พิมพ์หน้านี้ - เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๒๓

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: IMYean. ที่ 13-05-2020 23:34:47

หัวข้อ: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 13-05-2020 23:34:47
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************


'เด็กธรรมดาน่ะหรือ ริอาจหลงรักผู้ที่เป็นดั่งคุณชายใหญ่ของวัง ไม่เจียมตัวเสียเลย'

| วายพีเรียด |

(https://www.img.in.th/images/e00427569c91be7c4a0c9693a0e5e6eb.jpg)

I miss you

- M.R.Papharach Sullaphanan



"พี่ไปไม่นานเดี๋ยวพี่ก็กลับมา ต้นสนรอพี่ได้ใช่ไหม"

---

"ต้นสนจะรอพี่ปราชญ์เสมอ"


สารบัญ

บทที่ ๑ : คำปด (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71937.msg4038225#msg4038225)

บทที่ ๒ : สามพี่น้อง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71937.msg4038803#msg4038803)

บทที่ ๓ : เริ่มเดินทาง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71937.msg4039274#msg4039274)

บทที่ ๔ : จดหมายจากทางไกล (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71937.msg4040219#msg4040219)

บทที่ ๕ : รังเกียจ (๑/๒) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71937.msg4040449;topicseen#msg4040449)

บทที่ ๕ : รังเกียจ (๒/๒) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71937.msg4040451;topicseen#msg4040451)

บทที่ ๖ : อาลัยรัก (๑/๒) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71937.msg4041488#msg4041488)

บทที่ ๖ : อาลัยรัก (๒/๒) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71937.msg4041489#msg4041489)

บทที่ ๗ : เกลียด? (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71937.msg4041948#msg4041948)

บทที่ ๘ : ฝืน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71937.msg4042861#msg4042861)

บทที่ ๙ : เป็นห่วง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71937.msg4043323#msg4043323)

บทที่ ๑๐ : วนลูป (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71937.msg4043796#msg4043796)

บทที่ ๑๑ : เต้นรำ (๑/๒) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71937.msg4044471#msg4044471)

บทที่ ๑๑ : เต้นรำ (๒/๒) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71937.msg4044472#msg4044472)

บทที่ ๑๒ : ยอมรับผิด (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71937.msg4044959#msg4044959)

บทที่ ๑๓ : ความจริงที่ได้รับรู้ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71937.msg4046077#msg4046077)

บทที่ ๑๔ : ดวงดาวแห่งความหวัง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71937.msg4046725#msg4046725)

บทที่ ๑๕ : บรรยากาศแสนหวาน (๑/๒) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71937.msg4050351#msg4050351)

บทที่ ๑๕ : บรรยากาศแสนหวาน (๒/๒) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71937.msg4050353#msg4050353)

บทที่ ๑๖ : เที่ยววันสุดท้าย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71937.msg4053068#msg4053068)

บทที่ ๑๗ : สัตว์สงวน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71937.msg4055283#msg4055283)

บทที่ ๑๘ : ปัญหาครอบครัว (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71937.msg4056333#msg4056333)

บทที่ ๑๙ : ถ่านไฟเก่า (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71937.msg4056648#msg4056648)

บทที่ ๒๐ : ปีใหม่ที่แสนสวยและเจ็บปวด(๑/๒) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71937.msg4056677#msg4056677)

บทที่ ๒๐ : ปีใหม่ที่แสนสวยและเจ็บปวด(๒/๒) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71937.msg4056678#msg4056678)

บทที่ ๒๑ : กรมโคสนาการ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71937.msg4058245#msg4058245)

บทที่ ๒๒ : น้ำตกตาด-สาริกา (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71937.msg4062086#msg4062086)

บทที่ ๒๓ : ครั้งแรก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71937.msg4062156#msg4062156)

#เฝ้าคำนึง

TWITTER : @THi9xz

เปิดเรื่องที่สองแล้ววว เป็นคู่ต่อจากไฟและสิงห์
หรือต่อจากเรื่อง พ่ายโลกันตร์ นั่นเอง ใครยังไม่ได้อ่านจิ้มเลย >>จิ้มเลยครับผม (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69884.0)
เรื่องนี้ไม่เน้นฟิลกู๊ดค่ะ ดราม่าหนักเหมือนกัน แต่ถ้าเทียบกันอันนี้เบากว่านิดนึงค่ะ

/ หากเรื่องการทำงานราชการหรือคำผิดและพลาดสิ่งใดไป ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยจริง ๆ ค่ะ

คำเตือน

บางอย่างคือการเกริ่นในนิยายของตัวละครในเรื่อง ตัวละครเอกไม่ได้เป็น 'คนเป็น' หรือ เป็น 'คนทำ'

1. PTSD / Post-Traumatic Stress Disorder - โรคเครียดหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายแรง เป็นภาวะทางจิตที่เกิดจากการเผชิญกับเหตุการณ์ตึงเครียด น่ากลัว หรือกระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง (e.g. เคยถูกทำร้ายหรือล่วงละเมิด เคยเข้าร่วมสงคราม) ผู้ป่วยมักมีอาการเห็นภาพหลอนหรือฝันร้ายถึงเหตุการณ์เหล่านั้น มีความคิดแง่ลบ สามารถถูกกระตุ้นได้โดยง่าย เป็นต้น

2. Sexism - การเหยียดเพศ

3. Age difference / Age gap - ความสัมพันธ์ของคู่รักที่มีอายุต่างกัน (ไม่ใช่เปโดนะคะ)

4. มีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์อันเลวร้าย

5. Character Death - ตัวละครตาย

6. Graphic Depictions of Violence - มีการบรรยายถึงการใช้ความรุนแรงอย่างชัดเจน

7. Blood มีการพูดถึงเลือด บรรยายถึงเลือดชัดเจน

8. มีการบรรยายถึงสภาพศพหรือผู้ถูกทำร้ายในเหตุการณ์

9. Violence - มีการใช้ความรุนแรง

10. Mentioned/Implied Rape attempt / Rape Non-con - มีการกล่าวถึงการข่มขืน

11. Sexual Harassment - การล่วงละเมิดทางเพศ

12. Sexual Assault - การข่มขืน

13. Molestation - การลวนลามทางเพศ

14. Threats of Rape/Non-Con - การคุกคามคนอื่นด้วยการข่มขืน

15. Threats of Violence - การคุกคามคนอื่นด้วยความรุนแรง

16. Abuse (Physical, Mental, Verbal, Sexual, Emotional) - การล่วงละเมิดและทารุณกรรม ทั้งในด้านของการทำร้ายร่างกาย การทำร้ายจิตใจ การใช้คำพูดรุนแรง การข่มขู่ ไปจนถึงการล่วงละเมิดทางเพศ

17. Panic Attack - อาการตื่นตระหนกเฉียบพลันเมื่อถูกกระตุ้น มักจะมีอาการหายใจไม่ทัน หอบถี่ หายใจไม่ออก วิงเวียนคล้ายจะเป็นลม และตกอยู่ในอารมณ์หวาดกลัว

18. Suicide Thought - (มีการบรรยายถึง) ความคิดที่จะฆ่าตัวตาย

19. Classism - การเหยียดชนชั้น

20. Massacre - การสังหารหมู่


ยังไงก่อนอ่านนิยาย ขอให้นักอ่านทุกท่านอ่านคำเตือนด้วยนะคะ

ด้วยความเคารพ

หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ {เปิดเรื่องใหม่}
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 14-05-2020 00:08:39
 :L2:
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ {เปิดเรื่องใหม่}
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 14-05-2020 15:35:47
เข้ามารอค่ะ :mew1:  :mew1:
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ {เปิดเรื่องใหม่}
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 15-05-2020 19:36:08
 :pig2:
 :3123: :L2: :L1:
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 17-05-2020 00:06:18
 
(https://www.img.in.th/images/ee53e6721c44cde893f2ade796b74a5a.jpg)


บทที่ ๑

คำปด

 
 

ปี ๒๔๙๘

เสียงหัวเราะดังไปทั่วพร้อมกับเสียงน้ำที่กระเพื่อมยามที่มีคนเล่น  คนรับใช้ในวังต่างก็อมยิ้มเมื่อมองคุณชายทั้งสองเล่นน้ำด้วยกันพร้อมกับเด็กอีกคนหนึ่งที่ใคร ๆ ก็ต่างรู้จัก ‘ต้นสน’ หรือ หลานของเพื่อนท่านชายนนท์ และก็เป็นถึงผู้มีพระคุณต่อคนรับใช้บางคนที่มาอยู่ที่วังจึงดูแลไม่ต่างจากคุณชายคนอื่นเลย

“ระวังนะต้นสน” สาวใช้คนหนึ่งพูด เพราะต้นสนอายุเพียงหกขวบแต่ก็ว่ายน้ำเป็นเพราะถูกสอนแต่เด็ก แต่ถึงอย่างผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ ก็ยังคงเป็นห่วงอยู่ดี

“ผมจับปลาได้แหละ” ชายกรณ์ที่งมน้ำไปครู่โผล่มาทีก็มีปลาในมือแล้ว

“โห เก่งจังเลยพี่กรณ์ ต้นสนอยากจับได้บ้าง” ต้นสนเตรียมจะมุดแต่ ‘ปราชญ์’ กลับดึงตัวไว้

“ไม่ต้องเลยต้นสน ชายกรณ์ด้วย... ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง ห้ามดำน้ำอีกนะ”

“ครับพี่ชายใหญ่” ชายกรณ์ก้มหน้า

ชายปราชญ์ถอนหายใจก่อนจะคลี่ยิ้มแล้วลูบหัวน้องชาย “ปลาตัวนี้เอาไปทำอาหารเย็นกัน หม่อมแม่ต้องชมแน่”

พอได้ยินอย่างนั้นชายกรณ์ก็ยิ้มกว้าง “ครับพี่ชายใหญ่” พูดเสร็จก็ว่ายเอาปลาไปให้ป้าสรหรือแม่นมที่ดูแลมาตั้งแต่เด็ก

“ต้นสนอยากจับบ้าง” เด็กน้อยหน้าง้ำหน้างอ

“ไม่ได้ครับ มันอันตราย” ปราชญ์เกลี่ยแก้ม

“มีพี่ปราชญ์อยู่ ต้นสนไม่กลัวหรอก”

ชายปราชญ์ไม่รู้จะดีใจหรือจะดุก่อนดี “แต่พี่ปราชญ์ไม่อยากให้ต้นสนทำครับ ถ้าต้นสนเป็นอะไรแล้วพี่ปราชญ์ช่วยไม่ทัน พี่ปราชญ์คงรู้สึกผิดตลอดชีวิต”

เด็กน้อยเบิกตาโตเมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อยของอีกฝ่ายก่อนจะว่ายไปเกาะคอคนพี่ กอดแล้วตบหลังปุ๊ ๆ “ต้นสนไม่จับก็ได้ พี่ปราชญ์ไม่ร้องไห้นะ”

ทุกคนต่างก็แอบขำ แต่ก็อดทึ่งไม่ได้ที่คุณชายปราชญ์ปราบเด็กดื้อได้อยู่หมัด

“ไว้โตอีกนิดเรามาจับปลากันต้นสน” ชายกรณ์ร่วมวงด้วย

ต้นสนพยักหน้าแต่ยังคงกอดพี่คนโต “ไม่เป็นไรนะพี่ปราชญ์ แม่บอกว่าถ้าใครเศร้าให้กอดแบบนี้”

ชายปราชญยิ้มเอ็นดู “ขอบคุณครับ พี่รู้สึกดีมากเลย”

ต้นสนผละออกแล้วแต่ยังคงตบบ่า “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” แค่นั้นแหละทุกคนที่มองก็ระเบิดหัวเราะออกมาจนต้นสนงุนงงว่าหัวเราะกันทำไม คนเขาเศร้าอยู่แท้ ๆ

“ต้นสนไปทานข้าวเย็นด้วยกันไหม” หลังจากทั้งสามขึ้นจากน้ำ ชายปราชญ์ก็ถามทันที

“ต้นสนไปได้เหรอ” เด็กน้อยถาม

“ไปได้สิ”

“แต่พ่อเฟื้องบอกว่าจะไปกวนคนที่วัง”

ชายปราชญ์ถอนหายใจ พี่เฟื้องไม่เปลี่ยนไปเลย “ไม่กวนหรอก เดี๋ยวพี่ปราชญ์ไปขอพ่อเฟื้องให้”

“จริงนะ” เด็กน้อยดีใจยกใหญ่

“จริงสิ อาบน้ำแต่งตัวรอเลยนะ”

ต้นสนดีใจกระโดดโลดเต้นวิ่งข้ามสะพานเพื่อไปยังอีกฝั่ง จริง ๆ แล้ว พื้นที่รอบ ๆ นี้เป็นส่วนหนึ่งของ ‘วังศุลภาณันท์’ และมีบ้านของแม่ครัวชาววังหรือคนใช้ชาววังอยู่ที่อีกฝั่งโดยต้องข้ามสะพานที่กั้นระหว่างคลอง

บ้านที่ต้นสนอยู่ไม่ใช่บ้านของคนใช้ที่ใดแต่เป็นของเจ้าลุงภัสกรหรือพี่ชายแท้ ๆ ของเสด็จพ่อ ท่านมีไมตรียกให้กับเพื่อนของเสด็จพ่อ บ้านหลังนั้นจึงกลายเป็นที่อยู่ของครอบครัวฝ่ายนั้นแทน รวมถึงไร่นาและไร่ต้นตาลกับโรงสีที่ครอบครัวบ้านนั้นช่วยกันสร้าง ถือว่าเป็นครอบครัวหนึ่งที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อวัง

พี่เฟื้องนั้น เท่าที่เสด็จพ่อเล่าให้ฟัง แกดูแลเขามาตั้งแต่เด็ก เพราะอย่างนั้นปราชญ์จึงเห็นพี่เฟื้องเปรียบเสมือนพี่ชายคนหนึ่ง เสด็จพ่อเองก็เห็นพี่เฟื้องเป็นน้องชาย เพราะพี่เฟื้องเป็นลูกของป้าบัวที่เคยเป็นแม่ครัวใหญ่ของวังเลยถือว่าเป็นคนสนิทของเสด็จพ่อ ถึงแม้ตอนนี้พี่เฟื้องมีงานเป็นของตัวเองแล้ว แต่ยังคงแวะเวียนมาหาเสด็จพ่ออยู่ร่ำไป

ต้นสนยังมีศักดิ์เป็นหลานของวีรบุรุษของคนภาคกลาง หรือก็คือหลานของ ลุงสิงห์และลุงไฟ ที่เป็นถึงสหายของเสด็จพ่อเป็นคนสำคัญเสมือนครอบครัวเช่นกัน ไม่แปลกนักที่คนในวังต่างก็ยินดีต้อนรับพวกเขาเสมอ

ชายปราชญ์ถอดแว่นเพื่อเช็ดเอาน้ำออกก่อนจะใส่เสื้อเพื่อจะเข้าวังไปล้างตัว แรก ๆ นั้น คุณย่าดุพวกเขาเพราะน้ำคลองมันสกปรก แต่ก็ห้ามไม่ได้อยู่ดี ปราชญ์คิดว่าคงไม่เล่นอีกแล้ว แต่พอน้องชายทั้งสองร้องไห้งอแงก็ใจอ่อนยวบ

“ไปเล่นน้ำมาอีกแล้วใช่ไหม” เสียงหญิงวัยกลางคนพูดขึ้นทำให้เด็กหนุ่มทั้งสองที่ย่องเข้าวังชะงัก

“คุณแม่” ชายกรณ์ยิ้มแหย

“คุณน้า” ชายใหญ่เดินไปหาเว้นระยะห่างไว้เพราะตัวพวกเขานั้นเปียก “ปราชญ์ขอโทษครับ ที่ไม่ห้ามน้องแล้วยังลงไปเล่นด้วยอีก อย่าว่าน้องเลยนะครับ”

หม่อมแหวนทำหน้าดุได้เพียงชั่วครู่ก็ยิ้มบาง “ต้องหัดโทษน้องบ้างนะชายใหญ่ ไม่อย่างนั้นจะตามใจจนเกินไป”

“ครับ”

“ไปอาบน้ำกันซะเดี๋ยวหม่อมย่ามาเห็นเข้า”

“ครับแม่” ชายกรณ์ไวกว่าใคร

“ขอบคุณครับ” ชายใหญ่ยิ้มบางแล้วรีบขึ้นไปจัดการเนื้อตัว

หลังจากล้างเนื้อล้างตัวชายปราชญ์ก็อยู่ในชุดลำลองธรรมดาเสื้อเชิ้ตแขนสั้นกางเกงขายาวสีน้ำตาลอ่อนพ่วงด้วยสายเอี้ยมเพราะปราชญ์เป็นคนหนึ่งที่ชอบใส่ ชายหนุ่มหันมองกรอบรูปที่มีเสด็จพ่อ คุณแม่และตัวเขาในวัยสี่ขวบ

มุมปากบางยกยิ้มไม่มีความเศร้าอยู่ในแววตา ถึงแม้ว่าคุณแม่จะเสียไปแล้วแต่ปราชญ์รู้ว่าคุณแม่ไม่อยากให้เขาเศร้ามากนัก อีกอย่างหม่อมแหวนหรือคุณน้า ปราชญ์ก็มองท่านเหมือนแม่คนหนึ่งเพราะเธอดีกับเขามาก

ปราชญ์ไม่โกรธเสด็จพ่อเลยที่มีภรรยาคนที่สอง เพราะปราชญ์อยากให้เสด็จพ่อเริ่มต้นใหม่ เมื่อปีที่แล้วปราชญ์เพิ่งจะได้ฟังเรื่องที่เสด็จพ่อเล่า ท่านเคยพลาดทำหม่อมแหวนท้องเพราะถูกมอมยา สงสารชายกรณ์อยู่เหมือนกันที่เกิดมาโดยที่ไม่ได้ตั้งใจและตอนนั้นเสด็จพ่อเองก็ยังไม่ได้รู้สึกรักใคร่ต่อคุณน้าเลย

แต่พออยู่ด้วยกันนานเข้า เสด็จพ่อก็เริ่มหลงรักและมีลูกอีกคนอย่างชายเล็ก หรือ ชายธัน แต่ว่า... ชายเล็กหัวดื้อ ดูถูกผู้อื่น เหตุเพราะมีเพื่อนที่ชักชวนในทางที่ไม่ดี ทุกคนในวังต่างก็ห่วง คุณน้าเสียใจเป็นอย่างมากที่ลูกชายทำตัวหยาบคายใส่คนอื่นตลอด ไม่แม้แต่คนในวังหรือครอบครัวของต้นสน

หรือแม้แต่เขาเอง... คงเพราะเขาเรียกหม่อมแหวนว่าคุณน้าเลยรู้ว่าเขาไม่ใช่พี่ชายแท้ ๆ แต่เป็นพี่ชายคนละแม่ ชายเล็กเลยรังเกียจเขา พลอยให้คุณน้าต้องขอโทษอยู่ทุกเมื่อ แต่เขาไม่โกรธเลย หากน้องโตกว่านี้คงคิดได้ เพราะตอนนี้อายุเพียงหกขวบเท่ากับต้นสนเท่านั้น

“ชายใหญ่ไปไหนหรือลูก” หม่อมแหวนเอ่ยทักเมื่อเห็นลูกจะเดินออกไปจากวัง

“ไปบ้านพี่เฟื้องครับคุณน้า จะชวนน้องต้นสนมาทานข้าวเย็น”

หม่อมแหวนไม่ห้าม แต่ว่า... “ชายเล็กเองก็ยอมมาทานข้าวเย็นด้วยแล้ววันนี้ จะเกิดเรื่องหรือเปล่า” เพราะลูกคนเล็กของเธอไม่ยอมกินข้าวพร้อมหน้าใครหากมีชายใหญ่อยู่ก็ไม่ลงมาเลย แล้วมีต้นสนมาอีก ไม่ใช่เพราะอยากให้ลูกลงมาโดยไม่ต้องให้คนอื่นมาด้วย แต่กลัวลูกจะไปทำคนอื่นเขาเดือดร้อน

ชายปราชญ์คิดหนัก “วันนี้เสด็จพ่อจะประทับด้วยไหมครับ”

“จ้ะ ท่านชายตรัสกับน้าว่าจะเสด็จกลับมาเสวยอาหารด้วย”

“ถ้าอย่างนั้นชายเล็กคงไม่กล้าทำอะไรหรอกครับ เสด็จพ่ออยู่ด้วย”

หม่อมแหวนพยักหน้าเพราะชายเล็กกลัวบิดามาก “งั้นก็ลองดูก่อน ถ้าเกิดเรื่องอะไร น้าจะพาชายเล็กขึ้นห้องเอง”

“ครับ” ชายปราชญ์คลี่ยิ้มแล้วขอตัวออกจากวังเดินไปทางข้าง ๆ ข้ามสะพานเพื่อไปยังเรือนไทย ที่หลังเรือนเคยมีต้นไม้บดบัง ทว่า เอาออกไปแล้ว ห้องปราชญ์อยู่ทางนี้เวลาเปิดหน้าต่างก็จะเห็นเรือนไทยชัดเจน ก่อนนอนชอบมีเด็กตัวน้อย ๆ โบกมือทางหน้าต่างที่เรือนไทยให้ทุกวัน

ทางหน้าบ้านเรือนไทยต่างมีไร่นาที่สวยงามรวมถึงไร่ต้นตาล คนงานเยอะ แถวนี้จากที่โล่ง ๆ ก็เริ่มมีบ้านคนของคนงาน เริ่มที่จะเปิดถนน

ปราชญ์ยืนอยู่หน้าเรือนเงยหน้ามองเพื่อหาผู้ใหญ่ “สวัสดีครับ พี่เฟื้อง พี่ต้นอ้อ”

“อ่าวคุณชาย มารับน้องหรือคะ” พี่ต้นอ้อหรือแม่ของต้นสนถามพร้อมกับเปิดประตู ปราชญ์จึงขออนุญาตเดินขึ้นเรือน

“ใช่ครับ”

“ไม่กวนที่วังหรือ”

“ไม่เลยครับ ที่วังก็อยากให้น้องมาทานข้าวเย็นด้วยกัน”

“พี่ก็กลัวว่าจะไปกวนน่ะสิคุณชาย ซนซะขนาดนี้”

ปราชญ์หัวเราะ “น้องไม่ซนหรอกครับ พอผมพูดก็ฟังทันที”

“ถ้าเป็นอย่างนั้นคงไม่ร้องไห้งอแงตอนที่คุณชายไม่ตามใจหรอกค่ะ” ต้นอ้อส่ายหัวแล้วให้แขกนั่งโต๊ะไม้รับแขกก่อนที่เธอจะไปเรียกลูกชายและหาน้ำมาให้

“พี่ปราชญ์” ต้นสนเรียกมาแต่ไกล วิ่งทั้งยังติดกระดุมไม่เสร็จ

“อย่าวิ่งสิต้นสน โธ่เอ้ยเด็กคนนี้” พี่เฟื้องถอนหายใจ “คุณชาย จะไม่รบกวนจริง ๆ หรือครับ”

“ไม่รบกวนจริง ๆ ครับ” ปราชญ์ไม่รู้จะพูดยังไงดี มองเด็กที่เดินมากอดก็เลยติดกระดุมให้เสียเลย “พี่เฟื้องเมื่อไหร่จะเลิกเรียกผมว่าคุณชายล่ะครับ พี่ต้นอ้อเหมือนกัน”

“โธ่ ก็คุณชายเป็นหม่อมราชวงศ์ พี่ก็ต้องเรียกสิครับ” แกว่ายังมีเด็กสาววิ่งตามหลังมาพร้อมกับแม่

“น้ำค่ะคุณชาย” ต้นอ้อยื่นน้ำให้และอุ้มลูกสาวอีกคนชื่อ ‘ฟ้าใส’ ถือคติมีตัวอักษรคล้ายเฟื้องแล้วยังมีส.เสือเหมือนลุงสิงห์ ไม่ต่างจากคำว่า ‘ต้นสน’ ที่มีต้นคำนำหน้าเหมือนแม่และส.เสือเหมือนลุงสิงห์ ชื่อต้นสนนั้นลุงสิงห์ที่เป็นพี่ชายของต้นอ้อเป็นคนตั้งให้ ส่วนฟ้าใสพ่อเขาตั้งเองกับมือ

“ฟ้าใสสวัสดีค่ะ” ปราชญ์ยิ้มให้เด็กสาว

“สวัสดีค่ะ” ถึงจะอายุเพียงสี่ขวบแต่ก็รู้เรื่องรู้ราวยกมือไหว้ด้วย

“ฟ้าใสไปด้วยไม่ได้เหรอจ๊ะพ่อ” ต้นสนเงยหน้าถามผู้เป็นพ่อ ส่วนตัวเองปีนไปนั่งบนตักของพี่ปราชญ์จนพ่อกับแม่ได้แต่กุมขมับ รู้ไหมว่านั่งตักใครอยู่น่ะ ไอเด็กคนนี้

“ไม่ได้ลูก แค่นี้ก็รบกวนที่วังเขามากแล้ว”

“เสียดายจัง กับข้าวที่วังอร่อยมากเลย” ต้นสนหงอยลงก่อนจะยื่นมือจนสุดแขนไปทางน้อง พอแม่รู้ก็เลยอุ้มน้องไปใกล้ ๆ ต้นสนจึงจับมือน้องแล้วเขย่าเบา ๆ “ไว้ฟ้าใสโตกว่านี้ พี่จะพาไปกินข้าวที่วังนะ”

“อื้อ! ฟ้าใสรอ” เด็กสาวตอบรับพี่ชาย

“ดูก็รู้เลยว่าจะพาน้องไปป่วนวัง” พี่เฟื้องหัวเราะ

“ไม่ใช่ซะหน่อย” ต้นสนคิ้วมุ่น

“เอาล่ะ เราไปกันเลยไหม”

“ไปเลย!” ต้นสนชูมือแล้วหันหลังกอดคอพี่ปราชญ์

“เดินเองไม่เป็นหรือไงห๊ะ” ต้นอ้อตีก้นลูกชาย

“ก็อยากให้พี่ปราชญ์อุ้ม” ต้นสนหน้าบึ้งพอพี่ปราชญ์อุ้มก็ยิ้มตาหยีหัวเราะเอิ้กอ้ากเหมือนมีความสุขมาก

“เดี๋ยวจะพากลับมาส่งนะครับ”

“จ้ะ เดินระวังด้วยนะคะคุณชาย เจ้านี่เหมือนลิงเด็กด้วย” ต้นอ้ออดห่วงไม่ได้

“ครับผม ไปแล้วนะครับ” ปราชญ์ให้น้องโบกมือจึงเดินลงเรือนและพาไปทางวัง

“นี่ ๆ ๆ”

“ว่าไงครับ”

“พี่ปราชญ์ ทำไมถึงชื่อพี่ปราชญ์ล่ะ”

คนถูกถามยิ้มเอ็นดู “คุณแม่พี่ตั้งให้เพราะแสดงถึงผู้มีปัญญารอบรู้”

“ต้นสนไม่เข้าใจ”

“เดี๋ยวต้นสนโตไปก็เข้าใจเองครับ”

“แล้วชื่อต้นสนล่ะ”

“หื้อ พี่ไม่รู้ความหมายนะแต่ว่าชื่อนี้ลุงสิงห์ตั้งให้”

ต้นสนโยกตัว “ใช่ ๆ ลุงสิงห์ตั้งให้แหละ เท่ใช่ไหม”

“เท่ครับ เท่ที่สุดเลย” ปราชญ์หอมแก้มน้อง กว่าจะเดินถึงวังก็แวะดูนกดูแมลงไปเรื่อยเพราะต้นสนอยากเห็น

“อ่าว นั่นต้นสนใช่ไหม”

“ต้นสนสวัสดีคุณย่าเร็ว” ปราชญ์พาน้องยืนพื้น

“สวัสดีครับคุณย่า” ไม่ไหว้เปล่ายังวิ่งไปกอด

“โอ้โห หลานย่า” คุณย่ายิ้มใจดีพร้อมกอดตอบ “เห็นแม่บอกว่าปราชญ์จะพาน้องมาทานข้าวเย็นด้วยกันใช่ไหม”

“ครับหม่อมย่า”

“ดีเลย วันนี้ย่าเข้าครัวเอง ดีไหม” ก้มถามเด็กน้อย

“ดี ๆ”

“ชายปราชญ์พาน้องไปเล่นกับชายกรณ์ที่ห้องนั่งเล่นรอแล้วกันนะ”

“ครับหม่อมย่า... ไปกัน” ชายใหญ่ของวังจูงมือเด็กน้อยไปยังห้องนั่งเล่น ได้ยินเสียงเครื่องบินปากเปล่าคุ้นหู

“พี่กรณ์” พอเห็นพี่ชายอีกคนต้นสนก็วิ่งไปเล่นด้วยทันที

“มาเร็ว ทหารจะยิงเครื่องบินแล้ว” ชายกรณ์ว่าพร้อมกับชูเครื่องบินทำเป็นบินว่อน ต้นสนเลยจับตัวหุ่นทหารพร้อมเสียงปิ้ว ๆ ใส่เครื่องบิน

“เดี๋ยวผมดูน้องเองครับ” ปราชญ์บอกป้าสร เธอจึงไปช่วยหม่อมย่าทำอาหาร

ชายปราชญ์ตรงไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งมาอ่านบางช่วงก็มองเด็กทั้งสองเล่นกันไปด้วย ตอนนี้ปราชญ์อายุสิบเก้าแล้ว เด็จพ่อยังทรงถามอยู่ตลอดว่าจะเรียนต่อที่ไหน ปราชญ์อยากไปเรียนที่อังกฤษแต่ว่า...

“ต้นสนดูนี่” ชายกรณ์ถือหุ่นทหารแล้วทำเป็นยิงใส่อีกฝั่ง

“ทหารเท่จังเลย”

ชายปราชญ์คลี่ยิ้มบาง เขาไม่อยากห่างไกลจากน้อง ๆ เลย ไปที่นู่นคงเหงาแย่ ไม่มีเด็ก ๆ อยู่รอบกาย ไหนจะพระอาการของเสด็จพ่อที่ป่วยบ่อยหนักที่เกิดความเครียดสะสมที่มีมายาวนาน และผลพวงจากการนอนไม่เพียงพอ สมัยก่อนเกิดเรื่องมากมาย ไม่แปลกที่เสด็จพ่อทรงมีพระอาการที่น่าเป็นห่วง

เขาในฐานะพี่คนโต ก็ไม่อยากห่างไกลครอบครัว แต่ก็เพราะเป็นพี่คนโตจึงต้องไปเรียนรู้ก่อนใคร

“นมสดร้อนค่ะคุณชาย” แตงเดินเข้ามาพร้อมเสิร์ฟนมร้อน

“ขอบคุณครับ” ชายใหญ่ผงกหัววางหนังสือลงและรับแก้วส่งให้ชายกรณ์และต้นสน “ระวังนะ ยังร้อนอยู่”

“โอ๊ย ๆ”

“พูดไม่ทันขาดคำ” ปราชญ์ส่ายหน้าให้กับเด็กแสบที่สุดอย่างต้นสน “ค่อย ๆ ดื่มครับต้นสน”

ต้นสนพยักหน้าทำตามพี่ปราชญ์ว่า “อื้ม อร่อย! ขอบคุณครับพี่แตง”

“ยินดีจ้ะ” แตงยิ้มให้หลานของผู้มีพระคุณแล้วขอตัวออกจากห้อง

“ว่าแต่ พี่ปราชญ์โตไปอยากทำงานอะไรหรือครับ” ชายกรณ์เอ่ยถามด้วยความสงสัย

คนถูกถามจิบชาก่อนจะวางแก้ว “พี่คิดไว้ว่าจะเป็นครูน่ะ”

“มาสอนเด็กดื้ออย่างต้นสนแน่เลย”

“ต้นสนไม่ได้ดื้อนะ”

ปราชญ์หัวเราะ “แล้วเด็ก ๆ โตไปอยากเป็นอะไรกันครับ”

“ต้นสนจะเป็นตำรวจแหละ”

“ดีเลยนะ จะได้เหมือนคุณลุงสิงห์”

“ใช่ ๆ เพราะตำรวจเท่”

ปราชญ์พยักหน้าแล้วมองน้องอีกคน “ชายกรณ์ล่ะ”

“ทหารครับ”

“เพราะอะไรล่ะ”

“อยากเป็นทหารที่เก่งกาจเหมือนเสด็จปู่” ชายกรณ์ในวัยสิบเอ็ดขวบพูดด้วยความมุ่งมั่น

“ดีจริงเชียว หากพระองค์ยังอยู่ คงดีใจที่หลานอยากเป็นเหมือนดั่งพระองค์”

“ครับ!” ชายกรณ์ยิ้มกว้าง

พระองค์วายุภักษ์หรือเสด็จปู่ของพวกเรา ท่านสิ้นพระชนม์เมื่อหลายปีก่อนด้วยอายุขัยที่มากและทรงเจ็บป่วยจากการสู้รบที่ภาคใต้กับทหารญี่ปุ่น ถึงไทยจะไม่ตัดสินเข้าร่วมฝ่ายใดในเวลานั้น แต่พระองค์ก็ประสงค์จะเสด็จไปที่ภาคใต้เพื่อช่วยต้านกองทัพญี่ปุ่นที่เดินทางมาทางน้ำ เพราะเสียเพื่อนและลูกน้องไปเยอะจึงมีพระอาการที่เรียกว่าภาวะสงครามมาตั้งแต่นั้นจนพระองค์สิ้นชีพ

“ชายเล็ก” พอเสียงเรียกของชายกรณ์ดังขึ้น ปราชญ์จึงรีบหันไปมองทางประตูก็พบกับน้องชายคนเล็กที่เหมือนจะเข้ามา

“ชายธัน มาเล่นกับน้องสิ” ปราชญ์จำยอมต้องเรียกว่าชายธันเพราะชายธันไม่อยากให้เขาเรียกตนเองว่าชายเล็ก

“ไม่” ชายเล็กปฏิเสธเสียงแข็งแล้วเดินเข้ามาหยิบเครื่องบินออกจากมือของต้นสน “ใครให้เล่น”

“เอามานะ” ต้นสนยกมือ

“ออกไป”

“ไม่ เอาคืนมา”

“บอกให้ออกไปพวกขี้ข้า”

“ชายธัน! ใครสอนให้พูดจาแบบนี้” ปราชญ์ดึงแขนน้อง

“อย่ามายุ่ง”

“ชายธัน ขอโทษต้นสนเดี๋ยวนี้”

“ไม่! ปล่อย!”

ปราชญ์ถอนหายใจ “รู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา ขอโทษเดี๋ยวนี้”

“ก็บอกว่าไม่” ยื้อแขนกันไปยื้อแขนกันมาชายเล็กก็ดึงแขนออกอย่างแรงจนทำให้เครื่องบินของเล่นกระแทกกับหน้าของปราชญ์

“พี่ชายใหญ่!” ชายกรณ์รีบวิ่งเข้ามาดูก่อนจะตกใจเมื่อเห็นเลือดซึมออกมาจากหน้าผาก

“ฮืออออ” ต้นสนร้องไห้เมื่อเห็นพี่ปราชญ์เจ็บ เข้ามากอดแน่นจนปราชญ์ต้องลูบหลังปลอบน้อง

“พี่ไม่เป็นอะไรครับ ไม่ร้องนะ”

“ชายเล็กทำอะไร” ชายกรณ์หันไปดุน้องที่ตอนนี้หน้าเสียขึ้นมา “ขอโทษพี่ชายใหญ่เดี๋ยวนี้เลยนะ”

ชายเล็กเม้มปากน้ำตาเริ่มคลอพร้อมกับวิ่งออกไป

“ชายเล็ก เดี๋ยวก่อน”

“ไม่เป็นไรชายกรณ์”

“แต่ว่า—”

“พี่ไม่เป็นอะไรจริง ๆ” ปราชญ์ยิ้มแม้จะมีผ้าเช็ดหน้าของตัวเองมาซับเลือดไว้แต่ต้นสนก็ยังคงร้องไห้ไม่หยุดพลอยเดือดร้อนให้คนรับใช้ของวังต่างวิ่งเข้ามาดู

“ว้ายตายแล้ว เป็นอะไรคะคุณชาย” แตงรีบมาดู

“เมื่อกี้ชายเล—” ทว่าชายกรณ์ยังไม่ทันพูดพี่ชายใหญ่ก็พูดขัดขึ้นเสียก่อน

“ผมแค่เล่นกับน้องแล้วเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะครับ”

“ระวังหน่อยสิคะคุณชายกรณ์ ต้นสน” แตงบอกเด็ก ๆ และพาคุณชายใหญ่ไปรักษาแผล

“เกิดอะไรขึ้นแตง” หม่อมแหวนเดินมาถามก่อนจะตกใจ “ชายใหญ่เป็นอะไรลูก”

“เด็ก ๆ เล่นซนกันจนเจ็บตัวค่ะ” แตงว่า

“ชายกรณ์ หรือ ต้นสน หื้อ”

“อย่าว่าน้องเลยครับ ที่จริงเป็นผมที่พลาดเอง ไม่มีใครทำทั้งนั้นมีแค่ผมที่ทำตัวเองเจ็บเอง”

“น้าบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าให้ท้ายน้องมาก”

“ไม่ใช่น้องจริง ๆ ครับคุณน้า”

“ผมทำเองครับ” ชายกรณ์ที่กอดปลอบต้นสนแทนออกมารับหน้า

“ชายกรณ์” ปราชญ์ส่ายหน้าแต่น้องชายก็ทำเพียงพยักหน้ากลับมาเท่านั้น

“ผมขอโทษครับที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น” น้องว่าพร้อมพนมมือไหว้

“ทีหลังเล่นอะไรระวังหน่อยนะลูก เกิดโดนตาพี่ชายใหญ่ขึ้นมาจนตาบอดจะเป็นเรื่องใหญ่เอา” เธอลูบหัวลูกชายก่อนจะหันมอง “แตงพาคุณชายใหญ่ไปรักษาเถอะ ฉันดูเด็ก ๆ เอง”

“ค่ะ”

“ว่าไงเด็ก ๆ ถือว่าเหตุการณ์นี้เป็นบทเรียนนะ อย่าเล่นกันแรงอีก”

“ครับคุณแม่”

“เอาล่ะ ไปรอพี่ชายใหญ่ที่ห้องรับแขกกันก่อนนะ อาหารเริ่มใกล้จะเสร็จแล้ว” เธอว่าพร้อมกับก้มดูต้นสน “พี่ปราชญ์ไม่เป็นอะไรหรอกนะคะ ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวพี่ปราชญ์ก็กลับมา”

ต้นสนที่สึกสะอื้นหนักยอมพยักหน้าอย่าว่าง่ายและเดินไปทางห้องรับแขก

หลังจากกับข้าวถูกอย่างเสร็จเรียบร้อยคนที่วังจึงพากันจัดโต๊ะ พอดีกับปราชญ์ที่เดินออกมาพร้อมผ้าก็อตติดหน้าผาก

“นั่นไงพี่ปราชญ์มาแล้ว ไปห้องครัวกันนะ” เธอว่าแล้วให้แตงพาเด็ก ๆ ไปที่ห้องครัวก่อน “เป็นไงบ้าง”

“ดีขึ้นแล้วครับ”

“ถ้าอย่างนั้นน้าไปตามชายเล็กก่อนนะ”

“เอ่อคุณน้าครับ”

“จ๊ะ”

ปราชญ์เม้มปากก่อนจะเอ่ยขอร้อง “อย่าบอกหม่อมย่ากับเสด็จพ่อนะครับ ว่าเกิดอะไรขึ้น”

“ทำไมล่ะลูก ชายกรณ์ก็รับผิดแล้ว” เธอสงสัยก่อนจะเริ่มเอะใจเมื่อเห็นสีหน้าหนักใจของชายใหญ่ “ชายเล็กทำหรือ”

“ไม่ใช่ครับ น้องอยู่บนห้องตลอด ไม่ได้ลงมาเลยครับ”

เธอยอมเชื่อ “ต่อให้ใครทำก็ต้องบอกผู้ใหญ่ไว้ พวกท่านเข้าใจอยู่แล้วว่าเป็นแค่อุบัติเหตุ”

“ก็ได้ครับ” ปราชญ์ก้มพอคุณน้าขึ้นไปยังชั้นสองแล้วก็เลยไปนั่งรอที่ห้องทานข้าวเห็นว่านั่งกันครบเลยไม่เว้นแม้แต่หม่อมย่าที่นั่งฝั่งซ้ายมือของหัวโต๊ะและเด็ก ๆ ที่นั่งแถวเดียวกับหม่อมย่า

“อ่าวชายใหญ่ ไปโดนอะไรมาลูก”

“เอ่อคือ...”

“หม่อมสร้อยขอรับ ท่านชายนนท์เสด็จกลับมาแล้วขอรับ” สมพงษ์เดินค้อมตัวมาบอกจึงเก็บเรื่องแผลของปราชญ์ไป

“ไปพามาที่ห้องทานข้าวเร็ว”

“ขอรับ”

เพียงชั่วครู่ชายวัยกลางคนในชุดราชการตำรวจเดินมานั่งที่หัวโต๊ะ “วันนี้มีแขกตัวน้อยด้วยหรือ” ท่านชายคลี่ยิ้มก่อนจะขมวดคิ้ว “ทำไมตาแดงอย่างนั้น เกิดอะไรขึ้นหรือ แล้วไปโดนอะไรมาน่ะชายปราชญ์”

ปราชญ์ที่นั่งข้างต้นสนจับผ้าก็อต

“นั่นสิ ย่าก็ลืมถามเลย”

“คือว่า...”

“ผมทำเองครับ ผมเล่นของเล่นแล้วเหวี่ยงแรงไปหน่อยจึงโดนหน้าผากพี่ชายใหญ่ครับ”

“อ่าว ทีหลังระวังนะ” หม่อมย่าลูบหัวหลานที่นั่งข้างกาย

“ระวังให้มากกว่านี้นะ แล้วน้องแหวนกับชายเล็กล่ะครับหม่อมแม่”

“แหวนไปเรียกอยู่น่ะ เดี๋ยวก็มา”

พูดไม่ทันไรก็เห็นทั้งสองเดินเข้าห้องทานข้าว ท่านชายนนท์มองลูกชายคนเล็กที่ตาแดงเหมือนอย่างต้นสนก็อดจะสงสัยไม่ได้

“วันนี้เกิดเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ ทำไมเจอแต่เด็กร้องไห้กัน”

หม่อมแหวนที่ขึ้นไปหาลูกชาย พอเห็นลูกชายนอนร้องไห้คนเดียวจึงรู้ได้ทันทีว่าฝีมือคนทำที่แท้จริงคือใคร

“ที่จริงแล้ววันนี้เกิดเรื่องนิดหน่อยค่ะ ชายใหญ่เล่าให้เสด็จพ่อทรงทราบหรือยัง”

“มาจากเรื่องนี้หรือ แล้วทำไมชายเล็กถึงร้องไห้ล่ะ”

“อย่าทำอะไรพี่ปราชญ์นะ” ต้นสนเมื่อเห็นชายเล็กก็กลัวแล้วกอดพี่ปราชญ์ไว้แน่น

“ต้นสน” ปราชญ์รีบชูนิ้วชี้เป็นเชิงบอกให้เงียบ

ผู้ใหญ่ทุกคนต่างก็เริ่มมองออก ท่านชายนนท์ถอนหายใจ “ชายปราชญ์”

“ครับ”

“ทำไมถึงไม่บอกความจริง”

“ขอโทษครับ”

“ยอมตามใจน้องแบบนี้ เดี๋ยวจะเสียนิสัยกันไปใหญ่” เพียงหัวหน้าครอบครัวพูดเด็กทุกคนต่างกลัวจนหดคอกันหมด “อะไรที่ผิดก็ว่าผิด ปกป้องและปล่อยไปแบบนี้ คิดหรือว่ามันจะเป็นผลดีในภายภาคหน้า”

ชายปราชญ์ลุกขึ้นแล้วก้มไหวผู้ใหญ่ทั้งสาม “ขอโทษครับ เรื่องวันนี้มันเป็นอุบัติเหตุจริง ๆ ชายธันไม่ได้ตั้งใจทำเลย” พูดแล้วมองน้องคนเล็กที่เริ่มน้ำตาคลอจับมือผู้เป็นแม่แน่น

“ใช่ค่ะคุณพี่ น้องเพิ่งคุยกับชายเล็กมา ชายเล็กบอกไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ขอโทษพี่เขาสิลูก” หม่อมย่าบอกหลานคนเล็ก

ชายเล็กเงยหน้ามองคนพี่ จากที่โกรธพอมองเห็นผ้าสีขาวก็ก้มหน้านิ่ง

“ชายเล็ก” เสียงทุ้มต่ำของผู้เป็นบิดาเอ่ยอีกรอบ ชายเล็กจึงค่อย ๆ ยกมือไหว้ “พูดด้วย”

ชายเล็กมองพ่อแล้วหันมองพี่ชาย “ขอโทษครับ”

“ไม่เป็นไรครับ” ปราชญ์ยิ้มให้น้องแม้จะได้รับการเมินอีกรอบ

“เอาล่ะ มาทานข้าวกัน” ท่านชายนนท์ผายมือ หม่อมแหวนและลูกชายคนเล็กจึงนั่งทางขวามือของท่านชายนนท์

“แล้วเมื่อไหร่หรือที่ชายใหญ่จะต้องไปเมืองนอก” หม่อมย่าถามขึ้น

ท่านชายนนท์มองลูกคนโต “คิดว่าจะให้ไปเร็ว ๆ นี้น่ะครับหม่อมแม่ คงราว ๆ สักเดือนสองเดือนหน้า อีกไม่กี่อาทิตย์นี้ก็จะข้ามปีเป็น ๒๔๙๙ แล้ว คาดว่าปีหน้าจะได้ไป”

“ไปที่อังกฤษใช่ไหมคะ” หม่อมแหวนถาม

“อืมใช่ พอดีว่าจะให้เจ้าตัวไปรับภาษาจากทางโน้น ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะส่งไปที่อิตาลีด้วยเพื่อรับภาษาทางตะวันตกมาเพิ่ม เป็นความต้องการของเจ้าตัวเองน่ะที่ต้องการเรียนรู้ด้านภาษา”

“แล้วทำไมถึงเลือกจะไปเรียนด้านภาษาล่ะชายใหญ่” หม่อมย่าถาม

ปราชญ์ยิ้มบางรวบช้อนแล้ววางมือกับเข่าเพื่อตอบ “ผมอยากเอาภาษาจากทางนอกมาสอนให้กับคนไทยน่ะครับ”

“โอ้ ดีเลยนะ” หม่อมย่าพยักหน้าพึงพอใจ

“จะเป็นครูหรือชายใหญ่”

“ครับคุณน้า ผมอยากเป็นครู”

ท่านชายนนท์ยิ้ม “เหมือนแม่สินะ”

“ครับเสด็จพ่อ... ผมอยากให้ข้าราชการครูไม่ถูกมองว่าเป็นงานที่ต่ำต้อย การเป็นครูถือว่ามีเกียรติและเป็นตัวอย่างที่ดีแก่เด็กได้”

“อืม ดีแล้ว”

“คุณปิ่นต้องภูมิใจแน่จ้ะ” หม่อมแหวนยิ้ม

“ขอบคุณครับคุณน้า” ปราชญ์ดีใจ

“สมัยก่อนนะ คนอื่นเขายังมองว่าการเป็นครูเป็นงานที่ไม่สมเกียรติไม่สมฐานะเลย ย่าดีใจนะที่หลานภูมิใจในงานของแม่และอยากจะสานต่อ”

“ถ้าไปคราวนี้ เด็ก ๆ คงเหงาแย่” หม่อมแหวนมองลูกชายกับเด็กใกล้วัง

“พี่ปราชญ์จะไปไหนเหรอ” ต้นสนเงยหน้าถาม

ปราชญ์ใจหายวูบ จะบอกน้องยังไงดีว่าจะไม่ได้เจอกันอีกนานเลย “พี่ต้องไปเรียนทางไกลครับ”

“ไปที่ไหน นานไหม”

ปราชญ์ลูบหัวเด็กข้างกาย “ไม่นานหรอกครับ”

“อื้อ งั้นต้นสนจะรอนะ” เด็กน้อยยิ้มตาหยี

ไม่ได้รู้เลยว่า ไม่นานของปราชญ์เป็นคำปดที่ไม่น่าให้อภัย...





จบบทที่ ๑

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------

เปิดตอนแรกแล้วครับผม ขอฝากคุณชายปราชญ์ไว้ในอ้อมอกทุกท่าน



หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 17-05-2020 00:14:58
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 17-05-2020 01:20:53
ชายเล็กนิสัยไม่ดี พี่ปราชญ์ควรกำหราบนะ
ปล่อยไว้แบบนี้ จะกลายเป็นสันดานที่ขัดไม่ออกเอา
หวังว่าโตขึ้นชายเล็กจะคิดได้เองนะ

น้องต้นสน รอพี่ปราชญ์จนโตเป็นหนุ่มเลยรึเปล่าน๊าาาาาา :katai3:
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑
เริ่มหัวข้อโดย: piakunaa ที่ 17-05-2020 01:48:49
ต้นสนลูก​ เดี๋ยวป้ากอดปลอบนะคะ
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๒
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 20-05-2020 15:40:19
 

(https://www.img.in.th/images/aaf81952164504decb0a2589a589d24a.jpg)

บทที่ ๒

สามพี่น้อง


 


ปี ๒๔๙๙

เวลานี้เป็นช่วงบ่าย ปราชญ์จูงมือน้อง ๆ ที่มาถนนเจริญกรุงแวะทั้งย่านสี่พระยา สำเพ็ง จวบจนมาจบที่วังบูรพา เพื่อไปห้างเซ็นทรัล เพราะปราชญ์ตั้งใจจะไปซื้อเสื้อผ้าเพื่อใส่ไปอังกฤษและซื้อหนังสือด้วย กลายเป็นว่าชายกรณ์กับต้นสนขอเดินทางมาด้วย แต่ละคนแต่งตัวหล่อซะไม่มี

“อยากขึ้นสามล้อ” ต้นสนชี้ ๆ

“ไว้วันหลังค่อยนั่งสามล้อกันนะ”

“ครับ!”

ปราชญ์ยิ้มแล้วหันมองคุณน้ากับชายธันที่มาด้วยเพราะจะตัดเสื้อไปร่วมงานบริจาคที่วังศิริกิต

“เดี๋ยวผมกับน้องไปดูหนังสือทางโน้นก่อน ไว้วัดตัวชายธันกับคุณน้าเสร็จแล้วให้พี่สมพงษ์ไปเรียกผมนะครับ”

“จ้ะ ไปชายเล็ก”

ปราชญ์เดินไปร้านหนังสือและมองหาหนังสือด้านภาษา เพราะปราชญ์ชอบอ่านหนังสือที่เป็นภาษาอังกฤษทั้งเล่ม อย่างหนังสือวรรณกรรมก็ชื่นชอบ

“อันนี้อะไรอะพี่กรณ์” ต้นสนนั่งลงจุมปุ๊กกับพื้นทันที เมื่อหยิบหนังสือเล่มหนึ่งมา ชายกรณ์ก็ก้มไปบอกว่ามันคือสัตว์อะไร ภาษาอังกฤษพูดว่าอย่างไร

ปราชญ์ยิ้มเอ็นดู ชายกรณ์เป็นเด็กฉลาด ได้ภาษาตั้งแต่เด็กเพราะคุณน้าสอน ส่วนเขานั้นก็เริ่มได้หลังจากที่หม่อมแหวนมาช่วยฝึกเหมือนกัน จริง ๆ แล้ว เสด็จพ่อประสงค์จะส่งเราสามพี่น้องไปไฮสคูล แต่ด้วยเหตุการณ์ต่าง ๆ ไม่อำนวยจึงไม่ได้ส่งไป แต่คิดว่าชายกรณ์กับชายเล็กยังคงมีโอกาสและจะส่งไปอีกไม่นานนี้

พอนึกได้อย่างนั้นปราชญ์ที่ยิ้มอยู่ก็ค่อย ๆ หุบลงเมื่อมองเด็กอีกคนที่เล่นกันมาตั้งนานและรู้สึกสนิทสนมเหมือนดั่งพี่น้อง

ต้นสนจะมีเพื่อนเล่นที่บ้านหลังจากเลิกเรียนหรือเปล่า หากเราพี่น้องไปเมืองนอกกันหมด...

“น่ารักจัง” ต้นสนชี้กระต่ายขาว

“Rabbit แปลว่า กระต่าย”

“แรบ...แรบบิด แปลว่า กระต่ายคับ!” ต้นสนตาหยี

 “คุณชายขอรับ คุณหญิงท่านกับคุณชายเล็กวัดตัวเสร็จแล้วขอรับ” เพียงไม่นานสมพงษ์ก็เดินมาบอก

“เอาล่ะ ไปวัดตัวกัน” ปราชญ์บอกน้อง ๆ และพาเดินไปยังห้องเสื้อ

“เดี๋ยวน้าจะวัดตัวให้ชายกรณ์ก่อน ปราชญ์ดูน้องหน่อยนะ รอครู่เดียว”

ปราชญ์มองชายธันที่แทบไม่มองหน้าเขาเลย “ได้ครับ” ว่าแล้วก็โอบน้องไว้แม้จะรู้สึกว่าน้องขืนตัวออก จึงปล่อยและให้ยืนข้างกาย ส่วนเขาก็อุ้มต้นสนนั่งบนตัก

“พี่ปราชญ์ คนนี้จะทำร้ายไหม”

ชายธันมองด้วยความหงุดหงิดทันที

“ต้นสนไม่พูดแบบนี้นะครับ วันนั้นชายธันไม่ได้ตั้งใจ”

“เหรอคับ งั้นเราชื่อต้นสนนะ นายชื่ออะไร” ต้นสนยิ้มตาหยีแต่ก็ได้รับการหมางเมิน จนเด็กน้อยขมวดคิ้ว “นายชื่ออะไรเหรอ”

“อย่ามายุ่ง”

ต้นสนหน้าเสียเงยหน้ามองพี่ปราชญ์เพื่อขอความช่วยเหลือ

“ชายธัน... คุยกับต้นสนหน่อยสิ แค่บอกชื่อเท่านั้น”

ชายธันหันมองพี่คนโตตาขวาง แต่เพราะมีความผิดจึงยอมฟัง “ฉันชื่อธัน”

“ธันเหรอ ธันเมื่อกี้เราไปดูสัตว์มาด้วยล่ะ”

ชายธันขมวดคิ้ว “สัตว์ที่ไหนจะมีอยู่ที่นี่”

“ไปดูกันเร็ว พี่ปราชญ์พาพวกเราไปดูหน่อยคับ” ต้นสนลงจากตักและดึงมือ

“ได้สิ” ปราชญ์ยิ้มจับมือต้นสนก่อนจะยื่นมือให้ชายเล็ก “จับมือพี่นะ จะได้ไม่หลงกัน”

เด็กยังไงก็คือเด็ก การกลัวหลงกับผู้ใหญ่คือสิ่งที่เด็กนั้นกลัวจับใจ ชายเล็กจึงยื่นมือไปจับอย่างว่าง่าย

ปราชญ์คล้ายตาคลอที่น้องยอมจับมือ ดวงตาสุกสกาวยามมองน้องชายคนเล็ก “พี่สมพงษ์ เดี๋ยวผมไปร้านหนังสืออีกรอบนะครับ”

“ขอรับ” สมพงษ์ก้มหัว

ทั้งสามคนจึงไปร้านหนังสือและต้นสนก็หยิบให้ชายธันดู แม้จะเป็นหนังสือภาพสัตว์ขาวดำ ทว่า ก็น่าสนใจสำหรับเด็ก ๆ ไม่แปลกที่เจ้าธันจะนั่งลงเพื่อดูด้วย ปราชญ์เลยซื้อหนังสือไปด้วยเสียเลย เพราะก่อนหน้านี้ก็ยังไม่ทันได้ซื้อก็ถูกเรียกไป

“นั่นอะไรเหรอพี่ปราชญ์” ต้นสนชี้ที่กลางอก

“หื้อ นี่น่ะเหรอ” ชายปราชญ์ยกกล้องที่ห้อยคอไว้ขึ้นมา เพราะตนเพิ่งเอาออกจากกระเป๋า ที่เอามาด้วยเพราะอยากเก็บบรรยากาศเมืองกรุงก่อนไปเรียนนอก “เขาเรียกกล้องถ่ายรูป”

“โห” ต้นสนตาวาวได้ครู่ก่อนจะทำหน้าสงสัย “แล้วกล้องถ่ายรูปมันคืออะไร”

“ก็ไว้ถ่ายรูปไงถามแปลก” ชายธันขมวดคิ้วมุ่น

“แล้วถ่ายรูปมันคืออะไรล่ะ”

ชายปราชญ์ยิ้มแล้วนั่งลงข้างเด็ก ๆ “ถ้าเกิดพี่กดปุ่มนี้แล้วถ่ายต้นสน ก็จะได้รูปที่คล้ายภาพสัตว์นี้ออกมา”

“จริงเหรอ!”

“เสียงดัง” ชายธันหันหนี

“จริงสิ” ปราชญ์ยิ้มแล้วผละออกมา “ชายธันถ่ายรูปกับเพื่อนสิ”

“เพื่อนที่ไหน”

“ก็ต้นสนไง”

“ไม่ใช่—”

“ธันถ่ายรูป ถ่าย ๆ” ต้นสนกอดคอคนข้างกายทันที ชายธันไม่ทันผลักออกก็ต้องถูกถ่ายรูปไปเสียแล้ว “ได้ไหม ๆ”

“ได้แล้วครับ แต่ยังให้ดูไม่ได้นะ รอก่อน”

“อยากเห็นแล้วอ่า” ต้นสนหน้าหงอย

“ไม่นานหรอกครับ เสร็จแล้วพี่จะรีบเอามาให้ดูเลย”

“ก็ได้ ถ้าเสร็จแล้ว... ธันเรามาดูรูปกันนะ”

“ใครจะอยากดู” ชายธันหันหน้าหนี

ปราชญ์ยกมือไปลูบหัวน้อง “ขอพี่เก็บรูปชายธันไว้ด้วยนะ ถ้าพี่ไปอยู่ไกลแล้ว พี่ก็อยากเก็บรูปน้องชายของพี่เอาไว้”

ชายธันไม่ได้สะบัดหนีได้แต่นิ่งงันกับสัมผัสนี้ที่เพิ่งเคยจะได้รับ ทั้งอบอุ่นและอ่อนโยน แม้มือเรียวจะผละออกไปแล้วแต่กลับทำให้ชายธันไม่สามารถลืมสัมผัสอันบอบบางนั้นได้เลย ทั้ง ๆ ที่ไม่คิดจะสนใจ แต่น่าแปลกที่ภายในอกวูบโหวงขึ้นมากับคำพูดที่เหมือนจะห่างไปไหนไกล...

หลังจากเสร็จธุระหม่อมแหวนก็พาลูกชายไปหาเด็กทั้งสามที่ร้านหนังสือ เธอตกใจไม่น้อยที่ชายเล็กยอมมาด้วย แต่ก็อดปลื้มใจไม่ได้ที่ดูเหมือนว่าพี่น้องคู่นี้เริ่มต้นไปในทางที่ดี “ทำอะไรกันอยู่คะเด็ก ๆ”

พอเห็นคุณแม่กับพี่ชายอีกคน ชายเล็กลืมตัวว่านั่งเพลินไปเสียหน่อยเลยรีบลุกไปหาคุณแม่ทันที

“สนุกใหญ่เชียวชายเล็ก” ชายกรณ์คลี่ยิ้ม

“ไม่ใช่...” ชายเล็กหลบหน้าแล้วกอดแขนแม่แน่น

“แม่ดีใจจังที่ลูก ๆ สองคนคุยกัน” เธอยิ้มอย่างมีความสุขจากใจจริง ชายธันที่เห็นก็ได้แต่หลบตา ใบหูเล็กแดงก่ำ

“ถ้าอย่างนั้น ชายธันมากับพี่มา” ปราชญ์ยื่นมือ

“ไปไหน”

“เดินกับพี่ได้ไหม เราไปถ่ายรูปกัน”

“ไปสิชายเล็ก แม่ก็อยากไป”

ชายธันลังเลก่อนจะตกใจเมื่อถูกดึงแขนจากต้นสน “มาเร็ว ๆ ไปถ่ายรูปกัน”

“เดี๋ยวสิอย่าวิ่ง” ปราชญ์ถอนหายใจก่อนจะวิ่งตามเด็ก ๆ ไป

ตอนนี้ออกมาเดินเล่น แม้อากาศจะร้อนอบอ้าวแต่ก็ไม่ได้แย่นัก ปราชญ์แวะถ่ายรูปอยู่หลายที่ก่อนจะเข้าร้านเสื้อผ้าขอซื้อหมวกให้เด็ก ๆ

“ชายธันมาเร็วครับ พี่ใส่ให้” ชายปราชญ์ย่อตัวลงให้หน้าเท่ากับน้องแล้วสวมหมวกติงลี่ให้ “ใส่ไว้ แดดจะได้ไม่ส่องหน้านะ”

ชายธันเผลอมองดวงตาที่สุกใสก่อนจะเม้มปากเสหน้าหลบ “ข..ขอบคุณครับ”

คนพี่ยิ้มกว้าง “ยินดีครับ”

“พี่ปราชญ์ใส่ให้ต้นสนมั้ง” ต้นสนชูหมวก

“มาครับ... เรียบร้อยแล้ว”

สุดท้ายก็ได้ขึ้นรถสามล้อเที่ยวรอบเมือง ต้นสนกับชายเล็กนั่งกับชายปราชญ์ น้องคนสุดท้องดูท่าจะเปิดใจให้มากขึ้น เห็นรอยยิ้มของเด็ก ถึงแม้จะน้อยนิด แต่ปราชญ์ก็ดีใจแล้ว

“ชายธันมานี่ครับ เดี๋ยวหลง” ปราชญ์โอบน้องแล้วจับมือ

น้องคนเล็กได้แต่มองมือที่ถูกจับ พลันรอยยิ้มก็แตะแต้มบนใบหน้า “พี่... พี่ชายใหญ่”

“ว่าไงครับ” ปราชญ์รีบย่อตัวลงมาถามทำให้เด็กน้อยที่ไม่มีเหตุผลในการเอ่ยเรียกได้แต่เคอะเขิน “มีอะไรหรือเปล่า บอกพี่ได้นะ”

ความเป็นห่วงที่มาจากใจจริง ทำให้ชายเล็กละอายแก่ใจ ยิ่งเห็นผ้าปิดแผลบนหน้าผากคนตรงหน้า ใจของเด็กน้อยก็แห้งเหี่ยว มือน้อยเลยอดไม่ได้ยื่นมือขึ้นไปแตะผ้า

“ธันขอโทษครับ”

ปราชญ์เบิกตาเล็กน้อย ใจเต้นแรง น้องชายที่ไม่มีวันสนใจไยดี ตอนนี้กลับแตกต่างจนทำคนพี่น้ำตาคลอ “ขอบคุณครับ ขอบคุณจริง ๆ”

น้องชายงุนงง ตนขอโทษแต่พี่ปราชญ์ขอบคุณเขาทำไม

หม่อมแหวนอดจะปิดปากเพราะตกใจไม่ได้ ไม่คิดเลยว่าจะมีวันนี้

“พี่ปราชญ์ร้องไห้ทำไม” ต้นสนที่ยืนมองเอียงคอถาม

“พี่ดีใจครับ” ชายปราชญ์ยิ้มไม่หยุด “ชายธัน... พี่ขอกอดได้ไหม”

ชายธันเม้มปาก หูน้อยแดงก่ำอีกระลอก “ได้... ครับ”

คนพี่ปลื้มใจโอบกอดน้องแน่น มีความสุขก่อนไปเรียนไกลถือว่าเป็นของขวัญที่ดีที่สุด “ชายธันรู้ใช่ไหมว่าพี่รักชายธันมาก พี่ดีใจมากเลยนะที่ชายธันไม่เกลียดพี่อีกแล้ว”

มือน้อยยกกอดตอบ เห็นพี่ร้องไห้ดันร้องตามขึ้นมา “ฮือออออ พี่ชายใหญ่ ธันขอโทษ” กลายเป็นว่าสองพี่น้องแข่งกันร้องไห้จนคนเขามองกันเต็ม

คนเป็นแม่รู้สึกยินดีเธอเกลี่ยน้ำตาแล้วลูบหัวชายกรณ์แล้วพยักพเยิดให้ไปหา

“ร้องไห้กันทำไมล่ะสองคนนี้” ชายกรณ์แตะไหล่ทั้งคู่

“ชายกรณ์” ถึงแม้ปราชญ์จะอายุเยอะกว่าใคร แต่เด็กอายุยี่สิบก็ยังคงเด็กอยู่ แขนขาวจึงมากอดน้องคนกลางอีกคน คราวนี้คนเขาก็คิดว่ามีเรื่องอะไรเมื่อเห็นเด็กสามคนกอดกันกลมดิ๊ก

“พี่ ๆ ร้องไห้กันทำไมหรือคับ” ต้นสนเงยหน้าถามหม่อมแหวนที่เธอจูงมือมาดูแลแทนเพื่อให้สามพี่น้องเขาได้ระบายความในใจกันก่อน

“เพราะมีความสุขน่ะ” เธอลูบหัวเด็กข้างกาย

แต่เด็กน้อยก็ไม่เข้าใจ มีความสุขก็ต้องยิ้มสิ

สามพี่น้องเดินเล่นด้วยกันแทนและต้นสนไม่คัดค้าน เพราะรู้ว่าทั้งสามเป็นพี่น้อง หม่อมแหวนบอกว่าพวกเขาทะเลาะกันและตอนนี้กำลังจะดีกันอยู่ ต้นสนเลยอยู่กับหม่อมแหวน ต้นสนไม่อยากให้พี่ปราชญ์ร้องไห้อีก

ปัง

“กรี๊ดดด”

“คุณท่านขอรับรีบหลบเร็วขอรับ”

ปราชญ์ใจสั่นรีบดันน้อง ๆ ให้ไปอยู่ข้างหลัง “ชายธัน ชายกรณ์ หลบหลังพี่”

“ชายใหญ่ไปหลบในบ้าน” หม่อมแหวนรีบบอกเพราะคนแถวนี้ใจดีให้เข้าไปหลบได้

“โอ๊ย” ชายธันเผลอหกล้ม ปราชญ์เห็นท่าไม่ดีจึงให้ชายกรณ์เข้าไปหลบก่อนและตนก็ออกไปหาน้องเพราะเด็กนักเรียนช่างกำลังวิ่งมาทางนี้ “ฮือออ”

“ไม่เป็นไร” ปราชญ์กอดน้องเอาตัวบังพวกนั้นไว้เผื่อมันยิงกันแล้วมาโดนน้อง ให้โดนเขาแทนดีกว่า

“เดี๋ยวอย่าเพิ่งปิดค่ะ เดี๋ยว!” หม่อมแหวนร้องไห้โฮเมื่อเจ้าของบ้านรีบปิดบ้านยังไม่ทันให้ลูกทั้งสองเข้ามาเลย

“พี่ปราชญ์ ธันกลัว” เด็กน้อยร้องไห้กอดคนพี่แน่น

“พี่อยู่นี่นะ เอาล่ะหลบใต้โต๊ะนี้ไว้” ปราชญ์ให้น้องหลบใต้โต๊ะแล้วเอาทั้งตัวบังแทนน้อง เสียงโหวกเหวกโวยวายดังใกล้เรื่อย ๆ พร้อมกับเสียงปืนที่ยิงกันและเสียงเหล็กเสียงไม้ที่ต่างฝ่ายต่างใช้ทุบตี

ตุ้บ!

ปราชญ์ใจหายวาบเมื่อมีเด็กช่างคนหนึ่งล้มหงายตรงนี้พอดี เลือดไหลออกหัวเต็มจนชายธันร้องไห้ไม่หยุด

“อย่ามอง หลับตาไว้ครับ” คนพี่กอดน้อง หันมองพวกเด็กช่างที่ตบตีกัน รออยู่นานพวกนั้นก็วิ่งไปทางอื่นหมดแล้ว ปราชญ์กวาดตามองเห็นสภาพคนล้มนอนตาย นอนเจ็บก็รู้สึกพะอืดพะอมรีบอุ้มน้องให้หน้าซุกกับไหล่ไว้ “ไม่เป็นไรแล้วครับ แต่ชายธันอย่าเพิ่งลืมตานะ”

“ชายเล็ก ชายใหญ่” พอเจ้าของบ้านเปิดออก หม่อมแหวนก็รีบเข้ามากอดทันที

“ต้นสนห้ามมอง” ชายกรณ์รีบปิดตาน้องแล้วตนก็รีบหันหนีเช่นกัน

“รีบกลับกันเถอะครับ เดี๋ยวพวกนั้นกลับมาอีก” ปราชญ์รีบเตือนสติ พวกเขาจึงพากันไปที่รถ

“แม่คิดว่าจะเสียลูกไปแล้ว” เธอสะอึกสะอื้น กอดชายธันแน่น

“พี่ปราชญ์” ต้นสนกอดแขนพี่ชาย เด็กน้อยกลัวจับใจ

“ไม่เป็นไรนะ ขวัญเอ๊ยขวัญมา” ปราชญ์หอมหัวน้องที่นั่งข้างหลังฝั่งซ้ายมือตนเอง

“พี่ชายใหญ่ไม่ได้ถูกทำร้ายใช่ไหมครับ” ชายกรณ์นึกห่วงยังคงถามไถ่

ปราชญ์ยิ้มเพื่อให้น้องวางใจ “ไม่เจ็บไม่โดนอะไรเลยครับ ชายกรณ์ไม่ต้องห่วงนะ”

จนป่านนี้ก็ยังมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง ปราชญ์ส่ายหน้าไม่เข้าใจว่าเด็กพวกนั้นจะทะเลาะกันไปทำไม นอกจากจะไม่ได้ประโยชน์อะไรแล้ว ยังเดือดร้อนชาวบ้านชาวช่องเขาอีก ตำรวจก็ไม่เห็นจัดการขั้นเด็กขาดเสียที


 
 
เฝ้าคำนึง

 


เรื่องวันนั้นผ่านไปได้หลายอาทิตย์แล้ว และท่านชายนนท์ก็จัดการสั่งตำรวจนครบาลจับกุมพวกนั้น เรื่องตบตีจึงเงียบไป วันนั้นเพราะมัวแต่ห่วงลูกจนทิ้งของ หม่อมแหวนและลูก ๆ จึงกลับไปซื้อเหมือนเดิม ทั้งยังมีตำรวจมาดูแลเป็นลูกน้องของเสด็จพ่อทั้งนั้น

“เท่จังเลย” ต้นสนที่ยืนอยู่กับชายธันมองนายตำรวจคนหนึ่งที่สูงใหญ่ เคร่งขรึม

ชายธันเงยหน้าจ้องเขม็งจนนายตำรวจคนนั้นเหงื่อออกว่าไปทำอะไรให้ลูกของหัวหน้าโกรธหรือเปล่า แต่ที่จริงชายธันกำลังคิดในใจว่าเท่เหมือนกัน

“กลับกันเถอะเด็ก ๆ” รีบมาก็รีบกลับเพราะยังกลัวกันอยู่

“เพิ่งจะดีกัน แต่ชายใหญ่ก็ต้องไปทางไกลแล้ว” หลังจากขึ้นรถหม่อมแหวนก็พูดขึ้น เธอมองเด็กสี่คนข้างหลัง ชายปราชญ์นั่งตรงกลางโดยมีชายธันนั่งบนตัก และต้นสนกับชายกรณ์ประกบซ้ายขวา เป็นภาพที่หาดูได้ยาก

“นั่นสิครับ อยากอยู่คุยกับน้องนาน ๆ เลย” ว่าเสร็จก็หอมหัวจนชายธันหูแดงอีกแล้ว

“อย่าหอม”

“ฮ่ะ ๆ ขอโทษครับ” เขินอายแต่เด็กเลยเชียว โตไปคงไม่ได้ทำแบบนี้

“พี่ชายใหญ่ไปเรียนกี่ปีหรือครับ” ชายกรณ์ถาม

“พี่ไม่รู้เลย คงจะหลายปี กว่าจะได้กลับ พวกเราคงโตกันหมดแล้ว”

ชายกรณ์ก้มหน้า คงจะคิดถึงมากแน่ ๆ เลย

“ไปไหน” เสียงแข็งของเด็กน้อยถาม

“ไปเรียนครับ เดี๋ยวชายธันก็ต้องไปพร้อม ๆ กับพี่กรณ์”

ชายธันขมวดคิ้ว “เมื่อไหร่จะได้เจอ”

ปราชญ์หนักใจ “ไม่นานหรอกครับ”

“แต่เมื่อกี้บอกว่าหลายปี” ถึงจะอายุเพียงเจ็ดขวบแต่ก็รู้เรื่องบ้าง

“พี่ขอโทษ แต่เดี๋ยวพี่จะส่งจดหมายมาหานะ”

ชายเล็กนั่งหน้าบึ้งทันที กอดอกพยศอีกแล้ว แต่กลับทำให้หม่อมแหวนหัวเราะขึ้นมา

“งอนพี่เขาหรือลูก ไม่อยากให้ไปไหนไกลใช่ไหมล่ะ”

“ไม่ใช่สิคุณแม่” หน้าเด็กน้อยบึ้งตึงไปอีก ก็แค่คิดว่าอุตส่าห์จะได้ไปเล่น เหมือนที่คนอื่นเขาเล่น ได้ว่ายน้ำ ได้ฟังนิทานจากพี่ชายใหญ่ ได้รับความดูแล แต่กลับต้องห่างกันอีกแล้ว

“ถ้าอย่างนั้นก่อนที่พี่จะไป ชายธันต้องลงมาเล่นกับพี่ ๆ และต้นสนนะ”

ชายธันขมวดคิ้วถึงจะดีกับพี่ชายใหญ่ แต่จิตใต้สำนึกยังดูถูกผู้อื่น “ไม่เล่นกับต้นสน ไม่เล่นกับลูกคนใช้”

“ชายเล็ก” หม่อมแหวนดุทันที

“ไม่พูดแบบนี้ครับ” ชายปราชญ์เองก็เช่นกัน หันไปมองต้นสนที่เงียบผิดปกติ น้องเอาแต่ก้มหน้า ปราชญ์จึงลูบหัวน้อง แต่กลับถูกดึงแขนไว้

“ห้ามจับมันนะ”

“ชายเล็ก แม่พูดไม่ฟังเลยนะ”

ชายเล็กไม่เข้าใจทำไมทุกคนถึงปกป้อง “ถ้าพี่ชายใหญ่รักผม พี่ชายใหญ่ต้องไม่ให้ต้นสนมาเล่นด้วย”

“ไม่ได้ครับ” ปราชญ์ขมวดคิ้ว “ชายธันฟังพี่นะ เราไม่ได้สูงศักดิ์กว่าใครเลย เราก็แค่คนธรรมดาเอง  ชายธันจะไปชี้หน้าด่าใครว่าต่ำต้อยกว่าเราไม่ได้นะ มันไม่ใช่สิ่งที่ถูก”

“ไม่เอา ธันไม่อยากเล่นกับต้นสน”

“ก่อนหน้านี้ยังเล่นกันอยู่เลย ไหนว่าเป็นเพื่อนกันไง”

ชายธันไม่อยากจำ ก็แค่อยากรู้อยากเห็นเลยยอมไปเล่นด้วย แต่ไม่ได้จะบอกว่าเป็นเพื่อนด้วยเลย

“ไม่เอา” ชายธันพูดเสียงอู้อี้เพราะกำลังกอดพี่ชายใหญ่แน่นด้วยความหวงพี่ชายกลัวว่าจะไปสนิทกับใครมากกว่าเสียแล้ว

“เฮ้อ” คิดว่าจะดีขึ้น แต่คงต้องค่อย ๆ บอกไปสินะ

หลังจากถึงวัง ปราชญ์ก็พาน้องลงรถแต่ชายธันดันกอดเขาไม่ปล่อยเลย ปราชญ์จึงได้แต่มองน้องต้นสนที่มองมาทางเขาและน้องคนเล็ก

“ขอบคุณคับ” ต้นสนยกมือไหว้ผู้ใหญ่แล้วเอาของที่ได้เดินกลับบ้านคอตก

ปราชญ์มองตามน้อง ได้แต่ขอโทษในใจ

“ไปเล่นกับธันนะ”

แม้ว่าต้นสนจะไม่ใช่น้องแท้ ๆ แต่ปราชญ์ก็รักเหมือนน้องชายคนหนึ่ง อยากจะเอ่ยเรียก แต่ว่าชายธันกับเขาเพิ่งจะได้เปิดใจคุยกันเลยไม่อยากผิดใจน้องไปมากกว่านี้ จึงคิดได้ว่าหัวค่ำค่อยไปหาต้นสนเอา

“ชายกรณ์พาน้องไปที่ห้องนั่งเล่นก่อน”

“ไม่เอา”

“ชายเล็ก” หม่อมแหวนดุ “แม่ขอคุยกับพี่ชายใหญ่เพียงครู่เดียว อย่าดื้อกับแม่”

“ไปเถอะ” ชายกรณ์จูงมือน้อง

พอทั้งคู่เดินออกไปแล้วหม่อมแหวนก็หันมา “จะทำยังไงกับน้องดี”

“คงต้องค่อย ๆ สอนเขาไปน่ะครับคุณน้า จะให้ปรับเปลี่ยนเลยก็คงไม่ได้ น้องยังเด็ก”

“เราน่ะ ให้ท้ายน้องอีกแล้ว ตามใจมากไปไม่ดีนะ”

ปราชญ์พยักหน้าเข้าใจ “ผมรู้ครับ แต่ว่าการสอนให้เขาได้เรียนรู้เรื่องมารยาทและเปลี่ยนความคิดมันไม่ใช่เรื่องง่าย”

“เกี่ยวกับคบหาเพื่อนด้วยหรือเปล่า”

“มีส่วนครับ เด็ก ๆ ถูกชักจูงได้ง่าย เพื่อนแต่ละคนของชายเล็กมีแต่ลูกผู้ดี ทว่า กลับเป็นเด็กดื้อและถูกสอนว่าคนอื่นฐานะต่ำกว่าตัวเองทั้งนั้น”

หม่อมแหวนถอนหายใจ “ย้ายโรงเรียนให้น้องดีไหม”

“เดี๋ยวชายธันก็จะได้ไปเรียนไฮสคูลแล้ว เราแค่สอนเขาเมื่อวันที่เขาอยู่ที่บ้านดีกว่าครับ ไม่แน่ว่าช่วงที่ผมเรียนผมอาจจะไปหาน้องด้วย”

“แต่ต้องเดินทางไปกลับ มันจะดีหรือ”

ปราชญ์ยิ้มรับไม่ใช่เรื่องที่น่าเหนื่อยขนาดนั้น “อย่างน้อย ก็จะได้ไม่ห่างกันเกิน ผมคงเรียนที่นั่นนาน คิด ๆ ดูแล้ว หากชายธันกับชายกรณ์ไปเรียนไฮสคูลด้วยกัน ผมจะคอยไปเที่ยวหาน้องเอง”

“เอาอย่างนั้นหรือ”

“ครับ ผมจะคอยสอนน้องด้วย”

“ขอบคุณมากนะชายใหญ่ แต่ยังไงเรื่องตามใจ น้าก็ไม่เห็นด้วยอยู่ดี”

“เข้าใจแล้วครับ ผมจะพยายามไม่ตามใจมากจนเกินไป”

“ดีแล้ว ถ้าอย่างนั้นไว้ถึงอาหารเย็นเมื่อไหร่เดี๋ยวให้แตงมาเรียกนะ”

“ครับผม”

 


เฝ้าคำนึง

 


ท้องฟ้ามืดลงจนเห็นดวงดาวและพระจันทร์ ปราชญ์อาบน้ำพร้อมชุดนอน แต่ที่จริงก็เตรียมจะไปหาต้นสนด้วย ปราชญ์ไม่ลืมน้องหรอก เด็กหนุ่มมองหาน้องจากทางหน้าต่างก็ไม่มีเด็กน้อยมาโบกไม้โบกมือให้เหมือนเคย

“ตอนนี้จะทำอะไรอยู่นะ” เพราะว่าเพิ่งจะหัวค่ำได้ไม่นานและปราชญ์ก็รู้เวลาดีว่าช่วงนี้บ้านพี่เฟื้องเขายังไม่นอนกัน คงจะเพิ่งทานข้าวด้วยซ้ำ

“เอ่อ คุณชายจะไปไหนหรือคะ” นมสรหรือป้านมของชายกรณ์และชายเล็กถามเมื่อเห็นคุณชายใหญ่ออกจากห้องนอน

“จะไปหาต้นสนครับ”

“แต่ว่าดึกแล้วนะคะ เดินตกน้ำตกท่าขึ้นมาจะทำยังไง ไหนจะงู จะแมลงอีก คุณชายค่อยเจอต้นสนพรุ่งนี้เช้าก็ได้ค่ะ”

“ไม่เป็นไรครับป้าสร” ปราชญ์ยิ้มบาง หากคุณชายใหญ่จะไปก็ไม่มีใครห้ามได้แล้ว

เด็กหนุ่มส่องไฟฉายที่เอาด้วยเดินข้ามสะพานไปยังหน้าเรือน ได้ยินเสียงพูดคุยกันก็เลยร้องเรียก “พี่เฟื้อง พี่ต้นอ้อ นอนหรือยังครับ”

“อ่าวคุณชาย!” พี่เฟื้องตกใจรีบรุดลงมา “มาทำไมดึก ๆ ดื่น ๆ ครับ โดนอะไรกัดมาหรือเปล่า”

ปราชญ์ที่ถูกหมุนตัวไปมา เวียนหัวเสียแล้ว “ผมมาหาน้องต้นสนครับ ไม่ได้ถูกอะไรกัดด้วย”

เฟื้องโล่งใจ “ถ้าอย่างนั้นเชิญเลยครับ อยู่ตรงนี้นานเดี๋ยวยุงกัด”

“ขอบคุณครับ” พอขึ้นเรือนก็เห็นทั้งครอบครัวกำลังทานอาหารกันอยู่ ปราชญ์ยกมือไหว้พี่ต้นอ้อ ตาสมานและยายพิมพ์อรที่เป็นพ่อแม่ของพี่ต้นอ้อ

“เจ้าตัวแสบกินอิ่มพุงกางแล้วครับ อยู่ในห้องนู่น”

ปราชญ์พยักหน้าเดินไปยังห้องของต้นสน เห็นว่าแยกมานอนคนเดียวเพราะให้น้องสาวนอนกับพ่อแม่

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“ต้นสน นี่พี่ปราชญ์เองนะ ขอเข้าไปได้ไหม”

เด็กน้อยที่กำลังเปิดหนังสือภาพที่คนเรียกเป็นคนซื้อให้ถึงกับวิ่งไปเปิดประตู “พี่ปราชญ์” แต่ยิ้มดีใจได้ไม่นานก็ต้องหงอยลงแล้วถอยทันที “พี่ปราชญ์มาทำไมเหรอ ต้นสนไม่น่าเล่นด้วยหรอก พี่ปราชญ์อยู่ห่างต้นสนไว้นะเดี๋ยวธันโกรธ”

คล้ายดวงใจถูกเข็มทิ่มแทง ปราชญ์เจ็บปวดแทนน้องที่ต้องได้ยินอะไรแบบนี้เขาจึงเข้าไปและย่อตัวลงกอดเด็กน้อยไว้ “อย่าคิดอย่างนั้นสิ พี่อยากเล่นกับต้นสนนะ”

“แต่ต้นสนเป็นลูกคนใช้”

“แล้วอย่างไร” ปราชญ์ผละออกมาลูบหน้าน้อง “ต่อให้เป็นลูกใคร พี่ก็จะเล่นกับต้นสน จะอยู่กับต้นสน พี่รักต้นสนเหมือนน้องชายพี่คนหนึ่ง ต้นสนอย่าคิดแบบนี้อีกนะครับ พี่ขอร้อง”

เด็กน้อยที่เก็บความเสียใจไว้คนเดียวมาตลอด มาถึงบ้านก็ไม่ได้บอกใครว่าถูกว่ามายังไง พอเห็นพี่ปราชญ์มาอยู่ตรงนี้ ทั้ง ๆ ที่ในใจเผลอคิดว่าพี่ปราชญ์จะเกลียดเขาไปแล้ว แต่ก็ยังมาหาเขา

“ฮึก พี่ปราชญ์” ต้นสนน้ำตาไหล เบะปากแล้วกอดคอพี่แน่น

“ไม่เป็นไรนะ โอ๋ ๆ พี่อยู่นี่ครับ”

“ฮืออ พี่ปราชญ์”

“ครับ ๆ”

“มีอะไรหรือ” ต้นอ้อรีบเดินมาถาม

“เดี๋ยวผมเล่าให้ฟังครับ” ปราชญ์ยิ้มก่อนจะอุ้มน้อง “ผมขอกล่อมน้องนอนได้ไหม”

“ได้สิจ๊ะ ตั้งแต่กลับมาก็เงียบผิดปกติ สงสัยคงไม่อยากห่างคุณชาย” เธอเป็นแม่ต้นสนเรื่องที่ลูกดูเศร้าและเงียบเกินไปตั้งแต่กลับมาทำไมเธอจะไม่สังเกต เธอจะคุยกับลูกแต่ลูกก็ยิ้มให้เสมอคล้ายบอกว่าไม่เป็นไร พอเห็นว่าร้องไห้แล้วเอาแต่กอดคุณชาย ก็เข้าใจแล้วว่าต้นเหตุมาจากผู้ใด “ตามสบายเลยนะ” ต้นอ้อปิดประตูให้

“มานอนกัน” ปราชญ์พาน้องนอนแต่กลับยังคงถูกดึงเสื้อไว้

“อย่าเพิ่งไปนะ”

“ครับ ๆ พี่จะอยู่ข้าง ๆ” ว่าแล้วก็นอนลงให้น้องหนุนแขน เขาจะหาผ้ามาเช็ดน้ำมูกแต่ก็หาไม่ได้จึงใช้เสื้อตนเองเช็ดให้แทนอย่างไม่นึกรังเกียจ

“พี่ปราชญ์เกลียดน้องไหม” คำเรียกแทนตัวเองทำให้คนพี่ใจอ่อนยวบ เวลาต้นสนเสียใจหรือเหงาหงอย ต้นสนมักจะแทนตัวเองว่าน้องเสมอ

“พี่ปราชญ์ไม่เคยเกลียดน้องต้นสนเลยครับ พี่บอกแล้วไงว่ารักต้นสน รักมากเลย” มืออีกข้างยังคอยลูบกลุ่มผมสีเข้ม

“จริงนะ”

“จริงครับ พี่ไม่ปราชญ์ไม่โกหกหรอก”

ต้นสนเริ่มยิ้มได้แล้ว น้องขยับเข้ามาซุกอก “พี่ปราชญ์เล่านิทานให้ฟังหน่อย”

“ได้สิ” ปราชญ์กอดน้องจูบผมสีเข้มแล้วเริ่มเล่านิทานอีสปเรื่องกระต่ายกับเต่า

เล่าจนถึงกระต่ายนอนพัก ก็เริ่มได้ยินเสียงกรนเล็ก ๆ ดังแว่วเข้ามา ปราชญ์อมยิ้มเกลี่ยแก้มนิ่มไปมา ก่อนจะหอมหน้าผาก

“ฝันดีนะครับ”

ปราชญ์อยากจะนอนด้วย แต่ก็เกรงใจคนบ้านนี้ แขนถูกทับอยู่ด้วยจะขยับก็กลัวน้องจะตื่น

“หลับแล้วหรือคะ” ผ่านไปครู่ต้นอ้อก็เข้ามาถาม

“ครับ ผมว่าจะกลับแล้ว”

“นี่ก็ดึกแล้ว ถ้าไม่รังเกียจ คุณชายจะนอนที่นี่ก็ได้นะคะ”

“จะดีหรือครับ ปราชญ์เกรงใจ”

“พี่สิคะที่ต้องเกรงใจ ห้องรกขนาดนี้” ต้นอ้อว่าพลางมองข้าวของที่ลูกตนเอาออกมาเล่นแล้วไม่ได้เก็บเข้าที่

“ถ้าอย่างนั้นผมขอนอนกับน้องนะครับ อยากให้น้องตื่นมาแล้วเจอผม น้องจะได้ไม่คิดมาก”

“ว่าแล้วเชียวว่าต้องเกี่ยวกับคุณชาย”

“ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ ที่ทำให้น้องเป็นแบบนี้”

“ไม่เป็นไรจ้ะ ไว้ค่อยเล่าแล้วกันเนาะ ฝันดีนะจ๊ะ”

“ฝันดีครับพี่ต้นอ้อ” ปราชญ์ผงกหัวก่อนจะจัดท่าน้องให้นอนสบาย ๆ

ยิ่งเห็นน้องคิดมากขนาดนี้แล้วถ้าเขาไปเรียนไกล ต้นสนจะอยู่อย่างไร…




จบบทที่ ๒

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

ปี ๒๔๙๙ เป็นปีที่ห้างเซ็นทรัลเปิดเป็นสาขาแรกที่ย่านวังบูรพา และเด็กช่าง เด็กวังหลังที่ใคร ๆ ก็ต่างรู้จัก
เด็กช่างที่ตีกันสมัยนั้นนั่นเองค่ะ เอามาใส่เล็ก ๆ น้อย ๆ
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๒
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 20-05-2020 16:44:57
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๒
เริ่มหัวข้อโดย: piakunaa ที่ 20-05-2020 22:36:33
ต้นสนลูก
เป็นกำลังใจ​ให้​นักเขียน​นะคะ​ สู้​ๆ​นะคะ​นักเขียน​
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๓
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 23-05-2020 20:09:16
 

(https://www.img.in.th/images/ddc7d836dc8db336792e283f890c72f6.jpg)

บทที่ ๓

เริ่มเดินทาง



เสียงนกร้องระงมในรุ่งเช้า ปราชญ์ที่นอนให้น้องหนุนแขนค่อย ๆ ลืมตาตื่น เขาขยับตัวเล็กน้อยพอรู้สึกถึงความหนักอึ้งพลันต้องก้มมองหาที่มา

ปากบางยิ้มกว้างเมื่อเห็นผู้ใดจึงหอมแก้มเด็กน้อย “สวัสดีตอนเช้า”

ต้นสนงัวเงียขยี้ตาแรงจนคนพี่ต้องจับมือน้อย ๆ ออก

“เช้าแล้วครับ” ปราชญ์ไม่อยากกวนน้อง แต่เขาก็ต้องรีบกลับวัง จึงต้องปลุกไว้ก่อน

ต้นสนกะพริบตา ดวงตาใสมองคนข้างกาย เมื่อเห็นว่าเป็นใครที่มิใช่เพียงฝันปากเล็กจึงยิ้มกว้าง แขนกอดหมับ “พี่ปราชญ์จริงด้วย”

ปราชญ์นึกฉงน “ถ้าไม่ใช่พี่แล้วจะเป็นใคร หือ”

“ต้นสนนึกว่าฝันด้วยแหละ” เด็กน้อยว่าพลางหัวเราะเอิ้กอ้าก

พอเห็นน้องอารมณ์ดีขึ้นก็ไม่นึกห่วงแล้ว “พี่ต้องกลับวังแล้ว ต้นสนตื่นไปล้างหน้าทานข้าวด้วยนะครับ”

“จะกลับแล้วเหรอ” ต้นสนกำชายเสื้อคนพี่แน่น

ปราชญ์ยิ้มเอ็นดูลูบหัวน้อง “ไว้เดี๋ยวพี่จะมารับพาไปเล่นที่วังนะ”

“แต่ธัน…”

“ไม่เป็นไร ธันจะต้องอยากเล่นกับต้นสนแน่นอน”

ต้นสนกังวล แต่ก็เชื่อพี่ปราชญ์สุดหัวใจ “ต้นสนจะรอ”

“เด็กดี” ปราชญ์ยิ้ม “พี่กลับก่อนนะ”

“คับ พี่ปราชญ์ระวังด้วยนะ” ไม่ว่าเปล่ายังลุกขึ้นจูงมือคนพี่ไปส่งถึงหน้าเรือน ก่อนจะวิ่งกลับไปยังห้องนอนเพื่อมองทางหน้าต่างจะได้เห็นพี่ปราชญ์เดินข้ามสะพานกลับวัง

ปราชญ์หันหลังโบกมือให้น้อง

“พี่ปราชญ์ต้องระวังนะ! เดี๋ยวตกน้ำ!” ต้นสนตะโกนเสียงดัง

คนพี่อดหัวเราะไม่ได้ เดินถอยหลังเพื่อมองน้องจนลับตา พอเข้าวังได้ก็ต้องตกใจที่เห็นหม่อมย่า

“เห็นนมสรบอกว่าไปหาต้นสนตั้งแต่เมื่อค่ำ เพิ่งจะกลับมาตอนเช้าหรือชายใหญ่”

“ขอโทษครับ ที่ไม่ได้บอกว่านอนที่นู่น” ปราชญ์ยกมือไหว้แล้วเดินไปนั่งโซฟา

หม่อมย่าส่ายหน้า “ติดน้องเกินไปหรือเปล่า”

ปราชญ์เองก็เผลอคิดอย่างนั้น “กลัวน้องเหงาน่ะครับ”

“เกรงใจผู้ใหญ่เขาบ้างนะ พาลูกเขาไปข้างนอก แล้วยังโดนว่ามาอีก”

“หม่อมย่ารู้แล้วหรือครับ”

หม่อมย่าพยักหน้า “แม่เล่าให้ย่าฟังหมดแล้ว”

“อย่าโทษชายธันเลยนะครับ เดี๋ยวโตไปน้องจะคิดได้เองว่าสิ่งที่พูดวันนี้นั้นทำร้ายจิตใจผู้อื่น”

“ผิดก็ว่าไปตามผิดล่ะนะ ย่าเองก็ช่วยสอนอะไรมากไม่ได้ ชายใหญ่ดีกับน้องแล้ว ก็ดูแลเรื่องมารยาทให้น้องด้วยนะ หากไปงานใหญ่โต เดี๋ยวจะทำตัวเสียมารยาทเอา”

“ครับ”

“ไปอาบน้ำเสียเถอะ เดี๋ยวอาหารเช้าก็จะเสร็จแล้ว”

ปราชญ์พยักหน้าแล้วขึ้นห้องนอน พลันนึกขึ้นได้ว่าเขาซื้อสร้อยไว้ให้ต้นสน เป็นสร้อยเชือกร่มสีดำจี้รูปหยกมังกรสีเขียว เถ้าแก่ที่ขายบอกว่าใส่แล้วจะโชคดี จี้หยกมีอำนาจคุ้มครองผู้สวมใส่ให้พ้นจากสิ่งชั่วร้ายยิ่งเสริมมังกรก็จะร่ำรวย รุ่งเรือง ทั้งยังหมายถึงจิตวิญญาณแห่งความกล้าหาญ อดทน

จริง ๆ แล้ว ปราชญ์ไม่ได้เตรียมเงินไปมากนัก พอซื้อสร้อยให้ต้นสนก็ซื้ออะไรไม่ได้อีก เพราะสร้อยจี้หยกแท้นี้ตั้งหลายบาทแหนะ ถ้าหม่อมย่ารู้คงโดนว่าไปแล้วจึงขอพี่สมพงษ์ที่เป็นคนขับรถพาไปให้เงียบไว้แทน ปราชญ์ก็ตีราคาไว้ไม่เกินสลึงแต่พอรู้ความหมายของจี้หยกก็ซื้อไม่คิดทันที ดีนะเถ้าแก่ยังลดให้บ้าง

เงินเก็บปราชญ์เกือบจะไม่เหลือแล้ว เพราะปราชญ์เป็นคนชอบเก็บเงินไว้ ถูกสอนจากแม่ปิ่นทั้งนั้นและไม่ค่อยกล้าขอผู้ใหญ่ด้วยความขี้เกรงใจ

“ไว้ค่อยให้ก็แล้วกัน” ปราชญ์ยิ้มบางใช้นิ้วลูบหยกด้วยความเบามือกลัวว่าจะแตกสลาย

คิด ๆ แล้วก็ใจหายอยู่เหมือนกัน เพราะพรุ่งนี้ปราชญ์จะต้องไปอังกฤษแล้ว... ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะชะลอเวลาเอาไว้ ไม่อยากห่างจากน้อง ๆ เสียเลย ไปที่นู่นคนเดียวคงเหงาแย่ แล้วไม่รู้ว่าต้องไปนานเท่าใด ถ้าชายกรณ์กับชายธันไม่ค่อยห่วงมากเพราะสองคนนี้ไปด้วยกัน ยังไงสักวันปราชญ์จะต้องไปเที่ยวหาน้อง

แต่ต้นสนล่ะ... น้องต้องรออีกกี่ปีกัน เพราะจะกลับไทยได้คงต้องเรียนจบไปเลย

อีกความกลัวหนึ่งที่ปราชญ์คิดมาตลอด ปราชญ์กลัวว่าน้องจะลืมปราชญ์และไม่ยิ้มไม่มาพูดคุยกันเหมือนดั่งทุกวันนี้ กลัวความเป็นผู้ใหญ่ของเด็กที่จะพรากความสนิทสนมให้หายไป

ถ้าเกิดวันหนึ่งต้นสนโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ปราชญ์คงไม่ได้หอมแก้ม ไม่ได้กอด ไม่ได้อุ้ม ไม่ได้พาไปเล่นแล้ว

ยิ่งคิดก็ยิ่งวูบโหวงอยู่ในอก

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ปราชญ์ที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จใส่ชุดคลุมไว้แล้วเปิดประตูออกก็พบกับชายธันที่ยืนเงยหน้าจ้องเขม็ง

“ชายธัน” ปราชญ์นพาน้องเข้าห้องไปนั่งบนเตียงส่วนตนก็นั่งย่อลงตรงพื้น “มาหาพี่ถึงห้อง มีอะไรหรือเปล่า”

ชายเล็กคิ้วมุ่น ดูแล้วช่างน่าเอ็นดูกว่ามองแล้วน่ากลัว “ไปไหนมา”

“ไปไหนล่ะ พี่ก็อยู่ที่ห้องนี่ไง” ปราชญ์ยิ้มแล้วลูบหัวน้อง

“ไม่ใช่” ชายเล็กส่ายหัวกึก “เมื่อคืนพี่ชายใหญ่ไม่อยู่ที่ห้อง”

ปราชญ์ยังคงยิ้ม “พี่ไปหาต้นสนมา”

พอได้ยินชื่อใครชายเล็กก็หงุดหงิดทันที “ไปหามันทำไม”

คราวนี้พี่คนโตหุบยิ้มและทำหน้าดุ “ชายธัน พี่ไม่อยากว่าเรานะ รู้หรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา”

คนถูกดุใจเสีย แต่ก็ดื้อดึงผันหน้าหนี

ปราชญ์ถอนหายใจแล้วลุกขึ้นไปแต่งตัว ปากก็พร่ำสอนน้อง “ตอนนี้ชายธันคงจะยังไม่รู้เรื่องอะไร แต่พี่บอกไว้เลยนะว่า ถ้าชายธันยังทำนิสัยไม่ดีแบบนี้อีก ชายธันจะไม่มีเพื่อนนะ”

น้องนิ่งงันตาเบิกโตเล็กน้อย

“ในโลกนี้ไม่มีใครใหญ่กว่าใคร ทุกคนเท่าเทียม ต้นสนอยากจะเล่นกับชายธัน อยากเป็นเพื่อนกับชายธันมากและเสียใจที่ชายธันพูดจาไม่ดีใส่”

ชายเล็กก้มหน้าลง เริ่มกุมมือน้อย ๆ

ปราชญ์มองปฏิกิริยาของน้องก็แอบยิ้มขึ้นมา มือติดกระดุมเสื้อ ตามองน้องผ่านกระจก “ชายธันลองนึกตามพี่นะ ถ้าเกิดชายธันเป็นต้นสนแล้วถูกพูดว่าไม่อยากเล่นด้วย ไม่อยากเป็นเพื่อน ชายธันจะรู้สึกยังไง”

น้องเพียงคิดตาม ตาสีใสก็เริ่มคลอ

ปราชญ์ไม่อยากทำน้องร้องไห้ แต่แค่อยากให้เข้าใจความรู้สึกของต้นสนที่อัดอั้นมาตลอดและเพิ่งปลดปล่อยเมื่อคืนนี้ “ชายธันคงจะเริ่มเข้าใจความรู้สึกของต้นสนแล้ว แต่ยังไม่ต้องเร่งรีบนักหรอก”

พอเสร็จเรียบร้อยก็เดินไปนั่งข้างกายน้อง “พี่เชื่อว่าชายธันจะต้องคิดได้ ถ้าผิดก็ยอมรับผิดและขอโทษ ไม่ใช่เรื่องที่ยากอะไรเลย”

น้ำตาน้องไหล จนปราชญ์ใจอ่อนยวบ กอดน้องมาซุกอก “พี่ขอโทษนะถ้าพูดอะไรแรงเกินไป แต่พี่อยากให้ชายธันโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดีไม่เบียดเบียนใคร”

น้องกำเสื้อเขาแน่น

“ไม่เป็นไรนะ ไม่ร้องนะครับ”

“ฮึก ธันผิดหรือครับ”

“ใช่ครับ เราต้องเรียนรู้สิ่งที่ผิดพลาดนะ คนเราทำพลาดกันได้ไม่เป็นไร ตอนนี้ชายธันรู้แล้วว่าตัวเองผิดก็แค่ขอโทษและสำนึกไม่กลับไปทำอีกก็เพียงพอแล้ว”

“พะ..พี่ชายใหญ่ ฮึก เกลียดธันไหม”

ปราชญ์ไม่รู้ว่าตัวเองอ่อนไหวเพียงใด แต่เพียงน้องถามแบบนี้น้ำตาก็เผลอคลอไปด้วย “ไม่เกลียดครับ ไม่เคยเกลียดเลย พี่รักชายธันนะ”

น้องคงคิดว่าเขาเกลียดเพราะทำตัวไม่น่ารัก แต่ทำไมกันนะถึงถูกเด็กสองคนถามคำเดียวกัน จะดุก็ดุไม่ลงแล้ว

“อย่าเกลียดธันนะ” น้องยังคงสะอึกสะอื้น

“ไม่มีวันนั้นครับ พี่สัญญาเลย” เขาชูนิ้วก้อย สองพี่น้องจึงเกี่ยวก้อยกัน “และชายธันต้องสัญญากับพี่ด้วยนะว่าจะไม่พูดจาดูถูกใครอีก”

น้องนิ่งไปสักพักคล้ายคิดอะไรก่อนจะพยักหน้า

“สัญญานะ” ปราชญถามเพื่อเพิ่มความมั่นใจ

“ครับ” น้องตอบอ้อมแอ้ม ตาแดง จมูกแดงไปหมด

“เด็กดี” เขาลูบหัวน้อง “ไปล้างหน้ากันก่อนเร็วแล้วค่อยลงไปทานข้าวเช้ากัน”




เฝ้าคำนึง

 


ช่วงบ่ายแดดร้อนเป็นปกติ แต่กลับมีเสียงหัวเราะของเด็กน้อยดังอยู่ทั่วทางข้างวัง พร้อมกับเสียงน้ำกระเซ็นให้ได้ยินเรื่อย ๆ

“ฉันจะจับแก เจ้าโจรชั่ว” ต้นสนว่ายตามชายกรณ์ เล่นตำรวจจับผู้ร้ายกันในน้ำ

“ชายธันไปเล่นไหม” ปราชญ์ถามน้องที่กอดคอเขาแน่น แต่กลับได้รับแต่เพียงการส่ายหัว ปราชญ์ไม่อยากบังคับมากไปจึงค่อย ๆ ละลายพฤติกรรมทีละนิด “ถ้าอย่างนั้นพี่เป็นโจรให้ แล้วชายธันมาจับพี่ดีไหม”

น้องนิ่งไปครู่ถึงจะพยักหน้า แววตาเริ่มซุกซนเพราะอยากไล่จับโจรบ้าง

“งั้นพี่จะหนีแล้วนะ” ปราชญ์ค่อย ๆ ออกมา ชายธันก็ว่ายน้ำได้เพราะไปเรียนพร้อมกับชายกรณ์

“เจ้าโจร!” ต้นสนว่ายฉิวผ่านหน้า

“จับให้ได้สิ” ชายกรณ์หัวเราะสนุกใหญ่

ชายธันเห็นคนอื่นเล่นแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะทำตาม เด็กน้อยทำหน้าจริงจังแล้วมองทางพี่ชายคนโต

ปราชญ์แสดงละครทันที “มาจับฉันสิไอพวกตำรวจ”

พอได้ยินอย่างนั้นชายเล็กก็ฮึกเหิม ยิ่งจำตำรวจลูกน้องของพ่อได้ก็ยิ่งอยากใส่ชุดแบบนั้นบ้าง

ชายเล็กมีนิสัยไม่ชอบพูดเพราะอย่างนั้นถึงแสดงผ่านการกระทำ อย่างเช่นตอนนี้ที่ว่ายน้ำมาแล้วเขม็งเขาคล้ายกับมองว่าพี่ชายใหญ่เป็นโจรจริง ๆ

“มาเลย ๆ” พอมีอีกสองคนร่วมวง ตำรวจกับโจรจึงว่ายกันมั่วซั่วไปหมด

แตงที่นั่งอยู่ในศาลาริมคลองเอาแต่หัวเราะชอบใจ ต่างจากป้าสรที่ใจหายแล้วใจหายอีก ถ้าคุณหญิงย่าของพวกคุณ ๆ ทั้งหลายรู้เข้าจะทำยังไง จริง ๆ น้ำคลองนี้ไม่ได้สกปรกอะไรมากมายออกจะใสจนเห็นพื้นข้างล่าง แต่ยังไงก็สกปรกสำหรับคุณหญิงท่านอยู่ดี

“ธันจับเจ้านั่นเลย” ต้นสนชี้ชายปราชญ์ที่ถูกจ้องจับจากตำรวจน้อยทั้งสอง “พี่กรณ์ด้วยนะ ไปจับเล้ย”

“อ่าว” ชายกรณ์งุนงง เมื่อกี้เขาไม่ได้เป็นโจรหรอกหรือ

“เดี๋ยวสิ ทำไมเล็งที่พี่คนเดียวล่ะ” ปราชญ์ทำหน้าเหลอหลาแล้วว่ายหนีเจ้าตัวน้อยทั้งสอง คนนึงหัวเราะเสียงดังส่วนอีกคนแทบไม่พูด แต่ใบหน้าเปื้อนยิ้มดูสนุกสนาน

“อย่า” ปราชญ์ร้องเสียงหลงก่อนจะถูกกอดคอจากทั้งคู่ เพราะความสนุกสนานจึงลืมความรู้สึกติดตะขวงใจไป

ก่อนหน้านี้ชายธันจะไม่ลงเล่นน้ำด้วยซ้ำ เอาแต่หลบหน้าแล้วก็ไม่คุยกับต้นสน ส่วนต้นสนก็กลัวธันจะไม่ชอบเลยบอกจะไม่มาเล่นด้วยแทน แต่ปราชญ์ก็ค่อย ๆ พยายามให้น้องลงเล่นด้วยกัน ชายกรณ์จึงเล่นกับต้นสนไปก่อนและปราชญ์จึงจะพาชายธันลงตามไป

ชายกรณ์ที่มองทั้งสามกอดกันก็ยิ้มบาง ดวงตาฉายแววเศร้าเล็กน้อยก่อนที่มันจะมลายหายไปคล้ายไม่เกิดขึ้น

และนั่นก็คือสิ่งผิดพลาดที่ปราชญ์ไม่อยากจะให้อภัยตัวเอง...

 


เฝ้าคำนึง




เช้าของอีกวันมาถึง ปราชญ์อยู่ในชุดสูทสีเทา มองกระเป๋าที่ขนของใช้และเสื้อผ้าบางส่วนไปด้วย เด็กหนุ่มสวมเสื้อโค้ตยาวเตรียมถุงมือใส่กระเป๋าเสื้อโค้ตเอาไว้เพราะตอนนี้ที่อังกฤษอากาศหนาวมาก เป็นช่วงต้นปีด้วย

“คุณชายขอรับ กระผมขนกระเป๋าไปไว้ที่รถเลยนะขอรับ” พี่สมพงษ์ถาม

“อ่อ เชิญเลยครับ” ปราชญ์ยิ้มบาง ก่อนจะหยิบสร้อยที่ซื้อไว้ให้ต้นสนขึ้นมาดู เมื่อวานยังเล่นด้วยกันอยู่แท้ ๆ เชียว วันนี้ต้องบอกลากันเสียแล้ว

“คุณชายคะ ท่านชายและคุณหญิงท่านทั้งสองรอที่ด้านล่างแล้วค่ะ”

“ครับป้าสร” ปราชญ์พรูลมหายใจเก็บสร้อยไว้ในกระเป๋า กระชับเสื้อโค้ตพลางมองห้องนอนของตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย มองกรอบรูปของผู้ให้กำเนิด “เดี๋ยวผมกลับมานะครับแม่ ไปก่อนนะครับ”

พอลงมายังด้านล่างคนใช้ก็ยืนกันอยู่เต็ม เด็จพ่อ หม่อมย่ากับคุณน้ารวมถึงน้อง ๆ ทั้งสองก็มายืนรอส่งกัน

“มาให้ย่ากอดหน่อยเร็ว” หม่อมย่าอ้าแขน ปราชญ์จึงค้อมตัวไปกอดท่าน “เห็นว่าอากาศหนาว ดูแลตัวเองด้วยนะชายใหญ่ ระมัดระวังตัวอย่าเดินออกมาตอนดึก ๆ ดื่น ๆ ทานข้าวให้ครบตามเวลา ถ้าเรียนหนักก็พักบ้างสักวันก็ไม่เป็นไร แล้วก็ขอให้เดินทางปลอดภัยทั้งตอนไปและตอนกลับนะ”

ปราชญ์กอดท่านแน่นซึมซับความอบอุ่นที่มีให้มาตลอด “ขอบคุณครับหม่อมย่า ปราชญ์จะรีบกลับมา”

“มานี่มา” คุณน้าอ้าแขนรับกอดของเด็กหนุ่มที่เปรียบเสมือนลูกชายอีกคน “ดูแลสุขภาพด้วยนะลูก อย่าหักโหมมากนะ ถ้ามีอะไรก็รีบบอกท่านทูตได้เลย ท่านเป็นเพื่อนแม่ ชายใหญ่ไว้ใจท่านได้ เขามีลูกชายคนหนึ่งอายุเท่าลูกเลยและเรียนอยู่ที่นั่นเหมือนกัน ชื่อคุณชายอาทิตย์ หรือเรียก ทิตย์ก็ได้ ชายทิตย์จะรอรับลูกที่สนามบินประเทศนู้น”

ปราชญ์ยิ้มแล้วก้มหัว “ขอบคุณมากนะครับที่ทำธุระให้”

“ยินดีจ้ะ”

“ปราชญ์” นนท์เรียกลูกชายเพียงแค่ชื่อก่อนจะอ้าแขนรับกอดลูก “ลาแม่ปิ่นหรือยัง”

“เรียบร้อยแล้วครับ”

นนท์ลูบหัวลูกชาย น้ำตาคลอเพียงเล็กน้อย “โทรทางไกลหรือส่งจดหมายมาหาพ่อบ้างนะ”

“ครับพ่อ”

“พ่อรักปราชญ์นะ”

“ปราชญ์ก็รักพ่อครับ” ไม่ว่าเมื่อใดกอดนี้ยังคงอุ่นอยู่เสมอ

“อ่าว ชายกรณ์ ชายเล็กบอกลาพี่เขาสิลูก” หม่อมย่าบอกเด็กทั้งสองที่ตาแดงก่ำมาตั้งแต่เมื่อวานเย็น เพราะปราชญ์เพิ่งจะบอกน้อง ๆ ตอนทานข้าวเย็นว่าวันนี้จะต้องไปอังกฤษแล้ว

ปราชญ์คุกเข่า “มาหาพี่มาชายกรณ์ ชายธัน”

ชายกรณ์ร้องไห้ทันทีวิ่งเข้าไปกอดพี่ชายแน่น “อย่าเพิ่งไปได้ไหมครับ”

“เดี๋ยวเราก็ได้เจอกัน พี่จะไปหาชายกรณ์ที่อเมริกาเอง” เด็จพ่อตัดสินใจไว้แล้วว่าจะส่งน้องไปอเมริกา ปราชญ์ก็เห็นด้วย “ไม่ต้องร้องนะ”

“ไม่ให้ไป ฮืออออ” ชายธันร้องไห้งอแงหนักกว่าเรื่องไหน มือน้อยกำเสือโค้ทพี่คนโต ร้องไห้ฟูมฟายเสียงดังลั่นวัง

“เดี๋ยวเราก็ได้เจอกันนะ พี่จะไปหาชายธันที่โรงเรียนด้วยดีไหม” ปราชญ์นั่งชันเข่าข้างหนึ่งให้ชายกรณ์พิงแล้วอ้าแขนกอดน้องชายอีกคน

“ไม่เอา ไม่ให้ไป” ชายเล็กกอดคอพี่ชายแน่น

ชายกรณ์ที่เห็นน้องร้องหนักมากจึงลูบหัวน้อง ปราชญ์อดยิ้มไม่ได้ก่อนจะหันมองน้องชายคนกลาง “ชายกรณ์ตอนนี้เป็นพี่ใหญ่แล้ว ดูแลน้องด้วยนะ”

“ครับ”

“ไปเล่นกับต้นสนด้วย เดี๋ยวน้องเหงา”

“ได้ครับ”

“เด็กดี” ปราชญ์จูบหน้าผากน้อง “ยิ่งตอนไปเมืองนอก เรียนเสร็จแล้วต้องกลับบ้านพักเลยนะ”

“ครับ” ชายกรณ์เบะปากจะร้องแต่ก็กลั้นไว้ได้ เพราะพี่ชายฝากให้ดูแลน้อง เลยต้องเข้มแข็งไว้

“พี่รักกรณ์นะ” ปราชญ์ยิ้ม เพียงเท่านั้นคนที่จะกลั้นร้องไห้ไว้ก็ร้องไห้ออกมาอีกจนได้

“กรณ์ก็รักพี่ปราชญ์”

ปราชญ์ตาแดง สูดน้ำมูกแล้วหันมองน้องคนเล็ก เขากอดน้องทั้งคู่แน่น “พี่รักธันนะ รักทั้งคู่เลย”

ชายธันเอาแต่ร้องไห้อย่างเดียว ยิ่งพี่คนโตพูดแบบนี้ก็ถึงกับดึงเสื้อแน่นจนมือแดงไปหมด

“ปล่อยพี่เขาได้แล้วลูก เดี๋ยวจะตกเครื่องเอา” หม่อมแหวนรีบไปดึงลูกทั้งสองแต่กลับถูกต่อต้าน

“ฮืออ ไม่เอา ไม่ให้ไป ไม่เอา” ชายธันร้องเสียงดัง แขนเล็กปัดป่ายรุนแรงตอนที่ถูกเด็จพ่ออุ้ม “พี่ปราชญ์ ฮึก ไม่เอา”

ปราชญ์เม้มปากกลั้นไม่ให้ร้องไห้ก่อนจะหันมองชายกรณ์ “ดูน้องด้วยนะ แล้วก็อย่าลืมดูแลตัวเองด้วย”

“ฮึก ครับ”

ปราชญ์ลุกขึ้นยืน ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสามและไหว้คนใช้ที่วังทุกคน “ผมไปก่อนนะครับ ไว้จะซื้อของมาฝาก”

“เดินทางปลอดภัยนะลูก”

เด็กหนุ่มโบกมือลา น้อง ๆ ยังร้องไห้หนัก เขาจึงต้องรีบออกจากวังและรับหมวกมาจากพี่สมพงษ์ แต่ก่อนจะขึ้นรถก็ต้องชะงัก “พี่สมพงษ์ครับ เดี๋ยวผมมานะ”

“ไปไหนครับคุณชาย”

“ไปหาต้นสน ไม่นานหรอกครับ” ปราชญ์ว่าแล้วก็รีบวิ่งไปทางข้างวังข้ามสะพานไปยังหน้าเรือน เขาไม่ได้บอกพี่เฟื้องไว้ด้วยว่าจะไป “พี่ต้นอ้อครับ พี่ต้นอ้อ”

เพียงไม่นานก็เห็นหน้าผู้เรียกแต่คนที่วิ่งฉิวมาเปิดประตูคือต้นสน “พี่ปราชญ์” น้องวิ่งลงบันไดมากอดหมับ “พาไปเล่นที่วังใช่ไหม”

ปราชญ์นิ่งไป ลูบหัวน้องพลางเงยหน้ามองพี่ต้นอ้อที่ดูตกใจเป็นอย่างมาก “พี่ไม่ได้พาไปเล่นครับ”

“อ่าว งั้นพี่ปราชญ์มาเล่นที่นี่ใช่ไหมคับ” ต้นสนกระโดดดีใจทำให้คนพี่จุกอยู่ในลำคอ เขาย่อตัวลงแล้วลูบใบหน้าน้อง กวาดตามองกรอบหน้าจิ้มลิ้ม ยิ้มและมองอยู่อย่างนั้น

“พี่ปราชญ์จะต้องไปทางไกล อาจจะไม่ได้เจอกันสักพักนะ”

พอได้ยินอย่างนั้นต้นสนก็ค่อย ๆ หุบยิ้ม ขมวดคิ้วสงสัย “พี่ปราชญ์ไปไหน จะกลับเมื่อไร”

“พี่ไปเรียนครับ แต่ไปไม่นานหรอกนะ เดี๋ยวก็กลับ”

“จริงเหรอ”

“จริงสิครับ”

ขอโทษที่โกหกนะ...

