุณทรงพลทำไม

ผมรู้สึกเขินที่จะบอกความจริง อาการหน้าแดงของผม ทำให้คุณแคทเดาได้ทันที เธอยิ้มหวานให้ผม แล้วบอกว่าเธอจะช่วยเลือกให้ผมจะเป็นแหวน สร้อย หรือต่างหูก็ได้ เธอพอจะมีความรู้เรื่องเพชรพลอยอยู่บ้าง เพราะพ่อกับแม่ของเธอชอบสะสมเครื่องประดับ และพาเธอมาขลุกร้านนี้ตั้งแต่เด็ก และคุณลุงทรงพลก็เคยสอนวิธีการดูอัญมณีให้เธอด้วย

ผมกล่าวขอบคุณเธอ รู้สึกอายอย่างบอกไม่ถูก ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมซื้อของให้กับคนรักของผมที่เป็นผู้ชายเนื่องในวันวาเลนไทน์ แต่ช่างเถอะ คุณแคทเองก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน เธอคงจะเข้าใจความรู้สึกของผม และคงจะรู้ดีว่าคนที่เป็นเกย์มีรสนิยมแบบไหน

“เดียร์เกิดวันอะไรหรือคะ”

เพื่อนสาวถามผมยิ้มๆ โดนถามแบบรู้ทันแบบนี้ เลยทำให้ผมเขินจัด รู้สึกเหมือนว่าเลือดอุ่นๆฉีดพล่านไปทั่วใบหน้าและลำคอ

“ไม่ต้องอายหรอกค่ะ ถ้าไปร้านเพชร ก็มีสองอย่างซื้อของให้ตัวเองหรือไม่ก็แฟน แต่กรณีของเรียว แคทคิดว่าคงซื้อให้แฟนใช่ไหมล่ะ”

“ครับ แต่ผมไม่ได้ซื้อเป็นของขวัญวันเกิดให้เขานะ”

“ค๊า....เข้าใจค่ะ แหมเทศกาลใกล้ๆนี้ ก็มีแต่วาเลนไทน์เท่านั้นแหละ จะซื้อของให้เนื่องในวันแห่งความรักใช่ไหมคะ

แหม ช่างน่าอิจฉาพ่อหนุ่มเดียร์จริงๆ ที่คนน่ารักอย่างเรียวระลึกถึง ที่แคทถามก็เพราะว่าเวลาซื้ออัญมณีให้มันต้องถูกโฉลกกับวันเกิดด้วย มันถึงจะดีไงคะ”

เธออธิบายยิ้มๆ ไม่น่าเชื่อว่าสาวทันสมัยอย่างคุณแคทจะเชื่อโชคลางพวกนี้ด้วย เห็นท่าทางจริงใจในการที่จะช่วยผมเลือกซื้อเครื่องประดับให้เดียร์แล้ว ผมเลยบอกออกไป

“วันจันทร์ครับ วันจันทร์ เดือน ธันวาคม เขาเกิดวันคริสต์มาสพอดี”

“แหมจำรายละเอียดได้แม่นเลยนะคะ สงสัยจะรักมากจริงๆ”

โดนแซวแบบนั้นผมก็ยิ่งอายนัก เดินเงียบไม่พูดไม่จาเอาแต่ยิ้ม อยากจะบอกออกไปเหมือนกัน ว่า ใช่แล้วล่ะคุณแคท ผมรักเด็กนั่นมากมายจริง และไม่คิดว่าจะรักใครได้เท่านี้อีกแล้ว
ในที่สุดเราก็เดินมาถึงร้านของนายทรงพล เจ้าของร้านกับบอดี้การ์ดไม่อยู่ คุณแคทสอบถามพวกเด็กๆในร้าน ได้ความว่าเขาพาแซ่บและคนอื่นๆไปทานมื้อเย็น ไม่รู้ว่าจะกลับเข้ามาหรือเปล่า ผมรู้สึกโล่งใจที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากัน และภาวนาอยู่ในใจขอให้คนเหล่านั้นอย่ากลับเข้ามาอีก ไม่อยากอึดอัดใจเวลาที่พูดคุยกัน

“ที่จริงมันมีหลายตำรานะคะ คุณเรียว เกี่ยวกับเรื่องอัญมณีประจำวันเกิด แต่เอาสักตำราก็แล้วกันนะ ตามตำราเขาว่า คนเกิดวันจันทร์ ควรจะใช้เครื่องประดับอัญมณีที่เป็นสีเหลือง เรียกว่า “เศตาภรณ์” ซึ่งก็เป็นพลอยจำพวก บุษราคัม โทแพซ ซิทริน เพทาย อำพัน หยกสีเหลือง เพชรสีเหลือง หรือไม่ก็ไข่มุกสีทอง ค่ะ จะเห็นว่าต้องเป็นสีเหลืองทั้งหมดถึงจะถูกโฉลกค่ะ”

คุณแคทอธิบายให้ผมฟังราวกับผู้ชำนาญ เธอขอให้พนักงานในร้านนำพลอยแต่ละชนิดมาให้ผมดู ผมมองของที่วางอยู่ตรงหน้า ตาลายไปหมด ผมไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ เพราะไม่ค่อยได้สะสม

กำลังนึกว่าจะซื้อชิ้นไหนให้เดียร์ดี ผมไม่เคยเห็นเดียร์ใส่เครื่องประดับแบบนี้เลย ไม่รู้ว่าเขาไม่รู้ว่าไม่ชอบ หรือ ไม่รู้ว่าจะต้องใส่อะไร หรือไม่ก็เพราะราคามันแพงเกินกว่าที่เขาจะซื้อได้

“คนเกิดวันจันทร์นี่ช่างแต่งตัวนะคะ เท่าที่เห็นเด็กหนุ่มคนนั้น เขาก็แต่งตัวเท่ห์ดีสมวัยเขามากๆเลย ถ้างั้นซื้อจำพวกอำพันให้เขาดีกว่า เพราะว่า อย่างอื่นอาจจะดูแก่เกินไปไม่เหมาะกับเขา”

“คืออะไรหรือครับ”

ผมถามอย่างงงๆ เพิ่งจะเคยได้ยินนี่แหละ ความที่ไม่เคยใส่ใจกับเครื่องประดับ จึงทำให้รู้เพียงแค่เพชร เงิน ทอง นาค แค่นั้นเอง คุณแคทยิ้มพลางหยิบอัญมณีสีเหลืองชิ้นหนึ่งขึ้นมา

“นี่ไงคะ อันนี้เขาเรียกว่าอำพัน หรือเขามีชื่อฝรั่งว่า Amber ค่ะ เจ้าของชิ้นนี้ไม่ธรรมดาเลยนะคะ เขาไม่ได้เป็นพวกหิน แต่เกิดจากยางสนที่ไหลออกมาจากต้นแล้วรวมกันเป็นก้อนแข็งถึงค่อยกลายเป็นหินอีกที อาจจะใช้เวลานานถึง 30 ล้านปีในยุคน้ำแข็งเลยนะคะ มันสวยมากๆ และหายากมากๆ ดูนี่สิ…”

คุณแคทชี้ให้ผมดูข้างในอำพัน ผมมองเห็นจุดดำๆอยู่ในนั้น

“ชิ้นนี้น่ะ ไม่ได้พบเจอกันง่ายๆนะคะ ข้างในที่คุณเห็นเป็นฟอสซิลของซากสัตว์สมัยโบราณ อาจจะเป็นพวกแมลง ที่ไปเกาะตรงต้นของสน แล้วถูกยางไหลมาเคลือบและแข็งตายอยู่ในนั้น อำพันที่มีซากสิ่งมีชีวิตอยู่ภายในจะบอกถึงสภาพสภาพแวดล้อมลักษณะทางชีวภาพของสิ่งมีชีวิตยุคนั้นได้ด้วยค่ะ”

น่าทึ่งชมัด คุณแคทนี่ฉลาดรอบรู้จริงๆ เหมาะแล้วที่เธอเลือกที่จะมีเพศที่ต่างไปจากตอนที่เธอเกิดมา เพราะเธอมีความอ่อนหวาน และมีเซนส์ในเรื่องของสวยๆงามๆเหมือนผู้หญิงจริงๆ


...............................................

“เรียวรู้ไหมคะ ในบางประเทศ เขาจะเอาอำพันมาทำเป็นเครื่องรางใส่ไว้ในหลุมฝังศพเพื่อคุ้มครองชีวิตหลังความตาย และเพื่อความผาสุกในภพหน้าที่จะเกิดมา

อย่างพวกกรีกเองซึ่งสักการะเทพเจ้าอพอลโล ซึ่งเป็นเทพแห่งดวงอาทิตย์ เขายังเชื่อว่า อำพันนี้เกิดมาจากลำแสงของดวงอาทิตย์ที่มีการแข็งตัวค่ะ

แล้วรู้ไหมคะ เจ้าอำพันนี้ มีส่วนช่วยให้เกิดการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ได้อีกด้วย รู้จักนายวิลเลี่ยม กิลเบิร์ตไหมคะ เขาเป็นนักวิทยาศาตร์ที่ศึกษาเรื่องไฟฟ้าสถิตย์ โดยการใช้แท่งอำพัน ซึ่งสมัยก่อนกรีกเรียกว่า เอเลกตรอน และเรียกปรากฏการณ์ที่เขาค้นพบว่า แรงไฟฟ้า หรือ electric force ค่ะ”

เหลือเชื่อจริงๆ คุณแคทรู้เรื่องเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ด้วย ในหัวสมองของเธอคงจะไม่ธรรมดาเหมือนคนอื่นๆแน่ จึงบรรจุข้อมูลความรู้ต่างๆไว้แน่นเอี๊ยด

“ท่าทางคงจะแพงน่าดูนะครับ”

“ค่ะ ของหายากก็จะแพงนะคะ แต่ก็ยังมีอัญญมณีอย่างอื่นที่แพงกว่าอีกค่ะ ถ้าคุณจะซื้อให้เดียร์ แคทแนะนำให้ซื้อเป็นจี้ดีกว่านะคะ เพราะจี้ทำรูปแบบสวยเยอะมากค่ะ โดยเฉพาะร้านคุณลุง ออกแบบได้เก๋มาก เขาทำส่งออกนอกด้วยค่ะ”


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่43 19/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 19-02-2009 20:04:11
คุณแคทขอให้พนักงานเอาจี้อำพันสวยๆออกมาให้ดู ผมกวาดตามองจี้ห้อยคอในกล่องสี่เหลี่ยมบุกำมะหยี่ ที่พนักงานเอาออกมาวางเรียงรายให้ดู แล้วถูกใจกับจี้รูปหัวใจสีเหลืองใสมันวาว พยายามจินตนาการภาพที่เด็กหนุ่มสวมสร้อยเส้นนี้ไว้ที่คอ คงจะน่ารักดี ถ้าผมซื้อจี้นี้ให้กับเดียร์แทนสร้อยเส้นเดิมที่เขาทำหายไป เขาจะดีใจไหมนะ

ยังไม่ทันที่ผมจะตัดสินใจ เสียงคุ้นหูก็ดังขึ้นทางเบื้องหลัง ผมหันไปดูก็พบพี่วิภายืนหอบของพะรุงพะรัง ข้างๆคือพี่สมชายที่ยืนหน้าเครียดอยู่ใกล้ๆ พี่วิภารีบเดินตรงมาหาผมกับคุณแคท ตามด้วยพี่สมชายซึ่งตอนนี้ปรับสีหน้าเป็นยิ้มแย้มตามปกติแล้ว ผมหันไปมองคนข้างกายโดยอัตโนมัติ ก็เห็นเธอยืดตัวตรง เชิดหน้าขึ้น แล้วส่งยิ้มให้กับคนทั้งสองอย่างหวานจ๋อย

“อุ้ย บังเอิญจริงๆค่ะ ไม่นึกว่าจะได้เจอกันที่นี่อีก มาซื้อแหวนหมั้นเตรียมจะแต่งงานกันหรือคะ”

พี่วิภาทึกทักหน้าตาเฉย ผมสบตากับคุณแคท เราต่างรู้ว่าจะต้องทำอย่างไร คำขอร้องครั้งสุดท้ายของคนพ่ายรัก คือการเล่นละครตบตาอีกครั้งเพื่อให้ครอบครัวของคนที่เธอรักกลับมามีชีวิตที่เป็นปกติสุขเหมือนเดิม

คุณแคทเคลื่อนตัวเข้ามาหาผมโดยอัตโนมัติ และอิงแอบร่างกายตนเองเข้ากับไหล่ของผม พร้อมกับส่งยิ้มให้กับพี่วิภาที่ดูท่าจะเชื่ออย่างสนิทใจว่าเราสองคนเป็นคู่รักกันจริงๆ

“ใช่ค่ะ พี่วิภา เรากำลังจะหมั้นและแต่งงานกันอีกไม่กี่เดือนนี้ล่ะค่ะ คุณเรียวกำลังจะไปสู่ขอแคทกับพ่อแม่ นี่เรามาเลือกแหวนกัน แล้ว พี่สองคนล่ะคะ มาทำไมที่นี่ มาซื้อแหวนฉลองครบรอบแต่งงานหรือคะ”

ท้ายเสียงดูสั่นๆ เหมือนว่าเธอกำลังพยายามสะกดกั้นอารมณ์เสียใจที่เริ่มก่อตัวขึ้นมา

“ไม่ใช่หรอกค่ะ อีกตั้งสองเดือนกว่าถึงจะถึงวันครบรอบแต่งงาน แต่วันนี้พี่สมชายพามาเลือกซื้อเครื่องประดับ เป็นของขวัญแห่งการคืนดีกันค่ะ”
พี่วิภายักคิ้วให้กับผม ท่าทางเธอมีความสุขมาก แต่พี่สมชายทำหน้าเซ็งๆยังไงไม่รู้

“งั้นหรือคะ ยินดีด้วยนะคะ ขอให้ครองรักกันอย่างมีความสุขนะคะ”

คุณแคทอวยพรเสียงเครือ ผมเอื้อมไปจับมือคุณแคทมาบีบอย่างปลอบโยน และกระตุกแขนเธอเบาๆเพื่อให้เธอระงับสติอารมณ์ เธอยิ้มให้ผมพลางพยักหน้าน้อยๆว่าเธอเข้าใจในสิ่งที่ผมพยายามจะบอก

“แล้วทำไมถึงเลือกร้านนี้ละคะ รู้ไหมว่าแคทรู้จักกับเจ้าของร้านด้วย เรียกว่าคุณลุงเจ้าของร้านสนิทสนมกับคุณพ่อคุณแม่แคทเป็นอย่างดีเลยล่ะค่ะ”

เพื่อนสาวของผมเอาแต่คุยกับพี่วิภาอย่างดี เหมือนเธอพยายามที่จะเลี่ยงการพูดคุยกับพี่สมชาย คงกลัวว่าจะเผลอต่อมน้ำตาแตกให้เมียของเขาสงสัยและจับได้ว่าเป็นคุณแคทนี่แหละที่มีอะไรกับสามีของเธอเอง

“พี่สมชายพามาค่ะ เขาบอกว่าร้านนี้ทำเครื่องประดับสวยมาก ออกแบบได้แปลกตาดี พี่เขารู้จักร้านนี้มานานแล้ว จากการแนะนำของเพื่อนรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัยนี่แหละค่ะ”

เพื่อนรุ่นน้องคนนั้น ก็คือคุณแคทกระมัง ผมเห็นเธอเม้มริมฝีปากแน่น สงสัยสะเทือนใจกับเรื่องที่ได้ยิน

“งั้นดีเลยค่ะ เดี๋ยวแคทให้ทางร้านเขาลดให้เป็นพิเศษ บอกว่า แคทแนะนำมา คุณลุงใจดีกับแคทอยู่แล้ว ว่าแต่พี่วิภาอยากได้อะไรหรือคะ เป็นสร้อย แหวน จี้ กำไล หรือต่างหูดีคะ”

“ก็ดูไปเรื่อยๆ ค่ะ คุณแคทว่าคนเกิดวันจันทร์อย่างพี่นี้ ควรจะซื้ออะไรดีล่ะคะ”

“เกิดวันเดียวกับเดียร์น้องคุณเรียวเลย เอางี้ไหมคะ เรากำลังดูพวกอำพันกันอยู่ หรือพี่จะดูอย่างอื่นด้วยก็ได้ แต่ต้องสีเหลืองเท่านั้นนะคะ”

“เหรอคะ นี่เหรอ ที่เรียกว่าอำพัน สวยดีจังเลยนะคะ พี่สมชายว่าไหม”

พี่วิภาชี้ชวนให้พี่สมชายดู เพื่อนบ้านของผมได้แต่พยักหน้าหงึกๆ ผมรู้สึกว่าเขาแค่ไม่ได้เห็นด้วยเท่าไหร่ ผู้ชายกับอัญมณีไม่ค่อยถูกโรคกันนัก มีน้อยที่สนใจอย่างจริงจัง ผมกับพี่สมชายคงจัดอยู่ในพวกเดียวกัน คือไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลย

“ว้ายยยยยยยย...จี้หัวใจสีเหลืองนี้สวยจังเลยค่ะ”

“ไหนคะ อื้มสวยจริงๆด้วยค่ะ ดูสิ เหมาะกับพี่วิภามากเลย จริงไหมคะเรียว”

เสียงคุณแคทกับพี่วิภาทำให้ผมต้องหันไปมอง แล้วก็ต้องอึ้งเมื่อเห็นพี่วิภาสวมสร้อยที่มีจี้อำพันรูปหัวใจสีเหลืองที่คอ คุณแคทพยักเพยิดอย่างพอใจ แถมซ้ำยังมาถามผมอีกด้วยว่าเหมาะไหม ผมมองดูพี่วิภาที่สวมสร้อยคอเส้นนั้น หัวใจสีเหลืองดวงโตพอประมาณ ดูสวยสง่าเมื่ออยู่บนคอผู้หญิง แล้วถ้าเป็นผู้ชายอย่างเดียร์ล่ะ จะดูสวยแบบนี้ไหมนะ

“ว่าไงคะคุณเรียว ยืนจ้องแบบนี้ สวยหรือไม่สวยคะ”

มัวแต่ยืนจ้องจนเพลิน เลยไม่ทันได้ตอบคำถามของคุณแคท จนพี่วิภาต้องถามซ้ำขึ้นมา
“สวยครับ สวยมากเลย”

กล่าวชมทั้งที่นึกภาวนาในใจ ไม่อยากให้พี่วิภาซื้อเส้นที่ลองใส่นั้นเลย ผมเองก็อยากให้ของชิ้นนี้กับเดียร์มาก ถึงแม้ว่ามันจะดูเหมาะกับผู้หญิงมากกว่าก็ตาม

แต่ผมชอบตรงที่มันเป็นรูปหัวใจ เป็นอำพัน ยางไม้สนล้านปีของแท้ สีต้องโฉลกกับวันเกิดของเดียร์ด้วย ทุกอย่างมันมีความหมายหมด

ผมอยากให้เขารับรู้ทางอ้อมว่า ผมรักเขามากแค่ไหน และรักของผมไม่ได้เกิดขึ้นมาโดยง่าย มันเกิดจากการความรู้สึกที่ค่อยๆสะสมขึ้นมาเรื่อยๆจนพอกพูนเปี่ยมล้นในหัวใจ ที่สำคัญ

ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าผมจะรักผู้ชายคนหนึ่งได้มากมายขนาดนี้ เขาเหมือนกับเจ้าอำพันที่เป็นของล้ำค่าหายาก แล้วผมก็อยากได้มันเพื่อมาเป็นเครื่องรางคุ้มครองคนรักของผมด้วย

“ตกลงเอาเส้นนี้ค่ะ”

ในที่สุดพี่วิภาก็พรากเอาสร้อยเส้นนั้นไปจากผมจนได้ แม้จะรู้สึกเสียดายแค่ไหน แต่ก็ต้องตัดใจเมื่อเห็นรอยยิ้มที่มีความสุขของผู้หญิงที่เกือบจะเสียครอบครัวไป

บางทีสร้อยเส้นนี้ อาจจะช่วยประสานรอยร้าวระหว่างเธอกับสามีได้ ผมคงต้องหาของให้เดียร์ใหม่ อาจจะเป็นแหวนสักวง ที่เดียร์เคยมาลองใส่เมื่อคราวที่แล้วก็ได้ มีหลายวงที่สวยเหมือนกัน เขาอาจจะชอบมันมากกว่าจี้ห้อยคอก็ได้

สองสาวดูจะเพลิดเพลินกับการลองเครื่องประดับ ผมเลยเดินเลี่ยงมาที่ตู้โชว์แหวนเพชร แล้วพยายามมองหาแบบและลวดลายเดียวกับที่เดียร์เคยลองไว้ ขณะที่ผมกำลังก้มๆเงยๆ โดยที่มีพนักงานคอยบริการอยู่นั้น จู่ๆพี่สมชายก็เดินมาหยุดยืนข้างตัวผม แล้วพูดเสียงลอดไรฟันอย่างฉุนๆ

“บอกแล้วใช่ไหมคุณเรียว ว่าอย่ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทำไมไม่ฟังกันบ้างเลย ยอมให้คุณแคทจูงจมูกได้ไง”

พูดแบบนี้มันน่าพูดดีด้วยไหมเนี่ย คนอะไรกัน ถูกทิ้งแล้วพาลหรือไง ตอนนั้น ผมอาจจะเห็นด้วยว่าจะไม่ยอมเป็นเครื่องมือคุณแคทในการพรากลูกพรากเมียเขา ถึงตอนนี้ที่ผมช่วยคุณแคทก็เพราะผมอยากให้พี่วิภาเลิกคลางแคลงใจต่างหาก

แม้ว่าเธออาจจะเคยสงสัยคุณแคทอยู่บ้าง แต่การที่ได้เห็นเราสองคนอยู่ด้วยกันในร้านเพชรแบบนี้ แถมซ้ำคุณแคทยังกุเรื่องว่าเรามาเลือกแหวนกันเพื่อเตรียมตัวจะแต่งงาน แค่นี้พี่วิภาก็ยิ้มหน้าบานเลิกสงสัย เชื่อเสียสนิทใจ แล้วนี่พี่สมชายยังจะมาพูดเพื่อให้เสียเรื่องอีกทำไม ในเมื่อตัวเองก็ไม่เลือกคุณแคทตั้งแต่แรกแล้ว ยังจะมาหวงก้างอีก

“ผมทำเพื่อความถูกต้องครับพี่สมชาย อย่างน้อยๆพี่วิภาก็สบายใจ ดูสิครับเธอมีความสุขมากแค่ไหน ผมเองก็รู้สึกดีใจด้วยที่พี่สองคนกลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้ง”

ตอบไปตามความรู้สึกของตัวเอง ดูเหมือนพี่สมชายจะไม่ค่อยพอใจนัก

“ขอบคุณนะครับที่ทำเพื่อครอบครัวผม แต่บอกแล้วไงครับว่าผมจัดการเองได้ คุณเองก็ไม่น่าจะเข้ามายุ่งเลย เราคนบ้านใกล้เรือนเคียงกัน เดี๋ยวมีปัญหาอะไรจะมองหน้ากันไม่ติด”

“คงไม่มีปัญหาอะไรหรอกมั๊งครับพี่สมชาย ทุกอย่างมันจบลงด้วยดีแล้วนี่ครับ หรือว่าที่ผมคิดมันไม่ใช่ พี่ยังไม่อยากจบ?”
ผมย้อนถามเพื่อนบ้านหนุ่ม อยากรู้เหมือนกันว่าเขาคิดอะไรอยู่

“ช่างเถอะคุณเรียว มันเป็นเรื่องระหว่างผมและคุณแคท ผมขอร้องนะครับว่าอย่ายุ่งเรื่องนี้ ผมชอบคุณ เราไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งกัน อย่ามาผิดใจเพียงเพราะกระเทยคนหนึ่งเลยครับ”


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่43 19/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 19-02-2009 20:09:17
เออหนอ ยามสิ้นรัก เหลือแต่ความเจ็บแค้น ก็เรียกกันอย่างไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะมาได้ยิน ผมนึกไม่ออกเลยว่าที่ผ่านมา สองคนนี้เคยรักกันมากขนาดไหน

“พี่สมชายครับ กระเทยที่พี่ว่าน่ะ อีกหน่อยเธอจะกลายมาเป็นคู่หมั้นของผมนะครับ”

โกหกครั้งนี้ครั้งสุดท้ายแล้วกัน พี่สมชายจะได้เลิกวุ่นวายกับคุณแคทแล้วหันไปหาลูกเมียตัวเองเสียที ไม่ใช่ทำตัวแบบที่เป็นอยู่นี้

“อย่ามาหลอกเสียให้ยากเลยเรียว ผมบอกคุณแล้วไงว่าผมรู้ว่าคุณกับเดียร์เป็นอะไรกัน คุณกับคุณแคทไม่ได้รักชอบกันจริงๆ คุณหลอกผมเพราะต้องการช่วยคุณแคทต่างหาก

ผมบอกอะไรให้อย่างหนึ่งนะ อย่าใช้วิธีนี้เลยเรียว โกหกมันเป็นบาป เดี๋ยวจะทำให้ความรักของคุณกับเดียร์อับปางลงนะ แล้วจะหาว่าผมไม่เตือน”

คำพูดเหมือนแช่งของพี่สมชายทำให้ผมเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย แต่ผมเชื่อในความบริสุทธิ์ใจของตัวเอง ผมไม่ได้ทำไปเพราะอยากเลิกกับเด็กหนุ่ม

ผมทำไปเพราะต้องการช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กสองคนให้ได้เมียและพ่อกลับคืนมา และผมคิดว่าเดียร์ของผมคงเข้าใจในสิ่งที่ผมทำ ความเชื่อใจที่เรามีต่อกัน จะนำพาให้ความรักของเรารอดพ้นจากอุปสรรคต่างๆ

“ผิดแล้วล่ะครับพี่สมชาย ผมกับเดียร์ไม่ได้คบกันอย่างที่พี่คิด เราเป็นเพียงแค่คนรู้ใจกันเท่านั้น คนที่ผมสนิทด้วยตอนนี้คือคุณแคทต่างหาก ผมชอบเธอมาก เธอเป็นคนดี สมควรที่จะมีคนมาดูแลรับผิดชอบในตัวเธอ จะได้ไม่ต้องไปหลงรักคนที่เขามีเจ้าของอีก”

ตัดสินใจโกหกไปอีกเป็นครั้งที่สอง ไม่สิ ยังเรียกว่าโกหกไม่เต็มปาก แค่พูดคลุมเครือให้คิดจินตนาการไปเองต่างหาก ใครกันนะ ที่บอกว่า เมื่อได้โกหกแล้ว มันจะโกหกต่อไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด มันเป็นแบบนี้นี่เอง

ผมกำลังตกอยู่ในวังวนนั้น ทำไงได้ ในเมื่ออยากทำให้คนอื่นเชื่อ ก็ต้องใส่น้ำหนักลงไป แม้ว่ามันจะไม่มีมูลความจริงเลยก็ตาม ขอให้เรื่องนี้อย่าล่วงรู้ไปถึงหูเดียร์เลย รอให้ทุกอย่างมันจบลงก่อนแล้วกัน แล้วผมจะเล่าให้เขาฟังทุกอย่างเลย

“งั้นเหรอ จะเปลี่ยนใจจากเกย์มาชอบกระเทยหรือไง ผมคิดว่าเรื่องนี้เดียร์คงไม่รู้แน่ๆ จะเกิดอะไรขึ้นนะ ถ้าเขารู้ว่าคุณมาเดินควงคนอื่นแบบนี้ แถมพาเข้าร้านเพชรพลอยอีกด้วย

เจ้าหนูนั่นท่าทางจะขี้หึงพอควร ยิ่งมาได้ยินคุณพูดว่า คุณกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกันด้วย แหมผมแทบจะทนรอที่จะเป็นคนพูดเรื่องนี้ให้เดียร์ฟังไม่ไหวแล้ว”

นี่เป็นคำขู่จากพี่สมชายหรือเปล่านะ เพื่อนบ้านผู้แสนดีของผม จะกล้าทำอย่างนั้นเชียวหรือ ความหึงหวง การถูกฉีกหน้าจากคนรักเก่า ทำให้คนที่น่านับถือ แปรเปลี่ยนเป็นคนที่ร้ายกาจน่ากลัวได้ถึงเพียงนี้

ถ้าเขาไปเล่าให้เดียร์ฟังจริงๆ หนุ่มน้อยของผม จะเชื่อคนอื่นมากกว่าผมหรือเปล่านะเขาจะคิดว่าผมทรยศกับเขาไหม

คงไม่หรอก เพราะเดียร์ก็รู้ดีอยู่แล้วว่าผมไม่เคยมีใครนอกจากเขาคนเดียว ผมไม่เคยเกเรเหลวไหล แม้ไม่เคยพูดความจริงให้เขารู้ แต่ผมก็ไม่ทำอะไรเสียหาย และที่ผมทำอยู่นี้ก็เพื่อความสุขของเราทั้งสองคนด้วย

“เชิญเถอะครับ เราสองคนเข้าใจกันดี ผมกับเดียร์ไม่มีความลับต่อกัน มีอะไรก็จะบอกกันเสมอ เขารู้เรื่องนี้ด้วย ถึงพี่จะพูดไปก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกครับ”

โกหกรอบที่สามแถมท้าทายเพื่อนบ้านที่ทำท่าว่าจะเป็นคนขี้ฟ้องอีกด้วย ผมกำลังเล่นเกมส์วัดใจกับเขา ดูว่าเขาจะกล้าไหม

แล้วยังแสดงละครเพื่อให้เขาคิดว่า การขู่ของเขาไม่มีความหมาย ถ้าหากเขาเชื่อขึ้นมา ก็คงจะไม่กล้าไปบอกกับเดียร์ หากไม่เชื่อ ก็คงต้องหาวิธีการแก้ไขกันอีกที

ยังไม่ทันที่พี่สมชายจะโต้ตอบผม พี่วิภาก็เรียกพี่สมชายให้ไปหา เธอคงเลือกได้ของที่ต้องการแล้ว จึงอยากให้พี่สมชายมาช่วยตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะจ่ายเงิน

เพื่อนบ้านของผมทำท่าฮึดฮัดขัดใจ เขาพูดกับผมพอให้ได้ยินกันสองคนว่า ให้เลิกยุ่งกับคุณแคทไม่เช่นนั้นเราคงได้เห็นดีกัน จากนั้นก็เดินไปหาภรรยาตัวเอง

คุณแคทถอยห่างออกมาแล้วเดินตรงมาที่ผม ถามว่าคุยอะไรกัน ผมบอกเธอไปตามตรงว่า พี่สมชายมาต่อว่าผมเรื่องที่ร่วมมือกับคุณแคท เขารู้แล้วว่าเราไม่ได้คบกันจริงจัง แค่ต้องการหลอกให้เขาเลิกยุ่งกับเธอเท่านั้น แถมยังบอกด้วยว่าเขาจะเอาเรื่องทั้งหมดไปเล่าให้เดียร์ฟัง

คุณแคทขอโทษขอโพยผม ใบหน้าแสดงออกถึงความเสียใจ เธอบอกว่าเธอไม่น่าจะดึงตัวผมเข้ามาข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย เดี๋ยวเดียร์เข้าใจผิดกันเปล่าๆ ผมพูดเพื่อให้เธอสบายใจว่า คงไม่มีอะไรมากหรอก พี่สมชายคงแค่ขู่

อีกอย่างเดียร์คงไม่เชื่อใครง่ายๆ แล้วผมจะไปอธิบายให้เขาฟังว่าเกิดอะไรขึ้น คุณแคทอาสาว่าถ้าต้องการให้เธอช่วยพูดก็บอกได้ เพราะว่าผมช่วยเธอมามากแล้ว เธอคงจะเสียใจมากหากผมกับเดียร์ต้องเลิกกันเพราะเธอ


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่43 19/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 19-02-2009 20:12:58
หลังจากที่พี่วิภาและพี่สมชายจากไปพร้อมกับสร้อยคอจี้อำพัน ผมกับคุณแคทก็เลือกแหวนให้เดียร์กันต่อ เราดูวงนั้นวงนี้จนเพลิน ไม่ทันได้สังเกตว่ามีใครมายืนอยู่ข้างหลัง จนกระทั่งเสียงทักดังขึ้น เราจึงได้รู้ว่าผู้มาเยือนคือนายทรงพลกับแซ่บนั่นเอง

ทั้งคู่เพิ่งกลับมาจากการไปเลือกซื้อข้าวของ ไม่ได้ทานข้าวอย่างที่พนักงานบอกไว้ตั้งแต่ทีแรก แต่กลับเข้ามาอีกครั้งเพื่อดูร้านก่อนจะออกไปทานมื้อค่ำมื้อใหญ่ทีเดียว

พอเห็นผมมาปรากฏตัวที่ร้าน นายทรงพลก็ยิ้มอย่างดีใจ ท่าทางของเขาดูแปลกๆไป ไม่มีอาการหื่นเหมือนคนบ้ากามให้เห็น สายตาที่มองมาดูเป็นมิตรไม่มีร่องรอยความเจ้าเล่ห์อีกต่อไป แต่ถึงยังไงผมก็ยังต้องระวังตัวไว้ก่อน

ความไว้วางใจในตัวคนอื่น เกือบทำให้ผมเสียใจไปชั่วชีวิต ผมไม่อยากจะพลาดพลั้งให้กับคนพาลอีกครั้ง
เฒ่าเจ้าเล่ห์ถามผมกับคุณแคทว่ามาทำอะไร พอเธอบอกว่ามาเลือกแหวน

นายทรงพลก็ทำตาโต จากนั้นก็เดาว่า คุณแคทคงมาเป็นเพื่อนเพื่อเลือกซื้อแหวนไปให้คนอื่นกระมัง เพื่อนสาวของผมเลยย้อนถามว่ารู้ได้ไง เขาเลยบอกว่า ก็ไม่เห็นคุณแคทลองแหวน เพียงแต่เลือกดูกันเท่านั้น
คุณแคทหัวเราะชอบใจยกใหญ่ บอกกับตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ว่าเขาเดาได้เก่งมาก ไม่มีอะไรที่ลอดสายตานายทรงพลไปได้เลย แล้วยังบอกออกไปด้วยว่าผมมาเลือกของบางอย่างไปให้เดียร์เพื่อเป็นของขวัญวันวาเลนไทน์

เธอคงคิดว่าเรื่องระหว่างเดียร์กับผมไม่ได้เป็นความลับต่อนายทรงพลอีกแล้วมั๊ง เพราะไปช่วยเหลือกันขนาดนั้น แต่ผมสิ นึกอายที่จะยอมรับความจริง

โดยเฉพาะต่อหน้าลูกค้าที่ผมเคยรับประกันเขาและคิดเบี้ยประกันในอัตราที่สูงกว่าปกติเพราะเขามีความเสี่ยงเกี่ยวกับวิถีการดำเนินชีวิตเนื่องจากเขาเป็นเกย์ มันเหมือนว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง

น่าแปลกที่นายทรงพลไม่ได้ทำหน้าเยาะเย้ยหรือถากถางให้เห็น เขากลับกุลีกุจอให้พนักงานในร้านเอาแหวนทองคำขาว สวยๆใส่กะบะกำมะหยี่มาให้ผมเลือกดู

นายทรงพลบอกว่าเดียร์สนใจแหวนมากกว่าอย่างอื่น ตอนมาเยี่ยมที่ร้านคราวนั้น ดูเหมือนว่าเขาจะจำได้เหมือนกับผมว่าเดียร์ลองแหวนอยู่นานพอควรและเขาติดใจแหวนอยู่สองสามวง

เด็กแซ่บช่วยรื้อฟื้นความทรงจำให้ด้วยการหยิบแหวนสามวงนั้นออกมาวางให้ ผมจึงนึกออกว่าตอนนั้นเด็กแซ่บยืนคุยกับเดียร์ มิน่าเขาจึงรู้ว่าสุดที่รักของผมชอบแหวนชนิดใดบ้าง

นายทรงพลพิจารณาแหวนสามวงนั่นแล้วร้องอุทานว่าเดียร์ตาแหลมมาก แหวนพวกนั้นเป็นแหวนผู้ชายที่ดีไซน์ออกมาเป็นพิเศษ และมีราคาค่อนข้างแพง

ผมจำได้แล้วว่าเดียร์เคยพูดว่าแหวนพวกนี้สวย แต่ราคาแพงมากเกินไป เขาคงซื้อไม่ได้ ผมยังคิดในใจเลยว่าผมจะต้องซื้อแหวนที่เด็กหนุ่มชอบมาให้เป็นของขวัญกับเขา ตอบแทนความดีที่เขามีให้ผมเสมอมา

แหวนที่อยู่ในมือของนายทรงพล เป็นวงที่ผมหมายตาเอาไว้และเป็นวงที่เดียร์ชอบด้วย เป็นแหวนที่ตัวเรือนทำจากทองคำขาว รูปทรงสี่เหลี่ยมดีไซน์ทันสมัย มีเพชรเม็ดหนึ่งประดับอยู่บนเรือนแหวน ดูเรียบหรูแต่เท่ห์มีสไตล์ ไม่แก่เฉิ่มเกินกว่าอายุเด็กวัยรุ่นอย่างเขา

ราคาที่นายทรงพลบอกมาค่อนข้างแพงพอสมควรทีเดียว ที่แพงเพราะเพชรที่อยู่บนตัวเรือนเป็นเพชรแท้ที่น้ำงามมาก เจียรไนไม่มีตำหนิ และการทำตัวเรือนก็ทำอย่างปราณีต ดีไซน์ก็สวย และทำมาแค่วงเดียวเท่านั้น ไม่มีวงอื่นที่ทำออกมาเหมือนกันอีกแล้ว

ผมไม่ได้สนใจรายละเอียดที่เขาบอก แต่สนใจตรงที่แหวนนี้เดียร์ใส่ได้ แล้วดูดีด้วย เหมาะกับนิ้วนางของเขามาก เขาลองให้ผมเห็นแล้วในครั้งนั้น

ผมจินตนาการภาพเดียร์ที่สวมแหวนที่ผมซื้อให้ในวันวาเลนไทน์ เห็นภาพตัวเองนั่งเขินอายหน้าแดงเวลาสวมแหวนให้เขา นึกไปไกลว่าเขาคงจะรวบตัวผมมากอด และจูบเพื่อเป็นการขอบคุณที่ผมมอบของขวัญแทนใจสุดแสนล้ำค่าให้

นึกเดาได้เลยว่าเขาต้องบ่นที่ผมซื้อของแพงๆให้เขา สำหรับเดียร์แล้ว เขาจะกังวลใจเรื่องนี้มาก ไม่กล้าที่จะรับอะไรของใครฟรีๆ แม้กับผมเอง เวลาที่ผมพาเขาไปเลี้ยงข้าว หรือซื้ออะไรมาให้ เขาจะตอบแทนผมด้วยแรงกาย ช่วยทำความสะอาด ปลูกต้นไม้ ทำอาหารสุดแสนอร่อยให้ทานฟรีๆ

ถ้าผมได้ให้แหวนวงนี้กับเขาแล้ว บ้านผมคงจะสะอาดเอี่ยมเรี่ยมเร้มากกว่านี้นับเท่าตัว ยิ่งคิดไปไกลเท่าไหร่ ก็แทบจะอดใจรอไม่ไหวแล้ว อยากเอาแหวนมอบให้เดียร์คืนนี้ พรุ่งนี้เลยด้วยซ้ำ
และโดยไม่รั้งรอ ผมตัดสินใจซื้อแหวนวงนั้นให้เดียร์ทันที โดยบอกขนาดของนิ้วของเดียร์ให้พวกเขาทราบ ถึงจะไม่ได้จี้ห้อยคอที่มีความหมายตรงตัวมาแทนใจ

แต่แหวนนี้คงจะบอกอะไรให้หนุ่มน้อยคงผมได้รู้บ้าง ว่าผมรักเขามากแค่ไหน ไม่ว่าราคาของมันจะแพงปานใดก็ตาม ก็ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับผม สิ่งที่เดียร์ทำให้ มีค่ามากมายกว่าเงินทองที่ผมมีหลายเท่าตัวนัก เขาจึงควรค่าที่จะได้มันไป

ทั้งคุณทรงพลและคุณแคทต่างชื่นชมในแหวนวงนั้นบอกว่าผมเลือกได้เหมาะกับเดียร์แล้ว ยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้กับผมขึ้นไปอีก พอตอนที่ผมจะจ่ายเงิน นายทรงพลก็ลดราคาให้ผมถึง 90 % มากกว่าที่เคยบอกว่าจะให้

ผมปฏิเสธบอกว่าของซื้อของขาย ไม่ต้องลดราคาให้มากขนาดนั้น แต่เขาก็ยังยืนกรานที่จะให้ เมื่อผมทำท่าไม่ยอมรับ เขาก็บอกกับผมว่า ถือเสียว่าเป็นของขวัญวันวาเลนไทน์จากเขาแล้วกัน

เขารู้ตัวดีว่าที่ผ่านมาทำผิดกับผมไว้มาก ไม่รู้ว่าจะขอโทษอย่างไร ถึงจะทำให้ผมยกโทษให้กับเขาได้ เขาจึงอยากให้ของสิ่งนี้เป็นของตอบแทนที่ผมกับเดียร์ไม่เอาเรื่องกับเขา และถือว่าเป็นการขอขมาด้วย

ผมบอกเขาไปว่า ผมไม่ได้อยากได้ของจากเขา สิ่งของกับความรู้สึกที่เสียไปมันทดแทนกันไม่ได้ แต่ในเมื่อเขาสำนึกผิดแล้ว ผมขอรับแค่คำขอโทษก็พอ ส่วนแหวนนั้นผมขอจ่ายเต็มตามราคา

แม้ว่าผมจะบอกเขาไปแบบนั้น แต่นายทรงพลก็ไม่รับเงินเต็มจำนวนจากผม เขาแสร้งทำเป็นทำตามความประสงค์ของผม โดยการให้พนักงานเอาแหวนไปใส่กล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินเรียบร้อย แล้วให้ถุงผ้าสักหลาดมาไว้ใส่

จากนั้นก็รับบัตรเครดิตของผมไปรูด เนื่องจากแหวนมีราคาหลายหมื่น ซึ่งผมเตรียมเงินไม่พอ แต่จำนวนเงินที่เขาคิดจากบัตรเครดิตของผมมีเพียงแค่ 10 %เท่านั้น ให้รูดเพิ่มอีกก็ไม่ยอม

ผมทำท่าจะไม่รับแหวน หากเขาไม่คิดเงินเต็ม เขาก็ขอร้องผม จนกระทั่งคุณแคทเกิดความรำคาญที่เราสองคนตกลงกันไม่ได้

เธอเลยสะกิดผม บอกให้ทำตามความประสงค์ของนายทรงพลซะ ถ้าหากเขาต้องการจะกลับตัวกลับใจ การที่ผมยอมรับแหวนจากเขาก็เหมือนกับผมได้ให้อภัย ไม่ถือโทษต่อสิ่งที่เขาทำ ผมก็เลยจำใจรับแหวนวงนั้นมา

เฒ่าเจ้าเล่ห์ ซึ่งกลับตัวกลับใจยิ้มละไมอย่างมีความสุข เขาบอกกับผมว่าเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอกแล้ว ผมได้ยกโทษให้กับเขา และยังรับน้ำใจไมตรีจากเขาอีกด้วย

จากนั้นเขาก็ชวนผมกับคุณแคทให้ทานมื้อค่ำด้วยกัน พอผมทำท่าจะปฏิเสธ คุณแคทก็ส่งสายตาอ้อนวอนขอร้องผม ให้อยู่ด้วยกัน ผมขัดไม่ได้ ก็เลยต้องอยู่ร่วมรับประทานอาหารด้วย

ซึ่งก็เป็นการทานมื้อค่ำที่ไม่เสียเปล่า ผมได้รับรู้เรื่องราวหลังความเป็นความตายของนายทรงพล

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่43 19/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 19-02-2009 20:57:53
ได้ อ่าน แร้วววว



สม ใจ อยาก



คุ้ม กับ ที่ ถวิลหา มา นานนน เรยย คร้า บบบบ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่43 19/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 19-02-2009 21:12:33
ขอบคุณค่ะ ยังตามอ่านสม่ำเสมอนะคะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่43 19/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: nanalonely ที่ 19-02-2009 21:42:55
ขอบคุณทุกๆท่านค่ะ ที่ชอบนิยายเรื่องนี้ ตอนนี้พี่เคทกำลังจะรวมเล่มนิยายเรื่องนี้อยู่ (ภาค 2-3) ไม่ทราบว่ามีใครสนใจไหมคะ

สนใจคะพี่เคท แล้วต้องทำยังไงบ้างคะ ต้องจองด้วยหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่43 19/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: meeyai ที่ 20-02-2009 01:14:12
ตามอ่านอยู่นะคับ  :z13: :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่43 19/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 20-02-2009 08:43:26
ตามอ่านนี้อ่านถึงไหรแล้วอ่ะ
 :z13: หมีใหญ่
จากหมีเล็ก :laugh5:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่43 19/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: sasa ที่ 21-02-2009 22:02:59
รออยู่.....
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่43 19/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: the_pooh9 ที่ 21-02-2009 22:40:00
 o18 ได้อ่านสักที อาทิตย์นี้งานยุ่งมากเลย กว่าจะได้มาอ่าน  :seng2ped: เลย
ขอบคุณทุกๆท่านค่ะ ที่ชอบนิยายเรื่องนี้ ตอนนี้พี่เคทกำลังจะรวมเล่มนิยายเรื่องนี้อยู่ (ภาค 2-3) ไม่ทราบว่ามีใครสนใจไหมคะ

สนใจคะพี่เคท แล้วต้องทำยังไงบ้างคะ ต้องจองด้วยหรือเปล่า

สนใจเหมือนกันค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่43 19/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 22-02-2009 15:11:25
แวะมารอค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่43 19/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 22-02-2009 20:08:36
ผม ขอ จอง ด้วย นิยาย



เรื่อง นี้   ครับบ


มา ต่อ ไวไว น่ะ คร้าบบบ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่44 23/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 23-02-2009 18:29:49
บทที่ 44


การถูกแทงจนบาดเจ็บคราวนั้น ทำให้ชายผู้สูงวัยเริ่มคิดได้ ว่ามีใครบางคนที่รักเขาอย่างมากมาย ที่ผ่านมาเขาไม่เคยเห็นค่า วิ่งไล่ไขว่คว้าหาความรักมาโดยตลอด จนลืมมองของดีข้างกาย

เด็กแซ่บ เด็กที่เขาเห็นเป็นเพียงเครื่องบำบัดอารมณ์ใคร่ ไม่เคยใส่ใจความรู้สึก กลับเป็นเพียงคนเดียวที่รักและหวังดีกับเขาอย่างแท้จริง แซ่บไม่เคยร้องขอเงินทอง ให้เท่าไหร่ ก็รับเท่านั้น

แถมซ้ำแซ่บก็ยังตอบแทนบุญคุณด้วยการอยู่เคียงข้างเขา ปรนนิบัติรับใช้ไม่ยอมห่าง ไม่ว่าจะเป็นยามทุกข์หรือยามสุข เด็กหนุ่มลงมือกับเขาเพียงเพราะป้องกันตัวเองจากการถูกทำร้าย และต้องการหยุดพฤติกรรมหื่นกาม ไม่ต้องการให้ทำชั่วอีกต่อไป

แซ่บพูดเสริมขึ้นมาว่าเขารู้สึกทนไม่ได้ที่จะเห็นนายทรงพลต้องเข้าคุก หรือไปมีเรื่องมีราวกับคนอื่น ถึงแม้ในสายตาคนทั่วไป นายทรงพลจะเป็นคนร้ายกาจ นิสัยไม่ดี เห็นเงินเป็นพระเจ้า แต่เขาก็รักนายทรงพลมาก และไม่อยากให้คนที่เขารักทำผิดซ้ำผิดซาก

ตอนที่เขาพลั้งมือทำร้ายนายทรงพลเขาก็พร้อมที่จะรับโทษทัณฑ์ แต่นายทรงพลตัดสินใจไม่เอาความเพราะว่าสงสารแซ่บ และสำนึกได้ว่าตัวเองทำร้ายเด็กหนุ่มก่อน

ตอนอยู่ในโรงพยาบาล บรรดาหนุ่มๆที่เขาซื้อหามาด้วยเงิน มาเยี่ยมเขาบ้างประปราย มีแต่เด็กแซ่บเท่านั้นที่คอยเป็นห่วงใยเขา และเขาได้รู้แล้วว่าใครคือคนที่รักเขาจริง และใครหวังเพียงทรัพย์สินเงินทองจากเขา

พอเล่ามาถึงตรงนี้ ทั้งสองคนก็หันมายิ้มให้กันอย่างมีความสุข ผมนึกถึงคำพูดของใครบางคนที่เคยบอกไว้ว่า ความรักชนะทุกสิ่ง ในที่สุด นายทรงพลก็เจอคนที่เหมาะสมกับตัวเอง ต่อจากนี้ไปเขาคงมองความรักอย่างมีคุณค่ามากกว่าเดิม

บางทีเงินก็ไม่สามารถซื้อความรักได้ อยากได้ใจก็ต้องเอาหัวใจมาซื้อ นายทรงพลคงซึ้งกับคำพูดนี้เป็นอย่างดี ผมรู้สึกปลื้มไปกับคนทั้งคู่ด้วย ที่ลงเอยกันได้เสียที หวังว่าความรักคงทำให้นายทรงพลกลับตัวกลับใจเป็นคนดีของแซ่บได้จริงๆ

อาหารมื้อค่ำวันนั้นจบลงเมื่อตอนเกือบสี่ทุ่ม ผมขอตัวกลับบ้าน เพราะวันรุ่งขึ้นต้องมีประชุมตอนเช้า ที่จริงประชุมไม่ได้สำคัญอะไร แต่ใจของผมนึกถึงเดียร์ ไม่รู้ว่าป่านนี้เขาจะกลับมาจากการซ้อมเต้นหรือยัง เขาบอกว่าจะกลับดึกหน่อย แต่ดึกของเขาไม่รู้กี่โมงกันแน่

ผมอยากกลับบ้านไปรอเขา มากกว่าจะให้เดียร์เป็นฝ่ายนั่งรอผมอยู่ที่บ้าน ผมรู้สึกเขินนิดหน่อยเมื่อคิดได้ว่า ผมกำลังทำเหมือนภรรยาที่รอการกลับมาของสามียังไงยังงั้น ผมคงนึกถึงเด็กหนุ่มมากไปหน่อย

ตอนที่ผมกลับไปถึงบ้าน ก็พบว่าเดียร์นอนหลับรอผมอยู่ที่ห้องรับแขกแล้ว ก็น่าอยู่หรอก เพราะเวลามันล่วงเลยมาจนเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว กว่าที่ผมจะไปส่งคุณแคทที่บ้าน เพราะเธอไม่ได้เอารถมา และกว่าจะขับรถย้อนกลับมาถึงบ้าน ก็กินเวลาไปเกือบสองชั่วโมง

เดียร์ซึ่งไปซ้อมเต้นทั้งวัน คงจะเหนื่อยและเพลียมาก แต่ก็ยังอุตส่าห์มานอนรอผม และคงจะรอไม่ไหวเลยหลับไป ผมนั่งลงข้างๆเด็กหนุ่ม และเอื้อมมือไปเขย่าตัวเขาเบาๆ เขาลืมตาตื่นขึ้นมา ท่าทางงัวเงีย

พอเห็นว่าผมเป็นคนปลุกเขา เขาก็ยิ้มจนตาหยี และดึงตัวผมจนล้มลงไปทับอยู่บนหน้าอกของเขา เด็กหนุ่มกอดผมไว้แน่น และพรมจูบไปทั่วใบหน้าของผม
“ทำไมกลับบ้านมาดึกจังเลยล่ะครับ ผมเป็นห่วงนะ กลัวว่าใครจะฉุดคุณไป”

“ฉันไปทำธุระมานิดหน่อยน่ะ แล้วก็แวะทานข้าวกับเพื่อน”

ผมไม่ได้บอกรายละเอียดกับเดียร์ว่าผมไปไหน ไปทำอะไร อยากจะเก็บสิ่งที่ผมแอบไปทำให้เดียร์ในวันนี้เอาไว้เล่าให้เขาฟังในวันเสาร์ที่จะถึง เพื่อเป็นการเซอร์ไพรส์เขา

แหวนที่ผมซื้อให้สุดที่รักของผม ยังนอนนิ่งอยู่ในกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้ม ในถุงผ้าสักหลาด ซึ่งผมเก็บไว้ในกระเป๋าหนังทำงานของผมอีกที มันจะได้รับการเผยโฉมให้เดียร์ได้เห็นในวันวาเลนไทน์ วันที่ผมตัดสินใจแล้วว่าจะบอกคำว่า “รัก”กับเขา ไม่รู้ว่าผมจะกล้าหรือเปล่านะ

“เพื่อนคนไหนครับ...พี่สันต์ นายศักดิ์ชาย หรือว่าคุณแคท”
“คุณแคท......”

พอได้ยินชื่อนี้ เดียร์ก็ทำหน้างอ พูดอย่างงอนๆว่า

“คุณแคทอีกแล้ว เดี๋ยวนี้รู้สึกไปไหนมาไหนกับเขาบ่อยจังเลยนะครับ มีกิจกรรมทำกับเขาเยอะหรือไง ผมหึงนะรู้ไหม....”

“ก็ฉันกับเขาทำงานร่วมกันนี่นา ก็ต้องมีไปไหนมาไหนด้วยกันบ้างสิ..”

โต้ตอบกลับไปอย่างขำขำ ผมรู้หรอกน่าว่าเดียร์งอนเพราะหึงหวงผม เวลาเด็กหนุ่มทำหน้างอ ก็ดูน่ารักดีไปอีกแบบ

“อย่าไปติดใจเขาเข้าแล้วกันนะครับ ผมมาก่อนนะ คนอื่นมาทีหลัง เรียวต้องพิจารณาผมเป็นลำดับแรก”

ก็มีนายคนเดียวนั่นแหละ ฉันยังไม่ได้เปลี่ยนใจไปคบกับใครเสียหน่อย ผมเกือบจะพูดคำนี้ออกมาแล้ว แต่ยั้งไว้ก่อน พูดตอนนี้มันเขิน เอาไว้พูดในวันแห่งความรักดีกว่า จะได้รู้สึกว่ามันซึ้ง

“พี่สมชายเพิ่งกลับไปเมื่อสักครู่ใหญ่ๆนี้เองครับ แกมารอเรียวตั้งน๊าน-นาน บอกว่ามีเรื่องจะพูดคุยเจรจากับคุณ ท่าทางเหมือนคนเมา

พร่ำอยู่นั่นล่ะ ว่าถูกทรยศจากคนที่เห็นหน้าค่าตากัน พอถามว่ามีอะไรก็ไม่ยอมบอกครับ ผมเลยพาไปส่งที่บ้าน เพิ่งกลับมานี่ละครับ”

เร็วดีจังเลยนะ พี่สมชายเพิ่งเจอกับผมที่ร้านจิลเวลลี่ของนายทรงพล พอกลับมาก็ทำตามที่พูดทันที คงตั้งใจจะมาอาละวาดกับผมกระมัง แต่เจอกับเดียร์ก่อน โชคยังดีที่เขาไม่พูดอะไรออกไป คนที่กำลังโมโหหึงจนหน้ามืด อาจจะยั้งความโกรธตัวเองไม่ได้ เล่าอะไรเกินจริงใส่สีใส่ไข่จนทำให้ผู้ถูกกล่าวถึงเสียหาย

“เรียวทานข้าวมาแล้วเหรอ ผมอุตส่าห์รอกินข้าว...”
ดูเหมือนเดียร์จะไม่ได้ใส่ใจกับพี่สมชายนัก เขาเปลี่ยนเรื่องพูดด้วยการถามผม

“ทานมานิดหน่อยน่ะ แต่กินได้อีกนะ”

ผมโกหก รู้สึกผิดนิดๆที่ไม่ได้กลับมาทานอาหารที่เดียร์เตรียมไว้ให้ เดียร์ยิ้มหวานใส่ตาผม แล้วจูบเบาๆที่ข้างแก้ม

“น่ารักอีกแล้ว เรียวน่ะ ผมรู้นะ ว่าเรียวอิ่มแล้ว แต่อยากจะกินเป็นเพื่อนผมใช่ไหม”

เกลียดนักพวกคนรู้ทัน เดียร์น่ะ ชอบคอยสังเกตผมตลอดเวลา จนเดี๋ยวนี้ เขาจะรู้จักผมมากกว่าที่ผมจะรู้จักตัวเองเสียแล้ว

“ตอนนี้ไม่หิวแล้ว หิวเรียวมากกว่า ให้ผมกินเรียวแทนข้าวนะ ผมยอมสู้ตายเลยล่ะ”

มือไม้คนพูดเริ่มซุกซนอีกแล้ว เขาลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังของผม โดยอีกมือหนึ่งสอดเข้าไปในกางเกง และบีบก้นผมเล่นอย่างมันเขี้ยว ในขณะที่ทั้งปากและจมูกก็ซุกไซ้อยู่แถวซอกคอ ช่างเป็นคนที่แยกประสาทได้เก่งจริงๆ

“อย่าเลย เดี๋ยวจะผอมแห้งตายกันพอดี ไปกินข้าวเถอะ.....”

ผมใช้สองมือยันหน้าอกเดียร์ แล้วพลิกตัวออก เด็กหนุ่มยังไม่ยอมปล่อยง่ายๆ เขาหอมแก้มผมแรงๆอย่างรู้สึกเสียดาย แต่ก็พลิกตัวลุกขึ้นนั่งตามผม พอผมจะลุกขึ้น เขาก็ดึงผมให้กลับลงมานั่งที่ตักของเขา โอบกอดผมไว้แนบแน่น แล้วซุกหน้าของตัวเองที่ไหล่ของผม

จมูกโด่งของเขาเคล้าเคลียอยู่ที่ข้างแก้ม ลมหายใจที่เป่ารดตรงผิวหนังส่วนที่อ่อนไหว ทำให้ขนลุกซู่ขึ้นมา รู้สึกได้ถึงความแข็งแรงของเด็กหนุ่มที่ดุนดันอยู่แถวบั้นท้ายของผม เดียร์กำลังอยู่ในห้วงแห่งความปรารถนา

“อย่าเพิ่งลุกไปกินข้าวตอนนี้นะ”

“ทำไมล่ะ...”

แม้จะรู้ดีอยู่แล้วว่าเขากำลังอยู่ในอารมณ์แบบไหน แต่ผมก็ถามออกไปอย่างไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เด็กหนุ่มหัวเราะเบาๆก่อนจะใช้ลิ้นเลียที่ซอกคอของผม และอ้าปากงับตรงบริเวณนั้น ขบและดูดเบาๆ พรุ่งนี้มันต้องเป็นรอยฟ้องใครต่อใครแน่ แต่ผมกลับไม่หลีกหนี สิ่งที่เดียร์ทำอยู่มันทำให้อารมณ์ผมเริ่มปั่นป่วน

“ผมอายนี่นา.....ที่จะเดินตื่นตัวออกไปแบบนั้น เรียวนั่นแหละ ทำให้ผมเป็นแบบนี้ ต้องรับผิดชอบชีวิตผมด้วยนะ อยู่ใกล้ทีไร อารมณ์เตลิดทุกที ไม่เคยเป็นกับใครมาก่อนเลย เป็นกับเรียวแค่คนเดียว ถ้าหากว่าเรียวทิ้งผมไป ผมคงต้องตายแน่ๆ”

พูดสรุปแบบนี้อีกแล้ว ใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายทำ ผมอยู่เฉยๆของผม นายเดียร์นั่นแหละที่ก่อกวน ทำให้ผมต้องกลายเป็นแบบนี้

ผมต่างหากที่หวั่นไหวยามที่เขาอยู่ใกล้ ไม่รู้หรือไงว่าตัวเองทำให้ผมรุ่มร้อนไปทั้งตัว เขามีอิทธิพลต่อความรู้สึกของผมมาก รสรักที่เขามอบให้ก็หวานล้ำซาบซ่าน ไม่นึกเลยว่าเมื่อเป็นฝ่ายที่ถูกทำ ผมก็มีความสุขได้เหมือนกัน

แล้วประโยคท้ายทำไมถึงพูดแบบนี้ขึ้นมานะ หรือว่าเดียร์ไประแคะระคายอะไรมาบางอย่าง จึงมาพูดดักคอผมไว้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนนี้ ผมทิ้งเขาไปแน่ๆ แต่ตอนนี้ผมคิดว่าผมทิ้งเดียร์ไม่ลง ผมรักเขามากเหลือเกิน ผมต่างหากที่จะต้องเป็นฝ่ายขาดใจ หากว่าเดียร์จากผมไป
“เรียวเป็นอะไรหรือครับ ทำไมต้องทำหน้าเครียดๆด้วย ผมพูดอะไรผิดหูไปหรือเปล่า ขอโทษนะ ผมไม่ได้ตั้งใจนะ แค่พูดความรู้สึกของตัวเองออกไปเท่านั้น ว่าผมรู้สึกกับเรียวอย่างไร ผมรักคุณมาก จนคิดว่าขาดคุณไม่ได้ อยู่ใกล้ก็หวั่นไหว ถ้าเรียวไม่ชอบ ผมจะไม่พูดก็ได้”


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่44 23/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 23-02-2009 18:30:49
เขาอธิบายเสียงหลง ท่าทางคงนึกว่าผมโกรธที่เขาพูดแบบนั้นจริงๆ แต่เรื่องที่ผมเครียดไม่ใช่เรื่องนั้น ผมกลัวว่าจะมีใครบางคนไปใส่ไฟ ทำให้เดียร์เข้าใจผิด คิดมากต่างหาก

“เดียร์ นายเชื่อใจฉันไหม.....”

“คร้าบ...เชื่อสิ ว่าแต่ทำไมเหรอ..มีอะไรที่เรียวอยากบอกหรือเปล่า”

เดียร์มองผมดวงตาใสซื่อ ผมเลยอธิบายให้เขาฟัง ว่าผมหมายถึงอะไร แล้วก็ถามเขา

“เปล่าหรอก ฉันหมายถึงว่า บางทีความสัมพันธ์แบบนี้ มันเป็นที่จับตามองของคนอื่นๆ แล้วก็อาจจะมีคำพูดบางคำ ที่ทำให้เกิดการเข้าใจผิดกันได้ ฉันก็เลยถามนายว่า สำหรับนายแล้ว คิดว่าฉันเป็นคนน่าเชื่อถือในคำพูดไหม...”

คนฟังกระพริบตาปริบๆ คงงงว่าผมจะมาไม้ไหน พอเขาเห็นแววตาจริงจังของผม เขาก็ตอบข้อสงสัยของผมออกมา

“น่าเชื่อถือสิครับ ถึงแม้ว่าบางครั้งผมจะไม่ค่อยเข้าใจการกระทำของเรียวก็ตาม แต่ผมก็เชื่อว่าเรียวคิดดีแล้วครับ ที่จริงผมน่ะ อยากให้เราเปิดใจกันทุกเรื่อง มีอะไรก็ควรจะบอกกัน ผมจะได้ไม่ต้องมานั่งเดา เพราะบางทีผมก็กลัวว่าตัวเองจะเดาผิด

ผมน่ะ รักเรียวมากเลยนะครับ ไม่อยากจะเสียเรียวไป ผมจึงพยายามจะไม่น้อยใจ พยายามที่จะเข้าถึงความรู้สึกของเรียวให้มาก ผมรู้ว่าบางทีดูเหมือนว่าเรียวจะปกปิดอะไรบางอย่าง มีความลับกับผม ซึ่งผมรู้ว่ามันเกิดจากการที่เรียวเองยังไม่ได้รักผมจนเต็มหัวใจ ผมรู้ว่ามันยากที่เอาคำตอบนั้นจากเรียว แต่เมื่อผมรักคุณแล้ว จึงต้องอดทนให้ถึงที่สุดครับ จนกว่าจะถึงวันที่เรียวบอกรักผม”

ใกล้จะถึงวันนั้นแล้วล่ะ วันที่ผมจะบอกว่า “รักเขา” มากที่สุด ตอนนี้ ผมคงบอกได้แค่คำนี้ แต่สัญญาว่าจะใช้ชีวิตร่วมกับเขา เป็นเรื่องลำดับต่อไปที่ผมต้องใคร่ครวญให้ดี

ถ้าหากว่ารักกัน แต่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน มันจะฝืนความรู้สึกตัวเองหรือเปล่า ผมเองก็ยังตอบคำถามกับตัวเองไม่ได้ ถึงอย่างไรผมก็รู้สึกโล่งใจจริงๆที่เขาไว้เนื้อเชื่อใจผม อย่างนี้สิ ถึงจะรักกันได้โดยไม่มีอุปสรรค ถ้ารักแล้วไม่ไว้ใจกัน มันจะมีประโยชน์อะไร มัวแต่ระแวงแคลงใจ ในไม่ช้าไม่นานรักก็คงจะอับปางลง

“ขอบคุณนะเดียร์ที่ยังไว้ใจกัน ฉันดีใจมากที่นายเชื่อฉัน จากนี้ไปหากนายได้ยินได้ฟังอะไรมาก็ขอให้ใจคอของนายหนักแน่น หากมีอะไรที่นายสงสัยไม่แน่ใจก็สามารถถามฉันได้ ว่าเรื่องราวมันเป็นมาอย่างไรกันแน่ อย่าคิดเองเออเองแล้วกัน ฉันไม่อยากมีปัญหา”

“ครับ ได้เลย ผมพร้อมที่จะเปิดเผยทุกสิ่งกับเรียวอยู่แล้ว เรียวก็ต้องทำอย่างนั้นกับผมเหมือนกันนะครับที่รัก”
“อื้ม....”
เด็กหนุ่มรัดผมแน่นกว่าเดิม แล้วจูบผมแรงๆอีกครั้ง เขาเอามือมาขยำก้นผมเล่น จากนั้นก็ดันให้ลุกขึ้น จับมือผมไว้แล้วชวนไปทานข้าวด้วยกัน ผมเดินตามเขาไปอย่างว่าง่าย

เดียร์เอาอาหารที่ทำไว้ตั้งแต่ตอนเช้า มาอุ่นในไมโครเวฟ เขาแซวผมขำๆว่าอยู่คนเดียว แต่เครื่องครัวเพียบเลย ผมบอกว่าเตรียมไว้ตั้งแต่ตอนที่คิดจะแต่งงานนั่นแหละ แต่ก็มาเลิกรากันเสียก่อน เด็กหนุ่มหัวเราะแล้วก็บอกว่า เขาเลยได้ใช้เครื่องครัวนี้เป็นคนแรก

จากนั้นเด็กหนุ่มก็ทำตาเจ้าเล่ห์บอกว่า เขาดีใจที่ได้เป็นเป็นคนแรกที่ได้ทำอะไรหลายๆอย่างกับผม คำพูดแฝงนัยนั้นทำให้ผมรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว

เออหนอ ผมนี่ชักจะเหมือนผู้หญิงเข้าไปทุกทีแล้วกระมัง เจ้าบ้านี่พูดจาเกี้ยวพาราสี หรือแทะโลมเข้าหน่อย ก็พลอยแต่จะหน้าแดง ทั้งๆที่เมื่อก่อนนี้ผมเคยใช้คำเหล่านี้กับสาวๆด้วยซ้ำ แต่ทำไมเวลาที่ฟังเดียร์พูด ผมถึงรู้สึกเขินๆนะ

ผมมองเด็กหนุ่มที่เคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วในครัวของผม พลางยิ้มอย่างมีความสุข จะดีไหมหนอที่จะให้เด็กวัยรุ่นอายุไม่ถึง 20 ปีคนนี้ มาเป็นหัวหน้าครอบครัว แล้วผมลดบทบาทตัวเองลงเป็นผู้ตาม คนที่รู้เข้า เขาจะหัวเราะเยาะเราสองคนหรือเปล่า แล้วผมจะทำใจยอมรับเด็กหนุ่มให้คอยปกป้องผมได้ไหม

ตำแหน่งหน้าที่การงานที่ผมทำอยู่ในปัจจุบัน เป็นถึงผู้บังคับบัญชาระดับสูง มีลูกน้องที่ต้องรับผิดชอบมากมาย ถ้าต้องกลายมาเป็นคนที่ได้รับการดูแลเสียเอง มันจะทำให้ผมสูญเสียความมั่นใจในตัวเองไปหรือเปล่า

“เสร็จแล้ว พร้อมรับประทานได้ แต่ผมแบ่งให้เรียวทานนิดเดียวนะ เพราะเรียวทานมาแล้ว ไม่ต้องฝืนใจทานเยอะเพื่อผมหรอก เดี๋ยวปวดท้องแบบคราวก่อนอีก แค่รับรู้ว่าเรียวห่วงผม มานั่งทานเป็นเพื่อน ผมก็ดีใจจะแย่แล้ว”

เด็กหนุ่มถือถาดใส่อาหารที่อุ่นร้อนๆมาวางลงบนโต๊ะ เขาตักข้าวให้ผมนิดหน่อย แล้วเลื่อนมาให้ตรงหน้า จากนั้นเดียร์ก็โน้มตัวลงจูบผมที่ข้างแก้ม กระซิบเสียงหวานข้างหู ก่อนจะเดินไปนั่งตรงข้ามกับผม

เราต่างนั่งมองหน้ากัน แต่ครุ่นคิดกันไปคนละเรื่อง ผมกำลังนึกถึงภาพตัวเองกำลังบอกรักเดียร์ เจ้าเด็กนี่คงจะดีใจไม่น้อย เพราะเขารอคำนี้จากผมมานาน แต่ถ้าหากว่าบอกไปแล้วหลังจากนั้นเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน ผมเลือกทางเดินของผมที่จะทำงาน และใช้ชีวิตแบบเดิม เดียร์คงจะเจ็บปวดไม่น้อยเลย

ความสุขที่มีอยู่ก็คงจะเป็นเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ แล้วก็จบลงด้วยความเศร้า ผมเองก็คงจะได้ชีวิตกลับคืนมาก แต่ผมก็ต้องสูญเสียหัวใจของตัวเองไป

“ถ้าให้ผมเดานะ การที่เรียวมองผมแบบนี้ คงกำลังคิดว่า ทำไมแฟนฉันถึงได้หล่อ น่ารัก และนิสัยดีแบบนี้ใช่ไหมครับ ผมรู้นะ สายตาของเรียวมันฟ้องว่าแอบปลื้มผมอยู่ ไม่ต้องอายเลยนะครับ คนเรามันชอบกันได้ ผมไม่ว่าอะไรหรอกถ้าเรียวจะรักผม เพราะผมน่ะรู้ตัวมาตั้งแต่แรกแล้ว ว่าผมต้องชนะใจเรียวได้แน่”

ประโยคที่เพิ่งพูดจบไปของเดียร์ทำเอาผมเกือบสำลักน้ำที่กำลังยกขึ้นมาดื่ม
“เจ้าบ้าเอ๊ย ใครสอนให้นายชมตัวเองแบบนี้กัน น่าไม่อาย ทำมาเป็นโมเมเข้าข้างตัวเอง ใครเขาชอบนายกัน ทะลึ่งทะเล้น หน้าด้านที่สุด”

ด่าเขาไปแบบนั้น อันที่จริงผมก็แอบอายที่เดียร์รู้เท่าทันผมแทบจะทุกอย่าง แต่เขาก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ และอำโน่นอำนี่ไปเรื่อยเปื่อย เพื่อแหย่ผมเล่น ผมรู้ว่าเขาก็คงจะรู้บ้างว่าผมคิดอย่างไรกับเขา

คนที่เคยผลักไส เปลี่ยนใจยอมให้นอนกอดอยู่แทบทุกคืน แถมซ้ำผมก็เผลอแสดงอาการห่วงใยเขาออกมาให้เห็นหลายครั้ง เด็กฉลาดอย่างเดียร์คงเดาออกอยู่แล้ว

แต่เพราะเราไม่ได้คบกันอย่างปกติ มีเงื่อนไขผูกพัน และเดียร์เองก็เริ่มจากการแบล็คเมล์ผมก่อน เขาจึงไม่กล้าทึกทัก เพราะเกรงว่าตัวเองจะหน้าแตก อยากให้ผมพูดออกมาจากปากของตัวเองมากกว่า

ทว่าผมก็อายเกินไปที่จะยอมรับ การบอกรักเขามันต้องอาศัยความกล้าอย่างใหญ่หลวง ดังนั้นผมจึงเลือกวันวาเลนไทน์เป็นโอกาสที่จะบอกความรู้สึกของตัวเองออกไป เหมือนที่คนส่วนใหญ่เลือกที่จะบอกรักกันในวันนี้ อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันวาเลนไทน์แล้ว มันคงไม่สายเกินไปที่จะบอกเดียร์ว่าเขามีค่ากับผมมากแค่ไหน

จากนี้ไปผมก็ได้แต่ลุ้นว่าอย่าให้เกิดอะไรขึ้นเลย ใครที่คิดจะทำลายความสัมพันธ์ของเราสองคน ก็ขอให้รอก่อน ให้ผมบอกสิ่งที่อยากจะให้เดียร์รู้ให้เรียบร้อย แล้วจะมาโกหกมาใส่ไคล้ยังไงผมก็ไม่กลัว

เพราะผมเชื่อว่า เมื่อเด็กหนุ่มรู้ว่าทั้งผมและเขามีหัวใจดวงเดียวกัน เขาก็คงไม่หวั่นไหวกับปากของคนรอบข้าง เราจะประคับประคองความรักของเราไปด้วยกัน อย่างน้อยๆก็จนกว่าจะครบสัญญา แล้วหลังจากนั้นเราจะต่อสัญญากันใหม่ หรือจะฉีกสัญญาทิ้ง ค่อยว่ากันอีกที

คนตรงหน้าผมยิ้มทะเล้น ดูเหมือนเขาไม่ค่อยถือสาหาความผมเท่าไหร่นัก เขารู้ว่าผมจะโกรธเวลาที่เขาแหย่ แต่ไม่นานผมก็จะหาย เขาชอบพูดเสมอว่า ผมน่ะเป็นคนใจดี มีเมตตา ไม่ชอบทำร้ายคนอื่น บางทีอาจจะดูเหมือนคนที่อ่อนแอ ไม่สู้คน

แต่อันที่จริงแล้วไม่ใช่เลย เขาว่าผมน่ะ เวลาเอาเรื่องก็สู้หัวชนฝา แต่ผมชอบใช้วิธีการนุ่มนวล แบบสันติวิธีมากกว่า ต่างจากเดียร์ซึ่งใจร้อน ถ้าเขาถูกทำร้าย ด้วยเรื่องที่ไม่ยุติธรรม เขาจะต่อสู้กับมันทันที เดียร์สรุปว่า เราสองคนมีความต่างกันมาก แต่มันไม่ใช่อุปสรรค เพราะเราต่างเติมเต็มในสิ่งที่อีกฝ่ายหนึ่งขาด ผมและเขากลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัวพอดี ดังนั้นอาจจะเป็นไปได้ว่า เราเกิดมาเพื่อกันและกัน

“แหม เรียวละก็ ดูว่าผมสิ หน้าด้านบ้างละ หน้าไม่อายบ้างล่ะ ทะลึ่งบ้างล่ะ ว่าแฟนตัวเองอยู่เรื่อยเลยนะครับ แต่ผมก็ชอบนะ เพราะรู้ว่าปากเรียวไม่ตรงกับใจสักเท่าไหร่ ดุด่าผมแต่ไม่ได้เกลียดผมใช่ไหมล่ะ ผมน่ะไม่เคยเห็นว่าคำพูด กับ กริยาของเรียวจะไปด้วยกันได้เลย ปากด่าว่า แต่ดวงตาบอกรัก ผมเชื่อดวงตาดีกว่า เพราะดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ”
“แหม เรียวละก็ ดูว่าผมสิ หน้าด้านบ้างละ หน้าไม่อายบ้างล่ะ ทะลึ่งบ้างล่ะ ว่าแฟนตัวเองอยู่เรื่อยเลยนะครับ แต่ผมก็ชอบนะ เพราะรู้ว่าปากเรียวไม่ตรงกับใจสักเท่าไหร่

ดุด่าผมแต่ไม่ได้เกลียดผมใช่ไหมล่ะ ผมน่ะไม่เคยเห็นว่าคำพูด กับ กริยาของเรียวจะไปด้วยกันได้เลย ปากด่าว่า แต่ดวงตาบอกรัก ผมเชื่อดวงตาดีกว่า เพราะดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ”

หลังจากพูดจบ เจ้าเด็กทะลึ่งก็หัวร่อลงลูกคอเอิ๊กอ๊ากชอบอกชอบใจใหญ่ ที่เห็นผมอ้ำอึ้งพูดไม่ออก น่าหมั่นไส้นัก ทำเป็นรู้ดี เดาใจคนออก เก่งจริงก็ลองทายดูสิ ว่าผมจะเลือกเขาเป็นคู่ชีวิตหรือเปล่า

“เรียวงอนผมเหรอ ผมล้อเล่นนะครับ ผมแค่พูดในสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นออกไปเท่านั้นเอง”

เด็กหนุ่มวางช้อน หยิบผ้าเช็ดปาก แล้วเดินมาหาผม เขาสวมกอดผมไว้ แล้วทำเสียงอ้อน

“อย่าโกรธนะครับที่รัก เรามาดีกันดีกว่านะ อีก แค่ 2 วันเองก็จะถึงวันวาเลนไทน์แล้ว เราอย่าทะเลาะหรืองอนกันด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อยเลยนะครับ เราสองคนจะได้ฉลองวันแห่งความรักกันอย่างมีความสุข ไม่มีเรื่องบาดหมางกันนะครับ”

“นี่ฉันไม่ใช่คนขี้โมโหง่ายนะ”

“ก็เห็นเรียวทำหน้านิ่ว คิ้วขมวดนี่ครับ เลยนึกว่าไม่พอใจที่ผมพูด แต่ไม่โกรธก็ดีแล้วนะ ผมน่ะใจคอไม่ค่อยดีเลย ถ้าเราจะต้องผิดใจกัน ผมอยากจะให้เราดีกันตลอดไป เหมือนที่เราเป็นอยู่ในปัจจจุบัน


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่44 23/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 23-02-2009 18:31:41
นี่ก็ใกล้จะครบกำหนดสัญญาแล้ว ผมพยายามลุ้นตลอดว่าขอให้ผมสมหวังในภาระกิจรักครั้งนี้ด้วยเถิด ยิ่งผมอยู่ใกล้เรียวมากเท่าไหร่ ก็รักเรียวมากขึ้นทุกที จนผมยังนึกไม่ออกเลยว่า ผมจะอยู่ได้ไง

ถ้าขาดเรียวไป ถ้าสัญญาสิ้นสุดลง คุณยังไม่รักผม แล้วก็เลือกที่จะทิ้งผมไป ผมต้องตายแน่ๆ ผมมีเรียวแค่คนเดียวเท่านั้น อยากใช้ชีวิตร่วมกับคุณ สร้างครอบครัวด้วยกัน ผมไม่เคยรู้สึกกับใครมากเท่านี้มาก่อนเลย”

เสียงของเด็กหนุ่มฟังดูน่าสงสารมาก จะว่าไป ผมก็ไม่ได้โกรธ หรืองอนเขาตั้งแต่แรก เพียงแต่ผมรู้สึกสับสนกับตัวเอง ผมรู้ตัวดีว่าผมรักเดียร์มากมายแค่ไหน แต่ผมก็พยายามจะปิดกั้นความรู้สึกไม่ให้แสดงออกมา

แต่ดันปิดไม่มิด มีคนล่วงรู้ แถมซ้ำเดียร์ก็ยังเดาออก มันทำให้ผมอับอายอย่างบอกไม่ถูก ผมยังไม่พร้อมที่จะยอมรับว่ารักเขาเข้าแล้ว อย่างน้อยๆก็วันสองวันนี้ ผมแค่อยากให้เวลากับตัวเองคิดใคร่ครวญ พอเดียร์มาอำผมเล่นแบบนี้ผมก็เลยอึ้งนิดหน่อย

“ฉันรู้เดียร์ แล้วก็ไม่ได้โกรธอะไรหรอก เพียงแต่หมั่นไส้นิดหน่อยน่ะ จะสมหวังหรือเปล่ายังไม่รู้ แต่นายก็ชอบเข้าข้างตัวเองตลอด บางทีฉันก็คิดว่า นายเป็นอย่างนี้ ก็น่ารักดีในแบบของนายนะ ดูไม่เครียด ไม่คิดมากดี

การพยายามคิดอะไรในแง่บวกมันดีตรงที่ทำให้ชีวิตมีความหวัง มีความสุขขึ้น ฉันเสียอีก ชอบคิดอะไรที่มันเป็นจริงเป็นจัง พอต้องตัดสินใจบางอย่าง ในสิ่งที่ไม่เคยคุ้นมาก่อน ก็ลังเลว่ามันจะดีหรือไม่ เมื่อเลือกไปแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นตามมา มีผลกระทบต่อใครไหม คิดมากคิดมาย ปวดหัวไปหมด สงสัยต้องพยายามทำตัวแบบนายบ้างแล้ว”

ในที่สุดก็พูดออกไปแล้ว แม้จะเป็นการพูดทางอ้อมก็ตาม แต่ผมอยากบอกให้เขารู้มานานแล้วว่าผมกำลังลำบากใจแค่ไหนในการตัดสินใจเรื่องระหว่างเรา ผมกำลังยืนอยู่ตรงทางเลือกในการใช้ชีวิต

ผมจะเดินต่อไปตามเส้นทางเดิม ที่สองข้างทางเต็มไปด้วยคนนิยมชมชื่น และมีความสำเร็จ ลาภยศ รออยู่ปลายทาง ทว่าผมต้องเดินไปอย่างเดียวดาย และที่ปลายทางนั้นก็ไม่มีคนที่ผมรักยืนอยู่ตรงนั้น

หรือผมจะเปลี่ยนเส้นทางใหม่ ที่มันขรุขระ เต็มไปด้วยขวากหนามคอยทิ่มแทงให้เจ็บปวด แต่มีคนที่รักผมและผมก็รักเขาเดินเคียงข้างกันไป ไม่ว่าทุกข์สุขจะไม่ทิ้งกัน ปลายทางอาจจะไม่หรูเลิศ เต็มไปด้วยความสมบูรณ์พูนสุข จะมีก็แค่เพียงครอบครัวที่อบอุ่น รอผมอยู่เท่านั้น

มันเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความใคร่ครวญอย่างมาก หากตัดสินใจพลาดแม้เพียงนิดเดียว ทุกอย่างก็จะพังทะลายลง
“ผมเข้าใจครับ เรียวผ่านอะไรมาจนถึงทุกวันนี้ มันไม่ใช่ได้มาโดยง่าย หากว่ามีอะไรที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เรียวเคยมี เคยชิน ก็อาจจะทำใจลำบาก ถ้าผมตกอยู่ในที่นั่งแบบเรียว ผมก็อาจจะคิดมากกว่าคุณก็ได้

สำหรับคำแนะนำของผมก็คือ ถ้าเรียวคิดว่าอะไรคือสิ่งที่ทำไปแล้วคนอื่นไม่เดือดร้อน ตัวเรียวเองก็มีความสุขด้วย เรียวก็ทำไปเถอะครับ แคร์คนอื่นได้ แต่อย่ามากจนทำให้คุณสูญเสียความเป็นตัวเอง ไม่มีใครจะรู้ดีเท่ากับเรียวนะครับ ว่าความสุขของคุณอยู่ตรงไหน”

เด็กหนุ่มกอดกระชับผมไว้ในวงแขนแล้วพูดกับผมด้วยเสียงนุ่มนวล ผมตอบเดียร์ในใจว่า าความสุขของผมคือการที่ได้อยู่ในอ้อมอกที่แสนอบอุ่นของเดียร์แบบนี้

การได้อยู่ใกล้เขาทำให้ผมรู้สึกสดชื่นขึ้น ชีวิตได้รับการเติมเต็ม ในส่วนลึกของหัวใจ ผมเองก็ไม่อยากจากเลิกรากับเขา อยากอยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไป ไม่อยากให้ใครมาพรากเราสองคนจากกัน

“เรียวครับ ผมมีของขวัญให้เรียวด้วยล่ะ แต่เอาไว้ถึงวันวาเลนไทน์ก่อนนะ ผมจึงจะให้มันกับคุณ ของขวัญชิ้นนี้ ผมคิดอยู่นานว่าควรจะให้มันกับเรียวดีหรือไม่ แต่แล้วผมก็คิดว่าผมควรจะให้สิ่งนี้กับคนที่ผมรักมากที่สุด

ผมอยากให้เรียวได้รู้ว่า เรียวน่ะสำคัญกับผมมากกว่าสี่งใดในโลกนี้ คุณเป็นเหมือนชีวิตจิตใจของผม เป็นเหมือนลมหายใจเข้าออก คุณอยู่ในความคิดคำนึงของผมทุกเวลา ทุกนาที และผมอยากใช้ชีวิตร่วมกับคุณจริงๆ

ผมไม่รู้ว่าหลังจากนี้ไป คุณกับผมจะยังคบกันอยู่อีกหรือไม่ แล้วผมจะมีโอกาสฉลองวันวาเลนไทน์ในปีหน้ากับเรียวหรือเปล่า แม้ว่าจะไม่รู้อะไรเลย แต่ผมก็อยากทำให้วันวาเลนไทน์นี้ เป็นวันแห่งความรักระหว่างเราสองคนจริงๆครับ”

คำคาดหวังของเดียร์ก็เป็นสิ่งที่ผมตั้งใจให้เป็นอย่างนั้นเช่นกัน และไม่ใช่แค่ปีนี้ แต่อยากให้เป็นทุกๆปี ที่เราจะมีช่วงเวลาที่แสนหวานด้วยกัน

แต่แล้วก็เหมือนสวรรค์กลั่นแกล้ง ให้เราต้องเผชิญกับอุปสรรคนานับประการ เพื่อพิสูจน์ว่าเรามีรักแท้ให้กันเพียงใด จึงทำให้วันวาเลนไทน์ครั้งนั้นตราตรึงอยู่ในใจผมไปตราบนานเท่านาน มันเป็นวันแห่งความเจ็บปวด เป็นวันแห่งการพลัดพรากจากผู้เป็นที่รัก และผมไม่เคยลืมมันออกไปจากใจ

เรื่องมันเริ่มต้นในตอนเช้าของวันพฤหัสบดี ก่อนวันวาเลนไทน์สองวัน พี่วิภามาหาผมกับเดียร์ตอนเช้า ก่อนที่พวกเราจะแยกย้ายกันไปทำงาน เธอถือถาดใส่ขนมเค้กที่เธอลองทำตามวิธีที่เดียร์สอนมาให้ลองชิมกัน ตั้งแต่เธอกลับมาบ้านคืนดีกับสามีแล้ว พี่วิภาก็เอาใจใส่ต่อการเป็นแม่บ้านแม่เรือนมากขึ้น นัยว่าเพื่อผูกมัดใจสามีไม่ให้มีหญิงอื่น เธอมักจะมาขลุกที่บ้านผม หรือไม่ก็เรียกเดียร์ไปที่บ้านของเธอเพื่อช่วยสอนทำอาหารให้ ถ้าเดียร์ว่าง เขาก็จะไปทุกครั้ง
และตามประสาคนช่างเม้าท์ เธอก็มักจะเล่าเรื่องราวที่เธอได้รู้เห็นให้เด็กหนุ่มฟังเป็นประจำ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องนินทาคนโน้นคนนี้ไปเรื่อย อะไรไม่ร้ายเท่ากับเธอได้เล่าให้เดียร์ฟังเกี่ยวกับเรื่องของผมกับคุณแคท ซึ่งเป็นมุมมองตามความเข้าใจของเธอเอง ตามที่เธอได้สังเกตผมกับคุณแคท และจากคำพูดของพี่สมชายที่มักจะหลุดคำพูดพาดพิงมาถึงเราสองคนเสมอ


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่44 23/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 23-02-2009 18:32:18
โดยมากเป็นเรื่องที่เดียร์ไม่เคยรู้มาก่อน จนเดียร์ต้องแอบมาแซวผมบ่อยๆเรื่องคุณแคทว่าผมกับเธอสนิทกันมากจนเหมือนจะเป็นคู่รักกันเลย บางทีเด็กหนุ่มก็พูดเป็นเชิงน้อยใจให้ได้ยิน ทำนองว่าผมมักจะมีความลับกับเขา มีเรื่องอะไรก็ไม่บอกให้รู้ ต้องให้ได้ยินจากคนอื่น

ทว่าคำต่อว่าต่อขานนั้นไม่ได้รุนแรงมากนัก เพราะเดียร์รู้ว่าผมไม่ชอบ และเราเคยคุยกันแล้วว่าต้องไว้ใจกัน เขาจึงไม่เซ้าซี้ถามผม แต่เก็บไปคิดมากคนเดียว เนื่องจากเดียร์ไม่บอกว่าคุยอะไรกับพี่วิภากันบ้าง ผมเลยไม่รู้ จนกระทั่งพี่วิภาพูดขึ้นมา ตอนที่นั่งดูพวกเราลองชิมเค้กฝีมือเธอกับกาแฟ

“คุณเรียวเตรียมหาฤกษ์แต่งงานไว้หรือยังคะ อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าแล้วนี่”

ผมชะงักมือที่กำลังจะตักเค้กเข้าปาก ใจหายวาบเมื่อพี่วิภาหลุดคำพูดโกหกระหว่างผมกับคุณแคทออกมา ผมรู้ว่าเธอเชื่อสิ่งที่เราสองคนบอก แต่ไม่นึกว่าเธอจะกล้าเอามาพูดต่อหน้าผมและเดียร์แบบนี้

ดูจากหน้าตาท่าทางเธอขณะเล่า ผมก็รู้ว่าเธอเองก็ไม่ได้มีเจตนาจะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเด็กหนุ่มเลยแม้แต่น้อย เพราะเธอไม่ได้ล่วงรู้ว่าผมกับเดียร์เป็นอะไรกัน และผมก็เชื่อว่าพี่สมชายรักษาความลับให้ผม เท่ากับที่ผมรักษาความลับให้เขา พี่วิภาคงเหมือนคนช่างพูดทั่วไป ที่ชอบให้ตัวเองเป็นคนสำคัญเวลาที่รู้เรื่องอะไรที่คนอื่นไม่รู้

ผมหันไปมองเดียร์ก็เห็นเขาทำหน้ายุ่งๆ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ตาจับจ้องมองผมอย่างสงสัย ผมหลบตาเด็กหนุ่ม รู้สึกว่าทุกอย่างมันดูยุ่งยากไปหมด แม้กระทั่งจะกลืนน้ำลายลงคอก็ยังยากเย็นกว่าทุกวัน

“อ้าว นี่คุณเรียว ยังไม่ได้บอกน้องหรือคะ สงสัยจะเก็บเอาไว้เซอร์ไพรส์ ขอโทษทีนะ พี่ไม่น่าปากโป้งเลย แต่มันก็แค่อีกสองเดือนเองนี่นา ถึงอย่างไร ก็ต้องบอกน้องให้รู้อยู่ดีใช่ไหมคะ”

“สองเดือนหรือครับ”

หูของผมได้ยินเดียร์ทวนคำถามพี่วิภาเสียงสั่น ผมหันไปมองหน้าเดียร์โดยอัตโนมัติ พยายามนึกในใจว่าคำพูดของเดียร์แฝงความนัยอะไรหรือเปล่า แล้วผมก็ต้องตกใจเมื่อนึกขึ้นได้ว่า ระยะเวลาสองเดือนนั้นมันคือหลังจากที่สัญญาระหว่างเดียร์กับผมสิ้นสุดลง นี่เขาคงไม่คิดนะว่าผมจะแต่งงานจริงๆหลังจากที่เราเลิกกัน

“ใช่สิจ๊ะ เมื่อวานคุณเรียวพี่ชายเราน่ะ ก็ไปเลือกแหวนแต่งงานกับคุณแคทด้วยนะ หวานกันซะจนพี่น่ะอิจฉาเลยล่ะ แล้วตกลงคุณเรียวได้แหวนที่ต้องการไหมคะ”

พี่วิภาถามผม เดียร์เองก็จ้องหน้าผมอย่างต้องการคำตอบเหมือนกัน ผมพยักหน้าช้าๆ รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อเห็นประกายขุ่นเคืองในดวงตาคู่สวยนั่น นึกภาวนาให้พี่วิภาหยุดพูด แล้วกลับบ้านไปเพื่อที่ผมจะได้อธิบายให้เดียร์ฟังถึงสิ่งที่เกิดขึ้น

“ว้าย ดีจังเลย แล้วแหวนสวยหรือเปล่า”

“สวยครับ”
อยากจะพูดมากกว่านั้น ว่าแหวนนั้นสวยและแพงมาก เพราะผมเตรียมจะมอบให้กับคนที่ผมรักมากที่สุดก็คือเดียร์ แต่ผมไม่ต้องการพูดมันออกไปต่อหน้าพี่วิภา ไม่อยากให้เธอรู้ว่าคนที่ผมรักคือคนที่เธอกำลังเอาข่าวแต่งงานที่กุขึ้นเพื่อช่วยให้เธอกับสามีไม่ต้องบ้านแตกมาเล่าให้ฟัง

เพราะผมทนที่จะให้เรื่องของผมกับเดียร์มันฉาวโฉ่ไปทั่วหมู่บ้านไม่ได้ พี่วิภาเป็นเพื่อนบ้านที่ดี แต่ปากไม่มีหูรูด เธอสามารถพ่นทุกสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาโดยไม่กลั่นกรองก่อนว่าเรื่องจริงเท็จแค่ไหน หลายต่อหลายครั้งที่เธอวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของคนอื่นอย่างสนุกปาก ทั้งๆที่ไม่มีมูลความจริง และไม่มีการขอโทษเลยแม้แต่น้อย ผมไม่อยากเป็นเหยื่ออันโอชะให้ใครพูดถึงอย่างดูแคลน

“แหม...อยู่บ้านเดียวกันแท้ๆ แต่ผมไม่เห็นจะรู้เรื่องนี้เลยครับ สงสัยจะปิดข่าวเอาไว้จนถึงนาทีสุดท้าย กะจะเซอร์ไพรส์ผมจริงๆอย่างที่พี่วิภาว่า ถ้างั้นก็ขอแสดงความดีใจด้วยนะครับพี่เรียว แล้วนี่จองสถานที่อะไรไว้หรือยังครับ ให้น้องชายคนนี้ช่วยอะไรบ้าง บอกมาได้เลยนะครับ”

เด็กหนุ่มยิ้มหวานใส่ผมจนน่ากลัว เห็นแล้วยังอดขนลุกไม่ได้ เดียร์พูดเหน็บผมนิดหน่อย แต่เนื่องจากเขาทำท่าเป็นปกติ ไม่แสดงความโกรธออกมา จึงทำให้พี่วิภาไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไร ทว่าผมอยู่ด้วยกันกับเดียร์มาสักระยะหนึ่งแล้ว จึงจับได้ถึงความผิดปกติในน้ำเสียงนั้น

“คงจะให้เป็นเพื่อนเจ้าบ่าวกระมัง พี่ว่านะ แหมงานนี้คงจะมีแต่คนหล่อๆเต็มงานไปหมด เจ้าบ่าวก็หล่อ น้องเจ้าบ่าว ก็หน้าตาดีมากๆ แถมเจ้าสาวยังสวยอีก เหมาะสมกับเจ้าบ่าวราวกิ่งทองใบหยก คุณแคทน่ะสวยมากๆเลยนะคะ ตอนแรกๆที่เห็นเธอที่บ้านนี้ พี่สมชายแฟนพี่ยังจ้องเธอจนตะลึงเลย

พี่เองก็ยังแอบหึง พอรู้ว่าเป็นแฟนคุณเรียวพี่ก็เลยเบาใจไปได้ คิดว่ากิ๊กอีกคนของพี่สมชายคงไม่ใช่คุณแคทแน่นอน เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่คนที่รักกันขนาดนั้น จะมาทรยศอีกฝ่าย อีกอย่างพี่สมชายก็รับปากกับพี่แล้วว่า เขาจะกลับตัวเพื่อเมียและลูก แล้วคุณแคทก็จะแต่งงานกับคุณเรียวในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า พี่ก็เลยหมดกังวลไปโดยปริยายค่ะ”

เพื่อนบ้านของผมเล่าฉอดๆ ในขณะที่ผมได้แต่นั่งนิ่งฟังอย่างอึดอัดใจ ไม่กล้าสบตากับเดียร์ แต่รับรู้ได้ว่าเขากำลังจ้องผมเขม็ง นึกในใจว่าผมน่าจะบอกให้เดียร์รู้ตั้งแต่แรก การปกปิดความจริง มันอาจจะสร้างความร้าวฉานให้เกิดขึ้น แม้ว่าเรื่องที่เราไม่ได้อยากให้เขารู้จะไม่ได้เป็นเรื่องเสียหายอะไร เป็นการช่วยคนๆหนึ่งให้มีความสุข รวมถึงช่วยคนรักของผมด้วยซ้ำ

ผมพยายามนั่งนึกหาคำอธิบายดีๆที่จะไม่ให้เดียร์โกรธ ตอนที่พี่วิภากลับไปแล้ว แต่ดูเหมือนเพื่อนบ้านของผมกำลังพูดอย่างเมามันส์ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่าย เธอพล่ามถึงการจองโรงแรม การแจกการ์ด การเชิญผู้ใหญ่ พิธีหมั้น อะไรหลายต่อหลายอย่างฟังไม่หวาดไม่ไหว สิ่งที่เธอพูดมันทะลุหูซ้ายขวาของผม จับใจความไม่ได้ รู้สึกว่าตัวเองหายใจไม่ค่อยจะทั่วท้องนัก ด้วยเดาไม่ได้เลยว่าหลังจากพี่วิภากลับไปบ้าน อะไรจะเกิดขึ้น

“จี้อันนี้สวยไหมจ๊ะ พี่สมชายซื้อให้เป็นของขวัญเชียวนะ ทำมาจากอำพันยางไม้สนล้านปี หายากมากเลยล่ะ พี่เห็นคุณเรียวกับคุณแคทกำลังเลือกกันอยู่ แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อ ก็เลยไปฉกเอามา มันสวยมากเลย เห็นปุ๊บ ชอบปั๊บ โดยเฉพาะมันเป็นรูปหัวใจด้วย มีความหมายดี แล้วคุณแคทก็บอกว่าคนเกิดวันจันทร์ต้องใช้อัญมณีสีเหลือง พี่เกิดวันนี้เลยลองเอามาใส่ดูให้ถูกโฉลก เห็นคุณแคทกับคุณเรียวบอกว่า เหมาะกับพี่ ก็เลยอ้อนขอให้พี่สมชายซื้อเป็นของขวัญให้ล่ะ ”

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่44 23/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 23-02-2009 18:33:44
 o1 ต้องขออภัยในความล่าช้า
 :m15:ไม่ว่าเค้านะตะเอง
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่44 23/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: thanagorn ที่ 23-02-2009 19:04:17
ไม่ว่าอะไรเลยค๊าบ :bye2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่44 23/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 23-02-2009 20:04:43
ไม่ว่าค่ะ แต่ตอนต่อไปมันจะเศร้าหรือเปล่าค่ะนี่
สงสารเดียร์ สงสารเรียว
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่44 23/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: nbee ที่ 23-02-2009 22:55:51
แย่แน่เรียว

น่าจะบอกเดียร์ไปตั้งแต่แรก

แบบนี้เดียร์คงโกรธและน้อยใจแน่ๆ

 :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่44 23/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: fc_uk ที่ 23-02-2009 23:31:29
 :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่44 23/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 24-02-2009 16:05:36
 :-[ โหเฮียจวยมาเยี่ยมกระทู้เค้าด้วย
ดีใจจัง หุหุ :m3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่44 23/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: b_hihi ที่ 24-02-2009 17:04:00
นานเลย

ใกล้จบแล้วเหรอ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่44 23/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 24-02-2009 19:27:42
ใจ เย็น ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


น่ะ เดียร์


อย่า คืด มาก ไป น่ะ

เปน กำลัง ใจ ไห้ น่ะ จ่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่45 25/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 25-02-2009 17:59:20
บทที่ 45

พี่วิภา เอาสร้อยที่ห้อยจี้รูปหัวใจสีเหลืองใสมาอวดเดียร์ เด็กหนุ่มกล่าวชมว่ามันสวยมากจริงๆ แล้วเขาก็ชอบมันด้วยเช่นกัน ผมมองจี้อันนั้นอย่างเสียดาย ในใจยังคิดว่าจี้นั้นควรจะได้อยู่ประดับคอของเดียร์เพื่อบอกความในใจของผม

แต่โชคร้ายตรงที่ผมกลับปล่อยให้มันหลุดมือไปเป็นของคนอื่น หลายต่อหลายครั้งทีเดียวที่ผมห่วงใยคนอื่นมากกว่าความรู้สึกของคนใกล้ตัว จนทำให้บางครั้งเรื่องง่ายๆกลับกลายเป็นยาก และเกินกว่าจะแก้ไขได้

“สวยจังเลยครับ ผมก็เกิดวันจันทร์เหมือนกับพี่ ไม่ยักรู้ว่าต้องใช้เครื่องประดับสีนี้ ดีจังนะที่พี่มีคนจำวันเกิดได้ แต่ผมน่ะ ไม่มีเลยครับ”

คำพูดนั่น มันเป็นคำพูดประชดประชัน หรือแสดงความน้อยใจกันแน่นะ ทำไมผมจะจำไม่ได้ล่ะ แล้วสร้อยนั่นน่ะ ผมก็อยากซื้อให้เขา แต่ต้องตัดใจเพื่อเห็นแก่ผู้หญิงและเด็กที่เพิ่งได้ครอบครัวของตัวเองกลับมาต่างหากล่ะ

“ผมไปละครับ พี่วิภา พี่เรียว วันนี้ต้องไปทำงานที่ร้านกาแฟแต่เช้าครับ เพราะตกเย็นมีซ้อมเต้นอีก คงกลับบ้านมืด แต่ผมทำกับข้าวไว้แล้ว พี่เรียวทานได้เลย แต่ไม่เป็นไรนะ ถ้าพี่เรียวไปทานข้าวกับคู่หมั้นอีก ผมก็ไม่ว่า ถ้าไม่กิน เดี๋ยวผมกลับมาจัดการเอง ...เอ้อ ผมไปก่อนนะครับพี่วิภา ขอบคุณที่มาบอก สงสัยผมคงต้องคุยกับพี่เรียวแล้วล่ะครับ ว่าจะให้ผมช่วยอะไรบ้าง”

อยู่ๆเดียร์ก็ลุกพรวดขึ้นมา กล่าวลาทุกคน และเดินออกไปจากห้อง โดยไม่แม้แต่จะมองผม จะเรียกเขาก็ไม่ทัน ผมรู้ว่าเดียร์คงโกรธ เพราะเขาเน้นเสียงเรียกผมว่าพี่ขนาดนั้น แถมซ้ำยังแดกดันผมเรื่องการกินข้าวกับแฟนอีกด้วย

เขาคงรู้แล้วว่าที่ผมกลับบ้านดึกเมื่อคืน เพราะผมไปเลือกซื้อแหวนกับคุณแคทนั่นเอง เดียร์เข้าใจผิดเข้าเต็มเปา คิดว่าผมซื้อมาเพื่อที่จะหมั้นเพื่อนร่วมงานของผม ทั้งๆที่ผมพาคุณแคทไปเลือกแหวนให้เดียร์ต่างหาก จะพูดให้เดียร์ฟังตอนนี้ก็ไม่ได้ เพราะกลัวว่าพี่วิภาจะคิดมาก

เธอเข้าใจว่าผมเป็นแฟนกับคุณแคท มันดีอยู่แล้ว เพราะทำให้เธอเลิกระแวงพี่สมชาย และกลับมาอยู่บ้านเหมือนเดิม แต่ผมกับเดียร์ ยังต้องมีเรื่องที่จะปรับความเข้าใจกันอีก ขออย่าให้เขาโกรธจัดจนไม่ยอมฟังอะไรเลย

ผมไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไร กลัวใจตัวเองเหมือนกันว่าจะทนไม่ได้หากเขาเกิดพูดไม่รู้เรื่อง ไม่ยอมฟังเหตุผลขึ้นมา ผมไม่อยากจะทะเลาะกับใครในช่วงเทศกาลวันแห่งความรักแบบนี้ ผมน่าจะได้บอกความในใจของตัวเองออกไป มากกว่าที่จะมาทะเลาะกัน

“สงสัยจะแอบน้อยใจคุณเรียวกระมังคะ แหม คุณเรียวน่ะ จะบอกน้องนุ่งหน่อยก็ไม่ได้ เผื่อจะช่วยกันจัดงานให้ออกมาดูดี อ้อ ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกพี่มาได้เลยนะคะ พี่ยินดีช่วยเหลือคุณเรียวเต็มที่ ก็คนบ้านใกล้เรือนเคียงกัน มีอะไรก็ต้องช่วยกันแหละค่ะ”

พี่วิภายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ อาสาช่วยงานที่ผมกุกันขึ้นมา ผมยิ้มตอบเธอ ทว่าในใจกลับรุ่มร้อนอยากแก้ความเข้าใจผิดของเดียร์ใจจะขาด นึกอยากให้พี่วิภาช่วยผมอย่างแรกเลยคือ ได้โปรดกลับบ้านไปก่อนผมจะได้มีเวลาโทรไปหาที่รักของผม ไม่อยากให้เขาคิดมากจนวุ่นวายใจ ทุกอย่างกำลังจะดำเนินไปด้วยดี วาเลนไทน์นี้ผมจะบอกรักแล้วมอบแหวนให้เขาแล้ว ขออย่าได้ทะเลาะกันเลย
พี่วิภายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ อาสาช่วยงานที่ผมกุกันขึ้นมา ผมยิ้มตอบเธอ ทว่าในใจกลับรุ่มร้อนอยากแก้ความเข้าใจผิดของเดียร์ใจจะขาด นึกอยากให้พี่วิภาช่วยผมอย่างแรกเลยคือ ได้โปรดกลับบ้านไปก่อนผมจะได้มีเวลาโทรไปหาที่รักของผม ไม่อยากให้เขาคิดมากจนวุ่นวายใจ ทุกอย่างกำลังจะดำเนินไปด้วยดี วาเลนไทน์นี้ผมจะบอกรักแล้วมอบแหวนให้เขาแล้ว ขออย่าได้ทะเลาะกันเลย

กว่าที่วิภาจะกลับไปยังบ้านของตัวเองก็เกือบ แปดโมงเช้า เธอคุยไม่เลิกจนผมต้องขอตัวไปทำงานก่อน เพราะมีประชุมในตอนเช้า กลัวไปไม่ทัน นั่นแหละเธอถึงได้หยุดพูด แต่ก็ยังยืนกรานที่จะช่วยเหลือ ผมรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของเพื่อนบ้าน แต่คราวนี้รู้สึกว่ามันผิดกาละเทศะไปหน่อย ผมไม่ต้องการให้ใครมาช่วยเหลืองานแต่ง แต่ผมอยากให้ใครมาช่วยพูดให้เดียร์เข้าใจผมมากกว่า

ตอนที่ขับรถอยู่บนท้องถนน ผมโทรไปหาเดียร์หลายรอบ แต่สายว่างไม่มีผู้รับสาย ผมไม่แน่ใจว่าเขากำลังยุ่งอยู่ หรือจงใจไม่รับสายผมกันแน่ แต่ที่รู้ๆคือผมกังวลใจจนฟังการประชุมไม่รู้เรื่อง จนกระทั่งหัวหน้าต้องเรียกผมเข้าไปถามหลังจากเสร็จสิ้นการประชุมว่าผมเป็นอะไร ทำไมจึงดูเหมือนคนจิตใจเลื่อนลอย กลุ้มเรื่องอะไรอยู่หรือเปล่า

ผมได้แต่อ้ำอึ้งอยากจะบอกออกไป ว่าเพราะแรงกดดันที่ทุกคนอยากจะเห็นผมเป็นในสิ่งที่พวกเขาต้องการนั่นแหละที่ทำให้ผมเครียด จนดูเหมือนคนที่ไม่มีความสุข และตอนนี้ผมกำลังมีปัญหาอยู่ เนื่องจากคนที่ผมรักและแคร์เขามากที่สุดกำลังเข้าใจผิดคิดว่าผมจะทิ้งเขาไปแต่งงานกับคนอื่นทันทีที่สัญญาสิ้นสุด

“กังวลใจเรื่องนั้นอยู่หรือเปล่า ที่ผมให้คุณไปหาคำตอบมาให้ผมน่ะ”

หัวหน้าโยนคำถามเพื่อให้ผมเปิดใจพูดสิ่งถึงสิ่งที่ทำให้ผมไม่มีสมาธิในการทำงาน ผมพยักหน้าอย่างยอมรับ ไม่อยากโกหกอีกต่อไป การพูดความจริง ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น

“เฮ้อออออออ.....ผมก็ไม่ได้อยากจะเร่งรัดเอาคำตอบจากคุณนะ ค่อยๆคิดไปก็ได้คุณเรียว ถ้ามันทำให้คุณกดดัน ก็ปล่อยวางมันลงสักพัก ว่างแล้วค่อยเอามาทบทวน ที่ผมขอร้องคุณให้เลิกยุ่งเกี่ยวกับเด็กนั่น เป็นเพราะเราทุกคนหวังดีกับคุณจริงๆ

อยากเห็นคุณเจริญก้าวหน้าในการงานยิ่งขึ้นไป ไม่อยากให้ใครมาฉุดรั้งคุณไว้ ถึงเราจะเคารพการตัดสินใจของคุณ แต่คำตอบที่เราอยากได้ก็ยังคงเป็นว่า ให้คุณเลิกรากับเด็กคนนั้น แล้วมาเป็นกำลังสำคัญให้บริษัทสืบไป”

หัวหน้าจบคำพูดที่เขาต้องการบอกผมแล้ว ไม่ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่เขาเรียกผมเข้าไปพูด ก็มักจะจบลงด้วยความคาดหวัง ว่าผมจะเป็นคนดีของบริษัท เป็นคนดีของสังคม ไม่ทำตัวนอกกรอบ หรือทำผิดแผกจากที่คนในสังคมทั่วไปปฏิบัติกัน

ความรักระหว่างผู้ชายด้วยกันกลายเป็นสิ่งที่ต้องห้าม ไม่ยอมรับในแวดวงทำงาน อาจจะทำให้ไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งปรับเงินเดือน ความก้าวหน้าไม่มี ศรัทธาจากผู้คนรอบข้างเสื่อมถอย

อดนึกไปถึงเจ้าสันต์ไม่ได้ ทำไมมันถึงได้สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขนะ ใครๆก็รู้ว่ามันเป็นเกย์ รักชอบผู้ชายด้วยกัน อยู่กินอย่างเปิดเผย ก่อนหน้านั้นมันก็เปลี่ยนคู่เป็นว่าเล่น แต่ไม่เห็นมีใครไปเอาเรื่องเอาราวกับมัน จริงอยู่ ที่ผมเคยได้ยินคนนินทามันลับหลัง พูดถึงมันในเรื่องเสียๆหายๆ แต่นั่นก็นานมาแล้ว เดี๋ยวนี้แทบไม่มีใครพูดถึงความเป็นเกย์ของมันอีก
ทำไมคนถึงยอมรับสันต์ แต่ในขณะเดียวกันกลับไม่ยอมรับเรื่องความสัมพันธ์ของผมกับเดียร์ จะว่าเป็นเพราะเจ้าสันต์ปากจัดจ้าน ไม่มีใครกล้าปะทะคารมด้วย หรือเป็นเพราะมันแสดงออกให้รู้ตั้งแต่แรกว่ามันมีรสนิยมแบบไหน แล้วคนก็เลยค่อยๆยอมรับตัวตนของมัน จนทำให้ไม่รู้สึกว่ามันเป็นตัวประหลาด

เรื่องความสามารถอาจจะมีส่วนด้วย สันต์เป็นคนที่เก่งกาจ เชี่ยวชาญในงานที่ทำ ตอนที่มันอยู่ฝ่ายตรวจสอบ มันก็ช่วยบริษัทในแง่ของการพิจารณารับประกันลูกค้าได้เป็นอย่างดี ทำให้เราไม่ต้องพิจารณารับลูกค้าที่เสี่ยงสูงเข้ามา

พอมาอยู่ฝ่ายสินไหม มันก็ทำเรื่องจ่ายเคลมได้รวดเร็วทันใจ ถูกต้องและเป็นธรรมทั้งฝ่ายลูกค้า และบริษัทด้วย แม้มันจะปากหมา ด่าเก่ง วิจารณ์แบบไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม แต่ผู้ใหญ่หลายคนก็ชื่นชมมัน

ตัวผมเองก็ไม่ต่างจากสันต์เท่าไหร่นัก เริ่มต้นมาจากการเป็นพนักงานเหมือนกัน แล้วไต่เต้ามาจนได้รับความไว้วางใจให้ดูแลฝ่ายที่รับผิดชอบ มอบตำแหน่ง และมีลูกน้องให้ดูแล แต่ผมกลับไม่ได้รับในสิ่งที่คนอื่นไม่เคยคาดหวังให้สันต์ทำ นั่นคือความสามารถในการที่จะดำเนินชีวิตของตัวเองอย่างอิสระ โดยไม่มีใครยุ่งเกี่ยว

ตอนนี้ผมเองก็รักชายคนหนึ่ง เหมือนกับสันต์ที่มันก็มีแฟนเป็นผู้ชาย มันทำได้ แต่ผมกลับมีข้อห้าม พวกเขาทำราวกับว่าผมไม่มีหัวใจ ผมเป็นแค่ใครบางคนที่บังเอิญทำผลงานดีเด่นให้กับบริษัท และเขาต้องการได้ผมไว้ ให้ลาภยศ เงินทอง ความมั่งคั่ง โดยมีข้อแม้ว่า ผมจะทำตามหัวใจของตัวเองไม่ได้ ทำไมโลกนี้มันจึงไม่ยุติธรรมกับผมนะ

แล้วคำตอบก็ผุดขึ้นมาในความคิด ที่เป็นอย่างนี้ เพราะว่าสันต์แสดงให้คนรู้ว่าเป็นเกย์ตั้งแต่แรก สันต์เองก็ได้รับการต่อต้าน ซึ่งการถูกนินทา เป็นการยืนยันว่าคนในบริษัทนี้ ไม่ชอบพฤติกรรมการรักร่วมเพศซักเท่าไหร่ ที่จริงเขาคงไม่ได้ห้ามไปทั้งหมด เพราะผมก็เห็นว่าพนักงานในบริษัทเป็นเกย์ก็หลายคน

แถมในกลุ่มผู้บริหารระดับสูง หลายคนก็ส่อแววว่าจะใช่ เจ้าสันต์ต้องฝ่าฟันแล้วเอาฝีมือตัวเองพิสูจน์ จึงทำให้ทุกคนยอมรับ ส่วนตัวผมใครๆก็รู้ว่ารักชอบผู้หญิงมาโดยตลอด ภาพลักษณ์ในสายตาคนอื่นก็คือ ผมเป็นผู้ชายแท้ๆ หน้าตาดี เป็นที่หมายปองของสาวทั่วไป มีตำแหน่งหน้าที่การงานดี ทำงานไม่เคยบกพร่อง เจ้านายเอ็นดูรักใคร่

ผมกลายเป็นแบบอย่างให้พนักงานหลายคนไต่เต้าไปสู่ความสำเร็จ แม้กระทั่งลูกน้องของผมเองก็เลียนแบบการทำงานและการวางตัวของผม หากวันหนึ่งผมหันมารักชอบผู้ชายด้วยกัน มันจึงเหมือนว่าผมได้ทำลายความคาดหวังที่ทุกคนมี ภาพพจน์ดีๆที่ผมรักษาไว้จะพังทลาย ทำให้คนใกล้ชิดตัวผมจึงรับไม่ได้ที่จะเห็นผมเปลี่ยนแปลง และพยายามบังคับผมให้เดินตามทางที่พวกเขาได้ขีดเขียนเอาไว้


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่45 25/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 25-02-2009 18:00:04
......................................................................

ออกจากห้องหัวหน้า ผมก็โทรหาสันต์เพื่อขอคำปรึกษา แต่ลูกน้องในฝ่ายบอกว่า สันต์ไปต่างจังหวัดกระทันหัน เพราะลูกค้ารายใหญ่ เกิดเสียชีวิตขึ้นมา และบริษัทต้องจ่ายค่าสินไหมหลักล้าน ตัวแทนเจ้าของเคสทำเรื่องขอให้คนของบริษัทไปมอบเช็คให้ มันเลยต้องไปเอง โดยหนีบฝ่ายประชาสัมพันธ์ของบริษัทซึ่งก็คือ อรจิราไปทำข่าวด้วย

เมื่อไม่รู้จะปรึกษาใครดี ผมเลยพึ่งบริการของคุณแคท ผมเล่าให้เธอฟังเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเช้า คุณแคททำหน้าแสดงความเสียใจกับผม แล้วก็โทษตัวเองว่าเธอไม่น่าจะก่อเรื่องขึ้นมาเลย ทำให้ผมต้องเดือดร้อนไปด้วย จากนั้นก็รับอาสาที่จะมาที่บ้านผมในวันพรุ่งนี้เพื่อเล่าให้เดียร์ฟังถึงสิ่งที่มันเกิดขึ้น ยืนยันจากปากคุณแคทแบบนี้ เดียร์จะได้สบายใจ หายงอนและเลิกคิดมากเรื่องผม

พอคุณแคทรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะช่วยเหลือผม ทำให้อารมณ์เริ่มที่จะแจ่มใสขึ้น ผมกลับบ้านทันที่ที่งานเลิก ไม่ทำงานต่อเหมือนอย่างเคย อยากกลับไปนั่งรอเดียร์เพื่อจะปรับความเข้าใจกับเขา ระหว่างที่รอจะได้คิดคำพูดที่จะงอนง้อเขาด้วย

กระดาษมากมาย ถูกขยำและทิ้งลงตะกร้าผง เมื่อผมร่างคำพูดที่จะใช้บอกเดียร์ แล้วเกิดไม่พอใจถ้อยคำขึ้นมา ทำไมการง้อคนๆหนึ่ง ที่กำลังเข้าใจผิด มันจึงได้ยากเย็นอย่างนี้หนอ นึกท้อใจเสียแล้ว ถ้าไม่เห็นแก่หน้าตาของเดียร์ที่ลอยแว่บไปแว่บมาในห้วงแห่งความคิดคำนึงล่ะก็ ผมคงถอดใจไปแล้ว

อยากเห็นรอยยิ้มทะเล้นทะลึ่งนั่นอีกครั้ง คำพูดยั่วเย้าเข้าข้างตัวเอง กริยาหื่นๆที่เขาชอบทำ หรือแม้แต่การลวนลามเพื่อปลุกเร้าอารมณ์ผม ขอแค่เราคืนดีกันเท่านั้น จะทำกริยาอาการบ้าบอเพิ่มเป็นสองสามเท่าผมก็ไม่ว่า เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนที่ผมรักมากที่สุดในชีวิต

นาฬิกาข้างฝาผนังบอกเวลาประมาณตีสองแล้ว ผมกลับมาถึงบ้านตั้งแต่หกโมงเย็น แล้วนี้ก็รอเขาถึง 8 ชั่วโมง โดยยังไม่ได้หลับไม่ได้นอน แต่เดียร์ก็ยังไม่มีวี่แววจะกลับมา วันนิ้เขาบอกต้องซ้อมหนัก อาจจะยังต่อท่ากันไม่เสร็จ ก็เลยทำให้กลับบ้านล่าช้า

ผมเริ่มง่วง หนังตาเริ่มปิด มองอะไรแทบจะไม่เห็นแล้ว ความอ่อนล้าจากการทำงาน กับการต้องมานั่งถ่างตารอเขา และคิดข้อความขอโทษไปด้วย ทำให้ผมเผลอหลับไป วินาทีสุดท้ายก่อนที่ความรู้สึกจะดับวูบลงคือความยินดีที่ผมเขียนถ้อยคำที่จะพูดขอโทษเดียร์ได้แล้ว ผมกำกระดาษไว้ในมือแน่นด้วยกลัวว่ามันจะปลิวหายไป จากนั้นก็ปิดเปลือกตาลง

เสียงประตูเปิดออกดังปัง เสียงครางหงิงๆอย่างดีอกดีใจ จากที่ไหนสักแห่งในบ้าน ปลุกผมให้ตื่นขึ้น ผมรีบผวาลุกขึ้นนั่ง ก็พบว่าเดียร์ยืนจ้องผมอยู่ตรงหน้าโซฟาในห้องรับแขกที่ผมอาศัยเป็นที่นอน

ดวงตาของเด็กหนุ่มแดงก่ำ ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าหลุดลุ่ย ยืนโงนเงนนิดๆ กลิ่นเหล้าฟุ้งกระจายออกมาจากตัว คุณพระช่วย เดียร์กินเหล้าเมามา ทั้งๆที่เขาเคยพูดกับผมว่า เขาไม่แตะต้องเครื่องดื่มมืนเมาทุกชนิดนับตั้งแต่ย้ายเข้ามาในกรุงเทพ

เขาปฏิญาณตนว่าจะทำดีทุกๆอย่างเพื่อผม ทว่าวันนี้เขากลับดื่มเหล้าเข้าไป เจ้าน้ำนั่นจะเปลี่ยนนิสัยคนได้อย่างที่ใครว่าหรือเปล่านะ

“ทำไมยังไม่ไปนอนอีก นอนตรงนี้ไม่สบายหรอก”

เขาถามผมเสียงห้วน แววตาเปลี่ยนมาเป็นดุดัน แม้จะทำเหมือนยังโกรธผมอยู่ แต่ผมก็รับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่มีให้กัน ผมยิ้มให้เขา พลางลุกขึ้นเดินไปหา เอื้อมมือจะจับแขนเขาให้มานั่ง แต่เด็กหนุ่มเดินหนีไปยังห้องครัว โดยมีผมเดินตามไปด้วย

“กินเหล้ามาเหรอ ไหนบอกว่าไม่กินเหล้าไง...”
เสียงประตูเปิดออกดังปัง เสียงครางหงิงๆอย่างดีอกดีใจ จากที่ไหนสักแห่งในบ้าน ปลุกผมให้ตื่นขึ้น ผมรีบผวาลุกขึ้นนั่ง ก็พบว่าเดียร์ยืนจ้องผมอยู่ตรงหน้าโซฟาในห้องรับแขกที่ผมอาศัยเป็นที่นอน ดวงตาของเด็กหนุ่มแดงก่ำ ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าหลุดลุ่ย ยืนโงนเงนนิดๆ

กลิ่นเหล้าฟุ้งกระจายออกมาจากตัว คุณพระช่วย เดียร์กินเหล้าเมามา ทั้งๆที่เขาเคยพูดกับผมว่า เขาไม่แตะต้องเครื่องดื่มมืนเมาทุกชนิดนับตั้งแต่ย้ายเข้ามาในกรุงเทพ เขาปฏิญาณตนว่าจะทำดีทุกๆอย่างเพื่อผม ทว่าวันนี้เขากลับดื่มเหล้าเข้าไป เจ้าน้ำนั่นจะเปลี่ยนนิสัยคนได้อย่างที่ใครว่าหรือเปล่านะ

“ทำไมยังไม่ไปนอนอีก นอนตรงนี้ไม่สบายหรอก”

เขาถามผมเสียงห้วน แววตาเปลี่ยนมาเป็นดุดัน แม้จะทำเหมือนยังโกรธผมอยู่ แต่ผมก็รับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่มีให้กัน ผมยิ้มให้เขา พลางลุกขึ้นเดินไปหา เอื้อมมือจะจับแขนเขาให้มานั่ง แต่เด็กหนุ่มเดินหนีไปยังห้องครัว โดยมีผมเดินตามไปด้วย

“กินเหล้ามาเหรอ ไหนบอกว่าไม่กินเหล้าไง...”

อดไม่ได้ที่จะถาม รู้สึกห่วงใยเด็กหนุ่ม เลยคิดอยากจะช่วยทำให้เขาสบายตัวขึ้น เด็กหนุ่มเปิดตู้เย็นหยิบน้ำเย็นมารินใส่แก้วดื่ม น้ำกระฉอกออกจากแก้วเลอะพื้นครัว เพราะคนรินทำท่าจะยืนไม่ไหว เดียร์ต้องเอนตัวพิงตู้เย็น และมองผมด้วยดวงตาแข็งกร้าว

“คนเรามันเปลี่ยนกันได้ ....แค่นิดหน่อย... ต้องการดื่มเพื่อให้ลืมความเจ็บปวดในใจ”

เขาเอามือตบไปที่อกข้างซ้าย ผมเห็นความร้าวรานแฝงอยู่ในตาดุดันที่มองมา

“เดียร์ ฉันมีเรื่องจะพูดกับนายน่ะ”

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่45 25/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 25-02-2009 18:00:46
ดูเหมือนเดียร์จะไม่ได้ยินในสิ่งที่ผมพูดกับเขา เด็กหนุ่มเปิดตู้เย็น และก้มลงมอง อาหารที่เดียร์ทำไว้ ยังอยู่ในกล่องพลาสติกเรียบร้อย ผมมัวแต่วุ่นอยู่กับการเขียนคำขอโทษ เลยไม่ได้อุ่น แถมตัวเองก็ยังไม่ได้กินข้าวด้วย ตั้งใจจะกินพร้อมเขา ไม่นึกว่าเดียร์จะกลับดึกแบบนี้

“กับข้าวไม่มีคนกิน คุณไปทานข้าวกับคู่หมั้นของคุณมาแล้วใช่ไหม ต่อจากนี้ไปผมคงไม่จำเป็นต้องทำกับข้าวเก็บไว้ให้คุณทานอีกแล้ว คุณคงมีที่กินดีๆ อร่อยๆ หรูหราสมฐานะของคุณ”

คำพูดประชดประชันของเดียร์ทำให้ผมรู้สึกอึดอัด ไม่อยากอยู่ในสถานการณ์แบบนี้เลย

“ไม่ใช่นะเดียร์ .....ฉันยังไม่ได้กินเลย”

ผมบอกเด็กหนุ่ม จะกินได้ไง ผมรอเขาทั้งคืน หิวจนเลิกหิวไปแล้ว เดียร์หัวเราะขื่นๆ

“อ้อ .....วันนี้คงไปทำอย่างอื่นแทน เช่นไป จองชุดแต่งงาน ไปถ่ายรูปในสตูดิโอ พิมพ์การ์ดงานแต่ง เชิญแขกผู้ใหญ่”

“ไม่ใช่นะ ....อย่าเดาแบบนั้นซิ ไม่ใช่อย่างที่นายเข้าใจหรอก ถ้านายพร้อมรับฟัง ฉันก็มีบางอย่างที่อยากอธิบายให้นายเข้าใจ”

“เรื่องอะไรไม่ทราบ ......”

เขาย้อนถามเสียงเข้ม ดวงตาชอกช้ำ คำพูดเยียบเย็นหลุดออกมาจากปากเขาทิ่มแทงหัวใจผมอีกครั้ง

“จะมาอธิบายถึงสถานภาพที่เป็นอยู่ตอนนี้ของผมน่ะเหรอ ให้ผมเดาไหม คุณคงจะบอกว่า นี่เดียร์ อีกไม่นานก็จะถึงวันครบสัญญาแล้ว ฉันต้องการความเป็นอิสระ เพราะฉันจะแต่งงานกับคนที่ฉันรัก ฉันคิดว่าเราต่างคนต่างไป นายอยู่ส่วนนาย ฉันจะมีชีวิตของฉัน นายออกจากบ้านฉันไปได้แล้ว แบบนี้หรือเปล่าที่ต้องการจะพูด ......ใช่ไหมครับเรียว”

“นี่จะไม่พูดกันด้วยเหตุด้วยผลใช่ไหม จะประชดประชันให้ได้อะไรขึ้นมา”

“ใครประชดกัน แล้วนี่มันไม่ใช่สิ่งที่เรียวต้องการพูดกับผมเหรอ”

“ไม่ใช่.......บอกแล้วไงว่าอย่าเดา....ฉันต้องการอธิบายเรื่องที่วิภาพูดให้นายฟังเท่านั้น”

ชักฉุนขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกัน ที่เดียร์งี่เง่าไม่ยอมเข้าใจ ไหนว่าจะฟังกันทุกเรื่องไง แค่นี้ก็หึงจนหน้ามืดตามัว ไม่ให้โอกาสผมได้บอกว่าเรื่องมันเป็นไงมาไง แล้วจะเข้าใจกันได้ยังไงล่ะ

“เรื่องที่คุณจะแต่งงานกับคุณแคทนั่นเหรอ .....จะให้ผมช่วยอะไรล่ะ”
“ช่วยฟังไง เราเคยคุยกันแล้วไม่ใช่เหรอว่ามีอะไรไม่เข้าใจ สงสัยให้ถามกัน ไม่ใช่คิดเองแบบนี้ แล้วก็เข้าใจอะไรผิดๆไปกันใหญ่”

“เข้าใจอะไรผิดหรือครับ แค่จะบอกให้รู้คุณยังไม่ทำเลย ไหนบอกว่าเราจะไม่มีความลับต่อกันไง นี่คุณก็จะแต่งงานอีกสองเดือนข้างหน้านี้แล้ว ถ้าพี่วิภาไม่มาบอกผมก็คงจะไม่มีทางได้รู้ว่าคุณกำลังทำอะไร มิน่าช่วงนี้ถึงได้สนิทสนมกับคุณแคทนัก เวลาถามก็บอกว่าแค่เพื่อนกัน ไอ้ผมก็ไม่กล้าถามมาก กลัวว่าคุณจะโกรธ หาว่าไม่ไว้วางใจ แต่ที่จริงแล้ว คุณไม่เคยทำให้ผมไว้ใจได้เลย”

เขากล่าวหาผมด้วยเสียงเยาะ ผมพยายามข่มใจ รู้ดีว่าเดียร์กำลังเมา เขาคงพูดออกมาด้วยฤทธิ์เหล้ามากกว่า ผมไม่อยากจะทะเลาะเบาะแว้งด้วย กลัวว่าจะระงับอารมณ์ไม่อยู่แล้วเผลอพูดแรงออกไป เราจะเข้าหน้ากันไม่ติด

“มันไม่ใช้อย่างที่นายคิดนะ .....เดียร์ฉันขอโทษ..ที่ปกปิดนาย...แต่ฉันมีความจำเป็นเลยยังไม่ได้เล่าให้นายฟัง กะว่าเอาไว้โอกาสเหมาะๆจะบอก แต่นายก็มารู้เสียก่อน ที่จริงฉันกับคุณแคทน่ะ เป็นเพื่อนกันจริงๆนะ.....”

“จนป่านนี้แล้ว ยังจะมาโกหกอะไรอีก ผมถามจริงๆเถอะ จะหลอกผมไปเพื่ออะไร ให้ผมตายใจ หลงรักคุณหัวปักหัวปำ เป็นไอ้โง่ที่คุณจะปั่นหัวยังไงเล่นก็ได้เหรอ”

เดียร์ทำเสียงดังใส่ ผมพยายามนับ 1-10 ในใจ

“ฉันไม่เคยทำอย่างนั้นกับนายนะ ....ไม่เคยหลอกนายเลยสักครั้ง อย่าคิดไปเองแบบนั้นสิ”

“หึหึหึ คิดเองงั้นเหรอ คงใช่มั๊ง ผมมันชอบคิดไปเองฝ่ายเดียว สร้างความเชื่อให้กับตัวเองว่าเมื่อผมพยายามทำดีกับคุณ มันอาจจะส่งผลให้คุณกลับมารักผมบ้าง แต่เปล่าเลย คุณไม่เคยรักผมเลย คุณเกลียดผมยังไงก็อย่างนั้น ที่ยอมให้ผมมีอะไรด้วย ก็แค่ดับเพลิงปรารถนาในกาย แต่คุณไม่เคยมีใจให้ผมเลย ใจของคุณอยู่ที่คนอื่นตลอด...ผมมัน....”

“พอเสียที....หยุดพูดได้แล้ว ถ้าเมาก็ไปนอนซะเถอะ...ตอนนี้พูดไปก็คงไม่รู้เรื่องอะไรแล้ว มีแต่จะเถียงทะเลาะกัน”

ผมไม่รอให้เด็กหนุ่มพูดจบ แต่สวนขึ้นมาก่อน เพื่อตัดบท แต่เดียร์ยังไม่ยอมหยุด ยังคงประชดประชันผมต่อไป

“รับความจริงไม่ได้ใช่ไหม พอผมรู้ทันก็ทำเป็นโกรธ....แล้วมันจริงหรือเปล่าที่คุณไม่ได้รักผมเลย คุณกำลังคิดจะกำจัดผมไปให้พ้นทาง คุณถึงไม่บอกอะไรให้ผมรู้ ปล่อยให้ผมฝันละเมอลมๆแล้งๆว่าคุณน่าจะมีใจให้ผมบ้าง คิดว่าคงจะได้รับข่าวดีในไม่ช้า แต่มันไม่ใช่ ผมมันโง่เอง เฝ้ารอคอยสิ่งที่ไม่มีวันจะได้มา.....แต่คราวนี้ผมตาสว่างแล้ว”

“ทำไมไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ทำตัวเป็นเด็กๆอยู่ได้....เงียบและหยุดฟังบ้างได้ไหม ที่ฉันบอกให้ไปนอน ไม่ใช่ว่าฉันรับไม่ได้ที่นายพูด แต่ฉันเห็นว่านายกำลังเมา และกำลังโมโหอยู่ พูดหรืออธิบายอะไรไปตอนนี้ก็คงไม่เข้าหู ไว้สร่างเมาแล้วค่อยมาคุยกันดีกว่า”


ผมบอกเขาไปอย่างอ่อนอกอ่อนใจ ดวงตาของเดียร์วาวโรจน์ เขาคงโกรธที่ผมว่าเขาแบบนั้น คงจี้ใจดำเหมือนงูที่ถูกตีที่ขนดหาง เลยตั้งท่าจะแว้งกัดเอาคืนบ้าง

“ใช่สิ ผมมันเป็นคนไม่มีเหตุผล เป็นเด็กที่ไม่รู้จักโต เป็นไอ้ขี้เงา ก็มันกลุ้มไง ถึงได้ไปกินเหล้า อยากให้มันลืม ความบ้าของตัวเองที่รักคุณอยู่ข้างเดียวไง รักคนที่เขาไม่รักเรามันก็ได้แต่ชีช้ำแบบนี้แหละ อยากปองของสูงจนเกินเอื้อม ไม่เจียมตัว เลยต้องช้ำรัก พ่ายแพ้ให้กับคนอื่น...

ตอนแรกผมก็ลังเลใจว่าทำไมจนป่านนี้แล้ว คุณยังไม่รับรักผมเลย ทั้งที่เราก็มีอะไรกัน คุณเองก็ยอมให้ผมทำ ยอมให้ผมกกกอดทั้งคืน แถมซ้ำก็ร่วมไม้ร่วมมือกับผมอย่างดี

ผมเดาว่าคุณก็คงชอบผมบ้าง แต่ที่เรื่องเรายังไม่ลงเอยกัน เพราะนึกว่าคุณยังทำใจไม่ได้ที่จะรักผู้ชายด้วยกัน อุตส่าห์รอคอยคำว่ารักจากปากคุณ ฝันหวานว่าสักวันคงจะได้ยิน

แต่เปล่าเลยคุณกลับไปแต่งงานกับผู้หญิงซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้ชายที่ไปแปลงเพศมา ผมก็น่าจะนึกได้ตั้งนานแล้วว่าของแบบนี้ ถ้าได้ลองสักครั้งมันต้องติดใจ นี่คงอยากจะลองเปลี่ยนรสชาติใช่ไหม มีอะไรกับผู้ชายด้วยกันมาแล้วก็เลยอยากลองกับกระเทยดูบ้าง อยากรู้ใช่ไหมว่ารสชาตมันต่างกันอย่างไร.....”

“เพี้ยะ....”
เสียงฝ่ามือกระทบใบหน้าดังฉาดใหญ่ หน้าของเดียร์หันไปตามแรงมือของผม ร้องอุทานออกมาอย่างตกใจที่ผมทำตบหน้าเขา หยุดพูดทันที ผมยืนเม้มริมฝีปากแน่น จ้องเขาเขม็ง พยายามบังคับไม่ให้น้ำตามันไหลออกมา เจ็บทั้งมือเจ็บทั้งใจ นึกโกรธเดียร์ที่พูดจาดูถูกผมแบบนี้ รู้ว่าเด็กหนุ่มพูดออกมาเพราะความเมาและความโมโหในตัวผม แต่คำพูดนั้นมันแรงเกินไป ผมรับไม่ได้ จึงตบหน้าเขาเพื่อเรียกสติให้คืนมา

“แทงใจดำล่ะสิ ใช่ไหมล่ะ.......”

เด็กหนุ่มหันหน้ามาหาผม เขาจ้องอย่างโกรธๆ ยิ้มเยือกเย็น ผมจ้องกลับ เดียร์ที่ผมเห็นไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป แต่เป็นใครที่ผมไม่รู้จัก คนที่พกแต่ความโมโหโกรธาเอาไว้ ไม่ยอมฟังแม้เหตุผล

ผมหมุนตัวกลับ ไม่อยากเห็นหน้าไม่อยากพูดคุยกับเดียร์ในตอนนี้ รู้สึกเสียใจที่ตบหน้าเด็กหนุ่มแรงไปหน่อย รอยพื้นแดงทาบอยู่เต็มแก้มของเขา

แต่ใจหนึ่งก็บอกผมว่า เขาสมควรโดนแบบนั้นแล้ว คนเราอยู่ด้วยกัน ไม่เชื่อใจกัน แล้วยังมาทำหยามเกียรติแบบนี้อีก ผมรักเขาไม่ได้รักคุณแคท แต่ที่ผมยอมทำอะไรให้เธอก็เพื่อปกป้องเขาจากนายทรงพลต่างหาก แต่ทำไมเวลาที่ผมจะอธิบาย เขาจึงไม่ยอมฟังบ้าง

“จะไปไหน ตบหน้ากันแล้วจะหนีเหรอ”
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่45 25/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 25-02-2009 18:01:28
“จะไปไหน ตบหน้ากันแล้วจะหนีเหรอ”

เขากระชากแขนผมไว้ให้เข้ามาหาตัว และพยายามจะปล้ำจูบผม แต่ตอนนี้อารมณ์วาบหวามไม่ได้ก่อตัวขึ้นอีกแล้ว มันหมดลงไปตั้งแต่เขาด่าว่าผม ความตั้งใจจะอธิบายเรื่องทุกอย่างมลายสิ้น

ผมดิ้นรนเตะถีบเดียร์ที่พยายามจะถอดเสื้อผ้าของผม นี่เขาคิดอะไรของเขากันแน่ โกรธกันแล้วจะมีเซ็กส์กันอย่างนั้นเหรอ คิดว่ามันจะช่วยอะไรได้ แล้วจะทำกันในห้องครัวนี่นะ ช่างไม่อายจริงๆ เห็นผมเป็นอะไร

อุปกรณ์ระบายความใคร่แบบเรียวจังของเขาเหรอ ไม่มีทาง ในเมื่อไม่ฟังกันบ้าง เอาแต่ใจตัวเอง ผมก็ไม่จำเป็นต้องเอาใจอีกแล้ว เอาไว้หายบ้า สติดีแล้วค่อยมาพูดกัน

คิดได้ดังนั้น ผมก็งอเข่า แล้วกระแทกลงไปที่กล่องดวงใจของเขา ไม่แรงมาก แต่เอาแค่ให้เขาหยุดการกระทำของตัวเองก็พอ แล้วก็นึกภาวนาว่า ขอให้มันยังคงใช้งานได้ด้วยเถอะ

“โอ๊ยยยยย...นี่เกลียดกันจนถึงขนาดนี้เลยเหรอ”

เดียร์กุมหว่างขาตัวเองตัวงอ ผมตกใจนิดหน่อย คิดว่าเมื่อกี้ก็ไม่ได้ทำแรงมากมายอะไร แต่ทำไมเด็กหนุ่มถึงทำท่าว่าเจ็บขนาดนั้น จึงเดินเข้าไปหา และอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มคว้าตัวผมไว้ และปล้ำผมจนเราสองคนล้มลุกคลุกคลานอยู่กับพื้น

“แคว่ก....”

เสื้อที่ผมใส่นอนขาดหลุดติดมือเขาตามแรงกระชาก ทั้งผมทั้งเขาต่างอึ้ง

“เดียร์ปล่อยฉันนะ”

“ไม่ปล่อย....จะไปมีเมียเป็นกระเทยแล้วนี่ ยังไงก็อย่าลืมรสชาติของผัวเกย์แล้วกัน ผมจะทำให้คุณไม่มีวันลืมเลย”

เหมือนถูกมีดทิ่มแทงใจ ผมรับไม่ได้อีกแล้วกับคำพูดแบบนั้นของเขา จะทำร้ายผมให้เจ็บไปเพื่ออะไรในเมื่อตัวเองก็เจ็บเหมือนกัน ผมตัวสั่นระริกด้วยความโกรธที่เขาจาบจ้วงผมอย่างไม่ให้เกียรติหลายครั้ง ผมทนอยู่กับเขาตรงนี้ไม่ได้อีกต่อไป

และอย่างไม่รู้ว่าเรี่ยวแรงมันมาจากไหน ผมเงื้อฝ่ามือข้างที่ว่างจากการเกาะกุมของเขา และฟาดเปรี้ยงไปที่ใบหน้าของเดียร์อีกครั้ง จังหวะที่เด็กหนุ่มกำลังงงอยู่ ผมก็ถีบเขาออกจากตัว รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งขึ้นไปบนห้องตัวเอง ปล่อยให้เดียร์นั่งบ้าอยู่คนเดียวในห้องครัว

น้ำตาไม่รู้มาจากไหน ไหลพรากลงอาบแก้ม ความเจ็บปวดจากการทะเลาะเบาะแว้งกับเดียร์ทำให้ผมต้องร้องไห้ พยายามซบหน้าลงกับหมอน กลั้นสะอื้น และควบคุมไม่ให้น้ำตามันทะลักทะลาย แต่มันก็ยั้งไม่อยู่

ผมโกรธเดียร์ที่ว่าผมแบบนั้น และเกลียดตัวเองที่ทำร้ายเขา นี่มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรากันแน่ เมื่อวานนี้ผมพูดกับเขาแล้ว และเขาก็รับปาก ว่ามีอะไรจะถาม และผมก็ตั้งใจจะไม่ปิดบังอีกต่อไป แต่ยังไม่ทันเริ่ม เขาก็ไม่ฟังผมเสียแล้ว อย่างนี้จะอยู่กันไปได้ยังไง

ผมได้ยินเสียงตึงตังดังแว่วๆมาให้ได้ยินจากห้องครัว เดียร์คงสะดุดล้มลุกคลุกคลานอยู่แถวนั้นด้วยความเมา อยากจะลงไปดูเขาใจจะขาดว่าเขาเป็นอะไรมากไหม แต่ผมไม่อยากเจอสภาพคนเมาที่พูดจาไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวทะเลาะกันอีก คงต้องปล่อยให้เขาอยู่ข้างล่างสักพัก ถ้าเดียร์หายเมาแล้ว ผมค่อยลงไปพูดจากับเขาใหม่

เสียงเดินดังๆขึ้นบันไดมา เจ้าคนที่ผมกำลังคิดถึงอยู่ด้วยความขุ่นเคือง เดินลงส้นตึงๆขึ้นมาบนบ้าน ผมได้ยินเสียงฝีเท้าเดินวนเวียนอยู่หน้าห้องหลายรอบ จากนั้นเสียงเคาะประตูปัง ตามด้วยเสียงโวยวายก็ดังขึ้นมา เขาร้องให้ผมออกมาคุยกันให้รู้เรื่อง ผมนอนเงียบไม่พูด ไม่จา แต่เสียงเขายังคงดังขึ้นเรื่อยๆ แถมซ้ำยังขู่ว่าจะพังประตูเข้ามา หากผมไม่ออกไปพบเขา ในที่สุดผมก็เหลืออด

“ไปให้พ้น”

หลุดปากตะโกนไล่ออกไปดังๆ แล้วก็ต้องกลั้นใจรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น ด้านหน้าห้องไร้ซึ่งสรรพสำเนียงใดๆให้ได้ยิน นานจนผมคิดว่าโลกมันหยุดหมุนไปแล้ว

จากนั้นหูของผมจึงแว่วได้ยินเสียงคนเดินลงบันไดไปแบบโซซัดโซเซ ผมคว่ำหน้าลงกับหมอน แล้วน้ำตาก็ไหลพรากออกมาอีกครั้งอย่างกลั้นไม่อยู่ ผมร้องไห้ จนกระทั่งหลับไปในคืนนั้น

ผมตื่นขึ้นมาในตอนสาย ด้วยอาการปวดหัว เหลือบดูนาฬิกาบนหัวเตียง เกือบจะสิบโมงแล้ว ผมกระโดดลงจากเตียง รีบอาบน้ำแต่งตัวและลงไปข้างล่าง อยากรู้ว่าเดียร์เป็นไงบ้าง หายเมาหรือยัง แล้วเป็นอะไรบ้างไหม

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่45 25/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 25-02-2009 18:01:57
ถ้าเดียร์อยู่ในอารมณ์ปกติแล้ว ผมจะอธิบายทุกอย่างให้เขาฟัง บางทีผมอาจจะบอกรักเดียร์ไปเสียเลย ไม่ต้องรอถึงวันวาเลนไทน์อีกแล้ว ผมกลัวว่ามันจะสายเกินไป

ก่อนจะนอนผมนึกโกรธเดียร์อย่างบอกไม่ถูก แต่หลังจากนอนหลับไปตื่นหนึ่ง และได้สายน้ำชำระล้างร่างกายให้สดชื่น จิตใจของผมก็ผ่องใสไปด้วย ผมยกโทษให้เด็กหนุ่ม รู้ว่าที่เขาทำร้ายผมด้วยคำพูดนั้น เขาเองก็คงจะเจ็บปวดไม่น้อย

เดียร์คงเก็บกั้นอารมณ์ความรู้สึกน้อยอกน้อยใจมานานมาก เขารักผม และคาดหวังว่าผมจะรักเขาบ้าง แต่ผมไม่เคยให้คำตอบอะไรกับเดียร์เลย คลุมเครือลับลมคมในตลอด

ผมผิดเองที่ไม่เคยบอกอะไรให้เดียร์รู้บ้าง เขาต้องอยู่กับความสงสัย ต้องเดาเอาเองว่าผมกำลังทำอะไรและคิดยังไงกับเขา

พอเห็นผมทำท่าเฉยๆเขาก็คงจะคิดว่าความหวังของตัวเองริบหรี่ลงไปทุกที ยิ่งมาได้ยินได้ฟัง คำพูดของคนอื่น ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมปิดบังเขา ก็เลยทำให้เกิดการเข้าใจผิดขึ้น ในเมื่อผมเองก็รักเดียร์มากมาย ผมก็ควรจะเป็นฝ่ายที่เข้าใจความรูสึกของเขา ไม่ควรจะโกรธตอบ คนที่กำลังเสียใจหากเรายิ่งไปโวยวายใส่ เขาก็จะยิ่งคิดมาก

ไม่มีวี่แววของเดียร์ทั้งในห้องรับแขก และห้องครัว หลังบ้าน หน้าบ้านก็ไม่มี ในห้องน้ำมีร่องรอยเปียกแฉะ เสื้อผ้าของเดียร์ที่ตากไว้ที่ราวหายไป เด็กหนุ่มคงแต่งตัวออกไปทำงานแล้ว ทิ้งไว้เพียง อาหารเช้าที่เขาทำเอาไว้ให้ และโน้ตแผ่นเล็กๆ ที่เขียนเพียงแค่คำว่า

“ผมขอโทษ”

เจ็บแปลบในอกอีกแล้ว ผมทรุดลงนั่งที่เก้าอี้ตรงโต๊ะทานข้าว นั่งมองหม้อข้าวต้มกุ้งที่วางอยู่ตรงหน้า น้ำตารื้นขึ้นมาเต็มขอบตา ผมใช้หลังมือปาดสายธารที่มันไหลรินอาบแก้ม รู้สึกโหวงเหวงอย่างบอกไม่ถูก เสียใจที่ตบหน้าเดียร์ถึงสองครั้งเมื่อคืนนี้ พูดไม่ดีกับเขา แถมซ้ำยังไล่เขาไปอีก นี่เขาจะคิดมากกับคำพูดของผม แล้วหนีไปจริงๆหรือเปล่า ผมไม่ต้องการให้มันเป็นแบบนั้นนะ

ข้าวต้มที่เดียร์ทำให้ทำไมวันนี้รสชาติมันถึงได้ดูแปลกๆไป มันเฝื่อนๆคออย่างไรชอบกล กลืนไม่ลงเลย ทั้งๆที่พยายามจะกินมันลงไปให้หมด

สุดที่รักอุตส่าห์ตื่นขึ้นมาทำให้ ทั้งที่เขากับผมเพิ่งจะทะเลาะกัน แล้วผมก็ทำร้ายเขาทั้งร่างกายและจิตใจ ผมรู้ว่าเขาเจ็บ แต่เขาก็ยังห่วงผม เขาดีเสมอต้นเสมอปลาย โกรธเพียงไรก็ไม่เคยละเลยหน้าที่ แล้วนี่จะงอนคิดมากไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้

“ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษนาย”
ผมพึมพำบอกกับหม้อข้าวต้มกุ้งตรงหน้า เหมือนจะให้เป็นตัวแทนฝากคำไปถึงคนที่ปรุงมันขึ้นมา รู้สึกผิดที่ไม่ยอมพูดอะไรให้เดียร์รู้ตั้งแต่แรก ถ้าเราเปิดเผยซึ่งกันและกัน ก็คงจะไม่วันที่จะต้องมานั่งเสียใจแบบนี้ เป็นผมเองที่ทำให้ทุกอย่างพังทลาย แล้วก็มานั่งคร่ำครวญหวนไห้ กับความขี้ขลาดของตัวเอง

เมื่อไม่อาจจะห้ามน้ำตาของตัวเองได้ ผมก็ปล่อยให้มันไหลอาบแก้ม นานเท่าไหร่แล้วนะที่ผมไม่ได้ร้องไห้แบบนี้ ตอนเลิกกับอรจิรา แซนดี้ หรือแฟนคนอื่นๆ ผมก็ไม่เคยต้องเสียน้ำตา

จำได้ว่าผมร้องไห้อย่างหนักเมื่อสูญเสียพ่อและแม่ไปจากอุบัติเหตุ และผมก็ไม่เคยร้องไห้อีกเลย คนที่รับผมไปเลี้ยงบอกว่า เป็นลูกผู้ชายควรร้องไห้เมื่อจำเป็นเท่านั้น การที่พลัดพรากจากคนรักเรียกน้ำตาจากผม และนี่ผมกำลังร้องไห้เพราะเดียร์ โดยที่ผมเองก็ไม่รู้ว่า ผมจะต้องพบกับความสูญเสียเหมือนที่เคยเกิดขึ้นหรือเปล่า เดียร์จะไปจากผมไหม

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่45 25/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 25-02-2009 18:02:27
โทรศัพท์มือถือของผมถูกนำมาใช้ในการกดหาเดียร์ถี่ยิบ แต่ผลที่ได้เหมือนเมื่อวานนี้ ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเขา ผมหงุดหงิดที่ติดต่อเด็กหนุ่มไม่ได้ จนไม่มีกระจิตกระใจจะทำงาน โชคดีที่วันนี้ไม่มีเคสใหญ่ๆที่ต้องใช้การตัดสินใจของผมเข้ามา เด็กๆในฝ่ายสามารถอนุมัติกันเองได้ โดยที่ผมแค่ตรวจสอบครั้งสุดท้ายเท่านั้น

วันนี้ผมโดนหัวหน้าเรียกไปดุอีกครั้ง เนื่องจากเขาเข้ามาเห็นผมนั่งเหม่อลอย เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ได้ยิน เขาพูดกับผมว่า ถ้าไม่สบายใจหรือยังเครียดอยู่ จะลาพักร้อนก่อนก็ได้ ผมปฏิเสธ บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก เครียดเรื่องเคสอยู่

ผมโกหกเขาไปแบบนั้น เพื่อให้เจ้านายสบายใจ ไม่อยากให้เรื่องส่วนตัวมาทำให้งานเสียหาย ผมไม่ได้รับผิดชอบตัวเอง แต่ยังต้องรับผิดชอบชื่อเสียง และหน้าตาของบริษัทด้วย ต่อให้เจ็บปวดรวดร้าวอย่างไร เราก็ทำให้ลูกค้าผิดหวังในบริษัทไม่ได้

พอได้เวลาเลิกงาน ผมไม่ตรงดิ่งกลับบ้าน แต่ตรงไปร้านกาแฟที่เดียร์ทำงานอยู่ แต่ก็ต้องพบกับความผิดหวัง เดียร์เลิกงานไปตั้งแต่ตอน 4 โมงเย็นแล้ว และเขาไปซ้อมเต้นต่อ ผมไม่รู้จะไปเจอเขาได้จากที่ไหน จึงเดินเงื่องหงอยออกมาจากร้าน และเจอกับศักดิ์ชายตรงหน้าประตูทางเข้า ต่างคนต่างตกใจที่เห็นกัน ผมเริ่มระแวงในตัวเกลอเก่าทันที

“มาทำอะไรที่นี่น่ะ”

“ฉันเหรอ ....เอ้อ...คือว่า...ฉัน ...มาทานกาแฟที่นี่ก่อนกลับบ้านน่ะ”

น่าแปลกมาก ที่บริษัทไม่มีกาแฟให้กินหรือไง หรือไม่ก็กลับไปกินที่บ้านสิ ทำไมต้องมากินในร้านที่เดียร์ทำงานด้วย ชักสงสัยเสียแล้วว่าศักดิ์ชายมีแผนอะไรหรือเปล่า

“นายมาที่นี่บ่อยเหรอ”

“เปล๊า.......เพิ่งมาครั้งแรกนี่ล่ะ มีคนแนะนำมาว่า กาแฟ และอาหารที่นี่อร่อย”

ศักดิ์ชายปฏิเสธเสียงสูง ผมนึกด่ามันในใจ โธ่เอ๊ย ไอ้คนโกหก ผมรู้ว่ามันต้องมาที่นี่อย่างน้อยก็สองครั้งขึ้นไปแล้ว ที่ผมรู้เพราะเดียร์ กับอรจิราเคยบอกผม ว่าแต่มันมีจุดประสงค์อะไรหรือเปล่านะ จะมาจับผิดอะไรผมกับเดียร์อีก
“แล้วนายล่ะ มาทำอะไรที่นี่”

“ถามได้ ก็คนรักของฉันทำงานท่าร้านนี้ ถ้าไม่มาหาเขาแล้วฉันจะไปหาใครล่ะ”

พูดออกไปเต็มปากเต็มคำเลย ว่าเดียร์คือคนรักของผม ไม่อาย ไม่ปกปิดกันอีกต่อไปแล้ว ความละอาย หน้าบางของผม ทำให้ผมได้รับความทุกข์ทรมานอยู่ขณะนี้ ถึงอย่างไรทุกคนก็พูดถึงเรื่องของผมอยู่แล้ว จะเพิ่มคนนินทาคือเพื่อนรักของผม ก็จะเป็นอะไรไป

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่45 25/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 25-02-2009 18:02:53
ศักดิ์ชายหน้าเปลี่ยนสี ดูท่าทางมันไม่ค่อยจะพอใจนักที่ได้ยินคำพูดของผม แต่ช่างเถอะ ศักดิ์ชายจะชอบหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะต้องมากังวล ตอนนี้ผมห่วงแค่ความรู้สึกของเดียร์เท่านั้น วันนี้เขาจะกลับบ้านหรือเปล่าก็ไม่รู้ ที่บ้านเช่าของเขา กลายเป็นที่พักของน้อยไปแล้ว ถ้าเขาไม่กลับมาหาผม แล้วเขาจะไปอยู่ที่ไหน นี่ผมคิดไปไกลหรือเปล่านะ เดียร์อาจจะกลับไปรอผมที่บ้านอยู่แล้วก็ได้

“แล้วนายเจอเดียร์แล้วเหรอ”

“เปล่าหรอก ฉันลืมไปว่า วันนี้เดียร์เลิกเร็ว ฉันว่าจะมารับเขาเสียหน่อย เลยคลาดกัน แต่ไม่เป็นไร ยังไงก็ต้องเจอกันที่บ้านอยู่ดี”

พูดปดออกไปอีกแล้ว คราวนี้ผมทำเพราะอยากรู้อะไรบางอย่าง ศักดิ์ชายทำหน้าเหมือนกับผิดหวัง ซึ่งเป็นไปตามที่ผมคาดไว้ เจ้านี่คงจะมานั่งดูเฝ้าเดียร์ของผมนั่นเอง ชักไม่ไว้ใจแล้ว เจ้านี่คงมีแผนการจะทำอะไรสักอย่าง น่าจะเป็นเรื่องที่ไม่ดี อย่างที่อรจิราเคยเตือนไว้ ศักดิ์ชายยิ่งไม่ค่อยจะชอบหน้าเดียร์อยู่ด้วย บางทีมันอาจจะคิดร้ายกับเขาก็ได้

“ถามจริงๆเลยนะเพื่อน นายมาหาเดียร์ของฉันหรือเปล่า ถ้ามีอะไรก็บอกฉันมานะ เดี๋ยวฉันไปเจอเขาจะได้บอกให้”

ตัดสินใจถามไปตรงๆเลย เจ้าศักดิ์ทำหน้าเหรอหรา คงไม่นึกว่าผมจะถามออกไปแบบนั้น มันโบกไม้โบกมือปฏิเสธ

“เฮ้ย .....ใครบอกแกวะว่าฉันจะมาหาเดียร์แฟนนาย เปล่านะโว้ย ฉันจะทำงั้นทำไม ก็ฉันบอกแล้วว่าจะมากินข้าว ไม่ได้มาเพื่อหาใครทั้งนั้นแหละ นายนี่คิดมากจริงๆเลย เอาล่ะเพื่อพิสูจน์ว่าฉันไม่ได้มาร้าย ฉันไปกินที่อื่นก็ได้”

แน่ล่ะสิ ก็เดียร์ไม่อยู่แล้วนี่นา มันถึงกล้าพูดแบบนี้ ทำมาเป็นพิสูจน์ความจริงใจ หาว่าผมคิดมาก ตอนนี้ ผมไม่อยากไว้ใจใครทั้งนั้น ดูสิ เรื่องไม่เป็นเรื่อง ทำให้เดียร์น้อยใจผมไปแล้ว ก็เพราะคนรอบข้างนี่แหละที่ทำให้เกิดปัญหาขึ้นมา

โยนความผิดให้คนอื่นแบบนี้ ดูใจร้ายไปหรือเปล่านะ อันที่จริงคนเหล่านี้จะทำอะไรกับเราสองคนไม่ได้เลย หากเราไม่ปล่อยโอกาสให้เขา ถ้าเพียงแต่ผมจะบอกกับเดียร์หมดสิ้นทุกอย่าง ไม่ปิดบังอำพราง ต่างไว้เนื้อเชื่อใจกันได้อย่างสนิทใจ ใครจะพูดอะไรก็คงฟังไม่ขึ้น คนที่ควรจะถูกกล่าวโทษน่าจะเป็นผมมากกว่าใครทั้งหมด

“นายหิวหรือเปล่า ไปกินด้วยกันไหม”
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่45 25/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: ltahset ที่ 25-02-2009 22:37:10
เข้ามา +1

อีกรอบ

ลุ้นมากมาย

^^

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่45 25/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 26-02-2009 08:14:23
เดียร์ก็ไม่ฟังเลย..เรียวก็ปากหนัก
คนอ่านลุ้นแทบตาย
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่45 25/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: first117 ที่ 26-02-2009 12:57:29
 :z13: :z13: :z13: :z13: จิ้ม ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ขอบคุณคร๊าบบบบบบบบบบ  :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่45 25/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 26-02-2009 16:19:23
ใจ เย็น น่ะ ทั้ง คู่ เรยยยยยยย


ปัญหา ทุก อย่าง ต้อง มี ทางออก


น่ะ

 :z13: :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่45 25/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 27-02-2009 23:22:50
แวะมาดูว่าตอนใหม่มาหรือยัง  :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่45 25/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 28-02-2009 15:20:27
มา ทวง นิยาย



ตอน ต่อ ไป คร้าบ :z13: :z13: :z13: :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่45 25/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: nanalonely ที่ 01-03-2009 20:58:16
อ่านทันแย้ววว

พี่แอนคนสวย

แนนขอตอนใหม่น๊า o11
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่45 25/2/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 01-03-2009 21:28:27
 :-[ อายจังเป็นคนสวยให้แนนนี่ได้เสมออ่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่46 1/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 01-03-2009 21:34:31
บทที่ 46

ศักดิ์ชายเอ่ยปากถามผม ที่จริงผมอยากกลับบ้านไปรอเดียร์ แต่ไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาหรือเปล่า ความบาดหมางใจเมื่อคืนอาจจะทำให้เดียร์ไม่อยากกลับมาหาผมก็ได้ เมื่อไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน กลับบ้านไปก็ไม่เจอใคร ผมก็เลยตัดสินใจตอบตกลงไปกับเจ้าศักดิ์ชาย เผื่อว่ามันอาจจะหลุดอะไรออกมาบ้าง ผมจะได้รู้และหาทางป้องกันได้ทัน

“ขอถามนายอีกครั้ง ว่านายรักเด็กนั่นจริงๆหรือเรียว”

อยู่ๆศักดิ์ชายก็ถามผมขึ้นมา หลังจากเรานั่งลงในร้านอาหารกันเรียบร้อย

“ทำไมต้องถามแบบนั้นด้วย สงสัยอะไรเหรอ”

“ฉันแค่อยากให้แน่ใจเท่านั้นว่านายรักเด็กนั่นแน่นอน เพราะบางที นายอาจจะแค่หลงไปชั่วครู่ชั่วยามก็ได้”
“นายจะอยากรู้ไปทำไม ....มันทำให้นายได้รับความเดือดร้อนหรือศักดิ์”

ผมย้อนถาม

“ฉันแค่ห่วงนายเท่านั้นแหละเรียว เสียดายหน้าที่การงานของแก เสียดายเงินเดือนที่ได้รับ ทำไมต้องมาแลกกับเด็กที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าแบบนั้นวะ นายไม่คิดบ้างเหรอ ถ้าหากคนเขารู้ว่านายเป็นเกย์ เขาจะนินทาว่าร้ายกันแค่ไหน พอดีพอร้ายอาจจะทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง และงานการ ฉันไม่อยากให้นายถูกใครรังเกียจ หรือถูกติฉินนินทาว่ะ”

เพื่อนผมตอบไม่เต็มเสียงนัก เหมือนว่าสิ่งที่ศักดิ์ชายพูด ไม่ใช่ความจริงที่อยู่ในใจของมัน

“ขอบใจมากนะเพื่อนที่ห่วงใยฉัน แต่ฉันอยากให้นายรู้อย่างหนึ่ง เด็กที่นายว่าไม่มีหัวนอนปลายเท้านั่นน่ะ เป็นคนรักของฉัน ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร ฉันก็ตัดสินใจแล้ว ว่าจะใช้ชีวิตอยู่กับเขา ต่อให้ต้องแลกกับทุกสิ่ง ฉันก็ยอม”

“แม้แต่ความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ชื่อเสียง ความนับหน้าถือตางั้นเหรอเพื่อน ลงทุนมากไปหน่อยหรือเปล่าวะ”

“สำหรับความรัก ไม่มีคำว่ามากหรือน้อยหรอกว่ะ มีแต่ความเสมอภาคกันจำไว้เพื่อน ฉันไม่ได้ลงทุนอะไรกับเดียร์มากมายเลย เมื่อเทียบกับสิ่งที่เขามอบให้กับฉัน ฉันว่านี่คือสิ่งแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าแล้ว”

เมื่อผมพูดจบ ศักดิ์ชายก็ทำหน้าเหมือนกับยิ้มเยาะความคิดของผม

“ฉันคิดว่านี่เป็นความคิดของคนโง่ที่บูชาความรักจนไม่ลืมหูลืมตาว่ะ คิดว่าแค่มีใจให้กันก็พอแล้ว แต่การใช้ชีวิตคู่มันไม่ง่ายนะโว้ย ผู้ชายสองคนจะอยู่กินกันยังไง มีสังคมไหนที่เขาจะยอมรับนับถือ ต่อให้แกทำงานเก่งแค่ไหนก็ตาม ก็จะมีคนตั้งแง่รังเกียจนาย เพียงเพราะใช้ชีวิตที่ต่างไปจากคนในสังคมปกติ แล้วนายจะทนเสียงวิพากษ์วิจารณ์ได้ละหรือ แล้วถ้าไม่มีงานการทำ ต้องออกจากงาน ไอ้เด็กนั่นจะเต้นหาเลี้ยงนายหรือไง ฉันว่านอกจากมันจะดูแลนายไม่ได้ แถมซ้ำยังจะมาเกาะนายกินมากกว่า”
คำปรามาสของศักดิ์ชายทำให้ผมทนไม่ได้ มันรู้จักเดียร์มากแค่ไหนกันถึงจะมาตัดสินเขา

“เบาๆหน่อยเพื่อน นายกำลังนินทาคนรักของฉันอยู่นะ ซึ่งเขาไม่เคยทำอะไรให้นายเลย จะจงเกลียดจงชังเขาทำไม ถ้านายไม่เคยมองเดียร์ในแง่ดีมาก่อน นั่นอาจจะเป็นเพราะฉันไม่ดีเองที่ไม่ได้พูดถึงคนรักของตัวเองให้ใครฟัง

แต่วันนี้ฉันจะถือโอกาสบอกนายเสียเลย ว่าเดียร์ไม่เคยทำในสิ่งที่นายกล่าวหา เขาไม่เคยเบียดเบียนเงินฉัน ไม่เคยขอเงิน เขามีแต่จะทำทุกอย่างเพื่อฉัน โดยที่ฉันแทบไม่ได้ตอบแทนอะไรเขาเลย ดังนั้นนายไม่ต้องห่วงว่าเดียร์จะมาปอกลอกเพื่อนคนนี้ของนาย

และไม่ต้องห่วงว่าฉันจะหน้ามืดตามัวปรนเปรอเด็กนั่นด้วยเงินทองที่ฉันมีอยู่ สิ่งที่ฉันจะให้เดียร์คือ “หัวใจ”ของฉันเท่านั้น”

นั่นคือคำพูดจากใจจริงของผม ไม่หวังว่ามันจะเข้าใจร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะคนอคติอย่างศักดิ์ชาย ย่อมมองการกระทำของผมว่าเป็นสิ่งที่ไร้ความหมาย แต่ผมพูดเพื่อให้มันเลิกความคิดที่จะขัดขวางผมกับเดียร์เท่านั้น ถึงอย่างไรมันก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความรู้สึกที่ผมมีต่อเดียร์ได้

“ช่างเป็นความรักที่สวยงามหอมหวาน แต่มันคงมีแต่ในอุดมคติเท่านั้น ฉันไม่เชื่อว่ามันจะไปรอดได้ในชีวิตจริง แต่เอาเถอะแม้ว่าฉันจะไม่เห็นด้วย แต่ฉันก็คงจะไม่สามารถห้ามนายไม่ให้ทำอย่างที่พูดได้ นายอยากจะทำอะไรก็ทำไป ฉันก็จะทำในเรื่องที่ฉันเห็นว่าถูกต้องแล้วกัน แต่ขอให้รู้ไว้ ว่าสิ่งที่ฉันจะทำ มันเกิดขึ้นจากความรักและหวังดีในตัวนาย ฉันยอมไม่ได้ที่จะเห็นเพื่อนที่ฉันรักถูกคนมาฉุดลงเหว แล้ววันหนึ่งนายจะขอบคุณฉัน”

“นายจะทำอะไรฉันไม่รู้ แต่ถ้านายรักฉันจริงอย่างปากนายว่า ก็อย่ามาทำลายความสุขของฉัน เด็กนั่นเป็นเหมือนหัวใจ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉัน นายทำร้ายเดียร์ก็เหมือนทำร้ายฉันด้วย รับรองฉันไม่มีวันอภัยให้นายแน่”

ไม่ใช่แค่ขู่ ผมตั้งใจจะทำจริงๆ แม้จะไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ศักดิ์ชายจะทำ แต่ผมก็จะไม่มีวันปล่อยให้มันเกิดขึ้น
ความที่ผมอารมณ์เสียจากคำพูดของสันต์ ผมเลยขอตัวกลับก่อน อีกอย่างผมอยากไปคอยเดียร์ที่บ้านเผื่อว่าวันนี้ เดียร์จะกลับมาหาผม ก็บ้านนี้มันเป็นบ้านของเราแล้วนี่นา เขาจะไปไหนได้ บ้านเช่าก็ให้คนอื่นอยู่ ช่วงหลังนี้เขาก็มากินอยู่หลับนอนอยู่ที่บ้านของผม จนเหมือนคนในครอบครัวเดียวกันไปแล้ว เมื่อวานถึงแม้จะมีเรื่องกัน แต่ถ้าเขายังรักผมอยู่ เขาคงจะกลับมาหา ผมภาวนาให้เป็นอย่างนั้น เราจะได้ปรับความเข้าใจกัน แล้วผมจะได้บอกรักเขาเสียที

ตอนที่ผมเปิดประตูเข้าไปในบ้าน ไฟในห้องรับแขกเปิดอยู่ พอเข้าบ้าน ก็ได้กลิ่นอาหารลอยมา หัวใจผมเต้นแรงอย่างมีความหวัง นึกดีใจจนต้องยิ้มออกมา เดียร์คงหายงอนแล้ว และมาหาผม ทำกับข้าวให้กินเหมือนเคย ด้วยความคิดถึง อยากเห็นหน้าเขา ทำให้ผมรีบถลาเข้าไปในครัว แต่ก็ต้องพบกับความว่างเปล่า มีเพียงอาหารที่สามสี่อย่างที่ยังร้อนควันฉุยอยู่บนโต๊ะ พร้อมด้วยข้าวสวยที่อยู่ในถ้วย มีน้ำเย็นๆวางไว้เหยือกหนึ่งพร้อมแก้ว ทุกอย่างเตรียมไว้รอท่าผมกลับมา ขาดแต่ตัวของพ่อครัวเท่านั้นที่ไม่รู้ไปอยู่หนใด
หลังจากเดินไปดูรอบบ้าน แต่ไม่เห็นแม้แต่เงาของเดียร์ ผมก็เลยวิ่งขึ้นไปดูบนห้องนอน แต่ก็ไม่มีวี่แววของเขา ผมเดินกลับลงมายังห้องครัวอีกครั้ง ด้วยความผิดหวังหดหู่ บนโต๊ะ มีกระดาษแผ่นหนึ่งสอดไว้ใต้ถาดอาหาร เมื่อกี้ผมมัวแต่ดีใจจึงไม่ทันได้สังเกต ผมหยิบกระดาษที่มีลายมือของเดียร์ขึ้นมาดู

“ไม่แน่ใจว่าเรียวจะทานอาหารมาจากข้างนอกหรือเปล่า แต่ผมทำไว้เผื่อว่าเรียวจะหิวนะครับ ....”

แค่นี้เองหรือคำพูดที่ต้องการสื่อมาถึงผม ทำไมไม่บอกว่าจะไปไหน จะกลับมาหรือเปล่า แล้วนี่ผมจะทานข้าวได้ยังไงคนเดียว ในเมื่อกลับบ้านมาแล้วทำไมไม่อยู่รอผม ยังทรมานใจกันไม่พอหรือไง ผมเริ่มที่จะน้องใจบ้างแล้วนะ

กับข้าวสามสี่อย่างตรงหน้าหอมชวนน่ารับประทาน ใจผมกระหวัดไปถึงคนทำ นึกจินตนาการถึงหน้าของเดียร์ขณะที่กำลังทำอาหาร เขาจะยิ้มแย้มอย่างมีความสุขอย่างเช่นทุกวันหรือเปล่าหนอ

เขาช่างน่ารักเหลือเกิน ขนาดน้อยอกน้อยใจในตัวผม ก็ยังคิดถึงกัน อุตส่าห์กลับบ้านมา เพื่อทำกับข้าวให้ทาน ทั้งๆที่ไม่รู้เลยว่า การลงแรงของตัวเองจะสูญเปล่าหรือไม่ ผมจะทานมาจากข้างนอกไหม ทำดีกับผมมากมายขนาดนี้ แล้วจะไม่ให้ผมนึกรักเขาได้อย่างไร

ตักข้าวเข้าปากคำแรกด้วยความหิวโหย ท้องผมร้องตั้งแต่ตอนอยู่กับศักดิ์ชายแล้ว ผมไม่ได้กินอะไรเลย ใจมันไม่นึกอยาก ยิ่งเจอคำพูดจาของเพื่อนรักเพื่อนเก่า ผมก็กินข้าวร่วมกับมันไม่ลง

แต่เมื่อกลับมาถึงบ้าน เห็นอาหารที่เดียร์ทำไว้ให้ ได้กลิ่น ได้สัมผัสถึงรสชาติอันคุ้นเคย ผมก็เริ่มหิวขึ้นมาทันที หากแต่เมื่อกินเข้าไป ใจมันก็คิดคำนึงไปถึงคนที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน

อยากให้เขามานั่งตรงหน้า มาทำท่ายั่วยวนกวนประสาทผม พูดจาทะลึ่งตึงตัง และทำหน้าทะเล้นใส่ ขาดเขาแล้วรู้สึกว่าใจหาย รู้สึกว่ามันเคว้งคว้างอย่างไรพิกล

เมื่อไม่อาจจะทนทานข้าวอยู่คนเดียวได้ ผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา อาหารยังร้อนๆแบบนี้ แปลว่าเดียร์ยังไปไหนได้ไม่ไกล บางทีอาจจะอยู่ใกล้ๆแถวนี้ ที่ผมคาดไม่ถึง อาจจะเป็นบ้านตรงข้าม คือบ้านพี่สมชายที่เขาจะไปขลุกอยู่ด้วยก็ได้ ไม่รู้ว่าที่ผมเดาไว้จะถูกหรือเปล่านะ

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเป็นสิบๆครั้ง จนกระทั่งมันตัดไป และต่อใหม่ เดียร์ก็ยังไม่ยอมรับ ตามปกติ จะไม่มีระบบฝากข้อความ แต่ตอนนี้ กลับมีเสียงตอบรับอัตโนมัติให้บันทึกข้อความเอาไว้

สงสัยเดียร์คงไปเปิดระบบนี้ขึ้นมา ผมนิ่งอึ้งไปจนกระทั่งมันตัดไป ด้วยรู้สึกไม่กล้าที่จะฝากคำพูดไว้ในเครื่องของเขา แต่ความคิดถึงมันมีมากกว่าความอาย ทำให้ผมตัดสินใจโทรไปหาเขาอีกครั้ง

รู้สึกตื่นเต้นจนพูดไม่ถูก นึกในใจว่าจะพูดอย่างไรดีหนอ ถึงจะส่งผ่านความรู้สึกของตัวเองออกไปให้เดียร์ได้รับรู้ว่าผมคิดถึงเขามากแค่ไหน ในที่สุดผมก็ตัดสินใจพูดออกไป


“เดียร์ นายอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ ทำไมกลับมาบ้านแล้ว ถึงไม่นอนที่นี่ ฉัน......เอ้อ...ฉันคิดถึงนายมากเหลือเกิน.....นี่ฉันกำลังทานข้าวอยู่......อาหารที่นายทำไว้ให้....อร่อยมาก .....แต่กินคนเดียวมันเหงาจังเลย.....อยากให้นายมาอยู่เป็นเพื่อน........”

โทรศัพท์ตัดไปแล้ว ผมนั่งมองมือถือของตัวเอง แล้วรอลุ้นอย่างใจจดใจจ่อ ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น เดียร์จะโผล่มาจากตรงไหนสักแห่งในบ้านหรือเปล่า หรือเขาจะโทรกลับมาทันทีที่ได้ยินเสียงผมไหม แต่รออยู่เป็นนาน ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมรวบช้อนกินข้าว เก็บอาหารเข้าตู้เย็น ไว้อุ่นกินวันรุ่งขึ้น ล้างชามเสร็จ ขึ้นไปอาบน้ำ เตรียมตัวนอน เดียร์ก็ยังไม่โทรมา

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่46 1/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 01-03-2009 21:35:30
ทว่าก่อนที่ผมจะหลับไป เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เสียงเรียกเป็นเพลงที่คุ้นเคย เพลงประจำตัวของเดียร์ที่ผมตั้งเอาไว้ เพลง “หยุดไม่ได้ ขาดใจ” ของอ๊อฟ ปองศักดิ์ ที่เราสองคนเคยร้องคู่กันในวันงานปีใหม่ของบริษัท ผมรีบกดรับทันที

“ฮัลโหล นั่นเดียร์หรือเปล่า”

“......”

ไม่มีเสียงตอบจากปลายสาย

“เดียร์ ได้โปรดตอบฉันสิ นั่นนายใช่ไหม”

คำถามงี่เง่า รู้อยู่แล้วว่าเป็นเบอร์ของเขา แต่ผมก็อยากถามให้มั่นใจว่าใช่เขาจริงๆ ไม่ใช่ใครเอามือถือของเขามาแกล้งอำเล่น

“ครับ”

เสียงคุ้นหูตอบกลับมา ผมเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว อย่างน้อยเดียร์ก็ไม่ได้โกรธผมจนไม่ยอมแม้แต่จะรับโทรศัพท์

“อยู่ที่ไหน....”

ผมถามเขาออกไปทันที

“บ้านเช่าครับ อยู่กับน้อย”

“ทำไมไม่นอนที่บ้านนี้....”

“เอ้อ.....ผมนึกว่าเรียวไม่อยากให้ผมอยู่ที่นั่นครับ”

“ใครบอก.....ฉันไม่เคยพูดเลยนะ”

“ก็เมื่อวาน.......”

เสียงเด็กหนุ่มขาดหายไป เหมือนเขากำลังห้ามใจตัวเอง ไม่ให้ปวดร้าวเมื่อคิดถึงมัน

“ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ไล่นายนะ แต่ไล่คนเมาที่มันอยู่ในตัวนายต่างหาก เมื่อวานนายเมามาก แล้วก็พูดจาไม่รู้เรื่องเลย ฉันเลยโมโหใส่นาย แต่ตอนนี้ฉันไม่ได้โมโหนายแล้วล่ะ แล้วนายล่ะ หายโกรธฉันหรือยัง”

“ไม่ได้โกรธครับ แค่น้อยใจ แต่ตอนนี้ หายแล้ว....”
“ถ้าหายโกรธ แล้วทำไมต้องไปอยู่ที่อื่น ทำไมไม่รอฉันอยู่ที่บ้าน แล้วนี่ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เพิ่งไม่นานนี้ใช่ไหม กับข้าวยังอุ่นอยุ่เลย....”

“ครับ ผมเพิ่งกลับมาถึงบ้านเช่าเอง ซ้อมเต้นเสร็จ ก็ไม่รู้จะไปไหน แวะไปที่บ้านคุณ ทำกับข้าวไว้ให้กลัวจะหิวกลับมา แต่ก็ไม่กล้าอยู่รอ กลัวคุณเจอหน้าผมแล้วคุณจะโมโหใส่

เพราะเมื่อคืนผมเมามาก และคงทำตัวแย่ๆให้คุณไม่พอใจ คุณถึงได้ไล่ผมแบบนั้น พอดีว่าพี่สมฤทัย กับโสภิตนภา ไปต่างจังหวัด ห้องมันว่างพอดี ผมเลยมานอนนั่งมอเตอร์ไซด์รับจ้างกลับมาอยู่เป็นเพื่อนกับน้อย เขาจะได้มีเพื่อนคุยไม่เหงาอ่ะครับ”

เขาอธิบายถึงสาเหตุที่เขาไม่อยู่ด้วยให้ผมฟัง ผมได้แต่ลอบถอนหายใจ เดียร์ห่วงน้อย แต่ไม่ห่วงผมเลย ผมก็เหงานะ แต่อย่างที่เขาบอกนั่นแหละ เหตุการณ์เมื่อคืนมันตึงเครียด และผมก็สู้กับเขาทั้งเตะทั้งถีบ ตบหน้าสารพัด และไล่เขาให้ไปห่างๆ เขาก็มีสิทธิที่จะคิดมากและน้อยใจ คิดว่าผมไม่อยากให้เขาอยู่ด้วย

“แล้วพรุ่งนี้ นายจะกลับมานอนที่บ้านไหม เอ้อ วันถัดไป เป็นวันวาเลนไทน์ นายสัญญาว่าจะทำกับข้าวอร่อยเพื่อฉลองกัน....”

“ยังอยากให้จัดอยู่หรือครับ นึกว่าเรียวเหม็นขี้หน้าผม จนไม่อยากจะฉลองวันนี้กับผมแล้วเสียอีก ถ้าเรียวอยากให้ผมอยู่ด้วย ผมก็จะไปอยู่เป็นเพื่อนคุณครับ”

“อยากสิเดียร์ .....ที่จริง....เวลาบ้านนี้ไม่มีนาย.....มันก็เหงาเหมือนกัน .....กลับมาเถอะ...อย่าโกรธกันเลยนะ....ฉัน....ฉัน...เอ้อ...ฉัน.....”

อยู่ๆก็พูดไม่ออกขึ้นมา ทั้งๆที่ตั้งใจแล้วว่าจะบอกรักกับเดียร์ออกไป

“ทำไมหรือครับ.....”

เด็กหนุ่มถามผม เสียงจากปลายสายเหมือนมีกำลังคาดหวังที่จะได้ยินอะไรบางอย่าง ผมชั่งใจอยู่สักพักว่าจะพูดดีหรือไม่ ในที่สุดผมก็ตัดสินใจพูดกับเขาไป แต่มันเป็นคำพูดที่ฟังดตะกุกตะกักอ้ำอึ้ง ยังไงไม่รู้ เหมือนคนขี้ขลาดที่กำลังพยายามจะบอกรักคนที่ตัวเองชอบ

“คือว่า....ฉัน.....ฉัน....คิดถึงนาย....แล้วก็....ฉันน่ะ....พอไม่มีนายอยู่แล้ว...ก็เริ่มที่จะคิดได้...ว่า...ฉันทำไม่ดีกับนาย...ไว้เยอะมาก...ที่จริงนายเป็นคนดี ....แล้วฉันน่ะ ...ก็ชะ...ชะ..ชอบนายด้วยนะ...อยากให้นายมาอยู่ด้วยกัน...ที่จริงแล้ว...ฉันชอบนายมาก...ฉันคิดว่า....ฉัน...เอ้อ...ฉัน ...ระ..รัก............ตรู๊ดดดดดดดดดดดด”

สายขาดไปแล้ว ผมยังไม่ทันจะพูดจบเลย มือถือก็ดันมาแบตหมดเสียก่อน ผมไม่ได้จดเลอร์เขาไว้เสียด้วย ไม่งั้นจะใช้โทรศัพท์บ้านโทรไปหา

เฮ้อออ....เขาจะทันได้ยินประโยคสุดท้ายของผมไหมหนอ ผมนี่งี่เง่าเสียจริงๆเลย คำว่ารักแค่นี้ทำไมไม่กล้าพูดออกไปนะ ทั้งที่มันเป็นคำพูดที่ผมตั้งใจจะบอกเขา และเด็กหนุ่มก็อยากได้ยินมัน แต่เวลาแบบนี้ ผมกลับพูดไม่ออก หรือว่าต้องเจอหน้าเขาผมถึงจะสามารถพูดได้ แล้วเดียร์จะเข้าใจสิ่งที่ผมบอกกล่าวกับเขาหรือเปล่า



หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่46 1/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 01-03-2009 21:36:20
นานจังเลยสำหรับการรอคอยใครสักคนที่เรารัก ผมหวังว่าเขาจะหาทางโทรกลับเข้ามา เพราะเขารู้เบอร์บ้านผม หรือไม่ก็รีบมาหาผมทันทีที่ได้ยินคำบอกรัก

แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เดียร์ไม่มา โทรศัพท์ไม่มี ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หรือว่าเขาไม่ยินดียินร้ายกับเรื่องของผมเสียแล้ว เขาบอกแค่ว่าหายโกรธ แต่เขาไม่ได้พูดนี่ว่ายังรักผมเหมือนเดิม

คิดมากจนนอนไม่หลับ กระสับกระส่ายกลิ้งไปกลิ้งมาบนที่นอนหลายตลบ ก็ยังข่มตาไม่ลง จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปถึงตีสี่ ผมถึงได้หลับเพราะความอ่อนเพลีย น่าแปลกที่คราวนี้ผมฝัน หลังจากที่ไม่เคยฝันมานานมากแล้ว

ในฝันของผมเป็นเรื่องเกี่ยวกับเดียร์ล้วนๆ ผมฝันว่าเขามาหาผม มาอยู่ด้วยกัน ในฝันนั้นผมมีความสุขมาก แต่แล้วก็มีเมฆหมอกสีดำเคลื่อนมาบดบัง แล้วพรากตัวเดียร์หายไปในความมืดมิดนั้น

ผมสะดุ้งตื่นขึ้นด้วยความตกใจในความฝันนั้น นี่มันลางร้ายชัดๆ จะเกิดอะไรขึ้นกับเดียร์ของผมหรือเปล่านะ รึว่าในฝันนั้นมันบอกเหตุให้รู้ว่า รักของเราจะต้องพลัดพรากจากกันอย่างไม่มีวันหวนคืน สาธุ ขออย่าให้เกิดขึ้นจริงเลย

ผมสะดุ้งซ้ำสองเมื่อเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น 6 โมงเช้า ได้เวลาลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน วันนี้เป็นวันสุดท้ายของสัปดาห์ พรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุดแล้ว แต่ผมกลับไม่ยอมลุกจากเตียง เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผมไม่อยากจะลุกขึ้นไปทำงาน อยากจะนอนอยู่บนเตียงอย่างเดียว และรอคอยคนรักให้มาหาผม

ทว่าความสำนึกในภาระหน้าที่ของตัวเอง ทำให้ผมนอนอิดออดอยู่บนเตียงไม่ได้ ผมลุกลงจากเตียง ถอดเสื้อผ้าใส่ตะกร้า แล้วเดินเข้าห้องน้ำไป วันนี้ผมใช้เวลาในห้องน้ำไม่นานนัก เพียงแค่ 15 นาทีก็ออกมาแล้ว รู้สึกเหมือนไม่อยากจะสนใจตัวเองเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะความมีชีวิตชีวาผมได้หายไปแล้วกระมัง ผมจึงทำเหมือนคนซังกะตาย

ยังไม่ทันแต่งตัว เสียงโทรศัพท์บ้านก็ดังขึ้นมา เมื่อคืนผมนอนหลับไปโดยไม่ได้ชาร์จแบต คนที่จะโทรเข้ามาหาผม ต้องโทรเข้าเบอร์บ้านเท่านั้น และมีเพียงไม่กี่คนที่รู้ ผมภาวนาว่าขอให้เป็นเดียร์ทีเถอะ ขอให้เขาโทรกลับมาบอกว่าจะมาอยู่กับผม มาฉลองวันวาเลนไทน์ด้วยกัน คิดได้แบบนั้นผมก็เดินอย่างกระวีกระวาดไปรับโทรศัพท์ที่หัวเตียงทันที

“วันนี้ ผมเลิกงานตอน 6 โมงเย็นครับ แล้วจะรีบกลับไปที่บ้าน ไปเตรียมตัวจัดข้าวของสำหรับวันวาเลนไทน์พรุ่งนี้ แล้วเรียวล่ะครับ จะกลับมาได้กี่โมง”

น้ำเสียงสดใสจากปลายสาย ไม่ได้บอกอาการขุ่นเคืองแต่อย่างใด ดีใจจังเลย เดียร์คงหายโกรธผมแล้ว และคงได้ยินคำพูดสุดท้ายของผม เขาเลยโทรมาหา

แต่แหม น่าจะโทรมาให้เร็วกว่านี้นะ ปล่อยให้ผมนอนคิดวุ่นวายใจอยู่ได้คนเดียวทั้งคืน แต่ไม่เป็นไรหรอก เดียร์คงจะลงโทษผมที่ทำให้เขาเสียใจ เขาเลยเอาคืนผมบ้าง ผมไม่โกรธเขาดีกว่า ถือว่าเราหายกัน

“ฉันจะพยายามเลิกงานให้ตรงเวลา ไม่เถลไถลไปไหนนะ เราสองคนจะได้ช่วยกันจัดบ้านไง เพื่อเตรียมพร้อมไว้สำหรับการฉลองในวันพรุ่งนี้”



ผมรีบรับปากให้สัญญิงสัญญากับเขา คราวนี้แหละผมจะทำให้เดียร์ได้รู้สึกทีว่าเขามีค่ากับผมแค่ไหน ดูท่าทางเดียร์กระตือรือร้นมาก เขาคงตื่นเต้นพอๆกับผม

อยากหมุนเข็มนาฬิกาให้เดินเร็วกว่านี้เหลือเกิน ข้ามไปเย็นนี้ หรือพรุ่งนิ้ได้เลยยิ่งดี ผมทนเห็นภาพตัวเองมอบแหวนและบอกรักเดียร์ในจินตนาการไม่ไหวแล้ว

รอลุ้นให้มันเกิดขึ้นจริงๆเสียที อยากเห็นปฏิกริยาของเขา ว่าจะดีใจมากแค่ไหน แล้วเขาอาจจะร้องขอกินเค้กจากผมอีก ซึ่งผมยินดีให้เขากินคนเต็มอิ่มเลย แล้วผมจะขอกินเค้กของเขาบ้าง เขาจะว่าอะไรผมไหมนะ

ยิ่งคิดถึงสิ่งที่กำลังจะได้เจอ ทำให้ผมมีความสุข วันนี้ผมทำงานด้วยอารมณ์ที่สดชื่น จนหัวหน้าซึ่งเดินเข้ามาสังเกตอาการของผมยังแปลกใจ เพราะผมเปลี่ยนไปจากสองวันก่อน แบบหน้ามือเป็นหลังมือ

เขาถามว่าผมกินอะไรผิดสำแดงหรือเปล่า แต่ผมตอบเขาไปอย่างอารมณ์ดีว่าผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย หัวหน้าคิดมากไปเอง ผมแค่เครียดกับงานเท่านั้น และตอนนี้ผมแก้ปัญหาได้แล้ว เลยทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น

เจ้านายของผมทำหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เขาก็ไม่ว่าอะไร บอกแค่ว่าดีแล้วที่เห็นผมเป็นแบบนี้ ขอให้อารมณ์ดีอย่างนี้ไปตลอด เขาทำงานร่วมกับผมมานาน เขารู้สึกผูกพันกับผมเหมือนเป็นพี่เป็นน้อง ไม่อยากเห็นความทุกข์ของผม อยากให้ผมทำงานด้วยความสบายใจ ผมรับคำหัวหน้าว่าผมจะไม่ทำตัวเศร้าหมองให้เขาเห็นอีก

ตลอดทั้งวันผมทำงานด้วยความตั้งอกตั้งใจเพิ่มขึ้นไปอีก 4- 5 เท่า ผมอยากเคลียร์งานที่กองอยู่บนโต๊ะในแต่ละวันให้หมดไปอย่างรวดเร็ว จะได้ไม่ต้องอยู่ดึกเพื่อสางงาน อยากกลับบ้านไวๆไปอยู่กับคนรักของผม เราเพิ่งคืนดีกัน ดังนั้นจึงควรจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้มาก

สี่โมงครึ่ง ได้เวลางานเลิกแล้ว ผมปิดเคสสุดท้ายได้พอดี กำลังจะเก็บของกลับบ้าน เจ้านายก็เดินมาหาที่ห้อง บอกว่ามีเคสเจ้าปัญหามาให้ตัดสินใจ มันเป็นเคสที่ผมเคยปฏิเสธไปเนื่องจากผลการตรวจเลือดลูกค้าสองครั้งออกมาเป็นบวก

แต่ลูกค้าไม่ทราบเหตุผลนี้ เพราะเราไม่ได้แจ้งสาเหตุ เพียงแต่บอกว่าลูกค้ามีความเสี่ยง มันเลยทำให้ตัวแทนและผู้บริหารไม่พอใจ มาคะยั้นคะยอถาม เมื่อได้ข้อมูลว่าเราสงสัยว่าลูกค้าจะเป็นเอดส์ ตัวแทนก็เอาไปบอกลูกค้า ทำให้ลูกค้าโกรธมากที่ไปกล่าวหาเขาแบบนั้น

และจะฟ้องบริษัทที่ไปว่าเขาให้เสื่อมเสียชื่อเสียง เขาเป็นผู้หญิง แต่งงานแล้ว มีสามีคนเดียว ไม่เคยมั่วสำส่อน การกล่าวหาว่าเขาเป็นเอดส์ เท่ากับหาว่าเขาประพฤติตัวไม่เหมาะสม ลูกค้าโวยวายมาทางตัวแทน และตัวแทนก็โทรมาโวยวายเอากับหัวหน้า ให้ต่อว่าผมในเรื่องนี้

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่46 1/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 01-03-2009 21:37:09
ผมเลยต้องรื้อหลักฐานประกอบการพิจารณามาให้เจ้านายดูใหม่ เมื่อเขาอ่านแล้ว ก็เห็นด้วยกับผม หลักฐานจากการตรวจถึงสองครั้ง ให้ผลที่ตรงกัน

ตามปกติในการพิจารณารับประกัน หากผลการตรวจครั้งแรกออกมาบ่งบอกอาการผิดปกติ เราจะยังไม่ตัดสินใจปฏิเสธทันที แต่เราจะมีการให้ตรวจซ้ำ เพื่อเทียบผลกัน หากได้ผลลัพธ์ที่ต่างออกไป เราก็จะตรวจครั้งที่สาม แต่ถ้าสองครั้งแรกเหมือนกัน เราก็จะตัดสินใจเลย เรื่องเล่านี้ลูกค้าไม่ค่อยเข้าใจ คิดว่าการทำประกันยุ่งยาก แต่ที่จริงเป็นผลประโยชน์ต่อลูกค้า เพื่อจะให้เขาได้ทำประกันจริงๆ และได้จ่ายเบี้ยประกันตามความเสี่ยงไม่ได้ถูกปฏิเสธอย่างไม่เป็นธรรม
ผมเหลือบดูเวลาจากนาฬิกาที่ข้อมือ หากเราสามารถสรุปเคสได้เร็ว ผมอาจจะกลับบ้านไปเรตนิดหน่อย เดียร์คงไม่ว่าอะไรนัก เอาไว้เสร็จธุระแล้ว ผมค่อยโทรบอกเขาว่าจะกลับช้าหน่อยแล้วกัน ตอนนี้ไปแก้ปัญหาให้กับบริษัทก่อน ไม่อยากทิ้งงานไปเพื่อเรื่องส่วนตัว

เราสงสัยกันว่า เธออาจจะติดโรคนี้มาจากทางอื่นก็ได้ เช่น จากสามี หรือการถ่ายเลือด เพราะถ้าหากสิ่งที่เธอพูดเป็นจริง มันก็ไม่น่าที่เธอจะเกิดมาจากพฤติกรรมส่วนตัวของเธอเอง ดูจากประวัติสุขภาพแล้ว ก็ปกติดีทุกอย่าง เคยผ่าตัดเนื่องจากอุบัติเหตุเพียงแค่ครั้งเดียว เมื่อปีที่สองปีที่ผ่านมา จึงเป็นไปได้ว่าอาจจะติดมาจากตรงนี้

ผู้บริหารเจ้าของเคสคือนายสุริยะเจ้าเก่า ชื่อของเขาทำให้ผมปวดหัวอย่างมาก เขาช่างสรรหาลูกค้าที่มีปัญหาเข้ามาบริษัทเสียจริง แต่ละราย มีฐานะร่ำรวย สามารถทำประกันในวงเงินหลักล้าน แต่เกือบ 50 % ที่ส่งเข้ามา มีปัญหาสุขภาพให้ต้องพิจารณาหาหลักฐานประกอบกันวุ่นวาย

อย่างเคสนี้ ที่ผมปฏิเสธไป ผมกับหัวหน้าเห็นว่าจะต้องเชิญนายสุริยะ และตัวแทนในสังกัดเขามาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ พร้อมทั้งให้ความรู้กับเขาด้วย ว่าเราปฏิเสธเพราะอะไร

เราไม่ได้กล่าวหาว่าลูกค้าเป็นเอดส์ แต่มีความเสี่ยงทางด้านสุขภาพ ที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นแบบนั้น ถ้าหากลูกค้าอยากรู้ผลจริงๆ ก็ให้ไปเช็คสุขภาพดู หรือจะเช็คที่โรงพยาบาลที่เรามีสัญญาอยู่ก็ได้ จะได้หายข้องใจ

กว่าจะได้ข้อสรุปก็ปาเข้าไปเกือบหกโมง ผมกระสับกระส่าย กังวลใจถึงเดียร์ ป่านนี้เดียร์คงจะเลิกงานแล้ว และกำลังจะกลับบ้าน หากว่าเขามาถึงแล้ว ไม่เห็นผม เขาจะคิดมากหาว่าผมโกหกเขาอีกหรือเปล่านะ

ดูเหมือนหัวหน้าจะเห็นอาการของผม จึงถามว่ามีนัดอะไรหรือเปล่า ผมตอบเขาไปว่ามี แต่ก็ถามเขาอย่างเกรงใจว่า เขามีอะไรให้ผมช่วยบ้างไหม

เขาก็หัวเราะแล้วก็บอกว่า เขาอยากชวนผมแวะไปห้างแป๊บหนึ่ง อยากซื้อของขวัญให้ภรรยา แต่เขาลืมซื้อ เขาไม่รู้จะเลือกอะไรดี เลยอยากชวนผมไปด้วย แต่ถ้าผมมีธุระก็ไม่อยากรบกวน

ผมเห็นใบหน้าคาดหวังจากเขาก็อดใจอ่อนไม่ได้ ที่ผ่านมาหัวหน้าดีกับผมมาโดยตลอด คอยช่วยเหลือผมทุกอย่าง ให้ความรักความเอ็นดูเหมือนน้องนุ่งคนหนึ่ง ผมเป็นหนี้บุญคุณแกหลายเรื่อง ไปเป็นเพื่อนแกเพื่อซื้อของให้แฟนแค่นี้คงไม่เป็นไรมั้ง เดียร์คงไม่ว่าผมด้วยเรื่องแค่นี้หรอก เพราะผมไม่ได้ไปกับคุณแคทนี่นา ผมจึงตอบตกลงกับแกไป โดยขอตัวไปคุยโทรศัพท์ก่อน

“เดียร์เหรอ ถึงบ้านหรือยัง...”

“ยังครับ...วันนี้ร้านยุ่งนิดหน่อยนะครับ พรุ่งนี้คนขาด แล้วผมก็ลาหยุดไว้ด้วย ผมเลยต้องอยู่ช่วยเขาเตรียมงานวาเลนไทน์ก่อนนะครับ คงจะเลิกงานประมาณสักสองทุ่ม ว่าจะโทรไปหาเรียวก็มัวแต่ยุ่งอยู่ เรียวถึงบ้านแล้วเหรอครับ”

คำตอบของเขาทำเอาผมโล่งใจ

“ยังหรอก ฉันก็มีธุระต้องไปทำกับหัวหน้าน่ะ อื้ม ต้องไปซื้อของขวัญวันวาเลนไทน์ให้แฟนของเขา ก็คงจะใช้เวลาประมาณชั่วโมงสองชั่วโมงมั๊ง เสร็จแล้วจะรีบกลับนะ”





หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่46 1/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 01-03-2009 21:37:35
ผมบอกเขาไปตามตรง ก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่โกหกกัน พูดความจริงไป มันจะได้สบายใจไม่ต้องมานั่งระแวงกันทั้งสองฝ่าย ดูเหมือนเดียร์เองก็พอใจด้วยที่ผมรายงานว่าจะไปไหน เขาหัวเราะ แล้วถามผมด้วยเสียงอ้อนๆว่า

“คร้าบบบ....แล้วเรียวจะทานข้าวกับหัวหน้าก่อนไหมครับ”

“ไม่หรอก ฉันจะรอทานพร้อมกับนายนะ เมื่อวานนี้ฉันทานคนเดียว มันเหงาๆ น่ะ”

“จริงเหรอครับ”

น้ำเสียงกระตือรือล้นจากปลายสาย ทำให้ผมหน้าแดงใจเต้นรัว ตอบเขาเสียงแผ่วเบา

“จริงสิ”

“ดีใจจัง แล้ว เมื่อวานนี้ เรียวจะพูดอะไรกับผมหรือครับ ผมได้ยินไม่ถนัด แล้วสายมันก็ตัดไปอ่ะครับ ผมเลยไม่รู้เรื่องกัน จะโทรมาถาม ก็เกรงใจเพราะเห็นว่ามันดึกแล้วอ่ะครับ”

เวรกรรม คำบอกรักของผม ดันส่งไม่ถึงเดียร์เสียแล้ว จะให้ผมพูดตอนนี้ ก็เขินๆอยู่

“เอาไว้ วันพรุ่งนี้ฉันจะบอกนายทุกอย่างเลย ไว้เราเจอกันก่อนนะ”

“อื้ม....อยากรู้จังเลยว่ามันคืออะไรนะ ร้ายหรือดีก็ไม่รู้ อ๊ะ.....เพื่อนคุณมาที่ร้านนี้ด้วยล่ะครับ เห็นบอกว่าจะคุยกับผมไม่รู้เรื่องอะไร เดี๋ยวผมวางสายก่อนนะครับ เจอกันที่บ้านนะที่รักของผม อย่ากลับช้านะครับ ผมจะกลับไปทำอาหารรอ จะยังไม่ยอมกินจนกว่าคุณจะกลับมานะครับ”

เดียร์วางสายไปแล้ว ทิ้งให้ผมยืนงง กับสิ่งที่เดียร์บอกผม เพื่อนคนไหนกันที่ไปหาเดียร์ที่ร้าน สันต์เหรอ มันกลับมาจากต่างจังหวัดตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือว่าจะเป็นคุณแคท แต่เธอเพิ่งโบกมือบ๊ายบายผม เมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา คงไปไม่ถึงร้านกาแฟที่เดียร์ทำกระมัง

แล้วเธอก็ไม่รู้ด้วยว่าเดียร์ทำงานที่นั่น หรือจะเป็นเจ้าศักดิ์ชายกัน เมื่อวานนี้ เห็นมันไปที่ร้าน และทำท่าผิดหวังที่ไม่เจอเดียร์ด้วย หรือว่าวันนี้มันจะไปหาเขาอีก ไปทำไมกันนะ ผมปักใจเชื่อ 100 % ว่าเป็นศักดิ์ชายแน่นอนที่ไปหาที่รักของผม

ศักดิ์ชายพูดกับผมว่าจะทำทุกอย่างเพื่อเป็นการขัดขวางผมกับเดียร์ มันไม่เห็นด้วยที่เดียร์จะฉุดผมลงเหว สิ่งที่มันทำอาจจะเป็นเรื่องไม่ดี แต่ผมจะต้องขอบคุณมัน

การไปหาเดียร์จะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่มันได้พูดไว้หรือเปล่า ผมรู้สึกสงสัยว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่ๆ โทรกลับไปจะเตือนเดียร์ว่าอย่าฟังอะไรที่ศักดิ์ชายพูด แต่เดียร์ก็ไม่รับสาย คงกำลังคุยกับเพื่อนของผม หรือไม่ก็ยังยุ่งอยู่กับการทำงาน

“เป็นอะไรหรือเปล่าเรียว...”