ต้นสนมองแล้วคล้ายคิดอะไร ไม่ว่าจะมองเสื้อผ้าที่แปลกตาหรือดวงตาที่ยังคงแดงและฉ่ำน้ำ ต้นสนก็เหมือนจะเข้าใจอะไร “พี่ปราชญ์จะกลับมาใช่ไหมคับ”

ปราชญ์ยิ้มให้คำมั่น “พี่จะกลับมาแน่นอน... อ้อ! นี่พี่ซื้อสร้อยมาให้ต้นสนด้วย” ว่าแล้วก็หยิบสร้อยหยกมังกรออกมา

“สร้อยหยกหรือคะ! ราคาสูงไม่ใช่หรือคะคุณชาย” ต้นอ้อแทบใจหายใจคว่ำ

“ไม่เป็นไรครับ ผมอยากให้น้องเก็บไว้”

“แต่พี่กลัวต้นสนจะทำล่วงหายน่ะสิคะ”

“ต้นสนไม่ทำหายหรอก เนาะ” ปราชญ์หันมาพยักหน้ากับน้อง

ต้นสนคิ้วมุ่น “คับ ต้นสนจะไม่ทำหาย”

“ต้นสน” ต้นอ้ออยากให้ลูกชายคิดอีกที

“เอาเป็นว่า พี่ใส่ให้นะ” ปราชญ์สวมสร้อยให้โดยไม่ให้พี่ต้นอ้อประท้วงไปมากกว่านี้ สร้อยนี้ปรับความยาวได้เขาจึงปรับให้พอดีกับน้องในอายุเท่านี้ ถ้าโตกว่านี้คิดว่าสร้อยคงพอดีคอเลย

ต้นสนจับหยกก้มมองพิจารณา “สวยจัง”

“ชอบไหมครับ”

“อื้อ! ต้นสนชอบ” น้องยิ้มแป้น

ปราชญ์ไม่อยากทำลายรอยยิ้มสดใสนี้เลย แต่ก็ต้องบอกลากันแล้ว “ต้นสนครับ พี่ไม่อยู่ต้องดูแลตัวเองนะ อย่าดื้ออย่าซนกับคุณพ่อคุณแม่ กินข้าวเยอะ ๆ ตั้งใจเรียนหนังสือจะได้เป็นตำรวจอย่างที่ต้นสนหวัง”

น้องยังคงยิ้ม “คับ ต้นสนจะตั้งใจเรียน จะกินเยอะ ๆ จะดูแลตัวเอง”

“แล้วไม่ซนไม่ดื้อหายไปไหนครับ”

“อ้อใช่ ๆ ไม่ซนไม่ดื้อ” น้องหัวเราะ

ปราชญ์ส่ายหัว “เอาล่ะ พี่ต้องไปแล้ว รักษาสร้อยไว้ดี ๆ นะ”

“คับ”

“แล้วก็อย่าลืมพี่นะ”

น้องเอียงคอ “ต้นสนไม่เคยลืมพี่ปราชญ์นะ”

ปราชญ์อยากจะตบหน้าผากตัวเองที่เผลอกลัวจนพูดออกไป “ดีแล้วครับ” เขาถอนหายใจก่อนจะหอมแก้มน้อง “พี่รักต้นสนนะ”

มือเด็กน้อยขยำเสื้อคนพี่แน่น แต่ใบหน้ายังยิ้มและหอมแก้มตอบ “ต้นสนก็รักพี่ปราชญ์”

“งั้นไปแล้วนะ เดี๋ยวจะส่งจดหมายมาหา”

ต้นสนเงยหน้าตามตอนที่คนพี่ลุกขึ้นยืน มือยังจับชายเสื้อโค้ตไว้ “รีบกลับมานะ”

“ครับ” ดวงตาเรียวหยีลง ปราชญ์ยกมือไหว้ลาพี่ต้นอ้อ “ขอโทษนะครับที่ต้องมาลากะทันหัน ยังไงก็ฝากบอกพี่เฟื้องด้วยนะครับ ไว้ผมจะโทรทางไกลและส่งจดหมายมาหา”

“ได้ค่ะ เดินทางปลอดภัยนะคะคุณชาย ดูแลตัวเองด้วยนะ” ต้นอ้อเดินมาลูบบ่า

“ครับ” ปราชญ์ยิ้มแล้วหันมองน้อง “พี่ไปก่อนนะ”

ระหว่างเดินไปที่รถ ปราชญ์อดจะหันมองน้องไม่ได้ ต้นสนไม่ได้ร้องไห้เลยสักนิด แต่ปราชญ์รู้ว่าน้องกลั้นไว้อยู่ จวบจนไม่เห็นหน้าแล้วปราชญ์ก็ขึ้นไปนั่งบนรถ ถอนหายใจเพื่อให้คลายน้ำตา ไม่อยากจะปลดปล่อยออกมาตอนนี้

“คุณชายขอรับ!” สมพงษ์เรียกด้วยความตกใจหลังจากที่ออกรถมาได้ไม่เท่าไร

“มีอะไร” ปราชญ์ขมวดคิ้ว

“ข้างหลัง... แต่ผมจอดไม่ได้ไม่อย่างนั้นจะไปไม่ทัน”

ปราชญ์หันไปมองข้างหลังทันที พลันใจหายวาบเมื่อเห็นต้นสนวิ่งตามรถพร้อมกับร้องไห้ไปด้วย ดวงใจคล้ายถูกบีบรัด เห็นน้องร้องไห้ตรงหน้ากลับวิ่งไปกอดปลอบไม่ได้ ภาวนาให้น้องหยุดวิ่งตามแต่ก็ยังคงวิ่งมาอยู่อย่างนั้น

“ต้นสน!” ปราชญ์ตกใจเมื่อน้องหกล้ม อยู่ในรถไม่ได้ยินเสียงน้องเลยแต่ปราชญ์คิดว่าคงตะโกนอยู่เป็นแน่ เด็กหนุ่มกัดปากน้ำสีใสไหลออกมาเมื่อเห็นว่าน้องเงยหน้ามอง พยายามจะลุกขึ้นวิ่งมาหาแต่ก็หกล้มอีกหลายรอบ ระยะทางเริ่มไกลกัน แต่ปราชญ์เห็นว่าเลือดที่เข่าน้องออก “พี่ขอโทษ... พี่ขอโทษครับ”

ขอโทษที่วิ่งไปกอดไม่ได้

ขอโทษที่ปลอบให้หยุดร้องไห้ไม่ได้

ขอโทษที่ทิ้งไว้ให้เจ็บแบบนั้น

ปราชญ์อุ่นใจเล็กน้อยเมื่อมีคนใช้ผู้ชายที่วังวิ่งมารับต้นสนให้แทนพี่ต้นอ้อที่คงจะวิ่งมาไม่ทัน ต้นสนถูกอุ้มไปแล้ว มือน้องยื่นจนสุดแขนมองตรงไปทางรถยนต์ที่กำลังจะเลือนหายไป ปราชญ์โบกมือลาน้องจากในรถ น้ำตาก็ไหลพรั่งพรูออกมาอย่างหนัก...




จบบทที่ ๓
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๒
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 23-05-2020 20:17:04
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๓
เริ่มหัวข้อโดย: piakunaa ที่ 23-05-2020 21:22:12
ต้นสนลูก​ กอดปลอบอีกแล้ว​ เป็น​กำลัง​ใจ​ให้​นักเขียน​นะคะ​ ​สู้​ๆ​นะคะ​นักเขียน​
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๔
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 30-05-2020 14:55:03
 
(https://www.img.in.th/images/d2078d6e2e504db2d723032034b2acc6.jpg)

บทที่ ๔
จดหมายจากทางไกล

 


London, England

ปราชญ์กระชับเสื้อโค้ตก่อนจะรอหยิบกระเป๋าออก แขนซ้ายยกนาฬิกาเรือนสวยขึ้นดูก็พบว่ามาทันเวลาพอดี

“Hey, hey!, Over here!” (เฮ้ เฮ้! ทางนี้!) เสียงเรียกของใครบางคนดังขึ้น ปราชญ์หันมองก็พบกับป้ายขนาดใหญ่และชายรุ่นราวคราวเดียวกับตนโบกไม้โบกมือจนคนมองกันหมด

จะไม่ให้มองได้ยังไงในเมื่อในป้ายเขียนว่า ‘หม่อมราชวงศ์ ปภารัช ศุลภาณันท์’ เป็นภาษาไทยใหญ่ซะขนาดนั้น

ปราชญ์ถอนหายใจ เห็นแววว่าเพื่อนคนนี้น่าจะพูดเก่งเป็นต่อยหอย “Hi, I’m Prach, and you’re Mr. Athit right?” (สวัสดีครับ ผมปราชญ์ และคุณคือคุณชายอาทิตย์ใช่ไหมครับ?)

“ใช่ครับผมอาทิตย์ แล้วก็ผมพูดไทยได้ครับ” คนตรงหน้ายิ้มกว้าง รูปร่างสูงใหญ่ยิ่งกว่าเด็กอายุยี่สิบทั่วไป ดวงตาสีฟ้ากับใบหน้าคมคายไปทางไทยเล็กน้อย บ่งบอกได้ว่าชายคนนี้เป็นลูกครึ่ง

“อ่อครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณชายอาทิตย์”

“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ เรียกผมทิตย์เฉย ๆ ก็ได้นะ”

“ครับคุณชายทิตย์”

“งั้นเดี๋ยวผมช่วยถือกระเป๋านะ” อาทิตย์เอาป้ายแนบลำตัวและแบกกระเป๋าเขาใบหนึ่งขึ้น

“ผมถือเองก็ได้นะครับ”

“ไม่เป็นไร แค่นี้สบายมาก”

ปราชญ์จำต้องยอม ระหว่างทางคนข้างกายก็พูดไปเรื่อยและปราชญ์ก็ฟังไปด้วย ทำไมถึงให้ความรู้สึกเหมือนเลี้ยงเด็กอย่างไรอย่างนั้นกันนะ

“ดีใจจังได้เพื่อนเป็นคนไทยแล้ว อยู่ที่นี่ไม่มีเพื่อนคนไทยเลยครับนอกจากที่สถานทูต ถึงจะก็มีแต่อายุเยอะกันแล้ว”

“ไม่มีนักเรียนจากไทยหรือครับ”

“ไม่มีน่ะสิครับ”

“แต่คุณก็ยังมีเพื่อนเยอะใช่ไหมครับ”

พอได้ยินอย่างนั้นอาทิตย์ก็เบิกตาอย่างตกใจ “รู้ได้ไงครับเนี่ย”

ปราชญ์คลี่ยิ้มอย่างนึกขัน “คุณดูเข้าหาคนเก่ง พูดเก่งด้วย”

ถึงอย่างนั้นดวงตากลมโตก็ไม่ยอมหยุดตกใจ “โห คุณชายคุณเก่งจังเลย มีแต่คนบอกผมว่าพูดเก่ง”

ปราชญ์ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ทำไมคนคนนี้เหมือนเด็กสามสี่ขวบขนาดนี้นะ บอกทีว่าอายุเท่ากัน

พอขึ้นรถของเจ้าตัวได้สักพักก็มาถึงสถานทูตก่อนเพราะ หม่อมเจ้าพีระ เจตพิทักษ์ หรือบิดาของคุณชายอาทิตย์ ประสงค์จะพบกับปราชญ์ ที่จริงทรงรับสั่งว่าให้ส่งปราชญ์ที่บ้านพักเลย แต่ปราชญ์ก็อยากพบกับท่านก่อน

“เชิญเลยครับ” คุณชายทิตย์ผายมือและนำทางตรงไปยังห้องทำงานของเด็จพ่อ บอกเลขาไว้และเคาะห้องเข้าไปด้านใน

“มาแล้วเหรอชายปราชญ์” หม่อมเจ้าพีระทักทายทันทีเมื่อเห็นใคร

“ฝ่าพระบาท” ปราชญ์ยกมือไหว้พลางยิ้มบาง “เด็จลุงทรงมีน้ำพระทัยให้ที่พักต่อกระหม่อม เป็นพระกรุณาอย่างสูงกระหม่อม”

“ไม่ต้องพูดเต็มขนาดนั้นหรอก นั่งเลย ๆ”

“ครับ” ปราชญ์พยักหน้าและนั่งลงตรงข้ามส่วนชายทิตย์ก็เดินไปนั่งโซฟาใกล้ ๆ

“เคยเจอเมื่อตอนยังสิบกว่าขวบ ไม่รู้ว่ายังจำลุงได้อยู่หรือเปล่า”

“จำได้ครับ เด็จลุงเคยให้หนังสือวรรณกรรมเรื่อง Nineteen Eighty-Four ของ จอร์จ ออร์เวลล์ เนื้อหาค่อนข้างหนักทีเดียว แต่ก็แฝงการเมือง สังคมนิยมของอังกฤษได้ดีเลยครับ”

หม่อมเจ้ายิ้มอย่างพอใจ “ดีเสียจริงที่ชายปราชญ์ชอบอ่านหนังสือ ไม่เหมือนคนแถวนี้ที่เอาแต่เที่ยวเล่น ลุงไม่รู้จะคุยเรื่องวรรณกรรมกับใครเลย”

“อะไรกันเด็จพ่อ ตัวหนังสือมันเยอะจนตาลายขนาดนั้น ผมอ่านไม่ไหวหรอก”

“เห็นไหมล่ะ” หม่อมเจ้าพยักพเยิด ปราชญ์จึงหัวเราะพร้อมท่าน “ถ้าอย่างนั้นไว้ชายปราชญ์คุยกับลุงเรื่องหนังสืออีกนะ ตอนนี้ก็ไปพักเสียเถอะ เพิ่งจะเดินทางมาเหนื่อย ๆ”

“ครับ ผมขอตัวลา” ว่าแล้วก็ลุกสวัสดี ถึงจะเดินทางไปที่บ้านพัก

แต่จะเรียกว่าบ้านพักหรือคฤหาสน์ดี ในเมื่อใหญ่โตเสียขนาดนี้ ปราชญ์ให้คนรับใช้เก็บกระเป๋าให้ ก่อนจะขอยืมโทรทางไกลหาที่วังว่าถึงที่หมายแล้ว ได้ยินเสียงชายกรณ์กับชายเล็กดังให้วุ่นว่าอยากคุยด้วย

จวบจนผ่านไปหลายเดือน ปราชญ์ต้องเรียนมหาลัยเป็นรุ่นน้องของชายทิตย์หนึ่งปีเพราะเข้าช้า แต่ก็ไม่ได้แย่นัก มีเพื่อนเป็นชาวต่างชาติบ้างประปราย จนได้ฤกษ์เขียนจดหมายหาต้นสน เพราะบางทีโทรทางไกลหาพี่เฟื้องไม่ติด

 

‘ถึงน้องต้นสน จดหมายฉบับนี้เป็นของพี่ปราชญ์เอง ต้นสนเหงาหรือเปล่า พี่ขอโทษนะที่ไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ พี่ปราชญ์คิดถึงต้นสนมากเลย อยากจะเล่นน้ำด้วยกัน อยากได้ยินเสียง ต้นสนรอพี่ปราชญ์ได้ใช่ไหม พี่สัญญาว่าจะรีบกลับ ต้นสนตั้งใจเรียนด้วยนะ เป็นเด็กดีกับคุณพ่อคุณแม่ด้วย อย่าดื้อมากนะ พี่ปราชญ์คิดถึงนะครับ ด้วยรัก จาก พี่ปราชญ์’

 

 

ปี ๒๕๐๒

เสียงหนังสือเปิดแล้วเปิดเล่า ชายหนุ่มอยู่ในชุดเสื้อพรหมสีดำ ภายในห้องสี่เหลี่ยมที่ไม่แคบและไม่กว้างจนเกินไป อากาศด้านนอกมีลมเย็นพร้อมกับใบไม้ที่ร่วงลงตามฤดู ปราชญ์อ่านหนังสือด้วยความเพลิดเพลิน นิ้วชี้เรียวเกี่ยวที่ถือแก้วจับขึ้นมาจิบกาแฟ ดวงตาภายใต้กรอบแว่นทรงกลมสีทองยังคงจดจ้องตัวหนังสือไม่ห่าง

“Hey! man!” อารมณ์ถูกดับลงทันทีเมื่อมีบุคคลที่สองเข้ามาในห้องทั้งยังไม่ได้เคาะเรียก แต่ปราชญ์ก็ค้านจะเตือน

“มีอะไร” ปราชญ์ถามเสียงเรียบและวางหนังสือลง

“ทำไมทำหน้าเบื่อหน่ายอย่างนั้นเล่า” ชายทิตย์ขมวดคิ้วแล้วนั่งลงบนเตียงอย่างถือวิสาสะ เพราะรู้ว่าเพื่อนคนนี้ไม่เคยโกรธนาน

ดวงตาเรียวคมจ้องมองอย่างดุ ๆ เล็กน้อย ทำให้คนนั่งบนเตียงเสียวสันหลังวาบ “ถ้าไม่มีธุระด่วนก็ออกไปก่อน ฉันจะอ่านหนังสือ”

“Oh, man, why don’t you hang out?” (โธ่เพื่อน ทำไมนายไม่ไปเที่ยวข้างนอกบ้าง)

“I have to read a book. If you want to hang out, just go.” (ฉันต้องอ่านหนังสือ ถ้านายอยากไปเที่ยว ก็ไปซะ)

“Aahh” ชายทิตย์ถึงกับกุมหัว “Let’s go together, please” (ไปด้วยกันเถอะนะ)

“No” ปฏิเสธเสร็จก็หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านต่อ

“Please”

ปราชญ์เหลือบมอง “มัวแต่ชวนฉันออกไปข้างนอก ทำไมนายไม่อ่านหนังสือบ้าง”

“ฉันอ่านมาแล้วนะ”

“โกหกทั้งเพ”

ชายทิตย์ยิ้มแหย แต่ก็ยังไม่ละความพยายาม “ไปด้วยกันเถอะ แค่คืนนี้คืนเดียวเอง ฉันมีสาว ๆ ที่คลับมาแนะนำเยอะแยะเชียวนะ”

คนฟังถึงกับส่ายหัว “ฉันไม่ค่อยมีอารมณ์สุนทรีย์เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้”

“What!? นี่นายตายด้านหรือไง”

“เปล่าหนิ”

“หรือนายมีคนที่ชอบแล้ว” ชายทิตย์ชี้นิ้ว

ปราชญ์นิ่งไป “ฉันจะไปชอบใครได้ ก็แค่ไม่ไปเที่ยวควงสาวเหมือนนาย ฉันจะต้องมีคนที่ชอบแล้วงั้นหรือ”

อาทิตย์ถึงกับเก็บนิ้วชี้ “ก็หน่า ช่างเรื่องนั้นเถอะ ถ้าไม่มีคนที่ชอบก็ไปด้วยกันสักวันนะ... นายน่ะเอาแต่อ่านหนังสือแทบไม่ออกไปเที่ยวกับฉันเลย”

“เฮ้อ” ปราชญ์จำต้องวางหนังสือลงอีกครั้ง “ไปครั้งนี้ครั้งเดียวแล้วอย่าชวนอีก”

“ไปจริงนะ!”

ปราชญ์พยักหน้าอย่างส่ง ๆ และก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ

“งั้นคืนนี้เจอกัน แต่งตัวหล่อ ๆ ล่ะ คุณชาย เดี๋ยวฉันจะเอาฮาร์เลย์มารับ”

คนถูกชักชวนส่ายหัวหน่าย ๆ และยุ่งอยู่กับหนังสืออย่างเดิม

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“Come in” (เข้ามาสิ)

“Sir, There’s a letter for you” (คุณชายครับ มีจดหมายมาถึงคุณชาย)

“Thank you” (ขอบคุณครับ) ปราชญ์ขมวดคิ้วพอมองชื่อคนส่งพลันใจก็เต้นขึ้นมา คลี่จดหมายออกมาดูก็พบกับลายมือที่คัดอย่างเรียบร้อย แต่ดูออกเลยว่าเป็นลายมือของเด็ก

‘ถึงพี่ปราชญ์ ผมต้นสนเองครับ พี่ปราชญ์เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีไหม ต้นสนเพิ่งจะหัดเขียนให้ลายมือสวย ๆ พี่ปราชญ์จะได้อ่านออก ต้นสนสิบขวบแล้วด้วย เป็นผู้ใหญ่แล้ว’ พออ่านมาถึงตรงนี้ปราชญ์ก็หัวเราะออกมาทันที เด็กหนอเด็ก ‘ต้นสนมาอยู่กับลุงสิงห์และลุงไฟตั้งแต่แปดขวบแล้วนะ เพราะว่าถ้าอยู่ที่วัง ต้นสนคงคิดถึงพี่ปราชญ์แน่เลย’ คนพี่ยิ้มกว้างดวงตาคลอเล็กน้อย ‘พี่ปราชญ์ยุ่งมากเลยใช่ไหม ถึงไม่ได้ส่งจดหมายมาเลย แต่พี่ปราชญ์ไม่ต้องห่วงนะ ต้นสนจะส่งจดหมายไปหาเอง ต้นสนเขียนเก่งแล้ว เขียนภาษาอังกฤษได้ด้วยแหละ A B C D… พี่แก้วสอน’ พี่แก้วคือใครนั่นคือคำถามในหัวแต่ก็ชื่นชมเด็กคนนี้มากมายจนรู้สึกผิดที่หลังจากมาที่นี่ เขียนจดหมายไปหาแค่สามสี่ครั้งก็ไม่ได้เขียนไปหาอีกเลย

‘พี่แก้วนั่งอยู่ข้าง ๆ คอยบอกว่าผิดตรงไหน ถ้าพี่ปราชญ์เห็นว่าจดหมายไม่สะอาด ต้นสนขอโทษนะครับ’

“โธ่ สวยมากแล้วครับ” ปราชญ์ลูบกระดาษที่มีรอยเปื้อนจากการถูกลบ

‘ต้นสนคิดถึงพี่ปราชญ์นะ ดูแลตัวเองด้วยนะพี่ปราชญ์ ด้วยรัก จากน้องต้นสนครับ’

ปราชญ์พลิกดูด้านหลังบ้าง เปิดซองจดหมายอีกรอบบ้างแต่กลับไม่พบอะไร เสียดายที่มีเท่านี้ ตอนต้นสนสิบขวบจะโตขนาดไหนนะอยากเห็นหน้าเสียจริง

ว่าแล้วก็หากระดาษสะอาด ๆ และปากกาหมึก หนังสือถูกเก็บไปอย่างไม่คิดจะสนใจอีกแล้ว หากอาทิตย์มาเห็นคงตกใจแย่ที่เพื่อนคนนี้เลิกสนใจหนังสือเพื่อมาเขียนจดหมายตอบคนไกล

 

‘ถึงน้องต้นสน พี่ได้รับจดหมายแล้วครับ พี่ขอโทษนะที่พี่ไม่ได้ส่งจดหมายไปหาเลย พี่งานยุ่งมากเลยแต่พี่ก็อยากคุยกับต้นสนนะ อยากเขียนจดหมายหาต้นสน พี่ขอโทษจริง ๆ นะครับ อยู่กับลุงไฟลุงสิงห์แล้วก็ต้องเป็นเด็กดีนะรู้ไหม กินข้าวเยอะ ๆ นอนเป็นเวลา ถ้าไม่สบายหรือเป็นอะไรรีบบอกคุณลุงเลยนะครับ พี่รักต้นสนนะ คิดถึงมาก ๆ จากพี่ปราชญ์’

 

ปากบางคลี่ยิ้มหยิบจดหมายของน้องขึ้นมาดูอีกรอบ อ่านวนซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น ไม่มีเบื่อเลยสักนิด ปราชญ์มองจดหมายของตัวเองก็ต้องคิ้วมุ่น ถ้าจะเขียนอีกสองสามฉบับไปหาคงไม่ยาวเกินไปใช่ไหม

ยังไม่ทันได้คิดนานนักมือเรียวก็หยิบกระดาษอีกหลายแผ่นมาวางไว้เพื่อเขียนหาต้นสนเพิ่ม

คำว่าคิดถึง คงไม่ต่ำกว่าสิบแล้ว

 


เฝ้าคำนึง

 


ตกดึกปราชญ์อยู่ในชุดสูทและใส่เสื้อกั๊กด้านใน เพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงบีบแตรรถดังสนั่น ปราชญ์เดินไปมองทางหน้าต่างก็พบกับรถฮาร์เลย์เปิดประทุน ชายทิตย์แต่งตัวดูดีทีเดียว

พอชายปราชญ์ลงมาข้างล่างชายทิตย์ก็ขมวดคิ้วทันที “จะแต่งไปเต้นรำที่ไหนล่ะคุณชาย”

ปราชญ์กะพริบตาปริบ ก้มมองชุดตัวเองว่าไม่ดีอย่างไร

“เรากำลังไปคลับนะ แต่งตัวให้ดูสบาย ๆ หน่อยสิ” ว่าแล้วก็เดินลงมาจึงเห็นชุดเต็มตาว่าใส่ยีนส์ทั้งกางเกงและเสื้อ ส่วนเสื้อด้านในเป็นเสื้อยืดสีขาว “ถอดสูทออก”

“ทำไมล่ะ มันก็สุภาพดีนะ” ปราชญ์ว่า

ชายทิตย์ส่ายหัวดิ๊กและรีบถอดสูทนอกให้ “เชื่อฉันเถอะ ถอดออก”

ปราชญ์ถอนหายใจปล่อยเลยตามเลยให้เพื่อนจัดการ ตอนนี้ปราชญ์อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตและพับแขนถึงศอก ส่วนกางเกงก็สแล็คอย่างเดิม

ชายทิตย์เห็นว่าเสื้อผ้าดีแล้วก่อนจะมองเพื่อนและเลยไปยังทรงผมที่เรียบจนชายทิตย์ต้องขมวดคิ้วอีกครั้ง จริง ๆ ก็ไม่ได้แย่ แต่ว่าอยากให้เพื่อนสลัดลุคคุณชายทิ้งแล้วไปเฉิดฉายด้วยกัน ไม่ว่าเปล่าก็หยิบหวีจากกระเป๋ากางเกงของตัวเองขึ้นมาจัดการทรงผมให้

“เดี๋ยวสิ เดี๋ยว อะไรของนายเนี่ย” ปราชญ์รีบผละออก มองหวีในมือเพื่อนก็ได้แต่คิดว่าพกหวีมาด้วยหรือ

“เชื่อฉันเถอะ”

ปราชญ์ลังเลอยู่ครู่ก่อนจะตามใจ เพราะนับถือในการแต่งตัวของอีกฝ่ายเหมือนกัน เพียงไม่นานก็เสร็จเรียบร้อย ส่วนคนจัดการให้ผละออกมามองผลงานตัวเองก็ต้องร้องว้าวออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

“นายนี่ So handsome”

“What?”

ชายทิตย์ยิ้มกว้าง “แบบนี้คนคงเข้าหานายเยอะแน่เลย”

“อะไรของนาย”

“นายรู้ตัวไหมว่านายน่ะมีเสน่ห์มากเลยนะ” พูดเสร็จก็หยิบกระจกออกมา

ปราชญ์ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อก่อนจะก้มส่องกระจก ใบหน้าที่เปิดตลอดเวลาเพราะเซ็ทผมขึ้นตอนนี้กลับเปลี่ยนไปเพราะเอาผมลงปรกหน้าผาก และเพราะเจลที่ยังติดจึงทำให้ผมที่ปรกหน้าดูคล้ายยังไม่แห้งดี แต่จัดดี ๆ แล้วก็ดูดีไม่หยอก แปลกตาเสียจนเผลอยิ้มออกมา

“ฉันก็ดูดีเหมือนกันนะ”

ชายทิตย์ถึงกับหัวเราะลั่นที่เพื่อนชมตัวเองได้หน้าตาเฉย “นายนี่มัน ฮ่า ๆ”

“แต่นายก็เซ็ทผมทำไมถึงให้ฉันเอาผมลงล่ะ”

“นายต้องเปลี่ยนลุคบ้างสิ ฉันเห็นนายเซ็ทผมจนเบื่อแล้ว ลองปรับเปลี่ยนดูก็ไม่เห็นแย่เลย”

ปราชญ์ได้แต่คิดในใจ นั่นคือเหตุผลจริง ๆ ใช่ไหม

“ไปกันเถอะ วันนี้นายปล่อยตัวตามสบายเลยนะ จะพาใครไปนอนไหนก็ไม่มีใครว่า” ชายทิตย์ป้องปากกระซิบ แต่ปราชญ์ก็ส่ายหน้าเพราะคงจะไปดื่มอย่างเดียว

เพียงไม่นานก็มาถึงที่หมาย เสียงเพลงดังออกมาถึงข้างนอก ปราชญ์ลงรถมองผู้คนมากมาย บ้างก็ใส่สูทจนต้องมองเขม็งเพื่อน

“เปลี่ยนลุคไง”

คนมาด้วยถึงกับถอนหายใจและเดินเข้าไปด้านใน ชายทิตย์ดูจะรู้จักกับคนไปทั่ว และปราชญ์ก็ได้รู้จักกับใครหลายคนเพิ่มขึ้น

ดูเป็นเรื่องแปลกใหม่ไปซะทุกอย่างสำหรับปราชญ์ แต่แปลกกว่านั้นก็คงเป็นชายทิตย์ที่ทักทายทุกคนที่เดินผ่านและดูสนิทกันมากด้วย

“นายรู้จักทุกคนเลยรึไง”

“แน่นอนสิ ก็ทั้งหมดนี่เรียนกับฉัน”

“งั้นหรอกหรือ”

“เพื่อนฉันเป็นลูกเจ้าของที่นี่ วันนี้เป็นวันเกิดเลยจัดปาร์ตี้ที่นี่น่ะ”

ปราชญ์คลี่ยิ้ม “ดีจังเลยนะ”

“แล้วนายสนใจใครบ้างไหม”

“ไม่ล่ะ ฉันขอดื่มอย่างเดียว”

ชายทิตย์ถอนหายใจ “ไว้ถ้านายสนใจใครมาบอกฉันได้เลยนะ ฉันจะได้บอกว่าใครมีคู่แล้วบ้าง”

ปราชญ์พยักหน้าอย่างไม่นึกสนใจมากนักก่อนจะคุยกับเพื่อนของชายทิตย์จนเพลิน มือเรียวยกของมึนเมาดื่มจนหมดไปหลายแก้วแล้ว

“Enough. I’ll go to the toilet. I’ll be right back” (พอแล้ว ฉันจะไปเข้าห้องน้ำก่อน เดี๋ยวฉันกลับมา)

“Be careful” (ระวังด้วย) เพื่อนคนหนึ่งในโต๊ะเอ่ยบอก ปราชญ์จึงพยักหน้าและเดินไปยังห้องน้ำ มารอบที่สองได้คนก็เยอะเหมือนเดิม

ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องไปปลดข้างนอก เพราะจะไม่ไหวอยู่แล้ว นี่ถ้าหากใครมารู้เข้าว่าคุณชายของวังศุลภาณันท์มาปลดปัสสาวะด้านนอกคงเข้าหน้าใครไม่ได้ แต่เพราะนี่ปิดเป็นส่วนตัวจึงต้องไปข้างนอกแทน และมีหลายคนเหมือนกันที่มาข้างนอกเพราะมีที่ให้

ปราชญ์ทักทายบางคนก่อนจะไปปลดบ้าง พอเสร็จเรียบร้อยก็หาน้ำเพื่อล้างมือ บรรยากาศหลังร้านมืดอยู่มาก มีแต่แม่น้ำกับต้นไม้ แต่ลมก็เย็นดีจนต้องขอเดินเล่นสักครู่เพราะคิดว่าตัวเองน่าจะเริ่มเมามากแล้ว ถ้ากลับไปตอนนี้คงเมาจนไม่ได้สติแน่นอน

“Ah, yes, That’s it” เสียงครางกระเส่าทำให้ปราชญ์หยุดชะงักทันที มันจะไม่น่าตกใจหรอกเพราะด้านในก็มีแต่ตกใจเพราะเสียงเป็นของผู้ชายสองคน อยากจะเดินออกไปแต่สายตาก็ไปปะทะกับอีกฝ่าย

ปราชญ์ใจหายวาบเมื่อเห็นดวงตาคมมองมาทางนี้และคนคนนั้นกำลังกดหัวคนข้างล่างและขยับสะโพกกระแทกอย่างเนิบนาบ ชายหนุ่มเผลอกลืนน้ำลาย ไม่รู้ว่าเพราะฤทธิ์เมาหรือไรถึงได้ร้อนวูบวาบไปทั้งตัว

อยู่ ๆ คนใต้ล่างเงยหน้าขึ้นมาเห็นก็ตะโกนเรียกทันที “Hey!, You interested?” (เฮ้! นายสนใจมั้ย?)

“No, I’m leaving” (ไม่ล่ะ ฉันจะไปแล้ว)

ปราชญ์พรูลมหายใจรีบเดินออกจากตรงนั้นเพื่อกลับไปนั่งที่เดิม พร้อมกับปฏิเสธของมึนเมาทันทีเพราะคิดว่าตัวเองเริ่มจะไม่ไหวแล้ว ระหว่างทางก็เห็นคนกอดจูบและทำเหมือนผู้ชายสองคนนั้นด้านนอก แต่ทำไมถึงรู้สึกเฉย ๆ นะ

หรือเพราะคู่อื่นเป็นชายหญิงหมดยกเว้นคู่ด้านนอกกัน? หรือว่าเขารู้สึกกับผู้ชายด้วยกันมากกว่าผู้หญิงอย่างนั้นหรือ แต่ปราชญ์ไม่ได้สนใจผู้ชายพวกนั้นเลย เพียงแต่ภาพของผู้ชายสองคนนั้นมันติดตา ไม่ได้รู้สึกชอบ แค่ทำให้รู้สึกอะไรบางอย่าง...

“เป็นอะไรหรือเปล่า” ชายทิตย์ที่เห็นเพื่อนนั่งหน้าเครียดหลังจากเดินกลับมาก็คิดว่ามีเรื่องอะไร

“ถามอะไรหน่อยได้ไหม”

“ว่ามาสิ”

“คือ... เพื่อนนายบางคนเขา... ชอบเพศเดียวกันหรือ”

ชายทิตย์ดูจะไม่ตกใจและพยักหน้าทันที “ใช่ อ้อ นี่นายไปเจอไอเจ้าพวกนั้นมาใช่ไหม ตกใจล่ะสิ”

“นิดหน่อยน่ะ”

“แล้วนายรังเกียจหรือเปล่า”

“ไม่ ฉันไม่ได้รังเกียจ ฉันคิดว่าคนที่นี่จะรับเรื่องนี้ไม่ได้เสียอีก”

“จะว่ารับได้ก็รับได้บางส่วนเหมือนกันนั่นแหละ เพื่อนบางคนในห้องรับไม่ได้ก็มี แต่ฉันน่ะรับได้นะเพราะยังไงพวกเขาก็แค่คนรักกัน ยกเว้นถ้าเจอไอพวกนั้น พวกมันก็แค่ชื่นชอบแบบนี้แต่ไม่ได้รักกันหรอก แค่เซ็กส์น่ะ”

“นายเคยเอ่อ...”

ชายทิตย์ยิ้มและก้มกระซิบ “ฉันช่ำชองเลยแหละ แต่ฉันชอบผู้หญิงนะ ยังไงซะเซ็กส์ก็แค่เซ็กส์ สิทธิ์ของเรา ถ้านายอยาก... นายก็หาคู่ที่เขาพร้อมและต้องการเหมือนกัน”

“It’s just sex. There’s no love involved.” (มันก็แค่เซ็กส์ ไม่มีความรักเกี่ยวข้อง)

ปราชญ์คล้ายเปิดโลกใหม่ ถูกสอนมาตลอดว่าการจะสานสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งจะต้องเป็นคนรักและแต่งงานแล้วเท่านั้น พอฟังจากอีกมุมก็คล้ายปลดล็อกอะไรบางอย่าง

“ฉันอยากลอง”

แค่นั้นก็ทำชายทิตย์ตกใจจนตาโต “Really?” (จริงเหรอ?)

“อืม”

“ถ้านายฝืน ไม่ต้องก็ได้ ฉันไม่ได้บังคับนะ ของแบบนี้อยู่ที่ความสมัครใจ”

“ไม่ฝืน” พูดเสร็จก็หันมองรอบร้านก่อนจะเห็นใครบางคนกำลังเดินเข้ามา เป็นคนเดียวกับที่ปราชญ์เห็นข้างนอก “คนนั้นน่ะ”

“ผู้ชายเหรอ ว้าว ได้ เดี๋ยวถามให้” ชายทิตย์รีบลุกไปคุยกับเพื่อน

ปราชญ์มองอีกฝ่ายอย่างสำรวจ รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าติดดุเล็กน้อย ดวงตานั้นแวววับยามที่อาทิตย์พูดแล้วชี้มาทางนี้ ก่อนที่คนคนนั้นจะเดินมาแล้วยิ้มให้

“สวัสดีครับ คุณคือคุณชายปราชญ์ใช่ไหม”

“คนไทยหรือครับ”

“ครับ เป็นเพื่อนกับผู้ชายก่อนหน้านี้ เขานัดผมมาที่นี่น่ะ”

“ตามสบายเลยนะ พรุ่งนี้เพื่อนฉันไม่ไปไหนหรอก” ชายทิตย์ยิ้มและกระซิบ “คนนี้ไว้ใจได้ ไม่ต้องห่วง การันตีลูกชายเจ้าของโรงแรมชื่อดังทั้งไทยและอังกฤษ”

“เดี๋ยวสิ” ปราชญ์ถึงกับถอนหายใจเมื่อเพื่อนถวายตัวเขาให้คนอื่นถึงขนาดนี้ เขม็งใส่ชายทิตย์ไปทีก่อนจะคลี่ยิ้มให้คนตรงหน้าและถามไถ่ “ว่าแต่คุณชื่ออะไรหรือครับ”

“ผมชื่อ ภวัต ครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณชาย”

“เช่นกันครับ เรียกผมว่าปราชญ์เฉย ๆ ก็ได้”

“ครับปราชญ์” ภวัตยิ้มบาง ดวงตาคมกริบ “พอดีว่าคุณพ่อผมหุ้นโรงแรมแถวนี้อยู่ ถ้าไม่รังเกียจไปด้วยกันไหมครับ”

ปราชญ์เผลอใจเต้นแรงยามที่รอยยิ้มนั้นประดับขึ้น “ไปครับ”





จบบทที่ ๔

----------------------------------------------------------------------------------------------

อ่าวพี่ปราชญ์ น้องต้นสนล่ะ555555555
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๔
เริ่มหัวข้อโดย: direkraj ที่ 30-05-2020 15:04:49
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๔
เริ่มหัวข้อโดย: piakunaa ที่ 30-05-2020 22:20:52
งานงอกกกกกกกกกกกกกก​ พี่ปราชญ์​ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ​ กอดปลอบต้นสนอีกตามเคย​ นี่คิดมาตลอดนะว่าปราชญ์​รุก​ เกมพลิกซะงั้น
เป็น​กำลัง​ใจ​ให้​นักเขียน​นะคะ​ ​สู้​ๆ​นะคะ​นักเขียน​
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๕ (๑/๒)
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 01-06-2020 17:38:56
 

(https://www.img.in.th/images/c5cc75b0db0bd013fa693c7c02bbb8d3.jpg)

บทที่ ๕

รังเกียจ

 


ปี ๒๕๐๕

Florida, America


ปราชญ์ในวัยยี่สิบหกปีอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสุภาพ ก่อนจะหันมองคนข้างกายที่มาด้วยและถือกระเป๋าให้

“นั่นไง ใหญ่ใช่เล่นเลย” ภวัตที่อาสาถือกระเป๋าชี้โรงเรียนให้ดู

ปราชญ์ยิ้มกว้างเมื่อมาถึงที่หมายแล้วก่อนจะทำหน้าเครียด “ภวัต”

“ครับ” คนรักก้มเล็กน้อยเพื่อรอฟัง

“อย่าเพิ่งบอกอะไรน้องนะ”

ภวัตยิ้มทันที “ได้ครับ ปราชญ์ไม่ต้องห่วงนะ” พูดเสร็จก็เกลี่ยปอยผมให้คนข้าง ๆ ก่อนจะพากันเดินไปยังโรงเรียนของชายกรณ์และชายเล็กที่ตอนนี้เรียนอยู่ที่เดียวกัน

ตั้งแต่สามปีก่อนปราชญ์กับภวัตตัดสินใจสานสัมพันธ์กัน ต่างคนต่างเป็นคนรักคนแรกของกันและกัน ถึงแม้ว่าภวัตจะเจอใครมากหน้าหลายตาแต่กลับไม่ได้รู้สึกมากกว่านั้นเท่ากับคนคนนี้ ปราชญ์เองก็อยากจะลองเปิดใจรับใครสักคนเหมือนกัน และมันก็ไม่ได้แย่เลย

เด็กนักเรียนเยอะเป็นพิเศษและปราชญ์ก็ขอเข้าได้เพราะติดต่อขอเข้าพบน้องชายมาก่อนแล้ว ตอนนี้พักเที่ยงชายกรณ์บอกว่าชอบอยู่กับชายเล็กที่สนามบอล ส่วนชายเล็กก็ดูจะชอบอ่านหนังสือและเล่นกีฬาเก่งมากจนถึงขั้นไปแข่ง

ปราชญ์มองรูปถ่ายที่ชายกรณ์ส่งทางจดหมายมาให้ก่อนจะหันมองว่ามีใครหน้าเหมือนน้องชายเขาหรือเปล่า

“นั่นไง ใช่ไหม” ภวัตชี้

ปราชญ์หันมองตามก่อนจะยิ้มกว้าง น้ำตาระรื้นเมื่อเห็นน้องทั้งสองยืนคุยกันอยู่ ชายเล็กถือหนังสือไว้ในมือ ส่วนชายกรณ์กำลังพิงเสาอยู่ “ชายกรณ์! ชายธัน!”

ทั้งคู่หันมองอย่างตกใจ ถึงจะรู้ว่าพี่คนโตจะมาหาแต่ก็ไม่ได้บอกวันเพราะจะมาเซอร์ไพรส์แล้วมันก็เซอร์ไพรส์จริง ๆ

“พี่ชายใหญ่!” ชายกรณ์ยิ้มกว้าง ก่อนจะอ้าแขนรับอ้อมกอดคนพี่ ขนาดตัวที่สูงกว่าทำให้ปราชญ์ต้องเงยหน้าและลูบหลังน้อง

“คิดถึงจังเลย สูงขึ้นด้วยหนิ” สูงมากเลยล่ะ เขาว่าเขาสูงแล้วแต่พอมองน้องทั้งสองที่สูงกว่าก็เริ่มจะไม่มั่นใจในความสูงตัวเองเสียแล้ว

“คิดถึงพี่ชายใหญ่ที่สุดเลยครับ”

ปราชญ์ยิ้มไม่หุบ พอมองชายเล็กที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มเล็กน้อยก็ผละจากคนกลางแล้วเข้าไปสวมกอดคนเล็ก “ชายธัน พี่คิดถึงมากเลยนะ”

ชายเล็กยิ้มบางก้มเล็กน้อยเพื่อรับกอดพี่คนโต “คิดถึงเหมือนกันครับ”

ปราชญ์เช็ดน้ำตาก่อนจะผละออกมา ดึงแขนน้องคนกลางให้มายืนตรงหน้าคู่กัน ยกมือลูบหน้าทั้งคู่ที่ดูหนุ่มขึ้นมาก “น้องชายพี่โตขนาดนี้แล้วหรือนี่”

“ชายเล็กเพิ่งจะสิบสามเองนะครับ ยังเด็กอยู่ มีแต่ผมที่โตเป็นหนุ่มคนเดียว” ชายกรณ์หัวเราะเพราะปีหน้าก็จะไปเรียนมหาลัยแล้ว

พอได้ยินอย่างนั้นชายเล็กก็ขมวดคิ้วมุ่นทันที “ผมโตแล้ว”

“ครับ ๆ ชายธันโตแล้ว” ปราชญ์รีบโอ๋น้องทันที

“แล้วนั่นเพื่อนพี่ชายใหญ่หรือครับ” ชายกรณ์ถาม

“อ่อ... ใช่” ปราชญ์ยิ้มและกวักมือเรียกคนรักให้เข้ามา

“สวัสดีครับคุณชายกรณ์ คุณชายธัน ผมภวัตครับ”

“เรียกกรณ์เถอะครับ” ชายกรณ์ยิ้มอย่างเป็นกันเองส่วนชายเล็กพยักหน้าตอบรับเฉย ๆ

“แล้วทำไมมาไม่บอกก่อนล่ะครับ จะได้จัดหาที่พักไว้ให้”

“ไม่เป็นไร ภวัตเขามีบ้านพักที่นี่พอดี พี่พักกับเขาได้”

“อ่อ รบกวนด้วยนะครับ” ชายกรณ์ก้มหัว ภวัตจึงต้องก้มหัวตามและโบกไม้โบกมือ

เมื่อหาที่นั่งคุยกันได้แล้ว ชายกรณ์ก็เปิดปากถามทันที “พี่ชายใหญ่ลงจากเครื่องแล้วมาที่นี่เลยหรือครับ”

“ใช่ นั่งรถมาอีกน่ะ”

“ทำไมไม่พักก่อนล่ะครับ ไว้ให้พวกผมไปหาก็ได้”

“พี่อยากเซอไพรส์หนิ” ปราชญ์ยิ้ม

“กินข้าวมาหรือยัง” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถาม ถึงจะเรียบนิ่งไปบ้างแต่ก็แสดงถึงความห่วงใย

“พี่กินบนเครื่องมาแล้วครับ” ปราชญ์หันบอกชายเล็ก

“แล้วนี่พี่ชายใหญ่จะได้กลับไทยเมื่อไหร่ครับนี่”

ปราชญ์คิดสักพัก “คงเรียนปริญญาเอกจบก่อนน่ะ ถึงจะกลับ”

“อ่าว เรียนปริญญาเอกแล้วหรือครับ” ชายกรณ์ตกใจ

“ใช่ เพิ่งเรียนปริญญาโทจบไปเมื่อปีที่แล้วนี่เอง อัดเนื้อหาแค่สองปี แต่ปริญญาเอกที่นู่นเขาเรียนอีกสี่ปีน่ะ คงจะอีกนานกว่าจะได้กลับ”

“แบบนี้ก็ไม่ได้ไปที่อิตาลีน่ะสิครับ”

“นั่นสิ เสียดายอยู่เหมือนกัน ถ้าเป็นไปได้ก็อยากทำเรื่องต่อปริญญาเอกที่อิตาลีเหมือนกัน แต่กลัวว่าจะยุ่งยากเกินไปเลยเอาที่นี่ให้จบไว้ค่อยไปศึกษาต่อทีหลัง”

“คงต้องเรียกว่าหม่อมราชวงศ์ด็อกเตอร์ปภารัชแล้วสิครับ” ชายกรณ์คลี่ยิ้ม

ปราชญ์หัวเราะ “กว่าจะเรียกจบ พี่คงเดินไปไกลแล้ว” ทั้งสี่คนหัวเราะออกมาทันที ปราชญ์เหมือนไม่ได้มีบรรยากาศแบบนี้มานานแล้ว คิดถึงสมัยก่อนเสียจริง ถ้าต้นสนอยู่ด้วยคงสนุกกว่านี้...

ชายกรณ์คุยกับภวัตต่อจนเพลินไม่ได้สังเกตพี่ตนเลยว่าทำไมถึงเงียบไป เว้นแต่ชายเล็กที่มองอยู่ตลอดและเห็นว่าใบหน้าของพี่ชาย จู่ ๆ ก็เศร้าหมองคล้ายคิดอะไรอยู่

“พี่ชายใหญ่เป็นอะไรหรือครับ” ชายธันถามทันทีเห็นดวงตาของพี่สั่นไหว

“พี่ถามอะไรหน่อยสิ” พอเห็นน้องทั้งสองพยักหน้าปราชญ์จึงเปิดปากถาม “ชายกรณ์กับชายธันได้รับจดหมายจากต้นสนบ้างไหมหรือโทรคุยกันบ้างหรือเปล่า”

ชายกรณ์พยักหน้า “ได้รับครับ เมื่ออาทิตย์ก่อนผมยังโทรทางไกลหาน้องถามสารทุกข์สุกดิบกันอยู่เลย”

ชายธันไม่ได้ตอบเพราะไม่ได้สนิทหรือคุยอะไรกันอยู่แล้ว มีแต่ชายกรณ์ที่คุยกับต้นสน

“อย่างนั้นหรือ” ปราชญ์ยิ้มบางก้มหน้าลง

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ต้นสน... ไม่ได้ส่งจดหมายตอบหาพี่ตั้งแต่ปีที่แล้วแล้ว”

“หื้อ” ชายกรณ์เบิกตา “แต่ต้นสนยังคุยกับผมอยู่เลยนะครับ”

“ไม่รู้สิ” ปราชญ์ถอนหายใจ “พี่ไปทำอะไรให้ต้นสนโกรธหรือเปล่า ถ้าเป็นเรื่องจดหมาย พี่ก็เริ่มส่งให้ตลอดทุกเดือนนะ หรือพี่เขียนอะไรทำให้ไม่พอใจกัน”

“อย่างต้นสนน่ะหรือจะไม่ตอบจดหมาย เป็นไปไม่ได้หรอกครับ”

“พี่ชายใหญ่จะไปสนทำไม ในเมื่อหมอนั่นไม่อยากคุยก็ไม่ต้องไปคุย” ชายเล็กว่าอย่างหงุดหงิดที่ต้นสนทำให้พี่ตนเองเศร้าอย่างนี้

“ชายธัน” ปราชญ์ทำเสียงดุน้องเล็กน้อย “ต้นสนอาจจะเป็นอะไรแต่ไม่กล้าบอกพี่ก็ได้”

“หึ” ชายเล็กยังอคติ ไม่ใช่น้องชายแต่กลับได้รับความสนใจขนาดนี้

“แล้วครั้งล่าสุดที่ต้นสนตอบกลับมาล่ะครับ”

“ต้นสนบอกว่าขอให้มีความสุขน่ะ แค่นั้นจริง ๆ ทุกทีจะเขียนยาวแต่จดหมายนั้นมีเพียงแค่ประโยคนี้”

“แล้วที่พี่ชายใหญ่ส่งไป พี่ชายใหญ่เขียนว่าอะไรหรือครับ”

ปราชญ์นิ่งไปทันตา ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี เพราะเขาเขียนไปบอกต้นสนว่าเขามีคนรักแล้ว เหมือนกำลังเล่าชีวิตตัวเองอย่างที่เคยทำ เพราะต้นสนก็ชอบเขียนเล่าเรื่องตัวเองให้ฟัง ปราชญ์ไม่รู้ว่าน้องเบื่อหรืออย่างไร

“คือ...”

“ส่งไปว่ามีคนรักแล้วน่ะครับ” ภวัตเอ่ยบอกแทน ปราชญ์จึงรีบหันมองทันทีแล้วก็ได้รับเป็นเพียงพยักหน้าเท่านั้น

“พี่ชายใหญ่มีคนรักแล้ว!!!” ชายกรณ์พูดเสียงดังจนปราชญ์ต้องปรามน้อง ส่วนชายเล็กก็นิ่งไปแล้ว คิ้วเข้มก็ขมวดเข้าหากัน “ใครหรือครับ ทำไมเรื่องใหญ่ขนาดนี้ไม่บอกพวกผม แล้วที่วังเขารู้หรือยัง”

“ใจเย็น ๆ” ปราชญ์ถอนหายใจ มือของคนรักเข้ามากุมคล้ายให้กำลังใจจึงทำให้สงบลงบ้าง “ถ้าพี่บอกพี่กลัวว่าทุกคนจะรังเกียจพี่”

“ทำไมล่ะครับ ถ้าพี่ชายใหญ่รักใคร คนคนนั้นก็ต้องเป็นคนที่ดีอยู่แล้ว”

ปราชญ์มองน้อง ยิ่งเห็นชายเล็กขมวดคิ้วคล้ายทำหน้าดุก็ยิ่งหวั่นใจ “พี่...” มือหนาบีบเบา ๆ เป็นการให้กำลังใจ ปราชญ์จึงดีขึ้นบ้าง เขามองหน้าน้องทั้งสอง “พี่คบกับภวัต”

“ห๊ะ!” ชายกรณ์อ้าปากค้างไปแล้ว ส่วนชายเล็กจ้องเขม็งไปที่ภวัตทันที

“พี่ขอโทษที่ไม่ได้บอก พี่กลัวว่าชายกรณ์กับชายธันจะรังเกียจพี่” ปราชญ์หน้าเสียเผลอบีบมือคนรักแน่นด้วยความไม่มั่นใจ

ชายกรณ์คล้ายปรับตัวไม่ถูก เด็กหนุ่มพรูลมหายใจ ดวงตายังเบิกและเหม่อคิดอะไรกับตัวเอง

“ลุก” ชายเล็กสั่งเสียงแข็งแล้วดึงแขนคนพี่

“ชายธันจะทำอะไร” ปราชญ์ตกใจ

“ออกมาให้ห่างมัน”

“ชายธันฟังพี่ก่อนได้ไหม โอ๊ย” เพราะแรงดึงทำให้ช่วงเอวของปราชญ์ชนกับขอบโต๊ะ

“ปราชญ์” ภวัตรีบลุกดูแต่ก็ถูกชายธันบังตัวเอาไว้

“อย่ามายุ่ง”

ภวัตไม่ใช่คนอารมณ์ร้อนมากนักแต่การที่เด็กตรงหน้าทำอย่างนี้เขาก็ไม่อยากจะใจเย็นเหมือนกัน “ถ้าคุณชายเป็นห่วงพี่ของคุณสักนิด คุณจะไม่ทำอย่างนี้” ภวัตจ้องอย่างไม่ไหวหวั่น “คุณทำพี่ของคุณเจ็บตัว แล้วมีเหตุผลอะไรที่มาสั่งไม่ให้ผมเข้าไปยุ่ง คุณไม่มีสิทธิ์มาสั่งผมด้วยซ้ำ เพราะคุณกำลังทำให้คนรักของผมเสียใจ”

ไม่ว่าเปล่าก็ชี้ไปที่ปราชญ์ที่เริ่มใจเสียและน้ำตาไหล ไม่ใช่เพราะเจ็บแต่เพราะกลัวว่าน้องจะเกลียด

ชายธันเผลอนิ่งไปดวงตาวูบไหวยามเห็นน้ำตาของพี่ชาย

“ชายเล็ก ใจเย็น” ชายกรณ์ที่เพิ่งจะได้สติรีบลุกมาจับบ่าน้องชายและปล่อยให้ภวัตไปดูอาการของพี่คนโต

“อย่าเกลียดพี่เลยนะ” ปราชญ์กัดปาก มองน้องด้วยความอ้อนวอน “อย่ารังเกียจพี่เลย”

ชายธันผันหน้าหนีและเดินออกไป ส่วนชายกรณ์ส่งสายตาเป็นเชิงขอโทษและเดินออกไปพร้อมกับน้องคนเล็ก

“ชายกรณ์ ชายธัน...” ปราชญ์คุกเข่าลงกับพื้นทันที

“ปราชญ์ครับ ไม่เป็นไรนะ ให้เวลาน้องหน่อย” ภวัตนั่งคุกเข่าพร้อมกอดคนรัก “น้องจะต้องเข้าใจปราชญ์นะ เชื่อผม”

ปราชญ์ขยำเสื้อของคนรักแน่น กลัวเหลือเกิน กลัวน้องจะไม่อยากเข้าใกล้

“ไม่เป็นไรนะครับ เรากลับที่พักกันก่อนนะ ผมจะฝากที่อยู่ให้กับคนที่นี่ ถ้าน้องเข้าใจแล้วคงจะมาหาเราที่บ้านเอง”

ปลอบอยู่สักพักปราชญ์ก็ยอมสงบลงและลุกขึ้นเพื่อไปยังที่บ้านพัก ระหว่างทางปราชญ์ดูเหม่อลอย ภวัตจึงปล่อยไว้ก่อน พอถึงบ้านคนรักก็ขอนั่งอยู่ที่ห้องรับแขกพร้อมกับเอาจดหมายเก่า ๆ ออกมา

“เดี๋ยววัตไปเอานมอุ่น ๆ มาให้นะ” ภวัตเกลี่ยน้ำตาคนรักที่พยักหน้า เพียงไม่นานนมอุ่นก็มาวางไว้ตรงหน้า และภวัตก็ขอตัวเอากระเป๋าไปจัดให้

ดวงตาของปราชญ์ยังแดงก่ำแต่ก็ไม่ได้ฟูมฟายออกมาแล้ว มือเรียวหยิบจดหมายของต้นสนขึ้นมาอ่าน เผื่อว่าจะช่วยปลอบเขาได้ บางเนื้อหามีพูดถึงลุงสิงห์และลุงไฟที่เป็นคนรักเพศเดียวกัน และปราชญ์ก็รู้จักพวกท่าน ได้รู้อดีตที่ขมขื่นของพวกเขาทั้งคู่และชื่นชมความรักของพวกเขาที่มีให้กันมาตลอด

ยิ่งอ่านก็ยิ่งทำให้รู้สึกดีขึ้น...

 

‘พี่ปราชญ์รู้ไหมว่าต้นสนน่ะเบื่อลุงไฟมากเลย ชอบแหย่ ชอบแกล้ง ขี้บ่นด้วย บางทีก็หอมแก้มลุงสิงห์ไม่อายฟ้าอายดิน ต้นสนอยากให้ลุงสิงห์ไม่นอนกับลุงไฟสักวันจะได้ลงโทษซะเลย’

ปราชญ์เผลอยิ้มออกมาก่อนจะเปลี่ยนจดหมายอ่านไปเรื่อย ๆ

‘วันนี้นะต้นสนตกปลาแล้วพี่กล้าเผลอทำปลาในกระแป๋งล่วงหมดเลย ต้นสนเหนื่อยนะเนี่ยกว่าจะจับได้แต่ละตัว ถ้าพี่ปราชญ์กลับมาต้นสนจะพาไปตกปลา แต่ห้ามทำกระแป๋งล่วงนะ’

 

‘ลุงอัธโม้ว่าเมื่อก่อนตัวเองฟันยิงไม่เข้าด้วยแหละพี่ปราชญ์ แต่ลุงอัธถูกไม้จิ้มฟันจิ้มเหงือกได้ไง ต้นสนไม่เข้าใจ’

 

‘พี่อิ่มบอกว่าต้นสนมีสาวมาจีบ เอาขนมมาให้ด้วย แต่ต้นสนไม่ชอบหรอกนะ พี่ปราชญ์ไม่ต้องห่วง ต้นสนมีพี่ปราชญ์คนเดียว’

ปราชญ์ยังคงงุนงงกับจดหมายฉบับนี้ที่ต้นสนเขียนมา เลยได้แต่คิดว่าบางทีน้องอาจจะติดเขามากไปจริง ๆ ก็ได้

 

‘พี่แก้วชอบบอกว่าต้นสนเป็นเด็กแก่แดด มันหมายความว่าไงเหรอพี่ปราชญ์ ต้นสนแก่แล้วเหรอ ต้นสนรู้ว่าต้นสนเป็นผู้ใหญ่แล้วแต่ต้นสนยังไม่แก่นะ’

 

‘เมื่อคืนต้นสนนอนไม่หลับเลย ลุงสิงห์ร้องทั้งคืน ต้นสนคิดว่าเป็นอะไรพอไปเคาะห้องถามก็ถูกลุงไฟบ่นจนหูชา บอกว่าไปขัดทำไมอะไรของตาลุงแกก็ไม่รู้ ตาลุงไฟนี่น่าตีจริง ๆ เลย พี่ปราชญ์ว่าไหม’

ปราชญ์หูแดงขึ้นมา ยังดีที่ต้นสนไม่เข้าใจ เขาจำได้ว่าบอกน้องไม่ต้องลุกไปเคาะแล้ว

‘ต้นสนได้ไปงานวัดด้วยแหละพี่ปราชญ์ แต่ลุงไฟกับลุงสิงห์ชอบดูลิเก น่าเบื่อจะตาย คนแก่ชอบดูอะไรแบบนี้เหรอ พี่ปราชญ์ไม่ได้ดูลิเกใช่ไหม’

 

‘ลุงกฤษชอบบอกว่าต้นสนเหมือนลุงไฟด้วยพี่ปราชญ์ ต้นสนเหมือนลุงไฟตรงไหน ต้นสนไม่อยากเป็นตาแก่ขี้บ่นนะ’

 

‘ต้นสนไม่เข้าใจทำไมลุงอัธหวงลูกขนาดนั้น ทุกครั้งที่มีหนุ่มมาจีบพี่อิ่ม ก็โดนลุงอัธไล่ตะเพิดทุกครั้งด้วยนะพี่ปราชญ์ สงสารพี่อิ่มจัง’

 

‘เมื่อคืนต้นสนฝันเห็นพี่ปราชญ์ด้วย ฝันว่าพี่ปราชญ์กลับมาแล้ว แต่ในฝันพี่ปราชญ์ยังอุ้มต้นสนอยู่เลย ต้นสนเตี้ยเหรอ’

 

‘วันนี้เป็นวันเกิดลุงสิงห์แหละพี่ปราชญ์ ลุงไฟจูบลุงสิงห์ด้วย เห็นไหมล่ะตาลุงนี่ไม่อายฟ้าอายผีนางไม้เลย พี่แก้วกับพี่อิ่มชอบบอกว่าอย่าทำเหมือนลุงไฟนะ ลุงไฟเขาหน้าหนา หน้าหนาคืออะไรหรือพี่ปราชญ์ แล้วถ้าถึงวันเกิดของคนรักต้องจูบคนรักเหรอ ถ้าอย่างนั้นถึงวันเกิดพี่ปราชญ์ต้นสนจะไม่จูบนะ ไม่อยากหน้าหนาเหมือนลุงไฟ’

ปราชญ์หัวเราะออกมา โธ่เด็กน้อย ติดเขาจนคิดว่าเขาเป็นคนรักหรือนี่ ปราชญ์อ่านเพลินจนหมดไปหลายสิบฉบับก่อนจะชะงักเมื่ออ่านฉบับล่าสุดเมื่อปีที่แล้ว


‘ขอให้มีความสุขนะครับ’


ต้นสนเขียนมาแค่เท่านี้แล้วก็ไม่เขียนมาอีกเลย ปราชญ์ถอนหายใจ คิดถึงต้นสน อยากเห็นหน้า อยากกอดเผื่อว่าจะทำให้เขาหายทุกข์ได้ แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าต้นสนเป็นอะไรไป เขาไปทำอะไรให้ไม่พอใจหรือเปล่า แต่ถ้าไม่ใช่ก็อยากให้บอกกันหน่อยว่าเป็นอะไรจะได้เข้าใจ

“เห็นหัวเราะเสียงดัง อารมณ์ดีแล้วหรือ” ภวัตเดินมานั่งข้างกายเมื่อจัดเสื้อผ้าเสร็จแล้ว

“ใช่ อ่านจดหมายของน้องเลยอารมณ์ดีขึ้นน่ะ”

“ชักอยากจะเห็นหน้าตาของน้องต้นสนแล้วสิ ใครกันที่ทำให้ปราชญ์มีความสุขขนาดนี้” ภวัตลูบคาง

“น่ารักมากเลยล่ะ พูดเก่ง ร่าเริง ดื้อบ้างแต่ก็เชื่อฟังเหมือนกัน พูดจาน่ารัก นิสัยดี ไม่เคยโกรธใครนาน แต่เวลาเป็นอะไรจะไม่ชอบพูดเพราะกลัวว่าผู้ใหญ่จะคิดมากถ้าพูดไป” ปราชญ์ยิ้มไม่หุบมือยังคงลูบจดหมายพวกนี้

“นี่ถ้าไม่บอกว่าเป็นน้องข้างบ้าน วัตเกือบจะหึงแล้ว”

ปราชญ์ชะงัก “ก็แค่น้อง จะหึงทำไมกัน”

“ครับ วัตรู้ วัตแค่พูดให้ฟัง” ภวัตโอบไหล่แล้วลูบเบา ๆ

ปราชญ์พยักหน้าแล้วก้มมองจดหมายทั้งหมด ก่อนจะไปอาบน้ำเพื่อจะออกไปทานข้าวเย็นข้างนอก



*มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๕ (๒/๒)
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 01-06-2020 17:40:03
*ต่อจากข้างบนเลย


ผ่านไปสองอาทิตย์แล้วแต่ชายกรณ์กับชายธันยังคงคิดมากเรื่องนี้ ทั้งคู่พรูลมหายใจหลังจากกลับมาถึงบ้าน ชายธันเดินไปหาน้ำดื่มส่วนชายกรณ์ก็นั่งลงกับโซฟาหลับตาลงเพื่อให้คลายเหนื่อย

“พี่ชายกรณ์คิดยังไงกับเรื่องพี่ชายใหญ่” ชายเล็กถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ

ชายกรณ์ลืมตามองเพดานอยู่อย่างนั้น “พูดไม่ออก ไม่รู้สิ พี่ไม่รู้ความคิดตัวตอนนี้” ถ้าถามว่ารังเกียจไหม เขาไม่ได้รังเกียจ ยิ่งตอนเห็นพี่ร้องไห้ก็อยากเขาไปปลอบแต่ตอนนั้นทั้งตกใจและงุนงงไปหมด แล้วก็เพิ่งคิดได้ว่าไม่น่าเดินหนีพี่ชายใหญ่เลย

“แล้วพี่ชายกรณ์เกลียดพี่ชายใหญ่ไหม”

“ไม่เลย ไม่ได้รู้สึกเกลียดสักนิด ตอนนี้พี่รู้สึกผิดที่เดินหนีออกมามากกว่าจนไม่กล้ากลับไปสู้หน้าแล้ว” ชายกรณ์ถอนหายใจก่อนจะถามน้องบ้าง “แล้วชายเล็กล่ะ... เกลียดพี่ชายใหญ่ไหม”

ชายธันเงียบไปมือยังคงถือแก้วน้ำที่ไม่ได้ดื่ม “ผม... ผมไม่รู้”

“เฮ้อ จะว่าไปที่ต้นสนไม่ตอบเพราะเรื่องนี้หรือเปล่านะ”

พอได้ยินชื่อของใครชายธันก็ขมวดคิ้วมุ่นทันที “จะไปสนใจทำไม”

ชายกรณ์หัวเราะ ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีก็ยังเหมือนเดิม “ลดทิฐิบ้างก็ได้นะ”

“เหอะ” ชายธันส่ายหน้าแล้วไปนั่งข้างกาย

“พี่โทรถามดีไหม”

“ไม่ต้องหรอก”

“งั้นโทรถามละกัน” เหมือนชายกรณ์จะไม่ฟังที่ชายเล็กพูดเลย เดินไปหาโทรศัพท์ทันทีและหมุนหมายเลขที่ต้องการ “ครับ ขอสายบ้านอัครเดชครับ”

ชายกรณ์ตอบคนรับที่เป็นตัวผ่านเพื่อต่อสายให้ เพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงคุ้นหูดังขึ้น

(บ้านอัครเดชครับ)

“ลุงสิงห์ใช่ไหมครับ ผมกรณ์เอง”

(อ่าวคุณชายกรณ์ โทรหาต้นสนหรือ)

“ครับ ขอสายน้องหน่อยได้ไหมครับ”

(ได้สิ.. ต้นสน!.. พี่กรณ์โทรมา... ) ได้ยินเสียงกุกกักดังเล็กน้อยก่อนจะเป็นเสียงที่เด็กลงตอบรับกลับมา (ครับ)

“ต้นสนพี่ถามอะไรหน่อยสิ”

(ได้ครับ)

“ต้นสนรู้แล้วใช่ไหมว่าพี่ปราชญ์มีคนรักแล้ว” ชายกรณ์เอ่ยถามก่อนที่ปลายสายจะเงียบไปนาน

(ครับ)

“แล้วต้นสนทำไมถึงไม่ตอบจดหมายพี่ปราชญ์ล่ะ หรือว่ารังเกียจ”

(รังเกียจหรือครับ ทำไมต้องรังเกียจ)

“ก็ที่พี่ปราชญ์มีคนรักเป็นผู้ชาย ต้นสนไม่รังเกียจหรือ เห็นพี่ปราชญ์บอกว่าต้นสนไม่ตอบจดหมาย ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้หรอกหรือ”

(ผู้ชายหรือ...) เสียงปลายสายพูดเสียงเบาเหมือนพูดกับตัวเอง (ผมไม่ได้รังเกียจและที่ไม่ตอบไม่ใช่เพราะเรื่องนี้หรอกครับ)

“อ่าวเหรอ นึกว่าต้นสนจะรังเกียจพี่ปราชญ์เสียอีก” พอชายธันได้ยินอย่างนั้นก็รีบลุกไปและแย่งมาคุยเอง

“ถ้าไม่ได้รังเกียจแล้วทำไมถึงไม่ตอบจดหมาย”

(ฉันมีเหตุผล)

“เหตุผลบ้าบออะไร นายก็พูดมาเถอะว่ารังเกียจ”

(ฉันไม่ได้รังเกียจและฉันไม่มีวันรังเกียจ นายน่าจะรู้นิสัยพี่ปราชญ์ดีหนิ ถ้าพี่ปราชญ์เลือกใคร... คนคนนั้นต้องเป็นคนที่ดีมากแน่ ๆ และฉันก็เชื่ออย่างนั้น)

“ทำเป็นพูดดีแต่การกระทำสวนทาง”

(ฉันผิดเองที่ไม่บอกอะไรให้ชัดเจน แต่ฉันยังขอยืนยันคำเดิมว่าฉันไม่เคยนึกเกลียดหรือรังเกียจพี่ปราชญ์เลย ไม่เคยสักนิด...) น้ำเสียงนั้นช่างดูเศร้าสร้อยแต่คงไม่มีใครรู้

“หึ นายคงคิดในใจสินะว่าพวกนี้คบกันคงไปไม่รอด สักวันพี่ปราชญ์คงจะคิดได้ นายถึงมั่นใจอะไรแบบนี้”

“ชายเล็ก” กรณ์ขมวดคิ้วดุน้องทันทีที่พูดอะไรไม่รู้ความ

พอได้ยินอย่างนั้นคนปลายสายก็เค้นเสียง (อย่าเอาความคิดต่ำ ๆ ของนายมาบอกคนอื่นไปทั่วว่าคิดแบบนั้นสิ)

“นี่!”

(คนที่ควรจะถูกถามว่ารังเกียจไหม ฉันว่าน่าจะเป็นนายมากกว่านะ นายคิดหรือว่าคู่เขาจะไปไม่รอด หรือเพราะนายไม่เคยเห็นคู่รักเพศเดียวกันที่อยู่ด้วยกันจนแก่จนเฒ่า)

“จนแก่จนเฒ่าหรือ ฉันไม่ยักจะเห็นว่ามีที่ไหน”

(มีสิ... ถ้านายอยากรู้ว่ามีที่ไหนก็ลองไปถามท่านชายนนท์ดู ฉันว่าพ่อนายยังเข้าใจพี่ปราชญ์มากกว่าน้องชายแย่ ๆ อย่างนายซะอีก)

ชายธันกำโทรศัพท์แน่นเส้นเลือดปุดขึ้นตามขมับจนชายกรณ์ต้องลูบหลังน้อง

(หรือต่อให้ไม่มีคู่รักเพศเดียวกันที่เขาอยู่รอด แต่ใช่ว่าจะต้องไปดูถูกพวกเขาว่าไปไม่รอดฝั่งเลย นายมันก็แค่พวกอคติ ฉันบอกเลยนะว่าฉันน่ะรังเกียจคนที่มีความคิดแบบนายมากกว่าเสียอีก พี่ชายตัวเองแท้ ๆ แต่ไม่คิดจะทำความเข้าใจ ฉันเดาออกเลยว่านายหงุดหงิดมากแค่ไหนที่รู้ความจริง ตอนนี้คงโมโหอยู่ล่ะสิท่า โมโหเข้าไปนะ แล้วก็ไปส่องกระจกดูหน้าตัวเองซะ จะได้รู้ว่าเวลาพี่ปราชญ์เห็นหน้านายแบบนั้น เขารู้สึกแย่แค่ไหน)

“หุบปาก” ชายธันว่าเสียงนิ่ง

(ก็นึกดูเอาแล้วกัน คนในครอบครัวตัวเองที่ไม่เข้าใจและรังเกียจเขา ทั้ง ๆ ที่เขาก็แค่รักคนคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้ผิดอะไรเลย น้องชายที่เขารักที่สุดทำเหมือนไม่ชอบ ถ้านายบอกว่าให้เลิกกับผู้ชายคนนั้น นายคิดว่าพี่ปราชญ์จะเลือกอะไร... ถ้าไม่เลือกน้องชายของเขา นายน่ะทำพี่ปราชญ์เสียใจมาก็ตั้งมาก ฉันไม่เคยลืมหรอกนะว่าเมื่อก่อนนายทำอะไรไว้บ้าง ตอนนี้ไม่มีใครควบคุมนายเหมือนตอนที่ปราชญ์อยู่ สันดานก็ออกลายแล้ว)

“มึง!”

“ชายเล็ก! พี่ไม่เคยสอนให้พูดคำหยาบนะ!” ชายกรณ์ตะคอกก่อนจะแย่งโทรศัพท์มา “เข้าไปสงบสติในห้องซะ”

ชายธันตัวสั่นเทิ้มก่อนจะเดินเข้าห้องและปิดประตูเสียงดัง

คนพี่ที่มองได้แต่ถอนหายใจกับนิสัยที่ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ชายเล็กน่ะคงไม่ฟังใครนอกจากเด็จพ่อกับพี่ชายใหญ่ “เฮ้อ พี่ขอโทษแทนชายเล็กด้วยนะ”

(ไม่เป็นไรครับ ผมก็พูดแรงเหมือนกันแต่ก็อยากให้เขาคิดได้)

“ที่จริงพี่กับธันเดินหนีพี่ปราชญ์หลังจากรู้ความจริงน่ะ ตอนนี้พี่รู้สึกผิดมากเลย สองอาทิตย์แล้วที่ไม่ได้ไปคุยให้รู้เรื่อง”

(พี่กรณ์รีบไปหาพี่ปราชญ์เถอะครับ อย่างน้อยเขาก็แค่ต้องการให้น้องชายของเขาไปหาและเข้าใจเขาเท่านั้น)

“อืม ไว้พี่รอธันสงบลงก่อน ค่อยไปหาพี่ปราชญ์พร้อมกัน ขอบคุณต้นสนนะที่ไม่นึกรังเกียจพี่ปราชญ์”

(ไม่เป็นไรครับ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมารังเกียจ ยังไงผมก็ฝากดูแลพี่ปราชญ์ด้วยนะ บอกให้ด้วยว่าผมขอโทษที่ไม่ได้ตอบจดหมาย แค่นี้นะครับ)

“อ่าว ต้นสน.. ต้นสน” ชายกรณ์ผละหูโทรศัพท์ออกมาก่อนจะถอนหายใจ ยังไม่ทันได้ถามเลยว่าเพราะอะไรถึงไม่ตอบจดหมาย...

 

เกือบสามอาทิตย์แล้วที่ไม่มีวี่แววว่าน้องชายทั้งสองจะมาหา ปราชญ์นั่งรอที่หน้าบ้านทุกวันเผื่อจะเห็นรถสักคันมาจอดและเห็นว่าน้องทั้งสองลงจากรถคันนั้นมาหา ปราชญ์อยากจะไปหาน้องแต่ก็กลัวว่าจะทำให้น้องอึดอัด

“หิวหรือยัง” ภวัตเดินออกมาลูบผมคนรัก

“ยังครับ ภวัตล่ะ”

“ยังเหมือนกัน” พูดเสร็จก็นั่งลงตรงเก้าอี้ข้าง ๆ พร้อมกับจับมือคนข้างกายเอาไว้ “เดี๋ยวน้องก็มา”

ปราชญ์ยิ้มและพยักหน้า

รอจนหัวค่ำปราชญ์ไม่ได้ลุกไปไหนเลยจนภวัตต้องดุเล็กน้อยที่ไม่ทานอะไร เป็นอีกวันที่ไม่เห็นน้อง ปราชญ์จำต้องเข้านอนเพราะกลัวภวัตจะเป็นห่วง

พอรุ่งเช้าของอีกวันมาถึง ปราชญ์ยังไม่ตื่นเลยคงเพราะเมื่อคืนนอนไม่หลับ ภวัตที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วจูบหน้าผากคนรักแต่ก็ยังไม่อยากปลุก อยากให้นอนพักก่อน ส่วนภวัตก็จัดการงานที่ตัวเองเอามาทำด้วย

อีกสามวันก็ต้องกลับแล้ว หวังว่าน้องของปราชญ์จะมาหาก่อนที่จะกลับ

และดูเหมือนความหวังจะเป็นจริงเมื่อได้ยินเสียงออดหน้าบ้าน ภวัตรีบลุกออกไปดูทันทีก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อพบใคร

“คุณชาย” ภวัตรีบเปิดประตูรั้ว “เชิญเลยครับ”

พอเข้ามาในบ้านได้ชายกรณ์ก็ยกมือไหว้ทันที “ผมต้องขอโทษนะครับที่วันนั้นเดินหนีแล้วกว่าจะมาหาก็หลายอาทิตย์เลย”

“ไม่เป็นไรครับ ถ้าอยากขอโทษ ขอโทษปราชญ์เถอะครับ เขานั่งรอพวกคุณที่หน้าบ้านตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่วันนี้เขาตื่นสายหน่อยเพราะนอนไม่หลับอย่างเคย”

พอความจริงตอกหน้าน้องทั้งสองก็รู้สึกผิดเข้าไปอีกจนรู้สึกจุกจนพูดไม่ออก

“เชิญนั่งเลยครับ เดี๋ยวผมจะเรียกปราชญ์มาให้”

“ขอบคุณครับ” ชายกรณ์ยิ้มและนั่งลงโซฟากับชายเล็ก “บ้านสวยดีนะ”

“อืม” ชายเล็กตอบรับเพียงเท่านั้น มองกองเอกสารต่าง ๆ “เขาคงจะเป็นคนดีจริง ๆ”

“ใช่ไหมล่ะ พอลดอคติแล้วก็ไม่ได้แย่เลย” ชายกรณ์ยิ้ม

“แต่...”

“แต่?”

ใบหน้าชายเล็กเปลี่ยนทันที จากเรียบนิ่งเป็นจริงจัง “ถ้าเขาทำพี่ชายใหญ่เสียใจเมื่อไหร่ ผมไม่เอาเขาไว้แน่”

ชายกรณ์ถึงกับหัวเราะออกมา “ถ้าพี่ชายใหญ่ได้ยินคงจะดีใจมากแน่”

พอได้ยินอย่างนั้นชายธันก็คิ้วมุ่น “ไม่บอกให้ได้ยินหรอก”

ถึงจะพูดอย่างนั้นความอุ่นของแขนใครบางคนที่สวมกอดรอบคอเด็กหนุ่มทั้งสองจากด้านหลังทำให้ทั้งคู่ตกใจทันที

“พี่ชายใหญ่” ชายกรณ์เบิกตา

“มาหาพี่แล้วเหรอ” ปราชญ์ยิ้ม น้ำตาคลอเล็กน้อยขยับหัวซบกับชายเล็กและใช้มือลูบผมชายกรณ์ “พี่กลัวแทบแย่”

“ขอโทษนะครับที่เพิ่งจะมาหา” ชายกรณ์หันหน้าหาพี่

“ไม่เป็นไร แค่นี้พี่ก็ดีใจแล้ว”

ชายเล็กกัดปากช่างใจก่อนจะเอ่ยปากออกมาสักที “ขอโทษนะครับ”

ปราชญ์มองน้องแล้วหอมหัว “ไม่เป็นไร พี่ไม่โกรธหรอก”

หูของคนเล็กแดงเล็กน้อย ชายกรณ์เรียกให้ปราชญ์มานั่งตรงกลาง

“ตามสบายเลยนะครับ” ภวัตยิ้มแล้วเก็บเอกสารของตัวเองไปทำที่อื่น

“เขาเป็นคนที่ดีมากเลย” ชายกรณ์ชื่นชม

ปราชญ์ยิ้มอย่างสุขใจแต่ก็ยังกังวล จึงจับมือน้องทั้งสองไว้ “ถ้ายังรับไม่ได้กับเรื่องนี้ พี่ไม่บังคับหรอกนะ เรื่องนี้เข้าใจยาก พี่ไม่โกรธพวกเราเลย”

“ไม่ครับ ตลอดสามอาทิตย์ที่ผ่านมาพวกผมไตร่ตรองกันถี่ถ้วนแล้ว ที่จริงผมไม่ใช่รับไม่ได้หรอก ผมแค่ตกใจเพราะผมเพิ่งเคยพบจริง ๆ ที่ผมไม่กล้ามาหาเพราะรู้สึกผิดที่เดินหนีพี่ชายใหญ่ต่างหากล่ะครับ”

“โธ่” ปราชญ์ลูบหัวน้อง “พี่ไม่ได้โกรธจริง ๆ พี่แค่กลัวเท่านั้นและพี่ก็ดีใจที่พวกเรามาหาพี่”

“ส่วนหนึ่งต้องขอบคุณต้นสนด้วยนั่นแหละครับที่พูดให้”

ปราชญ์ตกใจ “ต้นสนหรือ”

“ครับ เด็กคนนี้โตขึ้นมากเลย ความคิดของเขาเหมือนไม่ใช่เด็กอายุสิบสามด้วยซ้ำ เขายังพูดให้ชายเล็กคิดได้ด้วยนะครับ”

“จริงเหรอ”

“ไม่ใช่” ชายเล็กปฏิเสธทันควัน

“หรือนายจะบอกว่าที่ต้นสนพูดมาทั้งหมดมันผิดล่ะชายเล็ก” พอจี้จุดเข้าชายเล็กก็อมพะงำ

“ต้นสนรู้แล้วหมดแล้วหรือ”

“ใช่ครับ ผมโทรไปถามเขาเรื่องนี้ คิดว่าที่ไม่ตอบจดหมายเพราะว่ารังเกียจพี่ชายใหญ่ แต่ต้นสนบอกว่าไม่ใช่เหตุผลนั้นครับ”

ปราชญ์ขมวดคิ้ว “ที่จริงพี่ส่งไปแค่ว่ามีคนรักแล้ว แต่ไม่ได้บอกว่าผู้หญิงหรือผู้ชายนะ”

“อ่าว” ชายกรณ์อ้าปากเหวอ “แปลว่าผมเผลอบอกต้นสนไปหมดแล้วเหรอเนี่ย”

“หมอนั่นไม่รู้จริง ๆ หรือ” ชายเล็กถามอีกครั้ง

“ใช่ พี่ไม่ได้บอกอะไรเลยนอกจากมีคนรักแล้วเท่านั้น”

ชายกรณ์อดตะลึงไม่ได้ “นั่นก็หมายความว่า ต้นสนที่เพิ่งจะรู้เรื่องแต่ก็ยังมีความคิดที่ไม่อคติแบบนี้ เขาถูกสอนมาดีมากเลยนะครับเนี่ย”

ปราชญ์ยิ้มอย่างภูมิใจ “เพราะเขามีครอบครัวที่พร้อมสอนเขาไปในทางที่ถูกที่ควรน่ะ”

ชายเล็กหันมองพี่ขายตนเองที่ยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อนึกถึงใคร ความหงุดหงิดฉายแววอยู่ในดวงตาแต่ไม่สามารถทำลายความสุขของพี่ได้ ยิ่งมารู้ว่าหมอนั่นรู้ความจริงทีหลังแต่ยังทำความเข้าใจได้ก็ยิ่งหงุดหงิด

หงุดหงิดที่นิสัยต่างกันขนาดนี้

ถ้าเทียบก็หมอนั่นแล้ว เขามันก็แค่เด็กไม่เอาไหน

“แล้วเหตุผลที่ต้นสนไม่ตอบจดหมายล่ะ คืออะไร”

ชายกรณ์ส่ายหน้า “ยังไม่ทันได้ถามน่ะสิครับ ต้นสนฝากมาขอโทษที่ไม่ตอบจดหมายแล้วก็วางสายไปเลย”

คนฟังถึงกับถอนหายใจ “รอกลับไทยแล้วค่อยถามแล้วกัน อยู่ที่นี่พี่คงไม่มีวันรู้เรื่องถ้าไม่ไปเจอต่อหน้า”

“ผมก็ว่าอย่างนั้น”

“ชายธัน”

“ครับ”

“เป็นอะไรหรือเปล่า” ปราชญ์หันมองน้องที่เอาแต่ก้มหน้า

“ไม่ได้เป็นอะไรครับ”

“แน่นะ”

ชายเล็กเม้มปาก “พี่ชายใหญ่คิดว่า ผมนิสัยแย่ไหม”

ชายกรณ์พอจะเข้าใจจึงอธิบายให้ฟังว่าต้นสนพูดอะไรไปบ้างก็ยิ่งทำให้ปราชญ์ตกใจ เขาหันหาน้องแล้วลูบใบหน้า “แล้วช่วงเวลาที่โตขึ้นนี้ ชายธันคิดว่าชายธันเปลี่ยนไปอย่างไรบ้างล่ะ”

“ผม...” น้องขมวดคิ้วแล้วส่ายหน้า “ผมไม่รู้”

ปราชญ์เกลี่ยแก้มน้อง “ชายธันไม่ใช่คนที่ไปชี้คนมั่วซั่วว่าใครต่ำกว่าแล้ว ชายธันไม่ใช่คนที่พูดจาดูถูกต่อหน้าคนนั้นแล้ว ชายธันปฏิเสธเพื่อนที่ชวนทำเรื่องไม่ดีและตั้งใจเรียน อ่านหนังสือ เล่นกีฬา ชายธันยอมรับฟังปัญหาอยู่บ้าง ถึงไม่มากแต่ก็ดีกว่าเมื่อก่อน ทั้งหมดนี้คือการพัฒนาของชายธัน และพี่คิดว่าชายธันเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกัน”

เพียงคำพูดนี้ก็อุ่นซ่านไปทั้งกาย ชายธันเริ่มยิ้มขึ้นบ้างแต่ก็ยังหม่นหมองเพราะเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับต้นสนที่อายุเท่ากันแต่ความคิดและนิสัยต่างกันมากโข “ผมยังแย่อยู่เลย ผมพูดคำหยาบ ผมกักเก็บอารมณ์ไม่ได้”

“ถ้ารู้อย่างนั้นแล้วต้องทำอย่างไรครับ” ปราชญ์พูดเสียงนุ่มเพื่อไม่ให้น้องเหมือนถูกคาดคั้นมาก

“แก้ไขครับ”

“ใช่แล้วครับ” ปราชญ์ยิ้มตาหยี “พี่เชื่อว่าชายธันแก้นิสัยตัวเองได้ เมื่อรู้แล้วว่าตัวเองพัฒนามาได้ตลอด เพราะฉะนั้นพัฒนาต่อไปนะ ไม่ว่าชายธันจะพลาดสิ่งใดไปก็ต้องยอมรับผิดและแก้ไข ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพี่จะอยู่ข้างชายธันเสมอ”

“ครับ”

ชายกรณ์ที่เห็นชายเล็กตั้งใจฟังก็ได้แต่เศร้าใจ “ทีฉันพูดตั้งนานไม่เห็นเข้าใจเลย”

ปราชญ์อมยิ้ม “ชายธันต้องฟังพี่กรณ์ด้วยนะ ลองฟังความคิดคนอื่นบ้าง สำหรับพี่มันไม่มีความคิดที่ถูกต้องหรือความคิดที่ผิด มันมีแต่ความคิดที่ควรและไม่ควร ลองฟังจากหลาย ๆ มุมดู และลองบอกมุมของตัวเอง ถ้าเกิดว่ามันไม่ใช่ก็แค่ปรับ”

“ส่วนในเรื่องคำหยาบ... ไม่ได้ห้ามที่จะพูด ถ้าอยากพูดก็พูดกับเพื่อนที่สนิทเท่านั้น ถึงเราจะมีเชื้อเจ้าแต่เราก็แค่มนุษย์คนหนึ่งเหมือนกัน ทุกคนเท่าเทียมที่สมควรจะต้องถูกสอนเรื่องนี้ กับต้นสนเรายังไม่ได้สนิทกันมากขนาดนั้นในความคิดชายธันถูกไหม”

เมื่อเห็นน้องพยักหน้า ปราชญ์ก็พูดต่อ

“เพราะอย่างนั้นการเผลอพูดคำหยาบใส่ใครที่ไม่สนิทก็คือสิ่งที่ไม่ควร ไม่ว่าจะโกรธหรือโมโหแค่ไหนก็ตาม หรือต่อให้สนิทกันก็ไม่จำเป็นต้องหยาบเสมอไปก็ได้ ถ้าเขายินดีที่จะพูดเหมือนกันและไม่ซีเรียส นั่นคือเราพูดได้ ถ้าให้เข้าใจง่าย ๆ ลองคิดกลับกันว่าถ้าชายธันพูดอย่างใจเย็นมาตลอดและอธิบายให้ฟังแต่กลับถูกตอกหน้าด้วยอารมณ์ที่รุนแรงกว่า ชายธันก็รู้สึกแย่ใช่ไหมล่ะ นั่นแหละ เราไม่ควรที่จะทำอย่างนั้น”

ชายธันพยักหน้าและคิดตามตลอด อารมณ์หงุดหงิดก็เริ่มคลายกลายเป็นความอิจฉาแทน อิจฉาที่ต้นสนคิดเองเป็น และอยากจะคิดได้แบบหมอนั่นบ้าง

“ผมเข้าใจแล้วครับ” ชายธันจุดยิ้ม

“ดีแล้ว เก่งมากครับ” ปราชญ์ชมน้อง ถึงจะเป็นคำพูดสั้น ๆ แต่ก็ควรจะชื่นชมบ้างให้เขาได้มีกำลังใจ และควรจะชื่นชมจากใจจริง

“งั้นเราไปทานข้าวกันไหมครับ”

“เอาสิ เดี๋ยวพี่คุยกับภวัตก่อนนะ”

“ครับ” ชายกรณ์ยิ้มพอพี่คนโตลุกไปก็ตบบ้าน้องชาย “ดีขึ้นไหม”

“ครับ” ชายธันพยักหน้าก่อนจะหันมองพี่ “ถ้าผมจบไฮสคูลผมขอกลับไทยเลยได้ไหมครับ”

“หื้อ? ทำไมล่ะ”

“ผมอยากไปเรียนโรงเรียนนายร้อยตำรวจที่เด็จพ่อเคยเรียน”

“เรียนที่นี่ก็ได้หนิ หลักสูตรดีกว่าเยอะเลย”

ชายธันส่ายหน้า “ผมอยากไปที่นั่น”

 

 

“อยากลองเป็นเพื่อนกับต้นสนดู”





จบบทที่ ๕

-----------------------------------------------------------------------------

ทุกคนคะ.... ถ้าใครเข้าใจผิดเรื่องพี่ปราชญ์
อยากจะบอกว่า พี่ปราชญ์เป็นนายเอก(รับ) น้าาาา
555555555555555555555555555555555555555555555
จริงๆก็วางว่าพี่เขาได้ทั้งสองนะ แต่ถ้าคู่กับต้นสนเป็นรับ...
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๕
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 01-06-2020 18:22:24
แอบจับคู่ต้นสนกับชายธัน ขอคู่นี้แทนนะครับ
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๕
เริ่มหัวข้อโดย: piakunaa ที่ 01-06-2020 20:39:29
ชั้นร้องไห้ๆๆๆๆๆๆ​ สะอึกสะอื้นจนแม่ถามว่าเป็นอะไร​ ชั้นสงสารต้นสนนนนนนน​ กอดปลอบต้นสนอีกแล้ววววว​ ฮือออออออ​ พี่ปราชญ์​อย่ามาเสียใจทีหลังนะคะ​ ไปค่ะชายธัน ดับเครื่องชนแล้วพุ่งเป้าไปหาต้นสนดีกว่าค่ะ​ เอาให้ใครบางคนกระอักเลือดไปเลยยยยย​ (กำหมัดดดด)​ รู้สึกว่าพี่ปราชญ์​เริ่มเขวแล้วนะคะ​ และที่สำคัญ​ พี่ปราชญ์​เป็นคนบอกต้นสนให้รอเองนะ​ แต่ตัวเองกลับมีแฟนเองซะนี่  (ถึงรอในคนละความหมายก็เถอะ)​ ขอดราม่าจุกๆค่ะ​ เอาให้พี่ปราชญ์​กระอักเลือดไปเลย​ ชั้นจะกอดปลอดต้นสนทุกเมื่อเองง  555​ หันหัวเรือไปที่​ #ต้นสนชายธัน​ เหน็บพี่ปราชญ์ค่ะ​ หมั่นไส้ล้วนๆ​ 555
มอบเพลงนี้ให้ต้นสนค่ะ​ : ผู้ชมที่ดี​
เป็น​กำลัง​ใจ​ให้​นักเขียน​นะคะ​ ​สู้​ๆ​นะคะ​นักเขียน​
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๕
เริ่มหัวข้อโดย: Pppkn ที่ 08-06-2020 21:31:30
อ่านรวดเดียว ตามทันแล้ว สงสารต้นสนจัง อยากให้ต้นสนโตเร็วๆ  :m15:
พี่ปราชญ์ไม่สงสารต้นสนเลยหรอ  :z6:
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๖(๑/๒)
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 09-06-2020 22:33:58
อยากขอให้คุณนักอ่านทุกท่านเปิดเพลง อาลัยรักของคุณชรินทร์ เพื่อความอินค่ะ
จิ้มลิงค์นี้เลยค่ะ (https://www.youtube.com/watch?v=hYSsnBzxtLQ)


(https://www.img.in.th/images/dd873e887090c07cc8f2d8d774ed4684.jpg)

บทที่ ๖

อาลัยรัก


 

สิงห์บุรี, ประเทศไทย

เสียงคนงานมากมายดังอยู่ไม่ขาดสาย ไร่อัครเดช ยังคงอุดมสมบูรณ์ไม่เปลี่ยนแปลง สายลมเย็น ๆ พัดผ่านทำให้อากาศไม่ร้อนมากนัก แต่สิ่งที่ทำให้คนงานและเจ้าของไร่ต้องคอยหันมองบ้านเรือนไทยหลังใหญ่อยู่ตลอดเพราะแผ่นเสียงที่เปิดดังอยู่เพลงเดิม ๆ มานานแล้ว

แม้ว่าเจ้าของไร่อย่าง สิงห์ ที่เป็นลุงของต้นสนจะเข้าไปถามไถ่ว่าหลานเป็นอะไร แต่หลานก็แค่บอกว่าชอบเพลงนี้เฉย ๆ สิงห์เลยไม่อยากคาดคั้นหลาน

ส่วนต้นสนที่วันนี้เป็นวันหยุดก็เปิดเพลง อาลัยรัก ดังทั้งวัน เด็กหนุ่มถอนหายใจเอนหลังพิงเสาชันเข่าข้างหนึ่งวางแขนไว้และมองเหม่อไปบนท้องฟ้า


ฉันรักเธอ... รักเธอ... ด้วยความไหวหวั่น

ว่า... สักวัน... ฉันคง.. ถูกทอดทิ้ง



“แล้วก็อย่าลืมพี่นะ”


มินานเท่าไร

แล้วเธอก็ไป

จากฉันจริงจริง

 

‘ต้นสน พี่มีคนรักแล้ว ดีใจกับพี่ไหม’


เธอ... ทอดทิ้ง

ให้อาลัย... อยู่กับความรัก



‘พี่คบกันมาได้สองปีแล้วแต่เพิ่งจะบอกต้นสนเอง ขอโทษนะที่เพิ่งจะบอก ถ้าเป็นไปได้ก็อยากพามาให้ต้นสนรู้จัก’


แม้มีปีกโผบิน ได้เหมือนนก

อก... จะต้อง... ธนู

เจ็บปวดนัก



‘คนคนนี้เป็นคนแรกที่พี่คิดจะมีความรักเลยนะ’


ฉันจะบิน... มาตาย... ตรงหน้าตัก

ให้ยอดรัก... เช็ดเลือด... และน้ำตา



‘ก็ที่พี่ปราชญ์มีคนรักเป็นผู้ชาย ต้นสนไม่รังเกียจหรือ’


ไม่เลย ไม่คิดอย่างนั้นเลยด้วยซ้ำ เพราะได้แต่คิดว่าทำไมผู้ชายคนนั้นถึงไม่เป็นเขา หรือเพราะเขาเป็นเหมือนน้องคนหนึ่ง

ต้นสนก็พอจะรู้สถานะตัวเองว่าเป็นเพียงน้องชาย แต่พี่ปราชญ์ไม่เคยรู้เลย ว่าความรู้สึกของเด็กคนนี้มันเพิ่มขึ้นมาตลอด ต้นสนยังเด็กต้นสนรู้ ต้นสนยังไม่เข้าใจความรักต้นสนรู้

แต่ต้นสนตกหลุมรักพี่ปราชญ์ ต้นสนห้ามไม่ได้

เขาก็แค่เด็กที่เผลอมีความสุขที่ได้อ่านเรื่องราวของคนที่ตัวเองชอบ เผลอใจเต้นเวลาที่ถูกบอกว่าคิดถึงและบอกรัก รู้ทั้งรู้ว่าพี่ปราชญ์บอกในฐานะพี่ชาย

ต้นสนก็คิดมาตลอดว่าติดพี่ปราชญ์จนเกินไป แต่พอมีจดหมายส่งถึงเรื่องคนรัก ใจของต้นสนก็เจ็บเหมือนถูกบีบรัด ต้นสนร้องไห้ตอนที่อ่านจดหมายนั้น ต้นสนเสียใจแทนที่จะยินดี ก็เพราะต้นสนคิดเกินเลยกับพี่ชายคนนี้

หาเหตุผลมากมายมาตั้งคำถามว่าทำไมถึงหลงรัก เพราะเล่นด้วยกันมากไปหรืออย่างไร ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาคงชอบพี่กรณ์ไปแล้ว และคงชอบใครหลาย ๆ คนที่มาเล่นด้วยกันหรืออยู่ด้วยกัน

ต้นสนไม่รู้หรอกว่าตัวเองชอบพี่ปราชญ์เมื่อไร ต้นสนมองพี่ปราชญ์เหมือนครอบครัวหนึ่งมาตลอด

ในช่วงเวลาที่เขียนจดหมายถึงกัน ต้นสนอาจจะเขียนอะไรแปลก ๆ ไป เพราะความเด็กอยู่ ตอนนี้โตขึ้นมานิดก็เริ่มคิดได้ว่าจดหมายบางส่วนเขาเผลอเขียนตามที่คิดจริง ๆ อย่างจดหมายที่จะจูบพี่ปราชญ์ในงานวันเกิด เพราะตอนที่มองลุงสิงห์กับลุงไฟก็อยากจะมีคนรักที่ดีเหมือนพวกท่าน และคนรักที่ต้นสนเผลอนึกภาพได้ดันเป็นภาพพี่ปราชญ์เสียได้

พี่แก้ว ที่คอยช่วยแก้คำให้ก็รับรู้มาตลอดและคอยอธิบายในเรื่องความรัก พี่แก้วบอกเสมอว่าไม่ว่าจะอายุเท่าใดทุกคนล้วนมีความรักได้ทั้งนั้น บางคนโตไปอาจจะคิดได้ว่าแค่ปลื้ม หรือไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว แต่ในช่วงที่รู้สึกในวัยเด็กนี้มันยังคงอยู่ พี่แก้วไม่เคยห้ามหรือหาเหตุผลอย่างที่ต้นสนหาว่าทำไมถึงรักพี่ปราชญ์ พี่แก้วไม่เคยบอกว่าต้นสนเด็กเกินไปที่จะรู้สึก พี่แก้วแค่บอกว่าถ้ารักก็ยอมรับเสีย ไม่รู้ว่าโตไปจะเป็นยังไงในเมื่อในช่วงเวลานี้เรารักคนคนนั้นมันก็คือรัก

เพราะอย่างนั้นต้นสนจึงเข้าใจและมานั่งทุกข์อยู่ตรงนี้ทุกวัน ยิ่งรู้ว่าคนที่พี่ปราชญ์คบเป็นผู้ชาย... ก็นึกอิจฉาผู้ชายคนนั้น ที่จริงแล้วต้นสนไม่เคยคิดเลยว่าพี่ปราชญ์จะชอบเพศเดียวกัน ตอนที่ไม่รู้ต้นสนนึกภาพว่ามีงานแต่งและลูกของพี่ปราชญ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่พอมารู้ว่าไม่ใช่ผู้หญิงมันก็ไม่ต่างกันหรอก ต่อให้แต่งงานหรือมีลูกไม่ได้ ถ้าพวกเขาตั้งใจจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมันก็คงได้ เหมือนที่ลุงสิงห์และลุงไฟอยู่ด้วยกันในตอนนี้

ท่านชายนนท์ก็รู้ความสัมพันธ์ของลุงสิงห์และลุงไฟ รวมถึงยอมรับ ไม่ดูถูก ไม่อคติ ท่านชายนนท์คงจะปกป้องพี่ปราชญ์และพร้อมสนับสนุนเป็นแน่หากพี่ปราชญ์เปิดตัวคนรัก

ต้นสนเหมือนคนนอก เหมือนเด็กที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวกับเขา รู้ตัวอีกทีอาจจะไปงานแต่งลับ ๆ ของทั้งสองคนที่มีเพียงครอบครัวเข้าร่วมก็ได้

“ไม่เปิดเพลงอื่นบ้างวะ” เสียงทุ้มต่ำของใครบางคนขัดบรรยากาศหม่นหมอง แปรเปลี่ยนเป็นความหงุดหงิดทันที

“ก็ต้นสนชอบเพลงนี้”

“แผ่นเสียงมีตั้งเยอะแยะ เอาแต่เพลงเดิม ทำตัวเหมือนคนอกหักไปได้” ลุงไฟ ส่ายหน้าแล้วเลือกแผ่นเสียง

“ถ้าต้นสนอกหักแล้วมันทำไมล่ะ” ต้นสนคิ้วมุ่นแล้วเปลี่ยนมานั่งกอดเข่า คนเป็นลุงหันไปมองพร้อมเลิกคิ้ว หนวดสีเข้มขยับตามปากที่เบะเล็กน้อย

“มีคนที่ชอบแล้วเหรอเอ็งน่ะ”

“ไม่บอก”

“ฮึ ไม่บอกแปลว่าใช่”

ต้นสนจิ๊ปากใส่ผู้เป็นลุง พอแผ่นเสียงเริ่มเล่นเพลงที่ดูสนุกสนานลุงไฟก็เอื้อนร้องจนน่าหนวกหูแล้วมานั่งลงข้าง ๆ

“ไหนบอกข้ามาสิว่าเอ็งชอบใคร”

ต้นสนหันหน้าหนี “ทำไมต้องบอก”

“เอ้า ก็จะได้ให้คำปรึกษาถูกไง”

“ต้นสนไปขอลุงไฟตอนไหน” ต้นสนหันถาม

“เอ๊ะไอนี่ คนอุตส่าห์จะช่วย” ลุงไฟถอนหายใจแล้วใช้ผ้าขาวม้าพัดหน้าให้มันเย็นขึ้น “ถ้าอย่างนั้นก็เล่าให้ฟังคร่าว ๆ ก็ได้มา ทำไมถึงอกหักได้ ข้าจะบอกให้ว่าข้าเนี่ยนะเก่งเรื่องความรักมาก ให้คำปรึกษามาหมดแล้วตั้งแต่หม่อมเจ้า ยันสัปเหร่อ”

ต้นสนทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ “ขี้โม้”

“ไม่เชื่อไปถามลุงเอ็งสิวะ”

“ถ้าเป็นลุงสิงห์ยังน่าเชื่อถือกว่าอีก”

“แล้วทำไมถึงไม่บอกลุงเอ็งล่ะ ถ้าน่าเชื่อถือทำไมไม่ขอคำปรึกษา ฮึ?”

ต้นสนเงียบไปทันตา จะให้บอกยังไงล่ะ ถ้ารู้ว่าชอบพี่ปราชญ์ที่เป็นถึงลูกเชื้อเจ้าไม่พอยังเป็นลูกของเพื่อนสนิทอีก ลุงสิงห์ไม่ผิดหวังในตัวต้นสนเอาหรือ

“เงียบ” ลุงไฟส่ายหน้า “เผลอไปชอบคนที่ไม่สมควรชอบงั้นหรือ”

“ไม่ใช่” ต้นสนรีบปฏิเสธหัวใจเต้นระรัว

ไฟเหล่มองหลานที่พิรุธออกทันตา “ข้าจะบอกให้นะ ว่าข้าก็เคยชอบคนที่พวกคนภายนอกมักพูดว่าไม่สมควรชอบ ลุงสิงห์ของเอ็งก็เคย”

ต้นสนให้ความสนใจทันทีและถามอย่างนึกสงสัย “เคยชอบหรือ แต่ก่อนลุงสิงห์กับลุงไฟเป็นเพื่อนกันไม่ได้ชอบกันแต่แรกหรือไง ชอบคนอื่นมาก่อนด้วยเหรอ”

“เปล่า ก็ต่างชอบกันเองเนี่ยแหละ”

“อ่าว”

“เรื่องนี้ไม่ได้เล่าในหนังสือเกี่ยวกับสิงห์ และไม่ได้เปิดเผยให้ใครรู้ คนที่รู้มีแต่พ่อแม่เอ็ง ตาสมานกับยายพิมพ์อร แล้วก็พวกแก้ว กล้า กฤษ หนูอิ่ม รวมถึงท่านชายนนท์ที่รู้ มีอยู่แค่นี้แหละ ลุงเอ็งก็ยังไม่เคยเล่าให้ฟังใช่ไหมล่ะเรื่องราวในอดีตน่ะ”

ต้นสนส่ายหน้า รู้แค่ว่าสองคนนี้เป็นเพื่อนกันและชอบกันมาตั้งแต่เด็ก ส่วนในหนังสือเกี่ยวกับลุงสิงห์ต้นสนก็เห็นเพียงว่าลุงสิงห์ช่วยเหลือคนภาคกลางมาตลอดแม้จะถูกดูแคลนว่าเป็นลูกของโจร

“เมื่อก่อนนะ ข้าคือลูกของตำรวจ ส่วนสิงห์คือลูกของโจรที่มีอำนาจมากในสิงห์บุรีและพ่อของข้าตามจับอยู่ แต่ข้าดันไปชอบลุงเอ็ง รู้ไหมว่าเราต้องปิดกันมานานเท่าใดจนกว่าสิงห์จะกลายเป็นตำรวจที่ดีเพื่อให้พ่อข้ายอมรับ แต่ถึงอย่างนั้นก็โดนด่าโดนว่า แล้วยังเกือบตัดพ่อตัดลูกกับข้าด้วยนะ แล้วพ่อข้าก็ทำสิ่งที่ไม่น่าให้อภัย คือให้สิงห์ไปเป็นสายให้โดยไม่บอกข้าสักคำ ให้สิงห์ฆ่าเพื่อนตัวเอง เพราะความเห็นแก่ตัวและเพราะคิดว่าถ้าสิงห์รักข้าจริง ก็ต้องทำ”

“โห” ต้นสนหน้าเสีย “โหดร้ายกว่าที่ในหนังสือลงอีก”

“ก็นั่นน่ะสิ ลุงของเอ็งยังไม่มั่นใจเลยว่าลูกตำรวจกับลูกโจรจะคบกันได้ไหม หนักไปอีกก็ตรงที่เป็นผู้ชายทั้งคู่”

“แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้ใช่ไหม”

“ใช่ สูญเสียอะไรไปเยอะเหมือนกัน จนถึงตอนนี้ลุงของเอ็งยังรู้สึกผิดต่อข้าอยู่เลย”

“ลุงไฟยังดีที่ลุงสิงห์คิดเหมือนกัน” ต้นสนถอนหายใจแล้วก้มเอาคางเกยเข่า

“จะว่าดีมันก็ดีล่ะนะ แต่กว่าจะผ่านอะไรกันมาได้ก็เกือบจะฆ่ากันตายมาก่อนเพราะข้าไม่รู้ว่าสิงห์อยู่ในทีมลับด้วย” ลุงไฟถอนหายใจ “แต่ที่เล่าให้ฟังไม่ใช่จะบอกว่าสมัยข้าลำบากกว่านะ ทุกสมัยทุกวัยมันก็ลำบากเหมือนกันทั้งนั้น และตอนนี้เอ็งก็กำลังเจอปัญหานั้น ข้าแค่จะบอกว่า ไม่มีความรักไหนไม่เหมาะสม หากรู้ว่าเขาก็รักและชอบเราเหมือนกัน เอ็งก็สู้เลย อย่าได้เสียโอกาสเพราะแค่ว่าไม่มีทางเป็นไปได้”

“แต่เขาไม่ได้ชอบต้นสน เขาคิดกับต้นสนแค่พี่น้อง”

ไฟเลิกคิ้วเมื่อหลานเริ่มปล่อยไก่ “มันก็น่าเสียดายนะ แล้วคนนั้นรู้ไหมว่าเอ็งชอบ”

“ไม่เลย ต้นสนไม่ได้บอก แต่ต้นสนก็เผลอเขียนจดหมายไปในเชิงทางนั้น เคยบอกว่าถ้ามีสาวมาจีบก็ไม่ต้องห่วง ต้นสนมีพี่คนนั้นคนเดียว หรือตอนเล่าวันเกิดลุงสิงห์ ลุงไฟไปจูบลุงสิงห์ ต้นสนก็มองภาพพวกลุงเป็นภาพต้นสนกับพี่เขา แต่ต้นสนบอกนะว่าไม่จูบเพราะไม่อยากหน้าหนาเหมือนลุงไฟ”

ไฟถึงกับหน้าคล้ำ เกือบแล้ว เกือบตบหัวไอหลานคนนี้แล้วถ้าไม่ติดว่าหลานมันมีเรื่องทุกข์ใจอยู่ “ถ้าคนนั้นคิดกับเอ็งแค่น้องจริง ๆ คงไม่คิดมากอะไรกับจดหมายนั้นหรอก นอกจากคิดว่าเอ็งติดเขามากไป”

ต้นสนพยักหน้าอย่างเหม่อลอย “ใช่ เขาคงคิดอย่างนั้นอยู่แน่เลย ต้นสนไม่มีทางได้ยืนข้างเขาแล้ว”

“แล้วคิดไหมว่าจะทำอะไรต่อ ถ้าเกิดเจอคนนั้น”

“ต้นสนไม่รู้ ต้นสนไม่กล้าไปพบหน้า เพราะต้นสนไม่ตอบจดหมายเขาเลย ต้นสนทำตัวห่างออกมาเอง”

“แล้วเพราะอะไรถึงทำแบบนั้นล่ะ”

ต้นสนเม้มปาก “เพราะเขามีคนรักแล้ว”

ไฟตกใจเล็กน้อยก่อนจะยกมือลูบหลังของหลานที่เริ่มน้ำตาคลอ ต่อให้เพลงที่ตนเปิดจะฟังสนุกสนานเพียงใดมันก็ต่างจากความรู้สึกภายในเด็กคนนี้ที่ไม่มีอารมณ์ร่วม “ถ้าเป็นอย่างนี้ ข้าคงแนะนำอะไรไม่ได้ นอกจากให้เอ็งยินดีกับเขา หรือถ้าเอ็งยังไม่อยากพบหน้าก็คุยกับเขาให้รู้เรื่อง โกหกไปก็ได้นะดีกว่าบอกไปให้เขาอึดอัด รอตัวเองพร้อมที่จะคุยพร้อมที่จะหัวเราะโดยไม่มีความรู้สึกนั้นเข้ามาแล้วค่อยไปคุยก็ได้”

“แต่ต้นสนไม่รู้ว่าจะทำได้เมื่อไร”

“ถ้าอย่างนั้นคุยกันเสร็จก็อยู่ให้ห่างไปเลย ใช้ชีวิตของตัวเองโดยไม่ต้องไปนึกถึง”

“ขนาดห่างกันขนาดนี้ต้นสนยังทำไม่ได้เลยลุง”

“ของแบบนี้มันต้องใช้เวลาสิวะ ตอนนี้เอ็งก็คิดกับตัวเองได้แล้วว่าต่อไปนี้จะทำอะไรต่อ ไม่ใช่มัวมานั่งฟังเพลงเศร้า ๆ อย่างนี้ ออกไปหาอะไรทำให้ใจมันสงบลงบ้าง”

ต้นสนพยักหน้าอย่างว่าง่ายแม้ดวงตาแดงก่ำ “ต้นสนจะช่วยที่ไร่ ถ้าทำการบ้านเสร็จแล้ว”

“เออ ก็แค่นั้น อย่าทำให้ผู้ใหญ่เขาเป็นห่วงมาก หลานทั้งคนเป็นอะไรขึ้นมาลุงเอ็งจะเสียใจได้”

“ครับ” ต้นสนเบะปากจะร้องไห้อีกรอบเมื่อพูดถึงลุงตนเอง สิ่งหนึ่งที่ต้นสนไม่อยากให้เกิดขึ้นเลยก็คือทำให้ลุงสิงห์ร้องไห้ เพราะเคยถูกแทงตอนมีโจรปล้นในตลาดแล้วต้นสนอยู่ในเหตุการณ์พอดีจำได้ว่าลุงสิงห์ร้องไห้เหมือนจะขาดใจเลย

“ไป ๆ ถ้าอย่างนั้นก็ไปหาพี่แก้วที่ไร่เสีย จะได้ไม่ต้องนั่งทุกข์อยู่แบบนี้”

ต้นสนพยักหน้าแล้วเช็ดน้ำตาพร้อมกับลงเรือนไปอย่างว่าง่าย

ไฟถอนหายใจอย่างนึกสงสารหลานแล้วไปเอาแผ่นเสียงออก “ได้ยินแล้วใช่ไหม” เอ่ยถามใครบางคนที่แอบฟังมาโดยตลอด

สิงห์เดินออกมาจากห้องหนึ่ง ดวงตาแดงน้อย ๆ เพราะเห็นหลานร้องไห้เลยอดร้องตามไม่ได้ “ทำไงดี”

“เราก็ทำได้แค่คอยอยู่ข้าง ๆ นั่นแหละ พาออกไปชมนกชมไม้ให้เด็กมันเลิกนึกถึง”

“แล้วถ้ากลับพระนคร ต้นสนจะเป็นยังไงล่ะทีนี้”

“นั่นสิ แต่กว่าจะได้กลับคงโตแล้ว น่าจะคิดอะไรได้เองบ้าง”

สิงห์ถอนหายใจ “ไม่สมควรชอบจริง ๆ ถึงจะเคยเกลียดคำนี้ แต่คราวนี้มันต่างกัน เชื้อเจ้าไม่ใช่ที่จะยอมรับได้ง่ายเพราะด้วยมีหน้าตาในสังคม ถึงนนท์จะรับได้ แต่ว่าหม่อมสร้อยกับคุณแหวนจะรับได้หรือ”

“แต่ต้นสนบอกว่าปราชญ์มีคนรักแล้วไม่ใช่หรือ สิงห์ก็ได้ยิน”

“สิงห์ได้ยินที่ต้นสนคุยกับชายกรณ์เมื่อไม่นานมานี้เองว่าปราชญ์มีคนรักเป็นผู้ชาย”

“งั้นหรือ ไม่น่าเชื่อเลย”

“สิงห์ก็ห่วงปราชญ์เหมือนกันเพราะก็เห็นมาตั้งแต่เด็ก ก็ขอให้เด็กคนนั้นผ่านพ้นไปด้วยดีนะ และหวังว่าจะไม่ถือโทษโกรธน้อง ถ้าเกิดต้นสนทำตัวห่างเหินอย่างนี้”

“ก็คงอยู่ที่ทั้งคู่แล้วว่าจะตัดสินยังไงในเรื่องนี้”

“สิงห์ก็ภาวนาไม่ให้เกิดเรื่องอะไรต่อกันก็พอ”

ไฟพยักหน้าตามแล้วโอบไหล่คนรักไว้ ลูบบ่าเบา ๆ ให้คลายกังวล


*มีต่อ
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๖(๒/๒)
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 09-06-2020 22:34:48
*ต่อจากด้านบน



ปี ๒๕๑๑

โรงเรียนนายร้อยตำรวจ, นครปฐม

เสียงหัวเราะดังอยู่ทั่วห้องพัก ต้นสนในวัยสิบเก้าปีนั่งจับกลุ่มกับเพื่อน ๆ พร้อมกับหัวเราะเมื่อเพื่อน ๆ เล่าเรื่องตลก แต่พอสายตาผันไปมองใครบางคนที่นั่งอยู่ในห้องเช่นกัน แต่กลับไม่มีใครไปคุยด้วยเพราะใบหน้าไม่รับแขก ต้นสนไม่คิดจะสนใจและนั่งฟังเพื่อนในกลุ่มต่อ

“แต่เอาจริงกูตกใจฉิบหายตอนรู้นามสกุลมึง” เพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งเอ่ยบอกต้นสน

“ทำไมวะ”

“มึงมีนามสกุลอัครเดช เป็นลูกของท่านรองสหัสหรือวะ”

“เป็นหลานน่ะ” พอได้ยินอย่างนั้นเพื่อนทุกคนก็ร้องอย่างตื่นเต้น

“มึงแม่งเป็นหลานของวีรบุรุษเลยว่ะ แม่งเท่ กูโคตรชอบลุงมึงเลย ฝากไปบอกให้กูด้วยนะเว้ยว่ากูเนี่ยนับถือเขา อยากเป็นตำรวจเพราะเขาเลย” โทนเอ่ยบอกตามด้วยไอเหนือกับไอศศิที่ตามมา

“เออ ๆ บอกให้กูด้วย”

“กูด้วย ๆ”

พอได้ยินอย่างนั้นต้นสนก็อดชื่นชมลุงตัวเองไม่ได้ “พวกมึงก็บอกเองสิวะ”

“ได้ไงล่ะ พวกกูจะได้เจอหน้าหรือเปล่าเถอะ” เหนือว่า

“ได้เจอแน่ วันรับกระบี่สั้นพวกมึงเตรียมตัวรอได้เลย”

“จริงหรือวะ” เพื่อนทั้งสามดูตื่นเต้นกันมาก

“เออ ก็ลุงบอกกูเองว่าจะมา”

“แล้วเพื่อนเขามาไหม จริง ๆ กูชอบผู้การไฟว่ะ เขาแม่งโหดแต่เท่” ศศิว่า

“โหดตรงไหน ขี้บ่นจะตาย ก็เหมือนตาลุงแก่ ๆ ทั่วไปนี่แหละ”

“เหรอวะ แล้วมึงรู้ได้ไงอะ”

ต้นสนถึงกับใจหายเกือบจะโพล่งไปแล้วว่าลุงไฟเป็นคนรักลุงสิงห์แต่ก็ห้ามตัวเองได้ “พวกมึงก็รู้ใช่ไหมล่ะ ว่าลุงกูมีเพื่อนสนิทสี่คน คนหนึ่งเสียไปแล้ว อีกคนอยู่พระนคร ตอนนี้ลุงไฟกับลุงสิงห์อยู่จังหวัดเดียวกัน ไม่แปลกที่กูจะเจอเขาเวลามากินเหล้ากับลุงสิงห์”

“อ่อ” ศศิพยักหน้า ต้นสนได้แต่ขอโทษเพื่อนในใจที่โกหกคำโต

“ดีว่ะ ได้รู้จักกับคนเก่ง ๆ” เหนือนึกอิจฉา

“แต่ที่นี่ก็มีลูกของเพื่อนลุงมึงไม่ใช่หรือ ไม่เห็นคุยกันเลย” พอโทนถามขึ้นทุกคนก็หันไปมองลูกชายของท่านชายนนท์ทันทีที่ตอนนี้กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียว

ต้นสนถอนหายใจ “ถึงจะรู้จักลุงนนท์แต่ใช่ว่าจะสนิทกับลูกเขาเสียหน่อย”

“อ่าวหรือวะ” โทนเกาหัว

“แต่ก็ไม่แปลกนะเว้ย ก็มันแทบไม่คุยกับใครเลย ถามคำตอบคำ ตอนกูทักนะเพราะเห็นนามสกุลเหมือนท่านชายนนท์ มันก็ทำหน้าเหมือนไม่อยากคุยกับกู ใครจะไปอยากเป็นเพื่อนด้วยวะ” เหนือบ่นเพราะตอนเข้าเรียนมาและรู้ชื่อของเพื่อนในห้องก็เลยได้ไปถามธันที่เป็นลูกชายหนึ่งในสี่วีรบุรุษ แต่กลับได้รับเพียงใบหน้าที่ดูหงุดหงิด

“เออว่ะ หรือเพราะคิดว่าเป็นคุณชายเลยจะทำอะไรยังไงก็ได้” โทนว่าต่อ

“พวกมึงก็ว่าเกินไป” ศศิรีบเอาน้ำลูบ

“ก็จริงนี่หว่า”

ต้นสนไม่ได้ออกความเห็นใดใด หันมองทางเตียงนอนอีกฝั่ง เห็นว่ามีเพื่อนบางคนคุยกับธันแล้วธันก็พยักหน้าธรรมดา ใบหน้านั้นน่ะมันเป็นมานานแล้วต้นสนรู้ดี ถึงจะตกใจก็เถอะที่เจ้านั่นกลับมาเรียนที่ไทย แต่พอจำได้ว่าธันก็อยากเป็นตำรวจเหมือนกันเลยเข้าใจได้

“เดี๋ยวกูไปอาบน้ำก่อนละกัน เหนียวตัว” โทนบอกเสร็จเหนือก็ตามไปด้วย แต่ต้นสนอาบเสร็จนานแล้วจึงเปลี่ยนไปนั่งพิงเตียงตัวเอง

“ต้นสน”

“หื้อ” หันมองเพื่อนข้างกายอีกคนที่อาบน้ำมาด้วยกันแล้วจึงนั่งอยู่เตียงข้าง ๆ

“มึงไม่คิดจะไปคุยกับไอธันหน่อยเหรอ” ศศิถามพร้อมกับมองไปทางธันที่ยังคงนั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียว ต่างจากคนอื่นที่จับกลุ่มคุยกันหมด

“แล้วทำไมกูต้องไปคุยล่ะ”

“กูแค่คิดว่า ไอโทนกับไอเหนือมันพูดเกินไป น่าจะรู้จักก่อนถึงจะรู้นิสัยไม่ใช่เหรอ”

ต้นสนถอนหายใจ “พวกมันก็ไม่ได้พูดเกินจริงหรอก กูน่ะเคยโดนมาหนักกว่านี้อีก”

ศศิเลิกคิ้ว “จริงหรือวะ”

“เออ ตอนเด็กนะ มันดูถูกกูว่าเป็นลูกคนใช้ แม่งห้ามพี่มันไม่ให้เล่นกับกู”

พอได้ยินอย่างนั้นศศิก็ขมวดคิ้ว “ไหนมึงว่าไม่รู้จัก”

“ก็รู้จักแหละ กูสนิทกับลูกชายลุงนนท์คนอื่น ๆ ยกเว้นมัน”

“แต่นั่นมันตอนเด็ก บางทีธันมันอาจจะเปลี่ยนไปแล้วก็ได้นะ”

“แล้วมึงไม่ไปคุยเองล่ะ”

ศศิหันมอง “กูว่าจะคุยเหมือนกัน แต่ตอนนี้ธันมันอ่านหนังสือเลยไม่อยากกวน ไว้พรุ่งนี้ก่อน”

“มึงก็คุยแล้วกัน กูขอไม่ยุ่งเกี่ยว” ต้นสนว่าอย่างนั้นก็นอนลงพร้อมห่มผ้าทันที

“กูไม่ได้จะบังคับมึงหรอกนะ” ศศิว่าพลางมองเพื่อนสลับกับคนอีกฝั่งที่อ่านหนังสืออยู่ “กูแค่รู้สึกว่าสักวัน... เราทั้งห้าคนอาจจะได้เป็นเพื่อนสนิทกัน”

ต้นสนหลับตาลงแม้หูจะฟังเพื่อนอยู่ เขาไม่รู้อนาคตหรอก ถ้าได้เป็นเพื่อนสนิทกันก็ไม่ได้แย่อะไร เพราะไม่ชอบบาดหมางกับใครนาน และถ้าธันเปลี่ยนไปจริง ๆ ก็หวังว่าจะดีขึ้น

พอมาถึงวันรับกระบี่สั้นผู้ปกครองหลายคนมาหาลูกชาย รวมถึงผู้ปกครองต้นสนที่ขนกันมาทั้งครอบครัวเลยก็ว่าได้ คนก็มองเยอะเพราะมีแต่คนรู้จัก

“ดีใจด้วยนะลูก” ต้นอ้อน้ำตาซึมกอดลูกเอาไว้

“พ่อภูมิใจในตัวเรานะ” เฟื้องว่าพร้อมลูบผมลูกชาย

“หลานยายมาให้ยายกอดหน่อย”

“ครับยาย” ต้นสนพนมมือไหว้แกแล้วคุกเข่ากอดยายที่นั่งรถเข็นอยู่

“เหมือนเห็นสิงห์ตอนเด็กเลยนะ” ยายว่า

“หลานใส่ชุดนี้แล้วหล่อเว้ย” ตาสมานที่เข็นรถให้ภรรยาอย่างพิมพ์อรพูดชื่นชมหลานไม่ขาดปาก

“ขอบคุณครับตา”

“ต้นสน” สิงห์เรียกหลาน ดวงตาแดงก่ำ

พอได้ยินเสียงเรียกของใคร ต้นสนก็ลุกไปกอดผู้เป็นลุงทันที

“ตั้งใจเรียนและจบมาเป็นตำรวจที่ดีนะ” สิงห์น้ำตาไหลไม่หยุด มือก็ลูบหลังหลานอยู่อย่างนั้น

“ครับ ผมสัญญาจะเป็นตำรวจที่ดีและเก่งกาจเหมือนลุงสิงห์”

“อาจต้องเจอสถานการณ์คับขันหรืออันตราย ต้นสนต้องมีสติตลอดเวลารู้ไหมลูก” สิงห์ผละออกมาลูบหน้าหลานพร้อมกับเกลี่ยน้ำตาออกให้

“ครับ ต้นสนจะมีสติตลอดเวลา”

“ดีแล้ว จำเอาไว้นะว่าตำรวจที่ดีคือช่วยเหลือประชาชนไม่ใช่ทำร้ายประชาชน”

“เข้าใจแล้วครับ”

“ไหนมาดูให้เห็นเต็มตาหน่อยสิวะ” ลุงไฟที่ใส่ชุดตำรวจเต็มยศมาหาหลานเพราะถูกเชิญมาเปิดงานเหมือนกัน “เหมาะดีนี่หว่า ถึงจะเป็นชุดยังไม่เต็มยศก็เถอะ”

“เท่กว่าลุงไฟเยอะ” สิงห์ว่า

“อ่าวสิงห์” ไฟหันไปมองคนรักทันที

“แล้วนี่ได้เพื่อนบ้างไหม” ต้นอ้อถาม

“ได้ครับ ตอนนี้ที่สนิทก็มีอยู่สามคน” พอเปิดทางให้เพื่อนทั้งสามแล้วก็กวักมือบอกพวกมันที่จ้องมาทางนี้อย่างรอคอย ก่อนที่พวกมันจะวิ่งฉิวมาทางนี้

“สวัสดีครับ!!!” พวกมันตะเบ๊ะให้ลุงไฟและลุงสิงห์ทันที ก่อนจะหันไปไหว้ผู้ใหญ่คนอื่น

ต้นสนแนะนำญาติผู้ใหญ่ทุกคนให้ก่อนจะบอกเพื่อน “แนะนำตัวสิพวกมึง”

“ครับ! ผมโทนครับ”

“ผมเหนือครับ!”