หัวหน้าถามผมขณะที่เรากำลังเดินเลือกซื้อของขวัญกันอยู่ เล่นเอาผมสะดุ้ง เพราะมัวแต่คิดหาสาเหตุที่ศักดิ์ชายจะไปหาเดียร์ เลยไม่ค่อยได้ใส่ใจกับการเลือกซื้อของนัก

“เอ้อ คิดอะไรนิดหน่อยครับ”

“ชวนให้มาซื้อของ ดันไปคิดอะไรอีก ถ้ารบกวนก็บอกกัน ไม่ต้องเกรงใจ กลับก่อนก็ได้”
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่46 1/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 01-03-2009 23:16:51
 งานจะเข้าเรียวไหมหล่ะเนี่ย ใครไปหาหว่า..
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่46 1/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: meeyai ที่ 02-03-2009 00:34:53
พึ่งหายป่วย ขอมาจิ้มเฮียซะนิดก่อนนอน  :z13: :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่46 1/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: b_hihi ที่ 02-03-2009 12:23:55
งานเข้าแล้วครับพี่น้อง
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่46 1/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 03-03-2009 17:23:29
แวะมานั่งรอค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่46 1/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: meeyai ที่ 03-03-2009 23:22:47
แอบรออีกคน  o13 o13
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่46 1/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 05-03-2009 14:31:46
อย่า ไห้ คนอ่านรอนาน น่ะคร้าบบบบ


ทรมานคนอื่น น่ะ มัน บาป น่ะ

              พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่า


   "ความบังเอิญมักจะเกิดขึ้นในชีวิตคนเสมอ"

     
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่46 1/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: jaideejung007 ที่ 06-03-2009 12:05:53
สนุกมากเลยครับ

แบบยาวๆ มากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ขอบคุณมากๆครับ

อืม ถามนิดนึงนะครับ

เป็นเรื่องจริง หรือเรื่องที่แต่งขึ้นครับ

โพทส์บอกหน่อยได้ไหมครับ

ทาง พีเอ็มก้อได้ครับ

ขอบคุณล่วงหน้านะครับผม
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่46 1/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: ltahset ที่ 06-03-2009 12:56:03
 :z2:


รอตอนต่อไป

^^

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่46 1/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: sasa ที่ 06-03-2009 14:20:52
มามะ มามะ มาไวไว
อยากอ่านตอนต่อไปแล้วอ่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่47 6/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 06-03-2009 16:05:16
บทที่ 47

เห็นหัวหน้าพูดแบบนี้ ผมก็เลยไม่กล้ากลับก่อน อยู่ช่วยเขาจนเลือกได้ของที่พอใจ เขาทำท่าว่าจะชวนผมทานข้าวต่อ แต่ผมบอกว่ามีนัดที่สำคัญรออยู่แล้ว ต้องรีบไป หัวหน้าผมเลยไม่ว่าอะไร กล่าวคำขอบอกขอบใจผมยกใหญ่ จากนั้นก็แยกกัน ผมรีบขับรถกลับบ้านทันที

ตอนอยู่ในรถผมพยายามโทรหาเดียร์ แต่โทรศัพท์ติดต่อไม่ได้ ไม่รู้ว่าเขาปิดเครื่องหรือแบตหมดกันแน่ ผมเลยฝากข้อความไว้ว่า อย่าฟังคำใครโดยไม่ถามผมก่อน และตอนนี้ผมกำลังจะกลับบ้านไปหาเขาแล้ว
วันนี้รถติดมากเป็นพิเศษ

กว่าจะเคลื่อนตัวออกไปแต่ละทีก็แสนยาก เมื่อก่อนผมเคยนั่งรถไฟฟ้าจากบ้านไปทำงาน โดยจอดรถไว้ที่บ้าน เพราะเบื่อกับการจราจร แต่ช่วงหลังๆตั้งแต่เดียร์เริ่มเข้ามาพัวพันชีวิตของผม ผมก็ไม่ได้ไปกลับด้วยรถขนส่งมวลชนอีกเลย แต่ขับรถไปกลับเอง ด้วยกลัวว่าจะถูกใครมาจับตัวผมไปอีก

จากนั้นมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ผมก็ใช้รถมาตลอด สำหรับวันนี้ ผมกลับคิดว่าน่าจะจอดรถทิ้งไว้ แล้วนั่งรถไฟฟ้ากลับบ้านมากกว่า ใจของผมตอนนี้อยู่ที่โน่นแล้ว ผมอยากเป็นฝ่ายไปถึงก่อนสุดที่รักของผม อยากเป็นฝ่ายนั่งรอเขา มากกว่าจะให้เขารอผมเหมือนเช่นทุกวัน

สองทุ่มครึ่งแล้ว ผมยังไม่ถึงบ้านเลย การจราจรคับคั่งโดยเฉพาะบริเวณหน้าห้าง วันนี้เป็นวันทำงานวันสุดท้ายของสัปดาห์ พรุ่งนี้เป็นวันแห่งความรัก เป็นเทศกาลที่คนให้ความสำคัญถึงขนาดมีการมาจับจ่ายหาซื้อของขวัญที่จะไปมอบให้กับคนรัก

ทางห้างก็เอาใจจัดโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมเพื่อดึงดูดขาช๊อปให้มาที่ห้างของตน จนทำให้รถราติดขัดยาวเป็นกิโล จากห้างที่ผมไปเป็นเพื่อนเจ้านายกับบ้านของผม ก็ห่างกันหลายกิโลอยู่ ถ้ารถไม่ติดเลย ก็จะถึงบ้านภายในครึ่งชั่วโมง แต่รถแน่นเต็มถนนแบบนี้ ตามรูปการณ์ น่าจะกลับถึงบ้าน ประมาณ สี่ทุ่มเป็นอย่างต่ำ

ลองกดโทรศัพท์อีกครั้ง ก็ได้ผลตอบรับเหมือนเดิม คือติดต่อไม่ได้ มือถือก็ปิด ผมรู้สึกหงุดหงิดในหัวใจ ไม่รู้ว่าเดียร์กลับไปถึงบ้านหรือยัง แล้วเดียร์ได้คุยอะไรกับใครบางคนมากมายแค่ไหน ขณะที่ผมกำลังพยายามจะโทรติดต่อไปยังเดียร์ เสียงเรียกซ้อนก็ดังขึ้น ผมกดรับ คุณแคทนั่นเอง เธอร้องห่มร้องไห้สะอึกสะอื้นมาตามสาย

“เรียวเหรอคะ ....ขอโทษทีที่โทรมากวน แต่แคท แคทไม่ไหวแล้ว แคท...เกลียดเขา เกลียดมากๆ ทำไมเขาไม่เลิกยุ่งกับแคทสักที”

“ใจเย็นๆครับคุณแคท มีอะไรไม่สบายใจหรือครับ”

“ก็พี่สมชายนะสิคะ เขาราวีแคทไม่ยอมเลิกเลย เขาตามแคทกลับบ้าน สงสัยแอบไปซุ่มดักรอแคทที่ทำงาน แล้วก็ขับรถตามมาตลอด พอแคทถึงบ้านเขาก็ตามลงมาค่ะ......”
เธอหยุดเล่า สักพัก ผมได้ยินเสียงเอะอะเอ็ดตะโรในสาย และเสียงแหลมเล็กของเธอกรีดร้องโต้ตอบกลับไป เหมือนคนกำลังทะเลาะกัน

ผมเริ่มใจคอไม่ดี กังวลใจเรื่องเดียร์ แถมห่วงเพื่อนสาวของผมอีก พี่สมชายไปยุ่มย่ามอะไรบ้านเธอ ทำไมสองคนต้องทะเลาะกันด้วย เขาจะทำอะไรเธอหรือเปล่านะ

“โทษทีค่ะเรียว พี่สมชาย เขาพยายามจะเข้ามาในห้องแคทให้ได้ ค่ะ ท่าทางพูดไม่รู้เรื่องเลย แกตามแคทเข้าบ้าน ไล่ยังไงก็ไม่ยอมไป บอกแต่ว่าเขาเปลี่ยนใจแล้ว จะเลิกกับเมียตัวเองมาอยู่กับแคท พูดแล้วพูดอีก

แคทบอกว่าแคทต้องการเลิกกับเขา ก็ไม่เชื่อ แคทบอกว่าแคทมีคุณแล้ว ก็ไม่เชื่อค่ะ หาว่าเราโกหกกัน แล้วนี่ ก็พยายามจะปล้ำแคทอีก แคทเลยหนีเข้าห้องมา

แต่เขายังไม่หยุดค่ะ โวยวายอยู่หน้าห้อง แคทอยู่คนเดียวเสียด้วยสิ พ่อกับแม่ก็ไปต่างประเทศ คนใช้ก็ลากลับบ้านไป แคทจะทำไงดีคะ ....เรียว.........”

คุณแคทระล่ำระลักพูด ท่าทางเธอหวาดกลัวมาก น้ำเสียงร้อนรนของเธอ ผมฟังแล้วรู้สึกกังวลใจแทน จังหวะที่เธอเงียบหายไป ผมได้ยินเสียงด่าทอไกลๆดังมาให้ได้ยิน ผสานกับเสียงกรีดร้องของคุณแคทที่ตะโกนไล่พี่สมชายให้ออกไป

“เรียว แคทจะทำไงดีคะ จะแจ้งความตำรวจก็ไม่กล้า กลัวเขาย้อนมาทำร้ายแคทอีก และกลัวเสียชื่อ เสียหน้าพ่อแม่ด้วย แต่เขาเหมือนคนบ้าเลย คุ้มคลั่งมาก เอาแต่ตะโกนขู่แคท บอกว่าอย่าหวังว่าจะเลิกกันได้ง่ายๆเลย ทำไมเขาเป็นอย่างนี้คะ นี่เขาก็กำลังจะพังประตูเข้ามาแล้วค่ะ บอกว่าถ้าพูดกันไม่รู้เรื่องก็ตายกันทั้งคู่ไปเลย ......ว้ายยยยยยยย.........”

“คุณแคทเกิดอะไรขึ้นครับ......”

เสียงกรีดร้องอย่างตกใจทำให้ผมวิตกจริตขึ้นมา เกิดอะไรร้ายแรงกับเธอหรือเปล่านะ แล้วที่เธอบอกว่าพี่สมชายขู่เธอไว้แบบนั้น เขาจะทำจริงน่ะหรือ คนที่เคยรักกันมาก่อน เมื่อถึงเวลาที่ความรักไม่สมหวังถึงขนาดจะลงมือฆ่าแกงกันนี่มันไร้สติเกินไปหรือเปล่า ไม่น่าเชื่อเลยว่าผู้ชายที่ดูสุขุมอ่อนโยนรักครอบครัว จะปล่อยให้ความลุ่มหลงเข้าครอบงำถึงเพียงนี้

เมื่อไม่อาจจะละความกังวลใจลงได้ ผมจึงเปลี่ยนเส้นทางการขับรถมุ่งหน้าไปยังทางที่จะไปบ้านพักของคุณแคททันที ผมเคยไปส่งเธอที่บ้านมาครั้งหนึ่ง จึงยังพอจำทางได้บ้าง ความห่วงใยเกรงว่าเพื่อนร่วมงานของผมจะเป็นอันตราย ทำให้ผมลืมคิดไปถึงเรื่องของเดียร์ ใจอยากจะไปช่วยพาเธอออกมาจากบ้านหลังนั้น พาออกมาให้พ้นจากพี่สมชายที่กำลังคุ้มคลั่ง

ประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง ผมจึงถึงบ้านของเธอ จากสภาพที่เห็นทำให้ผมพอจะคาดเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ประตูรั้วหน้าบ้านเธอเปิดค้างไว้ มีรถของเธออยู่ด้านใน และรถของพี่สมชายจอดต่อท้ายขวางประตูโดยโผล่หัวเข้ามาในบ้านครึ่งหนึ่ง และท้ายยื่นออกไปหน้าบ้านอีกครึ่งคัน

ประตูบ้านไม่ได้ล็อคตอนที่ผมเปิดเข้าไป เห็นข้าวของเกลื่อนกระจัดกระจายเหมือนคนที่ต่อสู้กัน รองเท้าส้นสูง ตกอยู่บนพื้นข้างหนึ่ง อีกข้างส้นหัก คาอยู่ที่บันได เหมือนเธอวิ่งหนีอะไรสักอย่าง และที่ชั้นบนผมได้ยินเสียงคนกำลังต่อสู้กันอยู่ ผมวิ่งพรวดขึ้นบันไดไปในทันที
ที่ห้องหนึ่ง คาดว่าน่าจะเป็นห้องคุณแคท ประตูถูกถีบจนพัง หลุดเข้าไปข้างในทั้งบาน ในห้องนั้น คุณแคทกับพี่สมชายกำลังกอดปล้ำกันล้มลุกคลุกคลานอยู่ เสื้อผ้าของเธอฉีกขาดหลุดลุ่ยจนเผยให้เห็นหน้าอกอวบขาวที่ทำศัลยกรรมไว้จนดูตูมเต่งสวยงาม

ตามเนื้อตามตัวมีรอยฟกช้ำ ริมฝีปากห้อเลือด เธอกำลังดิ้นรนเตะถีบพี่สมชายอยู่ ถึงแม้ว่าคุณแคทจะอยู่ในเรือนร่างของผู้หญิง แต่เดิมเธอเป็นผู้ชาย ร่างกายจึงยังพอมีพละกำลังที่จะต่อกรได้บ้าง แต่ก็เหนื่อยล้าเต็มที

จังหวะหนึ่งคุณแคทก็เพลี่ยงพล้ำ ถูกพี่สมชายจับกดลงพื้น แล้วกระชากชั้นในตัวจิ๋วออกจากร่างของเธอ และเขาก็ใช้เข่าแยกขาเธอออก

ขณะที่เพื่อนบ้านผมเมามันอยู่กับการล่วงเกินคนรักเก่าอยู่นั้น ผมก็เข้าถึงตัว แล้วกระชากพี่สมชายออกจากคุณแคททันที ความที่ไม่ทันตั้งตัว ทำให้เขาปลิวไปตามแรงมือของผม

คุณแคทรีบพลิกตัวขึ้นยืน วิ่งเข้ามาแอบที่หลังผม เป็นจังหวะเดียวกับที่พี่สมชายหายตะลึง เขาคำรามอย่างโกรธจัด เมื่อเห็นคนที่ขัดขวางเขาคือใคร

“มายุ่งเกี่ยวเรื่องนี้ทำไม บอกแล้วไม่ใช่เหรอ นี่มันเป็นเรื่องของผัวเมียกัน คุณไม่มีสิทธิ์อะไรมายุ่ง ถอยไปเดี๋ยวนี้นะเรียว ผมไม่อยากทำให้คุณเดือดร้อน”

“เมียพี่อยู่ที่บ้าน แคทไม่ได้เป็นเมียพี่ ไม่เคยเป็นมาตั้งแต่แรกแล้ว แคทเป็นแค่นางบำเรอ คนที่สนองตัณหาให้พี่มาตลอด ตอนนี้เราเลิกกันแล้ว ได้ยินไหมคะ ปล่อยแคทซะที อย่ามายุ่งเกี่ยวกันอีกเลย”

คุณแคทโต้ตอบออกไปด้วยความกราดเกรี้ยว ผมเห็นน้ำตาของเธอที่ไหลไม่หยุดแล้วรู้สึกสงสารจับใจ เธอคงคับแค้นจากการกระทำของอดีตคนรักเก่าที่ทำท่าว่าจะไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ ทำไมพี่สมชายต้องกลายเป็นคนแบบนี้ด้วย พ่อบ้านผู้รักครอบครัว ไปไหนเสียแล้ว

“พี่สมชายครับ คงได้ยินแล้ว ว่าคุณแคทพูดว่าอะไร กลับไปบ้านเถอะครับ เพื่อเห็นแก่เมียและลูกของพี่ เขาเฝ้ารอคอยพี่กลับบ้านด้วยความหวังนะครับ”

ผมพยายามยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ด้วยการพูดเพื่อให้พี่สมชายได้คิด แต่ทว่า เขาคงกำลังหน้ามืดตามัวเสียแล้ว

“ไม่ต้องมาสั่งสอนผม ไปดูแลคนรักของตัวเองเถอะ นายเดียร์นั่นน่ะ อย่ามายุ่งกับเมียคนอื่น ระวังให้ดี เดี๋ยวจะเสียคนของตัวเองไป”

คำพูดของเขาทำให้ผมสะอึก จริงสิ ผมมัวแต่ยุ่งกับเรื่องของชาวบ้าน ในขณะที่เรื่องของตัวเองยังสางไม่เสร็จ แต่ผมจะปล่อยให้เพื่อนร่วมงานที่น่ารักของผมคนนี้เผชิญชะตากรรมแต่เพียงลำพังได้อย่างไร อย่างน้อยเธอก็ดีกับผม เคยช่วยเหลือไม่ให้นายทรงพลเอาเรื่องกับสุดที่รักของผม และผมก็ทนไม่ได้ที่เธอจะเจ็บปวด

สำหรับเรื่องของเดียร์ผมเองก็หวั่นใจอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้ว ผมจะกลับไปหาหนุ่มน้อยที่คอยอยู่ที่บ้าน ผมจะเล่าให้เขาฟังทุกอย่างโดยไม่ปิดบัง

และผมเชื่อว่าความบริสุทธิ์ใจของผม จะชนะทุกสิ่ง เดียร์คงไม่ว่าอะไร หากได้ฟังเหตุผลของผม ก็เราสัญญากันแล้วนี่นา ว่าจะเชื่อใจกัน ผมมั่นใจว่ายังไงเดียร์ก็ต้องฟังผม และให้อภัยกับความล่าช้าที่ผมมาไม่ตรงตามนัด
“ที่ผมพูดกับพี่สมชายนั้น มันมาจากความรักและหวังดีในฐานะเพื่อนบ้านกัน ผมรู้ว่าพี่สมชายยังคงรักคุณแคทอยู่ แต่มันไม่มีวันเป็นไปได้ พี่เองก็รู้ดี พี่มีพี่วิภาและลูกอยู่แล้ว พี่จะมีคุณแคทได้อย่างไรกัน

ทำแบบนี้ไม่มีใครเลยที่มีความสุข พี่จำเป็นต้องเลือกคนใดคนหนึ่ง

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่47 6/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 06-03-2009 16:05:57
แต่ในเมื่อพี่ไม่เลือก คุณแคทก็เป็นฝ่ายเลือกเองไงครับ เธอยอมจบกับพี่ แล้วทำไมพี่ไม่เคารพความคิดของเธอล่ะครับ กลับไปหาเมียและลูกดีกว่า ปล่อยคุณแคทไปตามทางของเธอเถอะครับพี่”

โต้ตอบไปอย่างใจเย็น โดยเอาเหตุและผลขึ้นมาอ้าง หากพี่สมชายมีสติเพียงพอ เขาก็น่าจะเข้าใจ แต่ดูเหมือนความพยายามของผมจะไร้ผล

พี่สมชายนอกจากไม่ยอมฟังในสิ่งที่ผมพูด เขากลับมีท่าทีโมโหโกรธาเพิ่มขึ้น

“ผมไม่ฟังอะไรทั้งนั้น บอกแล้วว่านี่เป็นเรื่องของผมกับคุณแคทสองคน คนอื่นไม่เกี่ยว ปล่อยตัวคุณแคทมาให้ผมเดี๋ยวนี้ เราสองคนยังมีเรื่องที่ต้องตกลงกัน เชิญคุณกลับไปบ้านได้แล้ว”

เขาย่างสามขุมเข้ามาหา คุณแคทเกาะแขนผมไว้แน่น ท่าทางหวาดกลัว ผมยืนประจัญหน้ากับพี่สมชายที่เดินเข้ามาใกล้ เอาตัวบังคุณแคทไว้

“พูดไม่เชื่อ อยากทำตัวเป็นฮีโร่หรือไง ได้เลย อยากจะมีปัญหากับเพื่อนบ้านนักใช่ไหม จัดให้เดี๋ยวนี้เลย”

พี่สมชายง้างกำปั้นขึ้นแล้วทุบเปรี้ยงมาที่ใบหน้าผม แต่ผมหลบได้ทัน และคว้าข้อมือของพี่สมชายเอาไว้ กะจะบิดไปข้างหลัง แต่เขาเกร็งข้อทำให้บิดไม่ไป

ร่างกายเขาดูหนา บึกบึนแข็งแรงกว่าผม ถ้าแลกหมัดกัน ผมคงสู้ไม่ได้ คนทำงานประจำที่แทบจะไม่เคยออกกำลังกายอย่างผม จะไปต่อกรคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างเขาได้ไง

เพียงเขากระตุกแขนกลับ ผมก็เกือบเซแล้ว เขาง้างมือจะทุบซ้ำ แต่ผมรีบหมุนตัวกลับ พาร่างเปลือยของคุณแคทวิ่งออกจากห้องไป ไม่อยากปะทะเมื่อเห็นว่าตัวเองไม่มีทางเอาชนะเขา

เราสองคนวิ่งลงมาข้างล่าง โดยที่พี่สมชายตามมาติดๆ ท่าทางเขาดูเหมือนคนบ้าคลั่ง จนผมเองยังนึกกลัว คุณแคทวิ่งถลาเข้าไปในห้องครัว เสียงตู้ลิ้นชักดังโครมคราม ส่วนผมยืนอยู่กลางห้องรับแขก คอยกันพี่สมชายเอาไว้ ไม่ให้ตามเธอไป

“พอได้แล้วนะครับพี่สมชาย พวกเราไม่อยากต่อสู้กับพี่ ผมเองก็ยังเคารพรักพี่อยู่ ที่ทำลงไปนี้เพราะหวังดีนะครับ ผมอยากให้ทุกคนอยู่กันอย่างมีความสุข”

พยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบอีกครั้งเพื่อให้หายโมโห แต่พี่สมชายดูเหมือนจะไม่พอใจในสิ่งที่ผมพูด เขายิ้มแสยะและขึ้นเสียงดังเอากับผม
“ดีแล้วที่ไม่อยากจะสู้ เพราะผมสามารถจับคุณหักเป็นสองท่อนได้ง่ายๆ ยิ่งโมโหแบบนี้ยิ่งมือหนัก แล้วอย่ามาสู่รู้ว่าความสุขของผมคืออะไร คุณไม่มีทางรู้หรอก ผมกับเขารักกันมาตั้งแต่ตอนอยู่มหาวิทยาลัย

ต่อให้ผมมีเมียแล้วผมก็ยังรักเขา ผมรักลูก แต่ผมก็ยังอยากได้เขา ผมพูดกับคุณว่าผมจะทิ้งเขา เอาเข้าจริงผมก็ทิ้งเขาไม่ได้

เขาเป็นเมียผมอีกคน ผมไม่อยากให้ใครมาแย่งเขาไป ได้ยินไหม ผมจะเอาเมียผมคืน คุณไม่เกี่ยว ถอยไป กลับไปบ้านซะ แล้วผมจะไม่เอาเรื่องเอาราวอะไรกับคุณ แต่หากยังไม่เชื่อ เราจะได้เห็นดีกัน ผมจะไม่ยอมหยุดแค่นี้แน่ ใครก็ตามที่มันบังอาจพรากแคทไปจากผม ต้องได้ตายกันไปข้าง”

น้ำเสียงนั้นดูคุคาม ใบหน้าดุดันน่ากลัว พี่สมชายคนเดิมหายไปแล้ว เหลือใครก็ไม่รู้ที่ผมไม่รู้จัก ไม่น่าเชื่อว่าเราเป็นเพื่อนบ้านกันมานานหลายปีแล้ววันนี้ผมเพิ่งเห็นตัวจริง แต่อย่างไรก็ตาม ผมคงไม่หนี ผมคงสู้เป็นเพื่อนคุณแคท ไหนๆก็ช่วยมาถึงขึ้นนี้แล้ว

“พี่นั่นแหละที่จะต้องเป็นฝ่ายไป...เราจบกันแล้ว ...แคทไม่อยากเห็นหน้าพี่อีก”

คุณแคทเดินมาจากครัวด้านใน และหยิบมีดปลายแหลมมาด้วย พี่สมชายชะงักกึก ส่วนผมตกใจที่คุณแคทเล่นแรงขนาดนั้น นี่จะตกลงกันด้วยสันติวิธีไม่ได้เชียวหรือ ต้องให้เลือดตกยางออกกันเลยหรือไง ถึงจะหยุดยั้งความบ้าคลั่งกันได้

“กล้าเอามีดมาขู่ผัวตัวเองเลยเหรอแคท เธอกล้าเหรอ กล้าแทงผัวคนนี้เหรอ คนที่เธอเคยบอกว่ารักนักรักหนา อยากใช้ชีวิตอยู่ด้วย ทำไมล่ะแคท ทำไมเรากลับมาอยู่ด้วยกันอีกไม่ได้ ในเมื่อเธอเองก็ยังรักพี่อยู่”

น้ำเสียงของพี่สมชายมีแววตัดพ้อ ท่าทางเขาเจ็บปวดใจที่เห็นคนรักถือมีดไม้มาขู่เขาแบบนี้ ผมหันไปมองคุณแคท ก็เห็นเธอยืนกำมีดปลายแหลมชี้ไปหาพี่สมชาย เนื้อตัวสั่นระริก น้ำตาคลอตา

“ถ้าพี่ไม่เลิกยุ่งกับแคท บางทีนี่อาจจะเป็นหนทางสุดท้ายที่จะหยุดพี่ได้ แคทขอร้องพี่แล้วให้ออกไปจากชีวิตแคทเสียที แคทไม่อยากทำบาป พรากผัวมาจากเมีย พรากพ่อมาจากลูกอีกแล้ว”

“ไม่ต้องทำแบบนั้นก็ได้ พี่ตัดสินใจแล้วว่าพี่จะเลือกแคท เราจะแต่งงานกัน แล้วไปอยู่นอกด้วยกันนะ ต่อไปนี้ใครก็มาขวางเราสองคนไม่ได้แล้ว”

พี่สมชายเดินเข้ามาหา คุณแคทถอยหลังกรูด แต่มือยังคงกำมีดปลายแหลมแน่น

“ม่ายยยยยยยยยย”

เธอกรีดร้องเสียงดัง ราวกับคนเสียสติ

“พอแล้ว หยุดได้แล้ว แคทไม่เอาแล้ว แคทจะเลิกกับพี่ กลับไปซะ ไปเดี๋ยวนี้ อย่าให้แคทลงมือทำร้ายพี่นะ ....”

“พี่สมชาย พอเถอะครับ กลับบ้านเถอะ อย่ายุ่งกับคุณแคทอีกเลย”

ผมขอร้องเขาด้วยอีกคน แต่พี่สมชายปฏิเสธพร้อมกับก้าวเดินเร็วๆมาหาคุณแคท ผมเห็นท่าไม่ดี เลยเดินเข้ามาจะเข้าไปกัน แต่ช้าไปกว่าพี่สมชายเพียงแค่นิดเดียว

เขาถึงตัวคุณแคทแล้วและจับมือเธอบิดเพื่อให้ปล่อยมีด แต่คุณแคทกำมีดไว้แน่นมาก และปาดซ้ายปาดขวาไปมาเฉียดเนื้อตัวของพี่สมชาย ผมกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นเลย

พยายามเข้าแทรกกลางระหว่างสองคนนั้น ดันสองคนออกห่างจากกัน และพยายามจะดึงมีดออกจากมือคุณแคท พัลวันนัวเนียกันอยู่สามคน และแล้วผมก็ได้รู้ว่า เป็นการตัดสินใจผิดที่ผมยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้

คมมีดขาววับจากมือของคุณแคทวาบขึ้นจากปรายหางตา และแล้วก็สัมผัสเข้ากับผิวเนื้อ มีดตกจากมือของคุณแคททันที เธอกรีดร้องสุดเสียงอย่างตกใจ พี่สมชายยืนตะลึงหน้าซีดเผือด ผมเบิกตาโพลง จ้องมองเลือดที่ทะลักออกจากมือตัวเอง

รอยแผลยาวประมาณ ห้าเซ็นต์ อยู่ระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือของผม มีเลือดไหลออกมาไม่หยุด รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาทันที เมื่อกี้ตอนที่แย่งมีดกัน คุณแคทกวัดแกว่งมีดในมือไปมา แล้วผมพยายามจะแย่งเลยโดนคมของมีดบาดเป็นแผลเข้า

แผลไกลหัวใจมาก ไม่ทำให้ผมถึงตาย แต่ก็ทำให้พี่สมชายหยุดยั้งความบ้าคลั่งของตัวเองได้ เขาหันหลังกลับแล้ววิ่งออกไปจากบ้านทันที จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงสตาร์ทรถออกไป

คุณแคททรุดนั่งกับพื้น คร่ำครวญหวนไห้อย่างคนเสียสติ เธอพร่ำพูดขอโทษผม ท่าทางเธอขวัญเสียมาก ผมเป็นฝ่ายที่ได้สติก่อน รีบขออุปกรณ์ทำแผลจากคุณแคทเพื่อห้ามเลือดให้กับตัวเอง

เธอปาดน้ำตา แล้ววิ่งขึ้นไปบนห้อง หายไปสักพักก็กลับลงมาพร้อมกับสำลี ยาแดง ผ้าก๊อต และพลาสเตอร์ เธอมีแค่นั้นจริงๆ ผมเอาสำลีมาเช็ดเลือดที่บาดแผล แต่มันก็ยังไหลซึมออกมาไม่หยุด คงจะบาดเข้าไปลึก

ผมเอาผ้าก๊อตพันแผลไว้เบื้องต้น เพื่อไม่ให้เลือดมันออกมาก คุณแคทเห็นอาการของผม ก็เลยเป็นห่วง บอกว่าหน้าปากซอยบ้านเธอมีคลีนิค ให้ไปทำแผลก่อน ผมเลยตกลง เพราะไม่อยากกลับบ้านไปแบบนี้เหมือนกัน กลัวเดียร์จะเป็นห่วง

คุณแคทวิ่งขึ้นไปบนบ้านอีกครั้ง หยิบเสื้อยืดตัวโคร่งมาปกปิดร่างเปลือยของตัวเอง โดยไร้ซึ่งอาภรณ์ตัวใน แต่ความรีบทำให้ไม่มีเวลามาคิดเรื่องนี้ พอปิดบ้านเสร็จ เธอก็ขึ้นมานั่งที่รถของผม อาสาขับให้ จากนั้นก็พาไปที่คลีนิคเพื่อให้หมอเย็บแผลให้ผม

ที่คลีนิคตอนเราเดินออกมาหลังจากหมอทำแผลให้เรียบร้อยแล้ว คนไข้และญาติที่นั่งรอต่างมองเราสองคนเป็นตาเดียว เพราะผมเองอยู่ในสภาพยุ่งเหยิง ทั้งหัวหู และเสื้อผ้า ในขณะที่คุณแคทอยู่ในชุดเสื้อยืดยาวแค่คลุมสะโพก แต่มองดูก็รู้ว่าไม่ได้ใส่อะไรไว้ข้างในเลย

แถมหุ่นของคุณแคทก็ทำมาอย่างเพอร์เฟค อวบอัดเร้าใจอีกด้วย คนเลยมองเราสองคนอย่างสงสัย บ้างก็ซุบซิบกันต่อหน้าต่อตา พอผมมองไปก็เห็นใบหน้าคุ้นตาลอยอยู่ท่ามกลางคนพวกนั้นจนต้องหันไปมองซ้ำอีกที

ผู้ชายที่ท่าทางกระตุ้งกระติ้งคนหนึ่ง นั่งอยู่ตรงที่นั่งคนไข้เพื่อรอเรียกตรวจ กำลังมองมองที่ผมกับคุณแคทอย่างสอดรู้สอดเห็นเต็มที่ เขาคือคนเดียวกับที่นินทาผมในห้องน้ำ และในร้านอาหารญี่ปุ่นนั่นเอง

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่47 6/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 06-03-2009 16:06:43
พอเขาเห็นผมมอง เขาก็ยิ้มให้อย่างกล้าๆกลัวๆ ผมเมินหนี ไม่อยากให้ความใส่ใจ แต่นึกในใจว่า วันจันทร์ผมต้องเผชิญกับมรสุมข่าวลืออีกแล้ว คราวนี้จะลือเรื่องผมกับคุณแคทยังไงอีกหนอ ทำไมทุกอย่างมันจึงบังเอิญ และซวยซับซวยซ้อนจริงๆ

หรือนี่เป็นบัญชาจากสวรรค์ที่ต้องการให้ผมพิสูจน์ความสามารถในการที่จะใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้อย่างเข้มแข็ง นี่ผมต้องเผชิญกับอุปสรรคแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่กันนะ ผมจึงจะสมหวังในชีวิต

“เจ็บไหมคะ เรียว.......แคทขอโทษนะคะ แคทไม่ได้ตั้งใจ ที่จะทำร้ายคุณ”

“ไม่เป็นไรครับ มันเป็นอุบัติเหตน่ะ อย่าโทษตัวเองเลย”
ผมปลอบโยนคุณแคท รู้ดีว่าเธอเสียใจมากแค่ไหนกับเรื่องที่เกิดขึ้น วันนี้เธอเผชิญกับเรื่องร้ายๆมามากพอแล้ว ผมไม่อยากให้เธอเสียใจกับเรื่องนี้อีก

“แคทไม่น่าโทรไปหาคุณเลย ทำให้คุณลำบากอีกแล้ว ต้องมาหาแคทอีก แถมซ้ำยังมาเจ็บตัวเพราะแคท ไม่น่าเลยจริงๆ”

เธอขอโทษขอโพยผม ท่าทางสำนึกผิด ผมเลยบอกกับเธอไปว่าอย่าคิดมาก นี่คือสิ่งที่เพื่อนจะช่วยเพื่อนได้ เธอกล่าวขอบคุณผม และชื่นชมว่าผมเป็นคนดี เธอรู้สึกอิจฉาเดียร์ที่ได้ผมเป็นคนรัก เธออยากจะมีอย่างนี้บ้าง ผมเลยบอกกับเธอว่า สักวันหนึ่งเธอคงได้เจอกับรักแท้ของตัวเอง

“แล้วนี่ เรียวมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ แคทลืมถามไปเสียสนิทเลยมัวแต่ตะลึงอยู่”

“ไม่มีครับ เพียงแต่ วันนี้ผมนัดว่าจะไปเจอกันกับเดียร์ที่บ้าน เราจะช่วยกันจัดงานวันวาเลนไทน์ฉลองกันค่ะ”

ผมบอกไปตามตรง คุณแคทอุทานด้วยความตกใจ แล้วขอโทษผมอีก ที่ทำให้เสียเวลา

“แคทนี่แย่จริงๆเลย ลืมนึกไปได้ไงนะ ว่าพรุ่งนี้เป็นวันวาเลนไทน์ คุณอาจจะต้องการเวลาที่จะอยู่กับแฟนของคุณ พูดไปพูดมา แคทก็เหมือนคนเห็นแก่ตัวเลย คิดถึงแต่เรื่องของตัวเอง เดือดร้อนทีไร ก็ให้คุณช่วยทุกที แล้วนี่ นัดกันไว้ตอนกี่โมงคะ”

“ตอนแรกนัดไว้ หกโมงครับ ตอนหลังก็เลื่อนมาเป็นสองทุ่ม”

“จริงเหรอคะ ว้ายยยยย นี่มัน เกือบจะห้าทุ่มแล้วค่ะ สงสัยเดียร์รอคุณแย่เลย โทรไปบอกเขาหรือยังคะ”

“ยังเลยครับ ติดต่อไปไม่ได้เลย มือถือปิด หรือแบตหมดไม่รู้”

“สงสัยแบตหมดแล้วมั๊งคะ แล้วเรียวอยู่เฉยๆได้ไงเนี่ย ทำไมไม่รีบไปหาคนรักของคุณล่ะคะ ไม่ต้องห่วงแคทเลย ไปเถอะ ป่านนี้เขาอาจจะรอคุณอยู่ที่บ้าน แล้วกำลังงอนอยู่ก็ได้”

คุณแคทจอดรถของผมตรงข้างทาง ทำท่าจะก้าวลงไป แล้วให้ผมขึ้นมานั่งแทน ผมร้องห้ามถามว่าเธอจะไปไหน เธอบอกจะนั่งแท็กซี่กลับบ้าน แต่ผมไม่ให้เธอไป เพราะดูจากการแต่งตัวของเธอแล้ว คงไม่ได้กลับถึงบ้านแน่

“งั้นเอางี้ แค่ไปด้วยกันกับคุณเลยนะคะ ดีไหม จะได้ช่วยกันอธิบายให้เดียร์ฟัง ถ้าหากเขาไม่พอใจที่คุณกลับบ้านช้า บางทีพอฟังเหตุผลแล้วเขาอาจจะเข้าใจคุณก็ได้ ว่าคุณไม่ได้เถลไถลไปไหน แต่คุณไปทำความดีช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน”

เธออาสาจะช่วยผม

“จะดีหรือครับคุณแคท อย่าลำบากดีกว่า ผมไปส่งคุณที่บ้าน แล้วก็กลับเลยดีกว่า ไม่นานหรอก คุณจะได้พักผ่อน”

“ไม่ได้ค่ะ เรียว เห็นแบบนี้แล้ว แคทไม่สบายใจเลย ดูหน้าคุณก็รู้ว่าคุณเองก็กังวลใจไม่น้อย เพราะมันผิดเวลาไปมาก ติดต่อกันก็ไม่ได้ มันง่ายต่อการที่จะถูกเข้าใจผิดจริงๆ”
คุณแคทยังยืนยันในเจตนาเดิมที่จะไปช่วยผม

“นะคะเรียว ให้แคทช่วยคุณบ้างเถอะ คุณช่วยเหลือแคทมามากจนตัวเองเดือดร้อน แคทเป็นเพื่อน ก็ไม่อาจจะนิ่งดูดายได้ นี่ถ้าคุณต้องเลิกกับเดียร์ แคทจะไม่ให้อภัยตัวเองจริงๆนะคะ ให้แคทไปเป็นเพื่อนเถอะ เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง”

เห็นท่าทางจริงใจต่อการช่วยเหลือผมแบบนั้น ก็เลยทำให้ปฏิเสธไม่ลง ในที่สุดผมก็ยินยอมให้เธอไปที่บ้านผมด้วย โดยที่เธออาสาเป็นคนขับรถให้

ในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เราสองคนก็มาถึงบ้าน ทันทีที่เราก้าวลงจากรถ ก็ได้ยินเสียงเอะอะเอ็ดตะโรลั่นอยู่ด้านใน เสียงของคนทะเลาะกัน ผู้ชายกับผู้หญิง และแล้ว ประตูก็เปิดผางออก พี่วิภา เดินหน้าบึ้งตึงออกมาจากบ้านของผม ตรงมาที่เราสองคนทันที

“กลับมาแล้วหรือคะ แล้วคุณสองคนไปไหนกันมาล่ะ”

แม้ใบหน้าจะยิ้มแย้ม ทักทายเหมือนปกติของเพื่อนบ้านเวลาเจอหน้ากัน แต่น้ำเสียงค่อนข้างห้วน สายตาของเธอกวาดทั่วตัวเราสองคนอย่างพินิจพิจารณา ก่อนที่จะมาหยุดอยู่ตรงคุณแคทลียา ซึ่งอยู่ในชุดเสื้อยืดตัวหลวม ไม่ใส่อะไรเลยข้างใน

“ครับ เกิดอะไรขึ้นข้างในบ้านหรือครับ”

ผมถามอย่างสงสัย มันเกิดอะไรขั้นในบ้านของผม ทำไมพี่วิภาถึงมาอยู่ที่นี่ แล้วใครที่อยู่ข้างใน เดียร์หรือเปล่า เสียงทะเลาะกันนั่นเป็นเสียงใครอีกคน หรือว่าเดียร์ทะเลาะกับพี่วิภา

ยังไม่ทันที่เพื่อนบ้านจะตอบผม ร่างๆหนึ่งก็ถลันออกมา ท่าทางโงนเงนเหมือนคนที่ดื่มเหล้าเข้าไปอย่างมากมาย ทันทีที่เขาเห็นผมกับคุณแคท เขาก็พุ่งเข้าหาทันที คุณแคทหลบเข้าด้านหลังผมอัตโนมัติ เมื่อเห็นว่าพี่สมชายกำลังเดินตรงมาหาเราสองคนอย่างมุ่งร้าย

“มาแล้วเหรอ ป่านนี้เพิ่งจะมา คงจะปรนเปรอสวาทกันเต็มคราบเลยสิท่า”

ต่อหน้าต่อตาพี่วิภาแท้ๆ พี่สมชายยังทำท่าหึงหวงคุณแคทไม่ลืมหูลืมตา แถมซ้ำ ต่อว่าต่อขานด้วยถ้อยคำดูหมิ่นผมกับคุณแคทอีก ผมพยายามจะข่มใจ ไม่โกรธตอบ ไม่อยากให้กระทบกระเทือนความรู้สึกของพี่วิภา เธออาจจะยังไม่รู้ว่าพี่สมชายกำลังหึงหวงคุณแคทอยู่ อยากให้เธอคิดว่าสามีเธอแค่เมา และพูดจาไม่รู้เรื่องเท่านั้น

“พูดอะไรอย่างนั้นครับพี่สมชาย รู้สึกว่าพี่จะเมาแล้วนะครับ ไปนอนเถอะนะ”

“ยังไม่ไปไหนทั้งนั้น จนกว่าจะพูดกันรู้เรื่อง”

“พี่สมชาย กลับบ้านเถอะค่ะ เมาแล้วอย่ามาก่อเรื่องเลย”

ผมหันไปมองหน้าพี่วิภา ก็เห็นเธอทำหน้าไม่พอใจ ท่าทางโกรธจัด เธอตรงเข้ามาดึงแขนสามีของเธอ จะพาให้กลับบ้าน แต่เขาสบัดแขนออก ท่าทางดื้อดึง

“เธออย่ามายุ่งเลยวิภา กินเหล้าแค่นี้ฉันไม่เมาหรอก แล้วไอ้คนที่ก่อเรื่องไม่ใช่ฉัน แต่เป็นสองคนนี้ต่างหาก และฉันจะปล่อยคนแบบนี้ไว้ไม่ได้”

พี่สมชายพูดด้วยเสียงเหี้ยมเกรียม พลางเดินเข้ามาอย่างจะเอาเรื่อง
“แล้วสองคนนี้เขาไปทำอะไรให้พี่ พี่ถึงได้โกรธพวกเขานักหนา หรือว่า พี่ชอบแฟนของคุณเรียว พี่แอบชอบเขา พี่จะแย่งเขามาใช่ไหม”

พี่วิภาคว้าแขนพี่สมชายและถามด้วยเสียงอันดัง

“ใครบอกเธอว่าเขาเป็นแฟนกัน สองคนนี่หลอกและตบตาพวกเราต่างหาก ที่จริงแล้ว ยัยนี่มีผัวแล้ว และฉันต่างหากที่เป็นผัวแม่นี่”

สิ้นคำของพี่สมชาย เราสามคนต่างก็อึ้ง ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าคำพูดนี้จะหลุดออกมาจากปากเขา ผมรู้สึกผิดหวังในตัวพี่สมชาย พร้อมกับเสียใจที่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดูสิ

เราอุตส่าห์วางแผนตบตาเพื่อให้ครอบครัวเขากลับมามีความสุขดังเดิม ช่วยเหลือคนอื่น จนผมกับเดียร์ใกล้จะบ้านแตกกันแล้ว แต่พี่สมชายกลับมาเปิดโปงความลับของตัวเองซะงั้น แล้วสิ่งที่ผมสู้ทำมาล่ะ มันไม่เสียเปล่าไปหรอกหรือ

“ไม่จริงนะคะ พี่วิภา แคทไม่ได้เป็นอะไรกันกับพี่สมชาย เขามาแล้ว และจะหาเรื่องพวกเรา พี่ต้องอย่าไปเชื่อนะคะ แคทมีเรียวแล้ว แคทไม่ได้ชอบสามีพี่นะคะ”

คุณแคทปฏิเสธปากคอสั่น ผมรู้ว่าเธอกำลังกลัว ทั้งพี่สมชาย และพี่วิภาที่บัดนี้ดวงตาวาวโรจน์ดุจนังเสือร้าย ที่กำลังมองเห็นคุณแคทเป็นแพะตัวน้อยๆที่เธอพร้อมจะตะปบให้แหลกเหลวด้วยกรงเล็บเพชรฆาต และฉีกเนื้อกินเป็นภักษาหาร

“ตอแหล อย่ามาเล่นละครเลย เธอเป็นเมียของฉันมาตั้งแต่อยู่มหาวิทยาลัยแล้ว ถึงตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ เธอรักใครไม่ได้หรอกแคท นอกจากฉันคนเดียว”

พี่สมชายพูดเหมือนคนที่บ้าคลั่ง ผมเห็นพี่วิภาตัวสั่นระริก มือกำหมัดแน่น เธอมองหน้าคนโน้นที คนนี้ทีด้วยดวงตาที่ขุ่นเคือง จากนั้นก็หันไปแหวใส่สามีตัวเอง

“นี่มันอะไรกันคะ พี่สมชาย บอกให้มันกระจ่างหน่อยได้ไหม แล้วไอ้ที่พี่ประกาศอยู่นี่ว่าคุณแคทเป็นเมียพี่อีกคนมันจริงหรือเปล่า เขาคบกับคุณเรียวไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงมาเป็นเมียของพี่อีกคนได้ อย่าบอกนะ ว่าพี่กับคุณแคท ทรยศ ภา กับ คุณเรียว สวมเขาให้เราสองคนมาตลอดโดยที่เราไม่เคยรู้เรื่องกันเลย”

“พี่วิภาครับ อย่าไปเชื่อพี่สมชาย เขาเมาแล้วครับ เลยพูดอะไรเลื่อนลอย ไม่มีมูลความจริง ผมกับคุณแคทเป็นแฟนกันจริงๆครับ เรากำลังจะแต่งงานกันครับ”

จำเป็นต้องโกหกอีกแล้ว ผมไม่อยากทำเลย แต่เห็นพี่วิภาทำท่าเหมือนจะร้องไห้ ผมก็ทนไม่ไหว ทำไมพี่สมชายถึงกลายเป็นคนแบบนี้นะ ทำไมช่างกล้าพูดอะไรไม่รักษาน้ำใจเมียของตัวเองเลย นี่มันฤทธิ์เหล้าพาไป หรือความหึงหวงมันบังตา จึงทำให้พูดออกมาแบบนี้ รู้หรือเปล่าว่าความเสียหายมันจะเกิดขึ้นตามมา จากการไม่รู้จักกาละเทศะของตัวเอง

“ใช่ค่ะ พี่วิภา เราจะแต่งงานกันจริงๆ เชื่อเราเถอะค่ะ”

“สมคบกับโกหกดีนักนะ ทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร บอกแล้วไงว่าอย่าตกเป็นเครื่องมือของผู้หญิงคนนี้ เขากำลังหลอกใช้คุณ ให้กำจัดผมออกไปจากชีวิตเขา แล้วดูสิ สิ่งที่เขาทำมันกระทบถึงใครต่อใครหลายคน รวมถึงตัวคุณด้วยนะเรียว ขอทีเถอะ อย่ายุ่งเรื่องนี้เลย”

พี่สมชายขอร้องผม พี่วิภามองเราสองคนสลับไปมา อย่างสงสัย ไม่รู้จะเชื่อใครดี แต่มีแนวโน้มว่าเธอจะเชื่อในสิ่งที่พี่สมชายพูดมากกว่า ผู้หญิงเวลาที่กำลังหึงหวง มักจะฟังสิ่งที่ตรงกับความเชื่อของตัวเอง

เธอรับรู้ว่าพี่สมชายมีผู้หญิงที่ชอบอีกคน และเธอก็เคยบอกกับผมเมื่อไม่กี่วันมานี้ว่าเคยสงสัยในตัวคุณแคทเหมือนกัน เพราะเห็นอาการผิดปกติในตัวสามีสุดที่รัก เวลาเผชิญหน้ากับเพื่อนร่วมงานของผม

หากแต่เพราะเราสองคนบอกว่าเป็นแฟนกัน เธอจึงล้มล้างความคิดนั้นออกไปจากสมองของตัวเอง ทว่าเมื่อมาได้ยินคำพูดจากปากคนใกล้ตัวอีกครั้ง จึงเหมือนถ้อยคำผูกมัดให้เธอปักใจเชื่อว่า ความสัมพันธ์ระหว่างพี่สมชายกับคุณแคทเป็นเรื่องจริง

“นั่นสิ อย่าโกหกกันเลย บอกให้พี่รู้ความจริงเถอะ โกหกไปยังไงก็ไม่มีประโยชน์ ยังไงพี่ก็ต้องพยายามสืบให้รู้อยู่ดี คุณสองคนรวมหัวกันหลอกพี่ใช่ไหม ทำอย่างนี้ทำไม ที่จริงแล้ว คุณเรียวกับคุณแคทไม่ได้เป็นแฟนกัน แค่ตบตาพี่เท่านั้น ใช่ไหมคะ”

คำถามของเธอ ทำเอาเราสองคนนิ่งอึ้ง ไม่รู้ว่าจะยืนยันคำพูดเดิม หรือจะเลิกโกหกดี คุณแคทมีท่าทีเครียดๆ ไม่กล้าแม้จะมองสบตาพี่วิภา ผมคิดว่าเธอกำลังสำนึกผิดในการกระทำของตัวเองที่ครั้งหนึ่งเคยวางแผนที่จะแย่งสามีคนอื่น และบัดนี้ ภรรยาของเขา กำลังต้องการคำตอบจากเธอ ว่าเรื่องทุกอย่างมันเป็นจริงไหม

“ตอบมาสิคะ ตอบให้พี่ได้รับรู้หน่อย ในฐานะลูกผู้หญิงด้วยกัน อย่าปล่อยให้พี่โง่งมอยู่คนเดียวเลยค่ะ บอกความจริงมาเถอะพี่รับได้ทั้งนั้น คุณแคทเป็นผู้หญิงอีกคนหนึ่งของพี่สมชายจริงตามที่เขาพูดใช่ไหมคะ”

หนนี้เธอตั้งคำถามเอากับคุณแคทอย่างคาดคั้น คุณแคทยืนนิ่ง น้ำตาหยดหนึ่งร่วมผลอยออกจากตา เธอทรุดตัวลงนั่งกับพื้น และยกมือไหว้พี่วิภา พลางกล่าวขอโทษ

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่47 6/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 06-03-2009 16:07:24
“ทุกอย่างเป็นเรื่องจริงค่ะ พี่วิภา แคทเคยเป็นเมียพี่สมชายมาก่อน ก่อนที่เขาจะมาแต่งงานกับพี่ เรารักกันมาตั้งนานแล้ว แคทขอโทษนะคะ แคทมันไม่ดีเองที่ยังเอาตัวมาพัวพันเรื่องนี้ ทั้งๆที่รู้ว่าพี่เขามีเมียแล้ว แต่ก็ยังตัดใจไม่ได้ แต่ตอนนี้แคทเลิกแล้ว แคทไม่อยากยุ่งกับพี่เขาอีกต่อไป”
พอคุณแคทสารภาพทุกอย่างออกมา พี่วิภาซึ่งบอกว่ารับได้ ก็กรีดร้องโหยหวน จนดังก้องไปในยามวิกาล เธอ ตรงเข้าทุบตีพี่สมชายเป็นพัลวันอย่างคั่งแค้น ปากก็ด่าทอสามีของเธอด้วยถ้อยคำหยาบคายนานา เพื่อนบ้านของผมก็ได้แต่ปัดป้อง ยังไม่กล้าลงมือรุนแรง

แต่เมื่อเห็นอาการคลั่งของเมียตัวเองที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เขาก็ผลักเธอกระเด็นไป พี่วิภาผวาเข้ามาจะทำร้ายพี่สมชายอีก แต่พี่สมชายจับตัวของเธอไว้ แล้วบิดแขนที่กำลังทุบตีไพล่หลัง ทำให้พี่วิภาเตะถีบลำบาก เมื่อทำอะไรไม่ได้ เธอจึงร้องโวยวายเหมือนคนวิกลจริต

พี่สมชายจึงเขย่าตัวเธอแรงๆจนหัวสั่นหัวคลอน จากนั้นก็ตะคอกเธอด้วยเสียงอันดัง เขาบอกให้เธอมีสติ อย่าคลุ้มคลั่งให้มาก เพราะนี่เป็นเรื่องจริงที่เธอควรจะทำใจยอมรับมันให้ได้ และเขาปรารถนาให้เธอได้รู้ความจริงเสียที เพื่อที่เขาจะได้พาคุณแคทมาแสดงตัวอย่างเปิดเผย และครองรักกันอย่างมีความสุขแบบสามคนผัวเมีย

คำพูดที่เห็นแก่ตัวของพี่สมชาย ทำให้ทุกคนเกิดอาการต่อต้าน ไม่มีใครยอมรับกับสิ่งที่พี่สมชายกำลังจะทำ ผมอดรนทนไม่ไหว จึงไล่ให้พี่สมชายออกจากบ้านผม บอกว่าผมไม่ต้องการคุยกับคนที่กำลังเมาและไร้สติ สิ่งที่พี่สมชายพูดออกมา มันไม่ใช่คำพูดของลูกผู้ชาย เขากำลังทำร้ายคนที่เป็นเมียและแม่ของลูกตัวเองอยู่ อย่าให้ตัณหาน่ามืดมาทำให้ครอบครัวล่มสลายเลย

ชะรอยคำพูดของผมคงจะบาดเข้าไปในอารมณ์ความรู้สึกของเพื่อนบ้านหนุ่ม ผู้แปรสภาพเป็นคนเมาสติแตก เขาร้องตะโกนด่าผม ว่าคิดจะแย่งเมียเขาทั้งๆที่ผมก็เป็นเมียของผู้ชายคนอื่นอยู่ หาว่าผมเองก็ไม่ใช่ลูกผู้ชาย ของที่มีเจ้าของแล้ว ยังจะมาแย่งกันอย่างหน้าด้านๆ หากจะกินเศษเดนของชาวบ้านก็ไปหาจากที่อื่น อย่าได้มายุ่งของๆเขา

เสียงร้องกรี๊ดดังจากคุณแคททันที่พี่สมชาย พูดจบประโยค เธอโต้ตอบพี่สมชายอย่างเผ็ดร้อน ว่าเธอไม่อยากร่วมสังฆกรรมกับพี่สมชายอีกแล้ว ขอให้เลิกรากันไปเสียที เธอคิดผิดตั้งแต่ต้นที่หวนมาหาเขา แต่ตอนนี้เธอต้องการไป ไม่อยากจะทำให้ครอบครัวของพี่สมชายแตกร้าว

แต่พี่สมชายไม่ยอมบอกว่า ถ้าทุกคนต่างตกลงกันได้ ก็จะไม่มีใครที่เป็นฝ่ายไป ข้างฝ่ายพี่วิภา พอได้ยินคำนั้น เธอก็ร้องโวยวายไม่ยอมรับสิ่งที่สามีตัวเองพูดเอาประโยชน์ใส่ตัวเองข้างเดียว เธอบอกว่าเธอจะพาลูกหนีไป ถ้าพี่สมชายจะอยู่กับคุณแคทเธอก็จะย้ายไปอยู่กับพ่อแม่ และหย่าขาดกันไปไม่ต้องติดต่อกันอีก

ทั้งสามคนต่างทุ่มเถียงกันอย่างไม่มีใครยอมฟังใคร โดยที่มีการลากผมเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ในฐานะที่รู้เห็นแต่ไม่ยอมบอกกล่าว ทั้งร่วมมือกันหลอกลวงทำให้เหตุการณ์บานปลายแย่ยิ่งขึ้น เสียงทะเลาะเบาะแว้งกันเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ

อารมณ์ของทุกคนคุกรุ่นไปด้วยความโกรธ แค้น ชิงชัง ในที่สุดคนที่ทนไม่ไหว คนแรกก็คือพี่สมชาย เขาปราดเข้าไปตบหน้าพี่วิภาที่ไม่ยอมให้เขารับคุณแคทเข้ามาเป็นเมียอีกคน เธอฮึดสู้ตบกลับ และข่วนหน้าสามีของตัวเอง แต่พี่สมชายซึ่งบ้าไปแล้วโต้ตอบด้วยการต่อยเข้าที่หน้าท้องจนเมียตัวเองลงไปกองกับพื้น

ทนไม่ไหวแล้ว ผมบอกตัวเองในใจ นี่มันไม่ใช่ลูกผู้ชายแล้ว ทำร้ายจิตใจเมียตัวเองยังไม่พอ แถมซ้ำยังทำร้ายร่างกายกันอีกด้วย ผมจะไม่ยอมปล่อยให้ใครมาทำร้ายผู้หญิงในบ้านของผมเด็ดขาด ผมปราดเข้าไปดึงแขนของพี่สมชายกระชากออก อารมณ์ตอนนั้นไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นฮีโร่หรือผู้พิทักษ์ ผมเป็นแค่พลเมืองดีที่ทนไม่ได้ที่จะเห็นคนถูกทำร้ายต่างหาก

ผลของการเป็นผลเมืองดีของผม คือถูกต่อยจนคว่ำลงกับพื้น คนเมาที่กำลังโมโหนี่แรงดีชะมัด ผมถูกต่อยจนจุกไปหมด และพี่สมชายกำลังตามมากระทืบซ้ำ ผมได้ยินเสียงวีดว้ายอยู่เบื้องหลัง เ ห็นคุณแคทกระโดดขึ้นหลังพี่สมชาย ทุบตีหลังไหล่ ในขณะที่พี่วิภาซึ่งลุกขึ้นยืนได้แล้ว วิ่งไปกระชากผมคุณแคทเพื่อให้ปล่อยสามีสุดที่รักของเธอ กรรมจริงๆ ทุกคนเพิ่งช่วยเธอให้รอดพ้นจากการตบตีของสามี แต่เธอกลับรักเขามากกว่าตัวเอง และทำร้ายคนที่ช่วยเหลืออีก
ผมพยายามจะลุกขึ้น แต่ก็ถูกพี่สมชายเตะเปรี้ยงเข้าที่กลางลำตัวจนทรุดลงไปใหม่ และก่อนที่เขาจะทันยกเท้ากระทืบตัวผม ร่างของพี่สมชายก็ถูกจับเหวี่ยงจนเซถลา จากปรายหางตาของผมมองเห็นร่างสูงใหญ่ของเดียร์ซึ่งโผล่มาจากไหนไม่รู้มายืนบังผมเอาไว้ เขาตวาดด้วยเสียงอันดัง

“ไปให้พ้น กลับบ้านกันไปให้หมดเดี๋ยวนี้ แล้วเลิกยุ่งกับเมียผมได้แล้ว”

“เมียเหรอ”

ผมทวนคำเบาๆ หูแว่วได้ยินคำอุทานจากปากพี่วิภาเช่นเดียวกัน

“ใช่ เรียวเป็นเมียผม ได้ยินแล้วใช่ไหม ถ้างั้นก็ไปได้แล้ว จะไปไม่ไป หรือจะให้ผมลงมือ”

“ปกป้องเมียที่ทรยศของตัวเองเหรอ ทั้งๆที่เขาไม่เคยเห็นค่าตัวเองเลย วันสำคัญแท้ๆยังไปกกผู้หญิงของคนอื่นอีก แล้วยังจะหน้าโง่งมงายหลงเชื่ออยู่ได้ ช่างไม่รู้อะไรเสียบ้างว่าตัวเองน่ะมันก็แค่ควายให้เขาสนตะพายเล่นเท่านั้นแหละ”

พี่สมชายทำหน้ายิ้มเยาะ เขาต่อปากต่อคำกับเดียร์อย่างไม่เกรง และทำท่าว่าจะพูดขึ้นมาอีก แต่เดียร์ชกเปรี้ยงเข้าที่ใบหน้าของพี่สมชายอย่างรวดเร็ว โดนครึ่งปากครึ่งจมูกพอดี ปากพี่สมชายแตก เลือดกำเดาไหลโกรก

“ต๊ายยยย นี่ทำกับเพื่อนบ้านอย่างนี้ได้ไง นิสัยไม่ดี อันธพาล ฉันจะแจ้งตำรวจ”

พี่วิภาร้องกรี๊ด และวิ่งไปหาสามีตัวเอง ลืมความบาดหมางที่ทะเลาะเบาะแว้งกันเมื่อครู่ คุณแคทที่ลงจากหลังพี่สมชายแล้ว เดินเลี่ยงมาทางผม ท่าทางตกใจอยู่ไม่น้อย

“พี่วิภาครับ จะดีเหรอที่จะแจ้งตำรวจน่ะ พี่อยู่ในเขตพื้นที่บ้านใครหรือครับ แล้วแจ้งข้อหาอะไรไม่ทราบ โดยต่อยเพราะบุกรุกบ้านคนอื่นหรือ แล้วพี่สมชายก็เมาอาละวาด ทำร้ายเมียของผมก่อนนะครับ จะแจ้งความเพื่อให้ผมฟ้องกลับหรือไง

ผมว่าพี่วิภากลับบ้านไปดีกว่านะครับ ไปสงบสติอารมณ์ดีๆ คิดให้รอบคอบว่าคนที่พี่กำลังปกป้องอยู่คือคนที่ทำร้ายคนที่ช่วยเหลือพี่ให้รอดจากการถูกทุบตีนะครับ เราบ้านใกล้เรือนเคียงกัน อย่ามีเรื่องกันดีกว่า ผมชอบพี่ รักลูกพี่ แล้วพี่ก็เอ็นดูผม เรื่องวันนี้ อย่าติดใจเอาความกันเลยครับ”

เด็กหนุ่มพูดกับเพื่อนบ้านทั้งคู่ด้วยน้ำเสียงที่เยียบเย็น ผมไม่เคยเห็นเดียร์เป็นแบบนี้มาก่อน เหมือนว่าเขาเป็นน้ำแข็ง ทว่าซ่อนลาวาที่พร้อมจะหลอมละลายทุกสิ่งไว้ภายใน รู้สึกว่ามันน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก

เพื่อนบ้านพ่อลูกอ่อนทำท่าฮึดฮัดไม่พอใจ แต่พอเห็นเดียร์ยืนจ้องหน้าถมึงทึง เขาก็สะบัดหน้าและเดินตามภรรยาที่ทั้งลากทั้งจูงเขาออกไป มีเสียงบ่นด่าเดียร์กับผมให้ได้ยิน

“แล้วคุณแคทล่ะครับ จะอยู่ทำไมไม่ทราบ หรืออยากจะสอดรู้สอดเห็นเรื่องของสามีภรรยาเขา และทำให้เราแตกแยกกันอีก”

โอ๊ย อะไรกันเนี่ย เดียร์ไปพาลกับคุณแคททำไมกัน เธอไม่ได้ทำอะไรให้เขาสักหน่อย

“เอ้อ คือว่าฉัน .....”
ยังไม่ทันที่คุณแคทจะพูดจบ เดียร์ก็สวนขึ้น

“ผมไม่ต้องการคำอธิบายในตอนนี้ครับ กลับไปซะเถอะ ตรงนี้เป็นเรื่องที่ผมกับเรียวจะเคลียร์กันเอง เราผัวกันเมียกันคุยกันได้ มือที่สามอย่ายุ่งดีกว่าครับ”
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่47 6/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 06-03-2009 16:08:03

น้ำเสียงห้วนๆดุดันของเดียร์ทำให้คุณแคทไม่กล้าแม้แต่จะปริปาก เธอหันมามองผม เห็นอากัปกิริยาพยักเพยิดให้เธอกลับบ้านไป ก็รู้แล้วว่าตัวเองจะต้องปฏิบีติตัวอย่างไร เธอส่งยิ้มอย่างเป็นกำลังใจมาให้ผม จากนั้นก็หันหลังเดินออกจากบ้านไป

“คราวนี้ก็เหลือเราสองคนแล้วสินะ ผัวกับเมีย มาเคลียร์ปัญหาคาใจกัน”

เดียร์หันมาทางผม ทำหน้าบึ้งตึง และพูดจาด้วยเสียงดุดัน เขาดึงผมให้ลุกขึ้น แต่เนื่องจากผมถูกต่อยจนจุกไปหมด ยืนไม่ไหว เขาจึงแบกผมขึ้นพาดไหล่ของเขา

“เดียร์เรียกฉันว่าเมียต่อหน้าคนอื่นทำไม พูดแบบนั้นใครๆเขาก็รู้หมดนะ”


ผมต่อว่าเขา ที่จริงไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เขาเจ็บปวดกับคำพูดผม แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงพูดออกไปแบบนั้น

“ยังห่วงหน้า ห่วงศักดิ์ศรีของตัวเองไม่เลิกเลยนะครับ จะถามไถ่กันสักคำไม่มีเลย ว่าผมมานานหรือยัง รอนานไหม สงสัยจะเป็นอย่างที่ทุกคนว่าจริงๆว่าคุณไม่เคยห่วงผมเลย”

คำพูดของเขาฟังดูพิกล เหมือนประชดประชัน กึ่งๆน้อยใจ

“เดียร์ทำไมพูดแปลกๆแบบนี้ เป็นอะไรหรือเปล่า”

ผมถามด้วยความห่วงใย เดียร์แค่นหัวเราะ แล้วพูดเสียดสีตัวเองให้ผมฟัง

“จะให้ผมเป็นอะไรล่ะ เป็นควายโง่ให้สนตะพายแบบบที่พี่สมชายว่าดีไหม”

“อารมณ์ไม่ดีอีกแล้วใช่ไหม ถ้างั้นเราอย่าเพิ่งพูดอะไรกันดีกว่า ปล่อยฉันลงเถอะ พรุ่งนี้หายโกรธ แล้วค่อยมาพูดกันจะดีกว่านะ”

“จะหนีผมอีกหรือครับ พอมีปัญหาก็เลี่ยงที่จะไม่พูด ไม่คุยกัน แต่ต้องทำอย่างนั้น ไม่ต้องหนีผมไปไหนหรอก ยังไงวันนี้เราก็ต้องพูดกันให้รู้เรื่องไปเลย คาใจแบบนี้ผมไม่ชอบ”

“คุยเรื่องอะไรกันล่ะ ถ้าเป็นเรื่องวันนี้ที่ฉันมาสาย ฉันก็ขอโทษนะเดียร์ ฉันไม่ได้ตั้งใจ เผอิญว่าฉันมีงานด่วนเข้ามา แล้วก็ต้องไปกับเจ้านายเพื่อเลือกซื้อของขวัญวันวาเลนไทน์ให้เมียหัวหน้า แล้วฉันก็โทรบอกนายแล้ว”
ผมอธิบายสาเหตุของความล่าช้าให้เขารู้

“แล้วก็มาจบลงบนเตียงที่บ้านของคุณแคทใช่ไหมครับ”

“ทำไมพูดแบบนี้ ฉันไม่ได้ชอบคุณแคทแบบนั้นน่ะ”

“ใครจะรู้ล่ะ เรียวเคยลองกับผู้ชายมาแล้ว อาจจะติดใจอยากลองอีกก็ได้ คราวนี้เปลี่ยนเป็นกระเทยดูบ้าง เปลี่ยนรสเปลี่ยนชาติ ลองก่อนแต่งไง จะแต่งกันอีกไม่นานไม่ใช่เหรอ ไม่แปลกนี่ถ้าจะไปหาประสบการณ์กัน”

คำพูดของเดียร์ทิ่มแทงหัวใจผมนัก เคยถูกคนอื่นนินทาว่าร้ายในลักษณะแบบนี้ ผมรู้สึกเจ็บปวดมาก ไม่นึกเลยว่าจะได้ยินจากปากสุดที่รักของตัวเอง ทำไมต้องว่ากันแบบนี้ด้วย นี่เขาหึงจนไม่ไว้เนื้อเชื่อใจผมเลยหรือไง ทำไมไม่มีเหตุผลเอาเสียบ้างเลย

“พูดแบบนี้กับฉันอีกแล้วนะ ฉันไม่ชอบได้ยินไหม ถ้าจะพูดแบบนี้ก็ไม่ต้องพูดกันอีก”

“ได้โอกาสทันทีใช่ไหม หามานานแล้วนี่ ข้ออ้างที่จะทิ้งผม มีเรื่องกันทีไร ก็คอยแต่จะโทษว่าผมทำผิด ใช่สิ ผมมันไม่เคยมีดีเลยสักอย่าง เรียวถึงไม่ต้องการผม”

“ฉันเคยไปพูดแบบนั้นที่ไหน ไม่เคยโทษว่าเป็นความผิดนายสักหน่อย อย่ามาหาเรื่องกันนะ ถ้าจะทำแบบนั้น ก็ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้”

ผมพยายามจะดิ้นลงจากไหล่ของเขา แต่เดียร์ใช้สองแขนรัดร่างผมไว้แน่น เขาก้าวอย่างรวดเร็ว ขึ้นบันได้ไปชั้นสอง หมุนลูกบิดประตูออก แล้วเปิดประตูเข้าไป จากนั้นก็หันมาลงกลอนด้วยมือเดียวทั้งๆที่มีตัวผมพาดอยู่บนไหล่ของเขา เมื่อล็อคประตูเรียบร้อย เขาก็เดินมาที่เตียง แล้วทุ่มผมลงไปบนที่นอนนุ่มนั่น

ผมตะกายหนี แต่เดียร์โถมตัวลงมาหา เขาจับแขนผมไว้สองข้าง และล้วงมือเข้าไปในกางเกงของตัวเอง แล้วหยิบขดเชือกไนล่อนก้อนเล็กๆออกมา เขาจับมันพันไว้รอบข้อมือของผม และมัดเป็นปมก่อนที่จะนำปลายอีกข้างไปผูกอยู่ตรงหัวเตียง จนแน่นหนา ผมพยายามจะดิ้นหนี แต่ก็ไม่หลุดไปจากเชือกที่พันธนาการผมไว้

“นายจะทำอะไรน่ะเดียร์”

ร้องถามออกไปอย่างตกใจ เมื่อเห็นเดียร์เดินไปหยิบผ้าเทปเหนียวมาถือไว้ในมือ และก้าวขึ้นเตียงคร่อมร่างผมไว้

“เคลียร์ปัญหาคาใจกัน”

“ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย มีอะไรก็พูดออกมาสิ ทำแบบนี้ไม่ชอบเลยนะ”

“ไม่แปลกหรอก คุณไม่เคยชอบอะไรที่เป็นตัวผมมาตั้งแต่แรกแล้ว ต่อให้ผมทำดีหรือทำชั่วกับคุณ ก็คงไม่เปลี่ยนแปลงความรู้สึกของคุณได้”

“พูดอะไรฉันไม่เข้าใจ อย่ามาหาเรื่องกันดีกว่า”

พูดว่าเขาออกไปด้วยความขึ้งโกรธ ตอนแรกผมคิดว่าเดียร์จะอำผมเล่นเหมือนที่เคยทำ แต่ดูจากใบหน้าโกรธขึ้ง กับน้ำเสียงห้วนๆของเขาก็พอจะเดาได้ว่ามีเรื่องบางอย่างที่เดียร์ไม่พอใจผม และนี่คือวิธีการแก้แค้นของเขา

“งั้นหรือครับ ผมน่ะเหรอ เป็นฝ่ายหาเรื่อง ผมจะทำอย่างนั้นทำไม ในเมื่อ ผมรักและหลงคุณจะตาย มีแต่เรียวเท่านั้นที่ทำอะไรไม่ตรงไปตรงมา ปากอย่างใจอย่าง ตอนรับโทรศัพท์ก็พูดจาดีกับผม ว่าเราจะกลับมาช่วยกันจัดบ้าน มีอะไรจะคุยด้วย ผมก็หลงดีใจปลาบปลื้มว่ามันต้องเป็นเรื่องดี ที่แท้คุณก็ส่งนายหน้าไปเจรจา เพราะคุณมันคนขี้ขลาดไม่กล้าเผชิญหน้า สู้ความจริงไม่ได้ เลยต้องใช้คนอื่นไปพูดคำบอกเลิกกับผม”

.........................................................................


“จะหนีผมอีกหรือครับ พอมีปัญหาก็เลี่ยงที่จะไม่พูด ไม่คุยกัน แต่ต้องทำอย่างนั้น ไม่ต้องหนีผมไปไหนหรอก ยังไงวันนี้เราก็ต้องพูดกันให้รู้เรื่องไปเลย คาใจแบบนี้ผมไม่ชอบ”

“คุยเรื่องอะไรกันล่ะ ถ้าเป็นเรื่องวันนี้ที่ฉันมาสาย ฉันก็ขอโทษนะเดียร์ ฉันไม่ได้ตั้งใจ เผอิญว่าฉันมีงานด่วนเข้ามา แล้วก็ต้องไปกับเจ้านายเพื่อเลือกซื้อของขวัญวันวาเลนไทน์ให้เมียหัวหน้า แล้วฉันก็โทรบอกนายแล้ว”
ผมอธิบายสาเหตุของความล่าช้าให้เขารู้


“แล้วก็มาจบลงบนเตียงที่บ้านของคุณแคทใช่ไหมครับ”

“ทำไมพูดแบบนี้ ฉันไม่ได้ชอบคุณแคทแบบนั้นน่ะ”

“ใครจะรู้ล่ะ เรียวเคยลองกับผู้ชายมาแล้ว อาจจะติดใจอยากลองอีกก็ได้ คราวนี้เปลี่ยนเป็นกระเทยดูบ้าง เปลี่ยนรสเปลี่ยนชาติ ลองก่อนแต่งไง จะแต่งกันอีกไม่นานไม่ใช่เหรอ ไม่แปลกนี่ถ้าจะไปหาประสบการณ์กัน”

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่47 6/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 06-03-2009 16:08:45
คำพูดของเดียร์ทิ่มแทงหัวใจผมนัก เคยถูกคนอื่นนินทาว่าร้ายในลักษณะแบบนี้ ผมรู้สึกเจ็บปวดมาก ไม่นึกเลยว่าจะได้ยินจากปากสุดที่รักของตัวเอง ทำไมต้องว่ากันแบบนี้ด้วย นี่เขาหึงจนไม่ไว้เนื้อเชื่อใจผมเลยหรือไง ทำไมไม่มีเหตุผลเอาเสียบ้างเลย

“พูดแบบนี้กับฉันอีกแล้วนะ ฉันไม่ชอบได้ยินไหม ถ้าจะพูดแบบนี้ก็ไม่ต้องพูดกันอีก”

“ได้โอกาสทันทีใช่ไหม หามานานแล้วนี่ ข้ออ้างที่จะทิ้งผม มีเรื่องกันทีไร ก็คอยแต่จะโทษว่าผมทำผิด ใช่สิ ผมมันไม่เคยมีดีเลยสักอย่าง เรียวถึงไม่ต้องการผม”

“ฉันเคยไปพูดแบบนั้นที่ไหน ไม่เคยโทษว่าเป็นความผิดนายสักหน่อย อย่ามาหาเรื่องกันนะ ถ้าจะทำแบบนั้น ก็ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้”

ผมพยายามจะดิ้นลงจากไหล่ของเขา แต่เดียร์ใช้สองแขนรัดร่างผมไว้แน่น เขาก้าวอย่างรวดเร็ว ขึ้นบันได้ไปชั้นสอง หมุนลูกบิดประตูออก แล้วเปิดประตูเข้าไป จากนั้นก็หันมาลงกลอนด้วยมือเดียวทั้งๆที่มีตัวผมพาดอยู่บนไหล่ของเขา เมื่อล็อคประตูเรียบร้อย เขาก็เดินมาที่เตียง แล้วทุ่มผมลงไปบนที่นอนนุ่มนั่น
ผมตะกายหนี แต่เดียร์โถมตัวลงมาหา เขาจับแขนผมไว้สองข้าง และล้วงมือเข้าไปในกางเกงของตัวเอง แล้วหยิบขดเชือกไนล่อนก้อนเล็กๆออกมา เขาจับมันพันไว้รอบข้อมือของผม และมัดเป็นปมก่อนที่จะนำปลายอีกข้างไปผูกอยู่ตรงหัวเตียง จนแน่นหนา ผมพยายามจะดิ้นหนี แต่ก็ไม่หลุดไปจากเชือกที่พันธนาการผมไว้

“นายจะทำอะไรน่ะเดียร์”

ร้องถามออกไปอย่างตกใจ เมื่อเห็นเดียร์เดินไปหยิบผ้าเทปเหนียวมาถือไว้ในมือ และก้าวขึ้นเตียงคร่อมร่างผมไว้

“เคลียร์ปัญหาคาใจกัน”

“ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย มีอะไรก็พูดออกมาสิ ทำแบบนี้ไม่ชอบเลยนะ”

“ไม่แปลกหรอก คุณไม่เคยชอบอะไรที่เป็นตัวผมมาตั้งแต่แรกแล้ว ต่อให้ผมทำดีหรือทำชั่วกับคุณ ก็คงไม่เปลี่ยนแปลงความรู้สึกของคุณได้”

“พูดอะไรฉันไม่เข้าใจ อย่ามาหาเรื่องกันดีกว่า”
พูดว่าเขาออกไปด้วยความขึ้งโกรธ ตอนแรกผมคิดว่าเดียร์จะอำผมเล่นเหมือนที่เคยทำ แต่ดูจากใบหน้าบึ้งตึง กับน้ำเสียงห้วนๆของเขาก็พอจะเดาได้ว่ามีเรื่องบางอย่างที่เดียร์ไม่พอใจผม และนี่คือวิธีการแก้แค้นของเขา

“งั้นหรือครับ ผมน่ะเหรอ เป็นฝ่ายหาเรื่อง ผมจะทำอย่างนั้นทำไม ในเมื่อ ผมรักและหลงคุณจะตาย มีแต่เรียวเท่านั้นที่ทำอะไรไม่ตรงไปตรงมา ปากอย่างใจอย่าง ตอนรับโทรศัพท์ก็พูดจาดีกับผม ว่าเราจะกลับมาช่วยกันจัดบ้าน มีอะไรจะคุยด้วย ผมก็หลงดีใจปลาบปลื้มว่ามันต้องเป็นเรื่องดี ที่แท้คุณก็ส่งนายหน้าไปเจรจา เพราะคุณมันคนขี้ขลาดไม่กล้าเผชิญหน้า สู้ความจริงไม่ได้ เลยต้องใช้คนอื่นไปพูดคำบอกเลิกกับผม”

น้ำเสียงที่พูดเครือนิดๆเหมือนกับว่าคนพูดกำลังสะกดกลั้นอารมณ์เจ็บปวดรวดร้าวภายใน

“มันเรื่องอะไรกัน ฉันไม่เห็นรู้เรื่อง”

เดียร์ยิ้มกริ่ม ก้มหน้ามาจนชิด และสบตาผม แววตาของเขาแข็งกร้าว

“ไม่เอาล่ะ อย่าทำให้ผมหลงเชื่ออีกเลย หน้าหวานๆแบบนี้พูดจาโกหกเก่งชะมัด ทำเป็นใสซื่อไม่รู้เรื่องราว แต่มันไม่มีความจริงใจแม้แต่นิดเดียว ต่อจากนี้ไปผมไม่เชื่อคุณอีกต่อไปแล้ว”

“เดียร์ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ ฉันว่าเราสองคนจะเข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้วนะ เอาล่ะ ถ้านายอยากเคลียร์ก็ปล่อยฉันก่อนนะ แล้วบอกฉันทีว่านายไปได้ยินได้ฟังอะไรมา บางทีมันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องก็ได้”

ผมพยายามพูดจากับเดียร์ดีๆ เพื่อลดความแรงของอารมณ์ แต่เด็กหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธ ดวงตาที่มองมายังผม ฉายแววปวดร้าว

“ผมบอกแล้วไง ว่าผมไม่เชื่อเรียวอีกแล้ว คุณใจร้าย ใจร้ายมากจริงๆ”

“ใจร้ายอะไร บอกมาสิเดียร์”

เริ่มไม่เข้าใจแล้ว ว่าทำไมเดียร์ถึงว่าผมแบบนี้ ผมไปทำอะไรให้เขากัน แค่มาสายแค่นี้ ทำไมเขาถึงได้โกรธมากมายนักหนา ผมจะเล่าให้ฟัง ไม่ปิดแล้วทำไมยังไม่ฟังอีก หรือว่าหึงหวงที่ผมมากับคุณแคท แต่ผมก็บอกไปแล้วนี่นาว่าผมไม่ได้คิดอะไรกับเธอทำไมไม่ฟังกันบ้าง

“ไหนลองบอกฉันมาสิ ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมนายถึงได้ต่อว่าฉันมากมาย แถมซ้ำยังมาจับฉันมัดไว้แบบนี้ ความผิดของฉันมันรุนแรงมากนักเหรอ เราคุยกันดีๆไม่ได้เลยใช่ไหม แล้วที่บอกว่าฉันจะบอกเลิกกับนายน่ะ ใครคนไหนพูดกัน ฉันไม่ได้คิดที่จะทำอย่างนั้นเลยนะ”

“อย่ามาพูดเพื่อเอาตัวให้รอดเลยดีกว่า ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมอาจจะเชื่อ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว”

น้ำเสียงของเดียร์ฟังดูขมขื่น ผมไม่เคยเห็นเขาทำกริยาอาการแบบนี้มาก่อน ถึงแม้เขาจะเคยน้อยใจผมหลายครั้ง แต่เขาก็มักจะมีรอยยิ้มให้เสมอ แต่นี่มีแต่ความเครียดบนใบหน้าเขา



“เปล่านะเดียร์ ฉันแค่อยากจะอธิบายเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้นายฟัง ถ้านายโกรธฉันเรื่องวันนี้น่ะ ฉันก็ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะมาสายจริงๆ อย่างที่บอกนั่นแหละ พอเลิกงานแล้วฉันกำลังจะกลับบ้าน แต่ก็มีงานพิจารณาเคสเข้ามา แล้วหลังจากนั้นเจ้านายก็ขอให้ฉันไปเป้นเพื่อนซื้อของขวัญให้เมียเขา เสร็จประมาณสองทุ่ม กำลังจะกลับบ้านคุณแคทก็โทรมาหาบอกว่ากำลังมีเรื่องเดือดร้อน ฉันก็เลยไปช่วยเธอ”

ผมเล่าให้เขาฟังถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความล่าช้าขึ้น เขาจะได้สบายใจหายโกรธผม แต่สีหน้าของเดียร์ยังคงเย็นชาเฉยเมย

“เรื่องเดือดร้อนของคุณแคทคือเรื่องอารมณ์เหงายามค่ำคืน เลยเรียกคุณไปช่วยปลดเปลื้องหรือเปล่าครับ”

คำพูดเยาะหยัน ทำเอาผมเกือบจะหมดอารมณ์เล่า ทว่าผมพยายามข่มใจไม่โมโหเขา เพราะรู้ดีว่าเด็กหนุ่มกำลังโกรธผมที่มาช้า ปล่อยให้เขาเผชิญหน้าอยู่กับพี่วิภากับพี่สมชายตามลำพัง แถมยังกลับมากับคุณแคทในสภาพที่ชวนให้คิดไปไกล เลยเข้าใจผิดไปใหญ่ ผมเลยตัดสินใจเล่าเรื่องเกี่ยวกับพี่สมชายให้ฟัง แล้วก็พูดถึงเรื่องอุบัติเหตุด้วย เมื่อเขาทำหน้าไม่เชื่อ ผมก็เลยชูมือให้เขาเห็นผ้ากีอตที่พันแผลของผมไว้ เผื่อว่าบางทีเขาอาจจะเห็นไม่ชัด

แววตาของเดียร์เปลี่ยนเป็นสงสารเห็นใจ แต่แล้วก็เปลี่ยนกลับเป็นดุดันเหมือนเดิม ใบหน้าที่เฉยชาของเขาทำให้ผมเดาความคิดของเขาไม่ออก ไม่รู้ว่าเขาเชื่อที่ผมพูดบ้างไหม หรือว่าโกรธจนไม่คิดจะฟังอะไร

“เรียวอยากหาเรื่องเดือดร้อนเอง เรื่องของผัวเมีย ไปยุ่งกับเขาทำไม”

“พูดอย่างนั้นได้ไง เขาเป็นเพื่อนฉันนะ พอเขาเดือดร้อนถูกคนรักเก่ารังควาญฉันก็เลยยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ”

“ช่วยเหลือยังไงครับ รับสมอ้างว่าเป็นแฟนกันใช่ไหม คิดได้ไงกันครับ เรากับพี่สมชายเป็นเพื่อนบ้านกัน คุณทำแบบนี้ ก็เท่ากับทำให้เราผิดใจกับเพื่อนบ้าน มองหน้ากันไม่ติด”

เขากล่าวตำหนิผมที่ไปวุ่นวายกับเรื่องคนอื่น ผมรีบอธิบายให้เขาฟังถึงเหตุผล

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่47 6/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 06-03-2009 16:09:21
“ใช่ที่นายพูดมันก็ถูก แต่ฉันก็ทนไม่ได้ ที่จะเห็นครอบครัวของคนที่เรารู้จักต้องแตกร้าว ฉันจึงยื่นมือเข้าไปเกี่ยวข้องไง พี่สมชายมีเมียอยู่แล้วนะ เขามายุ่งกับคุณแคททำไมล่ะ ฉันก็เลยช่วยคุณแคทในการตบตาเขาว่าเป็นแฟนกัน ที่จริงฉันไม่ได้จะแต่งงานกับคุณแคท แต่พวกเขาเผอิญไปเจอฉันกับคุณแคท ที่ร้านขายเพชรพลอยพอดี พี่วิภาทักทักเอาแบบนั้น ฉันกับคุณแคทก็เลยผสมโรงกันไปด้วย พี่วิภาจะได้สบายใจเลิกหึงหวงคุณแคทซะที”

คิ้วเข้มของเดียร์ขมวดมุ่น เขาทำท่าสงสัยในสิ่งที่ผมพูด

“ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าคุณจะต้องไปช่วยคุณแคททำไม ในเมื่อเรื่องทุกอย่างเป็นเรื่องของคุณแคทกับพี่สมชาย ทำไมไม่ให้เขาสองคนแก้ปัญหากันเอาเอง เรียวไม่ได้รู้เรื่องราวของเขาสองคน ไม่เข้าใจสถานการณ์ที่มันเกิดขึ้น ช่วยก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ซ้ำยิ่งทำให้เสียหายหนักขึ้นไปอีก”

“เขาดีกับฉัน แล้วเขาก็ดีกับนายด้วย เขาช่วยไม่ให้นายถูกตาเฒ่าทรงพลเอาเรื่อง ตอนที่นายไปทำร้ายเขา ตอนนั้นตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ตั้งใจจะแจ้งความจับนายเข้าคุก คุณแคทต้องไปช่วยพูดให้ แลกกับการที่ฉันต้องช่วยแสดงตัวเป็นแฟนเขาเป็นการตอบแทนยังไงล่ะ”

ในที่สุดผมก็พูดออกไปแล้ว ความลับที่ปกปิดเดียร์ เด็กหนุ่มทำสีหน้าปวดร้าว เขายิ้มเหยียดๆ ตาที่มองผมแดงก่ำ

“งั้นหรือครับ ช่วยไม่ให้ติดคุก เลยยอมเป็นแฟนกับคุณแคทเพื่อช่วยผม น่าสรรเสริญจริงๆสำหรับสิ่งที่คุณทำให้ แล้วทำไมเรื่องแบบนี้จึงไม่คิดจะบอกกันเลย ต้องให้ผมรู้เป็นคนสุดท้ายทุกทีใช่ไหม แทนที่เราจะช่วยกันคิดแก้ไข ว่าจะทำยังไงดีเมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แต่คุณก็เก็บไปคิดคนเดียว ตัดสินใจคนเดียว แต่ก็นั่นแหละ โทษคุณก็คงไม่ได้ เพราะในสายตาคุณแล้ว ผมก็คงไม่ใช่คนสำคัญที่คุณจะต้องมาใส่ใจความรู้สึกมากมาย ผมจะคิดยังไง คุณไม่เคยสนด้วยซ้ำ ที่ผ่านมา ผมพยายามจะคิดในแง่ดีว่า สักวันหนึ่งคุณคงจะไว้ใจผม เราจะไม่มีความลับต่อกัน มีอุปสรรคอะไรเกิดขึ้น เราจะช่วยกันฝ่าฟัน แต่คุณก็ได้พิสูจน์ให้ผมเห็นแล้ว ว่าผมคิดผิด คุณไม่แม้แต่จะบอกความจริงกับผมด้วยซ้ำ แม้แต่เรื่องนี้ ซึ่งเป็นเรื่องของผม แล้วคุณต้องมาทนเป็นแฟนกับคนอื่น เพราะช่วยไม่ให้ผมต้องติดคุก”

เสียงของเขาสั่นเครือเหมือนคนพยายามสะกดกั้นอารมณ์ความรู้สึกภายใน คล้ายคนที่กำลังจะร้องไห้ แต่บังคับน้ำตาไม่ให้มันไหลออกมาประจานความอ่อนแอของตัวเอง

“เดียร์..ฉันขอโทษ ที่ฉันไม่ได้บอกนาย ฉันเพียงแต่ไม่อยากให้นายคิดมาก คิดว่าเมื่อจัดการเรื่องนี้จบ ก็จะลืมมันไปเสีย นายก็ไม่ต้องรับรู้เรื่องร้อนหู มันทำให้ไม่สบายใจไปเปล่าๆ”

“งั้นหรือครับ แล้วมันแก้ได้ไหม เกิดเรื่องวุ่นวายใหญ่โตแล้วเห็นหรือยัง รู้ไหมวันนี้พี่สมชายมาโวยวายกับผม ตอนที่นั่งรอคุณ เขาบอกว่าคุณแย่งแฟนเขาไปกก เขาหาว่าคุณหน้าด้านไร้ยางอาย มีผัวอยู่แล้ว ยังจะมาแย่งเมียเขาไปอีก ผมไม่เคยเห็นพี่สมชายคลุ้มคลั่งอย่างนี้มาก่อน นั่งฟังแกไป ก็นึกถึงตัวเองไปว่า หากเรารักใครมากๆแล้วถูกทรยศหักหลัง เราจะบ้าแบบนี้ไหม แค่พี่สมชายก็เกินพอ ผมยังต้องมาเผชิญหน้ากับพี่วิภาอีก ตอนแรกมาตามแฟน ตอนหลังก็พูดถึงคุณ หาว่าคุณพาคุณแคทมาทำให้พี่สมชายเปลี่ยนไป สองคนนั่นเข้ามาทะเลาะกันโดยที่ผมต้องนั่งฟัง นั่งใกล้เกลี่ย แต่พวกนั้นก็ทะเลาะกันไม่เลิก จนกระทั่งคุณกลับมา แล้วเกิดเรื่องขึ้น เห็นหรือยังครับ การเอาตัวเข้าไปสอดในเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง มันวุ่นวายแค่ไหน แล้วการโกหกพกลม ไม่ยอมพูดความจริง มันช่วยอะไรได้ไหม ช่วยให้สองผัวเมียกลับมาคืนดีกันได้หรือเปล่า”

ท้ายประโยคเดียร์ตะคอกผมอย่างกลั้นไม่อยู่

“ฉันเสียใจนะเดียร์ ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”

“มันไม่สายไปหรือครับที่มานึกเสียใจเอาตอนนี้ ในเมื่อเรื่องทุกอย่างมันเลวร้ายลงไปยิ่งกว่าเดิม ถ้าคุณบอกผมตั้งแต่แรก รู้ไหมว่าผมจะจัดการอย่างไร”

เดียร์ถามผมเสียงเข้ม ผมส่ายหน้าที่


“ผมจะเ ดินไปคุยกับนายทรงพลอย่างลูกผู้ชาย บอกกับเขาไปว่า เขาจะจับผมก็ได้ ต่อให้มีอิทธิพลมากมายขนาดไหนผมก็ไม่กลัว ผมมันตัวคนเดียว ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน จะติดคุกเดือนกี่ปีก็ได้ คงไม่มีใครเสียใจเพื่อผม แต่เขาล่ะกล้าที่จะแลกชื่อเสียงของตัวเองไหม ธุรกิจที่เขาสั่งสมมาจะต้องพังทะลาย เมื่อใครต่อใครรู้ว่าเจ้าของร้านเพชรชื่อดังมีเบื้องหลังโสมมอย่างไร ตัวเขาเองมีพ่อแม่ มีญาติพี่น้อง มีหน้ามีตาในวงสังคม จะยอมให้ตัวเองและวงค์ตระกูลต้องแปดเปื้อนมัวหมองด้วยเรื่องแบบนี้หรือ...”

“...”

“ถ้าเขายอมที่จะให้มันเกิดแบบนั้น ผมก็ยินดีที่จะแลก แล้วอีกอย่างผมมีเพื่อนเป็นนักมวยเยอะ กระเทยแรงๆก็แยะพวกนั้นพร้อมที่จะช่วยเหลือผม ขอให้บอกมาเท่านั้น รับรองชื่อเสียงของนายทรงพลมัวหมอง ไม่เหลือที่ให้ยืนในสังคมแน่ ไม่ใช่ผมร้ายกาจ แต่เมื่อเขาขู่มา ผมก็ขู่กลับ คนแบบนี้จะกลัวทำไม ผมว่าการแก้ปัญหาแบบนี้ของผม ก็ทำให้เขาไม่กล้ายุ่งแล้ว โดยที่เรียวไม่ต้องเข้ามาพัวพันเรื่องนี้ด้วย แต่เรียวเลือกที่จะเชื่อคุณแคท ไม่ไว้ใจผม มันถึงเป็นแบบนี้ไง”

เด็กหนุ่มพูดมาก็ถูก ผมผิดเองที่ไม่บอกเดียร์ตั้งแต่แรก ทั้งๆที่แนวทางการแก้ปัญหาของเดียร์ก็ดูเข้าท่าดีเหมือนกัน แต่อย่างที่เดียร์ต่อว่าผมนั่นแหละ ผมเชื่อคุณแคทว่าจะช่วยทำให้เดียร์ของผมรอดปลอดภัยจากคุก และนายทรงพลจะเลิกราวีเราสองคน แต่ความช่วยเหลือของคุณแคทมีข้อแลกเปลี่ยนที่ก่อให้เกิดปัญหามากมายตามมา ยุ่งยากยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีก


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่47 6/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 06-03-2009 16:10:02
“นอกจากเรื่องที่พี่สมชายเป็นแฟนเก่าของคุณแคท และเรื่องที่คุณรวมหัวกันโกหกพี่สมชายและพี่วิภาให้หลงเชื่อว่าคุณสองคนเป็นแฟนกัน มันยังมีอะไรอีกไหมที่คุณยังปิดบังผมอีก”

เขาคาดคั้นถาม แต่ผมนึกไม่ออกว่ามีเรื่องอะไรอีก จึงได้แต่ส่ายหน้า เดียร์แค่นยิ้ม มีร่องรอยความร้าวรานใจแสดงให้เห็นในแววตา ดูเหมือนมันจะบอกให้รู้ว่าผมไม่ได้พูดความจริงกับเขา

“โกหกอีกแล้ว จะโกหกไปถึงไหน ผมรู้ความจริงหมดแล้ว”

“ความจริงอะไร”

“เรื่องที่คุณต้องการจะเลิกกับผม โดยดึงคุณแคทเข้ามาเกี่ยวข้องไงครับ”

“ไม่จริงนะ ฉันไม่เคยคิดอย่างนั้น”

“มีคนเล่าให้ฟังว่า คุณได้รับการแนะนำให้ลองคบกับคุณแคทดู หากคุณต้องการที่จะเลิกยุ่งกับผม และดูเหมือนคุณก็คล้อยตามคำพูดนี้ด้วย”

ใครบอกให้เดียร์ฟังแบบนั้น ผมไม่เคยเห็นด้วยกับเรื่องนี้เลย เพราะผมไม่ได้ชอบคุณแคทมาตั้งแต่แรกแล้ว ตอนที่เจ้าสันต์ยุนั้น ผมยังปฏิเสธไปด้วยซ้ำ เอ หรือว่าเจ้าสันต์นั่นเองที่เป็นคนไปหาเดียร์ แล้วพูดให้เขาฟัง แต่ว่ามันจะทำอย่างนั้นเพื่ออะไร ในเมื่อมันเองเชียร์ผมกับเด็กนี่สุดลิ่ม
ใครบอกให้เดียร์ฟังแบบนั้น ผมไม่เคยเห็นด้วยกับเรื่องนี้เลย เพราะผมไม่ได้ชอบคุณแคทมาตั้งแต่แรกแล้ว ตอนที่เจ้าสันต์ยุนั้น ผมยังปฏิเสธไปด้วยซ้ำ เอ หรือว่าเจ้าสันต์นั่นเองที่เป็นคนไปหาเดียร์ แล้วพูดให้เขาฟัง แต่ว่ามันจะทำอย่างนั้นเพื่ออะไร ในเมื่อมันเองเชียร์ผมกับเด็กนี่สุดลิ่ม

“นายเข้าใจผิดแล้ว ฉันจะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร”

ผมปฏิเสธสิ่งที่เดียร์กล่าวหา เดียร์ยิ้มให้ผมอย่างเหี้ยมเกรียม

“ก็เพื่อรักษาสถานภาพทางสังคมของคุณไง คุณได้รับการเลื่อนตำแหน่งหน้าที่การงานดีขึ้น เงินเดือนสูงมากกว่าเดิม บทบาทความรับผิดชอบมากมาย ดูแลลูกน้องในฝ่ายเยอะแยะ ได้รับการยกย่องเชิดหน้าชูตา ถ้าหากคุณมาอยู่กับผม คุณก็ต้องทิ้งทุกอย่าง เพราะสังคมที่คุณอยู่ยอมรับไม่ได้เรื่องที่คุณจะมีคนรักเป็นผู้ชาย คุณก็เลยคิดหนัก และหาทางจะเลิกกับผมใช่ไหม”

คำพูดของเดียร์จี้ใจดำผมมาก นี่เขารู้มาจากปากคนอื่น หรือว่าเดาเอาเองกันแน่ แต่สิ่งที่เขาพูดก็ทำให้ผมอึ้งพูดไม่ออก เพราะมันเป็นความจริงที่ผมลังเลเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่47 6/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 06-03-2009 16:10:22

“แสดงว่าที่ผมพูดมามันจริงใช่ไหมครับ ผมยังรู้มาอีกว่าคุณได้รับการยื่นคำขาดจากหัวหน้าของคุณให้เลิกยุ่งกับผม เพราะเขาเพิ่งโปรโมทคุณ เขาอยากให้คุณดูดี เหมาะสมกับตำแหน่ง ไม่อยากให้คุณแปดเปื้อนมัวหมองด้วยเรื่องคาวๆ ไม่อยากให้บริษัทเสียชื่อที่มีผู้บริหารฝักใฝ่ในการเป็นเกย์ เขาเอาตำแหน่งมาล่อ ซึ่งทำให้คุณคิดมากพอดูเลยใช่ไหมครับ”

ใช่ สิ่งที่เดียร์พูดมานั้นถูกต้อง แต่เขาไปได้ข้อมูลนั้นมากจากไหน มีเพียงคนเดียวที่ผมเล่าให้ฟัง คนนั้นก็คือสันต์ แต่เขาไม่ใช่คนที่น่าจะทรยศผมด้วยการเอาเรื่องเหล่านี้ให้เดียร์ฟังนี่นา

“ฉันจะไม่โกหกนายหรอกเดียร์ ฉันลังเลใจอย่างนั้นจริงๆ แต่นายจะให้ฉันทำอย่างไรกัน ฉันไม่ได้อยากเป็นเกย์ ไม่ได้อยากมีชีวิตแบบนี้ ฉันอยู่ของฉันดีๆ นายก็เข้ามาในชีวิตของฉัน มาทำให้เรื่องวุ่นวายมันเกิดขึ้น แล้วฉันก็เผลอตัวเผลอใจให้กับนายเรื่อยๆ

ฉันตั้งใจจะปิดเรื่องนี้ไม่ให้คนอื่นรู้ แล้วก็คบกับนายไปแบบนี้ แต่เรื่องมันก็แดงขึ้นมา จนคนรู้เรื่องนี้ไปเกือบทั้งบริษัท มีคนวิพากษ์วิจารณ์ จนมันเข้าไปถึงหูเจ้านายด้วย เพราะเราสองคนไม่ระมัดระวังตัวกันไง นายจำได้ไหม ที่เราไปเที่ยวปีใหม่ด้วยกัน แล้วเราจูบกันมีคนเห็นแล้วถ่ายรูปส่งไปให้หัวหน้าฉันดู เขาถึงได้รู้เรื่องนี้ แล้วมายื่นคำขาดกับฉันไง”

ความจริงอีกเรื่องหนึ่งที่ผมเปิดเผยให้เขารู้ เดียร์ทำหน้าประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยิน แต่แล้วเขาก็ยิ้มเยาะผมอีกครั้ง

“นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่คุณปิดบังผม จนเสียเรื่องใช่ไหมครับ ทำไมไม่บอกผม เราสองคนจะได้ช่วยกันระมัดระวัง ถ้าคุณเพียงแต่บอกผมว่าเราจะคบกันไปแบบนี้ ไม่อยากให้ใครรับรู้ ผมก็จะไม่ทำอะไรรุ่มร่ามให้คนอื่นเห็น ถึงแม้ว่าผมจะอยากควงคุณอย่างเปิดเผย อยากให้โลกรับรู้ว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน แต่ผมก็ไม่อยากทำให้คุณมีปัญหา ไม่อยากทำลายหน้าที่การงานของคุณ แต่คุณก็เลือกที่จะไม่บอกผม แล้วก็จัดการเอง มันเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการไม่ไว้ใจกันไงครับ”

สิ่งที่เดียร์พูดออกมา ทิ่มแทงหัวใจให้ผมเจ็บแปลบอีกครั้ง ผมไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยจริงๆ ที่ผมไม่อยากบอกให้เขารู้ เพราะไม่อยากให้เขาไม่สบายใจต่างหาก มันเป็นเรื่องของผมกับที่ทำงาน ซึ่งผมต้องการแก้ปัญหาเอง ไม่อยากดึงเขามาเกี่ยวข้องด้วย ไม่คิดว่าเขาจะคิดมากแบบนี้

“ผมลองประมวลดูเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น และเริ่มมาคิดได้ว่าคุณปกปิดความจริงผมหลายอย่าง ไม่ใช่แค่สองเรื่องนี้ แต่ยังมีเรื่องอื่นๆด้วย รวมถึงเรื่องของนายทรงพล

ผมสงสัยมานานแล้ว ว่าคุณไปที่คอนโดของเขาทำไม ถูกหลอกหรือเต็มใจไปให้เขาล่อลวง จนเกือบจะเสียตัว ผมว่ามันต้องเกี่ยวพันกับข่าวลือ และคุณแคทลียาอะไรนั่นใช่ไหม

ตอนนั้นคุณไม่ได้บอกผม ผมเองก็ไม่กล้าถาม กลัวว่าจะเป็นการละลาบละล้วง แต่ทุกอย่างมันชวนให้สงสัยเหลือเกิน คุณไม่ชอบนายทรงพล แล้วไปหาเขาทำไม ถ้าเขาหลอกให้คุณไปหาได้ เขาก็ต้องมีอะไรบางอย่างมาล่อลวงใช่หรือเปล่า แล้วพอผมไปช่วยคุณ นายทรงพลเลยจะเอาเรื่อง คุณแคทลียา เลยเสียบเข้ามาในช่วงนี้ใช่ไหมครับ”

เด็กหนุ่มโน้มตัวลงมา แล้วใช้สองมือยันที่นอนไว้ จ้องตาผมเขม็ง ท่าทางเขาเหมือนจะไม่ยอมให้ผมบ่ายเบี่ยงไม่ตอบอีกต่อไป ผมมองหน้าเขาและตัดสินใจเล่าทุกอย่างตั้งแต่เหตุการณ์วันปีใหม่ที่ถูกลอบถ่ายภาพ จนกระทั่งถูกนายทรงพลหลอกไป

และเลยเถิดจนต้องร่วมมือกับคุณแคท ตลอดเวลาที่ผมเล่าให้เดียร์ฟัง เขาได้แต่ทำหน้าเครียดๆ เมื่อผมเล่าจบ เขาก็นั่งลงตามเดิม โดยแทรกอยู่ตรงหว่างขาของผม ทำให้ขาสองข้างต้องเกยอยู่บนขาของเขา ในขณะที่มือยังถูกมัดอยู่

“ฉันเล่าให้นายฟังทุกอย่างแล้วนะเดียร์ ปล่อยฉันเถอะนะ ...อย่าทำกับฉันแบบนี้”

คำขอร้องของผมไม่ได้รับการตอบรับจากเดียร์ เขานั่งมองผมนิ่ง เม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาคู่หวานแดงก่ำ คิ้วขมวดมุ่น หน้าที่ไม่มีรอยยิ้มเลยของเดียร์ทำให้ผมกลัว

“ทุกอย่างมันเกิดขึ้น โดยที่ผมไม่เคยรู้เรื่องเลยแม้แต่นิดเดียว คุณปรึกษาคนอื่นได้ เล่าให้คนอื่นฟังหมดทุกคนยกเว้นผมแค่คนเดียว ทุกครั้งที่ช่วยเหลือคุณในแต่ละเรื่อง

ผมก็ได้แต่ตั้งคำถามให้กับตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมนายทรงพลต้องมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ คุณแคทเป็นใคร สำคัญกับคุณมากแค่ไหน ทำไมถึงสนิทสนมกันจัง

ทำไมเขาต้องมาบ้านเรา ทำไมคนอื่นๆถึงพูดว่าคุณเป็นแฟนกับเขา เวลาเราจะไปเที่ยวกัน ทำไมเพื่อนคุณถึงพร้อมใจกันจะไปด้วย ทำไมคุณถึงไล่ให้ผมออกไปจากบ้านเวลาเพื่อนคุณมา

พี่สมชายมาเกี่ยวอะไรด้วย ทำไมพี่สันต์จึงพูดเหมือนว่ารู้เรื่องดี แล้วทำไมนายศักดิ์ชายถึงต้องมาขอร้องอะไรผมแทนคุณด้วย ทำไมคุณถึงไม่มาพูดด้วยตัวเอง”

ชื่อของศักดิ์ชายทำให้ผมตาลุก เป็นเจ้าหมอนี่จริงๆหรือที่ใส่ไฟผมให้เดียร์ฟัง

“ศักดิ์ชายมาเล่าอะไรให้นายฟังบ้างหรือเดียร์...”