“ศศิครับ!” ทุกคนยิ้มขันออกมาที่เห็นเพื่อนต้นสนต่างร่าเริงกันดี ไฟกับสิงห์หันมองหน้ากันเหมือนคิดอะไรบางอย่างก่อนจะถามคนสุดท้าย

“ศศิ ทำไมถึงชื่อนี้หรือ”

พอถูกคนที่ชื่นชมถามถึงกับเหงื่อแตก เขินอายแต่ก็ตอบอย่างหนักแน่น “แม่บอกว่าชื่อนี้แปลว่าพระจันทร์ครับ!! เลยตั้งให้ผมครับ!!”

“มึงจะตะโกนทำไมเนี่ย” ต้นสนว่าพลางผลักหัว

พอรู้ความหมายชื่อแล้วไฟกับสิงห์ก็ไม่ถามอะไรอีก และดูเหมือนจะรู้กันแค่สองคน

“สิงห์ ไฟ” เสียงเรียกใครบางคนดังขึ้นก็พบว่าเป็นลุงนนท์ที่เดินมาหาและลูกชายที่เดินตามหลังมาด้วย

“อ่าวนนท์ ไม่เจอกันนานเลย” สิงห์ยิ้มกว้างพร้อมกับกอดเพื่อนตบหลังเบา ๆ “นี่ชายธันใช่ไหม”

“ใช่ เห็นบอกอยากมาเรียนที่ไทย ก็เลยส่งมาที่นี่”

ชายธันยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทันที

“เหมือนพ่อตอนเด็กไม่มีผิดเลยนะ” ไฟว่า

“แล้วนี่ได้คุยกับต้นสนบ้างไหม” พอสิงห์ถามก็เกิดความเงียบขึ้น พอจะทำให้ผู้ใหญ่มองหน้าและรู้กันดี

“เหมือนฉันมากจริง ๆ นั่นแหละ” นนท์ว่าพร้อมกับโอบไหล่ลูกชาย ที่น่าจะรู้สึกแย่แม้ใบหน้าไม่ได้บ่งบอกความรู้สึก แต่คิดว่าลูกชายพยายามอย่างมากที่จะเปลี่ยนนิสัยตนเอง

“เมื่อก่อนนายก็แทบไม่คุยกับใครจนสิงห์ต้องไปทัก” ไฟเปรย

นนท์พยักหน้าทันทีเพราะไฟพูดถูก

“ต้นสนคุยกับธันบ้างนะ จะได้ช่วยเหลือกันได้”

ต้นสนนิ่งไปสักพักก่อนจะพยักหน้า เพื่อนสองคนจึงสะกิดทันที

“มึงจะเป็นเพื่อนกับมันเหรอ” เหนือกระซิบถาม

“คิดให้ดีนะเว้ย” โทนพูดอีกรอบ

ยกเว้นศศิที่เดินเข้าไปไหว้ลุงนนท์และพูดคุยกับธันเป็นปกติ เพราะหลังจากคุยกันคืนนั้นศศิก็ไปคุยกับธันจริง ๆ และดูจะสนิทมากด้วย

“ไอศศิมันคิดอะไรของมันวะ” เหนือขมวดคิ้ว

“ปล่อยมันเถอะ ธันมันก็ไม่ได้แย่” ต้นสนพูดพลางมองธันไปด้วย

“เออ ๆ ว่าไงก็ว่าตามนั้น” เหนือบอกอย่างไม่สบอารมณ์นัก

“แต่เอาจริงพอเห็นยืนสามคนแล้วโคตรเท่เลย” โทนตาวาวตัวยังเกร็งไม่หาย

“นั่นดิ นี่ถ้าคุณจันเขาไม่เสียนะมึง ดีกว่านี้อีก” เหนือว่า

ต้นสนก็คิดเหมือนกัน แต่พอรู้ว่าความจริงในอดีตที่ลุงไฟเล่าให้ฟังว่าแท้จริงแล้วลุงจันถูกลุงสิงห์ยิงก็นึกสะท้อนใจ อดีตมันช่างขมขื่นและบางเวลาก็ไม่น่านึกถึงจริง ๆ

“พวกมึง ต่อไปนี้ไอธันจะมาอยู่กลุ่มเรานะเว้ย” ศศิเดินเข้าวงพร้อมกับพาธันมาด้วย

ทั้งสามคนได้แต่มองก่อนที่จะเป็นต้นสนที่ตอบรับ “อืม”

ธันมองต้นสนนิ่งก่อนจะหลบตาเมื่อถูกจ้องมองเหมือนกัน ศศิเห็นย่างนั้นก็ตบบ่าธัน “ถ้าพวกมึงมีปัญหาหรืออยากถามอะไรก็ถามเถอะนะ จะได้ไม่ค้างคาต่อกัน”

โทนเป็นคนแรกที่ถาม “เออมึง.. คุณชาย”

“ตามสบายเลย”

โทนพยักหน้าก่อนจะถาม “มึงทำไมไม่คุยกับใครเลยวะ หรือไม่อยากคุย”

“ฉันเข้าสังคมไม่เก่ง”

“อ่าวหรือวะ”

“แล้วทำไมวันนั้นกูทักมึง ทำไมมึงทำเหมือนหงุดหงิดใส่กูวะ” เหนือถามบ้าง

ธันขมวดคิ้วทันทีก่อนจะทำหน้านึกออก “ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ พอดีวันนั้นฉันเพิ่งถูกเพื่อนในห้องคนอื่นว่ามาเลยเผลอไปหงุดหงิดใส่นาย คิดว่านายเป็นเพื่อนพวกนั้น”

“หื้อ พวกนั้น ใครวะ” โทนถามต่อ

“พวกที่ชอบถูกซ่อมน่ะ” พอได้ยินคำตอบและรู้ว่าเป็นกลุ่มที่ไม่สนการเรียนและถูกยัดเงินเข้ามา โทน เหนือและศศิต่างพากันหัวเราะออกมา

“พูดตรงดีว่ะ” โทนตบบ่า

“เออ เรื่องวันนั้นก็ช่างมันละกันกูเองก็ว่ามึงไปเยอะ ขอโทษด้วยนะ” เหนือยื่นมือไป

รอยยิ้มของธันแต้มบนใบหน้าเล็กน้อย แต่ดวงตานั้นมีประกายจนเห็นได้ชัด “ขอบคุณนะ”

“อ่าว พ่อคนหัวแข็ง คนอื่นเขาคุยกันแล้วเหลือแต่มึงนะ” ศศิว่าพลางมองต้นสนที่ยังคงยืนนิ่ง

ธันถอนหายใจ “ไม่เป็นไรหรอก เพราะเมื่อก่อนฉันทำนิสัยแย่ ๆ เยอะเหมือนกัน”

ต้นสนที่ได้ยินมองอย่างพินิจก่อนจะเดินเข้าไปหาก่อนจะยื่นมือ “ต่อไปนี้เป็นเพื่อนกัน มีอะไรต้องคุยกัน ช่วยเหลือกันและกัน ทุกคนเท่าเทียมไม่มีสูงมีต่ำ” อดไม่ได้ที่จะกระแนะกระแหนเล็กน้อย

“ได้ ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะไม่เป็นเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว แล้วก็ขอโทษด้วยนะที่เคยพูดจาดูถูกนาย” ธันว่าพลางจับมือตอบ

ต้นสนทำหน้าขรึมได้สักพักก่อนจะยิ้มกว้างแล้วเปลี่ยนไปโอบบ่า “โธ่ ก็ปรับนิสัยตัวเองได้นี่หว่า ไม่มาทักตั้งแรกล่ะวะ”

ธันเกาแก้ม “ก็คิดว่ายังโกรธอยู่”

“ต้องโกรธสิ นายจะว่าฉันไม่เป็นไรหรอก แต่สิ่งที่นายทำวันนั้นคือนายดูถูกพ่อแม่ฉันอยู่ไม่ใช่ฉัน และกำลังดูถูกงานสุจริต ดูถูกป้าสรที่เป็นแม่นมเลี้ยงดูนายมาตั้งแต่เด็ก”

พอได้ยินอย่างนั้นดวงตาธันก็ฉายแววเศร้า หันมองครอบครัวต้นสนที่มองมาทางนี้ด้วยรอยยิ้มก็พลันรู้สึกผิดขึ้นมา “ขอโทษด้วยจริง ๆ นะ” ไม่ว่าเปล่ายังเข้าไปขอโทษน้าต้นอ้อกับน้าเฟื้อง และผู้ใหญ่ก็เข้าใจไม่ถือโทษโกรธอะไร

นนท์ที่เห็นลูกชายปรับตัวเข้าหากับคนอื่นได้แล้วก็โล่งอก หันมองศศิที่ถือว่าเป็นเพื่อนคนแรกของธันที่ช่วยเหลือธันในเรื่องนี้ด้วย

“เด็กที่ชื่อศศิ นิสัยดีนะ ส่วนคนอื่น ๆ ก็พร้อมให้อภัยธัน นิสัยดีทุกคนเลย”

สิงห์กับไฟพยักหน้าทันที ก่อนที่สิงห์จะพูด “เหมือนเห็นพวกเราตอนยังเรียนนายร้อยเลย”

“นั่นสิ คิดถึงสมัยก่อน” นนท์ว่าต่อ

“หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรกับเด็กพวกนี้” ไฟพูดพลางยิ้มบาง

สิงห์มองหลานของตนพร้อมกับเพื่อน ๆ คนอื่นที่ยืนหัวเราะอย่างมีความสุข ต่อไปนี้ต้นสนก็คงจะต้องผ่านอุปสรรคด้วยตัวเองแล้ว พวกเราคงได้แต่เฝ้ามองอยู่ตรงนี้ ยืนมองดูการเติบโตของพวกเขา

ก่อนที่จะต้องให้เด็ก ๆ เตรียมตัวกลับบ้านของแต่ละคนสิงห์ก็เรียกทั้งห้าคนมายืนฟังเขาก่อนไปสักนิด

“ต่อไปนี้ก็ขอให้อย่าได้ตัดสินอะไรผิดพลาด แม้เส้นทางจะไม่ดีนักก็ขอให้ผ่านพ้นด้วยความมีสติและไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน มีเพื่อนช่วยเพื่อน มีเพื่อนปรึกษาเพื่อน เพื่อนคือคนสำคัญเสมือนคนในครอบครัว การเป็นเพื่อนที่ดีต้องสนับสนุนหากเพื่อนทำดี แต่หากว่าเพื่อนเดินทางผิดต้องห้ามเพื่อนและช่วยเพื่อนออกมา หากว่าถึงทางตันและคิดว่าตัวเองไม่มีทางออก จงอย่าลืมคนข้างกายที่ยืนอยู่ด้วยกันวันนี้ อย่าได้ปิดบังหรือเก็บความทุกข์เอาไว้คนเดียว เป็นเพื่อนกันแล้วต้องรักษาเอาไว้ดี ๆ นะ เพื่อนที่ดีพร้อมรับฟังและช่วยเหลือ เพื่อนที่พร้อมให้อภัยได้ถ้าเราทำผิดและยอมรับความผิดพร้อมจะกลับตัว หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว เข้าใจไหม”

ทั้งห้าคนยิ้มกว้างก่อนจะตะเบ๊ะออกมา “เข้าใจครับ!!!!!”

“เรื่องราวของพวกลุงในหนังสือนั้นจบไปแล้ว ตอนนี้เรื่องราวของพวกเธอยังมีต่อ ขอให้พวกเธอเดินทางไปด้วยกันจนถึงจุดหมายเลยนะ”

“ครับ!!!”

ต้นสนยืนตรงยืดอกเหมือนเพื่อนคนอื่น ไอโทนร้องไห้ออกมาแล้วส่วนศศิก็น้ำตาซึม เหนือเบะปากกลั้นน้ำตาไว้อยู่ ส่วนธันกับต้นสนเพียงน้ำตาคลอ

เพราะทุกคนที่นี่รู้เรื่องพวกท่านทั้งสามคน เพื่อนคนสำคัญคนหนึ่งที่ตายจาก คงไม่อยากให้เกิดขึ้นกับใครอีก...





จบบทที่ ๖

--------------------------------------------------------------
จริงๆแต่งตอนนี้จบหลังจากลงตอนที่5ได้สองสามวัน

แต่เพิ่งจะเอาลงหลังจากลงตอนพิเศษเรื่องพ่ายโลกันตร์จบแล้ว เพราะมันจะได้ต่อกัน5555

แต่ใครที่ไม่ได้ตามอีกเรื่องก็ไม่เป็นไรนะคะ เพราะเราก็เล่าในตอนที่5และตอนนี้หมดแล้ว

หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๖
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 10-06-2020 06:56:23
ขอชิปต้นสนvsชายธันละกัน ขอเรือแล่นคู่นี้นะ
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๖
เริ่มหัวข้อโดย: Pppkn ที่ 10-06-2020 21:35:36
กลัวว่าถ้าต้นสนเจอพี่ปราชญ์แล้วกลัวต้นสนวนลูป นับเวลาที่พี่ปราชญ์คบกับภวัตก็ 9 ปีแล้ว เส้นทางรักของต้นสนกับพี่ปราชญ์คงไม่ง่ายแน่ๆ ขอมาม่าชามใหญ่ๆเลยนะคะ พร้อมบีบน้ำตาแล้ววววววว 555
ปล.สู้ๆนะคะ
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๖
เริ่มหัวข้อโดย: piakunaa ที่ 11-06-2020 19:15:03
ต้นสนก็ไปพูดว่าไม่อยากหน้าหนาเหมือนลุงไฟต่อหน้าแกเนาะ​ 555​ เอ็นดู
เป็น​กำลัง​ใจ​ให้​นักเขียน​นะคะ​ ​สู้​ๆ​นะคะ​นักเขียน​
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๖
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 13-06-2020 21:19:03
เพิ่งเข้ามาอ่านวันนี้ หลังจากติดตามรุ่นใหญ่มาแล้ว และมาเข้าใจแจ่มแจ้งในตอนพิเศษ
ต่อไปเป็นรุ่นลูกน่าสนใจยิ่งขึ้น ขอบคุณคนเขียนที่มีเรื่องดีๆ มาให้อ่านนะจ๊ะ

คู่เด็กตอนแรกคิดว่า คู่ปราชญ์กันต้นสน อ่านตอนพิเศษตอนที่ไฟอุ้มต้นสนตอนเล็กๆ แล้วสิงห์ป้อนข้าวให้
ปราชญ์มองไปแล้วหน้าแดง ยังคิดว่าเด็กมีความรู้สึกเขินตั้งแต่เด็ก แล้วอีกคนเพิ่งเกิดอายุห่างกันมาก
จนถึงตอนนี้คิดว่าไม่ใช่แน่นอน ต้องธันเท่านั้นที่เกลียดมาแต่เด็ก แล้วแอบมาชอบต้นสนตอนโตก็ได้ อิอิอิ

หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๗
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 14-06-2020 17:26:14
 
(https://www.img.in.th/images/70674c614428f1c74d47236736aca049.jpg)

บทที่ ๗

เกลียด?




ปี ๒๕๑๔

พระนคร, ประเทศไทย


ผู้คนในวังต่างวิ่งวุ่นกันหมดโดยเฉพาะในครัวที่หม่อมย่าสร้อยเข้ามาดูด้วยตัวเองเลยทีเดียว ส่วนหม่อมแหวนก็เป็นลูกมืออยู่ข้าง ๆ สมพงษ์ออกไปรอรับคุณชายใหญ่ของวังที่จะกลับมาถึงอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า

“ตาใหญ่เขาชอบผัดพริกแกง ต้องทำเยอะ ๆ เลยนะ” หม่อมย่าสร้อยพูดเพียงเท่านั้นคนใช้ในครัวก็ตอบรับกันทันที

“แกงสายบัวด้วยค่ะคุณแม่”

“เอ้อใช่ ไปเด็ดบัวมาหรือยังเจ้าแตง”

“ไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ” แตงรีบลุกออกไปพร้อมตะกร้า

“ทำอะไรให้มันเสร็จ ๆ สิ เดี๋ยวทำไม่ทันชายใหญ่กลับมาพอดี” หม่อมย่าคิ้วมุ่นก่อนจะไปปรุงอาหารเพิ่ม

“นี่ถ้าชายกรณ์กับชายเล็กไม่ติดงานนะคะ คงวิ่งไปรับพี่ชายคนโตทันที”

“นั่นสิ เด็ก ๆ ก็โตกันหมดแล้ว เจอกันช่วงเย็นและวันหยุดเท่านั้น บางทีก็ไปทั้งท่านชายและแหวนที่ก็มีงานเหมือนกัน แม่อยู่บ้านนะเหงาแย่”

“โธ่คุณแม่คะ เดี๋ยวแหวนอยู่เป็นเพื่อนก็ได้ งานของแหวนไม่มากเท่าใด” ในครัวต่างครึกครื้น ผ่านไปไม่นานท่านชายกับชายเล็กก็กลับจากทำงาน ส่วนชายกรณ์ก็กลับตามมาติด ๆ

“หอมจังเลย หิวแล้วสิ” ชายกรณ์ลูบท้องยังอยู่ในชุดทหารเต็มยศ ใบหน้าประดับรอยยิ้ม

“ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าสิครับ อีกเดี๋ยวพี่ชายใหญ่ก็จะกลับมาแล้ว” ชายเล็กที่ทำธุระของตัวเองเสร็จเรียบร้อยเดินลงบันไดมาบอกพี่คนกลาง

“จริงด้วย เดี๋ยวพี่มานะ” ชายกรณ์ตบบ่าน้องชายแล้วรีบขึ้นห้อง

ชายเล็กจึงเดินไปในห้องนั่งเล่น เห็นเด็จพ่อนั่งอ่านหนังสืออยู่พอดี

“อ่าวชายเล็ก ชายกรณ์กลับมาหรือยัง”

“กลับมาแล้วครับ กำลังอาบน้ำอยู่”

ท่านชายนนท์คลี่ยิ้ม “จะได้เจอลูกชายพร้อมหน้าพร้อมตาสามคนเสียที”

ชายเล็กพยักหน้าแล้วเอาหนังสือมาอ่านบ้าง ผ่านไปครู่ชายกรณ์ก็ลงมาร่วมวง ยังคงพูดคุยเยอะเป็นพิเศษ

“คุณชายใหญ่กลับมาแล้วค่ะ” คนใช้สาวที่ได้ยินเสียงรถหน้าวังตะโกนบอก ทุกคนจึงรีบออกมาต้อนรับ มีคนใช้บางส่วนจัดโต๊ะกับข้าว

คนใช้สาวเดินไปเปิดประตูให้ชายใหญ่ ก่อนที่ร่างสูงเพรียวจะก้าวขาออกมา มือเรียวกระชับเสื้อสูทสีครีมและติดกระดุมเข้าด้วยกัน แว่นตาทรงกลมขอบทองเด่นสะดุดตา ใบหน้าของชายปราชญ์ไม่ได้ดูแตกต่างจากเมื่อตอนยี่สิบสักเท่าใดเลย ที่ต่างคงเป็นส่วนสูงที่เพิ่มขึ้นและความสุขุมของผู้ใหญ่

ปราชญ์จุดยิ้มบางก้มหัวขอบคุณสาวใช้และเดินเข้าไปในวัง ทุกย่างก้าวย่ำอย่างพอดีไม่ช้าและไม่เร็วจนเกินไป

“เด็จพ่อ หม่อมย่า คุณน้า” เรียกชื่อผู้ใหญ่แต่ละท่านและก้มสวัสดี ก่อนที่จะตกใจเมื่อชายกรณ์เข้ามากอด

“คิดถึงพี่ชายใหญ่จังเลยครับ” ชายกรณ์ยิ้มกว้างยังคงกอดไม่ปล่อย

“เพิ่งโทรทางไกลหาไม่ใช่หรือ”

“แต่ก็ยังคิดถึงอยู่ดีครับ”

ปราชญ์ยิ้มขำแล้วตบบ่าน้องก่อนจะหันไปกอดชายเล็ก

“ยินดีต้อนรัยกลับนะครับ”

“ขอบใจนะ” ปราชญ์ตบหลังน้องแล้วผละออกไปหาหม่อมย่าสร้อยที่อ้าแขนรอทันที

“โตขนาดนี้แล้วหรือหลานย่า คิดถึงเสียจริง”

“ผมก็คิดถึงหม่อมย่าครับ”

“ไปที่โต๊ะทานข้าวกัน ย่าทำของอร่อย ๆ ไว้ให้ชายใหญ่เพียบเลย”

“ขอบคุณมากนะครับ”

“จ้ะ”

“ไงลูกชาย” ท่านชายนนท์เดินมาโอบไหล่ที่ลูกชายสูงกว่าตนแล้ว

“เด็จพ่อเป็นยังไงบ้างครับ”

“สบายดี ยังวิ่งจับผู้ร้ายได้อยู่”

พอได้ยินอย่างนั้นสองพ่อลูกก็หัวเราะ “เดี๋ยวก็จะเกษียณแล้ว คงน่าเสียดายที่ตำรวจเก่ง ๆ ขนาดนี้เกษียณไป”

“พูดแบบนี้ พ่อได้ขออยู่ต่อพอดี”

ปราชญ์หัวเราะจนตาหยีก่อนจะหันไปก้มหัวให้น้าแหวน “คุณน้าอย่าลืมห้ามคนข้าง ๆ ไว้ด้วยนะครับ”

“ได้เลย ทำเก่งไปอย่างนั้นแหละ วิ่งทันชายเล็กหรือเปล่าก็ไม่รู้”

“อ่าวคุณ”

ทุกคนต่างหัวเราะออกมา พอเข้าห้องครัวท่านชายนนท์ก็นั่งหัวโต๊ะเช่นเดิมฝั่งซ้ายมือก็มีหม่อมสร้อยและหม่อมแหวน ส่วนฝั่งขวาเป็นชายใหญ่ตามด้วยชายกรณ์และชายเล็ก

“ชายใหญ่ไปเรียนสิบปีใช่ไหม” ย่าสร้อยถาม

“สิบห้าปีครับหม่อมย่า”

“นานเหมือนกันนะ ชายเล็กกลับมาก่อนใครเลย”

“ชายกรณ์ไปเรียนสิบเอ็ดปี ส่วนชายเล็กไปเรียนหกปีและกลับมาต่อที่โรงเรียนนายร้อยที่ไทย” หม่อมแหวนอธิบาย

“นานขนาดนี้มีใครแล้วหรือยังชายใหญ่” หม่อมย่าเปิดประเด็นนี้ขึ้นทั้งโต๊ะก็เงียบขึ้นมา

ชายกรณ์กับชายเล็กติดเรียนและงานจนแทบไม่ได้คุยเรื่องนี้เลย สองพี่น้องมองหน้ากันก่อนจะหันไปมองพี่คนโตที่ยังคงจุดยิ้มบางไม่ได้มีท่าทีใดใด

“ยังเลยครับ”

“อายุขนาดนี้แล้ว น่าจะออกเรือนได้แล้วนะลูก” หม่อมสร้อยเสริมทำให้ชายกรณ์กับชายเล็กได้แต่นั่งกลืนน้ำลายกันสองคน

ต่างจากคนพี่ที่ยังคงรักษาอารมณ์วางมาดได้อย่างปกติดี “ผมยังไม่คิดเรื่องนั้นเลยครับคุณน้า”

“แต่ก็ต้องรีบหานะ ไม่ว่าชายใหญ่จะรักจะชอบใครไม่ต้องปิดบังนะ ย่ารับได้”

“ขอบคุณครับ ไว้ถ้าผมเจอแล้วผมจะรีบบอกทันทีครับ”

ย่าสร้อยและแหวนพยักหน้า ก่อนจะไปจบที่ชายกรณ์ต่อ “ชายกรณ์ปีหน้าก็จะสามสิบแล้ว มีบ้างไหม”

ชายกรณ์ยิ้มแหย “อยู่แต่กับกองทัพ ไม่มีเวลาไปหาหรอกครับคุณย่า”

“เจ้าเด็กคนนี้นะ ส่วนชายเล็กยี่สิบสองแล้วก็รีบหา ๆ ไว้ก่อนเลย เดี๋ยวจะเหมือนพวกพี่ ๆ เขาที่อายุป่านนี้แล้วยังไม่มีกันเลย เดี๋ยวจะแก่ไม่ทันมีลูกกันหมด”

คุณชายทั้งสามทำเพียงยิ้มบาง

“จะมีใครก็ขอให้ดีกับเขา ให้เกียรติและดูแลให้ดี” ท่านชายนนท์พูดขึ้นทั้งสามจึงตอบรับพร้อมกัน

ทั้งครอบครัวพูดคุยกันเยอะกว่าทุกวัน กับข้าวก็พร่องลงเรื่อย ๆ ชายใหญ่ทานเยอะกว่าใครเพราะบ่นว่าคิดถึงอาหารไทย หม่อมย่าก็ปลื้มใจ

ทุกคนจึงไปอยู่ในห้องนั่งเล่น ปราชญ์เลยเตรียมของที่ซื้อจากอังกฤษและอิตาลีมาฝากทุก ๆ คน

“สโคนและชาจากอังกฤษครับ” เขายื่นให้คุณย่าและคุณน้า

“น่าทานมากเลย สรไปจัดเป็นของหวานหน่อย”

“ได้ค่ะ” นมสรรีบรับไปจัดเตรียมให้เพื่อแก้ของคาว

ปราชญ์ยื่นหนังสือวรรณกรรมอีกสองสามเล่มให้ชายเล็กเพราะชอบอ่านหนังสือไม่ต่างกัน ส่วนชายกรณ์ก็รับเอาแผ่นเสียงที่ขึ้นชื่อที่อิตาลีไปเพื่อเปิดเวลาอยู่ในกรม

ของเด็จพ่อก็เป็นวรรณกรรมและจิปาถะอีกเล็กน้อย รวมถึงให้ของมากมายกับคนใช้ในวังทุกคน

“แล้วนั่นของใครหรือชายใหญ่” ท่านชายนนท์ถามถึงของอีกสี่ห้าอย่างที่ถูกวางไว้

“อ่อ อันนี้ของทางบ้านพี่เฟื้องน่ะครับ”

“อย่างนั้นหรือ เอาไปให้เลยไหม พ่อเองก็ยังไม่ได้บอกเจ้าเฟื้องเลยว่าชายใหญ่กลับมาแล้ว”

ปราชญ์ชั่งใจเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้น “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมมานะครับ กลัวจะค่ำซะก่อน”

พอเด็จพ่อพยักหน้าปราชญ์ก็เดินออกจากห้องพร้อมของในมือ ปากบางจุดยิ้มเมื่อนึกถึงใครบางคนที่ไม่ได้เจอกันสิบห้าปี

แม้ว่าจะไม่มีจดหมายมาให้เลย แต่พอชายเล็กบอกว่าได้เป็นเพื่อนสนิทกับต้นสนก็อดดีใจกับทั้งคู่ไม่ได้

“พี่ชายใหญ่ครับ” ชายเล็กรีบวิ่งออกมา ปราชญ์ขมวดคิ้ว

“มีอะไรหรือ”

“คือ...” ชายเล็กทำหน้าเครียด คล้ายมีอะไรในใจ

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

“ผมไปด้วยครับ”

ได้ยินอย่างนั้นคนพี่ก็หัวเราะเล็กน้อย “พี่ไปคนเดียวได้ แค่ไปให้ของเท่านั้น”

“ก็ได้ครับ”

ปราชญ์ยิ้มบาง “เป็นห่วงพี่หรือ”

ชายเล็กหลุบตาลงและพยักหน้าแทนการตอบ

“ไม่ต้องห่วงนะ พี่ยังไม่ถามต้นสนตอนนี้หรอก บอกแล้วว่าแค่เอาของไปให้”

“ครับ”

เมื่อปราชญ์เห็นว่าน้องไม่เป็นไรแล้วจึงเดินเลี่ยงไปทางข้างวัง ข้ามสะพานที่คุ้นตาไปอีกฝั่ง ทุกอย่างยังเหมือนเดิมแต่ดูเหมือนว่าไร่นากับไร่ต้นตาลรวมถึงโรงสีของพี่เฟื้องจะใหญ่โตขึ้นมาก เรียกได้ว่าที่นี่มีหมู่บ้านขึ้นมาอีกหมู่บ้านหนึ่งเลยก็ว่าได้ ข้างล่างเรือนไม้แห่งนี้ดูจะเติมต่อจนกลายเป็นบ้านสองชั้น

ปราชญ์ก็ลืมถามเลยว่าคนครอบครัวนี้อยู่ด้านบนหรือข้างล่างกัน เลยได้แต่ยืนด้อม ๆ มอง ๆ ข้างหน้า

“หือ มาหาใครคะ” เสียงใสของเด็กสาวคนหนึ่งถามก่อนที่เธอจะเดินลงมาจากบนชั้นสอง

ปราชญ์เอียงหัวเล็กน้อย คนนี้ใครกันใช่คนงานหรือเปล่า “คือผมชื่อปราชญ์ครับ อยากจะถามว่าพี่เฟื้องอยู่ไหมครับ”

เด็กสาวนิ่งไปตั้งแต่ตอนแนะนำตัว เธอตกตะลึงจนคนมองทำตัวไม่ถูก “พี่ปราชญ์...”

คำเรียกนี้ทำปราชญ์อดสงสัยไม่ได้ก่อนจะนึกออกและลองเชิงถาม “ฟ้าใส.. ใช่ไหม”

เด็กสาวยิ้มกว้างพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ใช่ค่ะ”

“โห ไม่เจอกันนาน โตเป็นสาวแล้วนะ”

“พี่ปราชญ์จำฟ้าใสได้ด้วยเหรอคะ” เพราะเธอไม่เคยไปเล่นกับพี่ปราชญ์เลย มีแต่พี่ปราชญ์มาเล่นที่บ้าน แต่ก็ยังคงไม่ได้เล่นด้วยบ่อยเท่าพี่ต้นสนอยู่ดี

“จำได้สิคะ”

ฟ้าใสอดแก้มแดงไม่ได้ เพราะเสียงทุ้มนุ่มนี้ “ดีใจจังเลย ถ้าอย่างนั้นขึ้นมาก่อนเลยค่ะ พ่อเฟื้องไปดูโรงสีอยู่ ส่วนแม่ต้นอ้ออยู่อีกบ้านหนึ่งดูและคุณย่ากับคุณตาอยู่ค่ะ พี่ต้นสนไปช่วยคนงานตามประสาคนไม่มีอะไรทำหลังกลับจากงาน”

พอได้ยินชื่อใครหัวใจก็เต้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ “ไม่เป็นไรค่ะ พี่แค่เอาของมาให้ไว้ฝากบอกพี่เฟื้องและพี่ต้นอ้อให้ด้วย ของนี่ก็ให้พวกท่าน และของฟ้าใสกับต้นสนก็มีนะ ส่งตรงจากอังกฤษและอิตาลีเลย”

“โหย ขอบคุณนะคะ” ฟ้าใสยกมือไหว้และรับของไป

“ไว้พรุ่งนี้หรืออาจจะเป็นวันมะรืนพี่จะมาหาอีกทีนะ”

“ได้เลยค่ะ จะบอกพ่อกับแม่ไว้ให้ พวกท่านต้องดีใจมากเลยที่พี่ปราชญ์กลับมาแล้วโดยเฉพาะพี่ต้นสน ถึงฟ้าใสจะยังเด็กแต่จำได้ว่าพี่ต้นสนติดพี่ปราชญ์มาก”

ปราชญ์ทำเพียงยิ้มบาง ก็หวังว่าจะได้คุยกับต้นสนเหมือนกัน อยากเห็นว่าจะดีใจไหมที่พี่คนนี้กลับมาแล้ว “ถ้าอย่างนั้น พี่ขอตัวก่อนนะคะ”

“ค่ะ ขอบคุณสำหรับของฝากนะคะ”

ชายหนุ่มพยักหน้าหันมองด้านหลังที่เป็นบ้านคนงาน ก็อดจะมองหาคนที่อยากเจอไม่ได้ แต่ก็คงไม่พบ เขาไม่เคยเห็นรูปตอนโตของต้นสนเลย ไม่รู้ว่าเปลี่ยนไปขนาดไหนแล้ว เคยขอชายเล็กให้ส่งรูปมาให้ดูบ้าง แต่ก็ไม่เคยได้เสียที

ถ้าเจอกันจะถามให้ได้เลยว่าทำไมถึงไม่ตอบจดหมาย

 


เฝ้าคำนึง

 


เช้าของอีกวันมาถึงปราชญ์ต้องไปทำเรื่องเข้าบรรจุเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย เพราะได้ให้ชายกรณ์จัดการเรื่องสมัครไว้แล้ว รอกลับมายื่นเรื่องทีเดียว

“จะไปแล้วหรือ”

“ครับเด็จพ่อ”

“ถ้าตอนเที่ยงอยากทานอะไร ไปทานร้านก๋วยเตี๋ยวที่เยาวราชได้นะ ร้านป้าเช้ง จำได้ไหม”

ปราชญ์พยักหน้า “จำได้ครับ ว่าแล้วก็อยากทานเลย”

“มาทานด้วยกันได้นะ มีแต่คนรู้จักทั้งนั้น”

“ได้ครับ ไว้ผมจะไป ตอนเที่ยงใช่ไหมครับ”

ท่านชายนนท์พยักหน้าก่อนจะขึ้นรถไปกับชายเล็กที่เป็นคนขับ เพราะทำงานที่กรมพระนครเหมือนกัน

“หวังว่าจะได้เข้านะครับ อาจารย์” ชายกรณ์โบกมือและขึ้นรถของตัวเอง

“ขับรถดี ๆ นะ” ปราชญ์บอกน้องก่อนที่ตนจะขับรถของตัวเองบ้าง

มาถึงมหาลัยก็ทำอะไรนานพอควร ปราชญ์ยกนาฬิกาขึ้นดูทันทีหลังจากเสร็จทุกอย่าง

“จะทันไหมนะ” ได้แต่บ่นออกมา รีบก้าวเท้าอย่างรวดเร็วจนเกือบวิ่ง เพราะเป็นเวลาเที่ยงมาได้สักพักแล้ว

ขับรถมาถึงเยาวราชก็เกือบสามสิบนาที ปราชญ์พับเสื้อสูทอย่างดีและเอาไว้ในรถแทน ตอนนี้จึงมีเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวกับเสื้อกั๊กสีน้ำตาลเท่านั้น

“นั่นไงมาแล้ว” ท่านชายนนท์มองลูกชายที่รีบเดินเข้ามา

“ขอโทษนะครับที่ให้รอ”

“ไม่เป็นไรนั่งสิ”

“ครับ” ปราชญ์นั่งลงใกล้กับน้องชายที่มาด้วย ถัดจากชายเล็กไปไม่รู้ว่าคือใคร แต่ดูยังหนุ่ม น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับชายเล็ก ปราชญ์มองค้างไปสักพัก เพราะถูกดวงตาเรียวเล็กนั้นจับจ้อง ใบหน้าคมดุนั้นทำให้ปราชญ์เผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้สาเหตุ

“นี่อธิบดีกล้า”

“โธ่ท่านชาย ผมยังเป็นรองอยู่เลยครับ” อดีตหมวดกล้าตอนนี้เป็นท่านรองพูดเสียงเบา ปราชญ์ยกมือสวัสดีท่าน

“แล้วนี่คืออธิบดีอิฐ”

“สวัสดีครับ”

“หน้าคล้ายคุณปิ่นเลยนะ” อธิบดีอิฐว่า

ปราชญ์จึงคลี่ยิ้มผงกหัวเป็นการตอบรับ

“เหมือนแม่ทุกอย่างเลยเด็กคนนี้น่ะ นิสัยก็คล้ายเคียง ใจดีแต่เวลาโกรธนะน่ากลัว เป็นงานบ้านยิ่งกว่าสาวใช้บางคนในวังเสียอีก แล้วก็ยังเป็นอาจารย์เหมือนแม่เขาล่ะ” ท่านชายนนท์พูดพลางยิ้ม พลันใจก็อุ่นซ่านยามคิดถึงภรรยาเก่า

“ผมไม่เคยโกรธเลยนะครับ เด็จพ่อก็ทูลเกินจริง”

“ไม่เกินไปหรอก ถามชายเล็กสิ ยอมพี่เขาตลอด”

ชายเล็กพยักหน้าปราชญ์จึงคลี่ยิ้มออกมา

“พี่เป็นอย่างนั้นหรือ”

“ทุกครั้งที่ผมดื้อนั่นแหละครับ”

“พี่ดุนิดเดียวเอง ไม่ได้โกรธเสียหน่อย”

“ก็เหมือนกันนั่นแหละ” ท่านชายนนท์ว่าก่อนจะผายมือทางอีกคนที่ยังไม่ได้แนะนำ “ส่วนนั่น—”

ผมหมวดชลันครับ” เสียงทุ้มขัดขึ้นก่อนที่หมวดชลันจะผงกหัวขอโทษผู้ใหญ่ที่พูดแทรก

“ทำตัวดี ๆ หน่อย” รองกล้าอดจะเตือนไม่ได้

“ขอโทษครับ”

“ไม่เป็นไรหรอก” ท่านชายนนท์พอจะเข้าใจเมื่อเห็นชายเล็กส่งสายตามา

ปราชญ์อดไม่ได้ที่จะอึดอัดขึ้นมา หมวดชลันดูเหมือนไม่ค่อยยากจะพูดคุยกับเขาสักเท่าใด

“เป็นเพื่อนกับชายเล็กน่ะ”

ปราชญ์พยักหน้าและหันไปยิ้มให้ตามมารยาท “ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

หมวดชลันทำเพียงผงกหัว ใบหน้ายังคงเรียบนิ่งและก้มหน้ากินก๋วยเตี๋ยวต่อ

“แล้วเรื่องที่มหาลัยเป็นอย่างไรบ้างล่ะ”

“คงได้ไปเริ่มสอนวันมะรืนน่ะครับ”

“อืม ดีแล้ว ไว้จัดงานพรุ่งนี้เลยนะ”

ปราชญ์ขมวดคิ้วทันที “งานอะไรหรือครับ”

“ก็งานต้อนรับกลับมาของชายใหญ่ไง”

“โธ่ เด็จพ่อครับ”

“เอาหน่า จะได้จัดให้กับน้องด้วยไง”

“ผมจัดไปแล้วไม่ใช่หรือครับ” ชายธันว่าก่อนจะเม้มปากเมื่อเผลอผิดประเด็น “จริงด้วยครับ จัดต้อนรับสามคนเลยก็ดี”

ปราชญ์อดจะส่ายหัวให้กับสองพ่อลูกคู่นี้ไม่ได้ “เอาเถอะครับ ผมยังไงก็ได้”

“ดีเลยนะครับ ผมจะได้เอาของต้อนรับมาให้”

“ไม่เป็นไรครับท่านรอง”

“นั่นสิ ผมก็ว่าจะเตรียมไว้ให้เหมือนกัน”

ปราชญ์เกรงใจพวกท่านแต่คงห้ามผู้ใหญ่ไม่ได้

เมื่อถึงเวลาที่ต้องไปทำงาน ท่านชายนนท์ก็นั่งรถด้านหลังพร้อมกับท่านรองและอธิบดีอิฐ ส่วนหมวดชลันขับและชายเล็กนั่งข้างคนขับ

“ชายใหญ่กลับไปบอกที่บ้านไว้เลยนะเรื่องจัดงาน”

“ได้ครับ” ปราชญ์พยักหน้าก่อนจะยืนรอให้รถคันนี้ออกไปก่อน สายตาก็ผันไปมองหมวดชลัน คนแอบมองตกใจไม่น้อยเมื่ออีกฝ่ายก็หันมองเช่นกัน ดวงตาทั้งสองสบกันอยู่อย่างนั้นแล้วก็เป็นหมวดชลันที่หันไปมองถนนทำหน้าที่ขับรถแทน

ถึงเพิ่งจะเคยเจอกัน แต่ปราชญ์คิดว่าผู้ชายคนนี้คงมีอะไรในใจ จะเกี่ยวกับเขาหรือเปล่าก็ไม่อยากจะใส่สีตีความไปเอง ไว้รอถามชายเล็กเสียดีกว่า

 


เฝ้าคำนึง

 


ตลอดทั้งวันปราชญ์ได้ออกไปชมในเมืองว่ามีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง บางที่ก็ต่อเติมมากขึ้นและมีของขายเยอะทีเดียว ซื้อของน่ากินมาเยอะเพราะคิดถึงขนมที่ไทย เขาเอาไปให้ป้าสรเพื่อแจกจ่ายคนใช้ เพราะปราชญ์คงทานคนเดียวไม่หมด

จนเย็นแล้วก็ได้ยินเสียงรถขับเข้ามา เด็จพ่อไปพักที่ห้องส่วนชายธันก็ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่เพียงครู่น้องก็เดินลงมา

“จะไปไหนหรือชายธัน”

“ไปสอนหนังสือเด็กน่ะครับ”

“หื้อ เด็กที่ไหน” ปราชญ์วางหนังสือลงแล้วลุกไปหาน้อง

“เด็กคนงานที่ไร่น้าเฟื้องครับ พอดีว่ามีเด็กบางคนที่ไม่มีเงินไปเรียนเลยเรียนที่วัด ผมเลยว่าจะไปช่วยสอนเพิ่มเติม”

ปราชญ์ยิ้มขึ้นมาทันที “พี่ไปด้วยสิ พี่อาจจะสอนภาษาอังกฤษให้เด็ก ๆ ได้”

ชายธันนิ่งไปครู่คล้ายคิดอะไรก่อนจะพยักหน้า “ได้ครับ”

“หรือเราจะดูแลเรื่องเงินระหว่างเรียนดีไหมชายธัน” ปราชญ์เปิดปากถามทันทีเมื่อเดินออกมากับน้อง

“ผมก็เคยคิดครับ แต่ว่าที่บ้านเขาเกรงใจไม่ขอรับไว้ หวังว่าจะให้ลูกโตมาทำงานเลย”

“แบบนั้นก็ไม่ใช่เรื่องดีนะ เรียนรู้บ้างประดับสมองไว้”

“เคยพูดแล้วครับ แต่ก็ไม่เอากัน”

ปราชญ์ถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยเขาเท่าที่ช่วยได้แล้วกัน เด็ก ๆ จะได้มีความรู้ติดตัว”

ทั้งสองเดินมาจนถึงไร่ ปราชญ์อดมองขึ้นไปบนบ้านของพี่เฟื้องไม่ได้ และชายธันคงรู้ดีจึงเอ่ยบอก

“อยากเจอต้นสนหรือครับ”

“ก็อยากนะ แต่ไม่รู้จะอยู่หรือเปล่า”

ชายธันมองไปบนบ้าน “ไม่อยู่หรอกครับ”

“ชายธันรู้ได้ยังไง”

“เดี๋ยวพี่ชายใหญ่ก็รู้ครับ” ชายธันว่าเพียงเท่านั้นก็เดินนำไปที่สอนเด็กก่อนใคร ตลอดทางเดินก็มีแต่คนทักทายชายธัน

เขาเห็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนขึ้นทำให้อดปลื้มใจไม่ได้ น้องชายเขาโตขึ้นแล้วสินะ

“พี่ธัน” เด็กเล็กนับหกคนตะโกนเสียงดังเมื่อเห็นอาจารย์จำเป็นเข้าบ้านแห่งหนึ่งที่ไว้สำหรับสอนเด็ก

ปราชญ์ยิ้มอย่างเอ็นดู เด็ก ๆ ดูรักชายธันมาก สิบห้าปีที่ไม่อยู่ที่ไทย ชายธันพัฒนานิสัยไปเยอะเลย นี่สินะความรู้สึกที่พ่อแม่เห็นลูกตนเองเติบโตขึ้น

เปรยยิ้มได้ไม่นานก็ต้องชะงักเมื่อหันไปเห็นใครบางคนที่เพิ่งเดินเข้ามา ดูอีกฝ่ายจะตกใจเหมือนกันที่เห็นเขา เป็นหมวดชลันที่เจอกันเมื่อตอนกลางวัน จะว่าไปแล้วก็ลืมถามชายธันเรื่องของคนคนนี้เลยว่าไม่ชอบอะไรเขาหรือเปล่า

“เด็ก ๆ พี่จะแนะนำให้รู้จักนะ พี่คนนี้ชื่อปราชญ์จะมาสอนหนังสือให้พวกเรา”

“จริงเหรอ” เด็กสาวคนหนึ่งเงยหน้าถาม

“จริงค่ะ จะมาสอนภาษาที่สองให้”

“อะไรคือภาษาที่สองหรือครับ”

ปราชญ์ยิ้มบางก้มตัวเล็กน้อยแล้วยกมือวางบนกลุ่มผมนุ่ม “ภาษาอังกฤษครับ ไว้ติดตัวเผื่อได้ทำงานกับคนต่างชาติ”

“โห” เด็ก ๆ ตาโตกันหมด

“เรียน ๆ อยากเรียนครับ” พอเด็กคนนึงตะโกนบอกทุกคนก็กระโดดโหยง ๆ พร้อมเพรียงลืมพี่ธันไปชั่วครู่เมื่อเจออาจารย์คนใหม่

“เดี๋ยวไว้วันหลังพี่จะซื้อหนังสือมาให้นะครับ อยากได้กันไหม”

“อยากได้ครับ/ค่ะ”

ปราชญ์รู้สึกอบอุ่นเมื่อเห็นเด็กเล็กน่ารักน่าเอ็นดูอย่างนี้ คิดถึงสมัยก่อนเลยนะ ที่มีเด็ก ๆ สามคนวิ่งห้อมล้อม

“ฉันลืมบอกไปว่าพี่ปราชญ์จะมาร่วมสอนด้วย” ชายธันบอกกับเพื่อนสนิทที่คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น

“ทำไมไม่คุยกันก่อน” น้ำเสียงแข็งกร้าวนั้นทำเอาปราชญ์ที่นั่งเล่นกับเด็ก ๆ อดจะเงยหน้ามองไม่ได้

“ขอโทษด้วย แต่มันก็ดีไม่ใช่หรือที่มีคนมาช่วยเพิ่ม พี่ปราชญ์ก็จบทางด้านครูมาคงช่วยอะไรได้เยอะ”

หมวดชลันยังคงดูคุกรุ่น “แต่ก็ต้องคุยกับฉันก่อน”

ปราชญ์เห็นท่าไม่ดีจึงบอกเด็ก ๆ ว่าให้ไปนั่งรอที่โต๊ะกันก่อน “ผมต้องขอโทษจริง ๆ ครับ ที่ไม่ได้มาขออนุญาตก่อน แต่ผมอยากสอนเด็ก ๆ อยากให้ความรู้พวกเขา”

หมวดชลันหันมอง “คุณก็มีงานของคุณแล้ว ไม่ต้องลำบากหรอกครับ”

คนมีน้ำใจถึงกับเสียความรู้สึกที่ถูกพูดอย่างนี้ใส่ “ผมไม่ลำบากเลย และผมก็เต็มใจมากที่จะมาสอน หากว่าหมวดชลันมีปัญหาอะไรกับผม ควรจะคุยกันตรง ๆ ไม่ใช่มาทำแบบนี้ นอกจากจะไม่ได้อะไรแล้ว คุณยังเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องเรียนของเด็ก ๆ”

บรรยากาศรอบกายเริ่มตึงเครียดเรื่อย ๆ ชายธันถอนหายใจแล้วหันมองเพื่อน “นายควรจะมีเหตุผลมากกว่านี้นะ”

หมวดชลันมองเพื่อนก่อนจะจำยอม “ก็ได้ครับ ผมก็แค่ห่วงว่าคุณคงจะไม่มีเวลาว่างมาก”

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ถ้าผมไม่ว่างผมจะมาบอก” ปราชญ์ยิ้มบางแต่ดวงตากลับไม่ยิ้ม ใช้ดวงตาฟาดฟันกันแทน เขาไม่ใช่คนใจเย็นขนาดนั้นและหากใครเอาเรื่องส่วนตัวมารวมกับคนอื่นก็ยิ่งไม่ชอบ ถ้าจะไม่ให้มาสอนเด็กเพราะเกลียดกันหรือเพราะอย่างอื่นก็ตาม ดูเป็นคนไม่มีความคิดเอาซะเลย

“ครับ ถ้าอย่างนั้นก็หวังว่าจะสอนได้ดีนะครับ” หมวดชลันเปรยยิ้มบ้าง แต่เป็นยิ้มที่เย้ยหยัน

“รับรองครับ”

ชายธันมองทั้งคู่สลับกันก็ได้แต่กุมขมับ แล้วรีบพาพี่ชายตนไปสอนเด็ก ๆ และทำความรู้จักเพื่อหยุดการปะทะคารมนี้

หมวดชลันนั่งอยู่ด้านหลังเอาแต่มองการสอนของผู้มาใหม่ ชายธันไปนั่งโต๊ะของผู้สอนเพื่อเตรียมหนังสือการสอนของตัวเอง

“ใครท่องเอบีซีได้พี่จะให้ขนมเป็นรางวัล จะท่องช้าท่องเร็วก็ได้ทุกคน ถ้าใครพร้อมก็บอกพี่ได้นะ ไม่ต้องรีบและไม่ต้องกลัวว่าจะจำไม่ทันเพื่อนนะครับ ถ้าใครได้แล้วก็ช่วยเพื่อนด้วยนะ”

“เย้” ทุกคนดีใจเพราะเวลาเรียนไม่มีของตอบแทนเลย

“ดีจังมีครูเป็นพี่ปราชญ์ได้ของเป็นขนมด้วย” เด็กคนหนึ่งพูดขึ้นทุกคนจึงพยักหน้าและก็อยากจะท่องได้เร็ว ๆ เพื่อจะได้ขนม

ปราชญ์ยิ้มเอ็นดูเมื่อเด็ก ๆ มุ่งมั่นเริ่มพากันท่อง ก่อนจะเงยหน้ามองคนด้านหลังสุดที่มองเขาไม่หยุด แล้วก็เห็นว่าอีกฝ่ายหลบตาทันทีที่สบกัน

พี่ต้นสน!” และเสียงเรียกนั้นก็ทำปราชญ์ตกใจทันที ทางหน้าเข้าบ้านเป็นฟ้าใสที่เดินเข้ามา ก้อนเนื้อในอกเต้นระรัว เพื่อจะหาว่าใครกันคือต้นสนแล้วสายตาของฟ้าใสที่มองไปทางหลังห้องทำให้ปราชญ์แทบกลั้นหายใจ “พี่ลืมเอาหนังสือมาด้วย เดี๋ยวก็ได้อดสอนเด็กพอดี... อ้าว พี่ปราชญ์ก็มาสอนหรือคะ”

ปราชญ์ไม่รู้จะตอบอะไร ดวงตาเขาสั่นระริก มองคนด้านหลังที่เคยยิ้มเย้ยหยัน มองคนที่เคยจ้องเขาคล้ายไม่ชอบ จะกลายเป็นคนเดียวกับคนที่เขาอยากพบ

“คงไม่ต้องบอกแล้วใช่ไหมคะ ว่านี่คือพี่ต้นสน”

หมวดชลันที่ว่าหรือต้นสนดูหน้าเสียไป เด็กคนนั้นไม่กล้ามองหน้าเขาอีก

“หรือครับ หมวดชลันคือต้นสนเองหรือ” ปราชญ์ยิ้มบางแม้ดวงตาคลอเล็กน้อยและคงไม่มีสังเกตเห็น “พี่ก็เพิ่งจะรู้เหมือนกันครับ ว่าหมวดชลันเป็นใคร”

“อ่าวพี่ต้นสนไม่ได้บอกพี่ปราชญ์หรือ” ฟ้าใสหันถามพี่ชาย

“กลับบ้านไปได้แล้ว”

“เอ้า อะไรของพี่เนี่ย”

ปราชญ์คล้ายถูกทุบหน้า ถ้าจะบอกว่าไม่รู้ว่าเขาคือใครก็คงจะไม่ใช่ในเมื่อแนะนำตัวไปตั้งแต่พบกันที่ร้านก๋วยเตี๋ยวแล้ว ที่พูดชื่อขัดเด็จพ่อเพราะไม่อยากให้เขารู้ด้วยใช่หรือเปล่าว่าตัวเองเป็นใคร เขาอาจจะผิดที่จำต้นสนไม่ได้เพราะเปลี่ยนไปมาก ตัวสูงขึ้น ใบหน้าคมเข้มนั้นทั้งเรียบนิ่งและเย็นชา มันต่างจากตอนเด็กที่ร่าเริงเสมอ แต่ทำไมถึงทำเหมือนไม่รู้จักกัน ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าเขาคือใคร ทำไมทำเหมือนไม่ชอบหน้ากันอย่างนี้

รอบคอยังคงมีสร้อยถักสีดำ ปราชญ์คงไม่สังเกตหรอกเพราะต้นสนเก็บสร้อยไว้ในเสื้อคอกลมสีขาวนั่น แต่พอรู้ว่าเป็นใครแล้วยังคงเห็นรอบคอยังคงใส่สร้อยที่เขาให้ มันก็มั่นใจไปอีกเปลาะ

ทั้งดีใจและเสียใจ

ต้นสนลุกออกไปเมื่อทนความอึดอัดไม่ได้ ปราชญ์ไม่รู้ว่าทำไมถึงปวดหนึบตรงอกจนอยากจะร้องไห้ออกมา

“กลับวังก่อนไหมครับ”

“ทำไมไม่บอกพี่” ปราชญ์หันมองน้อง “เพราะอะไร”

“ผมขอโทษ”

ปราชญ์หลับตาเพื่อเก็บความเจ็บปวดไว้ ถึงจะมีเรื่องเกิดขึ้นแต่เขาก็ไม่ชอบทิ้งคนอื่น เขายังสอนเด็ก ๆ ต่อจนจบ

ชายธันต้องอยู่สอนต่อ ปราชญ์จึงขอตัวกลับก่อนเพราะคงอยู่ต่อไม่ไหว

เดินกลับทางเดิมก็ต้องผ่านบ้านพี่เฟื้อง ไม่แปลกที่จะเจอใคร ปราชญ์ชะงักเท้าเมื่อเห็นคนที่เพิ่งเดินหนีมายืนอยู่หน้าบ้าน ต้นสนหันมองเพียงครู่และตั้งท่าจะเดินขึ้นไป ปราชญ์จึงพูดขึ้น

“ไม่เจอกันตั้งนาน เย็นชาขึ้นนะ”

ต้นสนนิ่งไปทันที

“ไม่ตอบจดหมาย กลับมาเจอก็ทำเหมือนไม่อยากพบหน้า ไม่อยากคุย มันเพราะอะไร” ขณะที่พูดดวงใจก็บีบรัดจนแทบหายใจไม่คล่อง มันปวด อึดอัดจนไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นขนาดนี้ “ต้นสนเกลียดพี่แล้วหรือ”

เพียงเท่านั้นหยดน้ำสีใสก็ล่วงผล็อยลงอย่างห้ามไม่ได้อีกต่อไป

ต้นสนหันมามองดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นคนตรงหน้าร้องไห้

“พี่ไปทำอะไรให้ต้นสนโกรธหรือ บอกพี่หน่อยได้ไหม”

หมวดชลันผันหน้าหนี “ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมไม่ได้โกรธอะไรคุณชาย”

คุณชายหรือ... ห่างเหินขนาดนี้ จะให้คิดอย่างอื่นได้อย่างไร

“ได้ครับ พี่จะเชื่อ” ปราชญ์พยักหน้าและเช็ดน้ำตาตัวเอง “ต้นสนคงไม่ดีใจที่พี่กลับมา”

ไม่ต้องถามอะไรอีกแล้วในเมื่ออีกฝ่ายออกอาการต่อต้านเขาขนาดนี้ ยิ่งถามยิ่งคาดคั้นมันจะได้อะไรขึ้นมา เพราะต้นสนไม่อยากคุยกับเขา

“ยินดีที่ได้พบต้นสนอีกนะ ถึงพี่จะบอกว่าคิดถึงต้นสนมากแค่ไหนแต่ต้นสนก็คงไม่รับหรอก” ปราชญ์มองอีกฝ่ายที่ไม่แม้จะมองมา “โตขึ้นแล้ว ได้เป็นตำรวจอย่างที่อยากเป็น ดีใจด้วยนะ”

ต้นสนเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็เงียบไป ปราชญ์ยืนรอหวังว่าคนตรงหน้าจะพูดอะไรกับเขาบ้าง แต่ก็ไม่มีเลยจึงคิดได้ว่าอยู่ตรงนี้ไปก็ทำให้ต้นสนอึดอัดเปล่า ๆ

“ถ้าอย่างนั้นพี่ขอตัวนะ ขอโทษที่มากวน สวนเด็ก ๆ พี่ยังมาสอนเหมือนเดิม อาจจะเจอกันบ้างแต่จะพยายามไม่มาให้เห็นหน้า”

คำพูดนั้นเหมือนเข็มที่ทิ่มแทง ต้นสนกัดฟันกรอด พี่ปราชญ์เดินกลับไปแล้วปล่อยให้ต้นสนนั่งลงกับขั้นบันไดกุมหน้าผากตัวเองอยู่คนเดียว





จบบทที่ ๗

------------------------------------------------------------------------------------
ตายแล้วมีแต่คนเชียร์ต้นสนกับชายธัน55555555
พี่ปราชญ์ร้องไห้แล้วววว ร้องจริง ร้องหยกๆเมื่อกี้เลย

หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๗
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 14-06-2020 18:47:05
ก็ยังจะอยากชิปต้นสนกับชายธันอยู่ดี 5555555... 3Pซะเลย
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๗
เริ่มหัวข้อโดย: piakunaa ที่ 15-06-2020 09:59:39
อ่านตอนนี้​แล้วใครจะสงสารพี่ปราชญ์​ก็สงสารไปค่ะ​ แต่เราทีมต้นสนมาตั้งแต่ต้น​ จุดยืนเราแข็งแกร่ง​มั่นคงต่อต้นสนเท่านั้น​ ดิชั้นรู้สึกสะใจมากที่เห็นพี่ปราชญ์​ร้องไห้​ แค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำกับสิ่งที่ต้นสนต้องเจอ(แอบรักมันเจ็บ)
เป็น​กำลัง​ใจ​ให้​นักเขียน​นะคะ​ สู้​ๆ​นะคะ​นักเขียน​
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๗
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 15-06-2020 20:21:07
ยังไง ก็ยังอยากจะเชียร์ ธัน+ต้นสนอยู่ดี ถึงแม้จะเป็นไปไม่ได้ อิอิอิ
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๗
เริ่มหัวข้อโดย: Tin Tin ที่ 17-06-2020 22:07:17
จิ้นต้นสนกับชายธันอ้ะ
ถ้าพล็อตเรื่องเป็นต้นสนดัดนิสัยคุณชายเอาแต่ใจอย่างชายธัน จะเป็นยังไง  :laugh:
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๗
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 17-06-2020 22:22:03
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๗
เริ่มหัวข้อโดย: Pppkn ที่ 17-06-2020 22:51:57
ดูทรงคนที่รักมาก ก็เจ็บมากที่สุด

เมื่อไหร่พี่ปราชญ์จะรู้ใจตัวเอง // ปาเพลงอยากรู้หัวใจตัวเองของ วี ให้พี่ปราชญ์
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๘
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 21-06-2020 18:18:33
 

(https://www.img.in.th/images/2a26b0d98001595d7e06e533feb7cd8c.jpg)

บทที่ ๘

ฝืน




ผ่านพ้นมาช่วงเย็นของอีกวัน งานต้อนรับคุณชายใหญ่ของวังศุลภาณันท์ก็ถูกจัดขึ้นอย่างหรูหรา แขกมากหน้าหลายตาต่างก็มาร่วมงานยินดีต้อนรับกลับของคุณชายปภารัช รวมถึงมีน้อง ๆ มาร่วมเปิดงาน

ปภารัชอยู่ในชุดสูทสีครีม ผูกโบสีเดียวกันเข้ากันดีกับเสื้อกั๊ก น้องชายพากันใส่สูทออกสีเข้ม เพราะบอกว่าเจ้าของงานจะได้เด่น

ไหนว่าจัดรวมกันสามคนไม่ใช่หรือ

“สวัสดีครับคุณอา”

“สวัสดี ๆ โตขึ้นเยอะเลยนะ”

ปราชญ์ยิ้มบาง ทักทายใครหลาย ๆ คนและรับของมาบ้าง

“พี่ชายใหญ่ครับ”

“ว่าไงชายกรณ์ หิวแล้วหรือ”

“เปล่าครับ” อิตธิกรณ์ส่ายมือแล้วก้มกระซิบ

“หม่อมย่าฝากถามว่าสนใจไปนั่งร่วมวงกับน้องวรัญหรือเปล่า ถ้าสนใจให้ไป หรือถ้าไม่ก็รับแขกต่อ”

ปภารัชถอนหายใจ “ไม่ไปแล้วจะดูเสียมารยาทน่ะสิ”

“ไม่หรอกครับ หม่อมย่าท่านกระซิบกระซาบกับผมอีกที ไม่ได้บังคับ เพราะผู้ใหญ่เขาก็คุยกันอยู่”

“ถ้าอย่างนั้นพี่ขออยู่ที่นี่ต่อแล้วกัน”

ชายกรณ์พยักหน้า “จะว่าไปแล้ว พี่จะบอกเรื่องคุณภวัตกับผู้ใหญ่เมื่อไรหรือครับ”

ปราชญ์เงียบลงลืมบอกเรื่องนี้กับน้อง ๆ เลย ทว่า ยังไม่ทันจะเอ่ยปากใดใด ก็ถูกหม่อมแหวนเรียกให้ไปรับแขก เรื่องคนรักของปราชญ์จึงลืมเลือนไปอีกครา

งานเริ่มตั้งแต่ช่วงเย็นจนถึงค่ำ ปภารัชดื่มไวน์และมองไปรอบ ๆ งาน บรรยากาศดูอบอุ่นเสียจริงในความรู้สึกของคนที่ไปเรียนต่างแดนมาเนิ่นนาน

ด้วยอายุก็มากขึ้นนี้ ปภารัชคิดว่าบางทีอาจจะหาซื้อบ้านสักหลังที่ห่างไกลผู้คน อยู่แถบชายทะเลก็ดีไม่หยอก กลิ่นไอเกลือและเสียงคลื่นซัด นึกแล้วก็อดยิ้มกับตัวเองไม่ได้

แต่คงไม่ไปเร็ว ๆ นี้หรอก คิดว่ารออีกสักสิบ ยี่สิบปีค่อยไปทำเลที่นั่น

ถึงแม้ว่าอาจจะได้อยู่ที่นี่เพราะต้องเป็นคนดูแลจัดการแทนเด็จพ่อในอนาคต แถมยังมีสอนที่มหาลัย คงต้องยี่สิบปีอย่างต่ำที่อยู่ที่นี่แล้วแหละนะ

“ไงคุณชาย” เสียงใครบางคนทักขึ้น ปภารัชหันไปมองก่อนจะคลี่ยิ้มกว้าง

“ราม ไม่เจอกันนานเลย” รามคือเพื่อนสมัยมัธยมที่สนิทมากคนหนึ่ง ตอนนี้เห็นว่ามีภรรยาและลูกสาวอีกสองคน

“ไปนอกมาได้สาวผมทองกลับมาบ้างหรือเปล่าวะ” รามก้มถามอย่างสนอกสนใจ

“ได้อะไรล่ะ ไม่มี”

รามถอนหายใจ “อะไรวะไอคุณชาย เสียของชะมัด”

“แค่ไปเรียนไม่ได้ไปตามหาความรัก” ถึงจะเคยมีคนรักก็เถอะ...

“ครับ ๆ คุณพ่อพระ สนแต่การเรียนเหมือนเดิม อ่านหนังสือทั้งวันเลยมั้งน่ะ”

ปภารัชหัวเราะ “ก็ใช่”

“นั่นไง”

“ว่าแต่ลูกสาวกับภรรยาเป็นยังไงบ้าง”

“ภรรยาก็สบายดี ลูกสาวคนพี่เป็นแม่บ้านแม่เรือน ส่วนคนน้องดื้อ ทำอะไรไม่เป็น แต่ดันเก่งชกต่อย”

ปภารัชยิ้ม “จริงหรือ”

“หายากนะผู้หญิงที่สู้ผู้ชายกลับ ควรภูมิใจดีไหมนะ”

“ควรภูมิใจสิ จะได้รู้ว่าลูกสาวก็สู้คนเป็น ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่อยากจะเป็นแม่บ้านแม่เรือน ให้เธอทำในสิ่งที่ชอบเถอะ” ที่ปราชญ์บอกเพื่อนอย่างนี้ เพราะแม่เขาเป็นตัวอย่างของผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ยอมก้มหัวหรือน้อมรับการกดขี่ผู้หญิงให้อยู่ต่ำกว่า และเขาก็เห็นด้วยมาก ๆ ที่ควรจะยุติเรื่องสังคมชายเป็นใหญ่ได้แล้ว

ชลันที่นั่งอยู่กับน้องหันมองเจ้าของงานที่เดินไปคุยกับเพื่อนที่น่าจะเป็นเพื่อนสมัยมัธยมอย่างออกรส รอยยิ้มประดับบนใบหน้าอย่างดูมีความสุข ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงยิ้มตามไปแล้ว แต่พอนึกถึงเรื่องเมื่อวานนี้ที่เห็นน้ำตาของอีกฝ่าย ต้นสนก็ไม่สามารถเอาภาพออกไปจากหัวได้เลยเอาแต่นั่งจมทุกข์อยู่คนเดียว

“ไปทักพี่ปราชญ์หรือยังลูก” แม่เดินมาถามหลังจากไปคุยกับหม่อมแหวนเรื่องช่วยในการส่งพืชผลออกต่างประเทศ

“ยังเลยค่ะแม่ เอาแต่นั่งมองพี่ปราชญ์อยู่นั่นแหละ” ชลันถึงกับหน่ายใจที่น้องสาวชิงพูดก่อนตน

ต้นอ้อขมวดคิ้วเธอมองลูกชายที่ยังคงใส่ชุดตำรวจเพราะเพิ่งกลับจากงาน เธอก็ให้ลูกชายมาร่วมงานทันที “ทำไมไม่ไปทักล่ะต้นสน”

“เขามีแขกอยู่”

“ต้นสนทะเลาะอะไรกับพี่เขาใช่ไหม”

“เปล่าสักหน่อยครับ” ชลันถอนหายใจแล้วหยิบของมากิน

“เมื่อวานเย็นแม่นั่งอยู่ชั้นล่างในบ้านเห็นพี่ปราชญ์ร้องไห้ตอนคุยกับต้นสน”

“จริงหรือคะ!?” ฟ้าใสเผลอเสียงดังจนถูกแม่เตือนเลยกระซิบเบา ๆ “ทะเลาะกันรุนแรงขนาดไหนถึงทำพี่ปราชญ์ร้องไห้ได้ล่ะพี่ต้นสน”

ชลันปลีกตัวออกไปก็ไม่ได้หลบหน้าก็ยิ่งมีพิรุธ จึงได้แต่นั่งปลงตก “ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่เป็นเรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น”

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปคุยกับพี่เขาให้รู้เรื่องสิลูก”

“ไว้ก่อนครับแม่”

“ไม่ได้... ไปเลย เร็ว” ไม่ว่าเปล่ายังดึงแขนลูกชายให้ลุกขึ้น

ชลันทำตัวแข็งทื่อ ผู้เป็นแม่แทบจะดึงไม่ไหว

“เจ้าลูกคนนี้ ลุก”

“ไม่เอา”

“มานี่ค่ะแม่ หนูช่วย” เจ้าน้องตัวแสบเดินอ้อมมาพร้อมกับดึงแขนจนชลันเกือบหน้าคะมำ ถูกแม่กับน้องลากไปหาเจ้าของงานที่หันมามองทางนี้ทันทีเมื่ออยู่ในระยะสายตา

“พี่ปราชญ์คะพอดีพี่ต้นสนมีเรื่องอยากจะคุยด้วย”

ปภารัชมองต้นสนที่ดูไม่เห็นอยากจะคุยอย่างที่ว่าเลย แต่ก็ต้องหันไปพยักหน้ากับเพื่อนแล้วเปรยยิ้มบางให้น้อง

“มีอะไรหรือครับ”

“คุยกันให้เรียบร้อยนะ ไปฟ้าใส” ต้นอ้อตบแขนลูกชายเบา ๆ แล้วหันไปจับแขนลูกสาวให้เดินออกไปรอที่เดิม

ชลันมองตามสองแม่ลูกก็ได้แต่พรูลมหายใจ มองคนตรงหน้าที่ยังคงจดจ้องกันและรอยยิ้มก็หายไปแล้ว

“มีอะไรจะพูดหรือครับ” ปราชญ์ถามย้ำ

คนถูกบังคับได้แต่อึกอัก ทำตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่ ยังไม่อยากพูดอะไรตอนนี้เลยด้วยซ้ำ แต่ในเมื่อมาแล้วก็คงต้องพูดอะไรบ้าง

“ผมแค่จะบอกว่า… ยินดีต้อนรับกลับไทยครับ ดีใจที่ได้เจอกัน” ถึงเสียงจะเรียบนิ่งไปบ้าง ผิดกับดวงใจที่เต้นสั่นไหวรุนแรง ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีพี่ปราชญ์ก็ยังคงมีผลต่อหัวใจของต้นสนเสมอ

ปภารัชมองใบหน้าที่นิ่งเฉย น้องพูดขนาดนี้แต่หัวใจกลับเหมือนถูกบีบรัด ดวงตาภายใต้กรอบแว่นฉายแววตัดพ้อ “ฝืนหรือเปล่า ถ้าฝืนก็ไม่เป็นไรนะ”

ผู้หมวดหนุ่มเงียบลง เมื่อมาถึงตอนนี้ก็ดูอะไร ๆ จะไม่เป็นใจ คงเพราะนิสัยแย่ ๆ ของเขาที่เผลอไปโกรธพี่ปราชญ์ตั้งแต่แรกเจอ ทำไมถึงจำหน้าไม่ได้ นั่งคุยกันตั้งนานแต่กลับไม่รู้ว่าเขาคือใคร เอะใจสักนิดก็ไม่มีเลยหรือ เพราะแบบนี้ต้นสนเลยบอกชื่อจริงเพราะพี่ปราชญ์ไม่รู้ว่าชื่อจริงเขาชื่ออะไร และคงเพราะโกรธ หึงเรื่องคนรักจึงพาลไปหมด

จากที่คิดจะโกหกและมาพูดด้วยดี ๆ ไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร

เขาควรจะโกหกเรื่องอะไรก็ได้ พี่ปราชญ์จะได้ไม่ต้องเสียน้ำตาให้กับคนอย่างเขา แต่ทำไมนะ ความเห็นแก่ตัวนี้ คล้ายไฟสุมทรวงในอก ยิ่งคิดว่าพี่ปราชญ์กับคนรักใช้ชีวิตด้วยกันยังไง อยู่กันมาตั้งกี่ปี ต้นสนก็กลายเป็นคนไม่มีเหตุผลขึ้นมาเสียดื้อ ๆ

“อะไรทำให้คิดอย่างนั้นครับ”

ปราชญ์หลุบตาหนีซ่อนความอ่อนแอไว้ “ถ้าไม่ฝืนก็ขอโทษด้วยนะที่พูดจาสื่ออย่างนั้น”

“ที่คิดแบบนี้ เหมือนเห็นผมเป็นคนอื่นเลยนะครับ”

ปภารัชหันมองทันทีก่อนที่ชายหนุ่มจะหัวเราะในลำคอ “พูดกับตัวเองด้วยสิ ใครกันแน่ที่เห็นพี่เป็นคนอื่น”

อีกแล้วความรู้สึกนี้ มันเจ็บ มันทรมาน มันอึดอัด ใบหน้าที่แสนจะเย็นชาทำปราชญ์อยากจะหนีไปให้ไกล ไม่คิดเลยว่าเด็กคนนี้จะมีอิทธิพลต่อเขามากขนาดนี้

“ขอโทษนะครับที่ทำให้รู้สึกผิดหวังหรือรู้สึกไม่ดี”

“มันคงจะดีกว่านี้ถ้าพูดให้พี่เข้าใจ เพราะพี่ไม่อยากจะทำเหมือนทะเลาะกับต้นสนตลอดเวลาหรอกนะ”

ต้นสนหลุบตาลง “ขอโทษครับ”

“บอกพี่ได้หรือเปล่าว่ามันเพราะอะไร”

“ผม...”

“คุณชายใหญ่คะ” ปภารัชหันไปมองพี่แตงที่วิ่งเหยาะ ๆ มาทางนี้

“มีอะไรครับ”

“มีสายจากทางไกลชื่อคุณภวัตค่ะ ไม่ทราบว่าใช่คนรู้จักคุณชายหรือเปล่าคะ”

ปราชญ์นิ่งไปทันที ไม่รู้ว่าทำไมต้องหันไปมองน้องด้วย ดวงตาต้นสนจากที่อ่อนลงเหตุใดถึงแข็งกร้าวขึ้นมา

“ใช่ครับ เดี๋ยวผมไป”

“ค่ะ”

ปราชญ์มองแตงเดินออกไปแล้วก่อนจะหันมาหาต้นสน “ไว้เราค่อยคุย—”

“ไม่ต้องหรอกครับ เชิญคุณชายตามสะดวก” ชลันพูดเสียงเรียบแล้วเดินออกไปทันที ต่างจากปราชญ์ที่ไม่รู้ว่าทำไมต้นสนถึงดูโมโหอย่างนั้น

ผู้หมวดหนุ่มขอตัวกับแม่เพื่อกลับบ้าน ตอนแรกต้นอ้ออยากจะถามไถ่แต่พอเห็นใบหน้าเศร้าหมองของลูกชายจึงไม่อยากบังคับมากเลยบอกให้อาบน้ำอาบท่านอน ชลันกัดฟันกรอดเพื่อกลั้นความอ่อนแอ

คุณภวัต...

ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเป็นใคร เพราะธันบอกว่าคนรักของพี่ปราชญ์ชื่ออะไรและคนคนนั้นเป็นผู้ชายที่ดีมากแค่ไหนจนถึงทำให้ธันยอมรับและฝากฝังพี่ชายของตนเองไว้ได้ เขาแพ้หมดรูปเลย แพ้ทุกอย่าง แพ้ให้กับผู้ชายที่ชื่อภวัต

พวกเขาโตกันแล้วคงเหมือนลุงสิงห์กับลุงไฟสินะ คงจะเตรียมไปอยู่ด้วยกันแล้วหรือเปล่า

พอคิดได้อย่างนั้นต้นสนก็เผลอน้ำตาซึม ผู้หมวดหนุ่มที่แสนจะเย็นชาต่อหน้าคนอื่นกลับมีน้ำตาออกมาเพียงเพราะคนคนเดียว

ปภารัชเดินเข้าไปในวังและตรงไปยังโทรศัพท์ ถอนหายใจไปรอบและยกสายขึ้น “ครับ”

(ปราชญ์ เป็นอย่างไรบ้าง)

คนถูกถามยังคงใบหน้าเรียบเฉย “สบายดีครับ แล้วภวัตล่ะ”

(ก็ดีครับ... คิดถึงปราชญ์นะ)

“ภวัต” ปราชญ์หลับตาลงและลืมตาอย่างคนเหนื่อยใจ “เราตกลงกันแล้วนะ”

(แต่ผมคิดถึงคุณจริง ๆ พอกลับจากทำงานแล้วไม่มีคุณอยู่ข้าง ๆ ผมเหมือนอยู่ตัวคนเดียวเลย)

ปราชญ์นึกใบหน้าของอีกฝ่ายออกว่ามีความเศร้าเสียใจแค่ไหน “ภวัต ผมไม่อยากพูดซ้ำหลายรอบ โต ๆ กันแล้ว”

(แต่ผมคิดถึงคุณจริง ๆ นะ)

เรื่องของเรามันจบไปนานแล้ว

ปลายสายเงียบลงไปทันที ปราชญ์นวดขมับ เขากับภวัตเลิกกันไปตั้งแต่สี่ปีที่แล้ว แต่ภวัตก็ยังคงติดต่อหาเรื่อย ๆ แม้ปราชญ์จะย้ำแล้วย้ำอีกว่าอย่าติดต่อกันหากยังคงรู้สึกไม่อย่างนั้นภวัตจะตัดเขาออกจากชีวิตไม่ขาด ที่เลิกกันเพราะว่าปราชญ์ไม่ได้รู้สึกรักหรืออยากอยู่ร่วมกันไปจนแก่เฒ่าอีกแล้ว มันเหมือนอยู่ในจุดอิ่มตัว เรื่องนี้ก็ไม่ได้บอกน้องเลยเพราะจะกลับมาบอกเอง มีแต่เพื่อนอย่างอาทิตย์เท่านั้นที่รู้

แน่นอนว่าแรก ๆ ตัดกันได้ลำบากเพราะความสัมพันธ์อันยาวนานร่วมแปดปีมันก็มากจนกลายเป็นผูกพัน แต่ปราชญ์เป็นคนแรกที่ถอยออกมาได้ก่อนไม่อยากให้ชีวิตคู่มันยืดยาวโดยไม่มีความรักเลย เมื่อไรไม่รู้ที่ปราชญ์ไม่ได้รู้สึกกับภวัตอย่างเดิม มันอาจจะเป็นก่อนหน้านั้นนานแล้วเพียงแต่ยังไม่มั่นใจ

ที่ปราชญ์บอกไม่มีใครก็คือไม่มีใครจริง ๆ ปราชญ์ไม่ชอบโกหก เขาชอบพูดตรง ๆ ถ้าเขายังคบกับภวัตยังไงก็ต้องบอกว่ามีคนรักแล้ว แต่จะแนะนำให้ผู้ใหญ่รู้จักทีหลัง แต่เพราะว่าเขาเลิกกับภวัตไปนานแล้วจึงไม่มีใครดั่งที่พูด

(คุณเข้ามาในชีวิตผม มาเปลี่ยนอะไรหลายอย่างให้กับผม แล้วคุณก็มาทิ้งผมงั้นหรือ”

ปภารัชไม่เคยชินกับน้ำเสียงสั่นเครือของอีกฝ่าย เขากำโทรศัพท์แน่น “ภวัต ผมขอโทษแต่ผมขอร้องนะ ถ้าคุณยังเป็นแบบนี้คุณจะลืมผมไม่ได้”

(ต่อให้ไม่ติดต่อผมก็ลืมไม่ได้อยู่ดี)

ชายหนุ่มถอนหายใจไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว เขาไม่อยากทำเป็นสงสารเดี๋ยวจะดูเหมือนให้ความหวังเสียเปล่า ๆ “เลิกติดต่อมาเถอะนะ

(ปราชญ์ ถ้าคุณยังไม่มีใครไว้เราไปอยู่ด้วยกันได้ไหมครับ)

ปภารัชหลับตานิ่ง “ต่อให้ผมไม่มีใคร ผมก็ไม่อยากให้คุณมาทนอยู่กับผม เราจบกันไปแล้วก็ขอให้จบลงแค่ตรงนั้นเถอะนะ”

เรื่องนี้เขาคงผิดเองที่ไม่ยอมตัดให้ขาดตั้งแต่แรก ยังยื้อชีวิตคู่ต่อไปแม้ว่าจะไม่รู้สึกรักแล้ว เขาผิดที่ไม่เด็ดขาดปล่อยให้ภวัตเขามาวนเวียนตลอดแม้ว่าจะเลิกรากันไปแล้ว เพราะเขาเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าเราคบกันมานานขนาดนี้แล้ว นึกว่าจะไปด้วยกันรอด สุดท้ายก็ไม่

ไม่ว่าจะนานอีกสิบปี ยี่สิบปี เมื่อบทจะเลิกก็เลิกกันเสียอย่างง่ายดาย บางคนไม่ได้รักกันแล้วแต่ยังอยู่เพราะผูกพันหรืออาจจะเพราะมีเรื่องลูกพ่วงด้วย ยิ่งอยู่ก็มีแต่ความทุกข์ มองและยิ้ม บอกรักให้กับคนที่ไม่รู้สึกอย่างเดิม มันน่าเจ็บปวดกว่าการเลิกราและไม่ติตต่อ เพราะกายเขาอยู่กับเราแต่หัวใจถูกปิดกั้น ต่อให้ทำดีมากเท่าใดการเลิกรักก็คือเลิกรักอยู่ดี

ปราชญ์เองก็ไม่อยากทนอยู่แต่กับความรู้สึกผิด แม้เราจะกอด จะจูบ ปราชญ์ก็ไม่ได้มีอารมณ์ร่วม คำบอกรักต้องทำได้แต่กล้ำกลืนไม่พูดมันออกไป ทุกครั้งที่เขาไม่ได้ตอบรับภวัตอย่างเดิม ภวัตจะทำเพียงยิ้มและแอบไปนั่งเสียใจคนเดียว ปราชญ์ไม่อาจทนมองชีวิตพวกเขาได้อย่างนี้จริง ๆ

การที่จะดีต่อตัวภวัตที่สุดก็คือยุติความสัมพันธ์ลง

(เข้าใจแล้วครับ)

ปภารัชได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นดังอยู่แว่ว ๆ เขาจำต้องเป็นคนใจร้ายผละโทรศัพท์วางลง แต่ถึงอย่างนั้นก็โทรศัพท์หาเพื่อนสนิทที่ตอนนี้เป็นท่านทูตแทนผู้เป็นบิดาเสียแล้ว โทรคุยกันได้เพื่อนคนนี้ก็พูดไปทั่วจนปราชญ์ต้องบอกให้วกกลับมาเรื่องเดิม

“ฝากดูภวัตหน่อยนะ”

(นายยิ่งให้เพื่อนอย่างฉันไปดู ภวัตจะไม่เศร้ากว่าเดิมหรือ)

เขาเองก็คิดอย่างนั้น “ส่งใครไปดูก็ได้ ไม่ต้องเข้าไปหรอกให้ดูไว้เผื่อเกิดเรื่องอะไร”

(อืม... ถ้าอย่างนั้นให้เลขาฉันไปดูก็ได้... Excuse me!?)

เสียงชายคนหนึ่งแทรกขึ้น ปภารัชรู้จักอยู่บ้าง เพราะเลขาคนนี้เป็นลูกชายของเลขาคนก่อนของท่านชายพีระ อายุมากกว่าพวกเขาสี่ปีได้ จึงเปรียบเสมือนพี่ชายของพวกเขาเวลาอยู่ที่อังกฤษ

“ฝากรบกวนคุณเวย์ด้วยนะ”

(ได้ไม่มีปัญหา... Wait! คุณชาย! ... แค่นี้ก่อนนะ see you)

ปภารัชถอนหายใจได้แต่ขอโทษขอโพยพี่คนนี้ในใจที่รบกวนเรื่องของตนเอง แต่คงนึกใครไม่ออกแล้วที่ช่วยเรื่องนี้ได้

พอหมดเรื่องเครียดจึงนวดขมับและเดินออกจากงาน รอยยิ้มจุดขึ้นเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เสียมารยาทต่อแขกที่มา

แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เห็นต้นสนเสียแล้ว...

“คุยกับใครมาครับทำไมหน้าดูเครียด ๆ” ชายธันเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าพี่ของตนคุยโทรศัพท์เหมือนมีเรื่องอะไร

“พี่ทำหน้าอย่างนั้นหรือ!?” ปราชญ์รีบหันหลบแขกกลัวว่าแขกจะคิดว่าเขาไม่มีความสุขกับงานวันนี้

“เปล่าหรอกครับ” พูดเสร็จก็พลิกตัวคนพี่ให้หันมา “ก็แค่ตอนคุยโทรศัพท์น่ะครับ”

ชายใหญ่ถอนหายใจ “ไว้เสร็จงานพี่จะเล่าให้ฟังนะ ตอนนี้พี่ขอพักเรื่องเครียดไว้ก่อน”

“ได้ครับ เพราะผมก็ไม่อยากให้พี่ชายใหญ่เครียดเหมือนกัน”

คนพี่ยิ้มกว้างขึ้นมาได้จึงยกมือลูบแขนน้อง “ขอบคุณที่เป็นห่วงนะ”

งานต้อนรับจบลงไปด้วยดี ปราชญ์ยืนรอส่งแขกให้หมดก่อนถึงจะขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อจะเตรียมเข้านอน

กว่าจะนึกได้ว่าลืมคุยกับน้องเรื่องคนรักทั้งวังก็ปิดไฟกันหมดแล้ว ปราชญ์เลยคิดว่าจะเล่าให้น้องฟังพรุ่งนี้

ชายหนุ่มเดินมาพิงที่หน้าต่างในมือมีผ้าขนหนูผืนเล็กคอยเช็ดผมที่เปียก ดวงตามองไปยังดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยว นกบินผ่านอยู่หลายตัว พลันหลุบตามองไปทางบ้านอีกหลังที่ห่างแค่คลองกั้น ดวงใจก็สั่นไหวเมื่อเห็นแผ่นหลังกว้างที่นั่งพิงหัวเตียงที่อยู่ใกล้หน้าต่าง

ไม่รู้ว่ามองนานเพียงใดถึงได้เห็นว่าต้นสนกำลังลุกขึ้นเหมือนจะปิดหน้าต่าง เป็นอีกครั้งที่ปราชญ์คาดหวังว่าจะเห็นเด็กคนนี้โบกมือให้อย่างเคย

แต่กลับได้รับเพียงดวงตาที่เพ่งมองมา ถึงจะอยู่ไกลแต่ก็พอรู้สีหน้าว่าต้นสนไม่ได้ยิ้มให้เขาเลยสักนิด...และยังปิดหน้าต่างทันที

จนดวงใจที่เต้นแรงนั้นเบาลง

ปราชญ์ถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าใดก็ไม่รู้ของวันเขาเอื้อมมือไปปิดหน้าต่างบ้าง แม้จะขอมีหวังอีกสักนิดที่น้องเปิดออกมา รอจนแล้วจนเล่าก็ไม่มีวี่แววจนเห็นไฟที่เล็ดลอดออกมาเล็กน้อยนั้นดับลง ปราชญจึงต้องปิดหน้าต่างอย่างเสียไม่ได้

พรุ่งนี้ก็ต้องไปสอนแล้ว คงจะทำให้ลืมเรื่องต้นสนไปบ้างไม่มากก็น้อย

 


เฝ้าคำนึง

 


ปภารัชยืนอยู่หน้าชั้นเรียน สอนเป็นคาบที่สามของวันแล้วและมีนักเรียนรวมถึงอาจารย์รู้จักเขามากขึ้น ข่าวที่เขาเข้ามาสอนที่มหาลัยแห่งนี้ก็แพร่ไปทั่ว มีหลายคนมาทำความรู้จักจนปราชญ์แทบจะจำชื่อได้ไม่หมด

“อาจารย์หม่อมคะ”

“ครับ”

“คือว่าถ้าเกิดจะเล่าเรื่องกรีกโบราณ หากมีคำศัพท์เฉพาะตัวต้องทำอย่างไรคะ”

ปราชญ์คลี่ยิ้ม “ถ้ามีคำศัพท์เฉพาะตัวให้พูดด้วยเลยครับ เพียงแต่มีอธิบายด้วยว่าคำนี้หมายความว่ายังไงและทำไมถึงใช้คำนี้ เพราะก็ถือว่าได้บอกเพื่อน ๆ ให้ทราบและรู้เพิ่มเกี่ยวกับคำศัพท์เฉพาะได้ เหมือนเราได้เรียนรู้ไปกับเพื่อน ๆ รวมถึงให้ความรู้กับเพื่อนอีกที”

ทุกคนต่างพยักหน้า การสอนของอาจารย์คนใหม่นั้นเรียบง่าย เรียนสบายไม่เครียดจนเกินไป ให้อิสระในการถาม ให้อิสระในทางความคิด หากใครแนะนำหรืออยากจะบอกเสนออะไร อาจารย์หม่อมคนนี้ก็จะพยักหน้ารับและลองทำตามที่นักศึกษาพูด ว่าแบบนี้จะได้ผลหรือไม่ได้ผล หากได้ผลอาจารย์หม่อมจะแนะนำเพิ่มเติมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หากไม่ได้ผลอาจารย์หม่อมก็จะให้ลองคิดใหม่ และเขียนเสนอนั้นไว้เพราะคิดว่าทุกสิ่งที่นักศึกษาพูดนั้นถือว่าเป็นบทเรียนและเอามาปรับมาแก้ให้มันดีขึ้นได้

“เป็นยังไงบ้างครับคุณชายกับการสอนวันแรก”

หลังจากหมดคาบปราชญ์ก็เข้าห้องพักครู เห็นอาจารย์รศิตที่สอนมาก่อนเขาเดินเข้ามาถาม

“ดีครับ นักศึกษาที่นี่ต่างก็ให้ความร่วมมือกับการสอน ผลัดกันแบ่งความคิด แบ่งคำศัพท์จากทางภาษาอื่น สนุกดีครับ”

“เห็นคุณชายมีความสุขดีผมก็ดีใจครับ” รศิตยิ้มจนแก้มบุ๋มดูมีเสน่ห์ “ว่าแต่คุณชายจะไปทานอาหารกลางวันด้วยกันไหมครับ”

ปราชญ์ผงกหัวและเก็บของ “เอาสิครับ”

โรงอาหารนั้นไม่กว้างและไม่แคบจนเกินไป ปภารัชเห็นกับข้าวน่าทานหลายอย่างแต่อาจารย์รศิตกลับเอาแต่กลัวว่าเขาจะไม่ชอบจนต้องเดินนำและซื้อกับข้าวมาให้อาจารย์หนุ่มคนนี้เลิกคิดมาก

“อาจารย์หม่อมทำไมถึงไม่สอนที่ต่างประเทศเลยล่ะครับ” ที่รศิตถามอย่างนี้เพราะปราชญ์เคยเป็นอาจารย์สอนที่มหาลัยหนึ่งในอิตาลี แต่ก็เลือกจะกลับมาสอนที่ไทย

“ผมอยากให้ความรู้เด็กที่นี่น่ะครับ ถ้าให้เทียบแล้วที่นี่ยังมีเด็กอีกมากที่ไม่มีโอกาสได้เรียนภาษา”

“ดีจังเลยนะครับ มีคุณครูที่เก่งและใจดีขนาดนี้มาสอน”

“อาจารย์รศิตก็ชมผมเกินไปครับ” ทั้งคู่ต่างหัวเราะออกมา รศิตพูดเยอะเป็นพิเศษเพราะในมหาลัยแห่งนี้แทบจะไม่เจออาจารย์ที่อายุรุ่นราวใกล้เคียงกัน ถึงแม้ว่าอาจารย์หม่อมจะอายุมากกว่าเขาตั้งหกปีได้ แต่ก็ถือว่าอายุไม่ใกล้ไม่ไกลสักเท่าใด

วันนี้ทั้งวันนอกจากจะสอนแล้วก็เป็นการคุยกัยอาจารย์รศิตที่ทักอยู่ทุกเมื่อ มีเรื่องเล่าเยอะแยะมากมายจนฟังไม่หวาดไม่ไหว

“ขับรถกลับบ้านดี ๆ นะครับคุณชาย”

“อาจารย์รศิตเช่นกันครับ” ปราชญ์ยิ้มและต่างคนต่างขึ้นรถของตัวเองในตอนที่ขับรถออกมา เขาเห็นใครบางคนที่คุ้นเคยกำลังเดินสะพายกระเป๋าอยู่ เลยบีบแตรแล้วจอดรถลง

“ฟ้าใส”

“อ่าวพี่ปราชญ์” ฟ้าใสก้มลงพร้อมยกมือทาบหน้าอกไว้

“กลับยังไงคะ กลับกับพี่ไหม”

“ไม่เป็นไรค่ะ พี่ต้นสนมารับ อยู่นั่นไง” เธอชี้ไปข้างหน้า ปราชญ์มองตามก็พบกับคนที่ว่าที่อยู่ในชุดตำรวจพร้อมกับรถมอเตอร์ไซค์คลาสสิค

“งั้นหรือ... ถ้าอย่างนั้นพี่ไปก่อนนะคะ”

“ค่ะ” ฟ้าใสยิ้มกว้างโบกไม้โบกมือลา

ปราชญ์ขับรถออกมาพลางมองไปทางใครอีกคนที่จ้องมาทางนี้เช่นกัน ก่อนที่จะเป็นต้นสนที่หันหน้าหนีไปก่อน

จึงไม่มีความใดใดที่จะต้องพูดกันอีก

พอกลับมาถึงบ้านก็ต้องจัดเตรียมเอกสารการเรียนหลายอย่างเพื่อนำไปสอนนักศึกษาพรุ่งนี้ รวมถึงเอาพวกอุปกรณ์การเรียนที่แวะซื้อมาก่อนกลับไปให้นักเรียนที่พักคนงาน ตอนนี้เย็นมากแล้ว ปราชญ์จึงไม่ได้สอนแต่เอาของไปให้แทน

“อาจารย์สุดหล่อมาแล้ว” เด็กสาวตะโกนบอก เด็ก ๆ ทุกคนจึงผละจากครูจำเป็นอย่างหมวดชลันไปหาใครบางคนที่เพิ่งมาถึง

“พี่ซื้อมาให้ครับ” ปราชญ์ชูของในมือ เด็ก ๆ ต่างดีใจกันยกใหญ่ เขาเดินเข้าไปในบ้านก่อนจะชะงักเมื่อเจอใคร “ขอโทษที่รบกวนนะครับ แค่เอาของมาให้เด็ก ๆ เท่านั้น”

“ตามสบายครับ” ต้นสนว่าพลางนั่งลงอ่านหนังสือของตัวเองเพื่อเตรียมสอนต่อ วันนี้ชายธันไม่ได้มาสอนเพราะติดงานที่กรมตำรวจคงกลับค่ำ

“นี่ของหนู” ปราชญ์ยื่นให้เด็กสาวที่พนมมือไหว้ก่อนจะให้ครบทั้งหกคน

“พี่ต้นสนดูสิ” เด็กสาวคนหนึ่งวิ่งไปหาคนหน้าชั้นเรียน “สวยไหม”

ต้นสนเงยหน้ามองหนังสือและกล่องใส่ดินสอสีชมพู “อืม”

คำตอบเพียงเท่านั้นทำให้เด็กสาวหน้าง้ำหน้างอ “พี่ต้นสนนิสัยไม่ดีเลย ตอบอืมใส่หนูได้ยังไง”

“อ่าว แล้วจะให้ตอบยังไง”

“สวยมากกกกกก แบบนี้ไง”

“ยานคางไปไหน” ต้นสนส่ายหัวพลางยิ้มขำ

“ก็หนูอยากให้พี่ต้นสนชมหนิ”

คนถูกร้องขอวางมือบนกลุ่มผมนุ่มแล้วโยกเบา ๆ “สวยมากกกก เลยค่ะ”

“ก็แค่นั้น” เด็กสาวแอบกลั้นยิ้มจนแก้มป่องแล้วเดินไปร่วมวงกับเพื่อน ๆ

ชลันมองตามยิ้มอย่างนึกเอ็นดูก่อนที่จะตกใจเมื่อถูกมองอยู่ เลยกระแอ่มไอแล้วทำเป็นอ่านหนังสือต่อ

ปราชญ์ที่เผลอยิ้มในตอนที่มองน้องต้องปรับสีหน้าตัวเองใหม่ เขามองหนังสือภาพที่มีภาษอังกฤษประกอบหลายเล่มก่อนจะเดินไปหาครูจำเป็น

“คือพี่... ผมซื้อหนังสือภาพมาน่ะครับ เอาไว้ให้เด็ก ๆ เรียนรู้ ยังไงฝากแจกให้แทนด้วยนะครับ แล้วก็มีของสำหรับคนสอนด้วยเลยอยากฝากไว้ก่อน เผื่อว่าผมไม่ว่าง” แม้จะปวดหนึบตรงช่วงอกที่ต้องแทนตัวเองเหมือนคนอื่นไกล แต่เพราะปราชญ์ไม่รู้ว่าควรจะวางตัวยังไงกับอีกฝ่าย ที่ดูเหมือนจะเย็นชาใส่เขาอีกระลอก

ต้นสนวางหนังสือลงและรับหนังสือภาพนั้นมา หยิบมาเปิดดูไปพลาง ๆ พลันเผลอมองภาพสัตว์และภาษาอังกฤษที่แต่ก่อนเขาไม่เข้าใจก็มีพี่กรณ์สอนรวมถึงใครคนหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาที่เคยซื้อไว้ให้ ความทรงจำสมัยเด็กไหลเข้ามาในหัวเป็นฉาก ๆ จนเผลอกำหนังสือแน่น

เมื่อไรกันที่เขากลายเป็นคนทำให้รอยยิ้มที่ดูอบอุ่นนี้จางหายไป...

“ขอบคุณแทนเด็ก ๆ ด้วยนะครับ”

“ยินดีครับ” เราทั้งคู่ต่างสบตากันอยู่อย่างนั้น ความคิดถึง ความห่วงหายังคงเปี่ยมอยู่ในอก ปราชญ์เคลื่อนมือไปสัมผัสแก้มน้องอย่างเผลอตัว นิ้วโป้งเกลี่ยไปมา ดวงตาคู่อ่อนนั้นดูมีความหมายโดยไม่ต้องพูดอะไร

อยากกอด อยากบอกคิดถึง อยากส่งยิ้ม อยากทำอะไรที่เหมือนเมื่อก่อน

“ครูปราชญ์จะสอนไหมครับ” เสียงทักของเด็กหนุ่มคนหนึ่งทำให้ปราชญ์ต้องผละออกอย่างตกใจ

“ขอโทษนะครับ วันนี้พี่มีงานเยอะ ไว้วันหลังนะ” ปราชญ์หันไปบอกเด็ก ๆ พลางยิ้มและนั่งลงยีหัวทุกคนที่ดูจะเสียดาย

ในตอนที่ลุกขึ้นสัมผัสอุ่นร้อนที่แนบกับหลังทำให้ลมหายใจของปราชญ์สะดุด แผ่นหลังของเขาดูบอบบางไปเลยเมื่อเทียบกับอกหนาของคนด้านหลัง

“ขอโทษครับ” เสียงทุ้มต่ำนั้นกระซิบบางเบา ลมหายใจพัดผ่านใบหู และผละออกไป

หัวใจของเขาสั่นไหว รู้สึกอากาศร้อนขึ้นมาทันตา “ไม่เป็นไรครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกลับก่อน”

เขาพูดโดยไม่หันไปมองคนด้านหลังเลยสักนิด บอกลาเด็ก ๆ และรีบเดินกลับไปทางเดิม ในหูยังได้ยินเสียงหัวใจดังกึกก้องไม่ขาดสาย ยิ่งจำได้ว่าตัวเองไปลูบหน้าอีกฝ่ายหน้าก็ยิ่งเห่อร้อนขึ้นมา

ทำไม...

ทำไมเขาถึงเป็นขนาดนี้





จบบทที่ ๘

-------------------------------------------------------------------------
ไหนว่าฟิลกู๊ด? ปรับอารมณ์ไม่ทัน เดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวเศร้า
ไม่ได้ลืมคุณภวัตน้าา แค่ยังไม่ได้บอกว่าเลิกกันแล้ว ฮืออออ
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๘
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 21-06-2020 18:23:30
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๙
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 25-06-2020 18:03:09
 
 
(https://www.img.in.th/images/c3a43b829aaa1983400db7234d2268e5.jpg)


บทที่ ๙

เป็นห่วง




สองอาทิตย์แล้วที่ปราชญ์ได้มาสอนในมหาลัยแห่งนี้ รู้จักใครหลายคนและจำชื่อได้มากกว่าเดิม วันนี้เขาต้องไปทานอาหารพร้อมกับเด็จพ่อที่เดิมเพราะท่านชวน เห็นว่ามีเรื่องจะถาม

เพียงไม่นานก็มาถึงที่หมาย เข้าไปก็เจอคนที่รู้จักมักคุ้นอย่างดีขาดเพียงแค่ท่านอธิบดีอิฐเท่านั้น ปราชญ์ยกมือสวัสดีท่านรองกล้าและนั่งลงข้างน้องเหมือนเดิมแต่เพราะว่าท่านอธิบดีไม่มา จึงอยู่ตรงข้ามกับต้นสนพอดี

พอสั่งก๋วยเตี๋ยวเสร็จเด็จพ่อก็เอ่ยถามทันที “เจอเรื่องแปลกอะไรที่มหาลัยบ้างไหมชายใหญ่”

ปราชญ์ขมวดคิ้ว “ไม่นะครับ มีอะไรหรือเปล่า”

“พอดีว่ามีฆาตกรต่อเนื่องยังลอยนวลน่ะ เห็นว่าผ่านทางมหาลัยที่ปราชญ์สอนด้วย พ่อกลัวว่าจะเกิดอันตรายกับนักศึกษาหญิงที่นั่น”

“คนเดียวกับที่ออกข่าวในหนังสือพิมพ์ว่าฆ่าข่มขืนผู้หญิงน่ะหรือครับ”

“ใช่ นี่ก็สองศพแล้วยังจับตัวไม่ได้เลย” เด็จพ่อว่าพลางทำหน้าเครียด

“ถ้าเจอข่าวอะไรบอกทางเราด้วยนะครับคุณชาย”

“ได้ครับท่านรอง” ปราชญ์พยักหน้า เพียงครู่ก๋วยเตี๋ยวแบบเดิมที่เขาชอบก็มาวางตรงหน้า

“นี่ค่ะอาจารย์หม่อม”

“ขอบคุณค่ะ” ปราชญ์ยิ้มรับ “เห็นว่าไม่สบายเลยไม่ได้ไปเรียน เป็นอย่างไรบ้างเพียงขวัญ”

“พอได้นอนพักก็ดีขึ้นมากแล้วค่ะ เลยออกมาช่วยแม่แทน พรุ่งนี้ไปเรียนได้แน่นอนค่ะ”

“ถ้ายังไม่ไหวก็พักอีกสักวันก็ได้นะคะ”

“ให้ไปเถอะค่ะคุณชาย เดี๋ยวจะเรียนตามไม่ทันเพื่อนเอา” ผู้เป็นแม่ที่เป็นเจ้าของร้านว่า “แต่พูดเรื่องจะไปมหาลัยแล้ว หมวดชลันไปส่งและรับเจ้าขวัญได้ไหมคะ”

“แม่” เพียงขวัญเตือนแม่ด้วยใบหน้าแดงก่ำ

ปราชญ์หันมองคนที่อยู่ในบทสนทนาทันที

“ได้สิครับ” ต้นสนหันไปยิ้มให้

ไม่รู้ว่าทำไมถึงกำตะเกียบแน่นเพียงนี้ ปราชญ์ไม่เข้าใจตัวเองเสียเลย รอยยิ้มนั้นที่เขาอยากจะเห็นบ้าง แต่กลับไม่เคยได้รับ

“แต่พี่ต้นสนไปส่งฟ้าใสแล้ว แถมรถมอเตอร์ไซค์ซ้อนสามไม่ได้ด้วย”

“เดี๋ยวอาจารย์มารับได้ครับ” ไม่รู้เพราะเหตุใดปากของปราชญ์จึงขยับพูดขึ้นจนทุกคนต่างหันมองเป็นตาเดียว ก่อนที่เพิ่งจะรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไปจึงรีบแก้ข้อสงสัย “เผื่อว่าหมวดชลันไม่ว่างน่ะครับ”

หมวดชลันที่ว่าหันมองทางนี้ ปราชญ์เลยเผลอหลบดวงตาคมเข้มนั้น

“ว่างครับ เดี๋ยวพี่มารับเอารถยนต์มาก็ได้”

“ดีเลยค่ะหมวด บางทีป้าก็ไปส่งไม่ได้เพราะต้องเตรียมร้าน จะให้ขึ้นรถโดยสารก็กลัวจะเกิดอันตรายตอนเดินทางกลับเย็น ๆ”

“ยินดีเสมอครับ ไว้พรุ่งนี้เช้าพี่จะมารับนะ” ต้นสนคลี่ยิ้มให้เพื่อนของน้องสาว เธอแก้มแดงเล็กน้อยและผงกหัวตอบรับ

“เสน่ห์แรงนะเอ็ง” ท่านรองดันศอก

ต้นสนทำเพียงยิ้ม

ไม่รู้ว่าปราชญ์ใช้ตะเกียบคนเส้นนานเท่าใด ถึงได้ถูกน้องชายแตะเข่า

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ชายธันถามเสียงเบาเมื่อเห็นว่าพี่ชายตนดูเหม่อลอย คล้ายไม่อยากอาหาร

“เปล่าหรอก เครียดนิดหน่อย” เปรยยิ้มไม่ให้น้องเป็นห่วงมากไป

“แน่นะครับ มีอะไรบอกผมได้นะ” ธันยังคงห่วง

“ไม่เป็นอะไรจริง ๆ” ว่าแล้วก็ตบบ่าน้องให้ทานอาหารกันต่อ

นั่งคุยกันร่วมชั่วโมงปราชญ์เห็นว่าได้เวลากลับไปสอนแล้วจึงลุกขึ้นและขอตัวไปสอนก่อน ไม่วายสายตายังหันไปมองใครบางคนที่นั่งมองอยู่

“ฝากดูที่มหาลัยให้ด้วยนะ จะส่งตำรวจเข้าไปดูลาดเลาตอนนี้เดี๋ยวมันจะไหวตัวทัน เพราะบางทีอาจจะเป็นอาจารย์หรือนักศึกษาชาย” เด็จพ่อว่าเสียงเครียด

“ได้ครับ เดี๋ยวผมช่วยอีกแรง แต่ทางที่ดีส่งตำรวจปลอมตัวเข้าไปสอดส่องเผื่อก็ได้”

“อืม ว่าจะส่งหมวดชลันไปเหมือนกัน ถ้ายังไงเดี๋ยวให้หมวดชลันไปหาอีกที”

ปภารัชนิ่งไปทันทีก่อนจะยิ้มรับเพราะยังไงเรื่องนี้ก็ต้องสนใจ เพราะหากปล่อยไว้แบบนี้จะเป็นอันตรายต่อลูกศิษย์ของเขาหรือผู้หญิงที่เดินทางไปไหนมาไหนคนเดียวได้ คงต้องระวังไว้ก่อน

“ครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัว” ยกมือไหว้ผู้ใหญ่แล้วตบบ่าน้อง เดินออกจากร้านเพื่อไปยังรถของตนเอง

ตกเย็นปภารัชต้องไปสอนเด็ก ๆ ทั้งหกคนที่บ้านพักอย่างเดิม เขาเตรียมขนมไปด้วยเพื่อให้เป็นของรางวัลกับคำถามง่าย ๆ ที่จะให้ตอบในวันนี้

เมื่อเห็นใครบางคนที่ยืนสอนอยู่จึงผงกหัวแล้วเดินเข้าไปนั่งข้างน้องชายที่กำลังตรวจการบ้านอยู่ ปราชญ์มองพลางยิ้ม อาจมีผิดบ้างแต่ก็ถือว่าเก่งกันมากเลย เขาหันไปมองบรรยากาศการสอนวิชาคณิตศาสตร์

ไม่คิดเลยว่าต้นสนจะสอนเก่งขนาดนี้ การพูด น้ำเสียง สูตรที่ให้ ดูฟังระรื่นหูและยังง่ายต่อเด็ก ๆ ใบหน้าดูผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยได้เห็นเลยตั้งแต่กลับมาจากที่นี่ ปราชญ์มองน้องเพลิน ทุกครั้งที่ข้อมือนั้นขยับขึ้นเขียนกระดาน ลายมือเป็นระเบียบสวยงามอ่านง่าย

น้ำเสียงทุ้มที่ดูนุ่มลง จากที่เคยถูกสอน มาวันนี้กลายเป็นคนที่จะต้องสอนคนอื่นแล้ว เดาได้ไม่ยากเลยว่าต้นสนรักและเอ็นดูเด็ก ๆ แค่ไหน และคงจะรักผละผูกพันกับคนงานที่นี่ ถึงได้มาช่วยงานตลอด

หากว่าเรายังเป็นเหมือนเดิม คงจะดีกว่านี้...