ความอยากรู้ทำให้ผมถามออกไป เด็กหนุ่มจ้องมองหน้าผม แล้วเล่าช้าๆ แววตาที่จ้องมองมาเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองใจ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่47-48 6/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 06-03-2009 17:51:16
เอามาลงให้ 2 ตอนเลย
 :really2:อยากรู้มั้ยเป็นไงต่อ
มาให้ :จุ๊บๆ: ก่อนแล้วจะมาต่อให้
ล่อเล่นนะ อิอิ :oni1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่47-48 6/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: sasa ที่ 06-03-2009 18:05:14
โอ๊ย!!! ให้ทำอะไรก็ยอมอ่ะตอนนี้
ค้างเหลือเกิน ต่อด่วน
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่47-48 6/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: thanagorn ที่ 06-03-2009 20:58:40
ขอร้องละค๊าบ :m15:ด่วนจี๋เลยน้า

รอไม่ไหวแล้ว  :m15:ได้โปรดเถอะพระพุทธเจ้า :call: :call: :call:

ได้โปรดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :z3: :z3: :z3: :z3:


 :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่47-48 6/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: b_hihi ที่ 06-03-2009 23:04:06
เริ่เลย คับผม

เค้นอารมณ์ สุดๆๆ

ต่อเร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่47-48 6/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: ltahset ที่ 07-03-2009 00:40:31
 :serius2:

ค้างงงงงงงง

^^
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่47-48 6/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: nanalonely ที่ 07-03-2009 22:15:59
 :sad4:

มันค้างงงงงงงง
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่47-48 6/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: the_pooh9 ที่ 07-03-2009 23:38:48
^
^
^
จิ้มก้นแนน
เห็นด้วยอ่ะ ค้างมากมาย

 o22
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่47-48 6/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: zheeiiz* ที่ 08-03-2009 08:14:26

ตามอ่านอยู่ 2 วันเต็ม ถึงตอนล่าสุดแล้ว TT~~

ค้างมากมายเลยอ่า เศร้าด้วยไม่อยากให้ทะเลาะกันนานเลย
รีบมาต่อนะคะ ค้างมากมายย 

 :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่47-48 6/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 09-03-2009 14:09:13
ใจร้าย อย่าง แรงงงง


มา ต่อ ไห้ จบตอน เร็วๆๆๆๆๆๆๆ เรยยย


คุน ทาม แบบนี้ ได้ งัย ห่ะ


กรี้ด ด ด ด ด ด :z13: :z13: :z13: :z13: :z13: :z13: :z13: :z13: :z13: :z13: :z13: :z13: :z13: :z13: :z13: :z13: :z13: :z13: :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่47-48 6/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: jaideejung007 ที่ 09-03-2009 15:22:42
มาต่อนะครับผม จะรออ่านนะครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่47-48 6/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 09-03-2009 16:53:45
มาต่อนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่47-48 6/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 10-03-2009 12:45:27
แค่ ได้ คิด ถึง ก็ เป็น สุข ใจ


มา ต่อ ไวไวไว น่ะ คราฟฟฟ


รอ อ่าน ทุก วัน เรยยย :z13: :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่49 10/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 10-03-2009 16:22:29
บทที่ 49

“หลายอย่าง ผมต้องขอบคุณเขา ที่ทำให้ผมได้รู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับคุณ ซึ่งคุณไม่เคยเล่าให้ผมฟังเลยแม้แต่น้อย ที่สำคัญเขาบอกให้ผมรู้ด้วยว่า ตอนนี้คุณกำลังมีปัญหาเรื่องงาน

ใครๆก็นินทาคุณให้เสื่อมเสียชื่อเสียง แล้วคุณก็ไม่ชอบที่ถูกคนอื่นวิพากษ์วิจารณ์แบบนี้ เขาเล่าให้ฟังว่าคุณถูกหัวหน้าเรียกไปตักเตือนหลายครั้งเรื่องที่คุณมาคบกับผม

เขายังบอกด้วยว่า การที่เราเป็นแฟนกันมันมีผลเสียหายต่อเรื่องงาน ทำให้คุณลำบากใจ ที่ใครๆก็ล้อเลียนคุณเรื่องนี้ คุณต้องตอบคำถามหัวหน้าว่าจะทำงานต่อหรือทิ้งมันไป หากเลือกงาน ก็ต้องทิ้งผม ถ้าเลือกผมก็ต้องทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างและกลับไปเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ แน่นอนว่าคุณอุตส่าห์ฝ่าฟันมาถึงขนาดนี้แล้วจะทิ้งไปง่ายๆได้ยังไง”

นี่หรือคือสิ่งที่ศักดิ์ชายบอกกับผมว่ามันจะทำทุกอย่างเพื่อขัดขวางไม่ให้ผมกับเดียร์ได้อยู่ด้วยกัน การเอาเรื่องที่เกิดขึ้นกับผมที่บริษัท มาเล่าอย่างบิดเบือนแบบนี้เนี่ยนะ

“เขาบอกว่าคุณเสียดายสถานภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ไม่อยากทิ้งงานที่มีผลตอบแทนสูงแบบนี้ แต่ติดขัดที่ผมเป็นก้างขวางคอคุณอยู่ แต่เพราะคุณใจดีเกินไป จึงไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ ว่าต้องการให้ผมออกไปจากชีวิตของคุณ

ก็เลยวางแผนกับคุณสันต์ในการที่จะกุเรื่องคุณแคทขึ้นมาเป็นแฟนของคุณเพื่อให้ผมหลงเชื่อ และเป็นฝ่ายไปจากคุณเอง แผนมันก็ดันเข้าทาง

เพราะคุณแคทก็เล่นด้วย สวมรอยเอาช่วงที่เราสองคนกำลังมีปัญหากับนายทรงพล ถือโอกาสยื่นข้อเสนอให้คุณเป็นแฟนเขา เพื่อกำจัดแฟนเก่าอีกคนของคุณแคทด้วย”

“ไม่จริงนะเดียร์ เจ้าศักดิ์มันโกหก มันไม่ใช่แบบนั้น”

ปฏิเสธไปพัลวัน เดียร์กำลังเข้าใจผิดไปใหญ่โตแล้ว ไม่รู้ไปเชื่อคำโป้ปดมดเท็จของศักดิ์ชายได้ไง เดียร์หัวเราะเสียงขื่น กล่าวต่อไปว่า

“ตอนแรกผมไม่เชื่อในสิ่งที่เพื่อนของคุณพูดเท่าไหร่ แต่เขาก็ยกเหตุผลมาอ้างอิงจนผมคล้อยตาม ไม่ว่าจะเป็นการที่คุณไล่ผมออกไปตอนที่พวกเขามา หรือการที่คุณไม่แสดงตัวว่าเป็นอะไรกับผมตอนไปเที่ยวด้วยกัน อยู่ที่บริษัทคุณก็ไม่พยายามที่จะทัก ทำเหมือนว่าเราไม่รู้จักกัน แต่คุณสนิทสนมกับคุณแคท หัวเราะให้กันอย่างมีความสุข ไปไหนมาไหนกับคุณแคทบ่อยๆ แถมวันนี้ก็ยังมาด้วยกันอีก ผมก็เริ่มเชื่อว่าที่คุณศักดิ์ชายพูดนั้นมันเป็นเรื่องจริง”

“เราเป็นแค่เพื่อนร่วมงานกันนะเดียร์ ฉันให้ความสนิทสนมกับเธอในฐานะเพื่อนไม่มีอะไรเกินเลย”

“แล้วคุณจะตอบผมอย่างไรล่ะครับ เรื่องการปฏิบัติตัวกับผมต่อหน้าเพื่อนของคุณ”

เด็กหนุ่มย้อนถาม ผมได้แต่อ้ำอึ้งพูดไม่ออก เพราะผมทำเฉยชากับเขาจริงๆ
“ตอบไม่ได้ใช่ไหมล่ะครับ เพราะว่ามันคือเรื่องจริง คุณไม่กล้ายอมรับว่าผมเป็นอะไรกับคุณต่อหน้าเพื่อน คุณอายที่จะบอกใครต่อใครว่าคุณอยู่กินกับผู้ชายด้วยกัน ในสภาพที่เป็นเมียด้วย

คุณกลัวว่าถ้าทุกคนรู้เขาจะรังเกียจคุณ แล้วหน้าที่การงานก็จะหลุดลอยไป มันเป็นอย่างนั้นใช่ไหมครับ คุณถึงได้ทำเหมือนกับผมไม่มีตัวตน เป็นแค่เพียงอากาศธาตุเท่านั้น ไม่ได้มีชีวิตจิตใจ ไม่มีค่าพอที่คุณจะห่วงใยความรู้สึก”

เสียงของเดียร์เริ่มดังขึ้นเมื่อพายุอารมณ์โหมใหม่อีกครั้ง เขาตัดพ้อต่อว่าผมด้วยความน้อยอกน้อยใจ แล้วผมก็เถียงเขาไม่ได้เลย นอกจากยอมรับความจริง

“ใช่....ฉันไม่เถียงนั่นว่าฉันเคยรู้สึกแบบนั้น แต่นั่นมันเมื่อก่อน เดี๋ยวนี้ฉันไม่ได้รังเกียจนายเลยนะ ฉันก็พานายไปเที่ยวด้วยแล้วไง ที่เกาะเกร็ดน่ะ เพื่อนฉันก็รับรู้การมีตัวตนของนายแล้วด้วย ฉันไม่ได้ปกปิดอะไรเลย”
“ไม่ปกปิด แต่ไม่พูดให้คนอื่นรู้มันก็มีค่าเท่ากันนั่นแหละ”

“แล้วนายจะให้ฉันทำไง นายคิดว่า คนเป็นเกย์คบกัน มันต้องเปิดเผย หรือประกาศให้ชาวโลกเขารับรู้กันทั่วไปเลยเหรอ เพื่อจะได้พิสูจน์ความรักแท้แบบที่นายว่า ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย อยู่ด้วยกัน ความลับรู้กันเพียงแค่สองคน ทำแบบนี้จะไม่มีความสุขกว่าเหรอ”

ชักฉุนขึ้นมาแล้ว ทำไมวันนี้เดียร์ถึงงอแงเข้าใจยากเข้าใจเย็นเสียจริง ปกติเป็นคนง่ายๆ ไม่โมโหอะไรนานๆ แต่วันนี้ดูแปลกไป เหมือนจะตีรวน ไม่ยอมฟังเหตุผลของผม

ไม่รู้ศักดิ์ชายเป่าหูอีท่าไหน เดียร์ถึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้ ท่าทางคงจะใส่ไคล้ปั้นน้ำเป็นตัวจนน่าเชื่อถือ คอยดูเถอะปรับความเข้าใจกับเด็กนี่ได้เมื่อไร ผมจะไปเล่นงานเพื่อนทรยศทันที

“ผมก็ไม่ได้ต้องการถึงขนาดนั้นหรอก เรียวตีความไปแบบนั้นได้ไง ผมแค่หมายความว่า ที่ผ่านมา เรียวแสดงความรังเกียจผมออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน ไม่ให้ผมเข้าไปมีส่วนร่วมในโลกของคุณเลย

ผมมันแค่คนนอกเท่านั้น ลองคิดดูสิ กี่ครั้งแล้วที่ผมกับคุณเจอหน้าเพื่อนคุณจังๆ แต่คุณแค่แนะนำผมว่าเป็นแค่เพื่อน เป็นน้อง หรือไม่ก็แค่คนรู้จักเท่านั้น ผมก็น้อยใจเป็นเหมือนกันนะ”

เขาเสียงดังโต้ตอบบ้าง ซึ่งผมก็ไม่ยอมแพ้

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่49 10/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 10-03-2009 16:23:06
“แล้วเมื่อก่อนนี้ฉันชอบนายที่ไหนกัน นายมาขู่ ฉัน แบล็คเมล์จับฉันทำสัญญา ปล้ำฉันจนตกเป็นของนาย แล้วจะให้ฉันทำหน้ารื่น ยอมรับว่านายเป็นแฟนฉัน บอกกับใครต่อใครเขาไปทั่วเหรอ ตัวฉันเองยังต่อต้านนาย แล้วคนอื่นล่ะ ทำไมจะไม่ต่อต้าน หรือนายคิดว่าพวกเขาจะรู้สึกยินดีที่ฉันมีแฟนเป็นผู้ชายล่ะ”

“นั่นปะไร ยอมรับออกมาแล้ว ว่าคุณก็ชิงชังรังเกียจผม ไม่ว่าผมจะทำดีกับคุณเท่าไหร่ คุณก็ไม่เคยใส่ใจ และปฏิบัติต่อผมเหมือนว่าผมไร้ค่าไม่มีความหมายสำหรับคุณเลย”

“นี่ไปกันใหญ่แล้ว อย่ามาสรุปแบบนี้สิ เป็นอะไรของนาย ทำไมวันนี้นายถึงไม่ฟังที่ฉันพูดบ้างเลยนะ หรือว่าถูกล้างสมองไปแล้ว ทำไมเชื่อคนง่ายอย่างนี้ คิดเองไม่เป็นเลยหรือไง”

เหลือจะทนแล้วนะ กับความงี่เง่าของเดียร์ แต่แรก ผมรู้สึกผิดที่ทำให้เขาต้องรอเก้อ พอเขามาช่วยผมก็อดดีใจไม่ได้ แต่พอเห็นเขาพูดจาไม่รู้เรื่องแบบนี้

ผมก็เริ่มโมโหเหมือนกัน พอผมเสียงดังใส่เขา เดียร์ก็ทำหน้าบึ้งตึงไม่พอใจ สงสัยวันนี้ ผมกับเขาคงเคลียร์กันไม่ได้ ถ้าต่างฝ่ายต่างไม่ฟังกัน และตั้งหน้าตั้งตาจะทะเลาะกันแบบนี้

“ใช่สิ ผมมันคิดเองไม่เป็นต้องให้คนอื่นคิดให้ตลอดเวลา คุณไม่พอใจผมใช่ไหมล่ะ ไม่อยากอยู่กับผมจริงๆ แล้วทำไมไม่บอกกับผมตรงๆ

ผมน่ะ รู้มาตลอด ว่าคุณอึดอัดใจแค่ไหน ที่ต้องตกกระไดพลอยโจนทำสัญญาเป็นแฟนกับผมทั้งๆที่คุณไม่ได้รักผมเลยแม้แต่นิดเดียว คุณฝืนให้รักผมไม่ได้ คุณไม่ได้อยากเป็นเกย์ คุณพูดให้ผมฟังอยู่บ่อยๆ คุณไม่ชอบความสัมพันธ์แบบนี้ และคุณก็ต่อต้านมัน..........”

น้ำเสียงของเดียร์บ่งบอกถึงความร้าวรานใจ

“ไม่ใช่อย่างนั้นน่ะนายเข้าใจผิดแล้ว ก่อนหน้านั้นมันอาจจะใช่ ฉันต่อต้านมัน เพราะฉันไม่เคยมีความสัมพันธ์แบบนี้มาก่อน ฉันเคยคิดว่ามันผิดธรรมชาติ สังคมไม่ยอมรับ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ ฉันเพิ่งมารู้ตัวเมื่อไม่นานมานี้เองว่าฉันไม่ได้เกลียดนายแล้ว......”

ความในใจของผมถูกบอกออกไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเดียร์จะไม่ใส่ใจฟังเท่าไหร่ ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยว ด้วยความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน ซึ่งเป็นความรู้สึกจากภายในจิตใจของเขา ผมเห็นเดียร์กำลังฝืนยิ้ม แต่ดูมันเนือยๆพิกล

“รู้สึกดีจริงๆนะครับที่ได้ยินคำนี้ ผมอยากได้มานานมาก แต่พอคุณพูดออกมา ทำไมผมอดคิดไม่ได้ว่ามันเป็นการพูดเพื่อเอาตัวรอดของคุณ ไม่ใช่ความรู้สึกที่ออกมาจากใจที่แท้จริง

เรียวแค่อยากให้ผมปล่อยคุณไปใช่ไหมครับ ถึงมาพูดจาให้ความหวังกับผมแบบนี้ แต่คงอยากหรอกครับ เพราะว่าผมจะไม่ปล่อยให้คุณหลุดมือไปไหน อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเข้าสู่ช่วงวันวาเลนไทน์ เรียวรู้ไหมว่าวันพรุ่งนี้ผมเตรียมจะมอบของขวัญอะไรให้อะไรกับคุณ .......”

เขาถามเสียงขื่น ผมสั่นหน้าปฎิเสธ เด็กหนุ่มหัวเราะเบาๆ แล้วก้มลงกระซิบที่ข้างหูของผม

“หนังสือสัญญาเป็นแฟนกัน ผมจะให้คุณเป็นของขวัญ”

ผมตกใจเมื่อได้ยินสิ่งที่เดียร์พูด เขาจะคืนสิ่งนี้ให้ผมทำไม

“เพื่ออะไรเดียร์”

ถามอย่างไม่แน่ใจ นี่เดียร์กำลังจะบอกเลิกผมหรือเปล่า

“เพื่อให้เรียวเป็นอิสระจากผมไงครับ ผมรู้ว่าที่ผ่านมา ผมมันทำไม่ดีไว้กับเรียวจริงๆ ทั้งๆที่คุณทำดีกับผม ช่วยชีวิตผมไว้หลายครั้ง แต่ผมก็ใช้ความรักของตัวเองทำร้ายคุณให้เจ็บปวด จับคุณมาขัง หลอกให้คุณทำสัญญา แล้วก็คาดหวังว่าคุณจะต้องเปลี่ยนใจมารักผม

การที่ผมทำแบบนี้มันไม่ยุติธรรมกับคุณเลย คุณต้องทำในสิ่งที่คุณไม่เห็นด้วย ไม่เต็มใจแม้เพียงสักนิด ความเห็นแก่ตัวของผมทำให้เรื่องมันยุ่งขึ้นไปอีก คุณกำลังจะเสียหน้าที่การงานไป

คุณได้รับการดูหมิ่นเหยียดหยามถูกคนนินทาว่าร้าย คนรอบข้างเสื่อมศรัทธาในตัวคุณ ทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีต้นเรื่องมาจากผมทั้งสิ้น ผมเลยตัดสินใจจะยุติเรื่องนี้ด้วยการคืนอิสรภาพให้กับคุณ .....”
...คุณได้รับการดูหมิ่นเหยียดหยามถูกคนนินทาว่าร้าย คนรอบข้างเสื่อมศรัทธาในตัวคุณ ทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีต้นเรื่องมาจากผมทั้งสิ้น ผมเลยตัดสินใจจะยุติเรื่องนี้ด้วยการคืนอิสรภาพให้กับคุณ .....”

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่49 10/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 10-03-2009 16:23:43
“นี่หมายความว่าไงเดียร์”

“ก็หมายความว่า ผมจะไปจากชีวิตเรียวอย่างที่คุณต้องการน่ะสิครับ”

หน้าของเด็กหนุ่มดูเศร้าสร้อย แต่แววตาเด็ดเดี่ยวเหมือนคนที่ตัดสินใจแล้ว ผมควรจะดีใจหรือเปล่านะ ที่เรื่องทุกอย่างมันจบลงอย่างง่ายดาย สิ่งที่ผมปฏิเสธมาตลอด จากนี้ไป ผมไม่ต้องเผชิญหน้ากับมันอีกแล้ว เดียร์ทำให้ทุกอย่างมันง่ายขึ้น เมื่อเขาเดินไปจากชีวิตของผมเอง ก็เท่ากับว่าผมไม่จำเป็นต้องทำตามสัญญาที่ให้ไว้ เราสองคนไม่ต้องอยู่ในสภาพเป็นแฟนกันอีกต่อไป ผมกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม ทำงานให้กับบริษัท ไม่ต้องมีใครมานินทา หัวหน้าไม่ด่า หรือบังคับผมอีกต่อไป ไม่ต้องกลายเป็นเกย์ หรือเป็นเมียของเกย์อีกต่อไป ผมจะได้แต่งงานกับผู้หญิง มีครอบครัวที่มีความสุข มีลูกไว้สืบสกุล มีความมั่นคงในชีวิต

สิ่งเหล่านี้ เป็นความสุขสำหรับผมจริงล่ะหรือ ทำไมเมื่อเดียร์บอกกับผมแล้ว ผมถึงรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจ เหมือนกับว่าตัวเองกำลังสูญเสียของรักล่ะ ราวกับว่าใจของผมมันจะขาดเสียให้ได้ ยิ่งเห็นสีหน้าหม่นหมองของเขา ผมก็ยิ่งใจหาย รู้สึกอึดอัด และทรมานใจ ไม่อยากให้สิ่งที่ได้ยินเป็นความจริง

“เดียร์ ฉันไม่ได้ต้องการอย่างนั้นนะ”

ผมร้องห้ามเขา รู้สึกเหมือนหัวใจกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ

“เรียวเลิกใจดีกับผมได้แล้วครับ ผมรู้ว่าคุณไม่อยากทำร้ายจิตใจของผม จริงอย่างที่นายศักดิ์ชายว่า เรียวน่ะ ชอบสงสารคนอื่น จนไม่คำนึงถึงความรู้สึกของตัวเอง ผมน่ะ มันไม่เหมาะกับเรียวจริงๆ เป็นแค่เด็กบ้านนอก ลูกเมียเช่า ไม่มีหัวนอนปลายเท้า เร่ร่อนไปทั่ว วุฒิการศึกษาก็ต่ำ จบเพียงแค่ ม.6 อาชีพการงานก็ยังไม่มั่นคง บ้านช่องก็ไม่มีเป็นหลักแหล่ง เทียบอะไรกับคุณไม่ได้สักอย่าง อยู่กับคุณ ก็มีแต่จะฉุดให้ต่ำลง เชิดหน้าชูตาอะไรคุณไม่ได้ ทางที่ดี ผมควรจะเป็นฝ่ายไปจากชีวิตของเรียวซะ ขืนผมยังดื้อรั้นไม่ยอมไป ผมอาจจะทำให้เรียวต้องสูญเสียทุกอย่างในชีวิตที่เรียวอุตส่าห์สั่งสมมา......”

ใจผมจะขาดแล้ว ทำไมคำพูดของเดียร์ถึงทำให้ผมรู้สึกเศร้าแบบนี้ สิ่งที่เขาพูด ผมเคยคิดมาก่อน เคยเปรียบเทียบเพื่อชั่งน้ำหนักให้ตัวเองว่าผมควรจะเลือกเดียร์หรือเลือกชีวิตเดิมของตัวเอง ผมไม่สามารถให้คำตอบได้ว่าผมจะเลือกแบบไหน เพราะทั้งสองอย่างสำคัญกับผมทั้งสิ้น แต่เมื่อเดียร์เลือกให้ และได้ฟังเหตุผลของการจากไปของเดียร์ มันทำให้ผมรู้ซึ้งว่าเดียร์รักผมมากแค่ไหน

เมื่อสักครู่นี้ เดียร์โกรธผมเป็นฟืนเป็นไฟ ต่อว่าต่อขานผม ล้วนแล้วแต่ออกมาจากความรู้สึกน้อยใจของเขา เด็กหนุ่มเข้าใจว่าผมไม่เห็นคุณค่า มีความรู้สึกว่าผมไม่ได้รักใคร่ใยดีในตัวเขา ไม่ให้ความสำคัญ ปิดบังทุกสิ่ง แถมซ้ำยังไม่ยอมรับความจริงในเรื่องของเขาอีก ผมไม่โกรธที่เดียร์น้อยใจ เพราะผมเองก็ผิดที่ทำให้เขารู้สึกเช่นนั้นจริงๆ แต่ที่ผมนึกฉุนเขาเป็นเพราะเขาไม่ยอมฟังสิ่งที่ผมพยายามจะบอก เอาแต่โมโหแบบนั้น แล้วจะพูดให้เข้าใจกันได้อย่างไร อยากให้เขาหายงอน มีสติกว่านี้ เราสองคนจะได้ปรับความเข้าใจให้ตรงกัน แต่ไม่ใช่ให้เขามาบอกเลิกกับผมแบบนี้
“นายปล่อยฉันก่อนได้ไหม ฉันไม่อยากจะคุยในขณะที่ถูกมัดแบบนี้”

ผมสะบัดมือไปมา แสดงอาการให้เขารู้ว่า ผมต้องการให้เขาแก้มัดให้ผม แต่เดียร์ส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วลุกลงจากเตียง ไปค้นอะไรยุกยิกในกระเป๋าสะพายของตัวเอง จากนั้นเขาก็ดึงคัตเตอร์ออกมา เขาตรงมาที่เตียงนอนที่มัดผมอยู่อีกครั้ง แล้วคว้าเทปผ้ากาวออกมายาวประมาณสักห้านิ้วเห็นจะได้ เขาใช้คัตเตอร์ตัดมันออก แล้ว แปะติดที่ริมฝีปากผม ผมดิ้นหนี ส่ายหน้าอย่างตกใจ ทำไมเดียร์ต้องทำกับผมแบบนี้ด้วย เขาจะทำร้ายผมหรือไง

“ขอโทษนะครับเรียว ที่ทำแบบนี้ แต่ผมอยากให้คุณฟังคำพูดจากผมมากกว่า ผมไม่อยากได้ยินคุณพูดอะไรอีกแล้ว ผมไม่อยากให้เรียวโกหกผมอีกต่อไปครับ”

หมดกัน เดียร์ปิดปากผมไว้ แล้วผมจะพูดทุกอย่างให้เขาฟังได้ไง แล้วคำบอกรักด้วย ผมยังไม่ทันได้บอกกับเดียร์เลย เขาเป็นอะไรไปแล้ว นี่จะไม่ให้โอกาสผมบ้างเลยเหรอ

“ผมคิดมาตลอดเลย ตั้งแต่ตอนที่เจอกับนายศักดิ์ชาย ผมไม่ได้โกรธเขานะที่เขามาพูดกับผมแบบนี้ ผมคิดว่าเขาคงหวังดีกับคุณจริงๆ จึงมาพูดเพื่อขอร้องผม นายศักดิ์ชายบอกว่า เขามาพูดในฐานะตัวแทนของเรียว จะพูดในสิ่งที่เรียวไม่กล้าพูด ไม่กล้าบอกออกมา เขาเล่าให้ผมฟังทุกอย่าง อย่างที่ผมบอกไปเมื่อครู่ จากนั้นเขาก็บอกว่า ถ้าผมรักเรียวจริงๆ ผมควรจะเลิกยุ่งกับเรียวซะแล้วปล่อยให้เรียวใช้ชีวิตแบบเดิมที่เคยเป็น อย่าพาคนที่ตัวเองรักดำดิ่งลงเหว ผมไม่มีค่าหรือคู่ควรกับเรียวแม้แต่น้อย ปล่อยเรียวไปตามทาง ไปเจอคนที่ดีกว่าและคู่ควรกว่าผม ......”

พูดถึงตรงนี้ ตาของเด็กหนุ่มก็แดงก่ำ เขามองผมอย่างปวดร้าว ผมพยายามส่งสายตาอ้อนวอนเขา ให้แก้มัดให้ผม แต่เดียร์ไม่สนใจที่จะทำตาม เขาพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“ฟังแล้วผมเศร้ามากเลยนะครับ ผมน่ะเอาแต่ใจตัวเอง อยากได้เรียวมาครอบครอง จึงลงมือวางแผนการณ์ทุกอย่าง ไม่ทันคิดว่า สิ่งที่ผมทำจะก่อให้เกิดความยากลำบากในการใช้ชีวิตของเรียว ที่จริงก็รู้อยู่บ้าง แต่ผมดื้อดึงไงครับ คิดว่ามันจะเกิดปาฏิหาริย์ คิดแบบเด็กโง่ ว่าความรักจะชนะทุกสิ่ง แต่ในความเป็นจริง การใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น ผมไม่อาจจะทำตามใจตัวเองได้อีกต่อไป ไม่อยากทำลายชีวิตคนที่ตัวเองรัก ผมจึงคิดว่ามันคงได้เวลาแล้วที่ผมจะไปจากคุณ ผมยอมแพ้แล้วครับเรียว จากนี้ต่อไป ผมจะไม่มาวุ่นวายหรือรบกวนคุณอีก”

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่49 10/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 10-03-2009 16:24:20
ไม่นะ เดียร์ ผมยอมไม่ได้ เรื่องอะไรจะมาทิ้งกันไปง่ายๆแบบนี้ มาทำให้ผมรักแล้วก็คิดจะจากผมไป ทำอย่างนี้ได้ไง ผมรับไม่ได้ ทำไมถึงยอมแพ้ง่ายๆ ไหนว่าเป็นนักมวยที่เข้มแข็ง ต่อยคู่ต่อสู้ล้มคว่ำมามากมาย เป็นคนที่สู้ชีวิต ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีญาติคอยสนับสนุนก็เลี้ยงดูตัวเองจนได้ดี แล้วทำไมเรื่องแค่นี้จึงยอมถอดใจ ทำแบบนี้แล้วผมจะอยู่ได้ไง รู้บ้างหรือเปล่าว่าผมอยู่โดยขาดเขาไม่ได้ ทำไมจึงไม่ให้ผมได้พูดบ้าง มาปิดปากผมไว้ทำไม ปล่อยผมเดี๋ยวนี้นะ คุยกันสิ อย่าทำกับผมแบบนี้ อย่าจากผมไป ผมตะโกนโวยวายอยู่ในใจ เนื่องจากพูดออกมาไม่ได้ พยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากพันธนาการ แต่ก็ปราศจากผล เดียร์มองผมด้วยแววตาที่ปวดร้าว จากนั้นเขาก็ค่อยๆถอดเสื้อของตัวเองออกอย่างช้าๆ
การกระทำของเดียร์ทำให้ผมงงงัน นี่เขาจะทำอะไรกันแน่ จะมีอะไรกับผม ทั้งๆที่มัดไว้อย่างนี้เหรอ ให้ผมได้เป็นอิสระสิ ผมจะสนองตอบความรักของเขา ร่วมไม้ร่วมมือให้เดียร์ทำทุกอย่างกับร่างกายผมได้ตามใจ ถ้าเพียงแต่เขาจะเลิกงอน หายน้อยใจผม และพูดคุยกันให้รู้เรื่อง

เดียร์ก้มลงมาหาผม และจัดการปลดไทค์ที่คอให้ จากนั้นก็ดึงเสื้อผมออกจากกางเกง และปลดกระดุมเสื้อออกทีละเม็ด ผมพยายามสบตาเขา ส่งสายตาอ้อนวอนให้เดียร์เลิกทำแบบนี้ แต่เขากลับไม่มองหน้าผม

“อย่าทำอย่างนี้เลย ....ได้โปรดเถิด ปล่อยฉัน หรือไม่ก็ให้โอกาสฉันได้พูด ฉันจะบอกว่าฉันรักนาย แล้วก็จะขอร้องนายว่าอย่าจากฉันไปเลย อยู่ด้วยกันเถอะ ฉันไม่สนใจอะไรอีกแล้ว”

ผมร่ำร้องในใจ พูดออกมาไม่ได้ พยายามจะเบี่ยงตัวหนีเขา แต่เดียร์ก็ขยับมานั่งคร่อมตรงหว่างขาผมไว้ เขาปลดเข็มขัดผมออก รูดซิบและดึงกางเกงให้ออกจากตัว

“ขอผมทำแบบนี้กับคุณเป็นครั้งสุดท้ายนะครับ ยอดรัก ต่อจากนี้ไป คงจะไม่มีโอกาสได้ทำกับคุณแล้ว”

พูดจบเด็กหนุ่มก็เคลื่อนตัวลงต่ำ แล้วก้มหน้าลงตรงกลางลำตัวของผม เขาเอามือช้อนสะโพกผมขึ้น และเกลือกหน้าซุกไซร้อยู่บริเวณนั้นอย่างแผ่วเบาทะนุถนอมผม ราวกับว่ามันเป็นของมีค่าสำหรับเขา มือใหญ่ของเดียร์ ดึงกางเกงในของผม กระชากจนขาดติดมือออกไป จากนั้น เขาก็ใช้มือข้างเดียวกันนั้น เกาะกุมน้องชายของผมเอาไว้

สัมผัสที่ของเขาแผ่วเบา ทว่าเต็มไปด้วยความร้อนแรงแห่งเพลิงปรารถนา ทำให้ผมถึงกับสะดุ้ง แม้จะไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะมีอะไรกับเขาตอนนี้ แต่ผมก็อดที่จะแอ่นตัวขึ้นมาด้วยความซาบซ่านไม่ได้ ชั่วเวลาไม่นานนัก ร่างกายส่วนนั้นของผม ก็หายเข้าไปในปากของเด็กหนุ่ม เขาปลุกเร้าอารมณ์ของผมจนเตลิดเพริด ผมปรารถนาที่จะใช้มือสัมผัส ลูบไล้เรือนผมนุ่มมือของเขา ทว่าทำไม่ได้ เพราะมือสองข้างถูกมัดติดกับหัวเตียง จึงทำได้แค่บิดตัวไปมา ส่งเสียงครวญครางในใจ

“ยังหวานเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน สุดที่รักของผม ผมรักคุณมากรู้ไหม”

น้ำเสียงของเดียร์คล้ายคนละเมอ เขาใช้ลิ้นตวัดแลบเลียน้ำหยดสุดท้ายจากน้องชายของผม จากนั้นก็ไถลตัวลงจากเตียงเพื่อปลดเปลื้องกางเกงของเขาออก ร่างเปลือยเปล่าที่สมบูรณ์แน่นไปด้วยกล้ามเนื้อดูสวยงามชวนมาก ผมส่งสายตาขอร้องเดียร์อีกครั้ง อยากให้เขาปล่อยผม ไม่อยากร่วมรักกันในสภาพนี้เลย ผมอยากกอด อยากจูบเขาบ้าง อยากส่งผ่านความรักให้เขาได้รับรู้ว่าผมรักเขามากแค่ไหน ทำแบบนี้ ผมมีความรู้สึกเหมือนกำลังจะถูกข่มขืน ไม่ใช่การกระทำที่เกิดจากความรักและความหลงไหล แต่มันเป็นเพียงความใคร่ที่ต้องการระบายออกเท่านั้น
“เกลียดผมนักใช่ไหมครับเรียว ถึงจะเกลียดอย่างไร เรียวก็หนีความจริงไปไม่พ้น เรียวเป็นของผมแล้ว เป็นเมียของผม ถึงแม้ว่าเรียวจะไม่เคยรักผมก็ตาม แต่เราก็เป็นของกันและกัน

วันข้างหน้า เรียวอาจจะมีผู้ชายคนอื่นเข้ามาในชีวิต เรียวอาจจะเป็นของๆเขาอีก หรือเรียวอาจจะแต่งงานกับผู้หญิง

ถึงแม้ว่าเรียวจะรักคนที่เข้ามาใหม่ แต่เรียวก็จะไม่มีทางลืมว่าผมเป็นผู้ชายคนแรกในชีวิตของเรียว........”

ไม่มีทาง ผมตอบในใจ ผมจะไม่มีผู้ชายคนไหนอีก เดียร์เป็นคนรักคนแรกของผมที่เป็นผู้ชาย และผมก็จะมีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น

ผมมอบหัวใจและร่างกายนี้ให้ใครไม่ได้อีกแล้ว นอกจากสุดที่รักของผมคนเดียว โธ่เอ๊ย ได้โปรดปล่อยผมเถอะ ให้ผมได้พูดให้ฟัง เดียร์จะได้ไม่ต้องเข้าใจผิด ผมไม่ได้เกลียดเขา

“ฉันรักนาย ได้ยินไหมเดียร์ ฉันรักนาย.....”

พยายามจะบอกเขา แต่เสียงก็ไม่อาจลอดออกมาได้ มีแต่คำพูดอึกๆอักๆเพราะปากถูกปิดไว้ เด็กหนุ่ม ก้าวขึ้นเตียงมาอีกครั้ง

เขาช้อนก้นของผมให้อยู่ในตำแหน่งที่พอเหมาะ เอาขาของผมพาดทับกับขาของเขาไว้ แล้วแทรกกายของเขาเข้ามาในร่างกายของผมอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว เล่นเอาผมสะดุ้งหยัดสะโพกขึ้น เจ็บปวดแทบขาดใจ

นี่เดียร์จะไม่เล้าโลมผมเลยหรือนี่ เขาทำแบบนี้เพื่ออะไร ทำไมไม่มีความหวานอ่อนโยนเหมือนที่เคยทำ เขาต้องการเอาคืนผมใช่ไหม ใบหน้าของเดียร์เฉยเมย มีเพียงแค่รอยยิ้มระบายที่มุมปาก เขาพูดกับผมเหมือนกระซิบ

“รู้ไหมครับ ที่จริงผมน่ะ โกรธคุณมากหลังจากที่ฟังนายศักดิ์ชายเล่า แม้จะบอกใจตัวเองว่าไม่มีสิทธิ์จะโกรธคุณ แต่เมื่อนึกถึงว่าที่ผ่านมาคุณไม่เคยพูดความจริงให้ผมได้รู้เลย แถมซ้ำเรียวก็ทำสิ่งที่เรียกว่าทรยศหักหลัง คุณกำลังจะตีตัวออกห่าง ผิดคำสัญญาที่ให้ไว้ต่อกัน ผมก็อดที่จะโมโหไม่ได้

นี่ผมตั้งใจไว้ว่าจะจับเรียวมัดไว้แบบนี้ แล้วก็ชำเราคุณจนถึงรุ่งเช้า ก่อนที่ผมจะจากไปอย่างไม่ใยดี ให้สาสมกับที่คุณเหยียบย่ำน้ำใจของผม ผมก็ไม่จำเป็นต้องทำดีกับคุณต่อไป แต่หลังจากได้ฟังสิ่งที่คุณพูด และย้อนนึกไปถึงสิ่งที่ผมได้ฟังจากปากเพื่อนคุณคนนั้น ผมก็คิดว่า ผมไม่ควรจะแค้นคุณ

เรียวของผมเป็นคนดีแบบนี้เสมอ ผมต่างหากที่ฉุดคุณลงมาตกต่ำ ในเมื่อผมตัดใจจากคุณแล้ว ก็อยากให้มันจบลงด้วยดี แต่ผมขอที่จะมีอะไรกับเรียวตลอดคืนนี้เหมือนเดิมนะครับ ขอให้ผมได้ทำหน้าที่มอบความสุขในฐานะสามีให้กับคุณ ถือโอกาสที่จะฉลองวันแห่งความรักครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของเรา …..”

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่49 10/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 10-03-2009 16:25:10
ไม่นะ ไม่ต้องมาพูดยืดยาวแบบนี้ แก้มัดผมสิ ดึงเทปกาวนี้ออกด้วย ให้ผมได้พูดมั่ง ผมจะบอกรักเดียร์ได้ยินไหม ผมจะบอกว่าเขาจะทำรักกับผมกี่ครั้งก็ได้ จะทำทั้งคืนทั้งวันก็ยอม ขอเพียงอย่าน้อยใจแบบนี้ อย่าพูดประโยคที่ชวนเศร้า อย่าทำตาแดงๆแบบนั้น

กำลังจะร้องไห้ใช่ไหม มาซบตรงไหล่ผมนี่สิ ผมจะกอดเดียร์ไว้ ผมจะจูบปลอบขวัญ เราจะพูดจากันดีๆ ผมจะไม่ดุว่า หรือตำหนิเขาอีกแล้ว ผมจะยอมให้เขาเรียกผมว่าเมียก็ได้ จะไม่โกรธถ้าเขาจะลวนลามล่วงเกินผม จะบอกความลับทุกสิ่งที่ผมมีอยู่ อยากให้ทำอะไรผมก็จะทำตามที่เขาต้องการ ขอเพียงอย่างเดียว อย่าจากผมไป อยู่กับผมได้ไหม อยู่เป็นกำลังใจให้ผม
เด็กหนุ่มโน้มตัวเข้ามาจูบซุกไซร้ตรงซอกคอของผม แต่ผมเบี่ยงหนี ผมไม่ยอมให้เขาทำกับผมเด็ดขาด พยายามดิ้นเต็มที่

แม้ว่าตอนนี้ร่างกายของผมจะผสานเป็นหนึ่งเดียวกับเขาแล้ว แต่ผมไม่มีอารมณ์รัญจวนใจแม้แต่น้อย ผมอยากให้เดียร์ยุติการกระทำของเขาซะ

ถ้าจะต้องจากกันไป การมีอะไรกันในคืนนี้ของเราก็ไม่มีความหมาย ผมไม่อยากมีความทรงจำเลวร้ายที่คนรักของผมต้องจากไปในวันวาเลนไทน์ อย่างไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะหวนคืนมา

การดิ้นรนของผมทำให้เดียร์เริ่มโมโหนิดๆ เขาทำน้ำเสียงฉุนเฉียวใส่ผม ด้วยเข้าใจว่าผมรังเกียจไม่อยากให้เขาแตะต้อง เด็กหนุ่มหยัดตัวขึ้น และเอาแขนล็อคขาของผมไว้ทั้งสองข้าง หยุดการเล้าโลม เอาแต่เคลื่อนไหวร่างกายท่อนล่างอย่างเดียว ผมรู้สึกเจ็บปวดแทบขาดใจ เมื่อเดียร์ขยับกายเร่งเร้า ปราศจากการทะนุถนอมออมมือ

ตัวของผมสั่นระริกไปตามแรงกระแทกกระทั้นที่ไม่บันยะบันยังของเขา ผมนิ่วหน้าเพื่อระงับความเจ็บปวด พยายามส่งสายตาวิงวอนขอร้องมายังเขา

มือของผมขยับไปมาเพื่อที่จะให้เป็นอิสระ แต่เดียร์มัดแน่นจนผมดิ้นไม่หลุด รู้สึกปวดตรงข้อมือที่ถูกมัดเพราะเชือกไนล่อนเสียดสีจนบาดเป็นแผล มือเริ่มชื้นขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกได้ถึงของเหลวบางอย่างที่ไหลเลอะเหนอะมือของผม

น้ำหยดหนึ่งหล่นแหมะจากตาคู่สวยของเดียร์ตกต้องบนหน้าอกของผม ผมเบิกตาโพลงจ้องหน้าเดียร์เห็นเขามองมาที่ผมอยู่ก่อนแล้ว ใจของผมหล่นวูบไปเมื่อเห็นน้ำตาคลอตาของเดียร์

สุดที่รักของผมกำลังร้องไห้ ใบหน้าของเขาดูปวดร้าวเหมือนคนที่ได้รับทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ผมปรารถนาจะกอดเขาไว้ในอ้อมแขนของผม แล้วปลอบประโลมให้เขาหายทุกข์ใจ วินาทีที่เดียร์เศร้าใจแบบนี้ ผมกลับปลอบเขาไม่ได้ ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย ผมตะโกนก้องในใจ

“อย่าร้องไห้เลยเดียร์ มองตาฉันสิ นายเห็นความรักในสายตาของฉันไหม ฉันรักนายมากเหลือเกิน ที่ผ่านมาฉันขอโทษนาย ฉันรู้ตัวว่าทำไม่ดีกับนายไว้มาก ฉัน..ผิดแล้ว ยกโทษให้ฉันด้วย เราอย่าทะเลาะกันเลย....”

ทว่าเสียงของผมไม่อาจจะเข้าถึงหูของเดียร์ เขายังคงก้มหน้าก้มตาร่วมรักกับผม พละกำลังที่มีถูกโหมใส่ผมไม่ยั้ง ผมจุกไปหมด ครั้งแรกผ่านไปด้วยความปวดร้าวไปทั่วบั้นท้ายของผม

ครั้งที่สอง เดียร์ทิ้งร่องรอยแห่งความรักไว้ทั่วตัว เขาเฟ้นฟอนดูดเน้นร่างกายของผม จนเป็นรอยแดงเป็นจ้ำๆ ตามเนื้อตัวเต็มไปหมด

แต่ละครั้งเขาปล่อยให้ผมมีเวลาพักเพียงครึ่งชั่วโมง ก่อนที่จะเริ่มต้นใหม่ ไม่มีถ้อยคำหวานซึ้งใดๆที่เคยได้ยินเหมือนก่อนหน้านั้นที่เราเคยมีอะไรกัน

มีแต่ความเงียบงัน ที่แทรกด้วยเสียงลมหายใจหอบถี่ และเสียงของผิวเนื้อกระทบกัน เดียร์ทำกับผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมเจ็บแทบจะขาดใจตายเสียให้ได้ มือที่ถูกพันธนาการไว้ก็ปวดจนชาไปหมด

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่49 10/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 10-03-2009 16:25:30
ของเหลวซึมออกมาจนเลอะมือผม ได้กลิ่นคาวเลือดโชยเข้ามาในจมูก ผมเดาเอาว่า แผลที่เย็บไว้น่าจะปริออก จากการได้รับความกระทบกระเทือน เดียร์คงจะไม่ได้สังเกตเห็น เขาจึงไม่ยอมแก้มัดให้
ตลอดเวลาเหล่านั้น เดียร์น้ำตาไหลพราก ด้วยความคั่งแค้น ผมใจเสียมองหน้าเขาอย่างสำนึกผิด ตอนแรกผมดิ้นรนขัดขืน เพราะไม่อยากให้เด็กหนุ่มย่ำยีผมในขณะที่เขากำลังโกรธอยู่ อยากให้ทุกอย่างมันเกิดขึ้นจากความรักของเราสองคนมากกว่า

ครั้นมองหน้าเศร้าสร้อยของเดียร์ผมก็สงสารเขาจับใจ ผมรู้สึกผิดจริงๆ ที่ปิดบังความจริงในหลายเรื่องกับเขามาตลอด ไม่เคยไว้ใจ และให้เกียรติ

เวลามีปัญหาทีไร เขาก็ต้องมาตามแก้ให้ ต้องเจ็บตัวมีเรื่องทุกครั้งเพื่อผม ทั้งๆที่เขาทำดีกับผมทุกอย่าง แต่ผมก็ไม่เคยยกย่องเชิดชูเขาในฐานะแฟน ทำเหมือนเขาไม่มีตัวตน ไร้ชีวิตจิตใจความรู้สึก

เกลียดตัวเองที่เกือบจะร่วมมือกับสันต์เพื่อให้เขาตัดใจ โดยใช้คุณแคทเป็นเครื่องมือ เกลียดความโลเลตัดสินใจไม่ได้ของตัวเอง ว่าจะเลือกอะไรที่สำคัญที่สุดสำหรับตัวเอง

รู้สึกสับสนมากระหว่างการทำตามที่สังคมวิพากษ์ กับ สิ่งที่ใจปรารถนา หากผมเลือกอย่างแรก ผมจะทำร้ายหัวใจตัวเอง และทำร้ายเดียร์ไปพร้อมกันด้วย จึงทำให้ผมตัดสินใจอะไรไม่ได้สักที จนทุกอย่างมันเลวร้ายขึ้น

เดียร์แทรกตัวเข้ามาในร่างของผมอีกแล้ว ครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่เขาทำกับผมด้วยความรุนแรง ปราศจากการปลุกเร้า เหมือนเดียร์จะนึกแค้นเคืองผมอยู่ อารมณ์จึงพลุ่งพล่าน ทำกับผมอย่างไม่บันยะบันยัง

อารมณ์ของเด็กหนุ่มดีร้ายสลับกันไปมา เหมือนกับว่าเรื่องของผมยังวนเวียนคาใจอยู่ในสมองของเขา เมื่อใดที่คิดขึ้นมาได้ก็จะอ่อนโยนให้กับผม แต่พอคิดคั่งแค้น เขาก็รุนแรงจนผมนึกกลัว

ผมพยายามที่จะไม่เปล่งเสียงร้องออกมา อดทนให้มากที่สุด เจ็บของผมเป็นแค่เพียงร่างกาย แต่ไม่เท่ากับความเจ็บปวดทางใจที่เดียร์ได้รับ

ผมแนบหน้าลงกับหมอน ปิดเปลือกตาลง ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น รู้สึกอ่อนแรงไปหมด ปล่อยให้เขาทำทุกอย่างกับผม ตามอำเภอใจ รู้สึกตัวว่าผิดที่เผลอไปทำร้ายจิตใจเขา แล้วก็อยากลงโทษตัวเองด้วย เดียร์กอดจูบลูบไล้ผมอย่างรุนแรง น้ำตาไม่ยอมหยุดไหล ผมไม่เคยเห็นใครเศร้าเสียใจขนาดนี้มาก่อนเลย

ปวดแปลบที่บาดแผลอีกแล้ว รู้สึกว่าเลือดมันไหลออกมาทีละน้อย ผมรู้สึกหน้ามืดตาลายคล้ายจะเป็นลม พยามที่จะฝืนให้ลืมตาขึ้นก็ทำไม่ได้ ก่อนที่ผมจะหลับไปด้วยความอ่อนเพลียและความเจ็บปวดในบาดแผล

ผมเห็นร่างเปลือยเปล่าของเดียร์นั่งซุกอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง เขานั่งชันเข่า มือข้างหนึ่งกำลังเช็ดน้ำตาที่ไหลไม่ยอมหยุด เด็กหนุ่มไม่ได้หันมาทางผมเลย

แต่ผมก็รู้ว่าเขากำลังร้องไห้อย่างหนัก จากไหล่ที่สะท้อนขึ้นลง เขาทำเหมือนคนที่หัวใจแหลกสลาย ผมรู้สึกปวดแปลบหัวใจ อยากจะดึงเขาเข้ามากอด แล้วร้องไห้ไปด้วยกัน อยากจะพร่ำบอกเขาว่าผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ แต่ผมก็หมดแรง ตาสองข้างของผมหรี่ปรือ จากนั้นก็ปิดสนิท
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่49 10/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 10-03-2009 16:27:27
 :sad4: สงสารเดียร์สุดหัวใจ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่49 10/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: b_hihi ที่ 10-03-2009 16:53:16
อย่าเพิ่งจบนะ

ทำไมมันบีบคั้นอารมณ์

อยา่งนี้
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่49 10/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: zheeiiz* ที่ 10-03-2009 21:40:28

บีบอารมณ์มาก T^T~~~~
แอบน้ำตาซึมเลย .. .

อ่านแล้วเจ็บปวดแทนทั้งคู่
ขอให้จบแฮปปี้ด้วยเถิด ไม่อยากเศร้าง่ะ .


รีบมาต่อนะคะ รออยู่เสมอ *


 :o12:


.
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่49 10/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: nanalonely ที่ 10-03-2009 22:25:20
 :sad4:สงสารเดียร์

บีบอารมณ์อ่ะ หงอยย
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่49 10/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: sasa ที่ 10-03-2009 22:59:48
สุดปวดร้าว
ไหนๆก็ต่างคนต่างก็รักกัน
อย่าทำให้ฟ้าผิดหวังล่ะ
ขอแบบไม่เศร้าเน้อ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่49 10/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: sasa ที่ 10-03-2009 23:03:10
เศร้า...
สุดปวดร้าว
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่49 10/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 10-03-2009 23:24:25
อ่านแล้วสุดปวดใจ...ไม่รู้จะว่าใครผิดกว่ากันดี
เรียวก็ปากหนัก..เดียร์ก็คิดมากเกินไป..

นึกตอนต่อไปไม่ออกจริงๆว่าจะลงเอยยังไง...

ขอบคุณคนโพสมากๆนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่49 10/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 11-03-2009 10:53:57
สู้ๆๆๆ น่ะ ทั้ง คู่ เรยยย



มีรัย ค่อยพูด ค่อย จากันสิ


ใจเย็นๆๆๆๆ น่ะ







ไม่มีรักไหนที่ดีทุกวัน ยิ่งนานยิ่งผ่านเรื่องราวมากมาย



ที่คอยทดสอบ และลองใจกัน



หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่49 10/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: ltahset ที่ 11-03-2009 11:46:10
 :serius2:

ค้าง + เศร้าอย่างแรง

มาต่อเร็วๆนะคะ

^^

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่49 10/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: 5577 ที่ 12-03-2009 18:52:25
โอ๊ยโย๋ ค้างๆๆ
 :call: ช่วยมาต่อด้วยจ้า
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่49 10/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 12-03-2009 22:13:23
แวะมารอค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่50 ศุกร์ 13/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-03-2009 11:07:10
บทที่ 50

เมื่อตื่นขึ้นมา ผมพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียง มือสองข้างเป็นอิสระ เสื้อผ้าถูกสวมใส่ให้เรียบร้อย มีผ้าห่มคลุมมาถึงคอ ที่ข้อมือของผมบวมแดง มือมีผ้าพันใหม่ให้เรียบร้อย บนโต๊ะมีถุงยา กระดาษ และน้ำวางไว้ให้เหยือกหนึ่ง พร้อมแก้ว กล่องของขวัญขนาดใหญ่ผูกริบบิ้นสีสวยสะดุดตา

ผมลุกขึ้นนั่งอย่างยากเย็น เพราะรู้สึกระบมตรงก้นไปหมด หยิบถุงยามาดู ก็พบว่ามันเป็นคนละคลีนิคกับที่ผมไปทำแผลมาครั้งแรก มียาระงับปวด มาให้ด้วย นอกจากนี้ยังมียาเฉพาะที่เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บจากบาดแผลฉีกขาด

มีแผ่นกระดาษที่มีลายมือของเดียร์เขียนไว้ให้ ว่าให้ใช้ยานั้นทาตรงประตูหลังของผมเพื่อให้หายอักเสบ เดียร์คงไปพาหมอมาเพื่อจัดการเรื่องทั้งหมดนี้ให้ผม ตอนที่สลบไสลไปด้วยความอ่อนเพลีย

กล่องของขวัญถูกหยิบเป็นลำดับถัดมา มันเป็นกล่องขนาดใหญ่ขนาดเท่ากับลังใส่เบียร์ ผมค่อยๆแกะริบบิ้นที่ผูกเอาไว้ และคลี่กระดาษห่ออย่างระมัดระวัง ข้างในเป็นตุ๊กตาหมูสีชมพู ถือหัวใจที่มีข้อความว่า I love u so much วางอยู่ท่ามกลางกระดาษที่ตัดเป็นฝอยๆ

มีซองพลาสติกบรรจุปลอกหมอนสีขาวสกรีนลาย 2 ชิ้น ผมหยิบมาคลี่ออกดู ก็เห็นหน้าเดียร์กับผม อยู่บนหมอนคนละด้าน มีตัวหนังสืออยู่ตรงกลาง ว่า “B with U”เดียร์คงแอบไปจิกรูปผมมาให้ร้านสกรีน เห็นรูปของเด็กหนุ่มแล้ว ผมก็คิดถึงจนอดไม่ได้ที่จะลูบไล้ใบหน้าของเดียร์ที่อยู่บนหมอน รู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจ

ผมหยิบตุ๊กตาหมูสีชมพูขึ้นมากอด มันเป็นแบบและสีเดียวกันกับที่ผมเคยเห็นเขาเอาติดตัวมาด้วยจากบ้านเช่าของเขา เขาเรียกมันว่าตุ๊กตาหมูเรียวจัง

เขาสมมุตมันเป็นตัวแทนของผม เพราะว่ามันน่ารัก และเขาอยากให้ผมอ้วนๆแบบเจ้าหมูตัวนี้ ผมสังเกตเห็นตรงหัวใจที่หมูน้อยถือไว้แนบอกมีกระดาษสีขาวเสียบอยู่และโผล่แลบออกมา ผมหยิบขึ้นมาดูเมื่อเปิดออกอ่านก็พบว่ามันเป็นสัญญาเป็นแฟนกัน ที่เขาบอกว่าจะให้ผมคืนเป็นของขวัญวันวาเลนไทน์ มีโน้ตเล็กๆแปะไว้

“ผมคืนชีวิตให้เรียวเป็นของขวัญในวันแห่งความรัก

ต่อจากนี้ไปเราไม่มีสัญญาผูกมัดว่าต้องเป็นแฟนกัน

มีแต่เพียงสัญญาใจเท่านั้น

เรียวต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าจะให้ผมอยู่หรือไปจากชีวิตของคุณ

ไม่ว่าเรียวจะตัดสินใจอย่างไร ผมก็เชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคุณแล้ว

ผมทำได้แค่เพียงคาดหวังว่าคุณจะเมตตาผมบ้าง ให้โอกาสผมที่จะแสดงให้รู้ว่าผมรักคุณมากมายแค่ไหน

ลงชื่อ เดียร์

12 กพ. 25xx”
จดหมายนั้นถูกเขียนขึ้นมาล่วงหน้า แสดงว่าเดียร์ต้องตั้งใจที่จะคืนอิสระให้ผมจริงๆ ก่อนที่จะได้ฟังคำพูดของใครต่อใคร เขาคงรู้ว่าผมอึดอัดใจมาโดยตลอด และพยายามที่จะออกไปจากชีวิตของผม เลิกผูกมัดให้ผมทำตามสัญญา เพื่อที่ผมจะได้คิดและทำตามที่หัวใจตัวเองปรารถนา

จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาคงทำให้เดียร์คิดมากพอสมควรว่าตัวเองต้อยต่ำไม่คู่ควรกับผม จำได้ว่าเขาเศร้ามากแค่ไหน เมื่อผมให้เขาออกจากบ้านไปตอนที่เพื่อนจะมา

ผมทำให้เขารู้สึกว่าตนเองไร้ค่า ไม่เป็นที่ต้องการ แม้ว่าผมจะทำดีกับเขาในภายหลัง แต่ความเจ็บปวดคงฝังแน่นอยู่ในใจของเดียร์ยากจะลืมเลือน ยิ่งมาฟังซ้ำจากคำพูดจากปากศักดิ์ชาย เขาคงปักใจเชื่อว่าเขาไม่ควรคู่กับผมจริงๆ

น้ำตาของผมซึมออกมาโดยไม่รู้ตัว รู้สึกสะเทือนใจกับข้อความที่เขาเขียนขึ้นมาให้ผม อยากให้เขามาอยู่ตรงนี้เพื่อรับฟังสิ่งที่ผมจะพูด ผมอยากบอกเขาเหลือเกินว่าผมได้เลือกแล้ว

เดียร์คือความสุขในชีวิตของผม ไม่อยากให้เขาต้องจากไปไหน อยากให้เราได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ที่ผ่านมาแม้เราจะเริ่มต้นความสัมพันธ์กันไม่ดี แต่มาถึงตอนนี้ ผมพร้อมจะลืมเรื่องร้ายๆที่ผ่านมา เราจะสร้างครอบครัวด้วยกัน

สัญญาฉบับนั้น ถูกสอดกลับเข้าไปตรงที่เดิม ผมวางตุ๊กตาหมูเรียวจังไว้บนหมอนข้างที่เดียร์นอนประจำแล้วห่มผ้าห่มให้กับมัน คิดถึงเดียร์เหลือเกินแล้ว เขาไปอยู่ไหนกัน ทิ้งผมไปจริงๆอย่างที่บอกไว้หรือเปล่านะ

ไม่มีร่องรอยของเดียร์ให้เห็นในห้อง ข้าวของของเขาบนหัวเตียงของผมถูกกวาดออกไปจนเกลี้ยง ผมกวาดตามองไปทั่ว ไม่เห็นข้าวของอะไรที่เคยเป็นของเดียร์

กระเป๋าใบใหญ่ที่เขาใช้ใส่เสื้อผ้ามาเพื่ออยู่กับผม อันตรธานหายไป ใจหายวาบ ถลาลงจากเตียงไปเปิดตู้เสื้อผ้า แล้วรื้อค้นดูตรงราวแขวน เสื้อผ้าของเดียร์ไม่เหลือให้เห็น แม้แต่กางเกงชั้นในถุงเท้าก็ไม่มี

ในห้องน้ำ แปรงสีฟัน สบู่ และอุปกรณ์อาบน้ำทั้งหมด ที่ผมเคยแอบโยนทิ้งเมื่อตอนแรกที่เขามาอยู่ใหม่และเขาเก็บเอามาใส่ทุกครั้งที่มันหายไป ณ ตอนนี้เดียร์เอาทุกอย่างกลับไปจนหมด ผมแทบหมดแรงไม่เหลือแม้แต่ความหวังว่านี่คือรายการอำกันเล่นของเดียร์ เขาไปจากผมจริงๆ

ผมเดินอย่างระโหยโรยแรงลงมาชั้นล่าง แล้วก็เกิดอาการกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ สภาพบริเวณห้องโถงชั้นล่าง ซึ่งผมแยกเป็นห้องนั่งเล่น กับห้องรับประทานอาหาร ถูกตกแต่งใหม่ ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยดอกไม้สีขาว นานาชนิด อย่างเช่น กุหลาบ ลิลลี่ เบญจมาศ หน้าวัว พลับพลึง และที่สวยงามจนตะลึงคือม่านดอกไม้ซึ่งใช้ลีลาววดีสีขาวร้อยด้วยเอ็นแขวนไว้ทุกช่องประตู

เดียร์เคยพูดว่า ผมเป็นคนดี จิตใจงดงาม ความซื่อตรงของผม ประดุจดังดอกไม้สีขาวที่มีความสวยบริสุทธิ์ แม้จะดูเรียบง่ายไม่หวือหวาไร้สีสัน ทว่าก็มีกลิ่นหอมที่เย้ายวนใจ เป็นกลิ่นของความดีงามที่ขจรขจาย

ส่วนตัวเขาเป็นแมลงที่มีสีสันหลากหลาย เขาเลือกที่จะอยู่กับดอกไม้สีขาว เพราะแมลงอย่างเขาเป็นส่วนเติมเต็มของสีสันที่ขาดหาย และกลิ่นหอมของดอกไม้ก็จะติดกายแมลงอย่างเขาให้หอมไปด้วย

ผ้าปูโต๊ะลายลูกไม้สีขาวถูกนำมาปูบนโต๊ะกลมสำหรับรับประทานอาหารขนาดสองคน มีแจกันสีสันสดใสซึ่งมีดอกไม้สีขาวสลับแซมกับใบไม้สีเขียว

มีเทียนเล่มใหญ่ยาววางอยู่บนเชิงเทียนตั้งเด่นอยู่บนโต๊ะ น้ำตาของผมเริ่มไหลเลอะแก้ม จนตาพร่าพราย แต่ผมไม่สนใจจะเช็ดมัน ผมทรุดนั่งลงบนเก้าอี้อย่างอ่อนแรง มือลูบไล้อยู่บนผ้าสีขาวสะอาดตานั้น
ภาพของเด็กหนุ่มผุดขึ้นในความคิด เดียร์จัดเตรียมทุกอย่างนี้ให้กับผมตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ วันวาเลนไทน์ที่เราจะฉลองด้วยกัน จิตใจของเขาทำด้วยอะไรหนอ

ทำไมเขาถึงดีกับผมยิ่งนัก ทั้งๆที่เดียร์โกรธผม แต่เขาก็ไม่เคยลืมในสิ่งที่พูดไว้ รับปากอะไรไว้ก็ทำให้จนเสร็จสมบูรณ์

เมื่อคืนนี้ เดียร์คงไม่ได้หลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ หลังจากร่วมรักกับผมจนสลบไป เขาก็คงจะเรียกหมอมาทำแผลให้ผม ระหว่างนั้นเขาก็คงลงมาตกแต่งบ้านให้ เขาจะทำไปร้องไห้ไปหรือเปล่า ผมไม่อาจจะรู้ได้ แต่สิ่งที่ผมเห็นตอนนี้ เรียกน้ำตาของผมให้ไหลพรากไม่ยอมหยุด

ผมไม่รู้ว่าเขาทำได้อย่างไร ทั้งดอกไม้ ทั้งผ้า และของตกแต่งทั้งหมด เมื่อวานนี้ มันน่าจะใช้เวลาในการจัดตกแต่งนานพอสมควร

ตอนที่ถูกเขาอุ้มขึ้นห้อง ผมไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าเขาทำอะไรไว้บ้างแล้ว บางทีเดียร์อาจจะซื้อข้าวของเหล่านี้เตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวาน ระหว่างที่รอผมก็ตกแต่งทุกอย่างไปพลางๆ

นึกสงสารเดียร์ขึ้นมาอย่างจับใจ เด็กหนุ่มคงจะร้อยดอกไม้เป็นม่าน อย่างวาดหวังว่าผมจะกลับมาช่วยกันทำกับเขา ตอนที่จัดดอกไม้ในแจกัน ตอนนั้นพี่สมชายจะเข้ามาโวยวายใส่หูให้เขาฟังหรือยังนะ แล้วตอนที่ขนดอกไม้เข้ามา พี่วิภาจะช่วยเขา หรือมัวแต่เต้นเร่าๆด่าผัวตัวเองอยู่

ผมนึกภาพความวุ่นวายขณะที่เดียร์อยู่คนเดียวไปสารพัด เริ่มเข้าใจถึงความอึดอัดที่เขาเผชิญ หลายอย่างที่สุมรุมเร้า คงทำให้เขาเกิดอาการคล้ายคนสติแตก

ตามปกติเดียร์ของผม ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย มีบ้างที่เขาจะน้อยใจ และโกรธผม แต่เวลาที่เขาเผลอแสดงอาการหงุดหงิดขึ้นมา พอเขาได้สติ ก็จะมาออดอ้อนขอให้ผมยกโทษให้เสมอ

มีเมื่อคืนนี้ที่เขาทำกับผมรุนแรงราวกับคนที่เจ็บแค้นกันมาแสนนาน ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้เขาเปลี่ยนไปได้ขนาดนั้น และผมรู้ว่าเขาคงไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ผมเจ็บปวด สังเกตได้จากการที่เขาร้องไห้ไปในขณะที่ลงมือร่วมรักกึ่งชำเราผม

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่50 ศุกร์ 13/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-03-2009 11:07:54
ความเจ็บปวดในใจของเดียร์ต้องสาหัสสากรรจ์พอสมควร เดียร์เล่าให้ผมฟังบางส่วนเรื่องที่เขาเผชิญหน้าศักดิ์ชาย เพื่อนตัวดี นี่ผมจะทำยังไงกับมันดีนะ เลิกคบมันไปเลยดีหรือเปล่า ที่มันบังอาจเข้ามายุ่งในเรื่องนี้ มันพูดอะไรกับเดียร์จึงทำให้เด็กหนุ่มเจ็บปวดมากมายขนาดนั้น

การที่เดียร์คิดจะเลิกกับผม ทั้งที่เคยประกาศลั่นว่าจะไม่ยอมเลิกราง่ายๆ มันต้องเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาจริงๆ อยากจะเรียกมันมาพูดให้รู้เรื่องเสียตอนนี้ แต่ผมก็ไม่อยู่ในสภาพที่พร้อมจะคุยกับเขา ผมกลัวว่าตัวเองจะเผลอทำร้ายมันเข้า เพราะมันเป็นตัวการที่ทำให้คนรักของผมต้องจากไป

แต่ว่า....จะโทษมันคนเดียวก็ไม่ได้ หากศักดิ์ชายพูดไม่มีมูลความจริง เดียร์ก็คงไม่โกรธมากขนาดนี้ เด็กหนุ่มอายุยังน้อย แต่ผ่านอะไรมามากมาย การที่เขาประคับประคองตัวเองอยู่ได้ ถึงแม้จะไม่มีใครสั่งสอน แต่เขาก็เป็นคนดี ไม่เคยทำตัวเกเรเหลวไหล ย่อมแสดงความเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว และไม่หวั่นไหวอะไรง่ายๆ

ผมคิดว่าการที่เดียร์เชื่อในสิ่งที่ศักดิ์ชายพูด นั่นเป็นเพราะเขารู้สึกคลุมเครือในการกระทำของผม เขาไม่รู้ว่าผมคิดยังไง แล้วผมก็แสดงออกให้รู้ว่าไม่ต้องการเปิดเผยการมีตัวตนของเขา เดียร์เข้าใจมาตลอดว่าผมไม่ต้องการได้เขาเป็นแฟน จึงพยายามผลักไสให้ไกลตัว
ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บ จะโทษคนอื่นไปทำไม ในเมื่อผมนั่นแหละที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เดียร์ต้องกลายเป็นคนเก็บกดและมีอารมณ์แปรปรวนแบบนี้ เพราะผมไม่เคยบอกให้เดียร์รู้แน่ชัด ทำอะไรก็ปิดบัง เขาต้องคาดเอาเอาเองในทุกๆเรื่อง จมอยู่กับความสงสัยไม่แน่ใจ เพราะไม่ได้รับการบอกเล่าที่ชัดเจน

เขาหึงหวงผมกับคุณแคท เพราะเขาไม่รู้ว่าเรากำลังวางแผนเพื่อครอบครัวของพี่สมชาย เขาคิดว่าเราชอบกันจริงๆ นอกจากนี้เขายังหวงผมกับอรจิรา สันต์ และศักดิ์ชายอีกด้วย เพราะผมไม่เคยเล่ารายละเอียดเรื่องเพื่อนให้เขาฟังเลย

ผมกันเขาออกไปจากสังคมของผม ซึ่งก็น่าอยู่หรอกที่เดียร์จะน้อยอกน้อยใจอย่างมากมาย แถมไม่เคยปริปากเรื่องถูกกดดันจากที่ทำงานให้เขาฟังอีก ทั้งที่เรื่องทุกอย่างมันโยงใยกันไปมา แต่ผมก็แก้ปัญหาเอาเองจนยุ่งไปหมด

พอเดียร์มารู้ทีหลัง เขาจึงมีความรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นคนโง่คนหนึ่งที่ไม่เคยได้รับความสำคัญ รู้เรือ่งทุกอย่าง หลังคนอื่นทุกที

ตอนนี้เดียร์ไปแล้ว เขาไม่ได้ไปแต่ตัว แต่เขาเอาหัวใจของผมไปด้วย แค่ไม่กี่ชั่วโมงที่เดียร์หายตัวไปจากบ้านหลังนี้ ผมกลับรู้สึกเหมือนมันนานนับปี อันที่จริงผมควรจะโกรธที่เดียร์ละเมิดสัญญาระหว่างเรา ตกลงกันว่าจะไม่ล่วงละเมิดหากผมไม่ยินยอม

แต่นี่เขาล่วงเกินผมหลายครั้ง ในลักษณะเข้าข่ายการบังคับขืนใจ แต่ผมก็ไม่ได้คิดว่าเป็นความผิดของเขาเลยที่ทำเช่นนั้น ผมคิดว่ามันสมควรแล้วที่เขาจะเอาคืนกลับบ้าง เพราะผมเองก็ทำไม่ดีกับเขาด้วยเช่นกัน

ผมทำร้ายจิตใจของเดียร์ ทำร้ายหัวใจของคนที่รักผมมากที่สุด เดียร์แสดงออกตลอดเวลาว่ารักและอยากจะดูแลผมตลอด ถึงแม้ว่าการเอาอกเอาใจของเขาจะดูน่ารำคาญในบางครั้ง แต่ก็ไม่มีครั้งไหนที่เขาจะประสงค์ร้ายต่อผม เขาทำให้ผมได้ทุกอย่าง มากกว่าที่ใครเคยทำให้ผมด้วยซ้ำ แต่หัวใจที่เย็นชาของผม กลับไม่ยอมรับความหวังดีที่เขามีมาให้

ผมพยายามหาเหตุผลให้กับการกระทำของเดียร์เมื่อคืน และได้ข้อสรุปแบบนั้น นึกสมน้ำหน้าตัวเองนักที่ปากหนัก แค่คำบอกรักก็พูดออกมาไม่ได้ มัวแต่ละอายใจหน้าบาง สร้างตนเป็นคนดีของสังคม โดยลืมไปว่าหัวใจของตัวเองก็สำคัญเหมือนกัน

หากบุคคลซึ่งเป็นหน่วยย่อยของสังคมไม่มีความสุข เขาก็ไม่อาจจะสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อมได้ แล้วจะหวังอะไรกับการสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้บังเกิดแก่มวลมนุษย์ชาติ ใจไม่เป็นสุขจะสร้างความสุขได้อย่างไร ถ้าเพียงผมเอ่ยปากบอกรักกับเดียร์ไป เรื่องมันก็คงจะจบได้ง่ายลง

หลังมือถูกใช้เป็นที่ปาดน้ำตาให้แห้ง ผมจะร้องไห้อยู่อย่างนี้ไม่ได้ ในเมื่อต้นเหตุที่ทำให้ผมไม่สบายใจคือการที่เดียร์ไม่อยู่ในบ้านนี้ ดังนั้น ผมต้องตามเขากลับคืนมา เพื่อให้หัวใจของผมได้รับการดูแลเหมือนเดิม

โทรศัพท์บ้านถูกนำมาใช้ในการโทรหาเด็กหนุ่ม โดยผมไล่หาเบอร์จากมือถือของตัวเองอีกที ผมไม่กล้าใช้โทรศัพท์มือถือของตัวเองโทรหาเขา เพราะกลัวว่าหากเขายังงอนอยู่ อาจจะไม่อยากรับสายผมก็ได้ เดียร์ไม่รู้เบอร์บ้านนี้ เพราะผมไม่ให้เขา และไม่อนุญาตให้โทรมาหาที่บ้านด้วย


.........................................................................

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ไม่ใช่จากในสาย แต่เป็นจากข้างนอก และไม่ใช่เสียงเรียกจากโทรศัพท์ของผมด้วย แว่บแรกผมดีใจที่ได้ยิน เพราะจำได้ว่าเป็นเสียงจากโทรศัพท์ของเดียร์ ผมคิดว่าเขายังอยู่ในบ้าน จึงรีบมองหาว่าเขาซ่อนอยู่ตรงไหน ด้วยความหวังว่าจะเจอเด็กหนุ่มลูกครึ่งในบ้านของผมอีกครั้ง แต่พบกับความว่างเปล่า ผมเป็นเพียงมนุษย์คนเดียวที่อยู่ในบ้านหลังนี้

เมื่อผมไม่วางโทรศัพท์เสียงเรียกนั้นก็ยังคงดังต่อเนื่อง ผมมองไปรอบๆจนกระทั่งเจอต้นตอของเสียง โทรศัพท์มือถือที่ผมซื้อให้เดียร์วางอยู่บนตรงหน้าโต๊ะคอมของผม

ผมวางโทรศัพท์ลง แล้วเดินไปหยิบมันขึ้นมา นี่เดียร์ลืมโทรศัพท์เอาไว้ หรือเขาจงใจจะคืนมันให้กับผมกันแน่ ถ้าเป็นอย่างหลัง แสดงว่าเขาไม่ต้องการจะให้ผมติดต่อเขาอีกแล้วใช่ไหม ความสงสัยวนเวียนอยู่ในใจผม

โทรศัพท์ยังอยู่ในสภาพที่ใหม่เอี่ยม แม้จะถูกใช้มาหลายเดือน เดียร์รักษาของได้ดีมาก เขาบอกว่ามันเป็นของชิ้นแรกที่ผมให้กับเขา เสมือนเป็นตัวแทนของผม จึงต้องดูแลทะนุถนอมให้ดี

ผมยิ้มน้ำตาซึมตาเมื่อเห็นภาพบนหน้าจอ เป็นภาพของเดียร์ที่โอบกอดผมเอาไว้ทางด้านหลัง เอาคางเกยไว้ที่ไหล่ หน้าของเขาแนบกับหน้าของผม

เขาถ่ายรูปนี้ตอนที่เรานั่งกันอยู่ในห้องรับแขก แล้วเขาจับผมไปนั่งตักของเขา แล้วทดลองกล้องของตัวเอง มันยังมีภาพระหว่างผมกับเขาอีกหลายรูป ที่เขาขอผมถ่าย และผมก็บ้าจี้ ยอมตามใจเขา

มือที่เลื่อนภาพไปแต่ละเฟรมสั่นขึ้นเรื่อยๆ ภาพของเดียร์กับผมที่ถ่ายคู่กันในอริยาบทต่างๆ ยิ่งทำให้ผมคิดถึงเจ้าของภาพมากยิ่งขึ้น ใบหน้าทะเล้นนั้นมีรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา เขาจะคอยคลอเคลียอยู่ข้างๆผม เกือบจะทุกรูปที่ถ่ายไว้ เขาจะต้องกอดผมอยู่เสมอ

มีภาพเดี่ยวๆของผมที่เดียร์แอบถ่ายไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เป็นภาพในชุดทำงาน ชุดที่ใส่ในวันว่างที่อยู่กับบ้าน รวมถึงภาพที่ไปเที่ยวด้วยกัน มีภาพตอนที่ผมกำลังนั่งเหม่อมองทะเล ที่นั่นคงเป็นเสม็ดที่เราไปด้วยกัน ภาพตอนไปเที่ยวที่เกาะเกร็ด และภาพสุดท้ายของผมเป็นภาพตอนที่นอนหลับอยู่บนเตียงของตัวเอง

เจ้าหมอนี่แอบๆถ่ายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ไม่บอกกันบ้างเลย แอบถ่ายโดยไม่ให้ผมรู้ตัวแบบนี้ ฟ้องร้องค่าเสียหายดีกว่า โทษฐานที่เขาทำตัวเป็นปาปารัสซี่แอบถ่ายผมเป็นระยะ แต่ผมจะไปกล่าวหาใครได้ล่ะ ในเมื่อหลักฐานอยู่ที่นี่ แต่คนถ่ายไม่รู้หายไปไหนแล้ว

นอกจากเขาจะถ่ายภาพผมไว้แล้ว เขายังถ่ายภาพเจ้าหญิงไว้ด้วย หมาของผม ในกล้องของเขาช่างน่ารักจัง ท่าทางมันจะมีความสุขมาก สังเกตจากแววตาสุกใสในภาพถ่าย เดียร์ยังเก็บภาพภายในบ้านไว้ด้วย มีภาพโซฟาที่ถูกทำเป็นเตียงของเขา และเตียงนอนในห้องของผมที่เรานอนอยู่เคียงข้างกันอย่างมีความสุข

ตัวเขาเองมีภาพอยู่ในกล้องแค่ 4-5 ภาพเท่านั้น เป็นภาพที่เขาทำท่าทางตลกๆใส่กล้อง ทั้งแลบลิ้นปลิ้นตา มีภาพหน้าตรงของเขาที่ยิ้มกว้างให้กล้องเพียงแค่ภาพเดียว แต่เป็นภาพที่สดใสน่ารักที่สุด ผมมองภาพของเดียร์แล้วสะท้อนสะท้านในอกคิดถึงเด็กหนุ่มอย่างมากมาย

ไปอยู่ที่ไหนกันนะ เจ้าเด็กบ้า ทำไมไม่อยู่ฉลองวาเลนไทน์ด้วยกัน จัดบ้านให้เสียสวยงามน่ารัก แต่มันไร้ชีวิตชีวาถ้าไม่มีเขา ผมจะผ่านเทศกาลแห่งความรักนี้ไปเพียงลำพังได้อย่างไร


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่50 ศุกร์ 13/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-03-2009 11:08:36

แล้วนี่ผมจะไปตามเขาได้จากทีไหนกัน เขาไม่นอนบ้านผม แต่จะกลับไปนอนบ้านเช่าที่น้อยเข้าไปครอบครองหรือเปล่าก็ไม่รู้ จะไปตามหาก็ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน

ผมเคยไปส่งเขาที่ปากซอยบ้านแค่ครั้งเดียร์ตอนที่ผมกลับมาจากการถูกลักพาตัว จากนั้นก็ไม่เคยไปหาอีกเลย จะไปตามหาที่ร้านกาแฟที่เดียร์ทำก็ไม่ได้ เพราะวันนี้เป็นวันหยุดของเด็กหนุ่ม เขาลางานเพื่อฉลองกับผมโดยเฉพาะ จะมีใครรู้เรื่องบ้างไหมนะ ว่าเด็กหนุ่มอยู่ที่ไหน

พลันผมก็นึกถึงน้อยขึ้นมา น้อยเป็นเพื่อนที่เดียร์สนิทที่สุด บางทีน้อยอาจจะรู้ก็ได้ว่าเดียร์อยู่ที่ไหน ไม่แน่สองคนอาจจะอยู่ด้วยกันที่บ้านเช่านั้นก็ได้ ผมไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของน้อย แต่เดียร์อาจจะมี ผมรีบเปิดหาเบอร์โทรศัพท์ในมือถือของเดียร์เพื่อหาเบอร์ของน้อย แต่ก็ต้องประสบกับปัญหาเพราะมีชื่อน้อย ในมือถือหลายคน

Noi – BX1 – 030503---
Noi – BX2 – 046669---
Noi – DC - 023760---
Noi – FN - 019150---
Noi – CS - 076668---
Noi – F - 098139---

แล้วมันน้อยคนไหนกันแน่ ผมพยายามตีปริศนาอักษรย่อต่อท้ายชื่อ แต่ก็คิดไม่ออก มันเป็นชื่อของคนๆนั้น หรือเป็นสถานที่ หรืออะไรบางอย่างที่อ้างอิงถึงที่มาของคนๆนั้นเพื่อให้เดียร์จำได้ แต่ผมไม่รู้จักคนเหล่านั้น และไม่เคยชินกับวิธีการที่เดียร์ใช้ เลยเดาไม่ถูก จึงตัดสินใจสุ่มดูสักคน

ผมโทรไปหาสายแรก Noi – BX1 ทว่าไม่มีผู้รับสาย ผมเลยโทรหาคนที่สองทันที คราวนี้ติดแล้ว แต่เป็นผู้หญิงรับ

ผมขอสายน้อย แต่เสียงจากปลายสายบอกไม่อยู่ ผมเลยถามว่าไปไหน ทางปลายสายอึ้งไปนิดหนึ่งแล้วถามว่าผมเป็นใคร ผมก็เลยบอกไปว่าเป็นเพื่อนกับน้อย ก็มีเสียงฉุนเฉียวตอบกลับมาว่าเป็นเพื่อนประสาอะไรกันถึงไม่รู้ว่า น้อยน่ะไปที่ชกมวย ทุกๆวันเสาร์สนามมวยจะเปิด และน้อยขึ้นเวทีเป็นคู่เอกด้วย

ผมขอโทษขอโพยและโกหกโดยบอกไปว่าผมเป็นเพื่อนที่ ไม่ได้เจอกันนานแล้ว ก็เลยโทรมาหาอยากมาเยี่ยม เธอก็เลยให้ผมไปหาที่สนามมวยลุมพินี จากนั้นก็บ่นเกี่ยวกับเรื่องการชกมวยของน้อยเสียยืดยาว ท่าทางเธอไม่ชอบที่น้อยคนนี้เป็นนักมวยสักเท่าไหร่

ผมเลยเดาว่าเธอคงจะเป็นญาติหรือไม่ก็แฟนของน้อยที่ไม่อยากเห็นคนของตัว ต้องบาดเจ็บจากการชก หลังจากบ่นสักพักเธอก็วางหูไป

คราวนี้ผมได้เบาะแสแล้ว เดียร์คงจะใช้อักษรย่อตามลักษณะของอาชีพ หรือสถานที่ที่เขาเจอคนพวกนั้น ผมเดาเอาว่า BX น่าจะมาจากคำว่า Boxer เป็นเพื่อนนักมวยของเขา

ส่วน DC คือ Dancer นักเต้นคนที่เขาร่วมงานในปัจจุบัน ถ้าผมเดาไม่ผิด FN ก็คงจะเป็น Fitness เพราะเขาเคยบอกว่าเขาจะได้สอนเต้นในสถานออกกำลังกายแห่งหนึ่ง Cs ก็คือร้านกาแฟ

และ F จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากคำว่า Friend ผมกดโทรออกถึงหมายเลขนั้นทันที เสียงโทรศัพท์เรียกไปหลายครั้ง ผมรออย่างใจจดใจจ่อ และแล้วเสียงอันคุ้นหูก็ดังขึ้น ผมรีบทักอย่างดีใจ
“น้อยหรือครับ นี่ผมนะ เรียวไง”

“อ๊ะ....ค๊า....สวัสดีค่ะ คุณเรียว กำลังงงว่าเดียร์โทรมาทำไม ที่แท้ก็คุณนี่เอง มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ ถึงได้โทรมาหาน้อย”

น้อยทักทายตอบด้วยเสียงสดใส ฟังจากน้ำเสียงที่น้อยถามผม เหมือนว่าเขารู้ว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น ผมจึงไม่อ้อมค้อม ถามน้อยไปตรงๆ

“เดียร์อยู่ที่นั่นหรือเปล่าครับ”

“ไม่อยู่แล้วค่ะ เอาของมาเก็บที่บ้าน แล้วก็ออกไปสักครู่นี่เอง”

คำตอบของน้อย เล่นเอาผมใจลงไปกองอยู่ที่ตาตุ่ม ถามออกไปเหมือนเสียงกระซิบ

“ออกไปไหนหรือครับ .....”

“เอ เห็นว่าจะไปซ้อมเต้นนี่คะ ตอนแรกเห็นว่าจะหยุดงาน แล้วไงไม่รู้โผล่มาหาน้อย แล้วก็แต่งตัวออกไปเนี่ยล่ะค่ะ”

“หรือครับ ....ท่าทางเขาเป็นอย่างไรบ้าง....”

ผมถามถึงเดียร์ด้วยความห่วงใย น้อยนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนจะถามออกมาตรงๆ

“คุณเรียวกับเดียร์ทะเลาะกันหรือเปล่าคะ....”

“ครับ”

รับคำเสียงอ่อยๆ น้อยอุทานเสียงแหลม

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่50 ศุกร์ 13/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-03-2009 11:09:12
“ต๊ายยย นึกแล้วไม่มีผิด ว่าต้องมีปัญหากัน มิน่า เจ้าหนูนั่น มาถึงก็นอนร้องไห้ ถามอะไรก็ไม่ตอบ ไม่พูดไม่จา ข้าวปลาไม่กิน น้ำตาไหลพรากอย่างกับท่อประปาแตก ไม่เคยเห็นเขาต้องเสียน้ำตาแบบนี้มาก่อนเลย นี่เขาร้องจนกระทั่งหลับไป พอตื่นขึ้นมา ก็อาบน้ำแต่งตัวไปเลยค่ะ...”

สิ่งที่น้อยเล่าทำให้ผมยิ่งเศร้าใจหนักยิ่งขึ้น ผมพึมพำถามน้อยด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความระทดท้อในใจ

“น้อยครับ....แย่แล้ว ...นี่ผมจะทำอย่างไรดีล่ะ เดียร์ ทิ้งผมไปแล้ว....”

“ใจเย็นๆนะคะ เรียว เอางี้ เดี๋ยวน้อยไปหานะคะ แล้วเราค่อยคุยกัน อ้อ แล้วคุณทานอะไรหรือยังคะ”

“ยังเลยครับ มันกินไม่ลง แต่เดียร์เขาทำกับข้าวไว้ให้ผมแล้ว ตั้งหลายอย่าง คงจะทำให้ก่อนไปบ้านโน้นน่ะครับ”

“ว้ายยยยย ไอ้เจ้าเด็กบ้านี่ ยังจะมีแก่ใจทำให้คุณทานอีก ทั้งที่เสียใจขนาดนั้น รักเรียวออกมากมาย แต่กลับหนีออกมาซะงั้น บ้ามากๆเลย เป็นอะไรกันไม่รู้ ทั้งคุณทั้งเดียร์ เฮ้อ ....งั้นรอน้อยนะคะ เดี๋ยวน้อยไปหา”

“ครับ ดีเลย กำลังอยากหาเพื่อนคุยพอดี”

“ค่ะ ไม่เกิน 45 นาที เดี๋ยวน้อยนั่งมอเตอร์ไซด์ไปหาเลย”


น้อยวางหูแล้ว แต่ผมยังยืนกำโทรศัพท์อยู่ รู้สึกงกๆเงิ่นๆทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ สุดที่รักของผมร้องไห้อย่างหนัก เขาคงเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ

ผมรู้สึกดีที่ได้ยินแบบนี้ แสดงว่าเมื่อคืนที่เดียร์ทำรุนแรงกับผมนั้น เด็กหนุ่มก็ไม่ได้ต้องการให้มันเกิดขึ้น เพียงแต่เขาควบคุมความโกรธที่มีต่อผมไม่ได้ จึงพลั้งมือทำกับผมแรงไป แล้วเขาก็เสียใจที่ทำร้ายผมเข้า จนต้องร้องไห้ออกมา หนุ่มน้อยของผมไม่ได้รังเกียจผมสักนิด เขาแค่โมโหจนยั้งไม่อยู่เท่านั้น

ในเวลาไม่ถึง 45 นาที น้อยก็มาปรากฏต่อหน้าผม ในสภาพหัวหูกระเซอะกระเซิง เพราะลมตีจากการว่าจ้างให้มอเตอร์ไซด์พามาบ้านผม ผมมองสาวประเภทสองตัวเตี้ยล่ำผิวคล้ำ ใส่เสื้อผ้าสีสันฉูดฉาด แต่งหน้าเข้ม ด้วยความรู้สึกดีใจที่ได้เจอหน้าเขาอีก

ผมกล่าวขอบคุณเขาที่มาหา เขาร้องบอกเสียงดังว่าไม่ต้องมาขอบคุณเขาหรอก เขาทำเพื่อเพื่อนของเขา ไม่อยากเห็นใครบางคนต้องเหี่ยวแห้งตายจากอาการขาดรัก เราสองคนเลยยิ้มให้กัน

เสียงอุทานอย่างชื่นชมดังออกมาจากปากของน้อยเมื่อเขาก้าวเข้ามาในบ้าน เขาแซวว่าเดียร์ทำบ้านผมกลายเป็นสวนดอกไม้ไปเสียแล้ว ดูสวยงามเสียจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นฝีมือการจัดของผู้ชายที่เคยเป็นนักมวยมาก่อน

น้อยจีบปากจีบคอเล่าให้ผมฟัง ว่าเมื่อวานนี้น้อยเป็นคนไปซื้อดอกไม้สวยๆพวกนี้กับเดียร์ที่ปากคลองตลาด ไปกันตั้งแต่เช้ามืด เพราะเด็กหนุ่มต้องกลับไปทำงานอีกทีในรอบบ่าย เดียร์แทบจะเหมาดอกไม้สีขาวจากแม่ค้าจนหมดไม่เหลือให้คนอื่น

ส่วนดอกลีลาวดีนั้นเอามาจากในสวนที่ปลูกต้นนี้โดยเฉพาะ เดียร์กับน้อยต้องไปอ้อนวอนขอร้องเก็บดอกไม้พวกนี้มา โดยเดียร์แลกกับบัตรชมคอนเสิร์ตนักร้องสาวที่กำลังดังอยู่ขณะนี้ไป 5 ใบ เจ้าของเป็นสาวโสดอายุมากแล้ว แต่ท่าทางยังเปรี้ยวจี๊ด เธอถูกชะตากับเดียร์เลยยอมให้ แถมซ้ำยังชวนเดียร์ให้มาเที่ยวที่สวนของเธอได้ตลอดเวลา

พอซื้อของได้ครบที่ต้องการแล้ว น้อยกับเดียร์ก็มาที่บ้านของผม แอบมาเตรียมทุกอย่างเพื่อที่จะเซอร์ไพรส์ผม โดยหลอกให้ผมเข้าใจว่าเดียร์เข้างานทั้งวัน จากนั้นสองคนก็ช่วยกันตกแต่งบ้านให้ผม

น้อยช่วยจัดการเรื่องผ้าม่าน และผ้าปูโต๊ะให้ โดยขอยืมอุปกรณ์บางส่วนมาจากร้านบ้านคุณป้า และของจากร้านอาหารเดิมที่น้อยเป็นเจ้าของและเอาเก็บกลับมาบ้างบางชิ้น

ส่วนเดียร์จัดดอกไม้ ซึ่งเดียร์ลงทุนไปขอให้คุณป้าร้านอาหารช่วยสอนวิธีทำให้ และซุ่มฝึกปรือจนกระทั่งทำออกมาได้สวยงาม

น้อยกลับก่อนตอนสิบโมงเช้า เพราะต้องไปช่วยคุณป้าทำอาหาร ส่วนเดียร์ยังทำต่อจนกระทั่งบ่าย น้อยไม่รู้เลยว่าจะเกิดปัญหาขึ้นหลังจากนั้น ยังคงคิดว่าผมกับเดียร์จะได้ฉลองวันวาเลนไทน์กันสองคนอย่างมีความสุข

แต่พอเดียร์โผล่มาหาในตอนสาย ก็รู้ได้ทันทีว่าเกิดปัญหาขึ้นแล้ว แต่ในเมื่อเดียร์ไม่พูดอะไร น้อยก็เลยไม่ซักถาม เพราะเกรงว่าเพื่อนจะไม่สบายใจหนักขึ้น

“เดียร์เคยบ่นอะไรให้น้อยฟังไหมครับ...เอ้อ...ผมหมายถึงเรื่องของผมกับเดียร์”

ถามออกไปอย่างอยากรู้ มันเป็นการดีที่ผมจะได้เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของเดียร์จากการฟังจากปากของเพื่อนสนิทของเขา น้อยนิ่งคิดจากนั้นก็เล่าให้ผมฟังถึงสิ่งที่อยู่ในใจเดียร์.......................................................



....................................................................................

“เดียร์เคยบ่นอะไรให้น้อยฟังไหมครับ...เอ้อ...ผมหมายถึงเรื่องของผมกับเดียร์”

ถามออกไปอย่างอยากรู้ มันเป็นการดีที่ผมจะได้เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของเดียร์จากการฟังจากปากของเพื่อนสนิทของเขา น้อยนิ่งคิดจากนั้นก็เล่าให้ผมฟังถึงสิ่งที่อยู่ในใจเดียร์

สิ่งที่เด็กหนุ่มเล่าให้น้อยฟัง คือความอึดอัดใจไม่แน่ใจในสถานภาพของตนเอง เขาไม่รู้ว่าความพยายามของเขาจะสัมฤทธิ์ผลไหม ผมรักเขาบ้างแล้วหรือยัง

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่50 ศุกร์ 13/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-03-2009 11:09:42
นอกนั้นก็เป็นเรื่องความน้อยอกน้อยใจที่ผมไม่ไว้ใจเขาไม่เคยบอกเล่าอะไรให้รู้ จริงดังที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด เดียร์ตกอยู่ในความหึงหวง สงสัยไม่แน่ใจ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม ทำไมต้องปิดบังเขาทุกเรื่อง เขาเล่าเรื่องคุณแคทให้น้อยฟังด้วย

สิ่งที่น่าตกใจก็คือเดียร์เล่าให้น้อยฟังว่า ศักดิ์ชายไปหาเดียร์บ่อยๆ พอมีโอกาสก็จะเล่าเรื่องของผมกับคุณแคทลียาให้เดียร์ฟังประจำทำนองว่าเรากำลังสานสัมพันธ์กัน

เดียร์ยังบอกอีกด้วยว่า ศักดิ์ชายรู้เรื่องข้อตกลงระหว่างผมกับเดียร์ด้วย ในการทำสัญญาเป็นแฟนกัน เขายังเอาสำเนาสัญญาที่เขาไปแอบถ่ายเอกสารมาจากไหนไม่รู้มาให้เดียร์ดูด้วย เป็นการยืนยันว่าเขารู้ทุกอย่างจริงแต่ไม่บอกว่ารู้มาจากไหน

ทำให้เดียร์สงสัยว่าน่าจะรู้มาจากผม เดียร์จึงน้อยใจว่าทำไมผมถึงต้องให้ศักดิ์ชายมาทำอย่างนี้กับเขาด้วย ถ้าจะเลิกกันทำไมไม่มาบอกเอง

รู้สึกจี๊ดขึ้นมาในสมอง รู้สึกโกรธเจ้าศักดิ์ชาย ไอ้เพื่อนตัวยุ่ง มันไปรู้เรื่องสัญญาของผมกับเดียร์ได้อย่างไรกัน หลังจากพยายามนึกอยู่ตั้งนาน ความคิดบางอย่างก็สว่างแว่บเข้ามาในสมอง

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมนั่งปรึกษาเรื่องเดียร์กับผมอยู่กับเจ้าสันต์ แล้วอยู่ๆศักดิ์ชายก็โผล่เข้ามา ตอนนั้นผมยังแอบสงสัยว่า ศักดิ์ชายคงมายืนแอบฟังเราสองคนด้วยกัน เพราะเห็นสีหน้าและแววตาของมันที่มองมายังผมมันดูผิดแปลกไปจากเดิม และมันยังพูดเป็นนัยๆว่ามีอะไรให้บอกมันบ้าง มันยินดีช่วยเหลือผม

ล่าสุดก่อนจะไปเกาะเกร็ด มันบอกว่ามันลืมบางอย่างไว้ที่บ้านของผม เป็นไปได้ไหมว่า ก่อนหน้านั้นที่เป็นวันเกิดของผม มันบังเอิญมาค้นเจอสัญญาเข้า ผมสะเพร่าเองด้วยที่คิดว่าอยู่กันสองคน ผมจึงเก็บสัญญาไว้ในลิ้นชักที่ไม่ได้ล็อค

ศักดิ์ชายแอบสงสัยเรื่องผมกับเดียร์อยู่แล้ว บางทีมันอาจจะเข้ามาค้นหา แล้วเจอหลักฐานชิ้นเด็ดเข้า จึงหยิบเอาไปถ่ายเอกสาร แล้วมาหาผมอีกครั้ง เพื่อเอาเอกสารนั่นมาคืน โดยลากอรจิรามาด้วยเพื่อบังหน้า วันนั้นผมมัวแต่ขุ่นใจพวกมัน เลยไม่ทันได้สังเกตเห็น จึงเป็นไปได้ที่มันจะเอามาหย่อนลงที่โต๊ะทำงานของผม แล้วลอยตัวออกไปเนียนๆ

หัวสมองของผมจินตนาการเรื่องราวต่างๆตามที่ได้ยินได้ฟังจากน้อยมาทันที ศักดิ์ชายคงไปหาเดียร์และบอกว่าเขารู้เรื่องทุกอย่างหมดแล้ว มันคงกล่าวอ้างว่ารู้จากผม มีหลักฐานพยานพร้อมสรรพ ทำให้เดียร์ระแวงแคลงใจ จึงง่ายต่อการที่มันจะลวงเดียร์ว่าผมใช้ให้มันไปพูดจริง

มันคงบอกกับเดียร์ว่า ผมไม่ได้รักชอบเขาสักนิด แต่ต้องปฏิบัติตามสัญญา ศักดิ์ชายคงอ้างข้อความในกฎหมายเพื่อที่จะหาทางเล่นงานเดียร์ในเรื่องของการแบล็คเมล์ หากเดียร์ยังขืนดื้อดึง ศักดิ์ชายคงทั้งขู่และปลอบเดียร์เพื่อให้เลิกรากับผม

เรื่องการถูกนินทาว่าร้ายในที่ทำงาน เรื่องที่ถูกหัวหน้าเล่นงาน และเรื่องของคุณแคทคงถูกมันเล่าให้เดียร์ฟังจนหมด ไม่อยากจะคิดเลยว่ามันจะใส่สีใส่ไข่ลงไปมากน้อยขนาดไหน จนทำให้คนที่หนักแน่นอย่างเดียร์คล้อยตาม

ยิ่งมารู้ว่าผมโกหกปกปิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ เดียร์เลยคิดเลยเถิดไปกันใหญ่ สุดท้ายพอเจ้าศักดิ์งัดไม้ตายเรื่องการทำทุกอย่างเพื่อให้คนรักมีความสุข มาใช้กับเดียร์เพื่อขอร้องให้เดียร์ไปซะจากชีวิตผม เด็กหนุ่มก็เลยตัดสินใจทำแบบนั้นจริงๆ

นี่ผมจินตนาการไปไกลหรือเปล่านี่ ขออย่าให้มันเป็นจริงตามที่ผมคิดเลย ผมยังอยากจะไว้ใจมันอยู่ ความที่รู้จักกันมานาน ผมจึงยังทำใจไม่ได้

ถ้าจะต้องเกลียดกันเพียงเพราะว่ามันมายุ่งกับชีวิตผมมากเกินไป ผมรู้ว่ามันทำด้วยความหวังดี แต่จะมีเจตนาอื่นแอบแฝงหรือไม่ อันนั้นเกินกว่าจะคาดเดา เจอตัวกันแล้วคงต้องลากมาถามกันอีกที

“ถามจริงๆเถอะค่ะ คุณเรียว คุณรักเดียร์มันบ้างหรือเปล่าคะ”

เล่าเสร็จ น้อยก็ถามผมตรงๆ ผมมองหน้าน้อย แล้วก็พยักหน้าเป็นเชิงยอมรับ น้อยถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วส่ายหน้า

“แล้วทำไมคุณไม่บอกเจ้าหนูนั่นไปล่ะ น้อยไม่เข้าใจคุณสองคนเลยนะคะเนี่ย ต่างคนต่างรักกัน แต่ก็ต้องมาผิดใจกันด้วยเรื่องขี้ประติ๋ว

เดียร์น่ะคิดเอาเองว่าคุณคงรังเกียจเขา เพราะเขาทำไม่ดีกับคุณตั้งแต่แรก ได้คุณมาเป็นแฟนโดยไม่ชอบธรรม บังคับฝืนใจคุณทุกอย่าง

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่50 ศุกร์ 13/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-03-2009 11:10:37
เขารู้ว่าเขาผิด แต่ก็พยายามจะทำดีกับคุณเพื่อให้คุณลืมสิ่งที่เขาทำร้ายจิตใจ และจำเฉพาะสิ่งที่ดีๆเอาไว้ แต่คุณไม่บอกเขาถึงความรู้สึกตัวเอง เขาก็เลยไม่รู้ นั่งนึกน้อยอกน้อยใจคนเดียวอ่ะค่ะ”

“ผมเองก็เพิ่งจะมารู้ใจตัวเองเมื่อไม่นานมานี้เองน่ะครับ ก่อนหน้านั้นผมก็รังเกียจเดียร์จริงๆ ผมไม่ได้รักเขา ยิ่งเขามาแบล็คเมล์ผมแบบนั้น ผมเลยทำใจไม่ได้

อยากเลิกกับเขาทุกวันเลย ติดขัดตรงสัญญานี่แหละ ที่ทำไว้แล้วก็ต้องดำเนินต่อไปให้มันจบ อีกอย่างคุณน้อยก็คงจะทราบว่าผมไม่เคยชินกับชีวิตแบบนี้ ผมไม่เคยมีแฟนเป็นผู้ชายมาก่อน ถึงผมจะไม่ได้รังเกียจพวกคุณ แต่ผมก็ไม่เคยคิดว่าจะมีความสัมพันธ์ในรูปแบบนี้นะครับ...”

บอกไปตามตรง น้อยพยักหน้าอย่างเข้าใจ

“น้อยรู้ค่ะ ว่ามันทำใจลำบากที่เป็นผู้ชายอยู่ดีๆ ก็ถูกบังคับให้มารักเกย์ แต่พวกเราก็มักเป็นแบบนี้แหละค่ะ ชอบฝันที่จะมีผู้ชายมารัก เดียร์เขาต่างจากเราตรงที่ เขาได้รับความเมตตาจากคุณเรียว

เขาก็เลยสำนึกบุญคุณ และแปรเปลี่ยนมาเป็นความรัก อยากครอบครองตัวคุณเพื่อที่จะดูแลปกป้องน่ะค่ะ แต่เขาก็ยังมีอารมณ์ของความเป็นเด็กๆอยู่บ้าง ตรงที่ยังหนักแน่นไม่พอ คงเป็นเพราะน้อยเนื้อต่ำใจอยู่แล้วเลยเชื่อเป็นจริงเป็นจังว่าเขาไม่เหมาะกับคุณจริงๆ”

โธ่เอ๊ยเดียร์ น่าสงสารจริงๆ ทำไมต้องคิดแบบนั้นด้วย ผมไม่เคยคิดว่าเรื่องแบบนี้มันสำคัญสำหรับการอยู่ร่วมกัน จะเอาอะไรมาวัดกันว่าสิ่งใดเหมาะหรือไม่เหมาะ การใช้ชีวิตคู่มันก็เหมือนเป็นโจทย์ทางศิลปะ ไม่ใช่ทฤษฎีที่จะต้องจับโน่น จับนี่มาคู่กัน

ไม่ใช่คนรวยต้องคู่กับคนรวย คนสวยต้องคู่กับคนหล่อ คนดีต้องคู่กับคนดีเสมอไป มันอยู่ที่ว่าจิตใจมันตรงกันแค่ไหน แต่ที่ผมติดใจคือเรื่องที่ผมจะต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเองไปเป็นแบบที่ผมไม่คุ้นเคยต่างหาก แล้วถ้าหากจะต้องให้ลาออกจากงานที่ผมรัก ผมก็ยังทำใจไม่ได้ มันก็เลยเป็นอะไรที่คาราคาซัง ตัดสินใจไม่ได้สักที จนกระทั่งเดียร์เกิดการเข้าใจผิดขึ้น
“นั่นสิ น้อยก็ว่าแล้ว คุณเรียวเป็นคนดีจะตาย ไม่ถือเนื้อถือตัว เรื่องแค่นี้คงไม่ใช่ประเด็นที่ทำให้คุณไม่ชอบเดียร์หรอก น่าจะเป็นเพราะว่าคุณยังทำใจให้รักผู้ชาย และอยู่กินกันไม่ได้ต่างหาก แต่ตอนนี้ คุณยอมรับแล้วว่ารักเขา และอยากอยู่กับเขาใช่ไหมคะ ถ้าเพื่อนน้อยรู้เขาคงจะดีใจมากเลยค่ะ ที่ในที่สุด สิ่งที่เขาเพียรพยายามทำเพื่อให้คุณรักเขา ก็ประสบความสำเร็จ”

น้ำเสียงของน้อยบ่งบอกถึงความยินดี ผมเองก็อยากให้เป็นเช่นนั้น

“แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้เดียร์จะยอมกลับมาหาผมหรือเปล่าน่ะสิครับ”

“ไม่ต้องห่วงค่ะ เรื่องนี้เดี๋ยวน้อยจัดการให้เองนะคะ จะช่วยพูดให้เจ้าเด็กโง่นั่นกลับมาหาคุณ น้อยได้ฟังคุณพูดแล้วก็รู้สึกดีใจแทนเพื่อนของน้อย จนคอยเวลาที่จะเล่าให้เขาฟังไม่ไหวแล้ว ถ้าเดียร์ยังดื้อไม่เชื่อ น้อยจะไปลากคอมาที่นี่ให้เองค่ะ”

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่50 ศุกร์ 13/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-03-2009 11:11:00
น้อยรับปากกับผมเป็นมั่นเป็นเหมาะ ทำให้ผมใจชื้นขึ้น มีความหวังว่าเดียร์จะกลับมาหาผมเหมือนเดิม เราจะได้ปรับความเข้าใจกันได้สักที

น้อยลากลับไปแล้ว ปล่อยให้ผมนั่งอยู่ในบ้านที่เต็มไปด้วยดอกไม้สีขาว รอคอยให้เจ้าชายของผมกลับมาฉลองกันในค่ำวันนี้ น่าแปลกที่ก่อนน้อยจะมา ผมไม่รู้สึกอยากทานอะไรเลย แต่หลังจากได้พูดคุยกับน้อยแล้ว ผมก็รู้สึกหิวขึ้นมาทันที อาจจะเป็นเพราะผมหมดห่วงกังวลเกี่ยวกับเรื่องของเดียร์และได้เวลาที่จะมาสนใจปากท้องของตัวเองกระมัง

ผมอุ่นข้าว และอุ่นอาหารที่เดียร์เตรียมไว้ให้ และลงมือทานอย่างมีความสุข สมองก็ครุ่นคิดถึงสิ่งที่จะต้องทำต่อไป ในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ ผมจะนัดเจอกับศักดิ์ชาย และคุยกับมันให้รู้เรื่องว่ามันทำอย่างที่ผมคิดหรือเปล่า และถ้ามันยอมรับสารภาพว่ามันไปจริง

ผมก็จะคาดคั้นถามมันให้ได้ว่ามันทำอย่างนั้นเพื่อวัตถุประสงค์อะไร และถ้าคำตอบที่ให้ไม่น่าพอใจ ผมก็จะเลิกคบมัน เสียดายอยู่เหมือนกัน เพราะเรารู้จักกันมานาน ตอนเรียน มันก็เป็นเพื่อนที่ดีของผม คอยห่วงใย ช่วยเหลือผมตลอดเวลา แต่มันไม่น่ามาทำกับผมแบบนี้ เพื่อนกันทำไมต้องมาแตกคอกันเพราะผู้ชายคนหนึ่งด้วย ผมไม่เข้าใจเลย

ผมนึกถึงเจ้าสันต์ขึ้นมาทันที เวลาที่ต้องการให้ช่วยเหลือมันหายหัวไปไหนก็ไม่รู้ ล่าสุดผมได้ยินมาว่ามันไปต่างจังหวัดเพื่อมอบสินไหมให้ผู้รับประโยชน์ของลูกค้าที่ตายไป แต่นี่ก็หลายวันแล้วทำไมมันถึงยังไม่มาสักทีก็ไม่รู้ ผมอึดอัดใจ และอยากเล่าให้มันฟัง บางทีมันอาจจะมีวิธีการดีๆในการแก้ปัญหาให้ผมก็ได้

เจ้าสันต์ตายยากจริงๆ นึกถึงมันปุ๊บ โทรศัพท์มือถือผมก็ดังขึ้นมาทันที เพื่อนรักของผมโทรมาจากต่างจังหวัด มันไปมอบสินไหมเสร็จก็ลาพักร้อนไปเที่ยวกับเบนเพื่อฉลองวันวาเลนไทน์กันสองคน พรุ่งนี้มันถึงจะกลับ ผมบอกมันว่าตอนมันไม่อยู่มีเรื่องราวต่างๆมากมาย ผมอยากจะพูดคุยปรึกษาหารือกับมัน จะได้ช่วยกันคิดช่วยกันตัดสินใจ มันก็รับปากว่าจะรีบมาหาผมทันทีที่กลับมาถึงกรุงเทพ ตอนนี้ขอมันสวีทกับเบนก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน ผมด่ามันด้วยความหมั่นไส้ มันหัวเราะ แล้วก็รีบวางสายไป
“เดียร์ อย่าหนีฉันไปไหนนะ ฉันรอนายอยู่”

ผมพึมพำกับดอกกุหลาบสีขาวในแจกัน เห็นหน้าเดียร์ลอยอยู่เต็มดอกกุหลาบทุกดอก สงสัยผมจะเป็นบ้าไปแล้ว คิดถึงเดียร์จนเห็นทุกอย่างเป็นเขาไปหมด

นึกแล้วก็ขำตัวเองที่มีอาการเหมือนเด็กวัยรุ่นริมีรัก ทั้งๆที่เมื่อคืนก็โดนเล่นงานจนก้นระบมไปหมด แกล้งเดียร์ดีไหมน้า..ถ้าเขากลับมาแล้ว และขอมีอะไรกับผมอีก ผมจะบอกว่าเขาว่าถ้ำปิด เชิญมนุษย์ค้างคาวไปโผล่เข้าถ้ำอื่นดีไหม แต่ว่าไม่เอาดีกว่าเกิดงอนไปมุดถ้ำอื่นจริงๆ เดี๋ยวผมได้หึงตายกันพอดี คิดมาถึงตรงนี้ผมก็อดยิ้มขำให้กับตัวเองไม่ได้ ผมท่าจะเสียสติไปแล้วจริงๆ

อารมณ์ของผมดีขึ้นมากมาย ผมทานข้าวเสร็จ ล้างถ้วยล้างชาม เอายาที่หมอให้มากิน มือของผมจะได้หายเจ็บเร็วๆ จะได้กอดเด็กหนุ่มเต็มไม้เต็มมือของผม จากนั้นก็ขึ้นไปอาบน้ำ ทุลักทุเลนิดหน่อย ตรงที่ต้องหาถุงพลาสติกมาห่อหุ้มมือไว้ข้างหนึ่ง ไม่ให้มันเปียกน้ำ

จากนั้นผมก็มาเลือกเสื้อผ้าที่จะใส่ นึกไปถึงตอนเย็นที่เราจะอยู่ด้วยกัน ผมจะใส่เสื้อผ้าสีอะไรดีนะ เดียร์จะได้ประทับใจ สีชมพูดีไหม หรือสีฟ้าอ่อนดี ผมเลือกเสื้อผ้าอยู่นานสองนาน กว่าจะตัดได้ว่าจะใส่เสื้อสีชมพูดที่เดียร์ซื้อให้ กับกางเกงสีขาว

คงจะถูกเจ้าเด็กบ้านั่นแซว ว่าหวานไปทั้งตัว แล้วตามเคยเขาก็คงใช้ทั้งจมูกและปากของเขาซุกซนลิ้มรสความหวานหอมจากตัวผมอย่างที่เขาชอบทำ

อยู่ๆผมก็เกิดอาการหน้าแดงขึ้นมา เมื่อสำนึกได้ว่า ผมทำเหมือนกับผู้หญิงที่กำลังจะไปออกเดท ผมไม่รู้ว่าผู้หญิงจริงๆจะเป็นแบบนี้หรือเปล่า ยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าเป็นชั่วโมง รื้อหาตัวที่จะใส่ไปงานเพื่อให้ติดตาต้องใจคนรัก

รู้สึกอายตัวเองเหลือกำลัง จึงหงายหลังล้มตัวลงบนที่นอน หยิบเจ้าตุ๊กตาหมูสีชมพูเรียวจังมากอด มองหน้าเดียร์ที่อยู่บนปลอกหมอนอีกฝั่ง เอามือข้างที่ว่างไล้ใบหน้าที่ยิ้มเห็นฟันขาวสะอาดนั่น แล้วพึมพำเบาๆว่า “ฉันรักนาย” จากนั้นผมก็ปิดเปลือกตาลง และหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย

สะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ ผมมองไปรอบห้องที่มืดมิด นี่คงจะค่ำแล้ว ผมหลับยาวกินเวลาหลายชั่วโมง ผมเปิดโคมไฟที่หัวเตียง มองนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ตรงโต๊ะ มันบอกเวลา ทุ่มสิบห้านาที

เดียร์กลับมาหรือยังนะ ถ้ามาแล้วคงจะอยู่ข้างล่าง จัดเตรียมอะไรไปเรื่อยๆ รอเวลาที่ผมจะตื่นขึ้นมาเพื่อฉลองกัน เสียงโทรศัพท์ของเดียร์ยังคงดังต่อเนื่อง ขึ้นเรื่อยๆ ผมเอื้อมมือไปรับ น้อยนั่นเองที่โทรมา

“ทานข้าวหรือยังคะ คุณเรียว”

“หลังจากที่น้อยกลับไป ผมก็ทานข้าว แล้วขึ้นมานอน เพิ่งจะตื่นนี่แหละ น้อยมีอะไรหรือครับ”

“เอ้อ...คือว่า.....”

ท่าทางน้อยไม่ค่อยอยากจะพูดสักเท่าไหร่ ผมเริ่มเอะใจแล้วว่ามีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น นึกถึงเดียร์ขึ้นมาทันที

“ทำไมหรือครับ”
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่50 ศุกร์ 13/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: b_hihi ที่ 13-03-2009 12:04:31
เดียร์เป็นอะไร

ไม่นะ ไม่ๆๆๆๆๆ



ชอบจัง บีบคั้นอารม สุดๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่50 ศุกร์ 13/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 13-03-2009 12:11:13
 :serius2: :serius2:

เกิดอะไรขึ้น กับ เดียร์เนี่ย

โอ๊ยยยยยยยยยยยยยย  อุปสรรคช่างเยอะจริงๆ

แล้วเมื่อไหร่ 2 คนนี้จะมีความสุขซะที









รอคอยตอนที่ 51 อย่างใจจดจ่อ o6
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่50 ศุกร์ 13/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 13-03-2009 12:48:14
ตอนต่อไปหวังว่า คงจะ



ไม่มีเรื่องเลว ร้าย เกิดขึ้นน่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่50 ศุกร์ 13/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: zheeiiz* ที่ 13-03-2009 13:12:00

ขอให้เดียร์ไม่เป็นอะไรนะคะ
ไม่อยากให้เกิดเรื่องแล้ว เศร้า 

ชอบที่เรียวเรียกเดียร์ว่า สุดที่รักของผม
มาก ๆ เลย น่ารักอ่ะ >o<'


รีบมาต่อนะคะ คอยอยู่ เป็นกำลังใจให้ด้วย .

 :L2:


*
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่50 ศุกร์ 13/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 13-03-2009 13:44:59

ชอบเรียวมากมาย  :impress2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่50 ศุกร์ 13/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: ltahset ที่ 13-03-2009 15:40:03
 :serius2:

เอาใจช่วยเรียว

ลุ้นมากมาย

^^
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่50 ศุกร์ 13/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 13-03-2009 22:01:23
ตัวอย่างตอนต่อไปตามคำขออีก 2 บรรทัด


“คืองี้ค่ะ คุณเรียว มันมีอุบัติเหตุนิดหน่อย น้อยไม่อยากเป็นคนแจ้งข่าวนี้เลย แต่ทำไงได้ เจ้าตัวเขาไม่อยู่จะพูด น้อยเลยต้องทำหน้าที่นี้แทน”

อย่านะ ห้ามพูดอะไรที่จะทำให้ผมหัวใจวายออกมาเชียวนะ ต้องเป็นข่าวดีเท่านั้น ได้ยินไหมน้อย ผมภาวนาในใจ แต่ปากกลับถามไปอีกอย่าง
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่50 ศุกร์ 13/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: the_pooh9 ที่ 13-03-2009 22:27:17
เจ็บที่ไม่เเตกต่าง  :monkeysad:

 :z6: :beat: ให้ไอ้คุณสักดิ์ชาย
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่49 10/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: sasa ที่ 13-03-2009 23:00:51
โหย!! ใจร้ายอ่ะ ทำเราร้องไห้ ให้สมหวังบ้างเถอะ 
หดหู่ จนอะไรๆ มันหดตามไปหมดแหละ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่50 ศุกร์ 13/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 14-03-2009 11:46:11
 :a5: ทำไมมันค้างแบบนี้ล่ะค่ะเนี่ย....

ขอแบบตัวอย่างซักตอนสองตอนดีกว่าค่ะ..
บรรทัดสองบรรทัดไม่เอาค่ะ มันไม่ต่อเนื่อง... :L2:


สงสารเรียวจังเลย...อยากจับศักดิ์ชัยมาตบซักที
แบบนี้หรือเปล่าค่ะ..ที่เขาเรียกหวังดีประสงค์ร้ายอ่ะ

ปล.ขอโทษที่เม้นท์แรง..ตอนนี้อินจัดไปหน่อยค่ะ
กดบวกให้คนโพสแล้วนะคะ  o13
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่51 14/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 14-03-2009 16:32:24
บทที่ 51

“คืองี้ค่ะ คุณเรียว มันมีอุบัติเหตุนิดหน่อย น้อยไม่อยากเป็นคนแจ้งข่าวนี้เลย แต่ทำไงได้ เจ้าตัวเขาไม่อยู่จะพูด น้อยเลยต้องทำหน้าที่นี้แทน”

อย่านะ ห้ามพูดอะไรที่จะทำให้ผมหัวใจวายออกมาเชียวนะ ต้องเป็นข่าวดีเท่านั้น ได้ยินไหมน้อย ผมภาวนาในใจ แต่ปากกลับถามไปอีกอย่าง

“มีอะไรหรือครับน้อย เกิดอะไรขึ้นหรือ แล้วนี่เดียร์ยังไม่ได้มาที่บ้านผมเหรอ”

“นั่นแหละค่ะ คือสิ่งที่น้อยกำลังจะบอกคุณล่ะ คือว่าวันนี้เดียร์คงไม่ได้ไปที่บ้านคุณแล้วล่ะค่ะ เขาโทรมาบอกว่า เขาต้องขึ้นไปเชียงใหม่ เพื่อไปสมทบกับแดนเซอร์อีกทีมหนึ่งที่เต้นให้กับนักร้องของค่ายที่นั่นอ่ะค่ะ

พอดีว่าแดนเซอร์เกิดอุบัติเหตุคนหนึ่ง เขาขาดคน และเดียร์ก็เคยเต้นในมิวสิควิดิโอให้ด้วย เลยจำท่าได้ไม่ต้องสอนใหม่ เห็นว่าจะไปอาทิตย์หนึ่งน่ะค่ะ โดยจะบินไปคืนนี้ เขาแวะมาเอาเสื้อผ้าตอนที่น้อยมาหาคุณ แล้วก็ไปสนามบิน ตอนรอขึ้นเครื่องเขาก็โทรมาหาน้อยจะได้ไม่เป็นห่วง เพิ่งวางสายกันเมื่อครู่นี้เอง”

สวรรค์ล่มต่อหน้าต่อตา ความหวังที่จะได้เจอกับเดียร์พังทะลาย ทำไมชีวิตรักของผมและเขาต้องเจออุปสรรคด้วย แค่นี้ยังพิสูจน์ไม่พอหรือว่าเราสองคนรักกันมากแค่ไหน

“แล้วคุณน้อย..เอ้อ.. ได้บอกเรื่อง..ที่เราคุยกันให้เขาฟังหรือเปล่าครับ”

อยากฟังคำตอบที่ทำให้ผมสดชื่น แต่มันไม่มีอะไรที่ราบรื่นตามที่เราคิด น้อยร้องวี๊ดว๊ายมาตามสาย บอกว่าเดียร์โทรมาแป๊บเดียว จากนั้นก็วางสาย

เขายังไม่ทันได้เล่าเรื่องอะไรให้เดียร์ฟังเลย แล้วก็ขอโทษขอโพยผม รับปากแข็งขันว่า ถ้าคราวหน้าเดียร์โทรเข้ามา เขาจะเล่าให้เดียร์ฟังทุกอย่าง ที่จริงเธออยากจะเป็นฝ่ายโทรไปเล่าด้วยตัวเอง จะได้เม้าท์กันนานๆ แต่เดียร์ดันทิ้งโทรศัพท์ไว้ที่บ้านผมก็เลยไม่รู้จะติดต่อกันอย่างไรดี

“ไม่เป็นไรครับ ถ้าเขาโทรมาหาน้อย ก็ฝากบอกเขาด้วยนะครับ ว่าผมคิดถึง อยากให้เขากลับมาหาผมที่บ้าน แต่ถ้ายังไม่อยากจะมา ก็โทรมาหาผมก็ได้ เอาเบอร์พวกนี้ไปนะครับ เผื่อเดียร์เขาจะเมมเอาไว้ที่เครื่องอย่างเดียวไม่ได้จดในสมุดจดเบอร์โทรศัพท์...”

ผมบอกน้อยทุกเบอร์ ทั้งเบอร์ตรงที่ทำงานผม เบอร์บ้าน และเบอร์มือถือ กะว่าจะไม่พลาดการติดต่อกับเดียร์อย่างเด็ดขาด เขาโทรมาเบอร์ใดเบอร์หนึ่งก็ต้องเจอผม

รู้สึกเหงาขึ้นมาจับใจ ไม่อยากเดินลงไปข้างล่างอีกแล้ว เดียร์ไม่อยู่ ไม่รู้จะฉลองวันวาเลนไทน์กับใคร ปีนี้คงต้องอยู่อย่างเดียวดาย ไม่มีใครมาให้กอด อีกตั้งอาทิตย์หนึ่งกว่าเดียร์จะกลับมา ไม่รู้ว่าน้อยจะทำสำเร็จไหม ใจอยากจะไปหาเสียเอง แต่ผมก็มีเรื่องวุ่นวายที่จะต้องจัดการงานของตัว และจัดการกับเจ้าเพื่อนตัวแสบให้เสร็จก่อน บางทีผมอาจจะลากมันไปขอโทษเดียร์ที่ทำให้เขาคิดมากถึงขนาดที่เดินออกไปจากชีวิตของผม

................................................................

เจ้าสันต์กลับมาพร้อมของฝากมากมาย ทั้งไส้อั่ว น้ำพริกหนุ่ม มีไม้แกะสลักเป็นของแต่งบ้านมาให้ด้วย มันล้อเลียนผม เมื่อเห็นบ้านที่เต็มไปด้วยดอกไม้สีขาวนั่น มันเริ่มมีกลีบช้ำ และร่วงบ้างแล้ว ผมเก็บเฉพาะส่วนที่ร่วงทิ้งไป ที่เหลือยังเก็บไว้ตามสภาพเดิม อยากชื่นชมมันนานๆเวลาที่นึกถึงเดียร์

พอรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับผม เจ้าสันต์ก็ทั้งสมน้ำหน้าและเห็นใจ มันปลอบประโลมผมว่าไม่ต้องคิดมาก เดียร์คงไม่ไปไหนไกล

เขารักผมมากขนาดนั้น คงจะงอนสักพักหนึ่งเดี๋ยวก็หาย ตอนนี้ต่างคนต่างมีงาน ก็ทำหน้าที่ของตัวให้เสร็จสิ้น แล้วค่อยไปจัดการเกี่ยวกับหัวใจตัวเอง

กระวนกระวายไปก็ไม่เกิดประโยชน์ เพราะเดียร์คงจะไปทัวร์คอนเสิร์ตที่จังหวัดโน้นจังหวัดนี้ ติดต่อไม่ได้ และคงจะยุ่งมากๆ ไม่มีเวลามาเคลียร์ปัญหาหัวใจกับใคร กลับมาเมื่อไหร่ ค่อยว่ากันอีกที

ได้ฟังแบบนี้แล้วผมก็รู้สึกสบายใจขึ้นมานิดหนึ่ง เลิกกังวลใจและรอเวลาที่เดียร์กลับมา ดีเหมือนกัน การที่ไม่ได้เจอหน้าสักหนึ่งอาทิตย์ อาจจะทำให้ต่างคนต่างอารมณ์เย็นลง มีเวลาไตร่ตรองมากขึ้น เวลาเจอหน้ากันจะได้พูดคุยกันอย่างมีเหตุผล ผมเชื่อว่าความจริงใจที่ผมมีให้กับเดียร์จะทำให้เราสามารถกลับมาอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขอีกครั้ง

ผมเล่าเรื่องที่ศักดิ์ชายไปหาเดียร์แล้วก่อเรื่องขึ้นมาให้สันต์ฟังด้วย สันต์ตบเข่าผาง บอกกับผมว่า นึกแล้วว่าสักวันเจ้านั่นต้องก่อเรื่อง ดูท่าทางศักดิ์ชายไม่ค่อยจะพอใจเดียร์สักเท่าไหร่ เห็นมองด้วยแววตาหึงหวงหลายต่อหลายครั้ง

มันด่าเพื่อนเก่าของผมไปหลายคำสุดท้ายมันก็ได้คำเรียกแทนชื่อศักดิ์ชายว่าอีแอบสารพัดพิษ ผมหัวเราะจนตัวงอ ที่มันว่าศักดิ์ชายแบบนั้น รู้สึกสงสารเพื่อนเก่า และขำเพื่อนใหม่ที่อินกับเรื่องของผม เจ็บแค้นแทน ราวกับว่าเป็นเรื่องของมันเสียเอง

“ไอ้ศักดิ์ชายนี่ ดวงมันคงจะถึงฆาตในเร็ววัน หนอยทำตัวเป็นหมาหวงก้าง ตัวเองไม่ได้ใครก็อย่าหวัง คนแบบนี้ ต้องจัดการให้เจ็บแสบเลย เกลียดนัก พวกไม่ยอมรับตัวเองแบบนี้

ฉันว่ามันหลงรักนายมาตั้งนานแล้ว แต่มันไม่กล้า ห่วงศักดิ์ศรีบ้าบออะไรของมันนั่นแหละ กลัวคนจะไม่ยอมรับ กลัวจะสูญเสียตำแหน่งหน้าที่การงานที่มั่นคง เลยหลอกตัวเองด้วยการไปแต่งงานกับผู้หญิงซะ

พอคนที่ตัวชอบมีคนอื่นก็รับไม่ได้ ทำมาเป็นหวังดี ยื่นมือเข้ามาเจ้ากี้เจ้าการ ทำให้คู่รักเขาต้องพรากจากกัน อย่างนี้จะไม่ให้เรียกมันว่าอีแอบสารพัดพิษได้ไงวะ”

มันด่าเจ้าศักดิ์ชาย แล้วทำไมมันต้องหันมามองผมด้วย ตีวัวกระทบคราดนี่หว่า เออ ไม่ต้องมาว่าผมหรอก ผมรู้ดีว่ามันหมายถึงผมด้วยเหมือนกัน ก็กว่าที่ผมจะผ่านมาถึงจุดนี้ได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายดาย ผมจึงไม่อยากสูญเสียมันไป อยากได้ทั้งตัวเดียร์ และยังอยากทำตัวเป็นปกติเหมือนเดิม แต่เมื่อมันต้องเลือก ผมก็มีคำตอบให้ตัวเองแล้ว นั่นคือผมเลือกที่จะทำตามหัวใจของตัวเองยังไงล่ะ

“เฮ้ยยยยย แม่......ง พูดแล้วโมโหแทน เอางี้นายไม่ต้องลงมืออะไรเลย อยู่เฉยๆ ทำตัวเป็นพ่อพระก็พอ เดี๋ยวป๋าจัดการให้ ถนัดนักเรื่องการกำราบไอ้พวกชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านนี่ วันจันทร์เว้ยเพื่อน รับรองมีเฮ ....ว่าแต่ตอนนี้ นายจะนั่งเหงาอยู่กับบ้านทำไมวะ ไปเที่ยวกันดีกว่า อยู่ในบ้านที่มีกลิ่นไอคนรักที่จากไป เดี๋ยวก็ได้ฟุ้งซ่านจะเป็นจะตายกันพอดี ไปสนุกกันดีกว่า”

..............................................................

“เออก็ได้...กำลังเซ็งอยู่พอดี แต่ไม่กลับดึกนะโว้ย”

รับปากอย่างไม่รู้จะทำอะไรดี เบื่อบ้านที่ไม่มีเดียร์ มันเหงาอย่างบอกไม่ถูก

“จ้า ....พ่อคนอนามัยจัด งั้นฉันจะสั่งนมมาเลี้ยงแกแทนเหล้านะโว้ย แกคงกินไม่ได้ เดี๋ยวผิดศีล ฉันอาสาเป็นคนบาป ให้เอง หุหุหุ”

แดกดันผมเสร็จ ก็หัวเราะชอบใจ ผมเลยยกเท้ายันโครมเข้าให้ หนอยแน่ะ คนกำลังเฮิร์ท ดันมาล้อเล่นอยู่ได้ ใครจะอารมณ์ดีแบบมัน แฟนเก่าจากไปไม่กี่วัน มันก็มีแฟนใหม่ ระริกระรี้สวีทกันหวานชื่น ราวกับว่าไม่เคยเจอปัญหาหนักใจมาก่อน ผมอยากเป็นอย่างเจ้าสันต์จัง ไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไรกับใคร ร้องไห้ แล้วก็หัวเราะ ไม่เคยเห็นมันเศร้านานๆเลย

เช้าวันจันทร์เจ้าสันต์มาทำงานหลังไก่โห่ไปนิดหน่อย มันตั้งใจที่จะเอาเรื่องศักดิ์ชายเต็มที่ แต่เพื่อนเก่าของผมก็เหมือนนกรู้ มันชิงลาพักร้อนตัดหน้าไปหนึ่งอาทิตย์เหมือนจะหนีอะไรบางอย่าง

เจ้าสันต์เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโมโหโกรธาที่ศักดิ์ชายหลุดเงื้อมือไปได้ มันสบถสาบานกับผมว่า หากมันไม่สามารถเอาเรื่องกับอีแอบสารพัดพิษได้ ก็ไม่ต้องมาเรียกมันว่าเพื่อนอีกต่อไป คำพูดของมันดูแรงไปหน่อย ทว่าจริงใจดี ผมเลยปล่อยหน้าที่ให้กับสันต์ไป ไม่อยากจะมีเรื่องปวดหัวเพิ่มขึ้น แค่คิดว่าทำอย่างไรจึงจะได้เจอตัวเดียร์ก็ปวดหัวจะแย่อยู่แล้ว

หลังจากเหตุการณ์ที่เดียร์ข่มขืนผมจนนับจำนวนครั้งไม่ถ้วนผ่านไป เด็กหนุ่มก็หายหน้า ไม่มาให้เห็น ไม่มีแม้กระทั่งส่งเสียงตามสายมาให้ได้ยิน ข้าวของเครื่องใช้ของเด็กหนุ่มอันตรธานหายจากบ้านไปจนเกลี้ยง ไม่เหลือร่องรอยใดๆให้ผมไว้ดูต่างหน้า นอกจากข้าวของที่เขาให้ไว้กับผม อย่างเช่นตุ๊กตาหมูเรียวจัง ปลอกหมอนและสัญญา

วันแล้ววันเล่าผ่านไปโดยไม่มีแม้แต่เงาของเดียร์ แรกๆผมก็ยังทำเฉยอยู่ เพราะรู้จากปากน้อยว่าเดียร์ไปทัวร์คอนเสิร์ต อีกไม่กี่วันก็กลับมาแล้ว แต่ก็เริ่มเหงาบ้าง กลับมาบ้านไม่มีใครรอผมอยู่เหมือนเคย ผมพยายามคิดว่าดีแล้วที่เป็นแบบนี้ การที่เดียร์จากไปน่าจะทำให้ผมสามารถใช้ชีวิตได้มีความสุขมากกว่าเดิม เพราะผมสามารถกลับไปเป็นตัวของตัวเองได้

ทว่าไม่เป็นความจริงเลย ผมกลับแย่ลงทุกวันด้วยความคิดถึงที่มีต่อตัวเดียร์ เฝ้าโทรไปถามน้อยว่าเด็กหนุ่มโทรมาหาบ้างหรือเปล่า คำตอบของน้อยคือไม่ ตั้งแต่วันที่น้อยมาหาผมที่บ้าน เดียร์ก็ไม่ได้โทรมาหาเขาอีกเลย

จนล่วงเข้าอาทิตย์ที่สอง ผมก็เริ่มจะทนไม่ไหว รู้สึกว่าบางสิ่งบางอย่างในชีวิตมันขาดหายไป ทำให้ผมสดชื่นเหมือนเดิม เดียร์ยังไม่ได้กลับบ้าน ยังคงเต้นให้กับศิลปินต่อเนื่อง แต่คราวนี้เป็นนักร้องอีกคนหนึ่ง ผมรู้สึกโมโหบริษัทที่เดียร์สังกัดอยู่ที่ไม่ปล่อยตัวเดียร์สักที ป่านนี้เจ้าเด็กนั่นจะเป็นอย่างไรกันนะ เวทีคอนเสิร์ตอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่อยากให้เขาอยู่ต่อ อยากให้กลับมาบ้านมากกว่า

ไหนบอกว่าหนึ่งอาทิตย์จะกลับมายังไงล่ะ ทำไมต้องขยายเวลาในการเดินสายโชว์ด้วย บริษัทจะงกไปถึงไหนกัน ทำแบบนี้ศิลปินเหนื่อย แดนเซอร์ก็เหนื่อย เพราะแสดงยาวโดยไม่หยุดพัก อาจจะทำให้เกิดเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาก็ได้

เจ้าหนูของผมเพิ่งหายจากการบาดเจ็บที่ขา กระโดดโลดเต้นแรงๆอาจจะทำให้เขาเจ็บขึ้นมาอีกก็ได้ คอยดูนะ ถ้าเดียร์เป็นอะไรผมจะไม่ให้อภัยบริษัทนั้นอีกเลย จะเลิกอุดหนุนเทปหรือซีดีจากนักร้องในสังกัดค่ายนี้ จะบอกเพื่อนจะบอกคนอื่นๆด้วย ให้เจ๊งกันไปเลย

...................................................................

ไหนบอกว่าหนึ่งอาทิตย์จะกลับมายังไงล่ะ ทำไมต้องขยายเวลาในการเดินสายโชว์ด้วย บริษัทจะงกไปถึงไหนกัน ทำแบบนี้ศิลปินเหนื่อย แดนเซอร์ก็เหนื่อย เพราะแสดงยาวโดยไม่หยุดพัก อาจจะทำให้เกิดเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาก็ได้

เจ้าหนูของผมเพิ่งหายจากการบาดเจ็บที่ขา กระโดดโลดเต้นแรงๆไปมามันไม่ดี อาจจะพลาดพลั้งทำให้เขาเจ็บขึ้นมาอีกก็ได้ คอยดูนะ ถ้าเดียร์เป็นอะไรผมจะไม่ให้อภัยบริษัทนั้นอีกเลย จะเลิกอุดหนุนเทปหรือซีดีจากนักร้องในสังกัดค่ายนี้ จะบอกเพื่อนจะบอกคนอื่นๆให้เลิกซื้อด้วย จะได้เจ๊งกันไปเลย

เดียร์อยู่ต่อที่โน่น แต่ศักดิ์ชายกลับมาจากพักร้อนแล้ว ทันที่ทิ่เจอหน้ากันกับเจ้าสันต์ ก็เหมือนเป็นคราวเคราะห์ของมัน เพราะสันต์บีบบังคับ ขู่เข็ญ จนมันยอมมาเจอเราสองคน พอลากตัวมันมาได้เจ้าสันต์ก็ทั้งปลอบทั้งด่า จนกระทั่งศักดิ์ชายกลัวหงอ เปิดปากพูดความจริงที่เกิดขึ้น

“แกไปพูดกับเจ้าหนูนั่นว่าไง ทำไมเขาถึงได้งอนเจ้าเรียวป่องๆไปแบบนั้นวะ”

“จริงเหรอ เด็กนั่นมันไปจากชีวิตของเรียวแล้วเหรอ”

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่51 14/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 14-03-2009 16:33:08
ศักดิ์ชายทำหน้าดีใจอย่างเห็นได้ชัด เลยโดนเจ้าสันต์ตบกระโหลกพลั๊วะ ผมยังตกใจที่มันทำกับเพื่อนร่วมงานขนาดนั้น มาดของมันยังกับนักเลง น่าแปลกที่ศักดิ์ชายกลัวหงอ ไม่กล้าโต้ตอบ คงกลัวจะเจ็บตัวไปมากกว่าเดิม

“เล่าให้ฟังแทนที่จะสลด กลับมาทำหน้าระรื่นอีก หน้าด้านจริงนะนายน่ะ รู้สึกดีนักหรือวะ ที่คนเขาเลิกกัน ถ้าเป็นนายมาโดนทำแบบนี้บ้าง จะรู้สึกยังไงวะ”

“ทำไมล่ะ เลิกกันแล้วก็ดีสำหรับเรียวไม่ใช่เหรอ งานการก็ไม่เสีย คนก็จะได้ไม่นินทา สามารถใช้ชีวิตแบบเดิมได้อย่างปกติสุข”

ศักดิ์ชายเถียงเสียงอ่อย เจ้าสันต์เลยว๊ากใส่

“เฮ้ย ศักดิ์ สำคัญตัวผิดไปหรือเปล่าวะ ใครยกหน้าที่ในการตัดสินใจแทนคนอื่นให้นายกัน เป็นแค่เพื่อนไอ้เรียว ไม่ใช่ตัวมันสักหน่อย จะรู้ได้ไงว่ามันรัก หรือชอบอะไร สิ่งไหนที่ทำให้มันมีความสุข เรื่องแบบนี้เรียวมันต้องตัดสินใจของมันเอง เราทำได้แค่มองดู และให้คำปรึกษา ไม่ใช่เสนอหน้าไปทำสิ่งที่ไม่ควร อย่างที่นายทำอยู่ทุกวันนี้”

“ก็ ฉันเป็นห่วงเรียวนี่ ไม่อยากให้มันเดือดร้อนเพราะไปรักเจ้าเด็กนั่นน่ะ”

เพื่อนเก่าอธิบายถึงเหตุผลที่ยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยว

“ห่วงเรียวหรือห่วงความรู้สึกของตัวเองกันแน่วะ เคยถามเรียวมันบ้างหรือเปล่า ว่ามันอยากให้นายช่วยไหม นี่นายโง่ หรือ แกล้งทำเป็นไม่รู้กันแน่ว่าเรียวรักเจ้าหนูนั่นมากแค่ไหน แล้วเรียวก็ไม่ต้องการจะเลิกกับเดียร์ด้วย”

สันต์เสียงดังใส่ เพื่อนเก่าของผมส่ายหน้าเหมือนไม่เชื่อ

“ไม่จริงหรอก เรียวไม่ได้รักไอ้เด็กคนนั้น เรียวถูกมันบังคับ มันแบล็คเมล์เรียว จนต้องตกกระไดพลอยโจนยอมเป็นแฟนมัน แล้วนี่ยังจะมาทำให้เรียวต้องออกจากงานเพื่อมันอีก ไอ้เด็กนั่นไปได้ก็ดีแล้ว แสดงว่าที่ฉันพูดให้มันฟัง มันยังพอสำนึกอยู่บ้าง มันไปซะคน เรียวจะได้ไม่ต้องทนอึดอัดใจ กับสัญญาบ้าบอนั่น กลับมาเป็นเรียวคนเดิมที่มีความสุข เหมือนเมื่อตอนที่ไม่มีเดียร์เข้ามาในชีวิต”

“แกไปเอาเรื่องอะไรมาพูดวะ ใครบอกแก เรื่องแบล็คเมล์ เรื่องสัญญาบ้าบออะไรนั่น”


เสียงของสันต์เกือบเป็นตะคอก ศักดิ์ชายยิ้มปากสั่น เหมือนมันพยายามข่มความรู้สึกทั้งโกรธ และ กลัว เจ้าสันต์

“นายสองคนอย่ามาโกหกเลย ฉันรู้เรื่องทุกอย่างหมดแล้ว”

“นี่นายแอบฟังเราสองคนพูดกันใช่ไหม”

ผมถามศักดิ์ชาย รู้สึกแย่ที่เพื่อนเก่าของผม ทำตัวสอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนอื่นแบบนี้

“ฉันขอโทษทีนะเรียว ฉันไม่ได้ตั้งใจ มันบังเอิญน่ะ วันนั้นฉันตั้งใจมาหานาย แต่เห็นเจ้าสันต์อยู่ในห้องด้วย พอจะเข้าไป ก็ได้ยินเรื่องที่นายสองคนคุยกัน

ฉันเลยเสียมารยาทแอบฟัง มันทำให้ฉันเข้าใจเลยว่า ทำไมเจ้าเด็กนั่นถึงได้ตามติดนายนักหนา แล้วตอนหลัง ฉันก็ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับตัวนายว่ามีความสัมพันธ์กับเด็กแดนเซอร์นั่น

แถมซ้ำยังรู้มาอีกว่า ห้วหน้าของนายไม่พอใจ ตักเตือนเรื่องนี้หลายครั้ง แต่นายเองคงไม่กล้าพูดกับเดียร์ ฉันก็เลยยื่นมือมาช่วยทำให้เรื่องมันง่ายขึ้นน่ะเพื่อน”

ศักดิ์ชายร้องขอความเห็นใจจากผม

“ช่วยมากเลยนะ ช่างเป็นเพื่อนรักจริงๆ อย่างนี้เขาเรียกว่า เสือ......ไม่เข้าเรื่อง รู้ไหมเหตุการณ์มันวุ่นวายเลวร้ายไปหมดแล้ว เลิกเถอะวะกับการทำตัวเป็นผู้หวังดีแต่ประสงค์ร้าย มันแย่แค่ไหนที่ทำให้เพื่อนกับคนรักแตกคอกัน

นายหวังอะไรจากเหตุการณ์ครั้งนี้ เหรียญตราความกล้าหาญที่เสี่ยงเข้าไปบอกให้เดียร์เลิกกับไอ้เรียวมันโดยไม่โดนต่อยหน้าแหกเสียก่อนงั้นหรือวะ หรือแค่คำขอบคุณจากเรียว

รู้ไหม นายน่ะอาจจะโดนเพื่อนเกลียดโดยไม่รู้ตัว โทษฐานที่แสดงความหวังดีกับเพื่อนเกินความจำเป็น จะบอกอะไรให้นะ เหตุการณ์ครั้งนี้มันจะจบลงได้ด้วยดี หากนายจะไปขอโทษเดียร์แล้วพูดให้เขากลับมา ถ้าทำได้นายได้เพื่อนคืน แต่ถ้าทำไม่ได้ ฉันว่านายโดนเลิกคบแน่”

เจ้าสันต์ขู่หน้าตาขึงขัง

“ไม่ ทำไมฉันต้องไปด้วย ฉันไม่ได้หวังร้ายกับเรียว ฉันทำเพื่อมัน ถ้าเรียวจะโกรธฉันก็เสียใจ แต่สักวันหนึ่งเรียวมันจะต้องขอบคุณฉันที่ช่วยทำให้มันได้มีชีวิตแบบเดิม อีกหน่อยเรียวก็คงจะลืมเจ้าเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้านั่น แล้วก็แต่งงานกับใครสักคนที่เขารักมัน มีครอบครัวที่มีความสุข ไม่ต้องถูกนินทาว่าเป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกัน”

ศักดิ์ชายทำท่าดื้อดึงไม่ยอมแพ้ เพื่อนรักของผมยิ้มเหี้ยมเกรียมมันถามศักดิ์ชายอีกครั้งว่าจะไปหรือไม่ เพื่อนเก่าเพื่อนแก่บอกไม่ไป เจ้าสันต์ก็เลยงัดไม้เด็ดขึ้นมา ทำให้เจ้าสันต์ถึงกับตาเหลือกเมื่อเห็นสิ่งที่สันต์วางตรงหน้า

“นี่ใช่ไหมที่แกเรียกว่าการมีครอบครัวที่มีความสุข ไม่ต้องถูกนินทาว่าเป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกัน แล้วไอ้ที่ซบกันดูดปากกันดูดดื่มแบบนี้เนี่ย เขาเรียกว่าอะไร สัมมนารอบดึกเหรอ”

หน้าของศักดิ์ชายถอดสี เมื่อมองเห็นภาพที่เขากำลังโอบกอดชายหนุ่ม และจูบกันนัวเนียท่ามกลางชายหนุ่มมากมายซึ่งดูก็รู้ว่าสถานที่ต้องเป็นในบาร์เกย์ที่ใดที่หนึ่ง


“นี่มันบ้าแล้วสันต์ รูปอะไรฉันไม่เห็นจะรู้เรื่อง”

ศักดิ์ชายปฎิเสธตะกุกตะกัก หน้าซีดสลับแดง เนื้อตัวสั่นระริก ไม่รู้ว่าโกรธจัด หรือกำลังกลัวอะไรกันแน่ สันต์ยิ้มเยาะเย้ยศักดิ์ชาย ท่าทางเหมือนคนที่ถือไพ่เหนือกว่า มันรวบภาพที่อยู่บนโต๊ะ นับ 10 กว่าภาพไปถือไว้ในมือแล้วยักไหล่

“อื้ม บางที เมียนายอาจจะช่วยตอบอะไรได้บ้าง ว่าคนในภาพพวกนี้เป็นใคร”

“เฮ้ย....อย่านะสันต์”

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่51 14/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 14-03-2009 16:33:49
เพื่อนเก่าของผมร้องห้ามเสียงหลง เมื่อเห็นเจ้าสันต์ทำท่าจะเก็บภาพพวกนั้นลงกระเป๋าเอกสารของมัน ศักดิ์ชายยื่นมือออกมา แบขอภาพพวกนั้น ท่าทางยอมจำนนต่อสิ่งที่เกิดขึ้น

“ก็ได้ จะให้ฉันทำอะไรก็ได้ ฉันยอมทั้งนั้น แต่ขอภาพพวกนั้นคืนมาเถอะ”

สันต์หัวเราะอย่างสะใจ มันยื่นซองเอกสารให้ศักดิ์ชายปึกหนึ่ง ศักดิ์ชายหยิบออกมาเท มันเป็นภาพชุดเดิมที่สันต์เอาออกมาแสดงเมื่อครู่ และมีเอกสารชุดหนึ่งอยู่ในซองนั้นด้วย

“นี่มันอะไรกันวะ”

“หนังสือรับสารภาพว่า สิ่งที่นายพูดออกไปทั้งหมดมันไม่เป็นความจริง และขอโทษต่อสิ่งที่เกิดขึ้น”

เพื่อนรักของผมยักคิ้ว ทำหน้ายียวนกวนประสาท ศักดิ์ชายหน้าบึ้งตึงท่าทางโกรธจัดที่สันต์ทำราวกับจะแบล็คเมล์มัน เพื่อนผู้หวังดีของผม รีบเก็บภาพพวกนั้น และปฏิเสธที่จะเซ็นต์ยินยอมรับสิ่งที่ตัวเองทำ

สันต์ถอนหายใจ ส่ายหน้า สายตาที่มองมายังศักดิ์ชายเหมือนกำลังมองคนโง่คนหนึ่งที่คิดว่าตัวเองฉลาด

สันต์หยิบของที่อยู่ในกระเป๋าออกมาอีก เป็นภาพชุดเดิมแต่อีกหนึ่งก็อปปี้ มันถือโบกไปมา พร้อมกับโชว์โทรศัพท์มือถือที่มีแฟ้มภาพศักดิ์ชายที่กำลังจูบกับใครบางคน ให้เพื่อนเก่าของผมดู

“ต้องขอขอบคุณเทคโนโลยี่สมัยใหม่ ที่ทำให้เราสามารถใช้มือถือถ่ายภาพได้ แถมซ้ำยังถ่ายลงคอม และเซฟลงแผ่นได้ด้วย ร้านถ่ายรูปก็อัดออกมาได้อย่างชัดเจนมาก จะเอากี่ก๊อปปี้ก็ได้ ฉันว่าลองลงอินเตอร์เนต แล้วส่งให้คนดูทั่วทั้งบริษัทดีกว่า แล้วตั้งชื่อหัวข้อว่า ตามหาจเด็ด นักรักแห่งบริษัทประกันชีวิต แบบนี้ดีไหมวะสันต์”

การข่มขู่ของเจ้าสันต์ ทำให้ศักดิ์ชายพูดไม่ออก มันกระชากจดหมายสารภาพบาปนั้น มาเซ็นต์ชื่อ แล้วยื่นให้สันต์เกือบจะถึงหน้า

ไอ้เพื่อนเจ้าเล่ห์หัวเราะลั่นอย่างชอบอกชอบใจ ตบหลังตบไหล่ศักดิ์ชายบอกว่าคิดถูกแล้ว ที่ทำแบบนี้ และบอกว่ามันจะทำลายภาพพวกนี้ทิ้งถ้าภารกิจนำคนรักกลับคืนให้ผมประสบความสำเร็จ

จากนั้นมันก็ให้ศักดิ์ชายกลับไปได้ เพื่อนเก่าหันมาทางผม ดวงตาของมันเศร้าสร้อย เหมือนว่ามันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่อยากจะพูด ท่าทางมันคงอยากจะอธิบายเกี่ยวกับเรื่องภาพนั้นให้ผมฟัง แต่เจ้าสันต์ไล่ให้มันกลับไป เพราะมีเรื่องจะคุยกับผมสองคน

ศักดิ์ชายทำท่าดื้อดึงจะอยู่ต่อแต่เมื่อเห็นสันต์เอารูปมาทำเป็นพัดขับไล่ความร้อนให้กับตัวเอง เพื่อนเก่าผมก็ทำหน้าหงิกงอไม่พอใจ แต่ก็ยอมจากไปโดยดี
“โอ๊ย ขำว่ะ ไอ้ศักดิ์แม่ง........ขี้ขลาดชะมัดเลย”

พอศักดิ์ชายไปแล้ว เจ้าสันต์ก็หัวเราะท้องคัดท้องแข็ง ท่าทางมันสะใจที่ได้แกล้งศักดิ์ชายได้ แต่ผมกลับรู้สึกตรงกันข้าม รู้สึกสงสารเพื่อนเก่าสมัยเรียนอย่างจับใจ

“นายทำเกินไปหรือเปล่าวะ”

“อะไรวะ เกินไปตรงไหน ก็แค่เลียนแบบมันไง มันเอาเรื่องที่มันรู้แบล็คเมล์เดียร์ ฉันก็เอาเรื่องที่ฉันรู้แบล็คเมล์เจ้าศักดิ์ชายกลับบ้าง ที่มันเอ๋อ เพราะไม่คิดว่ามันจะโดนเล่นงานไงล่ะ

สมน้ำหน้าแล้ว อีแอบจอมสร้างภาพต้องเจอแบบนี้ หนอยแน่ะ รักครอบครัว ไม่ทำตัวเหลวไหล ปิดบังความรู้สึกของตัวเอง แล้วเป็นไง หมาเวลาเห็นขี้ยังไงมันก็อดกินไม่ได้ แถมกินแบบตะกละมูมมามอีกด้วย สะใจนักเชียว”

พูดจบเจ้าตัวแสบก็หงายหน้าหัวเราะเสียงดังลั่นอีกครั้ง

“แล้วนายไปได้รูปพวกนี้มาจากไหนวะ”

“จะไปยากอะไรวะ แค่จัดฉากนิดหน่อย”

“จัดฉาก............”

ผมทวนคำอย่างงงๆ เจ้าสันต์ก็เลยแก้ความกังขาให้ผม มันเล่าให้ฟังว่า มันสงสัยมานานแล้ว ว่าคนที่เป็นเกย์อย่างศักดิ์ชาย จะปิดบังความรู้สึกของตัวเองไว้ได้จริงๆ หรือแอบไปปลดปล่อยอารมณ์โดยไม่ให้คนอื่นรู้ มันเลยให้คนไปติดตาม จนกระทั่งทราบว่า ศักดิ์ชายจะไปเที่ยวที่บาร์เกย์แห่งหนึ่งเดือนละครั้ง แล้วก็จะหิ้วคนที่เจอในบาร์ไปมีอะไรด้วยเป็นความสัมพันธ์ชั่วคืน กันการผูกมัด

เจ้าสันต์เลยจัดฉากโดยให้เพื่อนเกย์หน้าตาดีๆทำทีไปตีสนิทแบบถึงเนื้อถึงตัว แล้วก็ให้เพื่อนอีกคนช่วยถ่ายภาพมาให้ ไม่นึกเลยว่าสันต์จะติดกับง่ายดายแบบนี้ สงสัยอดยากมานาน เห็นคนหล่อเข้าหน่อยเลยรีบคว้า ไม่ทันระวังตัว

“ศักดิ์มันต่างจากเดียร์ตรงที่ เจ้าหนูนั่น ยอมวางมือจากนาย เพราะไม่อยากดึงมาให้ตกต่ำ เขารักนายจริงๆ มากกว่าความเห็นแก่ตัวของตัวเอง เลยไม่อยากให้นายต้องสูญเสียอะไรไป แต่ไอ้ศักดิ์มันแค่คนขี้ขลาด ไม่กล้ายอมรับความจริง เพราะกลัวสูญเสียสถานภาพที่ตัวเองมีอยู่ จึงไม่กล้าเปิดหัวใจตัวเอง

ต้องลักกินขโมยกิน มีความสุขแค่ชั่วคราว แต่นั่นคงไม่ใช่สิ่งที่มันอยากเป็น แต่ทำไงได้ มันเลือกที่จะเป็นแบบนี้เอง ฉันรู้ว่ามันมีจุดอ่อนตรงนี้ จึงเอารูป มาแบล็คเมล์มันต่อไง ฉันเดาเอาว่าต่อให้รูปมันถูกประจานจริงๆ มันก็คงไม่เลิกที่จะหาเศษหาเลยกินแบบนี้ เพราะมันเป็นรสนิยมของมัน ห้ามกันไม่ได้”

สันต์จ้องหน้าผม ยิ้มในหน้า เหมือนว่าสิ่งที่มันทำลงไปนั้นเป็นเรื่องที่สมควรยิ่ง

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่51 14/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 14-03-2009 16:34:38

สันต์จ้องหน้าผม ยิ้มในหน้า เหมือนว่าสิ่งที่มันทำลงไปนั้นเป็นเรื่องที่สมควรยิ่ง

“ศักดิ์ชายมันคงแค้นฉันน่าดู แต่ช่างปะไร ถ้ามันพิจารณาดูดีๆ มันจะรู้ว่าฉันบอกให้มันทางอ้อมว่า คนเราถ้าลองได้รักชอบสิ่งใดแล้ว ต่อให้มีอุปสรรคขัดขวาง ก็ไม่อาจจะห้ามปรามไม่ให้คิดไม่ให้รู้สึกได้

เหมือนที่นายรักเจ้าหนูเดียร์ ถึงมีคนรู้มากมายแค่ไหน ก็ไม่เป็นสิ่งขวางกั้นความรักที่มีอยู่ หวังว่ามันคงได้รับบทเรียนอะไรบ้าง มันคงเข้าใจนายมากขึ้นว่ารู้สึกอย่างไร รวมถึงเข้าใจตัวเองได้ชัดเจนขึ้น

คนเราไม่ควรจะดูถูกตนเอง ในเมื่อเราเกิดมาไม่เหมือนคนอื่น ก็จงภาคภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น และอยู่กับมันให้ได้ ใช้ชีวิตให้คุ้ม แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว ลาภยศ ความมั่งคั่งมันเป็นแค่เปลือกนอก มันไม่ได้ทำให้คนเรามีสบายใจได้หรอกว่ะ”

ที่สันต์พูดมันคงจะจริง กรณีของศักดิ์ชายก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของคนที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาถึงความสมบูรณ์พูนสุขในชีวิต แต่ต้องปกปิดความรู้สึก เขาทำให้ตัวเองได้รับทุกข์ไม่พอ ยังทำให้คนที่เกี่ยวข้องในชีวิตเขาพลอยไม่มีความสุขไปด้วย

อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังคงรู้สึกสงสารและเห็นใจศักดิ์ชาย มันคงได้รับความทุกขเวทนาที่ต้องทำตรงข้ามกับที่ใจปรารถนา หวังว่าสักวันมันคงจะยอมรับตัวเอง และเลือกหนทางที่ทำให้ชีวิตมีความสุขได้อย่างถูกต้อง สำหรับตัวผมเองได้คำตอบแล้วว่าชื่อเสียง เงินทอง ไม่ได้สำคัญกว่าหัวใจ สิ่งที่ได้มามันจะมีความหมายอะไร ถ้าไร้ซึ่งคนเคียงข้าง คอยสนับสนุน ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน

หลังจากวันที่ลากศักดิ์ชายมาคุยด้วยกับพวกเราสองคนแล้ว มันก็หายหน้าไปเลย ผมรู้ว่าศักดิ์ชายยังคงมาทำงานตามปกติ แต่เลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับพวกผม ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากศักดิ์ชายถูกหักหน้าขนาดนั้น แถมซ้ำยังโดนเปิดโปงเรื่องพฤติกรรมส่วนตัว มันคงอายขายหน้าเป็นธรรมดา

กลางสัปดาห์ ประมาณวันพุธ ผมก็ได้รับข่าวดีจากน้อย ซึ่งโทรมาหาผม เขาบอกว่าเดียร์จะกลับมากรุงเทพในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ พอเดียร์มาถึงน้อยจะนัดแนะผมให้ไปเจอกับเดียร์

ผมถามหาเบอร์โทรศัพท์เด็กหนุ่ม แต่น้อยก็บอกว่า เดียร์ใช้โทรศัพท์สาธารณะโทรมา เพราะเขาไม่มีมือถือ แล้วเขาก็ยุ่งมากๆด้วย เพราะเต้นเสร็จก็ต้องเดินทางต่อ ตลอดเวลาต้องนั่งอยู่แต่ในรถ ไปจังหวัดโน้นจังหวัดนี้ แทบจะไม่มีเวลาพัก

ผมห่อเหี่ยวเล็กน้อย เพราะอยากจะโทรหาเขา อยากฟังเสียง แต่เมื่อติดต่อไม่ได้ ผมก็ต้องทำใจอย่างเดียว และรอเวลาที่จะได้เจอกันในวันอาทิตย์

คุณแคทลียา เข้ามาหาผมในวันศุกร์ตอนเย็นเพื่อรายงานเรื่องเธอกับพี่สมชาย ผมเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว เพราะมัวแต่ยุ่ง และคุณแคทก็ลาพักร้อนไปแบบเดียวกับศักดิ์ชาย ต่างกันตรงที่คุณแคทเธอหนีความวุ่นวายไปเมืองนอกกับครอบครัว

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่51 14/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 14-03-2009 16:35:17
เธอไม่อยากจะรับรู้เรื่องของสองผัวเมียเพื่อนบ้านผม และไม่ต้องการให้พี่สมชายมายุ่งวุ่นวายกับเธออีก เธอตัดสินใจเดินทางไปทันทีในเช้าวันเสาร์ของวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ไปโดยไม่ได้ร่ำลาใคร แม้แต่ผมซึ่งไปเผชิญกับปัญหาร่วมกับเธอ ทว่าพอเธอกลับมา ปัญหาก็ยังรอท่าอยู่ การหนีไป ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น


พี่สมชายยังคงรังควาญเธออย่างต่อเนื่อง แถมซ้ำพี่วิภาก็ไปแอบได้เบอร์เธอมาจากมือถือของพี่สมชาย แล้วก็โทรมาด่าหาว่าคุณแคททำให้สามีของเธอต้องเปลี่ยนไป

ในที่สุดคุณแคทก็เหลืออด เธอนัดคนทั้งสองมาเจอกันกับเธอ แล้วพูดคุยกันอย่างเปิดอก เธอเล่าให้ผมฟังว่า พี่วิภาถึงกับช็อค เมื่อคุณแคทบอกว่าเธอเป็นผู้ชาย และคบกันกับพี่สมชายมานานแล้ว ก่อนจะแปลงเพศเป็นผู้หญิง

พี่สมชายเองก็อึ้งไม่คิดว่าเธอจะกล้าพูดแบบนั้น กลายเป็นว่าพี่วิภาขอหย่ากับพี่สมชาย และหอบลูกหนีไปอยู่กับพ่อแม่ พี่สมชายก็เลยหันมาขอคืนดีกับคุณแคท แต่เธอไม่อยากเป็นตัวสำรองยืนกรานปฏิเสธความสัมพันธ์ และบอกว่าเธอจะไม่อยู่เมืองไทยแล้ว จะกลับไปทำงานเมืองนอกตามเดิม ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์อันใดที่จะคบกันต่อ

ฟังเธอเล่าแล้ว ผมก็รู้สึกสงสารพี่สมชาย รู้สึกหดหู่ใจกับความรักที่ไม่สมหวังของเพื่อนบ้าน ที่จริงเขาก็ทำตัวของเขาเอง หากเขาหนักแน่นมั่นคง ทำตัวเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี ไม่ว่อกแว่กวาบไหวไปกับคนรักเก่า เขาก็ไม่ต้องเสียใครไปเลย

คุณแคทมาบอกลาผม สิ้นเดือนนี้เธอก็จะไม่อยู่ในเมืองไทยแล้ว เป็นการปิดฉากยุติปัญหาทั้งมวล ผมรู้สึกใจหายเมื่อได้ยิน ภายในเดือนเดียวกัน ผมต้องสูญเสียเพื่อนร่วมงานไปสองคน คืออรจิรา กับ แคทลียา สองคนไปนอกเหมือนกัน และด้วยเหตุผลใกล้เคียงกันคือ รักเป็นพิษ ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์จริงๆ

เธอถามผมเรื่องเดียร์ว่าเคลียร์กันได้ไหม ผมเล่าให้เธอฟังว่า เดียร์หนีผมไปแล้ว เธอแสดงความเสียใจกับผม และบอกว่ามันเป็นความผิดของเธอที่ลากผมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เธอบอกกับผมว่า ก่อนที่เธอจะไปเมืองนอก เธอจะต้องหาทางตอบแทนผมสักครั้งด้วยการพาเดียร์กลับคืนมาให้ผมให้ได้

ผมกล่าวขอบคุณเธอบอกว่า ผมไม่อยากรบกวนเธอขนาดนั้น แต่เธอก็ยืนยันว่าเธอมีส่วนทำให้เดียร์เข้าใจผิด และเธอไม่สบายใจเลยหากผมกับเด็กหนุ่มจะเลิกกัน เมื่อเห็นเธอตั้งใจจะช่วยผมขนาดนั้น ผมก็เลยยอมตกลง

ได้เวลาเลิกงานแล้ว แต่ผมยังไม่กลับบ้าน นั่งสะสางงานที่คั่งค้างไม่ให้มีเหลือ เพราะบางทีผมอาจจะลาพักร้อนในวันจันทร์ก็ได้ หากว่าผมได้เจอกับเดียร์และเราปรับความเข้าใจกันได้แล้ว ผมอาจจะพาเขาไปที่ไหนสักแห่งที่จะมีเพียงเราแค่สองคนเท่านั้น เพื่อใช้เวลาอยู่ร่วมกันโดยปราศจากการรบกวนของบรรดาเพื่อนฝูงและคนสนิท

ทว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะได้อะไรตามที่ใจเราต้องการ ขณะที่ผมกำลังจะเก็บของกลับบ้าน หัวหน้าซึ่งยังไม่กลับ ได้เรียกผมไปพบ และโยนตั๋วเครื่องบินมาตรงหน้า บอกว่าผมต้องบินด่วนไปภูเก็ต เพื่อจัดการเรื่องการอบรมให้ความรู้กับตัวแทนประกันชีวิตเกี่ยวกับการพิจารณารับประกัน

เนื่องจากมีทีมงานตัวแทน ซึ่งแตกทัพมาจากบริษัทประกันชีวิตอื่น เข้ามาทำงานที่บริษัทเป็นทั้งผู้บริหารและตัวแทนร่วม 500 กว่าคน ซึ่งเป็นทีมงานที่ใหญ่พอสมควร และเพื่อให้เขาสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องจัดอบรมความรู้เกี่ยวกับการประกันชีวิตให้เขา

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่51 14/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 14-03-2009 16:35:36
โดยจะยกกันไปเป็นทีมใหญ่ มีฝ่ายฝึกอบรมตัวแทน ฝ่ายพิจารณารับประกัน ฝ่ายสินไหม และฝ่ายสถิติตัวแทน มีกำหนดการไปอบรม 3 วัน เริ่มตั้งแต่วันเสาร์ จนถึง วันจันทร์ ตั๋วกลับ วันอังคารหน้า ส่วนตั๋วไปคือวันนี้ เวลา สามทุ่ม จะมีคนมารอรับที่สนามบินพาไปส่งที่โรงแรม เพราะจะมีการอบรมในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น

“ผมรู้เรื่องการอบรมเมื่อเย็นนี้เอง จากฝ่ายการตลาด ที่จริงทีมนี้ยังไม่ได้มาแบบเต็มตัวนะ เพราะยังติดเรื่องสัญญากับบริษัทเดิม แต่เขาจะศึกษาของเราเพื่อออกขาย รอเวลาได้ใบอนุญาติมา”
เหมือนหัวหน้าจะรู้ว่าผมต้องถาม เขาเลยชิงบอกออกมาเสียก่อน ผมถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้ม ไม่อยากจะไปเลย เพราะเดียร์จะมาวันอาทิตย์นี้แล้ว

ผมต้องคลาดกับเขาอีกแน่ แต่จะไม่ไปก็ไม่ได้ นี่มันคืองานในความรับผิดชอบ รู้สึกโมโหนิดหน่อยที่เพิ่งจะมารู้ตัวเอาตอนนี้ แต่ผมก็โทษใครไม่ได้ มันเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ

เป็นที่รู้กันอยู่ว่า บริษัทประกัน แต่ละที่ มีการแข่งขันกันสูง และเพื่อเพิ่มยอดการขายให้มีปริมาณมาก จำเป็นต้องได้กองทัพนักขายที่แข็งแกร่ง บริษัทใหญ่ๆจะไม่มัวมานั่งปั้นดินให้เป็นดาว แต่จะหามืออาชีพมาร่วมงาน

โดยการดึงคนเก่งๆมาจากบริษัทประกันอื่น ที่เรียกว่าการซื้อตัว โดยให้ผลตอบแทนที่เหนือกว่าบริษัทอื่น โดยจะไปเจรจากับผู้บริหารฝ่ายขายที่เก่งๆ เพื่อให้ดึงทีมงานของตัวเองมาร่วมงานกับบริษัทใหม่

เรื่องแบบนี้จะทำกันแบบลับๆไม่ออกข่าวเอิกเกริกให้บริษัทเดิมรู้เพราะอาจจะถูกระงับผลประโยชน์ได้ และเพื่อให้สามารถทานได้ทันที จึงต้องมีการอบรมความรู้ให้ก่อน พอทำสัญญากันเรียบร้อย ก็ขายได้ทันที

รับตั๋วจากหัวหน้าแล้ว ผมก็รีบบึ่งรถกลับบ้าน กลับไปอาบน้ำ เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า ผมเอาเอกสารและโน้ตบุคส์มาจากที่ทำงานด้วย เพื่อเตรียมไปพรีเซ็นต์ให้ฝ่ายขายจำนวนครึ่งร้อยฟัง ความรีบร้อนเพื่อไปเช็คอินให้ทันเวลา เลยทำให้ผมไม่มีโอกาสจะบอกให้น้อยรู้ถึงข้อขัดข้องที่เกิดขึ้น

ตลอดสามวันที่อยู่ภูเก็ต มันเหมือนกับผมตกอยู่ในนรกย่อยๆ ทันทีที่ล้อเครื่องบินแตะพื้นรันเวย์ และมีคนมารับผมไปพักผ่อนที่โรงแรมเรียบร้อยแล้ว วันรุ่งขึ้น งานหนักก็เข้ามาทันที เริ่มจาก การอบรมตั้งแต่เช้า เวลา 8.00 และเลิก 4 ทุ่ม

ช่วงเวลาที่ผมบรรยาย อยู่ในช่วงเช้า แต่ผมก็ต้องอยู่ทั้งวันเพื่อที่จะคอยตอบข้อซักถามของตัวแทนที่เข้ามาถามปัญหาเกี่ยวกับพิจารณารับประกัน หลังเลิกอบรมก็ต้องไปตามคำเชิญของผู้บริหารตัวแทน ที่พาพวกเราไปทานข้าว

ไม่ไปก็ไม่ได้ เพราะพวกสต๊าฟอย่างผมต้องไปทำหน้าที่เสมือนตัวแทนของบริษัท ให้การความเป็นกันเองกับพวกเขาเพื่อผูกใจกันไว้ เหนื่อยสายตัวแทบจะขาดแค่ไหน ก็ต้องทน

สองวันที่เหลือ แบ่งเป็นการตอบข้อข้องใจ และรับสมัครผู้ที่จะทำประกัน โดยบริษัทมีโปรโมชั่นให้สำหรับผู้ที่ทำประกันเข้ามาในช่วงที่พวกผมลงไป จะมีบริการตรวจสุขภาพให้ฟรี และมีของที่ระลึกแจกให้ด้วย

โดยเราเชิญแพทย์แต่งตั้งจากโรงพยาบาลไปเปิดบูทกันในห้องสัมมนากันเลย วุ่นวายพอสมควร แต่ก็ได้ผลคุ้ม ผมและลูกน้องที่ดูแลพิจารณารับประกันลูกค้าทางภาคใต้ หอบใบคำขอกลับมาปึกใหญ่ มีคนสนใจสมัครทำเข้ามาร่วม 200 คน ส่วนเงินนั้นให้ทางพนักงานสาขา โอนเข้าบัญชีให้ กว่าจะครบสามวัน พวกผมก็แทบหมดแรง

คืนวันสุดท้ายก่อนกลับ ผมรีบโทรไปหาน้อยทันที ผมบอกน้อยว่าผมอยู่ที่ไหน และขอโทษที่ไม่ได้แจ้งให้รู้ น้อยพูดด้วยน้ำเสียงโกรธนิดๆ บอกว่า เจ้าหนูเดียร์ของผมงอนไปแล้ว และเขาก็กลายเป็นคนพูดจาเชื่อถือไม่ได้

น้อยบอกว่าผมมีเรื่องบางอย่างจะบอกเดียร์ในวันที่เขากลับมา เขาก็อุตส่าห์รอ ผมก็ไม่มาตามนัด แถมติดต่อก็ไม่ได้ ไม่โทรมา ไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไร เดียร์ก็เลยเข้าใจว่าเป็นแผนการของน้อยที่อยากให้เราคืนดีกัน ไม่ใช่ความประสงค์ของผม เลยงอนน้อย หาว่าโกหก

ตอนนี้ เดียร์ไปเช่าห้องใหม่ใกล้ที่ทำงาน ไม่ได้อยู่บ้านเช่าเดิม และยังไม่ได้ติดต่อน้อยมา เพราะยังยุ่งอยู่กับการซ้อมเต้นให้กับนักร้องหญิงคนเดิมที่กำลังจะออกอัลบั้มใหม่
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่51 14/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anawas ที่ 14-03-2009 17:19:30
โห...คนแรก   :laugh:
แงะ...เดียร์งอนซะแล้ว  อุปสรรคช่างเยอะเหลือเกิน   :serius2:   
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่51 14/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: zheeiiz* ที่ 14-03-2009 17:25:27

อุปสรรคมากมาย ~
เอาใจช่วยทั้งคู่เลยนะค๊าบ


รอตอนต่อไปด้วย ^^,

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่49 10/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: sasa ที่ 14-03-2009 20:00:13
แทบขาดใจ...
แก้เผ็ดเรียวหรือไงเนี๊ยะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่51 14/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 14-03-2009 21:33:36
ลุ้นแทบขาดใจด้วยคน :เฮ้อ:

เมื่อไรจะดีกันค่ะ สงสารเรียวอ่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่51 14/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: ltahset ที่ 14-03-2009 22:30:15
อุปสรรคเยอะมากมาย

><

เอาใจช่วยสุดฤทธิเลย

มาต่อเร็วนะคะ

^^
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่51 14/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: the_pooh9 ที่ 14-03-2009 23:37:17
เมื่อไหร่ ที่นู๋เดียร์ ของเค้า จะสมหวังสักทีนะ  :monkeysad:
+1 ขอบคุณสำหรับความขยัน นะคะพี่แอน
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่51 14/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: b_hihi ที่ 15-03-2009 09:30:26
รออยู่กรุณามาอย่างรวดเร็ว ครับผม

อย่าให้รอนานกะลังสนุก



คิคิคิ  คิดถึงคนแต่งจ้า
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่51 14/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 15-03-2009 12:19:08
สู้ ๆๆน่ะ คุนเรียว



อย่างอลลลล นานน่ะ หนูเดียร์



เด๋ว จะ เลยเถิด ไปมากกว่านี้
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่51 14/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: the_pooh9 ที่ 15-03-2009 23:52:41
วันนี้ไม่อีพหรือคะ พี่สาวคนสวย
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่51 14/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 17-03-2009 08:28:19
แวะมารอค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่51 14/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 17-03-2009 11:10:37
 :z3: :z3: :z3:

ทำไมอุปสรรคมันชั่งเยอะอย่างงี้


คืนดีกันเร็วๆนะ   อยากอ่านตอนหวานๆของเรียว กับ น้องเดียร์
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่51 14/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: B_O_M ที่ 18-03-2009 13:50:39
เค้ารอมานานแร้วนะ

 :sad4: :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่51 14/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: katesnk ที่ 19-03-2009 06:41:12
แวะมาให้กำลังใจน้องไต๋ค่ะ อิอิอิ

แล้วมาถามหาทางไปหานิยายตัวเองด้วย ใครเห็น รักนาย มายบอดี้การ์ดบ้างคะ หาไม่เจออ่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่52 19/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 19-03-2009 06:50:31
บทที่ 52

คืนวันสุดท้ายก่อนกลับ ผมรีบโทรไปหาน้อยทันที ผมบอกน้อยว่าผมอยู่ที่ไหน และขอโทษที่ไม่ได้แจ้งให้รู้ น้อยพูดด้วยน้ำเสียงโกรธนิดๆ บอกว่า เจ้าหนูเดียร์ของผมงอนไปแล้ว และเขาก็กลายเป็นคนพูดจาเชื่อถือไม่ได้

น้อยบอกว่าผมมีเรื่องบางอย่างจะบอกเดียร์ในวันที่เขากลับมา เขาก็อุตส่าห์รอ ผมก็ไม่มาตามนัด แถมติดต่อก็ไม่ได้ ไม่โทรมา ไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไร เดียร์ก็เลยเข้าใจว่าเป็นแผนการของน้อยที่อยากให้เราคืนดีกัน ไม่ใช่ความประสงค์ของผม เลยงอนน้อย หาว่าโกหก

ตอนนี้ เดียร์ไปเช่าห้องใหม่ใกล้ที่ทำงาน ไม่ได้อยู่บ้านเช่าเดิม และยังไม่ได้ติดต่อน้อยมา เพราะยังยุ่งอยู่กับการซ้อมเต้นให้กับนักร้องหญิงคนเดิมที่กำลังจะออกอัลบั้มใหม่

ผมรู้สึกเหมือนโลกถล่มฟ้าทะลายให้เห็นต่อหน้าต่อตา เดียร์ของผมงอนไปเสียแล้ว ผมนี่แย่จริง มัวแต่ยุ่งอยู่กับงาน จนลืมที่จะดูแลหัวใจตัวเอง การอบรมตลอดทั้งวัน ทำให้ผมปิดมือถือ เพราะไม่อยากให้มันดังรบกวนผู้เข้าอบรม

และก็ปิดมันตลอดทั้งสามวัน ด้วยคิดว่าคงไม่มีใครมีธุระติดต่อกลับมา อันที่จริงมันก็ไม่ถูกต้องนัก เพราะอาจจะมีลูกน้อง หรือตัวแทนโทรเข้ามาถาม ขอคำปรึกษาก็ได้

แต่เพราะผมถูกถามตลอดทั้งวัน ทำให้ผมไม่อยากถูกรบกวนด้วยโทรศัพท์จึงปิดตลอด พอกลับขึ้นห้องก็เข้านอนทันที ไม่ได้เช็คว่ามีใครโทรมาหาหรือเปล่า เลยทำให้พลาดการติดต่อกับน้อยไป

กลับมาเริ่มต้นทำงานใหม่ ในสัปดาห์ที่สามอย่างเซ็งๆ ผมเบื่อเหลือเกินกับการต้องนั่งรอความหวังว่าเดียร์จะกลับมาหา ครั้นจะออกตามก็ไม่รู้จะไปหาเจอเขาจากที่ไหน

ผมไม่ค่อยคุ้นเคยกับโลกของเดียร์มากนัก เป็นเพราะแต่ก่อนไม่เคยนึกจะใส่ใจในตัวเขา เวลาที่เดียร์หายไป ผมก็เลยไม่รู้จะไปหาเบาะแสจากใคร คนที่รู้จักก็มีไม่กี่คน นอกจากน้อยแล้วก็มีเพียงโสภิตนภา และสมฤทัยเท่านั้นที่ผมรู้จัก

แต่ถ้าจะไปเจอพวกเขาก็ต้องไปหาถึงสีลม ซึ่งถ้าไม่จำเป็นผมก็ไม่ค่อยอยากไปสักเท่าไหร่ ด้วยเกรงสายตาของนักเที่ยวแถวนั้นที่มองมายังผม จนทำให้วางตัวไม่ถูก แต่ในเมื่อการรอคอยน้อยมันเป็นความหวังที่เลือนลาง เลยทำให้ผมตัดสินใจไปหาสองคนนั่นเพื่อถามข้อมูล

ทั้งคู่แสดงสีหน้าประหลาดใจเมื่อเจอผมอีกครั้ง พอบอกเหตุผลว่ามาตามหาเดียร์ พวกเขาก็พากันหัวเราะ ราวกับฟังเรื่องขำเสียเต็มประดา

พอผมทำเป็นโกรธพวกเขา สองคนนั่นก็ขอโทษและบอกว่าที่หัวเราะเพราะเมื่อหลายเดือนก่อน ผมก็มาหาพวกเขาแบบนี้ แล้วบอกว่ามาตามหาเดียร์ จนป่านนี้ยังตามหากันไม่เจออีกเหรอ แล้วไอ้ที่ไม่เจอน่ะ มันตัว หรือว่าหัวใจกันแน่

คำแซวนั่นเล่นเอาผมหัวเราะออกมาเมื่อเข้าใจความหมาย จริงสินะ ก่อนหน้านั้นผมก็ตามหาเดียร์ที่นี่ ขอร้องให้เขาสองคนช่วย

หากผมค้นพบว่าใจของตัวเองอยู่ที่ไหนตั้งแต่เนิ่นๆ ก็ไม่ต้องมาตามหาตัวเดียร์ให้วุ่นวายอย่างนี้หรอก เพราะใจของผมมันอยู่ที่เดียร์ เขาอยู่ไหน ใจผมก็อยู่นั่น เมื่อใจเราตรงกัน เราก็จะไม่มีวันพลัดพรากให้เป็นทุกข์แบบนี้



สองคนนั่นไม่ได้ช่วยให้ความกระจ่างในเรื่องของเดียร์เลย เขาไม่รู้ว่าเด็กนั่นไปพักอยู่ที่ไหน กับใคร และไม่มีเบอร์โทรศัพท์ที่จะติดต่อได้

การมาหาทำให้ผมเสียเวลาเปล่า แต่ก็ใช่จะไร้ประโยชน์เสียทีเดียว เพราะสมฤทัยได้ให้เบอร์โทรของผู้จัดการที่ดูแลทีมเต้นของค่ายเพลงไว้ให้ลองติดต่อ แต่จะโทรยากสักหน่อย เพราะงานเขาเยอะ ผมเมมเบอร์นั้นไว้ในโทรศัพท์ ตั้งใจจะติดต่อไปในวันหลัง

ตอนที่เจ้าสันต์โผล่หน้าเข้ามาหาผมในห้องทำงาน ตอนนั้นผมกำลังห่อเหี่ยวเต็มที่ เพื่อนรักของผม ยืนพิงกรอบประตู แล้วส่ายหน้า มันด่าว่าผมว่าสารรูปแบบนี้ใครปล่อยให้เข้ามาทำงาน

หน้าตาอิดโรยเหมือนคนไม่ได้หลับได้นอน หนวดเคราก็ขึ้นหรอมแหรม ราวกับว่าไม่ได้สัมผัสกับใบมีดโกนมาเป็นอาทิตย์ ดูไร้ชีวิตชีวาและโทรมสุดๆ ไม่เหมือนเรียวคนเก่าที่สดใส และป๊อบปูล่าร์ในหมู่พนักงาน ตอนนี้ใครมาเห็นเข้าคงอยากวิ่งหนีไปใกลๆมากกว่าจะวิ่งเข้าใส่

ผมยิ้มเนือยๆให้มัน ไม่โกรธที่มันด่าว่าเพราะผมเป็นแบบนั้นจริงๆ ไม่ใช่แค่ตัวผมที่ดูโทรม ทั้งบ้านก็พลอยโทรมไปด้วย ไม่มีใครคอยช่วยทำความสะอาดให้ ฝุ่นจึงจับเขรอะไปทั่วบ้าน เสื้อผ้ากองอยู่เต็มตะกร้า ยังไม่มีเวลาซัก

อาหารการกินก็ต้องฝากท้องไว้กับร้าน เพราะผมทำกินเองไม่เป็น ผมพยายามนึกภาพตัวเองสมัยก่อนตอนอยู่คนเดียว ว่าจัดการชีวิตอย่างไรหนอ ทำไมตอนนี้ เมื่อผมกลับไปสู่รูปแบบการดำเนินชีวิตอย่างที่เคยเป็นมันกลับไม่ง่ายเหมือนเก่า เดียร์ทำให้ผมเคยตัวกับการถูกเอาใจไปเสียแล้ว

มือที่ได้รับบาดเจ็บหายนานแล้ว ผมไม่ได้พันแผลอีกต่อไป แต่อาการบาดเจ็บทางใจมันยังไม่ทุเลา ผมเฝ้าแต่ครุ่นคิดถึงเดียร์ทั้งวันและคืน จนทำให้กินไม่ได้นอนไม่หลับ

ป่านนี้เดียร์จะอยู่ที่ไหน ทำอะไร หรือเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ จะยังคงร้องไห้เสียอกเสียใจอยู่หรือเปล่า เขาไม่มาหาผมหลายวันแล้ว ไม่โทรมาอีกด้วย ตามปกติ ไม่เจอหน้ากันแค่วันเดียร์ก็จะโทรมาหา ไม่ก็มารออยู่บ้าน ทำอ้อนประจบเอาใจ

หรือว่ายังงอนผมไม่เลิก ถึงได้ไม่มาหา ไม่ถามไถ่ เขาตั้งใจจะไปจากผมจริงๆหรือเปล่านะ นี่ก็ยังเหลือเวลาอีกถึงสองเดือนตามสัญญา เขาจะล้มเลิกไปเลยหรือเปล่า ผมครุ่นคิดไปต่างๆนานา จนแทบไม่เป็นอันทำอะไร

“ดูแลตัวเองหน่อยสิวะเพื่อน นี่นะเหรอ ผู้บริหารระดับสูงของบริษัท โทรมจนดูไม่ได้ ทำไมปล่อยตัวอย่างนี้วะ ถ้าความรักมันทำร้ายนายนักละก้อ ทำไมไม่แก้ที่ต้นเหตุแห่งทุกข์ล่ะ ไปตามหาหัวใจตัวเองสิ จะนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ทำไมกัน”

มันโวยวายใส่ ผมไม่ตอบอะไรมัน ทำท่าเหมือนจะตายจริงๆ มันด่าผมว่าไอ้บ้า ไอ้ทึ่ม อย่างฉุนๆ จากนั้นก็หิ้วตัวผมออกไปจากกองงานตรงหน้า จับใส่รถ ไล่ผมกลับบ้าน แล้วนัดให้มาเจอกันในสถานที่เที่ยวแห่งใหม่ เป็น บาร์ผู้ชาย ที่มี อาหารขายด้วย ตอนแรกผมปฏิเสธไม่อยากไปกับมัน แต่เจ้าสันต์บอกว่าจะเลี้ยงส่งคุณแคทก่อนไปนอก ผมก็เลยตอบตกลง

กว่าจะอาบน้ำแต่งตัว แล้วออกไปหาเจ้าสันต์ ก็ถูกมันเร่งเป็นระยะ ดูเหมือนมันโมโหผมเป็นพิเศษ ที่มาหามันล่าช้า ราวกับว่าถ้าผมไปไม่ทันจะพลาดโอกาสในการเจอสิ่งดีๆงั้นแหละ คุณแคทก็พลอยเป็นไปกับมันด้วย เธอสลับกับเจ้าสันต์โทรมาหาผม ท่าทางตื่นเต้นจนน่าแปลกใจ พอถามว่ามีอะไรก็ไม่พูด อยากให้มาดูด้วยตัวเอง ผมจึงได้แต่เก็บความสงสัยไว้

พอไปถึงก็พบเจ้าสันต์รออยู่ก่อนแล้วที่หน้าบาร์ มันฉุดแขนผมแล้วออกเดินราวกับวิ่งเข้าไปข้างใน ลากไปตรงเวที ซึ่งมีการแสดงโชว์อยู่บนนั้น มันชี้ให้ผมมองขึ้นไปบนเวที ที่จำลองบ้านเรือนสมัยโรมันมาไว้ ผมมองตามมือชี้ แล้วต้องตกตลึง อ้าปากค้าง
หนุ่มลูกครึ่งรูปร่างสูงใหญ่ แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสไตล์นักรบโรมัน เคลื่อนไหวไปตามจังหวะเพลงที่เนิบช้า โดยโอบประคองชายหนุ่มร่างบอบบางหน้าสวยไว้ในวงแขน ทั้งคู่แสดงท่าว่ามีจิตพิศวาสต่อกัน การแสดงที่ร้อนแรงของคนทั้งคู่เรียกเสียงฮือฮา จากเ กย์กระเทยหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ ที่นั่งจ้องมองบนเวทีตาไม่กระพริบ

ความงดงามของโครงสร้างร่างกายของเดียร์ และใบหน้าที่หล่อเหลาชวนมอง ทำให้เขาต้องตาใครต่อใคร ยิ่งเดียร์โชว์ลีลาการเต้นที่ยั่วเย้าวาบหวามใจ ก็เรียกน้ำลายให้มาไหลอยู่ที่มุมปากคนดูจนต้องซี๊ดปากไปตามๆกัน

ดวงตาของผมจ้องมองเดียร์โดยไม่เปลี่ยนจุดโฟกัสไปที่ไหน ความรักความอาลัย ถูกทดแทนที่ด้วยความยินดีปรีดาที่ได้เห็นหน้าคนรักของตัวเองอีกครั้ง

การเจอกันโดยบังเอิญแบบนี้ ทำให้ผมทำอะไรไม่ถูก นอกจากยืนนิ่งไม่ขยับไปไหน ผมอยากให้เดียร์เห็นผมเหลือเกิน อยากให้เขารู้ว่าผมคิดถึงเขามาก อยากจะยื่นมือขึ้นไปบนเวที และรั้งตัวเขาลงมากอดและจูบให้สมกับความห่วงหาที่ต้องรอเวลาเกือบสามอาทิตย์ จึงจะได้เจอเขา

นักแสดงทั้งคู่หมุนตัวเคลื่อนจากมุมด้านหนึ่งมาอยู่ตรงหน้าเวทีพอดี ผมยืนลุ้นใจระทึกภาวนาให้เขาเห็นผม ดูเหมือนจะได้ผล เพลงหยุดลง นักแสดงทั้งคู่โค้งให้กับผู้ชมโดยรอบ กวาดตามองไปทั่ว

เด็กหนุ่มกำลังหันหน้ามาทางผม และแล้ว สายตาของเราก็ประสานกัน เดียร์มองผม ดวงตาของเขาเบิกกว้าง คิ้วขมวดมุ่น

เพียงชั่วแว่บเดียวที่เขามองผม แล้วเขาก็สะบัดหน้ากลับ แล้วเดินเข้าไปยังด้านหลังเวที ผมยิ้มค้าง เกิดคำถามขึ้นมาในใจ หมายความว่าอะไรเนี่ย ทำไมเดียร์มองผมแบบนั้น แปลว่าเขายังโกรธและไม่ให้อภัยผมใช่ไหม

ไม่รู้ว่าตัวเองยืนตลึงอยู่นานแค่ไหน รู้ตัวอีกทีก็เมื่อเจ้าสันต์สะกิดผมให้นั่งลง เพราะยืนบังคนอื่นอยู่นานแล้ว ผมทรุดลงนั่งที่เก้าอี้ ท่าทางยังไม่หายงง จนสันต์ต้องถามว่าเป็นอะไร

ผมก็เลยเล่าให้ฟังว่าเดียร์สะบัดหน้าใส่ผม มันก็เลยหัวเราะก๊าก บอกว่าเรื่องแค่นี้เอง ทำเป็นน้อยใจไปได้ เดียร์อาจจะไม่คิดอะไรเลยก็ได้ คงเป็นแค่ลีลาหนึ่งของการเต้นโชว์เท่านั้น ซึ่งผมก็ขอให้มันเป็นอย่างที่เจ้าสันต์พูด เพราะผมคงจะทนไม่ได้ ถ้าเดียร์จะไม่รักผมอีกแล้ว ผมคงขาดใจ


...............................................................

ผมก็เลยถามมันว่ารู้ได้ไงว่าเดียร์เต้นอยู่ที่นี่ มันก็บอกว่ารู้จากคุณแคท เพื่อนร่วมงานของผมตาเป็นประกาย เธอบอกว่าหลังจากที่รับปากผมไปแล้ว คุณแคทก็ดำเนินการใช้เส้นทันที

เธอรู้จักหุ้นส่วนทำบาร์นี้ และรู้ว่า ทางร้านต้องการให้มีการแสดงโชว์ เพื่อดึงดูดลูกค้า เธอจึงแนะนำให้ลองติดต่อกับผู้จัดการทีมแดนเซอร์ของค่ายเพลงนี้ดู แต่ทางค่ายกลัวเสียภาพพจน์ที่แดนเซอร์ตัวเองมาเต้นในบาร์แบบนี้ เลยไม่ส่งคนมา

แต่คุณแคทก็ไปตีซี้จนแอบเอาเดียร์มาเต้นโชว์ได้ แต่ก็แค่วันนี้วันเดียวเท่านั้น พอรู้ข่าวปุ๊บเธอก็บอกกับเจ้าสันต์ให้ชวนผมมาทันที เดียร์ยังเหลือการเต้นโชว์อีก 1 ชุด

ก่อนที่จะเดินทางไปอเมริกาในวันพรุ่งนี้ตอนเช้า เพื่อตามนักร้องสาวที่ไปถ่ายมิวสิควิดิโอเมืองนอก และเปิดคอนเสิร์ตให้คนไทยที่นั่นได้ดู ซึ่งจะอยู่ที่นั่นสองสัปดาห์ ผมจึงมีเวลาแค่คืนนี้คืนเดียวเท่านั้น ในการที่จะบอกความในใจของผมให้เดียร์ได้รับรู้ ดังนั้นห้ามพลาด

รู้สึกตื่นเต้นยังไงไม่รู้ เวลาแต่ละนาทีที่ผ่านไปทำไมมันช่างเชื่องช้าเหลือเกิน กว่าที่เดียร์จะออกมาเต้นอีกรอบ ใจผมเต้นตึ๊กตั๊กรัวแรงราวกับจะโลดออกมานอกอก

เมื่อหนุ่มหล่อของผมปรากฏตัวอยู่บนเวทีอีกครั้ง โดยท่อนบนเปลือยเปล่า และนุ่งกางเกงผ้ายืดสีดำรัดรูป มีปีกขนนกสีดำอยู่ข้างหลัง และมีเขาสองข้าง กับหางยาวปลายลูกศรสีแดงบ่งบอกให้รู้ว่าเป็นการแต่งตัวเลียนแบบพวกซาตาน เรือนร่างของเด็กหนุ่มสมบูรณ์แข็งแรง

ผมได้ยินเสียงเป่าปากวิ๊วว้าวจากคนดูรอบข้าง สายตาของทุกคนมองไปบนเวทีตามการเคลื่อนไหวของเด็กหนุ่ม และดูเหมือนทุกคนจะไม่ค่อยได้สนการแสดงสักเท่าไหร่ แต่สนใจเดียร์ที่อยู่ในชุดสุดยั่วยวนนั้นมากกว่า โดยเฉพาะตรงกลางลำตัวที่แสดงความแข็งแกร่งออกมาให้เห็นแม้จะสงบอยู่ก็ตาม

ขนาดเจ้าสันต์ยังจ้องเดียร์ของผมไม่วางตา มันหันมายิ้ม ทำตาเจ้าเล่ห์กับผม และแอบมากระซิบให้ได้ยินกันสองคนว่า มันรู้แล้วว่าทำไมผมถึงได้หลงรักเดียร์นักหนา เป็นมันก็คงจะติดใจ และไม่ยอมให้เดียร์จากไปไหนแน่

เจ้าสันต์ร้องจ๊าก ออกมา เสียงค่อนข้างดัง จนคนหันมามองพวกเราทั้งกลุ่มเป็นตาเดียว มันรีบหุบปาก และขึงตาใส่ผม ที่กระทืบเท้ามันอย่างแรง เรื่องที่มันแซวผมแบบนั้น

ผมก็รู้สึกอายเป็นเหมือนกันนะ ที่จริงน่ะ ผมเคยแอบนึกอิจฉาเดียร์เหมือนกันที่มีสิ่งที่ผู้ชายทั่วไปอิจฉาอยากจะมีบ้าง แต่เมื่อเดียร์มอบมันให้ผมได้ครอบครอง ผมและเดียร์เป็นเจ้าของเรือนร่างของเขาส่วนนั้นร่วมกัน ผมก็ไม่ได้รู้สึกอิจฉาอีกต่อไป

จะมีก็แต่ความวาบไหวทุกครั้งที่นึกถึงเวลาที่เดียร์ฝากน้องชายไว้ในกายของผม ทว่านั่นไม่ได้เป็นประเด็นหลักที่ทำให้ผมรักเด็กหนุ่ม หัวใจของเดียร์ต่างหากที่สำคัญกว่าขนาดร่างกายของเขา

เสียงฮือฮาเพิ่มขึ้นเมื่อเทวาหน้าหวานในชุดขาว มีปีกขนาดใหญ่อยู่ด้านหลัง ก้าวออกมายืนเคียงข้างซาตานหนุ่ม ทั้งสองทำท่าเหมือนเกลียดกัน สู้กัน แข่งขันกันด้วยการเต้นรำ เทวาเต้นเพลงจังหวะแจ๊ส นุ่มๆนวลอ่อนหวาน ทว่าซาตานกลับกระโดดโลดเต้นอย่างเมามันด้วยเพลงฮิบฮอบ

คนจัดโชว์ และคนทำเพลงเก่งมากที่นำเสนอการเต้นรำประกอบเพลงออกมาเป็นเรื่องราวที่น่าสนุกสนาน หลังจากสู้กันสักพัก เพลงก็เปลี่ยนเป็นท่วงทำนองโรแมนติก ร่าเริงสดใส เมื่อเทวาและซาตานตกหลุมรักกันและกัน

แรกๆผมตื่นเต้นที่เห็นเดียร์ออกมาอีกครั้ง แต่พอนานไป ผมก็เริ่มเบื่อหน่ายไม่พอใจกับการแสดงชุดนี้ รู้สึกไม่ชอบที่เดียร์นัวเนียกับนักเต้นคู่ของตัวเองมากเกินไป

มือไม้ของเขาลูบไล้เนื้อตัวของผู้แสดงเป็นเทวา ด้วยลีลาที่ดูแล้วอดคิดไม่ได้ว่าคนทั้งคู่กำลังเล้าโลมกันจริงๆ นึกหวงเดียร์ขึ้นมาทันทีทำไมต้องทำแสดงแบบนี้ด้วย เต้นอย่างอื่นไม่ได้หรือไงนะ


.................................................................................