“เป็นไงบ้าง ยากไหม”

“ไม่ยาก” เด็ก ๆ ตอบเสียงใส

พองานที่ให้เสร็จเรียบร้อยทุกคนก็ต่อแถวส่งงาน ชายธันจึงผายมือให้ว่าถึงตาเขาแล้ว

ปราชญ์วางขนมไว้และเริ่มสอนเกร็ดเล็ก ๆ น้อยๆ

“นายว่าพี่ฉันสอนดีไหม” อยู่ ๆ ชายธันที่ตรวจการบ้านเสร็จแล้วเอ่ยถามคนข้างกายที่ทำเป็นก้มตรวจงานแต่ก็ยังคงเงยหน้ามองคนหน้าชั้นเรียน

“อืม” ชลันตอบรับในลำคอ ขมวดคิ้วมุ่นทำเหมือนเครียดเสียจริงกับแค่ตรวจงานเด็ก ๆ และมันก็ไม่ได้ยาก เห็นตรวจถูกเอา ๆ

“บางทีฉันก็ไม่ชอบที่ตัวเองเป็นคนช่างสังเกตเหมือนกันนะ แต่คงเพราะทำมาตลอดเลยพอจะเดาถูกว่าใครมีอะไรในใจหรือคิดอะไรอยู่”

“จะพูดอะไรกันแน่” ต้นสนวางปากกาหมึกแล้วหันมองเพื่อน

“ถ้าไม่มีทิฐิมากจนเกินไป นายน่าจะรู้ตัวว่านายมองพี่ปราชญ์เยอะแค่ไหน เหมือนอยากคุย แต่พอพี่ฉันมองนายกลับ ดันทำเป็นหน้านิ่งใส่” พอเห็นว่าเพื่อนตั้งท่าจะเถียงเลยยกมือห้ามแล้วพูดต่อ “ฉันอาจจะคิดผิดหากนายเป็นแค่ไม่กี่ครั้ง แต่นี่ฉันเห็นนายเป็นอย่างนี้ตลอด เพราะฉะนั้นจะเถียงอะไรฉันไม่ได้แล้วนะ”

ชลันถอนหายใจแล้วตรวจงานต่อ “ไร้สาระ”

“หึ ฉันว่านายกับฉันน่าจะสลับกันนะ ตอนเด็กฉันทำตัวนิสัยเสียแต่นายเป็นเด็กที่ดูมีเหตุผล แต่พอโตขึ้นมาฉันเรียนรู้อะไรได้มากขึ้น ส่วนนายเหมือนว่าจะเลิกเรียนรู้เรื่องความรู้สึกของคนอื่นไปแล้ว"

คำพูดที่แทะโลมทำต้นสนจุกเอาไม่น้อย แต่ก็ไม่อยากเถียง เพราะธันก็พูดไม่ผิดหนัก เพราะตอนนี้เขาเห็นแก่ตัวมาก แม้จะรู้แต่ไม่ยอมปรับนิสัย

“ฉันมีเหตุผล”

“เหตุผล?” ชายธันเลิกคิ้วพลางส่ายหัว “เหตุผลของนายคืออะไรฉันไม่รู้ ฉันถามเรื่องที่นายไม่ตอบจดหมายพี่ปราชญ์ตั้งแต่ตอนเรียนนายร้อย แต่นายก็บอกว่ามีเหตุผลของนาย ฉันเลยไม่ก้าวก่ายมากกว่านั้น แล้วพอมาเจอกันอีกทีนายทำนิสัยแย่ใส่พี่ของฉัน นั่นหมายความว่าการที่นายจะมีเหตุผลส่วนตัวจึงต้องทำร้ายจิตใจผู้อื่นด้วยหรือ”

ต้นสนนิ่งไปทุกครั้งที่เพื่อนพูด เขารู้และเข้าใจ เขาเคยคิด แต่บอกแล้วว่าเขากลายเป็นคนเห็นแก่ตัว คิดว่าที่ทำแบบนี้เพราะเขาโกรธ หึง หวงพี่ปราชญ์ ไม่อยากคุยกับคนที่ผิดสัญญา ไม่อยากคุยกับคนที่บอกเขาว่าห้ามลืมกัน แต่ตัวเองดันลืม ไม่อยากคุยกับคนที่บอกรักทำให้ไหวหวั่น แต่แท้จริงมีคนรักอยู่ข้างกาย

ถึงแม้ที่ผิดสัญญาบอกว่าจะรีบกลับก็ทำเพื่อให้เขาสบายใจ

ถึงแม้บอกห้ามลืมกันแต่ถ้าเขาเอารูปให้ดูตอนโตกลับมาคงจะจำได้ทันที

ถึงแม้ว่าการบอกรักนั้นจะบอกรักเพราะเห็นเป็นน้องชายคนหนึ่ง ไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น

ถึงแม้ไม่รู้ว่าเขาชอบแล้วพาลทุกสิ่งทุกอย่างและทำตัวเย็นชาใส่ก็ยังคงไม่โกรธเขา เอาแต่คิดว่าตัวเองทำอะไรผิด

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยยิ้มให้อีกตามเคย ก็ยังคงรออย่างคาดหวัง

มันทำให้ต้นสนละอายใจ แต่ถ้าจะให้คุยและยิ้มอย่างเคยคงตอบว่าทำไม่ได้ เพราะเขาอาจจะเผลอใจ อยากคาดหวังบ้างว่าสักวันพี่ปราชญ์จะชอบเขา ไม่อยากเป็นอย่างนั้น ไม่อยากเข้าไปแทรกคู่ของทั้งสอง เป็นน้องที่ไม่ซื่อสัตย์มันดูไม่ดีเลย

“เอาเถอะ นายจะมีเหตุผลกี่ร้อยกี่พันข้อก็ตามใจ แต่อย่าเอาเหตุผลนั้นมาทำร้ายพี่ของฉัน” ชายธันว่าเสียงเรียบดวงตาคมกริบจดจ้องเพื่อน “ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน”

ต้นสนเสหน้าหลบ “เข้าใจแล้ว”

 
 

เฝ้าคำนึง

 


ปราชญ์เดินเลียบไปทางหลังตึกคณะอักษร หันมองรอบกายเมื่อเห็นว่าไม่มีใครจึงเข้าไปยังห้องเก็บของ เห็นใครบางคนในชุดนักศึกษาชายยืนรออยู่ด้านใน

“มีอะไรน่าสงสัยหรือเปล่าครับ”

ผู้เป็นครูส่ายหน้า “ครูที่นี่ไม่มีใครดูน่าสงสัยเลย ส่วนนักศึกษาชายเองก็คงจะดูได้ไม่หมด”

ชลันพยักหน้าพลางจดอะไรไปด้วย “แล้วยังมีใครอีกไหมนอกจากอาจารย์และนักศึกษา ที่นี่มีคนทำความสะอาดหรือภารโรงบ้างหรือเปล่า”

“อ่อ มีภารโรงสามคนครับ ผู้ชายสองคนกับผู้หญิง”

“ทำไมผมไม่เห็นเลย”

“พอดีว่าภารโรงเขาจะมาทำช่วงเช้า กลางวัน และเย็นน่ะครับ ทำเป็นเวลาไม่ได้เดินไปทั่วมหาลัยด้วย”

ผู้หมวดหนุ่มลูบปลายคาง “ชายภารโรงอายุเท่าไรครับ พอจะทราบไหม”

“มีคนหนุ่มคนหนึ่งน่าจะอายุใกล้เคียงกับผมและคนแก่คนหนึ่งครับ”

“ถ้าอย่างนั้นผมจะจับตาดูภารโรงสองคนนี้เอง ฝากคุณชายดูอาจารย์และนักศึกษาชายให้ด้วยนะครับ”

ปราชญ์พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ แต่ก่อนจะออกไปก็ถูกจับข้อแขนไว้ สัมผัสอุ่นร้อนทำให้ปราชญ์เผลอใจเต้นแรง

“ขอโทษครับ” ชลันรีบผละออก “ผมแค่จะบอกว่าระวังตัวด้วย”

ความเป็นห่วงที่สะท้อนออกทางสายตาทำให้ปราชญ์เปรยยิ้มอย่างห้ามไม่ได้ “คุณก็เหมือนกันนะ”

พอขึ้นมายังห้องพักครูได้ดูเหมือนว่าทุกคนจะอยู่ในห้องกันหมดและคงจะเครียดกันมากด้วย “อาจารย์รศิตครับ เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”

อาจารย์รศิตถอนหายใจ “ก็ที่มีข่าวฆ่าข่มขืนน่ะครับ ทางคณบดีเลยจัดประชุมด่วนเพราะเห็นว่าคนร้ายผ่านมาทางนี้กลัวว่าอาจจะหลบซ่อนในมหาลัยนี้ด้วย”

“งั้นหรือครับ”

“คุณชายก็ไปด้วยกันนะครับ ท่านคณบดีเรียกอาจารย์ทุกคน”

“ได้ครับ ผมเองก็ห่วงความปลอดภัยของนักศึกษาและอาจารย์ท่านอื่นเช่นกัน”

อาจารย์รศิตส่ายหน้า “ผมไม่เข้าใจเลย ทำได้ยังไงนะ มันไม่ใช่คนแล้ว”

ปราชญ์นึกคิดเพียงครู่ “แล้วอาจารย์รศิตสงสัยใครบ้างไหมครับ”

คนถูกถามขมวดคิ้วพลางนึกและสังเกตคนรอบตัว “จะให้สงสัยสุ่มสี่สุ่มห้ามันก็คงไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็นึกใครไม่ออกเลยครับ”

“ผมก็คิดอย่างนั้น”

“บางทีอาจจะผ่านมาเฉย ๆ แล้วหลบหนีไปที่อื่นแล้วก็ได้นะครับ”

ปราชญ์พยักหน้า ส่วนนี้ก็เป็นไปได้ “แต่ยังไงก็ต้องตรวจดูที่นี่ก่อน การเรียกประชุมนี้ก็ถือว่าเป็นผลดีเหมือนกัน อาจารย์ทุกท่านจะได้คอยช่วยสอดส่องได้”

“ครับ และผมหวังว่าจะจับมันได้เร็ว ๆ กลัวนักศึกษาหญิงจะเป็นอันตรายมากที่สุดแล้วครับ”

พอประชุมเสร็จ ปราชญ์จึงขอตัวไปทำธุระส่วนตัว เพราะไม่มีสอนช่วงบ่ายสอนอีกทีก็บ่ายสาม ไม่รู้ว่าจะได้เจอต้นสนเมื่อไรเขาจึงรอในห้องเก็บของ ข้างในนี้ทั้งมืดและอับ อุปกรณ์ที่ใช้วันกิจกรรมกับคาบพละจึงไว้ในนี้เป็นส่วนใหญ่ ห้องเก็บของมีเกือบทุกตึก แต่ที่นี่ลับตาคนที่สุด

เสียงคล้ายคนกำลังเปิดประตูทำให้ปราชญ์ต้องไปหลบก่อนเผื่อว่าเป็นคนอื่น แต่พอเห็นว่าเป็นใครก็โล่งใจ

“ผมมีเรื่องจะบอก”

“ผมเองก็มีถ้าอย่างนั้นคุณพูดก่อนเลย”

ชลันส่ายหน้าแล้วผายมือ “คุณก่อนเลยครับเพราะผมต้องเก็บรายละเอียดก่อน”

“ได้ครับ คือก่อนหน้านี้ทางคณบดีเรียกประชุม—” ยังไม่ทันพูดอะไรมากกว่านี้คนหูไวอย่างต้นสนจึงรีบยกมือปิดปาก

“รีบหลบก่อนครับ” ไม่ว่าเปล่ายังดึงตัวคนอายุมากกว่าเข้าไปหลบในตู้ล็อกเกอร์เก่า ทั้งคู่ต้องก้มหัวเพราะตัวสูงกว่าตู้ แสงสว่างจากด้านนอกทำให้มองลอดช่องว่างไปได้ แต่ยังไม่ทันมองหน้าได้ชัดประตูก็ปิดลงจนข้างในมืดมิดอีกครั้ง

“กูบอกแล้วไงว่าห้ามพูด” เสียงใครบางคนตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยว น้ำเสียงออกจะเป็นคนดูมีอายุหน่อย

“จะปิดต่อไปหรือไง ฉันก็กลัวนะพี่” ปราชญ์พอจำได้ว่าเป็นเสียงใคร เธอคือป้าภารโรงและอีกคนคงจะเป็นสามีแกที่เป็นภารโรงเหมือนกัน

“เดี๋ยวเรื่องก็เงียบไปเอง มึงน่ะหุบปากไว้”

“พี่แต่ตำรวจมาที่มหาลัยเลยนะ” เธอพูดเสียงสั่นเพราะคงเจอต้นสนเข้า แม้นักศึกษาจะเยอะแต่เธอก็รู้ว่าต้นสนไม่ใช่นักศึกษาที่นี่แน่นอน

“ก็ช่างหัวมันสิ ทำเป็นไม่รู้ต่อไป เข้าใจไหม!” ลุงภารโรงพูดลอดไรฟันจนปราชญ์ได้แต่กำมือแน่น ทำไมถึงต้องข่มขู่ขนาดนั้น

“ออกไป แล้วอย่าให้มีพิรุธ” ลุงภารโรงว่าเพียงเท่านั้นก็เดินออกไป ป้าแกถึงจะเดินตามออกไปไม่ต่างกัน

เสียงเท้าที่เดินออกไปไกลแล้วทำให้หมวดชลันถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะเปิดตู้ออกแล้วให้อีกคนออกไปก่อน

“ก่อนหน้านี้ผมตามพวกเขาอยู่แล้วป้าแกเห็นพอดี เธอรู้ว่าผมไม่ใช่นักศึกษาเลยถามว่ามาทำอะไร จนต้องบอกไปว่าเป็นตำรวจ เธอดูตกใจมากเลยนะแถมยังสั่นพูดอ้ำอึงเหมือนกลัวอะไร” หมวดชลันเปิดปากเล่าคลายข้อสงสัย

“ถ้าอย่างนั้นแปลว่าลุงภารโรงเขา...” ปราชญ์หน้าเสีย ลุงแกออกจะใจดีขนาดนั้นทำไมถึงเป็นแบบนี้นะ

“คงต้องตามให้แน่ใจก่อนครับ ผมยังตัดสินอะไรไม่ได้”

“ไม่อยากจะเชื่อเลย” ว่าแล้วก็ถอดแว่นพลางลูบหน้าตัวเอง สัมผัสแผ่วเบาตรงไหล่ทำให้ปราชญ์หันไปมอง

“คนเราดูภายนอกอย่างเดียวไม่ได้หรอกครับ ถ้าทำผิดไปแล้วต่อให้ก่อนหน้าเป็นคนดีแค่ไหน ผิดก็คือผิดครับ ทั้งฆ่าและข่มขืน ไม่ควรให้อภัย”

“ผมรู้ ผมแค่ใจหาย เพราะหลายวันก่อนผมยังได้คุยเล่นกับพวกเขาอยู่เลย นักศึกษาหลายคนก็ดูสนิท”

ชลันบีบไหล่นั้นบางเบาแต่หนักแน่น “ขอโทษนะครับที่ต้องมาทำให้เจอเรื่องลำบากใจ”

“ไม่เป็นไร ผมเต็มใจ” ปราชญ์คลี่ยิ้มแล้วจับหลังมือของคนตรงหน้าที่วางไว้บนไหล่ วันนี้อาจเป็นเพราะต้องประสานงาน ต้นสนจึงดูพูดเยอะเป็นพิเศษ ทั้งยั้งออกอาการเป็นห่วง อดไม่ได้ที่จะอยากปล่อยให้เวลามันหยุดลง

เพราะเขากลัวว่าจบจากตรงนี้ไป ต้นสนจะไม่เป็นห่วงเขาอย่างเดิมอีกแล้ว

“ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับหมวด”

ชลันจุดยิ้มบาง สายตาปรับให้มองความมืดได้แล้ว อีกฝ่ายก็คงจะปรับได้แล้วเหมือนกันถึงทำหน้าตกใจที่เห็นเขายิ้ม “ยินดีครับ”

ไม่รู้ว่าต้นสนจะได้ยินไหม เสียงกึกก้องที่ดังอยู่ในอกนี้ ปราชญ์เม้มปาก บางทีเขาอาจจะมองไม่ชัดเพราะสายตาสั้น เลยรีบใส่แว่นกลับเข้าไปแต่เงยหน้ามองอีกทีคนตรงหน้าก็ไม่ได้ยิ้มแล้ว

สงสัยคงจะคิดไปเอง...

คิดได้อย่างนั้นคนอายุมากกว่าจึงทำหน้าเสียดาย สร้างความงุนงงให้ต้นสนไม่น้อย แต่พอนึกได้ว่าพี่ปราชญ์สายตาสั้นจึงเข้าใจแต่ก็ไม่ได้แก้ไขข้อข้องใจว่าเมื่อกี้เขายิ้มจริงหรือเปล่า

“แล้วคุณชายมีเรื่องอะไรจะบอกหรือครับ”

ปราชญ์เลิกคิดเรื่องอื่นแล้วเข้าเรื่องเดิมทันที “ก่อนหน้านี้ทางคณบดีเรียกประชุมอาจารย์ทุกคนครับ คุยเรื่องคนร้ายที่ผ่านทางมหาลัย บอกว่าให้จับตาดูนักศึกษาชายไว้ด้วย”

“เข้าใจแล้วครับ เอาเป็นว่าผมจะกลับไปที่สน.อีกที คงต้องมาสอบปากคำพวกเขา” มือหนาผละออกจากไหล่อย่างอ้อยอิ่ง

“คงต้องไปแล้วใช่ไหม...” เสียงถามช่างเบาหวิวคล้ายถามอากาศกับลมแต่เพราะในห้องมันเงียบจึงได้ยินชัดเจน

ชลันเผลอกำมือแน่น อยากกอด... นั่นคือสิ่งที่เขาอยากทำแต่ทำไม่ได้

“ครับ ผมขอตัวก่อนนะ” ถ้ายังไม่ออกไปจากตรงนี้มีหวังได้ทำตามอะไรใจอยาก

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการที่อยู่ใกล้พี่ปราชญ์นั้นทำให้ต้นสนอยากจะเล่าเรื่องชีวิตตัวเองและโม้ไปเรื่อยเหมือนตอนเด็ก อยากได้รับรอยยิ้มเอ็นดู อยากให้อีกคนหัวเราะเวลาที่ฟังเรื่องของเขา อยากจะยิ้มให้อย่างไม่มีอะไรตะขิดตะขวงใจ ยิ่งอยู่ด้วยกันยิ่งเก็บอาการไม่อยู่ เพราะอย่างนั้นต้นสนจึงต้องหลีกหนีตลอดถ้ามีโอกาสหรือไม่ก็ไม่มองหน้าและทำเย็นชาใส่ เพื่อสร้างเขตกั้นไม่ให้อีกฝ่ายเข้ามามากกว่านี้

แท้จริงแล้วเขามันก็แค่คนใจเสาะ ลองได้ยืนคุยมากกว่านี้สิ เขาคงออดอ้อนเหมือนเด็กไปแล้ว

ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงก็มีรถตำรวจมากมายเข้ามาในมหาลัย ทั้งนักศึกษาและอาจารย์ให้ไปรวมกันที่โดมห้ามใครไปไหน รวมถึงภารโรงทั้งสองคนด้วย

ปราชญ์เห็นอย่างนั้นจึงเดินเข้าไปถามต้นสนทันที “แล้วลูกเขาไปไหน”

“นอนป่วยอยู่ครับลุกมาไม่ได้”

พอได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ นักศึกษาชายกับอาจารย์ที่เป็นผู้ชายถูกสอบปากคำ ณ วันที่เกิดเหตุว่าตอนนั้นอยู่ที่ไหน ส่วนนักศึกษาหญิงก็ประกาศเรื่องอันตรายให้ทราบเพราะบางคนต้องเดินทางกลับบ้านคนเดียวจึงจะให้มีรถไปส่งให้ก่อน

“จับผมเลย!” เสียงหนึ่งดังขึ้น พอมองไปก็พบว่าเป็นลุงภารโรง “จับผมเลย ผมทำเองไม่ใช่นักศึกษาหรืออาจารย์ที่ไหนทั้งนั้น”

แกพูดเสียงดังส่วนป้าภารโรงก็ทรุดนั่งร้องห่มร้องไห้ไปเสียแล้ว ปราชญ์มองหน้ากับต้นสนอย่างรู้กันก่อนที่ต้นสนจะไปกุมตัว

“ยังต้องมีหลักฐานเพิ่มครับ”

“หลักฐานอะไร ก็ผมเนี่ยคนทำ จับไปเลย!” ไม่ว่าเปล่ายังยื่นแขนท่าเดียว

“ใจเย็น ๆ นะครับ ผมจะจับใครสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้” ชลันยกมือห้าม

“ก็จับไปสิวะ” ลุงแกดูโมโหก่อนจะตกใจเมื่อแกเอามีดออกมาแล้วจับตัวนักศึกษาชายคนหนึ่งไว้ “เอาสิวะ กูจะฆ่ามันให้ดู”

“ใจเย็นครับลุง”

“พี่!” ป้าภารโรงร้องเสียงหลงที่สามีทำอะไรบุ่มบ่ามจนเธอใจเสีย

ปราชญ์ส่ายหน้าทำไมถึงอยากโดนจับขนาดนั้นทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังไม่ให้ป้าแกพูดอะไรเลย แต่ก่อนจะคิดอะไรเขาก็เห็นนักศึกษาหญิงคนหนึ่งเดินออกไป

“ชายธัน เดี๋ยวพี่มานะ เห็นนักศึกษาหญิงเข้าไปหลังตึกคงจะไปเข้าห้องน้ำ พี่เป็นห่วง”

“ได้ครับ เอาตำรวจไปด้วยคนหนึ่งเพื่อเกิดเรื่องอะไร”

ปราชญ์พยักหน้าแล้วรีบวิ่งตามไป ต้นสนที่ยกมือปรามลุงภารโรงอยู่เห็นหลังของใครบางคนหายเข้าไปหลังตึกจึงต้องขอลูกน้องให้ช่วยคุยก่อนส่วนเขาก็วิ่งตามพี่ปราชญ์ไป

ปราชญ์เดินออกมาก็ไม่เห็นใครแล้วจึงขอวิสาสะเข้าไปในห้องน้ำหญิง “นักศึกษาครับ อยู่หรือเปล่า” ไม่มีเสียงตอบรับจึงต้องเดินออกมา ถ้ามันหลังตึกนี้ก็เพราะมีห้องน้ำ ถ้าไม่มาห้องน้ำแล้วจะไปไหน “เดี๋ยวผมดูตรงนี้เอง ฝากจ่าไปดูตึกนั้นได้ไหมครับ”

“ได้ครับ” จ่าที่มาด้วยพยักหน้ารับแล้ววิ่งไปทางตึกอีกฝั่งที่อยู่ไกลทางนี้เล็กน้อย

“นักศึกษา” ตะโกนเรียกสักพักก็ได้ยินเสียงร้องออกมาจากอีกตึกที่อยู่ข้างกัน ปราชญ์จึงรีบวิ่งไปทางนั้นทันที ดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นนักศึกษาหญิงกำลังถูกบีบคอกับพื้นโดยมีภารโรงอีกคนที่สะพายกระเป๋าข้างหลังคล้ายจะไปไหน “หยุด!”

ชายภารโรงยังคงบีบคอเด็กสาวอยู่อย่างนั้นและบีบแรงขึ้นเพื่อให้ตายคามือ ปราชญ์เลยถีบเข้าที่สีข้างแล้วดึงตัวนักศึกษาออกมา “วิ่ง!”

เธอพยักหน้า หอบหายใจแรงแล้ววิ่งออกไปทันที ชายภารโรงจะตามเธอคนนั้นเขาเลยต่อยมันไปทีหนึ่ง

“อยากตายหรือไงวะ” ชายภารโรงตะคอกก่อนจะหยิบมีดอีโต้ที่ไว้ใช้ตัดหญ้าออกมาจากกระเป๋า ปราชญ์ผงะถอยทันทีเหงื่อกาฬไหลตามขมับ

พอจะรู้ว่าตัวเองสู้ไม่ได้แต่นักศึกษาหญิงยังไม่พ้นระยะ กลัวมันจะตามทันเลยต้องยืนอยู่อย่างนั้น

“หยุดเถอะนะ นายเป็นคนทำใช่ไหม”

“หุบปาก!”

ปราชญ์กลืนน้ำลาย “พ่อของนายกำลังรับผิดแทนอยู่ สงสารแกบ้าง”

“ช่างหัวมันสิวะ” ไม่ว่าเปล่ามันยังเดือดดาลวิ่งเข้ามาง้างมีดมาแต่ไกล ปราชญ์ตั้งท่าจะรับข้อมือของมันที่ฟันลงมาเพราะถ้าหันหลังคงต้องโดนฟันกลางหลังเต็ม ๆ แต่ก่อนจะได้ทำก็มีใครบางคนมาบังไว้ได้ทัน

“มึงนี่เอง ทำเป็นป่วย” ต้นสนพูดลอดไรฟันแต่เพราะเข้ามากลั้นกลางกะทันหันเลยถูกฟันโดนที่หัวไหล่จนเลือดไหลออกมา

“ต้นสน!” ปราชญ์ตกใจรีบจับแขนคนตรงหน้าไว้

“ไม่เป็นไรครับ พี่ปราชญ์หลบหลังผมไว้นะ” ต้นสนพูดอย่างนั้นก่อนจะยกปืนจ่อมัน “วางมีดลง! แล้วมอบตัวซะ!”

ชายคนนั้นตกใจมือที่ถือมีดนิ่งค้างไว้

“คุกเข่าเดี๋ยวนี้! แล้วปามีดออกไป!” ต้นสนตะคอกเสียงดัง ก่อนจะยกมือส่งสัญญาณให้ตำรวจด้านหลังที่เข้ามาทางหน้าตึก

พอมันยอมปามีดออกไปแล้วตำรวจที่อยู่ข้างหลังก็เข้าไปกุมตัวทันที ต้นสนก็รีบก้มลงไปใส่กุญแจมือ

“ต้นสน” ปราชญ์น้ำตาคลอเมื่อเห็นน้องเป็นแผล “เจ็บมากไหม”

ชลันที่ผละออกมายืนกุมแผลตัวเองหันมองคนข้างกายที่ดูร้อนรนและเป็นห่วงเขา ใจของชายหนุ่มเลยอ่อนยวบ “ไม่เป็นไรครับ แค่รอยถาก ๆ”

“ถากยังไงมันลึกจนเลือดออกขนาดนี้” ปราชญ์ดุน้องทันที น้ำตาไหลเพราะใจเสีย “ไปหาหมอเดี๋ยวนี้เลย”

ชลันยังไม่ทันพูดอะไรก็ถูกดึงแขนให้เดินตาม ปราชญ์บอกชายธันไว้ก่อนว่าจะพาต้นสนไปทำแผลแล้วเอารถเขาไป

“แต่ว่าเรื่องผู้ร้าย...”

“นั่งเฉย ๆ นึกถึงตัวเองก่อน” ปราชญ์ว่าเสียงแข็งรีบขับออกจากมหาลัยทันที ใจยังสั่นไม่หาย ถ้าเกิดต้นสนจับแขนคนร้ายออกไม่ทันขึ้นมา ดีไม่ดีตรงที่โดนอาจจะเป็นศีรษะของน้องก็ได้ “ทำอะไรเกินตัว ถ้าเป็นอะไรมากกว่านี้จะทำยังไง”

คนถูกดุเงียบลงทันตา หันไปเห็นอีกฝ่ายยังน้ำตาไหลไม่หยุด มือก็สั่นไปด้วย “ผมไม่เป็นไรแล้ว ใจเย็นก่อนนะครับ” มือหนาเอื้อมไปกุมมือคนข้างกายบีบเบา ๆ ให้คลายกังวล

“ก็อย่าทำให้พี่เป็นห่วงสิ” ปราชญ์บอกน้องสอดประสานนิ้วแนบแน่น

ชลันอุ่นซ่านไปทั่วอกเขายิ้มบาง ทว่า ดวงตาส่อแววเศร้าเมื่อจำได้ว่าตัวเองทำผิดกับอีกคนไปมากแค่ไหน แต่ก็ยังเป็นห่วงเขาถึงขนาดนี้

เพียงไม่นานก็มาถึงโรงพยาบาล ต้นสนเข้าไปทำแผลอยู่สักพักคุณหมอถึงจะให้เข้าไปด้านใน

ผ้าพันแผลทาบอยู่ที่ไหล่ขวาและพันหน้าท้องเอาไว้ ปราชญ์ยกมือไหว้ขอบคุณคุณหมอและพยาบาล ก่อนจะแตะแขนคนตรงหน้า

“ขอบคุณที่พามาทำแผลนะครับ”

ปราชญ์พยักหน้ามองผ้าที่ปิดแผลไว้ ด้วยความเผลอตัวและลืมเลือนว่าน้องทำตัวเย็นชาใส่ ปราชญ์ก็ยกมือลูบหัวน้อง “ทีหลังอย่าทำอะไรเกินตัวแบบนี้นะ”

“มันหน้าที่ผม ยังไงก็ต้องช่วย”

พูดถึงหน้าที่มือเรียวก็ชะงัก เขาอาจจะผิดเองด้วยที่ทำอะไรโดยพลการ “พี่ขอโทษนะ ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ต้นสนคงไม่ต้องมาเจ็บตัว”

“โทษตัวเองทำไมครับ ตอนนั้นสถานการณ์มันฉุกละหุก ถ้าผมไม่เข้าไปช่วย... พี่ปราชญ์ก็คงได้แผลเหมือนผมและผมก็คงยอมไม่ได้ ถ้าเกิดพี่ปราชญ์ต้องบาดเจ็บ”

คนฟังยิ้มออกมาอบอุ่นไปทั่วทั้งใจ ดวงตาจดจ้องกัน มือเรียวเลื่อนมากุมแก้มใช้นิ้วโป้งเกลี่ยอย่างเบามือ “ขอบคุณที่เป็นห่วงและปกป้องพี่นะ”

ชลันเปรยยิ้ม “พี่ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ”

ดวงใจของปราชญ์เต้นระงมหลังจากได้สติเขาก็เพิ่งจะรู้ว่าคำแทนกันนั้น... เปลี่ยนไป รอยยิ้มนี้ที่ส่งออกมาจากใจจริง เขาได้เห็นเต็มตาแล้ว...

ไม่รู้ว่าจดจ้องไปนานเท่าใด ร่างกายขยับเข้าไปชิดคนที่นั่งบนเตียงตอนไหน ปราชญ์จ้องดวงตาสีเข้มที่สะท้อนหน้าเขาสลับกับริมฝีปากที่แนบสนิท มือยังคงวางบนใบหน้า ไม่ทันได้คิดปราชญ์ก็เคลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ จมูกโด่งชนเสียดสีกัน

“ขออนุญาตค่ะ” ไม่ทันได้ลิ้มลองใดใดปราชญ์ก็รีบผละออกมายืนห่าง หันไปมองประตูที่เปิดออกมาเฉียดฉิวอย่างพอดี คุณพยาบาลแนะนำอะไรหลายอย่างก่อนจะให้ไปรับยาและอนุญาตให้กลับบ้านได้

ปราชญ์รับยาเสร็จก็เดินนำน้องไปที่รถ พอนั่งอยู่ในรถได้ก็เกิดความเงียบเข้าครอบคลุม จากที่ผ่อนคลายกลายเป็นอึดอัด

“พ..พี่ขอโทษนะ” กว่าจะหาเสียงตัวเองเจอก็ผ่านไปหลายนาที

ชลันเองก็ตกใจไม่แพ้กัน ผู้หมวดหนุ่มไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าคนข้างกาย “ช่างมันเถอะครับ”

ทั้งคู่เงียบตลอดทางจนถึงบ้านของต้นสน ปราชญ์อาสาจะกลับไปรับน้องสาวของต้นสนแทน เพราะเดี๋ยวเธอรอเก้อ ดันลืมบอกชายธันว่าให้พาฟ้าใสกลับมาด้วย คงต้องไปรับด้วยตัวเองอย่างเดียว

“ขอบคุณมากนะคะคุณชาย” ต้นอ้อก้มหัวแล้วจับแขนลูกชายไว้

“ไม่เป็นไรครับ ฝากดูแลน้องด้วยนะครับ”

“จ้ะ”

ปราชญ์ยืนมองต้นสนจนลับสายตาถึงจะออกไปรับน้องสาวของอีกฝ่าย ภาพที่เขาจะจูบน้องแวบเข้ามาในหัว ทำให้ได้เข้าใจตัวเองดีแล้วว่า ที่เป็นเอามากทุกวันนี้เพราะอะไร...

ดูท่าว่าเขาจะเผลอมีใจให้ต้นสนไปเสียแล้ว





จบบทที่ ๙

หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๙
เริ่มหัวข้อโดย: piakunaa ที่ 25-06-2020 19:01:40
ทั้งสองคนจะรักกันไม่ได้ง่ายนะคะนักเขียน​ พี่ปราชญ์​ยังไม่เจ็บเท่าต้นสนเลย​ ขอมาม่าๆๆๆๆๆค่ะชามใหญ่​ๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๐
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 30-06-2020 17:27:16
(https://www.img.in.th/images/71513b97737d8f1a65c3461df9197612.jpg)

บทที่ ๑๐

วนลูป

 



ปภารัชอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวพับถึงข้อศอก ดวงตาภายใต้กรอบแว่นมองเด็ก ๆ ที่ก้มทำข้อสอบง่าย ๆ สิบข้อ และต่อแถวสอบปากเปล่าอีกนิดหน่อยก็เป็นอันเสร็จ พอยกนาฬิกาเรือนขอบทองขึ้นดูก็พบว่าอีกไม่นานก็จะถึงวิชาของต้นสน

อีกฝ่ายดื้อรั้นที่จะออกมาสอนและจะไปทำงานท่าเดียว ถึงจะไม่ได้แขนขาหักแต่ก็ควรจะพักเสียบ้าง ขยับทีก็เจ็บจนสีหน้าแสดงออกมา ถึงจะกลั้นเสียงร้อง ทว่า ใบหน้าที่เจ็บปวดมันก็ไม่ได้โกหกหรอกนะ ฟ้าใสบอกว่าต้นสนร้องทั้งคืนเพราะปวดแผล

คนอายุมากกว่าส่ายหัวมองคนเจ็บที่นั่งอ่านหนังสือทบทวนที่จะสอนไปพลาง เขายังไม่ได้มีโอกาสได้ถามไถ่เลยว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่ฟ้าใสเล่ามาก็คงไม่ต้องถามให้มากความ

เด็ก ๆ ทุกคนสอบกันเสร็จเรียบร้อย ปราชญ์จึงให้ตุ๊กตาขนาดเท่าฝ่ามือที่ส่งตรงจากอังกฤษให้ทุกคนเป็นของขวัญ

“ทำไมเวลาไปเรียนที่วัดไม่เห็นได้ของเหมือนที่นี่เลย ทำผิดก็โดนตีโดนว่า” เด็กชายคนหนึ่งพูดพลางมองตุ๊กตาในมือ ปราชญ์เห็นอย่างนั้นก็นึกอาทรจึงย่อตัวให้อยู่ระดับหน้า

“ฟังพี่นะครับเด็กดี ถึงแม้ว่าการเรียนที่อื่นจะไม่มีของให้อย่างนี้ แต่สิ่งที่ได้คือความรู้ เพื่อน สังคม ไม่มีของรางวัลใช่ว่าเราจะทำได้ไม่ดี พี่อยากให้เราคิดว่าเราไปหาประสบการณ์ด้านนอก เราสามารถซื้ออะไรก็ได้ให้เป็นของรางวัลของตัวเราเองได้ ไม่จำเป็นต้องรอของรางวัลจากคนอื่น ซื้อขนมสักชิ้นระหว่างทางกลับบ้านนั่นก็คือรางวัลของเราแล้ว” เด็ก ๆ พากันยิ้มและพยักหน้า แล้วก็พูดว่ามีร้านขนมอร่อยก่อนถึงบ้าน แลกเปลี่ยนร้านขนมกันถึงจะมีไม่กี่ร้านก็ตาม “เมื่อใครดุใครว่า ให้รับฟังเป็นบทเรียน ทำผิดไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะโดนว่า แต่ถ้าแค่ทำการบ้านผิดหรือทำข้อสอบผิด ไว้รอบหน้าเราก็ทำให้มันดีขึ้น ถ้าเขายังดุยังว่าอีกก็ไม่ต้องห่วงนะ พี่ปราชญ์ พี่ธันและพี่ต้นสนคอยให้กำลังใจอยู่ตรงนี้”

“ครับ/ค่ะ” เด็กทั้งหกตอบรับอย่างพร้อมเพรียง

โรงเรียนบางโรงเรียนเจอครูที่ไม่นึกถึงความรู้สึกเด็ก จนบางทีปราชญ์ก็อยากจะไปคุยให้รู้แล้วรู้รอด ทุกครั้งที่เด็กบางคนกลับมาก็ร้องไห้บอกไม่อยากไปเรียนเพราะคุณครูทั้งตีและต่อว่ากลับมา เขาไม่รู้ว่าคนพวกนั้นเป็นครูได้อย่างไรในเมื่อไม่รู้จักหักห้ามอารมณ์ตัวเอง ยิ่งสอนเด็กด้วยแล้วถ้าไม่รักเด็กจริงจะไปรอดได้อย่างไร ไม่ว่าจะโรงเรียนวัดหรือโรงเรียนที่ขึ้นชื่อ ต่างก็มีครูที่นิสัยอย่างนี้

ปราชญ์บอกกับตัวเองเสมอว่าถ้าได้สอนใครขึ้นมา ปราชญ์จะไม่เอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง ไม่เอาอารมณ์ตัวเองไปลงที่เด็ก ไม่ทำโทษด้วยการตีเด็ก ไม่ดุด่าเกินควร เพราะยิ่งทำอย่างนั้นเด็กจะถูกลดกำลังใจและหวาดกลัวไปเลยก็ได้

บางทีเขาก็เจอเด็กที่เกเร ไม่ฟัง มีหนักสุดถึงขั้นพูดคำหยาบใส่ครู ถ้าเด็กเป็นอย่างนั้นคงต้องคุยกันจริงจังเรียกผู้ปกครองมาคุย เขาเคยโกรธแต่ไม่เคยปลดปล่อยอารมณ์ออกมา มันก็ดีที่เด็กบางคนเรียนรู้ได้ แต่บางคนก็ไม่เรียนรู้เลยจนถูกออก อย่างน้อยการจะปรับนิสัยเด็กเขาก็พยายามจนถึงที่สุด ทำทุกหนทุกทาง จะได้ไม่ได้ก็อยู่ที่อนาคต ใครปรับได้ก็ยินดีกับเขา ใครปรับไม่ได้ก็อยากหวังให้สักวันเขาจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้

“เอาล่ะถึงเวลาของพี่ต้นสนแล้ว” ปราชญ์ลุกขึ้นและเก็บของทั้งหมด เขามีตรวจงานของนักศึกษาจึงกลับเร็วกว่าปกติ เขาเลยยื่นของให้น้องไปเพราะก่อนมานี่ก็ไม่ได้เอาไปให้ เรียกแล้วก็ไม่มีใครออกมารับของคิดว่าไม่อยู่ที่บ้านกัน จนมาเจอฟ้าใสกับต้นสนที่นั่งอยู่ในบ้านพักหลังนี้

“หายไว ๆ นะครับ” เอ่ยบอกน้องที่กำลังลุกเตรียมตัว ดวงตาสุกใสสงบนิ่งไปทันตา ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเขากำลังถูกขีดเส้นไม่ให้เข้าไปใกล้

อีกแล้วหรือ?

เขาทำอะไรผิด... หรือเพราะเรื่องเมื่อวานที่จะ ‘จูบ’ เลยนึกรังเกียจเขาขึ้นมาหรือเปล่านะ

“เมื่อวานยังเห็นคุยกันดี ๆ อยู่ไม่ใช่หรือคะ เป็นอะไรอีกน่ะ” ฟ้าใสถามอย่างนึกฉงนเพราะเมื่อวานเธอเห็นพี่ชายตนยืนคุยกับพี่ปราชญ์อยู่เลย แถมยังเห็นว่าปกป้องจนตัวเองบาดเจ็บ พี่ปราชญ์ต้องหามไปโรงพยาบาล มาวันนี้ดันทำตัวเย็นชาใส่หน้าตาเฉย

ผีเข้าผีออกหรือไงตาพี่คนนี้

“ต้นสนคงเหนื่อย ๆ” ปราชญ์พูดเสียงเบาผันมองคนหน้าชั้นเรียนที่เริ่มสอนแล้ว ถ้าเกิดเป็นเพราะเรื่องเมื่อวานเขาคงต้องขอโทษอย่างจริงจัง มันไม่ใช่เขาเองหรือที่เป็นคนริเริ่ม หากต้นสนรู้ว่าเขารู้สึกอย่างไร จะไม่ตีตัวออกห่างมากกว่านี้หรือ

เย็นชาใส่เพียงแค่นี้ เขาก็ปวดหนึบไปทั้งอกแล้ว

“อารมณ์แปรปรวนง่ายขนาดนี้คงต้องพาไปทำบุญบ้างสักวัน” ชายธันที่มองอยู่นานพูดขึ้น

“พี่ธันก็ไปด้วยกันเลยสิคะ เคยเป็นเหมือนกันไม่ใช่หรือ” ฟ้าใสว่าจนธันหน้าเสีย มีไม่กี่ครั้งที่ทำธันแสดงอารมณ์ออกมาขนาดนี้

ปราชญ์พอจะเข้าใจเพราะตอนที่เขาไปอังกฤษแล้ว เห็นว่าเด็ก ๆ มีปัญหากันทันที ต้นสนพาฟ้าใสออกไปเล่นด้วยแต่ก็เคยถูกชายธันต่อว่าและเคยผลักตกน้ำ ฟ้าใสว่ายน้ำไม่เป็น เหตุการณ์วันนั้นฟ้าใสเลยจำจนติดตา และกลัวน้ำจนถึงทุกวันนี้ เขารู้ว่าชายธันรู้สึกผิดจึงพยายามช่วยเหลือคนบ้านพี่เฟื้องตลอด

แต่คนถูกกระทำก็จำไปจนตายเช่นกัน ไม่ว่าจะทำดีแค่ไหนก็มิอาจลบภาพความเลวร้ายในอดีตได้

“พี่—”

“หนูกลับก่อนนะคะ” ฟ้าใสยกมือไหว้ผู้ใหญ่แล้วเดินออกไปทันที

ปราชญ์หันมองน้องชายที่ดูรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก เขาจึงตบบ่าน้อง “ถึงน้องจะไม่ให้อภัย ก็ไม่เป็นไรนะ ต้องมีสักวันที่ฟ้าใสจะไม่ถือความ”

“ไม่ต้องให้อภัยก็ได้ ขอแค่ได้คุยกันดี ๆ สักครั้งก็พอ”

“ต้องใช้เวลาหน่อยนะ”

แล้วมันเมื่อไรกัน... นั่นคือสิ่งที่ชายธันถามอยู่ภายในใจตลอด แต่ก็น้อมรับความผิด น้อมรับหากน้องจะเกลียด

ปราชญ์บีบบ่าน้องหนสุดท้ายแล้วขอตัวกลับไปตรวจงานของนักศึกษาต่อ พอเข้าวังได้ก็เห็นน้องชายคนกลางที่กำลังนั่งหน้าคล้ำหน้าเครียดอยู่คนเดียว

“ถูกสาวอกหักมาหรือชายกรณ์”

อิตธิกรณ์เงยหน้า ส่ายหัวพลางขำ “สาวที่ไหนล่ะครับ มีแต่พวกหนุ่ม ๆ”

“หื้อ?”

เห็นสีหน้าตกใจของพี่คนโตชายกรณ์ก็หัวเราะชอบใจ “เกี่ยวกับคนในรุ่นน่ะครับ”

“อ่อ.. แล้วมีปัญหาอะไรหรือถึงทำหน้าเครียดขนาดนี้”

คนที่ร่าเริงเสมอจุดยิ้มบาง “พอดีมีเรื่องนิดหน่อย แต่ก็ไม่มีปัญหามากหรอกครับ”

ปราชญ์เดินเข้าไปหาน้องไม่ต้องพูดอะไรให้มากความน้องที่อายุจะเข้าเลขสามก็ซุกกับอกของพี่ทันที ชายกรณ์น่ะเห็นยิ้มเก่ง พูดเก่ง ต้องทำตัวเข้มแข็งเสมอเพื่อน้องชายคนเล็กและพี่คนโตอย่างเขา แต่เนื้อในก็แค่มนุษย์คนหนึ่งที่มีหัวจิตหัวใจ คงแบกรับอะไรหลายอย่าง ทั้งยศถาบรรดาศักดิ์ที่ได้มาอย่างง่ายดายจนคนดูแคลน แต่เขารู้ว่าชายกรณ์ทำด้วยความพากเพียรพยายามของตัวเองมาตลอด ฝึกหนักที่อเมริกาและที่ไทยจนมาถึงวันนี้ได้

“ถ้าเหนื่อยก็พักบ้างนะ รู้ไหม” มือเรียวสางผมน้องชาย คลี่อย่างเบามือ นวดคลึงให้คลายเครียด “หาเวลาว่างไปพักผ่อนบ้าง”

“ถ้าจะไป อยากไปด้วยกันสามพี่น้อง” ชายกรณ์พูดอู้อี้

ปภารัชยิ้มเอ็นดู ต่อให้น้องชายจะอายุห้าสิบก็ยังคงเป็นเจ้าน้องชายที่ขี้อ้อนของเขาอย่างเคย “ถ้าอย่างนั้นไว้พรุ่งนี้มาคุยกันดูไหมว่าจะไปเที่ยวไหนกัน”

ชายกรณ์ผละออก เห็นตาแดงเล็กน้อย “ได้ครับ... อ่า ใช้ไม่ได้เลยชายกรณ์ ทำตัวอ่อนแอไปได้” น้องพึมพำบ่นตัวเอง

“ถ้าเรื่องที่กองทัพไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไร พี่ว่าชายกรณ์ไปนอนพักเถอะนะ”

“ครับผม” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นตะเบ๊ะ

ปภารัชส่ายหัวอมยิ้มน้อย ๆ แล้วเดินตามขึ้นไป ต่างแยกย้ายเข้าห้องของตัวเอง พอถึงห้องก็คลายกระดุมเสื้อลงอีกสองสามเม็ดจนเผยแผงอกขาว วันนี้เป็นวันอะไรกันนะ สามพี่น้องถึงมีเรื่องเครียดเข้ามาพร้อมกัน

คนเล็กมีปัญหาเรื่องที่ตัวเองเคยทำผิด

คนกลางมีปัญหาเรื่องที่ต้องแบกรับคนเดียว

ส่วนคนโตมีปัญหาเรื่องของ... หัวใจ

หรือเราสามพี่น้องจะปลีกตัวไปนั่งสมาธิที่วัดกันสักอาทิตย์ดี

 
 

เฝ้าคำนึง

 


ผลัดไปอีกวันการเรียนการสอนก็มีเป็นปกติ จากเรื่องที่จับผู้ร้ายได้นั้นเป็นข่าวดังเลยทีเดียว ทางมหาลัยจึงต้องคัดคนมาเป็นภารโรงอย่างจริงจัง คู่สามีภรรยาถูกไล่ออกอย่างไม่นึกเห็นใจ แต่เขาก็เข้าใจว่าทั้งคู่ต้องการจะปกป้องลูกชาย แต่เป็นการปกป้องที่ผิดเท่านั้น เขานึกเห็นใจอยู่เหมือนกัน เพราะลุงกับป้าแกนิสัยดี

ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นอย่างไรกันบ้าง หางานทำได้หรือยัง

“สอนเสร็จแล้วหรือครับ” อาจารย์รศิตถามขึ้นเมื่อเห็นใครเข้ามาในห้องพัก

“ครับ แล้วอาจารย์รศิตล่ะครับ”

“เสร็จแล้วเหมือนกันครับ แต่ผมอยู่ตรวจงานต่อ”

“อย่ากลับดึกมากนะครับ ขับรถตอนกลางคืนมันอันตราย” ปากก็พูดไปมือก็เก็บของและพาดเสื้อสูทลงกับแขน

“รับทราบครับ ขับรถกลับดี ๆ นะครับคุณชาย”

ปภารัชยิ้มพลางผงกหัวก่อนจะเดินออกจากห้องเพื่อกลับวัง เมื่อเข้าไปนั่งรถก็ขยับคอไปมาให้คลายความล้าที่สะสมมาทั้งวัน พอขับออกมาก็เห็นเด็กสาวสองคนคุ้นหน้าคุ้นตาที่เดินไปที่รถคันหนึ่ง และมีร่างสูงของใครบางคนที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นธรรมดา เพราะคงไม่ได้ไปทำงานอย่างเดิม

อดไม่ได้ที่จะขับชะลอมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของอีกฝ่าย ต้นสนเปิดประตูให้เพียงขวัญ เห็นฟ้าใสทำท่าโวยวายคงเพราะพี่ชายไม่เคยเปิดประตูให้บ้าง

ชายหนุ่มนึกห่วงที่ต้นสนขับรถออกมาทั้งที่บาดเจ็บอยู่ ใช่... เขาก็แค่ห่วง ถึงแม้ว่าเวลาเจอเพียงขวัญจะยิ้มอย่างสดใสมากกว่าที่อยู่ใกล้เขา ดูเหมาะสมกันดีเวลายืนใกล้กัน

ที่เขาเอาแต่กำพวงมาลัยจนมือแดง จ้องมองภาพบาดตาที่ทำให้หัวใจคล้ายถูกบีบรัด ทั้งหมดทั้งมวล มันก็แค่ความรู้สึกห่วงไม่อยากให้ออกมาขับรถก็เท่านั้น...

เท่านั้นจริง ๆ

ไม่รู้ว่าโชคชะตานำพาหรืออย่างไร ถึงได้เห็นว่าต้นสนดูมีปัญหากับรถของตัวเอง เด็กสาวทั้งสองจึงออกมายืนนอกรถ อยากจะขับหนีไปให้รู้แล้วรู้รอดแต่เมื่อเห็นคนเดือดร้อนก็ทำใจมองข้ามลำบาก รถสไตล์ยุโรปจึงขับเข้าไปจอดเทียบใกล้ ๆ

ปภารัชวางสูทกับเบาะข้างคนขับแล้วลงรถไป “รถมีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ”

“เจ้าชายขี่ม้าขาว” ฟ้าใสว่าอย่างเพ้อฝันก่อนจะบอกปัญหา “รถสตาร์ทไม่ติดค่ะ เจ้าพี่คนดีคนเดิมลืมเติมน้ำมันมา”

พอได้ยินอย่างนั้นเขาก็เผลอหัวเราะออกมา “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพี่ไปส่งก่อนดีไหม”

ต้นสนลงรถอย่างห้ามไม่ได้ “ฟ้าใสกลับกับคุณชายเขาก่อนก็ได้ พี่ขอโทษนะขวัญที่ไปส่งไม่ได้”

เพียงขวัญยิ้มอย่างไม่ถือสา “ไม่เป็นไรค่ะ ขวัญต่างหากที่ต้องขอโทษที่รบกวน พี่ต้นสนบาดเจ็บมาแท้ ๆ”

ทั้งคู่ยืนยิ้มให้กัน ปราชญ์ที่เห็นก็จำต้องหันหน้าหนี “ไว้เดี๋ยวผมไปส่งฟ้าใสกับเพียงขวัญก่อน แล้วจะแวะซื้อน้ำมันรถมาให้”

“ไม่ต้องก็ได้ครับ รบกวนให้พี่สมพงษ์ไปบอกพ่อเฟื้องดีกว่า จะได้ไม่รบกวนคุณชายให้ขับรถไปมา”

ปราชญ์มองอีกฝ่ายย่างนึกไม่เข้าใจ “ไม่เป็นไรหรอกครับ เผื่อพี่เฟื้องทำงานอยู่”

“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ขอพี่สมพงษ์มาก็ได้ครับ” แววตาดื้อรั้นนั้นทำเขาต้องถอนหายใจ เราทั้งคู่ต่างสอดสายตาประสาน ไม่ใช่แบบที่ยิ้มให้กันหรือมีนัยมากกว่านั้น แต่เป็นดวงตาที่ฟาดฟันกันแทน

เพียงขวัญกระซิบกระซาบเพื่อนเมื่อเห็นบรรยากาศมาคุนี้ ฟ้าใสทำหน้าเอือมระอา “เป็นแบบนี้ตลอดแหละ สามวันดีสี่วันไข้ โดยเฉพาะพี่ต้นสนนะไม่รู้ว่าไปโกรธไปเกลียดอะไร เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายใส่พี่ปราชญ์ ทั้งที่แต่ก่อนติดพี่ปราชญ์จะตาย ไม่รู้ว่าทำไมพอกลับมาเจอกันถึงเป็นอย่างนี้ไปได้ พี่ปราชญ์ก็ไม่เห็นจะทำอะไรให้เลย พูดดีไปแต่ก็ถูกเมินกลับ”

“เขาอาจจะมีปัญหากันส่วนตัวแต่เราไม่รู้ก็ได้นะ”

“ปัญหาอะไรล่ะ พี่ปราชญ์ออกจะนิสัยดีขนาดนี้ ทำไมพี่ต้นสนถึงเป็นแบบนี้ก็ไม่รู้”

“ก็เหมือนกับคุณชายธันที่เธอเล่าให้ฉันฟังไม่ใช่หรือ”

ฟ้าใสเงียบลง กลอกตาไปมา “ไม่เหมือนกันสักหน่อย อันนี้พี่ปราชญ์ไม่เคยทำอะไรให้พี่ต้นสนจริง ๆ”

เพียงขวัญส่ายหน้า “ถึงยังไงเราก็ไม่รู้เรื่องภายในใจพวกเขาอยู่ดีนะ อาจจะมีปัญหาตอนที่เธอไม่เห็นก็ได้”

คนฟังต้องจำยอมพยักหน้าทำเป็นเห็นด้วยแล้วหันไปหาพี่ปราชญ์ “ไปกันเถอะค่ะพี่ปราชญ์ ให้ดีก็ไม่ต้องบอกใครเลย ไม่ต้องช่วยด้วย ทิ้งตาพี่คนนี้ไว้ก็ได้”

“อ่าว ยัยตัวแสบ” ต้นสนเท้าเอว

“พี่ปราชญ์อุตส่าห์ช่วยเหลือแต่ปัดน้ำใจแบบนี้ นึกถึงใจคนมาช่วยบ้างสิคะพี่ต้นสน” ฟ้าใสทำตาดุใส่พี่ชาย

ชลันเถียงไม่ออกเลยทำเป็นหงุดหงิดกลบเกลื่อน

“ช่างเถอะครับ พี่ก็แค่คนนอก” ปราชญ์พูดทั้งที่ตายังมองอีกฝ่าย “ไปเถอะครับ เดี๋ยวพี่ไปส่ง”

ทั้งสามขึ้นรถอีกคัน ปราชญ์ขับรถออกโดยไม่มองต้นสนเลยสักนิด ดีหน่อยที่ฟ้าใสพูดตลอดทางในรถจึงไม่เงียบจนเกินไป

“ขอบคุณนะคะอาจารย์หม่อม” เพียงขวัญยกมือไหว้

“ยินดีครับ” ชายหนุ่มคลี่ยิ้มพอน้องลงรถไปแล้วจึงขับกลับวัง

เมื่อออกรถมาได้สักพักฟ้าใสก็เอ่ยถามแทงใจทันที “พี่ปราชญ์คิดว่ายัยขวัญเหมาะกับพี่ต้นสนไหมคะ”

ปราชญ์ยิ้มบางแม้ในใจเจ็บปวด “เหมาะดีครับ”

“ใช่ไหมล่ะคะ ขัดใจนิดหน่อยที่ในอนาคตจะได้เพื่อนเป็นพี่สะใภ้ แต่ก็ไม่แย่” ฟ้าใสพูดอย่างร่าเริง ต่างจากอีกคนที่ปากยิ้มแต่แววตาเรียบนิ่ง

พอมาถึงเขาก็จะไปบอกพี่สมพงษ์ให้อยู่หรอกถ้าไม่ติดว่าแกออกไปตลาดกับคุณน้า เขาจึงต้องตีรถกลับและหาแวะซื้อน้ำมันเอง ใช้เวลานานพอควรถึงจะขับมาถึงที่มหาลัย เห็นคนในรถกำลังนอนอยู่จึงบีบแตรไปที

ชลันสะดุ้งจนหัวโขกกับประตู พอหันมองว่าเป็นใครก็นึกฉุนเล็กน้อย

“พอดีว่าพี่สมพงษ์ไปตลาดเลยไม่มีใครมาแทนได้” ปราชญ์ลงรถและยื่นถังน้ำมันให้

“ขอบคุณครับ” ต้นสนลูบหัวตัวเองปอย ๆ ปิดประตูรถและรับถังมา

เห็นอย่างนั้นก็รู้สึกผิดที่ทำให้เจ็บตัว “ขอโทษนะครับ เจ็บหรือเปล่า”

ชลันที่เดินไปเติมน้ำมันเงยหน้ามอง “ไม่เจ็บครับ ไม่เป็นไร คุณชายกลับไปเถอะ”

“แล้วแผลเป็นอย่างไรบ้างครับ” นอกจากจะไม่กลับแล้วยังยืนกอดอกพิงประตูรถ

“แค่หัวโขกไม่ถึงกับมีแผลหรอกครับ”

ปภารัชยิ้มบาง “หมายถึงแผลที่ไหล่ครับ”

ต้นสนหูร้อนขึ้นมา จากที่ทำขรึมถึงกับหน้าม้านเล็กน้อย “เริ่มสมานแล้วครับ”

“อย่าทำอะไรหักโหมมากนะครับ อย่ากินของแสลงด้วย ถ้าเป็นไปได้อยากให้พักผ่อนมาก ๆ จะได้หายไว ๆ”

คนฟังกัดฟันกรอด ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น “อย่าทำเหมือนเป็นห่วงผม” เพราะเขารู้สึกละอายใจที่ทำตัวแย่ใส่

แต่คนได้ยินกลับคิดว่าอีกคนไม่อยากจะรับความหวังดี จึงอดจะน้อยใจไม่ได้ “ทำไมหรือ พี่เป็นห่วงไม่ได้เลยใช่ไหม”

ชลันหลบสายตาที่ส่อแววตัดพ้อนั้น “เราเป็นคนนอกต่อกันไม่ใช่หรือครับ เป็นห่วงคนอย่างผมทำไม เสียเวลาเปล่า” คนพูดก็อยากจะกัดลิ้นตัวเอง แต่ทำยังไงได้ถ้าไม่ตัดขาดตอนนี้ มันจะไม่ดีต่อตัวพี่ปราชญ์เองด้วย

ที่จะจูบเขาน่ะ เขาไม่เคยลืมได้ลงหรอก ถ้าเขาปล่อยใจเลยตามเลย อาจจะกลายเป็นมือที่สามหรือคนแก้เหงาก็ได้ใครจะไปรู้

“พี่แค่น้อยใจพี่เลยพูดว่าพี่เป็นคนนอก... แต่ไม่คิดเลยนะว่าต้นสนจะคิดกับพี่แบบนี้จริง ๆ” ปราชญ์พูดเสียงเรียบต่างจากภายในใจที่เริ่มแตกร้าวอย่างช้า ๆ “พี่คงยุ่งมากไป พี่คิดว่าเราจะกลับมาคุยกันเหมือนเดิมได้ แต่ก็ไม่ใช่... เพราะเรื่องวันนั้นใช่ไหม”

ใจของต้นสนเต้นระรัว เขารีบปิดฝาถังแล้วเอาใส่หลังรถ “เลิกพูดถึงได้แล้วครับ ขอบคุณที่ช่วย”

ปราชญ์ไม่ทันคิดรีบดึงแขนต้นสนทันที “พี่ขอโทษ วันนั้นพี่แค่เผลอตัว...” ถึงจะน้อยใจแต่เรื่องนี้เขาก็ผิดเอง

ชลันหันหน้าเข้าหา คำว่าเผลอตัวทำร่างสูงปวดหนึบไปทั่วอก “ทีหลังก็อย่าเผลอตัวไปทำแบบนี้กับใครอีกนะครับ เดี๋ยวเขาจะไม่ชอบเอา”

คนฟังถึงกับรู้สึกจุก

จะให้เผลอตัวกับใครหรือ... ในเมื่อมีใจให้ต้นสนไปเสียแล้ว จะให้ไปทำกับใครหรือ... ในเมื่ออยากจะมอบให้ต้นสนเพียงคนเดียว

ทำไมพูดอย่างกับว่าเขาต้องระรานหาคนไปทั่ว เนื้อความยังตีให้คิดว่าสิ่งที่เขาทำมันน่ารังเกียจ ต้นสนที่ไม่ชอบเลยคิดว่าคนอื่นก็คงไม่ชอบสินะ

ถึงอย่างนั้นก็ต้องทำใจยอมรับ คนที่เราไม่ได้ชื่นชอบทำเกินขอบเขตความสัมพันธ์ ถ้าเป็นเขาโดนบ้างก็คงไม่ชอบใจเหมือนกัน “พี่ขอโทษจริง ๆ”

“กลับได้แล้วครับ แล้วก็ลืมเรื่องพวกนั้นไปซะ”

“ต้นสนไม่ได้รังเกียจพี่ใช่ไหม”

คำถามนั้นทำเอาชลันยืนนิ่ง “ไม่ได้รังเกียจครับ แต่คุณชายก็ควรรู้ว่าตัวเองไม่สมควรทำอย่างนี้ เรื่องง่าย ๆ คงคิดได้” อย่าทำผิดกับคนที่รักเลย ไม่อยากให้ใครมองพี่ปราชญ์ไม่ดี

“เข้าใจแล้ว พี่จะไม่ทำอีก”

“งั้นก็ปล่อยมือผมได้แล้ว”

ปราชญ์รีบผละออกทันที ดวงตาภายใต้กรอบแว่นหม่นหมองลง ขยับออกให้รถอีกฝ่ายขับออกไป

เขาคงต้องทำใจไว้บ้าง...

ขนาดเพิ่งเข้าใจความรู้สึกตัวเองที่มีต่อต้นสน ไม่ทันไรก็มีแววจะไม่ได้ไปต่อ ถึงจะไม่ได้คาดหวังอะไร เพราะยังไงเขาก็อายุมากขนาดนี้แล้ว ส่วนต้นสนยังเจอผู้คนได้อีกมากมาย เขาไม่เคยคิดจะเอาคนนี้ให้ได้ หรือต้องเป็นคนนี้เท่านั้น

ปราชญ์ยอมรับว่ารู้สึกชอบ แต่ไม่เคยคิดจะก้าวก่ายมากกว่านี้ ไม่อยากเข้าไปทำให้รู้สึกอึดอัด แค่มองอยู่ตรงนี้ก็พอ แม้จะเจ็บปวดบ้างแต่ก็ไม่เป็นไร

นึกโทษตัวเองด้วยซ้ำที่วันนั้นห้ามตัวเองไม่อยู่ มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเขาไม่ได้ทำอะไรลงไป ต้นสนคงจะกลับมาเป็นอย่างเดิม อุตส่าห์เรียกเขาว่าพี่ แสดงออกว่าเป็นห่วง แต่มันก็พังเพราะเขาเอง

จะโทษใครได้นอกจากตัวเขาเอง

จนมืดค่ำปราชญ์เพิ่งจะมาถึงวัง ป้าสรบอกว่าน้องชายทั้งสองรอยู่ที่ห้องนั่งเล่นนานแล้ว ชายหนุ่มถอนหายใจลืมไปเสียสนิทว่าวันนี้จะมาคุยกับน้องเรื่องไปเที่ยวพักผ่อน

“ทำไมกลับดึกจังครับ” ชายกรณ์ถามขึ้น

ปภารัชเดินไปนั่งเก้าอี้นวมตรงข้ามกับน้อง ๆ “งานยุ่งน่ะ แล้วคุยกันไปหรือยังว่ามีที่ไหนที่อยากจะไป”

“ผมแนะนำเชียงใหม่ครับ ขึ้นดอยกัน คุณอาชักชวน” คงจะเป็นคุณอาที่รู้จักมีวังอยู่ในเชียงใหม่

“แล้วชายธันล่ะ”

“ผมไปที่ไหนก็ได้”

คนพี่พยักหน้า “พี่อยากไปทะเล”

“อ่าว”

“ขึ้นดอยไว้ไปหน้าหนาวกัน ตอนนี้หน้าร้อนเราไปทะเลเถอะ”

“จริงด้วยสินะ” ชายกรณ์ลูบคาง ถ้าไปตอนนี้ก็ไม่เห็นหมอก “ไปทะเลก็ได้นะครับ คิดถึงอาหารทะเลเหมือนกัน”

“ชวนผู้ใหญ่ไปด้วยหรือเปล่า”

“เราไปสามคนสิครับ”

ปราชญ์เลิกคิ้วคลี่ยิ้มล้อชายกลาง “จะพาสาวไปด้วยหรือไปเหล่สาวที่นู่น”

ชายกรณ์กระแอมไอ “พี่ชายใหญ่นี่ก็ เห็นผมเป็นคนอย่างไร”

“จะไปกันแค่สามคนจริงหรือ” ชายธันถามอีกรอบ

“เอ้อ!” อิตธิกรณ์ตบบ่าน้องคนเล็ก “ชายเล็กก็ชวนต้นสนไปด้วยสิ แล้วก็เพื่อน ๆ สมัยเรียนนายร้อย”

ชายเล็กขมวดคิ้ว จำได้ว่าศศิเพื่อนนายร้อยของเขาไปประจำที่ทางใต้ “มีเพื่อนคนหนึ่งไปประจำอยู่ที่พังงา เราไปที่นั่นกันไหมครับ จะได้ชวนคนอื่นด้วยเลย”

“เอาสิ เลยไปภูเก็ตด้วยเลยดีไหม อยากขึ้นเรือมานานแล้ว”

“ต้นสนจะไปด้วยหรือ”

ชายธันยิ้มบาง “ไปสิครับ”

“จะยอมไปหรือ ในเมื่อพี่ก็ไปด้วย...”

คนกลางหันซ้ายหันขวาเพราะยังไม่รู้เรื่อง “มีอะไรหรือครับ ถ้าพี่ปราชญ์ไปด้วยต้นสนก็ต้องไปอยู่แล้ว”

เห็นอย่างนั้นปภารัชจึงเปิดปากเล่าเรื่องทุกอย่างให้คนกลางฟัง แล้วก็ไม่แปลกใจเลยที่ชายกรณ์จะตกใจขนาดนี้

“นี่ยังไม่ได้คุยกันเรื่องจดหมายเลยหรือครับ แล้วทำไมต้นสนต้องทำตัวแบบนั้นด้วย”

“พี่ก็ไม่รู้”

“พอมาฟังอย่างนี้แล้ว... ต้นสนจะไปด้วยได้แน่หรือ” ชายกรณ์ถามน้องชายที่ดูมั่นอกมั่นใจเหลือเกิน

“เอาเถอะครับ ผมชวนไปได้อยู่แล้ว”

พี่คนโตกับพี่คนกลางมองหน้ากันอย่างนึกสงสัย

“เอาเป็นว่ารออีกสองอาทิตย์แล้วกันนะ พี่ชายใหญ่ว่ายังไงครับ”

“ก็ดีเหมือนกันนะ จะได้จัดการเรื่องงานไว้ก่อนได้ แล้วไปกี่วันดีล่ะ”

“อืม... สามวันสองคืนดีไหมครับ” ชายกรณ์แนะนำ

“ก็พอดีนะ ไปในช่วงวันหยุดแล้วใช้ลากิจเอา ไม่อยากลาเยอะเพิ่งได้เข้าสอนด้วย”

“ตามนั้นครับ” คนกลางยิ้มร่าเริงที่จะได้ไปพักผ่อนเสียที

ปภารัชได้แต่ภาวนาว่าวันที่ไปจะไม่เกิดเรื่องบาดหมางอะไรกันอีก ถ้าเป็นไปได้เขาคงต้องอยู่ห่างไว้ อาจจะไม่ได้คุยกันเลย...

แต่เป็นแบบนี้ก็คงจะดีแล้ว





จบบทที่ ๑๐
-----------------------------------------------
อยากทราบว่าคุณนักอ่านกดเข้าอ่านแต่ละตอนที่ลงสารบัญได้ไหมคะ พอดีว่าเพิ่งลองกดเข้าแต่มันไม่ขึ้นแต่ละตอนให้
ใครเป็นยังไงบอกด้วยนะคะ พยายามแก้อยู่แต่แก้ไม่ได้สักที :mew6:



หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๐
เริ่มหัวข้อโดย: piakunaa ที่ 30-06-2020 19:10:33
กดได้ค่ะ


แล้วเมื่อไหร่พี่ปราชญ์​จะบอกว่าเลิกกับภวัตแล้ว​ เหอมมมมมมมมมมม​ ต้นสนนนนนนนนนนนนนน
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๐
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 30-06-2020 20:52:00
 :3123:
 o13
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๑ (๑/๒)
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 07-07-2020 21:57:00
 

(https://www.img.in.th/images/f4c8afa6550da38427ba35f160a76eca.jpg)

บทที่ ๑๑

เต้นรำ

 
 

หลังจากเพิ่งกลับจากการสอนมาก็ไม่ได้มีงานอะไรเพิ่มมากนัก ที่ต้องทำคงทำช่วงหัวค่ำได้ พลันเสียงเพลงที่ดังขึ้นมาหลายวันนี้ทำให้ปราชญ์ต้องออกไปดูทางบ้านพี่เฟื้องว่ามีงานอะไรกัน เพราะยังไม่ได้ไปถามเลยเนื่องจากติดสอนที่มหาลัยแล้วก็เตรียมบทความที่จะสอนและให้นักศึกษาทำในช่วงที่เขาจะไปทะเล พอเห็นว่าใครที่เดินกลับมาทางวังด้วยใบหน้าติดจะหงุดหงิดเลยเอ่ยถามเสียหน่อย

“ที่บ้านพี่เฟื้องมีงานอะไรหรือ”

ชายธันเปลี่ยนสีหน้า “ไม่มีหรอกครับ พอดีต้นสนฝึกเต้นรำน่ะครับ”

“งั้นหรือ...” อยากเห็นเสียจริง “แล้วฝึกไปทำไมล่ะ”

“สำหรับงานการกุศลที่จะจัดขึ้นอีกสามวันนี้น่ะครับ”

“อ่อ แต่ว่าใครอยากเต้นรำก็ตามสมัครใจไม่ใช่หรือ”

“ก็นั่นแหละครับ ต้นสนอยากร่วมเต้นรำจะได้ถือว่าร่วมทำบุญ”

ปภารัชถึงกับเลิกคิ้วก่อนจะอมยิ้ม “สมกับเป็นเขาดีนะ” ถ้าให้เปรียบภาพตอนเด็กก็คงจะคิ้วมุ่นแล้วพูดว่า ‘เพราะต้นสนไม่ได้ลงเงินเลยอยากทำอะไรตอบแทนครับ’

“ผมว่าต้นสนคงไปร่วมด้วยไม่ได้เพราะยังเต้นแบบคลาสสิคไม่เป็นเลย”

“ชายธันก็สอนสิ”

น้องคนเล็กส่ายหัวหวือ “ไม่ครับ สอนไปก็ไม่เข้าใจ จะให้เต้นด้วยก็เก้ ๆ กัง ๆ ผมไม่ยอมเป็นผู้หญิงให้หมอนั่นหรอกครับ”

ปราชญ์หัวเราะออกมา “ถ้าต้นสนไม่มีใครช่วยแล้วชายธันก็ช่วยซะนิด ๆ หน่อย ๆ แค่สอนเต้นเอง”

ชายเล็กขมวดคิ้วก่อนจะทำหน้านึกอะไรแล้วมองพี่คนโต “ถ้าอย่างนั้นพี่ชายใหญ่ก็ไปสอนต้นสนสิครับ”

“หื้อ?”

“พอดีผมมีงานด่วนน่ะครับ เลยต้องไปอย่างห้ามไม่ได้ ถ้าพี่ชายใหญ่ยังว่างก็ไปสอนต้นสนหน่อยนะครับ”

“เดี๋ยวสิ” ยังไม่ทันพูดอะไรชายธันก็เดินเข้าวังไป ยังไม่วายชะโงกหน้าออกมาพร้อมจุดยิ้มบาง

“ถ้าไม่มีใครไปสอน ต้นสนก็ยังคงเต้นไม่ได้แล้วก็คงเสียใจที่ไม่ได้ทำอะไรเลยในงานนั้น”

ปภารัชอ้าปากพะงาบ ๆ จะเถียงก็ไม่ได้ในเมื่อน้องพูดเสร็จก็เดินหนีไปเลย คิดผิดหรือคิดถูกที่เดินมาถามเรื่องนี้นะ

ถึงจะบ่นไปสุดท้ายก็เดินข้ามสะพานไปอีกฝั่งอยู่ดี เสียงเพลงยังดังคลออยู่จากชั้นล่าง ปราชญ์สอดส่องเข้าไปเห็นต้นสนกำลังยืนก้มมองเท้าตัวเองแล้วขยับไปมา ปากพึมพำตามจังหวะจนอดเอ็นดูไม่ได้

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ปภารัชเคาะประตูยืนรออยู่ข้างหน้าเห็นว่าเพลงดับไปแล้วและมีเสียงบ่นของคนด้านในขึ้นมาแทน

“ไหนบอกว่าจะไม่สอนไง กลับมาทำไมล่ะ... เอ้อ ไอเราก็เต้นไม่เป็นหวังให้เพื่อนช่วย แต่นอกจากจะไม่ช่วยแล้วยังหนีอีก ถ้าฉันเต้นเป็นก็คงไม่ขอให้นายช่วยหรอกเว้ย จะบอกให—” คนขี้บ่นถึงกับชะงักในตอนที่เปิดประตูออกมา ทั้งคู่นิ่งไปถนัดตาก่อนจะเป็นปราชญ์ที่กระแอมไอแล้วยุติความเงียบลงก่อน

“คือ... ชายธันบอกมีงานด่วนเลยขอให้พี่... ขอให้พี่มาช่วย” ปภารัชเหนื่อยที่จะต้องพูดแทนคำอื่นเพราะเขาชินเสียแล้วที่พูดอย่างนี้ ต่อให้อีกฝ่ายกีดกันเขาเพียงไหน เขาก็จะแทนตัวเองว่าพี่ต่อไป

ชลันสบถเสียงเบา “ไม่เป็นไรครับ ผมฝึกเองได้”

“แน่หรือ”

“แน่ครับ”

ปราชญ์ยิ้มบาง “แต่เมื่อกี้พี่เห็นว่าจังหวะก้าวเท้ายังผิดอยู่เลยนะ”

คนถูกย้อนถึงกับไปไม่เป็น “คนเราผิดพลาดกันได้ครับ คุณชายไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวผมก็ฝึกเองได้”

ปภารัชถอนหายใจพลางส่ายหน้ากับความดื้อรั้น เขาเข้าไปด้านในอย่างถือวิสาสะก่อนจะเริ่มแผ่นเสียงใหม่

“นี่คุณชาย” ชลันขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ

“สอนครู่เดียวก็ได้แล้วครับ พี่อยู่ที่นี่ไม่นานหรอก ที่มาสอนเพราะชายธันขอมา”

คนที่ทำเป็นไม่อยากให้สอนดันกลับหงุดหงิดขึ้นมาที่ได้ยินอย่างนั้น

หึ ก็แค่น้องชายขอมา แต่ก็ไม่อยากจะสอนอย่างนั้นหรือ

“อยากสอนก็เชิญครับ แต่ผมเข้าใจยากหน่อยนะ ถ้าเบื่อหรือหงุดหงิดขึ้นมาอย่าโทษผมแล้วกัน”

“พี่เคยโทษต้นสนด้วยหรือครับ” ปราชญ์ยังคงยิ้มก่อนจะเดินเข้าไปใกล้แล้วยกมือขวาแตะกับมือซ้ายของอีกฝ่าย ส่วนมือซ้ายยกวางบนบ่ากว้างแต่ก็รู้ว่ายังมีแผลจึงไม่ทิ้งน้ำหนักมือลงไปมาก

ส่วนชลันนั้นตกใจไม่น้อยแต่ทำนิ่งกลบเกลื่อนอาการใจเต้นแรง ฝ่ามือร้อนที่สอดสัมผัสกันทำคนที่ขรึมมาตลอดอดจะหูแดงไม่ได้ มือของพี่ปราชญ์ทั้งเล็ก ทั้งอุ่น แถมยังเรียวเวลาขยับเหมือนถูกสะกดจิตอย่างไรอย่างนั้น

“ที่ชายธันสอนไว้คือท่าไหนล่ะ”

“เอ่อ...” ชลันนึกคิด ค่อย ๆ กระชับมือตรงหลังของอีกคนในระดับเอวจึงเหมือนคล้ายโอบไม่ปราย “วอล ๆ อะไรสักอย่างกับบีกินครับ”

“อืม วอลซ์กับบีกินสินะ” ปราชญ์จำต้องมีสมาธิในการสอนแทนการจดจ่อกับฝ่ามือที่ทาบตรงช่วงเอวของตนเอง “วอลซ์เป็นท่าเบสิคจะเต้นไม่เร็วมาก ฝึกท่านี้ก่อนนะ แล้วค่อยฝึกท่าบีกิน”

“ค..ครับ” ต้นสนได้แต่ด่าตัวเองที่ติดอ่าง นิ่งมาตั้งนานจะมาพังเพราะแค่จะเต้นรำหรือวะ

“ของผู้ชายจังหวะที่หนึ่งถอยเท้าขวาไปด้านหลัง...” ปราชญ์สอนแล้วก้าวออกตามน้องไปด้วยแต่สักพักต้นสนก็หยุด

“ของผู้ชาย หมายถึงผมหรือคุณชาย”

“ของผู้ชายก็ต้องเป็นต้นสนสิ ในเมื่อพี่เป็นคนสอน... พี่ก็ต้องเป็นผู้หญิงของต้นสนอยู่แล้ว”

คนฟังถึงกับใจเต้นแรง หน้าเห่อร้อนอย่างห้ามไม่ได้ “หรือครับ”

ปราชญ์เองก็เริ่มคิดได้ว่าพูดอะไรออกไปจึงเก้อเขินไม่ต่างกัน เลยหลุบตาลงพื้นแล้วทำเป็นสอนต่อ

การสอนดูเป็นไปอย่างราบเรียบ ทว่า ภายในใจของทั้งคู่ดังก้องไปด้วยเสียงหัวใจเต้น ขนาดเสียงเพลงยังดังสู้ไม่ได้เลย

“ไหนลองแบบไม่ดูเท้าซิ” ปราชญ์บอกเมื่อน้องเริ่มเต้นได้แล้ว เลยขยับโดยไม่ต้องเอาแต่ก้มมองเท้า ดวงตาที่จะต้องประสานกันเลยเกิดขึ้น แต่เพียงชั่ววิ ต้นสนก็หันไปทางอื่นแทน เขาไม่อยากจะขัดหรอกนะแต่ก็อดพูดไม่ได้ “ถ้าจะเต้นคู่ใครต้องมองหน้าด้วยอย่าหันหน้าหนีแบบนี้ เดี๋ยวเขาจะถือว่าเสียมารยาทต่อคู่ของตัวเอง”

ชลันหันกลับมามองทันที คิ้วกระตุกเล็กน้อย

ปราชญ์ไม่ได้พูดอะไรมากกว่านี้นอกจากเต้นไปตามทำนองที่เชื่องช้า ภาพสะท้อนที่อยู่ในดวงตาของคนตรงหน้าทำให้ปราชญ์รู้สึกดีไม่หยอก พอมาสังเกตใกล้ ๆ ดูแล้ว ตาของต้นสนเป็นสีน้ำตาลเข้ม ดวงตาเรียวคม รับกับจมูกโด่งได้รูป แต่เพราะว่าวันนี้ต้นสนไม่ได้ไปทำงาน ผมจึงไม่ได้ถูกจัดเป็นทรง แต่ถึงอย่างนั้นก็ดูมีเสน่ห์ แม้จะมองไปที่ผมแต่ก็เผลอหลุบมองที่ริมฝีปากที่ดูสุขภาพดี หากลองสัมผัส มันจะนุ่มแค่ไหนนะ...

ถึงจะคิดอย่างนั้นแต่ก็มีความรับผิดชอบกับสิ่งที่ตัวเองเคยผิดพลาดพอตัว จึงช้อนสายตากลับไปมองดวงตาสีน้ำตาลลุ่มลึกนั่นต่อ

“เป็นคนพูดเองว่าเวลาเต้นรำต้องมองหน้าคู่ของตัวเอง แล้วคุณชายมองอย่างอื่นทำไมครับ” ชลันกระซิบเสียงพร่า ไม่รู้เพราะตั้งใจหรือเป็นไปเอง แต่ก็ทำคนฟังร้อนวูบขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

“ขอโทษครับ”

“มองตาผมก็พอ” อย่าหาว่าผมไม่เตือน... ต้นสนพูดคำนั้นภายในใจ พลางจดจ้องคนตรงหน้าไปด้วย

ปภารัชสูดลมหายใจแล้วผ่อนออกเพื่อจะปรับอารมณ์ ถึงอย่างนั้นดวงใจยังเต้นระส่ำไม่หยุด ทำนองเพลงที่ขับเคลื่อนไปอย่างเนิบนาบ เหมือนกับเท้าของพวกเขาที่ขยับไปทีละน้อย มือที่จับกันนั้นกระชับแน่นขึ้น ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่ขยับเข้าใกล้กันกว่าเดิม จนปราชญ์ต้องเงยหน้ามากกว่าเดิมเล็กน้อย ถึงแม้ส่วนสูงจะไม่ต่างกันมากนัก แต่ถ้าเทียบร่างกายกันแล้วเขายังดูไม่ค่อยมีน้ำมีเนื้อมากสักเท่าใด ถึงจะมีกล้ามเนื้อบ้างแต่ก็คงยังน้อยกว่าคนที่ฝึกหนักมาตลอดของการเรียนนายร้อยอย่างต้นสน ไหล่ก็แน่นตึง ลำแขนใหญ่อย่างพอดีกับร่างกาย มีเส้นเลือดขึ้นให้เห็น ผิวคล้ำแดดต่างจากตอนเด็กที่ขาวเหมือนปุยนุ่น

หมดคราบเด็กน้อยไปเลย

“พอได้บ้างหรือยัง”

ชลันพยักหน้า “ได้แล้วครับ”

“ถ้าอย่างนั้นท่าบีกินต่อนะ”

“ครับ”

ปภารัชผละออกแล้วขยับเท้าให้ดูก่อนถึงจะสอนแบบคู่ให้ ต้นสนดูงุนงงคงเพราะปรับตัวไม่ทันและยังคงเผลอใช้ท่าวอลทซ์ไป

“พี่ว่าเราฝึกท่าวอลซ์ไปก่อนนะวันหนึ่ง แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะมาสอนท่าบีกินใหม่”

“ครับ” ต้นสนเอาแต่ก้มมองเท้าตัวเองแล้วขยับอีกรอบ

“ถ้าอย่างนั้นตามสบายเลยนะ พี่ไม่กวนแล้ว ถ้ามีอะไรบอกพี่สมพงษ์ให้มาเรียกพี่ก็ได้”

ชลันผงกหัว มองตามอีกฝ่ายที่เดินออกจากห้อง “เดี๋ยวครับ”

“ครับ?” ปราชญ์หันกลับมามือยังคงจับประตูไว้อยู่

“ขอบคุณนะครับ”

เพียงคำขอบคุณแค่นี้คนฟังถึงกับใจชื้นขึ้นมา ไม่ได้มีเจตุจำนงอย่างอื่นแฝงนอกจากขอบคุณจากใจจริง

“ยินดีครับ” ยิ้มให้น้องเล็กน้อยก่อนจะขอตัวออกไป ระหว่างทางก็ยิ้มกับตัวเองมาตลอดจนถึงวังแล้วก็ถูกหม่อมย่าทักว่าไปทำอะไรมาถึงได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เพียงนี้ จึงตอบเลี่ยง ๆ ว่าไปสอนเด็กเต้นรำมาเท่านั้น ไม่ได้บอกว่าเด็กที่ไหน คงจะคิดว่าเด็กเล็ก ๆ ที่เขาไปสอนอยู่

จะว่าเด็กก็เด็กล่ะนะ แต่ตัวใหญ่กว่าเด็กทั่วไปเฉย ๆ เท่านั้นเอง...

 

*มีต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๑ (๒/๒)
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 07-07-2020 21:57:59
*ต่อจากด้านบน


วันที่สามแล้วที่เขามาฝึกให้ต้นสน น้องพัฒนาขึ้นมาก ที่จริงก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรนัก เมื่อวานนี้ฟ้าใสดูจะตกใจไม่น้อยที่เห็นเขาเต้นรำกับต้นสน สองพี่น้องจึงกระแนะกระแหนใส่กันไปรอบ ถึงจะให้ความส่วนตัวแก่พวกเขา

วันนี้พี่เฟื้องเข้ามาหาเขา ดูดีใจจนน้ำตาไหล เพราะที่ผ่านมางานยุ่งจวนตัวจนอยู่แต่กับโรงสีและไร่นาที่ทำ ไม่ได้มายินดีต้อนรับเขากลับจากเมืองนอก

“คุณชายโตแล้วจริง ๆ” เฟื้องที่อายุห้าสิบปีแล้วยังคงถนอมคุณชายของตนไม่ต่างจากตอนเด็ก จะจับทีก็กลัวแตกสลายคามือ

“โธ่พี่เฟื้องครับ ร้องไห้ทำไม” ปราชญ์หัวเราะในลำคอแล้วยื่นผ้าเช็ดหน้าให้

“ผมดีใจครับที่เด็กน้อยที่ผมคอยเลี้ยงดู โตมาเป็นคนที่ดีขนาดนี้ มันอดปลื้มไม่ได้น่ะครับ” ว่าแล้วก็สะอึกสะอื้นจนปราชญ์ต้องกอดแก

“ผมก็ดีใจที่พี่เฟื้องเคยเลี้ยงดูผม พี่เฟื้องเหมือนพี่ เหมือนพ่อผมคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ ขอบคุณจริง ๆ นะครับ ที่ดูแลผมมาตลอด” เขายิ้มบางใบหน้าซบกับบ่าของอีกฝ่าย ความอบอุ่นที่แผ่ออกมาไม่เคยจางหายไปเลยแม้จะห่างกันไปเสียนาน เพราะพี่เฟื้องอยู่กับเขามาตั้งแต่เด็กจึงชื่นชมและรักเปรียบเสมือนพ่อคนหนึ่งมาตลอด

“ไม่หรอกครับ อย่าชมยอผมเลย” แกส่ายมือ ถึงอย่างนั้นก็ปริ่มอกปริ่มใจจนน้ำตาไหลพรากอีกระลอก

“พ่อร้องไห้เป็นเด็กไปได้” ต้นสนที่นั่งมองทั้งคู่มานานอดส่ายหัวใส่พ่อตัวเองไม่ได้

“อะไรวะไอนี่ คนมันดีใจ เอ็งก็ดีใจไม่ใช่หรือ”

ชลันถึงกับร้อนรน “ดีใจอะไรล่ะพ่อ เอามาจากไหน”

“นี่จะบอกให้นะครับคุณชาย เจ้าลูกชายตัวดีของผมมันไม่ยอมอยู่ที่นี่ดันไปอยู่กับลุงสิงห์เขาเพราะเดี๋ยวจะอดคิดถึงคุณชายไม่ได้ เวลาผมไปหาที่นู่นนะก็เอาแต่ถามว่าพี่ปราชญ์กลับมาหรือยัง สงสัยตอนคุณชายกลับมา เจ้าเด็กนี่คงวิ่งไปกอดเหมือนเด็ก ๆ เลยใช่ไหมล่ะครับ” พ่อเฟื้องที่ไม่รู้เรื่องอะไรเอาแต่หัวเราะชอบใจ

ต่างจากปราชญ์ที่ทำเพียงเค้นยิ้มเล็กน้อย แม้จะไม่เป็นจริงตามที่พี่เฟื้องบอก แต่พอรู้ว่าต้นสนถามถึงเขา... ก็ดีใจจะแย่แล้ว

“มั่วแล้วพ่อ คนแก่เนี่ยชอบพูดอะไรเกินจริงตลอดเลย” ต้นสนขมวดคิ้วไม่พอใจผสมกับความเขิน

“ฮึ พ่อไม่เคยพูดผิดหรอกนะจะบอกให้” เฟื้องเลิกสนใจลูกชายแล้วหันกลับมาหาลูกชายที่แท้จริง... “วันนี้ทานอาหารเย็นด้วยกันไหมล่ะครับ ผมอยากจะชวนนานแล้วแต่ไม่มีโอกาสเสียที”

“เอาสิครับ คิดถึงอาหารฝีมือพี่ต้นอ้อกับพี่เฟื้องเหมือนกัน” เพราะสมัยก่อนพี่เฟื้องต้องอยู่เลี้ยงเด็กมาเยอะ แล้วก็อยู่ในครัวที่วังตลอดจึงได้ฝีมือการทำอาหารของชาววังมาบ้าง แถมอร่อยเสียด้วย

“ได้เลย จะเตรียมไว้เยอะ ๆ ต้นสนวันนี้ออกไปตลาดด้วยนะ”

“เอ้า อะไรน่ะพ่อ ใช้ผมทำไม”

“เอ๊ะ ก็เลี้ยงอาหารต้อนรับพี่ปราชญ์ไง” เฟื้องส่ายหน้าก่อนจะชูนิ้ว “หรือเอ็งอยากจะอยู่กับพี่ปราชญ์จนเย็นใช่ไหม... อ้อ ๆ เข้าใจแล้ว”

“เดี๋ยวสิพ่อ ผมพูดตอนไหน”

“เออ ๆ ไม่ต้องอาย รู้ว่าโตแล้วก็เขินอายเป็นธรรมดา” เฟื้องตบบ่าลูกชาย “ไม่เป็นไร เดี๋ยวให้คนงานไปซื้อให้”

“พ่อ...”

“รอก่อนนะครับคุณชาย” นอกจากจะไม่ฟังลูกแล้วยังเดินออกไปเพื่อสั่งงานต่อ ชลันได้แต่ถอนหายใจ

ปภารัชเห็นอย่างนั้นจึงเปลี่ยนเรื่องแทน “เรามาฝึกกันต่อดีกว่าครับ” ต้นสนทำอะไรไม่ได้นอกจากลุกขึ้นมาฝึกท่าทั้งคู่ด้วยกันต่อ

สามวันมานี้ไม่ได้มีอะไรพิเศษนอกจากฝึกสอนเต้นเท่านั้น แม้จะมีบางครั้งที่พวกเขาทั้งคู่สบตากันแล้วเหมือนมีอะไรมากกว่านั้น วูบไหวทุกครั้งเวลาจดจ้อง ฝ่ามือก็ชื้นเหงื่อ ที่ไม่เปลี่ยนไปเลยอีกอย่างก็คือ...

หัวใจที่เต้นระรัวอยู่ภายใน

จวบจนเย็นแล้วต้นสนก็เต้นคล่องขึ้นกว่าเดิมมากจนไม่ต้องสอนอะไรแล้ว ผ่านไปไม่นานพระอาทิตย์ก็เริ่มลับขอบฟ้า

ปราชญ์เดินมานั่งคุยกับฟ้าใส เห็นบอกว่าคุณตากับคุณยายไปอยู่อีกบ้านมีคนเลี้ยงดูอยู่ เพราะอายุมากกันแล้ว ไม่มีใครที่บ้านว่างมากพอ จะมีแต่พี่ต้นอ้อที่ว่างบ้างจึงไปนอนบ้านนั้นเป็นบางครั้ง ซึ่งบ้านก็อยู่ติดกัน แต่ว่าตอนนี้คุณตากับคุณยายพักผ่อนอยู่ ปราชญ์จึงไม่ไปกวนมาก

“จะว่าไปแล้ว พี่ปราชญ์มีคนรักหรือยังคะ”

คนถูกถามตกใจเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะออกมา “ยังไม่มีค่ะ”

“จริงหรือคะ พี่ปราชญ์ออกจะหล่อขนาดนี้ นิสัยก็ดี”

“จริง ๆ เคยมีค่ะ แต่เลิกกันไปแล้ว”

“อ่าว... ขอโทษนะคะ” ฟ้าใสก้มหน้า

“ไม่เป็นไรค่ะ” จะว่าไปแล้วก็ลืมบอกเจ้าพวกน้องชายไปเลย พอจะพูดก็ดันมีงานแล้วก็ลืมไป

“รู้ไหมคะพี่ปราชญ์ว่าเพื่อนฟ้าใสเนี่ยชอบพี่ปราชญ์ทั้งนั้นเลย”

“ขอบคุณค่ะ แต่ต้องระวังด้วยนะ ถ้าพูดเรื่องนี้ให้อาจารย์ท่านอื่นหรือนักศึกษาคนอื่นได้ยินเข้า จะแย่เอาได้”

“ฟ้าใสก็เตือนอยู่เหมือนกันค่ะ แต่ก็ถามตลอดว่าฟ้าใสสนิทกับพี่ปราชญ์ขนาดไหน”

“ถ้าให้ดีก็ตอบอ้อม ๆ ไปก็พอนะคะ จะได้ดีต่อตัวฟ้าใสด้วย เพราะยิ่งพูดจากปากต่อปากเดี๋ยวจะใส่สีตีไข่จนฟ้าใสเสียหายได้”

“เข้าใจแล้วค่ะ”

ชลันที่ออกไปช่วยคนงานเรื่องตั้งเสาหน้าทางเข้าหมู่บ้านก่อนหน้านี้ เดินกลับขึ้นมาบนเรือน เห็นใครบางคนที่นั่งอมยิ้มอยู่กับน้องสาวจึงอดจะเผลอยิ้มตามไม่ได้ แต่พออีกคนเงยหน้ามองก็แสร้งทำหน้านิ่งใส่

“มานั่งทำอะไรตรงนี้ ทำไมไม่ไปช่วยพ่อกับแม่ทำกับข้าว”

“ก็พ่อไล่ออกมาบอกจะทำเอง”

“อู้ล่ะสิไม่ว่า”

ฟ้าใสทำท่าฮึดฮัด ส่วนปราชญ์ก็มองตามแผ่นหลังนั้นเข้าไปในห้องพลางถอนหายใจออกมา

ได้กลิ่นกับข้าวหอมฉุยจนท้องร้อง ปราชญ์จึงเข้าไปช่วยยกกับข้าวออกไปที่โต๊ะยาวที่ติดกับหน้าเรือนไทย

“น่าทานจังเลยครับ” ปภารัชอดชมไม่ได้

“ถ้าอย่างนั้นต้องทานเยอะ ๆ นะคะ” ต้นอ้อที่ตักข้าวพูดขึ้น

“นั่งเลยครับคุณชาย นั่งข้างต้นสนนั่นแหละ” ต้นสนที่ก้มจัดจานให้แม่ถึงกับเงยหน้า

ปราชญ์จะขัดผู้ใหญ่ไม่ได้เลยจำยอมนั่งข้างกาย ตรงข้ามเป็นพี่เฟื้องกับพี่ต้นอ้อ ส่วนฟ้าใสนั่งทางขวามือของต้นสน

“ให้เยอะ ๆ เลย นี่อะ” ต้นอ้อยื่นจานข้าวมาให้

“ขอบคุณครับ” เขาผงกหัวมองเม็ดข้าวที่เรียงสวยน่าทาน

“แกงคั่วหัวตาลกุ้งสด ตอนเด็กคุณชายทานไม่ได้เพราะเผ็ดไป วันนี้ผมเลยทำให้”

ปราชญ์ยิ้มกว้างตักแกงคั่วมาชิมก่อนจะเบิกตาเล็กน้อย มันอร่อยจริง ๆ หน้าตาก็น่าทานมาตั้งแต่ไหนแต่ไร พอได้ทานจริง ๆ ก็อดจะตักอีกไม่ได้ “อร่อยมากเลยครับพี่เฟื้อง ดีใจจังที่ได้ทานแล้ว”

“ใช่ไหมล่ะครับ ที่บ้านเราก็มีต้นตาลล่ะเนาะ เลยเอามาเป็นวัตถุดิบด้วยเลย”

“ส่วนนี่แกงระแวงเนื้อ พอโตขึ้นคุณชายก็ชอบทานเผ็ด วันนี้เลยเอาแกงระแวงมาด้วย ถึงจะไม่เผ็ดมากแต่ก็อร่อยเชียว”

ปราชญ์ที่ตักมาชิมพูดได้เลยว่าพี่เฟื้องไม่พูดเกินจริง กับข้าวทุกอย่างอร่อยหมด กับข้าวบางส่วนที่เคยทานสมัยเด็กเลยทำให้อดคิดถึงเรื่องราวในอดีตไม่ได้ แม่เขาก็ชอบทำอาหาร เลยทำอาหารพร้อมกับพี่เฟื้องให้เขาและเด็จพ่อทานกัน

พวกเรานั่งทานกันสี่คน เสมือนครอบครัวในบ้านหลังหนึ่งของแม่ เพราะเด็จพ่อเคยถูกไล่ออกจากวังเพราะคบหากับแม่ของเขา สมัยก่อนอาชีพครูและฐานันดรธรรมดายังโดนดูถูกดูแคลน แต่ก็มีหม่อมย่าและเด็จลุงที่คอยมาหาตลอด เว้นแต่เด็จปู่ จนแม่เสียไป ท่านจึงให้เขาและพ่อกลับไปอยู่ที่วัง ถึงจะโกรธที่แม่เขาเคยโดนดูถูก แต่พอเข้าวังก็เห็นว่าเด็จปู่ก็รู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน ปราชญ์จึงไม่ถือโทษโกรธอะไร

พี่เฟื้องที่เป็นลูกแม่ครัวในวังจึงสนิทกับเด็จพ่อเป็นอย่างมาก ตอนที่เด็จพ่อถูกไล่ออกมาก็เป็นพี่เฟื้องที่ออกมาด้วย เพราะพี่เฟื้องเคยเป็นลูกศิษย์ของแม่ปิ่น จำได้ว่าแม่จะหนีพ่อไปเพื่อให้พ่อกลับวังไปแต่งงานกับคู่สมรสที่ถูกจัดไว้ให้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้หนีเพราะพี่เฟื้องได้ช่วยคุยให้และแม่ปิ่นก็ห่วงความรู้สึกของเขา... สุดท้ายพี่เฟื้องก็ดูแลเขาแทนเด็จพ่อที่ติดงานราชการรวมถึงดูแลแม่ปิ่นที่ป่วยหลังจากคลอดเขาออกมา

ในวันที่แม่เสียพี่เฟื้องก็คอยอยู่ข้างเขาเสมอ

ไม่แปลกที่ทุกช่วงวัยของเขาโตมาก็เจอพี่เฟื้อง ถึงได้ผูกพันกันมากขนาดนี้ เพราะพี่เฟื้องเหมือนพ่อของเขาอีกคนจริง ๆ

เฟื้องที่เห็นคนที่ตนเลี้ยงดูนั่งนิ่งไปนาน ถึงจะไม่มีใครสังเกตแต่ก็เห็นว่าดวงตาคลอด้วยน้ำ

“ทานเยอะ ๆ นะ ไว้ทานเสร็จคุยกับพี่นะ มีเรื่องที่อยากจะฟังจากปราชญ์เยอะแยะเลยว่าที่นู่นเป็นอย่างไรบ้าง” คำแทนตัวเองทำปราชญ์อยากจะร้องไห้ออกมา เพราะไม่ได้ยินมานานมาก ความทรงจำในอดีตไหลเข้ามาเป็นฉาก ๆ

มีความสุขจริง ๆ ที่ได้เจอพี่คนนี้

“ได้ครับ ปราชญ์ก็อยากเล่าให้ฟังเหมือนกัน” เขาเคยแทนตัวเองว่าปราชญ์เสมอในสมัยเด็ก ปราชญ์อย่างนู้นปราชญ์อย่างนี้ เป็นต้นสนในวัยแรกรุ่นเลยก็ว่าได้

พอทานกันเสร็จเรียบร้อยสามแม่ลูกช่วยกันเก็บจาน ปราชญ์จะช่วยบ้างแต่พี่เฟื้องก็บอกให้นั่งที่เดิมเพราะจะคุยด้วย

“ตอนที่อยู่ที่นู่นเป็นไงบ้าง”

“ก็ต้องปรับตัวอยู่พอควรครับ ยิ่งตอนอากาศหนาวนะแทบจะอาบน้ำไม่ได้เลยล่ะครับ”

เฟื้องหัวเราะ “เป็นพี่ก็คงไม่อาบเลย เห็นแค่รูปก็หนาวแล้ว” เพียงครู่ต้นอ้อก็เอาน้ำกับของว่างมาวางไว้ให้ก่อนจะเดินออกไป “มีใครในใจแล้วบ้างไหมล่ะ”

“เคยมีครับ” ปราชญ์แหงนมองดาวหลากหลายดวง “เขาเป็นผู้ชาย”

คนฟังหันมองอย่างตกใจ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นยินดี “คบกันมานานหรือยัง”

“แปดปีครับ แต่เลิกกันไปเมื่อสี่ปีก่อน”

“อ่าว...” เฟื้องยกแขนตบบ่า “อะไรที่ผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไปนะ”

“ครับ...” ปราชญ์ยิ้มบางก่อนจะหันมอง “พี่เฟื้องไม่รังเกียจหรือครับ”

“จะรังเกียจไปทำไม ก็แค่คนรักกัน จะเป็นใครก็ช่างขอให้คนนั้นดีกับปราชญ์พี่ก็ไม่ห่วงมากแล้ว”

“ขอบคุณนะครับ”

“อย่าไปยึดติดว่าใครจะรังเกียจหรือคิดมากกับเรื่องนี้เลยนะ ชีวิตของปราชญ์ จะเลือกอะไรหรือเลือกใครก็ไม่เกี่ยวกับคนอื่น ยิ่งความรักก็ต้องเป็นเจ้าตัวที่เลือกด้วยตัวเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นมาเลือก”

“เข้าใจแล้วครับ แต่ปราชญ์คงไม่ได้มีใครแล้วล่ะครับ”

“ลืมเขาไม่ได้หรือ”

“เปล่าครับ กับคนเก่าปราชญ์ไม่ได้รู้สึกรักเขาอีกแล้ว... แต่ปราชญ์ไปชอบใครคนหนึ่งที่เขาน่าจะไม่อยากคุย ไม่อยากพบ ไม่อยากเห็นหน้าปราชญ์อีกแล้ว คนนั้นเข้ามาอยู่ภายในใจแต่ก็ไม่มีโอกาส”

“ใครกันล่ะ ไม่ลองดูหน่อยหรือ”

“ไม่ล่ะครับ” ปราชญ์ถอนหายใจ “เราอายุต่างกัน ความคิดต่างกัน อีกอย่างปราชญ์ก็ไม่ได้คาดหวัง เพราะทุกวันนี้เราคล้ายคนที่รู้จักกันแต่ก็ไม่รู้จักไปแล้ว”

เฟื้องถึงกับงุนงง “อย่าไปยึดติดเรื่องอายุเลย ก็ชอบก็รักไปเถอะ ส่วนเรื่องความคิดนี่ทุกคนมีความคิดที่ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว พี่กับต้นอ้อก็มีบางเรื่องที่คิดต่างกัน เราก็แค่ต้องแลกเปลี่ยนความคิดและค่อย ๆ ปรับทัศนคติกันไปเรื่อย ๆ แล้วไอที่ว่าไม่อยากคุยไม่อยากพบนี่ มันเพราะอะไรกันล่ะ”

“ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำอะไรผิดไป เขาดูเหมือนคนโกรธผม แต่บางทีก็มาทำดีด้วย ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าทำไมเขาเป็นอย่างนี้”

“เฮ้อ เรื่องจิตใจคนนี่ดูยากเสียจริง อย่าให้รู้นะว่าเป็นใครจะสับให้เละมาทำปราชญ์คิดมาก”

ปภารัชส่ายหัวพลางยิ้มที่พี่เฟื้องยังโอ๋เขาเหมือนเด็ก ๆ “ช่างเถอะครับ บางทีผมอาจจะทำอะไรผิดไปแต่อาจจะไม่รู้ตัวก็ได้”

“ฮึ ไอคนนั้นมันไม่ยอมบอกเองนี่หว่า ใครจะไปรู้”

“คนทำผิดแล้วไม่รู้ตัวผมว่าแย่กว่านะครับ”

“ที่พูดก็เพราะว่าพี่เชื่อไงว่าปราชญ์ไม่มีวันเพิกเฉยต่อความผิดของตัวเอง อยู่กันมานานทำไมจะไม่รู้ หรือถ้าปราชญ์ไม่รู้จริง ๆ ก็ลองถามอีกครั้งดูว่าทำผิดเพราะอะไร หากคนนั้นไม่พูดไม่บอกและไม่อยากคุยอีกก็เอาให้มันจบเสียตรงนั้น ต่างคนต่างใช้ชีวิตเถอะนะ”

เขายิ้มอย่างนึกขอบคุณ ถึงอย่างนั้นก็ยังคงไม่ได้คิดว่าตัวเองไม่ผิด “ขอบคุณที่เข้าใจปราชญ์นะครับ”

“มีอะไรก็มาปรึกษาได้ตลอดนะ”

ปราชญ์ผงกหัวแล้วจิบน้ำเล็กน้อยถึงจะพูดต่อ “บางทีความเป็นผู้ใหญ่ก็น่ากลัวเหมือนกันนะครับ จะต้องออกมาใช้ชีวิตของตัวเอง ช่วยเหลือตัวเองด้วยตัวคนเดียว ไม่สามารถร้องไห้ หรือทำอะไรที่เคยทำตอนเด็ก ๆ ได้อีกแล้ว ยิ่งผ่านพ้นวันในแต่ละวันไปเรื่อย ๆ คนใกล้ตัวก็หายไปบ้างหรือเสียชีวิต เป็นห้วงเวลาที่น่ากลัว ยิ่งดำเนินไปยิ่งเหมือนพรากคนใกล้ตัวไปด้วย”

เฟื้องบีบบ่าคนข้างกาย “อะไรที่มันเป็นอดีตก็ปล่อยให้มันเป็นอดีตไปเถอะนะ ถึงปราชญ์จะคิดอย่างนั้นแต่พี่ก็ดีใจที่เห็นการเติบโตของปราชญ์ คนที่ห่างหายไปก็ถือว่าวันหนึ่งเคยได้พบเจอกัน ส่วนคนที่อยู่บนฟ้าเขาก็อยู่ในใจเราด้วย ในห้วงเวลาที่แสนน่ากลัวนี้ก็มีบทเรียนและสิ่งสำคัญเข้ามาหาเรา ถ้าตลอดเวลาที่ผ่านมาปราชญ์เจอคนสำคัญเข้าสักวันแล้วจะไม่เสียดายเวลาที่ผ่านมา ไม่เสียดายที่เวลามันดำเนินไปอย่างนี้จนได้พบกับคนคนนั้น ไม่ว่าจะเป็นพี่น้อง เพื่อน หรือคนรักก็ตาม สัตว์เลี้ยงก็ไม่เว้นหรอกนะ”

“สิ่งสำคัญหรือ...” ทุกคนในวัง... หม่อมย่า เด็จพ่อ คุณน้า น้องชายทั้งสอง พี่เฟื้อง ต้นสน... อย่างต้นสนคงจะเป็นคนสำคัญอีกคนที่ได้แค่แอบรักอยู่ตรงนี้ รู้สึกเจ็บปวดแต่ก็ดีใจที่ได้พบเจอ “นั่นสิครับ คนสำคัญของปราชญ์ยังมีอยู่”

“นั่นแหละ อยู่กับปัจจุบัน ปราชญ์ก็เป็นคนสำคัญของพี่คนหนึ่งนะ”

“ครับ พี่เฟื้องก็เป็นพี่ที่สำคัญกับปราชญ์มาก” ปภารัชยิ้มขึ้นได้วันนี้คล้ายได้ปลดปล่อยอะไรหลายอย่าง รู้จักปล่อยวาง มองปัจจุบันเข้าไว้ อะไรที่ผ่านมาก็ให้มันผ่านไป

ทั้งคู่คุยกันเรื่อยเปื่อยจนเริ่มค่ำมากแล้ว ปราชญ์จึงขอตัวกลับเพราะจะสะสางงานอีกนิด

“ต้นสนเว้ย ไปส่งพี่ปราชญ์หน่อย”

ปภารัชรีบส่ายมือ “ไม่เป็นไรครับพี่เฟื้อง วังอยู่ใกล้แค่นี้เอง”

“ไม่ได้ ๆ ชวนมาทานข้าวเย็นจนค่ำ ต้องไปส่งด้วย... ต้นสนเว้ย” เฟื้องเดินไปเปิดประตูห้องลูกชาย “มัวแต่นั่งทำหน้าเหมือนปวดขี้ไปได้ไอลูกคนนี้ ไป ๆ ลุก”

ชลันถอนหายใจแล้วลุกออก อุตส่าห์เตรียมนอนแล้วแท้ ๆ ถึงแม้ห้วงความรู้สึกนึงจะดีใจก็ตาม

“พาไปส่งถึงที่นะ”

“รู้แล้วหน่า” ต้นสนทำหน้าหน่าย

“ส่งแค่สะพานก็ได้นะครับ” พอเดินลงมาแล้วปราชญ์ก็เปิดปากพูด

“เดี๋ยวผมไปส่งถึงหน้าวังครับ” ชลันว่าเสียงเรียบแล้วเดินนำไปอย่างไม่เร่งรีบนัก

เสียงนกเสียงแมลงดังทำลายความเงียบ พระจันทร์ส่องแสงสะท้อนกับคลอง ทำให้เห็นใบหน้าของกันและกันอย่างชัดเจนแม้ตรงนี้จะไม่มีไฟ

‘หรือถ้าปราชญ์ไม่รู้จริง ๆ ก็ลองถามอีกครั้งดูว่าทำผิดเพราะอะไร หากคนนั้นไม่พูดไม่บอกและไม่อยากคุยอีกก็เอาให้มันจบเสียตรงนั้น ต่างคนต่างใช้ชีวิตเถอะนะ’

ปราชญ์หยุดกะทันหันและคนตรงหน้าคงจะรู้ตัวจึงหันมามองด้วยคิ้วเข้มที่ขมวดเข้าหากัน

“มีอะไรครับ”

คนอายุมากกว่าถอนหายใจ “พี่ว่าเราควรคุยกันอย่างจริงจังได้แล้ว”

อะไรที่ค้างคาก็ให้มันจบเสียตรงนี้

ชลันหันหนี “คุยเรื่องอะไรครับ”

“พี่ไปทำอะไรให้โกรธ หรือทำนิสัยไม่ดีใส่ยังไงช่วยบอกพี่หน่อย พี่อาจจะผิดเองที่ทำผิดไปแล้วยังไม่รู้ตัว แต่ขอร้องตอนนี้ช่วยบอกกันหน่อยได้ไหม”

“บอกแล้วไงว่าไม่เกี่ยวกับคุณชาย”

“ต้นสน” ปภารัชเอ่ยเสียงนิ่งจนชลันตกใจเล็กน้อย “พี่จะถามครั้งสุดท้าย ถ้ามีเหตุผลที่จะไม่บอกก็แค่พูดมา พี่พร้อมจะเข้าใจ ไม่ใช่ไม่พูดอะไรเลย พี่คงไม่โง่ถึงขนาดที่ว่าทุกวันนี้ที่ต้นสนทำเหมือนไม่อยากคุย ไม่อยากพบหน้าพี่นั้นมันไม่เกี่ยวกับพี่จริง ๆ ถ้าไม่อยากคุยกันขนาดนั้นน่าจะบอกกันไปเลย พี่จะได้เลิกยุ่งอย่างจริงจังสักที”

เขาจะได้ปล่อยวางเรื่องของต้นสน...

ชลันใจหายวาบ วูบโหวงในอกอย่างบอกไม่ถูก “ผม...”

“ถ้าอย่างนั้นพี่จะถามใหม่ ยังอยากคุยด้วยกันเหมือนเดิมไหม”

ต้นสนเงยหน้ามอง ใบหน้าได้รูปนั้นไม่มีแววว่าจะล้อเล่นแต่อย่างใด “ผม..” ชลันได้แต่กัดฟัน ปากหนักอะไรเพียงนี้

“แล้วเรื่องที่เป็นแบบนี้เพราะพี่ใช่ไหม” ปราชญ์พอจะเข้าใจโดยไม่ต้องคาดคั้นอีก จึงตัดสินใจวกกลับมาถามเรื่องเดิม เพราะถ้าคนเขาอยากคุยจริง ๆ คงตอบโดยไม่คิดแล้ว

ต้นสนได้แต่เครียดกับตัวเอง ไม่เคยคิดถึงสถานการณ์นี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ ที่ถามเพราะถึงขีดสุดแล้วหรือถ้าหากเขายังทำหมางเมินใส่ คงจะไม่ยุ่งกับเขาจริง ๆ แล้วสินะ... เขารู้ดีว่าถ้าพี่ปราชญ์เอาจริงเมื่อไรเขาคงจะเป็นหมาหัวเน่าดี ๆ นี่เอง

“ครับ” กลัว นั่นคือสิ่งที่ต้นสนคิด เขากลัว...

ทว่า นั่นก็เหมือนกับสิ่งที่เขาทำ กรรมตามสนองก็คราวนี้

“บอกได้ไหมว่าเรื่องอะไร ถ้าบอกไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะ” น้ำเสียงของอีกฝ่ายอ่อนลง จนชลันได้แต่เกลียดตัวเองที่ทำให้พี่ปราชญ์ร้องไห้และเสียใจเพราะเขา

“ผมบอกไม่ได้” ชลันกลั้นใจพูดมือหนากำราวสะพานแน่น ดวงตาเอ่อคลอ แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยให้รู้ว่าเขาเองก็อัดอั้นเหมือนกัน “ผมพูดไม่ได้จริง ๆ”

ปภารัชคลี่ยิ้มบาง “ไม่เป็นไร บอกแค่นี้ก็พอ... ถ้าอย่างนั้นพี่ขอโทษนะ อะไรที่เคยทำผิด อะไรที่เคยทำให้โกรธกัน พี่ขอโทษจริง ๆ”

อย่า... อย่าขอโทษ เพราะเขาคือคนที่สมควรขอโทษที่สุด

“พี่ไม่รู้จริง ๆ ว่าทำอะไรผิด และพี่คิดว่ามันแย่มากที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ทั้งที่ตัวเองผิดแท้ ๆ”

ไม่ได้ผิดเลยสักนิด ไม่เลย

“พี่ขอโทษ” ปภารัชก้มหน้า “ไม่ต้องให้อภัยพี่ก็ได้นะ พี่สัญญาว่าจะไม่มายุ่งด้วยอีกแล้ว แต่ถ้ามีเหตุสุดวิสัยที่ต้องคุยกันจริง ๆ พี่ต้องขอโทษตั้งแต่ตอนนี้ และพี่หวังว่าต้นสนจะเข้าใจ”

ชลันยืนนิ่งไปทันที หัวใจเหมือนถูกบีบรัดแน่น

“ตอนนี้พี่เข้าใจหมดแล้ว ถึงแม้เราจะเลิกยุ่งต่อกัน ยังไงต้นสนก็ยังเป็นน้องที่พี่รักเสมอนะ ถ้าอยากจะมาคุยกับพี่เมื่อไรพี่พร้อมจะคุยกับต้นสนได้ตลอด” ปราชญ์เองก็ปวดใจไม่แพ้กัน ทุกคำที่พูดเหมือนแก้วที่บาดลึกลงภายในอกย้ำ ๆ

“ขอบคุณที่เดินมาส่งนะ แต่ตรงนี้ก็พอ ฝันดีนะครับ” ปภารัชเปรยยิ้มแล้วเดินออกไป

ถ้าทั้งคู่หันมามองกันตอนนี้ก็คงจะรู้กันดีว่าต่างคนต่างเสียใจไม่แพ้กัน คงจะได้เห็น ‘น้ำตา’ ที่ไหลออกมาจากใบหน้าของกันและกัน

ถ้าเกิดต้นสนยื้ออีกสักนิดปราชญ์ก็คงยืนอยู่อย่างนั้นไม่ยอมไปไหน

และถ้าหากปราชญ์ถามต้นสนอีกครั้ง ต้นสนคงจะพูดว่าอยากคุย อยากพบหน้าทุกวัน

แต่ถ้าให้มองในความคิดของแต่ละคน ก็ต่างคนต่างคิดว่าตัวเองผิด  ต่างคนต่างคิดว่าสมควรแล้วที่เป็นอย่างนี้

ความไม่เข้าใจกัน ปิดบังกัน ซ่อนเร้นความรู้สึก สุดท้ายก็จบลงอย่างนี้





จบบทที่ ๑๑
-----------------------------------------------------
นึกว่าเป็นอะไร สงสัยของเราเป็นคนเดียว ช่วงนี้อัพช้าหน่อยนะคะ  :katai5:

หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๑
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 07-07-2020 22:53:36
เข้าใจจริงๆ นะ สำหรับคนนอก มองไปแล้วทำไมไม่บอกความจริงไปจะเคลียรๆ
แต่ถ้าเป็นเราเองอยู่ตรงนั้น ก็คงจะเหมือนต้นสน สถานการณ์บีบคั้น พูดไม่ออกจริงๆ
 :mew6: :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๑
เริ่มหัวข้อโดย: piakunaa ที่ 14-07-2020 19:13:43
 :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: 
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 15-07-2020 01:27:02
(https://www.img.in.th/images/e19d057ef1f9d94e577d1739e7a27c05.jpg)

บทที่ ๑๒

ยอมรับผิด

 


ควันสีขาวลอยเหนือปากแก้วที่มีน้ำสีเข้มเคลื่อนไหวอยู่ด้านใน นิ้วเรียวเกี่ยวจับยกขึ้นมาจิบ ดวงตาจดจ้องหนังสือเล่มบางที่กำลังนั่งอ่านอยู่ในห้องนั่งเล่น คนที่นั่งเงียบอยู่ข้างกันก็เป็นน้องชายคนเล็กที่อยู่ในห้วงภวังค์ของเนื้อหาในหนังสือเช่นกัน เวลานี้ค่ำมากแล้วแต่เพราะปภารัชมีเรื่องอยากจะคุยกับน้องชายทั้งสองเลยรอเวลาน้องกลับจากทำงาน ตอนนี้เหลือก็แค่ชายกรณ์เท่านั้นที่ยังไม่กลับมา

นั่งรอกันอีกไม่กี่นาทีก็ได้ยินเสียงป้าสรทักชายกรณ์จากด้านนอกก่อนที่เสียงนั้นจะใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ

“ขอโทษนะครับพี่ชายใหญ่ พอดีมีปัญหานิดหน่อย”

“ไม่เป็นไร นั่งสิ” ปราชญ์ผายมือ

ชายกรณ์พรูลมหายใจแล้วนั่งลงตรงข้าม “ว่าแต่มีเรื่องอะไรหรือครับ”

ปภารัชวางหนังสือลง พอเห็นว่าน้องคนเล็กก็หันมาฟังแล้วจึงเปิดปาก “พี่จะบอกว่าพี่เลิกกับภวัตแล้วนะ”

“ห๊ะ!” ชายกรณ์เบิกตา ส่วนชายเล็กคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแล้ว

“เลิกกันตั้งแต่สี่ปีก่อน ว่าจะบอกก็ลืมเลย”

“เพราะอะไรล่ะครับ”

ปราชญ์ถอนหายใจเงียบไปสักพักจึงจะเอ่ยตอบ “พี่ไม่ได้รักเขาแล้ว”

“เขาไม่ได้ทำอะไรให้พี่ชายใหญ่ใช่ไหม” ชายธันถามเสียงนิ่ง

“ไม่เลย มีแต่พี่ที่ทำให้เขาเสียใจ พี่ทิ้งภวัตมา เลิกรักไปแล้วแต่ยังเคยให้โอกาสคบกันอีกรอบ มีแต่พี่ที่แย่เท่านั้น”

พอฟังอย่างนั้นชายธันก็มีสีหน้าอ่อนลงบ้าง

“โธ่ สงสารคุณภวัตเลย คบกันมาตั้งนาน” ชายกรณ์ส่ายหน้า

ปราชญ์ทำเพียงยิ้มรับ ไม่ได้เถียงหรือตอบอะไรมากกว่านั้น

“แล้ววันนั้นใช่คุณภวัตที่โทรศัพท์มาหรือเปล่าครับ”

“ใช่ ภวัตยังตัดใจจากพี่ไม่ได้” หันบอกน้องคนเล็กที่คงสงสัยเรื่องนี้ตั้งนานแล้วแต่ยังไม่มีโอกาสได้ถามอีกรอบ

“พี่ชายใหญ่จะทำยังไงต่อหรือครับ”

“พี่คงไม่รับสายหรือว่ายุ่งกับเขาแล้วแหละ แต่ก็ยังห่วงนะเลยให้คนไปดูแลห่าง ๆ”

“แน่ใจหรือครับว่าจะทำอย่างนั้น” ชายธันว่า

ปราชญ์หลุบตา “พี่รู้ว่าไม่ควร เราคบกันมานานความสัมพันธ์มันตัดขาดยาก”

“รู้แต่ก็ยังทำ”

“เอาหน่าชายเล็ก” ชายกรณ์ตบบ่าน้อง

ปภารัชไม่มีสิทธิ์เถียงเลยกับเรื่องนี้ เพราะเข้าใจความหมายของชายธันดี มันไม่สมควรจริง ๆ ในเมื่อเลิกรักไปแล้ว ไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยแล้ว และตอนนี้ก็มีคนในหัวใจ... แต่ก็ยังเป็นห่วงคนรักเก่า ไม่ต่างจากคนที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อใจตัวเองเลย

ถ้าเกิดว่าเขากับต้นสนมีความเป็นไปได้ที่จะไปต่อด้วยกันแล้วน้องรู้เรื่องนี้ขึ้นมาคงจะผิดหวัง  คงไม่ยินดีที่จะให้เขามีห่วงกับคนรักเก่า หรือต่อให้ไม่มีอะไรคืบหน้าต่างคนต่างใช้ชีวิตอย่างที่ตัดสินไปเมื่อวันนั้น ทว่า เรื่องไม่ซื่อสัตย์ก็ไม่ได้หายไปไหน

“ผมก็ว่าตอนที่หม่อมย่าถามเรื่องคนรักทำไมพี่ชายใหญ่ตอบว่าไม่มีใคร คิดว่าจะปิดบังพวกท่านเสียอีก” ชายกรณ์ขมวดคิ้ว

“ไม่มีใครก็คือไม่มีใครจริง ๆ ถ้าเกิดพี่ยังคบกับภวัตยังไงก็ต้องบอกว่ามีคนรักแล้ว แต่คงยังไม่บอกหรอกว่าคือใคร จะแนะนำทีหลังเอา”

“เฮ้อ ใจคนเราก็ยากหยั่งถึง ผมไม่คิดด้วยซ้ำว่าพี่ชายใหญ่กับคุณภวัตจะเลิกรากันได้”

“มันเป็นไปแล้วคงจะย้อนกลับไปไม่ได้”

“ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ว่าอะไรพี่ชายใหญ่หรอกนะ เพราะเป็นเรื่องของคนสองคน ผมยอมรับการตัดสินใจของพี่ชายใหญ่เสมอ”

“ขอบคุณนะชายกรณ์”

“ผมก็หวังว่าจะมีคนมาทำให้พี่รักไปจนตลอดชีวิตได้นะ” ชายกรณ์ยิ้มบางบีบมือพี่ชายเล็กน้อย

“ขอบคุณที่รับฟังกันนะ ไม่มีอะไรแล้วแหละ ไม่ต้องห่วงพี่หรอก” ปราชญ์บอกน้อง ๆ ชายกรณ์จึงเป็นคนแรกที่ขอตัวไปอาบน้ำอาบท่าก่อนใคร

“เดี๋ยวชายธัน”

“ครับ?”

“เรื่องที่จะไปทะเล บอกต้นสนหรือเปล่าว่าพี่ไปด้วย”

ชายธันเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่เดิม “ไม่ได้บอกครับ บอกแค่ว่ามีแค่ผม พี่ชายกรณ์กับพวกเพื่อนนายร้อยอีกสองคนที่จะไปเจอกันที่นู่น”

“บอกต้นสนด้วยนะว่าพี่ไปด้วย ถ้าเกิดต้นสนไม่อยากจะไปขึ้นมาก็ไม่เป็นไรหรอก”

“ยังไม่ได้คุยกันอีกหรือครับ”

ปราชญ์ส่ายหน้าดวงตาสั่นระริกแต่ก็เปรยยิ้มไม่ให้น้องห่วงมาก “ไม่แล้วแหละ ต่อไปนี้คงจะไม่ได้คุยกันอีกเลยถ้าไม่มีเรื่องที่ต้องคุยจริง ๆ นะ”

“มันไม่ยอมคุยกับพี่ชายใหญ่ใช่ไหม” ชายธันดูจะโมโหอย่างเห็นได้ชัด

“อย่าโทษต้นสนเลยนะ ตอนนี้เราก็ตัดสินใจกันแล้ว ถือว่าต่างคนต่างอยู่”

“แล้วพี่ชายใหญ่มีความสุขหรือครับ”

สิ้นคำถามนั้นก็เหมือนคำพูดจุกอยู่ในลำคอ ตาพร่ามัวจึงทำเป็นก้มเกลี่ยหนังสือไม่ให้น้องชายเห็น “พอได้คุยแล้ว... พี่ก็ไม่ได้อะไรหรอกนะ ดีแล้วแหละที่เป็นอย่างนี้เพราะพี่ทำผิดต่อต้นสน”

“ทำผิด?” คนถามไม่อยากจะเชื่อเรื่องนี้ “ทำผิดอะไรครับ ถึงขนาดที่จะต้องเลิกคุยกันไปเลย แล้วทำไมต้นสนต้องทำตัวแย่ ๆ แบบนั้นใส่พี่ชายใหญ่ด้วย”

ปราชญ์เองก็ยังไม่ทราบเรื่องนี้ แต่ถ้าให้บอกว่าเขาก็ไม่รู้ มีหวังชายธันได้โมโหจนต้องรุดหน้าไปคุยกับต้นสนเป็นแน่

“เอาเถอะชายธัน ถือว่าขอให้จบแค่ตรงนี้เถอะนะ”

ชายธันดูจะไม่ยอม แต่พอเห็นแววตาอ่อนล้าของพี่คนโตจึงได้แต่พยักหน้า “ก็ได้ครับ ถึงอย่างนั้นผมก็เสียใจนะ ที่ผมช่วยมาตลอดให้ทั้งสองได้กลับไปคุยกัน สุดท้ายก็ไม่ได้อะไร”

ตั้งแต่วันที่ถามต้นสนเรื่องจดหมายตอนเรียนนายร้อย

วันที่พี่ชายใหญ่กลับมาและเด็จพ่อชวนไปทานอาหารกลางวันเลยชวนต้นสนไปด้วย

วันที่บอกจะไปสอนหนังสือเด็ก

วันที่ต้นสนเต้นรำแล้วนึกถึงพี่ชายใหญ่ขึ้นมา

แม้จะเคยคิดว่าทั้งคู่อาจจะไม่กลับไปคุยกันอย่างเคย ทุกครั้งที่พาไปให้พบเหมือนถูกลิขิตเอาเองไม่ใช่เพราะคนช่วย ธันจึงอดนึกสมเพชในความพยายามของตัวเองไม่ได้ เขาก็แค่อยากให้ทั้งคู่กลับไปเป็นเหมือนสมัยเด็ก... ช่วงนั้นเขานิสัยเสีย พอโตขึ้นเลยเสียดายเวลาที่แสนมีค่าพวกนั้นไป เขาแค่หวังว่าคนที่เคยทำเรื่องแย่อย่างเขานั้นจะช่วยอะไรสองคนนี้ได้บ้าง

แต่ก็ไม่เห็นผลเลย... มันเพราะอะไรกันนะ

“ชายธัน...” ปราชญ์อดจะตกใจไม่ได้ ไม่คิดว่าน้องคนนี้ช่วยเหลือเขาเงียบ ๆ มาโดยตลอด

“ช่างเถอะครับ ผมเองก็เหนื่อยแล้วเหมือนกัน ถ้าพี่ชายใหญ่กับต้นสนตัดสินใจกันแล้วผมก็ไม่มีสิทธิ์ไปยุ่งด้วย” เขาก็แค่รู้สึกน้อยใจ ตอนนี้เขาเป็นคนใหม่แล้ว เขาเปลี่ยนตัวเองมาจนถึงขนาดนี้แล้ว

แล้วทำไม... ทุกคนถึงถอยห่างออกไป

“พี่...”

“ผมขอตัวนะ”

“เดี๋ยวสิชายธัน” ปภารัชลุกขึ้นทันที ทว่า ขากลับก้าวไม่ออก มองเห็นแผ่นหลังของน้องชายเดินลับหายไป ในห้องจึงเหลือเพียงแต่ความเงียบ

เรื่องเก่ายังไม่วายเรื่องใหม่ก็มาทันที ปราชญ์ถอนหายใจ ตั้งแต่กลับมาไทยก็มีแต่เรื่องให้เครียดตลอดเลย เขาเคยคิดไว้ว่ากลับมาแล้วทุกอย่างจะเป็นปกติ คนเราจะมีเรื่องเครียดบ้างในชีวิตมันก็ไม่แปลกนัก แต่หรับเขาแล้ว นี่มันก็จะถี่เกินไปหรือเปล่านะ

อย่าว่าแต่ชายธันเลยที่เหนื่อย เพราะเขาเองก็เหนื่อยไม่ต่างกัน ถ้าเรื่องมันไม่เป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรกก็คงดี
 

 

เฝ้าคำนึง


 

เสียงผู้คนมากมายดังอยู่ทั่วทุกทาง เสียงเท้าย่ำกับพื้นดังแข่งกับเสียงเครื่องพิมพ์ดีด หากว่าใครบางคนที่นั่งอยู่ภายในห้องพักกลับทำเพียงมองนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย เครื่องแบบตำรวจขยับตามเล็กน้อยในตอนที่หน้าอกกระเพื่อมจากการหายใจ

“หมวด... หมวดชลัน!”

“ครับ ๆ!” ต้นสนรีบลุกขึ้นยืนตรงจนคนในห้องหัวเราะ พอเห็นว่าเป็นใครต้นสนก็ถอนหายใจแล้วนั่งลงอย่างเดิม “จะตะโกนทำไมเนี่ยจ่า”

“โธ่ ก็ผมเห็นหมวดนั่งนิ่งมาตั้งนานแล้ว เรียกตั้งหลายรอบก็ไม่หัน”

“ผมแค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ”

จ่าส่ายหัว “หมวดนะหมวด มีเรื่องอะไรในใจก็อย่าไปทุกข์กับมันเลย”

หมวดชลันเค้นยิ้ม “พูดเหมือนรู้ว่าผมมีเรื่องทุกข์”

“ปัดโธ่! ก็หมวดเอาจริงเอาจังเรื่องงานจะตาย พอมาเห็นเอาแต่นั่งเหม่อแบบนี้พวกผมเลยไม่ชินกัน” คนในห้องที่เหลือต่างพยักหน้า

“จ่าก็พูดไป” ชลันส่ายหน้าแล้วหยิบแฟ้มคดีที่ยังแก้ไม่เสร็จมาดูไปพลาง ๆ

“ถ้าอยากพักก็ไปสังสรรค์กันตอนเลิกงานก็ได้นะครับ”

ต้นสนพอจะรู้ความหมายเลยส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ แต่จ่าก็ไม่ได้คาดคั้นต่อเพราะรู้ดีว่าผู้หมวดคนนี้ไม่สนเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ จนคนอื่นคิดว่าผู้หมวดคงมีคนในใจไปแล้ว

จวบจนถึงเวลาเลิกงาน ต้นสนขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปรับน้องสาว เพราะคงไม่ต้องใช้รถยนต์ เนื่องจากว่าเขาบอกกับน้องเพียงขวัญว่ามีคนในใจแล้ว เธอจึงไม่ได้ขอให้ไปรับไปส่งเช่นเคย เขาเองก็รู้สึกผิดอยู่เหมือนกันที่ไม่ได้พูดให้ชัดเจนตั้งแต่แรก เรื่องนี้เขาบอกไปหลังจากที่มีปากเสียงกับพี่ปราชญ์ในวันที่รถน้ำมันหมดไปนั่นแหละ พอได้ไปส่งอีกวันเขาเลยพูดอย่างจริงจัง

พอมาถึงหน้ามหาลัยชลันก็พิงรถรออย่างเคยเพราะน้องสาวเลิกค่ำ นักศึกษาบางคนกลับบ้านไปนานแล้ว ข้างในจึงไม่เห็นใครมากนัก เพียงไม่นานก็เห็นน้องสาวเดินออกมากับกลุ่มเพื่อนสี่ห้าคน

“สวัสดีค่ะพี่ต้นสน” ทุกคนยกมือไหว้อย่างนอบน้อมต้นสนจึงผงกหัวพลางยิ้ม เห็นเพียงขวัญยิ้มให้และเดินออกไปกับเพื่อน ๆ เพราะเพียงขวัญก็ไม่ได้โกรธอะไรมาก แต่คงมาพูดคุยอย่างเดิมไม่ได้ น่าจะต้องรอเวลาเยียวยา ก็ถือว่าดีแล้วสำหรับเราทั้งคู่ จำได้ว่าเขาถูกฟ้าใสบ่นหูชาไปเป็นอาทิตย์เลย...

“เฮ้อ เมื่อยจังเลยวันนี้เลิกค่ำอีกแล้ว อยากเลิกเที่ยงจะได้ไปซื้อของกับเพื่อน”

“ยัยตัวแสบ แค่นี้ทำบ่น”

“แค่นี้ที่ไหนเล่า” ฟ้าใสบ่นอู้อี้แล้วขึ้นซ้อนท้าย

ต้นสนเตรียมจะสตาร์ทรถแต่พอเห็นรถคันคุ้นหน้าคุ้นตากำลังขับออกมาจึงเผลอมองค้างไป พี่ปราชญ์...

“พี่ปราชญ์ก็กลับตอนนี้เหรอเนี่ย” ฟ้าใสทักขึ้น แต่ก็เห็นว่าพี่ชายมองนานไปจึงตบบ่าเบา ๆ “จะกลับไหมบ้านน่ะ”

“รอนิดรอหน่อยก็ไม่ได้” ชลันบ่นแล้วขี่รถออกไปอย่างไม่เร่งรีบนักเพราะน้องอยู่ด้วยเลยไม่อยากจะขี่เร็วสักเท่าใด

“กับพี่ปราชญ์นี่ยังไงคะ ตกลงคุยกันแล้วหรือยัง” ฟ้าใสถามมองพี่ชายผ่านกระจก

“อืม”

“อืมในทางไหนคะ ถ้าให้เดาคงจะจบไม่สวยใช่ไหม”

ชลันถอนหายใจ “จะอยากรู้ไปทำไม”

“เอ้า ก็พี่ต้นสนไม่ยอมบอกใครเลยว่าทำไมถึงเย็นชาใส่พี่ปราชญ์ รู้ไหมว่ามีกี่คนที่ห่วงเรื่องของพี่สองคนน่ะ”

“ใครจะมาห่วง ปล่อยไปเถอะหน่า”

“แม่แล้วหนึ่งคน หนูแล้วสอง แล้วก็...” ฟ้าใสไม่ค่อยอยากพูดถึงแต่เพราะสังเกตเหมือนกัน “คุณชายธันเพื่อนพี่นั่นไง”

“หื้อ? ไอธันอะนะ”

“นี่พี่ไม่รู้เลยเหรอว่าคุณชายธันเขาอยากให้พวกพี่คุยกันขนาดไหน ถึงหนูจะยังโกรธเขา แต่เรื่องนี้หนูก็เห็นใจนะ หนูรู้แหละว่าเขาเปลี่ยนไปแล้วและคงอยากให้พวกพี่ได้คุยกันอย่างเดิม เรื่องนี้หนูขอยอมเข้าข้างเขา”

ชลันได้ยินอย่างนั้นก็ดีใจแทนเพื่อน “ถ้าไอธันมาได้ยินคงดีใจจนน้ำตาไหล”

น้องสาวคิ้วมุ่นแล้วฟาดหลังพี่ไปที “ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย”

ต้นสนหัวเราะเสียงดังก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเพียงยิ้มบาง “ฟ้าใส...”

“อะไรเล่า” ฟ้าใสนึกว่าพี่จะแกล้งกันเลยหน้ามุ่ยไปก่อน

“ถ้าเกิดว่าพี่บอกฟ้าใสไป ฟ้าใสจะโกรธพี่ไหมนะ”

เมื่อเห็นดวงตาส่อแววเศร้า ฟ้าใสจึงเม้มปากแขนข้างขวาที่กอดเอวพี่ไว้นั้นกระชับแน่นส่วนข้างซ้ายก็ลูบบ่า “พี่ต้นสน... พูดออกมาเถอะอย่าเก็บไว้เลยนะ หนูเป็นน้องสาวของพี่.. พี่พูดกับหนูได้”

ต้นสนเปรยยิ้ม คงเป็นเพราะเริ่มมืดแล้วฟ้าใสเลยไม่เห็นร่องรอยน้ำตาที่เครืออยู่ “ทั้งหมดมันเพราะความเอาแต่ใจและความเห็นแก่ตัวของพี่เอง”

เรื่องทั้งหมดถูกเล่าออกจากปากในระหว่างทางกลับบ้าน เป็นเรื่องที่ฟ้าใสไม่คาดคิดว่าจะเป็นอย่างนี้เหมือนกัน เธอพูดอะไรไม่ออก จนถึงบ้านแล้วก็ไม่มีเสียงตอบรับจากฟ้าใสเลยสักนิด

ต้นสนพอจะเข้าใจ เรื่องนี้มันยอมรับได้ยาก เขาเห็นน้องขึ้นบ้านไปก่อนเลยขึ้นไปบ้าง ออกไปทานข้าวได้นิดเดียวก็เข้าห้อง พอมันมืดค่ำแล้วและคนในบ้านต่างเข้านอนกันหมดจึงออกมานอกห้อง หยิบโทรศัพท์บ้านออกมากดเบอร์โทรหาคนที่น่าจะเข้าใจเขาได้มากที่สุด

(บ้านอัครเดชครับ) น้ำเสียงอ่อนโยนนี้ทำต้นสนน้ำตาคลอจากที่กลั้นไว้กลับพรั่งพรูออกมาจนหมด

“ลุง...ลุงสิงห์”

(ต้นสนเหรอ! เป็นไงบ้างลูก สบายดีไหม) คำถามยาวเหยียดพร้อมความคิดถึงและห่วงใยทำให้ต้นสนอยากไปหาแกแล้วขอนอนตักเพื่อพักจิตใจตัวเองเสียหน่อยมันคงจะดีมากเลย

“อยากเจอลุงสิงห์” ต้นสนนั่งลงกับพื้นมือยังจับโทรศัพท์อยู่ เขาก็แค่คนที่อายุเพียงยี่สิบสองปีไม่ได้โตไปกว่าเดิมเลยสักนิด

(เป็นอะไรหรือเปล่า... มีอะไร) เสียงสองแทรกมานั้นก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นลุงไฟ

“ผมไม่รู้จะทำยังไงดี”

(เล่าให้ลุงฟังหน่อยได้ไหม)

ต้นสนกลั้นเสียงร้องไห้และเล่าไปด้วย เขาไม่ต้องปิดบังเลยเพราะพวกท่านรู้ตั้งนานแล้ว หลังจากที่ลุงไฟมาให้คำปรึกษา อีกไม่กี่ปีถัดมาพวกท่านก็รู้เพราะต้นสนอึดอัดที่จะเก็บมันเอาไว้ และพวกท่านก็เข้าใจ พวกท่านเองก็รู้มานานแล้วเหมือนกันจึงให้คำปรึกษาเพิ่มเติม

และลุงทั้งสองก็บอกให้เขาพูดอะไรก็ได้ ที่ไม่ใช่เงียบหาย แต่คำปรึกษาที่ให้มาเขาโยนมันทิ้งไปหมดเพียงเพราะความเห็นแก่ตัวที่โกรธพี่ปราชญ์

(ไอต้นสนเอ๊ย) ลุงไฟแว่วเสียงมา น้ำเสียงดูเหนื่อยใจ (ข้าบอกเอ็งว่าไงวะ)

“ผมขอโทษ”

(อย่าว่าหลานเลย... ดูมันสิฟังเรากันไหม แล้วก็มานั่งทุกข์คนเดียว) ทั้งคู่เถียงกันไปมาจนต้นสนรู้สึกผิด (เอ็งคิดว่าปราชญ์มันจะเสียความรู้สึกแค่ไหนที่เจออย่างนั้นหลังจากกลับมาไทยวะ เขาเสียใจไม่แพ้เอ็งหรอกนะ)

คงเพราะเข้าใจความรู้สึก คงเพราะเคยพบเจอมาเหมือนกัน เพียงแค่การปิดบัง ไม่ยอมบอกไม่ยอมพูดและไม่คุยกันให้เข้าใจ มันทำให้สูญเสียอะไรไปเยอะ ไฟเข้าใจมันดีที่สุดแล้ว...

คนทางสิงห์บุรีถอนหายใจ สิงห์ลูบแขนคนรักเพื่อให้สงบลง (ต้นสน... ในเมื่อตอนนี้พี่เขาตัดสินใจแล้วเราก็ไปห้ามไม่ได้ แต่อย่างน้อย ต้นสนน่าจะไปขอโทษพี่เขาหน่อยนะลูก)

“ครับ ต้นสนจะไปขอโทษ”

(ดีแล้วลูก...) เสียงปลายสายเงียบไปสักพักก่อนจะเป็นเสียงของลุงไฟที่คงสงบลงบ้างแล้ว (ข้าก็ห่วงเอ็งเพราะเอ็งเป็นหลานข้า ไม่อยากให้ตัดสินใจผิดพลาด ถ้ารู้ตัวว่าผิดแล้วก็ไปขอโทษซะก่อนที่มันจะสายไปมากกว่านี้ เขาจะมีคนรักแล้วก็ช่างเขา เอ็งไม่มีสิทธิ์ไปโกรธเขาด้วยซ้ำ เขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลย มีแต่เอ็งที่คิดเกินเลยไปคนเดียวจนทำตัวแบบนี้ ปราชญ์มันจะรับรู้ไหมว่าที่เอ็งเป็นแบบนี้เพราะอะไร แล้วเห็นไหมว่าเขาโทษตัวเอง คิดว่าตัวเองผิด ทำอะไรนึกถึงใจคนอื่นบ้าง)

“เข้าใจแล้วครับ”

(เข้าใจจริง ๆ หรือเปล่า)

ต้นสนพยักหน้าแม้ปลายสายจะไม่เห็น “เข้าใจจริง ๆ ครับ ผมจะไปขอโทษ แต่คงไม่บอกว่ารู้สึกอย่างไรเพราะเขามีคนรักอยู่แล้ว”

(เออก็แค่นั้นแหละ ถ้าไม่ไหวก็มาอยู่ที่สิงห์บุรีซะ ฝึกงานสามเดือนเสร็จขอย้ายมาประจำที่สิงห์บุรีเลย พักใจสักนิดค่อยกลับพระนคร)

“ครับลุง”

(ต้นสน... ไม่เป็นไรนะ ถ้าอยากมาที่นี่ก็โทรศัพท์มาบอกได้เสมอนะ ลุงจะเตรียมห้องไว้ให้แล้วก็จะให้ลุงไฟไปทำเรื่องขอต้นสนมาประจำที่นี่)

“ขอบคุณนะครับลุงสิงห์ ขอบคุณจริง ๆ ถ้าไม่มีลุงผมก็ไม่รู้จะปรึกษาใครแล้ว”

(ลุงยินดีให้คำปรึกษาเสมอ ต้นสนอย่าเศร้าไปเลยนะ พ่อกับแม่และน้องจะเป็นห่วงเอา)

“ครับ ผมจะพยายาม”

(พรุ่งนี้มีงานไปนอนได้แล้ว)

“ครับ ขอโทษที่โทรศัพท์ไปกวนกลางดึกนะครับ”

(ไม่เป็นไร)

“ฝากขอบคุณลุงไฟด้วยนะครับ”

(ได้ยินไหมล่ะลุงไฟ... เออ ๆ)

ต้นสนยิ้มขึ้นได้ก่อนที่จะบอกราตรีสวัสดิ์และวางโทรศัพท์ลง แต่ถึงอย่างนั้น... ก็คงต้องเตรียมทำใจ ถ้าหากวันหน้าอาจจะได้ยืนมองพี่ปราชญ์กับคนรัก คิดเพียงเท่านั้นต้นสนก็กอดเข่าตัวเองแล้วซบหน้าลงกับแขนทันที

ภาพสมัยเด็กที่เขาเอาแต่นั่งอมทุกข์ย้อนเข้ามา ตอนเด็กใคร ๆ ก็คงคิดว่าเรื่องความรักของเด็กพวกนี้โตไปความรู้สึกคงจะมลายหายไป แต่ก็ไม่เลย มันไม่ได้หายไปสักนิด หนำซ้ำยังทวีคูณขึ้นเรื่อย ๆ จนกลัวว่าจะตัดได้ลำบาก... หรือให้เลวร้ายที่สุด

ก็คงจะตัดใจไม่ได้เลยตลอดชีวิต

จะมีวันนั้นหรือเปล่านะ วันที่เขายืนยิ้มอย่างมีความสุข ยืนยิ้มอย่างภูมิใจที่พี่ปราชญ์มีคนรักที่ดีแล้ว

ต้นสนกัดฟันกลั้นเสียงไม่ให้มันดังไปมากกว่านี้ อ่อนแอทั้งกายทั้งใจ วูบโหวงและปวดหนึบจนอยากจะตะโกนออกมาดัง ๆ แต่ก็ทำไม่ได้ ตอนนี้เขาเหมือนอยู่คนเดียวในห้องมืด ๆ ที่ไม่มีแสงสว่างเลยสักนิด...

แต่สัมผัสหนึ่งที่โอบกอดลงมาทำต้นสนตกใจจนต้องเงยหน้ามอง “ฟ้าใส...”

ฟ้าใสน้ำตาคลอ ถึงจะชอบบ่นแต่ก็รักและห่วงพี่ชายคนนี้เหมือนกัน “ไม่เป็นไรนะพี่ต้นสน ฟ้าใสอยู่ข้างพี่นะ” คงเพราะมีหลายเรื่องที่ประดังเข้ามาฟ้าใสจึงลืมบอกไปเลยว่า

พี่ปราชญ์เลิกกับคนรักแล้ว...

สองพี่น้องต่างร้องไห้ออกมาท่ามกลางความมืดสลัว โดยไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครบางคนยืนนิ่งค้างอยู่ด้านล่างของเรือนไทย

ชายในชุดตำรวจที่จะเดินมาคุยกับเพื่อนเรื่องที่จะไปทะเล...


 

เฝ้าคำนึง


 

ต้นสนนั่งลงกับโต๊ะอย่างอ่อนแรง เพราะเมื่อคืนแทบนอนไม่หลับ จะว่าไปก็ไม่ได้ไปสอนเด็ก ๆ เลย เพราะอยากให้พักกันก่อน เขาต้องเข้าประชุมเรื่องคนร้ายที่ยังจับไม่ได้ ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมีสมาธิตลอดและแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้

ถึงเวลาว่างต้นสนว่าจะออกไปหาอะไรกินเสียหน่อย แต่ก็ถูกดักหน้าจากเพื่อนที่ดูสีหน้าก็รู้แล้วว่าไปอารมณ์เสียอะไรมา

“เป็นไรวะ” ต้นสนถามอย่างสงสัย

ชายธันมองเพื่อนอย่างพินิจ ความกรุ่นโกรธสุ่มอยู่ในอกแต่ก็พ่วงด้วยความเห็นใจ... มันผสมปนเปจนยากที่จะคาดเดาได้ว่าตอนนี้ตัวเขานั้นคิดอะไรอยู่ และคิดยังไงกับเรื่องที่ได้ยินเมื่อวาน

เขารู้ว่าต้นสนนอนดึกเลยกะว่าจะไปหาแต่พอเห็นว่าบ้านมืดเลยคิดจะกลับแต่ก็ดันได้ยินเสียงเพื่อนร้องไห้และคุยโทรศัพท์กับใครอยู่ ยิ่งยืนฟังก็ยิ่งกระจ่างจากอะไรหลายอย่าง ทำให้เริ่มปะติดปะต่อทุกสิ่งเข้าด้วยกัน

 

“ต้นสนบอกว่าขอให้มีความสุขน่ะ แค่นั้นจริง ๆ ทุกทีจะเขียนยาวแต่จดหมายนั้นมีเพียงแค่ประโยคนี้”

“แล้วที่พี่ชายใหญ่ส่งไป พี่ชายใหญ่เขียนว่าอะไรหรือครับ”

“ส่งไปว่ามีคนรักแล้วน่ะครับ”

-------------

“ถ้าไม่มีทิฐิมากจนเกินไป นายน่าจะรู้ตัวว่านายมองพี่ปราชญ์เยอะแค่ไหน เหมือนอยากคุย แต่พอพี่ฉันมองนายกลับ ดันทำเป็นหน้านิ่งใส่”

“ฉันอาจจะคิดผิดหากนายเป็นแค่ไม่กี่ครั้ง แต่นี่ฉันเห็นนายเป็นอย่างนี้ตลอด เพราะฉะนั้นจะเถียงอะไรฉันไม่ได้แล้วนะ”

“ฉันมีเหตุผล”

 

ยิ่งเอามาคิดรวมกันแล้วก็เริ่มเข้าใจได้ทันทีว่าเพราะเหตุใดต้นสนจึงไม่ตอบจดหมาย นี่เพื่อนเขาหลงรักพี่ปราชญ์ตั้งแต่ตอนนั้นเลยหรือ... ถึงรู้แต่ก็ยังเตือนสติน้องชายอย่างเขาให้เข้าใจพี่ตนเอง

เพราะแบบนี้สินะเขาถึงโกรธผสมกับเห็นใจเพื่อนคนนี้ โกรธที่คิดเองเออเอง เป็นอะไรไม่บอกทำให้คนเข้าใจผิด แต่ก็เห็นใจเพราะว่าต้องรับรู้ว่าคนที่หลงรักนั้นมีคนรักแล้วแต่ยังหวังดีเตือนน้องชายแย่ ๆ ที่เคยคิดไม่ดีไป

“เรื่องไปทะเลน่ะ”

“ทำไมวะ”

“ที่จริงพี่ปราชญ์ไปด้วย” ชายธันพูดเสียงเรียบ ทว่า ก็จ้องจับผิดเพื่อนตลอดเวลา ยิ่งพอรู้ความจริงก็เห็นได้ชัดทุกการกระทำและอาการที่แสดงออกมา มันชัดขึ้นมาก...

“งั้นเหรอ” ต้นสนพูดเสียงเบา “เอาสิ ฉันมีเรื่องจะคุยกับพี่ปราชญ์เหมือนกัน”

คงจะเรื่องเมื่อวานสินะ ชายธันคิดในใจ “อืม มีแค่นี้แหละ”

“แล้วไปกินข้าวด้วยกันไหม”

“ไม่ล่ะ” ชายธันโบกมือก่อนจะเดินกลับเข้าไปในกรมตำรวจด้วยใบหน้าจริงจัง ดูซิว่าถ้ารู้ว่าพี่ปราชญ์เลิกกับคนรักแล้วต้นสนจะทำยังไง

เขาจะเป็นคนบอกเอง บอกตอนที่ถึงทะเลแล้ว...

จะได้ไม่สามารถหลบหน้าไปไหนได้ในเวลาที่ตัวเองคิดผิดมาตลอด และทำให้พี่ปราชญ์เสียใจจากความคิดเองเออเองของตัวเอง ให้เผชิญหน้ากับความจริง ให้รู้สึกผิดเวลาที่มองพี่ปราชญ์

ถึงจะดูโหดร้ายไปเสียหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นบทเรียน




จบบทที่ ๑๒
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 15-07-2020 11:08:13
คิดเอง เออเอง นะ ก็น่าเห็นใจ
 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๒
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 15-07-2020 19:23:33
 :hao4:
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๓
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 31-07-2020 23:03:21
 
(https://www.img.in.th/images/860cc9dbb13a133720c7f0a77489210a.jpg)

บทที่ ๑๓

ความจริงที่ได้รับรู้


 

ช่วงเช้ามืดสมพงษ์ตื่นนอนมาเพื่อเอากระเป๋าของคุณ ๆ ทั้งหลายใส่รถให้ รวมถึงคนรับใช้คนอื่น ๆ ที่จัดเตรียมอาหารและอุปกรณ์ครบครัน ปภารัชนึกอยากเอ็ดพี่แตงที่บอกคนอื่นว่าพวกเขาจะไปทะเลในวันนี้เลยปลุกคนอื่นมาให้ช่วยจัดของให้

เขาน่ะเกรงใจทุกคนยิ่งกว่าเสียกระไร

“อ้าวต้นสน ไปด้วยเหรอ” แตงถามไถ่ใครบางคนที่เดินแบกกระเป๋ามาทางนี้ ปราชญ์หันไปมองทันที ดวงตาของเราสบกันชั่วครู่ก่อนจะเป็นปราชญ์ที่หันไปคุยกับคนรับใช้คนหนึ่งเรื่องความพร้อมของรถ

“ครับพี่แตง”

“งั้นมา ๆ เดี๋ยวพี่เอาไว้ในรถให้”

“ไม่ต้องพี่” ต้นสนรีบเบี่ยงหลบแต่พี่แตงก็ยื้อดึงเอาไปใส่ให้จนได้เลยได้แต่จำยอมตามไป

“ไงน้องชาย” ชายกรณ์เดินมาเอาแขนพาดไหล่ทันทีเมื่อเห็นใคร

“เหมือนไม่เจอกันนานเลยนะครับพี่กรณ์”

หนุ่มทหารพยักหน้า “ใช่ แทบไม่ได้เจอกันเลยนะ ต่างคนต่างงานยุ่ง”

ต้นสนยิ้มบาง “แล้วพี่กรณ์เป็นอย่างไรบ้างครับ งานที่กองทัพล้นมือเลยใช่ไหมครับ”

“พูดแล้วก็อยากกลับไปเป็นเด็กอีกสักรอบ” ชายกรณ์หัวเราะทั้งคู่คุยกันอย่างสนิทสนมอย่างเคย ถึงแม้ว่าดวงตาของต้นสนจะจดจ้องไปที่ใครอีกคน แต่ก็ไม่ได้รับสายตาตอบกลับมา

ชายธันที่ยืนอยู่ห่าง ๆ มองเพื่อนกับพี่คนโตสลับกันไปมา อีกคนเฝ้ามองหาส่วนอีกคนทำเมินเฉยแม้ใจจะไม่อยากทำอย่างนั้น ความสัมพันธ์ช่างแปลกสิ้นดี แล้วถ้าเกิดพี่ปราชญ์รู้ว่าต้นสนคิดอย่างไร จะทำยังไงนะ

เรื่องนี้เขาคงไม่ได้บอกหรอก เพราะหากเพื่อนเขารักข้างเดียว บอกไปจะหนักข้อขึ้นเปล่า ๆ พี่ปราชญ์คงไม่ได้คิดอะไรกับต้นสน...

แล้วถ้าคิดล่ะ

ชายธันรีบสะบัดหัวกับความคิดมากของตัวเอง ถ้าเป็นแต่ก่อนเขาคงไม่มีวันจะยอมรับได้แน่และคงไม่นิ่งเฉย สิ่งที่ทำอย่างแรกคือกันต้นสนออกจากพี่ปราชญ์ให้ได้ ตอนนี้ถ้าเกิดทั้งคู่คิดเกินเลยกันจริง เขาคงต้องปล่อยไป เขารู้ว่าพี่ปราชญ์เหนื่อยมามากเกินพอแล้วและเขาก็ไม่อยากทำให้เหนื่อยเพิ่มอีก

เขาเป็นคนในครอบครัว เป็นน้องชายที่จะคอยอยู่ข้าง ๆ ไม่ได้เป็นเจ้าของชีวิต ทางที่ดีก็ให้คุยกันเองเสียกว่า...

“ยังไม่ทันรู้จริงเลยคิดไปถึงไหนเนี่ยเรา” ชายธันบ่นเสียงเบาพลางนวดขมับตัวเอง

เมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อมเสร็จเรียบร้อยทุกคนก็ต่างขึ้นรถ เป็นชายปราชญ์ที่ขับให้ก่อน ส่วนคนนั่งข้างกายก็เป็นน้องคนกลาง ส่วนด้านหลังเป็นน้องคนเล็กและต้นสนที่นั่งหลังปราชญ์

“ฝากดูแลหม่อมย่ากับคุณน้าให้ด้วยนะครับ”

“ได้เลยค่ะคุณชายใหญ่ ขอให้เดินทางปลอดภัยนะคะ” แตงยิ้มและโบกไม้โบกมือ

ปภารัชตีรถออกจากวัง ระหว่างทางชายกรณ์พูดเยอะเป็นพิเศษ คงเพราะชายกรณ์แทบไม่ได้กลับมาทานข้าวหรือกลับมาเจอพวกเขาเลย ไม่แปลกที่จะมีเรื่องพูดคุยเยอะ ถึงอย่างนั้นก็เป็นสีสันได้ดี ไม่ทำให้ในรถเงียบจนเกินไปด้วย

“ว่าแต่เราจะไปส่วนไหนของพังงา” ปราชญ์ถามขึ้น

“ไปที่ตะกั่วทุ่งครับ ใช่ไหม” ชายธันหันไปถามเพื่อนสนิท

“อืมอำเภอตะกั่วทุ่ง ตำบลโคกกลอย ศศิมันอยู่ที่นั่น”

“ที่นั่นแหละครับ เห็นเพื่อนผมบอกว่าเดินเรือไปคงถึงภูเก็ตได้เลย”

“งั้นวันที่สองเราไปภูเก็ตกันดีไหม” ชายกรณ์เสนอ

“ก็ดีนะ แล้วออกเรือได้ไหม” ปราชญ์มองสองคนด้านหลังผ่านกระจก

“คงต้องรอไปถามศศิน่ะครับ”

ปภารัชพยักหน้าตอบรับน้องคนเล็ก ตลอดทางนั้นมีแวะทานอาหารและพักรถด้วย แล้วก็เปลี่ยนเป็นชายกรณ์ที่ขับบ้าง เพราะถ้าเข้าจังหวัดไปแล้วจะให้ต้นสนขับเพราะรู้ทางดี เนื่องจากเคยมาเยี่ยมเยียนเพื่อนอยู่

จนเปลี่ยนมาเป็นชายธันที่ขับจนใกล้จะถึงก็เปลี่ยนไปให้ต้นสนแทน ปภารัชที่หลับพักไปครู่ลืมตาตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงปิดประตูรถ พอมองคนข้างกายที่ไม่ใช่น้องคนเล็กแล้วจึงขยับนั่งดี ๆ แทน

“ชายธันหลับไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวถึงแล้วพี่จะเรียก” ปราชญ์บอกน้องเพราะชายธันกลับดึกมากเนื่องจากต้องสะสางงาน ส่วนชายกรณ์หลับไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ชายธันพยักหน้าตอนนี้ตนล้าเกินทน เพียงครู่เดียวก็หลับตามชายกรณ์ไป ในรถจึงเงียบมาตลอดทาง

“พี่ปราชญ์จะหลับต่อก็ได้นะครับ”

คนถูกพูดถึงตกใจเล็กน้อย ดวงใจกลางอกสั่นไหว พี่ปราชญ์หรือ?

“ไม่เป็นไร พี่อยู่เป็นเพื่อนได้ แถมหลับมาตลอดทางเลย”

ต้นสนพยักหน้าจากนั้นทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันต่ออีก ปภารัชเพิ่งจะได้สังเกตในมุมนี้ของอีกฝ่าย ดวงตาจดจ้องไปที่ถนนด้านหน้า มือจับพวงมาลัย เสื้อเชิ้ตแขนสั้นนั้นดูเหมาะกับต้นสนเสียจริง

เด็กคนนี้โตขนาดนี้แล้วหรือ

 จำได้ว่าหลังจากกลับไทยได้ไม่นานคุณน้าก็เอารูปที่เขาเคยได้ถ่ายเด็ก ๆ ไว้มาให้ ตอนนี้เขายังคงเอาติดกระเป๋าไว้อยู่ ในรูปนั้นเห็นเด็กสองคนนั่งข้างกันที่คนหนึ่งอมยิ้มหวานและอีกคนที่หน้านิ่งแลดูหงุดหงิด มุมปากบางยกยิ้มเมื่อนึกถึงสมัยก่อน ยังไม่ได้ให้รูปนี้แก่ทั้งสองเลย นึกขึ้นได้ว่ายังมีรูปที่เขาได้ถ่ายกับต้นสนตอนยังเป็นเด็ก

ในรูปนั้นเขากำลังอุ้มน้องอยู่ในอ้อมกอด ไม่คิดเลยนะ ว่าเด็กในวันนั้นจะโตมาเป็นคนที่พึ่งพาได้ดีขนาดนี้ ตัวที่สูงกว่า มือหนาและใหญ่พอจะกุมมือปราชญ์ได้ทั้งหมด แผ่นหลังกว้างไหล่ตึง ใบหน้าที่จิ้มลิ้มดูคมเข้มขึ้น แววตาเปี่ยมไปด้วยความจริงจัง สุขุมและอ่อนโยน ยกเว้นตอนที่ใช้ดวงตาเย็นชานั่นมองเขา คงจะเป็นเขาเพียงคนเดียวที่อยู่ในสถานการณ์อย่างนั้น

ไม่รู้ว่ามองคนข้างกายนานเท่าใดอีกฝ่ายจึงหันมาหาเมื่อรอรถอีกคันข้างหน้าออกไปก่อน

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

ปราชญ์หันหลบ รู้สึกอากาศร้อนขึ้นมาทันตา “เปล่าหรอก”

“ที่จริงผมมีเรื่องจะคุยกับพี่ปราชญ์ด้วย”

“เรื่องอะไรหรือ”

“ไว้ก่อนครับ หากถึงที่หมายและจัดของเสร็จแล้วรวมถึงเที่ยววันนี้เสร็จผมอยากให้เราไปคุยกันแค่สองคน”

ปภารัชพยักหน้า “ได้สิ”

“ขอบคุณครับ”

ไม่รู้เหมือนกันว่ามีเรื่องอะไรที่จะคุยกัน แต่ก็คงไม่พ้นเรื่องเมื่อวันนั้น... ก่อนจะได้คิดอะไรมากกว่านี้กลิ่นไอเกลือก็ลอยเด่นขึ้นมา ทางด้านข้างเห็นทะเลเด่นอยู่ในสายตา ปราชญ์คลี่ยิ้มกว้าง สูดอากาศเข้าเต็มปอด แดดอ่อน ๆ กระทบกับผิวน้ำ ภาพตรงหน้าสะท้อนในดวงตา

ถ้าหันไปหาคนข้างกายคงจะได้เห็นรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า...

“ถึงแล้วเหรอ” ปราชญ์ถามเมื่อต้นสนขับมาจอดอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งที่ติดกับชายหาดเพียงถนนกั้น

“ครับ หลังนี้แหละ” ต้นสนว่าก่อนจะลงรถเป็นคนแรกเพื่อเข้าไปเรียกเพื่อนอย่างศศิที่มาประจำที่ภาคใต้

“ชายธัน ชายกรณ์ตื่นได้แล้วถึงแล้ว” ปราชญ์หันไปสะกิดน้องชายทั้งสองจึงจะลงรถไปเพื่อทักทายเพื่อนของน้องชาย

“นี่คุณชายปราชญ์” ต้นสนผายมือให้เพื่อน

“สวัสดีครับคุณชาย” ศศิคลี่ยิ้มยกมือไหว้ทันที เห็นอย่างนั้นปราชญ์จึงยกมือรับตอบ

“สวัสดีครับคุณ...?”

“ผมศศิครับเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของต้นสนกับคุณชายธัน”

“อ่อครับ ธันพูดถึงอยู่เหมือนกัน ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ แล้วก็เรียกผมพี่เฉย ๆ ก็ได้นะ”

“ครับพี่ปราชญ์” ศศิผงกหัวแล้วช่วยหยิบสัมภาระเข้าบ้านและแนะนำตัวกันอีกครั้ง ก็ได้รู้จักกันหมด

“ไอเหนือ แล้วไอโทนล่ะวะ” ต้นสนถามเพื่อนในกลุ่มอีกคนที่มาถึงก่อนใครตั้งแต่เมื่อวานแล้ว

“เดี๋ยวก็คงถึงแหละมั้ง อยู่ตั้งแพร่ให้ลงใต้มาคงจะนานเลย”

“บ้านนี้มีแค่สองห้องนอนเอง ต้องขอโทษจริง ๆ นะครับ” ศศิยิ้มแหย

“ไม่เป็นไรครับ เรานอนเบียดกันได้”

เหนือกอดอกมองสามคุณชายที่ขนของเข้าไปในห้องและดูไม่เกี่ยงกับห้องนอนเล็ก ๆ อย่างนี้ และความเป็นมิตร สุภาพที่แผ่ออกมาจากคุณชายปราชญ์ก็ทำให้เหนือนึกถึงเพื่อนธันในสมัยเรียน จึงเผลอขำออกมา

“อะไรของมึงเนี่ย อยู่ ๆ ก็ขำ” ต้นสนหันมอง

“กูเห็นพี่ชายของไอธันแล้วนึกถึงมันสมัยเรียนว่ะ พี่ชายออกจะนิสัยดีขนาดนี้ทำไมตอนนั้นมันดูแย่วะ”

“กูก็ไม่รู้หรอก”

“เออ แต่ว่าพี่ปราชญ์เนี่ยเขาหน้าไม่ค่อยเหมือนสองคนนั้นเลยนะ”

มือที่กำลังคลี่เอาของออกชะงักไปทันตา “จะไปยุ่งกับเขาทำไมล่ะ”

“เอ้า” เหนือเกาหัว ก่อนจะไปช่วยทั้งสามคุณชายยกของเข้าไปอีกห้อง ต้นสนอาสานอนกลางบ้านเพราะว่าจะให้โทนและเหนือนอนด้วยกันในห้องของศศิเอง ส่วนสามคุณชายก็นอนด้วยกันอีกห้องหนึ่ง

“มีมุ้งไหม”

“มี ๆ แต่มึงจะนอนนี่จริงดิ” ศศิถามอย่างเกรงใจ

“เออดิ กูไม่อยากนอนเบียดกับพวกมึง เดี๋ยวแดกเหล้ากลับมาเหม็นหึ่งหมด”

“เออ ๆ ตามใจ”

“ไอโทนมาแล้วโว้ย” เหนือตะโกนบอกหลังจากออกไปตามเสียงเรียกหน้าบ้าน

“ห่าร้อน” โทนรีบเข้าบ้าน เหงื่อไหลตามขมับ ก่อนจะยกมือสวัสดีคนหน้าใหม่ที่ไม่เคยเห็นแต่พอจะเดาได้ว่าเป็นพี่ชายของไอธัน

“นี่โทนครับ” ธันแนะนำเพื่อนให้รู้จักถึงจะแนะนำฝ่ายพี่ของตนบ้าง “ส่วนนี่พี่กรณ์กับพี่ปราชญ์”

“ยินดีที่ได้พบครับคุณชายกรณ์ คุณชายปราชญ์”

“เรียกพี่ก็พอนะ ไม่ต้องเกรงใจ” ปราชญ์ยิ้มให้

“ได้ครับพี่ปราชญ์”

แขกหน้าใหม่ทั้งห้าจัดของกันเสร็จเรียบร้อย ศศิก็พาไปร้านอาหารที่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก ซึ่งเดินไปเอาก็ได้ แถวนี้มีบ้านอยู่ไม่เยอะ ถนนก็โล่งพอตัว ถ้าเทียบกับพระนครคงบอกได้เลยว่าต่างกันลิบลับ

“ไอศศิกับพี่ปราชญ์ดูเข้ากันดีเนาะ” เหนือพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าศศิกับพี่ปราชญ์ที่เดินนำต่างคุยกันไม่หยุด แลดูสนิทกันมานานนม

“มันก็เข้ากับคนอื่นง่ายมาแต่ไหนแต่ไรแล้วหนิ ไอศศิน่ะ” ต้นสนพูดตอบ

“แต่สามคุณชายนี่หน้าตาดีกันทั้งบ้านเลยว่ะ” โทนว่าอย่างนึกอิจฉา

“แบบนี้เรียกสาวใต้ได้เยอะแน่เลยว่ะ” เหนือกระยิ้มกระย่อง โทนก็เห็นด้วยอย่างทันที

ต้นสนถึงกับถอนหายใจ “พวกมึงก็คิดแต่เรื่องแบบนี้”

“ปัดโธ่ ให้กูคลายเครียดบ้างเถ๊อะ งานจะถมกูตายอยู่แล้ว” เหนือบ่น

“เออมึงก็ไปผ่อนคลายกับพวกกูด้วยดิ” โทนยกแขนสะกิด

“ไม่เอา”

“โธ่ ไรวะ”

“มีสาวในใจอยู่แล้วหรือเปล่าครับคุณผู้หมวดชลัน” ได้ทีเหนือก็อดชี้หน้าล้อไม่ได้

“เสือก”

“ไอห่านี่”

หนุ่ม ๆ ทั้งเจ็ดคนเดินเข้าร้านอาหารไปก็มีแต่คนมอง บ้างก็กระซิบกระซาบ แต่ทุกคนล้วนชื่นชมทั้งนั้น

“ดีจริงที่กูมาอยู่ตรงนี้ด้วย” เหนือเท้าเอวหัวเราะ

ชลันไม่ได้สนใจเพื่อนอย่างไอเหนือแล้วไปนั่งข้างศศิแทน ส่วนทั้งสามคุณชายก็นั่งอยู่ตรงข้าม ทุกคนสั่งอาหารที่ตัวเองชอบคนละไม่กี่อย่าง นอกนั้นก็เป็นศศิที่แนะนำให้ สั่งได้ไม่นานอาหารก็มาวางเกือบหมด

“พี่ปราชญ์ พี่กรณ์ผมแนะนำจอแหร้ง นี่คืออาหารพื้นเมืองของพังงาเลยนะครับ” ศศิเขยิบถ้วยไปใกล้ทั้งสามคุณชาย น้ำกะทิสีอ่อนมีเนื้อกุ้งตัวใหญ่หลายตัว กลิ่นหอมโชยเข้าจมูก

“น่าทานมากเลย” ชายกรณ์ยิ้มก่อนจะตักขึ้นมาชิมแล้วก็อร่อยไม่ต่างจากที่คิดเลย

ศศิยิ้มอย่างดีใจที่ทั้งสามคนดูชอบอาหารใต้ บางอย่างก็เผ็ดมากแต่คนที่ชอบเผ็ด ๆ น่าจะเป็นพี่ปราชญ์ที่ดูสนอกสนใจอาหารเผ็ด ๆ เป็นพิเศษ ศศิเลยโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง

“แล้วบ่ายนี้ไปไหนกันดี” ชายกรณ์ถามขึ้น

“เล่นน้ำสิครับ”

“หื้อ?” ชายกรณ์ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองที่น้องชายพูดออกมา

“มาถึงทะเลแล้วก็ต้องเล่นน้ำ ส่วนเรื่องเที่ยวค่อยไปวันอื่น”

“อยากเล่นล่ะสิ” ปราชญ์หยอกล้อ

“อยากแข่งว่ายน้ำกับเหนือและต้นสนครับ พอดีเคยคุยกันว่าใครแพ้ต้องตามใจคนชนะ”

เหนือถึงกับสำลักน้ำ “สมัยไหนวะนะ”

“ยังไม่ลืมอีกเหรอวะ” ชลันขมวดคิ้ว

“ตั้งแต่ปีสองเลยใช่ไหม” ศศิถามขึ้น

“เออ ๆ ใช่ ไอธันว่ายน้ำเก่งกว่าใครไอเหนือกับไอต้นสนแม่งก็แพ้ตลอด” โทนพูดพลางหัวเราะ

“ต้นสนน่ะหรือว่ายน้ำแพ้ธัน” ชายกรณ์ถามอย่างตกใจ

“พี่กรณ์พูดเหมือนผมดูอ่อนปวกเปียกเลยนะครับ”

“ไม่ใช่... ก็พี่...” อิตธิกรณ์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อน้องคนเล็กพูดมาอย่างนั้น

“ถ้าให้เดาถ้าแข่งกันห้าคน พี่ว่าศศิกับโทนชนะ” ปภารัชพูดขึ้นแล้วนั่นก็ทำให้ทุกคนพยักหน้าทันที

“ใช่เลยครับพี่ปราชญ์ ผมถึงไม่ให้มันสองคนลงมาแข่งด้วยไง” เหนือว่า

“เสียดาย ถ้าแข่งอีกรอบกูน่าจะสั่งให้มึงเลี้ยงข้าวกูสักสามเดือน” โทนส่ายหน้า คำตอบที่ได้รับจากปากเหนือแบบไม่มีเสียงคือพ่อมึง...

“ว่าแต่ทำไมศศิมาประจำที่นี่ล่ะ” ปภารัชถามขึ้น

“ที่จริงบ้านนี้เป็นบ้านเก่าของพ่อผมน่ะครับ ก็เลยมาที่นี่เพราะจะได้ไม่ต้องเสียค่าพักเพิ่มอีก” ศศิว่าอย่างคนประหยัด

“ที่จริงพี่ก็อยากมีบ้านสักหลังอยู่ใกล้ทะเลนะ กำลังวางแผนในอนาคตอยู่เหมือนกันว่าอาจจะย้ายมาอยู่ทางใต้” ปราชญ์พูดเพียงเท่านั้นน้องทั้งสามคนถึงกับตกใจ

“ทำไมล่ะครับ” ชายกรณ์ท้วงขึ้นส่วนชายธันทำหน้าหงุดหงิดไปเสียแล้ว ส่วนอีกคนที่ไม่คิดว่าจะสนใจนั้นกำลังดูตกใจไม่แพ้กัน

“ใจเย็น แค่คิดไว้น่ะไม่รู้จะได้ซื้อที่ไหม”

“เพราะอะไรหรือครับถึงคิดจะย้าย” ชายกรณ์ถาม

“อากาศมันดีน่ะ พี่ชอบกลิ่นไอเกลือด้วย”

“ไม่ใช่เพราะใครหรอกนะครับ” ชายธันพูดเสียงเรียบแล้วมองหน้าเพื่อน ต้นสนเห็นอย่างนั้นก็หันหนี ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาอีก

“คิดอะไรน่ะ พอเลย... อาจจะซื้อไว้เวลามาเที่ยวใต้ก็ได้” ปราชญ์รีบปรามน้อง ๆ

“บ้านนี้เขาติดพี่ชายกันจังเลยนะครับ” โทนว่าพลางหัวเราะเล็กน้อย

“ติดมาตั้งแต่เด็กแล้ว” ปภารัชว่าทุกคนจึงหัวเราะออกมา ชายกรณ์รีบแก้ตัวทันที ส่วนอีกสองคนได้แต่นั่งเงียบ

ศศิกะพริบตาปริบ ๆ ไม่รู้ว่าใครสังเกตเห็นอีกไหมแต่เขาสังเกตเพื่อนสองคนนี้อยู่ว่ามีอะไรแปลก ๆ มีเรื่องอะไรกันหรือไงนะ

พอกินข้าวกันเรียบร้อยศศิก็พาเดินทัวร์ไปทั่วเพื่อจะได้ย่อยกันก่อนจะไปเล่นน้ำ แวะนู่นแวะนี่กันเพลินทีเดียวเชียว

“พวกมึงทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า” หลังจากมาเดินดูของกันศศิก็เอ่ยถามเพื่อนทั้งสองคนอย่างต้นสนกับธันที่เดินอยู่ด้วยกัน

“เปล่าหนิ” ธันเอ่ยตอบแทน

“แน่หรือ”

“ไม่ได้ทะเลาะกันจริง ๆ” ต้นสนว่า

“เออ ๆ เชื่อก็เชื่อ แต่มึงนี่ก็ติดพี่ปราชญ์เหมือนกันนะ ตอนเขาบอกจะย้ายมาใต้มึงก็ตกใจไปกับเขาด้วย ฮ่า ๆ” ศศิหัวเราะชอบใจก่อนจะเดินไปหาคุณชายทั้งสองโดยไม่รู้เลยว่าทิ้งระเบิดไว้กับเพื่อนตัวเอง

ชลันสบถเสียงเบา ผันไปมองเพื่อนข้างกายที่มองอยู่ก่อนแล้วจึงเลิกคิ้วถาม “อะไร”

“นายคิดยังไงกับพี่ปราชญ์”

คนถูกถามเบิกตาเล็กน้อย ใจเต้นระรัว “ถามอะไรวะ”

“ตกใจอะไร ดูแปลก ๆ นะถามแค่นี้เอง”

“นายน่ะถามฉันแปลก ๆ”

“แปลกยังไง นายคิดไปไหนไกลอย่างนั้นหรือ ก็แค่ถามเรื่องที่พี่ปราชญ์บอกจะย้ายมาทะเล นายคิดยังไง”

คนร้อนตัวไปก่อนไข้ถึงกับหน้าหมอง “ไม่รู้”

“เกี่ยวกับนายด้วยหรือเปล่านะ” ธันทำเป็นคิด

แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำให้ต้นสนเงียบไปเหมือนกัน

“เรามาตกลงอะไรกันดีไหม”

ต้นสนขมวดคิ้วเมื่อเพื่อนพูดอย่างนั้น “อะไร”

“วันนี้ถ้านายแข่งว่ายน้ำชนะ ฉันจะบอกเรื่องเกี่ยวกับคนรักของพี่ปราชญ์ให้ฟัง”

คำเสนอนั้นทำต้นสนเบิกตา “หมายความว่าไง คนรักของพี่ปราชญ์ทำไมอย่างนั้นหรือ”

“ถ้านายชนะฉันจะบอก” ธันยิ้มบาง แม้ต่อให้ชนะหรือแพ้เขาก็บอกอยู่ดี ก็แค่อยากรู้ว่าเพื่อนเขาจะมีท่าทียังไงก็เท่านั้น

“ได้”

“อืม ตามนั้น”

“อ้อ” ธันรีบหันกลับ “แต่ถ้าฉันชนะ นายต้องบอกความจริงกับฉัน”

“ความจริงหรือ? ความจริงอะไร”

“รอฉันถามแล้วกัน” พูดเพียงเท่านั้นชายธันก็เดินออกไปร่วมวงกับพวกเหนือและโทนที่กำลังดูพวกของเครื่องใช้ที่คนละแวกนี้ทำกับมือ

ปล่อยให้ต้นสนยืนคิดอยู่คนเดียว
 

 


เฝ้าคำนึง


 


“พร้อมยัง ๆ!” โทนตะโกนบอกเพื่อนทั้งสามคนที่กำลังวอร์มร่างกาย โดยมีเหนือกับธันที่อยู่ซ้ายขวา ต้นสนอยู่ตรงกลาง ห่างจากฝั่งอยู่ประมาณแปดสิบเมตรได้ ตรงนั้นมีแพลอยน้ำที่ชาวบ้านทำเอาไว้ละเล่นกัน ให้ว่ายแข่งประมาณหกสิบเมตร มีไม้ยาวปักไว้ให้ก่อนถึงฝั่ง

“อย่าลืมนะ” ต้นสนกระซิบธันที่อยู่ฝั่งซ้ายตนเอง

“ไม่ลืมหรอก”

“หนึ่ง! สอง! เริ่ม!!” สิ้นเสียงของโทน ทั้งสามคนก็กระโดดลงน้ำอย่างทันที ชายธันว่ายตีขึ้นมาห่างเล็กน้อยตามด้วยต้นสนและเหนือ

ปภารัชที่นั่งอยู่กับศศิและชายกรณ์ต่างตะโกนเรียกชื่อ มุมปากบางคลี่ยิ้มอย่างสนุกสนาน แม้ใจจะเชียร์ทั้งสามคน แต่ดวงตากลับจดจ้องแต่เพียงต้นสนที่ดูจริงจังเอามาก ๆ กับการแข่งครั้งนี้

“เฮ้ย ๆ ไอต้นสนมันนำแล้วโว้ย” โทนตะโกนเสียงดัง

ต้นสนขึ้นนำได้ไม่เท่าไรก็ต้องตีคู่มากับชายธันที่ว่ายขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เหนืออยู่ไม่ห่างมากแต่ก็พอจะรู้ชะตาเลยหยุดตรงนั้นแล้วโวยวายอยู่คนเดียว

“ไอเหนือ! มึงยอมเร็วไปแล้ว!” โทนหัวเราะชอบใจ

“แม่ง! เหนื่อยฉิบหาย!” ไม่ว่าเปล่ายังนอนตัวหงายลอยอยู่ในทะเล

โทนได้แต่ส่ายหัวแล้วรีบดูว่าใครจะมาถึงไม้ยาวที่ปักไว้ก่อน ทั้งคู่ผลัดกันนำผลัดกันตามก่อนจะเป็นชายธันที่ว่ายเข้าไปแตะไม้ได้ก่อน

“โธ่เว้ย!” ต้นสนกำหมัดชกกับผิวน้ำจนกระเพื่อมดูหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด และนั่นก็ทำให้ชายธันได้แต่ถอนหายใจอย่างระอา

“ใจเย็น ๆ แค่แข่งเล่น ๆ” โทนรีบปลอบเพื่อน

ศศิวิ่งเอาผ้าไปให้เหนือที่กำลังลอยกลับมาตามคลื่น ก่อนจะถูกเพื่อนดึงลงไปจนหน้าคะมำโทนเลยเข้าไปร่วมวงด้วย ส่วนชายกรณ์ก็ยื่นผ้าให้น้องชายที่เดินกลับมาที่โต๊ะนั่ง ปภารัชหันซ้ายหันขวาก่อนจะหยิบผ้าอีกผืนลุกออกไปให้ใครบางคนที่ดูจะหงุดหงิดเสียเต็มประดา

“ผ้าครับ”

ต้นสนหันมอง ความหงุดหงิดเริ่มบรรเทา แต่ก็ยังเจ็บใจที่ไม่ชนะ “ขอบคุณครับ”

ร่างกายที่ปกปิดด้วยเพียงกางเกงสามส่วนธรรมดาจึงเผยกล้ามเนื้อที่พอดีกับตัว น้ำเกาะตามบ่าตามแขนล่ำ ทุกครั้งที่ยกแขนเช็ดหน้าเส้นเลือดนั้นจะเด่นอยู่ในสายตา ผมสีเข้มที่เปียกลู่ถูกขยี้จนฟูฟ่อง

คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ใบหน้าที่แสนจะดุนั้นกำลังหลับตาพริ้ม มือหนาขยี้เส้นผมจนปราชญ์อยากจะจับแขนปราม ทว่า เพียงดวงตาสีนิลเปิดขึ้น คนที่เอาแต่มองเลยจำใจถอยห่าง เม็ดน้ำไหลร่วงจากผมผ่านเปลือกตา ทำคนมองหายใจติดขัดเล็กน้อย

“คือพี่...” แต่ก่อนที่จะพูดอะไรกันมากกว่านี้ชายธันที่มองอยู่นานรีบเดินเข้ามาหา

“ไปคุยกับฉันเลยแล้วกัน คนแพ้ต้องทำตาม”

“เออ” ต้นสนตอบรับแล้วเดินออกไปก่อน

“นี่ ไปคุยอะไรกันจนทำให้ต้นสนต้องจริงจังขนาดนั้นน่ะ หื้อ”

ชายธันถอนหายใจ “พี่ชายใหญ่เป็นห่วงต้นสนมากไปหรือเปล่าครับ”

“พี่แค่—”

“เอาเป็นว่าไม่ใช่เรื่องร้ายแรงหรอกครับ ไว้ใจได้”

ปภารัชก็อยากจะพูดว่าเพราะเป็นชายธันน่ะสิถึงไว้ใจไม่ได้...

เมื่อธันเดินออกมาพ้นสายตาคนอื่นแล้วต้นสนก็ถามทันที “มีอะไรจะถามก็ว่ามา”

“หงุดหงิดอะไรขนาดนั้น อยากรู้เรื่องคนรักพี่ปราชญ์มากเลยหรือไง”

ชลันพรูลมหายใจ “ช่างมันเถอะ นายอยากถามอะไรก็ว่ามา”

ธันไม่มากความอะไรจึงเอ่ยถามตามจริงที่อยากถาม “นายคิดยังไงกับพี่ปราชญ์”

“ฉันบอกแล้วว่าไม่รู้ ถ้าเกิดว่าเขาจะย้ายมาฉันก็คงห้ามไม่ได้—“

“ไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น” ชายธันคิ้วมุ่น ใบหน้านั้นจริงจังอย่างเห็นได้ชัด “นายชอบพี่ปราชญ์หรือ”

คนถูกถามถึงกับนิ่งไปทันตา “ชอบอะไร ทำไมถามอย่างนั้น”

“ต้นสน” ธันเรียกเสียงเรียบ “ตอบให้ตรงคำถามด้วย ฉันว่านายน่าจะเข้าใจในสิ่งที่ฉันจะถามนะ”

ชลันกัดฟันกรอด มือหนากำหมัดแน่นจนปวดไปหมด รู้สึกอึดอัดกับสถานการณ์นี้จนปากแทบไม่ขยับ

“ไม่บอกไม่เป็นไรนะ แต่ฉันจะบอกว่าเมื่อหลายวันก่อนฉันไปได้ยินนายคุยโทรศัพท์กับลุงสิงห์และลุงไฟ” ชายธันถอนหายใจ “ฉันไม่ได้จะแอบฟังหรอกนะ แต่พอดีได้ยินอะไรที่ไม่ควรได้ยินเข้าน่ะ”

“ฉัน...” ต้นสนยกมือกุมขมับ ใบหน้าถอดสี ก่อนจะนั่งลงยอง ๆ พร้อมกับไหล่ที่สั่นกระเพื่อมจนคนมองถึงกับตกใจ

“ต้นสน...”

“ขอโทษ..” น้ำเสียงนั้นทั้งสั่นแลดูเจ็บปวด

“จะขอโทษทำไม”

“ขอโทษ... ขอโทษที่ฉันคิดไม่ซื่อกับพี่ชายนาย ทั้ง ๆ ที่นายเป็นเพื่อนฉันแท้ ๆ แล้วก็ที่ฉันทำนิสัยแย่ ๆ ใส่พี่ปราชญ์ไป มันเพราะความไร้เหตุผลของตัวฉันเอง ขอร้องนะธันอย่าบอกพี่ปราชญ์เลยนะ” ดวงตาของต้นสนเริ่มแดงก่ำ นี่คงเป็นอีกครั้งในรอบหลายปีที่เขาร้องไห้อย่างหนักมาต่อเนื่อง ครั้งสมัยเด็กก็เพราะเรื่องพี่ปราชญ์ ตอนนี้ก็เรื่องพี่ปราชญ์อีกแล้ว

“นายไม่จำเป็นต้องขอโทษฉัน คนที่ควรขอโทษคือพี่ปราชญ์” ธันเอ่ยเสียงเบาเมื่อเห็นเพื่อนไม่พูดอะไรจึงตบหลังเป็นการปลอบ “ฉันเข้าใจนายแล้วต้นสนว่าทำไมนายถึงเป็นอย่างนี้ ฉันไม่ได้โกรธไม่ได้เกลียดอะไรนายเลย ฉันเข้าใจมันดี...”

นอกจากเสียงสะอึกสะอื้นแล้วต้นสนก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีก คงเพราะกลัวความลับที่เปิดเผยมานี้ กลัวว่าเพื่อนจะมองหน้ากันไม่ติดเพราะเขาดันไปชอบพี่ชายตนเองและกลัวว่าหากธันเอาไปบอกพี่ปราชญ์ มันจะยิ่งหนักเข้าไปอีก

ทั้งคู่นั่งกันอยู่ตรงนี้นานจนฟ้าเริ่มมืด ต้นสนหยุดร้องไปแล้วแต่ตายังคงแดง อีกคนที่นั่งข้างกายนั้นมองออกไปทางทะเลกว้างสุดลูกหูลูกตา ท้องฟ้าเป็นสีส้ม เสียงคลื่น เสียงลมลอยเข้าหูอยู่ตลอด

“นายทำให้ฉันไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้นเลย” ธันเอ่ยขึ้น ว่าจะให้บทเรียนกลับสงสารขึ้นมาเสียอย่างนั้น อย่างน้อยคนข้าง ๆ นี่ก็เพื่อนล่ะนะ เพื่อนที่ยอมรับในตัวเขา เพื่อนที่เปิดใจให้ เพื่อนที่คอยเตือนสติแม้ว่าเขาจะทำนิสัยแย่ใส่มาโดยตลอด ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคนที่ทำให้เขามาอยู่จุดนี้ได้ก็คือต้นสน

“เรื่องอะไร” ชลันถามแม้ตาจะมองแต่ทะเลด้านหน้า “เรื่องคนรักของพี่ปราชญ์เหรอ... ไม่ต้องก็ได้นะ ถึงอยากจะรู้แต่ถ้านายพูดขึ้นมาฉันก็คงทนรับฟังไม่ได้อยู่ดี”

“เฮ้อ” กลายเป็นฝ่ายธันที่พูดอะไรไม่ออกบ้าง

“วันนี้ฉันจะคุยกับพี่ปราชญ์ ฉันจะโกหกว่าสิ่งที่ฉันเป็นนั้นเพราะน้อยใจว่าทำไมพี่ปราชญ์จำฉันไม่ได้ก็เท่านั้น ฉันจะกลับไปเป็นน้องชายที่ขี้เล่น เป็นน้องชายที่ไม่ได้คิดอะไรกับพี่ปราชญ์ กลับไปเป็นต้นสนคนเดิมที่เป็นเพียงแค่น้องชายเท่านั้น” เสียงของต้นสนแหบไปบ้างเพราะผ่านการร้องไห้มา ถึงอย่างนั้นก็ดูเจ็บปวดเป็นอย่างมากในเวลาที่เอื้อนเอ่ยในแต่ละคำออกมา

ชายธันมองสีหน้าด้านข้างของเพื่อน เห็นน้ำสีใสไหลลงมาทั้ง ๆ ที่ใบหน้านั้นเหม่อลอยเหมือนไม่รู้ว่าตัวเองน้ำตาไหลอยู่

“ขอโทษนะที่ไปย้ำเตือนบาดแผลในใจของนาย”

“ไม่เป็นไร มันก็ดีแล้วเพราะอย่างน้อยฉันก็ดีใจที่นายไม่ได้เกลียดฉัน”

ธันถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไรไม่รู้ของวัน หันมองไปทางท้องทะเล “ต้นสน”

“ว่า”

“ที่จริงแล้ว...” เหมือนมีอะไรมาจุกในลำคอ ได้แต่คิดว่าถ้าเกิดพูดออกไปแล้ว ต้นสนจะรู้สึกผิดมากกว่าเดิมหรือเปล่า

ชลันหันมองเพื่อนเมื่อเห็นสีหน้าหนักใจเลยตบเข่าเบา ๆ “บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร ถ้าจะพูดเรื่องคุณภวัตนั่นก็... ไม่ต้องพูดหรอก สองคนนี้คงรักกันมากสินะ หรือที่พี่ปราชญ์บอกจะย้ายมาทะเลเพราะจะมากับคุณภวัตหรือเปล่า” ปากยิ้มทว่าดวงตาคลอด้วยน้ำ

ยิ้มทั้งน้ำตาเป็นอย่างไรก็เพิ่งจะรู้วันนี้

“ฟังฉันนะ” ธันมองเพื่อนอย่างจริงจังก่อนจะยกมือขึ้นจับบ่า “พี่ปราชญ์น่ะ...”

 

 

“เลิกกับคุณภวัตแล้ว”





จบบทที่ ๑๓

----------------------------------------------------------------------

​​ขอโทษนะคะที่ไม่ได้อัพนานเลยเพราะติดขัดอะไรหลายอย่าง

ถ้าใครสงสัยเรื่องรูปที่พี่ปราชญ์ถ่ายกับต้นสนในวัยแบเบาะว่ามีตอนไหน

ตอนนั้นเป็นตอนพิเศษของเรื่องพ่ายโลกันตร์นะคะ บอกไว้สำหรับใครที่ไม่ได้อ่านเรื่องนั้นมาก่อน

ยังไงก็อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหนน้าาา ❤

หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๓
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 02-08-2020 02:03:46
ไม่น่าหลงมาอ่านเลยยยย
รู้ไหมว่าอ่านตอนยังแต่งไม่จบมัน้คางขนาดไหน

ค่างตรงไหนไม่ค้างมาค้างตรงที่ต้นสนรู้
แล้วว่าพี่ปราชเต้าเป็นโสดแล้วว

โอ้แม้เจ้าชั้นจะหลับลงได้อย่างไร5555

รีบมาต่อเลยน้าาารออนู่จ้าาาา
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 10-08-2020 12:14:10
(https://www.img.in.th/images/ac31cc5d4fa32e3ce35156accccf287f.jpg)

บทที่ ๑๔

ดวงดาวแห่งความหวัง


 

ตอนนี้มืดค่ำมากแล้วทุกคนพากันไปดื่มแถวบ้านใกล้ ๆ นี้ เห็นว่าทางผู้ใหญ่เขาชวน ยกเว้นปราชญ์และต้นสนที่ไม่ได้ไปด้วย และทั้งคู่กำลังนั่งอยู่กลางบ้านเงียบ ๆ ต้นสนบอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วยเลยคิดว่าคุยกันเสร็จแล้วจะตามไปทีหลัง

“ตกลงมีเรื่องอะไรจะคุยกับพี่หรือต้นสน” ปภารัชหันมาถามคนข้างกายที่นั่งเงียบมานานแล้วตั้งแต่คนอื่น ๆ ออกไป

พอตั้งสติได้แล้วต้นสนก็หันเข้าหาอีกคนและยกมือไหว้ทันที “ผมขอโทษครับ”

“เดี๋ยวสิ ขอโทษพี่ทำไม” ปราชญ์รีบประคองมือนั้นไว้อย่างงุนงง

“ผมรู้ตัวว่าที่ผ่านมาผมทำนิสัยแย่ ๆ อะไรใส่พี่ปราชญ์ไปบ้าง ผมขอยอมรับผิดและมันเป็นสิ่งที่ไม่น่าให้อภัย เพราะผมที่ไม่ยอมคุยกับพี่ปราชญ์ให้รู้เรื่องจนเราต้องมาเป็นกันอย่างนี้ สิ่งที่ผมทำนั้นมันทำให้พี่ปราชญ์เสียใจมากแค่ไหน ผมรู้ดี ผมขอโทษจริง ๆ ครับ” มือหนาไม่ยอมละออกนอกจากพนมไว้อย่างนั้นและก้มหัวไหว้

ปราชญ์เห็นอย่างนั้นจึงคลี่ยิ้มบางจับมือของน้องวางบนตักตนเอง “ไม่เป็นไร พี่ไม่ถือโทษโกรธอะไรหรอกนะ อีกอย่าง... พี่เป็นคนผิดไม่ใช่หรือ”

“ไม่ใช่!” ต้นสนรีบค้านก่อนจะมีสีหน้าอ่อนลง “พี่ปราชญ์ไม่ได้ผิดเลยสักนิด... ผมผิดเอง...” ต้นสนไม่ได้จะรีบบอกความจริง เพราะยังไม่มั่นใจ ถ้าถามว่าอยากจะเปิดเผยความรู้สึกไหม ก็คงต้องบอกว่าอยาก... เขาอยากจะเปลี่ยนตัวเองใหม่ แน่นอนว่าจะต้องน้อมรับสิ่งที่ผิดไปด้วย ไม่มีทางที่จะลืมความผิดนี้แม้เขาอยากจะเข้าหาพี่ปราชญ์ ที่ไม่ใช่แบบพี่น้องก็ตาม...

 

‘ฉันไม่รู้หรอกนะว่าพี่ปราชญ์คิดอย่างไรกับนาย แต่ถ้านายอยากจะเดินหน้าต่อ นายก็ต้องทำให้มั่นใจว่ามีหวังแล้วจริง ๆ’

‘ไม่ห้ามฉันหรือ’

‘ห้ามทำไมล่ะ จะได้พิสูจน์ไปด้วยเลย เพราะฉันคิดว่าพี่ปราชญ์ใส่ใจนายมากเกินไป ถ้าไม่ได้ห่วงในฐานะพี่ชาย นายก็อาจจะมีหวัง’

‘นายเปลี่ยนไปมากจริง ๆ นะธัน’

‘งั้นหรือ... พอโตขึ้นมาแล้วย้อนนึกถึงสมัยเด็ก พี่ปราชญ์ดีกับฉันเสมอ เตือนฉันหากทำไม่ดี ให้อภัยหากฉันยอมรับผิด วันที่ไปแถววังหลังแล้วพวกเด็กช่างตีกัน พี่ปราชญ์เข้ามาบังให้ฉัน เป็นพี่ชายที่พร้อมจะเสียสละตัวเอง ทั้ง ๆ ที่พวกนั้นมีปืน มีระเบิดที่อาจจะโดนลูกหลงเมื่อไรก็ได้ แต่พี่ปราชญ์ก็ยังห่วงฉันคนแรก เพราะอย่างนั้น... ถ้าเกิดครั้งนี้พี่ปราชญ์รักใครขึ้นมา ฉันก็ไม่อยากห้ามอีกแล้ว’

‘แล้วฉันก็รู้ ว่าหากนายกับพี่ปราชญ์คบกันแล้ว นายจะต้องเป็นคนรักที่ดีอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นไม่ห้ามน่ะดีแล้ว แต่ก็ไม่ได้ช่วยนะ นายควรทำด้วยตัวเอง’

‘อืม ฉันจะทำด้วยตัวเอง’


 

ชลันจุดยิ้มบางที่เพื่อนเขาพูดขึ้นมาอย่างนั้น พูดไปถึงเรื่องรักยังไม่รู้เลยว่ามีหวังหรือเปล่า แต่ถึงอย่างนั้นก็รู้สึกดีที่มีเพื่อนอยู่ข้างกาย เขาคาดหวัง ทว่า ก็ไม่ได้อยากจะทำให้มันรวดเร็วหรือต้องรักนะถึงจะยอมรับ... เขายอมรับได้หากพี่ปราชญ์ไม่ได้รักเขาจริง ๆ ยอมรับและถอยออกไปเอง

“ผมมีเรื่องที่บอกไม่ได้ตอนนี้ แต่ภายภาคหน้าอาจจะพูดได้หากตอนนั้นสมควรพูดนะครับ” เมื่อเห็นคนตรงหน้าไม่เข้าใจจึงปล่อยไว้อย่างนั้นแล้วพูดเรื่องอื่นต่อ “เรื่องที่พี่ปราชญ์กลับมาผมน้อยใจที่พี่ปราชญ์จำผมไม่ได้”

“โธ่” ปราชญ์ถอนหายใจพลางยกมือเกลี่ยแก้ม “พี่ขอโทษครับ เราโตขึ้นมากขนาดนี้ พี่ไม่เคยเห็นรูปต้นสนตอนโตเลยด้วยซ้ำ ก็เลยจำไม่ได้”

ต้นสนไม่ได้โกรธ ตอนนั้นน้อยใจจริงแต่มันก็เกี่ยวกับที่ตนเองไม่ได้ตอบจดหมายและไม่เคยส่งรูปไปให้ดู รวมถึงพ่วงเรื่องอื่นด้วย “ผมเองก็น้อยใจเกินตัว วันที่ไม่ได้ส่งจดหมายไปนั้น เป็นเพราะผมน้อยใจเรื่องพี่ปราชญ์มีคนรักแล้ว”

ปภารัชเบิกตาเล็กน้อย “ทำไมล่ะ”

“ผมแค่รู้สึก หวง คนที่เปรียบเสมือนพี่ชายของผมน่ะครับ” ดวงตาสีนิลสบเข้ากับอีกฝ่าย สะท้อนความรู้สึกออกมา ที่ต่างจากสิ่งที่พูด หวงพี่ชายหรือ? เปล่าเลย หวงคนที่เขารักต่างหาก

คนถูกจดจ้องหลบตาไปครู่มือผละออกจากแก้มสากมาวางบนตักอย่างเดิม “หวงพี่ชายหรือ...”

“ครับ” ต้นสนตอบเสียงเบาแล้วขอวิสาสะกอบกุมใบหน้าอีกฝ่ายให้จ้องมาที่ตน “ผมหวงพี่ปราชญ์”

ดวงใจของปราชญ์เต้นแรงมันดังก้องอยู่ในหู พอ ๆ กับคำว่าหวงที่พ่นออกมาจากปากของคนตรงหน้า สายตาที่จดจ้องกันมันช่างดูลุ่มลึกและมีนัยบางอย่างที่ปราชญ์ไม่สามารถอธิบายได้ มือของต้นสนที่ทาบแก้มเขานั้นร้อนขึ้นมา

“หวงในฐานะน้องชายหรือ”

ต้นสนไม่ได้ตอบคำถามนั้น ตนผละมือออกแล้วกุมมืออีกฝ่ายแทน “มันคงไร้เหตุผลมากและผมคิดว่าการที่ผมทำตัวหมางเมิน ไม่สนใจ แบบนั้นมันไม่สมควรจริง ๆ ผมไม่ได้ขอให้พี่ปราชญ์ยกโทษให้ผมแต่ขอร้องอย่างหนึ่ง... ให้ผมได้ชดใช้ความผิดด้วยเถอะครับ”

“ไม่ถึงกับต้องทำอย่างนั้นก็ได้”

“ไม่ได้ครับ ต่อไปนี้ให้ผมได้ดูแลพี่ปราชญ์เถอะนะครับ”

ดูแลหรือ... คำมันออกจะแปลก ๆ ไปหน่อย ปราชญ์ทำตัวไม่ถูก ใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมาคงเพราะแดดร้อนแน่ ๆ เลย “ก็ได้”

แต่ตอนนี้มันหัวค่ำแล้วนี่นะ...

“ขอบคุณนะครับ” ต้นสนยิ้มกว้างเป็นยิ้มที่ออกมาจากใจจริง จนคนมองอดยิ้มตามไม่ได้ รอยยิ้มที่ปราชญ์อยากเห็นมาโดยตลอด

“ยิ้มให้พี่สักทีนะ” ไม่ว่าเปล่ายังยกมือกุมแก้มทั้งสองข้าง “พี่อยากเห็นต้นสนยิ้มให้พี่มานานแล้วนะรู้ไหม”

พอได้ยินอย่างนั้นต้นสนก็รู้สึกผิด “ขอโทษครับ”

“ตอนนี้พี่โล่งใจแล้ว ขอบคุณที่บอกความจริงกับพี่นะ ตอนนี้รู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูกเลย”

ดวงตาเรียวหยีลง “ผมก็โล่งใจครับ ดีใจที่ตัวเองสำนึกผิดและมาขอโทษพี่ปราชญ์”

“ฮึ เจ้าเด็กน้อย” เพราะความมันเขี้ยวเลยหยิกแก้มไปทีแต่ก็ไม่แรงมากนัก แต่ไอคนโดนดันร้องโอดโอยเหมือนเจ็บเสียเต็มประดา

“เจ็บ ๆ โอ๊ยยย เจ็บจังเลย”

ปราชญ์ขมวดคิ้วพลางหัวเราะ “หยิกไม่ได้แรงเลย”

“แรงจะตาย เนี่ย ๆ ดูสิแก้มแดงหมด” ต้นสนชี้แก้มให้ดู

คนพี่ส่ายหัวแต่ก็ยอมยื่นหน้าเข้าไปใกล้แล้วเป่าลมใส่แก้ม “เพี้ยง หายแล้ว”

ต้นสนนิ่งค้างไปทันตา ลมอุ่นยังตราตรึงอยู่ที่ข้างแก้ม ถึงจะเป็นเพียงแค่ลมปากไม่ได้แตะแนบเนื้อแต่นั่นก็ทำเขาไปต่อไม่ถูก คราวนี้แก้มแดงของจริงละว้าไอต้นสนเอ๊ย

พอรู้ว่าตัวเองทำอะไรไปปราชญ์จึงตกใจไม่แพ้กัน ใบหูร้อนขึ้นมา “สงสัยนึกถึงสมัยเด็ก พี่มักจะเป่าแผลให้ต้นสนนี่เนอะ”

ชลันพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะยิ้มออกมา “ดีแล้วครับ มันทำให้รู้ว่าตอนนี้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมกันได้แล้ว”

“นั่นสินะ” ปราชญ์คลี่ยิ้ม “พี่กอดได้ไหม”

“ได้ครับ” ตอบรับทันทีไม่นึกใดใดทั้งสิ้น

ปราชญ์จึงสวมกอดน้องเอาคางเกยบนไหล่พร้อมตบหลังปุ ๆ “พี่ดีใจนะที่เรากลับมาคุยกันได้แล้ว แล้วก็ดีใจที่ได้พบกันอีก พี่คิดถึงต้นสนมากเลยนะ”

“ผมก็คิดถึงพี่ปราชญ์ครับ อ้อ... ยินดีต้อนรับกลับนะครับ”

“ฮ่า ๆ ไม่ลืมเสียด้วย”

“ขอโทษนะครับที่หลายวันผ่านมาพูดจาแย่ ๆ ใส่ตลอดเลย”

เขาผละกอดทันที “เด็กดี เลิกขอโทษพี่ได้แล้วครับ”

“แต่—”

“ต้นสนบอกเองว่าจะไถ่โทษโดยการ...ดูแล เพราะฉะนั้นเลิกขอโทษพี่ได้แล้ว”

“เข้าใจแล้วครับ”

“งั้นเราไปหาคนอื่น ๆ กันเถอะ ป่านนี้คงรอกันนานแล้ว”

ต้นสนพยักหน้าและลุกออกไปกับคนข้างกายเมื่อพูดคุยไขข้อข้องใจกันแล้วเรียบร้อย ทั้งคู่เดินคุยกันไปเรื่อย ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสจนคนที่มองอยู่ถึงกับตกใจ

“ไปดีกันเมื่อไรน่ะ” ชายกรณ์กระซิบน้องชาย

“ก็คงจะคุยก่อนจะออกมาหาเราน่ะครับ”

ชายกรณ์พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ แต่นั่นก็ดีแล้ว

“พี่ปราชญ์ ไอ้ต้นสนมาเร็ว ๆ” ศศิกวักมือเรียก พอทั้งคู่เข้าร่วมวงก็แนะนำผู้ใหญ่ให้

ปราชญ์นั่งข้างกับต้นสนที่คอยถามว่าดื่มได้ไหม ดื่มไหวหรือเปล่าด้วยความเป็นห่วง

“พอได้ครับ แต่คงดื่มไม่มาก”

ชลันพยักหน้าแล้วจัดการให้เสร็จสรรพโดยที่ปราชญ์ไม่ต้องขยับตัวเลยสักนิด ชายธันไม่รู้จะขำหรือหมั่นไส้เพื่อนก่อนดี ร้องไห้ฟูมฟายอยู่คนเดียว ตัดพ้อเรื่องคนรักเขา พอรู้แล้วเปลี่ยนไปทันตา นึกแล้วก็ส่ายหน้าพลางยิ้มไปด้วย

“ใครมีเมียแล้วบ้าง” เหนือที่เมากริ่ม ๆ ตะโกนถามกลางวงเลยโดนศศิโบกหัวไปที

“ถามห่าอะไรของมึง”

“ถามจริง ๆ” เหนือว่าแต่ก็ไม่มีใครเปิดเผยตัวมันเลยร้องเฮเสียงดัง “ดีแล้ว เพราะว่า... เห็นสาว ๆ เชิญชวนทางสายตามาจากร้านนู้น” ชี้ไปทางบาร์ใกล้ ๆ ที่สาวนับสามสี่คนมองมาทางนี้ “จะได้ไม่ต้องมาพะวงว่าใครแอบหนีเมียมา ฮ่า ๆ”

ทุกคนต่างส่ายหัวแต่ก็นั่นแหละ... โทนเข้าร่วมวงเลยทันที

“ไปเร็วครับพี่ปราชญ์ พี่กรณ์” เหนือชวนทั้งสอง แต่ดูว่าชายกรณ์จะสนใจเหมือนกัน

“ป้องกันด้วยนะ” ปราชญ์เตือนน้องทั้งหลายทุกคนก็ตอบรับทันที “ที่ไทยนี่มีถุงยางอนามัยหรือยัง”

“มีแล้วนะครับ เมื่อปีที่แล้วก็ได้มีนโยบายควบคุมจำนวนประชากรเลยมีอนามัย คลินิกรวมถึงโรงพยาบาลต่าง ๆ ที่แจกจ่ายถุงยาง และเริ่มดำเนินเรื่องผลิตยาคุมกำเนิดที่ไทยแล้ว” ศศิตอบให้แทน

“อืม ดีแล้ว เพราะถ้าแค่อยากปลดปล่อยอารมณ์ก็ไม่ควรไปฝากอย่างอื่นใส่ผู้หญิง เพราะไม่ใช่แค่คนที่ถูกกระทำจะต้องคุมเองแต่คนที่ทำก็ควรมีความรับผิดชอบ”

“เข้าใจแล้วครับ” สามหน่อต่างตอบรับ ศศิเลยบอกว่ามีถุงยางขายอยู่ที่บาร์เหมือนกัน ทั้งสามเลยเดินออกไปด้วยกัน

“พี่ชายกรณ์น่าจะเครียดสะสมนะครับถึงออกไปด้วย” ชายธันมองพี่คนกลางที่เดินออกไปกับเพื่อนตนเอง

“นั่นสิ ไม่รู้ว่าเครียดอะไร จะเป็นเรื่องงานหรือเปล่านะ” ปราชญ์ขมวดคิ้วก่อนจะกลับมาสนใจคนที่ยังอยู่ตรงนี้ต่อ “แล้วสามคนเราไม่ออกไปด้วยเหรอ”

“พรุ่งนี้ต้องพาทัวร์ผมเลยดื่มก็พอ”

“ไม่เป็นไรนะ แค่มาพักอยู่ด้วยก็เกรงใจจะแย่แล้ว”

“ผมไม่ค่อยสนอยู่แล้วครับพี่ปราชญ์ คือพอดี... มีสาวถูกใจอยู่แล้ว” ศศิป้องปากพลางชี้ไปทางลูกของผู้ใหญ่ที่แกชวนมาดื่ม แต่ตอนนี้แกเข้านอนไปแล้ว ส่วนลูกสาวกำลังนั่งทำงานตัวเองอยู่ใต้ถุนบ้าน ตรงที่พวกเรานั่งนั้นห่างออกมาเยอะเลยไม่ห่วงว่าจะกวนบ้านนั้น

“ไม่เห็นบอกเลยนะไอศศิ” ต้นสนว่าพลางยิ้ม

“โธ่ ของแบบนี้เขารอบอกตอนได้คบแล้วเว้ย”

ชายธันส่ายหน้า “แน่หรือ มัวแต่มองเขาอยู่ตรงนี้ไม่เห็นไปพูดไปคุยเลย”

“เอ้า ไม่คุยกันวันนี้ก็ไม่ได้แปลว่าวันอื่นไม่ได้คุยหรือเปล่าวะ” ศศิว่าพลางกระดกเหล้า ส่วนเพื่อนทั้งสองต่างโห่ใส่แล้ว “ว่าแต่พวกมึงสองคนเถอะ ไม่สนหรือไง”

“ฉันไม่สนอยู่แล้ว” ชายธันยักไหล่

“กู...” ต้นสนอ้ำอึ้ง ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี “กูมีคนที่กูชอบแล้วเหมือนกัน”

ศศิตบเข่าฉาด “บร๊ะ! ใครวะ”

“ไม่บอกหรอกเว้ย” ชลันดื่มเหล้าเป็นการหลีกหนี

“ใช่เพื่อนของฟ้าใสหรือเปล่า” เสียงหนึ่งถามขึ้นต้นสนรีบหันมองคนข้างกายทันที ไม่รู้ว่าพี่ปราชญ์คิดอย่างไรเพราะเดาสีหน้าไม่ออก มันก็เหมือนถามอย่างปกติดี แต่ถึงอย่างนั้นพี่ปราชญ์ก็รู้เรื่องของเขากับเพียงขวัญ

“ไม่ใช่ครับ ผมเห็นเธอเป็นน้องสาวคนหนึ่งแล้วเราก็คุยกันเรื่องนี้นานแล้วด้วย” ต้นสนตอบพลางยิ้ม

“งั้นหรือแล้วใครล่ะที่ต้นสนชอบ”

สายตาของคนถูกถามล่อกแล่กไปมา ไอศศิก็จ้องจนจะแดกหัวเขาอยู่แล้ว ธันมันก็แอบขำเขาที่พูดไม่ออก “เอ่อ...” ต้นสนคิ้วมุ่นทำหน้านึกไปด้วย ไม่ได้บอกแต่เกริ่นให้รู้ตัวจะดีหรือเปล่านะ... แต่มันก็ดูรีบเกินไปอีก

“ถ้าไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร—” ยังไม่ทันที่ปราชญ์จะพูดจบต้นสนก็โพล่งออกมาทันที

“ผมชอบพี่...” ต้นสนรีบตอบอย่างตกใจก่อนจะเอามือปิดปากตัวเอง

“พี่? เขาอายุมากกว่ามึงเหรอ” ศศิขมวดคิ้ว

ต้นสนกลืนน้ำลาย “เออ... เขาอายุมากกว่า ตอบแค่นี้นะ”

“โห่ไรวะ” ศศิส่ายหน้าแต่ก็ไม่คาดคั้นอีกก่อนจะเปลี่ยนไปเรื่องอื่นแทน “ไอต้นสนไปซื้อกับแกล้มกัน”

“เอ้า มึงไม่ไปเองอะ”

“โธ่ไอห่า น้ำใจน่ะ กูถือมาคนเดียวไหวมั้ง”

ได้ยินอย่างนั้นต้นสนก็หัวเราะ “เออ ๆ พี่ปราชญ์เอาอะไรไหมครับ”

“ไม่เอาครับ”

“ไม่ถามฉันบ้างเหรอ”

ต้นสนเงยหน้ามองใครอีกคนก่อนจะแกล้งทำเป็นยักไหล่แต่ก็บอกเดี๋ยวซื้อของมาให้แล้วก็เดินออกไป ชายธันเลยส่ายหัวใส่อีกระลอก ที่ตรงนี้เลยอยู่กันเพียงแค่สองคนพี่น้อง

สบโอกาสสงสัยที่ปราชญ์อยากรู้เรื่องของต้นสนขึ้นมาพอดี “ชายธันรู้หรือเปล่าว่าคนที่ต้นสนชอบคือใคร”

คนถูกถามขมวดคิ้ว “พี่ชายใหญ่จะอยากรู้ไปทำไมหรือครับ”

ปราชญ์ถอนหายใจ “ก็ไม่มีอะไรหรอก”

“ไม่ลองถามดูล่ะครับ”

“กลัวจะหาว่ายุ่งเรื่องส่วนตัวน่ะสิ”

“พี่ชายใหญ่ดูสนใจเรื่องนี้มากเลยนะครับ” ชายธันหรี่ตา

“เหรอ... พี่ดูเป็นคนอย่างนั้นหรือ”

“แล้วพี่ชายใหญ่คิดว่าต้นสนจะชอบใครหรือครับ คนที่อายุมากกว่าคนนั้นพี่ชายใหญ่คิดว่าเป็นใคร”

ปภารัชเม้มปาก ก่อนจะนึกถึงใครคนหนึ่งที่ต้นสนเขียนจดหมายเล่าชื่อนี้ให้ฟังอยู่บ่อย ๆ “คนชื่อแก้วหรือเปล่านะ”

“แก้ว?”

“แต่ก่อนที่ต้นสนเขียนจดหมายส่งมาให้ มักจะมีชื่อคนชื่อแก้วมาด้วยน่ะ คงจะสำคัญกับต้นสนเหมือนกัน”

ชายธันพยักหน้าพลางลูบคาง “ก็น่าจะเป็นไปได้นะครับ อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ต้นสนยังเด็ก คงรับรู้อะไรมาเยอะเหมือนกัน”

“นั่นสินะ” ปราชญ์ยิ้มฝืนพลางหลุบตาลง มันอาจจะดูไม่ดีแต่เขากำลังรู้สึกอิจฉา... ที่ตนเองไม่ได้ยืนอยู่จุดนั้นข้างต้นสน

และนั่นก็ทำให้ชายธันสังเกตพฤติกรรมของพี่ชายตนเองได้ว่ามันแปลก ๆ ก็ไม่อยากจะคิดเข้าข้างเพื่อนหรอกนะ แต่ดูพี่เขาในตอนนี้สิ...

ใบหน้านั้นที่ดูเศร้าลงน่ะ จะให้คิดเป็นอย่างอื่นได้หรือ

“พี่ชายใหญ่ดูไม่ค่อยจะดีใจเลยนะครับที่ต้นสนมีคนที่ชอบแล้ว”

ปภารัชเบิกตาก่อนจะรีบส่ายหน้า “เปล่าเลย พี่แค่...” แค่อะไรล่ะแม้แต่คนพูดก็ยังไม่รู้เลยว่าจะพูดอะไร เขาก็ดีใจ... หรือเปล่านะ ถ้าดีใจด้วยคงจะไม่คิดมากอะไรอย่างนี้ เขาคงหวง ที่หวงไม่ใช่เพราะฐานะพี่น้องอย่างที่ต้นสนเคยนึกหวงเขากับภวัต

เพราะเขาทั้งหึงและหวงเด็กคนนี้

ชายธันก็ตกใจไม่น้อยที่มีแววว่าพี่ของตนจะคิดไปไกลอื่น นี่อย่าบอกนะว่าต่างคนต่างชื่นชอบกันและกันแต่ดันเข้าใจผิดว่าชอบคนอื่น ต้นสนคิดว่าพี่ปราชญ์ยังคบกับคุณภวัตส่วนพี่ปราชญ์ก็คิดว่าต้นสนชอบคนอื่นและคงไม่มีวันจะเป็นตัวเองอย่างนั้นหรือ...

คิดได้อย่างนั้นชายธันก็นวดขมับทันที ไม่แปลกเลยที่เป็นกันอย่างนี้ ก็คิดเองเออเองกันเก่งเพียงนี้

สองคนนี้นี่มันยังไงนะ

และชายธันก็ไม่คิดว่าตนเองจะมารับรู้อะไรอย่างนี้คนเดียว เปลี่ยนเป็นต้นสนมานั่งตรงนี้ได้ไหมนะ จะได้คุยกันให้จบเสียเลย

“เฮ้อ” ถอนหายใจไปทีและนั่นก็ทำปราชญ์สะดุ้งเล็กน้อย “พี่ชายใหญ่ครับ... ผมถามจริง ๆ นะ”

ปภารัชหน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด ชายธันเลยถอนหายใจอีกรอบถึงจะถามต่อ “พี่ปราชญ์รู้สึกอย่างไรกับต้นสน”

“พี่...”

“พี่ชายใหญ่” ชายธันวางมือบนบ่าพี่ชาย “ไม่เป็นไรครับ ผมรับได้”

ปราชญ์พยักหน้าแต่ถึงอย่างนั้นก็อ้ำอึ้งไม่สามารถพูดออกมาได้ แต่นั่นก็ทำให้ชายธันรู้โดยไม่ต้องพูดได้แล้ว

“ไม่เป็นไรครับ ถ้าไม่อยากพูดผมก็ไม่ว่าหรอก” ว่าแล้วก็ตบหลังมือพี่ชายเบา ๆ “ไม่ต้องกลัวหรอกนะ ผมอยู่ข้างพี่ชายใหญ่เสมอ ไม่ว่าพี่ชายใหญ่จะรักหรือชอบใครขอแค่คนนั้นดีกับพี่ผมก็ไม่ห่วงอะไรแล้ว”

“สมกับเป็นชายธันเลยนะ ที่มองคนเก่ง” ว่าแล้วก็ถอนหายใจ “ไม่ต้องพูดก็รู้แล้วใช่ไหม”

“ครับ ผมรู้แล้ว” ชายธันพยักหน้าพร้อมยิ้ม บอกแล้วว่าจะไม่ช่วย ถือว่าต้นสนมีโอกาสแล้วจริง ๆ ต่อไปนี้ก็อยู่ที่ต้นสนแล้วล่ะว่าจะทำอย่างไรต่อ “พี่ชายใหญ่”

“หื้อ?”

“คนที่ต้นสนชอบน่ะไม่ใช่คนชื่อแก้วหรอกนะ” ชายธันยิ้มบาง “บอกได้แค่ว่าคนคนนั้นเป็นผู้ชาย”

ปราชญ์ตกใจไม่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็หมองลงอีกรอบ “คุณแก้วเองก็เป็นผู้ชาย”

“หรือครับ แต่ก็ไม่ใช่คนชื่อแก้วหรอกนะ”

“ชายธันพูดเหมือนรู้เลย”

“รู้สิครับ ต้นสนบอกผมเอง”

“อย่างนั้นหรือ”

เห็นอย่างนั้นชายธันก็ส่ายหน้าที่พี่ตนเองไม่ได้คิดว่าต้นสนชอบตัวเองเลยสักนิด เศษเสี้ยวความหวังก็ไม่มีเลยงั้นหรือ ขนาดบอกใบ้ขนาดนี้ว่าเป็นผู้ชายก็ยังไม่คิดว่าเป็นตัวเองอีก เห็นเพื่อนคิดเองเก่งแล้ว พี่ปราชญ์ใช่ย่อยเสียที่ไหน

จะไม่ช่วยเพราะเป็นเรื่องของคนสองคนแต่จะช่วยก็เพราะแบบนี้ล่ะหนา

“พี่ปราชญ์”

“ว่าไง”

“ผมไม่ได้เรียกครับ แค่บอกชื่อ”

ปภารัชถึงกับขมวดคิ้ว “บอกชื่ออะไร แล้วบอกชื่อของพี่ทำไมกันน่ะ”

“ก่อนหน้านี้เราพูดถึงเรื่องอะไรล่ะครับ”

“คนที่ต้นสนชอบ”

“ครับ ผมก็แค่พูดชื่อเพราะผมรู้” ชายธันว่าอย่างนั้นก่อนจะดื่มอีกแก้วพลันเห็นรถมอเตอร์ไซค์ขี่เข้ามาพร้อมเพื่อนอีกสองคน “ผมเหนียวตัวแล้ว ยังไงก็ขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะครับ ฝากบอกพวกมันด้วย”

“เดี๋ยวสิชายธัน” ปราชญ์รีบเรียกน้อง ใจเขาเต้นระรัว ไม่คาดคิดและก็ไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองเลย...

“อ่าว ธันไปไหนหรือครับ” ศศิถามถึงเพื่อน

“ไปอาบน้ำน่ะ เดี๋ยวก็คงมา” ปภารัชตอบเสียงเบา ก่อนจะกลั้นหายใจตอนที่ใครบางคนนั่งลงข้างกาย

“ผมซื้อขนมมาฝาก” ต้นสนคลี่ถุงออก

ปราชญ์ไม่รู้จะตอบอะไรเพราะตอนนี้รู้สึกร้อน ๆ อย่างบอกไม่ถูก ไม่กล้ามองหน้าต้นสนเลยด้วยซ้ำ

“เดี๋ยวขอแวะไปคุยกับน้องเขาก่อน” ศศิว่าแล้วเดินไปทางใต้ถุนบ้านใกล้ ๆ

“แหม ก็ว่าซื้ออะไรมาซะเยอะ” ต้นสนขำเพื่อนก่อนจะแกะกับแกล้มมากินพลางมองคนข้างกายที่เงียบและไม่ขยับเขยื้อนเลย “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

ในตอนที่ต้นสนก้มหน้ามามอง ตาจึงอดสบกันไม่ได้ ปภารัชหายใจติดขัด “เปล่าครับ”

“แน่หรือครับ” ต้นสนขมวดคิ้วแล้ววางมืออิงหน้าผากจนปราชญ์สะดุ้งนิ่งค้างไปอย่างนั้น “ตัวร้อน ๆ นะครับ งั้นเลิกดื่มแล้วไปอาบน้ำนอนไหมครับ เดี๋ยวผมถามศศิว่ายาอยู่ไหนจะเอามาให้”

ที่ตัวร้อนมันไม่ใช่เพราะไม่สบายหรอก... ปราชญ์คิดในใจแต่นั่นก็ทำตนเองเสียอาการได้แต่พยักหน้าตอบรับอย่างเดียว

“เดี๋ยวผมไปส่ง รอผมนะเดี๋ยวผมถามไอศศิก่อน”

แม้แต่เสียงที่จะเอื้อนเอ่ยก็ไม่มี ปราชญ์เลยได้แต่นั่งอ้าปากพะงาบ ๆ ปล่อยให้ต้นสนจัดการ

“ไปครับ เดี๋ยวไปส่งแล้วจะเอายาให้” ต้นสนคลี่ยิ้ม

ปราชญ์ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมน้องแล้วเดินออกไปพร้อมกัน ดวงใจเขายังเต้นไม่หายเลย

“ดาวสวยเสียจริง” ชลันเงยหน้ามอง ก่อนจะหันมองคนข้างกาย “พี่ปราชญ์ว่าดาวสวยไหมครับ”

ปภารัชหลบสายโดยการผันมองท้องฟ้าแทน “อือ สวยดี”

“นานแล้วนะที่ไม่ได้มามองดาวอย่างนี้” ต้นสนยิ้มกว้าง “ดีใจนะครับที่คนดูดาวข้างผมเป็นพี่ปราชญ์”

หากบอกว่าดวงจันทร์ในตอนนี้คือพระอาทิตย์ ปราชญ์ก็จะเชื่อทันที ต้องขอบคุณที่ระหว่างทางนี้ไม่มีแสงไฟจึงทำให้ต้นสนไม่เห็นว่าใบหน้าของเขาแดงขนาดไหน เสียงคลื่นทะเลที่ซัดเข้าฝั่งพร้อมกับเสียงลมทำให้บรรยากาศมันราวกับกำลังยืนเคียงข้างคู่รักที่เดินอยู่บนผืนทราย ทำไมปราชญ์ไม่สังเกตนะว่าคำพูดแปลก ๆ นั้นมันมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่

ตอนนี้ก็หมายความว่าต้นสนกำลังจีบเขาอยู่สินะ

“ต้นสน” ปราชญ์หยุดเดินแล้วยืนหันหน้าเข้าหา อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

“ครับ?”

“พี่ก็ดีใจที่คนยืนดูดาวข้างพี่เป็นต้นสน” ปภารัชสบเข้ากับดวงตาของอีกฝ่าย แสงจันทร์ยังพอช่วยให้เห็นหน้าบ้าง ยิ่งพอมายืนอยู่อย่างนี้ก็ต้องบอกว่าต่างคนต่างเห็นใบหน้ากันชัดเจน

ชลันกัดปากกลั้นยิ้ม เกาแก้มแก้เขิน “หรือครับ”

ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรกันมากกว่านั้นนอกจากยืนมองหน้ากัน พอมาคิดดูแล้ว... เขาเคยจะจูบต้นสนนี่นะ เขาดันคิดไปเองว่าต้นสนคงไม่ชอบหรือรังเกียจกัน พอมาตอนนี้กลับอดคิดไม่ได้ว่าตอนนั้นต้นสนก็คงกำลังรู้สึกผิดต่อคนรักเก่าของเขาและหักห้ามใจอยู่ก็เป็นได้

ว่าแต่ต้นสนรู้หรือยังว่าเขากับภวัตเลิกกันแล้ว...

“นี่ต้นสน”

“ครับ”

“คือพี่ไม่ได้บอกเลย เรื่องคนรักเก่าพี่...”

ต้นสนพอจะรู้ว่าพูดอะไรก็ยิ้มบาง “ธันบอกผมแล้วล่ะครับ แล้วก็เล่าให้ฟังหมดแล้วว่าเป็นเพราะอะไรทำไมถึงเลิกกัน”

ปราชญ์นึกถึงน้องชายก็ได้แต่ยิ้มกับตัวเอง นี่ชายธันรู้ขนาดไหนกันนะ หรือรู้มานานแล้วหรือเปล่า ถ้าอย่างนั้นที่บอกใบ้เขาเรื่องคนที่ต้นสนชอบเพราะกำลังช่วยพวกเขาอยู่อย่างนั้นหรือ

ปิดบังอะไรชายธันไม่ได้จริง ๆ เลยนะ

“ถ้าอย่างนั้นก็รู้แล้วใช่ไหมว่าตอนนี้พี่ไม่มีใคร”

ต้นสนนึกแล้วพยักหน้า “ครับ รู้แล้ว”

“อืม” ปราชญ์พยักหน้าพลางกลั้นยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าน้องที่ไม่ได้เอะใจอะไรเลยสักอย่าง “พี่ว่าดวงใจพี่ก็ว่างอยู่นะ กำลังรอใครมาได้ไป” ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ต้นสนก็เข้ามาอยู่เต็มหัวใจแล้ว...

ชลันเบิกตา ลุกลี้ลุกลนอย่างเห็นได้ชัด “ผม ๆ... คือผม”

ปภารัชก้มหน้าขำก่อนจะเงยหน้าทำเป็นไม่รู้อะไร “เฮ้อ ง่วงแล้วด้วย บอกพี่มาก็ได้นะว่ายาอยู่ไหนพี่จะได้ไปเอา ส่วนต้นสนก็ไปดื่มต่อเถอะ”

ต้นสนกะพริบตา ประมวลผลไม่ทัน “อ้อครับ เอ่อ...อยู่ในลิ้นชักห้องมันน่ะครับ”

“ขอบคุณครับ แล้วก็อย่าดื่มหนักมากนะเดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นไม่ไหว” ปราชญ์ยิ้มตาหยีแล้วเดินออกไปปล่อยให้ต้นสนยืนขบคิดอยู่คนเดียว

“ครับ” ต้นสนตอบเสียงเบาแม้อีกฝ่ายจะเดินออกไปไกลแล้ว ยืนนิ่งพร้อมกับเสียงลมที่พัดหวิว

หัวใจยังว่าง กำลังรอใครมาได้ไปอย่างนั้นหรือ....

ชลันกลืนน้ำลายก่อนจะเผยยิ้มออกมา เขานี่ล่ะจะทำให้ได้มาเอง




จบบทที่ ๑๔

------------------------------------------------------------------------------------------

ปี ๒๕๑๔ ได้มีนโยบายควบคุมประชากรขึ้นมาจริงๆค่ะ แล้วก็อีกเรื่องคือยังมีคำผิด เนื้อหาไม่โอเคบางส่วนถ้าว่างๆจะมาแก้ให้นะคะ

หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 10-08-2020 13:28:16
น่ารักกันจังเลยน้าาา
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: ปาลี ที่ 28-08-2020 20:45:09
ตามมาจากเรื่องที่แล้ว  ชอบปราชญ์กับต้นสนในตอนเด็กมาก คิดว่าเหมาะที่จะเป็นคู่นี้ แต่พอโตเริ่มไม่ชอบปราชญ์แล้ว เหมือนความรู้สึกตอนเด็กไม่มีจริง แถมเรื่องที่หมดรักภวัตได้ง่าย ๆ แล้วก็ทิ้งอีก โลเลมาก สงสารภวัต ไม่อยากให้ปราชญ์คู่กับต้นสนเลย ต้นสนคู่กับธัน ยังจะดีกว่า ตอนนี้คือไม่ชอบปราชญ์แบบจริงจัง
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 29-08-2020 22:41:43
รีบมาต่อได้แล้วน้าาาา
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 15-09-2020 20:28:20
รวดเดียวจบ ตามด้วยคน
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 04-10-2020 13:21:29
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๕ (๑/๒)
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 24-10-2020 20:15:49
(https://www.img.in.th/images/c7779b877ed092995db4737efa993d25.jpg)

บทที่ ๑๕

บรรยากาศแสนหวาน

 

 

เช้าของวันใหม่มาถึง ปราชญ์และชายธันตื่นก่อนใครเพราะเข้านอนเร็ว ตามด้วยต้นสนและศศิ ทั้งสี่เลยพากันไปทำบุญก่อนจะกลับมาปลุกคนที่เหลือให้อาบน้ำอาบท่า เห็นว่าออกเรือไม่ได้เลยอดไปภูเก็ต ศศิเลยจะพาเข้าเที่ยวภายในพังงาแทน

“หิวหรือยังครับ” ต้นสนถามคนข้างกายที่เพิ่งจะกรวดน้ำใส่ต้นไม้เสร็จ

“เริ่มหิวแล้วแต่รอคนอื่น ๆ ก่อน”

“หิวก็ไปทานก่อนก็ได้นะครับ เดี๋ยวผมไปด้วย”

ปราชญ์นึกคิดก่อนจะส่ายหน้า “ไม่ได้หรอก มาด้วยกันแล้วก็ต้องทานด้วยกันสิ”

คนชักชวนก็ไม่ยื้ออะไรมากไปกว่านี้ จะให้บอกว่าอยากทานอาหารเช้าด้วยกันแค่สองคนอย่างนั้นหรือ… เขายังไม่มีความกล้ามากขนาดนั้น

“เสร็จกันหมดหรือยัง” ชายธันเดินออกมาถามเพราะพี่กรณ์แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว

“เออ ๆ” เหนือตะโกนพลางเดินออกมาพร้อมกับหวีผมไปด้วย

“แต่งหล่อเชียวมึง” โทนที่เดินออกมาตามทักเพื่อนข้างกาย

“แน่น๊อน เออใช่... สาว ๆ เมื่อคืนจะมาเที่ยวด้วยนะ”

“อ่าว ไม่บอกตั้งแต่แรก” ศศิบ่นเพื่อน

“ก็เมานี่หว่าเลยไม่ได้บอก”

“แหมมึงนะมึง” ศศิส่ายหน้าแต่ก็ได้โอกาสชวนหญิงในใจได้เหมือนกัน

กลายเป็นว่าตอนนี้ทุกคนมีคู่หมดยกเว้นชายธัน ต้นสนและปราชญ์ ทั้งสามคนเลยเดินตามหลังคนอื่น ๆ แทนและตอนนี้กำลังแวะทานอาหารเช้ากัน

“ผมไม่มีคู่อยู่คนเดียวสินะ” ชายธันพูดขึ้นเมื่อตรงนี้ไม่มีใครนอกจากพี่ปราชญ์

“พูดอะไรน่ะ ก็อยู่กับพี่ไง”

“หรือครับ”

ปภารัชหลบตาน้องที่รู้ทัน

“เฮ้อ นึกว่าวันแห่งความรักเสียอีก”

“เดี๋ยวเถอะชายธัน เดี๋ยวนี้หยอกล้อเก่งนะ”

“ก็ได้พี่ชายใหญ่มาทั้งนั้น”

ปราชญ์ได้แต่ส่ายหน้าพลางยิ้มที่น้องเขาพูดเก่งเหลือเกิน

“อากาศร้อน ๆ แบบนี้ สวมหมวกไหมครับ” ต้นสนที่เพิ่งหายออกไปคนเดียวกลับมาพร้อมหมวกหนึ่งใบ

“ไปซื้อมาหรือ” ปราชญ์รับมาแต่ยังไม่ใส่เพราะอยู่ในร่ม

“ใช่ครับ ผมกลัวพี่ปราชญ์ร้อน”

ได้ยินอย่างนั้นปราชญ์ก็ชื่นใจ อบอุ่นไปทั่วอก “ขอบคุณนะครับ”

ต้นสนยิ้มจนตาหยี “ยินดีครับ”

เป็นอีกวันที่ชายธันส่ายหัวคนเดียว ตนไม่มีคู่นั่นก็คงจะพูดถูกแล้วจริง ๆ

พอทานข้าวเช้ากันเสร็จเรียบร้อย ก็ต่างคนต่างเอารถไปกันกลุ่มละคัน ศศิไปกับรถของเหนือที่เอามาด้วย พร้อมโทน ส่วนอีกคันของทางคุณชายก็ไปด้วยกันเหมือนเดิม เปลี่ยนแค่ชายกรณ์ขับส่วนคุณผู้หญิงนั่งข้างคนขับ คนด้านหลังก็เป็นชายธันกับต้นสนที่ประกบปราชญ์ซ้ายขวา

“ว่าแต่คุณชายกรณ์หายเครียดหรือยังคะ เห็นเมื่อคืนบอกเครียดอะไรหลายอย่าง” หญิงสาวถามขึ้นในระหว่างทางทำให้คนที่นั่งข้างหลังต่างตกใจ

ชายกรณ์ขมวดคิ้วเหลือบตาผ่านกระจกหลังมองพี่คนโตและน้องชายก่อนจะหันไปตอบหญิงสาวข้างกาย “ไว้เราค่อยคุยนะครับ”

เธอพอจะเข้าใจจึงบอกขอโทษเสียงเบาแล้วนั่งเงียบไปตลอดทาง จวบจนมาถึงที่แรกเป็นถ้ำที่มีพระอยู่ด้านในเป็นวัดสุวรรณคูหา ทุกคนเดินเป็นกลุ่มแต่ก็อยู่กันเป็นคู่ยกเว้นปราชญ์ ต้นสนและธันที่เดินตามหลัง

“เรื่องพี่ชายกรณ์” ชายธันเปรยขึ้น

“กลับวังเมื่อไรค่อยถามดีกว่า พี่คิดว่าชายกรณ์คงยังไม่อยากพูดตอนนี้” ปราชญ์บอกน้อง

“ครับ” ธันพยักหน้า อดจะส่งสายตาเป็นห่วงให้พี่คนกลางไม่ได้

“นี่คือถ้ำสุวรรณคูหาครับ คนที่นี่เรียกว่าวัดถ้ำกัน” ศศิเปรยให้ฟัง

“สวยมากเลย” ปราชญ์มองรอบ ๆ พร้อมกับไหว้พระนอน ก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไป ทั้งสามคนที่ไม่มีคู่จึงพากันไหว้พระ เห็นว่ามีอีกหลายถ้ำอยู่เหมือนกันในที่เดียว

“มีศิลาจารึกด้วยหรือ” ชายธันเอ่ยบอกเมื่อเดินมาพบเข้า

“เป็นอักษรไทยโบราณสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น จารึกไว้เมื่อปีสองสี่ศูนย์หนึ่ง...” ต้นสนอ่านข้อความอธิบายที่ติดไว้พลางนึกว่าปี 2401 ตอนนั้นห่างจากตอนนี้กี่ปีกัน “ร้อยกว่าปีเลยหรือ”

“ร้อยสิบสามปีได้” ธันว่าต่อ

“ใช่ ๆ” ต้นสนพยักหน้า

ปราชญ์คิดว่านี่คงเป็นครั้งแรกเลยที่ได้เข้าถ้ำ มันดูสวยงามแต่ก็น่าอึดอัด เหมือนจะหายใจได้ไม่เต็มที่ ถึงอย่างนั้นก็ยอมรับว่าในถ้ำนี้สวยจริง ๆ เพราะมัวแต่ยืนมองนู่นมองนี่ ฉไหนหันมาอีกที่ชายธันก็หายไปเสียแล้ว หลงเหลือไว้เพียงต้นสนที่กำลังยืนอ่านประวัติความเป็นมาอยู่

“ชายธันล่ะ” ปราชญ์เอ่ยถามเมื่อหันไปทางไหนก็ไม่พบ

ต้นสนเองก็เพิ่งจะสังเกตจึงยืดตัวขึ้นมองซ้ายมองขวา “ผมก็ไม่เห็นเหมือนกันครับ เมื่อกี้ยังยืนอยู่ด้วยกันอยู่เลย”

พี่คนโตที่นึกห่วงน้องกลัวหลงจึงจะเดินไปหา ต้นสนเห็นอย่างนั้นเลยว่าจะไปหาด้วยอีกทางแต่กลับพบกับเพื่อนที่ยืนหลบมุมข้างถ้ำแล้วดึงแขนให้เข้าไป

“อ้าวธัน! ตกใจหมด”

ชายธันมองหาพี่ตนก่อนจะตบบ่าเพื่อน “เดี๋ยวฉันจะไปเดินกับพี่ชายกรณ์ ส่วนนายก็ไปเดินกับพี่ชายใหญ่เสียเถอะ”

“อะไรของนาย” ต้นสนขมวดคิ้วก่อนจะเบิกตา “นี่นายตั้งใจจะให้ฉันเดินกับพี่ปราชญ์แค่สองคนหรือ”

“แล้วไม่ดีหรือไง” ว่าพลางกอดอก

“ก็... ก็ดี... แต่ว่าเรา—”

“เลิกพูดแล้วไปได้แล้วไป ฝากดูแลพี่ฉันด้วยล่ะ”

“เดี๋ยวสิ!” ต้นสนยื้อเพื่อนไม่ไหวเจ้าตัวก็เดินหายไปอีกทาง ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจ ทว่า กลับอมยิ้มขึ้นมาคนเดียวเมื่อนึกได้ว่าตอนนี้อยู่ด้วยกันเพียงสองคนแล้ว

“ต้นสน เจอชายธันหรือยัง”

คนถูกทักถึงกับสะดุ้งก่อนจะหันไปยิ้มแหย “คือธันบอกว่าจะไปเดินกับพี่กรณ์น่ะครับ”

ปราชญ์คิ้วมุ่นแต่พอรู้ทันความคิดน้องชายจากเป็นห่วงก็กลายเป็นเพลียใจแทน “งั้นหรือ... ถ้าอย่างนั้นเราก็ไปกันเถอะ”

ต้นสนเปลี่ยนเป็นยิ้มตาหยีพร้อมกับเดินไปหา “ครับ”

ทั้งคู่พากันเดินไปตามทางที่บอกเอาไว้ แบ่งปันเรื่องพูด แบ่งปันความคิด รอยยิ้มประดับบนใบหน้าไม่มีท่าทีว่าจะหุบลง ดวงตาสีนิลสบกันเวลาพูดคุยดูลึกซึ้งกว่าวันวาน ไหล่ที่แนบชิดจนรู้สึกอุณหภูมิของกันและกัน มือเผลอปัดป่ายเล็กน้อย ระหว่างทางคล้ายดั่งมีดอกไม้ล่วงโรย ในถ้ำที่ว่าอึดอัดมืดมัวกลับสดใสทันตา

“ไอ้คนนำทางกลับไม่มาเล่าว่าแต่ละที่มีอะไรบ้าง เฮ้อ” พูดถึงเพื่อนอย่างศศิก็ได้แต่ส่ายหัว

“อย่าไปว่าเพื่อนเลย ให้ไปกับคนในดวงใจเขาน่ะดีแล้ว”

ต้นสนนึกตามก็ขำเสียงเบา “มาด้วยกันแต่แยกกันเป็นคู่อย่างกับคู่รักเลยนะครับ”

พลันบรรยากาศรอบข้างคล้ายชะงัก สองหนุ่มพากันหยุดเดินโดยมิได้นัดหมาย ต้นสนที่เพิ่งจะรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไปก็ทุบหน้าผากตัวเองไปที หันมองอีกฝ่ายที่ดูน่าจะตกใจเหมือนกัน แต่กลับไม่พูดอะไรนอกจากเดินต่อไปยังถ้ำอื่น ๆ

“ที่นี่ชื่อถ้ำแก้ว มีหินงอก หินย้อยด้วยหรือ” ต้นสนอ่านป้ายอย่างกับก่อนหน้านี้ไม่ได้พูดอะไรออกไปให้คนข้างตัวตกใจ

“สวยเสียจริง” ปราชญ์ชมไม่หยุดปาก เพียงเข้าไปชมดูก็ลืมสิ่งที่ต้นสนพูดไปชั่วขณะและนั่นก็ดีสำหรับต้นสน

พาชมทั่วกันจนพอใจแล้วก็ได้เวลาลงไปยังด้านล่าง

“ทางนี้มันชันพี่ปราชญ์จับมือผมได้นะครับ” ไม่ว่าเปล่ายังเดินลงไปเล็กน้อยแล้วยื่นมือขึ้นไปหา

ปราชญ์ยิ้ม พยักหน้าเป็นการขอบคุณแล้ววางมือลงบนมือของอีกฝ่ายเพื่อเดินลงทางชัน พอมองอย่างนี้แล้วก็นึกถึงสมัยเด็ก ทุกครั้งปราชญ์จะช่วยให้น้องพ้นภัยต่าง ๆ มือเล็ก ๆ ที่ทาบลงบนมือเขานั้นยังดูน่าทะนุถนอมเสมอ แต่พอโตขึ้นมามือนี้กลับใหญ่ขึ้นและกลายเป็นฝ่ายดูแลเขาเสียเอง

คนอายุมากกว่าได้แต่หัวเราะกับตัวเอง เด็กน้อยที่ชอบวิ่งมากอด วิ่งมาชูแขนให้อุ้มในวันนั้นพอมาวันนี้กลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ปราชญ์ยอมรับว่าช่วงวัยเด็กเขาเห็นต้นสนเพียงน้องชายคนหนึ่งจริง ๆ ไม่เคยมองไปทางอื่นใดเลย แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตั้งแต่เมื่อไรถึงได้รู้สึกดีและโหยหาถึงเด็กคนนี้

อาจจะเป็นมาตั้งแต่กลับไทยหรือเปล่านะ แต่เวลาก็น้อยเกินกว่าจะเป็นอย่างนี้ได้...