หน้าของผมคงจะบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด เพราะเจ้าสันต์สะกิดเตือนให้รู้และบอกว่าระวังเดียร์จะเข้าใจผิดที่เห็นหน้าผมนะให้พยายามยิ้มเข้าไว้ ผมรีบปรับเปลี่ยนสีหน้าทันที ผมเห็นเดียร์มองผมลงมาจากเวที ใบหน้าเรียบเฉยปราศจากรอยยิ้มจนผมนึกหวั่นใจ

เมื่อการแสดงจบลง นักเต้นทั้งคู่โค้งคำนับให้ผู้ชม และเกี่ยวก้อยก้นเข้าไปด้านหลังเวที สันต์บุ้ยหน้าให้ผมตามไป ผมไม่รอช้า เดินลิ่วไปยังส่วนที่เป็นด้านหลังของเวที มีชายคนหนึ่งสงสัยจะเป็นเจ้าหน้าที่จัดการดูแลเกี่ยวกับเรื่องการแสดงกันผมไว้ไม่ให้เข้า บอกเป็นที่ส่วนบุคคล

ผมขอร้องว่าผมจะเข้าไปเพื่อหาเพื่อน เขาเป็นนักเต้นที่เพิ่งเข้าไปเมื่อสักครู่ แต่ชายคนนั้นไม่ยอมให้เข้า พอดีมีนักแสดงสองสามคนเดินสวนออกมา และทักทายผู้ชายคนนั้น ผมก็เลยฉวยโอกาสแอบเข้าไป

ด้านหลังเวทีเป็นห้องขนาดใหญ่ที่มีกระจกยาวติดผนังมุมหนึ่ง ซึ่งนักเต้นกลุ่มหนึ่งกำลังแต่งหน้ากันอยู่ตรงนั้น ถัดไปเป็นราวแขวนเสื้อผ้า ที่มีชุดสำหรับนักแสดงแขวน และกองสุมๆกันอยู่

อีกด้านเป็นตู้เก็บอุปกรณ์ประกอบฉาก ห้องนั้นค่อนข้างพลุกพล่านเต็มไปด้วยนักเต้นที่กำลังเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวอยู่ ทุกคนทำหน้าแปลกใจที่เห็นผมเดินเข้ามา ต่างมองมาที่ผมอย่างสงสัย แต่ผมไม่ได้สนใจใคร สอดส่ายสายตาหาเดียร์อย่างเดียว พลันสายตาของผมก็ไปสะดุด ที่มุมหนึ่งของห้อง

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่52 19/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 19-03-2009 06:51:01
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ผมหยิกเป็นลอนสวย หน้าตาคมเข้มกำลังยืนถอดปีกสีดำขนาดใหญ่ออกจากทางด้านหลัง โดยมีหนุ่มหน้าหวานในชุดสีขาวคอยช่วยเหลือ ทั้งคู่หัวร่อต่อกระซิกกันท่าทางสนิทสนม สักพักหนึ่ง หนุ่มชุดขาวก็โอบกอดเดียร์อย่างแนบแน่น ซึ่งหนุ่มน้อยของผมก็กอดตอบด้วย ผมยืนอึ้ง มองภาพที่ทั้งคู่กอดกัน น้ำตาซึมตา

รู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจ ถามตัวเองว่าทำไมเดียร์ต้องทำแบบนี้ด้วย แค่จากกันไม่กี่สัปดาห์ เขาเปลี่ยนไปไม่รักผมแล้วหรือ ผมอุตส่าห์ตามเขาเข้ามา เพื่อจะง้อขอคืนดี แต่ตอนนี้เดียร์คงไม่อยากจะกลับมาอยู่กับผมแล้วกระมัง

เด็กหนุ่มหน้าหวานคนนั้น หน้าตาผิวพรรณดี อายุน้อยกว่าผม เดียร์คงเจอคนที่สมกัน ส่วนผมนั้นกลายเป็นส่วนเกินในชีวิตของเขาไปแล้ว ยิ่งคิดยิ่งเศร้าใจ ผมไม่น่าเดินเข้ามาในนี้เลย

น่าขำที่ทำตัวเหมือนเด็กวัยรุ่น ทั้งที่ผมอายุเฉียดใกล้จะสามสิบเข้าไปแล้ว ยังจะมาหลงรักคนที่เด็กกว่าตัวเอง ถึงอย่างไรผมก็ไม่เหมาะกับเขา ก่อนหน้านั้นเดียร์คงจะแค่หลงไหลผมไปชั่วครู่ชั่วยาม

พอห่างกันไปเขาก็คงจะคิดได้ ไม่อย่างนั้นเขาคงติดต่อผมกลับมาแล้ว นี่ปล่อยเวลาออกไปถึงสามอาทิตย์ทั้งๆที่เมื่อก่อนนี้แทบจะห่างผมไม่ได้ ข้ออ้างที่บอกว่าปล่อยให้ผมได้ใช้ชีวิตของตัวเอง คงจะมีไว้เพื่อให้เหตุผลของการตีจากมันดูดีเท่านั้นเอง

ผมเชิดหน้าขึ้น พยายามให้น้ำตาที่ซึมออกมา ไหลย้อนกลับไป ไม่ให้แสดงความอ่อนแอให้เห็น จะมาฟูมฟายให้คนหัวเราะอยู่ตรงนี้ทำไม เดินออกไปเสียยังจะดีกว่า

ทว่าขาของผมเหมือนถูกตรึงไว้กับที่ มันก้าวไม่ออก เหมือนว่าผมไม่อยากเดินออกไป เพราะรู้ดีว่าเมื่อผมหันหลังกลับเมื่อไหร่ เราสองคนก็จะไม่มีวันได้กลับมาคืนดีกันอีก ผมจึงได้แต่ยืนมองภาพที่คนสองคนหยอกล้อกันด้วยความรู้สึกที่เจ็บปวดรวดร้าว

เหมือนว่าคนทั้งคู่จะรู้ว่าถูกมองอยู่ เดียร์กับเด็กหนุ่มคนนั้นหันมาเห็นผมพอดี เทวาชุดขาวก้าวเอาแขนเกี่ยวรอบเอวเดียร์โดยอัตโนมัติเหมือนเขาจะพอเดาออกถึงการเข้ามาปรากฏกายที่นี่ของผม เนื่องจากเห็นเดียร์มองจ้องผมอยู่ ผมตัดสินใจหันหลังเดินออกไปจากตรงนั้นทันที ไม่อยากทนเห็นภาพบาดตาใจอีกต่อไปแล้ว

ไม่มีการกล่าวลาเพื่อนทั้งสองที่นั่งรอคอยผลอย่างตื่นเต้นกันอยู่ที่โต๊ะ ผมเดินออกจากบาร์แห่งนั้นไปขึ้นรถที่จอดอยู่ และขับกลับบ้านทันที โดยไม่แวะไปหาพวกเขา ปล่อยให้สองคนนั่งรออยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเจ้าสันต์นึกผิดสังเกตจึงโทรเข้ามือถือผม

ตอนแรกมันแซวว่าปรับความเข้าใจอะไรกันนานจัง มันกับคุณแคทรอไม่ไหว จะกลับบ้านแล้ว พอได้ยินเสียงห่อเหี่ยวของผม มันก็รู้ได้ทันทีว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ผิดแผนเกิดขึ้น แต่เพราะผมบอกกับมันว่าอย่าเพิ่งซักตอนนี้ มันก็เลยไม่คาดคั้นถามอะไร บอกให้ผมกลับไปพักผ่อนที่บ้าน เดี๋ยวมันจะมาหาในวันรุ่งขึ้น

คืนนั้นทั้งคืนผมเอาแต่ฝันร้าย ว่าเดียร์ทิ้งผมไปอยู่กับคนอื่น เด็กนั่นคือคนที่เขาเลือก สองคนพากันหัวเราะเยาะเย้ยผมในความฝัน ยิ่งเห็นผมเสียน้ำตามากเท่าไหร่ พวกเขายิ่งแสดงท่าดีอกดีใจ และกอดจูบลูบไล้กันให้เห็น จากนั้นก็เดินควงแขนกันจากไป ผมสะดุ้งตื่น แล้วไม่หลับอีกเลย

เจ้าสันต์มาหาผมแต่เช้า มันไม่ได้มาคนเดียว แต่พาคุณแคทและแขกรับเชิญมาด้วย ผมตกใจที่เห็นหน้าเด็กคนนั้น นายเทวา ที่เต้นคู่กับซาตานยอดรักของผมบนเวที สงสัยเจ้าสันต์กับคุณแคทเจ้ากี้เจ้าการพามาแน่ๆ

“พี่คร้าบ ผมขอโทษนะ ไม่คิดว่าพี่จะขี้ใจน้อยขนาดนี้ ผมแค่อยากแกล้งพี่เล่นเท่านั้นเอง”

เด็กหนุ่มยกมือไหว้ท่วมหัว จากนั้นก็เล่าให้ผมฟังว่า เขากับเดียร์เป็นพี่น้องกันในสายงานอาชีพเท่านั้น ไม่ได้เป็นคู่รักกัน เขาค่อนข้างสนิทสนมกับเดียร์ เพราะมาจากพัทยา และเป็นลูกเมียเช่า พ่อแม่ทิ้งเหมือนกัน มีอะไรเขาก็จะปรึกษาเดียร์เสมอ

เดียร์มักจะเล่าให้ฟังถึงแฟนตัวเองซึ่งก็คือผมว่าเขารักแฟนของเขามาก และอยากจะอยู่ด้วยกัน แต่แล้วเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เดียร์ก็ทำท่าเหมือนคนอกหัก เอาแต่นั่งซึม ไม่ร่าเริงเหมือนเดิม เอาแต่ซ้อมเต้นเหมือนพยายามจะทำตัวให้ยุ่งเข้าไว้จะได้ไม่ต้องคิดถึงเรื่องที่เจ็บปวด

จนกระทั่งเมื่อวานนี้ เดียร์เห็นผม และบอกกับเขาว่าแฟนของเขามาที่นี่ด้วย พอผมเดินเข้าไปในห้องแต่งตัวของนักแสดง เด็กหนุ่มซึ่งจำผมได้จากรูปถ่ายที่เดียร์เอามาโชว์บ่อยๆ ก็เลยแกล้งลองใจผมว่าจะรักเดียร์จริงหรือเปล่า ไม่คิดว่าผมจะหนีไปก่อนทั้งที่ยังไม่ได้คุยอะไรกันเลย

“ถ้าพี่เดินเข้ามาวีนพวกผมนะ ป่านนี้พี่ก็คงคืนดีกับพี่เดียร์ไปแล้ว ขานั้นอ่ะ เป็นเอามากเลยนะพี่ ทำท่าเหมือนเป็นคนป่วยอยู่ตลอดเวลา เอาแต่ดูรูปพี่แล้วก็ทำตาแดงๆ ถามอะไรก็ไม่พูด ผมน่ะสงสารพี่เขาจะตาย นี่ถ้าผมไม่มีแฟนอยู่แล้ว และพี่เขาชายตามองผมบ้าง ผมก็จะอาสาดามหัวใจให้พี่เขาทันทีเลย จะไม่ปล่อยให้เขาหลุดมือไปหรอกครับ”

สิ่งที่นายเทวาชุดขาว พูดทำให้ผมหายหงุดหงิดขึ้นมาทันที


“แล้วนี่เดียร์เขาอยู่ไหนล่ะ”

“ไปอเมริกาเมื่อเช้านี้ค่ะ แคทบอกคุณเมื่อวานแล้วนี่คะ ว่าไปร่วมแสดงคอนเสิร์ตให้คนไทยที่อเมริกาดู กว่าจะกลับก็อีกสองอาทิตย์น่ะค่ะ”

“ใช่ครับ เห็นพี่เขาบอกว่าจะไปตามหาพ่อด้วย ไม่รู้จะได้เจอกันหรือเปล่า เขาไปสืบจนได้ชื่อทหารอเมริกันมา 5 คนที่แม่เขาเคยยุ่งด้วย แต่ผมว่าคงไม่ได้เจอหรอกครับ เพราะเมืองออกกว้างใหญ่ขนาดนั้น และถึงเจอก็ใช่ว่าจะยอมรับกันเป็นลูกง่ายๆ บอกเขาแล้ว แต่พี่เดียร์เขาก็บอกว่าจะลองพยายามครับ”

เด็กหนุ่มเสริมคำพูดของคุณแคท

“แย่แล้ว นายเรียวเอ๊ย ถ้าเขาเจอพ่อแล้วไม่กลับมา นายจะทำไงวะ สงสัยหัวใจแตกสลายอยู่ที่เมืองไทยนี่แหละ สมน้ำหน้านักไอ้พวกไม่รู้ใจตัวเอง กว่าจะคิดได้ก็สายไป อกหักมาพ่อจะนั่งหัวเราะให้สะใจเลย”

เจ้าสันต์ได้ทีพูดจาทับถมผมใหญ่

“พี่ไม่ไปตามพี่เดียร์ที่โน่นหรือครับ”

เด็กหนุ่มถามผม เจ้าสันต์เห็นดีเห็นงามด้วย ยุส่ง แต่ผมบอกกับพวกมันว่า ผมอยากไป แต่ผมคงจะทำอย่างนั้นไม่ได้ง่ายๆ เพราะผมต้องดูแลรับผิดชอบเรื่องงานที่ทำ ถ้าผมเห็นแก่ความสุขส่วนตัว ทิ้งงานทิ้งงานไปไม่มีความรับผิดชอบ งานก็จะล่าช้าไม่มีคนดูแล บริษัทก็จะเสียหายไปด้วย

เจ้าสันต์ก็ค่อนขอดผมว่ามัวแต่ห่วงใยเรื่องงานอยู่ได้ ตัวเองจะขาดใจตายเพราะความรักอยู่แล้ว ยังมาห่วงใยคนอื่นอีก ถ้าเป็นมัน ไม่มัวมานั่งทำงานอยู่หรอก แล่นไปหาหัวใจตัวเองแล้ว แต่คุณแคทไม่เห็นด้วย เธอกล่าวแย้งสันต์อย่างคนที่เข้าใจผม

“สันต์คะ ว่าเรียวแบบนั้นก็ไม่ถูกนะคะ คนแต่ละคนมีภาระหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย และเราจะต้องปฏิบัติให้ลุล่วงไป หากทุกคนไม่สนใจที่จะรับผิดชอบในงานการ เอาแต่เรื่องของตัวเองเป็นใหญ่ สังคมมันก็จะวุ่นวาย เพราะไม่มีใครทำเรื่องส่วนรวม มีแต่ทำตามใจตัวเอง

เราทำงาน กินเงินเดือนของบริษัท เจ้านายของเราไม่ใช่ผู้ถือหุ้น หรือหัวหน้าที่ดูแลเรา แต่เป็นลูกค้าที่ถือกรมธรรม์ ถ้าหากว่าเรียวไม่ทำงานของตัวเอง ลูกค้าทำประกันไม่ได้ เขาตายขึ้นมา แต่กรมธรรม์ไม่อนุมัติ ครอบครัวเขาเดือดร้อนไม่มีเงินค่าทำศพ ไม่มีค่าเลี้ยงดูบุตร คิดว่าเรียวซึ่งได้หัวใจกลับคืนมาจะมีความสุขเหรอคะ ที่ละทิ้งหน้าที่ของตัวเอง”

“มันก็ถูกนะคุณแคท แต่แหม ไอ้เรียวไม่ทำสักคน คนอื่นก็ทำได้น่า”

ถึงจะเห็นด้วย แต่เจ้าสันต์ก็ยังอยากเถียงอยู่ดี สำหรับสันต์แล้ว มันคิดว่าการทำเพื่อตัวเองบ้าง ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร

..................................................................


“ถ้าทุกคนสามารถแทนที่งานของคนอื่นได้หมดก็ดีสิคะ แต่สันต์เคยเห็นเหรอ ว่าพลทหารสามารถตัดสินใจสั่งการรบแทนนายพลได้ คุณอาจจะเถียงว่าเคยมี แต่มันก็ไม่ใช่ทุกรายที่จะประสบความสำเร็จ มีผลเสียมากกว่า เพราะประสบการณ์ความเชี่ยวชาญต่างกัน

เรียวอยากไปหาเดียร์แค่ไหน ก็คงเห็นแก่ตัวไม่ได้ แต่ช่างเถอะ แคทไม่อยากเถียงกับสันต์หรอกนะคะ เราต่างคนต่างอยากช่วยเรียว เลยมีมุมมองที่ต่างกันไป

เอางี้ เพื่อชดเชยความผิดที่แคทลากเรียวมาเกี่ยวข้องจนเดียร์เข้าใจผิด เดี๋ยวแคทช่วยเองค่ะ แคทพอจะรู้จักคนไทยที่โน่นอยู่หลายคนเหมือนกัน จะลองให้เขาช่วยตามหาเดียร์แล้วช่วยส่งข่าวให้นะคะ ว่ามีคนทางนี้คิดถึงคอยเป็นห่วงอยู่ให้รีบกลับมา อย่างนี้ดีไหมคะ”

ข้อสรุปของคุณแคทได้รับการเห็นด้วยจากทุกฝ่าย คุณแคทช่างน่ารักเหลือเกินที่ช่วยเป็นธุระให้ วิธีนี้มันเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะทำให้เดียร์ได้รับรู้ว่าผมรอการกลับมาของเขา แต่ผมก็ไม่นิ่งนอนใจ พยายามที่จะติดต่อกับเดียร์ด้วยวิธีอื่นอีก

ผมนึกวิธีนี้ได้ออกในวันหนึ่งขณะที่นั่งทำงานอยู่ที่บ้านในวันหยุด มีอีเมล์ภายในบริษัทส่งข้อความเข้ามาจำพวกประกาศและคำสั่งใหม่ๆ ในขณะที่ผมเลื่อนเม้าส์อ่านข้อความไปเรื่อยๆ พลันผมก็ระลึกถึงสิ่งที่เดียร์เคยบอกผมไว้ ผมรีบเข้าอินเตอร์เนตทันที

เดียร์เคยสอนให้ผมใช้โปรแกรมแชตที่คนนิยมเล่นกัน และสมัครให้ผมเรียบร้อย ผมใส่ชื่อและรหัสผ่านเข้าไปในเมล์ของตัวเอง โดยดูจากที่เดียร์จดไว้ให้ในสมุดโน้ตของผมที่วางไว้บนโต๊ะ หน้าต่างสนทนาเด้งขึ้นมาโดยอัตโนมัต ในลิสต์ของผมมีชื่อของเดียร์เพียงแค่คนเดียว เพราะผมไม่เคยให้อีเมล์นี้กับใคร

สถานะตอนนี้ของเดียร์คือ ออฟไลน์ ติดต่อเขาไม่ได้ ผมเลยย้อนกลับเข้าไปในอีเมล์อีกครั้ง แล้วส่งข้อความถึงเขา

“รีบกลับมานะเดียร์ ฉันคิดถึงนายมาก ที่ผ่านมาฉันขอโทษ ฉันผิดเอง กลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิมนะ”

ไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรดี เลยส่งข้อความไปสั้นๆแบบนั้น หวังว่าเขาจะมีเวลาเปิดอ่านมัน แล้วตอบกลับมา ส่งอีเมล์ถึงเดียร์ไปแล้ว ผมก็โทรหาน้อย ถามข่าวคราวว่าเดียร์ติดต่อมาบ้างหรือไม่ น้อยปฏิเสธบอกไม่ได้ติดต่อมาเลย คงจะยุ่งอยู่กับการซ้อมและการแสดงโชว์อยู่ ผมรู้สึกผิดหวังนิดหน่อย แต่ยังไม่หมดกำลังใจ คิดว่าถึงอย่างไรผมก็ต้องตามเดียร์ให้ได้

หัวหน้าเรียกผมเข้าไปเมื่อวันก่อน ไม่ได้ตำหนิเรื่องงานของผม แต่ชมเชยที่ผมปฏิบัติงานที่ภาคใต้ได้เป็นที่น่าพอใจ ผู้บริหารใหม่กลุ่มนั้นชื่นชมในตัวผม และจะจัดสัมมนาอีกครั้งให้ผมลงไปอบรมให้อีก แต่ผมขอส่งลูกน้องไปแทน เพราะผมไม่อยู่ในสภาพที่พร้อมจะบรรยาย แต่ผมสัญญาว่าจะฝึกอบรมลูกน้องให้สามารถขึ้นบรรยายได้แทนผมก่อนที่จะมีการสัมมนาอีกครั้ง
แม้จะไม่ได้อธิบายเหตุผลของการปฏิเสธการรับงานครั้งนี้ แต่หัวหน้าของผมก็พอจะเดาได้ว่ามีอะไรบางอย่างรบกวนจิตใจของผม หลายวันมานี้ผมเห็นเขาเดินมาเยี่ยมๆมองๆที่ห้องของผมบ่อยครั้ง

บางทีก็เข้ามาชวนทานกาแฟ ถ้าเห็นผมตั้งท่าจะอยู่ทำงานต่อตอนเย็น เขาก็มาไล่ให้ผมกลับไปพักผ่อน เขาเคยพูดกับผมว่าเขาเข้าใจดีถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับผม

เขาผ่านโลกมาเยอะและรู้ว่าการพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์ แต่อยากให้ผมมีสติมากกว่านี้ การทำงานแบบบ้าคลั่งเพื่อให้ลืมความทุกข์ทรมานไม่ใช่ทางออกในการแก้ปัญหา ถ้าหากมันล้าแล้วก็อนุญาตให้ผมหยุดได้บ้าง ซึ่งผมก็ไม่เคยใช้สิทธินั้น

จนกระทั่งวันที่เขาขอให้ผมไปบรรยาย ผมจึงได้ร้องขอ ซึ่งเขาก็ไม่ถามไถ่ อนุญาตให้ผมหยุดงานได้ อาทิตย์หนึ่ง แต่มีข้อแม้ว่าต้องเคลียร์งานทุกอย่างให้ลงตัว จะเหลือทิ้งไว้ให้ลูกน้องทำ จะต้องเป็นงานที่อยู่ในอำนาจการตัดสินใจของพวกน้องๆในฝ่ายได้ โดยไม่ต้องผ่านผม และจะต้องจัดการสอนคนให้ขึ้นบรรยายแทนผมได้โดยไม่มีข้อผิดพลาด หากผมไม่สามารถทำทุกอย่างได้ ผมจะต้องเป็นฝ่ายไปบรรยายเอง

นั่นเป็นโจทย์ที่ผมจะต้องแก้ให้ได้ ผมจึงต้องหอบงานกลับมาทำที่บ้านในวันหยุด ร่างแผนงานที่จะสอนลูกน้องของผม หากเขาทำได้ ผมจะได้หยุด แล้วไปหาเดียร์ทันทีที่กลับมาถึงเมืองไทย

นี่ก็ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์แล้ว ตั้งแต่เขาไปอเมริกา ยังไม่มีข่าวคราวส่งมาทั้งจากทางน้อยและคุณแคท แต่ผมก็ยังไม่ละความพยายาม ตอนนี้ทำงานของตัวเองก่อน เดียร์ทำในส่วนของเขา และผมทำในส่วนของผม พอผมหาเวลาว่างได้เมื่อไหร่ ผมจะไปตามหาหัวใจของผมทันที

อาทิตย์ต่อมา ผมจัดคอร์สอบรมความรู้ให้กับพนักงานของผม โดยเลือกคนที่พอจะมีวี่แววที่จะบรรยายได้ มาติวเข้มเป็นพิเศษ เรื่องความรู้ทางด้านหลักการ และวิธีการตอบคำถาม

เพราะผมรู้ว่าผู้บริหารแต่ละคนจะเขี้ยวลากดิน หากผู้ให้ความรู้ทำท่าลังเลไม่มั่นใจในการบรรยาย มีหวังถูกต้อนจนมุมตายคาเวที ผมให้พนักงานของผมทดลองขึ้นบรรยายด้วย เพื่อทดสอบความพร้อมของเขา ฝึกซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนพวกเขาหายประหม่า และบรรยายได้อย่างรู้เรื่อง

ระหว่างนั้น ผมก็จะติดตามข่าวคราวของเดียร์จากคุณแคทและน้อยเป็นระยะ รวมถึงโทรไปตามเบอร์ที่สมฤทัยให้ด้วย แม้ว่าจะยังไม่ได้ข่าวสารของเดียร์ที่ช่วยให้ใจชื้นขึ้นมา แต่ผมก็ยังเดินหน้าทำงานของตัวเอง และรอคอยอย่างมีความหวังต่อไป

ผมส่งอีเมล์หาเดียร์วันละฉบับช่วงหลังๆ ผมจะเล่าภาระกิจประจำของผมให้เขาฟัง ว่าทำอะไรบ้าง เหมือนเป็นรายงานให้เขารู้กลายๆ และลงท้ายด้วยการอ้อนวอนให้เดียร์รีบกลับมาเร็วๆทุกครั้ง แต่ยังไม่มีการตอบกลับจากเด็กหนุ่ม เขาคงยุ่งมากจนไม่มีเวลาเช็คอีเมล์ของตัวเอง

และแล้ววันที่หัวหน้ากำหนดเส้นตายไว้ก็มาถึง ผมส่งมอบงานให้เขาได้ตามที่ต้องการ หัวหน้ายอมให้ผมลาพักร้อนได้ตั้งแต่วันจันทร์เป็นต้นไป เป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์หลังจากที่ได้ฟังการบรรยายของลูกน้องที่ผมคัดเลือกมา 3 คน

ทั้งหมดไม่ทำให้ผมผิดหวัง แม้จะยังมีประหม่าอยู่บ้างที่ต้องบรรยายต่อหน้าเจ้านายที่เหนือผมขึ้นไปอีก แต่พวกเขาก็พยายามทำมันจนสำเร็จ ผมรู้ว่าหัวหน้าไม่ได้พอใจร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เขายอมรับในศักยภาพของลูกน้องของผม และคาดหวังว่าคนเหล่านี้จะเป็นกำลังสำคัญของบริษัทสืบไป

“พวกเธอแบ่งเบาภาระคุณเรียวได้เร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะเป็นผลดีกับพวกเธอเท่านั้น ที่จะเติบโตก้าวหน้าในอาชีพ ส่วนคุณเรียวก็คงจะขยับต่อไปอีก บางทีเขาอาจจะอยากเป็นเจ้าของธุรกิจเองก็ได้”

เจ้านายผมพูดยิ้มๆเป็นเชิงหยอกล้อ ผมยิ้มตอบ และกล่าวขอบคุณเขาที่ให้โอกาสผม
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่52 19/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 19-03-2009 10:16:47
^
^
จิ้มพี่ไต๋

อูยยยยยยยยยยยยยยยย



อุปสรรคช่างมากมายจริงๆ

เมื่อไหร่จะได้อยู่ด้วยกันซักที
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่52 19/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 19-03-2009 13:51:40
โอ้ยยยยยยย


จะบ้าตาย  ทำไม รักครั้ง มาร ผจญ


มัน ช่างมากเหลือ หลายยย


สู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ สู้ ตาย ขาดใจ ดิ้น ไป เรยย





หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่52 19/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: nanalonely ที่ 19-03-2009 18:50:37
 :sad4:

เมื่อไหร่จะแฮปปี้สักที
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่52 19/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 19-03-2009 21:56:47
ยังคงต้องลุ้นกันต่อไป  :a5:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่52 19/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: the_pooh9 ที่ 20-03-2009 00:08:20
:sad4:

เมื่อไหร่จะแฮปปี้สักที

คิดเหมือน แนนเลยอ่คร้าบ   :sad4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่52 19/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: ltahset ที่ 20-03-2009 11:23:36
:sad4:

เมื่อไหร่จะแฮปปี้สักที

คิดเหมือน แนนเลยอ่คร้าบ   :sad4:

ตามนั้น

 :sad4:

^^
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่52 19/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 20-03-2009 21:49:50
นั่นดิ นั่นดิ เมื่อไหร่จะสมหวังกันซะที คลาดกันไป คลาดกันมา เฮ้อ
ม่ายรู้จาสงสารใครดี
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่52 19/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: b_hihi ที่ 21-03-2009 15:34:05
 :jul1: จาลงแดงละนะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่52 19/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: the_pooh9 ที่ 21-03-2009 23:31:48
คืนนี้ๆม่มาหรอคะพี่สาวคนสวย

I Want read the My First Boyfriend.
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่53 22/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 22-03-2009 16:33:55
วันนี้ก้อไม่มาอัพเหรอ  :o12:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่53 22/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 22-03-2009 16:34:38
แวะมารอค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่53 22/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 22-03-2009 20:21:10
แม้จะไม่ได้อธิบายเหตุผลของการปฏิเสธการรับงานครั้งนี้ แต่หัวหน้าของผมก็พอจะเดาได้ว่ามีอะไรบางอย่างรบกวนจิตใจของผม หลายวันมานี้ผมเห็นเขาเดินมาเยี่ยมๆมองๆที่ห้องของผมบ่อยครั้ง

บางทีก็เข้ามาชวนทานกาแฟ ถ้าเห็นผมตั้งท่าจะอยู่ทำงานต่อตอนเย็น เขาก็มาไล่ให้ผมกลับไปพักผ่อน เขาเคยพูดกับผมว่าเขาเข้าใจดีถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับผม

เขาผ่านโลกมาเยอะและรู้ว่าการพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์ แต่อยากให้ผมมีสติมากกว่านี้ การทำงานแบบบ้าคลั่งเพื่อให้ลืมความทุกข์ทรมานไม่ใช่ทางออกในการแก้ปัญหา ถ้าหากมันล้าแล้วก็อนุญาตให้ผมหยุดได้บ้าง ซึ่งผมก็ไม่เคยใช้สิทธินั้น

จนกระทั่งวันที่เขาขอให้ผมไปบรรยาย ผมจึงได้ร้องขอ ซึ่งเขาก็ไม่ถามไถ่ อนุญาตให้ผมหยุดงานได้ อาทิตย์หนึ่ง แต่มีข้อแม้ว่าต้องเคลียร์งานทุกอย่างให้ลงตัว จะเหลือทิ้งไว้ให้ลูกน้องทำ จะต้องเป็นงานที่อยู่ในอำนาจการตัดสินใจของพวกน้องๆในฝ่ายได้ โดยไม่ต้องผ่านผม และจะต้องจัดการสอนคนให้ขึ้นบรรยายแทนผมได้โดยไม่มีข้อผิดพลาด หากผมไม่สามารถทำทุกอย่างได้ ผมจะต้องเป็นฝ่ายไปบรรยายเอง

นั่นเป็นโจทย์ที่ผมจะต้องแก้ให้ได้ ผมจึงต้องหอบงานกลับมาทำที่บ้านในวันหยุด ร่างแผนงานที่จะสอนลูกน้องของผม หากเขาทำได้ ผมจะได้หยุด แล้วไปหาเดียร์ทันทีที่กลับมาถึงเมืองไทย

นี่ก็ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์แล้ว ตั้งแต่เขาไปอเมริกา ยังไม่มีข่าวคราวส่งมาทั้งจากทางน้อยและคุณแคท แต่ผมก็ยังไม่ละความพยายาม ตอนนี้ทำงานของตัวเองก่อน เดียร์ทำในส่วนของเขา และผมทำในส่วนของผม พอผมหาเวลาว่างได้เมื่อไหร่ ผมจะไปตามหาหัวใจของผมทันที

อาทิตย์ต่อมา ผมจัดคอร์สอบรมความรู้ให้กับพนักงานของผม โดยเลือกคนที่พอจะมีวี่แววที่จะบรรยายได้ มาติวเข้มเป็นพิเศษ เรื่องความรู้ทางด้านหลักการ และวิธีการตอบคำถาม

เพราะผมรู้ว่าผู้บริหารแต่ละคนจะเขี้ยวลากดิน หากผู้ให้ความรู้ทำท่าลังเลไม่มั่นใจในการบรรยาย มีหวังถูกต้อนจนมุมตายคาเวที ผมให้พนักงานของผมทดลองขึ้นบรรยายด้วย เพื่อทดสอบความพร้อมของเขา ฝึกซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนพวกเขาหายประหม่า และบรรยายได้อย่างรู้เรื่อง

ระหว่างนั้น ผมก็จะติดตามข่าวคราวของเดียร์จากคุณแคทและน้อยเป็นระยะ รวมถึงโทรไปตามเบอร์ที่สมฤทัยให้ด้วย แม้ว่าจะยังไม่ได้ข่าวสารของเดียร์ที่ช่วยให้ใจชื้นขึ้นมา แต่ผมก็ยังเดินหน้าทำงานของตัวเอง และรอคอยอย่างมีความหวังต่อไป

ผมส่งอีเมล์หาเดียร์วันละฉบับช่วงหลังๆ ผมจะเล่าภาระกิจประจำของผมให้เขาฟัง ว่าทำอะไรบ้าง เหมือนเป็นรายงานให้เขารู้กลายๆ และลงท้ายด้วยการอ้อนวอนให้เดียร์รีบกลับมาเร็วๆทุกครั้ง แต่ยังไม่มีการตอบกลับจากเด็กหนุ่ม เขาคงยุ่งมากจนไม่มีเวลาเช็คอีเมล์ของตัวเอง

และแล้ววันที่หัวหน้ากำหนดเส้นตายไว้ก็มาถึง ผมส่งมอบงานให้เขาได้ตามที่ต้องการ หัวหน้ายอมให้ผมลาพักร้อนได้ตั้งแต่วันจันทร์เป็นต้นไป เป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์หลังจากที่ได้ฟังการบรรยายของลูกน้องที่ผมคัดเลือกมา 3 คน

ทั้งหมดไม่ทำให้ผมผิดหวัง แม้จะยังมีประหม่าอยู่บ้างที่ต้องบรรยายต่อหน้าเจ้านายที่เหนือผมขึ้นไปอีก แต่พวกเขาก็พยายามทำมันจนสำเร็จ ผมรู้ว่าหัวหน้าไม่ได้พอใจร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เขายอมรับในศักยภาพของลูกน้องของผม และคาดหวังว่าคนเหล่านี้จะเป็นกำลังสำคัญของบริษัทสืบไป

“พวกเธอแบ่งเบาภาระคุณเรียวได้เร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะเป็นผลดีกับพวกเธอเท่านั้น ที่จะเติบโตก้าวหน้าในอาชีพ ส่วนคุณเรียวก็คงจะขยับต่อไปอีก บางทีเขาอาจจะอยากเป็นเจ้าของธุรกิจเองก็ได้”

เจ้านายผมพูดยิ้มๆเป็นเชิงหยอกล้อ ผมยิ้มตอบ และกล่าวขอบคุณเขาที่ให้โอกาสผม
“ขอเค้กทีรามิทซุ กับกาแฟร้อนที่หนึ่งครับ”

สั่งออเดอร์กับพนักงานเสริฟ ไป ทานกาแฟจะได้ตาสว่างคืนนี้ผมกะเฝ้าเด็กหนุ่มทั้งคืน เมื่อกลางวันหลับมามากพอแล้ว ตอนนี้ยังไม่ง่วง แต่เพื่อความไม่ประมาท ผมเลยทานกาแฟเพื่อให้ไม่หลับไปก่อน แถมซ้ำ ผมยังหิ้วโน้ตบุคส์มาทำงานด้วย จะได้มีอะไรทำแก้เหงา ระหว่างรอพาเขากลับบ้านด้วยกัน

วันนี้เดียร์ไม่ได้ทำงานที่หน้าเคาน์เตอร์ เขาทำงานอยู่ในครัว คอยดูแลเกี่ยวกับเรื่องทำอาหาร การทำเครื่องดื่ม และขนม เขาขลุกอยู่ในนั้นทั้งคืน นานๆจะโผล่ออกมาที่เคาน์เตอร์เพื่อรับออเดอร์ช่วยเพื่อนที่กำลังยุ่งอยู่ ผมเฝ้ามองเด็กหนุ่มอย่างเพลิดเพลิน ใจก็รอเวลาที่เดียร์จะเลิกงาน ซึ่งจาก 4 ทุ่มถึง 6 โมงเช้ามันก็นานโขอยู่ เพราะตั้ง 8 ชั่วโมงไม่เคยรอใครนานขนาดนี้มาก่อนเลย

ว่าจะฝืนสังขารไม่หลับ แต่ผมก็คอพับคออ่อนจนได้ สงสัยมันคงจะนาน แล้วงานที่หอบมามันมีน้อย แป๊บเดียวผมก็ทำจนเสร็จ เมื่อไม่มีอะไรทำผมก็ไปหาหนังสือมาอ่าน นั่งสักพักก็เผลอหลับไป แต่คราวนี้ตื่นเร็วหน่อย ประมาณตีสองผมตื่นขึ้นมา ก็พบว่ามีเสื้อยีนส์คลุมตัวผม เพื่อให้ความอบอุ่น อุปาทานหรือเปล่าไม่รู้แต่ผมได้กลิ่นที่คุ้นจมูกจากเสื้อตัวนั้น กลิ่นหอมจากโคโลญจน์ ที่เดียร์ใช้เป็นประจำ ถ้างั้นเสื้อตัวนี้ก็คงเป็นของเขาแน่ๆ

พนักงานเสิร์ฟเดินขึ้นมาเคลียร์โต๊ะที่ลูกค้าเพิ่งลุกไป ผมถามถึงเดียร์ทันที ก็ได้รับคำตอบว่ากลับไปแล้ว วันนี้ เดียร์มาทำงานตั้งแต่ 6 โมงเย็น เพราะว่าพรุ่งนี้ เขาต้องไปทำธุระแต่เช้า เลยขอเข้างานก่อน ผมรู้สึกผิดหวังที่ไม่ได้เจอเดียร์อีกแล้ว พยายามคิดในแง่ดีว่าเขาคงมีธุระจริงๆ คงไม่ได้ตั้งใจหนีผมไป การคิดในแง่นี้มันช่วยทำให้ผมสบายใจขึ้น ไม่อยากจะคิดว่าตัวเองถูกเดียร์ทิ้งเสียแล้ว

ล่วงเข้าวันพฤหัสแล้ว ผมยังไม่ได้คุย หรือเจอหน้าเดียร์ตรงๆเลย แต่ผมก็ไม่ละความพยายามหรอก เป็นไงเป็นกัน คืนนี้ผมจะต้องคุยกับเขาให้ได้ อีกไม่กี่วันแล้วที่ผมต้องกลับไปทำงาน ผมคงไม่มีเวลามานั่งเฝ้าเดียร์กลางค่ำกลางคืนแบบนี้ทุกวันแน่

วันนี้ผมไปดึกหน่อย หลังจากอยู่บ้านหลับเอาแรง และทำงานทำการอย่างอื่นๆเรียบร้อยแล้ว ผมขนหนังสือนิยายที่ตั้งใจจะอ่านไปด้วย เป็นนิยายสืบสวนสอบสวน หวังว่าความตื่นเต้นของมันจะทำให้ผมวางไม่ลง และไม่หลับไปก่อนที่เดียร์จะกลับบ้าน

ยิ่งดึก คนก็ยิ่งบางตา แต่พอช่วงที่บาร์เลิก ร้านกาแฟก็กลับมาคึกคักเหมือนเดิม คนที่ออกมาจากที่เที่ยวเริ่มทะยอยกันเข้ามานั่ง บางคนพาเพื่อนมาแวะพักทานน้ำทานอาหารก่อนกลับบ้าน บางคนก็พาคนที่รู้จักกันในที่เที่ยวมานั่งคุยเพื่อสานความสัมพันธ์ต่อ บางรายเมามายล้วงควักกอดจูบกันตามมุมมืดของร้านอย่างไม่กลัวคนจะมอง มีบ้างที่ทำท่าจะเข้ามาทัก หรือพูดคุยกับผม แต่ผมไม่ได้ให้ความสนใจในตัวใคร เพราะเป้าหมายผมไม่ได้มาหาแฟนใหม่ แต่ผมกำลังมาเอาคนรักเก่าของผมกลับคืน

ตีห้าครึ่งแล้ว ร้านที่เต็มไปด้วยผู้คนเมื่อสักครู่เริ่มบางตาลง อีกครึ่งชั่วโมง เดียร์ก็จะเลิกงานแล้ว ผมรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ เก็บข้าวของเตรียมพร้อม

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

หกโมงแล้ว แสงสีทองของดวงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาในร้าน พนักงานชุดใหม่เข้ามาเปลี่ยนกะแล้ว ชุดเก่ากำลังทะยอยกันกลับบ้าน ผมรีบเดินออกมาดักรอที่หน้าร้าน พอเดียร์เดินออกมาผมก็เดินเข้าไปหา และเรียกชื่อของเขา เดียร์หันมาเห็นผม เขามองทำหน้าหน้าเฉยๆ ผมเลยยิ้มค้าง ขยับอ้าปากจะชวนเขากลับบ้าน แต่ประตูก็เปิดออก พร้อมด้วย เด็กหนุ่มสามสี่คนวัยไล่เลี่ยกับเขาเดินออกมา ทั้งหมดทักทายเดียร์ที่ยืนอยู่หน้าประตู ท่าทางสนิทสนมกันดี ดูจากบุคลิกแล้วน่าจะเป็นเพื่อนๆที่เต้นอยู่ด้วยกัน เพราะหน้าตาคุ้นๆเหมือนว่าผมจะเคยเห็นพวกเขาที่งานปีใหม่ของบริษัทพวกนั้นคุยกันสักพัก ก็ชักชวนกันไปทานโจ๊กเป็นอาหารเช้าก่อนกลับบ้าน เดียร์มองผมอยู่นานพอสมควร ต่างคนต่างจ้อง ผมยืนนิ่งพูดอะไรไม่ออก ปล่อยให้เดียร์เดินจากไป วันนี้เป็นอีกวันที่ผมกลับบ้านอย่างเหงาๆ

ถึงบ้านแล้วก็เอาแต่นั่งซึม น้อยใจในตัวเดียร์ที่ไม่ยอมแม้แต่จะทักทายผม เขาไม่ต้องการจะคบกับผมอีกแล้วหรืออย่างไร ทำไมถึงได้ทำเฉยชากับผมนัก ผมกลัดกลุ้มรู้สึกไม่สบายใจ จนต้องโทรไปปรึกษากับเจ้าสันต์ มันกำลังเริงร่าอยู่กับแฟนของมัน ก็เลยไม่มีอยากจะให้ความช่วยเหลือผมเท่าไหร่ แต่ไล่ให้ผมกลับไปพยายามใหม่ อย่าท้อถอยง่ายๆ ผมไม่ได้โกรธเพื่อน บางทีผมอาจจะพึ่งพวกเขามากเกินไป เรื่องที่ผมก่อขึ้นใครก็ช่วยแก้ไม่ได้ ผมต้องจัดการแก้ปัญหาเอาเอง

เอาล่ะ ในเมื่อระฆังยังไม่หมดยก ผมก็จะไม่ยอมแพ้ ผมเติมความหึกเหิมลงไปในใจใหม่ และพร้อมที่จะลุย นึกในใจว่า ผมจะพยายามให้ถึงที่สุด อย่างน้อยๆ ถ้าหากจะต้องเลิกกันจริงๆ ผมก็ได้พยายามจะยื้อมันไว้แล้ว จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียดายในภายหลังว่าปล่อยให้เดียร์หลุดมือไปโดยไม่ทำอะไรเลย

คืนวันศุกร์ผมทำงานทุกอย่าง และเซ็นต์เอกสารที่จุ๋มหอบมาให้ เสร็จเรียบร้อย ก็ออกไปหาเดียร์ที่ร้านกาแฟตามเคย คราวนี้เดียร์มาอยู่หน้าเคาน์เตอร์คอยเก็บเงิน และรับออเดอร์ช่วยเพื่อนสลับกับการวิ่งเข้าครัวเพื่อปรุงอาหาร ตลอดเวลาเหล่านั้นผมแทบไม่มีโอกาสจะได้คุยกับเดียร์เลย ได้แต่นั่งดู คนอื่นๆเข้ามายืนพูดคุย หยอกล้อเล่นกับเขา ท่าทางเดียร์จะเป็นขวัญใจของนักเที่ยวกลางคืน และคนชอบทานกาแฟร้านนี้ เพราะไม่ว่าใครที่ผ่านไปผ่านมา ก็อดจะแวะทักไม่ได้ ซึ่งเดียร์ก็จะแสดงอัธยาศัยไมตรีที่ดี พูดคุยยิ้มแย้มด้วยตลอด

ความหวังของผมเริ่มจะริบหรี่ลง เดียร์ยังคงเฉยเมยไม่พูดไม่จากับผม ไม่รู้ว่าเขาจะแกล้งให้ผมทรมานใจไปถึงไหน ผมเฝ้าเพียรมาหาเดียร์ทุกวันด้วยหวังจะบอกเล่าความรู้สึกต่างๆในใจให้เดียร์ได้รับรู้ แต่เขาไม่เปิดโอกาสเลยสักครั้ง เลิกงานแล้ว เขาก็จะกลับบ้านไม่ร่ำลาผม หรือชวนกลับเลยแม้แต่น้อย คืนวันเสาร์ก็เช่นกัน เขาแอบออกทางหลังร้านปล่อยให้ผมรอเก้ออยู่ที่หน้าประตู ผมต้องกลับบ้านไปนอนร้องไห้เพียงลำพัง ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรา เขางอนผม หรือต้องการไปจากชีวิตผม ตามที่ศักดิ์ชายขอร้องกันแน่ จริงสิ ผมลืมไปสนิทใจ ศักดิ์ชายมาเล่าเรื่องทุกอย่างให้เดียร์ฟัง และพูดขอร้องให้เดียร์เลิกกับผม จนกระทั่งเดียร์ยอมตัดใจเลิกราจริงๆ เขารับปากว่าจะช่วยผมจัดการเรื่องที่เกิดขึ้น ทำให้เดียร์กลับมาหาผมดังเดิม เพือชดเชยสิ่งที่เขาทำไว้
วันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ วันสุดท้ายที่ผมจะมีเวลาสำหรับเคลียร์ปัญหาหัวใจของตัวเอง ผมโทรหาศักดิ์ชาย ขอให้ออกมาพบผมในคืนวันนี้ ที่ร้านกาแฟที่เดียร์ทำงานอยู่ เพื่อนเก่าทำท่าอิดออดไม่ยอมมา ผมก็เลยยกเจ้าสันต์ขึ้นมาขู่ ซึ่งก็ได้ผล ศักดิ์ชายยอมไปกับผมเพื่อคุยกับเดียร์โดยดี ผมตั้งใจไว้ว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายแล้วที่จะคุยกับเดียร์ หากเขาไม่ใจอ่อน แสดงว่าเดียร์คงไม่ต้องการจะยุ่งเกี่ยวกับผมแล้ว ผมก็คงจะต้องปล่อยเขาไป

ผมเข้าไปที่ร้านก่อนเวลางานของเดียร์เกือบครึ่งชั่วโมง เพราะนัดศักดิ์ชายไว้ พอเห็นเดียร์เดินมา ตั้งท่าจะเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดทำงานในร้าน ผมก็รวบรวมความกล้า ชวนเดียร์มานั่งทานข้าว และพูดคุยกัน เดียร์ยอมมานั่งคุยกับผมโดยดี แต่ก็บอกว่าเขามีเวลาไม่มากนัก ขอให้ผมพูดให้ตรงประเด็นไม่ต้องอ้อมค้อม
หนังสือสารภาพของศักดิ์ชายถูกยื่นมาวางตรงหน้าเขา เพื่อนเก่าของผม กล่าวขอโทษเดียร์ที่พูดจายุแยงให้เราสองคนแตกกัน เขาสารภาพกับเดียร์ว่าเขาลงมือทำทุกอย่างเอง เพียงเพื่อต้องการจะแยกเดียร์ออกจากผม ซึ่งผมไม่ได้รู้เรื่องแม้แต่น้อย พอพูดจบมันก็ขอตัวกลับบ้าน มันคงเกรงว่าเดียร์จะไม่พอใจ แล้วลงไม้ลงมือกับมัน จึงปล่อยให้ผมเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มตามลำพัง

สีหน้าของเดียร์เรียบเฉย เล่นเอาผมใจฝ่อ แต่ผมก็พยายามทำใจดีสู้เสือ พูดออกไปในสิ่งที่ผมสู้ทนเก็บกดเอาไว้ ผมขอโทษเดียร์ในสิ่งที่เกิดขึ้น ให้สัญญากับเดียร์ว่าจะไม่หักหลังเดียร์อีกแล้ว มีอะไรก็จะพูดกันอย่างตรงไปตรงมา แถมซ้ำสัญญาเป็นแฟนที่ทำกันไว้ก็จะยังคงมีผลไปเรื่อยๆจนกว่าจะครบกำหนด สำหรับเวลาที่เสียไป จะชดเชยให้ เดียร์สามารถกลับมาอยู่ที่บ้านผมได้ตามเดิม ผมคิดถึงเขามาก บ้านที่ขาดเขามันดูไร้ชีวิตชีวา ถ้าได้กลับมาอยู่ด้วยกัน ก็จะทำให้เราสองคนมีความสุข

เดียร์รับฟังข้อเสนอ อย่างตรึกตรอง จากนั้นเขาก็ทำร้ายหัวใจของผมด้วยการปฏิเสธข้อเสนอนั้น และบอกกับผมว่า ข้อเสนอที่ทำไว้เดิมเป็นอันยกเลิก เขาไม่ต่อสัญญากับผมแล้ว ผมจะต้องชดใช้ในสิ่งที่ได้ย่ำยีความรู้สึกของเดียร์ ด้วยการจมอยู่กับความเจ็บปวดพอกัน

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่53 22/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 22-03-2009 20:22:00
ผมคอตก รู้สึกสิ้นหวัง มีความรู้สึกว่า ได้สูญเสียเดียร์ไปอย่างแน่นอนแล้ว พร้อมๆกับที่ได้สูญเสียหัวใจของตัวเองไปในเวลาเดียวกัน ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ ยอมรับชะตากรรมของตัวเอง ถ้าผมทำให้เดียร์ต้องเจ็บปวด ผมก็ยินดีรับผิดชอบในสิ่งที่ทำลงไป เมื่อเขาไม่รักผมแล้ว ผมก็ควรจะเดินออกไปจากชีวิตของเขา

บอกลาเดียร์แล้ว ผมก็เดินออกจากร้านนั้นอย่างเงื่องหงอยตรงไปยังลานจอดรถ เพื่อจะขับรถกลับบ้าน ตอนที่ผมเดินเกือบจะถึงรถของตนเอง ผมเห็นนายบอยกับพรรคพวกที่เคยมีเรื่องกับผมและเดียร์ที่เกาะเสม็ด ยืนเกาะกลุ่มกันที่รถของพวกเขา เหมือนกำลังซุ่มรอคอยใครบางคนอยู่

ใจหายวาบนึกไปถึงน้อยทันที สงสัยน้อยกับพวกคงสกัดกั้นนายบอยกับพวกไม่สำเร็จ เขาจึงเข้ามากรุงเทพ และตามรอยเดียร์มาถึงที่นี่ สงสัยต้องการมาแก้แค้นบุคคลอันเป็นที่รักของผม จะทำอย่างไรดี จะปล่อยเดียร์ทิ้งไว้แบบนี้ให้เผชิญหน้ากับนายบอยเพียงลำพัง หรือจะเข้าไปบอกข่าวให้เขาทราบ เพื่อจะได้เตรียมตัวทัน ผมอาจจะอยู่เป็นเพื่อนคอยช่วยเหลือเดียร์ ไม่ให้ใครมาทำร้ายเขา ถึงแม้ว่าเราจะเลิกรากันไป แต่ครั้งหนึ่งเขาก็เคยรักและทำดีเพื่อผม เราอาจจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ ผมรีบหมุนตัวกลับจะเดินเข้าไปในร้านใหม่ ใจเป็นห่วงเดียร์อยากให้เขาหนีไปเสีย จะได้ไม่ต้องมีเรื่องกันอีก

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


พวกนั้นคงจะเห็นผมแล้ว เพราะได้ยินเสียงฝีเท้าตามมา และเสียงเอะอะไล่หลัง ผมรีบวิ่งเพราะกลัวว่าจะไปไม่ถึงร้าน แล้วก็กลัวว่าจะนายถูกบอยกับพวกจับไปข่มขืน เพราะคนพวกนั้นกล่าวคำอาฆาตไว้ หลังจากที่ถูกเดียร์ ต่อยจนหน้าเกือบเสียโฉม ขณะที่ผมกำลังจะวิ่งลับต้นไม้ที่ปลูกไว้ข้างๆร้าน ผมก็ปะทะเข้ากับใครบางคนที่ยืนขวางอยู่ พอผมเงยหน้าขึ้นมอง ยาสลบก็ถูกโปะเข้าที่จมูก ผมค่อยๆทรุดลงไป ตาหรี่ปรือ เห็นนายบอยวิ่งเข้ามาหาผม ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จากนั้นผมก็หมดสติไปด้วยฤทธิ์ยา

เมื่อผมลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องที่ตกแต่งแปลกๆไม่คุ้นตา ผนังห้องทั้งสี่ด้าน รวมทั้งประตูไม้ทาด้วยสีเหลืองที่ร้อนแรง ตรงผนังห้องด้านหนึ่ง มีภาพเขียนขนาดใหญ่เกือบเต็มฝาห้องของผู้ชายสองนายที่เปลือยกายนัวเนียกันอยู่ในสวนสวรรค์ท่ามกลางเหล่านางฟ้าและทวยเทพที่มาอำนวยอวยชัย ด้วยฝีแปรงที่สวยงามกับการวาดภาพที่ออกสไตล์โมเดิร์นอาร์ต ทำให้ภาพนั้นไม่ดูอุจาดตา แต่กลับสวยงามจนน่าพิศวง

ผมไม่มีเวลาชื่นชมความงามของรูปภาพที่ตาเห็นนั้นนัก ด้วยผมได้ตระหนักว่า ผมไม่ได้อยู่ในสภาพที่เป็นปกติเหมือนที่เคยอยู่ในห้องของตนเอง ผมกำลังนอนอยู่ในห้องของใครบางคน บนเตียงที่มีฝูกหนานุ่มคลุมด้วยหนังเสือดาว โดยมือและเท้าทั้งสองข้างของผมถูกมัดติดกับหัวเตียงแต่ละมุม สภาพของผมตอนนี้ เหมือนตัวอักษรเอ็กซ์ในภาษาอังกฤษ

ความเย็นของเครื่องปรับอากาศที่สัมผัสผิวกาย ทำให้ผมรู้ว่า ขณะนี้ ทั้งร่างของผมเปลือยเปล่า ไม่มีอาภรณ์ชิ้นใดปกปิด ความหวาดระแวงต่อสถานการณ์อันล่อแหลมของตนเอง ทำให้ผมพยายามจะนึกให้ได้ว่ามีอะไรไม่ดีไม่งามเกิดขึ้นกับผมบ้างหรือไม่

สิ่งสุดท้ายที่อยู่ในความทรงจำของผมก็คือ นายบอยพี่ชายของเดียร์กำลังมองจ้องตรงมายังผม เขาชี้ไม้ชี้มือให้เพื่อนๆในกลุ่มดู และตะโกนเรียกผมให้ไปหา แต่ผมรีบเดินหนีอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะไปถึงร้านให้ได้ ผมได้ยินเสียงฝีเท้าเดินตามจากคนหลายๆคน แต่ผมไม่กล้าหันกลับไปมองด้วยกลัวว่าจะเป็นการเสียเวลาและผมอาจจะโดนขัดขวางไม่ให้ไปถึงร้านที่เดียร์ทำงานอยู่ แต่ผมยังไม่ทันก้าวเข้าไว้ ผมก็ถูกใครบางคนขวางเอาไว้และยาสลบก็ถูกโปะลงมาที่จมูกของผม จากนั้นสติสัมปชัญญะก็ดับวูบไป

ผมใจหายวาบ เมื่อคิดว่าคนที่จับผมมาอาจจะเป็นพวกนายบอยก็ได้ ตั้งแต่วันที่เขาถูกเดียร์ซัดเสียหมอบในข้อหาที่พยายามจะข่มขืนผมที่เกาะเสม็ด เขาก็กล่าวคำอาฆาตทั้งผมและเดียร์เอาไว้ เมื่อวานนี้เขากับพวกคงเจอผมเข้าพอดีเลยจับผมมาตามที่ลั่นวาจา ผมรู้สึกเป็นห่วงเดียร์ขึ้นมาทันที เพราะบอยกับพวกกำลังจะเดินไปยังร้านที่เดียร์ทำงานอยู่ เจ้าประคู้ณ ผมนึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธ์ที่ผมรู้จักรวมถึงที่เคารพนับถือ พยายามอ้อนวอนขออย่าให้คนพวกนั้นเจอเดียร์และทำอะไรกับเขาเลย ชีวิตของเดียร์เจอแต่เรื่องเลวร้ายมามาก ผมไม่อยากให้เขาเขาเจอกับปัญหา หรือสิ่งที่ทุกข์ใจไปมากกว่านี้อีกแล้ว

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ความที่ผมห่วงเดียร์เลยไม่ทันได้นึกถึงตัวเอง พอนึกได้ผมก็รีบตรวจดูร่างกายตนเองว่ามีอะไรบุบสลายหรือเจ็บปวดตรงไหนบ้างไหม โชคดีที่ผมเพียงแต่ถูกจับเปลือยกายมัดโยงกับเตียงเท่านั้น ผิวเนื้อตัวแทบไม่มีรอยขีดข่วน ก้นของผมยังอยู่ในสภาพปกติไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไร อาจจะเป็นไปได้ว่าพวกนั้นยังไม่ได้ลงมือทำอะไรกับผม แต่ผมก็ไว้ใจไม่ได้ เพราะพวกนั้นอาจจะทำกับผมตอนไหนก็ไม่รู้ ยิ่งนายบอยขู่อาฆาตผมเสียขนาดนั้น เมื่อเขามีโอกาสแล้ว เขาต้องหาทางจัดการกับผมอย่างแน่นนอน

ผมกวาดตาไปทั่วห้อง เพื่อจะดูว่ามีใครอยู่ในห้องของผมหรือเปล่า แต่ผมก็ไม่พบใคร มีแต่ผมกับห้องที่รกไปด้วยเฟอร์นิเจอร์สีสันร้อนแรง สายตาของผมพลันไปสะดุดอยู่ที่โต๊ะไม้ที่พื้นผิวหน้าเป็นกระจก มีสิ่งของบางอย่างอยู่บนนั้น เมื่อผมมองจ้องจึงได้เห็นว่ามันคืออะไร อวัยวะเพศชายขนาดต่างๆหลากสีสันวางตั้งอยู่บนนั้น มีแส้หนัง เทียนไข กุญแจมือ หน้ากาก รวมถึงเครื่องมือหลายอย่างที่ใช้ทรมานวางปะปนอยู่ด้วย
ข้างๆกันมีเบาะที่บุด้วยหนังชาร์มัวสีแดงเลือดนก สองใบวางอยู่ ตัวหนึ่งมีรอยบุ๋มลงไปตามน้ำหนักตัวคนที่กดทับ ใครบางคนคงนั่งมองผมอยู่ตรงนั้น ส่วนอีกใบมีเสื้อผ้าที่ผมใส่มาเมื่อคืนวางพาดไว้อย่างเรียบร้อย รวมถึงกางเกงในของผมที่ทาบทับอยู่บนกางเกงขายาว เนคไทและเสื้อสูทถูกพับวางไว้บนโต๊ะกระจกนั่น ส่วนรองเท้าที่ผมใส่มา วางอยู่ใต้โต๊ะอย่างเรียบร้อย

ผมเหงื่อตกซิก ทั้งที่แอร์เย็นฉ่ำ รับรู้ได้ถึงความวิตถารของคนที่อาศัยห้องนี้ ภาพหน้าของนายบอยพี่ชายนิสัยทรามของเดียร์ลอยแว่บเข้ามา ดวงตาหื่นกระหายกับรอยยิ้มแสยะของคนที่พยายามทำร้ายผม นึกถึงทีไรก็ทำให้เกิดความหวาดวิตก นี่ผมกำลังตกอยู่ในเงื้อมมือของเขาหรือนี่ แล้วเขากับเพื่อนก็จะมาข่มขืนผมตามที่ขู่เอาไว้ ยิ่งคิดผมก็ยิ่งหวั่นกลัว ผมไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแน่นอน ผมเคยรอดจากการถูกเขาและเพื่อนข่มขืนเพราะเดียร์มาช่วย แต่คราวนี้ผมไม่มีใครเลย เดียร์ของผมไม่อยู่ที่นี่ เขาคงอยู่ที่บ้านเช่าของเขา คงกำลังโกรธผมอยู่ แต่ถึงเดียร์จะไม่ได้อยู่ด้วย ผมก็จะพยายามพาตัวเองให้รอดไปให้ได้ ร่างกายของผมมีไว้ให้เดียร์คนเดียวเท่านั้น ถึงแม้ว่าตอนนี้ เดียร์จะไม่เข้าใจผมและเลิกรักผมแล้วก็ตาม แต่นอกจากเขาแล้ว ผมจะไม่ยอมให้ใครมาแตะต้องตัวผม แม้จะต้องตายก็ยอม

ผมอาจจะคิดเหมือนผู้หญิงไปหน่อย แต่สำหรับคนที่ไม่เคยมีอะไรกับผู้ชายด้วยกันมาก่อนอย่างผม เมื่อเกิดบังเอิญมีความสัมพันธ์แบบนั้นขึ้นมา แค่คนเดียวก็พอแล้ว จะยอมให้ผู้ชายมากมายมายุ่งเกี่ยวกับตัวผมได้ยังไง ผมยังมีความรู้สึกว่าตนเองเป็นผู้ชายอยู่ แต่ที่ผมยอมให้เดียร์ก็เพราะว่า ผมรักเขา คราวนี้ผมแน่ใจตัวเองแล้วว่าผมรักเดียร์ และผมจะเป็นของเขาคนเดียวเท่านั้น แม้ไม่มีเขา ผมก็จะไม่ยอมเกี่ยวข้องกับผู้ชายหน้าไหนอีก

ขณะที่ผมกำลังว้าวุ่นใจกับสถานการณ์ที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่ และพยายามที่จะหาทางหนีออกไปให้ได้ ประตูห้องก็เปิดออก ผมหยุดขยับข้อมือที่ถูกพันธนาการไว้ และหันขวับไปที่ทางต้นเสียงทันที ตาของผมเบิกกว้างเมื่อเห็นคนที่ก้าวเข้ามาในห้อง
ร่างสูงๆกับใบหน้าที่แสนคุ้นเคยในมือถือถาดใส่อาหารมาด้วย เขาปรายตามาทางผมนิดหนึ่ง แต่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเคราเขียวครึ้มยังคงบึ้งตึง ปราศจากรอยยิ้ม ผมมองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างกล้าๆกลัวๆ พยายามจะยิ้มให้เขา แต่เขาไม่ยิ้มตอบ แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังโล่งใจด้วยที่คนที่จับผมไม่ใช่นายบอยอย่างที่นึกหวั่น คนแปลกหน้าในห้องที่ตกแต่งด้วยของแปลกประหลาดวิตถารคือคนใกล้ตัวที่แสนคุ้นเคยของผม เดียร์ คนที่ผมเฝ้าคิดถึงตลอดเวลา เป็นเขาเหมือนเดิมที่กักขังผมเอาไว้

ผมกำลังจะอ้าปากคุยประโยคแรกกับเดียร์ แต่เด็กหนุ่มไม่แม้แต่จะมองมา เขาวางถาดลงบนโต๊ะกระจกนั่น แล้วก็เดินออกไปจากห้อง ไม่ยอมแก้มัดมือเท้าให้ ผมรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจเหลือเกิน คอตกเมื่อตระหนักได้ว่า เดียร์ยังไม่ให้อภัยผม แม้จะรู้สึกดีใจแค่ไหนที่ได้เห็นเขาหลังจากที่เมื่อคืนผมได้ปลงตกแล้วว่าผมไม่มีวันได้เดียร์กลับคืนมา แต่ผมก็ไม่เข้าใจในเจตนาของเขานักว่าคราวนี้เขาจับตัวผมมาทำไมอีก

สิ่งที่เดียร์แบกเข้ามาด้วย ตอนกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง สร้างความสงสัยให้ผมหนักเข้าไปใหญ่ เขาเดินมาที่ปลายเตียงและวางสิ่งที่ถือมาตรงนั้น มันเป็นกล้องถ่ายวิดีโอขนาดพกพา พร้อมขาตั้งกล้อง เดียร์กางขามันออกแล้วติดตั้งกล้องถ่ายไว้บนนั้นโดยหันเลนส์มาทางผม เขาจัดมุมและดูเรื่องแสง โดยโฟกัสมาที่ผมทั้งหมด เก็บภาพผมที่นอนเปลือยอยู่บนเตียงนั้น ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

น้ำตาไหลย้อนเข้าไปในอก เดียร์คงโกรธและหาทางแก้แค้นผมให้เจ็บสาสมกับที่ได้ทำกับเขาเอาไว้ ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง เดียร์ไม่ควรจะทำกับผมแบบนี้ แต่ความเสียใจที่ผมทำกับเขามันมากกว่าความกังวลใจต่อสิ่งที่เด็กหนุ่มกำลังทำกับผมตอนนี้ ผมได้สร้างความเจ็บปวดให้เกิดขึ้นกับเดียร์ ทำให้เขากลายเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น ไม่ไว้ใจคนอื่น ถ้าหากเดียร์เปลี่ยนไปกลายเป็นคนไร้หัวใจเพราะผม ก็สมควรแล้วที่ผมจะต้องได้รับโทษทัณฑ์นั้น

ความเจ็บปวดทำให้ผมหลับตาลง ไม่อยากรับรู้ในสิ่งที่เดียร์กำลังทำกับผม ช่างเถอะอยากเก็บภาพเปลือยของผม จะเอาไว้แบล็คเมล์อะไรก็ทำไป ผมทำใจยอมรับได้แล้ว ในเมื่อผมทำให้เดียร์ต้องเสียใจ ผมก็ต้องยอมรับสิ่งที่มันเกิดขึ้น ถึงจะคิดแบบนั้น ผมก็ยังคงเชื่อมั่นว่าเดียร์คงจะแค่สั่งสอนผม เขาจะไม่ทำให้ผมได้รับความเสียหายอย่างแน่นอน เขาเคยรักผมมาก่อน เขาคงไม่ทำร้ายผมให้ย่อยยับลงไปด้วยอารมณ์แค้นเคืองของเขา ภาพเปลือยของผม คงต้องแลกกับข้อตกลงอะไรบางอย่าง มันอาจจะเป็นข้อต่อรองในการทำสัญญาเป็นแฟนกันใหม่ ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม ผมก็ยินดีทำมัน

“ทานข้าวเถอะ”

เดียร์ร้องบอกผมเสียงห้วนๆ ผมลืมตาขึ้นมอง ก็พบว่าเดียร์ยืนชะโงกมองผมอยู่ก่อนแล้ว ตาของเขาไม่แม้แต่จะเหลือบแลไปที่ร่างเปลือยของผม ซึ่งเขาเคยบอกว่ารักร่างนี้นักหนา อยากจับต้องอยากเป็นเจ้าของตลอดไป ผมรู้สึกเจ็บปวดกับความหมางเมินของเขาเหลือเกิน

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

“ป้อนฉันได้ไหม ฉันถูกมัดมืออยู่ ทานเองไม่ได้”

ผมพยายามสบตาเขา แต่เดียร์กลับเบือนหน้าหนี เขาทรุดตัวลงนั่งที่ข้างเตียง แล้วเอื้อมมาแก้มัดที่มือทั้งสองข้างของผม เดียร์ไม่ได้ลุกขึ้นไปยังอีกฝั่งเมื่อเขาแก้มัดมือให้อีกข้าง แต่นั่งที่เดิมแล้วโน้มตัวลงไปหามือข้างนั้น ลำตัวของเขาพาดผ่านใบหน้าของผม กลิ่นที่แสนคุ้นก็โชยออกมาจากร่างของเขา มันเป็นกลิ่นที่ผสมปนเปไประหว่างกลิ่นเหงื่อ กลิ่นเนื้อหนุ่ม และกลิ่นสบู่หอม มันเป็นกลิ่นที่แสนจะเร้าใจจนผมอดไม่ได้ที่จะสูดกลิ่นกายของเดียร์เข้าเต็มปอด ให้สาสมกับความคิดถึง เริ่มรู้สึกว่าได้ไกล้ชิดเขาอีกครั้ง เดียร์ชะงัก เขาคงรู้ว่าผมทำอะไร แต่ถึงอย่างนั้นเดียร์ก็คงทำท่าเย็นชาใส่ผม เหมือนว่าเขาไม่ได้รู้สึกรู้สากับสิ่งที่เกิดขึ้น

“แก้มัดแล้ว ก็คงทานเองได้ล่ะ”

เดียร์บอกผมด้วยน้ำเสียงแห้งแล้ง เขาทำท่าจะลุกจากเตียง แต่ผมเอื้อมมือมาฉุดเขาไว้ให้นั่งลงตามเดิม ผมขยับตัวลุกขึ้นนั่งข้างๆเขา

“นายจับฉันมัดนานไปหน่อย มันเจ็บข้อมือน่ะ และแผลที่มือฉันก็เพิ่งจะหาย อาจจะทานข้าวเองไม่ไหว ถ้านายไม่ช่วยฉัน ก็คงจะอดกินข้าวมื้อนี้แน่”

รู้ดีว่ามันเว่อร์ที่พูดไปอย่างนั้น เขินตัวเองด้วย ที่พูดในสิ่งที่ทำให้ตัวเองกระดากออกไป ผมมักจะอ้อนกับผู้หญิงเวลาที่อยากให้พวกเธอทำอะไรให้ แต่กับผู้ชายคนที่ผมรัก และเขากำลังเข้าใจผิดผมด้วยแบบนี้ การพูดจาออดอ้อนอย่างที่ผมทำอยู่ มันช่างเป็นเรื่องน่าอับอายและไม่ถูกจังหวะเสียจริง แต่ผมก็มีโอกาสแค่นี้เท่านั้น หากเดียร์ไม่เล่นด้วย และเดินออกจากห้องไป มันก็ยากที่ผมจะเข้าถึงตัวเขาได้อีก เพราะเขาโกรธผมเสียแล้ว

“เรื่องมากจริง”

เดียร์บ่นแต่ก็หยิบชามข้าวมาถือไว้ แล้วตักป้อนให้ผม เขาทำแบบเสียไม่ได้ แต่ผมก็พอใจแล้ว ที่เดียร์ยอมทำให้ มันทำให้ผมมีความหวังลึกๆว่าเราน่าจะปรับความเข้าใจกันได้

“อร่อยมากเลย เดียร์ทำเองเหรอ”

ผมชวนเขาคุย พยายามมองหน้าเขา แต่เดียร์หันหน้าหนีตลอด เขาคงเกลียดผมจนไม่อยากมองหน้า ผมนึกน้อยใจนัก

“คิดถึงกับข้าวที่นายทำให้ฉันกินจังเลย ฝีมือนายไม่เปลี่ยนเลยนะ”

“อย่าพูดมากเลย รีบทานเถอะ ผมจะได้เอาชามไ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่53 22/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: the_pooh9 ที่ 22-03-2009 23:35:30
เสียบพี่สาวคนสวย

ใกล้ จะดีกันยังอ่ะคะ  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่53 22/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: nanalonely ที่ 23-03-2009 01:15:36
เดียร์ทำไมทำอย่างน้านนน

เมื่อไหร่จะคืนดีกันซะที

สงสารจะแย่อยู่แล้ว :sad4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่53 22/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: jaideejung007 ที่ 23-03-2009 10:37:03
สุดยอดนักเขียนเลยครับเรื่องนี้

ผมแอบ จิก เรื่องนี้ไว้ ตั้งแต่ Part 1 จนถึง Part 3 ถึงบทที่ 50

ขนาดไฟล์ เรื่องนี้ 5.85 MB

โอ้โห่ แต่งเรื่องนี้ได้ยังงัย ตั้ง 5 เมกกว่า สุดยอดเลยครับ

ขอชื่นชมมากมาย (ทนพิมพ์ได้ไงเนี๊ย)

ปล ขอบคุณสำหรับเรื่อง ดีดีนะครับ หนุก เศร้า เหงา วังเวง

หลากหลายอารมณ์มากครับ

บะบายท้ายเล่ม
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่53 22/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: sasa ที่ 23-03-2009 13:41:12
งานเข้า...
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่53 22/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 23-03-2009 13:51:16
เจ้านายผมพูดยิ้มๆเป็นเชิงหยอกล้อ ผมยิ้มตอบ และกล่าวขอบคุณเขาที่ให้โอกาสผม
“ขอเค้กทีรามิทซุ กับกาแฟร้อนที่หนึ่งครับ”

สั่งออเดอร์กับพนักงานเสริฟ ไป ทานกาแฟจะได้ตาสว่างคืนนี้ผมกะเฝ้าเด็กหนุ่มทั้งคืน



วารู้สึกว่าเนื้อเรื่องมันโดดไปนิดนึง..เหมือนข้ามตอนใดตอนนึงไปอ่ะ
ถ้าวาคิดผิดไปเอง ก็ขอโทษด้วยนะคะ...อย่าโกรธกันนะ  :L2:


เรียวเจองานหนักแล้วงานนี้ เดียร์โกรธยาวเลย
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่53 22/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: katesnk ที่ 23-03-2009 17:49:34
สุดยอดนักเขียนเลยครับเรื่องนี้

ผมแอบ จิก เรื่องนี้ไว้ ตั้งแต่ Part 1 จนถึง Part 3 ถึงบทที่ 50

ขนาดไฟล์ เรื่องนี้ 5.85 MB

โอ้โห่ แต่งเรื่องนี้ได้ยังงัย ตั้ง 5 เมกกว่า สุดยอดเลยครับ



..........................

กรี๊ดดดดดดดดด ทวงค่าลิขสิทธิ์ค่ะ

ฮ่าฮ่าฮ่า........

ต้นฉบับจริง 934 หน้าเอสี่ค่ะ
แต่ยังมีอีก สองตอนพิเศษ ที่ไม่ได้เอาลงในเวปไหนๆค่ะ เก็บไว้เป็นสเปเชี่ยล ให้กับผู้อ่านตอนรวมเล่มหนังสือค่ะ หุหุหุหุ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่53 22/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anawas ที่ 23-03-2009 18:24:51
ต้นฉบับจริง 934 หน้าเอสี่ค่ะ
แต่ยังมีอีก สองตอนพิเศษ  ที่ไม่ได้เอาลงในเวปไหนๆค่ะ เก็บไว้เป็นสเปเชี่ยล ให้กับผู้อ่านตอนรวมเล่มหนังสือค่ะ หุหุหุหุ
^
^
^
สุดยอดอะพี่   o13  อีกนานใช่เปล่ากว่าจะจบ 
อ่า...ดูเหมือนเดียร์ที่อ่อนโยนจะเปลี่ยนเป็นซาดิสม์ซะแล้ว   o22
รอฉาก...   :m10:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่53 22/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: katesnk ที่ 23-03-2009 18:44:35
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=9114.0

เอาเรื่องใหม่มาฝากคนแถวนี้ค่ะ Sweet Sleeping Beauty ค่ะ ลงไป 1 ตอนล่ะ ไปเยี่ยมกันบ้างนะคะ



................................


สุดยอดอะพี่     อีกนานใช่เปล่ากว่าจะจบ 
อ่า...ดูเหมือนเดียร์ที่อ่อนโยนจะเปลี่ยนเป็นซาดิสม์ซะแล้ว   
รอฉาก...   

สามภาค แต่งจบแล้วค่ะ ตอนนี้กำลังแก้ไข ตรวจพรู๊ฟ และเขียนเพิ่มเติมค่ะ พอดีว่าเรืองนี้เขียนจบมาหลายปีแล้ว ตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่เริ่มต้นเขียนนิยาย ภาษาบางทีมันก็แปลกๆอ่ะค่ะ เลยเอามาเรียบเรียงใหม่จ้า
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่53 22/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 23-03-2009 18:56:00
โห พี่ สุดยอดเลย o13  เขียนได้งัยน่ะ แต่ชอบเรื่องที่พี่เขียนเกือบทุกเรื่องเลย
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่53 22/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: jaideejung007 ที่ 25-03-2009 11:08:45
อ่า ตายล่ะ อย่ามาจับผมนะครับ อิอิ

ผมกลัวแล้ว ผมเพียงแค่เก็บเรื่องของพี่ไว้เฉยๆ ไม่ได้เอาไปโพทส์ที่ไหนเลย

เก็บไว้ในความทรงจำ ที่ครั้งหนึ่ง เคยได้อ่านเรื่องยาวๆ ขนาดนี้ อิอิ

เิอาเป็นว่าจะมาติดตามเรื่อยๆ นะคับ

ปล. อย่านะ อย่ามาจับเค้านะ เค้ากลัวแล้ว โฮะๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่53 22/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: jaideejung007 ที่ 25-03-2009 11:13:09
พี่ katesnk พี่มีอาชีพอารายหรอครับ

ทำไมแต่งนิยายได้เก่งจริงๆ เลยครับ(ชมนะคับ)

แบบว่า รู้ลึก รู้จิง มากๆ เลย

ผมอ่านแล้ว ยังกะอยู่ในสถานการณ์นั้นด้วย อิอิ

ปล. ขอบคุณมากมาย ไม่มีเธอ(P' katesnk) คงไม่ได้อ่านเรื่องนี้

บายคับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่53 22/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: Alexie333 ที่ 25-03-2009 13:54:39
:man1: :man1: :man1: :man1: :man1: :man1: :man1: :man1: :man1: :man1:


ชอบมากๆเลยน่ะครับ นิยายเรื่องนี้ แบบว่าอ่านมาตั้งแต่


ตอนที่ไปลงอีกเว็ปนึวแล้ว ติดใจค็อตๆๆๆๆ



คิดถึงเดียร์ กับพี่เรียวจัง  แคทด้วย สันต์ด้วย


ลงเล่มเมื่อไหร่บอกด้วยน่ะครับ จะซื้อเก็บเอาไว้อ่าน


ชอบม๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่53 22/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: zheeiiz* ที่ 25-03-2009 14:03:04

รอรวมเล่มนะคะ ชอบ ๆ

สามารถมากเลย ก๊อบหมดด้วย
เคยคิดจะก๊อบนะ แต่มันมากเกินไป 5555 5

จะไปตามอ่านเรื่องอื่นด้วย ชอบบบ ~

 o13

รีบมาต่อเรื่องนี้ด้วยน๊า ^^,,

*


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่53 22/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 25-03-2009 14:43:02
รอ รวมเล่ม เหมือน กันน่ะ ครับบ



มา ต่อ ไวไวไว  ครับบ



คอย อ่านทุก วัน เรยยยย :z13: :z13:



หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่53 22/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: noonid19 ที่ 25-03-2009 16:06:29
เห็นชื่อเรื่องแล้วรีบเข้ามาเลยค่ะพี่ไต๋

เคยอ่านแล้วเรื่องนี้เมื่อปีที่แล้ว
ไม่ได้หลับ ไม่ได้นอน ไม่ได้กินเลยทีเดียว
ติดมั่กมากกกก ลุกจากคอมไม่ได้เลยค่ะ

แต่อยากอ่านอีกรอบนึงจากภาค 1 ใหม่
เด๋วขอไปฟิตร่างกายให้พร้อมก่อนนะคะ
เตรียมเสบียงให้เรียบร้อย

กร๊ากกกกก
เพราะถ้าได้เริ่มอ่านเรื่องนี้อีกเมื่อไหร่
ต้องรวดเดียวเลยค่ะ
สนุกมากมายยยยย

เป็นเรื่องแรกของพี่เคทที่เริ่มอ่าน
เป็นเรื่องนึงในดวงใจเลย
พี่เคทสุดยอดมั่กมากกกก

ขอบคุณนะคะพี่ไต๋ ที่เอามาลง

 :pig4:

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่53 22/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: ltahset ที่ 26-03-2009 11:42:43
 :z2:

ลุ้นมากมาย

^^

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่53 22/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 26-03-2009 12:22:02
คนโพสหนีไปเที่ยวไหนค่ะ กลับกระทู้ด่วนค่ะ
คนอ่านรออยู่ค่ะ  :sad11:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่54 26/3/09 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: หนอนแก้ว ที่ 26-03-2009 13:55:34
ไปทำใจที่ไหนครับ :o12: :o12: :o12: :o12:

กลับมาต่อเถอะครับ   :fcuk:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่54 26/3/09 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 26-03-2009 14:16:14
บทที่ 54

เด็กหนุ่มพูดอย่างเฉยชา ผมมองหน้าเขาด้วยความรู้สึกปวดร้าว กล้ำกลืนฝืนใจกินอาหารที่เขาป้อนให้ แต่รู้สึกว่าแต่ละคำที่กลืนลงคอ มันดูช่างยากเย็นเสียจริง

“เดียร์ นายถ่ายวิดีโอฉันไว้ทำไม จะแบล็คเมล์ฉันเหรอ คราวนี้นายจะให้ฉันทำอะไรล่ะ ถ้ามันจะทำให้นายหายโกรธ ฉันก็ยินดีทำทุกอย่างนะ ฉันขอโทษจริงๆในสิ่งที่ฉันทำไม่ดีไว้กับนาย ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าคนเราต้องไว้เนื้อเชื่อใจกัน มันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเป็นแฟน แต่ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะให้มันเกิดขึ้น ฉันทำทุกอย่างก็เพื่อนายนะเดียร์ แล้วเรื่องการบอกเลิกนั่น ก็ไม่ได้อยู่ในความคิดของฉันเลย ศักดิ์ชายจัดการไปเพราะอยากให้ฉันมีความสุขเท่านั้น เขาแค่เป็นห่วงฉัน”

“จริงหรือ”

เดียร์ถามผมอย่างเย็นชา หน้าของเขาเรียบเฉย มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่มองผมอย่างค้นคว้า

“งั้นก็ดี กินข้าวเสร็จแล้ว ผมจะไปทำธุระสักสองชั่วโมง พอผมกลับเข้ามาอีกครั้ง ผมจะให้คุณชดใช้ทันที”

ผมมองหน้าเขาอย่างงงๆขยับปากจะถามว่าเดียร์จะไปไหน จะทิ้งผมไว้อย่างนี้เพียงลำพังหรือเปล่า แล้วนี่เป็นห้องของเดียร์เองหรือห้องของคนอื่น นอกจากเดียร์แล้ว ยังมีใครอีกไหม แต่เดียร์ก็ไม่ยอมมองผม ทำให้ผมได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจอีกครา เด็กหนุ่มตั้งหน้าตั้งตาป้อนข้าวให้ผม เขาไม่ยอมมองร่างเปลือยที่อยู่ใกล้ตัวเลย ผมอุตส่าห์ลุ้นให้เดียร์มองผม อยากให้เขาจับต้องร่างกาย อยากให้เขากอด อยากให้เขาจูบ บางทีถ้าผมกับเขามีเซ็กส์ด้วยกันอีกครั้ง เขาอาจจะใจอ่อนยอมคืนดีกับผมก็ได้

แต่เดียร์ทำเหมือนไม่สนใจร่างกายและความรู้สึกของผม แผนการจะยวนยั่วเอาเนื้อตัวเข้าแลกเพื่อให้เขาเปลี่ยนใจจึงล้มเหลว เด็กหนุ่มมุ่งมั่นในภารกิจของตน ป้อนข้าวน้ำผมจนกระทั่งหมดถ้วย เมื่อเสร็จธุระของเขาแล้ว เขาก็ยกถาดใส่กับข้าวเดินออกไปจากห้อง ปิดประตูแล้วล็อคกลอนจากข้างนอกกันไม่ให้ผมออกไป

วินาทีที่เดียร์ออกจากห้อง ก็ถือว่าผมเป็นอิสระชั่วคราว เพราะเขาไม่ได้มัดมือผมกลับตามเดิม ผมมองข้อเท้าทั้งสองที่ถูกพันธนาการด้วยเนคไทสีสันฉูดฉาดราคาถูกๆอยู่ครู่หนึ่ง ในใจคิดว่าจะแก้มันออกดีหรือไม่ ความรู้สึกบอกกับผมว่า ผมไม่อยากจะเป็นอิสระอีกต่อไป สิ่งที่เดียร์ใช้ร้อยรัดผมไว้ มันไม่ได้พันธนาการเพียงแค่กาย แต่มันผูกมัดใจผมไว้ด้วย ผมไม่อยากหนีอีกแล้ว ผมไม่สามารถทำตัวเป็นคนขี้ขลาด โกหกตัวเองว่าไม่รักเขา แล้วก็หลบลี้ไปใช้ชีวิตเยี่ยงผู้ชายที่แต่งงานมีเมียมีลูก แล้วสร้างปัญหาให้กับคนเหล่านั้น ตอนนี้ผมไม่สามารถกลับไปเป็นเรียวคนเก่าได้ดังเดิม ดังนั้น จนกว่าจะรู้ว่าเดียร์รู้สึกกับผมอย่างที่เคยหรือไม่ ผมจะไม่ยอมถอยหนีเป็นอันขาด

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


เดียร์กลับเข้ามาอีกครั้ง พร้อมด้วยผ้าขนหนูผืนใหญ่สีขาวสะอาดตา เขาเดินมาแก้มัดผมที่เท้า แล้วก็ประคองผมไปห้องน้ำเพราะผมแกล้งทำเป็นเดินไม่ไหว แล้วอ้อนขอให้เขาช่วยเหลือ ผมพยายามเอาร่างเปลือยของตัวเองแนบชิดกับเนื้อตัวของเขาให้มากที่สุด เพื่อเปิดทางให้เขาล่วงเกินผม รู้สึกอับอายที่ทำแบบนั้น แต่ผมไม่รู้ว่าจะใช้วิธีการแบบไหนจึงจะเรียกร้องความสนใจจากเขา ผมไม่อยากเสียเดียร์ไปอีก จึงพยายามที่จะลองใจว่าเขาจะยังรู้สึกอะไรกับผมไหม

ปฏิกิริยาเฉยชาของเดียร์ ทำเอาผมน้ำตาตกใน เขาประคองผมเข้าห้องน้ำ แล้วทำท่าให้ผมก้าวลงไปในอ่างอาบน้ำทรงกลมสีชมพูอมส้ม เดียร์เปิดน้ำลงในไปผสมกันทั้งน้ำอุ่นและน้ำเย็น จากนั้นก็บอกให้ผมอาบน้ำซะ ผมอยากจะรั้งเดียร์ลงมาอาบน้ำในอ่างด้วยกันสองต่อสอง แต่เมื่อเห็นหน้าเคร่งเครียดของเดียร์ ก็เลยได้แต่เก็บความปรารถนาที่เร้นลับไว้ในใจ รู้สึกแย่มากที่เกิดความต้องการเขาในเวลาที่เขาไม่อยากจะแตะต้องผมด้วยซ้ำ

เด็กหนุ่มบอกให้ผมอาบน้ำตามสบาย เขาเอาผ้าขนหนูมาเปลี่ยนให้ ผืนนี้เป็นของเขา เพิ่งใช้ได้แค่ครั้งเดียว เขาจะไม่มัดผม แต่เขาจะล็อคห้องไว้ข้างนอก ถึงยังไงผมก็ไม่สามารถหนีเขาได้ ผมได้แต่ตอบในใจว่า ผมหนีมาพอแล้ว ผมจะเผชิญกับความจริง ผมรักเขา ผมอยากบอกให้เดียร์รู้ต่อจากนี้ไป ผมจะไม่หนีเขาอย่างแน่นอน ขอเพียงเขาจะไม่หนีผมเช่นเดียวกัน

ผมเดินออกมาจากห้องน้ำ หลังจากชำระร่างกาย และทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยโดยนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียว ตั้งใจจะมาเอาเสื้อผ้าผมที่ถูกถอดไว้เอามาใส่ แต่มันได้อันตรธานหายไปจากห้องแล้ว เดียร์คงเอาออกไปด้วย เพื่อกันไม่ให้ผมหนีไปไหน ผมยิ้มให้กับตัวเอง ช่างเถอะ เดียร์มีสิทธิ์จะไม่ไว้ใจผม เพราะที่ผ่านมา ผมหนีเขามาตลอด ตอนนี้เดียร์คงไม่รู้ว่าผมรักเขา เพราะเขาไม่ยอมปล่อยโอกาสให้ผมอธิบายเลย ถ้ามีโอกาสเมื่อไหร่ ผมจะบอกเขาว่าผมจะไม่หนีหัวใจตนเองอีกแล้ว

ตู้เสื้อผ้ารูปทรงประหลาดสีส้มแปร๊ดแว่บเข้ามาทางปรายหางตา รูปทรงของมันโค้งเหมือนเกลียวคลื่น ทว่ามีขนาดใหญ่วางอยู่ตรงมุมห้องใกล้ๆกับเก้าอี้ที่ปรับเอนนอนได้ซึ่งมีสายหนังรัดอยู่เต็ม มองดูเหมือนเก้าอี้ ที่มีไว้ทรมานนักโทษที่ผมเห็นอยู่ในหนังบางเรื่อง ผมมองแล้วสยอง ไม่กล้ามองมันซ้ำสองอีก นึกในใจว่า เดียร์ ใช้ของแบบนี้ด้วยเหรอ หวังว่าเขาคงไม่ลองกับผมนะ แต่ถ้าจะลองขึ้นมาจริงๆ ผมก็ไม่รู้ว่าจะรับได้หรือเปล่า กับเซ็กส์วิตถารแบบนี้ ขออย่าให้เดียร์ลงโทษผมด้วยการทรมานผมด้วยวิธีการเช่นนี้เลย

ผมเดินเข้าไปหาตู้เสื้อผ้า เปิดประตูออกแล้วมองเข้าไปในนั้น ดูว่ามีเสื้ออะไรที่ผมพอจะใส่ได้บ้าง เสื้อผ้าในตู้บอกรสนิยมวิตถารของเจ้าของห้อง มีทั้งเสื้อซีทรู เสื้อหนังรัดรูป เสื้อผ้าขาดวิ่น และเสื้อสีสันฉูดฉาดบาดตา ผมมองชุดหนังที่มีสายร้อยไขว้ไปมา พลันรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงแส้ขยับควั่บควั่บแว่วมาตามอากาศ ผมต้องสั่นศีรษะพยายามลบภาพเดียร์ในชุดเสื้อหนังในมือถือแส้ สวมหน้ากากออกไปจากหัว คิดในแง่ดีว่าเจ้าหนูจอมลีลาของผม คงไม่แต่งตัวพิสดารแบบนี้

หลังจากเพียรพยายามเลือกหาเสื้อผ้าเพื่อมาสวมใส่ จนแทบจะถอดใจเมื่อเห็นเสื้อผ้าแต่ละชุด มีเพียงตัวเดียวที่พอจะใช้ได้ คือเสื้อฮาวายตัวโคร่ง ลายดอกไม้ เจ้าของเสื้อ น่าจะเป็นคนที่ตัวโตพอสมควร ไม่ใช่ไซส์ของเดียร์แน่นอน เพราะตัวใหญ่แบบคนล่ำบึ๊ก และตัวยาวมาก มันคลุมสะโพกของผมพอดี ผมได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจว่า ใครกันหนอคือเจ้าของเสื้อตัวนี้ เดียร์อาศัยอยู่กับใครกัน ช่วงเวลาที่ผมไม่ได้เจอเขา เด็กหนุ่มมีคนใหม่แล้วหรือไร ที่เขาไม่แตะต้องร่างเปลือยของผมที่เขาชอบมาตลอด อาจจะ เป็นเพราะเขาเจอผู้ชายที่เขารักมากกว่าผมแล้วก็ได้

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ความคิดนี้ ทำให้ผมไม่อยากแตะเสื้อผ้าตัวนั้น ผมไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับข้าวของของคนที่แย่งเดียร์ไปจากผม ไม่อยากเอาเสื้อของเขามาทาบทับตัวเอง ความรู้สึกรุ่มร้อนในใจมันบอกให้ผมรู้ว่า ผมกำลังเกิดความหึงหวงในตัวของเดียร์ ผมอิจฉาใครคนนั้นที่ได้มีโอกาสอยู่กับที่รักของผมในขณะที่เรากำลังมีปัญหากัน ถ้าสิ่งที่ผมคิดไว้เป็นเรื่องจริง ผมก็คงไม่มีวันได้เดียร์ของผมกลับคืนมาอีกแล้ว

ความริษยาที่อยู่ในใจ ทำให้ผมแขวนเสื้อกลับไว้ในตู้เหมือนเดิม แล้วเดินไปที่เตียง ล้มตัวลงนอนรอเดียร์ด้วยผ้าขนหนูพันกายผืนเดียว หลังจากนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่นาน เดียร์ก็ยังไม่มาสักที เหลือบดูเวลาที่นาฬิการูปทรงประหลาดตรงผนังห้อง ก็เห็นว่าเวลาได้ล่วงเลยกว่าสองชั่วโมงที่เขาสัญญากับผมไปแล้ว สงสัยเขาคงไม่มาหาผมแน่ๆ คงแกล้งกักขังผมไว้อย่างนี้ ยิ่งคิดผมก็ยิ่งน้อยใจ เลยหลับตาลง ไม่อยากตั้งตารอคอย ไม่อยากมองเห็นอะไรอีกแล้ว สักพักหนึ่งผมก็ผล็อยหลับลง

ตอนที่ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ผมก็เห็นเดียร์มานั่งมองผมอยู่ก่อนแล้วตรงเบาะนั่งบุหนัง เขาถือแส้ไว้ในมือ และฟาดกับต้นขาตัวเองเบาๆ ผมส่งยิ้มให้เดียร์แล้วรีบผลุดลุกขึ้นนั่ง เดียร์ไม่ยิ้มตอบ กลับนั่งทำหน้าเฉยเมย

“มานานแล้วเหรอ”

ผมถามเดียร์ พยายามยิ้มให้เขาอีก เด็กหนุ่มพยักหน้า ตายังคงจับจ้องผม ทำท่านิ่งๆ ไม่พูดอะไร ผมสบตาเขา หวังจะพบความคุ้นเคยเดิมๆในใบหน้านั้น แต่สิ่งที่มองเห็นคือความว่างเปล่าเฉยชา ไม่มีรอยยิ้ม เขาทำราวกับว่าเราสองคนไม่เคยรู้จักกัน

“ทำไมไม่ใส่เสื้อผ้า มานอนในสภาพแบบนี้ ถูกแอร์เย็นๆ เดี๋ยวก็ปอดบวมตายหรอก”

เขาพูดเสียงห้วน แต่ถึงกระนั้น ผมก็ยังสามารถรับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่เขามีต่อผม มันทำให้ใจมาเป็นกอง เริ่มเห็นความหวังลางๆที่เราจะได้กลับมาคืนดีกัน

“ในตู้นั้นน่ะ ไม่มีเสื้อผ้าตัวไหนที่จะใส่ได้เลย เสื้อผ้าชุดที่ฉันใส่มา ก็ไม่รู้ว่ามันหายไปไหน นายหยิบของฉันไปหรือเปล่า”

“ผมเอาไปซัก คุณจะได้มีใส่กลับบ้าน ตอนที่เราตกลงกันเรียบร้อยแล้ว”

“ตกลงเรื่องอะไร”

ผมเกิดโง่ขึ้นมากระทันหัน ทั้งๆที่จริงๆแล้วผมอยากให้เราทำความเข้าใจกันใหม่ ผมยินดีปฏิบัติตามสัญญาที่เราเคยตกลงกันไว้ แต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขากำลังจะพูดอยู่ มันจะเกี่ยวข้องกับเรื่องเดิมหรือเปล่า

“ผมว่าคุณฉลาดพอที่จะรู้ว่าผมพูดถึงอะไร เมื่อกี้คุณก็เห็นว่าผมถ่ายรูปตอนคุณเปลือยเอาไว้ แล้วคุณก็เดาถูกด้วยว่าผมจะแบล็คเมล์คุณ คุณยังบอกอีกว่า ยินดีที่จะทำทุกอย่างที่ต้องการเพื่อชดใช้ความผิด สิ่งที่คุณเข้าใจทั้งหมดนั่นคือสิ่งที่ผมกำลังจะพูดกับคุณตอนนี้”
เด็กหนุ่มพูดอย่างเป็นทางการกับผม ใบหน้าเขาเฉยเมย จนผมรู้สึกขัดใจ แล้วไหนจะวิธีการเรียกของเขาอีก ก่อนนี้เขาเรียกชื่อผมมาตลอด คราวนี้เปลี่ยนมาเรียกแทนชื่อผมว่า “คุณ” มันทำให้เราสองคนดูห่างเหินกันเหลือเกิน เดียร์หยิบกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาให้ผม 1 ชุด และอีก 1 ชุดสำหรับตัวเอง ผมมองหน้าเขาอย่างงงงัน

“อะไรหรือเดียร์......”

“สัญญาไงครับ แต่เป็นสัญญาฉบับใหม่ระหว่างเรา คุณจะอ่านเองหรือจะให้ผมอ่าน สัญญาฉบับนี้ จะทดแทนที่สัญญาฉบับเดิมที่คุณทำลายมันลงไปด้วยการผิดสัญญาของคุณเอง หากคุณตั้งใจจริงที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ผมหายโกรธ ก็เชิญเซ็นต์เพื่อให้สัญญามันสมบูรณ์ จะได้จบเรื่องกันไปเสียที”

ผมรับมาอ่าน แล้วไล่สายตาไปตามตัวอักษรที่เขาพิมพ์ไว้ หัวใจเริ่มพองโตเมื่อเห็นสิ่งที่เขานำมาให้ มันคือสัญญาการเป็นแฟนกัน แสดงว่าเขายังอยากจะเป็นคนรักกับผมต่อ เขาแค่โกรธผม แต่เขายังคงรักผมอยู่ แล้วนี่ เขาก็มาทวงสัญญากลับคืน ที่เขาหายไปสองชั่วโมงกว่า เพราะไปพิมพ์สัญญาฉบับนี้มาหรือเปล่านะ มีสิ่งที่ผมสงสัยคือทำไมต้องทำฉบับใหม่ขึ้นมาด้วยนะ ในเมื่อฉบับเก่าก็ยังคงใช้ได้อยู่ และผมก็ยังไม่ได้ฉีกทิ้งด้วย ยังคงเก็บไว้อย่างดี

“สัญญาเป็นแฟนกันฉบับที่สอง._?????”