“พี่ปราชญ์มีอะไรหรือเปล่าครับ” ต้นสนที่เห็นอีกฝ่ายนิ่งไปและเอาแต่มองมือของพวกเราที่จับกันอยู่ เลยคิดไปเองว่าอาจจะอึดอัดหรือเปล่า “ขอโทษนะครับ” ต้นสนก้มหัวแล้วจะผละมือออกแต่ก็ถูกจับไว้อีกครั้ง

ปราชญ์เงยหน้ามองน้อง เมื่อคิดอะไรหลาย ๆ อย่างในหัว “พี่คิดว่า ถ้าพี่ไม่ได้ไปอังกฤษตั้งแต่แรกก็คงจะดี”

“ทำไมหรือครับ”

“บางทีเราสองคนอาจจะไม่ต้องมาผิดใจกัน”

ต้นสนนิ่งไปเสียบ้างก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา “เรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้หรอกครับพี่ปราชญ์ แต่เราเลือกจะเดินทางอื่นได้หากเคยเดินทางที่ผิดพลาดมาก่อน ก็เหมือนกับผมที่เคยทำนิสัยแย่ ๆ ใส่พี่ปราชญ์ไปและผมคิดว่ามันไม่ควรเสียเลยเพราะพี่ปราชญ์ก็ไม่ได้รู้เรื่องด้วย ตอนนี้ผมเลยอยากจะไถ่โทษและจะเป็นคนที่พี่ปราชญ์ยินดีจะฝากชีวิตให้ผมได้ดูแล”

ปราชญ์นึกทึ่ง แต่ก็ไม่แปลกใจเพราะต้นสนเป็นคนที่มีความคิดที่ดีมาตลอด แม้จะมีพลาดบ้างแต่ก็ยอมรับและแก้ไข แต่ถึงอย่างนั้น... ที่บอกให้ฝากชีวิตให้เจ้าตัวดูแล มันออกจะเกินตัวของน้องชายคนหนึ่งที่อยากจะไถ่โทษหรือเปล่านะ

แต่พอนึกอีกทีว่าต้นสนนั้นรู้สึกอย่างไรปราชญ์ก็ได้แต่ใจเต้นคนเดียวแล้วหลบตาน้องที่จ้องมองมาอย่างมีนัย

“ขอบคุณครับที่ดีกับพี่ขนาดนี้”

ต้นสนที่ยังคงไม่รู้อะไรเลยยิ้มกว้างกระชับมือเบา ๆ และใช้นิ้วโป้งเกลี่ยอย่างเผลอไผล “ผมพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อพี่ปราชญ์อยู่แล้วครับ”

หากตรงนี้ไม่ใช่ถ้ำแต่เป็นด้านนอกต้นสนก็คงจะเห็นใบหูที่แดงขึ้นมา ปราชญ์รู้สึกร้อน ๆ ตรงหูและคงไม่ต้องหาสาเหตุใด ได้แต่โทษตัวเองที่โตขนาดนี้ยังมารู้สึกใจเต้นแรงและเขินอายกลับคำพูดของคนที่ชอบอย่างนี้

“พี่ชายใหญ่” เสียงของน้องชายที่เอ่ยเรียกทำให้ทั้งสองต้องปล่อยมือออกจากกันฉับพลัน

“ชายกรณ์” ปราชญ์ยิ้มให้น้อง “เดินทั่วแล้วหรือ”

ชายกรณ์ไม่ได้ทำสีหน้าใดใดนอกจากมองทั้งคู่สลับกันไปมา คิ้วที่ขมวดเข้าหากันแน่นทำให้ปราชญ์รู้สึกใจเสียอยู่บ้าง

“เราจะไปที่อื่นกันต่อ”

“อ่อ ได้สิ”

“พี่ชายใหญ่มากับผมหน่อย” เมื่อชายกรณ์สั่งเสียงแข็งก็ทำให้รู้ว่าอาจจะทำให้ไม่พอใจเข้าเสียแล้ว ชายธันที่ได้ยินบทสนทนาจึงรีบเข้ามาดูพร้อมกับหญิงสาวอีกคนที่พี่ชายกรณ์ฝากให้เขาดูแลก่อนเพราะจะมาตามพี่ปราชญ์ให้

“มีอะไรกันครับ”

“ชายเล็ก” ชายกรณ์เรียกน้องทันที

ธันที่เพิ่งจะได้พบกับดวงตาที่ดูนิ่งเรียบของพี่คนกลางกับน้ำเสียงที่แตกต่างจากพี่ชายกรณ์ที่ร่าเริงเสมอจึงอดจะหวาดหวั่นไม่ได้ “ครับพี่ชายกรณ์”

“พี่จะไปกับพี่ชายใหญ่ ฝากดูแลคุณผู้หญิงเธอด้วย”

“แต่ว่า”

“เข้าใจไหม”

ชายธันได้แต่จำยอม “ครับ”

เมื่อไม่มีอะไรต้องพูดอีกชายกรณ์ก็จับข้อมือพี่ชายคนโตให้เดินออกไปด้วยกันทันที

“ทำไมคุณชายกรณ์ดูโกรธขนาดนั้นหรือคะ”

ชายธันหันมองหญิงสาว “ไม่มีอะไรหรอกครับแล้วก็ขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้การเที่ยวของคุณไม่สนุกเลย”

“ไม่เป็นไรเลยค่ะ” เธอส่ายมือ ก่อนที่คนอื่นจะเดินมาสมทบชายธันเลยฝากเธอให้ไปกับเพื่อน ๆ ของเธอแทน

“พี่กรณ์จะรู้เรื่องฉันหรือเปล่า” ต้นสนเองก็ตกใจไม่ต่างกัน ไม่คิดว่าจะมีคนมาเห็น ทั้งยังเห็นว่าจับมือกันด้วย บางที… อาจจะได้ยินที่เราคุยกันก็เป็นได้

“คงรู้แล้ว อาจจะคุยกับพี่ปราชญ์อยู่”

“นายไม่ได้บอกพี่กรณ์ใช่ไหม”

ชายธันส่ายหัว “ไม่ได้บอกอะไรเลย”

ต้นสนถอนหายใจมองตามทางที่ทั้งคู่เดินหายออกไป ก็ได้แต่หวังว่าไม่ให้พี่กรณ์โกรธอะไรพี่ปราชญ์มากนักเลย...

 

 

เฝ้าคำนึง

 



“ชายกรณ์ปล่อยพี่ได้แล้ว ชายกรณ์!”

ทหารหนุ่มยอมปล่อยข้อแขนอีกฝ่ายเมื่อเดินออกมาด้านนอกแล้ว ใบหน้าเคร่งขรึมเริ่มแสดงออกว่าโกรธ “เล่าให้ผมฟังเดี๋ยวนี้”

ปราชญ์ขมวดคิ้ว “เรื่องอะไรชายกรณ์ ทำไมไม่คุยกันดี ๆ”

“พี่กับต้นสน ตั้งแต่เมื่อไร”

ปราชญ์ถอนหายใจทันทีพอเห็นว่าเป็นเรื่องเดียวกับที่คิด “เพิ่งจะได้พูดคุยไม่กี่วันนี้เอง แต่ยังไม่ได้คุยกันให้ได้รู้ความเท่าใดเลย”

“ชายเล็กรู้ใช่ไหม”

“ใช่ น้องรู้”

“รู้มานานหรือยัง”

“ก็... ไม่รู้สิ แต่น้องคงรู้นานแล้ว”

ชายกรณ์นิ่งไปกรามที่ขบฟันนั้นชัดจนแม้แต่มองภายนอกก็ดูออก “พี่ปรึกษากับชายเล็กมาตลอดใช่ไหมเรื่องนี้”

“ใช่” ปราชญ์ไม่เข้าใจว่าน้องถามทำไมแต่ก็ตอบตามจริงทุกอย่าง

“แล้วผมล่ะ” ชายกรณ์ชี้ตัวเอง “เอาผมไปอยู่ตรงไหน ทำไมไม่มีใครบอกผมเรื่องนี้เลย”

ปราชญ์ตกใจจนพูดไม่ออกเห็นดวงตาของน้องเริ่มแดงก่ำทำให้รู้สึกผิดยิ่งกว่าเดิม ความขุ่นเคืองที่น้องมาทำโมโหใส่เริ่มลดลงในทันตา “พี่ขอโทษ”

ชายกรณ์ผันหน้าหนีเห็นใบหน้าที่รู้สึกผิดของพี่ตนเองก็ทำให้ความโกรธมันลดฮวบทำให้สติกลับคืน มือหนานวดขมับตัวเองที่ปวดขึ้นมา “ผมก็ขอโทษ ผมเครียดหลายอย่างเลยพาลไปหมด”

ปราชญ์มีสีหน้าอ่อนลงเดินเข้าไปโอบน้องก่อนจะเดินไปด้านหน้าเห็นน้ำตาที่ร่วงลงมาเลยใจเสียรีบเช็ดน้ำตาแล้วกอดน้องทันที “ชายกรณ์...”

ชายกรณ์ไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำใดออกไปได้นอกจากน้ำตาที่พรั่งพรูออกมา ไม่อาจพูดได้ว่าอิจฉาและน้อยใจมาตลอดตั้งแต่สมัยเด็กแล้ว สามคนนั้นที่เล่นด้วยกัน ต้นสนติดพี่ปราชญ์ ชายธันก็ติดพี่ปราชญ์ ส่วนพี่ปราชญ์ก็ดูแลทั้งคู่อย่างดิบดี เขานึกน้อยใจว่าทำไมเขาไม่อยู่ตรงนั้นบ้าง เขาอยากเล่น อยากให้พี่ปราชญ์คอยปลอบ อยากให้น้อง ๆ มาติดเขาบ้าง มันอาจจะดูไร้เหตุผล แต่ทุกครั้งเขากลับรู้สึกเหมือนเป็นคนนอก ในเวลาที่ชายธันโมโหหรือทำตัวแย่ เขาเตือนชายธันแทบไม่ฟังเขาเลยแต่พอพี่ปราชญ์เตือนเพียงนิดน้องกลับน้อมรับฟัง

แม้แต่เรื่องสำคัญที่ต้นสนคนที่เปรียบเสมือนน้องชายเขาอีกคนกับพี่ชายของเขามีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งต่อกัน เขากลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย คนที่รู้กลับเป็นคนที่เคยทะเลาะกับต้นสนอย่างชายธัน

เขารู้ว่าเขาเกิดมาทั้ง ๆ ที่เสด็จพ่อกับแม่ไม่ได้รักกัน เกิดจากความผิดพลาด ส่วนพี่ปราชญ์เกิดจากคนรักเก่าที่เสด็จพ่อรักมากและน้องที่เกิดมาพร้อมกับครอบครัวที่ปรองดองรักใคร่กันแล้ว พ่อรักพี่ปราชญ์มากและแม่ก็รักน้องมาก

แล้วเขาเล่า... เขาอยู่ตรงจุดไหน

“พี่ขอโทษนะ” ปราชญ์ลูบผมน้อง “พี่ขอโทษจริง ๆ”

กว่าจะรู้ตัวว่าลืมสังเกตใครไปมันก็แทบสายไปเสียแล้ว ปราชญ์นึกโทษตัวเองที่ไม่ยอมดูน้องดี ๆ ไม่อาจรู้ได้เลยว่าภายใต้ใบหน้าที่ยิ้มแย้มเสมอและคอยปลอบผู้อื่นอย่างชายกรณ์จะมีความทุกข์ในจิตใจขนาดนี้

ใช้เวลาไม่นานนักชายกรณ์ก็สงบลงผ้าเช็ดหน้าที่ปราชญ์เตรียมมาเสมอหยิบขึ้นมาเช็ดหน้าน้องชายอย่างไม่นึกรังเกียจ “ดีขึ้นไหม”

ชายกรณ์พยักหน้า “ดีขึ้นแล้วครับ”

“ถ้ากลับไปบ้านศศิแล้วเล่าให้พี่ฟังได้ไหม” ปราชญ์เกลี่ยแก้มน้องพลางยิ้ม “ส่วนพี่จะเล่าเรื่องพี่ให้ฟังด้วย”

ชายกรณ์พยักหน้า “ครับ แต่เรื่องของผมไว้เรากลับวังกันก่อนได้ไหมครับ”

ปราชญ์ไม่คาดคั้นให้น้องอึดอัด “ได้สิ”

เห็นอย่างนั้นทหารหนุ่มก็ได้แต่ส่ายหัวกับตัวเอง “เฮ้อ เป็นทหารแท้ ๆ ดันแสดงความอ่อนแอออกมาอย่างนี้ ใช้ไม่ได้เลย”

“คนเราจะร้องไห้บ้างมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกไม่ใช่หรือ ต่อให้อายุมาก ทำงานอะไร มันกำหนดด้วยหรือไงว่าห้ามร้องไห้” ปากก็พูดไปมือก็สางผมให้น้องที่ดูยุ่งเล็กน้อย “เลิกคิดมากได้แล้ว อยากร้องก็ร้องออกมาเลย ไม่ต้องสนว่าใครจะพูดยังไง อ่อนแอบ้างมันก็ไม่เป็นไร”

ยิ่งได้ยินคำปลอบโยนที่แสนจริงใจชายกรณ์ดันรู้สึกผิดขึ้นมาเสียเอง “ผมแค่คิดว่าผมโตแล้ว ผมอายุก็เท่านี้แล้วยังจะมาทำตัวแบบนี้ มันดูไม่ได้น่ะครับ”

“แล้วคนที่โตแล้วจะร้องไห้ไม่ได้เลยหรือ แบบนั้นมันออกจะเก็บกดเกินไปหรือเปล่า”

ชายกรณ์ถอนหายใจอีกระลอกแล้วเอาผ้ามาเช็ดเอง “ผมขอโทษนะครับ อุตส่าห์มาเที่ยวพักผ่อนแท้ ๆ ดันเอาเรื่องเครียดมาให้”

“เอาเป็นว่าต่างคนต่างขอโทษก็ให้มันแล้วไป อย่าคิดมากเลยนะ ยังไงชายกรณ์ก็เป็นน้องชายของพี่และพี่ก็รักชายกรณ์มาก ๆ พี่พร้อมจะรับฟังทุกเรื่อง สำหรับน้องชายของพี่มันไม่ใช่เรื่องเครียดเลย เราเป็นพี่น้องกันก็ต้องช่วยเหลือกันอยู่แล้ว”

ทหารหนุ่มยิ้มขึ้นได้ รู้สึกอบอุ่นทั่วอก “ขอบคุณนะครับ แต่ผมบอกไว้ก่อนเลยนะว่าความคิดผมนั้นแย่จริง ๆ”

“โธ่ พอเลย จะแย่ไม่แย่พี่ไม่สนใจหรอก พี่รู้ว่าชายกรณ์มีเหตุผลของชายกรณ์เอง”

ชายกรณ์ยิ้มบางความรู้สึกผิดเริ่มกัดกิน “ผมแย่เสียจริงที่คิดน้อยใจทุกคน”

“พี่ต่างหากที่ควรขอโทษ น้องชายเป็นถึงขนาดนี้แต่พี่ดันไม่รับรู้”

“คนหนึ่งไม่พูดคนหนึ่งไม่รู้จริง ๆ มันก็ยากที่จะเข้าใจกัน ตอนนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองพาลไปจริง ๆ ผมควรจะสงบสติตัวเองเสียหน่อย อารมณ์ชั่ววูบอย่างนี้ผมไม่ชอบเสียเลย”

“ไม่เป็นไรนะ” ปราชญ์บีบบ่าเบา ๆ “ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเถอะ คนอื่นน่าจะรอกันที่รถแล้ว” เมื่อเห็นน้องพยักหน้าจึงรอให้อีกฝ่ายดูเรียบร้อยก่อนถึงจะเดินออกไปหาคนอื่น ๆ


*มีต่อ
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๕ (๒/๒)
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 24-10-2020 20:17:57
*ต่อจากด้านบน



“พี่ชายกรณ์” เมื่อเห็นใครชายธันก็รีบเดินมาหาทันที

“พี่ขอโทษนะ”

ชายธันพยักหน้า “ไม่เป็นไรครับ”

“แล้วก็ต้นสน”

ต้นสนสะดุ้งจนไหล่สั่น ใบหน้าดูตื่นตกใจจนชายกรณ์อยากจะหัวเราะออกมาแต่ก็ต้องหยุดไว้แล้วแกล้งทำหน้าขรึม “เดี๋ยวเล่าให้พี่ฟังด้วย”

“ครับ?”

“เรื่องของทั้งสองคนไง” ชายกรณ์ชี้ไปมายิ่งทำให้ต้นสนเบิกตายิ่งกว่าเดิม

“คือผม...” ตำรวจหนุ่มได้แต่อึกอักทำอะไรไม่ถูก แต่ชายกรณ์ก็ไม่ถามอะไรมากกว่านั้นแล้วอาสาขับรถเองเพื่อไปอีกที่แล้วจากนั้นก็จะพากันกลับบ้านศศิ

ทริปวันนี้อาจมีเรื่องเล็กน้อยแต่พอพูดคุยกันก็ไม่ได้แย่จนกร่อย ชายกรณ์แกล้งมาเดินร่วมวงระหว่างปราชญ์และต้นสนเป็นบางช่วง จนปราชญ์ต้องแยกออกไปเดินสองคนกับชายธันแทน

และแล้วการท่องเที่ยวทั้งวันก็จบลง พระอาทิตย์เริ่มตกดิน หญิงสาวที่กลายเป็นคนรักของศศิไปแล้วจากการขอกันกลางลานทางเดิน อาสาทำกับข้าวให้ทาน ส่วนหญิงสาวคู่ของโทนกับเหนือก็พากันไปช่วยคนรักของศศิแทน

แต่เพราะบ้านศศินั้นไม่มีของสดจึงพากันซื้อก่อนกลับมาทำที่บ้าน ส่วนพวกอุปกรณ์ในครัวบางอย่างที่ศศิไม่มี หญิงสาวก็ไปเอาที่บ้านเธอมาแทน

ระหว่างรอปราชญ์ก็ออกไปเดินเล่นที่ชายหาดกับชายกรณ์และชายธันพร้อมกับเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังว่าเป็นมายังไง และชายกรณ์ก็อดจะเป็นเหมือนชายธันตอนรู้แรก ๆ ไม่ได้ คิดเช่นเดียวกันว่าสองคนนี้คิดมากเก่งพอ ๆ กันเลย

“เฮ้อ นั่นก็หมายความว่าตอนนี้มีเพียงต้นสนที่ไม่รู้ว่าพี่ชายใหญ่รู้เรื่องทั้งหมดแล้วใช่ไหมครับ”

ปราชญ์พยักหน้าเป็นการตอบ

“เห็นดูคิดดีตลอดเวลา แต่จริง ๆ ต้นสนก็คิดลบใช่ย่อยนะครับ” ชายธันเอ่ยบอก

“นั่นสิ” ชายกรณ์คิ้วมุ่น “แต่ว่า ผมไม่คิดว่าพี่ชายใหญ่ก็มีใจให้ต้นสน ผมอยากรู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรหรือครับ”

ปราชญ์มองท้องฟ้าที่ครึ้มลงเรื่อย ๆ “พี่ไม่รู้ พี่คิดว่าอาจจะตั้งแต่กลับไทย แต่มันก็ใช้เวลาน้อยเกินไปที่พี่จะรู้สึกขนาดนี้”

“หรือเป็นแค่ความเผลอไผลชั่วขณะ” ชายธันกอดอกคิด

“พี่ชายใหญ่ยังคงห่วงคุณภวัตไม่ใช่หรือครับ แล้วต้นสน…” ชายกรณ์มีสีหน้าหนักใจ

“พี่รู้ว่าพี่เหมือนคนสองใจ ลังเล และดูเป็นคนไม่รู้จักความรักแต่พี่ไม่ได้รักภวัตแล้วจริง ๆ และพี่ก็ยังไม่ได้เล่าความจริงในตอนที่เริ่มคบกัน…” ปราชญ์นึกถึงตอนที่เราคบกันแรก ๆ ก็ทำให้สะท้อนในอก

“ยังมีเรื่องที่เราไม่รู้อีกหรือครับ?” ชายธันเค้นถามทันที

ปราชญ์หันมองน้องพร้อมกับเล่าให้ฟังทุกอย่าง “ตอนที่เริ่มคบกันนั้น เราต่างชอบแค่เรื่องsexและสบายใจที่จะพูดคุยปรึกษากัน แต่คิดว่าดันเพราะรักเลยยอมคบ พี่ใช้คำว่าลองคบกับภวัต เราทั้งคู่ไม่ได้รักกันตั้งแต่แรก พอพี่รู้ว่าภวัตไปมีอะไรกับคนอื่นพี่ถึงได้เข้าใจคำว่าเสียใจจากคนรัก”

“มีคนอื่น!” ชายกรณ์เบิกตา

“ทำไมไม่เล่าให้ผมฟังตั้งแต่ตอนนั้น” น้องคนเล็กโมโหขึ้นมาจนปราชญ์ต้องจับแขนปราม

“พี่เองก็ไม่ได้ซื่อสัตย์เพราะพี่ไม่ได้รู้สึกรัก ภวัตจะไปหาคนอื่นมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”

“แต่ว่าคบกันแล้วยังมีคนอื่นแบบนี้มันก็แย่มากเลยนะครับ” ชายกรณ์ว่า

“ช่างมันเถอะนะ ยังไงตอนนั้นก็เหมือนกับคนสองคนที่ไม่รู้จักความรักลองมาคบกันดู มันก็คงมีแย่ในบางเวลา” ปราชญ์พรูลมหายใจ “แต่พี่ยอมรับนะว่าหลังจากที่คุยกับภวัตเรื่องที่ภวัตมีคนอื่น ภวัตเริ่มหยุด เราลองอยู่ด้วยกัน ไม่รู้ว่านานเท่าใดแต่เราเริ่มรู้สึกพิเศษต่อกันมากกว่าเดิม ตอนที่พี่ชวนภวัตไปหาชายกรณ์กับชายธัน ตอนนั้นคือตอนที่เราต่างพูดบอกรักกันได้เต็มปากแล้ว”

“พอรู้ความจริงในส่วนลึกผมก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่ชายใหญ่ถึงยอมปล่อยมือ”

ปราชญ์ยิ้มให้น้องคนกลาง “พี่เองก็ไม่ได้ดี เพราะหากว่าภวัตรักพี่ขึ้นมาในตอนนั้น พี่คงจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตที่ไปทดลองกับใจของคน เพียงเพราะเด็กคนหนึ่งที่ไม่รู้จักความรัก”

“จะว่าไปลองนับดูแล้วพี่ชายใหญ่อายุยี่สิบกว่าเองนี่ครับ”

ปราชญ์พยักหน้า “ก็ยังเด็กอยู่” หันไปตอบชายกรณ์เสร็จก็หันมองน้องคนเล็กที่ไม่พูดไม่จาใดใดเลย “ชายธัน ปล่อยให้มันผ่านไปตามกาลเวลาเสียเถอะนะ”

“ผมแค่ไม่เข้าใจ ผมอุตส่าห์คาดหวังและยอมรับในตัวคุณภวัตแล้ว ขนาดรู้ว่าเลิกเพราะเหตุผลอะไร ผมก็เห็นใจเขา แต่พอมารู้ว่าเรื่องทั้งหมดเป็นยังไง ผมก็ไม่สามารถมองคุณภวัตได้เหมือนเดิมอีกแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นพี่เองก็คงน่าผิดหวังเหมือนกัน เพราะพี่บอกแล้วว่าตอนแรกเราทั้งสองไม่ได้รักกัน พี่ไม่ได้มองว่าใครผิด พี่มองแค่ว่าเราเริ่มจับมือกันผิดเวลาไปเสียหน่อยก็เท่านั้น”

ชายธันขมวดคิ้วก่อนจะหันหน้าหนีเพื่อสงบอารมณ์

“แล้วทำไมพี่ชายใหญ่ถึงได้ห่วงและรู้สึกผิดขนาดนี้ล่ะครับ หากว่าก่อนหน้านี้มีเรื่องอะไรในใจกันมาก่อน”

“พอเริ่มโตขึ้น เราก็ต่างเข้าอกเข้าใจกัน ภวัตดีกับพี่เสมอมา สอนทุกอย่างให้พี่ ถือว่าเป็นรักแรกเลยก็ว่าได้ ทว่า พอรักแรกมันจบลงแล้ว พี่ก็ห่วงในฐานะคนที่เคยดูแลและช่วยเหลือกันมาก่อน ที่พี่รู้สึกผิดมันก็เพราะว่าพี่นั้นหมดรักแต่ยังคงคบกับภวัตต่อ เริ่มแรกภวัตทำร้ายพี่ด้วยการนอกใจ พอจะถึงจุดจบพี่กลับทำร้ายเขาด้วยการไม่รักแต่ยังคงคบต่อหลอกเขาว่ารัก” ปราชญ์หลับตาลงและลืมขึ้นใหม่ “ชีวิตคู่ของเราเหมือนคู่กรรมมากกว่าคู่แท้เสียอีก”

“ความรักที่ว่าต้องใช้กฎเกณฑ์อะไรตัดสินหรือครับ ใครกันจะเข้าใจความรักได้จนบรรลุ”

ปราชญ์ส่ายหน้า “พี่ก็ไม่รู้ พี่แค่รู้สึกว่าพี่อยากใช้ชีวิตอยู่กับคนนั้น อยากเดินไปด้วยกันเรื่อย ๆ ไม่หวือหวา ไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป อยู่เหมือนเพื่อน เหมือนพี่น้อง เหมือนครอบครัว สุขบ้างทุกข์บ้าง”

“สิ่งที่พี่ชายใหญ่คิด พี่ชายใหญ่อยากจะเป็นอย่างนั้นกับต้นสนหรือเปล่า” ชายธันที่เงียบไปนานถามขึ้นมา

ปราชญ์คลี่ยิ้ม “อยากสิและพี่ก็อยากคุยเรื่องนี้กับต้นสนด้วย ไม่อยากจะปกปิดอะไรอีก ต่างคนต่างรับรู้และดำเนินไปด้วยกันมันคงจะดีกว่าต่างคนต่างไม่รู้เหมือนดั่งก่อนหน้านี้”

ชายธันถอนหายใจแล้วหันกลับไปมองทางบ้านศศิที่เพื่อนอย่างต้นสนกำลังก่อไฟในเตาอยู่ “ถึงพี่ชายใหญ่จะเป็นพี่ชายผม แต่ต้นสนเองก็เพื่อนผมเหมือนกัน ผมคงไม่ต้องมาเห็นว่าเพื่อนของผมจะต้องตรอมใจคนเดียวเพียงเพราะพี่ชายใหญ่หมดรักหรอกนะครับ”

ได้ยินอย่างนั้นชายกรณ์ก็หัวเราะทันที “นี่ใช่เจ้าดื้อชายเล็กที่ชอบทะเลาะกับต้นสนบ่อย ๆ เมื่อสมัยเด็กหรือเปล่าเนี่ย”

“พอเลยครับพี่ชายกรณ์” ชายธันหัวเราะเล็กน้อย “ผมเองก็จะไปพูดกับต้นสนเรื่องนี้เหมือนกัน หากมันทำพี่ชายใหญ่เสียใจผมก็ไม่ไว้หน้า”

กรณ์โอบไหล่น้องพลางส่ายหัว “ขู่สองคนเลยนะ ถ้าเกิดเสียใจพร้อมกันขึ้นมาจะจัดการใครก่อนล่ะทีนี้”

ชายธันคิดตามก็คิ้วมุ่นทันที “นั่นสิ…” พี่ทั้งสองต่างหัวเราะออกมาเมื่อน้องชายเริ่มทำหน้าบึ้งตึงโดยไม่รู้ตัว

“เอาเถอะ อย่างน้อยก็ดีแล้วที่ทั้งสองคนรู้สึกต่อกัน แล้ว… พี่ชายใหญ่จะคุยกับต้นสนตอนไหนหรือครับ”

ปราชญ์ลูบคาง “ไม่คืนนี้ก็คงกลับพระนครก่อนแล้วถึงจะพูด”

“พูดคืนนี้เลยก็ได้นะครับ”

“จะดีหรือ”

“ดีสิครับ อย่างน้อยก็ให้รับรู้กันไว้ก่อนก็ดี”

ปราชญ์พยักหน้า แต่จะคุยตอนไหนเขาเองก็ตัดสินไว้ในใจแล้วเหมือนกัน

เพียงไม่นานกับข้าวก็เสร็จเรียบร้อยเลยพากันยกกับข้าวมาทานกันหน้าบ้าน พูดคุยไปทั่วและวนมาหยอกล้อคู่ใหม่ปลามันอย่างศศิและคนรัก จนเริ่มเมาแล้วศศิจึงพาคนรักไปส่งบ้านส่วนพวกถ้วยจานจะให้พวกผู้ชายล้างกันเอง แต่ว่าคู่นอนของชายกรณ์ขอตัวกลับบ้านส่วนเพื่อนของเธอทั้งสองยังคงอยู่ที่นี่

“คุณชายทั้งสามเชิญนอนที่ห้องผมได้เลยนะครับ คืนนี้พวกมันคงจะยึดห้องไปแล้ว”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวให้พี่ปราชญ์นอนข้างนอกกับต้นสนไป” ชายธันบอก

“เฮ้ย ไม่ได้สิ ยิ่งไม่ได้เลย จะปล่อยให้แขกนอนข้างนอกได้ยังไงล่ะ”

ปราชญ์ทราบดีว่าน้องขี้เกรงใจจึงผงกหัวให้น้องชายสองคนเป็นอันรู้กัน เพราะชายธันเปิดมาขนาดนี้ก็คงจะอยากให้พวกเขาอยู่ด้วยกัน น้องเขานี่ร้ายเสียจริง...

“ไป ๆ พี่ง่วงแล้วศศิ ปล่อยพวกเขาไปเถอะ” ชายกรณ์ยกแขนพาดคอคนข้างกายทันทีเมื่อเห็นว่ายังคงเกรงอกเกรงใจไม่เลิก

“นั่นสิ ไปนอนกันเถอะ” ชายธันตามน้ำดึงตัวเพื่อนให้เดินเข้าห้องไปด้วยกันแม้จะได้ยินเสียงศศิโวยวายให้วุ่นก็ตาม

พอเหลือตรงห้องรับแขกเพียงสองคนปราชญ์ที่ทำท่าจะลงไปนอนพื้นก็ถูกต้นสนห้ามไว้อย่างร้อนรน “จะทำอะไรครับพี่ปราชญ์!”

“ก็จะนอนไงครับ”

“ไม่ได้ครับ พี่ปราชญ์นอนบนโซฟาเลยครับ”

“พี่ว่าต้นสนนอนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เที่ยวเสร็จก็คงได้พักนิดเดียวเพราะต้นสนต้องขับรถอีก”

ต้นสนคิ้วมุ่นก่อนจะดื้อดึงลงไปนอนเสียเองจนปราชญ์ยกเท้าหลบแทบไม่ทัน “ต้นสน! ดื้อเสียจริง”

“ถ้าไม่ทำอย่างนี้ พี่ปราชญ์ก็ดื้อจะนอนให้ได้เหมือนกันนั่นแหละครับ”

ถูกเด็กยอกย้อนปราชญ์ถึงกับนิ่งอึ้งไป ก่อนจะอมยิ้มน้อย ๆ ยอมถอดแว่นมาวางบนโต๊ะแล้วนอนบนโซฟาแทน ภายในห้องนี้มืดสลัว แสงจันทร์ช่วยบ้างเล็กน้อย ลมเย็น ๆ และกลิ่นไอเกลือของทะเลพัดเข้าทางหน้าต่างทำให้อากาศตอนกลางคืนหนาวเหน็บจนต้องห่มผ้าให้แน่นหนา มุ้งสีขาวถูกกางออกโดยต้นสนที่ลุกไปทำให้ก่อนจะกลับมานอนที่เดิม

“พี่ปราชญ์ครับ”

คนที่กำลังเคลิ้มกะพริบตาเล็กน้อยเมื่อถูกเรียก “ครับ ว่าไง”

“ผมถามได้ไหมครับว่าพี่กรณ์เป็นอะไร”

ปราชญ์ขยี้ตานอนหันข้างแล้วก้มมองน้อง “ชายกรณ์รู้อะไรบางอย่างน่ะ”

ต้นสนเหลือบมองอย่างสงสัยแม้ใจจะหวั่น “เรื่องอะไรหรือครับ”

คนบนโซฟาคลี่ยิ้มบางยกหัวมาเท้ามือ “ต้นสนคิดว่าเรื่องอะไร”

“ผม...” ต้นสนอึกอักไปมาหลบสายตาอีกฝ่ายแล้วทำเป็นมองนกมองต้นไม้ที่ไม่มีนกและไม่มีต้นไม้ “ผมไม่รู้...”

คนฟังเลิกคิ้ว “รู้แต่ไม่กล้าคิดไปเองหรือเปล่า”

คนในพื้นถึงกับหันขวับจนคอแทบเคล็ด “หมายถึงอะไรหรือครับ”

“เฮ้อ” ปราชญ์ถอนหายใจแล้วมองผ่านหน้าต่างไปตรงดวงจันทร์ที่สาดส่อง ได้แต่คิดว่าจะค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป หรือเดินหน้าให้มันสุดเลยดีนะ “ต้นสน” ปากบางเอ่ยออกมาแม้ดวงตาจะยังจดจ้องแสงสีเงินด้านนอกอยู่

“ต้นสนคิดอย่างไรกับพี่”

พอได้ยินคำถามนั้นดวงใจของเด็กหนุ่มก็เต้นแรง “อะไรนะครับ?”

“ต้นสน” ปราชญ์ก้มมองอย่างเดิมด้วยใบหน้าจริงจัง “พี่ชอบต้นสน”

ต้นสนกระเด้งตัวขึ้นทันที ดวงตาเบิกโตจนคนมองหัวเราะออกมา “ตกใจหรือ”

“พี่... พี่ปราชญ์ เดี๋ยวนะครับ”

คนเป็นพี่ถอนหายใจลุกขึ้นนั่งบ้างพร้อมกับวางมือลงบนบ่าน้อง “ใจเย็น ๆ นะ ค่อย ๆ คิด”

ต้นสนก้มลงพรูลมหายใจพลางคิดตามอาการตื่นตระหนกเริ่มหายไปแต่แทนมาด้วยความเขินอายแทน “พี่ปราชญ์พูดจริงหรือครับ”

“หื้อ เรื่องที่ชอบต้นสนน่ะหรือ” ปราชญ์ยิ้ม “ใช่สิครับ”

“เมื่อไรครับ ทำไมผมไม่รู้”

“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตั้งแต่เมื่อไร รู้อีกทีก็ชอบเสียแล้ว”

ต้นสนเพิ่งจะเข้าใจความเขินก็ตรงนี้ ใจเต้นแรงจนแทบระเบิดออกมา “เรื่องจริงหรือนี่”

เมื่อเห็นว่าน้องเอาแต่ก้มหน้าพูดกระซิบกับตัวเองจึงยีหัวด้วยความเอ็นดู “ไม่รู้ว่ามันจะรวดเร็วไปหรือเปล่า แต่พี่ก็อยากบอกให้รับรู้ไว้ เพราะพี่เองก็ไม่อยากจะรับรู้อะไรคนเดียวแล้วปล่อยให้ต้นสนคิดมากไปเอง”

“รู้? นี่อย่าบอกนะครับว่ารู้แล้วว่าผมรู้สึกยังไง”

ปราชญ์พยักหน้า “ชายธันเล่าให้พี่ฟังหมดแล้ว”

ต้นสนถึงกับคอตก “โธ่เอ้ย”

“รู้สึกไม่ดีหรือ พี่ขอโทษนะ”

“เปล่าครับ เปล่า” ต้นสนรีบเงยหน้าโบกไม้โบกมือ “ผมแค่คิดว่าจะรอไถ่โทษไปเรื่อย ๆ และดูแลไปเรื่อย ๆ ไม่อยากเร่งรีบเพราะยังมีความผิดอยู่”

“เฮ้อ เด็กหนอเด็ก” ปราชญ์ส่ายหน้าแล้วลูบผมน้อง “เราลองหยุดคิดสักพักแล้วมาเปิดใจคุยกันดีไหม”

ต้นสนเม้มปากก่อนจะพยักหน้า “ครับ”

“พี่จะบอกว่าพี่ไม่ติดใจอะไรกับเรื่องที่มันผ่านมาแล้ว พี่รู้ว่าต้นสนคงเจ็บปวดมามากและคงไม่มีเหตุผลอะไรที่พี่จะปล่อยให้ต้นสนเอาแต่คิดว่าพี่ไม่ได้รู้สึกอะไรอีกแล้ว พี่อยากพูดในสิ่งที่อยากพูด อยากบอกในสิ่งที่คิด อยากปรับความเข้าใจกันตรง ๆ ถอยเรื่องความคิดคนละก้าวและเดินหน้ามาพูดคุยกันจะดีกว่า”

“นั่นสิครับ ผมเองก็อยากพูดอะไรมากมาย แต่ไม่กล้าพูด”

“ถ้าอย่างนั้นลองพูดในสิ่งที่ตัวเองรู้สึกออกมาก่อนสิ”

ต้นสนพยักหน้าก่อนจะนั่งหันหน้าเข้าหา เงยหน้าตามมือบางที่ประคองใบหน้าเขาให้เงยขึ้นมองกันอยู่ “ผมชอบพี่ปราชญ์นะครับ”

ความรู้สึกที่อัดอั้นมานานถูกบอกกับเจ้าของในวันนี้ ต้นสนรู้สึกโล่งไปทั้งอก ยิ่งเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายก็ยิ่งอุ่นใจ รู้สึกดีกว่าเก็บเอาไว้คนเดียวเป็นไหน ๆ

“พี่ก็ชอบต้นสนนะ” ปราชญ์ยิ้มก่อนจะก้มลงเอาหน้าผากแนบกับอีกฝ่าย ดวงตาทั้งสองที่สบกันยิ่งมีความหมายยิ่งกว่าเดิม จุมพิตต่อหน้าพระจันทร์ให้เป็นสักขีพยาน ความวาบหวามที่บางเบาและหอมหวานเคลื่อนเข้าหากันไปตามอารมณ์ แขนขาวโอบรอบคอคนบนพื้น ก่อนที่ต้นสนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นนอนทาบไปกับโซฟาโดยที่ปากของทั้งคู่ยังคงแนบสนิทกันไม่ปล่อย

ผละออกมามองหน้ากันจากนั้นก็ทำอย่างเดิม ปราชญ์เอียงคอให้จูบอย่างถนัดยิ่งขึ้น จากนุ่มนวลเปลี่ยนเป็นไฟโหม ลิ้นร้อนต่างกวัดเกี่ยว และต้นสนก็แพ้ให้กับคนใต้ล่างที่ชำนาญยิ่งกว่าตน

“ค่อย ๆ นะ หายใจเข้าลึก ๆ” ปราชญ์ลูบแก้มน้องที่ผละออกไปกอบโกยอากาศ

ต้นสนที่ทำอะไรที่ดูน่าอายเลยก้มไปซุกกับคออีกฝ่าย “ผม…”

ปราชญ์ยิ้มพลางส่ายหัวโอบกอดแล้วลูบหลังเบา ๆ ให้คลายกังวล “ไม่เป็นไรต้นสน ไม่จำเป็นต้องคิดมาก” ไม่ว่าเปล่าปากบางก็เคลื่อนไปจูบใบหูของคนด้านบน

“ไม่คิดเลยว่าจะมีวันนี้”

“ยิ่งกว่าฝันใช่ไหม”

“ครับ” ต้นสนตอบเสียงอู้อี้

“พี่ก็คิดอย่างนั้น มันยิ่งกว่าฝันเสียอีก”

ต้นสนผละออกมาไล่มองใบหน้าอีกฝ่ายอย่างห่วงแหน มือหนายกขึ้นเกลี่ยพวงแก้มและก้มลงไปจูบเพียงชั่ววิถึงจะละออก “ดีใจนะครับที่พี่ปราชญ์ยอมรับผม”

“พี่ก็ดีใจที่ต้นสนยอมรับในตัวพี่” ทั้งคู่คลี่ยิ้มให้กัน แต่ก่อนจะทำอะไรมากกว่านั้นเสียงหยาบโลนภายในห้องอีกฝั่งก็ดังขึ้น เป็นเสียงชายหญิงสลับกัน และคงจะมากกว่าหนึ่งคู่

ต้นสนชะโงกหน้าขึ้นมองทางห้องนอนของเพื่อนทั้งสองอย่างเหนือและโทนก่อนจะส่ายหน้า “เสียงดังจังไอ้พวกนี้”

ปราชญ์หัวเราะ “ปล่อยเพื่อนไปเถอะ”

“มันไม่เกรงใจคนอื่นเลยนี่ครับ ทำอะไรไม่เบาเสียงเลย”

“ไม่เป็นไร เราก็มานอนกันเถอะนะ” ปราชญ์ว่าแล้วเขยิบให้ต้นสนลงมานอนด้วย

“ไม่อึดอัดหรือครับ”

“พี่อยากนอนกอดเรา” ปราชญ์ยิ้มบางเมื่อต้นสนนอนติดกับพนักพิงโซฟาแล้วเลยขออนุญาตนอนซุกกับอกหนา

ต้นสนที่นิ่งไปกับคำพูดนั้นกลับตัวแข็งอีกรอบเมื่อเส้นผมอีกฝ่ายปัดผ่านจมูก และคิดว่าพี่ปราชญ์คงรู้เลยลูบหลังให้หายเกร็ง ต้นสนถึงจะดีขึ้นแล้วยอมนอนกอดอีกฝ่ายแทน







จบบทที่ ๑๕

-------------------------------------------------------------------

ขอโทษนะค้าบบบที่หายไปนานเลยยย เพราะว่าอยู่ในจุดที่สมองตันมากๆ

นอกจากเรื่องธุระส่วนตัวแล้วยังมีเรื่องการเมือง "ถ้าการเมืองดีนักเขียนจะแต่งนิยายออก" นั่นเองค่าาา

ขอให้ทุกคนสู้เพื่อประชาธิปไตย และขออภัยหากต้องเขียนนิยายล่าช้า

แล้วก็มีอะไรจะสารภาพบาป ว่าจะไม่บอกแล้วแต่บอกดีกว่า จริงๆแล้วเราวางเนื้อเรื่องตอนแรกไว้คือพี่ปราชญ์ไม่ได้มีแฟน55555555555555555555555555555555555555555555555555555555

แต่แต่งไปแต่งมาภวัตมายังไงไม่รู้ // ฟาดหน้าตัวเองสักที

แค่บอกไว้เฉยๆค่ะว่าพล็อตก่อนแต่งคือต้นสนแค่งอนพี่ปราชญ์ที่กลับมาแล้วจำต้นสนไม่ได้เท่านั้น แต่ดันให้พี่ปราชญ์มีแฟนเฉย 55555

อยากสารภาพออกมาเพราะอัดอั้นมากจริงๆ คือพอเรื่องมาถึงจุดนี้จะรีไรท์กลับไปอย่างเดิมก็ไม่ไหวแล้ว ผูกปมซะขนาดนี้ ฮืออออออ

หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๕
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 25-10-2020 13:07:01
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๕
เริ่มหัวข้อโดย: piakunaa ที่ 27-10-2020 08:19:44
น้องงงงงงง  :ling1: :katai5: :katai4: :ling1:
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๕
เริ่มหัวข้อโดย: evanescence_69 ที่ 17-12-2020 06:34:52
รอมาต่ออยู่นะ
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๕
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 17-12-2020 20:07:00
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๖
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 31-12-2020 23:51:30
(https://www.img.in.th/images/e334d5e59066eb3df9ae4e2d3a35de02.jpg)

บทที่ ๑๖

เที่ยววันสุดท้าย

 

 
เสียงเฮฮาดังขึ้นท่ามกลางอากาศอุ่นร้อนในช่วงสายของวัน สาว ๆ สองคนพร้อมกับโทนและเหนือทั้งสี่ได้นั่งรถของเหนือด้วยกัน ส่วนศศิกับหญิงในใจก็นั่งเพียงสองคนเพราะคุณพ่อของหญิงสาวใจดีให้ยืมรถมาคันหนึ่ง ส่วนสามคุณชายและหนุ่มนักรักที่เหลือก็นั่งด้วยกันเหมือนเดิม

ไม่ต้องหาต้นตอเลยว่าเสียงพวกนั้นดังมาจากไหน ก็ดังมาจากสี่คนนั้นที่ขับรถพร้อมกับชะโงกหน้าออกมา ต้นสนบ่นตั้งแต่พวกนั้นขับรถเลี้ยวไปเลี้ยวมาน่าหวาดเสียว ถึงแม้ตรงนี้จะเป็นถนนว่างไม่มีรถผ่านแต่ใช่ว่าจะขับอันตรายอย่างนั้นได้

“กลับไปจะทำการส่งจดหมายขอให้ทางกรมสั่งลงโทษพวกมันให้เข็ด” ต้นสนขมวดคิ้วมุ่นในขณะที่กำลังจ้องมองรถพวกนั้น

“เดี๋ยวก็ถึงที่หมายแล้ว ไว้เตือนเพื่อนที่นั่นก็ได้” ปราชญ์ที่หนังเบาะหลังคนขับเอ่ยบอกคนที่นั่งข้างกาย ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมทั้งคู่ถึงได้นั่งข้างหลังด้วยกัน ก็เพราะเจ้าน้องชายสุดแสบสองคนอย่างไรเล่า

“ว่าแต่เมื่อคืนหลับสบายกันไหมล่ะ” ชายกรณ์ที่ทำหน้าที่ขับรถเอ่ยถามพลางมองกระจกหลังแล้วก็พบว่าพี่ชายตนทำหน้าดุใส่แล้ว

“คือ...” ต้นสนอ้ำอึ้งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทั้งหมดนั้นเป็นแผนที่วางไว้อยู่แล้ว

เมื่อเห็นอย่างนั้นชายธันก็แอบยิ้มขึ้นมา สงสัยพี่ปราชญ์คงจะไม่ได้บอกเรื่องนี้

“เงียบทำไมล่ะต้นสน” ชายกรณ์แกล้งทำเสียงขรึมแหย่ จนน้องคนเล็กที่นั่งข้างคนขับเอาแต่ส่ายหัว ส่วนพี่คนโตก็หันหน้าหนีมองวิวข้างทางไปเสียแล้ว

“ก็ดีครับ” ตำรวจหนุ่มว่าเสียงเบา

“หมายถึงอะไรก็ดี”

“พอได้แล้วชายกรณ์ อย่าแกล้งน้อง” ปราชญ์ทนไม่ไหวต้องดุอีกที

“โธ่ ผมแค่ถามเฉย ๆ”

ปราชญ์ถอนหายใจพลางตบหน้าขาคนข้างกายเบา ๆ เป็นเชิงบอกว่าอย่าไปถือสา

“ว่าแต่เมื่อคืนนี้—”

“ชายกรณ์!”

ตลอดทั้งวันนั้นไปเที่ยวหลากหลายที่อยู่เหมือนกันแต่ล้วนแล้วเป็นที่ใกล้เคียงเพราะจะได้กลับไปเตรียมตัวกลับพระนครกันอีก ถึงแม้ว่าอยากจะกลับพรุ่งนี้เช้าแต่เห็นว่าไม่เป็นการดีเพราะชายกรณ์รวมถึงตำรวจหนุ่มทั้งสองที่ต้องกลับไปรับหน้าที่อย่างช่วยไม่ได้

“คงอีกนานกว่าจะได้ขอลาพักผ่อนมาเที่ยวแบบนี้” ต้นสนที่ยืนมองคลื่นซัดอยู่เอ่ยกับสายลม แต่คงไม่รู้ว่ามีคนมายืนข้าง ๆ กัน

“นั่นสินะ”

ชลันตกใจเล็กน้อยแต่ก็ยิ้มออกมาเมื่อพบใคร “เก็บของเสร็จแล้วหรือครับ”

“ใช่ กำลังรอชายกรณ์อาบน้ำอาบท่าเป็นคนสุดท้าย”

คนฟังทำเพียงพยักหน้าเป็นการรับรู้ จากนั้นก็มีเสียงลมคลื่นและเสียงนกที่บินผ่านไปเท่านั้น ถึงจะไม่ได้พูดคุย ทว่า ระหว่างสองก็ไม่มีใครรู้สึกอึดอัด ออกจะผ่อนคลายจมไปกับความคิดในหัว

ตำรวจหนุ่มคลี่ยิ้มเอื้อมมือไปจับกับมือของคนข้างกาย กระชับอย่างเบามือเพราะกลัวจะบุบสลาย

“วันหน้าเรามาเที่ยวกันอีกไหมครับ”

“ได้สิ” ปภารัชตอบอย่างไม่คิดใดใด

“แค่... สองคนนะครับ” คนตัวสูงหันมามอง รอยยิ้มประดับใบหน้าไม่จางหาย

ปถารัชช้อนตาขึ้นเอ่ยคำซ้ำเดิมกับอีกฝ่าย “ครับ... แค่สองคน”

เสียงเรียกทั้งคู่ดังแว่วเข้ามา ปภารัชหันมองชายกรณ์ที่โบกมือก่อนจะพยักหน้าตอบรับ เมื่อเจ้าตัวหายไปแล้วจึงหันกลับมาเผชิญหน้ากับคนข้างตัว “เรากลับบ้านกัน”

ชลันผงกหัวและผละมือเดินออกไปจากโขดหินด้วยกัน

“ไว้มาเที่ยวหาผมได้เสมอนะครับพี่ปราชญ์ พี่กรณ์ ไอ้ธัน” ศศิจับมือทุกคน

“หากมีเวลาว่างพี่จะมาแน่นอน” ปราชญ์คลี่ยิ้มก่อนจะกอดศศิพลางตบหลังเบา ๆ “ขอให้มีความสุขกับคนรักนะ”

ศศิเขินจนแทบมุดดิน “ขอบคุณครับ แล้วก็ขอให้กลับบ้านอย่างปลอดภัยนะครับ”

“เจอกันใหม่เพื่อน” ต้นสนเดินเข้ามาแล้วกอดมันแน่น

ศศิลูบหลังเพื่อนนายร้อยก่อนจะรู้สึกวูบโหวงแปลก ๆ “มึงจะมาเที่ยวหากูอีกใช่ไหมวะ”

ต้นสนผละออก “ทำไมมึงพูดอย่างนั้นล่ะ ก็ต้องมาอยู่แล้ว”

“ไม่รู้สิ กูแค่รู้สึกแปลก ๆ พระนครอาจจะมีเรื่องมากมายกูกลัวว่ามึงจะเข้าไปเกี่ยวพันและอาจเกิดอะไร”

“มึงคิดมากไปหรือเปล่า”

“มึงก็รู้ใครมันทำรัฐประหาร กูกลัวว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงที่พระนครเข้าสักวัน ไม่อาจปีนี้ก็อาจปีสองปีหน้า”

ต้นสนเข้าใจดีเพราะเพื่อนเป็นพวกชอบตามข่าวนอกสังคมมากมายรวมถึงข่าวการเมืองที่ว่าตอนนี้มีการทำรัฐประหารขึ้น และมันไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีเลยด้วยซ้ำที่ประเทศบ้านเมืองนี้มีการรัฐประหาร เพราะมักจะเกิดความสูญเสียตามมา

“ตามจริงแล้วกูคิดมากมาตั้งแต่เกิดเรื่องนี้ กูอาจจะไม่ห่วงมึงมากขนาดนั้นเพราะยังไงคงปลอดภัย แต่กูคงจะคิดมากจริง ๆ เพราะคนที่กูห่วงคือพี่ปราชญ์

“ทำไมวะ”

“มึงก็รู้ใช่ไหมว่าความรู้สึกกูมันแรงขนาดไหน จำวันที่กูบอกมึงว่าสักวันมึงกับไอ้ธันจะเป็นเพื่อนกันได้ไหม แล้วมันก็เป็นจริง กี่ครั้งแล้วที่กูคิดแล้วมันเป็นจริง มันคงจะดีที่เป็นเรื่องดีแต่นี่กูกำลังเผลอดันคิดมากเรื่องแย่ ๆ ที่เกี่ยวกับพี่ปราชญ์”

คนฟังใจเต้นระส่ำที่เพื่อนพูดนั้นไม่ขอโต้แย้งและมันก็น่าหวั่นเช่นเดียวกัน “มึงกำลังคิดอะไรบอกกูได้ไหม”

ศศิผันมองทางคุณชายทั้งสามที่ยืนยิ้มหัวเราะกันก่อนจะมองสบเพื่อนอย่างจริงจัง “รัฐประหารครั้งนี้มันเป็นเรื่องที่ประชาชนรับไม่ได้แม้แต่กูเองก็ตาม กูกลัวว่าจะมีการประท้วงขึ้นและรัฐบาลจะทำเรื่องระยำ”

ถึงจะฟังอย่างนั้นแต่ต้นสนก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่ามันเกี่ยวอะไรกับพี่ปราชญ์กัน และศศิก็ทราบจึงอธิบายให้ฟัง

“ทุกครั้งที่กูเดินคุยกับพี่ปราชญ์กันแค่สองคนส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องการเมือง ถึงแม้เขาดูจะไม่อะไรแต่เขาติดตามจริงจังมากนะ เห็นเขาบอกว่ามีเพื่อนเป็นอาจารย์อยู่ธรรมศาสตร์หลายคน ไหนจะเลขาธิการรวมถึงอาจารย์นักศึกษาของจุฬาเองก็ห่วงเรื่องนี้เหมือนกัน พี่ปราชญ์รู้อะไรมาแต่ไม่สามารถบอกกูได้ เขาบอกว่าเกี่ยวกับนักศึกษาของเขาและนักศึกษาจากที่อื่น”

“หมายความว่าอย่างไรกัน”

“กูเองก็ไม่แน่ใจ แต่หากว่าประท้วงนี้นักศึกษาเข้าร่วมมึงคิดดูสิว่าพี่ปราชญ์ที่เป็นครูจะอยู่เฉยหรือ”

ชลันเบิกตาแต่ก็พยายามสงบสติตัวเอง “แต่... ตอนนี้พระนครก็ไม่มีเรื่องอะไรเลย”

“มึงเคยได้ยินไหม น้ำทะเลที่หายไปเกือบครึ่งหาด จากนั้นก็จะกลับมาพร้อมคลื่นยักษ์

 

 

เฝ้าคำนึง





ระหว่างทางไม่มีเสียงพูดคุยกันมากมายนัก ทุกคนรับรู้ได้ทันทีว่าต้นสนนั้นมีเรื่องอะไรในใจ และชายธันและชายกรณ์ต่างก็มองหน้าพี่คนโตเพื่อให้พี่ของพวกเขานั้นสอบถามกันเอาเอง

เมื่อถึงเวลาเปลี่ยนคนขับชายธันก็ให้เพื่อนไปนั่งหลังคู่กับพี่ปราชญ์แทน ตอนนี้จอดพักรถกันอยู่ทุกคนต่างไปทำธุระส่วนตัว แต่ปราชญ์ยังคงอยู่ในรถรอน้องเข้ามานั่งข้างใน

“ไหนมานี่ซิ” เมื่อประตูรถเปิดต้นสนก็เข้ามานั่ง ปภารัชจึงกระเถิบเข้าไปหาและจับมือหนาเอาไว้ “เป็นอะไรไหนพูดกับพี่ที”

คล้ายลำคอแห้งผากจะเอื้อนเอ่ยก็มิอาจเอ่ยอะไรออกมาได้ ดวงตาคมได้แต่ทอดมองไปยังคนข้างกาย เขาหลับตาลงและลืมขึ้นใหม่ “ผมกลัว”

“กลัว? กลัวอะไรครับ”

ต้นสนกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากแม้จะไม่อยากหมกมุ่นไปกับความเชื่อที่ว่าเพื่อนพูดหรือคิดอะไรมักเป็นจริง แต่พอผนวกเข้ากับเรื่องการเมืองและสิ่งที่ปราชญ์ได้คุยกับศศินั้น อดที่จะคิดตามไม่ได้เลยว่าพี่ปราชญ์นั้นไปรู้อะไรมา เขาคงโทษตัวเองที่ไม่ค่อยอ่านการเมืองเท่าไรแต่ก็ยังพอรู้มาบ้าง และไม่ใส่ใจพอ ผิดกับเพื่อนอย่างศศิและรวมถึงพี่ปราชญ์ที่คงจะรู้อะไรมามากมายที่คนภายนอกไม่สามารถรับรู้ได้

เขาไม่อาจเข้าใจได้ว่าเรื่องนั้นเกี่ยวกับเรื่องรัฐประหารตัวเองที่เกิดเมื่อกลางเดือนพฤศจิกาหรือเปล่า หรืออาจจะเป็นเรื่องอื่นด้วยที่ไม่มีใครรู้แน่ชัด

“ศศิบอกว่าพี่ปราชญ์รู้เกี่ยวกับเรื่องการเมืองเยอะ”

เมื่อพูดถึงเรื่องนั้นปภารัชจึงเงียบไป ก่อนจะคลี่ยิ้มบาง “คิดมากเรื่องนี้อยู่หรือ” มือขาวยกขึ้นเกลี่ยแก้ม และต้นสนก็จับมือนั้นไว้อย่างมั่นคง

“ผมกลัวว่าจะเกิดอะไร มันอาจจะเป็นเรื่องงมงายแต่ที่ศศิพูดมันจะเกิดขึ้นจริง ผมจึงกลัว”

ปราชญ์พรูลมหายใจ “อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ที่จริงมันควรจะทำได้อย่างเสรี รู้ไหมว่าที่อังกฤษหรืออิตาลีที่นั่นเขาประท้วงกันอย่างเสรี ผิดกับที่นี่ที่ถูกยกเลิกรัฐธรรมนูญไม่พอ ยังยกเลิกรัฐสภา ยกเลิกพรรคการเมืองและมีข้อห้ามออกมาว่าไม่ให้มั่วสุมทางการเมืองเกินห้าคน มันน่าขำไหมล่ะ”

“แต่ที่นี่มันไม่เหมือนกัน”

“พี่รู้คนดี” ปราชญ์ยิ้มบาง “มันอาจจะไม่เกิดอะไรขึ้นก็ได้เพราะตอนนี้ก็ยังไม่มีข่าวคราวอะไร แค่รู้สึกไม่พอใจกับการที่เกิดรัฐประหารขึ้นและยกเลิกอะไรหลายอย่าง”

“แล้วถ้าเกิดวันนั้นมันมาถึงล่ะครับ”

“จงโกรธรัฐบาลเถอะที่ทำให้การออกไปเรียกร้องนั้นเป็นเรื่องน่ากลัว”

“ผมแค่ห่วงพี่”

“พี่ทราบดี ตอนนี้ยังไม่เกิดอะไรก็อย่าไปนึกถึงมันเลย ตอนนี้เรายังอยู่ด้วยกันตรงนี้ไม่ใช่หรือ”

ต้นสนยังคงกังวล “ผมไม่ได้ตามข่าวการเมือง พอมาฟังอย่างนี้ผมรู้สึกไม่ดีเลย ผมไม่คิดว่าพี่ปราชญ์จะสนใจเรื่องนี้ด้วย”

“มันเป็นเรื่องของทุกคนต้นสน”

“ครับผมเข้าใจผมเองก็ไม่พอใจพวกนั้น แต่เพียงผมยังคงไม่เข้าใจเรื่องอื่น ๆ”

“ไว้พี่จะเล่าให้ฟังดีไหม”

“ครับ ผมอยากฟัง”

ปราชญ์อธิบายเรื่องต่าง ๆ ให้ฟัง ที่จริงแล้วเขาตามเรื่องการเมืองมาพอสมควรและรวมถึงหลังจากที่มีเพื่อนที่เป็นอาจารย์ของทางมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และคุยกับอาจารย์ทางจุฬาบางท่านก็ได้รู้อะไรอีกมากมาย เขารู้ว่าต้นสนเป็นห่วง คงจะมีเรื่องนั้นเรื่องเดียว เรื่องที่ใหญ่มาก ที่เกี่ยวข้องกับสายเลือดเจ้าอย่างเขา และเขาคิดว่าสิ่งที่ถูกตบตาของคนในประเทศนั้นเป็นเรื่องจริงเขาพร้อมจะทิ้งความเป็นเชื้อเจ้าออกไป ถึงจะรู้ว่าเสี่ยงอันตรายก็ตาม

แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่มีสายเลือดที่แท้จริงมานานแล้ว...

แม้อย่างนั้นก็ยังมีเรื่องของการรัฐประหารตัวเองที่เป็นเรื่องใหญ่เช่นเดียวกัน ทางบุคลากรหลายฝ่ายกำลังคุยกันเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แม้ว่าเขาจะถูกห้ามรับรู้บางเรื่องเนื่องจากเป็นหม่อมราชวงศ์ก็ตาม... แต่ก็มีหลายท่านที่เชื่อมั่นในตัวเขาและพร้อมจะเปิดเผยเรื่องอะไรต่าง ๆ ให้ฟังตั้งแต่อดีตจึงทำให้ได้รับรู้อะไรมากขึ้น

เลยเป็นเหตุผลว่าทำไม... เขาถึงตามเรื่องการเมืองและความจริงของอดีตขนาดนี้ เพราะมันทั้งโหดร้ายและหลอกลวงมานานแสนนาน

เพียงไม่นานทางชายกรณ์และชายธันก็เดินกลับมาที่รถเมื่อลอบมองห่าง ๆ แล้วเห็นว่าทั้งคู่พูดคุยกันได้ปกติแล้ว

ระหว่างทางมีเงียบบ้าง คุยกันบ้าง จนผลัดเปลี่ยนมาเป็นต้นสนขับ ปราชญ์จึงไปนั่งข้างคนขับเพื่ออยู่เป็นเพื่อน คนที่คิดว่าน้องชายทั้งสองหลับไปแล้ว ยกมือเกลี่ยหูต้นสนอย่างหยอกล้อ ไม่มีคำพูดใดใดนอกจากการกระทำที่ทั้งคู่รู้กันเพียงสองคน

ชายกรณ์ที่หรี่ตามองอยู่ถึงกับต้องหันหลบแล้วก็พบน้องชายคนเล็กที่คงจะรู้สึกเหมือนกันถึงได้อมยิ้มให้กันก่อนจะพากันหลับไป

“ถึงเสียที” ปราชญ์ถอนหายใจแล้วหันไปปลุกน้อง ๆ คนรับใช้ในวังต่างออกมาต้อนรับกลับและพากันยกของฝากและยกของส่วนตัวของคุณชายทั้งหลายไปเก็บ

“ไม่เป็นไรครับพี่” ต้นสนตั้งท่าจะห้ามหนุ่มคนหนึ่งแต่ก็ไม่ทันเสียแล้วในเมื่อเจ้าตัวยกของส่วนตัวของต้นสนไปไว้ที่บ้านให้

“ต้นสนก็อาบน้ำพักผ่อนเสียเถอะนะ ส่วนพวกของไว้พี่ไปช่วยเก็บให้”

“ไม่ได้ครับพี่ปราชญ์ พี่เองก็ต้องพักผ่อน”

ปราชญ์ทำหน้าย่นแล้วเอานิ้วทำเป็นตีสันจมูกคนตรงหน้าเบา ๆ “อย่าดื้อครับ”

“ใครดื้อ” ต้นสนคิ้วยุ่ง “ผมแค่กลัวพี่ปราชญ์เหนื่อย”

“ไม่เหนื่อยหรอกครับ” ปราชญ์คลี่ยิ้มก่อนจะยื่นหน้าไปใกล้ใบหูพลางเอ่ยกระซิบเสียงเบา “แค่ช่วยคนที่พี่รักเท่านี้”

คล้ายกับหินที่แข็งทื่อพ่วงด้วยมะเขือเทศที่แต้มฉาดสองฉาดบนหิน ต้นสนหันมองคนรอบตัวที่ดูจะไม่สนใจเขาสองคนเพราะต่างกันวุ่นกับเอาของไปเก็บ

คนที่ทำผู้อื่นเสียอาการนั้นหันไปคุยกับคนอื่น ๆ สักพักถึงจะหันกลับมาหาต้นสนที่ยังยืนหน้าดำหน้าแดงไม่หาย “คนดี เราไปอาบน้ำอาบท่าก่อนนะ ส่วนพี่ก็จะไปอาบน้ำและไปหาผู้ใหญ่ก่อนแล้วค่ำ ๆ พี่จะไปช่วยเก็บของนะครับ”

คนดี...

ถึงแม้จะได้ยินมาบ่อยแต่พอมารู้ความในใจกันแล้ว หนุ่มนักรักอย่างชลันก็ดูอ่อนปวกเปียกไปทันตา

“ครับ...” ต้นสนผงกหัวและยังทำหน้าไม่ถูก

“ไว้เจอกันนะ” ปภารัชตบบ่าน้องและเดินเข้าไปพร้อมกับน้องชายทั้งสอง ส่วนต้นสนก็อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ก่อนจะเดินออกไปทางบ้านตัวเองพร้อมกับรอยยิ้มประดับบนใบหน้า

 

จวบจนหัวค่ำแล้วต้นสนคงเหนื่อยมากพออาบน้ำเสร็จก็หลับปุ๋ย จึงไม่รู้ว่ามีใครบางคนที่ขึ้นมาหานานแล้วและกำลังจัดของให้ ผ้าเปื้อนก็กองใส่ตะกร้า ของใช้ต่าง ๆ ก็แยกอย่างดี ปราชญ์ชอบช่วยแม่ทำบ่อย ๆ ไม่ว่าจะงานบ้าน งานเรือน เขาได้แม่มาทั้งนั้น

นึกถึงผู้หญิงที่สวยและใจดีที่สุดในใจปราชญ์ก็ได้แต่คลี่ยิ้ม หากตอนนี้ท่านยังอยู่คงเล่าเรื่องอะไรมากมาย และคงพูดออกไปว่าตอนนี้เขามีคนที่รักแล้ว เป็นตำรวจหนุ่มเหมือนพ่อสมัยจีบกับแม่ใหม่ ๆ เชียวล่ะ หรือว่านี่เขาจะมีคนรักเป็นตำรวจตามแม่ด้วยอย่างนั้นหรือ

คนนึกรำพันหัวเราะเสียงเบาพลางส่ายหัวที่คิดอะไรอย่างนั้นก่อนจะตกใจเมื่อมีคนเข้ามากอดจากด้านหลัง

“ต้นสน!”

“มาตั้งแต่เมื่อไรครับ” ต้นสนถามไถ่ มองของที่จัดวางต่าง ๆ ก็ได้แต่ชุ่มชื่นหัวใจ

“นานแล้วครับ ว่าแต่พี่กวนหรือเปล่า” ปราชญ์เอียงคอมอง

“ไม่กวนครับ ตอนแรกผมคิดว่าไปทำเจ้าที่โกรธอะไรเข้าถึงได้มีเสียงคนหัวเราะแว่ว ๆ ตอนกลางค่ำกลางคืน”

ปภารัชถึงกับขำออกเสียง “ว่าพี่เป็นผีหรือ”

“เปล่านะครับ เป็นใครใครก็คิด ไอ้เราก็อยู่ในห้องคนเดียว อยู่ ๆ มาได้ยินเสียงคนหัวเราะใกล้ ๆ มันก็ยังไงอยู่”

“เฮ้อ กลายเป็นผีไปแล้วสิตัวเรา” ปภารัชหันกลับมาจัดของต่อพลางส่ายหน้าก่อนจะสะดุ้งเมื่อคนด้านหลังหอมแก้มไปทีหนึ่ง “ตอนหัวบ่ายยังทำเป็นเขินกันอยู่เลย พอตกกลางคืนแล้วเปลี่ยนไปเชียว”

“คนเราต้องมีการพัฒนาบ้างสิครับ ปล่อยให้ถูกไล่ต้อนอย่างเดียว คงหมดชื่อผู้หมวดชลันผู้บุกบ่าฝ่าฟันทุกสรรพสิ่ง”

“ใครเขาคิดกัน” ปราชญ์เลิกคิ้ว

ต้นสนหอมแก้มอีกฝ่ายไปอีกที ตอนนี้ทำเก่งไปอย่างนั้นแหละหนา เพราะใบหูนั้นร้อนจนเจ้าตัวยังรู้สึก ใบหน้าคงเห่อแดงมาก ๆ แต่เพราะตอนนี้พี่ปราชญ์หันหลังให้อยู่เลยมีความกล้าจะทำอะไรมากขึ้น

ปภารัชเค้นเสียงในลำคอพลางเอาศีรษะซบกับแก้มอีกฝ่าย ถูกคนด้านหลังก่อกวนเป็นพัก ๆ กว่าจะจัดของเสร็จหมดก็เล่นเอาล้าไปหมด

“นี่พี่เอามาให้” ปราชญ์ยื่นรูปสมัยเด็ก ๆ ให้

“โห่ พี่ปราชญ์เคยอุ้มผมด้วยเหรอ”

“ก็ตั้งนานแล้ว สมัยนั้นพี่ยังทำปลาตะเพียนไปให้ต้นสนด้วย”

“จริงหรือครับ” ต้นสนเบิกตา

“จริงสิ พี่ทำไว้แล้วมันเหี่ยวจะให้ต้นสนก็ไม่กล้า ลุงสิงห์เลยหยิบเอาไปให้กับมือต้นสนแทน”

“ป่านนี้ปลาตัวนั้นหายไปไหนแล้วนะ”

“คงแห้งเหี่ยวหายไปตามกาลเวลานั่นแหละ”

พอได้ยินอย่างนั้นต้นสนก็ทำหน้าเศร้า “อยากเห็นจัง”

“หื้อ เด็กชายชลันอยากได้ปลาตะเพียนหรือครับ”

ต้นสนเงยหน้ามอง “อยากได้คนทำปลาตะเพียน”

คนถูกรุกกลับถึงกับนั่งนิ่งไปทันตา ส่วนต้นสนที่เพิ่งรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไปก็เอามือปิดปากตัวเองด้วยดวงตาเบิกกว้าง

เห็นน้องเอาแต่ตกใจกับคำพูดตัวเองความวาบหวามในใจก็ลดลงเปลี่ยนเป็นเอ็นดูขึ้นมา เขายกมือยีหัวน้อง “ทำเป็นพูดเข้า”

“ผมหมายถึงอยากเห็นพี่ตอนนั้น พี่คงเป็นเด็กที่น่ารักมาก ๆ เลย”

“อืม ก็มีหลายคนบอกอยู่นะ ขนาดหม่อมย่ากับเสด็จลุงยังหลงรักเด็กน้อยอย่างพี่หัวปักหัวปำ”

ขลันกลั้นยิ้มพลางหรี่ตา “ชมตัวเองอยู่หรือครับเนี่ย”

“อ่าว ก็มันคือเรื่องจริง” เมื่อเห็นว่าต้นสนยังทำหน้าล้อเลียนไม่หยุดจึงบีบแก้มไปที “พอเลย ๆ นี่ก็ค่ำมากแล้วด้วย ต้นสนนอนพักไปนะ พี่ขอตัวกลับ—“

“นอนด้วยกันนะครับ”

คนถูกชวนนิ่งไปเล็กน้อย ต้นสนเห็นอย่างนั้นจึงรีบพูด “คือผมเห็นว่ามันดึกมากแล้วไม่อยากให้เดินกลับวัง เดี๋ยวเจองูเจอแมลงมีพิษเข้า”

ปภารัชเกือบจะอ้าปากบอกว่าวังอยู่ใกล้เพียงแค่นี้ไม่มีอันตรายอะไรหรอกแต่ก็เงียบลง “เอาสิ มีผ้าปูอีกไหมพี่จะได้เอามาปูพื้น”

“อ้อ! ไม่เป็นไรครับ นอนบนเตียงกับผมก็ได้”

“พี่จะไม่เบียดต้นสนหรือ”

“ไม่หรอกครับ เตียงผมกว้าง” ว่าแล้วก็ตบเตียงให้ฝุ่นออกแม้เตียงจะดูไม่มีฝุ่นก็ตาม

“งั้นขออนุญาตนะครับ” ปราชญ์คลี่ยิ้มเดินมานั่งลงบนเตียงและหยิบเอาหมอนดี ๆ ให้น้อง

ต้นสนยิ้มกว้างก่อนจะเดินไปปิดไฟถึงจะมานอนลงข้าง ๆ มองเพดานพลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ลำแขนพาดไปบนหมอน เมื่อปราชญ์รู้สัมผัสก็หันมองก่อนจะยกหัวขึ้นให้แขนนั้นสอดใต้คอ

“ถ้าเมื่อยก็เอาออกนะ” ปราชญ์กระซิบเสียงเบาพลางเขยิบมานอนใกล้ ๆ อมยิ้มเมื่อต้นสนกดจมูกลงบนผมเบา ๆ

“ฝันดีนะครับ”

ปราชญ์เงยหน้าและหลับตาลงเมื่อหน้าอีกฝ่ายเคลื่อนเข้ามาใกล้ ปากชุ่มชื่นแตะกันเล็กน้อยก่อนที่ทั้งคู่จะต่างคนต่างเข้าห้วงฝันหวาน





จบบทที่ ๑๖

----------------------------------------------------------------------------------------------

*ขออนุญาตนักอ่านทุกท่านอ่านเนื้อความด้านล่างนี้กันหน่อยนะคะ

วันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 จอมพลถนอม กิตติขจร ได้นำคณะปฏิวัติซึ่งประกอบด้วยทหารตำรวจและพลเรือนเข้ายึดอำนาจการปกครองประเทศจากรัฐบาลของตนเอง ถือว่าเป็นสิ่งที่จุดชนวนเริ่มแรกของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในช่วง 14 ตุลา 2516 และ 6 ตุลา 2519 หรือแต่ละปีที่ผ่านมาหลังจากทำรัฐประหารเลยก็ว่าได้ค่ะ ใครที่ไม่ได้รู้เรื่องนี้ไว้รอติดตามได้นะคะเพราะเราจะใส่เข้าไปในนิยายด้วย หรือจะลองค้นข้อมูลหาก็ได้เลยนะคะ เพราะว่าในนิยายนั้นไม่ได้ระบุชื่อใครเข้าไปและไม่ได้ใส่ทุกตอนด้วย (อาจจะมาในตอนพิเศษก็ได้) เราเพียงแค่อยากให้รู้ว่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้มีอะไรบ้างที่ถูกทางรัฐปิดเงียบหายไปนาน แต่ก็อยากแนะนำนักอ่านทุกท่านโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน และขอให้ลองค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม

และขอให้สิ่งที่เราใส่ลงไปได้ถูกเล่าขานต่อ ให้ลูกให้หลานได้ฟัง ว่าประวัติศาสตร์ไทยนั้นโหดร้ายมากมายแต่กลับไม่ได้ใส่ลงไปในหนังสือเรียนเลยสักอย่าง

 

- ข้าพเจ้าไม่ได้มีเจตนาจะลบหลู่หรือสร้างความเสียหายให้แก่ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ข้าพเจ้าขอเล่าเรื่องราวอันชั่วช้าของรัฐบาลและบุคคลที่เกี่ยวข้องในการล้อมปราบประชาชนและนักศึกษา ให้ทุกคน ณ ที่นี้ได้รับรู้มากขึ้น หากข้าพเจ้าลงเนื้อหาในเรื่องนี้ไปและถูกตรวจสอบ ข้าพเจ้าขอให้คำมั่นตรงนี้ว่าข้าพเจ้าไม่คิดเกรงกลัวและจะเปิดเผยต่อไป

 

ในนิยายนี้ไม่มีชื่อของผู้ใดที่อยู่ในเหตุการณ์จริงเขียนลงไป มีแต่เรื่องราวที่อยากให้นักอ่านหลากหลายท่านได้นำข้อมูลไปค้นหาและอ่านเพิ่มเติมเท่านั้น

 

ด้วยความเคารพต่อผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ที่มีความรุนแรงจากรัฐในอดีตที่ผ่านมา

นามปากกา ancient T.

ขอสืบสานต่อเรื่องราวบอกผู้คนให้ตื่นขึ้น


และท้ายที่ไม่ท้ายที่สุด สุขสันต์วันปีใหม่นะคะ ขอให้นักอ่านทุกท่านสุขภาพแข็งแรง

ขอให้ปีต่อไปในอีกหลาย ๆ ปี มีแต่เรื่องดี ๆ เข้ามานะคะ

หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๖
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 01-01-2021 14:18:02
 :pig4:
 :3123:
สวัสดีปีใหม่2564ค่ะ
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 28-02-2021 13:49:08
 
(https://www.img.in.th/images/fe636c1243626b1b50700cf0ac81fbbe.jpg)

บทที่ ๑๗

สัตว์สงวน

 
 

อาทิตย์หนึ่งแล้วที่กลับมาแต่ก็ยังไม่มีวี่แววของน้องชายคนกลางว่าจะมาบอกเล่าเรื่องที่เจ้าตัวคิดมากเพียงผู้เดียว ปราชญ์เองก็อยากถามแต่ก็กลัวว่าจะเป็นการเร่งเร้าน้องมากจนเกินไป ปัญหานี้ค่อนข้างละเอียดอ่อน ต้องคอยระวังคำพูดและการกระทำอยู่เสมอ

“วันนี้พี่ชายกรณ์ก็ไม่กลับหรือครับ” ชายธันที่กลับจากการทำงานเอ่ยถามพี่ชายคนโตที่นั่งอยู่โซฟา ในมือมีหนังสือพิมพ์อยู่

“อืม คาดว่าคงไม่กลับ”

ได้ยินอย่างนั้นนายตำรวจก็ถอนหายใจ “ไหนว่าพี่ชายกรณ์พร้อมที่จะพูดแล้วไม่ใช่หรือครับ ทำไมพอกลับมาแล้วถึงเป็นอย่างนี้ได้”

ปภารัชส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ “พี่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน บางทีอาจจะเป็นเรื่องที่ชายกรณ์คงจะลำบากใจในการพูดมันออกมา”

ชายธันพยักหน้า “เอาเป็นว่าผมจะรอวันที่พี่ชายกรณ์พร้อมจริง ๆ”

ปราชญ์พยักหน้าให้น้องก่อนที่อีกฝ่ายจะขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้า รอจนเวลาล่วงเลยมาถึงค่ำก็ยังไม่เห็นน้องคนกลางกลับมา ปราชญ์จึงจำต้องปลีกตัวไปสะสางงานแทน

แม้ว่าก่อนหน้านี้ดูเหมือนชายกรณ์พร้อมที่จะพูดและอยากพูดออกมา แต่พอจะคุยกันจริง ๆ กลับไม่ใช่ดั่งที่คิด เขาคิดว่าชายกรณ์คงจะโทษตัวเองและคิดมากอยู่เป็นแน่ เขาเคยโทรไปที่กรมแต่ก็ได้ตอบรับกลับมาว่าชายกรณ์ไม่ว่างเสมอ เขาจึงนั่งรอจนถึงหัวค่ำแบบนี้ทุก ๆ วันแทน

เขาไม่อยากปล่อยให้น้องต้องคิดมากว่าตัวเองนั้นโดดเดี่ยว เพราะทุกคนที่นี่รักชายกรณ์จริง ๆ

ตรวจโปรเจคงานของเด็กกลุ่มสุดท้ายปราชญ์ก็พรูลมหายใจ สิ่งที่ต้องให้นักศึกษาแก้และปรับปรุงนั้นปราชญ์จดให้หมดทุกอย่างและให้เกร็ดความรู้เล็กน้อยเพิ่มไปด้วย ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครา ทุกคนต่างงานยุ่งกันจนแทบไม่ได้พบหน้า อย่างวันนี้ที่ชายธันกลับมาถือว่าเป็นวันแรกในรอบอาทิตย์กว่า ๆ ที่เห็นชายธันกลับมาถึงบ้านเร็ว

ปราชญ์หมุนคอตัวเองก่อนจะลุกไปทางหน้าต่าง ดวงตาสอดส่องไปทางบ้านอีกหลังที่ห่างกันเพียงลำคลองกั้น ตอนนี้ไฟในบ้านยังเปิดอยู่ คงเปิดไว้รอต้นสนกลับมาเพราะต้นสนนั้นมีงานเยอะกว่าใคร

มองจนแล้วจนเล่าก็ไม่เห็นว่าต้นสนจะกลับมาเขาจึงไปอาบน้ำอาบท่าเพื่อเตรียมนอน ระหว่างที่กำลังจะมาปิดหน้าต่างก็พอดีกับเห็นกายใครบางคนเดินผ่านไปมาที่ห้องนอนแสนคุ้นตา

แผ่นหลังเปลือยเปล่านั้นเหมือนกำลังเดินไปมาระหว่างโต๊ะทำงานกับตู้เก็บเอกสาร ปราชญ์เปรยยิ้มเล็กน้อยก่อนจะยืนพิงกับขอบหน้าต่าง ทอดมองไปทางอีกฝ่ายอย่างคิดถึง เขากับต้นสนไม่ได้พบหน้ากันมาสักพัก จะมีก็แต่มองทางหน้าต่างอย่างนี้

ต้นสนดูจะมีงานใหญ่รออยู่ถึงได้เคร่งเครียดและตั้งใจกับมันมาก เขาได้แต่ภาวนาให้อีกฝ่ายนั้นทำงานสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีอย่าได้เกิดอันตรายใด ๆ

และดูเหมือนว่าต้นสนจะล้าพอสมควรจากการอ่านกองเอกสารต่าง ๆ จึงได้เตรียมจะลุกมาปิดหน้าต่างเพื่อนอน ปราชญ์เห็นอย่างนั้นจึงโบกมือเล็กน้อย แม้จะห่างไกลแต่ก็เห็นดวงตานั้นเบิกกว้างและใบหน้าที่ตกใจ ผ่านไปสักพักถึงจะอมยิ้มกว้างและโบกมือไปมาให้เขา

“หึ เจ้าเด็กน้อย” ปราชญ์มันเขี้ยวจนอยากจะหยิกแก้มนั้นซะเดี๋ยวนี้ แต่เขารู้ดีว่าต้นสนต้องการพักผ่อนจึงทำท่าชี้อีกฝ่ายและประกบมือเอาหัวแนบเพื่อเป็นเชิงบอกให้ต้นสนนอนได้แล้ว

ต้นสนหน้าหงอยเพราะอยากคุยด้วยมากกว่านี้ งานยุ่งจนไม่ได้คุยกันเลย ตำรวจหนุ่มลอบมองก่อนจะชี้ตัวอีกฝ่ายและทำท่ากอดตัวเอง ปราชญ์ขมวดคิ้ว สับสนระหว่างต้นสนถามเขาว่าหนาวไหมหรือว่าอยากกอดเขากันแน่ พอไม่รู้จึงได้แต่ส่ายหน้า

เจ้าเด็กน้อยของเขาหน้ามุ่ยจนมองออกทันที ปราชญ์หัวเราะอย่างนึกขันก่อนจะเท้าแขนมองท่าทางของอีกฝ่ายที่ทำยังไงก็ไม่เข้าใจ

ต้นสนชี้ตัวเองและชี้คนตรงข้ามและกอดตัวเองไปมา ปราชญ์เริ่มเข้าใจขึ้นมาจึงได้แต่คลี่ยิ้ม

ไม่รู้จะบอกยังไงจึงทำท่ากอดตามแล้วก็เห็นว่าต้นสนตาโตแล้วก็วิ่งหายออกไปจากห้องนอน สักพักถึงจะเห็นคนวิ่งมาทางสะพาน ปราชญ์กะพริบตาปริบ ๆ ไม่ใช่ว่ากอดกันในความคิดก็พอหรอกหรือ

เขาไม่ได้บอกให้ต้นสนลงมาเสียหน่อย

ปราชญ์ส่ายหัวแต่ก็ยอมเดินลงไปข้างล่าง ต้นสนยังคงเปลือยท่อนบนส่วนท่อนล่างก็ใส่กางเกงผ้าลื่นสีกรม

“ลงมาทำไม หื้อ” เมื่อเดินเข้าไปแล้วปราชญ์ก็รับกอดจากอีกฝ่ายทันที ทั้งอบอุ่นและสบายใจ

“ก็ผมนึกว่าพี่ปราชญ์อยากกอดผมจริง ๆ เสียอีก” ตำรวจหนุ่มพูดอย่างตัดพ้อที่เข้าใจผิดไปเอง

“พี่ก็อยากกอดแต่เห็นว่าดึกแล้ว ต้นสนก็คงจะเหนื่อยเลยอยากให้นอนพักผ่อน”

“ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่ครับ การกอดพี่ปราชญ์ก็ถือว่าได้พักเหมือนกัน”

ปราชญ์อยากจะพูดต่อแต่ก็เงียบลงเพราะเห็นด้วยกับการถูกต้นสนกอดอย่างนี้ก็หายเหนื่อยขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะเกยคางบนไหล่หนาแล้วกระชับกอดที่โอบรอบบ่าให้แน่นขึ้นเพื่อซึมซับความอบอุ่นนี้ “หายเหนื่อยจริง ๆ ด้วย”

ต้นสนคลี่ยิ้มกว้างกอดเอวอีกฝ่ายและจูบขมับ ไม่มีคำพูดอะไรออกมาอีกนอกจากการกอดกันอย่างนี้ งานที่เครียดและน่าหวาดหวั่นของตำรวจหนุ่มพลันถูกขจัดไปในพริบตา

“เอาล่ะ ไปนอนได้แล้ว” ปราชญ์ผละออกมาก่อนจะลูบเส้นผมนั้นอย่างเบามือ

“ราตรีสวัสดิ์นะครับ” ต้นสนเกลี่ยแก้มขาว

“ครับ ราตรีสวัสดิ์” ปราชญ์รับจูบอีกฝ่ายก่อนจะต่างคนต่างเดินกลับไปยังห้องนอนของตัวเอง

 
 


เฝ้าคำนึง

 
 


“หมวดชลัน” สารวัตรพฤทธิ์ผู้เป็นหัวหน้าทีมเอ่ยเรียกลูกน้องคนสนิททันทีเมื่อเห็นว่าคนที่กำลังตามจับไม่ใช่คนที่ต้องการ

“ครับสารวัตร” ตำรวจหนุ่มรีบเดินเข้าไปหา

“เอกสารเกี่ยวกับคดีนี้อยู่ไหน”

ตำรวจหนุ่มหันมองรอบข้างและยื่นหน้าไปกระซิบ “ผมเก็บไว้ในตู้ที่บ้านครับ”

“อืม แต่จะดีมากหากเก็บไว้ให้มิดชิดกว่านี้”

ชลันพอจะเข้าใจในสิ่งที่หัวหน้าตนเองสื่อว่าทำไมถึงพูดอย่างนี้ เพราะพวกนี้มันมีเส้นสายใหญ่ “ครับสารวัตร” ผู้หมวดหนุ่มตอบรับหัวหน้าตนเองอย่างเคร่งครัดก่อนจะเดินออกไปจากพื้นที่

“เป็นไงบ้างหมวด” จ่าทูนหนึ่งในทีมได้เอ่ยถามขึ้นมาเมื่อเห็นสีหน้าหม่นหมองของอีกฝ่าย

“ถึงจะดักจับของกลางกับคนได้แต่ก็เป็นเพียงพวกตัวล่าง ๆ ไม่ใช่ตัวเป้งดั่งที่เราต้องการ”

“แต่ว่าพวกนั้นก็ใหญ่ใช่เล่นนะครับ ไม่อย่างนั้นคงไม่ตามตัวลำบากแบบนี้เพราะมันมีสายเยอะ”

หมวดชลันถอนหายใจพลางนวดขมับ “ถึงจะอย่างนั้นผมก็อยากจะจับไอ้ตัวใหญ่ให้ได้”

“เอาหน่าหมวด เดี๋ยวก็เจอตัว”

เขาทำเพียงพยักหน้าทั้งที่ในใจนั้นเดือดพล่านแค่ไหน เขาไม่อยากรอ ไม่อยากปล่อยให้พวกมันลอยนวล ต้องมีกี่คนแล้วที่ถูกพวกมันหลอกขายยาและทำให้เสียสติ ที่จริงแล้วเขาเพิ่งจะสืบมาได้ว่าพวกนี้เกี่ยวข้องกับคนใหญ่คนโตที่อยู่ในรัฐ นอกจากของกลางที่เป็นพวกยาแล้วยังมีพวกหนังสัตว์และซากสัตว์ที่เป็นพวกสัตว์สงวนด้วย เรื่องนี้มีเพียงไม่กี่คนในทีมเท่านั้นที่รู้เพราะกลัวว่าจะมีสายในตำรวจ

มันเสี่ยงและอันตรายเป็นอย่างมากเพราะเล่นกับคนใหญ่คนโตคนนี้...

เมื่อเสร็จงานจากตรงนี้แล้วก็ต้องไปประชุมกันอีกรอบ กว่าจะหมดเรื่องเวลาก็ล่วงเลยมายังตีสอง

ชลันนวดคอตัวเองและนั่งเอนพิงหลังอย่างเหนื่อยอ่อน ตอนนี้ในห้องเหลือตำรวจไม่กี่คนที่มีงานต้องทำ ชายหนุ่มมองออกไปยังท้องฟ้าที่มืดครึ้มด้านนอก เมื่อลองคิดในหลาย ๆ มุม ไม่มีข่าวคราวเรื่องที่ว่าจะมีคนใหญ่คนโตคนไหนเกี่ยวข้องกับยา แต่ทำไมพวกนั้นถึงได้ทำงานให้

หรือจะเป็นสัตว์สงวน?

นึกแล้วชายหนุ่มก็เบิกตาแล้วรีบกลับบ้านเพื่อไปอ่านเอกสารลับที่รู้กันเพียงสองคนกับสารวัตร

เมื่อถึงบ้านตนเองก็รีบขึ้นไปหาเอกสารที่เก็บไว้ในตู้ทันที “สัตว์สงวน นี่ไง” ชลันคลี่ยิ้มและอ่านเอกสารนั้นอีกครั้ง ก็พบว่าคนพวกนี้ลักลอบขนซากสัตว์ แต่ก็ไม่ได้ทำเป็นประจำแค่มีบางครั้งเท่านั้นที่สายข่าวบอกว่าพวกมันมักจะไปที่ทุ่งใหญ่นเรศวร แต่ก็ไปที่อื่นด้วยเหมือนกัน บางทีสิ่งที่เกี่ยวข้องกับรัฐในตอนนี้อาจจะเป็นเรื่องนี้ ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีความมั่นใจมากพอที่จะตัดสินไปเอง

หมวดชลันถอนหายใจก่อนจะหันมองทางหน้าต่างของวังก็พบว่าหน้าต่างนั้นปิดไปแล้ว แม้เอกสารนี้จะเป็นความลับก็ตาม แต่ว่า... พี่ปราชญ์คงจะรู้อะไรมากกว่านี้ก็ได้

“ไม่ได้สิวะ เอกสารลับไม่ควรให้ใครดู” พูดเตือนตัวเองอีกรอบแล้วจัดการเก็บเอกสารไว้ที่เดิม นอนคิดเรื่องนี้ทั้งคืนจนสุดท้ายต้นสนก็ผล็อยหลับไป

 

เสียงของผู้คนและนกดังขึ้นในช่วงเช้าปลุกให้ผู้หมวดหนุ่มรีบลุกขึ้นเพื่อจะได้ไปทำงาน แม้ว่าเมื่อคืนจะกลับดึกเพียงใดก็ตาม

“อ้าวลูก เมื่อคืนกลับกี่โมงกี่ยามล่ะ” ต้นอ้อเมื่อเห็นลูกชายกำลังจะไปอาบน้ำก็ถามขึ้นทันที

“คงตีสองล่ะมั้งแม่” ต้นสนตอบยานคาง

“ดึกขนาดนี้น่าจะนอนที่นั่นเลย ขับรถกลับดึก ๆ ดื่น ๆ ไม่ง่วงจนโดนรถชนก็ดีแล้ว”

คนเป็นลูกพยักหน้าตอบรับเนือย ๆ และลงไปอาบน้ำข้างล่างที่อยู่ในบ้านชั้นแรกแต่ก็ต้องตกใจเมื่อพบกับใครบางคนที่เพิ่งนึกถึงก่อนนอนเมื่อคืนนี้

“พี่ปราชญ์”

ปภารัชยิ้มให้ อยู่ในชุดสูทที่เตรียมพร้อมไปสอน “วันนี้ตื่นสายหรือ”

“ครับ” ต้นสนผงกหัวก่อนจะรู้สึกเก้อเขินเพราะตอนนี้ใส่แค่ผ้าขาวม้า ผู้ชายทุกคนก็มีเจ้าลูกชายโผล่มาเสมอในช่วงเช้าเลยจำต้องหันข้างไว้

ปราชญ์ไม่ได้มองสิ่งใดนอกจากใบหน้า “ก่อนไปทำงานอย่าลืมทานอะไรไปนะครับ”

“ได้ครับ” ต้นสนยิ้มแหย

พอจะเข้าใจว่าเป็นอะไรปราชญ์ก็ได้แต่นึกขำอย่างเอ็นดูก่อนจะยื่นหน้าหอมแก้มและกระซิบเสียงเบา “อรุณสวัสดิ์ครับคนดี”

ตำรวจหนุ่มร้อนไปทั้งหน้า เขินเสียจนแทบจะมุดดินเสียให้รู้แล้วรู้รอด เขานั่งลงยอง ๆ แล้วกุมหัวตัวเอง จนลืมถามไปเสียเลยว่าพี่ปราชญ์มาหาใครที่บ้านนี้ เพราะดูแล้วไม่น่าจะมาคุยกับเขา

อาบน้ำเสร็จจนออกมาแล้วก็พบว่าพี่ปราชญ์ไม่อยู่ที่นี่แล้ว ตำรวจหนุ่มทำหน้าเศร้า อยากกอดอีกสักทีก่อนแล้วค่อยไปทำงานจะได้มีกำลังใจ...

“เร็ว ๆ สิพี่ต้นสน ฟ้าใสจะสายแล้วนะ” น้องที่อยู่ในชุดนักศึกษาโวยวาย

“เอ้า พ่อไม่ไปส่งแทนเหรอ”

“ก็พ่อติดงานส่งของน่ะสิ ไปเร็ว ๆ เลย” ว่าแล้วก็ผลักหลังพี่ชายตนเองให้เข้าห้องไป

ชลันส่ายหน้ากับตัวเองแล้วรีบแต่งตัวตามคำบัญชาน้องสาว

ต่างฝ่ายต่างขึ้นรถ ขับออกมาได้สักพักเจ้าน้องตัวดีที่บ่นก่อนหน้านี้กลับทำหน้ามีลับลมคมใน เอาแต่ลอบมองจนชลันต้องเอ่ยปากถาม

“มีอะไรก็พูดสิ มองอยู่นั่น”

“โธ่ มองไม่ได้หรือไง หรือพี่ปราชญ์มองได้คนเดียว”

พูดถึงคนในใจต้นสนก็หูแดงแปร๊ด “หยุดเลยฟ้าใส”

“อะไรเล่า ก็ใครให้ไปหอมกันตรงนั้น ไม่อายฟ้าอายดินหรือไง” พูดเสร็จก็ปิดแก้มตัวเองเพราะเขินแทนพี่ชาย

“นี่เธอเห็นเหรอ” ต้นสนลนลาน

“ก็ใช่น่ะสิ” ฟ้าใสกอดอกก่อนจะค่อย ๆ เรียกเสียงเบา “นี่พี่... ที่จริงแม่ก็เห็นนะ”

เอี๊ยดดด

“โอ๊ยยย ตาพี่นี่”

“แม่เห็นจริงเหรอ” ต้นสนหน้าซีด

เมื่อเห็นว่าพี่ชายตนเองเริ่มเครียดฟ้าใสก็รีบจับไหล่ปลอบ “แม่แค่ตกใจ แล้วก็ถามฟ้าใสด้วยว่าฟ้าใสคิดยังไง”

“แล้วยังไงต่อ”

“ก็ฟ้าใสบอกว่าน่ารักดี พี่สองคนรักกันก็ไม่เห็นเป็นอะไร”

ต้นสนพยักหน้าแต่ตายังเบิกอยู่อย่างนั้น “แล้วแม่ว่าไง”

“แม่ตอบว่า อือ ดีแล้วที่คิดแบบนี้”

ได้ยินอย่างนั้นต้นสนก็มีสีหน้าอ่อนลง “แค่นั้นเหรอ”

“ใช่”

“เฮ้อ”

“ที่จริงหนูเคยถามแม่เรื่องคนรักเพศเดียวกันนะ ตั้งแต่ที่พี่บอกหนูเรื่องพี่ปราชญ์น่ะ” เมื่อเห็นพี่ชายหรี่ตาก็ยกมือส่ายเป็นพัลวัน “แต่ไม่ได้พูดถึงพี่นะ หนูแค่ถามเพราะอยากรู้เฉย ๆ”

ต้นสนไม่ได้ตอบอะไรนอกจากขับรถต่อและฟังน้องไปด้วย

“แม่เล่าให้หนูฟังว่าที่จริงลุงสิงห์กับลุงไฟเป็นคนรักกัน หนูตกใจจนไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเลยนะพี่ แต่เรื่องนี้พี่คงรู้นานแล้วใช่ไหมเพราะพี่ไปอยู่นู่น”

ต้นสนพยักหน้าตอบน้อง ฟ้าใสเลยพูดต่อ

“หนูก็ไม่เข้าใจตั้งนานว่าทำไมลุงสิงห์กับลุงไฟถึงอยู่ด้วยกันแล้วทำไมไม่มีใครไปหาเมียสักที ที่ไหนได้...” ฟ้าใสส่ายหน้าพลางยิ้ม “สงสัยเวลาหนูไปหาท่านทั้งสองคงมองเหมือนเดิมไม่ได้ ต้องแซวสักที”

“หึ มีหวังตาลุงไฟนั่นได้ชอบใจที่มีหลานแซวจนลุงสิงห์เขิน”

“ว่าแล้วก็อยากเห็นลุงสิงห์อีกมุมเลย ตอนเขินลุงไฟคงเหมือนพี่ต้นสนกับพี่ปราชญ์ใช่ไหม”

ชลันอมยิ้มจนแก้มนูน “อืม”

“แต่ลุงสิงห์น่ะนะทั้งเท่ ทั้งเก่ง ทั้งหล่อ ไม่อยากจะบอกว่ามีสาว ๆ ชอบลุงสิงห์มากกว่าลุงไฟเสียอีก”

ได้ยินอย่างนั้นต้นสนก็หัวเราะจนลั่นรถ “ถ้าตานั่นมาได้ยินคงหน้าหงิก ฮ่า ๆ”

“พี่นี่ชอบกัดกับลุงไฟอยู่เรื่อยเลย ก็ไปขำแก”

“พี่จะเล่าให้ฟังนะตอนที่พวกท่านมาหาที่นี่ สาวคนงานเอย สาวผู้ดีเอยที่รู้ข่าวก็ต่างอยากมาพบเจอท่านรองสหัสทั้งนั้น จนตาลุงไฟน่ะนะ นั่งหน้าหงิก หน้าบูดอยู่นั่นจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เพราะน่ากลัว ฮ่า ๆ”

ฟ้าใสอดจะหัวเราะตามไม่ได้ เพราะจำได้ดีว่าลุงสิงห์มาหาแล้วก็มีสาว ๆ เอาทั้งขนม เอาทั้งของมาฝาก แล้วก็ได้ยินแม่กับยายคุยกันว่าลุงไฟน้อยใจอะไรสักอย่าง พอมาตอนนี้กลับเข้าใจแล้วว่าเรื่องมันเป็นยังไง

ถึงอย่างนั้นเด็กสาวก็ค่อย ๆ หุบยิ้มลง “เสียดายที่ฟ้าใสไม่รู้ตั้งแต่แรก”

ต้นสนหันมองน้องที่เศร้าหมองไปจึงผละมือจากพวงมาลัยมายีหัว “ตอนนี้ก็รู้แล้ว อย่าไปคิดมาก”

ฟ้าใสทำเป็นปัดแขนพี่ชายตนแก้เขิน “ผมยุ่งหมด”

ถึงที่หมายแล้วต้นสนก็จอดรถให้ “ตั้งใจเรียนนะ”

“พี่ก็ตั้งใจทำงานนะ” ฟ้าใสลงรถและโบกมือให้ รอจนน้องเดินเข้าไปถึงหน้าตึกสารถีส่วนตัวก็ออกรถเพื่อไปที่ทำงานทันที

 
 


เฝ้าคำนึง

 



ตกดึกของวันต้นสนกลับดึกอย่างเคยแต่ก็เร็วกว่าเมื่อวาน ตำรวจหนุ่มหันมองรอบบ้านอย่างฉงนเพราะคนที่บ้านดูเหมือนซื้ออะไรมาประดับมากมายอย่างกับจะจัดงาน ตั้งแต่ทางเข้าแล้วก็เห็นว่าเริ่มมีพวกไฟหลากสีและอะไรต่อมิอะไรมากมายอยู่เต็มไปหมด

“แม่นี่อะไร” ต้นสนถามถึงไฟสี ๆ

ต้นอ้อที่กำลังนั่งคุยกับสามีตนหันมอง “จำไม่ได้อย่างเคยสินะ” พูดเสร็จก็ส่ายหน้าแต่ก็ไม่ตอบอะไรจนต้นสนยืนฟังเก้อ

ชายหนุ่มยักไหล่และเตรียมเข้าห้อง ช่วงนี้ทำได้แต่ไปส่งน้องสาวส่วนคนรับหน้าที่เป็นสารถีรับน้องสาวกลับบ้านก็เป็นพ่อแทน ป่านนี้น้องคงเข้านอนไปแล้วหรือไม่ก็ทำการบ้านอยู่ เขาเองก็ควรจะอาบน้ำและเข้านอนเช่นกัน อีกอย่างเขาก็ไม่ค่อยกินข้าวจนมันชินไปเสียแล้ว ช่วงนี้ก็เลยไม่หิวข้าว ถึงแม้ว่ามันจะไม่ดีก็เถอะที่อดข้าวอย่างนี้ แต่คงไม่มีเวลามานั่งกินเพราะอยากสนใจแต่งาน

แต่พอเปิดประตูเข้าไปในห้องก็ต้องตกใจเมื่อเห็นใครนั่งอยู่ แม้จะเห็นเพียงแผ่นหลังแต่ก็รู้ว่าเป็นใคร ดวงใจชายหนุ่มเต้นระส่ำก่อนจะค่อย ๆ งับประตูแล้วย่องเท้าเข้าไปหา

หมับ

“หื้อ ต้นสน!” ปราชญ์ตกใจเล็กน้อยก่อนจะหลับตาหยีเมื่อถูกหอมแก้ม “ทานข้าวมาหรือยัง”

“ยังเลยครับ หิวมาก ๆ เลย” ไหนบอกว่าไม่หิวไงวะไอ้ต้นสน บ่นตัวเองในใจที่เล่นละครเก่งเสียขนาดนี้ สงสัยคงต้องไปแสดงละครเป็นงานอดิเรกเสียแล้ว

ปราชญ์ขมวดคิ้วแกมดุ “ทำไมไม่หาอะไรทานก่อน เป็นโรคกระเพาะขึ้นมาจะทำยังไง”

“ไม่มีเวลากินเลยครับ งานยุ่ง” ต้นสนพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนพลางกอดโยกอีกฝ่าย

คนอายุมากกว่าส่ายหัวแต่ก็ยอมให้กอดโยกเหมือนเด็ก ๆ “ทีหลังต้องหาอะไรไปทานระหว่างทำงานด้วย”

“แต่ส่วนมากผมทำงานนอกสถานที่น่ะสิเลยไม่ได้ซื้อพวกของกินติดมือ”

“ถึงจะนอกสถานที่แต่ก็มีไว้สักเล็กน้อยก็ได้ให้พอคลายหิว”

“ค้าบ ๆ”

“ฟังหรือเปล่า”

“ฟังสิฟัง” ชลันตอบพึมพำแล้วกดจูบที่ลำคอขาว

“อือ อย่าทำแบบนี้” ความวูบไหวนั้นทำปราชญ์เสียสมาธิในการดุคนด้านหลังทันทีจึงเผลอพูดเสียงกระเส่า ทว่า ต้นสนเองก็ไม่ได้สังเกต

“ทำไมหรือครับ” ต้นสนทำหน้างุนงง เริ่มกลัวว่าจะทำอะไรเกินเลยโดยที่อีกฝ่ายไม่ยินยอม “ขอโทษนะครับ”

ปราชญ์ถอนหายใจและคลี่ยิ้ม “ไม่ได้ห้ามไม่ให้ทำ ไม่ต้องขอโทษหรอก พี่แค่...”

รู้สึกอะไรบางอย่าง คำพูดนี้จำต้องพับเก็บเมื่อคิดได้ว่าหากพูดไปเจ้าเด็กดื้อคงจะทำตัวไม่ถูก

“แค่...” ต้นสนพูดตาม

“แค่จั๊กจี้”

“ปัดโธ่ ไอ้ผมก็นึกว่าพี่จะโกรธผมเสียแล้ว” ต้นสนยิ้มกว้าง

ปภารัชยกมือลูบผมอีกฝ่ายที่ซุกกับบ่าตนเอง เรื่องอย่างว่านั้นเป็นเรื่องรองก็จริง แต่คงอดปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกครั้งที่ได้กอด ได้จูบมักจะรู้สึกอะไรมากกว่านั้น แต่เขาก็อยากรอให้น้องพร้อมกับเรื่องนี้ก่อนเพราะน้องคงไม่รู้เกี่ยวกับวิธีทำและคงกังวลน่าดู ดูจากประสบการณ์จากที่เคยจูบกันครั้งแรกน่ะนะ...

“ไปทานข้าวกันครับ พี่ต้นอ้อทำไว้เผื่อ พี่เองก็รอต้นสนมาทานด้วยกัน”

“ครับผม” ตำรวจหนุ่มกระตือรือร้นถอดเสื้อนอกออกเหลือเพียงเสื้อยืดขาว “ไปกินข้าวกันครับ”

ปราชญ์ยิ้มและลุกขึ้นออกไปพร้อมกับอีกฝ่าย

 

วังศุลภาณันท์

กริ๊งงง


“ค่า มาแล้วค่า” แตงที่เพิ่งจะประแป้งเตรียมนอน รีบวิ่งมาทางโทรศัพท์ อดจะบ่นในใจไม่ได้ที่ใครกันโทรมาดึก ๆ ดื่น ๆ “วังศุลภาณันท์ค่ะ”

(ปราชญ์อยู่ไหมครับ!) น้ำเสียงทางด้านนั้นออกจะร้อนลนจนสาวเจ้าตกใจ

“คุณปราชญ์อยู่อีกบ้านหนึ่งค่ะ ไม่ทราบว่าทางสายคือท่านใดหรือคะจะได้แจ้งคุณปราชญ์ให้ทราบไว้”

(ผมอาทิตย์ เป็นเพื่อนคุณปราชญ์เองครับ)

“อ้อ คุณชายอาทิตย์นั่นเอง ไม่ทราบว่ามีเรื่องด่วนอันใดหรือคะ”

(ช่วยไปเรียกปราชญ์มาคุยได้ไหมครับ เป็นเรื่องด่วนมาก)

แตงมีสีหน้าหนักใจแต่ก็พยักหน้าแม้ปลายสายจะไม่เห็นก็ตาม “ได้ค่ะ สักครู่นะคะ จะรีบตามมาให้เดี๋ยวนี้” วางโทรศัพท์ลงไว้ข้าง ๆ ก็รีบถกผ้าถุงเพื่อข้ามสะพานไปอีกฟากทันที

“คุณปราชญ์คะ คุณปราชญ์ อยู่ไหมคะ”

“อ่าวแตง มีเรื่องอะไร” ปราชญ์ที่ออกมาทานข้าวกับต้นสนรีบลงมาดู

“คือคุณชายอาทิตย์โทรทางไกลมาค่ะ บอกว่ามีเรื่องด่วนอยากจะคุยด้วย”

ความรู้สึกหวั่น ๆ นั้นทำให้ปราชญ์ต้องรีบผงกหัวก่อนจะเงยหน้ามองต้นสนที่ชะโงกหน้ามามอง “เดี๋ยวพี่มานะครับ ทานข้าวไปก่อนเลย”

ยังไม่ทันที่ต้นสนจะเอ่ยถามอะไรปราชญ์ก็รีบวิ่งกลับไปที่วังทันที

“ว่าไงทิตย์”

(ปราชญ์! เกิดเรื่องแล้ว!)

“มีอะไร ใจเย็น ๆ ก่อน แล้วนายโทรมาทำไมดึกดื่นป่านนี้—”

(Look!)

 

(ภวัตไปเมืองไทยแล้ว!)





จบบทที่ ๑๗

--------------------------------------------------------------------------

ทุกวันนี้เป็นเดือนกว่าจะอัพแต่ละตอนทีเพราะติดขัดอะไรหลายอย่างเลย ต้องขออภัยคุณนักอ่านที่รอตลอดด้วยนะคะ จะพยายามอัพให้เร็วกว่าเดิม

หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 28-02-2021 19:05:55
 :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๗
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 23-03-2021 13:44:28
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๘
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 13-04-2021 17:21:55
 
(https://www.img.in.th/images/cea677a88341d8b9c57453fe46640fe0.jpg)

บทที่ ๑๘

ปัญหาครอบครัว

 

 

ในห้องโถงขนาดใหญ่ปราชญ์นั่งอยู่ตรงกลางโดยมีชายธันขนาบข้าง ส่วนคนตรงข้ามก็เป็นน้องชายคนกลางที่เพิ่งจะกลับมาที่วังในรอบเดือน ปราชญ์ไม่อยากพูดในเชิงดุเพราะยังไงอีกฝ่ายก็โตพอจะคิดได้ในบางอย่าง

“พร้อมหรือยัง” เขาจะไม่ถามว่าทำไมถึงหลบหน้า เพราะเขารู้ว่าชายกรณ์ไม่อยากพูดถึง

“ครับ” ชายกรณ์ตอบอย่างเหนื่อยอ่อนกับตัวเองที่คอยเอาแต่หลบหน้า เพราะไม่ว่ายังไงก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย

“ไหนบอกพี่หน่อย ว่าชายกรณ์เป็นอะไร”

ทหารหนุ่มมีสีหน้าลำบากใจ ทว่า ก็ดูอยากจะพูดจึงพรูลมหายใจ “ผมน้อยใจทุกคนในครอบครัวหรือแม้แต่คนนอกครอบครัวอย่างต้นสนที่ผมเห็นเสมือนน้องชายอีกคน”

ปราชญ์ทำเพียงพยักหน้าเพื่อให้น้องพูดต่อ

“จำวันที่มีงานแต่งของพี่ต้นอ้อกับพี่เฟื้องได้ไหมครับ ตอนนั้น… ถึงผมจะยังเด็กแต่ผมก็ยังพอรู้เรื่อง ผู้ใหญ่หลายท่านที่มางานต่างพูดว่าผมเกิดมาโดยที่เสด็จพ่อกับคุณแม่ไม่ได้รักกัน ทั้งคู่ถูกบังคับให้มีลูกซึ่งก็คือผม ถึงแม้ว่าหลัง ๆ มานั้น ท่านทั้งสองจะรักกันแล้วและมีลูกอีกคนอย่างชายเล็ก จากนั้นมามันทำให้ผมเสียนิสัยเผลอคิดน้อยใจว่าทำไมมีเพียงผมที่เกิดมาช่วงที่ครอบครัวไม่ได้สมบูรณ์แบบ แล้วทำไมพี่ชายใหญ่ถึงได้เกิดมาในครอบครัวที่รักกันมากขนาดนั้น ส่วนชายเล็กเองก็เกิดมาโดยที่เป็นครอบครัวที่อบอุ่นแล้ว ทำไมผมถึงได้เกิดมาช่วงนั้นคนเดียว”

ยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกผิด แต่ก็เป็นความในใจที่ไม่เคยจางหายไปเลยตั้งแต่อดีต ชายกรณ์ไม่ค่อยแสดงความอ่อนแอหรือเสียใจให้ใครเห็นเพราะกลัวว่าคนอื่น ๆ นั้นจะหาว่าเขาเรียกร้องความสนใจ ถึงแม้จะรู้ว่าทุกคนในครอบครัวไม่มีทางพูดคำนั้น แต่มันก็อดคิดไม่ได้

“ผมรักทุกคนมาก จนผมรู้สึกผิดอยู่ตลอดที่เกิดอาการอิจฉากับพี่ชายและน้องขายของตัวเอง มันแย่มากเลย” ชายหนุ่มกุมหน้าผาก

ปราชญ์เห็นอย่างนั้นจึงลุกขึ้นไปนั่งข้าง ๆ แล้วโอบกอด “ไม่เป็นไรนะ พี่ไม่โกรธ พี่ขอโทษนะที่ไม่เคยถามหรือสังเกตเลย”

ทั้ง ๆ ที่ไม่ผิดแต่ก็ยังขอโทษ มันทำให้ชายกรณ์รู้สึกว่าตัวเองนั้นแย่จริง ๆ เพราะพี่ปราชญ์ก็ดูแลเขามาตลอด ห่วงใยเสมอ แต่เพราะความอิจฉามันบังจุดที่ดีไปจนเกือบหมด

“ผมน้อยใจเสด็จพ่อที่รักพี่ชายใหญ่มากเพราะเป็นลูกคนแรกและเป็นลูกของผู้หญิงที่ตัวเองรักที่สุด ส่วนคุณแม่ก็รักชายเล็กมาก คอยดูแลชายเล็กเสมอ ผมเลยถามกับตัวเองตลอดว่าพ่อแม่รักผมบ้างหรือเปล่า”

ปราชญ์น้ำตาคลอเล็กน้อยเพราะสงสารน้องเกินทน ไม่คิดเลยว่าจะแบกรับเรื่องพวกนี้มาตลอด ทหารหนุ่มที่ใคร ๆ ก็ว่าแข็งแกร่ง อดทน แต่ตอนนี้กลับกำลังนั่งร้องไห้จนตัวสั่นไปหมด

ชายธันมองพี่ชายคนกลางด้วยใบหน้าที่ตกใจตั้งแต่ได้เริ่มฟังก่อนจะลุกไปนั่งอีกข้างแล้วลูบหลังเพื่อปลอบโดยไม่พูดอะไรมากกว่านั้น

“วันนั้นที่เราทั้งสี่คนลงเล่นน้ำ ทำเป็นเล่นตำรวจไล่จับผู้ร้าย ตอนที่ชายธันกับต้นสนเล่นกับพี่ชายใหญ่ ผมมองภาพทั้งสามคนเล่นด้วยกันแล้วเหมือนรู้สึกว่าผมเป็นคนนอก ไม่ว่าจะออกไปซื้อของ เดินเล่นที่ไหน พี่ชายใหญ่มักจะดูแลและจูงมือทั้งต้นสนและชายธันตลอด ผมก็อยากอยู่แบบนั้นบ้าง ผมอยากร้องไห้ ผมอยากอ่นแอให้พี่ชายใหญ่ปลอบผมบ้าง”

“พี่ขอโทษนะ พี่ขอโทษ” ปราชญ์กอดน้องแน่นขึ้น ความรู้สึกผิดจุกอยู่เต็มอก

“ช่วงที่ชายเล็กเริ่มดีกับพี่ชายใหญ่ ชายเล็กก็ไม่เคยฟังผมเลย ไม่ว่าผมจะดุหรือเตือนในเรื่องที่น้องทำไม่ดีชายเล็กก็ไม่คิดจะฟังผมและไม่เคยคิดจะขอให้ผมดูแลหรือขอคำปรึกษาจากผมเลย แม้ผมจะรอน้องเสมอ”

ปราชญ์สบตากับชายธันที่ตอนนี้ก็น้ำตาคลอเฉกเช่นเดียวกัน น้องสุดท้องเม้มปากก่อนจะบีบมือพี่ชายตน “ผมขอโทษครับ”

ไม่เลย เขาไม่อยากได้คำขอโทษเลยสักนิด เพราะทั้งคู่ไม่ผิด มันเป็นเพียงความน้อยใจ อิจฉา ที่อยากจะระบายให้ทั้งคู่รับรู้เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรือยอมรับผิดในเรื่องที่ตัวเองไม่รู้และไม่ใช่คนผิด

“ต้นสนเคยเล่นเคยดีกับผมเสมอและผมก็เอ็นดูเหมือนเป็นน้องชายอีกคน ผมคอยไปเล่นเป็นเพื่อน คอยช่วยตอนโดนชายเล็กต่อว่าและคอยรับฟังเวลาที่ต้นสนเล่าอะไร แต่พอต้นสนกับชายเล็กดีกันแล้ว เรื่องที่ต้นสนแอบรักพี่ชายใหญ่ ผมเองก็รู้คนสุดท้าย แล้วทำไมคนที่เคยทะเลาะกันมาก่อนถึงได้รู้คนแรกและคนเดียว”

เป็นความอิจฉาที่เขาเริ่มจะเกลียดตัวเองที่มีความคิดแบบนี้ มันไม่ควรจริง ๆ

“ผมขอโทษพี่ชายใหญ่และขอโทษชายธันที่คิดอะไรแบบนั้น”

“พี่—”

“ไม่เป็นไรครับ ผมรู้ว่าทั้งคู่ดีกับผมมากและรักผมมากจริง ๆ ทุกคนไม่มีใครผิดเลยครับ มีเพียงผมที่คิดในแง่ลบไปเพียงคนเดียว ไม่จำเป็นต้องขอโทษเลย ขอแค่เพียงรับฟังผมก็พอแล้ว” ชายกรณ์คลี่ยิ้มบางก่อนจะใช้แขนข้างขวาโอบกอดพี่ตอบและบีบมือน้องชายกลับ “ขอโทษนะชายเล็กที่คิดอะไรแบบนั้นมาตลอด”

“ไม่เป็นไรครับ อีกอย่าง… ผมก็มีส่วนผิดเพราะผมที่ไม่เคยฟังคำเตือนหรือฟังคำพูดของพี่ชายกรณ์เลย จนทำให้พี่ชายกรณ์เป็นอย่างนี้ ผมเองก็ผิดจริง ๆ ผมควรจะขอโทษ เพราะทุกสิ่งที่พี่ชายกรณ์พูดล้วนแล้วแต่หวังดีกับผม แต่ผมดันดื้อดันไม่ยอมสำนึกรับผิด ผมขอโทษจริง ๆ ครับและผมก็รู้สึกผิดมาก ๆ ที่ทำแบบนั้นและไม่เคยตระหนักถึง” ไม่ว่าเปล่ายังยกมือไหว้เพื่อเป็นการขอโทษออกมาจากใจจริง

ชายกรณ์ตกใจรีบคว้ามือน้องก่อนจะตบเบา ๆ ที่หลังมือ อยากจะพูดว่าไม่เป็นไรแต่คงจะดีกว่าที่รับรู้ “เข้าใจแล้ว พี่ยกโทษให้ ไม่ว่ายังไงเราก็ต่างคนต่างผิดแหละเนาะ” ชายกรณ์เริ่มสดใสมากขึ้น ความโล่งใจที่ได้เปิดเผยทำให้รู้สึกดีขึ้นเสียจริง

ปราชญ์นึกถึงเรื่องราวในอดีต ก็อยากจะต่อว่าตัวเองสักหลาย ๆ หน ทำไมถึงไม่คอยสังเกต ไม่คอยถามไถ่อะไรน้องเลย ทำไมถึงปล่อยให้เด็กคนหนึ่งต้องอยู่แบบนี้จนโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาก็ยังไม่รู้ว่าน้องคิดอะไรหรือน้องเป็นอะไร ตอนที่ชายกรณ์โกรธที่เขาอยู่กับต้นสนทำไมเขาถึงไม่เอะใจ ว่าทำไมชายกรณ์ถึงเป็นอย่างนี้

เขากลับทำเป็นหงุดหงิดและโมโหใส่น้องที่ลากแขนตัวเองออกไปโดยไม่พูดไม่จา เขานี่มันเป็นพี่ที่ไม่ได้เรื่องเลยสักนิด

“พี่ชายใหญ่ครับ”

ปราชญ์สะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้า “ว่าไง”

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ พี่อย่าคิดมากสิ” ชายกรณ์อดจะห่วงไม่ได้เพราะใบหน้าอ่อนโยนนี้กำลังเศร้าและเคร่งเครียด เห็นแล้วก็ไม่อยากจะนึกในแง่ลบอีกเลย ดูสิ พอฟังก็คิดมากและคงจะโทษตัวเองอยู่ “ไม่เป็นไรครับ ตอนนี้พอได้พูดได้ระบายผมก็รู้สึกดีขึ้นแล้วและผมก็ได้รู้ว่าทั้งคู่รักผมมากแค่ไหน ผมไม่มีทางกลับไปคิดในแง่ลบอีกแล้ว ตอนนี้ผมไม่เป็นไรแล้วครับ”

ปราชญ์มองหน้าน้องตนเองที่แม้ว่าจะโตขนาดนี้แล้วก็ยังเห็นเป็นภาพชายกรณ์ในวัยเด็กที่มักจะยิ้มแย้มให้เขาเสมอ โดยที่ข้างในจิตใจบอบช้ำมาแล้วตั้งไม่รู้กี่หน อดไม่ได้ที่จะร้องไห้อีกครั้งและกอดน้องไว้ให้แน่นที่สุด

“พี่รักชายกรณ์นะ รักมาก ๆ พี่ขอโทษสำหรับที่ผ่านมา ขอโทษจริง ๆ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมก็รักพี่ชายใหญ่ พี่ชายใหญ่เป็นพี่ชายที่ดีมาก ๆ ไม่ต้องร้องไห้นะครับ ผมไม่เป็นอะไรแล้วจริง ๆ” จากที่คิดว่าจะถูกปลอบตอนนี้ดันเป็นคนปลอบเสียเอง ชายกรณ์ส่ายหัวพลางยิ้ม คนภายนอกอาจจะคิดว่าคนที่เข้มแข็งมากที่สุดคงจะเป็นพี่ปราชญ์ แต่เปล่าเลย พี่ปราชญ์เปราะบางมากและเพราะพี่ปราชญ์รักครอบครัวมากที่สุด ไม่แปลกหากจะอ่อนไหวมากกว่าสิ่งใด

“เป็นภาพที่แปลกตาดูชม ผู้ใหญ่วัยสามสิบสองคนกำลังนั่งกอดกันร้องไห้” พอดีขึ้นแล้วชายธันก็เอ่ยแซวทันที

“ทำเป็นพูดเข้า พี่ยังไม่สามสิบเลยนะ” หนุ่มวัยยี่สิบเก้ารีบปกป้องตนเอง

“แต่ก็จะสามสิบอีกไม่กี่วันนี้แล้วไม่ใช่หรือครับ ถ้าเด็กที่ไหนมาเห็นคงจะงงกันจริงเชียว”

ชายกรณ์ทำท่าจะดีดหน้าผากแต่ติดพี่ชายใหญ่ เจ้าน้องตัวดีเลยลุกขึ้นหนีทัน

“หึ ชายธันก็เหมือนกันเถอะ โตขนาดนี้แล้วยังทำเป็นเล่น”

ชายธันที่หนีออกไปยืนห่าง ๆ ทำท่ากอดอก “เล่นที่ไหนกันครับ”

“มาให้ดีดหน้าผากซะดี ๆ นะ”

“ไม่ครับ แน่จริงก็มาดีดให้ได้สิ” คนเล็กยิ้มมุมปาก

ชายกรณ์ก็อยากลุกไปแต่เพราะพี่คนโตยังคงกอดเขาไว้อยู่เลยได้แต่นั่งนิ่งเป็นแม่ลิงที่ถูกลูกลิงกอดไม่ปล่อย ชายหนุ่มเลยชี้คนที่กอดให้น้องคนเล็กดู

“เล่นเป็นแม่ลูกกันอยู่หรือครับน่ะ แต่ดูแล้วพี่ชายกรณ์น่าจะเป็นแม่ส่วนพี่ชายใหญ่เป็นลูก”

“โอ๋ ๆ” ไม่ว่าเปล่าชายกรณ์เลยทำท่ากอดโยก “ไม่ร้องนะลูกนะ แม่อยู่นี่แล้ว”

“คุณแม่ระวังลูกตกนะครับกอดไว้กอดไว้” ชายธันรีบเสริมทัพ

ปราชญ์ผละออกทันที เริ่มหน้าบึ้งตึงที่น้องชายทั้งสองต่างหันมาแกล้งเขาแล้ว “เจ้าเด็กแสบพวกนี้” ทำหน้าขรึมก็คงจะดูไม่น่ากลัว ด้วยเพราะจมูกและตาที่แดง ๆ เลยเหมือนเด็กที่กำลังงอนเสียมากกว่า

“ไม่เอาไม่พูดจาแบบนั้นครับหนู” ชายกรณ์ยกนิ้วชี้พลางส่ายหัวไปด้วย

“ชายกรณ์ เดี๋ยวเถอะ” ปราชญ์ดุเล็กน้อยก่อนจะรีบเช็ดหน้าเช็ดตา

“นั่น ๆ จะร้องไห้อีกแล้ว รีบโอ๋เร็วครับ” ชายธันชี้

“ไม่ได้ร้อง พอเลยชายธัน” ปราชญ์ขมวดคิ้วดุน้องคนเล็ก

“โอ๋—”

เมื่อรับสายตาพิฆาตชายกรณ์เลยยิ้มแหย ก่อนจะรีบลุกหนีไปทางน้องคนเล็กทันทีที่เห็นมือเรียวนั้นทำท่าจะยกมะเหงกใส่

“มานี่เลยนะทั้งคู่น่ะ” ปราชญ์รีบลุกตาม ทุกคนภายในวังต่างงุนงงที่คุณชายทั้งสามวิ่งไล่จับกันทั่ววัง

“เล่นอะไรกันเป็นเด็ก ๆ ไปได้ อายุอานามก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว” หม่อมย่าที่ได้ยินก็เดินออกมาเอ็ดทีหนึ่งถึงแม้จะมีความสุขที่เห็นทั้งสามอารมณ์ดีกันขนาดนี้ “โดยเฉพาะชายใหญ่นะ โตกว่าใครเขาเลย”

ปราชญ์ทำปากหุบปากอ้าอยากจะพูดแต่ก็พูดไม่ได้ ยิ่งได้ยินเสียงขำของน้องสองคนก็อยากจะตีก้นทั้งคู่เสียจริง

“ไม่ต้องไปขำพี่เขาเลย ดูเล่นกันเข้า”

“มีอะไรกันคะ เห็นบอกว่ามีเด็กหลงสามคนป่วนอยู่ในวัง” แหวนเดินลงมาจากบนห้องทำงานเมื่อรู้ข่าวว่าลูก ๆ ทั้งสามวิ่งเล่นไปทั่ว

“ก็เจ้าเด็กทั้งสามนี่ไง วิ่งเล่นกันทั่ววังไม่ดูอายุเลย”

ได้ยินอย่างนั้นหม่อมแหวนก็หัวเราะเล็กน้อย “นาน ๆ จะได้คลายเครียดค่ะคุณแม่ ปล่อยไปเถอะ”

หม่อมสร้อยเองก็ไม่ได้โมโหอะไรออกจะมีความสุขและดีใจที่หลาน ๆ รักกันเพียงนี้ แต่ถึงอย่างนั้นด้วยความที่ทั้งสามโตกันมากขนาดนี้แล้วแต่ยังทำตัวเป็นเด็กก็อดจะต่อว่าไม่ได้

“ตามใจแล้วกัน” หม่อมสร้อยส่ายหน้าแต่ก่อนจะเดินออกไปก็พูดทิ้งท้ายทำให้ทั้งสามรู้สึกเขินอาย “แล้วก็อย่าไปวิ่งเล่นข้างนอกล่ะ เดี๋ยวเผลอวิ่งออกไปถูกรถชนเอา ตัวก็แค่นี้คนขับรถมองไม่เห็นหรอก”

คนรับใช้ต่างก็แอบขำกันเมื่อทั้งสามคุณชายถูกยอกย้อน

หม่อมแหวนอมยิ้ม “ได้ยินไหมเด็ก ๆ แล้วถ้าวิ่งเล่นกันเสร็จแล้วก็ไปทานข้าวกันด้วยนะ”

“คุณแม่/คุณแม่”

“คุณน้า”

ทั้งสามต่างพูดออกมาอย่างพร้อมเพรียง จากที่กำลังเล่น ๆ ก็รู้สึกเขินอายที่ถูกล้อเลียน

“เห็นไหมโดนแซวเลย” ปราชญ์มองน้องทั้งสอง

“ชายธันเริ่มก่อน”

“พี่ชายกรณ์นั่นแหละ”

“ไปเลย ๆ ทั้งคู่นั่นแหละ” ปราชญ์ผลักหลังทั้งสองก่อนจะคลี่ยิ้ม เรื่องในวันนี้คงจะเป็นของขวัญต้อนรับวันขึ้นปีใหม่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เป็นวันดี ๆ ที่อยากจะเก็บไว้ในหัวใจตลอดไป

 

 

เฝ้าคำนึง

 


เสียงถอนหายใจดังขึ้นท่ามกลางเสียงนกเสียงแมลงด้านนอกห้อง ปราชญ์ลูบใบหน้าตัวเองก่อนจะนวดตามต้นคอและหัวไหล่ให้หายเมื่อยจากการนั่งเป็นเวลานาน วันนี้เป็นวันพิเศษจริง ๆ ดีใจที่ได้คุยกับน้องให้เข้าใจกันแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีเรื่องที่เครียดอยู่

เกี่ยวกับภวัต

ปราชญ์เดินนวดขมับลงไปข้างล่างเผื่อมีของจุกจิกที่สามารถทานเล่นให้คลายเครียดได้ ชายกรณ์ที่ลงมาหานมดื่มก็หันไปเห็นพอดี ว่าจะเอ่ยทักแต่เห็นใบหน้าที่ดูเครียดเล็กน้อยก็คิดว่าคงเป็นเรื่องวันนี้เลยรู้สึกผิดและรีบเข้ามาถามไถ่

“มีเรื่องเครียดหรือครับ”

“อ่าว ชายกรณ์” ปราชญ์ยิ้มให้น้อง “นิดหน่อยน่ะ”

“พี่ชายใหญ่... ผมขอโทษนะครับที่ทำให้เหนื่อย”

ปภารัชหันมองก่อนจะรีบส่ายหัว “เปล่า ไม่ใช่เรื่องนี้หรอก พี่ไม่เคยเหนื่อยกับชายกรณ์เลย”

“แล้วพี่ชายใหญ่เป็นอะไรหรือครับ”

“พี่...” แม้จะหนักใจแค่ไหนแต่ก็มีที่พึ่งที่รู้กันอยู่ไม่กี่คน “ภวัตมาเมืองไทยแล้ว”

“ห๊ะ! เมื่อไรครับ”

“เมื่อวานน่ะ เช้านี้คงถึงแล้ว”

ทหารหนุ่มถึงกับถอนหายใจยาว “แต่เขาคงแค่กลับมาเฉย ๆ หรือเปล่าครับ”

“พี่ก็หวังว่าให้เป็นอย่างนั้น เพราะภวัตไม่เคยมีความคิดที่จะกลับไทยเลย ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงกลับมา”

“ถ้าเขากลับมาแล้วมาที่นี่ผมจะสั่งให้คนไม่ต้องเปิดประตูต้อนรับ”

“ไม่เป็นไร ถ้าเขามาพี่ก็จะได้คุยให้รู้เรื่องกันเสียที”

ชายกรณ์มีสีหน้าหนักใจ “แล้วต้นสนรู้หรือเปล่าครับ”

“ไม่รู้ พี่ยังไม่ได้บอก”

“แต่บอกไว้ก็ดีนะครับ จะได้ไม่เข้าใจผิดกัน”

“พี่ก็ว่าจะบอกเหมือนกัน แต่คงรอพรุ่งนี้ก่อนเพราะวันนี้ต้นสนก็ไม่กลับบ้าน”

“อีกสองวันก็จะปีใหม่แล้ว หวังว่าจะไม่มีเรื่องอะไรนะครับ”

ปราชญ์ถอนหายใจ “พี่เองก็ภาวนาเหมือนกัน”

“ถ้ามีอะไรรีบบอกผมเลยนะ ผมจะได้มาช่วยทัน”

“ขอบคุณมาก ๆ เลยนะ” ปราชญ์ตบบ่าน้องชาย

“ยินดีครับ” ชายกรณ์คลี่ยิ้มกว้างก่อนจะขอตัวขึ้นไปบนห้อง

 

เช้าวันใหม่มาถึงปราชญ์เตรียมตัวไปทำงานเช่นเคย แต่ก็ต้องแวะเอาของที่ทำเมื่อคืนไปหาพี่ต้นอ้อ เพราะกำลังนัดกันจัดงานปีใหม่ร่วมกันอยู่ แต่ต้นสนเป็นคนขี้ลืม จะปีใหม่แล้วก็ยังไม่รู้เลย แม้จะทำงานและรู้วันเวลาก็ตามแต่คงจะไม่ทันสังเกต

“ทำเสร็จแล้วหรือคะ” ต้นอ้อทักทายขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นใครขึ้นมาบนบ้าน

“ครับ กว่าจะทำได้ก็ยากพอควร ขอบคุณที่ช่วยหาอุปกรณ์ให้นะครับ”

“ไม่เป็นไรจ้ะ ของขวัญที่ให้ด้วยใจขนาดนี้ ต้นสนคงปลื้มใจตาย” คำพูดที่แฝงนัยบางอย่างทำให้ปราชญ์นิ่งไปเล็กน้อย

“คือว่า…”

“มันอาจจะมีอุปสรรคมากมายที่ผ่านมา แต่จะดีกว่าถ้าทั้งคู่ช่วยประคับประคองกันไป ลุงไฟเคยพูดกับพี่น่ะ” ต้นอ้อคลี่ยิ้ม

“ครับ” ปราชญ์ยิ้มบาง

“ต้นสนออกจะเป็นคนคิดมากนะ คิดเล็กคิดน้อย คิดแล้วคิดอีก คิดเองเออเองก็ด้วย เหนื่อยหน่อยนะ”

คำพูดนั้นทำให้ปราชญ์หูแดงขึ้นมา “ม..ไม่หรอกครับ”

“ต้นสนอาจจะยังเด็กและอายุน้อยกว่ามาก คงจะมีบางความคิดที่คงยังไม่เข้าใจผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ ก็ค่อย ๆ คุยกันไปนะ”

ปราชญ์อ้ำอึ้ง เริ่มแดงมายังพวงแก้มทั้งสองข้าง

“แล้วผู้ใหญ่บ้านคุณชายรู้หรือยังคะ”

“อะ…ครับ คือ” ปราชญ์ลูบจมูก “ยังเลยครับ”

“แล้วมีใครรู้บ้าง”

“มีชายกรณ์กับชายธันครับ”

ต้นอ้อเบิกตา “ทั้งคู่รับได้ใช่ไหม”

“ตอนแรกก็ยังครับแต่ก็รับได้แล้ว”

“อือ ๆ ดีแล้ว” ต้นอ้อยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยน “พี่ไม่เคยสังเกตเลยนะ ก็ว่าทำไมต้นสนถึงดูแปลก ๆ เวลาเจอคุณชายน่ะ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร นี่ยังไม่ได้ถามเลย เพิ่งจะกลับบ้านเกือบเช้า”

“เห็นต้นสนเล่าให้ชายธันฟังว่าตั้งแต่เด็ก ๆ น่ะครับ คงจะตั้งแต่ผมไปเมืองนอก”

“จริงหรือ! โธ่ ตาลูกคนนี้” ต้นอ้อส่ายหน้า “แล้วคุณชายล่ะจ้ะ”

ปราชญ์ยิ้มแหย “จริง ๆ เพิ่งจะรู้สึกหลังกลับมาน่ะครับ ผมยอมรับเลยว่าตั้งแต่เด็กผมไม่เคยคิดกับน้องมากกว่านั้นเลย แต่พอกลับมาที่นี่เห็นต้นสนแล้วรู้สึกเปลี่ยนไปได้อย่างไรก็ไม่รู้ครับ”

“หรืออาจจะรู้สึกนานแล้วแต่ไม่เคยถามความรู้สึกตัวเองหรือเปล่า”

คำถามนั้นทำให้ปภารัชเริ่มคิดตาม มันอาจจะใช่ที่เขาคิดมานานแล้ว พอกลับมาที่ไทยได้เจอหน้า ได้คุยกันก็เลยรู้ความรู้สึกที่ตัวเองไม่เคยสัมผัสและถามหัวใจตัวเองในคราวก่อน มันอาจจะตั้งแต่เลิกกับภวัตได้เกือบสองปีที่เขาคอยโทรหาชายธันถามเรื่องต้นสน

ทุก ๆ วันที่เหนื่อยหรือกลับจากทำงานอยู่ ๆ ก็อยากอ่านจดหมายที่ต้นสนเคยส่งให้ ยิ่งอ่านยิ่งซึมซับก็ยิ่งรู้สึกดีจนมิอาจทนความคิดถึงคนทางไกลอย่างต้นสนไม่ได้

บางช่วงเวลาที่คนอยู่ใกล้ เจอกัน คุยกันมาตลอด หรือต่อให้เลิกคุยกันไปแล้วพอกลับมานึกถึง กลับทำให้ดวงใจนี้ที่ไม่เคยเปิดรับก็เผลอทลายกำแพงให้อีกฝ่ายเข้ามาโดยไม่รู้ตัว มันอาจจะเป็นจังหวะของเวลา บทจะชอบก็ชอบโดยไม่รู้ตัว

มารู้ตัวอีกทีก็เผลอหลงรักเข้าเสียแล้ว

“นั่นน่ะสิครับ แต่ผมก็ยังรู้สึกช้ากว่าจะเข้าใจตัวเองก็เกือบจะทำลายหัวใจของต้นสนไปแล้ว”

ต้นอ้อไม่คิดโกรธเคืองเลยสักนิด เพราะเรื่องความรักยังไงก็เป็นเรื่องของคนสองคน พ่อแม่น่ะไม่ใช่เจ้าของชีวิตลูกที่จะต้องเลือกอาชีพหรือเลือกเรื่องความรักให้ลูก ต้องมีความอิสระหรือส่วนตัวให้ลูก อาจจะรับฟังปัญหาหรือให้คำปรึกษาเรื่องความรักหรือการงานบ้าง แต่ก็ใช่ว่าจะสั่งว่าต้องรักคนนี้นะ ห้ามรักคนนี้นะคงจะเป็นไปไม่ได้

อีกอย่างเธอรู้ดีว่าปราชญ์มีเหตุผลมากพอเหมือนกัน แต่ทั้งคู่อาจจะไม่เข้าใจกันในบางส่วน เป็นลูกเธอเองที่ไปหลงรักเขาก่อน จะมาเรียกร้องให้เขารักกลับในทันทีก็คงมิได้ เพราะปราชญ์เองก็บอกด้วยความสัตย์จริงว่าเพิ่งมารับรู้ความรู้สึกตัวเองและคิดกับต้นสนเป็นเพียงน้องชายมาตลอดในช่วงวัยเด็ก ๆ

“เป็นเรื่องธรรมดาของความรัก ที่ได้รักก็ต้องเจอความเจ็บปวดตามมา”

ต้นอ้อหันมาพูดต่อ “บางคู่อาจจะไม่เคยทะเลาะกันเลยและไม่มีเรื่องเจ็บปวดในชีวิตคู่ แต่พี่ก็ไม่รู้หรอกนะว่ามีอยู่จริงหรือเปล่า อย่างน้อยชีวิตคู่ต้องมีไม่ลงรอยกันในบางเรื่อง เห็นอย่างนี้พี่กับพี่เฟื้องเองก็มีเรื่องทะเลาะกันอยู่ ถึงจะไม่บ่อยนักแต่ก็คงดีกว่าที่ไม่มีเลย เราต่างคนต่างความคิด ต่างนิสัย มีสิ่งใดที่รับไม่ได้หรือต้องปรับเปลี่ยนก็คุยกันเสีย อย่าปล่อยให้มันค้างคาหรือเก็บไว้ในใจคนเดียว เพราะเวลาที่คนเราระเบิดอารมณ์ มันจะรุนแรงมาก”

“ขอบคุณนะครับที่เข้าใจ”

“พี่ต่างหากที่ต้องขอบคุณที่ดูแลเจ้าเด็กน้อยนั่นที่เอาแต่ใจเก่งที่หนึ่ง ขอบคุณที่รักลูกของพี่นะ”

คำขอบคุณนั้นที่ปราชญ์ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคำนี้ด้วย ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีพ่อแม่คนไหนไหมหรือปู่ย่าตายายที่เลี้ยงหลานตัวเองจะมาพูดขอบคุณคนรักของลูก ความอบอุ่นที่ส่งผ่านมาจากน้ำเสียงทำให้ปราชญ์อุ่นใจ

“ผมเองก็ขอบคุณที่ให้ผู้ชายที่ดีที่สุดเกิดมาบนโลกนี้และทำให้ผมได้เจอเขา”

ทั้งสองต่างมองหน้ากัน ต้นอ้อยิ้มให้และอ้าแขน “มานี่สิว่าที่ลูกอีกคน”

ปราชญ์อึกอักก่อนจะเข้าไปกอด

“เรียกแม่ได้นะ”

“โธ่พี่ต้นอ้อ”

หญิงสาวผละออกก่อนจะหัวเราะ “เรียกแม่ไปเลย สินสอดไม่ต้อง ถวายให้ฟรี”

ปราชญ์อดจะหัวเราะไม่ได้

“แม่!” เสียงเรียกเสียงดังทำให้ทั้งคู่สะดุ้ง ต้นสนที่ใส่ผ้าขาวม้าเตรียมไปอาบน้ำนั้นยืนหน้าดำหน้าแดง

ต้นสนได้ยินมาตั้งนานแล้ว ได้ยินตั้งแต่แรก… อธิบายความรู้สึกตัวเองไม่ถูก แต่ว่าเขาดีใจ ดีใจมาก ๆ มันมากกว่าดีใจ มัน…

“ตื่นแล้วเหรอพ่อตัวดี”

“ไม่ต้องเลย” ต้นสนหน้างอเดินดุ่ม ๆ มาทำหน้าบึ้งใส่แม่ตนเอง

“อะไรเจ้าลูกคนนี้” ต้นอ้อเขกหัว “แม่ไปดูยายละ”

“ไปเล้ย” ต้นสนบึนปาก

“เดี๋ยวเถอะ” เมื่อเห็นว่าแม่ตนทำท่าจะมาตีก็รีบหลบข้างหลังพี่ปราชญ์ทันที

“เป็นอะไรครับ” ปราชญ์หันมาหาอีกฝ่ายทันทีเมื่อเห็นว่าพี่ต้นอ้อออกไปแล้ว

“รีบไปทำงานไหมครับ”

คนถูกถามยกนาฬิกาขึ้นดูก็เห็นว่ายังอีกนานเพราะวันนี้ตื่นเช้า “ยังพอมีเวลาครับ มีอะไรหรือเปล่า”

ต้นสนไม่พูดอะไรรีบจับมือพาไปเข้าห้อง พอปิดประตูก็สวมกอดทันที

“อะไรกัน แค่อยากกอดพี่หรอกหรือ”

“ผมได้ยินหมดแล้ว” ผู้หมวดหนุ่มกระชับกอดมากขึ้น “ได้ยินทั้งหมด ตั้งแต่แรก…”

ปภารัชกอดตอบและซุกหน้าลงกับบ่าเปลือย “งั้นหรือ”

“ครับ” ตอบรับพร้อมกับกดจูบข้างใบหู “ผมก็ขอบคุณที่พี่เกิดมานะครับ… ขอบคุณท่านชายนนท์ ขอบคุณคุณปิ่นที่ทำให้ผมได้เจอพี่”

ความอบอุ่นที่แผ่ออกมาทำให้หัวใจนั้นเต้นระส่ำ ดีเหลือเกินที่ได้พบเจอกัน

เมื่อโอบกอดจนพอใจต้นสนก็ผละออก “ผมขอไปส่งได้ไหมครับ”

“ส่งที่ทำงานหรือ”

“ครับ”

“แล้วต้นสนต้องกลับดึกหรือเปล่า พี่จะไปรบกวนไหม”

“ไม่ครับ” ชลันส่ายหัวหวือ “วันนี้ผมเลิกตามเวลา เพราะว่าต้องกลับมาทำงานที่นี่” เพื่อความปลอดภัยหากมีสายอยู่ในกรม คำหลังนั้นไม่ได้พูดออกไป ถึงแม้จะไว้ใจอีกฝ่ายแต่เรื่องงานอย่างนี้ก็ไม่สามารถบอกกับบุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้องได้

“พี่คงจะเลิกประมาณหกโมง ต้นสนก็รอพี่เก้อสิ”

“รอได้ครับ ผมจะรอ”

เมื่อเห็นแววตามุ่งมั่นและอ้อนวอนใจของปราชญ์ก็อ่อนยวบ ยิ่งเอ็นดูอีกฝ่ายมากขึ้น คงจะอยากไปและกลับพร้อมกัน “ก็ได้ครับ”

ต้นสนยิ้มกว้างหากกระโดดโลดเต้นได้ก็คงทำไปแล้ว “ถ้าอย่างนั้นรอผมเดี๋ยวนะครับ” พูดเสร็จก็วิ่งออกไปข้างนอกเพื่อไปอาบน้ำ ปราชญ์อยากจะร้องห้ามเพราะเดี๋ยวหกล้มหน้าคะมำขึ้นมา

 

รอเพียงไม่นานเจ้าตัวก็อาบน้ำเสร็จปราชญ์จึงขอออกไปรอข้างนอกเพื่อให้เวลาส่วนตัว ก่อนจะออกมาไม่วายยังโดนหอมแก้มไปหลายฟอด จนหัวใจเต้นระรัว ราวกับเด็กน้อยที่เริ่มมีรักครั้งแรก

ใช้เวลาสักพักชลันก็เดินออกมาในชุดราชการเต็มยศ ปราชญ์คลี่ยิ้ม อยู่ในชุดนี้ต้นสนดูเป็นผู้ใหญ่ให้ความรู้สึกถึงความปลอดภัย

“ไปกันครับ” ต้นสนลงไปเอารถก่อน คราวนี้ไม่ใช่รถมอเตอร์ไซค์ที่ขี่ไปทุกวันเปลี่ยนมาเป็นรถยนต์แทน

เมื่อขึ้นไปนั่งบนรถแล้วปราชญ์ก็เอ่ยถามทันที “ไม่ใช้รถมอเตอร์ไซค์หรือครับ”

“ฝุ่นมันเยอะครับ ใช้คันนี้ดีกว่าพี่ปราชญ์จะได้ไม่เปื้อนฝุ่น” ดวงตานั้นหยีลง ทว่า ในใจรำพึงขอโทษน้องสาวที่ต้องนั่งซ้อนหลังเขาประจำ มีไม่กี่ครั้งที่ใช้รถใหญ่ไปส่งหรือรับน้องสาว

“คนดี ขอบคุณครับ”

ต้นสนรู้สึกหัวใจกระชุ่มกระชวย “ชอบจังครับเวลาพี่ปราชญ์เรียกผมว่าคนดี”

ปภารัชไม่ได้มองที่อื่นใดนอกจากใบหน้าของคนข้างกาย ยิ่งเห็นแก้มนั้นขึ้นสีระเรื่อจึงยื่นมือไปเกลี่ยหูเบา ๆ เพื่อหยอกล้อ

ตลอดทางต้นสนพูดจาเจื้อยแจ้ว ปราชญ์ฟังสบายหูคล้ายฟังเพลงกล่อม อยากจะใช้เวลาให้นานขึ้นกว่านี้แต่รู้อีกทีก็มาถึงหน้าทางเข้าเสียแล้ว

“ตั้งใจทำงานนะครับ”

“ต้นสนก็ด้วยนะครับ” ปราชญ์ยิ้มบางก่อนจะเลิกคิ้วเมื่อเห็นใบหน้านั้นจ้องมองมาเหมือนต้องการอะไร ดวงตาพราวระยับนั้นตอบโดยการเหลือบมองปาก ปภารัชจึงเข้าใจได้ทันทีเขามองภายนอกรถก่อนว่ามีใครไหมเพราะคงไม่เหมาะสมหากมาทำอะไรแบบนี้ต่อหน้าผู้อื่นแถมเขายังเป็นอาจารย์ด้วย แต่พอไม่มีใครจึงเอียงคอจูบกลีบปากนั้น ขบเม้มเบา ๆ ให้พอหอมปากหอมคอแล้วผละออก

ทั้งคู่ต่างหัวเราะออกมาเมื่อพบคนแก้มแดงและหูแดงตรงหน้า “ไปก่อนนะครับ”

“ครับ”

ปราชญ์ออกจากรถมาโบกมือให้ “ขับรถดี ๆ นะครับ”

“ครับผม” ถึงอย่างนั้นต้นสนก็ยังไม่ออกรถเสียที เจ้าหนุ่มนักรักเลยบอกว่าอยากจะรอส่งจนกว่าปราชญ์จะเข้าตึก

ปภารัชจำยอมปลีกตัวเดินไปที่ตึกคณะที่ตนสอน แต่ก่อนจะเข้าตึกก็มีใครบางคนเอ่ยเรียกเขาก่อน

“ปราชญ์ครับ”

ชลันคลี่ยิ้มและตีรถออกเพื่อจะไปยังสถานีแต่ก็ต้องชะลอรถลงเมื่อเห็นพี่ปราชญ์และใครบางคนที่ต้นสนไม่รู้จัก อีกฝ่ายเดินออกมาจากข้างในตึกคงจะเป็นอาจารย์ที่นั่น ผู้หมวดหนุ่มจึงขับรถออกไปด้วยหัวใจที่ฟูฟ่องก่อนไปทำงาน

ทางด้านปราชญ์นั้นกำลังมีสีหน้ากระอักกระอ่วน แลดูตกใจไม่น้อย เขาเงยหน้ามองอีกฝ่ายที่ไม่ได้พบกันมาเนิ่นนาน ก่อนจะเอ่ยเรียกเสียงเบา “ภวัต...”





จบบทที่ ๑๘
-------------------------------------------------------------

สุขสันต์วันสงกรานต์นะคะ ฉีดน้ำ ปิ้ว ๆ และขอโทษที่อัพช้าอีกแล้ว คงจะไม่ได้ลงบ่อย ๆ นะคะ ต้องขออภัยนักอ่านทุกท่านที่รอ ต้องขอโทษจริง ๆ ค่ะ

หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๑๙
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 25-04-2021 01:46:30
(https://www.img.in.th/images/0168d15407492c2e516006934a603961.jpg)

บทที่ ๑๙

ถ่านไฟเก่า

 
 


“ภวัต...” ปภารัชเรียกเสียงเบา “คุณมาที่นี่ทำไม”

“พรุ่งนี้จะปีใหม่แล้ว ผมเลยอยากมาหา” ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม แม้รอยยิ้มนั้นจะดูไร้เรี่ยวแรงก็ตาม

“ภวัตเราไม่ควรเจอกัน” ปราชญ์ทำหน้าอ่อนใจระคนสงสารขึ้นมา

“ผมรู้... แต่ผมอยากมาแค่อวยพรให้คุณ”

ชายหนุ่มส่ายหน้าและยกมือห้าม “อย่าเลยครับ มันไม่ใช่เรื่องที่ดี”

“ผม...” คนที่กักเก็บอารมณ์ดีมาตลอดเริ่มมีน้ำตาคลอ “ผมคิดถึงคุณ ไม่เคยคลาย”

ปราชญ์นิ่งไปทันตามือที่ยกห้ามค่อย ๆ ทิ้งลงอย่างอ่อนแรง ใบหน้าอันคุ้นเคยที่กำลังเศร้าหมองแลดูโทรมกว่าที่เคย

ทั้ง ๆ ที่วันนี้ไปหาพี่ต้นอ้อเพื่อคุยเรื่องที่จะจัดงานปีใหม่แท้ ๆ เพราะพี่ต้นอ้อบอกว่าต้นสนชอบลืมเสมอเลยว่าจะให้ของขวัญ วันนี้ควรจะเป็นวันดี ๆ ก่อนเริ่มปีใหม่ ทำไมกันนะ ทำไมถึงมาในช่วงเวลานี้

“ภวัต”

“ผมทราบดีว่าไม่ควร แต่ว่า... จนถึงเที่ยงคืนของปีใหม่วันพรุ่งนี้ ปราชญ์มาหาผมได้ไหม”

“ผมอยู่กับคุณในวันปีใหม่ไม่ได้”

“ถ้าอย่างนั้น ขอแค่สักชั่วโมงก็ได้” ภวัตรีบพูดเสริม “ผมรู้ครับว่าคุณไม่มีทางกลับมาแล้ว แต่ว่า... อย่างน้อยก็อยากพบหน้าคุณสักครั้ง” ดวงตาชายหนุ่มสะท้อนไปด้วยความโหยหาระคนทุกข์ระทม

ปราชญ์หลบหลีกสายตานั้น “ผมขอโทษนะภวัต แต่คงจะดีกว่าถ้าเราไม่พบกันอีก”

ใจคนฟังกระตุกวาบ “ขอโทษครับ”

ทั้งสองเงียบใส่กัน ต่างก็จมอยู่แต่กับความคิดของตัวเอง ปราชญ์ยกนาฬิกาขึ้นดูก็พบว่าใกล้เวลาที่จะต้องไปสอนแล้ว “ผมขอตัวไปสอนก่อนนะ ยังไงก็ยินดีที่ได้พบนะครับ”

ภวัตรีบเดินไปจับแขน “ปราชญ์ครับ” ถึงแม้อยากจะดึงเข้ามากอดแต่ก็ต้องห้ามตัวเองไว้และปล่อยแขนไป “เลิกงานแล้วคุยกับผมได้ไหมครับ”

ชายหนุ่มคิดหนักเพราะวันนี้ต้นสนจะต้องมารับ แต่ก็อยากคุยให้เข้าใจ “พรุ่งนี้ก็ได้ครับ”

ภวัตเปรยยิ้มอย่างดีใจ “ได้ครับ ให้ผมมารับนะ”

“ไม่เป็นไรครับ เพราะตั้งแต่พรุ่งนี้ไปผมหยุด เดี๋ยวผมโทรศัพท์จองโต๊ะร้านอาหารให้ พรุ่งนี้ผมมีธุระช่วงเช้าคงได้ไปช่วงค่ำ ๆ”

“กี่โมงหรือครับ”

“คงจะหนึ่งทุ่ม”

“ได้ครับ”

“คุณพักที่ไหนผมจะได้โทรศัพท์บอก หากจองโต๊ะร้านอาหารได้แล้ว”

“ครับ” ภวัตรีบยื่นเบอร์ให้เป็นเบอร์ของทางโรงแรมที่เขาเป็นเจ้าของ “ผมจะรอนะครับ”

ปราชญ์ผงกหัว เห็นใบหน้าอีกฝ่ายสดใสมากขึ้น หากรู้ว่าพรุ่งนี้ต้องเป็นการคุยครั้งสุดท้าย ใบหน้านั้นคงจะไม่สดใสอีกเช่นเคย

ถึงจะมีความรู้สึกเห็นใจและสงสาร แต่ก็อยากให้ต้นสนเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่ลังเล เพราะตอนนี้เขาเป็นของต้นสนทั้งใจ เขากับภวัตจบกันไปนานแล้ว การเริ่มต้นใหม่มันยากเขาเข้าใจภวัตดี แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะยอมให้ภวัตกลับเข้ามาวนเวียนในชีวิต เพราะมันจะไม่ดีต่อต้นสน

การเรียนการสอนดำเนินไปอย่างราบรื่น ปราชญ์ไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาใส่กับงาน ยังคงยิ้มแย้มและให้คำปรึกษากับนักศึกษา คลาสต่อไปก็ต้องฟังนักศึกษาพรีเซนต์และติชมตามฉบับ

จนเวลาล่วงเลยมาถึงเวลาเลิกงาน ปภารัชรีบเก็บของเพราะกลัวว่าต้นสนจะรอนาน แล้วก็เป็นดั่งที่คาด รถของต้นสนจอดรออยู่หน้าทางเข้า

“รอนานไหมครับ” ปราชญ์ก้มถามก่อนจะเปิดประตูเข้าไปนั่งด้านใน “ขอโทษนะครับพอดีมีคุณครูท่านหนึ่งให้ช่วยเรียงเอกสารเพราะเขาติดพันกับอีกงานอยู่”

“ไม่นานหรอกครับ” ผู้หมวดหนุ่มคลี่ยิ้มตาหยีแล้วยื่นน้ำที่ซื้อมาให้ “ดื่มไหมครับ”

“ขอบคุณครับ” ปภารัชรับมาดื่มพอให้แก้กระหายเนื่องจากรีบจ้ำอ้าวจนเหนื่อยหอบ

พอเห็นว่าคนข้างกายเลิกดื่มน้ำแล้วต้นสนจึงเริ่มออกรถ เพราะหากรีบขับรถออกไป น้ำคงได้หกใส่พี่ปราชญ์แน่นอน

ตลอดทางนั้นค่อนข้างเงียบพอตัว ปราชญ์หันมองคนข้างกายที่ต่อให้เราไม่พูดคุยอะไรกันเลย แต่ใบหน้าของต้นสนก็ยังมีรอยยิ้ม หากเขาพูดเรื่องภวัตรอยยิ้มนั้นคงจะหายไปสินะ

“ต้นสน”

“ครับผม” ดวงตานั้นเป็นประกายเสียงอ่อนนุ่มขึ้นหลายส่วน

ปภารัชได้แต่ขอโทษในใจกับสิ่งที่จะพูดไม่ใช่เรื่องดีเลย “ภวัตมาหาพี่”

รถยนต์กระตุกเล็กน้อยเพราะต้นสนเกือบเหยียบเบรก รอยยิ้มที่ว่าหายไปเหลือเพียงแต่ใบหน้าตื่นตกใจ ดวงตาที่ส่องประกายดับวูบพร้อมกับความตื่นกลัวที่สะท้อนออกมา "มาทำไมหรือครับ แล้วคุยอะไรกัน”

คล้ายถูกมือที่มองไม่เห็นบีบที่หัวใจ ต้นสนดูคงจะกลัวกับสิ่งที่คิดขึ้นในหัว กลัวว่าเขาจะกลับไปหาภวัต... “ภวัตต้องการคุยกับพี่น่ะ พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะคุยเรื่องอะไร แต่พี่ก็ต้องการคุยกับเขาเหมือนกัน พรุ่งนี้ช่วงหนึ่งทุ่มพี่นัดเขา”

ต้นสนรีบตีไฟเลี้ยวจอดข้างทาง “จะไปหรือครับ”

ภาพสะท้อนใบหน้าที่เริ่มเศร้า คล้ายจะร้องไห้ได้ทุกเวลา “พี่จะไปคุยกับเขาครั้งสุดท้าย” เมื่อเห็นว่าต้นสนยังดูเศร้า เขาจึงลูบหัวอีกฝ่าย “ไม่ต้องห่วงนะ พี่มีแค่ต้นสน พี่ไม่กลับไปหาเขาหรอก”

“ผม” ชลันคล้ายน้ำท่วมปาก

“เชื่อใจพี่ไหม”

ต้นสนจดจ้องดวงตาที่ไม่ไหวสั่น ทำให้มั่นใจขึ้นอีกเปราะ ความตึงเครียดนั้นค่อย ๆ มลายหายไป “เชื่อใจครับ”

“ขอบคุณนะครับ” เลื่อนมือลงมาเกลี่ยแก้ม “ต้นสนจะไปกับพี่หรือเปล่า”

“ไปได้หรือครับ”

“ไปได้... แต่เราต้องรอพี่ที่รถนะ”

ต้นสนพยักหน้า “ครับ เพราะยังไงเรื่องนี้เป็นเรื่องของพี่กับคุณภวัต คุยกันเพียงสองคนดีกว่า”

“ครับ ขอบคุณที่เข้าใจนะ”

เมื่อตกลงกันเสร็จเรียบร้อยต้นสนก็ขับรถออกไปอีกครั้ง คราวนี้ความเงียบนั้นมีความคิดของคนสองคนที่รู้แค่ตัวเอง ไม่มีใครยิ้ม แต่ปราชญ์สังเกตได้ว่าต้นสนขับรถช้ากว่าปกติจึงชิดเลนซ้ายไว้

“ที่จริงผมลองคิดดูว่า หากผมเป็นคุณภวัตผมจะทำยังไง” ชลันพูดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ “ผมรู้สึกเจ็บปวดและคงคิดถึงพี่ปราชญ์มาก คนที่อยู่ด้วยกันมาหลายปีหมดรักกันแล้ว มันดั่งกับโลกถล่มเลยครับ”

ปราชญ์ไม่ตอบอะไรนอกจากฟังอย่างเงียบ ๆ

“ผมสงสารเขาแต่ผมก็กลัว ผมเคยอยู่ในจุดที่แอบรักและคิดว่าคงไม่มีทางเป็นไปได้เพราะพี่ปราชญ์มีเจ้าของอยู่แล้ว ผมเจ็บเหมือนตัวเองกำลังจะจมน้ำ หายใจไม่ออก ร้องไห้จนไม่มีน้ำตา และผมคิดว่าเมื่อเขาได้รับความรักจากพี่ปราชญ์แต่กลับต้องหมดลง เขาอาจจะเจ็บปวดกว่าผมก็ได้”

“ทุกคนต่างมีสิ่งที่เจ็บปวด จะมากจะน้อยมันก็คือความเจ็บปวด” ชายหนุ่มเหม่อมองท้องฟ้านอกรถ "พี่ที่ทำให้คนสนสองคนต้องมาเจ็บปวด พี่เองก็รู้สึกแย่”

“มันไม่ใช่ความผิดพี่ปราชญ์หรอกนะครับ เรื่องที่ผมแอบรักนั่นก็เป็นเพราะผมคนเดียว พี่ปราชญ์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมรู้สึกยังไง พี่ปราชญ์เองก็ไม่เคยให้ความหวังผมด้วย ตอนนั้นพี่ปราชญ์ไม่ได้คิดกับผมในแง่อื่นด้วยซ้ำ มีแต่ผมที่เริ่มรักเองแล้วก็เจ็บเองคนเดียว” ผู้หมวดหนุ่มเริ่มยิ้มขึ้นได้เพราะมองจากหลาย ๆ มุม

“ส่วนทางคุณภวัต ผมเองก็ไม่รู้อะไรมากมาย แต่จากที่ฟังธันเล่าผมก็รู้ได้ทันทีว่าเขาดีต่อพี่ปราชญ์แค่ไหน ถึงผมจะกลัวการที่พี่กับคุณภวัตมาเจอกันแต่ผมคิดว่าการคุยกันคงจะดีกว่า”

ปราชญ์ยิ้มบาง “คิดบวกเสมอเลยนะ”

“ไม่หรอกครับ บางครั้งผมก็คิดลบแถมยังคิดไปเองด้วย”

“พี่ก็เหมือนกัน” เขาถอนหายใจ “ที่จริงตอนเลิกกับภวัตก็ดูคลุมเครือ พี่บอกเขาว่าเลิกรักแล้ว ชีวิตคู่ของเรามันอยู่ในจุดอิ่มตัว แต่เขาคงไม่เข้าใจ เพราะเขายังรักพี่ ส่วนพี่เข้าใจแค่คนเดียวเพราะไม่ได้รักเขาแล้ว”

“ผมขอโทษที่ถามแบบนี้ แต่ว่า... ทำไมถึงพูดว่าเลิกรักแล้วได้ง่ายขนาดนี้ล่ะครับ”

ปราชญ์ไม่นึกโกรธที่ถูกถามแบบนี้ “ช่วงแรกที่เราคบกันเป็นการคบเพื่อแลกเปลี่ยนความสุขทางกาย พี่ยังไม่รู้สึกรักเขา ส่วนเขาก็ยังนอนกับคนอื่นด้วยเพราะไม่ได้รักพี่เหมือนกัน”

เขาเงียบไปสักพักแล้วจึงพูดต่อ “มันเหมือนการนอกใจ แต่มันเรียกว่าการนอกใจได้หรือเปล่านะ ในเมื่อเราไม่ได้รักกัน ภวัตดีกับพี่มาก ประมาณปีกว่าที่ได้อยู่กับเขาพี่เริ่มรู้สึกดีและเริ่มไม่อยากเห็นเขาไปกับคนอื่น เป็นครั้งแรกที่รู้จักกับคำว่าหึงหวง ภวัตยอมหยุดแล้วเราก็เริ่มพูดคุยกันมากขึ้น ช่วงเวลาที่ผ่านมาพี่มีความสุขที่ได้อยู่กับเขา พี่สามารถบอกเขาว่ารักได้เต็มปากเพราะพี่รักเขาจริง ๆ”

แม้จะเจ็บปวดที่ได้ฟัง แต่เขาก็อยากฟัง อยากรับรู้ พี่ปราชญ์ไม่ลืมอดีตที่ได้อยู่กับคุณภวัตเลย... ตอนนั้นคงรักกันมากจริง ๆ

“เราก็ผ่านอะไรด้วยกันมาเยอะนะ ต่างคนต่างเป็นคนแรกในชีวิต เป็นรักแรกที่คงลืมไม่ลง ต่อให้พี่เลิกรักเขาแล้ว พี่ก็ยังเป็นห่วงเขาอยู่”

“พูดตรงดีครับ” ต้นสนหัวเราะในลำคอ ปวดแปลบ ๆ ที่อก

“พี่ไม่สามารถอธิบายความรู้สึกของตัวเองได้ ก่อนที่จะเลิกพี่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นตั้งแต่ตอนไหน พี่เคยบอกรักเขาแต่กลับเริ่มรู้สึกอึดอัดที่จะพูด ไม่แปลกหากจะบอกว่าพี่เลิกรักเขาได้ง่ายดาย เพราะบทจะหมดรักมันก็หมดอย่างไร้เยื่อใย พี่ก็ทึ่งกับตัวเองเหมือนกันนะ ยังคิดอยู่เลยว่าที่ผ่านมาพี่รักเขาจริงหรือเปล่า แต่ความทรงจำดี ๆ ที่ผ่านมา มันก็ทำให้พี่มั่นใจว่าพี่เคยรักเขามาก ๆ มากจนไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าเราจะเลิกกัน แต่มันก็เป็นไปแล้ว”

ภวัตมักจะชอบบอกว่าเขาใช้ความคิดเยอะ บางทีก็คิดไปก่อนทั้งที่ยังไม่ได้ถาม ส่วนภวัตเป็นคนที่มีอะไรก็พูดออกมาเลย คิดอะไรอยู่ก็พูด เราเหมือนขั้วบวกขั้วลบที่มาเจอกัน ตอนนั้นพวกเรายังไม่เป็นผู้ใหญ่กันมากพอ ชอบลองผิดลองถูก

และภวัตก็เป็นคนที่ขี้เล่น พูดจาหวานหู ทว่า ก็มีความจริงจัง สุขุมในเวลาที่มีปัญหา เป็นคนที่อ่อนโยน ดูแลเขาดียิ่งกว่ากกไข่ในหิน ทุกเทศกาล ทุกความทรงจำมันยังคงอยู่ในหัวเขา ข้างกายมักจะมีภวัตอยู่เสมอ

ในเวลาที่ไปสอบปริญญาโท หรือปริญญาเอก ไปเป็นผู้ช่วยครูก็มีภวัตที่คอยให้กำลังใจ เรียกได้ว่าครึ่งชีวิตนี้ที่ผ่านมาเขามีภวัตเป็นส่วนหนึ่ง

แต่แล้วเขาก็ทำลายส่วนหนึ่งในชีวิต เด็ดขาดจนมิอาจต่อกลับอย่างเดิม

“หากวันหนึ่งพี่คิดถึงหรือกลับไปรักคุณภวัตแล้ว พี่จะกลับไปหาเขาไหม”

คำถามนั้นทำให้ปราชญ์นิ่งไป “พี่ไม่รู้อนาคตหรอกครับ แต่พี่มั่นใจว่าตอนนี้ เวลานี้ ปัจจุบันที่อยู่ตอนนี้พี่รักต้นสน และพี่ก็ไม่คิดจะไปไหนเลย”

ต้นสนเข้าใจดี เพราะตัวเขาเองก็ไม่รู้อนาคตเหมือนกันว่าจะยังรักพี่ปราชญ์อยู่อย่างนี้ต่อไปหรือเลิกรักในวันข้างหน้า แต่เขาก็มั่นใจเหมือนกันว่าทุกช่วงเวลาของปัจจุบันนี้เขารักพี่ปราชญ์สุดหัวใจและมิอาจรักใครได้อีก

“ที่จริงเรายังไม่พูดว่าคบกันอย่างเป็นทางการเลย ผมเองก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก”

“อย่างนั้นหรือ พี่คิดว่าต้นสนเป็นคนรักของพี่มาตลอด”

“ผมก็คิด แต่ผมอยากขอให้มันเป็นพิธีน่ะครับ” ว่าแล้วก็ใช้นิ้วเคาะพวงมาลัยด้วยความประหม่า

“อืม” ปราชญ์พยักหน้าพลางคิดอะไรในหัว แต่ต้นสนดันรู้สึกผิดไปแล้ว

“ขอโทษนะครับที่พูดอย่างนั้น ผมแค่อยากให้เราพูดว่าคบกันแล้วได้เต็มปาก”

“ครับ พี่เข้าใจ บางทีแค่การกระทำมันก็พอบอกได้ แต่กับบางคนเขาต้องการคำพูดด้วย”

“นั่นแหละครับ” ต้นสนชี้นิ้วก่อนจะพรูลมหายใจ “จากเรื่องนั้นมาเรื่องนี้ได้ยังไงก็ไม่รู้สิครับ”

 “พี่เองก็ขอโทษนะหากพูดอะไรกระทบจิตใจไปเกี่ยวกับเรื่องภวัตน่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ ถ้าหากพี่ยังเป็นห่วงเขาอยู่ผมเองก็ไม่ว่าหรอกเพราะยังไงก็คบกันมานาน แต่ผมไม่ยอมแน่หากเขาจะขอคืนดีพี่ปราชญ์” ชลันพูดด้วยดวงตาแน่วแน่ไม่หวั่นเกรง “ตอนนี้พี่เป็นคนรักของผม”

ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม “ครับ พี่เป็นของต้นสนคนเดียว”

เป็นอีกครั้งที่ความเงียบกัดกินเราทั้งสองคน แต่มีเพียงต้นสนที่ลุกลี้ลุกลน อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ จนจะถึงที่หมายอยู่แล้ว เขาเหล่มองคนข้างกาย พลางคิดว่าหากพูดไปตอนนี้มันจะดีหรือเปล่า “พี่ปราชญ์”

“หื้อ” คนถูกเรียกหันมอง

ต้นสนเอ่ยสิ่งในใจโดยที่ไม่มองหน้าคนข้างกาย “คบกับผมนะครับ” ต้องขอบคุณตัวเองที่ขับรถอยู่ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าพูดต่อหน้า ที่จริงเขาอยากจะพาพี่ปราชญ์ไปเที่ยวที่ไหนสักที่เพียงแค่สองคนแล้วขอคบ แต่เพราะว่ามีเรื่องคุณภวัตเข้ามา เขาก็อยากจะเป็นคนรักเต็มตัวให้พี่ปราชญ์พูดกับคุณภวัตได้ว่ามีคนในดวงใจแล้ว

แต่เสียงเงียบนั้นก็ทำให้ชายหนุ่มใจแป้ว ทำไมพี่ปราชญ์ไม่ตอบอะไรเลย สุดท้ายก็ถึงหน้าวัง อยากจะตีหน้าผากที่ตัวเองดันมาขอคบบนรถและมาขอตอนที่มาถึงหน้าบ้านอีกฝ่ายพอดี

พี่ปราชญ์ยังคงนั่งอยู่อย่างนั้น จนทำให้ชายหนุ่มเริ่มหวั่นใจว่าจะขอคบเร็วเกินไปหรือเปล่า ผู้ใหญ่ส่วนมากจะคุยกันก่อนใช่ไหม เขาทำอะไรรวดเร็วเกินไปแน่ ๆ เลย

ต้นสนที่คิดลบไปแล้วก็ตกใจเมื่อคนข้างกายพูดขึ้นมา

“หันมาหาพี่หน่อยครับคนดี”

“ครับ” ต้นสนเม้มปากประหม่าจนเห็นได้ชัด

“ขออีกรอบได้ไหมครับ”

ชลันหายใจติดขัดขึ้นทันตา ดวงใจเต้นระรัว ทั้งใบหน้าและใบหูร้อนขึ้นมาดื้อ ๆ “คือ...”

“พี่อยากให้ต้นสนพูดกับพี่ตอนเราหันหน้าเข้าหากัน”

“ผม” ผู้หมวดหนุ่มหลับตาและปลอบตัวเอง เมื่อลืมตาขึ้นก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง “เราคบกันนะครับ” เสียงกลองที่ไหนกัน ลั่นอยู่ในหูไม่หยุดเลย ใจเต้นแรงขนาดนี้เขาจะตายหรือเปล่านะ

ปราชญ์เองก็หูแดง ทว่า ยังเก็บสีหน้าได้ดี เขานึกขันเมื่อเห็นต้นสนทำหน้าคล้ายกลั้นยิ้ม หน้าแดงจัด ทำปากมุบมิบจนน่ามันเขี้ยว “ครับคนดี”

คนถูกตอบรับนิ่งไปเล็กน้อย ดั่งกับหินมีชีวิต แข็งค้างราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่างอย่างไรอย่างนั้น

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ปราชญ์หันไปทางเสียงเคาะก็พบกับสาวใช้ที่มาเคาะกระจกรถ “ครับ?”

“กลับมาพอดีเชียวเลยค่ะคุณชายใหญ่ ท่านชายนนท์ประสงค์ขอพบค่ะ”

เขาผงกหัว “ครับ เดี๋ยวผมไป” เมื่อเห็นเธอเดินเข้าไปแล้วก็หันมามองคนข้างกายที่ยังคงดูตื่นตกใจ ไม่ยอมพูดอะไรเลย

“พี่ไปก่อนนะครับ”

ชลันพยักหน้าเชื่องช้านั่งมองอีกฝ่ายเดินเข้าไปในวังแล้วจึงขับรถกลับไปจอดที่บ้านตนเอง ไม่ว่าใครทักทายอะไรก็ไม่ยอมตอบ

“พี่ต้นสนเป็นอะไรน่ะแม่” ฟ้าใสถามผู้เป็นแม่ที่นั่งอยู่ด้วยกัน

“ไม่รู้สิ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า ลองไปถาม—”

“วู้วววววววว” สองแม่ลูกตกใจจนทำผักตกพื้น อยู่ ๆ ต้นสนก็ตะโกนเสียงดังลั่นบ้าน ดังจนพ่อเฟื้องที่อยู่โรงสีก่นด่าลูกตัวเองว่ามันเป็นอะไรของมัน

“โอ๊ย แสบหู อะไรของพี่เนี่ย” ฟ้าใสปิดหูตัวเอง

“แม่ ๆ ฟ้าใสสสส” ต้นสนยิ้มกว้างทำหน้าเบิกบาน

“อะไรกัน หื้อ! โธ่เด็กคนนี้ แม่ตกใจหมด”

ต้นสนเดินไปนั่งกับพื้นแล้วเอนหัวซบตักผู้เป็นแม่ “ผมได้คบกับพี่ปราชญ์แล้วแม่”

“ห๊ะ” ฟ้าใสตาโต

“อ่าว ไม่ได้คบกันอยู่แล้วรึ” ต้นอ้องุนงง

“ก็เพิ่งขอเป็นพิธีวันนี้” พูดเสร็จก็ยิ้มจนตาหยี

“พี่ปราชญ์น่าจะตาถั่ว”

“อะไร ๆ เดี๋ยวเถอะ พี่ชายเธอออกจะหล่อและนิสัยดีขนาดนี้”

ฟ้าใสกลอกตาแล้วหันไปเด็ดผักต่อ

“แม่ก็คิดว่าแกสองคนคบกันไปแล้ว วันนั้นก็พูดซะดิบดีว่าให้ดูแลชีวิตคู่”

“ก็คบนั่นแหละแม่ แค่ยังไม่ได้พูดให้ชัดเจนกับสถานะ”

ต้นอ้อส่ายหัวพลางยิ้มเหนื่อยอ่อน “แล้วนี่ ศึกษาดูใจกันพอรู้นิสัยแล้วใช่ไหมถึงคบกันน่ะ”

คนเป็นลูกเงียบไป พลางคิดทบทวน “หลังจากรู้ว่าใครรู้สึกอย่างไรเราก็ทำตัวดั่งคนรักมาตลอดเลย ผม...”

“เอาเถอะ อยู่กันไปก่อนเดี๋ยวก็รู้เองว่าชีวิตคู่รอดหรือไม่รอด จะเป็นยังไงก็ให้มันเป็นไปตามอนาคต แต่ต้นสนอายุน้อยกว่าพี่เขาเยอะเลย อาจจะไม่เข้าใจผู้ใหญ่ในบางเรื่อง มีอะไรก็คุยกันนะ ปรึกษากัน”

ต้นสนพยักหน้า นึกถึงตอนที่พี่ปราชญ์พูดเรื่องคุณภวัตแล้ว ลองมองมุมตัวเองว่าหากเป็นเขาเอง คงจะต้องปิดเงียบเพราะไม่กล้าพูด แต่พี่ปราชญ์ก็พูดมันออกมา เขาเองก็ต้องปรับเปลี่ยนเรื่องความคิดบ้าง บางคนอาจจะบอกว่าถ้าใครรักเรา เราก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนอะไรเลย ทว่า มันก็ต้องมีบางเรื่องที่ต้องปรับเปลี่ยนกันบ้าง

ที่อยากจะเปลี่ยนในเรื่องความคิด เพราะเราจะได้เข้าใจกันและกันมากขึ้น

 



เฝ้าคำนึง

 
 


“เออแม่ ว่าจะถาม... จัดงานอะไรน่ะ” ต้นสนที่กำลังอยู่ในชุดตำรวจเอ่ยถามพลางมองรอบ ๆ รวมถึงนอกบ้าน

“จนป่านนี้ก็ยังไม่รู้อีกเรอะ” ต้นอ้อส่ายหน้า

“เอ้า ถ้ารู้จะถามไหมล่ะ” ผู้เป็นแม่ที่กวาดบ้านเตรียมยกไม้ทำท่าจะฟาด ต้นสนเลยรีบวิ่งลงไปข้างล่าง “จะตีผมทำไมเนี่ย”

ต้นอ้อเอาไม้กวาดชี้ “เดี๋ยวเถอะ แล้วกลับกี่โมง คนที่ทำงานไม่บอกเลยหรือไง ที่นั่นเขาไม่หยุดกันหรือ”

“อืม... ก็เห็นหยุดล่ะมั้ง แต่ผมไม่ได้ฟังว่าหยุดกันทำไม”

ได้ยินอย่างนั้นต้นอ้อก็ถอนหายใจ “เที่ยงคืนนี้ก็จะวันปีใหม่แล้ว พุธโธลูกฉัน” บ่นเงียบ ๆ คนเดียวแล้วเดินหนีไปกวาดบ้านต่อส่วนต้นสนนั้นเบิกตาโตเป็นไข่ห่านไปเสียแล้ว

“แม่!!!”

“โอ๊ย อะไร!”

“ทำไมไม่บอก!!”

“แกไม่เคยเขียนวันที่เวลาทำงานหรือไง”

“ไม่! ...เขียนก็ได้! แต่ผมจำไม่ได้” ต้นสนโหวกเหวกโวยวาย “ผมยังไม่เตรียมของขวัญให้พี่ปราชญ์เลย!”

“จะไปรู้แกเรอะ” ต้นอ้อตะโกนตอบ สองแม่ลูกเถียงกันเสียงดังจนคนเดินผ่านไปมาได้ยินหมด

“แม่อะ!!!”

“ไปทำงานเลยไปไอ้ลูกคนนี้” ต้นอ้อเดินมาไล่ก่อนจะกลับไปทำอย่างอื่นต่อ

ชลันทำหน้าบึ้งตึง สัมผัสมือที่โดนไหล่ทำให้ต้องหันไปบ่นใส่คนทัก “อะไรเล่า อุ๊ย” ผู้หมวดหนุ่มตกใจก่อนจะยิ้มแหย “พี่ปราชญ์”

“ตะโกนอะไรเสียงดังไปถึงวังเลย”

“ขอโทษครับ” ชายหนุ่มผงกหัว ก่อนจะจับสังเกตได้ว่าวันนี้พี่ปราชญ์อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นกับกางเกงขายาวที่ไม่ใช่ชุดสูทไปสอนอย่างทุกวัน “วันนี้ไม่ไปทำงานหรือครับ”

“หยุดน่ะครับ แล้วต้นสนไม่หยุดหรือ”

“คงหยุดพรุ่งนี้ครับ” ปากหนายิ้มแป้น “แล้วพี่ปราชญ์มาที่นี่ทำไมหรือครับ”

“ว่าจะมาขอส่งต้นสนไปทำงาน เดี๋ยวตอนเย็นพี่ไปรับ”

ต้นสนกำลังดีใจทว่าพอรู้ว่าทำไมถึงทำอย่างนี้ก็ค่อย ๆ หุบยิ้ม “ได้ครับ”

“โธ่คนดี” ปราชญ์ลูบผม “พี่สัญญาจะรีบกลับมาฉลองปีใหม่ด้วยกัน”

“ครับ”

“ยิ้มเร็ว”

ไม่ต้องพูดให้มากความแค่เพียงเห็นรอยยิ้มคนตรงหน้าต้นสนก็ลืมความหม่นหมองในใจไปหมด อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม

“ไปครับ พี่ไปส่ง” ปราชญ์เดินนำไปอีกทางเพื่อเอารถตนเองไป

ต้นสนยังคงพูดเจื้อยแจ้ว พอไม่ใช่คนที่ขับรถก็เอาแต่รุ่มร่ามจนโดนเอ็ดไปหลายที เอาหัวซบบ่าบ้างล่ะ จูบไหล่บ้างล่ะ หอมตามลำคอบ้างล่ะ ซนเสียจริง น่าตีให้เข็ด

“อือ อย่า” คนอายุมากกว่าเอียงหัวหลบให้วุ่น

“ตัวพี่ปราชญ์หอม ต้นสนอยากจูบ”

อยู่ ๆ ความร้อนก็กระทบใบหน้า ปราชญ์ตาพร่า หัวใจฟูฟ่อง วาบหวามไปกับคำพูดนั้น “หลังจากขอคบเมื่อวานก็เอาใหญ่เชียว”

“ฮี่” ต้นสนหัวเราะเสียงใส ดั่งกับเด็กน้อยได้ของขวัญชิ้นงาม “ผมดีใจนี่หน่า”

“ไว้ดีใจตอนที่พี่ไม่ได้ขับรถไม่ได้หรือครับ เดี๋ยวเกิดอุบัติเหตุ”

“ขอโทษครับ” หูลู่หางตกเป็นอย่างไรก็คงได้เห็นวันนี้

ปราชญ์หันมองน้องสลับกับถนน เห็นท่าทางหงอย ๆ เลยยื่นมือไปเกลี่ยใบหู “คนดีไม่งอนพี่นะครับ”

คนงอนที่ว่าหันหน้าหนี ปราชญ์หันมองทันทีเมื่อถนนว่างกลัวว่าต้นสนจะแง่งอนใส่ ทว่า พอเห็นปลายหูแดงก็ส่ายหน้า

ที่แท้ก็เขินนี่เอง

“พี่ปราชญ์” ตำรวจหนุ่มเรียกเสียงอ่อนเสียงค่อย

“หื้อ” เขาตอบรับและวางมือลงบนต้นขาข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็บังคับพวงมาลัย หากใครมาเห็นเข้าคงหลงเสน่ห์ให้วุ่น

“ผมเหมือนจะตายเลย” ต้นสนเอนหลังพิงกับเบาะพร้อมกับทาบมือลงที่กลางอก “หัวใจผมเต้นเร็วเกินไปแล้ว”

ปราชญ์นิ่งไปก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง เด็กหนอเด็ก “อะไรกัน ไม่ชินอีกหรือ”

“ทีพี่ปราชญ์ยังเขินผมเลย”

คนถูกย้อนกัดปาก แก้มนูนเพราะกลั้นยิ้ม “พี่เปล่า...” เขาว่าเสียงค่อย

ต้นสนหรี่ตามอง ตนเองแก้มแดงขนาดนั้นแต่ก็ยังไปแกล้งคนข้างกาย และแล้วความสนุกก็หมดลงเมื่อมาถึงที่ทำงาน

อยากนั่งรถสักครึ่งวันเสียจริง ผู้หมวดหนุ่มคิดในใจ

“ตั้งใจทำงานนะ”

ชลันผงกหัวก่อนจะเอียงหน้าพลางใช้นิ้วแตะแก้ม รอสักพักก็มีเสียง ‘ฟอด’ ดังแว่วเข้าหู “วันนี้ผมเลิกประมาณหกโมงนะ”

“ครับ เดี๋ยวมารับ”

รอจนต้นสนเข้าไปแล้วปราชญ์ถึงค่อยตีรถออกไป

วันนี้เกิดปรากฏการณ์น่าแปลกที่ผู้หมวดชลันที่เคร่งขรึมเสมอนั่งยิ้มทั้งวัน เท่านั้นยังไม่พอ น้ำเสียงยังอ่อนลงหลายส่วน ลูกน้องในทีมพากันขนลุกเกรียว กลัวฝนจะตกกะทันหัน รวมถึงหัวหน้าในอีกทีมที่ดูจะตกใจและคิดว่าคงจะมีพายุเข้าในอีกไม่ช้านี้ ใครคุยด้วยก็ยิ้มไปคุยไป อารมณ์ดีเป็นที่หนึ่ง

ถึงเวลาเลิกงานต้นสนก็ออกไปที่หน้าสน.เห็นรถคันคุ้นเคยจอดอยู่เลยเดินเข้าไปเคาะกระจกเป็นการขออนุญาตเพื่อขึ้นไปนั่ง

“รอนานไหมครับ”

“ไม่เลย”

ชลันพยักหน้าแล้วยกนาฬิกาขึ้นดู “กว่าจะหนึ่งทุ่ม ก็อีกครึ่งชั่วโมงเลยนี่ครับ”

“พอดีครับ เราก็ไปทานอาหารเย็นด้วยกันเลย” ปราชญ์ว่าพลางมองกระจกเพื่อถอยรถ

“พี่ปราชญ์หิวหรือครับ”

“พี่รอทานอาหารเย็นกับต้นสนน่ะ แล้วต้นสนก็เพิ่งเลิกงานด้วยเลยจะพาไปทานพอดี” พูดเสร็จก็ขับรถออกจากสน.

ต้นสนเม้มปาก “ที่เดียวกับที่นัดคุณภวัตหรือเปล่าครับ”

“ครับ”

หลังจากคำพูดนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรกันอีก จวบจนมาถึงร้านอาหาร ปราชญ์ก็เดินนำเข้าไปนั่งในห้องส่วนตัว สั่งอาหารมาสามสี่อย่าง

“แล้วพี่ปราชญ์จะไม่อิ่มก่อนหรือครับ หากต้องนั่งคุย”

“ตอนนั่งคุยจะสั่งพวกของทานเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ เอาครับ จะได้ไม่อยู่นานเกินไป”

เพียงแค่คำพูดธรรมดาแต่ก็ใส่ใจคนฟัง ชลันอุ่นใจมากขึ้น เพราะเขาไม่อยากให้สองคนนี้อยู่ด้วยกันนานเลย

เขากลัว...

ไม่นานนักกับข้าวก็เสร็จ ทั้งคู่กินไปคุยไป หากอยู่ที่วังคนโดนดุไปแล้ว เพราะควรพูดหรือถามกันเล็กน้อย ถือเป็นมารยาทบนโต๊ะอาหารที่ไม่พูดคุยมากมาย แต่เพราะตอนนี้อยู่กับต้นสนแถมห้องนี้ยังเป็นห้องส่วนตัวเลยปล่อยตัวตามสบาย

“คุณชายครับ มีแขกมาพบครับ เห็นว่าชื่อคุณภวัต”

ทั้งคู่นิ่งไป ปราชญ์หันมองต้นสนที่ทานไปได้เพียงครึ่งเดียว “คือ”

“ไปเรียกเขาเข้ามาเลย” ชลันคลี่ยิ้มให้พนักงาน พอเห็นพนักงานออกไปแล้วก็ลุกขึ้น ทว่า พอเห็น ‘คนรัก’ มีสีหน้าหนักใจก็ยิ้มให้ “ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะครับ ผมไม่เป็นไรจริง ๆ”

“พี่จะรีบคุยนะ”

ต้นสนใจอ่อนความกลัวลดลง ชายหนุ่มลูบแก้มคนที่ยังนั่งอยู่ “คุยให้เข้าใจเลยครับ ผมรอได้ ดีกว่าค้างคากันนะ”

ปภารัชหลับตาพริ้มเอียงหน้าซบกับฝ่ามืออุ่นร้อน “ขอบคุณครับ”

ผู้หมวดหนุ่มยิ้มบางแล้วก้มลงจูบหน้าผาก “มาครับ เอากุญแจรถมา” ว่าพลางยื่นมือเพื่อขอกุญแจ

ปราชญ์เอากุญแจให้ “หรือจะให้พี่บอกพนักงานเปิดอีกห้องแล้วเอาอาหารไปทาน”

“พอเลยครับ ไว้เรากลับไปกินที่บ้านก็ได้ คืนนี้คงมีอาหารเยอะแยะ”

“จริงด้วยสิ”

“งั้นผมไปนะ” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพยักหน้าแล้ว ใบหน้ายังดูหนักใจเลยก้มลงจูบกลีบปากนั้นเบา ๆ ทว่า ตอนผละออกนั้นก็พอดีกับใครคนหนึ่งที่เดินเข้ามา

“ภวัต”





จบบทที่ ๑๙

-----------------------------------------------------------

ภวัตรอบที่สองก็แล้วยังไม่ได้คุยสักที คือมันยาวมากเลย ตอนแรกจะลงตอนนี้ทีเดียวแต่พอแต่งไป มันยาวเป็น24หน้ากระดาษเวิร์ด คิดว่ามันยาวเกินไปเลยว่าจะใส่ช่วงที่คุยกับภวัตไปตอนต่อไปค่ะ เพราะแค่ตอนคุยกับภวัตก็เกือบจบบทนึงได้ คิดว่าเอาใส่ตอนที่20ดีกว่า คาดว่าจะมาลงพรุ่งนี้ช่วงเย็น ๆ หรือค่ำ ๆ

แล้วก็เตรียมทิชชูไว้ก่อนอ่านตอนที่20เลยนะคะ555555555
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๒๐(๑/๒)
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 26-04-2021 15:03:28
 
(https://www.img.in.th/images/cb13200f3a73134d97e0d45d7d1affdd.jpg)

บทที่ ๒๐

ปีใหม่ที่แสนสวยและเจ็บปวด

 
 


ยังดีที่พนักงานต้องเปิดประตูดันออกด้านนอกเลยไม่เห็นว่าเราสองคนจูบกัน แต่คนที่เห็นคือแขกของพี่ปราชญ์

นั่นก็คือคุณภวัต...

ต้นสนมองปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าคนตรงหน้าคือใคร ชายคนนี้ดูตกใจ ดวงตาสั่นระริก ทว่า ก็หายวูบไปเหลือเพียงเรียบนิ่ง

ภวัตใส่ชุดสูทอย่างดีพร้อมของขวัญในมือ เขาเดินเข้าไปเพื่อให้พนักงานปิดประตู มองคนที่ใส่ชุดตำรวจดูภูมิฐานแลดูเย็นชาในสายตาคนนอก เพราะใบหน้าคมคายที่สะท้อนความเป็นผู้นำ อาจจะยศสูงและอาจจะเป็นหัวหน้าสักทีมก็เป็นได้ อีกฝ่ายสูงกว่าเขาเล็กน้อย สมกับเป็นตำรวจผู้นำความยุติธรรม

“สวัสดีครับคุณภวัต” ชลันยิ้มทักทายและพนมมือกลางอกไหว้จนคนถูกไหว้ตกใจเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะไหว้ตน

“สวัสดีครับ” ภวัตรับไหว้เงยหน้ามองเล็กน้อย เพราะอีกฝ่ายสูงเสียจริง เห็นรอยยิ้มนั้นที่เผยออกมาดูจริงใจ ถ้าหากการจูบกันเมื่อกี้คือเป็นการบอกได้ดีว่าคุณคนนี้เป็นคนรักคนใหม่ของปราชญ์และคงจะรู้เรื่องของเขา ทว่า การตอบรับนี้ทำให้เขายอมรับไม่น้อยว่าอีกฝ่ายนั้นต้อนรับเขาดี ไม่ถือหยิ่ง ยังยิ้มรับให้ แม้เขาจะเป็นคนเก่าก็ตาม

แพ้อย่างถาวร

“คุณคือ...” ภวัตเอ่ยถามและยิ้มอย่างเป็นกันเอง ไม่รู้สึกขุ่นเคืองใดใด

“ผมหมวดชลันครับ”

“อ้อครับ หมวด” ชายหนุ่มยิ้มบาง “ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

“ครับ ตามสบายเลยนะครับ” ต้นสนยิ้มและผายมือ

“เอ่อ ไม่อยู่ต่อหรือครับ”

“ไม่เป็นไรครับ คุยกันเลย” ว่าแล้วก็เดินออกไปทันที ไม่รีรออะไรให้มากความ

ภวัตมองตามแผ่นหลังนั้นจนประตูปิดไปแล้วก็ยังคงมองอยู่อย่างนั้น

“ภวัต เชิญนั่งเลยครับ” ปราชญ์เอ่ยทักนั่นเลยทำให้ภวัตต้องหลุดจากภวังค์และเดินมานั่ง เห็นอาหารที่พร่องไปเล็กน้อย คิดว่าสองคนนี้คงจะมาทานอาหารกัน

สักพักก็มีพนักงานสองสามคนเข้ามาเก็บจานเก่า และเอาของทานเล่นมาเสิร์ฟอย่างรู้งาน

“ทานได้นะ” ปภารัชเอ่ยบอก

“คนเมื่อกี้...”

คำถามนี้ทำให้เกิดความเงียบขึ้นมาและคำตอบที่ได้ก็ทำให้คนฟังเจ็บปวด แม้จะเข้าใจตั้งแต่การกระทำนั้น แต่พอมาฟังจากปากของคนตรงหน้าก็ทำเอาจุกไม่น้อย

“คนรักผมเองครับ”

“หรือครับ” คนฟังยิ้มขืน ก่อนจะพรูลมหายใจและยื่นกล่องของขวัญให้ “ผมเอาของขวัญสำหรับต้อนรับปีใหม่มาให้”

“ขอบคุณนะครับ” ปราชญ์รับมาวางไว้ข้างตัว “ผมต้องขอโทษนะที่ไม่มีของขวัญให้เลย”

“ไม่เป็นไรครับปราชญ์”

“แล้วภวัตอยากคุยอะไรกับผมหรือครับ พูดก่อนได้เลยนะ”

ภวัตเตรียมใจมาเผื่อไว้แล้ว แต่ไม่คาดคิดว่าก่อนจะเตรียมใจนั้นจะต้องมาเจอภาพบาดตาบาดใจอย่างนี้

สิ่งที่เขาอยากพูดมันไม่มีวันนั้นอีกแล้ว

“ที่จริงผมอยากขอปราชญ์ว่าให้เราติดต่อกันเหมือนเดิม จะเป็นเพื่อนกันก็ได้ ถ้าจะบอกว่าไม่หวังอะไรก็คงจะเป็นการโกหกเกินไป ผมหวังว่าสักวันเราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม” ถึงแม้ปากจะยิ้ม ผิดกับดวงใจที่เหลวแหลก พังทลายไม่มีชิ้นดี

ปราชญ์ไม่อยากสบดวงตาที่เศร้าหมองนั้น “ขอโทษนะครับ”

“ไม่ครับ ไม่เป็นไรเลย”

ความเงียบเกิดขึ้นอีกครั้งและน่าอึดอัดยิ่งกว่าเก่า สุดท้ายเขาก็ต้องพูดเพื่อให้เข้าใจกัน “ผมเองก็มีเรื่องจะพูดเหมือนกัน” พอคนตรงข้ามเงยหน้ามองแล้วจึงพูดต่อ “ที่ผมนัดคุณวันนี้ คือวันที่เราจะพบกันครั้งสุดท้าย”

หากใครบอกว่าหัวใจสามารถถูกบีบได้โดยไม่ต้องเอาออกจากร่างกายก็คงไม่เกินจริง ดั่งกับมีมือมาบีบให้มันปวดร้าวแทบเจียนตาย ยังนับถือตัวเองที่ไม่น้ำตาร่วงตอนนี้

“ผมเองก็เสียใจที่ทิ้งคุณมา ให้คุณจมกับความเจ็บปวดโดยที่ไม่พูดอะไรให้เข้าใจ แต่ผมไม่สามารถกลับไปอยู่ส่วนนั้นได้ ตอนผมอยู่กับคุณผมรู้สึกว่าผมเหนื่อย ไม่ใช่เพราะว่าคุณไม่มีเวลาหรือทำร้ายจิตใจกัน ไม่เลย คุณมีเวลาให้ผมตลอดและคุณก็ดูแลผมเสมอมาแต่หลังจากโตขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มคิดได้ในบางเรื่อง ผมกลับคิดว่าเราสองคนเริ่มต้นได้ไม่ดีเท่าไร คุณและผมเราเพิ่งรักกันหลังจากคบได้ปีสองปีกว่า เป็นการคบกันที่ไม่มีความรู้สึกรักตั้งแต่แรก และพอได้รักได้อยู่ใช้ชีวิตด้วยกัน ผมยอมรับว่ามันดีมาก แต่หลังจากนั้นผมก็รู้สึกว่าความรักของผมมันถูกกะเทาะจนแตกหัก ผมเลิกรักคุณ มันง่ายดายดีที่พูดไป และมันคงจะดูไร้เหตุผลเกินไป แต่ผมก็ไม่สามารถอธิบายความรู้สึกนี้ต่อคุณได้อีก”

ปราชญ์บีบมือทั้งสองเพื่อที่จะได้ไม่ต้องมองน้ำตาที่ผล็อยลงมาของคนตรงข้าม “ผมขอโทษนะครับ ที่ผมไม่สามารถให้ความรักที่ดีต่อคุณได้”

ภวัตกัดกรามเพื่อกลั้นเสียงร้องก่อนจะเงยหน้าเพื่อไล่น้ำตากลับเข้าไป ชายหนุ่มยกมือเช็ดน้ำตาตามแก้ม “เพราะคนชื่อชลันหรือเปล่าที่ทำให้คุณหมดรักผม”

“ไม่เลยภวัต ช่วงตอนคบกับคุณจนเลิกกับคุณผมไม่มีใครในใจเลย ผมเพิ่งรู้สึกรักเขาหลังจากเลิกกับคุณไปได้หลายปีแล้ว”

ภวัตพยักหน้า “เข้าใจแล้วครับ ได้ยินอย่างนี้ผมจะได้ไม่คิดไปเองว่าคุณอาจมีคนอื่น” เขาถอนหายใจ “ขอโทษนะครับที่คิดอย่างนี้”

“ไม่เป็นไรครับ”

“แล้วเจอกันได้ยังไงหรือครับ เจอพร้อมกับน้องธันหรือเปล่า เป็นตำรวจแบบนี้เป็นเพื่อนน้องธันหรือ”

“ครับ แล้วก็บ้านเขาอยู่ใกล้กับบ้านของผม คุณพ่อของเขาเป็นน้องคนสนิทของคุณพ่อน่ะครับ”

ภวัตขบคิด “หรือครับ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเจอกันตั้งแต่เด็กสินะครับ เจอกันก่อนจะมาเจอผม”

ปราชญ์นิ่งไปก่อนจะพยักหน้า

“ใช่คนเดียวกับคนที่เขียนจดหมายมาหาคุณหรือเปล่า”

“ครับ”

ภวัตยิ้มอย่างนึกขัน เมื่อจำเรื่องราวก่อนหน้านี้ที่ยังคบกันได้ “จำที่ผมพูดว่าหึงได้ไหม ตอนนั้นการเขียนของเด็กคนนั้นดูมีอะไรและมันก็มีจริง ๆ แต่คุณบอกว่าเป็นแค่น้องที่รู้จักแถมยังเด็กอยู่ ผมก็เลยไม่คิดอะไร แต่คุณรู้ไหมว่าเด็กโกหกไม่เก่ง ทุกตัวอักษรที่เขียนล้วนแล้วมาจากใจ ตอนนั้นคุณก็รู้ใช่ไหม”

“ไม่รู้เลยครับ ไม่เคยตะขิดตะขวงใจด้วย เพราะตอนนั้นผมไม่ได้คิดกับน้องเกินกว่าน้องชายคนหนึ่ง ไม่มีสักเสี้ยวเดียว”

“ถ้าอย่างนั้นคุณก็รู้สึกดีมาตลอดที่ได้อ่านจดหมายพวกนั้นและความรักของคุณก็เริ่มเทไปให้ที่เด็กคนนั้น จนคุณคิดว่าคุณเลิกรักผมเฉย ๆ ทั้ง ๆ ที่คุณอาจจะเริ่มรักคนในจดหมายจนทำให้คุณให้ใจไปที่คนนั้นโดยไม่รู้ตัวก็ได้”

คำพูดเสียดแทงนั้นทำให้ปราชญ์วูบไหวไป ในหัวเริ่มคิดตาม เป็นคำพูดที่มีเหตุผลจนไม่อาจเถียงใดใดได้ แต่ก็ยังคัดค้านในใจกับบางอย่างที่ภวัตพูด

“บางทีเหตุผลที่คุณเลิกรักผมก็อาจจะเป็นเพราะจดหมายพวกนั้นก็ได้ แม้ว่าผมจะรู้ว่าเด็กคนนั้นไม่ส่งจดหมายมาหาคุณอีกเลย แต่คุณก็ยังส่งจดหมายไปให้ ถึงช่วงหลัง ๆ จะไม่ค่อยส่งแล้วแต่คุณก็ยังนั่งอ่านจดหมายนั้นซ้ำ ๆ แม้จะเก่าและนานแล้วก็ตาม คุณเก็บจดหมายพวกนั้นอย่างดี จนผมเคยนึกอิจฉาเด็กคนนั้นที่แค่จดหมายคุณก็เก็บและดูแลมาอย่างดีตลอด เวลาที่คุณรู้สึกเครียดก่อนที่คุณจะปรึกษาผมคุณก็จะอ่านจดหมายพวกนั้นเพื่อระบายความเครียด” ภวัตกำมือแน่น “ผมเคยอ่านจดหมายพวกนั้นตอนคุณไม่อยู่ ผมเรียบเรียงทุกอย่างและสงสัยมาตลอด พอมาวันนี้ผมก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเด็กคนนั้นถึงไม่ส่งจดหมายมาอีกเลย ก็เพราะว่าคุณบอกเขาเรื่องมีคนรักแล้วและเขาก็เจ็บปวดจนไม่อาจเขียนจดหมายได้อีก”

หากบอกว่าภวัตนั้นเก่งด้านใด ก็เก่งเรื่องที่พูดตรงจุดหรือแม้แต่พูดในสิ่งที่เห็น แต่เจ้าตัวอาจจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองทำอะไร ทว่า ไม่ใช่กับปราชญ์ เขาจับอะไรได้บางอย่างจากคำพูดนั้นที่ทำให้เขาไขว้เขว ไม่ใช่เพราะเรื่องที่เผลอรักต้นสนตั้งแต่แรก แต่คือเรื่องที่ภวัตเก็บในใจมานานขนาดนี้...

“เราคบกันมาแปดปี แต่ถ้าพูดว่ารักกันจริง ๆ ก็ตอบได้แค่ว่าเรารักกันมาห้าปีเท่านั้น และช่วงแปดปีที่ผ่านมาคุณอาจจะมีเขาอยู่ในใจมานานแล้วเหมือนกันก็ได้ ห้าปีที่เรารักกันอาจจะเป็นเพราะว่าเด็กคนนั้นไม่ได้ส่งจดหมายมา เลยทำให้คุณสนใจผมได้เต็มที่มากกว่าการเขียนตอบจดหมาย”

ปราชญ์เริ่มขมวดคิ้วเมื่อคำพูดนั้นบอกอะไรได้หลายอย่าง

“คุณอาจจะไม่รู้ตัว แต่ผมที่สังเกตคุณมาตลอด ทำไมจะไม่รู้” ภวัตพูดพลางยิ้มขืน

“ผมไม่คิดอะไรกับเด็กคนนั้นจริง ๆ ครับ และผมก็มั่นใจว่าห้าปีนั้นผมรักคุณจริง ๆ”

“ปราชญ์ ยอมรับเถอะครับ คุณเงียบไปตอนฟังผมพูด ก็หมายความว่าสิ่งที่ผมพูดทำให้คุณเริ่มคิดและมองตัวเองในอดีต ทำให้คุณเชื่อไปแล้วว่ามันจริง”

“ที่เงียบเพราะกำลังฟังเหตุผลของคุณต่างหาก” ปราชญ์ส่ายหน้า “ผมขอปฏิเสธเรื่องที่ผมเริ่มรักเด็กคนนั้นตั้งแต่ก่อนคบกับคุณ เขาเป็นแค่เด็กนะภวัต ผมเห็นเขาเหมือนเด็กคนหนึ่ง เห็นเป็นน้องชายที่ชอบเล่าเรื่องทั่วไป ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีความหมายอะไรมากกว่านั้น และเวลาที่ผมเหนื่อยผมท้อทั้งชายธันและชายกรณ์ก็เป็นคนที่ทำให้ผมหายเหนื่อยเหมือนกัน ตอนที่ผมคบกับคุณ ผมมองคุณเป็นคนรักของผม และผมมองน้องเขาเป็นเพียงแค่น้องชาย ผมคิดแต่เรื่องคุณ จนปีสุดท้ายที่ผมเลิกรักคุณ ผมก็ยังไม่ได้แตะจดหมายสักฉบับ ที่ผมบอกว่าเริ่มรักหลังจากเลิกกับคุณไป ก็เพราะว่าหลังเลิกกับคุณสองปีนั้น ผมเริ่มอ่านจดหมายและถามเรื่องราวของเขากับชายธัน พอผมยิ่งรู้ ก็ยิ่งอยากเจอ แล้วพอผมกลับไทยผมก็ถึงได้รู้ตัวว่ารักเด็กคนนั้นไปแล้ว”

ปราชญ์นวดขมับ “ถ้าพูดตามตรง ผมรักเด็กคนนั้นหลังจากเลิกกับคุณไปสองปี เพราะช่วงนั้นผมถามเกี่ยวกับเรื่องเขาผ่านชายธันเสมอ ฟังเรื่องเขามาตลอด ได้รู้ความคิด ได้รู้ในสิ่งที่เขาทำ มันทำให้ผมอยากเจอเขา แต่ถ้าพูดว่ารักเขาตั้งแต่ก่อนคบกับคุณ และพอเลิกสนใจจดหมายพวกนั้นก็มาเริ่มรักกับคุณห้าปี ผมขอปฏิเสธ ช่วงสี่ปีหลังก่อนจะเลิกกันที่ผมไม่ได้ส่งจดหมายไปหาเขาและไม่เคยอ่านจดหมายพวกนั้น จนทำให้คุณคิดว่าผมเริ่มสนใจคุณแทนจดหมายพวกนั้น แต่เปล่าเลย มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด ผมรักคุณมาตลอด คุณคือรักแรกของผม”

ภวัตเป็นคนที่ทำให้เขามีกำลังใจเสมอมาและเคยเป็นคนที่เขาคิดว่าจะฝากชีวิตไว้ตลอดไป ปราชญ์จึงออกจะรู้สึกแย่อยู่บ้างที่ภวัตมองว่าห้าปีนั้นที่รักกันเขาไม่ได้รักอีกฝ่ายเลย

บางทีการพูดตรง ๆ ก็ควรไตร่ตรองก่อนพูดจริง ๆ

ภวัตเป็นคนตรง ๆ ที่มักจะพูดในสิ่งที่คิด แต่สิ่งที่คิดมันอาจจะไม่ถูกเสมอไป แต่คงโทษกันไม่ได้ เพราะว่าเขาอ่านจดหมายของต้นสนตอนเครียดจริง ๆ รวมถึงจดหมายของน้องชายทั้งสอง ไม่ยอมปรึกษาภวัต จนทำให้ภวัตคิดมากและคิดไปแล้วว่าเขาสนใจแต่จดหมายของต้นสน เรื่องนี้เขาผิดเต็ม ๆ ไม่ใส่ใจความรู้สึกอีกฝ่าย และเขาควรจะตงิดใจตั้งแต่ภวัตบอกว่าหึงเขา แต่เขาก็ปล่อยผ่านเลยเพราะคิดว่าต้นสนเป็นน้องชาย ไม่คิดหวั่นกลัวหรือหาข้อแก้ตัวว่าสิ่งที่ทำนั้นคือการนอกใจเพราะเขาคิดกับต้นสนแค่น้องชายจริง ๆ

เริ่มจะเข้าใจเหตุผลว่าทำไมเขาถึงเหนื่อย ตัดเรื่องเวลา ตัดเรื่องการดูแล ก็คงจะเป็นทางความคิด พอเลิกไปนานจนกลับมาคุยกันอีกครั้งนี้ก็เข้าใจแล้วว่าเรามีความคิดที่ไม่ตรงกันเลย หรือเพราะตอนนั้นเขารักภวัตมากจนไม่เห็นข้อเสียของเราสองคนข้อนี้

ข้อเสียที่เราสองคนมีนั้น ดูท่า เขาคงคิดได้คนเดียว

ความเป็นผู้ใหญ่ที่เขาว่า ก็คือการมองเห็นปัญหาของชีวิตคู่ แต่ก็อธิบายความรู้สึกให้ใครไม่ได้ เพราะยังไม่นึกถึงเรื่องนี้ ได้แต่รู้สึกผิดต่อภวัตที่เลิกรักง่าย ๆ

วันนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงเลิกรักอีกฝ่าย

“ภวัต ผมต้องขอโทษนะที่ทำให้คุณคิดมากมาตลอดและมีปัญหาอะไรไม่เคยขอคำปรึกษาคุณเลย ขอโทษจริง ๆ แต่ผมขอบอกตรงนี้ว่าห้าปีที่ผ่านมามันมีค่ากับผมมาก มาเจอคุณวันนี้ ได้พูดคุยกันอีกก็รู้แล้วว่าทำไมผมถึงเลิกรักคุณ” ปราชญ์ถอนหายใจกับตัวเอง “เรามีความคิดที่ไม่เข้ากันเลย ตอนฟังคุณหรือตอนคุยกับคุณวันนี้ มันก็ทำให้ผมรู้สึกเหนื่อยแล้ว และผมคิดว่าคุณเองก็จะเหนื่อยตอนคุยกับผมเหมือนกัน เพียงแต่... คุณแค่รักผมมากจนไม่มองข้อเสียของผม ส่วนผมนั้นมองเห็นข้อเสียและผมเหนื่อยเกินกว่าจะคิดถึงมัน เราอายุเยอะแล้ว แต่ก็ไม่ได้แปลว่ากระบวนการทางความคิดจะโตมากพอ ๆ กับอายุ” ปราชญ์จดจ้องดวงตานั้นที่มีความเศร้าปะปนก่อนจะพูด

“ต่อให้อายุเยอะแค่ไหน เราสองคนก็ยังคงเด็กกันเกินไปในเรื่องความคิดและความรัก”

เมื่อเห็นว่าภวัตไม่ตอบอะไรเขาจึงพูดต่อ “ผมเงียบก่อนหน้านี้เพราะกำลังรับฟังความคิดคุณและตอนนี้คุณเงียบเพราะกำลังรับฟังความคิดผม”

ภวัตนิ่งไปเพราะเริ่มทบทวนตามได้

“เรื่องพวกนี้ที่เราสองคนไม่เคยทำได้เลย คุณคิดมาก ผมผลักไส ผมนึกถึงคุณ และคุณเองก็ผลักไสส่วนนั้น เราต่างผลักไสกันโดยที่ไม่รู้ตัวและมันก็มีเพียงผมที่มองเห็นปัญหานั้น มีคนเคยบอกผมว่า ชีวิตคู่มีอะไรต้องปรึกษากัน ควรจะคุยกัน แต่เราสองคนแทบไม่คุยกันเรื่องนี้เลย ปล่อยให้คิดมาก ปล่อยให้โดดเดี่ยว ทั้ง ๆ ที่อยู่ด้วยกัน”

ปราชญ์ยังคงพูดต่อไปเพื่อให้อีกฝ่ายคิดหลาย ๆ แง่มุม “คุณลองทบทวนในสิ่งที่เราพูดกันดูวันนี้ ทุกประโยค ทุกคำต่างก็มีถากถางใส่กัน มักจะพูดให้ตัวเองดูดีและถูก โดยที่ไม่รู้ตัวอีกแล้ว และผมก็เป็นคนที่จับสังเกตได้ เราทั้งคู่ต่างมีเหตุผลที่อยากให้ตัวเองเป็นฝ่ายถูก ผมรู้ตัวเองดีว่าถากถางอะไรคุณบ้าง ขนาดรู้ตัวยังห้ามปากตัวเองไม่ได้เลย ผมพูดให้ตัวเองถูกก็เพราะสิ่งที่ผมพูดมันคือเรื่องจริง แต่ผมก็ยอมรับว่าสิ่งที่คุณพูดก็ทำให้ผมคิดได้ว่าผมมีส่วนผิดที่ทำให้คุณคิดแบบนี้มาตลอด ผมผิดที่ไม่ยอมคุยกับคุณตั้งแต่แรก”

“ผมยอมรับผิดกับสิ่งที่เคยกระทำกับคุณ ต้องขอโทษจากใจจริง ๆ ครับ แต่มันก็กลับไปแก้อะไรไม่ได้แล้ว ผมไม่ขอให้คุณให้อภัยหรอก แค่อยากให้คุณรู้ว่าห้าปีที่อยู่กับคุณผมรักคุณจริง ๆ และตอนคบกันสองปีแรกนั้นถึงเราจะยังไม่ได้รักกัน แต่คุณก็ทำให้ผมเปิดโลกอะไรหลาย ๆ อย่าง ผมอยากจะบอกว่าแปดปีที่อยู่กับคุณมันไม่เสียเวลาเลย เป็นระยะเวลาที่มีค่ามาก ๆ และผมก็จะไม่มีวันลืม”

“ภวัต ผมขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะและขอโทษกับสิ่งที่เคยทำไป รวมถึง...ขอโทษที่กลับไปไม่ได้อีกแล้ว”

เสียงร้องไห้นั้นดังขึ้นมา ภวัตก้มหน้า ตัวสั่นเทิ้มไปด้วยแรงสะอื้น น้ำตาไหลหยดใส่ผ้าปูโต๊ะจนมีรอยน้ำตาเต็มไปหมด

ถ้าเขาคิดเรื่องนี้ได้พร้อม ๆ กับปราชญ์ ถ้าเขาหันหน้าเข้าหาและเปิดใจคุยกันตั้งแต่แรก ปราชญ์ก็คงจะยังอยู่กับเขา ยังอยู่จนชั่วชีวิต ถ้าเกิดเขาคิดได้ตั้งแต่แรก ลองฟังความคิดเหมือนที่ปราชญ์ทำวันนี้ก็คงจะอยู่ด้วยกันจนถึงตอนนี้ไปแล้ว

ก็เพราะถ้ามันทำได้คงจะไม่มีคำว่า ‘ถ้า’ อยู่ด้วย

มันสายไปแล้ว... สายเกินย้อนกลับ

“ถ้าเราคุยกันตั้งแต่แรกเราคงจะยังคบกันใช่ไหม” ภวัตสะอื้นจนตัวโยนแต่ก็ยังพูดอย่างยากลำบาก

“ผมก็ไม่รู้หรอกครับ แต่ถ้าเราเปิดใจกันตั้งแต่แรกคงจะดีกว่าอยู่แล้ว มันก็เพราะผมที่ถึงจะรู้สึกได้แต่ก็ยังอธิบายไม่ได้ เพราะผมก็ยังสับสนกับตัวเองอยู่ เลยกลายเป็นคนที่ทำลายชีวิตคู่ของเรา”

ภวัตได้แต่ขอร้องในใจไม่ให้ปราชญ์โทษตัวเอง เพราะเขาเองก็ผิด เขาไม่ทันมองปัญหานั้น อยู่อย่างปล่อยปละละเลยเช่นกัน ถึงจะดูแลมากแค่ไหน ให้เวลาต่อกันมากเพียงใด แค่ขาดความคิดความเข้าใจกันมันก็พังทลายลงได้ หรือต่อให้ไม่ค่อยมีเวลาต่อกัน แต่หากเราพูดคุยกันเสมอมันก็ยังเดินหน้าได้ต่อ

ชีวิตคู่ไม่มีอะไรแน่นอนเลย

ภวัตพรูลมหายใจ เริ่มหยุดความเศร้าได้ เขาหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตาของตัวเอง “ผมเองก็ขอโทษนะครับที่ไม่ยอมมาเปิดใจคุยกับคุณ ผมเองก็ละเลยเรื่องนี้เหมือนกัน ขอโทษจริง ๆ”

“ไม่เป็นไรครับ”

เมื่อได้ยินคำนั้นภวัตก็ได้แต่ยิ้มจาง หากเขาเข้ามาคุยก่อนที่ปราชญ์จะนึกถึงคนที่ชื่อชลันคนนั้น คำว่าไม่เป็นไรจะทำให้เราทั้งคู่เข้าใจกันและกลับมาคบกันต่อ แต่นั่นก็เป็นเพียงความคิด หวังลม ๆ แล้ง ๆ ปลอบใจตัวเองเท่านั้น

เพราะคำว่าไม่เป็นไรคำนี้ หมายถึง ไม่เป็นไรให้อภัยต่อกันและก็กลับไปที่ ๆ ของตัวเอง ไม่ยุ่งเกี่ยวต่อกันอีกแล้ว

ภวัตมองหน้าคนรักเก่า จดจำทุกส่วนทั้งใบหน้าและสิ่งที่เคยทำด้วยกันไว้ในใจ “เรื่องที่คุณขอโทษผม ผมก็ไม่ถือโทษหรอกครับ”

 

“ไม่เป็นไร”

ลาก่อนคนที่ผมรักที่สุด


 

 
*มีต่อ
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๒๐(๒/๒)
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 26-04-2021 15:04:44
*ต่อจากด้านบน



ปราชญ์เปิดกล่องของขวัญที่ภวัตให้แล้วพบว่าเป็นพวงกุญแจจากสถานที่ที่หนึ่งที่เคยไปเที่ยวกับภวัต ตอนนั้นที่เราไปเที่ยวกันเป็นวันที่เราบอกรักกันครั้งแรก...

จากนั้นระหว่างทางกลับบ้านไม่มีใครพูดคุยอะไรกันเลยสักคำ ต้นสนเจ็บปวดที่เห็นน้ำตาของคนข้างกาย ตอนทั้งคู่เดินออกมาด้วยกันมีแต่คุณภวัตที่ดูออกว่าร้องไห้หนักจนตาแดงไปหมด ส่วนพี่ปราชญ์นั้นยังคงไม่เป็นอะไร แต่พอขับรถออกไปได้สักพักจวบจนเปิดกล่องของขวัญนั้นที่คงเป็นคุณภวัตให้มา คนที่เก็บอารมณ์ได้ดีเสมอก็ร้องไห้ออกมาเงียบ ๆ โดยที่กลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้

เขายังจำได้ดี ตอนที่เดินออกมาแล้วคุณภวัตเรียกเขาให้ไปคุยด้วย

 

“ผมยินดีกับคุณนะ”

“ขอบคุณครับ”

“ฝากดูแลปราชญ์ด้วยนะ”

“ผมสัญญาจะดูแลเขาให้ดีที่สุด”

“นอกจากดูแล อย่าลืมนึกถึงเรื่องความคิดกันนะ มีอะไรก็คุยกัน ปรึกษากัน ไม่งั้นจะสายเกินไป เหมือนผม...”

ชลันใจกระตุก “เข้าใจแล้วครับ”

“ยินดีที่ได้พบนะครับ ขอให้รักกันนาน ๆ ผมจะไม่มายุ่งอะไรอีกแล้วเชื่อใจได้ ปราชญ์ไม่มีทางกลับมาอีกแล้ว”

“ขอบคุณนะครับและขอบคุณที่ดูแลพี่ปราชญ์มาเสมอ ขอบคุณที่อยู่กับพี่ปราชญ์ตอนมีปัญหารุมเล้า”

“ครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อน ขอให้โชคดีนะครับ”

“คุณก็เช่นกันนะครับ”


 

ทุกคำพูดล้วนมาจากใจ แม้จะมีความเจ็บปวด อาลัยอาวรณ์ ส่งผ่านมาด้วย แต่ก็ยังคงยินดีและไม่มีความขุ่นเคืองต่อกัน คุณภวัตเป็นคนที่ดีมากจริง ๆ ดีเสียจนเขาเทียบแทบไม่ได้เลย

เขาจะดูแลพี่ปราชญ์ได้ดีเท่าคุณภวัตหรือเปล่านะ

ชลันหันมองคนข้างกายที่ยังคงมีหยดน้ำตาไหลผ่านพวงแก้ม ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ยาวนานจนเป็นผูกพัน เขาไม่โกรธพี่ปราชญ์เลยที่ยังร้องไห้เพราะคนเก่า รักแรก คนแรก ไม่มีทางลืมลง

ในใจที่ยังมีอยู่ส่วนหนึ่งอาจจะยังมีคุณภวัตอยู่ในนั้น ต้นสนน้ำตาคลอ ในหัวสับสนไปหมด

เมื่อมาถึงที่หมายแล้ว พี่ปราชญ์ก็หยุดร้องไปสักพัก จัดการตัวเองให้สภาพคงเดิมก่อนจะขอตัวไปหาแขกก่อนเพราะต้องต้อนรับแขกเนื่องจากที่วังก็จัดงานปีใหม่เชิญใครหลายคนมาร่วม

ชลันฝากคนขับรถให้เอารถของทางวังไปเก็บ เขาเดินไปทางสถานที่จัดงานโดยที่มองพี่ปราชญ์ด้วย เห็นยืนคุยกับธันอยู่ และดูธันจะโมโหอะไรสักอย่าง รวมถึงพี่กรณ์ที่ดูจะตกใจแต่ก็ยังมีสติพอจะห้ามน้องคนเล็ก

พี่ปราชญ์ตาแดงอีกแล้วคงเพราะถูกน้องต่อว่า ต้นสนใจอ่อนยวบเขาจะเดินเข้าไปหาเพื่อห้ามเพื่อนตนเอง แต่ก็พอดีกับที่ธันหันมาเห็นเขาเลยรีบเดินมาทางนี้ด้วยใบหน้าบึ้งตึง

“ธันใจเย็น ๆ ก่อน”

“พาคนใหม่ไปเจอคนเก่า คิดอะไรอยู่ แล้วจะยังไปพบอีกหรือคนที่นอกใจแบบนั้นน่ะ” ชายธันบ่นอีกระรอกใหญ่ “แล้วร้องไห้กลับมาขนาดนั้น ยังห่วงเขาอยู่ไม่ใช่หรือไง ทำไมไม่ห่วงความรู้สึกนายบ้าง”

ต้นสนพอจะรู้เรื่องมาเล็กน้อยเขาเลยเข้าใจได้ดี “พวกเขายังไม่ได้รักกันเลยตอนนั้นจะเรียกว่านอกใจได้อย่างไร”

“คบกันก็หมายถึงเป็นคนรักกันแล้ว ต่อให้ไม่รักกันแต่ไปนอนกับคนอื่นมันใช่สิ่งที่ควรทำหรือไง”

“เขาอาจจะพลาดไป แต่พี่ปราชญ์เองก็ไม่ได้รักเขา ต่างคนต่างเคยทำผิดพลาด” ชลันมองพี่ปราชญ์ที่หายเข้าไปในวังพร้อมกับพี่กรณ์ “ที่นายเคยบอกว่าคุณภวัตดีมาก... ฉันเองก็บอกได้เลยว่าเขาเป็นคนที่ดีจริง ๆ”

ชายธันหันมองเพื่อนที่ปากยิ้มแต่ดวงตาเอ่อใส

“ถ้าเกิดว่าพี่ปราชญ์กับคุณภวัตคุยกันเข้าใจตั้งแต่ตอนนั้น บางที... คนที่ไม่ได้ใจไปและไม่ได้เข้าไปในชีวิตของพี่ปราชญ์ก็คงจะเป็นฉันเอง”

 

“ฉันอาจจะไม่มีหวังเลยสักนิดเดียวและอาจจะมองทั้งคู่อยู่ด้วยกันตลอดไป”

 

 

ใกล้เวลาเที่ยงคืนมาทุกที ทุกคนก็ต่างครื้นเครง นอกจากทางวังแล้วพ่อเฟื้องเองก็จัดที่บ้านเหมือนกันเขาเลยต้องเดินกลับไปร่วมงานที่บ้าน

“พี่ต้นสน” เด็ก ๆ ที่เคยเรียนกับเขาวิ่งมาหา เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยไปสอนแล้วเพราะเด็ก ๆ เริ่มได้ที่เรียนดี ๆ กันแล้ว จากการช่วยเหลือของพ่อเฟื้องที่ฝากให้ รวมถึงท่านชายนนท์ที่ก็เอ็นดูและจัดการเรื่องให้เหมือนกัน

“ว่าไงเจ้าตัวแสบทั้งหลาย”

“ครูปราชญ์ไม่มาหรือคะ” เด็กสาวคนหนึ่งถาม

“ครูธันด้วย” เด็กอีกคนพูดต่อ

ต้นสนลูบหัวทั้งคู่ “เขาจัดงานที่บ้านของเขาครับ เขาอยู่กับครอบครัว”

เด็ก ๆ ทุกคนหน้าหมอง สักพักก็โดนผู้ปกครองแต่ละคนเรียกให้ไปหา ต้นสนจึงนั่งอยู่ตรงนี้คนเดียว พื้นที่นี้คือพื้นที่กว้างเป็นของพ่อเฟื้อง คนงาน หรือคนที่อยู่อาศัยแถวนี้รู้จักกันเลยมาจัดอาหาร ขนมขบเคี้ยวมาไว้กลางงาน

ฟ้าใสก็ชวนเพื่อนและครอบครัวเพื่อนมาด้วย ส่วนแม่กับพ่อก็อยู่กับคนรู้จัก

ชลันคลี่ยิ้ม เงยหน้ามองดวงดาว ปล่อยความคิดให้ไหลไปเรื่อย ทว่า ท้องฟ้ากลับมืดมิด ทั้งดวงดาว พระจันทร์ก็หายไปจากสายตา

ด้วยมืออุ่น ๆ คู่นี้

ใจของชายหนุ่มสั่นไหว เขาจับมือนั้นที่ปิดตาของตนเองอยู่ “เด็กที่ไหนกันนะ” ต้นสนแกล้งแหย่

“เด็กอะไรกัน” เสียงทุ้มนุ่มเอ็ดแล้วผละออกก่อนจะหาเก้าอี้มานั่งข้าง ๆ “ไม่ไปนั่งกับคนอื่นล่ะครับ มาอยู่ตรงนี้ทำไมคนเดียว”

“รอพี่ปราชญ์อยู่”

คนฟังยิ้มบาง “ขอโทษนะครับที่ให้รอ”

“ไม่เป็นไรครับ”

ปภารัชมองผู้คนในงานที่รื่นเริงไปกับเสียงเพลงและของกิน เห็นท้องฟ้าจากที่ไกล ๆ บางส่วนมีพลุจุดขึ้นมาบ้าง

“พี่มีอะไรจะให้”

“ครับ?” ต้นสนหันมอง ก่อนที่ตัวเองจะนึกได้ว่ายังไม่มีอะไรให้พี่ปราชญ์เลย “ผมขอโทษ ผมยังไม่ได้ซื้ออะไรให้พี่ปราชญ์เลย”

“แค่อยู่กับพี่ตรงนี้ก็พอครับ” ปราชญ์บีบมือก่อนจะขอตัวไปหาพี่ต้นอ้อ เพราะฝากของไว้ ไม่นานนักปราชญ์ก็เดินกลับมาพร้อมกับพี่ต้นอ้อ

ต้นสนมองแม่ตัวเองที่เดินขึ้นบนบ้าน ไม่นานนักก็ลงมาพร้อมกล่องเล็ก ๆ กล่องหนึ่ง “นี่จ้ะ” เธอยื่นกล่องให้ก่อนจะหันมาทำหน้าหมั่นไส้ลูกตัวเอง “แกนี่ดีจริง”

“เอ้า” เขาเกาหัวพอแม่เดินไปแล้วจึงหันมาสนใจคนข้างกาย

“พี่ให้ครับ”

“ขอบคุณนะครับ” ต้นสนยิ้มกว้าง “ผมเปิดได้เลยไหม”

“เปิดเลยครับ”

ได้รับคำอนุญาตต้นสนก็แกะออกมาอย่างประณีต ไม่มีทางที่จะฉีกออกมาเด็ดขาด ในกระดาษห่อเป็นกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงิน ต้นสนตื่นเต้น เขาเปิดฝาออกก็พบกับกำไลไหมพรมสีดำสองคู่ อันนึงห้อยรูปครึ่งหัวใจ ส่วนอีกอันก็ห้อยรูปครึ่งหัวใจ ถ้าเอามาเชื่อมกันคงจะเป็นรูปหัวใจเต็มดวง

“สวยจังครับ แล้วให้ผมใส่สองอันหรือ”

ได้ยินอย่างนั้นปราชญ์ก็หัวเราะออกมา “ของพี่อันนึงครับ”

“อ้อ” ต้นสนยิ้มเขิน “ขอโทษครับ”

“สองอันนี้พี่ทำเอง มันเหมือนจะทำง่าย แต่ยากมาก ๆ เลย ดีนะที่พี่ต้นอ้อสอน”

ชลันตกใจเมื่อรับรู้ ชายหนุ่มเริ่มเบะปาก น้ำตาคลอ “ขอบคุณนะครับ”

“โธ่คนดี ร้องไห้ทำไมครับ” คนอายุมากกว่าลูบผมสีเข้มพร้อมกับเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมา

“ผมดีใจ” ต้นสนหน้ายู่ไปหมด ยิ่งพอเจอเรื่องวันนี้มาก็ร้องไห้ไม่หยุด เพราะกลัวว่าตัวเองจะดีไม่เท่าคุณภวัต กลัวว่าสักวันจะเป็นคนทำความรักพังและพี่ปราชญ์จะกลับไปหาคุณภวัต

แต่พอเจออย่างนี้ก็รู้สึกผิดที่คิดมากไปเองคนเดียว

ปราชญ์กอดคนข้างกายเอาไว้ ไหล่เปียกชื้นไปด้วยน้ำตา มือบางลูบหลังเพื่อปลอบประโลม

“ขอโทษนะครับ วันนี้ผมกลัวอะไรหลายอย่าง พอมารู้ว่าพี่ตั้งใจทำของพวกนี้ให้ผม ผมเลยรู้สึกผิดที่คิดกลัวคนเดียว”

“ไม่เป็นไรครับ ขอโทษเหมือนกันนะที่ทำให้ต้นสนคิดมาก”

ความหม่นหมองในใจถูกขจัดออกไป ต้นสนรู้สึกดีขึ้นมากเป็นเท่าตัวเลยผละออกมาและเช็ดหน้าเช็ดตาให้สะอาดก่อนจะก้มมองของในมือ “ใส่ให้ผมได้ไหมครับ”

ปราชญ์ยิ้มก่อนจะพยักหน้า “มาครับ”

ต้นสนยื่นแขนซ้ายให้มองมือเรียวนั้นที่กำลังหยิบกำไลออกมาและใส่ให้กับเขา อดไม่ได้ที่จะจ้องมองใบหน้านั้นที่มีรอยยิ้มประดับ สลับกับมองข้อมือตัวเองที่ใส่กำไลนั้นได้อย่างพอดี “ขอบคุณนะครับ”

“ทีนี้ ต้นสนใส่ให้พี่บ้าง” ว่าแล้วก็ยื่นแขนขวาออกไปและถือกล่องไว้อีกข้างเองเพื่อให้ต้นสนใส่ได้ถนัด

ต้นสนใส่ด้วยความถนอมจับขยับดี ๆ จนพอใจก็ยิ้มแป้นจนตาหยี ก่อนจะลองเอาที่ห้อยนั้นมาเชื่อมต่อกัน “หูวว สวยจัง”

คนทำยิ้มไม่หุบเพราะดีใจที่ต้นสนชอบ ปราชญ์มองดวงตาที่เป็นประกายนั้นยามมองกำไลที่เชื่อมกัน เอ็นดูเสียจนอยากจะหอมสักฟอด แต่ก็ทำไม่ได้เพราะอยู่ข้างนอก

ต้นสนเพิ่งจะรู้ตัวว่าถูกมองหน้าอยู่เลยเขินแทบจะมุดดิน อากาศร้อนขึ้นมาจนน่าแปลกเลยกลบเกลื่อนโดยการยกนาฬิกาข้างขวาของตัวเองขึ้นดู “จะเที่ยงคืนแล้วอีกสองนาที”

“เราขึ้นไปข้างบนไหม”

คนถูกชวนยิ่งเห่อร้อน “เข้าห้องหรือครับ”

“ครับ” ปราชญ์คลี่ยิ้มและจับมือข้างที่เชื่อมกำไลกันจูงน้องขึ้นไปบนห้อง เมื่อปิดล็อกประตูแล้วก็พากันมานั่งตรงปลายเตียงโดยที่ยังไม่ได้เปิดไฟ ภายในห้องจึงมีแต่ความมืด แต่ก็ยังมีแสงจากด้านนอกส่องเข้ามาอยู่บ้าง

ต้นสนดูละล่ำละลัก ไม่กล้าหันมองหน้าคนข้างกาย เพราะตอนนี้รับรู้ได้เลยว่าตัวเขานั้นหน้าแดงเพียงใด สัมผัสหลังมือคือนิ้วโป้งของพี่ปราชญ์ที่เกลี่ยไปมา ยิ่งทำให้ต้นสนอยู่ไม่สุข เนิ่นนานแล้วก็ไม่มีใครพูดอะไร ได้แต่นั่งเกลี่ยมือกันไปมาอยู่อย่างนั้น

ได้ยินคนด้านนอกเริ่มนับเลขถอยหลัง ต้นสนก็ตื่นเต้นจนมือชื้นเหงื่อ

“10...9...8...7...6...5..4...3..2..1”

 

ปี ๒๕๑๕

“สุขสันต์วันปีใหม่ครับ/สุขสันต์วันปีใหม่” ทั้งคู่พูดขึ้นมาพร้อมกันก่อนจะหัวเราะออกมา แม้เสียงพลุจากด้านนอกจะดังกลบเสียงแต่เพราะนั่งอยู่ข้างกันจึงได้ยินชัดเจน

“พี่ขอให้ต้นสนมีความสุขและสุขภาพร่างกายแข็งแรงนะ” ปราชญ์หันมาลูบผม

“ผมก็ขอให้พี่ปราชญ์มีความสุขมาก ๆ สุขภาพร่างกายแข็งแรง อยู่กับผมไปนาน ๆ”

“ครับ ขอให้เราอยู่ด้วยกันทุก ๆ ปี”

ต้นสนยิ้มกว้างและเอนหัวซบไหล่ดีใจจนสุขล้นปรี่เสียงพลุยังคงดังอย่างสม่ำเสมอ ต้นสนจึงหันหัวไปจูบซอกคอก่อนจะไล่ขึ้นมาตามสันกราม พวงแก้มสีฝาด ปลายจมูก ก่อนจะหยุดจดจ้องดวงตาสีนิลและจูบปากสีสดนั้นบางเบา

เขายกมือข้างขวาจับแก้มอีกฝ่าย ลูบมันเบา ๆ ผิดกับช่วงปากที่บดเบียดแนบแน่น เสียงจูบดังทั่วห้อง ด้านหลังของทั้งคู่นั้นเป็นหน้าต่างที่ยังคงเปิดอ้าออกทำให้เห็นพลุหลากสีจุดอยู่ทั่วฟ้า แสงไฟสะท้อนใบหน้าของทั้งคู่ที่กำลังจุมพิต

ปราชญ์เอนตัวนอนลงกับเตียงพร้อมกับต้นสนที่ขยับตัวมาคร่อมไว้ เราจูบกันเนิ่นนานราวกับไม่อยากออกไปไหน ทุกครั้งที่ผละออกมามองหน้ากัน ปราชญ์จะเห็นแสงไฟของพลุด้านนอกกระทบกับดวงตาดำลึกและใบหน้าของคนด้านบน เป็นภาพที่สวยงามจนอยากจะถ่ายมันเก็บเอาไว้

“ผมรักพี่ปราชญ์นะครับ”

คนถูกบอกรักอุ่นซ่านไปทั้งอก เขายิ้มให้ “พี่ก็รักต้นสน”

เป็นอีกครั้งที่เราจูบกัน แม้จะเสียใจที่ต้องถอดที่เชื่อมกำไลกันไว้แต่เราก็ต่างเข้าใจกันดีว่าอยากกอดก่ายให้มากพอ

ปราชญ์ตาพร่า วาบหวามไปกับสัมผัสที่คอ เขาขยุ้มเส้นผมยามที่ต้นสนลากจมูกผ่านแผ่นอก เจ้าเด็กน้อยที่เริ่มช่ำชองแลบลิ้นเลียสิ่งที่ชูชันผ่านเสื้อเชิ้ตนี้

“อื้อ” เขาครางเสียงกระเส่า รู้สึกหวิว ๆ ตรงช่วงท้อง

ดูเหมือนเสื้อเชิ้ตนี้จะเกะกะสำหรับต้นสนอยู่ไม่น้อยถึงได้ปลดกระดุมออกและพรมจูบทั่วแผ่นอกและหน้าท้องอย่างรักใคร่และสิ่งที่ต้นสนต้องการที่สุดก็คือครอบครองจุกสีชมพูทั้งสองข้าง

ปราชญ์ก้มมองก่อนจะเชิดหน้าขึ้นด้วยความเสียวซ่านยามที่ลิ้นร้อนตวัดและดูดดึง

ดวงตาของต้นสนเต็มไปด้วยความปรารถนา ชายหนุ่มยืดตัวขึ้นไปจูบกลีบปากนั้น ก่อนจะตกใจเมื่อมีลิ้นร้อนของคนใต้ล่างยื่นแตะเป็นการหยอกล้อ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“พี่ต้นสน ไม่ออกไปกินอะไรหรือไง”

เพียงเสียงของฟ้าใสดังขึ้น ทั้งคู่ก็กระเด้งตัวลุกขึ้น ปราชญ์รีบติดกระดุมให้เรียบร้อย ส่วนต้นสนหัวเสียไปแล้ว

เขารอพี่ปราชญ์จัดการตัวเองให้เรียบร้อยก่อนถึงจะลุกไปเปิดไฟและเปิดประตูออก “เดี๋ยวไปกิน”

ฟ้าใสทำท่าจะพูดทว่าสายตาเหลือบไปเห็นใครบางคนที่นั่งอยู่ปลายเตียง แถมเสื้อเชิ้ตนั้นก็ยับยู่ยี่ ยิ่งพอแสงไฟสาดส่องทั่วห้อง ก็เห็นแก้มของพี่ปราชญ์ที่แดงได้ชัดเจน ฟ้าใสอ้าปากค้าง

“พี่…พี่”

“ไปได้แล้ว ไม่ต้องมาตามอีกนะ” ต้นสนว่าน้องก่อนจะรีบปิดประตู

ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ปราชญ์ทำท่าจะพูดแต่ก็ตกใจที่ต้นสนปิดไฟอีกรอบและเดินเข้ามา “คงไม่มีใครมากวนแล้วครับ”

ปราชญ์ใจเต้นแรง ดวงตานั้นที่มองมาทำคนมากประสบการณ์ดูด้อยไปเลย “เรา..ลงไป— อื้อ!”

และแล้วคำพูดก็ถูกกลืนลงท้องพร้อมกับปากที่ถูกปิดผนึกอีกครั้ง

ปีใหม่ครั้งนี้อาจจะเป็นปีใหม่ที่แสนสวยของใครหลาย ๆ คน แต่ก็คงเป็นปีใหม่ที่แสนเจ็บปวดของใครบางคนเช่นกัน


 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“ต้นสนโว้ย คุณชายปราชญ์อยู่ในห้องไหม พาเขาออกมากินอะไรสิไอ้ลูกคนนี้ พาพี่เขาออกมา เร็ว ๆ” พ่อเฟื้องตะโกนเสียงดัง สุดท้ายทั้งคู่ก็ต้องหยุดและลงไปอย่างห้ามไม่ได้






จบบทที่ ๒๐

-------------------------------------------------------------
สรุปเลยได้เอามาลงวันนี้แทน ขอโทษนะคะ

 
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๒๐
เริ่มหัวข้อโดย: evanescence_69 ที่ 26-04-2021 15:32:44
 :hao7: :hao7:โธ่ ตาเฟือ้งงงงงง
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 03-07-2021 11:18:29
 
 
(https://www.img.in.th/images/4adf6ee8d7656dd448782f60cbce73f7.jpg)

บทที่ ๒๑

กรมโคสนาการ

 
 

แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านฝ้ากระจก ภายในห้องนอนไม้ สองคนผู้หลับใหลในห้วงนิทรากอดก่ายกันราวกับเสาะหาความอบอุ่น แพขนตายาวคู่หนึ่งของคนที่กำลังเอียงหัวซบกับอกคนข้างกายกะพริบอย่างเชื่องช้า

ในที่สุดดวงตาคู่สวยก็ลืมขึ้น ก่อนจะเงยหน้ามอง ‘คนรัก’ ที่กำลังนอนอ้าปากกอบโกยอากาศเข้าปอด เสียงกรนน้อย ๆ นั้นทำเอาปภารัชส่ายหัวแล้วผงกหัวขึ้นเพื่อเท้าแขนมอง ใช้นิ้วเขี่ยปอยผมเล่น

“เช้าแล้วครับคนดี” เสียงทุ้มนุ่มกระซิบแผ่วเบาแล้วจูบเปลือกตา “ตื่นได้แล้ว” ช่างเป็นการปลุกที่อ่อนโยนราวกับไม่อยากให้ตื่นขึ้นมา ปราชญ์มองต้นสนด้วยแววตารักใคร่ มุมปากยกขึ้นในเวลาที่กวาดตามองทั่วใบหน้า

เวลานอนดูน่ารัก น่าเอ็นดูเสียจริง

“ต้นสน” เสียงกระซิบยังคงแผ่วเบาและพร่ากระเส่า หากเจ้าตัวดีตื่นมาได้ยินคงมุดหน้าหนีทันที

ปภารัชยอมจำนนไม่ลีลามากความเพราะวันนี้เราทั้งสองนัดกันไปเที่ยวเล่น ไปเช้า ๆ คงเป็นการดี

“ต้นสน ตื่นได้แล้ว” มือเรียวเขย่าตัวคนข้างกาย สักพักถึงจะได้ยินเสียงสะลึมสะลือ “ตื่นครับ ไปอาบน้ำ”

“อือ พี่ปราชญ์” น้ำเสียงงัวเงียเหมือนกำลังออดอ้อนทำคนพี่อ่อนระทวยจนต้องก้มไปหาและจูบหน้าผาก

“ตื่นเร็วคนดี”

“เช้าแล้วหรือครับ”

“ครับ เช้าแล้ว” ปราชญ์ตอบรับและจับมือของคนที่ยังนอนอยู่ออกจากตาที่ถูกขยี้เสียแรง “เลิกขยี้ตาแล้วลุกขึ้นได้แล้วต้นสน”

“ครับผม” ถึงจะตอบเอื่อยเฉื่อยเพราะเพิ่งตื่นแต่ก็ลุกขึ้นมานั่งเกาหน้าท้องตัวเองที่เปลือยเปล่า เพราะต้นสนชอบนอนโดยใส่เพียงกางเกงผ้าลื่นเท่านั้น ส่วนปราชญ์ก็ชุดนอนแขนยาวขายาวอย่างประจำ

เมื่อคืนหลังจากที่พี่เฟื้องมาเคาะประตูเรียก... เราทั้งสองจึงจำต้องออกไปร่วมงาน ปราชญ์เองก็ต้องแวะไปที่วังบ้างเป็นบางครั้ง ดื่มจนพอดีแล้วค่อยไปอาบน้ำสวมชุดนอนและขนเสื้อผ้าที่จะใส่ไปวันนี้มาที่บ้านต้นสน ส่วนต้นสนพอได้อาบน้ำเสร็จขึ้นมาบนห้องก็หลับไปด้วยความเหนื่อยล้า มีแต่คนชวนดื่ม ชวนคุย กว่าจะเลิกงานจริง ๆ ก็ปาไปตีสองกว่า

“พี่ปราชญ์จะอาบก่อนไหมครับ”

“ต้นสนอาบก่อนเลย ถ้าพี่ไปอาบก่อน ต้นสนก็แอบนอนอีก”

คนถูกใส่ร้ายยิ้มเผล่แล้วสวมกอด ซุกหน้าลงกับลาดไหล่แล้วใช้จมูกเขี่ยไปมา “หรือเราจะนอนอยู่บ้านทั้งวันดีครับ”

“แม่ฝากซื้อของไม่ใช่หรือ เราก็ต้องไปซื้อกลับมาให้พี่ต้นอ้ออยู่ดี แล้วต้องทำบุญด้วยนะ”

“อยากนอนนี่ครับ การพักผ่อนคือการนอนไม่ใช่หรือ”

ปราชญ์ส่ายหน้าและอมยิ้มบาง “งอแงเสียจริง ถ้าอย่างนั้นพี่จะไปซื้อให้เอง ต้นสนก็นอนพักนะ เมื่อคืนดื่มจนดึกดื่น ส่วนเรื่องทำบุญไว้ค่อยทำพรุ่งนี้ก็ได้”

ได้ยินอย่างนั้นต้นสนก็ผละออกมา “ไม่เอา ผมจะไป”

“จะเอายังไง หื้อ” ปราชญ์ว่าพลางใช้นิ้วเขี่ยจมูก

“ก็ผมอยากอยู่กับพี่ปราชญ์ อยากนอนกอดอย่างนี้ทั้งวัน เวลาออกไปข้างนอกผมกอดไม่ได้นี่ครับ”

คนฟังหัวเราะในลำคอ “เอาหน่า ไปไม่กี่ที่แล้วรีบกลับมานอนที่ห้องก็ได้”

ต้นสนบึนปากราวกับเด็กน้อยแต่ก็ยอมลุกขึ้นจากที่นอนพร้อมกับบิดตัวไปมา “อาบน้ำ ๆ”

ปราชญ์มองคนพูดคนเดียวเพื่อปลุกตัวเองให้กระปรี้กระเปร่า ก่อนจะลุกขึ้นแล้วไปหาเสื้อผ้ามาเตรียมไว้ให้ตัวเองและของต้นสน

 

 

เสียงผู้คนดังขึ้นทั่วทิศ สองหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นกับกางเกงสีเข้ม ที่ดูแล้วเข้ากันจริงเชียว ชลันเปิดเผยโครงหน้า ทำให้ดูหล่อคม หน้าผากที่เปิดกว้างรับกับคิ้วเข้ม ดวงตาเรียวและจมูกสันโด่ง กับอีกหนึ่งหนุ่มที่มีแว่นตาประดับเหมาะกับกรอบหน้า ทุกระเบียบนิ้ว การเดิน การพูดคุยหรือท่าทางต่าง ๆ ดูก็รู้แล้วว่าเป็นผู้ดี

สองหนุ่มที่เดินเคียงข้างกัน คงพูดได้แต่ว่า ดั่งกับเทพสวรรค์ลงมาเยือนมนุษย์

“วันนี้พี่ปราชญ์หล่อมาก ๆ เลยครับ มีแต่คนมองพี่ปราชญ์ทั้งนั้นเลย” ต้นสนกระซิบเสียงเบา

ปภารัชที่กำลังมองหาซื้อของน่าสนใจในย่านการค้าก็หันมาหาคนรัก “วันนี้ต้นสนก็หล่อมากครับ ทำเอาตอนที่พี่เห็นครั้งแรกใจพี่เต้นเสียแรง”

ต้นสนยืนนิ่งไปทันตาผิดกับคนพูดที่เดินไปดูของที่น่าสนใจปล่อยให้หนุ่มหน้ามนเขินหน้าแดงท่ามกลางผู้คนที่เดินขวักไขว่ พี่ปราชญ์ชอบพูดอะไรอย่างนี้เสมอ และไม่เคยจะรู้ตัวเลยว่าคำพูดนั้นทำเอาต้นสนเขินเสียจนจะมุดดินแค่ไหน

“ไอติมแท่งนี่หน่า” ต้นสนชี้ไปที่ร้านหนึ่งตรงขอบฟุตบาท “พี่ปราชญ์เอาไหมครับ”

“เอาสิ” พูดเสร็จก็ทำท่าจะหยิบเงินให้แต่ต้นสนก็ก้าวฉับ ๆ ไปซื้อก่อนแล้ว

“เย็นฟัน” เมื่อซื้อมาแล้วต้นสนก็กัดกินทันทีและยื่นอีกแท่งให้คนข้างกาย

“ขอบคุณครับ” รับไอติมแท่งมาถือพร้อมกับกัดเพียงนิด ความเย็นดับอากาศที่ร้อนนิด ๆ นั้นได้ดี

“น่าแปลกเสียจริงนะครับ ที่มีคนคิดเรื่องไอติมขึ้นมาได้ หรือของจำพวกน้ำเย็น น้ำแข็ง เวลาดื่มทำเอาสดชื่นจริงเชียว” ทั้งคู่ยืนทานกันใกล้ ๆ ร้านเพราะไม่อยากเดินไปกินไป

“ความคิดของมนุษย์เราถือว่าเป็นสิ่งน่าอัศจรรย์ รวมถึงทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ที่นำมาประยุกต์ใช้หรือศึกษาเพื่อทำประโยชน์ให้แก่คนอื่นได้ คงต้องบอกว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่ฉลาดมากที่สุดเลยก็ว่าได้ ยิ่งยุคสมัยเปลี่ยน อนาคตคงจะมีอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจกว่านี้”

“นั่นสิครับ น่าเสียดายที่อายุขัยมนุษย์ช่างสั้น”

ปภารัชยิ้มก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดปากของคนข้างกายที่กินหมดไปแล้วอย่างรวดเร็ว ถึงจะพลิกอีกด้านแล้วเอามาเช็ดตัวเองต่อหลังกัดคำสุดท้ายหมด

“ไปไหนต่อดีครับ ได้ของที่แม่ฝากแล้วด้วย”

“พี่อยากไปดูที่หนึ่งน่ะ ตั้งแต่กลับไทยยังไม่เคยไปเลย ได้แต่ดูรูป”

“ที่ไหนหรือครับ”

“ต้นสนรู้จัก ‘กรมโคสนา’ ไหม”

“อืม…” คนถูกถามลูบคางพลางขมวดคิ้ว

“ที่สมัยก่อนเขาเรียกว่า ‘ห้างแบดแมนแอนโก’ น่ะ”

“อ๋อ! จำได้แล้วครับ เดี๋ยวผมพาไป” ว่าแล้วก็พากันเดินกลับไปที่รถ เพื่อไปยังสถานที่ที่ว่า

“ทำไมถึงอยากไปหรือครับ มันไม่ใช่ห้างแล้ว ถูกปิดกิจการไปเมื่อปีสองห้าศูนย์สี่ล่ะมั้งครับ ถ้าผมจำไม่ผิด ตอนนี้ไม่ค่อยมีอะไร เห็นเขาว่าจะบูรณะใหม่ แต่ยังไม่มีพวกอุปกรณ์เทคโนโลยีที่ดีพอจะทำ”

“พอดีมีเพื่อนที่เป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เขาเคยให้ดูรูปน่ะ ที่นั่นเคยได้ใช้เป็นตึกกรมโคสนาการในสมัยประชาธิปไตยในช่วงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง คณะราษฎร์พัฒนาเป็นโคสนาการ กรมโคสนาการ และกรมประชาสัมพันธ์ในปัจจุบันนี้”

“โห ผมยังไม่รู้เลยนะครับเรื่องนี้”

“ไม่แปลกหรอก คนภายในหรือคนที่ศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์เขาจะรู้กัน”

“ตึกที่เคยเป็นห้างดันเกี่ยวข้องกับทางการเมืองเยอะเลยนะครับ”

ปราชญ์ที่กำลังมองถนนอย่างเหม่อลอย ถอนหายใจเล็กน้อย “เคยถูกใช้จากคณะราษฎร์ ในปีที่เกิดการปฏิวัติสยาม เพื่อโคสนาเชิญชวนประชาชน”

“ตั้งแต่ปีสองสี่เจ็ดห้า นานเหมือนกันนะครับ”

“และยังเป็นที่ที่พวกทหารมายึดครองในการทำรัฐประหาร เพราะอย่างนั้นการจะบอกอะไรเกี่ยวกับประชาชนถึงถูกบิดเบือนและปิดเงียบ”

ได้ยินอย่างนั้นต้นสยก็เงียบไปทันตา พี่ปราชญ์รู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทยเยอะมากแม้จะเคยอยู่อังกฤษแทบจะครึ่งชีวิต คงจะศึกษามาตลอด รวมถึงได้ไปพูดคุยกับคนศึกษาและติดตามมาตลอดด้วยแล้ว จะรู้เยอะ รู้ในสิ่งที่คนอื่นไม่รู้ มันก็ไม่แปลกเลย

แต่เขายังคงหวั่นวิตกกับคำเตือนของศศิ

หวังแค่ว่าจะไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นทั้งตัวพี่ปราชญ์เองและคนอื่น ๆ ที่เรียกร้องประชาธิปไตย

“ที่จริงพี่เคยคิดว่า หากพี่ไม่มีคำนำหน้าอย่าง ‘หม่อมราชวงศ์’ มันคงจะดี”

ชลันหลุดจากภวังค์และอดจะตกใจกับคำพูดของคนข้างกายไม่ได้ “ทำไมหรือครับ”

“เพราะพี่รู้สึกว่า ‘ไม่ควรมี’ อยู่ด้วยซ้ำ”

คนที่รับฟังไม่ได้พูดอะไรมากกว่านั้นได้แต่นั่งเงียบเพื่อฟังอีกคนพูด

“มันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่มีไว้ อย่างชนชั้นสูงในอังกฤษที่มีเช่นกัน เพียงแต่… หากประเทศเราไม่มีการสถาปนาตนเอง มันจะเป็นยังไง”

“สถาปนาตนเอง? คืออะไรหรือครับ”

ปราชญ์หลุบตาก่อนจะนวดขมับ “ไม่มีอะไรครับ ช่างเรื่องนี้เสียเถอะ”

ปากหนาหุบบ้างอ้าบ้างคล้ายจะถามอะไรอีก แต่พอเห็นสีหน้าของคนข้างกายที่คงจมไปกับความคิดเลยได้แต่นั่งเงียบเอาไว้

“ถึงแล้วครับ” ต้นสนขับมาจอดห่างจากตึกพอควรเพราะคงเข้าไปไม่ได้ พอเห็นคนรักลงรถแล้วจึงลงไปบ้าง

ทั้งคู่ยืนพิงรถมองข้างหน้าตึกสูงตระหง่านที่กว้างขวาง หากพบในอดีตคงจะเป็นที่ที่หรูหราและทันสมัย สมกับเป็นนายห้างฝรั่ง ที่มีแต่ชนชั้นสูงเข้าไปซื้อจำพวกเสื้อผ้า เหล้านอก หรือยา พืชผลดี ๆ

“จะไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ไหนอีกไหมนะ ตึกนี้” อยู่ ๆ คนที่เงียบไปนานก็พูดขึ้นมา

จากนั้นต่างคนก็ต่างเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรอีก เนิ่นนานที่อยู่กันอย่างนั้น ถึงสัมผัสได้ว่ามือของปราชญ์ถูกกุมเอาไว้และสั่นเทา

“ต้นสน…”

“ผมแค่รู้สึกว่า ยิ่งเข้ามาพัวพัน ยิ่งถลำลึก ผมก็ยิ่งกลัวน่ะครับ” ต้นสนหันมาหาใบหน้าซีดเผือด

เห็นคนรักคิดมากก็เกิดรู้สึกผิดขึ้นมา เป็นวันที่ดีแท้ ๆ น่าจะชวนไปที่อื่น หยุดพักเรื่องนี้สักวันก็ยังดี

“พี่ขอโทษนะที่ทำให้เป็นห่วง ไปที่อื่นกัน หรือจะกลับบ้านดีครับ” ปราชญ์ลูบแก้มคนรัก “โธ่คนดี พี่ไม่น่าชวนมาที่นี่เลย”

“ไม่เป็นไรครับ ผมแค่หวั่นวิตกไปเอง ผมพามาได้ จะไปที่ไหน ทำอะไร ผมจะไปกับพี่ปราชญ์เสมอ ผมไม่กลัวว่าจะเจอกับอะไร ผมแค่กลัวว่าบางเรื่องอาจจะร้ายแรงต่อพี่ปราชญ์”

“ขอบคุณนะครับที่ห่วงพี่ขนาดนี้” ปภารัชกระชับมือคนรักและยกขึ้นมา ใช้ปากแตะลงที่หลังมือค้างไว้เพียงครู่ถึงจะผละออก

“ผมไม่ห้ามให้ตระหนักถึง แต่พี่ปราชญ์อย่าทำให้เรื่องนี้เข้ามาทำให้ชีวิตตัวเองเครียดมากกว่าเดิมสิครับ พักบ้าง ช่วงหยุดปีใหม่นี้ก็อยากให้พี่ปราชญ์มีความสุขอย่าเอามาปนกับชีวิตตัวเองจนเกินไป”

ปราชญ์เข้าใจดีจึงพยักหน้า “เข้าใจแล้วครับ พี่จะไม่เอามาปนกับช่วงเวลาอย่างนี้อีกแล้ว”

“ดีมากครับ ถ้าอย่างนั้นเราไปที่ไกล ๆ ดีกว่า”

“หื้อ? ที่ไหนหรือครับ”


 


เฝ้าคำนึง

 
 


เสียงผู้คนดังเซ็งแซ่ต่างก็เบียดเสียดกันเวลาเดินตามทางที่มี ปราชญ์สนอกสนใจทั่วพื้นที่ ดูเป็นสิ่งใหม่ที่ตนไม่เคยพบเจอ ไม่เคยมาเที่ยวในที่แบบนี้เลย นั่งรถเป็นชั่วโมงก็ดูท่าจะคุ้ม

“เป็นไงครับ ตลาดน้ำดำเนินสะดวก”

“ตลาดน้ำหรือครับ เพิ่งเคยได้ยินครั้งแรก”

“ที่จริงก็มีตลาดน้ำใกล้ ๆ นะครับ แต่ที่นี่นักท่องเที่ยวเยอะมากและก็ชื่อดังตั้งแต่ปีที่แล้ว ปีนี้ก็ยิ่งคึกคัก”

ถึงจะเคยเห็นคนค้าขายโดยใช้เรือบ้างแต่นี่คงเป็นครั้งแรกที่ปราชญ์เห็นของขายที่อยู่บนเรือเต็มไปหมด เพราะว่าตอนเด็กแทบไม่เคยได้ไปไหนเลย เนื่องจากแม่ป่วยและพ่อเองก็มีงานหนัก จนแม่เสียแล้วเข้าวังไปก็ไม่ได้ไปไหนนอกจากเรียนเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับคนชาววัง จากนั้นก็เข้าโรงเรียน พอปิดเทอมก็แทบไม่ไปไหน เพราะไม่มีใครพาไปได้

ครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรกที่เคยมาตลาดน้ำ

“ลองกินก๋วยเตี๋ยวเรือไหมครับ”

คำตอบคือการพยักหน้าอย่างรวดเร็วโดยไม่คิดสิ่งใด ต้นสนจึงลงไปนั่งกับเก้าอี้เตี้ยที่มีไว้และคอยจับมือคนรักให้ลงมานั่งด้วยกัน

“เอาเส้นเล็กน้ำตกหมูหนึ่งครับ พี่ปราชญ์อยากกินอะไรครับ”

ปราชญ์นึกสักพักก็เอาแบบต้นสน อดจะตื่นเต้นดั่งกับเด็กน้อยไม่ได้เมื่อมานั่งกินริมน้ำและคอยรับถ้วยจากคนบนเรือ หนุ่มวัยกลางคนที่อายุปาไปสามสิบหกปีชะเง้อคอมองนู่นมองนี่ ดวงตาแวววาว ทำให้คนพามาชื่นใจไม่หยอก

“ได้แล้วพ่อหนุ่ม” ป้าคนขายยื่นถ้วยพร้อมยกเครื่องปรุงให้

“อร่อยทั้ง ๆ ที่ยังไม่ปรุงเลยครับ” ปราชญ์ชมยอป้าบนเรือเมื่อลองตักน้ำซุปทาน

“แน่นอนสิ ฮ่า ๆ” ป้าแกหัวเราะชอบใจ

“แบบนี้ต้องสั่งเยอะ ๆ แล้ว” ต้นสนเอ่ยว่าพลางหันไปทางอื่นในขณะที่ใส่พริกป่น

“คนละสองชามคงจะเป็นการดี” ปภารัชตอบรับและไม่ปรุงอะไรเพราะน้ำซุปนั้นอร่อยมาก ๆ รอบสองไว้ค่อยลองปรุงดูเอาก็ได้

และแล้วก๋วยเตี๋ยวสองถ้วยก็หมดลง ต้นสนลุกไปหาซื้อน้ำมาให้ ปราชญ์จึงชวนป้าแกคุยไปเรื่อยเปื่อย ว่าขายมานานหรือยัง ที่นี่เปิดมากี่ปีแล้ว แต่ละวันขายได้เยอะไหม จนคุยกันถูกคอ ป้าแทบจะยกให้อีกถ้วยให้โดยไม่ต้องเสียเงิน

ปราชญ์เกรงใจคนทำมาค้าขายจึงรับแค่น้ำใจและลุกขึ้นบอกลาเมื่อต้นสนเดินมาหา

“น้ำ ‘โคคา โคลา’ ครับ”

“ขอบคุณนะครับ” ปราชญ์คลี่ยิ้มและยกถุงขึ้นมาดูดหลอด ความซ่าแล่นไปทั่วคอ ทำเอาสดชื่นมากขึ้นกว่าเดิม

“ของคาวเสร็จก็ต้องต่อด้วยของหวาน” พูดเสร็จก็จับมือคนรักเดินนำไปที่ร้านขนมไทย “คิดถึงลูกชุบ ไม่ได้กินเสียนาน... พี่ปราชญ์เลือกเลยครับ”

“พี่ชอบขนมใส่ไส้ แต่ก่อนพี่เฟื้องชอบซื้อให้ตอนกลับจากโรงเรียน แล้วก็หม้อแกง อันนี้ตะโก้ โอ้...”

ต้นสนแทบกลั้นยิ้มไม่อยู่ มองเสี้ยวหน้าของคนรักที่ดูมีความสุขเพราะขนมที่ละลานตา หากหอมแก้มตรงนี้ได้ คงทำไปแล้ว

“อร่อยไหมครับ” ต้นสนถามขึ้นเมื่อเราเดินมานั่งใต้ต้นไม้ที่อยู่ข้างนอกตลาด พี่ปราชญ์หยิบของโปรดอย่างขนมใส่ไส้ขึ้นมาเป็นอันดับแรกเลย

“อร่อยครับ” น้ำเสียงสดใสดวงตาหยีลงแทบปิด ใบหน้าดูสุขล้น

ชลันยิ้มอย่างเอ็นดูและยื่นมือไปเช็ดปากให้

“ต้นสนกินไหม” ปราชญ์ยื่นขนมใส่ไส้ที่ห่อด้วยใบตองอีกชิ้น

“กินเลยครับ”

“เร็ว ๆ ครับ” ปราชญ์คะยั้นคะยอสุดท้ายต้นสนก็ก้มงับเข้าปาก แต่ก็ลำบากพอตัวจนปากเปื้อนไปหมด คนอายุมากกว่าส่ายหัวแล้ววางใบตองลงก่อนจะประคองหน้าคนรักให้หันมาหา มือก็เกลี่ยคาบเปื้อนออกให้

ชลันไม่รู้ว่าตัวเองยิ้มมานานแค่ไหนแล้ว รู้เพียงแต่ว่าเขามีความสุขเหลือเกิน จนไม่รู้ว่าการทำหน้าบึ้งมันเป็นอย่างไร ดวงตาเรียวหลุบมองปากสีอ่อนสลับกับดวงตาคู่สวยที่ต่อให้มองกี่ครั้งก็ไม่เคยเบื่อ เขาเหลือบมองคนว่ามีใครผ่านมาไหม แต่ส่วนมากจะสนใจในการเดินเข้าไปในตลาด เมื่อมองให้ดีแล้วไม่มีใครจึงก้มลงเชยชมกะทิที่เป็นส่วนผสมของขนมใส่ไส้ อร่อยเสียขนาดนั้น ไม่รู้ว่าในปากของคนตรงหน้าจะอร่อยมากเพียงไร

“อื้อ! ต้นสน—” เสียงจุ๊บดังขึ้นแผ่วเบายามที่กลีบปากขยับดูดดึง ต้นสนผละออกมาพร้อมกับเม้มปากเพราะขนมนั้นยังไม่ทันได้แตะไปจนถึงภายในเลย “ไม่อายฟ้าอายดินหรืออย่างไร” ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ก็รู้สึกดีกับสัมผัสเมื่อครู่ ดวงใจยังเต้นแรงไม่หายเลย

“ผมอยากลองกินขนมใส่ไส้”

“ก็ให้ลองกินไปแล้วไม่ใช่หรือ แล้วในปากพี่... ก็ไม่มีหรอกนะ”

ชลันยกยิ้มดวงตาแพรวเสน่ห์ “ไม่มีจริงหรือครับ หวานขนาดนี้”

ลมหายใจของปราชญ์ขาดห้วงไปชั่วขณะ ก้อนเนื้อในอกสั่นระรัว อากาศร้อนอบอ้าวขึ้นทันตา “ทำเป็นพูดเข้า”

“แล้วขนมใส่ไส้ที่อยู่ในใบตองนั่น... กับที่อยู่ในปากผมอันไหนอร่อยกว่ากัน”

“ต้นสน!”

สองหนุ่มพากันกลับไปในที่สุดเมื่อใช้เวลามานานแล้ว และมีขนมเอย พวกของฝากเอยไปให้ที่บ้านด้วย

ปราชญ์เป็นคนขับให้เพราะกลัวต้นสนเหนื่อยล้า อยากให้คนรักนอนหลับเสีย เพราะเมื่อคืนก็ดื่มหนักและนอนดึกดื่น ทว่า คนที่จะให้นอนกลับเอาแต่นั่งจ้องเขาขับรถจนแทบไม่มีสมาธิขับแล้ว

ทั้งคำพูด แววตาและรสสัมผัสยังคงติดค้างไม่จางหาย ยิ่งนึกถึงยิ่งร้อนรุ่มไปทั่วอก

ปภารัชปรายตามองคนข้างกายเป็นบางครั้ง เมื่อเห็นตำรวจตรงหน้าที่ยกมือเป็นเชิงให้หยุดรถก็หยุดไว้เพื่อให้อีกฝั่งนั้นไปก่อน

“มองอะไรนัก” ว่าแล้วก็หันมาประจันหน้า

“มองดวงใจของผม”

คำเลี่ยนที่ออกจากปากต้นสนทำเอาปราชญ์ตกใจไม่น้อย ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอแล้วจับคางคนรักให้เข้ามาใกล้

“ช่างพูดช่างจา จุ๊บ” พูดจบก็ประกบปากเร็ว ๆ จนเกิดเสียงที่น่าเขินอาย แตะปากกันอยู่อย่างนั้นไม่มีดูดดื่ม ไม่มีแช่ค้างไว้ เพียงแค่แตะและผละออก

“ไม่กลัวคนข้างนอกเห็นหรือครับ” ต้นสนถามเสียพร่าและมองคนรักด้วยแววตาเสน่หา

“พี่ไม่สนใจหรอก... แล้วต้นสนล่ะ” ในขณะที่ถามก็ใช้จมูกเขี่ยกับจมูกของคนตรงหน้า

ต้นสนไม่ได้ตอบทันทีแต่การเอียงหัวขบเม้มริมฝีปากก็บ่งบอกได้ดีว่าไม่สนใจใครเหมือนกัน

“อืม แต่เราควรจะสนใจการจราจรนะ” หลังจากปราชญ์พูดจบทั้งคู่ก็หัวเราะออกมา ปราชญ์ผละตัวไปมองตำรวจนายนั้น แล้วเห็นว่ายังเหลือรถฝั่งทางขวาที่ยังไม่หมด สักพักถึงจะกวักมือให้ขับต่อไปได้

มีความสุขมากเหลือเกิน นั่นคือสิ่งที่ทั้งคู่คิดตรงกันโดยที่ไม่ต้องพูดออกมา

เมื่อกลับมาถึงบ้านก็เอาของให้ผู้เป็นแม่ก่อนเป็นอันดับแรกและให้ขนมไทยเก็บไว้ทานเล่น ส่วนคู่ข้าวใหม่ปลามันก็พากันไปนั่งในห้อง อุดอู้อยู่เพียงสองคน ถึงจะน่าปวดใจ ทว่า เราเปิดเผยต่อสาธารณชนไม่ได้ แม้นปากจะบอกอย่างมั่นเหมาะว่าไม่สนใจผู้ใด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า... ส่วนหนึ่งก็ไม่อยากรับฟังคำครหาของคนที่ไม่เปิดรับ

“พรุ่งนี้ไปน้ำตกกันไหมครับ”

“น้ำตกหรือ” ปราชญ์ตื่นเต้น “ไปสิ”

“เพื่อนที่เคยเรียนนายร้อยด้วยกันเคยชวนไปน่ะครับ เพราะบ้านเจ้าตัวอยู่ที่นครนายก”

“ชื่อน้ำตกคืออะไรหรือ”

“น้ำตกสาริกาครับ”

“ชื่อเพราะเสียจริง”

“พรุ่งนี้ไปเช้า ๆ คงถึงประมาณสายแก่ ๆ เดี๋ยวผมจะโทรติดต่อที่กรมที่เพื่อนผมอยู่ จะให้พาไป”

ปราชญ์พยักหน้า “ครับ”

“แต่วันหยุดนี่หน่า”

“โธ่”

ต้นสนคิ้วมุ่นก่อนจะนึกอะไรได้ “โทรไปทางกำนันที่นั่นให้ช่วยบอกดีกว่า เพราะที่บ้านของเพื่อนผมไม่มีโทรศัพท์”

“ไม่รบกวนเขามากไปหรือ”

“ครู่เดียวเท่านั้นครับ ก็ผมอยากพาพี่ปราชญ์ไป” ว่าแล้วก็ลุกไปข้างนอกเพื่อโทรศัพท์หาปลายทาง

ปภารัชถอนหายใจก่อนจะคลี่ยิ้ม ดวงใจอุ่นวาบ

น้ำตกเป็นสิ่งที่ปราชญ์ได้ยินมาบ้าง บางที่ก็กลายเป็นอุทยานแห่งชาติบางที่ก็ยังไม่ถูกปกป้อง ได้ยินเพื่อนร่วมชั้นสมัยมัธยมพูดถึงว่าเคยไปเล่นน้ำตก รวมถึงเพื่อนของคุณน้าและเด็จพ่อที่เคยไปเช่นเดียวกัน ปราชญ์นึกอยากไปเสมอ ถึงจะรู้ว่าไม่มีทางที่จะไปได้เลย

อยู่มาจนสามสิบกว่าเพิ่งจะได้เคยไปน้ำตกครั้งแรก พร้อมกับคนรัก...

คงเป็นความทรงจำที่ไม่มีทางลืมเลือนอีกเป็นแน่

เสียงประตูเปิดเสียงดัง ชลันยิ้มกว้างแล้ววิ่งเข้ามากอด “กำนันแกช่วยบอกเพื่อนผมให้แล้วครับ”

“ดีใจอะไรขนาดนั้น” ว่าพลางลูบหลัง

“ผมอยากพาพี่ปราชญ์ไป อยากไปด้วยกัน เพียงแค่สองคน” ต้นสนยิ้มบางแล้วนั่งลงปลายเตียงข้างกาย

“ขอบคุณนะครับ”

“ครับ?”

“ขอบคุณที่นึกถึงพี่เสมอเลย”

“ก็ต้องนึกถึงสิครับ” ต้นสนพูดหน้าเคร่งเครียด “พี่ปราชญ์เป็นคนรักผมนี่หน่า”

ปราชญ์อดจะอมยิ้มไม่ได้ ส่งสายตาหยอกล้อใส่ต้นสนที่พูดจาหวานชื่นออกมา คนที่เพิ่งจะรู้ตัวหูแดงไปหมดก่อนจะหันหน้าไปทางอื่น

“คนดี” ปราชญ์ยื่นหน้าไปหอมแก้ม

คนถูกหอมแก้มหันมาหาใบหน้าแดงซ่าน ทว่า ก็เอียงหัวเพื่อจะรับรสจูบ

ปึง!

“อุ้ย”

ทั้งคู่ผละออกจากกันอย่างรวดเร็วหันไปทางประตูห้องอย่างตื่น ๆ ก่อนจะมองกล่องอะไรสักอย่างที่ตกพื้นกับน้องสาวที่ยกมือปิดปากไว้

“ฟ้าใส” ต้นสนคิ้วมุ่น

“อะไรของพี่เล่า จะทำอะไรทำไมไม่ปิดประตูล่ะ อย่ามาโทษหนูนะ” ว่าแล้วก็รีบเก็บของที่ล่วงพื้น

ปราชญ์ออกจะเขินเล็กน้อยแต่ก็ลุกไปช่วยเก็บของ “พี่ขอโทษนะคะ”

“ขอโทษทำไมคะพี่ปราชญ์ เรื่อง... เรื่องนี้ก็ปกติของคนรักกันเท่านั้น” ฟ้าใสพูดแม้นแก้มจะแดง

“ขอบคุณที่เข้าใจนะคะ” ปภารัชยิ้มบางแล้วยื่นของที่เก็บให้

“ไม่เป็นไรเลยค่ะ แต่ปิดประตูก็ได้นะคะ เดี๋ยวพ่อมาเห็น” ฟ้าใสป้องปากกระซิบ

“ค่ะ พี่จะปิดไว้” เพราะยังไงมันก็ควรจะปิดไว้ แต่เพราะต้นสนมัวแต่ดีใจจนลืมปิด

“ถ้าอย่างนั้นตามสบายนะคะ” ผู้เป็นน้องสาวโบกมือลาก่อนจะหันไปแลบลิ้นใส่พี่ชายตนเอง

“เจ้าตัวแสบ!”

ปราชญ์พรูลมหายใจก่อนจะหัวเราะออกมาเมื่อเห็นใบหน้าบึ้งตึงของคนรัก “โทษน้องไม่ได้นะครับ เราผิดเองที่ไม่ได้ปิดประตู”

“ก็...” ต้นสนทำท่าจะเถียงพอเห็นดวงตานั้นจ้องมองมาก็ปิดปากเงียบสนิท มองคนรักที่กำลังปิดประตูห้อง พออีกคนเข้ามาใกล้ต้นสนก็สวมกอดเอาใบหน้าซุกอก “กำลังจะจูบกันเลยแท้ ๆ เชียว”

“หื้อ พูดอะไรนะครับ” ปราชญ์ที่ได้ยินแต่น้ำเสียงอู้อี้และเบาบางจึงทำให้ไม่ค่อยได้ยิน แต่มีหรือที่ต้นสนจะพูดอีก

“เปล่าครับ” ชลันเงยหน้าก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง คนที่บอกอยากนอนกอดแต่ในห้องกลับพาไปนู่นไปนี่ พาไปตกปลาแล้วก็บ่นถึงลุงไฟและบอกว่าคิดถึงลุงสิงห์ หากลุงไฟมาได้ยินคงจะช้ำใจที่หลานรักลุงไม่เท่ากัน

ปราชญ์เพิ่งรู้ตัวว่าไม่ว่าสถานที่ใดที่ตัวเขาอยู่ หากมีต้นสนก็ล้วนแต่มีความสุขทั้งนั้น สักวันหนึ่งจะลองพาไปเที่ยวต่างแดนดูดีไหมนะ...





จบบทที่ ๒๑

-------------------------------------------------------------------------

ขอโทษที่อัพช้านะคะ คงจะนาน ๆ มาที เพราะไม่ค่อยว่างเลย แต่ไม่ได้ปล่อยทิ้งไว้นะคะไม่ต้องกลัว

กรมประชาสัมพันธ์หรือกรมโคสนาการ ถ้าเป็นปัจจุบันต้องเรียกว่าเป็นที่จอดรถของกองสลากกินแบ่งรัฐบาล ที่ใช้คำว่า 'กรมโคสนาการ' เพราะเป็นภาษาเขียนที่ใช้ในสมัย จอมพล แปลก เป็นสถานที่ที่เกี่ยวข้องในประวัติศาสตร์ทางการเมืองหลายครั้ง ในการรัฐประหารทุกครั้ง จะเป็นสถานที่แรก ๆ ที่ถูกกำลังทหารเข้ายึด รวมทั้งในเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้นในปี 2515 ที่ในเรื่องนี้ดำเนินอยู่ แต่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ตลาดน้ำดำเนินสะดวก ที่ใช้สถานที่นี้เพราะเมื่อปี 2514-2516 ตลาดน้ำดำเนินสะดวกนั้นมีชื่อดังมากและกลายเป็นที่ท่องเที่ยวที่ผู้คนต่างหลั่งไหลเข้ามาแน่นขนัด แล้วในตอนนั้นก็ไม่ค่อยมีชื่อตลาดน้ำดัง ๆ เสียเท่าไร แล้วก็ไปพบว่าตลาดน้ำดำเนินสะดวกมีมานานแล้ว แถมยังเป็นตลาดน้ำแห่งแรกของประเทศไทยด้วยค่ะ ตอนแรกเราว่าจะเอาเป็นอัมพวาไว้ตอนหัวค่ำไปดูหิ่งห้อย แต่เพิ่งจะเข้าค้นในอินเทอร์เน็ตว่าอัมพวาก่อตั้งเมื่อ ปี 2547 เลยต้องปัดตกไปก่อน

ยังไงก็ขอบคุณที่ยังติดตามกันนะคะ

หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 13-07-2021 19:01:32
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๒๑
เริ่มหัวข้อโดย: four4 ที่ 14-08-2021 22:34:02
มารอนะค้าบ
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๒๒
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 02-05-2022 23:22:36
(https://www.img.in.th/images/aa1af7240d246cc4e059d8c3ae71f4cf.jpg)

บทที่ ๒๒

น้ำตกตาด-สาริกา




รุ่งเช้ามาถึงสองหนุ่มก็พากันแต่งตัวจัดของเพื่อไปเที่ยวอย่างที่มั่นหมายไว้ ต้นสนเป็นผู้ขับรถเพราะจำทางไปบ้านเพื่อนได้ที่เคยไปเมื่อตอนเรียนจบ เพียงแต่ไม่มีเวลามากพอจะไปน้ำตก วันนี้เลยได้ฤกษ์ไปเสียที

“ขับรถดี ๆ นะต้นสน ถ้าขากลับมันมืดค่ำจนเกินไปก็ค้างที่นู่นเสีย” ต้นอ้อเอ่ยบอกลูกชายพร้อมกับยื่นปิ่นโตใส่อาหารเผื่อแวะทานกันตอนพักรถ

“ครับ ๆ”

“ปราชญ์ก็ห้าม ๆ ต้นสนหน่อยนะ เดี๋ยวเล่นซน ปีนขงปีนเขาลื่นตกลงมา”

“แม่แช่งผมทำไมเล่า”

“ก็มันจริงไหมล่ะ” เพราะสมัยก่อนเคยพาไปเล่นน้ำตกแล้วก็ไปแอบปีนขึ้นที่สูง จนตกลงมา ดีเสียนั่นที่ข้างล่างเป็นน้ำ แถมตอนนั้นที่ไปกับพวกลุงสิงห์ ก็มีลุงไฟที่ไปช่วยทัน โดนล้อว่ากอดลุงไฟแน่นร้องไห้ฟูมฟายไม่หยุดเรียกหาแต่ลุงไฟ หากไปหาแกที่สิงห์บุรี มีหรือที่จะพลาดโอกาสนี้

“ผมจะดูให้ครับ จะไม่พากันไปที่เสี่ยง ๆ”

ชลันหันมองคนรักสลับกับแม่ก่อนจะทำเป็นแง่งอนหันไปยกของใส่รถ แต่ทั้งคู่ก็ยังคงพูดคุยกัน

จวนจะได้เวลา สองหนุ่มก็พากันขึ้นรถโดยมีต้นอ้อยืนรอส่งอยู่ใกล้ ๆ น้องสาวตัวดีที่บอกว่าจะตื่นมาส่งกลับยังนอนสบายใจเฉิบ ส่วนพ่อก็ไปนู่นไปนี่ตั้งแต่ตีห้า

“ขับรถดี ๆ นะต้นสน”

“จ้า”

ต้นอ้อเลิกสนใจลูกชายที่ทำเป็นเล่น จึงเปรยยิ้มให้คนรักของลูกชายแทน

“อย่าเล่นน้ำกันนานนะ ระวังตัวด้วย คนไม่ค่อยมี พวกสัตว์มีพิษยิ่งน่ากลัว”

“ครับพี่ต้นอ้อ”

ต้นอ้อคลี่ยิ้มก่อนจะทำเหมือนนึกอะไรได้แล้วป้องปากก้มกระซิบเพียงสองคน ต้นสนที่มองอยู่ถึงกับหูผึ่ง ทว่า ก็ฟังไม่ได้ศัพท์นัก

“อะไรกันน่ะ สองคนนี้”

ปราชญ์ที่ได้ยินเพียงคนเดียวมีแค่ใบหูที่แดงระเรื่อและปากที่เม้มคลับคล้ายว่ากำลังกลั้นยิ้ม ดวงตาสีนิลปรายมองคนรัก จากนั้นจึงหลบหลีกในพลัน ยิ่งสร้างความสงสัยให้ต้นสนยิ่ง

“แม่อะ” เมื่อรู้ว่าคนรักยังไงก็ไม่มีทางพูดเป็นแน่ เพราะดูลักษณะอาการแล้วจึงหันไปคิ้วขมวดใส่ผู้เป็นแม่ที่อมยิ้มกรุ้มกริ่มมีพิรุธ

“อะไร หื้อ ไปได้แล้วไป” ไม่ว่าเปล่ายังสะบัดมือทำเชิงไล่

“ฮึ คนมีความลับ” ต้นสนพูดเสียงสูงแต่ก็ยอมจำนน ออกรถในทันที

ระหว่างทางมีการพูดคุยกันเป็นปกติ ใครหลายคนคงบอกว่ามันคือช่วงเวลาที่แสนธรรมดาสำหรับคู่รัก ทว่า สำหรับคนรักยังไงการอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าที่ใด นั้นต้องเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ

หากมองย้อนกลับไป พวกเราก็ต่างมีความผิดพลาด ความเจ็บช้ำ และสิ่งที่เคยไม่เข้าใจกัน ถ้าอนาคตไม่ใช่แบบนี้คนที่เจ็บปวดคงจะมีเพียงต้นสนผู้เดียว เพราะไม่มีทางที่ต้นสนจะบอกความจริงและปล่อยให้เขาไปใช้ชีวิตของตัวเอง แม้จะผ่านมาแล้ว ทว่า ก็อดเจ็บปวดไม่ได้ที่นึกถึงเรื่องนี้

ต้นสนที่รวดร้าว ทำเขาปวดหนึบไปทั่วอก

ปภารัชหันมองคนรัก การเริ่มสัมพันธ์ของเราสองนั้นออกจะรวดเร็วไปเสียหน่อย แม้จะไม่เกี่ยวกับเวลา แต่ก็อดคิดมากในเรื่องนี้ไม่ได้ ไม่ใช่เพราะไม่มั่นใจในความรู้สึกของอีกฝ่าย บางทีการกลัวในเรื่องนี้คงจะฝังใจตัวเขาไปอีกนาน

ความรักของเขาที่มีต่อต้นสน มันพอดีกับที่ต้นสนให้เขาหรือเปล่า...

คงเพราะเขาถูกตราหน้าว่าหมดรักคนอื่นง่ายดาย จากคำพูดของน้องชายทั้งสองที่ห่วงว่าเขาจะหมดรักต้นสนไปเสียก่อน มันก็อดจะคิดมากไม่ได้ หากไม่ใช่เพราะไม่เชื่อในความรักของต้นสน แต่เขาไม่เชื่อในความรู้สึกของตัวเอง

เขารักต้นสนนั่นคือเรื่องจริงและรักมาก... จนน่ากลัวว่าเวลาเพียงเท่านี้จะสามารถรักคนคนหนึ่งได้มากขนาดนี้เชียวหรือ

หรือตัวเขานั้นจะคิดมากไปเองเพียงคนเดียวเท่านั้น

เขาจะกลายเป็นคนที่เห็นแก่ตัวอีกแล้วหรือเปล่า ทั้ง ๆ ที่พร่ำบอกว่ารักและไม่คิดจะปล่อยมือไปไหน แล้วใครเล่าจะรู้อนาคต

ความคิดนั้นหายไปเพียงชั่วครู่เพียงเพราะคำว่า ‘แล้วใครเล่าจะรู้อนาคต’

เพียงเท่านั้นความคิดมากก็มลายหายไป ใช่... ไม่มีใครล่วงรู้อนาคต มองเพียงปัจจุบัน การคิดมากเพราะห่วงความรู้สึกคนรักนั่นก็คือเรื่องดี แต่คิดมากจนไปทรมานความสัมพันธ์นั่นคงจะแย่เกินไป

ปราชญ์คลี่ยิ้มบาง อย่างน้อย หากดวงใจในตอนนี้มีเพียงต้นสนผู้เดียว ก็ให้มันเป็นอย่างนี้ ไม่จำเป็นต้องกลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นหรืออาจจะไม่เกิดขึ้นเลย

“ต้นสน”

“ครับ” คนอารมณ์ดีที่ฮัมเพลงมาตลอดทางนั้นยิ้มกว้างรับคำเสียงหวาน

ไม่อยากให้การเดินทางนั้นอันตราย ทว่า ก็อดจะจับมือหนายกมาจรดจูบที่หลังมือไม่ได้ ปากสีอ่อนกดจูบย้ำ ๆ ราวกับไม่อยากปล่อย ต้นสนใจกระตุกไปชั่วขณะ เส้นทางนี้ไม่มีรถผ่านและเงียบงัน จึงทำให้ได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นระรัวข้างใน

“พี่ปราชญ์” น้ำเสียงที่อ่อนระทวยทำให้คนฟังชุ่มชื่นไปทุกขั้วหัวใจ

“ครับคนดี” ปราชญ์ระบายยิ้มสดใส ดวงตาหยีลง พร้อมกับเสียงจุ๊บที่ดังขึ้นเพราะหลังมือนั้นถูกประทับอีกครา

“อยู่ ๆ ก็ทำแบบนี้ ผมเขินเป็นนะครับ” ไม่ได้พูดล้อเล่นแต่อย่างใดในเมื่อใบหูและพวงแก้มก็ออกแดงซ่านเห็นให้ชัด

“พี่แค่อยากทำน่ะครับ อยากจูบ อยากหอม อยากโอบกอด เพราะพี่รู้สึกอุ่นใจทุกครั้งเวลาทำอย่างนี้ รู้สึกคลายเหนื่อยได้ทั้งทางกายและทางใจ เป็นสิ่งที่อธิบายได้ยาก แต่ว่า... พี่มีความสุขทุกครั้งที่อยู่กับต้นสน เวลาเราทำอะไรด้วยกัน พูดคุยกัน มันอุ่นใจจริง ๆ นะครับ”

คนฟังอุ่นวาบไปทั่วอก กระชับมือเบา ๆ แล้วยกมาจูบที่หลังมือของคนรักบ้าง เป็นจริงดั่งที่พูด รู้สึกอุ่นใจเสียจริง

“ผมเองก็เช่นกัน มีความสุขมาก ๆ ที่ได้อยู่กับพี่ปราชญ์”

ทั้งคู่คลี่ยิ้มออกมา ความสุขท่วมล้นอก

ใกล้จะถึงที่หมายต้นสนก็หมุนพวงมาลัยเข้าไปเส้นทางที่จำได้คร่าว ๆ ว่าต้องเข้าทางนี้จากนั้นจะพบกับทุ่งนากว้างสุดลูกหูลูกตา จากนั้นก็จะต้องขับผ่านคลองเล็ก ๆ และตรงไปยังสุดทางก็พบกับบ้านไม้ยกสูงที่มีใต้ถุนไว้นั่งรับแขก นั่งคุย นั่งกินข้าว

ชายหนุ่มคนหนึ่งโบกมือให้แต่ไกล รอยยิ้มสดใสนั่นคือสิ่งแรกที่ทั้งคู่เห็น ต้นสนลงไปสวมกอดเพื่อนพร้อมกับตบหลังเบา ๆ

“ไม่เจอกันนานนะไอ้ณะ”

‘ณะ’ ผงกหัว “เออ คิดถึงพวกมึงสุด ๆ แทบไม่ได้ส่งข่าวกันเลย”

“ยุ่ง ๆ กันทั้งนั้นแหละ เอ้อ! ไอ้ศศิมีเมียแล้วนะ”

ณะตาโตอ้าปากค้าง “จริงหรือวะ”

“เออดิ” ต้นสนพยักหน้าก่อนจะหันไปหาคนรักที่กำลังเดินมาทางนี้ “นี่พี่ปราชญ์ เอ่อ...”

“เป็นพี่ข้างบ้านที่สนิทกันน่ะครับ” เมื่อได้ยินอย่างนั้นต้นสนก็พยักหน้าตาม เพราะถึงแม้จะพร้อมเปิดตัว ทว่า ตอนนี้คงต้องพักก่อน อาจจะบอกช่วงขากลับดีกว่า

ณะกะพริบตา แม้จะความสัมพันธ์จะน่าแปลกใจว่าสนิทกันขนาดไหนถึงมาสองคน ถึงอย่างนั้นก็ไม่ถามออกไป “สวัสดีครับพี่ปราชญ์ ผมณะครับ”

“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”

“เช่นกันครับ” ณะยิ้มตาหยีก่อนจะผายมือ “แม่ผมเตรียมกับข้าวให้กิน ได้กินอะไรกันมาหรือยังครับ”

“กินไปบ้างช่วงพักรถ แต่ก็นานแล้ว ตอนนี้หิวไส้จะขาด” ต้นสนว่าพลางลูบท้องก่อนจะยกมือไหว้พ่อกับแม่ของณะ

ทุกคนเลยพากันกินข้าวช่วงสาย ที่บ้านณะมีเพียงหนึ่งห้องนอนกับที่นอนกลางบ้าน เจ้าณะนอนข้างนอกให้พ่อแม่นอนด้วยกัน วันนี้แขกมาเลยจัดที่นอนอีกมุ้งหนึ่งนอนกลางบ้านเผื่อค่ำเกินไปจะได้นอนที่นั่น

แต่ต้นสนคิดว่าคงไม่ต้องถึงกับนอนเพราะเล่นน้ำตกคงไม่นาน เว้นเสียแต่อยากให้พี่ปราชญ์อยู่นาน ๆ เพื่อซึมซับบรรยากาศ ก็อาจจะนอน

“ที่จริงน้ำตกอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง แค่ขับรถออกจากทุ่งนาใช่ไหมแล้วเลี้ยวขวาตรงไปเรื่อย ๆ แล้วก็จะมีป้ายบอก”

“แค่เลยบ้านมึงน่ะหรือ”

“ใช่ ๆ เลยบ้านกูไปก็เจอแล้ว” ณะเอ่ยตอบเพื่อนพลางตักน้ำพริกราดใส่ผักที่ตนเองม้วนไว้

“แปลว่าณะก็ไปเล่นน้ำบ่อย ๆ สิใช่ไหมครับ” ปราชญ์ถามขึ้น

“อ้อ ตอนเด็กเคยไปเล่นบ่อยครับ แต่ว่าน้ำเยอะ ยิ่งสูง ๆ นี่ ไม่กล้าขึ้นไปเลย ตอนนี้ชาวบ้านแถวนี้ก็พากันดูแลและทำเส้นทางให้ขึ้นไปได้ แต่ก็ยังไม่แข็งแรงพอต้องคอยระวัง”

“ที่นี่มีกี่ชั้นนะ” ต้นสนถามเพื่อนต่อ

“มีเก้าชั้น ถึงจะมีทางขึ้นแต่มันก็ชัน อันตราย”

“ถ้าจะขึ้นไปยังไงก็ให้คนแถวนั้นที่อยู่พาไปนะ” แม่ของณะบอกด้วยความเป็นห่วง

“พ่อก็พาไปไม่ได้เพราะไม่เคยขึ้นไป ไม่กล้าขึ้น” พ่อพูดพลางหัวเราะ

“พวกผมจะระวังนะครับ” ปราชญ์ตอบพลางยิ้ม ก่อนจะผงกหัวขอบคุณที่แม่ณะตักกับข้าวให้

เมื่ออิ่มท้องหนังตาก็หย่อน ต้นสนที่เพิ่งขึ้นไปจัดของลงมานั้นดูง่วงงุนจนเห็นได้ชัด อาจเพราะตื่นเช้า

“ง่วงหรือครับ” ปราชญ์ยื่นแขนก่อนจะโอบไหล่ในตอนที่ต้นสนเดินมานั่งข้างกาย

“นิดหน่อยครับ แต่ไปแล้วคงจะตาสว่าง”

“รอย่อยก่อนสักชั่วโมงแล้วเราค่อยไปกันนะ”

“ครับผม”

“ไอ้ต้นสน” ณะตะโกนเรียกมาจากบนบ้านพร้อมกับเสียงวิ่งลงมา ทั้งสองจึงหันไปมองณะที่ถือกระดาษอะไรบางอย่างมาด้วย “นี่เป็นแผนที่นะ เผื่อหลง หรือมีที่เล่นน้ำที่อันตราย พอดีว่าคนแถวนั้นเขาจะใช้เชือกกับผ้าสีในการบอกทางด้วย นี่ ๆ อย่างสีแดงคือทางอันตรายห้ามไปนะ สีเหลืองเนี่ยค่อนข้างอันตราย ส่วนมากจะเป็นชาวบ้านหรือคนที่รู้วิธีไปจะไปได้ ส่วนสีเขียวไปได้หมดเลย”

“โอ้ ขอบใจมาก” ต้นสนรับมาดู แม้ว่าแผนที่จะถูกวาดเอาแต่ก็พอจะมองเห็นได้ชัดเจน

ในที่สุดก็ได้ฤกษ์ไปเสียที ต้นสนกำลังเอาของที่ต้องเอาไปใส่หลังรถไว้และไปนั่งรอในรถ พี่ปราชญ์เข้าห้องน้ำอยู่นานพอควรเลยไม่รู้ว่าท้องเสียหรือเปล่า

“รอนานไหมครับ”

“ก็นานอยู่ครับ พี่ปราชญ์ท้องเสียหรือเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

ปราชญ์เม้มปากก่อนจะเปิดประตูเข้ามานั่งข้างคนขับ “เปล่าครับ แค่เตรียมอะไรนิดหน่อย”

ต้นสนกะพริบตาปริบ ๆ แม้จะไม่เข้าใจว่าเตรียมที่ว่าคือเตรียมอะไร แต่ก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรมากจึงขับรถออกไปตามทางที่เพื่อนบอก รอบข้างเริ่มมีบ้านคนเรื่อย ๆ ไม่มีคนอย่างที่เพื่อนว่าจริง ๆ อาจเพราะไม่มีข่าวคราวที่จะประกาศให้ใครหลายคนรับรู้

มีวัดถ้ำสาริกาอยู่ก่อนถึงน้ำตกก็พากันแวะเข้าไปในถ้ำ มีพระพุทธรูปไม่กี่องค์แต่เห็นว่าจะเริ่มสร้างอะไรมากขึ้นเพราะทางอุทยานเริ่มจะมาติดต่อเรื่องการบูรณะทั้งถ้ำทั้งน้ำตกให้ดีขึ้นเพื่อรับนักท่องเที่ยวในอนาคต

“ดูน้ำตกนั่นสิครับ” ต้นสนที่กำลังบังคับหมุนพวงมาลัยก็มองน้ำตกตรงหน้า

ปราชญ์ยิ้มกว้าง ฟังเสียงน้ำที่ล่วงลงสู่พื้นล่าง ทั้งสบายหูและรับรู้ได้เลยว่าอากาศด้านบนนั้นคงจะดีแน่นอน

ต้นสนเลือกจอดรถใกล้ ๆ ทั้งคู่จึงพากันลงรถและสอบถามชาวบ้านแถวนั้นเรื่องขึ้นไปเล่นน้ำและวิธีไปยังชั้นบนสุด โชคดีที่เขาบอกว่าเพิ่งจัดเรื่องการเดินทางเสร็จไปเมื่ออาทิตย์ก่อนและพอจะมีประสิทธิภาพให้คนขึ้นไปได้

“ถ้าขึ้นบอกเวลาลงมาด้วยนะ กะเวลาว่าถึงข้างล่างกี่โมง บอกพวกลุงไว้ เผื่อพวกเอ็งขึ้นไปนานกว่าเวลาพวกลุงจะได้ขึ้นไปหา”

“ขอบคุณมากครับ เอ่อ...เรื่องเวลา” ต้นสนหันไปขอความช่วยเหลือคนข้างกาย “คาดว่ากี่โมงดีครับ”

“อืม... ตอนนี้สิบโมง... สักสี่โมงครึ่งน่าจะลงมาถึงที่นี่ครับ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ ไม่ค่ำมืดจนเกินไป ยังไงก็ให้สนุกนะ”

“ครับ” ปราชญ์และต้นสนยกมือไหว้พวกลุง ๆ ป้า ๆ ที่นั่งกันอยู่แถวนั้นก่อนจะพากันถือของมีเสื่อผืนหนึ่งและตะกร้าใส่อาหารกลางวันและกล้องหนึ่งตัวที่แขวนคอปราชญ์อยู่

“ต้นสน”

“ครับ?” ผู้หมวดหนุ่มหันมาหาพร้อมกับเสียงกดถ่ายรูป

“รอก่อนนะ เดี๋ยวพี่มา” ปราชญ์รีบวิ่งกลับไปทางเดิมและกลับมาพร้อมเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง เห็นสอนการกดถ่ายรูปอยู่สักพักก็เดินมายืนข้างต้นสน “ถ่ายรูปกันครับ”

ต้นสนพยักหน้าก่อนจะหันไปมองกล้องพร้อมยิ้มปากกว้างจนตาหยี ส่วนปราชญ์ก็ใช้แขนข้างหนึ่งโอบไหล่คนรักพร้อมคลี่ยิ้มบาง ๆ

“เรียบร้อยครับ”

“ขอบคุณมากนะ” ปราชญ์ว่าพลางให้เงินเล็กน้อย

“พี่ปราชญ์ เราไปแวะตรงนั้นกันก่อนดีกว่าครับ”

“หื้อ” ปราชญ์หันไปมองก็พบศาลไม่ใหญ่โตมาก ดูจากผ้าสีและธูป ของเซ่นไหว้น่าจะมีชาวบ้านหรือนักท่องเที่ยวมาไหว้ พอเดินเข้ามาใกล้ก็เป็นรูปปั้นหญิงสาว “เจ้าแม่สาริกาหรือ”

“ครับ ก็สมชื่อน้ำตกสาริกา ท่านผู้นี้มีอดีตอยู่นะครับ”

“อดีต?”

“มีเรื่องเล่ากันมานานมากน่ะครับ แต่ก่อนนี้น้ำตกใช้ชื่อว่าน้ำตกตาด-สาริกา”

“อย่างนั้นหรือ แล้วเขาเปลี่ยนทำไมกันล่ะ ออกจะเพราะขนาดนั้น”

“คงจะอยากให้สั้นลงและจำง่ายล่ะมั้งครับ แต่ผมว่าชื่อเก่าก็สวยดี”

“แล้วพูดถึงเรื่องอดีต มีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับท่านหรือ”

“ครับ ไว้เราขึ้นไปชั้นบนสุดแล้ว ผมจะเล่าให้ฟัง” ต้นสนเอียงตัวพร้อมขยิบตาก่อนจะพากันไหว้ ชาวบ้านที่เห็นก็เอาธูป ขายน้ำให้เพื่อบูชาจะได้ให้ท่านปกปักรักษาตอนขึ้นไปเล่นน้ำ

ระหว่างทางมีที่ให้ถ่ายรูปเยอะแยะไปหมดแต่ม้วนฟิล์มก็มีไม่มากจึงพยายามถ่ายรูปที่คิดว่าควรค่าเก็บไว้จริง ๆ บางคราก็ต่างคนต่างถ่ายให้กัน มีอยู่หลายชั้นที่มีน้ำให้เล่น แต่ทั้งคู่เลือกที่จะขึ้นไปข้างบน

ที่นี่จะว่าไม่มีคนก็ไม่เชิง เพราะก็เห็นมีคนเล่นน้ำบ้าง หรือเดินถ่ายรูปบ้าง แม้จะมีไม่ถึงสิบที่เห็นตามระหว่างขึ้นมาแต่ก็ถือว่าครึกครื้นพอใช้ได้

ถึงจะบอกว่าอยากขึ้นชั้นบนสุดแต่ก็แวะกันถอดรองเท้าเหยียบย่ำน้ำตื้นระหว่างแอ่งเล็ก ๆ หรือพวกหินธรรมชาติเต็มไปหมด ปราชญ์จึงแวะถ่ายรูปและเล่นน้ำให้ฝ่าเท้าคลายความเมื่อยล้าที่สาสมมานาน

 “ถ้าวันนี้นอนค้างคืนพรุ่งนี้ผมจะพาไปน้ำตกนางรองกับน้ำตกวังตะไคร้”

“น่าสนใจ หรือเราจะนอนค้างกันดี พี่อยากเที่ยวให้หายเหนื่อยก่อนจะกลับไปเหนื่อยอีกรอบ”

“ได้เลยครับ มุ้งก็เตรียมไว้แล้ว หมอนเอย ฟูกเอย”

“เพราะพี่กลัวว่าจะรบกวนเขาน่ะสิ”

“ก็ต้องซักผ้าปู ช่วยอะไรเขาตอบแทนน่ะครับ”

“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้เราก็อาจจะอยู่ไม่นานพี่จะไปถ่ายรูป เราก็ลาเขาบอกว่าจะไปน้ำตกที่อื่นอีกสองที่แล้วจะได้กลับเลยดีไหม”

“ได้ครับ”

“มีตลาดหรือร้านขายของไหมแถวนี้ พี่จะได้ซื้อของฝากเขาด้วย”

“น่าจะมีนะครับ ไว้เราค่อยกลับไปถามไอ้ณะเอา”

ในที่สุดก็พากันขึ้นมาถึงชั้นบนสุด ตอนนี้ไม่มีคนเลยแม้แต่คนเดียว แต่หลังจากชั้นห้ามาก็ไม่มีใครขึ้นมาแล้ว ตรงหน้าเป็นธารน้ำตกที่มีน้ำไหลลงมาไม่ขาดสาย ต้นสนวางตะกร้าอาหารแล้วอ้าแขนรับลมเย็นและกลิ่นธรรมชาติ

“เฮ้อ สดชื่น”

ปราชญ์เห็นอย่างนั้นจึงยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปแผ่นหลังคนรักก่อนจะเงยหน้าพลางหลับตาพริ้มรับอากาศบริสุทธิ์ สูดเข้าปอดอย่างสบายใจ

“จุ๊บ”

คนที่หลับตาอยู่ถึงกับสะดุ้งเมื่อคนรักเดินเข้ามาจุ๊บที่ปาก ปราชญ์หัวเราะยกแขนขึ้นคล้องคอเมื่อต้นสนเข้ามาโอบเอว ดวงตาสีนิลภายใต้กรอบแว่นจดจ้องอีกฝ่ายอย่างรักใคร่ เอียงหน้าปรับองศาให้พอดีใช้จมูกเขี่ยไปมา ปากประกบเพียงครู่แล้วผละออก จากนั้นก็เคลื่อนหากันอีกรอบ ขบเม้ม บดเบียดให้ใจเต้นแรง

“จูบอีกได้ไหมครับ” ต้นสนถามอย่างออดอ้อนเมื่อรู้สึกว่าถูกผละออก

“พูดใหม่สิครับ”

“จูบผมอีกได้ไหม” ดวงตาสะท้อนคารมอย่างชัดเจนจนคนที่เผลอสบตาสะท้านในอก

“ได้สิครับคนดี” ปราชญ์กระซิบเสียงแหบพร่าแล้วทำตามคำขอของคนรัก เพียงครู่ที่ผละออกปราชญ์ถอดกล้องออกเพื่อไม่ให้เกะกะแล้ววางไว้กับของที่เอามาก่อนจะรีบกอดคอต้นสนแน่นเมื่อถูกอุ้มให้ไปนั่งโขดหิน

“รู้สึกดีจัง” ผู้หมวดหนุ่มยิ้มจนแก้มปริเอียงศีรษะซ้ายขวาเพื่อหอมคนตรงหน้า

ปราชญ์หัวเราะเสียงใส ทั้งคู่จูบกันอย่างไม่มีเบื่อ แต่สิ่งที่น่ารำคาญใจต่อปราชญ์นั่นคือแว่น อดไม่ได้ที่จะถอดออกแล้ววางไว้ข้างตัว และต้นสนที่เห็นก็รู้สึกหัวใจที่เต้นแรงอยู่แล้วเหมือนจะระเบิดออกพร้อมความคิดในหัวที่เหมือนมีกลีบดอกไม้ล่วงโรยตอนพี่ปราชญ์ถอดแว่นพร้อมคิ้วขมวดนั่น

คุณชายปราชญ์ไม่มีทางรู้หรอกว่าตอนนี้คนที่ตนจูบอยู่นั้นนิ่งค้างไปแล้ว ต้นสนตาโตแม้ปากจะรับจูบแต่ดวงตาก็เบิกขึ้นและกะพริบปริบ ๆ

“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะครับ” ปราชญ์ขำออกมาแล้วบีบแก้มคนรัก

“พี่ปราชญ์...”

“ครับคนดี”

“พี่ปราชญ์หล่อจังเลยครับ”

“หื้อ อะ—” ตกใจรอบแรกแล้วก็ตกใจรอบสองเมื่อหัวทุย ๆ นั้นมุดไหล่ของตนอยู่ “อะไรกันล่ะนั่น”

ในที่สุดความงุนงงและความวาบหวิวก็หายไป ปราชญ์หาที่เหมาะ ๆ แล้วปูเสื่อ เตรียมน้ำออกมาให้ต้นสนดื่มพร้อมกับห่อขนมอย่างดีให้ด้วย

“อ้าม” ต้นสนนั่งขัดตะหมาดโยกตัวไปมาแล้วหลับตาอ้าปากให้คนรักป้อน แล้วปราชญ์จะขัดได้หรือ ก็ไม่เลยสักครั้ง อยากทำอะไรหรืออยากให้ทำอะไรก็ตามใจเก่งที่หนึ่ง “อร่อย”

คราวนี้เป็นฝ่ายต้นสนป้อนบ้าง อยากจะบอกว่าเดี๋ยวเขาถือทานเองได้ แต่เห็นใบหน้าเต็มไปด้วยความสุขจนล้นนั้นก็ยอมอ้าปากรับมาคำโต

“อร่อยใช่ไหมครับ”

ปราชญ์ยกมือปิดปากเคี้ยวให้พอละเอียดจากนั้นถึงจะตอบ “ครับ”

“เอ้อ ในเมื่อมาถึงแล้ว ผมจะเล่าเรื่องน้ำตกสาริกาให้ฟัง”

“เอาสิครับ” ปราชญ์ผงกหัวแล้วนั่งรอฟังอย่างตั้งใจ

“ที่ผมเคยบอกว่าชื่อเก่าอย่างน้ำตกตาด-สาริกา ชื่อเดิมมันมีประวัติความเป็นมาอยู่นะ” ต้นสนเขยิบตัวแล้วให้อีกคนมานั่งพิงอกตัวเองแทน “ในตำนานเนี่ยเขาว่าในสมัยก่อน นานมาก ๆ แล้ว เมืองนครนายกถือว่าเป็นเมืองหน้าด่าน ซึ่งเจ้าเมืองมีลูกสาวชื่อนางสาริกา เธอเป็นหญิงสาวที่งดงามเป็นอย่างมาก ชายใดที่พบเห็นต่างก็หลงใหล อยากจะได้ไปเป็นคู่ครอง ในช่วงนั้นเนี่ยจะมีทหารที่ถูกเกณฑ์มาให้ช่วยรบ ในขณะนั้นก็มีทหารคนหนึ่งที่ชื่อว่าตาดให้ทำรักษาหน้าที่เมืองหน้าด่าน นายตาดเป็นคนกล้าหาญและนิสัยดี เจ้าเมืองนครนายกเองก็ให้ความเอ็นดูและไว้วางใจต่อนายตาด โดยสามารถเข้าออกจากจวนที่พักของตนเองได้ตามเวลาต้องการ ทหารตาดจึงได้พบและใกล้ชิดกับธิดาเจ้าเมือง กระทั่งจนเกิดความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง ครั้นเมื่อสงครามสิ้นสุดลง ทหารทั้งหลายก็ต้องกลับบ้านเช่นเดียวกับทหารตาดที่จะต้องกลับบ้านลงไปทางใต้ ด้วยความรักที่มากล้น เจ้าหญิงสาริกาจึงจะตามไปด้วย ทั้งสองจึงหนีไปพร้อมกัน เพราะรู้ว่าสถานะต่างกันมาก คงมิอาจเปิดตัวต่อผู้ใดได้”

ปราชญ์ที่มองไปยังน้ำตกลูบหลังมือคนรักก่อนจะยกขึ้นมาจูบเบา ๆ ต้นสนได้แต่คลี่ยิ้มแล้วก้มหอมศีรษะไปทีหนึ่งถึงจะเล่าต่อ “พอเจ้าเมืองรู้เข้าก็โกรธแค้นที่ทหารตาดได้ฉวยเอาแก้วตาดวงใจไป ในฐานะที่เป็นเจ้าเมืองถือว่าหยามเกียรติเป็นอย่างมาก เลยสั่งทหารให้รีบออกตามหาลูกสาวกลับมาแล้วฆ่าทหารตาดเสีย”

เล่ามาถึงตรงนี้ปราชญ์จึงผันหน้าไปหา ผู้หมวดหนุ่มจึงกระชับกอดจนแทบไม่มีช่องอากาศให้ผ่านพ้น

“ทั้งคู่ถูกตามตัวจนไปถึงน้ำตก ทั้งทหารตาดและสาริกาก็หยุดพักที่ชั้นบนสุดของน้ำตก บนนั้น” ต้นสนชี้ตรงข้างบนหินสูงชันที่มีน้ำกำลังไหลสู่ข้างล่าง ปราชญ์จึงหันไปมองตาม “เมื่อทั้งคู่รับรู้แล้วว่าไม่มีทางหนีรอดพ้นและคงต้องแยกจากกัน ทั้งคู่สบตากันอย่างลึกซึ้ง ไม่ได้พูดอันใดกันอีก เพียงเท่านั้นก็รู้ใจกันดี จากนั้นก็ตัดสินใจพากันกระโดดลงไปเบื้องล่างต่อหน้าทหารที่ไล่ตามมา เลยเป็นเรื่องน่าอนาถใจต่อผู้พบเห็น จนบัดนั้นชาวบ้านจึงเรียกที่นี่กันว่าน้ำตกตาด-สาริกา แล้วต่อมาก็กลายเป็นน้ำตกสาริกาอย่างปัจจุบัน”

เล่าจบแล้วก็เกิดความเงียบไปชั่วขณะ ได้ยินเพียงเสียงน้ำไหล สายลมโกกคลอเคลียและเสียงสรรพสัตว์

“น่าเศร้าใจ” ในที่สุดปราชญ์ก็พูดขึ้นมาเอนศีรษะพิงแก้มคนรัก เหม่อมองทั่วบริเวณ แล้วนึกภาพตามที่คนรักเล่า “ถ้าเป็นปัจจุบันก็คงไม่อยากให้พากันทำอย่างนั้น อยากให้พากันสู้จนถึงที่สุด เพราะหากเสียไปแล้ว เราก็ไม่รู้ว่าเราจะได้เจอกันอีกไหม โลกหลังความตายมีอยู่จริงหรือเปล่า แต่พอจะเข้าใจว่าหากพวกเขาถูกจับกลับไปคงจะเจอเรื่องร้ายแรงกว่านี้เป็นแน่ เพราะยังไงตาดก็ต้องตายด้วยน้ำมือทหารที่ตามมา สาริกาก็คงตรอมใจตามไป”

“ใช่ครับ ยิ่งด้วยสมัยนั้นการประหารชีวิตจากปากเพียงคนเดียวนั้นง่ายดายกว่าปัจจุบัน”

“ก็ไม่แน่นะ ต่อให้เป็นปัจจุบัน เพียงคนเดียวสั่งก็อาจทำอะไรก็ได้” ปราชญ์ถอนหายใจ “ต่อให้มีกฎหมายก็ช่วยอะไรไม่ได้”

“นั่นสิครับ”

“แล้วคิดยังไงเล่าเรื่องนี้ให้พี่ฟังครับ” ถามแล้วก็ยืดตัวนั่งดี ๆ เพื่อจะหันไปมองคนด้านหลัง

“เพราะว่าผมเคยฟังประวัติมาจากไอ้ณะตั้งแต่เรียนด้วยกันน่ะครับ เลยอยากเล่าให้พี่ฟังด้วย”

ปราชญ์เลิกคิ้วแม้นปากจะยิ้ม “ตั้งแต่สมัยเรียน ยังจำได้หรือ”

“ครับ”

“ถ้าเกิดเราไม่ได้มาตรงนี้ก็คงไม่ได้เล่าใช่ไหม”

“นั่นก็ใช่ครับ” ต้นสนหลุบตา

คนอายุมากกว่าคลี่ยิ้มพลางส่ายหัว ก่อนจะยกมือเกลี่ยแก้มคนรัก “พี่ไม่สนใจเรื่องยศถาบรรดาศักดิ์พวกนี้หรอกครับ เพราะยังไงก็ไม่ต่างจากคนทั่วไปที่มีกายเนื้อเหมือนกัน และต่อให้จะเกิดอะไรขึ้น พี่ก็จะปกป้องต้นสนจนถึงที่สุด ไม่มีทางที่จะให้ใครมายุ่งเกี่ยวในเรื่องความรักได้ เพราะพี่มีสิทธิ์รัก เป็นการตัดสินใจของพี่ไม่ใช่ของคนอื่น” ปราชญ์จับแก้มสากให้ขยับขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงบอกให้สบตา “หากถูกพรากหรือถูกห้าม พี่ไม่มีทางเชื่อฟังคำสั่งใคร พี่จะทำทุกอย่างเพื่อหาหนทางที่ดีที่สุดแก่เรา หนทางที่เพื่อเราสองคนจริง ๆ”

ต้นสนเปรยยิ้มแล้วกอดเอวคนรักจนอีกฝ่ายเคลื่อนตัวมานั่งบนตัก “ผมก็เช่นกัน เพราะผมเองก็จะทำทุกอย่าง ไม่ว่าใครก็ห้ามผมไม่ได้”

ดวงตาของทั้งคู่เหมือนกับสะท้อนใบหน้าของกันและกัน ต่างก็หัวเราะออกมาเมื่อพูดคำหวานนั้น ก่อนที่เสียงหัวเราะจะค่อย ๆ หายไป พร้อมกับใบหน้าที่เคลื่อนเข้าหากัน ปากสีสดจรดอย่างนุ่มนวล ทว่า แนบแน่น

ราวกับอากาศรอบตัวร้อนขึ้นมากะทันหัน เมื่อการจูบนั้นดูจะร้อนแรงดับความเย็น หลังของปราชญ์นอนลงกับเสื่อพร้อมสัมผัสฝ่ามือคนรักที่รองศีรษะให้ตอนเอนหลังลงไป แม้อย่างนั้นก็ยังคงใช้มือรองให้เพราะกลัวว่าหัวของคนรักจะกระแทก

ในระหว่างนั้นปราชญ์ก็เลื่อนมือไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่นำมาด้วยทั้งสองผืนแล้ววางไว้กันเข่าของต้นสนทั้งสองด้านที่กำลังคุกเข่าอยู่

รับรู้การเอาใจใส่ของกันและกันก็ยิ่งเพิ่มความอิ่มอกอิ่มใจมากขึ้น ปราชญ์ใช้มือดันเล็กน้อยเพื่อให้เราได้พักหายใจ ก่อนจะใช้นิ้วเกลี่ยใบหูที่แดงก่ำ ดวงตาสะท้อนไปด้วยเสน่หา ปากที่แดงเจ่อเม้มเข้าหากัน

“ตั้งแต่เราขึ้นมาไม่มีคนเลย” เสียงกระซิบนั้นทำเอาหัวใจต้นสนสูบฉีดเลือดอย่างหนัก ยิ่งมองใบหน้างามหยดที่หยัดยิ้ม ความร้อนก็พลันแล่นขึ้นทั่วหน้า “พร้อมหรือเปล่าครับ”

“พะ...พร้อมอะไรครับ”

ปราชญ์หัวเราะในลำคอ “ต้นสนก็น่าจะรู้ แค่บอกพี่มาครับ”

“ตะ...ตรงนี้เลยหรือครับ” ไอ้ต้นสนเว้ยจะติดอ่างทำไมวะ

“หรือถ้าไม่อยากทำที่สาธารณะก็ได้ครับ พี่ไม่ได้บังคับเลย แค่รู้สึกว่าบรรยากาศมันพาไปเลยถาม” ปราชญ์คลี่ยิ้มอย่างเอ็นดูและลูบผมสีเข้มนั้น ถึงจะดูว่าเหมือนไม่รู้สึกอะไรมาก แต่ปราชญ์เองก็ใช้ความกล้าพอตัว เพราะตัวเขาเองก็เขินอายเหมือนกันหากจะทำตรงนี้ เพราะมันโล่งโจ้งเสียไม่มี

“ถ้าพี่ปราชญ์พร้อม ผมก็พร้อม”

ไม่มีคำตอบอะไรนอกจากแว่นนั้นที่ถอดออกอีกรอบแล้ววางไว้ไกล ๆ ก่อนที่มือเรียวจะยกขึ้นลูบอกแกร่งแล้วไล่ไปยังกระดุมพลางช้อนดวงตาสบกับอีกฝ่าย

“พี่ปลดกระดุมให้นะครับคนดี”





จบบทที่ ๒๒

----------------------------------------------------------

กลับมาแล้ววววววววววววววว เย้ๆๆๆ คิดถึงกันหรือเปล่า ขอโทษที่หายไปนานนะคะ เจอมรสุมในชีวิตมาเยอะพอควรเลยไม่ได้มาต่อเลย

แต่วันนี้ เราจะกลับมาผงาดอีกครั้ง คราวนี้จะมาบ่อยๆนะครับผม อาจจะไม่ถึงขั้นถี่แต่จะมาต่อให้ถึงจบเลย

ช่วงนี้จะเป็นแบบ Slow burn ช้าๆเรื่อยๆ เอาเป็นว่าตอนหน้าจะ ไฟเยอร์เบิร์นแล้วค่ะ หึๆๆๆ

ตัดจบเพราะมันยาวไป จริงๆนะ ไม่ได้แกล้งนักอ่านเลยด้วย

ยังไงก็ขอบคุณนักอ่านที่คอยสนับสนุนและยังรอคอย รวมถึงนักอ่านหน้าใหม่ด้วยนะค้าบ



(ช่วงความรู้)

ตำนานน้ำตกตาด-สาริกานี้เป็นเรื่องเล่าขานจริง ๆ นะคะ เป็นตำนานหรือนิทานที่คนที่นั่นเขาจะรู้กัน

เราเอาใส่มาเพราะชีวิตทั้งคู่ต่างก็เหมือนตรงที่สถานะ ซึ่งคงต้องบอกว่าบังเอิญมาก ๆ ที่กำลังหาสถานที่เที่ยวแล้วไปเจอน้ำตกสาริกาเข้า พอค้นหาข้อมูลก็พบว่ามีตำนานเล่าขานอยู่ เราเลยอยากเอามาเล่าสู่กันฟังให้นักอ่านได้รับรู้ด้วย เป็นเรื่องบังเอิญที่ได้ความรู้มาด้วยนั่นเอง

หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: IMYean. ที่ 13-05-2022 23:14:33
 
(https://sv1.picz.in.th/images/2022/05/13/Hc2Cat.jpg)

บทที่ ๒๓

ครั้งแรก

Warning: Outdoor / Public Sex , diary talk , Vanilla Sex

 

 

 

“พี่ปลดกระดุมให้นะครับคนดี” กระดุมแต่ละเม็ดนั้นถูกปลดอย่างเชื่องช้า ขณะที่สายตายังคงจดจ้องมองกันและกัน

ต้นสนก้มลงใช้จมูกคลอเคลียข้างแก้มจากนั้นก็สลับเป็นจูบตามคาง จมูก หน้าผาก พอดีกับเสื้อที่ถอดออกไป ต้นสนจึงใช้เสื้อตัวเองรองศีรษะคนรักให้แทน ก่อนจะใช้มือลูบที่สาบเสื้อคนใต้ล่างแล้วปลดกระดุมให้บ้าง

ปราชญ์คลี่ยิ้มพลางใช้มือเกลี่ยแก้มคนรักเล่นพลางพรูลมหายใจเมื่อคนด้านบนก้มลงมาไล่จูบแผ่นอก และสิ่งที่น่าสนใจที่สุดก็คงเป็นจุกสีชมพูที่ตั้งชูจนอดจะช่วงชิมไม่ได้

“อืม ไม่กัดนะครับ”

สายลมที่พัดผ่านผิวทำให้เย็นสะท้านบ้าง ผิดกับปากร้อนที่พรหมจูบราวกับไม่แยกจาก

ปราชญ์ปลดเข็มขัดและกางเกงให้คนน้องโดยที่ไม่ได้ให้ถอดออกไป เพราะเผื่อว่ามีคนมา แม้จะดูแล้วไม่มีใครขึ้นมาข้างบน แต่ก็ต้องเผื่อเอาไว้ก่อน

“ผมไม่มีถุงยาง” ต้นสนหน้าหงอ ช่วงล่างปวดหนึบไปหมด แต่หากไม่มีก็ไม่อยากทำเพราะกลัวคนรักจะเปื้อนและไม่สะอาดต่อเจ้าตัว

“พี่...” ปราชญ์เม้มปาก “พี่ซื้อมาครับ”

ได้ยินอย่างนั้นต้นสนก็ได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ และแล้วกระเป๋าสตางค์ของพี่ปราชญ์ก็เปิดออกและพบว่ามีถุงยางอยู่สามสี่ชิ้น

“พกไว้เผื่อฉุกเฉิน”

“แล้วต้องเตรียมอะไรก่อนไหมครับ”

“พี่ก็...เตรียมไว้แล้ว”

คราวนี้ต้นสนตาโตเอียงคออย่างกับสุนัขที่ขี้สงสัยทันที

“แต่ว่าก็ต้องใช้เจลให้มันเข้าได้สะดวก” แต่ละคำที่พูดปราชญ์ไม่นึกมาก่อนเลยว่ามันจะน่าเขินอายมากขนาดนี้ ยิ่งเห็นดวงตาและใบหน้าใสซื่อที่แทบไม่รู้อะไร ปราชญ์ก็อยากจะมุดดินหนีให้รู้แล้วรู้รอด

“ทำยังไงหรือครับ”

ปราชญ์กระแอ่มไอแล้วลุกขึ้นนั่งให้น้องคุกเข่ารอตรงหน้า เขาถอดกางเกงออกไปจนเปิดเผยอะไรต่อมิอะไร เห็นต้นสนจ้องไม่หยุดก็ได้แต่คิดว่า หรือเขาจะให้น้องหลับตาดี แต่หากไม่ทำให้ดูต้นสนก็จะไม่รู้วิธีทำ

“ทุกครั้งที่ฝ่ายรับทำก็ต้องเตรียมขั้นตอนหลายอย่าง รวมถึงก่อนสอดใส่ก็ต้องเบิกทางเพื่อที่จะได้ไม่เจ็บมากเวลาทำ” ว่าแล้วก็เตรียมของมาคลายช่องทาง หยิบเอาเจลที่เคยซื้อไว้ตอนอยู่อังกฤษเพราะที่ไทยยังไม่มีขายออกมา บอกน้องว่าใช้เพื่ออะไรจากนั้นถึงจะปาดเจลแล้วละเลงลงตรงช่องทาง

ปราชญ์กัดฟัน แม้จะเตรียมมาก่อนออกมาที่นี่แต่ใช่ว่าจะสบาย นิ้วชี้สอดเข้าไปข้างในหมุนวนและเข้าออก แต่กลับต้องถูกจับแขนไว้จากคนตรงหน้า

“ผมขอทำให้นะครับ” ดวงตาคู่นั้นดูร้อนแรงราวกับจะแผดเผา เมื่อเห็นว่าปราชญ์ถอนนิ้วออก ต้นสนก็บีบเจลแล้วใช้นิ้วทำตามที่อีกฝ่ายทำ

“อื้อ” มันออกจะต่างกันอยู่เพราะนิ้วของต้นสนใหญ่กว่าและเพราะเป็นนิ้วของคนรักมันเลยรู้สึกมากกว่าเดิม

“แบบนี้ใช่ไหมครับ” ต้นสนเขยิบเข้ามาใกล้ นิ้วยังคงทำงานได้ดี เว้นแต่สายตาที่เอาแต่จ้องใบหน้าแดงซ่าน

“อะ พี่”

“ผมทำแบบนี้รู้สึกดีหรือเปล่า” ไม่พูดเปล่ายังเพิ่มนิ้วไปอีกหนึ่งจนมันสัมผัสจุดกระสัน ทำให้ปราชญ์สะดุ้งแล้วต้องจับไหล่คนรักแน่น “ชอบไหมครับ” ต้นสนกระซิบแล้วจูบตามกกหู

“ใครสอนมา หื้อ” ปราชญ์หอบหายใจแรง นิ้วเท้าจิกเกร็ง

“แค่คิดว่าพี่น่าจะชอบ” พูดเสร็จก็ยิ้มมุมปาก ผมสีเข้มนั้นจากที่เปิดหน้าผากแต่หลังจากเล่นน้ำข้างล่างมาทำให้ผมเผ้าเปียกตอนนี้เลยล่วงลงมาปิดเกือบดวงตายิ่งขับให้ต้นสนดูเจ้าเล่ห์ขึ้นเป็นเท่าตัว “ยิ่งตรงนี้ที่ผมโดน พี่ดูชอบมากเลย”

“อ๊ะ!” ปราชญ์กัดปากแน่นจนเป็นรอยเมื่อต้นสนใช้นิ้วดันจุดนั้นซ้ำ ๆ “พี่จะเสร็จก่อนนะ อื้อ”

ต้นสนไม่ได้รับฟังอะไรนอกจากเคลื่อนหน้าเข้าไปจูบปากสีสดนั้นแล้วเร่งมือจนแขนเกร็งไปหมด กล้ามเนื้อแขนนูนขึ้นมาพร้อมกับเส้นเลือดที่เห็นเด่นชัด โดยมีมือขาวนั้นคอยจับไว้ ไม่รู้ว่าดันให้เพื่อหยุดหรือแค่จับขยับให้ตรงตามใจตัวเอง

“อึก” ต้นสนหยุดชะงักทันตาเมื่อถูกมืออีกฝ่ายมาจับส่วนลับที่นูนจนเห็นนอกกางเกง จากนั้นมันก็ถูกจับออกให้สัมผัสอากาศพร้อมกับนิ้วมือที่ลูบไล้ไปตามท่อนลำ “พี่ปราชญ์...”

“จะได้เสร็จพร้อมกันไงครับ” ปราชญ์อมยิ้มแล้วกำรอบท่อนเอ็นที่ร้อนจนสัมผัสได้ พลางใช้นิ้วหัวแม่มือหมุนวนบนหัวที่มีน้ำปริออกมาเล็กน้อย เพราะเขารู้ว่าเวลาทำแบบไหนมันจะเสียวซ่าน จึงทำให้กับต้นสนจนตอนนี้อีกฝ่ายนั่งสั่นไม่หยุด

“อ้า ผม...อึก” เคยทำให้ตัวเองก็จริงแต่มันก็แตกต่างจากสิ่งที่ปราชญ์ทำหลายขุม ทั้งรู้สึกดี ปวดหนึบ และอยากจะพ่นออกมาได้ตลอดเวลา

“ขยับสิครับ” บอกคนรักที่เอาแต่หยุดนิ่ง และทั้งคู่ก็เริ่มปรนเปรอกันและกันในบันดล

เสียงน้ำตกกลบเสียงครางของทั้งคู่ได้อย่างดี ทว่า ตอนนี้ที่ใบหน้าอยู่ใกล้กันจึงได้ยินชัดเจน ขณะที่สายลมพัดโหมและใบไม้ล่วงลงมารอบข้าง แสงอาทิตย์สาดส่องจากด้านบนผ่านน้ำตกทำให้เห็นแสงสะท้อนไปยังผืนน้ำช่วงล่าง

คล้ายกับพลิ้วไหวและสาดส่องให้เป็นดั่งภาพวาดชิ้นโบแดง เสียงนกร้องระงมด้วยความไพเราะ พร้อมกับเสียงห้วงสุดท้ายของทั้งคู่ที่ประสานขึ้นมา

แม้จะเหน็ดเหนื่อยและหอบหายใจรุนแรงแต่เพียงสบตากัน ไฟราคะก็ถูกจุดใหม่อีกครั้ง ทั้งคู่ใส่ถุงยางให้กันอย่างไม่เร่งรีบผิดกับช่วงอกที่เต้นกระหน่ำไม่หยุด

แก่นกายที่ดูแล้วยังไม่ได้สงบไปพร้อมกับครั้งแรกยังคงเด่นในสายตา ปราชญ์เอนตัวลงนอนพร้อมกับปากอีกฝ่ายที่บดจูบลงมา ความรู้สึกช่วงล่างที่กำลังถูกหัวมนถูไถนั้นทำเอาสะท้านไปทั่วอก

ต้นสนผละจูบแล้วจัดการสอดใส่เข้าไปอย่างไม่รีบร้อน พร้อมกับมองหน้าคนรักไปด้วยเพื่อดูสีหน้า ว่าหากดูเหมือนเจ็บเมื่อไรเขาจะได้หยุด แต่ว่าพี่ปราชญ์ก็พอจะเข้าใจและพยักหน้าอย่างเต็มใจ

ท่อนเนื้อเข้าไปจนสุดโคน คล้ายกับมันเต้นตุบ ๆ อยู่ข้างใน ต้นสนหอบหายใจแรงเพราะเพียงเท่านี้ก็เหมือนจะเสร็จอีกรอบเลยด้วยซ้ำ มันทั้งคับแน่นและรู้สึกดีจนอยากจะกระแทกกระทั้นซะเดี๋ยวนี้ แต่ก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะเจ็บจึงได้แต่ขบกรามแน่นแล้วเคลื่อนกายอย่างช้า ๆ

“อึก” ต้นสนขมกรามจนเส้นเลือดขึ้นขมับ เกร็งตัวจนคนใต้ล่างรู้สึกได้

ปราชญ์พอจะเข้าใจน้องเพราะครั้งแรกมันออกจะแปลกใหม่ มีขัด ๆ เขิน ๆ บ้างเป็นปกติ และทรมานพอตัวเพราะว่าความรู้สึกที่ได้นั้นรุนแรงอย่างมาก ยิ่งทำกับคนรักเต็มตัว คงยากสำหรับคนที่ไม่เคยเลยอย่างต้นสน

และเขาไม่คิดที่จะโกรธหรือขัดใจเลยสักนิด ยังไงมันก็ต้องเรียนรู้ เรื่องเซ็กส์มันไม่ใช่เรื่องที่ควรปล่อยละเลย

“ต้นสนครับ” ปราชญ์กระซิบเสียงเบา ตัวโยกเล็กน้อยเพราะน้องยังขยับอยู่ “พี่ไม่เป็นอะไรครับ”

ต้นสนเม้มปาก ตอนนี้ลำคอแห้งผากไปหมดแล้ว แต่ก็ค่อย ๆ เพิ่มระดับขึ้นตามที่คนรักบอก

พอจับจุดได้ต้นสนก็มั่นใจมากขึ้น และโถมกายใส่อย่างคล่องแคล่วกว่าเดิม จนปราชญ์ต้องใช้มือปิดปากเพื่อไม่ให้เสียงดังจนเกินไป

“อื้ม อื้อ” มือขาวข้างหนึ่งเผลอดันหน้าท้องคนรักเมื่อรู้สึกเสียวกระสันจนเกินไป ก่อนที่จะเปิดปากครางเมื่อต้นสนปรนเปรอส่วนหน้าให้เขาด้วย "อือ ต้นสน”

“แม่ง” ต้นสนสบถออกมาเมื่อภาพตรงหน้ามันเร่งเร้า จนเผลอกำรอบคางคนรักเพื่อให้เปิดตามามองตนเอง

พอดวงตาประสานก็เหมือนจุดไฟเพิ่มไปอีกดวง ยิ่งคนใต้ล่างจับมือต้นสนแล้วอมนิ้วชี้ รูดอยู่ในปากและเหม่อมองด้วยแววตายั่วยวน ต้นสนก็รู้สึกเหมือนความคิดขณะนั้นดับไปชั่ววูบ พี่ปราชญ์ในมุมนี้ เขาไม่เคยคาดคิดที่จะเห็นมาก่อน

เป็นอีกครั้งที่เจ้าตัวสบถแม้จะไม่ออกเสียงแต่สีหน้าก็พอจะรู้ได้ ต้นสนผละนิ้วออกแล้วจับกรอบหน้าคนรักไว้ ก่อนจะก้มลงป้อนจูบคนช่างยั่ว ดื่มด่ำ มัวเมาไปกับสัมผัสร้อนที่ครอบครองริมฝีปาก

และดูเหมือนต้นสนจะขี้แกล้งพอตัวถึงได้ยืดตัวกลับไป พลางก้มมองกายเนื้อที่เชื่อมกันแล้วขยับโยกกายด้วยความเนิบนาบ ทว่า กดเน้น เจ้าหนุ่มนักรักผู้ที่ไม่เคยลิ้มลอง แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นฝ่ายแกล้งบ้าง

ชลันหัวเราะในลำคอเมื่อมองใบหน้าแดงซ่านของคนรักที่ดูจะเขินอาย

“มองหน้าผมสิครับ”

“อือ ไม่เอาครับ”

ต้นสนหัวเราะอย่างนึกเอ็นดู เอวหนาเริ่มโหมจังหวะที่รุนแรงขึ้น แต่ก็ยังคงยับยั้งไม่ให้คนรักเจ็บ

เหงื่อกาฬไหลตามขมับ ชายหนุ่มสูดปากยามที่ข้างในนั้นตอดรัดแนบแน่น

“พี่ปราชญ์ครับ” ชลันกระซิบเสียงพร่ายามที่ความกำหนัดเริ่มพุ่งสูง จับโครงหน้าคนรักให้จ้องมองตนเอง ดวงตาทั้งคู่เพ่งมอง ทั้งรัก ทั้งเสน่ห์หา พร้อมกับปรนเปรอช่วงหน้าของคนรักไปด้วย

“อ๊ะ...อือ ต้นสน”

“พี่ปราชญ์ครับ พี่ปราชญ์ อ๊า” ความรู้สึกชุ่มชื่นล้นอยู่ภายใน รู้สึกได้ถึงน้ำกามที่ไหลเต็มจนเหมือนจะย้อนออกมาข้างนอกถุงยาง

“good boy” ปราชญ์คลี่ยิ้ม มือสางผมคนรักไปด้วย “I love you”

“I love you too” เสียงทุ้มกระเส่าตอบกลับ ใบหน้าเต็มไปด้วยเสน่หา “Honey, would you like to do it again?” (ที่รัก คุณอยากทำอีกรอบไหมครับ?)

ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่า ปราชญ์คิดว่าต้นสนในตอนนี้ ดูเหมือนคนที่โชกโชนขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ และนั่นมันก็ทำให้คนเก็บอารมณ์เก่งเสมออย่างเขาถึงกับใจเต้นแรง ใบหน้าเผยถึงความต้องการอย่างชัดเจน และคำพูดที่ไม่เคยคิดว่าจะได้พูดก็ดันพูดมันออกมา

“Yes please fuck me again”

ต้นสนขบกรามแน่นเมื่อถูกคำพูดนั้นกระแทกอกจึงอุ้มคนรักให้ไปนั่งบนโขดหินเพื่อจะทำในรอบที่สาม

 

 

แสงอาทิตย์เริ่มอ่อนลงจากเดิม เสียงน้ำตกยังคงดังเรื่อย ๆ คนสองคนที่อยู่ใจกลางน้ำ กอดรัดกันราวกับไม่อยากปล่อย

ที่จริงแล้วต้นสนอุ้มคนรักลงไปในน้ำเพื่อที่จะล้างเนื้อล้างตัวให้แต่กลับได้ทำมันในรอบที่สี่ มันออกจะฝืดเฟืองเพราะทำในน้ำมันทำลำบาก ทว่า ก็ไม่ได้รู้สึกขัดใจจนอยากจะหยุด

ทั้งคู่เหมือนเชื้อเพลิงของกันและกันที่แค่มองตาหรือลูบไล้ก็ถูกจุดได้ง่ายโดยไม่มีใครห้ามใคร แต่ถึงกระนั้นยามที่คิดว่ามันมากไปก็จะหยุดพร้อมกันทันที จึงเป็นเรื่องที่สบายใจต่อทั้งคู่ และพร้อมที่จะดำเนินไปจนหมดแรง ถ้าหากพอใจที่จะทำ

จากที่ดูแล้วไม่มีคนขึ้นมาเลย ตอนนี้จึงไม่ได้สนใจเรื่องเสื้อผ้า กลายเป็นเปลือยกายทั้งคู่ มีหยดน้ำเกาะตามบ่าและอกบ้าง

ผมของทั้งคู่เปียกลู่จนปิดหน้าผาก ใบหน้ามีน้ำเกาะตามประปราย

แผ่นหลังของปราชญ์ทาบอยู่กับหินลูกหนึ่งที่พอจะพิงได้ และน้ำก็ไม่ได้ลึกมาก ขึ้นเพียงแค่ส่วนช่วงเอวเท่านั้น

แขนต้นสนเหมือนคีมเหล็กที่ยกตัวเขาได้สบายแม้อยู่ในน้ำ อาจเพราะฝึกมาเยอะ ลำแขนใหญ่นั้นกำลังรอดใต้ราวขาปราชญ์พร้อมกับกระแทกกระทั้นอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย

ปราชญ์จับลำคอและลาดไหล่คนรักแน่นยามที่ภายในถูกจุดสำคัญ เสียงครางยังคงดังไปทั่วทั้งบริเวณ

ในห้วงสุดท้ายปราชญ์ดึงคนรักเข้ามาจูบ บดเบียด ละเลียดชิม พร้อมกับปลดปล่อยออกมา

ชลันขยับอีกสามสี่รอบเพื่อรีดน้ำออกมาจนหมด ก่อนจะค่อย ๆ ปล่อยคนรักให้ยืนกับหินใต้เท้า และคอยพยุงตัวไว้เพราะดูแล้วอีกฝ่ายน่าจะล้มพับไปได้ตลอด เห็นอย่างนั้นจึงจับแขนทั้งสองให้โอบรอบคอ ส่วนต้นสนก็คอยกอดเอวคนรักไว้

“พอไหมครับ ผมกลัวพี่ปราชญ์จะป่วยเอา”

“อืม ก็ดีครับ” ปราชญ์กลืนน้ำลายทันทีหลังจากพูดออกไปเพราะเสียงทั้งแหบแห้งจนระคายคอ ร่างกายเหมือนถูกสูบไปจนแขนขาอ่อนแรง ได้แต่เอาหน้าพิงอกแกร่งที่ได้ยินเสียงหัวใจเต้นกระหน่ำอยู่ภายใน

ต้นสนพรูลมหายใจให้หายหอบ ก่อนจะก้มลงจูบกลุ่มผมแล้วพาไปนั่งริมโขดหินที่ยื่นขาลงน้ำได้

“เดี๋ยวผมมาล้างตัวให้นะครับ” ต้นสนยิ้มจนตาหยีแล้วจัดการถุงยางมัดดี ๆ เอาขึ้นไปใส่ถุงขยะที่เตรียมมาด้วย ก่อนจะรีบลงมาข้างล่างเพื่อล้างเนื้อล้างตัวให้อีกฝ่าย

ผู้หมวดหนุ่มผิวปากอย่างอารมณ์ดีแล้วใช้มือถูเนื้อกายคนรักเบา ๆ อย่างกับกลัวจะแตกสลาย ปราชญ์อยากจะเอ่ยบอกว่าให้ขัดแรงกว่านี้หน่อย เพราะที่ทำมันเหมือนใช้มือมาแตะเขามากกว่าจะขัดตัวเสียอีก แต่ก็แสบคอมากเกินไปจนทำเพียงแต่หลับตาเอนตัวไปมาตามที่ถูกจับ

ปราชญ์แทบไม่ได้ทำอะไรเองเลยแม้แต่เดินหรือใส่เสื้อผ้าอีกตัวที่เอามาเผื่อด้วย เพราะต้นสนจัดการให้ทุกอย่าง แถมยังนวดให้เขาด้วย ตอนนี้ปราชญ์เลยนอนคว่ำหน้าอย่างสบายกายและใจ

“เดี๋ยวคืนนี้ผมนวดให้อีกรอบนะ”

ปราชญ์คลี่ยิ้มเป็นเชิงตอบรับ รู้สึกอุ่นซ่านไปทั่วอก เพราะว่าเพิ่งเคยมีคนนึกถึงเรื่องที่นวดอะไรอย่างนี้ เพราะไม่มีใครเคยถึงขั้นนวดคลายกล้ามเนื้อให้เขาเลย

เรานั่งทานอาหารและอยู่กันสักพักก็ใกล้จะถึงเวลาตามที่บอกคนด้านล่างจึงพากันเก็บของเพื่อจะกลับบ้านณะ

“ห้ามกินของเผ็ด หรือของย่อยยากใช่ไหมครับ” ต้นสนถามเพราะพี่ปราชญ์คอยบอกคอยสอนเพื่อที่จะให้ใส่ใจฝ่ายรับมากขึ้น

“ครับ แต่ว่าก็พอทานได้ เพราะว่ามันไม่ได้ช้ำอะไร เพราะต้นสนไม่ได้ทำรุนแรงเลย”

ต้นสนเกาท้ายทอยแก้เขิน “ครับ”

ปราชญ์หัวเราะในลำคอ ต้นสนตอนนี้ดูแตกต่างจากตอนที่มีอารมณ์อย่างกับคนละขั้ว แต่ก็เหมือนกับเขาที่พอมีอารมณ์จะเผลอพูดตามใจ เผลอพูดอะไรก็ตามที่ไม่คิดเหมือนกันว่าตัวเขาจะพูดออกมา

แม้ว่าจะเป็นเรื่องปกติเพราะเคยพูด แต่ก็ไม่คิดว่าครั้งแรกกับคนรักอย่างต้นสน เขาจะเปิดเผยอะไรต่อมิอะไรขนาดนี้ เป็นตัวของตัวเองขึ้นมาเท่าตัว

เพราะตัวตนเขาจริง ๆ ก็ไม่ใช่คุณชายอ่อนน้อม อ่อนโยน หรือไม่พูดหยาบเลย เขาก็มนุษย์คนหนึ่งที่มีด้านนี้ในตัว และรู้สึกได้ว่าอยู่กับต้นสนเขากล้าที่จะพูดหรือทำอะไรที่เป็นตัวตนจริง ๆ ของตัวเอง

เป็นคุณชายเขาต้องคอยระวังเรื่องคำพูด ต้องทำนู่นทำนี่ให้เป็นระเบียบ และบางทีเขาเองก็อยากปล่อยเนื้อปล่อยตัวบ้าง

ถึงแม้นิสัยพูดเพราะ ทำตัวราวคุณชายนี้เขาเองก็เป็นมานาน ถือว่าเป็นนิสัยจริง ๆ แต่ว่าในบริบททางอื่น เช่น การมีเพศสัมพันธ์ เขาก็คงบอกได้เลยว่า ตัวเขานั้นมันยิ่งกว่านี้และคงจะเป็นในอนาคตที่ต้นสนน่าจะได้เห็นอีก

และอย่างที่เขาคิดว่า อยู่กับต้นสนรู้สึกสบายใจที่สุด เขาไม่ห่วงอะไรเลยสักนิด

ยิ่งกว่านั้นความสุขท่วมล้นหลังเสร็จกิจ ต้นสนเป็นคนที่ดูแลเขาทุกอย่าง ใส่ใจ คอยระแวดระวัง แม้แต่ระหว่างทำ ตัวเองจะมีอารมณ์มากแค่ไหนก็ไม่คิดกระทำรุนแรงและจะขอก่อนเสมอ เขาพอใจตั้งแต่เอามือรองใต้ศีรษะ และยังเอาเสื้อมารองให้ด้วย

คนรักเขาดีมากจริง ๆ

เมื่อมาถึงยังชั้นล่างก็บอกลาชาวบ้านแถวนั้นที่บางตาไปบ้างแต่ก็มีคุณลุงคุณป้าที่คุยกับพวกเขาก่อนขึ้นมา จากนั้นก็ลาเจ้าแม่สาริกาด้วย

“เรื่องซื้อของ เดี๋ยวผมไปคนเดียวได้นะครับ พี่ปราชญ์จะได้พักผ่อน” เก็บของใส่รถและสตาร์ทรถออกไปได้สักพักต้นสนก็เปิดปากพูด

“ไม่เป็นอะไรครับ พี่ไม่ได้เจ็บเลย ยังเดินได้สบาย” พูดเสร็จก็หันไปมอง เห็นว่าต้นสนยังมีสีหน้าคิดหนักจึงตบหน้าขาคนรักเบา ๆ “พี่ไม่เป็นอะไรจริง ๆ ครับ”

“ก็ได้ครับ”

จวบจนกลับถึงบ้านณะและสอบถามเรื่องร้านค้าต่าง ๆ ก็รับรู้ได้ว่ามันไม่ค่อยมีร้านมากมายเหมือนอย่างในพระนคร แต่ก็มีที่ไกลหน่อยจะอยู่ในเมือง ณะเองก็ว่าจะไปซื้อของด้วยเลยพากันไปสามคน

พากันซื้อของพะรุงพะรังทั้งตอบแทนคนที่บ้านณะและซื้อกลับเมืองกรุง

พลบค่ำ รถสีครีมก็ขับมาจอดหน้าบ้านไม้ในที่สุด ทั้งสามพากันช่วยถือของลงไป ใต้ถุนยังมีแสงไฟพร้อมกับทั้งพ่อและแม่ณะที่นั่งคุยกันอยู่

“แม่ครับ พ่อครับ พวกผมซื้อของมาฝาก” ต้นสนหิ้วถุงไปหาทันที

“โอ๊ย ซื้ออะไรมาเยอะแยะลูก ดูซิเนี่ย ตั้งกี่ตังค์...” แม่ณะบ่นกระปอดกระแปดพร้อมกับก้มดูของมากมาย

“พวกเราอยากซื้อมาขอบคุณน่ะครับ ตอบแทนที่ให้ที่พักแล้วก็กับข้าว” ปราชญ์ที่เดินถือของมาทีหลังก็พูดต่อ

“เอ้อ ๆ ขอบคุณมากนะ” พ่อณะตบบ่าทั้งคู่แล้วเปิดดูของข้างใน

“เฮ้อ จริง ๆ เลย แต่ก็ขอบคุณมากนะลูก อ้อ! แม่ทำกับข้าวเสร็จรอไว้แล้ว จะได้กินพร้อมกันเลยเนาะ” เธอว่าเสร็จก็เดินไปในครัวกับณะและต้นสนเพื่อเตรียมกับข้าว

“ตกลงนอนที่นี่ใช่ไหมลูก” พ่อณะเอ่ยถามขึ้น

“ครับ พรุ่งนี้เช้าว่าจะไปเที่ยวน้ำตกที่เหลือแล้วจะตรงกลับพระนครเลยครับ” ปราชญ์ตอบ

“อ๋ออย่างนั้นรึ” พ่อณะพยักหน้าก่อนจะนึกอะไรได้ “เอ้อ! ว่าแต่ตอนนี้พระนครใช้ชื่อว่าอะไรนะ เจ้าณะมันเคยบอกอยู่”

“นครหลวงกรุงเทพธนบุรีครับ” ปราชญ์ยิ้มบาง

“เออ ๆ ใช่แล้ว มันเรียกยากแท้ ชื่อเดิมก็ออกจะเพราะ”

“ครับ ผมอยากเรียกชื่อเดิมมากกว่า” เพราะไม่ค่อยถูกใจกับคนตั้งชื่อใหม่เสียเท่าไร คุณชายหนุ่มคลี่ยิ้ม คำหลังไม่ได้พูดมันออกไป

“กับข้าวมาแล้ว” ณะกับต้นสนยกกับข้าวมาแต่ไกล

ในวงกับข้าวนั้นพูดคุยกันสนุกสนาน เล่าถึงบรรยากาศด้านบนให้ฟังเพื่อให้ครอบครัวนี้ลองไปกันดูบ้างเพราะตอนนี้ไม่ได้อันตรายแต่อย่างใด ส่วนมากจะคุยกันเรื่องสถานที่น่าเที่ยวหรือสถานที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก

จวบจนอาหารค่ำจบลง ต่างก็พากันไปอาบน้ำนอน ระหว่างที่รอครอบครัวของณะอาบก่อน ปราชญ์กับต้นสนก็ช่วยกันจัดมุ้งและที่นอนและเก็บของไปด้วยเลย

ปราชญ์เป็นคนสุดท้ายที่จะอาบน้ำ ตอนนี้ต้นสนที่ได้อาบน้ำก่อนก็เหมือนจะง่วงอยู่นิด ๆ เพราะเพื่อนคุยอย่างเจ้าณะดันชิงหลับไปเสียก่อน

“มาครับผมนวดให้” ชายหนุ่มหาวหวอด ๆ ลุกขึ้นมาพร้อมผมที่ฟูฟ่อง มองคนรักที่กำลังคลานมาตรงกลาง

“ไม่เป็นอะไรครับ พี่สบายตัวมากเลยตอนนี้”

“ไม่เอาครับ” ต้นสนทำหน้ายู่ คิ้วขมวด “มาเช็ดผมให้ก่อนดีกว่า”

“ขอบคุณครับ”

ต้นสนทำอย่างนุ่มนวลพร้อมกับนวดศีรษะให้ด้วยเลย จากนั้นก็เริ่มจะนวดลำคอ หัวไหล่ ผลัดไปผัดมาจนปราชญ์แทบจะหลับอยู่รอมร่อ

“พี่ทำให้บ้างดีกว่าครับ”

“แต่—”

“จุ๊บ อย่าดื้อครับ” ปราบคนดื้อโดยการจุ๊บปากไปทีหนึ่งแล้วให้ต้นสนนอนคว่ำเพื่อจะนวดหลังให้

“อืม สบายจัง” ดูท่าจะสบายจริง ๆ ถึงได้หัวเราะชอบใจ ร้องงมในลำคออย่างผ่อนคลาย“อยากหยุดสักอาทิตย์หนึ่งหรือสักเดือนไปเที่ยว นอนค้างแรมด้วยกันจังครับ” ต้นสนพูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้

“ไว้รอปีใหม่ไทยก็ได้ครับ น่าจะได้หยุดยาว”

“ปีใหม่ไทยหรือ...อือ ๆ” น้ำเสียงต้นสนเริ่มจะงึมงำไม่ได้ศัพท์ สักพักก็ได้ยินเสียงลมหายใจที่ผ่อนปรนอย่างเชื่องช้า

ปราชญ์จึงผละออกแล้วห่มผ้าให้ทั้งคนรักและตัวเอง ก่อนจะหันหน้าเข้าหา ลูบหัวคิ้วเข้มเล็กน้อย

“ราตรีสวัสดิ์ครับคนดีของพี่” พูดจบก็ยื่นหน้าไปหอมหน้าผากให้ชื่นใจจึงจะหลับตามไปในที่สุด โดยที่ริมฝีปากยังคงยิ้มในขณะที่หลับไปทั้งอย่างนั้น







จบบทที่ ๒๓

------------------------------------------------------------------------

How to write NC?

(ช่วงความรู้)

เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ.2514 รัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร ได้รวม จังหวัดพระนคร และ จังหวัดธนบุรี เข้าด้วยกันเป็น นครหลวงกรุงเทพธนบุรี

หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: evanescence_69 ที่ 03-12-2022 07:17:50
รอๆมาต่อให้จบ
หัวข้อ: Re: เฝ้าคำนึง•๒๕๐๐ | อัพบทที่ ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: KOWPOON ที่ 22-12-2022 15:42:10
รอนะคะ  :m25: :m25: :m25: :o8: :-[