“ใช่ เพราะว่าข้อตกลงที่เรามีต่อกันมันยังไม่สิ้นสุด คราวนี้คุณต้องชดใช้ให้กับผม ที่ต้องทำเป็นสัญญากัน ก็เพราะว่าผมไม่อาจเชื่อใจคุณได้อีกแล้ว คราวก่อนคุณยังทำผิดเฉยเลย แอบไปมีคนอื่นๆ ทำให้ผมเข้าใจผิด หากเราตกลงกันแค่เพียงวาจา แล้วคุณไม่ทำตามนั้น ผมก็แย่สิ คราวนี้ผมยังอยากจะให้มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรเหมือนเดิม พราะว่าหากคุณทำผิด คุณก็จะสร้างความน่าเชื่อถือกับใครไม่ได้อีกแล้ว ผมจะได้ไม่ต้องเกรงใจคุณ สามารถที่จะเอารูปของคุณไปเผยแพร่ และคุณก็จะทำอะไรผมไม่ได้ เพราะมีสัญญากันชัดเจน”

เดียร์ยังคงความเป็นคนเจ้าเล่ห์เหมือนที่เคยเป็น แต่คราวนี้มันแฝงมาด้วยความหวาดระแวง ผมไม่ได้โกรธที่เขาพูดกับผมแบบนั้น เพราะรู้ดีว่าผมได้ทำผิดกับเขามากจริงๆ

“แต่แหม สัญญาฉบับเก่ามันก็ยังคงใช้ได้นี่นา ทำไมต้องมีการทำสัญญาฉบับใหม่ด้วยล่ะ ฉันยินดีต่อเวลาชดเชยในช่วงที่ขาดหายไปด้วย”

ผมถามเขาด้วยความไม่เข้าใจอยู่ดี ถ้าเขาจะต่อเวลา ผมก็จะให้ แล้วเขายังอยากได้อะไรจากผมอีก เดียร์มองหน้าผม สีหน้าของเขาลดความบึ้งตึงลงไปแล้ว ผมเห็นประกายอ่อนโยนอยู่ในดวงตาคู่สวยของเขา คำพูดที่ใช้แทนชื่อผมเปลี่ยนจากคุณ เป็น “เรียว” แล้ว

“ก็ผมไม่ได้อยากเป็นแฟนเรียวไปแค่ 6 เดือนนี่นา ของเก่าอ่ะเราทำสัญญาเป็นแฟนกันแค่ช่วงหนึ่ง แล้วพอครบกำหนดสัญญา เราก็ต้องลาจากกัน โดยไม่มายุ่งเกี่ยวกันอีก แต่ยังไม่ทันไรเลยเรียวก็มาทำร้ายผม ทรยศผมเสียก่อน แม้จะบอกว่าทำไปเพราะรักผมก็ตาม แล้วเพื่อนคุณก็เอาสัญญาของเราฉบับก่อนมาขอให้ผมเลิกกับคุณอีก นั่นก็สร้างความเข้าใจผิด ทำให้ผมคิดมาก ถ้าคุณไม่ให้เขาดู เขาจะเอามาได้ไง ดังนั้นสัญญาฉบับเดิมจึงถือว่าโมฆะ เพราะฉะนั้น เราจะตกลงกันโดยใช้สัญญาฉบับเก่ามายืดเวลาออกไปไม่ได้ เรียวจะว่าไงครับ”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

“งั้นเป็นสัก 10 ปีได้ไหม”

ผมยื่นข้อเสนอให้เขา ไม่แน่ใจว่าจะเพียงพอหรือไม่กับความต้องการของเดียร์ แล้วก็ไม่แน่ใจว่าความสัมพันธ์ของผมกับเขาจะยืนยาวไปถึงนั้นได้หรือเปล่า ผมรักเขา อยากอยู่กับเขาก็จริง แต่เดียร์ล่ะ เขาจะต้องการอยู่กับผมไปตลอดแบบเดิมไหม เขาอายุน้อยกว่าผม อาจจะไปเจอใครสักคนที่ดีกว่า และอายุน้อยกว่าก็ได้ ถึงตอนนั้นผมจะทำอย่างไร ผมยอมได้ทุกอย่างถ้าแลกกับการได้อยู่กับหมอนี่ แต่เขาล่ะ ความรักที่เขามีให้ผม มันยังเต็มร้อยเหมือนเดิมหรือไม่ ผมยังสงสัย

ดวงตาของเดียร์ที่มองจ้องผมกลับมา เปล่งประกายวาววับ อยู่ๆเขาก็หงายหน้าหัวเราะ ราวกับได้ฟังเรื่องที่น่าขำเสียเต็มประดา

“10 ปีเหรอ น้อยไปหรือเปล่า พวกเกย์บางคนที่มีรักแท้ ไม่ได้คบกันอย่างฉาบฉวย เดี๋ยวรักเดี๋ยวเลิก เขาครองคู่กันมากกว่า 10 ปี บางคนอยู่ด้วยกันตลอดทั้งชีวิต แบบคู่ผัวเดียวเมียเดียวด้วย เรียวให้เวลามาแค่นี้ เท่ากับไม่เชื่อถือในตัวผมหรือไง ดูถูกกันอีกแล้วนะ”

เดียร์พูดจบก็ทำหน้าง้ำ ผมลอบยิ้มเมื่อเห็นท่าทางงอแงนั่น รู้สึกว่าบรรยากาศเก่าๆกลับคืนมาแล้ว พ่อหนุ่มของผมกำลังพยายามที่จะให้ได้สิทธิ์ในการครอบครองตัวผมยาวนานกว่านั้น ผมแอบยิ้มอย่างปลื้มอกปลื้มใจที่ตัวเองยังคงเป็นที่ต้องการของเขาอยู่

“ฉันก็ให้เวลา ตามที่คิดว่านายจะสามารถใช้ชีวิตอยู่กับฉันได้ ขอโทษทีนะ ถ้าการพูดของฉันจะเป็นการดูถูกความรู้สึกของนาย ว่าแต่ นายต้องการให้สัญญาของเราดำเนินไปถึงเมื่อไหร่ล่ะ”

นี่ผมเปิดทางให้แล้วนะ ถ้าเขาไม่เห็นสะพานที่ผมทอดให้ ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว

“ตลอดชีวิต ผมเขียนไว้ในสัญญาแล้ว เรียวควรจะอ่านดูให้ดีเสียก่อน พอไม่อ่านแล้วก็เลยไม่รู้ว่าผมเขียนว่ายังไง คงกำลังคิดอยู่ละสิ ว่าผมเขียนสัญญาโดยใส่เวลาลงไปเล่นๆ ผมเขียนไปแบบนั้น เพราะคิดดีแล้วว่าผมทำได้ เพราะฉะนั้นอย่ามาดูถูกกัน ผมอุตส่าห์ลงทุนตั้งมากมาย ทำถึงขนาดนี้เสี่ยงคุกเสี่ยงตะราง ก็หวังว่า จะได้เป็นแฟนคุณนานๆ แต่เรียวกลับจะมาขอให้ผมเป็นแฟนคุณแค่10 ปี สู้ผมเอาวิดิโอที่ถ่ายไว้ ไปทำวิดิโอคลิป โพสต์ลงในเนต แล้วยอมให้เรียวเรียกตำรวจมาเอาผมเข้าคุกให้รู้แล้วรู้รอดไปดีกว่า ไหนๆก็ไม่ได้เป็นแฟนคุณแล้ว คนอื่นก็อย่าเป็นเลย”

เด็กหนุ่มพูดเสียงเข้ม ทำหน้าตาเหี้ยมๆใส่ผม แต่ผมกลับเริ่มรู้สึกผ่อนคลายไม่เกร็งเหมือนทีแรก นั่นเป็นเพราะเดียร์พูดประโยคเดิมๆแบบที่เคยพูดตอนที่จับผมมาครั้งก่อน ถึงแม้จะพูดด้วยเสียงพาลๆ แต่ผมก็รู้ว่าเด็กหนุ่มไม่มีทางทำร้ายผมแน่ ในส่วนลึกผมคิดว่าเดียร์ยังคงรักผมอยู่บ้าง เพียงแต่ตอนนี้เขาอยากแก้แค้นผมที่ทำให้เขาเสียใจ ส่วนตัวผมนั้นไม่ต้องมีใครมาถามผมก็ตอบตัวเองได้ว่าผมรักเดียร์จนหมดหัวใจแล้ว การทำสัญญาใหม่เป็นแฟนกันไปตลอดชีวิต ก็คงจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาอะไรมั้ง ผมเชื่อมั่นว่าระหว่างที่เดียร์ยังรักผมอยู่ เขาก็คงทำให้ผมมีความสุขได้ เรื่องอื่นๆค่อยมาคิดกันอีกที

“ก็ได้ เดียร์...ฉันยอมเป็นแฟนกับนายตลอดชีวิตเลย แต่หากว่า ถ้านายเบื่อฉันเมื่อไหร่ แล้วอยากจะไปมีคนอื่น นายก็สามารถหันหลังให้ฉันได้ แล้วฉันก็จะไม่ติดใจเอาความนายด้วย”

“แหม ใจร้ายจัง ยังไม่ทันเริ่มสัญญาใหม่ ก็จะบอกให้ทิ้งกันเลยเหรอ ใจคอจะสิ้นเยื่อขาดใยกันไปเลยหรือไง”

เขาทำเสียงโกรธๆใส่ผม

“เปล่า ฉันเพียงแต่ให้โอกาสนายเท่านั้น ไม่อยากผูกมัดนายด้วยสัญญาของการเป็นแฟนกัน เผื่อตอนหลังนายอาจจะอยากเลิกสัญญาเพราะไปเจอคนอื่นที่ดีกว่าฉันไง”

ผมพยายามอธิบาย

“ดูถูกกันอีกแล้ว อย่ามาเดาเลย เอาไว้ให้ผมตัดสินใจเองเถอะว่าผมจะชอบคุณตลอดไปดีหรือเปล่า เรียวแค่ปฏิบัติตามสัญญาอย่ามาบิดพลิ้วก็พอ”

เด็กหนุ่มยังคงทำหน้าบึ้งตึงใส่ผม ดูเหมือนเขาพยายามสร้างอารมณ์โกรธอยู่ เหมือนกลัวว่าตัวเองจะอ่อนแอให้ผมเห็น แต่ผมก็รู้ว่าเขาใจอ่อนให้ผมมากแล้ว คงเป็นเพราะผมยอมทำตามสัญญาของเขา และอาจจะเป็นเพราะว่าเขายังคงรักผมอยู่ เขายังไม่เปลี่ยนใจไปหาคนอื่น

“ยังมีเงื่อนไขอื่นๆอีกที่เรียวกับผมต้องมาตกลงกันใหม่อีกครั้ง”

“อะไรอีกหรือเดียร์”

ผมถามเขา ไม่ได้รู้สึกขัดใจอะไร รู้ดีว่านี่เป็นรอบเอาคืนของเดียร์ ซึ่งผมก็ปล่อยให้เขาเสนอมาอย่างที่เขาต้องการ

“เพื่อความสงบสุขในระหว่างที่เราเป็นแฟนกัน ผมกับเรียวจำเป็นที่จะต้องมีข้อตกลงบางอย่าง หากทำไม่ได้ ก็ถือว่า สัญญาการเป็นแฟนเราเป็นอันโมฆะ แล้วผมจะไม่ยกโทษให้กับเรียวอีกเลย จะไม่มาหา จะไม่มาให้เห็นหน้าตลอดชีวิต”

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่54 26/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 26-03-2009 14:16:59
ถึงจะรู้ว่าเดียร์ขู่ผม แต่ผมก็ไม่ยักจะนึกโกรธเขา ก็ดูคำขู่ของเขาสิ ขู่ว่าจะไม่มาหา ไม่มาเห็นหน้าตลอดชีวิต นอกจากทำร้ายผมแล้ว ก็ทำแล้วตัวเขาเหมือนกันแหละน่า ผมดูออกนะ ว่าเขาเองก็ยังรักผมอยู่ไม่เสื่อมคลาย ถ้าเป็นเมื่อก่อนนี้ผมคงจะดีใจที่ได้ยินคำพูดแบบนี้จากปากเดียร์ จำได้ว่าผมเคยเสนอเงื่อนไขต่อรองมากมาย เพียงเพื่อให้เดียร์ท้อใจเลิกเป็นแฟนกับผม แต่ ณ ตอนนี้ ผมไม่อยากให้เขาจากไปไหน แล้วผมก็รู้ว่า เดียร์เองก็ไม่อยากจากผมไปไหนเหมือนกัน คำขู่ตลกๆนั่น ยกขึ้นมาอ้าง เพื่อให้ผมทำตามเขาเท่านั้นเอง

“ว่ามาเลยครับ”

ผมบอกเขาไปอย่างอารมณ์ดี ตอนนี้ หัวใจของผมมันพร่ำบอกแต่ว่า ผมรักเดียร์ อยากอยู่กับเขา สัญญาที่ว่านั้น มันคงไม่เกินกว่าความสามารถที่ผมจะปฏิบัติได้

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

“ข้อแรก เราจะเป็นแฟนกันไปตลอดทั้งชีวิต ในช่วงระหว่างที่เราสองคนเป็นแฟนกัน ห้ามเรียวคบกับคนอื่น นอกเหนือจากผม ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย นะครับ”

ผมมองเขาด้วยความหมั่นไส้ เพียงแต่คราวนี้มันเกิดจากความรู้สึกที่ว่า เจ้าเด็กบ้านี่ มองไม่ออกหรือไง ที่ผมอ่อนข้อให้เขา ยอมให้ขู่เอาขู่เอาแบบนี้ ก็เพราะความรักที่มีให้กับเด็กหนุ่มจนเปี่ยมล้นหัวใจ ใครจะไปมีคนอื่นได้อย่างรวดเร็วกันล่ะ ก็ผมน่ะเพิ่งเริ่มรู้ตัวว่าหลงรักเกย์เข้าเต็มเปา ยอมที่จะมีความสัมพันธ์ในลักษณะผิดปกติกับเขาเพียงแค่คนเดียว แล้วผมก็หวังว่าเจ้าหมอนี่คงไม่มีวันปล่อยผมไปชอบกับใครง่ายๆในระหว่างนี้แน่ ผมพยักหน้าตกลงด้วยความรู้สึกขบขันที่เขาแสดงอาการขู่ใส่ผม เพื่อให้เรื่องราวมันจบลงโดยไว เด็กหนุ่มยิ้มอย่างพอใจที่ผมยอมรับปาก

“ข้อสอง”

เขาพูดต่อ

“ผมสามารถที่จะล่วงเกิน แตะเนื้อต้องตัว หรือปล้ำเรียวก็ได้ เพราะเราเป็นแฟนกันแล้ว เรียวต้องยอมผมโดยไม่มีข้อขัดขืน…..”

“อ๊า ๆๆๆๆๆๆ ไม่อาว ข้อนี้ มันเกินไปหน่อย เดี๋ยวนายเกิดอยากปล้ำฉันตลอดเวลา ไม่เลือกสถานที่ฉันจะทำยังไงล่ะ ฉันยอมตกลงด้วยไม่ได้หรอก”

ผมแกล้งแย้งเขาเสียงหลง ไม่รอให้เดียร์พูดจนจบ

“เป็นแฟนกัน ก็ต้องกอดต้องจูบ ต้องมีอะไรกันบ้างสิ ไม่งั้นจะไปเป็นแฟนกันทำไม อยู่ใกล้เรียวบ่อยๆ ผมจะไปทนอดใจได้ที่ไหน นี่กะจะให้ผมขาดใจตายเลยเหรอ มีช่องให้ผมได้แตะเนื้อแตะตัวคุณบ้างสิ ไม่ปล้ำก็ได้ แต่ขอใช้มือใช้ปากได้ไหม”

เดียร์ทำท่าทางเหมือนเด็กเกเร งอแงเหมือนเดิม โดยลืมนึกไปว่ากำลังปั้นหน้าเก๊กขู่ผมอยู่ ผมแอบหัวเราะในใจ ขำในความเอาแต่ใจตนเองของเจ้าเด็กบ้านี่ เมื่อกี้ทำเป็นโกรธ ทำหน้าดุใส่ผม ทำเหมือนไม่ใส่ใจใยดี เล่นเอาผมคิดมาก วุ่นวายใจว่าเขายังรักผมเหมือนเดิมหรือเปล่า แต่เมื่อเห็นอากัปกริยางอแง แบบนี้ ผมก็รู้แล้วว่าเดียร์ยังรักผมเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน

แล้วดูสิ เจ้าเด็กนี่จะสร้างความลำบากใจให้ผมไปถึงไหนกันนะ สิ่งที่ผมแย้ง มันก็ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงอะไร มันเป็นสิ่งที่สมควรทำด้วยซ้ำ ผมไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าจะไม่ให้เขาแตะเนื้อต้องตัว ไม่ให้เรามีอะไรกัน สิ่งที่ผมพูดนั้น มันหมายความว่า ผมไม่อยากให้เขาทำบ่อยๆจนเบื่อผมต่างหาก ใครจะยอมให้เด็กนั่น มาแตะเนื้อต้องตัวผมได้ตลอดเวลา รู้พิษสงกันดีอยู่ ว่าเขาสามารถทำให้ผมเกิดอารมณ์ได้ขนาดไหน ผมกลัวว่าถ้าผมปล่อยให้เขากอดจูบลูบคลำลวนลามผมได้ตามอำเภอใจ นานวันเข้า เขาอาจจะเห็นว่าผมเป็นของตาย ไม่น่าตื่นเต้นสำหรับเขาอีกต่อไป แล้วเขาก็ไม่อยากจะแตะต้องผมอีก เขาอาจจะอยากไปมีคนอื่นๆ ซึ่งผมจะไม่มีวันยอมให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นแน่ ผมรักเขาอยากให้เดียร์อยู่กับผมนานๆ แม้ปากจะบอกว่า ถ้าเขามีใครอื่น ก็สามารถไปได้ แต่ในความจริงแล้ว ผมไม่ได้ต้องการอย่างนั้นเลยแม้แต่น้อย


“พูดกันอย่างผู้ใหญ่สิครับเรียว นี่คือข้อตกลงหนึ่งของการจะเป็นแฟนกัน เราจะอยู่กันอย่างมีความสุขได้ไง หากเรียวไม่ยอมให้ผมแตะต้องเรียวบ้างเลย ก็รู้กันอยู่ว่าผมบังคับฝืนใจไม่ไห้แตะต้องคุณไม่ได้ ถ้าหากผมมีอารมณ์ขึ้นมา แต่เรียวเกิดไม่ยอม จะให้ผมไปลงกับผู้ชายคนอื่นๆหรือยังไง เรียวอยากให้ผมทำแบบนี้หรือ ผมเป็นแฟนกับเรียว ผมก็อยากจะทำกับเรียวคนเดียว ผมไม่อยากทำกับคนอื่น แต่ถ้าหากเรียวยังขืนหวงตัว ผมจะเพิ่มลงไปในข้อสัญญาว่า “เราสามารถจะไปยุ่งกับคนอื่นก็ได้ ถ้าแฟนของเราไม่ยอมให้มีอะไรด้วย” เรียวอยากให้ผมเพิ่มข้อความนี้ไปด้วยไหมล่ะครับ”

เด็กหนุ่มทำหน้าไม่พอใจ เหมือนเด็กที่ไม่ได้ของเล่นที่ตนเองต้องการ แต่แล้วเขาก็ยิ้มร่า ดวงตาเป็นประกาย คงนึกอะไรเด็ดๆที่จะโต้ตอบผมได้กระมัง

“งั้นใส่ข้อความเพิ่มเติมลงไปตรงนี้เลยนะครับ แล้วข้อนี้ก็จะไม่ขัดแย้งกับข้อแรกด้วย ผมน่ะอยากมีอะไรกับเรียว แต่ถ้าเรียวไม่ต้องการ ก็จะต้องมีเงื่อนไขให้ผมเปิดทางไปมีอะไรกับคนอื่นได้ด้วย โดยที่เรียวห้ามหึงหวง หรือต่อว่าอะไรทั้งนั้น แล้วก็ไม่ถือเป็นการผิดสัญญา แต่ข้อนี้ ให้เฉพาะผมทำได้คนเดียว เรียวห้ามทำ สำหรับคุณต้องยึดตามข้อที่หนึ่งเท่านั้น ว่าไงครับเอาตามนี้ไหม ผมจะเขียนลงไปในสัญญานะ”

“อ๊ะ ฟังดูเหมือนไม่ค่อยยุติธรรมสักเท่าไหร่เลย”

ผมแสร้งทำเป็นอุทธรณ์ แต่ในใจกลับหัวเราะความเกเรของเด็กหนุ่ม พอถูกขัดใจเข้าหน่อยก็พยายามจะอ้างเหตุผลประกอบแบบข้างๆคูๆ แล้วก็มาขู่ฟ่อดๆ แต่ถึงกระนั้นผมก็รู้แล้วว่า ที่เขาเรียกร้องเพราะอยากจะแตะต้องผม แค่นี้ผมก็สุขใจแล้ว

“ถ้าอย่างนั้นเรียวก็ต้องยินยอมให้ผมมีอะไรกับเรียวได้นะครับ อันที่จริงอ่ะ เรียวก็ไม่ควรจะหวงตัวกับผมนะ ผมน่ะมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับเรียวตั้งหลายครั้งแล้ว ดังนั้น เราจึงไม่ใช่คนอื่นคนไกลกัน การที่ผมมีอะไรกับเรียวบ่อยๆ เราจะได้ยิ่งผูกพันธ์แน่นแฟ้นขึ้น จะมีผลดีต่อชีวิตคู่ของเราด้วย”

เด็กหนุ่มทำน้ำเสียงจริงจัง ผมมองท่าทางขึงขังนั้นแล้วนึกขำจนต้องหัวเราะดังๆออกมา เดียร์ทำหน้าเหรอหรา ที่อยู่ๆผมก็หัวเราะ เขามองผมตาขวาง แล้วก็ทำเป็นเก๊กหน้าเข้มขึ้นมาอีก

“ตกลงตามนี้ใช่ไหมครับเรียว ผมจริงจังนะ อย่ามาเห็นว่าเป็นเรื่องตลก”

เขาถามย้ำทำหน้าดุใส่ผม ดวงตาจ้องเขม็งจนผมต้องหยุดหัวเราะแล้วพยักหน้า นึกในใจว่า เดียร์จะให้ข้อตกลงเป็นอย่างนั้นก็ได้ อันที่จริงไม่ต้องทำเป็นสัญญา ร่างกายของผมก็พร้อมจะเป็นของเขาอยู่แล้ว มันเปิดรับเดียร์เข้ามา ตั้งแต่ก่อนหน้าวันที่ผมจะแน่แก่ใจตัวเองว่าเดียร์มีความสำคัญกับผมมากมายเพียงไร ดีเสียอีกยิ่งเดียร์อยู่ใกล้ชิดผมมากเท่าไหร่ เขาก็จะไม่มีวันทิ้งผมไปได้ ผมยิ้มกว้างให้เขา นึกหมายมั่นปั้นมือว่าผมจะต้องทำให้เดียร์กลับมารักผมอย่างเดิม ต่อจากนี้ไปผมจะไม่มีวันปล่อยให้เดียร์หลุดมือผมไปไหนได้อีกแล้ว ถึงแม้ผมจะถูกเขาลวนลามทุกวัน แต่ผมก็ตัดสินใจว่า ผมจะใช้ประสบการณ์ที่เคยมีอยู่ทำให้เขาไม่ยอมเปลี่ยนใจจากผม

“งั้นก็ตกลงตามนี้นะ ห้ามเบี้ยวด้วย”

เขาพูดย้ำ ผมพยักหน้าอีกครั้งเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเขา

“แต่นายห้ามก่ออาชญากรรม ห้ามทำร้ายร่างกายฉัน ห้ามจับฉันไปมัด ห้ามกังขังหน่วงเหนี่ยว หรือทำอะไรให้อับอายขายหน้า อย่างเช่น แอบถ่ายรูปฉันแบบนี้อีกนะ”

เด็กหนุ่มยิ้ม เมื่อผมยื่นข้อตกลงเดิมที่เคยให้เขาทำตามตั้งแต่ครั้งแรก เดียร์พยักหน้าเป็นการยินยอม จากนั้นก็ทำเป็นบึ้งตึงเหมือนเดิม

“เรียวจะยังคงมีอิสระในการไปไหนมาไหนได้ดังเดิม แต่ต้องบอกให้ผมรู้นะครับว่าจะไปไหน หรือทำอะไร ผมจะได้ไม่ต้องห่วง หรือไม่ต้องคอยตามหวง ไม่ต้องคิดมาก หรือคาดเดาเอาเองคนเดียว แล้วหากมีอะไรต้องบอก ห้ามปิดบังด้วย จะได้แก้ไขได้ทัน”

ที่จริงยังคงหวงผมอยู่เหมือนเดิมใช่ไหมล่ะ ผมแอบนึกในใจ แต่ทำเป็นเก๊ก ท่ามาก เวลาทำมาดเข้ม ก็ดูน่ารักไปอีกแบบ ผมคงต้องเล่นตามน้ำไปเรื่อยๆแหละ ทำเป็นรู้ไม่เท่าทันเขา ทั้งๆที่ใจจริงอยากจะพูดกับเดียร์ว่า โถพ่อหนุ่มน้อย ถ้าไม่มัวแต่ทำเป็นเคร่งเครียด แล้วก็มองหน้าผมสักนิด ก็จะรู้ว่าผมน่ะ ยอมตั้งแต่ข้อแรกแล้ว

“ผมจะไม่โทรตาม หรือคอยเช็คว่าเรียวจะไปไหน ทำอะไรกับใครนะครับ เพราะมันจะเป็นการไม่ให้เกียรติกัน ผมเชื่อใจในตัวของเรียวว่า จะไม่ทำเรื่องไม่ดีไม่งาม แต่ผมอาจจะโทรมาหาเรียวบ้าง เวลาที่ผมคิดถึงนะครับ”

“อ๊า ทำไมเยอะจัง ขอจดรายละเอียดก่อนได้ไหม”

ผมแสร้งทำเป็นร้องโวยวายเมื่อเขาพูดมาถึงตรงนี้ เลียนแบบคำพูดของเขาตอนที่พูดกับผมยามที่ผมยื่นข้อเสนอเยอะแยะให้ยอมรับ น่าแปลกที่ผมจำเหตุการณ์ตอนนั้นได้ ทั้งๆที่ตัวเองเป็นฝ่ายเสียเปรียบแท้ๆ เดียร์เองก็ยิ้มเขินๆ คงจะจำได้เหมือนกัน

“ไม่ต้องหรอกครับ ผมพิมพ์ไว้ในสัญญานั้นแล้ว อ่านดูก็ได้”

ผมเหลือบดูข้อความในสัญญาที่เขียนไว้ยาวเหยียดนั้นอย่างผ่านๆ ขี้เกียจอ่าน เพราะมันมีรายละเอียดเยอะมาก ถึงอย่างไรสัญญานี้ก็ไม่มีความหมายกับผมเท่าไหร่ ผมพร้อมที่จะมีสัญญาใจกับเดียร์มากกว่า

“นายไม่ต้องโทรหาฉันเพราะความคิดถึงหรอก ไปหาฉันที่บ้านทุกวันแล้วกัน บางทีโทรมา ฉันอาจจะยุ่งอยู่ เ พราะมัวแต่ทำโน่นทำนี่ก็ได้นะ”

“อ๊ะ จริงหรือครับ ให้ผมไปหาทุกวันได้ด้วยเหรอ”

คิ้วที่ขมวดมุ่นกับหน้าที่เคร่งเครียดเมื่อครู่คลายออก เปลี่ยนเป็นร่าเริงแจ่มใสทันที

“ถ้านายทำตัวดีๆ ฉันอาจจะให้นายย้ายมาอยู่ด้วยที่บ้านก็ได้ ตลอดเวลาที่เราเป็นแฟนกัน”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ผมยื่นข้อเสนอให้เขาแบบหยั่งเชิง อยากรู้ว่าเขาจะทำท่ายังไง นี่ผมแบไต๋ออกไปจนเกือบหมดแล้วนะเนี่ย ถ้ายังไม่รู้ว่าผมมีใจให้แค่ไหน ก็บื้อเต็มทนแล้ว เดียร์ทำตาโตใส่ผม เหมือนแปลกใจกับสิ่งที่ได้ยิน จากนั้นก็ฉีกยิ้มแทบจะถึงใบหู ดวงตาเป็นประกายแวววาว

“จริงหรือเปล่า ให้ผมอยู่ได้ด้วยเหรอ อย่าโกหกกันนะ ให้ผมอยู่ด้วยกันที่บ้านนั้นตลอดระยะเวลาที่เป็นแฟนกันใช่ไหม พูดแล้วห้ามกลับคำด้วย เอางี้ ผมเขียนไว้ในสัญญาด้วยดีกว่า เผื่อว่าเรียวจะเปลี่ยนใจ”

เด็กหนุ่มทำท่ากระตือรือร้น เขาเขียนข้อความต่อท้ายลงไปในกระดาษ เขียนเสร็จก็เงยหน้ามายิ้มแป้นให้กับผม พอเห็นผมยิ้มให้ เขาก็ชะงักไปนิดหนึ่ง แล้วก็ปั้นหน้าโหดๆใส่

“แล้วเรียวต้องไปออกไปเที่ยวกับผมบ้าง อย่างน้อยก็เดือนละ 2 ครั้ง ถ้าตกลงว่าจะไปแล้วก็ต้องปฏิบัติตามสัญญา อย่ารับปากแล้วทำไม่ได้”

“คร้าบบบบบ”

ผมลากเสียงยานคางล้อเลียนเขา

“ผมสัญญาว่าจะไม่พาใครเข้ามาบ้าน ยกเว้นว่าเรียวจะอนุญาต หรือเชิญมา เรียวก็ต้องทำแบบนั้นเหมือนกันนะ ห้ามไม่ให้โครเข้าบ้านเรียวทั้งนั้นนอกจากผมนะ ผมรู้ว่าผมคงห้ามเรียวไม่ได้ เพราะเป็นบ้านของคุณ คุณอาจจะมีญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงมาหา แต่ที่ผมขอนี้ ผมขอเพื่อความเป็นส่วนตัวของเราสองคน ผมอยากจะอยู่กับคุณตามลำพัง ไม่อยากให้มีใครอื่นมาอยู่ด้วย ผมรู้ว่าผมขอมากเกินไป แต่ผมก็อยากจะให้มันเป็นสถานที่อันแสนสุขของเราจริงๆน่ะครับ”

เขาส่งสายตาขอร้องแกมบังคับด้วยคำพูดเดิม ประโยคเดิมที่เขาเคยขอผมไว้ตั้งแต่แรก ในคราวก่อน ผมได้ให้คนอื่นเข้ามาบ้าน เพราะถือว่าตัวเองเป็นเจ้าของสถานที่ แต่ผมก็เผลอเรอให้พวกเขาจับผิดจนเกิดเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา คราวนี้ถึงเดียร์ไม่ห้าม ผมก็คิดว่าต้องระมัดระวังอย่างเต็มที่

“ก็ได้ ฉันจะไม่พาใครมาที่บ้านทั้งนั้น แต่ถ้าจะพามาจะบอกนายก่อน จะได้เตรียมตัวได้ถูก อย่างนี้พอใจไหม”

“ครับ”

เด็กหนุ่มพยักหน้าหงึกหงัก ตาจับจ้องมองที่กระดาษ แล้วอ่านข้อความสัญญาข้อต่อไป

“ผมสามารถที่จะแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของเรียว แตะเนื้อต้องตัวกันได้ในที่สาธารณะ จูงมือ คล้องแขน โอบไหล่ กอด หรือจูบ ต่อหน้าคนอื่นๆได้

“..”

“อย่าทำเป็นเงียบสิ.......ใจคอจะไม่ให้ผมอวดคุณกับคนอื่นๆเลยหรือไง ก่อนหน้านั้นก็หวงตัว แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว คุณเป็นของผมแล้ว เวลาไปไหนด้วยกัน ก็ต้องมีจูงมือจูงไม้กันได้บ้าง ห้ามมาหวงตัวอีกต่อไป เข้าใจไหมครับ "
“ก็ไม่ได้ว่าอะไร กำลังคิดอยู่ว่า ถ้าแตะเนื้อต้องตัวในที่สาธารณะมากเกินไป มันจะไม่ดี คนมันจะว่าเอาได้....”

ผมพยายามอธิบายเหตุผล ไม่ได้นึกโกรธอะไรเขา ยิ่งรู้สึกดีขึ้นไปอีกที่เดียร์อยากใกล้ชิดผมถึงขนาดนั้น ดูเหมือนว่าตอนนี้เจ้าหัวใจของผม จะขาดความระมัดระวังตัวขึ้นไปเรื่อยๆ เลิกเก็กแล้ว เป็นโอกาสดีที่ผมจะทำให้เขาหายโกรธผม

“ก็ได้ ผมจะเขียนไปว่า ผมจะจับต้องตัวคุณในที่สาธารณะตามความเหมาะสม เพื่อให้คุณไม่ต้องอับอายใคร แต่ในที่ลับตาคนแล้ว ผมสามารถทำได้ทุกอย่างเลย”

ดูสิ ข้อตกลงที่เขียนขึ้นมาโดยคนที่เอาแต่ใจตัวเอง ใครได้เปรียบกันละนี่ ถ้าไม่ใช่เขา

“หมดแล้วหรือยังนะ ข้อปฏิบัติที่จะต้องทำระหว่างการเป็นแฟนกัน”

ผมถามเดียร์ยิ้มๆ พยายามใจเย็นกับเด็กหนุ่ม ไม่อยากใจร้อน ทั้งที่อยากจะคว้าตัวเขามากอดใจแทบขาดให้สมกับความคิดถึง อยากจะร่วมรักกับเขาอีกครั้งด้วยความรู้สึกว่าเราสองคนรักกันจริงๆ เดียร์เองก็ไม่สังเกตอะไรบ้างเลย พูดนั่นพูดนี่อยู่ได้ สัญญานี่ก็ไม่เห็นจำเป็นสักหน่อย ทำไมต้องเขียนอะไรให้วุ่นวายมากก็ไม่รู้

“มีอีก”

“ทำไมมันมากจัง ฉันยังไม่ขอร้องนายเยอะขนาดนี้นี่ นี่นายเพิ่มเติมขึ้นมาเองอีกเหรอ”

เห็นเขายังทำหน้าบึ้ง ผมก็เลยแหย่เขา แต่เดียร์กลับทำหน้าง้ำไปอีก

“ช่าย เพิ่มเข้าไปอีก เพราะว่านี่เป็นสัญญาฉบับใหม่ ผมร่างมันขึ้นมา เพื่อแก้ปัญหาในเรื่องที่มันไม่ถูกต้องและจะทำให้รักของเราไม่มีความสุข”

“งั้นอะไรล่ะ นายลองบอกมาสิ ไอ้ส่วนที่นายเพิ่มเข้าไปแล้ว จะทำให้เราไม่มีปัญหากัน”

“ข้อที่ผมเพิ่มเข้ามาข้อแรกเลยก็คือ ต่อจากนี้ ห้ามเรียวเรียกผมว่า “นาย” ให้เรียกชื่อผม หรือไม่ ก็ให้เรียกว่า “ที่รัก” เท่านั้น มันจะได้ไม่ดูเหินห่างกันเกินไป

ผมหัวเราะก๊ากออกมา เมื่อได้ยินคำว่า “ที่รัก”จากปากเขา มันฟังดูแปลกๆจั๊กจี้ยังไงพิกล

“ทำไมล่ะ......... เรียวมีปัญหาในการเรียกผมแบบนี้เหรอ”

เดียร์มองผมอย่างพาลๆ ผมยกมือขึ้นสองข้างทำท่ายอมแพ้

“เปล่าจ้า เปล่าใครจะกล้ามีเรื่องราวกับนาย เอ๊ย “เดียร์” เอ่อ “ที่รัก”ของผมได้ล่ะครับ”

ตอบออกไปแบบยั่วเย้า ยิ้มทะเล้นให้เขา อยากเห็นเขาอารมณ์ดีบ้าง เดียร์เกือบจะยิ้มให้ผมแล้ว หากไม่สบตากับผมเสียก่อน เห็นหน้ายิ้มละไมของผม เขาเลยยิ่งบึ้งตึงหนักกว่าเดิม
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่54 26/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 26-03-2009 14:19:15
“เปล่าจ้า เปล่าใครจะกล้ามีเรื่องราวกับนาย เอ๊ย “เดียร์” เอ่อ “ที่รัก”ของผมได้ล่ะครับ”

อ่านตรงนี้แล้วใจละลายเลยดิ อิอิ :jul3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่54 26/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: jaideejung007 ที่ 26-03-2009 20:34:48
ผมอ่านจบแล้วครับเรื่องนี้

เพิ่งอ่านเสร็จเมื่อวาน

ใจหาย

อยากให้ติดตามนะครับ

ไม่บอกล่ะกันว่ามันจบกันอย่างไร

อิอิ

รอก่านแล้วกัน

บะบายคับผม
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่54 26/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: panpan ที่ 26-03-2009 21:05:56
จะบอกว่าตามอ่านเรื่องนี้มาหลายรอบมาก เป็นนิยายวายเรื่องแรกที่อ่านที่ไม่ใช่แฟนฟิคของคู่โปรดของเรา ตั้งแต่นั้นมา เราเลิกอ่านนิยายแนวชาย-หญิงเลย
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่54 26/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 26-03-2009 21:56:27
ทำไมตัดฉับยังงี้ค่ะ...ทำร้ายจิตใจเป็นอย่างมาก  :serius2:
ไม่ยอมนะคะ ไม่ยอม.... o9


อ่านตอนนี้แล้ว น่ารักมากค่ะ..เหมือนนั่งอยู่ในเหตุการณ์จริง
เรียวน่ารักอ่ะ เปิดใจรับเดียร์เต็มๆเลย..ส่วนเดียร์ขำดีอ่ะ
ทำเหมือนถือไพ่เหนือกว่า ในขณะที่ใจอ่ะแพ้เรียวไปหมดแล้ว

ขอบคุณคุณไต๋มากนะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่54 26/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anawas ที่ 26-03-2009 23:28:25
โห...อุตสาห์รอฉาก...แบบซาดิสม์   :impress2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่54 26/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: B_O_M ที่ 27-03-2009 11:46:25
หึ คนโพสใจร้าย :angry2:

จะแปลงร่างเป็น เดียร์ ตามไปหลอกหลอนเลย!! :-[
 :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่54 26/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 27-03-2009 12:35:11
โหหหหหหห


อ่านตอนแรกๆๆๆ ตกใจ หมดเรยยย นึก ว่า จะ................ ซะแร้วววว





อืมม แต่ บรรยา กาศ ดี ขึ้น แร้วววว




.....เรากลับมารักกันอีกครั้ง หัวใจยังมีเธอเสมอ ได้กลับมาเจออย่างที่ ใจเราต้องการ....
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่54 26/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 27-03-2009 12:49:05
ลุ้นแทบตาย เอ้อ  :เฮ้อ:
กลับมารักกันอีกครั้ง ตามที่หัวใจร่ำร้อง

น่าร๊าก ดีจัง อิๆๆๆ
 :impress2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่54 26/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 27-03-2009 15:44:51
 :-[

บรรยากาศเริ่มดีขึ้นแล้ว 

น่ารักจัง คู่นี้
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่54 26/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: หนอนแก้ว ที่ 28-03-2009 02:00:46
นึกว่าจะ... :oo1:  :oo1:  :oo1: ซะอีก
 :serius2:  :serius2:  เลย
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่54 26/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: ltahset ที่ 28-03-2009 13:21:18
 :o8:

ขอบคุณค่ะ

^^
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่54 26/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: katesnk ที่ 28-03-2009 14:52:34
มาเป็นกำลังใจให้น้องไต๋ค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่55 28/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 28-03-2009 20:55:22
บทที่ 55

“แล้วเรียวก็จะต้องยอมรับกับใครต่อใครว่าเป็นแฟนผมด้วย ผมไม่อยากหลบๆซ่อนๆไปทั้งชีวิตนะ เป็นแฟนกันก็ต้องเปิดเผยให้คนรอบข้างรู้ด้วย สำหรับผมน่ะยินดีเปิดเผย แต่เรียวน่ะทำได้หรือเปล่า”

ข้อเรียกร้องของเดียร์ ทำให้ผมลำบากใจมาก การรักใครสักคนหนึ่ง เราต้องทำถึงเพียงนี้เลยหรือ นี่มันไม่ใช่เรื่องที่ดูปกติสักเท่าไหร่ เนื่องจากผมและเขาเป็นผู้ชายด้วยกัน การเปิดเผยความสัมพันธ์ของเราทั้งสอง เป็นเรื่องที่เสี่ยงต่อคำครหาเหลือเกิน ผมอาจจะต้องสูญเสียงานประจำที่ทำ รวมถึงเพื่อนที่เคยคบหากันด้วยก็ได้ ถึงแม้ว่าผมจะตัดสินใจแล้วว่าจะเลือกเขา แต่พอถูกคาดคั้นแบบนี้ ผมก็เลยรู้สึกว่าผมยังคงทำใจไม่ได้ที่จะรับการเปลี่ยนแปลง

“ผมรู้ว่ามันลำบากใจ เราอาจจะยังไม่เริ่มข้อนี้กันในทันทีทันใดก็ได้ ค่อยเป็นค่อยไปนะครับ”

น้ำเสียงของเดียร์อ่อนโยนลงมาก เขาคงรับรู้ได้ถึงความอึดอัดของผม และคงไม่อยากจะบีบคั้นผมมากจนเกินไป ผมยิ้มให้กับเดียร์ เขายิ้มตอบผม ท่าทางเข้าอกเข้าใจ แต่ผมมีคำตอบให้กับตัวเองแล้วว่าเรื่องนี้ มันควรจะจบลงที่ตรงไหน

“ถ้ามันจำเป็นสำหรับการตกลงเป็นแฟนกัน ฉันก็จะพยายามทำมันให้ได้นะ”

แววตาของเดียร์วาวโรจน์ เขาฉีกยิ้มกว้างให้กับผม ท่าทางดีอกดีใจ

“ขอบคุณมากครับ ที่พยายามจะทำตามสัญญาของเรา ยังมีอีกนะ คือผมอยากให้เรียวเปิดใจตัวเองให้กว้าง ยอมรับในสิ่งที่มันเกิดขึ้น อย่าฝืน หรือ อย่าแอนตี้มันนะครับ ถ้าเรียวมัวแต่ดื้อดึง ไม่ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นแบบครั้งก่อนๆ การใช้ชีวิตคู่ของเราคงพังทลายแน่นอน”

“ได้ ฉันสัญญา”

ตอบไปแล้ว แต่ก็คิดในใจว่า โธ่เอ๊ย เจ้าเด็กบ๊อง ถ้าฉันไม่เปิดใจ ฉันจะต้องวิ่งไล่ตามนายแบบนี้เหรอ ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย เมื่อไหร่จะพูดจบเสียที อยากกอดใจแทบขาดแล้ว

“มีอะไรที่ฉันต้องทำความเข้าใจอีกหรือเปล่าในสัญญาฉบับนี้”

“ตอนนี้ไม่มีแล้ว ถ้ามีแล้วจะบอกครับ”

“อ้าว มีการเพิ่มเติมสัญญากันได้ด้วยเหรอ”

ผมถามเขายิ้มๆ เดียร์ยิ้มอายๆตอบผม รอยยิ้มของเขาทำให้หัวใจผมเป็นสุข ภาพตอนที่ผมกับเขาต่อรองกันตอนทำสัญญาครั้งแรกวาบเข้ามาสู่หัวสมอง ตอนนั้นเขาถามแบบที่ผมถามเขาอย่างนี้เหมือนกัน

“อื้มครับ ......เอ้านี่ เรียวเซ็นต์สัญญาเลยสิครับ ผมเซ็นต์ไว้แล้วนะ”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

เด็กหนุ่มชี้ให้ผมดู ตรงช่องที่เขาเว้นว่างไว้ ซึ่งมีลายเซ็นของเขาอยู่แล้วทั้งสองชุด ผมเซ็นต์เสร็จ เขาก็เก็บไว้ชุดหนึ่ง แล้วยื่นให้ผมชุดหนึ่ง ใบหน้าของเขายิ้มแย้มอย่างมีความสุข ท่าทางโล่งใจ

“ใครละเมิดสัญญาก่อน ไม่ทำตามข้อตกลง เท่ากับสัญญานี้จะสิ้นสุดลงทันที เข้าใจไหม”

ผมเน้นย้ำคำสัญญากับเขา มั่นใจว่าตนเองไม่มีทางทำผิดข้อตกลงหรอก เพราะผมรักเขาอย่างมากมาย มีแต่เดียร์เท่านั้นแหละที่จะเป็นคนที่ทำให้สัญญายกเลิกเพราะเบื่อผมไปเสียก่อน หรือไม่ก็เจอคนใหม่ที่ถูกใจกว่า แต่ผมจะไม่ทำให้เกิดเรื่องแบบนั้นเด็ดขาด

“คร้าบบบบบบบบ”

เขาลากเสียงยานคาง ทำหน้าทะเล้น ยิ้มให้ผมทั้งปากและตา เดียร์วางเอกสารที่ถืออยู่ในมือไว้บนโต๊ะ แล้วเดินมาโอบกอดผมไว้ในวงแขน ท่าทางเปลี่ยนไปเป็นคนละคนกับเมื่อครู่ ผมรู้สึกเป็นสุขใจยิ่งนัก ยอดรักของผมกลับมาเป็นคนเดิมแล้ว เขาไม่ได้เกลียดหรือโกรธผม ตรงกันข้าม ผมกลับมีความรู้สึกว่า เขายังคงรักผมอยู่ไม่เสื่อมคลาย และอาจจะรักมากยิ่งกว่าเดิม

“เป็นแฟนกันตั้งแต่วันนี้เลยนะครับ ที่รัก”

เขาถือวิสาสะจูบที่หน้าผากผมแล้วเลื่อนมาที่ดวงตา ผมพยายามแกะมือเขาออกจากตัว แต่เขาไม่ยอมปล่อย

“ไม่ดีกว่า ขอเวลาฉันเตรียมตัวเตรียมใจหน่อย”

นึกครึ้มเลยแกล้งเขาเล่นดีกว่า

“เมื่อไหร่ดีครับ”

เขาถามพลางจูบผมอีกที่ข้างแก้ม

“เริ่มเดือนหน้าเลยแล้วกัน”

ผมแกล้งบอกเขาด้วยประโยคเดียวกับที่เคยพูดไว้ตอนครั้งแรก แต่ใจจริงแล้วอยากจะบอกเขาว่าผมน่ะ ยอมเป็นแฟนกับเขาตั้งแต่ตอนที่เขาเดินเข้ามาในห้องแล้ว

“เดือนหน้าเหรอ ก็พรุ่งนี้แล้วสิ…..”

เขาถามยิ้มๆ ตาที่จ้องมองผมเปล่งประกายหวานซึ้ง

“เจ้าเล่ห์จริงๆนะ ยอดรักของผม อย่าให้ผมรอนานเกินไปนะครับ ผมจะรอไม่ไหวอยู่แล้ว ยิ่งเลื่อนไปไกลเท่าไหร่ คุณก็หนีผมไปไม่พ้นอยู่ดี เพราะหัวใจของคุณอยู่ที่ผมแล้วใช่ไหมครับ แล้วทำไมไม่ทำให้เรื่องของเราสองคนมันจบลงอย่างสมบูรณ์เปี่ยมไปด้วยความสุขเร็วๆล่ะครับ”

พ่อยอดขมองอิ่มทำเป็นรู้ดีเชียวนะว่าผมคิดอะไรอยู่ ผมเองก็ไม่อยากปกปิดความรู้สึกตัวเองเสียด้วยสิ ก็ผมรักเขาจริงๆนี่นา

“แสนรู้จริงๆ ...........ก็ได้ งั้นเริ่มวันนี้เลยแล้วกัน”

ผมบอกเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เด็กหนุ่มแนบศีรษะของเขาเข้ากับศีรษะของผมแล้วรัดร่างผมแนบแน่น ผมเบียดตัวเข้าแนบร่างของเดียร์ให้มากที่สุด รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านจากตัวเขามาสู่ร่างกายผม
“ที่จริงเรียวก็อยากจะได้ผมเป็นแฟนเร็วๆไม่ใช่หรือครับที่รัก”

เขาถามผมด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ผมยิ้มอายๆไม่ตอบว่าอะไร แต่ใช้สองมือโอบกอดเขาตอบบ้าง เดียร์นิ่งไปชั่วอึดใจ จากนั้น เขาก็ก้มลงจูบไซร้ไปทั่วใบหน้าและลำคอของผม เนิ่นนานทีเดียวกว่าที่เขาจะปล่อยผม เดียร์มองผมด้วยดวงตาที่บอกความรู้สึกทั้งมวลในใจเขา ผมจ้องเขากลับด้วยความรู้สึกรักใคร่ในตัวเด็กหนุ่มเช่นเดียวกัน

“เราหายโกรธกันแล้วใช่ไหม”

เด็กหนุ่มพยักหน้า มองผมตาแป๋ว

“ดีใจจังเลย คิดว่าเดียร์จะไม่ยกโทษให้ฉันซะแล้ว ขอโทษนะกับเรื่องที่ผ่านมา กว่าที่ฉันจะรู้ว่าหัวใจตนเองต้องการอะไร ก็เกือบที่จะสายไปแล้ว”

พูดไปตามความรู้สึกตัวเอง ไม่อยากปิดกั้นอะไรอีกแล้ว

“ผมเองก็คิดว่าเราคงไม่มีโอกาสได้เป็นแฟนกันอีกแล้ว ตอนออกจากบ้านคุณมา ทิ้งทุกอย่างไปเบื้องหลัง ผมเศร้าเสียใจอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกแต่ว่าคุณคงเกลียดผม แล้วไม่อยากอยู่ใกล้ ไม่มีวันที่คุณจะตามหาผม หนึ่งอาทิตย์ผ่านไปอย่างทรมาน สองอาทิตย์ที่ต้องอยู่คนเดียวอย่างชอกช้ำ และ อาทิตย์ที่สาม อาทิตย์ที่สี่ผ่านไปอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งถึงอาทิตย์ที่ห้าที่คุณปรากฏกายขึ้น เพื่อขอร้องให้ผมกลับไป มันทำให้ชีวิตของผมได้พบกับทางสว่าง รู้ว่าคุณคงมีใจให้ผมบ้างแล้ว แต่ผมไม่แน่ใจเลยครับ เลยต้องหาทางพิสูจน์”

“อื้ม แล้วไง ฉันก็พิสูจน์แล้วนี่ ว่าฉันจริงใจกับเดียร์แค่ไหน”

ผมย้อนถามอย่างเห็นขัน

“อื้ม รู้แล้วครับ เรียวรู้ไหม เมื่อกี้ผมลำบากใจมากแค่ไหนที่จะไม่มองร่างเปลือยของคุณ มันทำให้ผมเกิดอารมณ์มาก อยากจะลงมือปลุกปล้ำ ทำรักกับคุณเสียเดี๋ยวนั้นเลย แต่ผมก็กลัวจะเสียเรื่อง ยิ่งคุณมาทำท่าอ้อนๆแบบที่ไม่เคยทำมาก่อนเลยแบบนั้น ผมยิ่งรู้สึกรักคุณมากขึ้นอะครับ เกือบจะห้ามใจไม่อยู่แล้ว”

เด็กหนุ่มพึมพำอย่างมีความสุข เขาทำกริยาอ้อนๆกับผมแบบเดิม คงจะหายโกรธผมแล้วจริงๆ ผมดีใจอย่างบอกไม่ถูก เมื่อเห็นท่าทางแบบนี้ของเขาอีกครั้ง

“เมื่อกี้ก็ลุ้นแทบตาย กลัวว่าคุณจะไม่ตกลงทำสัญญากับผม พอคุณเซ็นต์ชื่อ ผมโล่งใจมากเลยรู้ไหม แทบไม่เชื่อเลยว่าเรียวจะตกลงง่ายๆ ยอมเป็นแฟนของผมไปตลอดชีวิต ทั้งๆที่เมื่อก่อนนี้คุณปฏิเสธข้อตกลงนี้ตลอดมา ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เรียวอาจจะรู้สึกผิดที่ทำให้ผมร้องไห้ ต้องการชดใช้ช่วงเวลาที่เสียไปให้กับผม หรืออาจจะรู้สึกสงสารผมก็ได้ ผมไม่กล้าคิด ไม่กล้าหวังว่าเรียวจะรักผม แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงผมก็รู้สึกเป็นสุข ผมต้องขอบคุณนะครับที่เรียวไว้ใจผมอีกครั้ง ผมจะทำให้เรียวมีความสุขตลอดเวลาของการเป็นแฟนกันเลยครับ”

เขากล่าวคำสัญญาเสียงอ่อนเสียงหวาน ผมเลยตัดสินใจบอกถึงสิ่งที่อยู่ในใจผมให้เขาฟัง

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

“อันที่จริง ฉันก็ไม่อยากจะทำสัญญากับเดียร์หรอกนะ.......”

ผมยังไม่ทันพูดจบประโยค เดียร์ก็อุทานออกมา หน้าสลดลง

“ทำไมล่ะ หรือว่าผมฝืนใจให้เรียวทำในสิ่งที่ไม่ต้องการ ใช่ไหมครับ......................”

“เปล่าหรอก ฉันเต็มใจนะ แต่ที่ฉันพูดหมายถึงว่า ไม่จำเป็นจะต้องทำสัญญากับฉันหรอก เพราะว่า ถึงอย่างไร ฉันก็ตกลงตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่กับเดียร์ไปตลอดชีวิต ฉันน่ะ มันโง่เอง ที่ปล่อยเดียร์หลุดมือไป พอเดียร์จากไปแล้วฉันเพิ่งได้รู้หัวใจตัวเองว่า ฉันรักเดียร์มากขนาดไหน ฉันรู้ว่าทำผิดกับเดียร์ไว้มาก อยากขอโทษต่อทุกสิ่งที่ทำลงไป พยายามที่จะไปง้อ แต่เดียร์ก็ไม่ใส่ใจเลย ฉันเกือบตัดใจไปแล้ว ถ้าไม่บังเอิญว่าเดียร์จับตัวฉันมาอีก.....”

คำพูดต่างๆพรั่งพรูออกมาจากส่วนลึกในใจ เดียร์นั่งฟังเงียบๆ ตาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของผม พยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่ผมพูด

“รู้ไหม ตอนที่ฉันเห็นเดียร์ก้าวเข้ามาในห้อง หัวใจฉันร่ำร้อง อยากจะโผเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเดียร์ และยอมให้เดียร์ทำทุกอย่างกับร่างกายฉัน ตอนที่เดียร์ถ่ายวิดิโอนั่นไว้อ่ะ ฉันรู้ว่าเจ้าสิ่งนั้น ต้องถูกใช้เป็นเครื่องมือสำหรับการแบล็คเมล็แน่นอน เดียร์คงต้องการให้ฉันทำอะไรให้สักอย่าง แต่ฉันไม่กลัวหรอก เพราะฉันพร้อมจะทำตามที่บอกทุกประการ เดียร์รู้ไหม ฉันน่ะ .........ฉันรักเดียร์มาก อยากให้เดียร์มาเป็นแฟนฉันไปตลอดชีวิต ไม่จำเป็นต้องแบล็คเมล์ หรือทำสัญญาอะไร ฉันก็พร้อมแล้วที่จะใช้ชีวิตร่วมกันเดียร์น่ะ”

ในที่สุดผมก็ยอมรับกับเขาไปตรงๆว่าผมรู้สึกอย่างไร เดียร์หัวเราะเบาๆ เขากอดผมไว้แนบแน่น พลางใช้มือข้างหนึ่งเชยคางผมขึ้นมา แล้วมอบจูบที่หวานล้ำให้ ผมสอดมือทั้งสองข้างโอบรอบคอของเขา มือข้างหนึ่งซุกไซร้เข้าไปที่เรือนผมดำสลวยนั่น เราต่างแลกจูบกันโดยไม่มีใครยอมเลิกราก่อน

“เรียวรักผม อยากอยู่กับผมจริงๆใช่ไหมครับ ผมดีใจมากเลย ห้ามหลอกกันนะครับ บอกมาแบบนี้แล้ว เรียวก็ต้องรับผิดชอบทุกคำที่พูดนะครับ ถ้าโกหกผมอีก ผมจะหนีเรียวไปให้ไกลจนคุณตามหาไม่เจออีกเลย”

เด็กหนุ่มกระซิบเสียงขู่ มือไม้เป็นปลาหมึกขณะจับต้องตัวผม

“ไม่นะ ครั้งเดียวก็พอแล้ว อย่าหนีไปอีกเลย ใจฉันจะขาดเสียให้ได้ ฉันสัญญาว่าจะรักเดียร์คนเดียว แล้วก็ไม่ทำให้เดียร์ผิดหวังเสียใจ”

ผมตอบเขาไปด้วยเสียงที่เกือบไม่เป็นเสียง เพราะอารมณ์กำลังกระเจิดกระเจิงเนื่องจากถูกเดียร์ปลุกเร้า เขาลูบคลำคลึงเคล้นผมไปทั่วตัว ในขณะที่ผมก็กอดจูบซุกไซร้เขาตอบเหมือนกัน มันเหมือนว่าเราสองคนหลงทางกลางทะเลทราย ขาดอาหารและน้ำที่จะช่วยประทังชีวิตให้รอด ต้องอดอยากหิวโหย ครั้นมาเจอแหล่งน้ำเข้า ก็ต่างโจนทะยานเข้าดื่มกินราวกับว่ากลัวน้ำจะหมดต้องอดอีก
เราสองคนต่างตักตวงความสุขใส่ตัวอย่างเต็มที่ ให้สาสมกับที่ได้สูญเสียเวลาดีๆไปช่วงหนึ่ง ผมยอมให้เดียร์ทำกับผมทุกอย่าง โดยร่วมไม้ร่วมมือกับเขาด้วย เดียร์มอบความรักที่แสนหวานทว่าร้อนแรงให้กับผม ทุกสัมผัส ทุกจังหวะลีลาที่เคลื่อนไหวอยู่บนเรือนกาย ทำให้ผมแทบขาดใจ เพลิงพิศวาสโฮามอยู่ทั่วตัวเราทั้งสอง เดียร์นำทางผมสู่สวรรค์ครั้งแล้วครั้งเล่า จนผมถึงกับขาอ่อน หมดเรี่ยวหมดแรง ต้องนอนซบอยู่กับแผ่นอกของเดียร์เพื่อพักผ่อนร่างกาย

“ดีใจจังเลย ที่ได้กอดเรียวไว้แนบอกแบบนี้ แถมซ้ำยังได้กุ๊กกิ๊กกับเรียวตั้งหลายครั้งเลย ชอบมากๆเลยอ่ะ เรียวละครับ ชอบไหม”

เด็กหนุ่มถามผมด้วยน้ำเสียงสดชื่น เขาไม่มีทีท่าว่าเหนื่อยเลย กลับรู้สึกกระปรี้กระเปร่า เหมือนมีอะไรบางอย่างไปช่วยจุดพลังในตัวของเขา

“ไม่ตอบได้ไหม ทำไมต้องถามด้วยล่ะ อายเป็นเหมือนกันนะ”

ตอบออกไปอย่างเขินๆ รู้สึกว่าตัวเองหน้าร้อนผ่าว เด็กหนุ่มหัวเราะกิ๊กกั๊ก เขาพลิกตัวขึ้น ให้ผมนอนข้างล่าง โดยมีเขาก้าวขึ้นมาทาบทับ เดียร์ส่งสายตาหวานเยิ้มมาให้ผม

“ทำไมถึงมาหาผมช้านักละครับ ตั้งห้าอาทิตย์แน่ะ รอนานมากเลยนะ”

“เดียร์เองก็ไม่มาหาฉันเหมือนกัน ฉันก็รอเดียร์อยู่”

“เวรกรรม ...โธ่ รอผมเหรอ ผมไม่กล้านี่นา ผมคิดว่าเรื่องที่นายศักดิ์ชายพูดเป็นจริง คุณอยากเลิกกับผม เพราะคุณเห็นงานสำคัญกว่า และผมไม่ต้องการดึงคุณให้ตกต่ำลง”

เดียร์อธิบายถึงสาเหตุที่ไม่ยอมมาหาผมให้ฟัง

“แต่ฉันก็มาตามหาเดียร์แล้วนะ จนเจออ่ะ ฉันรู้สึกตัวว่าอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีเดียร์ มีแต่ร่างกาย แต่ไม่มีหัวใจ ฉันจะยังเป็นคนอยู่ได้ไง ไม่อยากใช้ชีวิตแบบหุ่นยนต์น่ะ”

พอผมพูดจบ เดียร์ก็ยิ้มกรุ้มกริ่มให้กับผม

“เห็นผมสำคัญสำหรับคุณแล้วใช่ไหม ดีใจจังเลยที่ได้ยินแบบนี้”

“เดียร์ถามจริงๆเถอะ สงสัยมานานแล้ว ที่เดียร์ทำรุนแรงกับฉันวันนั้น เดียร์โกรธฉันหรือ”

ตัดสินใจถามออกไป เพราะอยากรู้จริงๆว่าเขาโกรธผมหรือเปล่า เดียร์มองหน้าผมนิ่ง ดวงตาของเขามีแววสำนึกผิด

“ครับ โกรธจริงๆ งอนหลายเรื่อง ทั้งเรื่องที่คุณไม่บอกความจริงกับผม โกรธเรื่องคุณแคท โกรธเรื่อง นายศักดิ์ชาย ทุกอย่างมันไม่แน่ชัด ไม่รู้อันไหนจริงอันไหนลวง เชื่อฟังคำพูดใครไม่ได้เลย ผมรู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนโง่ ถูกคุณหลอกอยู่ตลอดเวลา มันเป็นอารมณ์ประมาณว่าทั้งรักทั้งแค้นครับ โกรธเรียว แล้วก็เกลียดตัวเองด้วยที่ทำให้คุณมารักผมไม่ได้ ผมไม่รู้จะทำอย่างไรดี ตอนลงมือกับคุณอยากเบามือให้นะ แต่ว่า พอทำไป ใจมันนึกถึงแต่ว่าคุณหลอกผม คุณเกลียดผม คุณอยากเลิกกับผม สติมันก็เลยขาดผึง เผลอทำรุนแรงไปไม่ยั้ง ผมเสียใจมากด้วย ต้องขอโทษคุณมากนะครับ ที่ทำให้เรียวเจ็บตัวขนาดนั้น”

“ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ เป็นใครก็คงจะโกรธเหมือนกัน”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ผมบอกเด็กหนุ่มเพื่อให้สบายใจ ที่จริงผมก็เข้าใจแบบนั้น ว่าเด็กหนุ่มคงไม่ได้อยากทำร้ายผม แต่ความโกรธ ทำให้ทำรุนแรงไป

“ตอนที่คุณสลบไป ผมก็ได้สติ เห็นมือคุณเลือดไหลไม่หยุด ตกใจมากเลยนะครับ รู้สึกแย่มากๆเลย ที่ทำกับคุณแบบนั้น เรียวคงจะเจ็บปวดแทบขาดใจ ผมเลยไปตามหมอให้มาช่วยทำแผลให้คุณน่ะครับ อยากจะอยู่เฝ้าพยาบาลคุณ แต่ก็ต้องตัดใจออกจากบ้านไปครับ”

ท่าทีที่สำนึกผิดนั้น ทำให้ผมรู้สึกสงสารเขาอย่างจับใจ พ่อหนุ่มคงผมเองก็คงจะเจ็บปวดไม่แพ้กัน ที่เห็นผมบาดเจ็บแบบนั้น ซ้ำยังต้องตัดใจที่จะไม่ดูแลผมทั้งๆที่ยังเป็นห่วง เขาคงต้องต่อสู้กับมโนธรรมที่อยู่ในใจมากพอดู

“บ้านสวยมากเลยเดียร์ ฉันชอบมากเลยนะ โดยเฉพาะม่านดอกลีลาวดี นั่นน่ะ นี่ถ้ามันไม่เหี่ยวเสียก่อนฉันคงเก็บไว้ตลอดเลยนะ”

เปลี่ยนเรื่องพูดเพื่อให้เด็กหนุ่มสบายใจขึ้น เขาทำตาโต หน้าบานไม่ยอมหุบ

“ถ้าชอบ ผมจะไปทำให้ใหม่อีกครับ นี่เราซื้อต้นลีลาวดีมาเพิ่มอีกดีไหมครับ ปลูกไว้ดูดอกสวยๆของมันเพลินตาดีครับ”

“เอาสิ แล้วแต่เดียร์แล้วกัน”

ผมยกให้เขาตัดสินใจ เด็กหนุ่มยิ้มกริ่มที่ผมมอบความไว้วางใจให้เขา เดียร์ซุกจมูกลงที่ซอกคอของผม และหอมฟอดใหญ่

“โทษทีนะครับ ผมหาห้องไม่ได้เลย ผมเลยมาขอยืมห้องของไอ้พี่บอยก่อน พอดีว่ามันมาหาผม ผมก็เลยขอยืมห้องมันแล้วลักพาตัวคุณมานี่แหละ อาจจะดูแปลกๆไปหน่อย แต่มันก็ใช้ได้ดีนะ ข้าวของในห้องนี้ พี่บอยบอกว่าจะหยิบจะจับอันไหนก็ใช้ได้เลย มันเพิ่งสั่งซื้อมา สะอาด ปลอดภัยเราจะได้เปิดซิงกันเป็นคู่แรกเลย เรียวอยากใช้อันไหน บอกได้นะครับ วิธีการใช้คงไม่ยาก ผมเป็นเด็กหัวไวอยู่แล้ว เรียวก็รู้”

เดียร์พึมพำอู้อี้ เพราะทั้งจมูกและปากของเขากำลังซุกไซร้ซอกคอของผมอยู่ มือไม้พัลวันอยู่กับเรียวน้อย คำพูดของเขาทำให้ผมนึกถึงตุ๊กตาเซ็กส์ทอยเรียวจังที่เจ้าเด็กบ้าคนนี้ทำจนพัง แล้วก็หัวเราะขึ้นมา

“ไม่เอาหรอก ฉันไม่ใช่ของเล่นแบบเรียวจังนะ ที่เดียร์จะเอาโน่นเอานี่มาทดลองกับฉัน เดี๋ยวก็ได้พังกันพอดี”

“แหม เรียวก้อ ใครว่าเรียวเป็นของเล่นของผมกันนะ เรียวเป็นตัวจริงของผมต่างหาก ไม่มีตัวสำรองอะไรทั้งนั้น......”

คำพูดของเขาทำให้ผมชื่นใจได้อย่างประหลาด เด็กคนนี้ รักผม แล้วผมก็รักเขามากด้วย ระหว่างที่ผมกำลังชื่นชมอยู่กับคำพูดของเด็กหนุ่ม เดียร์ก็รุกเร้าผมหนักขึ้น ผมเลยซัดผลัวะเข้าที่มือที่กำลังคลึงเคล้นน้องชายของผมอยู่อย่างเอาเป็นเอาตาย แล้วแสร้งต่อว่าเขา

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่55 28/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 28-03-2009 20:56:09
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

“นี่ไง...... ที่เดียร์กำลังทำอยู่นี่แหละ จับต้องฉันอย่างกับเป็นของเล่น”

“แน๊.....ก็ใครจะอดใจไหวล่ะ แหม ที่รักของผมน่ารักและหวานไปทั้งตัวแบบนี้ อ่ะ”

ผมครางอือ เมื่อน้องชายของผมเติบโตขึ้นอีกครั้ง มือของเดียร์ช่างมหัศจรรย์เสียจริง ทั้งๆที่เขารักกับผมนับครั้งไม่ถ้วนในคืนนี้ จนผมเพลียใจแทบขาด แต่เขาก็ยังสามารถปลุกเร้าให้ผมตื่นตัวขึ้นมาใหม่ได้อีก ดูเหมือนเดียร์จะพึงพอใจที่ได้ยินเสียงครางกระเส่าจากผม เขายิ่งเร่งมือหนักขึ้น

“เดียร์จ๋า ไม่เหนื่อยหรือไง”

ผมถามเดียร์เสียงกระเส่า เดียร์หยุดมือ และถามผม

“เมื่อกี้เรียกผมว่าอะไรนะครับ..”

“....เดียร์....”

“ไม่ใช่ไม่ได้เรียกแบบนี้นะครับ แต่มันหวานกว่านี้”

“เมื่อกี้ .....ก็เรียกแบบนี้นี่.”

ผมรู้สึกเขิน หน้าแดงก่ำ

“อยากให้ผมลงโทษจนกว่าจะพูดหรือครับ”

เดียร์เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ผมรู้ว่าเขามันเขี้ยว อยากจะลวนลามผม มากกว่าหมั่นไส้ ผมยิ้มอย่างยอมแพ้ คนรู้ทันแถมยังหูไวตาไวแบบเขา ใครจะไปปกปิดอะไรเขาได้ รู้งี้ไม่มีแฟนเป็นอดีตนักมวยดีกว่า เพราะผมไม่มีทางหลบเลี่ยงสายตาอันคมกริบ และหูที่พร้อมจะได้ยินทุกอย่างแม้กระทั่งเสียงกระซิบได้แบบเขา

“เดียร์จ๋า.....”

“อะไรนะครับ ดังๆหน่อย”

ผมรู้ว่าเขาแกล้ง เมื่อผมยังนิ่งเฉย เดียร์ก็กัดเข้าที่ไหล่ผม จนผมร้องครางออกมา

“เดียร์จ๋า”

ผมเรียกเขาเสียงดังกว่าเดิม ผมได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆด้วยความพึงพอใจจากเขา จากนั้นไหล่ข้างที่ถูกกัด ก็เย็นขึ้นจากลิ้นของเดียร์ที่ไล้เลียลงมา

“รักเรียวจัง รักมาก รักที่สุดเลย ไม่รู้ว่าจะอธิบายเป็นคำพูดสวยๆอย่างไรดีถึงจะทำให้เรียวรู้ว่าผมรักเรียวมากแค่ไหน”

“ไม่ต้องพูดอะไรมากหรอก แค่นี้ฉันก็รู้แล้วว่าเดียร์รักฉัน แล้วฉันก็รักเดียร์มากด้วยเช่นเดียวกัน”

“เรียวรักผมตรงไหนเหรอ บอกได้ไหม”

เด็กหนุ่มถามผม ในขณะที่ปากยังวนเวียนอยู่แถวๆซอกคอและใบหู ผมรู้สึกเสียวซ่านอย่างบอกไม่ถูก

“ตรงที่เดียร์ทำกับข้าวเก่งมั๊ง....”
“แค่นั้นเองน่ะเหรอ.....แย่จัง”

“จริงๆนะ ตั้งแต่เดียร์หายไป ไม่มีใครทำกับข้าวอร่อยๆให้กินเลย ต้องกินข้างนอกตลอดเลยอ่ะ เดียร์ทำกับข้าวได้ถูกปากมากที่สุด ฉันชอบที่เดียร์ทำให้กินทุกอย่างเลย”

เดียร์ทำปากยื่น บ่นอุบอิบ

“เชอะ ที่แท้ก็คิดกับเราแค่เป็นพ่อครัวคนหนึ่งเท่านั้น”

“เปล่าน้า .....ยังชอบตรงที่เดียร์ดูแลฉันอย่างดี ช่วยทำความสะอาดบ้านช่องให้ ดูแลเจ้าหญิง ซักผ้า รีดผ้า เดียร์ทำให้ฉันสบายจนเคยตัวฉันขาดเดียร์ไม่ได้เลยรู้ไหม”

“เห็นเราเป็นแค่คนใช้หรือนี่”

เด็กหนุ่มทำหน้างอนๆ

“ไม่เคยเลยนะ .......ก็เดียร์ถามว่าชอบตรงไหน ฉันก็บอกไปตามที่ฉันรู้สึกน่ะ ฉันรักเดียร์ตรงที่เดียร์ดูแลฉันเป็นอย่างดี เดียร์ทำให้ฉันมีความสุขเวลาอยู่ใกล้ เดียร์ทำให้ฉันรู้สึกว่าจะขาดเดียร์ไม่ได้อีกต่อไป หากขาดเดียร์แล้ว ฉันจะไม่มีคนทำอาหารอร่อยๆให้ทาน ไม่มีคนคอยดูแลให้ความอบอุ่น เดียร์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉันไปแล้ว เป็นหัวใจของฉัน ถ้าไม่มีเดียร์ฉันก็อยู่ไม่ได้”

ปฎิเสธเสียงหลง พร้อมทั้งอธิบายให้เขาเข้าใจความรู้สึกของผม

“ก็ได้.....เหตุผลดีขึ้นมาหน่อย แล้วเรื่องกุ๊กกิ๊กล่ะ ไม่เห็นพูดถึงเลย ที่ผมทำให้ เรียวชอบหรือเปล่าครับ มีความสุขบ้างไหม เรียวอยากจะมีอะไรกับผมทุกวัน เหมือนที่ผมคิดจะทำกับเรียวหรือเปล่าอ่ะ”

เดียร์เปลี่ยนมาทำสีหน้าและแววตาเจ้าชู้ใส่ผม

“อื้ม.....มันพูดยากนะ......ขอไม่ตอบได้หรือเปล่า”

เล่นถามแบบนี้ ใครจะตอบได้ เด็กบ้าเอ๊ย ถ้าไม่ชอบในสิ่งที่เขาทำ ป่านนี้ผมคงเตะเขาตกเตียงไปแล้ว ของแบบนี้ จะมาถามกันบ่อยๆได้ไง ผมก็เขินเป็นเหมือนกันนี่ เคยแต่ถามผู้หญิงที่ผมเคยมีอะไรด้วยว่ามีความสุขหรือเปล่า ผมทำเก่งบ้างไหม แต่ไม่เคยคิดว่าจะเป็นฝ่ายถูกถามเสียเอง แล้วในสถานการณ์ที่ผมตกเป็นฝ่ายรับเสียด้วย ไอ้หมอนี่จะทำให้ผมอายไปถึงไหนกันหนอ

“แค่พูดว่าชอบ กับ ไม่ชอบ ไม่เห็นจะยากเลย ดูสิ ผมยังพูดได้เลย สำหรับผมแล้ว ผมชอบที่จะทำให้เรียวมีความสุข ชอบกอดเรียว ชอบที่จะจูบ แล้วก็สัมผัสเรียวไปทุกซอกทุกมุม ผมรักหัวใจของเรียว รักร่างกายนี้ อยากจะให้เราสองคนเป็นหนึ่งเดียวกันไปตลอด เวลาที่ผมอยู่ในตัวของเรียว ผมมีความสุขมากเลยครับ มันเหมือนว่าเราได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นไปอีก ไม่มีอะไรมาแยกเรียวไปจากผมได้ มันเป็นความรู้สึกที่วิเศษที่สุดในโลก ผมรู้ว่า ผมเรียกร้องเรียวมากเกินไป เหมือนเป็นคนที่ไม่เคยพอ แต่ความจริงแล้วการที่ผมทำรักกับเรียวไม่ใช่แค่การระบายทางเพศ แต่มันเป็นอะไรที่มากกว่านั้น มันคือความผูกพันธ์ มันคือการแสดงออกให้รู้ว่าผมรักเรียวแค่ไหน ผมอยากทำให้เรียวมีความสุขครับ”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

สิ่งที่เดียร์พูดยังความปลาบปลื้มมาให้ผม ความรักที่เขามีให้มันช่างมากมายเหลือคณานับ แล้วอย่างนี้ ผมจะปล่อยให้เขาหลุดมือผมไปได้อย่างไร คนที่รักและพร้อมจะทำทุกอย่างให้ผมได้ถึงขนาดนี้ แค่ร่างกายเขาเป็นชาย แล้วผมต้องเปลี่ยนบทบาทตัวเองเวลาใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน เรื่องนั้นอาจจะเป็นอุปสรรคอยู่บ้าง แต่ผมว่าด้วยความรักที่เราสองคนมีให้กัน เราคงผ่านมันไปได้ และสามารถใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

“ฉันชอบสิ ชอบเหมือนกัน ถ้าไม่ชอบจะร่วมมือด้วยทำไมล่ะ ไม่สังเกตบ้างหรือ ว่าไม่ขัดขืนเหมือนแต่ก่อนแล้ว”

บอกออกไปแล้วก็รู้สึกโล่งใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมได้พูดทุกอย่างที่อยากให้เขารู้ไปแล้ว มันเหมือนเป็นการเปิดตัวเปิดใจ ยอมรับเดียร์เข้ามาสู่ชีวิตของผม ปล่อยให้เขานำพาผมไปสู่หนทางแห่งความสุข

“อื้ม เห็นแล้วละครับ ไม่ดิ้นหนี แถมให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีด้วย น่ารักจริงๆ ที่รักของผม ดีใจจริงที่หัวใจเราตรงกัน ต่อจากนี้ไปเราอย่าทะเลาะเบาะแว้งกันเลยนะ เราสองคนต้องช่วยกันประคับประคองความรักของเราให้อยู่ได้ตลอดรอดฝั่งนะครับ”

“ได้ครับผม”

ผมรับคำแล้วยิ้มให้ เด็กหนุ่มยิ้มตอบ จากนั้นเราสองคนก็จูบกันอีก เดียร์ไล่ดูดลิ้นผมจนขนลุกซู่ไปทั้งตัว ผ่านไปเกือบสิบนาที เดียร์ก็ถอนปากของเขาออก พลางยิ้มให้ผมหูตาแพรวพราว

“เรียวครับ จะเป็นอะไรไหม ถ้าหากว่า ผมจะขอให้เรียวเลิกเรียกตัวเองว่า ฉัน แต่เป็นเรียกตัวเองอย่างอื่นแทน ผมอยากสนิทกับเรียวมากกว่านี้นะครับ”

“จะให้เรียกว่าอะไรดีล่ะ ฉันก็ไม่ชินนี่ จะให้เรียกตัวเองว่า “ผม” เหรอ”

“เรียกตัวเอง ว่าพี่เรียวก็ได้ ดีไหมครับ เพราะเรียวก็อายุมากกว่าผม แล้วมันก็ดูเป็นกันเองดีนะครับ นะ ได้ไหม”

เดียร์ทำเสียงอ้อน

“อยู่ในข้อสัญญาหรือเปล่า”

ผมแหย่เขา เดียร์เลยแกล้งขบหูผม แล้วเอาจมูกพร้อมคางสากๆจากหนวดเคราที่เพิ่งขึ้นซุกไซร้แถวซอกคอที่ไวต่อสัมผัสของผม ทำให้ผมต้องหัวเราะออกมาด้วยความจั๊กจี้

“นี่แน่ะ ขอดีๆก็ต้องให้มาดีๆสิครับ อย่างกวนสิ”

“โอ๊ยๆๆๆๆๆๆ ก็ได้ครับ”

“ดีมาก ต่อไปนี้ต้องเรียกตัวเองว่าพี่เรียวนะครับ”

“ได้จ้า เอ้อ เดียร์ครับ ฉันเอ๊ย พี่เรียวมีอะไรให้เดียร์ด้วยนะครับ”
พอเดียร์ปล่อยผมออก ผมก็ผละจากเขาลุกเดินไปที่กระเป๋าหนังใส่เอกสารที่ผมถือติดไปด้วยทุกครั้งตอนไปหาเดียร์ เปิดกระเป๋ารื้อค้นของที่ต้องการออกมา

ผมเดินถือกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินตรงมาหาเดียร์ เปิดกล่องออก แล้วยื่นไปให้เด็กหนุ่ม เดียร์รับมันมาถือไว้ แล้วหยิบแหวนทองคำขาวทรงสี่เหลี่ยมแบบผู้ชายรูปทรงทันสมัย มีเพชรเม็ดเดียวไม่ใหญ่นักประดับอยู่บนเรือนแหวนออกมาจากกล่อง เขาพลิกแหวนไปมาเพื่อดูข้างใน แต่มันไม่มีข้อความอะไรทั้งนั้น เพราะผมไม่ได้ให้ช่างสลักไว้ เพราะเกรงว่าจะเสียรูปทรง และความสวยงามของแหวน เขาทำหน้าผิดหวัง จนผมรู้สึกขำ

“ไม่มีหรอกคำว่า my dear น่ะ เพราะคำนั้น มันไม่จำเป็นต้องไปสลักไว้ที่แหวนหรอก แค่อยู่ในใจของพี่เรียวก็พอ พี่เรียวอยากให้เดียร์มานานแล้วรู้มั๊ยครับ ตั้งแต่วันที่เดียร์ออกไปจากชีวิตพี่เรียว แล้วพี่เรียวก็รู้ว่าพี่เรียวขาดเราไม่ได้ นี่พี่เรียวไปสั่งเขาทำแหวนวงนี้ให้ ที่จริงทำไว้ก่อนวาเลนไทน์ ตั้งใจจะให้เป็นของของขวัญแทนความรักของพี่เรียวที่มีต่อเดียร์ ให้เดียร์ใส่ไว้แทนสร้อยของพี่ที่หายไปไงล่ะ แต่เราก็มางอนกันเสียก่อน แต่พี่เรียวก็เอาติดตัวไปไหนต่อไหนด้วยตลอดเวลาเลยนะ เพื่อว่าถ้าเจอเดียร์เมื่อไหร่ พี่ก็จะมอบมันให้กับเดียร์ ดูสิ ชอบไหม”

“โอ๊ยยยย ขอบคุณมากเลยครับพี่เรียว ผมชอบมากเลย พี่เรียวน่ารักมากที่สุดในโลกเลย”

เด็กหนุ่มโน้มตัวมาจูบผมที่ข้างแก้ม เขายื่นแหวนกลับคืนมาให้ผม แล้วพูดเสียงอ้อนๆว่า

“พี่เรียวสวมแหวนให้ผมหน่อยได้ไหมครับ...”

ใบหน้าอ้อนๆ ที่มีรอยยิ้มอย่างเป็นสุขฉาบฉายไปทั่ว ช่างน่ารักยิ่งนัก ผมคว้ามือข้างซ้ายของเดียร์ขึ้นมาจูบ จากนั้นก็บรรจงสวมแหวนให้ที่นิ้วนางของเขา มันใส่ได้พอดี เด็กหนุ่มยิ้มด้วยความพึงพอใจ เขาชูมือที่มีแหวนที่ผมสวมให้ขึ้นมาดู

“สวยมากเลย พี่เรียวซื้อที่ไหนมาหรือครับ”

เขาถามผม ท่าทางเขาชอบแหวนวงนี้มาก

“ร้านนายทรงพล”

ผมบอกเขายิ้มๆ เด็กหนุ่มหน้างอขึ้นมาทันที

“อีตานั่นทำกับพี่เรียวถึงขนาดนั้น ยังจะไปอุดหนุนเขาอีก”

“ก็แหม ช่างมันเถอะครับ เขาเองก็สำนึกผิดแล้ว คงเลิกเจ้าชู้อีกเด็ดขาด หลังจากถูกน้องแซ่บแทงเอาเจ็บสาหัสขนาดนั้น”

“สงสารแซ่บนะครับ คงคับแค้นใจน่าดู แต่ก็ดีแล้วที่อีตาทรงพลไม่เอาเรื่อง ไม่งั้นผมนี่แหละจะช่วยซ้ำ เกลียดนักตั้งแต่หลอกพี่เรียวไปปล้ำแล้ว ถ้าไม่เห็นกับแซ่บที่ขอไว้ ไอ้แก่นั่นตายคามือผมแน่”

“ดีแล้วล่ะ พี่ไม่อยากให้เดียร์ไปทำร้ายใครรู้ไหมครับ พี่เป็นห่วงเดียร์นะ”

“ครับ ไม่ทำแล้วล่ะ เพราะตอนนี้ผมจะดูแลพี่เรียวไม่ให้คลาดสายตาเลย หน้าหวานๆแบบนี้ ใครๆก็จ้องจะงาบ แต่อย่าหวังเลย เมียผมห้ามใครแตะ”
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่55 28/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: the_pooh9 ที่ 28-03-2009 21:47:46
 :haun4:

พี่น้อง คู่นี้
หวานไปม้ายยยย :m25:
  +1 o13
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่55 28/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: 111_1 ที่ 28-03-2009 21:49:07
 :กอด1: :กอด1:

    :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่55 28/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 28-03-2009 23:24:29
อ่ะนะ
 
"เมียผม ห้ามใครเเตะ"

อ่ะจร๊า คุณน้องเดียร์ แต่อย่าเผลอ ไม่แตะหรอก แต่จะลักพาตัว
ฮ่าๆๆๆๆ


 :laugh:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่55 28/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 29-03-2009 08:58:29
หวานกันซะ :o8:

ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่55 28/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: panpan ที่ 29-03-2009 09:10:58
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่55 28/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 29-03-2009 13:07:14
helblue boys



หวานชื่น รื่นรมณ์



คิคิ



ขอไห้ เป็น อย่าง นี้ ตลอดไป น่ะ คร้าบบบบบ :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่55 28/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: everytime ที่ 29-03-2009 21:34:44
 :pighaun: พี่เรียว ก่ะ น้องเดียร์  :-[



 :-[ มีตอน พิเศษมั้ยเนี่ยยยย :laugh:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่56 30/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 30-03-2009 07:53:45
บทที่ 56

ไม่พูดเปล่า เดียร์กลับรั้งผมไว้ในอ้อมแขน แล้วจูบผมอีกอย่างมันเขี้ยว ผมหัวเราะคิกคักเพราะหนวดที่ขึ้นมาเป็นตอๆของเขาระคายผิวหน้าของผม

“นี่นี่นี่ พี่เรียวครับ ผมเองก็มีอะไรให้พี่เรียวเหมือนกันนะ”

“อะไรล่ะ”

“รับรองพี่เรียวต้องเซอร์ไพรส์แน่ แต่ถ้าเห็นแล้ว ต้องรับปากว่า จะไม่โกรธผมนะ”

ผมพยักหน้า เดียร์จึงลุกขึ้นเดินตรงไปยังกล้องวิดิโอที่เขาตั้งไว้ที่ปลายเตียง ผมใจหายวาบลืมไปสนิทเลยว่าเด็กหนุ่มตั้งกล้องเอาไว้ตรงนั้น ป่านนี้ภาพที่เราสองคนมีอะไรกันคงถูกบันทึกเอาไว้ในวิดีโอจนหมดแล้ว เดียร์ปลดกล้องออกแล้วเดินยิ้มกริ่มมาหาผม เขายื่นกล้องมาให้

“เมื่อกี้ถ่ายไว้หมดเลยเหรอ”

โอ๊ยรู้สึกอับอายจังเลย ผมโมโหตัวเองที่มัวแต่เกิดอารมณ์พิศวาส จนไม่ทันสังเกตอะไร เดียร์ยังไม่หยุดยิ้ม บุ้ยใบ้ให้ผมเปิดดูในกล้อง ผมกดปุ่มเพื่อเปิดดูภาพ แต่ก็พบกับความว่างเปล่า ไล่ไปมาหลายๆปุ่ม ทั้งเดินหน้า ถอยหลัง ก็ไม่เจออะไร ผมชักเอะใจที่ผมไม่พบอะไรเลย

“ไม่มีภาพระหว่างเราเมื่อครู่นี้อยู่ แสดงว่าเมื่อกี้ไม่ได้ถ่ายเอาไว้เหรอ”

“ครับ”

เดียร์ทำหน้าทะเล้น ผมเลยเขกหัวเขาดังโป๊ก เด็กหนุ่มร้องโอ๊ย คลำหัวป้อยๆ

“นี่หลอกพี่เรียวมาตั้งแต่แรกเลยเหรอเดียร์”

“ครับ.... ไม่คิดว่าพี่เรียวจะเชื่อนี่ คนแก่อะไร หลอกง่ายจัง”

“ใจร้าย”

ผมแกล้งงอนเขาบ้าง แต่ใจรู้สึกยินดี ที่ผมมองเดียร์ไม่ผิด เด็กนี่ ไม่มีวันทำร้ายผมจริงๆด้วย เขาแค่ขู่ผมไปอย่างนั้น เพื่อให้ผมตกลงทำสัญญาเป็นแฟนกับเขาอีก เดียร์ช่างน่ารักเสียเหลือเกิน แล้วแบบนี้ จะไม่รักได้ไง

“โอ๋ๆ อย่าโกรธเลยครับ พี่เรียวน่าจะดีใจนะ ที่อย่างน้อยๆ เดียร์ของพี่เรียว ก็ไม่คิดที่จะทำเรื่องไม่ดี เพื่อบังคับให้พี่เรียวมารักนะครับ”

“แต่ก็หลอกจนเชื่อสนิทน่ะแหละ ต้องยอมทำตามสัญญาจนได้”

“ก็ไหนบอกว่า ถึงไม่ทำสัญญาก็ยอมไง”

“มันก็ใช่อยู่ แต่งอนน่ะ ที่เดียร์มาหลอกอีกแล้ว นี่วางแผนการทุกอย่างไว้ตั้งแต่ต้นใช่ไหม”
แสร้งทำเป็นว่ายังไม่หายงอน เดียร์จะได้ง้อผมอีก


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

“ใช่ครับพี่เรียว ที่ไม่พูดกับพี่เรียว หนีตลอดตอนที่พี่เรียวไปหาที่ร้านกาแฟ นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนการอ่ะครับ ก็ถ้าไม่ทำแบบนี้ จะรู้ได้อย่างไรละครับ ว่าพี่เรียวรักผมจริงๆ และอยากให้ผมกลับไป ไม่ใช่แค่รู้สึกผิดที่ทำกับผม หรือยอมเพราะกลัวว่าจะถูกแบล็คเมล์ ตอนที่แกล้งทำเป็นถ่ายรูปพี่เรียวตอนโป๊อ่ะ ก็กลัวพี่เรียวจะจับได้นะครับ แต่พี่เรียวเอาแต่คิดว่าผมจะแก้แค้นเอาคืนกระมัง ก็เลยไม่ทันได้สังเกตว่ากล้องไม่เดินเลยแม้แต่นิดเดียว”

“พี่เรียวก็ไม่เชื่อว่าเราจะทำอย่างนั้นกับพี่หรอก รู้นะว่ารักพี่เรียวมาก แต่ถ้าทำจริงพี่เรียวก็บอกตั้งแต่แรกแล้วไง ว่า ถึงอย่างไร ก็ยอมอยู่แล้ว….”

พูดยังไม่ทันจบประโยค คนที่นั่งข้างๆ ก็คว้าผมเข้าไปกอดแล้วกระซิบถามข้างหู

“จริงอ่ะ”

“จริงสิ”

“รักจังเลย คนแก่โง่.....เป็นผู้ใหญ่แล้วก็ต้องทำตัวให้เชื่อถือได้นะครับ พูดว่ารัก แล้วก็ต้องรักผมจริงๆด้วย อย่าหลอกเด็กนะพี่เรียว มันบาปกรรมนะครับ”

“เด็กบ้า......พูดมากอยู่ได้ ก็บอกไปแล้ว ว่ารักไง ถ้าไม่รักจะยอมให้ถ่ายเหรอ ตอนที่ไม่รู้ว่าเดียร์แกล้งน่ะ พี่เรียวก็คิดไว้แล้วว่าเอาไงเอากัน ยอมเพราะรัก เดียร์ต่างหากล่ะ ต้องสม่ำเสมอกับพี่ด้วยนะ ถ้าพี่เรียวเปลี่ยนตัวเองเพื่อเรา เดียร์ก็ต้องให้ความมั่นใจว่าจะรักและอยู่กับพี่ไปตลอด ห้ามหนีกันไปไหนด้วย รู้ไหม พี่เคยอกหักกับผู้หญิงมาครั้งหนึ่ง เจ็บจนตาย ตอนนี้ พี่เปลี่ยนใจมารักผู้ชาย ไม่อยากจะผิดหวังอีกครั้ง กลัวว่าคราวนี้จะเจ็บมากไปกว่าเดิม”

ผมทวงคำมั่นกับเขา เด็กหนุ่มรับคำ ท่าทางเขาดูจริงจังมาก ใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นฉาบฉายไปด้วยความสุขที่แสดงออกมาให้เห็นทั้งแววตาและรอยยิ้ม ผมกอดเดียร์ตอบอย่างแนบแน่น

“พี่เรียวรักเรามากรู้ไหม เจ้าเด็กปีศาจ มาทำเสน่ห์เล่ห์กลให้พี่เรียวหลงรักจนถอนตัวไม่ขึ้น ถ้ามาทิ้งกันไป เจอดีแน่ ”

ทำเป็นขู่เขาไปงั้นเอง ในใจเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นว่าเดียร์จะไม่มีวันทิ้งผม เด็กหนุ่มไม่ตอบ เขาโอบกอดผมแล้วดันให้นอนลงบนเตียง และจูบซุกไซร้ผมใหม่ ทำท่าจะเริ่มบทอัศจรรย์ต่อ แต่แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นหน้าประตูห้อง มันเป็นเสียงดังปังๆถี่ยิบ เหมือนมีมือของคนหลายคนมาเคาะเพื่อเรียกคนในห้องให้ออกไป เดียร์ทำหน้าอย่างขัดใจ เขาลุกขึ้น แล้วหยิบผ้าขนหนูผืนใหญ่มาพันกาย เดียร์บอกให้ผมเข้าไปอยู่ในห้องน้ำก่อน เดี๋ยวเขาจะจัดการกับมารหัวใจพวกนั้นเอง
ผมถามว่าใคร เขาก็ไม่ยอมตอบ ได้แต่ยิ้มให้ผม แล้วรุนหลังผมให้เดินเข้าห้องน้ำ จากนั้นเขาก็เดินไปเปิดประตูห้อง

เสียงเดียร์เอะอะเอากับพวกที่มาขัดจังหวะความสุขของเราสองคน มีเสียงโวยวายตอบกลับเซ็งแซ่ ผมได้ยินเพราะผมไม่ได้ปิดประตูห้องน้ำ แล้วเสียงเดียร์กับคนพวกนั้นก็ค่อนข้างดังมาก มีเสียงที่ผมคุ้นหูอยู่ด้วย แต่ผมยังจำไม่ได้ในทันทีว่าเป็นเสียงใคร รู้แต่ว่าผมต้องรู้จักคนพวกนั้นแน่นอน

ผมได้ยินเดียร์ทำเสียงดังใส่คนๆหนึ่ง ชื่อของเขา ทำเอาผมถึงกับสะดุ้ง ผมได้ยินเดียร์เรียกคนที่เขากำลังโวยใส่ว่า ไอ้พี่บอย ผมไม่แน่ใจว่าจะใช่ พี่ชายหื่นกามคนที่เคยมีปัญหากับเดียร์หรือเปล่า ถ้าใช่ ทำไมเขาถึงมาปรากฏตัวที่นี่ เขามาตามหาตัวเดียร์หรือเปล่านะ จะเกิดอะไรขึ้นกับที่รักของผมไหม

ตอนแรกที่เดียร์บอกผมว่าห้องนี้ยืมคนที่ชื่อบอยมาผมก็ยังไม่คิดอะไร คิดแต่ว่าคงเป็นเพื่อนของเดียร์ พอมาได้ยินอีกครั้ง มันทำให้ผมสะดุดใจมาก ผมกังวลใจเหลือเกิน อยากจะออกไปยืนเคียงข้างเดียร์เผื่อเขาต้องการความช่วยเหลือ แต่จากการฟังเสียงที่ค่อนข้างดังของเดียร์ ไม่ได้บ่งบอกว่ากำลังมีปํญหาอย่างที่คิด

สิ่งที่ผมได้ยินจากเสียงที่ค่อนข้างดังของเดียร์ก็คือ เขาต่อว่าต่อขานบรรดาคนที่ยืนอยู่หน้าห้องว่า มาขัดขวางความสุขของเขาทำไม เขากับผมปรับความเข้าใจกันได้แล้ว และกำลังรื้อฟื้นความทรงจำที่ดีร่วมกัน

มีเสียงหนึ่งบอกว่า เดียร์ใช้เวลาอยู่ในห้องนานมาก พวกเขารอลุ้นว่าเป็นยังไง เมื่อรู้ว่าเหตุการณ์เป็นไปด้วยดี ก็ขอแสดงความดีใจด้วย

อีกเสียงหนึ่งพูดว่า ให้ออกมาชมโลกภายนอกบ้างได้แล้ว ใจคอจะอยู่ในห้องไม่ออกมาหรือไง เ

ดียร์ก็เถียงคนพวกนั้นว่า ผมกับเขากำลังอยู่ในช่วงข้าวใหม่ปลามัน ขอให้คนพวกนั้นอย่าได้ริอ่านเป็นกว้างขวางคอ มิฉะนั้นจะโดนดีกันถ้วนหน้า

ผมได้ยินเสียงโห่ฮา หัวเราะกิ๊กกั๊ก จากคนเหล่านั้น เป็นทำนองชอบอกชอบใจ

แต่แล้วเสียงของคนที่ชื่อบอยก็ดังขึ้น เขาบอกกับเดียร์ของผมว่า เข้าไปปรับความเข้าใจกันอย่างลึกซึ้งตั้งนานแล้ว ยังไม่พอใจหรือไง นี่มันก็เกือบสองวันเข้าไปแล้ว ควรจะพักซะบ้าง อย่าทำตัวบ้าพลังนักเลย ข้าวปลาอาหารจะไม่กินหรือไง อีกอย่างเขาจะใช้ห้องนี้ด้วย ให้รีบออกมาได้แล้ว เขารู้ว่าทั้งผมและเดียร์คงมีเรื่องที่จะพูดคุยกันมากมาย ตามประสาคู่รักที่เพิ่งกลับมาคืนดีกัน แต่ให้ช่วยไปทำอะไรกันที่บ้านให้ไกลหูไกลตาพวกเขาได้ไหม พวกเขาทนได้ยินเสียงครวญครางดังลั่นอย่างมีความสุขของผมกับเดียร์ไม่ไหวแล้ว มันทำให้พวกเขาตบะแตก และเกิดอารมณ์ แต่ไม่รู้จะไประบายที่ไหน

ผมรู้สึกมีเลือดสูบฉีดไปทั่วหน้า เมื่อได้ยินประโยคนั้น นี่ผมไม่รู้เลยว่า เราสองคนไม่ได้อยู่กันตามลำพัง แต่มีคนอื่นอยู่ด้วย จึงปลดปล่อยอารมณ์ตัวเองออกไปเต็มที่ นึกแล้วก็อายยิ่งนัก

เดียร์หัวเราะดังลั่นด้วยความชอบใจ เขาบอกกับคนเหล่านั้นไปว่า มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ถ้าหากใครมีแฟนน่ารักแบบเขา ก็คงอดใจไม่ไหว แต่เพื่อให้ทุกคนไม่ต้องด่าวดิ้นไปด้วยความริษยา เขาจะพาผมกลับบ้านของเรา ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ห้องนี้อีกต่อไปแล้ว เดียร์ขอเวลาสักครึ่งชั่วโมงเพื่ออาบน้ำอาบท่า เพราะทั้งผมและเขาต่างเหนียวตัวด้วยกันทั้งคู่

คนพวกนั้นเป่าปากกันเปี๊ยวป๊าว แซวเดียร์กับผมเสียงลั่น ผมได้ยินเดียร์ขู่ว่าจะเล่นงานคนพูดมาก พร้อมกับไล่คนพวกนั้นให้ออกไปรออยู่ข้างนอก เดี๋ยวถ้าเขากับผมพร้อม จะลงไปคุยด้วย จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงเดียร์ปิดประตูเป็นการยุติการสนทนา

“พี่เรียวครับ เดี๋ยวเราอาบน้ำกันดีกว่า เราต้องคืนห้องให้เขาแล้วล่ะครับ เจ้าของห้องมาทวงแล้ว เขาว่าเขาจะใช้บ้าง เราสองคนทำให้พวกเขาเกิดอารมณ์กันครับ”

เดียร์เดินเข้ามาหาผมในห้องน้ำ เขาปลดผ้าขนหนูพาดไว้ที่ราว แล้วรั้งผมให้เดินตามเข้าไปนั่งในอ่างสีแสบทรวงนั่น เขาเปิดน้ำ จากนั้น ก็กอดจูบผมอีกครั้ง

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

“เดี๋ยวสิ....ไหนบอกว่าจะอาบน้ำกันไง”

ผมท้วงเสียงสั่น เพราะเดียร์ไม่ยอมหยุด เขาลูบไล้เนื้อตัวผมไปมา

“น้ำยังไม่เต็มอ่างเลย มาต่อกันก่อนนะ เมื่อกี้ถูกขัดจังหวะ เราสองคนยังไปไม่ถึงไหนเลย”

“แต่เราทำกันหลายครั้งมากแล้วนะ พี่เรียวว่า เราควรจะกลับกันได้แล้ว...”

“แค่ 5 ครั้งเอง ไม่เห็นจะมากมายตรงไหนเลย”

เขาทำหน้าดื้อๆ ปากกับมือไม่ยอมหยุดการเคลื่อนไหว ผมรู้สึกปวดหนึบแถวท้องน้อย ความปรารถนาที่มีในตัวของเดียร์ก่อตัวขึ้นมาเรื่อยๆ แต่คราวนี้ ผมต้องพยายามยับยั้งเขา ไม่ปล่อยให้เดียร์ทำตามอำเภอใจ เราไม่ได้อยู่กันตามลำพัง มีคนที่รู้เรื่องของผมกับเดียร์อยู่ในบ้านนี้ด้วย พวกเขารู้ว่าเราสองคนกำลังทำอะไรกันในห้อง ผมไม่อยากจะเดินออกไปจากบ้านนี้ โดยมีสายตาของคนหลายคนมองตามอย่างล้อเลียน

“จะบ้าเหรอเดียร์ พี่ถูกทำ 5 รอบนะครับ พี่เรียวแทบไม่มีเรี่ยวแรงแล้ว แข้งขาก็อ่อนไปหมด ขืนเดียร์ทำอีก พี่ต้องตายคาอกเดียร์แน่เลย”

มีเสียงหัวเราะหึหึหึตอบกลับมา

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับพี่เรียว แต่ไม่เป็นไรนะครับ ถ้าพี่เรียวเหนื่อย ผมหยุดก็ได้ ถึงแม้จะเสียดาย แต่เพื่อพี่เรียวแล้ว ผมไม่อยากจะดึงดัน อยากให้พี่เรียวรู้สึกดีกับมัน เหมือนที่ผมรู้สึก ผมชอบทุกครั้งที่อยู่ในตัวพี่เรียว ผมตระหนักได้ถึงความอบอุ่นเมื่อเราสองคนหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน แค่ 5 ครั้ง ผมยังคิดว่าไม่พอด้วยซ้ำ อยากเข้าๆออกๆในตัวพี่เรียวให้บ่อยกว่านี้อีก”

“แหม ตัวเองเป็นคนทำนี่นา จะไปรู้สึกรู้สาอะไร พี่เรียวถูกทำ บ่อยๆ มันก็ทั้งเหนื่อย แล้วก็เจ็บเหมือนกันนะ”

“ถ้าหากผมทำเบาๆ จะให้ผมทำอีกใช่ไหมครับ”

เดียร์ทำหน้าทะเล้น มือซุกซนของเขาหยอกเย้าอยู่กับน้องชายตัวน้อยของผม

“นี่ หยุดๆพอได้แล้ว ทะลึ่ง แล้วก็ลามกเกินเด็กนะเรา พี่เรียวคิดว่าเรารีบอาบน้ำกันดีกว่านะ เดี๋ยวเจ้าของห้องเขาจะรอ อีกอย่างนะ พี่เรียวว่าห้องนี้ มันดูแปลกๆเหมือนเจ้าของเป็นพวกซาดิสม์ยังไงไม่รู้ รีบคืนห้องให้เขาดีกว่า”

“พี่เรียวไม่ชอบเหรอครับ ที่จริงอุปกรณ์ในห้องนี้น่าสนใจดีนะครับ เจ้าของห้องเขายินดีให้เราใช้อ่ะครับ อยากใช้อันไหน ก็ได้เลย พี่เรียวไม่สนใจบ้างเหรอ”

“ไม่เอา เด็กบ้า........”

เดียร์หัวเราะคิกคัก พอเห็นผมทำหน้าดุๆใส่เขา ที่รักของผม ก็ส่งยิ้มอ้อนๆมาให้

“ก็ได้ครับ ไม่ใช้ของพวกนั้นแล้วก็ไม่ทำต่อตอนนี้ก็ได้ แต่พี่เรียวต้องสัญญานะครับว่า ถ้าไปถึงบ้านแล้ว พี่เรียวจะยอมให้ผมทำอีก”

“ยังไม่เหนื่อยหรือไงหือ.....”

ผมถามเขายิ้มๆ เดียร์ส่ายหน้า

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่56 30/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: โน๊อา ที่ 30-03-2009 07:59:24
มาให้กำลังใจ (หลังจากหายหัวไปนาน)


 :กอด1:


ปล.แจกแต้มคนขยันลงเรื่อง ตอนอากาศร้อนด้วย อิอิ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่56 30/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 30-03-2009 09:56:23
แวะมาอ่าน และขอบคุณคนโพสค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่56 30/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 30-03-2009 10:23:48
 :m25: 5 ครั้ง  :m25:

พี่เรียวฟ้าเหลืองแล้วมั้งหน่ะ   น้องเดียร์

แต่เอ๋ น้องเดียร์กะไอ้พี่บอย ดีกันแล้วเหรอ???? :m28: :m28:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่56 30/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: ltahset ที่ 30-03-2009 11:57:50
 :jul1:

^^
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่56 30/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: everytime ที่ 30-03-2009 13:37:18
 :laugh: น้องเดียร์เอ๋ย!!!!!!!!   :z1:


 o18 ต้องเข้าใจพี่เรียวหน่อยลูก  :impress2:



 :oo1: สังขารไม่เท่ากันอายุปูนนี้แล้ว 5 รอบก็เก่งแล้วลูก :laugh:



 :m7:เดี๋ยวพี่แกก็สำลัก(ความสุข)ตายหรอก  :laugh:

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่56 30/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 30-03-2009 14:00:22
เหอะๆๆๆๆ :haun4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่56 30/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 30-03-2009 15:10:45
อิจฉา อย่าง แรง นิ


ขอไห้ เป็น อย่าง นี้ ตลอด ไป น่ะ
รัก ษาไว้ไห้ดีดี ล่ะ



คิคิ

 :z3: :z3: :z3: :z13: :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่56 30/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: sasa ที่ 31-03-2009 14:55:43
ฮิ้ว....น่ารักเหลือเกิน คนเราเวลามีความรัก แ ละเ ข้าใจ  กันอะไร ๆ ก็สวยงามไปให้ 
มาต่อเร็ว ๆ นะ อ่าน แ ล้วมีความสุข  อ่ะ  :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่56.1 31/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 31-03-2009 15:27:16
บทที่ 56.1

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

“ไม่หรอก มีแรงเหลือเฟือเลยครับ ช่วงที่ไม่เจอพี่เรียวตั้งห้าอาทิตย์น่ะ ผมไม่ได้ยุ่งกับใครเลย ได้แต่เก็บกดอารมณ์เอาไว้ ตอนนี้ ขอชดเชยเวลาที่หายไปก่อนครับ ผมอยากจะสำรวจร่างกายของพี่เรียวให้ทั่ว อยากจับจองเป็นเจ้าของ อยากเก็บรายละเอียดทุกอย่างในตัวพี่เรียวให้หมดครับ อยากจะให้แน่ใจว่าทั้งร่างกายและจิตใจดวงนี้ ของพี่เรียว เป็นของผมอย่างแท้จริง จะได้ไม่ต้องมานั่งคิดมากครับ ว่าใครจะมาแย่งพี่เรียวไปจากผมอีก คิดแล้วก็อยากตั๊นหน้าไอ้เฒ่านั่นนัก อาศัยจังหวะที่ผมเผลอ ปล่อยพี่เรียวคลาดสายตาไปนิดเดียว มันบังอาจคิดจะมาทำร้ายยอดรักของผม โชคดีที่พี่เรียวไม่เป็นอะไรแม้ต่รอยขีดข่วน ไม่งั้นได้เห็นดีกันแน่”

คำพูดของเดียร์ทำให้ผมรู้สึกเป็นสุข เดียร์คอยปกป้องผมเสมอ ใครก็ตามที่คิดจะมาทำร้ายผม หมอนี่ก็จะเป็นฟืนเป็นไฟโกรธเคืองเสียทุกครั้ง ผมอดนึกย้อนไปถึงอดีตตอนที่เราพบกันไม่ได้ จากเด็กวัยเพียงแค่ 14 ปี ที่ซมซานหนีจากบ้านจนมาเจอผมโดยบังเอิญ ชะตาชีวิตที่ลิขิตให้เรานั้นได้อยู่คู่กัน ทำให้ผมได้มีโอกาสช่วยเหลือเขาในครั้งนั้น และอีกหลายครั้งในเวลาต่อมา บัดนี้เขาได้เติบใหญ่เป็นหนุ่มน้อยที่เข้มแข็งทั้งใจและกาย พร้อมที่จะดูแลผมกลับคืนแล้วเขาก็ทำจริงอย่างที่ลั่นวาจาไว้เสียด้วย

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดของเขาที่ทำเอาผมปลื้ม หรือเพราะว่าผมเองก็อยากที่จะให้เขาแตะต้องเนื้อตัวกันแน่ จึงทำให้ผมยอมเป็นของเดียร์อีกครั้งในห้องน้ำนั่น เด็กหนุ่มมีพลังเหลือล้น เขาทำให้ผมรู้สึกร้อนรุ่มเหมือนมีเพลิงเผาผลาญอยู่ทั่วร่างกาย ผมเปิดรับเด็กหนุ่มปล่อยให้เขาเป็นผู้ปลดเปลื้องอารมณ์ให้ผมอย่างเต็มที่ ซึ่งเดียร์ก็ไม่ทำให้ผมผิดหวังเลย เขาทำให้ผมมีความสุขมาก จนเก็บกลั้นไม่อยู่ ต้องพร่ำร้องเรียกชื่อเขาออกมาดังๆ อย่างไม่เกรงกลัวว่าใครจะได้ยินอีกแล้ว

กว่าที่เราสองคนจะออกมาจากห้องน้ำ ก็ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง เดียร์แต่งตัวเสร็จก่อนผม แล้วก็ออกไปเอาเสื้อผ้าที่ให้คนซักตากและรีดเรียบร้อยแล้วมาให้ หลังจากที่ผมแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยด้วยเสื้อผ้าชุดเดิมที่ใส่มา ที่รักของผม ก็พาผมออกจากห้องสีเหลืองแสบตานั่น

ตอนที่เดินลงมายังห้องโถงใหญ่กลางบ้าน ผมรู้สึกเหมือนกำลังเดินเข้าสู่งานปาร์ตี้ของชาวสีรุ้งยังไงยังงั้น มีชายที่ดูเหมือนไม่ใช่ชายแท้ ในเสื้อผ้าหลากสีสัน นั่งบ้าง ยืนบ้าง รายล้อมที่โต๊ะกลางซึ่งวางอาหารหลากหลายชนิดอยู่บนนั้น บ้างก็จับกลุ่มพูดคุยกันส่งเสียงดัง ในจำนวนนั้นมีคนที่ผมรู้จักปะปนอยู่ด้วย ผมรู้สึกแปลกใจที่เห็นเพื่อนรักของผมในสถานที่แห่งนี้ เจ้าสันต์ ควงคู่มากับ เบน แฟนคนใหม่ของเขา ผมไม่รู้ว่ามันรู้เห็นเป็นใจกับเรื่องนี้หรือเปล่า เอาไว้กลับไปบ้านแล้ว ผมจะถามมันให้รู้เรื่อง

น้อยเพื่อนของเดียร์อยู่ในชุดเสื้อผ้าผู้หญิงสีสันสดใส กำลังยืนเชื้อเชิญให้คนเข้ามาตักอาหารทาน อีกฝากหนึ่งของห้อง โสภิตนภา กับ สมฤทัย กำลังยืนหัวร่อต่อกระซิกกับคนที่เคยทำร้ายเดียร์และผม นายบอย พี่ชายใจชั่วที่คิดจะข่มขืนเราสองคน ในขณะที่เพื่อนๆของเขายืนอยู่ใกล้ๆกัน ผมหันไปมองเดียร์ก็เห็นสุดที่รักของผมมองอยู่ก่อนแล้ว เขาคงรู้ว่าผมมีคำถามเกิดขึ้น แต่เด็กหนุ่มไม่ได้ปริปากพูดอะไร เขาคว้ามือผมมากุมไว้ แล้วจูงให้เดินลงมาข้างล่าง น้อยหันมาเห็นเราสองคนพอดี เขาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันดัง
“ออกจากห้องหอกันแล้วเหรอจ๊ะ พ่อหนุ่มรูปหล่อทั้งสอง เอ้าเร้วววว พวกเรา ปรบมือเพื่อเป็นเกียรติกับคู่รักคู่ใหม่ด้วยจ้า”

ทุกคนหันมามองที่พวกเราเป็นตาเดียว จากนั้นเสียงปรบมือก็ดังขึ้น เจ้าสันต์จูงมือเบนเดินตรงรี่มาที่ผมกับเดียร์ และยิ้มให้อย่างกวนๆตามสไตล์มัน

“ว่าไงเพื่อน ต้องถึงกับจูงไม้จูงมือกันเดินลงมาเชียวเหรอ ท่าทางจะปรับความเข้าใจกันอย่างลึกซึ้งน่าดูเลยนะ”

“ไอ้บ้าสันต์ ถ้าไม่รู้จะพูดอะไรที่ดีกว่านี้ ก็เก็บปากไว้จูบกับนายเบนดีกว่านะ ฉันว่า”

ผมด่ามัน รู้สึกอายเหมือนกันที่ถูกมันแซวซึ่งๆหน้าแบบนี้ ถึงแม้ว่าผมจะรับเดียร์เข้ามาในชีวิต ตกลงเป็นแฟนกันแล้ว แต่ผมก็ยังไม่ชินกับการเปิดตัวเช่นนี้ คงต้องค่อยเป็นค่อยไปกว่าที่ผมจะทำใจยอมรับได้อย่างไม่ขัดเขิน

“แหม...ดูพูดกับเพื่อนเข้า แซวแค่นี้ ทำเป็นโกรธ .....ดีใจด้วยนะโว้ย เพื่อนรัก ที่นายยอมรับเจ้าหนูเดียร์เป็นคู่ชีวิต ต่อไปนี้นายจะได้มีคนดูแลเสียที ฉันเชื่อว่า เจ้าหนูคนนี้ คงจะทำให้นายมีความสุขได้อย่างแน่นอน”

สันต์แสดงความยินดีด้วยการตบหลังตบไหล่ผม ท่าทางของมันแสดงให้รู้ว่ามันยินดีกับผมแค่ไหน

ผมยิ้มให้เพื่อนรักและกล่าวขอบคุณเจ้าสันต์ที่มันเป็นเพื่อนที่หวังดีกับผมมาโดยตลอด

สันต์หันมาทางเดียร์และหลิ่วตาล้อ เด็กหนุ่มยิ้มทะเล้นให้แล้วดึงผมมากอดและจูบที่แก้มผมต่อหน้าสันต์ พลางพูดว่า

“ผมเคยพูดกับพี่สันต์ว่าผมจะทำทุกอย่างเพื่อพี่เรียว และถึงตอนนี้ผมก็ได้โอกาสนั้นแล้วที่จะพิสูจน์ความจริงใจของผม รับรองว่าพี่เรียวต้องมีความสุขแน่นอนครับ ผมสัญญา”

“ไม่ต้องรับคำมั่นเหมาะแบบนั้นก็ได้ พี่เชื่อว่าเดียร์ทำได้”

เพื่อนรัก กับ สุดที่รัก ยิ้มให้กัน ผมอดรนทนไม่ได้ ต้องลากเจ้าสันต์มาถาม ทั้งๆที่ตั้งใจจะเก็บความสงสัยไว้ไปถามไถ่กันทีหลัง

“นี่พวกนายวางแผนกันไว้หรือเปล่าเนี่ย ทำไมถึงมาโผล่ที่นี่ได้ แล้วมากันพร้อมหน้าเชียวนะ น้อย ก็มา เจ้าบอยนั่นด้วย”

“วางแผนไร....เปล่านี่.....ไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากทำตามคำขอของเจ้าหนุเดียร์ คือ ไปอยู่กับเบนสักพัก ไม่ต้องยุ่งกับเรื่องนี้ จนกว่าแผนเขาสำเร็จ เดียร์ถึงจะชวนมาเป็นพยาน”

เป็นแบบนี้นี่เอง มิน่าล่ะ พอผมโทรไปหาขอคำปรึกษาเรื่องที่เดียร์เมินเฉยต่อผม สันต์กลับทำเป็นไม่ใส่ใจ ให้ความห่วงใยกับเบนมากกว่าผม ทั้งๆที่ตามปกติ หากผมได้รับความทุกข์ร้อน มันก็จะยื่นมือเข้ามาช่วยเสมอ ที่แท้มันก็ร่วมมือทางอ้อมกับนายเดียร์ของผม จัดฉากเรื่องนี้ขึ้นมา มันบอกผมว่า เพราะผมไม่ยอมเอ่ยคำว่ารักสักที ปากหนักอยู่ได้ เพื่อนฝูงก็พากันลุ้นจนเหนื่อย เดียร์เองก็รับรู้แล้วว่านายต้องการเขา เพราะเดียร์อ่านทั้งอีเมล์ และข้อความที่ผมฝากไปทางน้อย และเพื่อนคุณแคท แต่เดียร์ก็ไม่แน่ใจว่าผมรักเขาจริงหรือเปล่า จึงต้องหาทางพิสูจน์ความจริงใจของผม
“แล้วนายบอยมาเกี่ยวอะไรด้วย”

ผมหันไปถามเดียร์ น้อยซึ่งยืนฟังอยู่ เลยชิงตอบขึ้นมา

“นายบอยเขาให้ยืมบ้านนี้ค่ะ เพราะเดียร์ไม่รู้จะลักพาตัวคุณไปไว้ที่ไหน พอนายบอยเสนอมา น้อยกับเดียร์เห็นสภาพบ้านมันซาดิสม์ดีก็เลยตกลงค่ะ”

“อ้าว แล้วเดียร์กับนายบอยดีกันตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะครับ”

คราวนี้ยอดรักของผมเป็นฝ่ายไขข้อข้อใจ

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่56.1 31/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 31-03-2009 15:28:03
“ก็ตั้งแต่คราวที่น้อยกับพวกไปจัดการไอ้พี่บอยนั่นแหละครับ จัดการกันอีท่าไหนไม่รู้ พี่บอยดันติดใจเพื่อนนักมวยของน้อยขึ้นมา เลยผูกใจรักใคร่กัน ท่าทางคงจะหลงกันมากด้วย พี่บอย กลายเป็นลูกแมวเชื่องๆเลยอ่ะครับ แฟนให้ทำไรก็ทำ โดนขู่ไว้มากด้วย ว่าถ้าก่อเรื่องจะเจ็บตัวแถมโดนทิ้งด้วย ก็เลยกลัวหงอเลย นี่เขาถูกบังคับนะครับให้มาคืนดีกับผม เพราะมันตลกที่แฟนเขาเป็นเพื่อนน้อยกับเพื่อนผม ส่วนเขาเป็นพี่ชาย แล้วจะมาบาดหมางใจกัน ก็เลยพูดกันมาได้สักพักแล้วครับ ขอโทษทีที่ไม่ได้เล่าให้เรียวฟังอ่ะครับ ไม่คิดว่ามันจะสำคัญอะไร”

นั่น แล้วปล่อยให้เราเป็นห่วง ทีงี้ไม่บอกกันหรอก ไหนว่าเรื่องทุกอย่างต้องบอกกัน ไม่ปิดบังไง ทำไมตัวเองยังทำเลย ชิส์ ชิส์ ชิส์ ผมนึกหมั่นไส้ในใจ แต่ไม่ได้ พูดอะไรออกมา อารมณ์กำลังดีกันทั้งคู่ไม่อยากงอนเขาให้อารมณ์บูดกันอีก

“เดียร์ พาคุณเรียวไปหาอะไรทานก่อนเถอะ ใช้พลังกันมาซะเยอะ ไม่ยอมออกมากินข้าวกินปลา ท่าทางคงจะหิวโซกันน่าดูเลย เดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้งไปซะ”

เจ้าสันต์ไล่ผมให้ไปทานข้าว เดียร์ยิ้มให้ทุกคน แล้วจูงมือผมตรงไปยังซุ้มอาหาร

สมฤทัย และโสภิตนภาเดินเข้ามาหาเราสองคน แล้วกล่าวแสดงความยินดีที่เราตกลงเป็นแฟนกัน ผมชักเขินที่แต่ละคนทำราวกับผมกับเดียร์เพิ่งแต่งงานกัน แล้วทั้งหมดนี้คือญาติผู้ใหญ่ของเดียร์ที่ต้อนรับเจ้าสาวเข้าบ้าน คำแซวพวกนั้นทำให้เดียร์หน้าบานเป็นกระด้ง แต่ผมเดินตัวลีบ รู้สึกแปลกๆที่อยู่ในที่ที่มีแต่เกย์ เต็มไปหมด ยังไม่ชินกับการที่จะทำตัวเป็นคนกลุ่มเดียวกันกับพวกเขา คงต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่เพื่อเดียร์แล้วผมทนได้

“ไม่ต้องเขินครับเรียว พวกนี้เขาอยากแสดงความยินดีกับเราสองคนน่ะครับ”

เดียร์กระซิบบอกที่ข้างหู เขายืนเคียงข้างผม เอาจานมาตักอาหารให้ เอาอกเอาใจชี้ชวนให้ทานโน่นนี่สารพัด เราสองคนทานอาหารมื้อแรกแห่งวันอย่างหิวกระหาย พอหันมาเห็นอีกฝ่ายที่กินไม่ยอมหยุด ต่างคนก็ต่างหัวเราะ

ผมแอบมองคนข้างตัวเป็นระยะ เขาช่างน่ารักเหลือเกิน แถมซ้ำยังเจ้าเล่ห์ด้วย ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างผมจะหลงกลเขาจนได้
“ขอแสดงความยินดีนะน้องชาย ที่ในที่สุดคนที่นายรัก ก็ยอมตกลงปลงใจกับนายเสียที ยินดีกับคุณเรียวด้วยนะครับ เจ้าเด็กนี่มันเหมือนคู่สร้างคู่สมกับคุณมาจริงๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขอบคุณผมนะ คุณสองคนเจอกันก็เพราะผม เข้าใจกันก็เพราะผม และคืนดีกันก็เพราะผม นับว่าผมเป็นคนที่มีส่วนช่วยให้ความรักของคุณสมหวัง ถือว่านายเป็นหนี้บุญคุณฉันนะโว้ย”

นายบอยเดินเข้ามาสมทบอีกคน พลางยื่นมือมาจะจับมือผม แต่ผมไม่ยื่นมือออกไป ยืนตัวแข็งทื่อด้วยความหวาดระแวง นายบอยมองหน้าผมอย่างเข้าใจ ชักมือกลับ แล้วหันไปทวงบุญคุณกํบคนรักของผม

เดียร์ยิ้ม และบอกว่าจะไม่ลืมบุญคุณเลยที่มีส่วนช่วยให้เขาได้เจอแฟน แต่เด็กหนุ่มก็ย้อนว่า เขาได้เจอคนรักคนปัจจุบันก็เป็นเพราะเดียร์เหมือนกัน ดังนั้นต่างคนต่างตอบแทนกันแล้ว อย่ามาทวงบุญคุณอีก ทั้งสองคนเลยหัวเราะให้กัน ท่าทางเหมือนจะลืมเรื่องบาดหมางได้สนิทใจ

งานเลี้ยงนั้นผ่านไปด้วยความชื่นมื่น สนุกสนาน ผมเริ่มคุ้นเคยกับเพื่อนของเดียร์หลายคน ทั้งแดนเซอร์ และ พวกนักมวย พวกเขาหยิบยื่นไมตรีจิตให้กับผม ให้การต้อนรับราวกับว่าผมเป็นสมาชิกในสังคมของเขา เป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นญาติมิตร เป็นครอบครัว ทำให้ผมรู้สึกดีกับคนเหล่านั้นมาก

ในขณะเดียวกัน ผมก็คลายความรังเกียจที่มีต่อนายบอยลง เมื่อเขากล่าวคำขอโทษผม เขาให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่ประพฤติปฎิบัติตนเป็นคนไม่ดีอีกแล้ว เพราะผลของการทำตัวเกเรทำให้เขารับผลแห่งการกระทำของตัวเองอย่างเจ็บแสบ นายบอยสำนึกได้แบบนี้ ผมก็อดใจอ่อนไม่ได้ ยอมให้อภัยกับการกระทำที่ขาดเขลานั้น

งานเลี้ยงเลิกราประมาณ 4 ทุ่ม ไม่มีใครอยากอยู่ดึก เพราะพรุ่งนี้ยังเป็นวันทำงาน ต่างคนต่างแยกย้ายกันไป

เราสองคนพากันกลับมายังบ้านที่เป็นเสมือนวิมานของเรา เดียร์ทำตัวตลกมาก พยายามจะเลียนแบบเจ้าบ่าว ด้วยการอุ้มเจ้าสาวข้ามธรนีประตู เขาช้อนร่างผมขึ้น แม้ผมจะปฏิเสธอย่างไร เขาก็ไม่ฟัง ทำตามความคิดของตัวเองจนได้ เขาพาผมไปวางไว้บนเตียงนุ่ม จากนั้นเราสองคนก็ทบทวนความทรงจำที่มีต่อกัน

“เดียร์อ่านการ์ตูนด้วยหรือ เรื่องอะไรอ่ะ”

ผมถามเด็กหนุ่มเมื่อเห็นว่าเขายังไม่นอน แต่หยิบหนังสือการ์ตูนออกมาอ่าน เด็กเอ๋ยเด็ก โตป่านนี้แล้ว ยังอ่านการ์ตูนอยู่ได้

“เสียงกระซิบจากความรักครับ การ์ตูนเรื่องนี้สนุกมากเลยนะครับ ลายเส้นก็สวย ผมชอบมากเลย เนื้อเรื่องก็สนุกมา”

“ไหนพี่เรียวยืมอ่านบ้าง”

ผมยื่นมือออกไป เดียร์ทำท่าไม่อยากให้ แต่เมื่อเห็นผมทำท่าอ้อน เขาก็เลยวางมันลงบนมือผมอย่างเสียไม่ได้ เด็กหนุ่มทำตาโตแป๋วแหวว ขณะจ้องมองผมพลิกหนังสือการ์ตูนไปมา

“เอ๋ ตัวเอกถูกจับใส่กุญแจมือ ถูกบังคับให้เป็นแฟนกับพระเอก...หืม ทำไมมันคุ้นๆนะ แล้วก็มีการทำสัญญาผูกมัดเป็นแฟนอีก…”

ผมหันมามอง ทำหน้าล้อๆ เดียร์หัวเราะแหะๆ


หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่56.1 31/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 31-03-2009 15:28:41
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

“นี่ที่รักทำกับพี่โดยเลียนแบบการ์ตูนเรื่องนี้หรือครับ”

“ก็ คิดว่า น่าจะทำได้จริงนี่นา ตอนแรก คิดว่ามันแค่การ์ตูน คงไม่มีวันทำได้จริงหรอก แต่ก็ไม่รู้จะใช้วิธีไหน ก็ลองทำดู เพราะพี่เรียวน่ารัก ใจดี ขี้สงสารอ่ะ เลยถูกหลอกง่าย ๆ ถ้าเป็นคนอื่น ผมคงถูกเตะตายไปแล้ว”

“เจ้าเล่ห์นักนะเรา”

ผมต่อว่าเขา เดียร์ทำท่าอ้อนใส่

“ก็เพราะรักหรอกนะ เลยพยายามหาวิธีต่างๆที่จะได้ตัวพี่เรียวมาไง”

“ถ้าพี่ได้อ่านการ์ตูนเล่มนี้ก่อน เดียร์ไม่มีทางทำสำเร็จแน่”

พูดกับเขายิ้มๆ เดียร์โอบกอดผมไว้

“ไม่หรอก ผมก็จะหาวิธีการอื่นๆมาใช้กับพี่เรียวอีกนะครับ จนกว่าพี่เรียวจะนึกรักผม”

เดียร์จบประโยคนั้น ด้วยการจูบผมที่หน้าผาก และแก้ม ผมเบียดกายเข้าหาเด็กหนุ่ม ปิดเปลือกตาลง และในที่สุดก็หลับไปในอ้อมกอดที่แสนจะอบอุ่นนั่น

เช้าวันรุ่งขึ้น ผมขอเข้าพบหัวหน้าแต่เช้า เพื่อบอกสิ่งที่ตัวเองได้ตัดสินใจไว้แล้ว ผมยื่นใบลาออกให้กับหัวหน้า ด้วยเหตุผลที่ว่า ผมทำตัวไม่เหมาะสม กับความไว้วางใจที่เขามอบให้ และผมไม่ต้องการทำให้ฝ่ายเสื่อมเสียชื่อเสียง ผมไม่อาจจะทำตามสิ่งที่เขาร้องขอได้ เพราะผมไม่อาจจะอยู่อย่างไร้หัวใจ ผมได้เลือกเส้นทางของตัวเองแล้ว และขอความกรุณาเขาอย่าได้เหนี่ยวรั้งผมไว้เลย

เจ้านายมีสีหน้าตกใจเมื่อได้ยิน เขาพยายามที่จะยื้อผมไว้ โดยให้เหตุผลต่างๆนานา แต่ก็ไม่อาจจะรั้งผมเอาไว้ได้ เพราะผมได้ตัดสินใจเลือกทางเดินให้กับตัวเองแน่นอนแล้ว และจะไม่มีวันเปลี่ยนใจ เมื่อผมยืนกรานแบบนั้น เขาก็พูดอะไรไม่ออก บ่นแต่ว่าเสียดายคนดีมีฝีมือที่ต้องจากไป แต่เขาก็เคารพการตัดสินใจของผม แม้ว่าเขาจะไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ ที่ผมเลือกหัวใจมากกว่าเลือกงาน แต่เขาก็รู้ว่า นั่นคือความสุขในชีวิตที่ผมต้องการ

เขาถามว่าเมื่อผมลาออกจากงานแล้ว ผมจะทำอะไร ผมบอกกับเขาไปตามตรงว่ายังไม่ได้คิดเอาไว้ เพราะตัดสินใจกระทันหัน บางทีอาจจะหยุดพักผ่อนสักเดือนหนึ่ง จากนั้นค่อยลุยงานต่อ อาจจะลงทุนทำร้านอาหารสักร้าน หรือไม่ก็เปิดโรงเรียนสอนเต้น สองอย่างนี้ผมไม่ได้บอกกับหัวหน้าว่าเป็นการทำความฝันของเดียร์ให้เป็นจริง

เจ้านายของผมอวยพรยืดยาว ขอให้ผมประสบความสำเร็จ และมีความสุขในหน้าที่การงาน หากเมื่อใดที่ทั้งสองสิ่งนั้นไม่ประสบความสำเร็จ ผมสามารถกลับเข้ามาทำงานที่บริษัทได้ทุกเมื่อ ผมกล่าวขอบคุณเขา แล้วก็ลาจากมา โดยไม่ลืมให้คำมั่นสัญญาว่า ผมจะอยู่ช่วยเขา จนกว่าจะสรรหาบุคลากรใหม่ที่จะแทนที่ผม หรือไม่ก็รอจนกว่าจะครบสามเดือน


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่56.1 31/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 31-03-2009 15:29:37
ขอดองตอนส่งท้ายไว้นะ เดือนหน้ามาต่อให้ อิอิ :bye2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่56.1 31/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: everytime ที่ 31-03-2009 16:07:27
 :-[ ในที่สุดก็จบแบบ HAPPY หุหุหุหุ  :impress2:


 :bye2: จะรอตอนส่งท้ายนะ  o13
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่56.1 31/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 31-03-2009 20:35:14
มีความสุขเสียที เลิกระแวงกันแล้ว

เดือนหน้าก็พรุ่งนี้สิค่ะ รอได้ค่ะรอได้ :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่56.1 31/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: the_pooh9 ที่ 31-03-2009 21:05:37
อยากอ่านตอนจบจังค่ะ

แต่ไม่อยากให้ จบเลย o13
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่56.1 31/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 01-04-2009 10:47:28
 :mc4: :mc4: :mc4:

เดียร์เจ้าเล่ห์จริงๆ  แต่เจ้าเล่ห์แบบนี้ เรียวรักตายเลย
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่56.1 31/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: ltahset ที่ 01-04-2009 11:58:32
น่ารักอะ

รอตอนส่งท้ายค่ะ


^^

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่56.1 31/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 01-04-2009 16:19:25
ไม่มีรักไหน ที่ดีทุกวัน


ยิ่งนานยิ่งผ่านเรื่องราวมากมาย


ที่คอยทดสอบ และลองใจกัน


 :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่56.1 31/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: b_hihi ที่ 02-04-2009 07:50:21
ง่า

พูดอย่างนี้เหมือนเรื่องนี้ใกล้จบแล้วเลย

งือ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่56.1 31/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 03-04-2009 09:14:45
ขอไห้ความรักที่เกดขึ้นมา นั้น อยู่ตลอลกาล



ขอไห้ความรักที่เกิดขึ้นมานั้น เป็น รัก นิรันด์



มาต่อ ได้ แร้ววววววววววววววว :z13: :z13: :z13: :z13: :z13: :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่56.1 31/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: jaideejung007 ที่ 03-04-2009 18:18:02
นิยายเรื่องนี้ น่าจะได้รับรางวัลดีเด่น ปี2551 น่ะ

หนุกมากๆ เนื้อหาของเรื่องแบบละเอียดยิบ

คนแต่งนี้ก็เก่งจิงๆ เลย ปรบมือให้

แต่งได้ดีจิงๆ

โอ๊ย ไม่มีคำจะชมแล้ว

แค่บอกว่า พี่ Katesnk เยี่ยมมาก.....


โจ้คับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่56.1 31/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: the_pooh9 ที่ 03-04-2009 22:27:58
มารอนะ ฮับ  o22
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่56.1 31/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 04-04-2009 14:15:45
หวานซะจนอิจฉาเลย  ชอบมากเลยอะ พี่เรียว  เดียร์จ๋า
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่56.1 31/3/09
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 05-04-2009 18:54:54
แวะมารอค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทส่งท้าย 5/4/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 05-04-2009 21:16:19
บทส่งท้าย

ผมเคยฝันมาตลอดว่าจะได้แต่งงานแล้วก็มีครอบครัวที่อบอุ่น มีภรรยาที่ทั้งสวย น่ารัก และแสนดี งานบ้านงานเรือนไม่ขาดตกบกพร่อง โดยเฉพาะเรื่องบนเตียง เธอจะต้องไม่เขินอาย และยินยอมพร้อมใจที่จะมีเพศสัมพันธ์กับผมได้ตลอดเวลา

ในยามที่ผมเหนื่อยล้าจากงานกลับมาถึงบ้าน เธอก็จะเปิดประตูออกมาต้อนรับ ยิ้มทักทายการมาถึงของผม เข้ามาจูบรับขวัญ เอาน้ำเย็นมาให้ แล้วก็ถามผมว่าอยากทานอะไรก่อน ระหว่างอาหารเย็น หรือตัวเธอ แน่นอนผมคงต้องตอบว่า กินเธอก่อนกินอาหารเย็น เพราะคงจะช่วยเรียกความสดชื่นให้ผมก่อนทานอาหารได้เป็นอย่างดี

แต่สิ่งที่เผชิญอยู่ ณ ปัจจุบันนี้มันแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อผมกลับมาถึงบ้าน คนที่รอผมอยู่กลับกลายเป็นเด็กหนุ่มลูกครึ่งหน้าทะเล้น (แถมหน้าด้าน) ซึ่งจะมายืนรอหน้าประตูทุกครั้งเมื่อได้ยินเสียงรถของผมแล่นเข้ามา เขามักจะรี่เข้ามาหาแล้วกอดรัดผมไว้ในวงแขน จากนั้นก็จูบรับขวัญผม นัวเนียไม่ยอมห่าง จนกว่าผมจะผลักไสเขาออกไปเอง

“กลับมาแล้วหรือครับ คิดถึงจังเลยรู้ไหม วันนี้กลับมาช้าไปห้านาทีนะครับ เป็นห่วงจะแย่ คราวต่อไปอย่ากลับมาผิดเวลานะครับ ผมใจจะขาดแล้ว”

ประโยคเดิมที่พูดซ้ำๆ แถมยังชอบทำตัวเป็นผู้จับเวลาคอยดูไม่ให้ผมเถลไถลไปไหน ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นครอบครัวเพียงแต่ว่ากลับบทบาทกันเท่านั้น

ผมจะแสร้งเบ้หน้าใส่เดียร์ทุกครั้ง ทำราวกับว่าคำพูดที่หวานเลี่ยนของเขาก่อให้เกิดความคลื่นไส้ แต่นายเดียร์คนรักของผมก็รู้ว่าผมไม่ได้รำคาญเขาจริงๆอย่างที่แสดงออก จึงแกล้งผมด้วยการคลุกคลีไม่ยอมหนีหายไปไหน

“พี่เรียวไปทำธุระเสร็จก็รีบกลับบ้านมา ไม่เถลไถลไปไหนเลยนะครับ อยากเจอหน้าสุดที่รักของพี่ใจจะขาด แต่วันนี้รถมันติดมากจริงๆจริงๆนะ”

ผมอธิบายเหตุผลของการกลับบ้านช้า เดียร์ยิ้มร่า เขาไม่ได้โกรธผมหรอกที่มาไม่ตรงเวลา หากผมมีเหตุผลพอ ถึงแม้ว่าเดียร์จะขี้หึง และ ทำท่าหวงผมกับคนอื่นๆ แต่เดียร์ก็เป็นเด็กที่เข้าใจในเหตุผลทุกอย่าง

เขารู้ว่าผมไม่มีวันนอกใจเขาไปเป็นของคนอื่น แต่ที่เขากังวล คือกลัวว่าคนอื่นจะพยายามมาแย่งผมไปจากเขาต่างหาก

“พี่เรียวอยากจะรับอะไรก่อนดีครับ อาหารเย็น หรือว่า น้องเดียร์สุดหล่อจอมพลัง”

เดียร์มักจะถามผมแบบนี้ทุกครั้งหลังจากที่เขาเอาน้ำเย็นๆมาบริการผมเรียบร้อย

“อาหารเย็นก่อน....”

ผมจะตอบแบบนี้เวลาที่เดียร์ถาม แล้วยอดรักของผมก็จะพูดอย่างนี้ทุกที

“หมดเวลาในการตอบแล้วครับ เอางี้ ผมเลือกให้แล้วกันนะ กินผมก่อน เป็นออเดิร์ฟ แล้วค่อยทานมื้อหนัก ตัวผมน่ากินนะครับ หอมสะอาด เพราะเพิ่งอาบน้ำมา ใช้ครีมอาบน้ำกลิ่นใหม่ด้วย พิเศษสำหรับวันนี้ นะครับพี่เรียว มีโปรโมชั่นที่ฟังแล้วต้องถูกใจแน่ๆ ทำหนึ่งครั้ง แถมให้อีก 1 ครั้งด้วย สนใจไหมครับ”
จากนั้นเขาก็จะอุ้มผมไปที่เตียงนอน โดยไม่รอให้ผมพูดจบ หรือตัดสินใจเลย หวานใจของผมยิ่งโตขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตัวใหญ่แล้วก็แข็งแรงมากขึ้นเท่านั้น เดียร์แบกผมได้สบายๆ

เมื่อเขาพาผมถึงเตียง เขาก็ไม่รอรั้งที่จะปรนเปรอรสสวาทเป็นออเดิร์ฟก่อนอาหารค่ำให้ผมอย่างถึงอกถึงใจ วันละครั้งก่อนอาหารเย็น เป็นสิ่งที่เขาปฏิบัติต่อผมเป็นประจำ แรกๆก็รู้สึกแปลกๆ แต่ตอนหลังก็เริ่มชิน เจ้าเด็กบ้านี่ปฏิบัติต่อผมอย่างนุ่มนวลอ่อนหวาน แต่ก็เร่าร้อนในที เขาทำให้ผมลืมความรู้สึกตอนมีอะไรกับผู้หญิงจริงๆไปเลย

“เดียร์จ๋าเดียร์ ทำไมถึงไม่ให้พี่เรียวเป็นฝ่ายทำบ้างล่ะครับ อย่าลืมนะว่าพี่เรียวก็ทำเป็น เคยมีอะไรกับผู้หญิงมาก่อนด้วย”

คราวนี้ผมทักท้วงเขา ขณะที่เด็กหนุ่มกำลังพยามยามที่จะถอดเสื้อผมออกจากตัว เดียร์ชะงัก หันมาทำหน้าฉงน

“จริงๆเหรอครับ พี่เรียวอยากเป็นฝ่ายทำบ้างหรือ ว่าแต่พี่เรียวทำเป็นหรือเปล่าครับ ที่ว่าทำกับผู้หญิงมาก่อนนะ เคยทำแบบที่ผมทำให้พี่เรียวบ้างไหม”

“อื้ม....ไม่เคยหรอก แต่หัดได้ไม่ใช่เหรอ เดียร์เองก็ทำกับพี่เรียวเป็นคนแรกนี่นา”

ผมถามเดียร์อย่างหยอกเย้าไปถึงเหตุการณ์วันแรกที่มีอะไรกัน เดียร์ทำหน้าเขินๆ

“ใครบอก ผมมีอะไรกับเรียวจังมาก่อน.....”

“ไม่เอา.....เรียวจังน่ะไม่นับหรอกเพราะเป็นตุ๊กตา เดียร์มีอะไรกับพี่เป็นคนแรก จากนั้นเดียร์ยังมาฝึกฝนฝีมือกับพี่เรียวตลอดเลยอ่ะ”

“แหม......นั่นมัน.....ก็ผมไม่อยากให้ตัวเองแปดเปื้อนไปมีอะไรกับใครอื่นก่อนจะมีกับพี่เรียวนี่นา ผมเก็บของผมไว้ให้พี่เรียวใช้โดยเฉพาะเลยอ่ะ”

ฟังแล้วช่างน่าปลื้มใจจัง ที่รักของผม หวงเนื้อหวงตัวยังกับผู้หญิงเพื่อให้ผมคนเดียว เด็กหนอเด็ก ตอนนั้นไม่ทำไม่เป็นไร แต่ตอนนี้ ห้ามไปทำเจ้าชู้กับคนอื่นก็แล้วกัน ผมหวง

“แล้วทำไมต้องให้พี่เรียวเป็นฝ่ายรับล่ะครับ ทั้งๆที่เดียร์ก็รู้ว่าพี่เรียวเองก็มีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน ถือได้ว่าเชี่ยวชาญเชียวนะ เดียร์ไม่รู้อะไรเลย หัดแต่กับตุ๊กตา เดียร์ควรจะเป็นฝ่ายรับสิ ถึงจะถูก”

“ก็ของผมใหญ่กว่าพี่เรียวนี่นา ผมก็ควรจะเป็นฝ่ายทำสิ ใครใหญ่กว่าได้ทำ จริงไหม”

เด็กหนุ่มหาเหตุผลมาอ้าง ผมหัวเราะเขาที่เอาเรื่องนี้มาเป็นตัวบ่งบอกว่าใครควรรับ ควรรุก

“ขี้โกงนี่นา ตัวเองอ่ะ มีครึ่งของคนต่างชาติอยู่ในตัว ก็ได้เปรียบคนไทยแท้ๆอย่างพี่เรียว จะเอามาวัดกันได้ที่ไหน แล้วของอย่างนี้ มันก็เทคนิคใครเทคนิคมันนะ ขนาดอย่างเดียวบอกไม่ได้หรอกว่าอย่างไหนทำให้คู่ของตัวมีความสุขได้มากกว่ากัน”


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ผมแสดงความคิดเห็นแย้งเดียร์ออกมา ที่รักของผมหน้าแดงก่ำมากขึ้นกว่าเดิม คงจะอายที่เหตุผลที่เขายกมาอ้าง มันฟังไม่ขึ้น

“อันที่จริง ผมก็อยากเป็นของพี่เรียวเหมือนกันนะครับ เพราะสงสารพี่เรียวมากเลย ต้องเจ็บตัวเพราะผมทุกวัน แต่ผมกลัวว่าพี่เรียวจะรังเกียจผม ก็แหม ตอนนั้นน่ะ พี่เรียวเหม็นขี้หน้าผมอย่างกับอะไรดี ขืนเสนอตัวเป็นฝ่ายรอรับ ชาตินี้ทั้งชาติ ผมไม่มีทางได้แอ้มพี่เรียวหรอก”

จริงสินะ ผมไม่เคยคิดที่จะมีอะไรกับเกย์มาก่อน แต่ว่า ถ้าผมไม่ยอมเป็นฝ่ายทำ ผมก็จะต้องเป็นฝ่ายถูกทำ เพื่อความสมดุลกัน ผมควรจะเป็นฝ่ายทำเขาบ้าง เดียร์จะว่าไงบ้างนะ ถ้าวันนี้ผมจะเป็นฝ่ายรุกเขา

“เราน่ะมันโตเกินตัว เวลามีอะไรกัน พี่ก็เจ็บนะ”

“ต้องซ้ำหลายๆครั้ง มันถึงจะหายน่ะ เพราะพี่เรียวจะเริ่มชินไปทีละน้อยไงครับ หลังความเจ็บปวด ก็จะมีความสุขตามมาทุกทีจริงไหม ผมสังเกตเอาจากเสียงร้องครางของพี่เรียว เดี๋ยวนี้ ครางบ่อยมาก เสียงดังได้อารมณ์ดี”

เด็กหนุ่มทำหน้ากรุ้มกริ่ม เขาส่งสายตาหวานเยิ้มมาให้ผม มีแววหยอกเย้าอยู่ในนั้นด้วย

“บ้าสิ ครางเพราะเจ็บต่างหาก เดียร์น่ะบ้าพลังจะตาย”

ผมต่อว่าเขายิ้มๆ เดียร์หัวเราะพลางโน้มตัวมาหาผมอีกครั้ง แล้วปิดปากที่กำลังพูดของผมด้วยปากของเขา เดียร์แทรกลิ้นเข้าไปข้างใน

“ผมรักพี่เรียวครับ”

เขาพึมพำเบาๆ ขณะที่กำลังแลกจูบกับผมอยู่

“อืม พี่รู้จ้า”

ผมงึมงำตอบเขา เดียร์ส่งเสียงหัวเราะในลำคอ เราจูบกันจนพอใจแล้ว เดียร์ก็เลื่อนมาจูบผมที่คอ และไล่ต่ำลงมาที่หน้าอก เขาไล้ลิ้นวนเวียนอยู่แถวๆยอดอกของผม พลางพูดเสียงกระเส่าอยู่ตรงบริเวณนั้น

“รักพี่เรียวมากที่สุดในโลกเลย รักมาก....”

“อ๊า .....จะ จ้า ....พี่เรียวก็รักเดียร์เหมือนกัน”

ผมตอบเขาเสียงกระเส่าด้วยเหมือนกัน เพราะเดียร์ยังไม่หยุดแลบเลียลิ้นของเขา ปากและลิ้นของเด็กหนุ่มยังโจมตีแถวบริเวณหน้าอกผมไม่หยุดยั้ง พอลิ้มรสตรงหน้าอกผมจนหนำใจ เด็กหนุ่มก็คืบคลานตัวเองต่ำลงมาสู่ท้องน้อยของผม ลิ้นของเขาไล้วนไปทั่ว จนผมต้องแอ่นกายขึ้นด้วยความเสียวซ่าน เมื่อเดียร์เคลื่อนตัวลงมาตรงกลางลำตัวของผม ร่างกายบางส่วนก็เริ่มตื่นตัวขึ้น

“รักพี่เรียวที่สุดเลย รักนะครับ คนแก่โง่”

เดียร์งึมงำอยู่แถวๆน้องชายของผม ทั้งปาก ทั้งลิ้นและลมหายใจที่เป่ารดอยู่แถวๆจุดที่อ่อนไหวที่สุด ทำให้อารมณ์ของผมเริ่มเตลิดมากขึ้น
“พี่รู้จ้า...เดียร์จ๋า...พี่รู้ว่าเดียร์รักพี่ แต่....แต่ช่วยไปพูดตรงอื่นได้ไหม อย่าบอกคำรักกับพี่เรียวตรงนั้นสิครับ ใจ พี่จะขาดแล้วววววว.โอ้ววว”

ผมสะดุ้งสุดตัว พลางแอ่นกายขึ้น เมื่อเดียร์โอบอุ้มน้องชายผมเข้าไว้ในปากของเขา เขาเหลือบตาคู่หวานนั้นขึ้นมองผม ดูเหมือนเขาจะพึงพอใจที่เห็นผมทำหน้าบิดเบี้ยวเหยเก เพราะดำฤษณาที่เกิดจากการที่เดียร์กำลังทำการส่งผ่านความรักที่เขามีต่อผมจนทำให้เกร็งไปทั้งตัว

“เดียร์จ๋าเดียร์ พอแล้วนะ .......พี่เรียวขอ....”

“ทำไมหรือครับ.......ผมทำไม่ดีเหรอ”

เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมามอง แล้วถามผมอย่างสงสัย เขาไม่รอให้ผมตอบ ก้มหน้ากลับลงไปใหม่ เพื่อสานต่อภารกิจที่กำลังคั่งค้างอยู่ แต่ผมเบี่ยงตัวหนี แล้วรีบตะกายลุกขึ้นนั่ง เดียร์รีบผวาลุกขึ้นตาม แล้วเข้ามานัวเนียกับผมใหม่

“พี่เรียวไม่ชอบแล้วหรือครับ เบื่อผมแล้วหรือ”

“เปล่า”

ผมปฏิเสธพลางบอกความต้องการของตัวเองออกไป คราวนี้ผมขอเป็นฝ่ายทำให้เดียร์บ้าง เขาทำให้ผมมานานมากแล้ว ถึงเวลาที่ผมต้องตอบแทนให้เด็กหนุ่มเสียที แต่ไม่รู้ว่ตอบแทนแบบนี้ เดียร์จะยอมหรือเปล่า

“ถ้าพี่เรียวอยากทำให้ผมมีความสุข ผมก็ไม่ขัดพี่เรียวแล้วครับ พี่เรียวจ๋า มันเป็นครั้งแรกของผมนะ ถึงจะหวั่นใจอยู่ แต่ผมเชื่อมั่นในพี่เรียวนะครับ”

ผมยิ้มให้เขา พลางผลักเดียร์ลงไปนอนใหม่ จากนั้นก็ก้าวขึ้นไปคร่อมบนตัวของเขา แล้วโน้มตัวลงไปหา ผมจูบเดียร์ที่ปากเนิ่นนาน จากนั้นก็จูบไซร้ที่ซอกคอ ใบหู หลังหู ติ่งหู จนกระทั่งเห็นเดียร์ทำคอย่นด้วยความซ่านสยิว

ผมยิ้มอย่างพอใจ จากนั้นก็เลื่อนลงมาที่แผ่นอกกว้าง มันดูต่างกับผู้หญิงตรงที่ ความนุ่มนวลและความแข็งแกร่ง สิ่งที่ผมเคยคุ้นคือความอวบอิ่มนุ่มมือ แต่ที่ผมกำลังเกลือกกลิ้งหน้าอยู่ไปมานี้ เป็นแผ่นอกที่มีความแข็งแรงทางโครงสร้าง ถึงจะดูแปลกแต่ผมก็ไม่รังเกียจ เพราะนี่คือหน้าอกของคนที่ผมรัก

ผมตัดสินใจงัดเอาประสบการณ์ในอดีตมาใช้กับเดียร์ หนุ่มหล่อของผมเกร็งตัวเมื่อผมพลิกพลิ้วลิ้นอย่างชำนาญอยู่บนยอดอกที่แข็งเป็นไตของเขา เดียร์ลูบไล้มือไปตามแผ่นหลังของผม มีเสียงครวญครางไม่เป็นศัพท์ดังมาจากปากของเด็กหนุ่ม ผมยิ้มอย่างพึงพอใจ พลางเลื่อนตัวต่ำลง

ผมอ้อยอิ่งบริเวณท้องน้อยของเดียร์ ยังไม่กล้าเลื่อนต่ำลงไปอีก ความแตกต่างของรูปทรงของสงวนทำให้ผมเริ่มลังเล นึกเปรียบเทียบระหว่างสิ่งที่เคยเจอบ่อยๆ กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ความรู้สึกที่ว่าการใช้ปากให้กับน้องชายของเดียร์ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนกำลังทำกับของตัวเอง ทำให้ผมยังรีรออยู่ ดูเหมือนเดียร์จะเข้าใจความคิดของผม เด็กหนุ่มเอื้อมมือมารั้งผมให้เข้าไปหาเขา แต่ผมขืนตัวอย่างคนที่ตัดสินใจแล้ว


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

น้องชายของเดียร์อยู่ในอุ้งมือของผม เขากำลังตื่นตัวอยู่ ผมลูบไล้หยอกเอินอย่างแผ่วเบา ก่อนจะโอบอุ้มเจ้าลูกครึ่งอเมริกันไทยนั้นเข้าไว้ในปาก ผมพยายามทำให้เดียร์มีความสุขโดยนึกถึงท่วงท่าและวิธีการที่เดียร์เคยทำให้ผม ซึ่งมันก็คงจะได้ผลอยู่บ้าง เพราะเดียร์เริ่มดิ้น เกร็งตัว สะโพกลอยไม่ติดพื้น และครวญครางเสียงดัง

“พี่เรียวจ๋า พี่เรียวววววว......พอเถอะครับ ผมไม่ไหวแล้วนะ”

เสียงร้องของเดียร์ทำให้ผมมีกำลังใจมากขึ้น เลยเร่งมือเพื่อทำให้สุดที่รักของผมมีความสุข แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะสิ้นสุด เดียร์ก็ผลักผมออก แล้วใช้มือจัดการกับตนเองจนธารรักเปียกชุ่มมือของเขา

ผมมองหน้าเด็กหนุ่มอย่างงงงัน รู้สึกเสียหน้า คิดว่าตัวเองคงทำไม่ถูกใจเดียร์เป็นแน่ เขาถึงได้ลงมือช่วยเหลือตนเอง เดียร์เห็นหน้าจ๋อยๆของผม ก็ยิ้มประจบ เขาเช็ดมือกับผ้าปูที่นอน แล้วเลื่อนตัวมาโอบประคองผมไว้ พลางพูดด้วยเสียงอ้อนๆว่า

“ไม่ใช่อย่างที่พี่เรียวคิดนะครับ พี่เรียวทำเก่งมาก จนผมทนไม่ไหว แต่ผมกลัวว่าจะทำพี่เรียวเลอะ แล้วก็กลัวว่าพี่เรียวจะรังเกียจผมนะครับ”

“โธ่เอ๊ย เรื่องแค่นี้เอง ทำไมล่ะ......เดียร์ยังทำให้พี่ทุกอย่างเลย ไม่รังเกียจพี่ด้วย พี่ก็อยากทำให้เดียร์บ้างน่ะ ทีหลังไม่ต้องอาย หรือ อย่ากลัวไปนะครับ เราต้องเสมอภาคกันสิ พี่เรียวไม่อยากเอาเปรียบที่รักของพี่นี่นา .....”


“ก็...ผมไม่แน่ใจในกลิ่นและรสชาตินี่ครับ ของพี่เรียวหอมยวนใจและรสชาติดี แต่ของผมอาจจะ.......เอ้อ กลิ่นแย่ แล้วรสชาติอาจจะเลวร้ายถึงขั้นทำให้พี่เรียวอ้วกก็ได้ ผม....กลัวว่าพี่เรียวจะไม่ชอบน่ะครับ”

เดียร์บอกผม ท่าทางเกรงอกเกรงใจจริงๆ ผมมองเดียร์อย่างเข้าอกเข้าใจ เมื่อฟังเหตุผลที่เขาผลักไสผมออก ผมก็ยิ่งรู้สึกรักเด็กหนุ่มมากยิ่งขึ้นไปอีก

“ชอบสิ เดียร์ยังชอบของพี่เรียวเลย แล้วพี่จะเกลียดชังร่างกายของเดียร์ทำไม รู้ไหมเมื่อก่อนนี้พี่เรียวไม่อยากมอง ไม่อยากแตะต้องเดียร์สักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ พี่เรียวรู้สึกตัวสั่นทุกครั้ง ที่เราแนบชิดกันแบบนี้ มือของเดียร์ให้ความสุขกับพี่ ปากนี่ก็สำคัญนัก ผ่านไปตรงไหน ก็เหมือนจะแผดเผาตรงนั้นให้ละลาย พี่เองก็อยากจะทำให้เดียร์รู้สึกแบบเดียวกับที่พี่รู้สึกเหมือนกัน คราวต่อไป อย่าหนีพี่เรียวแบบนี้อีกนะครับ”

“คร้าบบบบบบบ”

เด็กหนุ่มรับคำ แล้วกอดผมไว้แน่น

“มาเริ่มกันต่อเถอะนะ วันนี้ พี่เรียวต้องขอเปิดบริสุทธิ์ที่รักหน่อยนะครับ ไว้ใจพี่เรียวไหม ไม่ต้องเกร็งมากมายอะไรนะ ทำตัวตามสบาย ปล่อยให้พี่เรียวทำนะครับ”
เดียร์พยักหน้า แต่พอผมจะเริ่มต้นเล้าโลม เด็กหนุ่มก็ทำเหมือนนึกอะไรได้ จากนั้นเขาก็ขอตัว บอกว่าขอเข้าห้องน้ำก่อน โดยอ้างว่าปวดฉี่ ผมรู้ดีว่าเขากังวลใจที่จะต้องเป็นฝ่ายถูกทำ คงจะเข้าห้องน้ำไปทำใจ เลยอนุญาต แต่ก็แซวเขายิ้มๆว่าอย่านานนักนะ

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป เดียร์ก็ออกมาในสภาพที่เนื้อตัวเปียกปอนไปหมด ผมอดขำไม่ได้ที่เจ้าหนูจอมลีลาของผม เข้าไปอาบน้ำชำระล้างตัวใหม่อีกครั้ง เดียร์คงกลัวว่าผมจะรังเกียจกลิ่นในซอกอับของเขา จึงไปทำเนื้อตัวมาให้สะอาดสะอ้านเพื่อผม เห็นเขาพยายามอย่างนี้ ผมก็รู้สึกเต็มตื้นไปหมด อยากจะทำกับเขาดีๆเพื่อให้เดียร์ประทับใจในตัวผมบ้าง

ผมไม่รอให้เด็กหนุ่มเช็ดตัว ก้าวเดินไปหาเขา แล้วแนบร่างเปลือยของตัวเอง ทางด้านหลังของเด็กหนุ่ม โอบกอดเขาไว้ และซุกหน้ากับแผ่นหลังเปลือยนั่น ผมเตี้ยกว่าเขา เมื่อยืนด้วยกัน หน้าของผมจึงตรงกับหลังเขาพอดี เด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือกเมื่อผมไล่ลิ้นไปทั่ว เขาหันหน้ามา แล้วโอบกอดผมไว้ ทำท่าจะจูบผม แต่ผมสั่นศีรษะ ไม่ยอมให้เขาเป็นผู้นำเกมส์

ขณะที่ผมเลื่อนกายลงต่ำ เพื่อจะจัดการตรงนั้นของเดียร์ที่กำลังผงาดขึ้น เดียร์ก็ขัดจังหวะด้วยการขอตัวเข้าห้องน้ำ บอกว่าปวดท้อง จากนั้นก็วิ่งไปเข้าห้องน้ำต่อ ผมเดินไปนั่งรอบนเตียง แล้วก็หงายหน้าหัวเราะอากัปกริยาของเดียร์ คิดว่าเขาคงตื่นเต้น เลยใช้ห้องน้ำเป็นที่สงบสติอารมณ์

10 นาทีต่อมา เด็กหนุ่มก็ออกมาจากห้องน้ำ ท่าทางมั่นอกมั่นใจขึ้น เขาก้าวขึ้นเตียงมานอนข้างๆผม ส่งตาหวานมาให้ ผมยิ้มให้เขา แล้วถามเขาว่า พร้อมไหม เดียร์พยักหน้า แล้วก็ปล่อยให้ผมปลุกเร้าเรือนกายของเขาอีกครั้ง

ตอนที่ผมกำลังก้มหน้าก้มตาจัดการกับน้องชายของเดียร์นั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของเด็กหนุ่มก็ดังขึ้น นอกจากผมจะตกใจแล้ว เดียร์ที่กำลังอารมณ์กระเจิดกระเจิงอยู่เมื่อครู่ก็พลอยหมดอารมณ์ไปด้วย เขาทำหน้าขอโทษขอโพย ก่อนจะลุกขึ้น ผมลุกตาม แล้วไถลตัวไปนอนด้านข้าง

ได้ยินเสียงเดียร์รับโทรศัพท์ ทางปลายสายคงจะเป็นน้อย เพราะเห็นเขาทักทายอย่างคุ้นเคย เดียร์พูดเสียงกระซิบกระซาบให้พอได้ยินว่า เขากำลังอยู่กับผม เขาเหลือบมามองผมที่กำลังนอนมองเขาอยู่ แล้วก็พูดกับน้อยว่า มีเรื่องบางอย่างจะปรึกษา จากนั้น เขาก็หันมาหาผม ทำมือทำไม้ว่าจะขอคุยเรื่องซีเรียสกับเพื่อนก่อน ผมยิ้ม ไม่ว่าอะไร รู้ดีว่าเดียร์กังวลใจเรื่องที่จะถูกผมเปิดบริสุทธิ์คืนนี้ เลยอาจจะต้องการเวลาสักนิด เพื่อให้หายกดดัน

เขาหายออกไปนานมาก จนผมเริ่มรู้สึกง่วงขึ้นมา นึกในใจว่า ไม่เป็นไร ถ้าเดียร์เครียดเรื่องนี้ ผมไม่ทำกับเขาก็ได้ บางทีเด็กหนุ่มซึ่งเคยแต่เป็นฝ่ายรุกมาก่อน อาจจะทำใจลำบาก ถ้าจะต้องเป็นฝ่ายรับบ้าง เหมือนตอนแรกๆที่ผมถูกเดียร์ปล้ำ ผมก็รับไม่ได้เหมือนกัน รู้สึกราวกับว่าศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายหายไป ที่รักของผมก็คงจะรู้สึกแบบเดียวกัน ระหว่างที่รอให้เดียร์ไปทำใจ ผมก็ปิดเปลือกตาลง ในที่สุดก็เผลอหลับไปทั้งๆที่ไม่ได้สวมใส่อะไรไว้กับตัวเลย

มีอะไรบางอย่างนุ่มๆเย็นๆแทรกเข้ามาในรูหูของผมทำให้จั๊กกะจี้ จนต้องตื่นขึ้นมา ใบหน้าของสุดที่รักลอยอยู่ใกล้ชิด เดียร์ยิ้มให้ผม ตาหวานฉ่ำ

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

“หลับแล้วเหรอครับ ทำไมนอนเร็วจังวันนี้”

“รอจนง่วงแล้วอ่ะ เลยคิดว่านอนดีกว่า”

“มาทำต่อกันเถอะครับ นะนะ ตอนนี้ผมพร้อมแล้ว”

ผมมองหน้าพ่อยอดขมองอิ่มของผมแล้วก็หัวเราะ เห็นท่าทางของเดียร์ที่ทำเหมือนว่าพร้อมจะเสียตัวให้ผมแล้วก็อดที่จะขำไม่ได้ ผมตบที่หมอนแล้วบอกเดียร์ว่า ผมหมดอารมณ์ที่จะทำแล้ว อยากนอนมากกว่า นี่ก็ดึกมากแล้ว เดียร์เองก็มานอนเถอะ เอาไว้ทำวันหลังก็ได้ ตอนนี้ผมขอแค่นอนกอดเขาเฉยๆแล้วกัน เดียร์ยิ้มอายๆให้ผม แล้วล้มตัวลงนอน พลางรั้งตัวผมมากอดแนบอก

“ขอโทษทีนะครับ ที่ให้รอ ถ้าพี่เรียวอยากจะทำต่อ ก็เชิญเลยนะครับ”

“ไม่เป็นไรหรอก พี่เรียวอยากจะให้เดียร์ทำตัวให้สบายมากกว่า พี่เรียวรู้ว่าเราเครียดใช่ไหม คงไม่อยากให้พี่ทำสักเท่าไหร่ ไม่ต้องฝืนใจเพื่อพี่ก็ได้นะ เดียร์ทำเพื่อพี่มาหลายอย่างมาก แค่เรื่องนี้ พี่ยอมเป็นฝ่ายรับให้กับเดียร์ก็ได้”

ผมบอกเขาไปตามความรู้สึกของตนเอง เด็กหนุ่มจูบผมเบาๆที่ข้างแก้ม

“ดีใจจริงๆที่ได้ยินแบบนี้จากที่รักของผม รักพี่เรียวมากที่สุดเลยครับ รู้สึกเอาเปรียบพี่เรียวจังที่ไม่เคยยอมให้ทำบ้างเลย นี่นี่นี่ ผมมีเรื่องจะสารภาพล่ะ รู้มั๊ย เมื่อกี้นี้ผมเครียดจริงๆนะ แต่มันไม่ได้เกิดจากการที่ผมไม่อยากเป็นฝ่ายถูกทำหรอก ผมแค่อยากให้พี่เรียวประทับใจในตัวผม ที่ผมวิ่งเข้าวิ่งออกห้องน้ำ เข้าไปแต่ละทีก็นานมาก เพราะมัวแต่ไปถ่าย ไปล้างลำไส้น่ะครับ ไม่อยากจะทำให้ครั้งแรกที่พี่เรียวจะทำให้ผมเต็มไปด้วยความทรงจำที่เลวร้าย จึงต้องแน่ใจว่าจะไม่มีของแถมให้พี่เรียวเสียอารมณ์ อยากให้ตัวสะอาด หอมๆแบบเนื้อตัวของพี่เรียวครับ เวลาที่พี่เรียวสูดดมกลิ่นกายของผม จะได้ไม่มีกลิ่นรำคาญใจไงครับ”

เด็กหนุ่มสารภาพเสียงอ้อน

“รวมถึงขอคำปรึกษาเรื่องนี้กับน้อยด้วยใช่ไหม”

ผมคาดเดา เด็กหนุ่มแก้มแดงด้วยความอาย

“ครับ .......นึกแล้วว่าพี่เรียวต้องได้ยิน......”

“เด็กบ้า ......คิดไปไกลเลยนะ พี่ยังไม่คิดถึงขนาดนั้นเสียหน่อย”

“จริงๆนะครับ บางทีเรื่องแบบนี้ มันอาจจะสำคัญก็ได้ ผมเคยอ่านในเวป มีคนเอาไปโพสต์ว่าของแฟนเขาตัวเหม็นมาก แต่เขาไม่กล้าบอก เพราะเขากลัวว่าแฟนเขาจะเสียใจ ผมกลัวครับ ไม่อยากให้เรื่องพวกนี้มาทำลายความสัมพันธ์ของเราอะครับ”

เดียร์ทำน้ำเสียงจริงจัง จนผมต้องหัวเราะออกมาอีกครา เด็กเอ๋ยเด็ก คงกลัวว่าผมจะรังเกียจตัวเขาสินะ ความที่เดียร์ใช้ความพยายามนานมากกว่าที่จะทำให้ผมยอมรับเป็นแฟนกับเขา เลยทำให้เด็กหนุ่มกลัวไปเสียหมดว่าผมจะเบื่อหน่าย เปลี่ยนใจไปจากตัวเอง ผมคงต้องใช้เวลาทั้งชีวิต เพื่อพิสูจน์ให้เขารู้ว่า ผมรักเขามากแค่ไหน แล้วผมก็ไม่มีวันทิ้งเขาไปอย่างแน่นอน

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทส่งท้าย 5/4/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 05-04-2009 21:16:53

“งั้นมาพิสูจน์กันใหม่ก็ได้”

ผมหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง เมื่อรับรู้สิ่งที่อยู่ในใจคนรักของผม ต้องทำให้เขารู้สึกแย่น้อยลงให้ได้ ผมอยากให้เดียร์รู้ว่า ผมไม่เคยคิดรังเกียจร่างกายของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว ผมเริ่มต้นรุกเร้าเดียร์ใหม่อีกครั้งโดยไม่มีการลังเลใดๆทั้งสิ้น ผมกอดจูบเดียร์ทำเหมือนกับที่ทำกับผู้หญิงทุกคนที่ผมมีอะไรด้วย ปลุกอารมณ์ให้เดียร์จนเด็กหนุ่มเคลิบเคลิ้ม

เขาครางเสียงกระเส่าเมื่อผมใช้ทั้งมือและปากหยอกล้อน้องชายของเขา เดียร์บิดตัวเร่าๆ ด้วยความหฤหรรษ์ และแล้วช่วงเวลาสำคัญก็มาถึง ผมสบตากับเดียร์ ที่รักของผมส่งสายตาว่าเขาพร้อมทุกอย่างแล้ว เดียร์พลิกตัวนอนคว่ำหน้าลงกับหมอน และยกบั้นท้ายขึ้นรอรับผม

“อ๊าส์.......อูยยยยย”

เสียงเดียร์ร้องอุทาน เมื่อผมแทรกตัวเข้าไปในร่างของเขา เด็กหนุ่มนิ่วหน้า และห่อปากเพื่อระงับความเจ็บปวดจากการมีสิ่งแปลกปลอมรุกล้ำอาณาเขตเข้ามา มือของเดียร์กำผ้าปูที่นอนแน่น ผมเห็นหน้าเหยเกของคนรักแล้วก็รู้สึกสงสาร จึงก้มลงไปหาเขา จูบที่ซอกคอ และไล้ลิ้นไปทั่วใบหู เพื่อสร้างอารมณ์รักของเดียร์ให้กลับมาใหม่ ลืมความเจ็บปวดไปเสีย

“ทนนิดหน่อยนะจ๊ะ คนดีของพี่ แป๊บเดียวก็หายเจ็บแล้วนะ เดี๋ยวพี่เรียวจะทำเบาๆนะครับ ที่รักอย่าเกร็งนะ”
ผมกระซิบบอกเขาเป็นการปลอบประโลมเหมือนที่เขาทำกับผม เด็กหนุ่มพยักหน้า พลางฝืนยิ้มให้ เหงื่อผุดพรายเต็มหน้าของเขา เมื่อร่างกายของเราหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ผมก็หยุดนิดหนึ่งเพื่อให้เดียร์ได้พัก จากนั้นผมก็เคลื่อนไหวร่างกายจากช้า และเร่งจังหวะขึ้น

“เราไปพร้อมๆกันนะจ๊ะ”

ผมพูดกับเขาเสียงพร่า เดียร์พยักหน้า พลางร้องครวญครางเรียกชื่อผมไม่ขาดปาก ในเวลาเพียงไม่นานนักผมก็ทะลักทะลายความสุขใส่ตัวของเขา พร้อมๆกับที่เดียร์ก็หลั่งไหลสายธารรักออกมาจนชุ่มที่นอน ผมล้มตัวลงไปบนร่างของเด็กหนุ่ม และโอบกอดเขาไว้แนบแน่น

“ที่รักจ๋า ใจผมจะขาดแล้ว.....โอววววว สุดยอดจริงๆ”

เดียร์ครางเสียงกระเส่า ผมหัวเราะและพลิกตัวลงนอนตะแคงมองหน้าเขา ก็เห็นเดียร์ทำตาปรอยๆ แก้มแดงปลั่ง

“เจ็บจังเลย แต่ก็มีความสุขด้วย พี่เรียวนี่เก่งมาก ผมอ่ะเทียบไม่ได้เลย”

“คราวนี้ ก็รู้แล้วสิ ว่าใครควรจะเป็นฝ่ายรุก ใครควรจะเป็นฝ่ายรับ”

ผมทำน้ำเสียงอวดๆ

“ไม่อ่ะ ผมจองเป็นฝ่ายรุกแล้ว ถึงพี่เรียวจะทำเก่งขนาดไหนก็ตาม แต่ผมก็จะต้องพยายามฝึกฝนให้เก่งกว่าพี่เรียวให้ได้ จะยอมให้เมียตัวเองมาเก่งกว่าได้ไง รู้ถึงไหนอายเขาถึงนั่น”

เด็กหนุ่มพูดอย่างถือดี

“ตอนนี้ เดียร์ก็เท่ากับเป็นเมียพี่แล้วเหมือนกันนะ”


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

อดไม่ได้ที่จะพูดแย้ง เด็กหนุ่มหน้าตาแดงก่ำ เมื่อได้ยินผมเรียกเขาอย่างนั้น

“เมีย.......พี่เรียวเรียกผมว่า “เมีย” เหรอ”

“ก็ใช่สิ เดียร์เองก็เรียกพี่ว่าเมียจ๋าเหมือนกันไม่ใช่เหรอ ตอนที่ทำกับพี่ครั้งแรกอ่ะ”

ผมอ้างไปถึงคำพูดของเขาเมื่อครั้งที่เราเพิ่งสิ้นสุดการมีอะไรกัน เดียร์เรียกผมแบบนี้ หลังจากที่เขาทำให้ผมกลายเป็นของเขาแล้ว

“ไม่เอานะ .......พี่เรียวเป็นสามีไม่ได้หรอกครับ ตัวก็เล็กกว่าผมตั้งเยอะ หน้าก็หวานด้วย เป็นเมียผมน่ะดีแล้วครับ”

“ขี้โกง .....งั้นเอาอย่างนี้ ไม่ต้องมีใครเป็นสามี ใครเป็นเมียหรอก ฟังแล้วมันจั๊กกะจี้อ่ะ เราต่างเป็นคนรักของกันและกันดีกว่าดีไหม เดียร์เป็นที่รักจ๋าของพี่ พี่เรียวก็เป็นที่รักจ๋าของเดียร์ อย่างนี้ดูเสมอภาคกันดี”

“ก็ได้ แต่ผมต้องเป็นฝ่ายรุกนะ”

“ไหงงั้นล่ะ”

ผมโวยวายบ้าง อะไรกันเนี่ย ผมเพิ่งทำให้เขามีความสุขมาหมาดๆนะ แล้วเขาเองก็ยังยอมรับว่าผมเก่ง ผมก็น่าจะมีสิทธิเป็นฝ่ายทำบ้างสิ

“ก็ผมอยากเป็นหัวหน้าครอบครัวนี่ รู้ไหม ผมอยากปกป้องพี่เรียว อยากจะเป็นฝ่ายที่ทำให้พี่เรียวมีความสุข ผมอยากให้พี่เรียวรักผม ศรัทธาในตัวผม ไม่อยากให้พี่เรียวเป็นฝ่ายทำ เดี๋ยวเกิดพี่เรียวติดใจ จนแอบไปทำกับคนอื่นอ่ะ”

นี่หรือคือเหตุผลของเขา เด็กโง่เอ๊ย ใครจะไปมีอะไรกับคนอื่นได้อีกล่ะ

“บ้าจัง คิดได้ไงกันหือ แค่มีเดียร์มาเกาะแกะคนเดียวก็จะแย่อยู่แล้ว พี่เรียวไม่หาเหามาใส่หัวเพิ่มอีกหรอกนะครับ พี่เรียวรักเดียร์คนเดียวจริงๆ รักมากด้วย พี่เรียวก็แค่อยากทำให้ที่รักจ๋าของพี่มีความสุขด้วยเช่นเดียวกัน ขอบคุณนะครับที่อยากจะปกป้องพี่เรียว พี่ซาบซึ้งมากเลย เดียร์ดีกับพี่อย่างนี้ พี่เรียวจะไปมีคนอื่นได้ไงล่ะครับ ถ้าจะทำก็ทำกับที่รักของพี่คนเดียวนี่แหละ เดียร์ก็รู้นี่ว่าพี่หวงตัวแค่ไหน จะมีก็แต่เราเท่านั้นที่ปล้ำพี่เรียวได้คนเดียว พี่เรียวไม่เคยมีคนอื่น เดียร์เป็นคนรักคนแรกของพี่ที่เป็นผู้ชาย ซึ่งพี่ไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าตัวเองจะมาชอบผู้ชายด้วยกัน แต่มันก็เป็นไปแล้ว พี่รักเดียร์มากรู้ไหมครับ กลัวแต่ที่รักน่ะแหละ จะเบื่อพี่เสียก่อน อายุเราก็น้อยกว่า เดี๋ยวไปเจอคนที่อายุใกล้เคียงกัน แล้วทิ้งพี่ไป พี่จะทำไงกันล่ะ อุตส่าห์เปลี่ยนวิถีชีวิตตัวเอง เพราะว่าพี่รักเดียร์ ถ้าหากที่รักไปมีคนอื่น พี่คงแย่แน่ๆ”

ผมอยากบอกเขามานานแล้ว ว่าผมเองก็กังวลใจเหมือนกัน ความห่างในเรื่องอายุ กับความไม่ประสีประสากับการใช้ชีวิตคู่ระหว่างผู้ชายกับผู้ชายของผม อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเบื่อหน่ายก็ได้ ทันทีที่ผมพูดจบ เดียร์ก็ฉีกยิ้มกว้าง เขาจูบที่แก้มผมเบาๆ แล้วมองสบตาผม ดวงตาคู่นั้นพยายามจะถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในใจเขาออกมาให้ผมได้รับรู้ มันคือความรักที่เดียร์มีต่อผม

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

“โถ ใครจะทิ้งสุดที่รักของผมได้ลงคอล่ะ อุตส่าห์พยายามมาตั้งนาน ลำบากลำบนแทบตายกว่าจะได้พี่เรียวมา จะทิ้งกันง่ายๆได้ไงฮะ พี่เรียวเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของผม เป็นบอยเฟรนด์คนแรก และคนเดียวเท่านั้น ผมอยากดูแลที่รักของผมอย่างดี ไม่ทิ้งขว้าง ถ้าพี่เรียวไม่รังเกียจผม เราก็จะอยู่ด้วยกันไปจนตลอดชีวิตแบบนี้เลยนะครับ”

“อื้ม ถ้างั้นพี่เข้าใจแล้ว พี่เรียวเป็นฝ่ายรับเองก็ได้ ไหนๆก็ไหนแล้ว เพื่อให้เดียร์ของพี่มีความสุข พี่เรียวยินดีเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งเพื่อเดียร์ครับ”

“พูดอย่างนี้ ผมก็ไม่อยากจะเป็นคนเห็นแก่ตัวนะ เอาอย่างนี้ดีไหมครับ เราผลัดกันก็ได้ ถ้าวันไหนพี่เรียวอยากทำ ก็มาบอกผมได้นะ แต่มีข้อแม้ว่าให้พี่เรียวทำได้ไม่เกินอาทิตย์ละ 2 วันเท่านั้นนะครับ มากกว่านี้ไม่ยอมครับ”

“ใจร้ายจัง....ทำไมล่ะ”

ผมฟังสิ่งที่เด็กหนุ่มพูดแล้วเกิดความสงสัย ทำไมต้องให้ผมทำแค่ไม่เกินอาทิตย์ละสองวันนะ ผมอยากทำมากกว่านั้นนี่นา อย่างน้อยสัก 3 วันก็ยังดี ถ้าจะให้ผมเดา มันมีความเป็นไปได้สองอย่างคือ เขากลัวเจ็บ และก็กลัวว่าจะสูญเสียความเป็นผู้นำไปอย่างที่เขาว่า กับเกรงว่าผมจะติดใจแล้วไปทำกับคนอื่น สำหรับผมแล้วเขาแทบไม่ต้องกังวลใจในประเด็นหลังเลย เพราะผมไม่มีวันไปยุ่งเกี่ยวกับใครอีกแล้ว นอกจากเขา
“ไม่ต้องถามหรอก ตัวเป็นเมียก็ต้องเชื่อฟังที่สามีพูดสิ”

“สามีจอมเผด็จการน่ะสิ ไหนว่าจะเรียกกันว่าที่รักจ๋าไง”

“พี่เรียวตกลงเองต่างหาก ที่รักจ๋าฟังดูก็น่ารักดี แต่ผมอยากเรียกว่า เมียจ๋าอ่ะ ได้ความรู้สึกเหมือนใช้ชีวิตคู่ร่วมกันดี”

“งอนแล้ว”

“ก็ได้ ก็ได้ เมียจ๋า เอ๊ยที่รักจ๋า อย่างอนนะ มามะขอกอดหน่อยนะ

พอเห็นว่าผมทำท่างอนๆ เด็กหนุ่มก็เริ่มอ้อน เขากอดผมเสียแน่น พลางระดมจูบผมทั่วใบหน้าและลำคอ จนผมต้องร้องบอกให้หยุด

“อื้ม พอได้แล้วนะ ไปกินข้าวกันเถอะ หิวแล้ว ป่านนี้กับข้าวที่เดียร์ทำไว้เย็นหมดแล้วล่ะ”

“อะไรกัน ของว่างยังกินไม่เสร็จเลย......”

เด็กหนุ่มทำท่างอแง

“ก็เมื่อกี้ทำไปแล้วครั้งหนึ่ง......”

ผมท้วงเขายิ้มๆ แกะมือเขา ทำท่าจะผละออกเพื่ออาบน้ำแต่งตัวลงไปทานข้าว

“พี่เรียวเป็นปลาทองอีกแล้วไง หรือว่าฟังไม่ดีเอง เมื่อกี้ตอนเข้ามา ผมบอกว่าวันนี้มีโปรโมชั่นพิเศษไงครับ ทำ 1 แถมอีก 1 ครั้ง รอบนี้ เป็นโปรโมชั่น แถมให้ฟรี คราวนี้เลิกสงสัยแล้วนะ มาให้ผมจัดการเสียดีๆ ถึงตาผมเอาคืนบ้างแล้วล่ะ จะทำให้ครางดังลั่นกว่าเมื่อกี้เลย”
เดียร์ทำหน้าหื่นกามใส่ผม จากนั้นก็รั้งร่างผมไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงอย่างเมามัน ผมหัวเราะเสียงดังลั่น จิตใจเต็มตื้นไปด้วยความสุข ที่เด็กหนุ่มช่วยเติมเต็มให้ ผมจูบเขาตอบ จากนั้นกิจกรรมแห่งความรักก็บรรเลงขึ้นบนเตียงอีกครั้ง

ดึกแล้วแต่ผมยังนอนไม่หลับ คนข้างตัวของผมสลบไสลไปก่อนแล้ว เนื่องจากวันนี้เด็กหนุ่มปล่อยพลังมากไปหน่อย เป็นเพราะว่าเขาอยากจะเอาชนะผม อยากทำให้ผมประทับใจฝีไม้ลายมือในลีลารักของเขา เดียร์จึงโหมพลังรักใส่ผมไม่ยั้ง หลายครั้งหลายครา เกินกว่าค่ำคืนปกติที่เราเคยทำด้วยกัน

ทั้งผมและเขาต่างเหนื่อยหอบด้วยกันทั้งคู่ แต่ก็ปนไปด้วยความสุขสมยากที่จะบรรยาย เดียร์ยิ้มกริ่มเมื่อผมบอกกับเขาว่า เขาเก่งมาก ท่าทางของเขาบ่งบอกถึงความภูมิอกภูมิใจ เหมือนเด็กๆที่ลงแข่งขันในเกมส์แล้วชนะ คำชมของผมเป็นเสมือนรางวัลอันมีค่าสำหรับเขา ซึ่งเขาน้อมรับมันด้วยความปรีดา

ผมยิ้มให้กับตัวเองอย่างครึ้มอกครึ้มใจ ตอนนี้ทั้งผมและเดียร์มีครอบครัวที่อบอุ่นแล้ว เพียงแต่ว่า ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นภรรยา กลับกลายเป็นตัวผมเสียเอง แต่ก็เป็นภรรยาที่ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร ยังคงทำกับข้าวไม่เป็น ทำความสะอาดบ้านไม่ได้ หน้าที่ทุกอย่างจึงกลายเป็นของพ่อบ้านหนุ่มลูกครึ่ง ซึ่งทำทุกอย่างด้วยความยินดีไม่มีปริปากบ่น

เขาพยายามสร้างความพึงพอใจให้กับผมไม่ว่าจะเป็นเรื่องในบ้านหรือบนเตียง นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมเองก็รักเขาจนถอนตัวไม่ขึ้น ผมแพ้ความดีงามในตัวของเดียร์ จึงทำให้ผมยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อคนที่ผมรัก ยอมทำในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยทำ ออกจากงาน มาใช้ชีวิตคู่กับเด็กหนุ่ม โดยไม่แคร์คำครหา ยอมแม้กระทั่งให้เขาเรียกตัวผมว่า “เมีย” ลืมความฝันที่จะแต่งงานและมีลูกกับผู้หญิง ไม่หวนกลับไปมีอะไรกับพวกสาวๆอีกแล้ว อานุภาพแห่งความรักมีจริง ผมทำทุกอย่างได้เพื่อเดียร์

ความเปลี่ยนแปลงในตัวผมทำให้คนรอบข้างเริ่มรู้สึกว่าผมแปลกไป แม้แต่เจ้าสันต์เองก็ยังเอ่ยปาก มันว่าผมดูราวกับหญิงสาวที่กำลังมีความรัก ไม่ใช่หนุ่มผู้เคร่งขรึมเอาการเอางานอีกต่อไป ผมเคยอายที่มันกล่าวหาผมแบบนั้น เคยถามตัวเองว่า ผมเปลี่ยนไปมากจริงๆหรือ ผู้ชายคนหนึ่ง จะมีอารมณ์ของผู้หญิงมากขึ้นเพียงเพราะว่าเขามีความรักเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจ มันดูทั้งแปลกและเป็นเรื่องปกติ ที่แปลกเพราะผมไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย ที่ผ่านมา ผมใช้ชีวิตเยี่ยงชายชาตรีมาโดยตลอด ไม่เคยมีอาการเบี่ยงเบนรักชอบผู้ชายให้เห็น จนกระทั่งมีเดียร์ผมเลยเปลี่ยนไป แต่อีกใจหนึ่งของผมก็หาคำตอบให้กับตัวเองว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เราจะกลายเป็นอีกคนหนึ่ง ซึ่งแม้แต่ตัวเราเองก็ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าตัวเองจะเป็นไปได้ถึงเพียงนี้

นั่นเป็นเพราะคำว่า “รักเพียงตัวเดียว” ความรักทำให้โลกเคลื่อนไหว ความรักทำให้ผมกลายเป็นผู้ชายที่อารมณ์โรแมนติกอ่อนโยนมากขึ้นกว่าเดิม ผมยังเชื่อมั่นว่าผมเป็นผู้ชายเต็มตัว เพียงแต่บางครั้งผมอยากจะทำตัวหวานๆกับคนที่ผมรัก อยากอ้อน ทั้งๆที่ไม่เคยอ้อนใครมาก่อน อยากกุ๊กกิ๊กทั้งที่ตัวเองก็เลยวัยไปแล้วไม่ใช่วัยรุ่นเหมือนกันเดียร์ แต่ผมแค่อยากให้เราสองคนใกล้กันมากขึ้นเท่านั้นเอง
จะเป็นอะไรไป หญิงหรือชายไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ หากใจของเราตรงกัน แล้วคนๆนั้นก็ดีพอที่จะใช้ชีวิตคู่ร่วมกับเรา ผมอยู่ใกล้ๆเดียร์แล้วมีความสุข เขาทำให้หัวใจของผมอบอุ่น บางครั้งก็ทำให้เลือดผมสูบฉีดไปทั่วตัว ทั้งที่เมื่อก่อนผมไม่ชอบเลยกับการที่เดียร์มาคอยชิดใกล้ เคยไม่ชอบที่เดียร์เอาแต่ใจตนเอง ทำตัวเหมือนเด็ก ชอบทำท่าหึงหวงผม และแสดงตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ ทำให้ผมอับอายเดือดร้อนมาก็หลายครั้ง แต่ตอนนี้ ผมเข้าใจในตัวของเดียร์มากขึ้นกว่าเดิม

เป็นเพราะว่าเดียร์รักผมมาก เขาต้องทุ่มเทความพยายามในการที่จะทำให้ผมรักเขา ไม่ว่าจะเป็นการตามหาผมในกรุงเทพฯจนทั่วไปหมด เมื่อเจอแล้วก็หาโอกาสที่จะเข้าหาผม ไปจนกระทั่งวางแผนเพื่อที่จะให้ผมยินยอมทำตามที่เขาต้องการ การกระทำของเขาเสี่ยงต่อการที่จะถูกผมเกลียด และอาจจะถูกแจ้งจับในข้อหาอาชญากรรม หรือการคุกคามรุกล้ำสิทธิของคนอื่น

การทำดีเพื่อที่จะเปลี่ยนใจผม ทั้งที่รู้ว่ามันยากแค่ไหน เขาก็ไม่เคยย่อท้อเสียกำลังใจ เมื่อเขาสามารถทำทุกอย่างได้สำเร็จ เขาถึงได้หวงแหนผมมากกว่าปกติ ด้วยกลัวว่าสิ่งที่ตัวเองทำลงไปจะเป็นการสูญเปล่า ไร้ค่า หากปล่อยให้มีคนอื่นมาแย่งผมไปครอง เมื่อเทียบกับตัวผมแล้ว ผมยังไม่เคยทำเพื่อคนที่ตัวเองรักได้มากเท่ากับที่เดียร์ทำให้กับผมเลย ผมจึงเริ่มประทับใจในตัวเขา และกว่าที่จะรู้ตัว ผมก็รักเขามากเกินกว่าที่จะถอนตัวได้ทัน

เสียงลมหายที่สม่ำเสมอของเดียร์ ทำให้รู้ว่าเขาเข้าสู่ห้วงนิทราแล้ว เขานอนหลับทั้งๆที่กอดผมไว้ในอ้อมแขน ทุกๆค่ำคืนที่อยู่ด้วยกัน ไม่มีสักครั้งที่เราจะนอนแยกห่าง เขาจะตระกองกอดผมไว้แนบแน่น ผมเสียอีกที่เกรงใจเขากลัวว่าเขาจะนอนไม่สบาย พยายามที่จะขืนตัวออก แต่เขาก็รั้งผมไว้กับอกทุกที บางครั้งก็ยังดุผมอีก เขากลัวว่าผมจะหนีหายจากเขาไป

เดียร์อยากให้ผมอยู่ใกล้ชิดกับเขา เด็กหนุ่มชอบที่จะสัมผัสเลือดเนื้อที่อบอุ่นของผม ชอบฟังเสียงลมหายใจเวลาที่ผมนอนอยู่ข้างๆเขา เขาบอกว่าเสียงฟรี้ๆเบาๆที่ผมหายใจออกมาตอนนอนนั้นน่ารักดี เหมือนเสียงของแมวแล้วเขาก็ชอบมาก เขารักทุกอย่างที่เป็นตัวผม เราต่างมีความสุขเมื่อได้อยู่ใกล้ชิดกัน

หนังตาของผมเริ่มหนักอึ้ง หลังจากหาวติดๆกันสองสามครั้งผมก็ปิดเปลือกตาลง เอนศีรษะซบกับไหล่ของเด็กหนุ่ม หน้าแนบกับอกเปลือยเปล่าของเขา ผมสูดกลิ่นกายของเดียร์เข้าจมูก กลิ่นของบุรุษเพศผู้เป็นที่รักของผม มันตราตรึงอยู่ในความทรงจำเสมอ ผมรักกลิ่นนี้ รักร่างกายนี้ รักหัวใจของเขา เจ้าหนูจอมลีลา เด็กบ้าจอมทะเล้น ปีศาจลูกครึ่งที่แสนจะเอาแต่ใจ โจรร้ายหน้าหล่อผู้ที่กักขังและหน่วงเหนี่ยวผมไว้ในหัวใจของเขา ต่อจากนี้ฉายาเหล่านี้จะถูกแทนที่ด้วยคำว่า “ที่รักจ๋า” เพียงแค่คำเดียวเท่านั้น ผมยินดีมอบคำนี้ให้กับเขา คนที่ผมรักมากที่สุด คนที่ผมตั้งใจจะฝากชีวิตไว้ให้เขาดูแล นายเดียร์สุดที่รักผู้ชายคนแรกและคนสุดท้ายในชีวิตของผม ผมให้สัญญาว่า ผมจะรักเขาและจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ไม่มีใครนำทางใคร แต่เราจะก้าวไปด้วยกัน

...............................จบบริบูรณ์...............................
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทส่งท้าย 5/4/09
เริ่มหัวข้อโดย: anna1234 ที่ 05-04-2009 21:18:44
นิยายจบแล้ว
สุขสมหวัดดังใจหมาย
หึหึ แต่คนโพสดิเหงาสุดว่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทส่งท้าย 5/4/09
เริ่มหัวข้อโดย: woradach ที่ 05-04-2009 21:57:36
น่ารักมากมายเลย หุหุ คู่นี้เนี่ย  :z2: :-[
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทส่งท้าย 5/4/09
เริ่มหัวข้อโดย: B_O_M ที่ 06-04-2009 03:04:04
คนโพสคับบ.. :z2:
ผมดามใจให้เอามั้ย? :o8:
 :z1: :z1: :z1:

 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทส่งท้าย 5/4/09
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 06-04-2009 10:30:22
 :mc4: :mc4: :mc4:

จบแล้ว  จบอย่างสวยงาม มีความสุขซักที พี่ริว กับน้องเดียร์


 :กอด1: :กอด1:
กอดปลอบใจคนโพรส
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทส่งท้าย 5/4/09
เริ่มหัวข้อโดย: panpan ที่ 06-04-2009 14:56:20
ดีใจที่จบ  แต่เสียใจที่จะไม่ได้อ่านต่อ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทส่งท้าย 5/4/09
เริ่มหัวข้อโดย: sasa ที่ 06-04-2009 15:00:13
ยังไม่ได้อ่านแต่เข้ามาเฮฮาก่อน
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทส่งท้าย 5/4/09
เริ่มหัวข้อโดย: b_hihi ที่ 06-04-2009 19:38:51
ถึงเรื่องจะจบแล้ว
คนอ่านก็ยังคงเป็นกำลังใจเสมอ

หาเรื่องดีๆ มาโพสท์ให้อ่านต่อไปนะคับผม
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทส่งท้าย 5/4/09
เริ่มหัวข้อโดย: takara ที่ 06-04-2009 21:48:49
ว้า จบซะแล้ว ไม่อยากให้จบเลยอะ  ไม่เขียนตอนพิเศษต่อเหรอค่ะ ยังอยากอ่านต่ออยู่เลยอะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทส่งท้าย 5/4/09
เริ่มหัวข้อโดย: va_yu ที่ 06-04-2009 22:15:56
จบลงแล้ว ขอบคุณคนโพสและคนแต่งมากๆนะคะ
ที่มอบความสุขในการอ่านให้ค่ะ... :L2:

ไม่ต้องเหงาค่ะ หาเรื่องใหม่มาอีกสิค่ะ รับรองจะตามไปอ่าน
ขอบคุณอีกครั้งนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทส่งท้าย 5/4/09
เริ่มหัวข้อโดย: ltahset ที่ 06-04-2009 23:19:16
จบแล้ว!?

หวาน + น่ารักกันมากมาย

อยากอ่านต่อจัง

สนุกมากๆค่ะ




ขอบคุณ คุณ Katesnk สำหรับนิยายดีๆ

ขอบคุณ คุณ ไต๋ ที่โพสเรื่องราวมาให้ได้อ่านกันค่ัะ

ขอบคุณ ผู้ดูแลบอร์ดทั้งหลาย ทั้งแอดมิดและเหล่าโมฯ

ขอบคุณค่ะ

^^

หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทส่งท้าย 5/4/09
เริ่มหัวข้อโดย: the_pooh9 ที่ 06-04-2009 23:45:07
 :กอด1:

 :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทส่งท้าย 5/4/09
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 07-04-2009 08:42:37
ไม่มีงานเลี้ยงใด ไม่มีวันเลิกลา

ขอบคุณคนเขียนมากน่ะครับ ที่ทำไห้คนอ่านอย่างผมมีเรื่องราวดีๆ อ่านกัน


อ่านตั้งแต่หน้าแรกยันหน้าสุดท้าย ไม่เคยเบื่อ เรยยย


ถ้ามีนิยาย ดีดี แบบนี้ เอามาไห้ อ่านกัน อีก น่ะ คร้าบบบ



+++ขอสมัครเป็นFC น่ะ คร้าบบบ+++

 :z13: :z13: :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทส่งท้าย 5/4/09
เริ่มหัวข้อโดย: rayjikung ที่ 10-04-2009 20:16:54
 :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:

นิยายจบแล้วว !!!~~

ชอบจัง

น่าจะมีตอนพิเศษ ชีวิตหลังจากนี้ของทั้งคู่นะ

แบบว่า เปิดร้านอาหาร ดูแลซึ่งกันและกันไรเงี้ย

หุหุ

อยากมีแฟนแบบเดียร์จังเลย.. .
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทส่งท้าย 5/4/09
เริ่มหัวข้อโดย: katesnk ที่ 02-05-2009 12:16:43
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=10176.0

My First Boyfriend และ My Wife Is A Big Boss เปิดรับจองแล้วนะคะ รายละเอียดอยู่ในทู้นี้ค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk [แจ้งข่าวรวมเล่ม]
เริ่มหัวข้อโดย: anawas ที่ 05-05-2009 21:17:33
ขอบคุณ คุณเคท สำหรับเรื่องราวดีๆ
ขอบคุณ คุณไต๋ ที่นำเรื่องนี้มาให้อ่าน
จะติดตามต่อไป
                  :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk [แจ้งข่าวรวมเล่ม]
เริ่มหัวข้อโดย: OhJa ที่ 23-12-2009 21:42:50
 o13 o13

สุดยอดอ่ะ  ชอบมากๆเลย  สนุกมากๆเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk [แจ้งข่าวรวมเล่ม]
เริ่มหัวข้อโดย: harusame ที่ 18-01-2010 23:37:58
น่ารักจังเลย  ในที่สุดก็จบลงอย่างมีความสุข ลุ้นแทบตาย ตอนที่โกรธกันนะ อ่านไปน้ำตาซึมเลยอ่ะ
นึกว่าจะไม่ได้คืนดีกันซะแล้ว ว่าแต่อิจฉาเรียวจังเลยน้าาาาา อยากมี"เดียร์"ของตัวเองมั่งจัง จะมีโอกาสเจอกะเค้ามั่งมั้ยเนี่ยยย

ขอบคุณคนโพส+คนแ่ต่งฮะ  o13
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk [แจ้งข่าวรวมเล่ม]
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 20-01-2010 23:11:06
เริ่มต้นอ่านจากอีกบอร์ด มาจบที่บอร์ดนี้แทน หุหุ

เดียร์เป็นคนที่ทุ่มเทมาก ตอนที่ทะเลาะกันแล้วไม่ได้ปรับความเข้าใจกันซะทีมันอึดอัดน่าดู (ถ้าอ่านแบบตามเกาะขอบนี่ ต้องขาดใจตายแน่นอนเลย)
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk [แจ้งข่าวรวมเล่ม]
เริ่มหัวข้อโดย: IIMisssoMII ที่ 29-01-2010 00:05:24
 o13

อ่านจนขี้ตาแฉะเลย
เรืองของพี่เคทสนุกทุกเรื่องเลยค่ะ
เรื่องนี้อ่านแล้วลุ้นทั้งเรื่อง เอาใจช่วยเดียร์ และตอนหลังก้อลุ้นเรียวด้วย

ขอบคุณสำหรับเรื่องสนุก ๆ อย่างนี้ค่ะ
พักก่อน หนึ่งวันแล้วจะไปอ่านเรื่องอื่นต่อนะคะ :mc4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk [แจ้งข่าวรวมเล่ม]
เริ่มหัวข้อโดย: Phelyra ที่ 23-02-2010 11:25:45
ขอบพระคุณมากนะเจ้าค่ะ  o1 o1 o1
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk [แจ้งข่าวรวมเล่ม]
เริ่มหัวข้อโดย: darkeyes1 ที่ 27-04-2010 11:33:15
อือ...  ยังอ่านไม่จบ  แต่ข้ามมาอ่านตอนจบ  รู้สึกว่าจบได้มีความสุขมาก ขอปรบมือให้ทั้งคนแต่งและคนโพส * :m4: :m4: :m4: *  สุดยอดมากๆเลย  เพราะอ่านนี่แหละเล่นซะผมนอนสี่โมงเช้าตื่อนหกโมงเช้าทุกวันเลย  เหอๆๆ  อ่านแบบละเอียดมาก  เลยยังไม่จบ  ฮิฮิ  ลุ้นสุดๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk [แจ้งข่าวรวมเล่ม]
เริ่มหัวข้อโดย: Nanzari ที่ 01-05-2010 11:39:20
อ่า...ตามมาจากภาคสอง
 :เฮ้อ: ...กว่าจะแฮปปี้
ตามลุ้นซะเหนื่อยเลย
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk [แจ้งข่าวรวมเล่ม]
เริ่มหัวข้อโดย: Laxxeez ที่ 22-05-2010 14:25:19
สนุกมากคับ มาจบที่เว็บนี้พอดี หาตั้งนาน :mc4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk [แจ้งข่าวรวมเล่ม]
เริ่มหัวข้อโดย: Annetemis ที่ 22-06-2010 10:08:59
ขอบคุณมากค่ะ :3123:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend Part 3:By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: reborn23 ที่ 08-10-2010 02:27:07
สนุกมากๆเลย :กอด1:
หาอ่านมาตั้งนาน
 :pig4:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend Part 3:By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: phoeniix ที่ 21-11-2010 00:04:04
เข้ามาอ่านอีก อีกเที่ยวชอบมากๆ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend Part 3:By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: kongon ที่ 01-02-2011 00:04:50
ขอบคุณมากครับสำหรับนิยายดี ๆ แบบนี้..(ร้องไห้ในบ้างตอน :sad11:) แต่งมาให้อ่านอีกนะครับ :impress2:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend Part 3:By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: panis ที่ 14-03-2011 20:30:27
เรือ่งนี้ ไม่มีทำเป็นเล่มเหรอคะ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend Part 3:By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: kisuyunho ที่ 24-10-2011 23:19:55
น้องเดียร์นี่ น่ารักยังไงก็อย่างนั้น
ตั้งแต่ต้นจนจบเลยย

แล้วก็ไม่มีซีนไหนที่จะไม่สงสารเดียร์เลย
โดยเฉพาะเวลาที่เรียวทำอะไรให้น้องเค้าน้อยใจ
แต่!!!! เป็นเด็กที่หื่นชะมัดดด
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend Part 3:By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: puu142 ที่ 04-01-2012 14:35:32
                                                      เขียนได้ดีมาแกครับ..............เยี่ยม


                                         หวัดดีปีใหม่ครับนักเขียน.........ขอให้มีความสุขตลอดไป
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend Part 3:By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: gumrai3 ที่ 07-01-2012 16:35:12
ในที่สุดก็เเฮป์ปี้ อิอิ นึกว่าจะเสร้าซะเเล้ว

พี่เรียวน้องเดียร์
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend Part 3:By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Calo love ที่ 24-04-2012 08:38:06
ฝากแจ้งแฟนๆ นิยายพี่เคทด้วยนะครับว่า


พี่เคทแกมีกิจกรรมให้ร่วมเข้าชิงรางวัลเป็นหนังสือนิยายจากปลายปากกาแกเอง
ให้แฟนนิยายตัวจริงเข้าร่วมกิจกรรมตอบคำถามนะครับ
ตอนนี้ดำเนินไปได้ ครึ่งทางเเล้วนะครับ แฟนนิยายท่านสนใจเข้าร่วมกิจกรรมและอยากได้ของที่ระทึกใจไปนอนกอด
เข้าร่วมกิจกรรมกับแกได้นะครับที่หน้าแฟนเพจ

แต่ต้องขออภัยนะครับที่ออฟไม่สามารถเอาลิงค์มาแปะให้ได้(ที่ทำงานบล็อกเฟซบุ๊ค)
กลับบ้านเเล้วเดี๋ยวเย็นนี้จะรีบเอาลิงค์มาแปะให้นะครับเผื่อมีท่านใดสนใจนะครับ

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะครับ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend Part 3:By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 11-06-2012 19:21:57
ถ้าไม่โพสต์รวดเดียวนี่ เรื่องนี้ขึ้นท็อปแน่นอนเลยอ่ะ ครับ


เป็นเรื่องที่ให้เหตุผลดีมาก เหมาะกับพวกที่ไม่รู้จะจินตนาการอย่างไรให้เหมือนจริง จะมาก็อปวิธีคิดเวลาเขียนนะครับ


แต่ถ้าตัดแบบนิยายกลุ่ม lust ก็จะเจ๋งไปอีกแบบ


แต่สรุปว่าชอบมาก ครับ


อ้อ ตัดตอนแล้วประโยคที่ก็ปมาซ้ำเยอะมากเลยครับ ไม่สบายตา
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend Part 3:By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: pockypocky ที่ 23-07-2013 09:31:46
สนุกมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆเลยค่ะ

เดียร์น่าร้ากกกกกกกกกกสุดๆ

ส่วนพี่เรียวก็นะ จะปากแข็งไปไหน แต่เข้าใจในบทของพี่เรียวนะว่าทำไมถึงยอมรับไม่ได้ง่ายๆ

แต่ตอนจบนี่ อือหือ เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย 555

ขอบคุณทั้งคนแต่ง คนโพสต์เลยนะคะ สำหรับนิยายสนุกๆเรืี่องนี้  :กอด1:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend Part 3:By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: kik ที่ 17-08-2014 14:15:12
สนุกมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend Part 3:By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: risanana ที่ 26-08-2014 08:02:35
เอาจริงๆเลยนะ เข้าใจอยู่ว่าเรียวแคร์สังคมและตลอดที่ผ่านมาเรียวเป็นผู้ชายที่มีแฟนผู้หญิงมาตลอดจึงเป็นเรื่องยากที่เรียวจะทำใจยอมรับว่าตัวเองชอบเดียร์และเดียร์เข้ามาในชีวิตเรียวแบบเหมือนเป็นการรวบรัดเรียวเข้าใจเรียวทุกอย่างและเรียวไม่อยากให้ความหวังเดียร์ แต่ ไม่ชอบเรียวอะเรามองว่าเรียวเห็นแก่ตัวใจแคบเอาเหตุผลตัวเองเป็นที่ตั้งอีโก้สูงไปเอาแต่ใจตัวเองจนมืดมนหลายต่อหลายครั้งที่เรียวโกรธคนอื่นแล้วมาพาลใส่เดียร์หลายต่อหลายหนที่เรียวพูดจาทำร้ายจิตใจเดียร์และอีกมากมายที่เรียวไม่แคร์เดียร์ คือเรียวซึนแบบถ้าเราเป็นเดียร์นะรักยังไงก็ต้องถอยอะ ถ้าเรียวจะคิดจะยึดติดกับอะไรเยอะแยะปานนั้นก็อันเชิญให้มีเมียสวยรวยลูกเต้ามีครอบครัวที่ตัวเองต้องการเหอะ ที่อ่านนี่บอกเลยว่าชอบเดียร์ถึงจะเกลียดเรียวยังไงก็จะอดทนอ่านเพราะเดียร์เสียดายที่เราไม่ใช่คนเขียนงั้นแม่จะเล่นให้เรียวได้สำนึกแทบไม่ทันเอาให้กระอักเลือดจุกอกไปเลย เบื่อนาง :katai1:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend Part 3:By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: navintazaza ที่ 20-09-2014 10:23:00
พึ่งตามอ่านจนจบ ชอบมากๆๆๆ ลุ้นแทบตาย ขอบคุณที่นำมาลงให้อ่านนะครับ ทันไหมเนี่ย 55555 ในชีวิตจริงอยากมีแบบเดียร์จัง จะฟาเจอไหมเนี่ย ฮาๆ :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend Part 3:By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: sasaka8 ที่ 08-10-2014 19:44:53
ขอบคุณนะคะพี่เคท นิยายน่ารักมากเลยลุ้นกว่าจะจบได้
ชอบทั้ง3Partเลยค่ะ ชอบเดียกับเรียวน่ารักทั้งคู่จบน่ารัก
เป็นกำลังใจให้ผลงานต่อไปนะคะ :pig4:
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend Part 3:By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 14-12-2014 23:12:58
ชอบมาก ๆ ครับ ทึ่งในความพยายามของเดียร์

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend Part 3:By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Persoulle ที่ 12-02-2016 15:49:02
ลุ้นแทบตายค่า ในที่สุดก็รักกันสักที
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend Part 3:By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: skymad ที่ 22-05-2016 21:19:28
สนุกมากเลย ลุ้นแทบแย่ มีหลายอารมย์เลย ทั้ง อบอุ่น ดาม่า หวาดเสียว  :hao6: และเป็นเรื่องแรกในรอบหลายเดือนที่อ่านจบ -..-  ขอบคุณคร้าบบ
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend Part 3:By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 22-05-2016 21:23:01
หมีริว
ฟินน่ารักจัง
หัวข้อ: Re: My First Boyfriend Part 3:By Katesnk
เริ่มหัวข้อโดย: Aomampapeln ที่ 22-04-2017 03:32:58
อ่านจบรอบที่สอง...สนุกมากๆเลยคะ ไม่สลับซับซ้อนจนเกินไป อ่านแล้วต้องคิดตามตลอดว่าจะเป็นแบบที่เราจินตนาการไว้มั้ย บางทีก็ตรงบ้าง..ไม่ตรงบ้าง ลุ้นๆดี อุปสรรคมีมาเรื่อยๆแต่ก็ผ่านไปได้ทุกครั้ง ได้ข้อคิดหลายอย่างจากเรื่องนี้ บางทีก็แอบหงุดหงิดเรียวนะ  :m16:  ทำไมต้องทำเดียร์เสียใจด้วย  :hao5: แต่ก็นะเป็นใครก็ต้องคิดมากเหมือนกันเดียร์เล่นวิธีผูกมัดแบบนี้อะนะ ชอบทั้ง3ภาคเลยค่ะ..เป็นนิยายในดวงใจอีกเรื่องเลยละที่ต้องอ่านมากกว่า 1 รอบ คาดว่าน่าจะมีรอบต่อไปเรื่อยๆ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ :L2: :L2: :pig4: