พิมพ์หน้านี้ - ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 38 :: up! 2-10-63} #หน้า 8 ( ตอนจบ )

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: patwo ที่ 29-11-2019 20:34:20

หัวข้อ: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 38 :: up! 2-10-63} #หน้า 8 ( ตอนจบ )
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 29-11-2019 20:34:20
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 

- - - -- - - - - -- - - - - - -

(https://uppic.cc/d/5WE3) (https://uppic.cc/v/5WE3)

※ นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นตามจินตนาการของผู้แต่ง ตัวละครเป็นเพียงฉากสมมุติเพื่อความสมจริงเท่านั้น ※

►►   สารบัญ  ◄ ◄

 ด้วยรักและปลาทู :: ตอนที่ 1  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71236.msg4015464#msg4015464)
 ด้วยรักและปลาทู :: ตอนที่ 2  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71236.msg4015619#msg4015619)
 ด้วยรักและปลาทู :: ตอนที่ 3  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71236.msg4015785#msg4015785)
 ด้วยรักและปลาทู :: ตอนที่ 4  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71236.msg4016492#msg4016492)
 ด้วยรักและปลาทู :: ตอนที่ 5  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71236.msg4017449#msg4017449)
 ด้วยรักและปลาทู :: ตอนที่ 6  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71236.msg4018406#msg4018406)
 ด้วยรักและปลาทู :: ตอนที่ 7  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71236.msg4019323#msg4019323)
 ด้วยรักและปลาทู :: ตอนที่ 8  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71236.msg4021044#msg4021044)
 ด้วยรักและปลาทู :: ตอนที่ 9  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71236.msg4022060#msg4022060)
 ด้วยรักและปลาทู :: ตอนที่ 10  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71236.msg4023842#msg4023842)
 ด้วยรักและปลาทู :: ตอนที่ 11  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71236.msg4024740#msg4024740)
 ด้วยรักและปลาทู :: ตอนที่ 12  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71236.msg4025592#msg4025592)
 ด้วยรักและปลาทู :: ตอนที่ 13  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71236.msg4026371#msg4026371)
 ด้วยรักและปลาทู :: ตอนที่ 14  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71236.msg4027046#msg4027046)
 ด้วยรักและปลาทู :: ตอนที่ 15  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71236.msg4027769#msg4027769)
 ด้วยรักและปลาทู :: ตอนที่ 16  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71236.msg4030025#msg4030025)
 ด้วยรักและปลาทู :: ตอนที่ 17  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71236.new#new) 
 ด้วยรักและปลาทู :: ตอนที่ 18  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71236.msg4032116#msg4032116)
 ด้วยรักและปลาทู :: ตอนที่ 19  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71236.msg4034843#msg4034843)
 ด้วยรักและปลาทู :: ตอนที่ 20  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71236.msg4035700#msg4035700) 
 ด้วยรักและปลาทู :: ตอนที่ 21  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71236.msg4036863#msg4036863)
 ด้วยรักและปลาทู :: ตอนที่ 22  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71236.msg4037981#msg4037981) 
 ด้วยรักและปลาทู :: ตอนที่ 23  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71236.msg4039137#msg4039137) 
 ด้วยรักและปลาทู :: ตอนที่ 24  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71236.msg4040113#msg4040113) 
 ด้วยรักและปลาทู :: ตอนที่ 25  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71236.msg4040999#msg4040999&gsc.tab=0)
 ด้วยรักและปลาทู :: ตอนที่ 26  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71236.msg4041738#msg4041738&gsc.tab=0) 
 ด้วยรักและปลาทู :: ตอนที่ 27  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71236.msg4042609#msg4042609&gsc.tab=0) 
 ด้วยรักและปลาทู :: ตอนที่ 28  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71236.msg4043426#msg4043426&gsc.tab=0)
 ด้วยรักและปลาทู :: ตอนที่ 29  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71236.msg4044121#msg4044121&gsc.tab=0)
 ด้วยรักและปลาทู :: ตอนที่ 30  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71236.msg4045145#msg4045145&gsc.tab=0) 
 ด้วยรักและปลาทู :: ตอนที่ 31  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71236.msg4045614#msg4045614&gsc.tab=0) 
 ด้วยรักและปลาทู :: ตอนที่ 32  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71236.msg4046519#msg4046519&gsc.tab=0)
 ด้วยรักและปลาทู :: ตอนที่ 33  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71236.msg4046940#msg4046940&gsc.tab=0) 
 ด้วยรักและปลาทู :: ตอนที่ 34  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71236.msg4047808#msg4047808&gsc.tab=0)
 ด้วยรักและปลาทู :: ตอนที่ 35  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71236.msg4048149#msg4048149&gsc.tab=0) 
 ด้วยรักและปลาทู :: ตอนที่ 36  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71236.msg4048508#msg4048508&gsc.tab=0) 
 ด้วยรักและปลาทู :: ตอนที่ 37  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71236.msg4048839#msg4048839&gsc.tab=0)
 ด้วยรักและปลาทู :: ตอนที่ 38  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71236.msg4049445#msg4049445&gsc.tab=0)  :katai5:

  o18  twitter : @realkanom  facebook : หนมมี่ผู้ใสซื่อ
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 1 :: up! 29-11-62} #หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 29-11-2019 20:46:45

ตอนที่ 1

 
อากาศร้อนในโรงอาหาร ผมยกแก้วชาเย็นขึ้นดูดทั้งๆที่สายตายังคงจดจ้องอยู่กับหน้าจอมือถือ มุมปากเผลอยกยิ้มให้กับภาพและข้อความผ่านตาที่ส่งเข้ามาใหม่ของคู่สนทนาใน ณ ขณะนั้น ‘ เจอกันเย็นนี้นะ ’

“ ยิ้มเหี้ยอะไรของมึงไอ้สัดเมี่ยง ” คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันยิ้มถาม แต่ตอนนั้นผมก็แค่ยื่นหน้าเข้าไปใกล้แล้วตอบกลับไปแบบไม่ออกมาเสียง

“ เสือก ”

“ K ” เจ้ย ตอบกลับมาทันที ผมหลุดหัวเราะกับหน้าตาจริงจังของคนตัวเล็กที่ดึงแก้วชาเขียวของตัวเองขึ้นดูดด้วยอารมณ์หงุดหงิดกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ก่อนที่มันจะได้พูดอะไรมากกว่านั้น ข้าวหน้าหมูสับทอดแบบพิเศษกับน้ำซุปกระดูกหมูก็ถูกวางลงบนโต๊ะ พร้อมกับเสียงผิวปากแบบสบายใจซึ่งแน่นอนว่ามันขัดกับเวลานานที่อีกฝ่ายต้องไปยืนรอ

“ แถวยาวขนาดนั้นมึงยังอารมณ์ดีได้อีกเหรอวะ ” ผมถามคนหน้าตาตี๋ ตัวสูง ที่ยกคิ้วให้กันเป็นคำตอบพร้อมด้วยใบหน้ากวนตีน เบส ตักน้ำซุปขึ้นกินพร้อมกับเสียงสดชื่นเอามากในจังหวะที่กลืนลงคอ 

“ แหมมม อร่อย ”

“ จ้า งั้นก็รีบแดกเถอะครับไอ้สัด พวกกูแดกเสร็จไปตั้งนานแล้วกว่ามึงจะได้แดก ” เจ้ยบอกเพื่อนสนิทตัวเองที่ก็ยักคิ้วขึ้นยิ้มๆพลางใช้ช้อนคลุกเคล้าน้ำจิ้มที่ราดมาบนหมูกับข้าวให้เข้ากัน

“ ท่าทางมีความสุข แสดงว่าต้องมีอะไร ” ผมยกคิ้วถาม แล้วนั่นก็ไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่เพื่อนสนิทของอีกคนรู้สึก

“ แน่นอนแหละไอ้สัด ”

เบส กับ เจ้ย เป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งมัธยมปลาย ส่วนผมเพิ่งเข้ามาสมทบในตอนที่ได้เข้ามาเรียนมหาลัย เราเรียนคณะบริหารอินเตอร์ด้วยกัน และผมก็จัดให้พวกมันเป็นเพื่อนร่วมคณะที่ตอนนี้กลายเป็นเพื่อนสนิทที่สุดประดุจคบกันมาทั้งชีวิตแล้ว แต่ถึงอย่างงั้น ลึกๆ มันก็ยังมีความคิดที่ว่าไอ้เจ้ยสนิทกับเบสมากว่าผมอยู่

ยกตัวอย่างก็เช่น เพียงแค่มอง ไอ้สัดเจ้ยก็รู้แล้วว่าตอนนี้ไอ้เหี้ยเบสไม่ปกติ แล้วคนอย่างมันก็เรื่องที่ทำให้มีความสุข แค่ไม่กี่เรื่อง

“ นี่อย่าบอกนะ ว่ามึงไปกวนตีนไอ้สัดดีนอีกแล้ว ” ยกยิ้มถามแบบรู้ทันก่อนจะหันไปมองรอบโรงอาหาร แล้วตอนนั้นผมกับไอ้เจ้ยก็เจอเข้าพอดี กับอริแห่งความปัญญาอ่อนของไอ้สัดเบส ตรงโต๊ะที่อยู่เยื้องจากเราไม่ไกล 

ร่างหนาตาชั้นเดียว ตัวขาว กำลังเอาตาที่มีอยู่น้อยนิดของมัน จ้องมองทางเพื่อนผมอย่างเอาเป็นเอาตาย พร้อมมือที่ยัดข้าวจากร้านเดียวกันเข้าไปในปากอย่างไม่มีหยุดยั้ง จนคล้ายกับว่ามันจะแดกไอ้สัดเบสเข้าไปด้วย

“ ไอ้ชิบหาย มึงไปทำอะไรมันวะ ” หันไปถามเพื่อนตัวเองที่ยังคงยิ้ม เบสหันไปมองอีกคนแบบไม่รู้สึกถึงความผิดอะไร

“ กูเอาน้ำซุปกระดูกหมูถ้วยสุดท้ายของร้านป้ามาจากมัน ”

“ กูถามจริง ” และในความหมายของผม คือพวกมึงทะเลาะกันเพราะแค่เรื่องนี้จริงๆเหรอไอ้สัด

“ มึงเห็นหน้ามันมั้ยละ แม่งโคตรแค้นอะ แค้นเพราะอยากแดก ฮ่าๆ ”

“ ไม่ตลกเลยไอ้สัด ” เจ้ยว่า “ คือเมื่อไหร่มึงแม่งจะเลิกกวนตีนมันวะ เอาจริงๆ กูว่าบางทีมึงแม่งก็หาเรื่องมันชิบหายเลยนะ ”

“ กูไปหาเรื่องอะไรมันอะครับเพื่อนเจ้ย ใจเย็นก่อนมั้ยเอ่ย ” ไอ้เบสเถียงกลับ ผมก็ถาม

“ แล้วมึงไปทำอะไรมัน แค่แย่งน้ำซุปมันเหรอ หรือว่ามึงจะไปแซงคิวร้านข้าวมันด้วย ”

“ เพื่อนเมี่ยงครับ คิดก่อนนะ ” คนพูดยกนิ้วขึ้นจรดตรงขมับพลางเคาะเบาๆ “ มึงว่าคนอย่างมันถ้ากูแซงคิว มันจะไม่ด่ากูเหรอ ถ้ากูแซงจริงๆ ได้ยินกันทั้งโรงอาหารแล้วครับสัด ”

“ แล้วมึงทำอะไรมัน ”

“ กูก็แค่ต่อคิวซื้อข้าวของกูอยู่ดีๆ ตอนแรกป้าถามว่าเอาน้ำซุปกระดูกมั้ยถ้วยสุดท้ายแล้ว กูบอกไม่เอา คราวนี้ไอ้สัดดีนมาต่อคิว มันถามป้าว่ามีน้ำซุปกระดูกมั้ย ป้าก็บอกมีถ้วยสุดท้ายพอดี มันก็เลยต่อคิวหลังกู แล้วพอป้าทำข้าวให้กูเสร็จ กูก็แค่บอกป้าว่าขอน้ำซุปกระดูกด้วยมันก็แค่นั้นเอง ”

“ เออ เหี้ยดี ”

“ คิดผิดที่ไหนละไอ้สัด ” เพื่อนสนิทคนก่อเรื่องว่า ก่อนจะส่ายหน้าไปมายิ้มๆ

“ แล้วกูผิดเหรอครับเพื่อนเจ้ย เพื่อนเมี่ยง ” ไอ้เบสถามพลางมองผมสลับกับไอ้เจ้ยแบบหน้าซื่อๆ “ ก็อยู่ๆกูอยากแดกน้ำซุปกระดูกขึ้นมานี่น่า กูก็เลยสั่งเค้าไป แต่มันก็เป็นสิทธิ์ของกูมั้ยละ ก็กูมาก่อน มันมาหลังเอง แล้วแบบนั้นน้องเบสผิดอะไรอะครับ ”

“ ผิดที่จริงๆมึงไม่ได้อยากกินหรอก แต่แค่อยากจะแกล้งสัดดีนไงไอ้เหี้ยเบส ” เจ้ยมันพูด ก่อนจะหันไปยกยิ้มให้อีกคน “ มึงก็แค่อยากจะแกล้งมันเหมือนทุกครั้งก็เท่านั้นแหละ ”

“ พ่อมึงเล่นมึงแล้วเหี้ยเบส ” ผมแซวก่อนจะเชิดหน้าไปหาคนทำผิดที่ก็เม้มปากก่อนจะทำทีเป็นยกมือไหว้ขอโทษ แต่ถึงอย่างงั้นผมก็รู้ ไอ้สัดนี่ไม่คิดรู้สึกผิดอะไรแบบนั้นหรอก ในตอนนี้ใจมันคงระรื่น มีความสุขที่ได้แกล้งไอ้ดีนเสียมากกว่า

“ ขอโทษนะกั๊บ ”

“ ไม่สำนึกหรอกกูรู้ ” คนตรงหน้าผมว่า “ อายุเท่าไหร่แล้วไอ้สัด ปีสองแล้วนะมึง ยังทำตัวเป็นเด็กไปได้ ”

“ เอาอีก เอาอีก ด่ามันอีกสัดเจ้ย ” ผมยุยิ้มๆ พลางยกแก้วขึ้นมาตักน้ำแข็งอย่างไม่รู้จะทำอะไร ก่อนสายตาจะเหลือบไปมองกลุ่มคู่อริเพราะรู้สึกเหมือนกับว่าพวกมันกำลังมองมาทางเราอยู่เหมือนกัน  " พวกมึง ”

“ อะไร ” ไอ้เบสหันมาถามผม

“ คืออย่าเพิ่งหันไปมองนะ แต่พวกแม่งกำลังมองมาทางเราว่ะ ”

“ เหรอ ”

“ ไอ้เหี้ย! ก็บอกว่าอย่าเพิ่งหันไปมองก่อนไงไอ้หน้าสัด ” ผมสบถออกมา เพราะจังหวะหลังพูดคำนั้นมันทั้งสองคนก็เสือกหันไปมองคนพวกนั้นพร้อมกันทั้งๆที่ก็เพิ่งพูดห้ามไป “ Kจริง ”

“ งั้นทีหลังมึงก็บอกด้วยสิว่าใครหันไปก่อน ให้หันไปมองทีหลัง ” ไอ้เบสบอกผมยิ้มๆ พร้อมกับไอ้เจ้ยที่หัวเราะเสียงดังก่อนจะท่าทีเลียนแบบ

“ แบบก่อนเล่าก็เจ้ย มึงหันก่อน ส่วนมึงไอ้สัดเบสอย่างเพิ่งหันนะ ไอ้กลุ่มนั่นแม่งกำลังมองมาทางเราว่ะ อะไรแบบนั้นมั้ย ”

“ K ”  หลุดยิ้มออกมาก่อนจะส่ายหน้า ผมมองไปที่กลุ่มนั้นอีกครั้งก่อนจะพบว่าตอนนี้เพื่อนในกลุ่มคนนึงของไอ้ดีนกำลังมองมาทางผม และสายตานั้นก็ไม่ได้เป็นมิตรสักเท่าไหร่เลย มันคล้ายกับว่าในความรู้สึกของคนที่จ้องมองมา ผมนี่แหละ คือคนที่ไปแย่งน้ำซุปกระดูกหมูจากเพื่อนมันมา

จุดเริ่มต้นของเรื่องราวความปัญญาอ่อนนี้ เริ่มมาจากตอนที่พวกมันกำลังเรียนมัธยมปลาย สมัยเข้าปีหนึ่งใหม่ๆ เจ้ยเล่าให้ผมฟังว่า มันสองคนแล้วก็พวกไอ้ดีนอยู่โรงเรียนเดียวกัน ไอ้เบสตอนนั้นคุยอยู่กับเด็กโรงเรียนหญิงล้วนอยู่คนนึง ซึ่งมารู้ทีหลังว่าผู้หญิงคนนั้นก็คุยอยู่กับไอ้ดีนเหมือนกัน ซึ่งคนที่บอกเรื่องนี้กับมันสองคนก็คือ ไอ้ดีนที่ก็เข้ามาบอกกับไอ้เบสซึ่งๆหน้าเลยว่า อย่ายุ่งกับเด็กมัน ผู้หญิงคนนั้นเป็นแฟนมัน ทั้งๆที่ความจริงคือไม่ใช่

ตอนนั้น เบสยอมถอยห่างเพราะเชื่อ  แต่ความลับมันไม่ในโลกฉันใด สุดท้ายไอ้เบสก็มารู้ความจริงตอนนั่งขี้ในห้องน้ำโรงเรียน ซึ่งประจวบเหมาะที่ไอ้ดีนก็เข้ามาฉี่พอดีและพูดอวดกับเพื่อนที่มาด้วยกันว่ามันหลอกไอ้เบสและเขี่ยไอ้เบสได้สำเร็จ หนำซ้ำยังด่าด้วยว่ามันโง่มากที่เชื่อ

ไอ้เบสโกรธถึงขีดสุด หลังจากล้างขี้เสร็จก็เลยออกไปจัดการไอ้ดีน ซึ่งก็ทะเลาะกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ส่วนสาวตัวต้นเรื่อง  ก็ลอยตัวแถมตอนนี้ยังย้ายไปเรียนมหาวิทยาลัยที่เมืองนอก มีแฟนใหม่ไป อย่างลอยตัว

“ สงสัยจะมองเพราะกูหล่อ ” สัดเบสยกมือขึ้นเก็กหล่อตอนที่พูดคำนั้น ท่าทางที่ชวนให้ผมหันไปทางอื่น ไม่ต่างกับไอ้เจ้ยที่ถึงขั้นออกอาการสำลอกออกมา

“ ยังไม่เจียมตัวอีกไอ้ชิบหาย ” ได้แต่บอกแบบนั้นแล้วทำใจปลง ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันทะเลาะกันเรื่องปัญญาอ่อน และสำหรับผมคงไม่มีการทะเลาะครั้งไหนของมันสองคนที่จะปัญญาอ่อนเท่ากับวันนั้นที่ร้านน้ำปั่นหน้ามหาลัยอีกแล้ว กับแค่ใส่ชิ้นมะม่วงลงเครื่องปั่นไม่เท่ากัน มันเล่นทะเลาะกันใหญ่โต จนเจ้าของร้านต้องออกมาไล่ หนำซ้ำทุกวันนี้เค้ายังเขม่นผมทุกทีตอนที่ไปซื้อ “ เห้อออ ”

ถอนหายออกมาพร้อมกับส่ายหน้า ผมหันไปที่โต๊ะของคู่อริไอ้เบสอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าคนที่จ้องมองกันอยู่เมื่อครู่ ก็ยังคงมองมาทางผมอยู่อย่างงั้นแบบไม่วางตา ผมจ้องมันกลับ

“ มึงมองเหี้ยอะไรอยู่วะไอ้เมี่ยง ” เจ้ยมันถามก่อนจะเหลือบไปมองที่โต๊ะนั่น

“ มึงรู้จักไอ้สัดนั่นมั้ยเจ้ย คนที่มองกูอยู่ ”

“ แม่งก็มองเราทั้งโต๊ะ ” คนโดนถามหันมาบอกกันก่อนจะหลุดหัวเราะ

“ ไม่สิไอ้สัด คนที่หน้าแหลมๆ คิ้วเข้มๆ จมูกโด่งหน่อย ”

“ ไอ้คนที่ตาดุๆ ”

“ อื้ม ” ผมพยักหน้ารับ

“ ตัวสูงหน่อย แล้วก็ดูผอมที่สุดในนั้น แล้วท่าทางตอนนี้ของมันก็คือเหมือนจะลุกขึ้นมาต่อยมึงประดุจมึงคือคนที่ไปแย่งน้ำซุปเศษหมูนี่มาจากเพื่อนมัน ”

“ เออใช่  ไอ้สัดนั่น ”

“ ไอ้อาร์ม ” เจ้ยบอกยิ้มๆ “ แต่มึงไม่ต้องไปสนใจหรอกไอ้สัดนี่มันก็มองไปแบบนั้นแหละ ตามันก็แค่ดุเฉยๆ ”

“ ใครว่า ” ไอ้เบสหันไปบอกเพื่อนสนิทตัวเอง “ ไอ้สัดอาร์มแม่งเอาเรื่องอยู่นะ ”

“ เหรอวะ ”

“ เออ แล้วมึงไม่เห็นเหรอ ทุกครั้งที่เรามีเรื่องกับไอ้ดีน ไอ้สัดอาร์มคือไม่พูดอะไรเลย มันยืนมองอย่างเดียว แล้วมึงไม่คิดว่าท่าทางแบบนั้นมันเหมือนแค่รอบุกอย่างเดียว อารมณ์มึงต่อยกูก็ต่อยด้วย ” ท่าทางดูไม่ค่อยน่าเชื่อของไอ้เจ้ย มันขมวดคิ้วงง

“ คือถ้าเป็นแบบนั้นสมัยเรียนกูต้องได้ยินข่าวมันมากกว่ากว่ามั้ยวะ แบบไอ้ตัวจี๊ดไง ”

“ ตัวจี๊ดไหนวะ ” ผมถาม

“ คนที่นั่งตรงข้ามไอ้ดีน ตัวเล็กๆ ขาวๆ ที่นั่งกินข้าวสองจานไง มันชื่อไอ้จุ้น ” เบสบอก “ ไอ้เหี้ยนี่นะโคตรเปรี้ยวตีนกูบอกไว้ เอะอะใช้กำลัง กูพูดเหี้ยไรนิดนึง มึงเข้ามา มึงเข้ามา ยิ่งเข้าคู่กับไอ้โฮม คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามมันนะไอ้สัด แพ็คเก็ตเตี้ยแล้วไม่เจียมชิบหาย ”

“ มึงก็ไม่เจียมเหมือนกันไอ้เหี้ย เค้ามีตั้งกี่ตีน แต่มึงก็ยังขยันกวนตีนมัน ”

“ เจ้ยครับ คนเรามันก็ต้องชดใช้ในสิ่งที่ตัวเองทำ ถ้ามันไม่สร้างศัตรู กูขอถาม มันจะเกิดศัตรูมั้ย ” ร่างสูงพายมืออก “ ก็ไม่ ” 

“ ก็จริงอยู่ แต่เพื่อนเบสครับ การให้อภัย คือ ผลบุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ”

“ งั้นกูขอนับถือคริสต์แล้วกัน ”

“ ไอ้สัด ” เจ้ยสบถออกไปแค่นั้น ก่อนที่เราทั้งสามคนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งหลังจากไอ้เบสยกน้ำขึ้นกินเป็นอย่างสุดท้าย แล้วก็ดูเหมือนว่าก็เป็นจังหวะเดียวกันกับอีกกลุ่มที่ก็ลุกขึ้นเช่นกัน

“ มึงเตรียมตัวเลย ” ผมบอกในตอนที่เห็นคนอีกกลุ่มเดินเริ่งฝีเท้าตรงไปยังบันไดฝั่งข้างโรงอาหารที่พวกเรากำลังจะเดินไป แล้วหยุดยืนขวางอยู่ตรงหน้าบันไดตรงนั้น ดูจากรูปการณ์ ก็น่าจะด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่อยากจะเราได้เดินลงบันไดไป

“ ถอย กูจะไปเรียน ” เบสมันว่า แต่ตอนนั้นไอ้ดีนอริของมันก็ยกยิ้ม

“ แล้วไง ? ก็พวกกูจะยืน ” ว่าแบบนั้น ก่อนจะเชิดหน้าไปที่บันไดอีกฝั่ง “ แต่ถ้ามึงรีบมาก ก็ไปลงอีกฝั่งอีกฝั่งสิ กูมาถึงก่อนกูมีสิทธิ์ยืน กูจะยืนตรงไหนก็ได้ ”

“ ไม่ใช่แล้วมั้ง ” ไอ้เจ้ยว่าขัด “ มึงจะยืนตรงไหนก็ได้นั่นก็ถูก แต่มึงจะมายืนขวางทางลงบันไดไม่ได้เพรคนอื่นเค้าจะใช้ แล้วถ้าบอกว่ามาก่อนมีสิทธิ์ยืน กูว่ามันไม่ใช่แล้วมั้ง ตรงนี้มันพื้นที่สาธารณะ มันทางขึ้นลง ใครมาก่อนมาหลังไม่เกี่ยวกันหรอกสัด ”

“ ก็แล้วจะทำไม กูไม่หลบ ”

“ K ” ผมถึงขั้นต้องสบถออกมากับความรั้นที่จะเอาคืนตอนได้ยิน

“ กูเรียนตึกใหญ่ แล้วกูจะให้กูเดินไปลงบันไดหน้าตึกหนึ่งที่มันจะไกลจากตึกใหญ่ทำไมวะ ” เบสถามอีกคนที่ก็ยังคงยกไหล่ไม่สนใจ “ ถ้าคิดแบบนี้ ทีหลังมึงขับรถไปขวางรางรถไฟด้วยสิสัดดีน มาก่อนไม่ใช่เหรอ ”

“ เอาเป็นว่ากูพอใจที่จะยืนตรงนี้ ส่วนพวกมึงถ้ารีบ ก็ไปใช้ที่อื่นก่อน จบ ”

“ ปัญญาอ่อนชิบหาย ” ผมพูดกับตัวเองแบบเสียงไม่เบานัก แล้วนั่นทำให้คนที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากกันอย่างไอ้อาร์มคนของอีกกลุ่มที่มองกันอยู่เมื่อครู่หันมามอง “ มองทำไม มึงจะถามเหรอ ว่ากูพูดอะไร ” หันไปถามมันด้วยสีหน้าหาเรื่อง ก่อนจะหันไปมองเพื่อนมันอีกสามคนที่เหลือ เพราะตอนนี้พวกมันยืนกั้นทางลงบันไดของเราอยู่ “ กูถามจริงนะ คือพวกมึงจะมาเอาคืน เพราะแค่ยอมไม่ได้เรื่องน้ำซุปเศษหมูนี่น่ะเหรอ ” ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่ถาม ในตอนนั้นผมเองก็ทำได้แค่มองไปทางอื่นก่อนจะยิ้มแล้วบอก “ อย่าปัญญาอ่อนกันให้มาก ถอยเลยไอ้สัด กูจะไปเรียน ”

ผลักอกคนตัวเล็กผิวแทนที่อยู่ตรงหน้าจนตัวมันเซไปอีกทาง ผมเดินนำผ่านกลุ่มของคนขวางทางออกมา แม้ตอนนั้นจะได้ยินเสียงสถบของคนที่ผลักผมอย่างชัดเจน

“ ไอ้สัด ”

“ เออ ก็ไม่ต่างกันกับพวกมึงหรอก ” เบสมันหันไปบอกก่อนจะเดินเข้ามากอดคอผม ที่ก็มีไอ้เจ้ยเดินยิ้ตามหลังมาแบบติดๆ เราเดินเข้าตึกไปด้วยความเงียบเชียบ ก่อนจะมาหยุดรอลิฟต์ที่กำลังจะลงมาจากชั้นบน

“ ตามมาว่ะ ” ผมพูดขึ้นตอนที่เห็นคนกลุ่มที่ยืนขวาง กำลังเข้ามาใกล้ผ่านเงาสะท้อนของประตูลิฟต์ที่ยืนรอ

“ ส่วนบุญไม่พอเหรอวะ ” เบสหันไปถาม ตอนที่พวกไอ้ดีนเดินมาหยุดอยู่ที่ด้านหลังมันพอดี “ ตามกูจัง ”

“ ตามเหี้ยอะไร กูก็เรียนตึกนี้ ” ดีนมันพูดยิ้มๆแต่นั้นกลับทำให้ผมหัวเราะออกมา

“ ตอแหลไอ้สัด ” ผมว่า

“ มึงว่าใคร ”

“ มึงนั่นแหละ ” สวนกลับแบบไม่กลัว สายตาที่มองคนพวกนั้นผ่านเงาสะท้อนของตัวลิฟต์ ไม่มีการหลบหลีกแต่อย่างใด มันก็เหมือนที่ไอ้เจ้ยเคยบอกผมไว้ไม่มีผิด เรื่องพวกนี้ ถ้าเราอดใจหนึ่งครั้งที่จะไม่เอาคืน และปล่อยผ่านมันไป  มันท้าเลยว่าไม่เกินห้าครั้ง เราจะหลุดพ้นจากวังวนของการต่อสู้เรื่องปัญญาอ่อนเหมือนเด็กในโรงเรียนประถมนี้ทันที

แต่ก็นั่นแหละ  ใครแม่งจะไปทนได้ถึงห้าครั้งวะ

“ เราเรียนชั้นไหนวะ ” เจ้ยมันหันมาถามผมท่ามกลางความเงียบในตอนนั้น ผมที่หันไปมองด้วยท่าทางกระอักกระอ่วมแบบไม่อยากบอกเพราะไม่รู้ว่าจะเป็นช่องทางให้อีกฝ่ายได้แกล้งอะไรมั้ย แต่ในวินาทีถัดมาก็ตัดสินใจเอียงตัวแล้วกระซิบบอกไป แบบที่คิดว่าคงได้ยินกันแค่สองคน

“ เจ็ด ”

“ เจ็ด ” เสียงนึงที่ดังขึ้นมาจากด้านหลัง ผมหันไปเหลือบมอง ก่อนจะพบกับไอ้อาร์มที่ยกคิ้วให้อย่างกวนตีน “ ทำไม จะถามเหรอ ว่ากูพูดว่าอะไร ” ประโยคคุ้นเคยที่ผมเคยพูดหลุดออกมาจากปากอีกคน ผมยกยิ้มกับความกัดไม่ปล่อยของมัน แต่ก่อนจะพูดตอบโต้อะไรไปคนที่อยู่ข้างกันอย่างไอ้เจ้ยก็เอื้อมมือมาจับไหล่กันไว้ก่อน

“ ช่างมันเถอะ ” เจ้ยบอกผม ที่ก็ได้แต่พยักหน้ารับ ก่อนไอ้เบสจะดึงตัวเองเข้ามาใกล้ มันกระซิบ

“ เตรียมตัวไว้เลย ”

ประตูลิฟต์ถูกเปิดออกตรงหน้า ผมเดินเข้าไปด้านในสุด ตามด้วยไอ้เจ้ย ไอ้เบส แล้วก็ไอ้ดีนที่ทำทีเป็นกดรอเพื่อน ไอ้โฮมคนที่ผมเดินชนที่บันไดเดินเข้ามา ตามด้วยไอ้ดีนที่เดินเข้ามาทำให้เรารู้สึกว่ามันคงมีเรียนจริงๆ แต่นั่นก็ก่อนที่ทั้งมือของมันและไอ้โฮมจะใช้นิ้วลากปุ่มลิฟต์ทั้งแผงลงอย่างรวดเร็วแล้วก็เสือกเหลือชั้นเจ็ดเอาไว้ชั้นเดียว

“ ไอ้เชี้ย ” เบสสบถก่อนจะคว้ามือตัวการเอาไว้ด้วยความมือไว แต่เหมือนมันจะช้ากว่าคนที่ยืนอยู่ข้างนอกอย่างไอ้อาร์มที่ก็ยื่นตีนเข้ามาถีบไอ้สัดเบสแบบเต็มแรงจนมาล้มทับทั้งผมทั้งไอ้เจ้ยไว้ พร้อมกับดึงไอ้ดีนให้หลุดออกไปด้วย

ช่วงวินาทีสุดท้ายที่ผมเห็นประตูลิฟต์ปิดลงช้าๆ พร้อมกับเสียงหัวเราะชอบใจของไอ้สี่ตัวที่ทำตามแผนสำเร็จพร้อมกับเสียงของไอ้ดีนที่ตะโกนลอดเข้ามาอย่างมีความสุขเหมือนซ้ำเติมกัน

“ ขอให้มีความสุขกับการขึ้นลิฟต์นะจ้า ”

“ แม่งเอ้ย!! ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้สัด ” ผมตะโกนออกไป ในตอนนั้นสายตาที่สบเข้ากับไอ้ตัวการที่มันถีบไอ้เบสเข้ามาจนเราต้องมาจนมุมอยู่ในสภาพนี้ สัดอาร์มยกคิ้วพร้อมกับคิ้วหนาของมันที่ก็ยกทักทายด้วยท่าทาง

 “ K ” เบสมันลุกขึ้นมาด้วยความช่วยเหลือของไอ้เจ้ยที่ถีบมันออกไปด้วยความหนัก พร้อมทั้งพาตัวเองลุกขึ้นก่อนจะเอื้อมมือไปกดปุ่มชั้นเจ็ด “ อย่าให้กูเจอมันครั้งหน้านะไอ้สัด มึงโดนเล่นแน่ ”

“ กูว่าพอมั้ยวะ ” เจ้ยมันหันไปบอกอีกคน “ เอาจริง ทำไมมึงไม่คิดบ้างว่าถ้ามึงไม่ไปแกล้งมันก่อน ไม่ไปแย่งน้ำซุปกระดูกหมูก่อน แม่งก็ไม่มาเอาคืนหรอก ”

“ แล้วมึงคิดว่าคนอย่างสัดดีนมันหยุดเหรอ ” ไอ้เบสหันไปถามเพื่อนสนิทตัวเองก่อนจะถอนหายใจออกมา ซึ่งก็ไม่ต่างกับผมที่ก็พิงหลังลงกับตัวลิฟต์

“ เอาจริงๆรู้สึกเหี้ยชิบหายเลย คือพอคิดว่าเรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะแค่น้ำซุปกระดูกหมูร้านป้า กูนี่แบบ มีแต่คำว่าKอยู่ในหัว ”

“ แล้วไอ้ประตูลิตฟ์นี่แม่งก้เปิดทุกชั้นจริงเว้ย ” เจ้ยมันสบถเพราะต้องเอื้อมมือไปกดปิดลิฟต์เป้นครั้งที่สามแล้ว และแน่นอนว่าแม่งต้องกดปิดอยู่แบบนั้นจนกว่าเราจะขึ้นถึงชั้นที่เจ็ด

“ หรือครั้งนี้มึงเลิกเอาคืนมันสักครั้งได้มั้ยไอ้เบส เผื่อจะสงบสุข ”

“ กล้าพูดเนอะสัดเมี่ยง เมื่อกี้มึงยังเปรี้ยวตีนมันอยู่เลย ” หันมาบอกกันด้วยสายตาจริงจัง ก่อนจะผ่อนหลังลงกับตัวลิฟต์ “ กูว่าเราแม่งก็ทนกันไม่ได้สักคนนั่นแหละไอ้ห่า ”

“ แต่พูดก็พูดนะสัด ฉากที่ไอ้สัดอาร์มถีบไอ้เบสแล้วดึงไอ้ดีนออกไป แม่งโคตรพระเอกเลย ” เจ้ยหันมายิ้มกับผม “ มึงเห็นมั้ยเมี่ยง”

“ เห็น ” พยักหน้ารับก่อนจะยกยิ้ม “ แล้วกูก็เห้นด้วยตอนที่ประตูลิฟต์จะปิดไอ้สัดนั่นแม่ง ยกยิ้มให้กู ”

“ เหรอวะ ”

“ ตอนแรกกูก็เฉยๆหรอกกเรื่องทะเลาะปัญญาอ่อนของพวกมึง แต่ตอนนี้ไม่โอเคเลย กูรู้สึกว่า กูแม่งไม่ชอบไอ้เชี้ยนั่น คนที่ชื่ออาร์ม ”

“ ดีมากเพื่อนเมี่ยง” มือหนาของไอ้เบสเอื้อมมือมาจับไหล่ผม สายตาจริงจังนั้นจ้องมา “ กูภูมิใจในตัวมึง ”

“ K ” ตอบรับไปแค่นั้นก่อนจะปัดมือนั้นออกจะไหล่ “ หาเรื่องให้กูไม่เว้นวันยังมาพูด ”

“ สีสันชีวิ๊ตตตตตตตต ” เสียงลากยาวที่แสนน่ารำคาญนั้น ผมหันไปมองทางอื่นอย่างไม่รู้จะทำยังไง  “ ว่าแต่พวกมึงไม่รู้เหรอวะ ไอ้อาร์มกับไอ้ดีนแม่ง ผัวเมียกันนะ ”

“ ผัวเมียเหี้ยอะไร ไอ้สองคนนั่นมันเป็นแฟนกันตั้งแต่ตอนไหน ” เจ้ยหันไปถามด้วยสายตาไม่เชื่อ “ มึงไปเอามาจากไหน ล่าสุดกูยังเห็นไอ้อาร์มเดินควงอยู่กับสาวนิเทศอยู่เลย อย่างสวยอะ  ”

“ มันก็ควงปิดข่าวเท่านั้นแหละสัดเชื่อกู เพื่อนที่ไหนเค้าชมกันว่าน่ารักวะถามหน่อย มันก็มีแค่พวกเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อทั้งนั้น ”

“ กูไม่เชื่ออะ ”

“ มึงหาว่ากูตอแหลเหรอสัดเจ้ย ” เบสถามด้วยท่าทางจริงจังก่อนจะหันไปกดประตูลิฟต์ให้ปิดอีกครั้ง

“ ก็มันเป็นไปไม่ได้อะไอ้สัด ดีนมันก็ชอบผู้หญิง อาทิตย์ก่อนมันยังควงกันอยู่เลย แล้วกูเห็นมันนัวเนียกันจะตายห่า มีหอมกงหอมแก้ม แถมไอ้สัดอาร์มก็ไม่น้อยหน้าเด็กนิเทศคนนั้นกูก็เห็นนั่งคุยกับมันบ่อยๆ มึงเถอะไปเอามาจากไหน ”

“ ก็กูเห็น วันก่อนที่กูไปผับไง ”

“ อาทิตย์ก่อนอะนะ ” ผมเสริมอีกคนที่ก็ยกคิ้วเป็นคนตอบ

“ กูบังเอิญเจอพวกมันพอดี แม่งเต้นกันอยู่ในผับ ไอ้สัดดีนคือเต้นท่าเหี้ยไรไม่รู้อยู่ตรงหน้าไอ้อาร์ม ส่วนไอ้เชี้ยนั่นก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แล้วก็เห็นมันพูดว่า มึงม่งน่ารักว่ะ เนี้ย แล้วมึงจะให้กูคิดยังไง เพื่อนที่ไหนชมกันว่าน่ารัก ไม่มีปะ พวกเรายังไม่ทำเลย ”

“ แต่ถ้ามึงน่ารักกูชมนะ ” เจ้ยบอกเบสก่อนจะเชิดหน้ามาทางผม “ อย่างไอ้เมี่ยงกูก็ชมอยู่บ่อยๆ กู ก็แม่งน่ารัก แล้วมึงจะให้กูพูดว่าอะไร อย่างตอนมึงชูสองนิ้วถ่ายรูปวันก่อน กูยังบอกเลย มึงน่ารักว่ะเบส มึงจำไม่ได้เหรอ ”

“ บ้า ” เบสผงะหลังพลางยกมือขึ้นจับอกด้วยสีหน้าตกใจแบบจอมปลอม “ แล้วมึงเพิ่งมาบอกอะไรตอนนี้วะเจ้ย มึงแม่งมีมิ้งแล้วอะ  ”

“ K ” ถึงขั้นต้องด่าออกไปเสียงดัง เราที่หลุดหัวเราะออกมา มันขำจนคนฟังต้องยกเท้าคนถีบคนพูด “ หน้าเหี้ยจริง ไอ้สัดนี่ ”

“ แต่กูว่าสายตาที่มันมองกันมีพิรุธอยู่นะ พวกมึงไม่รู้สึกเหรอ ”

“ คือมึงมองไปถึงสายตา ถามจริงนะสักเบส ผับมืดขนาดนั้นมึงมองว่ามันใส่เสื้อสีอะไรให้ออกก่อนมั้ย ”

“ นี่ก็ขัดจัง ”

“ ก็มันเป็นไปไม่ได้อะ ” เจ้ยว่าพลางถอนหายใจ “ คือกูไม่ได้หมายความว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่พวกมันทั้งคู่จะชอบผู้ชายด้วยกันเอง แต่คือมึงเข้าใจมั้ยว่าพวกมันสองคนคือไม่ได้อะ มันไม่ได้ให้ความรู้สึกนั้น มองไปก็คือเพื่อนปกติ ”

“ แล้วทำไมมึงถึงรู้สึกอย่างงั้น ”

“ ก็เซ็นส์กูมันบอก ”

“ K พูดมาตั้งนาน มึงสรุปว่าไม่ใช่เพราะแค่เซ็นส์เหรอวะ ”

“ แต่คนเราไปตัดสินว่าใครจะเป็นยังไงจากสิ่งที่เราเห็น หรือสิ่งที่เรารู้สึกว่าไม่ได้นะมึง ” ผมท้วง “ อย่างเรื่องชมเพื่อนว่าน่ารัก คือบางคนเค้าทำแบบไม่คิดอะไร ก็พูดไปตามที่เห็น อย่างที่สัดเจ้ยมันชอบพูด คือพวกมึงเอามาตัดสินไม่ได้หรอก ว่าแม่งเป็น หรือไม่เป็นอะไรกัน กับเรื่องแค่นั้น ”

“ รุมสัด ถามจริงนี่พวกมึงเพื่อนกูหรือเพื่อนไอ้ดีน ” เบสหันมาถามในตอนที่ลิฟต์มาจอดที่ชั้นเจ็ดพอดี เราเดินออกไปพร้อมกับที่ไอ้เจ้ยหันไปตอบคำถามอีกคน

“ เป็นเพื่อนมึง แต่บางทีที่มึงเหี้ยมากๆ ก็รู้สึกอยากเป็นเพื่อนไอ้ดีนเหมือนกัน ”

“ เจ็บสัด ” มือที่ยกขึ้นจับอกของไอ้เบส มันเม้มปากพลางทำหน้างอ “ แต่ยังไงก็แล้วแต่ กูขอบอกไว้เลยนะ และกูขอพวกมึงแค่อย่างเดียว อย่าเอาพวกไอ้ดีนมาทำเมีย อยากไปญาติดีกับพวกมัน ถือว่าพี่เบสขอร้อง ”

“ เผื่อมึงลืมไอ้สัดดีนมีเพื่อนเป็นผู้ชายหมด ” ผมท้วง

“ แล้วความรักมันมีแค่ชายหญิงเหรอครับเพื่อนเมี่ยง ก็ไม่เปล่ามั้ยละ ” มันหันมาเถียงผมที่ก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมาพร้อมกับไอ้เจ้ย ก่อนจะพูดออกมาพร้อมกันในตอนเดินเข้าห้องเรียน

“ ปัญญาอ่อนชิบหายไอ้สัดเบส ”

...............................................
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 1 :: up! 29-11-62} #หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 29-11-2019 20:47:05

 คราสเรียนในช่วงเย็นของวันจบลงไปด้วยความน่าเบื่ออย่างทุกที ผมมองเอกสารที่อยู่ตรงหน้าสลับกับหน้าจอที่ไม่มีความแตกต่างอะไรกันมากนัก หนำซ้ำยังเหมือนกับแค่การอ่านหนังสือให้ฟังและไม่ได้เรียกว่าการสอนสักเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างงั้นหน้ากระดาษของผมก็ยังเต็มไปด้วยปากกาเน้นข้อความสีส้มตรงเนื้อหาสาระสำคัญที่คิดว่าน่าจะออกสอบ

ผมเก็บเอกสารเรียนม้วนให้กลมเหมือนอย่างทุกที ปากกาเสียบลงในกระเป๋าเสื้อ แล้วลุกขึ้นเต็มความสูงด้วยความรู้สึกลิงโลดมากกว่าทุกครั้ง

“ วันนี้กูขอกลับบ้านก่อนนะ แล้วเจอกัน ” หันบอกอีกสองคนที่ยังคงอยู่ในอาการที่เรียกว่าง่วงงุน ไอ้เจ้ยฟุบอยู่กับโต๊ะอย่างอ่อนแรงที่ดึงหนังตาขึ้นสู้เอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงไร้เรี่ยวแรงแบบไม่เงยหน้าขึ้นมองกัน
 
“ ทำไมกลับเร็วจังวะมึง ไปหาไรกินกันก่อนสิสัด ”

“ ไว้คราวหน้า วันนี้กูมีนัด ”

“ สาวที่ไหน ”

“ หนุ่มตังหาก ” ผมตอบกลับอีกคนก็ขมวดคิ้ว “ แต่เดี๋ยวไว้เล่า ”

“ งั้นตามสบาย ”

“ เจอกันมึง ” เคาะหัวพวกมันคนละทีด้วยเอกสารที่ถือ ก่อนจะเดินตัวปลิวออกจากห้องเรียนไปด้วยรอยยิ้ม

ผมตรงไปที่ลานจอดรถของมหาลัย รถญี่ปุ่นสีขาวส่งกลิ่นหอมมะลิอ่อนๆจากตัวปรับอากาศ ผมคาดเข็มขัดนิรภัยก่อนจะสตาร์ทรถแล้วขับรถออกไปทั้งๆที่หัวใจมันบินไปถึงที่หมายเสียก่อนแล้ว

เมื่อสองวันก่อนผมเพิ่งย้ายเข้าไปอยู่ในคอนโดใหม่ มันเป็นคอนโดที่ออกแบบมาเพื่อคนเลี้ยงสัตว์โดยเฉพาะ สืบเนื่องที่ผมมีแพลนจะเลี้ยงแมวสักตัวไว้ในบ้าน แต่ก็ลังเลอยู่นานอย่างไม่รู้จะเลี้ยงแมวพันธุ์อะไรดี เพราะในความรู้สึกมันก็น่ารักไปหมด จนเมื่อสามวันก่อน แฟนของพี่สาวที่ทำงานเป็นสัตวแพทย์ก็โทรเข้ามา

‘ ที่โรงพยาบาลของพี่มีแมวที่เค้าเอามารักษาแต่ไม่ยอมมารับกลับ ผ่านไปสามเดือนแล้ว ติดต่อไม่ได้เลย พี่คิดว่าเค้าคงไม่มารับแล้วละ เมี่ยงสนใจมารับไปอยู่ด้วยมั้ย ’

รูปภาพถูกส่งเข้ามาทางโปรแกรมแชทระหว่างบทสนทนานั้น มันเป็นภาพเจ้าแมวตัวสีเงินที่มีลายสีดำเข้มพาดอยู่ทั่วตัวอย่างชัดเจน แววตาสีเหลืองอ่อนจ้องมองมาที่กล้องถ่ายรูปอย่างสงสัย มันเอียงหน้าน้อยๆอย่างน่ารัก เป็นวินาทีเดียวที่ผมตัดสินใจอย่างง่ายดาย และไม่ต้องคิดทบทวนอะไรให้มาก

‘ สนใจครับ ผมจะรับมันมาเลี้ยงเอง ’ 

รถจอดลงตรงลานจอดหน้าโรงพยาบาลสัตว์ใจกลางเมือง ผมเดินขึ้นไปด้านบนเพื่อหาแฟนพี่สาวด้วยใจระทึก ตั้งแต่ตัดสินใจว่าจะรับเลี้ยงก็มัวแต่ยุ่งอยู่กับการเตรียมข้าวข้องเข้าห้องเพื่อต้อนรับเจ้าตัวเล็ก ไหนจะตัวเองที่ต้องย้ายที่อยู่เพราะหอพักเดิมไม่อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ ก็เลยต้องปล่อยให้แฟนของพี่เป็นคนจัดการทุกอย่างเกียวกับเจ้าแมว โดยเฉพาะเรื่องการฉีดวัคซีนต่างๆ

“ มาหาพี่หมอไอซ์ครับ ” เอ่ยปากบอกพี่พนักงานที่อยู่ด้านล่างของตัวตึก ก่อนเธอจะพายมือไปทางลิฟต์ด้วยรอยยิ้ม

“ ชั้นสอง อยู่ที่ห้องตรวจค่ะ ”

“ ขอบคุณมากครับ ” ก้มหน้าลงก่อนจะเดินตรงไปตามที่เธอบอก ผมเคาะประตูหลังจากอ่านป้ายชื่อว่าเป็นคุณว่าที่พี่เขยถูกต้องแน่นอน “ พี่ไอซ์ ”

“ กำลังรออยู่พอดีเลย ” เค้าว่าแบบนั้นก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ร่างหนาที่ดูสมส่วน พี่ไอซ์เป็นผู้ชายหุ่นสมส่วน ท่าทางสุขุมที่ก็มักยิ้มใจดีให้กับเจ้าสัตว์ตัวเล็กๆ เป็นผู้ชายเฟอร์เฟ็คที่ผมค่อนข้างเสียดายอยู่ไม่น้อยที่เค้าตัดสินใจมาเลือกพี่สาวจอมขี้บ่นของผม เป็นความรู้สึกที่ว่า ก็น่าจะได้คนที่ดีกว่านี้น้า ไม่น่าเลย

“ แมวผม มันเป็นยังไงบ้างครับ ”

“ แข็งแรงดีนะ พี่ตรวจเบื้องต้นให้ทุกอย่างแล้ว วัคซีนก็ฉีดเรียบร้อย ทางเราละ เตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้วใช่มั้ย ”

“ แน่นอน ครบตามที่พี่หมอสั่งเลย อาหาร เตียง ของเล่น ห้องน้ำแมวแบบอย่างดีเลยนะ แม่ขอผ่อนแม่เลยด้วยเครื่องตั้งหลายตังค์ ”

“ โอเค ” คนตรงหน้ายิ้มตอบรับก่อนจะเดินนำไปยังห้องกระจกกว้างที่มีพวกเจ้าสัตว์ตัวเล็กมารอรับการรักษากับทางโรงพยาบาลถูกขังไว้ในกรงแยกส่วนอย่างดี  แต่พี่ไอซ์กลับเดินนำผมเข้าไปในกรงที่อยู่ในสุด  เค้าเอื้อมมือไปเปิดประตูกรงก่อนจะนำเจ้าสมาชิกใหม่ของบ้านผมออกมาให้ชมกันแบบชัดๆ

“ เฮ้ย ตัวจริงหล่อว่ะ ” ผมพูดออกมาตอนที่เจอตัวจริงของเจ้าแมวที่ก็เห็นแค่ในรูปมาตลอดเป็นครั้งแรก ช่างเป็นช่วงเวลาที่อดใจไว้ไม่ได้เลย แม้แต่จะอยู่ให้นิ่ง ผมเอื้อมมือไปลูบขนสวยของมันที่ก็นุ่มเสียจนต้องดึงเข้ามากอด “ ขอกอดหน่อยนะครับสุดหล่อ ”

“ ชอบมั้ย ”

“ ชอบซี ” ยิ้มกว้างออกไปให้คุณหมอตรงหน้า ที่ก็เอื้อมมือมาขยี้หัวกัน คนเป็นพี่ก็ยกคิ้วขึ้นตอบรับพร้อมกับรอยยิ้มใจดีเหมือนอย่างเคย

“ งั้นก็เอาใส่กรงก่อน แล้วจะได้พากลับคอนโดไปกอดให้หนำใจ ” เขาว่าก่อนจะเดินไปหยิบกรงแมวที่ก็เตรียมไว้ให้กัน เจ้าขนนุ่มถูกย้ายเข้าไปอยู่ในกรงด้วยฝีมือผู้เชี่ยวชาญ แต่ผมก็ยังไม่เลิกเห่อและก็ยังอดใจไว้ไม่ได้ จนต้องแหย่นิ้วเข้าไปตรงซี่กรงแล้วเกลี่ยคอมันเบาๆให้อีกฝ่ายเคยชิน  “ เรียบร้อยครับ ”

“ ขอบคุณมากนะครับพี่ไอซ์ที่จัดการทุกอย่างให้เมี่ยงเลย แล้วค่าเสียหายละครับ ค่ายา เมี่ยงต้องยาที่ไหน ”

“ ไม่เป็นไร ” เค้าส่ายหน้าไปมา “ ถือว่าเป็นของขวัญต้อนรับสมาชิกใหม่ของครอบครัวเรา แล้วก็เป็นการแสดงความขอบคุณ  ที่เรายอมรับเจ้าแมวตัวนี้ไปเลี้ยงให้ เพราะไม่อย่างงั้นมันก็คงตรงไปอยู่ที่ไหนสักที่ แบบที่พี่จะไม่รู้เลยว่าเค้าจะดูแลมันยังไง ครั้นจะให้เลี้ยงไว้ที่นี่ทางเจ้าของโรงพยาบาลก้คิดว่ามันไม่ใช่เรื่อง ”

“ ก็ไม่ใช่สถานที่รับเลี้ยงแมวสักหน่อย ” ผมเสริม อีกคนก็ถอนหายใจพร้อมกับพยักหน้ารับ “ เมี่ยงต้องขอบคุณมากกว่า ที่ให้แมวน่ารักๆกับเมี่ยง นี่ยังสงสัยเลยว่าน่ารักขนาดนี้ ทิ้งลงได้ยังไง ”

 “ คนเรามันซับซ้อนแล้วก็มีหลายเหตุผล แต่ก็นั่นแหละไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร สุดท้ายแล้วมันก็คือ คนไร้ความรับผิดชอบอยู่ดี ” อาจจะเป็นคำที่แรงที่สุดตั้งแต่เคยได้ยินคนตรงหน้าพูดออกมา ผมก้มหน้าลงยิ้มๆ อย่างไม่รู้จะตอบอะไร “ เออเมี่ยง พี่มีงานนิดหน่อย ขอไม่ลงไปส่งด้านล่างนะ ”

“ ไม่ต้องหรอกน่า ” ผมบอกปัด “ แค่นี้เอง เมี่ยงลงไปเองได้ ”

“ งั้นเดี๋ยวพี่ไปส่งเราที่ลิฟต์ ” เค้าว่าก่อนจะเดินนำผมไป พี่ไอซ์กดปุ่มลิฟต์ให้แล้วในตอนที่เรากำลังยืนรอ เค้าก็หันมาถาม “ แล้วเรื่องที่ไปถามพี่พลูตกลงตัดสินใจได้ยัง ว่าจะให้แมวชื่อว่าอะไร ”

“ ได้แล้ว ” ผมดึงกรงที่ถืออยู่ขึ้นมาแล้วในตอนที่มองเข้าไปในนั้น ผมยิ้มก่อนจะหันไปบอกอีกคน “ ชื่อนายท่าน ”


...........................................................


เดินทางกลับมาถึงคอนโดตอนเกือบจะหกโมงเย็น วันนี้มีตั้งใจอย่างแรงกล้ามากว่าจะแค่สั่งอาหารมากิน เพราะอยากจะใช้เวลาอยู่กับเจ้านายท่านให้เต็มที่ เพราะผมอ่านมาในข้อมูลเบื้องต้นของการเลี้ยงแมว การได้แมวตัวใหม่มา วันแรกๆ น้องอาจจะยังไม่คุ้นชินกับบ้านที่อยู่ เราเลยต้องให้เวลาเจ้าแมวในการปรับตัว เรพาะฉะนั้นผมจึงคิดมาอย่างรอบคอบแล้วว่าตัวเองควรอยู่ติดบ้านให้ได้มากที่สุดในช่วงนี้ เพื่อทำความคุ้นเคยกับแมวด้วยเช่นกัน

แต่ในวงเล็บที่ว่า ถ้ามันอยากจะทำความคุ้นชินด้วยละก็นะ

“ โอเค ถึงบ้านเราแล้วครับนายท่าน ” ช่างเป็นชื่อที่โคตรเหมาะ รู้สึกภูมิใจในตัวเองยังไงก็ไม่รู้ในตอนที่ไขประตูเข้าไปในห้อง ผมวางกรงแมวไว้ตรงกลางห้องเป็นอันดับแรก ก่อนจะนั่งย่อตัวลงแล้วเปิดประตูกรงก่อนจะรอมันอยู่แบบนั้นสักพักเพื่อให้สมาชิกใหม่เดินออกมา

ท่าทางต้วมเตี้ยมเดินอย่างละแวดระวังและสนใจไปกับทุกสิ่งอย่างที่เป็นของใหม่รอบตัว นายท่านดมทุกอย่างที่สงสัยก่อนจะไปนั่งนิ่งอยู่ตรงข้างโซฟา  ห้องของผมเป็นแบบที่มีส่วนกลางแยกออกจากห้องนอน ซึ่งส่วนกลางนี้มีพื้นที่ตั้งโซฟา ทีวี แล้วก็ส่วนของครัวรวมถึงห้องน้ำเล็กๆของแขก และที่ผมเลือกห้องนี้เพราะมันเหมาะมากที่สุดกับการเลี้ยงแมว

เจ้าของคอนโดบอกกันว่า มันมีระเบียงสำหรับให้แมวออกไปได้แถมยังปิดมิดชิดกันการกระโดดไปเที่ยวห้องข้างๆ แล้วตกลงไป ต่อให้ลืมปิดระเบียงคอนโดก็ไม่ต้องกังวลว่าแมวจะหาย อีกอย่างเค้ายังได้มีบริเวนชมนกชมไม้ ไม่เครียดอีกด้วย  แถมส่วนกลางก็กว้างพอจะให้ตั้งคอนโดอันเบ่อเริ้มที่เจ๊พลูซื้อให้รับขวัญเจ้านายท่านด้วย

“ นายท่าน ” ผมเรียกอีกคนพร้อมกับดึงตัวเองลงนอนคว่ำราบบนพื้น เอื้อมมือไปจับขาที่ถูกดึงหลบแต่ถึงอย่างงั้นผมก็ยังยิ้มออกมากับความน่าเอ็นดูที่ไม่อยากจะใครแตะต้องนั้น “ นี่นายท่าน ต่อไปนี้เรามาอยู่ด้วยกันสองคนนะ อยู่ด้วยกันที่นี่ โอเค๊ ”

ไม่รู้เข้าใจมั้ย แต่ผมก็พูดออกไปก่อนจะดึงตัวเองขึ้นนั่งขัดสมาธิอยู่สักพัก แล้วถึงจะลุกขึ้นเต็มความสูงพร้อมกับขยี้หัวเจ้าแมวตัวกลม ออกเดินตรงไปที่ประตูระเบียงก่อนจะเปิด ลานเล็กๆมีไว้สำหรับดูวิวของน้องแมว ประดับซีกองพร้อมด้วยขั้นบันไดให้ไต่ดูวิว แถมยังมีหญ้าต้นเล็กๆสำหรับแมว

“ นายท่าน ออกมาข้างนอกเปล่า” ผมหันไปพูดกับอีกตัว ก่อนจะมองไปห้องข้างๆ ที่ก็มีระเบียงเหมือนกันกับของผมอย่างให้ความสนใจ แล้วในตอนนั้นก็สะดุดตาเข้าพอดี กับเจ้าก้อนขนสีขาวที่นั่งจุ้มปุ๊กอยู่ตรงนั้น “ ห้องข้างๆ เลี้ยงแมวเหรอวะ ” พูดกับตัวเองแบบนั้นก่อนจะเปิดไฟระเบียงแล้วย่อตัวนั่งเพื่อมองไปอีกฝั่งให้ชัด  “ เมี๊ยว เมี๊ยว ”

“ เมี๊ยว ” เสียงตอบรับกลับมาชวนให้ผมยิ้มกว้าง แล้วนั่นก็เป็นวินาทีเดียวกันพอดีที่นายท่านเดินออกมาหยุดที่ข้างตัวผม มันนั่งลง

“ นายท่าน เพื่อนละ ”

“ เมี๊ยว เมี๊ยว ” อีกฝ่ายส่งเสียงร้องเหมือนจะเอ่ยทักสุดหล่อของผม แต่ทางนี้เหมือนว่าจะเอาแต่เงียบขรึมอย่างไม่ให้ความสนใจอะไร นายท่านนั่งมันจ้องมองอีกฝ่ายนิ่งๆคีพความเป็นหนุ่มสุดคลู ซึ่งต่างจากอีกฝ่ายที่ยังคงเอ่ยเรียกมันไม่มีหยุด “ เมี๊ยว เมี๊ยว เมี๊ยว ”

“ ส่งเสียงทักทายน้องเค้าหน่อยสิมึง ” ผมว่า “ เปอร์เซียซะด้วยนะ เมี๊ยวเมียวสักสองสามทีเร็ว ” สายตากลมมันหันมามองกันตอนที่ผมพูด ช่างเป็นสีหน้าที่แปลออกได้ว่า ‘ มึงทำอะไรเหรอเมี่ยง ไร้สาระว่ะ ’  “  ทำไมต้องมองแรงขนาดนั้น คนเราต้องมีมนุษย์สัมพันธ์ และถึงมึงจะเป็นแมว มึงก็ต้องมี สัตว์สัมพันธ์นะเข้าใจเปล่า ”

ก็ยังเงียบ นายท่านเอาแต่มองแมวตัวนั้น มันขยับเข้าไปใกล้ระเบียงเหมือนกับว่าอยากจะเห็นอีกฝ่ายชัดขึ้น

“ นี่ มึงอย่าทำเหม่อลอย ฟังกูอยู่ปะเนี้ยนายท่าน ” ผมมองอีกตัว “ งั้นกูตอบให้ก็ได้ เมี๊ยว เมี๊ยว เมี๊ยว น่ารักจังเลยครับผม เอียงหน้าด้วย งงอะไรเหรอจ้ะ เปอร์เซียสีขาวซะด้วย โคตรสวยเลย งื้ออออออออออ เมี๊ยวๆน้า เมี๊ยวๆ ”

“ เมี๊ยว ” อีกฝ่ายเอียงหน้าร้องตอบกลับมา

“ น่าร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ” หันไปบอกอีกคนที่ก็ยังคงนั่งหน้านิ่งมองไม่สนใจคำพูดของผม ต่างฝ่ายที่ต่างจ้องกัน แล้วก็เหมือนจะมีเพียงแค่ฝั่งนั้นที่ร้องเรียกหา ส่วนทางเราที่ก็ไม่เมี๊ยวตอบกลับไปสักคำเดียว

“ แก้มหอมขา หนูคุยกับคุยกับใครอยู่คะลูก เข้าบ้านมาได้แล้วน้า มากินข้าวกันดีกว่านะ ”

ผมถึงกับนิ่งไปตอนที่ได้ยินประโยคนั้น และเมื่อสมองประมวลผลได้ว่านั่นคือเสียงของผู้ชาย ก็เหมือนกับว่ามีแต่คำว่าอีเหี้ย ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดในหัวของผม

รอยยิ้มเกร็งๆที่พยายามเหล่มองเข้าไปด้านในของบ้านตรงข้ามอย่างกล้าๆกลัวๆ ก็แค่อยากเห็นว่าคนที่พูดประโยคสุดแสนน่ารักแบบนั้น จะเป็นคนหน้าตาแบบไหน

แต่ทว่าเค้าก็ไม่ปล่อยให้ผมต้องรอนานนัก ผู้ชายคนนั้นเปิดไฟตรงส่วนระเบียงของห้อง ก่อนจะก้าวเท้าเดินออกมา ในตอนนั้นสายตาของเราสบมองกัน

แล้วนั่นก็ทำให้ผมเห็นใบหน้าของมันชัดๆ

“ ไอ้สัดอาร์ม ”

“ มึง..” อีกฝ่ายที่คงช็อคไม่ต่างกัน มันเอ่ยเรียกผมสั้นๆแค่นั้น ด้วยท่าทางที่ผงะไปเล็กน้อย เป็นสีหน้าที่ดูไม่คุ้น เพราะกวนตีนเหมือนอย่างเมื่อเที่ยงวัน แต่กลับซีดลงฉับพลัน แล้วในตอนนั้นสมองคิดชั่วของผมก็สั่งให้ยกยิ้ม พร้อมกับแววตาเจ้าเล่ห์ที่มองไป

“ แหมมมมมม ก็คิดว่าใคร แต่ไม่คิดเลยนะเนี้ย ว่าจะแบ๊วน่ารักได้ถึงขนาดนี้ มีความค่ะขากับน้องแมวด้วยอ่า ” ว่าไปแบบนั้นก่อนจะทำทีเป็นลูบคางอย่างครุ่นคิด วันนี้มึงยกยิ้มให้กู ตอนนี้ก็เป็นคราวกูแล้วไอ้สัดที่จะยกยิ้มให้มึงบ้าง “ อยากเอาไปเล่าให้ไอ้เบสฟังจังเลยน้า ว่าข้างห้องกูมีผู้ชายหน้าคุ้นๆที่คล้ายกับเพื่อนไอ้ดีนอยู่ด้วย อริคนที่เรียนออกแบบกราฟฟิคอินเตอร์ พูดกับแมวว่าค่ะขาด้วยเสียงสองที่โคตรน่ารักแบบนั้น มันต้องไม่เชื่อในสิ่งที่ฟังแน่ๆเลย  หรือว่าน้า กูจะพาเบสกับเจ้ยมาดี แต่ว่าตอนนั้นมันจะเป็นยังไงก็ไม่รู้เนอะ ฮ่าๆ คิดไม่ออกเลยอ่า ”

เสียงหัวเราะของผมที่ดังก้องออกไป แต่เหมือนอีกฝ่ายจะแค่นิ่งไปสักพักเท่านั้น ก่อนแววตาจะตกใจจะค่อยๆแปรเปลี่ยน ไอ้สัดอาร์มจ้องมาทางผมพร้อมกับยิ้มน้อยๆตรงมุมปาก สายตาที่จ้องมองกันแบบไม่พระพริบนั้น มันพูดเพียงแค่คำสั้นๆ อย่างไม่สะทกสะท้านอะไร จนกลายเป็นผมเองที่รู้สึกขนลุกขึ้นมาฉับพลันอย่างบอกอาการไม่ถูก

“ ก็เอาสิ ”

ในเสี้ยววินาทีนึงนั้น สาบานเลยว่า ผมคิดว่าผมไม่ควรพูดเหี้ยอะไรแบบนั้นออกไปเลย

.............................................................


นิยายเรื่องใหม่ตอนที่  1 พรุ่งนี้จะมาลงตอนที่ 2 และ 3 ในวันอาทิตย์นะคะ
ฝากแท็ก #ด้วยรักและปลาทู ด้วยนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์จ้า
 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 1 :: up! 29-11-62} #หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 29-11-2019 23:05:22
เจ้าของไม่ถูกกัน แล้วถ้าแมวรักกัน คงมันส์น่าดู  o18
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 1 :: up! 29-11-62} #หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 30-11-2019 03:55:30
เรื่องชาวแมวชอบมากกกกก ติดตามมม เหมือนเคยอ่านน้องปลาทูมาก่อนนนน
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 2 :: up! 30-11-62} #หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 30-11-2019 20:24:21

ตอนที่ 2


คำตอบรับสั้นๆ ของแววตาที่มองมา กลับกลายเป็นว่าตัวผมเองที่แข็งทื่อไป ความรู้สึกเหนือกว่าที่คิดไว้ตั้งแต่ต้นหายวับไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่กนอ ทั้งๆที่ถ้าพูดตามจริงยังไงคนที่กุมความลับมันก็ต้องเหนือกว่า แต่ทำไมแค่มองแววตาของไอ้เหี้ยนั่น ผมกลับรู้สึกได้ทันทีเลยว่า ‘ ทางที่ดีมึงอย่าไปยุ่งกับมัน น่าจะดีกว่า ’

 “ เข้าบ้านเรากันนายท่าน ” ผมอุ้มเจ้าแมวตัวลายขึ้นแนบอกก่อนจะยักคิ้วใส่อีกคนที่มองมาด้วยการแสดงตบตาที่จะเสียหน้าไม่ได้ ท่ามกลางเสียงร้องเมี๊ยวๆของแมวฝั่งตรงข้ามที่ก็ยังคงร้องเรียกอยู่อย่างงั้น จนเจ้าของต้องเบสายตาหันไปมองด้วยความสนใจ และผมก็ใช้จังหวะนั้นหันหลังกลับเข้าห้องก่อนจะปิดล็อคประตูทันที

“ ไม่เอาไม่ร้องค่ะแก้มหอม เข้าบ้านเรากันนะ ป๊าทำอาหารให้หนูเสร็จแล้ว อาหารอร่อยๆที่หนูชอบไงครับ ” เสียงที่ได้ยินจากอีกฝากหนึ่งของห้องก่อนเสียงปิดประตูจะดังขึ้น ชวนให้ผมที่ฟังอยู่ถึงกับยู่หน้า แล้วเหลือบซ้ายเหลือขวาอย่างไม่รู้จะรู้สึกอย่างไร แม้แต่นายท่านเองยังกระโดดออกจากอ้อมกอดของผมที่ซึ่งผมเองก็คิดว่า มันคงทนฟังอะไรแบบนั้นไม่ได้เช่นกัน

“ พูดเหี้ยอะไรก็ไม่รู้ขนลุกเนอะนายท่าน ” เจ้าตัวที่เลียขนอยู่ไม่ได้สนใจใยดีกับท่าทีของผม “ สนใจกูหน่อยก็ได้มั้งมึง พูดด้วยเนี้ย เมี๊ยวสักทีให้ชื่นใจก็ยังไงดีไง อะ ตาขวางใส่กูอีก ”

แววตาสีเหลืองที่เงยหน้ามองกัน อาการที่แสดงออกถึงท่าทีหาเรื่อง ไม่ก็ติเตียนในสิ่งที่เจ้าตัวได้ยิน  ผมว่าถ้ามีเครื่องแปลภาษาแมว คงได้ยินคำว่า ‘ แมวของคุณพูดว่า หยุดพูดมากสักทีค่ะ ’

“ หิวยัง ” ถามไปแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ  ผมเดินตรงไปเปิดตู้ใต้เค้าท์เตอร์ครัวหลังจากที่ยืนนิ่งมองแมวตัวเองเลียขนอยู่อย่างไม่ใยดีกันสักพัก ถุงอาหารอย่างดีถูกหยิบออกมาจากในนั้น ก่อนจะวางมันลงบนเค้าท์เตอร์ ผมเทมันลงไปในถ้วยใบใสที่ซื้อมาก่อนจะคลุกเคล้ากับอาหารแมวแบบเปียก ก่อนจะเดินไปย่อตัวลงใกล้ๆเจ้าตัวเย่อหยิ่งที่ยังคงทำหน้านิ่งมองกัน

“ นายท่าน ” ผมยื่นถ้วยข้าวไปให้มันที่ก็ขยับจมูกดมอยู่หน่อยๆ อย่างไว้เชิง หน้าตาที่ดูหล่อเหลาหรี่ตามองเหมือนหนุ่มหล่อที่ไม่ไว้ใจคนอย่างผมสักเท่าไหร่ ทั้งๆที่หิวเอามากมายแล้วในตอนนี้ “ มึงก็อย่าเก็กไปหน่อยเลยน่า หิวก็บอก มากินข้าวตรงนี้นะ ตรงนี้คือที่กินข้าว ” เดินเอาไปวางลงบนหลุมไม้เข้าคู่ของมัน ตรงข้างๆน้ำพุที่ไว้กินน้ำ แต่ถึงอย่างงั้นมันก็ยังดมอยู่นิดหน่อย ก่อนจะค่อยๆกินอย่างแมวผู้ดีที่โคตรจะสุภาพ

นายท่าน ถูกเอามาที่โรงพยาบาลด้วยอาการเจ็บที่ขาหลัง มันคงโดนทุบตีมาจากการสันนิฐานของพี่หมอไอซ์ แต่เจ้าของในตอนนั้นก็ไม่ยอมรับ บอกแค่ว่ามันตกลงจากที่ที่สูงมากๆ เธอพูดด้วยว่า เธอจะทุบตีมันทำไม เธอซื้อมันมาแพงมาก และนั่นก็ดูเหมือนจะสอดคล้องกับสิ่งที่เห็นอยู่ เพราะนายท่านเป็นแมวพันธุ์อเมริกันซ็อทแฮร์ที่มีลายดำพาดเทาค่อนข้างชัด แววตาสีเหลืองสวย ขนาดผมที่ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องราคาเท่าไหร่ ยังรู้สึกได้ว่า มันคงเป็นแมวที่ค่าตัวสูงน่าดู

แต่ถึงอย่างงั้น พี่หมอไอซ์ก็เสริมแค่สั้นๆว่า จำนวนเงินบอกไม่ได้ถึงความรัก มันมีให้เห็นทั่วไป อย่างคู่รักที่เลิกกับแฟนแล้วสุดท้ายก็ทำร้ายสัตว์ตัวเล็กที่ครั้งนึงมันเคยเป็นเหมือนพยานรัก แล้วนายท่านเองก็อาจจะเป็นแบบนั้น เคยเป็นที่รัก และวันนึงก็กลายเป็นขยะ ในวันที่ต้องเลิกรากันไป

ขยะ ที่อาจจะโดนทุบตีในช่วงเวลาหนึ่งที่สติของใครสักคนนั้นขาดออก จนลืมไปว่าที่กำลังเสียใจอยู่ เป็นความสัมพันธ์ของคนสองคนที่ซึ่งแมวไม่เกี่ยวอะไรด้วย มันที่ซนตามวัยของแมวเด็กไม่ผิด แต่ที่ผิดคือใครคนนึงที่ทุบตีมันจนแรงเกินไป

และหลังจากนั้นที่เอามาให้โรงพยาบาล ก็ไม่มีใครมารับมันกลับไปอีกเลย ตลอดสามเดือนที่ผ่านมา

“ เมี๊ยว เมี๊ยว เมี๊ยว ” เสียงร้องน่ารักดึงสติที่กำลังจดจ่อกับสิ่งที่คิดของผมให้หันหน้าไปทางระเบียงอีกครั้ง รวมถึงไอ้นายท่านเองก็ด้วย มันเงยหน้าจากชามข้าวหันไปมองที่ริมระเบียง

“ เสียงของคนข้างบ้านเราแหละนายท่าน ” ผมพูดก่อนจะลุกขึ้นไปแอบดูเจ้าแมวตัวน่ารักเจ้าของเสียงใสนั่น

น้องแก้มหอม เป็นชื่อที่อยากจะอ้วกเมื่อตอนที่เห็นหน้าเจ้าของแมว แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้เลยว่ามันตั้งชื่อได้เข้ากันมากถึงมากที่สุด เจ้าตัวขนปุยสีขาวสะอาดตา ทั้งน่าอุ้ม และ น่าหอมจริงๆ

“ ไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ววะ ” พูดกับตัวเองก่อนจะเปิดประตูระเบียงแล้วเดินออกไป จนได้ยินเสียงคล้ายกับอีกฝ่ายกำลังข่วนประตูดังแกร๊กๆ พร้อมกับเสียงร้องเมี๊ยวๆ ที่ก็ตอนนั้นมีเสียงสุดนุ่มนวลแบบไม่เข้ากับหน้าของคุณเจ้าของแว่วมา

“ หนูจะออกไปข้างนอกทำไมคะแก้มหอม มากินข้าวก่อนนะคะ นี่มันของโปรดหนูเลยนะ ”

“ เมี๊ยวๆ ” เสียงตอบรับนั่นมาพร้อมกับการข่วนประตูที่แรงขึ้น ผมคิดว่าแก้มหอมคงอยากจะออกมาข้างนอก แต่ดูเหมือนไอ้เหี้ยอาร์มมันจะล็อคประตูไว้

“ กินข้าวค่ะ อย่าให้ป๊าขึ้นเสียงนะ ”

“ โห ไอ้สัด นี่ขึ้นเสียงแล้วเหรอวะ ” ถึงกับเอามือกุมอก แล้วเม้มปากไว้แน่นอย่างรู้สึกตกใจ “ อะไรมันจะเบอร์นั้น ”

“ แก้มหอมขา ถ้าหนูยังดื้ออีก ต่อไปนี้ป๊าจะไม่เปิดประตูให้หนูแล้วนะ ” ได้แต่เบือนหน้าแล้วอ้าปากทำทีเหมือนจะอ้วกกับคำพูดนั้น ผมทำปากมุมมิบตามมันอย่างอดไม่ได้ “ แก้มหอม แก้มหอมขา กินข้าวครับลูก ”

พูดกันตามตรง ถ้าเป็นเมื่อก่อนถ้อยเสียงนุ่มนวลแบบนี้คงชวนให้ผมยิ้มกว้างน่าดู ภาพน่ารักที่ลอยขึ้นมาเป็นฉากๆในความคิด แต่ทว่าตอนนี้สิ่งที่เห็นกลับทำให้รู้สึกผิดไปจากที่คาดไปสักหน่อย

ผู้ชายตัวสูงโปร่ง โครงหน้าไร้ที่ตินั่นเข้ากันอย่างดีกับแววตาคม และจมูกคมสัน สีหน้าที่ไม่ยิ้มแย้ม ดูพร้อมหาเรื่องกันตลอดเวลาคล้ายกับว่าอยากจะฆ่าแกงกันแบบให้จบไปสิ้นไป เป็นคนคนเดียวกับคนที่ผมได้ยินเสียงมันพูดคุยกับแมวตัวเล็กๆนั่นว่า ‘ แก้มหอมขา ’

“ ให้ตายเถอะไอ้สัด ” ผมพูดกับตัวเอง “ ไม่เข้ากับมึงมากเลยจริงๆ”


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


ผมหันไปมองเสียงที่ดังมาจากประตูห้องของตัวเอง พร้อมกับนายท่านที่ก็หยุดกินอาหารในชามของมันเหมือนกัน  แต่ก็ก้มลงกินต่อในนาทีต่อมาเหมือนรู้ดีว่า นั่นคงไม่ใช่เรื่องตัวเอง

“ ใครวะ ” ถามตัวเองพร้อมกับขาที่เดินออกไปตรงประตู มันคงไม่ใช่คนรู้จัก เพราะผมเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ หรือว่าจะลืมกุญแจเสียบคาไว้หน้าห้อง แต่ก็ไม่น่าใช่ เพราะระบบล็อคห้องมันเป็นคีย์การ์ดแล้วก็รหัสกดเข้าห้อง ดึงตัวเองเข้าไปมองลอดรูตาแมวของประตู ก่อนจะผงะหลังออกมาด้วยความตกใจไม่น้อย เมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ข้างห้อง แล้วมองกันตาขวางเมื่อครู่มายืนหน้านิ่งอยู่ด้านนอก


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


“ อะไร! มึงมีอะไร ” ตะโกนถามออกไปผ่านประตูด้วยความไม่เชื่อใจ สายตาของผมมองลอดผ่านรูนั่น ยังไงก็ไม่น่าไว้ใจ ต่อให้มันอุ้มแมวแสนน่ารักไว้แนบอก แต่ผมเป็นคนที่กุมความลับของมันอยู่ ยังไงก็ไว้ใจไม่ได้

“ ลูกกูอยากเจอลูกมึง ” มันพูดพร้อมกับถอนหายใจออกมาในขณะนั้น แววตาที่ก้มลงไปมองแมวตัวเองที่ก็ส่งเสียงร้องเล็กๆออกมา

“ เมี๊ยว ” ก็คล้ายจะบอกกันว่า ‘ ใช่จ้ะป๊าขา แก้มหอมอยากเจอเค้า ’

“ อะไรนะไม่ได้ยิน ” พูดออกไปแบบนั้นเพราะอยากจะให้มันตะโกนดังขึ้น และแน่นอนว่า กูจะให้มึงตะโกนจนดังทั้งชั้นเลยไอ้สัด “ พูดอีกที ว่าไงนะ ”

“ มึงก็เปิดประตูสิ ” ไมได้ผลเหี้ยอะไรทั้งนั้น เมื่อคนด้านนอกตอบกลับมาแค่นั้น ผมถอนหายใจ  “ มึงคงคิดอยากจะให้กูพูดดังขึ้น เพื่อให้มึงพูดว่า อะไรนะไม่ได้ยินอยู่แบบนั้น จนกูต้องพูดดังขึ้นเรื่อยๆ ให้เสียงมันดังไปทั้งชั้นนี่เลยใช่มั้ย ” สายตาคมมองมาที่ตาแมวของประตูห้องผมราวกับรู้ว่ามองกันอยู่ มันยกยิ้ม “ ปัญญาอ่อนชิบหาย ”

‘ K เป็นเหี้ยอะไรถึงชอบพูดตามกูตลอด ’ ประโยคเหี้ยนี่จำได้ว่าผมเป็นคนด่ามันเองเมื่อช่วงเที่ยงของวันเพราะคิดว่าการกระทำที่มายืนขวางบันไดกันแม่งโคตรเป็นปัญญาอ่อน แต่นั่นแหละ ที่กูคิดและทำอยู่ตอนนี้ก็ไม่ต่าง

“ แต่ถ้ามึงอยากให้ทำก็ได้นะ ” ว่าแบบนั้นก่อนจะมองไปด้านหลังที่เหมือนจะมีคนเดินผ่านมาพอดี มือหน้ายกขึ้นเคาะประตูห้องผม “ เปิดเถอะครับเมีย ผัวมาง้อแล้วน้า อย่าใจร้ายกับลูกของเราสิครับ น้องแก้มหอมอยากจะเจอคุณแม่ใจจะขาดแล้วน้า เมียครับ เมีย แก้มหอมขา ร้องเรียกคุณแม่สิครับลูก ”

“ เมี๊ยว ”  เสียงใสที่ร้องขึ้นเบาๆ ชวนให้คนที่กำลังเดินผ่านไปหันมายิ้มแล้วหัวเราะกับความน่ารัก จนผมต้องจำยอมเปิดประตูออกไปเพื่อแก้ไขความเข้าใจผิดนั่น

“ เมียพ่อมึงสิไอ้สัด ” ประโยคแรกที่พูดออกไปนั่นชวนให้คนที่ไม่รู้จักเราและกำลังยิ้มให้ความน่ารักของแมวในอ้อมกอดของร่างสูงถึงกับผงะตกใจแล้วมองหน้าผมด้วยความงุนงง “ ไม่ใช่นะครับ เราไม่ใช่แฟนกันนะ ผมไม่ใช่เมียมันด้วย ”

“ พูดอะไรอย่างงั้น ” คนต้นเรื่องว่าแบบนั้น ก่อนจะส่ายหน้าไปมา แล้วเดินผ่านตัวผมเข้ามาในห้องด้วยท่าทางเหมือนกับว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วปล่อยให้ผมเผชิญหน้ากับความเข้าใจผิดของคนอื่นเพียงลำพัง

“ ไม่ใช่นะครับ ไม่ใช่นะ อย่าเข้าใจผิด ” คนสองคนที่มองหน้ากันเหมือนไม่เชื่อเดินออกไปยิ้มๆ อย่างไม่ให้คำตอบทางสีหน้าเลยว่า เชื่อ จนผมต้องถอนหายใจออกมาแล้วหันกลับมามองในห้องที่ตอนนี้ไอ้คนสร้างความวุ่นวายกลับมายืนนิ่งมองไอ้นายท่านของผมกำลังกินข้าว

“ ลูกกูอยากเจอลูกมึง ” มันพูดย้ำในตอนที่หันมามองกัน ผมถอนหายใจ

“ รู้แล้วไอ้สัด แต่ทีหลังช่วยอย่าพูดเหี้ยอะไรแบบนั้นได้มั้ย กูขนลุก ”

“ แต่ก็เปิดนะ ”

“ K กูเปิดเพราะคนอื่นมันเข้าใจกูผิดน่ะสิ ถ้าเค้าคิดว่ากูกับมึงเป็นผัวเมียขึ้นมาจริงๆขึ้นมาจะทำยังไง ” ผมถามอีกฝ่ายเสียงดัง “ แล้วถ้าเรื่องนี้ถึงหูไอ้สัดเบส ไอ้สัดดีนอีกจะเป็นยังไง ”

“ แคร์เหรอ ”

“ แคร์สิไอ้เหี้ย ” คำตอบนั้นมีเพียงรอยยิ้มยกยิ้มที่ส่งกลับมา ไม่มีคำตอบเป็นรูปประโยคอะไร มือหนาปล่อยแมวตัวเองที่อุ้มอยู่ลงสู่พื้นห้องผม ความสวยของเจ้าแมวขนสีขาวนุ่มชวนให้ผมนิ่งราวกับถูกสะกดสายตา แววตากลมสีฟ้าสดใสนั่น อยากจะพูดออกไปมากว่า สวยชิบหาย แต่ก็ต้องกัดฟันทนไว้ เพราะไม่อยากจะให้พ่อมันได้หน้า

“ เมี๊ยว ” เจ้าเปอร์เซียขนสีขาวเดินไปนั่งลงข้างๆคนที่กินข้าวอยู่อย่างเว้นระยะ ส่งเสียงผูกมิตรจากคนที่เงยหน้าขึ้นมามองกันแค่ไม่กี่วินาทีก่อนจะก้มลงไปกินข้าวต่ออย่างไม่สนใจ

“ ไม่มีมารยาท ” ไอ้สัดอาร์มหันมาบอกผม มันคงว่าไอ้นายท่าน

“ มันเป็นแมวมั้ย ”

“ แก้มหอมอุตส่าห์ทัก ทำไมแมวมึงไม่ทักกลับ ”

“ กูไม่ใช่แมว ” ผมบอกปัดก่อนจะหันไปยกยิ้ม “ บางทีมันอาจจะไม่ชอบคนที่เข้าหาก่อนก็ได้ โลกส่วนตัวสูง ”

“ มนุษยสัมพันธ์แย่ ”

“ มึงจะเอายังไง ” เชิดหน้าหาเรื่องอีกคน ที่ก็ยกยิ้มขึ้นมา

“ แต่เจ้าของกับแมวต่างเหี้ยอะไรกับแมวละนะ ”

“ K ” พูดออกไปแบบนั้นสั้นๆ ผมพาตัวเองเดินออกห่างมาที่เค้าท์เตอร์ครัวอย่างไม่อยากจะพูดคุยอะไรกับอีกคนให้มากความ เพราะคิดว่าถ้าพูดอะไรมากไปกว่านี้อาจจะกระทำการรุนแรงให้แมวเห็นได้ ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่อยากจะให้นายท่านเห้นว่า ตัวผมเป็นคนใช้ความรุนแรง ไม่อยากจะไปซ้ำแผลใจให้มัน

หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 1 :: up! 29-11-62} #หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 30-11-2019 20:24:43
ทว่าความเงียบเชียบกลายเป็นความอึดอัดขึ้นมาอย่างฉับพลัน ไม่มีเสียงอะไรเลยแม้แต่เสียงพูดคุยกันของแมว นายท่านหลังกินข้าวเสร็จมันก็กินน้ำนิดหน่อย ก่อนจะเลียขนตัวเองต่อแบบเสริมหล่อต่อหน้าอีกตัว ส่วนน้องแก้มหอมก็แค่ส่งเสียงร้องเมี๊ยวเบาๆ คล้ายจะพูดคุยกับอีกผ่านเป็นระยะ แต่ก็นั่นแหละ มันไม่มีอะไรกลับมา

“ แมวมึงเป็นใบ้หรือเปล่า ”

“ ใบ้เหี้ยอะไรละ ” ผมสวนกลับด้วยสีหน้าหาเรื่อง เชื่อเลยไอ้สัด มีอย่างที่ไหนวะ บังคับเข้าบ้านคนอื่น แถมพาแมวตัวเองเข้ามาด้วย หนำซ้ำยังด่าแมวเจ้าของบ้าน มารยาทแม่งหาตัวจับยากชิบหาย “ แต่มึงจะเอาอะไรกับคนจากกลุ่มปัญญาอ่อนนั่นวะเมี่ยง ”

“ มึงพูดอะไร ”

“ เสือก ” ตอบกลับทันควันอีกคนก็ยกยิ้ม

“ ได้ยินไม่ชัด อะไรสักอย่างใบ้ๆ ”

“ ใบ้เหี้ยอะไร อย่ามาว่านายท่านของกู ” เชิดหน้าบอกอีกคนที่ก็ยกยิ้มจางๆ “ แล้วลูกมึงตัวเมียหรือผู้ละ ”

“ เมีย ”

“ งั้นก็ไม่แปลก บางทีลูกกูมันอาจจะเขินก็ได้ มึงไม่รู้จักหนุ่มซึนเหรอสัด ที่เค้าเรียกว่าซันเดเระไง ” อีกฝ่ายขมวดคิ้วมองกันอย่างไม่เข้าใจ  “ ไม่รู้จักสินะ หนุ่มซึนคือพวกที่จริงๆก็ชอบนั่นแหละ แต่ทำเป็นไม่ชอบ แล้วนั่นก็อาจจะเป็นแมวกู เคนะ  ”

“ อาจจะไม่ใช่ แค่ทำเป็นไม่ชอบหรอก ” เจ้าของเสียงที่ผมหันไป อาร์มเชิดหน้าไปทางแมวสองตัว และฉากที่ผมเห็นในตอนนั้น คือน้องแก้มหอมที่กำลังถอยหลัง พร้อมกับก้มตัวเองลงต่ำคล้ายกับจะหมอบ ส่วนตรงหน้าเธอคือไอ้นายแมวผู้ซึนเดเระในความคิดผมเมื่อครู่ มันกำลังแยกเขี้ยวขู่อีกฝ่ายนึงอยู่

“ เวรแล้วไง ” พูดออกไปก่อนจะเดินเข้าไป แต่ก็ต้องหยุดอยู่ตรงนั้นเพราะไม่รู้จะจับใครก่อนดี เป้นวินาทีที่โคตรเลิ่กลั่ก ซึ่งแน่นอนว่ามันต่างจากอีกคน ไอ้อาร์มแค่มองมันเฉยๆ  “ มึง มึงไปจับลูกมึงออกมาสิไอ้สัด จะยืนดูอยู่ทำไม ” คำถามที่ไม่มีคำตอบ “ สัดอาร์ม”

“ แล้วทำไมมึงไม่จับลูกมึง ” อาร์มถาม ผมก็ได้แต่นิ่ง สายตาเลิ่กลั่กปิดไม่มิดในตอนนั้น “ ทำไม มึงเป็นไร ”

“ กลัวโดนข่วน ”

“ ห๊ะ ? ” เหมือนว่ามันไม่ได้เตรียมใจมากับคำตอบนั้น อีกคนยกยิ้มก่อนจะหัวเราะ แล้วหันไปมองทางอื่น “ เป็นคนเจ้าแมวยังไง กลัวโดนข่วน ประสาท ”

“ มันไม่เกี่ยวกันมั้ยวะ ”

“ แล้วมึงไม่รู้เหรอว่าแมวมึงทำท่าทางแบบนั้นมันจะทำอะไร จะข่วน จะกัด หรือว่าแค่ขู่เฉยๆ ”

“ แล้วกูจะไปรู้ได้ไง ก็กูเพิ่งได้มันมาวันนี้ ”

“ อะไรนะ ”

“ ไปจับแมวมึงเลยสัด ไอ้นายท่านทำอะไรแก้มหอมกูไม่รู้ด้วยนะ ” ยกไหล่แบบไม่สนใจแต่เหมือนว่าคนเป็นพ่อเจ้าตัวขาวจะช็อคตาตั้งไปแล้ว 

“ K ” อาร์มทิ้งท้ายไว้แค่คำนั้น ร่างสูงก้าวออกไปอุ้มแมวของตัวเองขึ้นมาส่วนไอ้นายท่านของผมในตอนนั้นมันก็ค่อยๆกลายร่างกลับสู่ลุคปกติ ก่อนจะเดินออกไปสำรวจห้องโดยรอบอีกครั้งแล้วถึงจะกระโดดขึ้นไปบนคอนโดแมว แล้วนั่งมองวิวด้านนอกที่ตอนนี้มืดสนิทพร้อมกับส่ายหางไปมาจนคุณพ่อน้องแก้มหอมถึงกับต้องพูดออกมาว่า “ น่าหมั่นไส้ชิบหายเลยนะไอ้สัด ”

“ เออ กูไม่เถียงหรอก ” ผมว่า ก่อนจะยิ้มแห้งๆแล้วพาตัวเองไปนั่งลงบนโซฟาที่เดิมพร้อมกับเหลือบมองแมวตัวเองที่ตอนนี้เหมือนกำลังสร้างอารมณ์เปลี่ยวเต็มที่สลับกับแมวตัวสวยที่ก็ยังให้ความสนใจในตัวอีกคนอย่างไม่เสื่อมคลาย “ ขออุ้มหน่อยได้มั้ย ”

“ ล้างมือยัง ” ความคิดที่อยากจะพูดดีด้วยทะลายลงอย่างฉับพลัน แต่ถึงอย่างงั้นเจ้าแมวตัวสวยก็ถูกยื่นมาให้กันบนตัก ขนนุ่มๆถูกวางลงบนขาผมจนเผลอยิ้มออกมาไม่ได้ในตอนที่ลูบมันเบาๆ

ช่างเป็นวินาทีชวนฝันที่ลืมตัวไปเลยว่าคนตรงหน้าแม่งเป็นอริของกลุ่มตัวเองที่เพิ่งทะเลาะกันเรื่องน้ำซุปกระดูกหมูไปเมื่อช่วงเที่ยงวัน

“ ขนแม่งโคตรนุ่ม มึงใช้ยาสระอะไรตอนอาบน้ำให้แก้มหอมวะ ”

“ ไม่เคยอาบเอง กูพาเข้าร้านตลอด ” ก้มลงมองแมวระดับราชนิกูลในตักด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ แล้วก็เผลอคิดว่าถ้าในห้องของอีกคนมีมุมของแมวที่ตกแต่งด้วยสีชมพูทองอารมณ์เจ้าหญิง ผมก็คงไม่แปลกใจเท่าไหร่ “ แล้วแมวนั่นไม่ใช่แมวมึงเหมือนกันเหรอ ”

“ นายท่าน ” ย้ำชื่อแมวตัวเองด้วยสีหน้าหาเรื่อง “ มันมีชื่อ มันชื่อนายท่าน ช่วยเรียกให้ถูกด้วยไอ้สัด ”

“ แล้วมันไม่ใช่แมวของมึงเหมือนกันเหรอ ”

“ แมวกูสิ ” ผมหันไปมองอีกตัวก่อนจะบอก

“ ก็มึงบอกว่าเพิ่งได้มาวันนี้ งั้นปกติมันไม่ได้อยู่กับมึง ”

“ มันเป็นแมวที่ถูกเจ้าของเอามาทิ้งไว้ที่โรงพยาบาล ว่าที่พี่เขยกูทำงานทำงานอยู่ที่นั่น เค้าเห็นกูอยากเลี้ยงแมว เค้าก็เลยให้กูรับเลี้ยงมัน ” ว่าแบบนั้นก่อนจะก้มหน้าลงมองแมวในตัก “ แล้วแก้มหอมไม่ใช่แมวมึงเหรอ ”

“ รู้ได้ไง ”

“ ไม่โง่ก็คงรู้ ” ยกยิ้มก่อนจะเงยหน้ามองอีกคน ที่ก็กอดอกมองกันอยู่ “ มึงเล่นถามออกมาว่า แล้วนั่นไม่ใช่กูเหมือนกันเหรอ งั้นแสดงว่าแก้มหอมคงไม่ใช่แมวมึง ”

“ มีคนฝากมันกับกูไว้ เค้าไปเรียนต่อเมืองนอก ” พยักหน้ารับคำพูดของอีกคน ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบไป

ผมเพิ่งรู้ซึ้งถึงคำว่าพูดที่เรียกว่า เดสแอร์ ก็วันนี้ เอาจริงๆพอไม่กวนตีนกัน ก็เบลอไปหมดเหมือนกัน เป็นความรู้สึกที่ไม่รู้เลยว่าต้องพูดอะไรออกไป รู้แค่ต้องชวนคุยสักหน่อย ไม่งั้นคงอึดอัดตายห่า

“ แล้วนี่มึงรู้ได้ไงว่าแก้มหอมอยากมาหานายท่าน ” คำถามที่ถามอีกคนออกไปในตอนนั้น เป็นจังหวะเดียวกันกับที่นายท่านเดินลงจากคอนโดแล้วกระโดดขึ้นมานั่งอยู่บนโต๊ะตรงกลางห้องตรงหน้าผม มันย้ายมานั่งจ้องแก้มหอมที่ตอนนั้นก็ร้องเรียกมันอย่างเป็นมิตรอีกครั้ง

“ เมี๊ยว ”

“ มันไม่ยอมเข้าบ้าน ไม่ยอมกินข้าว เอาแต่ร้องจะออกไปตรงระเบียงท่าเดียว ตั้งแต่เห็นไอ้แมวนั่นของมึง ”

“ กูบอกว่าชื่อนายท่านไอ้สัด ”  อีกฝ่ายยกยิ้มก่อนจะเข้ามาหากัน มือหนาเอื้อมมือไปอุ้มเจ้าแมวขนสวยจากตักผมขึ้นแนบอก อาร์มก้มหน้าลงบอก

 “ ถ้าแมวนั่นมันไม่อยากจะเล่นกับเรา เราก็อย่าไปอยากเล่นกับเค้าเลยนะคะแก้มหอม ป๊าว่าเรากลับบ้านเรากันดีกว่านะคะ ”

“ อย่ามาว่านายท่านนะไอ้สัด ” ผมยืนขึ้นบอก “ กูก็บอกอยู่ว่าแมวกูมันเป็นแมวซึนเดเระ อีกอย่างมันเพิ่งมาถึงที่นี่วันนี้เอง ขนาดห้องกูมันยังไม่ชินเลย มึงจะให้มันเล่นกับลูกมึงได้ยังไงวะ ” ขึ้นเสียงใส่อีกฝ่ายที่ก็มองกันนิ่งๆ “ ว่าแต่กูปัญญาอ่อน มึงหงุดหงิดกับแค่แมวกูไม่เล่นกับลูกมึงก็ปัญญาอ่อนไม่แพ้กันหรอกไอ้สัด ”

ไม่มีเสียงตอบรับอะไรจากคนตรงหน้า สีหน้าเรียบเฉยของอีกฝ่าย แม้ผมจะมีความรู้สึกลึกๆว่ามันเห็นด้วยกับคำพูดของผม แต่ถึงอย่างงั้นก็ไม่มีอะไรการันตีได้ เพราะมันก็แค่ก้าวขาออกไปจากที่ที่เรายืนพูดกันอยู่ ท่าทางที่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนั้น

“ นี่มึงจะออกไปแบบไม่บอกลาเจ้าของห้องเลยเหรอวะ ”

“ จำเป็น ? ” ใบหน้านิ่งที่หันมาถามชวนให้ผมนิ่งไปสักพัก

“ เข้ามาก็ไม่มีมารยาท ออกไปก็ไม่บอก ” ผมหลุดหัวเราะ “ จะบอกอะไรให้มึงฟัง แม่กูเคยสอนว่าคนเราถ้าไปบ้านใคร ก่อนกลับก็ต้องบอกลา มึงไม่เคยได้ยินเหรอ ไปลามาไหว้น่ะ ”

“ แล้วไง ก็แม่กูไม่สอน ” พูดด้วยหน้าตาเรียบเฉียบแบบที่ผมถึงขั้นใบ้กินไปเพราะไม่รู้จะสวนกลับไปว่าอะไร

“ ไปนะไอ้แมว ” มันมองแมวตัวลายของผมแล้วพูดแบบนั้นเสียงเรียบ

“ แล้วทำไมมึงต้องเรียกแมวกูว่าไอ้แมวด้วยวะ กูก็เรียกแมวมึงดีๆ เรียกชื่อไม่ได้เหรอวะ ” คำถามแบบสงสัยของผม ชวนให้อีกคนยกยิ้มถามกัน

“ แล้วทำไมมึงแม่งเรื่องมากจังวะ เรื่องแค่นี้เองมั้ย จะเรียกอะไรก็ได้มั้ง ” อีกฝ่ายถอนหายใจ “ แต่อย่างว่า คบกับพวกสัดเบสได้ ยังไงศีลปัญญาอ่อนยังไงก็ต้องเท่ากัน จริงจังกับเรื่องธรรมดาเหมือนๆกัน ”

“ งั้นกูเรียกแมวมึงว่า แมวแรด มึงก็ไม่โกรธงั้นสิ ” ยกคิ้วมองอีกคนตอนที่เชิดหน้าไปที่แมวตัวสวย “ เรื่องแค่นี้เองไม่ได้ใช่เหรอวะ ” สีหน้าของคนอุ้มแมวเปลี่ยนไปเป็นหงุดหงิด ผมยิ้ม “ มึงก็เหมือนกันแหละสัด ศีลปัญญาอ่อนต้องเท่ากันกับไอ้สัดดีน ไม่งั้นก็คบกับพวกเพื่อนมึงไม่ได้ แล้วก็คงไม่คิดแค้นแค่เรื่องน้ำซุปกระดูกจนตรงตามมาดักตรงบันได แล้วเสือกไปรูดแป้นลิฟต์กูเล่นหรอก ”

“ มึงจะเอายังไง ”  อีกคนถาม

“ ช่วยเรียกแมวกูด้วยชื่อด้วย แมวกูชื่อนายท่าน ”

“ แล้วถ้ากูไม่ทำ ”

“ ถ้าไม่ทำ...” ผมลากเสียงพลางใช้ความคิดแบบกวนตีนอีกฝ่าย ทั้งๆที่มันก็มีอยู่ในสมองแล้วในตอนนั้น  “ งั้นพรุ่งนี้ก็เตรียมตัวฟังไอ้สัดเบสเรียกมึงว่า แก้มหอมขาได้เลย หรือกูจะยุให้มันเรียกไอ้ดีนว่า หนูดีนขาด้วยดี ท่าทางจะสนุกนะ มึงว่ามั้ย ”

ยักคิ้วบอกอีกคนแบบนั้นที่ก็นิ่งอยู่นานด้วยแววตาที่เหมือนจะคิดทบทวนอะไรสักอย่างกับตัวเอง เป็นท่าทางที่ดูเหมือนจะผิดไปจากที่คาดสักเล็กน้อย เพราะผมคิดว่ามันคงจะวิตกกว่านี้ และคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะกลับแค่ยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะก้มหน้าลงเล็กน้อย มันกลั้นขำ

“ ยิ้มเหี้ยอะไรของมึง คิดว่ากูล้อเล่นเหรอ ทำจริงนะไอ้สัด จะลองก็ได้ ”

“ เปล่า ” มันส่ายหน้า “ กูไม่ได้คิดว่ามึงล้อเล่นเลย กูคิดว่ามึงคงทำแน่ ถ้ากูไม่เรียกแมวมึงด้วยชื่อก่อนจะเดินออกไปจากห้องนี้ ”

“ งั้นถ้ามึงรู้แล้ว ก็ช่วยเรียก...”

“ แต่แม่งโคตรปัญญาอ่อนเลยว่ะ ” อีกว่าแบบนั้นก่อนจะจ้องหน้าผม “ คือกูคิดว่ามึงคงยังไม่รู้ แต่ก่อนที่มึงจะบอกไอ้เบสเรื่องของกู กูอยากจะให้มึงเช็คอะไรสักหน่อย ”

“ อะไร ”

“ ลองไปถามไอ้เจ้ยดูว่าคนที่ไอ้เบสคุยด้วยแล้วสุดท้ายไอ้สัดดีนคาบไปแดก ผู้หญิงคนนั้นเค้าชื่ออะไร ” ผมขมวดคิ้วมองอีกคน ที่ก็พูดเสริมแค่สั้นๆ “ เพราะเท่าที่กูสืบมา เค้าน่าจะชื่อเหมือนแฟนเก่ามึง ”

..................................................................

เจอกันตอนหน้าในวันพรุ่งนี้
ฝากคนอ่านเม้นท์ให้กำลังใจกันสักเล็กน้อย
หนมอยากรู้ว่าเนื้อเรื่องมันเป็นยังไง โดนใจคนอ่านมากน้อยแค่ไหน
แล้วก็ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ในทวิตด้วยนะคะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านแล้วคอมเม้นท์   หนมมี่จ้า
 :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 2 :: up! 30-11-62} #หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 30-11-2019 23:04:14
แฟนเก่าชื่ออะไรเอ่ย  :m17:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 2 :: up! 30-11-62} #หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 01-12-2019 00:05:23
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 2 :: up! 30-11-62} #หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 01-12-2019 11:48:01
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 3 :: up! 1-12-62} #หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 01-12-2019 20:18:56
ตอนที่ 3


 “ นั่งเหม่ออะไรของมึงวะเมี่ยง ” คำถามที่มาพร้อมกับมือที่ผลักเข้าตรงไหล่ ผมหันไปมองก่อนจะยิ้มแห้งๆให้เพื่อนอย่างไอ้เจ้ยที่นั่งลงบนโต๊ะม้าหินหน้าตึกคณะ “ กูยกมือทักมึงตั้งแต่เดินมา แต่มึงแม่งไม่มองเลยสัด ”

‘ ไม่แปลกหรอกเพื่อนเจ้ย ’ อยากจะตอบมันไปแบบนั้น แต่ติดแค่ทำไม่ได้ เพราะตั้งแต่เมื่อคืนในสมองของผมก็ยังคิดไม่ตก ถึงคำพูดของไอ้คนข้างห้องมันทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจะเดินออกไป  ‘ ลองไปถามไอ้เจ้ยดูว่าคนที่ไอ้เบสคุยด้วยแล้วสุดท้ายไอ้สัดดีนคาบไปแดก ผู้หญิงคนนั้นเค้าชื่ออะไร เพราะเท่าที่กูสืบมา เค้าน่าจะชื่อเหมือนแฟนเก่ามึง ’

เอาจริงๆ ก็ไม่เคยถามเลย ไม่เคยคิดสงสัยอยากจะรู้ชื่อของเธอเลยสักครั้ง และไม่แม้แต่ถามไถ่ถึงเรื่องราวอื่นของเธอ และเพราะแบบนั้น ประโยคที่ควรสวนกลับไปเมื่อคืน จึงถูกริดรอนออกไป ความไม่มั่นใจฉายชัดจนคนตรงหน้าถึงกับยิ้มกว้าง 

ความรู้สึกที่คิดไว้ว่าตัวเหนือกว่า แต่สุดท้ายกลับไม่เหนือกว่า
บอกเลยว่า แม่งโคตรแย่

“ เอาเถอะ วันพระไม่ได้มีหนเดียวหรอกมึง ไอ้สัดอาร์ม ” พูดกับตัวเองเสียงเบาๆ แต่เหมือนจะดังไป เพราะมันทำให้คนที่นั่งอยู่ข้างกันถึงกับขมวดคิ้วงงก่อนจะถาม

“ พรึมพรำเหี้ยอะไรของมึง ”

“ มึง ” ผมหันไปถามเจ้ยที่สะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจกับเสียงจริงจังของผม

“ เรียกเสียงดีๆก็ได้ไอ้สัด ” มันว่าพลางเอามือจับอก แล้วถอนหายใจออกมา “ กลัวเลยไอ้เหี้ย มีไร ”

“ กูมีอะไรจะถาม ”

“ เรื่อง ? ” เลิกคิ้วสูงอย่าสนใจ ก่อนจะยิ้มแล้วจับมือถือตัวเองไว้แน่น “ แต่ไม่ต้องกลัวนะ ถ้ากูไม่รู้ เดี๋ยวกูจะถามกลูเกิ้ลให้มึงเอง ”

“ K ” หลุดด่ามันออกไปทั้งแบบนั้นอีกคนก็หัวเราะ

“ ฮ่าๆ อะๆ ว่ามา ”

“ คือกูสงสัยมานานแล้วอะนะ ไม่ได้เพิ่งมีเรื่องอะไรถึงจะมาถามหรอก ”

“ อ่าห๊ะ ”

“ คือ แฟนเก่าไอ้เบส..” อีกคนเลิกคิ้วกับการเกริ่นคำถามของผม “ คือ ไม่ดิ คือกูจะถามว่าผู้หญิงคนที่ทำให้ไอ้เบสกับไอ้ดีนมีเรื่องกัน แม่งชื่ออะไรวะ ” คำถามที่ชวนให้นอนไม่หลับทั้งคืนถูกถามออกไปในที่สุด หัวใจของผมเต้นแรงอย่างไร้เหตุผลในช่วงวินาทีนั้น สายตาที่จ้องไปยังคนให้คำตอบ ลุ้นไม่ต่างอะไรกับการดวลจุดโทษบอลนัดสำคัญ

ในสมองผุดชื่อเป็นร้อยชื่อที่ไม่ใช่ชื่อเดียวกับแฟนเก่า พร้อมกับจินตนาการไปว่าถ้าไม่ใช่ขึ้นมาจริงๆ เรื่องของไอ้แก้มหอมจะลอยเข้าหูไอ้เบสทั้งที และจะจัดให้ดังลั่นทั้งโรงอาหาร ด้วยชื่อเรียกแบบน่ารักๆ อย่าง ‘ คุณป๊าของน้องแก้มหอมขา ’

“ ชื่อนาเดีย ”

‘ อีสัด ’ สบถกับตัวเองอยู่ในใจเป็นพันครั้ง คำว่าคุณป๊าของน้องแก้มหอมขา ถูกกลืนลงไปในคอจนหมดสิ้นและกลบไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของสมอง พร้อมทั้งร่างกายที่แสดงอาการไม่สู้ดีอย่างฉับพลัน ผมรู้สึกหน้าซีด ปากสั่น หายใจก็ยังรู้สึกไม่ท้อง ‘ เสือกมาชื่อเหมือนแฟนเก่าคนสุดท้ายก่อนจบม.ปลายพอดีอีก ’

“ แล้วมึงถามทำไมวะ ”

“ เปล่า ” ตอบออกไปแบบทันควันจนคนถามถึงกับนิ่ง ผมส่ายหน้ารัวๆ “ กู กูแค่อยากรู้น่ะ แบบ  อยากรู้เฉยๆ คือเราก็ทะเลาะกับไอ้สัดดีนมานาน ก็กูรู้แค่ว่ามันเป็นแย่งผู้หญิงกัน เมื่อคืนนอนๆเลยคิดๆน่ะ ว่าแบบชื่อ ชื่ออะไรน้า ฮ่าๆ ” ประโยคพันกันไปมา มือก็เริ่มอยู่ไม่สุขเป็นแบบนี้ประจับตอนประหม่า ผมเริ่มยกมือขึ้นเกาตัวเอง “ ทำไมวะ มึงไม่เชื่อเหรอ ”

“ ไม่ใช่ไม่เชื่อแต่มึงอะ เป็นเหี้ยอะไร ” เจ้ยถามมันขมวดคิ้ว “ แปลกๆนะสัด ”

“ เปล่านี่ ” ส่ายหน้าไปมาก่อนจะยิ้ม “ มึงแม่งอย่าคิดมา กูก็แค่อยากรู้จริงๆแบบที่บอกไง เมื่อคืนเพิ่งคิดได้ แบบนอนคิดคนเดียว แล้วสงสัยน่ะ ”

“ เช่นนั้น ” เจ้ยพยักหน้ารับ “ กูแม่งอยากให้มึงเห็นนาเดียตัวจริง เพราะแม่งสวยจริง สวยมาก สวยแบบหยิ่งๆ จนอยากจะเอาชนะใจแล้วได้ควงเป็นแฟนอะ แต่ก็นั่นแหละ เค้าสวยก็เลือกอะนะ เออกูมีรูปด้วยนะ ” ผมเบิกตาตอนที่คนตรงหน้าพูด

“ รูปเหรอวะ ”

“ ช่ายยยย  ก็กูมีเฟสมัน ” คนพูดก้มหน้าลงกับหน้าจอมือถือแบบอยากพรีเซ็นต์เต็มที่ “ กูจะเอาให้มึงดูว่ามันสวยมากแค่ไหน ”

“ คือมึงมีเฟสมันเหรอวะ ” เผลอกลืนน้ำลายตอนที่อีกคนบอก เพราะผมจำไมได้แล้วว่าสมัยที่คบกันเราเคยถ่ายรูปแล้วอัพลงโซเซี่ยลด้วยกันหรือเปล่า

“ มีสิสัด กูนิยมฟอลคนสวยอยู่แล้ว แต่ว่าอันนี้เฟสใหม่ตอนมหาลัยนะ เหมือนเฟสเก่าช่วงม.ปลายนาเดียมันลบไปแล้ว ”

“ เหรอ ” พยักหน้ารับอีกคนอย่างงั้นก่อนจะถอนหายใจโล่งนิดนึง ก่อนจะมองนิ้วมือที่กดนู้นกดนี่บนหน้าจอ ในตอนนั้นผมภาวนา ‘ ขอให้เป็นแค่คนชื่อเหมือน ขอให้มันเป็นนาเดียคนละคนกัน ’

 “ นี่ไง ” ภาพในหน้าจอถูกส่งมาตรงหน้า ผู้หญิงหน้าตาคุ้นเคยที่หัวใจยังคงจำได้ดี แล้วนั่นก็ทำให้ผมสบถในใจอีกครั้ง ‘ ไอ้สัด ’

นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเข้ากันกับผมยาวสีใกล้เคียงกันที่ดัดลอนตรงช่วงปลายเบาๆ ใบหน้าสวยที่คุ้นเคยดีนั้น แต่งแต้มสีสันบนปากด้วยสีแดงสด แล้วนั่นก็จริงทำให้เธอดูมีเสน่ห์มากกว่าสมัยที่เราเคยคบกัน

แต่ถึงอย่างงั้น รอยยิ้มสดใสที่ผมเคยหลงรักก็ยังไม่เคยเปลี่ยนไปอยู่ดี

 “ สวยจนอึ้งไปเลยสิมึง ” ไอ้เจ้ยหันมาบอกกันพลางยักคิ้ว แต่ผมกลับทำได้แค่ยิ้มแห้งๆ ก็อยากจะบอกอยู่หรอกว่า ‘ ใช่ สวยมาก ’ แต่ที่อึ้งไม่ใช่เพราะสวยมาก แต่ที่อึ้งเพราะเสือกเป็นแฟนเก่ากูนี่แหละไอ้สัด

“ แล้วตอนนี้เค้าไปเรียนอยู่ที่ไหนวะ ”

“ เหมือนจะเป็นอังกฤษ ” อีกคนบอกผมก็พยักหน้ารับ

เผลอคิดถึงความสัมพันธ์ของเราในตอนนั้นเหมือนกัน แม้มันจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆแต่ก็นับได้ว่าคือความสุข ผมกับเธอ เราคบกันในช่วงเทอมสองของม.ปลายปีสุดท้ายก่อนที่เธอจะเป็นฝ่ายของบอกเลิกผมไปก่อน เพราะต้องไปเรียนต่อ โดยให้เหตุผลว่า ไม่อยากผูกมัดกันและกันไว้ ถ้าใครสักคนจะมีคนใหม่ในอนาคต เราจะได้ไม่ต้องนอกกใจกันให้เสียความรู้สึก

เป็นประโยคบอกเลิกที่ฟังแล้วดูเหมือนจะดี แต่แท้จริงกลับเห็นแก่ตัวอย่างที่สุด เพราะสุดท้ายบทสรุปสวยหรูที่เธอพูดมันก็แค่ความยืดยาวที่สรุปได้สั้นๆว่า ‘ มึงยังดีไม่พอ แล้วกูก็คิดว่ากูจะเจอคนที่ดีกว่านี้ ’

แต่ความสัมพันธ์ของเราในตอนนั้นมันก็ไม่ได้จริงจังเท่าไหร่อยู่แล้ว ผมก็เลยไม่ได้เจ็บปวดสักเท่าไหร่  เหมือนรู้ตัวอยู่แล้วว่าเป็นแค่คนที่อีกฝ่ายไม่ได้จริงจัง เหมือนคบกันด้วยความรู้สึกที่ว่า ‘ จะได้ไม่เหงา ’  แต่คำถามคือ

แล้วเธอไปทำให้ไอ้สองคนนั่นทะเลาะกันตอนไหน ?
แล้วไหนบอกว่าไอ้ดีนคบกับนาเดีย ?
งั้นกับผมละคือยังไง ?
คบซ้อนเหรอวะ ?

“ มึง แล้วไอ้เบสกับไอ้ดีนมันทะเลาะกันเมื่อไหร่วะ ตอนม.หกเทอมสองเหรอ ” หันไปถามไอ้เจ้ยที่กำลังนั่งเล่นเฟสในมือถือ มือที่สไลค์ข้อความอยู่หยุดชะงัก มันนิ่งคิด

“ อื้ม ก็เหมือนจะประมานนั้นนะ รู้สึกว่าตอนนั้นจะเพิ่งเปิดเทอมตอนม.หกเลย ตอนมันทะเลาะกัน ”

“ เหรอ ”

“ มีไรวะ ทำไมอยู่ๆมึงถึงเสือกสนใจเรื่องนี้ขึ้นมา ” เจ้ยมันขมวดคิ้วถาม ก่อนจะเหล่มองกัน “ อย่าบอกนะสัดว่ามึงแค้นที่พวกไอ้สัดดีนมารูดแป้นลิฟต์เราเมื่อวาน แต่ขอไว้ก่อนเลยนะ อย่าอาฆาตแบบสัดเบส เพราะแค่มันคนเดียวกูก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ”

“ ใช่ที่ไหน ” ผมบอกปัด ก่อนจะหันไปทางอื่นแล้วพูดกับตัวเอง ‘ เรื่องที่กูสนใจ แม่งใหญ่กว่าที่มึงคิดนักสัดเจ้ย แล้วกูก็ไม่อยากจะคิดเลยว่า ถ้าต้องเจอทั้งไอ้สัดดีนแล้วก็ไอ้สัดเบสเกลียดขี้หน้า ชีวิตธรรมดาของกูต้องพบเจอกับความปัญญาอ่อนแค่ไหน ชาตินี้คงไม่ได้แดกน้ำซุปกระดูกหมูร้านป้าขายข้าวหน้าหมูอีกแล้ว บางทีอาจจะหาเรื่องตอนสั่งโอริโอ้ปั่นด้วยข้อหาป้าเค้าใส่ให้ไม่เท่ากันก็เป็นได้ ’ “ แค่คิดก็ขนลุกไอ้สัด สยองเหี้ยๆ ”

“ เป็นอะไรของมึง ”

“ เปล๊า ” ผมบอกปัดอีกคนเสียงสูงด้วยท่าทางที่โคตรจะมีพิรุธ จนไอ้เจ้ยถึงขั้นขมวดคิ้วแล้วเอื้อมมือมาจับที่ไหล่

“ นี่ มึงมีเหี้ยอะไรบอกกูได้นะ เราเป็นเพื่อนกัน โอเค๊ ”

“ ไม่มี ” ตอบแบบทันควันก่อนจะหันไปมองรอบๆ ผมแค่อยากจะหาอะไรทำเพื่ออกจากบทสนทนานี้ แต่ไม่คิดเลยว่าจะเหลือบไปเห็นร่างสูงคนข้างห้องที่เดินผ่านเข้าไปตรงบริเวณหลังตึกที่ให้สูบบุหรี่ วินาทีนั้นผมลุกขึ้นเต็มความสูงอย่างใจร้อนรน “ เดี๋ยวกูมานะเจ้ย ”

“ ไปไหนวะ ”

“ สูบบุหรี่ ” ตอบไปแบบไม่คิด จนเพื่อนที่นั่งอยู่ยิ่งเอียงหน้างง

“ แต่เมี่ยง คือมึงไม่สูบหรี่  “

ไม่ได้สนใจคำพูดนั้น ผมเดินตรงไปที่หลังตึกที่เห็นว่าอีกฝ่ายหายเข้าไป มันมีสิ่งที่ผมอยากรู้ แล้วผมก็ต้องถามเพื่อตกลงกับมันก่อน เผื่อว่ามันจะเล่นบทไม่ซื่อแล้วบอกความจริงออกไป เพราะบางทีไอ้เหี้ยนั่นอาจจะไม่แคร์อะไรถ้าโดนล้อ แต่นั่น มันไม่ใช่ผม

ชีวิตที่อาจจะต้องเผชิญกับความปัญญาอ่อนตลอดสี่ปี  ต้องห้ามไม่ให้มันเกิดขึ้นเด็ดขาด

“ มึง ” เอ่ยเรียกอีกคนที่กำลังพิงหลังอยู่กับกำแพงของตึก สายตาคมเหลือบมามองกัน เราทั้งคู่นิ่งและเหมือนจะมีแค่ผมที่หอบหายใจแรง

ก็ถือว่าโชคดีที่ตอนนี้ยังเช้าอยู่ หลังตึกนี้ก็เลยมีแค่มันคนเดียวที่มายืนสูบบุหรี่ สายตานั้นหันกลับไปมองมวนบุหรี่ที่กำลังจุด เสียงของไฟเซ็กดังขึ้นก่อนอีกฝ่ายจะสูดลมอัดเข้าไปแล้วค่อยๆพ่นมันออกมา

“ มีอะไร ”

“ กู..แค่อยากมาชวนคุย ”

“ ชวนคุย ” ถึงกับต้องทวนคำพูดนั้นอีกครั้ง ก่อนจะยกยิ้มแล้วหลุดหัวเราะออกมา “ หึ ถามมาแล้วสิ กับไอ้เจ้ยน่ะ ”

“ มึงรู้เรื่องนี้ได้ยังไงวะ ” เอ่ยถามสิ่งที่อยากรู้ออกไปอีกคนก็เหล่มอง

“ ไม่เห็นจะยากเลยนี่ ” ร่างสูงบอก “ รู้เค้ารู้เรา รบร้อยครั้ง ก็ชนะร้อยครั้ง แม่มึงไม่เคยพูดบ้างเหรอคำนี้น่ะ ”

“ แล้วเกี่ยวเหี้ยอะไรกับแม่กู ”

“ ไม่รู้สิ ” อีกคนส่ายหน้า “ ก็เมื่อคืนมึงยังอ้างแม่มึงอยู่เลย อะไรน้า.. เหมือนจะเป็นคำว่าไปลามาไหว้  ไปบ้านใครก่อนกลับก้ต้องบอกลา ”

“ แม่บอกแค่ว่าถ้าหมากัดอย่ากัดตอบ เพราะเราไม่ใช่หมา ” คนฟังยกยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง

“ งั้นเหรอ ”

“ ยิ้มเหี้ยอะไร ”

“ ก็แค่ตลกดี เพราะคนที่พูดว่าแม่สอนมาแบบนั้น ก็คือคนคนเดียวกันกับคนที่ยอมไม่ได้กับเรื่องที่กูแค่ไม่ยอมบอกลาก่อนจะเดินออกมาจากห้อง จริงๆฟังคำแม่สอนไว้บ้างก็ดีนะ ” อาร์มเว้นเสียง มันหันมามองผม “ เพราะถ้าฟังมึงฟังที่แม่มึงสอนสักหน่อย มึงคงไม่ต้องมายืนร้อนรนอยู่แบบนี้หรอก จริงมั้ยละ ”

“ ใครร้อนรน ” ผมเถียงกลับไปแบบตาตั้ง แต่นั่นก็ทำให้อีกคนแค่ส่ายหน้าก่อนจะหันไปทางอื่น “ กูไม่ได้ร้อนรนเลยสักนิด ทำไมกูจะต้องร้อนรน ”

“ เคยมีคนบอกมึงมั้ย ว่ามึงเป็นคนที่ถ้ากังวลอะไรอยู่ มันดูออกโคตรง่าย  ” อาร์มมันหันมาบอกยิ้มๆก่อนจะยกบุหรี่ขึ้นสูบอีกครั้ง

ควันสีขาวพ่นออกมา ผมเบือนหน้าหนีมันนิดหน่อย เพราะส่วนตัวเป็นคนไม่ชอบกลิ่นบุหรี่อะไรแบบนี้สักเท่าไหร่ แต่มันก็พอทนได้ในสถานการณ์จำเป็น

“ มึงไม่สูบบุหรี่เหรอ ”

“ รู้ได้ไง ”

“ ท่าทางมึงบอก ว่าไม่ชอบกลิ่น มึงยู่หน้า ”

“ ก็ใช่ ” ผมพยักหน้ารับ “ แล้วที่กูยอมเข้ามาก็เพราะจะคุยกับมึงนี่ไงไอ้สัด จะบอกได้ยัง ว่ารู้เรื่องของกูได้ยังไง ”

“ ก็แค่สืบ ” อีกคนบอก
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 2 :: up! 30-11-62} #หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 01-12-2019 20:19:16
“ กูเริ่มสืบเรื่องของมึงมาตั้งแต่ตอนที่มึงเข้ามาอยู่กลุ่มเดียวกับไอ้เบสแล้วก็ไอ้เจ้ย ตอนนั้นกูแค่อยากรู้ว่ามึงเป็นใคร ทำไมถึงมาคบกับไอ้พวกเหี้ยนี่ได้ ”

“ พวกมึงดีมากเลยสินะ ” ผมพูดเสียงไม่เบานักอีกคนก็เลยเหล่มองแบบไม่ชอบใจ วินาทีอึดอัดปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน ผมเหลือบมองไปทางอื่นทันที ก่อนจะกลืนน้ำลายแล้วบอก “ อะไร ต่อสิ เงียบทำไมวะ ”

“ ตอนแรกกูก็แค่อยากรู้ว่ามึงเป็นใคร อยากรู้ว่าเป็นคนธรรมดาหรือพวกชอบชกต่อย เพราะถึงจะหน้าเหมือนแมว ดูไม่มีพิษมีภัยก็จริง แต่ยังไงก็ยังไว้ใจไม่ได้ ”

“ เดี๋ยวนะ คือกูนี่อะนะหน้าเหมือนแมว ” ผมชี้เข้าหาตัวเองด้วยสายตาเลิ่กลั่ก เพราะนี่เป็นครั้งแรกเลยที่มีคนทักว่าผมหน้าเหมือนแมว ปกติก็จะมีแค่ ‘ หน้ามึงตี๋จังวะ ’ ไม่ก็ ‘ มองจากสิบเมตรแรกก็รู้แล้วว่ามึงน่ะลูกคนจีน ’ ทั้งๆที่ไม่ใช่เลย พ่อแม่กูแค่ขาวแล้วก็ตาตี๋มันก็เท่านั้นแหละสัด

“ เหมือนตรงไหนวะไอ้สัด ”

“ ตรงตาไง ” สายตาคมนั้นสบเข้ากับผม อาร์มพูดเสียงเรียบแต่ทว่าจริงจังกับสิ่งที่ตัวมันรู้สึก “ มันเหมือนกับของแก้มหอม ”

“ บ้าบอ แล้วทำไมมึงต้องมองตากูด้วยวะ” เบือนหน้าหนีไปทางอื่นก่อนจะถอนหายใจออกมาแล้วเหล่มองมัน “ อะไรของมึง ”

“ หึ ” บุหรี่ที่อีกคนสูบถูกดึงลงในตอนที่มันหลุดหัวเราะ

“ แล้วคือมึงช่วยเลิกพูดนอกเรื่องได้มั้ย เสียเวลาชิบหาย ”

“ คือมึงถามขึ้นมาเองไม่ใช่เหรอ ” สายตามองเหยียดนั้น มันเลิกคิ้ว

“ เออ นั่นก็จริงของมึง ” รอยยิ้มแห้งๆที่ส่งให้อีกคนแบบไม่กล้าสบตา ผมพูดตะกุกตะกัก “ แล้ว แล้วมันยังไงต่อ มึงสืบเรื่องกูมาถึงไหน ”

“ ก็พอรู้ได้ว่า มึงสามคนก็เป็นแค่คนที่ผู้หญิงคนนั้นคุยด้วยในเวลาพร้อมๆกัน เบส โดนไอ้ดีนหลอกว่าเธอเลือกมัน มันโดนเขี่ยทิ้งโดยได้ดีน ส่วนไอ้ดีนที่คิดว่าหมดคู่แข่งแล้ว สุดท้ายก็ไม่ถูกเลือก เพราะเธอเลือกที่จะคบมึงแทนในตอนจบ ”

“ แต่ตอนนี้เลิกแล้วนะเว้ย ” ผมเถียง “ มันบอกเลิกกูตั้งแต่ก่อนที่มันจะไปเรียนเมืองนอกด้วยซ้ำ ”

“ อันนี้กูก็รู้ แต่ที่ไม่รู้คือทำไมมึงต้องเข้ามาเป็นเพื่อนของไอ้เบส แล้วต้องคอยยุยงให้มันกับไอ้ดีนทะเลาะกันตลอด ทำไม ไม่โอเคที่หนึ่งในตัวเลือกเหรอ ”

“ กูนี่อะไอ้สัดยุยง ” ถามอีกคนเสียงดังก่อนจะหันมองซ้ายทีขวาทีเพราะคิดว่าเสียงที่พูดจะดังไปจะทำให้ใครมาได้ยินเข้า ผมหรี่เสียง “ กูไม่เคยยุยงเลยเถอะ หนำซ้ำยังบอกให้มันเลิกทะเลาะกันในเรื่องปัญญาอ่อนสักทีด้วยซ้ำเพราะมันแม่งโคตรมีผลกับชีวิตกูเหมือนกันนะ ”

“ มีผลกับชีวิตมึง ” อาร์มมันทวนคำพูดนั้น

“ ใช่ มีผลมากด้วยนะสัด มึงรู้มั้ยว่ากูแม่งโคตรชอบน้ำปั่นร้านป้าที่ขายอยู่หน้ามหาลัย แต่กูไม่ค่อยได้กินของเค้าเลยเพราะพวกมึงแม่งเสือกทะเลาะกันไว้ แล้วในวันนั้นมันมีกูด้วยไง เค้าก็เหมารวมว่ากูแม่งเป็นเพื่อนพวกมึง ทุกครั้งที่ไปสั่งโกโก้โอริโอ้ปั่นพิเศษโอริโอ้เค้าก็มองแรงกูตลอดเลยว่าไอ้พวกกลุ่มเด็กเหี้ยที่มาทะเลาะเรื่องที่ใส่ชิ้นมะม่วงในน้ำไม่เท่ากัน มึงรู้มั้ยว่ากูต้องลำบากกับการซื้อมากแค่ไหน การบากหน้าไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วมึงยังคิดว่ากูยุยงอีกเหรอไอ้สัด กูนี่สิลำบาก กูต้องอดใจกินของที่กูชอบทั้งที่ๆอยากกินสามวันครั้ง แค่ต้องลดเหลือแค่เดือนละสองครั้งเอง กูนี่สิลำบาก ”

สายตาคมดูอึ้งไปกับคำพูดยาวๆของผม ควันบุหรี่ที่ลอยเป็นทางออกจากมวนของมัน มือหนาชะงักมันไว้ใกล้ปากอย่างงั้น ก่อนจะหลุดยิ้มแล้วหัวเราะออกมาเสียงดัง

“ ฮ่าๆ ”

“ หัวเราะเหี้ยอะไรของมึงวะ ตลกมากเลยเหรอสัด นี่มันเรื่องลำบากของกูเลยนะ ”

“ ก็แค่ไม่เคยเห็นใครหัวเสียกับเรื่องของกินขนาดนี้มาก่อน ” มันก้มหน้าลงบอกกันก่อนจะเช็ดน้ำตาที่เหมือนจะไหลออกมาจากหางตาเพราะว่าตลกมากไป แต่ถึงอย่างงั้นผมก็ได้แต่นิ่ง

“ มึงไม่เคยมีของกินที่ชอบหรือไงละ ”

“ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษนะ ”

“ แต่สำหรับกู กูมีของกินที่ชอบ แล้วกูก็ใช้ชีวิตลำบากมากรู้ไว้ไอ้สัด เป็นชีวิตที่มึงแม่งไม่มีวันเข้าใจหรอกว่าแววตาของป้าตอนทีเค้าปั่นน้ำให้กู เค้ามองกูด้วยความอาฆาตแค้นแค่ไหน ทั้งๆที่มันไม่ใช่เรื่องของกูเลย ”

“ ก็ไม่เห็นแปลกนี่ ” ไอ้อาร์มบอก “ ก็ตอนนั้นพวกมึนแม่งเสือกทะเลาะกันไม่พอ ยังไม่ยอมมีใครจ่ายเงินเพราะรู้สึกว่าชิ้นมะม่วงของตัวเองได้ไม่เท่ากันอีก ไอ้เบสไม่ยอมกินเพราะคิดว่าได้น้อย ส่วนไอ้ดีนก็ไม่ยอมจ่ายเพราะตัวเองไม่ได้สั่งสองแก้ว ”

“ เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ก็ช่วยเข้าใจซะใหม่ด้วยนะไอ้สัด ” ผมจ้องมองคนที่สูงเท่ากัน “ กูไม่เคยคิดจะยุยงให้พวกมึงต้องทะเลาะกัน พวกมึงปัญญาอ่อนแล้วทะเลาะกันเองทั้งนั้นไม่เกี่ยวกับกูเลยสักนิด แต่กูก็ยอมรับนะ ว่าบางทีกูแม่งก็หงุดหงิดเหมือนกัน ”

“ แล้วมึงมาเข้ากลุ่มไอ้เบสทำไม มึงไม่รู้เหรอว่าไอ้เบสเคยเป็นคนคุยกับนาเดีย ”

“ ถ้ารู้คงไม่คบมั้ยละไอ้สัด เอาจริงๆกูไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะมีอริ แล้วจะแกล้งกันปัญญาอ่อนขนาดนี้ ” ผมบอกก่อนจะกอดอกตัวเอง หลังที่พิงลงกับกำแพงที่ยืน “ ถ้ากูรู้ทุกอย่าง กูคงไม่เอาตัวเองเข้ามาอยู่ในวังวนความปัญญาอ่อนนี่หรอก แล้วกูท้ามึงเลยว่าถ้าวันไหนมันรู้ว่ากูเป็นแฟนของนาเดีย แล้วเสือกเป็นคนที่นาเดียเลือกแล้วด้วยเนี้ย กูคงไม่ได้กินน้ำซุปกระดูกหมูร้านป้าไปตลอดชีวิต ไม่นับว่าร้านน้ำปั่นเอง กูอาจจะโดนเรื่องชิ้นโอริโอ้ที่ใหญ่กว่า แม้มันจะอยู่ในห่อก็ตาม ”

“ ก็ถูกแล้วนี่ คงเป็นอย่างที่มึงคิด ” อีกคนว่ายิ้มๆ ก่อนจะยกบุหรี่ขึ้นสูบแบบสบายใจ “ แล้วยังไงต่อ เดินเข้ามาหากู เพื่อจะถามแค่นี้เหรอ แต่คงไม่หรอกมั้ง ”

“ ใช่ ” ผมพยักหน้ารับ “ กูอยากจะทำสัญญากับมึง ”

“ สัญญาอะไร ” บุหรี่ถูกลดลงข้างตัว คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน

“ ก็สัญญาที่ว่าเราจะเก็บความลับของกันและกันไว้ กูจะไม่บอกใครเรื่องที่มึงแทนตัวเองแบบน่ารักกับน้องแก้มหอม มึงไม่ต้องกลัวว่าไอ้เบสจะเอาไปล้อ หรือจะทำให้ไอ้ดีนเพื่อนรักมึงต้องขายหน้า ส่วนมึงก็เก็บเรื่องที่กูเคยเป็นแฟนกับนาเดียไว้เป็นความลับ ไม่ให้ทั้งไอ้ดีน แล้วก็ไอ้เบสรู้ ตกลงมั้ย ”

“ ข้อสัญญาไม่เท่าเทียมเลย ทำไมต้องตกลง ” คนตรงหน้าพูดยิ้มๆพลางส่ายหน้า อาร์มมันยกบุหรี่ขึ้นมาสูบอีกครั้ง “ อีกอย่างนะ กูไม่แคร์หรอก ว่าใครจะแซวกูเรื่องแก้มหอม เพราะถ้ามันล้อกูว่า พี่อาร์มขา กูก็แค่ตอบรับ แล้วบอกว่ามันเมีย ทุกอย่างก็จบแล้วจริงมั้ย ”

“ K ” สบถอยู่ในใจตัวเอง ก็จริงของมัน อย่างเมื่อคืนมันก็พูดเหมือนกันเพื่อให้ผมยอมเปิดห้องให้ แถมยังต่อหน้าคนอื่นด้วยซ้ำ ส้นตีนเอ้ย ต่อรองยากชิบหาย  “ แล้ว..”

“ แล้วอะไร ”

“ แล้วมึงไม่สงสารไอ้ดีนเหรอวะ มึงลองคิดดูนะ ว่ามันจะรู้สึกแย่แค่ไหน ถ้าต้องเผชิญหน้ากับการแซวของไอ้เบส นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลยนะเว้ย ถ้าเพื่อนมึงต้องเถียงไม่ออกจริงมั้ยละ มึงแม่งเพื่อนรักกันไม่ใช่เหรอ มึงจะไม่แคร์เลยเหรอ ” สายตาที่มองกันนิ่งๆในตอนนั้น อีกฝ่ายถอนหายใจ “ มึงแม่งลองคิดถึงหน้าสัดเบส ตอนที่มันพูดว่า ป๊าขา ทางนี้ค่ะ แก้มหอมอยู่ทางนี้ค่ะป๊าขา มึงจะให้ลูกสาวที่แสนน่ารักของมึงถูกล้อเลียนจริงๆเหรอวะ เป็นกู กูไม่ยอมอะ ไม่ว่ายังไงกูจะไม่ให้ใครมาล้อเลียนนายท่านของกูเด็ดขาด ”

“ ปัญญาอ่อน ” อีกคนพูดเสียงต่ำ ก่อนจะพูดตัดบทเหมือนตัดความรำคาญ “ แต่ตกลงก็ได้ ”

“ เยส! ” เผลอกำมือดีใจมากไปหน่อย ผมกระแอมไอก่อนจะตีหน้านิ่ง “ งั้นเรามาทำสัญญากัน ” ผมยื่นมือออกไปข้างหน้าอีกคนที่ก็ขมวดคิ้วอีก

“ อะไรอีก ”

“ ก็ทำสัญญาไง ทำสัญญาก็ต้องจับมือกัน เพื่อตกลงในสิ่งที่สัญญากัน มันเป็นการกระทำเชิงสัญลักษณ์ ”

“ แม่มึงบอกอีกเหรอไง ”

“ ก็ไม่หรอก ” มือที่ยกค่อยๆลดลงในตอนที่พูด แต่ตอนนั้นอีกฝ่ายก็จับมันขึ้นมาก่อน ฝ่ามือหนานั้นกระชับมือของผม ก่อนจะปล่อยออกแล้วพูดแบบบอกปัด

“ แค่นี้ก็เสร็จแล้วใช่มั้ย ”

“ นั่นก็ใช่ ” พูดแบบไม่เต็มเสียงกับอีกคนที่ก็เหล่มอง

“ มีอะไรอีก ”

“ จริงๆมันก็จะมีข้อตกลงซึ่งกันและกันอีก นอกเหนือจากอะไรพวกนี้ เช่น เราต้องเก็บความลับระหว่างกันไว้ อย่างเรื่องที่กูกับมึงรู้จักกัน อยู่ข้างห้องกัน แล้วก็เรื่องที่แมวเราก็กิ๊กกัน เพื่อไม่ให้มันสืบเจอต้นเรื่อง.. ”

“ พูดให้มันดีๆ กิ๊กเหี้ยอะไร ” อีกฝ่ายพูดขัดขึ้นมาแบบเสียงเข้ม ผมสะดุ้ง “ แก้มหอมแค่คิดกับไอ้แมวนั่นแบบเพื่อน เค้าแค่ไม่เคยเจอแมวตัวอื่นมันก็แค่นั้น ”

“ ก็แล้วทำไมต้องส่งเสียงดังอะไรขนาดนั้น ” พูดเสียงเบาๆ กับอีกคนที่ก็เหล่มองมา “ แล้วอีกอย่างแมวกูก็ชื่อนายท่านไอ้สัด แมวนั่นพ่องมึงสิ ”

“ แล้วเรื่องที่เรารู้จักกัน ยังไงมันก็ต้องเก็บเป็นความลับอยู่แล้ว คนไม่โง่ก็น่าจะรู้ ”

“ K ” พูดแบบไม่ออกเสียงในตอนที่อีกคนก้มหน้าลงสูบบุหรี่อีกครั้ง “ แล้ว..”

“ อะไรอีก เรื่องเยอะชิบหาย ” อีกคนถอนหายใจ “ แต่อย่างว่า เรื่องใหญ่ขนาดนั้น กูคิดไม่ออกเลยรู้มั้ย ว่าไอ้เบสจะทำหน้ายังไง ถ้าสุดท้ายคนที่คอยช่วยมันตลอด จริงๆแล้วเป็นคนคนเดียวกับคู่แข่งสำคัญของมัน หรือกูจะบอกไอ้เบสดี ว่าจริงๆ ไอ้ดีนก็สบคบคิดกับมึง ”

“ Kเถอะ ” คนตรงหน้าหลุดยิ้ม “ กูแค่จะถาม ว่าเรื่องที่กูกับนาเดียเคยเป็นแฟนเก่ากัน ใครมันรู้บ้าง พวกคนในกลุ่มมึงรู้มั้ย ”

“ ถามจริง มึงคิดว่าถ้าไอ้ดีนรู้ มันจะไม่บอกสัดเบสเหรอ ” ผมนิ่ง “ ตอนนี้ถ้ามันรู้บางทีมันอาจจะรวมหัวกันแกล้งมึงก็ได้ แล้วนั่นก็อาจจะเป็นการรวมหัวกันในรอบหลายปีก็เป็นได้ ”

เผลอกลืนน้ำลายในตอนที่อีกคนบอก  ผมไม่ค่อยกลัวเรื่องการชกต่อยหรอก ผมพร้อมสู้ในกรณีตัวเองไม่ผิดอยู่แล้ว แต่ที่ไม่ชอบคือการทะเลาะแบบกวนตีนของพวกมันมากกว่า ผมเกลียดความน่ารำคาญแบบนั้น

“ สรุปคือ มีแค่มึงคนเดียวที่รู้ ”

“ อื้ม ”

“ โอเค ” พูดกับตัวเองเสียงเบาๆ ผมผ่อนหายใจออกมา เป็นความโล่งในระดับหนึ่ง

“ แล้วมีอะไรอีก ” คำถามของคนตรงหน้าทำให้ผมนิ่งคิด

จริงๆมันก็มีอีกหลายเรื่อง แล้วผมก็อยากจะให้มันออกกฏระหว่างเราด้วย อย่างเรื่องที่ว่าต้องทำตัวแบบไหนตอนที่เจอกันข้างนอก

“ ทำเหี้ยอะไรกันอยู่วะ ” เสียงของคนคุ้นเคยเอ่ยทัก ผมที่กำลังคิดประโยคพวกนั้นถึงกับหายลับไปจากสมอง ร่างหนาที่เดินเข้ามาผมคุ้นตาดี สายตาเรียวเล็กที่หรี่มองมาอย่างจับผิดและดูหาเรื่อง ตอนนั้นไอ้คนที่อยู่ตรงหน้าก็ออกตัวก่อนแบบไม่ใยดี

“ สูบบุหรี่ ” มวนบุหรี่ที่ใกล้หมดถูกยื่นขึ้นมาให้เพื่อนตัวเองดู แล้วในตอนนั้นดีนก็มองมาทางผม และใช่ มันต้องการคำตอบผมรู้

“ ก็สูบหรี่ ” ผมบอกก่อนจะมองลงไปบนพื้นทั้งๆที่ไม่มีก้นบุหรี่อะไรเลย เป็นวินาทีที่หัวใจของผมสบถออกมาว่า ‘ ชิบหาย แล้วทำไมเลือกไม่มีสักมวน ’  แต่นั่นก็ก่อนที่ไอ้อาร์มจะโยนบุหรี่ของตัวเองลงพื้นแล้วบี้มันด้วยรองเท้าผ้าใบที่ใส่อยู่  มันเดินออกไป

“ มึงมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ”

“ เพิ่งถึง ” ดีนตอบรับเพื่อนตัวเองที่เดินสวนตัวเองออกไปสั้นๆ อีกฝ่ายผละสายตาออกไปจากผม มันเดินตามเพื่อนของมันไป
 
“ แล้วกินคนเดียวไม่ได้หรือไงละสัด ทำไมต้องให้กูไปกินเป็นเพื่อนตลอด ”

“ ก็เรากินข้าวด้วยกันมาตั้งแต่ม.ต้น ”

“ เกี่ยวเหี้ยอะไรกัน ”

“ แล้วมึงไปยืนสูบบุหรี่เหี้ยอะไรตรงนั้น นั่นมันเพื่อนไอ้สัดเบสนะ สูบลงได้ยังไงวะ ” บทสนทนาที่ไกลออกไปเรื่อยๆดังแว่วมาให้ได้ยิน ผมที่ผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ในวินาทีนั้นราวกับลอดพ้นมรสุมใหญ่ของชีวิตแบบหวุดหวิด ขาของผมเดินออกมาจากทางหลังตึกช้าๆหลังจากปรับสีหน้าให้เป็นปกติ  ผมเดินตามหลังไอ้คนพวกนั้นออกมา ที่ก็ได้ยินร่างสูงตอบคำถามก่อนหน้านั้น

“ มันมาสูบก่อนกูแล้วมึงจะให้กูไล่มันหรือไงละสัด ”

“ ก็ใช่ไง ”

“ ช่างมันบ้างเถอะน่า อย่าไปสนใจเลย เออ แต่เดี๋ยวนะ ”

“ อะไร ” ดีนหันมามองเพื่อนตัวเอง ที่ชะงักขาหยุดยืนอยู่นิ่ง

“ เหมือนกูจะลืมของ มึงขึ้นไปต่อคิวร้านข้าวที่จะซื้อก่อนเลยไป ”

“ ร้านข้าวป้านะ ”

“ อื้ม ” แผ่นหลังหนาที่เดินออกไป ผมหยุดชะงักฝีเท้าที่กำลังจะเดินออกจากซอกตึก เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีของอะไรที่ลืมหรอก และแน่นอนว่าการเดินกลับมาครั้งนี้มันต้องการจะคุยกับผม

“ มีอะไร ” ถามออกไปตอนที่อีกฝ่ายกำลังทำทีเป็นเดินผ่าน

“ รู้มั้ยว่าที่กูต้องสูบบุหรี่ตั้งแต่เช้า มันเป็นเพราะว่าแก้มหอม ไม่ชอบกลิ่นบุหรี่น่ะ ”

“ แล้วจะบอกกูทำไม ”

“ ก็อยากให้มึงรู้ไว้ เผื่อมึงจะได้ไปบอกไอ้เบส ” สายตาคมเหลือบมองกันยิ้ม “ เพราะกูแม่งโคตรอยากจะบอกเรื่องของมึงกับไอ้เบสไอ้ดีนเลย ”

“ Kเอ้ย ” พูดออกไปเสียงไม่ดังนักกับอีกคนที่เดินยิ้มออกไปอย่างมีความสุข เมื่อคืนความรู้สึกที่เหมือนจะถือไพ่เหนือกว่านั้นได้พังทลายลงอย่างย่อยยับ  “ สักวันกูจะหาเรื่องมาขู่มึงบ้างไอ้สัด รับร้องว่าต้องพูดไม่ออกแน่นอน จำเอาไว้ ”


ผม สัญญากับตัวเองไว้แบบนั้นครับ

 
............................................................


ช่วยให้กำลังน้องเมี่ยง
ฝากติดตาม และฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ในทวิตด้วยนะคะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านแล้วคอมเม้นท์   หนมมี่จ้า
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 3 :: up! 1-12-62} #หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 01-12-2019 21:06:08
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 3 :: up! 1-12-62} #หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 01-12-2019 23:38:04
อ้าว.... ซวยแล้วหนูเมี่ยง ถ้าเพื่อนรู้ความจริงเข้าล่ะก็  :ling3:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 3 :: up! 1-12-62} #หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 02-12-2019 23:10:45
 :pig4: :pig4: :pig4:

แม่ม....ทะเลาะกันเด็กน้อย-ิบหาย
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 3 :: up! 1-12-62} #หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 04-12-2019 15:59:38
ความซวยมาหาเมี่ยงได้ไงงง
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 3 :: up! 1-12-62} #หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 05-12-2019 13:28:54
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 3 :: up! 1-12-62} #หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 06-12-2019 02:06:48
ฟีลว่าเมี่ยงถูกอาร์มปั่นหนักมาก แล้วเมี่ยงก็บ้าบอดิ้นตาม

เอ็นดูความเมี่ยง คือมีความย้อนแย้งและร้อนตัวตลอดเวลา 5555
อาร์มเหมือนมาเหนือน่ะ คือยังไงก็ไม่แพ้แน่นอน
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 4 :: up! 6-12-62} #หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 06-12-2019 21:07:15
ตอนที่ 4


สื่อการสอนภาษาอังกฤษของภาควิชาบริหารในช่วงเช้าค่อนข้างน่าเบื่อ มือของผมค้ำอยู่กับโต๊ะที่นั่งพลางมองหน้าจอโปรเจ็คเตอร์ด้านหน้าทั้งๆที่ในใจมีเรื่องที่ให้ขบคิดอยู่ตลอด และหนึ่งในนั้นก็คือ ใบหน้าเหี้ยเปื้อนยิ้มของไอ้สัดอาร์มที่ลอยไปลอยมาเหมือนผีไม่ได้ส่วนบุญอยู่ในส่วนนึงของสมอง

ภาพตอนอีกคนกำลังยิ้มแล้วก็หัวเราะสะใจกันที่เห็นผมตกหลุมพลางมันอย่างจัง ไม่นับประโยคท้ายทายนั่น ที่ก็คงอยากจะบอกเรื่องของผมเสียเต็มประดา

“ อย่าให้ถึงทีกูบ้างก็แล้วกันไอ้สัด กูจะเหยียบมึงให้จมเลย ไม่รอดแน่ ”

“ บ่นเหี้ยอะไรของมึง งุ้งงิ้งอยู่นั่น ” คนที่นั่งข้างกันเอียงตัวเข้ามาใกล้ก่อนจะกระซิบ ผมที่เหลือบไปมองทางเพื่อนตัวเอง ณ ขณะนั้นก็เผลอคิดอะไรบ้างอย่างตอนที่จ้องมองใบหน้านั้น

“ เจ้ย ”

“ ว่า ” อีกฝ่ายตอบรับแบบสนใจ

“ ทำไมหน้ามึงเหมือนหมาจังวะ ”

“ ไอ้ควาย ” มันพูดออกมาแบบเสียงไม่เบานัก ผมก็ได้แต่ยิ้มก่อนจะปิดปากหัวเราะถูกใจอยู่คนเดียว

ก็มันให้รู้สึกแบบนั้นจริงๆ ไอ้เจ้ยหน้าเหมือนลูกหมามาก แต่หมาพันธุ์อะไรอันนี้ผมก็ไม่สามารถบอกได้ แต่ในความรู้สึกคือมันเป็นแบบนั้นจริงๆ ขนาดไอ้เบสยังชอบบอก ไอ้เจ้ยมีใบหน้าแบบ ถ้าแลบลิ้นออกมาแล้วพูด ‘ แฮ่กๆ ’ ก็คือใช่เลย

“ หมาพ่อมึงสิสัดเมี่ยง ”

“ บ้า ” ผมส่ายหน้าด้วยแววตาใสซื่อ “ พ่อกูไม่เลี้ยงหมา ”

“ ถามดีๆเสือกกวนตีน กูแม่งไม่น่าทัก ” คนพูดถอนหายใจออกมาพลางส่ายหน้าไปมาอย่างเสียความรู้สึก “ น่าจะปล่อยให้มึงเครียดตายไปเลยไอ้สัด ”

“ แล้วมึงเป็นเหี้ยอะไร ทำไมชอบเสือกเรื่องกูนัก ”

“ ช่วยเรียกว่าห่วงใยได้มั้ย ” เจ้ยมันท้วง

“ ที่มันมีเส้นบางๆ กั้นไว้กับคำว่าเสือกอะนะ ”

“ จ้า ไอ้หน้าเหี้ย ”  ตอบรับด้วยรอยยิ้มให้กันและกัน เราหัวเราะแบบไม่ออกเสียง ก่อนที่อีกคนจะยื่นมือเข้ามาตบลงกลางหัว “ ส้นตีน ”

“ ว่าแต่ถ้ากูเล่าเรื่องของกูให้มึงฟัง มึงแม่งจะช่วยได้เหรอ ”

“ เรื่องอะไร ” อีกคนถามกลับด้วยท่าทีงงๆ

“ ก็เรื่องที่กูเครียดอยู่ไง ”

“ อ้ออออออออออ แสดงว่าเครียดอยู่จริงๆ ” สายตากลมนั่นเหล่มอง ผมก็ได้แต่พยักหน้ารับจำยอมรับ

“ อื้ม ”

“ มันก็ไม่แน่หรอก มึงก็พูดมาก่อนสิ ถ้ากูให้ความคิดเห็นได้กูก็จะให้ แต่ถ้าให้ไม่ได้ กูก็จะปล่อยเบลอไปจ้ะ ”

“ K ” สบถแค่นั้นพร้อมกับคนข้างกันที่ก็แค่ยักคิ้วให้อย่างไม่รู้สึกถึงความเดือดร้อนแทนกันแต่อย่างใด “ คือกูแค่อยากรู้ว่าว่ามันมีวิธีอะไรบ้าง ที่ทำให้คนที่เราเจ็บใจ มันเจ็บใจบ้าง ”

“ คือ..” เจ้ยมันลากเสียง ผมก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ด้วยความสนใจ

“ ยังไงๆ มึงมีวิธีเด็ดๆใช่มั้ย ”

“ ไม่สัด กูแค่จะบอกว่า มึงพูดเหี้ยอะไรของมึง ไม่เข้าใจเว้ย ”

“ ควาย ” มือที่ยกขึ้นเกาหัวตัวเองทันทีในตอนที่สบถ เอาจริงๆมันก็ไม่รู้หรอกว่าต้องอธิบายอีกคนว่ายังไง ไอ้เจ้ยไม่ใช่คนโง่ ถ้าพูดออกไปตรงๆมันก็คงรู้ เพราะงั้นก็ต้องปรึกษาแบบไม่พาดพิงถึงคนพวกนั้นสักประโยค “ คือมันเป็นเรื่องของเพื่อนกู ”

“ อ่าห๊ะ ”

“ กูจะสมมุติให้มึงฟังนะ แต่มันไม่ใช่เรื่องจริง ”

“ อื้ม ”

“ ไม่ใช่เรื่องจริงนะ ” ผมย้ำ

“ เออ รีบพูดมาไอ้สัด ก่อนที่กูจะคิดว่ามันคือเรื่องจริง แล้วมันก็คือเรื่องของมึง ไม่ใช่เพื่อนอย่างที่อ้างอยู่ ”

“ ไม่ใช่เรื่องจริงเว้ย  เรื่องของเพื่อนด้วย คือสมมุติว่าถ้ามึงแม่งหมั่นไส้ใครสักคน คนที่มันเหนือกว่ามึง คนที่มันกุมความลับมึงอยู่ มันมีวิธีไหนบ้างวะที่จะทำให้เราอยู่เหนือคนแบบนั้นบ้าง เพราะกูไม่อยากจะเป็นฝ่ายเดียวที่โดนรังแก ”

“ คนแบบนั้นสำหรับกู คือมิ้งไง ” ชื่อแฟนสาวของอีกคนถูกพูดขึ้นมา “ คนที่กูอยากจะอยู่เหนือมันบ้างก็มีแค่คนเดียว นั่นก็คือเมียกู ซึ่งถามว่ากูเคยอยู่เหนือมันบ้างมั้ย คำตอบคือไม่ครับ ไม่เคยเลย อยู่ใต้อำนาจมันตลอด เจ้ยซื้อข้าวมาให้ด้วย เจ้ยลงไปซื้อผ้าอนามัยให้หน่อย เจ้ย เจ้ย เจ้ย เจ้ยอยู่นั่นทั้งวัน ไอ้สัด”

“ ใจเย็นนะเพื่อนนะ ” ผมเอื้อมมือไปบีบมือมัน “ คือมึงต้องหยุดอินก่อน กูไม่ได้พูดถึงคนที่อยู่ในฐานะเมีย หรือแฟน กูพูดถึงคนอื่น คนที่มันเป็นอริกับมึง ”

“ เหมือนไอ้เบสกับสัดดีนอะนะ ” คำพูดนั้นชวนให้ผมนิ่งค้างก่อนจะพยักหน้ารับ

“ ก็ ก็ประมานนั้น ”

“ งั้นกูก็ไม่ทำอะไรอะไอ้สัด กูจะปล่อยมันไป แล้วกูก็จะอยู่เฉยๆของกู ไม่อยากทะเลาะด้วย เพราะแม่งปัญญาอ่อน ”

“ ไม่เอาสิ มึงต้องสู้มันสักหน่อยนะเว้ย มึงจะปล่อยมันไปเฉยๆไม่ได้สิ  ” ผมเถียง แต่นั่นก็เหมือนจะทำให้เจ้ยยิ่งขมวดคิ้ว

“ อะไรของมึง หรือมึงไปมีเรื่องกับพวกไอ้สัดดีน ”

“ ไม่เลยเว้ย ” ผมส่ายหน้า “ เปล่าเลย คือ คือกูหมายถึงว่ามึงจะปล่อยให้มันมามีอำนาจเหนือมึงอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้ไง เข้าใจใช่มั้ย  คนเราจะยอมอยู่ใต้อาณัติคนอื่นไปทำไมไอ้สัดจริงมั้ย ”

“ แล้วปัญหาของมึงคืออะไร ”

“ ก็คือกูอยากจะอยู่เหนือมันบ้างไง ” ผมบอกก่อนจะถอนหายใจ “ แต่กูไม่รู้จะทำยังไง เพราะกูไม่มีเรื่องอะไรไปต่อรองกับมัน ” ส่วนเรื่องที่พอจะต่อรองได้ก็เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ค่อยแคร์เท่าไหร่เลยด้วย

“ แล้วมึงไม่รู้ความลับของมันเลยเหรอ ”

“ ไม่รู้ ” ส่ายหน้าไปมาพร้อมกับคำตอบ “ กูไม่รู้ความลับอะไรเลยเกี่ยวกับตัวมันเลยสักอย่าง ”

“ งั้นมึงมีน้องมั้ยละ ” คนข้างกันหันมาถามเสียงเรียบ ผมก็ได้แต่ส่ายหน้า

“ กูมีแค่พี่สาว ”

“ งั้นก็ดีเลย ” ไอ้เจ้ยยิ้มตอนที่ได้ยิน ท่าทางมันในตอนนั้นทำให้ผมคิดอะไรขึ้นมาได้

 “ นี่มึงอย่าบอกนะ ว่าจะให้พี่สาวกูไปคบกับมัน ”

“ ก็ฉลาดนี่สัดเมี่ยง ”

“ Kเถอะเพื่อนเจ้ย พี่สาวกูมีแฟนแล้ว แถมปีหน้านี้เค้าก็จะแต่งงานกันแล้วด้วย ”

“ อ้อเหรอ เสียดายเลย ”

“ เสียดายเหี้ยอะไร ต้องบอกว่าดีแล้ว  เพราะกูไม่มีความคิดที่จะดองญาติกับคนแบบนั้นเลยไอ้สัด ” หันไปเถียงด้วยความหงุดหงิดก่อนจะถอนหายใจ “ วิธีเหี้ยอะไรของมึง คือถามจริง มันไม่มีวิธีที่มันดีกว่านี้แล้วเหรอไงวะ ”

“ ก็นี่ไงวิธีที่ดีที่สุด หรือไม่นะมึงก็จีบมันเลย ถ้ามันเป็นผัวมึง ทุกอย่างก็จบ ยังไงแม่งก็ต้องฟังมึงอยู่แล้ว เถียงไม่ได้ด้วย เหมือนกูกับมิ้งไง ”

“ คือกูต้องเอาตัวกูเข้าแลกขนาดนั้นเลย ” หันไปถามอีกคนเสียงจริงจังไอ้สัดเจ้ยมันก็หัวเราะก่อนจะพยักหน้ารับตามคำพูดนั้นของผม

“ คือกูพูดจริงนะเว้ยเมี่ยง นี่แหละทางที่มึงจะเหนือกว่ามันในกรณีนี้ ก็มึงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวมันเลย จุดอ่อนอะไรก็ไม่รู้ จริงมั้ย ”

“ อื้ม ” ผมพยักหน้ารับ

“ เพราะงั้นการเป็นแฟนกันก็ถือเป็นทางหนึ่งที่ดี เวลาคนเราคบกันมันต้องเกรงใจกันอยู่แล้ว เหมือนกูกับมิ้งไง แล้วกูว่าแม่งก็ดีนะ จากศัตรูกลายมาเป็นคนรัก เพราะพอพักรับ ก็พบรักกันเลยไงจ้า ”

“ ไปจ้ากับพ่อมึงสัดเจ้ย กูจะอ้วก ” หันไปบอกคนที่นั่งข้างก่อนจะยกมือขึ้นเท้าคางตัวเอง อย่าคนคิดอะไรไม่ออก เพราะพอจินตนาการว่าชีวิตหนึ่งนี้ต้องได้คนแบบไอ้สัดอาร์มมาเป็นเมีย ก็รู้สึกเหมือนจะอ้วกขึ้นมาแบบทันทีอย่างไร้เหตุผล  ไม่ต้องคิดถึงว่าเราต้องจูบ โอบกอด หรือต้องทำอะไรที่มันมากกว่าคนทั่วไปทำกัน ในฐานะคนรัก

แววตาที่เหมือนหาเรื่องต่อยกันอย่างงั้น แค่คิดว่ามันอาจจะเดินเข้ามาหาผมในตอนที่เรางอนกัน ดัดเสียงสองแบบที่ชอบพูดกับแมว แต่เอามาพูดกับผมแทนว่า ‘ เมี่ยงอะ อาร์มจะงอนแล้วนะ ’ ความรู้สึกตอนที่มันออดอ้อนกันอย่างงั้น เพียงแค่คิด ขนทั้งตัวก็เหมือนจะลุกซู่คิดมาอย่างไร้สาเหตุ

“ หึ้ยยย ขนลุก พอๆ ไอ้สัดเลิกคิด เลิกๆ ”

“ อะไร มึงคิดเหี้ยอะไรอยู่ ” เจ้ยถามตอนที่เห้นผมส่ายหน้าไปมาอยู่คนเดียว 

“ กำลังคิดว่าไอ้เหี้ยนั่นเป็นเมียกูมันจะเป็นยังไง ซึ่งมันแบบ..” ผมหลับตาอย่างอยากลืมภาพจำทั้งหมด “ อย่าให้พูดเลยสัด อย่าให้ชีวิตกูต้องมาเจอกับเหี้ยอะไรแบบนั้นเลย ”

“ ขนลุกมากเลย ”

“ มาก  เพราะกูแค่จินตนาการว่ามันใส่ขาสั้นแล้วเข้ามานั่งบนตักกู กูก็จะอ้วกแล้ว เพราะงั้นอย่าเลย ”

“ ก็แล้วทำไมไม่คิดว่ามึงเป็นเมียมันละ ให้มันอะเป็นผัวมึง ”

“ ไม่เอาเว้ย ” เถียงกลับไปแบบตาตั้ง อีกคนก็หลุดหัวเราะ ไอ้เจ้ยเอื้อมมือมาหยิกแก้มผม พร้อมกับเสียงสองที่มันชอบพูดใส่กันในเวลาแสดงท่าทางแบบนี้

“ แหมมม ก็น้องเมี่ยงของพี่เจ้ยน่ารักจะตายไป ขาวๆ นุ่มๆ ฟูๆ น่าเอ็นดูออกน้าค้าบบ ”

“ นุ่มฟูเหี้ยอะไร ไม่เอาเว้ย กูจะหาลูกสะใภ้ให้แม่ ไม่หาลูกเขย ไอ้สัด ” ปัดมืออีกคนออกด้วยเสียงจริงจัง แต่เหมือนไอ้เจ้ยจะยังไม่เห็นด้วยสักเท่าไหร่ มันเบิกตากว้างแล้วเกร็งค้างไว้อย่างงั้นพร้อมกันรอยยิ้มกวนตีน

“ แล้วถ้าอย่างงั้นมันมีหลานรักมั้ยละ ไม่ก็น้องสาว น้องชาย ถ้ามีนะ มึงก็หาหลานตัวเองสักคนไปจีบแม่งเลยดีมั้ย เพราะพอคนที่มันรัก รักกับคนที่มันเกลียด มันก็ต้องหงุดหงิดเป็นธรรมดาอยู่แล้ว แล้วยิ่งเห็นว่ารักกันมากก็ยิ่งหงุดหงิด กูว่ามึงลองหาไว้ก็ดีนะ ใครสักคนที่มันรักน่ะ ”

“ ใครสักคนที่มันรักเหรอวะ ”

ผมทวนประโยคที่เพื่อนสนิทพูด ก่อนที่ใบหน้าของเจ้าแมวตัวกลมสีขาวจะปรากฏขึ้นในสมองส่วนฝั่งของความทรงจำ พร้อมกับใบหน้าเหี้ยๆของผู้เป็นเจ้าของตอนที่ผมเอ่ยพูดกับมันเมื่อเช้าว่า นายท่านกับแก้มหอมกำลังกิ๊กกันอยู่  ท่าทางหัวเสียอย่างขีดสุดที่อยู่ๆก็เสียงดังขึ้นมาอย่างรับไม่ได้ในตอนนั้น 

“ ใช่เลยสัดเจ้ย แผนมึงนี่แหละ โคตรเวิร์ค ”

“ มึงคิดออกแล้วเหรอ ”

“ ใช่ แล้วมันก็เป็นแผนที่เด็ดมากเลย ”

“ งั้นก็จัดการ ” มือที่ถูกยื่นมาให้ เราจับมือกันก่อนจะพยักหน้ารับแบบพร้อมเพียง แต่ในตอนนั้นสัดเจ้ยมันก็พูดขึ้นอีก

“ แต่ถ้าไม่เวิร์คก็ลองไปเป็นเมียมัน จะได้กุมอำนาจของมันทุกอย่าง ”

“ K กูไม่ยอมเป็นเว้ย เพราะถ้าเป็น ฐานะเดียวที่กูจะเป็น ก็คือผัว จำไว้ ” ย้ำอีกคนเป็นคำตอบอย่างมั่นใจ

ผมไม่สนใจอะไรอีกแล้วในตอนนี้แม้แต่สีหน้าของเพื่อนที่ถอนหายใจออกมาอย่างไม่เชื่อกัน เพราะในสมอง มันคิดจินตนาการไปถึงแต่ไอ้นายท่านแมวสุดหล่อของผมที่กำลังกอดจูบแล้วก็เลียขนให้เจ้าแก้มหอมแมวสุดที่รักของอีกคน และที่สำคัญ ถ้ามันรักกันจริงๆ แล้วเจ้าแก้มหอมท้องละก็...

“ ถ้าลูกสาวสุดที่รักต้องมาเป็นเมียของลูกชายคนที่เกลียด มึงต้องอกแตกตายแน่นอนเลยไอ้สัดอาร์ม  ”

“ ห๊ะ ? มึงว่าอะไรอาร์มๆนะ ”

“ อาร์มเหี้ยอะไร ” ผมเถียงตาโตแบบคนเลิ่กลั่ก “ กูแค่ร้องเพลง ”

“ ร้องเพลง ? ”

“ ใช่ ก็ อังอังอัง ตดเตะโมะดาอิซุกิ .. โดราเอม่อน ” เพลงเดียวที่นึกออกร้องออกไปแบบนั้นอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่เหมือนว่าจะได้ผล ไอ้เจ้ยดูนิ่งไปเลย คงไม่ทันได้ตั้งรับกับเหตุการณ์นี้

“ เมี่ยง ” มือนั้นเอื้อมมาจับที่ไหล่ผม “ หาหมอบ้างนะ สมองมึงเริ่มดูมีปัญหาขึ้นเยอะเลยว่ะช่วงนี้ ”

“ ไอ้สัด ” ปัดมือของมันออกจากไหล่ ผมหันไปมองหน้าห้องเรียนก่อนจะยิ้มขึ้นมากับตัวเอง ก็แค่ดีใจมากเกินไปหน่อยที่เห็นทางสว่างของการเอาคืนมันก็เท่านั้นเอง แล้วมันจะแปลกอะไร

แต่ว่า แมวจะให้ความร่วมมือด้วยมั้ย
อันนี้ ก็เหมือนจะเป็นอีกเรื่องนึง


“ กลับมาแล้วครับผมมมมมม ” ลากเสียงออกไปทักทายในตอนที่เปิดประตูคอนโดเข้าไปในห้อง แต่ทว่าแมวร่วมห้องกลับไม่มีการส่งเสียงอะไรตอบกลับมาเลยสักคำ เจ้าตัวลายย้ายที่นั่งจากคอนโดแมวในตอนที่ผมออกไปมาเป็นโซฟาสีน้ำตาตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้องพร้อมกับหางตาที่มองกันคล้ายกับจะติเตียน เพราะเหมือนว่าผมจะมาขัดเวลาเลียขนอันมีค่าของมัน “ คือช่วยมองกันแบบเป็นมิตรจะได้มั้ย ”

ผมวางของลงบนโต๊ะ ก่อนจะเดินมานั่งลงข้างๆอีกตัวที่ก็พอยื่นมือเข้าไปจะอุ้ม นายท่านก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินหนีไปตรงประตูตรงระเบียงที่ปิดสนิททันที มันนั่งลงตรงนั้นส่ายหางยาวกลมไปมา แววตาก็เอาแต่มองออกไป

“ มึงอยากออกไปข้างนอกเหรอนายท่าน ”

“ เมี๊ยว ” เสียงแรกที่ได้ยินตอบกลับมา ผมถึงขึ้นตาโตในตอนที่นายท่านมาตะบบมือเข้ากับประตูบานเลื่อนนั้น มันส่งเสียงออกมาอีกครั้ง “ เมี๊ยว ”

“ มึงร้องแล้ว มึงร้องจริงๆด้วย เอ้ยยยย มึงร้องแล้ว ” ผมดึงตัวเองเข้าไปมองอีกคนด้วยความรวดเร็วตอนได้ยินเสียงนั้น รอยยิ้มที่ปิดไว้ไม่มิดทำให้นาท่านถึงกับถอยหลังห่างออกไปด้วยความกลัว ตอนที่ผมลุกขึ้นมานั่งลงข้างๆมัน “ ไม่ต้องกลัวน่า กูไม่ได้ดูน่ากลัวเลยใช่มั้ย ให้ข้าวมึงกินทุกวันด้วยนะ ” เอื้อมมือไปลูบหลังมันเบาๆอีกคนก็นิ่ง “ ไหนเมี๊ยวอีกที เมี๊ยว  ร้องให้กูชื่นใจหน่อย ให้กูรู้สึกแน่ใจว่ามึงไม่ได้เป็นใบ้อย่างที่ไอ้สัดข้างห้องนั้นว่า เมี๊ยวสิ เมี๊ยว ”

“ เมี๊ยว ” ย้ำกันด้วยเสียงที่มันพร้อมกับสายตาที่บอกกันว่า ก็ไม่ใช้น่ะสิไอ้โง่ แตถึงอย่างงั้นผมก็ยังยิ้มกว้าง พร้อมกับลูบหัวมันเบาๆ ผมเกาคาง

“ เดี๋ยวจะเกาคางให้นะ ชอบเปล่า เกาคาง ” นายท่านหลับตาพริ้มเชิดหน้าให้ผมเกาคางอยู่ไม่นาน ก่อนจะลุกขึ้นเอาตัวมาถูไถกัน มันย้ายตัวเองไปนั่งตรงประตูระเบียงอีกครั้ง สายตามองไปที่ด้านนอกพร้อมกับร้องออกมา

“ เมี๊ยว ”

“ โอเค อยากออกไปสูดอากาศสินะ ” ไม่มีคำตอบว่าเมี๊ยวอีกแต่ไม่คิดว่าจะใช่ เพราะนอกจากจะไม่ดื่มด่ำกับอะไรอย่างที่คิดแล้ว มันยังแค่พาตัวเองไปนั่งอยู่ตรงฝั่งระเบียงที่เห็นห้องติดกัน ห้องของน้องแก้มหอมคนสวย “ ฮั่นแน่ มึงนี่ร้ายน้า แอบมองสาวข้างห้องด้วย ”

“ เมี๊ยว ” ตอบกันเสียงเบาๆในตอนที่ผมนั่งย่อตัวลงข้างๆ เรามองไปที่ห้องข้างๆพร้อมกัน และเหมือนว่าทางนั้นจะเปิดประตูระเบียงเอาไว้ด้วย เพราะผมเห็นชายผ้าม่านที่ปลิวโต้ลมไปมาเบาๆ

“ นี่นายท่าน ” ผมหันไปมองแมวตัวเอง ที่ก็หันกลับมามองอย่างรู้ชื่อตน “ กูจะบอกอะไรให้นะ ถ้ามึงอยากจะเจอน้องแก้มหอม มึงต้องแสดงตัวตนนะ มึงต้องเมี๊ยวให้เสียงดังๆเพื่อเรียกเค้าให้ออกมา มึงจะมาเมี๊ยวอยู่ในลำคอแบบที่พูดกับกูไม่ได้หรอกนะ เพราะมึงรู้อะไรมั้ยว่าแม้แต่ในโลกของมนุษย์อะ คนที่มันไม่ค่อยพูด มันก็ไม่ค่อยมีเมียหรอก สมัยนี้มันหมดยุดคนซึนเท่ากับเท่ห์แล้วจะบอกให้ เพราะงั้นถ้ามึงชอบมึงต้องเปิดเผย เมี๊ยวออกไปเลยเสียงดังๆ เมี๊ยว! ”

“ ประสาท ” เสียงทุ้มจากฝั่งตรงข้ามที่พูดออกมาพร้อมกับขาที่ก้าวเดินออกมาตรงระเบียง ในอ้อมกอดของร่างสูงคนข้างห้องนั้นมีเจ้าแก้มหอมขนนุ่มอยู่

“ เมี๊ยว ” ท่าทางที่ดูดีใจของมัน กระโดดลงจากตัวเจ้านายทันทีก่อนจะมานั่งจุ่มปุ๊กลงตรงขอบระเบียงตรงข้ามกับเจ้านายท่านแบบพอดี  “ เมี๊ยว ” เสียงใสนั่นร้องทักอีกครั้ง ท่าทางที่ดูเหมือนกำลังยิ้มกว้าง และเอ่ยออกมาเสียงใส ‘ นายท่าน ’

“ อ้าว คิดว่าเปิดระเบียงทิ้งไว้ ” เอ่ยทักอีกคนที่ก็ยังคงนิ่งตามนิสัย “ มึงกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ก่อนกูอีกเหรอ ”

“ เพราะกูไม่ได้นั่งตะกละเหมือนใครบางคนที่กินทั้งชาเย็น ข้าวหน้าหมู แล้วก็ยังมีเกาเหลาต้มยำอะไรนั่นอีก ”

หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 3 :: up! 1-12-62} #หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 06-12-2019 21:07:40
“ เชี้ย รู้ได้ไงวะ ” ผมถึงกับผงะไปในตอนที่อีกคนพูด แต่เหมือนฝั่งตรงข้ามจะรู้สึกดีเอามากๆ ไอ้อาร์มถึงขั้นยกยิ้ม เหมือนตัวเองเหนือกว่า แต่มีเหรอที่ผมจะยอมแพ้  “ หรือว่า...”

“ อะไร ” มันเลิกคิ้วถามกัน

“ หรือว่ามึงแอบชอบกู มึงก็เลยเฝ้าการติดตามของกูตลอดเลย แต่บอกไว้ก่อนนะ กูไม่เป็นเมีย  แล้วที่สำคัญ รักกูก็ต้องรักนายท่านด้วย ”

“ แง้ว ”

“ แก้มหอมขาก็เห้นด้วยใช่มั้ยครับ หรือว่าหนูกำลังจะบอกพี่ว่า หนูรักนายท่านค่ะ แบบนั้นใช่มั้ยครับ ”

“ เมี๊ยว ” เจ้าตัวน่ารักตอบ ผมก็ได้แต่ยิ้มกว้างแล้วก็พยักหน้ารับอยู่อย่างงั้น ก่อนจะหุบยิ้มลงตอนได้ยินเสียงเจ้าของพูดขัด

“ เหี้ยอะไรของมึง ” สีหน้าจรังจังพูดขัด “ กูก็แค่เดินผ่านโต๊ะมึงตอนที่ไปโรงอาหารหลังเลิกเรียนแล้วก็เห็น มันก็แค่นั้น ”

“ กูไม่เห็นจะเห็นมึงเลยสัด โกหกเปล่า ”

“ โกหกเหี้ยอะไร ” อีกฝ่ายเริ่มเถียงเสียงจริงจังแบบไปไม่เป็น “ แล้วมึงจะเห็นได้ยังไง ก็มึงเล่นก้มหน้าก้มตาแดกไม่ดูอะไรเลย ” คำพูดนั่นทำให้ผมเผลอคิดถึงตัวเองเมื่อช่วงเที่ยงผ่านมาไม่ได้ จะว่าไปก็จำได้ว่าหิวมาก ตอนที่ได้ของกินมาหลังจากต่อแถวซื้อ ผมก็เล่นก้มหน้ากินไม่มีหยุดเลย “ ตะกละชิบหาย ”

“ กูแค่หิวมากเกินไปไอ้สัด มึงไม่เคยหิวมากๆเหรอไง ”

“ เคย แต่ไม่เคยตะกละอย่างงั้น ”

“ K ” พูดออกไปแบบไม่เบานัก อีกคนก็ยกยิ้มขึ้นมาก่อนจะก้มหน้าลงไปมองแมวตัวเอง มือที่ทำทีจะคว้าอุ้มเจ้าแก้มหอมที่ยังคงจ้องมองนายท่าน ผมมีความรู้สึกต้องรั้งอีกฝ่ายไว้ให้นานกว่านี้สักหน่อย แต่แน่นอนว่าไม่ได้เพ่อตัวเองแต่อย่างใด ผมแค่อยากจะสานสัมพันธ์ให้แมวทั้งสองตัวผูกมิตรกันไว้ให้มากๆ “ นี่ คุยกันหน่อยน่า มึงจะรีบเข้าห้องไปไหน ”

“ คุย ? ” อีกคนทวนคำพูด “ มึงนี่อะนะจะชวนกูคุย ”

“ ใช่ ก็จะแปลกอะไร เรามันคนข้างห้องกัน ” แต่นั่นแหละที่แปลก อริที่ไหนมันจะชวนคุยกัน แค่คิดว่ามันไม่แปลก ก็นั่นแหละที่โคตรจะแปลกแล้ว “ คือ มึงกลับมานานแล้วเหรอ ”

“ ก็นานพอจะได้ยินมึงพูดกับไอ้แมวนั่น ว่าให้เรียกชื่อลูกกูดังๆ เพราะแม้แต่ในโลกของมนุษย์ก็ยากที่คนไม่พูดจะมีเมีย ”

“ จุดไคลแมกซ์ด้วยนะ ” บ่นเบาๆกับตัวเอง ก่อนอีกฝ่ายจะเหลือบตามองกัน

“ ทำไม ”

“ เปล๊า แต่มึงดูเก็บรายละเอียดจังเลยว่ะ ” ผมว่าเย้า “ คือไม่ใช่ว่าได้ยินเสียงกูตอนเข้าห้อง แล้วมึงก็มายืนแอบฟังอยู่ตรงประตูระเบียงหรอกนะ ”

“ แล้วทำไมกูต้องทำอะไรแบบนั้น ” สายตาที่ถามแบบสงสัย อาร์มเลิกคิ้ว

“ ก็ไม่แปลกที่กูจะคิดเปล่าวะ ก็มึงดูให้ความสนใจกับชีวิตกูจัง ตั้งแต่สืบเรื่องกู แถมยังเอาหน้ากูไปเปรียบเทียบกับลูกสาวสุดที่รักของมึงอีก มันมีใครเอาสุดที่รักของตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนที่เกลียดหรอกจริงมั้ย ”

“ ก็คือมึงจะยัดเยียดให้กูรู้สึกว่าชอบมึงให้ได้ ” อีกฝ่ายมองกันอย่างพิจารณา อาร์มมองผมยิ้มๆ “ หรือว่า.. มึงจะชอบกู ”

“ มึงจะบ้า! ” ผมเถียงกลับเสียงดัง อีกฝ่ายก็ยกยิ้ม  “ กูแสดงท่าทางเหี้ยอะไรให้มึงต้องคิดว่า กูจะรู้สึกอะไรแบบนั้น ”

“ ก็สิ่งที่ทำอยู่นี่ไง ” อาร์มมันบอกด้วยหน้าจริงจัง “ มึงพูดว่ากูสนใจมึง กูมองมึง หรือว่าจริงๆแล้ว มึงจะชอบกู แล้วกลัวจะเสียฟอร์มที่ชอบกูก่อน ก็เลยโยนมันมาให้กู ”

“ ชอบเหี้ยอะไร ” บอกปัดอีกฝ่ายเสียงดังจนไอ้นายท่านถึงกับเงยหน้าขึ้นมามอง

“ ร้อนตัวจังน้า ”

“ ไม่ได้ร้อนตัวเว้ย ” อีกฝ่ายยกยิ้มกับคำพูดของผม ที่ก็ทำได้แค่ถอนหายใจออกมาอย่างที่ไม่รู้จะแก้สถานการณ์ยังไง ทั้งๆที่ตั้งใจพูดออกไปให้มันติดกับแต่สุดท้ายก็เป็นตัวเองอีกครั้งที่ตกหลุมพลางนั่นซะเอง “ กูไม่ได้ชอบมึงสักหน่อย ”

“ กูก็ไม่ได้ชอบมึงเหมือนกัน ” อาร์มมันย้ำ “ กูแค่เป็นพวกไม่ชอบตกเป็นรองใคร เพราะงั้นกูเลยต้องสืบว่ามึงเป็นใครในตอนที่มึงเข้ากลุ่มไอ้เบสมา อย่างที่กูเคยบอก กูต้องรู้จุดอ่อนของศัตรู แล้ววันนี้ที่รู้มึงกินข้าวกับอะไร แล้วตั้งใจกินแค่ไหน นั่นก็เพราะว่า โต๊ะที่มึงนั่งมันอยู่ระหว่างทางเดินที่กูต้องเดินไปพอดีก็เลยเห้น แล้วที่กูได้ยินมึงพูดกับไอ้แมวนั่น มันเป็นเพราะแก้มหอมของกูปกติไม่ดิ้นเลยเวลากูกอด แต่วันนี้มันดิ้นลงจากตัวกู เพราะได้ยินเสียงระเบียงห้องมึงมันเปิดออก ทุกอย่างมันก็เท่านั้น ”

“ ตั้งใจอธิบายจังวะ ” ผมเลิกแขวะไม่ได้ อีกคนก็ยิ้ม

“ แน่นอนสิ  เพราะกูไม่อยากจะให้ใครเผลอคิดเข้าข้างตัว ” ประโยคตอบกลับที่ชวนให้นิ่งค้าง เหมือนถูกด่าว่าหลงตัวเองแบบอย่างสุภาพชน ร่างสูงก้มลงอุ้มเจ้าก้อนขน “ ป๊าว่าเราเข้าบ้านกันเถอะค่ะแก้มหอม เข้าไปกินข้าวกันดีกว่านะ เพราะอยู่ตรงนี้นานไปๆ เดี๋ยวใครเค้าจะเข้าข้างตัวเองคิดว่าป๊าไปชอบเค้าอีก ”

ก้มหน้าลงพูดกับแมวตัวเองแบบยิ้มๆ แต่เหมือนว่าน้องแก้มหอมจะไม่ได้คิดแบบนั้น เจ้าตัวกลมไม่ได้ขยับไปไหนเลยมันยังคงนั่งอยู่ที่เดิมอย่างงั้น แม่จะถูกช้อนตัวอุ้มแล้วก็ทำตัวย้วยเป็นของเหลวเพราะไม่อยากจะออกจากตรงนั้นไปไหน

“ ท่าทางมันยังไม่อยากจะเข้าห้องนะ มันยังอยากจะนั่งมองตากับนายท่านของกูอยู่ ”

“ ไปกันค่ะแก้มหอม ” มือหนาอุ้มเจ้าตัวขนนุ่มขึ้นมา แต่เหมือนมือเล็กๆของน้องแก้มหอมจะเร็วกว่า กรงเล็บนั่นตะบบรั้วไว้อย่างแข็งขืนพร้อมด้วยเสียงร้องเล็กๆเหมือนจะเถียงอีกฝ่าย

“ เมี๊ยว เมี๊ยว เมี๊ยว ”

“ เห็นมั้ยมันไม่อยากไปจริงด้วย มันกำลังบอกมึงแน่ๆเลย ” ผมพูดอย่างจริงจังก่อนจะดัดเสียงสองในตอนที่จะเลียนแบบเสียงแมว “ ไม่ค่ะป๊า แก้มหอมไม่ไปไหนทั้งนั้น แก้มหอมจะนั่งมองนายท่านอยู่แบบนี้ ป๊าปล่อยแก้มหอมนะคะ ป๊าปล่อยแก้มหอมไป ”

“ แมวกูไม่น่าแรดได้ขนาดนั้น ”

“ แต่ท่าทางก็บอกอยู่น้า ” ลากเสียงยาวบอก อีกคนก็ถอนหายใจ อาร์มมันดึงมือของแก้มหอมที่ติดอยู่กับซี่กรงนั่นออก ก่อนจะเหล่มองผมอย่างจับผิด “ อะไร ”

“ นี่อย่าบอกนะ ว่าวิธีเอาคืนของมึงก็คือทำให้ลูกสาวกูกับลูกชายมึงชอบกัน เพื่อให้กูรู้สึกหงุดหงิด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ต้องยอมรับผลอย่างเดียว ”

“ มึงจะบ้า! ” เถียงออกไปแบบตาโต ในตอนนั้นคนฟังก็แค่ยกยิ้มก่อนจะส่ายหน้า

“ คิดไว้ไม่มีผิด ”

“ กูไม่ได้รู้สึกอย่างงั้นเลยสัด ใครมันจะคิดใช้วิธีนั้นกัน ”

“ ใช่ เพราะมันเป็นวิธีที่โคตรสกปรก เพราะมึงไม่ได้คิดถึงผลกระทบของแมวมึงเลย ว่ามันอาจจะเหงาหลังจากสูญเสียเพื่อนเล่นไป ในกรณีที่กูหงุดหงิดจนย้ายออกจากห้องนี้ มันที่อาจจะซึม แล้วก็ไม่รับแม้แต่เพื่อนใหม่ที่มึงซื้อมาให้ หนำซ้ำชีวิตมึงก็อาจจะอัปปีย์ขึ้นเป็นร้อยเท่าเพราะกูหมั่นไส้มึงมากจนบอกความจริงกับไอ้ดีนไอ้เบสไป แล้วก็ยังใส่ไข่ไปอีกนิดหน่อยว่ามึงนั่นแหละ วางแผนให้ไอ้ดีนทำหมดทุกอย่าง แล้วที่วันนี้มึงเข้ากลุ่มไอ้เบสมา มันก็แค่เพราะว่า มึงอยากจะยุยุงให้ทั้งไอ้เบสไอ้ดีนทะเลาะกัน ”

“ กูไม่ได้คิดเหี้ยอะไรแบบสักหน่อย มึงแม่งก็ช่วยอย่าคิดไปเองจะได้มั้ยวะ กูก็แค่พูดแหย่มึงเล่นๆเรื่องที่มึงชอบกูเองมั้ยละ แล้วทำไมมึงถึงคิดจริงจังไปถึงเรื่องที่กูวางแผนให้แมวสองตัวนี้มันรักกันไปได้ กูก็แค่เห็นว่ามันเหงา แล้วมันก็คงอยากจะเป็นเพื่อนต่อกัน ” พูดออกไปรวดเร้วจนเหมือนลิ้นจะพันกัน ผมหอบหายใจ “ มึงแม่งไม่เข้าใจคำว่าพูดเล่นเหรอสัดอาร์ม ”

“ กูเคยบอกมึงแล้วใช่มั้ย ” อีกฝ่ายนิ่ง ตอนที่เอ่ยพูดออกมา ท่าทางนั้นชวนให้ผมไม่กล้าสบตา

“ อะ อะไร มึงบอกอะไร ”

“ กูเคยบอก ว่าเวลามึงกังวลกับอะไร แม่งดูออกโคตรง่าย ” รอยยิ้มบนใบหน้าเรียบเฉยนั่นยกยิ้มมุมปาก “ แล้วกูขอแนะนำว่าให้มึงอยู่เฉยๆน่าจะดีกว่า แล้วก็จำเอาไว้ว่าด้วยว่า อย่าทำให้กูต้องหมดความอดทน ” ร่างสูงที่เดินหายเข้าไปในห้องหลังจากพูดคำนั้น พร้อมกับเสียงของเจ้าแมวตัวลายของผมที่เหมือนจะตะโกนออกไปอย่างที่สอน แต่ว่านั่นเหมือนมันจะช้าไปสักหน่อย

“ เมี๊ยว! ” นายท่านหันมองหน้าผมหลังเปล่งเสียงร้องออกไปด้วยสายตาที่เหมือนจะบอกว่า ‘ ไม่เห็นจะเป็นอย่างที่มึงพูดเลยเมี่ยง ’ ไม่ก็ ‘ แก้มหอมไปแล้วละเมี่ยง ’ ซึ่งผมที่กำลังนิ่งอยู่ในตอนนั้นได้แค่คำถามเดียวอยู่ในใจ

“ ไม่มีทางเอาชนะแม่งได้เลยเหรอวะ ” หรือว่ากูต้องเอาตัวเข้าแลกจริงๆ

...................................................


ผมปิดประตูระเบียงลงหลังจากที่เดินเข้ามาแต่เหมือนการกระทำนั้นจะขัดกับความต้องการของเจ้าแก้มหอม แมวเปอร์เซียสีขาวกระโดดลงจากตัวผมทันทีที่ประตูระเบียงปิดลง สี่เท้าขาวปุกปุยตะกายขึ้นข่วนประตูนั่นแล้วส่งเสียงขัดใจมาให้กันอย่างเรียกร้อง

“ เมี๊ยว เมี๊ยว ” แววตานั้นหันมามองพร้อมด้วยเสียงเรียกร้อง เหมือนเด็กดื้อของผมกำลังบอก ‘ ป๊าขา เปิดประตูให้หนูหน่อย เปิดเดี๋ยวนี้เลยนะ แก้มหอมจะออกไป จะออกไปหานายท่าน ’

“ ป๊าไม่เปิดให้ค่ะ ” ผมเดินกลับมานั่งที่โซฟาแบบที่ไม่ยอมตามใจอีกฝ่ายเหมือนอย่างปกติ เจ้าตัวกลมนั่งจุ้มปุ๊กลงกับพื้นอย่างอ่อนใจ ก่อนจะส่งเสียงงอแงแล้วหันมามองกันอยู่สักพัก “ แก้มหอมขา มาหาป๊านี่มา ” ตบมือลงบนตักแต่เหมือนอีกฝ่ายจะยังงอน

“ แง๊ว ”

“ หึ ” เสียงที่ดูหงุดหงิดนั่นชวนให้ผมยิ้ม แล้วสุดท้ายก็ต้องจำใจลุกเดินไปอุ้มอีกตัวขึ้นมาแนบอก แก้มหอมหันหัวกลมๆซุกเข้าที่คาง พร้อมกับถูไถไปมาอย่างออดอ้อน

“ ป๊ารู้ค่ะ ว่าหนูอยากจะออกไปเจอมัน แต่หนูจะไปสนใจมันทำไมนักล่ะคะแก้มหอม มันไม่เคยสนใจหนูเลยนะ แล้วอีกอย่างป๊าก็ก็ไม่อยากตกเป็นรองใคร โดยเฉพาะไอ้หน้าแมวนั่น เข้าใจมั้ยครับ ” ไม่มีเสียงตอบรับของเจ้าขนนุ่ม แก้มหอมแค่ซบลงกับอกผม “ แก้มหอมรักป๊าคนเดียวได้มั้ยคะ ไม่รักไอ้แมวนั่นนะ ”

“ แง๊ว ” เจ้าตัวเล็กขานรับก่อนจะดึงตัวเองออกจากผม มันกระโดดลงไปนั่งที่ประตูระเบียงเหมือนเดิม เหมือนอย่างตอนที่ผมเข้าห้องมาหลังเลิกเรียน

“ แก้มหอมขา ”

“ เมี๊ยว ”

“ นี่หนูชอบมันขนาดนั้นเลยเหรอ ” ไม่มีคำตอบของคำถามนั้น แต่ก็พอเดาได้ว่าชอบมาก แก้มหอมเป้นมิตรกับทุกอย่างในโลกนี้ก็จริง แต่มันค่อนข้างไว้ตัวกับแมวตัวอื่น ซึ่งตอนนี้ก็ดูเหมือนว่า ไอ้แมวนั่นจะกลายเป็นข้อยกเว้น “ ป๊านะ ไม่อยากจะไปยุ่งกับมันเลย ทั้งคนทั้งแมวนั่นแหละ ”

ก็อย่างที่บอกผมไม่ชอบตกเป็นรองใคร

“ หรือว่าป๊าจะจีบมันดี อย่างน้อยก็เพื่อหนู แล้วก็เพื่อให้ทางนั้น ยิ่งต้องปกปิดเรื่องของตัวเองมากขึ้นไปอีก ” ผมยกยิ้มในตอนที่คิดอะไรแบบนั้น “ แก้มหอมขา หนูว่าแบบนี้ดีมั้ย ”

“ เมี๊ยว ” ในตอนนั้นเสียงตอบกลับใสๆนั่น คล้ายกับว่าจะบอก ‘ ดีเหมือนกันค่ะป๊า ’


............................................................

คิดเอง เออเอง แล้วโยนความผิดให้แมว
คิดอะไรกับเค้าปะเนี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ในทวิต และฝากแชร์ด้วยกันนะคะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์

หนมมี่

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 4 :: up! 6-12-62} #หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 06-12-2019 22:25:57
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 4 :: up! 6-12-62} #หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 06-12-2019 22:28:28
 :z1:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 4 :: up! 6-12-62} #หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 06-12-2019 23:43:23
 :pig4: :pig4: :pig4:

อยากจะแหมไปถึงดาวอังคาร

อิอาร์มนี่แอบสนใจนุ้งเมี่ยงก็บอกมาเถอะ  ทำเป็นแถนู่นนี่นั่นไปเรื่อย
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 4 :: up! 6-12-62} #หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 06-12-2019 23:53:58
คุณป๊าาาาาาา  คิดจะทำอะไรอ่ะ แล้วสิ่งที่คิดจะทำ มันเป็นสิ่งที่ตัวเองต้องการจะทำมากกว่าป่ะ  o8
 กรุณาอย่าโยนบาปให้แก้มหอม  o12
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 4 :: up! 6-12-62} #หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 08-12-2019 14:15:58
จีบกันเลยค่า :impress2:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 4 :: up! 6-12-62} #หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 08-12-2019 22:39:18
จ๊ะ อ้างแมวกันทั้งคู่ ไม่ได้คิดอะไรจริงๆ ใช่ไหม

เมี่ยงก็รัวให้เค้าได้รู้หมดว่าคิดอะไร 5555
อาร์มก็ทำเข้ม ตีมึน กล่าวหาเมี่ยงให้ร้อนตัวไปอีก

เมี่ยงต้องดูออกง่ายขนาดไหน อาร์มถึงปั่นได้สนุกเลย
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 4 :: up! 6-12-62} #หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-12-2019 16:49:12
อย่างฮา ............ ฮามาก   :z3:
อ่านไปหัวเราะไป   :m20: :laugh: :pigha2:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 5 :: up! 13-12-62} #หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 13-12-2019 20:23:34
ตอนที่ 5

 อาจารย์ฝรั่งที่กำลังสอนอยู่ด้านหน้าค่อนข้างแข็งขัน ภาควิชากราฟฟิคดีไซน์ของฝ่ายนานาชาติไม่ต่างอะไรกับที่อื่น เราเรียนส่วนของเนื้อหาครึ่งหนึ่งและเรียนปฎิบัติอีกครึ่งหนึ่ง แน่นอนว่าการเรียนส่วนของเนื้อหาค่อนข้างน่าเบื่อนิดหน่อยสำหรับผม

มือที่จับปากกาอยู่แท่งเดียวขีดเขียนไปบนหน้ากระดาษตรงส่วนสำคัญ แล้วก็เป็นแท่งเดียวกันนั้นที่เขียนอธิบายเป็นภาษาไทยไว้เพื่อความง่ายในการอ่านทบทวน ท่ามกลางไอแพตเครื่องล่าสุดและปากกาเข้าคู่ของเพื่อนที่นั่งอยู่แถวเดียวกัน

“ ทันมั้ย ” ผมหันไปถามคนที่นั่งข้างกันอย่างไอ้สัดดีนที่ตอนนี้ยังเลือกสีที่ใช้เขียนอธิบายไม่ได้ กระดาษชีทของผมถูกเลื่อนไปให้มัน “ ให้มันเร็วเหมือนตอนมึงเล่นเกมส์หน่อยสัด ”

“ บ่นเป็นพ่อเลย”

“ ไม่เอา ? ” ทำทีเป็นเลื่อนกระดาษกลับ แต่มันก็ถูกรั้งไว้จากอีกคนที่ทำทีเป็นหงุดหงิดก่อนจะยิ้มออกมา

“ เอาจ้าพี่อาร์ม ”

ผมกับดีน เราคบกันเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก เจอกันครั้งแรกตอนมัธยมต้นแล้วหลังจากนั้นก็เรียนห้องเดียวกันมาตลอดจนเข้าคณะเดียวกันในช่วงมหาลัย

เป็นคนเดียวของกันและกันที่อยู่ด้วยกันมาในทุกช่วงเวลาของชีวิต ตั้งแต่มีรักครั้งแรก จนถึงล่าสุดที่โดนหักอก ซึ่งแม้แต่ตอนนี้ ผมก็ยังไม่เข้าใจความคิดของผู้หญิงคนนั้นที่คบซ้อนหลายคนเลย

แล้วก็ยังไม่เข้าใจด้วยว่า ในทุกวันนี้มันจะเจ้าคิดเจ้าแค้นไอ้เบสไปทำไมนัก ในเมื่อตัวเองก็เป็นฝ่ายผิดก่อน แต่ที่พอเข้าใจอยู่นั่นก็มี เพราะการถ้าทนให้อีกฝ่ายหาเรื่องอยู่ตลอดนั่นก็ไม่ใช่วิถีทางของชีวิตแบบไอ้ดีนเป็นหรอก

‘ มึงรู้มั้ยว่ากูแม่งโคตรชอบน้ำปั่นร้านป้าที่ขายอยู่หน้ามหาลัย แต่กูไม่ค่อยได้กินของเค้าเลยเพราะพวกมึงแม่งเสือกทะเลาะกันไว้ แล้วในวันนั้นมันมีกูด้วยไง เค้าก็เหมารวมว่ากูแม่งเป็นเพื่อนพวกมึง ทุกครั้งที่ไปสั่งโกโก้โอริโอ้ปั่นพิเศษโอริโอ้เค้าก็มองแรงกูตลอดเลยว่าไอ้พวกกลุ่มเด็กเหี้ยที่มาทะเลาะเรื่องที่ใส่ชิ้นมะม่วงในน้ำไม่เท่ากัน มึงรู้มั้ยว่ากูต้องลำบากกับการซื้อมากแค่ไหน การบากหน้าไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วมึงยังคิดว่ากูยุยงอีกเหรอไอ้สัด กูนี่สิลำบาก กูต้องอดใจกินของที่กูชอบทั้งที่ๆอยากกินสามวันครั้ง แค่ต้องลดเหลือแค่เดือนละสองครั้งเอง กูนี่สิลำบาก ’

“ หึ ” อยู่ๆก็นึกถึงใบหน้าจริงจังที่โคตรจะโกรธเกรี้ยวนั้นจนต้องหลุดยิ้ม กับความในใจทั้งหมดที่ถูกพูดออกมาอย่างยาวเหยียด 

แววตาเรียวที่จ้องกันไม่ต่างอะไรกับแก้มหอมที่ส่งเสียงร้องเพื่อเถียงผมในตอนที่ถูกดุอย่างไม่เป็นธรรม มันทั้งดูดื้อแล้วก็เอาเรื่องอยู่มาก บวกกับผิวขาวที่ตัดกับริมฝีปากสีชมพูนั่นอีก แต่ถึงอย่างงั้นก็ยังดูปัญญาอ่อน กับสีหน้าเลิ่กลั่กที่เถียงออกมาในเรื่องที่ผมเดาถูก

“ คนประสาท ” อดพูดแบบนั้นกับตัวเองไม่ได้ในตอนที่คิดถึงใบหน้านั้น แต่ก็ยังแอบหงุดหงิดเรื่องเมื่อวานไม่หาย แผนการที่ดูออกง่ายแบบแค่มองตาของไอ้เหี้ยนั่น “ คิดจะเอาแมวกูมาขู่งั้นเหรอ บอกไว้ก่อนว่ามึงช้ากว่ากูไปสามสิบปีไอ้สัดเมี่ยง ”

“ มึงยิ้มเหี้ยอะไรของมึงวะสัดอาร์ม ” ไอ้จุ้นที่นั่งถัดไปจากไอ้ดีนเอียงหน้ามองกันพลางยิ้มด้วยความรู้สึกสยดสยอง ท่าทางที่ชวนให้คนนั่งถัดไปหันมามอง ก่อนที่ผมจะพูดออกไปแค่สั้นๆ

“ เสือก ”

“ จบมั้ย ” สัดดีนหันไปบอกอีกคนที่ก็ยิ้มเกร็งอยู่สักพักก่อนจะยกมือขึ้นไหว้กัน

“ ขอโทษครับพี่ ผมว่า ผมไม่น่าเล่นหรอก ”

“ จะว่าไปกูยังสงสัยอยู่เลยนะ ” ขมวดคิ้วกับคำถามของคนข้างกันที่ก็หันมามองผม

“ สงสัยอะไร ”

“ ก็สงสัยว่าเมื่อวานตอนเช้า มึงไปยื่นสูบบุหรี่กับไอ้หน้าขาวกลุ่มเบสได้ยังไง ” ทำทีเป็นไม่เข้าใจทั้งๆที่ใบหน้าของใครคนนั้นปรากฏกันขึ้นมาให้เห็นในวินาทีที่อีกฝ่ายพูดถึง ผมตีมึน

“ ไอ้หน้าขาว ? ใครวะ ”

“ ก็เพื่อนไอ้สัดเบสไง ไอ้หน้าขาวคนที่เมื่อวานยืนสูบบุหรี่อยู่กับมึง ”

“ อ้อ ” ทำทีเป็นนึกออก ผมพยักหน้ารับ “ ว่าแต่มันชื่ออะไรแล้วนะ ”

“ ควาย ” อีกฝ่ายสบถ ก่อนจะส่ายหน้าไปมากับนิสัยไม่ค่อยจดจำชื่อคนอื่นของผม “ ชื่อเมี่ยง ”

“ เหรอ ” พูดออกไปแบบนั้น ตาก็หันไปมองข้างหน้า “ ว่าแต่เรื่องของเมื่อวาน มึงแม่งมาถามเหี้ยอะไรเอาตอนนี้ ”

“ ก็เมื่อวานมึงไปนั่งข้างสัดจุ้น กูจะถามมึงได้ไง ขากลับก็รีบกลับชิยหาย ไม่มีหรอก จะคิดกินข้าวเที่ยงกับเพื่อน ”

“ บ่นสัด ” ผมว่าพลางยกนิ้วขึ้นเขี่ยในรูหู  “ แล้วมึงจะถามอะไร ”

“ ก็ไม่ถามเหี้ยไรหรอก ” ดีนมันว่า “ กูแค่สงสัย เราไปสูบบุหรี่หลังตึกหนึ่งกันตั้งหลายครั้ง เจอไอ้เบสไอ้เจ้ยแม่งก็ตั้งหลายหน แต่ทำไมไม่เคยเจอไอ้หน้าขาวนั่นเลย ”

“ จะไปรู้เหรอ ” ผมบอกปัด “ กูไม่ใช่มัน ”

 “ พูดถึงเรื่องอะไรกันอยู่วะ ”  ไอ้จุ้นที่นั่งถัดไปจากไอ้ดีนเอียงหน้าเข้ามาถาม สายตากลมที่กระพริบถี่ๆด้วยความอยากรู้ ผมบอกแค่สั้นๆ

“ ไม่มีอะไร ”

“ ไม่มีได้ยังไง ” ไอ้ดีนมันเบิกตาพลางหันมามองผมที่ก็ถอนหายใจออกมา

ก็เหมือนที่ใครๆเคยบอก
การปิดบังความลับกับคนหมู่มาก เป็นอะไรที่ค่อนข้างลำบาก

“ คิดจะตอแหลกูสินะไอ้สัดอาร์ม ” พูดเสียงลอดไรฟันด้วยความแค้นเคืองระดับที่ฆ่ากันได้  “ มันเล่าอะไรมึงไอ้สัดดีน ” คนโดนถามเหล่มองคนที่ให้ความสนใจ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร จุ้นก็ยกมือขึ้นเชิงห้ามก่อน “ มึงไม่ต้อง กูเสือก กูรู้ตัว ”

“ ไอ้สัด ” ถึงขั้นหลุดด่าออกไปเพราะความหน้าด้าน คนตอบยกยิ้มแต่ก็หันไปเล่าอีกคนด้วยเสียงตื่นเต้นและท่าทางจริงจัง “ คือเมื่อวานเว้ยจุ้น ”

“ ทำไม ”

“ ก็เมื่อวานตอนเช้าพอกูมาถึงมหาลัย กูก็ตามหาไอ้สัดอาร์ม เพราะจะชวนมันไปกินข้าวด้วย แต่ว่า กูโทรหาเท่าไหร่มันก็ไม่รับ ”

“ เรื่องปกติ ไอ้สัดนั่นปกติมันเปิดเสียงมือถือที่ไหน ” เชิดหน้ามาทางผมในตอนที่พูดถึงกัน  ก่อนจะหันกลับไปสนใจฟังต่อ “ แล้วยังไง ”

“ กูก็เลยเดินออกไปตามหามัน สุดท้ายก็เจอมันยืนสูบบุหรี่อยู่ที่หลังตึกหนึ่ง แต่ว่านะ..” เสียงของอีกฝ่ายเริ่มเบาลง มันไม่ต่างอะไรกับเรื่องเล่าเขย่าขวัญ ส่วนอีกคนก็พลอยตื่นเต้นไปด้วย

“ ทำไมวะ อย่าบอกนะ ว่ามึงเห็นไ;’อ้สัดอาร์มแอบเอากับใครอยู่ ”

“ ไอ้สัด ” ผมสบถขึ้นมา ก่อนที่ดีนจะส่ายหน้าบอก

“ ไม่ ”

“ หรือมึงจะบอกว่า มึงเห็นผีหลังตึกหนึ่ง ” ปลายเสียงที่ค่อนข้างเบา ไอ้ดีนเองก็นิ่ง ก่อนผ่อนถอนหายใจออกราวกับรวบรวมความกล้า ก่อนจะค่อยๆหันไปสบสายตาคนที่กำลังพูดด้วย เสียงนั่นเบาราวกับกระซิบ

“ กูเห็นไอ้สัดเมี่ยงเพื่อนไอ้เหี้ยเบส ยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงนั้นด้วย ”

“ K! ” หลุดยิ้มออกมาตอนที่ได้ยินเสียงตอบรับแบบนั้น ไม่ต่างจากคนเล่าที่ก็หดหัวแล้วยกไหล่ขึ้นหัวเราะด้วยท่าทางประจำแบบไม่ออกเสียง ผมพนันได้เลยว่าถ้าที่นี่ไม่ใช่ห้องเรียนเสียงหัวเราะของไอ้สัดดีนต้องดังแบบชนิดที่ว่าถ้าอยู่ในโรงอาหารก็คงได้ยินกันหมด “ พวกเหี้ยกูก็นึกว่าเรื่องอะไร ”

“ แล้วหนูผิดอะไรอีก ทำไมพี่ท่านถึงใช้วาจาหยาบคายเยี่ยงนั้น ” มือคนเล่ายกขึ้นแนบอกในตอนนั้นผมก็ได้แต่ถอนหายใจ

“ แต่ไอ้เมี่ยงมันสูบบุหรี่ด้วยเหรอวะ กูไม่เคยเห็นนะ ”

“ ใช่มั้ยกูก็คิดอยู่ กูยังถามไอ้สัดอาร์มเลย แต่ไอ้เหี้ยนั่นก็บอกแค่ว่าไอ้เมี่ยงอยู่ที่นั่นก่อนแม่งจะเข้าไปอีก ”

“ หรือมันอาจจะสูบบ้างไม่สูบบ้าง ” จุ้นพูดเสียงเบาด้วยท่าทางครุ่นคิดจริงจัง “ แต่พอพูดถึงไอ้เมี่ยง มันไม่ได้เป็นเพื่อนกับไอ้เบสมาตั้งแต่ต้นใช่มั้ย แต่ไอ้เจ้ยคือเป็นมาตั้งแต่ม.ปลาย ”

“ ใช่ ” คนตอบพยักหน้ารับ “ แล้วมึงถามทำไม ”

“ ก็แค่แปลกใจ กูเห็นมันดูเป็นเดือดเป็นร้อนมากเลย อย่างเมื่อวานแม่งก็ออกหน้าให้ไอ้สัดเบสชิบหาย ”

“ แล้วต่างอะไรกับมึงละ ” ไอ้โฮมที่นั่งอยู่ข้างสัดจุ้นพูดขึ้นแบบยกยิ้ม “ กูเห็นไอ้เบสกวนตีนไอ้ดีนทีนึง มึงเดือดร้อนกว่าไอ้อาร์มอีก อารมณ์ร่วมมาเต็ม แม่งทำแบบนี้ได้ยังไงวะ Kๆ ” คนพูดย้ำเสียงก่อนจะเหล่มองเพื่อนตัวเองพลางส่ายหน้า “ เจ้าแผนการณ์ก็ที่หนึ่งไอ้สัด ”

“ แล้วเพื่อนมันวัดกันที่ระยะเวลาเหรอวะ ก็ไม่ใช่มั้ยละเพื่อนโฮม ” หน้าตาเอาเรื่องที่หันไปอธิบายอีกคน หมัดของไอ้เหี้ยจุ้นชกเข้าตรงอกตัวเอง " เพื่อนมันอยู่ที่ใจเว้ย ถ้าคบเป็นเพื่อนแล้ว มึงเจ็บกูก็เจ็บ เข้าใจมั้ย "

“ เชี้ย เพื่อนแท้ว่ะ ” ไอ้ดีนดึงมืออีกคนมาจับ แต่ตอนนั้นผมก็เสริม แบบเสียงไม่เบาหนัก

“ ปัญญาอ่อน ”

“ มึงว่าอะไรนะ ” คนข้างตัวหันมาถามกัน

“ แม่มึงส่งมาเรียนนะ  ถามจริงจดทันบ้างมั้ย ” เชิดหน้าไปหน้าจอสื่อการสอนที่ตอนนี้ไม่ได้อยู่ในหน้าจอที่มันเปิดไว้เสียแล้ว แววตาเล็กเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยแต่มือที่ถือปากกาของเจ้าตัวก็ยังคงกดเลือกสีก่อนแบบไม่เจียม

“ หน้าไหนแล้ววะ ” ดีนหันมาถามผม

“ เรื่องอะไรจะบอก ”

“ มึงน้าอาร์ม มึงน้า  ”

“ ผ่านไปสามสไลด์แล้ว” ผมว่าอีกคนก็ดึงหน้าเข้ามาดูกระดาษตรงหน้า อย่างไม่สนใจว่าผมสีน้ำตาลของตัวเองจะเข้ามาใกล้จมูกของผม แบบชนิดที่ต้องผละตัวเองออกห่างไปนิดหน่อย แต่ถึงอย่างงั้นกลิ่นหอมอ่อนๆของยาสระผมที่อีกคนใช้จนเป็นกลิ่นประจำก็ยังคงลอยเข้าจมูกผมอยู่ดี

เหมือนทุกอย่างมันวูบไหวไปมา เป็นต้นหญ้าสูงที่โต้ลมอ่อนๆจะเกือบจะเอนหัก ความรู้สึกในวินาทีนั้น ผมพยายามฝืนนิ่งทั้งๆที่จมูกค่อยๆดอมดมสูดกลิ่นหอมนั้น ที่สดชื่นไม่ต่างอะไรกับกลิ่นผลไม้ที่ชอบ ผมยิ้มจางอยู่กับตัวเองคนเดียว จนเสียงที่เอ่ยทัก พร้อมกับใบหน้าที่เงยขึ้นมาจะชวนให้เกร็งนิ่ง ก่อนจะเหลือบลงไปมอง

“ ตรงนี้เขียนว่าอะไรวะ อ่านไม่ออก ” มองอักษรที่ค่อนข้างเขียนแบบรีบเร่งนั่น ผมดึงกระดาษก่อนจะเอามันตีลงบนหัวกลมๆนั้นเชิงไล่

“ มึงเอาตอนนี้ให้ทันก่อน แล้วก็ถอยก่อนที่กูจะไม่ทันด้วยเหมือน ”

“ จ้าพ่อ ” ยกมือไหว้กันพร้อมรอยยิ้มเกร็งๆแบบกลัวตีน สัดดีนเลื่อนตัวกลับไปนั่งที่เดิม ก่อนจะกดเลื่อนสไลด์ที่หน้าจอตัวเองแล้วก็แน่นอนว่ามันเลือกสีใหม่อีกครั้งสำหรับสไลด์ใหม่นี้

“ ให้ตายเถอะ ” ผมส่ายหน้าไปมากับเครื่องมือนั้น แล้วเงยหน้าขึ้นสนใจบทเรียนหน้าห้องอีกครั้งจนจบคาบ

ความวุ่นวายเกิดขึ้นทันทีที่เสียงกริ่งหมดเวลาเรียนนั้นจบลง อาจารย์หน้าห้องปิดสไลค์ที่สอน มีนักศึกษาบางคนเดินเข้าไปคุยหลังหมดชั่วโมง ส่วนพวกเราสี่คนก็จัดการเก็บของที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ ผมไม่มีของอะไรมาก ยกเว้นแผ่นเนื้อหาที่ก็สอดลงไปในสนุดปกแข็งเล่มดำ ส่วนปากกาแท่งเดียวที่มีก็ยัดมันใส่กระเป๋าเสื้อ

“ เที่ยงนี้แดกเหี้ยไรดี ” ไอ้จุ้นที่ลุกขึ้นยืดพร้อมกับบิดขี้เกียจหันมาถามผมที่ก็ส่ายหน้าไปมาก่อนจะตอบเหมือนทุกที ผมไม่ได้ชอบอะไรเป็นพิเศษสำหรับร้านในโรงอาหารของมหาลัย เป็นที่รู้กันในกลุ่มว่าว่างร้านไหนผมก็กินร้านนั้น เพราะเป็นพวกไม่ชอบต่อแถวและชอบทำอาหารเก่งมากกว่าในช่วงเย็น “ ไม่น่าไปสบตามึงเลยไอ้สัดอาร์ม ”

“ ทำไมวะ ” ไอ้ดีนเงยหน้าขึ้นมาหลังจากที่เก็บทุกอย่างเสร็จ ก่อนจะหันไปสนใจไอ้จุ้นด้วยท่าทางอยากรู้

“ ก็เมื่อกี้กูถามว่าแดกเหี้ยอะไรดี แม่งทำเงี้ย ” คนตอบตีหน้านิ่ง ไอ้จุ้นส่ายหน้าไปมาด้วยหน้านิ่งๆคล้ายคนเอ๋อหลังสร่างเมามากกว่าจะเป็นผม

“ มากไปไอ้สัด ”

“ มึงทำอย่างงี้จริงๆ ” อีกคนเถียงกลับผมก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วเดินนำออกไปข้างนอกอย่างไม่อยากเถียงอะไรให้ต้องยืดยาว แต่เหมือนว่ามันยังไม่จบแค่นั้นสำหรับพวกช่างคุย

“ แต่กูว่าสัดอาร์มไม่น่าจะหน้าเหี้ยได้ขนาดมึงทำนะจุ้น ”

“ เอ๊ะ ประโยคนี้มึงว่ากูมั้ยละ ” ขาสั้นนั่นหยุดอยู่กับที่ก่อนจะใช้เวลาคิด แต่ก็โดนเพื่อนสนิทเจ้าตัวอย่างไอ้โฮมดึงให้เดินออกมา เราเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าลิฟต์ ดีนมันขยับเข้ามาใกล้ผมก่อนจะยกมือขึ้นกอดคอ

“ แต่ใครว่าสัดอาร์มไม่มีของโปรด พี่เค้ามีนะครับ ” ว่าแบบนั้นพร้อมกับผายมือมาตรงอกผม สายตาเล็กบอกเพื่อนอีกสองคนอย่างจริงจัง  “ ทั้งแบล็คทั้งบลูของโปรดทั้งนั้น มิกซ์อะไรพี่อาร์มไม่รู้จัก เหล้าเพียวๆ แก้วสองแก้ว เวลาไปกินร่วมโต๊ะกับสาว สาวคือกรี๊ดแรงมากน้า พี่อาร์มไม่มิกซ์เลยเหรอคะ ” ไอ้สัดดีนหนีบเสียงสาวตรงท้ายประโยค ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงเข้มสำหรับคำตอบของผม “ อ๋อไม่อะครับ เดี๋ยวเหล้ามันเสียรสชาติ ”

“ ว๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยย  ” เสียงกรี๊ดที่ดังขึ้นมาเหมือนผีเข้าของไอ้พวกสามนั้น ผมถอนหายใจออกมาก่อนจะหันไปทางอื่นแบบยิ้มๆ

“ พวกเหี้ย ”

“ เอาจริงๆฟังเรื่องเหี้ยนี่มาสิบครั้งได้แล้วมั้งกู ” ไอ้โฮมว่า “ แต่แปลกชิบหายที่ฟังกี่ครั้งก็ตลก ”

“ เส้นตื้นอย่างพวกมึงกูว่าไม่แปลก ” ผมบอกก่อนที่ไอ้จุ้นจะส่ายหน้ารัวๆใส่กัน

“ มันตลกเพราะนี่คือมึงอะสัดอาร์ม  คือพอคิดว่าคนอย่างมึงที่มันไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยไร้สาระ พูดทีคือพูดเหี้ยอะไรตรงๆ แล้วคือมึงจีบสาวด้วยประโยคแบบนั้นอะสัด มันฟังแล้วแบบ อิหยังว่ะบังห่านิ ”

“ ว่าไม่ได้นะ เพราะตอนนั้นพี่แกคิดว่าพี่เท่มากเลยนะ โอ๊ย ” ถอยหลังออกมาถีบเข้าที่ขาของคนพูดมาก ไอ้สัดดีนที่เด้งตัวไปข้างหน้า เอามือเจ็บอกด้วยท่าทางที่เหมือนเจ็บเจียนตาย “ พี่อาร์มอย่าทำร้ายน้องดีนขนาดนั้นสิค้า ”

“ กวนตีนไอ้หน้าเหี้ย ”

“ เปลี่ยนเป็นน่ารักได้เปล่าละ ” เอามือจิ้มแก้มกันก่อนจะกระพริบตาถี่ๆให้ จนผมต้องหันไปมองทางอื่นอย่างไม่อยากสนใจ จนไอ้จุ้นถามย้ำขึ้นมากับสิ่งที่มันอยากรู้ที่สุดในตอนนี้

“ แล้วตกลงแดกอะไรกันดี ”

“ นี่ก็ถามรอบที่สองละนะ ” โฮมว่า อีกคนก็ถอนหายใจ

“ กูหิวไอ้สัด คุยนู้นคุยนี้ค่อยคุยกันทีหลังได้มั้ย ปากท้องต้องมาก่อน ”

“ ตะกละชิบหาย ” ว่าแบบนั้นก่อนจะหยุดนิ่งไปเพราะคิดถึงใครบางคน

ภาพเมื่อวานยังคงติดตาผมอยู่ ตอนที่ยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างตึก ผมเห็นไอ้คนข้างห้องที่คุ้นตาดีวิ่งนำเพื่อนที่เหลือเข้าไปในโรงอาหารอย่างรีบร้อน แล้วตอนที่สูบบุหรี่เสร็จ ผมก็เห็นมันนั่งก้มหน้าก้มตากับอาหารตรงหน้าแบบที่ไม่สนใจสิ่งที่ผ่านไปเลยแม้แต่น้อย

“ ด่ากูแล้วก็ยิ้ม มึงโอเคมั้ยเนี้ย ” คนโดนด่าถาม ในตอนนั้นลิฟต์ก็ร้องเตือนในตอนที่มันถึงชั้นของเราพอดี ประตูลิฟต์ถูกเปิดออก เราเดินเข้าไปด้านในก่อนจะกดลงไปที่ชั้นล่างสุด  “ กูอยากกินพิซซ่าเรากินพิซซ่ากันมั้ย ถาดใหญ่ไปเลย ให้มันมาส่งที่หน้ามหาลัย ”

 “ เอาค่ะ ” ไอ้ดีนที่ยังไม่หยุดเล่น มันยังคงเอานิ้วจิ้มแก้มในตอนที่บอก “ แต่ช่วยสั่งไก่ทอดเกาหลีเซ็ตใหญ่มาให้น้องดีนด้วยนะคะ พิซซ่าก็ขอถาดใหญ่ค่ะ ”

“ เพราะน้องดีนแดกคนเดียวก็เกินครึ่งถาดใหญ่แล้วอ่ะค่ะ ” พูดเสียงเรียบแบบที่ผู้หญิงเค้าทำกัน แต่วินาทีนั้นทุกคนที่หันมามองผม นิ่งไปสักพักก่อนจะหัวเราะออกมาจนลั่นไปทั้งลิฟต์ที่เราโดยสาร 

เพราะไม่มีใครคิดว่าผมจะกล้าพูดคำนั้นออกมา

.........................................................

หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 4 :: up! 6-12-62} #หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 13-12-2019 20:24:03

ผมกับดีนแยกตัวออกมาซื้อน้ำหลังจากที่โทรสั่งพิซซ่ากันเรียบร้อย ส่วนไอ้โฮมไอ้จุ้นเป็นคนไปรับอาหารที่สั่ง รวมถึงซื้อซอสแบบขวดมาจากร้านสะดวกซื้อข้างนอกมหาลัยที่อยู่ไม่ไกลกัน

“ มึง กูขอแวะซื้อเยลลี่ก่อนได้มั้ย ” คนที่เดินอยู่ข้างกันระหว่างทางไปซื้อน้ำพูดก่อนจะผลักประตูเข้าไปในร้านค้าของมหาลัยโดยไม่รอฟังความเห็นใดจากผม แต่ทว่าการตั้งใจซื้อเยลลี่ของมันจะแปรเปลี่ยนไปเมื่อเห็นว่ามีคนคุ้นตาอยู่ในร้าน “ ไอ้สัดเบส ”

“ อย่าดีกว่ามั้ง ถ้าไม่อยากเสียอารมณ์ ” บอกไปอย่างงั้นแต่อีกคนที่หันมามองกันพร้อมกับยกยิ้มก็พูดแค่สั้นๆ

“ เดี๋ยวกูมา ”

“ K ” สุดท้ายก็ได้แต่พูดคำนั้นเหมือนทุกทีที่เห็นมันเดินไปหาเรื่องอีกฝ่าย ส่วนผมก็ได้แต่เดินตามไปเผื่อมีเหตุการณ์ฉุกเฉินอะไรจะได้ช่วยทัน

ดีน เป็นคนหัวรั้น  มันดื้อตามประสาลูกคนเดียวที่พ่อแม่ตามใจมาตั้งแต่เด็ก และแน่นอนว่าเรื่องนี้มันก็อ้างกับผมด้วยนิสัยเอาแต่ใจนั้นว่า ‘ ก็มันโง่เชื่อกูเอง โง่ที่ไม่ถามนาเดียเลยด้วยซ้ำว่าจริงมั้ย แล้วแบบนั้นจะโทษใครได้ว่ะ อีกอย่างยังไงนาเดียก็ไม่เลือกทั้งมันทั้งกูอยู่แล้ว จะมาโกรธกูอยู่คนเดียวก็ใช่เรื่อง แล้วมึงไม่คิดเหรอว่าที่มันแกล้งกูปัญญาอ่อนแบบนี้ มันก็มากเกินไป ’

เอาจริงก็ไม่เห็นด้วยกันมันหรอก เคยบอกหลายครั้งให้หยุดก็ตั้งหลายครั้งแล้ว  แต่ตามนิสัยที่ยอมไม่ได้มาตั้งแต่เด็ก ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะไปเป็นไม่ได้เลย

ถ้าเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ ไอ้เชี้ยเบสกับไอ้เชี้ยดีนก็คงเหมือนกัน

“ เสร็จยังสัดเบส  ” เสียงคุ้นหูทำให้ผมชะงัก ก่อนหันไปมองต้นเสียงก็พบเข้ากับคนข้างบ้านคุ้นตาที่ยืนถอนหายใจเซ็งๆอยู่ ไอ้หน้าขาวที่ไอ้ดีนเรียกยืนทำหน้านิ่วมองเพื่อนตัวเองที่กำลังเลือกน้ำในตู้แช่เย็น “ แค่น้ำชาเขียวขวดเดียวมึงจะเลือกมันทั้งชาติเหรอวะสัด ”

“ รอก่อนน่า ” เบสมันว่า “ กูต้องหาขวดที่เย็นที่สุด แล้วมึงจะรีบไปไหน ” หันมามองคนข้างกลายที่ก็ถอนหายใจอีกครั้ง เมี่ยงตอบเสียงเรียบ

“ กูจะไปซื้อน้ำปั่น หรือมึงเลือกไปก่อนเดี๋ยวกูมา ”

“ ไม่เอา ไปพร้อมกัน ”

“ K ” คำสถบที่ไม่ออกเสียงชวนให้ผมหลุดยิ้ม แต่ถึงอย่างงั้นมันก็ยังใจดีก้มลงช่วยเพื่อนตัวเองเลือกขวดน้ำชาที่เย็นที่สุด “ ขวดนอกสุดนี่แหละเย็นสุดแล้ว เพราะเวลาเค้าใส่ขวดน้ำใหม่ เค้าใส่มาจากด้านหลังตู้ ”

“ ก็คงจริง ”  ผมเห็นเบสพยักหน้ารับ แต่ตอนที่มันกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบขวดน้ำชานั้น เพื่อนของผมก็เดินย่องเบาเข้าไปใกล้ทั้งคู่ที่ยืนหันหลังอยู่พอดี ดีนมันเอ่ยบอก

“ ขอโทษนะครับ ” แล้วจังหวะนั้นที่มันสองคนหันกลับมามองต้นเสียง ก็เป็นจังหวะเดียวกันที่ดีนเอื้อมมือไปหยิบน้ำชาขวดนั้นมาเป็นของตัวเอง

“ เห้ย!ของกู ” เสียงของไอ้ดีนที่พูดขึ้นแบบนั้นด้วยตาเล็กที่เบิกโตถึงขีดสุด มันที่พยายามคว้าขวดน้ำชาคืน แต่เหมือนไอ้ดีนจะไวกว่า มันยิ้มกว้างก่อนจะถอยหลังแล้วพูดถามยิ้มๆ

“ ของมึงอะไร มึงยังไมได้หยิบเลย แค่กำลังจะหยิบ ” ดีนมันว่า แล้วนั่นก็ทำให้ทั้งสองคนหันหน้ามองกัน ในสายตาที่ไม่พอใจแต่ก่อนที่ใครจะได้พูดอะไร เมี่ยงมันก็หันมาเห็นผมก่อน

“ อ้าว มึง ” เสียงทักทายที่ดูสนิทชวนให้ไอ้ดีนหันไปมอง ซึ่งนั่นก็ไม่ต่างอะไรกับไอ้เบสที่ก็เหลือบมองทั้งผมกับไอ้เมี่ยงสลับกันไปมา เพราะอย่างที่รู้กันผมไม่มีทางเป็นเพื่อนหรือสนิทอะไรกับพวกของไอ้เบสอยู่แล้ว และก่อนที่อีกคนจะได้ทันสงสัย ผมก็ดีหน้านิ่งแล้วเอ่ยถามออกไปก่อนอย่างหาเรื่อง

“ อะไร ” จ้องหน้าคนทักแบบไม่วางตา แล้วเมี่ยงที่เหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ ก็เบิกเรียวตากว้างด้วยความตกใจ ท่าทางที่ดูลนลาน เป็นคนที่ดูออกโคตรง่ายในช่วงเวลาตกประหม่าเพราะมันมักแสดงท่าทางเกินเบอร์ออกมาตลอดโดยเฉพาะดวงตาที่มันเหมือนจะลุกลนไปหมดนั่น

“ ใครทักมึง ” มันว่าแบบนั้นก่อนจะหันไปมองไอ้ดีน “ อ้าว มึง ทำไมทำแบบนี้ ”

‘ แต่ก็เอาเถอะ ถ้าเป็นเรื่องความแถ ผมก็ขอยกให้มัน ปะติดปะต่อเรื่องโคตรเก่ง ’ พูดคนเดียวอยู่ในใจก่อนจะยกยิ้มแล้วหันไปทางอื่น แต่คนเป็นเพื่อนที่สร้างเรื่องตรงหน้ากับแค่ก้มหน้ายิ้มให้ขวดชาให้มือ มันตีหน้าซื่อ

“ กูทำอะไร แค่มาซื้อชา อีกอย่างกูขอโทษพวกนั้นด้วย ตอนที่จะเอื้อมมือเข้าไปหยิบ เพราะมันขวางทางกูอยู่ ”

“ แต่กูมาก่อน แล้วกูก็ตั้งใจจะหยิบขวดนั้น ” เบสมันพูดในตอนนั้นเมี่ยงมันก็พยักหน้ารับเห็นด้วย “ มึงมากกว่า ที่เห็นกูตั้งใจจะหยิบ แล้วก็หยิบมันตัดหน้ากู ”

“ ก็มึงมัวแต่เลือกอยู่นั่น ไม่รู้จะเอาขวดไหนดี กูจะซื้อพอดี ก็แค่หยิบขวดที่มันอยู่หน้าสุดมันก็เท่านั้น แล้วกูผิดอะไร ”

“ มึงไม่ได้จะซื้อไอ้สัด ” เมี่ยงพูดก่อนจะยิ้ม “ มึงแค่เห็นว่าไอ้เบสกำลังจะซื้อ มึงเลยตั้งใจมาหยิบตัดหน้ามัน ” 

“ เพื่อ ? ” เพื่อนผมถามกลับยิ้มๆ ก่อนจะหันไปมองไอ้เบส “ คิดมากไปแล้ว ทำไมกูต้องทำเหี้ยอะไรแบบนั้นด้วย ”

“ เอาคืนกูมั้ง  เรื่องน้ำซุปกระดูกเมื่อวานไง ”

“ ไม่เอาน่าเบส กูไม่ได้ไร้สาระขนาดนั้น ”

“ งั้นก็เอาขวดน้ำชากูมา ” มือที่ยื่นออกมา แต่อีกฝ่ายก็แค่ยกยิ้ม

“ เรื่องอะไร กูหยิบก่อน มันก็ต้องเป็นสิทธิ์ของกู มันยึกยักเองอันนั้นก็ช่วยไม่ได้ ”

“ ก็เหมือนกับน้ำซุปกระดูกของป้าร้านขายข้าวเมื่อวานใช่มั้ย ที่กูบอกมึงว่า ว่าคนมาก่อนมีสิทธิ์เลือกก่อน ” เบสมันพูดอีกคนก็นิ่ง ก่อนจะกม้นห้าลงมองขวดชานั้น แล้วส่ายไปมาต่อหน้าอีกคน

“ คงใช่ เพราะนี่กูก็หยิบก่อน ”

“ ปากบอกไม่ได้ปัญญาอ่อน แต่สุดท้ายการกระทำทั้งหมดของมึงนั่นแหละที่มันปัญญาอ่อน ”

“ ไม่เอาน่า อย่าทำเหมือนว่าถ้ามึงเจอกู มึงจะไม่แก้แค้นเรื่องกูรูดแป้นลิฟต์มึงกับเพื่อนเมื่อวาน ” ดีนพูดยิ้มๆ ในตอนนั้นเมี่ยงที่ยืนมมองอยู่ก็ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างแรง จนเพื่อนผมหันไปมอง

“ ทำไม ” เมี่ยงเหลือบถามดีน “ กูเหนื่อยกับความปัญญาอ่อนของพวกมึงไม่ได้เหรอ ”

“ พูดให้มันดีๆไอ้สัด ” คนตรงหน้าผมเดินตรงเข้าไปหา ในตอนนั้นไอ้เบสมันก็ก้าวขึ้นมาขวางไว้เหมือนกัน “ เพื่อนมึงลังเลไม่รู้จะหยิบขวดไหน ส่วนกูก็แค่อยากจะกินชาเขียวก็เลยหยิบขวดที่ใกล้ที่สุด มันก็เท่านั้น ใครมันหาเรื่อง ”

“ มึงอย่าพูดว่ามึงอยากกินเลย มึงพูดว่ามึงเห็นกูเลือกของกูอยู่ แต่พอกูตัดสินใจจะเอาขวดนั้น มึงก็เลยตัดสินใจจะซื้อตัดหน้ากู  ”

 “ งั้นมึงคืนมันมาได้มั้ยละ ” เมี่ยงถามเสียงเรียบ ท่าทางที่ดูหงุดหงิดของมันคล้ายว่าจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆเมื่อเจอความดื้อด้านของไอ้ดีน 

“ เพื่ออะไรไม่ทราบครับ ”

“ เอาจริงๆนะ เพราะพวกมึงแม่งปัญญาอ่อนอยู่แบบนี้ไง เรื่องมันถึงยังไม่จบ โตจนควายเลียตูดไม่ถึงกันอยู่แล้ว ยังมาเอาคืนกันด้วยเรื่องปัญญาอ่อน เหี้ย ”

“ สงบปากสงบคำหน่อยไอ้สัด ” ดีนมันเชิดหน้าไปทางคนตัวขาว ก่อนจะก้าวเดินเข้าไปใกล้ “ อย่าคิดว่ากูไม่เคยมีเรื่องกับมึง แล้วกูจะต่อยมึงไม่ได้นะ ”

“ กูก็ไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน ”

ไม่ใช่การทะเลาะกันของไอ้ดีนกับไอ้เบสอีกต่อไป แต่ตอนนี้กลายเป็นว่ามีไอ้เมี่ยงเข้ามาร่วมด้วย สายตาของมันสองคนที่จดจ้องกัน และตามความคิดของผม พวกมึงแม่งก็ปัญญาอ่อนพอๆกัน และมันก็เป็นอะไรที่โคตรน่าเบื่อ   

“ เปรี้ยวตีนให้มันน้อยๆหน่อยไอ้สัด ”

“ แล้วพวกมึงจะทำไม ” ขาที่ก้าวเข้ามาใกล้กันของคนทั้งคู่ ท่าทางหาเรื่องแบบที่ไม่มีใครยอมใคร จนสุดท้ายผมที่ยืนนิ่งก็ตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้ แล้วในตอนนั้นเมี่ยงก็หันมองผมพอดี

สายตาของมันหงุดหงิดยิ่งกว่าตอนที่จ้องไอ้ดีนเสียอีก แล้วถ้าเดาไม่ผิดมันคงด่าผมด้วยประโยคที่ต่ำตมที่สุดที่คนอย่างมันคิดออก แล้วก็คงนึกถามอยู่ในใจนั้น ว่าทำไมผมถึงเอาแต่ยืนเงียบๆ แล้วไม่คิดจะห้ามปรามอะไรเพื่อนตัวเองเลย

ทั้งที่ความเป็นจริง ผมแค่รอจังหวะที่เหมาะสมที่สุด มันก็เท่านั้น 

“ นักศึกษามีอะไรกันหรือเปล่าคะ ” เสียงของคนดูแลร้านสะดวกซื้อเดินเข้ามาทักเรา ด้านหลังของเธอมีนักศึกษาสาวสองสามคนที่ก็มองดูเราด้วยความสนใจ

“ ไม่มีอะไรครับ ” ผมหันไปตอบก่อนจะคว้าทำน้ำเจ้าปัญหาขวดนั้นขึ้นมา ผมอยากให้มันเป็นวินาทีที่เท่ที่สุด เพราะแน่นอนว่ามันจะถูกจดจำ

“ ไอ้อาร์ม ” ดีนเอ่ยเรียกผม แววตาหงุดหงิดที่มองกันบอกเป็นคำพูดได้อย่างไม่ต้องเอ่ยถามว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร
 
 ‘ อย่าเอาไปให้มันนะ ’ คงตั้งใจจะบอกกันแบบนั้น แต่ผมก็แค่เดินตรงไปที่เค้าน์เตอร์คิดเงินของร้าน แล้วหยิบเงินของตัวเองจ่ายไป

“ เท่าไหร่ครับ ”

“ 20 ค่ะ ” พนักงานร้านว่าแบบนั้นอีกคนที่เค้าน์เตอร์ว่าแบบนั้น ผมยื่นเงินที่ติดอยู่ในกระเป๋าเสื้อส่งไปให้เธอ ก่อนจะคว้าเอาขวดชาเขียวเจ้าปัญหานั้นขึ้นมา เหลือบมองไปยังคนที่เอาแต่ทะเลาะกัน ไอ้ดีนยกยิ้มเพราะคิดว่าผมคงเอามาให้ แม้แต่เมี่ยงก็คงคิด มันตีสีหน้าหงุดหงิดใจในความไม่ยุติธรรมนั่นเล็กน้อย

 “ น้ำชามั้ยครับ ” เอ่ยถามนักศึกษาหญิงคนนึงที่ยืนอยู่ตรงนั้น เธอที่ส่ายหน้าไปมา มือก็ยกขึ้นโบกปฎิเสธ

“ ไม่ค่ะ..”

“ ช่วยรับไปหน่อยเถอะครับ ถือว่าช่วยพี่จบปัญหาตรงนี้ ” ยิ้มให้เธอเชิงน้อยผ่านทางสายตา คนตรงหน้านิ่งไปเล็กน้อย เธอก้มหน้าลงก่อนจะยื่นมือมารับไป

“ ก็ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะ ”

 “ ครับ ” ตอบรับแค่นั้นก่อนจะหันไปมองทั้งสามคนอีกครั้ง สีหน้าแตกต่างกันของแต่ละคนแบ่งเป็นคนที่หงุดหงิดเพราะผมไม่ยอมเข้าข้างมันเหมือนทุกครั้งนั่นคือไอ้ดีน ส่วนไอ้เบสผมไม่สนอยู่แล้วว่ามันจะรู้สึกยังไง แต่ทว่ารอยยิ้มประทับใจของเมี่ยงมากกว่า ที่ผมถือว่าทุกอย่างนั่นได้ผลดี

 “ คราวนี้พวกมึงก็จบเรื่องนี้กันได้สักทีถูกมั้ย  เพราะไม่มีใครได้มันไปสักคน ”

“ K ” ดีนสบถออกมาในตอนนั้น มันผ่อนลมหายใจหงุดหงิดออกมาก่อนจะเดินออกไปแบบไม่รอกัน เยลลี่ที่ตั้งใจเข้ามาซื้อไม่ได้ซื้อออกไป ซึ่งก็ไม่ต่างกับกี่คน ที่ตอนนี้เสียงกริ่งเริ่มวิชาเรียนได้เริ่มต้นขึ้น

“ เข้าเรียนแล้วเห็นมั้ยไอ้สัด น้ำปงน้ำปั่นไม่ต้องแดกมันแล้วกู ” เมี่ยงที่ว่าแบบนั้นกับเพื่อนที่ยืนข้างๆ ไอ้เบสยกมือขึ้นไหว้ มันยิ้มหน้าแห้งกับท่าทางหงุดหงิดของอีกคน แต่ถึงอย่างงั้นก็มีรอยยิ้มจากเรื่องที่เกิดขึ้นหลงเหลืออยู่

แน่นอนว่าในส่วนของความประทับใจแรก ผมว่า มันเป็นไปได้ดี

“ ดีน ” เอ่ยเรียกและเดินตามคนที่เดินออกนำออกไปแบบไม่มีทีท่าว่าจะหยุดรอกัน ตั้งแต่เด็กจนโตโกรธกันทุกครั้งไอ้สัดนี่ก็เป็นแบบนี้ ไม่พูดไม่จา แล้วก็เดินไปแบบไม่คุยด้วย “ สัดดีน นี่ถ้าไม่หยุดกูไม่คุยด้วยแล้วนะ ”  ถือว่าได้ผลขาที่กำลังเดินไปนั่นชะงัก ไหล่หนาถอนหายใจออกมาผมก็เดินเข้าไปใกล้ ก่อนที่ดีนจะหันมามองหน้ากัน

“ รู้มั้ย ว่าทำเหี้ยอะไรลงไป ”

“ รู้ ” ตอบสั้นๆแค่นั้น อีกคนก็ถอนหายใจ

“ กูคิดว่ามึงจะจ่ายตังค์แล้วเอามันมาให้กูด้วยซ้ำไอ้สัด ”

“ หรือมึงอยากจะมีเรื่องจนถึงหูอาจารย์ ” ยกคิ้วถามอีกคนก็ถอนหายใจออกมา “ ก็ยังดีที่มึงฟังกูอยู่บ้าง ”

“ มึงแม่งคิดยังไงวะ ถึงเอาน้ำชานั่นไปให้คนอื่น ” มันบ่นให้ตอนที่เราเริ่มเดินตรงไปข้างหน้าอีกครั้ง

“ รู้อะไรมั้ย ว่าถ้ามึงนิ่งกว่านี้สักหน่อย มึงจะไม่ต้องดิ้นตามใครเลย เพราะอีกฝ่ายจะดิ้นแทนมึงเอง แบบที่มึงไม่ต้องเสียแรงเปล่า ”

“ คือ มึงก็รู้ว่าวิธีแบบนั้นไอ้สัดเบสมันไม่เก็ต ” อีกคนยิ้มจางๆ ก่อนจะหันมาเหลือบมองผมที่อยู่ๆก็หลุดยิ้มออกมา “ มีอะไรเปล่าวะ ”

“ อะไรมีอะไร ”

“ หน้าตามึงดูเหมือนมึงมีแผนอะไรในใจ ” ส่ายหน้าเป็นคนตอบให้อีกคนผมยิ้ม

“ คิดมาก ไม่มีอะไรหรอก ” เพราะนี่มันไม่ใช่เรื่องของมึง แต่เป็นเรื่องของกูกับไอ้แมวจอมเจ้าเล่ห์ข้างบ้าน  ที่ตอนนี้กูต้องทำการโรยผงปลาล่อแมวให้ติดกับไว้ก่อน โทษฐานที่มันคิดจะเข้ามาขโมยลูกสาวบ้านกู

...................................................

เลิกเรียนช่วงเย็นก่อนเวลาเพราะเป็นสอบเก็บคะแนน ก่อนหน้าจะเข้าเรียนผมบอกคนในกลุ่มไปแล้วว่าถ้าเสร็จก่อนจะขอกลับก่อน อย่าว่ากัน แต่ถึงอย่างงั้นพวกมันก็รู้ดีว่าผมไม่ใช่พวกที่จะอยู่กินมื้อเย็นด้วยกันอยู่แล้ว

ก้าวเดินลงจากตึกในตอนที่เดินถึงด้านหน้า สายตาของผมพลันไปเห็นกลุ่มนักศึกษาผู้หญิงที่เดินถือแก้วน้ำปั่นมาพอดี พวกเธอที่หันมามองผมก่อนจะพากันยิ้มและกระซิบอะไรสักอย่าง แล้วในตอนนั้นก็เหมือนมีประโยคนึงลอยผ่านหัวเข้ามา กับท่าทางหงุดของมันที่คอยเพื่อนร่วมกลุ่มเลือกขวดน้ำชา ‘ กูจะไปซื้อน้ำปั่น ’

“ คงยังไม่ได้กินสินะ ” พูดกับตัวเองแบบนั้นขาที่ตั้งใจจะเดินตรงไปที่ลานจอดรถก็ต้องหันหลังกลับ ผมเดินตรงไปที่หลังมหาลัยอีกฝั่ง ตรงร้านน้ำปั่นที่อีกฝ่ายชอบและบ่นกันให้ฟังว่าชอบมากแค่ไหน “ เอ่อ..” ผมนิ่งไปในตอนนั้นที่เดินถึงหน้าร้าน ป้าคนขายขมวดคิ้วมองกันด้วยท่าทางขึงขังเพราะคงจำกันได้ที่เคยมามีเรื่องกันคราวก่อน เหมือนอย่างไอ้หน้าแมวนั่นพูดไว้ไม่มีผิด

“ ซื้ออะไรคะ ” เธอถามเสียงหนักผมก็ยกยิ้มเก้อ เพราะเสือกลืมชื่อน้ำปั่นที่อีกคนชอบไปหมด และด้วยความยาวเหยียดของชื่อเมนูด้วยแล้วนั้น ผมก็ยิ่งต้องคิดนาน

“ โกโก้ ” พูดออกไปคำแรกอีกฝ่ายก็ขมวดคิ้ว “ คือป้าจำคนของอีกกลุ่มที่มันทะเลาะกับเพื่อนผมได้มั้ย คนที่มันตัวขาวๆ หน้าเหมือนแมว  ตาแบบนี้ ” ยกหางตาของตัวเองขึ้นคนขายก็ทำทีเป็นคิด เธอหลุดยิ้มขำ  “ คือ ผมจะซื้อไปให้มัน แต่จำไมได้แล้วว่ามันกินอะไร จำได้แค่ว่าโกโก้ ใส่โอริโอ้ด้วยเปล่าวะ ”

“ อ้อ ถ้าเด็กคนนั้น โกโก้โอริโอ้ปั่นพิเศษโอริโอ้ ” เธอบอกก่อนจะหยิบโอริโอ้ขึ้นมาสองห่อ “ ตามนั้นนะ ”

“ อ่า ครับ ” พยักหน้ารับเธอแบบนั้น ก่อนที่อีกคนจะเริ่มทำเมนูที่สั่ง แต่ก็ยังหันมาถาม

“ เลิกทะเลาะกันแล้วเหรอ ”

“ ครับ ? ”

“ เลิกทะเลาะกันแล้วเหรอ เห็นมาซื้อน้ำให้กัน ” ผมไม่ได้ตอบอะไรเธอแค่ยิ้มกลับไปตามมารยาท “ แต่ดีแล้วนะที่เลิกทะเลาะกัน เป็นเพื่อนกันดีกว่าอย่างน้อยเป็นมิตร ก็ดีกว่าเป็นศัตรูใช่มั้ยละ ”

 “ ไม่แน่หรอกครับ คนบางคนเหมาะจะอยู่ห่างกันมากกว่า ไม่ควรอยู่ใกล้กันหรอก ” เธอหันมามองผมในตอนที่กำลังปั่นน้ำแก้วนั้น ก่อนจะจัดใส่แก้วของทางร้านแล้วก็ยื่นกลับมาให้

ราคาความอ้วนค่อนข้างสูงสำหรับน้ำแก้วอร่อยนี้ ผมเดินหิ้วมันกลับมายังรถที่จอดไว้ แล้วก็ขับกลับบ้านไปด้วยใจที่หวังว่า ขออย่าให้มันซื้อน้ำปั่นแก้วเดียวกันนี้กลับมาเลย

 
ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เคาะประตูห้องตรงข้ามในตอนที่เดินมาถึง ผมค่อนข้างแน่ใจว่าอีกฝ่ายเลิกเรียนก่อนผม แต่ที่ไม่แน่ใจคือมันจะนั่งตะกละอยู่ที่โรงอาหารหรือตรงกลับบ้านเลยจึงจำเป็นต้องเสี่ยงดู

“ มีอะไร ” เสียงของเจ้าของห้องดังลอดออก ในตอนนั้นผมก็มองไปที่ตาแมวที่อยู่ตรงประตูห้อง

“ เปิดประตูหน่อย ” พูดสั้นๆแค่นั้น แล้วไม่นานประตูบานนั้นก็เปิดออก ผมยื่นแก้วน้ำปั่นที่ซื้อมาจากหลังมหาลัยไปให้อีกคน “ กูให้ ”

“ ห๊ะ ? ให้กูเหรอ ” มันตีหน้างงอยู่ไม่น้อย นิ้วเล็กที่ชี้เข้าหาตัวเอง เมี่ยงกระพริบตามองผมถี่ๆ “ ให้กูทำไม อย่าบอกนะว่าซื้อผิด แต่มองจากสีน่าจะจงใจซื้อให้มากกว่ามั้ง ”

ไม่รู้ว่าในสายตามันผมเป็นคนยังไง แต่เท่าที่รู้สึก เจ้าตัวคงคิดว่าผมเป็นพวกนิ่งๆไม่ค่อยพูดจา แล้วถ้าพูดทีก็คงพูดจาอะไรแบบอ้อมค้อมแบบที่ต้องวนรอบโลกหลายสิบรอบถึงจะพูดออกมาได้

“ ก็อยากซื้อให้ เห็นแล้วคิดถึงมึง ” คนฟังที่นิ่งค้างไปในตอนนั้น แววตาเรียวกระพริบตาลงถี่ๆแบบคนทำตัวไม่ถูก “ อีกอย่างจะขอโทษด้วยเรื่องวันนี้ เพราะไอ้ดีนมัวแต่ทะเลาะกับไอ้เบสมึงก็เลยไม่ได้ไปซื้อมัน ” ยื่นแก้วน้ำปั่นนั้นไปให้อีกฝ่ายก็ยื่นมือมาจับด้วยท่าทางงุนงง

“ จำเป็นต้องทำแบบนี้เหรอวะมึงน่ะ ” เมี่ยงจ้องหน้าผม มันดูวิเคราะห์ “ ไม่ใช่ว่าชอบกูหรอกนะ ”

“ ประสาท ” ผมตอบกลับทันควัน ในตอนนั้นสายตาเราสบกัน และแน่นอนมันค่อนข้างต่างจากเมื่อวานนี้ “ กูไม่ได้ชอบ ”

.......................................................

ไม่มีใครเคยบอกพี่เหรอคะ ว่าอย่าเล่นกับความรักน่ะ!!
ในมุมมองของฝั่งพี่อาร์มนั้น มันร้ายนะคะหัวหน้า

ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ในทวิตด้วยนะคะ
แท็กเหงามาก อยากมีใครสักคน

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์

หนมมี่
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 5 :: up! 13-12-62} #หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 13-12-2019 21:18:56
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 5 :: up! 13-12-62} #หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 13-12-2019 21:43:21
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 5 :: up! 13-12-62} #หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 13-12-2019 23:11:15
สำหรับอาร์มคงเกินคำว่า "ชอบ" ไปแล้วล่ะ  :m13:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 5 :: up! 13-12-62} #หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 14-12-2019 01:01:17
อาร์มตายเรียบแน่ ขุดหลุมฝั่งตัวเอง
ขอให้เมี่ยงชนะ
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 5 :: up! 13-12-62} #หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 14-12-2019 09:17:29
ชอบ การเรียงบทสนทนา ต่อปากต่อคำของไรท์
มันลื่นไหล ฮา มากๆ   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ยิ่ง ตอนใช้  K ตอบกลับ มันได้ทั้ง เค  และ ค-ย มันมากกกกกก   :z3: :z3: :z3:
เหมือนอาร์ม จะรู้สึกดีๆ กับดีนนิดๆนะ  :o8:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 5 :: up! 13-12-62} #หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 15-12-2019 21:07:28
นายอาร์มช่างร้าย

ว่าแต่ใครเป็นเจ้าของแก้มหอมนะ
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 6 :: up! 20-12-62} #หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 20-12-2019 20:24:14
ตอนที่ 6


   ประตูของห้องข้างๆถูกปิดลงไปแล้ว หลงเหลือไว้แค่เพียงผมที่ยังคงประตูห้องนิ่งค้างไว้แบบนั้น ก็ค่อนข้างตกใจมากอยู่กับสายตาและคำพูดที่ไม่ค่อยเข้ากันสักเท่าไหร่นั้น ท่าทางดูอมยิ้มๆทั้งที่ปากปฎิเสธ และแน่นอนว่ามันต่างจากเมื่อวาน ที่อีกฝ่ายปฎิเสธหน้าตั้งอย่างจริงจัง

“ หรือเพราะเรื่องที่เถียงกันเมื่อวานจะทำให้มึงรู้สึกว่า จริงๆ กูก็น่ารักดี ” ยกมือขึ้นทัดผมด้วยสีหน้าครุ่นคิด ปิดประตูห้องตัวเองลงตอนที่พูดขึ้นมาอย่างงั้น ผมเหลือบมองนายท่านที่ตอนนี้นั่งอยู่ตรงกลางห้องและมองมาที่ประตูแบบไม่สนใจสิ่งใด “ นายท่าน มึงว่ามันแปลกมั้ย ” ไม่มีเสียงตอบรับ มีแค่การกระทำของเจ้าแมวตัวลายที่ลุกเดินเข้ามาใกล้กัน มันเอาหัวมาถูไถที่ขา แต่ผมก็ยังนิ่งคิด ก่อนจะยกเจ้าโกโก้โอริโอ้ปั่นแบบพิเศษในมือขึ้นมาดู

มันจะเป็นไปได้เหรอวะ  กับคนที่เมื่อวานปฎิเสธหน้าตั้งว่าไม่ได้ชอบกับคำยุยงที่แกล้งเย้า แต่พอมาวันนี้กลับซื้อน้ำมาให้ แถมยังจำได้อีกว่า น้ำที่ชอบกินคืออะไร ทั้งๆที่ก็ไม่ใช่เพื่อน หนำซ้ำยังเป็นอริที่ไม่ค่อยชอบหน้ากันเท่าไหร่ แล้วคำพูดเมื่อกี้ที่ดูเหมือนจะเกร็งหน้าเพราะเขินนั่นอีก

“ หรือว่าน้ำเชี้ยนี่จะใส่ยาถ่าย ”  พูดแบบนั้นก่อนจะดูดมันเข้าไปคำนึง รสชาติอร่อยที่อยากจะกินมาทั้งวันแผ่ซ่าน ผมหลับตาพริ้มกับความเข้มข้นของรสชาติโกโก้และความครั๊นซี่เล็กๆนั่นจนลืมยาถ่ายที่ว่านั่นไปหมดสิ้น แล้วก่อนจะกลืนลงคอ ผมก็หันไปบอกแมวตัวเองเหมือนอวด “ อาหย่อย ”

“ เมี๊ยว ” เสียงเล็กที่นั่งลงข้างเท้าก่อนจะเงยหน้าเรียก ผมคิดว่ามันน่าจะขอกิน

“ กินไม่ได้จ้า ขอแสดงความด้วยใจด้วยน้า ” แต่ถึงจะบอกแบบนั้นอีกคนก็ยังร้องเรียก นายท่านเดินตรงไปที่ประตูบ้าน

“ เมี๊ยว ”

“ ทำไม มึงจะออกไปข้างนอกเหรอ แต่ทางนั้นไม่ได้นะ ทางนู้น ไปตรงระเบียงนู้น ” เชิดหน้าไปด้านหลัง ผมเดินไปเปิดประตูระเบียงออก “ มานี่มา ”

“ เมี๊ยว ” เหมือนว่าจะไม่ใช่ ไอ้นายท่านยกสองขาหน้าขึ้นข่วนประตูห้อง

“ บอกว่าไม่ได้ไงละครับผม เรียนเชิญทางนี้เถอะครับนายท่าน กระผมนายเมี่ยงได้เปิดประตูไว้ให้แล้ว ” ผายมือไปที่ระเบียงอีกครั้ง แต่เหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้สนใจมันยังคงข่วนประตูอยู่อย่างงั้น “ งั้นก็ตามใจมึงแล้ว ”


ครืน ครืน ครืน


เสียงโทรศัพท์ชวนให้มือที่กำลังดูดน้ำชะงักไป หน้าจอสว่างของมือที่ตั้งอยู่ตรงหน้าทีวีฉายหน้าจอสว่างพร้อมกับชื่อคนโทรเข้าที่แสนจะคุ้นตา ผมกดรับ

“ ว่าไงเจ้ ” กรอกเสียงไปตามสายแบบนั้นก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงบนโซฟา แก้วน้ำถูกวางลงบนโต๊ะ ส่วนตาก็มองไอ้นายท่านที่ยังคงนั่งส่ายหางไปมาตรงหน้าประตูอยู่อย่างงั้นแบบไม่ยอมแพ้ และยังต้องการจะออกไปข้างนอกให้ได้

“ เป็นยังไงบ้าง ”

“ หมายถึงอะไร กูหรือว่าแมว ” ถามออกไปแบบนั้นอย่างรู้ทันก่อนจะหลุดยิ้มเพราะไอ้ยินเสียงถอนหายใจจากปลายสาย

“ ทั้งมึงทั้งแมวนั่นแหละ ปรับตัวเข้ากันได้ยัง ”

“ ได้แล้วมั้ง ” ตอบไม่มั่นใจอย่างที่ใจรู้สึก ผมคิดแบบนั้นจริงๆ เพราะความสัมพันธ์ของผมกับนายท่านในสามวันนี้มันเหมือน ‘ อย่างเข้ามาใกล้ฉันมากเกินไป แต่ก็อย่าไปไหนไกลจากฉัน ’

“ อะไรคือเสียงไม่มั่นใจอย่างงั้น ไอซ์เค้าถามเจ้ ไม่รู้ว่ามึงเป็นยังไงบ้าง เจ้ก็เลยโทรมาถาม ”

“ มันก็ต้องปรับตัวกันนิดนึงมั้ยวะเจ้ ขนาดคนเราด้วยกัน เวลาเข้ามาอยู่ด้วยกันมันยังต้องปรับตัวกันเป็นเดือนๆเลยนะ แมวแม่งก็เช่นกันนั่นแหละ ”

“ จ้าๆ เอาเถอะ ถึงปรับไม่ได้มึงก็ไม่ยอมบอกเจ้หรอก ก็อยากเลี้ยงซะขนาดนั้นน่ะ ขนาดเป็นภูมิแพ้ยังไม่สนเลย ” เธอว่าอย่างรู้ทัน ส่วนผมก็ได้แต่ถอนหายใจ พร้อมกับบ่นในใจเบาๆ

‘ ก็ไม่ได้แพ้จนเลี้ยงไม่ได้สักหน่อย หมอก็บอกแล้วว่าเลี้ยงได้แต่ต้องรักษาความสะอสดให้มากขึ้นก็เท่านั้น ’

พี่สาวของผม เธอชื่อ พลู เราอายุห่างกันประมานห้าปี และถ้าพูดถึงความสนิท เธอก็เป็นทั้งแม่ พี่สาว และเพื่อนคนสนิทที่คุยกันได้แทบทุกเรื่อง แต่สิ่งเดียวที่เราคล้านกันสุดๆก็คือ หน้าตา ที่พอใครเห็นก็ต้องบอกว่า ผมคือเจ้พลูที่ผมยาว ส่วนเจ้พลูก็คือผมตอนใส่วิก

“ แล้วหอใหม่เป็นยังไง สบายเหมือนที่หมอไอซ์แนะนำมั้ย ”

“ ก็ดีนะเจ้พลู เพราะมันโคตรเหมาะกับแมวเลย กว้างขวางดี แยกส่วนกลางให้ด้วย มีครัว แล้วก็ห้องนอน ตรงระเบียงแมวก็ออกไปได้ด้วย กลางวันเปิดประตูไว้ยังได้เลย ”

“ ก็สมราคาของมัน ” บอกกันคล้ายประชด ในตอนนั้นผมก็ได้แต่ยกยิ้ม

“ แล้วนี่เจ้พลูอยู่ไหน อยู่กับพี่หมอไอซ์เหรอ ”

“ ใช่จ้ะ ” เธอตอบรับด้วยเนื้อเสียงที่เริ่มเปลี่ยนไป มันคล้ายกับจะอวดกัน “ วันนี้ว่างก็เลยชวนกันมาหาอะไรกินกันเป็นบุฟเฟ่ห์อาหารญี่ปุ่นแหละ แซลม่อนเนื้อสวยมาก ไม่นับซูซิอย่างดีอีก เนี้ย เจ้เห็นแล้วคิดถึงหนูเมี่ยงเลย ”

“ แกล้งน้องอีกแล้วพลู ” เสียงของพี่ไอซ์ที่แทรกเข้ามา ทุกคนต่างรู้ดีว่าผมตกเป็นทาสอาหารญี่ปุ่นทุกชนิด

“ เออใช่ มึงน่ะ นิสัยไม่ดี พี่ไอซ์เอามึงทำเมียได้ไง สงสาร ”

“ น้องเวร ” เธอว่า “ สรุป พี่ก็กินข้าวอร่อยๆ แล้วก็ทำแพลนงานแต่ง ว่าจะต้องจัดการอะไรบ้างนะคะหนูเมี่ยง ”

“ ทำไมไม่จ้างเวดดิ้งแพลนเนอร์ไปเลยวะ ง่ายๆ ” ผมบอกอีกคนก็นิ่ง ก่อนจะถอนหายใจ

“ นี่เด็กน้อย คือเราก็ต้องรู้ด้วยสิว่ามีอะไรบ้าง แกหวังพึ่งเวดดิ้งแพลนเนอร์อย่างเดียวไมได้หรอก ถ้ามันผิดพลาดขึ้นมาเราจะได้ท้วง งานแต่งครั้งเดียวในชีวิตนะคะน้องเมี่ยงคำ ”

“ กูเกลียดชื่อนี้ชิบหาย ” ผมพูดเสียงเบา ก่อนจะเย้าเธอ “ แล้วเจ้แน่ใจเหรอ ว่าจะแต่งครั้งเดียว บางทีพี่หมอไอซ์อาจจะทนเจ้ไม่ได้แล้วขอหย่าหลังแต่งได้สองเดือนก็ได้นะ ”

“ อีกแล้ว ปากมึงนี่นะไอ้เมี่ยง ”

“ ฮ่าๆ ” หัวเราะเสียงดังจนแมวหันมาดู “ แซวเล่นน่า เค้าไม่ทิ้งเจ้หรอก เพราะเจ้คือกำลังใจของเค้าในทุกๆวันไง ”

“ มึงจะพูดอะไรอีกละ ” พี่สาวผมตอบกลับอย่างรู้ทัน

“ เพราะพี่หมอไอซ์คงคิดถึงตลอดว่า ถ้ากูทนอีนี่ได้ อย่างอื่นกูก็ต้องทนได้เหมือนกัน เนี้ย เห็นมั้ย กำลังใจชั้นดีสุดๆ ”

“ ส้นตีน ” สบถออกมาเสียงเบาๆอย่างแค้นเคือง ผมก็หัวเราะเสียงดังขึ้น “ หัวเราะได้ หัวเราะไป แล้วไหนเรื่องที่บอกว่าจะหาแฟนให้ได้ก่อนงานแต่งกู นี่จะแต่งอีกไม่กี่เดือนแล้ว ยังดูเหมือนจะไม่มีวี่แววเลยเนอะ ”

“ คือเจ้ครับ เจ้พูดเหมือนแฟนมันขายในเซเว่น เหงาเมื่อไหร่ก็แวะมาเซเว่นอีเลฟเว่น ตึ้ง ” ร้องเป็นทำนองตรงช่วงท้ายเพลง ก่อนจะคว้าเอาแก้วน้ำปั่นที่ตั้งไว้บนโต๊ะเมื่อครู่มาดูด แล้วจู่ๆผมก็คิดถึงคนให้ขึ้นมาอย่างฉับพลัน “ เออเจ้พลู กูมีอะไรถาม ”

“ ว่า ”

“ เจ้จำได้ใช่มั้ยที่กูเคยบอกเจ้ว่า กูแม่งโคตรซวย พอมีเพื่อนใหม่ในคณะ เพื่อนแม่งก็เสือกมีอริที่แย่งหญิงกันมาตั้งแต่ม.ปลาย ”

“ เออ จำได้ ” เธอว่า “ แล้วยังไง มันทะเลาะกันรุนแรงขึ้นเหรอ ไหนบอกทะเลาะกันแค่เรื่องปัญญาอ่อนไง ”

“ มันก็ยังทะเลาะกันเหมือนเดิมแหละ แค่ที่ไม่เหมือนเดิม คือเจ้มึงรู้มั้ยว่า หนึ่งในอริของไอ้สัดเบส แม่งอยู่ข้างๆห้องกูเว้ย ”

“ ห๊ะ กูถามจริง ”

“ เออ ตอบจริงๆ ” ผมย้ำ “ ที่สำคัญมากๆ คือแม่งก็เลี้ยงแมว แล้วแมวมันก็เหมือนจะชอบแมวกูด้วย ”

“ ฮ่าๆ โอ้ยยยย ลูกกก มีความพบรัก แล้วไง แมวมึงชอบเค้ามั้ย ” หันไปมองคนที่โดนพูดถึง ไอ้นายท่านยังคงนั่งจุ่มปุ๊กอยู่ที่ประตู ในตอนนั้นผมตบมือลงบนตักแบบเรียกให้มันเข้ามาหา

“ นายท่านมานี่มา ” เจ้าตัวลายหันมามองผม ผมเดินเข้ามาหาอย่างที่เรียกเป็นครั้งแรก ก่อนจะกระโดดขึ้นมาลงบนตัก “ เชี้ยย ครั้งแรกเลยว่ะ ”

“ อะไรของมึง พูดอะไร ”

“ ก็เมื่อกี้เรียกนายท่านแล้วมันมานั่งบนตัก ครั้งแรกเลย ที่สั่งอะไรแล้วทำ ปกติเมินกันตลอด ”

“ แล้วตกลงไอ้นายท่านชอบมันมั้ย ”

“ ไม่รู้เหมือนกัน ก็พอมีใจให้มั้งนะ มันก็ดูสนใจแหละ แต่ไม่รู้เพราะสวย เพราะชอบ หรือเพราะเพื่อน แม่งโคตรซึน กูเดาใจมันไม่ออกเลย ”

“ แล้วปัญหามันอยู่ตรงไหน ” เธอถาม

“ ก็อยู่ตรงนี้ที่ว่า ไอ้อริคนนั้นมันพูดกับแมวมันโคตรน่ารัก ตอนที่ทะเลาะกันนิดนึง กูเลยขู่ว่าถ้าไม่ยอมขอโทษจะบอกเรื่องที่มันพูดน่ารักๆกับแมว ให้เพื่อนกูรู้ให้หมด สุดท้ายมันเสือกท้าว่าบอกเลย เพราะมันกำความลับของกูเหมือนกัน ”

“ ความลับของมึงเหรอ ”

“ เออ ” ผมพยักหน้ารับ “ คือเจ้รู้ใช่มั้ยว่ามันทะเลาะกันเรื่องหญิง แล้วสุดท้ายกูก็ได้รู้ว่า หญิงคนนั้นก็คือ นาเดียแฟนเก่ากู นาเดียแม่งไม่เลือกพวกมัน มาเลือกกูในตอนจบ ”

“ ฮ่าๆ ” พี่สาวผมหัวเราะเสียงดัง “ ก็คือไม่มีใครรู้เรื่องนี้ยกเว้นไอ้คนช้างห้องมึง มันก็เลยเอาเรื่องนี้มาขู่มึงแทน ”

“ เออ ”

“ สมน้ำหน้า ” เธอว่าแบบนั้น ผมก็ได้แต่ถอนหายใจ “ คิดจะขู่เค้า โดนขู่กลับเป็นยังไงละ ซึมไปเลยสินะน้องรัก ”

“ เจ้ กูน้องมึงนะเว้ย เข้าข้างกูหน่อยสิ ”

“ แล้วยังไงต่อ ”

“ ก็เมื่อวานเพื่อนกูเสนอแผนว่า ถ้าอยากจะแก้แค้นก็คงต้องเอาคนที่รักมันมาเป็นแฟน ไม่ก็จับมันมาเป็นแฟนเลยงี้ ”

“ แผนสมเป็นเด็ก ปัญญาอ่อนชิบหาย ” เธอบ่น  “” แล้วมันได้ผลเหรอวะ ถามจริง ”

“ ไม่ได้ผลหรอก กูคิดว่ามันรู้ทันแผนกูทุกอย่างเลยด้วย เพราะพูดอะไรไปมันก็ตอบกลับได้หมด ”

“ ค่อยยังชั่ว แสดงว่าว่าฉลาดอยู่ ”

“ ประเด็นคือเมื่อวานกูแกล้งเย้ามันว่ามันชอบกูแน่ๆเลย เพราะมันรู้เรื่องกูทุกอย่าง แล้วก็เหมือนจะมองกูตลอด กูบอกว่าข้ออ้างทั้งนั้นเรื่องไม่อยากตกเป็นรองเลยต้องสืบเรื่องของกู เรื่องที่บอกว่าแค่เดินผ่านเลยเห็นกูน่ะ  แต่มันก็ปฎิเสธเสียงแข็ง ปฎิเสธแบบ ไม่มีพิรุธอะมึง ”

“ แล้วไง ”

“ แต่วันนี้อยู่ๆ มันช่วยกูตอนที่เพื่อนกูทะเลาะกับเพื่อนมัน แถมยังซื้อน้ำร้านที่กูชอบมาให้อีก ”

“ เอ๋ ยังไงน้า ” ปลายสายลากเสียงยาวล้อๆ

“ มึงฟังก่อนเจ้ แต่ที่แปลกกว่านั้นคือ พอวันนี้กูเย้ามันว่า ทำแบบนี้ชอบกูแน่ๆ มันก็ปฎิเสธเหมือนเดิม แต่สายตามันไม่เหมือนเดิมว่ะ เหมือนมันเชิน คือยังไงวะ มันชอบกูจริงๆเหรอ แต่คนเราอะมันเปลี่ยนไวเป็นจิ้งจกได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ ความรู้สึกนะเว้ย ”

“ มันก็คิดได้หลายๆแง่นะ ” เธอบอก “ อาจจะชอบจริงๆ แบบตกหลุมรักมึง กับความบ้าบอของมึง ”

 “ ใช่มั้ยละ กูก็น่ารักพอตัวแหละ เข้าใจอยู่ ” ผมตอบรับความคิดเห็นนั้นที่ตัวเองก็คิด

 “ แต่มันก็คิดได้เหมือนกันนะ ว่าทุกอย่างเค้าก็พูดคือความจริง เรื่องไม่อยากเป็นรองอะไรนั่น เค้าเลยวางแผนตลบหลังมึงไง ”

“ แต่มันจะเพื่ออะไรวะ ” ผมคิดอย่างสงสัย ก่อนจะตอบตัวเองในตอนที่คิดถึงหน้าไอ้เบสกับไอ้ดีนลอยมา รวมถึงหน้ามันตอนที่ขู่ผมเรื่องนาเดีย “ แต่ก็ได้หลายเพื่อจริงๆด้วยว่ะ บางทีเพราะมันกุมความลับกูอยู่ มันอาจจะยิ่งทำให้กูอึดอัดเพราะต้องกุมความลับเพิ่มถ้าขืนชอบมันเข้า ”

“ อันนั้นก็มีสิทธิ์ ” ผมยกยิ้มกับคำพูดของพี่สาวก่อนจะวางมือลงบนขนนุ่มๆของเจ้าแมวแล้วลูบเบาๆ

“ บางทีมันคงคิดว่ามันฉลาดมาก แต่ไม่น่าจะเป็นแบบนั้นหรอก ”

“ นี่ อย่าบอกนะว่าจะเล่นตามน้ำ ”

“ อ้าว จีบมาจีบกลับไม่โกง ถ้ามันคิดว่าตัวเองทำให้กูสนใจได้ มันก็ต้องรู้ไว้ด้วยว่า กูก็ทำได้เหมือนกัน ” บอกแบบนั้นแต่เหมือนจะเสียงดังไปหน่อย ไอ้นายท่านก็เลยกระโดดลงไปจากตัก มันเดินไปที่ประตูอีกครั้งก่อนจะข่วนเบาๆ

“ เมี๊ยวๆ ”

“ ไม่มีใครสอนเหรอเด็กน้อย ว่าอย่าเล่นกับความรักน่ะ ” พี่สาวผมบอก ในตอนนั้นผมก็ยิ้มก่อนจะส่ายหน้า

“ สอนเว้ย แต่ในกรณีนี้มันเป็นไปไม่ได้หรอกเจ้ เพราะมันคงทำได้แค่ประสาทแดกใส่กันอะ รักกันจริงๆไมได้หรอก ”

“ ดูถูกกกก ” เธอลากเสียงยาว ผมก็ถอนหายใจออกมา “ ตายมากนักต่อนักแล้ว คนที่พูดแบบนี้ ”

“ แต่วันนี้ไอ้นายท่านเป็นไรไม่รู้วะเจ้ ตั้งแต่ไอ้ข้างห้องมันมาเคาะประตู ก็เอาแต่ร้องเมี๊ยวๆ แล้วข่วนประตูตลอดเลย ”

“ อยากออกไปข้างนอกเปล่า ”

“ ออกไปทำไม มันไม่เคยอยากจะออกไปเลยเวลาเมี่ยงไปเรียน ”

“ บางทีอาจจะอยากเจอน้องแมวข้างห้องก็ได้ไม่ใช่เหรอ ก็มึงบอกเจ้เมื่อกี้ว่า นายท่านมันเหมือนจะชอบแมวข้างห้อง บางทีนะ มันเห็นหน้าเจ้าของแมว มันก็เลยอยากจะออกไปหาก็ได้เพราะคิดว่าอยู่ข้างนอก ”

“ แบบนั้นนี่เอง ” พยักหน้ารับยิ้มๆ กับความคิดที่ผ่านเข้ามาในสมอง ผมลุกขึ้นเต็มความสูง “ งั้นวางก่อนจะเจ้ ต้องพาไอ้นายท่านออกไปตามหารักแท้สักหน่อย ”

“ น้ำเสียงดูไม่น่าไว้วางใจ แกก็จะไปตลบหลังไอ้คนข้างห้องด้วยละสิ ”

“ บ้าบอ ” พูดเหมือนจะไม่ใช่ ทั้งๆที่มันก็จริงอย่างงั้น แต่ไม่ว่ายังไงพี่สาวผมก็รู้ทันอยู่ดี

“ ระวังนะเว้ย ล้อเล่นกับความรักน่ะ มันไม่มีใครรอดกลับมาแบบดีๆหรอก มันปางตายกันทั้งนั้นอะ ” พี่ผมเตือน “ ชัยชนะในเรื่องรักๆมันไม่มีจริงน่ะ เก็ตมั้ย ”

“ ครับๆ เก็ตครับเก็ต ” ตอบเธอแบบขอไปเธออีกคนก็ยิ้ม “ แต่บอกแล้วไงว่าแค่เย้ากัน รักกันจริงๆ กูกับไอ้เหี้ยนั่นก็คือเป็นไปไม่ได้ไง กูไม่ชอบผู้ชายเจ้าชู้ กินเหล้า สูบหรี่ กูเป็นคนใสๆ ”

“ ใสไม่มีเหลือน่ะสิ ” เธอว่า “ อีกอย่างนะ แกไม่เคยได้ยินเหรอ ความรักมักจะทำให้สิ่งที่เราไม่ชอบ กลายเป็นข้อยกเว้นได้ เพียงเพราแค่เป็นใครคนนั้น ”

“ คำพูดสมกับที่จะได้แต่งงานแล้วจริงๆแหละมึงน่ะ ”

“ ไม่เชื่อก็แล้วแต่ เจ้จะคอยดู ” อีกฝ่ายย้ำแบบนั้น แต่ก่อนจะวางไปก็ไม่ลืมสั่ง “ แกเองก็หัดกินข้าวเช้าบ้างนะ ไม่ใช่กินแต่ขนม แล้วอีกอย่าง เดี๋ยวอีกไม่นาน บ้านเรามีนัดกินข้าวกับบ้านหมอไอซ์ มาด้วยนะ ”

“ ไปอยู่แล้วครับ สั่งจัง แค่นี้นะ จะพานายท่านไปไตหาตัวจาม ตามหาหัวใจละ ”

“ จ้า แต่ระวังหัวใจของตัวเองติดมือเค้าไปแล้วกัน ”

“ ไม่มีวันหรอกจ้า ” ตอบกลับไปแค่นั้นผมวางสายก่อนจะยัดมือถือใส่กระเป๋า แล้วถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือกใหญ่ “ แผนมึงน่ะ กูรู้หมดแล้วไอ้สัดอาร์ม ” พูดกับตัวเองเสียงเบา ผมเดินไปที่ประตูก่อนจะย่อตัวลงข้างแมวตัวเอง “ นายท่าน ไปหาน้องแก้มหอมกัน แต่ต้องให้กูอุ้มนะ ”

ช้อนตัวเจ้าตัวนุ่มนิ่มขึ้นมาแนบอก ผมประคองอีกฝ่ายเหมือนเด็กเล็ก ก่อนจะหอมลงไปบนหัวอย่างอดใจไม่ไหว ถึงเราจะยังไม่สนิทกัน แต่พูดได้เต็มปากเลยว่า ผมถูกชะตากับมันมาก และมีความสุขกับทุกความใกล้ชิดที่อีกฝ่ายมอบให้กันแม้มันจะเล็กน้อย  แต่ทว่า ก็อดแซวมันไม่ได้เลย

“ แหมมม พอจะพาไปหาสาวเข้าหน่อย ให้อุ้มเลยนะไอ้เสือ ”

“ เมี๊ยว ” เสียงตอบรับที่ได้ยินกลับมา เหมือนกับว่าอีกฝ่ายจะบอก ‘ ก็ดีที่รู้เหตุผลว่าทำไมถึงให้อุ้ม ’

หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 5 :: up! 13-12-62} #หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 20-12-2019 20:24:33

ปิดประตูล็อคห้องของตัวเอง ผมดินมาที่ห้องของอีกคนก่อนจะเคาะประตูแบบไม่มีลังเล แต่เหมือนว่าจะได้ยินเพียงแค่เสียงร้องเมี๊ยว ขานตอบรับมาจากน้องแก้มหอมเท่านั้น ไม่มีการเปิดต้อนรับจากเจ้าของห้องแต่อย่างใด ผมเคาะอีกครั้ง


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


 “ มีอะไร ” สีหน้าปกติมาพร้อมกับกลิ่นหอมของอาหารภายในห้องคับคล้ายคับคราว่าจะเป็นหมูทอด จนผมต้องเอ่ยถามไป

“ มึงทอดหมูเหรอวะ ”

“ ทำไมไอ้ตะกละ ” คนตรงหน้าพูดยิ้มๆในตอนที่จ้องหน้าผมแบบหาเรื่อง ดูจากแววตามันคงรับรู้ได้ถึงความอยากกินของผม

“ กูแค่ถาม ” เบิกตาใส่อีกฝ่าย ที่ก็เลิกคิ้วราวกับรอคำตอบว่าผมต้องการอะไร “ นายท่านอยากเจอน้องแก้มหอม กูเลยพามาหา ได้มั้ย ”

“ เมี๊ยว ” เสียงของเจ้าตัวน่ารักสีขาวเดินมาคลอเคลียกันที่ขาแบบที่ตอบแทนคนเป็นพ่อว่า ‘ ได้ค่ะ เชิญเข้ามาเลยนะคะ ’

“ แล้วถ้าพูดบอกว่าไม่ได้ ”

“ ได้หน่อยไอ้สัด ทีมึงยังเข้าห้องกูได้เลย ” ผมว่าก่อนจะหันไปพูดกับเจ้าแมวตัวน้อย “ น้องแก้มหอม อนุญาตแล้วเนอะ ”

“ เมี๊ยว ”

“ ขอบคุณนะครับน้องแก้มหอม ” ก้มลงพูดแบบนั้นก่อนจะยักคิ้วให้เจ้าของห้อง ที่ซึ่งตอนนั้นไอ้นายท่านของผมก็กระโดดลงไปตรงหน้าอีกฝ่ายทันที นายท่านนั่งนิ่งอยู่ตรงหน้าประตูเหมือนถูกสะกด ตอนที่เจ้าแก้มหอมเข้ามาคลอเคลีย หน้าตาที่ดูรำคาญของมันชวนให้ไอ้อาร์มขมวดคิ้วก่อนจะเหลือบมองผม

“ มึงแน่ใจนะ ว่ามันอยากเจอแก้มหอมจริงๆ ”

“ เอ่อ.” ได้แต่ยิ้มแห้งๆกับคำถามนั้น ก่อนที่อีกฝ่ายจะส่ายหน้าไปมา

“ หรือว่าเป็นมึงมากกว่าที่อยากจะเจอกู ”

“ มึงจะบ้า! ” ผมสวนกลับแบบตาโต “ กูจะอยากไปเจอมึงทำไม ไอ้นายท่านมันอยากเจอแก้มหอมจริงๆ เมื่อกี้มันยังร้องเมี๊ยวๆอยู่ที่หน้าประตู เพราะอยากจะมาเจอแก้มหอม จริงๆนะ ไม่ได้โกหก แต่มันเป็นแมวซึนไง มันไม่ค่อยแสดงออก ”

“ ก็ไม่เห็นต้องร้อนตัว ”

“ K ” สบถในคอแบบนั้น ก่อนที่ร่างสูงจะถอยหลังเปิดทางให้ผมเข้ามาในห้อง

ก็เคยนอนคิดเล่นๆเหมือนกัน อย่างน้อยคงเมื่อคืนก่อนจะหลับ ว่าภายในคอนโดของไอ้คนห้องข้างๆนี้มันจะเป็นยังไง แมวสวยขนสีขาวดูนุ่มนิ่ม นัยน์ตาสีฟ้าท่าทางราชนิกูลแบบนี้ นับรวมเข้ากับคำพูดคำจาของมัน ผมอดคิดไม่ได้เลยว่าโซนของเล่นแมวต้องมีแต่สีชมพูตัดด้วยสีทองเท่านั้น และทุกอย่างต้องดูดีระดับเจ้าหญิง

และก็ไม่ต่างอะไรไปจากที่คิด

เมื่อขาผมก้าวผ่านประตูต้อนรับ ทุกอย่างที่ปรากฏสู่สายตาไม่ใช่เรื่องเหนือจินตนาการอีกต่อไป คอนโดแมวสีชมพูขาวดูนุ่มนิ่มแบบสุดแสนจะน่ารักและฟรุ้งฟริ้งถูกจัดวางไว้ตรงฝั่งกระจกระเบียงบานสูง ตรงมุมห้องวางเจ้าต้นว่านงาช้างเพื่อกรองอากาศ ส่วนข้างๆกันนั้นเป็นห้องน้ำแมวอัตโนมัติอย่างดี

ตกแต่งด้วยพรมสีชมพูด้านหน้าที่ปักอักษรสีทองด้วยคำว่า  Princess แถมยังมีจานอาหารที่ขาตั้งยังเป็นสีทองตัดกับถาดอาหารสีขาวซึ่งก็เข้าคู่อย่างดีกับน้ำพุแมวสีเดียวกัน

แล้วที่ขาดไม่ได้คือกระบะนอนของน้องแมว ซึ่งแน่นอนว่ามันไฮโซระดับที่ว่าขาของตัวกล่องยังเป็นสีทอง และด้านในก็บุด้วยเบาะอย่างดีรวมถึงมีผ้าขนสัตว์นุ่มนิ่มให้ห่มนอน และขนาดเบาะข้างโต๊ะหน้าทีวีที่ควรธรรมดาได้ มันยังเป็นเบาะแบบที่เย็บประดับด้วยฟู่สีทองทั้งสี่มุม

“ สุดจัด ” พูดกับตัวเองท่ามกลางความเงียบ สิ่งที่เคยคิดไว้ดูน้อยลงไปเลยเมื่อเจอกับความจริง จนได้แต่ยิ้มแห้งๆในตอนที่อีกฝ่ายหันมามองกัน

“ มีอะไร ”

“ ห้องมึง.. สวยดีนะ ” พูดได้แค่นั้นก่อนจะหันไปมองตรงส่วนของครัว ผมรับรู้ได้ถึงอาหารแสนอร่อยในนั้น “ กำลังจะกินข้าวเย็นเหรอวะ ”

“ อื้ม ” ร่างสูงตอบสั้นๆก่อนจะเดินเข้าไปในครัว เพิ่งสังเกตว่ามันใส่ผ้ากันเปื้อนสีดำไว้อยู่ด้วย ท่าทางเจนจัดในการทำอาหารเอาเรื่อง เสียงดังฉู่ฉี่ของน้ำมันที่กระทบกับเนื้อหมู ผมเผลอสูดกลิ่นหอมๆนั่นเข้าไปจนไม่รู้ตัวเลยว่า มีคนกำลังแอบมองอยู่

“ หิวก็มาตักข้าว ไม่ใช่ยืนดมอยู่อย่างงั้น ”

“ ไม่เอาอะ ” ผมปฎิเสธ แน่นอนว่าเพราะไม่ได้ได้สนิทกันถึงขั้นนั้น ที่จะเดินเข้าครัวบ้านคนอื่นไปหยิบจานมาตักข้าวได้ “ เดี๋ยวกูค่อยสั่งอะไรในแกร็ปมากิน ”

“ ที่ซึ่งกว่าจะได้กิน มึงก็คงหิวจนจับไอ้แนวนั่นมาแดกก่อน ”

“ เอ่อ คือกูไม่คิดว่าตัวเองจะหิวจนต้องแดกแมว ”

“ กูหุงไว้เยอะ จะกินก็มาตัก ” อาร์มมันเชิดหน้าไปที่หม้อหุงข้าวที่ตอนนี้ข้าวหอมมะลิกำลังโชยกลิ่นหอมพวยพุ่งเบาๆ ผสานมากับกลิ่นของหมูทอดกระเทียม

“ หุงไว้เยอะเหรอวะ ” ผมถามก่อนจะเหล่มองอีกคน ขาผมเดินเข้าไปใกล้ “ หรือว่ามึงหุงเผื่อกู แบบว่าตั้งใจจะเดินไปชวนกูมากินข้าวอยู่แล้ว แล้วใช้มุกประมานว่า หุงข้าวไว้เยอะเกินไป มาช่วยกินหน่อย ”

“ มึงหลงตัวเองขนาดนี้เลยเหรอวะ รู้มั้ยว่าบางที กูอาจจะเป็นคนที่หุงข้าวเผื่อเช้าวันพรุ่งนี้ จะได้กินก่อนออกไปเรียน ” มือหนาที่ตักหมูทอดในกระทะขึ้นใส่จานหันมามองผม “ แล้วยังไงสุดท้ายมึงก็เข้ามาเคาะห้องกูแบบไม่คาดคิด เราเลยได้กินข้าวด้วยกันอย่างงั้นเหรอ ”

“ ก็มีความเป็นไปได้สูง ” ตอบออกไปเสียงอ้อมแอ้มแบบไม่เต็มเสียงเท่าไหร่นัก อาจเพราะสายตาคมนั้นเอาแต่จดจ้องผมไม่มีผละไปทางไหน มันยกยิ้มในตอนที่ฟังก่อนจะหันไปหยิบจานที่ใช้กินข้าวขึ้นมาสองใบ

“ งั้นก็ดี กูจะได้ไม่ต้องคิดข้ออ้างเยอะแยะ ” เหลือบมองคนที่ว่าอย่างงั้นแบบหน้าตายๆ รอยยิ้มของผมพยายามกลั้นเอาไว้ค่อยๆฉีกออกกว้างก่อนจะเดินไปที่หม้อหุงข้าว ก่อนจะพูดเสียงอ้อมแอ้ม

“ พูดเหี้ยอะไรของมึง ”

กดูท่าทางว่ามันอยากจะให้ผมเขิน เพราะงั้น ผมก็ต้องเขินให้มันดูสักหน่อย ก่อนที่จะกดเปิดหม้อหุง กลิ่นหอมของข้าวที่เพิ่งหุงใหม่ๆลอยปะทะเข้าหน้า สูดกลิ่นหอมๆนั่นเข้าปอดก่อนจะมองหาที่ตัก

“ อยู่นี่ ” มือหนายื่นที่ตักข้าวมาให้ ผมก็เอื้อมมือไปรับมันไว้ก่อนจะคนข้าวไปมาให้มันร่วน

“ มึงกินข้าวประมานเท่าไหร่ ”

“ แบบที่คนปกติกิน ” พูดแบบนั้นพลางก้มลงไปมองเท้าตัวเอง ผมเพิ่งเห็นเหมือนกันว่าไอ้นายท่านเข้ามาในครัว แล้วตอนนี้ก็กำลังเหยียบเท้าไอ้อาร์มอยู่ “ แล้วนี่จะมาจะเหยียบเท้ากูไว้ทำไม ”

“ มันคงหงุดหงิดที่มึงว่ากู ” ผมบอกพลางยกไหล่ “ แน่นอนว่านายท่านเป็นพวกกู มันต้องเข้าข้างกูอยู่แล้ว เนอะ ” ไม่มีเสียงตอบรับจากแมวของผมที่เงยหน้ามองคนที่มันเหยียบเท้าอยู่ ต่างฝ่ายที่ต่างมองหน้ากันในตอนนั้นอาร์มพูดเสียงนิ่ง

“ ถอย ”  ไม่มีคำว่าใส่ใจ อยู่ในพจนานุกรมของไอ้นายท่าน มันเอาแต่นิ่งแล้วก็นั่งเลียขนอย่างไม่ใส่ใจเลยในคำพูดนั้น ท่าทางของมัน ผมไม่แน่ใจว่าจะเรียกว่ามันกวนตีนได้มั้ย รู้แค่ว่าในตอนที่อาร์มจะยกเท้าขึ้นเพื่อหนี มันก็ลุกขึ้นแล้วเดินเชิดออกไปจากห้องครัวทันที “ แมวมึงนี่กวนตีนนะ ”

“ แต่มันก็แค่แมว มึงจะเอาอะไรกับมัน ” ผมเถียงอีกคนก่อนจะส่ายหน้าใส่ใบหน้าหงุดหงิดที่มองจ้องไปยังแมวของผม ไอ้นายท่านเดินไปออเซาะแก้มหอมเหมือนกับมันจะรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายมองอยู่ หน้าที่ถูกับหน้าของอีกฝ่าย อาร์มมองมันไม่วางตา ส่วนในใจของผมตอนนั้น ก็มีเพียงรอยยิ้มกับความรู้สึกที่อิ่มเอมในใจ ‘ ดีมากไอ้เสือ ให้มันได้แบบนี้แหละ!’

“ แก้มหอมขา มาหาป๊ามา” อาร์มเรียกแมวมันที่ไม่ได้หันกลับมาสนใจในตัวเจ้าของแต่อย่างใด น้องแก้มหอมยังคงคลอเคลียอยู่กับนายท่าน “ มึงจะเป็นคนเอาแมวมึงออกไป หรือจะให้กูเตะมันออกไป ”

“ แต่ตักข้าวเสร็จแล้วนะ ” ชูจานให้อีกคน ผมเอียงหน้านิดๆ พร้อมกระพริบตาแบบที่ถี่ๆเพราะคิดว่ามันคงจะน่ารักดี แต่อีกคนกลับนิ่งไป

“ เหี้ยอะไรเข้าตามึง ”

“ สัด ” ผมสวนมันที่ยกยิ้มมุมปากก่อนจะเบือนหน้าหนีไปหยิบจานหมูทอดกระเทียม “ น่ารักก็บอก มึงไม่ต้องกลบเกลื่อนหรอก กูรู้ตัว ”

“ หลงตัวเองชิบหาย ” ว่าแบบนั้นพร้อมกับจานกับข้าวที่ถูกวางลงบนโต๊ะ ส่วนผมที่เดินตามออกมาก็วางจานข้าวหอมๆจัดไว้แบบตรงข้ามกัน

“ กูหลงตัวเองไม่มีปัญหาหรอก แต่มึงอย่าหลงกูแล้วกัน ”

“ คือถ้าหลงแล้วจะยังไง มันมีปัญหาเหรอ ” คำถามหน้าตายชวนให้ผมนิ่ง  ก่อนจะเบือนหน้าหนีแล้วหันไปมองทางอื่น ความร้อนตรงหน้าแก้มไม่ใช่เรื่องตลกอีกต่อไป

“ ไอ้ชิบหาย ” ผมพูดออกมาแบบนั้น เพราะเสือกใจเต้นแรงขึ้นมากับการกระทำนั้นจริงๆ

“ หน้ามึงแดงนะ ”

“ เงียบไปได้มั้ยไอ้สัด ” ว่าแบบนั้นพลางนั่งลงที่โต๊ะ ส่วนไอ้ตัวต้นเหตุก็เดินเข้าไปในครัวอีกครั้งก่อนจะเดินออกมาพร้อมกับถ้วยแกงจืดเต้าหูหมูสับที่หน้าตาค่อนข้างหน้ากิน ผมขมวดคิ้วมองคนตรงหน้าจนคนอีกฝ่ายถึงกับทัก

“ หน้ากูมันมีเหี้ยอะไร ” อาร์มหย่นตัวเองลงนั่งก่อนจะยื่นช้อนส้อมมาให้ผม “ ไม่เชื่อเหรอว่ากูทำเอง ”

“ แน่นอนสิไอ้สัด ” ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับมากับประโยคนั้น อีกฝ่ายแค่หยิบช้อนขึ้นแล้วพูดเสียงเรียบ

“ ไม่ใช้ช้อนกลางนะ ถือหรือเปล่า ”

“ ตามสบาย ไม่ถือ ” ผมบอก ก่อนจะเริ่มกินข้าวเหมือนกัน ผมตักหมูทอดที่อยากจะกินลงใส่ในจานของตัวเอง เขี่ยข้าวพอประมานก่อนจะลิ้มรสมันเข้าไปคำแรก รสชาติอาหารอร่อยแบบพอดีที่ไม่เค็มไป ผมถึงกับพยักหน้ารับแบบชื่นชมให้มัน “ อร่อยว่ะ ”

“ ระดับกู ”

“ ยกหางตัวเองเก่ง ” ผมแซวมัน “ แต่มึงดูเป็นคนชอบกินอาหารแบบจืดๆนะ ”

“ มึงไม่ชอบ ” อีกฝ่ายถาม

“ กูกินได้หมด กูชอบหมดเลย เพราะกูชอบกิน โดยเฉพาะขนม กูชอบมากที่สุด ”

“ คำตอบสมเป็นมึง ” คนตรงหน้าผมบอกก่อนจะยิ้ม  “ ดูตะกละดี ”

“ K ” ตอบออกไปแบบไม่ออกเสียง  ผมเคี้ยวอาหารตรงหน้าไปเรื่อยก่อนจะเหลือบมองอีกคนที่เหมือนจะเงียบไปในระหว่างทานข้าว “ ปกติมึงกินข้าวคนเดียวเหรอวะ ”

“ กินกับแก้มหอม ” อีกฝ่ายบอกก่อนจะเชิดหน้าไปที่แมวตัวสวยของตัวเอง ที่ซึ่งตอนนี้กำลังเล่นกับแมวของผม  แต่ถ้าจะให้พูดแบบถูกต้องจริงๆ ผมว่า แก้มหอมมากกว่าที่คลอเคลียนายท่าน ส่วนเจ้าตัวซึนของผมก็แค่เลียขนตัวเองไม่สนใจ

ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้มันเรียกร้องจะมาให้ได้ เป็นแมวที่โคตรซึน ซึนแบบ ซึนชิบหายเลย ซึนจนไม่รู้ว่าความต้องการจริงๆคืออะไร

“ ชีวิตมึงดูเหงาๆนะ ” ผมบอกก่อนเหล่มอง

“ เหงาเหี้ยอะไร ”

“ ก็มันดูไม่เร้าใจ ดูไม่เข้ากับคนแบบมึงเลยด้วย ”

“ แล้วคนแบบกูมันต้องเป็นแบบไหน ” คำถามนั้นทำให้ผมครุ่นคิดอย่างหนัก ก่อนจะตอบคนตรงหน้าแบบเสียงเรียบๆ

“ มึงอยากได้คำตอบจริงๆ หรือแบบรักษาน้ำใจ ”

“ คำตอบจริง ” มันว่า ผมก็เบิกตาพลางดึงตัวเองถอยหลัง

“ มึงเลือกเองนะ ”

“ ทำไม กูในความคิดมึงมันเหี้ยมากเหรอ ”

“ ก็ประมานว่า คนอย่างมึงถ้าดูจากภายนอกก็คือเสือผู้หญิงดีๆนี่แหละ แบบว่าฟันมาแล้วเป็นร้อยคน ”

“ Kเน่าพอดี ” อาร์มว่าขัด

“ ฟังกูก่อน ” ผมบอก ก่อนจะปั้นสีหน้าจริงจังอีกครั้ง “ มึงเป็นคนแบบที่ต้องกินเหล้าจัด สูบหรี่จัด กินเหล้าแบบเพียวๆไม่ผสมโซดา หรือโค้กใดๆ เป็นคนแบบที่กินเหล้าสามขวดก็ไม่เมา กินได้ทุกวันด้วย ”

“ งั้นคงอยู่ไม่เกิน 30 กูตับแข็งตายก่อน ”

“ แล้วมึงก็ต้องสูบหรี่จัด ”

“ อาทิตย์นึงไม่เคยเกินสามตัว เพราะกูกำลังเลิกบุหรี่ ”

“ น้อยกว่าที่คิด ” ผมบอก “ แล้วอีกอย่าง มึงดูน่ากลัว คล้ายๆว่าจะเป็นอันธพาลหัวไม้ พวกต่อยตีกับคนอื่นแบบไม่มีเหตุผล ”

“ นี่คือกูในความคิดมึง ” อาร์มถาม ผมก็พยักหน้ารับ

“ ใช่ มึงเป็นแบบนั้น เมื่อดูจากหน้าตาและรูปร่างภายนอก ”

“ ก็จริงอยู่ที่กูชอบกินเหล้าไม่ผสม แต่กินได้แค่แก้วถึงสองแก้ว แล้วกูก็ไม่ชอบไปผับ กูไปได้แค่เฉพาะงาน เช่น วันเกิดเพื่อน แล้วอีกอย่างกูชอบกลับบ้านเร็ว ชอบทำกับข้าวกินเองตอนเย็น แล้วก็ดูทีวี เล่นกับแมว แต่ถ้าวันไหนเบื่อหน่อยก็ออกไปเดินเล่นที่สวนข้างคอนโดแบบเงียบๆ ”

“ เหี้ย ชีวิตดูสโลวไลฟ์ชิบหาย ” ผมว่าพร้อมกับตักข้าวขึ้นกินไปเต็มคำ  ริมฝีปากที่เคี้ยวไปมาอย่างเอร็ดอร่อย ชวนให้อีกคนยกยิ้มก่อนจะยื่นมือมาหยิบอะไรสักอย่างบนหน้าผม

“ ติดเหี้ยไรวะ ” ผมปัดหน้าตัวเองแลลพัลวัล

“ ไม่มี ” พูดแค่นั้นก่อนจะยิ้มกว้าง “ ก็แค่อยากจับดู รู้สึกเหมือนแก้มจะนิ่มตอนมึงเคี้ยวข้าว ”

“ บ้าบออออ ” ถอยตัวเองพิงกับเก้าอี้อยู่ๆผมก็หน้าแดงขึ้นมาทั้งๆที่พยายามทำให้ทุกอย่างมันตลก และดูไม่เป็นหวั่นไหวอะไรทั้งนั้นในตอนที่พูดคำนั้น มือที่ยกขึ้นปิดหน้า อีกฝ่ายถาม

“ ทำไม ไม่ได้เหรอ ”

“ อย่างน้อยมึงก็น่าจะพูด ว่าข้าวติดแก้มกูอยู่เลยเอาออกให้  ”
 
“ ก็มึงบอกเองไม่ใช่เหรอ ” อาร์มจ้องหน้าผม “แม้แต่ในโลกของมนุษย์ คนที่มันไม่ค่อยพูด มันก็ไม่ค่อยมีเมียหรอก เพราะงั้นถ้ากูอยากมีมึง..”

“ เดี๋ยว....” ผมลากเสียงอีกคนก็เหมือนจะตกใจจริงๆ อาร์มมาเบิกตาขึ้นเล็กน้อย

“ กูพูดผิด ”

“ อ๋อเหรอจ้า ” ผมว่าก่อนจะยกมือขึ้นทัดผมของตัวเองแล้วเอียงหน้าเข้าไปใกล้มัน “ ไหนว่าต่อ พร้อมฟัง ถ้ามึงอยากมีกู แล้วยังไงต่อนะครับ ”

“ ถ้ากูอยากมีแฟน กูก็แค่ต้องพูดให้มันตรงๆ อย่างที่ใจกูรู้สึก ” เสียงเรียบที่ฟังดูจริงจัง แต่ทว่าผมในตอนนั้นที่เป็นทะเล้นกลับทำได้แค่นิ่งไป

“ กูว่ามึงแม่งเล่นแรงเกินไปว่ะ ” พูดแค่นั้นกับอีกคนที่ก็แค่เหล่มองกัน อาร์มไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แต่นั่นก็ดีแล้ว


เพราะถึงจะรู้ว่าที่เราทำมันก็แค่เรื่องเล่นๆ ของคนที่อยากเหนือกว่า
แต่การทำให้หัวใจเต้นแรงขนาดนี้ ผมว่า มันก็เล่นแรงเกินไป

.................................................
 ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์
ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ด้วยนะคะ  :katai2-1: :katai2-1: :katai4: :katai4: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 6 :: up! 20-12-62} #หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 20-12-2019 22:08:48
 :pig4: :pig4: :pig4:

ว่านายท่านซึน

อิเจ้าของก็อาจซึนด้วยก็ได้นะ
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 6 :: up! 20-12-62} #หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 20-12-2019 23:08:46
ครั้งหน้าใครจะเข้าห้องใครกันนะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 7 :: up! 27-12-62} #หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 27-12-2019 20:23:43
ตอนที่ 7


“ แล้วกูในสายตามึงมันเป็นยังไง ” ผมเลือกที่จะชวนคุยท่ามกลางความเงียบนั้น เราเริ่มลงมือกินข้าวกันต่อหลังจากคำถามเมื่อครู่นั้นทำให้เรานิ่งไปอยู่นาน

“ ก็น่ารักดี ”

เคล้ง! 

ถึงขั้นว่าช้อนหล่นลงจากมือแล้วกระทบลงบนจานทันทีในตอนที่ได้ฟัง คนพูดท้าวคางกับโต๊ะอาร์มเอียงหน้ายิ้มๆแล้วมองหน้ากัน เป็นท่าทีที่ดูหนักข้อขึ้นจากเมื่อครู่เป็นอย่างมาก ราวกับจะให้น็อคเอ้าท์และทำให้หัวใจเต้นแรงจนตายไปในที่สุด

“ พูดเองนะ ” ผมพูดเสียงเรียบด้วยสายตาแบบที่จับผิดอีกคน อย่างน้อยที่สุดก็ต้องแข็งใจไว้ไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่ากำลังขึ้นนำ

“ ก็รู้สึกอย่างงั้นจริงๆ ครั้งแรกที่กูเห็นมึง จำได้ว่ามึงเดินเข้ามาในโรงอาหารกับพวกไอ้เบส วินาทีนั้นทุกคนในกลุ่มกูคิดว่ามึงคือเพื่อนใหม่ที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรแน่นอน ”

“ มึงหมายถึงเรื่องที่พวกมึงกับไอ้เบสมีปัญหากัน ”

“ ใช่ ” ร่างสูงพยักหน้ารับ

“ แล้วยังไงต่อ ”

“ ตอนแรกกูก็คิดสงสารนะ เพราะมึงหน้าตาดูไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลย พอพวกมันถามอะไร มึงก็แค่ยิ้ม เหมือนเพื่อนว่าไงก็ว่าตามนั้น ”

“ โหห จดจ้องกันเบอร์นั้นเลย ” ผมถามก่อนจะเหล่มองมันยิ้มๆ “ แล้วแบบนี้จะให้กูคิดว่ามึงไม่ชอบกูได้ยังไงวะอาร์ม มึงดูใส่ใจในตัวกูนะ แบบทำอะไรอยู่น่ะ เป็นยังไงบ้างนะ อยากรู้จังครับ เธอชื่ออะไร ”

“ เข้าข้างตัวเองชิบหาย ” อีกคนบอกเสียงเรียบ “ กูแค่สงสารมึง ถ้ามึงต้องเข้ามาอยู่ในวงจรปัญญาอ่อนเหี้ยนี่  กูก็เลยมอง แล้วก็คิดอยากจะบอกเรื่องที่พวกกูทะเลาะกันให้มึงฟัง เผื่อมึงจะตีตัวออกห่างได้ทัน  ”

“ แล้วทำไมไม่บอกวะ ”

“ ใช่เรื่องกูเหรอ ” จบทุกอย่างสั้นๆ ผมก็ได้แค่ถอนหายใจออกมา “ แล้วอีกอย่างตอนที่ทะเลาะกันครั้งแรก กูก็คิดว่า ไม่บอกนั่นแหละดีแล้ว ”

“ ทำไม ”

“ เพราะมึงเปรี้ยวตีนชิบหายเลยไง ออกหน้าแทนสัดๆ ” ได้แต่ยิ้มแห้งๆกับคนตรงหน้า ผมยักไหล่

“ กูแค่ไม่ชอบเรื่องปัญญาอ่อน เวลาเห็นไอ้ดีนมันหาเรื่องไอ้สัดเบสแบบปัญญาอ่อน กูคันตีนมากบอกตามตรง ทั้งๆที่ถามว่ากูชอบมีเรื่องเหรอ ก็ไม่นะ แต่มันอดไม่ได้จริงๆมึง ”

“ แล้วเวลาไอ้เบสมันกวนตีนไอ้ดีนมึงรู้สึกยังไง ” อีกฝ่ายถาม ผมก็ได้แต่นิ่งก่อนจะถอนหายใจแล้วก็มองหน้าอีกคน

“ เอาตามตรงนะ กูว่าจริงๆ กูก็แค่คนที่อยากมีเพื่อนมันก็เท่านั้นแหละสัด ก็เลยไหลไปตามมัน เหมือนอยากเป็นที่ยอมรับมั้ง ก็เลยช่วยมันบ่อยๆ แล้วก็รู้สึกหงุดหงิดแทนมันเวลามันมีเรื่อง ส่วนดีนมันไม่ใช่เพื่อนกู ก็เลยไม่ใช่คนที่กูต้องแคร์ มันก็เท่านั้น ”

“ สัตว์สังคม ” อาร์มยิ้ม

“ พูดเหมือนมึงไม่เป็น มึงก็เดือดแทนไอ้ดีนเหมือนกันนั่นแหละ เดือดแบบ เงียบๆ แต่ถ้าไอ้สัดเบสต่อยไอ้ดีน มึงต้องสวนไอ้สัดเบสจนตายแน่ๆ กูท้าเลย ” รอยยิ้มของคนตรงหน้าบอกกับผมได้อย่างดีว่ามันก็เป็นแบบนั้น ตามที่ผมบอกไป

“ เพราะงั้นทางที่ดีมึงก็พยายามอย่าเปรี้ยวตีนให้มันมาก เวลาเค้ามีเรื่องกันก็ยืนให้มันเงียบๆแบบไอ้สัดเจ้ยหน่อย เข้าใจมั้ย ”

“ ทำไม พวกมึงจะทำอะไรกู ” สบสายตาคมที่จ้องมองกัน ผมยกคิ้วล้อ

“ กูว่าหน้ามึงคงดูไม่ได้แน่ ถ้าเกิดโดนต่อยขึ้นมา ”

“ ไม่อยากให้กูโดนต่อยก็บอกมาเถอะ หวงอะดิ ”

“ เออ มึงก็รู้ตัวนะ งั้นกูก็คงไม่ต้องพูด ”

“ ไอ้ชิบหาย ” เผลอสบถออกไปก่อนจะเหลือบไปมองทางอื่นแล้วผ่อนลมหายใจออกมาแรงๆ แค่ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมทุกประโยคที่พูดเพื่อให้มันเขินกันบ้าง แต่สุดท้ายเหมือนเป็นผมมากกว่าที่ต้องนิ่งไปเพราะเขินมัน

อ่อนชิบหายเลยกู

“ เมี่ยง ”

“ อะไร ” ตอบรับด้วยเสียงหงุดหงิดอีกคนก็หลุดยิ้ม

“ ทำไมชอบปูทางให้กูจีบ อ่อยเปล่าวะ ถามจริง ”

“ อ่อยแม่มึงสิ ” พูดออกไปแบบนั้น ก่อนจะก้มหน้าลงกินข้าวต่อท่ามกลางรอยยิ้มกว้างของคนตรงหน้าที่ยังคงท้าวคางมองกันแบบไม่ยอมขยับมือตักข้าวกินอีกเลยสักพักใหญ่ ผมรู้สึกว่าในสายตานั่นเหมือนมีคำว่า น่ารัก ลอยเต็มไปหมด แต่นั่นแหละ บางทีผมอาจจะคิดไปเอง

“ กูยังไม่ได้ตอบคำถามมึงเลย ”

“ คำถามอะไร ” เพราะลืมไปแล้วก็เลยเงยหน้าขึ้นมามองอีกคนแบบงงๆ

“ ก็มึงถาม ว่าภายนอกมึงดูเป็นคนยังไง ”

“ อ้อ เออ แล้วเป็นยังไงวะ กูในสายตามึง ” ท่าทางที่ดูสนใจในคำตอบของผม ทำเอาคนตรงหน้ายกยิ้ม ก่อนจะมองกันแบบพิจารณา 

“ ถ้ามองกันภายนอกมึงดูเหมือนลูกคุณหนู ที่ทำอะไรไม่ค่อยเป็น เติบโตมาแบบทั้งชีวิตมีคนงานที่บ้านทำให้ตลอดไม่ว่าจะเรื่องอะไร พวกที่มาเรียนหนังสือให้จบๆไป แล้วก็กลับไปรับช่วงต่อธุรกิจที่บ้าน ”

“  เมื่อกี้มึงบอกว่า กูเดาเรื่องมึงไม่ถูกเลยใช่มั้ย ” ผมถาม “ แต่ครั้งนี้มึงเดาเรื่องกูถูกเกือบหมดเลย กูเป็นอย่างที่มึงพูดมาทั้งหมดนั่นแหละ ”

พ่อแม่เป็นเจ้าของบริษัทส่งออกขนาดกลาง ฐานะทางบ้านจัดอยู่ในระดับกลางค่อนข้างดี ส่วนพี่สาวตอนนี้ทำงานอยู่ฝ่ายบัญชีแทนแม่ ส่วนผมจบไปก็จะไปทำงานแทนพ่อ เป็นการบริหารงานในครัวเรือนสุดๆอย่างที่อีกคนบอกจริงๆ

 “ แล้วทำไมมึงถึงมาคบกับพวกไอ้เหี้ยเบสละ ”

“ มันแค่มาทักกูก่อน กูเลยคบด้วย อีกอย่างเพราะกูไม่มีเพื่อนจากโรงเรียนเก่ามาเรียนด้วยกันเลยสักคน พวกมันไปเรียนเมืองนอกกันหมด เหลือแค่กู แล้วอีกอย่างกูว่ามันก็นิสัยดีนะ ถึงมันจะปัญญาอ่อนกับเพื่อนมึงบ้าง แต่สำหรับกูพวกมันก็ดี อย่างน้อยมันก็ไม่เอาเปรียบ มีปัญหาอะไรมันก็ช่วยกูแบบสุดตัวด้วย กูว่าพวกมันก็จริงใจดี ไม่แย่สักนิด ”

“ สำหรับกูดีนก็ไม่ได้แย่ มันไม่ได้เป็นอย่างที่มึงเห็นด้วยซ้ำ ”

“ แต่เหมือนพอเห็นหน้าไอ้สัดเบสแล้ว ต่อมกวนตีนเพื่อนมึงก็กำเริบ กูต้องจัดการ กูต้องจัดการ สมองมันสั่งการแบบนั้นใช่มั้ย ”

“ ไอ้เบสก็เป็นไม่ใช่เหรอ ต่อมกวนตีนกำเริบตอนเห็นหน้าไอ้ดีนเหมือนกัน ”

“ ไม่เถียงไอ้สัด ” ผมบอก

“ แต่จริงๆ ไอ้ดีนเป็นคนที่เห็นใจคนอื่นนะ มันเป็นคนรักเพื่อน  รักในความเป็นเพื่อนมากๆ แบบที่ ไม่อยากจะให้หายไปไหนเลยละ ”

“ เหรอ ”

ไม่รู้คิดไปหรือเปล่า แต่ผมรู้สึกว่าปลายเสียงนั่นค่อนข้างเบาคล้ายกับว่ามันกำลังเศร้า อาร์มยิ้มให้ผม หลังจากนั้นมันก็ตักข้าวคำสุดท้ายขึ้นกิน แล้วลุกขึ้นเต็มความสูง

“ กินเสร็จแล้วก็เก็บตามมา กูจะได้ล้าง ”

“ เดี๋ยวกูล้างให้เอง ” บอกอีกคนที่ก็ชะงักไป “ ตอบแทนที่เลี้ยงข้าวกูไง แล้วก็ไม่ต้องห่วงว่าจานมึงจะแตกนะ เพราะกูล้างจานเก่งมาก เซียนสุดๆ บอกไว้ก่อน ”

“ งั้นก็ตามสบาย กูไปเอาข้าวให้แก้มหอมกินก่อนแล้วกัน ”

“ โอเค๊ ” ตักอาหารขึ้นกินต่อหลังจากคำพูดนั้น เพราะเป็นพวกที่ชอบกินกับข้าวอยู่แล้ว ผมก็เลยนั่งกินไปเรื่อยก่อนจะได้ยินเสียงของถุงอาหารแมวที่ถูกเปิดออก ห่อถุงสีเดียวกับที่ผมให้ไอ้นายท่าน พร้อมกับอาหารเปียกที่ก็ยี่ห้อเดียวกันนั้น ถูกเอาออกมาจากตู้เย็น

“ มึงใช้อาหารแมวยี่ห้อเดียวกับกูเลย ” บอกแบบนั้นอีกคนก็เลิกคิ้วมองกัน

“ หมายความว่าไง จะให้กูเลี้ยงข้าวแมวมึงด้วยเหรอ ”

“ ไม่ได้คิดเหี้ยอะไรอย่างงั้นเลย ” ส่ายหน้าปฎิเสธไปมาก่อนจะหันกลับมากินต่อ “ กูแค่ชวนคุย มันเท่านั้นแหละสัด ”

“ อ้อเหรอ ”

“ จ้า ” ลากเสียงยาวใส่อีกคนก็ยิ้ม

“ พี่ชายกูเป็นสัตวแพทย์ เค้าเป็นคนแนะนำมา อีกอย่างแก้มหอมก็ชอบด้วย โดยเฉพาะถ้าโรยผงปลาทูป่นลงไป ” ผงปลาทูป่นที่ว่าถูกตักแบบช้อนโตโรยลงไปบนในถ้วยข้าวนั้น ขนาดอาหารยังดูมีมีความใส่ใจและรายละเอียดเลยว่ะ กูละยอมใจ “ กูให้แก้มหอมกินแบบนี้มาตลอดไม่เคยเปลี่ยน ”

“ เหมือนกันเลยยยยยย ” ลากเสียงด้วยความตกใจในตอนที่ผมกินอาหารคำสุดท้ายเข้าไป “ พี่หมอที่โรงพยาบาลสัตว์ของกูเค้าก็แนะนำอาหารสองตัวนี้เหมือนกัน แต่ของกูไม่มีปลาทูป่นไรนี่นะ แต่เหตุผลของแมวกู คือมันเป็นอาหารจากโรงพยาบาลที่เค้าป้อนเพื่อรอเจ้าของมารอรับอะ แล้วแมวมันไม่ชอบเปลี่ยน กูเลยต้องให้อาหารเหมือนเดิม ”

“ แล้วทำไม มึงอยากเปลี่ยนเหรอ ” อาร์มถาม ผมก็เอียงหน้างง “ กูฟังจากน้ำเสียงของมึงแล้วกูรู้สึกอย่างงั้น เหมือนมึงอยากให้มันเปลี่ยน ”

“ กูอยากให้มันกินของที่ดีกว่านี้ไง เข้าใจความรู้สึกที่ว่า มีคนรับเลี้ยงใหม่แล้ว ไม่ถูกทิ้งแล้ว ชีวิตใหม่ อาหารก็เลยต้องใหม่จ้ะ ” ยิ้มให้พลางลุกขึ้นเต็มความสูง พร้อมกับจานอาหารที่ถูกกินจนหมดเกลี้ยง ก่อนจะเปิดน้ำเป็นลำดับแรก ผมเริ่มล้างจาน ส่วนคุณเจ้าของห้องก็เดินออกไปวางถ้วยข้าวไว้ตรงที่กินอาหารของเจ้าแมวตัวสวย อาร์มเอ่ยเรียก

“ แก้มหอมขา ”

“ เมี๊ยว ”

“ กินข้าวค่ะ ” มันบอก ผมก็ได้แค่ทำปากมุบมิ๊บเพื่อเสียนแบบอย่างอดไม่ได้ ก็มันน่าเอ็นดูมากจริงๆ กับคำว่า แก้มหอมขา ของไอ้เหี้ยนั่น มีความเสียงอ่อนเสียงหวาน “ ไม่กินเหรอคะ ทำไมละครับแก้มหอม นี่ของโปรดหนูเลยนะ ”

“ เมี๊ยว ”

ดูท่าว่าน่าจะมีปัญหานิดหน่อย ผมหันไปมอง ฉากที่ผมเห็นตอนที่หันหลังไปนั้น คือร่างสูงที่ยืนขมวดคิ้วมองแมวของตัวเองที่ก็กำลังนั่งมองเจ้านายตัวเองตาแบ๋ว พร้อมกันนั้นก็มีความเอียงซบแมวของผมอยู่

“ มันเขินเปล่ามึง ” ผมบอกอีกคน “ แบบว่าน้องแก้มหอมเขินนายท่านไง น้องไม่กล้ากินต่อหน้าพี่นายท่าน เดี๋ยวพี่นายท่านจะรู้ว่าจริงๆน้องชอบกินปลาทู ทั้งๆที่ท่าทางน้องอาหารควรจะแบบราชนิกูลมากกว่ากว่านั้น มันควรจะเป็นปลาแซลม่อนจากน้ำทะเลลึก อีกอย่างเดี๋ยวพี่นายท่านจะหาว่าน้องแก้มหอมขากินเยอะ เป็นแมวอ้วงๆไง ”

“ แง๊ว ” เสียงตอบรับของคนที่กำลังวิเคราะห์ความคิดอยู่ร้องขึ้นเสียงเบาๆ ในตอนนั้นผมที่เบิกตากว้างหันไปไปบอกไอ้อาร์มเสียงดัง

“ เห็นมั้ย ใช่แน่นอน น้องแก้มหอมเขิน ”

“ ประสาท มันก็แค่ขานเพราะได้ยินคำว่าแก้มหอมขา ก็เท่านั้น ”

“ หมายความว่าไงวะ ” ร่างสูงถอนหายใจออกมา มันยกมือขึ้นท้าวสะเอวของตัวเองทั้งสองข้างอย่างคิดวิเคราะห์ สายตาคมมองหน้าแมวผมที่ก็เงยหน้ามองหน้ามัน ต่างฝ่ายที่ต่างมองกันแบบไม่มีใครยอมกัน เป็นฉากที่คุ้นตามาก คล้ายว่าเป็นไอ้ดีนกับเบสที่ประชันหน้ากันบ่อยๆ

“ เมี๊ยว ” แล้วสุดท้ายพอน้องแก้มหอมทัก อาร์มก็เดินกลับเข้ามาในครัวอีกครั้ง มันหยิบจานที่คล้ายกับถ้วยใส่อาหารแมวออกมา  แล้วเปิดถุงอาหารคล้ายว่ามันจะทำอาหารแมวอีกจาน

“ จะทำอะไรวะนั่น ”

“ ก็เห็นๆอยู่ กูจะเอาข้าวให้แมวมึงกินไง ”

“ เฮ้ยๆ ไม่ต้องๆ เกรงใจไอ้สัด เดี๋ยวกูล้างจานเสร็จ จะพามันกลับไปกินที่บ้านเอง ”

“ กูให้เพราะเห็นว่าแก้มหอมคงไม่กินแน่นอน ถ้าไอ้แมวนั่นไม่กินด้วย ไม่ได้อยากให้เลยสักนิด ” บอกแบบนั้น คนข้างกันก็คลุกอาหารเม็ดเข้ากับอาหารเปียกแบบเชี่ยวชาญ พร้อมกับโรยปลาทูป่นลงไป ก่อนจะหันมามองผม แล้วเอามืออีกมือที่ไม่สกปรกหยิบจานนั้นแล้วยื่นมาให้กันดูตรงหน้า

“ โอเคแล้ว ปกตินายท่านก็กินประมานนี้แหละ ”

“ ให้ดม เป็นแมวด้วยกันน่าจะรู้ ว่าแบบนี้มันน่ากินมั้ย ”

“ K ” สบถใส่คนกวนตีนที่ก็เดินออกไปแบบอารมณ์ดี อาร์มวางถ้วยอาหารลงบนพื้นแบบที่จัดให้เจ้าแมวสองตัวเองอยู่ตรงข้ามกัน ก่อนจะหันไปมองแมวผม

“ ของมึง กินซะ ” นายท่านเบือนหน้าหนีกับคำพูดนั้นอย่างไม่สนใจ ท่าทางกวนตีนของมันชวนให้อาร์มเลิกคิ้ว “ ยังไง ไม่กินเหรอ ”

“ เมี๊ยว ” เสียงของน้องแก้มหอมที่ร้องขึ้นพร้อมกับกินก้มลงกินอาหารในชามตัวเอง แล้วก็เงยหน้าขึ้นมามองนายท่านอีกครั้ง น้องส่งเสียงร้อง “ เมี๊ยว ”  ราวกับจะเชิญชวนให้อีกฝ่ายกินข้าวด้วยกัน ท่าทางที่เหมือนจะบอกว่า  ‘ กินสินายท่าน กับข้าวของป๊าแก้มหอมอร่อยมากเลยน้า ’

“ ยังไง ถ้าไม่กินกูจะได้เอาไปทิ้ง ” ร่างสูงตรงหน้าแมวของผมบอกพลางยกคิ้ว “ แต่คิดให้ดีนะ เพราะไม่ใช่ทุกวันที่ลูกพี่มึงจะพามึงมาที่นี่ แล้วมึงก็ได้กินข้าวกับแก้มหอมลูกสาวกู ”

ไม่มีเสียงตอบรับอะไร ผมเห็นนายท่านก้มลงกินข้าวในชามตัวเองหลังจากนั้น ท่าทางจำยอมของมันทำให้ไอ้อาร์มยกยิ้มก่อนจะเดินออกมาอย่างผู้ชนะ ซึ่งสำหรับผมมันไม่ต่างกันเลย ระดับความกวนตีนระหว่างคนกับแมว เรียกได้ว่า ช่างเป็นมวยคู่เอกที่สูสี 

“ นี่สินะเดทแรก นั่งตรงข้ามกัน กินข้าวด้วยกัน ” เอ่ยพูดกับคนที่เดินเข้ามาในครัว พร้อมมือที่ก็ล้างจานในอ่างไปเรื่อย ก่อนจะหันไปมองเจ้าของห้องที่ก็ยืนอยู่ข้างกัน เพราะรู้สึกถูกจดจ้องมากเกินไป “ อะไร ”

“ มึงว่าอะไรนะ ”

“ ก็.. เดทแรก ” อ้าปากออกมาตอนที่คิดขึ้นมาได้ ผมยิ้มกว้างออกมาก่อนจะปัดมือเหมือนจะบอกด้วยท่าทางว่าอีกฝ่ายแค่เข้าใจผิด “ ไม่ได้หมายความว่าอย่างงั้น กูหมายถึงว่า เพื่อนกัน นั่งกินข้าวด้วยกันไง สานสัมพันธ์ครั้งแรก ”

“ กูไม่ได้บอกว่ามึงพูดผิด ” อาร์มมันท้วง ผมก็ได้แต่นิ่ง

“ งั้นมึงยอมรับแล้วเหรอว่า แก้มหอมของมึงกับนายท่านของกู มันรู้สึกต่อกันแบบมากกว่าคำว่าเพื่อนแมว ”

“ เปล่า ” ใบหน้าคมส่ายไปมา

“ อ้าว..”

“ แต่หมายถึงมึงกับกูน่ะ เมื่อกี้เรานั่งตรงข้ามกัน กินข้าวด้วยกัน มันเหมือนเลยไม่ใช่เหรอ เดทแรกที่มึงพูดถึง ”

 “ เชี้ย..” สบถแบบไม่ออกเสียง ในใจผมคิด จีบสัด มีช่องว่างไม่ได้เลยนะไอ้เหี้ย อาร์มยกคิ้วให้กัน เราเงียบไปสักพัก ก่อนที่ผมจะสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วหันไปชวนคุยอีกครั้งเพราะอีกฝ่ายเอาแต่จ้องมองกันมากเกินไป
 
“ ว่าแต่มึงนี่ สุดยอดคุณพ่อผู้รู้ใจคุณลูกเลยนะ รู้หมดเลยว่า แก้มหอมต้องการอะไร ”

“ ก็กูเลี้ยงมันมาตั้งแต่เด็ก ”

“ อ้าว ไหนมึงบอกเจ้าของน้องแก้มหอมฝากมึงเลี้ยงไว้ หรือว่าเจ้าของจริงๆเป็นพี่ชายมึงที่ตอนนี้เรียนอยู่ที่อังกฤษ ” ผมถามอีกคนก็ขมวดคิ้ว

“ กูเคยไปบอกมึง เรื่องแก้มหอมตั้งแต่เมื่อไหร่ ”

“ ก็ตอนที่เข้าห้องกูครั้งแรก มึงบอกว่า มีคนฝากแก้มหอมไว้กับมึงเหมือนกัน เค้าไปเรียนต่อเมืองนอก เหมือนจะเป็นอังกฤษด้วยนะ ถ้าจำไม่ผิด ”

“ เหรอ ” อาร์มมันถามผมกลับด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองจะเป็นคนพูดแบบนั้นออกมา มันพยักหน้ารับ “ อื้ม ก็เป็นแบบนั้นแหละ ”

“ ตอแหลแน่ไอ้สัด ” ผมถามกลับเพราะเห็นท่าทางของมันเหมือนยอมจำนนแบบให้ผ่านไปมากกว่า “ ทำไม เรื่องที่มาของแก้มหอม น่าอายจนต้องโกหกกันเลยเหรอวะ ”

“ คงงั้น ” อาร์มก้มหน้าลงก่อนจะยกยิ้ม “ บางที แก้มหอมอาจจะเป็นการย้ำเตือนความโง่หลายๆอย่างกูก็ได้ ”

“ หมายความว่าไงวะ ” เสียงเบาๆของผมถาม แต่เหมือนประโยคนั่น จะเป็นประโยคที่อีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจจะให้ผมได้ยินตั้งแต่แรก อาร์มหันไปมองทางอื่น

“ ไม่อยากบอก มึงมีปัญหาอะไรมั้ย ”

“ ก็ไม่มีจ้า ” ยกมือขึ้นสองข้างตอนที่สบสายตาคมเข้มที่ถามอย่างหาเรื่องกัน “ หรือว่านะ แมวตัวนี้จะเป็นของนาเดีย แล้วจริงๆเธอเองก็แอบคบกับมึง ”

“ ที่ถามคือผ่านสมอง กลั่นกรองออกมาแล้วใช่มั้ย ”

“ ไอ้สัด ” ผมเบือนหน้าหนี “ ด่าว่าโง่ก็ได้ ไอ้เหี้ย ถ้ามึงจะมาถึงขั้นนั้นแล้ว ” พูดเสียงเบาๆกับตัวเองก่อนจะเหล่มองอีกคน “ แล้วอีกอย่างนะ มันจะแปลกอะไร มันก็คิดได้ทั้งนั้นอะ ตอนนั้นมึงเองก็บอก มีคนฝากเลี้ยงไว้ไปก่อนไปอังกฤษ นาเดียก็ไปเรียนอังกฤษเหมือนกันอะ ”

“ แล้วในโลกนี้มันมีคนไปเรียนต่ออังกฤษคนเดียวเหรอ แล้วนี่กูยังจำไมได้เลยว่ากูบอกแบบนั้น บอกว่าไปอังกฤษ สับสนมั้ยมึงน่ะ ” อาร์มหันมาถาม ก่อนจะยกนิ้วขึ้นจิ้มที่หน้าผากผม “ คือถ้ามึงใช้ตรงนี้สักนิด มึงจะคิดวิเคราะห์ได้ว่า กูเป็นเพื่อนกับดีน แล้วเรื่องอะไรที่กูจะเอาผู้หญิงหลายใจคนนั้นมาเป็นเมีย แล้สมาทำให้ความเป็นเพื่อนของกูกับมัน ขาดลง ”

“ ก็ใครมันจะไปรู้.. ตอนแรกมึงบอกว่าน้องแก้มหอมมีคนฝากไว้ เค้าไปเรียนต่ออังกฤษ พอวันนี้ก็เลี้ยงมาตั้งแต่มันเล็กๆ สรุปตอนนี้กูก็ยังไม่รู้เลย ว่าน้องแก้มหอมคือยังไง  ได้มาได้ยังไง ”

“ แต่ประเด็นคือแก้มหอม มันเกี่ยวเหี้ยอะไรกับมึง ”

“ เออว่ะ ” เผลอหลุดพูดออกไปอย่างงั้น ผมก็ตาโต แต่ตอนนั้นเหมือนไอ้อาร์มจะหลุดยิ้มกว้าง วีหน้าของมันเปลี่ยนเป็นความสุขอย่างฉับพลัน “ ไม่ใช่นะเว้ย ก็ ก็มึงยังรู้เรื่องนายท่านของกูเลยถูกมั้น เพราะงั้นมึงเองก็ต้องเล่าเรื่องของน้องแก้มหอมให้กูฟังเหมือนกันไง ทุกอย่างมันก็เท่านั้นแหละ ”

“ ประสาท ฮ่าๆ ” อีกฝ่ายที่หลุดหัวเราะออกมา ไม่รู้เพราะท่าทางเลิ่กลั่กที่อีกฝ่ายชอบบอกว่า มันจับผิดได้โคตรง่าย แต่ที่รู้แน่ๆ คือผมไม่เคยเห็นมันยิ้มกว้างแบบนี้มาก่อน รวมถึงเสียงทุ้มอบอุ่นนั่นก็ด้วย “ คือมึงจะแม่งจะน่ารักไปไหนวะ ”

ตาผมเบิกกว้าง เป็นปฎิกิริยาที่อยู่ๆหัวใจก็สั่นรุนแรง และฉับพลัน ผมพยายามก้มหน้ากับอ่างล้างที่ตอนนี้พยายามล้างจานแค่ไม่กี่ใบนั้น ด้วยความขะมักเขม้นแบบไม่เคยเป็นมาก่อน แก้มของผมร้อนผ่าว จนคิดว่าถ้าตอนนี้มีกระจกอยู่ตรงหน้าแล้วได้ส่องดู มันคงไม่ต่างอะไรกับผลมะเขือเทศสีแดงสุกติดอยู่บนนั้น

“ มึงน่ะสิประสาท ”

“ ว่าไงนะ ” คนข้างกันถาม ในตอนนั้นผมก็สูดลมหายใจ แล้วหันไปมองหน้ามัน เห็นทีว่าต้องเปลี่ยนหัวเรื่อง ก่อนที่หัวใจจะไม่ไหวไปก่อน ผมคิดได้แค่นั้น

“ ว่าแต่เมื่อกี้มึงยังไม่ตอบกูเลย ที่บอกว่า แก้มหอมขานรับ เพราะแค่ได้ยินกูเรียกว่าแก้มหอมขา ทำไมมึงถึงคิดงั้น บางทีมันอาจจะขานรับความคิดกูก็ได้นะ แบบว่ามันฟังภาษาคนเข้าใจไง ”

“ ภาษาคนหน้าแมวอย่างมึงน่ะเหรอ ” อาร์มมันพูดยิ้มๆ ก่อนจะหยิบเอาจานที่ผมล้างฟองสบู่แล้วขึ้นมาล้างน้ำให้ จานสะอาดใสถูกสะเด็ดน้ำแล้วเคลื่อนไปวางลงในเครื่องอบจาน “ ที่กูรู้เพราะกูฝึกแก้มหอมเอง ”

“ ฝึก ? ”

“ แก้มหอมถูกฝึกให้ขานรับ เวลาที่ถูกเรียก ว่าแก้มหอมขา ”

“ มึงฝึกแมวได้ด้วยเหรอวะ ” ผมถามแบบตาโต เพราะรู้ว่ามันยากมากที่จะเห็นใครสักคนฝึกแมว ปกติมันก็ตกเป็นทาสแมวกันทั้งนั้น

“ แล้วทำไมจะทำไม่ได้ แมวมันฝึกได้ แต่ต้องใช้ความอดทนแบบที่เรียกว่ามากๆมันก็เท่านั้น  ไม่งั้นมันก็คงถูกฝึกให้เข้าห้องน้ำไม่ได้ถูกมั้ยละ ”

“ นั่นก็จริงของมึง ” พยักหน้ารับกับตัวเอง และขอสารภาพตามตรงเลยว่า ในใจตอนนี้ก็ยกยอความดีของมันพอสมควร ทำอาหารก็เก่ง เลี้ยงแมวก็เก่ง หน้าตาดี แถมยังมีเสน่ห์อีก ไม่ติดว่าเป็นอริกันแถมมันยังหมายหัวผมให้ตกหลุมรักมันแล้วละก็ บางที ผมอาจจะเลยตามเลยกับมันไป 

‘ แต่ไม่ได้เมี่ยง ’  ไหนมึงบอกจะหาลูกสะใภ้ให้แม่ไง ไขว่เขวได้เหรอวะ แล้วอีกอย่างไอ้เหี้ยนี่ มันไม่ได้ชอบมึงจริงๆ มันก็แค่จีบมึงเล่นๆ เพราะงั้นมึงก็เอง ก็ต้องแข็งแกร่งเอาไว้นะไอ้สัด!

“ เป็นเหี้ยอะไร ผีเข้ามึงเหรอ ” อาจเพราะพูดกับตัวเองแล้วมีรีแอคชั่นมากเกินไปหน่อย คนข้างกันก็เลยถาม

“ เปล๊า ” ผมพูดเสียงสูง “ กูแค่สมเพชตัวเองนิดหน่อยน่ะ ”

“ เรื่อง ” แล้วคำถามนั้นก็ทำให้ผมนิ่งไป ก็อยากจะบอกออกไปอยู่นะ ว่าหวั่นไหวไปกับความเฟอร์เฟ็คของมึงในระดับหนึ่งแล้วละตอนนี้ แต่ผมก็คิดว่า เราไม่ควรพูดจุดอ่อนของตัวเองออกไป

“ ก็ สมเพช เอ่อ..” สมองของผมมันคิดหาคำตอบ สายตาของผมเองก็ด้วย มันกรอกวนไปมา “ แบบว่า.. ”

“ แนะนำว่าถ้าคิดอะไรไม่ออก ก็พูดความจริง ”

“ เนี้ยแหละความจริง! ” ย้ำออกไปด้วยสายตาจริงจัง “ กูแค่รู้สึกสมเพชตัวเองเฉยๆ ว่าแมวกู ขนาดเรียกให้มาใกล้ๆมันยังเมินเลย นี่มันเข้าห้องน้ำเป็นก็ดีเท่าไหร่แล้ว ”

“ ตอนแรกคิดว่ามึงจะพูดอะไรเกี่ยวกับกู ”

“ ใช่ที่ไหน ” หันไปบอกอีกคนตาโต แต่เหมือนจะไม่ได้รับความน่าเชื่อถือกันสักเท่าไหร่ อาร์มมันนิ่งก่อนจะค่อยๆดึงตัวเองเข้ามาใกล้กกัน พร้อมกับมือที่เอื้อมมือมาจับมือของผมที่อยู่ใต้ฟองสบู่พวกนั้น “ ดะ เดี๋ยว เดี๋ยวก่อนนะ มึงจะทำอะไร ”

“ เมี่ยงครับ บอกความจริงมา..”

“ แง๊ว!!! ” เสียงร้องดังคล้ายกับใครเอากลองใหญ่ของโรงเรียนมาตีอยู่ข้างหู ภาพที่เราหันหลังไปเห็นตอนนั้นคือเจ้าแก้มหอมที่พองตัวขึ้นมาขู่ กับแมวของผมที่กำลังฉี่อยู่บนโต๊ะกินข้าว น้ำสีเหลืองที่ไหลนอง และฉากที่เหี้ยที่สุดคือไอ้นายท่านทำท่ากลบทั้งที่มันเป็นโต๊ะธรรมดา

“ เหี้ย ” อาร์มมันพูดเสียงเบาพร้อมกับนิ่งไป ส่วนผมที่มีสติกว่าในตอนนั้นคว้าเอาทิชชูที่ใช้สำหรับซับน้ำมันอาหาร ฉีกดึงออกมานับสิบแผ่นก่อนจะวิ่งไปซับฉี่พวกนั้นเพื่อหยุดไม่ให้มันไหลงมาบนพื้นด้านล่าง

ผมผ่อนลมหายใจออกมารัวๆ พร้อมกับมองแมวตัวเองที่เดินนัวนาดแล้วกระโดดลงจากโต๊ะไป แต่ก่อนหน้านั้น ก็ไม่ลืมหันกลับมามองเจ้าห้องด้วยแววตาท้าทาย คล้ายจะถามว่า ‘ มีไรป่ะ ’

“ แมวเหี้ย ”

“ เออ กูไม่เถียงหรอก ” หันไปบอกเจ้าของบ้านที่มองกันด้วยสีหน้าหงุดหงิด สายตาว่างเปล่านั้นที่เห็นนั้น ผมทำได้แค่ยิ้มแห้งๆ “ คือ...เดี๋ยวจะหาว่าปกป้องเนอะ แต่มันเข้าห้องน้ำได้ปกติไม่มีเกเรเลยนะมึง แปลกใจ
เหมือนกันว่าทำไมมันมาฉี่เรี่ยราดในบ้านมึงแบบนี้ อาจเพราะไม่รู้ว่าต้องไปเข้าตรงไหนเปล่าวะ ต้องใช่แน่ๆเลย ใช่แหละ ใช่เนอะ ”

“ ห้องน้ำบ้านกูกับบ้านมึงก็เหมือนกัน ” ร่างสูงเชิดหน้าไปที่ห้องน้ำแมวที่คล้ายกับยานอวกาศนั่น

“ ก็มันอาจจะมีกลิ่นของแก้มหอมอยู่ไง แมวกูก็เลยไม่ชิน หรืออาจจะเขิน ” พูดแบบนั้นก่อนจะจัดการเอาทิชชู่ชุ่มฉี่แมวใส่ถุงแล้วมัดปากให้มิดชิด

“ แต่กูว่ามึงมีคำพูดนึงที่ควรพูดมากกว่าอะไรทั้งหมดนั่นนะ ”

“ ขอโทษครับ ” ยิ้มให้กับคนตรงหน้า ก่อนจะเดินไปหาเจ้าแมวของตัวเอง แต่ตอนที่ทำทีเป็นจะจับอีกฝ่ายก็เดินหนีกันไปก่อน “ เฮ้ย! นายท่าน มานี่เลยนะมึง มาให้กูจับเดี๋ยวนี้ มึงต้องมาขอโทษเค้านะ ทำผิดก็ต้องขอโทษ เข้าใจมั้ย ”

“ เอาเข้าไป ” เจ้าของห้องว่าเสียงเบาๆ ในตอนที่เห็นผมเดินไปทั่วบ้าน แต่ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นผมก็จับตัวอีกฝ่ายได้พอดี จัดการอุ้มนายท่านที่ตอนนี้โคตรขืนตัวขึ้นมา ก่อนจะเอามือสองมือของมันมาประกบเข้าด้วยกัน และแน่นอนว่า หน้ามันโคตรจะไม่สำนึกสักนิด

“ ขอโทษนะครับ ผมขอโทษนะครับ คราวหลังผมจะไม่ทำอีก จะฉี่ให้เป็นพี่เป็นทาง ขอโทษนะครับพี่อาร์ม คราวหลังนายท่านจะไม่ทำอีกแล้ว ” จับแมวก้มหัวแต่ก็ขืนตัวกันเหลือเกิน “ พี่อาร์มหายโกรธนายท่านนะ ”
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 6 :: up! 20-12-62} #หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 27-12-2019 20:24:15

เงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าที่กำลังยกยิ้ม อาร์มถอนหายใจออกมาตอนที่สบสายตาของผมที่กำลังยิ้มกว้าง มือหนาข้างนึงทำทีเป็นจะจับที่หัวผม ริมฝีปากกำลังจะเอ่ยพูดว่า ไม่โกรธหรอกครับ แต่ทว่ายังไม่ทันจะถึง กรงเล็บของเจ้าตัวร้ายที่ผมอุ้มก็กางออกแล้วข่วนลงบนมือนั้นแบบเต็มแรง

“ แง๊ว! ”

“ เชี้ย!! ” ถึงขั้นสบถออกมาเสียงดัง ผมตัวแข็งทื่อไปเลยตอนที่เห็นรอยทางยาวสีแดงสดบนข้อมือหนานั้น “ ขอโทษ ” ผมพูดออกไปในตอนที่วางเจ้าตัวแสบลงกับพื้น เอื้อมมือไปจับมือของอีกคนมาดู “ อาร์ม มึง เจ็บมั้ยวะ ”

“ ไม่เจ็บหรอกมั้ง ”

“ ไม่ใช่เวลากวนตีน ” ผมบอกก่อนจะถอนหายใจออกมา “ สงสัยมันคิดว่ามึงจะทำอะไรกู ขอโทษแทนมันด้วยนะ ”

“ ช่างมันเถอะ ” อาร์มดึงมือตัวเองออกจากมือผม มันเดินตรงไปที่หน้าห้องของตัวเอง ตรงนั้นมีตู้เตี้ยๆวางอยู่ อีกฝ่ายดึงกล่องสีชมพูขึ้นมา ก่อนจะยืนให้ผม “ มึงทำความสะอาดโต๊ะให้กูให้เรียบร้อย แล้วก็กลับบ้านไปได้แล้ว ก่อนจะกูจะเตะแมวมึงออกไป ”

“ ไม่ต้องห่วงเรื่องฉี่แมวบนโต๊ะ กูทำให้แน่ ” ผมบอกก่อนจะดึงมืออีกฝ่ายขึ้นมาดูอีกครั้ง “ แต่แผลที่มือมึงเนี้ย คือต้องทำก่อนเลย มึงมีน้ำยาล้างแผลมั้ย กูจะทำแผลให้ ”

“ ไม่มี ” ผมตาโตขึ้นมาในตอนที่อีกคนบอก

“ ไม่มี ”

“ แล้วมันแปลกตรงไหน กูมีแผลทีก็ซื้อที ไม่เคยเก็บไว้ ” อีกฝ่ายพูดแบบเรียบๆ ผมก็ได้แต่นิ่งค้าง

“ ของแบบนี้มันต้องมีติดห้องสิว่ะ อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสนอ น้ำยาล้างแล สำลี มันต้องซื้มาติดไว้บ้าง ”

“ บ่นชิบหาย ”  อีกคนว่าพลางเอามือเขี่ยหูคล้ายจะรำคาญ “ แผลแค่นี้เอง มันไม่เป็นอะไรหรอก อีกอย่างแมวมึงมันก็ปกติดี ล้างน้ำก็หายแล้ว ”

“ ไม่ได้! ” ขึ้นเสียงจริงจังอีกคนก็เบือนหน้าหนี

“ ไอ้นายท่านมันอยู่ที่โรงพยาบาลสัตว์ตั้งหลายเดือน บางทีมันอาจจะติดโรคอะไรมาแต่ยังไม่แสดงอาการก็ได้ ทุกอย่างมันเป็นไปได้หมดแหละ เพราะงั้นก่อนอื่นมึงต้องล้างแผล แล้วเราก็ต้องไปโรงพยาบาลกกัน ไปฉีดยา ”

“ ห๊ะ ? ”

“ ห๊ะ อะไรของมึง ลุกขึ้น กูต้องพามึงไปทำแผลที่โรงพยาบาลก่อน เร็ว ” ดึงอีกคนให้ลุกขึ้นจากโซฟาที่นั่ง ก่อนจะหันไปมองไอ้ตัวแสบที่นอนลงที่นอนหน้าทีวีอย่างไม่ใส่ใจอะไร “ ส่วนมึงนายท่าน เดี๋ยวกูจะกลับมาจัดการ ”

“ เมี๊ยว ” ขานรับแบบไม่สะทกสะท้านสิ่งใด เหมือนจะบอกกว่า ‘ จ้า ตามสบายเลย ’

“ มึงนะมึง ” ได้แต่พูดออกไปแบบโกรธแค้นแต่ก็รู้ดีว่าทำอะไรมันได้ ผมหันมามองคนเจ็บอีกครั้ง “ กูขอไปเอากุญแจรถก่อน มึงนั่งอยู่ตรงนี้ ”

“ ขับรถกูไปก็ได้ ” อาร์มโยนกุญแจรถของตัวเองที่เหมือนเจ้าตัวจะพกติดตัวอยู่แล้วมาให้ผมที่ก็คว้ารับมันเอาไว้

“ แต่ยังไงกูก็ต้องไปเอากระเป๋าเงินอยู่ดี อีกอย่างกูไม่ชอบขับรถคนอื่น มันไม่สบายใจ ” ว่าแบบนั้นก่อนจะเดินตรงไปที่ห้องของตัวเอง ผมหยิบเอากระเป๋าเงินยัดใส่กระเป๋า คว้าเอากุญแจรถที่ตั้งอยู่ตรงที่แขวนของมันแล้วล็อคห้อง ผมออกมาอย่างรีบร้อน ในตอนที่เปิดประตูห้องข้างๆ ผมหอบหายใจ

“ ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้น กูไม่ตายง่ายๆหรอก ” ร่างสูงที่พูดยิ้มๆ อาร์มเดินตรงเข้ามาใกล้ผมก่อนจะยกมือข้างที่ไม่ได้เจ็บลูบผมตรงด้านหน้าของผมขึ้นไป ใบหน้าที่เหมือนถูกดึงไปข้างหลังนั้น “ แต่ยังไงก็ขอบคุณที่เป็นห่วงกูขนาดนี้ ”

“ ใครเป็นห่วง ” ผมพูดกับตัวเองเบาๆ ทั้งๆที่ก็รู้สึกว่าแก้มมันกำลังร้อนผ่าว “ กูแค่ต้องรับผิดชอบ เพราะแมวกูมันทำร้ายมึง แม่งก็เท่านั้นแหละ”

“ งั้นเหรอ ” อีกคนที่พูดแบบเสียงยาว ผมหลบสายตาที่ชวนให้หน้าแดงนั้นหันเข้ามามองเจ้าแมวสองตัวในห้อง ที่ตอนนี้กำลังคลอเคลียกันอยู่

“ แก้มหอมขา ถ้าไอ้นายท่านมันฉี่ไม่เป็นที่เป็นทาง หนูตบมันให้เลือดอาบหน้าเลยนะ โอเคมั้ย ”

“ เมี๊ยว ” เสียงใสที่ขานรับ ผมที่เดินออกมาตรงประตูได้ยินเสียงร่างสูงพูดกับแมวตัวเองแบบไม่เบานัก

“ เดี๋ยวป๊ามานะคะ ”

เราลงลิฟต์ไปตรงลานจอดรถ รถญี่ปุ่นคันสีขาวของผมถูกปลดล็อค คนเจ็บเปิดมันก่อนจะเข้าไปนั่งด้านใน ส่วนผมก็ประจำหน้าที่ตรงฝั่งคนขับ ที่ก็หยิบเข็มขัดนิรภัยมารัดให้เรียบร้อย

“ แล้วมึงจะไม่รัดเข็มขัดนิรภัยสักหน่อยเหรอ ”

“ อ้อ ” เหมือนว่าอีกฝ่ายจะลืมไป มือข้างที่เจ็บทำทีเป็นจะหันไปหยิบ แต่เหมือนมันจะคิดอะไรขึ้นมาได้ อาร์มหยุดชะงัก ก่อนจะหันมามองหน้าผม “ เจ็บมือ ”

“ ถามจริงนะไอ้สัด ” ผมถาม อีกคนก็พยักหน้ารับด้วยสีหน้าเจ็บปวดแบบที่ปากแบะนิดๆคล้ายจะอ้อนกัน  “ มึงแสดงได้ห่วยมาก เอาจริงๆนะ ไม่เนียนเลยสัด ”

“ ก็อยากให้คาดให้ ไม่ได้เหรอ ” อีกคนถามหน้านิ่ง แต่ผมก็เหมือนกัน ผมนิ่งไป

“ จีบสัด มีช่องให้หน่อยไม่ได้เลยนะ” ในตอนนั้นอาร์มแค่ยิ้ม มันไม่ได้ตอบอะไร แต่ถึงอย่างงั้นผมก็แอบเห็น มันหันออกไปมองนอกหน้าต่างด้วยแก้มแดงๆราวกับไม่อยากจะให้ผมเห็นสักเท่าไหร่  ทั้งๆที่เป้นช่วงเวลาที่ดีที่สุดกับการเอาคืน แต่ผมก็คิดว่า ในตอนนี้เราควรหยุดก่อน

เพราะหัวใจที่เต้นแรงเพราะมันมาตลอด ควรได้รับการพักผ่อนบ้าง

 ระหว่างทางที่การจราจรค่อนข้างติดขัด ผมเผลอถอนหายใจออกมาก่อนจะเหลือบไปมองมือของอีกฝ่ายที่ท่าทางว่าคงข่วนเข้าไปลึกพอดู แผลเลือดซิปสีแดงสดมีเลือดไหลออกมาเป็นระยะ ทิชชู่แผ่นใหญ่ที่ผมหยิบมาไว้ห้ามเลือดดูมีร่องรอยของคราบเลือดหลายแห่ง

“ นี่คือมึงจะไม่ถามหน่อยเหรอ ว่ากูจะไปโรงพยาบาลเอกชน หรือว่าโรงพยาบาลรัฐ ” อาร์มพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ ผมก็ได้แต่นิ่ง

“ เออว่ะ ”

“ เชื่อมึงเลยไอ้สัด ” อีกฝ่ายว่า

“ แล้วตกลงมึงจะไปโรงพยาบาลไหน ”

“ เอกชนข้างหน้าก็ได้ ” ใบหน้าคมเชิดหน้าไป “ กูเบิกประกันได้ ”

“ โอเค ” ตอบอีกฝ่ายเสียงเรียบๆ ความเงียบภายในรถเกิดขึ้นมาอีกครั้ง จนผมต้องชวนคุย “ เปิดเพลงมั้ย มึงชอบเพลงอะไร  รถกูมีเครื่องเปิดเพลงจากยูทูปได้ด้วยนะ ” ชี้ที่เครื่องเชื่อมต่อสัญญาณบูธทูธในรถอีกคนก็ขมวดคิ้วยิ้มๆ

“ มึงกำลังจะอวดของเล่นกูอยู่เหรอ ”

“ เอาน่า มาฟังเพลงกันหน่อย มึงอยากฟังเพลงอะไร กูจะตามใจมึงนะ ” ผมว่าก่อนจะหยิบเอามือถือตัวเองขึ้นมา แต่ในตอนนั้นอีกฝ่ายก็เอามือที่ไม่ได้เจ็บแผลมาดันมันลง

“ มาคุยกันดีกว่า ”

“ เรื่อง ? ” ผมเอียงหน้าถาม

“ มึงจะรับผิดชอบยังไงกับแผลนี้ ”

“ ก็เดี๋ยวพาไปโรงพยาบาล จะจ่ายค่าทำแผลแล้วก็ค่าฉีดยาป้องกันพิษสุนัขบ้าให้ไง ”

“ ไม่ต้อง กูมีประกัน ให้ประกันมันจ่ายไป ” อีกฝ่ายบอกปัดแบบนั้น ผมก็ได้แต่นิ่ง “ มึงรับผิดชอบเรื่องอื่นไปแล้วกัน ”

“ แล้วจะให้กูรับผิดชอบอะไรละ”

“ มึงรู้มั้ยว่าฉีดยาเกี่ยวพิษสุนัขบ้า เค้าฉีดกันสี่เข็ม เพราะฉะนั้นกูต้องมาโรงพยาบาลสี่รอบ ”

“ คือ..มึงจะให้กูมาส่ง ”

“ ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในความรับผิดชอบนะ ” เสียงเรียบที่หันมาบอกกันด้วยรอยยิ้ม ผมถึงกับนิ่งไปก่อนจะพยักหน้ารับด้วยความจำยอมแบบช่วยไม่ได้  “ เพราะงั้นมึงต้องเป็นคนดูแลวันนัดหมอของกูทั้งสี่วัน แล้วก็ต้องเป็นคนดูแลเรื่องที่กูทำไม่ได้ ”

“ อะไร เรื่องที่มึงทำไม่ได้ ” หันไปถามอีกฝ่ายงงๆ เพราะแน่นอนว่ามือมันไม่ขาดหรือด้วน ก็แค่เป็นแผลที่ก็จะแสบนิดหน่อยตอนโดนน้ำ

“ ล้างจานให้กูทุกวัน เพราะกูไม่อยากให้มือโดนน้ำ มันแสบ ”

“ จะให้กูอาบน้ำ สระผมให้ด้วยมั้ย เข้าห้องส้วม ต้องตามไปล้างตูดให้ด้วยปะ ” หันไปถามอีกคนสีหน้าจริงจัง แต่ตอนนั้นอาร์มก็แค่ยิ้ม

“ ได้ก็ดีนะ ”

“ ไอ้สัด ” สบถออกไปอีกคนก็ยกยิ้ม พร้อมกับยกมือข้างที่เจ็บขึ้นมาให้ผมดู

“ ผลงานแมวมึงนะ ” ได้แต่มองหน้ามันแบบเถียงอะไรไม่ออก และบอกเลยว่าถ้าทำได้ตอนนี้ก็อยากจะยันตีนใส่แม่งสักที ถ้าไม่ติดว่าคนแบบนั้นขืนทำอะไรไปมันก็คงเอาคืนเป็นสิบเท่า แล้วคนที่ไม่คุ้มเลยก็คือตัวผมเองก็คงทำไปแล้ว

“ ขู่จังแหมมมม ” ลากเสียงยาวๆออกมา ผมมองมันยิ้มๆ “ หรือว่านะ มึงอยากจะใกล้ชิดกูทุกวันก็เลยเอาเรื่องแมวมาเป็นข้ออ้างให้กูทำนู้นทำนี่ให้ บอกมาตามตรง มึงอยากจะกินข้าวกับกุทุกวันก็เลยบอกให้กูไปล้างจานให้ ใช่มั้ยละ ”

“ เออ มึงก็รู้ตัวนี่ ”

สบสายตาคมที่หันมาบอก ผมในตอนนั้นก็ถึงกับใบ้กิน อาร์มท้าวแขนกับขอบกระจกรถก่อนจะหันมายิ้มให้ มือข้างที่เจ็บยื่นมาเกลี่ยแก้มกัน

“ เพราะงั้นก็ช่วยรับผิดชอบผมด้วยนะครับคุณเมี่ยง ”

“ มึงแม่ง..” เบือนหน้าหนีมันก่อนจะปัดมือนั้นออกให้ไกลตัว เพราะไม่รู้จะต่อกลอนด้วยคำพูดอะไรอีก เอาจริงๆผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นคนยังไง แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าต้องใช้แผนการไหนในการรับมือ

แรกเริ่มเดินทีก็คิดว่ามันคงเป็นคนพวกปากไม่ตรงกับใจ ก็เลยใช้วิธีเย้าแหย่จับไต๋ไปเรื่อย แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้น เพราะไม่ว่าจะพูดอะไรไป อีกฝ่ายก็เหมือนจะตอบรับแบบตรงไปตรงมาจนกลายเป็นผมมากกว่าที่ต้านทานรับไม่ไหว

“ อะไรวะเนี้ย ” คราบอะไรบางอย่างติดอยู่ที่หลังมือในตอนที่ดึงมันขึ้นมาจับพวงมาลัยของรถ ผมดึงมันมาดูใกล้ๆก่อนจะดม พร้อมกับหยิบทิชชูในรถขึ้นมาเช็ด คราบสีแดงจางๆปรากฏ “ เลือดเหรอวะ แต่กูก็ไม่ได้..”

คำว่าเจ็บถูกกลืนลงคอไปในตอนที่ผมหันไปเห็นมือของอีกฝ่ายที่เลือดยังไหลซึมออกมาไม่หยุด อาร์มพยายามซับมันจนตอนนี้กระดาษทิชชูที่ถือก็มีแต่เลือด

“ โทษที แต่คิดว่านั่นน่าจะเป็นเลือดกู ”

“ ทำไมเลือดมึงไหลไม่หยุดเลยวะ ” หันไปถามอีกคนที่ก็แค่ยักไหล่ “ กูว่าแผลมันต้องลึกแน่ๆ แล้วรถก็ติดชิบหายอีก ”

“ ไม่ต้องลน แค่เลือดออก ไม่ได้เจ็บอะไรมากหรอก ”

“ ไม่ต้องลนได้ยังไง ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะหลุดไฟแดงด้วยซ้ำไอ้สัด ถ้าติดเชื้อจะทำยังไง ” ผมบอกก่อนจะตีไฟเลี้ยวซ้ายเพื่อขอทางให้ตัวเองได้หลุดออกจากแถวของการจราจรในช่วงเย็นที่โคตรติดขัด “ แล้วมันจะติดอะไรกันหนักหนา ร้อยวันพันปีมึงไม่ติด ไอ้สัด ”

“ ใจเย็น ”

“ มึงเจ็บนะ ” ผมหันไปเถียง อาร์มก็ได้แต่นิ่ง “ เลือดมึงไหลไม่หยุดเลยแล้วจะให้กูใจเย็นอยู่ได้ยังไงละ ” ว่าแบบนั้นอีกคนก็ได้แต่ก้มหน้าลง อาร์มไม่พูดอะไรต่อ มันแค่หันไปมองนอกหน้าต่างแล้วใช้มือข้างที่ท้าวคางอยู่กับขอบกระจกนั้นปิดรอยยิ้มและแก้มแดงๆของตัวเองไว้ “ ยังจะมายิ้มอีก มองทางซ้ายให้หน่อยมีรถจะขึ้นมามั้ย ”

“ ไม่มี ” อีกฝ่ายพูดเสียงเรียบ “ ไปได้เลย ”

“ เค ” ขับรถขึ้นไปตามคำสั่งของอีกคน ก่อนจะตีไฟเลี้ยวซ้ายเพื่อจอดลงตรงใกล้ๆร้านสะดวกซื้อ ผมปลดเข็มขัดนิรภัยลงอย่างรวดเร็ว “ มึงรออยู่ในรถนะ กูจะลงไปซื้ออุปกรณ์ทำแผลให้ ”

“ ครับ ผมไม่ไปไหนหรอก ” ได้ยินแต่เสียงตอบรับ แต่คนเจ็บกลับไม่หันหน้ามามองกันด้วยซ้ำ ผมปิดประตูรถลงแล้ววิ่งตรงเข้ามที่ร้านสะดวกซื้อ หยิบเอาอุปกรณ์ทำแผลที่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นน้ำยาล้างแผล ลำสีแล้วก็สก๊อตเทปสำหรับติดแผล ก่อนจะวิ่งลงมาขึ้นรถของตัวเองแต่ตอนที่ปิดประตูลงคนเจ็บก็หลุดหัวเราะ

“ หัวเราะอะไรของมึง ”

“ ก็มึงจะลุกลี้ลุกลนอะไรขนาดนั้น ”

“ ก็มึงเจ็บ ” เงยหน้าบอกคนเจ็บด้วยสีหน้าไม่สบายใจ เราที่สบตากันนั้นอาร์มยิ้มไปก่อนจะหันไปมองยังทางข้างหน้า ร่างสูงพูดเสียงอ้อมแอ้ม

“ กูไม่ได้เจ็บอะไรขนาดนั้นสักหน่อย มึงแม่งก็เว่อร์ไปแล้วไอ้สัด ”

“ เหรอ ” ตอบรับแค่นั้น ก่อนจะเปิดขวดแอลกฮอล์ แล้วใช้สำลีชุบมันจนชุ่ม ผมวางโป๊ะลงไปบนแผลแบบที่ไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัว

“ โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย แสบบบบบบบบบบบบบบบ มึงนี่..”

“ ก็มึงบอก ไม่ได้เจ็บอะไรขนาดนั้นสักหน่อย ” พูดเสียงเรียบๆ คนที่เจ็บจนต้องกัดฟันก็ถึงกับพูดแทบไม่เป็นภาษา

 “ มึงเอาออกไปเลยเลยนะ ”

“ ไม่ได้ ต้องตั้งไว้แบบนั้นก่อน ต้องฆ่าเชื้อโรค ”

“ โลกไหนมันทำแผลกันแบบนี้ แอลกฮอล์เค้าแค่เช็ดเฉยๆ ”

“ โลกของกูนี่แหละไอ้สัด มีอะไรมั้ย ” เอียงหน้าบอกมัน แต่ถึงอย่างงั้นผมก็หยิบเอาสำสีที่โป๊ะอยู่บนแผลนั่นทิ้งไป ก่อนจะชุบแอลกฮอล์ด้วยสำลีก้อนใหม่ แล้วเช็ดให้อีกฝ่ายด้วยความเบามือ เป็นเวลาเดียวกันในตอนนั้นที่มือหนาของคนเจ็บที่จับกันอยู่กระชับมือของผมด้วยความแสบแบบที่ถ้าพูดออกมาก็คิดว่าคงเสียฟอร์ม เพราะตอนแรกดันบอกว่าไม่เจ็บ “ แผลลึกอยู่นะ ” บอกแบบนั้นอีกคนก็ถอนหายใจ

“ ก็มันเล่นข่วนแบบเต็มแรง ต้องคิดว่าโชคดีแค่ไหนแล้ว ที่ไม่ใช่หน้ากู ”

“ นี่ถ้าเป็นหน้ามึงนะ ” ผมทำท่าขนลุก อีกฝ่ายก็ยกยิ้ม

“ แน่นอนว่ากูจะให้มึงรับผิดชอบชีวิตกูเลยละ ”

“ ด้วยการเป็นแฟนมึงน่ะเหรอ ” ดึงหน้าตัวเองเข้าไปเย้าแหย่ แต่ตอนนั้นอาร์มก็แค่กระชับมือของผม แล้วดึงตัวเองเข้ามาใกล้กัน ตาของเรามองสบ มันตอบเสียงหนักแน่น

“ ใช่ครับ ”

“ กูไม่เป็นเว้ย ” ดึงตัวเองออกมาก่อนจะสบถแบบไม่ออกเสียงใส่อีกคนที่ก็แค่ยักคิ้วไม่ใส่ใจ “ ไอ้สัด ”

หยิบเอาสำลีสะอาดมาวางไว้บนแผล ก่อนจะใช้ที่สก๊อตเทปติดแผลติดทับลงไปเป็นสิบๆอัน จนมันดูคล้ายกับว่าเป็นแผลร้าย มากกว่าจะเป็นแมวข่วน ไอ้อาร์มยกยิ้มกับผลงานของผมอยู่ไม่น้อยก่อนจะพูดยิ้มๆ แบบที่ไม่คิดว่าจะเป็นคำชมสักเท่าไหร่

“ ดูเหมือนแผลที่ต้องตัดมือทิ้งเลย ”

“ ได้เท่านี้ก็บุญแล้วไอ้สัด กูเคยทำที่ไหน ” ว่าแบบนั้นก่อนจะคาดเข็มขัดนิรภัยอีกครั้ง ผมขับรถออกมาจากที่จอดข้างทาง ตรงสู่โรงพยาบาลที่ก็ใช้เวลาไม่นานอย่างคิด

โรงพยาบาลเอกชนยังคงดูวุ่นวายแม้ว่าจะเป็นช่วงใกล้ทุ่ม ผมกับอาร์มเดินไปติดต่อพนักงานเรื่องการทำแผลและฉีดวัคซีน ที่ก็ใช้เวลารอไม่นานเท่าไหร่เราก็ถูกเรียก

หมอบอกกว่าแผลของอาร์มไม่ลึกขนาดที่ว่าต้องเย็บ แต่ก็ต้องทำความสะอาดแผลทุกวัน และแน่นอนว่าหน้าที่นั้นก็คงตกเป็นของผมตามหน้าที่ความรับผิดชอบ คนเจ็บโดนฉีดยาไปที่แขนคนละข้างเป็นการเสร็จสิ้นการฉีดวัคซีนเข็มแรก

“ เดี๋ยวเชิญรอรับยาก่อนนะคะ ” พยักหน้ารับคุณพยาบาลที่เดินออกมาส่ง ผมหย่นตัวลงนั่งข้างคนเจ็บที่ถอนหายใจออกมาพลางมองแผลของตัวเองด้วยสายตาชื่นชมแบบที่แขวะกันอยู่หน่อยๆ

“ ค่อยดูเป็นแผลโดนแมวข่วนหน่อย ”

“ บ่นไม่เลิกเลยนะสัด ” ผมว่า “ กลับไปกูให้ไอ้นายท่านข่วนมึงอีกสักสิบแผลเป็นไง ”

“ แล้วเมื่อกี้มึงได้ยินมั้ย ”

“ อะไร ” หันไปมองหน้าอีกฝ่ายก่อนจะทวนถาม

“ หมอบอกว่า ควรหลีกเลี่ยงการโดนน้ำในช่วงนี้ ” ถอนหายใจออกมากับคำพูดของอีกคน ก่อนจะพยักหน้ารับจำยอม

“ ครับๆ กูจะล้างจานให้มึงเอง ถ้ามึงมือเจ็บแต่เสือกอยากจะทำกับข้าวขึ้นมาแล้วละก็นะ  แล้วกูก็จ่ายค่าทำผมให้มึงเองด้วย ในกรณีที่มึงอยากจะสระผม แต่เรื่องอาบน้ำให้ ขอบายนะ กูไม่อยากเห็นหนอนจิ๋วของมึง ”

“ เห็นแล้วเหรอ ถึงรู้ว่าเป็นหนอนจิ๋ว ” คนพูดมองของตัวเองก่อนจะเหลือบมองของผมแล้วทำหน้าเบ้ปาก “ ไม่รู้ว่าของใครมันจิ๋วกันแน่ ”

“ วัดได้นะไอ้สัด ถ้ามึงกล้าพอ ”

“ กูกล้าอยู่แล้ว มึงกล้าป่ะล่ะ ” แล้วสุดท้ายก็กลายเป็นผมที่นิ่งไปอีกครั้ง

ก็อยากจะบอกแหละ ตัวตัวคืนนี้ เสื้อผ้าไม่เกี่ยวกันเลยมา แต่ก็กลัวอีกว่าเล่นกับคนตรงหน้า ไม่น่าจะจบกันที่วัดหนอน

“ K มึงแม่งเป็นคนยังไงกันแน่วะอาร์ม ” ผมบ่นในตอนที่เบือนหน้าหนีไปทางอื่นอย่างคนที่สู้อะไรไม่ได้สักอย่าง หลังที่พิงลงกับโซฟาที่นั่ง “ จะบอกว่าเป็นพวกซึนก็ไม่ใช่ แต่จะกวนตีนเหรอ เออ ก็ไม่ขนาดนั้น แล้วจะบอกว่าเป็นคนตรงๆเหรอ ก็ไม่เชิงอีก ถามจริงมึงแม่งเป็นคนยังไงกันแน่วะไอ้สัด ”

“  ไม่รู้เหมือนกัน ” คนข้างกันให้มายิ้มให้ผม “ เพราะกูไม่เคยมีความรักแบบจริงจัง เลยไม่รู้ว่าเวลาตัวเองตกหลุมรักหรือว่ารักใครสักคน มันจะเป็นแบบไหน  แล้วมึงชอบคนแบบไหนละ ” อาร์มถามตรงท้ายประโยคนั้น ผมเหลือบมอง

“ ถามทำไม ”

“ ก็กูจะได้เป็นแบบนั้นไง คนในแบบที่มึงชอบ ”

คำตอบเรียบง่ายในตอนนั้น ผมถอนหายใจออกมาอย่างคนพ่ายแพ้แบบชนิดที่เรียกว่าย่อยยับ จนอีกฝ่ายถึงกับยิ้มกว้าง ผมลุกหนีขึ้นไปรับยาและใบนัดครั้งต่อไป แต่ก็ไม่วายบ่นกับตัวเองเบาๆ

“ มึงนี่แม่ง ประมาทไม่ได้เลยจริงๆ ”

เอาเถอะ มันก็ต้องมีแหละ
สักวันที่กูจะชนะคนอย่างมึง 

............................................................

ตกลงว่าเธอ จะมาไม้ไหน จะดี หรือ จะร้าย ลูกเมี่ยงฉันหัวใจไม่แข็งแรง เริ่มน้วยแล้วนะ
เราจะให้ทุกคนรู้จักอาร์ม ผ่านเมี่ยง และจะไม่บอกออกไปตรงๆหรอก ว่าเค้าเป็นคนยังไง
ฝากแท็ก #นายท่านของแกก้มหอม เจอกันตอนหน้านะคะ
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 7 :: up! 27-12-62} #หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 27-12-2019 20:47:05
 :pig4: :pig4: :pig4:

พี่ชายเจ้าอาร์มเป็นสัตวแพทย์

พี่เขยเจ้าเมี่ยงเป็นสัตวแพทย์

เขาคือคนคนเดียวกัน...หรือเปล่า?  แบบว่าโลกกลม บุพเพฯ ไรเงี้ยะ
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 7 :: up! 27-12-62} #หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 27-12-2019 22:20:47
 :z1:


 :L2: :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 7 :: up! 27-12-62} #หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 28-12-2019 01:15:41
นี่เป็นผลงานที่สร้างสรรโดยเทพนายท่านเลยนะเนี่ย  o13
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 7 :: up! 27-12-62} #หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: tae1234 ที่ 29-12-2019 23:19:57
ติดตามครับ สนุกมากๆ เลยครับ
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 7 :: up! 27-12-62} #หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 05-01-2020 22:06:58
5555 ไม่รู้ใครจะตกหลุมใครก่อน ขยันหยอดกันจริง
ระวังจะลึกจนปีนขึ้นไม่ได้นะ เล่นเขินกันเองก็บ่อยอีก

เอ็นดูเมี่ยง ถือว่าซื่อตรงและชัดเจนดี
อาร์มก็ดูใส่ใจเมี่ยงด้วย และเรียกร้อง

เอิ่มม นายท่านคะ เคืองอะไรอาร์ม แล้วทำไมฉี่รดแบบนั้น
สงสารแก้มหอมเลยค่ะ มาชอบแมวแบบนี้
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 7 :: up! 27-12-62} #หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 05-01-2020 22:09:23
อ๋อยยย สงสารแก้มหอมเลย นายท่านทำไมร้าย 5555
แล้วทำร้ายอาร์มทำไม เคืองที่อาร์มหยอดเมี่ยงหรอ

เมี่ยงก็ม้วนไปหลายตลบละนะ ชอบตรงเมี่ยงซื่อตรงดี
อาร์มก็ขยันขุดหลุมไปสิ หยอดหนักมากด้วย
ระวังจะปีนไม่ขึ้นกันทั้งคู่นะ แถมอาร์มก็เรียกร้องเยอะ
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 8 :: up! 10-1-63} #หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 10-01-2020 20:34:35
ตอนที่ 8

ใบนัดหมายของแพทย์ที่อยู่ในมือแสดงวันนัดหมายอีกสี่ครั้งที่กำลังจะมาถึง ผมยิ้มมองมันก่อนจะหันมองคนที่กำลังเช็ดคราบฉี่แมวของตัวเองที่ทำไว้ก่อนหน้าที่เราจะออกไปโรงพยาบาลอย่างที่เรียกว่า ‘ บ้าคลั่ง ’

ใบหน้าขาวที่ผมกำลังเห็นจากมุมนี้กัดฟันแน่นพลางเช็ดคราบสกปรกบนโต๊ะแบบเต็มกำลังด้วยความโกรธแค้นจนแก้มขาวนั่นสั่นเบาๆ ก็คงจะหงุดหงิดเพราะโดนผมเย้า แล้วก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก เพราะตัวเองก็รู้สึกหวั่นไหว

เพิ่งสังเกตว่าอีกคนก็มีมุมที่น่ารักแบบมากๆอยู่เหมือนกัน

เมี่ยงเป็นคนดูออกง่ายกว่าที่คิด ขนาดว่าไม่ต้องสบตา แต่ท่าทางและสีหน้าของอีกฝ่ายก็บอกกันหมดว่ารู้สึกอะไรอยู่

แล้วมันก็อดขำไม่ได้เลย กับสีหน้าเลิ่กลั่กในตอนที่มันพยายามเย้าเพื่อเอาชนะ แต่กลับโดนผมตอบแบบตรงไปตรงมาจนมันเบิกตาตกใจขึ้นในทุกครั้ง

ไม่นับความเป็นห่วงเป็นใย ที่ทั้งแสนจริงใจและใสซื่อ จนผมไปต่อไม่ถูกอยู่หลายครั้ง

ก็ไม่ใช่คนที่จัดการได้ง่ายๆหรอก
บทมันจะน่ารัก ก็เล่นด้วยยากเหมือนกัน

“ เมี่ยง ”

“ อะไร ” เสียงของคนหงุดหงิดเงยหน้าขึ้นมองกัน ดวงตาเรียวที่มองมา ไม่ต่างอะไรกับแก้มหอมตอนที่โดนผมจับพุง แล้วพอถูกเรียกให้เข้ามาใกล้ ก็มองแบบงอนๆ

“ อยากสระผม ” คำพูดสั้นๆทำให้คนฟังถึงกับนิ่ง ริมฝีปากแหลมสีชมพูอ้าขึ้นแบบเหวอไปชั่วขณะพนันเลยว่าในสมองนั้นคงมีคำด่ามากมายที่ผุดขึ้นมาไม่มีหยุดตอนที่ได้ฟัง “ สระผมให้หน่อย ”

“ สระให้หน่อยเหี้ยอะไร ” มันถาม “ แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่ตอนที่ออกจากโรงพยาบาล กูจะได้หาร้านทำผมให้

“ ก็ใครบอกว่ากูจะสระร้าน ” ถามกลับไปหน้านิ่ง “ กูไม่ชอบสระร้าน กูชอบสระเอง ด้วยแชมพูของกูเอง ที่กูชอบ ”

“ K ” ได้ยินมันว่าแบบนั้นผมก็ยกมือข้างที่โดนแมวตัวร้ายของเจ้าตัวข่วนขึ้นมา

“ รับผิดชอบผมด้วยสิครับ ”

ไม่มีคำตอบอะไรจากอีกคน เมี่ยงออกแรงขัดโต๊ะแรงขึ้นเหมือนระบายความหงุดหงิดทั้งหมดที่มี แก้มขาวที่สั่นแรงขึ้น เพราะการเคลื่อนไหวของมือ มันโยนผ้าลงฟาดกับโต๊ะในตอนจบ ก่อนจะมองผมอย่างเครียดแค้นพร้อมด้วยริมฝีปากที่ขยับด่าแบบไม่ออกเสียงไม่มีหยุด

“ หรือว่าจะให้มึงอาบน้ำให้ด้วยดีน้า หมอบอกว่าโดนน้ำเยอะไม่ได้ด้วยสิ”

“ ไม่! ไอ้สัด ” คนตัวขาวปฎิเสธเสียงดัง “ แค่สระผม แค่สระผมเท่านั้น มึงอย่ามาเยอะเกินไปนะไอ้สัดอาร์ม แมวกูแค่ข่วน ไม่ได้ทำให้มึงแขนหักสักหน่อย แล้วอีกอย่าง หมอเค้าไม่ได้บอกว่าโดนน้ำไม่ได้ แค่โดนน้ำเยอะไม่ได้ มันหมายถึงว่า การว่ายน้ำ แช่น้ำ อะไรแบบนี้ต่างหาก ”

“ อ๋อเหรอ ”

“ ไม่ต้องอ๋อเหรอ ” อีกคนว่า “ มึงรู้อยู่แล้วไอ้หน้าเหี้ย  แต่ก็ยังกวนตีน ”

“ งั้นกูไปอาบน้ำรอแล้วกันนะ ” ลุกจากที่นั่งหลังจากที่ยิ้มบอก ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง แต่ก่อนที่จะปิดมันลง ก็ไม่ลืมหันไปบอก

“ ไม่ได้ล็อคประตูนะ เข้ามาได้เลย ”

“ พร้อมแล้วก็ตะโกนเรียกแล้วกันไอ้สัด ” เมี่ยงบอกแบบนั้น ผมก็ชะงักประตูที่จะปิดก่อนจะหันไปมอง “ อะไร  มึงมีอะไรอีก ”

“ หมายถึงพร้อมตอนไหนก็เรียกตอนนั้นเหรอ ”

“ เออ! ” หันมาย้ำด้วยสีหน้าหงุดหงิด แต่ผมที่แค่เลิกคิ้วมอง ก่อนจะยกไหล่พร้อมรับคำสั่งนั้น

ปิดประตูสนิทลง มือของผมขยับถอดกระดุมเสื้อที่สวมอยู่เป็นอย่างแรก ตามด้วยกางเกงก่อนจะโยนใส่ตะกร้าที่อยู่ตรงห้องแต่งตัว

ก้าวขาเดินตรงเข้าไปในห้องน้ำ ลำดับแรกก็คือล้างตัวเล็กน้อยให้สะอาดด้วยสบู่กับมือข้างเดียวที่มี เสร็จเรียบร้อยก็กดปิดอ่างแล้วเปิดน้ำทิ้งให้เต็มเพื่อแช่ตัว ล้างหน้าแปรงฟันให้พร้อมหลังจากนั้น พอน้ำได้ระดับ ผมก็เอ่ยเรียกคนที่อยู่ด้านนอกที่บอกกันก่อนหน้านี้ว่า พร้อมเมื่อไหร่ให้เรียก

“ ที่รักครับ ” เอ่ยออกไปเสียงดังแบบกวนตีน

ผมคิดจินตนาการถึงใบหน้าที่ตอนนี้คงสะดุ้งสุดตัว พร้อมทั้งหันเหลือบมามองตรงประตูห้องนอนผม เมี่ยงคงมองแมวตัวเอง สลับกับแมวผม เหมือนตั้งคำถามกับพวกมันว่า ‘ เสียงนั่นคือเรียกใคร ’ หรือไม่ก็ ‘ นี่มันเรียกกูใช่มั้ย ’ เป็นภาพที่ก็คงไม่ต่างอะไรกับแมวสามตัวที่กำลังเลิ่กลั่กหาคำตอบ

“ ที่รักครับ อาร์มเสร็จแล้วนะ ” ผมเสียงให้เสียงดังขึ้น  “ ที่รัก!!! ”

“ ที่รักพ่อมึงสิไอ้สัด! ” ก็ถือว่าได้ผล คนที่อยู่หน้าห้องเปิดประตูห้องน้ำเข้ามาก่อนจะเบิกตาแล้วก็อ้าปากค้างอยู่อย่างงั้นกับสภาพเปลือยเปล่าของผมที่มันเห็น เราสบตากัน

“ แหม รู้ด้วย ว่าเป็นที่รักของกู ”

“ ไม่ใช่ของมึงไอ้สัด! แล้วนี่คือเหี้ยอะไร เสื้อผ้าก็ไม่ใส่ อุบาทว์ ” ถามแบบนั้นแต่ตาก็ยังมองผมแบบไม่ขยับตัวออกไปไหน ท่าทางเหมือนแมวขนฟูที่โก่งตัวขู่ว่าอย่าเข้ามาแต่เจ้าตัวก็ไม่หนีหายไปไหนเหมือนกัน

“ แปลกตรงไหน มึงก็มีเหมือนกัน ” ก้มลงมองส่วนกลางของตัวเองก่อนจะหันไปเหลือบมองส่วนกลางของอีกคน เมี่ยงมันหุบขาของตัวเองเข้าหากันอัตโนมัติคล้ายว่ากลัวผมจะเห็น คิ้วบางขมวดเข้าหากัน

“ มองเหี้ยอะไร กูใหญ่กว่ามึงแล้วกัน”

“ ไม่เชื่อ เพราะงั้ยต้องเปิดให้ดูแล้วละ ”

“ K ”

“ ก็ใช่น่ะสิ ” ตอบรับยิ้มๆ กับอีกคนที่กัดปากตัวเองแน่นอย่างไม่รู้จะต่อกรด้วยประโยคอะไรกับผมต่อ คนตัวขาวผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ ราวกับสะกดอารมณ์หงุดหงิดของตัวเองไว้ไม่ให้มากกว่านี้ ผมหลุดยิ้มตอนเห็นผ่อนลมหายใจออกพร้อมกับหลับตาลง

แน่นอน เมี่ยงกำลังเตรียมพร้อม เพื่อจะเอาคืนผม

“ คือมึงแม่งก็กล้านะ แก้ผ้าต่อหน้าคนอื่นได้ยังไงวะ ”

“ คนอื่นอะไร กูเรียกมึงที่รักเลยนะ ” หันไปมองอีกคนที่ทำทีจะด่าออกมา แต่เหมือนว่ามันจะสะกดอารมณ์เอาไว้ เมี่ยงนิ่งไปสักพัก คงกลัวแผนพัง มันปรับสีหน้า ทำทีเป็นเหล่มองผม และแน่นอนว่ามันคงเหมือนกับทุกครั้ง คำพูดเย้าแหย่ที่คิดว่าผมต้องเขิน คงอยู่ในหัวสมองของมัน

“ เรียกกูที่รัก ถามจริง คิดอะไรกับกูปะ ”

“ แล้วถ้าไม่คิดกูจะเรียกเหรอ ” หันไปสบสายตาเรียวที่พูดออกมาแบบนั้น ผมยกยิ้มแล้วเหลือบไปทางอื่น

แน่นอนว่าถ้าไม่ทำให้อีกคนรู้สึกว่าชนะบ้าง เกมส์ต่อไป ก็คงไม่สนุกหรอก เพราะเกมส์ที่สนุกที่สุด คือเกมส์ที่คู่ต่อสู้ รู้สึกว่าตัวเองก็มีโอกาสที่จะชนะเหมือนกัน แต่เหมือนว่ามันจะแนบเนียนเกินไป เมี่ยงเอาแต่นิ่ง อยู่ๆมันก็ทรงตัวไม่ได้ จนผมต้องหันไปมอง

“ หรือว่าจะต้องให้เรียกที่รักอีกที ” ถามอีกคนตอนที่ก้าวเข้าไปในอ่าง ดึงตัวเองลงนั่งขัดสมาธิ ผมหันหลังพิงขอบอ่าง

“ เงียบปากไปเลย ” ว่าแบบนั้นร่างขาวก็เดินเข้ามาใกล้ สีหน้าหงุดหงิดที่มองผม ได้ยินมันพูดเสียงเบาๆแบบหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย “ กูจะเกาให้หนังหัวของมึงให้หลุดติดนิ้วกูออกมาเลยสัดอาร์ม ”

“ ได้ยินนะ ”

“ เออ มึงรู้ไว้ก็ดี ” ยกยิ้มกับความหงุดหงิดที่แทบจะระเบิดออกมาของอีกคน เมี่ยงหยิบเอาฝักบัวที่อยู่ด้านบนขึ้นมาเป็นอย่างแรก มันเปิดน้ำให้ไหลลงบนหัวผมแบบที่ไม่สนว่าจะเข้าตาหรืออะไรทั้งสิ้น ผมดึงมือที่ปิดแผลอยู่หมายจะลูบหน้าตามความเคยชินเวลาที่น้ำเข้าตาเพราะเป็นมือขวาข้างที่ถนัด แต่ทว่าก็โดนตีเข้าให้

เพี๊ยะ!

“ โอ๊ย อะไรอีก ”

“ ยังจะมาถามอะไรอีก ก็จะยกมือนั่นขึ้นมาทำไม อยู่นิ่งๆ เดี๋ยวแผลก็โดนน้ำหรอก ”

“ ไหนบอกโดนนิดหน่อยก็ไม่เป็นไร ” ผมถาม อีกคนก็ดึงฝักบัวออกห่างจากหัว

“ แล้วมึงจะให้แผลเปียกน้ำทำไม คุณพยาบาลเค้าก็ทำไว้ให้เสร็จแล้ว แผลค่อยทำใหม่พรุ่งนี้ ”

“ มาทำให้ด้วยนะ ”

“ รู้แล้วละน่า เพราะมันเป็นสิ่งที่กูต้องรับผิดชอบนี่ ใช่มั้ย ” ว่าแบบนั้นคล้ายประชดกันผมก็ได้แต่ยกยิ้ม ก่อนจะเงยหน้าให้อีกคนจัดการสระผมให้ง่ายขึ้น “ เออ เงยหน้าแบบนั้นแหละ ค่อยสระง่ายหน่อย แล้วชมพูมึงขวดไหน ”

“ ขวดสีชมพู ” บอกแบบนั้นก่อนจะชี้ไป เมี่ยงหันไปมองดู มันนิ่งไปสักพักด้วยสายตาที่ดูตกใจไม่น้อย

“ เดี๋ยวนะ คือมึงใช้แชมพูเด็กเหรอวะ ”

“ แล้วมันจะแปลกอะไร ” ถามกลับไปอีกคนก็แบะปากหมายจะล้อ

“ ไม่แปลกหรอกครับ ก็แค่สุดแสนจะคิ้วตี้ และไม่เข้ากับหน้ามึงอย่างยิ่งเลย ”

“ แล้วหน้าแบบกูต้องใช้อะไร ”

“ แน่นอนว่าสบู่ถูตัวใช้ร่วมกันกับทั้งตัว หน้า แล้วก็ผม ” มันว่าแบบนั้น ผมก็ได้แต่ถอนหายใจ “ ในสมองมึง กูคงทั้งเหี้ยและซกมกมากเลยสินะ ”

“ พูดเองน้า กูไม่ได้พูด ” แววตาเรียวเบิกตาขึ้นตกใจแบบเชิงล้อ ก่อนมือเล็กจะเอื้อมไปปั้มแชมพูสระผมออกมาสองปั้ม “ แล้วทำไมมึงถึงใช้แชมพูสระผมของเด็กวะ แพ้เหรอ ”

อยู่ๆก็นิ่งไปกับคำถามนั้น ผมไม่รู้จะตอบอะไร เพราะในความเป็นจริงผมอาจจะแค่ชอบกลิ่นของมันก็ได้มั้ง แต่ก็นั่นแหละ ใช้เองอยู่ทุกวันก็ไม่เห็นจะหอมเหมือนกับคนที่ทำให้อยากจะใช้ตามเลย

“ เหตุผลส่วนตัว ”

“ เหมือนจะบอกกว่าอย่าเสือก ” เมี่ยงมันว่ายิ้มๆ “ โอเค๊ งั้นกูจะสระแล้วนะ ”

“ อื้ม ” ตอบรับเสียงในคอสั้นๆ ผมได้ยินเสียงของมือที่ถูแชมพูไปมาก่อนที่มันจะถูกลูบลงผมเส้นผมของผม อีกฝ่ายจะเริ่มขยี้มันอย่างเบามือ จนอดไม่ได้เลยที่จะลืมตาขึ้นไปมองคนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาสระผมให้กันอย่างตั้งใจ

“ มองอะไร ” เผลอสบสายตาเรียวนั้นเข้าให้ เอาจริงๆ ก็อยากจะตอบออกไปเหมือนว่ามองคนน่ารัก  แต่ก็นั่นแหละ ถึงมันจะออกมาจากใจจริงๆ ผมก็คิดว่า ควรให้มันได้พักได้

“ เปล่า ” ตอบแค่นั้นก่อนจะหันกลับมามองกำแพงห้องน้ำเหมือนเดิม

“ ขยี้แค่นี้ โอเคมั้ย ”

“ โอเค ” และแน่นอนว่าว่า ขอบคุณมากที่ไม่เกาจนหนังหัวกูหลุดแบบที่บอกกันไว้

“ แล้วพรุ่งนี้มึงมีเรียนกี่โมง ”

“ เช้า ”

“ เหมือนกูเลย ” บอกแค่นั้นเมี่ยงก็ขยี้หัวผมแรงขึ้น “ มีตรงไหนที่อยากจะเกาเป็นพิเศษมั้ย แบบ ตรงที่ที่มึงคัน ”

“ ไม่มี ”

“ งั้นจะล้างแล้วนะ ”

“ อื้ม ” ขารับในลำคอ ฝักบัวที่เสียบอยู่กับที่ตั้งก็ถูกเลื่อนลงมา เมี่ยงล้างมือเป็นอย่างแรกก่อนจะดึงใบหน้าของผมให้เงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะเริ่มลงมือล้างผมให้ “ แล้วถามทำไม จะไปส่งเหรอครับ ”

“ เรื่องอะไร ” อีกคนว่า “ กูแค่อยากรู้เวลา จะได้มาทำแผลให้มึงถูก ”

“ พรุ่งนี้กูมีเรียนเช้าคาบเดียว มาให้ทันด้วยนะครับ คุณผู้ดูแล ”

“ แล้วมึงจะตื่นกี่โมง ” อีกคนถามก่อนจะผลักหัวผมขึ้นในตอนที่ล้างเสร็จ “ กูจะได้มาทำแผลให้ถูก กูมีเรียนเช้าเหมือนกัน ต้องรีบไป คาบของกูสายไม่ได้ด้วย อาจารย์เค้าเข้มงวดเรื่องเวลา ”

“ ยังไม่รู้เลย ” ว่าแบบนั้นก่อนจะหันไปยิ้มให้อีกคนที่ก็วางฝักบัวไว้ตรงที่ของมัน

“ อย่ามาทำไก๋ไอ้สัด มึงจะไม่รู้ได้ยังไง มึงไม่ตั้งนาฬิกาปลุกเหรอ ”

“ ตั้งสิ ” พยักหน้ารับก่อนจะลุกขึ้นเต็มความสูงจากอ่างน้ำ ผมคว้าเอาผ้าขนหนูที่แขวนเอาไว้ตรงราวขึ้นมาคาดที่เอวก่อนจะหันไปยิ้มตอบ “ แต่ทำไมกูต้องบอก ทั้งๆที่ท่าทางตอนวิ่งวุ่นของมึง มันโคตรจะน่ารักด้วยละ ไม่งั้นผมก็อดเห็นสิครับ จริงมั้ย ”

ไม่มีคำตอบอะไรจากคนตรงหน้า เมี่ยงแค่มองผม ก่อนจะยกไหล่ขึ้นเบาๆด้วยรอยยิ้มที่เหมือนจะไม่รู้สึกอะไร ทั้งที่แก้มขาวนั้นกำลังแดงจัด และสารภาพทุกความรู้สึกนั้นออกมา อย่างไม่มีปิดบัง ว่าใจเต้นแรงแค่ไหนกับประโยคที่ผมพูด

“ กู กูกลับก่อน ” เมี่ยงว่าอย่างติดขัดผมก็พยักหน้ารับ ท่าทางดูไปไม่เป็นของมัน แม้แต่จะหมุนตัวออกยังดูงงๆ ผมเผลอหลุดยิ้มออกมาตอนไหล่มันชนประตูแล้วอีกคนทำหน้าเจ็บไม่ต่างอะไรกับเด็กงอแง

“ เขินก็เดินดีๆ ”

“ เขินเหี้ยอะไร ” หันมาเถียงเสียงดังด้วยสายตาที่บอกหมดทุกอย่าง ผมยกยิ้ม ก่อนจะผายมือเชิงบอกว่า งั้นก็ตามสบาย เอาที่มึงสบายใจ ถ้าคิดว่าตอแหลกูเนียนแล้ว “ กูกลับแล้วนะ ”

“ ครับผม พรุ่งนี้เจอกัน ”

“ ไม่อยากเจอเลยเถอะ ” ว่าแบบนั้นก่อนจะเดินไปหาแมวตัวเอง เมี่ยงมันอุ้มไอ้ตัวร้ายนั่นขึ้นมา “ กลับบ้านกันนายท่าน ”

“ ขอบคุณนะครับ ” ไม่ลืมบอกเจ้าแมวตัวลายที่ก็มองกันอย่างไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก แต่แมวก็คือแมว ไม่ว่ายังไงมันก็คงไม่รู้ผิดกับสิ่งที่มันทำสักเท่าไหร่นักอยู่แล้ว

“ ขอบคุณอะไร เรื่องที่กูช่วยมึงน่ะเหรอ ”

“ เปล่าเลย ” ส่ายหน้าให้อีกคนก็ขมวดคิ้ว “ เรื่องนั้นไม่ต้องขอบคุณหรอก เพราะยังไงมึงก็ต้องทำให้มึงกูอยู่ มึงต้องรับผิดชอบในที่สิ่งที่แมวของมึงทำ ”

“ แล้ว..”

“ กูขอบคุณนายท่านน่ะ ” พูดแค่นั้นก่อนจะลดตัวเองลงสบตากับแมวตัวลายที่ก็แยกเขี้ยวให้กัน “ ขอบคุณนะ ที่ถ้าไม่ได้มึง เมี่ยงคงไม่ต้องมาดูแลกูหรอก ”

 “ หมายความว่าไงวะไอ้สัด ” สีหน้าติดงง ที่เหลือบมองไปทางอื่นอย่างขบคิด ชวนให้ผมถอนหายใจก่อนยิ้ม

“ เอาเป็นว่ากูไม่อยากให้แผลนี่หายเลย แล้วนั่นก็เพราะ มึงจะได้อยู่ดูแลกันแบบนี้ ไม่ไปไหนไง ”

“ K ”

แล้วนั่นก็เป็นคำตอบสันๆ ของคนหน้าแดงที่เดินออกไป เมี่ยงทิ้งให้ผมยืนยิ้มอยู่อย่างงั้น ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนอนตัวเองเพื่อแต่งตัว อย่างคนอารมณ์ดี

“ เมี๊ยว ” เสียงเรียกน่ารักของเจ้าก้อนขนที่เดินเข้ามาหา แก้มหอมกระโดดขึ้นมาบนโต๊ะเครื่องแป้งในห้องแต่งตัว ตอนที่มันเอ่ยเรียกผม

“ ว่าไงครับ คนสวยของป๊า ” ใส่ชุดนอนแบบเสื้อยืดกางเกงบอลเรียบร้อย ผมเดินมาเกาคอมัน อีกฝ่ายก็หลับตาพริ้ม “ อยู่กับไอ้แมวนั่นโอเคมั้ยคะ ” ไม่มีเสียงตอบอะไร มีเพียงเสียงครางเบาๆในคอตามประสา

ผมเดินไปปิดไฟ ไม่ลืมเช็คทุกอย่างให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินเข้าห้องมาพร้อมเจ้าแมวสี่ขาที่ก็นอนรอบนเตียงอย่างรู้ความ

“ ดึกแล้วนอนกันดีกว่านะคะแก้มหอม ” เหลือไว้แค่เพียงโคมไฟหัวเตียง ผมเปิดเพลงและตั้งเวลาให้มันปิดไปเหมือนกับทุกคืนที่ทำเป็นประจำ สอดตัวเข้าไปใต้ฟูกอุ่น แล้วหยิบมือถือขึ้นมาเช็คเรื่องราวประจำวันที่เกิดขึ้น

โปรแกรมแชทมีแค่คนเดียวที่ผมปักหมุดเอาไว้ที่ด้านบนสุด ใบหน้าของเจ้าของแชทที่ชวนให้ยิ้มได้เสมอ ผมกดเข้าไปในนั้นก่อนจะเจอเข้ากับลิงค์อะไรบ้างอย่างที่อีกฝ่ายส่งมา พร้อมทั้งข้อความที่เขียนว่า ‘ มึงกับกูตอนเมา ’

กดเข้าไปดูคลิปนั้น ผู้หญิงคนนึงกำลังอ้วกอยู่กับชักโครก เพื่อนคนนึงลูบหลังของเธออยู่ ก่อนที่คนลูบหลัง จะอ้วกใส่คนที่โก่งคออ้วกอีกที ผมหลุดยิ้มกับภาพนั้นก่อนจะส่งข้อความกลับไป

Arm :
ไอ้สัด

Deen :
กว่าจะตอบ กูหัวเราะเสร็จไปชาติกว่าแล้วสัดอาร์ม

Arm :
โทษที 

Deen :
แล้วทำไมตอบช้าจังวะ
ทำอะไรอยู่


ยกมือที่โดนแมวตัวดีนั้นขึ้นมาตอนที่อีกคนถาม ผมกดถ่ายภาพก่อนจะส่งมันไปหาอีกคน


Deen :
เป็นอะไร

Arm :
โดนแมวข่วน

Deen :
น่าสงสาร

Arm :
มาทำแผลให้หน่อย

Deen :
หน้ากูดูเหมือนคนที่ทำอะไรแบบนี้ได้ด้วยเหรอ

Arm :
เรื่องแบบนี้มันอยู่ที่ใจ
ถ้ามึงอยากทำให้ มันก็ทำได้

Deen :
อ๋อเหรอครับ
งั้นก็ต้องสาวสวยๆนะ
เพราะถ้าเป็นมึงกูไม่อยากอะครับ


Arm :
อื้ม

ก็เหมือนกับทุกเรื่องที่เป็นมานั่นแหละ ถ้าเป็นกู สำหรับมึงแล้วมันก็เหมือนจะสำคัญนะ เพราะมึงเองก็บอกเสมอว่าสำคัญ แต่ทั้งๆที่จริงแล้ว การกระทำทั้งหมดที่มีต่อกัน มันไม่ใช่เลย แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่า เมื่อไหร่จะใช่ 


“ เมี๊ยว ” เสียงร้องน่ารักของคนที่นอนอยู่ข้างกันชวนให้ผละสายตาออกจากหน้าจอ กดปิดมันก่อนจะวางไว้บนแท่นชาร์จ หันมามองเจ้าตัวก้อนขนน่ารักที่เลียบนเบาๆตรงแผล แก้มหอมมันซุกตัวเข้ามาใกล้ผม

“ ป๊าไม่เจ็บที่แผลหรอกค่ะแก้มหอม ป๊าเจ็บที่อื่นมากกว่า ขอบคุณที่เป็นห่วงนะคะ ”

.............................................................
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 7 :: up! 27-12-62} #หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 10-01-2020 20:35:38
เหลือบมองนาฬิกาที่ตอนนี้บอกเวลาเจ็ดโมงเครึ่ง แต่เหมือนจะยังไร้วี่แววของผู้ดูแลที่ต้องมาทำแผลให้กัน ผมยกยิ้มเล็กน้อยที่ตอนที่มองนาฬิกาพลางทำอาหารให้เจ้าตัวน่ารักที่ก็ไกวหางเบาๆเป็นสัญญาณว่าหิวแล้วอยู่ข้างตัว

“ นี่ครับ ” วางถ้วยอาหารลงตรงที่วาง แต่ตอนที่แก้มหอมกำลังจะกินมันก็สะดุ้งนิดหน่อยกับเสียงที่ดังมาจากห้องข้างๆ เสียงโครมครามที่เหมือนจะบอกว่า อีกฝ่ายเพิ่งตื่น

“ ท่าทางวันนี้จะมีคนตื่นสาย ”

“ เมี๊ยว ” เสียงตอบรับของเจ้าก้อนขน ผมเดินไปเก็บอาหารในครัวก่อนจะหยิบสมุดสำหรับเรียนวันนี้ พร้อมทั้งกุญแจรถขึ้นมา

“ ป๊าไปเรียนก่อนนะครับคนสวย ตอนเที่ยงเราเจอกันนะ ” ขยี้หัวเจ้าตัวขนนุ่ม ผมเดินออกมาโดยที่ลืมคว้ามือถือแล้วก็กุญแจห้องออกมา แล้วในตอนที่ปิดล็อคห้องคนที่ดูเหมือนว่าจะตื่นสายก็เปิดประตูออกมาอย่างรวดเร็ว เมี่ยงหอบหายใจในตอนที่มองหน้าผม

“ มึง ..”

“ ไหวมั้ย ” ถึงขั้นต้องถามเพราะอีกคนดูรุงรังเหลือเกินเมื่อมองจากภายนอก เสื้อไม่ได้ใส่ในกางเกง ถุงผ้าของมันเหมือนยัดของที่คิดว่าจำเป็นแล้วคว้าออกมา แต่สิ่งที่ชวนให้ยิ้มมากว่าอะไรทั้งหมด ก็เหมือนจะเป็นถุงยาที่ใส่พวกเครื่องมืดทำแผลที่เราได้จากโรงพยาบาลเมื่อวาน เมื่องหยิบมาออกมาด้วย

“ ทำแผล ทำแผลก่อน ” หอบหายใจอยู่อย่างงั้น ผมทำทีเป็นยกนาฬิกาขึ้นมาดู

“ สายแล้ว ”

“ ไม่สาย ทำแป๊ปเดียว ”

“ มึงจะทำแบบไม่ตั้งใจตั้งเหรอ ” ผมถาม อีกคนก็ถอนหายใจออกมา เมี่ยงนิ่ง มันปรับอารมณ์

“ ตั้งใจสิเว้ย แต่ทำแผลแมวข่วนแค่นี้ไม่นานหรอก ”

“ รู้มั้ยล่าสุดกูดูข่าวมา ” ผมบอกก่อนจะเดินตรงออกไปขึ้นลิฟต์ ส่วนคนที่ซื่ออยู่แล้ว ก็เดินตามมาแบบที่ลืมจุดประสงค์เบื้องต้น

“ ข่าวอะไร ”

“ ข่าวที่ว่าคนโดนแมวกัดแล้วก็ไปทำแผลที่โรงพยาบาล แต่พยาบาลทำให้ไม่สะอาด แผลเค้าก็เลยเป็นหนอง ” กดปุ่มลิฟต์ในตอนที่เดินมาถึง เมี่ยงมันมองผมด้วยท่าทางที่ไม่เชื่อ

“ ลองค้นกลูเกิ้ลได้นะ ถ้าไม่เชื่อ ” ผมย้ำกับมันที่ก็กลืนน้ำลายของตัวเองลงคอไปด้วยความรู้สึกที่เหมือนจะกลัวอยู่ไม่น้อย แน่นอนว่ามันคงอยากจะหลุดออกจากการดูแลผมเร็วๆ และคงคิดว่าถ้าสิ่งที่ผมพูดเป็นจริง มันคงต้องยืดเวลาอยู่ต่อไป “ แมวตัวนั้น แมวเลี้ยงด้วยนะ ”

“ แต่ของมึงแค่ข่วนมั้ย ไม่ใช่กัดจนมันลึกมากสักหน่อย ”

“ แค่ข่วนลึกมากเฉยๆ ” ผมพูดก่อนจะเดินเข้าไปในลิฟต์ที่ก็เปิดออก ส่วนเมี่ยงที่ถอนหายใจออกมาก็เดินตามเข้ามา

“ แล้วมึงจะให้ทำยังไง กูต้องรีบไปเรียนนะไอ้สัด วันนี้กูสายไม่ได้ เพราะงั้นไม่ต้องคิดเรื่องหาร้านอาหารเช้าแล้วนั่งทำแผลให้ ส่วนในเขตมหาลัยก็ตัดออกไปเลย เสี่ยงต่อการรับรู้มาก ว่ากูกับมึงญาติดีกัน ”

“ งั้นในรถกูเป็นไง ” ถามอีกคนในตอนที่เดินออกมาจากลิฟต์ เมี่ยงมันยืนนิ่งไป ผมก็หันไปมอง “ วันนี้ก็ไปมหาลัยพร้อมกู กูขับ มึงก็ทำแผล ”

“ มึงนี่มัน ”

“ ทำไม ” ผมถามคนที่เอาแต่ยิ้ม เมี่ยงมันถอนหายใจ

“ ทั้งๆที่ขับรถได้ แต่ทำไมต้องให้กูสระผม แล้วก็ทำแผลให้ด้วย ”

“ ก็เป็นสิ่งที่มึงต้องรับผิดชอบไม่ใช่เหรอ ” บอกแบบนั้นอีกคนก็ได้แต่ยกยิ้ม

“ ข้ออ้าง จริงๆ มึงก็แค่อยากอยู่ใกล้กูมากกว่าไอ้สัดอาร์ม ” จ้องมองสายที่จ้องจับผิดกันในตอนนั้น ก็น่าตลกดีที่คนบางคนก็ไม่เคยเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเองเลยสักนิด ว่าแผนบางแผนมันไม่ได้ผล แต่กลับเล่นแต่แผนเดิมๆ เพราะคิดว่าสักวัน มันจะได้ผล

“ ก็แล้วทำไม ” ผมถามอีกคนกลับ “ กูอยากอยู่ใกล้คนที่กูชอบ แล้วมันผิดเหรอ ”

“ ไม่ผิดหรอก ” เมี่ยงเถียงกลับยิ้มๆ แทนที่มันจะสบถแล้วไปไม่เป็นเหมือนอย่างที่เป็นมา “ เพราะกูก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน ”

“ โอเค ” ตอบออกไปสั้นๆแค่นั้น สายตาเรียวของคนยิ้มเขินที่มองมา ผมว่าแมทนี้ หนึ่งแต้มเป็นของมัน

“ แล้วรถมึงคันไหน ” เมี่ยงมองไปรอบลานจอด ตอนที่ผมเอาแต่เงียบอยู่นาน สายตาที่มองกันแบบยิ้มๆคงรู้ว่าตัวเองขึ้นนำไปแล้วสำหรับวันนี้ ผมเชิดหน้าไปที่รถญี่ปุ่นคันที่จอดอยู่

“Accord สีดำ คันตรงกลาง ” กดปลดล็อครถ อีกคนก็เดินนำออกไป เมี่ยงเปิดประตูข้างคนขับ ส่วนผมก็ประจำตำแหน่งหลังพวกมาลัย เราขับรถออกมาจากลานจอด หลังคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย เผชิญหน้ากับรถติดในช่วงเช้าที่ผมเกลียด

“ รถโคตรติด ” เมี่ยงมันว่าก่อนจะผายมือมาทางผม

“ อะไร กูไม่มีแบงค์ย่อย ”

“ ไม่ได้ขอตังค์ ขอมือหน่อยเว้ย จะทำแผล ” ถอนหายใจออกมาเซ็ง ผมก็ยกยิ้มก่อนจะยื่นมือไปวางบนมือของอีกคน เพิ่งสังเกตว่ามันเป็นคนที่มือเล็กมากๆ เมื่อเทียบกับส่วนสูง แต่เมี่ยงก็ดูเหมือนไม่มีอะไรที่เหมาะสมกันเลย

เป็นคนที่ถ้ามองจากหน้าตา ก็เหมาะที่จะสูงแค่ 155 เซนติเมตรเท่านั้น

สำลีถูกดึงออกกมาจากห่อก่อนจะถูกชุปด้วยแอลกฮอล์ ผมสะดุ้งนิดหน่อยตอนที่มันถูกเช็ดไปบนมือผม แล้วเหมือนเมี่ยงมันจะรู้ ใบหน้าหวานเงยหน้าขึ้นมามองกัน

“ เจ็บเหรอมึง ”

“ แค่แสบ ” บอกแบบนั้นอีกคนก็หน้ายู่ เป็นท่าทางที่ชวนให้ยิ้มอีกแล้วกับนิสัยที่ปิดบังความรู้สึกอะไรไม่ได้ของอีกคน

“ ขอโทษแทนนายท่านมันด้วยนะ กูทำโทษมันแล้ว เมื่อวานกูไม่ให้ขนมมันเลย วันนี้ก็จะไม่ให้ด้วย กูจะล้างแค้นให้มึง ”

“ อื้ม ” ขานรับสั้นๆกับวิธีเด็กเล็ก และก็ยังหยุดยิ้มไม่ได้เลยตั้งแต่ที่เราขับรถออกมาจากคอนโด

ศึกหนักชิบหาย
หนักแบบคนข้างๆน่ารักหนักมาก

ลมเบาๆที่เป่าออกมาจากปาก อ่อนโยนและน่ารักจนผมหันไปมองทางอื่นก่อนที่จะเสียแต้มไปมากกว่าหนึ่ง หัวใจเต้นแรงกับการกระทำนั้นจนต้องผ่อนลมหายใจออกมา

“ จะเสร็จยัง ” ผมถามก่อนจะเชิดหน้าไปทางไฟแดง “ จะไฟเขียวแล้ว ”

“ แล้วมึงคิดว่ามึงจะได้ไปเหรอ ” อีกคนยกคิ้วถาม “ อย่างมากมึงก็แค่เคลื่อนไปข้างหน้านิดหน่อย มันต้องอีกรอบ มึงถึงจะได้ไป ”

“ ก็แล้วคุณจะเป่าแผลผมไปอีกนานเท่าไหร่ละครับ ” ถามออกไปแบบนั้นอีกคนก็ยิ้ม เมี่ยงทายาแล้วก็เอาผ้าก๊อชติดแผลมาโป๊ะไว้ แล้วก็ใช่สติกเกอร์กันน้ำอันใหญ่ที่โรงพยาบาลให้ ติดลงไปอีกชั้น

“ โอเค เสร็จแล้ว ” พลิกดูความเรียบร้อยที่ต่างจากที่ทำเมื่อวานอย่างมาก จำได้ว่าเมื่อวานตอนพยาบาลทำแผลให้ผม มันยืนสังเกตอยู่ตลอด ราวกับรู้ว่าต้องทำแผลให้ผมแน่นอนก็เลยศึกษามาอย่างดี “ พูดอะไรหน่อยมั้ย ”

“ พูดอะไร ” หันไปถามอีกคนก็ถอนหายใจ

“ แม่ไม่สอนเหรอน้องอาร์ม เวลาใครทำอะไรให้ ต้องทำยังไงก่อน ” ท่าทางเลียนแบบที่เหมือนกับแม่ผม ชวนให้หลุดยิ้มออกมาก่อนจะหันไปมองนอกหน้าต่างรถ “ อย่ามาเมิน ว่าไงไอ้สัด ”

“ ครับๆ ขอบคุณนะครับ ” หันมาบอกมันที่ก็ยักคิ้วให้กัน “ วันนี้มึงทำแผล ดูเป็นแผลดี ”

“ แน่นอน เพราะเมื่อวานกูเรียนรู้มาจากคุณพยาบาลเรียบร้อย ” ยกคิ้วขึ้นเก็กหน้าหล่อ ผมก็ได้แต่ส่ายหน้า ก่อนจะขับรถเคลื่อนตรงไปข้างหน้าหลังจากที่เห็นรถคันหน้าเคลื่อนตัวไป  “ แล้วนี่มึงจะไปกินอะไรก่อนมั้ย ”

“ ไม่อะ ” ดึงนาฬิกาที่อยู่ตรงข้อมือขึ้นมาดูก่อนจะบอก “ ทำไม ”

“ กูรู้สึกว่า มึงเหมือนชอบกินข้าวตอนเช้า ”

“ ทำไมคิดอย่างงั้น ”

“ ก็อย่างวันนั้น ไอ้ดีนก็ยังมาชวนมึงไปกินข้าวเลย ” ตอบแบบซื่อๆ ทั้งๆที่ดูท่าทางก็รู้ว่า เดาทั้งหมด เมี่ยงคงแค่อยากจะชวนผมคุย

“ ถ้าไอ้ดีนน่ะใช่ มันเป็นพวกชอบกินอาหารเช้า แล้วมันก็ชอบมาบังคับให้กูไปแดกด้วยตลอด ”

“ ทั้งๆที่มึงไม่อยากแดกอะนะ ” คนข้างกันถามงงๆ ผมก็พยักหน้ารับ

“ ทำไม ”

“ ก็ดูเหมือนมึงไม่ใช่พวกที่ทำตามใจคนอื่น แบบว่า เป็นตัวของตัวเอง ”

“ เรื่องบางเรื่อง เราไม่เป็นตัวเองหรอก แต่เรามีความสุข ”

“ ไม่เข้าใจ ” เมี่ยงมันว่า ผมก็ได้แต่หลุดยิ้ม รถเลี้ยวเข้าซอยของมหาลัย แล้วตอนนั้นก็เหมือนว่าผมจะเหลือบไปเห็นพอดี เพื่อนสนิทที่เรากำลังพูดถึง ดีน เดินอยู่ริมฟุทบาท

 “ นั่นดีนไม่ใช่เหรอวะ ทำไมมันมาเดินอยู่ตรงนั้นวะ ”

ไมได้ตอบอะไรอีกคน แต่คิดว่าคงโดนแม่มันยึดรถอีกตามเคย โทษฐานที่ผับไปแล้วกลับบ้านดึก ไม่ก็เหตุผลอะไรสักอย่าง ผมเหลือบมองเมี่ยงที่มีท่าทางวิตก มันหันมองผม

“ ฟิล์มรถมึงดำเปล่าวะ ไม่ใช่มันหันมาเห็นกูในรถมึงนะ ”

“ ถ้าเห็นก็เห็นไปสิ ” ว่าแบบไม่สนใจอีกคนก็สบถ

“ Kมึงสิ ไม่ได้เว้ย! ”

“ เหรอ ” หันไปบอกอีกคนแบบยิ้มๆ “ แต่กูว่า กูจะแวะรับดีนนะ ”

“ รับทำเหี้ยมึงเหรอ ถ้ามันเห็นกูอยู่ในรถของมึง แผนทั้งหมดของกูมันก็แตกน่ะสิ ”

“ แผนที่มึงก็เป็นหนึ่งในแฟนเก่าของนาเดียน่ะเหรอ ” ผมถามเย้าอีกคนก็หันมามองหน้ากันแบบเคืองๆ

“ เออ! ก็ใช่น่ะสิ ” เสียงหงุดหงิดที่ตอบออกมา ผมหลุดขำก่อนจะเหลือบไปเห็นผ้าคลุมรถที่ยังไม่ได้เก็บผ่านกระจกมองหลัง มันกองอยู่ตรงเบาะหลังของรถ

“ แต่ถ้ากูไม่แวะรับมัน มันจะยิ่งแปลกนะ มึงไม่คิดงั้นเหรอ ” คำถามนั้นทำให้คนน่าแกล้งถึงกับนิ่งไป เมี่ยงดูครุ่นคิด คิ้วขมวดเข้าหากัน ริมฝีปากสีสวยนั่นก็ด้วยมันแบะออกเล็กน้อย “ ถ้ามันเห็นรถแล้วกูไม่จอดรับ มันก็อาจจะวิ่งตามไปลานจอด แล้วพอมันเห็นมึงที่อยู่ในรถกู ทุกอย่างมันก็คง .. บิงโก ”

“ K แล้วมึงให้กูไปหลบที่ไหน มันไม่มีที่ให้หลบ ”

“ ข้างหลังไง ” ชะลอรถติดไฟแดงอีกคนก็หันไปด้านหลังพอดี แล้วจังหวะนั้นเองที่ดีนจะหันมามองแล้วเห็นรถของผมที่จอดอยู่

“ เชี้ย มันเห็นรถมึง ”

“ ไปหลบ ” ผมบอกเสียงเข้มขึ้น คราวนี้ทำเป็นเล่นไม่ได้แล้ว เพราะคนที่คิดว่าจะขับผ่านไปเพื่อแกล้งอีกคน แต่ตอนนี้มันกลับหันมามองแล้วจริงๆ อีกฝ่ายยกยิ้ม ตอนเห็นรถผม “ มันกำลังเดินมา ”

“ ไอ้อาร์ม ” มันลากเสียงเรียกผม มือเล็กจับกันไว้แน่น ผมสัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบแล้วก็ชื้นเหงื่อของความตื่นเต้นนั้น “ ทำไงดี มันเห็นกูแล้วแน่เลย เห็นแล้วแน่ๆ ”

“ ไม่เห็น รถกูฟิล์มดำ มองจากข้างนอกไม่เห็น ” ปลอบมันไปแบบนั้น ก่อนจะหันไปมอง “ ไม่ต้องตกใจ เย็นใจๆ แล้วปีนไปที่เบาะหลัง ย่อตัวนอนลงบนพื้นรถแล้วเอาผ้าคลุมรถคลุมตัวไว้ ”

“ เมี่ยง ”

“ โอเคๆ ” ตอบรับรัวๆด้วยเสียงตื่นเต้น ร่างขาวปีนเข้าไปที่ด้านหลัง ดึงผ้าคลุมรถมาห่มก่อนจะนอนคู้ตัวลงบนพื้นรถ มือของผมเอื้อมไปจับผ้าทำให้มันดูยุ่งเหยิงเหมือนแค่ยัดๆเอาไว้ไม่มีอะไร


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


หันไปตามเสียงเคาะของกระจก ผมปลดล็อครถ ดีนก็ก้าวเข้ามานั่งด้านใน ใบหน้าของมันแดงกล่ำจากแดดที่ร้อนเอามากแม้จะเป็นช่วงเช้า

“ ไอ้เราก็ว่ารถคุ้นๆ ” ว่าแบบนั้นก่อนจะทำทีเป็นปรับช่องแอร์ ก่อนจะดึงหน้าตัวเองเข้าไปใกล้ “ โชคดีนะที่กูเจอมึง ไม่งั้นต้องเดินตากแดดถึงมหาลัยนู้น ”

“ แล้วรถมึงไปไหน ” ทำทีเป็นคุยหลังจากผละสายตาออกจากกระจกมองหลังที่ยังเป็นห่วงอีกคน

“ จะไปไหนซะอีกละครับเพื่อนรัก คุณแม่ของกูยึดน่ะซี เพราะใบตรวจจับความเร็วมันถูกส่งมาที่บ้าน ”

“ สมน้ำหน้า ” ผมบอก “ บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าขับรถเร็ว แต่มึงก็ไม่เคยเชื่อ ”

“ เอาน่าอย่าบ่นนักเลย แม่กูก็จัดชุดใหญ่จนหูชาแล้วเมื่อเช้าอะ นี่พ่อกูก็มาส่งตั้งแต่แยกก่อนเข้ามหาลัยนู้น ” ยกมือไหว้กัน ดีนขยับตัวนั่งในท่าทางที่สบายขึ้น “ ว่าทำไมเบาะรถมึงอุ่นๆวะ มีใครนั่งมาก่อนหน้านี้มั้ย ”

“ คนที่คอนโด ” บอกเสียงเรียบผมทำทีเป็นมองผ่านเบาะรถ ถ้าให้เดาคนที่คนใต้ผ้าคลุมตอนนี้คงกำลังเบิกตาขึ้นกว้างแล้วเลิ่กลั่กน่าดูกับคำพูดที่ได้ยิน “ ป้าแม่บ้านเหมือนมีธุระตรงแถวๆแยกที่แล้ว กูเห็นแกหารถเท็กซี่อยู่แต่ไม่ค่อยคนรับ ก็เลยรับแกมาด้วย ยังไงก็ทางเดียวกัน ”

“ จิตใจประเสริฐอีกแล้วนะครับเพื่อนอาร์ม ” ดีนดึงมือตัวเองมากอดคอผม นิ้วที่พาดอยู่บนบ่าเกลี่ยแก้มกันไปมายิ้มๆด้วยความอารมณ์ดี จนผมต้องหันไปมอง “ อะไร ” ไม่มีคำตอบของคำถามนั้น ผมแค่สบสายตาเรียวที่ค่อยๆดึงแขนออกจากรอบคอของผม ดีนมันกลับไปนั่งนิ่งๆ เมื่อเห็นว่าผมไม่ตอบอะไร มันก็แค่มองออกไปนอกหน้าต่างรถ

“ นึกว่าจะแน่ ”

“ พูดเหี้ยอะไรของมึง ” อีกฝ่ายบอกปัด ผมก็เอื้อมมือไปเร่งความเย็นของแอร์จนสุด แน่นอนว่า เผื่อคนข้างหลังที่บางทีอาจจะกำลังร้อนอยู่เพราะความตื่นเต้น “ ยังจะเปิดแอร์อีก มึงไม่คิดว่ามันเย็นเกินไปเหรอไอ้สัด ”

“ กูร้อน ” ตอบสั้นๆแค่นั้น ผมจับมือซุกซนของคนที่กำลังจะเอื้อมไปปรับให้เป็นปกติมากุมไว้ เลื่อนมันวางบนตัก  ก่อนจะยิ้มมองคนข้างกัน “ อย่าซน ”

“ ส่วนมึงก็อย่าทำแบบนี้ ” มือนั่นถูกดึงออก แก้มแดงๆของดีนหันไปอีกทาง อีกฝ่ายค้ำศอกกับที่จับประตู มันพูดเสียงอู้อี้ “ บอกกี่ทีแล้วสัดอาร์ม กูไม่ชอบแบบนี้ ”

“ โทษทีแล้วกัน ” อยู่ๆทุกอย่างก็กลายเป็นความเงียบ แล้วเพราะมันไม่มีเพีลงที่เปิดคลอแล้วด้วย ทุกอย่างก็ยิ่งดูเงียบไป มากกว่าปกติที่เป็น มันเงียบและอึดอัด จนดีนต้องเป็นฝ่ายเอ่ยพูดขึ้นมา

“ ว่าแต่ไหน ขอดูแผลหน่อย ” เอียงหน้ามองกันก่อนจะคว้ามือผมไปจับ ดีนมันพิจารณา “ แผลดูทางการชิบหาย ลึกเหรอวะ ”

“ ลึกอยู่ ” ตอบรับอีกคนแค่นั้น ผมดึงมือตัวเองกลับเพื่อบังคับพวงมาลัยของรถ ก่อนจะเลี้ยวเข้าไปด้านในมหาลัย

“ แล้วมึงทำแผลเองเหรอ โคตรเรียบร้อย ”

“ เปล่า มีคนทำให้ ”

“ ใคร ? ” ถามออกมาแบบทันควัน ผมก็ได้แต่เหล่มอง

“ สนใจด้วยเหรอ ”

“ ก็..” ทำทีเป็นไม่สนใจ ดีนมันนิ่ง “ แล้วกูสนใจ ไม่ได้เหรอ ”

“ มันก็ได้ ” ผมตอบ “ คุณผู้ดูแลทำให้ ”

“ คุณผู้ดูแล ” อาจเพราะชื่อนั้นดูแปลกอีกฝ่ายก็เลยถามพลางขมวดคิ้ว “ มีด้วยเหรอวะ คอนโดมึง ”

“ เพิ่งมีน่ะ เมื่อวานนี้เอง ” ตอบแค่นั้นสั้นๆ ก่อนจะตัดประโยคสนทนาด้วยการถอยรถเข้าที่จอด แล้วดับเครื่องยนต์หลังจากนั้น “ ลงไปกันเถอะ ”

“ เค ” ดีนตอบรับมันเปิดประตูรถก่อนจะปิดลง ช่วงจังหวะนั้นผมก็พูดกับคนที่ยังอยู่ในรถแบบเสียงไม่เบานัก

“ กูจะลงไปก่อน แล้วเดี๋ยวจะกลับมาเปิดประตูให้ รอสักสองชั่วโมงนะ ”

“ สองชั่วโมงเหี้ยอะไร กูจะไปเรียนนะเว้ย ไอ้สัดอาร์ม  ” เสียงอู้อี้นั่นตอบกลับ แต่ผมก็ทำทีเป็นไม่ได้ยิน ก่อนจะปิดประตูรถยิ้มๆจนคนที่ขอติดรถมาด้วยกลางทางถึงกับขมวดคิ้ว

“ ยิ้มเหี้ยอะไรของมึง ”

“ กูมีความสุข ยิ้มไม่ได้เหรอ ” ตอบไปแค่นั้นผมล็อครถก่อนที่เราสองคนจะเดินเข้ามาในอาคาร ผมกดปุ่มลงลิฟต์แล้วในตอนที่มันมาถึงดีนก็เข้าไปด้านใน ส่วนผมที่ทำทีเป็นนึกอะไรขึ้นมาได้ พร้อมกับตบลงบนตัวของของตัวเอง ก่อนจะถอยหลังออกมา “ มึงลงไปก่อนดีน กูเหมือนลืมมือถือ ”

“ เอ้า อะไรของมึง ” อีกคนบ่น “ งั้นเจอกันที่โต๊ะหน้าลิฟต์ ไว้เข้าห้องพร้อมกัน ”

“ อื้ม ” ยกคิ้วตอบรับ ประตูลิฟต์บานนั้นก็ปิด ผมดูจนมั่นใจว่าอีกคนลงไปแล้ว ถึงจะเดินกลับมาที่รถตัวเอง กดปุ่มปลดล็อค ผมเปิดประตูหลัง “ ออกมา ”

“ ไอ้ดีนไปแล้วเหรอ ” เมี่ยงถามคำถามนั้นพร้อมกับมองผ่านไปยังด้านหลังของผม อีกคนรีบลุกออกมาจากพื้นของรถ มันปัดไปตามตัวก่อนจะเหลือบมองผมหน้ายู่

“ ทำไม ”

“ Kเถอะ วิธีรู้มั้ยว่า มึงเหี้ยมาก  แล้วตัวกูเล็กมากเลยสิถึงให้ไปหลบบนพื้นรถที่ตั้งตีนแล้วเอาผ้าคลุมรถคลุมไว้ กูนะเกร็งไปหมด หายใจยังไม่อยากจะหายใจเลย ได้แต่บอกตัวเองว่า เรามันตัวเล็ก เล็กแบบตัวเล็กตัวน้อย แหละเมี่ยง  ไม่มีใครเห็นหรอก ”

“ เล็กมากเลย ” ผมเย้ามัน

“ ก็ใช่น่ะสิ กูแม่งอยากจะหายตัวไปด้วยซ้ำ กลัวว่ามันจะหันหลังมาเห็นแล้วเอื้อมมือมาจับผ้า เปิดดู มึงรู้มั้ยกูสวดมนต์ด้วย ทั้งๆที่ท่องได้นะโนตัสสะภัควะโตนั่นแหละ ”

“ ฮ่าๆ ” หลุดหัวเราะออกมากับความขี้บ่นของมัน ผมเบือนหน้าหนีไปทางอื่น เมี่ยงก็นิ่ง

“ ยังจะมาหัวเราะอีก ไว้วันไหนกูรับไอ้เบสขึ้นรถแล้วให้มึงมานอนอยู่ที่เบาะหลังบ้าง มึงจะได้เข้าใจความรู้สึกกู ”

“ คือเมี่ยง ”  เอ่ยเรียกคนขี้บ่นก่อนจะยกนาฬิกาข้อมือให้อีกคนดู

“ อะไร ”

“ ก็ถ้าเป็นกู กูไม่ยืนบ่นนะ ไหนบอกอาจารย์คาบเช้าของมึง มันเลทไม่ได้ ”

“ เชี้ย ” พูดออกมาแบบไม่ออกเสียง คนเก็บอาการไม่อยู่เลิ่กลั่กไปมา มือขาวนั่นจับอกผมมันมองซ้ายมองขวา

“ ลิฟต์อยู่นู้น ”

“ คือ ฟังกูนะ กูต้องไปแล้ว ” ผมพยักหน้ารับคนที่รีบแต่ก็ยังมีกระจิตกระใจจะบอกลา “ แล้ววันนี้อย่าให้แผลโดนน้ำ เข้าใจมั้ย ล้างมือระวังๆนะ ”

“ อื้ม ”

“ เจอกันตอนเย็น ” คนที่หันมาโบกมือบ๊ายบายให้กัน ผมยกยิ้มก่อนจะเดินตามมันไป เป็นคนอ๊องที่พอรีบก็เหมือนจะลืมหมดทุกอย่างแม้แต่ความหงุดหงิดที่ถูกผมแกล้ง แล้วก็คงลืมไปด้วย ว่าลิฟต์ของลานจอดรถของมหาลัยมันก็มีอยู่ตัวเดียว ซึ่งแน่นอนว่าผมกับมันก็ต้องไปทางเดียวกันอยู่แล้ว “ อ้าว..มึง ”

“ อย่าถามนะ ว่าจะไปไหน ” พูดดักความคิดของอีกคนที่ก็นิ่งไปอยู่นาน เมี่ยงมันหลุดยิ้มเก้อ

“ กูลืมไปเลยไอ้สัด ว่ายังไงมึงก็ต้องลงลิฟต์ตัวเดียวกับกู ”

“ ฉลาดได้สักทีนะ ”

“ กูก็แค่ตกใจมั้ย มึงไม่เคยเหรอวะ แบบว่าตกใจ ทำอะไรไม่ถูก ”

“ เคย แต่ไม่หนักเท่ามึง ” ผมบอก อีกคนก็ยกยิ้มมองกันผ่านเงาสะท้อนของประตูลิฟต์

“ เออ ว่าแต่เมื่อกี้มึงกับไอ้ดีนคุยอะไรกัน ” ลิฟต์ที่เลื่อนขึ้นมารับ มันเปิดออก ผมกับเมี่ยงก็เดินเข้าไป “ กูได้ยินมึงสองคนขอโทษกัน ”

“ เสือกจัง ” หันไปบอกอีกคนยิ้มๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมา ผมกดชั้นของตัวเอง “ ไม่มีอะไรหรอก ”

“ กูได้ยินว่าอย่าทำแบบนี้ ไม่ชอบ รู้มั้ยตอนนั้นกูคิดขึ้นมาเลยว่า ทำเหี้ยอะไรกันวะ ” อีกคนทำหน้าครุ่นคิด “ กูจะได้เอาจุดอ่อนของไอ้ดีนไปบอกไอ้สัดเบสบ้าง ”

“ เป็นความคิดที่เหี้ยดี ” คนพูดยักคิ้วให้กัน ผมก็ได้แต่มองเงาตัวเองที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า “ ดีนไม่มีอะไรที่เป็นจุดอ่อนหรอก กูว่ามันกูมากกว่า ที่มีจุดอ่อน ”

“ หมายความว่าไง ”

“ แล้วมึงไม่กดชั้นของมึงหรือไง เรียนชั้นไหนวันนี้ ” เชิดหน้าไปที่ปุ่มลิฟต์อีกคนก็หันไปมอง มันชี้ปุ่มที่ผมกด

“ กดทำไม กูก็เรียนชั้นนี้ แล้วตอนนี้ไอ้สัดเบสแล้วก็สัดเจย์ คงนั่งคอยกูอยู่ที่โต๊ะแถวหน้าลิฟต์ ทำไมวะ ” ปลายเสียงที่เบาลง เมี่ยงหันมามองผม “ เดี๋ยวนะ ถ้ามึงเรียนชั้นนี้ หมายความว่าไอ้ดีนมันก็ต้องเรียนชั้นเดียวกันกับมึง ”

“ อื้ม ” ขานรับในคอ ก่อนจะหันไปบอกอีกคน “ แล้วเมื่อกี้มันบอกกูด้วยว่า มันจะรอกูอยู่ที่โต๊ะแถวหน้าลิฟต์ ” 

” มึง ” เสียงของคนที่ยืนอยู่ข้างผมค่อนข้างเบา แววตาเรียวที่ดูหวั่นกลัวนั้น “ แล้วถ้ามันสองคนเห็นเราออกไปด้วยกันมันเป็นยังไงวะ ”

“ ไม่รู้สิ ” แล้วนั่นก็คือคำตอบของผม ที่พยายามเก็กหน้าเข้มที่สุดเพื่อที่จะไม่หลุดหัวเราะ กับความน่าเอ็นดูของคนข้างๆที่ก็ชวนให้ยิ้มกว้างเสียเหลือเกิน

........................................................................

มีแต่คำว่า เมี่ยงลู๊กกกกกกกกกกกกกกกกกกก อยู่ในสมองตอนที่เขียน เอ็นดูในความอ๊องๆ
ชัดขึ้นหน่อยมั้ย ชัดแหละ ชัดเนอะ ในความสัมพันธ์ของคนบางคู่
ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านแล้วคอมเม้นท์จ้ะ
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 8 :: up! 10-1-63} #หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 10-01-2020 23:19:50
อาร์ม ชอบดีน  :mew2:
แล้วที่อ่อยๆเมี่ยง เพื่อแกล้งเมี่ยง แล้วตัวเองสนุก  ขบขันเท่านั้น ใช่ไหม :z3:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 8 :: up! 10-1-63} #หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 11-01-2020 01:00:43
 :pig4: :pig4: :pig4:

อ้าววววว 

อิอาร์มชอบดีนมาตลอดสินะ

แต่ดีนน่าจะชอบเบส  ไอ้ที่ไม้เบื่อไม้เมากันหน่ะ  ก็แค่จะแกล้งคนที่ชอบแหละ

ส่วนตอนนี้เหรอ  เหอ ๆ  อิอาร์มหลงเสน่ห์นุ้งเมี่ยงเข้าเต็ม ๆ แบบโงหัวไม่ขึ้นซะแระ
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 8 :: up! 10-1-63} #หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 15-01-2020 21:01:56
อ้าว เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อหรอคะ อะไรคือมีคนในใจ
อะไรคือไม่ชอบให้ทำ แต่อาร์มอยากทำ
เอ็นดูใจอาร์ม ดูซึ้งใจกับดีนมากเลยนะ หรือชินมากแล้ว
ที่อาร์มรู้เรื่องเมี่ยง เพราะไม่อยากให้ดีนรู้แล้วเสียใจเพิ่มหรอ

เมี่ยงเป็นคนตลก รนมากจ้า เค้าจับทางได้หมดแล้ว
จะชนะหนึ่งแต้มแล้วดูภูมิใจหรือชนะตลอดไปแล้วจริงจังดีล่ะ

อาร์มเอ็นดูเมี่ยงมาก หลงหนักมากแล้วค่ะ ลุ้นว่าอาร์มจะจริงจังตอนไหน
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 9 :: up! 17-1-63} #หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 17-01-2020 18:14:13
ตอนที่ 9

มีเพียงแค่ความเงียบเชียบ ผมรู้สึกว่าฝ่ามือของผมเย็นเฉียบแต่ถึงอย่างงั้น คนข้างกันก็ยังคงยิ้ม ยิ้มอย่างไม่รู้ว่าจะอารมณ์ดีอะไรนักหนา

“ ความตายมาถึงมึงแล้ว ยังจะยิ้มอีกเหรอไอ้สัด ” ผมถามแต่เหมือนอีกคนจะแค่ขมวดคิ้วงง

“ ความตายอะไร ”

“ ก็..”

“ ความตายของมึงน่ะเหรอ  ข้างนอกนั้นก็แค่ไอ้ดีนเพื่อนกูที่รอรับกูอยู่ แล้วอีกอย่างนะ ” สายตาคมของคนที่ยืนอยู่ตรงข้ามกัน ไอ้สัดอาร์มเอียงหน้ายิ้ม “ กูไม่มีความลับปิดบังพวกมันแบบคนบางคนด้วย ไม่รู้จะกลัวไปทำไม ”

“ ไอ้สัด ” สบถออกไปก่อนจะผ่อนหลังยืนพิงกับตัวลิฟต์ ระดับชั้นที่ลดลงอย่างรวดเร็วผมมองซ้ายมองขวา อย่างคิดไม่ออกว่าจะทำยังไง จนสายตาสบกับคนที่ยืนนิ่ง “ เอาไงดี ช่วยคิดหน่อย ”

“ จำเป็นเหรอ ” ก็ยังกล้าถามออกมา ทั้งๆที่เป็นช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้

“ K จำเป็นเหรอ ถามมาได้ไง มึงลองคิดดูให้ดี ถ้าประตูลิฟต์เปิดแล้วไอ้สัดดีนเห็นกูกับมึงอยู่ในลิฟต์สองคน มันจะเป็นยังไง ”

“ ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร ” อาร์มมันยักไหล่ “ ถ้ามึงตั้งสติหน่อย แล้วคิดดูให้ดี มึงจะรู้ว่าลิฟต์เหี้ยนี่ คือลิฟต์ที่มาจากลานจอดรถ ซึ่งมันมีโอกาสเป็นไปได้สูงอยู่แล้วที่เราจะเจอกัน ”

“ แต่กูไม่ได้เอารถมา มึงจะให้กูไปบอกคนอื่นแบบนั้นได้ยังไง ”

“ ตอแหลสิ มันไม่มีใครเห็นกูมากับมึง แล้วมันก็ไม่มีใครที่อยู่ๆจะมาขอดูกุญแจรถคนอื่น เพราะคิดว่าเรามาด้วยกันอยู่ด้วย เพราะมันเป็นไปไม่ได้ ”

“ นั่นก็จริง ” พูดออกมาเสียงเบาๆ อีกคนก็ยกยิ้ม

“ แล้วที่สำคัญ กูมากับดีน แล้วนั่นคือสิ่งที่คนที่มึงกลัวว่ามันจะจับมึงได้รู้จริงมั้ย ”

“ จริง ” พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย ผมผ่อนลมหายใจออกมาเสียงดัง ก่อนจะเหล่มองอีกคนพร้อมกับเอื้อมมือไปตบไหล่ ผมยกนิ้วโป้งให้มัน “ มึงแม่งสุดยอดเหมือนกันนะเนี้ย โคตรนิ่ง แม่งสยบได้ทุกปัญหาเลย ”

“ กูไม่ได้สุดยอดหรอก ” ใบหน้าคมส่ายหน้าไปมา “ มึงด่าตัวเองดีกว่า ว่าทีหลังอย่าสติแตกให้มันมาก แล้วก็ช่วยเอามือเอาลงด้วย มึงจะให้ลิฟต์มันเปิดออกแล้วเห็นมึงยกนิ้วให้กูอยู่รึไง ”

“ แปลกอะไร ” ผมสวนกลับ “ ถ้าพวกมันเห็น กูก็แค่บอก กูว่าแม่งโป้งมึง ”

“ สนิทกันมากเหรอไอ้สัด ถามจริงๆ มันเชื่อได้มากเลยสิในความคิดมึง ”

“ อ้าว ก็มึงไม่เคยทำเหรอ เวลาโกรธเพื่อนตอนเด็ก กูทำบ่อยนะ โป้งเล่า ไม่คุยด้วยเล่า แบบเนี้ย ” ยังไม่ทันจะพูดจบประตูที่ปิดอยู่นานก็เปิดออก และอย่างที่ไม่ทันได้ตั้งตัว นิ้วโป้งที่ยื่นไปหาอีกฝ่ายนั้น ผมรีบเอามันลงในตอนที่หันไปด้านนอก แล้วก็พบว่าไอ้สัดดีนมันนั่งรอเพื่อนมันอยู่ตรงหน้าประตูลิฟต์พอดี

“ ปัญญาอ่อน ” อาร์มพูดเสียงเบาแบบยิ้มๆ มันดึงตัวเองที่พิงอยู่กับผนังด้านข้างของลิฟต์ เดินนำผมออกไปเป็นคนแรกด้วยท่าทางนิ่งเฉย ก่อนจะยกคิ้วเชิดหน้าทักทายเพื่อนสนิทที่นั่งคอยกันด้วยสีหน้าหงุดหงิด

“ ไปกัน ”

“ มึงแม่งมากับมันด้วยเหรอ ” ดีนเชิดหน้ามาทางผมที่ก็เดินออกมาจากลิฟต์ ส่วนผมเองก็เหลือบไปมองมันที่ตั้งคำถามนั้น

“ แล้วลิฟต์นี่เป็นของเพื่อนมึงคนเดียวหรือไง ”

“ ปากมึงนี่นะ ”

“ ทำไมครับ ” เอียงหน้าถามอีกฝ่ายที่ก็จ้องมองกัน แต่ไม่พูดอะไรออกมา ผมเหลือบมองคนที่มาด้วยกัน อาร์มมันยกยิ้มมุมปาก คงคิดว่าท่าทางหาเรื่องวอนตีนแบบนี้ ต่างกับไอ้คนที่มันเลิ่กลั่กหน้าซีดอยู่ในลิฟต์ยังกับคนละคน 

 “ เจอกันที่ลานจอดรถ ” อาร์มเป็นคนตอบแทน มันถอนหายใจก่อนจะหันไปทางอื่น แต่ไม่วายแขวะกันเบาๆเหมือนจะแกล้ง “ อึดอัดชิบหาย ”

“ แล้วคิดว่าเป็นคนเดียวเหรอ ”

“ เมี่ยง ” ไอ้เจ้ยมันเรียกขัดผม ในตอนนั้นคนที่นั่งข้างมันอย่างไอ้เบสก็กำลังนั่งกินขนมจีบซาลาเปาอยู่ มันเคี้ยวยิ้มๆ อย่างคนอารมณ์ดี

“ ยิ้มเหี้ยอะไร หน้ากูเหมือนแม่มึงเหรอ ” ดีนถาม เบสเองก็หลุดยิ้มกว้างออกมาก่อนจะกลืนของกิน มันเลียปาก

“ ดีน คิดหน่อยนะครับ ถ้าหน้าแม่กูเหมือนมึง กูคงไม่ออกมาหล่อขนาดนี้หรอก ”

เราทุกคนในตอนนั้นตกอยู่ในสภาวะนิ่ง มันไม่ใช่แค่ไอ้ดีนคนเดียวที่ยกคิ้วสูง เพราะแม้แต่ไอ้เจ้ยเอง หรือว่าผมก็ได้แต่เหลือบมองคนที่กล้าหาญมากกับการพูดถึงความหล่อของตัวเองออกมาแบบที่ไม่สนสี่สนแปดใด

“ พูดเหี้ยอะไรก็คิดหน่อย ขนาดเพื่อนมึงยังรับไม่ได้เลย ” ดีนมันบอกก่อนจะยกยิ้ม แผ่นหลังหนาของคนที่กำลังจะเดินไป ผมผ่อนลมหายใจโล่งออกมาแต่ยังไม่ทันจะสุด คนที่คิดว่าจะไม่สนใจอะไรอย่างไอ้เบสกลับลุกขึ้นยืนเต็มความสูง มันมองไปยังคนสองคนที่เดินไป

“ รักกันจังเลยน้า น้องดีนกับน้องอาร์มเนี้ย ทุกอย่างมันดูสีชมพูไปหมดเลย ”

“ หมายความว่าไง ” ขมวดคิ้วนิดหน่อยในตอนที่ดีนกันมาถามอีกคนด้วยสีหน้าหาเรื่อง

“ ยั๊วะง่ายจัง ” เผลอพูดออกไปเสียงดังไปหน่อย คนที่โดนแซวก็เลยหันมาชักสีหน้าใส่ผม ที่ก็เหลือบมองไปทางอื่นทันที

“ ก็ไม่แปลกหรอกเพื่อนเมี่ยงที่มันจะยั๊วะง่าย ” เบสมันว่าก่อนจะทำทีเป็นตกใจในตอนที่เห็นท่าทางโมโหจัดของคู่อริ “ แต่กูก็ไม่ได้หมายความว่าพวกมึงสองคนจะเป็นเพื่อนที่คิดไม่ซื่อต่อกันนะเว้ย แบบว่าเพื่อนแอบรักเพื่อนอะไรทำนองนั้น กูแค่คิดว่าว่ามึงเป็นคนแบบนั้นอยู่แล้วก็เท่านั้นแหละ แบบยั๊วะง๊ายง่าน ไม่ได้คิดอะไรอย่างอื่นเล๊ยย ” สองมือที่ยกขึ้นคล้ายผู้ร้ายที่ยอมจำนนต่อทางตำรวจ กับรอยยิ้มที่ยิ้มกวนตีนที่ก็ไม่ได้มีท่าทีสำนึก “ แต่ว่าน้า มึงคิดจริงจังมั้ย อันนั้น กูก็ไม่รู้สิน้า ”

 “ ไอ้เบส ” เจ้ยมันหันไปมองคนก่อกวนก่อนจะถอนหายใจ “ มึงนี่ยังไม่หยุด ”

“ อะไรละครับเพื่อนเจ้ย มองกูเป็นผู้ชายอีกแล้วนะ ”

“ กูแม่งอยากต่อยมึงชิบหาย ” ดีนที่ทำทีเป็นจะพุ่งเข้ามาใส่เพื่อนผม แต่ท่อนแขนหนาของไอ้อาร์มก็ขวางอีกคนไว้ก่อน

“ อย่า ” ใบหน้าคมที่ส่ายหน้าไปมาพลางเหลือบมองไอ้เบสที่ก็ยิ้มให้อีกคน

“ ไม่จริง ก็ไม่จำเป็นจะต้องร้อนตัว ใช่มั๊ยครับ สัดอาร์ม ”

“ อื้ม ” อีกฝ่ายขานรับแค่นั้นสั้นๆ ก่อนจะยกยิ้ม “ แต่ว่านะ มุกมึงเด็กมากเลยเบส มันเหมือนหมาจนตรอกที่แม่งไม่มีอะไรจะสู้แล้ว ” ออกแรงดันพื่อนตัวเองที่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นให้เดินออกไป แต่ดีนที่ยังดูหัวเสียมันดูขืนตัว แล้วในตอนนั้นผมก็เห็นอาร์มกระซิบอะไรกับมันสักอย่าง

“ กระซิบกันด้วยว่ะ ”

“ เงียบสักทีเถอะ ” เจ้ยมันพูดพลางส่ายหน้าไปมากับเพื่อนตัวเองที่เหมือนจะไม่หยุดเรื่องนั้น สีหน้าหงุดหงิดของมันหันมามองผม ก่อนจะเชิดหน้าไปทางห้องเรียนจะบอกว่าให้ไปเรียนได้แล้ว

“ แล้วไอ้สัดนี่ ” ถามถึงไอ้เบสแต่อีกคนก็แค่ปรายตามองอย่างเหนื่อยหน่าย เจ้ยมันถอนหายใจ

“ ปล่อยมันไปเถอะ กูรำคาญ ” ทิ้งท้ายไว้แค่นั้นอีกฝ่ายก็เดินไป ผมเหลือบมองอาร์มที่เดินนำดีนไปก่อนหน้านั้นอย่างอยากรู้ว่าจะจบเรื่องแค่นี้หรือว่ามีต่อ

แต่สุดท้ายไม่กี่วินาทีก้รู้ผล มันจบแค่นี้เพราะดีนก็จะเดินตามอาร์มไปโดยดี โดยที่ไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงอะไรกับอีกคนเหมือนอย่างปกติ

“ อะไรกันวะ ” สบถออกมาคนเดียว ในตอนนั้นไอ้เบสก็เดินเข้าไปมากอดคอผม

ก็มันแปลกกว่าทุกที ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างง่ายดาย และจบลงอย่างง่ายดายเช่นกัน ความยืดยื้อที่น่ารำคาญอย่างเก่าก่อนไม่มีเห็น ในตอนนั้นเบสที่ยกยิ้ม มันทิ้งท้าย

“ เถียงความจริง เถียงยังไงก็เข้าตัวเองไง เลยไม่เถียง ”

..........................................................

บทเรียนตรงหน้าค่อนข้างหน้าเบื่อ หน้าจอที่กำลังอธิบายบทเรียนในภาควิชากลายเป็นสิ่งที่อยู่ๆผมเองก็ไม่เข้าใจมันสักเท่าไหร่ อาจเพราะในสมองตอนนี้มันวกไปวนมาแต่กับเรื่องเมื่อช่วงเช้าที่ยังคงค้างคาใจ ไอ้ดีนเองก็ดูยั๊วะง่ายกว่าปกติ ส่วนไอ้เบสก็ดูมั่นใจเกินไป

“ หรือว่ามันจะชอบกันจริงๆ เหรอ ไอ้สองตัวนั้นอะนะ จะใช่เหรอวะ ”

“ พึมพำอะไรของมึง อะไรชอบกันจริงๆ ” เจ้ยที่นั่งอยู่ฝั่งซ้ายเอ่ยถาม ผมที่หันไปมองหน้ามันอีกคนก็ยกคิ้ว “ อะไร มองหน้ากูแล้วเงียบ ”

“ ไอ้ดีนชอบไอ้อาร์มจริงๆเหรอวะ ”

“ นี่คิดเหี้ยอะไรขึ้นมาอีกคน ” แผ่นหลังพิงกับเบาะที่นั่งผมก็เอนหลังตาม เจ้ยมันเชิดหน้าไปทางไอ้สัดเบสที่ก็หันมามองเราพอดี “ ไอ้เหี้ยนั่นก็อีกคนนึง ยังไม่หยุดอีกเรื่องไอ้สัดดีนกับไอ้สัดอาร์มชอบกันอีก ”

“ กูว่าชัวร์ วันนั้นกูไม่ได้ตาฟาด ”

“ ที่เล่าว่าเจอมันยืนเต้นกันในผับ แล้วไอ้อาร์มก็ยิ้มให้ดีนที่เต้นอยู่ตรงหน้ามันน่ะเหรอ ” ผมทวนความทรงจำที่คนข้างกันเคยเล่าเมื่อหลายวันก่อน 

“ ใช่ ” เบสตอบรับคำอย่างมั่นใจ เจ้ยมันก็ถอนหายใจ

“ คือถึงมันจะจริง แล้วมันจะแปลกยังไง มึงจะล้อมันด้วยเรื่องนี้กูว่า มันก็ไม่ใช่นะ มันไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาล้อเลย มึงไม่ใช่เด็กประถมแล้วเบส ”

“ จริงจังไปได้ ” อีกคนว่าบ่นๆ

“ มันดูสิ้นคิดเหมือนที่ไอ้อาร์มบอกนั่นแหละ มึงคิดหน่อย มันมีเรื่องที่มึงเอามาล้อได้นะ แต่บางเรื่องก็ไม่ได้ แล้วอีกอย่างมึงรู้แน่ชัดแล้วเหรอ ถึงเอาไปพูด ถ้าพูดมากๆเข้า เรื่องโดนลือไปไกลมึงจะทำยังไง มันสองคนจะเสียหาย ดีไม่ดีมองหน้ากันไม่ติดอีก ”

“ โอยยยยยยยยยยยยยย ไม่มีทาง ” ไอ้เบสส่ายหน้า

“ ทำไมวะ ” ผมถาม

“ ก็มันเป็นเพื่อนรักกัน คบกันมาตั้งนาน ไม่ผิดใจกันกับเรื่องง่ายๆหรอก ”

“ ใครจะไปรู้ เรื่องแบบนี้บางทีอยู่ด้วยกันมากๆ อาจจะอึดอัดก็ได้เพราะมีแต่คนมอง ” เจ้ยมันย้ำหน้าตาจริงจัง “ แล้วถึงกูจะคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยกับสิ่งที่มึงคิดอยู่ เพราะไอ้อาร์มสเป็คมันค่อนข้างเป็นคนน่ารัก จากที่ดูมันควงอยู่ ส่วนไอ้ดีนกูว่า..”

“ ก็ใครจะไปรู้เจ้า คนเรามันมีหลายมุม ” เบสมันพูดยิ้มๆ อย่างไม่สลัดความคิดที่ตัวเองมั่นใจนั่นออกไปไหน “ แต่เอาเป็นว่าเพื่อความสบายใจของมึง กูจะไม่ล้อมันเรื่องนี้จนกว่าจะรู้แน่ชัดว่ามันเป็นยังไง และในวงเล็บและเขียนตัวแดงใส่ตัวหนา เอียง พร้อมทั้งขีดเส้นว่า ถ้ามันไม่กลัวตีนกูจนกูทนไม่ไหวขึ้นมาก่อนละนะ ”

“ กลัวอย่างหลังนี่แหละไอ้สัด เพราะความอดทนมึง ต่ำยิ่งกว่าดินอีกมั้ง ”

“ ว่าแต่นะ ไอ้อาร์มมันชอบคนน่ารักเหรอวะ ” หลุดถามสิ่งที่อยากรู้ออกไปหลังจากที่บทสนทนานั้นเงียบลง ผมที่หันมองไอ้เจ้ยก่อนจะเบิกตาขึ้นนิดหน่อยในตอนที่เห็นอีกคนมองเหล่กันแบบยิ้มๆ “ คือ คือกูหมายความว่า..”

“ ว่า..” มันลากเสียงพร้อมจ้องมามอง

“ คือเมื่อกี้เราพูดถึงไอ้อาร์มกันไงใช่มั้ย แล้วอยู่ๆมันก็จบไป ยังไม่เคลียร์เลย ”

“ เหรอออออออออออออออออออออออ ” เสียงลากยาวที่ดูเหมือนไม่เชื่อกัน ผมนิ่งไป

“ ไม่อยากรู้แล้วไอ้สัด ”

“ โอ๊ะ มีงอน ” ทำทีท่าแบบตกใจเล็กๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มให้กัน

“ มองเหี้ยอะไรอย่างงั้น กูแค่ถาม ”

“ ก็ยังไม่ได้ว่าอะไรเพื่อนเมี่ยงเลยสักคำเดียว ” มือนั่นเอื้อมมาจับไหล่  เจ้ยกระซิบ “ ไอ้อาร์มมันชอบคนน่ารัก คนที่แบบทำตัวน่ารักๆ ถ้าอยากจะจีบมัน มึงก็ทำตัวน่ารักๆหน่อยละนะ ”

“ เหรอ ” เผลอสถบออกมาก่อนจะพยักหน้ารับ แผนการใหม่ในสมองผมผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ผมพูดกับตัวเองเสียงเบา “ ต้องน่ารักสินะ ดีละ คราวนี้ก็ถึงทีกูบ้างแล้ว ”

“ ยังไงกันน้า. ” เสียงของคนข้างๆเหล่ถามกันอย่าจับผิด

“ อะไร ” เสียงนิ่งๆที่ถามกลับ

“ ก็มึงดูสนใจในตัวไอ้อาร์มแปลกๆ ”

“ กูอะนะ” ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเองพร้อมกับแววตาที่เบิกกว้าง “ อะไร อะไรที่ทำให้มึงคิดว่ากูสนใจมัน ”

“ โห ไอ้เหี้ย มีเยอะมาก สองวันไม่รู้จะพูดหมดมั้ย ”

“ ไอ้สัด ”

“ นี่ แต่ขอพูดอะไรกับมึงไว้อย่างนะ ” สีหน้าของเจ้ยเริ่มจริงจัง “ กูไม่รู้ว่ามึงมีอะไรปิดบังอะไรกูอยู่ แล้วก็ไม่รู้ว่ามึงคิดจะทำอะไร แต่ในฐานะเพื่อน ก็ขอเตือนไว้ก่อนแล้วกัน ไอ้อาร์มไม่ใช่คนในแบบที่มึงจะจัดการได้ง่ายๆนะ ”

“ มึงพูดเหมือนมันเป็นแบบมาเฟียไม่ก็พวกที่น่ากลัวมากกว่านั้น คือ แม่งก็คนธรรมดาเปล่าวะ ” พูดแบบนั้นยิ้มๆ เจ้ยมันก็ยิ้ม

“ เออ ก็เตือนมึงไว้ก่อน ถึงกูจะรู้ว่ามึงไม่ฟังหรอก แต่เดี๋ยวมึงจะหาว่า ทำไมไม่เตือนอีก” พยักหน้ารับคำพูดนั้น ก่อนจะคิดถึงใบหน้าของอีกคน ก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรที่เรียกว่าน่ากลัว

ก็อาจจะกวนตีนกันบ้าง เย้าแหย่กันบ้าง แต่นั่นมันก็เป็นไปตามแผนการต่อสู้ของเราที่ต่างฝ่ายก็ต่างอยากจะให้อีกคนตกหลุมรัก ที่ผมก็ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาเลยว่า คะแนนอีกฝ่ายมัน ค่อนข้างนำ

แต่ผมก็ไม่ใช่คนที่จะหมดหวังกับอะไรง่ายๆหรอก เพราะว่าการรบยังไม่จบ ก็อย่างเพิ่งนับทหารฉันใด การแข่งขันนี้มันก็เป็นฉันนั้น

วันนี้ยังตาม พรุ่งนี้อาจจะนำก็เป็นได้ ใครมันจะไปรู้

“ ว่าแต่นะมึง..” ผมหันไปหาเจ้ย “ มึงว่ากูหน้าตาน่ารักมั้ย ”

“ นี่ฟังกูเตือนบ้างมั้ยเนี้ย ” อีกคนบ่อนพลางผ่อนลมหายใจออกมา “ เวรกรรมอะไรของกู หน้าเหี้ยเอ้ย ถึงต้องมาเป็นเพื่อนคนดื้อด้านแบบมึงสองตัว ”

“ อะไรของมึงกูก็แค่ถามเฉยๆ ไม่ได้เกี่ยวเหี้ยอะไรกับไอ้อาร์มเลย ” เถียงออกไปแบบหน้าตั้งคนฟังก็ได้แต่เหลือบตามองบนเหมือนกับว่าไม่ค่อยจะเชื่อในสิ่งที่ผมพูดสักเท่าไหร่ “ คือมึงไม่เชื่อ ”

“ เอาเถอะๆ พูดไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ” ว่าแค่นั้นก่อนจะเหลือมองผม “ มึงก็น่ารักดี เป็นคนที่ทั้งหล่อ ทั้งน่ารัก ”

“ เหรอวะ ” ตาโตถามแบบจริงจัง อีกคนก็พยักหน้ารับ

“ แต่ก็แล้วแต่มุมมอง บางคนอาจจะมองว่าหล่อ บางคนก็อาจจะมองว่ามึงน่ารัก สไตส์ใครไสตส์มัน ”

“ แล้วมึงมองว่ากูเป็นยังไง ” เจ้ยมันยิ้มให้ตอนที่ผมถาม ท่าทางของมันพยายามกลั้นยิ้มเพื่อไม่ให้ตัวเองยิ้มกว้างในตอนที่ผมจ้องตา

“ เออ มึงน่ารักไอ้สัด พอใจยัง ”

“ บ้า กูไม่ได้อยากจะน่ารัก มึงตอบกูได้ตามใจเลย ” ยิ้มบอกมันอีกคนก็โบกมือไล่

“ น่ารักไอ้สัด จบได้แล้ว ”

“ เหรอๆ แล้วน่ารักมากเปล่าวะ แบบ..ในความคิดมึง ”

“ เอาความจริงเลยปะ ” เจ้ยมันดึงตัวเองเข้ามาใกล้ผมที่ก็พยักหน้ารับอย่างมั่นใจ “ หน้าตาไม่ได้น่ารักมากหรอก ครึ่งน่ารักครึ่งหล่อ แต่นิสัยที่มึงทำอยู่แม่งโคตรน่ารักเลยเว้ยเมี่ยง นี่ถ้าไม่ติดว่ามีมิ้งเป็นเมียแล้วละก็นะ กูจีบมึงไปแล้ว จบนะครับ ”

“ บ้าบอ ” ผมตีเข้าที่แขนอีกคนเบาๆ “ มึงแม่ง พูดเหี้ยอะไรของมึงวะเจ้ย กูไม่อยากจะผิดใจกับมิ้งนะ ”

“ Kเอ้ย อยากจะถีบมึงให้ตกเก้าอี้จริง ไอ้หน้าสัด ” สะบัดปลายผมทิพย์ของตัวเองอารมณ์ว่ามันยาวแบบที่ปะป่า ผมหันไปมองไอ้เบสที่วันนี้ตั้งใจเรียนเป็นพิเศษแบบไม่พูดไม่จา และหน้ากระดาษตอนนี้ก็เหมือนจะมีแต่ปากกาเน้นข้อความแต่งแต้มอยู่เต็มไปหมด

“ เบส ” ผมเอ่ยเรียกมัน อีกคนก็หันมาเหลือบมอง “ มึงว่ากูน่ารักปะ ”

“ ถามเหี้ยอะไรของมึง ” สีหน้างุนงงฉายชัดอยู่บนใบหน้านั่น คิ้วเข้มขมวดในกันก่อนจะมองกลับไปที่หน้ากระดานแบบที่ไม่รู้สึกได้ว่าอีกคนคงคิด ว่าผมคงเป็นบ้าอะไรสักอย่าง

“ ว่าไงไอ้สัด ไม่น่ารักเหรอ ”

“ คือประเด็น อยู่ๆ ทำไมถึงถาม ”

“ ก็แค่อยากรู้ กูต้องการความคิดเห็นของคนมากกว่าหนึ่งคน เพื่อที่จะได้มั่นใจและไม่ได้เป็นความเห็นที่คิดเข้าข้างตัวเองมากจนเกินไป ” ผมว่า “ อีกอย่างกูควรจริงจังกับเกมส์นี้ให้มากกว่ากว่านี้  เพราะไม่งั้นกูจะแพ้หมดรูป ซึ่งแน่นอนว่า มันต้องไม่เป็นแบบนั้น ว่ามาไอ้สัด กูน่ารักมั้ย ในความคิดมึง ”

“ ก็ น่ารัก ” มันตอบเสียงเบา

“ เหรอ ”

“ เออ ” เบสมันพยักหน้ารับ

“ มึงน่ารักแบบไอ้ดีนอะเมี่ยง ” เจ้ยที่นั่งอยู่อีกข้างพูดขึ้น แต่ในตอนนั้นเหมือนไอ้เบสจะไม่เห็นด้วย มันขมวดคิ้ว ก่อนจะส่ายหน้า

“ อย่าเอาไอ้เหี้ยนั่นมาเปรียบเทียบกับเพื่อนกูได้มั้ย ไอ้เมี่ยงน่ารักกว่าไอ้ดีนหลายขุม แล้วโทษทีนะ คนอย่างไอ้ดีน เรียกหน้าเหี้ยอะครับ ไม่ใช่น่ารัก ”

“ อคติ ” เจ้ยมันบอก แต่คนฟังก็แค่เหลือบตามองบน “ กูหมายความถึงว่าทั้งหล่อและน่ารัก มันให้ฟีลแบบนั้นมากกว่า ”

“ แต่มึงน่ารักกว่า ถ้าเทียบกับไอ้สัดดีน ไอ้สัดดีนคือขี้ตีนของมึงเมี่ยง กูขอพูดแค่นี้ ”

“ หล่อมากเลยสินะมึงน่ะ วอนบิน กงยูเมืองไทยกันเลย ” เจ้ยมันเชิดหน้าถาม แต่เหมือนอีกคนก็รู้สึกแบบนั้น ด้วยความมั่นใจไอ้เบสยกนิ้วเก็กหล่อ

“ ก็พอตัว ”

“ วอนตีนน่ะสิไม่ว่า หาเรื่องให้พวกกูไม่เว้นวัน ”

“ ว่าแต่นะพวกมึง ” ผมเบรคคนสองคนที่กำลังเถียงกันอยู่ในตอนนั้น “ เลิกเถียงก่อน กูมีสิ่งที่กูสงสัย ไอ้ท่าทางน่ารักนี่ แม่งทำกันยังไงวะ ”

“ แค่เป็นตัวมึง กูว่ามันก็น่ารักแล้วนะ ” เจ้ยมันว่า แต่เหมือนไอ้บินจะไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ มันส่ายหน้าให้ผม

“ ความน่ารักก็คือความกุ๊กกิ๊ก มึงก็ต้องทำตัวให้มันเด็กๆเข้าไว้ หรือพวกมึงจะเถียงว่ามันไม่น่ารัก ในตอนที่สาวๆเข้ามาคลอเคลียมึงแล้วเรียกมึงว่า พี่ แบบว่าพี่เจ้ยขา พี่เมี่ยงขา จับแขน เอาหน้าซบ ใครๆมันก็แพ้กันทั้งนั้นอะ ”

“ เหรอวะ ” พูดกับตัวเองเบาๆในตอนนั้น อย่างไม่ค่อยอยากจะเห็นด้วยเท่าไหร่ เพราะแค่คิดไปว่าต้องกอดแขน แล้วเอาหน้าถูไปมา ก็ได้แต่คิดไปอีกว่า งั้นผมต้องปูเหตุการณ์แบบไหนมันถึงจะออกมาได้ในรูปแบบนั้น

“ คือมึงจะให้อยู่ๆ ไอ้เมี่ยงไปทำแบบนั้น ” เจ้ยมันเอียงหน้าถามเพื่อนตัวเอง “ คือขนาดเมียกูมันขี้อ้อน มันยังไม่เคยอ้อนกูเอาเบอร์ที่มึงว่าเลย ยกเว้นมันจะเมา ”

“ เออใช่ เมา ” เอื้อมมือไปจับไหล่ของคนพูดก่อนจะพยักหน้าลงด้วยรอยยิ้มกว้าง ผมอยากจะบอกมันเหลือเกินว่า ‘ ขอบคุณมาก และนี่แหละ คือหนทางการจู่โจมกลับและชัยชนะของกู เพื่อนเจ้ย ’

“ คือเมี่ยง ” ไมได้ฟังอะไรในทิ้งที่เพื่อนพูดอีก ผมคิดแค่ว่าเย็นนี้คงต้องพาตัวเอง หรือไม่ก็ชวนไอ้เหี้ยอาร์มมาที่ห้องให้ได้ และแน่นอนว่าที่ผมจะลืมไม่ได้ก็คงเป็นเบียร์  ที่ก็จะทำทีเป็นพวกคออ่อนอย่างที่สุด แล้วหลังจากนั้น ผมก็จะเริ่มแผน

“ ลงทุนขนาดนี้ ต้องเวิร์คแล้วละเมี่ยง ” พูดกับตัวเองแบบนั้นก่อนจะยกยิ้ม “ วันนี้มึงไม่รอดแน่ ไอ้สัดอาร์ม ”
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 8 :: up! 10-1-63} #หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 17-01-2020 18:14:39

ออกมาจากมหาลัยในช่วงหลังเที่ยง และมันก็เป็นการออกจากมหาลัยที่ดูลึกลับที่สุดแล้วตั้งแต่เรียนมา ผมเอาแต่มองซ้ายขวาในตอนที่เรียกแท็กซี่ และเอาแต่ภาวนาว่าอย่าให้เค้าบอกว่าส่งรถ หรือไม่ก็แก๊สจะหมดในตอนที่ได้ขึ้น

“ พี่ครับ จอดด้านหน้าซุปเปอร์มาเก็ตตรงนี้ก็ได้ ”

“ ครับ ” มิตเตอร์ถูกกดหยุด ผมยื่นเงินให้เค้าไปแบบพอดี ก่อนจะเดินลงจากรถ คว้าเอาตะกร้าใบเล็กที่ด้านหน้า ก่อนจะเดินตรงเข้าไปด้านในพร้อมกับทั้งสมองที่ทบทวนถึงแผนการของตัวเอง 

“ ก่อนอื่นก็ต้องซื้อปลาแซลม่อน ”  ตั้งใจไว้ว่าจะซื้อปลาแซลม่อนเพราะจะทำแซลม่อนย่างซีอิ๋ว แล้วก็ข้าวผัดกระเทียม ผมเรียนรู้มาในเว็ปสอนทำอาหารเมื่อครู่แล้วคิดว่าง่ายดี ก็เลยว่าจะทำ

ตามแผนการคร่าวๆก็คือ ผมจะชวนไอ้คนข้างห้องมันมากินด้วยกัน ทำทีเป็นบอกว่า เมื่อวานมันก็ชวนผมมากินข้าว วันนี้ผมก็เลยทำกับข้าวเลี้ยงมันบ้างเพราะไม่อยากจะหนี้อะไรกัน และ แน่นอนว่าที่สำคัญก็คือ เบียร์ เป็นอะไรที่ขาดไม่ได้ เรพาะนี่คือหนทางสู่การเมา

“ แซลม่อนอยู่ทางไหนเหรอครับ ” หันไปถามพนักงานที่กำลังจัดของ เธอเงยหน้าขึ้นมาก่อนจะผายมือไปตรงตู้เย็นที่อยู่ด้านใน  “ ขอบคุณมากครับ ”

ผมก้มหน้าตอบรับแต่ยังไม่ทันจะหันตัวเดินไป สายตาของก็พบเข้ากับใครบางคนที่กำลังเข็นรถเข็นคันเล็กของห้างอยู่ข้างหน้าตรงชั้นวางของพวกซอสต่างๆ แผ่นหลังที่คุ้นตา ผมยืนนิ่งอยู่นานเพื่อความมั่นใจว่าจะไม่ผิดคน ใบหน้าที่ค่อยๆหันข้างมาให้เห็น พร้อมกับมือโดนแมวข่วน

“ เหยื่อของกูจริงๆด้วยว่ะ ” พูดกับตัวเองเบาๆ ผมก้าวเข้าไปใกล้แผ่นหลังนั้น เอื้อมมือไปจับไหล่แล้วในตอนที่อีกคนหันมานิ้วชี้ก็เด้งไปจิ้มแก้มมันพอดี “ จ๊ะเอ๋ ”

“ กูมากับไอ้ดีนนะ ” เสียงทุ้มว่าแบบนั้นผมก็ดึงมือตัวเองออกราวกับเจอของร้อน แววตาที่เบิกกว้างขึ้น ผมหันมองซ้ายขวา พร้อมกับขาที่ทำทีเป็นจะก้าวถอยหลัง แต่ก่อนที่จะหวาดระแวงไปมากกว่านั้น คนตรงหน้ากลับหลุดหัวเราะเสียงดัง “ ฮ่าๆ ”

“ หัวเราะเหี้ยอะไรของมึง ” ผมถามก่อนจะมองไปรอบๆ “ ตอแหลกูเหรอไอ้สัด ”

“ ใช่ ” หันมาตอบรับแบบเฉยชา ก่อนจะยักคิ้วให้กัน อาร์มมันหันไปเลือกซอสต่อ “ ก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอ ท่าทางมึงตอนเลิ่กลั่กกูชอบมอง มันน่ารักดี ” หันมามองเหลือบกันในประโยคท้ายที่ก็ตั้งใจพูดออกมาเพื่อทำให้ใจเต้น แต่ในตอนนั้นผมก็แค่เอียงหน้ามองแล้วถาม

“ เหรออออออ แล้วน่ารักกว่าดีนปะ ”


กริ๊ง

เสียงของขวดซอสที่อีกคนกำลังเลือกกระทบกัน เกิดเป็นความอึดอัดในช่วงเวลาหนึ่งนั้น ก่อนสายตาคมจะหันมามองกันแล้วถอนหายใจ ความเรียบเฉยที่รู้สึก แตกต่างจากรอยยิ้มเมื่อครู่นั้นอย่างสิ้นเชิง

“ ไม่ได้จะล้อเรื่องของมึงกับไอ้ดีนแบบที่ไอ้เบสทำนะเว้ย ” ผมมือขึ้นโบกไปมาอีกคนก็หันไปเลือกซอสต่อ “ กูแค่พูดออกไปเพราะเจ้ยมันบอกว่า กูกับไอ้ดีนก็คล้ายๆกันนั่นแหละ ”

“ เจ้ยบอกว่ามึงกับไอ้ดีนคล้ายกัน ”

“ อื้อ ” พยักหน้ารับอีกคนรัวๆ ในตอนนั้นอาร์มก็มองผม แบบชนิดที่ตั้งแต่หัวจรดเท้า รอยยิ้มเริ่มปรากฏในตอนที่มันมองตาผม “ ทำไม มึงจะบอกว่า กูแย่กว่าว่างั้นเถอะ ”

“ ยังไม่ได้พูดเลย ” อีกคนว่า ผมก็ได้แต่ยกยิ้มก่อนจะดึงสายตาตัวเองมองขวดซอสที่อีกคนเลือก รวมถึงผักสด แล้วก็เนื้อสัตว์ต่างๆที่อยู่ในรถเข็น

“ วันนี้จะทำอะไรกิน ”

“ ทำไม ”

“ ก็วันนี้กูตั้งใจจะชวนมึงไปกินข้าวบ้านกู ” ผมบอก “ กูจะทำสเต็กแซลม่อนชิ้นโตๆ กับข้าวผัดกระเทียม แล้วเราก็จิบเบียร์กันคนละขวดสองขวด เป็นไง สนใจมั้ย ”

“ แล้วทำไมถึงมาชวน ” อาร์มมันถามก่อนจะเหลือบมองกัน “ คุณสนใจผมเหรอครับ ”

“ ไม่ใช่สักหน่อย ” บีบเสียงให้เล็กในตอนปฎิเสธออกไปด้วยรอยยิ้ม ก็แค่อยากจะให้มันดูน่ารักสักหน่อย แต่เหมือนมันจะไม่ได้เป็นอย่างงั้นในความรู้สึกของอีกคน

“ มึงเป็นหวัดเหรอ ”

“ ห๊ะ ? ” ผมเอียงหน้างง

“ เสียงมึงแปลกๆ ”

“ K ” สบถออกไปก่อนจะถอนหายใจ อาร์มมันกลั้นยิ้ม “ เอาเป็นว่าไปกินข้าวบ้านกูนะ กูจะทำอะไรของอร่อยๆ ให้มึงกิน ”

“ มื้อไหน ”

“ แน่นอนว่าต้องเย็น ” ยิ้มกว้างให้อีกคน แน่นอนว่ามันต้องมีเวลาเตรียมตัวอย่างมาก แต่ผมก็ต้องไปเตรียมซื้ออาหารสำเร็จรูปไว้ด้วยในกรณีที่การทำอาหารออกมาแย่

“ เย็นไม่ว่าง คืนนี้มีเลี้ยงวันเกิดไอ้ดีน กูจะไป ว่างแค่เที่ยง ”

“ งั้นเที่ยงก็ได้ ” ตอบรับไปอย่างงั้นอย่างรวดเร็วเพราะไม่อยากจะให้แผนที่วางพลาดไป ผมพลิกดูเวลาที่ตอนนี้มันเลยเที่ยงไปแล้ว “ แต่ว่ามึงยังจะกินเหรอ มันเลยเที่ยงไปแล้วนะ ”

“ กิน เพราะกูยังไม่ได้กินอะไร ”

“ งั้นก็จัดไป เชิญมาลิ้มชิมรสชาติอาหารแสนอร่อยของกูที่ห้องกูได้เลย  แล้วที่สำคัญอย่าลืมพาแก้มหอมมาด้วยนะ มันจะได้เล่นกันนายท่าน”

“ อื้ม ” ตอบรับกันแค่นั้น อีกฝ่ายถอนหายใจ “ ไม่รู้จะเป็นอะไรที่อร่อยจริงๆ หรืออะไรก็ไม่รู้ที่แดกไม่ได้กันแน่ ”

“ ดูถูก กูมันระดับมาสเตอร์เซฟ ”

.................................................

‘ มาสเตอร์เชฟพ่อมึงสิ ’ กล้าพูดออกมาได้ ขนาดเตาแก๊สยังเปิดไม่เป็น แถมกลุ่มควันที่ลอยโขมงไปมาอยู่ในตอนนี้ก็บ่งบอกถึงหายนะได้เป็นอย่างดี เสียงร้องเมี๊ยวม๊าวของเจ้าแมวสองตัววิ่งวุ่นไปทั่วราวกับตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ส่วนแขกที่เชิญมาร่วมรับประทานอาหารเที่ยง กลับนั่งมองผมยิ้มๆ  ในตอนที่ยื่นจานใส่แซลม่อนที่ไหม้ไม่เหลือชิ้นดีในมันดู

“ ยังไงเหรอครับ คุณเซฟ ”

“ ยังแดกได้มั้ย ” คำถามนั้นยิ่งทำให้คนตอบยิ่งตลก อาร์มมันยิ้มกว้าง ก่อนจะหัวเราะเสียงดัง

“ ฮ่าๆ ”

“ ตลกเข้าไปไอ้สัด ตลกมากเหรอ กูก็แค่อยากจะทำอาหารให้มึงกินอะ ตอบแทนที่เมื่อวานชวนกินข้าว แล้วกูผิดตรงไหน ” ผ่อนลมหายใจออกมาเซ็งๆ หลังจากที่พูดเสียงเบาๆกับตัวเอง

“ เอามานี่ ” อาร์มคว้าจานในมือผมไป มันวางลงกับพื้นห้อง แล้วในขณะที่ผมจะเอ่ยเถียงอะไร เจ้าแมวสองตัวผู้สงสัยในสิ่งนั้นก็ค่อยๆ ย่องเข้ามาใกล้ จมูกเล็กฟุตฟิตอยู่ตรงหน้าของในจานที่ทั้งไหม้และดำ จนไม่เหลือซากของสิ่งที่เรียกว่า ปลาแซลม่อน หลงเหลืออยู่

“ เฮ้ย! ” เสียงทักของไอ้อาร์มทำเอาสะดุ้งทั้งคนทั้งแมว เจ้าก้อนขนสองตัว วิ่งปู๊นขึ้นไปที่ที่คอนโดชั้นที่สูงที่สุดราวกับกลัวตาย

“ นี่  มันจะมากเกินไปแล้วไอ้สัด นี่มันปลากแซลม่อนเลยนะเว้ย” เงยหน้าบอกคนที่กลัวอะไรไม่เข้าเรื่อง “ แค่ไอ้อาร์มมันขู่นิดเดียว ถึงกับสะดุ้งเลยเหรอ นี่ชิ้นละตั้งหลายร้อยเลยนะรู้มั้ย ”

“ เอาไปทิ้งไป ” อาร์มบอกแค่นั้น ก่อนจะดึงแขนเสื้อของตัวเองขึ้นไป  แล้วเดินเข้าไปในครัว มันกดปุ่มอะไรสักอย่างที่อาจจะเรียกว่าเครื่องดูดควัน ท่าทางชำนาญเริ่มลงมือทำอาหาร

“ เมื่อกี้กูก็ว่า กูลืมอะไร ลืมเปิดที่ดูดควันที่เอง ”

“ กระทะเตาร้อนเกินไป เพราะใช้ไฟแรงสูง น้ำมันก็เยอะ สเต็กปลาแซลม่อน ใช้แค่น้ำนิดเดียว ”

“ เหรอ ”

“ ไม่เป็นก็อย่าอวดเก่งนะครับทีหลัง ” หันมาบอกกันแบบนั้น ผมก็พาตัวเองขึ้นไปนั่งบนเค้าเตอร์ที่ว่าง พลางมองดูอีกคนทำทุกอย่างเชี่ยวชาญ

“ ว่าแต่เที่ยงนี้มึงตั้งใจจะกินอะไร ”

“ สปาเก็ตตี้คาโบนาร่า ”

“ เฮ้ย อยากกิน ”

“ อ้วนนะ ” หันมาบอกกันด้วยหางตา ผมก็ได้แต่ถอนหายใจ “ วันนี้ก็กินแค่นี้ก่อน พรุ่งนี้ก็ค่อยกินยังไม่สาย ”

“ ก็กินด้วยกันไง ไม่อ้วนหรอกน่า ทำให้หน่อย นะๆ ” ยิ้มให้มัน อีกคนที่เหลือบมองมา อาร์มไม่ได้ตอบอะไรมากกว่านั้น มันแค่มองลงต่ำไปที่กางเกง “ ยังไง ”

“ กุญแจห้องอยู่ในกระเป๋ากางเกง อยากกินก็ไปเอาอุปกรณ์มา อยู่ในถุง กูตั้งไว้บนโต๊ะ หยิบมาได้เลยทั้งถุง ”

“ มึงจะให้กูล้วงกุญแจจากกระเป๋ากางเกงมึง ” ถามย้ำอีกคนก็พยักหน้ารับ เพราะในตอนนั้นมือหนาที่กำลังง่วนอยู่กับปลา ฝั่งนึงจับกระทะอีกฝั่งก็จับตะหลิว “ แล้วถ้ากูทำมึงมีอารมณ์ละ ”

“ กูก็ปิดเตาไง ”

 “ ไอ้สัด ” ว่าแบบนั้นอีกฝ่ายก็ยกยิ้ม ผมดึงตัวเองลงไปยืนเต็มความสูง ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเดฟที่ก็ไม่ได้ล้วงยากอย่างที่คิด อาจเพราะมันก็ไม่ได้อยู่ลึกเท่าไหร่ “ โอเค ได้ละ ”

“ ว้า ยังไม่ทันมีอารมณ์เลย ”

“ เงียบปากของมึงไปเลย ” ว่าแบบนั้นก่อนจะเข้าไปในห้องของอีกฝ่ายตามคำสั่ง สภาพห้องไม่ได้รกเท่าไหร่ แต่แน่นอนว่าเรียบร้อยน้อยกว่าห้องของผม ถุงของที่ว่าตั้งอยู่บนโต๊ะ ผมเดินไปหยิบมันก่อนจะชะงักไปในตอนที่เห็นกล่องสีดำผูกโบว์สีเงินอยู่ใกล้ๆกันนั้น เป็นของที่แค่ปรายดูก็รู้ว่าน่าจะมีราคา “ ของขวัญวันเกิดไอ้ดีนแน่เลย ” 

เดินกลับเข้าห้องตัวเองมาอย่างไม่สนใจอะไรกับสิ่งนั้นให้มาก ยื่นถุงให้คุณพ่อครัวที่ตอนนี้มีปลาแซลม่อนสีสวยวางอยู่ในจานพร้อมรับประทาน ส่วนในกระทะก็เหมือนกำลังดำเนินงานในส่วนของข้าวผัดกระเทียมอยู่

“ เมื่อกี้กูเห็นกล่องของขวัญของไอ้ดีนตั้งอยู่บนโต๊ะด้วย ” ผมเย้ามัน แต่เหมือนว่าจะไม่ใช่คำที่อีกฝ่ายอยากฟังเท่าไหร่ มือที่กำลังจับกระทะหยุดนิ่งไป “ มึง..”

“ อะไร ” ถามออกมาแบบนั้นมือก็เริ่มขยับอีกครั้ง

“ มึงให้อะไรเป็นของขวัญไอ้ดีนเหรอ บอกกูได้มั้ย กูไม่บอกใครหรอกกนะ สาบานเลย กูเห็นกล่องเล็กๆ เค้าบอกกันว่า กล่องเล็กมักมีราคา ”

“ เสือก ” สั้นๆ ง่ายๆ และได้ใจความ ผมถอนหายใจออกมา

“ แหม ก็ไม่ได้อยากรู้หรอก ”

“ แน่ใจ ” มันถามย้ำก่อนจะเหลือบมองกัน

“ แต่ถ้ารู้ก็ดี ” ยิ้มให้มันก่อนที่กระทะที่มีข้าวผัดหอมฉุยจะถูกมาให้ผม

“ พูดมาก ตักข้าวใส่จานไปแล้วกัน หวังว่าจะทำได้นะครับ ”

“ ได้สิ ” พยักหน้ารับอย่างมุ่งมั่น ผมตักข้าวร้อนๆในกระทะลงจานสองจานแบบเท่าเทียมกัน ส่วนอีกคนก็เริ่มทำอาหารอีกจาน กลิ่นหอมเรียกน้ำลาย และปลุกความหิว ผมกำช้อนนั่งรอที่โต๊ะไว้แน่นพลางเคาะมันเป็นจังหวะเบาๆ แล้วในตอนที่ความน่ากินนั่นวางลงตรงหน้า “ โคตรรรรรรรรรรรรรรรรรรรน่ากิน แต่เดี๋ยวนะ ขอไปเอาเบียร์ก่อน ”

“ อื้ม ”

“ นิยมใส่แก้ว หรือว่ากินกับขวดครับ ” หันถามอีกคนที่ก็ตอบแค่สั้นๆ

“ ขวด ” วางเบียร์ลงบนโต๊ะผมมองทุกอย่างด้วยสีหน้าแห่งความสุข

“ โอเช  งั้นก็กินละน้า ” ตักข้าวเข้าไปปากไปคำแรก ก่อนจะเคี้ยวด้วยความสุขกับรสชาติอร่อยที่เข้ากันได้อย่างดี ผมลองตักคาโบนาร่าที่ถูกเจาะไข่แดงไปโดยคนทำเมื่อครู่เข้าปาก รสชาติที่ไม่ต่างกันกับในร้านหรู มันอร่อยจนน้ำตาผมจะไหล อร่อยจนอยากจะบอกมันว่า มาเป็นเมียกูมั้ย ถ้าจะทำกับข้าวเก่งขนาดนี้ แต่นั่นแหละ กลัวโดนสวนกลับว่า อยากเป็นผัวมากกว่า แล้วจะไปไม่เป็น เลยต้องเงียบไว้ “ โคตรอร่อยเลยมึง ”

“ หน้าตามึงเมื่อกี้ก็บอกกูอยู่ ” ยิ้มกับคำพูดนั้น ผมหยิบเบียร์ขึ้นมากินสลับไปมาอย่างงั้นจนมันหมดขวด ผมเดินไปหยิบขวดที่สองขึ้นมาเปิดก่อนจะกินมันไปอีกอึกใหญ่ ท่าทางกลางสายตางุนงงของคนตรงข้ามกัน “ คือมึงเสี้ยนเบียร์ขนาดนั้นเลยเหรอ ”

“ ใช่ โคตรอยาก ” พยักหน้ารับไปอย่างมุ่งมั่นทั้งๆที่ตอแหลทั้งนั้น ผมไม่ชอบกินเบียร์ไปกินข้าวไป เพราะมันรู้สึกเสียรสชาติของอาหาร  แต่เพราะแผนก็ต้องเป็นไปตามแผน ไม่เสียสละชัยชนะก็คงไม่เกิด ผมเลยจำใจต้องยกเบียร์ขึ้นดื่มอีกครั้งก่อนจะวางมันลง แล้วหลังจากนั้นก็ทำทีเป็นหลับตาลง แสดงอาการเริ่มมึนให้อีกคนได้เห็น

“ ยังไง อย่าบอกนะว่าเมา ”

“ เมาบ้าอะไร ” โบกมือไปมาก่อนจะเอียงหน้ามองอีกฝ่ายยิ้มๆ “  ไม่เมาหรอกจ้า ”

“ เออ แต่เหมือนจะเหลือแค่อีกนิดแล้วละ  ” อาร์มมันว่าแบบนั้นก่อนจะกินข้าวเข้าไปพร้อมกับจ้องมองผม ที่ยังคงกินเบียรอย่างต่อเนื่อง “ หน้าแดงหมดแล้ว ”

“ แล้วน่ารักปะ ” ถามเย้ามันเมื่อไหร่โอกาส แต่อีกคนก็แค่เงียบไป ผมจ้องมองสายตาคมคู่นั้นที่มองกันยิ้มๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือมันที่วางอยู่ก่อนจะเอียงไปมาแบบซ้ายทีขวาทีอย่างหยอกล้อ “ ว่าไง น่ารักปะ น่ารัก ไม่น่ารัก น่ารัก ไม่น่ารัก ”

“ ถามทำไม ”

“ อื้อออออออ ก็แค่อยากรู้อะ ” พูดเสียงงอแงอีกฝ่ายก็ยิ้ม

“ ไม่อยากตอบ ”

“ แล้วทำยังไงถึงตอบละครับ พี่อาร์มตอบเมี่ยงหน่อยสิ น้า ” เอียงหน้าถามมัน แล้วเหมือนว่าท่าทางแบบนี้มันจะได้ผล อาร์มหันหน้าไปทางอื่น “ ว่าไงละครับ พี่อาร์ม เค้าน่ารักเปล่า ตอบเค้าก่อนเร็ว ” กำมือนั่นแน่นผมขยับไปมาแบบอ้อนๆ รอยยิ้มกว้างที่มอบให้มันเสียจนตาปิด ช่วงวินาทีนั้นอาร์มเองก็ดึงตัวเองเข้ามาใกล้ผม สายตาของเราจดจ้องกัน

“ น่ารักครับ ถ้าไม่ติดว่าต้นหอมติดฟันมึงอยู่ ”

ผมสะดุ้งสุดตัวลุกขึ้นนั่งในตอนที่โดนทักอย่างงั้น ท่าทางที่จะทำเป็นเมาหายสนิทอย่างปลิดทิ้ง ลิ้นชื้นถูวนไปวนมาบนฟัน ผมหยิบมือถือในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาเปิดกล้องหน้าเพื่อดูด้วยสายตาเบิกขึ้นเพราะกำลังตกใจ แต่นั่นเหมือนจะท่าทางที่ทำให้อีกฝ่ายหลุดหัวเราะ

“ ฮ่าๆ ”

“ ไหนไม่เห็นมีเลย ” ผมถาม แต่เหมือนอีกฝ่ายจะยังหัวเราะอยู่อย่างงั้นไม่ยอมตอบกัน มันดังขึ้นเรื่องๆในตอนที่อีกฝ่ายมองท่าทางเลิ่กลั่กของผม “ ไอ้สัด นี่มึงหลอกกูเหรอ ”

“ ก็เหมาะกับคนที่วางแผนจะหลอกกูดีนี่ ”

ผมนิ่งสายตาที่หลบอีกคนไปทางอื่น ไม่ต่างอะไรกับเด็กเล็กในตอนที่โดนจับได้ ผมยกเบียร์ขึ้นมาดื่มอีกครั้งเพื่อกลบเกลื่อน

“ ใครหลอกมึง กูไม่ได้...”

“ คืองี้นะ ” มือหนายกขึ้นขัดในตอนที่ผมกำลังพูด “ คือมึงคงสงสัยว่ากูรู้ได้ยังไง กูจะบอกให้ ปกติมึงไม่พูดเสียงเล็กเสียงน้อยกับกูแต่เมื่อกี้มึงพูด ข้อที่สองปกติมึงไม่ทำอาหาร แล้วก็ทำไม่เป็นด้วย มึงบอกกูเมื่อวาน แต่อยู่ๆวันนี้มึงก็ทำ ไม่ว่าคิดยังไงก็ดูออกอย่างเดียวว่ามึงคงมีแผน มึงซื้อเบียร์มากินกับข้าว ทั้งๆที่อาหารที่กินก็โคตรไม่เข้ากันกับเบียร์ หนำซ้ำ มึงยังกินเบียร์มากกว่าข้าวทั้งๆที่เป็นคนชอบกินข้าว แล้วข้อสุดท้าย ไม่มีใครมันเมากับแค่กินเบียร์โฮการ์เด้นสองขวดเล็กนี่หรอกครับคุณ ”

“ มึงแม่ง..” มือหนาเอื้อมมือมาจับมือผม อาร์มมันบีบแน่นก่อนจะเอียงไปซ้ายทีขวาทีตามคำที่พูด

“ รอบหน้าขอแผนบุกหัวใจผมใหม่นะครับ ขอที่แรงกว่านี้หน่อย บอกไว้ก่อนเลย แค่นี้ มันไม่สะเทือน ”

“ ไอ้สัด ” ตอบออกไปแบบไม่มีเสียง ท่ามกลางรอยยิ้มกว้างของคนตรงหน้าที่มองกันแบบยิ้มๆ “ ได้ ครั้งหน้า เดี๋ยวมึงเจอ ”

นั่งกินอาหารตรงหน้าด้วยใจที่เหมือนใครเอาไฟมาสุมอยู่ในอก แต่คงต่างกับคนตรงหน้าที่กำลังนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ตรงหน้าผม เรานั่งกินข้าวกันจนหมด ผมรับหน้าที่เก็บครัวเหมือนเดิม ส่วนไอ้อาร์มมันเดินไปหาแมวตัวเอง

“ แก้มหอมขา วันนี้เล่นแค่นี้พอ กลับบ้านเรากัน ”

“ เมี๊ยว ” เสียงใสที่ร้องบอก แต่เจ้าก้อนขนตัวขาวกลับวิ่งหนีการจับกุมของคนเป็นเจ้านายไปที่อื่น และไม่มีทีท่าว่าจะให้จับง่ายๆ

“ แก้มหอม ” ผมล้างถ้วยใบสุดท้ายพอดีในตอนที่ได้ยินเสียงทุ้มที่เริ่มจะดังขึ้น ไอ้อาร์มที่กำลังยืนมองเจ้าแก้มหอมที่อยู่ด้านหลังของไอ้นายท่าน

“ โคตรฉลาด ” อาร์มมันหันมองผมตอนที่เดินมายืนอยู่ข้างมัน “ น้องแก้มหอมคงรู้ว่ามึงไม่กล้าเอื้อมมือไปจับตอนที่อยู่หลังนายท่านแน่ๆ มันก็เลยไปซ่อนอยู่ข้างหลังนายท่านของกูไง ”

“ มึงไปจับแก้มหอมลงมาให้หน่อย ”

“ เรื่องอะไร ” ผมถามหน้าตาย “ กูก็กลัวนายท่านมันข่วนกูเหมือนกันนะ ”

“ แต่นี่มันแมวมึง ”

“ ไม่เกี่ยวกันหรอกน่า ” โบกมือไปมาตรงหน้าอีกฝ่ายต้องถอนหายใจ

“ กูจะกลับไปเตรียมตัว กูจะไปงานวันเกิดไอ้ดีนอีก ”

“ ตั้งกี่ทุ่ม ”

“ กูจะไปนอนก่อนสักงีบ ”

“ งั้นก็ปล่อยแก้มหอมไว้ที่นี่ก่อนก็ได้ มึงไปงานวันเกิดดีนเถอะ กูดูแลแมวให้มึงเอง ” ท่าทางลำบากใจของอีกฝ่ายหันมามองหน้าผม “ ไม่ต้องเกรงใจ กูดูแลได้ สบายมาก ไอ้นายท่านมันจะได้มีเพื่อนด้วย ”

“ แมวสามตัวในห้องเดียวกัน มึงแน่ใจนะ ว่าจะไม่เกิดปัญหา ”

“ กูคน! ” ผมย้ำอีกฝ่ายก็ยิ้ม “ ไม่มีปัญหาหรอก มันจะมีปัญหาอะไร อีกอย่างมึงไปงานวันเกิดดีนต้องนานอยู่แล้ว ก็ให้แก้มหอมอยู่ที่นี่ ยังไงก็มีเพื่อนเป็นไอ้นายท่าน แล้วก็กูไง น้องจะได้ไม่เหงา ใช่มั้ยคะ แก้มหอมขา ”

“ เมี๊ยว ”

“ เริ่ดครับ ” ชูนิ้วโป้งให้เจ้าตัวน่ารัก ผมหันมายักคิ้วใส่คุณพ่อแมวที่ก็เป็นห่วงลูกสาวเหลือเกิน “ เอาน่ากูดูแลให้เอง รับรอง ปลอดภัยหายห่วง ส่วนมึงก็ไปเที่ยวให้สนุก ไม่ต้องกังวล โอเค๊ ”

“ งั้นกูถึงแล้วกูจะโทรมา ขอเบอร์หน่อย ”

“ เชี้ย เนียนเลยวะ ” ผมพูดเย้ามัน ก่อนจะเหล่มอง “ ไลน์ด้วยปะ ”

“ ก็ดี สติกเกอร์บอกฝันดีกูมีเยอะ ”

“ เฉียบ ” พูดได้คำเดียวแค่นั้น แล้วสุดท้ายก็เอาแต่ยิ้มอย่างคนบ้าแบบที่แพ้ให้มันทุกที ก็น่าจะฟังคำเตือนของไอ้เจ้ยมันสักหน่อย  อาร์มมันไม่ใช่คนที่ผมจะเล่นด้วยจริงๆ ต่อกรด้วยยากชิบหาย ถ้าเป็นเกมส์ก็ไม่ต่างอะไรกับตัวบอส

“ กูแอดเอง ” อาร์มว่าแบบนั้น มันหยิบเอามือถือผมที่เพิ่งปลดล็อคไปโทรเข้าเบอร์ตัวเอง ไลน์ใหม่เด้งเตือนขึ้นมาในมือถือของอีกคน ก่อนมือถือผมจะถูกส่งคืนมา “ ไว้กูออกจากงานแล้วจะส่งข้อความมาบอกก่อน ”

“ โอเค ” ผมพยักหน้ารับ ก่อนที่เราจะหันไปมองแมวสองตัวที่ก็นั่งมองวิวด้านนอกอยู่ข้างกันด้วยความสุข “ ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับคุณลูกค้า เมี่ยง โรงแรมแมว จะดูแลน้องแก้มหอมอย่างดีเลยครับ ”

“ อื้ม ” พยักหน้ารับกัน ร่างสูงเดินตรงไปข้างหน้ามือที่คว้าจับลูกบิดประตูแต่ยังไม่ทันหมุนเปิด อีกฝ่ายหยุดนิ่ง อาร์มหันมามองผม “ เออ กูมีอะไรจะบอกมึงอย่างนึงนะเมี่ยง ”

“ ว่า ”

“ เป็นตัวของตัวเอง ” ร่างสูงยิ้ม “ แล้วนั่นคือมึงในแบบที่น่ารักที่สุด ”

ประตูที่ปิดลง ผมนิ่งไปอยู่นานในตอนนั้น ความรู้สึกชาที่รู้สึกไปทั้งร่างผมรับรู้ได้ดีถึงความร้อนของใบหน้าที่กำลังแดงจัด มันเหมือนเลือดทั้งหมดมารวมตัวชุมนุมกันอยู่ที่นี่ อย่างไม่มีกำหนดนัดหมายใด แล้วในตอนนั้นผมก็ได้แต่ยอมจำนน พร้อมกับถอนหายใจออกมาช้าๆ

 “ แพ้มึงอีกแล้ว ไอ้สัดเอ้ย หงุดหงิดชิบหาย ” แต่ก็มีความสุข แล้วก็หยุดยิ้มไม่ได้เลยแม้สักนาที 

............................................................

ผมหลับไปหนึ่งตื่นบนโซฟากลางห้องนั่งเล่น มือที่เกาไปบนลำคอ มองดูนาฬิกาแขวนบนฝาผนังที่บอกเวลาหนึ่งทุ่มก็ได้แต่ถอนหายใจ

“ นี่กูหลับไปนานขนาดนั้นเลยเหรอวะ ” บรือตาขึ้นมองหาแมวสองตัวที่หลับอยู่ข้างกันในที่นอนของไอ้นายท่าน เจ้าก้อนขนขดตัวกลมเป็นสายไหมหนึ่งก้อน แล้วก็ชินนาม่อนโรลอีกหนึ่งก้อน น่ารักจนอยากจะจับเข้ามาฟัด แต่คิดว่าจะตื่น ส่วนผมก็คงโดนข่วน ฐานที่รบกวนเวลาส่วนตัวคนกำลังกอดกัน

“ เจ้าพวกก้อน ” ว่าแบบนั้นก่อนจะลุกขึ้นไปดูจานอาหารที่ก็ไม่มีเหลืออะไรอยู่ในนั้น

เด็กๆกินหมดเกลี้ยง ผมเอาจานมาล้างเป็นอย่างแรก ก่อนจะเริ่มทำความสะอาดส่วนของครัว ผมเป็นคนแพ้ฝุ่น การที่คันตามตัวเป็นการบอกกใบ้อย่างนึงว่า ฝุ่นเริ่มเยอะแล้ว เพราะงั้นก็ต้องทำความสะอาด

ผมเริ่มทำความสะอาดในห้องนอนของตัวเองเป็นที่แรก ก่อนจะเดินออกมาจัดการในส่วนของห้องนั่งเล่น

เจ้าแมวทั้งหายตื่นวิ่งพล่านไปหมดในตอนที่ยินเสียงเครื่องดูดฝุ่น โดนเฉพาะเจ้าแก้มหอมที่ถึงขั้นเดินมาดู แล้วยื่นมือตีแรงๆ ลงบนเครื่องนั้น ฐานที่ส่งเสียงน่ารำคาญใจ ซึ่งต่างจากนายท่านที่ก็แค่ปรายตามองนิ่งๆ แน่นอนว่า วันก่อนผมเอาเครื่องดูฝุ่น ดูดหัวมันไป และมันก็คงจำได้ดี

“ แก้มหอมขา ไม่รู้จักเครื่องดูดฝุ่นเหรอครับ ” ถามออกไปแบบนั้น แต่พอย้ายมันจะเอาไปดูดพุง อีกตัวก็วิ่งแจ๊นไปนั่งข้างไอ้นายท่านทันที “ ดีมาก อยู่บนโซฟานั่นแหละ ถ้าลงมาจะเอาเครื่องดูดฝุ่น ดูดพุงเลยนะ ”

สองชั่วโมงผ่านไปกับการทำความสะอาด ผมเก็บขี้แมวไปทิ้งในชักโคลกเป็นอย่างสุดท้าย ก่อนจะเดินกลับมาผูกถุงขยะทั้งหมด แล้วก็ไม่ลืมหันไปบอกเจ้าพวกตัวป่วน

“ ไปทิ้งขยะก่อน เดี๋ยวเมี่ยงมานะ ” ผมเดินออกไปแบบที่เปิดประตูแง้มไว้เหมือนอย่างทุกที เพราะว่าช่องทิ้งขยะของคอนโดอยู่ไกลเท่าไหร่จากหน้าห้อง

“ มาทิ้งขยะเหรอคะ ” ป้าแม่บ้านของคอนโดที่เดินผ่านมาพอดีเอ่ยทักผมก็หันไปยิ้ม

“ ครับผม  คุณป้ายังไม่กลับเหรอครับ ดึกแล้วนะ”

“พอดีมีงานเลี้ยงนิดหน่อยกับนิติคอนโดนะคะ ” เธอตอบ “ คุณเมี่ยงละคะ กินข้าวหรือยัง ”

“ เรียบร้อยแล้วเหมือนกันครับ แต่ว่าตอนนี้เริ่มหิวอีกอีกแล้ว ” ลูบพุงเป็นการบอกใบ้ ผมก้มหน้าลงลาเธอ ก่อนจะเดินกลับมาที่ห้องของตัวเอง ปิดล็อคมันเรียบร้อย ก่อนจะสูดลมหายใจของความหอมสะอาดเข้าไปจนเต็มปอด “ กลับมาแล้วครับผมมม ไหนใครอยากจะกินขนมแมวเลียบ้างงงง ”

ไม่มีแม้แต่เงาของเจ้าก้อนขนสองตัวที่นั่งอยู่บนโซฟาดั่งเก่าก่อน ผมเหลือบไปมองตรงคอนโดก็ว่างเปล่า ในกล่องที่นอน หรือแม้แต่ใต้โซฟาก็ไม่มี ส่วนในครัวก็เงียบกริบ ห้องนอนก็ถูกปิดประตูไว้ รวมถึงประตูระเบียงก็ด้วย

“ นายท่าน แก้มหอม อยู่ไหนกันน่ะ เมี๊ยว. เมี๊ยว ออกมาได้แล้วนะ นายท่าน แก้มหอม นายท่าน แก้มหอม ”  เสียงเบาที่ลดระดับลงทุกทีวินาทีที่เอ่ยเรียก ร่างกายเริ่มชาไปหมด เสียงที่ผมตะโกนเรียกเท่าไหร่ แต่ไม่มีใครตอบกลับมา ห้องทั้งห้องนั่นว่างเปล่า และผมก็รับรู้ได้ถึงบางอย่าง

แมวทั้งสองตัวนั้น หายไป

.............................................................
อยากบอกน้องเมี่ยงว่า “ คิดจะเป็นเสือ หนูเช็คเหยื่อยัง ”
ตอนหน้า พี่อาร์ม กับ ไอ้ตัวแสบสองตัวที่หายไป
ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ด้วยนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์ หนมมี่  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 9 :: up! 17-1-63} #หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 17-01-2020 19:52:02
 :pig4: :pig4: :pig4:

น้องสองตัวแอบหนีไปเที่ยวเล่นซนที่ไหนกันหนอ?
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 9 :: up! 17-1-63} #หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 18-01-2020 00:08:32
หายจริง หรือหาไม่ดีเองนะ สงสัย ๆๆๆๆๆ  :hao4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 10 :: up! 31-1-63} #หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 31-01-2020 20:45:10
ตอนที่ 10


สถานที่ฉลองวันเกิดเป็นผับใจกลางเมืองแบบที่เจ้าของวันเกิดชอบ รถสีดำของผมจอดเทียบในช่องจอดข้างกันกับรถของดีนที่วันนี้มาถึงเร็วเป็นพิเศษ กล่องกำมะหยี่สีดำประดับด้วยโบว์สีขาวถูกวางอยู่ตรงเบาะที่นั่งข้างกัน

ผมปรายตามองมันอยู่สักพัก เพราะลังเลอยู่ไม่น้อยว่าจะเอามาติดตัวเข้าไปในงานดีหรือไม่ มันไม่มีที่แอบซ่อน เสื้อผ้าที่ใส่มาก็ธรรมดาตามแบบที่ชอบ ถ้าเป็นสูทก็คงยัดไว้ในกระเป๋าตัวใน แต่ที่ใส่มาก็แค่เสื้อยืด


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


หันไปมองเสียงเคาะกระจกรถตรงฝั่งที่นั่ง ไอ้จุ้น เพื่อนตัวเล็กยกยิ้มให้กัน จำใจให้ผมต้องลดระดับกระจกลงให้พออีกฝ่ายเห็นตรงช่วงตา แน่นอนว่าเพราะของชิ้นนั้น ผมไม่ได้อยากจะให้มันได้เห็นสักเท่าไหร่

“ มีอะไร ”

“ เฉยเมย ” มันว่ายิ้มๆ “ จะชวนเข้าไปข้างในพร้อมกัน ก็เผื่อมึงจะเหงา ”

“ อื้ม ” ตอบรับแค่นั้น ผมกดปิดกระจกแล้วสุดท้ายก็หยิบกล่องกำมะหยี่ชิ้นนั้นใส่ในกระเป๋ากางเกงที่ก็ปิดบังอะไรไม่ได้สักเท่าไหร่ แล้วลงจากรถมา

เสียงเพลงดังกระหึ่มของผับบอกกันว่านี่เป็นช่วงที่มันส์ที่สุดแล้ว เพลงแนว EDM ที่ผมไม่ค่อยชอบเข้ากับอย่างดีกับบรรยากาศของแสงสี ผู้คนที่เบียดเสียดมากมายอยู่ตรงกลางของพื้นที่นั้น โยกย้ายไปมาท่ามกลางแสงเลเซอร์ที่ฉายไปมาจนชวนให้ปวดหัว

“ สุขสันต์วันเกิดนะครับ คุณเจ้าของวันเกิด ” ไอ้จุ้นยื่นมือเข้าไปจับมือของไอ้ดีนที่ก็ยื่นมือออกมารับ แล้วยิ้มกว้าง พร้อมทั้งยกคิ้วให้เจ้าของงานในตอนที่เหลือบมองสาวข้างตัวที่ดีนพามาด้วย เป็นคำชมที่ไม่ต้องพูดอะไรให้มาก แค่สั้นๆประมานว่า ‘เด็ด ’

“ มาด้วยเว้ย ” ผมยักคิ้วในตอนที่อีกคนทัก หย่อนนั่งลงข้างไอ้โฮมที่ก็ยกแก้วเหล้าทักกัน พลางเหลือบมองสาวคนนั้นที่นั่งอยู่

จะว่าไปก็เหมือนจะเป็นคนคุ้นหน้า ผมเห็นว่าดีนคุยกับเธอมาเกือบจะครบเดือนแล้ว จำได้ว่าอีกคนเล่าว่า เธอเรียนนานาชาติเหมือนเรา แต่ยังไม่ได้ตั้งใจฟังเรื่องราวเท่าไหร่ ว่าเจอกันได้ยังไง

“ สักหน่อยมั้ย กูชงให้ ” ไอ้โฮมมันถามก่อนจะหยิบแก้วที่ว่างอยู่ขึ้นมาถามผมที่ก็ส่ายหน้าไปมาพร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบแก้วใบนั้นมาไว้ในมือแทน

“ กูจัดการเอง ”

“ มึงชงให้ไม่ถูกใจมันหรอกโฮม มันเรื่องมาก ” ดีนว่าแบบนั้นก่อนจะหันมามองผม เราที่สบตากัน ในตอนนั้น ผมยิ้ม

“ งั้นชงให้หน่อยสิ ” ผมยื่นแก้วเหล้าไปให้คนตรงหน้า

“ กูเหรอ ”

“ อื้ม เพราะถ้าเป็นมึง ไม่ว่าจะเป็นอะไรมันก็ถูกใจกูไปหมดนั่นแหละ  ” คำพูดที่ทำให้สถานการณ์อึดอัดขึ้นอย่างฉับพลัน กลายเป็นความเงียบเล็กๆในความรู้สึกแม้ว่าสภาพแวดล้อมของเรามันจะดังจนแทบจะพูดกันเบาๆไม่ได้ยิน  ดีนเองมันเลิกคิ้ว สีหน้านั้นนิ่งไป

“ หมายถึงเหล้าใช่มั้ย ”

“ แน่นอนสิ ” ผมตอบรับ “ แต่ถ้ามึงจะเหมารวมก็ได้นะ กูไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ” เสียงน้ำแข็งที่ถูกหย่อนลงไปในแก้ว ดีนดึงแก้วในมือผมไปหลังจากนั้น โดยไม่ได้แสดงสีหน้าไม่พอใจอะไร ทุกอย่างเรียบเฉยและไม่มีคำพูดอะไรที่หลุดออกมาให้ใครได้รู้สึกแปลกใจอีก

ทุกอย่างของเรา มันถูกเก็บไว้อย่างงั้น เหมือนอย่างที่เป็นมา 
เก็บไว้ใต้พรม ความรู้สึกของผมถูกซุกซ่อนไว้อย่างงั้น

เหล้าถูกรินลงไปในปริมานนึง ดีนหยิบขวดน้ำผสมลงไปอีกเล็กน้อยภายใต้รอยยิ้มที่คนร่วมโต๊ะคงคิดว่ามันแค่แกล้งกัน ทั้งที่จริงแล้วมันไม่ใช่

 ‘ อย่ากินเหล้าเพียวๆสิว่ะ มึงต้องผสมน้ำ หรืออะไรลงไปหน่อย เดี๋ยวตับมึงจะแข็งไปก่อนกูจะทำยังไง ห้ามมีใครชิงตายไปก่อนกันนะเข้าใจมั้ยไอ้สัด มึงต้องอยู่กับกูไปนานๆ  ’ 

ประโยคที่คนชอบเข้าผับเป็นชีวิตจิตใจพูดกับผม จำได้ว่าวันนั้น มันอดยิ้มกว้างไม่ได้เลย ในตอนนั้นผมสวนกลัไปแค่ ‘ ครับๆ ’ เพราะมันมีความสุขล้นอกจากความห่วงใยนั่นจนแทบจะทำอะไรไม่ถูก 

แม้ว่าจริงๆจะเกลียดชิบหายกับความห่วงใยที่อีกคนมันมอบให้กัน เพราะไม่รู้เลยว่าในสิ่งที่อีกคนพูด มันหมายถึงฐานะของอะไรของความรู้สึก

“ เดี๋ยวนะ ไอ้สัดอาร์มไม่กินเหล้ากับน้ำเปล่า ” จุ้นมันท้วง

“ ก็แม่งบอก กูชงอะไรมันก็กินได้หมดอะ ” ดีนมันว่าก่อนจะคนแก้วเหล้าของผม มันส่งมาให้

“ กวนตีน ” ว่าแบบแล้วรับมันมาจากมือของอีกคน ผมดื่มเหล้ารสชาติที่ไม่ชอบนั่น จากฝีมือคนที่ชอบ อย่างไม่ปฎิเสธใด และที่น่าแปลก คือผมสุขใจมากกว่าของที่ชอบ

“ ออกไปเต้นกันมั้ย ” เสียงของสาวที่นั่งอยู่ข้างตัวดีนเอ่ยกระซิบมันแบบเสียงไม่เบาเท่าไหร่นัก ดีนเองก็เหลือบมองพวกผมคล้ายกับจะขออนุญาตในแววตา แต่ตอนนั้นไอ้โฮมก็แค่โบกมือไล่มันไป อย่างไม่ต้องเกรงใจกัน ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเป็นผม คงอยากจะรั้งให้มันนั่งอยู่

“ งั้นเดี๋ยวกูมา ”

“ ดูแลของของมึงเถอะจ้า ไม่ต้องห่วงพวกกู ” จุ้นมันเย้า แต่อีกคนก็กระพริบตาข้างเดียวเป็นการตอบรับกลับ

“ ตามสบายนะเว้ย ไม่อั้น ”

“ เดี๋ยวจัดให้ ” โฮมบอกก่อนจะยกแก้วเหล้าที่กินจนหมดวางลงบนโต๊ะ ดีนยักคิ้วให้กัน มันเดินออกไปกลางฝูงชนที่กำลังเบียดเสียดอยู่นั้น ผมเห็นมือหนาจับเข้ากับเอวบางในชุดรัดรูปของหญิงสาวที่อยู่เคียงข้างกัน ท่าทางที่ดูเหมาะสม จนแม้แต่คนข้างกันยังอดชมไม่ได้

“ สวยจริงๆ มันหามาจากไหนเยอะแยะ แล้วคือหาเก่งชิบหายด้วยนะ แต่ละคนไม่เคยเกินสองเดือน เปลี่ยนง่ายยิ่งกว่ากูซื้อเสื้ออีก แถมแต่ละคนพรีเมี่ยมชิบหายด้วยนะ ”

“ แต่สเป็คไอ้สัดดีนก็คือสเป็คไอ้สัดดีนจริงๆนะ คือมองบุ๊ปรู้เลย ” จุ้นมันเสริมยิ้มๆ “ ตาคม ผมยาว ร่างเล็กๆ ”

“ ส่วนสเป็คพี่อาร์มที่ก็ควงกันไม่เคยเกินครึ่งเดือน ก็มองบุ๊ปรู้ปั๊ปเหมือนกันนะครับ ” เหลือบมองคนตัวเล็กที่มองกันแบบยิ้มๆ ในแววตานั้นมันเหมือนจะแซวกัน “ ขาว หมวย แล้วหุ่นก็ต้องแบบ มีน้ำมีนวลหน่อยๆ ”

“ ขาต้องสวยด้วย ” ผมบอกก่อนจะเหล่มองพวกมัน

“ แต่กูแปลกใจอยู่อย่างนะ ” จุ้นมันเอียงหน้ามองผม “ มึงก็ไม่เหี้ยนะสัดอาร์ม แต่ทำไมมึงคบใครแล้วมันไปไม่ค่อยรอดเลยวะ ทั้งๆที่ผู้หญิงที่มึงคบแต่ละคน มันก็โอเคนะ ”

“ บางทีกูว่ามันอาจจะเป็นเหตุผลอื่นละมั้ง ” คนข้างกันพูดเสียงเบา ไอ้โฮมเหล่มองผม “ ความรู้สึกรักไม่ใช่แอพในมือถือ มันกดลบออกจากหัวใจไม่ได้ง่ายๆหรอก  ”

“ พูดเหี้ยอะไรของมึง ” ผมถาม แต่อีกคนก็แค่ยักไหล่

“ เออนั่นสิ มึงพูดเหมือนไอ้อาร์มรักใครแล้ว ยังลิกรักไม่ได้ ” คนตัวเล็กอย่างไอ้จุ้นยกยิ้มมันส่ายหน้า “ คนอย่างไอ้สัดอาร์มนี่อะนะ จะไปแอบรักใครข้างเดียว กูว่านะ ก็คงมีแต่คนตัดใจจากมันไม่ขาดมากกว่ามั้ง ใครแม่งจะไม่สนใจพี่อาร์มผู้แสนดีของกูด้ายยย ”

“ แต่มันก็มีนะจุ้น ” พิงหลังลงกับเบาะที่นั่งก่อนจะมองไป ตรงคู่รักคู่นึงที่ในตอนนี้กำลังโยกย้ายไปมาตามจังหวะเพลงสนุกสนาน ตรงที่ที่มีเพื่อนสนิทของผมยืนอยู่  “ คนที่ไม่ว่ากูจะทำยังไง เค้าก็ไม่สนใจ คนคนนั้น มันก็มีอยู่เหมือนกันนะ ”

ผมจำไม่ได้แล้วว่ามันนานเท่าไหร่ อาจจะเป็นช่วงม.ปลายหรือไม่ก็อาจจะม.ต้น ที่ผมรู้สึกกับคนที่ได้ชื่อว่าเพื่อนสนิท มากเกินไปกับคำว่า เพื่อน

ความรู้สึกที่ไม่ค่อยเข้าใจ ฉายชัดออกมาในตอนนั้นที่เราเข้าชมรมฟุตบอลด้วยกัน และอาจจะเป็นวันนั้นที่ผมยิงลูกโทษไม่สำเร็จทั้งๆที่จังหวะมันโคตรสวย ผมยังจำคำด่าที่มาจากคนรอบข้างที่ไม่ได้ลงเล่นในนัดนั้นได้ดี แต่เหมือนคนที่เจ็บกว่าจะเป็นมันคนนั้น

 ดีนที่เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟายจะเป็นจะตาย แค้นใจที่ใครๆก็เอาแต่ด่าผม น้ำตาใสที่ไหลเป็นทาง ตัดกับผิวแก้มขาวที่แดงจัด ‘ คนเราแม่งก็พลาดกันได้ทั้งนั้น ทำไมเค้าต้องเอาแต่โทษมึงด้วยวะ บอลแม่งก็แค่ลูกกลมๆ ไม่ได้อยู่จุดนั้นแต่ยังมาว่ามึงอีก  ไม่ยุติธรรมเลย ’

 มันที่ว่าแบบนั้นพร้อมมือทั้งสองข้างที่ปาดน้ำตาไปมา ชวนให้ผมยิ้ม ทั้งๆตลอดวันที่พ้นผ่านมันจะเป็นวันที่โคตรแย่ และแน่นอนว่าในช่วงเวลาเดียวกันนั้น หัวใจของผม มันก็เต้นแรงเป็นจังหวะแปลกๆ

มันมีความสุขแปลกๆ ในตอนที่เราได้ใกล้ชิด และก็เศร้าแปลกๆในตอนที่มัน มีใครสักคนและให้สถานะของใครคนอื่นที่ไม่ใช่ผมนั้นว่า ‘ แฟน ’

ความรู้สึกที่เหมือนกับดอกไม้เริ่มต้นขึ้นในตอนนั้น ผมเหี่ยวเฉาราวกับยืนต้นตายในตอนที่มันมีแฟน และกลับมาบานสะพรั่งอีกครั้งในตอนที่มันเลิกกับแฟน  ทุกอย่างวนเวียนแบบนั้นอยู่เป็นปี เพราะผมเองก็กลัวและไม่กล้าเหมือนกันกับการบอกความรู้สึกนี้ที่มี เราทุกคนต่างย่อมรู้ ว่า เพื่อนที่กลายเป็นแฟน ถ้าเลิกกันไปแล้ว จะไม่สามารถกลับมาเป็นเพื่อนกันได้อีก

เพราะงั้นความกลัวจึงบีบความรู้สึกผมให้เก็บทุกอย่างไว้ จนกระทั่งความสัมพันธ์ของดีนกับนาเดียจบลง

ดีนที่ร้องไห้เสียใจอย่างหนักเพราะทำทุกวิถีทางแล้วเพื่อเอาชนะใจเธอ แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นอย่างที่หวัง ในห้องเรียนที่ไม่มีใครหลงเหลืออยู่ ใบหน้าขาวที่ซบลงกับไหล่ของผมยามนั้น ไม่ต่างอะไรกับใครเอามือมาบีบหัวใจให้เจ็บไปหมด

ไม่ชอบเลยจริงๆ ไม่ชอบเลยที่ต้องเห็นคนคนนี้ร้องไห้

‘ กูไม่ดีพอเหรอวะ ทั้งๆที่กูทำทุกอย่างแล้ว แต่ทำไมเค้ายังไม่รักกู หรือว่าเพราะคนอย่างกู มันไม่เหมาะที่จะมีความรัก ’

ประโยคนั้นชวนให้ผมถอนหายใจ ดีนที่เงยหน้าขึ้นจากไหล่พร้อมสองมือที่ปาดน้ำตาให้ออกจากแก้มขาวที่กำลังแดงกล่ำนั้น หัวใจผมก็ยิ่งบีบรัด แล้ววินาทีนั้นทุกความกลัวก็เหมือนถูกดับ ผมสารภาพออกไป

‘ ไม่ใช่ว่าไม่ดีหรอก มึงก็แค่ยังไม่เจอใครสักคนที่มันรักมึงจริงๆก็เท่านั้น ’

‘ ไม่ต้องมาปลอบเลยไอ้สัด  ใครมันจะรักคนอย่างกู ’ คำพูดที่ด่าตัวเองแบบนั้น ชวนให้ผมจ้องมองอีกคนด้วยความหงุดหงิด ทั้งๆที่อยากจะตะโกนออกไปให้สุดเสียง ว่ายืนอยู่ตรงนี้ไง ก็มีอยู่ตรงนี้ 

‘ นี่ กูมีอะไรจะบอก แต่สัญญากับกูมาก่อนได้มั้ย ว่าถ้ามึงรู้แล้ว มึงจะไม่เปลี่ยนไป’

‘อะไร’ ดีนถามกลับแบบนั้นทั้งๆที่ตามันบวมแดง ‘ คือไม่ใช่ว่ามึงจะบอกกูนะ ว่ามึงแม่งก็คบกับนาเดียเหมือนกัน ’

‘ใช่ที่ไหน’

‘ก็มึงเคยบอกกู ว่ามึงมีคนที่ชอบแล้ว’

‘อื้ม’ ผมพยักหน้ารับ ‘แต่ไม่ใช่นาเดีย’

‘แล้วใคร คนที่มึงชอบ’

‘มึง’ พูดออกไปแบบนั้นด้วยใจที่สั่นรัว มือของผมคว้าไปจับมือของอีกคนตามที่ใจรู้สึก ก่อนจะพูดย้ำออกไปอย่างจริงจัง ‘ กูชอบมึง ชอบมาตลอด อย่าบอกว่าไม่มีใครรักมึง เพราะกูนี่แหละที่รักมึง เป็นแฟนกันมั้ย เรามาเป็นแฟนกันเถอะ ’

แววตาสั่นไหวของอีกในตอนที่ฟัง ผมยังจำมันได้ดีแม้แต่สัมผัส ในนาทีที่มันหลับลงช้าๆยามที่ผมเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้แล้วจูบลงบนริมฝีปากนั้นอย่างแผ่วเบา

และนั่นก็คือครั้งแรก ที่ผมสารภาพมันออกไป ถึงความรู้สึกที่ในใจทั้งหมดมี

แต่ทุกอย่างหลังจากนั้นก็เป็นไปดั่งคำขอ ดีนไม่ได้เปลี่ยนไปหลังจากนั้น เรายังคงเหมือนเดิม ความสัมพันธ์ของเราไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปเลยสักอย่าง ไม่มีสิ่งที่บอกว่าชอบหรือไม่ชอบกับสิ่งที่ผมพูดไป และไม่มีสถานะอะไรเปลี่ยนแปลง

จนผมเริ่มไม่แน่ใจว่า ดีแล้วหรือเปล่า กับการที่ขอให้มันเป็นเหมือนเดิม หรือบางทีอาจจะดีกว่า ถ้าเราห่างกันไป

ในวินาทีของช่วงเวลาที่พ้นผ่าน ผมเอาแต่คิด

บางทีดีกว่ามั้ย ถ้าเราจะเป็นแค่คนที่เดินผ่านกันแล้วทักทาย จะเจ็บน้อยกว่านี้มั้ย ถ้าผมได้เสียใจกับสิ่งที่มันเกิดขึ้น ดีกว่ากลายเป็นคนตาบอดทางความรู้สึก ที่ไม่รู้เลยว่าจะเดินไปต่อ หรือต้องทำยังไงดี

เพราะคำพูดสั้นๆในวันที่นั้น หลังจากที่เราจูบกัน และเดินกลับบ้านด้วยกันเหมือนอย่างปกติ ตรงชานชาลาของรถไฟฟ้าที่ไร้ผู้คน

‘ มันไม่ใช่ว่าไม่ชอบ แต่ตอนนี้กูยังไม่พร้อมที่จะเลื่อนฐานะขึ้นไปเป็นแฟนของมึง รอก่อนได้มั้ยวะ มึงรอก่อนได้มั้ย จนถึงวันที่กูพร้อม ’

ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่มีกำหนด
และก็ไม่รู้เลยว่า
 สิ่งที่คิดฝันนั้นระหว่างเรา มันจะมาถึงหรือเปล่า

ก็เหมือนสินค้าที่อยู่ในร้านสะดวกซื้อ ผมไม่รู้ว่าตัวเองเป็นเยลลี่มี่ดีนชอบหรือเปล่า ผมที่ได้แต่มองดูถุงเยลลี่ที่มันหยิบออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า และได้แต่หวัง

ว่าสักครั้งที่มันเข้ามา ผมจะกลายเป็นเยลลี่ถุงนั้น ถุงที่มันเลือกไป

 “ ชนหน่อย ” เสียงแก้วที่ดังกระทบจากคนข้างๆ ผมหันไปเหล่มองไอ้โฮม คิดว่ามันคงรู้ แต่ไอ้เหี้ยนี่ก็ไม่เคยถาม ซึ่งนั่นก็ดีแล้ว “ ออกไปมั้ยจากความสัมพันธ์เหี้ยๆนี่ ”

“ พูดเหี้ยอะไรของมึง ” ว่าแบบนั้นแต่ผมก็ยกเหล้าในมือขึ้นดื่ม “ มึงคิดว่ากูไม่ทำเหรอ กูทำมาตลอด แต่แค่ไปไม่รอดก็เท่านั้น ”

ก็เคยพยายามแล้ว ที่จะดึงตัวเองออกมา เคยลองแล้วที่จะมองหาใครอื่น เปิดใจให้ใครคนใหม่  แต่ก็แค่คบใครก็ได้แค่ครึ่งเดือน หัวใจผม ไม่เคยไปได้ไกลกว่านั้น

ไม่เคยไปได้ไกลจากไอ้ดีนได้มากกว่านั้น

“ อ้าว มอส แล้วไอ้ดีนอะ ” จุ้นเอ่ยถามสาวที่เดินกลับเข้ามานั่งที่โต๊ะด้วยท่าทางที่เหนื่อยอยู่ไม่น้อย เธอสะบัดปลายผมไปด้านหลังโชว์ผิวขาวด้านหน้าพร้อมกับก้มตัวยกแก้วน้ำของตัวเองขึ้นมาดื่ม

“ ไปสูบบุหรี่น่ะ ” เธอว่าก่อนจะยิ้มกว้าง “ ร้อนมาก แต่โคตรสนุก ”

“ งั้นกูไปสูบบุหรี่นะ ” เชิดหน้าไปที่ทางออก ไอ้โฮมมันก็ยกคิ้วยิ้มๆ ส่วนไอ้จุ้นก็แค่ยกมือบอกเหมือนว่าให้ตามสบาย

ไกลออกไปจากลานจอดรถ กลิ่นบุหรี่ที่โชยมาเบาๆจากคนสองสามคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นบอกตำแหน่งที่อยู่ของอีกคน ผมสาวเท้าเข้าไปใกล้แล้วในตอนที่หยุดลงก็สบสายตากับเจ้าของวันเกิดพอดี ดีนนั่งอยู่บนราวเหล็ก ตรงข้ามมันมีผู้ชายสองสามคนกำลังยืนอยู่

“ กินไม่อั้นตามที่กูเปล่า ” อีกฝ่ายถามยิ้มๆ ผมก็ได้แต่ยิ้มตาม เป็นคนที่แค่เห็นก็เหมือนจะลืมเรื่องราวเสียใจนั้นไปได้เกือบทั้งหมด เป็นคนที่แค่เราได้อยู่ด้วยกันสองคนไม่ว่าจะเป็นสถานะไหน สำหรับผมนั่นก็มีความสุขมากอยู่ดี

“ ขอสักตัว ”

“ ย่อมได้ ” ดีนยื่นบุหรี่จากในกระเป๋าเสื้อมาให้พร้อมกับไฟเช็ค ที่นั่งจุดมันอยู่ไม่นาน ควันเบาๆก็ลอยออกมา ผมยื่นไฟเช็คส่งคืนคนข้างกัน ก่อนจะขยับตัวนั่งให้ได้ที่

กลุ่มควันและความเงียบลอยละล่องไม่มีใครเริ่มพูดอะไรก่อน จนกลุ่มคนตรงหน้าที่นั่งอยู่กลับเข้าไปด้านใน เหลือไว้แค่เราสองคนที่นั่งอยู่ข้างกัน

“ ตอนแรกกูคิดว่ามึงจะไม่มา ”

“ อะไรที่ทำให้คิดอย่างงั้น ” ผมถาม แต่เหมือนอีกคนจะแค่ยิ้ม

“ มึงไม่ชอบเที่ยวผับ ผับที่มึงชอบไปคือพวกผับนั่งชิลมากกว่าจะเป็นที่นี่ มึงเคยบอกกูว่ามึงปวดหัว ”

“ ดูรู้จักกูดี ”

“ แน่นอนอยู่แล้ว ” ยกบุหรี่ขึ้นดูดในตอนที่ตอบรับคำนั้น ผมเหลือบมองควันที่ลอยออกมาจากริมฝีปากนั้นก่อนจะถอนหายใจ

“ นี่..”

“ หื้ม ? ”

“ ตอนนี้มึงพร้อมแล้วยัง ” คำถามนั้นเหมือนจะดึงความรู้สึกมีความสุขของอีกฝ่ายให้จมลง ดีนนิ่งไปสักพักก่อนจะก้มหน้าลงแล้วถอนหายใจออกมา เถ้าบุหรี่ของผมถูกเผาร่วงตกลงสู่พื้น “ ยังไม่พร้อมใช่มั้ย ”

“ อื้ม ”

“ หรือกูควรถามใหม่ ว่ามันมีโอกาสบ้างมั้ย ที่มึงจะตอบรับรักกู ”

“ ทำไมมึงชอบพูดให้กูลำบากใจอยู่เรื่อยเลยวะ ” สายตาไร้ความรู้สึกที่หันมามองกัน ดีนมันถอนหายใจออกมาก่อนจะเคาะเอาเถ้าบุหรี่ตรงปลายออก “ มึงก็รู้ว่าตอนนี้กูทะเลาะกับไอ้เบส ขนาดมันไม่รู้เรื่องของเรามันยังแซวเลย แล้วกูก็ไม่อยากจะให้มันเป็นแบบนั้น ไม่อยากจะให้ใครๆมองมาทางเรา แล้วพูดกันว่า กูแม่งเป็นเมียมึง ”

“ อื้ม ” หลับตาลงแล้วขานรับในคอแบบสั้นๆอย่างไม่อยากจะยอมรับ “ เพิ่งรู้ว่าความรักแม่งเกี่ยวกับความเท่ แล้วก็ไม่เท่ด้วย เพิ่งว่าเรื่องของกูกับมึง มันเกี่ยวกับคนอื่นด้วย เพราะกูเข้าใจมาตลอดเลยว่ามันเป็นเรื่องของเราแค่สองคน ”

“ มึงแม่งไม่เข้าใจ ” อีกคนบอกปัด ผมก็ได้แต่พยักหน้ารับ

“ อื้ม ก็คงเป็นอย่างงั้น ”

“ อาร์ม..”

“ ก่อนหน้านี้มึงบอกว่าถ้าเราคบกันก็อยากจะอยู่ในคอนโดที่เค้าให้เลี้ยงสัตว์ได้ เพราะมึงบอกว่า มึงอยากจะเลี้ยงแมว แล้วก็อยากจะฝึกมัน ให้มันขานรับเวลาที่มึงเรียกหา ” ผมสูดบุหรี่เข้าไปในปอดครั้งสุดท้ายก่อนจะปล่อยควันเบาๆนั้นออกมา ก้นบุหรี่ถูกทิ้งลงกับพื้น “ รู้มั้ยว่าทุกอย่างมันพร้อมหมดแล้วนะ เหลือแค่มึงคนเดียวเท่านั้น ”

“ มึงแม่ง ก็บอกว่าอย่ากดดัน มึงก็รู้..”

“ สุขสันต์วันเกิด ” ผมพูดออกไปอย่างงั้นในตอนที่ยื่นกล่องกำมะหยี่สีดำที่เดินเข้าไปในร้านแล้วตั้งใจเลือกมาอย่างดีเพื่อวันที่สำคัญที่สุดของคนที่ตัวเองรัก ก่อนที่ผมจะอยากหายไปจากตรงนี้ ด้วยคำพูดซากซ้ำที่อยากจะตะโกนออกไปแค่ว่า ‘ พอแล้ว มึงแค่บอกว่าไม่รัก ทุกอย่างมันก็จบ ดีกว่ายกคำอ้างที่เหมือนว่าจะดูดีแต่จริงๆกลับไม่ใช่ ’

“ อะไรวะ ”

“ ของขวัญไง ” เชิดหน้าบอกอีกคน “ ตั้งใจเลือกมากเลยนะ แต่ไม่รู้จะชอบหรือเปล่า ”

“ กูเปิดดูนะ ”

“ อื้ม ” ยักคิ้วให้อีกคน ดีนในตอนนั้นดึงโบว์สีขาวที่เปิดอยู่นั่นออก มันเลิกคิ้วน้อยๆในตอนที่ได้เห็น ก่อนจะพูดแบบไม่เต็มเสียงนัก

“ แหวน เหรอวะ ”

“ อื้ม ” ผมพยักหน้ารับ “ มีสร้อยคอด้วยอยู่ด้านล่าง เพราะมึงคงไม่กล้าใส่แค่แหวน ” ดีนเงยหน้ามองผม “ คือ กูพยายามไปเลือกอย่างอื่นแล้ว แต่ก็มีแค่แหวน ที่พอเห็นแล้วก็อยากจะให้มึง ”

“ ขอบใจ ” พูดสั้นๆแค่นั้น ผมถอนหายใจออกมาก่อนจะเงยหน้ามองฟ้า

รู้สึกพูดไม่ออกเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ผมรู้สึกตัวผมสั่นไปหมดคล้ายราวกับมีก้อนกลมๆอัดแน่นอยู่ทั่วร่าง ประโยคที่อีกคนพูดอ้างปฎิเสธวนเวียนในสมองเหมือนกดปุ่มเล่นซ้ำในโปรแกรมเพลง ตรงประโยคที่อีกคนพูดว่า ‘ ไม่อยากจะให้ใครมองมา แล้วพูดกันว่า กูแม่งเป็นเมียมึง ’ แต่ทั้งๆที่กู อยากจะบอกคนทั้งโลกใจจะขาด ว่ากูรักมึงมากแค่ไหน

“ อาร์ม ”

“ ขอจูบหน่อยสิ ” ฝ่าเท้าหนุมตัวไปหาอีกคน และอย่างไม่ทันให้ตั้งตัวอะไร ผมคว้าเอามือที่กำลังจะปัดป้องนั้นไว้  จับกุมมันด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่ผมมีแล้วบดเบียดริมฝีปากลงบนริมฝีปากนุ่มที่โหยหานั้น ลิ้นชื้นไม่ได้แทรกเข้าไปมันถูกปิดกั้น แต่นั้นก็ไม่ต่างอะไรกับใจของผม

“ พอแล้วไอ้สัด เดี๋ยวมีใครมาเห็น ” มือที่ผลักอกผมให้ห่างออก เอาจริงๆก็ไม่ต่างอะไรกับกำแพงสูงเลียดฟ้าเลยสักนิด กำแพงที่ไม่ว่าจะพยายามปีนป่ายขึ้นไปเท่าไหร่ ก็ถูกผลักให้ตกลงมาเสียทุกครั้ง

“ บอกกูมาจริงๆได้มั้ย กูแม่งมีหวังอยู่เท่าไหร่วะ ที่มึงเอาแต่พูดว่ายังไม่พร้อม  คือยังไม่พร้อมจริงๆ หรือว่ามึงแค่กลัวจะเสียกูไป ถ้าบอกออกไปตรงๆว่าไม่ได้คิดอะไรกับกู ”

“ แล้วถ้ากูบอกไป มึงสัญญาได้มั้ยละ ว่ามึงจะไม่เปลี่ยนไป ”

กลายเป็นความเงียบงันในตอนที่ผมได้ยินประโยคนั้น ประโยคที่มันคล้ายกัน กับคำที่ผมสารภาพรักอีกคนไป

คำสารภาพรักที่ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้รับคำตอบ

ทุกอย่างรอบข้างมันเหมือนหายไปหมด เสียงรถราหรือแม้แต่เสียงดังกระหึ่มของบทเพลงในผับก็ดับลง ทุกอย่างรอบข้างเรากลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่า มีเพียงแค่ผมกับดีน ที่ก็ไม่รู้เลยว่าจะตอบรับคำพูดนั้นดีมั้ย

“ ว่าไง ถ้าตอบตกลงว่าจะไม่เปลี่ยนไป กูจะบอก ”

“ อื้ม ” ก็คงไม่เจ็บมากกว่าที่เป็นอยู่หรอก ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในสมองของผม “ ว่ามาสิ ”

“ กูไม่ได้รู้สึกกับมึงแค่เพื่อนหรอก แต่ว่าตอนนี้มันไม่ได้มากขนาดนั้น ไม่ได้มากขนาดที่มึงรู้สึกกับกู ”

“ แล้วเมื่อไหร่มันจากมากได้เท่าที่กูรู้สึกวะ ”

“ ไม่รู้เหมือนกันว่ะ ”

ก็เพิ่งรู้ ที่บอกว่า เจ็บมาก ยังเจ็บได้มากกว่าที่เป็นอยู่

“ เข้าใจแล้ว ” หันหลังเดินออกมาจากอีกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น ผมไม่ได้ยินเสียงเรียกที่ตะโกนมา ผมแค่รู้สึกว่าตัวเองต้องออกจากตรงนั้น และต้องไปให้ไกลก่อนที่น้ำตานั่นจะไหลออกกมา
 
น้ำตาที่น่าสมเพชของผม

คนที่ยังคงอยู่ในร้านสะดวกซื้อของดีน คนที่ไม่ถูกเลือก และไม่รู้เลยว่าในอนาคต จะเป็นถูกเลือกหรือเปล่า

หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 9 :: up! 17-1-63} #หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 31-01-2020 20:46:59
 
ครืน ครืน ครืน


เสียงโทรศัพท์ดังอยู่ในกระเป๋ากางเกงของที่พิงร่างอยู่ภายในรถตัวเองด้วยความเงียบเชียบ ลมหายใจที่ผ่อนออกมา เบื่อหน่ายแม้แต่จะเอื้อมหยิบโทรศัพท์ที่อยู่กับตัวขึ้นมากดรับ แต่ดูเหมือนว่าปลายสายจะไม่มีทีท่าว่าจะวางมันไป

“ จิ๊ ” ส่งเสียงขัดใจในความรำคาญนั้นออกจากปาก จนสุดท้ายผมก็ดึงมันขึ้นมาดู เบอร์ที่ไม่คุ้นปรากฏอยู่บนหน้าจอ มันเป็นเบอร์ที่ผมไม่ได้บันทึกไว้

“ ครับ ” กรอกเสียงไปตามสายหลังจากที่กดรับ แต่เหมือนปลายสายที่โทรเข้ามาจะมีแต่ความเหนื่อยหอบ “ ฮัลโหล ”

“ มึง ” เสียงคุ้นหูที่ลอดผ่านสายมา ผมดึงมือถือออกมาดูอีกครั้ง และด้วยความมั่นใจเท่าไหร่ ผมเอ่ยเรียกคนที่คิดว่าเป็นเจ้าของเสียง

“ เมี่ยง ”

“ อื้ม ” เสียงตอบรับที่แสนจะเบานั้น แต่ยังไม่ทันจะได้ถามเกิดอะไรขึ้น อีกฝ่ายก็ตอบกลับมาก่อนด้วยเสียงถอนหายใจและความพูดสั่นเครือแสนร้อนรน “ มึง นายท่านหายไป นายท่านกับแก้มหอม น้องหายไปจากห้องกู กลับมาช่วยหากันได้มั้ย กูไม่รู้จะทำยังไงแล้ว กูหาน้องทั้งห้องแล้ว แต่กูก็ยังหาน้องไม่เจอเลยมึง น้องหายไปไหนก็ไม่รู้ ”

“ แล้วมึงดูยังไงของมึง ” ผมเผลอถามออกไปด้วยความหงุดหงิด “ คือทีหลังถ้าดูไม่ได้ก็ไม่ต้องเสนอหน้ามาให้ความช่วยเหลือ จำไว้! ” 

กดตัดสายนั่นลงก่อนจะโยนมือถือไปไว้ข้างตัว ผมถอนหายใจออกมาก่อนจะตีมือเข้ากับพวงมาลัยรถอย่างแรง ความหงุดหงิดพุ่งพล่านไปทั่วสมอง ความรู้สึกที่อยากจะกร่อนด่าโลกทั้งใบมันอัดแน่นอยู่เต็มความใจ แต่ในวินาทีนั้นก็เหมือนจะทำได้แค่กลืนน้ำลายลงสะกดกลั้นมันไว้ ก่อนจะปรับโหมดเกียร์แล้วขับมันออกไปจากผับด้วยความเร็ว

ประตูลิฟต์เปิดออกในตอนที่ถึงชั้นของห้องพัก ร่างขาวคุ้นตายืนอยู่หน้าลิฟต์ เมี่ยงมันผ่อนลมหายใจออกมาในตอนที่เห็นผม แววตายินดีที่ไม่มีปิดบัง ร่างขาวเดินตรงมาจับเขาที่แขน เสียงเบาหวิวของมันเอ่นเรียกผม

“ มึง..”

“ ดูแลแมวยังไงของมึง ” ในตอนนั้นผมตะคอกอีกฝ่ายออกไป “ แมวแค่สองตัว มึงดูมันยังไงวะ ถึงทำให้หายไปได้อะ ”

“ คือ..” เจ้าแววตาเรียวที่พูดอะไรไม่ออก มันได้แต่นิ่ง แล้วในตอนนั้นผมก็ดึงมือของมันให้ออกจากตัวไป

“ กูแม่งไม่น่าไม่ใจมึงเลย แล้วทีหลังก็ไม่ต้องสะเออะแล้วก็เสนอหน้ามาขอดูแลแมวกูอีกนะ ดูแลแมวตัวเองยังดูแลไม่ได้ แล้วเสือกที่จะขอมาดูแลแมวคนอื่น ถ้าแก้มหอมหายไปจริงๆ มึงจะรับผิดชอบยังไง ห๊ะ! มึงจะรับผิดชอบยังไงถ้ามันหายไปจริงๆ มึงแม่ง..” ผมนิ่งไปในตอนที่เห็นคนตรงหน้านิ่ง เมี่ยงไม่เถียงอะไรผมเลยสักคำมันเอาแต่ยืนนิ่ง และก้มหน้า น้ำตาใสที่ไหลออกมาของมัน

ก็รู้ว่าไม่ได้ตั้งใจ มันไม่มีใครอยากจะให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นแต่ความรู้สึกของผมในตอนนี้มันก็พะรุงพรังหลายเรื่องจนทำได้แค่ถอนหายใจออกมา ก่อนจะยกมือขวาขึ้นลูบหน้าของตัวเอง ผมขยี้หัวจนมันยุ่ง

“ โธ่เว้ย!! ” ฟาดเข้ากับกำแพงอย่างแรงจนคนที่ยืนตรงหน้าสะดุ้ง ในตอนนั้นเมี่ยงเริ่มสะอื้น ตอนที่พูดออกมาจนแทบไม่ได้ยิน

“ ขอโทษ..” มันว่าแบบนั้นแต่ก็ยังก้มหน้าก้มตาไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาแต่อย่างใด “ กูขอโทษที่ทำแมวมึงหาย แต่กูไม่ได้ตั้งใจ กู อึก กูแค่คิดว่า กูออกไปทิ้งขยะ แปปเดียว ปกติไอ้นายท่านก็ไม่เคยออกไปไหน กูเลยเปิดประตูไว้ กูไม่คิดว่ามันจะหนีออกไปจริงๆนะ กูขอโทษ อาร์ม กูขอโทษ อึก ฮือๆ ” มือเล็กจับเข้าที่ชายเสื้อของผม มันที่กำไว้แน่นแบบนั้น ชวนอารมณ์ที่กำลังพุ่งขึ้นสูงลดระดับลงอย่างฉับพลัน ผมถอนหายใจ

“ แล้วมึงหาดีแล้วเหรอ ”

“ ดีแล้ว ” มันพยักหน้ารับทั้งน้ำตา ผมเดินผ่านมันเข้าไปในห้องของอีกคน แต่ทว่าขาก็หยุดนิ่งกับสภาพที่เห็น ห้องของเมี่ยงรกไปหมด เหมือนก่อนหน้านี้เจ้าของค้นหาแมวแบบชนิดที่เรียกว่าทุกซอกทุกมุมที่คิดว่าแมวสองตัวจะซ่อนตัวอยู่ได้

“ ขอโทษจริงนะมึง กูขอโทษจริงๆนะ ” มันว่าแบบนั้นในตอนที่มายืนอยู่หลังผม “ อาร์ม..” มือเล็กชื้นเหงื่อจับเข้าที่มือของผม

เพิ่งมองได้ชัดก็ตอนที่มาอยู่ใต้ไฟ ใบหน้าขาวที่เคยดูน่ารักตอนนี้มันดูแทบไม่ได้ หน้าของเมี่ยงมีแต่คราบน้ำตา มันคงร้องไห้พร้อมทั้งหาเจ้าแมวสองตัวนั้นไปเป็นสิบๆรอบ สังเกตได้จากมือแดงๆที่มีแผลจากการบาดเล็กๆ

มันเองก็คงกลัว และสิ่งที่กลัวที่สุดมันไม่ใช่แค่ไอ้นายท่านหายไป แต่เป็นเจ้าแก้มหอม แมวของผมที่อีกคนเป็นคนรับฝากไว้แล้วบอกกันเป็นมั่นเป็นเหมาะ ว่าจะดูแลอย่างดี

“ หึ ” หลุดยิ้มออกมาเสียแบบนั้นอย่างคนที่อดไม่ได้ ผมหัวเราะก่อนจะหันไปทางอื่นอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ ท่าทางที่ทำให้เมี่ยงถึงกับเอียงหน้างงแล้วถามด้วยเสียงเครือ

“ หัวเราะทำไม มีเหี้ยอะไรน่าตลกวะ ”

“ หน้ามึงไง ” บอกแบบนั้นก่อนจะยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้อีกคน “ ดูไม่ได้เลย หน้าก็เมือก ตาก็แดง ไอ้คนน่ารักก่อนหน้าที่กูจะออกไปข้างนอก มันหายหัวไปไหน ”

“ หายหัวไปพร้อมกับแมวมึงที่หายไปไงไอ้หน้าเหี้ย อึก ฮือๆ กูกลัวจะตายแล้ว มึงยังมาเล่นแบบนี้อีก ไอ้สัด ” ตีเข้าที่อกผมในตอนที่พูด ตอนนั้นผมที่มองไปรอบๆห้อง มันไม่มีพื้นที่ไหนที่เมี่ยงไม่หา ทุกอย่างกระจัดกระจายราวกับถูกรื้นค้น แม้แต่ในที่ที่เล็กที่สุดก็เหมือนจะถูกมันค้นจนหมดแล้ว

“ ลงไปถามนิติคอนโดยัง ”

“ ยัง ” เมี่ยงส่ายหน้า “ ก็มันจะลงไปข้างล่างได้ไง แมวมันลงลิฟต์ไม่ได้หรอกมึง ” เมี่ยงว่าพร้อมกับสูดน้ำมูกเข้าไป “ แล้วกูนะ ก็เคาะประตูห้องทุกห้องในชั้นนี้แล้ว แต่ก็ไม่มีใครเห็นเลยมันเลยสักคน ”

“ แล้วงั้นมันจะหายไปไหนได้ คอนโดมันปิด ประตูฉุกเฉินก็ไม่ได้เปิดไว้ มึงเช็คห้องแม่บ้านยัง ”

“ เช็คแล้ว แต่ไม่มี ”

“ ก็ลองไปถามดูก่อน ” ว่าแบบนั้นผมตัดสินใจเดินออกไปจากห้อง เมี่ยงที่เดินตามมันมันล็อคประตูห้องตัวเองก่อนจะวิ่งมายืนต่อด้านหลังด้วยท่าทางที่เป็นกังวล มือสองมือที่กำกันไว้แน่น ปากสีสวยท่องออะไรสักอย่างที่ผมคิดว่าคงเป็นบทสวดมนต์หรือไม่ก็คำภาวนาที่ขอให้เจ้าของสองตัวนั้นปลอดภัย

ความเงียบเชียบในลิฟต์ไม่มีใครพูดกับใคร ผมเพิ่งสังเกตว่าเล็บของเมี่ยงหดสั้นไปหมด เหมือนมันจะกัดในตอนที่เป็นกังวล

“ นี่ ” เอื้อมมือไปจับมือของอีกคน ผมกดเข้าที่เล็บนิ้วโป้งอีกคนก็แสดงสีหน้าเจ็บขึ้นมาแทบจะทันที “ เจ็บมั้ย ”

“ เจ็บสิไอ้สัด ” ว่าแบบนั้นก่อนจะหันมองลิฟต์ที่ค่อยๆลดระดับลงเรื่อยๆ เมี่ยงมันถอนหายใจ ท่าทางที่ดูอยู่ไม่สุก ในตอนนั้นผมก็บอก

“ ไม่เป็นอะไรหรอก ” ยกคิ้วบอกอีกคนที่หันมาจ้องหน้า “ ยังไงเราก็ต้องเจอมัน ”

“ แล้วถ้าไม่เจอละ ” เสียงเบาๆที่ถามออกมา ในตอนนั้นตัวลิฟต์ที่เปิดออกเราที่เดินออกไปแต่อีกคนกลับหยุดนิ่งอยู่ที่ประตูหน้าลิฟต์ตรงนั้น มันถามย้ำ ด้วยเสียงที่แทบจะไม่ได้ยิน “ แล้วถ้าไม่เจอละมึง ”

“ ต้องเจอ ” ย้ำแค่นั้น ผมเดินตรงไปที่ออฟฟิศของคอนโด เมี่ยงที่เดินตามหลังว่าผ่อนลมหายใจออกมาไม่ต่างอะไรกับเด็กเล็กๆ ที่ชอบแอบอยู่หลังผู้ใหญ่ คนที่เคยบอกปากดีกลัวดีนบ่อยๆ หายไปไหนไมรู้ หรือแม่แต่คนน่ารักที่คอยเอาแต่มุขเดิมๆมาเล่นเพื่อทำให้ผมตกหลุมรัก ตอนนี้มันเหลือแค่ร่างเด็กน้อยเท่านั้น แล้วมันก็อดยิ้มไม่ได้เลย ในตอนที่มือเล็กๆนั่น จับเข้าที่ชายเสื้อของผมแล้วกำมันไว้แน่น

“ ขอโทษนะครับ ” ผมเอ่ยทักพี่คนที่อยู่ด้านในและเหมือนกำลังก้มหน้าก้มตาทำอะไรสักอย่าง ใบหน้าของเธอที่เงยขึ้นมา

“ คะ ? ”

“ พอดีแมวผมหายออกไปจากห้องครับ ไม่ทราบว่ามีใครเอาแมวมาฝากไว้ที่นี่มั้ยครับ หรือว่ามีใครมาแจ้งว่าเจอแมวสองตัว ”

“ น้องแมวแบบไหนคะ ” เธอถาม

“ แมวเปอร์เซียขนยาวสีขาว ตาสีเหลือง แล้วก็แมวตัวสีเทาพาดลายดำ ตาสีเหลือง สองตัวครับ ”

“ เดี๋ยวถามพี่อีกคนด้านในให้ รอสักครู่นะคะ ”

“ ครับ ” ผ่อนลมหายใจออกมาในตอนที่ตอบรับ เรายืนรออยู่ด้านหน้านั้นไม่นานร่างจนขนปุยสีขาวก็ถูกอุ้มออกมาพร้อมกับไอ้ตัวแสบของคนที่เอาแต่ยืนร้องไห้อยู่ด้านหลัง  “ เมี่ยง ” เอ่ยเรียกอีกคนที่ก็เอาแต่ก้มหน้าแล้วสวดภาวนา ผมยิ้ม “ นี่ เงยหน้าขึ้นมามองอะไรนี่ก่อน ”

“ อะไร ” มันถามก่อนจะนิ่งไปในตอนที่สายตานั้นเห็นเข้ากับแมวสองตัวที่เจ้าตัวตามหาแบบที่แทบจะพลิกแผ่นดิน

“ บอกแล้ว ยังไงก็ต้องเจอ ” สายตาใสสั่นไปมาในตอนที่เดินเข้าไปใกล้เจ้าตัวยุ่ง เมี่ยงเอื้อมมือตัวเองไปรับเจ้าสองตัวนั้นมากอด มันที่ทรุดลงกับพื้นเพราะความโล่งใจ

“ ป้าแม่บ้านแกเห็นมันเดินอยู่ตรงทางเดินน่ะค่ะ เธอจำได้แล้วว่าเป็นแมวของคุณอาร์ม แต่ก็เห็นว่าคุณอาร์มออกไปข้างนอกก็เลยเอามาฝากไว้ รอคุณอาร์ม ” พี่คนดูแลบอกยิ้มๆ พลางดูเมี่ยงที่กอดเจ้าแมวสองตัวนั่นไว้ “ แต่แมวตัวลายเธอไม่รู้ว่าเป็นแมวของใคร แต่มันก็เอาแต่ข่วนขากางเกงป้าเหมือนจะบอกให้ปล่อยเจ้าตัวขาวลง ก็เลยต้องเอาตามมาด้วยน่ะค่ะ ”

“ แมวของเมี่ยงน่ะครับ ” ผมบอกแบบนั้นก่อนจะเชิดหน้าไปหาอีกคน ที่ตอนนี้สะอื้นร้องไห้ออกมาเสียงดังแบบที่ไม่อายใครหน้าไหนที่เดินผ่านไปมาทั้งนั้น  สองมือขาวที่กอดทั้งแมวของตัวเองแล้วก็แมวผมไว้แน่นแบบแนบอก

“ พวกมึงหายไปไหนมา ทำไมพวกมึงใจร้ายขนาดนี้ ไอ้แมวเวร รู้มั้ยกูหาพวกมึงจนทั่วเลย ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ อย่าหายไปไหนอีกนะ อึก อึก ถ้าหายไปอีก กู กูจะไม่ให้กินขนมเลย อึก อึก เข้าใจมั้ย อย่าหายไปอีกนะ อย่าหายไปอีก อึก โล่ง โล่งอกไปที พวกมึงกลับมาแล้ว อึก ฮือๆ  ”

ท่าทางน่าอายแต่ผมก็แค่ย่อตัวลงนั่งข้างๆ มองดูคนร้องห่มร้องไห้ที่ไม่ต่างอะไรกับเด็กสามขวบ เป็นภาพเดียวในตอนนี้ที่ชวนให้ยิ้มกว้าง หลังจากที่เจอเรื่องเหี้ยๆมาทั้งคืน แต่จะว่าไปมันก็เหมือนกับตอนนั้นเลย ตอนที่ดีนร้องไห้ให้ผม ความรู้สึก มันคล้ายกันกับตอนนั้น 

“ มึง ขอโทษอีกทีนะ ที่ทำให้แมวมึงหาย ” เมี่ยงมันว่าแบบนั้นตอนที่เราขึ้นลิฟต์มาถึงหน้าห้อง ผมก้มมองดูเจ้าแก้มหอมที่อยู่ในอ้อมกอดก่อนจะยักไหล่ส่งให้ไป

“ ก็เจอแล้วนี่ไง ” ผมว่า “ แต่ก็ขอโทษทีแล้วกัน เรื่องที่ด่ามึงไปขนาดนั้น เอาจริงๆ กูก็คงผิด เพราะกูก็ตอบตกลงให้มึงเลี้ยง ”

“ มึงไม่ผิดหรอก กูเองก็คะยั้นคะยอเองที่จะเอามามันเลี้ยง แล้วก็ดูแลไม่ได้ ”

“ แล้วจะเอายังไงต่อ ” เชิดหน้าไปที่ประตูห้องมันอีกคนก็ขมวดคิ้ว

“ อะไรจะเอายังไงต่อ ” เมี่ยงถามในตอนที่เปิดประตูเข้าไปในห้องตัวเอง ร่างขาวนิ่งแบบนั้นอยู่นานก่อนจะหันมาเหลือบมองผม

“ ห้องมึงเละขนาดนั้น กว่าจะจัดเสร็จก็คงเช้า ” พูดแบบนั้นก่อนจะเชิดหน้ามองประตูห้องตัวเอง “ มานอนห้องกูก่อนมั้ยละ พรุ่งนี้ถ้าไม่มีเรียนก็จัดห้อง เดี๋ยวกูช่วยเอง ”

“ ชวนกูไปนอนที่ห้อง...” เมี่ยงพูดเสียงเบาๆ มันที่มองกันด้วยสายตายิ้มๆ แบบที่อยากจะแกล้งกันให้ใจเต้นแรงแต่ไม่สำเร็จมาตลอด แต่ทว่าตอนนี้ แววตาบวมที่เสริมให้มันดูน่ารัก แก้มขาวที่แดงจัด กับรอยยิ้มน่ารักที่ยิ้มหวานให้กันนั่น  “ ถามจริงๆน้า มึงคิดอะไรกับกูอยู่หรือเปล่า ”

“ คิดเหี้ยอะไร ” ในตอนนั้น ผมที่ตอบกลับออกไปแบบทันทีด้วยเสียงทุ้มที่หนักแน่น กับใบหน้าที่แดงจัด และหัวใจที่เต้นแรง


……………………………………………….

อยากดึงพี่อาร์มเข้ามากอด ถึงจะพูดไม่ได้ว่า ไม่เป็นไรเพราะมันเป็น
แต่มันต้องมีสักวันที่เรามูฟออนออกมาได้แหละ #บีบมือ

ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ด้วยนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์จ้า  :pig4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 10 :: up! 31-1-63} #หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: bigbeeboom ที่ 31-01-2020 21:47:01
ตอนนี้มีชัดเจนสำหรับอาร์ม ไปต่อเห่อะ ปล่อยดีนไป...
เมี่ยง น่ารัก น่าสงสารมากเลยตอนนี้ รอตอนหน้านะจ้ะ อยากรู้อาร์มมูฟยังไง
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 10 :: up! 31-1-63} #หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 31-01-2020 22:16:10
 :pig4: :pig4: :pig4:

อาร์มก็มาอยู่กับน้องเมี่ยงเถอะ

ปล่อยดีนไปอยู่กับเบสไป  เหตุผลที่ดีนไม่ลึกซึ้งกับอาร์มสักที  คงเป็นเพราะเบสแน่ ๆ ฟันธง
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 10 :: up! 31-1-63} #หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 01-02-2020 00:24:17
ได้รู้อันดับชั้นวงค์วานวิฬาแล้ว น้องเมี่ยงมีแววโดนแมวคุมแล้ว  :laugh:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 10 :: up! 31-1-63} #หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 03-02-2020 21:23:34
ชัดเจนกับความรู้สึกตัวเอง เคลียร์ตัวเองให้จบก่อนเด้อ ก่อนจะมายุ่งกะเมี่ยงอะ
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 11 :: up! 7-2-63} #หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 07-02-2020 20:40:55
ตอนที่ 11
‘น่ารักว่ะ’   ในที่สุดความคิดที่ไม่อยากให้ลอยเข้ามาในหัว  ก็ลอยเข้ามาจนได้ ผมถอนหายใจกับตัวเอง พลางกลั้นยิ้มที่อยากจะฉีกออกมากว้างในตอนที่ได้เห็นสภาพของคนตรงหน้านี้ แต่ก็ทำได้แค่ ทำทีเป็นมองไปทางอื่น 

“ ช่วยหลบหน่อย ” หลีกตัวตามคำพูดของคนตัวขาวที่ก็พยายามเอาของที่หอบมาเดินผ่านประตูหน้าของห้องผมเข้ามาด้านในให้ได้

ใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตาก่อนหน้านี้เหือดแห้งไป เมี่ยงอาบน้ำแล้ว และกำลังอยู่ในชุดนอนลายลูกหมีแบบผ้าซาตินลื่นๆที่ดูใส่สบาย แขนข้างขวาของมันหนีบหมอนหนุนใบขนาดกลางสีขาว ส่วนแขนอีกข้างหนีบสิ่งที่ผมคิดว่าน่าเมื่อก่อนมันน่าจะเป็น ตุ๊กตาหมี แต่สภาพของมันตอนนี้นั้น ไม่น่าจะเรียกว่าอะไรแบบนั้นสักเท่าไหร่

“ นั่นคือเหี้ยอะไร ” เชิดหน้าไปทางตุ๊กตาตัวนั้น เมี่ยงก็ตาโตก่อนจะดึงมันมากอดไว้แน่น

“ มึงแม่ง อย่าว่าน้องกู ”

“ น้องเหี้ยอะไร โตขนาดนี้ยังติดตุ๊กตาเน่าอีกเหรอ ”

“ ไม่เน่า! ไอ้สัด ” อีกคนเถียงหน้าจริงจัง

“ แล้วสภาพมันคืออะไรก่อน ” ผมเชิดหน้าถาม คนที่อุ้มมันอยู่ก็ก้มหน้าลงมองตุ๊กตาตัวเอง เมี่ยงจูบลงไปบนหัวของสิ่งที่มันเรียกว่าน้อง แล้วก็หันมาย้ำกับผม

“ อย่าว่าน้อง น้องน่ารักจะตาย ”

“ น่ารักตรงไหน ดูแทบไม่ออกว่าตัวเหี้ยอะไร ” ว่าแบบนั้นแต่เหมือนคนเป็นเจ้าของจะยิ่งหงุดหงิด แววตาเรียวตั้งท่าเถียงกันด้วยใบหน้าที่แสนจะจริงจัง เหมือนเด็กตัวเล็กๆที่เวลาใครมาพูดถึงตุ๊กตาตัวเองให้เสียหาย

“ น้องคือตุ๊กตาหมี ” ยังคงย้ำกันแบบนั้น ก่อนจะชูเจ้าตัวที่มันเรียกว่าน้องให้ผมดู ด้วยหน้าตาแสนภูมิใจแล้วนั่น ก็ทำให้ผมหลุดยิ้ม กับสภาพของเจ้าตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลตัวย้วยที่ก็ใส่เสื้อยืดสีแดงที่ก็คงจะเป็นเสื้อของมันตอนเด็กๆ

“ น่ากลัว อย่าเอามาใกล้กูนะ ” บอกพลางดึงตัวเองออกห่าง เมี่ยงก็ถลึงตาใส่ “ ยังกับตุ๊กตาทำคุณไสย ”

“ มึงแม่ง อย่าว่าน้อง! ” ย้ำกันแบบนั้นเสียงดัง ผมก็ได้แต่ยิ้ม

“ เอาแม่งไปเก็บไป แล้วมาทำแผลให้กูได้แล้ว ”เชิดหน้าไปทางห้องนอนของตัวเอง ก่อนจะชูมือข้างที่โดนไอ้ตัวลายที่ตอนนี้กำลังวิ่งไล่จับกับคนสวยของผมที่ก็ดูท่าทางมีความสุขเหลือเกินจนชวนให้หงุดหงิด

แล้วโดยเฉพาะกับตอนนี้ที่แก้มหอมกำลังเลียขนให้อีกตัวซ้ำไปซ้ำมาด้วยความรักแบบออดอ้อนตามนิสัย ส่วนไอ้ตัวกวนตีนมันก็แค่จ้องหน้าผม ด้วยท่าทางแบบที่สองมือไขว่ทับกันอย่างเหนือกว่า

“ เดี๋ยวมึงจะโดน ” ผมบอกมันที่ก็ไม่มีความกังวลใด หนำซ้ำแค่ยังล้มลงนอนยาวส่ายหางไปมา ทำตัวตามสบายๆอย่างไม่สนใจ

“ เหมือนมันบอกมึงเลย ” เมี่ยงที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องพูดขึ้น ผมก็หันไปมอง อีกฝ่ายปิดประตูห้องนอนลงพลางยิ้มแห้งๆ “ เหมือนไอ้นายท่านกำลังตอบมึงว่า ‘อ๋อเหรอครับ’ ”

“ หรือกูควรเตะมึงแทนดี ”

“ เกี่ยวเหี้ยอะไรกับกู ” อีกคนถามตาโตก่อนจะเดินไปหยิบถุงยาที่วางอยู่บนโต๊ะในครัว แล้วเข้ามาหย่อนตัวลงนั่งบนพรมที่อยู่บนพื้นด้านล่าง มือขาวแบบมือขึ้นมาทางผม “ ขอมือ ” วางมือที่มีแผลลงบนมือนั้น แต่เมี่ยงกลับวางมือผมลง มันพูดซ้ำ “ ไหน ขออีกข้าง ”

“ เดี๋ยวมึงจะโดน ”

“ ฮ่าๆ ” อีกคนหัวเราะลั่น ก่อนจะเอียงหน้าแซว “ ไม่เชื่องเลยน้าพี่อาร์ม ”

“ อยากให้เชื่องเหรอ ” จ้องแววตาเรียวของคนที่นั่งอยู่ด้านล่าง ในวินาทีที่มองลึกลงไปในแววตาใบหน้าน่ารักก็เหมือนจะแดงขึ้นอย่างฉับพลัน เมี่ยงมันเหลือบตามองบนด้วยท่าทีแบบไม่รู้ไม่ชี้ พลางกับแอบมองผมอยู่เป็นระยะ คล้ายจะเช็คดู ว่าผมหยุดมองมันหรือยัง “ ไม่แน่จริงนี่หว่า ”

“ อะไร ? อะไรใครไม่แน่จริง ” ว่าแบบนั้นก่อนจะคว้ามือผมข้างที่มีแผลขึ้นมา “ ทำแผลเลยไอ้สัด พูดมาก เสียเวลาวุ้ย ”

“ ครับๆ ไม่มีใครเขินผมหรอก ” เมี่ยงเม้มริมฝีปากในวินาทีนั้น ก่อนจะจัดการทำแผลด้วยการทายาให้บางๆ แต่คืนนี้มันกลับไม่ได้ติดพาสเตอร์อะไรให้ “ ไม่ต้องติดพาสเตอร์นะ ให้แผลมันโดนลมบ้าง กูโทรไปถามแม่มาแล้ว แม่บอกว่า ตอนกลางคืนไม่ต้องติดก็ได้ ทาแค่ยา จะได้หายไวๆ ค่อยติดเฉพาะออกไปข้างนอก เพราะว่าข้างนอกมีเชื้อโรคเยอะ ”

“ อื้ม ”

“ แต่กูก็ถามแม่นะ แล้วถ้าคนที่เป็นแผล เป็นตัวเชื้อโรคอยู่แล้วจะทำยังไงดี แม่ก็บอก งั้นปล่อยให้มันตายไปเล๊ย ”

“ ตลกชิบหาย เหอะๆ ” ทำทีเป็นหัวเราะให้มัน แต่เหมือนอีกคนจะถูกใจเหลือเกิน เมี่ยงมันยิ้มกว้างก่อนจะถาม

“ ว่าแต่วันนัดฉีดวัคซีนมึงครั้งต่อไปคือวันที่เท่าไหร่นะ ”

“ อื้มม ” ผมทำทีเป็นนึก ก่อนคว้าเอากระเป๋าเงินของตัวเองที่วางไว้บนโต๊ะข้างหน้าขึ้นมา ใบนัดของทางโรงพยาบาลที่ให้ไว้เสียบอยู่ในช่องเสียบบัตร ผมหยิบมันออก ก่อนจะยื่นไปให้อีกคน

“ เราไปฉีดวันแรกคือเมื่อวานสินะ ” เมี่ยงทำท่าคิดก่อนจะหันมองซ้ายขวาแล้วหยุดสายตาลงบนปฎิทินแบบพับที่ตั้งอยู่ข้างทีวี มันลุกขึ้นไปหยิบ ก่อนจะคว้าปากกาเมจิที่วางอยู่แถวนั้นขึ้นมา “ กูขีดลงไปได้ใช่มั้ย ”

“ แล้วจะขีดลงไปทำไม ”

“ ก็จะได้รู้ไง ว่าวันไหนต้องทำอะไร ” บอกแบบนั้นวงกลมที่ไม่ค่อยกลมถูกวงรอบวันเอาไว้ เมี่ยงหยิบเอาปากกาขึ้นมาเขียนลงไปในช่องว่าง “ กูจะเขียนว่ามึงจะต้องไปฉีดวัคซีนวันไหนบ้าง อย่าเมื่อวานก็เขียนไว้ว่า ฉีดครั้งที่หนึ่ง ”

“ แล้วครั้งที่สองคือเมื่อไหร่ ”

“ วันมะรืน ” เมี่ยงบอก  “ ส่วนครั้งที่สามก็นู้น ถัดจากครั้งที่สองไปอีก สี่วัน ส่วนวันสุดท้ายคือเดือนหน้าเลย อีกตั้ง ยี่สิบวัน ”

“ ยังไงก็รับผิดชอบผมด้วยนะครับ ” ค้ำศอกลงกับโซฟาในตอนที่มองไปยังเสี้ยวใบหน้าที่กำลังเขียนประโยคนั้นอย่างตั้งใจ เมี่ยงหันมาถอนหายใจก่อนจะยิ้มกว้างแบบที่ตาปิดไปหมดให้ผม

“ แน่นอนอยู่แล้วสิครับ ไม่หนี ไม่หาย แต่ถ้าตายเดี๋ยวมาเข้าฝันน้า ”

รอยยิ้มที่ทำให้หัวใจมันสั่น ผมหันไปทางอื่นแทบจะทันทีในตอนนั้น และก็อดสบถออกไปไม่ได้เลย ‘ ร้ายกาจชิบหาย ’

เหมือนว่าพอมองมันน่ารักหนึ่งครั้งแล้ว
มันก็เหมือนจะน่ารักตลอดไป

“ แล้วนั่นมึงจะหันไปมองทางอื่นทำไม ” คนช่างสงสัยหันไปมองตามสายตาของผม เมี่ยงขมวดคิ้วน้อยๆก่อนจะหันมาจ้องหน้าผมอีกครั้ง ด้วยสายตาแบบเหล่มอง “ อย่าบอกน้า ว่ามึงตกหลุมรักรอยยิ้มน่ารักๆของกูแล้ว ”

“ หลงตัวเองชิบหาย ” ผมว่า

“ แต่ก็ดีกว่ามึงหลงกูก็แล้วกัน เพราะว่าถ้าเป็นแบบนั้นอะ แย่แน่เลยน้า ”

“ ยังไง ” ผมถามมันยิ้มๆ

“ ก็เพราะหลงทางยังมีทางออก แต่ถ้าหลงรักน้อง ต่อให้มีกี่สิบทางออก พี่ก็หามันไม่เจอหรอกน้า ” ลากเสียงแบบกวนตีนกัน

เอาจริงๆ ผมแม่งโคตรเกลียดรอยยิ้มขี้เล่นของมันเลย เพราะมันชอบทำให้ผมอดยิ้มตามไม่ได้ แล้วมันก็เหมือนกันกับตอนนี้ที่ผมต้องหลุดยิ้มออกมาในท่ายที่สุดอย่างอดใจไม่ไหว

“ ฮั่นแน่ ยิ้มอีก หวั่นไหวแล้วเปล่าพี่อาร์ม ”

“ กูแม่งน่าจะถ่ายหน้ามึงตอนร้องไห้ที่แมวหายเมื่อสองชั่วโมงก่อนไว้นะ ” ว่าแบบนั้นคนตรงหน้าก็ตีหน้างอน เมี่ยงแบะปากนิดหน่อย แต่แม่งก็ยังน่ารักมากอยู่ดี ผมถอนหายใจ “ ไอ้หน้าก้อนแป้งเปียกน้ำที่เอาแต่จับเสื้อข้างหลังกู แล้วงอแงเหมือนเด็กป.สอง ”

“ ไว้เมื่อไหร่มึงทำแมวกูหายบ้าง กูจะคอยดูหน้าคนอย่างมึง ” หลุดยิ้มออกมาก่อนจะส่ายหน้า ผมลุกขึ้นเต็มความสูง

“ ไม่มีทางหรอกครับ ” โค้งตัวบอกอีกคนที่ก็ยังมองกันนิ่งๆ สายตาเรียวนั้นบอกกันถึงความอาฆาตแค้น “ แล้วนั่นก็เพราะว่ากูไม่ใช่เด็กขี้แยแบบมึง ”

“ จ้า ” มันตอบรับผมแบบกัดฟันพูด “ เก่งจังจ้าไอ้สัด ”

“ แล้วนั่นจะนอนยัง กูไปนอนแล้วนะ ง่วง ”

“ นอนสิ! รอด้วย กูนอนกับมึงด้วย ” หยุดขาที่กำลังจะเดินต่อไปในตอนที่ได้ฟังคำนั้น ผมหันไปมองอีกคนที่ก็เดินตรงไปหาแมวของตัวเองที่นั่งกระดิกหางอยู่บนคอนโดแมว เคียงข้างด้วยแมวของผมที่นั่งอยู่ข้างๆกันแบบ ไม่ยอมห่าง

“ อย่าดื้อ อย่าซนกันอีกนะ เข้าใจมั้ย ทั้งคู่เลย นายท่านอย่าสร้างความเดือดร้อนนะ แก้มหอมขาด้วยนะ อย่าชวนนายท่านเล่นซนละนะ ”

“ เมี๊ยว ” เสียงขานรับเล็กๆ ตามธรรมดาเมื่อได้ยินคำว่าแก้มหอมขา เจ้าตัวขาวร้องรับจนชวนให้ผมหลุดยิ้ม

“ โอเค งั้นเมี่ยงไปนอนแล้ว ฝันดีนะเด็กๆ ” ลูบหัวเจ้าก้อนขนไปคนละที ก่อนที่ร่างขาวจะหันหลังกลับมาเตรียมจะเดินเข้าห้อง แต่มันก็ชะงักไปเมื่อเห็นผม  “ อ้าว คิดว่าเข้าห้องไปแล้ว ”

“ กูรอถามมึงอยู่ ” ผมว่า “ เห็นเมื่อกี้มึงบอกว่า กูนอนกับมึงด้วย  ก็เลยจะบอกไว้ก่อน ”

“ อะไร ” เมี่ยงเอียงหน้างง

“ กูไม่มีถุงยางนะ สดได้เปล่าละ ”

“ K ” คนตรงหน้าผมสบถด้วยรอยยิ้มกว้าง “ ไม่ใช่อย่างงั้นเลยไอ้หน้าเหี้ย ” 

บนเตียงที่เคยดูกว้างขวางแต่ตอนนี้กลับแคบลง นาฬิกาบอกเวลาเข้าสู่วันใหม่ไปแล้ว ผมเดินตรงมาจัดการเปิดเครื่องพ่นที่ใส่กลิ่นหอมอ่อนๆของยูคาลิปตัสไว้ตรงหัวเตียง พร้อมทั้งกดตั้งเวลาปิดไว้ที่อีกสามชั่วโมงต่อจากนี้

“ หื้มมมมม หอมอะ ” เมี่ยงมันว่าพลางขยับตัวนอนด้วยท่าทางสบายๆแบบที่ไม่ต่างอะไรกับห้องนอนตัวเองเลยสักนิด ไม่รู้ไปสนิทกับมันตั้งแต่เมื่อไหร่ถึงได้ไร้ความเกรงใจกันถึงขนาดนี้  มือขาวกอดเจ้าตุ๊กตาหมีที่สภาพดูไม่ได้นั้นไว้แนบอก มันหันมามองผม “ พี่สาวกูเคยบอกว่า เวลานอนห้องแอร์อากาศจะแห้งมาก แต่ถ้าเราเปิดเครื่องพ่นแบบนี้ไว้ มันก็ช่วยได้ดีมากเลย ตื่นมาผิวไม่แห้ง คอก็ไม่แห้งด้วย ”

“ อื้ม ” พยักหน้ารับคนช่างพูด ผมปิดไฟในห้องจนหมดเหลือไว้แค่เครื่องพ่นที่กำลังเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ ในแววตาเรียวที่ดูแปลก ไม่ต่างอะไรกับแก้มหอมตอนที่เห็นของเล่นใหม่

มือผมดึงผ้าห่มขึ้นแล้วสอดตัวเข้าไปนอน ก่อนจะขยับตัวเล็กน้อยพลางเหลือบมองอีกคนที่ก็มองดูกันอยู่ “ มองอะไร ”

“ เปล๊า ” เมี่ยงตอนเสียงสูง

“ อย่าคิดเอาตุ๊กตาคุณไสยนั่นเข้ามาใกล้กูนะ ”

“ บอกอีกทีแล้วว่าไม่ใช่ นี่น้อง น้องของกู ” เมี่ยงมันหันควับมาเถียงจริงจัง ก่อนจะยื่นตุ๊กตาตัวเองเข้ามาใกล้หน้าผมที่ก็ต้องดันเจ้าสิ่งน่ากลัวนั่นออกไป “ จัดการมันเลยน้องพี่ จัดการมัน ย๊ากกกกกกก ”

“ นี่ มึงอย่าปัญญาอ่อนให้มากนะ ” พยายามปรามมือขาวที่พยายามดันตุ๊กตาตัวเองให้บี้กับหน้าผม เสียงหัวเราะถูกใจของคนกระทำ ผมหลุดยิ้มก่อนจะจับมือข้อมือนั่นไว้แน่นแล้วดึงใบหน้าเข้าไปจ้องมองอีกฝ่าย “ ถ้ามึงยังไม่หยุด กูเขวี้ยงตุ๊กตาคุณไสยนี่ออกไปนอกห้อง แล้วก็จะดึงมึงเข้ามากอดแทน เพราะงั้นมึงจะหยุดไม่หยุด ”

“ หยุดครับหยุด ” เสียงอ่อนลงของอีกคนบอก แต่เหมือนว่ามือของผมจะยังจับอีกคนไว้แน่นแบบนั้นอย่างไม่อยากจะปล่อยขึ้นมาฉับพลัน “ นี่..”

“ อะไร ” ผมถาม

“ กูหยุดแล้ว เพราะงั้นอย่าเอาน้องกูเขวี้ยงออกไปทิ้งเลยนะ ” หลุดยิ้มออกมาเพราะไม่คิดว่ามันจะพูดเรื่องเด็กๆแบบนั้น ผมถอนหายใจออกมาก่อนจะปล่อยจากแขนของอีกคนทั้งที่ไม่ได้อยากทำอย่างงั้น

อยู่ๆก็คิดว่า เออ... หรือว่าทำจริงๆ ดีว่ะ เขวี้ยงหมีเน่านั่นออกไปซะ แล้วดึงอีกคนเข้ามากอดแทน   

“ สัดอาร์ม ”

“ อะไร ” สะบัดความคิดไร้สาระนั้นออกไป ผมก้มหน้าลงถามแววตาเรียวที่เงยหน้ามองกัน แต่เมี่ยงมันก็แค่ส่ายหน้า

“ ก็เห็นมึงเงียบไป กูเลยจะถาม พรุ่งนี้กูไม่เรียน พรุ่งนี้มึงมีเรียนมั้ย ”

“ ไม่มี ” ตอบรับไปแค่นั้นอีกคนก็พยักหน้ารับ

“ งั้นพรุ่งนี้เรากินอะไรกันดี ”

“ รู้สึกว่ามึงจะทำตัวเหมือนเมียกูเลยนะ ” หันไปเหล่มองคนพูดมากก่อนจะพลิกตัวไปจ้องหน้าอีกคนที่ก็พลิกตัวมองกันอย่างไม่ยอมแพ้

“ งั้นขอเป็นผัวได้มั้ย อยากเป็นผัว ” หลุดยิ้มออกมากับใบหน้าหวานที่กำลังยักคิ้วท้าทายกัน เมี่ยงก้มหน้าลงหอมเจ้าตุ๊กตาสภาพแย่นั้นไว้แน่น มันที่ทั้งกอดรัดแล้วก็เอาแก้มขาวไปเบียดบี้ด้วยความรักเสียเต็มประดา

“ มึงนี่ไม่อายเลยนะ ”

“ อายอะไร” คำถามที่ชวนให้งุนงงนั้น เมี่ยงก้มลงมองตุ๊กตาของตัวเองเพราะเห็นว่าผมมองอยู่ “ อายเพราะน้องกูน่ะเหรอ ”

“ อื้ม ”

“ แล้วทำไมต้องอายวะ ” อีกคนถามยิ้มๆ “ แค่เพราะสภาพมันไม่ได้ดูน่ารักเหมือนตุ๊กตาทั่วไป ในความคิดของคนอื่นๆน่ะเหรอ ”

“ ก็ใช่ แล้วมึงก็โตจนจะเป็นควายอยู่แล้ว ยังจะกอดตุ๊กตาอีก ไม่กลัวกูเอาไปเล่าให้ไอ้ดีนฟังหรือไง ”

“ ถ้ามึงจะเล่านะอาร์ม มึงคงเล่าไปนานแล้ว เพราะกูมีเรื่องน่าอายให้เล่าเป็นร้อย ” เมี่ยงหันมายักคิ้วบอกกัน ก่อนก้มลงมองตุ๊กตาหมีในอ้อมกอดของตัวเอง “ มันเป็นตุ๊กตาตัวแรกของกู แล้วกูก็รักมันมาก ถ้ามัวแต่อายก็คงไม่ได้กอดมัน เพราะงั้นกูเลยต้องหน้าด้านเข้าไว้ไง จะได้กอดมันอย่างงี้ ” กอดรัดฟันตุ๊กตาตัวนั้นด้วยรอยยิ้ม จมูกโด่งหอมลงบนเจ้าหมีเน่าเป็นสิบๆครั้ง

“ ก็จริงของมึง ” ตอบรับคนข้างกันเสียงเบา

อยู่ๆก็คิดถึงขึ้นมาอีกแล้วภาพของใครคนนั้นซ้อนทับขึ้นมา ภาพของคนที่นั่งอยู่ข้างกันก่อนหน้านี้ตรงลานจอดรถในผับ แววตาเรียวที่มองมามีเพียงความลำบากในแฝงอยู่ในช่วงเวลานั้น กับประโยคที่เอ่ยพูดกันออกมา ‘ กูไม่ได้รู้สึกกับมึงแค่เพื่อนหรอก แต่ว่าตอนนี้มันไม่ได้มากขนาดนั้น ไม่ได้มากขนาดที่มึงรู้สึกกับกู ’

ไม่ได้มากขนาดที่เมี่ยงรักเจ้าตุ๊กตาหมีน่าเกลียดนั่นด้วยซ้ำ
 
ไม่ได้มากขนาดอยากมีกันละกัน จนมองข้ามคำพูดของผู้คนไปได้

 ไม่ได้มากแบบที่อยากมีไว้ข้างๆ และไม่ได้มาก แบบผมที่กำลังรู้สึก ว่าอยากมีมันมากอดไว้ข้างกาย


ครืน ครืน ครืน


เสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่บนแท่นชาร์จนั้นสั่น ผมพลิกตัวไปมองมันก่อนจะนิ่งไปเมื่อเห็นว่าเป็นข้อความจากเจ้าของวันเกิดที่ส่งมาให้กัน มือที่คว้าขึ้นมาอย่างไม่รอช้า บนนั้นปรากกฏแจ้งเตือนว่ามีรูปภาพส่งเข้ามา

ภาพที่ชวนให้ผมนิ่ง มันเป็นภาพของดีนที่กำลังชูนิ้วกลางให้ผม และบนนิ้วกลางนั้นก็มีแหวนของผมอยู่ พร้อมกับข้อความที่ส่งเข้ามา ‘ ใส่แล้ว ขอบใจนะไอ้สัด ’

ก็น่าแปลกที่ผมไมได้ยิ้มเหมือนอย่างทุกที อาจจะเป็นเพราะคงชิน ดีนก็เป็นแบบนี้มาตลอด มันชอบให้ความหวังกัน หลังจากที่เขวี้ยงความรู้สึกของผมทิ้ง แล้วเหยียบซ้ำมันด้วยเท้าอย่างไร้เยื้อใย

“ นี่..” เสียงของคนที่นอนข้างกันเอ่ยขึ้นมา “ ยังไม่ตอบเลยว่าพรุ่งนี้เราจะกินอะไรกัน ”

“ ข้าวมันไก่รวมมั้ย ” กดปิดหน้าจอนั้นลง ผมไม่ได้ตอบอะไรแล้ววางมันลงบนแท่นชาร์จเหมือนเดิมขยับผ้าห่มคลุมร่างจนถึงคอ เตรียมตัวปิดตาหลับ

“ อะไรคือเข้าวมันไก่รวม ”

“ ก็คือข้าวมันไก่ที่มีทั้งไก่ทอดกรอบ หมูกรอบ หมูแดง แล้วก็ไก่ต้ม รวมกันหมดในห่อเดียว ”

“ ว้าว น่ากินจัง ” อีกคนว่านั้นก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงกลืนน้ำลายนั้นลงไปในคอ จนชวนให้หลุดยิ้มกว้างออกมา

ในที่สุดก็ต้องลืมตาขึ้นมาอย่างพ่ายแพ้ให้กับความน่ารักในแมทสุดท้ายของวัน “ มึงแม่ง..”

ก็นับว่าโชคดีที่ห้องทั้งห้องมันมืดมิด แล้วมีเพียงแสงของเครื่องพ่นอากาศ เพราะถ้ามันหันมาเห็นกันตอนนี้ ผมคงไม่รู้จะตอบอะไร นอกจาก แสงของเครื่องพ่นคงทำให้ตาลาย ผมไม่ได้ยิ้มแล้วก็หน้าแดงไปกับความน่ารักมากๆของมันสักหน่อย

แล้วนั่นก็ดูเป็นข้ออ้างที่ใช้ไม่ได้เลย ‘ห่วยแตกชิบหาย’


หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 10 :: up! 31-1-63} #หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 07-02-2020 20:41:53
แกร็ก แกร็ก เมี๊ยว เมี๊ยว แกร็ก แกร็ก


ดึงสติแล้วลืมตาตื่นขึ้นในตอนที่ได้ยินเสียงข่วนประตูสลับกับเสียงแมวที่ดังมาจากหน้าประตูห้อง ผมขมวดคิ้วแต่เหมือนจะช้ากว่าคนข้างกันที่ก็ลุกขึ้นจากที่นอนทันทีเมื่อได้ยินเสียงนั้น เมี่ยงมันเดินสะลึมสะลือไปที่ประตูก่อนเปิดออก เจ้าแมวตัวลายที่เป็นคู่อริก็เดินเข้ามาในตอนนั้น พร้อมกับเมี่ยงที่หันหลังกลับมาล้มตัวลงนอนตรงที่นอนเหมือนเดิม

“ นายท่าน ” อีกฝ่ายว่าแบบนั้น ก่อนจะเปิดผ้าห่มให้อีกตัวมานอนลงในอ้อมกอด ราวกับว่าปกติมันก็ทำแบบนี้ที่ห้องของตัวเอง

“ มึงอาจจะลืมไปว่านี่ไม่ใช่บ้านมึง ” บอกแบบนั้นคนที่นอนนิ่งอยู่ก็ลุกพรวดพราดขึ้นมานั่งด้วยหน้าตาตื่น

“ เชี้ย!! ขอโทษๆ ” ว่าแบบนั้นก่อนจะอุ้มแมวของตัวเองขึ้นจากเตียง ร่างขาวชูมันไว้ไม่ต่างอะไรกับหนังในเรื่องไลอ้อนคิง จนไอ้นายท่านมองผมด้วยสายตาไม่สบอารมณ์เท่าไหร่

“ เมี๊ยว ”

“ อะไร ” ถามอีกตัวที่เหมือนกำลังกร่นด่าอย่างหาเรื่อง ก่อนจะเหล่มองเจ้าของแมวที่กำลังยิ้มแห้งๆ

“ ปกติเวลาอยู่ที่ห้องไอ้นายท่านมันจะเดินมาปลุกกูทุกเช้าเลย แล้วกูก็จะเดินไปเปิดประตูให้มันอย่างงั้น แล้วเราก็จะนอนต่อด้วยกัน..” ปลายเสียงที่เบาลงเรื่อยๆ เมี่ยงสบสายตานิ่งๆของผม “ ขอโทษครับ ”

“ ก็ยังไม่ได้ว่าอะไร ” พูดแบบนั้นก่อนจะล้มตัวลงนอนต่อ ส่วนเมี่ยงเองมันก็อ้าปากหาววอดออก มือที่ลดระดับลงอีกคนดึงเจ้าตัวลายเข้ามากอดพลางซุกใบหน้าเข้าไปกอดหอม ก่อนจะทำจมูกฟุตฟิต

“ นายท่าน ทำไมมึงเหม็นจังวะ ”

“ อาบน้ำครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ละ ”

“ เหมือนว่าจะตั้งแต่ที่ได้มาครั้งแรก ” เมี่ยงมันว่าก่อนจะเอียงตัวล้มลงนอน ส่วนนายท่านที่หลุดออกจากอ้อมกอดนั้น มันเดินมานอนลงระหว่างเราพลางเลียมือตัวเองไปมา ด้วยท่าทางที่เหลือบมองผมเป็นระยะ

“ ทำไม ” เอ่ยถามอีกตัว “ มึงเตรียมมือ พร้อมที่จะข่วนกูเหรอ ”

“ อย่านะ ” เมี่ยงมันว่าก่อนจะยื่นมือไปเคาะหัวเจ้าตัวเล็ก “ เพราะกูต้องรับผิดชอบเค้านะนายท่าน เข้าใจเปล่า มึงอย่าหาเรื่องให้มันมาก อันธพาลจริงๆ  ” ไม่มีเสียงตอบรับใดจากคนโดนเตือน ผมแบะปากน้อยๆใส่เจ้าแมวที่ก็นอนลงทันทีด้วยท่าทีเบื่อหน่าย “ ดูมันทำ ”

“ แล้วปกติมึงอาบน้ำแก้มหอมยังไง ”

“ ส่งเข้าร้าน ” ผมว่าก่อนจะเอื้อมมือไปจับตูดเจ้าตัวลายที่ก็หันมาตะบบกันเบาๆเหมือนเตือนว่ากรุณาอย่ามาแตะต้องตัวกระผม “ แก้มหอมขนมันยาว อีกอย่างถ้าเข้าร้านเค้าก็ตัดเล็บ ตัดขน เช็ดหูให้ด้วย ปกติก็อาทิตย์ละครั้งมั้งที่กูพาไป ”

“ น่าสนใจ แล้วราคาเท่าไหร่ ”

“ สี่ร้อย ”

“ สี่ร้อย ” คนฟังทวนคำพูดของผมก่อนจะกลืนน้ำลาย สายตาเหลือบขึ้นมองบนเหมือนกำลังคิดคำนวนถึงจำนวนเงินรายเดือนที่มันต้องเสียไปสำหรับการอาบน้ำเจ้าก้อนขน

" เดือนนึงก็คำนวนไปว่า สี่อาทิตย์ ก็ประมาน 1600 ”

“ กูอาบให้มึงเองก็ได้นายท่าน พันหกเอาไปจ่ายค่าข้าวค่าขนมดีกว่าเนอะ ” เมี่ยงมันยิ้มแห้งๆให้แมวตัวเอง พร้อมกับพูดเสียงเบาๆ “ ขอโทษนะน้องที่พี่มันจน ”

“ แล้วแน่ใจเหรอว่าจะอาบเอง ”

“ ก็ทำไมจะอาบเองไม่ได้ ง่ายจะตาย ”

“ มึงรู้ใช่มั้ยว่าแมวส่วนใหญ่มันไม่ชอบน้ำ ” คำถามนั้นทำให้ฟังถึงกับนิ่งไป เมี่ยงเหลือบมองแมวตัวเอง

“ แต่นายท่านน่าจะชอบ เนอะนายท่านเนอะ ”

“ ลองก่อนสิ ” ผมบอก “ เอามันไปโยนลงน้ำในอ่างถ้ามันไม่ตะเกียกตะกายขึ้นมาแสดงว่ามันก็คงชอบนั่นแหละ ”

“ K มึงจะฆ่าแมวกูหรือไง ” ตาโตเถียงกันก่อนจะดึงแมวตัวเองขึ้นมาเผชิญหน้า  สายตาเรียวที่สบกัน “ กูจะอาบน้ำให้มึงเองนายท่าน เชื่อมือได้เลย โอเค๊ ตัวมึงจะหอมฟุ้งไปหมื่นลี้เลยละ ”

“ ม๊าว ” เสียงขานรับที่ดูไม่ค่อยเต็มใจ ชวนให้ผมยิ้มก่อนจะลุกขึ้นจากเตียง แล้วตรงเข้าไปในห้องน้ำ

“ จะอาบน้ำแล้วเหรอ ไว้อาบหลังจากที่จัดห้องกูแล้วก็ได้นะ ”

“ แค่จะแปรงฟัน แล้วก็ลงไปซื้อข้าวมันไก่รวมที่คุยกันไว้เมื่อคืนไง ” บอกเสียงเรียบๆก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ ตอนนั้นคนที่อุ้มแมวก็เดินตามมาด้วยสายตาโตแบบเด็กเห็นแก่กินอย่างปิดไม่มิด

“ ของกูขอพิเศษได้มั้ย กูชอบกินหมูกรอบเยอะๆ ”

“ งั้นก็สั่งข้าวหมูกรอบสิ ”

“ อยากกินไก่กรอบ แล้วก็หมูแดงด้วยงายยยยยย ”

“ กลัวแก้มอ้วนไม่พอเหรอไง ” คนตัวขาวยกมือขึ้นจับแก้มทันทีตอนที่ได้ยินคำนั้น เมี่ยงมันกระพริบตาปริบๆ “ ปกติแบบรวมมันก็พิเศษอยู่แล้ว ไม่ต้องเพิ่มหรอก ”

“ กูแค่คนมีแก้ม ไม่ได้แก้มเยอะเพราะอ้วนเลย หันมาดูรูปร่างกู กูผอมมากนะ ”

“ คิดไปเอง ” ผมว่า ก่อนจะบีบยาสีฟันลงบนแปรงแล้วในตอนนั้นก็หันมามองมันที่กำลังพิจารณาใบหน้ากลมๆของตัวเองอยู่กับหน้ากระจก “ เมื่อคืนตอนที่มึงนอน แก้มมึงบี้กับตุ๊กตา หน้าโคตรอ้วนเลยรู้มั้ย ”

“ สัด มันสัญลักษณ์ของความกินดีอยู่ดี ว่าไม่ได้นะ ”

“ เหรอออออออ ” ลากเสียงยาวก่อนจะหันกลับมาแปรงฟันกับหน้ากระจกอีกครั้ง แต่ทว่าคนที่คิดจะทำให้ผมตกหลุมรักก็เปลี่ยนสีหน้าหงุดหงิดเป็นรอยยิ้มที่ยกตรงมุมปากอย่างฉับพลัน เมี่ยงก้าวเดินตรงเข้ามาหากัน มันพิงเข้ากับกรอบประตูห้องน้ำที่ผมเปิดไว้ “ ว่าแต่น้า... นอนมองเค้าด้วยเหรอตะเองน่ะ คิดอะไรกับเค้าปะเนี้ย ”

“ คิดสิ ” ตอบอีกคนยิ้มๆ ก่อนจะหันกลับมามองกระจกตรงหน้าตามเดิม “ คิดว่าคนเหี้ยอะไรวะ ขนาดนอนยังน่ารักชิบหายเลย ”

แล้วนั่นก็คือความรู้สึกจริงๆของผม ตลอดทั้งคืนที่เอาแต่นอนมองคนข้างกันแล้วเอาแต่ยิ้มจนหัวใจเต้นแรงแบบชนิดที่กว่าจะสงบลงได้ก็ปาไปตั้งตีสามกว่าแล้ว

“ มึงแม่ง.. เอาชนะยากชิบหายเลยไอ้สัด ”

“ เหมือนกันนั่นแหละ ” ใครบอกมึงเอาชนะง่ายๆกันเมี่ยง

..........................................................

ร้านข้าวมันไก่เจ้าอร่อยอยู่ถัดไปจากคอนโดของเราอีกสองซอย ผมที่ยืนต่อคิวอยู่หน้าร้าน หันมองคนที่กำลังวิ่งเข้ามาหาด้วยรอยยิ้มกว้างไม่ต่างอะไรกับเด็กๆ ก่อนหน้านี้เมื่อประมานสิบห้านาทีก่อนผมกับเมี่ยงเดินออกมาด้วยกัน แต่เพราะระหว่างทางมีร้านที่ผมพาเจ้าแก้มหอมมาอาบน้ำประจำก็เลยแนะนำอีกคน แต่เมี่ยงที่หันไปเห็นขวดอาบน้ำแมวพอดี มันก็เลยขอตัวแวะก่อน

“ มึงกูได้มาแล้วละ ” ชูถุงที่ซื้อมาอย่างภาคภูมิใจ ในนั้นคือขวดแชมพูสำหรับอาบน้ำแมว “ กูถามพี่ที่ร้านขายว่าเค้าใช้ยาตัวไหนสระให้แก้มหอมขา เค้าก็แนะนำตัวนี้มา ”

“ อื้ม ”

“ แต่สิ่งที่กูจะนำเสนอมึง ไม่ใช่ขวดแชมพูอาบน้ำนายท่านหรอกนะ แต่เพราะมันคืออออออออออออ ” ลากเสียงยาวก่อนจะดึงออกมารวดเร็วเหมือนเด็กอวดของเล่น

“ เหี้ยอะไรของมึง ” ผมถามตอนที่เห็นสายยาวๆ ที่มันคล้ายกับว่าจะเป็นสายจูงของหมา

“ มันคือสายจูงแมว เอาไว้พาน้องแมวไปเดินเล่นไง ”

“ ใครเค้าพาแมวไปเดินเล่นบ้างวะ ” ถามกลับไปอีกคนก็ถอนหายใจออกมา พลางส่ายหน้า

“ มึงนี่เข้าไม่ถึงจิตใจที่แสนจะบอบบางของแมวเลยนะ  เมื่อวานที่มันหนีออกจากบ้านก็ดูออกแล้วว่ามันก็คงอยากจะไปเที่ยว กูก็เลยซื้อสายจูงมาไง จะได้พามันสองตัวออกไปเที่ยวบ้าง เป็นการเปิดหูเปิดตา ”

“ คือยังไม่หลาบจำ ” ผมจ้องตาอีกคนที่ก็ยิ้มแห้งๆ “ ถ้ามันหลุดสายจูงไปจะทำยังไง คราวนี้มึงอาจจะไม่ได้โชคดีเหมือนเมื่อวานนะ เพราะข้างนอก มันกว้างกว่าในชั้นของเรา ” อาจจะหามันไม่เจอแล้วก็ได้ ”

“ มึงก็อย่าไปคิดแง่ร้ายอะไรขนาดนั้น มึงก็ต้องเช็คสายรัดดีๆ แล้วก็จับไว้ให้มันแน่ๆสิวะ ”  เมี่ยงเถียง และก็คงชูสายจูงแมวขึ้นมานำเสนอผม “ กูซื้อมาสองสีเลยนะ มีเสื้อด้วย เพราะเค้าบอกว่าใส่เสื้อให้น้องก่อนแล้วใส่สายจูงมันจะแน่นกว่า สีชมพูของแก้มหอม สีดำของนายท่าน เป็นไงน่ารักปะ ”

“ ถามถึงอะไร มึง หรือว่า สายจูงแมว ”  เหล่มองอีกคนยิ้มๆ เมี่ยงมันก็ถอนหายใจ

“ สายจูงแมวสิไอ้สัด ”

“ งั้นก็เฉยๆอะ ” ผมตอบ “ แต่ว่ามึงอะ น่ารักนะ ” ยักคิ้วให้เป็นการตบท้ายก่อนจะเดินเข้าร้านไปเพราะได้ยินเสียงเรียกคิวที่รอมานานกว่าสิบนาที

“ ไอ้สัดเอ้ย วันนี้สองรอบแล้วนะ สองรอบแล้วววว ” คนตัวขาวที่กำลังกัดฟันกรอดว่าแบบนั้น “ ฝากไว้ก่อนเถอะมึง ”

“ จะเยอะเกินไปแล้วมั้ง เมื่อไหร่มึงจะมาเอาคืน ” ผมเดินนำอีกคนออกไปก่อนจะคว้าเข้ากับมือที่เดินตามหลังมา “ หยุดก่อน รถมา ”

รถกระบะที่กำลังจะออกจากซอยหยุดอยู่ตรงหน้าเรา คนขับที่กำลังจะหาจังหวะแทรกตัวเข้าถนนใหญ่ ในตอนนั้นผมก็จูงมืออีกคนให้เดินอ้อมด้านท้ายของตัวรถ ก่อนจะเดินขึ้นมาตรงทางเท้าที่เป็นทางกลับคอนโดของเรา

“ นี่ ปล่อยมือกูได้แล้วมั้งครับ” คนตัวขาวดึงมือของตัวเองที่ผมกุมอยู่ขึ้นมาบอก มันเลิกคิ้วมองกันเหมือนจะล้อ “เดี๋ยวใครเค้าจะหาว่าเราเป็นแฟนกันน้า แล้วถ้ามึงจะเสียหาย กูไม่รับผิดชอบนะบอกไว้ก่อน ”

“ กลัวมึงตายไปก่อนก็เท่านั้นแหละ” ผมว่า

“ ห่วงใยเก่ง ” เมี่ยงมันว่า “ แล้วนี่ตกลงจะเอายังไง ”

“ อะไรยังไง ”

“ เย็นนี้ยังไงก็ว่าง พาเจ้าสองตัวออกไปเดินเล่นกันมั้ย ”

“ ขี้เกียจ ”

ตอนนั้นที่ตอบออกไปแบบนั้น ดูเหมือนจะต่างไปจากตอนนี้ เพราะหลังจากที่หลับไปในช่วงเย็นเพราะหมดแรงกับการเก็บกวาดห้องข้างๆที่รกสุดขีดจากการรื้อค้น เสียงเคาะประตูจากหน้าห้องก็ดังปลุกกันในช่วงเวลาห้าโมงครึ่ง

แล้วในตอนที่เปิดออกดูนั้นผมก็ต้องพบกับคนตัวขาวในชุดเสื้อยืดกับกางเกงบอล พร้อมด้วยสายจูงสีชมพูที่ยื่นมาให้

“ ไปเดินออกกำลังกายกันมึง ”

ผ่อนลมหายใจออกมากับบรรยากาศที่มีแต่คนมองมา ทางเจ้าก้อนขนสองตัวที่เรียกว่าเล่นกันมากกว่าจะเดิน เพราะแค่สามก้าวที่ก้าวไปเจ้าสองตัวนั่นก็หยุด แล้วก็กระโจนกอดกันเสียอย่างงั้น

“ มันจะเดินได้รอบนึงมั้ยเนี้ยวันนี้ ถ้าพวกมึงมัวแต่เดินไปนิด แต่หยุดเล่นกันแบบไม่นิดอย่างนี้ ” เมี่ยงมันว่าก่อนจะจับแมวสองตัวแยกกัน “ เอ้า เดินตรงไปข้างหน้าครับเด็กๆ วิ่งๆ ”

“ มึงทำเหมือนมันเป็นหมา ทั้งๆที่มันเป็นแมว ” ผมว่า อีกคนก็ได้แต่ถอนหายใจเพราะแมวสองตัวที่มันเพิ่งดึงให้แยกออกจากกัน กลับนอนลงบนพื้นซะอย่างงั้น

“ พวกมึงนี่มัน.. ” มือขาวขยับไปมาคล้ายกับจะขยี้หัวไอ้สองตัวตรงหน้าแรงๆ ด้วยอาการมันเขี้ยว เมี่ยงมันกัดฟันแน่น ก่อนจะย่อตัวลง “ แล้วเมื่อวานพวกมึงจะหนีออกจากบ้านไปทำไม ถ้าพวกมึงไม่อยากจะออกไปเที่ยว แล้วถ้าพวกมึงอยากจะออกมาเที่ยว กูก็พามาแล้วนี่ไง เพราะงั้นก็ต้องเดินนะ ลุกๆ แหน่ะ ? กระดิกห่างใส่กูอีก  ” อีกคนถอนหายใจแล้วในตอนนั้นเจ้าสองตัวนั้นก็นอนลง “ เอ้า คราวนี้นอนเลย ”

“ ปัญญาอ่อน ” ส่ายหน้าไปมากับภาพที่เห็นแต่ยังไม่ทันจะได้เดินก้าวเข้าไปบอก คนที่เราไม่รู้จักที่เหมือนจะเดินออกกำลังกายอยู่ก็เดินเข้ามาทัก

“ ถึงจะบอกแบบนั้นมันก็ไม่เดินไปหรอกครับ ” ผู้ชายที่ตัวสูงพอๆกับผมยิ้มให้อีกคนก่อนจะย่อตัวลงนั่งตรงข้ามร่างขาว ใบหน้ายิ้มแย้มอย่างเป็นมิตรนั้นชวนให้ผมนิ่ง พลางขมวดคิ้วมองอย่างงุนงงไม่น้อยในการแทรกเข้ามาทักด้วยอย่างสนิทสนม

“ แมวน่ะมันรักความสงบ ถึงมันจะออกหนีไปเที่ยว แต่ไม่ได้หมายความว่า ถ้าเราใส่สายจูงมันจะเดินหรอกครับ ”

“ เหรอครับ ” อีกคนตอบรับยิ้มๆ  ผมก็ได้แต่ถอนหายใจ

‘ ก็นั่นแหละไอ้สัดที่กูจะบอกมัน ’

“ แต่ว่ามันก็มีนะครับ แมวที่ชอบเดิน แต่เหมือนเค้าจะฝึกแล้วก็พาออกมาเดินบ่อยๆ ” ไม่พูดเปล่าอีกคนว่าแบบนั้นก่อนจะเอื้อมมือมาจับหัวเจ้าแก้มหอมของผม “ แมวของคุณน่ารักจังเลยนะครับ ไม่ทราบว่ามันชื่ออะไรเหรอครับ ”

“ แก้มหอมครับ แต่มันไม่ใช่แมวผมหรอก แมวเพื่อนผมน่ะ ” ชี้มาทางผม คนที่จับหัวมันอยู่ก็หันมายิ้มให้ก่อนจะก้มหน้าทักทายกัน แต่ผมก็แค่เหลือบมองไปทางอื่นอย่างไม่สนใจ   “ แมวของผมคือเจ้าตัวนี้ครับ มันชื่อนายท่าน ”

“ ชื่อเท่จังเลยครับ ”

“ ขอบคุณครับ แต่ก็ตามสไตส์ของคนตั้งนั่นแหละครับ ” ไม่พูดเปล่าเมี่ยงมันยกมือขึ้นเก็กหน้าหล่อใส่อีกคนที่ก็เหมือนจะนิ่งไป ก่อนจะหลุดหัวเราะแล้วก็ยิ้มกว้างออกมา

“ ฮ่าๆ มีอารมณ์ขันนะครับ ”

“ แต่ยังไงก็ขอบคุณที่หัวเราะให้นะครับ ไม่งั้นต้องกร่อยมากแน่เลย ” อีกคนว่าพลางเกาหัวยิ้มๆ แต่เหมือนท่าทางนั้นจะทำให้คนที่นั่งคุยกับมันอยู่นิ่งไป ผมรู้สึกว่าอีกฝ่ายเหมือนจะยิ้มเพ้อ มันเป็นอาการของคนตกหลุมรัก

ครืน ครืน ครืน

เสียงโทรศัพท์สั่นขัดขึ้นในกระเป๋า ผมก้มลงมองดุมันก่อนจะเห็นเบอร์ที่โทรเข้ามา “ ไอ้สัดดีน ” พูดกับตัวเองเบาๆ อย่างงั้นก่อนจะหันไปเหลือบมองคนสองคนที่กำลังยิ้มแย้มให้กันตรงหน้า

“ ว่าแต่ ผมไม่เคยเห็นคุณออกมาเดินที่สวนนี่เลย ”

“ ไม่เห็นก็ไม่แปลกหรอกครับ ผมเพิ่งมาครั้งแรกน่ะ เพิ่งย้ายมาอยู่ที่คอนโดนั่น ” มือขาวที่ชี้ไปอีกคนก็พยักหน้ารับ

“ คอนโดเดียวกันเลย ” คนถามยิ้มกว้างแล้วในตอนนั้นด้วยแววตาที่มีหวัง จนชวนหงุดหงิด ผมกดตัดสายอีกฝ่ายไปอย่างไมใส่ใจ ก่อนจะยัดมือถือใส่ในกระเป๋า “ ผมเลี้ยงแมวด้วยนะครับ แล้วคุณชื่ออะไรครับ ”

“ เมี่ยงครับ คุณละ ” อีกคนตอบอย่างกระตือรือร้น ราวกับเจอพวกเดียวกัน

“ ต่อครับ ” อีกคนพูดพร้อมยิ้มกว้าง

“ ต่อ ฮอร์โมนเปล่าครับ ” คนตัวขาวแซวมุกที่ไม่คิดว่าคนคนนึงจะกล้าเล่นออกมา แต่เหมือนว่าคนตรงหน้าจะยิ่งหว่าถูกใจ เค้าหัวเราะลั่น

“ ฮ่าๆ ได้แบบนั้นก็ดีสิครับ ”

“ ว่าแต่ทำงานหรือว่าเรียนอยู่ครับ ผมจะได้เรียกถูก ”

ก็เพิ่งรู้ว่ามันเป็นคนเฟรนลี่ขนาดนี้ แต่ทว่าท่าทางที่ไม่ติดขัดแถมยังไม่มีอาการเคอะเขินอะไรทั้งนั้นก็ยิ่งชวนให้ผมขมวดคิ้ว ไม่ใช่เพราะมันไม่แนะนำผมให้รู้จักอีกฝ่ายทั้งๆที่เราก็ยืนด้วยกันหรอก แต่ผมแค่รู้สึกว่า มึงจะยิ้มให้กันทำไมนักหนา

“ เรียนอยู่ครับ ปีสี่วิศวะ ” คนที่ชื่อต่อตอบแบบนั้น อีกคนก็ตาโตก่อนจะยิ้ม

“ งั้นก็ต้องเรียกพี่ต่อ เพราะผมเรียนปีสองบริหารครับ ”

“ ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอคนที่คุยแล้วถูกคอขนาดนี้ที่นี่ ” ผมยกยิ้มในตอนที่ได้ยินประโยคนั้น “ ที่ห้องผมก็มีแมวครับ พันธุ์บิสติสชอร์ทแฮร์ สีน้ำตาล ”

“ เฮ้ยยยยยย ผมชอบพันธุ์นี้ เคยคิดจะซื้อมาเลี้ยงเหมือนกันครับ ”

“ เป็นตัวผู้ด้วยครับ แต่ขี้อ้อนมาก รับรองว่าต้องหลงรัก ถ้าว่างๆก็ไปดูได้นะ ”

“ จริงเหรอ ” สายตาที่ดูสนใจนั่น ยิ่งทำให้ผมหงุดหงิด “ ไว้ว่างๆไปแน่นอนครับ ”

“ ยินดีต้อนรับเลยครับ งั้นพี่ว่าเราแลกเบอร์กันมั้ย ”

“ ไม่ให้ ” ผมพูดขึ้นขัดบทสนทนานั้น ก่อนจะคว้าเอามือเล็กของร่างขาวนั้นมากุมไว้ พร้อมกับดึงให้มันเดินห่างออกมาจากคนคนนั้นที่ผมยิ่งมองก็ยิ่งทำให้รู้สึกหงุดหงิดอย่างไม่มีเหตุผลใดมากขึ้นทุกที

“ เฮ้ยๆ กูยังคุยกับเค้าไม่จบ ” เมี่ยงมันว่าขัดก่อนจะหันมองคนที่ยืนคุยด้วยสลับกับหน้าผมที่ก็พยายามดึงมันให้เดินตรงไปข้างหน้า

ไม่รู้ทำไม ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอะไรในตอนนี้

เหมือนมันก็แค่รู้สึก ว่าอยากจะพามันออกไปจากตรงนั้น ตรงที่มันทั้งยิ้ม หัวเราะ แล้วก็ดูมีความสุขกับใครคนอื่นที่ไม่ใช่ผม

“ ไอ้สัดอาร์ม พอแล้ว มึงจะลากกูไปถึงไหน เดินตามไม่ทันแล้วนะเว้ย ” หยุดขาที่กำลังเดินตรงไปอย่างไม่มีจุดหมายนั่นลง ก่อนจะเหลือบมองคนที่หอบน้อยๆเพราะต้องคอยก้าวเท้าให้ยาวเพื่อเดินตามผมให้ทัน “ เป็นเหี้ยอะไรของมึง อยู่ๆก็ลากกูออกมา กูกำลังคุยกับพี่เค้าอยู่ ”

“ คุยเหี้ยอะไรกัน แล้วมึงไม่บอกมันทำไมว่ามึงอยู่คอนโด ”

“ เอ้า! ” อีกคนสบถเสียงสูง “ ก็เค้าถามกูก็แค่ตอบ ”

“ แล้วไม่กลัวเลยเหรอว่ามันอาจจะมาหลอก หรืออาจจะเป็นโจร ”

“ แต่ท่าทางเค้าไม่ได้ดูเป็นโจร กูว่าเค้าดูดีนะ ”

“ ดูดีพ่อมึงสิ ” ผมตะโกนใส่อีกคน มันยิ่งหงุดหงิดตอนที่ได้ยินจากปากของอีกฝ่ายแบบนั้น “ โจรที่มันบอกมึงว่ามันเป็นโจร มันก็แต่งตัวดูดีทั้งนั้นแหละ มันจะล้วงความลับมึงแล้วบางทีก้อาจจะขึ้นไปขโมยของของมึงเลยก็ได้ ”

“ มึงตั้งสติก่อนไอ้สัด ” เมี่ยงมันว่า “ คอนโดเราความปลอดภัยมันต้องเหี้ยมากแหละ ถ้ามันปล่อยให้พี่ต่อเค้าขึ้นไปขโมยของในห้องกูได้อะ ”

“ เรียกมันว่าพี่ทำเหี้ยอะไร ”

“ แล้วมึงเป็นอะไรของมึงเนี้ย หงุดหงิดอะไรขนาดนั้น ”

ผมได้แต่เงียบไปอยู่ๆก็ตั้งคำถามกับตัวเองขึ้นมาในใจเหมือนกัน ‘ เออ.. แล้วกูจะหงุดหงิดอะไรขนาดนั้นวะ ไม่ได้เป็นกันสักนิด ’ แล้วตอนนี้กำลังรู้สึกอะไรอยู่ ทำไมต้องเป็นฝืนเป็นไฟขึ้นมาขนาดนี้

“ มึงนี่นะ เสียบรรยากาศสร้างมิตรภาพชิบหาย ”

“ กูก็ไม่รู้ ” ตอบออกไปแบบนั้นด้วยเสียงเบาๆ “ ที่มึงถามว่าทำไมกูเป็นแบบนี้ กูก็ไม่รู้เหมือนกัน ” ผมผ่อนลมหายใจออกมาก่อนจะหันไปมองร่างสูงของผู้ชายคนนั้นที่เหมือนยังคงมองมาทางเรา แล้วในวินาทีนั้นผมก็กระชับมือข้างนั้นไว้แน่น

“ สัดอาร์ม จับมือกูแน่นไปแล้ว ”

“ แต่เมื่อเช้ามึงบอกว่า ถ้าเราจับมือกัน  คนจะคิดว่าเราเป็นแฟนกันไม่ใช่เหรอ ” สบสายตาเรียวคู่นั้นที่มองไปทางไปมาซ้ายขวาอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่ผม คนที่จ้องมองมันอยู่กำลังพูดสักเท่าไหร่ “ กูก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่กูอยากจะจับมือมึงไว้ อยากให้ไอ้เหี้ยนั่น มันเข้าใจผิด คิดว่าเราเป็นแฟนกัน ”

“ คือ มึงหึงกูเหรอ ” คำถามสั้นๆที่ถามออกมาในตอนนั้นชวนให้ผมนิ่ง แล้วก็ต้องถามตัวเองด้วยคำถามนั้นย้ำซ้ำไม่ต่างอะไรกันกับที่คนตรงหน้าถาม

‘ เออ มึงหึงเมี่ยงเหรอวะ ’

“ หึงคือยังไง  ถ้าหึงคือการที่ไม่อยากให้ไอ้เหี้ยนั่นเข้ามาใกล้มึง แล้วก็ไม่อยากให้มึงยิ้ม แล้วก็หัวเราะให้มัน ถ้าหึงคืออะไรแบบนั้น ” ผมยิ้มให้คนตรงหน้าอย่างยอมแพ้  “ อื้ม งั้นกูคงหึงมึงจริงๆ ”

.................................................

ว้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย เทอหึงเค้า เทอหึงเค้าแล้ววววววววววววว
หึงก็บอกว่าหึง ใจๆกันหน่อย

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์
ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ในทวิตด้วยนะค้า  :กอด1: :L2: :3123: :L1:

หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 11 :: up! 7-2-63} #หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 07-02-2020 22:27:41
 :pig4: :pig4: :pig4:

โถๆๆๆๆๆ อิพี่อาร์ม  ตกหลุมน้องเมี่ยงจนถึงขั้นหึงเลยหรา

รีบ ๆ เคลียร์ความรู้สึกนะจ๊ะ  ว่าจะเลือกใครดี ระหว่างน้องเมี่ยงกับสัดดีน
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 11 :: up! 7-2-63} #หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 07-02-2020 22:53:53
มีหึงด้วย ถ้าไอ้คนที่ได้แหวนไปรู้เข้า จะเป็นไงน่ะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 11 :: up! 7-2-63} #หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 08-02-2020 10:23:22
ยังไม่ตัวเองเลยนะอาร์มมมม อย่ามายุ่งกับหนูเหมี่ยง
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 11 :: up! 7-2-63} #หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 08-02-2020 10:33:30
เคลียร์ตัวเองให้ชัดนะอาร์ม อย่าให้เมี่ยงต้องเสียน้ำตา ส่วนพี่ต่อ มาเพิ่มแรงหึงเยอะๆๆๆๆเลย
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 12 :: up! 14-2-63} #หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 14-02-2020 20:23:33
ตอนที่ 12


“ หึงคือยังไง  ถ้าหึงคือการที่กูไม่อยากให้ไอ้เหี้ยนั่นเข้ามาใกล้มึง แล้วก็ไม่อยากให้มึงยิ้ม หรือหัวเราะให้มัน ถ้าหึงคืออะไรแบบนั้น... อื้ม งั้นกูคงหึงมึงจริงๆ ”

มีแค่เพียงหัวใจที่เต้นแรง หลังจากจบประโยคนั้นสมองผมก็เหมือนจะโดนตัดออกจากโลกภายนอก คล้ายกับผู้ป่วยวิกฤติที่นอนแน่นิ่งอยู่ในห้อง ICU. แล้วตอนนี้สัญญาณชีพจรก็เหมือนจะกลายเป็นแค่เส้นขีดยาวที่มาพร้อมกับเสียงตี๊ด...ที่น่าสังเวทใจ

‘ แค่ประโยคเดียวของมึง กะจะเล่นเอากูให้ถึงตายเลยเหรอ ไอ้สัด ’ อยากจะตะโกนบอกอีกคนไปอย่างงั้นแต่สุดท้ายผมก็ทำได้แค่ผ่อนลมหายใจออกมา ก่อนจะมองไปทางอื่นอย่างคนใจไม่กล้าพอ

และก็อาจจะเพราะมือที่ถูกกุมจับอยู่ เริ่มชื้นเหงื่อของขึ้นมานิดหน่อยแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อย

เอาจริงๆ อาร์มไม่ผละสายตาออกไปจากการจ้องมองผมด้วยซ้ำ หนำซ้ำในตอนที่ผมอยากจะดึงมือออก อีกคนก็แค่กุมมันให้แน่นขึ้น แบบที่บอกกันว่า จะไม่ทางปล่อยไปไหนเด็ดขาดเลย

“ เอ่อ... คือ มึงหึงสมจริงไปแล้วมั้ง ” พูดหยอกเย้าตามธรรมดา ราวกับไม่รู้สึกอะไร ผมเหล่มองอีกคนทั้งๆที่ตอนนี้ไม่มีส่วนไหนของใบหน้าที่เรียกว่า ปกติ หูแดงจัด ทั้งหน้าและคอก็แดงไปหมด เหมือนเลือดจากทั้งร่างจัดชุมนุมโดยไม่ได้นัดหมายกันที่นี่

“ ตอแหลเหี้ยอะไร ” สายตาจริงจังพร้อมกับน้ำเสียงที่เข้าข้างตัวเองไม่ได้เลยว่าอีกฝ่ายโกหก  เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าตัวเองทำคะแนนขึ้นนำก็จริงๆ  แต่ก็น่าแปลก ที่ตัวผมตอนนี้กลับประคองสถานการณ์ไว้ไม่ได้เลย
 
ในสมองที่ควรตอบโต้อะไรออกไปด้วยความเหนือกว่า อย่างเช่นประโยคที่พูดว่า ‘ แหมมมม ชอบกูแล้วสิ ’ ‘ รักกูสินะ ’ หรือว่า ‘ สนใจกูละเช่ ’ ถูกกลืนหายไปหมด หลงเหลือไว้เพียงแค่ประโยคร้องขอชีวิตที่แสนจะวิงวอน ‘ จะตายแล้วไอ้ชิบหาย หยุดจริงจังทีได้มั้ย มึงกำลังทำให้กูคิดว่า มึงชอบกูจริงๆแล้วนะเว้ย ’ 

แล้วที่เหี้ยกว่านั้น คือกูก็รู้สึกยินดี

“ กูว่าเย็นแล้วนะ ” เงยหน้ามองฟ้าอย่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อ  ผมหันไปยิ้มเกร็งให้อีกคนอย่างไม่เป็นตัวเองแบบที่สุด “ ท้องฟ้าดูเหมือนจะครึ้มๆ กูว่ารีบกลับคอนโดเรากันเถอะ ฝนตกขึ้นมาวิ่งอุ้มแมวกลับคอนโดกูว่าไม่น่าสนุก ”

“ อื้ม ” ตอบรับสั้นๆแค่นั้น แต่ในตอนที่ขากำลังก้าวเดินไปอีกคนกลับหยุดชะงักมันไว้แค่นั้น อาร์มหันมองผม ที่ตอนนั้นสบสายตามันก่อนจะก้มลงมองมือตัวเองที่ถูกจับกุมอยู่

“ คือ ปล่อยก่อนมั้ยจ้ะ ยังไงดี ” ยิ้มให้มันที่ก็นิ่งไป ร่างสูงยอมปล่อยมือกันด้วยท่าทางสีหน้าที่ผ่อนลมหายใจเสียดาย “ แหมมมมมมม น้องรู้ว่ามือน้องเล็กนุ่มนิ่ม แถมยังน่าจับ ไว้ว่างๆให้จับอีกก็ได้จ้า ไม่ต้องทำหน้าเสียดายอย่างงั้นก็ได้  ”

“ เห้อออออออ ” อีกคนถอนหายใจออกมา ก่อนจะเหลือบมองผมที่เอาแต่เลิ่กลั่กจนไม่รู้จะเอาสายตาหันไปมองทางไหนดี หัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ ผมพยายามตั้งรับกับคำพูดหรือการกระทำที่อาจจะทำให้แน่นิ่งไปอย่างเมื่อครู่ แต่เหมือนอีกฝ่ายจะดูออก

อาร์มยกยิ้ม มันดึงมือขึ้นลูบหัวผมจนมันเอนไปด้านหลัง “ จะทำเป็นมองไม่ออกก็ได้  เอาอย่างที่มึงสบายใจแล้วกัน ”

“ งั้นเราก็ กลับบ้านกันเนอะ ” แล้วนั่นก็คือประโยคสุดท้ายที่ผมพูด ก่อนที่ทุกอย่างในระหว่างทางของเราจะกลายเป็นแค่ความเงียบ

เจ้าแมวสองตัวถูกยกขึ้นมาอุ้มแบบของใครของมัน แม้ผมจะเหลือบมองมันบ้าง แต่พอจับได้ก็ต้องเด้งสายตากลับมาเหมือนคนโดนของร้อน แล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อย่างไม่แนบเนียนที่สุด 

“ มีอะไร ” ในที่สุดคนข้างกันก็ทนไม่ไหวเอ่ยถามขึ้นมาในตอนที่เรากำลังยืนรอลิฟต์ขึ้นไปบนห้อง ผมเหลือบมองอีกคนก่อนจะส่ายหน้าไปมา พร้อมกับใบหน้าไม่รู้ไม่ชี้

“ ไม่มีนะ ”

“ ก็เห็นมึงมองคิดว่าจะถาม ”

“ ถามอะไรวะ ” ผมหันไปมองมัน “ ไม่มี๊ ” เสียงตอบปฎิเสธที่ดูสูงจนชวนให้อีกคนขมวดคิ้ว อาร์มมันยิ้มก่อนจะดึงสายตาของตัวเองลงมามองกัน  แล้วในยามที่ได้มองสบ ผิวหน้าของผมร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ แววตาสั่นไหวไปมา แต่ถึงอย่างงั้นปากก็ยังเอ่ยถามและโกหกออกไป “ อะ อะไรไอ้สัด บอกว่าไม่มีอะไรจะถามไง ”

“ งั้นเหรอ ” อาร์มยิ้มกว้างขึ้น อีกฝ่ายในตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับหมาตัวใหญ่ที่แม่งชอบรังแกหนูตัวเล็กๆ ด้วยการเหยียบหางไว้เบาๆไม่ให้ไปไหน แถมยังดูเป็นเรื่องสนุกที่ได้เห็นผมแสดงทีท่าที่ไม่เป็นตัวเอง “ งั้นกูคงเข้าใจผิด เพราะกูคิดว่ามึงคงอยากถาม ”

“ ถาม ? ถามอะไร ”

“ ก็อาจจะประมานว่า จริงมั้ยนะ เรื่องที่กูหึงมึง ”

‘ ไอ้สัด รู้ได้ยังไงวะ ’ สถบอยู่ในใจ ก่อนจะเลื่อนสายตาหันกลับมามองประตูลิฟต์ที่สะท้อนใบหน้าพ่ายแพ้ของตัวเองแบบจนแต้ม แก้มสองข้างของผมมันแดงกล่ำ

“ รู้มั้ยว่าลิฟต์มันสะท้อน บอกกูนะ ” อาร์มที่มองประตูลิฟต์อยู่เหมือนกันบอกกับผม ที่ก็เหลือบมองมันผ่านเงาสะท้อนนั้น

“ อะไร ”

“ หน้าแดงๆ ของมึงที่บอกกับกูไง ว่าทุกอย่างที่กูพูดมันคือเรื่องจริง ”

“ ไม่ต้องมายิ้มเลย ” พูดได้แค่นั้น ก่อนจะถอนหายใจแล้วหันไปกดปุ่มเรียกลิฟต์ถี่ๆ จนคนที่ยืนข้างกันต้องเอื้อมมือมาจับไว้ สายตาคมที่เหล่มองผมในตอนนั้น

“ กดทำไมหลายที ทีเดียวมันก็มาแล้ว ”

“ ก็กูอยากจะขึ้นห้องแล้ว ” ว่าแบบนั้นก่อนจะดึงมือตัวเองที่อีกคนจับอยู่ขึ้นมากอดกระชับตัวไอ้นายท่านไว้

“ แต่กูยังอยากจะอยู่กับมึงนะ ” เสียงเรียบที่เอ่ยบอกกัน อาร์มมองหน้าผม ผ่านเงาของประตูลิฟต์ที่สะท้อนอย่างจริงจัง แบบที่ผมใช้เป็นข้ออ้างกับตัวเองไม่ได้เลยว่านั่น อาจจะเป็นคำโกหกเพื่อทำให้ผมตกหลุมอย่างที่เคยเป็นมา

“ ยอมมึงแล้วไอ้สัด ” พูดออกไปอย่างงั้นอย่างอ่อนแรง ผมถอนหายใจหน่ายๆแบบชนิดที่ไม่มีคำพูดอะไรต่อกรกับมันได้อีก และตอนนี้ถ้าชีวิตผมมันเป็นเกมส์ ก็คงขึ้นหน้าจอดำมืดพร้อมกับประโยคสั้นๆ ‘ GAME OVER ’

พาร่างไร้วิญญาณและสติกลับมาที่ห้องของตัวเองจนได้ในที่สุด ผมล้มตัวลงนอนยาวบนโซฟาอย่างคนหมดแรงหลังจากยืนหน้าแดงอยู่ในลิฟต์แคบๆนั่นอยู่นาน กับอีกคนที่เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ไม่รู้จะมีความสุขอะไรนักหนา

“ เห้ออออออ “ ถอนหายใจออกมาเสียงดัง ก่อนจะหันไปมองไอ้นายท่านที่หลังจากกระโดดออกไปจากอ้อมกอดของผมตั้งแต่เปิดประตูห้อง มันก็ตรงไปที่น้ำพุใส่น้ำของตัวเองทันที ท่าทางหิวน้ำแบบสุดๆชวนให้ผมยิ้ม ก่อนจะหุบยิ้มลงในตอนที่มันกินเสร็จแล้วไปนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ที่ประตูห้อง อย่างร้องเรียกที่จะออกไปอีกครั้ง

“ เมี๊ยว ”

“ ไม่ต้องมาเมี๊ยวเลย ไม่ออกไปเล่า ” ผมว่า แต่เหมือนอีกคนจะไม่ฟังกันสักเท่าไหร่ ไอ้นายท่านยังคงร้องต่อไปแบบที่ไม่สนอะไรใดๆ เหมือนหัวจิตหัวใจอยากจะอยู่กับสาวข้างห้องเท่านั้น

“ เมี๊ยว เมี๊ยว เมี๊ยว เมี๊ยว ”

“ โอยยยยยยยยยยย หยุดเลย หยุดเดี๋ยวนี้ ” ผมดึงหมอนอิงที่อยู่ตรงโซฟามาปิดหูตัวเอง ก่อนจะหลับตาแน่นทำทีเป็นไม่ได้ยิน  “ ไม่ กูไม่ได้ยิน ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น  ไมได้ยิน ไม่ได้ยิน ”

“ เมี๊ยว ” แต่เสียงที่ดังอยู่ไกลๆ ยิ่งท่องก็เหมือนจะยิ่งเข้ามาใกล้หู จนผมลืมตาขึ้นมามองตอนที่ได้ยินเสียงหายใจของแมวที่ดังอยู่ใกล้ๆ ไอ้นายท่านกระโดดขึ้นมานั่งบนโซฟาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่ที่รู้ตอนนี้มันมานั่งอยู่ตรงหน้าผม แล้วก็ร้องเรียก “ เมี๊ยว ” ก่อนจะกระโดดลงไปแล้วเดินตรงไปที่ประตู “ เมี๊ยว ”

“ ไม่เปิด ไม่ไปแล้ว อยู่บ้านตัวเองบ้างเถอะมึงอะ มัวแต่จะหาสาว ใจแตกเหรอ เมื่อก่อนเห็นซึน ดูเหมือนจะไม่สนใจเค้าเลย เวลาเค้าร้องเรียกมึง เมี๊ยวๆ จะครบร้อยละ มึงยังไม่ตอบกลับเค้าสักคำ แต่ตอนนี้คือยังไง จะหาเค้าท่าเดียวเลยนะ ”

“ เมี๊ยว ” เสียงตอบกลับนั่น เหมือนว่าเจ้าตัวลายมันสวนผมกลับยังไงไม่รู้ในความรู้สึก ด้วยประโยคประมานว่า ‘ ก็เหมือนมึงนั่นแหละ ’ ที่เมื่อก่อนจะจีบเค้างั้นงู้นงี้ให้เค้าตกหลุมรัก แต่พอตอนนี้ เขาพูดว่าหึง พูดว่าอยากอยู่ด้วยกันเข้าหน่อย ก็เสือกหูแดงหน้าแดง เขินจนใบ้กิน เถียงไม่ออกสักคำ

“ โอยยยยย หยุดเต้นก่อนได้มั้ยวะ ไอ้สัดหัวใจนี่ก็ ” ซุกลงกับหมอนด้วยความหงุดหงิด ผมเผลอคิดถึงใบหน้าจริงจังของมันทั้งตอนที่บอกว่าหึงกันเพราะผมมัวแต่คุยกับพี่ต่อ  แล้วก็นตอนที่อยู่หน้าลิฟต์ ที่อีกฝ่ายบอกว่ายังอยากจะอยู่ด้วยกัน “ คือยังไงวะ ชอบกูเหรอ ”

“ เมี๊ยว ” เสียงร้องเรียกที่ดังอยู่ตรงโซฟาด้านล่าง ไอ้นายท่านกระโดดขึ้นมาบนโซฟาตรงหน้าผมอีกครั้ง “ เมี๊ยว ”

“ นายท่าน มึงว่ามันชอบกูมั้ย ไอ้อาร์มชอบกูเหรอ ”

“ เมี๊ยว ” เหมือนมีคำว่า ‘คงชอบแหละ’ หลุดออกมาจากในความคิดคนชอบเข้าข้างตัวเองอย่างผม ที่ก็กลั้นยิ้มกว้างกับตัวเองคนเดียว พร้อมกับซุกหน้าลงกับหมอนอีกครั้ง ขาตีเข้ากับโซฟาแบบที่อดตื่นเต้นไม่ได้ รู้สึกเหมือนตัวเองจะละลายหายไปกับโซฟาตัวที่นอน

“ บ้า มึงก็..พูดอะไรวะ โอ๊ยยยยยยย ”

“ เมี๊ยว เมี๊ยว ” 

เงยหน้าขึ้นมาตอนที่ได้ยินเสียงร้องนั้น ที่ก็กระโดดลงไปบนพื้นอีกครั้ง นายท่านส่ายหาง เหมือนบอกว่าจะให้ตามกันมา แล้วเปิดประตูให้มันหน่อย

“ เอ่อ...” จริงแล้วๆ มันคงไมได้ตอบอะไรผมอย่างที่รู้สึกหรอก เพราะในใจตอนนี้ของไอ้ตัวลายข้างหน้า คงมีแค่อย่างเดียวคือ ‘ น้องแก้มหอม ’ ผมผ่อนลมหายใจ ก่อนจะเดินตรงไปนั่งย่อตัวลงข้างๆมันที่นั่งส่ายห่างอยู่ตรงประตู

“ นี่ นายท่าน เราทีมเดียวกันนะเว้ย มึงแม่งจะทิ้งกูแบบนี้ได้เหรอ คือมึงไม่เห็นสภาพกูเลยอะ กูย่ำแย่มากเลยนะจากคำพูดของพ่อแก้มหอมอะ มันทำกูเขินมาก กูไปไม่เป็นเลยนะ เพราะงั้นกูไม่สามารถพามึงออกไปหาแก้มหอมคนสวยของมึงได้ในตอนนี้หรอก โอเค๊ ? ”

“ ม๊าว เมี๊ยว เมี๊ยว เมี๊ยว ” สองมือหน้าข่วนประตูอย่างเอาเป็นเอาตายจนทำได้แค่ถอนหายใจ

“ มึงนี่ สนใจกูหน่อยได้มั้ย ”

“ เมี๊ยว ” สายตาคมที่หันหันมาร้องบอกกันอย่างไม่ใยดี นายท่านหันกลับไปมองที่ประตูอย่างเดิม เหมือนเพราะผมไม่ใช่เจ้าแก้มหอมของมัน ก็เลยเหนื่อยหน่อยนะ ถ้าอยากจะให้มันให้ความสนใจ

 “ มึงแม่ง เห็นคนอื่นดีกว่ากูได้ยังไง กูคือคนให้ข้าวให้น้ำนะ ” ก้มลงไปใกล้อีกตัว แต่ในตอนที่จะพูดอะไรต่อ กลิ่นตุๆ จากเจ้าตัวลายก็ทำให้ผมยิ้ม “ กูรู้แล้วว่าทำยังไง มึงถึงเลิกสนใจประตูนี่ ”

ลุกเดินเข้าไปในห้องนอนหลังจากจบประโยคนั้น ผมหยิบผ้าขนหนูสีขาวผืนขนาดกลางของตัวเองหนึ่งผืนขึ้นมาพาดไหล่ ก่อนจะเดินออกไปจับเจ้าตัวลายที่ยืนข่วนประตูอยู่ขึ้นมา ผมเดินตรงเข้าไปในห้องน้ำ

“ อาบน้ำจ้า นายท่าน ”

“ ม๊าว!!! ” เสียงร้องตกใจที่โคตรจริงจังราวกับจะปฎิเสธ แต่ผมก็แค่ปล่อยมันไปแล้วทำเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น นายท่านถูกวางลงในอ่างอาบน้ำ ส่วนแชมพูแล้วก็ผ้าขนหนูถูกตั้งไว้ในที่ที่ง่ายต่อการจับ

“ แต่ เค้าแม่งเริ่มอาบน้ำแมวกันยังไงวะ ” ถามตัวเองแบบนั้นก่อนจะมองไอ้นายท่านที่ก็เหลือบมองผมแบบไม่ไว้ใจเท่าไหร่ “ ไม่ต้องมองกูอย่างงั้น เพราะเราจะผ่านมันไปด้วยกัน เอาละนะ! ”

ฉ่า!

“ ม๊าว!!!!!!! ” เสียงเปิดน้ำดังขึ้นพร้อมกับเสียงแมวที่ก็กระโดดหนีไปแทบจะทันทีที่น้ำโดนตัว แต่โชคดียังดีที่ผมปิดประตูไว้นายท่านเลยออกไปไม่ได้ แม้มันจะไม่สนิทเท่าไหร่ก็เถอะ

“ มึงจะหนีไปไหน มึงหนีไม่พ้นหรอก มาอาบน้ำ ”  ฉีดน้ำไปทางเจ้าแมวที่ข่วนประตูอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ ณ ขณะนั้น ผมปิดน้ำลงก่อนจะเดินมาเตรียมจะอุ้มมันขึ้น แต่เหมือนจะไม่ง่ายอย่างงั้น เพราะอีกตัวดันวิ่งหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต “ แล้วมึงจะหนีไปไหนเล่า มานี่เลย “

“ ม๊าว ม๊าว ” นายท่านซุกตัวอยู่ข้างมุมประตู มันแยกเขี้ยวใส่กันเหมือนว่าถ้ามึงเข้ามานะเมี่ยง กูจะข่วนมึงแบบไม่ให้เหลือเลย

“ อย่าคิดที่จะทำแบบนั้น กูพูดจริง มึงห้ามข่วนกูนะ ” ผมขู่มันก่อนจะค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ แต่อีกตัวก็แค่วิ่งหนีไปหลบที่อื่น “ นายท่าน เลิกกลัวก่อน กูแค่จะอาบน้ำให้มึงเอง แล้วการอาบน้ำนะ มันจำเป็นนะ มันจะทำให้มึงสะอาดขึ้น เข้าใกล้แก้มหอมเค้าก็จะไม่รังเกียจ เข้าใจมั้ย ” ย่อตัวพูดกับอีกตัวก่อนจะถอนหายใจ “ รู้มั้ยว่า ถ้าเราตัวหอมๆ สาวจะอยากเข้ามาใกล้ เข้ามาคลอเคลียนะ แก้มหอมเค้าหอมนุ่มขนาดนั้น มึงก็ต้องหอมด้วย เข้าใจที่พูดเปล่า ”

“ ม๊าววววววววววววววววววววววว ”

“ อาบน้ำ! ”

“ ม๊าว!!!!! ” เสียงร้องลั่นดังขึ้นหลังจากที่ผมบอก แต่คราวนี้มันวิ่งไปที่ประตูก่อนจะยกตัวขึ้นข่วนประตูเลื่อนที่ปิดไม่สนิทเท่าไหร่นั้น จนมันแง้มออกกว้างขึ้น

“ เชี้ย! อย่าออกไปนะ ” หลังจากตะโกนลั่นมือก็เอื้อมคว้าแต่ก็เหมือนจะช้ากว่าเจ้าตัวที่วิ่งออกไปแบบไม่คิดชีวิต เหมือนว่าจะเป็นตายร้ายดียังไงกูก็ต้องรอดออกไปจากการอาบน้ำครั้งนี้ให้ได้ “ ไอ้นายท่าน กลับมาเดี๋ยวนี้ ” ผมตะโกนออกไปก่อนจะวิ่งไล่มันจนอีกตัวขึ้นไปบนโต๊ะตรงส่วนครัวที่ผมตั้งแก้วน้ำไว้อยู่ นายท่านยกมือไปเขี่ยมัน “ อย่านะ! หยุดเดี๋ยวนี้  ” แต่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ มือนั้นปัดแก้วน้ำออกจากตก

เพล้ง!

“ ไอ้นายท่าน! ” ตะโกนออกไปแบบสุดเสียง ผมจ้องหน้ามัน แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าสนใจอะไร หนำซ้ำมันยังจ้องหน้าผมเขม็ง เหมือนจะบอกว่า ‘ ถ้ามึงยังจะก้าวเข้ามาอีก กูพร้อมจะทำลายทุกอย่าง ’ “ ทำไมมึงถึงอันธพาลแบบนี้ มึงมันแมวนิสัยไม่ดีเลย เดี๋ยวก็กูไม่รักเลยนะ ”

“ ม๊าว ”

“ ไม่ต้องมาเถียงเลย!! ไม่รักก็ไม่สนงั้นเหรอมึงน่ะ ” เจ้าตัวลายกระโดดลงจากโต๊ะในตอนที่ในตอนที่ผมพูด แล้วคราวนี้มันก็ขึ้นไปบนโต๊ะหน้าทีวีที่มีมือถือเพิ่งถอยใหม่ของผมวางอยู่ มือปุกปุยที่เคยน่ารักตะบบเข้ากับมือถือเครื่องนั้น มันหันมองผมอย่างท้าทาย ซึ่งแน่นอนว่าตอนนั้น แม้แต่คำว่า ‘อย่า’ ผมก็ยังไม่กล้าพูด

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“ เมี่ยง ” เสียงเรียกคุ้นเคยที่ดังอยู่ตรงบานประตูทำให้ผมหันไปมอง ก่อนจะหันกลับมามองไอ้นายท่านที่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยมือออกจากโทรศัพท์ของผม มันช่างเป็นวินาทีที่ทุกอย่างเหมือนอยู่ในขั้นวิกฤต เพราะแค่มันผลักนิดเดียว มือถือซื้อใหม่ที่เพิ่งได้มาไม่ถึงสองเดือนก็พร้อมจะหล่นลงจากโต๊ะทันที

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“ เมี่ยง ” คนด้านหน้าเคาะประตูพร้อมกับเรียกซ้ำอีกครั้ง

“ โอยยย มึงจะเคาะทำไมเนี้ย ” ถอนหายใจอย่างอ่อนแรงอย่างช่วยไม่ได้ ผมถอยหลังไปที่ประตูช้าๆอย่างไม่วางตาจากเจ้าตัวร้าย เปิดแง้มประตูห้องของคอนโดเบาๆ แล้วเงยหน้ามองคนข้างห้องที่กำลังอุ้มเจ้าแก้มหอมไว้อยู่อาร์มขมวดคิ้วให้กัน

“ เสียงดังชิบหาย เป็นเหี้ยอะไร ”

“ มึง ไอ้นายท่านมันก่อกบฏกับกู แล้วตอนนี้มันก็จับมือถือกูไว้ เพื่อข่มขู่ ” พูดออกไปเสียงเบาๆอีกคนก็ได้แต่เงียบ “ แต่กูไม่กล้าเจรจาต่อรองอะไรกับมันเลย เพราะเคยดูคลิปแมวมาที่พอเค้าบอกว่า อย่า มันแม่งก็ผลักแก้วลงตกจากโต๊ะเลย ”

“ ประสาท ” อาร์มมันว่าหน่ายๆ พร้อมกับถอนหายใจด้วยความรู้สึกเซ็งนิดหน่อยที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่แบบที่มันคิด

“ ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดแบบนี้นะเว้ยไอ้เหี้ย! ” ย้ำตรงท้ายประโยคกับอีกคนที่ก็แค่เหลือบมองไปทางอื่นอย่างอ่อนใจ ร่างสูงยิ้มจางๆ ก่อนจะหันมาพยักหน้ารับกับผมแบบยอมแพ้

“ ครับๆ ยอมแพ้คุณแล้ว ”

“ มือถือกูเพิ่งซื้อมาใหม่ ฟิล์มกันรอยก็ยังไม่ได้ใส่ แถมจากโต๊ะลงบนพื้นมันก็สูงอยู่นะ พื้นเป็นกระเบื้องอีก ยังไม่ได้ซื้อพรมมาใส่ มึง...” ผมลากเสียงอ่อนใส่อีกคน อย่างร้องขอความช่วยเหลือ “ ทำยังไงดี ”

“ คนอย่างมึงนี่มัน...” อาร์มเว้นเสียงไปก่อนจะถอนหายใจแล้วส่ายหน้าไปมายิ้มๆ “ ไม่มีสติกับทุกเหตุการณ์จริงๆเลยนะ ”

“ K ไม่ใช่เวลาที่มึงจะมาพูดแบบนี้มั้ย ตอนนี้มึงต้องช่วยมือถือของกูก่อนนะ ” พูดแบบนั้นก่อนจะหันมองแมวตัวเองที่อยู่ในห้อง สลับกับคนหน้าห้องที่กำลังลูบขนแมวตัวเองอยู่ “ กูคิดออกแล้ว ”

“ อะไร ”

“ ตามหลักปกติ เค้าต้องให้คนมากล่อม เพื่อให้มันยอมใช่มั้ย ”

“ คือบางทีมึงอาจจะดูหนังมากไป นี่แมวนะ ” อาร์มมันว่า ผมก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา

“ ไม่มากหรอก เพราะงั้นนะ กูขอยืมแก้มหอมหน่อย กูจำเป็นต้องมีทูตเพื่อเจรจา ”

“ ไร้สาระชิบหาย คือ ดูอะไรนี่ ” หันขวับไปหาคนที่พูดอย่างงั้น มือหนาจะกดเข้าที่กริ่งตรงหน้าห้อง แล้วในวินาทีต่อมาที่เสียงกริ่งดังขึ้นในห้อง เจ้าตัวร้ายที่ใช้อุ้งเท้าจับอยู่บนมือถือของผม ก็ดึงเท้าออกก่อนจะวิ่งปู๊ดขึ้นไปบนคอนโดตัวเองทันทีด้วยความตกใจ

“ เชี้ย! รอดแล้ว ” ผมวิ่งเข้าไปหยิบมือถือตัวเองเป็นอย่างแรก ก่อนจะเงยหน้ามองเจ้าตัวร้ายที่ตอนนี้มองผมลงมาจากคอนโดแมวของตัวเอง “ ไม่ต้องมามองเลย มึงนะมึงไอ้ตัวดี  มึงมันร้ายมาก ทำไมถึงเป็นแมวที่นิสัยไม่ดีได้ขนาดนี้ ไม่น่ารักเลย ”

“ เมี๊ยว ” ไม่ใช่เสียงตอบรับของนายท่าน แต่เป็นจากเจ้าแก้มหอมขาที่ก็กระโดดลงไปจากการกอดรัดของผม มันวิ่งขึ้นไปที่คอนโดแมวข้างๆกับนายท่าน ก่อนจะส่งเสียงเรียก พร้อมกับคลอเคลียไม่มีห่าง  “ เมี๊ยว ”

“ แล้วมึงไปทำอะไรมัน ทำไมมันถึงได้อาละวาดขึ้นมาขนาดนี้ ” หันไปมองคนที่เดินเข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ สายตาคมที่หันมองเศษแก้วที่ตกแตกอยู่ อาร์มเหลือบมองผม

“ จับมันอาบน้ำ แต่ว่าคงจะผิดวิธีไปหน่อย มันก็เลยตกใจ แล้วก็วิ่งเตลิดออกมาเลย ” อธิบายให้อีกคนที่ก็ได้รับเพียงแค่การถอนหายใจใส่เบาๆ “ แหมมมมมึง กูก็ไม่เคยอาบน้ำแมวมั้ยละครับ ใครจะไปรู้ว่าแค่เปิดฝักบัวมันก็ตกใจ แล้วก็วิ่งหนีกูไปซะทั่วห้อง ยังกับคิดว่ากูจะฆ่ามัน ”

“ ก็ไม่ผิด บางทีมันอาจจะคิดว่าฝักบัวนั่นแหละคืออาวุธที่มีน้ำที่มันไม่ชอบไหลออกมา”

“ เหรอ ”

“ แล้วนี่อาบน้ำมันเสร็จยัง ”

“ มึงควรถามว่ากูทำให้มันเปียกได้ทั้งตัวยัง หรือไม่ก็ ได้เปิดฝาแชมพูยังครับเมี่ยง ” เสียงหัวเราะเบาๆของคนที่ยืนอยู่ข้างๆ แต่ในตอนที่ผมหันไปมอง มันก็เชิดหน้าไปกองแก้วแตก

“ ก่อนอื่นกูว่ามึงต้องทำความสะอาดไอ้เหี้ยนี่ก่อนมั้ย ”

“ เออ แปป ขอเก็บกวาด  มึงหลบหน่อยเดี๋ยวจะโดนบาดเอานะ ” ว่าแบบนั้นก่อนจะกันอีกคนให้ถอยห่างออกไปไกลจากรัศมีที่คิดว่ามีเศษแก้วกระจายตัวไป ผมเดินไปหยิบเอาไม้กวาดที่อยู่ในห้องเก็บของออกมา แล้วลงมือกวาดมันอย่างสะอาด ตบท้ายด้วยการดูดฝุ่นอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ “ เสร็จละ ”

“ แล้วนี่ยังคิดที่จะอาบน้ำให้มันอยู่มั้ย ” อาร์มที่นั่งอยู่บนโซฟาในห้องเชิดหน้าไปทางแมวของผมที่ก็กำลังเลียขนตัวเองแต่งหล่อต่อหน้าสาวเต็มที่ ผมกลืนน้ำลายลงคอ

“ ก็อยากนะ แต่กลัวมันอาละวาดอีกน่ะสิ ”

“ กูช่วยมั้ยละ ” ใบหน้าคมที่เอียงหน้าถามกันอย่างงั้นยิ้มๆ ก่อนจะหันไปมองแมวตัวเองที่นั่งอยู่กับแมวของผม “ แก้มหอมเป็นแมวที่ชอบอาบน้ำมากๆ เค้ารักความสะอาด บางทีถ้าแมวมึงมันเห็นว่าไม่อันตราย มันอาจจะยอมให้อาบก็ได้ ”

“ อันนี้คือจริงจังใช่มั้ย ”

“ มันก็ต้องลองดู พอดีสิ่งที่กูเลี้ยงมันคือแมว ไม่ใช่อันธพาลซะด้วย ” ร่างสูงเหลือบมองแมวผมด้วยสายตาเอาเรื่อง แต่เหมือนเจ้าตัวลายของผมก็ไม่มีท่าทีเกรงกลัวอะไร  นายท่านจ้องไอ้อาร์มกลับ แต่อีกคนก็แค่ยิ้มในตอนที่เดินเข้าไปหาแมวตัวเอง “ แก้มหอมขา มาหาป๊านี่มา ” กางมือออกเหมือนขออุ้มเด็กเล็กๆ แก้มหอมเองก็แสนจะน่ารัก มันพาตัวเองเข้ามาให้อ้อมกอดของคนเป็นเจ้าของพร้อมทั้งคลอเคลียไม่ห่าง เป็นอะไรที่โคตรน่าอิจฉา

“ คอยดูกูบ้างแล้วกันนะ ” ผมบอกก่อนจะยักคิ้วให้อีกคน  “นายท่านขอรับ ” ผมกางมือออกไปหมายจะอุ้ม แต่ก็โดนมือเล็กๆนั่นผลักมือผมออกไปเหมือนบอกว่า ‘ไปไกลๆเลยมึง’ จนผมต้องบอกมันแบบกระซิบ “ นี่ ต่อหน้าคนอื่นนะ ช่วยทำตัวน่ารักๆหน่อยได้มั้ย แบบที่แมวดีๆเค้าเป็นกันอะ ”

“ บางทีมันอาจจะไม่เข้าใจก็ได้นะ ” อาร์มว่ายิ้มๆ “ ความหมายของคำว่า แมวที่ดีน่ะ ”

“ K ” หันไปบอกร่างสูงที่ก็ยักคิ้วให้กัน ผมหันมองนายท่านอีกครั้ง “ มึงแม่งไม่เจ็บใจเหรอวะ มันว่ามึงถึงขนาดนี้เลยนะ นี่ถ้าเป็นกู กูให้อุ้มเลยนะ ” บอกอีกตัวที่ก็แค่มองผมไม่วางตาราวกับยังไม่ไว้วางใจ

นายท่านกระโดดลงจากคอนโดแมว มันเดินผ่านผมไปด้วยท่าทางนวยนาดแบบเชิ่ดคอ ก่อนจะไปหยุดอยู่ตรงคนข้างผม เท่าปุหปุยเอาเท้าหน้าเหยียบบนเท้าไอ้อาร์มไว้อย่างหาเรื่อง จนอาร์มต้องก้มลงไปมองหน้ามัน สายตายียวนกวนประสาทสบกัน ก่อนที่เจ้าตัวร้ายจะเดินกลับมานอนลงข้างๆเท้าผม

“ มึงแม่งโคตรน่าเตะ ”

“ แต่ก็น้า มันสมเป็นนายท่านของกูเลยละ ” ก้มลงไปอุ้มอีกเจ้าแมวสุดกวนขึ้นมา ผมยักคิ้วให้อาร์มที่ก็เหลือบไปมองทางอื่น “ อย่าเกลียดมันไปนักเลยน่า เพราะอะไรรู้มั้ย ”

“ อะไร ” เสียงทุ้มหันมาเหลือบถาม ผมก็เหล่มองมันยิ้มๆ

“ ก็แม่กูเคยบอกไว้ว่า อย่าเกลียดอะไร เพราะเกลียดอะไรจะได้อย่างงั้น ระวังน้า บางทีมึงอาจจะได้ไอ้นายท่านเป็นลูกเขยก็ได้ ถ้ายังขืนเกลียดมันแบบนี้ ใช่มั้ยละครับ น้องแก้มหอมขา ”

“ เมี๊ยว ” เสียงใสที่ตอบรับอย่างน่ารัก เหมือนจะบอกกันว่า ‘ ใช่แล้วค่ะพี่เมี่ยงขา ’

“ ยังอยากจะอาบน้ำให้แมวมั้ย ไม่งั้นกูจะได้กลับบ้าน ” สายตาเซ็งๆที่เหลือบมองกัน ชวนให้ผมยิ้มก่อนจะก่อนจะก้มลงกระซิบแมวตัวเอง

“ ว่าที่พ่อตามึงแม่ง ดุชิบหาย ”

หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 11 :: up! 7-2-63} #หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 14-02-2020 20:24:12
เราเดินเข้ามาภายในห้องน้ำที่เจ้าแมวตัวร้ายที่ผมอุ้มแสดงท่าทางกลัวอย่างเห็นได้ชัด สองมือที่ตะขบเข้ากับเสื้อที่สวมอยู่พยายามอย่างมากที่จะปีนหนีไปให้ไกล แต่ผมก็แค่กอดมันไว้ก่อนจะลูบหลังเจ้าตัวที่อุ้มอยู่ในสงบลง

“ ขอโทษที่ทำให้มึงกลัวนะ แต่ไม่เป็นไรหรอก ก็แค่อาบน้ำเอง ” อาร์มเหลือบมองผมที่พูดแบบนั้น ตอนนั้นอีกคนเอาเจ้าแก้มหอมไอวางลงในอ่างน้ำ ที่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะกลัวอะไรเลย

“ เวลาเปิดน้ำอาบให้แมวมึงต้องค่อยเปิดเบาๆ ฝักบัวแรงดันน้ำมันจะเยอะเกินไปเวลาที่เปิดจนสุด เสียงน้ำแบบนั้นจะทำให้แมวกลัว ” เสียงน้ำที่ไหลออกจากฝักบัวเบาๆ ผมพยักหน้ารับก่อนจะสบสายตากับอีกคน “ เอาแมวมึงลงมายืนในอ่างสิ ”

“ ก็อยากอยู่หรอก แต่มันเกาะเสื้อกูแน่นเลยนี่สิ ไม่ยอมไปไหนเลย ” ยิ้มแห้งๆให้อีกฝ่าย ผมชูมือตัวเองขึ้นเพื่อบอกกับอีกคนว่าไม่ได้มีการจับกุมอีกตัวไว้แต่อย่างใด และในตอนนั้นเองที่อาร์มเดินเข้ามา มันดึงเล็บที่ยึดเสื้อผมไว้ของนายท่าน ก่อนจะอุ้มอีกตัวมายืนข้างๆแก้มหอมแมวของมัน ด้วยการจับที่คอเอาไว้ “ มึงอาบให้แก้มหอม กูจะอาบให้ไอ้นายท่าน ” 

“ เสนอตัวแบบนี้ ถ้าโดนข่วนอีกยี่สิบแผลก็คือไม่ใช่ความผิดกูถูกมั้ย ” เหลือบสายตาแซวมันนิดๆผมขยับตัวเองนั่งลงข้างอีกคน  อีกคนก็เปิดน้ำเบาๆ รดเจ้าตัวขนที่ก็เอ่ยร้องเสียงขัดใจอยู่ในคอตลอดเวลา เหมือนคำกร่นด่าที่ว่า ‘ อย่าให้กูรอดออกไปได้นะไอ้พวกเหี้ย ’

“ รดน้ำให้ทั่วทั้งตัวก่อน แล้วก็ค่อยเทแชมพูลงไปสระ ”

“ โอเค ” ผมบีบแชมพูลงบนมือของอาร์มที่รอรับ มันถูไปบนตัวของไอ้นายท่านที่ปกติก็ไม่ใช่แมวตัวอ้วนอะไรอยู่แล้ว ตอนนี้พอโดนน้ำมันก็ยิ่งเล็กลง เจ้าตัวขนสั่นหงึกหงึกไปหมด ส่วนผมเองก็หันมาสนใจคนสวยที่ยืนอยู่ตรงหน้าบ้าง ด้วยการใช้ฝักบัวรดน้ำไปบนขนสวยจนค่อยๆลีบแบนจนเหมือนเพียงแค่แมวตัวเล็กๆที่เหมือนจะมีแค่ตา ที่โตอยู่อย่างเดียว

“ ม๊าววว!!!!!!! ” เสียงร้องของไอ้นายท่าน เหมือนว่ามันตกใจในตอนที่หันมามองแก้มหอมอาบน้ำ แววตาเอาเรื่องสีเหลืองเบิกกว้าง เท้าที่ถอยลำตัวจนไปติดกับขอบอ่างชวนให้ผมกับอาร์มหันไปมองท่าทางกลัวๆของมันผมรู้สึกเหมือนมันคงตั้งคำว่า ว่าไอ้ขนเปียกน้ำนี่มันใคร

“ ตกใจอะไรของมึง นี่แก้มหอมคนสวยของมึงไงนายท่าน น้องแค่ขนลีบเพราะโดนน้ำเองนะ ”

“ เมี๊ยว ” เจ้าตัวขาวหันไปตอบรับอีกตัว ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ แต่ไอ้นายท่านก็แค่ถอยหลัง ผมส่ายหน้ากับท่าทางที่ไม่รู้จะกลัวอะไรของมัน

“ แก้มหอมคงถามไอ้นายท่านแน่เลยมึง ” ผมชวนอีกคนคุย ในตอนนั้นก็ไม่ลืมดัดเสียงให้เล็กเข้าไว้ “ นายท่านกลัวอะไร นี่แก้มหอมไง แก้มหอมเองน้า ”

“ ประสาท ”

“ เอ้า พูดจริง ” ผมตาโตบอกมัน “ แล้วท่าทางถอยหลังของไอ้นายท่านก็คือ ตัวเหี้ยอะไร อย่าเข้ามา ”

“ กูไม่ปลื้มนะ ” อาร์มมันมองแมวของผม “ ถ้าชอบลูกสาวกู ต้องชอบเค้าในทุกๆอย่างที่เค้าเป็น ”

“ ได้ยินปล่า” ผมบอกนายท่านยิ้มๆ “ ว่าที่พ่อตามึงบอกแล้วนะ เพราะงั้นใจสู้หน่อย นี่แก้มหอมเองเว้ย ”

“ ถ้ากูเป็นพ่อตา งั้นมึงเป็นอะไร แม่ยายเหรอ ”

“ ได้อยู่นะ ” ตอบรับมันไปแบบไม่ทันคิด ผมเทแชมพูลงบนฝ่ามือก่อนจะเอามาถูบนตัวเจ้าแก้มหอม ก่อนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ “ เดี๋ยวสิ แม่ยาย คือให้กรณีที่กูเป็นแม่ไอ้นายท่านนี่ แต่กูไม่ใช่นะ  กูเป็นพี่ชาย ต้องเรียกพี่เขยสิ ”

“ แล้วถ้าในกรณี ที่กูกับมึงเป็นแฟนกัน แล้วแมวก็เป็นกัน ตำแหน่งนั้นคืออะไร ”

“ ก็...” สายตาจริงจังที่หันมาถาม อาร์มมันยกคิ้วขึ้นยิ้มๆ ผมก็หันมาสนใจเจ้าแมวที่กำลังนิ่งให้อาบน้ำแบบที่ไม่รู้จะตอบอะไร เลยทำเป็นเงียบ

“ ว่าไง ”

“ ก็จะไม่รู้เหรอ มันมีบ้านไหน ที่คนเป็นผู้ปกคอรงแต่งงานกัน แล้วลูกก็เป็นแฟนกันบ้างละ ”

“ บางทีนะ ” อาร์มกันมองผม ในตอนนั้นสายตาที่หันไปมองสบ ผมทำได้แค่กลืนน้ำลาย  “ ก็อาจจะเป็นบ้านเรานี่แหละ บ้านแรก ”

ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างไม่รู้จะตอบอะไร ผมสูดลมหายใจเข้าปอดยาวๆ อย่างสะกัดกลั้นความตื่นเต้นที่ต้องทำทีเป้นไม่แสดงออก แต่ถึงอย่างงั้น คนที่อยู่ข้างกันก็เหมือนจะไม่ให้โอกาสได้หนีรอด

“ หน้าแดงนะ ”

“ ร้อนเว้ย ”

“ มุกตอบรับ อย่างเชยเลย ”

“ แล้วจะให้ตอบว่าออะไร ถึงจะไม่เชย ” สายตาหาเรื่องที่หันไปถามออะไร อาร์มยิ้ม

“ ยอมรับมันสิ ความรู้สึกของมึงอะ เท่ดีออก ”

“ K ” สบถออกมาแบบไม่ออกเสียง ผมผ่อนลมหายใจออกมาเซ็งๆ  “ คนเหี้ยอะไร นิสัยไม่ดีเลยไอ้สัด ” รอยยิ้มกกว้างของคนที่ยืนข้างกัน เรากลับมาเงียบอีกครั้ง เป็นนาทีที่ต่างฝ่ายก็ต่างช่วยกันอาบน้ำแมวที่อยู่ตรงหน้า

“ แก้มหอมนี่โคตรเชี่องเลยนะ อาบน้ำให้ก็โคตรจะนิ่ง ”

“ มันก็คือความแตกต่างระหว่างแมวผู้ดีกับแมวอันธพาลนั่นแหละ ”

“ งั้นก็ขอโทษทีนะที่ลูกกูมันแบดบอย ” ผมว่าก่อนจะเหลือบมองแมวตัวเงอที่ตอนนี้ถูกล้างน้ำสุดท้ายแล้ว อาร์มหยิบผ้าขนหนูห่อเจ้าตัวลายไว้ มันหันมาหาผม

“ ยื่นมือมา ”

“ ให้อุ้มเหรอ ”

“ ยื่นลงมาในอ่างสิ จะล้างให้มัน มึงจะได้อุ้มไอ้แมวนี่ออกไปเป่าขน ”

“ อ้อ อะเค ” ยื่นสองมือให้อีกคนในอ่างผมถูฟองที่อาบน้ำให้เจ้าแก้มหอมจนฟูฟ่องออกจนหมด ก่อนจะสะบัดน้ำแล้วก็หันมาอุ้มแมวของตัวเองที่ก็พอผมรับมา มันก็รีบตะเกียอกตะกายขึ้นมาเกาะกันที่ไหล่เหมือนรอดพ้นจากความตายยังไงอย่างงั้น “ ใจเย็นๆ ไอ้หนุ่ม ไม่เป็นไร อาบน้ำเสร็จแล้ว ”

“ ม๊าวววว ”

“ เออ รู้ว่ากลัว แต่คนข้างๆมึงก็แก้มหอม ไม่ต้องกลัวว่านั่นคือตัวอะไรหรอก ”

“ ม๊าวววว ม๊าว ม๊าว ” 

“ กูจะล้างตัวให้แก้มหอม แล้วเดี๋ยวจะตามออกไป ยังไงขอยืมผ้าเช็ดตัวผืนนึงนะ ”

“ ได้เลยครับผม ” ตอบรับอีกคนเสียงหนักแน่น ผมอุ้มนายท่านเข้าไปในห้องแต่งตัว ก่อนจะหยิบผ้าขนหนูของตัวเองออกมาอีกผืน แล้วแขวนไว้ตรงราวเพื่อให้อีกคนได้หยิบง่ายๆ “ แขวนอยู่ตรงนี้นะ ” พูดแบบนั้นอาร์มก็หันมาพยักหน้ารับ ผมหยิบไดร์ทเป่าผมของตัวเองติดมืออกมา ก่อนจะเดินออกไปนั่งลงที่หน้าทีวีจัดการเสียบสายปลั๊กกับเต้าเสียบที่มี ก่อนจะกดเปิดเครื่องเบาๆแล้วเป่าขนให้เจ้าตัวแสบที่อุ้มอยู่ในมือ “ ขอร้อง อย่ากลัวไดร์ทนะ ขี้เกียจวิ่งจับมึงแล้ว ”

“ ม๊าวววววววว ” เสียงลากยาวที่เหมือนจะแรงจะต่อกร นายท่านนั่งลงนิ่งๆในขั้นตอนของการเป่าขน ก็ถือว่าเป็นโชคที่มันชินกับเครื่องดูดฝุ่นก็เลยไม่มีค่อยอะไรเท่าไหร่กับไดร์ท ที่แม้จะเร่งความดังอีกสักหน่อย ก็ไม่มีสะเทือน หนำซ้ำยังเป่าแห้งได้ไวสุดๆ เพราะมันเป็นแมวขนสั้น

“ แห้งยัง ” อาร์มเดินออกมานั่งลงตรงข้ามกับผมที่กำลังลูบขนเจ้าตัวลายที่บอกเลยว่านุ่มน่าจับขึ้นเยอะมาก

“ แห้งไปประมาน 90% แล้ว แต่มึงแม่งอาบน้ำให้แก้มหอมช้ามากเลย แค่ล้างน้ำเองไม่ใช่แหรอ ”

“ แก้มหอมเป็นแมวขนยาว ต้องล้างให้สะอาด ” ผ้าขนหนูถูไปบนตัวเจ้าตัวขาวที่ตอนนี้ไม่ใช่แมวอ้วนอย่างที่เคยรู้สึกแต่อย่างใด มันกลายเป็นแค่แมวตัวผอมที่ผมอดใจเอื้อมมือไปไปลูบหัวด้วยความเอ็นดู

“ ใครว่าหนูอ้วน หนูแค่ขนฟูเท่านั้นแหละ เนอะแก้มหอมขา ”

“ เมี๊ยว ”

“ ขอยืมหน่อย ” แบมือมาขอไดร์ทเป่าผมที่ก็พอยื่นให้ไปอีกคนก็เปิดเบอร์ต่ำสุดเบาขนให้เจ้าแมวสุดที่รักที่ก็นั่งนิ่งอยู่ในตัก ผมนั่งมองดูขนสีขาวเปียกน้ำที่ค่อยๆฟูขึ้นตามความแห้ง

“ แล้วนี่เป็นอะไร ” อาร์มเชิดหน้ามองไอ้นายท่านที่นั่งเหมือนคนอาลัยชีวิต

“ คงหมดแรงมั้ง ไม่ก็ตกใจไอ้ตัวลีบที่อยู่ในห้องน้ำอะ แบบเมื่อกี้กูเจอใครก็ไม่รู้ น่ากลัวมากเลย เหมือนผี ” บอกอีกคนยิ้มๆ อาร์มก็หลุดยิ้มกว้างออกมา

“ ว่าลูกกู เดี๋ยวมึงจะโดน ” แลบลิ้นใส่อีกคพลางกับยกไหล่  ผมมองไดร์ทเป่าผมในมือหน้าที่เปลี่ยนเป็นเบอร์แรงสุด เพื่อเป่าขนยาวๆสีขาวรอบสุดท้ายให้อีกตัว แต่ไม่รู้เป็นเพราะเสียง หรือแรงพัดที่พัดจนขนของอีกตัวยุ่งเหยิงไปหมด ที่ทำให้ไอ้นายท่านที่อยู่ตรงหน้าผมค่อยๆลุกขึ้นนั่งแล้วเกร็งตัวขึ้นมากระทันหัน เท้าที่สาวเข้าไปใกล้อย่างเชื่องช้า ก่อนจะตะบบถี่ๆลงบนไดร์ทเป่าขนนั้นอย่างสุดแรง

“ ม๊าว!! ”

“ อะไรของมึงอีก แค่ไดร์ทเป่าผมเว้ย จะไปตบมันทำไม ” มือหนาสางขนแมวตัวเองเบา ในช่วงเวลานั้นผมเห็นอาร์มยิ้มใจดีให้กับเจ้าตัวเล็กในมือ มันที่ก้มลงไปหอมอีกตัวก่อนจะพูดอย่างอ่อนโยน

“ เสร็จแล้วค่ะคนสวยของป๊า ”

“ สุดจัด เห็นทีกูต้องทำตามบ้างซะแล้ว ” ไม่พูดเปล่าผมลูบขนไอ้นายท่านเบาๆแต่ยังไม่ทันจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ อีกตัวก็แค่เอื้อมมือมาตะบบปากของผมไว้ และแน่นอนสายตานั้นเหมือนจะบอกกันว่า ‘ อย่าเอาปากสกปรกของมึงมาแตะต้องเนื้อตัวของกู ’ แล้วหลังจากนั้นมันก็แค่เดินนวยนาดออกไปอย่างไม่สนใจอะไรกับผมอีก “ มึงแม่ง น่าเตะจริงๆด้วย ”

“ หึ ”  เสียงหัวเราะในคอของคนที่ผ่อนมือค้ำลงบนพื้นพร้อมกับหันมามองกัน ผมเผลอสบเข้ากับสายตาคมนั้นเข้าอย่างจัง ก่อนจะหันหลบอย่างไว เพราะดันคิดถึงช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกันที่สวน คำพูดคำนั้น แล้วก็ใบหน้าจริงจังของมันตอนที่อยู่ตรงหน้าประตูลิฟต์

“ เป็นอะไร ”

“ อะไรเป็นอะไร ” ผมเหลือบมองอีกคนที่ก็ถอนหายใจออกมา อาร์มขยับไปนั่งพิงโต๊ะหน้าทีวี มันเอาแต่มองผมไม่ได้ผละสายตาไปไหน มองด้วยสายตายิ้มๆเหมือนผู้ใหญ่ที่จับผิดเด็กตัวเล็กๆได้แล้ว และก็กำลังมองว่า เมื่อไหร่เด็กคนนั้นจะยอมรับสิ่งที่ตัวเองรู้สึกออกมาสักที “ มึงแม่ง.. มองอะไร ”

“ เขินกูใช่มั้ย ”

“ เขินเหี้ยอะไร!! ” ตวาดอีกฝ่ายออกไปที่ก็นิ่งไปทันทีในตอนที่ได้ยินเสียงนั้น ก่อนที่มันจะหลุดหัวเราะเสียงดังให้ไม่กี่วินาทีถัดมา

“ ฮ่าๆ มึงเขินกูจริงๆสินะ ”

“ หัวเราะเหี้ยอะไรของมึง กูไม่ได้เขินมึงสักหน่อย ” ผมบอกพลางมองไปทางอื่น

“ รู้มั้ย มันมีคำนึงที่เพื่อนกูชอบพูดนะ แล้วมันก็เข้ากับมึงตอนนี้มากเลย ”

“ อะไร ” ผมเหล่มองมันที่เปลี่ยนท่าทางให้ดูน่าหมั่นไส้ยิ่งกว่าเก่า อาร์มค้ำมืออยู่กับโต๊ะ มันจ้องมองกัน 

“ มองจากดาวอังคารยังรู้ว่าโกหก ”

“ K ” สบถไปอย่างงั้นก่อนจะก้มหน้าลงแล้วก็ถอนหายใจออกมา เหงื่อผมเริ่มซึม อากาศดูร้อนขึ้นทันตาแม้ว่าให้ห้องจะเปิดแอร์ไว้เย็นจัด มือของมันดูเกะกะไปหมดในวินาทีสั้นๆนี้ จนต้องจับเข้ากับกางเกงตัวที่ใส่อยู่อย่างไม่รู้จะเอามันไปตั้งไว้ตรงไหน

“ ตอนที่พูดออกไป กูรู้สึกอย่างงั้นจริงๆนะ ” เสียงทุ้มที่จริงจังท่ามกลางความเงียบงันนั้น ผมเงยหน้าขึ้นมมองคนที่จ้องมามองอย่างจริงจัง จนชวนให้ใจต้นแรงจนแทบไม่เป็นจังหวะ “ ไม่รู้ว่าจะเป็นเรื่องเดียวกับที่มึงคิดมั้ย แต่กูก็คิดว่าบางทีมึงอาจจะรู้สึกว่า กูทำให้มึงใจเต้นแรงเพื่อทำคะแนนเอาชนะใจหรือเปล่า แต่คำตอบของกูคือไม่นะ ”

“ เชี้ย.. ” ได้แต่สถบออกมาเบาๆในตอนที่ฟัง อาร์มมันยกยิ้ม

“ ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้ยังไงเหมือนกัน แต่ตอนนั้นกูหงุดหงิดจริงๆนะที่เห็นไอ้เหี้ยนั่นเข้ามาคุยกับมึง จนกูแม่งอยากจะพามึงออกไปให้ไกลจากมันเลย อารมณ์ตอนนั้นก็อย่างที่บอก ไม่อยากเห็นมึงยิ้มให้เค้า หัวเราะให้เค้า แล้วก็ทำท่าทางสนิทสนมแบบที่ทำกับกู เหมือนอยากจะให้ทำกับกูแค่คนเดียว ”

“ มึง..”

“ แล้วที่บอกว่า อยากอยู่ด้วยกันต่อตรงหน้าหน้าลิฟต์ กูก็รู้สึกจริงๆจากใจเลยนะ ไม่ได้โกหก แล้วที่ได้ยินเสียงของมึงโวยวาย เพราะฟังอยู่นะ โคตรเป็นห่วงเลยด้วย ตอนเคาะแล้วมึงแม่งไม่ตอบรับ”

“ มึง.. มึงหยุด ” มือที่ยกขึ้นห้ามอีกคนค่อนข้างสั่น ผมที่หน้าแดงจนแทบระเบิดในตอนนั้นมองคนตรงหน้า พลางกลืนน้ำลายอึกใหญ่ที่เหมือนจะค้างอยู่ในคอ หัวใจทำงานหนักราวกับวิ่งกินเวลายาวนานเป็นวัน ทั้งๆที่ก็แค่นั่งเฉยๆ อาการที่ไม่คิดว่าจะเป็นกับคนตรงหน้า วินาทีผมเป็นมันทั้งหมด จนสุดท้ายก็ต้องพูดไป คำที่ไม่คิดว่าจะพูด 

“ กูยอมแพ้แล้วไอ้สัด ตอนนี้มึงเขินจริงๆแล้ว เขินแบบเขินไม่ไหว หัวใจแม่งก็เต้นโคตรเร็ว เพราะงั้น..” ผมถอนหายใจออกมา “ หยุดก่อนเถอะนะ มึงเล่นพูดออกมาตรงๆขนาดนี้ หัวใจกูแม่งจะรับไหวได้ไง  ”

“ ก็มึงบอกเองไม่ใช่เหรอ ” ได้แต่ขมวดคิ้วมองอีกคนที่พูดคำนั้น

“ รู้สึกอะไรต้องพูดตรงๆ อ้อมค้อมไม่ได้หรอกสมัยนี่น่ะ ”

“ มึงทำหัวใจกูเต้นแรงเกินไป ขี้โกงมากนะ ไอ้สัด ” ท้ายประโยคที่ทำให้อีกคนยิ้มกว้าง อาร์มมันหันไปทางอื่น ก่อนจะถอนหายใจ ในตอนนั้นหูของอีกคนแดงกล่ำ

“ มึงแม่งก็ไม่ต่างกันหรอก ขี้โกง ” 

...........................................................................
ก็ถ้าจะขนาดนี้แล้ว
จริงๆ หนมจะข้ามการเขียนฉากนี้ไป แต่อยู่ๆ ก็มีความรู้สึกอยากจะเน้นย้ำอะไรบางอย่าง ไม่อยากให้มันดูฉายฉวยมากเกินไปนั่นแหละ ความสัมพันธ์ อาร์มเมี่ยงก็ยังคงเบลอๆ แต่ตอนหน้า อาจจะเห็นความเข้ารูปเข้ารอย มากกว่านี้
เป็นดอกไม้กำลังเริ่มผลิบาน ในฤดูร้อน

ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์

หนมมี่ค่ะ  :L2: :3123: :L1: :pig4:

หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 12 :: up! 14-2-63} #หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 15-02-2020 02:47:08
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 12 :: up! 14-2-63} #หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 15-02-2020 19:51:02
เค้าจีบกันหรือยังคะ หรือแค่พูดเล่าสู่กันฟังน่ะ
เอ็นดูเหลือเกิน ขยันบอก ขยันตรงจัง

อาร์มจะตรงก็ตรงเกิ้น ก็ไม่บอกจะรู้ได้ไง แบบนี้หรอ
เมี่ยงก็ไม่น่ารอด ใจรับไม่ไหวไม่พอ ใจเต้นแรงก่อนเค้าไปอีก

แต่ชอบความซื่อตรงนี้ของทั้งคู่นะคะ
หวังว่าการอยู่คนละฝั่ง จะไม่ทำให้เป็นอุปสรรคใดๆ นะ

เจ้ยดูออกหรอ เหมือนโฮมก็ดูออกพอกัน
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 12 :: up! 14-2-63} #หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 15-02-2020 21:59:17
อาบให้แมวเสร็จแล้ว ต่อด้วยคนด่วน  :hao3:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 13 :: up! 21-2-63} #หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 21-02-2020 20:29:44
ตอนที่ 13

 
ภายในห้องเรียนค่อนข้างเงียบ มันมีเพียงเสียงของอาจารย์ประจำภาควิชาที่ตอนนี้กำลังพูดอยู่หน้าห้อง เพื่อประกอบความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหาบนสไลค์ที่ฉายอยู่บนจอซึ่งกว่าจะผ่านไปได้แต่ละอัน ก็เรียกได้เต็มปากเลยว่าเชื่องช้า  แต่ถึงอย่างงั้นผมที่ฟังอยู่ ก็ไม่ได้จดจำไว้แต่อย่างใด

เป็นเพียงคำพูดที่แค่ผ่านเข้ามาทางหูซ้ายแล้วทะลุออกไปทันทีในทางหูขวา  แล้วที่เป็นแบบนั้น ทุกอย่างก็เหมือนจะเพราะ ตัวผมยังคงติดอยู่ในช่วงเวลานั้น

ตรงช่วงเย็นของเมื่อวาน ที่นั่งเป่าขนให้เจ้าแมวสองตัวจนแห้ง กับคนข้างห้องที่บอกความจริงจากใจให้ฟังเสียยืดยาวถึงขั้นต้องบอกให้พักไปเสียก่อน เพราะหัวใจผมมันเกิดเต้นแรงเกินอัตราจะรับไหว หรือไม่ก็อาจจะเป็นช่วงเช้าก่อนจะออกมาเรียน ที่เราได้เจอกัน

“ ทำแผลจ้า ” หลังจากที่ทำใจอยู่หน้าห้องสักพักใหญ่ๆ ผมสูดลมหายใจเข้าปอดไปจนลึก ด้วยอารมณ์ฮึดสู้ ก่อนจะตัดสินใจเอื้อมมือเคาะประตูของคนข้างห้องด้วยความร่าเริง รอยยิ้มฉีกกว้างที่ดูจากดาวอังคารยังดูออกว่าเกร็งจัด ผมชูมือขึ้นในตอนที่อาร์มเปิดประตูห้อง “ หวัดดีจ้า ”

“ กว่าจะเคาะได้นะ กูคิดว่ามึงรอฤกษ์ดีอะไรอยู่ ” ขมวดคิ้วงงเล็กน้อยในตอนที่อีกคนบอกแบบนั้น ผมเอียงหน้าให้มัน อาร์มก็ยกยิ้ม “ ท่าเหมือนแก้มหอมเลย ”

“ อะไรวะ ไม่เข้าใจ ” ผมถาม

“ เมื่อกี้กูจะเดินออกไปตามมึงมาทำแผลให้พอดี แต่พอมองผ่านตาแมว ก็เห็นมึงมายืนท่องเหี้ยอะไรอยู่หน้าห้องกูก็ไม่รู้ ” พูดไปพลางเหล่ผมไป “ ทำปากงุบงิบพูดคนเดียวอยู่นั่น ทำไม ? จะท่องมนต์สะกดให้กูหลงรักมึงเหรอ ”

“ Kเถอะ! ” หันไปพูดกับอีกคนที่ก็ยกยิ้มขึ้นมา ไม่รู้จะอารมณ์ดีออะไรนักหนา กูจะตายห่าอยู่แล้วกับแค่การจะเจอมึงสักครั้ง “ กูแค่พูดกับตัวเองเฉยๆ มึงไม่เคยพูดกับตัวเองเหรอ ”

“ พอดีกูไม่ได้บ้าเหมือนมึง ”

“ งั้นมึงจะยืนมองกูอยู่ทำไม ถ้าเห็นว่ากูยืนอยู่ ทำไมไม่เปิดประตูออกไปทัก ”

“ จำเป็นเหรอ ” ร่างสูงถามกลับยิ้มๆแบบที่ผมอยากจะเดินเข้าไปต่อยมันสักหมัด

อาร์มหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเข้าคู่กับโต๊ะกินข้าว พร้อมทั้งค้ำศอกข้างที่มีแผลโชว์ให้กันดู ส่วนผมที่ได้แต่กรอกมองบนนั้น ก็แค่ต้องเดินมานั่งลงข้างๆอย่างจำยอม พร้อมทั้งหยิบเอาถุงยาที่วางไว้อยู่แล้วบนโต๊ะมาทำแผลให้อีกคน

“ เมี๊ยว ” เจ้าตัวขาวเดินเข้ามาคลอเคลียกันที่เท้าถามนิสัยขี้อ้อน แก้มหอมกระโดดขึ้นมาบนตักผมที่ก็ลูบหัวเจ้าขนนุ่มไปสองสามครั้ง

“ แก้มหอม มีอะไรครับ ”  ไม่มีเสียงตอบรับอะไรจากอีกตัว แก้มหอมแค่นอนลงบนตักผม “ ให้พี่เมี่ยงทำแผลให้ป๊าเค้าก่อนนะ แล้วเดี๋ยวพี่เมี่ยงจะเล่นด้วยนะ ” บอกแบบนั้น ก่อนจะหันไปสบตากับเจ้าของแมวที่มองกันอยู่พอดี ผมเลิกคิ้ว “ ทำไม มีอะไรอีก อย่าบอกนะสัด ว่ากูเรียกมึงว่าป๊ากับแก้มหอมไม่ได้ ”

“ ร้อนตัว ยังไม่ได้พูดอะไรเลย ” อาร์มมันว่า ก่อนจะยื่นมือตัวเองเข้ามาวางไว้บนมือผมที่ก็จัดการล้างแผลที่ดูไม่เหมือนแผลสักเท่าไหร่ เพราะแผลที่ไอ้นายท่านทำไว้ตอนนี้เหมือนจะเริ่มแห้งจนตกสะเก็ดเป็นสีน้ำตาลแล้ว “ แล้วทำไมถึงคิดว่าว่ากูจะไม่โอเค ”

“ ก็เห็นมึงมองมา ”

“ แค่กำลังคิด ว่าจะบอกดีมั้ย ” เหลือบมองอีกคน ผมเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อยในตอนที่อาร์มพูดแบบนั้น

“ บอกอะไร ”

“ ก็เมื่อกี้มึงถาม ว่าทำไมกูเห็นมึงยืนอยู่หน้าห้องแล้วไม่ยอมเปิดประตูออกไป จะยืนมองมึงอยู่ทำไมตั้งนาน ”

“ เออ ทำไม ” ดึงมืออีกคนลงอย่างสนใจ ผมสบสายตาร่างสูงตรงหน้า

“ ก็ตอนนั้นมึงน่ารักมากเลย กูเลยต้องยืนมองไง ” บอกกันด้วยรอยยิ้มจางๆ เหมือนว่ามันเป็นแค่คำพูดธรรมดาที่ก็รู้สึก “ เอาจริงๆ ไม่อยากจะเปิดประตูเลยด้วยซ้ำ อยากจะยืนมองอยู่อย่างงั้นสักพักด้วยซ้ำไป”

“ อ่า...” เสียงครางเบาๆเปล่งออกไปอย่างไม่มีความหมายใด ผมคล้ายกับคนที่โดนสมองโดนตัดขาดทางความคิดไปชั่วขณะ และหลงเหลือไว้เพียงหัวใจที่เร่งอัตราขึ้นอย่างฉับพลัน “ กู น่ารักสินะ ” หลุดถามออกไปอย่างงั้น อีกคนก็ยักคิ้ว อาร์มพยักหน้ารับ

“ อื้ม ”

“ อื้ม ” ตอบกลับอีกคนไปเหมือนคนเหม่อลอยอย่างไม่รู้จะตอบอะไรได้อีก ผมก้มหน้าลงใบหน้าตอนนี้ร้อนจนคิดว่าถ้าเอากระทะใส่น้ำมันมาตั้งไว้ บางทีมันอาจจะทอดไข่ได้ด้วยซ้ำ เป็นวินาทีที่ไร้เรี่ยวแรงจนแทบอยากจะปล่อยมือที่กุมจับไว้ แต่ทว่ามือของอาร์มกลับกระชับมันให้แน่นขึ้น แต่นั่นก็ยิ่งแล้วใหญ่ ผมเลิ่กลั่กมองต่ำแบบซ้ายทีขวาที อย่างคนไปไม่เป็น “ เอ่อ.. คือ เอ่อ  ทำแผลเถอะเนอะ กูจะได้ไปเรียนอีก เรียนเช้าด้วยเนี้ย ถ้าช้าอยู่ ต้องไม่ทันแน่ๆเลย ”

“ แล้วใครบอกให้มึงมัวแต่เขิน ”

“ แล้วใครมันทำกูเขินละไอ้สัด ” เงยหน้าบอกอีกคนอย่างไม่กลัวตาย อาร์มสบสายตาผม จังหวะที่เราได้แต่เงียบนั้น มันถามแบบหาเรื่อง

“ กูเอง แต่แล้วมึงจะทำไม ”

ได้แต่กัดฟันไว้แน่นอย่างงั้น ผมที่ผ่อนหายใจออกมา ยกเอามือข้างที่ว่างทุบอกตัวเองอย่างม่รู้จะทำอะไรได้อีก เป็นความรู้สึกที่จะอยากด่า อยากกรี๊ดอัดใส่หมอน อยากเอามือไปขูดกำแพง อยากตะโกนว่า ‘ เหี้ยเอ้ย พอแล้ว ไอ้สัด ไม่ไหวแล้ว พอสักทีหน้าเหี้ย จะทำให้กูเขินไปถึงไหนกัน ’

แต่เพราะว่ามึงคงจะดูออกทั้งหมด ว่าผมสู้อะไรมันไม่ได้เลย ทุกอย่างก็เลยถูกจำกัดไว้แค่นั้น แค่ทุบอกตัวเอง แล้วผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ

ผมกลั้นความรู้สึกลึกๆเอาไว้ แบบที่คิดว่าอีกฝ่ายน่าจะไม่รู้

“ ทำไมอีก ”  อาร์มมันถามยิ้มๆ

“ มึงเงียบ กูไม่มีสมาธิทำแผล ” ยกมือขึ้นห้ามอีกคน ผมสูดลมหายใจเข้าปอดแบบตั้งสติ ก่อนจะคว้าเอาที่ล้างแผลกับสำลีมา “ จะว่าไปไม่ต้องล้างแผลแล้วก็ได้นะ ไม่ต้องติดพาสเตอร์แล้วด้วย เพราะมันก็แห้งหมดแล้วอะ เริ่มตกสะเก็ดแล้วด้วย ”

“ ตกสะเก็ตแล้วไง มึงจะไม่มาทำแผลให้กูแล้วว่างั้น ” อีกฝ่ายถาม พลางเหล่มองกัน “ ไม่มีความรับผิดชอบเลยนะ ”

“ กูยังไม่ได้พูดเลยไอ้สัด แล้วพูดให้มันดีๆหน่อย ไม่มีความรับผิดชอบเหี้ยอะไร กูก็มาทำแผลให้มึงทุกวันอะ ”

“ แต่กูกลัวเป็นรอยแผลเป็นจัง ” มือข้างที่ว่างค้ำอยู่กับโต๊ะ ท่าทางยียวนกวนประสาทของมันแบบที่แบะปากน้อยๆเหมือนเด็กเล็กๆที่กำลังครุ่นคิด “ เพราะงั้นเจ้าของแมวที่ทำให้กูเป็นแผล ต้องรับผิดชอบด้วยการมาทายาให้กูทุกวันหรือเปล่านะ ”

“ บอกมาเลยตรงๆก็ได้ไอ้สัด ว่ากูต้องมาทาแผลให้มึงทุกวัน แม้มันจะเป็นแผลที่เล็กน้อยมากๆขนาดนี้  ”

“ พูดแล้วนะ ” อาร์มพูดยิ้มๆ ผมก็ได้แต่ถอนหายใจ เอาจริงๆมันก็อดบ่นเบาๆไม่ได้เลย

“ ก็แค่ทาแผลเอง แต่ยังเสือกทำเองไม่ได้ ”

“ คือมันต่างกันนะ ระหว่างทำเอง กับให้คนที่กูอยากเจอทุกวัน มาทำให้ ”

ถึงขั้นหยุดหายใจไปชั่วขณะ ผมพยักหน้ารับประโยคนั้นก่อนจะเก็บอุปกรณ์ทำแผลใส่ไว้ในถุงตามเดิมอย่างไม่รู้จะพูดอะไรออกไปอีก อาการเหมือนคนโดนยิงกลางหัวใจแบบหลายนัดติด ใกล้สิ้นชีวิตเต็มที แต่เหมือนอีกฝ่ายจะยิ้มอย่างอารมณ์ดี

“ งั้น งั้นตอนเย็น เดี๋ยว คือ เดี๋ยวกูซื้อยาทารอยแผลเป็นมาให้แล้วกัน ” คำพูดตะกุกตะกักมาพร้อมสายตาที่เหลือบไปมองทางอื่น ผมลุกขึ้นเต็มสูง พร้อมกับอุ้มเจ้าแก้มหอมที่อยู่บนตักนั้นขึ้นมาด้วย มือที่ลูบขนสวยๆ พยายามผ่อนคลายกับอาการที่เป็นอยู่ ก่อนจะถอนหายใจแล้วดึงหน้าตัวเองลงไปซบเจ้าตัวกลม พลางกับส่ายหน้าไปมา “ ไหนใครน่ารักที่สุดในโลก แก้มหอมละสิ แก้มหอมละสิ ”

“ หึ ” คนตรงหน้าที่หยุดยิ้ม ดึงให้สายตาของผมหันไปมองดู

“ ยิ้มเหี้ยอะไรอีก ”

“ เปล๊า ” อีกคนพูดเสียงสูงพลางยักไหล่แบบไม่ใส่ใจ แต่ผมก็ยังจ้องมองมันอยู่อย่างงั้นด้วยความรู้สึกไม่ไว้วางใจเท่าไหร่ “ ทำไม หรือว่ามึงอยากจะฟัง ว่ากูคิดอะไรอยู่ ”

“ ไม่อยาก! ” แทบจะเรียกว่าตะโกนบอกออกไป แต่อีกคนก็ยิ่งยิ้ม อาร์มมันเดินเข้ามาใกล้ผม ร่างสูงเอียงตัวเข้ามาบอกกัน

“ ไม่แน่จริงนี่หว่า ”

“ มึงว่าใครไม่แน่จริง ”

“ ใครที่ไม่กล้าฟังคำพูดของกู เพราะว่ากลัวว่าหัวใจจะเต้นแรง กูก็ว่าคนนั้น ” สายตาที่มองกันอย่างหาเรื่อง ผมทำได้แค่จ้องมองมันกลับไปอย่างไม่อยากจะเป็นผู้พ่ายแพ้

“ ใครหัวใจเต้นแรงไม่ทราบครับ กูก็แค่ไม่อยากฟังมันก็เท่านั้น ” ยกไหล่ใส่มันที่ก็แค่แบะปากกับท่าทางนั้น

“ ก็ดี เพราะจริงๆกูก็แค่อยากจะบอก ว่ามึงอย่าเข้าใจผิดให้มันมาก ” อาร์มพูดเสียงจริงจัง “ คนที่น่ารักที่สุดในโลกไม่ได้มีแค่แก้มหอม  เพราะแม่งมีมึงรวมอยู่ด้วยอีกคน ”

กระสุนคำพูดที่พุ่งตรงเข้าใส่หัวใจอย่างไม่ทันตั้งตัว ผมเบือนหน้าหนีไปมองไปทางอื่นอย่างฉับพลัน พร้อมกับกัดฟันที่อยากจะยิ้มกว้างไว้ให้แน่น และในตอนนั้นประโยคเดียวที่ผมอยากพูดกับอีกคน ก็เป็นแค่ประโยคสั้นๆ

“ มึงแม่ง ช่วยไว้ชีวิตกูหน่อย ”

“ ฮ่าๆ ”ทว่านั่นกลับทำให้อาร์มหัวเราะออกมาเสียงดัง อย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ร่างสูงที่ชอบตีหน้าเข้ม มันหัวเราะตัวโยแบบที่ต้องเอื้อมมือมาจับที่ไหล่ของผมแล้วยึดเอาไว้ไม่ให้ล้มลงไปกองด้วยความถูกอกถูกใจ พร้อมกับคำพูดเบาๆที่เหมือนจะหลุดออกมาจากความรู้สึก

“ คือมึงจะน่ารักไปไหนวะเมี่ยง ”

ที่ตอนนั้นมันก็คงไม่ทันสังเกตหรอก ว่าทำให้ผมหัวใจเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง

“ เห้ออออออ ” สุดท้ายก็ได้แค่นั่งถอนหายใจแบบไม่เป็นอันเรียนอยู่อย่างนี้ แล้วพอคิดว่าเย็นนี้ก็ต้องไปเจอมันอีก เพราะว่าเมื่อเช้าเจ้าแก้มหอมถูกเอามาฝากไว้ที่ห้องของผมเพื่อให้ได้เล่นกับนายท่าน ก็ไม่อยากจะให้เวลามันเคลื่อนผ่านไปเลยสักนิด

ชีวิตแม่งมาถึงจุดนี้ได้ยังไงก็ไม่รู้ จุดที่สมองมีแต่คำถามวกวนอย่างไร้คำตอบ จุดที่ไม่อยากจะเจอหน้าใครสักคนเพราะเขินจนทำตัวไม่ถูก จุดที่หัวใจเต้นแรงกว่าปกติในทุกครั้งที่สบตา รวมถึงจุดที่ไม่อยากจะฟังคำพูดคำจาอะไรของคนตรงหน้าคนนั้น เพราะรู้สึกสิ้นสภาพและตั้งรับไม่ไหว

“ เล่นกับไฟอยู่ชัดๆเลยกู เห้อออออออ ” ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ผมค้ำมือกับโต๊ะที่นั่งด้วยความรู้สึกที่ไม่รู้จะจัดการกับชีวิตต่อไปยังไง

“ ถอนหายใจอยู่ได้ เป็นเหี้ยอะไรของมึง ” ไอ้เจ้ยที่นั่งอยู่ข้างกันถามขึ้นก่อนจะยื่นปากกาที่ถืออยู่ เข้ามาเคาะบนหัวผม “ ตั้งใจเรียนหน่อย พ่อแม่อุตส่าห์ส่งควายอย่างมึงมาเรียน”

“ มึง ” เอ่ยถามอีกคนเสียงอ่อนแรง คนนั่งข้างกันที่กำลังจดคำอธิบายที่อาจารย์พูดอยู่บนหน้ากระดาษก็เหลือบมามองกัน

“ มีอะไร ” คำถามนั้นทำให้ผมเหลือบมองไอ้เบสที่นั่งอยู่ถัดไป มันที่กำลังตั้งใจเล่นเกมส์ในมือถือ ผมถอนหายใจออกมา “ ทำไม มึงจะนินทาไอ้สัดเบสเหรอ ”

“ เกี่ยวเหี้ยอะไรกับมัน ” บอกแบบนั้นด้วยสีหน้าตกใจที่เบิกตากว้าง ผมส่ายหน้า “ กูแค่อยากจะปรึกษาอะไรหน่อย ”

“ อะไร ”

“ แต่นี่ไม่ใช่เรื่องของกูนะ ” คำพูดนั้นทำให้คนที่กำลังเขียนอะไรอยู่ถึงขั้นหลุดยิ้มกว้างแล้ววางปากกาลง เจ้ยมันหันมาหาผม

“ โอเค ”

“ คือ.. คือมันเป็นเรื่องของเพื่อนกู เพื่อนตอนเด็กๆ ”

“ คราวนี้เพื่อนตอนเด็กๆเนอะ ” มันว่าก่อนจะขยับตัวเข้ามาใกล้กันอย่างสนใจ “ ว่ามา ”

“ คือเพื่อนคนนี้ เป็นอริกับเพื่อนข้างห้องของมัน ” เกริ่นนำออกไปแบบนั้นก่อนจะนิ่งไปสักพัก ผมแค่กำลังคิดว่าจะเล่ายังไงเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่านั่นคือผม “ คือ..กูแม่งจะเล่ายังไงดีให้มึงเข้าใจ ”

“ เล่าความจริง ” บอกกันแบบนั้นผมก็ได้แต่เบิกตา

“ นี่แหละไอ้สัดเรื่องจริง กูไม่ได้โกหกนะ! ” ผมย้ำ แต่เหมือนอีกคนจะแค่ถอนหายใจออกมา คนข้างกันพยักหน้ารับยิ้มๆ

“ จ้าๆ ต่อเลยจ้ะ ”

“ มึงฟัง คือเพื่อนกูเป็นอริกับเพื่อนข้างห้องของมัน แต่เหมือนว่าคนสองคนต้องมาสนิทกัน ซึ่งต่างฝ่ายก็ต่างมีแผนที่อยากจะให้ฝ่ายตรงข้ามตกหลุมรัก ”

“ ก็คือ ตอนนี้ต่างคนก็ต่างจีบกันว่างั้น ”

“ คือไม่เชิงว่าจีบ ” ผมบอกก่อนจะนิ่งคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างผมดับอีกฝ่าย “ แต่มันก็เหมือนจีบว่ะ ”

“ ยังไงกันแน่ ”

“ ก็ต่างคนต่างทำให้อีกคนตกหลุมรักนั่นแหละ แต่ตอนแรกไม่คิดว่าจะรักกันจริงๆ มันเป็นแค่การต่อสู้เพื่อทำให้อีกฝ่ายตกเป็นรองเท่านั้น แบบว่าสมมุตินนะ สมมุติว่าถ้ากูกับไอ้อาร์ม....”

“ ห๊ะ ? ไอ้อาร์ม ”

“ คือ ไอ้อาร์มนามสมมุตินะ ” พูดออกไปเสียงจริงจังหลังจากที่เบิกตากว้างเพราะตกใจสุดขีดที่เผลอพูดออกไปอยย่างั้น แต่เหมือนคนที่ฟังอยู่จะไม่ได้อะไรมาก เจ้ยแค่ถอนหายใจออกมา มันกลั้นยิ้ม พร้อมกับยกมือขึ้นจับที่หน้าผากตัวเองเหมือนเหนื่อยใจกับอะไรสักอย่าง มันโบกมือแบบปัดๆ

“ โอเค เล่าต่อเลย ”

“ ยิ้มเหี้ยอะไรของมึง นามสมมุติไง ”

“ เออ ก็ไม่ได้ขำอะไร เล่าต่อๆ ” มันว่าแบบนั้นก่อนจะหันมามองผม “ มึงกับไอ้อาร์มนามสมมุติ ที่ไม่ถูกกันอยู่ห้องข้างกันแล้วต่างฝ่ายต่างก็พยายามทำให้ทำให้อีกคนตกหลุมรักแล้วยังไงต่อ สุดท้ายมึงกับไอ้อาร์มรักกันเหรอ ”

“ มึงแม่งช่วยต่อคำว่า ไอ้อาร์มนามสุมมติเข้าไปด้วยได้มั้ย พูดว่าอาร์มเฉยๆแล้วกูขนลุก เสือกไปคิดถึงไอ้เหี้ยอาร์มเพื่อนไอ้ดีน ” ผมบอกเสียงจริงจัง คนฟังก็ทำได้แค่เบิกตา ท่าทางเหมือนดูไม่ค่อยเชื่อที่ผมพูด “ กูพูดจริงนะ ”

“ อ่าเหรอ ” อีกคนก็พยักหน้ารับ “ โอเคๆ แล้วไงต่อ ”

“ ก็ไม่ไง แค่มันสองคนมีเรื่องกันนิดหน่อยเลยต้องมาใกล้ชิดกัน ก็จีบกันไปจีบกันมา ทำคะแนนให้อีกฝ่ายตกหลุมรัก แต่เหมือนหลังๆกูรู้สึกว่า มันไม่ได้แกล้งแล้ว ความรู้สึกกูมันบอกอย่างงั้น ”

“ หมายถึงความรู้สึกของเพื่อนมึง ” เจ้ยมันเย้าผมยิ้มๆ

“ เออ นั่นแหละ ”

“ แล้วอะไรที่ทำให้มึง. ” เจ้ยมันถามก่อนจะส่ายหน้าไปมา “ ไม่สิ เพื่อนมึง อะไรที่ทำให้เพื่อนมึงนามสมมุติคนนี้ถึงรู้สึกรู้สึกว่าไอ้อาร์มนามสมมุติมีใจให้ ”

“ ก็เพราะว่าไอ้อาร์มนามสสมุติมันหึงไง มันบอกตรงๆเลยนะว่ามันหึง แล้วคนที่ไม่ชอบมันจะไม่หึงกันจริงมั้ย ” ผมพูดด้วยเสียงจริงจัง แต่ถึงอย่างงั้นก็เผลอคิดถึงอยู่ดี

ใบหน้าคมในตอนที่พูดกับผม ในเย็นของเมื่อวานที่สวนสาธารณะนั้น สายตาจริงจังที่มองมาก่อนจะพูดในสิ่งที่ตัวเองรู้สึก “ ถ้าเราไม่คิดอะไรกับใคร แถมยังเป็นแค่คนคนนึงที่เป็นอริกันด้วยซ้ำ มันจะแคร์ทำไมจริงมั้ย ก็แค่กูไปคุยกับคนอื่น มันต้องเฉยๆมั้ยวะ แต่นี่มันถึงขั้นลากกูออกมา ตอนที่เค้าชวนกูไปที่ห้องของเค้า มันที่บอกว่าไม่ให้ไป แถมยังบอกว่าหงุดหงิดที่กูไปยืนคุย ยืนยิ้มให้คนอื่น เอาจริงๆ คนที่มันไม่ชอบกัน จะไม่ทำกันแบบนี้เปล่าวะ ”

“ อื้ม ”

“ มึงก็คิดเหมือนกันเปล่าวะ ว่าไอ้อาร์มมันชอบกู ” ผมนิ่งไปในตอนที่หันไปถามเพื่อนสนิท ไอ้เจ้ยมันยกคิ้วกับคำพูดนั้น ก่อนที่ผมจะปรับสีหน้าเป็นนิ่ง แล้วส่ายหน้าไปมาเหมือนคนกำลังจูนสมอง “ คือหมายถึง อาร์มนามสมมุติกับเพื่อนกู ”

“ ถ้าคิดตามที่มึงเล่านะ ”

“ อื้ม ” ผมพยักหน้ารับก่อนจะขยับตัวเข้าไปใกล้เพื่อฟังความเห็นของอีกฝ่าย

“ ถ้าถามว่าคนที่ไม่ชอบกันจะไม่หึงกันใช่มั้ย ก็ใช่ แต่ถ้าถามว่าไอ้อาร์มนามสมมุติมันชอบเพื่อนมึงนามสมมุติคนนี้มั้ย กูก็รู้สึกครึ่งๆนะ ”

“ เหรอ ” หัวใจผมราวกับหล่นไปในตอนที่ฟัง เหมือนจะเซ็งนิดหน่อยในตอนที่ได้ยินอย่างงั้น เพราะผมคิดแค่ว่าเจ้ยมันคงคิดเหมือนผม และคำตอบก็คงออกมาประมานว่า ‘ คงชอบเพื่อนมึงแน่ๆแล้วละ ’ แต่เหมือนว่ามันไม่ใช่

“ คือจะพูดยังไงดี ” เจ้ยมันเว้นเสียง ราวกับกำลังคิดคำง่ายๆ เพื่อให้ผมเข้าใจ “ พวกมันเริ่มต้นมาจากคำว่า แกล้งจีบกันเพื่อให้ฝ่ายใดฝ่ายนึงตกหลุมรักถูกมั้ย ซึ่งถ้าคิดจากตรงนี้ เราก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ไอ้อาร์มนามสมมุติมันทำกับเพื่อนมึง จะเป็นความรู้สึกจริงๆ หรือว่าความรู้สึกที่แค่จะเอาชนะ ”

“ นั่นก็จริง ” 

ผมถอนหายใจออกมา เพราะคำพูดของเจ้ยมันโคตรมีเหตุผล อาร์มไม่ใช่คนที่ผมจะเล่นด้วยได้ มันเป็นคนที่ดูไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าจริงๆรู้สึกอะไรอยู่ เป็นคนที่ไม่รู้เลยว่าหน้าแดงที่แสดงออกมาให้กัน จะเป็นจริง หรือแค่อยากจะเอาชนะ

“ เงียบไปเลย ”

“ เปล่า กูแค่คิดเฉยๆ ว่าที่มึงพูดมามันก็ถูก แต่ว่านะ..”

“ ยังไงอีก ”

“ มันก็ย้ำกูนะมึง ว่ามันรู้สึกอย่างงั้นจริงๆ มันย้ำด้วยแววตามั่นใจมากๆ แถมยังชอบทำอะไรให้หัวใจกูเต้นแรงด้วย แบบว่าพูดชมว่ากูน่ารักที่สุดในโลก คือถ้าเล่นๆมันจะเกินไปมั้ยวะ อันนี้มันแรงเกินไปนะ ”

“ ไม่แรงหรอก ก็พ้อยท์หลักของพวกมึงคือต่างฝ่าย ต่างพยายามทำให้อีกฝ่ายตกหลุมรักนี่ แล้วการตกหลุมรักมันก็ต้องประมานนี้กันทั้งนั้น มันต้องเล่นของแรง ไม่งั้นก็ไม่ตกหลุมรักหรอก ”

“ แต่ว่ามันบอกนะ ว่าอยากจะเจอกูทุกวัน คนที่ไม่รู้สึกอะไรกัน มันจะบอกแบบนั้นทำไม ”

“ เมี่ยง ” เจ้ยมันยิ้ม “ คือมึงเหมือนอยากจะให้กูพูดเลย ว่าไอ้อาร์มชอบมึง ” ได้แต่นิ่งค้างไปในตอนที่ได้ยินอย่างงั้น ผมส่ายหน้าไปมาทันทีตอนที่ได้สติ ก่อนจะยกสองมือขึ้นโบกไปมาใช้ท่าทางแสดงออกไปก่อนเพราะสมองคิดคำพูดอะไรไม่ออกทั้งนั้น

“ ไม่ใช่นะเว้ย ไม่ใช่ ” ผมว่าก่อนจะตีหน้าจริงจังใส่อีกคน “ แล้วกูพูดย้ำกี่ทีแล้ว ว่านี่คือเรื่องของไอ้อาร์มนามสมมุติกับเพื่อนกู ไม่ใช่เรื่องของกู ”

“ เออๆนั่นแหละ ” เจ้ยพยักหน้ารับก่อนจะถอนหายใจ มันจ้องหน้าผมอยู่สักพัก “ แล้วมึงว่ายังไง คิดว่ามันชอบเหรอ ”

“ ก็.. ”

“ แต่ถ้ามึงมั่นใจมึงก็คงจะไม่ถามกู เพราะงั้นมึงก็คงไม่มั่นใจเหมือนกันจริงมั้ย ”

‘ ไม่รู้เหมือนกันว่ะ ’ เพราะบางทีที่กูถามมันอาจจะแค่อยากได้ความมั่นใจก็ได้ แค่ความมั่นใจที่คนนอกจะมองแล้วรู้สึกเหมือนกันอย่างที่กูกำลังรู้สึกอยู่ ว่าใครคนนั้นก็กำลังชอบกู ชอบแบบที่ไม่ใช่เรื่องที่อยากจะเอาชนะ ชอบแบบที่ผมไม่ได้คิดไปเองคนเดียว

“ เงียบไปเลยไอ้สัด ” เจ้ยดึงตัวเองมาชนเข้ากับไหล่อีกฝ่ายยกยิ้ม “ เป็นเหี้ยอะไร ”

“ เปล่าๆ ” ผมส่ายหน้ายิ้มๆ

ก็แค่ไม่ได้ตั้งรับว่าจะได้รับคำตอบแบบนั้น ผมคิดมาตลอดว่าเจ้ยก็คงตอบแบบที่ผมคิด แต่ที่มันพูดมาก็ถูก มันเป็นไปได้ว่านั่นอาจจะเป็นแค่การแสดง ที่ก็แค่เพื่ออให้คนอย่างผม ตกหลุมรัก

“ แล้วเป็นเหี้ยอะไร ”

“ กูแค่รู้สึกโหวงๆในใจ ” ผมยิ้ม “ คือ.. กูคิดแทนเพื่อนกูน่ะ เพราะเพื่อนคนนั้นดูรู้สึกกับคนข้างห้องไปแล้ว แล้วพอกูคิดว่าถ้ามันเป็นอย่างที่มึงพูดขึ้นมาจริงๆ  กูก็อดสงสารมันไม่ได้เลย เพราะมันไม่ได้คิดเลยสักนิด ในเรื่องแบบที่มึงพูด แล้วพอคิดว่าอาจจะเป็นจริงก็ได้ กูก็รู้สึกเหมือนหัวใจกูมันหายไป ยังไงดีวะ ”

“ เสียใจ ” เจ้ยพูดสั้นๆ ผมก็ได้แต่นิ่งไป

อาจเพราะว่านั่นคือคำที่แทนใจความรู้สึกทั้งหมดที่ผมมี แต่แค่ไม่กล้าพูดออกมา

“ อื้ม.. คงงั้น ”

“ แต่ว่านะ..”

“ ช่างมันเถอะๆ ” ผมบอกปัดใบหน้าที่เริ่มจะจริงจังขึ้นมาของอีกคน ผมยิ้มให้มันตอนที่มองมา “ ยังไงก็ไม่ใช่เรื่องของกูจริงมั้ย  อย่าสนใจอะไรให้มากเลย ”

“ กูไม่ได้บอกว่า ไอ้อาร์มมันไม่ได้รู้สึกอะไรกับมึงนะ แต่ที่กูจะบอกคือ เพราะมึงเริ่มต้นความสัมพันธ์กันมาแบบนี้ ก็เลยอยากจะให้มึงระวังมันไว้หน่อยก็ดี เพราะก็เป็นไปได้หมด ทั้งที่ชอบมึงแล้วแบบจริงจัง แล้วก็อาจจะแสร้งทำเป็นว่าชอบเพื่อทำให้มึงตกหลุมรักนั่นก็เป็นได้ เพราะงั้นก็ลองหาวิธีอื่น จับสังเกตมันดู เพื่อความชัวร์น่าจะดีกว่า”

“ คือมึงหมายถึงไอ้อาร์มนามสมมุติกับเพื่อนกู ” พูดออกไปเสียงเบาๆ ไอ้เจ้ยมันก็ถอนหายใจ

“ เออ ”

“ แล้วไอ้การจับสังเกตมันเป็นยังไงวะ มึงแนะนำหน่อย คือ.. คือกูจะเอาไปบอกเพื่อนกู ” ผมยิ้มให้มันที่ก็ทำทีเป็นคิด

“ ก็ลองสังเกตสิ่งที่มันทำให้มึงแบบไม่ตั้งใจ ความเป็นธรรมชาติตอนที่อยู่ด้วยกัน อะไรที่มันแบบเป็นเรื่องเล็กๆ แต่เค้าก็ยังใส่ใจน่ะ ”

“ มันก็มีนะ ” ผมหันไปบอกคนข้างกัน “ อย่างเมื่อวานกู คือเพื่อนกูน่ะมันอยู่ที่ห้อง กำลังวุ่นวายอยู่กับแมวของมันที่ไม่ยอมให้อาบน้ำ แล้วสักพักไอ้อาร์มนามสมมุติมันก็มาเคาะประตู ถามว่าเป็นอะไรเปล่า แบบนี้มึงว่ามันแปลกมั้ย ถ้าไม่รู้สึกอะไรทำไมต้องเป็นห่วง ทำไมต้องคอยฟัง คอยสนใจว่าเค้าทำอะไรอยู่ ”

“ ก็จริง ”

“ ใช่มั้ย แล้วล่าสุดเพื่อนกูก็เล่าว่าตอนที่มันไปยืนเคาะประตูคนข้างห้อง ไอ้คนข้างห้องมันยืนอยู่หน้าห้องแล้วมองมันตั้งนาน แล้วพอถามว่ามองทำไม มันก็บอก ว่ามองเพราะน่ารัก ”

“ ไอ้อาร์มนามสมมุติอะนะ ”

“ อื้ม ” ผมพยักหน้ารับ “ แล้วแบบนั้นมึงจะไม่ให้กู... คือ เพื่อนของกู คิดได้ยังไงว่าคนคนนนั้นชอบมัน ”
“ นั่นก็จริง ” เจ้ยพยักหน้ารับ มันมองกันยิ้มๆ “ แล้วพื่อนมึงคิดยังไงละ ”

“ หมายถึง ”

“ ก็หมายถึงว่า เพื่อนมึงคิดยังไงกับไอ้อาร์มนามสมมุติคนนั้น ถ้ามันชอบขึ้นมาจริงๆจะทำยังไง สานต่อเหรอ หรือว่ายังไง ”

“ ใครจะสานต่อ ” ถามออกไปทั้งๆที่ตาเบิกกว้างแล้วหน้าก็แดง ผมเม้นริมฝีปากตัวเองก่อนจะเหลือบมองซ้ายขวา มันเหมือนใบ้กินไปชั่วขณะ

“ แต่เหมื่อกี้ยังบอกอยู่เลย ว่าเพื่อนมึงรู้สึกกับไอ้อาร์มนามสมมมุติไปแล้ว ”

“ รู้สึกแค่นิดหน่อยเว้ย! ” เถียงออกไปเสียงดังคนฟังก็ได้แต่ยกคิ้วสงสัย “ แค่มึงถ้าไม่รู้สึกก็ไม่ใช่คนแล้วเปล่า เพื่อนกูมันก็คนนะ โดนจีบเบอร์นั้นต้องหวั่นไหวบ้าง  อีกอย่างกู ไม่สิ เพื่อนกู ก็คงคิดว่าเป็นต่อแล้วมากกว่า เหนือกว่าแล้ว ก็เท่านั้นอะ ”

“ เหรออออออออออออ ” คนฟังลากเสียงด้วยหน้าตาที่ไม่เชื่อเท่าไหร่

“ จริงๆนะเว้ย คงไม่สานต่อหรอก แค่เหนือกว่าทำอะไรมันก็ง่ายกว่าจริงมั้ยละ ”

“ งั้นกูก็ขอภาวนาให้เพื่อนมึงประคับประคองหัวใจตัวเองไม่ให้หลงรักไอ้อาร์มนามสมมุติไปจริงๆก็แล้วกันนะ ” เจ้ยมันว่า “ แล้วกูก็ฝากเพื่อนมึงด้วยแล้วกันว่า คนที่ฉลาดจริงๆ เค้าไม่เล่นกับความรักหรอกจ้ะ ”

“ อื้มมมมมมมมมม ” ผมลากเสียงก่อนจะพยักหน้ารับ เอาจริงๆก็อยากจะตอบมันออกไปเหมือนกัน ว่ากูก็ไมได้ฉลาดเท่าไหร่หรอกเจ้ย “ แล้วคือ..”

“ อะไร ” อีกคนเลิกคิ้วถาม ตอนที่เห็นว่าผมไม่ได้พูดอะไรต่อ

“ แล้วถ้าชอบกันจริงๆ มึงคิดว่าดีมั้ย คือ.. ในฐานะที่มึงเป็นเพื่อนกับกู สมมุติว่ากูไปคบกับคนที่มึงไม่ชอบ มึงจะโอเคกับกูมั้ย ”

“ เอ้ ถามแปลกๆน้า มึงเนี้ย ” ผมเบิกตาขึ้นมองคนที่พูดขึ้นมาแบบจับผิด เจ้ยมันยิ้ม จนผมต้องเอาแต่ส่ายหน้าไปมารัวๆ

“ ไม่ใช่กูนะเว้ย แค่ถาม ถามเฉยๆ ”

“ ไม่ใช่เด็กแล้วไอ้สัด เพราะงั้น กูเป็นเพื่อนมึง อะไรที่มึงมีความสุข คนเป็นเพื่อนอย่างกูแม่งต้องยินดีสิ ยกเว้นแค่.. กูไม่ได้คิดกับมึงแค่เพื่อน อันนั้นก็คงไม่ยินดีด้วยหรอกนะ ” เจ้ยพูดยิ้มๆพร้อมกับยักคิ้วให้ผม ก่อนจะหันไปเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้างกันอีกด้าน มันชี้ไปที่ไอ้เบส “ อ้อ ยกเว้นไอ้เหี้ยนี่ไว้ในอีกหนึ่งกรณีนะ  เพราะสมองยังแค่สามขวบ น่าจะไม่พอใจเท่าไหร่ แต่กูเชื่อว่ามันไม่ห้ามมึงหรอก ”

“ ไอ้สัด ” หลุดยิ้มออกมา ก่อนจะหันไปมองด้านหน้า แล้วอยู่ๆก็เหมือนจะคิดขึ้นมาได้ ถึงคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบก่อนหน้านี้ “ ว่าแต่มึงมีวิธีอะไร แจ่มๆบ้างวะ ไอ้ที่แบบว่า เราจะรู้ได้เลยว่า เค้าชอบเราอยู่ หรือไม่ชอบเราอยู่ ”

“ มันก็ไมได้รู้ได้ขนาดนั้น แต่มึงก็ลองส่งเพลงไปให้เค้าดูสิ เพลงที่เค้าอ่านไม่ออก ฟังไม่รู้เรื่อง เพลงที่มันต้องหาคำแปลด้วยเอง ”

“ ยังไงวะ ”

“ ส่งเพลงเกาหลีไป ถ้ามันสนใจมึงอยู่แล้ว มันต้องหาความหมายของเพลงเพราะอยากจะรู้ว่าคนที่มันชอบ ส่งเพลงอะไรมาให้มัน จริงมั้ย”

“ จริง ” ผมพยักหน้าลงยิ้มๆ “ โอเค ไว้กูจะบอกเพื่อนกูนะ ” ว่าแบบนั้นคนแนะนำก็ถอนหายใจ พลางผ่อนแผ่นหลังลงพิงกับเก้าอี้ตัวที่นั่ง

“ แต่กูว่ากูพอเดาออกแล้วนะ ว่าเพื่อนมึงชื่ออะไร ”

“ ไม่ต้องเดา มึงไม่รู้จักหรอกน่า ” ลากเสียงใส่อีกฝ่าย ผมส่ายหน้าไปแบบบอกปัด แต่ถึงอย่างงั้นคนข้างกันก็ยังดูมั่นใจ “ อะๆ มึงว่ามันชื่ออะไร ”

“  ชื่ออีเลา เรื่องที่มึงเล่า ต้องเป็นเรื่องของอีเลาแน่นอน ” สายตาที่หันมองกันอย่างมั่นใจ ผมที่ได้แต่เงียบไปในตอนนั้น

“ เจ้ย คือกูไม่มีเพื่อนชื่อเลา ”  แต่เหมือนคำตอบนั้นจะทำให้อีกคนผิดหวังอย่างหนัก ผมเห็นสีหน้าช็อคผ่านสายตานั้น ก่อนที่มันจะฟุบลงกับโต๊ะตัวที่นั่งไป

“ ไม่รู้จะด่ายังไงดีเลยกู ”  ผมที่ได้แต่ยิ้มกว้าง ในตอนนั้นมือมันก็เอื้อมไปจับไปไหล่อีกฝ่ายปลอบๆ

“ ก็บอกแล้วไง เพื่อนกูน่ะ มึงไม่รู้จักหรอกเจ้ย ”

..................................................................
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 12 :: up! 14-2-63} #หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 21-02-2020 20:33:33

โรงอาหารในช่วงกลางวันนักศึกษาจะค่อนข้างเยอะเป็นพิเศษ โต๊ะที่เหลือว่างไม่มาก มีเพียงแค่โต๊ะเล็กๆ ที่ไอ้เบสถึงขั้นชะงักตัวเล็กน้อยในตอนที่เห็นว่าตรงข้ามกันนั้นเป็นโต๊ะของอริตัวอย่างไอ้ดีนที่ก็หันมายกยิ้มให้ทันทีในตอนที่เห็นหน้า

“ ไม่มีที่ที่มันดีกว่านี้แล้วเหรอวะ ” ร่างสูงว่าแบบที่จงใจให้คนที่นั่งกินข้าวอยู่ได้ยิน “ เห็นแค่หลังคนบางคน ก็แดกไม่ลงแล้วกู ”

“ งั้นลองแดกตีนกูมั้ย เผื่อว่าแดกอะไรๆจะคล่องคอขึ้น ” ไม่รอช้าไอ้ดีนสวนกลับอีกฝ่ายทันที พร้อมกับสายตาเรียวที่จ้องมองอีกฝ่ายอย่างหาเรื่อง แต่ไอ้เบสก็แค่แบะปาก มันหันไปมองทางอื่นด้วยท่าทางยียวนตามปกติเวลาที่เจอกัน

“ มึงไม่มีอะไรที่น่าแดกมากกว่าตีนเหรอ หรือว่าทั้งตัวมึง ตีนนี่น่าแดกสุดแล้ว ” ส่งสายตาเศร้าให้อีกคน “ น่าเศร้าจังเลย ก็ว่าทำไมสาวทิ้งบ่อย มีแค่ตีนที่น่าแดกนี่เอง ”

“ กูน่าแดกหลายอย่าง แต่คนอย่างมึง มันเหมาะกับตีนกูไอ้สัด ”

“ อ๋อเหรออออออออออ ” เสียงทุ้มที่ลากยาวเบสเดินเข้าไปใกล้อีกคนก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “ ไม่เชื่อหรอก เพราะงั้นกูต้องลองชิมเอง จะได้รู้ไง ว่ากูเหมาะกับอะไร ”

“ งั้นก็ลองตีนกูเลยแล้วกัน ” ร่างหนาเจ้าของแววตาเรียวพลิกตัวออกมาพร้อมกับเท้าที่หมายจะถีบอีกฝ่ายแต่เหมือนเพื่อนผมจะไวกว่า ไอ้เบสหลบทัน

“ ว๊าย ไม่โดนแหละ ”

“ มึงแม่ง..”

“ ดีน อย่า ” เสียงของอาร์มที่พูดขัดขึ้น คนที่เหมือนกำลังจะพูดอะไรต่อก็แค่หันกลับไปมองก่อนจะถอนหายใจออกมา สายตาคมเหลือบตาไปมองโดยรอบ ผมเพิ่งรู้ว่ามีคนหลายคนมองเราอยู่แล้วท่าทางก็ดูเหมือนว่าจะเตรียมหนีกันเต็มที่ ถ้าเกิดว่าเราจะปะทะ

“ เชื่อฟังกันจังเลย แต่อย่างว่าแหละเนอะ ” ทิ้งท้ายด้วยคำพูดยิ้มๆ เบสมันเหลือบมองไอ้อาร์มที่ก็จ้องมองมันอยู่ด้วยสายตาจริงจังที่เหมือนกับว่าถ้ามีมวยขึ้นมา ผมว่าคงไม่ใช่ไอ้ดีนกับไอ้เบสหรอก แต่น่าจะเป็นไอ้อาร์มกับไอ้เบสมากกว่า

“ ไปนั่งเถอะน่า มึงจะแดกมั้ยไอ้สัด กูหิวข้าวแล้วเนี้ย ” ไอ้เจ้ยว่าขัดไอ้เบสที่ในตอนนั้น มันแค่ยกยิ้มให้ไอ้อาร์มไอ้ดีน ก่อนจะนั่งลงตามแรงดึงของเพื่อนสนิทตัวเองที่จัดที่นั่งให้แบบหันหลังให้กับคู่อริ จะได้ไม่ต้องเห็นกัน ก่อนมันจะหันมาบอกผม “ มึงนั่งนั่นนะ ” เชิดหน้าไปตรงที่นั่งตรงกันข้าม ผมพยักหย้ารับ ยังไงก็ไม่เรื่องมากอยู่แล้ว

“ โอเค งั้นกูไปซื้อข้าวก่อนนะ ” เหลือบมองร่างสูงของอีกโต๊ะในระหว่างที่กำลังเดินไป แต่เพราะมันคงมานั่งสักพักแล้วอาหารที่กินไปก็เลยเหมือนจะใกล้หมดจนดูไม่ออกว่าก่อนหน้านี้มันสั่งอะไรมากิน

ครืน ครืน ครืน

มือถือที่สั่นอยู่ในกระเป๋าผมหยุดนิ่งในตอนที่ดึงมันขึ้นมา บนหน้าจอนั้นปรากฏข้อความไลน์ของคนที่ผมจ้องมอง เป็นชื่อสั้นๆที่มีตัวอักษรภาษาอังกฤษแค่สามตัว ‘ Arm ’

Arm:
บะหมี่ต้มยำทะเล
Mieng:
อะไร
Arm:
ก็เห็นมึงมองมา
เลยคิดว่าน่าจะอยากรู้
ว่ากูกินอะไร
Mieng:
ใครมองมึง
Arm:
มึง
Mieng:
ไม่ได้มองเว้ย
มึงนั่นแหละมองกู
ไม่งั้นจะรู้ได้ยังไงว่ากูมองมึง
Arm:
เออ
กูมองมึง
ทำไมมีปัญหาเหรอ
Mieng:
ไม่มีไอ้สัด
Arm:
ก็ดี
เพราะโลกนี้ไม่มีกฏห้ามมองคนที่อยากมอง
Mieng:
K

ถอนหายใจออกมาหลังจากที่พิมพ์ประโยคนั้น ผมพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด ตอนที่เหลือบมองไปตรงคนที่ยังคงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้หน้าจอมือถือที่ยังคงค้างไว้ซึ่งหน้าจอแชทระหว่างเรา

“ ยืนนิ่งเหี้ยอะไรขนาดนั้น ” ไอ้เบสที่เดินมากอดคอกันหันถาม “ มึงแดกไร ”

“ คือ.. บะหมี่ต้มยำ มั้ง ” ได้แต่ถอนหายใจออกมาในตอนนั้น ผมที่พลั้งปากไปได้แต่นิ่ง เอาจริงๆไม่ได้อยากกินเลย แต่สมองที่เอาแต่บอกว่า ‘อาร์มกินบะหมี่ต้มยำละ’ พอโดนถามแบบไม่ทันตั้งตัวเข้าหน่อย ปากก็เลยพูดออกไปซะงั้น “ Kเอ้ย ”

“ ห๊ะ ? ” เบสมันหันมาบอกผมงงๆ “ อะไรของมึง ไปๆ บะหมี่ต้มยำใช่มั้ย กูก็อยากกินพอดี ”

“ อ่า เค ” ตอบรับเสียงเบาๆ อย่าไม่มีข้อแม้ เราก้าวไม่ถึงสิบก้าวก็ถึงหน้าร้านที่มีแค่ไม่กี่คิว ผมสบสายตากับคนขายพอดี “ เอ่อ มีข้าวเปล่ามั้ยครับ ”

“ มีค่ะ ” ป้าเจ้าของร้านตอบ

“ งั้นเอาเกาเหลาต้มยำทะเลน้ำข้น กับ ข้าวเปล่าครับ ”

“ เหมือนกันครับ ”

หย่อนตัวลงนั่งตรงเก้าอี้หลังจากได้อาหาร ผมเพิ่งรู้สึกตัวว่าที่นั่งมันอยู่ตรงข้ามกับอีกฝ่ายพอดีก็ตอนที่สบสายตาคมคู่นั้นที่เอาแต่ยิ้มมองกันอยู่อย่างจัง ผมขมวดคิ้วตอนที่เห็นมันหัวเราะจนอดหยิบมือถือขึ้นมากดพิมพ์ไปถามไม่ได้

Mieng:
จะยิ้มเหี้ยอะไรของมึงนักหนา
Arm:
ทำไมต้องกินตามด้วย
ชอบกูเหรอ
Mieng:
ไมได้ชอบเว้ย
แล้วกินตามที่ไหน
ไม่เหมือนกันเลย
มึงกินบะหมี่แต่กูกินข้าวนะ
Arm:
แต่ก็ร้านเดียวกัน
ชอบกูแน่ๆเลย
เพราะกินตามคนที่ชอบ
Mieng:
ไม่ได้ชอบเว้ยไอ้สัด

พิมพ์ข้อความส่งออกไปหาอีกคนที่ก็แค่ยกคิ้วนมองกันอย่างท้าทาย ส่วนผมก็ได้แต่ถอนหายใจหงุดหงิดออกมา ก่อนจะก้มหน้ากินอาหารตรงหน้าอย่างไม่อยากจะใส่ใจ

“ เป็นเหี้ยอะไรของมึงถอนหายใจซะดัง ” เบสที่กำลังนั่งตักข้าวกินเหล่มองกันในตอนที่ถาม ผมที่ได้แต่ส่ายหน้า พลางเหลือบมองคนที่ส่งข้อความกวนตีนมาเมื่อครู่

“ ไม่มีอะไรหรอก ” ผมพูดเสียงดังแบบที่อยากจะให้คนที่ส่งข้อความมาได้ยิน “ แค่รำคาญคนหลงตัวเอง ”

“  ส่วนกูก็รำคาญมึง เงียบๆหน่อย ” ดีนที่หันมาบอกกัน ชวนให้นิ่งไปสักพักก่อนที่ผมจะยกยิ้มแล้วตอบกลับ

“ เสือก กูไม่ได้พูดกับมึง ”

“ เหย้ดเข้  ” ไอ้เบสถึงกับยกนิ้วให้กัน ผมยักคิ้วให้ไอ้ดีนที่ก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กเล็กๆที่ยืดอกภาคภูมิใจสุดตัวเวลาถูกชม

“ ขอกินข้าวสงบๆหน่อยได้มั้ย ” ไอ้เจ้ยที่เดินไปซื้อข้าวผ่านมาพูดขึ้นกับไอ้ดีนที่ยังคงมองผมไม่วางตา เหมือนว่าในความรู้สึก มันเองก็อยากจะต่อยผมสักทีให้หายหงุดหงิดเหมือนกัน แต่มันก็แค่หันกลับไปนั่งที่เดิมในตอนที่เพื่อนผมพูดแบบนั้น

“ ทำไมมันเกรงใจไอ้เจ้ยจังวะ ” ถามไอ้เบสออกไปเสียงเบาๆ ก็สังเกตมาหลายครั้งแล้วมันน่าแปลกที่พอเป็นเจ้ยทุกคนจะยอมกันง่ายๆ ทั้งๆที่บางทีเรื่องมันก็มาถึงขั้นที่จะต้องต่อยกันแล้วด้วยซ้ำไป

“ กูไม่เคยเล่านี่หว่า ไอ้เจ้ย ตอนม.ต้นมันอยู่ห้องเดียวกับไอ้อาร์มแล้วก็ไอ้ดีน เห็นว่าช่วยอะไรกันมาก็เยอะ เมื่อก่อนสัดเจ้ยเป็นถึงหัวหน้าห้องเลยนะ เห็นตัวเท่าลูกหมาอย่างงั้น ”

“ นินทาเหี้ยอะไรกู ” คนที่โดนพูดถึงนั่งลงตรงข้ามกัน ผมก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมาแบบเร็วๆ ก่อนจะก้มหน้ากินข้าวต่อ แต่เหมือนว่าไอ้คนที่อยู่ตรงโต๊ะตรงข้ามมันยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

Arm:
ปากดีจัง
ไม่เห็นเหมือนตอนทำแมวหายเลย
คนที่จับเสื้อกูแล้วเอาแต่ร้องไห้คนนั้น
Mieng:
คือมึงจะพูดเรื่องนี้ไปจนกูมีเมียเลยมั้ย
Arm:
จะพูดจนกว่ามึงจะมีกู
Mieng:
K
เงียบปากไปได้มั้ย
คนจะกินข้าว
Arm:
ก็กินไปสิ
ใครห้ามปากมึง
แต่ช่วยตักคำเล็กๆหน่อยนะ
เดี๋ยวคนอื่นจะดูออกหมดว่าตะกละ
Mieng:
แสดงว่ามึงมองกูอยู่ตลอดเลยสินะ
ถึงรู้
Arm:
ใช่
แต่จะแปลกอะไร
กูมองคนที่ชอบ


ข้าวแทบพุ่งออกจากปากตอนที่ผมอ่านประโยคนั้น ผมเหลือบมองไอ้คนตัวปัญหาแต่ก็ยิ่งรู้สึกหัวร้อนมากกว่าเก่า ไอ้อาร์มนั่งไขว่ข้างดูดน้ำ ส่วนมืออีกข้างก็กดมือถือยิกๆ เหมือนอยากจะทดสอบความอดทนของผม แบบชนิดที่ต้องตะโกนออกไปกลางโรงอาหารว่า ‘หยุดจีบกูเดี่ยวนี้นะ’ มันถึงจะยอมหยุด

“ เออ ว่าแต่มึงบอกเรื่องนั้นกับเพื่อนมึงยัง ” เจ้ยที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันเอ่ยถาม “ เรื่องที่กูบอกว่าให้ส่งเพลงไปให้ไอ้อาร์มนามสมมุติคนนั้น ”

“ ยัง ” ผมส่ายหน้าไปมา อีกฝ่ายก็กลืนข้าวที่กินอยู่ลงคอไป

“ กูมีเพลงนึง มึงลองให้เพื่อนฟัง ถ้าความหมายตรงใจก็ลองส่งไปให้เค้าดู ” เจ้ยมันว่าแบบนั้นก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมา กดยุกยิกอยู่สองสามครั้ง ข้อความก็ปรากกฏขึ้นมาบนหน้าจอของผม ‘ See The Stars ’  “ อันนี้คือเพลงที่บอก ”

“ ขอกูอ่านคำแปลก่อน ” ว่าแบบนั้นมือก็กดเข้าไปในหน้าค้นหา ผู้หญิงสวยห้าคนเจ้าของเพลงปรากกฏขึ้นมาอย่างไม่คุ้นหน้ากับภาษาที่ไม่เข้าใจ พร้อมทั้งคำอ่านแล้วก็เนื้อหาที่แปลแล้วได้ใจแบบชนิดที่ชวนให้ใจสั่นตั้งแต่ประโยคแรก ‘ ใจของฉันสั่นไหวอีกแล้ว เมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาของเธอที่กำลังจ้องมา ในทุกๆครั้งที่ได้มองหน้าเธอ ก็เผลอยิ้มออกมาทุกที มันเหมือนว่าฉันจะชอบเธอเข้าแล้วล่ะ ’

 “ เป็นไง ตรงมั้ย ”

“ ตรงตั้งแต่ประโยคแรก ” เงยหน้าบอกกับอีกคนแบบนั้น ก่อนจะส่ายหน้าไปมา “ หมายถึงตรงกับความรู้สึกของเพื่อนกูมาก ”

“ อื้ม ใช่มั้ย ”

“ มึงไปได้เพลงนี้มาจากไหนวะ ” ผมถามด้วยความอยากรู้ เอาจริงๆ หน้ามันไม่เหมาะกับการเป็นคนที่ชอบอะไรทางด้านนี้เลย

“ เมียกูติดหนังเกาหลีเรื่องนี้มาก มันเป็นเพลงประกอบหนังเกาหลีเรื่องนั้น แล้วกูชอบ มิ้งเลยเคยอ่านคำแปลให้ฟัง ”

“ เช่นนั้น ” พยักหน้ารับงึกงัก ก่อนจะเหลือบมองเป้าหมายที่กำลังนั่งมองมือถือตัวเองแบบไม่วางตา ผมก็ไม่รู้ว่ามันกำลังทำอะไรอยู่หรอก อาจจะรอข้อความของผมหรืออาจจะกำลังดูรูปไม่ก็ข่าวจากโปรแกรมไหนสักโปรแกรม

“ เป็นไง ส่งยัง ”

“ ยัง ” ผมส่าหน้าตอบก่อนจะยิ้ม “ อยู่ๆก็กลัวว่ะ กลัวว่าเค้าจะไม่สนใจ คืออยู่ๆก็รู้สึก ว่าไม่อยาก จะให้มันเป็นอย่างงั้น ”

“ ไอ้เมี่ยง..” เจ้ยถึงกับวางช้อนที่กำลังกินอยู่ มันกลืนน้ำลายของตัวเองในตอนที่มองผม

“ คือ กูหมายถึงเพื่อนกูมันบอก ว่ามัน ไม่อยากจะให้เป็นแบบนั้น ”

“ งั้นกูก็ขอฝากบอกเพื่อนมึงว่ากล้าๆหน่อย เอาให้รู้ไปเลย เพราะยิ่งมึงชัวร์ว่ามันไม่ชอบมึงเร็วเท่าไหร่ มึงก็ยิ่งตอบกลับได้เร็วเท่านั้น มันจะเป็นโชคดีของเพื่อนมึงนะ ”

“ นั่นก็จริง ” ตอบอีกคนไปแบบนั้น ผมผ่อนลมหายใจออกมาก่อนจะกดมือถือเข้าไปในหน้าจอแชทของอีกฝ่าย

Mieng:
มึง
มีเพลงจะให้
https://www.youtube.com/watch?v=n_AYF88AEqw
ลองฟังดู
‘ อ่านแล้ว ’ ตัวอักษรเล็กๆที่ขึ้นมาบนหน้าจอข้างๆกับเวลา ผมเหลือบมองคนที่ตรงข้ามกันที่ก็อดยิ้มไม่ได้เลยในตอนที่มันดึงเอาแอร์พอร์ตขึ้นมาจากในกระเป๋าเสื้อนักศึกษาของตัวเอง หูฟังที่เสียบลงไปบนหู ผมรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องสักเท่าไหร่ ข้าวที่ว่าอร่อยตรงหน้า บัดนี้ยังไม่ได้รับแม้แต่ความใส่ใจ

Arm:
นี่คือความรู้สึกของมึงที่มีให้กูเหรอ
อื้ม
เหมือนว่าฉันจะชอบเธอเข้าแล้วล่ะ
ตรงท่อนนี้คือจริงหรือเปล่า
Mieng:
มึงรู้คำแปลด้วยเหรอ

Arm:
ไปอ่านมา
Mieng:
มึงไปหามาด้วยเหรอ
Arm:
ก็มึงเป็นคนให้กู
ถ้าฟังไม่ออกก็ต้องหาคำแปลสิ
ว่าไง
อย่านอกเรื่องนาน
ตอบคำถามกูด้วย
เหมือนว่าฉันจะชอบเธอเข้าแล้วล่ะ
หมายความว่าไง
มึงชอบกูแล้วเหรอ
Mieng:
คือจริงๆอยากให้มึงสนใจความหมายของท่อนนี้มากกว่า
Arm:
ท่อนไหน
Mieng:
        ถ้าเธอเองก็ชอบฉันเหมือนกัน ก็ช่วยมาสารภาพความในใจให้ฉันรู้ทีนะ


ไม่มีประโยคตอบกลับจากคนที่อ่านข้อความนี้ ผมเงยหน้ามองอาร์มแต่เหมือนว่าตอนนั้นมันกลับไม่ได้มองผมอยู่ แล้วก็ไม่ได้มอง แม้แต่หน้าจอมือถือที่เป็นบทสนทนาของเรา อาร์มกำลังมองดีนอยู่ มองคนที่อยู่ตรงหน้าตรงนั้น ด้วยสายตาเศร้าจนชวนให้ผมนิ่งไป

ก็ลืมไปเลยว่าอาร์มกับดีนเป็นเพื่อนสนิทกัน แล้วแบบนั้นมันจะมาชอบผมคนที่เป็นศัตรูกับเพื่อนมันได้ยังไง จะมาชอบผม จะมารู้สึกกับผม แบบที่ผมรู้สึกกับมันได้ยังไง เพราะไม่ว่ายังไงเรื่องของเราก็เป็นแค่เกมส์ที่ต่างฝ่ายต่างพยายามทำให้อีกคนตกหลุมรักมันก็เท่านั้น

 “ เจ้ย มันเป็นอย่างที่มึงบอกเลยวะ ” ผมเอ่ยเรียกคนตรงหน้าที่ก็เงยหน้าขึ้นมองกัน “ ทุกอย่างมันเป็นแค่เกมส์ ”

แล้วดูเหมือนว่า กูจะแพ้ซะด้วย

...........................................................


ถ้าเธอไม่รักกัน ก็อย่ามาให้ความหวัง!
บีมมือน้องเมี่ยง แต่ยังไงก็รอฟังพี่อาร์มก่อนนะคะ
ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ด้วยนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาและคอมเม้นท์  :hao6:

หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 13 :: up!21-2-63} #หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 21-02-2020 23:35:04
IArm คนหลายใจ  :fire:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 13 :: up!21-2-63} #หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 22-02-2020 13:38:13
 :pig4: :pig4: :pig4:

สงสารน้องเมี่ยงจัง  แถยังไงก็ไม่วายถูกเพื่อนเจ้ยรู้ทันทุกเรื่อง
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 13 :: up!21-2-63} #หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 28-02-2020 12:51:58
ส่งพี่ต่อมาด่วนเลย รำคาญอีอาร์ม บึยยยย
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 14 :: up!28-2-63} #หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 28-02-2020 20:40:26
ตอนที่ 14

เสียงดนตรีที่กำลังฟังจบลงพร้อมกับผมที่ดึงสติของตัวเองขึ้นมาจากใบหน้าของคนที่เอาแต่จดจ้อง ดีน กำลังหัวเราะสนุกสนานอยู่กับเรื่องราวที่ไอ้จุ้นตัวโจ๊กประจำกลุ่มเล่าโดยที่ไม่ได้รู้เลยสักนิดว่าผมกำลังมองมันอยู่นาน

แต่นั่นก็เหมือนทุกครั้ง ที่อีกฝ่ายเป็น
ไม่มอง ไม่รู้ และถึงรู้ ก็ไม่สน

 ผมหันกลับไปมองเจ้าของบทเพลงที่มอบให้กัน แต่ทว่ามันคงจะช้าไป เมี่ยงไม่ได้นั่งอยู่ตรงนั้นแล้ว ทั้งๆที่อาหารที่สั่ง ก็มีเหลืออยู่เต็มจาน แถมยังกินไม่หมดด้วยซ้ำ

“ หายไปไหนของมัน ” พูดกับตัวเองแบบนั้น ผมมองไปรอบๆโรงอาหารที่ตอนนี้คนเริ่มบางตาลงแล้ว แต่ทว่ากลับไม่มีใครคนนั้นที่คิดว่าน่าจะไปยืนอยู่เลย ไม่ว่าจะเป็นฝั่งซ้ายหรือขวา

“ หาอะไรของมึง ” ดีนเอ่ยถามผม ที่ก็เหลือบมองมันก่อนจะส่ายหน้า

“ เปล่า ”

“ กลบเกลื่อนไม่เนียนเอาซะเล้ย ” ไอ้จุ้นคนขี้สอดว่าแบบนั้น มันยกน้ำที่ตั้งอยู่ตรงหน้าขึ้นมาดูด “ พวกมึงหันไปมองมึงตั้งนาน ดูจากดาวอังคาร ใครๆก็รู้ว่ามึงกำลังหาใครสักคนอยู่ ”

“ แล้วเสือกอะไรมึงด้วย ”

“ ว๊ายยยยยยย ” ทั้งไอ้ดีนไอ้โฮมถึงขั้นประสานเสียงให้อีกคนที่ก็ยกมือขึ้นทาบอก แต่ก็ไม่ลืมกร่อนด่าผมเบาๆ

“ ไม่อ่อนโยนกับกูเลยไอ้หน้าเหี้ย ” คำพูดที่ทำให้หลุดยิ้ม ก่อนจะก้มหน้าลงมองมือถือที่สั่นอยู่ในมือ มันมีข้อความใหม่เข้ามาแต่ไม่ใช่ข้อความของคนที่เมื่อครู่ผมแกล้งเย้ามันไปสารพัดเพราะชอบมองเวลาที่แก้มขาวนั่นขึ้นสีแดง กลับกัน มันเป็นข้อความของคนที่นั่งอยู่ข้างๆผม แล้วนั่นก็คือไอ้โฮม


Home:
คนที่มึงมองหา
เมื่อกี้กูเห็นเค้าเดินออกไปจากโรงอาหารแล้ว


ไม่ได้ตอบกลับข้อความนั้น ผมเพียงแค่อ่านมันก่อนจะปิดหน้าจอไปและทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น หยิบน้ำที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมากิน ก่อนจะวางมันลงแล้วลุกขึ้นเต็มความสูง

“ ไปเข้าห้องน้ำหน่อย เดี๋ยวมา ”

“ ทำไมพี่อาร์มของกูถึงชอบใช้ชีวิตคนเดียวนักนะ ” ดีนมันพูดแซว พลางใช้มือซ้ายข้างที่สวมแหวนของผมอยู่บนนิ้วกลางนั้นค้ำลงกับโต๊ะที่นั่ง ก่อนจะเอียงหน้าถามกันอย่างอยากจะให้เห็นมันชัดๆ

เพราะตั้งแต่ที่มันส่งข้อความมาให้คืนนั้น
เรายังไม่ได้คุยกันเลย เกี่ยวกับเรื่องแหวนที่สวมอยู่


 “ ทำไงได้ ก็ไอ้คนที่กูอยากจะใช้ชีวิตด้วย แม่งไม่อยากจะใช้ชีวิตร่วมกับกูนี่หว่า ” ตอบคนที่จ้องมองมาแบบเสียงเรียบด้วยรอยยิ้ม แต่มันอาจจะเป็นคำพูดที่ตรงไปสักหน่อย ดีนในตอนนั้นก็เลยได้แต่นิ่งไป สายตาเล็กมองผมราวกับตั้งคำถามว่าทำไมถึงพูดอะไรแบบนั้นออกมา ต่างจากไอ้โฮมที่ถึงขั้นเม้มริมฝีปากตัวเองแน่นในตอนได้ฟัง มันเหลือบมองผมสลับกับอีกคน

“ เฉียบสัด ”

“ งง ” ไอ้จุ้นเอียงหน้าสงสัย มันที่มองพวกเราด้วยสายตาตั้งคำถาม “ พวกมึงพูดเรื่องเหี้ยอะไรกัน ” ไม่มีใครตอบให้คลายความน่าสงสัย ตอนนั้นไอ้โฮมแค่เชิดหน้าถามดีนเรื่องแหวนขึ้นมาเหมือนปัดความสนใจของอีกฝ่ายไป

“ ว่าแต่ปกติมึงใส่แหวนด้วยเหรอวะ ”

แน่นอนว่าอย่างที่พวกเราในกลุ่มรู้กัน ไอ้ดีนไม่ใช่คนที่ชอบใส่แหวน แต่ชอบใส่พวกสร้อยข้อมือ หรือไม่ก็สร้อยคอ  และมากสุดของมันที่ต้องใส่ทุกวันก็เหมือนจะมีแค่ต่างหูที่ผมรู้สึกว่าพักหลังๆบางอันมันยาวจนไม่ควรเรียกว่าต่างหูแล้ว แต่ควรเป็นสร้อยคอมากกว่า

“ ไม่ใส่หรอก แต่อันนี้พิเศษหน่อย เพราะได้มาตอนวันเกิด ” พูดแบบนั้นมือข้างซ้ายก็ถูกยกขึ้นมาอวดเพื่อนเต็มที่ด้วยหน้าตายิ้มแย้มแบบเด็กเล็กๆอย่างที่ผมชอบ แววตาเรียวหรี่ลง แก้มกลมๆยกขึ้น

ดีนยื่นมือให้เพื่อนสองคนดูใกล้ๆ สำหรับแหวนเงินเกลี้ยงวงนั้นที่แอบฝังเพชรเม็ดเล็กๆอยู่ภายใน แต่ตอนนี้ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายจะสังเกตมันหรือเปล่า

ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าดีนจะเข้าใจความหมายของมันมั้ย  แต่คิดว่าน่าจะไม่ เพราะผมยังไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้พูดเลย ว่าความรู้สึกรักของผมก็เหมือนกับของชิ้นนั้นที่ให้มันไป

ดูภายนอกเหมือนไม่มีอะไร แต่แท้จริงความรู้สึกรักมากมายถูกซ่อนเอาไว้ภายในนั้น  และจะยังคงอยู่อย่างมั่นคงแบบนั้นตลอดไป เหมือนดั่งเพชรเม็ดนั้น

“ ใครซื้อให้วะ ” ไอ้จุ้นถาม ดีนมันก็เหลือบมามองกัน ก่อนจะกระซิบตอบ

“ คนพิเศษ ”

“ คนนั้นเหรอ ” โฮมมองหน้าไอ้ดีนในตอนที่ถาม ผมรู้สึกสายตาแข็งกร้าวอย่างฉับพลันของคนที่ต้องตอบ

“ ใคร? ” ดีนถามจริงจัง ชวนให้ไอ้โฮมถึงขั้นผละหลังไปเล็กน้อยด้วยความตกใจที่อยู่ๆเพื่อนก็จริงจังขึ้นมา

“ ทำไมต้องหงุดหงิดด้วยไอ้สัด ก็สาวคนนั้นไง คนที่มึงพามาเมื่อตอนวันเกิด มันชื่ออะไรแล้วนะ ”

“ ไอ้ควาย ชื่อมอส ” ถอนหายใจแบบโล่งอก ดีนตอบยิ้มๆ

“ เออ มอสให้มึงเหรอ ”

“ เปล่า มอสให้อย่างอื่น ” ยักคิ้วยิ้มๆให้เพื่อนสองคนตรงหน้าด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ตามฉบับที่ก็พอรู้กันอยู่แล้วว่าของขวัญที่ว่าก็คงไม่พ้นเรื่องบนเตียง

“ ร้ายจริงๆเลยน้าพี่ดีนของกู ”

ผมเดินออกมาจากโต๊ะในตอนที่ได้ยินไอ้จุ้นพูดอย่างงั้น เรื่องที่พูดคุยถูกเปลี่ยนไปเป็นเรื่องของเธอคนนั้น ก็เหมือนอย่างกับทุกทีที่ผ่านมา

ในช่วงเวลาที่คิดว่าพอแล้ว ถอยเถอะ คำพูดของดีนที่พูดกับผมก็ไม่ต่างอะไรกับหยอดฝนในช่วงหน้าแล้ง มันทำให้ดูเหมือนมีใจ แต่ถ้าถามว่ามารักกันมั้ย คำตอบก็ยังเหมือนเดิม คือยังไม่พร้อม แล้วบางทีผมก็คิดว่า ผมควรเดินออกมาจากตรงนั้นสักที


ตรงที่ที่ไม่รู้ว่ารถเมล์สายที่รอคอยมานาน จะมาเทียบหน้าป้ายสถานีเมื่อไหร่
และผมควรมองหาแท็กซี่ได้แล้ว หลังจากที่ยืนเปียกฝนอยู่ตรงนี้มานาน


ถอนหายใจยิ้มๆกับตัวเอง ผมส่ายหน้าด้วยความรู้สึกที่อยากจะสะบัดความคิดวุ่นวายในสมองนั่นออก สายตาเหลือบมองโต๊ะของกลุ่มไอ้เบสที่ไม่มีเมี่ยงนั่งอยู่ในตอนที่เดินผ่าน ผมไม่รู้เลยว่า คนอย่างเมี่ยงจะเลือกไปที่ไหน ในช่วงเวลาแบบนี้ เพราะไม่ได้รู้จักอีกคนขนาดนั้น แค่ครั้นจะให้ถามสองคนนั้น ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เช่นกัน


ครืน ครืน ครืน


Home:
แล้วอย่าลืมตอบคำถามคนที่มึงยังไม่ได้ตอบเค้านะ


ขมวดคิ้วในตอนที่อ่านข้อความที่ส่งเข้ามาใหม่นั่น ทั้งๆที่อยากจะส่งกลับไปว่า ‘ ขี้เสือก ’ เพราะไม่รู้ว่ามันมาสังเกตตอนไหนว่าผมคุยกับอีกคน แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะไม่ส่งไปอย่างที่คิด

ผมเปิดเข้าไปยังหน้าจอหลักของโปรแกรมแชทแทน ในนั้นคนที่ยังไม่ได้ตอบมีอยู่สองคน คนแรกคือดีนคนที่ผมปักหมุดแชทของมันไว้ด้านบนสุด ส่วนอีกคนก็คือ เมี่ยง คนที่ถามกับผมว่า   ถ้าเธอเองก็ชอบฉันเหมือนกัน ก็ช่วยมาสารภาพความในใจให้ฉันรู้ทีนะ

แต่ผมก็ยังไม่ได้ตอบมันออกไป

ผ่อนลมหายใจออกมาก่อนจะมองซ้ายขวาอย่างคนคิดอะไรไม่ออกว่าจะเริ่มที่จุดไหน  ผมไม่ใช่พวกที่ชอบพิมพ์ข้อความตอบอะไรยาวเหยียด ในตอนที่จะอธิบายอะไรสักอย่าง เพราะไม่ว่ายังไงก็มีความรู้สึกว่าการได้พูดคุยกันต่อหน้า มันอธิบายความรู้สึกทั้งหมดที่มีได้มากกว่า ทั้งจากสายตา ท่าทาง แล้วก็คำพูด

 “ ไอ้เมี่ยงแม่งไม่รู้จะรีบกลับบ้านไปไหนเนอะไอ้สัด ไม่มีเรียนเย็นแท้ๆ ข้าวก็ยังกินไม่หมดเลย ทั้งๆที่ปกติมันไม่เคยแดกเหลือเลยด้วยซ้ำ ” เสียงคุ้นหูของคนที่ไม่ต้องหันไปมองก็พอเดาออก ไอ้เจ้ยเพื่อนร่วมกลุ่มของผมสมัยอยู่ม.ต้นเดินลงมาจากโรงอาหารพร้อมกับไอ้เบส คู่อริของไอ้ดีนที่ก็หันไปพูดกับเพื่อนงงๆ

“ แล้วมึงจะพูดเสียงดังไปทำไม ก็มันบอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าแค่ง่วง เลยอยากจะกลับบ้านไปนอน ”

“ แล้วทำไมกูต้องพูดเสียงเบา ” ถามกลับไปแบบนั้น อีกฝ่ายก็หันมามองหน้าผมยิ้มๆ แล้วในตอนนั้นที่ความรู้สึกของผมมันบอก ว่าเจ้ยน่าจะรู้แล้ว เกี่ยวกับเรื่องของเรา

“ มองเหี้ยอะไร ” เบสเชิดหน้าถาม ท่าทางกลัวตีนของมันเหมือนพวกอันธพาลที่วันๆไม่มีทำอะไรยกเว้นหาเรื่องคนแบบไร้สาระ

สมองผมสั่งการว่าอย่าไปให้ค่าอะไรกับคนแบบนั้น ยิ่งต่อความยาวด้วยเท่าไหร่ ก็เหมือนดีนที่ทะเลาะกันไปแบบไม่จบสิ้น ขาของผมหันหลังเดินตรงไปที่ตึกจอดรถอย่างไม่สนใจที่ต่อล้อต่อเถียงอะไรกับมัน แล้วในระหว่างรอลิฟต์ก็ไม่ลืมส่งข้อความไปหากลุ่มเพื่อนที่นั่งอยู่

Arm:
กลับแล้วนะ
Home:
ไม่เข้าเรียนคาบบ่ายเหรอวะ
Arm:
มีธุระ
Home:
ก็นเข้าใจได้


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


เคาะประตูห้องข้างๆก่อนที่จะเดินไปยังห้องตัวเองตามปกติ แต่ดูเหมือนว่าภายในนั้นจะว่างเปล่า มันไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่อยู่ภายใน ไม่มีแม้แต่เสียงเคลื่อนไหว ในตอนที่ผมลองเอาหูแนบบานประตูห้องเพื่อฟัง

“ ไม่อยู่เหรอวะ ” พูดกับตัวเองเบาๆ ผมหยิบมือถือในกระเป๋าขึ้นมา แล้วพิมพ์ข้อความลงไปแชทของเจ้าของห้อง ‘ อยู่ไหน ’

กริ๊ก เสียงที่ดังขึ้นมาหลังจากที่ผมกดสั่ง บอกกันอย่างดีว่าคนที่อยากเจอก็คงอยู่ในห้องนั่นแหละ แต่ทำทีเป็นเงียบเชียบเพื่อหลอกให้ผมคิดว่ามันไม่ได้อยู่ในห้องนี้ แล้วถ้าเดาไม่ผิด ผมคิดว่าตอนนี้เจ้าตัวคงจะมองกันอยู่ผ่านทางช่องตาแมว ไม่ก็นั่งเลิ่กลั่กอยู่ที่ไหนสักที่ในห้อง หรือก็คงพยายามย่องเบาๆไปตรงที่วางมือถือ

“ หึ ” ผมเผลอหยุดยกยิ้ม ก่อนจะก้มหน้าลงมองมือถือตัวเองอีกครั้ง แล้วกดโทรออกไป


ครืน ครืน ครืน


เสียงดนตรีผสมกับเสียงสั่นที่ดังอยู่ที่ไหนสักแห่งในห้องบอกผมได้อย่างดีว่ามือถือคงถูกวางห่างจากคุณเจ้าของที่ตอนนี้คงเลิ่กลั่กน่าดู กับนิสัยที่พอทำอะไรผิดก็เหมือนเด็กเล็กๆที่พยายามซ่อนความผิดไว้ แต่มันไม่เคยสำเร็จสักครั้ง

“ จะนับหนึ่งถึงสาม ถ้ามึงไม่เปิดประตู กูจะคิดว่ามึงงอนกูนะ แล้วคนที่เค้างอนกัน มันก็มีแค่คนที่รักกันเท่านั้น กูสรุปจะเลยทันทีว่ามึงรักกู เลยงอนกู ” พูดจบก็ก้มลงมองที่มือจับประตู ให้ผมทายว่าตอนนี้คนภายในห้องคงหันซ้ายทีขวาทีอย่างไม่รู้จะหยิบจับอะไรเป็นอย่างแรก ท่าทางน่ารักของมันในตอนที่ตกประหม่านั้น ชวนให้ผมยิ้มกว้างพลางส่ายหน้าไปมาแม้จะเป็นแค่จิตนาการ

ในสมองของเมี่ยงตอนนี้ คงตีจนรวนจนวุ่นวายไปหมด มันคงได้แต่ถามตัวเองซ้ำๆว่าจะทำยังไงดี แล้วบางทีก็อาจจะหันไปมองไอ้แมวสองตัวที่อยู่ในห้อง เพื่อขอความช่วยเหลือ  แล้วก็คงตีหน้ายุ่งเล็กน้อย ในตอนที่เจ้าตัวกลมสองตัวนั่นไม่สนใจอะไรมันเท่าไหร่

“ หนึ่ง สอง..” เอ่ยนับเสียงเรียบๆ แล้วในวินาทีที่จะเอ่ยเลขสุดท้าย ประตูบานนั้นก็เปิดออก พร้อมกับเจ้าของห้องที่มองมา แบบที่ก็ไม่ต่างจากอะไรกับเจ้าแมวตัวเล็กๆที่จ้องแต่จะข่วนกันถ้าเกิดว่าผมเข้ามายุ่งกับมัน

“ กูไม่ได้งอนมึงสักหน่อย!! ”

“ อยู่จริงๆด้วยสินะ ” ยกยิ้มพลางสบสายตาเรียวที่กำลังหงุดหงิดคู่นั้น ที่ก็ตอบออกมาเสียงเบาๆ อย่างรู้ว่าตัวมัน จนมุมเข้าให้แล้ว

“ K ”

“ กลับเร็วจังนะวันนี้ ” สายตาเรียวเบิกขึ้นในตอนที่ผมถาม เมี่ยงทำทีเป็นหันหลังเดินเข้าห้อง 

“ กูแค่กลับบ้านมาก่อนเพราะเหนื่อยๆ เลยอยากจะนอนพักผ่อน วันนี้เรียนย๊ากยาก ” ว่าแบบนั้นพร้อมกับตรงไปในครัว หยิบแก้วน้ำที่วางอยู่ต้องเค้าท์เตอร์ขึ้นมาแล้วกดน้ำจากเครื่องกดตรงหน้าตู้เย็น “ กูไม่ได้รู้สึกเสียใจ ไม่ได้รู้สึกโกรธ ไม่ได้รู้สึกจริงจังอะไรกับคำตอบของมึงเลยสักนิดเดียว กูก็แค่ส่งไปเล่นๆ มึงไม่ต้องซีเรียสก็ได้นะ ไม่ต้องตอบก็ได้กูไม่สนใจหรอก  ชะ เชี้ย..”

น้ำที่ล้นออกมาจากแก้วของคนที่พูดโกหกออกมาคำโตอย่างไม่ได้สติ เจ้าของขาขาวกางออกอัตโนมัติ เมี่ยงก้มลงกินน้ำที่ล้นเต็มแก้วนั้น ก่อนจะวางมันลงตรงที่ตั้งใกล้ตัว แล้วหันไปหยิบทิชชูแผ่นใหญ่มาซับน้ำพวกนั้น แทนที่จะเป็นผ้าเช็ดที่วางอยู่ไม่ห่างกัน

“ แล้วทำไมมึงไม่ไปเรียน มึงมีเรียนเย็นไม่ใช่เหรอ ” เมี่ยงที่หันมาถามกันยิ้มๆ ภายในแววตาที่ดูฝืน ผมก็ได้แต่นิ่งไม่ได้ตอบอะไร

ความเงียบเชียบกลายเป็นความอึดอัดภายในนาทีเล็กๆนั่น ร่างขาวหันกลับไปเช็ดพื้นต่อก่อนจะโยนทิชชูหลายแผ่นที่ชุ่มน้ำลงในถังขยะ มันยืนขึ้นเต็มความสูงอีกครั้งก่อนจะยิ้มให้ผม “ มึง.. กินน้ำมั้ย ”

“ ไม่ ” ผมตอบอีกคนก็ทำทีเป็นแบะปากน้อยๆ ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมา เมี่ยงหยิบน้ำแก้วนั้นขึ้นกินต่อ

“ แล้วมึงจะมายืนนิ่งไม่พูดไม่จาทำไม หรือว่ามึงไม่เชื่อ ในสิ่งที่กูพูด ” อีกคนยกยิ้มก่อนจะเหลือบมองกัน ถ้อยเสียงที่ดูเล่นๆของมัน “ ทำไม ? หรือมึงจะคิดจริงๆ ว่าที่กูไม่กินข้าวแล้วก็เดินออกมาทั้งๆที่ปกติกูฟาดเรียบทุกอย่าง มันเป็นเพราะว่ากูเสียใจที่มึงไม่ยอมตอบในสิ่งที่กูถาม ” เมี่ยงหันมองหน้ากันในตอนที่เห็นว่าผมยังไม่พูดอะไร  “ ไม่เอาน่า เราต่างก็รู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่นะไอ้สัด มึงต้องทำให้กูตกหลุมรักมึง แล้วกูก็ต้องทำให้มึงตกหลุมรักกูให้ได้ ทุกอย่างมันเป็นแค่เกมส์ จริงมั้ยละ ”

“ เคยมีคนบอกมั้ยว่ามึงแสดงละครไม่เก่ง ” ก้าวเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายก็ทำได้แค่เอียงหน้างง เมี่ยงวางแก้วน้ำที่กินอยู่ มันเดินออกมายืนตรงหน้าผม เมี่ยงยิ้มทั้งๆที่ในแววตานั้นก็บอก ว่ามันกำลังฝืน

“ แสดงละครอะไร ก็บอกแล้วว่ากูไม่ได้รู้สึกอะไรสักหน่อย ไม่ได้รู้สึกเสียใจเลยที่มึงไม่ตอบ เพราะกูรู้อยู่แล้วละ ว่าไม่ว่ายังไงมึงก็คงไม่ตอบกูหรอกน่า เพราะถ้าตอบก็ถือว่าเท่ากับแพ้ มึงตกหลุมรักกู แล้วมันจะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง มึงเป็นเพื่อนรักกับดีนนะ มึงจะมาชอบกูคนที่เพื่อนมึงเกลียดขี้หน้ามากขนาดนั้น แล้วอีกอย่างมึงก็คงคิดว่ากูก็คงไม่ชอบมึงหรอก กูเป็นเพื่อนไอ้เบสนะ กูต้องอยู่ข้างเพื่อนกูสิ จริงมั้ย ”

“ ไม่จริงหรอก มึงโกหก ” ผมพูดแค่นั้นก่อนจะเอียงหน้าลงจูบบนริมฝีปากของฝ่ายอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว จูบแนบแน่นที่ทำให้แววตานั้นค่อยๆเบิกกว้างออกด้วยความตกใจ  แล้วก็ไวเท่ากับความคิด เมี่ยงผลักผมให้ออกห่าง

“ เชี้ย! ทำอะไรของมึง ”

“ พูดความจริงไง  ความจริงที่ว่าจริงๆแล้วมึงเสียใจมาก ที่กูไม่ตอบคำตอบนั้น ” ผมคว้ามือข้างที่ผลักอกผมก่อนจะดึงมันเข้ามาหาตัว แล้วก็คว้ามันอีกข้างขึ้นเพื่อยึดไม่ให้อีกฝ่ายหนีไปไหน ผมมองตามัน แต่แววตาเรียวคู่นั้นก็ยังคงดื้อดึงบอกปฎิเสธทั้งๆที่ในนั้นมีเพียงแค่ความเสียใจที่ต้องอดกลั้นเอาไว้
 
 “ กูไม่ได้เสียใจสักหน่อย ” เมี่ยงก้มหน้าลง มันยังคงเถียงแม้ว่าเสียงจะเบาลง

“ มึงเสียใจที่กูเอาแต่มองไอ้ดีน ” ผมย้ำ “ แล้วตอนนั้นมึงก็คงคิดขึ้นมาได้ว่าระหว่างเรามันเป็นไปไม่ได้หรอก กูเป็นเพื่อนกับดีนจะมารักมึงได้ยังไง แล้วก็คงคิดว่าเรื่องของเรามันไม่ได้จริงจังมาตั้งแต่แรก มันก็แค่คนสองคนที่ต้องการให้อีกฝ่ายตกหลุมรักกันเพื่อที่จะให้เป็นคนที่เหนือกว่า มันก็เท่านั้น ”

“ ก็บอกว่าไม่ได้เสียใจไง ” เสียงเรียบๆที่ยังบอกกันแบบไม่ยอมแพ้ แต่ถึงอย่างงั้นมันก็ยังไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา เมี่ยงเอาแต่ก้มหน้า ผมหน้าม้าที่ปิดบังช่วงตาของอีกคนไว้ แต่ถึงอย่างงั้นก็คงปิดบังน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้มขาวนั่นไม่ได้

“ เมี่ยง..”

“ ก็บอกกว่าไมได้เสียใจยังไงเล่า! ” เสียงที่ตะโกนขึ้นมานั่นทำให้ผมนิ่ง “ ไม่ได้เสียใจเลย ก็ทำใจไว้แล้วว่ามึงคงไม่ตอบ กูรู้อยู่แล้วว่าระหว่างเรามันคืออะไร แต่กูก็ไม่รู้ว่าทำไมกูถึงต้องใจเต้นแรงขนาดนั้นตอนที่มึงเข้ามาใกล้กู  กูไม่รู้ทำไมว่าตัวเองถึงต้องส่งข้อความนั้นไปอย่างมีความหวังว่ามึงจะตอบกลับมา ทั้งๆที่ก็มีคนบอกกูแล้ว ว่าจุดเริ่มต้นของเรามันมาจากต่างฝ่ายต่างพยายามจีบกัน แต่ถึงอย่างงั้นกูก็ยังดื้อที่พูดทุกอย่างให้เค้าเห็นด้วย ให้เค้าคิดเหมือนกู ทั้งๆที่ตอนนั้นกูควรจะเชื่อเค้า เชื่อว่ามึงไม่น่าจะรู้สึกอะไรหรอก แต่แล้วทำไมกูถึงยังพูดอธิบายออกไปก็ไม่รู้ พูดอธิบายออกไปให้เค้าเห็นด้วยกับกู ว่ามึงมีใจให้กูจริงๆนั่นแหละ กูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมกูถึงจะยังดึงดันส่งเพลงนั่นไปให้มึง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมแม้แต่ตอนนี้ กูถึงยังดึงดันให้ตัวกูเจ็บอยู่ ทำไมก็ไม่รู้เหมือนกัน โอ๊ย! ”

“ เพราะมึงชอบกูไงเมี่ยง ”  ดึงอีกคนให้ล้มลงนอนบนโต๊ะในตอนที่พูดแบบนั้น  ผมสบสายตาแดงกล่ำของคนที่พูดยืดยาวออกมาแต่กลับวกไปวนมาอย่างกับควบคุมความเสียใจที่มีเอาไว้ไม่ได้ เมี่ยงดูหอบ มันคงตกใจไม่น้อยที่อยู่ก็ถูกลงมาอย่างงั้น “ มึงชอบกู ”

ย้ำคำพูดนั้นกับอีกคน วินาทีนั้นไม่มีคำพูดปฎิเสธอะไรที่สวนกลับออกมาอีก เหมือนทุกอย่างถูกหยุดชะงัก  และมีเพียงผมเท่านั้นที่ลดใบหน้าลงจูบลงบนริมฝีปากสีสวยนั่นช้าๆ ก่อนจะขบเม้มลงตรงริมฝีปากล่าง แล้วดูดดึงมันเบาๆ เมี่ยงค่อยๆหลับตาลงจนสนิท ก่อนจะเผยอริมฝีปากตอบรับจูบดูดดื่มของเราด้วยลิ้นของกันและกันที่กำลังกอดเกี่ยว

ความรู้สึกที่บดเบียด ร่างของเราที่แนบชิด ผมสัมผัสถึงเสียงของหยาดน้ำลายในยามที่ลิ้นของเรากอดรัด คล้ายกับหนังรักฝรั่งสักเรื่องที่มีฉากคีสซีนดูดดื่ม ผมปล่อยมือที่กำลังจับกุมมือสองข้างนั้นลง แล้วเปลี่ยนมาเป็นสอดเข้าไปในเสื้อนักศึกษาที่อีกฝ่ายกำลังสวม

ปลดกระดุมเสื้อที่ขวางความสุขออกไปให้พ้นทาง มือของผมไล้สัมผัสไปบนผิวเนียนนุ่มและเอวคอด ที่เจ้าของร่างเองก็ดึงมือขาวขึ้นกอดรอคอของผมไว้เพื่อไม่ให้จูบของเราผละห่างกันออกไปไหน ก่อนที่ผมจะสอดมือดึงลงต่ำแล้วสอดเข้าไปในกางเกงตัวที่อีกฝ่ายสวมอยู่นั้น บีบคลึงก้นกลมนั้นโดยที่เมี่ยงเองก็ยกบั้นท้ายตัวเองขึ้นเหนือโต๊ะ

ราวกับกำลังดำน้ำลึก มันจมลงไปเรื่อย ภายใต้ก้นมหาสมุทรของความรู้สึกที่ลึกลับ อย่างไม่มีใครห้ามปรามหรือแม้แต่เอ่ยขัดถึงสถานะที่มี จนกระทั่ง

“ เมี๊ยว!! ” เสียงดังของเจ้าแมวที่เราลืมไปแล้วว่ามันอยู่ภายในห้องนี้ ผมจำใจผละริมฝีปากออกจากอีกคน แล้วตอนที่มองดูมันก็ไม่ได้มีอะไรที่มากไปกว่าไอ้สองตัวป่วนมันเล่นฟัดกันไปมาก็เท่านั้น

แมวเหี้ย

“ เมี่ยง ” เอ่ยเรียกอีกฝ่ายหลังจากที่ก้มลงไปมองอีกครั้ง แต่คนใต้ร่างกลับทำให้ยิ้มกว้าง เมี่ยงยกมือขึ้นปิดหน้าตัวทั้งสองข้างราวกับเพิ่งได้สติว่าเมื่อครู่ตัวเองเผลอไผลไปกับอะไร ลำตัวของมันแดงจัดแต่คงไม่เท่ากับหน้าที่ตอนนี้ปิดกันแทบไม่มิดเพราะมันก็บอกกันหมดโดยเฉพาะใบหูทีอีกฝ่ายปิดไม่มิด “ เมี่ยง ” ผมเรียกอีกฝ่ายซ้ำอีกครั้งก่อนจะบีบก้นที่กำลังจับอยู่นั้น

“ ไม่ต้องเรียก ” มันว่าเสียงอู้อี้อย่างงั้นก่อนจะผลักผมให้ออกห่างแล้วถึงจะดึงตัวเองขึ้นมากโต๊ะ มือขาวกำเสื้อนักศึกษาที่ตัวเองสวมอยู่ไว้แน่นด้วยมืออีกข้างนึง มันก้มหน้าก้มตาจนผมต้องเอื้อมมือไปจับมือนั้นไว้ “ ก็บอกว่าไม่ต้องยุ่งไงไอ้สัด แล้วจะบอกไว้ก่อนเลยนะ ว่ามึงไม่ได้ชนะหรอก กูแค่เผลอไป ไม่ได้รู้สึกอะไรทั้งนั้น ”

“ กูไม่เคยคิดว่ากูชนะ ” ผมพูดเสียงเรียบในตอนที่ดึงมือขาวที่กำเสื้อตัวเองไว้แน่นนั่นออก ผมเริ่มติดกระดุมเม็ดแรกให้อีกคน “ กูยอมรับว่ากูเคยคิดเหมือนกัน ตอนที่รู้ว่ามึงจะจีบกูเพื่อเอาชนะ ครั้งนึงกูก็เคยคิดอยากจะเอาชนะมึงเหมือนกัน แต่ตอนนี้กูไม่ได้คิดอย่างงั้นแล้ว ” กระดุมเม็ดที่สองถูกติด ผมเหลือบมองอีกคนที่ก็เหลือบมองผม

“ หมายความว่ายังไง ”

“ ถ้ามึงคิดว่ามึงแพ้ เพราะหวั่นไหวไปกับกู งั้นก็รู้ไว้เลยว่า กูเองก็แพ้ให้มึงเหมือนกัน ” ผมติดกระดุมเม็ดที่สามให้เมี่ยง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาอีกฝ่าย “ เพราะตอนนี้กูก็หวั่นไหวไปกับมึง ”

สายตาที่ผมกำลังสบ หันมองไปทางอื่นในตอนที่ได้ยินผมพูดอย่างงั้นด้วยท่าทางตกประหม่า แบบที่ไม่คิดว่าจะได้ฟัง เพราะเมี่ยงก็คือเมี่ยง เป็นคนที่ปิดบังอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง แม้แต่ร่างกายที่ตอนนี้หูแดงจัดถึงขั้นที่มันต้องยกมือขึ้นดึงไปมาเพื่อให้มันหยุดบอกความจริงกับผมสักที

“ แล้ว..” สายตาที่ดูไม่มั่นใจเอ่ยถามขึ้น “ คือ..”

“ อะไรครับ ” ถามแบบนั้นก่อนจะปล่อยมือที่ติดกระดุมเม็ดสุดท้ายให้อีกฝ่าย ผมเปลี่ยนมาค่อมร่างของอีกฝ่ายไว้ ด้วยการค้ำมือลงกับโต๊ะตรงข้างตัวของร่างขาว

“ แล้วทำไมมึงถึงไม่ตอบ คำถามของกู ” ดึงมือตัวเองขึ้นจากโต๊ะที่ค้ำอยู่ในตอนที่ได้ยินคำถามนั้น เมี่ยงมองผมอย่างไม่มั่นใจ ส่วนผมเอง ไม่มีอะไรที่มั่นใจหรอก แต่กลัวแค่ว่าคำตอบนั้นจะไม่ชัดเจนพอจนทำให้มันเข้าใจผิดมากกว่า

“ ที่กูไม่ตอบ เพราะตอนนี้กูยังมีคนที่ชอบอยู่ แต่กำลังจะไม่ชอบแล้ว ”

เมี่ยงคงช็อคไปในตอนที่ได้ยินอย่างงั้น แววตาของมันเบิกขึ้นเล็กน้อยในตอนที่ฟังผมพูด ส่วนผมก็ทำได้เพียงแค่ถอนหายใจออกมาแล้วดึงตัวเองห่างออกจากมันมาพิงหลังกับเค้าท์เตอร์ครัวที่อยู่ไม่ไกลกัน

“ กูไม่อยากโกหกมึง เพราะคำเดียวที่กูตอบได้คือ รอก่อนได้มั้ย ถ้ากูพร้อมเมื่อไหร่ แล้วกูจะเดินเข้าไปบอกเอง ” ผมยิ้มมองอีกคนที่ก็ยังคงสบสายตากับผม “ กูกับใครคนนั้นรู้จักกันมานานแล้ว กูชอบเค้า แล้วเค้าก็บอกให้กูรอ เพื่อที่สักวันเค้าจะพร้อม แล้วก็หันมาชอบกูกลับ ตลอดระยะเวลาที่มา กูทรมานมากกับคำว่ารอ แล้วกูก็ไม่อยากจะให้มึงเป็นแบบนั้น แต่การที่กูจะพูดกับมึงว่า งั้นมารักกันเถอะ เพราะกูหวั่นไหวไปกับมึงมากเลย นั่นก็คือการเห็นแก่ตัวของกูอยู่ดี ที่เหมือนเอามึงเข้ามาแทนที่ใครอีกคน เพราะกูรู้ตัวดี ว่ากูยังรักเค้าอยู่ ”

“ อื้ม ” เมี่ยงผ่อนลมหายใจออกมาในตอนที่รับฟังคำพูดนั้น

“ กูยอมรับว่ากูหวั่นไหวไปกับมึง ตั้งแต่ที่เจอมึง ตั้งแต่ที่มึงเข้ามา ชีวิตที่เคยเหี้ยของกู มันสดใสขึ้น กูเหงาน้อยลง กูมีความสุขมากขึ้น กูยิ้มมากขึ้น แล้วกูก็เริ่มแคร์เค้าน้อยลง มองเห็นความดีของเค้ามากขึ้น แล้วก็เริ่มรู้สึกไม่มีหวังมากขึ้นจากที่ให้ความหวังตัวเองมาตลอด ”

“ แต่ตอนนี้ก็ยังรักเค้าอยู่เหรอ ” คนตรงหน้าเอ่ยถาม “ คนคนนั้น ”

“ อื้ม ” ผมพยักหน้ารับ “ ถึงตอนนี้มันจะลดลง แต่มันก็ยังรู้สึกอยู่ เพราะงั้นที่มึงบอกว่าถ้ารู้สึกเหมือนกันก็มาบอกให้รู้ด้วยในเพลงนั้น กูเองก็อยากบอกนะ ว่ารู้สึกหมั่นไหวไปกับมึงเหมือนกัน ถ้าพูดว่ามันคือความชอบมั้ย กูก็ยอมรับออกไปตรงๆเลยว่า ชอบ แต่กูอยากตอบ เพื่อให้มึงเข้ามาเป็นตัวแทนของใคร ไม่อยากตอบเพื่อให้มึงรอ ”

“ เข้าใจแล้ว ”

ทุกอย่างมันเหมือนจะนิ่งไปหมดในตอนที่เมี่ยงพูดคนนั้น ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าประโยคที่อีกฝ่ายพูดหมายถึงอะไร คำว่า ‘ เข้าใจแล้ว ’ ที่ว่านั้น แต่กลับหันไปมองทางอื่นแล้วผ่อนลมหายใจออกมาโดยที่ไม่พูดอะไรต่อสักคำ

“ เมี่ยง ”

“ ตอนนี้มึงกลับไปก่อนได้มั้ยวะ ” ร่างขาวพูดแบบนั้นในตอนที่ผมกำลังจะเดินเข้าไปหา คนตรงหน้ายกมือขึ้นลูบใบหน้าของตัวเอง มันเหมือนคนที่ไม่รู้จะทำยังไงกับสถานการณ์นี้

ก่อนหน้านี้เรามีความสุขกับการหยอกกล้อ แล้วต่อมาเราก็เข้าใจผิดกัน ที่ไม่กี่วินาทีต่อจากนั้น เราก็จูบกัน แล้วตอนนี้มันก็ได้ยินผมพูดว่า ‘  กูชอบใครคนอื่นอยู่แล้ว ’

“ ความจริง บางทีก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรพูดหรอก แต่ไม่ว่ายังไง กูก็ไม่อยากจะโกหกมึงอยู่ดี ”

ผมเดินออกไปอุ้มแก้มหอมที่กำลังนอนอยู่บนคอนโดแมวใกล้ๆกับไอ้ตัวลายที่ก็มองผมด้วยสีหน้าไม่พอใจเท่าไหร่ ราวกับว่ามาพรากคนรักของมันไป

“ กูไม่รู้ว่าจะมีโอกาสที่จะได้พูดกับมึงอีกมั้ย แต่กูไม่เคยโกหกนะ ความรู้สึกที่กูมีให้มึง กูหวั่นไหวไปกับมึง กูมีความสุขในตอนที่อยู่กับมึง อย่างที่กูเคยบอกว่ากูหึงมึงจริงๆ ตอนที่มึงยิ้ม หรือว่ามีความสุขกับคนอื่นที่ไม่ใช่กู เรื่องนั้นกูเองก็ไม่ได้โกหก ”

ถ้ามันจะจบ ก็ขอให้จบไปเลยในวันนี้ ผมพูดกับตัวเองแบบนั้น เพราะดีกว่าถ้าหากเราไปต่อ แต่ในอนาคตเราจะต้องมาทะเลาะกัน เมื่อมันรู้ความจริง ที่ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาตัวมันเองเป็นแค่ตัวแทนใครอีกคน เป็นแค่คนที่เข้ามาเพื่อทำให้ผมลืมใครคนนั้น 

ขาของผมหยุดนิ่งอยู่ตรงประตู มือที่กำลังเอื้อมไปเปิด “ ขอโทษด้วยแล้วกัน ที่ทำให้มึงรู้สึก ทั้งๆที่หัวใจกูไม่ได้ว่าง ” 

แล้วนั่นก็คือประโยคสุดท้ายที่ผมเลือกที่จะพูดออกไป ก่อนจะเดินออกไปจากห้องนี้ ที่ก็ไม่รู้ว่าจะได้กลับเข้ามาอีกหรือเปล่า

รวมถึงข้างในหัวใจของเจ้าของห้องนั่นก็ด้วย

.........................................................

ก็ปล่อยให้เค้าได้คิด ว่าจะไปต่อกับเราหรือเปล่า
น้องเข้าใจพี่อาร์มนะคะ ดีแล้วค่ะ อย่าโกหกเลย
ส่วนเจ้าเมี่ยงก็คือ สิบความรู้สึกได้ เสียใจ เขิน โดนจูบอีก ช็อคอีก แม่ก็เข้าใจหนูนะ ตอนนี้ก็เปิดเพลงเก็ตสึโนว่าไป “ เข้าใจที่ไม่เข้าใจ ”
ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ด้วยนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์
หนมมี่จ้ะ  :กอด1: :L2: :3123: :L1:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 14 :: up!28-2-63} #หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 28-02-2020 21:37:24
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 14 :: up!28-2-63} #หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 28-02-2020 23:23:21
สรุปแล้วมีใครที่เข้าใจแล้วมั่ง มาอธิบายให้ สว. คนนี้ฟังหน่อยซิ  o2
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 14 :: up!28-2-63} #หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 01-03-2020 10:51:43
โอยยย จุกไหมล่ะ เจ็บแทนเลยค่ะ

เมี่ยงแค่อยากรู้ว่าเป็นเกมส์ไหม ที่รู้สึกกันอยู่ตอนนี้
และก็รู้ว่า ไม่ใช่เกมส์ แต่ก็ยังไม่ใช่ตัวจริงอยู่ดี

อาร์มชัดเจนนะ ชอบแหละ แต่ยังไม่ต่อไม่ได้
ถึงจะเป็นตัวแทนแค่ชั่วคราว ก็ไม่อยากให้เป็นตลอดไป
หวังว่า อาร์มจะเคลียร์ตัวเองได้เร็วๆ นะคะ

เจ้ยกับโฮมนี่ยังไง ทำไมรู้ทันไปหมด และชงเข้มมาก
เจ้ยทำไมไม่อยู่กลุ่มกับอาร์ม ดีน ทำไมมาอยู่กับเบส เมี่ยง

กอดเมี่ยงนะคะ ไม่มีใครรู้สึกมากกว่า แต่ใครจะจัดการความรู้สึกได้ไวกว่า
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 15 :: up!6-1-63} #หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 06-03-2020 20:40:13

ตอนที่ 15

‘ เพราะตอนนี้กูยังมีคนที่ชอบอยู่ ’ ประโยคนี้วนเวียนอยู่ในสมองของผมที่กำลังนั่งพิงอยู่บนขอบโต๊ะในครัวอย่างไม่ได้ถอยห่างออกไปไหน

มันเหมือนตัวผมเองกำลังอยู่ในสวนสนุกของความรู้สึก รถไฟเหาะที่ทั้งเหวี่ยงและหมุนตีลังกานับสิบรอบ มันเป็นทั้งความเศร้าและความดีใจปะปนกันไปจนแยกไม่ออกว่าต้องรู้สึกอย่างไหน และแม้แต่ตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ ว่าต้องรู้สึกยังไง กับสิ่งที่ได้ยิน

“ เมี๊ยว ” เจ้าแมวตัวลายร้องเรียกหากันพลางเดินมาคลอเคลียกันที่ขา ผมก้มลงมองมันที่เอาหน้าถูไปมา ก่อนจะก้มลงไปอุ้มขึ้นมากอด  นายท่านขยับตัวเล็กน้อยเหมือนหามุมแขนที่ตัวมันจะถนัดก่อนจะนิ่งไปอย่างงั้นทั้งๆที่ปกติ มันไม่เป็น

“ มึงรู้เหรอ ว่ากูกำลังเสียใจ ” เอ่ยถามอีกตัวอย่างงั้น แต่ไม่มีเสียงตอบรับอะไร ผมที่ได้แต่ยิ้ม พาตัวเองมานอนลงบนโซฟา พร้อมกับนายท่านที่ก็ซุกอยู่ตรงช่วงแขน “ เรียบร้อยเป็นพิเศษเลยนะมึง แต่กูไม่ได้เสียใจหรอกน่า ไม่ต้องห่วงหรอก ”

‘ กูไม่ได้เป็นอะไร ไม่ได้รู้สึก และไม่ได้เสียใจขนาดนั้น แต่ที่นิ่งไป มันก็แค่เพราะไม่รู้ว่าตอนนี้ต้องแสดงออกยังไง ก็เท่านั้น ’

รอยยิ้มตอนที่มันแกล้งกันเอาสนุก ตอนที่อยู่ในโรงอาหารยังเป็นภาพติดตา ความเสียใจในตอนที่มันหันไปมองดีน แม้แต่ตอนนี้ผมก็ยังรู้สึกอยู่ และแม้แต่รอยจูบดูดดื่มและคำพูดพูดนั้น ทุกอย่างก็ยังอยู่ครบ หัวใจเต้นแรงที่กำลังบีบรัดนั่นก็ด้วย

ทุกอย่าง ไม่ได้จางหายไปไหนเลย
มันเร็วยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ทั้งความสุข และความเสียใจก็ด้วย

เมื่อครู่เราจูบกัน ทุกอย่างเหมือนกำลังไปได้ดี ผมที่รู้สึกเหมือนถูกดึงขึ้นมาจากปากเหวหลังรอคอยมานาน ก่อนที่มันจะบอก ‘เพราะตอนนี้กูยังมีคนที่ชอบอยู่ แต่กำลังจะไม่ชอบแล้ว ’

และนั่น ก็เหมือนผม ที่โดนผลักลงไปให้ตกลงจากปากเหวอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้ ไม่มีใครช่วยให้กลับมา

“ พ่อไอ้แก้มหอม เค้าใจร้ายกับกูมากเลยมึง ” ผมหันไปมองเจ้าแมวตัวกลมที่นอนอยู่ในอ้อมแขน ก่อนพลิกตัวแล้วกอดมันไว้แน่น แต่เหมือนรอบนี้มันจะไม่นิ่งให้ผมกอดได้ตามที่ต้องการอีกแล้ว นายท่านดึงตัวเองออกจากตัวผม มันกระโดดลงไปจากโซฟา “ ไปไหนวะ ” ถามพลางมองตามตูดของเจ้าตัวลายที่เดินตรงไปที่เครื่องให้อาหารอัตโนมัติ นายท่านก้มลงกินอยู่สักพักก่อนจะเดินกลับมาหากัน แล้วคายอาหารเม็ดอย่างดีนั่นลงบนพื้นข้างโซฟาตัวพี่ผมนอนอยู่

“ ให้กูเหรอ ” หยุดยิ้มกว้างในตอนที่ถาม

“ เมี๊ยว ” ขานรับแบบนั้นเหมือนจะบอกว่า ‘ ก็ใช่น่ะสิ ’

“ ขอบใจนะมึง ” ผมบอกก่อนจะพลิกตัวหันไปมองมัน แต่เหมือนนายท่านจะไม่ได้ต้องการแค่นั้น มันคาบอาหารเม็ดของมันขึ้นมาก่อนจะใช้ขาหน้าสองข้างเกาะขอบโซฟาแล้วคายมันลงตรงหน้าผม

“ เมี๊ยว ”

“ ต้องกินเหรอ ” คำถามี่คำตอบมาพร้อมกับแววตากลมที่แสนกดดัน นายท่านมองผมเหมือนเป็นเด็กตัวเล็กๆที่ต้องกินยาต่อหน้าแม่ ไม่งั้นแม่จะไม่ยอมปล่อยไป

“ โอเค กูต้องกินสินะ ” หยิบอาหารเม็ดนั้นขึ้นมา เอามาใกล้ปาก แล้วทำทีเป็นกินแต่แท้จริงโยนไปที่ด้านหลัง “ กูหายดีแล้ว ขอบคุณนะ ”

เจ้าสี่ขากระโดดขึ้นมานอนอยู่ในอ้อมแขนของผมอีกครั้งหลังจากที่เอาอาหารให้ผมกิน ไม่ค่อยเข้าความคิดของมันเหมือนกัน หรือบางทีมันเห็นจะผมเป็นแมวก็เลยเอาอาหารมาให้กิน ไม่ก็คงคิดว่าผมเป็นคนชอบกิน ก็เลยเอาข้าวมาให้กินจะได้คลายความเศร้า

“ นี่มึงคิดว่ากูเป็นแมวเหรอ ” พูดกับตัวเองยิ้มๆ ก่อนจะนิ่งไปเพราะคิดถึงในบางคนขึ้นมา จะว่าไปก็เหมือนกันเลย  ‘ มันเหมือนไอ้สัดนั่นเลย ’ เจ้าของสายตาคมที่ยังอยู่ในความรู้สึก แม้แต่ตอนนี้ที่นอนมองเพดานอยู่มันก็ยังคงอยู่บนนั้น คนที่บอกว่าในทุกอริยาบทของผมเหมือนแมวตัวเล็กสักตัว “ มึงว่ามั้ยนายท่าน บางที กูว่า กูควรที่จะเลิกคิดถึงมันก่อน ”


ครืน ครืน ครืน 

เสียงโทรศัพท์ดังแทนเสียงตอบรับของเจ้าแมวที่ผมเอ่ยถาม มือถือที่สั่นอยู่บนโต๊ะหน้าทีวีไม่ไกลกันนัก ตอนที่หันไปมองมัน ชื่อของคนที่คุ้นเคยก็ฉายอยู่บนหน้าจอนั้น

“ ว่าไงเจ้ ” กรอกเสียงไปตามสายในตอนที่กดรับ อีกฝ่ายก็ตอบกลับด้วยเสียงร่าเริงตามฉบับ

“ เจ้าเมี่ยงคำ ” ผมเผลอถอนหายใจออกมาในตอนที่ได้ยินอย่าง พี่สาวก็หัวเราะถูกใจ เพราะอย่างที่รู้กันทั้งบ้าน ว่าผมโคตรเกลียดชื่อนี้ “ หงุดหงิดใหญ่ แต่เอาน่าฟังก่อน แล้วมึงจะหายหงุดหงิดนะ ”

“ อื้ม ” ตอบรับเสียงในคออีกฝ่ายก็เงียบไปสักพัก แต่เหมือนจะเป็นการเงียบที่เตรียมจะพูดเรื่องน่าฟังที่ว่า

“ เสาร์นี้ว่างมั้ย ”

“ เช้ามีเรียน เย็นว่าง ”

“ งั้นกูจองคิวมึงช่วงเย็น ” เธอว่า “ เพราะว่าเสาร์นี้เราจะไปกินข้าวที่ห้องอาหารแชง พาเลช ที่แชงกรีล่ากันนนนนนนนนนนนน” เสียงที่ลากยาวด้วยความสุขใจนั่น ผมเหลือบมองเพดานห้องว่างเปล่าอย่างไม่มีอารมณ์ร่วม

“ โอเค เวลากี่โมง ”

“ คือ.. มึงจะไม่ดีใจหน่อยเหรอ ” ถามด้วยความแปลกใจ ในตอนนั้นผมก็ทำได้แค่ถอนหายใจออกมา อย่างไม่รู้จะตอบอะไร “ กูขอทวนซ้ำ แชงพาเรทเลยนะ ที่มึงอยากกินมากๆอะ ”

“ ก็รู้แล้ว ”

“ เป็นไรเปล่า มีเรื่องเครียดเหรอ ”

“ เปล่าหรอก ” ผมส่ายหน้าในตอนที่ตอบ “ กูแค่เซ็งๆอะ แล้วทำไมอยู่ๆถึงไปกินข้าวที่โรงแรม ”

“ ก็กินข้าวสานสัมพันธ์ครอบครัวเรา กับครอบครัวหมอไอซ์ไง ” พยักหน้ารับเข้าใจอีกครั้ง จะว่าไปผมก็ไม่เคยเจอพ่อแม่หมอไอซ์เลย แต่มันก็น่าแปลกนิดหน่อยที่อยู่ๆจะมาจัดเจอเอาป่านนี้

“ บ้านอื่นเค้าเจอกันก่อนตกลงเรื่องแต่งงาน แต่บ้านเราก็แค่เปรี้ยวมาก ได้วันแต่งงานแล้ว ได้โรงแรมแล้ว แพลนแล้ว เพิ่งได้เจอกัน ”

“ ก็จะทำยังไงได้ พ่อแม่เราโคตรยุ่ง อีกอย่างพ่อแม่หมอไอซ์เค้าก็เป็นหมอทั้งคู่ ยิ่งโคตรยุ่งเลย ” พี่ผมบอกก่อนจะถอนหายใจหน่ายๆ บ่งบอกถึงว่าเธอวุ่นวายมานานเหลือเกินแล้วกับการจัดวันกินข้าวพร้อมหน้าที่กว่าจะลงตัว “ พอพ่อแม่เราว่าง พ่อแม่หมอไอซ์ก็ไม่ว่างอีก แล้วพอพ่อแม่หมอไอซ์อ้างนะ พ่อแม่เราก็ ”

“ ไปเที่ยวอีก ” พูดสวนออกไปอีกคนก็ลากเสียงตอบ

“ อื้มมมมมมม แต่ว่ารอบนี้มีน้องชายหมอไอซ์ไปด้วยนะ ”

“ หมอไอซ์มีน้องชายด้วยเหรอวะ ” ขมวดคิ้วถามพี่สาวตัวเอง จะว่าไปก็ไม่เคยได้ยินเลยว่าอีกฝ่ายมีน้องชายด้วย ผมคิดมาตลอดเลยว่าคุณว่าที่พี่เขยเป็นลูกคนเดียว

“ มีคนนึง แต่ไม่ค่อยได้พูดถึงเท่าไหร่เพราะคนคนนั้นเค้าโลกส่วนตัวสูง สายติสท์น่ะ กูเองยังไม่เคยเจอเลยมึง เนี้ยจะเจอกันวันที่เรานัดกันนี่แหละ ”

“ สุดยอด ”

“ แต่ใครจะพูดมากเหมือนน้องชายกูละเนอะ ” ถอนหายใจออกมาในตอนที่ได้ยินอย่างงั้นผมแอบเหลือบตามองบนนิดหน่อยแต่ที่ไม่ได้เถียงออกไป เพราะรู้สึกว่ามันก็เป็นแบบนั้นจริงๆนั่นแหละ “ งั้นสรุปว่าวันเสาร์นี้ตอนเย็น ห้าโมง เจอกันที่โรงแรมนะคะน้องเมี่ยง ”

“ ครับ ”

“ แล้วเป็นไง สบายใจขึ้นยัง ” ผมนิ่งไปในตอนที่เธอถาม “ คนเราเวลาที่เจอเรื่องเสียใจก็ชอบที่จะจมอยู่คนเดียว แต่มึงรู้มั้ยว่า แค่เพียงเราได้พูดออกไปบ้าง ต่อให้ไม่ใช่เรื่องที่เราเสียใจ ทุกอย่างที่หนักมันจะเบาลงไปนะ แม้ว่าจะเป็นแค่ในช่วงเวลาสั้นๆก็ตาม ”

นั่นก็จริง ผมคิดตามที่ปลายสายบอกกัน พอได้พูดอะไรออกไปสักอย่างกับใครสักคน เรื่องที่หนักอยู่ในอกก็เหมือนจะหายไป มันลืมไปชั่วขณะ  แม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกัน หรือทำให้สบายใจขึ้น แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่หัวใจได้พักจริงๆ

“ มึงมีเรื่องอะไรหรือเปล่า เล่ากูได้นะเมี่ยง ”

“ ไม่มีอะไรหรอกกกกก ” ลากเสียงยาวบอก ผมตอบเธอยิ้มๆ

“ ก็คิดแล้วว่ามึงต้องตอบแบบนี้ ” พี่สาวผมถอนหายใจ “ ถ้าไม่เล่ากู ก็ไปเล่าเพื่อนสักคนนะ เพราะปัญหาของคนเรา มันก็เหมือนกล่องสี่เหลี่ยมนั่นแหละรู้มั้ย แค่ด้านสีดำหันหน้าเข้ามึง ไม่ได้หมายความว่าทุกด้านของกล่องสี่เลี่ยมใบนั้นมันจะสีดำไปหมด บางทีพอเพื่อนมึงได้ฟัง ด้านสีขาวอาจจะอยู่ตรงฝั่งของเพื่อนมึงก็นะ แล้วนั่นก็อาจจะเป็นทางออก ”

“ มึงก็รู้ว่ากูไม่ได้มีเพื่อนตอนม.ปลายที่สนิทขนาดนั้น ”

“ แล้วเพื่อนมหาลัยของมึงละ ”

“ กูเล่ามันไม่ได้หรอก ” และจะไม่มีทางเล่าด้วย ว่าดันไปตกหลุมรักอริของพวกมันอย่างไอ้อาร์มเข้าให้ ทั้งๆที่ตอนแรกจะทำให้มันตกหลุมรัก แต่ตอนนี้กลับเป็นเสียเอง หนำซ้ำยังโดนมันหักอก เพราะจริงๆอีกฝ่ายมีคนที่ชอบอยู่แล้ว

“ งั้นก็เล่ากู ”

“ เห้อออออออออออ ” ผมถอนหายใจออกไปอย่างรู้สึกไม่มีทางเลือก “ เจ้ยังจำ เรื่องของคนข้างห้องที่กูเล่าให้ฟังได้มั้ย ”

“ ถามจริง ทำไมกูซื้อหวยแล้วไม่ถูกแบบนี้บ้างนะ ” เธอบ่นเหมือนว่า ก็คิดไว้แล้วว่าต้องเป็นเรื่องของคนคนนี้  แต่นั่นก็ทำให้ผม ทำได้แค่ถอนหายใจ “ อะ เล่าต่อ เรื่องมันเป็นมาว่ายังไง ”

“ ก็อย่างที่เคยเล่า กูไปจีบมัน แล้วมันก็รู้ตัวว่ากูจีบ มันก็เลยจีบกู ก็มีเรื่องให้เราใกล้ชิดกันนั่นแหละ เพราะแมวกูดันไปข่วนมันเป็นแผล ”

“ เดี๋ยวนะ ไอ้นายท่าน มันดุขนาดนั้นเลยเหรอ ”

“ ไม่หรอก แต่วันนั้นไอ้คนข้างห้องมาเข้ามาใกล้กูเกินไปไง ไอ้นายท่านเลยจัดการข่วนเข้าให้ เพราะกูอุ้มมันอยู่  ” ผมตอบ “ เล่าต่อนะ คือเราก็แข่งจีบกันไปจีบกันมาได้สักพักตามเกมส์ที่วางไว้  แต่เจ๊เข้าใจใช่มั้ยว่าคนเราเวลาจีบกัน ก็มีคำพูดแบบ จักกะจี้อะ คือพูดให้รู้สึกดีอยู่แล้ว ”

“ อื้ม เข้าใจ ”

“ แล้วกูยอมรับนะ ว่าก็เขินมันบ้างนั่นแหละ ”

“ ไม่น่าจะบ้างแหละมั้ง เสียงเครียดขนาดนี้ มึงน่าจะมากอยู่ ” เธอเย้า

“ ก็เออ แต่กูก็ไม่รู้ว่ามันรู้สึกยังไงกับกูนะ จนกระทั่งมีคนเข้ามาคุยกับกูแล้วมันก็หึงกู ”

“ อ่าห๊ะ ”

“ คือคนเราถ้าไม่ชอบก็ไม่หึงกันจริงมั้ย มันก็ย้ำกูมากเลยนะ ว่าหึงจริงๆนะ ไม่ได้คิดเล่นๆ กูก็เลยคิดไปว่า เออ มันมีใจให้กูจริงๆหรือเปล่าวะ ก็เลยไปคุยกับเพื่อน เพื่อนเลยบอกว่า เพราะเรื่องนี้มันเริ่มต้นมาจากการแข่งทำให้หวั่นไหว มันเลยพูดยากว่ามันจะชอบกูจริงๆมั้ย แต่กูคือก็เถียงสุดตัวเลยนะ จนเพื่อนบอกให้ลองหาวิธีอื่น ”

“ คือมึงอะ ชอบเค้าแล้วละ แล้วไงต่อ ”

“ วันนี้กูส่งเพลงไปให้มัน ง่ายๆคือเพลงบอกกรักแหละ ก็บอกเลยว่ากูแม่งชอบมึงแล้วนะไอ้สัด มึงชอบกูมั้ย ถ้าชอบก็บอกกูด้วยนะ อะไรทำนองนี้ ”

“ น้องกูแรดขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันน้า ”

“ ไอ้สัด ” ปลายสายหลุดหัวเราะในตอนที่ได้ยินเสียงสบถอย่างงั้น ก่อนที่ผมจะนิ่งไปชั่วครู่เมื่อคิดถึงภาพนั้น ช่วงเวลาตอนที่อยู่ในโรงอาหาร สายตาของอาร์มที่มองดีนในตอนนั้น “ แต่มันก็ไม่ได้ตอบอะไรกูกลับมาเลย แค่หันไปมองเพื่อนมัน แล้วก็มองอยู่อย่างงั้น ”

“ คือมันไม่ได้ชอบมึง ”

“ เปล่า มันตามกูกลับมาที่ห้อง แล้วก็บอกกูว่า มันรู้สึกหวั่นไหวไปกับกูนะ มันรู้สึกหึงกูจริงๆ แล้วพอกูถามว่า งั้นทำไมมึงถึงไม่ตอบกูละ ในสิ่งที่กูถาม ”

“ อื้ม ” เสียงตอบรับที่ครางเบาอยู่ในลำคอ ชวนให้ผมยกยิ้มกับตัวเองในตอนที่ตอบปลายสายออกไป
“ มันมีคนที่ชอบอยู่แล้ว และกำลังจะเลิกชอบ มันบอกกกูแบบนั้น ”

“ ไอ้สัด ” พี่สาวผมสบถออกมาในตอนที่ฟัง

“ ก่อนที่จะย้ำ ตอนที่กูบอกให้มันออกไปก่อนว่า ขอโทษที่ทำให้รู้สึก ทั้งๆที่หัวใจไม่ได้ว่าง ”

“ เหี้ย ” เธอว่าแบบนั้นก่อนจะเงียบไป “ คือ.. ไม่รู้จะพูดยังไงเลยกู เดี๋ยวนะ คือยังไงวะ ทำไมกูรู้สึกรวบรวมคำตอบของเรื่องนี้ไม่ได้เลย ”

“ อื้ม นั่นคือความรู้สึกของกูเหมือนกัน ” ผมบอก “ ตอนแรกกูร้องไห้ไปนิดหน่อยเพราะหงุดหงิดที่ตัวเองที่รู้สึกมากขนาดนั้น แต่พอมันพูดกับกูแบบนี้ กูกลับรู้สึกร้องไห้ไม่ออกเลย ทั้งๆที่กูอยากร้องไห้ ”

“ เข้าใจอยู่ ใครเจอแบบนี้แม่งก็จุกแหละ”

“ มึงรู้มั้ยว่าจริงๆแล้วกูยังไม่รู้เลยว่ากูควรรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้ มันเหมือนหัวใจกูโดนเหวี่ยงไปมา ถามว่ามันผิดมั้ย แม้แต่กูเอง ยังให้คำตอบตัวเองไม่ได้เลย เพราะกูเองก็เข้าไปอยู่ในอยุ่ในเกมส์นี้เอง กูเลือกของกูเอง โดยที่มันไม่ได้มาเป็นคนขอร้องให้กูเข้าไปด้วยซ้ำ ”

“ อื้ม ”

“ แล้วพอวันนึงที่กูรู้สึกกับมันมากกว่าเส้นที่กูขีดไว้ กูจะไปบอกกว่ามันผิดได้ยังไง ในเมื่อเรื่องนี้กูเองที่เข้าไปหามันก่อน มันที่ต้องเอาคืนกู เป็นเรื่องที่ธรรมดามากๆ เพราะเราเป็นอริกัน ใครมันจะยอมให้เล่นหัวอยู่ฝ่ายเดียววะ จริงมั้ย ” ผมถอนหายใจออกมาก่อนจะยิ้ม ด้วยรอยยิ้มที่เหมือนจะสมเพชตัวเองอยู่ไม่น้อย

“ แต่พอวันนึงที่มันเองก็รู้สึก กูเองก็รู้สึก พอเราหันมามองหน้ากัน มันกลับบอกกูว่า มันมีเจ้าของหัวใจอยู่แล้วนะ มันก็เป็นเรื่องที่กูไปไม่เป็นเหมือนกัน กูไม่ได้คิดเรื่องนี้ไว้เลย กูแค่จีบมัน เพราะแค่อยากจะเอาชนะ แต่พอวันนึงที่กูอยากจะจริงจัง กูไม่ได้คิดเผื่อใจไว้เลยด้วยซ้ำ ว่ามันจะมีใครอีกคนที่ไม่ใช่กูอยู่แล้ว ”

“ แล้วมันพูดอะไรบ้าง หรือว่า อธิบายอะไรมึงมั้ย ” ปลายสายถาม ผมก็ได้แต่ถอนหายใจ

“ มันบอกว่ามันชอบคนคนนั้นมานานแล้ว แต่กำลังจะเลิกชอบ มันบอกมันหวั่นไหวไปกับกู มันบอกว่าอยู่กับกูแล้วคิดถึงคนคนนั้นน้อยลง รู้สึกกับเค้าน้อยลง มันบอกว่า มันไม่อยากจะบอกให้กูรอ ไม่อยากให้กูรู้สึกเหมือนมัน ที่ทรมานเพราะว่าก็โดนบอกให้รอเหมือนกัน แล้วก็ไม่อยากเอากูว่าเป็นตัวแทนของใคร มันเลยเลือกที่จะไม่ตอบคำถามนั้น ”

“ คือจบทุกอย่างแค่นี้ ”

“ ประมานนั้น ” ผมบอก “ รู้มั้ยเจ้ กูแม่งไม่รู้เลยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังรู้สึกอะไรอยู่ กูหาคำตอบให้ตัวเองยังไม่ได้เลย ”

“ เพราะมึงเองก็ไม่ได้คิดว่าเค้าผิดหมดไงเมี่ยง ” พี่สาวผมบอกแบบนั้น “ เหมือนมึงเองก็รู้ว่ามึงเข้าไปหามันในฐานะอะไร แล้วก็เริ่มต้นจากอะไรกับความรู้สึกของมึงตอนนี้ ก็ง่ายๆว่ารับสภาพนั่นแหละ ”

“ เหรอ ”

“ มึงจะบอกว่า มาทำให้กูรู้สึกทำไมทั้งๆที่ในใจมีใครอยู่แล้วแบบนั้นมันก็ดูไม่แฟร์กับเค้านะ เพราะมึงก็ทำกับเค้าเหมือนกัน แล้วมึงก็เป็นฝ่ายอ่อนแอเอง นี่เป็นเกมส์ของมึงที่มึงเริ่ม มันก็ช่วยไม่ได้ เค้าเองก็มีสิทธิ์ตอบโต้กับสิ่งที่มึงทำ ก็คือลงมาเล่นเกมส์นี้กับมึงจริงมั้ยละ ” ผมเงียบ “ มันไม่มีใครคิดหรอก ว่ามันจะมาถึงจุดนี้ที่มึงกับมันหันมาพูดเรื่องนี้กันจริงจัง เพราะรู้สึกจริงจังต่อกัน แล้วกูถามกลับสักคำ มึงคิดมั้ย ตอนที่บอกกูว่าจะจีบคนข้างห้อง คิดมั้ยว่ามันจะมาเป็นแฟนมึงในสักวัน คิดมั้ยว่าตัวมึงจะหวั่นไหวให้มันขนาดนี้ ”

“ ไม่ได้คิด ”

“ ใช่ มันไม่มีใครคิดหรอก แล้วกูก็เชื่อว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้คิด ว่ามันจะมาถึงจุดนี้ได้ ทั้งมึงทั้งมันนั่นแหละ ” ปลายสายผ่อนลมหายใจออกมา “ แล้วกูว่าที่มึงรู้สึกแบบนี้นะเมี่ยง นั่นก็เพราะมึงเสียใจ มึงแค่ไม่คิดว่ามันจะมีใครอยู่แล้ว เพราะมันก็ดูมีใจให้มึงมาตลอด ”

“ คงงั้น ” บางทีอาจะเป็นแบบที่พี่สาวผมบอก ความรู้สึกตอนนี้ เหมือนกล่องของขวัญที่ได้รับในช่วงปีใหม่ สมองที่คิดไปไกลว่ามันต้องเป็นรถบังคับอย่างที่ฝัน เพราะพ่อแม่ที่เป็นคนให้ก็พูดถึงมันอยู่หลายรอบ แต่แท้จริงพอเปิดออกมา กลับไม่ใช่ รถบังคับคันนั้น ไม่ใช่ของผมด้วยซ้ำ มันมีเจ้าของอยู่แล้ว

“ ถ้าถามว่าเค้าโสดมั้ย เค้าก็โสด เพราะอีกฝ่ายที่เค้าชอบมันไม่ชอบกลับ มันไม่แปลกเลยนะ ที่พอมึงจีบเค้า เค้าจะรู้สึกหวั่นไหวไปกับมึงน่ะจริงมั้ย ”

“ ก็จริง ” ผมตอบเสียงอ่อน

“ เค้าดูใจร้ายที่บอกมึงออกไปอย่างงั้น แต่เมี่ยง นี่คือโอกาสของมึงนะ ” พี่สาวผมเงียบไป “ เค้าไม่ได้ให้คำตอบกับคำถามที่มึงถาม เค้าบอกแค่ว่ามันมีคำตอบเดียวคือ รอก่อนได้มั้ย ที่พอจะพูดได้แต่ไม่อยากพูดมันออกมา เพราะไม่อยากให้มึงรอ มันทรมาน ”

“ อื้ม ”

“ เพราะงั้นตอนนี้ก็เป็นโอกาสของมึงที่ต้องตัดสินใจว่าจะเอายังไงต่อ จะเดินหน้าไปแบบเดิม แล้วหยุดสถานะระหว่างมึงกับเค้าเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ชื่อเรียกไปสักพัก ดูแลกันไป จนกว่าเค้าจะมูฟออนจากคนคนนั้นได้ หรือหยุดไม่ต้องไปยุ่งกับเค้ารอให้เค้าเคลียร์หัวใจตัวเองก่อน และถ้าเค้าชอบมึง เค้าก็กลับมาหามึงเอง ”

“ มีแค่สองทางเหรอ ”

“ ความรักก็แค่นี้ เดินหน้า กับ พอแค่นี้ อย่างที่กูบอกไง ” ผมรู้สึกว่าเธอยิ้มในตอนที่พูดประโยคนั้น “ คิดให้ดีนะ เพราะถ้าจะเล่นกับความรัก มันไม่ได้ปราณีมึงนักหรอก ”

“ ใช่ ” ช่างโหดร้ายและไร้ความปราณีอย่างที่เคยบอกจริงๆ ไม่ได้หอมหวานน่ารักแบบที่คิดเลยสักนิด “ แล้ว..”

“ อะไร ”

“ ถ้าเป็นเจ้ เจ้จะทำยังไงวะ จะทำยังไงกับเรื่องนี้ ”

“ ตอบแบบคนนอกอย่างกู หญิงแกร่งแบบเจ้มึงก็ต้องเลือก ไม่สนอยู่แล้ว สวย เริ่ด เชิด หยิ่งจ้า ก็ปล่อยให้มันเคลียร์ตัวเองให้เสร็จแล้วจะกลับมาก็กลับ แต่ว่านะ..” เธอเว้นเสียไปอีกครั้ง “ มึงน่ะคือคนที่มีความรัก มันก็เป็นเรื่องที่มึงต้องคิดแบบที่ใช้หัวใจอีกที ”

“ อื้ม ”

“ คนนอกชอบพูดว่า ไอ้โง่เอ้ย ถ้าเป็นกูนะ ไม่ทำอะไรแบบนี้หรอก แต่นี่คือมึง และหัวใจของมึง  ตัดสินใจตามความรู้สึกน้องรัก ถึงผลลัพธ์มันจะเหี้ย มึงก็เต็มที่แล้ว อีกอย่างไม่ได้ผิดศีลธรรม เค้าไม่ได้มีเมีย แค่หัวใจมีคนเจ้าของอยู่ แถมยังเป็นรักข้างเดียวด้วยซ้ำ 

“ รักข้างเดียวอะไร มันบอกกู ว่าอีกฝ่ายบอกมันรอ ”

“ เมี่ยง มึงช่างเด็กนัก ฟังกูนะ คนเราถ้ารักกัน มันไม่มีคำว่ารอก่อนหรอก ยกเว้นไม่รัก แต่ยังหวงก้างไว้อยู่  ”

 “ คือมึงพูดเหมือนจะให้กูกลับไปคุยกับเค้าเหมือนเดิม ”

“ มึงอยากมั้ยละ ก็ลองถามใจตัวเองดู ” ได้แต่ถอนหายใจ ผมไม่ได้ตอบอะไรสำหรับประโยคคำถามนั้น “ เพราะสำหรับกู เค้าเหี้ยก็จริงนะที่พูดไม่รักษาน้ำใจมึงขนาดนั้น ประโยคที่พูดมันดูไม่น่าฟังเหมือนคนช่วยมึงจากเหวแล้วก็ผลักมึงลงไปอีกที แต่อย่างน้อย เค้าก็ไม่ได้โกหกมึงไม่ใช่เหรอ เค้าให้มึงตัดสินใจเอง และบอกมึงอย่างตรงไปตรงมาว่าหัวใจเค้ามีพันธะนะ ซึ่งมันก็แสดงให้เห็นว่า ในเหี้ยนั่น มันก็ยังดีอยู่นะ มันดูจริงจังกับความสัมพันธ์ด้วยซ้ำ ”

“ มึงรู้อะไรมั้ย บางทีกูอยากจะได้คำตอบเลย ไม่อยากจะคิดเอง ” ผมบอก

“ มึงมีอยู่แล้ว แต่บางทีคนเราเวลาที่คำตอบในใจมันดูโง่มากๆ เราก็ไม่อยากจะยอมรับมันหรอก ว่าเราคิดแบบนั้น หลายคนเลยพยายามที่จะถามใครคนอื่นไง เพื่อไม่ให้รู้สึกว่า ทางที่กูเลือกแม่งโคตรโง่เลย ”

“ อื้ม ”

“ เข้าใจนะจ้ะ เด็กน้อย ”

“ งั้นแค่นี้ก่อนละ ” ผมชิงบอกแบบตัดสาย อีกฝ่ายก็เงียบ

“ เมี่ยง ถามจริงนะ ”

“ อะไร ”

“ มึงชอบผู้ชายเหรอ แบบว่า จริงจัง ”

“ ความรักดีๆ ที่มันเหมาะกับกู ถ้ามันมีอยู่ตรงไหน กูก็อยากจะพาตัวเองไปอยู่ตรงนั้น บางทีก็อาจจะเป็นไบเซ็กชวลมั้ง กูได้หมดนะ ”

“ แค่ถามดู ” เธอว่ายิ้มๆ ผ่านปลายสายให้ผมได้ยิน “ กูอยากให้มึงทำตามหัวใจนะ ถึงมันจะดูโง่ แล้วมันก็อาจจะทำให้มึงเสียใจ แต่ที่แน่ๆเลยนะ มึงจะไม่เสียดาย เพราะมึงเต็มที่กับมันแล้ว ”

“ ลาออกจากงานแล้วไปเป็นที่ปรึกษาปัญหาหัวใจมั้ย ”

“ ก็แค่ไม่ใช่เรื่องกูน่ะ ” พี่สาวผมบอก “ เจอกับวันเสาร์นี้ ”

“ ครับ เจอกัน ” กดวางสายนั่นลง ก่อนจะวางมือมือลงข้างตัวแล้วผ่อนลมหายใจยาวออกมาอีกครั้ง

ผมหันมองหน้าทีวีที่ฉายเงาของตัวเอง พลางเหลือบไปที่ปฎิทินที่วางอยู่ข้างกัน วงกลมสีแดงที่เหมือนจะวงเอาไว้ตรงกับวันนี้ กับข้อความที่เขียนเตือนความจำไว้ว่า ‘ พาไอ้อาร์มไปฉีดวัคซีนเข็มที่สอง ’

...............................................................
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 14 :: up!28-2-63} #หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 06-03-2020 20:41:32

ภายในห้องสี่เหลี่ยมมีเพียงแค่ความเงียบงัน ผมยืนอยู่หน้าตู้เย็น ในมือที่ถือแก้วน้ำใบใสที่มีน้ำอยู่เพียงครึ่งแก้วนั้น แต่ผมกลับไม่ได้ยกมันขึ้นมาดื่มอีก ลมหายใจที่ผ่อนออกมา แต่ในแววตานั้นกลับมีภาพความทรงจำของคนข้างห้องที่มองกันด้วยสายตาสั่นไหวนั้นฉายอยู่ ในตอนที่ผมพูดความจริงทุกอย่างออกไป

เราไม่น่าจูบกันหรอก ผมไม่น่าทำแบบนั้น
ไม่น่าที่จะพูดออกไปตรงๆ อย่างที่ไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจด้วยซ้ำ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกยังไง

‘ มึงนี่มัน เป็นคนที่การพูดจาค่อนไปทางติดลบมากเลยนะ แต่กูจะเตือนไว้ก่อน บางทีการบอกความจริงมันก็ดี แต่มึงก็ต้องรู้สึกเห็นใจคนฟังด้วย ต้องคิดว่าเค้ารับฟังแล้วรู้สึกยังไง เพราะบางคนเค้าไม่ได้รับฟังได้ทุกเรื่องราว แม้ว่ามันจะเป็นความจริงก็เถอะ ’

เสียงของพี่ชายเหมือนเทปคาสเซ็ทที่กรอกกลับไปมาในสมอง ผมจำได้ไม่ลืมเลยว่าเหตุการณ์ในวันนั้นคือผมที่บอกแม่ว่า จะไม่สอบเข้าหมอแบบที่พ่อแม่ขอมา แต่จะขอไปเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนแทน แถมยังเป็นคณะที่พวกท่านไม่ค่อยชอบ คำพูดที่พูดว่า เพราะไม่อยากจะไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัวเหมือนพ่อกับแม่ แล้วนั้นที่ทำให้พี่ชายผม ต้องออกปากเตือน

ตอนนั้นผมที่ไม่สนใจ
แต่ทว่าตอนนี้มันเหมือน สิ่งที่เค้าเตือนแทงกลับมาข้างหลังกันอย่างจัง


“ เห้ออ ” ถอนหายใจออกมาเบาๆ ผมเทน้ำที่อยู่ในแก้วนั่นทิ้งก่อนจะวางมันลงในอ่างน้ำ
 
“ เมี๊ยว ” เจ้าตัวขนสีขาวไถตัวอ้อนๆอยู่ที่เท้า ขนนุ่มนอนแหมะลงที่ฝ่าเท้าเหมือนจะชวนให้อุ้มกัน

“ แก้มหอมขา ”

“ เมี๊ยว ” เสียงตอบรับแสนน่ารักนั่น ผมอุ้มมันขึ้นมาแนบอกพลางมองลงไปในแววตากลมนั้น แล้วก็คิดถึงใครบางคนที่ผมเอ่ยคำพูดใจร้ายนั่นออกไป ‘ ขอโทษที่ทำให้รู้สึก ทั้งๆที่หัวใจกูมันก็ไม่ได้ว่าง ’

“ ขอโทษนะคะ เหมือนทำให้หนูต้องเสียเพื่อนไปด้วยเลย ” บอกกับอีกตัวอย่างงั้น ผมเดินไปนั่งลงบนโซฟาแล้วผ่อนลมหายใจออกมาอย่างไม่รู้จะทำอะไร

ทั้งๆที่ในใจก็พร่ำบอก ว่าดีแล้ว ที่ได้พูดออกไป ถ้าเลือกที่จะโกหก เมี่ยงจะเสียใจมากกว่านี้
แม้จะผิดที่คำพูดพวกนั้นแรงไป และการกระทำที่เกินเลยพวกนั้น

ไม่น่าเอาความรู้สึกนำหน้าความจริงไปก่อนเลย แต่มันก็พูดออกไปแล้ว  สุดท้าย คำพูด ก็เป็นสิ่งที่เหมือนกับที่ใครๆ พร่ำบอก คิดให้ดีก่อนจะพูดอะไร เพราะมันเอากลับมาแก้ไขอะไรไม่ได้อีก

“ ปลอบใจตัวเองชิบหาย ” ผมพูดอย่างงั้น ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อยกับมือถือในกระเป๋ากางเกงที่สั่นขึ้นเบาๆ มันเป็นข้อความจากโปรแกรมแชทที่ส่งมาของดีน ‘ ทำไมมึงไม่เข้าเรียน ’ ‘ ไปไหน’ แล้วก็ข้อความสุดท้ายที่เขียนว่า ‘ ถ้าว่างแล้วโทรกลับมาหน่อย มีเรื่องจะคุยด้วย ’

ถอนหายใจออกมาก่อนจะออกจากหน้าจอนั้นแล้วกดโทรออก ผมรอสายอยู่สักพัก ปลายสายก็กดรับ “ มีอะไร ” ผมถาม

“ เป็นเหี้ยอะไรทำไมไม่เข้าเรียน แล้วไปทำไมไม่บอกกู ก็คือยังไง จะเลิกคบกูแล้ว ” ผมถอนหายใจในตอนที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนั้น “ ถามจริง มึงเป็นเหี้ยอะไรสัดอาร์ม ”

“ ไม่ได้เป็น ” ผมตอบ เพราะมันไม่มีจริงๆ สำหรับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนที่กำลังพูดอยู่

“ ไม่เป็นได้ยังไง มึงออกไปก็ไม่บอกกู แต่เสือกไปบอกไอ้โฮม เป็นเหี้ยอะไร หรือไม่พอใจที่กูพูดเมื่อตอนวันเกิด ”

“ ไม่เกี่ยวหรอก ”

“ เกี่ยวไอ้สัด กูรู้ มึงเสียใจใช่มั้ยที่กูพูดแบบนั้น มึงไม่โอเค แล้วก็งอนกู ”

“ มึงดูมั่นใจมากเลยนะ ว่าถ้ากูเสียใจ มันจะเกี่ยวกับเรื่องของมึง ”

“ แน่นอน ” อีกฝ่ายตอบกลับ “ เพราะมึงก็มีแค่เรื่องนี้ ถ้าไม่พูดกับกูแบบนี้ แสดงว่างอนกู ”

ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้จะตอบกลับอะไร ผมพูดเรื่องเมี่ยงกับดีนไม่ได้ นั่นคือสิ่งที่ผมรู้สึก แต่ไม่ใช่เพราะกลัวว่าดีนจะเสียใจ ผมกลัวความลับที่เรารู้สึกต่อกันจะแตกแล้วจะทำให้เมี่ยงตกเป็นเป้าโจมตีของดีนแบบที่ไม่จำเป็นมากกว่า

เพราะดีนคงไม่ปล่อยมันไว้
แล้วเรื่องแบบนี้ ใครมีจุดอ่อนเยอะกว่า คนนั้นก็อ่อนแอกว่า

“ แล้วอีกอย่างมึงไม่ตอบข้อความกูเลยตั้งแต่วันนั้น ” ดีนถอนหายใจ “ ขอร้องนะไอ้สัด อย่าทำแบบนี้ กูก็พูดกับมึงไปตามตรง ว่ากูยังไม่พร้อม มันไม่ใช่ว่ากูไม่รู้สึก กูก็แค่รอเวลา ที่ทุกอย่างมันจะพร้อม ”

“ แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ บางทีอาจจะเรียนจบก่อน ต้องรอให้ไอ้เบสมันออกไปจากชีวิตมึง ทุกคนออกไป เหลือแค่เราเท่านั้น ” ผมเว้นเสียงไป “ ถามจริง อายใช่มั้ย ที่ต้องบอกกใครๆว่ารู้สึกกับกู ”

“ ไม่ใช่แบบนั้นเลย กูว่าเราคุยเรื่องนี้กันหลายรอบมากแล้วนะ กูแค่บอกว่ากูยังไม่พร้อม กูกลัวด้วยว่าถ้าเราคบกันแล้วไปไม่รอด ทุกอย่างมันจะพัง รวมถึงความเป็นเพื่อนของเราด้วย กูเลยอยากจะรอให้ทุกอย่างมันพร้อมมากกว่านี้ก่อนก็เท่านั้นเอง ”

“ อื้ม ”

“ มึงแม่งเอาแต่งอนกู โกรธกู ทำไมไม่คิดบ้างว่ากูก็ทำเท่าที่ทำได้แล้ว กูใส่แหวนของมึง นั่นมันยังไม่พอเหรอวะ กูก็พูดในสิ่งที่พูดได้แล้ว ”

“ แบบที่เอ่ยถึง แต่ไม่ได้บอกชื่อ ” ดีนถอนหายใจอีกครั้ง

“ ก็มันมีแค่นั้น ที่กูทำได้ในตอนนี้ ”

“ ดีน ” กลายเป็นผมที่ถอนหายใจออกมาบ้างในตอนที่เรียกอีกคน “ ไม่รู้มึงจะเชื่อมั้ย แต่กูไม่ได้รู้สึกงอนมึง หรือไม่พอใจในสิ่งที่มึงทำกับกูเลย กลับกัน กูชินแล้วที่มึงเป็นแบบนี้ ”

“ แล้วทำไมมึงถึงทำตัวไม่ปกติกับกู ส่งข้อความไปก็ไม่ตอบ ไม่เข้าเรียนตอนเย็น แถมยังบอกไอ้โฮมแทนที่จะบอกกูอีก ”

“ ก็แค่อยากจะเลิกรักมึงให้ได้สักทีไง แล้วตอนนี้กูก็กำลังดิ้นรนอยู่ ”

“ มันไม่เคยสำเร็จ มึงก็รู้ ”  เสียงนั่นมั่นใจอย่างที่สุด

“ ใช่ แต่มันไม่ใช่ทุกครั้งหรอก ”

แล้วบางทีก็อาจจะเป็นครั้งนี้ก็ได้ ที่กูจะปีนกำแพงสูงเสียดฟ้านี้ขึ้นไปถึงยอดได้
เพียงเพื่อได้พบกับดวงตะวันอีกดวง

..............................................................
ไม่รู้จะเขียนทอล์คอะไร
แต่ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ในทวิตด้วยนะคะ
ขอบคุณมากค่ะ  :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 15 :: up!6-3-63} #หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 06-03-2020 21:12:38
อาร์มถ้าไม่เคลียร์อย่ามาหาเมี่ยงเลย ส่วนเมี่ยงอย่าล้อเล่นกับความรักลูก สวย เริ่ด เชิ่ด ให้อีอาร์มอกแตกไปเลย ส่วนนังดีนไปลงนรกซะ
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 15 :: up!6-3-63} #หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 06-03-2020 21:54:27
เป็นทาสแมวอย่างเดียวก็แล้วกันเนอะ หนูเมี่ยงคำ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 15 :: up!6-3-63} #หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 07-03-2020 09:53:36
 :pig4: :pig4: :pig4:

สงสารเมี่ยงคำอ่ะ

ส่วนดีน  เมิงจะแทงกั๊กแบบเน้ไม่ได้

เมิงแอบชอบสัดเบสใช่ป่ะ  ทำตัววอแวกันไปมาแบบเน้เนี่ย
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 15 :: up!6-3-63} #หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: jira0958 ที่ 22-03-2020 13:10:19
รออยู่นะคับ :bye2:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 15 :: up!6-3-63} #หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 25-03-2020 19:33:23
มารอน้องเมี่ยง
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 16 :: up!27-3-63} #หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 27-03-2020 20:16:58
ตอนที่ 16


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


เสียงเคาะประตูดังขึ้น ท่ามกลางปลายสายที่เอาแต่เงียบงัน ผมถอนหายใจก่อนจะกดวางสายนั้นไป แล้วลุกเดินไปที่ประตูหน้าห้อง มองลอดผ่านตาแมวแต่ก็ต้องนิ่งไปทั้งอย่างงั้น เพราะคนที่ไม่คิดว่าจะมาหากัน กลับยืนอยู่ตรงนั้น ที่หน้าห้องของผม

“ เมี่ยง ” เปิดประตูออกไปทันทีในตอนที่เอ่ยเรียกอีกฝ่ายเสียงเบา ความรู้สึกดีใจที่ปิดเอาไว้ไม่อยู่ ผมยิ้มกว้างออกมาทั้งๆที่ไม่ใช่คนแบบนั้น มือที่เปิดประตูห้องออกไปหา แม้ว่าคนตรงหน้าจะไม่ได้ยิ้มอะไร หนำซ้ำยังตีหน้านิ่งและเต็มไปด้วยอารมณ์หงุดหงิด

‘ วันนี้มึงมีนัดฉีดวัคซีนเข็มที่สอง ’ แทนที่จะพูดออกมา แต่มันกลับมีเพียงแค่ข้อความบนหน้าจอมือถือถูกยื่นมาให้ผมดู เมี่ยงเขียนข้อความที่อยากจะบอกกันไว้ในโปรแกรมสมุดโน๊ตของมือถือ แล้วนั่นก็ทำให้ผมขมวดคิ้ว

“ แล้วทำไมมึงไม่พูด ” พอถามออกไปอีกฝ่ายก็ถอนหายใจเซ็ง  พร้อมกับดึงมือถือคืนกลับตัวเอง แล้วเริ่มกดพิมพ์อะไรสักอย่างบนหน้าจออีกครั้ง

‘ ขี้เกียจ ’

“ แล้วยังไง ”

‘ ไม่ยังไงทั้งนั้น มึงแค่ต้องไปฉีดยาไงไอ้สัด ’

“ มึงจะพากูไปเหรอ ” เลิกคิ้วถามมันแบบพาซื่อ เมี่ยงพยักหน้ารับแล้วในตอนที่มันเห็นผมยกยิ้ม อีกคนก็ตีหน้านิ่งยิ่งกว่าเดิม เมี่ยงดึงมือถือตัวเองกลับ  มันรีบพิมพ์อะไรบางอย่าง

 ‘ ยิ้มเหี้ยอะไร ไม่ต้องมายิ้ม ไม่ต้องมาดีใจ กูแค่ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่แมวกูทำไว้กับมึง ไม่ได้รู้สึกโอเคกับสิ่งที่มึงพูดแล้วก็ทำกูก่อนหน้านี้เลยไอ้สัด ’

“ อ้าง ” เมี่ยงเบิกตาขึ้นในตอนที่ผมพูดแบบนั้น สายตาเรียวดูเหมือนจะหาเรื่องกัน “ กูยังไม่ได้คิดอะไรในแบบที่มึงพิมพ์มาเลย ” ผมเลิกคิ้วบอกก่อนจะเอียงหน้ามอง แต่ดูเหมือนว่าคนตรงหน้าจะหงุดหงิดมากขึ้นกว่าเก่า “ หรือมึงกำลังคิด ว่ากูคงคิดว่า มึงหายโกรธกูแล้วในสิ่งที่กูพูด แล้วก็ทำ ก็เลยมาเคาะประตูแล้วอ้างเรื่องต้องไปหาหมอ เพื่อให้เราได้คุยกัน ”

ร่างขาวตรงหน้านิ่งไปมันที่เหมือนจะอ้าปากเถียงแต่คิดขึ้นมาได้ว่าจะไม่พูดกับผม เมี่ยงส่ายหน้าไปมา เหมือนมันเรียกสติก่อนจะดึงมือถือขึ้นมาพิมพ์อะไรสักอย่าง แต่ตอนนั้นผมก็แค่เลื่อนมือไปบังหน้าจอนั่นไว้จนเมี่ยงต้องเงยหน้าขึ้นมองกัน

“ กูไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น ” สายตาเราที่สบกันในตอนนั้น ผมทำได้แค่สูดลมหายใจก่อนจะผ่อนมันออกมา แล้วยิ้ม “ ถึงกูจะรู้ว่ามึงเป็นคนใจดี แต่มันไม่มีใครใจดีขนาดให้อภัยคนที่ทำให้ตัวเองเสียใจได้ ภายในไม่กี่นาทีหรอก จริงมั้ยละ แล้วกูก็รู้ ว่าสิ่งที่กูทำ มันไม่ได้น่าให้อภัย ”

ไม่มีคำตอบอะไรจากเมี่ยง สายตาเรียวหันหนีไปมองทางอื่น เราที่ได้แต่เงียบ ในตนนนั้นรอบข้างกลายเป็นความอึดอัดขึ้นมาอย่างฉับพลัน แต่ถึงอย่างงั้น ผมกลับยังรู้สึกดีอย่างอธิบายไม่ถูกเลยว่าทำไม

บางทีก็อาจจะเป็นเพราะ แค่มีคนตรงหน้ายืนอยู่ข้างกัน มันเป็นครั้งแรกเลยที่รู้สึกขอบคุณแผลแมวข่วนที่ไอ้แมวเหี้ยตัวนั้นฝากเอาไว้ เพราะลำพังตัวผมเอง ก็ยังไม่รู้เหมือนกัน ว่าจะทำยังไง  พื่อให้ได้เข้าไปใกล้คนที่อยากจะเข้าใกล้อีกครั้ง

“ จะเข้ามาก่อนมั้ย ” เปิดประตูห้องตัวเองออกกว้างกว่าที่เป็นอยู่ แต่คนที่โดนถามก็แค่ปรายตามองก่อนจะส่ายหน้า มันพิงตัวเองกับผนังข้างห้องเหมือนบอกกันว่าจะรออยู่ตรงนี้ “ งั้นกูขอเตรียมตัวก่อน ” ยิ้มบอกแค่นั้นเพราะรู้สึกว่า ไอ้นิสัยโกรธใครแล้วไม่พูด ก็แม่งโคตรสมเป็นมันที่ชอบทำตัวแบบเด็กๆเลย

ซึ่งก็ยอมรับว่า เป็นอะไรที่แม่งโคตรน่ารักเลย
ถึงจะน่าหงุดหงิดชิบหายก็เถอะ

“ แก้มหอมขา พี่เมี่ยงมาแหน่ะ ” บอกเจ้าตัวขนนุ่มที่นอนกระกระดิกหางอยู่บนคอนโดแมวของตัวเอง ก่อนจะจัดการอุ้มมันลงมาแล้วพาออกไปหาอีกคนที่ก็แค่ทำท่าทีไม่สนใจ จนกระทั่งผมปล่อยเจ้าตัวสวยลงที่เท้าของอีกฝ่าย ผมเดินกลับเข้าห้อง

“ เมี๊ยว ” แก้มหอมร้องเรียกอีกฝ่ายตามความขี้อ้อน พร้อมกับเดินเข้าไปถูขาเมี่ยงที่ก็ไม่สนใจมัน แล้วไม้ตายสุดท้ายที่เจ้าขนฟูมีก็ถูกงัดมันออกมาใช้ เจ้าก้อนขนนอนแหมะลงกับเท้าของอีกคนพร้อมทั้งหงายท้องให้ราวกับเชิญชวนให้จกพุงตัวเอง เป็นท่าทางออดอ้อนที่ทำให้ร่างขาวถึงกับนิ่งไป เมี่ยงทำทีเป็นเหลือบมองผม แล้วเมื่อไม่เห็นว่ามองอยู่ เจ้าตัวก็ยิ้มกว้างพร้อมกับก้มลงไปพูดกับแก้มหอมของผม

“ ไม่อ้อนพี่เมี่ยงแบบนี้สิครับแก้มหอม ไม่เอานะ พี่เมี่ยงใจบาง ” ส่ายหน้าบอกแมวผมด้วยท่าทางจริงจัง ราวกับว่าเป็นพวกเดียวกัน จนชวนให้ผมที่ทำทีเป็นหาของถึงกับหลุดยิ้มเพราะถ้อยเสียงกระซิบที่ก็ไมได้เบาเลย “ พี่ไม่โอเคกับป๊าของหนูอยู่นะครับตอนนี้ เพราะงั้นถึงพี่ก็อยากจะจกพุงหนูแค่ไหน แต่ก็คงจะไม่ได้ เข้าใจพี่ด้วยนะ ”

“ เมี๊ยว เมี๊ยว ”

“ โอ๊ยน้อง อย่าเอาหน้ามาถูเท้าพี่มันน่ารักเกินไปนะครับ ” ในที่สุดก็ย่อตัวลงนั่งย่อตัวกับพื้น เมี่ยงมันถอนหายใจ แล้วนั่นก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่แก้มหอมร้องเรียกมันอีกครั้ง

“ เมี๊ยว ”

“ ป๊าเราทำพี่เสียใจนะรู้มั้ย แต่ก็เออ พี่ก็ยอมรับแหละ ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ป๊าหนูผิดคนเดียว พี่สารภาพว่าจริงๆ พี่เองก็ไม่ได้คิดว่าพี่จะรู้สึกกับป๊าหนูเหมือนกัน  จริงๆเรื่องมันเริ่มแบบที่ว่า มันไม่ต้องแคร์ว่าอีกฝ่ายมีแฟน หรือมีคนที่ชอบมั้ยในตอนแรกด้วยซ้ำไง  แต่ว่าตอนนี้มัน ไม่ได้แล้วอะ ”

“ ม๊าว ”

“ ม๊าวอะไร พี่ไม่ได้ชอบป๊าหนู แต่ที่บอกว่าไม่ได้แล้วคือ.. ” เมี่ยงมันนิ่งไปพลางก้มลงมองเจ้าของตากลมที่ก็มองแบบไม่หลบสายตาไปไหน
 
เป็นท่าทางที่ผมเพิ่งเห็นครั้งแรกก็วันนี้
ท่าทางของคนตอแหลแมว

“ เอาเถอะๆ แต่ ป๊าหนูทำพี่เสียใจมากเลยนะ ไม่น่าพูดออกมาแบบนั้นเลยเอาจริง คำพูดมีตั้งเยอะตั้งแยะ น่าจะคิดหาคำพูดที่ดีกว่านั้นได้  ถึงพี่จะรู้ว่าป๊าหนูแม่ง ชอบพูดตรงๆก็เถอะ แต่เมื่อกี้คือพูดแบบหมาไม่แดกมาก แล้วแมวก็ไม่แดกด้วย ”

ได้แต่นิ่งไปในตอนที่เมี่ยงเองก็เงียบไป ผมหยุดมือที่พยายามทำอะไรเชี่ยงช้าทั้งๆที่ใบนัดหมอที่ทำทีเป็นหาก็อยู่ในกระเป๋าเงินอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงมือถือ แม้แต่กุญแจรถก็วางไว้คู่กัน

ใบหน้าน่ารักที่ผมเหลือบมอง ผ่อนลมหายใจออกมาด้วยใบหน้างอง้ำ พลางเอื้อมมือไปลูบหัวเจ้าก้อนขนของผม

“ หรือบางทีมันอาจจะผิดที่พี่ก็ได้นะแก้มหอม พี่ที่เผลอใจไปกับอะไรที่มันไม่ควรตั้งแต่แรกอะ ”

หยุดมือที่กำลังจะหยิบของไปอย่างชะงักนิ่ง ผมเหลือบมองเมี่ยงที่พูดออกมาอย่างงั้นด้วยรอยยิ้มจางที่ส่งให้เจ้าแมวของผม มันที่ผ่อนลมหายใจออกมาพร้อมกับพิงร่างตัวเองลงกับกำแพงหน้าห้อง ส่วนมือก็ลูบหัวแก้มหอมไปเรื่อย

“ เสร็จแล้ว ” ก่อนที่อีกฝ่ายจะจมลงไปในห้วงของความเศร้ามากกว่านี้ ผมตัดสินใจดึงมันขึ้นมาก่อน แม้ว่าจะมีคำพูดมากมายที่อยากจะเอ่ยออกไปถึงเรื่องราวต่างๆของเราที่เกิดขึ้น แต่ผมเองก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเริ่มมันที่ตรงไหน

ก็ไม่ใช่พวกที่เก่งในเรื่องของการพูดรักษาน้ำใจคนอื่นเท่าไหร่ มีเก่งอย่างเดียวเลยก็คือ พูดตรงๆ แบบไม่คิดถึงใจคนอื่น แล้วมันก็คือสิ่งที่ทำให้เมี่ยงเจ็บปวดอยู่ตอนนี้

“ ไปกันเลยมั้ย ” คนฟังพยักหน้ารับก่อนจะลุกขึ้นเต็มความสูงพลางอุ้มเจ้าแก้มหอมมาส่งคืนผม สีหน้าเรียบเฉยที่มองกัน เพิ่งรู้เมื่อครู่ว่าแท้จริงแล้วก็แค่การบดบังความรู้สึกเสียใจที่มันมี

ความเสียใจที่มันไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าควรรู้สึกยังไงกับสิ่งที่เกิดขึ้น

‘ เอาบัตรนัดมายัง ’ ก้มลงไปกดพิมพ์มือถืออีกครั้งก่อนจะยื่นมันมาให้ผม ที่ก็ถอนหายใจมาในตอนที่อ่าน

“ เอามาแล้ว ” แต่ถึงมึงจะไม่รู้ว่าต้องแสดงออกยังไง แต่ก็ไม่น่าจะใช้วิธีเหมือนเด็กเล็กกับกูขนาดนี้ด้วยการไม่พูดกันแบบนี้เปล่าวะ “ แล้วนี่เราจะไปรถใคร กู หรือมึง ”

ไม่มีคำตอบจากคำถาม เมี่ยงแค่ดึงกุญแจรถของมันขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงตัวที่สวม ราวกับจะบอกว่า แน่นอนว่าต้องเป็นรถของมัน ผมพยักหน้ารับ

“ โอเค ” ตอบรับยิ้มๆ ผมเผลอยิ้มเพราะคิดอะไรดีๆขึ้นมาได้กระทันหัน

 แล้วคราวนี้เรามาดูกัน ว่ามึงจะทนไม่พูดกับกูไปได้สักกี่นาที

รถญี่ปุ่นคันสีขาวจอดอยู่ข้างกันกับรถของผม ในลานจอดรถของคอนโด ผมพาตัวเองเข้าไปนั่งข้างคนขับในตอนที่มันปลดล็อครถ ก่อนจะโดนสายตาสายตาเรียวจ้องมอง พลางขยับสายเข็มขัดนนิรภัยราวกับจะสั่งว่าให้คาดให้เรียบร้อยก่อนจะออกเดินทาง แต่ผมก็แค่ทำนิ่ง แล้วขมวดคิ้วมองมันแบบทำเป็นโง่

“ อะไร ” พอถามออกไปอีกคนก็ถอนหายใจพลางขยับสายเข็มขัดนิรภัยย้ำๆ แบบบอกใบ้ “ งง ”

“ เฮ้อ ” เสียงถอนหายใจดังมันดึงมือถือขึ้นมาอีกครั้ง แล้วก็อย่างที่คิด มือขาวกดพิมพ์ลงไปบนมือถือ ‘ คาดเข็มขัดนิรภัยด้วยไอ้สัด ’

“ อ๋อ โอเค แล้วก็ไม่พูดตั้งแต่แรก ” ยิ้มตอบรับ ก่อนจะดึงเข็มขัดมาคาดตามที่อีกฝ่ายสั่ง ผมเผลอกลั้นยิ้มในตอนที่เห็นเมี่ยงมันสูดลมหายใจแล้วผ่อนออกมาเบาๆ พร้อมกับมือที่กำพวงมาลัยแน่น

“ โอเค ”

“ หื้ม ? พูดกับกูเหรอ ” พอหันไปถามอีกคนก็ตาโต ก่อนจะส่ายหน้าให้กัน มันทำหน้าเหมือนว่า ผมสำคัญตัวผิด แล้วเอื้อมมือไปเปิดเพลงแบบที่เสียงดังกว่าปกติ ราวกับว่าจะปิดกั้นการพูดจาของเราไว้ให้จบแต่เพียงเท่านั้น

“ แล้วครั้งนี้คือต้องฉีดยาเหมือนครั้งแรกใช่มั้ย ” เอื้อมมือไปเบาเสียงของเพลงก่อนจะหันไปถาม อีกฝ่ายก็นิ่งไป เมี่ยงถอนหายใจก่อนจะพยักหน้ารับ “ แล้วต้องทำอะไรก่อนตอนที่ไปถึง ”

ได้แต่กลั้นยิ้ม พลางค้ำศอกลงกับประตูข้างที่นั่งแล้วมองดูอีกคนที่ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างไม่รู้จะตอบคำถามนั้นยังไง มือก็จับพวงมาลัยอยู่ แต่ครั้นจะให้พูดออกมา มันก็กำลังโกรธกันอยู่ เมี่ยงตัดสินใจปล่อยมือข้างนึงที่จับพวงมาลัยอยู่ มันทำทีเป็นจะคว้ามือถือขึ้นมา

“ กูเป็นลูกมีพ่อมีแม่นะ ถ้ากูตายเพราะมึงขับรถมือเดียวจะทำยังไง ” สีหน้าที่หันมามองกันแบบเบิกตา เหมือนจะบอกว่า ไม่มีทางที่มันจะพาผมไปเกิดอุบัติเหตุอะไรแบบนั้นแน่นอน “ แล้วยังไงครับ จะตอบได้ยัง หรือว่าจะไม่รับผิดชอบชีวิตกูเลย จะไม่สนใจ จะไม่ใยดี แมวมึงทำกูเจ็บนะ.. ”

“ เห้ออออออออออออออ” มือขาวนั่นกำพวงมาลัยรถแน่นพลางถอนหายใจ ปากสีสวยขยับงุบงิบแบบกร่อนด่ากันไม่มีหยุด หรือไม่ก็อาจจะท่องคำพูดปลอบใจให้ตัวมันใจเย็นลงกว่านี้ เพราะมือก็เอื้อมมือไปหยิบมือถือขึ้นมาพิมพ์ไม่ได้ ปากก็ไม่อยากจะพูดด้วย

 “ ก็แค่พูดออกมาเองเปล่าวะ จะเงียบทำไม ” เมี่ยงยังเงียบ “ แล้วเป็นเหี้ยอะไร ทำไมถึงไม่พูด งอนกูเหรอ ”

“ ใช่ที่ไหนละไอ้สัด ” ในที่สุดมันก็หลุดพูดออกมา ก่อนจะนิ่งไปอย่างหัวเสีย เมี่ยงถอนหายใจพลางตบมือลงบนพวงมาลัยที่กุมอยู่ มันชะลอรถต่อท้ายคันข้างหน้าเพราะสัญญาณไฟแดงที่ฉายขึ้นพอดี ใบหน้าขาวก้มหน้าลงกับพวงหน้ามาลัยอย่างหมดสิ้นแล้วในสิ่งที่ยึดถือมาตลอดเส้นทาง มันผ่อนลมหายใจ “ กูไม่ได้งอนมึง กูก็แค่ไม่อยากพูด ”

“ เชื่อได้มากเลย กับคนที่พูดมากอย่างมึง ” บอกมันแบบนั้นอีกคนก็เหลือบมามอง มือกดเปลี่ยนเกียร์ให้หยุด มันดึงเบรคมือขึ้นก่อนจะหันตัวมามองหน้ากัน

“ แล้วคราวนี้มึงจะพูดเหี้ยอะไร จะถามอะไรก็ถามมาเลยไอ้สัด มา มึงมา กูจะตอบให้ทุกคำถามเลย ” ผมหลุดขำท่าทางจริงจังของมัน ที่อยู่ๆก็เหมือนจะหัวเสียขึ้นมาอีกระดับ

“ ขอโทษ ” แทนที่จะเอ่ยถามอะไรออกไป ผมกลับพูดไปแค่คำนั้น คำที่อยากพูดมากที่สุด โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสมควรพูดออกไปมั้ย ถึงความรู้สึกระหว่างเราที่บางที เมี่ยงอาจจะกำลังอยากลืมมัน  “ ขอโทษสำหรับทุกอย่าง ขอโทษที่พูดออกมาแบบไม่คิดอย่างงั้น ”

“ ช่างมันเถอะ ” อีกฝ่ายบอกปัดแค่นั้นก่อนจะหันไปมองด้านหน้าเหมือนเดิม “ ความจริงก็คือความจริง ต่อให้มึงพูดให้ดีแค่ไหน ยังไงกูก็เสียใจอยู่ดี ”

“ ขอโทษที่ทำให้เสียใจ ”

“ ใครเสียใจ ” เมี่ยงหันมาถามด้วยสายตาที่เบิกตากว้างขึ้นแบบคนหาเรื่อง ผมก็ได้แต่นิ่งมองมัน แล้วตอบกลับคนที่ปิดบังความรู้สึกอะไรไม่เคยมิดแบบเสียงเรียบๆ

“ เมื่อกี้มึงพูด ว่าต่อให้กูพูดดีแค่ไหน ยังไงมึงก็ต้องเสียใจอยู่ดี ”

“ กูแค่เปรียบเปรย! ” อ้างออกมาแบบไม่เนียน ผมก็ได้แต่ถอนหายใจ กับคนที่ตั้งใจอธิบายกันอย่างแข็งขัน “ คือกูหมายถึงว่าคนเราอะ พูดความจริงมันก็ดีแล้ว ซึ่งกูก็ไม่ได้โกรธมึง จะไปโกรธมึงที่มึงพูดความจริงทำไม ” ผมนิ่งมองมัน  ตอนนั้นอีกคนก็เหมือนจะเลิ่กลั่ก สายตาเรียวมองซ้ายทีขวาที เมี่ยงคงรู้ว่าผมไม่เชื่อ “ โอเค จริงอยู่ที่มึงอาจจะพูดออกมาแบบไม่คิด พูดแบบหมาไม่แดกไปบ้าง จนกูช็อคไปนิดหน่อยว่า โอ้ว พูดตรงขนาดนี้เลยแหรอ แต่กูก็มานั่งคิดทบทวนดู ความจริงแม่งก็คือความจริงเปล่าวะ อย่างที่บอก ว่าพูดแบบไหนก็เหมือนกันอะ ”

“ แล้วทำไมถึงไม่ยอมพูดกับกู ”

“ กูเหนื่อยบ้างได้มั้ยละ ” เมี่ยงหันมาถามผม ก่อนจะถอนหายใจแล้วหันไปมองทางอื่น เจ้าตัวคงรู้สึกเหมือนกัน ว่ามันดูเป็นคำอ้างที่ไมได้เรื่องเท่าไหร่ “ แบบว่าขี้เกียจคุย เหนื่อย เบื่อ เซ็งๆ ”

“ มึงจะบอกว่า มึงไม่ได้รู้สึกเสียใจ กับสิ่งที่กูพูด ”

“ แน่น๊อนน ” เมี่ยงลากเสียงพลางยักไหล่ แบบไม่ใส่ใจ มันหันมามองหน้าผม

“ จริงเหรอ ” สายตานั้นสั่นไหวในตอนที่ถาม คนที่ต้องตอบหันไปมองทางอื่นอีกครั้ง

ผมสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงฉับพลันระหว่างเรา อาจเพราะรู้ดีว่ามันไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่ก็ไม่อยากจะบังคับให้มันต้องพูดในสิ่งที่มันไม่ได้อยากจะพูดออกมา

“ รู้มั้ยว่าถ้าเราพูดกันตรงๆ อะไรมันอาจจะดีขึ้นนะ ”

“ แล้วอะไรที่มึงบอกว่ามันจะดีขึ้น ” เมี่ยงถามผมเสียงเรียบ แบบที่ไม่ได้หันมามองกัน  “ ทุกอย่างที่กูรู้สึกมันจะไม่เหมือนเดิมเหรอ หรือว่ายังไง ”

นั่นสิ ต่อให้พูดอะไรออกไปในตอนนี้
 ทุกอย่างก็เหมือนเดิม

บางทีการเริ่มต้นพูดกันให้เข้าใจ ก็แทบไม่ต่างกับการนั่งฟังเพลงเดิมซ้ำๆ ที่ก็ทำให้เจ็บแบบเดิม

“ เรื่องที่มันไม่มีทางออก พูดไปมันก็เหมือนมึงวิ่งวนในวงกลมนั่นแหละ ทุกอย่างมันเหมือนเดิม ”
เมี่ยงถอนหายใจยิ้มๆ “ กูว่าเลิกพูดดีกว่า ”

“ อื้ม ” เสียงตอบรับแสนบางเบา แต่กลับหนักอยู่ในใจของผมในตอนที่ได้ยินเสียงตอบรับของตัวเอง มันเป็นวินาทีเดียวกับที่สัญญาณไฟจราจรฉายแสงสีเขียวขึ้น พร้อมกับรถที่ถูกขยับเปลี่ยนโหมดเกียร์ แล้วเคลื่อนตัวตรงไปข้างหน้า

ไม่ต่างกันเท่าไหร่ กับความรู้สึกที่อยากจะบอก

ผมกลืนมันลงคอไป อย่างคนพูดอะไรออก ทั้งๆที่อยากจะเอ่ยออกไปว่า ‘ ไม่ได้อยากจะทำให้มึงเสียใจเลย ไม่ได้อยากจะทำให้มึงรู้สึกไม่ดีด้วย แต่กูก็ทำมันลงไปแล้ว มีทางไหนบางวะ ถามหน่อย ทางที่มึงจะกลับมายิ้ม ยิ้มให้กันเหมือนเดิม ’


แต่ก็คงเหมือนกับที่เมี่ยงบอก พูดไปก็เหมือนเดิม เรื่องของเรามันไม่มีทางออก

ตราบใดที่ผมยังรักดีน ทุกอย่างมันก็เป็นแบบนี้ 
เพราะงั้นก็อย่าดีกว่า กับคำพูดเห็นแก่ตัวพวกนั้น

......................................................

รถจอดนิ่งลงที่ลานจอด ผมปลดเข็มขัดนิรภัยที่คาดตัวเองอยู่ก่อนจะเปิดประตูแล้วเดินตรงเข้าไปในโรงพยาบาลท่ามกลางความเงียบเชียบระหว่างเรา

“ บัตรนัดอยู่ไหน กูจะเอาไปยื่นให้ ” ผมส่งใบนัดที่อีกคนว่าไปให้ เมี่ยงก็เดินไปตรงเค้าท์เตอร์ มันจัดการทุกอย่างให้กันเหมือนวันแรกที่เรามาที่นี่ ก่อนอีกคนจะเดินมาหย่อนตัวนั่งลงข้างกันเหมือนอย่างเคย เมี่ยงหยิบมือถือของมันขึ้นมาเล่นฆ่าเวลา

“ คุณอธิกะค่ะ ” ผมลุกขึ้นเต็มความสูงในตอนที่ชื่อตัวเองถูกเอ่ยเรียก เมี่ยงเองก็เหมือนกัน มันปิดหน้าจอมือถือแล้วยัดใส่กระเป๋ากางเกงก่อนจะหันมามองผมก่อนจะพยักหน้ารับ

“ ไปกัน ” พูดแบบนั้นก่อนจะก้าวเดินนำออกไป ส่วนผมเองก็ทำได้แค่มองมือขาวนั้น อย่างอยากจะเอื้อมมือไปจับไว้ โดยไม่รู้เหตุผลเหมือนกันว่าทำไม และมันก็ไวเท่ากับความคิด ผมจับมือเมี่ยงไว้ จนอีกคนหยุดเดินแล้วหันมามองกัน

“ จับมือกูทำไม ” ถามออกมาก่อนจะมองลงไปที่มือของตัวเองที่โดนผมจับอยู่ ส่วนผมก็ทำได้แค่มองตามัน ทั้งๆที่ภายในสมองก็เอาแต่คิด ว่าจะพูดอะไรดี ก็แค่อยากจะจับเหรอ ได้มั้ยวะ สำหรับข้ออ้างแบบนี้ ไม่อยากให้มันไปไหนเหรอ ดูเห็นแก่ตัวเกินไปเปล่าวะ “ ปล่อยเลย..”

“ กูกลัวเข็ม ” พูดออกไปอย่างไม่ทันคิดในตอนที่อีกคนเริ่มดึงมือออก ผมรีบกระชับมือนั้นไว้ก่อนจะย้ำ “ กูกลัวเข็มฉีดยาอะ ”

“ อย่ามาตลก ครั้งที่แล้วมึงไม่เห็นจะกลัว ”

“ ก็ครั้งนี้กลัว ” ผมบอกอีกคนก็ได้แต่ขมวดคิ้วงง  เมี่ยงมองผมแบบจับผิด

“ ไม่ใช่ว่าอยากจะจับมือกูหรอกนะ ”

“ แล้วถ้าบอกว่าใช่ ” คำพูดนั้นทำให้อีกคนนิ่ง

“ เลิกเล่นได้แล้วไอ้สัด ” มือขาวดึงมือออกจากมือของผม สีหน้าเบื่อหน่ายนั่นฉายชัด  “ กูไม่เล่นกับมึงแล้ว ไม่ต้องมาทำให้ใจเต้น กูไม่เต้นแม่งแล้ว ”

“ กูก็ไม่ได้เล่น ” เอื้อมมือไปจับมือของเมี่ยงอีกครั้ง คราวนี้ผมกระชับกุมมันไว้แน่น ผมสบตามัน “ อยากจับจริงๆ ”

“ ในฐานะ ? ” แล้วคำถามนั่นก็ทำให้ทุกอย่างนั้นเงียบไป เมี่ยงดึงมือออกจากมือผม “ ก็บอกแล้วไง ว่าถ้ามันไม่มีทางออก ทุกอย่างมันก็วนอยู่ในวงกลมตรงนี้ แล้วกูก็ไม่อยากจะวนอยู่ตรงนี้ ปล่อยกูเถอะ ”

ในตอนนั้น มันที่เดินไปข้างหน้า ไม่คิดหันหลังกลับมาเลยสักนิด

 “ เมี่ยง ” คนที่ถูกเรียกหันกลับมามองกัน ความรู้สึกกลัว เกิดขึ้นในใจผมเป็นครั้งแรก พร้อมกับคำพูดที่อยากจะบอกมันไป แต่ก็ไม่กล้าพูด ‘ รอกันหน่อยได้มั้ยวะ อย่าเพิ่งไป อย่าเพิ่งไปไหนไกลจากกูได้มั้ย ’

“ อะไร เรียกแล้วก็ไม่พูด ”

“ เปล่า ” ผมส่ายหน้าไปมา พร้อมทั้งสะบัดความคิดที่อยากจะพูดคำพวกนั้นออกไปจากหัว  ก็อย่างที่มันบอกผมนั่นแหละ ‘ ปล่อยมันไปเถอะ เพราะมันไม่อยากจะวนอยู่ตรงนี้ ’

ตรงที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ หัวใจผมจะว่าง
และถึงจะบอกว่า ว่างแน่ แต่นั่นก็ยังไม่รู้อยู่ดี ว่าเมื่อไหร่


......................................................


ผ่อนตัวลงนั่งบนโซฟาที่มีแต่ความเงียบภายในห้องสี่เหลี่ยมของตัวเองหลังจากกลับมาจากโรงพยาบาล การเดินทางระหว่างนั้นดูอึดอัด และเงียบเชียบ อาร์มไม่พูดอะไรกับผมอีกเลย หลังจากที่มันเรียกกัน แต่กลับไม่พูดอะไรออกมา และผมคิดว่า อาร์มคงรู้ตัวแล้ว ซึ่งสถานะระหว่างเรา และคำตัดสินใจของผม

“ เมี๊ยว ” เจ้าตัวลายเอ่ยทักกันพลางกระโดดขึ้นมานั่งเบียดอยู่ข้างๆ ผมแอบเผลอยิ้มในตอนที่ก้มลงไปมอง ช่วงนี้ไอ้นายท่านเอาแต่ติดกันแจ ราวกับจะบอกว่า ‘ ไม่เป็นไรนะ กูอยู่ตรงนี้แหละ ใกล้ๆมึง ’

“ ขอโทษทีนะ” พูดออกไปแบบนั้นในตอนที่ลูบหัวมัน “ เหมือนกูทำให้มึงเสียแฟนเลย แต่กูคิดว่า กูต้องออกมาแล้วว่ะ เพราะถ้าอยู่แบบไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ต้องรอไปเรื่อยๆ กูก็ไม่อยากอยู่เหมือนกัน ”

ถึงใจลึกๆมันจะอยากอยู่ก็เถอะ
แต่ผมก็ไม่อยากรู้สึกว่าตัวเองเป็นโง่อย่างงั้น

ตัดสินใจหยิบมือถือขึ้นมาจากในกระเป๋ากางเกงของตัวเอง ผมหยุดความคิดสับสนที่ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงไว้แค่นั้น ตัดความคิดลึกซึ้งออก แล้วทำในสิ่งที่ควรทำ “ มึงต้องสตรองเข้าไว้ไอ้สัดเมี่ยง ” ผมพูดกับตัวเองอย่างงั้น “ มันดีแล้วที่เรื่องนี้เกิดขึ้น มึงลองคิดในแง่ดี มันก็ดีแล้วที่มึงรู้ความจริง เพราะฉะนั้นมึงควรออกมา อย่างถลำลึกไปมากกว่านี้ อย่าโง่ เข้าใจมั้ย ”

“ ม๊าว ”

“ ไม่ได้พูดกับมึง ” ผมหันไปหานายท่านในตอนที่มันร้องบอกกันเบาๆ “ กูพูดกับตัวเอง โอเค๊ ” ปลดล็อคหน้าจอเครื่องสื่อสารที่อยู่ในมือ ผมกดเข้าไปที่เบอร์โทรที่อยู่บนหน้าจอ ไล่หารายชื่อที่ผมอยากจะถามอะไรมันสักหน่อย แล้วนั่นก็คือ ‘ ไอ้เจ้ย ’

“ ว่าไงครับไอ้สัด ” ปลายสายที่รอสายอยู่ไม่นานกดรับ พร้อมกับเสียงที่ได้ยิน

“ มึง พอรู้ตารางเรียนของพวกไอ้อาร์มไอ้ดีนได้มั้ย ”

“ อาร์มนามสมมุติน่ะเหรอ ฮ่าๆ ”  ปลายสายที่พูดออกมา พร้อมเสียงหัวเราะสะใจ ผมก็ได้แต่ยกยิ้ม

“ เออ ไอ้อาร์มเพื่อนไอ้สัดดีนนั่นแหละ ” เจ้ยนิ่งไปในตอนที่ได้ยิน “ มึงพอรู้ตารางเรียนพวกมันมั้ย ”

“ ไม่รู้ แต่ถ้ามึงอยากรู้ กูก็ถามให้ได้ ”

“ เออ กูอยากรู้ ” ตอบรับอีกฝ่ายไปตามตรง แต่เหมือนไอ้เจ้ยมันจะยังสงสัยอะไรบางอย่าง

“ คือ ถามได้มั้ย ขอไปทำไมวะ ”

“ ไม่มีอะไรหรอก ช่วงนี้กูเบื่อๆ ไม่อยากจะเจอหน้าพวกมัน เพราะถ้าเจอมีสิทธิ์ต้องปะทะกันแน่นอน ซึ่งตีนกูอาจจะไปไวกว่าปาก ”

“ เปรี้ยวตีนจังเลยอะค้าบ ”

“ เออ กูเลยจะเลี่ยงๆไว้ ” ปลายสายถอนหายใจออกมา เจ้ยไม่ได้ถามหรือพูดอะไรออกมาอีก ทั้งๆที่ผมเองก็รู้ว่ามันคงอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา และตอนนั้นผมเองก็รีบบอกปัด “ ส่งเข้าไลน์กูมาแล้วกันนะไอ้สัด ง่วงแล้ววะ อยากนอน ”

“ โอเค ” อีกฝ่ายตอบรับ “ ว่าแต่ มีอะไรบอกกูได้นะ ”

“ อื้ม ” ผมขานรับในลำคอ

“ ทุกเรื่องเลย บอกได้นะ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ”

“ เออออออ ” ลากเสียงบอกอีกฝ่ายก่อนจะทำทีเป็นยิ้ม “ ไม่มีอะไรหรอก คิดว่ากูมีเมนส์ก็ได้ไอ้เหี้ย อารมณ์กูเลยขึ้นๆลงๆ ”

“ ไอ้ควาย มึงจะให้มันออกทางไหนละ ตูดหรือK ” เสียงหัวเราะสั่นของผมในตอนที่ฟัง ก่อนที่ปลายสายจะเงียบไปสักพัก “ แต่พูดจริงนะ ไม่ว่าเรื่องอะไร มึงบอกกูได้หมดเลย หมดทุกเรื่องจริงๆ ไม่ต้องแคร์อะไร รับฟังได้หมด ”

“ เออ ย้ำจังไม่เหี้ย ไม่มีอะไรหรอก แค่นี้แหละ แล้วอย่าลืมเรื่องที่กูขอ ”

“ เออ ไม่ลืม ”  วางสายลงก่อนจะวางมือถือไว้ข้างตัว ผมเอนตัวลงนอนบนโซฟาพลางกอดเจ้าตัวกลมที่ก็ซุกเข้ามาที่คอ “ กูจะพาตัวเองออกมานายท่าน มูฟออน ”

“ ม๊าว ” เสียงร้องเบาๆคล้ายกับว่าจะหน่ายกันอยู่ไม่น้อยเพราะฟังแบบย้ำกันมาหลายหน และผมว่าถ้ามันแปลเป็นคำที่คนพูด ไอ้นายท่านคงกำลังจะบอกผม ‘ ตามสบาย เอาที่มึงสบายใจเลยเมี่ยง ’

......................................................
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 15 :: up!6-3-63} #หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 27-03-2020 20:17:20

ตารางเรียนถูกส่งเข้ามาในมือถือตั้งแต่เมื่อคืนตามคำขอ ผมเผลอผ่อนลมหายใจเพราะความใกล้เคียงกันของเวลาที่แทบจะเป็นไปได้ยากเหลือเกิน กับการหลีกเลี่ยงที่ไม่ให้เจอหน้าอีกฝ่าย เพราะห้าวันที่มีเรียน เราเรียนคล้ายกันหมด มีแค่บางวันเท่านั้นที่มันมีเรียนเย็น แต่ผมไม่มี

ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมไอ้ดีนไอ้เบสทะเลาะกันชิบหาย

“ K ” สถบออกมาในตอนเช้าที่ต้องตื่นให้เร็วกว่าปกติ เพราะไม่อยากจะเจอกันที่มหาลัย ลิฟต์ของคอนโด หรือแม้จลานจอดรถ “ กูไปเรียนก่อนนะ เจอกันตอนเย็น ” พูดเสียงเบาราวกระซิบกับเจ้าแมวตัวที่ยืนกินข้าวอยู่ตรงมุมห้อง ไอ้นายท่านดึงหัวขึ้นมามองกัน มันผละอาหารแสนอร่อยที่กินอยู่ก่อนจะเดินตามกันมาที่ประตู “ ไปไหน ไม่ไป กูจะไปเรียน ”

“ ม๊าวว ”

“ ไม่ต้องมาม๊าว มึงจะไปไหน ไปกินข้าว ”เชิดหน้าไปที่จานอาหาร แต่มันก็ไม่มีท่าทางที่จะหันกลับไปมองแต่อย่างใด “ เร็วๆ เดี๋ยวกูสาย ”

“ ม๊าววว ” ยังคงร้องเรียกกันอยู่แบบนั้นพร้อมทั้งจะเดินออกมาจากห้อง

“ ไม่ๆ วันนี้ออกไปจากห้องไม่ได้ มึงต้องอยู่ที่นี่ โอเค๊ ” ยกนิ้วทำมือโอเคตามที่พูดใส่อีกฝ่าย เพราะปกติแล้วก่อนจะออกไปเรียน ไม่นายท่านก็แก้มหอมที่จะต้องย้ายไปอยู่ที่บ้านของใครคนใดคนนึง ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากนี้ไปก็คงทำอะไรแบบนั้นไม่ได้แล้ว “ เดี๋ยววันนี้ตอนเย็นกูจะพามึงออกไปเดินเล่นที่สวนนะ เราจะได้เจ๊ากันไง ”

“ ม๊าวววววววววววว ”

“ เอาน่า ช่วยๆหน่อย กูมูฟออนอยู่ เข้าใจมั้ย ” เบียดตัวเองออกมาจากห้องด้วยช่องทางที่เล็กกว่าปกติเพราะกลัวว่าเจ้าตัวร้ายมันจะเดินตามออกมา ก่อนจะผ่อนลมหายใจในตอนที่รอดพ้นออกมา ผมล็อคประตูของตัวเองเรียบร้อย ก่อนจะก้มหน้าดูเวลาที่อยู่บนหน้าจอมือถือ เวลาเจ็ดโมงเช้าที่ประตูของคนข้างกันยังคงปิดสนิท “ ไม่เอาน่า ” พูดกับตัวเองอย่างงั้นก่อนจะเบือนหน้าหนีภาพของประตูห้องที่ใจอยากจะเดินเข้าไปหาแล้วเคาะให้มันเปิดออกอย่างเช่นทุกวัน “ มึงต้องมูฟออนเว้ยเมี่ยง ต้องออกมาจากตรงนั้น เพราะมันไม่มีพื้นที่ให้มึง  ใช่ ท่องไว้ มันไม่มีพื้นที่ให้มึง ”

“ บ่นเหี้ยอะไรงุ้งงิ้ง ” ผมเบิกตากว้างขึ้นด้วยความตกใจในตอนที่ห้องที่คิดว่าปิดสนิทอยู่เปิดออกมาพร้อมกับร่างสูงที่อยู่ในชุดนักศึกษาเรียบร้อย

“ เชี้ย!! ” เผลอสบถออกมาเสียงดัง ก่อนจะหันมองซ้ายทีขวาทีแล้วได้แต่นิ่งไป ผมทำทีเป็นเดินตรงไปที่ลิฟต์แบบที่ไม่พูดอะไรกับอีกฝ่ายสักคำ มือที่กดปุ่มเลิฟต์ให้เปิด ผมกดมันซ้ำๆ แต่เหมือนว่ามันจะช้ากว่าร่างสูงที่ก็เดินมายืนข้างกันพอดี

“ หนีกูทำไม แล้วนี่มีเรียนเช้าเหมือนกันเหรอ ” ถามออกมาแต่ผมก็ยังคงทำนิ่ง ก่อนที่จะได้ยินเสียงถอนหายใจของอีกฝ่าย “  ถาม ว่า มี เรียน เช้า เหมือน กัน เหรอ!!! ”

“ แล้วจะตะโกนทีละคำทำเหี้ยอะไรของมึง ” หันไปตวาดถาม อีกคนก็นิ่งมอง

“ แล้วกูถามปกติมึงตอบมั้ย ” แล้วก็กลายเป็นว่าผมที่ต้องถอนหายใจออกมาแทน ทั้งๆที่ไม่อยากจะพูดเลย แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้นอยู่ดี

“ เออ มีเรียนเช้า ” ไม่รู้จะโทษใครดีเลย ตัวเองที่ออกจากห้องช้าไป หรือว่าตัวเองอีกนั่นแหละ ที่ยืนบ่นงุบงิบอยู่นั่นแทนที่จะรีบออกไปเรียน “ เห้ออออออ ”

“ เป็นอะไร ”

“ เปล่า ” พิงตัวเองเข้ากับกำแพงลิฟต์ในตอนที่เดินเข้าไปอย่างหมดแรง ผมผ่อนลมหายใจ

“ แล้วกินข้าวเช้ายัง ”

“ ยัง ”

“ แล้ววันนี้มีเรียนตอนเย็นมั้ย ”

“ ไม่มี ”

“ แล้ว..”

“ นี่ อย่าถามมากได้มั้ยไอ้สัด กูแม่งไม่อยากจะตอบ ” หันไปบอกอีกคนที่ก็นิ่งไป อาร์มเบือนหน้าหนีผมหลังวินาทีนั้น มันไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก จนลิฟต์เลื่อนลงสู่ชั้นล่างสุด ซึ่งในตอนนั้นคุณป้าแม่บ้านที่เคยเจอแมวของเราก็ยืนทำความสะอาดพื้นที่ส่วนกลางอยู่พอดี

“ สวัสดีครับคุณป้า ” ผมเอ่ยทักเธอที่ก็หันมามองกัน ก่อนจะก้มหน้าลงแล้วยิ้มให้ พร้อมทั้งกับอึ้งไปนิดหน่อยในตอนที่เหมือนจะเอ่ยทักอะไรเราสักอย่าง

“ เอ่อ..”

“ คุณป้ากินข้าวยังครับ ” ถามออกไปอีกครั้ง เธอก็พยักหน้ารับ

“ กินแล้วค่ะ แต่เอ่อ คือ ”

“ ครับ ? ” เอียงหน้ามองคนที่ต้องมีอะไรอยากจะพูดแน่นอน เพราะสีหน้าเธอดูกระอักกระอ่วม “ คุณป้ามีอะไรเปล่าครับ ”

“ คือ ขอโทษนะคะ แต่ว่า คุณเมี่ยง ” สายตาของเธอเหลือบมองลงต่ำ “ คุณเมี่ยงยังไม่ได้รูดซิปกางเกงเลยค่ะ ”

“ เชี้ย! ” ก้มลงมองเป้ากางเกงตัวเองทันทีในตอนนั้น ผมที่เบิกตากว้าง พร้อมกับหันหลังไปรูดซิปของตัวเองทันทีก่อนจะหันมายิ้มเขินให้เธอที่ก็ยิ้มกว้างออกมาแบบเอ็นดู

“ ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องอายป้าหรอก แต่ท่าทางเช้านี้จะรีบมากเลยนะคะ ”

“ ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ” บอกเธอแบบอายๆ ก่อนจะหันไปมองร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างกัน “ มึงนี่แม่งก็ไม่บอกกันเลยนะไอ้สัด ”

“ มึงบอกเองว่าอย่าถามให้มันมาก มึงไม่อยากตอบ ” สายตาคมเหลือบมองกันก่อนจะเดินนำออกไป ผมที่ได้แต่นิ่งพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างระงับอารมณ์ ผมกัดฟันพูดกับมันในตอนที่เดินตามไป

“ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องนี้มั้ย เรื่องนี้มันควรบอก ”

“ กูต้องพูดกับคนที่ไม่อยากจะพูดกับกูด้วยเหรอ ” คิ้วเข้มที่ยักให้กัน “ แต่กางเกงในลายโพกาดอทแบบขาวดำ ก็คาดไม่ถึงเหมือนกันอะ ว่าคนอย่างมึงจะใส่ ”

“ มันแค่ใส่สบายเว้ย! ” เถียงออกไปแบบนั้นก่อนจะยืนกำมือตัวเองแน่นอย่างไม่รู้จะโต้ตอบอะไร ในตอนนั้นใบหน้าคมยกยิ้ม มันพยักหน้ารับ

“ ครับๆ ก็น่ารักดี ” ยกยิ้มเดินออกไปหลังจากที่พูดคำนั้น อย่างที่ไม่สนใจเลยว่าจะทำให้หัวใจผมเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง

“ หนอยยยยยยย ” ได้แต่ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างสิ้นหนทาง แล้วเดินตามหลังมันออกไป ในใจที่หวังเอาไว้แค่ว่า นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ต้องเจอแล้วก็ต้องคุยกัน

เพราะหลังจากนี้ กูจะมูฟออนจริงๆละ

 ผ่อนลมหายใจออกมาอีกครั้ง และอีกครั้งอย่างนับไม่ถ้วน เพราะหลังจากนั้นเราก็ดันจอดรถข้างกันที่ชั้นจอดรถเดียวกัน ลงลิฟต์ตัวเดียวกัน เดินไปโรงอาหารที่เดียวกัน กินข้าวร้านเดียวกัน แถมยังเดินขึ้นตึกมาพร้อมกัน

เอาจริงๆ มันน่าหงุดหงิดชิบหายที่ร้อยวันพันปีไม่เคยเจอมันอยู่คนเดียว แต่วันนี้เสือกมีมันอยู่คนเดียว ทั้งที่ผมก็พยายามอย่างที่สุดในการออกห่าง แต่มันก็ยังมาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ เหมือนรู้ว่า กำลังพยายามลืมมันอยู่

ไม่ต่างอะไรกับไอ้นายท่านเลยไอ้สัด
พอไม่อยากจะยุ่งก็เข้ามาวุ่นวายตลอด 

“ เป็นเหี้ยอะไรของมึง ถอนหายใจโคตรดัง ” ไอ้เบสที่นั่งอยู่ข้างกันดึงศอกมาชนก่อนจะทัก ผมก็หันไปเหลือบมองมัน แล้วได้แต่ยิ้มแห้งๆ

พูดยังไงดีละไอ้สัด จะบอกว่ากูไปตกหลุมรักอริของมึงเข้าแต่ตอนนี้กำลังพยายามมูฟออนอยู่ แล้วมันก็คล้ายว่าจะเปล่าประโยชน์ด้วย เพราะแค่เช้าที่ผ่านมา มันก็ตามกันเหมือนผีเจ้ากรรมนายเวรที่ก็แทบ ไม่ห่างกันไปไหน

“ ขี้เกียจอะไอ้สัด อยากนอน ”

“ อดทนไว้ อีกห้านาทีก็เลิกแล้ว เพราะงั้นก็อย่าถอนหายใจเหมือนจะตาย ”

“ เออ รู้แล้ว ”

“ คืนนี้กินเหล้ากันหน่อยมั้ย ” ไอ้เจ้ยดึงตัวเองเอียงเข้ามาหาผม มือของมันกอดคอ ก่อนจะยักคิ้วให้กัน “ แฟนกูไม่อยู่ ”

“ หนูร่าเริงเลยสินะไอ้สัด ”

“ กูไม่ว่างว่ะ ” ผมบอกปัด “ ต้องไปกินข้าวกับที่บ้าน วันนี้มีนัดคุยกัน ระหว่างครอบครัวกู แล้วก็ครอบครัวว่าพี่เขย ”

“ มึงมีพี่สาวด้วยเหรอวะ ” ไอ้เบสถามอย่างสนใจ ราวกับเป็นความรู้ใหม่ของมัน

“ มีสิครับ ถึงหน้าตาผมจะดูไม่มีญาติ แต่ผมมีญาตินะครับ ”

“ ไอ้ห่า ” ตีเข้าที่ไหล่ด้วยรอยยิ้มกว้าง ก่อนอาจารย์ที่สอนอยู่ด้านหน้าจะปิดเอกสารการสอนทั้งหมดลง เป้นสัญญาณให้นักศึกษาทุกคนก็เริ่มขยับตัวเก็บเอกสารแล้วก็ของใช้ส่วนตัว ผมเองก็เช่นกัน ของทุกอย่างถูกรวบไว้เป็นกองเดียวกันด้วยความรีบร้อน

“ อะไรจะรีบขนาดนั้นวะ ”

“ เออน่า ” บอกปัดอย่างไม่รู้จะตอบอะไร ผมคว้าทุกอย่างขึ้นมา แน่นอนว่าผมเลิกเรียนเวลาเดียวกันกันกับไอ้อาร์มเป๊ะ แล้วห้องที่มันเรียนก็อยู่ตึกเดียวกันอีก เพราะฉะนั้นออกก่อน ก็มีเปอร์เซ็นต์เป็นไปได้ว่าจะไม่ต้องเจอกัน มันมีสูง  “ ไว้เจอกันนะ กูไปก่อน กูรีบ ”

“ เออ ขับรถดีๆ ” ไอ้เจ้ยยกมือบอกผมที่ก็ยกมือกลับก่อนจะวิ่งออกไปจากห้องทันทีด้วยความรวดเร็ว แล้วก็พุ่งออกมาอย่างรวดเร็วเช่นกันในตอนที่ลิฟต์เปิดออกตรงประตูลิฟต์ชั้นที่ผมจอดรถไว้ ก่อนจะหยุดนิ่งไปในตอนที่เห็นคนที่ไม่อยากเจอหน้า ยืนนิ่งอยู่ที่รถของตัวเอง และเหมือนกำลังจะจัดอะไรอยู่

“ K ” ได้แต่สบถออกมาเสียงเบา “ เอาจริงๆนะ สวรรค์มึงแม่งเกลียดอะไรกูมากมั้ยวะ ” ผมทำทีเป็นเดินไปเหมือนไม่เห็นมัน ผมปลดล็อครถของตัวเองแล้วในตอนที่กำลังจะเปิดประตูเสียงทุ้มก็เอ่ยทัก

“ เลิกเรียนแล้วเหรอ ”

“ ยังมั้ง ” บอกไปแบบไม่หันมองหน้า

“ นิสัยแย่ชิบหาย พูดด้วยก็ไม่หันมามาพูดด้วย ”  หันไปเหลือบมองมันก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมา

“ มึงจะเอายังไง หาเรื่องกันชิบหาย ”

“ ไม่หาเรื่องแล้วมึงจะหันมาให้เห็นหน้าเหรอ ” ยิ้มบอกกันอย่างงั้น ผมก็ได้แต่นิ่งก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาแล้วหันไปมองทางอื่น หัวใจที่เต้นตุ๊บๆอย่างมีเหตุผล แล้วนั่นก็คือคนตรงหน้า ผมพยายามสงบมันลง

 มันคล้ายกับผมเดินงุนงงอยู่ในสนามกีฬาแล้วอยู่ๆลูกบอลที่ไม่รู้ลอยมาจากไหน ก็อัดเข้าใส่หน้า ผิดก็ตรงนี้ว่า ประโยคนั้น  มันอัดเข้าใส่ใจ

“ สัด ” เพราะแพ้อีกแล้ว ก็เลยได้แต่สบถออกไปอย่างงั้น ก่อนจะเบือนหน้าหนีรอยยิ้มของคนที่ยังคงยิ้มให้กัน ผมเปิดประตูรถก่อนจะเดินเข้าไปนั่งพลางเหลือบมองอีกฝ่ายที่ก็ถอนหายใจออกมาไม่ต่างกัน ท่าทางที่กำลังรู้สึกแย่ของอาร์ม ดึงให้ผมเศร้าจนอยากจะเปิดกระจกไปพูดอะไรด้วยสักอย่าง แต่ก็ทำได้เพียงแค่ส่ายหน้าไปมา “ ไม่ๆ อย่านะ มึงต้องห้ามใจอ่อนเลย ”

แต่ก็นั่นแหละ แค่เพียงเหลือบสายตาไปมองมันอีกครั้ง
สุดท้ายก็ทนไม่ไหว

“ มึง ” เปิดกระจกออกไปก่อนจะเอ่ยทัก อาร์มที่เงยหน้ามองกันมันยิ้มดีใจจนชวนให้ผมนิ่ง “ กลับบ้านได้แล้วไอ้สัด ยืนนิ่งอยู่ได้ เดี๋ยวใครเค้าก็คิดว่าผีหลอก ”

“ เป็นห่วงเหรอ ” ผ่อนลมหายใจออกมาในตอนที่ฟัง ผมบอกตัวเองแค่ว่า เอาว่ะ ครั้งสุดท้ายจริงๆละ

“ เออ ไอ้หน้าเหี้ย ”

ขับรถออกมาพร้อมกับมองอีกคนที่ยิ้มกว้างออกมาอย่างงั้น แล้วนั่นก็ทำให้ผมยิ้มตามไปด้วยอย่างห้ามใจไว้ไม่อยู่ ก่อนจะรีบสลัดความคิดอะไรแบบนั้นออกไปจากสมองแล้วตั้งสติกับตัวเองอีกครั้ง แบบที่เรียกว่าถามเองตอบเอง

‘ มูฟออนเมี่ยง มูฟออน ต่อไปนี้มึงต้องมูฟออนออกจากความรู้สึกพวกนั้น อย่าหันกลับไปอีก โอเค๊ ? โอเค กูจะมูฟออนตั้งแต่วินาทีนี้เลย ’

เสียงเพลงที่ดังอยู่ในรถไม่ได้กลบความสนใจของรถคันคุ้นตาที่ขับตามอยู่ด้านหลัง และเหมือนว่าจะตามมาตั้งแต่อยู่ที่มหาลัย ป้ายทะเบียนคุ้นตา ผมมั่นใจมากกว่าร้อยเปอร์เซ็นด้วยซ้ำ ว่ามันคือคนที่ผมเพิ่งพูดออกไปเมื่อครู่ ว่าจะมูฟออน

“ ตามมาทำไมวะ ” เอ่ยถามตัวเองแบบนั้น แต่ก็ไม่อยากจะเข้าข้างตัวเองเกินไป บางทีมันอาจจะแค่มีธุระแถวนี้เหมือนกันก็เป็นไปได้ ผมกดไฟเลี้ยวเข้าโรงแรมในตอนที่เดินทางมาถึงแต่เหมือนคันหลังเองก็เป็นเช่นนั้น  อาร์มเลี้ยวรถเข้ามาตามมา แล้วแน่นอนว่ามันเองก็จอดลงข้างกันกับรถของผมอีกครั้ง “ มึงตามกูมาทำไม ”

“ ทำไมกูต้องตามมึงด้วย ” อีกคนถามยิ้มๆ

“ ไม่เนียนเลยไอ้สัด ”

“ ไม่เนียนอะไร กูมีนัดกินข้าวกับครอบครัวที่นี่ ” ได้แต่นิ่งไปในตอนที่ฟัง ผมหลุดปากพูดออกไป

“ เหมือนกันเลย ” รู้สึกว่าอาร์มเองก็เลิกคิ้วนิดหน่อยในตอนนั้น เราที่ต่างคนก็ต่างนิ่ง ผมรู้สึกว่าเรามีคำถามที่อยากจะถามต่ออยู่ในใจนั่นแหละ  แต่ต่างฝ่ายก็ต่างไม่ได้พูดอะไรออกมา และทำเพียงแค่เดินตรงไปที่ลิฟต์ กดขึ้นไปชั้นบนที่เป็นส่วนของห้องอาหารตามที่ถูกนัดไว้

มือถือที่ถืออยู่ผมกำมันไว้แน่นในตอนนั้น ในใจที่เอาแต่ภาวนาว่าคงไม่เป็นอย่างที่คิด แต่ยังไม่ทันจะได้กดโทรออกหรือทำอะไรที่ทำให้ความสงสัยมันคลายออกไป ประตูลิฟต์ก็เปิดออก พร้อมกับคนที่คิดว่าจะโทรไปหาก็โผล่หน้ามาให้เห็นกันทันที พี่สาวผมยืนอยู่ข้างว่าที่สามีของเธอ หมอไอซ์ที่วันนี้อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสบายๆ ส่วนพี่สาวผมก็อยู่ในเดรสสีน้ำเงินที่ดูสวยเป็นพิเศษ พวกเค้ายืนรอต้อนรับเรากันที่หน้าลิฟต์

“ อ้าว เมี่ยงมาแล้วเหรอ ”

“ มาพร้อมกันเลยนะ ” ขมวดคิ้วให้คำพูดของหมอไอซ์ในตอนที่เค้ายิ้มให้คนข้างกัน และในตอนที่เค้าหันมาเห็นใบหน้างุนงงของผม คนที่เจ้าดีใจคนนั้นก็ยิ้มกว้างขึ้นกว่าเก่า “ คงยังไม่รู้จักสินะ งั้นแนะนำเลยแล้วกัน  นี่อาร์มน้องชายพี่เอง ส่วนมึง นี่ก็เมี่ยง น้องชายของพลูเค้า รู้จักกันไว้สิ ”

“ ครับ ” เสียงตอบรับสั้นๆของร่างสูงที่หันมายิ้มให้กันในตอนนั้น ผมทำได้แค่ถอนหายใจออกมาอย่างสิ้นหวังและ เข้าใจคำว่ามูฟออนเป็นวงกลม อย่างถ่องแท้


..........................................................................

ขอโทษที่หายไปนานร่วมสองอาทิตย์
อาทิตย์แรก ไปจบจอยลอดาเรื่องณลินมาค่ะ ส่วนอาทิตย์ต่อมา เกิดสภาวะต้องย้ายสถานที่ในการเขียนนิยาย
เพราะว่าที่บ้านใช้เป็นสถานที่กักตัวของญาติที่ซึ่งกลับมาจากตก่างประเทศ ซึ่งพอต้องเปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนโต๊ะ สมองเหมอนสั่งปิดพื้นที่ไปด้วยเลย ขอโทษด้วยนะคะ
แต่ตอนนี้กลับมาแล้วฮับ
ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์
ป.ล. ดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะทุกคน ทั้งสุขภาพใจและกายเลยนะ
หนมมี่
 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 16 :: up!27-3-63} #หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 27-03-2020 21:17:22
หนูเมี่ยงมาละ หึหึหึ จะรอดมั้ยเนี่ย เล่นตัวหน่อยลูก ให้บทเรียนอาร์มมันบ้าง ปล.รักษาสุขภาพเช่นกันนะคับ
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 16 :: up!27-3-63} #หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 27-03-2020 21:39:18
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 16 :: up!27-3-63} #หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: mister ที่ 27-03-2020 22:05:57
สุ้ๆนะเมี่ยง
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 16 :: up!27-3-63} #หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 27-03-2020 23:37:29
รีบ ๆ กลับห้องเลย สัญญากับไผไว้ ว่าจะพาไปเดินเล่น  :katai3:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 16 :: up!27-3-63} #หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 30-03-2020 02:02:20
ดีนนี่มันคนประเภทไหนวะ แย่งจีบผู้หญิงคนเดียวกับเพื่อน กักเพื่อนที่ชอบตัวเองเอาไว้ให้อยู่กับตัว มั่นใจในตัวเองสูงมาก เอาจริงก็คือไม่น่ารักเลยอ่ะ อาร์มชอบเพราะอะไรถามจริง ละอาร์มก็แย่พอกันอ่ะ รู้ทั้งรู้ว่าชอบดีนอยู่ แต่ก็ยังทำให้เมี่ยงหวั่นไหวด้วย พอเมี่ยงรู้ละก็ยังจะวุ่นวายกะเค้าไม่หยุดอีก ปสดมากเอาจริง สงสารเมี่ยงสุดละ
ส่วนการเขียนของไรท์นี่ชอบมากนะคะ มีความเรียล และความต่อปากต่อคำเก่งมาก5555555 บรรยายดีค่ะ อ่านลื่นๆเลยอ่ะ รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 17 :: up!3-4-63} #หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 03-04-2020 20:00:02
ตอนที่ 17


ภายในห้องอาหารหรู หนึ่งในสถานที่ที่ผมเคยใฝ่ฝันว่าสักครั้งในชีวิต อยากจะได้มากินข้าวกับครอบครัว หลังจากที่นั่งดูรีวิวของเหล่ายูทูปเบอร์หลายคนที่ผลัดกันมารีวิวเมนูน่ากินต่างๆ โดยเฉพาะเป็ดปักกิ่งที่ตอนนี้ ณ วินาทีนี้ แม้มันจะวางอยู่ตรงหน้า ก็ยังรู้สึกเลยว่า กระเดือกแทบไม่ลง

“ นิ่งเลยเมี่ยง ไม่อร่อยเหรอลูก ” คำถามของแม่ผมที่เอ่ยถามกัน ทำได้แค่เหลือบไปมองเธอพลางส่ายหน้าไปมาอย่างไม่รู้จะตอบอะไรได้อีก อาจจะเพราะว่าปกติ ความช่างกินของผมนั้นเป็นที่ประจักษ์ต่อครอบครัว และมันคงจะดูแปลกไม่น้อยเลยที่คนชอบกินคนนั้น จะนิ่งไปแบบนี้

แต่จะให้พูดยังไงดีละครับคุณแม่ ก็ยอมรับเลยว่าอาหารตรงหน้า มันหน้าตาน่ากินทุกอย่าง แต่การจัดที่นั่งเรียกได้ว่าโคตรย่ำแย่เข้าขั้นวิกฤต

ตอนที่รู้ว่ามันเป็นน้องหมอไอซ์ก็ว่าแย่แล้ว แต่มีอย่างที่ไหนให้ผมกับไอ้อาร์มนั่งข้างกัน ด้วยเหตุผล เด็กๆนั่งด้วยกันจะได้คุยกันอายุก็เท่ากัน แถมน่าจะเป็นเพื่อนกันได้  คือแม่จะรู้มั้ย

ว่าไม่ได้อยากจะเป็นเพื่อนเลย
แล้วแฟน ก็ไม่ได้เป็นด้วย เพราะหัวใจมันไม่ว่าง

“ ส้นตีน ” พูดกับตัวเองเบาๆ แม่ก็ได้แต่ขมวดคิ้ว

“ ว่าไงนะลูก ” ส่ายหน้าไปมาในตอนที่เธอเอียงหน้าเข้ามาใกล้กัน “ จะเอาอะไรเปล่า ทำไมวันนี้เราดูกินน้อย เกร็งเหรอ ”

“ เปล่าสักหน่อย ” ว่าแบบนั้นก่อนจะตักอาหารตรงหน้ามากิน พลางเหลือบมองคนนั่งข้างกัน  ที่ก็กินอาหารทุกอย่างด้วยรอยยิ้มและความเอร็ดอร่อย คล้ายกับว่าจะอารมณ์ดีเสียเหลือเกิน

“ แล้วน้องเมี่ยงตอนนี้เรียนอยู่ปีไหนแล้วครับ ” คุณแม่ของหมอไอซ์และของไอ้สัดอาร์มชวนผมคุย รอยยิ้มใจดีที่ยิ้มให้กันนั้น เธอเป็นผู้หญิงที่ผมรู้สึกได้ว่า นี่คือหมอในอุดมคติ หมอในแบบที่พอนึกภาพไป ก็จะมีคนลักษณะแบบนี้อยู่ในภาพความทรงจำของคำว่า หมอ

ท่าทางเรียบร้อย รอยยิ้มใจดี สวมแว่นเข้ากับใบหน้า พูดจาเนิบนาม เบาๆ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีเรียบและเรียบร้อย ซึ่งก็ไม่ต่างกับคุณพ่อ ที่ก็เป็นหมอเช่นเดียวกัน ท่าทางท่านทั้งสองเหมือนกันไม่มีผิด “ ตอนนี้ปีสองใช่มั้ย เท่ากับเจ้าอาร์ม ”

“ ครับ ”


“ แล้วเรียนคณะอะไรอยู่เหรอตอนนี้  ”

“ บริหารธุรกิจครับ ” ตอบแบบนั้น เธอก็พยักหน้ารับ ผมรู้สึกหมอไอซ์ให้ความรู้สึกเหมือนคุณแม่มากเลย ผู้ชายที่ดูเรียบร้อย น่าเข้าหา ต่างกับไอ้คนที่นั่งข้างกันแบบสุดๆ หน้าตาไม่รู้ได้ใครมา แล้วท่าทางไม่คบใครนั่นอีก บอกว่าโดนเก็บมาเลี้ยงยังเชื่อเลย

“ ส่วนเจ้าอาร์มเรียนออกแบบกราฟฟิค แบบนี้ได้เจอกันบ้างมั้ย อยู่มหาลัยเดียวกันด้วยนี่”

 “ เจอสิครับ ” กลายเป็นคนที่นั่งเงียบอยู่นานเอ่ยพูดขัดขึ้น อาร์มมันหันมายิ้มให้แม่ผมอย่างกับทำความสนิทสนม แบบที่ไม่คิดว่าคนแบบนี้จะเป็น “ สนิทด้วยนะครับคุณน้า ผมกับเมี่ยงน่ะ ”

‘ ไอ้สัด ’ สบถอยู่ในใจตอนที่หันไปมองคนที่อยู่ๆก็พูดออกมาอย่างงั้น ตาที่ถลึงเข้าใส่คนพูดด้วยคำถามที่อยากจะด่าออกไปว่า ‘พูดเหี้ยอะไรออกมาอย่างงั้น’

“ เหรอครับ ” แม่ผมหันไปมองมันด้วยสายตาที่ดูตกใจไม่น้อย “ ดีจังเลย ว่าแต่อยู่คนละคณะกันไม่ใช่เหรอลูก แล้วแบบนี้เจอกันได้ยังไงละ  ”

“ เราอยู่คอนโดเดียวกันน่ะครับ อยู่ห้องข้างกัน ”

“ แค่ก! ” เสียงสำลักกระทันหันของพี่สาวผมที่อยู่ๆเหมือนจะพ่นน้ำที่กินเข้าไปออกมาเพราะประโยคที่ไม่คาดคิดนั้น “ เเค่กๆ ” เธอไอเบาๆ พลางทุบอกตัวเองจนเรียกความสนใจจากคนทั้งโต๊ะให้หันไปมอง โดยเฉพาะหมอไอซ์ที่ก็ยกมือขึ้นลูบหลังให้ทันทีด้วยความเป็นห่วง

“ เป็นอะไรหรือเปล่าพลู ” เค้าถาม

“ เปล่าค่ะ เปล่า เปล่าๆ ” ส่ายหน้าไปมาแบบนั้นก่อนจะยิ้ม แล้วหันมาเหลือบมองผมด้วยสายตาที่เหมือนจะถาม ‘ นี่ มึงอย่าบอกนะ ว่าอาร์มคือคนที่มึงพูดถึง คนที่มึงตกหลุมรัก คนข้างห้องคนนั้น ’

พยักหน้ารับแววตานั้น เธอถอนหายใจแบบคนสิ้นแรงไม่ต่างอะไรกับผม ที่ก็เอื้อมมือไปหยิบน้ำในแก้วขึ้นมากิน

มีแต่ความรู้สึก สิ้นหวัง อย่างบอกไม่ถูก มันเหมือนทุกอย่างจบสิ้นแล้ว สำหรับความลับที่พยายามไม่เอ่ยบอกอีกฝ่ายมาตลอด

‘ จบแล้วสินะกู จบแม่งทุกอย่างเลย ’ ผ่อนลมหายใจออกมาแก้วน้ำถูกวางลงที่เดิม ผมเหลือบมองอาร์มที่ก็มองกันอยู่ ด้วยความรู้สึกที่อยากจะพูดออกไปว่า ‘ เอาเลยไอ้สัด อยากจะพูดอะไร มึงก็พูดเลย เพราะกูแม่งจบแล้วละ ไม่มีเหี้ยอะไรที่ไม่อยากให้มึงพูดแล้ว  ’

“ เดี๋ยวนะ แล้วแบบนี้คือห้องที่พี่แนะนำเมี่ยง ก็คือข้างห้องอาร์มหรอกเหรอ ” พี่หมอไอซ์พูดทักขึ้นมาบ้างแบบยิ้มๆ เค้าดูดีใจที่ผมกับอาร์มสนิทกัน จนมันออกมาทางแววตานั้นอย่างปิดไม่มิด“ โลกกลมดีจัง กลายเป็นว่าคอนโดที่พี่แนะนำเรา ห้องที่เราอยู่ ก็คืออยู่ข้างๆห้องของอาร์มมันเฉยเลยสินะ ”

“ ฮ่าๆ ก็ครับ ” ได้แต่หัวเราะแห้งๆอย่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ก็คือโลกกลมชิบหายเลยจริงๆนั่นแหละ แล้วไม่ใช่กลมธรรมดานะ กลมแบบ กลมเหี้ยๆเลยด้วยไอ้สัด 

ผมต่อคำตอบพวกนั้นในใจ ก่อนจะหันไปมองพี่สาวที่ก็ยิ้มให้กันอย่างสังเวทในแววตานั้น แน่นอนว่าถ้าเจ้พลูมันพูดได้คงบอกกันแค่ว่า ‘ ไอ้เมี่ยงเอ้ยย โธ่ น้องชายพี่ นี่เหรอ คือคนที่มันบอกกูว่าเป็นอริกัน แล้วมึงก็เสือกไปตกหลุมรักมันแล้วด้วย คนที่มึงบอกว่า พยายามจะหนีห่าง ก็คือคนที่โลกมันเหวี่ยงให้มานั่งใกล้มึงอยู่ที่นี่สินะ ’

“ อร่อย ” เสียงทุ้มที่พูดสั้นๆ มาพร้อมชิ้นปลาเก๋าที่วางลงบนจานของผมด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร คล้ายๆว่าเราอยู่ในวันรับน้องใหม่แล้วต้องหาเพื่อน ท่าทางใสซื่อพวกนั้นผมจัดการเขี่ยชิ้นปลานั้นออกไปที่ขอบจานอย่างไม่ใยดี ก่อนจะเหลือบไปบนโต๊ะเพื่อจะคีบชิ้นใหม่ แต่กลับพบว่าจานปลาเก๋าผัดซอสอะไรสักอย่างที่ว่านั้น กลับไม่มีสักชิ้นเหลืออยู่แล้ว

“ K ” สถบออกไปอย่างงั้นก่อนจะหันกลับมามองไอ้ชิ้นปลาเก๋านั้น ที่อยู่ในจานตัวเองอย่างรู้สึกเสียดายอยู่ลึกๆ แต่ก็นั่นแหละ เสียชีพอย่าเสียสัจ

“ ศักดิ์ศรีแม่งกินไม่ได้นะ แต่ปลาเก๋ากินได้ และอร่อยด้วย ” ไอ้อาร์มกระซิบผม ก่อนจะพูดแบบไม่ออกเสียง ด้วยท่าทางยียวในตอนที่เคี้ยวปลาเก๋าของตัวเอง ‘ อร่อยมากกกกก ’

“ ไม่ ” ผมตอบ อีกคนก็แบะปาก พลางยักไหล่

“ ก็เรื่องของมึง ”

“ อ้าว แล้วทำไมไม่กินละเมี่ยง อาร์มเค้าอุตส่าห์ตักให้แหน่ะ ” แม่หันมาถามกันก่อนจะเชิดหน้าไปที่ปลาเก๋าชิ้นนั้น

“ น้องเมี่ยงไม่ชอบกินปลาเหรอครับ ” คราวนี้แม่ของหมอไอซ์ก็ถามกันบ้าง เธอที่ยิ้มให้อย่างใจดี แต่ก่อนอื่นเลยนะครับ คือ เป็นอะไรเอ่ย ทำไมอยู่ๆถึงต้องมาสนใจชิ้นปลาเก๋าในจานกูกันขนาดนี้

“ แค่ไม่ค่อยชอบกินน่ะครับ ” ผมตอบ แต่เหมือนว่าเรื่องปลาเก๋าชิ้นนี้นั้น จะไม่จบลงง่ายๆอย่างที่คิด

“ เค้าไม่กินหรอกครับ เพราะผมเป็นคนตักให้ ” คนที่อยากจะให้เงียบปากที่สุดเอ่ยพูดขึ้นมา พร้อมกับลมหายใจที่ผ่อนออกเบาๆอย่างรู้สึกแย่ และแน่นอนว่าท่าทางแบบนั้น มันสร้างความสนใจให้กับคนทั้งโต๊ะ จนผมต้องหันไปถาม

“ พูดอะไรของมึง ”

“ ก็มึงโกรธกูอยู่ไม่ใช่เหรอ ก็เลยไม่กินของที่กูตักให้น่ะ ” ยิ้มให้กันแล้วตีหน้าเศร้ามากกว่าเก่า ต่างจากคำที่บอกว่า เรื่องของมึงและท่าทางกวนตีนเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง  มันไม่ต่างอะไรกับละครหลังข่าว อาร์มก้มหน้าลงด้วยสีหน้าที่ดูเหมือนผิดหวังแบบเกินจริง

เป็นการแสดงของมันทำให้ผมได้แต่อ้าปากค้าง แต่นั่นก็คงต่างจากแม่ผม

“ โกรธอะไรเค้า กินเข้าไปเลยนะ ” เธอหันมากระซิบบอกแบบนั้นด้วยท่าทางจริงจัง “ อย่าทำให้บรรยากาศภายในโต๊ะอาหารเสียสิลูก ”

 ‘ แม่!!! ’ ในใจผมตะโกนออกไปแทบจะลั่นห้อง สายตาที่หันไปมองแม่ตัวเอง แต่ก็พูดอะไรแบบที่อยากจะพูดไม่ได้  ‘ ใครทำมันกัน ใช่เมี่ยงนี่ไหน ไอ้เหี้ยนี่มันแสดงทั้งนั้น มันกวนตีน ไม่ใช่เมี่ยงเลย มันมากกว่าที่ทำเมี่ยงด้วยซ้ำ ’

“ ยังไม่กินเข้าไปอีก ” เธอย้ำกันแบบนั้นด้วยแววตาที่จ้องเขม็ง ผมก็ได้แต่จำยอมจิ้มปลาชิ้นนั้นเข้ามากินก่อนจะหันไปมองคนที่แสดงละครจนทุกคนเข้าข้างไปหมด ริมฝีปากผมเคี้ยวด้วยความหงุดหงิดในตอนนั้นอาร์มมันถามยิ้มๆ

“ อร่อยปะ ”

“ ไม่ แล้วนั่นก็เพราะมึงเป็นคนตักมาให้กูกิน ไม่ใช่อาหาร ” ปากที่เคี้ยวหนุบหนับพร้อมกับแววตาหาเรื่อง ชวนให้คนในโต๊ะหลุดยิ้มออกมา

“ ขี้งอนจริงๆเลยเรา ” แม่ผมพูดแบบนั้นพลางส่ายหน้ายิ้มให้กับพ่อแม่ของฝ่ายหมอไอซ์ ที่พวกเค้าก็ยิ้มกว้างออกมาก่อนจะส่ายหน้าด้วยความรู้สึกประมานว่า ‘ ไม่เป็นไรหรอก ก็แค่เด็กๆทะเลาะกัน ’

“ แล้วทะเลาะเรื่องอะไรกันละ ” คราวนี้เป็นพ่อผมที่ถามออกมา แล้วก็เพราะปลาที่เคี้ยวอยู่อีกนั่นแหละ  ไอ้อาร์มก็เลยเอียงหน้ายิ้มแล้วทำทีเป็นจะตอบแทน แต่โชคยังดีที่คราวนี้ ผมยกมือขึ้นปิดปากมันได้ทัน

‘ จะพูดเหี้ยอะไร ’ ผมถลึงตาใส่ คนที่กำลังจะพูดก็หลุดยิ้มออกมา

“ ท่าทางดุมีพิรุธกันนะ ” หมอไอซ์ว่าผมก็หันขวับไปมอง ก่อนจะส่ายหน้าไปมาแบบรวดเร็ว

“ ไม่มี๊!! ” เสียงที่สูงเกินไป และดูออกมากเลยว่าตอแหล เรียกรอยยิ้มกว้างและดับความอึดอัดภายในโต๊ะอาหารได้อย่างฉับพลัน ทุกคนยิ้มให้กับท่าทางของผม ก่อนที่พ่อจะพูดขึ้น

“ ก็ท่าแบบนั้นแหละ ที่บอกเค้าหมดแล้ว ว่ามันมี ”

“ ไม่ได้มีอะไรสักหน่อย ” พูดออกไปเสียงเซ็ง ผมลดมือที่ปิดปากอีกคนลงด้วยสีหน้าติดงอน แล้วนั่นก็เหมือนว่ามันจะเรียกเสียงหัวเราะให้กับทุกคนอีกครั้ง ‘ ก็เหี้ยดี อยู่ๆความเสียใจของกู กลายเป็นเรื่องตลกซะงั้น ’

“ น้องเมี่ยงน่ารักจังเลยครับลูก ” แม่ของอาร์มชมกันแบบที่อดไม่ได้  ส่วนผมก็ทำได้แค่ยิ้มตอบรับเธอไปอย่างไม่รู้จะพูดอะไรอีก 

อาหารคาวตรงหน้าหมดไปตามความครื้นเครง พนักงานยกจานเปลี่ยนชุดอาหาร ตอนนี้เริ่มเข้าสู่ช่วงเมนูของหวาน พร้อมกับเรื่องราวที่ก็เปลี่ยนไปด้วย แล้วหัวข้อที่ว่านั่น ก็คือการแต่งงานระหว่างพี่สาวผมและหมอไอซ์ที่กำลังจะจัดขึ้นเร็วๆนี้ ซึ่งแน่นอนว่าน่าเบื่อเสียจนต้องดึงมือถือขึ้นมาเล่นฆ่าเวลาที่อยากจะให้มันจบลงเร็วๆ

Arm:
นั่งหน้าเป็นตูดเลย


ข้อความในโปรแกรมแชทที่โชว์ขึ้นมา ผมเหลือบมองคนนั่งข้างกันที่ส่งมาให้ ก่อนผ่อนลมหายใจ แล้วปิดมันไปโดยไม่ตอบอะไร

Arm:
นั่งหน้าเป็นตูดเลย
นั่งหน้าเป็นตูดเลย
นั่งหน้าเป็นตูดเลย
นั่งหน้าเป็นตูดเลย


Mieng:
เสือก
แล้วจะส่งมาทำไมตั้งหลายที

Arm:
ก็เห็นไม่ตอบ
Mieng:
ไม่อยากจะคุยกับคนอย่างมึง

Arm:
เราจะเป็นญาติกันแล้วนะ

Mieng:
กูไม่นับญาติกับมึง

Arm:
ก็ดี
เพราะกูก็ไม่อยากจะเป็นเหมือนกันอะ

Mieng:
เออ

Arm:
เพราะอยากเป็นอย่างอื่นมากกว่า

      
ผมได้แต่นิ่งไปในตอนที่อ่านประโยคนั้น รอยยิ้มของคนนั่งข้างที่ยกยิ้มขึ้นจากเสี้ยวใบหน้าที่เหลือบมองเห็น ก็ยังคงมีความสุขกับการพูดอะไรแบบนี้ให้ผมฟัง ทั้งๆที่เรื่องของเรามันควรจบไปแล้ว จนบางทีก็อยากจะถามมันออกไปเหมือนกัน

กูยังเจ็บไปพอเหรอ หรือกูแสดงออกให้มึงเห็น ว่ากูยังเจ็บไม่พอ มันน้อยไปเหรอ กับความเสียใจของกู มึงเลยยังทำกันอยู่แบบนี้ แล้วก็ยังถามกันอยู่แบบนี้ ‘อยากเป็นอย่างอื่นมากกว่าเหรอ แล้วอยากจะเป็นอะไรละ ก็หัวใจมึงไม่ว่างสักที่แล้วจะให้กูเป็นอะไร กับมึง กูเป็นอะไรไม่ได้เลยสักอย่างด้วยซ้ำไป’

“ K ” สถบออกมาเบาๆ ผมปิดหน้าจอมือถือก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะ

“ เมี่ยง ” เสียงของแม่ที่เอ่ยเรียกผม ก่อนจะเอื้อมมือเข้ามาจับ ผมเพิ่งสังเกตว่าตอนนี้คนรอบโต๊ะต่างพากันลุกขึ้นหมดแล้ว ท่าทางที่บ่งบอกกันว่ามื้ออาหารนี้จบลงแล้ว และนั่นมันก็เป็นอะไรที่ดีที่สุดเลย เพราะผมโคตรอยากจะกลับบ้าน

อยากเอาหัวใจ เอาร่างกาย เข้าไปนั่งพักในห้องของตัวเองแบบเงียบๆ แล้วหลุดออกจากความอึดอัดที่เหมือนกับห้องคับแคบนี้ ผมอยากอาบน้ำให้สดชื่น ล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่มๆ พร้อมกับกอดไอ้นายเท่านที่ก็คงทำตัวนุ่มนิ่มให้กอดอย่างใจดีเป็นพิเศษในช่วงนี้

“ เออ เมี่ยง พ่อจะคุยกับเราหน่อย ”

“ ครับ ” เอียงหน้ามองพ่อตัวเองที่ก็เดินเข้ามาหาก่อนจะกอดคอกันอย่างที่ชอบทำ “ จะให้เงินเหรอครับ พร้อมรับนะ  ” แบมือออกกไปแบบทีเล่นทีจริง ก่อนจะโดนเขกหัวเข้าให้

“ ใช่ที่ไหน พ่อจะยืมรถเราหน่อยต่างหาก ได้มั้ย พอดีพ่อจะเอารถเข้าศูนย์ซ่อมน่ะ แล้วมันต้องใช้เวลาสักหน่อย พ่อต้องใช้รถด้วย จะยืมของพี่เรา รายนั้นช่วงนี้ก็วุ่นๆกับงานแต่ง  ”

“ ได้อยู่แล้ว ทำไมจะไม่ได้ละ ” ผมพยักหน้ารับ “ แต่พ่อกับแม่ต้องไปส่งเมี่ยงที่หอด้วยนะ เมี่ยงไม่อยากนั่งแท็กซี่กลับ ”

“ ได้สิ ”

“ พ่อจะเอาไปซ่อมเหรอคะ ” พี่สาวผมที่ยืนอยู่กับพ่อแม่หมอไอซ์หันมาถาม “ แล้วรถพ่อเป็นอะไร ”

“ เอาไปจูบเสาไฟฟ้ามาน่ะสิ ” แม่ผมบอกก่อนจะส่ายหน้าไปมา “ แม่ก็บอกแล้วนะ มันจะชนแล้ว มันจะชนแล้ว แต่ทางนั้นก็เอาแต่บอก ไม่หรอกน่า ไว้ใจผม ไว้ใจผม แล้วสุดท้ายก็โครม จุ๊บไปเต็มแรงเลยละ ” หลุดยิ้มออกมากับภาพที่คิดตามอยู่ในหัวจากคำพูดของแม่

“ แล้วจะเล่าทำไม อายเค้าคุณ ” พ่อหันไปมองทางฝั่งครอบครัวหมอไอซ์ที่หลุดหัวเราะออกมาตามกัน เค้ามือที่ยกขึ้นเกาหัวตัวเองเหมือนแก้เก้อ

“ แต่คอนโดเมี่ยงกับบ้านเรามันไปคนละทางกันเลยนะคะ พลูว่า เดี๋ยวพลูไปส่งเมี่ยงเองดีกว่า ” พี่สาวผมบอก “ พ่อกับแม่ขับรถกลับบ้านจะได้ไม่ดึกมากไง ”

“ เราก็ใช่ว่าจะทางเดียว อีกอย่างทำงานเช้าด้วยไม่ใช่เหรอ พ่อไปเองนั่นแหละ ดีแล้ว ”

“  ให้เมี่ยงไปกับผมก็ได้ครับ ยังไงผมก็อยู่คอนโดเดียวกับเมี่ยงอยู่แล้ว ” คนที่ผมไม่อยากจะให้เข้ามายุ่งที่สุด พูดขึ้นอย่างที่ไม่มีใครร้องขอ ผมเหลือบมองอาร์มที่ยิ้มให้พ่อกับแม่ของผมแล้วก็เจ้พลูที่ก็นิ่งไปสักพัก ก่อนจะเหลือบมองผมราวกับจะถามว่าจะเอายังไง แต่ตอนนั้นผมก็แค่ส่ายหน้า

 “ ไม่เป็นไร ” ผมบอกปัด “ กูอยากให้เจ้พลูไปส่งกูมากกว่า เกรงใจด้วยครับ ” หันไปพูดกับพ่อแม่ของอีกฝ่ายในประโยคหลัง ที่ก็ส่ายหน้าไปมาอย่างรู้สึกไร้สาระเหลือเกินกับความคิดนั้น

“ ไม่ต้องเกรงใจหรอกน้องเมี่ยง ตอนนี้ยังไงเราก็เป็นคนในครอบครัวเดียวกันแล้ว กลับกับอาร์มเค้าดีแล้ว  ยังไงก็อยู่คอนโดเดียวกัน น้องพลูก็ไม่ได้ขับรถไปมาด้วย อันตรายนะ  ”

“ แต่ว่า..” หันไปมองพี่สาวตัวเองที่ก็เหลือบมองกัน เจ้พลูยิ้มให้พ่อแม่หมอไอซ์

“ เดี๋ยวพลูไปส่งน้องเองดีกว่าค่ะคุณพ่อคุณแม่ พอดีว่ามีเรื่องจะคุยด้วยนิดหน่อย ”

“ ใช่ๆ ” พยักหน้ารับคำพูดของพี่สาวตัวเอง ผมยิ้มกว้างออกมาอย่างมีความหวัง “ พอดีเมี่ยงมีเรื่องจะคุยกับเจ้พลูเยอะแยะเลย เนอะๆ ”

“ งั้นก็คุยกันก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวผมรอ ” ไอ้อาร์มบอกก่อนจะยิ้มให้เราสองคน ที่ก็ใบ้กินไป “ พี่พลูจะได้ไม่ต้องขับรถวนไปวนมาด้วย ทำงานเช้า ถ้านอนไม่พออันตรายนะครับ ”

“ นั่นน่ะสิพลู ” หมอไอซ์พูดเสริม “ ให้อาร์มไปส่งเจ้าเมี่ยงก็ได้ ยังไงก็คอนโดเดียวกัน ”

“ อีกอย่างพรุ่งนี้เช้าผมก็ไม่มีเรียนอยู่แล้ว ผมรอได้ครับ พี่พลูกับเมี่ยงคุยกันได้ตามสบายเลย จะลงไปนั่งคุยที่ร้านของโรงแรม ก็น่าจะมีอยู่นะครับ ”

‘ ไอ้ชิบหาย เสือกจริงๆ หน้าเหี้ย ’ กร่อนด่าอยู่ในใจตอนมองหน้าคนที่ยังยิ้มให้กัน ส่วนพี่สาวผมก็คล้ายกับว่าจะหมดหนทางช่วยชีวิตกันไปเสียอย่างงั้น เธอได้แต่นิ่งแบบใบ้กิน

“ เอ่อ..”

“ แล้วเราจะมาคุยอะไรกันวันนี้ ค่อยโทรคุยกันก็ได้นี่ ” แม่ผมบอกก่อนจะส่ายหน้าไปมา “ ไอ้พี่น้องคู่นี้ก็นะ เราเองทำงานเช้าพลู รีบกลับบ้านไปพักผ่อนได้แล้วไม่ใช่ห่วงแต่พ่อแม่ ส่วนเมี่ยงก็กลับกับอาร์มเค้านะ สานสัมพันธ์กันไว้  อีกอย่างกลับดึกอันตรายด้วย ขับรถกันดีๆเข้าใจมั้ย  ส่วนน้องอาร์ม แม่ฝากเมี่ยงด้วยนะครับ ” ประโยคท้ายที่หันไปยิ้มกว้างให้อีกฝ่าย หมอไอซ์ก็เสริม

“ แบบนี้ก็ดีครับ งอนๆกันอยู่ เดินทางกลับด้วยกัน จะได้คืนดีกันไง ”

“ คืนดีอะไร ไมได้งอนสักหน่อย ” ตอบกลับอีกฝ่ายไปแบบนั้นด้วยท่าทางหาเรื่อง แต่เหมือนจะจบในรูปแบบเดิมอีกครั้ง ทุกคนหัวเราะกับท่าทางของผม ที่ก็ดูเหมือนเด็กคนนึงเท่านั้น

อย่างไม่รู้เลยว่า หัวใจผมเผชิญอะไรมา

..........................................................
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 16 :: up!27-3-63} #หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 03-04-2020 20:01:22
“ โคตรเหี้ยเลย ” ผ่อนลมหายใจพลางพิงร่างลงกับเบาะรถที่นั่งด้วยสภาพจำยอมในที่สุด ผมพลิกร่างตัวเองหันไปมองนอกหน้าต่างที่ตอนนี้รถติดยาวเหยียดจนมองไม่เห็นสัญญาณไฟจราจรที่อยู่ด้านหน้า เป็นความน่าเบื่อ และอึดอัดที่กัดกินจนไม่รู้จะทำอะไร แล้วก็ได้แต่รับสภาพชีวิตฮวงซวยแบบไร้ที่ตินี้ อย่างจำยอม

ทั้งๆที่แค่อยากจะพักสักหน่อยก็เท่านั้นเอง
ก็แค่ไม่อยากจะเสียใจไปมากกว่านี้ ก็เท่านั้นเอง
แต่ยังทำไม่ได้เลย

“ บัดซบชิบหาย ”

“ บ่นเหี้ยอะไร ” เหลือบไปมองคนขับที่พูดขึ้นมาแบบนั้น แต่ผมก็ไม่ได้ตอบอะไร “ พูดให้ฟังหน่อย อยากฟัง เมี่ยง ” ท้ายคำนั้นที่เรียกผมหันไปมองหน้ามันที่ก็ยังยิ้มให้กัน

“ อย่าเสือกได้มั้ย ” ผมถาม “ อยากเสือกเรื่องของกู อย่าเข้ามายุ่งเรื่องของกู มึงอยู่ของมึงไปเถอะ ส่วนกูก็จะอยู่ของกู ”

“ เมี่ยง..” อีกฝ่ายพูดขัด แต่ผมก็ไม่หยุดแค่นั้น

“  จบกันแค่นี้ไม่ได้เหรอ ทำไมมึงต้องเข้ามาวอแว วุ่นวาย แล้วพยายามดึงกูเข้าไปอยู่ใกล้มึงขนาดนี้ ให้กูพักบ้างไม่ได้เหรอ เห็นใจกูบ้างสิไอ้สัด ..”

“ ก็กูอยากอยู่กับมึง ” ประโยคนั้นทำให้นิ่งไปได้สักพัก เหมือนถูกหยุด

“ แต่กูไม่อยากอยู่ ” พิงหลังลงกับเบาะที่นั่ง ผมถอนหายใจ ก่อนจะรีบพูดปัดอย่างไม่ใยดี “ กูไม่ได้อยากจะอยู่กับมึง กูไม่ได้อยากคอยมึงที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ แล้วก็กูไม่ได้อยากจะอยู่ใกล้มึงด้วยรู้ไว้ซะ ”

“ แต่กูอยาก ” อาร์มยังคงย้ำแบบนั้นด้วยคำพูดที่ทำให้ใจทั้งใจมันบีบรัดไปหมด  แม้ว่าสายตามันจะไม่ได้หันมามองกันเลยด้วยซ้ำ “ กูอยากอยู่กับมึง ”

“ ในฐานะ ” ผมถามกลับ “ อยากจะอยู่กับกูในฐานะอะไรไม่ทราบ ”

“ กูชอบมึง ”

“ แต่มึงมีคนที่ชอบอยู่แล้ว ” หันไปมองนอกหน้าต่างในตอนที่พูดคำนั้น ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “ คือยังไง ชอบกูด้วยเหรอ แล้วก็ชอบเค้าด้วยน่ะเหรอ หรือว่า ชอบเค้าลดลงแล้วและก็ชอบกูเพิ่มมากขึ้น ก็เลยต้องรั้งไว้ ”

“ อย่างหลัง ”

“ แต่มึงก็ยังชอบเค้าอยู่ดี ชอบแบบที่ตอนนี้ ก็ชอบกูด้วย เหี้ยมากนะรู้ใช่มั้ย คนจับปลาสองมือน่ะ ” อาร์มนิ่งไป ผมเองก็ด้วย

เอาจริงๆ ก็ไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย ความรู้สึกที่เหงาแบบนี้ ความรู้สึกที่ต้องเจ็บปวดแบบนี้ แบบที่ขนาดไฟประดับหน้าห้างที่ชอบก็ยังดูเหงา เป็นอะไรที่โคตรเกลียด แล้วก็ยิ่งเกลียดมากขึ้นไปอีก เมื่อตัวเองต้องจมอยู่กับอะไรแบบนี้

“ ปล่อยกูไปเถอะ หายหน้าหายตาไปจากชีวิตกูได้แล้ว กูจะไปมีชีวิตของกู ส่วนมึงถ้าเลิกชอบเค้าได้เมื่อไหร่ ก็ค่อยมาจีบกู ถ้าตอนนั้นกูไม่มีใคร ก็ค่อยว่ากัน เพราะกูคงไม่อยู่หรอก ในความสัมพันธ์แบบที่ คนที่กูชอบ เค้าไม่ได้ชอบกูแค่คนเดียว ”

“ กูไม่อยากจะปล่อยมึงไปเลย” ร่างสูงพิงหลังกับเบาะรถตรง มือที่กำพวงมาลัยรถตัวเองไว้แน่นนั้น “ ด่ากูแทนได้มั้ย ด่ากู ว่ากูเห็นแก่ตัว ด่ากู ว่ากูเหี้ย ด่ามาเลย จะบอกว่าเลวก็ได้ แต่ไม่ว่ายังไง ก็จะไม่ปล่อย กูไม่อยากจะปล่อยมึงไป ก็กูชอบมึง แล้วจะให้กูปล่อยคนที่ชอบไปทำไม กูไม่มีทางปล่อยหรอก ”

“ อื้ม เหี้ยดี ”

ทุกอย่างนั้นกลายเป็นแค่ความเงียบในที่สุด ผมก้มหน้าลงอย่างไม่รู้จะเถียงอะไรออกไป เพราะเหมือนพูดไปมันก็วนอยู่แค่ตรงนี้ ตรงที่ผมอยากออก แต่มันก็แค่บอกว่าไม่ให้ไป

“ จะไปไหน ” หันไปถามตอนที่รถสี้ยวเข้าไปในซอยที่ดูเหมือนจะไม่ใช่คอนโดของเรา และแน่นอนว่ามันไม่ใช่ทางลัด ยังไม่ถึงจุดที่ต้องเลี้ยวด้วยซ้ำ

“ อยากกินเหล้า ไปกินเป็นเพื่อนหน่อยสิ ”

“ แต่กูไม่อยากกิน ” พูดเสียงจริงจังใส่อีกคนที่ก็แค่ปรายตามามองกัน แต่ก็ไม่ได้ฟังกันสักเท่าไหร่ “ กูบอกว่ากูไม่อยากกินไง ”

“ แต่กูอยากกิน ” มันเถียง

“ ก็กูบอกว่า กูไม่อยากกิน ”

“ เดี๋ยวเลี้ยง ”

“ ไม่กิน! ” กลายเป็นผมที่ตวาดใส่มัน “ งั้นเดี๋ยวกูเรียกแท็กซี่กลับเอง ” แต่นั่นก็เท่านั้น  อาร์มเร่งเครื่องยนต์เข้าไปในซอยด้วยความเร็วแบบที่ไม่ตอบอะไรอีก ก่อนจะหยุดจอดลงที่ลานของผับแห่งนึงอย่างกระทันหัน

เกียร์ถูกปรับให้หยุดนิ่ง ท่ามกลางความเงียบที่แสนอึดอัดนั้น มือหนาข้างนึงนั้น เอื้อมมาจับมือผมในตอนที่จะเปิดประตูหนีออกไป

“ อยู่กับกูหน่อยได้มั้ย ” อีกคนหันมามองกัน พร้อมกับน้ำเสียงราบเรียบ แต่นั่นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกขอร้อง “ กูอยากอยู่กับมึง ”

 เหลือบมองป้ายไฟด้านบนที่เขียนว่า throw up ในตอนที่เดินลงจากรถอย่างจำยอมและพ่ายแพ้ให้กับคำพูดของคนตรงหน้าอีกครั้ง ผมถอนหายใจพลางมองไปรอบๆอย่างไม่รู้จะด่าตัวเองว่าอะไรดี จนสุดท้ายก็ได้แต่พูดปลงๆออกไป ‘ ไอ้เมี่ยงหน้าเหี้ย แต่ก็เอาเถอะ ’ ท้ายประโยคนั้นผมปลอบใจตัวเอง ถ้าคนเรามันมูฟออนกันได้ง่ายๆอย่างงั้น  ในโลกนี้ก็คงไม่มีคนโง่เพราะความรักหรอก

“ มึงเคยมาที่นี่มั้ย ” คนที่เดินนำไปเอ่ยถาม ผมก็ส่ายหน้าพลางถอนหายใจเบื่อหน่ายใส่

“ ไม่เคย ” แต่ถ้าถามว่าเคยได้ยินชื่อมันมาบ้างมั้ย ก็บอกเลยว่า บ่อย เพราะไอ้เบสพูดให้ฟังตลอด และกรอกหูแทบทุกวัน ว่าเป็นผับดีอันดับหนึ่งที่โคตรน่าไป และต้องไปสักครั้งในชีวิตนักศึกษา เป็นการอวยแบบเกินจริง อย่างที่ถ้าไม่รู้จักกับเจ้าของผับ ก็คงเป็นหุ้นส่วนยังไงอย่างงั้น

“ สวัสดีครับ ” คนที่ยืนอยู่ด้านหน้าเอ่ยทักเรา ใบหน้าจริงจังที่แม้จะยิ้มแต่ยังให้ความรู้สึกน่ากลัว ท่าทางที่ก็ชวนให้นิ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่คนเดินนำยื่นบัตรประชาชนไปให้อีกฝ่าย แล้วนั่นก็ทำให้ผมถอนหายใจโล่งออกมา เพราะมันก็แค่การตรวจบัตรประชาชนเท่านั้น

“ นี่ครับ ” ยื่นบัตรประชาชนของตัวเองให้อีกฝ่ายที่ก็ยิ้มใจดี ก่อนจะเปิดประตูให้เรา แล้วนั้นก็ทำให้ผมถึงกับต้องผงะไปด้านหลังกับเสียงดังภายในที่ดังกระหึ่มพร้อมทั้งผู้คนที่ดูหนาตาแบบชนิดที่ว่าไม่มีมุมว่างในตอนที่มองแบบผ่านๆเลย “ คนเยอะชิบหาย ”

“ นี่น้อยแล้วนะ ” อาร์มหันมาบอกกัน ก่อนจะคว้ามือของผมแล้วกุมจับมันไว้แน่นพร้อมทั้งออกแรงดึงจนต้องก้าวตามมันไป เราหยุดยืนกันที่มุมบาร์ ตรงที่นั่งด้านหน้า มันว่างอยู่สองที่พอดี “ นั่งสิ ”

“ รู้แล้วละน่า ” หย่อนตัวลงนั่งด้วยสีหน้างหงุดหงิดก่อนจะหันไปมองบาร์เทนเดอร์ที่ก็ยิ้มให้กัน พร้อมกับพยักหน้ารับ

“ สวัสดีครับ ”

“ สวัสดีครับ ” ตอบรับกลับไปอย่างเสียไม่ได้ ผมยิ้มให้คนตรงหน้าที่ก็บอกเลยว่า โคตรหล่อ ขนาดเป็นผู้ชายด้วยกันเองยังใจเต้น ชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวดูดีสวมทับด้วยเสื้อกักสีดำ ผู้ชายหน้าตาเท่ตรงหน้า ยิ้มให้กันจนเห็นฟันเขี้ยว เค้าเลิกคิ้วให้ผมแบบคนมีเสน่ห์ ตามฉบับที่สาวคนไหนมาเห็น ก็คงตกหลุมรักกันได้ง่ายๆ

“ รับอะไรดีครับ ”

“ เอ่อ..” หันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างกัน เพราะผมไม่ใช่พวกชอบกินอะไรแบบนี้อยู่แล้ว และเรียกได้ว่าตอบไม่ได้เลย เพราะไม่รู้จักสักชื่อ

“ scotch and soda ”

“ ครับ แล้วอีกท่าน ” มือถูกผายมาให้ผมอีกครั้งที่ก็ส่ายหน้าไปมา เป็นการปฎิเสธ

“ สั่งสักหน่อย มึงจะมานั่งชิงที่คนอื่นทำไม ”

“ แล้วใครมันใช้ให้กูมา ก็บอกอยู่ว่าไม่มา ไม่มา ไม่อยากกิน ”ผมเถียงอีกฝ่ายออกไปอาร์มมันก็ถอนหายใจก่อนจะมองไปทางอื่น “ แล้วอีกอย่างกูสั่งเป็นที่ไหนละไอ้สัด ปกติก็น้ำแข็ง โซดา เหล้า โค้ก จบ แค่นั้นมั้ยละ ”

“ ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย ” คนฟังหันมาบอกกัน มันเหลือบมองบาร์เทนเดอร์ที่ยังคงรอรับเมนูของผม อารร์มหลุดหัวเราะออกมา “ โทษทีนะครับ พอดีเค้าเคยเข้าแต่ผับธรรมดา ”

“ ไอ้..” ยังด่าไม่ทันจบคำ พนักงานคนเดิมก็ขัดขึ้นมาก่อน

“ แนะนำให้มั้ยครับ ปกติเป็นคนกินเหล้าจัดมั้ย ”

“ ไม่อะครับ ” ผมส่ายหน้า  “ กินได้แบบเข้าสังคม ”

“ margarita มั้ยครับ ผมว่ามันน่าจะเหมาะกับคุณนะ ”

“ ก็ได้ครับ ” ตอบส่งๆออกไปเพราะไม่รู้อยู่แล้วว่ามันคืออะไร  ผมยิ้ม ก่อนจะหันไปมองคนนั่งข้างกัน อาร์มยังคงยิ้มอารมณ์ดี

“ ถ้าเมากูไม่รู้ด้วยนะ ”

“ กูไม่เมาหรอกไอ้สัด สั่งไปงั้นๆอะ ไม่ได้อยากกินเลย ” คนฟังไม่ได้ตอบอะไร แต่สายตาคมแค่มองไปรอบๆไม่ต่างอะไรกับผมที่ก็มองไปรอบๆเหมือนกัน ซึ่งแน่นอนว่าบรรยากาศก็ต่างจากผับทั่วไปที่ผมชอบไปอยู่มากจริงๆนั่นแหละ และอาจเพราะที่นี่มีคนเยอะกว่ามาก มันเต็มทั้งชั้นล่าง ชั้นบน เพลงก็จัดว่าเพราะ แต่ถึงอย่างงั้นก็ไม่สไตส์ที่ชอบอยู่ดี

“ แล้วปกติชอบที่นั่งกินเหล้าแบบไหน ”

“ ถามทำไม ”

“ อยากชวนคุย ”

“ แต่กูไม่อยากคุยกับมึง ” ว่าแบบนั้นก่อนจะเท้าคางลงกับโต๊ะแล้วมองดูคุณบาร์เทนเดอร์ที่จัดการเครื่องดื่มของเราด้วยท่าทางเชี่ยวชาญ แต่เหมือนจะมองมากเกินไป เค้าก็เลยทำไปแบบยิ้มไปแล้วหันมามองกันแบบอดไม่ได้

“ รอสักครู่นะครับ ”

“ ไม่ได้กดดันนะครับ ” โบกมือไปมาให้เค้าก่อนจะหันไปมองทางอื่นบ้าง แล้วนั่นก็ต้องนิ่งไปเพราะเผลอไปสบตากับคนที่นั่งเท้าคางมองกันอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

“ มองเหี้ยอะไรไอ้สัด ”

“ ก็บอกว่าอยากอยู่ด้วย พามาแล้วไม่นั่งมองหน้ามึง แล้วจะให้กูไปมองอะไร ” เบือนหน้าหนีไปอีกฝั่งในตอนที่ถอนหายใจออกมา ผมยกมือข้างที่ว่างบังหน้าตัวเองไว้ แล้วนั่นก็เป็นท่าทางที่คุณบาร์เทนเดอร์ที่หันมาเห็นพอดี ต้องหลุดยิ้ม

 “  scotch and soda แล้วก็ margarita ครับผม ” ค็อกเทลหน้าตาดีถูกวางลงตรงหน้า ผมเหลือบมองของไอ้อาร์มอย่างอดไม่ได้แบบเด็กอยากรู้อยากเห็น แต่นั่นก็ไม่ต่างอะไรกับเหล้าเพียวๆ ใส่น้ำแข็งเลยสักนิดในความรู้สึก  แค่สีเข้มกว่า อารมณ์บรั่นดี ส่วนของผมก็ดูสดชื่นสุดๆ เครื่องดื่มที่มาในแบบแก้วทรงสูงยาว คล้ายจะเป็นน้ำมะนาวมากกว่าค็อกเทลด้วยซ้ำ

“ ชนแก้วหน่อย ” ร่างสูงดึงแก้วเข้ามาชนกับแก้วของผม ที่ก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะยกแก้วของตัวเองขึ้นดื่มอย่างช่วยไม่ได้  แล้วนั่นก็เป็นช่วงวินาทีที่ต้องหลับตาปี๊นิดหน่อย กับรสชาติเปรี้ยวผสมขมที่ปนอยู่ในคอ “ อร่อยมั้ย ”

“ ไม่ใช่ทางอะ ” ผมว่าก่อนจะวางมันลงตรงหน้า แม้ว่าจริงๆจะไม่ได้แย่ ติดจะอร่อยด้วยซ้ำ แต่เพราะไม่อยากจะพูดอะไรกับอีกคนให้มากก็เลยบอกปัดไป

แต่ทว่ามันก็ดูเหมือนจะไม่ใช่เวลา

บาร์เทนเดอร์คนชงเหล้าให้กันนั้น ได้ยินเต็มสองหู เค้ายิ้มให้ผม “ เปลี่ยนให้มั้ยครับ ”

“ ไม่ครับ ไม่ คือ ” โบกมือไปมาตรงหน้าอีกคนก่อนจะยิ้มแห้งๆให้ไป พร้อมกับกร่อนด่ากับตัวเอง ‘ ชิบหายอีกแล้วไอ้สัดเมี่ยง ’  “ คือ มันก็อร่อยครับ ไม่ต้องเปลี่ยนหรอก ”

“ แล้วเมื่อกี้บอกไม่ใช่ทาง ” อาร์มมันถาม พลางกับเลิกคิ้วกวนตีนใส่ คือจะว่ายังไงดี จะพูดว่า นั่นมันคำตอบสำหรับมึง และมึงคนเดียวเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับคนอื่น

 “ อย่าไปสนใจมันเลยนะครับ ” หันไปบอกบาร์เดนเดอร์คนนั้น ผมยิ้มให้เค้า ที่ก็พยักหน้ารับกันก่อนจะยื่นเอาแก้วเหล้าใบเล็กๆ ส่งมาให้ผม

“ ลองชิมอันนี้ดูหน่อยมั้ยครับ ” เขาบอก แต่คงเพราะสายตาที่ดูลังเลไม่น้อยของผม อีกฝ่ายเลยอธิบายเพิ่ม “ มันเป็นค็อกเทลสูตรพิเศษของทางร้านน่ะครับ แฟนคุณเจ้าของผับ เป็นคนไม่ชอบดื่มเหล้าเหมือนกัน แต่ว่าบางทีเวลามาทำงานก็อยากจะนั่งดื่มบ้างใช่มั้ยครับ แบบนั้นทางเจ้าของผับเค้าก็เลยคิดสูตรเหล้าตัวนี้ให้แฟนเค้าน่ะ ลองชิมดูสิครับ คุณเองก็น่าจะชอบเหมือนกัน ”

“ ขอบคุณนะครับ ” ยกแก้วเหล้าใบเล็กที่บรรจุสิ่งที่คล้ายกับเหล้าปั่นนั่นเข้าไปในปากเพื่อชิม รสชาติเปรี้ยวขมที่ตัดด้วยรสเค็ม แน่นอนว่าดีกว่าอันก่อนอยู่มาก จนผมเบิกตาขึ้นมาอย่างอัตโนมิตกับความอร่อยนั่น

“ อร่อยใช่มั้ยครับ ”

“ ครับ อร่อยมากเลย ” ซัดเข้าไปแบบหมดแก้วก่อนจะวางแก้วเปล่าลงบนโต๊ะ

“ งั้นเดี๋ยวผมชงให้นะครับ ”

“ ได้เหรอครับ ” คำถามของผมทำให้คนเป็นบาร์เทนเดอร์ถึงกับหยุดยิ้ม แล้วเอียงหน้าถามกัน

“ แล้วทำไมจะไม่ได้ละครับ ”


“ ก็แบบว่า มันน่าจะเป็นเมนูพิเศษที่เจ้าของผับ เค้าทำให้แฟนเค้าน่ะครับ ผมว่าเค้าน่าจะอยากให้ แฟนเค้ากินคนเดียว ”

“ ไม่หรอกครับ ” คนตอบส่ายหน้าไปมายิ้มๆ พร้อมกับทำทีเป็นดึงตัวเองข้ามเค้าท์เตอร์ที่กั้นระหว่างเราอยู่มาเล็กน้อยนั้นมา  ท่าทางดูคล้ายราวกับกระซิบ “ ที่นี่ไม่มีความโรแมนติกอะไรแบบนั้นหรอกครับ ถ้าได้เงินเค้าก็ขาย ”

“ เหรอครับ ” ยิ้มแห้งๆ ตอบรับอีกฝ่ายไปแบบที่ไม่รู้เลยว่าต้องรู้สึกยังไงดี

“ พอดีแฟนเจ้าของผับ แล้วก็เจ้าของผับของเรา เป็นพวกสนใจในเม็ดเงินมากกว่าน่ะครับ ”

“ ฮ่าๆ ” หลุดหัวเราะออกมาทั้งๆที่ก็ไม่ค่อยตลก แล้วคือ ถ้ากูเป็นเจ้าของผับ กับแฟนเจ้าของผับ กูไล่มึงออกไปแล้ว กล้ามากเลย นินทาเจ้านายได้ไง

“ คราวนี้อร่อยแล้วใช่มั้ย ” คนนั่งข้างกันถามในตอนที่เห็นผมยกเครื่องดื่มแก้วใหม่ขึ้นแบบไม่วาง แต่ถึงอย่างงั้น ผมก็แค่ตอบออกไปแบบไม่ออกเสียง

“ เสือก ”
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 16 :: up!27-3-63} #หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 03-04-2020 20:01:39

เป็นการจบบทสนทนาของเราโดยสมบูรณ์แบบที่ผมกับอาร์มไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีกเลยหลังจากนั้น และมีเพียงแค่ร่างสูงตรงหน้าที่ก็พูดคุยกับบาร์เทนเดอร์คนที่ดูแลเราบ้าง แต่นั่นก็ไม่บ่อยเท่าไหร่ อารมณ์ถามมาตอบไป ตามประสาของคนพูดน้อย โดยส่วนใหญ่ก็เอาแต่นั่งมองผมแบบที่ไม่พูดอะไรเหมือนกัน

ค็อกเทลในมือที่กิน จากหนึ่งแก้ว ผมเริ่มสั่งเพิ่มขึ้นจากความเบื่อหน่ายแทบไม่รู้ตัว ปากที่เอ่ยสั่งตามคนนั้นคนนี้ที่สลับผลัดเปลี่ยนมานั่งข้างกันในอีกฝั่ง เพราะเห็นหน้าตาที่ดูน่ากิน  แบบอดไม่ได้

“ ขอแบบนี้ แก้วนึงครับ ” บาร์เทนเดอร์ที่เสิร์ฟค็อกเทลให้กันนิ่งไปในตอนที่ผมพูดแบบนั้น  เค้าเหลือบมองลูกค้าที่เค้าเสิร์ฟ ก่อนที่ใครคนนั้นจะแค่ยิ้มอย่างใจดี

“ ได้ครับ รอสักครู่นะครับ ”

“ ครับผม ” พยักหน้ารับก่อนจะฟุบลงกับโต๊ะที่นั่งในจังหวะที่ทุกอย่างเงียบลงไปอีกครั้ง

น่าแปลกอยู่เหมือนกัน ทั้งๆที่เพลงที่เปิดก็ค่อนข้างเสียงดัง แต่ทำไมบรรยากาศรอบตัวถึงได้ดูเหงาขนาดนี้ แค่เพราะไม่ได้พูดคุยกับใครเหรอวะ

“ ได้แล้วครับ B52 แล้วนี่ก็หลอดครับ ”

“ ขอบคุณครับ ” ดึงตัวเองขึ้นมาจากเค้าท์เตอร์ที่นั่ง แล้วยิ้มให้อีกฝ่าย

“ ขอจุดไฟนะครับ ”

“ ว้าว จุดไฟด้วยเหรอ ” ปรบมือด้วยความประหลาดในสิ่งที่ได้ยิน อย่างห้ามใจไว้ไม่อยู่ “ แต่ เดี๋ยวนะ ผมขอถ่ายรูปไว้หน่อย ขอหามือถือหน่อย ห้าวินาที ” ตบไปตามเสื้อผ้าแบบควานหา “ อยู่ไหนน้า จำได้ว่าใส่มาในกางเกง ”

“ อยู่บนโต๊ะครับ คุณลูกค้า ” หันไปตามที่บาร์เทนเดอร์บอก ผมก็หลุดยิ้มออกมาก่อนจะจับมัน

“ ฮ่าๆ จริงๆ ด้วย โอเค จะถ่ายแล้วนะครับ หนึ่ง สอง สาม เริ่มได้เลย ”

“ ฟังก่อนนะครับ วิธีการกินก็คือ จุ่มหลอดลงไปให้ถึงก้นแก้ว แล้วก็ดูดขึ้นมาเลยนะครับ แบบรัวเดียวหมด ”

“ โอเค๊ ” ยกนิ้วโอเคบอก เป็นอันว่ารู้เรื่อง มือข้างนึงของผมถือหลอดพลางจ้องมองที่แก้วตรงหน้า เปลวไฟเล็กๆถูกจุดขึ้นมา แล้วในวินาทีหลังจากนั้นผมก็ปักหลอดลงไปในแก้ว ก้มหน้าลงดูดขึ้นมาแบบรัวเดียวหมดตามที่สั่ง “ ฮ้า อร่อย ”

“ น้ำหน่อยมั้ยนะครับ ” น้ำเปล่าในแก้วถูกยื่นมาให้ ผมก็ยิ้มรับมันมาแบบตาปิด

“ คุณบาร์เทนเดอร์ผับนี้ใจดีจังน้า ”

“ ขอบคุณครับ ”

“ แล้วคุณชื่ออะไรเหรอครับ ผมชื่อเมี่ยงนะ ” เอียงหน้าบอกอีกฝ่ายไป เค้าก็ยิ้มใจดีให้กัน

“ ชื่ออัยย์ครับผม ”

“ คุณมีแฟนมั้ยครับ ” คำถามที่ไม่คิดว่าจะถาม ถูกหลุดปากถามออกไป อย่างคุมไว้ไม่อยู่

“ ไม่มีครับ คุณละ มีแฟนหรือยังครับ ”

“ ไม่มี ” ส่ายหน้าไปมาด้วยท่าทางเพื่อบอกอีกฝ่าย “ แต่ว่าก็มีคนชอบอยู่นะ  แล้วก็ คนที่ชอบอยู่คนนั้น มีคนที่ชอบอยู่แล้วอีกนึง ซึ่งก็ไม่ใช่ผมหรอกครับ ” ไม่มีเสียงตอบรับอะไรจากคนฟังคำตอบ ในแววตาที่ดูภาพตรงหน้าไม่ชัดและเลือนรางลงทุกที ผมเห็นคุณบาร์เทนเดอร์คนนั้น นั่งมองคนที่นั่งอยู่ข้างกัน “ คงคิดใช่มั้นละ ว่ามันคือไอ้คนที่นั่งเงียบๆ อยู่ข้างผมหรือเปล่า แล้วถ้าคุณคิดแบบนั้น ผมบอกเลยนะครับว่า ถูกต้องนะค้าบ!!! ” ตะโกนออกมาเสียงดังก่อนจะยื่นมือนิ้วถูกต้องไปให้คนตรงหน้าที่ก็หลุดหัวเราะออกมาแทบจะทันที

“ นี่ ” คนข้างกันคว้าเข้าที่แขนอย่างรวดเร็วจนผมเสียหลักล้มลงไปพิงเข้ากับตัวของร่างสูงที่ก็ถอนหายใจออกมา “ ดูไม่ได้เลยนะมึง ”

“ แล้วเสือกอะไรกับมึง ดูไม่ได้ก็ไม่ต้องดูสิ ” ถามแบบนั้นพลางดึงตัวเองขึ้นมาด้วยท่าทางโซซัดโซเซ จนต้องจับไหล่อีกฝ่ายไว้ ผมถอนหายใจ “ ปวดหัวไปหมดเลยไอ้สัด ”

“ ก็ใครใช้ให้มึงแดกเข้าไปขนาดนั้น ” อาร์มพูดก่อนจะลุกขึ้นเต็มความสูง มือหนาข้างนึงกอดเข้ากับเอวผม กระชับร่างที่แม้แต่ยืนยังไม่อยู่ มันถามคนตรงหน้า “ ทั้งหมดเท่าไหร่ครับ ”

“ สักครู่นะครับ ” คำพูดที่ผมได้ยินนั้น มือก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงตัวเองที่ใส่ ผมคว้าเอาอะไรสักอย่างที่คิดว่าจะเป็นกระเป๋าเงินขึ้นมา แต่ก็รู้สึกว่ามันแบนเหลือเกิน “ ทำไมเปิดกระเป๋าตังค์ไม่ออกวะ ”

“ นั่นมันมือถือ ” เสียงทุ้มว่าแบบนั้นก่อนจะหยิบของในมือผมไป “ อยู่นิ่งๆ ได้มั้ย ”

“ นี่ครับ ” เสียงที่ค่อยได้ยินนั้น ผมยืนนิ่งอยู่แบบนั้นนานมากในความรู้สึก ก่อนจะถูกบอกให้เดิน ด้วยฝีมือของคนที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่ยอมปล่อยมือออกจากเอวของผม

อยู่ๆ ขาก็รู้สึกหนัก มันเหมือนมีอะไรมายึดรองเท้าไว้กับพื้นที่เดินผ่าน คล้ายกับพื้นเป็นแม่เหล็ก แล้วใต้เท้าผมก็มีแม่เหล็กนั่นก็อยู่ มันก็เลยดูดกัน  และก่อนที่สติหมดไป ผมจะถูกยัดใส่ลงไปในอะไรสักอย่าง พร้อมกับเสียงหายใจหอบเหนื่อย

“ กว่าจะถึงรถ หนักจริงๆเลย ไอ้แก้มอ้วน ” รู้สึกเจ็บที่แก้มอย่างจังในตอนนั้น แต่ร่างกายทั้งหมดกับชาแบบที่ไม่อยากเคลื่อนไหว ภายในสมองเหมือนม้าหมุนในสวนของหมู่บ้านที่ชอบเล่นตอนเด็กๆ ร่างกายที่นั่งอยู่บนนั้นถูกเหวี่ยงเร็วๆ ด้วยฝีมือของพ่อ และทั้งๆที่ผมพยายามลืมตา แต่นั่นก็หนักไปหมด

“ ปวดหัว ” ความอุ่นของฝ่ามือแนบลงบนหน้าผากในตอนที่ผมพูดแบบนั้น ความอุ่นที่ผมเผลอสะบัดหน้าไปมาแล้วเบือนหน้าหนี " จะอ้วก "

“ อย่านะไอ้สัด ”

“ จะอ้วก ” ย้ำออกไปซ้ำครั้งที่สอง

“ เมี่ยง ”

“ จะอ้วก ” ลมในช่องทางที่เหมือนจะตีขึ้นมา  เป็นจังหวะเดียวกัน กับที่ผมจะได้ยินเสียงเหมือนประตูเปิด พร้อมกับแรงดันจากฝั่งคนขับ ที่เหมือนจะผลักตัวผมออกไปในอีกทาง  ก่อนมวลน้ำและอาหารที่เคยกินจะถูกพ่นออกมาจากทางที่มันเข้าไป

“ ทุเรศจริงๆเลยไอ้สัด ” เสียงเบาๆกำลังยิ้มที่ได้ยินนั้น ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ผมอยู่ในท่าทางแบบไหนถึงเรียกหัวเราะให้อีกฝ่ายได้  แต่ที่รู้คือไม่น่าจะอยู่บนรถ หรือว่าอยู่ก็ไม่แน่ใจ “ หนังเป็ดเป็นหนังเป็ดเลยนะมึง เคี้ยวไม่ละเอียดเลย ” มืออุ่นลูบเข้าที่หลังตอนที่พูดคำนั้น ผมไม่แรงแม้จะตอบโต้ หรือหายใจ แต่ที่แน่ๆเลยคือ ผมรู้สึกดีขึ้นมาก แบบชนิดที่ว่า มากชิบหายเลย “ อ้วกออกมาให้หม จะอ้วกอีกมั้ย ” 

“ น้ำ ขอน้ำกินหน่อย ”

“ ไหวมั้ย ” มือที่ดึงผมให้พิงกับสิ่งที่เรียกว่าเบาะ ฝืนพยักหน้ารับลงก่อนจะลืมตาขึ้นมาก็เห็นคนไม่อยากจะเห็นอยู่ตรงหน้ากัน “ อ้วกแล้วดีขึ้นบ้างมั้ย ”

“ อื้มมมมม ” ผมลากเสียงยาวก่อนจะย้ำ  “ แต่หิวน้ำ ขอน้ำหน่อย ”

“ รู้แล้ว เพราะงั้นมึงนั่งนิ่งๆ ตรงนี้อย่าไปไหน เดี๋ยวกูมา ” ไม่ได้ตอบกลับอะไรอีกฝ่ายไป ผมแค่พยักหน้ารับก่อนที่จะโดนขยี้หัวจนยุ่ง

เสียงฝีเท้าบนพื้นคอนกรีตไกลออกไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นเสียงที่ไม่ได้ยินอีกหลังจากนั้น ก่อนจะกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับความเย็นที่กระทบลงบนหน้าผม

“ เย็น ”

“ ก็น้ำเย็น ” อีกฝ่ายว่าก่อนปากขวดน้ำจะถูกเอามาจ่อที่ปาก” กินซะ ”

จับขวดที่ว่านั้นด้วยความทุลังทุเล น้ำหกไหลออกจากขอบปากกว่าจะจับให้นิ่งได้ ผมกินมันเข้าไปอึกใหญ่ก่อนจะบรือตามองคนที่เอามาให้ ในตอนนั้นอาร์มกำลังแกะอะไรในถุงอยู่ แล้วมันก็คือผ้าเย็น

ในตอนที่เราสบตากัน อีกคนก็กางมันออกแล้วก็เช็ดไปบนหน้าผมด้วยความเบามืออย่างที่ใครคนนึงจะทำให้ใครอีกคนนึงได้ อาร์มๆเช็ดไปบนหน้าบน ด้วยรอยยิ้มใจดีแบบที่ไม่ค่อยเห็น ยิ้มมุมปากที่ดูเหมือนเอ็นดูกันมากๆ

“ เหมือนไอ้แก้มหอมตอนอาบน้ำเสร็จใหม่ๆเลยนะ หูลู่ไปหมด ” อาร์มถอนหายใจ “ เป็นไง ดีขึ้นบ้างมั้ย ” คำถามอ่อนโยนนั้นถามกันในตอนที่ผมมองสบสายตาอีกฝ่าย อยู่ๆความรู้สึกที่อยู่ภายในอกมันก็ค่อยๆตีรื้นขึ้นมา แต่คราวนี้ไม่ได้อ้วก แต่มันกับเป็นสิ่งที่ ผมไม่อยากจะให้มันออกมามากที่สุด

น้ำตาของผม ไหลอาบสองแก้ม 

“ ปวดหัวมากเหรอ ” มันถามย้ำอย่างงั้นอย่างไม่รู้ถึงความรู้สึกของผม “ งั้นกูไปขอยาเค้ามาให้มั้ย ”

“ ไม่ต้องหรอก ” ผมบอกปัดไปแบบนั้นก่อนจะเบือนหน้าอีกคนที่ยังคงมองกันด้วยสายตาห่วงใย

“ นี่ ไม่ไหวก็อย่าฝืน ไม่ใช่เวลาที่มึงจะมาเก่ง ”

“ กูจะกลับบ้านเองนะ ” พยายามดึงตัวองลุกขึ้น เป็นความรู้สึกในใจที่อยากตะโกนกึกก้องว่าไม่อยากจะอยู่ที่นี่แล้ว แม้ขาที่ยังยืนให้ตรงด้วยตัวเองแทบไม่ได้  แม้โลกมันหมุนไปหมด แต่ถึงอย่างงั้นก็ยังไม่อยากจะอยู่ตรงนี้อยู่ดี

กลั้นอะไรไว้ไม่อยู่แล้ว
แม้แต่ความรู้สึกที่อยากจะให้มันอยู่ ก็เพิ่มขึ้นจนอยากจะดึงมากอดไว้
และแบบนั้นแหละ ที่ไม่ได้

“ นี่ กูบอกว่ามันไม่ใช่เวลาที่มึงจะอวดเก่งไง ยืนยังไม่ตรงเลย แล้วมึงจะกลับเองได้ไง เข้าไปนั่งในรถ ” มือที่คว้ากันไว้ แรงของอีกฝ่ายที่มีพยายามดันผมที่พยายามขืนตัวให้เข้าไปด้านในตามเดิม “ เมี่ยง ”

“ กูบอกว่าให้ปล่อยกูไปไง!! ” ตวาดออกไปด้วยเสียงทั้งหมดที่มีก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมา ผมพูดเสียงเบา “ ไม่ได้ยินเหรอ กูบอกว่าให้ปล่อยกูไปไง กูไม่ไหวแล้วจริงๆนะ กูไม่ไหวแล้วมึง จะรั้งไปจนถึงเมื่อไหร่วะ ” ลืมตามองคนตรงหน้าที่มองกันแบบที่ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ผมพิงร่างลงกับเบาะที่นั่งแล้วปล่อยให้น้ำตาน่าอายพวกนั้น ไหลออกมา

“ มึงคิดว่ากูไม่ทรมานเหรอ คิดว่ากูไม่อยากจะอยู่ใกล้ๆมึงเหรอ เปล่าเลย ผิดแล้ว กูอยากอยู่ใกล้มึงมากรู้มั้ย อยากอยู่ใกล้มากๆ มากจนกูอยากให้ความจริงที่กูรู้ ความจริงทุกๆอย่างที่กูได้ยิน เรื่องที่มึงมีคนที่ชอบอยู่แล้ว มันเป็นแค่ฝันของร้ายของกู ที่พอกูตื่นมา ทุกอย่างก็จะหายไป ”

“ เมี่ยง ”

“ ไม่มีใครอยากเป็นคนโง่หรอก ไม่มีใครอยากเป็นคนโง่ในสายตาคนอื่นทั้งนั้น กูเลยพยายามที่วิ่งออกไปอยู่นี่ไง พยายามที่จะวิ่งออกไปให้ไกลจากมึง ” ผมยกยิ้ม ความรู้สึกสมเพชตัวเองกัดกินอยู่ภายในใจ “ แต่สุดท้าย ก็เหมือนกับว่าที่กูวิ่งอยู่ จะเป็นแค่บนลู่วิ่งโง่ๆที่ไม่ได้ไปไหนไกลจากมึงเลยสักนิดเดียวเลย มันไม่ได้เคลื่อนที่ไหนด้วยซ้ำ หนำซ้ำมันยังจมอยู่ตรงนี้เหมือนเดิม ตรงที่ที่มึงยังอยู่กับกู ยังดีกับกู ยังมองกู แล้วก็ยังเป็นห่วงกู ที่ที่กูไม่อยากจะสนใจว่ามึงจะชอบใครอยู่ แต่กูก็ยังอยากจะรักมึงไปแบบนี้ เป็นที่ที่กูอยากบอกตัวเองว่า เอามึงมาให้ได้ ทำให้มึงรัก ทำให้มึงชอบ ชอบจนเลิกชอบใครคนนั้นไปให้ได้ ที่ที่กูไม่อยากจะสนใจคำพูดของคนอื่นที่ด่าว่ากูโง่ มึงมีคนที่ชอบอยู่แล้ว ออกมาสิ โง่อยู่ทำไม แต่กูชอบนี่ กูชอบมึง ชอบ เข้าใจคำว่าชอบมั้ย ใครมันจะอยากไปจากคนที่ชอบ ไม่มีหรอก ”

“ ก็ไม่ต้องไปสิ ” อาร์มที่พูดคำนั้น ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง

“ แต่กูไม่อยากเป็นคนโง่ คนนั้นไง คนที่ใครๆบอกว่า ไม่รักตัวเองเลย ทำไมถึงทำแบบนี้ กูไม่อยากเป็นคนแบบนั้น กูไม่อยากเป้นของตายในความรู้สึกของมึง ของที่อยู่บนชั้นวาง ของที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ มึงจะหยิบไปเล่น ของที่ต้องรอ ต้องภาวนาให้ของเล่นที่มึงชอบ พังไป หรือไม่ก็ตายๆไปสักที มึงเข้าใจมั้ย  กูไม่อยากเป็นแบบนั้น เพราะงั้นปล่อยกูไปเถอะ ” ปลายเสียงของผมเบาหวิว “ อย่าดีกับกูอีกเลย  ปล่อยกูไปเถอะนะอาร์ม ขอร้อง ”

“ ไม่ปล่อย ” เสียงทุ้มของคนตรงหน้าพูดแบบนั้น มือสองข้างที่ถูกจับไว้แน่นของผม มันถูกดึงให้เผชิญหน้ากับสายตาที่มองกันอย่างจริงจัง จนไม่สามารถหันเหไปทางไหนได้อีก “ กูจะไม่มีวันปล่อยคนที่กูชอบไปไหนอีกแล้ว ต่อให้ใครจะว่ายังไง ต่อใครจะจะด่ากูยังไง กูก็จะไม่ปล่อยมึงเด็ดขาด จำไว้ ”

ราวกับคำสัญญาของซาตาน ริมฝีปากบางแนบชิดลงบนริมฝีปากของผม ด้วยความหนักแน่นดั่งคำพูดที่เอ่ยออกมาอย่างเห็นแก่ตัว แม้แต่เสียงที่จะเอียเถียงยังถูกริดรอด อาร์มไม่ปล่อยกัน แม้แต่มือที่พยายามดึงและผลักให้อีกฝ่ายไกลออกไปก็ถูกหยุดให้เคลื่อนไหวลงทั้งอย่างงั้น

มือหนาเลื่อนขึ้นมาจับใบหน้าของผม อาร์มไม่ยอมให้ริมฝีปากระหว่างเรานั้นผละออกไปไหน ดั่งคำที่มันพูดอย่างไม่มีบิดพลิ้ว

นอกจากตัวมันเองที่เป็นคนกำหนด

“ ต่อให้ร้องไห้มากกว่านี้ หรือขอร้องมากกว่านี้ ต่อให้กูต้องกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวในสายตามึงมากกว่านี้ กูก็จะไม่ปล่อยมึงไปไหน แล้วต่อให้จะมึงเกลียดกู กูก็จะไม่ปล่อยมึงไปอยู่ดี ไม่ว่ามึงจะอยู่ไหนกูก้จะตามไป จะตามไปดูแล ไปอยู่ใกล้ กูจะไม่ปล่อยมึงไปไหนอีก ”

“ ต่อให้กูเกลียดมึง ”

“ ก็เชิญเกลียดกูได้ตามสบาย เกลียดให้มากๆ มากแบบที่ต้องคิดถึงทุกวัน ทุกคืนก็ยิ่งดี เพราะไม่ว่ายังไง กูก็จะอยู่ข้างมึงไปแบบนี้ ไม่ปล่อยมึงไปไหนเด็ดขาด”

“ รู้มั้ย กูไม่น่ามากับมึงเลย ” แววตาสั่นไหวของผมพูดกับอีกคนอย่างงั้น “ กูไม่น่าเริ่มเล่นเกมส์นี้ตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ ”

ใบหน้าคมที่ก้มลงต่ำนั้น ไม่มีคำตอบอะไรตอบกลับมาอีก อาร์มแค่กอดผมไว้แน่นแม้จะไมได้รับการกอดรับกลับ  แต่ถึงอย่างงั้นมันก็ยังไม่ยอมผละตัวออกห่างจากกันไปไหน แล้วนั่นก็ดูเหมือนจะเป็นคำตอบของความรู้สึกทั้งหมดที่มันมี

‘ แต่กูไม่เคยเสียใจ ที่ร่วมเล่นเกมส์นี้กับมึง ’  ราวกับว่า อ้อมกอดนี้ จะเป็นเหมือนดั่งคำนั้น

..............................................................
ไม่อุดหนุน ผับสามี ( พี่อาฟเตอร์อารยะ ) แล้วเราจะไปอุดหนุนใคร
ธุรกิจในเครือ ช่วยๆกันนะคะ
ท้ายนี้ รองเท้าใครมาเก็บกลับไปด้วยค้า
อาร์มก็รักเมี่ยง เมี่ยงก็รักอาร์ม แต่นั่นแหละ
ในเมื่อมันไม่พร้อม ก็ต้องเดินออกมา แม้จะไม่อยากออก แต่ก็ต้องออก ไม่มีใครอยากจะเป็นคนโง่หรอก
คนเราทุกคน แท้จริงก็พยายามเข้มแข็ง เพื่อตัวเองกันทั้งนั้น น้องเมี่ยงก็เช่นกัน 
พี่อาร์มเองก็ด้วย เราอาจจะดูเห็นแก่ตัว แต่เราก็รัก รักแบบที่ไม่อยากจะให้ใครเจ็บหรอก แต่เพราะเรื่องของความรักของคนสองคน มันมีที่นั่งแค่สองที่ไง เบื้องต้นคนที่เข้ามาใหม่ แล้วไม่มีที่นั่ง ถึงเราจะบอกว่า มานั่งบนตักเราก็ได้นะ แต่นั่นก็ไม่ใช่อยู่ดี

จากใจคนเขียน อึดอัดชิบหาย ตอนนี้

ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ในทวิตด้วยน้า
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์
หนมมี่

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 17 :: up!3-4-63} #หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 03-04-2020 21:55:29
 :pig4: :pig4: :pig4:

 :mew6: :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 17 :: up!3-4-63} #หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 03-04-2020 23:13:15
นายท่าน หนูอยู่ไหนลูก มาลากเจ้านายหนูกลับห้องที เมาสุด ๆ เลยตอนนี้  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 17 :: up!3-4-63} #หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 04-04-2020 14:35:58
เอาให้สุดเลยอาร์ม ไปให้สุด... :z6:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 17 :: up!3-4-63} #หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 12-04-2020 12:03:05
เออ จ๊ะ ไม่หยุดจ๊ะ ยังไงก็ไม่ยอมจ๊ะ เข้าใจไหมเมี่ยง
อาร์มจะไปต่อ อาร์มไม่ยอมไปไหนแน่ เกลียดก็ยอม

เอ็นดูเมี่ยงมาก รักแล้วแหละ ไม่ได้แค่ชอบแล้วไง
อาการออกขนาดนี้ ต้องให้อาฟเตอร์มาเทรนละนะ
คนมีประสบการณ์ หรือปรึกษาอัยย์ไปก่อนก็ได้

ชอบความชัดเจนของทั้งคู่นะคะ แต่ในเวลานี้ มันเจ็บไปหมดแล้ว
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 18 :: up!12-4-63} #หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 12-04-2020 20:31:41
ตอนที่ 18

ลืมตาตื่นขึ้นมาบนเตียงพร้อมกับความรู้สึกในหัวที่หนักอึ้ง ผมถอนหายใจออกมากับร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรง ราวกับโดนถ่วงไว้ด้วยหินหนัก เพดานว่างเปล่า บรรยากาศและกลิ่นของหมอนค่อนข้างคุ้นชิน มั่นใจมากกว่าครึ่ง แบบที่ต่อให้ไม่หันไปมองโดยรอบ ก็พอรู้ว่าผมอยู่ในห้องนอนของตัวเอง ไม่ใช่สถานที่อื่นใด

“ เห้อ ” ถอนหายใจออกมาเป็นอย่างแรกในตอนที่ดึงตัวเองขึ้นนั่ง สวิตซ์ของความทรงจำถูกเปิดออกมาเป็นภาพของเมื่อวานที่ไหลย้อนเข้ามาในหัวเป็นลำดับ

ตั้งแต่ตอนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ แล้วก็ตอนที่เราคุยกันที่ด้านหน้าของผับ น้ำตาที่ไหลนองหน้าของผมเมื่อคืนนั้น อาร์มที่พยายามเช็ดให้กันหลังจากนั้น ผมจำได้ว่าตัวเองดึงมือนั่นออก แถมยังโวยวายว่าอย่าเข้ามายุ่งแบบใหญ่โต จนสุดท้ายก็สงบลงได้ในตอนที่อีกคนปล่อยให้ผมนิ่งไป แล้วไม่ยุ่งวุ่ยวายอะไรด้วยอีก

เราเดินทางกลับบ้านกันด้วยความเงียบเชียบ และโซซัดโซเซขึ้นตึกมาจนถึงห้องนอนที่ผมเองก็ล้มตัวลงบนเตียงทันทีในตอนที่ถึง ก่อนจะถอดเสื้อแขนยาวของอีกคนออก แล้วโยนมันไปที่ไหนสักที่ พร้อมกับคำพูดที่ว่า ‘ เอาของมึงคืนไปเลย ’

และหลังจากนั้น สติก็วูบดับไป ราวกับภาพตัด 

ยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาของตัวเองอีกครั้ง ผมเกาคอด้วยความคันและเหนียวตัวไปหมด รวมถึงความรู้สึกแปลกในปาก ที่รับรู้ได้เลยว่าเมื่อคืนไม่ได้ผ่านการทำความสะอาดมาแต่ใด แม้ว่าจะชุดที่ใส่อยู่จะเป็นชุดนอน

“ แต่เดี๋ยวนไอ้สัด ชุดนอนเหรอวะ ” ขมวดคิ้วกับตัวเองในตอนที่ขบคิด ผมลุกขึ้นยืนบนเตียงทันทีราวกับต้องของร้อน ชุดบอลที่ใส่อยู่ ไม่มีอยู่ในความทรงจำเมื่อคืนเลยว่าตัวเองเป็นคนผลัดเปลี่ยน และความเป็นไปได้ที่พอจะเกิดขึ้นนั่นก็คือ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก 

หันสายตาไปที่ประตูห้องนอนในตอนที่ได้ยิน แต่ผมทำได้แค่นิ่งอยู่แบบนั้นไม่ได้เดินออกไปเปิดมันแต่อย่างใด หัวใจวูบหล่นลงไปที่ตาตุ่มแบบอัตโนมัติ เอาจริงๆก็ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะภาวนาให้เป็นคนอื่นได้เลยด้วยซ้ำต่อให้ทบทวนยังไง ก็ต้องเป็นมัน คนที่ไม่อยากจะเจอมากที่สุด

แล้วในตอนนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดออก

“ อ้าว ตื่นอยู่เหรอ แล้วกูเคาะ ทำไมไม่เปิดประตู  ” ผู้ชายคนที่เป็นทั้งน้องเขยของพี่สาวผม และก็เป็นทั้งคนในเรื่องราวเฮงซวยที่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะจบสิ้นปรากกฏขึ้นตรงหน้าด้วยท่าทีสบายๆตามฉบับ

“ ไอ้สัด ” เผลอสบถออกไปแบบนั้นก่อนจะถอนหายใจ อาร์มเลิกคิ้วมองกัน มันที่ก็ยกยิ้ม “ ยิ้มเหี้ยอะไร ”

“ ชุดนอนถูกใจมั้ย ” ก้มลงมองชุดบอลที่ใส่อยู่ผมไม่ได้พูดอะไร “ ทีมโปรดกูเลยนะ ตอนเค้นตู้เสื้อผ้ามึง ไม่ยักรู้ว่าเราเชียร์บอลทีมเดียวกัน ”

“ มึงชอบมาดริด ”

“ แน่นอน ”

“ งั้นต่อไปกูจะเชียร์บาร์ซ่า ” เชิดหน้าบอกอย่างงั้นก่อนจะก้มหน้าลงมาเสื้อสีบอลสีขาวทีมโปรดที่ใส่อยู่ ผมเดินลงไปยืนประชันหน้ากับร่างสูงด้านล่าง “ แล้วเดี๋ยวกูอาบน้ำเสร็จ จะโยนชุดเหี้ยนี่ลงถังขยะไปเลย ”

“ นิสัยไม่ดี ไอ้แก้มอ้วน ” มันว่าเสียงเบาๆ ก่อนจะเหลือบมองกัน

“ ห๊ะ ? ” เอื้อมมือขึ้นจับแก้มตัวเองอัตโนมัติ แต่อีกคนก็แค่เลิกคิ้วติกันด้วยใบหน้าแบบที่เสียความรู้สึกจากคำพูดของผม

 “ คนเค้าอุตส่าห์เปลี่ยนชุดนอนให้มันสบายๆ แทนที่จะขอบคุณกันสักคำ ก็ไม่มี  รู้แบบนี้น่าจะปล่อยให้นอนจมเสื้อเหม็นอ้วก ”

“ เออ ทีหลังก็ปล่อยให้กูนอนจมกองอ้วกอย่างงั้นแหละ แล้วมึงมาเสือกเรื่องกูทำไม ” ผมถามกลับ “ ก็เสือกทำให้เองมั้ย แล้วจะมาขอคำขอบคุณเพื่อ ? ”

ไม่มีเสียงตอบรับจากคนตรงหน้า สายตาคมที่จ้องมองกันนิ่งๆอย่างงั้น อาร์มคงไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดแบบนั้นจากปากของผม คนที่ปกติ จะขอบคุณออกมาถึงแม้จะเป็นมันคนที่ไม่อยากจะขอบคุณยังไงก็ตาม

แต่ทว่าถึงอย่างงั้นอาร์มก็แค่ถอนหายใจราวกับทิ้งขวางความรู้สึกไม่ดีพวกนั้นอย่างจำยอม แล้วดึงมือหนาขึ้นจับแก้มของผมแล้วบีบแน่น

“ โอ๊ย ”

“ ปากนี่นะ ” เสียงทุ้มที่เอ่ยบอกกันเรียบๆในตอนที่จ้องหน้า แต่ผมเองก็ไม่ได้ผละสายตาออกไปไหนเช่นกัน ยังคงจ้องอีกฝ่ายอยู่แบบนั้น อย่างข่มใจไว้แบบที่ไม่ให้มันสั่นไหว อย่างที่เคยเป็นมา

เพราะไม่อยากจะเป็นแล้ว กับคนใจอ่อนคนนั้น ที่มันคล้ายกับลูกแมวอยากมีเจ้าของ จนต้องคอยวิ่งไล่ตามอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา

“ ปล่อยไอ้สัด ” ดึงหน้าตัวเองออกจากฝ่ามือหนาข้างนั้น ก่อนจะเดินผ่านอีกฝ่ายออกไปอย่างไม่ใส่ใจอะไรอีก

สายตาผมกวาดไปทั่วส่วนกลางของห้องที่มีแต่ความเงียบเชียบ ค้นพบว่าสิ่งมีชีวิตที่ปกติจะนั่งกระดิกหางอยู่บนโซฟาแบบสบายอารมณ์ตอนนี้มันไม่อยู่แม้แต่ตรงที่กินอาหาร หรือว่าคอนโดประจำตัว “ นายท่านไปไหนวะ ” พูดกับตัวเองเสียงเบาๆก่อนจะมองไปตามใต้โซฟา หรือแม้แต่ในครัว “ นายท่าน เมี๊ยวๆ อยู่ไหนวะ ออกมาก ”

“ อยู่ห้องกู ” คนที่เดินตามออกมาว่าแบบนั้น ผมก็ได้แต่ถอนหายใจพลางเหลือบมองอย่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อ

คำถามที่ว่า ทำไมต้องพยายามทำให้กูเข้าไปพัวพันกับทุกเรื่องของมึง ถูกกลืนลงคอไปเพราะเป็นอะไรที่เหมือนจะรู้คำตอบอยู่แล้ว คนตรงหน้าก็บอกกันอยู่เมื่อคืน ไม่ว่ายังไงก็จะไม่มีวันปล่อยไป

ก็คล้ายกันเส้นไหมพรม ถ้าไม่เอามันไปเกี่ยวพันกันอะไรสักอย่างจนยุ่งเหยิง ให้ต้องนั่งแก้ มันก็จะเป็นแค่ไหมพรมธรรมดาที่อยู่ในม้วนของมันอย่างงั้น แต่บางทีอาร์มคงลืมคิดไปอย่าง

เส้นไหมพรมในความรู้สึก บางทีถ้ามันแก้ยากนัก
คนบางคนจะจัดการมันง่ายๆด้วยการตัดส่วนที่ยุ่งเหยิงนั้นออกไป
ถ้าไม่สำคัญอะไร ไม่มีใครเสียเวลานั่งแก้มันหรอก
และมันก็ไม่ควรมั่นใจ ว่าตัวเองจะสำคัญมากพอ จนผมต้องเสียเวลามานั่งแก้

“ ไอ้นายท่านมันอยากจะไปอยู่ห้องกู ” ร่างสูงว่าแบบนั้น “ เมื่อเช้ามันมายืนร้องเหมี๊ยวๆอยู่ที่หน้าห้อง ข่วนอยู่ตรงประตู กูเลยคิดว่ามันน่าจะคิดถึงแก้มหอมเลยอุ้มพาไปหาแก้มหอม ”

“ นั่นมันปกติอยู่แล้ว ” ผมบอกก่อนจะเดินตรงไปที่ตู้เย็น อย่างพยายามพูดและข้องเกี่ยวกับอีกฝ่ายให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ ปกติตอนเช้าไอ้นายท่านมันจะข่วนประตูแล้วก็ร้องให้กูเปิดประตูให้ เพราะมันจะขึ้นมานอนบนเตียงด้วยกัน ”

“ เหรอ ”

“ ห้องมึงล็อคมั้ยตอนนี้ ”

“ ถามทำไม ”

“ กูจะไปเอาแมวกูคืนมาสิ จะไปอยู่ทำไมห้องคนอื่น ห้องตัวเองก็มี ” ว่าแบบนั้นก่อนจะวางแก้วน้ำที่กินหมดลงที่เค้าท์เตอร์ที่ว่าง แต่ยังไม่ทันได้หมุนตัวเดินไปทางประตู สายตาผมก็เผลอไปเห็นเสียก่อน กับโจ๊กร้อนๆหน้าตาน่ากินที่กำลังโชยกลิ่นหอมอยู่บนโต๊ะในครัว

“ กินโจ๊ก แล้วกูจะให้ไป ”

“ คือมึงมีสิทธิ์อะไรมาสั่งกูก่อน ” หันไปถามมันยิ้มๆ อีกคนก็แค่มองกันแบบเหนื่อยใจ

“ แล้วทำไมวันนี้มึงดื้อนัก ” ร่างสูงเลิกคิ้วถาม “ เป็นอะไร ”

“ เป็นอะไร ? ” ผมทวนคำพูดนั้นก่อนจะยิ้ม “ มึงถามออกมาได้ยังไงว่าเป็นอะไร คือมึงก็น่าจะรู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอวะ ต้องพูดซ้ำอีกเหรอ ” อาร์มถอนหายใจพลางเหลือบไปมองทางอื่นในตอนที่ผมถามแบบนั้น “ กูก็บอกอยู่เมื่อคืน ว่าอย่าเข้ามายุ่งเรื่องของกูอีก ถ้ามึงยังชอบใครคนนั้นอยู่ก็ชอบไป เลิกชอบเมื่อไหร่ก็ค่อยมาคุยกันอีกที เพราะงั้นหน้าที่ของกูก็ผลักมึงออกไปมันก็ถูกต้องแล้วนี่ ต่อให้มึงเดินเข้ามาหาเท่าไหร่ ก็ต้องผลักออกไปเท่านั้นไง ”

“ กินข้าวก่อนเถอะ แล้วกินยาแก้แฮงค์สักหน่อย ” อีกฝ่ายพยายามเปลี่ยนเรื่อง “ มึงยังปวดหัวอยู่มั้ย ”

“ กูถามว่าห้องล็อคอยู่มั้ย ”

“ กินก่อนแล้วจะบอก ” อีกฝ่ายว่าแบบนั้นก่อนจะเดินเข้ามาในครัวของผม อาร์มเปิดลิ้นชักด้าน
บนที่ใส่ช้อนเอาไว้ มันหยิบช้อนกลางสำหรับกินโจ๊กที่ว่ามายื่นให้กัน

“ แค่กูกินเข้าไปให้หมดใช่มั้ย ”

“ อื้ม ” ร่างสูงพยักหน้ารับ ผมก็เดินไปที่โต๊ะแบบที่ไม่ได้รับช้อนมาจากมือของคนยื่นมาให้ แต่คว้าเอาถ้วยใส่โจ๊กที่อุ่นพอดีกินนั่นขึ้นมาแทน

ก้มลงมองหน้าตาอาหารที่โคตรน่ากินนั่นอยู่สักพัก กลิ่นหอมที่โชยเข้าจมูก ถ้าเป็นปกติผมคงนั่งลงแต่โดยดี รับช้อนที่อีกฝ่ายยื่นมาให้ก่อนจะซัดมันไปจนเกลี้ยงถ้วย แบบที่ยกยอดทุกอารมณ์ของตัวเองทั้งหมดไปไว้คราวหน้า

‘ แต่ครั้งนี้มันจะไม่เป็นแบบหรอก ’  บอกกับตัวเองในใจ ก่อนเดินกลับเข้ามาในครัวพร้อมถ้วยใบนั้น แล้วจัดการเทมันทิ้งไปในถังขยะสำหรับใส่เศษอาหารต่อหน้าต่อตาคนที่ทำมันมาให้ ถ้วยเปล่านั้นวางลงในซิงค์น้ำ ก่อนจะเงยมองอีกฝ่าย

“ หมดแล้ว คราวนี้ก็โอเคแล้วใช่มั้ย ” ไม่มีเสียงตอบรับอะไรจากคนตรงหน้า แต่รับรู้ได้ถึงความเสียใจที่ฉายออกมาผ่านแววตานั้นที่จ้องมองกันแบบไม่มีปิดบัง อาร์มผ่อนลมหายใจออกมา มันยกมือขึ้นเสยผมของตัวเองอย่างไม่รู้จะพูดอะไร ทุกอย่างเงียบไปสักพัก

ก็รู้อยู่หรอกว่ามันไม่น่ารัก กับท่าทาง และการกระทำทั้งหมดนั้น ผมเองก็รู้สึก ความว่างเปล่าในใจที่คล้ายกับหลุมลึกพวกนั้น เจ็บไปหมดเหมือนกัน แล้วก็เสียใจเหมือนกันที่ต้องทำแบบนั้นลงไป ทั้งๆที่ก็รู้ดีอยู่ ว่าโจ๊กนั้นอีกฝ่ายคงลงมือทำด้วยตัวเองตั้งแต่เช้าเพราะความเป็นห่วง

อาร์มคงรู้สึกเสียใจ ผมรู้ มันคงอยากจะพูดอะไรออกมา คำพูดที่บอกว่าตัวเองก็พยายามในแบบของตัวเองอยู่ พยายามบอกกันทุกอย่างแล้วจากทั้งการกระทำและคำพูด  แต่นั้นก็คงเป็นแค่คำซ้ำๆเดิมๆที่สุดท้ายมันก็วกไปวนมา เหมือนอย่างคำพูดที่มันพูดเมื่อคืน

เป็นคำพูดที่มีแค่ไม่กี่ประโยค แต่ความหมายก็คือ ผมเจ็บเหมือนเดิม
เพราะงั้นก็คงต้องพอแล้วเมี่ยง สงสารหัวใจมึงบ้าง

“ ตกลงที่ห้องล็อคกุญแจมั้ย ” ผมถามซ้ำแต่อีกฝ่ายก็ยังนิ่ง อาร์มยังคงมองหน้าผมด้วยความรู้สึกที่คล้ายกับว่าอยากจะพูดอะไรสักอย่างอยู่เหมือนกัน แต่ก็นั่นแหละ “ กูไม่ได้อยากฟังนะ ถ้ามึงคิดจะพูดอะไร กูไม่ได้อยากฟังแล้ว และกูจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย ทั้งเมื่อวาน ทั้งเมื่อคืน พอได้แล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว เพราะพูดไปมันก็เหมือนเดิม ”

“ งั้นกูขอแค่กอดมึงได้มั้ย ” อย่างไม่ได้ทันได้อนุญาตอะไร ร่างสูงดึงตัวเองเข้ามากอดผมไว้แน่น ใบหน้าคมที่ซบลงกับไหล่ สัมผัสถึงลมหายใจที่ค่อยๆผ่อนออกมาอย่างเศร้าสร้อยจนไม่รู้จะพูดอะไร “ กูไม่รู้จะทำยังไงแล้ว กูไม่อยากจะเสียมึงไป แต่กูก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้วให้มึงอยู่ เมี่ยง ” อาร์มเรียกผมตรงท้ายประโยคนั้น “ ถึงมันจะเห็นแก่ชิบหาย แต่มีอะไรรับประกันได้บ้าง ว่าถ้ากูปล่อย มึงจะไม่หายไป ”

“ ไม่มี ” ผมตอบตามความจริง ก่อนจะยิ้มทั้งๆที่ก็ไม่ได้ดึงตัวเองออกห่างจากอีกฝ่ายไปไหน “ แล้วอาร์ม ทำไมมึงไม่คิดบ้างละ ว่าถ้าคนที่มึงชอบเค้าตอบรับรักมึงขึ้นมา บางทีมึงอาจจะไม่อยากจะหันกลับมาหากูแล้วก็ได้นะ แล้วแบบนั้นกูจะเป็นยังไงต่อไป ไม่สงสารกูเหรอวะ ”
 
อาร์มเงียบไปอีกครั้ง ผมไม่รู้ว่ามันอยากจะตอบอะไรบ้างมั้ย แต่ในตอนที่อีกฝ่ายค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมาอ้อมกอดที่ถูกผละออกในตอนนั้น สายตาที่มองกัน มันปฎิเสธด้วยแววตาที่ดูออกได้แค่ว่า ‘ เรื่องแบบนั้นคงไม่มีทางเกิด เรื่องที่คนที่มันชอบ จะหันมาชอบกัน ’ 

สำหรับอาร์มกับใครคนนั้น
เรื่องราวทุกอย่างดูสิ้นหวังเกินกว่าที่ผมจะเอ่ยถามออกไปด้วยซ้ำว่ามันเป็นมายังไง

“ คือกูชอบเค้ามานาน มันนานพอที่กูมั่นใจได้ว่า ที่เค้าพูดว่าให้กูรอ เพราะแค่อยากจะให้กูอยู่กับเค้าตรงนั้น แต่เพราะกูทนอยู่ตรงนั้นมานานอีกนั่นแหละ จะบอกให้กูเลิกชอบตอนนี้ และภายในวินาทีนี้ ”

“ มันไม่ได้ อื้ม กูรู้ ”

“ แล้วต่อให้กูพูดกับมึงไป ว่าเลิกชอบแล้ว มึงก็ไม่เชื่อกูอยู่ดี แล้วกูก็ไม่อยากจะโกหกมึงด้วยคำพูดแบบนั้น ”

“ ดีแล้ว เพราะเหี้ยหลายเรื่องไม่ดีหรอก ”

“ เมี่ยง..” อาร์มถอนหายใจออกมา

ก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจหรอก ผมเข้าใจมันทุกอย่างเลยด้วยซ้ำ มันไม่มีใครเลิกชอบคนที่ชอบอยู่ได้ ผมเองก็ทำไม่ได้เหมือนกันถ้าให้เลิกชอบมันตอนนี้ และวินาทีนี้ ทุกอย่างต้องใช้เวลาทั้งนั้น

“ กูรู้ แต่ถึงอย่างงั้น มันก็ไม่ควรมีใครอยู่ในสถานะที่เป็นของตายของใครไง ไม่ควรมีใครอยู่ในสถานะน่าสมเพชที่ต้องรอเค้าเลิกรักคนของเค้า แล้วเค้าก็จะมารักเรา” ผมถอนหายใจออกมา “ กูไม่ใช่ตุ๊กตานะที่มึงจะทำยังไงกับมันก็ได้ ไม่ใช่ตุ๊กตาที่ยังยิ้มกับการที่เห็นเจ้าของพึงพอใจกับของเล่นของคนอื่น กูไม่ใช่อะไรแบบนั้น ”

“ เมี่ยง ”

“ มึงเอาแต่พูดเข้าข้างตัวเองตลอดเลย มึงเอาแต่ถามว่ามีอะไรรับประกันได้บ้างว่ามึงจะไม่เสียกูไป แล้วงั้นกูถามได้มั้ย ว่ามันมีอะไรรับประกันได้บ้างว่ามึงจะหมดรักคนที่ชอบ แล้วมาชอบกูจริงๆ จะรักกูหมดหัวใจจริงๆ ไม่ใช่ว่าพอเค้ากลับมาชอบมึง มึงก็ไป มีอะไรรับประกันกับกูได้บ้างว่ามันจะไม่เป็นแบบนั้น ”

คนตรงหน้าไม่ได้พูดอะไร อาร์มแค่มองกันนิ่งๆไปสักพัก “ แล้วกูตอบอะไรได้บ้าง ถ้าพูดว่าตอนนี้กูไม่อยากเสียมึงไปเลย มึงจะเชื่อมั้ย ถ้าพูดว่ากูไม่คิดถึงคนที่เคยคิดถึงทุกวัน เพราะเอาแต่คิดถึงมึง มึงจะเชื่อมั้ย ใจกูเอาแต่พะวงถึงแต่มึงแทบจะทุกวินาที

กูที่เอาแต่คิดว่าจะทำยังไงดีกับเรื่องของเรา กูที่ดีใจแม้แต่เรื่องเล็กๆเพราะมึงแค่ยิ้มให้ ดีใจกับแค่เพราะรู้ว่ามึงเป็นน้องชายของพี่สะใภ้กู  กูดีใจกับทุกเรื่องที่มีมึงอยู่ข้างกัน แต่กูก็ไม่รู้ว่ากูพูดได้มั้ย  กูไม่รู้ว่ากูต้องทำยังไง มึงบอกให้เลิกรักคนเก่าก่อน แล้วกูต้องทำอะไรมันถึงจะพิสูจน์ได้ว่ากูเลิกรักเค้าแล้ว มันไม่ใช่ว่ามึงต้องมาเห็นเองเหรอ  ให้กูแค่บอก แล้วมึงจะเชื่อกูเหรอ  ”

“ อาร์ม..”

“ คือทำไมทุกคนต้องคอยเอาแต่บอกว่าให้กูหยุด ให้กูรอ รอก่อนนะ รอก่อน ปล่อยกูไปนะ พอได้แล้ว ทั้งๆที่กูแค่รักมึงเอง แต่ทำไมกูไม่เคยได้รักใครเลย ทำไมพอกูรักใคร มันถึงมีแต่คำพูดพวกนี้ ทำไมไม่มีใครบอกกูสักคนว่ากูจะต้องทำยังไงต่อไปกับความรักของกูที่แค่อยากจะให้ใครสักคนไป ” ร่างสูงผ่อนลมหายใจออกมา

“ มึงเอาแต่บอกให้ปล่อย คือจะปล่อยไปได้ยังไง  ปล่อยคนที่กูรักไป กูจะได้คืนมึงมามั้ยก็ไม่รู้  แล้วจะให้กูปล่อยเหรอ งั้นถ้ากูปล่อย กูถามกลับว่า กูจะได้มึงกลับมามั้ย ก็บอกอีกว่า เห็นแก่ตัว ทำไมถามแบบนิ้ แล้วพูดอะไรได้อีกวะ ” สายตาคมนั้นมองกัน “ กูควรพูดแบบไหน ควรถามว่าอะไร ควรยืนอยู่ตรงไหน มึงบอกกูสิ มึงบอกกูมาเลย แล้วกูจะปล่อยมึงไป แต่อย่ามาเอาแต่บอกว่า ปล่อยกูๆอยู่แบบนี้ ” สองมือข้างนั้นเอื้อมมือมาจับแขนผม “ ว่าไง ตอบกูสิ จุดที่กูยืนได้คือต้องห่างจากมึงแค่ไหน แล้วกูต้องทำยังไง มึงถึงจะมั่นใจว่ากูชอบมึงคนเดียว กูต้องทำมากแค่ไหน ต้องแสดงออกยังไงบ้าง มึงบอกกูสิกุจะทำให้หมดเลย  ”

“ ไม่รู้ ”  ตอบออกไปแบบนั้นคนฟังก็ก้มหน้าลง พร้อมกับสองมือที่ปล่อยแขนผม

“ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ตลอดเลยวะ คนคนนึงบอกให้กูรอ กูก็รออย่างมีความหวัง แต่พอวันนึงกูมาเจอมึง คนที่ทำให้กูไม่อยากจะรออะไรอีกแล้ว แต่กูก็เข้าไปใกล้มึงไม่ได้อีกเพราะกูยังรักอีกคนอยู่ ” รอยยิ้มนั้นราวกับสมเพชตัวเอง “  เออ กูเข้าใจนะ มันไม่มีใครอยากรักคนที่หัวใจมันคาราคาซังแบบนี้ แต่ขอเถอะอย่าไล่กูอย่างเดียวได้มั้ย มึงบอกสิเมี่ยง กูต้องทำยังไง ต้องแสดงออกยังไง มึงถึงจะเชื่อว่ากูรักมึงคนดียว อย่าเอาแต่ไล่กูแบบนี้ เพราะกูเองก็มีหัวใจ อยากให้มึงรักเหมือนกัน ไม่ใช่แค่มึงที่รู้วึกอย่างงั้น ” คนตรงหน้าถอนหายใจ อาร์มยังมือขยี้หัวตัวเองจนยุ่งราวกับจะระบายอารมณ์

“ ความรักของกูแม่งน่ารังเกียจขนาดนี้เลยเหรอวะ ทำไมแม่ง ไม่มีใครอยากได้เลย ทำไมชีวิตกูมันถึงเป็นแบบนี้ ทำไมจังหวะชีวิตมันถึงนรกแบบนี้ มันเพราะอะไร กูแม่งต้องทำยังไงวะ ต้องปล่อยไปอีกแล้วเหรอ ทั้งๆที่กูแค่อยากจะรักมึงนี่อะนะ  ไม่มีทางให้กูไปบ้างเลยหรือไง ต้องปล่อยมึงอย่างเดียวเลยเหรอ มันถึงจะโอเคสำหรับมึง ปล่อยคนที่กูรักไปนี่อะนะ ”

นั่นมันก็จริง เอาแต่บอกให้ปล่อย แต่ทำไมไม่บอกกันบ้างว่าต้องทำยังไง ต้องพิสูจน์ยังไง ที่ผลสุดท้ายผมจะยังอยู่

สุดท้ายก็ได้แต่นิ่งค้าง ปากใบ้กินไปจนพูดอะไรไม่ออก ความรู้สึกรักเพราะมันเป็นเรื่องของคนสองคน ก็เลยมีสองความรู้สึก จริงอยู่ที่เราไม่ควรมองแค่ความรู้สึกของตัวเอง แล้วในตอนนี้ก็เหมือนผมได้รู้ ถึงความรู้สึกของคนตรงหน้าที่มันไหลออกมาจากใจที่ก็คงกดไว้อยู่นาน

อาร์มที่พยายามสงบสติกับความรู้สึกพวกนั้น มันเหมือนคนที่เดินถึงจุดสูงสุดของความอดทนที่พยายามจะดื้อดึงมาตลอด จนมันตรอกแล้ว และไม่มีอะไรจะเสียอีก

“ มึง..”

“ นี่กุญแจ ” อาร์มโยนมันมาให้ผมที่ก็คว้ารับไว้มัน “ เอานายท่านออกมาเสร็จ ก็ปิดประตูได้เลย กุญแจก็วางไว้ห้อง”

“ แล้วมึงจะเข้าห้องยังไง ”

“ กูมีกุญแจสำรองอยู่ในรถ ” ว่าแบบนั้นก่อนจะดึงกุญแจรถของตัวเองขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงตัวที่สวมอยู่ แต่ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินออกไปอาร์มหยุดอยู่ที่หน้าประตูตรงนั้น มือที่กำลังจะเปิดประตูออกไป แต่อีกฝ่ายก็แค่ปล่อยมันลง “ กูขอโทษ กูไม่น่าพูดอย่างงั้น ทั้งๆที่กูเองก็รู้ดีกว่าใคร ว่าการที่โดนบอกให้รอ มันเจ็บแค่ไหน แต่กูก็ยังเห็นแก่ตัว รั้งมึงให้อยู่กับกู ” อาร์มถอนหายใจมันหันมามองหน้าผม

“ อะไร ” ถามออกไปแบบนั้นเพราะเหมือนในแววตามันมีอะไรที่ยังอยากจะพูดต่อ บางทีอาจจะเป็นเรื่องนั้น   เรื่องที่มันอยากรู้ว่ามันต้องยืนอยู่จุดไหน หรือไม่ก็อาจจะเรื่อง ที่ต้องทำยังไง ผมถึงรู้สึกว่าตอนนี้มันรักแค่ผมคนเดียว

“ โทษที ” ย้ำกันแบบนั้น ใบหน้าคมส่ายหน้าไปมาอย่างสลัดความคิดทิ้งไป อาร์มเดินออกจากห้องผมไปในท้ายที่สุด

.........................................................

หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 17 :: up!3-4-63} #หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 12-04-2020 20:32:05

ภายในรถค่อนข้างเงียบเชียบ เครื่องยนต์ที่ถูกสตาร์ททิ้งไว้ แอร์เย็นไม่ได้ทำให้ผ่อนคลายลง และแม้แต่เพลงที่ดังขึ้นมาอัตโนมัตินั่น ผมก็ปิดมันทิ้งไป ร่างกายหยุดนิ่งไปหมด แม้แต่ความรู้สึกก็ด้วย ผมหวนนึกถึงคำพูดที่ผมพูดทั้งเมื่อคืน และเมื่อครู่ ก่อนจะหลับตาลงอย่างไม่รู้เลยว่าต้องพาตัวเองไปอยู่ตรงไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องทำยังไงต่อไป

‘ แค่อยากจะรักเอง ยากขนาดนี้เลยเหรอวะ ’ ถอนหายใจออกมาในตอนที่หยิบมือถือขึ้นมา แจ้งเตือนมากมายปรากฏอยู่บนนั้น ดีนส่งข้อความมาหากันตั้งแต่หลังเลิกเรียน เรื่องที่มันยังคงคิดว่าทำไมผมถึงงอนมันไม่เลิก แล้วก็สายโทรเข้าที่มาจากดีนอีกนั่นแหละ แต่ผมก็ไม่ได้กดรับแต่อย่างใด

“ ไอ้โฮมก็โทรมาเหรอวะ ” เบอร์ที่ไม่คิดจะโทรเข้ามาหากันถ้าไม่เรื่องด่วนปรากฏขึ้นมา โฮมที่ผมรู้จักถือคติ ถ้าเรื่องด่วนมันจะโทร แต่ถ้าเรื่องไม่ด่วนก็จะแค่ไลน์ฝากข้อความไว้ แล้วด้วยนิสัยนั้นทำให้ผมกดโทรออก

“ ไม่โทรกลับคืนนี้เลยละไอ้สัด ” ปลายสายที่รอไม่นานกดรับแล้วทักกันมาอย่างงั้น “ เมื่อคืนไอ้ดีนโทรมาหากูเป็นสิบสาย ถามว่ามึงเป็นอะไร โกรธมันเรื่องอะไร ”

“ เหรอ ” เรื่องแปลกอีกเรื่องเกิดขึ้นแล้ว เพราะปกติดีนไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ มันชอบคิดว่าผมงอน ปล่อยไปเดี๋ยวก็หาย และแน่นอนผมก็เป็นอย่างที่มันว่ามาตลอด

“ กูตอบว่าไม่ได้เป็นอะไร มันก็ไม่เชื่อ มันบอกช่วงนี้มึงดูมีความลับกับมัน”

“ เราดูสนิทกันเหรอ มันถึงไปถามมึง ”

“ ไม่ ” ปลายสายว่าอย่างงั้น “ แต่เพราะไอ้สัดจุ้นไม่น่าช่วยมันได้ไง ” ผมหลุดยิ้มออกมา เมื่อนึกถึงคนที่วันๆเอาแต่ร่าเริงอย่างเดียว ไม่ต่างอะไรกับเด็กเล็กแบบไอ้สัดนั่น “ กูบอกมันไปว่าไม่มีอะไรหรอก แต่มันก็บอกว่า กูแม่งน่าจะรู้อะไร เพราะการที่มึงไม่คุยกับมัน เป็นเรื่องแปลก แต่กูที่ดูไม่แปลกใจ ก็น่าจะรู้อะไรอยู่ก่อนแล้ว ”

“ อื้ม แล้วมึงรู้อะไรบ้างมั้ย ” ผมถาม อีกคนก็นิ่ง

“ รู้ว่ามึงแอบไอ้ดีนมานานมากแล้ว แต่ไม่ได้คบกัน ส่วนเหตุผลอะไรนั่นกูก็ไม่รู้ แล้วตอนนี้ที่มึงห่างจากมัน จริงๆไม่ควรเรียกว่าห่าง ควรจะบอกว่ามึงแค่มีเรื่องที่สนใจมากกว่า แล้วนั่นก็คือเรื่องของไอ้แก้มก้อน ”

“ ไอ้แก้มก้อน ” หลุดพูดออกมาในตอนที่ใบหน้าของคนที่แค่ได้ยินชื่อเรียกก็นึกเห็นเป็นภาพขึ้นมาได้ทันที อย่างไม่ต้องสงสัยนานว่า อีกฝ่ายหมายถึงใคร “ ไอ้สัด ”

“ ก็หน้ามันเหมาะกับคำนั้น ” ไอ้โฮมมันย้ำ “ เวลายิ้มแล้วแก้มกลมสัด จนต้องเรียกว่าไอ้แก้มก้อน ”

“ น่ารักดี ”

“ หมายถึงกู ” อีกฝ่ายถามแบบไม่คิด

“ เค้าสิ ”

“ แล้วนี่มึงโทรกลับหาไอ้ดีนยัง ”

“ ยัง ขี้เกียจ ไม่มีอารมณ์ด้วย ” ผมตอบไปตามตรงก่อนจะพิงหลังกับเบาะที่นั่ง “ พูดไปมันก็ไม่เชื่อ มั่นใจอยู่นั่นว่ากูงอนมัน กูแม่งไม่อยากจะพูดเดิมๆแล้ว เหนื่อย แค่นี้ก็เหนื่อยชิบหายอยู่แล้ว อะไรที่ไร้สาระไม่อยากสนใจก่อน ”

“ เหรอ ไร้สาระเหรอ ”

“ อื้ม ”

“ แล้วเรื่องไปถึงไหนแล้ว ” เงียบไปสักพัก ปลายสายก็เอ่ยถามขึ้น “ หมายถึงไอ้แก้มก้อนอะ ”

“ คงต้องหยุดแล้วมั้ง ไม่รู้ว่ะ ไม่รู้ต้องทำยังไงดีแล้วเหมือนกัน ”

“ หมายความว่ายังไง ”

“ ก็ตามที่พูด ” ผมตอบไปตามความจริงที่รู้สึก “ กูไม่มีทางให้เดินแล้ว คงต้องหยุด ”

“ ยังไงวะ ขอเสือกหน่อย ”

“ ขี้เสือก เหมือนกันเหรอวะ ” ได้ยินเสียงหัวเราะตอบกลับมา “ กูแค่บอกเค้าไปตามจริง ว่ากูมีคนที่ชอบอยู่แล้ว ”

“ แล้วมึงจะไปบอกทำไม ” ปลายสายถาม “ เป็นกู กูจะไม่บอก กูจะจัดการชีวิตของกูเงียบๆ ไม่ได้จับปลาสองมือนะ แค่ปล่อยอีกตัวไปอย่างที่ไม่ให้อีกตัวรู้  ”

“ เห็นแก่ตัว ”

“ แล้วคนที่มันไม่เห็นแก่ตัว ตอนนี้มันเป็นยังไงบ้าง ” ผมเงียบ “ ก็ไม่ได้ดีนี่ ”

“ กูบอกเค้าไปว่ากูมีคนที่ชอบอยู่แล้ว และกำลังจะเลิกชอบ กูขอโทษเค้าที่ทำให้เค้าชอบ ทั้งๆที่กูมีคนที่ชอบอยู่แล้ว ”

“ ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่ามึงจะไปบอกทำไม แก้ยากเลยไอ้สัด ” โฮมถอนหายใจ “ มันเป็นความจริงก็จริง แต่เรื่องบางเรื่อง ความจริงมันก็ไม่ได้ดีเสมอไปหรอกจริงมั้ย ”

“ จริงมั้ง อย่างน้อยตอนนี้มันก็ไมได้ดีกับกูสักเท่าไหร่ ” ผมบอก “ เมี่ยงบอกให้กูปล่อยมันไป ไปเลิกรักดีนก่อน แล้วค่อยกลับมาคุยกับมัน แต่กูไม่อยากปล่อยไปเลย กูไม่รู้ว่าถ้าปล่อยไป มันจะเป็นเหมือนดีนมั้ย ที่สุดท้ายก็ไมได้อะไรกลับมา กูไม่อยากจะเสียอะไรแล้ว แต่ก็นั่นแหละ ”

“ อะไร ”

“ เห็นแก่ตัวชิบหายเลยไง รั้งเค้าไว้ เค้าก็เจ็บ เค้าคิดว่าตัวเองเป็นแค่ตัวสำรอง เป็นของตาย ตอนแรกกูว่าจะฝืน แต่ฝืนไปก็ดูเหมือนเค้าจะไม่มีความสุข ก็เลิกเถอะ ”

“ ลองแล้วเหรอ ”

“ ลองแล้ว ” ผมบอกพลางกลับตาลงอย่างรู้สึกเหนื่อยไปหมดทั้งใจ สมองที่เอาแต่คิดถึงเรื่องเมื่อคืน แล้วก็คิดถึงเรื่องเมื่อครู่  “ บางทีกูคงไม่เหมาะกับความรักสักเท่าไหร่ อาจจะเหมาะกับการอยู่คนเดียวมากกว่า ”

“ สิ้นหวังอะไรขนาดนั้น ” ปลายสายว่ายิ้มๆ ผมเองก็ยกยิ้มตาม “ รู้มั้ยว่าบางที มึงรักไอ้ดีนมานานมากเกินไปแล้วนะ มันนานจนทำให้มึงกลายเป็นคนที่กดขี่ชีวิตตัวเองลงต่ำชิบหาย จนมันดูไม่มีค่าอะไรแล้ว เหมือนมึงทำตามความต้องการของมันมาตลอดจนชิน ดีนซ้าย มึงซ้าย ดีนขวา มึงขวา ทนทุกอย่างเพื่อให้เค้าหันกลับมารักมึงบ้าง มึงไม่เรียกร้องกับมันว่ามึงรู้สึกยังไง  จนตอนนี้ตัวมึงเองก็ดูไม่มีค่าอะไรเลยในสายตาตัวเอง ซึ่งมันไม่ใช่นะสัดอาร์ม ชีวิตเป็นของมึงนะ ”

“ อื้ม ” ผมขานรับแค่นั้น เพราะไม่รู้จะตอบอะไรมากไปกว่านั้น

“ อย่าเอาไอ้แก้มก้อนไปเปรียบเทียบกับดีน มันคนละคนกัน อย่าเอาประสบการณ์แย่ๆมาคิด แล้วตัดสินไปว่า มันจะเหมือนเดิม มึงจะต้องรอเหมือนเดิม เพราะมันไม่เหมือนกัน มึงต้องทำอะไรสักอย่าง ”

“ กูไม่รู้ว่ากูต้องทำยังไง เค้าบอกให้กูปล่อยเค้า อย่ามายุ่งกับเค้า เค้าบอกให้กูไปไกลๆ แต่กูแค่อยากอยู่กับเค้า อยากใช้ชีวิตกับเค้า เค้าบอกให้กูเลิกรักดีนก่อน แล้วกูต้องทำยังไงมันถึงจะแสดงให้เค้าเห็นได้ว่า กูเลิกรักดีนแล้ว เค้าจะรู้ได้ยังไง แล้วมันต้องใช้เวลานานมากมั้ย เป็นปี สองปี หรือสิบปี ”

“ ใจเย็นก่อนไอ้สัด ทุกอย่างมันไม่ได้เป๊ะขนาดนั้น แต่ถ้าว่าเมื่อไหร่ที่เค้าจะรู้ กูว่าเค้าจะสัมผัสมันได้เอง แต่ตอนนี้ปล่อยเค้าไปเถอะ เข้าใจคำว่าห่างๆอย่างห่วงๆมั้ย ”

“ ไม่ ”

“ ก็คอยดูอยู่ห่างๆ ถ้าเค้ามีอะไรให้ช่วย ก็ช่วยอย่างห่วงๆ ”

“ แบบที่กูทำกับดีนน่ะเหรอ ” หลุดยิ้มในตอนที่ถาม อีกฝ่ายก็เงียบ “ เหนื่อยแล้วว่ะ พอคิดว่าต้องทำอะไรแบบที่เคยทำ แล้วมันเคยไม่สำเร็จมาก่อน กูก็ท้อนจนไม่อยากจะทำแล้ว เหมือนมันก็วนอยู่ที่เดิม เจ็บเหมือนกัน กูเคยรอแบบไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะถึงจุดหมาย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมีมั้ย ความรักที่ว่า จนกุคิดบางทีระหว่างทางเมี่ยงอาจจะไปเจอใคร แล้วมันโอเคกว่ากู โดยที่ไม่สนด้วยซ้ำที่กูกำลังทำ หรือพยายามแสดงให้เห็นอยู่ว่ารักมันมากแค่ไหน ”

“ ไอ้สัดอาร์ม ” อีกฝ่ายเรียกผม “ หยุดคิดก่อน ตอนนี้มึงกำลังเสียใจ ถ้ามัวแต่คิดอยู่แบบนี้ มันก็วนอยู่แค่ตรงนี้ ไม่มีทางออกหรอก เพราะงั้นต้องหยุดก่อน ”

“ ความรักไม่ใช่เรื่องที่ต้องแสดงออกให้เห็นเหรอวะ  แล้วถ้ากูหยุด กูจะแสดงให้เค้าเห็นได้ยังไง ว่าตอนนี้กูรู้สึกยังไงกับเค้า คือเค้าจะมาสนใจกูอยู่ตลอดเวลาเหรอ ว่ากูมีพัฒนาการยังไง ก็ไม่เปล่าวะ เค้าก็แค่ใช้ชีวิตของเค้า แต่พอกูเข้าไปยุ่ง ไปแสดงออกว่ารู้สึกยังไง ก็บอกว่าถอยไป ปล่อยมันไป  แล้วแบบนี้คือกูต้องทำยังไงต่อ ถ้ากูอยู่เฉยๆ มันจะตัดสินกูหรือเปล่า ว่ากูไม่ได้สนใจมันเลย งั้นก็แสดงว่าไม่รัก ”

“ มึงชอบไอ้แก้มก้อนขนาดนี้เลยเหรอวะ ” ประโยคที่ถามกลับมานั้นทำให้ผมนิ่ง “ ปกติมึงไม่ใช่คนที่แสดงอารมณ์ขนาดนี้ หมายถึงกับเรื่องที่มึงไม่สนใจ ตั้งแต่รู้จักกับมึงมา มึงแสดงอาการกับแค่สองเรื่อง คือหนึ่งเรื่องไอ้ดีน ที่ตอนนี้มึงแทบไม่มองหน้ามันเลย เพราะเอาแต่มองไปทางอื่น แล้วนั่นก็คือทางที่มีไอ้แก้มก้อนอยู่ ที่ตอนนี้แทบจะเป็นบ้าไปแล้ว ”

“ กูอยากมีเค้า แล้วกูก็ไม่อยากจะนั่งรอแล้ว กูแค่อยากตื่นมาแล้วมีเค้า อยู่ในทุกวันของกู เป็นภาพที่กูไม่อยากจะแค่ฝันแล้วมีความสุข กูอยากมีมันจริงๆ แต่ก็นั่นแหละ..”

“ แล้วตอนนี้มึงก็รู้สึกยังไงกับดีน ถ้าดีนมันกลับมาละ ถ้ามันบอกมึงว่า เรามารักกันมั้ย มึงจะทำยังไง”

“ มันไม่มีทางหรอก ” ผมบอกปัด แต่โฮมมันก็ยังย้ำ

“ กูถามว่าถ้ามันกลับมาละ วันนั้นจะแคร์คนที่อยู่กับมึง แล้วไม่สนใจใยดีไอ้ดีนมันเลยสักนิด ทำได้ใช่มั้ย ” คำถามนั้น ผมเงียบไป ในใจที่ตอบว่า อย่างน้อยมันก็เพื่อน จะไม่ใยดีอะไรมันเลย ก็คงจะไมได้ “ ถ้ามึงยังลังเลนะสัดอาร์ม แสดงว่ามึงยังห่วงมันอยู่ ”

“ ก็มันเพื่อน ”

“ ในมุมของมึงคือเพื่อน แต่ในมุมของไอ้แก้มก้อน ดีนคือคนที่มึงเคยชอบมากๆ คนรักอะ มึงมีความสุขเหรอ เห็นแฟนตัวเองยังห่วงคนที่เคยชอบอยู่ มันก็ไม่เปล่าวะ ต่อให้เป็นเพื่อนก็เถอะ เพราะงั้นมึงต้องชัดเจนกับจุดนี้ก่อน ” ปลายสายถอนหายใจ “ กูเข้าใจ อย่างที่มึงพูดมันก็ถูก แต่ในสถานการณ์แบบนี้ อยู่ใกล้เค้า เค้าก็อึดอัด ถอยออกมาดีกว่าเปล่าวะ ความรักมันเหมือนแม่เหล็ก ถ้ามึงชอบกัน ยังไงมันก็ดูดเข้าหากันอยู่ดี ”

“ แล้วถ้าไม่ ”

“ ก็ไม่ไง ” โฮมพูดยิ้มๆ ก่อนถอนหายใจออกมา “ แต่ไอ้อาร์ม มึงไม่จำเป็นที่ต้องกลับมารอไอ้สัดดีนนะ ต่อให้มึงไม่มีใคร มึงก็ไม่จำเป็นต้องรอ มีความสุขได้แล้ว ปล่อยมันไปเถอะ มันไม่ได้ต้องการมึงหรอก เพราะถ้ามันต้องการมึงจริงๆ มันจะทำแบบที่มึงกำลังทำทุกอย่าง เพื่อดึงไอ้แก้มก้อนมันเอาไว้ เข้าใจใช่มั้ย ”

“ จริงของมึง ” เสียงตอบรับที่แสนเบาหวิว ผมพิงลงกับเบาะที่นั่งอย่างรู้สึกเจ็บเข้าไปในอก ความอึดอัดที่แน่นอยู่ภายในนั้น ทำให้ผมยิ้มสมเพชตัวเองออกมา

“ ความรักไม่ใช่ขนมที่มึงอยากได้แล้วเอาเงินไปซื้อมา ไม่ใช่ของเล่นที่มึงจะลงไปนอนดิ้นๆกับพื้อ บอกพ่อแม่ว่าจะเอาๆ แล้วเค้าก็ซื้อให้ แต่มันคือการซื้อใจ ที่ต้องใช้ใจและใจ แล้วมันก็ต้องใช้เวลาปรับตัว ” ปลายสายว่าเสียงเรียบ “ ถอยออกมาก่อน ดึงดันไปตอนนี้ก็ไม่มีอะไรดีหรอก ”

“ อื้ม ” เพราะไม่รู้จะตอบอะไร ใจผมไม่ได้อยากปล่อยมันไปหรอก แต่ก็อย่างที่โฮมบอก มันไม่มีทางอื่นแล้ว ยิ่งยื้อก็ยิ่งเหนื่อย แล้วสุดท้ายก็ไม่ได้มีอะไรดี โดยเฉพาะกับความรู้สึกของเมี่ยง แล้วก็ผม  “ มันจะไม่หายไปใช่มั้ยวะ ”

“ มึงหมายถึงไอ้แก้มก้อน ”

“ อื้ม ” ผมตอบรับ

“ ไม่หรอก เพราะถ้ามึงชอบเค้ามากพอ เค้าจะอยู่สายตาของมึงตลอดนั่นแหละ แล้วมึงก็จะพาตัวเองเข้าไปอยู่ใกล้เค้าเอง แล้วเค้าเองถ้าเค้าชอบมึง เค้าก็จะพามึงมาอยู่ใกล้ๆเค้าเหมือนกัน แบบที่ระยะห่าง รอดูมึงอยู่ ว่ามึงรู้สึกยังไงกับเค้า ”

“ แต่ก็ไมใช่ตอนนี้ หมายถึงที่กุต้องเข้าไปใกล้เค้า”

“ เออ ไปพักสักหน่อยเถอะมึงน่ะ ” ผมถอนหายใจออกมา “ ว่าแต่มึงอยู่ไหน ทำไมเงียบชิบหายแบบนี้ ”

“ ในรถ ”

“ แล้วจะไปไหน ”

“ ตอนแรกคิดว่าจะกลับบ้าน แต่กลับบ้านไปก็เบื่อ เลยว่าจะไปทะเล ” บอกอีกฝ่ายไปตามตรง “ กูรู้สึกอยากฟังเสียงคลื่น ”

“ เหตุผล สมเป็นมึง ”

“ กูแค่คิดว่า กูควรออกจากตรงนี้สักพัก เพราะไม่งั้นกูก็ยังจะเป็นอยู่แบบนี้ ยังอยากจะให้มันเข้าใจ แล้วยังอยากจะหาทางสักทาง ให้กูกับมันไปต่อ ไม่อยากรอแล้ว”

“ งั้นก็ไปเถอะ ” ปลายสายว่างั้นแต่ยังไม่ทันที่ผมจะตอบรับ เสียงเตือนว่ามีคนโทรซ้อนเข้ามาก็แทรกขึ้น จนผมต้องดึงมาออกห่างจากหูเพื่อดู แล้วเบอร์ของเมี่ยงก็ปรากฏอยู่บนหน้าจอ

“ ไว้คุยกัน ”

“ ถ้าอยากกินเหล้าก็โทรมา ”

“ อื้ม ” กดวางสายไอ้โฮมไปทันที ผมกดรับสายของเมี่ยง “ ว่าไง ”

“ คือกูจะโทรมาบอก ว่ากูเอาแก้มหอมมาไว้ที่ห้องนะ กลับมาแล้วก็เคาะประตูมารับกลับไปแล้วกัน ” ประโยคเรียบๆ เมี่ยงถอนหายใจ คล้ายกับจะบอกว่า มันเองก็ไม่ได้อยากจะคุยกับผมสักเท่าไหร่ แต่แค่จำเป็นต้องโทรมา “ มันเอาแต่ร้องตลอดเลย ตอนกูไปเอานายท่านออกมาจากห้อง กูก็เลย เอามันมาไว้ที่ห้องด้วยก็แค่นั้น ไม่ได้คิดอะไรอย่างงั้นนะ แบบว่า ใอ่อน คือหมายถึงว่า ถ้ามึงจะเข้าข้างตัวเอง ”

“ กูไม่ได้คิดอะไรอย่างงั้นเลย ”

“ ก็ดี ”

“ แล้วนั่นจะไปไหน ”

“ ถามทำไม ” ถามกลับอีกฝ่ายก็เงียบไปสักพัก จนคิดว่ามันวางสายไป ผมดึงมือขึ้นขึ้นมาดู แต่ก็ไม่ได้เป็นอย่างงั้น “ เมี่ยง ”

“ อย่าขับรถเร็ว ต่อให้มึงหงุดหงิดแค่ก็อย่าขับรถเร็วนะ แค่นี้แหละ ” สายนั้นถูกตัดไปทันที พร้อมกันกับผมที่ก็นิ่งไปไม่ต่างกัน มือที่ดึงสายหูฟังออก ผมยิ้มกว้างออกมากับความรู้สึกที่ชวนให้หัวใจพองโต จนต้องตอบออกไป แม้ว่าปลายสายจะไม่ได้ยิน

“ ครับผม ”

...........................................................


เราคิดนานมาก ว่าเราจะถ่ายทอดตอนนี้ออกมายังไง
คือเรามองว่า อาร์มก็มีแผล และมีเหตุผลเป็นของตัวเอง เมี่ยงเองก็เช่นกัน
แต่เราก็อยากจะให้มองในมุมของอาร์มบ้าง ซึ่งมันยากมากที่จะเขียนออกมา กับบทที่คนไม่ดีก็มีหัวใจ
เพราะอาร์มคือคนที่มีแผล แต่มันไม่น่ารักหรอก กับการเอาแผลนั้นมาทำให้คนอื่นเป็นแผลด้วย
แต่ในอีกมุมนึง เค้าก็แค่ไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไง อาร์มไม่เคยมีของรัก ไม่เคยได้ของรัก พอมาเจอเมี่ยงที่รักเค้า แต่เค้ามีแผล เมี่ยงเลยผลักเค้า ในแบบที่เค้าเจอมาตลอด มันเลยออกมาให้รูปแบบที่ไม่น่ารักเอาซะเลย
เปิดใจให้พี่อาร์มนิดนึงนะคะ 
และท้ายนี้ ขอโทษที่อัพช้าไปมาก ต้องขออภัยจริงๆ
ประกาศนิดนึงนะคะ
วันศุกร์ที่ 17 นี้ หนมจะไม่อัพนิยายค่ะ เจอกันวันศุกร์ที่ 24 นะคะ ขอไปชาร์ตแบตแปปนึงค่ะ
#นายท่านของแก้มหอม คือแท็กของเรื่องนี้ ฝากแท็กในทวิตด้วยนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์ค่ะ

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 17 :: up!3-4-63} #หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: fahdekkom ที่ 12-04-2020 20:56:07
สงสารทั้งคู่เลย แต่ถ้าอาร์มไม่พยามห่างจากดีนมากกว่านี้ก็สงสารเมี่ยงจริงๆ
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 18 :: up!12-4-63} #หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 12-04-2020 22:11:37
 :pig4: :pig4: :pig4:

ทั่นศิราณีโฮม  เก่งมากมาย
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 18 :: up!12-4-63} #หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 12-04-2020 22:59:35
เลิก หรือ ไม่เลิกดี  :hao4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 18 :: up!12-4-63} #หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 13-04-2020 20:36:39
เข้ามาคอมเมนท์ชมครับ ว่าการถ่ายทอดแผลของเมี่ยงและอาร์มทำออกมาได้ดีแล้ว ปกติผมจะอ่านเรื่องนี้เงียบๆ แต่เห็นตอนล่าสุดแล้วก็ถือว่าค่อนข้างประทับใจครับ เลยจะเข้ามาชมหน่อย

เราเริ่มกันที่เมี่ยงก่อน เมี่ยงเป็นตัวละครที่ตอนแรกผมอ่านแล้วเฉยๆ อาจจะเพราะว่าเมี่ยงนิยมคำหยาบมากไปหน่อย ไม่ค่อยละเว้นกับใครเลย (หัวเราะ) ผมเลยไม่ค่อยตรงจริต แต่พออ่านมาเรื่อยๆก็พอเข้าใจได้ว่ามันเป็นนิสัยสบายๆของเขา ไม่ค่อยคิดมาก เฟรนด์ลี่และชอบเข้ากับคนอื่น แต่ไม่ได้แปลว่าห่าม เมี่ยงยังมีมุมอ่อนละมุนน่ารักๆอยู่ อย่างเช่นตอนที่ทำแมวหาย ก็ร้องห่มร้องไห้สำนึกผิด ตอนไปกินข้าวก็ยังพอจะสุภาพก๊องๆบ้างให้น่ารัก หรือตอนที่ทิ้งโจ๊กอาร์ม ก็ยังรู้สึกได้ว่ามันเจ็บโหวงๆเหมือนหลุมลึก (ซึ่งมันคือความรู้สึกผิด) หรือแม้แต่ตอนที่อาร์มไม่อยู่ด้วย จะโกรธก็โกรธไม่สุด ยังมีโทรมาบอกว่าอย่าขับรถเร็ว นิสัยเมี่ยงดูออกจะซึนๆหน่อย ซึ่งนั่นแปลว่าเขายังมี Soft Mental ที่น่ารักอยู่

สำหรับเรื่องความรัก เมี่ยงเป็นคนที่เด็ดขาดใช้ได้เลยนะครับ หลายๆความคิดของเมี่ยงทำให้ผมถือว่าตัวนางคนนี้ใจแข็งทีเดียว และคิดอะไรค่อนข้างสมเหตุสมผล เมี่ยงบอกตัวเองตลอดว่าไม่อยากจะเป็นคนใจอ่อน ไม่ควรจะมีใครเป็นของตายของอีกคน ไม่อยากจะเป็นคนที่ไล่ตามอีกฝ่ายแบบไม่มีหวัง เพราะมันจะทำให้หัวใจตัวเองเจ็บปวดซ้ำๆ เมี่ยงรู้ดีว่าตัวเองไม่อยากจะเป็นแบบนั้น ซึ่งอันนี้เป็นความเมคเซนส์ที่ดี ซึ่งทัศนคติพวกนี้แสดงออกผ่านประโยคหลายประโยคที่ผมชอบมากเลยนะครับ

“กูรู้ แต่ถึงอย่างงั้น มันก็ไม่ควรมีใครอยู่ในสถานะที่เป็นของตายของใครไง ไม่ควรมีใครอยู่ในสถานะน่าสมเพชที่ต้องรอเค้าเลิกรักคนของเค้า แล้วเค้าก็จะมารักเรา”
“กูไม่ใช่ตุ๊กตานะที่มึงจะทำยังไงกับมันก็ได้ ไม่ใช่ตุ๊กตาที่ยังยิ้มกับการที่เห็นเจ้าของพึงพอใจกับของเล่นของคนอื่น กูไม่ใช่อะไรแบบนั้น”
“มึงเอาแต่พูดเข้าข้างตัวเองตลอดเลย มึงเอาแต่ถามว่ามีอะไรรับประกันได้บ้างว่ามึงจะไม่เสียกูไป แล้วงั้นกูถามได้มั้ย ว่ามันมีอะไรรับประกันได้บ้างว่ามึงจะหมดรักคนที่ชอบ แล้วมาชอบกูจริงๆ จะรักกูหมดหัวใจจริงๆ ไม่ใช่ว่าพอเค้ากลับมาชอบมึง มึงก็ไป มีอะไรรับประกันกับกูได้บ้างว่ามันจะไม่เป็นแบบนั้น”


สิ่งที่เมี่ยงแสดงออกมามีเยอะ (ตั้งแต่ตอนที่ 14 จนมาถึงตอน 18) มันทำให้เราเห็นคาแรกเตอร์เมี่ยงได้ชัดมาก (ดีไม่ดีคือชัดกว่า 10 กว่าตอนที่ปูเรื่องตอนแรกด้วยซ้ำ) แต่เช่นเดียวกัน ปัญหาของความรักสำหรับเมี่ยงเป็นปัญหาคลาสสิคสำหรับคนที่มารักกันโดยที่ไม่รู้จักกันเลย นั่นคือการขาดความมั่นใจ ในมุมมองบุคคลที่สาม เรารู้ว่าดีนกับอาร์มไม่น่าจะเกิดการสปาร์คกันแน่ๆ แต่เมี่ยง ‘ไม่รู้’ เมี่ยงไม่รู้จักนิสัยจริงๆของอาร์ม เมี่ยงไม่รู้ว่าเมื่อเจออะไรแบบนี้นานๆ อาร์มจะคิดยังไง อาร์มจะเหนื่อยไหม นี่เป็นเรื่องปกติของคนที่คิดจะคบกันแต่ไม่มั่นใจในปมและการจัดการกับบาดแผลของอีกฝ่าย ดังนั้นวิธีการจัดการแบบคลาสสิคก็คือการถอยออกมา

มันเป็นการแก้ปัญหาที่ง่าย แต่มันไม่ได้มีความสร้างสรรค์อะไรเลยครับ มันทำให้ทั้งสองฝ่ายเจ็บด้วยกันทั้งคู่ (กรณีนี้ถ้าฝ่ายอาร์มก็ยอมให้เมี่ยงถอยเพราะว่ารักเมี่ยงจริงๆ และรู้ดีว่ายิ่งยื้อก็จะทำให้เจ็บ ซึ่งก็คล้ายๆกับในเรื่อง) ในชีวิตจริง เมื่อมันมาถึงสถานการณ์แบบนี้ เพื่อนของทั้งสองฝ่ายจะสำคัญมาก เพื่อนสนิทของทั้งสองฝ่ายต้องมานั่งคุยกันว่าในคู่นั้นน่ะแต่ละคนกำลังคิดอะไรรู้สึกยังไง การเป็นเพื่อนสนิทกันมานานจะทำให้รู้ถึงนิสัยและระบบความคิดของอีกฝ่าย เพื่อทำให้ไม่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดไปใหญ่

ทีนี้เรามาว่าถึงอาร์ม เราเห็นว่าอาร์มพยายามจะมูฟออนจากดีนแบบอ่อนแรงตั้งแต่ปลายตอนที่ 15 และมาเห็นอีกทีในปลายตอนที่ 17 ว่ายังไงก็ไม่อยากจะปล่อยเมี่ยง แต่เราไม่รู้ความรู้สึกข้างในของอาร์มเลย ไม่รู้ว่าทำไม ไม่รู้ว่าเพราะอะไร มีบท 18 นี่แหละครับที่ผมว่าเขียนได้ดีมาก ต้องชม หลายประโยคของอาร์มคือ Hit the point แผลของอาร์มเลย ไม่ต้องตีความเยอะ ทุกคำแสดงความรู้สึกล้วนๆ นี่เป็นการแสดงแผลและผลลัพธ์ความรู้สึกของตัวละครที่ดีมาก

"ทำไมทุกคนต้องคอยเอาแต่บอกว่าให้กูหยุด ให้กูรอ รอก่อนนะ รอก่อน ปล่อยกูไปนะ พอได้แล้ว ทั้งๆที่กูแค่รักมึงเอง แต่ทำไมกูไม่เคยได้รักใครเลย ทำไมพอกูรักใคร มันถึงมีแต่คำพูดพวกนี้ ทำไมไม่มีใครบอกกูสักคนว่ากูจะต้องทำยังไงต่อไปกับความรักของกูที่แค่อยากจะให้ใครสักคนไป"
“ปล่อยคนที่กูรักไป กูจะได้คืนมึงมามั้ยก็ไม่รู้  แล้วจะให้กูปล่อยเหรอ งั้นถ้ากูปล่อย กูถามกลับว่า กูจะได้มึงกลับมามั้ย ก็บอกอีกว่า เห็นแก่ตัว ทำไมถามแบบนิ้ แล้วพูดอะไรได้อีกวะ”
“กูควรพูดแบบไหน ควรถามว่าอะไร ควรยืนอยู่ตรงไหน มึงบอกกูสิ มึงบอกกูมาเลย แล้วกูจะปล่อยมึงไป”
“จุดที่กูยืนได้คือต้องห่างจากมึงแค่ไหน แล้วกูต้องทำยังไง มึงถึงจะมั่นใจว่ากูชอบมึงคนเดียว กูต้องทำมากแค่ไหน ต้องแสดงออกยังไงบ้าง มึงบอกกูสิ”
“มึงบอกสิเมี่ยง กูต้องทำยังไง ต้องแสดงออกยังไง มึงถึงจะเชื่อว่ากูรักมึงคนดียว อย่าเอาแต่ไล่กูแบบนี้ เพราะกูเองก็มีหัวใจ อยากให้มึงรักเหมือนกัน ไม่ใช่แค่มึงที่รู้สึกอย่างงั้น”
“ความรักของกูแม่งน่ารังเกียจขนาดนี้เลยเหรอวะ ทำไมแม่ง ไม่มีใครอยากได้เลย ทำไมชีวิตกูมันถึงเป็นแบบนี้ ทำไมจังหวะชีวิตมันถึงนรกแบบนี้ มันเพราะอะไร กูแม่งต้องทำยังไงวะ ต้องปล่อยไปอีกแล้วเหรอ ทั้งๆที่กูแค่อยากจะรักมึงนี่อะนะ  ไม่มีทางให้กูไปบ้างเลยหรือไง ต้องปล่อยมึงอย่างเดียวเลยเหรอ”


แค่นี้คือจบเลยครับ แสดงปมและแผลของอาร์มครบถ้วน ชัดเจน ไม่ต้องมีบทบรรยายหรืออีเวนต์ยิ่งใหญ่ แค่เป็นคำพูดที่แสดงความรู้สึกของตัวละครเองก็เพียงพอแล้ว ทำออกมาได้ดีมากครับ

ทีนี้ปัญหาเรื่องความรักคู่นี้ในฝั่งของอาร์ม มันเพราะอาร์มเคยพยายามแต่ไม่สำเร็จมาก่อนครับ ก็เลยคิดว่าทำแบบเดิมกับเมี่ยง แล้วผลจะเป็นแบบเดิม ซึ่งจากนิสัยของเมี่ยงกับดีน ผมกล้าพูดเลยว่าไม่ใช่ แต่อาร์มไม่รู้ และไม่กล้า เพราะว่าการ ‘รอ’ มันทำให้อาร์มรู้สึกกลัว อาร์มกลัวว่าถ้าไม่อยู่ใกล้ ถ้าไม่แสดงออก อาร์มจะเสียเมี่ยงไปแน่ๆ ซึ่งนี่คือความกลัวจากการที่ถูกดีนทิ้งให้รอแบบไม่มีจุดหมายมาก่อน อาร์มอยากรู้ว่าต้องไกลขนาดไหนที่อาร์มจะไม่เสียเมี่ยงไป อยากรู้ว่าต้องทำยังไงเมี่ยงถึงจะยังรับรู้ว่าเขายังสนใจเมี่ยงอยู่

ซึ่งบางอย่างน่ะไม่ใช่ การแก้ปัญหาของคู่นี้มันต้องรวบยอดเข้าด้วยกันครับ อย่างที่ผมบอกว่าปัญหามันเกิดจากการขาดความมั่นใจในการรู้จักกัน ดังนั้นทั้งสองคนต้องอยู่ใกล้ๆแต่ไม่ใกล้มาก เพื่อทำให้ได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน เมี่ยงเองถ้าชอบอาร์มก็จะคอยมองหาอาร์มอยู่เหมือนกัน แต่ไม่อยากให้อาร์มเข้ามาใกล้มาก ส่วนอาร์มเองถ้าชอบเมี่ยงก็ต้องพยายามเอาตัวเองไปให้ใกล้เขาในระดับหนึ่ง คอยดูแลเทคแคร์จากระยะไกล แล้วก็สร้างความมั่นใจให้เมี่ยงจากระยะไกลๆ ซึ่งถ้าเมี่ยงเริ่มมั่นใจมากขึ้น ระยะห่างระหว่างกันมันจะค่อยๆลดลงเรื่อยๆจากการยอมของเมี่ยง (ซึ่งดูจากการที่น้องก็แคร์มากถึงขั้นโทรมาบอกว่าอย่าขับรถเร็วแม้จะบอกว่าให้ห่างกัน ก็ไม่น่านานหรอกครับ)

ขณะที่ทั้งสองคนคอยเทคแคร์กัน อาร์มอยากจะแสดงออกว่าหยุดชอบดีนได้แล้วให้เมี่ยงแน่ใจ แม้ดีนจะเป็นเพื่อน มันก็ทำได้ไม่ยากครับ หากิจกรรมทำ เช่น ฝึกทำอาหาร (จำได้ว่าอาร์มมีสกิลทำอาหาร) ออกกำลังกาย (บรรยายตอนแรกบอกว่าอาร์มดูจะผอมที่สุดในกลุ่มของดีน) หรือไปเป็นจิตอาสาช่วยเหลือแมวอะไรก็ว่าไป มันมีอะไรหลายอย่างที่เป็นงานอดิเรกทำคนเดียวได้และแยกตัวบ้าง ถ้าเพื่อนที่เป็นเพื่อนกันจริง ตอนที่อีกฝ่ายยุ่งกับกิจกรรมที่มันชอบหรือเป็นการพัฒนาตัวเอง ก็จะไม่มีใครไปตื๊อหรอกครับ ถ้าเมี่ยงเห็นว่าดีนไม่ได้มายุ่งบ่อยๆ และอาร์มก็ไม่ได้ยุ่งกับดีนเกินขอบเขตเพื่อน ความมั่นใจมันสร้างมาได้แน่ๆครับ
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 18 :: up!12-4-63} #หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 14-04-2020 17:01:12
เมี่ยงเองก็คิดได้ดีนะ อะไรจะรับประกันถ้าดีนตอบรับรักมา พูดว่าจะมูฟออนๆ มูฟจริงๆเถอะ ไม่ต้องสนใจว่าเขาจะมาวอแวอะไรยังไง ถ้าจะตัดใจซะอย่าง ส่วนอาร์มตอนนี้ยังมองออกแค่ว่าอยากได้เมี่ยงเป็นเพื่อนชอบที่จะพูดคุยด้วย เลยพยายามรั้งไว้ถ้าเสียไปตัวเองคงเหงาปากแค่นั้น แต่ไอ้ความรักที่ว่ามานั่นยังมองไม่เห็นในแววตานายเลย มันยังสะท้อนภาพลางๆอีกคนอยู่ เร็วไปที่จะพูดมันออกมา ทั้งที่อีกคนยังใส่แหวนตัวเองอยู่เลย ฮอลลลล!! โอ้ยยยสนุกกดีค่ะ อ่านรวดเดียว ช่วงกลางๆเรื่อยผ่านๆ เพราะเราชอบดราม่า 5555 รอตอนต่อไปเลยค่ะ แต่ละคนจะทำยังไง  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 18 :: up!12-4-63} #หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 16-04-2020 09:08:38
 :katai1:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 19 :: up!25-4-63} #หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 25-04-2020 20:34:34
ตอนที่ 19

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

สุดท้ายก็กลับขึ้นมาบนห้องอย่างไม่อยากจะไปไหนอีกแบบฉับพลัน แท้จริงแล้วก็ไม่ได้อยากฟังเสียงคลื่นหรอก ผมอยากฟังเสียงเมี่ยงที่ยอมใจดีด้วยมากกว่า แต่ดูเหมือนว่าเจ้าของห้องจะตกใจไม่น้อย กับเหตุการณ์ที่อยู่ๆเจ้าของสายที่โทรเข้าไปหาเมื่อครู่ และยังวางไปไม่ถึงสิบนาที จะมายืนอยู่ที่หน้าห้อง ด้วยรอยยิ้มทั้งแบบนี้

“ ไม่ได้ไปไหนหรอกเหรอไอ้สัด ” ประตูเปิดออกพร้อมกับประโยคนั้นที่เอ่ยต่อกันตั้งแต่ยังไม่เห็นหน้า เมี่ยงไม่ได้มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะทำทีเป็นเหลือบมองไปทางอื่น อาจเพราะเพิ่งเผลอแสดงความห่วงใยออกไปอย่างที่เจ้าตัวรู้สึกว่าไม่ควรกระทำต่อกัน “ แก้มหอมอยู่นั่นอะ ” เชิดหน้าไปที่คอนโดแมว ประตูนั้นก็ถูกเปิดออกกว้างขึ้น “ เข้ามาอุ้มเองนะ กูไม่บริการ ”

“ ครับผม ” ตอบรับไปทั้งๆที่ไม่ได้ผละสายตาไปมองแมวตัวเองด้วยซ้ำ ผมก็แค่อยากจะมองหน้าเมี่ยงแบบนี้ไปนานๆ สีหน้าบึ้งตึงที่แม้จะทำทีท่าว่าไม่พอใจยังไง แต่มันก็ยังดูน่ารัก เหมือนอย่างที่ไอ้โฮมบอกนั่นแหละ ‘ แก้มก้อนมากจริงๆ ’

“ อะไร ” สายตาเรียวหันมาถามแบบหาเรื่อง ผมเองก็ได้แค่ยักไหล่ก่อนจะส่ายหน้า ส่วนเมี่ยงเองก็ได้แต่เชิดหน้าไปที่คอนโดแมว “ เร็วๆสิ นั่นอะแมวมึง ไปเอาลงมาแล้วกลับห้องของมึงไปได้แล้วไป ”

“ โอเคครับ ” เดินตรงไปที่คอนโดแมว เจ้าก้อนขนของผมกำลังนอนกระดิกหางสบายใจอยู่บนคอนโดแมวบ้านคนอื่นแบบหลับตาพริ้ม แต่ทว่าพอผมเอื้อมมือไปจับที่ท้องหมายจะอุ้มอีกฝ่ายกลับดึงตัวเองขึ้นแล้วงับที่มือทันที ราวกับจะบอกกันว่าไม่ต้องมายุ่งเลยนะ “ แล้วกัดป๊าทำไมละคะแก้มหอม ป๊ามารับหนูกลับบ้านนะ ”

“ เมี๊ยว ” มันส่งเสียงร้องขัดใจ ก่อนจะนอนลงที่เดิมพร้อมกับหางที่ขยับขึ้นลงไปมาแบบสบายใจ แล้วในตอนนั้นเองที่ไอ้ตัวลายเจ้าของห้องตัวจริงจะเดินมานอนลงข้างๆ

นายท่านเลียไปบนตัวของแก้มหอม มันที่มองผมตาขวางราวกับหวงแหนเหลือเกิน และไม่อยากจะให้เจ้าตัวขาวในอ้อมกอดนั้นหนีหายไปไหน

“ ม๊าว ”

“ ม๊าวอะไรของมึง พ่อมึงไล่ขนาดนี้ จะให้แก้มหอมอยู่ได้ยังไง ” เชิดหน้าบอกมันแบบหาเรื่อง ก่อนจะเหลือบมองเจ้าของห้องที่มองอยู่ เมี่ยงเบิกตาขึ้นตอนที่ได้ยินอย่างงั้น มันเดินเข้ามาใกล้กัน อย่างตั้งท่าเถียง

“ กูไม่ได้ไล่สักหน่อยไอ้สัด ”

“ ก็เมื่อกี้มึงบอก ไปเอาแมวมึงลงมาแล้วก็กลับห้องมึงไปได้แล้วไป ” คนฟังที่ได้แต่อ้าปากค้าง เมี่ยงมองหน้าแมวตัวเองสลับกับผม คล้ายกับจะบอกว่า อย่าเข้าใจผิดไปหมดแล้ว เพราะในใจจริงๆมันไม่ได้หมายความอะไรแบบนั้นเลย

“ ไม่ได้หมายความว่าอย่างงั้นนะเว้ย ” มันเบิกตาบอกแมวตัวเองที่ก็จ้องมองกันด้วยสายตาหาเรื่องอยู่ไม่น้อย “ ก็เค้ามีบ้าน เค้าก็ต้องกลับบ้านเปล่าวะ มึงจะมาทำหน้าไม่พอใจใส่กูแบบนี้มันได้เหรอ ห๊ะๆ ”

เดินเข้ามาหาเรื่องแมวตัวเองราวกับเป็นพวกเดียวกัน มือขาวขยี้หัวไอ้นายท่าน ที่ก็พยายามงับเจ้านายตัวเองเช่นกันอย่างไม่ยอมแพ้ ดูแทบไม่ออกเลยว่าจริงๆ คนเลี้ยงแมว หรือแมวเลี้ยงแมว ผมหลุดยิ้ม

“ ยิ้มอะไร ” มือที่เล่นกับไอ้นายท่านนั้นหยุดลง เมี่ยงหันมามองหน้ากัน “ มึงคิดว่าพอกูใจอ่อนแล้ว กูจะตกลงกับสิ่งที่มึงพูด หรือว่าต้องการเหรอ ไอ้คำพูดที่มึงพูดออกมาแบบสวยๆ แต่สุดท้ายก็คือ ให้กูอยู่เป็นตัวสำรอง ”

“ ดูถูกหัวใจกูอะไรขนาดนั้น ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นเลย แล้วก็ไม่ได้คิดว่าจะเอามึงมาเป็นตัวสำรองอะไรด้วย ” ผมหันไปบอก “ กูรู้แล้วว่ากูควรอยู่จุดไหน แล้วก็รู้แล้ว ว่าระหว่างเรา ตัวกูต้องทำตัวยังไง ”

“ แล้วต้องทำตัวยังไง ” มันถามแบบอยากรู้ ผมก็แค่ยกยิ้ม ก่อนจะดึงตัวเองเข้าไปใกล้ สายตาที่เราสบกันในตอนนั้น ผมมองเมี่ยงอย่างจริงจัง

“ ไม่บอก ”

“ ไอ้สัด ” อีกฝ่ายสถบออกมาแบบนั้นอย่างอดไม่ได้ ผมหันไปยิ้มให้กับเจ้าก้อนขนของตัวเองก่อนจะสอดมือเข้าไปอุ้มใต้พุงกลมแล้วดึงเข้ามาแนบตัว แต่ถึงอย่างงั้นแก้มหอมก็ยังขืนตัวแบบไม่อยากกลับเท่าไหร่ มันงับมือผมเบาๆให้ปล่อยกันลง

“ กลับบ้านกันค่ะแก้มหอม ไม่ดื้อกับป๊านะคะ ”

“ เออ กลับไปเลยไป ” เมี่ยงพูดด้วยสีหน้าหงุดหงิด ก่อนที่ผมจะหันไปมองไอ้ตัวลายแล้วฟ้องมัน

“ เห็นมั้ย พ่อมึงไล่พวกกู ไม่ใช่ว่าพวกกูไม่อยากจะอยู่นะ แต่กูอยู่ไม่ได้ต่างหาก ”

“ ม๊าววว ” เสียงครางเบาๆแบบขัดใจใส่เจ้าของ ที่ก็เท้าสะเอวเตรียมสู้กลับทันที เมี่ยงมันถอนหายใจใส่แมวตัวเอง

“ ม๊าวๆ มาม๊าวอะไร คนเค้ากลับบ้านเค้าอะ อย่ามาไม่พอใจนะเว้ย ”

หันหลังเดินกลับมาที่ประตูด้วยรอยยิ้ม คนบางคนทำให้อยากจะบ้าจริงๆ ผมยิ้มแบบที่ไม่รู้ว่าจะยิ้มยังไง ยิ้มจนต้องตั้งคำถามว่ามันต้องเติบโตมาแบบไหน  ทำไมถึงได้นิสัยน่ารักชิบหาย และเหมือนจะไม่มีอะไรมาล้มล้างได้เลยขนาดนี้

“ อ้อ ลืมบอก ” หยุดที่ประตูในตอนที่จะเดินออกไป ผมเอียงหน้ามองเจ้าของคนที่ตั้งหน้าตั้งตาเถียงกับแมวตัวเองอยู่แบบนั้น เมี่ยงมันหันมามองผม

“ อะไร ”

“ ก็ที่เมื่อกี้มึงถามไง ว่ากูยิ้มทำไม ” อีกฝ่ายเลิกคิ้ว ในตอนนั้นผมยิ้ม “ แค่เพราะมึงน่ารักมากๆ กูก็เลยยิ้ม ไม่มีอะไรมากหรอก ”   

“ K ” เสียงสบถนั้นไล่มาตามหลัง “ อย่าคิดว่ากูจะใจเต้นแรงกับคำพูดที่มึงพูดนะเว้ย ไม่ได้รู้สึกอะไรสักนิด บอกไว้เลย ”

“ กูเองก็แค่อยากบอก อยากให้มึงรู้ไว้ ว่าชอบ เผื่อมึงจะลืมแล้วไปน่ารักเรี่ยราดใส่คนอื่นไง ” ปิดประตูห้องของอีกฝ่ายลง ผมไม่ได้ยืนมองใบหน้าหงุดหงิดที่พยายามจะเถียงอะไรออกมาสักคำแต่สมองนิ่งไปอย่างไม่สั่งการ และหลงเหลือไว้เพียงใบหน้าน่ารักที่ก็เหวออยู่อย่างงั้น

.............................................


ดึงกุญแจที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมา ผมไขประตูห้องของตัวเองพลางก้มลงไปหอมเจ้าตัวนุ่มที่ก็ยื่นเท้าหน้าขึ้นมาผลักไว้ราวกับรังเกียจ แต่ถึงอย่างงั้นมันก็ยังน่ารักมากกว่าอยู่ดี “ รังเกียจป๊าเหรอคะ หอมหน่อยไมได้เหรอ ป๊ารักหนูนะแก้มหอม ”

“ เมี๊ยว ” ร้องเสียงเบาๆบอกกันแบบนั้น ผมส่ายหน้าไปบนขนนุ่มสีขาวที่ยังคงมีเสียงครางขัดใจตามออกมาแบบเล็กๆ  ห้องถูกปลดล็อค ในตอนที่เดินเข้ามาเจ้าตัวขนก็กระโดดลงไปจากตัวทันที แก้มหอมตรงไปที่น้ำพุของตัวเองก่อนจะก้มลงกินมันอยู่นาน


ครืน ครืน ครืน

สายโทรศัพท์สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงตอนที่ผมกำลังเกี่ยวพวงกุญแจสำรองไว้กับกุญแจรถเพื่อไม่ให้ลืมว่าต้องเอาไปไว้ในจุดเดิม หน้าจอมือถือที่ชวนให้ขมวดคิ้วในตอนที่ดึงขึ้นมาดู สายโทรเข้านั้นเป็นเบอร์ของดีน ที่โทรเข้ามา

“ เห้อ “ อดไม่ได้ที่จะผ่อนลมหายใจออกมาในตอนที่เห็นอย่างงั้น เพราะรู้ตั้งแต่ยังไม่ได้กดรับด้วยซ้ำ ว่าอีกฝ่ายจะพูดเรื่องอะไร

“ ว่าไง ” ตอบกลับปลายสายไปในตอนที่กดรับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เหมือนคนฟังจะแค่เงียบไป ผมได้ยินเสียงถอนหายใจของดีนตอบกลับมา

“ ขอบคุณที่ยังรับกูสายกูนะไอ้สัด ”

“ ขอโทษ ” ตอบกลับไปแค่นั้น ดีนก็ได้แต่เงียบ “ กูลืมโทรกลับ พอดีช่วงนี้ยุ่งๆ ”

“ ไม่ใช่โกรธกู จนไม่อยากจะโทรกลับ แล้วตอนนี้ก็คือ มันยื้อไม่ไหวแล้วเหรอวะ ถึงจำใจต้องรับ ” ถ้อยเสียงประชดว่าอย่างงั้น “ หรือว่าไอ้โฮมโทรมาเล่าอะไรมึง จนทำให้มึงต้องรับสายกู แบบที่ช่วยไม่ได้แล้ว ”

“ ดีน กูไม่ได้โกรธมึง ไม่ได้งอน ไม่ได้อะไรทั้งนั้น ”

“ แล้วทำไมมึงไม่โทรกลับ ทำไมมึงไม่รับสาย ” มันว่าแบบนั้นอย่างใส่อารมณ์ “ มึงไม่เคยเป็นแบบนี้เลยนะ ปกติถ้ากูโทรไปหา มึงก็ต้องโทรกลับ มึงไม่เคยปล่อยสายที่ไม่ได้รับของกูไว้ข้ามวันแบบนี้เปล่าวะ แล้วยังบอกว่า ไม่ได้งอนกู ทั้งๆที่มึงก็เป็นแบบนี้ หลังจากวันเกิดกูที่เราทะเลาะกัน ”

“ ดีน ” ผมเรียกอีกฝ่ายเสียงเรียบ “ จะพูดครั้งสุดท้าย จะเชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่ กูไม่ได้โกรธมึง ไม่ได้งอน โอเคนะ ”

“ แล้วทำไมมึงทำตัวห่างเหินกูแบบนี้ มึงตอบได้มั้ยละ ” ปลายสายที่ยังคงรั้น “ มึงไม่เคยเป็นแบบนี้นะ ”

“ ดีน ”

“ อะไร ”

“ ตอนนี้กูมีคนที่ชอบอยู่คนนึง แล้วที่กูไม่ได้ใส่ใจมึง มันไม่ได้เป็นเพราะกูโกรธ หรืองอนมึง กูแค่สนใจคนที่กูชอบมากกว่ามึง คนที่กูเคยชอบ เข้าใจมั้ย ”

สุดท้ายก็ตัดสินใจบอกอีกฝ่ายไปตรงๆ ผมถอนหายใจออกมาทั้งๆที่คิดไว้ว่าจะไม่บอก เพราะไม่อยากจะให้มันถามว่าใคร จนเป็นต้นเหตุให้สาวทางหรือจับสังเกตได้ว่า คนที่ผมรู้สึกดีด้วยตอนนี้ก็คือ เมี่ยง

อริเบอร์สองของมัน ที่มันเองก็โคตรจะเกลียดในความยียวนกวนประสาทของอีกฝ่าย และที่สำคัญเลย ก็คือ ผมไม่อยากจะให้เมี่ยงต้องมาโดนพูดจาไม่ดีใส่ หรือทำให้หงุดหงิด ด้วยนิสัยเด็กๆที่ไม่ทางยอมลงให้แน่ๆของดีน

“ ดีน ” เรียกอีกฝ่ายในตอนที่เห็นว่ามันเงียบไปนาน

“ สาวคนไหนอีกละ ” มันถามแบบไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ “ แล้วเมื่อไหร่จะแนะนำให้กูรู้จัก ”

“ ไว้ให้อะไรๆ มันแน่ชัดกว่านี้ กูจะพาไปแนะนำให้มึงรู้จัก ”

“ หมายความว่าไงวะ อะไรที่มันแน่ชัดอย่างที่มึงว่า ”

“ ความรู้สึกกูไง ” ผมบอกยิ้มๆ “ กูเลิกชอบมึงได้หมดใจเมื่อไหร่ กูจะพามันไปแนะนำให้มึงรู้จักทันทีเลย ”

“ ปัญญาอ่อน ” ปลายสายว่าอย่างงั้น ดีนยิ้ม “ งั้นก็คงไม่ได้แนะนำให้กูรู้จักแล้วละ บอกมาเลยดีกว่า ว่าใคร สาวคณะไหนอีกไอ้ห่า ไม่ต้องมาลีลา ”

“ บริหาร ” บอกไปแบบนั้น “ แต่คราวนี้ไม่ใช่สาวนะ เค้าเป็นผู้ชาย ”

“ เปลี่ยนแนวเหรอวะ ”

“ เปลี่ยนแนวเหี้ยอะไร ” สวนกลับไปพลางขมวดคิ้ว “ มึงเป็นผู้หญิงเหรอไอ้สัด ”

“ ก็เปล่า แต่ปกติมึงชอบคบผู้หญิงมากกว่า  ถ้าจะคบเล่นๆขั้นเวลาแบบนี้ ”

“ ดีน ” ผมเรียกอีกฝ่าย “ กูไม่เคยคบกับผู้หญิงคนไหนเล่นๆ แล้วก็เอาเค้ามาขั้นเวลารอมึงมารักอย่างที่มึงเข้าใจนะ ” กลายเป็นปลายสายที่เงียบไปบ้าง ในตอนที่ผมพูดแบบนั้น “ กูคบทุกคน กูจริงจังกับเค้า แต่ที่กูต้องเลิก เพราะว่ากูรู้ดี ว่าถึงจะคบเค้าต่อไป กูก็ไม่ได้รักเค้า กูยังรักมึง กูเลยไม่อยากให้เค้าต้องมาเสียเวลากับคนกู เข้าใจไว้ด้วย ”

“ ก็ไม่เห็นต้องจริงจังขนาดนั้นเลยไอ้สัด ”

“ อย่าดูถูกกูขนาดนั้นดีน ” สูดลมหายใจเข้าปอดในตอนที่พูด ผมผ่อนมันออกมา “ การที่กูไปไหนจากมึงไม่ได้ แม้ว่าจะคบใครสักกี่คน ไม่ได้หมายความว่า กูแค่ชอบเค้าเพราะอยากจะประชดมึง หรือเอาเค้ามาขั้นเวลา กูแค่ไม่อยากจะรักมึงแล้ว  และอยากจากชีวิตที่มันรักแค่มึงต่างหาก ”

“ แล้วคิดว่าคนนี้เป็นยังไง ” มันถามเสียงเรียบ “ คนที่มึงวุ่นวายกับเค้าจนไม่ได้รับสายกู ไม่โทรกลับ คิดว่ามันจะจบเหมือนเดิมมั้ย ”

“ ไว้รอดูแล้วกัน ” ตอบออกไปแค่นั้น ปลายสายก็เงียบไปสักพัก

“ จะเที่ยงแล้ว มึงกินอะไรยัง ไปหาอะไรกินกันมั้ย ” เงยหน้ามองนาฬิกาที่แขวนอยู่กับฝาผนังในห้องเหนือโซฟาตัวที่ตอนนี้เจ้าแก้มหอมขึ้นไปนอนเหยียดยาว ตอนที่ได้ฟังประโยคนั้น

“ ขี้เกียจ ” บอกปัดไปแค่นั้น แต่อีกฝ่ายก็เหมือนจะไม่ยอมแพ้ ดีนคงอยากจะเจอกันให้ได้

“ งั้นเดี๋ยวกูไปหา มึงอยู่ที่คอนโดใช่มั้ย ”

“ กูออกไปเองแล้วกัน จะไปกินที่ไหน ” รีบบอกออกไปแบบนั้น ปลายสายก็นิ่ง “ ว่าไง ”

“ ไหนบอกขี้เกียจ แต่พอกูจะไปหา ขยันขึ้นมาทันทีเลยนะไอ้สัด ” ดีนว่ายิ้มๆ “ ทำไม รังเกียจกูขนาดนั้นเลย หรือว่า มึงแอบซุกใครไว้ในห้อง ”

“ จะซุกใครไว้ละไอ้สัด ” ผมบอกปัดก่อนจะเหลือบมองไปข้างห้อง

ปัญหาคือไม่ได้ซุกหรอกแต่ถ้าดีนมาแล้วเจอเข้ากับเมี่ยง ผมคิดว่ามันน่าจะชิบหายกว่าเดิม เพราะไม่ใช่แค่เรื่องที่ผมชอบเมี่ยง แต่มันคือเรื่องของ นาเดีย อดีตคนรักเก่าของอีกฝ่ายที่แม้แต่ตอนนี้ยังเป็นชนวนให้ทั้งมันทั้งไอ้เบสทะเลาะกัน แล้วถ้ามันรู้ว่า สุดท้าย ไอ้เมี่ยงได้เธอไป ทั้งไอ้เบสไอ้ดีน อาจจะเบนเข็มมาหาเรื่องมันก็ได้   

เพราะแค่ถามว่า ทำไมไม่บอกว่าเมี่ยงอยู่ข้างๆห้องผม มันก็ดูไม่มีประตูไหนเลยที่พอปฎิเสธแล้ว จะฟังดูเข้าท่า สำหรับเหตุผลที่ผมปกป้องเมี่ยงไว้ 

“ ก็ใครจะไปรู้ บางทีมึงอาจจะซุกคนที่ตอนนี้มึงบอกว่ากำลังสนใจอยู่ก็ได้ ”

“ ไร้สาระ ” ผมบอกปัด

“ งั้นกูจะไปนะ คิดถึงแก้มหอมด้วย จะไปเล่นกันมันหน่อย ” หันไปมองเจ้าตัวขนนุ่มที่ปลายสายพูดถึง “ มึงจะกินอะไร ให้กูซื้อเข้าไปหรือว่าจะทำให้กูกิน ”

“ มึงซื้อมาแล้วกัน ” ถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้จะบอกปัดยังไง ก็เลยได้แต่ถ่วงเวลาไว้ก่อน

“ แล้วจะกินอะไร ข้าวหน้าเนื้อได้มั้ย ”

“ ก็ได้นะ ”

“ ในห้องมีเบียร์ใช่มั้ย กูจะได้ไม่ต้องซื้อไป ” เดินไปที่ตู้เย็นในตอนที่อีกคนถาม ผมเปิดมันออกก่อนจะพยักหน้ารับ

“ มีประมานโหลนึงได้มั้ง ”

“ โอเค เจอกันนะ แล้วก็... ” ปลายสายเว้นเสียงยิ้มๆ “ ถ้าซุกใครไว้ ก็อย่าลืมเอาไปซ่อนนะครับ เอามันไปให้ไกลๆเลยก็ดี ”

“ ก็บอกว่าไม่มีไงไอ้สัด ” ถอนหายใจออกมาในตอนที่พูดย้ำอย่างงั้น ดีนก็เอาแต่หัวเราะ

“ เหมือนในหัวใจมึงนั่นแหละ ไม่ว่าจะพยายามยังไง สุดท้ายก็มีแค่กู จำไว้ ”

สายโทรศัพท์นั้นถูกวางลงก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรกลับไป ดีนก็ยังคงเป็นดีน ที่มีความมั่นใจสูงให้กับหัวใจของผมว่ายังคงรู้สึกกับมันอย่างมั่นคงไม่ว่าจะผ่านมานานเท่าไหร่ หรือไม่ว่าจะพบเจอใครก็จะไม่เปลี่ยนแปลง

ก็อย่างที่ไอ้โฮมบอก ผมรักดีนมานานเกินไปแล้ว มันนานจนผมกลายเป็นแค่คนโง่คนนึงที่ไม่ว่าอีกฝ่ายจะสั่งให้รู้สึกยังไง ก็จะรู้สึกมันไปอย่างงั้น จะขวาก็ขวา จะซ้ายก็ซ้าย เป็นไปตามคำสั่ง อย่างคนคนนึงที่รักใครสักคนหมดหัวใจ

“ ก็คือไอ้โง่คนนึงนั่นแหละ ” พูดแบบนั้น ก่อนจะคว้ามือถือขึ้นมาอีกครั้ง ผมกดโทรออกไปหาคนที่อยู่ข้างกัน หลังจากที่สะบัดความไร้สาระที่คิดอยู่ในหัวออกไป

เสียงรอสายดังอยู่ไม่นานนั้น เมี่ยงกดรับ พร้อมด้วยเสียงงัวเงียที่คล้ายกับว่าเพิ่งตื่น “ ว่าไง ”

“ หลับอยู่ ? ” ถามออกไป เสียงครางเบาๆก็ดังขึ้นเป็นคำตอบ

“ อื้อออ ”

“ ดีนจะมาหากูที่นี่นะ ” ผมบอกก่อนจะยกยิ้ม ในตอนนั้นปลายสายก็สบถออกมา

“ เหี้ย ”

“ เพราะงั้นถ้ามึงอยากจะให้ความลับแตก ว่ามึงเป็นเพื่อนบ้านกู แถมยังเป็นแฟนเก่าคุณนาเดีย ก็เชิญมาห้องกูได้ มันคงถึงภายในสามสิบนาทีนี้แหละ แต่ถ้ามึงไม่อยากจะให้ความลับแตก ก็อย่าส่งเสียงจนมันมีพิรุธ เข้าใจมั้ย ”

“ แล้วมันจะมาภายในสามสิบนาทีนี้เหรอ แต่กูยังไม่ได้กินอะไรเลยนะ กูคิดว่าจะสั่งข้าวกินอะ แล้วแบบนั้นถ้าคนส่งข้าวมา มึงจะให้กูออกไปเอายังไง ถ้าออกไปแล้วเจอมันละ  ”

“ ก็ออกไปที่ระเบียงแล้วให้เค้าโยนขึ้นมาให้จากด้านล่างสิ ” ผมบอกแบบทีเล่นทีจริง อย่างแกล้งเย้าอีกฝ่าย “ แล้วก่อนที่จะโยนก็ให้เค้าพูดด้วยว่า รับน้า ”

“ รับน้า พ่อมึงสิไอ้สัด ” หลุดหัวเราะออกมาเสียงดังกับประโยคหัวเสียนั่น เมี่ยงก็ยังเป็นเมี่ยง คนที่ตื่นเต้นตกใจเกินเบอร์กับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นใหญ่หรือเล็ก “ มึงงง ไม่เล่น ช่วยคิดหน่อย ทำไงดี ”

“ ทำไมกูต้องช่วยคนที่เมื่อเช้าเทโจ๊กกูลงถังขยะ ทั้งๆที่กูตื่นขึ้นมาหั่นหมูให้ตั้งแต่ตีห้า ”

“ ก็ตอนนั้นมัน...” ปลายสายเงียบไป มันคงกำลังคิดถึงเหตุผลสักข้อที่พูดออกมาให้ฟังแล้วผมจะไม่ถือโทษโกรธมัน หนำซ้ำต้องเป็นอะไรที่ดูน่าเห็นใจสักหน่อย เพื่อที่ว่า ผมจะได้ช่วยมันคิด “ ก็ตอนนั้นกูต้องเข้มแข็งไง กูก็ต้องปกป้องหัวใจตัวเองเปล่าวะ ไม่งั้นมึงก็ไม่ถอยอะอาร์ม ”

หลุดยิ้มกว้างออกมากับเสียงติดงอแงของอีกฝ่าย ผมเผลอคิดใบหน้าของคนข้างห้องที่ก็คงขมวดคิ้ว แล้วทำปากแบะน้อยๆตามนิสัย นิ้วเล็กๆของมันคงเขี่ยไปตามผ้าห่มอย่างไม่รู้จะเอาไปตั้งตรงไหน ในตอนที่อ้างอะไรแบบนั้นออกมา

“ ห้องกูมีมาม่า เอาไปแดกก่อนมั้ย ”

“ อยากกินข้าว ”

“ ช่วงเวลาแบบนี้ยังเรื่องมากได้อีกนะมึงน่ะ ” ผมว่า

“ อยากกินข้าวหน้าเนื้อของ โยชิโนยะ แล้วก็โป๊ะไข่ออนเซ็น ”

 “ ไอ้ดีนจะซื้อมาให้กูพอดี เอามั้ย เดี๋ยวสั่งให้ ”

“ K ได้ที่ไหนละ ” เมี่ยงบอก “ แบบนี้ได้มั้ย กูจะสั่งตอนที่ดีนถึงที่ห้องมึงแล้ว แล้วพอเค้ามาส่งกู มึงก็รั้งดีนไว้ให้อยู่ในห้องของมึง ส่วนกูก็จะวิ่งจู๊ดลงไปเอาข้าวแล้วก็กลับขึ้นมา หลังจากนั้นมึงก็ปล่อยดีนได้เลย กูจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ”

“ แล้วถ้ากูทำตามที่มึงขอ กูจะได้อะไร ” ผมถามกลับ “ ดูหนังด้วยกันสักเรื่องได้มั้ย แบบว่ากินมื้อเย็นด้วยกัน ดูหนังสักเรื่อง ”

“ ทำให้ด้วยใจไม่ได้เหรอสัด คนที่มึงชอบกำลังตกที่นั่งลำบากเลยนะ ”  ได้แต่ยิ้มออกมากับคำพูดนั้นของอีกฝ่าย เมี่ยงมันถอนหายใจ “ ทำไมไม่ช่วยเหลือ”

“ รู้ครับ แต่ผมก็อยากอยู่ใกล้ๆคุณไง ขอหน่อยไม่ได้เหรอ ” ผมพูดเสียงอ้อนอีกฝ่าย “ มึงบอกไม่อยากจะให้กูเข้าไปใกล้ กูก็จะไม่เข้าไปถ้าไม่ขอมึงก่อน โอเคมั้ย มึงจะได้ไม่ต้องอึดอัด ”

“ งั้นให้เลือกอย่างเดียว ” ปลายว่าแบบนั้น “ มึงจะเอากินข้าวเย็น หรือว่าจะดูหนัง เลือกมาสักอย่าง ”

“ ดูหนังแล้วกัน ”

“ โอเค ดีล ” เมี่ยงว่างั้น ผมก็หลุดหัวเราะ “ เพราะงั้นเรามาช่วยกัน มึงห้ามให้ดีนรู้ว่ากูอยู่ข้างๆห้องมึง โอเคนะ ”

“ อื้ม ”

“ แล้วก็ถ้าดีนถึงห้องมึงแล้ว มึงก็ส่งข้อความมาบอกกูด้วย กูจะได้โทรสั่งข้าว แล้วพอคนส่งมาส่ง กูก็จะส่งข้อความไปบอกกมึงเหมือนกัน มึงจะได้รั้งไอ้ดีนไว้อยู่แต่ในห้อง ห้ามให้มันออกมาเพ่นพ่าน ”

“ ครับผม รู้แล้วครับ ” ตอบรับแบบลากเสียง แต่เหมือนคู่สนทนาจะแค่เงียบไป ก่อนที่จะเอ่ยถาม

“ แล้วนั่นกินข้าวยัง ”

“ ยัง ”

“ รอกินพร้อมดีนเหรอ ”

“ อื้ม ” ตอบกลับไป แต่ปลายสายนั้นก็เงียบไปอีกครั้ง “ ทำไมอะ เป็นห่วงเหรอ ”

“ ถามไปงั้นๆแหละไอ้สัด ไม่รู้จะพูดอะไร ”

“ อยากชวนคุย ? ” ผมเย้า

“ ก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละสัด  แค่นี้แหละ ไม่คุยด้วยแล้ว ” มันว่าติดงอนก่อนจะวางสายกันไปแบบดื้อๆ เสียอย่างงั้น ส่วนผมก็ได้แต่ดึงมือถือออกจากหู มองดูหน้าจอที่เพิ่งวางไปด้วยรอยยิ้มก่อนจะถอนหายใจออกมา มันเหมือนความน่ารักถูกอัดเข้ามาในอก มันหยุดยิ้มไม่ได้ แค่เพราะคิดถึงสีหน้าที่ท่าทางจะงอง้ำน่าดู อย่างงั้น

“ น่ารักไอ้สัด ”

................................................................


ครืน ครืน ครืน

เสียงโทรศัพท์ลั่นเบาๆอยู่ตรงโต๊ะตรงหน้าโซฟาตัวที่กำลังนั่ง เจ้าแก้มหอมที่กำลังเบียดตัวเองกับขา ผมชะงักมือที่กำลังเกาคอให้อีกฝ่ายลงก่อนจะดึงตัวเองไปดูแจ้งเตือนบนหน้าจอ ที่ก็ฉายชื่อของคนที่บอกว่าจะมาหากัน

Deen:
ถึงแล้วนะ
ขอรหัสเข้าตึกด้วย

Arm:
เดี๋ยวส่งเข้าไปให้ในข้อความ

Deen:
โอเค

หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 18 :: up!12-4-63} #หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 25-04-2020 20:35:52

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูดังขึ้นหลังจากที่ผมส่งรหัสเข้าไปในเครื่องของคนมาถึงไม่นานเท่าไหร่ ตอนที่ประตูเปิดออกถุงของข้าวหน้าเนื้อนั้นก็ถูกชูขึ้นตรงหน้า ดีนยิ้มกว้างพร้อมด้วยแววตาสดใสในแบบที่ผมชอบที่สุด

“ หิวยัง ” มันถาม “ ในห้างคนเยอะชิบหาย กว่ากูจะได้ที่จอด กว่าจะได้เข้าไปซื้อ ”

“ ยังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ ” บอกแบบนั้นก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบถุงที่อีกฝ่ายถืออยู่มาถือเอง ผมเดินเอามันไปวางที่โต๊ะ ในตอนนั้นดีนก็เดินเข้าไปหาแก้มหอมที่ก็ยังคงนอนอยู่ที่เดิม ตรงโซฟาตัวที่ที่ผมนั่งดูทีวีเมื่อครู่ เป็นจังหวะเหมาะสมพอดี ที่ผมดึงมือถือขึ้นมาจากในกระเป๋า แล้วกดส่งข้อความไปหาคนที่ก็สั่งกันไว้ ให้ช่วยปกป้องกันหน่อย

‘ ดีนถึงแล้วนะ ’ ส่งข้อความสั้นๆนั้นไปหาเมี่ยง ก่อนที่อีกฝ่ายจะส่งสติกเกอร์ไลน์แทนความรู้สึกมาให้กัน มันเป็นภาพตัวมูนสีขาวที่กำลังดึงขอบตาล่างลง ท่าทางดูคล้ายหวั่นวิตกนั้น ชวนให้ผมหลุดยิ้ม ‘ มึงก็สั่งข้าวกินซะ เดี๋ยวปวดท้อง ’

“ ยิ้มอะไร ”

“ เปล่า ” เงยหน้าตอบคนถามไปแบบนั้น ผมยัดมือถือใส่ลงในกระเป๋ากางเกง พลางมองอีกฝ่ายที่ก็มองกันอย่างจับผิด

“ คุยกับเค้าคนนั้นเหรอ ” ดีนถามผม “ คนที่มึงบอกว่า กำลังชอบอยู่ ”

“ อื้ม ” ผมตอบรับอีกคนอย่างตรงไปตรงมา แต่คนฟังก็ไม่ได้พูดตอบอะไร ดีนแค่หันหน้าไปหาแก้มหอม ก่อนจะลูบหัวอีกฝ่ายยิ้มๆ

“ ประชดกูใหญ่แล้วนะ พ่อมึงอะ ”

“ จะกินข้าวเลยมั้ย ” เดินเข้าไปในครัวอย่างไม่ได้รอฟังคำตอบอะไรจากปากของอีกฝ่าย ผมหยิบเอาถ้วยใส่ข้าวขึ้นมา พร้อมกับช้อนส้อม ก่อนจะเดินตรงมาที่โต๊ะแล้วหันไปมองอีกฝ่ายที่ก็พยักหน้ารับก่อนจะเดินมาหยิบถ้วยที่วางไว้ ผมตีมือมัน

“ โอ๊ย แล้วจะมาตีกูทำไมเนี้ย ”

“ ไปล้างมือ จับแมวมา มึงจะมาจับถ้วยแดกข้าวได้ไง ”

“ นั่นลูกของเรานะ ” ดีนชี้ไปที่แก้มหอมพลางเบิกตาขึ้นถามย้ำกับผม “ ลูกสาวของเราที่ป๊าอาร์มรักมากไง ”

“ ไปล้างมือ ” ผมย้ำ

“ คร้าบบบบบบบบบบบบบ ” เสียงลากยาวที่เดินเข้าไปในครัว ผมจัดข้าวใส่จาน ก่อนจะลากเก้าอี้ออกแล้วนั่งลงกินข้าวที่โต๊ะ แต่ทว่ายังไม่ทันได้ตักคำแรก คนที่ล้างมือเสร็จก็คว้าเอาถ้วยข้าวของตัวเองขึ้นมาก่อนจะบอก “ ไปนั่งกินข้าวหน้าทีวีกันดีกว่า มันมีการ์ตูนเรื่องที่กูอยากดูอยู่ ดูด้วยกันนะ ”

“ แล้วเมื่อไหร่จะเลิกสักที ไอ้นิสัยแดกข้าวไป ดูทีวีไป เสียนิสัย ” ว่าแบบนั้นผมตักข้าวเข้าปากพลางเคี้ยว อย่างไม่สนใจอีกฝ่ายที่ก็กำลังมุ่งมั่นเหลือเกินกับการค้นหาการ์ตูนที่อยากดูระหว่างมื้ออาหาร

“ บ่นเป็นพ่อไปได้น่าไอ้สัด ยังไงเราก็ไม่มีลูกอยู่แล้ว ไอ้แก้มหอมมันก็ไม่เสียนิสัยตามเราหรอกน่า ”

“ ในอนาคตมึงอาจจะมีก็ได้ ถ้ามันไม่มีกูอยู่ในนั้น ” มือที่กดรีโมตอยู่นั้นชะงักไป “ ไม่ดีกว่าเหรอ ฝึกไว้จะได้ชิน ”   

ดีนไม่ได้ตอบรับ มันแค่นั่งลงตรงหน้าทีวีตรงนั้น พร้อมกับดูการ์ตูนเรื่องที่อยากจะดู ความอึดอัดเกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบภายในห้องเรา ผมเองก็ทำได้แค่ตักข้าวตรงหน้าขึ้นกิน ก่อนจะหยิบมือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดู แล้วกดส่งข้อความไปหาคนที่ตอนนี้กำลังเป็นห่วง


Arm:
สั่งข้าวยัง

Mieng:
แล้วสิ
แต่ยังไม่มาส่งเลย


Arm:
มาแล้วก็บอก
ท่าทางไอ้ดีนเหมือนจะออกไปข้างนอก

Mieng:
เพ่นพ่านจังนะเพื่อนมึงน่ะ
ไม่ใส่สายจูงไว้หน่อยเหรอ
มึงไม่กลัวมันไปกัดใครเข้าเหรอไง

Arm:
ปากดีจังนะ
จนอยากรู้เลยว่า
ถ้าดีนเจอหน้ามึงจะปากดีแบบนี้มั้ย

Mieng:
ก็ลองดูได้


Arm:
แน่ใจ

Mieng:
ใช่ที่ไหนละไอ้สัด
อย่านะเว้ย

ไม่ต่างอะไรกับลูกแมวที่ถูกอุ้มโดนเจ้าของเลย เมี่ยงตอนนี้มันเหมือนอะไรแบบนั้น ลูกแมวที่ขู่ฟ่อๆกับศัตรูฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่มีกลัว เพราะเจ้าของอย่างผมอุ้มอยู่ และมันก็มั่นใจอย่างแน่นอนว่า ผมไม่มีทางปล่อยให้อีกฝ่ายมาทำอะไรมันแน่นอน 

ผมว่า บางทีนี่อาจจะเป็นแผนจริงๆของอีกฝ่ายก็ได้
แผนที่เข้ามาจีบผม ที่ก็สุดท้าย จะทำให้ผมรัก และต้องปกป้องมัน

“ ร้ายจริงๆเลยไอ้สัด ” พูดกับตัวเองแบบนั้นก่อนจะตักข้าวในจานขึ้นกิน  แต่ทว่าในระหว่างที่กำลังเคี้ยว เสียงร้องเรียกน่ารักก็เหมือนจะดังขึ้นมาจากฝั่งของระเบียง

“ เมี๊ยว ” ไม่ใช่เสียงของแก้มหอม ทั้งผมทั้งดีนหันไปมองเจ้าก้อนขนที่ก็นิ่งไปเช่นกัน ก่อนที่มันจะหันหน้าไปทางระเบียงแล้วกระโดดลงไปที่ประตู พลางใช้เท้าหน้าเริ่มออกแรงเขี่ยเบาๆ

“ ไอ้สัดนายท่าน ” ผมพูดกับตัวเอง ดีนมันก็หันมามอง

“ เมื่อกี้มึงได้ยินมั้ย เสียงแมวร้อง แต่ไม่ใช่เสียงของแก้มหอม ”

“ ได้ยิน ” แน่นอนว่าจะบอกว่าไม่ได้ยินก็คงจะไม่ได้ ผมทำทีเป็นไม่ใส่ใจหันมาตักข้าวในจานของตัวเองกินแต่ดีนก็เหมือนจะไม่หายสงสัย

“ มันดังมาจากไหนวะ ” พูดแบบนั้นก่อนจะลุกขึ้นเต็มความสูงไปที่ระเบียงที่ตรงที่เจ้าตัวแสบกำลังตะกายประตูอยากจะออกไปทักทายไอ้ตัวลายห้องข้างๆแบบสุดหัวใจ “ แก้มหอม จะออกไปเหรอ ”

“ เมี๊ยว เมี๊ยว เมี๊ยว ” คลอเคลียที่ขาของดีนแบบสุดฤทธิ์ ดีนก้มลงยิ้มก่อนจะทำทีเป็นเปิดให้อย่างใจดีแต่ผมเหมือนจะเร็วกว่า ที่ลุกจากที่นิ่งแล้วตรงไปดันประตูที่กำลังจะเปิดนั้นเอาไว้

“ อย่าเปิดนะ ” ว่าแบบนั้นก่อนจะเหลือบมองคนข้างกันที่ก็ขมวดคิ้วงงไม่น้อย ไอ้แก้มหอมก็เช่นนั้นมันนั่งลงจุ้มปุ๊กแบบขัดใจ

“ ม๊าววว ”

“ ทำไม ปกติมันก็ออกไปได้นี่ ไหนมึงบอก ชอบให้มันได้ชมนกชมไม้ ไม่ชอบให้อยู่แบบอึดอัด ” คนสงสัยหันมาถามกัน ก่อนจะหลุดยิ้มออกมา ในตอนที่เอื้ออมือมาจับอะไรสักอย่างที่ติดอยู่บนปากผม “ มึงนี่นะ กินยังไง ”

เศษข้าวถูกดึงออกมา ก่อนที่นิ้วเล็กนั่นจะยัดมันใส่ปากกลับไปให้กัน ผมเคี้ยวมันไปตามระเบียบ แล้วจัดการล็อคประตู ปิดม่านนั่นลงในจังหวะที่อีกฝ่ายเผลอ ผมก้มลงบอกเจ้าตัวดีที่เกือบจะทำให้แผนแตก

“ วันนี้เราไม่ออกไปข้างนอกนะคะแก้มหอม เล่นแค่ในห้องนะ ”

“ เมี๋ยวๆ เมี๊ยวๆ ” เจ้าตัวร้ายแสดงท่าทางเอาแต่ใจสุดๆ แก้มหอมมุดตัวเองเข้าไปในม่านอย่างไม่มียอม มันข่วนประตูอยู่แบบนั้น

“ ปล่อยมันไปก็ได้ มันจะมีอะไรวะ ข้างนอกนั่น ” ดันหันไปมองประตูอีกครั้ง มันที่ทำทีจะเอื้อมมือไปเปิดแต่ผมก็แค่กัน แบบที่จับมือมันแน่นแบบรั้งกันไว้

“ อย่าเปิด รั้วมันมีรูอยู่ เดี่ยวไอ้แก้มหอมมันมุดแล้วจะตกลงไป ” ผมว่า “ มึงอย่าไปเปิดให้มันเห็นน่าจะดีกว่า ปล่อยมันไปสักพักเดี๋ยวมันก็เงียบ ”

“ เหรอ ”

“ อื้ม ” ขานรับอีกฝ่าย มือที่ผมกุมจับห้ามไว้นั้น ค่อยๆเปลี่ยนมาจับมือผมไว้แทนบ้าง ดีนพลิกตัวมามองหน้ากัน แล้วตอนนั้นผมเพิ่งรู้ตัวว่า ท่าทางที่เรากำลังยืนเผชิญหน้ากันอยู่ตอนนี้ ค่อนข้างล่อแหลมมากเป็นพิเศษ 

ดีนที่อยู่วงแขนของผมที่กำลังค้ำประตูระเบียงเพื่อไม่ให้อีกคนเปิดออกไปได้ ที่ซึ่งตอนนี้อีกฝ่ายก็หันมาเผชิญหน้ากัน  สายตาเรียวชวนหลงใหลนั้นจ้องมองผม

“ นี่ ” เสียงเรียกเบาหวิวที่มาพร้อมกับริมฝีปากที่จูบลงบนริมฝีปากของผม ดีนกอดกันไว้ในตอนที่ผละริมฝีปากนั้นออก มันซบลงตรงไหล่และกระชับกอดไว้แน่น “ ไม่รู้ทำไม แต่ตอนนี้หัวใจกูตอนนี้ มันรู้สึกเจ็บมากเลยวะ มึงโกรธกูขนาดนั้นเลยเหรอ ”

“ ไม่ได้โกรธ ” ผมยังคงย้ำความรู้สึกเดิม พร้อมกับดึงมือตัวเองลงจากประตูระเบียงนั้น “ ปล่อยกูได้แล้วดีน จะกอดทำไม ”

“ มึงอย่าทำตัวเป็นเด็กๆแบบนี้ได้มั้ยวะ กูก็แค่พูดความจริง แล้วกูผิดตรงไหน ” ผมเหลือบมองคนที่ยังคงมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองคิด “ กูยังไม่พร้อมที่จะคบกับมึง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะกูจะไม่คบกับมึงสักหน่อย ขอเวลากูหน่อยได้มั้ย กูยังสนุกกับชีวิตที่มันไม่มีอะไรมาผูกมัดแบบนี้มันก็เท่านั้นเอง ”

“ กูเคยว่ามึงเหรอ มึงจะทำตัวยังไง ” ผมถาม “ ไม่เคยว่าเลย จะทำตัวยังไงก็เรื่องของมึง แต่มึงมากกว่าหรือเปล่า ที่กำลังเดือดร้อน เพราะรู้ว่ากำลังมีใครสักคนที่ชอบอยู่ ถึงได้มาหาถึงเนี้ย ทั้งๆที่ปกติก็ไม่ค่อยชอบมา ”

“ ก็กูอยากให้มึงสนใจกูคนเดียว ” อีกฝ่ายพูดแบบนั้น สายตาเรียวนั้นสั่นไหวไปหมด แต่ผมก็แค่เงียบไป กับความเอาแต่ใจและเห็นแก่ตัวอย่างที่ไม่รู้ว่าต้องเอ่ยอะไรออกมา “ มึงจะสนใจคนอื่นก็ได้ จะชอบใครคนอื่นก็ได้ แต่ต้องสนใจกูที่สุดได้มั้ยวะ มึงรักกูที่สุดไม่ใช่เหรอ แล้วสุดท้ายก็ยังต้องเป็นกูไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมทำเป็นแบบนี้วะ แค่มึงงอนกู ถึงขั้นที่ต้องไปเอาคนอื่นมาสำคัญกว่ากูเลยเหรอ ”

“ กูไม่ใช่กระดูกของมึงดีน ” ผมพูดสั้นๆแค่นั้น ก่อนจะดึงมือที่กอดกันอยู่นั้นให้ห่างออกไป “ แล้วกูก็ไม่ใช่ของเล่น กูคือคนคนนึงที่รักมึง แล้วกูก็คือคนคนนึง ที่เมื่อมึงไม่รัก กูก็แค่ต้องรักตัวเอง ”

“ แล้วใครบอกว่าไม่รัก ” อีกฝ่ายเถียงผมก็ได้แต่ถอนหายใจก่อนจะมองไปทางอื่นอย่างไม่รู้จะพูดอะไร เริ่มเข้าใจความรู้สึกของเมี่ยงขึ้นมาแล้ว ตอนที่ผมเอาแต่ความคิดตัวเองแล้วไม่ฟังอะไรเลย มันน่ารำคาญแบบนี้นี่เอง

“ กลับไปนั่งกินข้าวให้หมดไป กูจะได้ล้างถ้วย ” เชิดหน้าไปที่ถ้วยข้าวของอีกฝ่ายที่เหมือนว่าอีกฝ่ายยังกินเข้าไปแค่ไม่กี่คำ ผมเดินมาหยิบมือถือของตัวเองที่วางอยู่บนหน้าจอนั้นมีข้อความแจ้งเตือนมากมายจากเมี่ยง ทั้งขอโทษเรื่องที่ลืมเปิดระเบียง แล้วก็ล่าสุด คือเรื่องขอที่ให้ช่วยรั้งอีกฝ่ายหน่อย เพราะมันกำลังจะรับอาหารที่มาส่งที่ด้านล่าง

“ งั้นกูกลับละ ” ดีนว่าแบบนั้นพลางถอนหายใจออกมา ในตอนที่เห็นว่าผมเงียบไป “ อยู่ไปก็เกะกะสายตาเปล่าๆ ”

“ เดี๋ยว ” หันไปคว้าข้อมือของอีกคนเอาไว้ ผมเห็นดีนยิ้มเล็กๆกับการกระทำของผมที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยในความรู้สึกของมัน

ความสัมพันธ์ของเราก็เป็นแบบนี้มาตลอด ถ้าผมงอน ดีนก็จะง้อด้วยการมาหา แล้วถ้าไม่งอนหายงอนมันก็จะทำทีเป็นโกรธกันแล้วก็ขอตัวกลับ และสุดท้ายก็จะเป็นผมที่รั้งมันไว้ ไม่อยากให้มันกลับ

แต่ครั้งนี้ มันไม่ใช่อย่างงั้น ผมไมได้รู้สึกอะไรอย่างงั้น
แต่ผมแค่ต้องรั้งมัน เพื่อถ่วงเวลาไว้ก่อน

“ ทำไม ” มันหันมาถามแบบที่เก็บรอยยิ้มอารมณ์ดีนั้นไว้ไม่อยู่

“ ถ้าไม่กินแล้ว ก็ล้างถ้วยก่อน ” เชิดหน้าไปที่ถ้วยของอีกฝ่ายที่ยังคงตั้งกองไว้อย่างงั้นที่หน้าทีวี “ กูไม่ใช่คนใช้บ้านมึง ที่จะคอยตามเก็บให้ ”

“ ไอ้สัด ” อีกฝ่ายถอนหายใจพลางหันไปมองทางอื่น ส่วนผมที่จ้องหน้ามันนิ่งๆ

ในสมองที่ก็เอาแต่คิดว่าจะทำยังไงดี ถ้าอีกฝ่ายยังดึงดันที่จะเดินออกไป เพราะตราบใดที่ยังไม่มีเสียงเตือนจากข้อความของเมี่ยง ก็เหมือนว่าจะปล่อยดีนไปไหนไม่ได้เลย ไม่งั้นเมี่ยงก็เสี่ยงโดนจับได้

“ จัดการด้วยนะ แล้วก็ล้างให้มันสะอาดๆ ” ผมย้ำ

“ พูดมากจังนะไอ้สัด ” มือขาวยกขึ้นแนบแก้มกัน ก่อนจะโดนดึงลงไปให้ริมฝีปากของเรานั้นแนบสนิทกัน

ดีนจูบผมที่ก็ได้แต่นิ่งไปทั้งอย่างงั้น จูบที่ย้ำซ้ำแบบซ้ำเล่า มาพร้อมกับมือที่เลื่อนมากอดคอกันไว้ ริมฝีปากสวยไล่ออกไปที่ข้างแก้ม คาง ก่อนจะวนกลับมาจูบซ้ำย้ำอีกครั้งที่ริมฝีปาก จูบที่ค่อยๆผ่อนแรงหายใจลงช้าๆ ด้วยความรู้สึกอ่อนใจ และอ่อนแรง   

“ จะรั้งกูหน่อยก็ไม่ได้เหรอ ” เสียงเรียบที่เอ่ยบอกแบบนั้นพร้อมกับแววตาที่จ้องมองกัน มันคงต่างจากทุกทีที่ที่ผมจะตอบรับ แต่ทว่าตอนนี้กลับแค่นิ่งไป ผมไม่ได้เอ่ยขอร้องให้มันอยู่ด้วยกันอีก ผมไม่ได้ทำอะ หรือพูดอะไรอีก ที่ขอให้มันอยู่ด้วยกันตรงนี้ อย่างที่เคยทำมาตลอด “พูดเหมือนอย่างที่เคยพูดหน่อยก็ไม่ได้เหรอ ”

“ แล้วจะให้พูดอะไร ”

“ ไม่ว่ายังไงมึงก็จะไม่ทิ้งกูไปไหนไง  คำที่มึงชอบพูด ว่าไม่ว่ายังไงมึงก็ยังรอกูเสมอ ไม่ว่ายังไง มึงจะรักกูตลอดไป ” คนตรงหน้าก้มหน้าลง ดีนซบลงกับอกผมที่ไม่แม้แจะกอดอีกฝ่ายไว้ “ ทำไมมันเหมือนมึงจะทิ้งกูไปจริงๆเลยวะ ทำไมมันเหมือนมึงจะไม่รักกูแล้วเลย ”

“ เพราะมันอาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้วไง ” ผมบอกเสียงเรียบ “ กูถึงไม่พูดมันออกมา คำที่ว่า ไม่ว่ายังไงก็จะรักและรอมึงไปตลอด ”


.........................................................

ชอบตอนนี้มาก อย่างไม่มีเงื่อนไขใด
ขอโทษที่ช้ามาหนึ่งวัน หนมกำลังมีความคิดจะเปลี่ยนวันอัพนิยายมาวันเสาร์
แต่ขอพยายามอีก หนึ่งอาทิตย์ ถ้าอาทิตย์หน้ายังช้าแบบนี้ อาจจะคิดจริงๆ เปลี่ยนวันอัพมาวันเสาร์
ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ในทวิตด้วยนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์ค่ะ
หนมมี่

 :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 19 :: up! 25-4-63} #หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 25-04-2020 22:48:12
 :pig4: :pig4: :pig4:

ดีนแม่ง  ทำไมตั่วเฮียแบบเน้
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 19 :: up! 25-4-63} #หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 25-04-2020 23:22:38
แก้มหอม กับ นายท่าน ปิดตาบัดเดี๋ยวนี้  :pigangry2:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 19 :: up! 25-4-63} #หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 25-04-2020 23:47:31
 :katai1: :katai1: :katai1:
ความคิดมะนุดช่างซับซ้อน
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 19 :: up! 25-4-63} #หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 26-04-2020 22:12:16
เหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 19 :: up! 25-4-63} #หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 26-04-2020 22:33:53
เห็นดีนเป็นแบบนี้แล้วหงุดหงิดแทนเลยค่ะ
ทำตัวเป็นคนเรียกร้องความรักที่ตอบกลับไม่ได้ เพื่ออ 
อาร์มดูแข็งขึ้น ดูตัดใจได้มากขึ้น ชัดเจนขึ้นเยอะด้วย คงไม่หลงกลับไปวังวนเดิมอีกนะ

เอ็นดูเมี่ยง คนอะไร ไหนว่าไม่อยากใกล้ไง เดี๋ยวโทรหา เดี๋ยวงอแง เดี๋ยวอ้อน
เอออ คนไม่อยากใกล้กัน เค้าทำกันแบบนี้เนาะ

ซีนนี้ดีมากค่ะ อาร์มก็คนคนหนึ่งที่อยากมีรัก เมี่ยงก็เป็นอีกคนที่อยากรัก


หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 19 :: up! 25-4-63} #หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 27-04-2020 14:57:39
ดีนให้ทำตัวแบบนี้ต่อไปนะ เพราะยิ่งทำอาร์มอาจจะคิดได้บ้าง กูรักคนแบบนี้ไปได้ไงวะ 5555 ยิ่งทำ อีกคนยิ่งหมดใจจะกลายเป็นรำคาญแทน อิอิ ส่วนเมี่ยงอะไรวะ ปากบอกจะทำให้ใจแข็งแรง ตัดใจๆ แล้วดูทำ ตัดได้หรอกนะ ถถถ เราพูดไปงั้นแหล่ะ แต่จริงๆก็เอาเถอะ ตามเมี่ยงเลย 555555555 สนุกกกก รอตอนต่อไปเลยค่ะ   :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 20 :: up! 1-5-63} #หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 01-05-2020 22:35:43
ตอนที่ 20


ภายในห้องตอนนี้หลงเหลือไว้เพียงแค่ความเงียบ ทีวีถูกปิด แม้แต่เพลย์ลิตต์โปรดในมือถือที่เคยชอบฟัง ตอนนี้ก็ยังถูกปิดไว้ ผมเอาแต่มองหน้าจอมือถือที่มีเพียงความมืดสนิท มันไม่มีเสียงเตือน หรือสายโทรเข้ามาเลยสักสาย

“ เงียบไปเลยนะไอ้สัด ” พูดกับตัวเองอย่างงั้นแบบอดไม่ได้ก่อนจะหยือบมือถือขึ้นมากดดูอีกครั้ง ที่ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว

บนหน้าจอนั้นยังมีเพียงแต่ข้อความของผมที่ส่งออกไป แม้มันจะขึ้นว่าอีกฝ่ายอ่านแล้ว  แต่กลับไม่ส่งข้อความอะไรมาเลย ทุกอย่างหายเงียบไปราวกับไร้ตัวตนเสียด้วยซ้ำ

 “ พ่อแม่มึงไม่สอนเหรอไอ้สัด ว่าเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ มันต้องส่งข้อความตอบกลับคนที่เค้าเป็นห่วงบ้าง ”

สิ้นสุดประโยคนั้น ผมก็ได้แต่นิ่งไป ปากที่เม้มเข้ากันอย่างอัตโนมัติ ค่อยๆเหลือบมองไอ้นายท่านที่ก็นั่งมองกันอยู่ข้างๆ ตรงโซฟาตัวที่นั่งอยู่ ราวกับเมื่อครู่มันเหมือนผมจะเผลอพูดอะไรออกไปสักอย่าง แบบที่ไม่ควรพูด โดยเฉพาะประโยคที่ว่า ‘ มันต้องส่งข้อความตอบกลับคนที่เค้าเป็นห่วงบ้าง ’

“ ม๊าว ”

“ ม๊าวอะไร กูไม่ได้เป็นห่วงมัน กูเป็นห่วงตัวเองต่างหาก ” หันไปเถียงกับไอ้นายท่านทั้งๆที่มันเองกลับไม่ได้ถาม และไม่พูดอะไรออกมาแบบนั้นเลย ก็แน่นอนแมวมันพูดไมได้สักหน่อย

แต่ก็นี่แหละ อาการของวัวสันหลงแหวะ

 “ มึงนั่นแหละทำให้กูต้องเป็นห่วงมัน มีอย่างที่ไหน ไปยืนม๊าวๆ เรียกแก้มหอมเค้าที่ระเบียงความลับกูเกือบแตกเลยรู้มั้ย แล้วถ้าความลับกูแตกเพราะมึง มึงจะทำยังไง จะรับผิดชอบยังไง ”

“ ม๊าว ”

“ อย่ามาทำเป็นไม่ใส่ใจนะเว้ย ” หันไปเถียงท่าทางเบื่อหน่ายของไอ้ตัวลายที่นอกจากจะไม่สนใจอะไรแล้ว มันยังแผ่ตัวลงนอนบนโซฟาด้วยท่าทีสบายแบบที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรทั้งนั้น “ มึงรู้มั้ยว่าตอนนี้ที่ไอ้อาร์มเงียบไป บางทันอาจจะโดนไอ้ดีนเคล้นเอาความลับเรื่องของกูอยู่ก็ได้ เรื่องที่ทำไมข้างห้องนี้ถึงมีแมว แล้วเจ้าของแมวคือใคร ทำไมมายืนร้องเรียกแก้มหอมด้วยท่าทางสนิทสนม หึยยยย ”

ผมลุกขึ้นอย่างุ่นง่านในท้ายประโยคที่สบถออกมาเช่นนั้น ขาที่เดินไปมาระหว่างหน้าประตูกับโซฟาวนไปมาอย่างงั้น แบบที่ไม่รู้ว่าต้องสงบยังไง

ปัง!

“ มึงได้ยินเสียงมั้ย ” หันไปถามนายท่านที่ก็มองหน้ากันด้วยสายตานิ่งเฉย หางที่กระดิกไปมานั้น หนำซ้ำมันยังอ้าปากหาวใส่ผม “ อะไรวะ กระตือรือร้นหน่อยไอ้สัด นี่ถ้าไอ้ดีนออกไปจากห้องไอ้อาร์มแล้ว กูก็จะเปิดระเบียงให้มึงออกไปหาแก้มหอมขาได้นะ ”

ไม่มีเสียงตอบรับอะไรจากคุณแมวที่ล้มตัวลงนอนแผ่ มันไม่ได้หันมองผมด้วยซ้ำ จนเรียกได้ว่าไม่ได้ให้ความสนใจอะไรกันเลย

“ เลี้ยงแบบเสียตังค์ฟรีจริงๆเลยมึง ไม่อินอะไรกับกูทั้งนั้น ” เผลอถอนหายใจออกมาในตอนนั้น ผมหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาดู เพราะคิดว่าน่าจะมีข้อความอะไรตอบกลับมาบ้าง แต่ในนั้นไม่มีข้อความตอบกลับมาเช่นเดิม “ หรือว่าดีนจะออกไปข้างนอกพร้อมกับมันวะ ”

“ เมี๊ยว ” เสียงร้องที่ชวนให้ผมหันไปมอง จับใจความได้อย่างเข้าข้างตัวเองประมานว่า ‘ ก็ส่งข้อความไปหาเค้าสิเมี่ยง จะได้รู้ ’

“ งั้นกูจะส่งไปว่า ออกไปข้างนอกกันเหรอวะ หรือว่าดีนออกไปแล้วเหรอ แล้วกูออกไปข้างนอกได้ยังไง แบบนั้นละกันดีมั้ย ” ดึงมือถือของตัวเองขึ้นมาก่อนจะพิมพ์เข้าไปแต่ยังไม่ทันจะจบประโยคที่คิด ข้อความจากปลายทางก็ส่งกลับมาให้กันก่อน


Arm:
ดีนออกไปแล้วนะ
อีกสัก 20 นาที
มึงก็คงออกมาจากห้องได้
Mieng:
โอเค


ไม่มีข้อความตอบกลับมาอีกหลังจากที่ข้อความนั้นของผมขึ้นว่าอ่านแล้ว ก็น่าแปลกอยู่เหมือนกันทั้งๆที่ข้อความนั้นไม่มีเสียง และไม่แม้แต่สิ่งที่มันจะแสดงถึงหน้าตาของผู้ที่กำลังสนทนา แต่ถึงอย่างงั้นผมก็ยังรู้สึก ว่ามันเหมือนกับว่าปลายฝั่งนั้น กำลังเศร้าสร้อย แปลกๆ

“ แค่เพราะมันไม่ได้กวนตีนกันเหมือนอย่างปกติเหรอวะ ” เอ่ยถามตัวเองแบบนั้น ก่อนจะผ่อนลมหายใจแล้วสะบัดหน้าไปมาเพื่อทิ้งความคิด ที่คล้ายจะห่วงใยอีกฝ่ายนั้นทิ้ง “ แล้วกูจะไปสนใจอะไรมัน ไอ้ดีนกลับไปแล้ว ทุกอย่างก็คือ จบแล้วเปล่าวะ ใช่มั้ย นายท่าน ”

หันไปถามแมวตัวเองอย่างอยากจะให้ขานรับออกมาสักหน แต่ถึงอย่างงั้นมันก็แค่นิ่ง พลางมองไปทางอื่น นายท่านกระโดดลงจากโซฟามันตรงไปที่ประตูเบียง แล้วนั่งลงตรงนั้น

“ เมี๊ยว ”

“ จะออกไปข้างนอกเหรอ ” ผมเดินเข้าไปหา ก่อนจะเปิดประตูให้นายท่านที่ก็เดินออกไป มันกระโดดขึ้นไปบนชั้นว่าง ฝั่งที่จะเห็นระเบียงของห้องข้างๆได้ในมุมสูง “ โอเค มึงพอใจแล้วนะ งั้นกูจะออกไปซื้อของหน่อย ”

ไม่แม้จะหันมามองหน้า หรือแม้แต่เสียงร้องเล็กๆที่จะเอ่ยออกมาว่า ‘เมี๊ยว’ เพื่อแทนคำพูดที่ว่า ‘ไปดีมาดีน้าเมี่ยงน้า ’ ให้พอชื่นอกชื่นใจ แบบที่อยากจะซื้อขนมแมวเลียกลับมาให้สักหน่อย ไอ้นายท่านมันเอาแต่มองประตูระเบียงฝั่งห้องไอ้แก้มหอมอย่างเดียวเท่านั้น

“ รักเค้าจริงๆเลยนะมึงน่ะ ” อดแซวท่าทางจริงจังนั้นไม่ได้เลย ผมพูดออกมาอย่างงั้น “ นี่ ถ้าสมมุตินะ สมมุติว่าวันนึงอยู่ๆแฟนของแก้มหอมเค้าปรากฎตัวขึ้นมา มึงจะทำยังไง จะเสียใจมั้ย ”

ขยี้หัวไอ้ตัวเอาแต่ใจไปยิ้มๆ ก่อนที่ภาพในวันนั้นมันจะค่อยๆฉายขึ้นมาในความทรงจำ วันที่ผมจูบกับอาร์มครั้งแรก แล้วก็ตอนนั้นเองที่มันก็บอกกัน ว่ามันมีใครสักคนที่ชอบอยู่แล้ว “ จะว่าไป กูก็ไม่น่าถามเนอะ ” ผมว่าแบบนั้นก่อนจะเดินออกมาจากระเบียง “ ชอบคนที่เค้ามีเจ้าของอยู่ ยังไงมันก็ต้องเจ็บอยู่แล้ว ”

คว้าเอากระเป๋าผ้าที่แขวนอยู่ตรงที่แขวนขึ้นมาม้วนให้ขนาดพอดีจับ ผมหยิบกุญแจห้องของตัวเองขึ้นมาพร้อมทั้งโทรศัพท์มือถือยัดใส่กระเป๋า

“ ออกไปซื้ออะไรกินนะ ” แต่ก็เหมือนเดิม ถ้าไม่ใช่แก้มหอมก็เหมือนจะยากหน่อยนะเมี่ยง ที่แมวอย่างไอ้นายท่านจะหันมาสนใจ

ไม่ไกลจากคอนโดเท่าไหร่นัก มีห้างเล็กๆที่ผมสามารถซื้อได้ทั้งสินค้าอุปโภคและบริโภคตั้งอยู่ แล้วนี่ก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ผมชอบมากที่สุด สำหรับการพักอาศัยอยู่ที่นี่ ไม่นับสวนสาธารณะที่ก็อยู่ไม่ไกลกัน แถมทั้งนี้ทั้งนั้น คนก็ยังไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนที่อาศัยอยู่ที่คอนโด รอบๆนี้

 หยิบเอารถเข็นก่อนจะใส่ตะกร้าผ้าที่ถือมาลงไป ผมหยิบขนมปังที่อยู่ด้านหน้าเป็นอย่างแรก สำหรับมื้อเช้าที่ก็กินได้แทบทุกวัน ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่อาหารปรุงสุก ซึ่งวันนี้ ก็มีทั้งข้าวหน้าปลาไหลที่ชอบ แล้วก็ข้าวหน้าหมูที่เพิ่งกินไป

“ โคตรน่ากิน ซื้อไปเก็บไว้ได้มั้ยวะ ” ถามตัวเองแบบนั้น แต่ก็ลังเลอยู่นานจนต้องเดินเข้าไปซื้อของที่คิดว่าต้องซื้อก่อน วันนี้ตั้งใจจะมาซื้อขนมโดยเฉพาะ ผมอยากจะกินช็อกโกเล็ตแล้วก็ขนมขบเคี้ยวสักหน่อย มีการ์ตูนเรื่องที่อยากจะดูอยู่ในโปรแกรม “ แต่ดูหนัง ยังไงก็ต้องบ็อปคอร์นเปล่าวะ ”

เอื้อมมือไปหยิบบ็อปคอร์นที่อยู่บนชั้นขาย ผมหยิบมันมาสองสามรสก่อนจะก้มลงอ่านรสชาติที่คิดว่าน่าสนใจ แต่สุดท้ายก็ตัดใจเอามาทั้งสองสามรสที่มีขาย เพราะไม่รู้ว่าอันไหนอร่อย

“ แล้วคราวนี้ก็ต้องซื้อถุงยังชีพไว้หน่อย ” เพราะจากเรื่องเมื่อเช้าทำให้ได้รู้เลยว่า คนมันจะตายมันตายได้ง่ายมาก และคนที่ถึงความจะซวยก็เช่นกัน  มันซวยได้ง่ายมากด้วย แล้วตัวอย่างก็เช่น การมาของไอ้สัดดีนในวันนี้

ชีวิตในห้องก็ยังไม่มีอะไรให้กิน แถมตอนที่เดินออกไปจากห้องก็คล้ายกับคนย่องเบา ผมยังจำท่าทางตัวเองที่ต้องมองซ้ายดูขวาให้ดี แถมยังเลิ่กลั่กสุดๆ ในตอนที่มีคนมองมา ไม่นับตอนที่กว่าจะกลับเข้าห้องมาได้ ก็ถอนหหายใจโล่งเหมือนกับคนที่หลุดพ้นออกมาจากความตายยังไงอย่างงั้น

จนไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าดีนออกมาจ๊ะเอ๋กับไอ้นายท่านที่ก็ดันออกไปร้องเรียกเจ้าแก้มหอมแบบไม่เป็นเวลา หรือไม่ก็อาจจะเห็นหน้าผมเข้าโดยบังเอิญ ไอ้อาร์มจะตอบคำตอบกับอีกฝ่ายยังไง

‘ ทำไมไอ้เมี่ยงถึงมาอยู่ข้างห้องมึง ’ ‘ แล้วทำไมมึงถึงไม่บอกกูว่ามันอยู่ที่นี่ ’ ‘ ทำไมมึงต้องปิดบัง ’ และโดยเฉพาะคำถามที่ว่า ‘ ทำไมมึงต้องปิดบัง ’ ก็เหมือนจะตอบอะไร ในแง่ไหนที่มันดูดีไม่ได้เลย ยิ่งกับคำตอบแบบที่เราไม่ได้เกี่ยวข้องกันหรอก แต่ที่ต้องมาช่วยกันแบบนี้ นั่นมันเป็นเพราะอะไร

“ หึยย ” ส่ายหัวไปมากับความสยองที่แค่คิดก็อยากจะเป็นลม

ผมเข็นรถไปที่โซนของสำเร็จรูป ของที่ซื้อไม่มีอะไรมาก หนักไปทางบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ก่อนจะแวะเข้าไปที่โซนของสด หยิบไข่มาหนึ่งแพ็ค รวมถึงเบคอน แล้วก็ไส้กรอกที่พอจะใส่ลงไปได้ แต่ก่อนจะเข็นรถกลับไปทางฝั่งตู้แช่เพราะจะหยิบนม ขาของผมมันก็หยุดชะงักลง เมื่อเจอเข้ากับคนข้างห้องที่ก็หายเงียบไปเลยหลังจากบนสนทนานั้นของเรา

“ มาซื้ออะไรของมันวะ ” ถามกับตัวเองแบบนั้น แต่ภาพที่เห็นนั้นกลับนิ่งไปอย่างไร้การเคลื่อนไหว ผมรู้สึกว่าเหมือนอาร์มแค่ยืนเฉยๆอย่างงั้นตรงหน้าชั้นในล็อคขายของเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง ราวกับคิดอะไรอยู่ มันยืนเหม่อออกไปไกล แทบไม่มีสติเหลืออยู่เลยด้วยซ้ำ

ปัง!

“ โทษที ” เข็นรถเข้าไปชนมันอย่างตั้งใจ จนคนที่ยืนนิ่งอยู่ถึงกับสะดุ้งราวกับโดนดึงให้หลุดออกจากความฝัน อาร์มยิ้มกว้างออกมาทันทีในตอนที่เห็นหน้าผม

“ อ้าว มาซื้ออะไร ” ถามออกมาแบบนั้นก่อนจะมองลงไปที่รถเข็น แล้วนั่นก็ทำให้มันยิ่งกว้างกว่าเก่า

“ ยิ้มเหี้ยอะไรขนาดนั้น ทำไม ? กูแดกมาม่าไม่ได้เหรอ ”

“ ก็ได้ แต่มันก็แปลกนะที่พอไอ้ดีนกลับมึงก็ลงมาซื้อของพวกที่เก็บไว้ได้นานๆทันทีเลย ไม่ใช่กลัวว่าไอ้ดีนจะกลับมาอีกเหรอ ”

“ ใครจะไปกลัวคนอย่างมัน ” ผมเชิดหน้าถามอีกฝ่ายแบบหาเรื่องแต่ตอนนั้น อาร์มมันไม่ได้พูดอะไร อีกฝ่ายก็แค่ยกยิ้ม ก่อนจะหันไปทักคนที่เหมือนจะมาใหม่จากด้านหลัง

“ อ้าว ดีน..”

“ เชี้ย ” สบถก่อนจะหันไปทันทีแต่นั่นก็มีเพียงแค่ความว่างเปล่า ผมถอนหายใจหายโล่งพลางหันมามองมันแบบหาเรื่อง “ ไอ้สัด ”

“ ไม่ได้กลัวเนอะ ” อาร์มย้ำแบบเย้าๆ

“ หน้าเหี้ย ” ทิ้งท้ายไว้อย่างงั้น ก่อนจะหันไปหยิบขนาดแมวเลียสองสามแพ็คใส่ลงไปในรถเข็นตัวเอง “ ไม่น่าเข้ามาทักเลยกู น่าจะปล่อยให้มึงยืนเหม่ออยู่คนเดียว จนคนเดินผ่านไปมาเข้าใจว่าเป็นบ้า ก็น่าจะดี ”

“ อย่าใจร้ายขนาดนั้นน่า ” มันหันมาบอกก่อนจะชูขนมแมวเลียแบบแพ็คอีกยี่ห้อที่ให้ผมดู “ สนใจมั้ย ขนมแมวเลียอันนี้ แก้มหอมชอบมากเลยนะ เผื่อนายท่านของมึงจะชอบด้วย ”

“ เหรอ ”

“ ลองดู ” ขนมแมวเลียสองแพคถูกโยนลงไปในรถเข็นของผมที่ก็หยิบมันเอามาอ่านคร่าวๆ ก็พบว่ามันคือยี่ห้อดังจากฝั่งญี่ปุ่น ที่ราคาก็โหดอยู่ไม่ใช่น้อย

“ สมเป็นคุณหนูแก้มหอมจริงๆ ของกินยังพรีเมี่ยม ”

“ แล้วมึงมาซื้อแค่นั้นเหรอ ”

“ ขาดนม ชีส แล้วก็แป้งสำเร็จที่ใช้ทำพิซซ่า ” คนข้างกันขมวดคิ้วในตอนที่ผมบอก ในตอนนั้นผมก็ยิ้มก่อนจะชูนิ้วชี้ส่ายหน้าไปมาตรงหน้ามัน “ ไม่รู้จักอะดิ ”

“ เออ ไม่ค่อยเข้าใจวิถีคนทำกับข้าวไม่เป็น แล้วก็พึ่งพาแต่ของไม่มีประโยชน์เท่าไหร่ ”

“ มึงนี่ไม่รู้อะไรบ้างเลย ” รถเข็นของผมเข็นออกมาตรงโซนของแช่แข็ง ที่มีแป้งพิซซ่าสำเร็จวางขายอยู่ ผมเอื้อมมือหยิบขึ้นมาโชว์มัน “ นี่คือแป้งพิซซ่าสำเร็จ เวลาที่มึงอยากจะกิน มึงก็แค่เอามาขึ้นมา ทาซอสพิซซ่า แล้วก็โรยของที่ชอบลงไป ชีส ไส้กรอก แฮม ต่างๆ กูนะเวลากินก็จะใส่ผักสามสีแช่แซ็งลงไปด้วย ให้ประโยชน์เน้นๆ ”

“ เน้นมากเลย กับของแช่แข็งอย่างงั้น ” ผมหยิบผักสามสีที่ว่าใส่ลงไปในรถเข็นของตัวเอง รวมถึงของแช่แข็งอื่นๆที่สามารถโรยหน้าพิซซ่าได้ โดยเฉพาะของทะเลต่างๆ

“ เอาน่า ผักสดอยู่ห้องกูไปมันก็เน่า กินแบบนี้แหละสะดวกดี ค่อยกินวิตามินผักรวมตามเข้าไปก็จบ ” ยักคิ้วยิ้มๆให้อีกคน อาร์มมันส่ายหน้าไปมา “ ซึ่งมึงรู้มั้ยว่า อาหารทะเลแช่แข็งใส่ลงไปกินกับมาม่าอร่อยมากเลยนะ ”

“ กูทำเองอร่อยกว่า ” อาร์มบอก ผมก็ได้แต่แบะปาก ก็เถียงอะไรไม่ได้หรอก ต้องยอมรับจริงๆว่าอีกคนทำอาหารอร่อย และไม่ใช่แค่อร่อยธรรมดา บอกเลยว่าอร่อยมาก แบบที่ไปเปิดร้านอาหารก็คงได้ “ แล้วนั่นวันนี้มึงจะทำอะไร สปาเก็ตตี้ ” เดาว่าอย่างงั้นเหมื่อเห็นของจากในรถเข็นของอีกคน

“ ก็ไม่อะ วันนี้คงซื้อข้าวหน้าปลาไหลที่ขายตรงหน้าซูปเปอร์ไปกิน ของพวกนี้แค่เก็บๆไว้ เผื่อทำวันอื่น ”

“ เช่นนั้น ” ผมพยักหน้ารับพลางถอนหายใจ

ก็นะ ผู้ชายชอบทำอาหาร หนึ่งในไทป์ที่คนส่วนใหญ่ใฝ่ฝันถึง พอมองดูรถเข็นของมันแล้วก็พบแต่ของสดนานาประโยชน์ ที่ก็คงรังสรรค์เมนูแสนอร่อยได้หลายมื้อ แซลม่อนชิ้นใหญ่สองสามชิ้น กุ้งตัวเบอเริ่ม ไม่นับส่วนต่างๆของเนื้อหมู

“ แล้วมึงต้องซื้อหมูเยอะแยะขนาดนั้นเลยเหรอ ”

“ กูชอบกินหมูมากกว่าไก่ แล้วก็เนื้อวัว ” อาร์มหันมาบอกผม “ หมูสับไว้ทำสปาเก็ตตี้ แฮมเบิร์ก หรือไม่ก็ใส่ลงไปในยำ จะทำมาม่าต้มยำก็ได้ ส่วนสันคอ กูเอาไว้ทำสเต๊ก ส่วนสันในก็แล้วแต่ เอาไว้ทำเมนูปกติทั่วไป ”

“ สุดยอด ” เผลอชมออกไปอย่างงั้น ก่อนจะกลืนคำว่า ‘อยากเป็นเมีย’ ลงคอไป  ผมเชิดหน้าไปที่หมูสไลค์ “ แล้วนั่นอะ ”

“ เอาไว้ทำข้าวหน้าหมู กูชอบกินข้าวหน้าหมู ”

“ เหรอออ ” พยักหน้ารับเข้าใจก่อนจะเข็นรถเข็นออกไป “ ไม่น่าละ วันนี้ไอ้ดีนก็เลยซื้อข้าวหน้าหมูมาให้มึง เพราะมึงชอบกินนี่เองสินะ ”

“ อื้ม ” เสียงตอบกลับเบาๆ เหมือนอีกฝ่ายจะหยุดชะงักไปนิดหน่อย ในตอนนั้นผมก็หยุดรถเข็น อีกฝ่ายก็เช่นกัน

“ เดี๋ยวนะ นี่ไม่ใช่ว่าที่มึงมายืนเหม่ออยู่แบบนี้ เพราะรู้สึกผิด ที่ทำความกูแตกหรอกนะ ” หันไปถามอีกฝ่ายเสียงจริงจัง หัวใจผมมันเหมือนหลุดลงไปอยู่ตรงตาตุ่มในตอนนั้น ก่อนที่อาร์มจะแค่ยิ้ม มันส่ายหน้าไปมาพลางถอนหายใจ

“ ประสาท ” มันว่าก่อนจะยกมือขึ้นดีดที่หน้าผากผมเบาๆ “ คิดหน่อยไอ้สัด ถ้าตอนนี้ความลับมึงแตก ดีนจะยอมกลับไปมั้ย คนอย่างมันน่าจะเคาะประตูเรียกให้มึงออกมา เพื่อสมน้ำหน้าที่แผนแตกแล้วละ ”

“ นั่นก็จริง ”

“ แล้วดีนก็ต้องขู่มึง ว่ามันจะบอกไอ้เบส เรื่องที่สุดท้ายมึงได้นาเดียไป ไม่นับเรื่องที่เรากำลังจะดองกัน แล้วก็เรื่องที่กูกำลังชอบมึง ”  เผลอกลืนน้ำลายลงคอไปในตอนที่เผลอคิดภาพเหล่านั้นตาม  ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าดีนรู้เรื่องราวทั้งหมด ผลจะออกมาเป็นรูปแบบไหน ผมส่ายหน้าไปมา

“ สยองไอ้สัด เลิกพูดได้มั้ย ” ผมว่า “ ก็ใครจะไปรู้ เห็นมึงยืนเหม่อแบบนี้ คิดว่าทำอะไรผิดมา ”

“ กูไม่ได้ทำอะไรผิดมาหรอกน่า ” อาร์มว่ายิ้มๆ “ กูแค่ทำในสิ่งที่กูควรทำมาตลอดต่างหาก ”

“ ยังไง ” แต่คำถามนั้นอาร์มกับไม่ได้ตอบอะไรกลับมาอีก ในตอนนั้น มันแค่มองผมยิ้มๆ ด้วยสายตาเศร้าสร้อยราวกับว่าเพียงแค่คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ก็ทำให้มันเจ็บไปหมดทั้งใจ

“ ไว้จบเรื่องเมื่อไหร่กูจะบอกมึงนะ ” ทิ้งท้ายประโยคไว้อย่างงั้นก่อนที่รถเข็นคันนั้นจะถูกเข็นออกไป

หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 19 :: up! 25-4-63} #หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 01-05-2020 22:36:29
 เราเข็นตามกันมาจนถึงด้านหน้า แวะหยิบเอาข้าวหน้าปลาไหลชิ้นใหญ่ที่ดูหน้ากินกันคนละกล่อง แล้วก็เพิ่มไก่คาราเกะที่เพิ่งทอดร้อนๆ ใส่ลงรถเข็นมาด้วย ก่อนจะเข็นมาที่แคชเชียร์คิดเงินที่อยู่คนละล็อค ที่ก็เสร็จทุกอย่างในเวลาที่ไล่เรี่ยกัน

อาร์มสะพายกระเป๋าผ้าสีดำของตัวเองขึ้นบ่า มันยืนรอผมที่ก็จัดของใส่ลงไปในกระเป๋าผ้าของตัวเองที่เตรียมมาก่อนหน้านี้

“ กลับบ้านกัน ” ร่างสูงยิ้มบอกกันในตอนที่ผมเสร็จสิ้นการเก็บกระเป๋าเงินแล้วเงยหน้าขึ้นมองมันพอดี

“ เรา รู้จักกันด้วยเหรอครับ ” ทำทีเป็นพูดกับมันด้วยสายตาแบบคนที่ไม่รู้จัก ผมเหลือบมองซ้ายขวา “ ทักคนผิดเปล่าครับ ”

“ กวนตีนแล้วไอ้สัด ” มันว่าแบบนั้น ก่อนจะก้าวเข้ามาหาแต่เหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ ใบหน้าคมก็เลยหันมามองกันแบบตาโต “ แล้วคุณชื่ออะไรเหรอครับ ผมชื่ออาร์มนะ มีแฟนยังไงครับ ”

“ ไม่มีครับ ขนาดไปชอบคนอื่น เค้ายังมีเจ้าของอยู่แล้วเลย ” หันไปตอบมันที่หน้าเจื่อนลงทันที แต่ท่าทางแบบนั้นทำให้ผมยิ้มกว้าง “ เป็นไงไอ้สัด ดราม่าซีนเลยมั้ย ”

“ ไว้สักวันนะ ” อาร์มหันมาบอกในตอนที่เราเดินออกไปจากห้างพร้อมกัน “ กูจะเลิกรักเค้าจนหมดใจ แล้วก็จะรักแค่มึง ”

“ อะไรของมึง ” ถามออกไปแบบตาโต อีกคนก็หลุดขำ แต่ในตอนนั้นผมกลับพูดออกไปแบบเสียงเบา “ ประสาท อินหนังเหรอไอ้เหี้ย ”

“ ครับๆ อินหนังก็อินหนัง แต่อยากบอกมึงไว้ก่อน ว่ากูจะทำสำเร็จแน่นอน ” อาร์มว่าแบบนั้น แบบที่สายตามุ่งตรงไปข้างหน้า มันเหมือนคนมีความหวัง “ ถึงตอนนี้มันจะยังออกไปไม่หมด แต่สักวันมันจะต้องหมดแน่นอน ”

“ แล้วตอนนี้ออกไปเท่าไหร่แล้ว ” ผมถามอาร์มก็หันมามองกันนิ่งๆ มันยิ้มกว้าง

“ ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะสักห้าสิบ หกสิบ หรือเจ็ดสิบแล้วก็ได้ เป็นไง กูเก่งมั้ย ”

“ ใช่เรื่องที่กูต้องมาชมเหรอ ” ผมว่าก่อนจะทำทีเป็นมองไปรอบๆ อย่างเก็บความรู้สึกที่ตอนนี้หัวใจกำลังเต้นแรงเพราะคำพูดที่ฟังแล้วดูน่ารักเหมือนเด็กๆอย่างงั้นของอีกฝ่าย  “ เรื่องนั้น มึงจะตัดใจได้ไม่ได้ก็เรื่องของมึง ส่วนกูเองจะชอบมึงอยู่ หรือจะไปชอบคนอื่น นั่นมันก็เรื่องของกู ”

ลมหายใจที่ผ่อนออกมา มันน่ารำคาญซะจริง ไม่รู้ทำไมแต่มันดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นใจหมดเลย อากาศก็ดี แบบไม่ร้อนเกินไป ขนาดทางเท้าที่ปกติจะวุ่นวายกว่านี้ ตอนนี้มันกลับเงียบสงบขึ้นมาเสียอย่างงั้น แถมยังมีลมพัดให้พอได้ยินใบไม้เสียดสีบางเบา ทุกอย่างดูสบายใจไปหมด จนเผลอคิดว่า ถ้าเราเป็นแฟนกัน บรรยากาศตอนนี้มันคงจะดีกว่านี้มาก แต่ก็นั่นแหละ 

 “ ก็รู้แล้วครับ แต่ผมก็จะพยายามของผมไป ”

“ แล้วอย่างงั้นวันนี้มึงจะเหม่อทำไม ” ผมถาม “ กูนะเห็นมึงยืนเหม่อจนกูคิดว่าเป็นรูปปั้น นี่ถ้าใครมาขโมยของจากกระเป๋าตังค์ มึงจะรู้ตัวเปล่ายังไม่รู้เลย ”

“ กูแค่คิดถึงคนที่ชอบขึ้นมาน่ะ ” อาร์มบอกก่อนจะหันมายกยิ้มให้ผม มันที่ผ่อนลมหายใจออกมาพร้อมกับหันไปมองข้างหน้า ความเสียใจฉายชัดขึ้นมาอย่างกะทันหัน “ อยู่ๆกูก็คิดขึ้นเค้ามา วันนี้เค้าเห็นแก่ตัวกับกุมากๆเลย จนมันทำให้กูรู้สึกว่า จริงๆแล้ว กูเองก็โง่เหมือนกันนะ ที่หลงรักคนที่เค้าไม่ได้รักกูเลยมาได้ตั้งหลายปี โง่มากๆที่พอเค้าบอกว่าให้รอ กูก็รอเหมือนหมาตัวนึงที่เจ้านายสั่งอะไรก็ทำตามไม่เคยขัด กูที่ทำตัวดีทุกอย่างก็เพื่อเค้า เตรียมทุกอย่างในชีวิต วางแผนไว้  นั่นก็เพื่อเค้า แต่วันนี้ ตอนนี้ กูกลับรู้สึกว่า กูไม่น่าทำแบบนั้นเลย ตลอดเวลาที่ผ่านมาก มันทำให้กูรู้สึก เสียเวลาชิบหาย ”

“ มึงเคยได้ยินคำว่า ทั้งรักทั้งหลงมั้ย ” ผมบอกยิ้มๆ ก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้าที่วันนี้ดูสดใสเป็นพิเศษ “ มึงก็แค่เป็นแบบนั้น ไม่เห็นจะต้องบอกว่า ไม่น่าทำแบบนั้น ไม่น่าโง่เป็นแบบนี้เลย แล้วถึงมันจะเป็นเรื่องที่มึงรู้สึกแย่ แต่นั่นก็คือช่วงชีวิตนึงของมึงนะ ที่แม้มันจะเหี้ยแค่ไหนแต่มันก็ยังปะปนไปด้วยความสุขอยู่ดีนั่นแหละ ไม่งั้นมึงคงไม่รักมันมาจนถึงตอนนี้หรอก ”

อาร์มหยุดฝ่าเท้าที่เดินอยู่ข้างกันลงทันทีในตอนที่ผมพูดจบ มันหยุดยืนนิ่งอย่างงั้น จนผมที่เดินอยู่ต้องหยุดเดินบ้างก่อนจะหันไปมองมัน

“ อะไร ”

“ มีความคิดแบบนี้ด้วยเหรอมึงน่ะ ” อาร์มถามยิ้มๆ

“ ทำไม กูดูไร้สมองเหรอไอ้สัด ”

“ ก็เปล่าหรอก แต่ไม่คิดว่ามึงจะคิดได้แบบนั้น ” เผลอจิ๊ปากในตอนที่ได้ยิน อาร์มมันหลุดหัวเราะในคอ เราเริ่มเดินต่อ

“ จริงๆเรื่องนาเดียกูก็เคยมองว่ามันเป็นเรื่องแย่ๆเหมือนกันนะ ถึงกูจะรู้ว่าเธอก็แค่คบกูแก้ขัดไป แต่กูก็ยังรู้สึกหงุดหงิดอยู่ดีที่ความรักของกูต้องกลายเป็นอะไรแค่นั้น แต่นั่นมันก็เพราะเธออีกนั่นแหละ ที่ทำให้ช่วงชีวิตกูก่อนจบม.ปลายของกูไม่เหงา ว่ากันตามตรง เธอก็เป็นความสุขในช่วงเวลานึงของกูเหมือนกัน เลยไม่รู้จะเสียใจ เสียดายไปทำไม เวลามันผ่านไปแล้วด้วย ถึงแม้ว่ามันจะสร้างความชิบหายมาให้กูจนถึงตอนนี้กูเถอะ ” ท้ายประโยคนั้นผมพูดเบาๆ แต่คนข้างกันกลับแค่ยังคงยิ้มกว้าง

“ หึ ”

“ มองไปในอดีต มองยังไง เสียดายยังไง มันก็ช่วยอะไรมึงไม่ได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับปัจจุบัน ว่ามึงจะเลือกอะไร ”

“ เลือกมึง ” เหลือบมองคนที่อยู่ข้างกัน ก่อนจะกลืนน้ำลายแบบที่พูดอะไรต่อไปอีกไม่ได้แล้วในตอนนั้น ลมหายใจของผมผ่อนออกมา คล้ายกับเครื่องระบายความร้อนของใบหน้า “ สักวันนะเมี่ยง เราจะเดินข้างกันแบบนี้แล้วจับมือกันกลับบ้าน สักวันของที่กูซื้อ จะเป็นของของเรา ไม่ใช่แค่ของของกูคนเดียว ”

“ มึงชอบอ่านนิยายเหรอวะ ” ผมหันไปถาม อาร์มขมวดคิ้ว

“ ทำไม ”

“ คำพูดน้ำเน่ามากไอ้สัด ถ้าหยุดอ่านได้ก็คือหยุดนะ ถือว่าขอ ”

“ กูก็แค่รู้สึกแบบนั้น ” คนข้างๆหันมายิ้มให้กัน แล้วหลังจากนั้นทุกอย่างก็กลายเป็นเพียงความเงียบเชียบ แต่นั่นกลับรู้สึกอิ่มใจอย่างบอกไม่ถูก เราเดินเข้าตึกมาพร้อมกัน ขึ้นลิฟต์ที่อยู่ๆก็เหมือนจะเป็นใจรอรับอยู่ด้านล่าง ก่อนที่เท้าผมจะมาหยุดอยู่ที่ประตูด้านห้องตัวเอง “ นี่ ”

“ อะไร ”

“ ของที่ตุนไม่ใช่หมดวันนี้นะ ” อาร์มมันเย้า ก่อนจะมองหน้าผมที่ก็พูดแบบไม่ออกเสียงไป

“ ไอ้สัด ” หันมาก้มควานหากุญแจที่อยู่ในกระเป๋า เสียงปลดล็อคดังขึ้นจากประตูของห้องข้างๆ แต่เหมือนมันจะนิ่งไปทั้งอย่างงั้น ไม่ยอมเข้าห้องไปเสียที อาร์มเหมือนคิดอะไรอยู่

“ เมี่ยง ”

“ อะไรอีก ” ผมถาม

“ ขอกอดหน่อยได้มั้ย ” เสียงทุ้มที่ค่อนข้างเรียบว่าอย่างงั้น แต่ในตอนที่หันไปมองรอยยิ้มนั้นกลับรู้สึกเศร้าหมองลงอย่างน่าประหลาด

ก็คงเก็บอะไรไว้มากมายในใจนั้น ทั้งความทุกข์ และความเจ็บปวด ในแววตาที่มองกันนั้นบอก ผมรู้สึกอย่างงั้น ก็เลยทำได้แค่หยุดยืนนิ่งจนขายาวนั้นเดินตรงเข้ามาใกล้กัน และอย่างไม่ทันได้อนุญาตอะไร มือหนาคู่นั้นดึงก็ตัวเองเข้ามากอดกันไว้ ก่อนจะที่ใบหน้าคมจะซบลงบนไหล่ อาร์มทิ้งตัวลง

“ อย่าทิ้งตัวลงใส่กูขนาดนั้นสิ มันหนักนะ ” ว่าแบบนั้นแต่อีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าว่าจะดึงตัวเองขึ้นไปแต่อย่างใด กลับกันมันแค่ทิ้งตัวลงอย่างงั้น “ ไอ้สัดอาร์ม ”

“ วันนี้กูเหนื่อยมากเลย เหนื่อยจนไม่มีอะไรที่อยากจะทำอะไรทั้งนั้น ยกเว้นอยากจะกอดมึงไว้อย่างนี้ ”

“ ถามกูหน่อยมั้ย ว่าอยากจะให้กอดมึงมั้ย ” ยิ้มแห้งๆในตอนที่บอก แต่ถึงอย่างงั้นผมก็ไม่ได้ผลักไสมันไปไหน ก็วันนี้มันดูเศร้ามากจริงๆ ตั้งแต่รู้จักกันมา นอกจากวันที่มันตะโกนใส่กันว่ารู้สึกยังไง ก็มีวันนี้ที่อีกคนนั่งเหม่อ แล้วดูท่าทางเหนื่อยหน่ายขนาดนี้

“ ลูบหลังกูหน่อยได้มั้ย ”

“ ต้องการการปลอบโยนขนาดนั้นเลย เป็นเด็กเล็กเหรอมึงน่ะ ” ถามแบบนั้นแต่มือก็ดึงขึ้นวางบนแผ่นหลังหนานั้น ผมถอนหายใจพลางลูบเบาๆ ซ้ำๆเหมือนโอ๋เด็กตัวน้อยที่กำลังเสียใจอยู่มากมาย “ โอมมมม  ความเจ็บปวดจงหายไป ”

 มีเพียงรอยยิ้มกว้างของอาร์มในตอนที่ได้ยินคำนั้น กับอ้อมกอดที่กอดรัดกันแรงขึ้น มันไม่มีคำพูดอะไรอีก แต่ผมรู้สึกได้ ว่าความเจ็บปวดของอีกคนในตอนนั้น  มันได้หายไป

แม้จะเป็นเพียงแค่นาทีสั้นๆ แต่นั่นก็ยังดี

..................................................................


บรรยากาศในเช้าวันที่มีเรียนค่อนข้างอึมครึม ฝนที่ตกมาตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ทำให้ไม่แม้แต่จะอยากลุกขึ้นจากที่นอนและผ้านวมหนาที่พันตัวไว้ ยังไม่นับเจ้าตัวลายที่ก็ทำตัวเป็นของเหลวแบบชนิดที่ไม่ว่าจะจับไปทางไหนก็เหมือนกันยินยอมพร้อมใจไปหมด ไม่มีงอแง

“ อากาศโคตรเหี้ย ” ผมพูดกับตัวเองแบบนั้นในตอนที่เดินจากตึกจอดรถมาจนถึงโรงอาหาร โชคดีที่ฝนไม่ตก แค่เมฆลอยดำทะมึนก้อนใหญ่ที่คิดว่า คงจะโปรยปรายสายฝนลงมาในอีกไม่เกินสามชั่วโมงนี้

โรงอาหารไม่ค่อยมีผู้คนเท่าไหร่ อาจเพราะยังเช้ามาก ผมปรายตาไปตามร้านต่างๆ ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่โต๊ะของคนที่ตอนนี้กำลังมองมาทางผม อาร์มนั่งอยู่ตรงนั้นวันนี้มันมีเรียนเช้า แน่นอนว่าอีกคนออกมาก่อนผมเสียอีก และตอนนี้ก็กำลังนั่งอยู่กับไอ้โฮมเพื่อนของมันที่ก็ยกยิ้มมองมาผม แบบที่ต้องเบือนหน้าไปทางอื่น

“ จะยิ้มทำเหี้ยอะไรวะ ขนลุก ” ลูบแขนตัวเองไปมา ผมส่ายหน้าไปมาก่อนจะเดินที่ร้านข้าวไก่กรอบที่ตั้งใจอยากจะกินตั้งแต่เช้า

“ โย่ว! ” โดนถีบเข้าที่ข้อพับขาจนแทบจะล้ม แต่คนทักกับแค่หัวเราะลั่นด้วยความสะใจ ไอ้สัดเจ้ยกอดคอกัน “ เพื่อนเมี่ยงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง ”

“ ไอ้สัด ” หันไปด่ามันที่ก็เม้มริมฝีปากแถมยังปิดปากด้วยทีท่ากวนตีน

“ ป้าครับ ผมสั่งเหมือนเพื่อนหนึ่งจาน ” หันไปบอกป้าคนขายอย่างงั้น เธอก็พยักหน้ารับยิ้มๆ ส่วนไอ้คนกวนตีนมันก็หันมามองผม “ ไม่คิดว่าวันนี้มึงจะมาเร็ว คิดว่าต้องแดกข้าวคนเดียวแล้วกู ”

“ แล้วไอ้เบสยังไม่มาเหรอวะ ”

“ โทรไปยังไม่รับเลยจ้ะ สงสัยเมื่อวานจะเมา ”

“ ปกติมันไม่ใช่พวกเมาในคืนที่รุ่งเช้าจะมีเรียนไม่ใช่เหรอวะ ” คำถามนั้นไร้ซึ่งคำตอบไอ้เจ้ยยักไหล่ให้กัน ก่อนที่เราจะยกถาดอาหารที่ได้มาหาโต๊ะนั่ง

“ โต๊ะนี่แล้วกัน ” ผมบอกในตอนที่เชิดหน้าไปที่โต๊ะหน้าสุดที่ว่างอยู่ แต่ตอนนั้นไอ้เจ้ยมันก็แค่ส่ายหน้า

“ ไม่เอาน่า มึงไม่อยากจะนั่งตรงนี้หรอกกูรู้ นู้นๆ นู้นดีกว่า ” สายตาที่บอกถึงโต๊ะที่เยื้องกับโต๊ะของอาร์มนิดหน่อย มันเป็นโต๊ะแบบที่ว่าอีกฝั่งก็มองมาเห็นผมได้ชัด ส่วนผมถ้าจะมองไปหาอีกฝ่ายนั่นก็ชัดเช่นกัน

“ กูไม่ได้อยากจะนั่ง ” หันไปเถียงอีกคนที่แค่เดินนำไปอย่างไม่สนใจอะไร “ กูจะไปอยากนั่งเยื้องกับไอ้เหี้ยนั่นทำไม ”

“ เอาน่า คิดซะว่ากูอยากนั่ง ” เจ้ยมันบอก ผมก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างจำยอม

“ มึงนี่มัน ”

“ นั่งๆ ” เชิดหน้าไปที่อีกฝั่งให้ผม ซึ่งแน่นอนว่าเป็นฝั่งที่ตรงข้ามกับไอ้อาร์มที่อีกฝ่ายก็กำลังเท้าคางมองกันอยู่แบบที่เหมือนจะบอกให้ทั้งมหาลัยรู้เลยว่า มันชอบผม

“ มองทำเหี้ยอะไร ” พูดแบบไม่ออกเสียงถามอีกฝ่ายในตอนที่ไอ้เจ้ยวางข้าวของตัวเองแล้วเดินออกไปซื้อน้ำ แต่อาร์มก็ไม่ได้ตอบอะไร หนำซ้ำมันยังทำหน้างงเลิกคิ้วเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรด้วยซ้ำ

 “ หงุดหงิดเหี้ยอะไรอย่างงั้น ” เจ้ยนั่งลงตรงข้ามผมก่อนจะยื่นน้ำเปล่าขวดเล็กมาให้

“ ก็มึงแม่ง ที่ว่างทั้งโรงอาหาร เลือกโลเคชั่นได้เหี้ยชิบหาย เสือกต้องมานั่งตรงข้ามกับไอ้สัดนั่น ”

“ ไม่เอาน่า ปล่อยให้ไอ้เบสมันเป็นอริกับไอ้ดีนไปคนเดียวพอ ส่วนพวกเราก็เพื่อนๆกันไว้ ” ผ่อนลมหายใจออกมาในตอนที่คนตรงหน้ายักคิ้วให้ ผมก้มหน้าลงตักข้าวของตัวเองขึ้นกิน “ ว่าแต่นะ ”

“ อะไร ”

“ เรื่องของมึงกับไอ้อาร์มนามสมมุติที่เล่าวันก่อนไปถึงแล้ววะ ” แทบจะพ่นข้าวที่เคี้ยวออกไปในตอนที่ได้ยิน แต่เจ้ยมันก็แค่ยิ้มพลางคลุกข้าวกับน้ำจิ้มที่ราดๆมา “ ไม่อัพเดทกูเลยไอ้สัด เป็นแฟนกันแล้วยัง ”

“ แฟนเหี้ยอะไรละ ” ผมตอบ ก่อนจะเหลือบคนโต๊ะตรงข้าม แล้วผ่อนลมหายใจออกมา “ มันมีคนที่ชอบอยู่แล้ว ”

“ อ้าว ”

“ อื้ม มึงอย่าถามมากเลย แต่ตอนนี้มันเหมือนจะตัดใจอยู่ มันบอกกูอย่างงั้น แต่กูก็ไม่รู้หรอกว่าตัดไปกี่เปอร์เซ็นแล้ว ไมได้ใส่ใจ ”

“ เหรออออ ” เสียงลากยาวแบบที่เหมือนจะบอกว่า ตอแหลไอ้สัด จากอีกฝ่าย ทำให้ผมผ่อนลมหายใจออกมา “ แล้วตอนนี้มึงกับมันก็คือ ยังคุยกันอยู่ ”

“ ก็แบบเพื่อน ” เพื่อนมากเลย เมื่อวานยังยืนกอดกันกลมอยู่ที่หน้าห้อง แบบที่ถ้าป้าแม่บ้านไม่เดินเข้ามาถามว่าเป็นอะไร ก็คงยืนกอดกันแบบนั้นอยู่อีกนานด้วยซ้ำ

“ แบบเพื่อนเติมเอสเปล่าไอ้สัด เพราะมากกว่าเพื่อน ”

“ เหี้ย ” พูดแบบไม่ออกเสียงอีกฝ่ายก็หลุดหัวเราะ “ แต่ว่านะ...”

“ อะไร ”

“ กูเล่ามึงแล้วใช่มั้ย ว่ากูอยากจะให้มันตกหลุมรักกู เวลาเกิดอะไรขึ้นมันจะได้ช่วยกู ” เจ้ยพยักหน้ารับ “ เมื่อวานเหมือนจะเป็นแบบที่กูเคยวางแผนไว้เลย แต่เหมือนจะไม่ได้รู้สึกชนะเหมือนที่เคยคิดว่าต้องรู้สึกเลย งงเหมือนกันวะ ไม่รู้ทำไม ”

“ ไม่เห็นจะแปลก ก็มันไม่ใช่ความรู้สึกแบบที่เคยคิดไว้แล้วไง ” คนตรงหน้าว่า “ ตอนแรกมึงคิดไว้ว่ามันจะชอบมึง แต่มึงไม่ได้ชอบมัน มึงแค่จะเอามาเป็นไม้กันหมาเท่านั้น มึงก็เลยคิดไปาต้อง มันต้องรู้สึกสะใจมากแน่ๆที่อริของมึงมาปกป้องมึงแบบนี้ แต่พอมึงชอบมันจริงๆ ความคิดมันก็เปลี่ยนไป กลายเป็นความรู้สึกดี ไม่ใช่ความสะใจ แล้วนั่นแหละที่เค้าเรียกมันว่า ความรัก ” ท้ายที่เสียงที่ย้ำกันแบบนุ่มๆ ผมเผลอแบะปาก

“ จะอ้วก ”

“ หรือว่าไม่จริง ” ไม่ได้ตอบอะไรคนที่ถามกันแบบหาเรื่องอย่างงั้น แน่นอนว่าเพราะมันจริงอย่างงั้นผมก็เลยไม่ได้เถียง

“ ว่าแต่คนเรา มันจะรู้ได้ยังไงวะ ว่าเราหมดรักคนคนนี้หมดใจแล้ว ”

“ ไม่เห็นยากเลยไอ้สัด  ไม่รักแล้ว ก็คือไม่สนใจแล้วไง วันไหนที่เราไม่สนใจคนที่เคยสนใจมากๆ วันที่เรารู้สึกว่า มันจะเป็นมันจะตายก็เรื่องของมัน นั่นแหละ คือตอนที่เราหมดรักเค้าแล้ว ”

“ ซึ่งจะมาเมื่อไหร่กูก็ไม่รู้ ”

“ กูว่ารู้ ” เจ้ยตักข้าวเข้าปากไปคำโตในตอนที่พูดแบบนั้น “ ก็วันนั้นมันจะหันมาสนใจมึงมากๆแทน มึงจะไม่รู้ได้ยังไงละ จริงมั้ย ”

“ เมี่ยง! ” เสียงเรียกชื่อที่ดังลั่นโรงอาหารเอ่ยขัดผมที่กำลังจะตอบคำถามคนตรงหน้าให้หันไปมองต้นเสียงนั้นเสียก่อน แล้วภาพที่เห็น ก็ทำให้ผมต้องเบิกตากว้างกับคนที่วิ่งมาด้วยรอยยิ้มที่เรียกได้เลยว่ามีความสุขสุดๆ

ผู้ชายที่ผมไม่เห็นมันมานานนับปีหลังจากที่ส่งมันไปเรียนไกลถึงอเมริกาเมื่อต้นปีก่อน แต่ตอนนี้มันยืนอยู่ตรงนี้ อยู่ที่นี่ ร่างสูงหน้าตาหล่อเหลาที่มาพร้อมกับผมทองสีเจ็บแบบที่ผมเคยบอกมันนับล้านครั้งว่า ‘ ขอร้อง มึงอย่าทำเลย ’ แต่มันก็ไม่เคยฟังเลย 

“ ไอ้สัด คิดถึง!! ” พุ่งเข้ากอดกันด้วยความพูดนั้นแบบเต็มแรงแบบชนิดที่เกือบตกเก้าอี้ แต่ผมก็ยังนิ่งอยู่ด้วยความช็อคอย่างงั้น เพราะไม่คิดว่าจะได้เจอเพื่อนสนิทที่สุดสมัยเรียนอยู่มัธยมปลายอย่าง ไอ้เต ที่ก็กอดกันแน่นแบบที่แทบจะสิงร่างกันอยู่แล้วในตอนนี้

................................................................


พี่อาร์มไม่รู้เหรอว่าตัดใจไปได้แล้วมากแค่ไหน
มาค่ะ น้องหนมจะช่วยพี่อาร์มเองนะ

ตอนนี้ชอบความน่ารัก และความคิดของน้องเมี่ยง มันช่างน่ารักเหลือเกิน

ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์ค่ะ

หนมมี่  :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 20 :: up! 1-5-63} #หน้า 4,5
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 02-05-2020 00:09:14
 :ling1: อึดอัด ๆ เมี่ยงยอมได้ไงเนี่ย
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 20 :: up! 1-5-63} #หน้า 4,5
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 02-05-2020 00:45:24
เอ้อออมาเลยเพื่อนเต มาดึงเมี่ยงให้หนีจากความสนใจในตัวอาร์มหน่อย ให้เมินไปยาวๆ แอบลำไยเบาๆ รอเขาอยู่ดีนี้เอง  :เฮ้อ: 55555 สนุกๆ รอตอนต่อไปเลยจ้า ขอบคุณนะที่แต่งมาอัพต่อ  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 20 :: up! 1-5-63} #หน้า 4,5
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 02-05-2020 01:14:19
 :pig4: :pig4: :pig4:

เพื่อนเต   เคยออกอากาศแล้วหรือยังหว่า?
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 20 :: up! 1-5-63} #หน้า 4,5
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 03-05-2020 09:59:11
ตัวกระตุ้นมาละ อิอิ
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 21 :: up! 8-5-63} #หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 08-05-2020 20:29:34
ตอนที่ 21


“ เหี้ยอะไรเนี้ย ” ไม่ใช่เสียงของผม แต่มันคือเสียงของไอ้เจ้ยที่นั่งกันอยู่ตรงหน้าด้วยท่าทางงุนงงที่ก็บอกเลยว่าไม่ต่างอะไรมากนัก แค่ของผมควรเรียกว่า สติยังไม่เข้าร่าง น่าจะเหมาะกว่ากับสภาพตอนนี้ที่ก็นิ่งคล้ายถูกสาป

“ สัดเมี่ยง มีสติหน่อยลูก ” มือหนาดึงขึ้นจูนสมองกันตรงขมับ รอยยิ้มกว้างของคนตรงหน้า พร้อมกับนิ้วที่สัมผัสบอกกับผมอย่างแน่ชัดว่านี่ไม่ใช่ความฝันแต่อย่างใด

“ เดี๋ยวสิไอ้สัด คือ..” ผมเอียงหน้าถาม ทั้งๆที่ก็ยังงงอยู่ “ นี่มึงมาได้ยังไง ”

“ การเรียนหนังสือเค้าก็มีเปิดเทอม ปิดเทอมอะนะ แล้วกูก็คือต้องกลับบ้านบ้างอะไรบ้างแหละ ” บอกแบบนั้นพร้อมทั้งที่ก็พยักหน้ารับไปแบบปากก็อ้าออกด้วยความยังคงงุนงงอยู่

“ อ่า ”

“ คือจะไม่ดีใจหน่อยเหรอ นี่เพื่อนไง เพื่อนเต ที่เพื่อนเมี่ยงคำรักมากๆ ”

“ จะอ้วกไอ้ห่า แล้วปล่อยกูสักทีขนลุก ” ขืนตัวเองออกจากการกอดรัดอย่างไร้ยางอายของอีกคน ผมตีหน้ารังเกียจทั้งๆที่ในใจก็เต้นโครมครามไม่มีหยุด กับความรู้สึกยินดีมากมายที่เห็นอีกฝ่ายมาอยู่ตรงหน้า มันคล้ายกับทุ่งดอกมัมสีขาวที่แข่งกันบานชูช่อ สดใสยังกับการ์ตูนที่ชอบดูยังไงอย่างงั้น

“ แหมมมมมมมมมมมมม ทำเป็นรังเกียจ พี่รักหนู พี่ก็แค่กอดหนูไง ไม่ได้เหรอ รักอะ รักๆ ”

“ หึยยยยยยยย พอที ไอ้สัด ขนลุก ”

“ อะไรกันวะ เดี๋ยวนี้คนเราสามารถพลอดรักกันได้แบบไม่อายฟ้าอายดินขนาดนี้แล้วเหรอ” เสียงคุ้นเคยที่เอ่ยทักเราในตอนนั้น ผมเหลือบมองคนที่เหมือนจะดีแต่ปาก ดีนยกยิ้มให้กัน

“ ทำไมคนเราแม่งขี้เสือกจังวะ ” ผมหันไปถามไอ้เจ้ยแบบขอความคิดแต่อีกคนก็แค่ยักไหล่

“ ไม่รู้สิ อยากมีส่วนร่วมมั้ง ”

“ ใครวะ ” เตหันมากระซิบผม ที่ก็ส่ายหน้าบอกปัดไปก่อนในตอนนั้นอย่างไม่อยากจะเล่าเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างงั้นสายตาของเราก็ยังมองตามแผ่นหลังนั้นไป จนดีนนั่งลงที่โต๊ะของกลุ่มตัวเอง แล้วตอนนั้นแหละ ที่ผมเองก็ได้รู้ ว่าเหตุการณ์ทุกอย่างนั้น มันอยู่ในสายตาของอาร์มมาตลอดเลย “ อ้าว แล้วนี่มึงเป็นอะไรอีก ถอยห่างกูทำไม ”

“ เปล่า ” ผมส่ายหน้า พลางเหลือบไปมองสายตาคมที่มองกันอย่างไม่กล้าสู้หน้าเท่าไหร่นัก  “ ไม่มีอะไรไอ้สัด แต่มึงจะมากอดกูอยู่ทำไมละไอ้เหี้ย นั่งให้มันดีๆ หน่อย ”

ก็น่าแปลกดีเหมือนกัน
ทำไมอยู่ๆ ถึงรู้สึกว่ากลัวอีกฝ่ายจะเข้าใจผิดขึ้นมาก็ไม่รู้

“ อะไรของมึง ” สายตาที่มองกับแบบแปลกใจอยู่ไม่น้อยนั้น อาจเพราะปกติสำหรับเราแล้ว การแสดงเป็นคู่รักแบบกวนตีนต่อกันอย่างนี้ ก็หยอกล้อกันมาตั้งแต่สมัยชั้นประถมด้วยซ้ำ

“ ไม่แปลกหรอก ” เจ้ยมันว่ายิ้มๆ ทั้งที่สายตากลับหันไปมองที่โต๊ะของดีนอยู่อย่างงั้น ก่อนจะหันมามองไอ้เตเพื่อนผม “ บางทีมันคงไม่สบายใจที่ใครบางคน อาจจะเข้าใจผิด ”

“ ใครวะ ” คนข้างกันเผลอถามออกไปอย่างอยากรู้ “ มันมีแฟนเหรอ ”

“ ไอ้อาร์ม ” ผมเบิกตาขึ้นในตอนที่ได้ยิน แต่ในตอนที่กำลังจะเถียงกลับ เจ้ยก็บอกยิ้มๆ “ นามสมมุติน่ะ ”

“ ไอ้สัด ” สบถด่าออกไปแบบไม่ออกเสียง อีกคนก็หุบยิ้มก่อนจะทำทีเป็นเลิ่กลั่กหันไปซ้ายทีขวาทีแบบกวนตีนกัน

“ อะไรวะ ”

“ มึงแม่ง โง่จัง เพื่อนกูก็บอกอยู่ว่า นามสมมุติ แสดงว่าไม่มีจริงๆไง มันก็พูดไปงั้นๆอะ ” อธิบายแบบที่ไม่อยากให้อีกฝ่ายสนใจอีก แต่เตไม่ใช่คนที่หลอกกันได้ง่ายๆอย่างงั้น

“ ดูมึงแปลกๆนะ อย่าบอกนะ ” สายตาคมจ้องมองกันอย่างจับผิด

“ อะไร ”

“ มึงมีผัวยังเนี้ย ”

“ มีผัวแม่มึงสิ!! ” เถียงออกเสียงหลงด้วยความเลิ่กลั่ก อีกคนก็ยกยิ้มพลางยกมือขึ้นลูบคางไปมาอย่างครุ่นคิด “ เลิกสนใจกูเลยไอ้สัดเต นี่เข้ามานั่ง มึงแนะนำตัวกับเพื่อนกูยัง ”

“ เออ ยังเลย ” ส่ายหน้าไปมาด้วยท่าทางเหลอหลา เตมันยืนขึ้นก่อนจะก้มหน้าลงทักอย่างไอ้เจ้ยแบบเป็นทางการ พร้อมกับเสียงดังที่ชวนให้คนที่อยู่ใกล้หันมามอง

“ ขอโทษด้วยนะครับ แต่ผมชื่อ เต เตชิน ยินดีที่ได้รู้จักครับ แล้วก็ขอขอบคุณที่ดูแลน้องเมี่ยงคำของผมเป็นอย่างดี โอ๊ย!! ” ยันตีนเข้าใส่อีกฝ่ายแบบที่อดไม่ได้ ผมผ่อนลมหายใจออกมาพลางยกมือขึ้นบังหน้าแบบที่ไม่อยากจะให้ใครจำได้ เว่อร์ตลอด เว่อร์ชิบหาย เว่อร์แบบไม่มีใครเกิน

“ เว่อร์เหี้ย ไอ้หน้าสัด กูอยากจะตาย ”

“ เออ กูชื่อเจ้ย ยินดีที่ได้รู้จักเหมือนกันนะ ” อีกฝ่ายยกมือขึ้นทักยิ้มๆ พลางเหลือบมองผมที่ในสายตานั้นเหมือนจะบอกกันว่า ‘ เออ เพื่อนมึงแม่ง ตลกดีว่ะ ’

“ แล้วทำไมมึงมาอยู่ที่นี่ กลับมาก็ไม่บอกกันสักคำนะ ” หันมองเพื่อนสนิทตัวเองที่ก็แค่ยิ้มพลางดึงตัวเองเข้ามาซบกันลงลนไหล่

“ ก็เค้าอยากเซอร์ไฟส์น้องเมี่ยงคำของเค้า ”

“ ตอแหลไอ้สัด ” ตอบไปแบบนั้นอีกคนก็ยิ้มเกร็ง ก่อนจะค่อยๆดึงตัวเองออกจากตัวผม เตพูดเสียงเบา ท่าทีของมันดูเครียดขึ้นมากระทันหันจนแม้แต่ไอ้เจ้ยยังเหลือบมองผม

“ ไว้ค่อยเล่า ”

“ อื้ม แล้วนี่มึงมาที่นี่ได้ไง ” ผมถามอีกคนก็ถอนหายใจ พลางเชิดหน้าไปที่ตึกฝั่งที่อยู่ติดกับโรงอาหาร

“ มากับไอ้สัดเต้ กูเขี้เกียจอยู่บ้าน เบื่อ ” พูดถึงพี่ชายตัวเองที่เรียนอยู่ที่นี่แบบหน่ายๆ ไอ้เตมีพี่ชายที่อายุห่างกันไม่มาเรียนอยู่ที่นี่ และถ้าไม่จำไม่ผิด พี่ชายมันเรียนคณะเดียวกับผม แต่ว่าตอนนี้เรียนชั้นปีที่ 4 เค้าเป็นคนสุภาพ แน่นอนว่าต่างกับมันลิบลับ “ ตอนแรกก็ว่าจะโทรหามึงนั่นแหละ แต่เสือกเจอก่อน ก็เลยเข้ามาเซอร์ไพร์สเลยไงจ้ะ ”

“ เซอร์ไพร์สมากไอ้สัด กูไม่ตกใจจนตายก็บุญแล้วหน้าเหี้ย ” ผมว่าอีกคนก็หัวเราะถูกใจ ไอ้เตมันกอดรัดคอผม เหมือนพวกมันเขี้ยวเด็กตัวเล็กๆที่น่ารักเอามากๆ แบบชนิดแก้มแนบแก้ม

“ พี่รักหนู พี่คิดถึงหนูเหลือเกินจ้า ”

“ อย่าทำให้ไอ้เจ้ยมันคิดว่า กูมีเพื่อนเป็นบ้าได้มั้ยไอ้สัด ”

“ เมี่ยง ” เสียงที่เปลี่ยนไปกระทันกันของอีกฝ่าย ผมหันไปมองเพื่อนเสียงขานในคอ

“ หื้ม ? ”

“ ไอ้เหี้ยนั่น ทำไมมันมองเราขนาดนั้นวะ ” มองไปตามสายตาของคนที่กอดกัน แล้วก็ต้องพบเข้ากับคนที่ทำให้ผมถึงกับนิ่งไป

เพราะตอนนี้ ‘ อาร์มกำลังมองกันอยู่ ’ เหมือนหัวใจของผมอยู่ๆก็ชาขึ้นมาราวกับมีใครมาฉุดให้จมลงไปในเหวลึก ปลายมือปลายเท้าไร้ความรู้สึกฉับพลัน สายตาที่มองมาอย่างไม่สบอารมณ์นั้น ผมหันเหไปทางอย่างอื่นแบบที่หายใจไม่ทั่วท้องสักเท่าไหร่

เอาจริงๆ ก็ไม่เห็นจะต้องแคร์เลยเปล่าวะ
เราไม่ใช่แฟนกัน แล้วต่อให้ไอ้เตเป็นอะไรกับผม ก็ไม่เกี่ยวกับมันสักหน่อย
แต่ทำไมรู้สึกผิดขนาดนี้

“ เมี่ยง ” เสียงของคนที่นั่งข้างกันเรียกซ้ำ ผมก็หันไปมองแล้วยกคิ้วถามด้วยท่าทางกับอีกคนก็ยังขมวดคิ้วอยู่ “ เหม่อเหี้ยอะไรขนาดนั้น ถามก็ไม่ตอบ ตกลงไอ้สัดนั่นใคร แล้วมันมองเราทำไม ”

“ อย่าไปสนใจเลยมึง ” ยกไหล่ตอบไปแบบบอกปัด ก่อนจะยิ้ม แต่เหมือนว่าทุกอย่างจะไม่ง่ายอย่างงั้น อาร์มลุกขึ้นด้วยท่าทางหงุดหงิดมันเหมือนอ่านปากของผมออกว่าพูดอะไรออกมา

ท่ามกลางความงุนงงของกลุ่มเพื่อนมัน ที่แม้แต่ดีนเองก็ยังขมวดคิ้ว กับคนที่อยู่ๆก็ยืนขึ้นมาด้วยอารมณ์หงุดหงิด อาร์มผ่อนลมหายใจออกมาใส่กันในตอนนั้น มันเบือนหน้าหนีและยังไม่ทันได้ฟังหรือตอบอะไรความสงสัยของดีนที่เอ่ยถามว่าเป็นอะไร ร่างสูงก็เดินออกไปจากกลุ่ม

“ อะไรวะ ” เสียงของดีนที่เอ่ยตามไล่หลังไป ส่วนผมเองก็มองตามแผ่นหลังนั้นเดินออกไปจากโรงอาหารอย่างไม่ละสายตา อาร์มตรงไปที่พื้นที่สูบบุหรี่ที่อยู่ตรงหลังตึกอีกฝั่งของโรงอาหาร  ก่อนจะหันไปกลับมาแล้วสบตากับดีนที่ขมวดคิ้วมองกันอยู่

“ มองเหี้ยอะไร ” หลุดปากถามออกไป แต่ดีนก็แค่จ้องผมอยู่แบบนั้น นานนับนาที ก่อนจะหันกลับไปกินอาหารที่อยู่ในจานของตัวเองต่อ

“ ทำไมกูรู้สึกแปลกๆ ” เตบอกแบบนั้น เจ้ยมันก็ยกยิ้ม

“ มึงเพิ่งรู้สึกเหรอ นี่กูรู้สึกว่าตลอดเลยนะ ”

“ สัดเมี่ยง ”

“ อะไร ”

“  มึงเป็นอะไรกับคนที่เดินออกไปคนนั้นเปล่าวะ ” หันขวับไปทางคนพูด ผมเบิกตาขึ้นก่อนจะส่ายหน้า

“ พูดเหี้ยอะไรขนลุก ” เถียงออกไปแบบตาตั้ง  แต่เจ้ยก็แค่ยกยิ้ม  “ ยิ้มเหี้ยอะไรของมึงสัดเจ้ย ”

“ เปล๊า ” ตอบไปแบบเสียงสูง แต่เหมือนไอ้เตจะยังสงสัยไม่เลิก มันจ้องหน้าผม ในสมองที่เหมือนจะตั้งคำถาม แต่ยังไม่ทันจะถามอะไร เสียงทักทายของคนมาใหม่ก็ดังขึ้นมาก่อน

“ ดีครับ เพื่อนฝูงงงงงง ” ไอ้เบสที่เดินเข้ามามันขมวดคิ้วนิดหน่อยในตอนที่ไอ้เตหันไปมอง แต่ตอนนั้นมันก็แค่ยิ้มแล้วก็ก้มหน้าลงทัก

“ นี่เพื่อนกู มาจากเมืองนอก ชื่อเต ” ผมเอ่ยแนะนำกับร่างสูงที่เลิกคิ้วขึ้นพลางพยักหน้ารับ “ แล้วสัดเต นี่ไอ้เบสเพื่อนกูเหมือนกัน ” คนโดนแนะนำพยักหน้ารับลง “ แล้วนี่มึงจะกินอะไรก่อนมั้ย ”

“ ดูเวลาด้วยจ้าเมี่ยงคำ ” ไอ้เบสว่าพลางยกข้อมือตัวเองฝั่งสวมนาฬิกาอยู่ขึ้นมาให้ผมดู “ อีกสิบนาทีเข้าเรียนเนอะ”

“ งั้นก็ไปกันเลยมั้ย ” เจ้ยลุกขึ้นจากที่นั่ง ขวดน้ำที่กินเหลือครึ่งนึง ถูกดึงขึ้นมาพร้อมกับกระเป๋าผ้าสีขาวตุ่นที่มันหยิบขึ้นมาสะพาย

“ ก็ถ้ามึงจะเตรียมตัวขนาดนั้นแล้ว ก็ไม่ต้องถามเพื่อนแล้วมั้งไอ้สัด ” เบสมันแซว แต่อีกคนก็แค่ยกยิ้มกลางให้เป็นคำตอบเท่านั้น

“ แล้วมึงจะไปพร้อมพวกกูมั้ยเมี่ยง หรือว่าจะคุยกับเพื่อนก่อน ”

“ มึงไปเรียนก่อนเถอะ ” เตมันบอกผม “ เดี๋ยวกูไปนั่งกินอะไรรอ ”

“ งั้นมึงไปนั่งที่คาเฟ่มั้ย มหาลัยกูมีคาเฟ่ของมหาลัยอยู่ มึงไปนั่งตรงนั้นก็ได้ ”

“ เหรอ ”

“ แต่ทำใจกับรสชาติหน่อยนะสัด ” เบสมันเตือนยิ้มๆ “ เพราะค่อนข้างเหี้ยมากเลยละ ”

“ เหรอวะ ” เตมันหันมาถามผม แบบขอความเห็น

“ เออ รสชาติพอแดกได้อะสัด ก็คิดว่าไปนั่งเล่นเกมส์ในห้องแอร์ อย่าคิดเยอะ ”

“ เออ กูเอานิวเทนโด้มาพอดี ” เตมันว่า “ งั้นเจอกัน ”

“ เดี๋ยวกูเรียนเสร็จแล้วจะเดินไปหา ” ยักคิ้วให้กันเป็นการตอบรับ เราแยกจากกันตรงนั้น เตเดินไปลงที่บันไดอีกด้าน ส่วนผมเองก็เดินไปลงอีกทาง ทางที่ก่อนหน้านี้อาร์มเดินลงไป

สายตาที่อดไม่ได้จนต้องหันไปมอง ขาของผมหยุดนิ่งอย่างอยากจะเดินเข้าไปหาตรงซอกหลังตึกที่มีไว้สำหรับสูบบุหรี่ ไม่รู้ทำไมแต่รู้สึกอยากจะอธิบายอะไรหลายๆอย่างขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุและเหตุผล ทั้งๆที่ก็รู้ว่าไม่มีความจำเป็นอะไรทั้งนั้น

เหมือนในใจแค่อยากจะบอกให้มันรู้ ว่าเตคือเพื่อนผม มันไมได้มีอะไรมากกว่านั้น

“ สัดเมี่ยง ” เบสเอ่ยเรียกกัน ตอนที่เห็นว่าผมหยุดนิ่งไป “ เสี้ยนบุหรี่เหรอไอ้สัด ”

“ หรือว่าอยากจะไปหาใครที่สูบหรี่อยู่ ” ไอ้เจ้ยว่ายิ้มๆผมก็หันไปมองมันพวกมันนิ่งๆ

“ เปล่าสักหน่อย ”

ความสนใจถูกพรากออกไปจากการศึกษาที่เป็นส่วนที่ต้องสนใจมากที่สุดในตอนนี้ สไลค์ที่ผ่านไปสไลค์แล้วสไลค์เล่า เสียงอาจารย์ประจำภาควิชาที่กำลังสอนไม่ได้เข้าหูผมสักเท่าไหร่ สายตาที่ควรจะจดจ้องกับเนื้อหา ตอนนี้มันกับมองหน้าจอสลับกับหน้าจอมือถือราวกับว่า กำลังรอคอยอะไรบางอย่าง

บางทีอาจจะเป็นข้อความมั้ง ?
ใจความที่มันอาจจะออกมาประมานว่า ‘ ขอคุยด้วยหน่อย ’ หรือไม่ก็ ‘ คนคนนั้นคือใครวะ ’

“ รออะไรอยู่หรือเปล่าน้า ” ไอ้เจ้ยที่เอียงตัวมาถามเบาๆ ผมก็ทำได้แค่เหลือบมองมันก่อนจะถอนหายใจ แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป “ หรือว่าเป็นห่วงไอ้เตเหรอ ”

“ อย่าทำเป็นโง่ได้มั้ยไอ้สัด ” สวนกลับไปแบบนั้นอีกคนอีกคนก็เม้มริมฝีปากพลางเบิกตาอย่างไม่คาดคิดว่าผมจะได้ยินผมตอบรับอย่างไม่บอกปัดแบบปกติ

“ ก็คือเปิดตัวกับกูแล้วเนอะ ”

“ รู้แล้วจะให้ปิดเหี้ยอะไรอีกละ ” ถอนหายใจออกมาก่อนจะฟุบลงกับโต๊ะอย่างไม่รู้จะพูดอะไร ไม่รู้จะด่าตัวเองว่า โง่มาก หรือโง่มากๆกันแน่  แล้วผมก็เป็นแบบนี้มาตลอดเลย นิสัยโกหกไม่เก่ง และถ้าโกหกก็คือจะจับได้เลยทันที เหมือนเด็กเล็ก ที่พอแม่ถามว่าทำไมถึงทำของเล่นหาย ก็จะบอกว่า มีสัตว์ประหลาดเข้ามาในห้องแหละคุณแม่แล้วมันก็เอาของของหนูไป

ดูออกง่ายประมานนั้นเลย
ทุกครั้งที่โกหก ทั้งแววตา ท่าทาง ทุกอย่างออกมาหมดว่ากำลังประหม่ามากแค่ไหน

 “ แต่กูไม่บอกใครหรอก ไม่ต้องห่วง ” เจ้ยว่าแบบนั้นด้วยเสียงเรียบๆ ที่ติดจริงจังของมัน “ ไม่อยากจะให้ใครรู้ใช่มั้ยละ ”

“ อื้ม ”

“ แต่กูก็เข้าใจอยู่ เพราะถ้าไอ้เหี้ยข้างๆกูรู้ ก็คือเท่ากับ หายนะ ” เราไม่ได้หันมองกันด้วยซ้ำในตอนที่พูดประโยคนั้น สายตาที่มองตรงไปข้างหน้า มือของเจ้ยที่กำลังจดข้อความที่ควรจำลงไปในแผ่นกระดาษตรบนโต๊ะ

“ มึง..” ผมเรียกคนข้างกันเสียงเบา

“ ว่า ”

“ รู้สึกเหี้ยจังเลยวะ ” เจ้ยหันมามองกันในตอนที่ผมพูดแบบนั้น “ ทำไมกูต้องรู้สึกคาดหวังว่ามันจะส่งข้อความมาถามอะไรสักอย่างกับกูด้วยวะ ”

“ ก็มึงสองคนไม่ได้เป็นอะไรกันนะ ” คนข้างกันว่าอย่างงั้น “ การที่มันไม่ถามไม่ได้หมายความว่ามันไม่ชอบ การแสดงออกของมัน มึงก็เห็นอยู่ว่ามันไม่พอใจ แต่ที่มันไม่ถาม บางทีอาจจะแค่เพราะ มันคิดว่า มันไม่ได้เป็นอะไรกันกับมึง การที่ไอ้เตเป็นใคร ทำไมใกล้ชิดมึงขนาดนั้น ก็อาจจะไม่ใช่สิทธิ์ที่คนอย่างมันจะถามก็ได้ ”

“ เหรอ ”

“ แต่การที่มึงอยากตอบ มันเป็นเพราะมึงรักมันมากขึ้นหรือเปล่าวะ ถึงไม่อยากจะให้มันเข้าใจผิดไปเป็นอย่างอื่น ”

ผมไม่ได้ตอบว่ามันใช่ หรือว่าไม่ใช่ แต่คำตอบของคำถามนั้น ผมคิดว่าคนถามเองก็คงรู้คำตอบอยู่แล้ว

เอาจริงๆมันก็น่าหงุดงหงิดเหมือนกัน ทั้งๆที่สมองสั่งให้หยุดนิ่งไปแล้วแต่ แต่หัวใจก็เหมือนจะไม่ฟังอะไรทั้งนั้น มันยังคงดำดิ่งและจมลึก ลงสู่ความรู้สึกดีที่มีให้ใครอีกคนนั้นอย่างไม่ยอมถอดถอนออกมา

เหมือนหลงระเริงอยู่กับความสุขในช่วงเวลาต่างๆตรงนั้น
แล้วมองข้ามมันไปหมด ถึงความทุกข์เคยที่มี

“ กูเกลียดตัวเองชิบหายเลย ยิ่งพยายามอวดดีแค่ไหน กูก็ค้นพบว่าตัวเองแม่ง ก็แค่ลูกแมวตัวนึง ที่วิ่งตามคนที่อยากจะให้เค้ารับเลี้ยง ”

“ แต่อย่างน้อยมึงก็ยังอวดดี ที่ไม่ยอมส่งข้อความไปบอกมัน แต่รอให้มันส่งข้อความมาหาเอง อย่างน้อยมึงก็ทำให้มันงุ่นง่านได้ ก็แสดงว่า มันก็สนใจในตัวลูกแมวของมันมากเลยแหละ ” เจ้ยหันมาท้าวคางพลางยิ้มให้ผม “ ก็แสดงว่ามันรักลูกแมวตัวนี้มากเลยไม่ใช่เหรอวะ ”

‘ นั่นก็จริง ’ เสียงในใจของผมตอบรับ ประโยคนั้นเปลี่ยนความคิดของผมไปในชั่วขณะนึงนั้น

..............................................................

เสียงกริ่งบอกเวลาเลิกเรียนดังขึ้นในวินาทีที่ผมเขียนสรุปจบเสร็จสิ้นพอดี ปากกาถูกปิดผมหย่อนมันลงไปในกระเป๋าผ้า รวมถึงเอกสารการเรียนทั้งหมด

“ งั้นกูกลับก่อนนะ ” บอกสองเพื่อนซี้อย่างงั้นทั้งไอ้เบสไอ้เจ้ยที่ยังคงนั่งหมดอาลัยตายอยากแบบชนิดที่หลังพิงพนักเก้าอี้ ราวกับถูกสูบวิญญาณออกไป “ ไว้เจอกันพวกเหี้ย ”

“ ไว้ไปกินเหล้ากันสิ ” เบสมันพูด ผมก็หยุดขาที่กำลังจะก้าวเดินไป “ ชวนไอ้เตเพื่อนมึงไปกินเหล้าด้วยกันสิ จะได้สนิทกัน ”

“ เพราะทุกคนย่อมสนิทกันขึ้นเมื่อเหล้าเข้าปาก ” เจ้ยมันเสริม ผมก็พยักหน้ารับ

“ จัดไป ” ยกมือโบกลา ก่อนจะเดินออกมาจากห้อง

ก็โชคดีที่ตึกที่เรียนอยู่เป็นตึกด้านหน้าที่อยู่ไม่ไกลจากคาเฟ่เท่าไหร่ ผมเดินตรงมาข้างหน้าที่ผู้คนน้อยกว่าทางลงที่ใกล้กับโรงอาหาร แต่ยังไม่ทันได้ก้าวถึงบันได ขาที่เดินอยู่ก็ถึงกับต้องชะงัก กับคนที่กำลังยืนค้ำราวระเบียงแล้วมองออกไปนอนตึกเรียนนั้น

เสียงรองเท้าเสียดสีกับพื้นอาคารของผม เรียกคนที่ยืนนิ่งอยู่นั้นให้หันมามองกัน อาร์มดูตกใจไม่น้อย ไม่ต่างจากผมที่สายตาก็สั่นไหวไปหมด เป็นความตกประหม่าที่แม้แต่ริมฝีปากก็เม้มเข้าหากันทั้งๆที่ก็ไม่เข้าใจเลย ว่าทำไมต้องมีอาการเช่นนั้น

ตื่นเต้น ทั้งๆที่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะตื่นเต้นด้วยซ้ำไป

“ เอ่อ...” เสียงที่เอ่ยออกไปอย่างงั้น มือเงอะงะของผมยกขึ้นทักทายมัน “ ว่าไง มายืนทำอะไรตรงนี้คนเดียว ”

“ แค่เบื่อๆ ” มันว่าแบบนั้นก่อนจะพลิกตัวมันมามองกันแทน ด้วยสายตาที่เหมือนจะถามอะไรสักอย่าง “ คือ.. เลิกเรียนแล้วเหรอ ”

“ ก็อื้ม มึงอะ ”

“ เลิกแล้วเหมือนกัน แต่อีก 20 นาทีมีนัดคุยกับอาจารย์ ” ว่าแบบนั้น แต่ก็ยังชวนคุยต่อ “ แล้วมึงจะไปไหน กลับบ้าน ? ”

“ เปล่า กูจะไปหาเพื่อนก่อน ”

“ คนนั้นสินะ ” พยักหน้ารับกับคำถามนั้นแบบที่ไม่จำเป็นต้องเอ่ยชื่อก็รู้ว่าหมายถึง ไอ้เต เพื่อนของผม

“ งั้นกูไปนะ ไว้เจอกัน ” ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่อยู่ตรงกันข้าม ไม่มีแม้แต่ท่าทางตอบรับ

อาร์มแค่นิ่งไปพร้อมกับท่าที่ที่เหมือนยังคงอยากจะพูดอะไรต่อ ราวกับภายใต้ความคิดนั้นยังคงรบรากันในสมอง คงเป็นคำถามที่มีฝั่งนึงบอกให้ถาม ส่วนอีกฝั่งก็คงบอกว่า อย่าถามเลย

“ เมี่ยง ” แต่ในที่สุดมันก็เอ่ยเรียก เป็นจังหวะที่เพียงก้าวเดียวเท่านั้น ผมก็จะเดินลงบันไดนั้นไป

“ ว่า ” หันกลับไปมองมัน อีกฝ่ายก็ไม่รอช้า

“ ไอ้คนคนนั้นแค่เพื่อนมึงจริงๆใช่มั้ย คือ กู..แค่อยากรู้ ยังไงดีวะ มันอาจจะไม่ควรถาม แต่กู อยากมั่นใจ ไม่สิ มันดูเห็นแก่ตัวไป กู คือยังไงดี ” ปลายประโยคนั้นค่อนข้างเบา มันเบาจนผมขมวดคิ้วเพราะได้ยินไม่ค่อยชัดเท่าไหร่

“ ห๊ะ ? ”

“ คนคนนั้นเพื่อนมึงจริงๆใช่มั้ย ” อาร์มที่พูดเสียงดังมากขึ้น

จะว่าไป ก็ไม่เคยเห็นท่าทางประหม่าขนาดนี้ของมันมาก่อนเลย เป็นความรู้สึกเหมือนกับว่าอีกฝ่ายกำลังคิด ว่ามันไม่ควรถามอะไรแบบนี้กับผมเพราะเราไม่ได้เป็นอะไรกัน สิทธิ์ที่จะชอบใครคนอื่น ก็เป็นเรื่องที่มันก็ห้ามกันไม่ได้

แต่ถึงอย่างงั้น หัวใจที่สงบลงไปไม่ได้ ก็มีทางออกเดียวคือ แค่ถามออกไป

“ ไม่ควรถามเปล่าวะ ” อาจเพราะเห็นผมเงียบไป มันเลยถามออกมาอย่างงั้น ด้วยสายตาหวั่นวิตกของคนที่มั่นใจมากตลอดอย่างมัน

“ แค่เพื่อน ” ย้ำออกไปอย่างงั้น ก่อนจะยิ้ม “ กูกับมันแค่ไม่ได้เจอกันนาน ก็เลยกอดกันกลมไปหน่อย ”

“ เหรอ ” อีกฝ่ายตอบรับยิ้มๆ ในแววตานั้นดูโล่งใจขึ้นหนึ่งระดับ แบบที่สัมผัสกันได้

“ งั้นกูไปนะ ” ยกมือบอกลามันอีกครั้ง

ผมหันหลังเดินลงบันไดมาแบบที่ยิ้มกว้างออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ อัตราหัวใจเต้นแรงมากขึ้นตามจังหวะก้าวเดิน ทุกอย่างดูโลดเต้นไปหมดด้วยความดีใจ ราวกับดอกไม้บานในทุ่งกว้าง ทุกอย่างดูสดใสไปหมด เหมือนว่าทั้งโลกมีแค่สีชมพู

ในที่สุดมันก็ถาม และถ้าถาม ก็มีเหตุผลเดียวก็คือต้องอยากรู้ ไม่นับว่าท่าทางนั้น ดูทั้งตกประหม่าแล้วก็กังวล และถ้าไม่เข้าข้างตัวเองมากเกินไป ผมว่า อาร์มก็คงหึงผมแหละ .. แบบที่ไม่มากก็น้อย

หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 20 :: up! 1-5-63} #หน้า 4,5
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 08-05-2020 20:30:04
“ บ้าบอ ” พูดกับตัวเองแบบที่หุบยิ้มไม่ได้ ทั้งๆที่ขาก็เดินตรงไปนั่งลงตรงหน้าเพื่อนสนิทที่ก็ขมวดคิ้วมองกันอยู่

“ เป็นเหี้ยอะไรอีก ”

“ อะไร ” ผมถามมันกลับ

“ ก็เห็นเดินยิ้มบ้าเข้ามาคนเดียว มึงอัดมากี่เม็ดเนี้ยเมี่ยง ”

“ พ่อมึงสิ ” ด่าออกไปแบบนั้นก่อนจะเบิกตาดูอาหารตรงหน้าที่เพื่อนตัวเองสั่งมากินราวกับจะอดอยากเสียมากมาย น้ำสองแก้ว แซนวิช เค้ก เต็มไปหมดทั้งโต๊ะ “ นี่มึงแดกเหี้ยอะไรขนาดนี้ไอ้สัด ”

“ ก็กูหิว ” ว่าแบบนั้นก่อนจะลุกขึ้นยืดเส้นสายของตัวเอง “ ไป กลับบ้านกัน ”

“ กูว่าจะพามึงไปหากินะไรสักหน่อย แต่ดูทรงคงไม่ต้องแล้วมั้งไอ้สัด ”

“ ไม่ต้องเสียใจ เพราะต้องพาไปกินอยู่แล้ว ” เตมันว่าพลางลูบท้องตัวเองแล้วเดินเข้ามากอดคอกัน “ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้  ไว้ตอนเย็นสั่งอะไรมากินกัน กูอยากกินแบบ ปูไข่ดองและยำต่างๆ ”

“ เมนส์จะมาเหรอ ” ผมเอียงหน้าถาม แต่นั่นก็ต้องโดนตบหัวจากคนที่กอดคอกันอยู่แบบอย่างแรง “ โอ๊ย ไอ้สัด เจ็บนะไอ้เหี้ย ”

“ ก็ปากนี่น้า ”  มือที่บีบแก้มผม ในระหว่างที่เราเดินไปยังทางจอดรถ แต่อยู่ๆไอ้เตมันก็หยุดนิ่ง

“ อะไร ”

“ เหมือนมีใครมองเราอยู่ ” ว่าแบบนั้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปบนตึก แล้วตอนนั้นเราก็สบสายตาเข้ากับอาร์มอีกครั้ง “ ไอ้สัดนั่นอีกละ ”

“ ไปเถอะน่า ” ดันเพื่อนตัวเองให้เดินไป แต่ไอ้เตก็ดูเหมือนจะยังใส่ใจไม่เลิก

“นี่มึงแน่ใจใช่มั้ย ว่ามันไม่ได้เป็นอริ หรือว่าผัวของมึง ” ไม่ได้ตอบอะไรในตอนนั้น ผมแค่ถอนหายใจออกมา

“ ไว้ถึงห้อง กูค่อยเล่าให้ฟัง ”

เปิดประตูห้องต้อนรับแขกที่อยู่ๆจะคิดมานอนค้างด้วยกันก็บอกกันแบบไม่ถามความสมัครใจอะไร ในตอนที่เรากำลังเดินทาง ราวกับมัดมือชก จนผมได้แต่ส่ายหน้าไปมาปลงๆ ในตอนที่ขับรถ

“ เชิญครับไอ้สัด ” ผมว่าแต่ขาของเตกลับชะงักไปนิดหน่อยในตอนที่จะเดินเข้าในห้องผม อาจเพราะมันดันไปสบสายตาเข้ากับไอ้นายท่านที่ก็หันมามองพอดี “ กลับมาแล้วครับผม ”

“ สรุปมึงได้เลี้ยงแมวจริงๆสินะ ” ว่าแบบนั้นก่อนจะเดินเข้าไปดูใกล้ๆ “ สวยซะด้วย เลี้ยงมากี่เดือนละ ”

“ ไม่นานเท่าไหร่เอง มันโดนทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลสัตว์ของพี่เขยกูอะ กูเลยได้มาเลี้ยง ”

“ เหรอ เออดีนะ แล้วชื่ออะไร ”

“ นายท่าน ” ผมบอกอีกคนก็เลิกคิ้วยิ้มๆ

“ ชื่อสมเป็นทาสแมว ”

“ แล้วนี่มึงจะนอนบ้านกู ไม่คิดจะเตรียมอะไรมาเลยเหรอ ” ผมถามคนที่เดินมานั่งบนโซฟาพร้อมกับถอนหายใจหน่ายๆ คล้ายกับเหนื่อยเสียมากมายกับการมีชีวิต

“ ไม่ใช่เด็กแล้วมั้ยอะเมี่ยงคำ กูใช้ของมึงก็ได้ ”

“ เตใส่กางเกงใส่แล้วของเมี่ยงได้เหรอ ” ผมถามเสียงอ่อน “ เมี่ยงไม่ได้ซักเลยอะ ที่ใส่อยู่ก็ตัวสุดท้ายนะ ”

“ กูไม่ใส่ก็ได้ไอ้สัด ”

“ ต๊าย ว้าวซ่าส์มากนะหล่อน จะไม่โอบอุ้มน้องเลยเหรอ” บอกมันแบบนั้นก่อนจะเดินมานั่งลงบนโซฟาคนละฝั่งกับอีกฝ่าย

“ นี่มึงไม่ปล่อยให้มันเป็นอิสระบ้างเลยเหรอ ”

“ ก็ให้โลดเล่นได้ในตอนกลางคืน ”

“ แล้วก็ทำมาเป็นพูด ” อีกคนว่าพลางถอนหายใจ

“ แล้วยังไง ที่มึงกลับมานี่เพราะแค่ปิดเทอมแค่นั้นเหรอ ไหนใครบอกกูว่า ว่าถ้าปิดเทอมก็จะอยู่ไปเที่ยวคุ้ม ไม่กลับมา ”

“ ก็พอไปอยู่มันไม่ได้สนุกอย่างที่กูดูในซีรี่ส์นี่ไอ้ห่า ” อีกฝ่ายว่า “ กูก็มีเพื่อน แต่มันก็ไม่ได้ดั่งใจกูเท่าไหร่ คือมันก็โอเค แต่ไม่ใช่เพื่อนแบบมึงอะ ที่แบบ สบายใจ ไปเที่ยวด้วยได้ ”

“ กูก็บอกอยู่ว่าอย่างอินความเป็นเพื่อนซีรี่ส์เยอะเกินไป  เพราะบางทีภาพฝัน ก็แต่โคตรแตกต่างกับความจริง ”

“ อื้ม” 

“ แต่มึงไม่ได้โดนแกล้งใช่มั้ย ”

“ ไม่อะ ” เตมันส่ายหน้า “ แต่มึง กูแค่รู้สึกไม่ได้เอ็นจอยกับชีวิตขนาดที่คิด พอกลับมาแค่เกริ่นกับแม่กับพ่อว่าจะขอกลับมาเรียนไทยได้มั้ย เค้าก็ด่ากุใหญ่เหมือนกูไม่ใช่ลูก ลากไปหมด ทั้งเรื่องความอดทน ทั้งสอนกูมาผิดๆ ตามใจเกินไป สารพัด จนออกไปถึงเรื่อง กูคิดอะไรเป็นเด็กๆ เค้าเสียเงินไปตั้งเยอะ ทำไมมาเปลี่ยนใจ ”

“ ก็จริงของเค้า ” ผมว่า

“ ไม่เข้าข้างกูหน่อยอะ ”

“ มึงก็ลองอดทนหน่อย มันไม่ใช่มึงไม่มีเพื่อนเลยใช่มั้ยละ เรื่องแบบนี้บางทีมันก็อาจจะต้องใช้เวลา ต้องปรับเข้าหา แล้วอีกฝ่ายวัยรุ่นฝรั่งไม่ได้ซีเรียสอะไรขนาดนั้นไม่ใช่เหรอวะ เพราะงั้นมึงก็อย่าไปยึดติดว่ามึงจะได้เพื่อนสนิทมากๆ แบบกู ก็สนุกกับชีวิต จอยให้มันได้ทุกอย่าง ไม่ดีกว่าเหรอหน้าเหี้ย เดี๋ยวก็เสนิทกันเองแหละ ”

“ มึงพูดเหมือนแม่กูเลย ”

“ ก็นะ ” ผมยักไหล่

เต ที่ผมรู้จักไม่เคยเปลี่ยนไปเลย มันยังคงเป็นแบบนั้น เป็นคนที่ชอบวาดฝัน แล้วพอไม่ได้ดั่งใจก็งอแง  แถมยังมั่นใจในความคิดของตัวเอง และต่อให้เห็นด้วยยังไงกับความคิดผม มันก็ยังดื้อเถียงเพื่อความคิดของตัวเอง ส่วนคำเตือน ทำจะตามไม่ทำตาม ก็แล้วแต่อารมณ์ในช่วงเวลานั้นอีกที

อย่างเรื่องไปเรียนเมืองนอก ผมบอกมันแล้วว่าไม่น่าจะใช่ไลฟ์สไตส์มัน แต่มันก็ยังจะไป แล้วสุดท้าย ก็ตามที่เห็น

“ เอาเถอะไอ้สัด กูรู้ว่ามึงมีคำตอบอยู่แล้ว ว่าจะกลับไปเรียนต่อ หรือว่าเปลี่ยนที่เรียนจริงมั้ย แล้วต่อให้เป็นยังไง พ่อแม่ขัดมึงไม่ได้หรอก ไอ้ลูกเหี้ย ”

“ เนี้ย สมเป็นที่รักของกู ” ชี้นิ้วเข้ามาหากัน ก่อนจะกระพริบตาให้กัน

“ คนอย่างมึงห้ามไป มึงก็ไม่ฟังหรอกไอ้สัด ”

“ กูนะ อยากมีเพื่อนที่มันสนิทๆแบบมึงมี กับไอ้เจ้ย แล้วก็ใครอีกคนนะ ตัวสูงๆ ”

“ ไอ้เบส ”

“ เออ ดูสนิทกันดี ” อีกฝ่ายว่าแบบนั้นก่อนถอนหายใจ

“ ภาพลวงตาทั้งนั้นอะสัด ” ผมตอบอีกคนก็ขมวดคิ้ว

“ ไม่ได้สนิทกันหรอกเหรอวะ ”

“ สนิท แต่ว่ามันก็มาพร้อมกับเรื่องเหี้ยๆ คือมึงเห็นไอ้ดีนใช่มั้ย ” เตพยักหน้ารับ “ ไอ้สัดนั่นเป็นเป็นอริกับไอ้เชี้ยเบส ซึ่งแม่งทะเลาะกันทุกครั้งที่เห็นหน้า แล้วกูก็คือถูกรวมพวกเข้าไปด้วย เพราะว่าอยู่กลุ่มเดียวกัน ก็เลยกลายเป็นว่า กูก็ต้องไปเป็นอริกับมันด้วย ซึ่งกูไม่ได้มีส่วนร่วมเหี้ยอะไร หรือเกี่ยวพันกับพวกมันเลย ”

“ ไอ้สัด ” คนฟังหัวเราะ “ แล้วไอ้คนที่มองเรา คนที่ตาดุๆ เหมือนจะเข้ามาฆ่ากูคนนั้น ก็คือที่มันมองมึง  ก็เพราะมันเองก็เป็นอริกับมึงใช่มั้ย ”

“ คนนั้นเค้า..” ผมเว้นช่วงไปในตอนที่พูด จะบอกว่า เพราะเค้าชอบกู ก็เลยหึง แต่ครั้นว่าดูจะมั่นใจเกินไปหน่อย “ จะพูดยังไงดีวะ  กูกับมันแบบว่า กิ๊กๆกันอยู่ มั้ง ”

“ ห๊ะ! ” ไม่เคยเห็นสภาพอ้าปากค้างแบบไปไม่เป็นของคนตรงหน้ามานานแล้ว ผมที่ได้แต่ยิ้มแห้งนั้น ไอ้เตมันก็ยิ้ม “ กูถามจริงนะ ไม่ตอแหลนะ ”

“ เออ แต่คือเรื่องมันยาว ”

“ เอาแบบย่อ ”

“ ไอ้สัด ” ผมสบถแต่ถึงอย่างงั้นก็ยอมมันแต่โดยดี “ มันชื่อไอ้อาร์ม มันเป็นเพื่อนกับไอ้ดีน แต่เสือกมาอยู่ข้างห้องกู แล้วก็เสือกรู้ความลับของกู ”

“ ความลับของมึง ความลับที่มึงชอบนอนไม่ใส่กางเกงใน แถมตอนอนุบาลหนึ่งก็เคยฉี่รดที่นอน ”

“ K ความลับที่ว่า คือ จริงๆแล้ว นาเดียสาวที่ทำให้ไอ้ดีนกับไอ้เบสเป็นอริกันมาจนถึงทุกวันนี้ ก็คือนาเดียแฟนกู ”

“ คือนาเดียทิ้งไอ้สองตัวนั้นมาเอามึง ”

“ เออ ”

“ แล้วมึงผิดยังไง ก็มึงหล่ออะไอ้สัด สาวไม่เอามัน มันจะมาโกรธมึงก็ไม่ถูกเปล่าวะ หน้าตาไม่ดีเอง มาโทษคนหน้าดี คือได้เหรอ ”

“ ก็ไมได้หรอก แต่เอาเถอะไอ้สัด สาเหตุที่มันโกรธแค้นเรื่องมันมีรายละเอียดกว่านั้นมาก เอาเป็นว่าไอ้สัดอาร์มรู้เรื่องนี้ของกู แล้วมันก็เอามาขู่กูในตอนแรก แล้วกูก็เลยทำทีเป็นจีบมันภายใต้ความคิด ถ้ามันชอบกู มันก็ต้องช่วยกูปกปิดความผิด  และรักษาความลับ ” เตยกมือขึ้นห้ามผมในตอนที่กำลังจะพูดต่อ

“ แล้วสุดท้าย มึงก็เสือกหลงรักมันซะเอง จบ ”

“ ไม่จบ เพราะตอนสารภาพรัก แบบที่คิดว่ามันก้คงชอบกูแหละ ไอ้สัดนั่นดันบอกกูว่า มันก็ชอบกูแหละนะ แต่มันมีคนที่ชอบอยู่แล้ว แล้วก็กำลังจะเลิกชอบ ”

“ แล้ว ? ”

“ กูเลยบอกให้มันไปเลิกชอบคนนั้นก่อนแล้วค่อยมาจีบกู แต่ก็นั่นแหละ ตอนนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันลืมคนที่ชอบไปได้แล้วเท่าไหร่ ”

“ แล้วถ้ามันลืม มึงกับมันจะรักกันเหรอ เป็นอริกันนี่ ”

“ ก็นะ..”

บอกเลยว่ายังไม่ได้คิดอะไรไปถึงขั้นนั้นเท่าไหร่ ว่าถ้าอาร์มลืมคนที่ชอบได้จริงๆ เราจะแสดงความรักกันแบบเปิดเผยได้มั้ย ถ้าในเมื่อดีนเองก็เป็นเพื่อนรักของอาร์ม ผมเองก็มีความสุขกับการมีเพื่อนกลุ่มนี้ แบบที่ก็ไมได้อยากจะเลิกคบ ทิศทางหลังจากนั้นจะเป็นยังไง ผมไม่รู้สักอย่าง ก็เลยวางมันไว้ก่อน เหมือนว่า ก็ค่อยคิดแล้วกัน

“ แล้วมึงอยากรู้มั้ยละ ว่ามันชอบมึงมากแค่ไหน แบบว่า หมดรักคนเก่ายัง ”

“ ก็อยากรู้สิไอ้สัด แต่มันก็ไม่มีอะไรมาวัดเปล่าวะ ”

“ แต่มีตัวกระตุ้นนะ ” เตมันว่ายิ้มๆ “ ก็ถ้ามันเห็นกูกับมึง จนหึงแบบออกนอกหน้านอกตาจนไม่สนใจเพื่อนมัน ทั้งๆที่ก็รู้ว่ากลุ่มมันกลุ่มมึงไม่ถูกกัน แบบนั้นก็แสดงว่ามันต้องชอบมึงมากเลยนะ ถึงขั้นกับไม่แคร์อะไรแล้ว แม้แต่ความสัมพันธ์ทุกอย่าง จริงมั้ย ”

“ นั่นก็จริง ” ผมตอบเสียงเบา “ แต่ว่า แม่ง ไร้สาระเกินไปเปล่าวะ ทำไมกูต้องทำอะไรแบบนี้ด้วยอะไอ้สัด  เหมือนแบบว่ากูอยากได้มันมาเป็นแฟนจนตัวสั่นไปหมดแล้ว ”

“ แล้วที่มึงนั่งรอมันไปเรื่อยๆ มึงมีความสุขเหรอ แล้วมึงคิดว่า มึงจะมั่นใจได้เหรอกับคำพูดที่มันเดินมาบอกมึงว่า เมี่ยงกูเลิกชอบคนที่ชอบชอบได้หมดใจแล้วนะ แค่เค้าบอกจะเชื่อเค้าเลย ”

“ ก็จริง แต่กูแค่คิดไม่ออกว่า ถ้ากูเห็นว่ามันมูฟออนจากคนที่ชอบได้จริงๆ แล้วกูกับมันจะเอายังไงต่อ จะคบกันเหรอวะ แล้วเพื่อนอีกอะ ”

“ พอมันถึงตอนนั้นมึงกับมันค่อยช่วยกันคิดยังได้ ” เตมันว่า “ แต่ตอนนี้สิ่งมึงควรรู้ตัวก่อนว่า มันมูฟออนไปถึงไหนแล้ว หรือว่าจริงๆ เห็นมึงเป็นแค่ขอนไม้ที่ลอยมากับน้ำตอนเรือมันล่ม ที่พอเรือมันพลิกกลับมาได้ มันก็เทขอนไม้อย่างมึงแล้วกลับขึ้นเรือไปเหมือนเดิม แบบนั้นน่ะ มึงก็เสียเวลา เสียความรู้สึกนะ สมมุติรอมาเป็นปีแล้วเงี้ย  ”

“ คือมึงดูกระตือรือร้นมากเลยนะไอ้สัด ทำไมอะเต มึงอยากเป็นผัวจำลองของกูขนาดนั้นเลยอะ ”

“ บ้า ” พูดออกมาด้วยท่าทางปฎิเสธ “ อยากเป็นเมีย ”

“ ไอ้สัด ”

“ ว่าแต่คนที่มันชอบคือใครวะ มึงรู้มั้ย ” เตพิงตัวเองกับโซฟาในตอนที่ถาม “ เพราะถ้าเรารู้ว่ามันชอบใครอยู่ แล้วถ้าเราเห็นว่ามันไม่แคร์คนคนนั้นแล้ว มันก็ยิ่งมั่นใจได้เลยนะ ว่ามันก็คงไม่รักเค้าแล้วจริงๆ ”

“ กูไม่เคยถามเลยว่ะ ” ก็รู้แค่ว่ามีคนที่ชอบอยู่แล้ว และคนคนนั้นก็ไม่ใช่ผม แต่แค่นั้นมันก็เจ็บมากพออยู่แล้วเปล่าวะ ไม่จำเป็นต้องถามเลยว่าใคร เพราะสุดท้าย ยังไงผมก็เจ็บเหมือนเดิมอยู่ดี

“ ไม่ใช่ว่าคนที่มันชอบคือ เพื่อนมันนะ คนที่ชื่อ ดีนอะ ”

“ ตลก ” ส่ายหน้าไปมาอีกคน ในตอนนั้น ผมคิดว่ามันคงเป็นไปไม่ได้หรอกอยู่ในสมอง “ แล้วถ้าเป็นดีนจริง คือกูควรพักนะ ไอ้เหี้ยนั่นสนิทกันขนาดนั้น กูคงเข้าไปแทรกไม่ได้หรอก ไม่ต้องหวังเลยว่ามันจะลืม ”

“ ทำไมวะ ”

“ ก็มันสนิทกันมาก ประมานว่าตายแทนกันได้ ”

“ ไม่เกี่ยวหรอกไอ้สัด ความรู้สึกของหัวใจเป็นสิ่งเดียวที่เปลี่ยนแปลงได้เสมอ ”

“ ก็จริง ” นั่นก็ไม่เถียงหรอก

“ ว่าแต่นะ แผนของเราคือยังไง ” คนตรงหน้าดึงตัวเองเข้ามาถาม

“ เอาธรรมดาก็พอนะไอ้สัด ไม่ต้องเอาแบบวันนี้ ถือซะว่าสงสารกู อายเค้า ”

“ งั้นเอาแบบเพื่อนชอบเพื่อนดีมั้ย ” เท้าคางมองกันยิ้มๆ ก่อนจะยักคิ้วให้ “ เพราะกูน่าจะทำได้อย่างสมบทบาทนะ ”

“ บ้า คิดอะไรกับกูเปล่าวะ ” ยกมือขึ้นป้องปาก อีกคนก็ยกยิ้ม

“ โทษนะไอ้สัด จะอ้วก ” เสียงหัวเราะดังลั่นของเราในตอนนั้น ผมรู้สึกว่าลึกๆ มันก็เป็นอย่างงั้นนั่นแหละ แต่ก็แค่ เตไม่เคยพูดมันออกมาเลยสักครั้ง ว่ารู้สึกยังไงต่อกัน ซึ่งสำหรับผม นั่นก็ดีแล้ว

เพราะการปฎิเสธที่อาจจะต้องเสียเพื่อนสนิทแบบมันไป
ก็เป็นอะไรที่ทำใจยากเหลือเกิน

............................................................

ในที่สุด ก็มาตรงเวลาจนได้ หลังจากที่ไม่ตรงมาหลายอาทิตย์
ตอนหน้าจะเจาะลึกความรู้สึกของพี่อาร์มมากกว่านี้
เจอกันตอนหน้าค่ะ
#นายท่านของแก้มหอม 

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 21 :: up! 8-5-63} #หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 09-05-2020 00:27:07
ผัวจำลอง คือไรอ่ะ แบบเดียวกับ ผัวสำรองอ่ะป่าว  :hao4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 21 :: up! 8-5-63} #หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 09-05-2020 00:52:26
ผัวจำลอง คือไรอ่ะ แบบเดียวกับ ผัวสำรองอ่ะป่าว  :hao4:

ผัวจำลองคือไม่เอากัน แต่ผัวสำรองเอากันได้ ถ้าผัวจำลองเอากันเมื่อไหร่ก็จะกลายมาเป็นผัวสำรอง 5555555555555

ว่าแต่ เมี่ยงพูดเอาฮาป่ะ "...แล้วถ้าเป็นดีนจริง คือกูควรพักนะ" นี่อยากจะเห็นหน้าเลยวันรู้ความจริง ไม่ใจนี่ว๊า 555555 แล้วก็คิดถูกแล้วนี่ว่าอยากจะได้เขามาเป็นแฟนมากๆ แหมมเพื่อนหยอกเหมือนแต่ก่อนสมัยเด็ก แต่พอเห็นเขาจ้องเท่านั่นละ ลนลานทันทีรู้สึกผิดไปอีก ถถถถ คำเมี่ยงเจ้าทาสนายท่าน 5555 เพื่อนๆก็เตือนสติดีนะ พูดมาก็โอเลย มันก็นะเรื่องของหัวใจไม่เข้าใครออกใคร ว่ากันต่อไปยาวๆในตอนหน้า รออ่านค่าาา สนุกดี ขอบคุณนะคะที่แต่งมาอัพต่อ  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 21 :: up! 8-5-63} #หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 09-05-2020 02:04:35
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 21 :: up! 8-5-63} #หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 09-05-2020 22:46:50
เฟรนด์โซนอีก1
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 21 :: up! 8-5-63} #หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 11-05-2020 14:49:29
เรื่องนี้มี่แต่เฟรนด์โซน แอบสงสารเหมือนกันนะเนี่ย
พูดไม่ออก แต่ก็เหมือนรู้ๆแก่ใจกันอยู่
ขอให้ก้าวข้ามปัญหานี้ไปได้กันทั้งหมดก็แล้วกัน
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 22 :: up! 15-5-63} #หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 15-05-2020 21:46:17
 
ตอนที่ 22


ความรู้สึกนี้ ช่างเป็นอะไรที่ น่าอึดอัด  มันคล้ายกับว่ามีลมก้อนใหญ่ถูกดันขึ้นมาแล้วค้างนิ่งอยู่อย่างงั้น ผมหายใจไม่ออกไปชั่วขณะ และไร้ทางออกขึ้นมาอย่างฉับพลัน กับภาพตรงหน้าที่เห็น และแม้แต่รอยยิ้มก็ยังละลายให้ไป

“ อะไรวะนั่น ” แม้แต่ไอ้โฮมยังพูดออกมา

ผู้ชายร่างสูงคนนั้นวิ่งตรงเข้ามากอดเมี่ยง ผมสีทองของเจ้าตัวบ่งบอกถึงความแนบชิดในวินาทีที่กอดแบบที่แทบจะรวมร่างเป็นคนคนเดียวกัน ท่าทางที่ฉุดดึงให้ผมลุกจากเก้าอี้ตัวที่นั่ง มันเป็นทั้งความอยากรู้ในบทสนทนาและความสัมพันธ์แบบที่ห้ามใจไว้ไม่อยู่ แต่ก็เป็นคนข้างๆที่ดึงแขนรั้งกันไว้

“ มานู้นแล้ว..” เชิดหน้าไปที่ทางเข้า ผมก็มองตาม คนคุ้นตาเดินเข้ามาในโรงอาหาร ปะปนมากับคนอื่นที่ไม่รู้จักแล้วนั่นก็คือ ดีน ที่ก็หยุดทักพวกมันทันทีในตอนที่เห็นตามประสาอริที่ก็เห็นอะไรขัดตาไม่ได้

“ อะไรกันวะ เดี๋ยวนี้คนเราสามารถพลอดรักกันได้แบบไม่อายฟ้าอายดินขนาดนี้แล้วเหรอ ”  แต่ในตอนนั้น เมี่ยงมันก็ยกยิ้มกลับไป พร้อมกับตอบกลับตามประสาอย่างคนที่ไม่ยอมใคร

“ ทำไมคนเราแม่งขี้เสือกจังวะ ” ใบหน้าน่ารักนั่นหันไปถามเจ้ยในตอนที่พูด แต่เหมือนคนที่เริ่มก่อนก็แค่มองกลับยิ้มๆ แบบที่ไมได้พูดอะไร ดีนเดินมานั่งลงตรงหน้าผมที่ตอนนั้น ก็เผลอสบเข้าสายตาเรียวที่มองตามมาพอดี

วินาทีแห่งความเงียบเชียบนั้นเกิดขึ้น หัวใจของผมรู้สึกเช่นนั้นอย่างไม่ปิดบัง ความสั่นไหวในแววตา ร่างขาวค่อนๆดึงตัวเองออกห่างไปจากใครคนนั้นที่กำลังกอดรัดตัวเองอยู่ แม้ว่าอีกฝ่ายจะดูงงๆ และเหมือนจะเอ่ยถามถึงความแปลกไปนั้น แต่เมี่ยงก็เหมือนจะแค่บอกปัดปฎิเสธ

“ เป็นอะไรไปวะ นั่งนิ่งไม่ทักทายกันเลย ” คนที่อยู่ตรงหน้าเอ่ยทักผม ดีนโบกมือไปมาตรงหน้ายิ้มๆ “ ฮัลโหล กู๊ดมอนิ่งจ้า เพื่อนอาร์ม มายฮันนี่ ดาร์ลิ่ง จุ๊บๆ ”

“ เออ ” ผมบอกปัดอีกฝ่ายก็ยกยิ้ม

“ หงุดหงิดอะไรตั้งแต่เช้าขนาดนั้น ” อีกฝ่ายว่าก่อนจะลุกขึ้น “ กูไปหาอะไรกินหน่อยนะ ”

“ อื้ม ” กลายเป็นไอ้โฮมที่ตอบแทนผม แต่เหมือนจะไม่ใช่คำตอบอีกคนต้องการสักเท่าไหร่ ดีนเลยยังจ้องมองกันอยู่สักพัก จนมันหันมองไปทางเมี่ยงที่ผมมองอยู่ จนผมต้องดึงสายตาขึ้นมองมัน

“ มีอะไร ”

“ มึงอะมีอะไร สนใจอะไรไอ้สัดนั่นขนาดนั้นวะ ” หันไปมองกลุ่มอริของตัวเองในตอนที่พูดอย่างงั้น ดีนแค่นยิ้ม ก่อนจะค่อยๆหุบมันลงในตอนที่ผมตอบกลับ

“ ก็แค่สนใจ ” สายตาเล็กคู่นั้นหันหลับมามองผมอย่างไม่เข้าใจ

“ แต่กูก็สนใจนะ ” โฮมมันพูดเสริมแบบยิ้มๆ “ อยากรู้ว่าไอ้สัดนั่นเป็นใคร มึงต้องเห็นตอนที่มันวิ่งเข้ามาพุ่งใส่ไอ้สัดเมี่ยง เหมือนแม่งจะรักกันมาก ”

“ ก็ผัวไง คิดมากเหี้ยอะไรวะ ” ดีนว่า “ ดูจากดาวอังคารยังรู้เลย แล้วเดี๋ยวคอยดู กูจะคอยมองน้ำหน้าไอ้สัดเบส ชอบล้อกูนักเรื่องเป็นแฟนไอ้สัดอาร์ม ”

“ แล้วมึงแคร์เหรอ ” คนข้างผมถาม พร้อมกับยกแก้วน้ำตรงหน้าขึ้นมาดื่ม “ เรื่องไม่จริงจะแคร์ทำไมนักวะ พวกมึงไม่ได้เป็นอย่างงั้นสักหน่อย ” ดีนหันมองโฮมที่ก็เท้าคางมองกันแบบยิ้มๆ

“ มึงไปหาอะไรกินเถอะไป ” บอกปัดเชิงไล่อีกคน ที่ก็เดินออกไปด้วยอารมณ์หงุดหงิดอยู่ไม่น้อย  ผมหันไปมองเหลือบไอ้โฮมที่ก็ยักไหล่ให้กัน

“ กูไม่ได้พูดอะไรผิดนะ จริงมั้ย ”

“ กวนตีน ” พูดแบบนั้นยิ้มๆ ก่อนเสียงนึงที่ดังลั่นจะชวนให้หันไปมอง คนที่มาใหม่ตรงโต๊ะของเมี่ยงนั้นยืนขึ้น มันที่ก้มหน้าลงทักไอ้เจ้ยด้วยเสียงดัง ไม่ต่างกับเด็กประถมมาใหม่ที่ต้องยืนแนะนำตัวกับเพื่อนร่วมชั้น

“ ผมชื่อ เต เตชิน ยินดีที่ได้รู้จักครับ แล้วก็ขอขอบคุณที่ดูแลน้องเมี่ยงคำของผมเป็นอย่างดี โอ๊ย!!
“ เสียงร้องเจ็บผสานมากับเสียงหัวเราะลั่นอย่างถูกใจ เมี่ยงยกเท้าถีบคนนั้นก่อนจะยกมือขึ้นปิดหน้าด้วยความอายแต่ถึงอย่างงั้น ผมก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังยิ้มอยู่

“ ส่งข้อความไปถามไอ้เจ้ยดีมั้ยวะ ” ผมพูดขึ้นเสียงเบา มือถือที่อยู่ตรงหน้าก็ไวยิ่งกว่าอะไร มันถูกดึงขึ้นมาจากโต๊ะ นิ้วที่กำลังจะกดเข้าโปรแกรมแต่วินาทีนั้นไอ้โฮมก็แค่ยิ้ม

“ อยากรู้มันก็ได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกคำตอบมันจะทำให้มึงรู้สึกดีนะ ” ผ่อนลมหายใจออกมา นิ้วมือเองก็เหมือนจะหยุดชะงักไปด้วยเช่นกัน “ แต่ว่ามันก็ไม่แปลกนะ ถ้าไอ้เตคนนั้นจะเป็นแฟน หรือว่าแฟนเก่าของเมี่ยง เค้าก็มีสิทธิเต็มที่ที่จะแสดงความรักกัน แล้วมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับมึงด้วย เพราะมึงก็ไม่ได้เป็นอะไรกับเค้าไม่ใช่เหรอ ”

“ คือมึงคิดว่า พอพูดจบแล้ว กูก็คือตายไปได้เลยใข่มั้ยไอ้สัด ” เสียงหัวเราะลั่นถูกใจของคนนั่งข้างกัน ผมไม่เคยเห็นไอ้โฮมหัวเราะถูกใจขนาดนี้มาก่อน  มันจับไหล่ผมไว้แน่นแล้วหัวเราะออกมาแบบเอาเป็นเอาตาย ก่อนจะถอนหายใจแล้วเช็ดน้ำตาที่ไหลออกจากหางตา

“ แล้วไม่ดีเหรอ มึงจะได้ตัดใจจากคนที่มันไม่รักมึงสักทีไง ”

ก็ไม่ได้ตอบคำถามอะไรเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างกัน ผมแค่มองตรงไปข้างหน้าอย่างไม่อยากจะผละสายตาไปไหนอีก เป็นความรู้สึกหวงแหน ที่อยากจะลุกขึ้นไป แล้วจัดการดึงอีกคนออกจากการกอดรัดที่แสนสนิทสนมนั้น ผมอยากจะตะโกนถามออกไปให้เสียงดังที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

‘ เป็นะไรกัน ’ ‘ทำไมมานั่งกอดกันอยู่แบบนี้’ ‘ ถอยห่างออกไปได้มั้ย’ ‘ อย่ามากอดเมี่ยงอย่างงั้นนะไอ้สัด ’ แต่คำพวกนั้นก็ถูกกลืนเข้าไปในความรู้สึกอย่างไม่สามารถพูดออกไปได้ ก็อย่างที่ไอ้โฮมพูด

 ไม่ได้เป็นอะไรกัน อีกคนจะมีความสัมพันธ์กับใคร ก็ไม่ใช่สิทธิ์ที่ผมต้องรู้

 “ จะจ้องเกินไปแล้วไอ้สัด ” โฮมกระซิบแต่ผมกลับไม่ได้ผละสายตาไปไหน ยังคงจดจ้องคนตรงหน้าอยู่แบบนั้นอย่างรู้สึกหัวใจมันอัดแน่นไปทั้งหมดกับความรู้สึกเดิมๆที่ไม่ว่ายังไงมันก็ไม่สามารถคิดได้แบบที่ควรคิด

แล้วแน่นอนว่าถ้านั่งอยู่ตรงนี้ต่อไป มันต้องมีสักวินาทีที่ผมทนไม่ไหว แล้วเดินออกไปถามอีกฝ่ายให้รู้เรื่องแน่นอน

“ จะไปไหนวะ ” ดีนที่เดินเข้ามานั่งอยู่ตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เอ่ยถามกัน มันเคี้ยวข้าวในจานพลางมองผมสลับกับไอ้โฮมที่ก็เงยหน้ามองกันอยู่ ด้วยสายตาที่อยากจะห้ามปรามแต่ถึงอย่างงั้น มันเองก็คงเดาไม่ออกว่าผมจะทำอะไร

“ สัดอาร์ม ” เสียงเรียกที่เบาหวิวนั้นไร้ความน่าสนใจ ผมเดินออกไปจากโต๊ะ จากภาพพวกนั้นที่มันกำลังทิ่มแทง

ผมเกลียดความไม่รู้ แต่ไม่มีสิทธิ์ถาม ผมเกลียดความต้องการที่อยากจะแสดงออก แต่กลับทำมันไม่ได้ทำ เพราะผมรักใครสักคนอยู่ จนอยากจะกระชากมันออกไปให้มันพ้นๆ ผมเกลียดทุกอย่างที่มันกำลังทำให้ผมอึดอัดใจอยู่ตรงนี้

เกลียด ทั้งๆที่มันเป็นเรื่องที่อยากทำมากที่สุด แต่สุดท้าย กลับทำอะไรมันไม่ได้เลย และต้องจำยอมมันไปทั้งอย่างงั้น

............................................................

ควันสีขาวลอยฟุ้งอยู่เหนือตัว ภายในซอกตึกที่ทางมหาลัยจัดไว้ให้สำหรับสูบหรี่ ผมนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวที่ว่าง แบบที่ไม่มีใครเข้ามาวุ่นวาย เช้าๆแบบนี้ส่วนใหญ่จะยังไม่ค่อยมีคนเข้ามาสูบเท่าไหร่ ขี้บุหรี่จากส่วนปลายผมเคาะออกพลางมองไปยังปากทางเข้า แล้วตอนนั้นก็เหมือนจะเผลอคิดถึงช่วงเวลานึงนั้นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

เท่าที่จำได้มันช่วงเวลาที่ก็เช้าแบบนี้เหมือนกัน เมี่ยงที่เดินเข้ามาคุยกับผมในวันนั้น จำได้ว่าแค่เสี้ยววินาทีที่เห็นหน้ามัน ก็มองออกแล้วว่าคนที่เดินเข้ามาด้วยท่าทางที่เหมือนจะเก่งนั้น ไม่ได้เก่งอย่างที่คิด ปากที่พูดเหมือนไม่กลัว แต่ก็ตัวสั่นไปหมด ไม่ต่างอะไรกับลูกแมวที่ขู่ฟ่อแต่กลับเดินถอยหลัง

อย่างที่ไม่รู้เลยว่า วันนึงลูกแมวตัวนั้นที่ผมเคยคิดว่า มันจะจัดการได้ง่ายๆ นั้น
จะข่วนกันเจ็บได้ขนาดนี้ในวันนี้

“ มานั่งทำมิวสิคอะไรอยู่ตรงนี้ไอ้สัด ขึ้นเรียน ” ดีนที่เดินเข้ามาหากัน มันเชิดหน้าไปที่ตึก ผมก็พยักหน้ารับ

“ ไปก่อน ” บอกปัดมันสั้นๆ พร้อมกับยกบุหรี่ในมือที่ถืออยู่เพื่อบอกให้รู้ว่า ขอหมดมวนนี้ก่อนแล้วถึงจะไป แต่ดีนก็เหมือนจะไม่ยอมให้มันเป็นอย่างงั้น อีกคนเดินเข้ามาใกล้กัน ก่อนจะดึงบุหรี่มวนนั้นออกจากมือผม มันยกขึ้นมาสูบ

“ กูช่วย ”

“ ไม่ใช่เรื่องเลยไอ้สัด ” ว่าแบบนั้นก่อนจะดึงบุหรี่มวนนั้นจากมือของอีกคนมาดับไฟบนดินใต้โคนต้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆ แล้วทิ้งมันลงไปในขยะแถวนั้น ดีนดูอึ้งไปเล็กน้อย เพราะปกติผมจะสูบต่อ แต่ตอนนั้นอีกคนก็แค่ยิ้ม แบบที่ไม่ถามอะไร

“ คราวนี้หมดแล้ว ก็ไปได้แล้วเนอะ ”

“ ยุ่งจังไอ้สัด ” อดว่ามันไม่ได้แต่เหมือนอีกฝ่ายจะแค่เบิกตาแล้วทำทีเป็นเล่นอย่างทุกทีก็เท่านั้น

“ แล้วมึงอะเป็นเหี้ยอะไร ทำไมกูจะสนใจไม่ได้ไอ้สัด ขนาดมึงยังสนใจไอ้เมี่ยงได้เลย ทั้งๆที่ไม่ควรสนใจด้วยซ้ำ ” เหลือบมองคนที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาแบบนั้น ผมทำทีเป็นเอียงหน้าถาม

“ ทำไม หึงกูเหรอ ” คราวนี้กลายเป็นดีนที่นิ่งไป ในแววตาที่ดูเหมือนจะตกใจนั้นผมยิ้ม ก่อนจะเดินออกมาจากโซนสูบหรี่ “ แต่จะว่าไป ” ผมหันไปมองดีนอีกครั้งในตอนที่เหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ “ บางทีเรื่องเหี้ยๆ ที่เกิดขึ้น มันอาจจะดีก็ได้นะ ”

“ อะไร เรื่องเหี้ยอะไรอีก ”

“ เปล่า ” ผมส่ายหน้า เพราะไม่ว่ายังไงก็พูดความจริงออกไปไม่ได้อยู่แล้ว ทั้งเรื่องที่ว่า มันก็ดีที่มีใครสักคนเข้ามาอยู่ข้างๆเมี่ยง ถึงผมจะรู้สึกเหี้ยขนาดนี้ แต่มันก็ทำให้ได้รู้ว่า ดีนในตอนนี้แทบไม่ได้อยู่ในสายตาของผมแล้ว มันที่ไร้ตัวตนลงเรื่อยๆ อย่างไม่เคยรู้ตัวเลยว่า หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ “ ไปเรียนเถอะ เดี๋ยวสาย ”

“ พูดเหี้ยอะไรไม่เคยเข้าใจ แล้วอยู่ๆก็ตัดจบ แบบที่กูก็ยังไม่ทันเข้าใจเหี้ยอะไรเลยนี่แหละ ”

“ ไว้สักวันมึงก็คงเข้าใจเองนั่นแหละ ” บอกแบบนั้นก่อนจะยักคิ้ว แล้วเดินนำอีกคนขึ้นตึกไป


บรรยากาศในห้องเรียนค่อนข้างเงียบ วิชาปฎิบัติการของภาควิชาออกแบบกราฟฟิค หนึ่งในวิชาที่ผมชอบมากที่สุด แม้จะเหนื่อยกับการแบกอุปกรณ์ทางการเรียนเล็กน้อย เพราะชอบที่จะยกโน็ตบุ๊คของตัวเองมาเรียนมากกว่าจะพึ่งคอมพิมเตอร์ของมหาลัยเพราะรู้สึกว่าชินมือมากกว่า แถมยังหาอะไรได้คล่องแบบที่มีทั้งหมดที่ต้องการ

“ น่ารัก ” คนที่นั่งข้างกันอย่างไอ้โฮมเอ่ยทัก มันทักทุกครั้งที่เห็นภาพหน้าจอของผม ภาพแก้มหอมที่อยู่บนนั้น นอนเหยียดยาวมองกล้องแบบที่ชวนให้ยิ้มทุกครั้งที่เห็น แววตากลมแสนขี้อ้อนนั้น ผมอดไมได้เลยที่จะเอื้อมมือไปเขี่ยจมูกสีชมพูนั่นเบาๆ ก่อนจะหันไปถามเพื่อนที่นั่งข้างกัน

“ มึงว่า ไอ้เมี่ยงเหมือนแก้มหอมปะ ” เอยถามอีกคนเสียงเบา โฮมมันก็ส่ายหน้า
 
“ เหมือนแก้มก้อนมากกว่า ”

“ ไอ้สัด ” สบถใส่อีกฝ่ายก่อนจะถอนหายใจออกมาในตอนที่หน้าจอเด้งบ็อปอัพหน้าจอขอโปรแกรมแชทขึ้นมา ความรู้สึกหงุดหงิดเหมือนถูกปลุกอีกครั้ง ไม่ว่ายังไงผมก็ยังอยากถาม ต่อให้รู้ว่าไม่ควรถามยังไง นั่นก็ยังอยากจะถามอยู่ดี

“ ปิดไลน์มึงลงเถอะ ” โฮมมันดึงตัวเข้ามาใกล้ก่อนจะพูดเสียงเบาๆ “ ไอ้ดีนนั่งอยู่ข้างหลัง เดี๋ยวก็โป๊ะแตกเรื่องไอ้แก้มก้อนหรอก ”

“ แต่กูอยากจะส่งข้อความไปถามมันวะ ” ว่าแบบนั้นมือก็กดปิดหน้าจอของโปรแกรมนั้นลง

“ เรื่องไอ้เตน่ะเหรอ ”

“ อื้ม ” ยักคิ้วให้อีกคน ก่อนจะหันไปยกยิ้มให้ ผมพิงตัวเองลงกับเก้าอี้ที่นั่ง “ กูแค่อยากจะฟังจากปากมัน อยากมองตา ตอนที่มันตอบ เรื่องของไอ้เหี้ยนั่น ”

“ ถ้าเป็นแฟนเก่า หรือว่า คนที่มันแอบชอบอยู่แล้วก็กำลังจะกลับมาคบกัน ก็คือจะรับได้ใช่มั้ย ”

“ ไอ้สัด ” สถบออกไปแบบนั้น ไอ้โฮมก็ยิ้ม

“ ถ้ามึงอยากจะถามก็แค่ถาม แต่ก็แค่ต้องรับให้ได้ ไม่ว่ามันจะตอบอะไร เหมือนมึงอะ ตอนที่โง่ตอบมันไปว่ามีคนที่ชอบอยู่แล้วแบบที่ คนดีๆมันไม่ตอบอะไอ้สัด ”

“ ย้ำกูเข้าไปไอ้ห่า ” ก้มหน้าลงอย่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อกับตราบาปในชีวิต แต่อีกคนกลับไม่เป็นแบบนั้น

“ ถ้ามันตอบมึงตรงคำถามก็ไม่มีอะไรหรอก กูว่าก็ถามได้ แต่ที่กูไม่อยากจะให้ถาม เพราะกลัวมันสวนมึงว่า แล้วมึงจะอยากรู้ไปทำไม เราอยู่ในสถานะอะไรกัน  แล้วพอมึงเงียบ มันก็บอกอีกว่า ไม่ได้เป็นอะไรกันเนอะ มึงเองก็มีคนที่ชอบอยู่ ยังไม่เลิกชอบ เพราะงั้นก็ไม่จำเป็นต้องรู้หรอก แล้วกลายเป็นว่า สุดท้ายก็พูดไม่ออกกันอีก ”

“ อื้มมมมมมมม ” ลากเสียงยาวพร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้จะพูดอะไรออกมาต่อ ก็จริงอย่างที่อีกคนพูด ถ้าถามแล้วจบก็คือจบไป แต่ถ้าไม่จบก็กลายเป็นว่า ผมจะทำเมี่ยงเสียใจอีก เรื่องที่ยังไม่เลิกชอบดีน

“ เหนื่อยเนอะ ” โฮมมันว่า “ แต่ก็คิดดีๆ ด้วยความหัวใจ ” นิ้วมินิฮาร์ทถูกยกขึ้นมา ทำเอาผมจำใจต้องเบือนหน้าหนี

“ ไว้ก่อนก็ได้ไอ้สัด ”

............................................................

   หน้าห้องพักอาจารย์ประจำภาควิชาที่ผมต้องการจะพบ แต่ทว่ายังมาไม่ถึงมหาลัย ทำให้ผมต้องมายืนรอท่านอยู่ที่ด้านหน้าห้องพักอย่างไม่มีตัวเลือกอื่น เพราะเป็นคนเดียวที่ยังไม่ได้รับหัวข้อรายงานที่หยุดเรียนไปเมื่อวันก่อน มือผมค้ำลงกับระเบียงของตึก ก่อนจะมองไปที่อาคารโรงอาหารชั้นล่างแบบที่ไม่รู้จะทำอะไร

แล้วสุดท้าย สมองก็เหมือนสั่งการให้คิดเรื่องนั้นอีกครั้ง

ภาพทั้งหมดนั้น เหมือนวิดีโอที่ฉายซ้ำอยู่สมอง แล้วตอนนี้ก็ดูเหมือนจะผสมปนเปไปกับคำพูดของไอ้โฮมที่พูดไว้ก่อนเริ่มเรียน เอาเข้าจริงก็ไม่ได้กลัวที่จะถามหรอก แต่กลัวว่าคำถามนั้น สุดท้ายมันจะกลายเป็นความเจ็บปวดของอีกคนมากกว่า

ตอนนี้อะไรๆมันดีขึ้นบ้างแล้ว ก็ไม่อยากจะกลับไปแย่แบบนั้นตอนนั้นอีก
ตอนที่อะไรๆก็ไม่ได้ มีแค่คำสั่งให้ถอยห่างอย่างเดียว แล้วก็ห้ามมายุ่งกันอีก

‘ เอี๊ยด ’ เสียงของรองเท้าเสียดสีกับพื้นอาคารคล้ายกับว่าหยุดเดินลงกระทันหัน ผมหันไปมองเจ้าของเสียงนั้นก่อนจะเบิกตาขึ้นด้วยความตกใจกับคนอยากเจอที่อยู่ๆก็มาให้เจอแบบไม่ทันตั้งตัวตรงหน้า

“ เอ่อ..” เมี่ยงที่มาคนเดียวพูดแบบนั้นด้วยท่าทางประหม่า มือที่ดูเงอะงะนั้น ยกขึ้นทักกันแบบนั้นงุนงง “ ว่าไง มายืนทำอะไรตรงนี้คนเดียว ” พูดแบบนั้นด้วยท่าทางที่เหมือนว่าก็ไม่รู้ว่าจะทักอะไร แต่ก็ต้องทักออกมาอย่างเสียไม่ได้

“ แค่เบื่อๆ ” ตอบออกไปก่อนจะดึงตัวเองเผชิญหน้ากับอีกคน ผมจ้องเมี่ยงด้วยความรู้สึกที่อึดอัดอย่างไม่เคยเป็น คำถามมากมายเกี่ยวกับคนคนนั้นผุดขึ้นมากมายในสมอง จนผมต้องผ่อนลมหายใจควบคุมสติ “ คือ เลิกเรียนแล้วเหรอ ”

“ ก็ อื้ม มึงอะ ”

“ เลิกแล้วเหมือนกัน แต่อีก 20 นาทีมีนัดคุยกับอาจารย์ ” ผมบอกก่อนจะเชิดหน้าไปที่ห้องพักอาจารย์ ด้านหน้า “ แล้วมึงจะไปไหน กลับบ้าน ? ”

“ เปล่า กูจะไปหาเพื่อนก่อน ”

“ คนนั้นสินะ ” พยักหน้ารับออกไปแบบไม่รู้จะพูดอะไรต่อ คนตรงหน้าที่ยิ้มให้กันนั้น ต่อให้เหตุผลอะไรเอ่ยอะไรออกมาก็เหมือนว่าสมองจะไม่ทำการรับรู้อีก สายตาที่เอาแต่จดจ้องไปข้างหน้า ราวกับมีทั้งคนที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วยปรากฏกายขึ้น ฝั่งหนึ่งเอ่ยบอกกันว่า ถามเลย ว่าเค้าคนคนนั้นเป็นใคร ส่วนอีกฝั่งก็เหมือนจะคอยห้ามปรามกันว่าอย่าทำเลย เดี๋ยวก็เหมือนกับที่โฮมบอก แล้วทุกอย่างมันจะแย่ไปอีก

แต่วินาทีต่อมานั่นแหละ ที่อีกฝั่งก็บอก
ไม่ว่ายังไง ก็แค่ถามออกไป ทุกอย่างที่ค้างคาใจมันจะได้จบ

“ เมี่ยง ” ในที่สุดปากของผมก็เอ่ยเรียกอีกฝ่ายออกไป เพิ่งรู้ว่าอีกคนจะเดินลงบันไดไปแล้วด้วยซ้ำในตอนนั้น และถ้าช้ากว่านั้นเพียงเสี้ยววินาทีเดียวก็คงรั้งกันไม่ได้แล้ว

“ ว่า ” อีกฝ่ายที่หันมาถามกัน

“ ไอ้คนคนนั้นแค่เพื่อนมึงจริงๆใช่มั้ย ” โพล่งถามออกไปด้วยใจที่อยากรู้ ก่อนจะนิ่งไปกับประโยคตรงตัวนั้นถึงขั้นต้องเปลี่ยนมันแบบแก้เก้อ “ คือ กู แค่อยากรู้ มันอาจจะไม่ควรถาม ” ผมผ่อนลมหายใจที่หัวใจตอนนี้เร่งอัตราเร็วขึ้นอย่างไม่เคยเป็น ‘ ก็แค่ถามเอง ใจเย็นๆ ’ ผมพยายามปลอบตัวเองอย่างงั้น “ แต่กู อยากมั่นใจ ไม่สิ มันดูเห็นแก่ตัวไป กู ยังไงดีละ ”

“ ห๊ะ ? ” เหมือนความไม่มั่นใจนั้นถูกดับลงด้วยท่าทางงุนงงนั้น ผมรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี แบบที่ไม่เคยเป็น

เอาจริงๆก็ไม่คิดหรอก ว่าตัวเองต้องมาถามอะไร งุ่นง่านอย่างงนี้ ครั้งแรกเหมือนกันที่รู้สึกไปไม่เป็นตัวเองได้ถึงขนาดนี้

“ คนคนนั้นเพื่อนมึงจริงๆใช่มั้ย ”  แต่เหมือนว่า คำถามนั้นจะไม่ควรถาม เมี่ยงเงียบไป มันเอาแต่จ้องมองผม “ ไม่ควรถามเปล่าวะ ”

“ แค่เพื่อน ” อีกฝ่ายย้ำพร้อมกับรอยยิ้ม รอยยิ้มที่เหมือนดวงตะวันตอนเช้าที่ทั้งอบอุ่นและสบายใจ “ กูกับมันแค่ไม่ได้เจอกันนาน ก็เลยกอดกันกลมไปหน่อย ”

“ เหรอ” สุดท้ายก็ตอบออกไปได้แค่นั้น ด้วยรอยยิ้มที่ถูกปลดล็อคความไม่สบายใจที่อัดแน่นมาหลายชั่วโมง

“ งั้นกูไปนะ ” มือที่ยกขึ้นโบกให้กัน ผมยักคิ้วตอบไปตามนิสัย ยิ้มที่กลั้นไว้อยากจะฉีกให้กว้างกว่านั้นด้วยซ้ำ แต่ก็เขินเสียจนต้องก้มหน้าลงมองพื้นแบบที่ต้องหลบความดีใจนั้นเอาไว้ 

ผมผ่อนลมหายใจโล่งๆออกมา พิงร่างลงกับระเบียงนั้น แล้ววินาทีทีเงยหน้าขึ้นมองบรรยากาศโดยรอบนั้น เปลี่ยนไปอย่างทันตาเห็น ต้นไม้ใบหญ้าดุสดใสกว่าที่เคย อาจเพราะความโล่งใจแบบชนิดที่ไม่เคยเป็นมาก่อนนี้ ทุกอย่างดูสดใสขึ้นอย่างฉับพลัน มันเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้

“ มึง ” ไอ้โฮมเดินเข้ามาใกล้ในตอนที่หันไปมองต้นเสียงนั้น “ วันนี้อาจารย์ยกเลิกคาบบ่าย ”

“ เหรอ ” พยักหน้ารับแบบนั้นก่อนจะก้มลงไปมองบนพื้นด้านล่างอาคาร แล้วก็พบกับเมี่ยงที่เดินมากับเพื่อนของมันที่ก็เงยหน้ามองกันอยู่ไม่นาน ก่อนจะถูกดันให้เดินออกไปโดยคนที่ยืนอยู่ข้างกายนั้น

“ แล้วมึงคุยกับอาจารย์ยัง ” ฝีเท้าที่เดินมาหยุดยืนอยู่ข้างกันนั้นเอ่ยถาม ผมก็ถอนหายใจอย่างจำใจผละสายตาออกจากภาพนั้น แล้วส่ายหน้าไปมาเป็นคำตอบให้อีกคน

“ ก็เค้ายกเลิกคลาส ก็คงไม่มาแล้วละมั้ง ” 

“ ลองส่งเข้าเมล์มั้ย ” โฮมมันบอกก่อนจะพิงตัวลงกับระเบียง

“ ก็คิดว่าจะอย่างงั้น ” ผมตอบ “ นี่ เมื่อกี้กูได้คุยกับเมี่ยงแล้วนะ ”

“ เหรอ ” อีกฝ่ายตอบรับยิ้มๆ “ จนได้สินะไอ้สัด แล้วยังไง ตกลงไอ้สัดนั้นมันเป็นอะไรกับเมี่ยง ”

“ แค่เพื่อน เห็นบอกว่าไม่เจอกันนานก็เลยตื่นเต้นดีใจที่เจอกันไปหน่อย ” ยิ้มกว้างออกมาในตอนที่ตอบจนอีกฝ่ายยิ้มตาม รอยยิ้มกว้างที่ห้ามไม่อยู่นั้น ผมหลุดหัวเราะจนต้องก้มหน้าลงจนเกือบจะถึงมือที่ค้ำอยู่กับระเบียง ทำเอาคนข้างๆถึงกับหลุดหัวเราะเสียงดังในท่าทาง

“ เป็นเอามากนะไอ้สัด ”
 
“ บอกเลยว่า โคตรโล่ง โคตรมีความสุข ” ผมบอก

“ ดูออกไอ้สัด ต่างกับเมื่อกี้ที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตานั่งหน้าเครียดยังกับคนละคน ”

“ อื้ม ” ยักคิ้วตอบรับ ก่อนจะมองไปยังระเบียงที่ว่างเปล่าตอนนี้ มันแทบไม่มีใครเดินผ่าน “ แล้วนี่ไอ้ดีนไอ้จุ้นไปไหน ”

“ คิดว่าจะไม่ถามแล้ว ” โฮมมันนิ่งไปสักพักก่อนจะพูดออกมาอย่างงั้น “ ไปซื้อน้ำปั่นที่หน้ามหาลัยด้วยกันน่ะ ”

“ อื้ม ”

“ มึงจะกินอะไร ก็โทรไปสั่งมันแล้วกัน มันฝากบอกมา ”

“ ไม่ล่ะ ” ผมส่ายหน้าไปมาก่อนจะถอนหายใจแล้วมองออกตรงวิวเบื้องหน้า ความรู้สึกตอนนี้ผ่อนคลายยิ่งกว่าออะไรทั้งหมด แม้แต่ใบไม้ที่เสียดสีกันยังทำให้รู้สึกดี

“ ถามจริง มึงไม่คิดว่าไอ้ดีนจะรู้บ้างเหรอวะ รู้ตัวใช่มั้ย มึงแสดงออกเรื่องเมี่ยงมากเลยนะวันนี้น่ะ  ”

“ แล้วทำไมกูต้องกลัวไอ้ดีนขนาดนั้นด้วยละ  “ ผมถามกลับอีกคนก็นิ่ง “ ถ้ามึงจะบอกว่า จะดีนเสียใจที่โดนไอ้บินหักหน้า เรื่องที่ว่ากูชอบเมี่ยง แล้วสุดท้ายก็กลายเป็นว่ากูกับมันมีปัญหากัน กูบอกเลยตรงนี้ว่า กูไม่แคร์เรื่องนั้นหรอก กูไม่ได้อยากจะคบกับเมี่ยงเพื่อแอบไว้ข้างหลังอยู่แล้ว ”

“ ถ้าได้คบก็คือจะประกาศเลยว่างั้น ” โฮมมันแซว ผมก็ยิ้ม

“ กูไม่ได้กลัวดีน แล้วกูก็ไม่จำเป็นที่จะต้องปกป้องความรู้สึกของมัน แบบที่ตัวกูเองจะต้องเจ็บด้วย ถ้าเป็นเมี่ยงก็ว่าไปอย่าง ”

“ เช่นนั้น ”

“ ที่กูพยายามไม่ให้ดีนรู้ กูไม่ได้รักษาน้ำใจมัน เพราะกูไม่จำเป็นที่ต้องรักษาหัวใจ คนที่ไม่เคยรักษาหัวใจกู จริงมั้ย ” ผมหันไปถามเพื่อน ที่ก็แค่ยิ้ม อีกฝ่ายไม่ตอบอะไร “ แต่ที่กูไม่ยอมบอกมันตอนนี้ เพราะกูไม่อยากจะทำให้เมี่ยงลำบากใจมากกว่า เรื่องบางเรื่อง บางทีเค้าอาจจะไม่ได้คิดเหมือนกู ”

“ อยากคบกันก่อน แล้วค่อยคุยกันว่าจะเอายังไง ว่างั้น ”

“ อื้ม ” ไอ้โฮมเอาแต่ยิ้มในตอนที่ตอบแบบนั้น จนผมต้องหันไปมอง “ ยิ้มเหี้ยอะไรไอ้สัด คิดว่ากูโกหกเหรอ ”

“ เปล่าเลย ” อีกคนส่ายหน้า “ เท่าที่กูเห็นวันนี้กูก็เชื่อแล้วว่ามึงพูดจริง แต่แค่ไม่คิดมากกว่า ว่าวันนี้มันจะมาถึง กูยังจำวันที่มึงคบกับผู้หญิงคนนั้นได้เลย ถึงจะจำชื่อเธอไม่ได้แล้วก็เถอะ แต่ยังจำได้ว่า เค้านิสัยน่ารักมากเลย ทุกอย่างระหว่างมึงกับเค้าตอนนั้น มันดูดีไปหมด จนกูคิดว่ามึงคงจะหลุดออกมาจากไอ้ดีนได้ ”

“ แต่ก็หลุดออกไม่ได้อยู่ดี ” ผมยกยิ้มตอบ พลางคิดถึงเธอคนนั้น

โฮมคงหมายถึง เฟิร์ส สาวคณะศิลปกรรมคนนั้นที่ผมคบด้วยช่วงนึง สาวน่ารักที่ทำให้ช่วงชีวิตนึงของผมสดใส เจ้าของความคิดบวก และมีเหตุผล ที่สุดท้ายเราก็เลิกกัน เพราะวันที่ผมตัดสินใจยกเลิกนัดเธอไปหาดีนแทนเพราะอีกคนแค่บอกว่า อยากเจอ ทั้งๆที่เราก็นัดกันไว้ และรอคอยกับการไปเที่ยวหนนี้มานานมาแล้ว

ความรู้สึกตอนนั้น มันบอกกันว่า ท้ายที่สุดเมื่อผมยังเห็นใครสำคัญกว่าเธอ และรู้สึกมีความสุขในการอยู่กับคนอื่นมากกว่าเธอ ก็ไม่สมควรอยู่กับเธอ

บทบอกเลิกในวันนั้นระหว่างเรา ไม่ได้น่าเศร้าเหมือนที่คิด เฟิร์สพูดแค่ว่า ‘ เรารู้ว่าแกรักเค้า แต่ไม่เป็นไร เราไมได้คิดว่าแกเอาเรามาเป็นตัวแทนใครหรอก เรารู้ว่าตลอดมาแกรู้สึกกับเรายังไง แกชอบเรา แกไม่ได้โกหก เรารู้ว่าแกพยายามแล้ว แต่นั่นแหละ เราแค่ยังไม่ใช่สำหรับแก มันเลยไม่มากพอจะดึงแกออกมาจากเค้า ’

“ ถามจริง ไม่เสียใจเหรอวะ ชีวิตเสียคนดีๆไปเยอะชิบหายเลยนะ เพราะรักมันเนี้ย ”

“ เมื่อวานมั้ง ที่กูคิดเสียดายเหมือนกัน แต่มีคนคนนึงบอกกูว่า ทุกอย่างก็เป็นแค่ช่วงชีวิตนึง ถึงมันจะเหี้ยแค่ไหน แต่ครั้งนึงมันก็ยังประกอบไปด้วยความสุขของเราเหมือนกัน ”

“ ใครวะ ”

“ ก็คนที่กูกำลังชอบอยู่ตอนนี้ไง ” หันไปพูดพร้อมกับยักคิ้ว ไอ้โฮมมันก็ยิ้มมันที่ส่ายหน้าไปมา ในตอนนั้นผมก็เดินออกมา “ ถ้าไม่มีเรียน งั้นกูก็ขอตัวกลับก่อนแล้วกันนะ ”

“ ไม่กินข้าวด้วยกันหน่อยเหรอวะ ไอ้ดีนฝากชวน ว่ามึงจะไปดูหนังที่ห้างด้วยกันมั้ย ”

“ ไม่อะ ” ผมบอกปัด “ อยากกลับบ้านมากกว่า พอดีคนที่กูอยากอยู่ด้วย มันไม่ใช่พวกมึงน่ะนะ ”

“ คลั่งรักชิบหายไอ้สัด ”

ก็จริงอย่างงั้น ผมไม่เถียงหรอก

................................................
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 21 :: up! 8-5-63} #หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 15-05-2020 21:46:37


หยุดฝีเท้าที่หน้าห้องของตัวเองในตอนที่มาถึง ผมมองบานประตูของคนห้องข้างๆที่ปิดสนิทอยู่นั้น ด้วยความรู้สึกอยากรู้ที่ผุดขึ้นมาทันทีในทันที ไม่รู้ว่าเมี่ยงตอนนี้จะอยู่ในห้องคนเดียว ไปเที่ยวกับเพื่อน หรือว่าจะอยู่ในห้องกับเพื่อนกันแน่

“ กลับมาแล้วค่ะ ” เอ่ยพูดออกไปในตอนที่เปิดประตูห้องเข้าไป  เจ้าตัวขนนุ่มเงยหน้าขึ้นจากคอนโดตัวสูง ก่อนจะล้มตัวลงนอนเหยียดยาวอีกครั้งด้วยความขี้เกียจ ผมวางกระเป๋าของตัวเองลงบนโต๊ะ ก่อนจะเดินตรงไปหาไป ยื่นหน้าเข้าไปใกล้เจ้าตัวสวย แต่ในตอนที่กำลังจะก้มลงหอม เท้าหน้าของเจ้าตัวกลมขี้หวงตัวก็ยื่นมาห้ามกันไว้ “ หวงเนื้อหวงตัวกับป๊าจังเลยนะคะ ” ดึงหน้าตัวเองออกก่อนจะก้มลงไปหอมอีกตัวแบบเร็วๆ ยิ่งขัดขืนก็ยิ่งมันเขี้ยว “ แก้มหอมขา ”

“ เมี๊ยว ” เจ้าของตาสีฟ้าร้องตอบกัน ผมยังคิดถึงวันแรกที่เจอแก้มหอมได้อยู่เลย เจ้าลูกแมวตัวสีขาวนัยน์ตาสีฟ้านอนอยู่ในตะกร้าฝาปิด แต่คนที่ถือมันอยู่ในตอนนั้นกลับมีแววตากล่ำจนผมที่เปิดประตูห้องค้างไว้ถึงกับนิ่งไป

ดีนร้องไห้มาแบบตาแดง มันบอกกันว่า แม่มันไม่ให้เลี้ยงแมว แถมยังบอกปัดอีกว่าไม่ให้เอาเข้าบ้านเด็ดขาด แล้วก็ให้จัดการเรื่องแมวตัวนี้เอาเองว่าสุดท้ายจะเอาไปทิ้งที่ไหน แล้วตอนนั้นมันเองก็คิดถึงผม เลยหอบมันมาหากัน ที่ในที่สุด ผมก็ต้องยื่นมือเข้าไปช่วย แล้วก็จัดการซื้อเจ้าก้อนขนตัวนี้มาเลี้ยงแทน

‘ แก้มหอม ’ เป็นชื่อที่ผมตั้ง แล้วเหตุผลที่เป็นแบบนั้น ก็เพราะสำหรับผมแก้มของดีนมันน่าหอม แล้วก็ตั้งใจเอาไว้ว่า สักวันนึงที่เราตกลงใจคบกัน เราก็คงจะมีความสุขในพื้นที่เล็กๆของเราแห่งนี้ กับแมวน่ารักๆแบบที่จะขานรับทุกครั้งที่ดีนเอ่ยเรียก แล้วก็อยากได้มาตลอด

“ แก้มหอม เราชอบพี่เมี่ยงมั้ย ” เอ่ยถามเจ้าตัวกลมออกไปยิ้มๆ ผมเผลอหลุดหัวเราะกับความปัญญาอ่อนของตัวเอง มันดูตลกดีเหมือนกัน คล้ายว่า พ่อคนที่กำลังชอบพอใครสักคน ก็เลยต้องถามลูกสาวก่อน ว่าคิดยังไงกับคนที่เราชอบ “ ชอบแหละ หน้าตาเหมือนกันนี่ครับ ” ขยี้หัวกลมไปด้วยความมันเขี้ยว ผมเดินไปเปิดประตูระเบียง ก่อนจะหยุดนิ่งไปในตอนที่ได้ยินเสียงสนทนาของคนที่อยู่ข้างห้อง

“ ไม่อยากกินไก่แล้วอะ กินมึงได้ปะ ” ไม่ใช่เสียงของเมี่ยง และคิดว่าคงเป็นเสียงของเพื่อนสนิทคนที่ไม่เจอกันนานนั้นมากกว่า

“ พูดเหี้ยอะไรของมึง ”  เสียงหัวเราะที่ดังมาจากประโยคนั้น เริ่มชวนให้ผมขมวดคิ้ว ก่อนที่เจ้าตัวน่ารักจะเดินมาพันแข้งพันขาแล้วหย่อนตัวลงนั่งจุ้มปุ๊กที่ข้างเท้า

“ เมี๊ยว เมี๊ยว ”

“ เมี๊ยว ” เจ้าตัวลายของห้องข้างๆ ที่เดินออกมาพลางนั่งลงตรงข้ามกันนั้น ชวนให้คนที่อยู่ในห้องนั้นแตกตื่นอยู่ไม่น้อย

“ อาร์มกลับมาแล้วเหรอวะ ” เสียงของเมี่ยงที่เอ่ยพูดขึ้น สลับกับเสียงเพื่อนร่วมห้องที่เอ่ยถาม ก่อนที่ร่างขาวจะโผล่หน้าออกมาให้เห็นกัน “ อ้าวมึง ”

“ อื้ม ”

“ ทำไมวันนี้กลับเร็วจัง ไม่ใช่มีเรียนต่อตอนเย็นเหรอวะ ”

“ ยกเลิกคราส ” ผมว่าก่อนจะอุ้มเจ้าตัวกลมของตัวเองขึ้นมา และอย่างไม่ทันถามถึงความต้องการของแมวใดๆ ผมชิงถามเมี่ยงก่อน แบบที่รู้สึกว่าต้องเข้าไปให้ได้เลยในห้องเมี่ยง “ แก้มหอมอยากเจอไอ้นายท่าน ขอเข้าไปที่ห้องหน่อยได้มั้ย ”

“ เอ่อ..” ท่าทางครุ่นคิดนั้นมาพร้อมกับสายตาเรียวที่มองเข้าไปในห้องของตัวเอง อย่างครุ่นคิด เหมือนมันช่างใจ ไม่ค่อยอยากจะให้ผมเจอเท่าไหร่ กับใครคนนั้น

“ แก้มหอมขา ”

“ เมี๊ยว ” เจ้าก้อนขนขานรับ

“ แก้มหอมขา  อยากเจอนายท่านใช่มั้ยคะ ”

“ เมี๊ยว ”

“ ไม่ต้องเอาลูกมาอ้างเลย มันก็ขานรับทุกครั้งที่มึงเรียกมันว่า แก้มหอมขานั่นแหละไอ้สัด ” พูดออกมาแบบกลั้นยิ้มกว้างเอาไว้ไม่อยู่ เมี่ยงถอนหายใจ “ เออ จะมาก็มา ”

“ โอเค ” ตอบรับคำอนุญาตนั้นก่อนจะจัดการปิดประตูแล้วเดินมาเคาะประตูของห้องข้างๆ ที่ไม่กี่นาทีต่อมานั้น มันก็ถูกเปิดออก

“ เชิญครับ ” เมี่ยงว่าแบบนั้น ก่อนที่ผมจะปล่อยให้เจ้าตัวสวยกระโดดลงไปจากตัว แล้วตรงไปหาเจ้าตัวลายที่พอเจอกัน ก็แค่ดมๆกันนิดหน่อย แล้วจาดกนั้น ต่างฝ่ายก็แค่ล้มตัวลงนอนข้างๆกัน

“ หวัดดีครับ ” เพื่อนของเมี่ยงเป็นคนเอ่ยทักผม

“ หวัดดีครับ ”

“ นี่เต เพื่อนสนิทกู มันเพิ่งกลับจากเมกา ส่วนมึงนี่ อาร์ม จริงๆเป็นอริเพื่อนกูด้วย แต่เพื่อนกูอีกคน ก็บอกว่า ดีๆกันไว้ อย่าบ้าให้มาก กูเลยดีกับมัน อีกอย่างแมวมันก็กิ๊กกับแมวกูอยู่  ”

“ ประวัติยาวดีนะไอ้สัด ” เตหันบอกเมี่ยงก่อนจะยิ้มให้ผม

“ อ้อ แล้วมึงอย่าไปเผลอทักมันที่มหาลัยกูนะ ที่มหาลัยไม่มีใครรู้ว่ากูกับมันอยู่ห้องข้างกัน ”

“ เหรอ ”

“ เออ สงบปากสงบคำหน่อยแล้วกัน ไว้ชีวิตกูด้วย ”

“ ก็ว่าทำไม มันมองมึงจัง ตอนที่กูเข้าไปกอดมึง ” เพื่อนของอีกคนว่ายิ้ม “ ตอนแรกกูคิดว่ามันเป็นผัวมึงซะอีก ” เมี่ยงที่ถลึงตาใส่คนพูด ก่อนจะทำทีเป็นต่อย

“ พูดเหี้ยอะไรของมึง ”

“ ก็พูดความจริงอะ แต่ถ้าไม่ใช่แฟนมึง กูก็ค่อยโล่งใจหน่อย ”

“ หมายความว่าไง ”

“ ไม่บอกกกกกกกก ไว้ถึงเวลาก่อนนะจ้ะ ” ยื่นหน้าเข้ามาใกล้อีกคนที่ถึงขั้นดึงตัวเองเพื่อออกห่างก่อนจะหลุดหัวเราะ ท่าทางที่ดูเหมือนว่ากำลังเล่น แต่ผมรู้สึกว่าเหมือนมันจะไม่ใช่แค่นั้น สายตาของไอ้สัดนั่นที่มองเมี่ยง ผมรู้สึกว่ามันไม่ได้มีแค่นั้น

“ แต่กูก็ชอบเมี่ยงนะ ” ผมพูดออกไป ในตอนนั้นทุกอย่างในห้องก็เงียบไป มันไม่ต่างกับเครื่องหยุดเวลา แม้แต่เมี่ยงเองยังไม่คิดว่าผมจะพูดมันออกมา แบบไม่มีปี่มีขลุ่ยอย่างงั้น

“ พูดอะไรของมึง ” ร่างขาวว่ายิ้มๆ แบบแก้เก้อ แต่ผมก็แค่ย้ำ

“ กูชอบเมี่ยง ชอบแบบที่ใครสักคนนึง จะมีใจชอบใครสักนึงได้ ชอบแบบเป็นแฟน เป็นคนรัก หรือว่ามึงจะเถียง ว่ามึงไม่รู้ เรื่องที่กูชอบมึง “ หันไปถามเจ้าของห้องที่ก็ได้แต่นิ่งไป ในตอนนั้นเตก็พูด

“ อ๋อ คนนี้เองน่ะเหรอ ” มันว่าแบบนั้นก่อนจะหันไปถามเพื่อนตัวเอง “ ที่มึงเล่าให้กูฟังว่า มึงเองก็ชอบเค้า แต่ว่าเค้ามีเจ้าของอยู่แล้วน่ะ ”

“ ก็นะ..” เมื่อเถียงไม่ออก เมี่ยงก็ต้องตอบรับเพื่อนสนิทตัวเองไป แต่ในตอนนั้นเตที่ก็แค่พยักหน้ารับยิ้มๆ มันหันมามองหน้าผม

“ แต่ก็ไม่ใช่แฟนอยู่ดีจริงมั้ย เพราะงั้นกูก็ถือว่ามึงโสดอยู่ ” เตหันไปหาเมี่ยงก่อนจะยิ้มให้ แม้ว่าจะไม่มีคำตอบจากอีกคน แต่ในสายตานั้นก็แทบจะมองออกทั้งหมดแล้ว เตชอบเมี่ยง แล้วเมี่ยงเองก็เหมือนจะรู้เรื่องนี้อยู่

“ กินไก่กันมั้ย เพิ่งมาร้อนๆเลย ” คนตัวขาวชี้ไปที่ไก่ทอดเกาหลีร้านดังที่วางอยู่ในกล่องบนโต๊ะ “ กูสั่งมาเยอะเลย มึงกินด้วยกันมั้ยอาร์ม ”

“ กินสิ ” พยักหน้ารับกับคำชวน แต่เหมือนเตจะไม่คาดคิดถึงคำตอบนั้นเท่าไหร่ มันหันไปหาเมี่ยง แบบที่อยากจะบอกกับอีกฝ่ายว่า อยากจะกินกันสองคนมากว่าแล้วจะมาชวนผมทำไม

“ เอาน่า ” แต่คนตัวขาวก็แค่บอกปัดไปอย่างงั้น แบบที่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงเหมือนกัน มันก็คงไม่คิดหรอก ว่าผมจะตอบรับ

ไก่ทอดหน้าตาน่าทานถูกวางอยู่ตรงหน้าเรา น้ำอัดลม หรือแม้แต่อาหารเกาหลีต่างๆก็เหมือนจะเหมากันมาแบบหมดร้าน ในทุกเมนูที่อยากกิน และไม่เหมือนกับว่าจะกินกันแค่สองคน ผมนั่งลงตรงข้ามกับเมี่ยง ส่วนเตเพื่อนของอีกคนนั่งอยู่ข้างกันกับเมี่ยง ที่ก็เยี้องกับผม

“ น้องเมี่ยงตักให้พี่หน่อย ”

“ อย่าเยอะได้มั้ยมึงอะ ” พูดนั้นแต่ก็ยอมหยิบไก่ในกล่องส่งให้เพื่อนอยู่ดี “ มึงจะเอาอะไรมั้ย กูหยิบให้ ”

“ ไม่เป็นไร กูมีมือ หยิบเองได้ ” บอกแบบนั้นก่อนจะหยิบส่วนบนของปีกมาไว้บนจานของตัวเอง ผมกินมันแบบไม่อยากจะกินเท่าไหร่แล้วดูเหมือนเมี่ยงจะสังเกตกันได้

“ ไม่ค่อยชอบกินเปล่าวะ ”

“ ถ้าได้กินสองคนกับมึง คงดีกว่านี้ ”

“ เหมือนกันเลยยยยยย ” ไม่ใช่เสียงเมี่ยง แต่เป็นเสี่ยงของเตที่เอ่ยขึ้นมา ในตอนนั้นเมี่ยงก็ถอนหายใจ

“ พวกมึงแม่งเลิกพูดเรื่องปัญญาอ่อนเหี้ยนี่ได้ม่ะ  เอาจริงๆ กูชักจะรำคาญแล้วนะ ”

“ งั้นมาพูดเรื่องน้องเมี่ยงคำกัน ” เตเสนอ “ มึงก็ยังเป็นเหมือนเดิมเลยนะ ”

“ อะไรอีกอะ ” เมี่ยงถามเพื่อนตัวเอง ด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยน่าไว้วางใจ

“ ก็พวกชอบกินอะไรแบบที่มันไม่มีประโยชน์ไง ไก่ทอด พิซซ่า ของโปรดดดดดดด ” เมี่ยงที่ยิ้มขึ้นมามันพยักหน้ารับแบบยอมรับในสิ่งที่เพื่อนตัวเองพูด “ แล้วทุกวันนี้ยังเชื่ออยู่มั้ยเรื่องแบททีเรียในช่องปาก ” เตหันมามองผม “ กูจะเล่าอะไรให้ฟัง ไอ้สัดเมี่ยงตอนเด็กๆนะ กลัวแบททีเรียในช่องปากมากกกกก พอมันรู้ว่า คนเราพอตื่นจากที่นอนจะมีแบททีเรียนะ ทุกวันพอมันตื่นมันจะรีบวิ่งพุ่งไปที่ห้องน้ำแล้วก็บ้วนปาก แปรงฟันก่อนเลย เพราะกลัวว่าแบททีเรียจะเข้าไปในท้องแล้วก็กัดกินล้ำไส้ของมันจนหมดไป แล้วมันก็จะตายในที่สุด ”

“ ไอ้สัด เล่าทำไมเนี้ย ” เมี่ยงหันไปตะโกนใส่เพื่อนตัวเองในตอนนั้นผมก็หลุดยิ้ม

“ ยังไม่หมดแค่นั้น พีคสุดคือมีครั้งนึง ตอนค่ายลูกเสือช่วงประถม ไอ้เหี้ยนี่ตื่นเช้ามานั่งร้องไห้ เพราะไม่ได้แปรงฟันแล้วครูให้กินน้ำเข้าไปก่อน ท่าตอนนั้นคือกอดเข่าร้องไห้ตาแดงแล้วบอก ตายแน่ๆเลย ต้องแน่ๆเลย ไม่ได้แปรงฟันแล้วก็กินน้ำเข้าไปแบบนี้ แบททีเรียต้องไปกัดกินทุกๆอย่างให้ร่างของเมี่ยง จนเมี่ยงตายแน่ๆเลย เมี่ยงไม่อยากตายนี่น่า เมี่ยงอยากอยู่กับคุณพ่อคุณแม่แล้วก็พี่พลูตลอดไป ”

“ ไอ้ควายยยยยยยยยยยยยยยยย  อยากตายมากใช่มั้ยมึงอะ ” เสียงหัวเราะลั่นของคนที่เล่า ทำเอาผมหัวเราะตามเหมือนกันเมื่อคิดภาพไอ้เด็กตัวเล็กๆที่ทำทีท่าอย่างงั้น แต่เหมือนเมี่ยงจะไม่ได้ชอบใจเท่าไหร่ มันหันมามองผมแบบหาเรื่อง “ ยิ้มทำไมมึงอะ อย่าไปฟังไอ้สัดนี่ให้มันมากจะได้มั้ย ”

“ ก็น่ารักดี ”

“ กูพูดเรื่องจริงทั้งนั้นแหละครับ ” มือที่เอื้อมมือมาหยิกแก้มอีกคน เตยิ้มก่อนจะพูดล้อๆ “ ใครจะน่ารักเท่าน้องเมี่ยงของพี่เต ไม่มีหรอกกครับ ”

“ จะอ้วกไอ้ห่า ” หันหน้าตัวเองออกแบบยิ้มๆ ก่อนที่เตจะหันมาถามผม

“ แล้วมึงละ ชอบกัน มีเรื่องอะไรตลกๆ หรือว่า เรื่องน่ารักๆของเมี่ยง มาเล่าให้กูฟังบ้างมั้ย ” ได้แต่มองมันนิ่งๆแบบที่ไม่รู้จะพูดอะไรออกมา ก็อยากจะมีเหมือนกันนะ เรื่องพูดอวดในความสัมพันธ์อย่างงั้น ผมก็อยากจะตอบกลับไปให้หน้าหงายเหมือนกัน แต่ติดที่มันไม่มีเลยนี่สิ “ ไม่มีเลยเหรอ ”

“ กูไม่มีเรื่องอะไรอย่างงั้นหรอก ” ผมตอบ “ แต่เค้าก็น่ารักของเค้าในทุกวันอยู่แล้ว เลยไม่มีอะไรพิเศษ อย่างเรื่องวันก่อนที่เราเดินไปซื้อของด้วยกัน แล้วมันก็ปลอบกู อันนั้นก็น่ารักดี ตอนที่รู้ว่ากูอยู่ข้างห้อง แล้วมันตกใจจนตาค้าง วันนั้นก็ยังยิ้มได้อยู่เลยตอนที่คิดถึง ไม่รู้จะยกตัวอย่างเรื่องไหนเหมือนกัน ไว้ให้คบกันแล้ว มึงมาถามอีกแล้วกัน กูจะตอบให้ยาวเลย ”

“ แล้วไงอะ ” เตมันถาม “ ยังไงตอนนี้ก็ไม่ได้เป็นอะไรกันเปล่าวะ ก็แค่ความประทับใจแบบนั้น ใครๆมันก็มี ไอ้เมี่ยงมันน่ารักขนาดนี้ แค่ใครได้คุยด้วยก็พูดได้แล้วเปล่าวะ ”

“ มึงจะเอายังไงกันแน่ ” ผมถามอีกคนไปตรงๆด้วยเสียงเรียบ เพราะคำพูดคำจาของอีกฝ่าย แค่ฟังก็รู้แล้วว่า พยายามหาเรื่องกัน แล้วแน่นอนว่าก่อนหน้านั้นมันก็พูดข่มผม เพื่อแสดงความเหนือกว่าในความสนิทสนมก็แค่นั้น

“ พอเถอะ ไอ้สัด ต้องให้พูดอีกกี่รอบ ” เมี่ยงพูดขัด แต่เหมือนว่าตอนนั้นเราจะไม่ได้สนใจอีกคนสักเท่าไหร่ ผมยังคงมองแค่เต แล้วเตเองก็เหมือนจะมองแค่ผม มันยิ้ม

“ อย่ามาทำทีเป็นว่า เพื่อนกูพิเศษกับมึงขนาดนั้น ทั้งๆที่มึงก็มีคนที่ชอบอยู่แล้ว แล้วก็คนนั้นตังหากที่มันพิเศษในใจมึง ไม่ใช่เพื่อนกู หรือว่าต้องให้กูถาเรื่องความน่ารักของคนคนนั้น มึงถึงจะเล่าได้ยาว  ”

“ แล้วมึงมารู้ถึงความรู้สึกของกูได้ยังไง ว่าจริงๆกูคิดอะไรอยู่ แล้วตอนนี้กูรู้สึกยังไงกับเพื่อนมึง  ” ผมถาม

“ ไม่รู้หรอก กูก็แค่พูดเตือนๆมึงไป ว่าทางที่ดี อย่ามายุ่งกับเมี่ยงของกู น่าจะดีกว่า ”

“ เต ”

“ แล้วเมี่ยงไปเป็นของมึงตั้งแต่เมื่อไหร่ ” ผมถาม ในตอนนั้นเตมันยิ้ม

“ แต่มึงก็ไม่ได้เป็นอะไรกับเมี่ยงเหมือนกัน เพราะงั้น เค้าก็มีสิทธิ์เป็นของกู  แล้วกูจะบอกอะไรให้มึงฟังนะเมี่ยง ” อีกคนหันไปมองเพื่อนตัวเอง มือข้างนึงนั้นมันจับมือเมี่ยง “ ที่กูกลับมาครั้งนี้ ก็จริงอยู่ที่กูเบื่อๆ แต่อีกเหตุผลนึงเลยก็คือ  กูอยากจะกลับมาอยู่กับมึง ขาดมึงแล้วอยู่ไม่ไหวจริงๆ ”

“ ไปเอามาจากเพลงไหนอีกอีสัด ” เมี่ยงถาม เพื่อให้มันดูตลก แต่ตอนนั้นมันดูเหมือนว่าจะไม่มีใครขำ เราต่างรู้ ว่าเตไม่ได้พูดเล่น มันรู้สึกแบบนั้น ตามที่พูดจริงๆ

“ ขอตัวกลับบ้านก่อนแล้วกัน ” ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ด้วยความรู้สึกหงุดหงิด มันเหมือนว่าถ้าผมยังฝืนนั่งอยู่ตรงนี้ต่อไป เห็นที่ว่าคงอดไม่ไหว อัดหมัดซัดเข้าใส่หน้าอีกฝ่ายแบบเต็มเหนี่ยวแน่นอน แล้วแบบนั้นก็คงไม่ดีกับความรู้สึกของเมี่ยงเท่าไหร่

“ ไม่กินแล้วเหรอ ” เตถาม “ แต่ก็ดีนะ กูก็อยากจะนั่งกินกับเมี่ยงสองคนเหมือนกัน แล้วก็คุยถึงเรื่องที่เราอยากจะคุยกัน แบบที่ เป็นเรื่องของคนสองคน ไม่เกียวกับคนอื่น ”

“ พอได้แล้ว มึงแม่ง.. ” เมี่ยงมันลุกขึ้นตามผม ที่ก็แค่เดินไปอุ้มเจ้าแก้มหอมที่กำลังนอนอุตุอยู่กับไอ้นายท่านขึ้นมา ก็รู้ดีว่าสถานะตอนนี้มันไม่มีสิทธิ์แต่ยิ่งคิดว่า เพราะอยู่ในสถานะนั้นก็เลยเป็นแบบนี้มันก็ยิ่งหงุดหงิด แล้วก็แทบอยากจะระเบิดเต็มทน

“ กลับก่อนแล้วกันนะ ” ผมหันไปบอกเจ้าของห้อง ที่เหมือนอยากจะพูดอะไรออกมา แต่เมี่ยงก็เหมือนจะเรียบเรียงมันออกมาไม่ได้เลย “ กูเข้าใจ ก็ถูกของเพื่อนมึง สถานะอย่างกูตอนนี้มันไม่มีสิทธิ์ แต่ว่า อย่าให้กูมีสิทธิขึ้นมาก็แล้วกัน เพราะมันจะไม่ได้นั่งอยู่ตรงนั้นหรอก ” เหลือบมองเตในตอนที่พูดประโยคสุดท้ายนั้น แต่อีกคนก็แค่ยกยิ้มด้วยแววตาที่บอกถึงการอยู่เหนือกันทุกอย่าง แม้มันจะไม่ได้พูดอะไร

...............................................................

ภายในห้องสี่เหลี่ยมดูอึดอัด แม้แต่แก้มหอมยังอยู่ไกลจากผมไปในระยะที่ไม่สามารถเอื้อมมาถึงกันได้ ความสว่างจากภายนอกก่อนหน้าถูกกลืนกินด้วยความมืดช้าๆ บ่งบอกกันว่า ผมนั่งตอนนี้มานานมากแค่ไหนแล้ว ตั้งแต่ออกจากข้างห้องนั้น

ถ้าทำได้ก็อยากจะดึงเข้ามากอด หรือแม้แต่อยากจะจูบแสดงความเป็นเจ้าของ มันหงุดหงิดที่สุด ที่เห็นว่าอีกคนอยู่กับใคร แล้วก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นอีก เมื่อเห็นว่า ตัวเองกลับทำอะไรไมได้ทั้งๆที่อยากจะทำ

“ เชี้ยเอ้ย ” กัดหมัดทุบโซฟาตัวที่นั่งอย่างไม่รู้จะระบายความรู้สึกไปทางไหน ผมผ่อนลมหายใจออกมาอีกครั้ง ก่อนที่มือถือในกระเป๋ากางกงจะสั่นขึ้นมา อย่างเรียกความสนใจ


ครืน ครืน ครืน


เสียงโทรศัพท์ดังอยู่ในกระเป๋า ผมผ่อนลมหายใจออกมาก่อนจะดึงมันขึ้นมาดู แล้วก็พบว่า สายเรียกเข้านั้นก็คือ ดีน ที่โทรเข้ามา

ผมก็กดปิดมันอย่างไม่มีอารมณ์จะคุยอะไรด้วยในตอนนี้ แต่มันก็เหมือนจะไม่ละความพยายาม อีกฝ่ายยังโทรเข้ามาหากันเรื่อยๆ อย่างไม่มียอมแก้

“ เห้ออออ ” ถอนหายใจออกมาแบบรำคาญอย่างที่สุด ผมหยิบมือถือขึ้นมากดรับ “ ว่าไง ”

“ ทำไมต้องหงุดหงิดขนาดนั้น ทำอะไรอยู่อะค้าบ ”

“ ไม่ได้ทำอะไร ”

“ กินเหล้าเปล่า หรือว่าอยากจะกินอะไรมั้ย ” ปลายสายถาม แต่บรรยากาศรอบข้างของมันกลับเงียบเชียบผิดปกติ “ กูกำลังจะขับรถไปรับมึงที่คอนโดนะ ไปเมากัน ”

“ ไม่ต้องมาหรอก ” ผมลุกขึ้นเต็มความสูงในตอนที่บอก ร่างกายเหมือนจะอยากหนีออกไปจากตรงนนี้เสียเต็มทน เหมือนว่าอยากจะกินแอลกฮอล์สักแก้วสองแก้ว แต่แบบคนเดียวไม่ใช่ไปกับใครคนอื่น แล้วก็ขึ้นไปนั่งมองฟ้าที่สวนของคอนโดให้สมองมันโล่สักหน่อย   “ กูไม่ได้อยากจะไปไหน ”

“ อย่าทำตัวห่างเหินกับกูขนาดนั้นจะได้มั้ยไอ้สัด มึงชอบคนอื่นก็ชอบไป แต่กูก็เป็นเพื่อนมึงนะ หรือว่าจะไม่คบกูเป็นเพื่อนแล้ว ว่างั้นเถอะ ” ผมเงียบไปได้ตอบอะไร มือหยิบกุญแจล็อคห้องก่อนจะเดินออกมา ทั้งๆที่อยากจะวางสายที่คุยอยู่เต็มทน

มันไม่อยากจะฟังอะไรจากคนที่ไม่ได้อยากคุย หรืออยากฟังในตอนนี้ ผมแค่อยากอยู่เงียบๆ  แต่ทว่าเหมือนลายจะรู้ เมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจที่ติดจะรำคาญนั้น  ดีนเอ่ยห้าม

“ อย่าวางสายกูนะไอ้สัด พูดให้มันรู้เรื่องก่อน เป็นอะไรของมึงนักหนา ทำไม ? มึงคิดจะบีบกูเพื่อให้กูตอบรับรักมึงเร็วๆงั้นเหรอ ทนไม่ไหวแล้วว่างั้นอะ ”

“ เลิกพูดอะไรเข้าข้างตัวเองสักทีเถอะสัด เพราะทุกครั้งที่ฟัง กูแม่งสมเพชมึงจนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว ” เอ่ยบอกประโยคที่ไม่คิดเหมือนกันว่าจะพูด ผมถอนหายใจทิ้ง “ ได้โปรดรู้ไว้ด้วยว่า ทุกความรู้สึกของกูตอนนี้ ไมได้ขึ้นอยู่กับมึงอีกต่อไปแล้ว ”

“ ไอ้อาร์ม ” ปลายสายเอ่ยเรียก ก่อนจะได้ยินเสียงลิฟต์ที่เปิดออก “ แล้วนั่นจะไปไหน ”

“ ไปหาอะไรกิน ”

“ ก็ไปกับกู ” อีกฝ่ายบอก “ กำลังจะถึง ”

“ กูไม่ได้อยากไปกับมึงไงดีน  ต้องให้พูดอีกกี่ครั้งวะ “ ผมย้ำ “ แล้วที่กูบอกว่า อย่ามา ก็คืออย่ามา กูไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่อยากจะคุย หรือจะอยากจะกินเหล้ากับมึง กูแค่อยากจะอยู่คนเดียว อยากคิดคนเดียว ว่ากูจะทำยังไงดี เพราะกูอยากจะคุยกับคนที่กูรัก อยากพูดกับเค้า อยากกูอยู่ใกล้เค้า แต่กูทำไมได้  เข้าใจยัง ” ปลายสายเงียบไป ผมก็ได้แต่ขยี้หัวตัวเองด้วยความหงุดหงิด “ มึงรู้มั้ย กูแค่อยากจะเดินออกไปบอกเค้า ว่ากูไม่ได้รักมึงแล้ว อยากเดินไปกอดเค้าไว้แล้วพูดคำนั้น แต่กูยังไม่กล้าเลย กูกลัวว่าเค้าจะไม่เชื่อกู ทั้งๆที่จะลงแดงตายอยู่แล้วเนี้ย  แล้วตอนนี้คือมึงเลิกเซ้าซี้จะได้มั้ย  ”

“ เรื่องแบบนี้ มึงต้องเชื่อใจในตัวเองนะ ” ปลายสายบอกกันแบบนั้น ลิฟต์ที่โดยสารก็ลงถึงชั้นล่างพอดี แล้ววินาทีที่มันเปิดออก ขาผมที่เดินออกไปข้างนอกนั้น สายตามันก็เจอเข้าพอดี กับคนที่อยากเจอที่สุดตอนนี้ เมี่ยงอยู่ข้างล่าง ท่าทางเหมือนเพิ่งกลับจากซุปเปอร์เพราะอีกฝ่ายสะพายถุงผ้าแบบที่คราวก่อนเราอยู่ด้วยกัน " อาร์ม "

“ ฟังอยู่ ”

“ ไม่ได้ฟังหรอกสัด มึงเหม่อไปถึงไหนแล้ว ” ผมถอนหายใจ แต่คราวนี้อีกฝ่ายเหมือนจะไม่ยอมกัน ดีนเองก็ถอนหายใจออกมา “ รู้มั้ยว่าที่กูเองก็พยายามมากเลยนะ ที่จะรั้งมึงไว้ไม่ให้ไปไหน แต่ทำไมทั้งๆที่กูกำลังจะเดินเข้าไปหามึง แต่วันนี้มึงกลับจะทิ้งกูไปแบบนี้วะ มึงที่กำลังผลักกูออกแบบนี้ เหมือนไม่ได้รู้สึกอะไรกับกูเลยสักนิด มันเจ็บนะเว้ย ” ดีนเงียบ ก่อนจะพูดเสียงเบา “  เรื่องของเรามันจบง่ายๆแบบนี้เลยเหรอ ถามจริงๆ ไม่รักกูแล้วเหรอ ทั้งๆที่วันนี้กูคิดว่าจะชวนมึงออกมา แล้วสารภาพรักกับมึงน่ะนะ ”

“ ถ้าตอนนี้กูวางสายมึง กูไม่แคร์ และไม่อยากได้ในสิ่งที่มึงพูดมาสักคำ นั่นหมายความว่ากู หมดรักมึงแล้วถูกมั้ย ”

“ ไอ้อาร์ม..”

“ มันไม่ง่ายหรอก การตัดใจจากมึงน่ะดีน แต่มันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้นเหมือนกัน ”

สายโทรศัพท์นั้นถูกตัดลง ผมไม่ได้ต้องการอะไรจากดีนอีก นี่คือสิ่งที่ผมรู้สึกอยู่ในใจขณะนี้ เพราะสิ่งที่ผมอยากจะได้ตอนนี้ มันอยู่ข้างหน้าผมแล้ว และมันก็แน่ชัดแล้วว่า ผมจะไม่ปล่อยมันไปไหน หรือปล่อยให้เป็นของใครเด็ดขาด

“ อ้าว ” เสียงที่ทักกัน สายตาเรียวค่อนข้างตกประหม่าในตอนที่เจอหน้าผม เมี่ยงคงคิดถึงคำพูดที่เตพูด จนถึงขั้นกัดปากเบาๆ แบบที่กังวลอยู่ไม่น้อย ในตอนที่เราสบตากัน “ คือเรื่องของเต กูขอโทษแทนมันด้วยนะ กูด่ามันไปแล้ว ตอนนี้มันสำนึกอยู่ด้วยการเข้ามุมห้อง แล้วกูก็..”

“ กูรักมึง ” ผมพูดออกมาในตอนที่ดึงอีกคนเข้ามากอดไว้

“ ห๊ะ ? ” 

ท่ามกลางความงุนงงนั้น ผมลดใบหน้าลงจูบลงบนริมฝีปากนั้น ด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มีแบบที่ห้ามหัวใจเอาไว้ไม่อยู่  ทุกอย่างเหมือนน้ำ วันนึงเมื่อมันเต็มแก้ว ทุกอย่างก็ล้นทะลัก มันเป็นทั้งความรู้สึกรัก หวงแหน และต้องการ ความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในอกพวกนั้น ผมรู้แค่ว่าจะไม่ให้ใครมาพรากมันไปไหนอีก

“ เมี่ยง กูรักมึง ” ผมย้ำกับร่างในอ้อมกอดที่เหมือนจะแน่นิ่งไปนั้น แม้แต่แววตาเรียวก็ยังไม่กระพริบ วิญญาณมันคล้ายกับหลุดออกจากร่าง แต่ถึงอย่างงั้นมันก็เป็นท่าทางที่ชวนให้ผมยิ้ม ก่อนจะก้มลงจูบมันอีกครั้งในตอนที่ถาม

“ ลืมหมดแล้วเหรอ คนคนนั้น ”

“ ลืมไปหมดใจแล้ว ” ย้ำคำตอบนั้นด้วยความมั่นใจ ผมจูบลงไปบนริมฝีปากสีสวยนั้นอีกครั้ง ด้วยความรู้สึกสุขมากกว่าครั้งไหนๆ ที่เคยมี อย่างที่ไม่ได้สนใจสายตาที่มองมาเลย  “ ต่อไปนี้กูจะมีแค่มึง ”


.......................................................................
ตอนนี้ถ่ายทอดอารมณ์ของพี่อาร์มในหลายๆช่วง
หนมอยากจะเขียนให้รู้สึกถึง ความรู้สึกของอาร์มที่มีให้ดีนกับให้เมี่ยงแบบชัดๆ
เหมือนน้ำที่เดือดในหม้อ ความรู้สึกกับเมี่ยงเป็นแบบนั้น ส่วนความรู้สึกของดีนคือน้ำอุ่น ที่ค่อยๆเย็นไป ไม่รู้สึกอะไรแล้ว
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์ ขอโทษทีที่ช้าค่ะ
ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ด้วยนะคะ
ขอบคุณมากค่ะ

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 22 :: up! 15-5-63} #หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 16-05-2020 00:51:52
อารมณ์แต่ละคนเดือด  ๆ กันทั้งนั้น พอดีเลยกำลังอยากกินมาม่าอยู่พอดี แต่ขาดน้ำร้อน ขอคนละแก้วซิ ได้ป่ะ  o11
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 22 :: up! 15-5-63} #หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 16-05-2020 01:01:55
เต : บรู๊วววววววว โฮ่งๆ 5555555555 เห็นมานักต่อนักแล้ว นี่ก็เคยเป็นจนเลิกเสือกเรื่องของคนอื่น แล้วแต่มึงเถอะ 5555 เมี่ยงตัวเขาเองไหมอะที่ควรจะรู้ว่าถอยห่าง เป็นเขาเองที่ไม่ยอมเอาตัวเองออกมา ความหวังดีของเตมันส่งไม่ถึง ทั้งหวังดีกับเพื่อนและเพื่อหัวใจตัวเองสินะ ไม่อยากให้เขามาวอแวแต่เพื่อนตัวเองก็คือยอมเอง แล้วนี้คงดีใจใหญ่เลยสิ เขาบอกรัก ถถถ รอมานาน อะจ้าาาา รักกันๆ 55555 อยากให้อาร์มเจ็บไปอีกหน่อยให้สมกับที่เมี่ยงรอไง แต่ก็อย่างว่านี่เองก็รักเขา ยอมแทบทุกอย่าง หึหึ!! เอาเถอะ รักกันละดีแล้ว อิอิ สนุกก ขอบคุณที่มาต่อยาวๆนะคะ รอตอนหน้า ตกลงเป็นแฟนกันละสิ 55555  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 22 :: up! 15-5-63} #หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 16-05-2020 03:29:10
 :pig4: :pig4: :pig4:

เหมือนว่าที่เตทำไปทั้งหมด  ก็เพื่อกระตุ้นให้ไอ้อาร์มมันรู้ใจตัวเองและตัดสินใจอย่างเด็ดขาดสักที
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 22 :: up! 15-5-63} #หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 16-05-2020 08:34:07
ที่ดีนบอกว่าจะหาอาร์มแล้วจะบอกรักนี่จริงมั้ยเนี่ย เหมือนแค่พูดเพื่อรั้งให้อาร์มยังรักดีนอยู่เลยอ่ะ
แต่อาร์มก็คือเฉียบมากนะ พาร์ทนี้ทำดี ตัดเป็นตัด 55555
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 23 :: up! 22-5-63} #หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 22-05-2020 20:24:18
                               
     ตอนที่ 23

   ภายในลิฟต์โดยสารที่มีแต่ความเงียบ ลำตัวของผมแข็งทื่อ ร่างกายดูไร้ชีวิตชีวาอย่างไม่เคยเป็น และเหมือนจะมีเพียงแค่หัวใจเต้นรัวเท่านั้นที่บ่งบอกต่อกันถึงการมีชีวิตอยู่ ผมก้มลงมองฝ่ามือที่กำลังกอบกุมกัน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองที่คนยืนอยู่ข้างกัน

   ‘ นี่มัน เรื่องเหี้ยอะไรกันวะ ’ ถามตัวเองแบบนั้นในใจ แต่ก็อดประชับฝ่ามือที่กุมกันอยู่ไว้ไม่ได้
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นยังคงชัดอยู่ในความรู้สึก ภาพของร่างสูงที่กำลังยืนหงุดหงิดอยู่ตรงด้านล่างของคอนโด ท่าทางหัวเสียของมันชวนให้ผมขมวดคิ้วก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ แล้วในตอนนั้น ตอนที่ยังไม่ทันจบประโยคยืดยาวที่ผมพูด ฝีเท้านั้นกลับเดินเข้ามาหากัน อาร์มเอียงหน้าลงจูบลงบนริมฝีปากผมจนได้แต่แน่นิ่งไป

   ความว่างเปล่าของร่างกายในตอนนั้น เหมือนมีลมมวลใหญ่มหาศาลวนอยู่ในท้อง ยามที่ริมฝีปากนั้นผละออก แววตาคมที่จ้องกันนั้นสัมผัสได้ถึงเรื่องราวดีใจที่คล้ายว่า คนที่กำลังพูดนั้น ห้ามใจตัวเองเอาไว้ไม่อยู่แล้ว ในแบบที่อยากจะบอกกันเสียมากมาย

   “ กูรักมึง ” คำพูดของเสียงที่หนักแน่นถ่วงหัวใจของผมในจมลึก รอยยิ้มที่ยิ้มให้กันนั้น ทุกอย่างพล่ามมัวลงด้วยความรู้สึกที่กำลังเติบโต เหมือนทุ่งหญ้าเขียวที่แปรเปลี่ยนเป็นดอกไม้สีสดใสนานาพรรณอย่างกระทันหัน อ้อมกอดนั้น กอดรัดกันแน่น อาร์มย้ำ “ เมี่ยง กูรักมึง ”

“ ลืมหมดแล้วเหรอ คนคนนั้น ” คำถามนั้นของผมถูกถามออกไป แต่อาร์มก็แค่ยิ้มด้วยความสุข คำตอบนั้นถูกย้ำด้วยความมั่นใจ

“ ลืมไปหมดใจแล้ว ต่อไปนี้กูจะมีแค่มึง ”

“ มึง เราถึงแล้ว ” เอ่ยบอกคนที่ไม่ยอมปล่อยมือกันเลยแม้ว่าจะยืนอยู่ที่หน้าห้อง  เราที่ต่างคนต่างเงียบมาตลอดทางตั้งแต่ชั้นล่างจนถึงหน้าห้องของตัวเองในตอนนี้นั้น ผมเอ่ยทัก “ มึง..”

“ ยังไม่อยากจะปล่อยเลย ” อาร์มพูดแบบนั้นทั้งๆที่ไม่ได้หันมามองกัน มันที่มองประตูห้องของตัวเอง แล้วผ่อนลมหายใจออกมา ก่อนจะปล่อยมือผมแต่โดยดี “ กูยังมีเรื่องที่อยากจะคุยกับมึงนิดหน่อย แต่ไม่อยากจะให้มึงอึดอัด อีกอย่าง มึงเองก็มีแขก ”

“ แล้วถ้าไม่ได้พูด มึงจะเป็นยังไง จะอึดอัดมั้ย ” ผมหันไปถาม คนตรงหน้าก็ยิ้ม

“ แค่ไม่สบายใจ ”

“ งั้นก็พูดมา ” ผมบอกก่อนจะพิงตัวเองลงกับกำแพงที่กั้นระหว่างห้องตัวเองกับห้องของอีกคน “ ถ้าปล่อยไป มึงเองก็คงนอนไม่หลับถูกมั้ย เพราะงั้นก็พูดมา เอาเรื่องที่ไม่สบายใจก่อน กูจะฟัง ”

รอยยิ้มของคนตรงหน้าผุดขึ้นมาในตอนที่มองหน้ากัน อาร์มก้มหน้าลงเพื่อหลบยิ้มกว้างนั้นอยู่นานในตอนที่เห้นท่าทีนั้นของผม มันเงียบจนต้องเอ่ยท้วงขึ้นมา

“ จะเอาแต่ยิ้มทำไมละไอ้สัด พูดมาสิ ”

“ ก็มึงน่ารัก ” พูดแค่นั้นผมก็ได้แต่นิ่ง ท่าทางที่เหมือนจะยังไม่หยุดยิ้มง่ายๆ  ชวนให้ถอนหายใจก่อนจะหันไปทางอื่น แบบที่อดคาดโทษมันไม่ได้เลย

“ อะไรของมึง ”

“ ก็มึงน่ารักไง ไม่เข้าใจเหรอ ”

“ หยุดเลยนะ ไอ้สัด ” สบถออกไปเพราะอีกฝ่ายไม่ยอมหยุด “ ถามจริงนะอาร์ม ที่บอกกับกูเมื่อกี้ ไม่ใช่เพราะว่า แค่หึงกูจากคำพูดของไอ้สัดเตหรอกนะ ” เกริ่นพูดออกไปพลางหันไปมองทางอื่น มือที่ไขว้หลังอยู่เริ่มจับเข้าหากันอย่างไม่รู้ว่าจะต้องรู้สึกยังไง

เอาจริงๆ ทุกอย่างเมื่อครู่มันเกิดขึ้นเร็วมาก จนผมไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าต้องรู้สึกยังไง ผมไม่รู้ว่าอาร์มเผชิญอะไรมามากกว่านั้นมั้ย ไม่รู้เลยว่าเหตุผลที่บอกคืออะไร แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่า มันจะเป็นความจริงเช่นนั้นมั้ย แต่ก็ยอมรับว่า มันเชื่อว่าไปแล้วทั้งใจ เชื่อแบบ อยากเชื่ออย่างไม่มีเงื่อนไขใดทั้งนั้นมารองรับ

เหมือนแค่อยากรัก ผมก็แค่รักมันไป  จบแค่เท่านั้น

“ นั่นแหละที่อยากคุย ” อาร์มบอก “ กูกลัวมึงจะคิด ว่ากูโกหก กลัวมึงจะคิด ว่าเพราะกูโดนเพื่อนมึงปั่นหัว กูก็เลยทนไม่ไหว แล้วรวบรัดกับความรู้สึกของตัวเองบอกมึงไป ”

“ แล้วมันเป็นแบบนั้นมั้ยละ ” ผมถาม แต่คนตรงหน้าก็แค่ส่ายหน้า

“ กูรู้ตัวว่ากูอยู่ในฐานะอะไร แล้วก็รู้ว่าต้องทำตัวยังไง แต่ที่ไม่รู้คือไม่รู้ว่าจริงๆ กูรู้สึกกับมึงไปถึงไหนแล้ว และตอนนั้นเค้าก็โทรเข้ามาพอดี ”

“ หมายถึง คนที่มึงชอบน่ะเหรอ ”

“ อื้ม ” หัวใจราวกับถูกกระชากลง ผมรู้สึกเหมือนว่ามันว่างเปล่าลงอย่างอัตโนมัติในตอนที่ได้ยินอีกคนพูดถึงใครคนนั้น ที่ผมไม่แม้แต่จะรู้จัก ในตอนนั้นผมทำได้แค่พยักหน้ารับไป “ เค้าโทรมาพอดี เมื่อก่อนกูไม่เคยแม้จะไม่รับสายเค้า ถ้าไม่ได้รับ ก็จะโทรกลับทันที ไม่เคยเลยสักครั้งที่ขัดความต้องการของเค้า แต่มึงรู้มั้ยว่า ตั้งแต่เจอมึง สายโทรศัพท์ที่กูเคยรอรับมันอยู่ตลอด กูไม่ได้รอรับมันอีกแล้ว เมื่อกี้ก็เหมือนกัน เค้าไม่ใช่คนที่กูจะคอยอีกต่อไปแล้ว ต่อให้เค้าจะพูดว่า รัก และขอคบกับกู กูก็ไม่ได้อยากจะได้แบบนั้นจากเค้าอีกแล้ว แต่กลับกันกับมึงนะ เพราะกูอยากทำแบบนั้นกับมึง ”

“ นี่คือ คำสารภาพรักเหรอวะ ” ถามเหมือนไม่ชัวร์ อาร์มยิ้มให้ผม

“ กูกลัวมึงไม่เชื่อ เพราะกูก็รู้ ว่ามันยากที่จะเชื่อ งั้นขอโอกาสแสดงให้ดูหน่อยได้มั้ยวะ กูจะทำให้มึงเห็นว่าสิ่งที่กุรู้สึกกับมึง คือเรื่องจริงทั้งหมด ” คนตรงหน้าว่าแบบนั้น ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคอด้วยความตกประหม่า มือข้างที่นิ่งอยู่โดนถูเข้ากับกางเกงตัวเองที่ใส่อย่างแรง คงมีเม็ดเหงื่อคงชุ่มบนมือข้างนั้นไปหมด ทั้งๆที่มันไม่ใช่คนแบบนั้น ออกจะเป็นคนที่ทั้งมั่นใจในตัวเองสูงด้วยซ้ำไป   “ เมี่ยง ”

“ เออ รอฟังอยู่ ” พยักหน้ารับอย่างรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร

“ คบกับกูนะ ”

“ ทำไมรู้สึกดีจัง ” พูดออกไปแบบนั้นอย่างหุบยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ แต่มันก็คงเป็นความรู้สึกที่ก็คงไม่ต่างอะไรกับคนตรงหน้าเท่าไหร่นัก อาร์มผ่อนลมหายใจออกมา ในแววตาที่เหมือนโล่งใจในระดับนึงของมันนั้น ร่างสูงดึงตัวเองเข้ามากอดกันไว้ “ บอกไว้ก่อนว่ากูไม่ได้เชื่อมึงร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกนะไอ้สัด ต้องดูกันอีกยาว ในฐานะ.. แฟน โอเค๊ ? ”

อ้อมกอดนั้นรัดกันแรงมากขึ้น ผมที่ได้นิ่งไปเพราะสัมผัสได้ถึงรอยยิ้มกว้างที่ซบลงกับไหล่ ราวกับว่ามันเป็นทั้งความโล่งใจและความสุขปะปนกันจนมันเอ่อล้นอกของอีกคน

“ จูบได้มั้ย ”

“ ไม่ได้ ” บอกปัดพลางมองซ้ายขวาในตอนที่ดึงตัวเองออกจากอ้อมกอดนั้นอย่างกลัวมีใครเข้ามาเห็น มือที่ปิดปากตัวเองไว้ แต่พอมองตาคนตรงหน้าก็เหมือนกับว่า จะไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่ เลยต้องยกอีกมือขึ้นปิดอีกข้างจนชวนให้อีกฝ่ายหลุดยิ้มมุมปาก

“ แต่เมื่อกี้ยังได้เลย ” อาร์มท้วง

“ ก็เมื่อกี้กูยังไม่ทันตั้งตัวไอ้สัด ” ผมบอก แต่ถึงอย่างงั้นคนตรงหน้าก็เหมือนจะยังไม่เข้าใจอะไรเท่าไหร่ อาร์มเดินตรงเข้ามาหาผม “ เข้ามาใกล้ทำไม กูจะแจ้งนะ ”

“ แจ้งว่าอะไร โดนแฟนจูบเหรอ ”

“ งั้นกูจะตะโกนให้คนมาช่วย ”

“ ช่วยจากอะไร ”

“ จากมึงไงไอ้สัด มึงคุกคามกู ถึงจะเป็นแฟนก็เถอะ แต่ก็ต้องให้กูสมยอมนะ ตรงนี้มันไม่ได้ไงมึงเข้าใจมั้ย มันเป็นพื้นที่สาธารณะ ”

“ งั้นก็เข้าไปในห้องกู ”

“ K ไม่เข้าเว้ย ” ผมตะโกนลั่นแต่เหมือนว่านั่นจะไม่ได้หยุดการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายได้เลย อาร์มที่เดินเข้ามาใกล้ผมด้วยรอยยิ้ม แล้วจูบแผ่วเบาลงบนฝ่ามือที่กำลังปิดปากตัวเองอยู่นั้นพร้อมกับคำพูด

“ ผมไปก็ได้ครับ คุณแฟน.. ” พูดจบก่อนจะเดินเข้าห้องนอนตัวเองไปด้วยความเงียบเชียบ แล้วปล่อยให้ผมยืนนิ่งอยู่อย่างงั้นแบบที่ไม่รู้ว่าต้องจัดการหัวใจตัวเองที่เต้นโครมครามนี้ยังไง

“ ร้ายกาจนักนะ ไอ้คุณแฟน  ”

.........................................................

เปิดประตูเข้าห้องของตัวเองหลังจากสงบสติอารมณ์เพราะอาการเขินของสถานะมีแฟนแล้วอยู่ตรงหน้าห้องแบบสักพักใหญ่ ผมถอนหายใจออกมาในตอนที่เปิดประตูห้องของตัวเองเข้าไปด้วยท่าทางยิ้มกว้างราวกับแมวที่นอนกอดหมอนแคทนิปยังไงอย่างงั้น

และถ้าไม่เกรงใจเพื่อนร่วมห้องที่อยู่ด้วยกันตอนนี้นั้น ว่ามันจะต้องมาเป็นคนจัดการธุระให้ ก็คิดว่าคงจะล้มตัวลงนอนบนพื้นนี้แล้วดิ้นไปดิ้นมา แบบระบายออกมาให้หมดเลย กับความสุขทั้งหมดที่กำลังล้นอกอยู่ ณ ขณะนี้

“ กูสำนึกผิดแล้วนะ ให้กูออกจากมุมได้ยังอะ ” หันไปมองต้นเสียงที่พูดออกมาจากมุมห้อง จนผมต้องหลุดยิ้ม

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่อาร์มออกไปจากห้องเรา ตอนแรกก็เข้าใจอยู่ว่ามันคือแผน เราตกลงกันไว้อย่างงั้น แต่ก็มีบางส่วนเหมือนกันที่อีกฝ่ายทำเกินกว่าเหตุไปมาก แล้วพอผมไม่ยอมด้วยเข้าหน่อย ไอ้สัดนั่นก็ทำทีเป็นเดินคอตกไปที่มุมห้อง เหมือนเด็กเล็กเวลาพ่อแม่ทำโทษ อย่างที่ไม่ได้ดูเลยว่า ‘ ก็ไม่ได้น่ารักเลยสักนิด ’

“ ถามจริง นี่ไม่ได้เดินออกมาจากตรงนั้นเลยเหรอ ”

“ แล้วคุณคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่!! ” ร่างสูงที่ผุดลุกขึ้นยืนพร้อมกับกางมือออกด้วยท่าทางราวกับประกาศรางวัลใหญ่ในงานดนตรีอะไรสักงาน ผมถอนหายใจกับท่าทางนั้น และแบบที่ไม่ต้องเดา

“ ตอแหลไอ้สัด ”

“ ถูกต้องนะค้าบบบบบบบบบบบบบบบบบ ” ว่าแบบนั้นก่อนจะเดินมากอดคอกัน เตมองเข้าไปในถุงผ้าที่ผมสะพายอยู่ก่อนจะดึงมันลงจากไหล่แล้วเอามาเปิดออกกว้าง “ ว้าว เบียร์สิงห์ที่กูรักของกู มึงซื้อกี่ป๋อง ”

“ ห้า ” คนฟังเบิกตาในตอนที่ผมพูด “ ทำไม ไม่พอ ”

“ ถามแปลกไอ้สัด มันจะไม่พอได้ยังไง สองคนนะเว้ย ”

“ กูไม่กิน ” ผมบอกปัด ” เดี๋ยวกินนั่งกินโค้กเป็นเพื่อน ”

“ ไม่ใจ ”

“ งั้นก็ไม่แดก ” ทำทีเป็นหันหลังเตรียมจะเข้าห้องนอน แต่คนไหวตัวทันก็แค่หันมากอดคอกันไว้แน่นด้วยหน้าตาตื่นแบบที่กลัวว่าผมจะเดินเข้าไปด้านในจริงๆ

“ แหมมมมม ใจร้อนไปได้ โค้กก็ได้จ้ะเมี่ยงคำ ขอแค่มีหนูนั่งดริ้งเป็นเพื่อนพี่ ยังไงก็ได้แหละ ” ว่าแบบนั้นก่อนจะยิ้มให้กัน แล้วผายมือไปที่ระเบียงห้องของผม “ แต่นแต๊น!! กูเตรียมที่ไว้ให้แล้ว ”  เก้าอี้ตรงโต๊ะกินข้าวถูกวางอยู่ด้านนอกตรงนั้น รวมถึงโต๊ะตัวเล็กที่เคยอยู่ตรงมุมโซฟาก็เหมือนจะอยู่จัดไว้ตรงกลางแบบชนิดไม่ต้องร้องขอ

“ ไม่เข้าใจเลยว่ามึงจะไปนั่งตากยุงทำไมไอ้สัด แอร์เย็นๆมีก็ไม่นั่ง ”

“ คือน้องเมี่ยงคำไม่เข้าใจคำว่าบรรยากาศเหรอครับ ” อีกคนถาม พลางเดินตรงไปที่ระเบียงที่ว่านั้น เบียร์ถูกโยนลงในกล่องโฟมที่เราใส่น้ำแข็งไว้แล้วก่อนหน้านี้  เตหย่อนตัวนั่งบนเก้าอี้ก่อนจะเปิดกระป๋องเบียร์ยี่ห้อโปรดแล้วดื่มเข้าไป “ อ๊าห์ นี่แหละรสชาติเห่งชีวิต มันชื่นใจจริงๆ ” ว่าแบบนั้นก่อนจะหันมามองกันแล้วยกคิ้วให้ มือเรียวตบเข้าที่นั่งตรงหน้า ที่ก็เตรียมไว้ให้ผม “ มานั่งมาเร็ว แล้วอันนี้ของหนูจ้ะ พี่เตรียมไว้ให้แล้ว ” กระป๋องน้ำอัดลมถูกโยนมาให้แบบที่รับแทบไม่ค่อยทัน

“ จ้า ไอ้สัด ” ตอบรับพร้อมกับถอนหายใจยิ้มๆ แล้วเดินตรงไปนั่งตรงข้ามกับอีกฝั่ง ผมเปิดกระป๋องน้ำอัดลมในมือตอนที่นั่งได้ที่ พลางออกไปนอกระเบียงที่ตอนนี้มีเพียงแค่แสงไฟจากตึกสูงที่เห็นอยู่ไกลลิบๆ

“ เอาจริงๆ คอนโดมึง บรรยากาศดีมากเลยนะ ถ้าไม่ติดว่ามีไอ้กรงเหี้ยนี่บังอยู่ ยังกับอยู่ในห้องขัง ” อีกฝ่ายว่าพลางเชิดหน้าไปที่ตะแกรงกันตกของเจ้าเหมียวที่ทางเจ้าของคอนโดติดมันไว้

“ ก็ไม่เถียงหรอกไอ้สัด แต่มันก็เพื่อความปลอดภัยอะนะ ”

“ ถามจริง คอนโดนี้เลี้ยงสัตว์กันทั้งคอนโดเลยมั้ย ”

“ ก็มีบางห้องที่ไม่ได้เลี้ยงนะ ” ผมว่า “ บางคนมันอยู่ใกล้ที่ทำงานเค้าก็มาอยู่ อีกอย่างห้องแบบนี้มีแค่ไม่กี่ห้อง มันเรียกว่าห้องสำหรับเลี้ยงแมว ”

“ งั้นตอนกลางวันมึงก็เปิดระเบียงไว้แบบนี้เหรอ ”

“ อื้ม ” พยักหน้ารับก่อนจะหันมองเข้าไปในห้อง ตอนนั้นไอ้นายท่านที่นั่งมองกันอยู่ก่อนลุกขึ้นจากที่นั่งก่อนจะเดินนวยนาดเข้ามาใกล้ มันกระโดดขึ้นมานั่งตักผม “ วันนี้อ้อนเว้ย ”

“ แล้วปกติไม่อ้อนเหรอวะ ”

“ ไม่ค่อยอะ อยู่ที่อารมณ์ในช่วงเวลานั้นๆอีกที พอดี พี่เค้าอินดี้น่ะ ” ว่าแบบนั้นก่อนจะเกาคอเจ้าตัวดีไปพลางยกเครื่องดื่มในมือขึ้นกินไปพลาง

“ แล้วแมวมึง ตัวเมียเหรอ ”

“ หล่อขนาดนี้ ตัวผู้สิครับ ”

“ แล้วทำไมปล่อยให้เล่นกับแมวตัวเมียของไอ้ข้างห้องอะ ” เตมันเชิดหน้าถาม “ ไม่กลัวมันได้กันเหรอ หายนะเลยนะไอ้สัด ถ้าเป็นงั้นอะ ”

“ เออว่ะ ” ผละกระป๋องออกจากปากในตอนที่ตอบรับ ผมก้มลงมองไอ้นายท่านก่อนจะเขย่าขาที่อีกตัวนั่งอยู่แล้วถาม “ นี่มึงได้กับแก้มหอมยังวะนายท่าน ”

“ ถ้ามันตอบกูวิ่งนะเมี่ยง บอกมึงไว้ก่อนเลย ”

“ ฮ่าๆ ไอ้สัด ” หลุดหัวเราะออกมาเสียงดังกับคำพูดนั้น ผมส่ายหน้าไปมา “ ไม่หรอก กูยังไม่เคยเห็นมันมีท่าทางติดสัตว์เลย ”

“ ระวังไว้น้า มึงจะได้ดองกับคนห้องข้างๆแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว แล้วก้ในฐานะคุณปู่คุณตาด้วย ” ผ่อนแผ่นหลังพิงกับเก้าอี้ในตอนที่ได้ยินอย่างงั้น ผมยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ในตอนที่คิดถึงคนที่อีกฝ่ายพูดถึง ก่อนจะค่อยๆหุบยิ้มลงในตอนที่เห็นว่าคนข้างๆมองกันอยู่

“ พูดเรื่องอื่นมั้ยไอ้สัด ไร้สาระ ”

“ ทั้งๆที่เรื่องนี้ คือเรื่องที่มึงมีความสุขอะนะ ” คนตรงหน้าที่ยักคิ้วให้กัน เตมันถอนหายใจหายออกมาก่อนจะยกเบียร์ในมือขึ้นกิน “ นี่ กูเห็นนะ ที่หน้าห้องเมื่อกี้ มึงกับมันเดินมาด้วยกัน แล้วก็ได้ยินแล้วด้วย เรื่องที่พวกมึงคุยกันที่หน้าห้อง ”

“ เหรอ ”

“ คือมึงเล่นบิดเป็นเลขแปดขนาดนั้น ก่อนจะเข้าห้อง แต่ก็คือไม่คิดจะบอกกูเลย ”

“ ก็.. จะให้พูดยังไงดีละไอ้สัด ” ยกมือเกาหัวตัวเองแบบที่ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกนั้นยังไง

เอาเข้าจริง ผมไม่กล้าจะหันไปมองคนที่นั่งข้างกันด้วยซ้ำในตอนนี้ สายตาที่เอาแต่ก้มลงด้านล่าง ผมถอนหายใจออกมาอีกครั้งก่อนจะได้ยินเสียงวางประป๋องลงกับพื้นเรียบ แล้ววินาทีต่อมานั้น เตก็จับแก้มผมด้วยมือทั้งสองข้างก่อนจะดึงขึ้นมาให้เผชิญหน้ากัน อีกฝ่ายยิ้มกว้าง

“ มองกูนี่ แล้วพูดมันออกมา ว่าไง หรือจะให้กูบู้บี้แก้มมึงให้เจ็บมากกว่านี้ ห๊า! ” แรงกดของมือที่บีบเข้ามาจนปากผมจู๋ไปหมด เตปั้นหน้าจริงจัง “ ว่ายังไงไอ้เมี่ยง ”

“ เออ ไอ้สัด ” ดึงหน้าตัวเองออกจากการจับกุมนั้น ก่อนจะย้ำ “ มึงอยากฟังเองนะ ” ผมถอนหายใจ  “ กูคบกับอาร์มแล้ว โอเคยังไอ้หน้าเหี้ย”

“ แล้วก็ทำเป็นเงียบ เรื่องแบบนี้มันต้องฉลองมั้ยเมี่ยงคำ คิดหน่อย ” กระป๋องเบียร์ที่วางอยู่ถูกดึงขึ้นมาก่อนที่อีกคนจะชนเข้ากับกระป๋องน้ำอัดลมของผม “ ยินดีด้วยครับไอ้สัด ”

“ อื้ม ” ตอบได้สั้นๆแค่นั้นอย่างที่รู้สึกว่ารอบข้างมันอึดอัดไปหมด อาจเพราะแม้จะมีรอยยิ้มที่ดูมีความสุข แต่แววตานั้นกลับเศร้าลงจนรู้สึกใจหาย

ตลอดเวลา เราไม่เคยพูดกันเรื่องนี้หรอก เราไม่เคยพูดเลยว่า เรารู้สึกยังไงต่อกัน แม้ว่าเราจะรู้ และรู้มาตลอด ผมรู้ว่าเตรู้สึกยังไงกับผม เหมือนกับที่เตเองก็รู้ว่าผมรู้สึกยังไงกับเต มันคงคล้ายกับกล่องสักใบที่ถูกหินถ่วงไว้ในน้ำ ทุกอย่างถูกกดไว้ ด้วยความรู้สึกอะไรบางอย่าง เหมือนกล่องดำที่ต่างฝ่ายก็รู้ว่ามันมีอยู่ แต่ไม่คิดจะเปิดขึ้นมา ความสัมพันธ์ของเราเป็นอะไรแบบนั้น

“ ทำไมทำหน้าเศร้าอย่างงั้น มีผัวแล้วไม่ดีใจเหรอ ” คำพูดนั้นชวนให้ผมถอนหายใจ มันต่างกับเตนิดหน่อยที่หันมามองกันยิ้มๆ “ ถ้ากูเป็นมึง กูจะเปิดป๋องเบียร์แล้วกินฉลอง พร้อมทั้งตะโกนออกไปให้สุดเสียง ว่าในที่สุดกูก็มีผัวแล้วโว้ยยยยยย ”

“ เชี้ย อย่าเสียงดัง ” ห้ามอีกคนก่อนจะเหลือบมองห้องของคนข้างๆที่คาดว่าอาจจะได้ยินมันทั้งหมดด้วยซ้ำ ถ้าเกิดว่าเปิดประตูระเบียงทิ้งไว้ “ เดี๋ยวมันก็ได้ยินหมดหรอก ”

“ กลัวมันรู้เหรอ ว่ามึงดีใจแค่ไหนที่ได้มันเป็นผัว ” ถอนหายใจออกมาผมพิงหลังกับเก้าอี้แบบคนที่เหนื่อยหน่ายในการห้ามปรามใดๆ “ นี่..”

“ อะไร ”

“ กูรักมึงนะ ” คำพูดเรียบๆที่พูดออกมานั้น ชวนให้ผมนิ่งไป “ จริงๆกูรู้ว่ามึงรู้มาตลอดนั่นแหละ แล้วก็แม้แต่ตอนนี้ก็ยังรู้  แต่ว่า มึงไม่จำเป็นที่จะต้องปิดบังความรู้สึกมีความสุขของตัวเองเพื่อกูก็ได้นะเมี่ยง  มันไม่จำเป็นเลย ”

“ แต่ว่า..” ผมพูดขัด

“ กูชอบมึงด้วยหัวใจของกูเอง เพราะงั้นกูจะรับผิดชอบมันเอง มึงไม่ต้องมารู้สึกผิดอะไรหรอก การที่มึงไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับกู ไม่ใช่ความผิดของมึงสักหน่อย ” พูดแบบนั้นเบียร์ที่อยู่ในมือก็ถูกยกดื่มขึ้นไป “ ถามจริง เคยสงสัยมั้ยว่าทำไม กูถึงไม่คิดจะสารภาพรักกับมึงเลย ”

“ ก็...”

จะพูดยังไงดีละ ผมถามตัวเองในใจอย่างงั้น มันก็ดีแล้วนะ ที่ไม่ได้ยิน ผมไม่ได้อยากจะได้ยิน ไม่ได้อยากฟัง เพราะรู้ดีอยู่แล้วว่าคงไม่ตอบรับ และไม่คิดจะตอบรับด้วย ถึงมันจะฟังแล้วดูใจร้าย แต่มันก็มีแค่ความรู้สึกพวกนี้เท่านั้นที่วนเวียนอยู่มันสมอง

ผมไม่ได้ชอบเตในแบบนั้น ไม่ได้ชอบในแบบที่เตชอบผม แต่ในอีกด้าน ผมก็หวงความเป็นเพื่อนของเราเหมือนกัน ความเป็นเพื่อนที่ดี ผมไม่อยากจะเสียมันไป มันเลยกลายเป็นความโล่งใจมากถึงมากที่สุด ที่ความรู้สึกพวกนั้นจะไม่ถูกพูดออกมา

แต่ก็นั่นแหละ.. สุดท้ายแล้ว เตก็ต้องแบกรับความอึดอัดนั่นอยู่คนเดียว
เพื่อผม คนที่เป็นแค่คนเห็นแก่ตัว คนนึง

 “ มึงคิดว่า ดีแล้วใช่มั้ยที่กูไม่บอก ” คนข้างกันพูดในสิ่งที่ผมคิดขึ้นมา แต่ถึงอย่างงั้นผมก็แค่ยังนั่งนิ่ง ไมได้พูดอะไร “ ตอบอะไรกูหน่อยได้มั้ยไอ้สัด กูไมได้นั่งคุยกับรูปปั้นนะหน้าเหี้ย ”

“ กูไม่อยากจะให้มึงเสียใจ ” ผมบอก “ กูรู้สึก ต่อให้กูพูดอะไรออกไปมึงก็เสียใจอยู่ดี กูเลยไม่อยากพูด ”

“ เด็กน้อยเอ้ย ” ว่าแบบนั้นมือหนาก็เอื้อมมือมาจับที่หัวก่อนจะเริ่มขยี้เบาๆ “ ความรู้สึกของกูเป็นสิ่งที่กูต้องแบกรับมันเอง มันไม่ใช่เรื่องที่มึงจะต้องเอาไปแบกรับสักหน่อย แล้วเรื่องแบบนี้ ไม่ใช่ความสงสาร หรือเห็นใจอะไร กูเข้าใจมึงอยู่แล้ว แต่เอาจริงๆ ตอนนั้นกูแค่ทำใจไม่ได้ต่างหาก เลยตัดสินใจที่จะไม่บอก ”

“ ที่ต้องห่างกับกูน่ะเหรอ แบบว่า ทำใจไม่ได้ กูที่อาจจะมองมึงไม่เหมือนเดิม ”

“ เปล่าเลย ” เจ้าของผมสีทองส่ายหน้าไปมา เตยิ้ม “ ตอนนั้นกูตั้งใจว่าจะบอก แล้วก็จะบอกมึงด้วยว่า ถ้าไม่รู้สึกอะไร ก็อย่าเปลี่ยนไปนะ ช่วยเป็นเพื่อนกูเหมือนเดิมเถอะ ”

“ อื้ม ”

“ กูเปลี่ยนใจเพราะกูรับไม่ได้ต่างหาก ที่ความรักของกูมันจะถูกมึงสะบัดทิ้งไป กูคงรับไม่ได้ที่ทุกอย่างที่กุรู้สึกอยู่ จะถูกทำให้หายไปแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันเหมือนความรู้สึกของกูจะกลายเป็นแค่ลม แค่ของที่ไม่มีตัวตน กูรับอะไรแบบนั้นไม่ได้ เพราะรู้ว่าต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ก็เลยไม่บอก ”

หัวใจของผมมันหนักอึ้ง หินถ่วงพร้อมเชือกขนาดใหญ่เหมือนถูกดึงเข้ามามัดหัวใจของผมไว้ มันเจ็บปวด เพราะผมรู้ว่าเตกำลังเจ็บปวด สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็เป็นเช่นนั้น คือ ไม่ว่าจะทำยังไงก็ตาม แต่ถ้าความต้องการของหัวใจไม่ถูกตอบรับ สุดท้ายมันก็เจ็บปวดอยู่ดี

ไม่มีหรอก ที่บอกว่าจะไม่เจ็บปวด มันไม่มีทางเลย
ไม่ถูกรัก จากคนที่รัก ใครมันจะไม่เจ็บปวดกัน
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 22 :: up! 15-5-63} #หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 22-05-2020 20:24:41

   “ นี่ ” แก้มถูกดึงให้ยืดออกจากคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมที่หันไปมองเต อีกคนในตอนนั้นกำลังยิ้มให้กันอย่างใจดี เหมือนในทุกๆครั้งที่เราผมหันไปมองมันที่นั่งเรียนอยู่โต๊ะข้างกันในวันเก่าก่อน “ กูไมได้เสียใจที่มึงไม่รักเลยนะรู้มั้ย มึงจะเศร้าอะไรขนาดนั้น ”

“ ก็มัน..”

“ ทุกความสัมพันธ์มันมีสิ่งที่ควรเป็นอยู่ แล้วกูกับมึงเป็นอะไรแบบนี้แหละ มันก็ดีอยู่แล้ว ” เตยิ้ม “ กูไม่ได้คิดอยากจะบอกมึง เพื่อให้มึงตอบรับรักอยู่แล้ว เพราะกุรู้ว่ามึงรู้สึกยังไง อีกอย่างกูรู้สึกว่าเป็นแบบนี้มันดีกว่า ”

“ แบบนี้เหรอ ” ผมทวนคำพูดนั้น

“ ก็แบบที่กูกับมึงเป็นเพื่อนกันไง ” คนข้างกันยิ้ม “ กูโอเคกับการที่อยู่ตรงนี้นะ มึงอย่ารู้สึกแย่เลย เอาจริงๆ พอหวนย้อนกลับไป กูก็แค่คนคนนึงที่รู้สึกดีกับการได้รักมึง ส่วนตอนนี้กูก็ยินดีกับความสุขของมึง อย่างที่ไม่ได้รู้สึกเสียใจเลยว่า เพราะมันเป็นไปไม่ได้เลยปลงตก กลับกันที่ว่า กูรู้สึกโอเคมาก ที่เห็นมึงมีความสุข ได้รักกับคนที่มึงรัก แล้วก็ได้อยู่เป็นคนที่มึงจะแชร์ทุกเรื่องให้ในฐานะเพื่อนให้ฟัง สุขแบบที่ไม่จำเป็นต้องครอบครองน่ะเข้าใจม่ะ ”

“ เหรอ ” ผมถอนหายใจพลางเหลือบคนพูดที่ในใจตอนนี้ยังไม่มั่นใจเท่าไหร่ ก็บางทีที่พูดออกมามันแค่เพื่ออความสบายใจของผมเพียงเท่านั้นหรือเปล่า

“ หันมามองหน้ากูนี่ ” มือที่เอื้อมมาจับตรงปลายคาง สายตาที่สบเข้ากับสายตาของอีกฝ่ายที่กำลังยกยิ้ม “ ไม่ต้องห่วง กูพูดจริงๆ กูโอเคกับสถานะนี้ แล้วก็ไม่ได้คิดอยากจะล้ำเส้นมึงมากไปกว่านี้ เข้าใจไว้ด้วย ”

“ ไม่ต้องตอแหลกูก็ได้นะ ” ผมย้ำแต่เตในตอนนั้นก็แค่ยิ้ม

“ อย่าคิดว่าพอมันเป็นความรักแล้วต้องได้อีกฝ่ายมาครอบครองอย่างเดียวสิ อย่าคิดว่าถ้าไม่ได้รักแล้วจะเสียใจ ความรู้สึกรักมันมีหลายแบบ กูรักมึงก็จริง แต่ความรู้สึกที่อยากจะได้มึงมีครอบครองมันไม่มีแล้ว  กูแค่อยากให้มึงมีความสุข ไม่งั้นจะยื่นมือเข้าไปช่วยมึงทำไมละ หน้าตากูดูเป็นคนกระเสือกกระสนหาความเจ็บปวดมากเหรอเมี่ยงคำ ”

“ ใครจะรู้ ก็เห็นตอนพูดกับไอ้อาร์มละอย่างอิน แม่งโคตรเข้าถึงบทบาท กูนี่ก็คิดเลย ความรู้สึกแบบเหมือนนางเอกสวยๆที่กำลังถูกแย่งชิง ”

“ แต่มึงก็สวยนน้าเมี่ยงๆ ” โดนหยิกแก้มไปอีกทีผมก็ทำหน้าแย่ใส่แบบที่ไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่นัก “ หน้าตามึงน่ารัก ไม่งั้นคนข้างห้องมึง เค้าจะตกหลุมรักมึงเหรอ ”

“ บ้า ” บอกปัดอีกฝ่ายด้วยใบหน้าแดงๆ เตมันก็ยกยิ้ม

“ หมั่นไส้นักไอ้ห่า ไว้กูมีแฟน กูจะหาให้น่ารักกว่ามึงเป็นสิบเท่าเลย ” เบิกตาขึ้นคล้ายจะบอกว่าไม่ที่ทางว่าจะเป็นแบบนั้นหรอก ก่อนที่เราจะหลุดยิ้มให้กัน แล้วเตยกเบียร์ในมือขึ้นดื่ม “ สบายใจแล้วใช่มั้ย ”

“ อื้ม ”

“ ดีแล้วละ ” เตว่า ก่อนจะดึงแขนขึ้นบิดขี้เกียจ “ กูว่า กูกลับดีกว่า ”

“ อ้าว ไหนบอกจะนอนที่นี่กับกูไง ”

“ เปลี่ยนใจ ” ว่าแบบนั้นคนที่นั่งข้างกันก็ลุกขึ้นเต็มความสูง ส่วนผมเองก็เช่นกัน ไอ้นายท่านถูกอุ้มขึ้นจากตัก แต่เหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ค่อยอยากจะให้อุ้มกันเท่าไหร่ มันเลยชิงกระโดดลงไปก่อน แล้วบิดขี้เกียจอยู่บนพื้นกลางห้อง “ แล้วอีกอย่างนะ ”

“ อะไร ”

“ เผื่อมึงจะอยากทำอะไร กุ๊กกิ๊กน่ารักๆ กับแฟนหมาดๆของมึงไง มีกูอยู่อาจจะไม่สะดวกเท่าไหร่ ” ว่าแบบนั้นพร้อมกับคิ้วที่ก็ยักให้กันพร้อมด้วยสายตาที่มองกันแบบมีเลศนัย อย่างที่ชวนให้คิดถึงเรื่องดีๆไม่ได้เลย

“ ไปตายซะไอ้ห่า กูไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก เพิ่งคบกันนะ ”

“ อะไรเมี่ยง กูหมายถึงนั่งจับมือ ดูทีวีต่าง ” เตหันมองกันแบบล้อๆ “ น้องเมี่ยงคิดอะไรอยู่เหรอออออออ เรื่องอย่างว่าเลยปะ ลามกจังนะ ”

“ มึงไปเลยนะ ” ชี้ไปที่ประตูอีกคนก็หัวเราะใหญ่

“ งั้นกูไปแล้วนะ ไว้เจอกัน ” มันว่า แต่ในความรู้สึกของผมก็รู้สึกว่า เหมือนว่าคงจะไม่ใช่เร็วๆนี่หรอก ถึงเตจะบอกว่าไม่ได้เสียใจ ไม่ได้รู้สึกอยากจะได้ผมมาครอบครองแบบเมื่อก่อนแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า มันจะไม่เสียใจสักหน่อย เพราะมันยังรักกันอยู่ไม่ว่าจะมากหรือน้อย ความเสียใจก็คือความเสียใจอยู่ดี

“ ไว้เจอกันนะ อย่าหายไปละไอ้สัด ” ผมย้ำ

“ จ้า แต่ก็ให้กูไปพบปะเพื่อนฝูงคนอื่นบ้างเนอะ เพราะชีวิตกูไม่ได้มีแค่มึงไงเมี่ยง เข้าใจด้วยน้า ”

“ จ้า ” ผมตอบรับพลางมองมันก็ใส่รองเท้าผ้าใบคู่เก่งแล้วเตรียมตัวจะเดินออกไป “ ให้เรียกแท็กซี่ให้มั้ย ”

“ กูเรียกได้จ้า ไม่ต้องห่วง กูมาจากเมืองนอก ไม่ได้เพิ่งออกมาจากในท้องแม่ ” ยักคิ้วให้กันอีกครั้ง มันที่ยกมือขึ้นบอกลา ผมก็ได้แต่ถอนหายใจ “ ไม่ต้องคิดแทนกู แล้วก็ไม่ต้องแบกรับความรู้สึกของกู มีความสุขให้มากๆ แต่ขอบอกไว้ก่อนเลบนะ ”

“ อะไร ”

“ ถ้ามันทำให้มึงเสียใจ กูจะต่อยมัน ในฐานะที่มันบังอาจมันทำให้คนที่กูรกต้องเสียใจ  ”

“ ว้าวซ่าส์มากเลยไอ้สัด ” บอกแบบนั้นอีกคนก็หัวเราะ แล้วก็เดินออกไปจากห้องของผม ที่อยู่ๆก็เหมือนจะมีแต่เพียงความเงียบขึ้นมาฉับพลันหลังจากที่ประตูนั้นถูกปิดลงไป

เก้าอี้ที่อยู่ด้านนอกระเบียงยังวางอยู่ที่เดิม ผมที่ยืนนิ่งมองอยู่สักพักก่อนจะเดินไปจัดการอะไรๆให้มันเข้าที่ กระป๋องเบียร์ที่ถูกกินหมดแล้วถูกทิ้งลงในถังขยะ ส่วนของที่เหลือก็ถูกย้ายเข้าไปในตู้เย็น ความเศร้าไม่ได้กัดกินหัวใจผม เป็นแค่ความรู้สึกโล่งที่คล้ายกับลมเบาๆมากกว่า

มันทั้งสบายใจและรู้สึกสงบ
อย่างที่ไม่ต้องรู้สึกอึดอัดกับอะไรอีกแล้ว

ครืน ครืน ครืน


เสียงโทรศัพท์ที่สั่นอยู่บนโต๊ะหน้าทีวี ผมหันไปมองดูมันก่อนจะหยิบขึ้นมาดูในตอนที่เห็นว่า มันเป็นวิดีโอคอลที่โทรเข้ามาไม่ได้มีเพียงแค่สายโทรเข้าแต่อย่างใด แล้วสายนั้นก็คือสายที่ชวนให้ความรู้สึกมันแปรเปลี่ยนฉับพลัน  ‘ ARM ’ โทรเข้ามา

เลือดทั้งร่างขึ้นมากองกันรวมที่หน้า ผมหันซ้ายดูขวาก่อนจะเดินเข้าไปจดจ้องทีวีที่ตอนนี้กำลังฉายเงาสะท้อนของตัวเองอยู่ มือที่ยกขึ้นจัดทรงที่คิดว่าดูดี ผมจับหน้าตัวเองแบบที่เช็คว่ามันยังดีอยู่มั้ย ไมได้ดูแย่ใช่มั้ย ก่อนจะทำทีเป็นนั่งลงบนโซฟา แต่ก็เหมือนจะคิดขึ้นมาได้

“ กูดูจริงจังไปเปล่าวะ แม่งต้องรู้แน่เลยว่าอยากจะคุยมาก แล้วก็ทำตัวดูดีเต็มที่ ” ว่าแบบนั้นมือที่ว่างก็ขยี้หัวตัวเองจนยุ่ง แล้วทำท่าทีไม่ใส่ใจอะไร ผมกดรับ ก่อนที่สายนั้นจะดับไป “ ว่าไง ”

“ ไมได้อยู่ข้างนอกเหรอ ” ปลายสายที่ถามแบบนั้น อาร์มเองจากเท่าที่ดูก็กำลังนั่งอยู่บนเตียงในห้องนอน “ ได้ยินเสียงเปิดประตู เลยคิดว่ามึงออกไปไหนกับเพื่อน ”

“ ก็เลยจะวิดีโอคอลมาเช็คเหรอ ” ผมถาม “ เป็นคนขี้หึงเหรอมึงน่ะ ” อีกฝ่ายก็ส่ายหน้า

“ แค่อยากเห็นหน้ามึงก่อนนอน เพราะรู้ว่า อีกเดี๋ยวน่าจะเมา แล้วก็ไม่น่าจะคุยกันรู้เรื่องเท่าไหร่ “ กลายเป็นผมที่ใบ้กินไปชั่วขณะในตอนนั้น “ แล้วก็จะบอกด้วยว่าอย่างซ่าส์ให้มันมากนัก เป็นห่วง ”

‘ พลังทำลายล้างนี้ ช่างรุนแรงเสียเหลือเกิน ’ มันเล่นเอาผมนิ่งไปเลยในตอนที่ได้ยิน หูที่เหมือนจะขาดการติดต่อ แต่เหมือนคนตรงหน้าจะรู้ อาร์มมันเลยยิ้มพลางเท้าคางมองกัน

“ ท่ามึงน่าหมั่นไส้มาก จนกูอยากจะวิ่งไปต่อยมึงเลยในตอนนี้ ”

“ มาสิ เดี๋ยวเปิดประตูให้ แต่บอกไว้ก่อนนะ ว่าถ้ามาแล้ว ไม่ได้กลับแล้วนะ ”

“ ไม่ไปเฟ้ย ” ถลึงตาใส่มันที่ก็ยิ้มแบบไม่ไว้วางใจ “ ไม่ต้องมามองกูแบบนั้นเลย กูไม่ไปหรอก ”

“ มองแบบไหน ”

“ ก็แบบที่ถ้ากูเข้าไปนอนด้วย มึงก็ต้องกอด ต้องจูบ ” ผมว่า “ คือมึงไม่ต้องคิดเลยนะ ยังไงกูก็ไม่ไปเด็ดขาด มึงฝันไปเลย ขาอ่อนกูน่ะ ยังไงมึงก็ไม่มีทางได้เห็น ” คนที่ฟังยิ้มกว้างออกมา อาร์มจ้องมองผมผ่านหน้าจอมือถือ

“ ถามจริงนะ ”

“ อะไร ”

“ นั่นไม่ใช่สิ่งที่มึงคิดอยู่หรอกเหรอ กูยังไมได้คิดอะไรเลยนะ ” อีกฝ่ายยกยิ้ม “ แหม แฟนกูหื่นจัง ”

“ ไอ้สัด ” สถบออกไปแบบไม่ออกเสียง อีกฝ่ายก็หัวเราะเสียงดังแบบถูกใจ “ ไม่คุยกับมึงแล้ว หงุดหงิด หัวกูนี่นะ ปวดตุ๊บๆเลยบอกไว้ก่อน ”

“ คุยหน่อย ” มันว่าเสียงอ่อน คล้ายกับว่าจะอ้อน “ ผมอยากคุยกับคุณนะ ”

“ จะอ้วก ” พูดแบบจริงจังแต่ก็หน้าแดงไปหมด ผมหลุดยิ้มกว้างแบบที่เขินเสียมากมายจนต้องหลบออกจากหน้ากล้องแล้วผ่อนลมหายใจออกมาแบบอยากจะยอมแพ้ “ แล้วมีอะไรจะพูดอีก แค่นี้เหรอ ”

“ พรุ่งนี้เรียนเช้าใช่มั้ย ”

“ ก็ใช่ ” ผมพยักหน้ารับ “ แล้วถามทำไมอะ ”

“ ไปด้วยกันนะ พรุ่งนี้ไปมหาลัยด้วยกัน ” ไมได้ตอบคำถามนั้นออกไปในทันที ผมได้แต่คิดพลางเหลือบมองรอบตัวแบบที่ดูออกทั้งหมดว่ากำลังหาข้ออ้าง

มันไมได้ ไม่อยากไปด้วยกันหรอก เห็นแบบนี้ผมก็มีความต้องการที่อยากจะจู๋จี๋กับคนที่ได้ชื่อว่าแฟนเช่นเดียวกัน อยากมีโมเม้นท์แบบที่จับมือถือแขน แล้วก็นั่งกินข้าวด้วยกัน แต่นั่นแหละ เรื่องของเราตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ ถ้าไม่นับไอ้เจ้ยแล้ว ผมก็ยังเดาไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่า ว่าสถานการณ์ตอนที่เบส หรือแม้แต่ดีนรู้เรื่องของเรา มันจะออกมาเป็นแบบไหน

ผมยังไมได้เตรียมใจมากับการหาเพื่อนใหม่ เตรียมใจมาแค่การมีแฟนเป็นคนตรงหน้าเท่านั้น

“ เผื่อกูตื่นสาย ค่อยว่ากันแล้วกันเนอะ ” ก็ไม่อยากจะให้มันเสียความรู้สึกหรอก ผมไม่อยากจะให้อาร์มคิดว่า ผมคิดจะปิดบังเรื่องมันกับเพื่อน แม้มันจะรู้ว่าเพื่อนของเราต่างฝ่ายต่างประสาทแดกกันมากแค่ไหนก็เถอะ แต่สุดท้ายแล้วเหตุผลพวกนั้น มันก็ยังดูงี่เง่ามากอยู่ดี

“ ไว้เจอกันพรุ่งนี้แล้วกัน ” อีกฝ่ายบอกย้ำกันแค่นั้น “ คืนนี้ก็อาบน้ำแล้วก็เข้านอนเร็วๆ ”

“ อะเค ” ได้แต่บอกไปแบบนั้นด้วยเสียงเบาๆ ในตอนนั้นอาร์มที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ หน้าจอแบบเกินไปก็เอ่ยถาม

“ ดูอะไรนี่สิ ”

“ อะไร ” เพราะไม่เห็นความผิดปกติอะไร ในใบหน้าหล่อเหลานั้นก็เลยถามย้ำ “ ไม่เห็นมีอะไรเลย ”

“ เข้ามาใกล้อีก ” ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ก่อนที่อีกฝ่ายจะแค่จุ๊บลงหน้าจอนั้นอย่างรวดเร็วแบบที่ผมตกใจจนเด้งตัวออกแทบไม่ทัน

“ ไอ้สัด เล่นทีเผลอนี่หว่า ”

“ ฝันดีนะครับ คุณแฟน ” ว่าแบบนั้นยิ้มๆ ผมก็ได้แต่ผ่อนลหมายใจพลางตอบกลับไปอย่างที่ไม่รู้ว่าจะตอบกลับอะไรได้อีก

“ เออ ”

“ เอออะไร ”

“ ก็เออไง ฝันดีเหมือนกันน่ะ ”  ผมบอก แต่เหมือนนั่นจะไม่ใช่คำพูดที่อาร์มอยากจะได้ยิน

“ แล้วมึงบอกใครอะ ”

“ คือมึงเห็นมั้ยว่ากูหน้าแดงเนี้ย ยังจะไม่หยุดเหรอ ยังจะแกล้งกูอีกเหรอ อย่ามาร้ายได้ปะ ” พูดกับมันด้วยเสียงจริงจังแต่อีกฝ่ายก็แค่หัวเราะ “ ไม่รู้จะมีความสุขอะไรนักหนา น่าหงุดหงิดไอ้สัด ”

“ ก็มันไม่มีอะไรให้กูรู้สึกทุกข์ ” อาร์มพูดยิ้มๆ “ แฟนกูน่ารักมากขนาดนี้ จะให้กูหงุดหงิดเรื่องอะไรละ ”

“ หงุดหงิดเพราะกูน่ารักมากๆก็ได้อะ ”

“ อันนั้นไว้หงุดหงิดตอนที่มึงไปน่ารักใส่คนอื่นที่ไม่ใช่กูแล้วกัน ”

“ คือ.. นี่มึงคิดจะฆ่ากูเหรอ ” ผมถาม ก่อนที่จะถอนหายใจออกมา “ ฝันดีเหมือนกันนะ คุณแฟน ”

“ ครับผม ฝันดีครับ ” สายสนทนาที่พอพูดจบก็ถูกวางไปนั้น หลงเหลือไว้แค่ผมที่ผ่อนตัวลงนอนยาวกับโซฟาราวกับคนที่ไร้แล้วซึ่งเรี่ยวแรงใดๆ

เพิ่งรู้ก็วันนี้เองว่าหัวใจที่เคยคิดว่ามันเต้นแรงจนเจ็บเวลามีความสุข แต่วันนี้มันกลับเต้นแรงได้มากกว่านั้นอีก เมื่อมีความรัก

“ คงประมานนี้มั้ง ความสุขจากความรักที่ใครเค้าพูดถึงกัน ”  แล้วในที่สุดผมก็ได้รู้จักมันสักที

.....................................................................
มีแมวแล้ว มีแฟนแล้วด้วย
ก็เลยต้องหวานๆกันหน่อย
ตั้งใจเขียนฉากของเตกับเมี่ยงให้ออกมาในเชิงอบอุ่น เรามองว่ามันมีแหละ เพื่อนที่อยู่ในจุดที่ไม่ได้รู้สึกอย่างจะได้เรามาครอบครอง และแค่ความสุข ในวันที่เค้ามีความสุข อยากเขียนให้ออกมาแบบ เข้าใจในมุมมองของเพื่อนรักเพื่อนอีกรูปแบบ ไม่ใช่แบบของน้องดีนน่ะนะ

ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ด้วยนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์จ้า

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 23 :: up! 22-5-63} #หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 22-05-2020 21:03:56
 :pig4: :pig4: :pig4:

อืมมมมมม   โมเมนต์ความรักเพื่อนของเมี่ยงที่มีต่อเต   มันก็คงเหมือนความรักเพื่อนที่ดีนมีให้กับอาร์ม 

มันคงไม่สามารถพัฒนาเป็นแฟนได้หรอก   เพียงแต่ดีนจะมีอารมณ์อยากเก็บเพื่อนไว้ในฮาเร็มตลอดไปมากกว่าเมี่ยง
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 23 :: up! 22-5-63} #หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 23-05-2020 00:02:54
อ่านแล้ว อยากเป็นเพื่อนเตจังเลย  :mew2:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 23 :: up! 22-5-63} #หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 23-05-2020 06:27:00
 :3123:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 23 :: up! 22-5-63} #หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 23-05-2020 11:49:09
หึหึ!! เคลียร์ เหลือแต่ฝั่งอาร์มสินะ ถึงจะได้เชิดหน้าเปิดเผยว่าคบกันอีกรอบ 5555 สนุกกค่า มาต่อยาวเลย ดีๆ ขอบคุณนะที่มาอัพ รอตอนต่อไปเลย  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 24 :: up! 29-5-63} #หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 29-05-2020 20:22:35
ตอนที่ 24

ภายในห้องสี่เหลี่ยมของเช้าวันที่มีเรียนและมีแฟนแล้วนั้น ค่อนข้างวุ่นวายมากเป็นพิเศษ ความประหม่าของผมเกิดขึ้นตั้งแต่ลืมตื่นตายันอาบน้ำ มันมีความไม่มั่นใจในสักสิ่งอย่างที่กำลังทำอยู่

สบู่ถูกฟอกตั้งสามรอบในเช้าวันนี้เพราะรู้สึกว่ายังหอมไม่พอ ไม่นับว่าเสื้อนักศึกษาที่วันนี้เรียบกริบกว่าทุกวัน แน่นอนว่าห้ามมีใครเดินผ่าน ไม่งั้นอาจจะเกิดบาดแผลจากความคมของกลีบเสื้อได้ 

“ นายท่าน ” เอ่ยเรื่องเจ้าตัวลายที่กำลังนอนเหยียดยาวอยู่กับเตียงของผม แววตาเรียวสีเหลืองที่เหลือบมองกันนั้น สีหน้าไม่สบายใจของผมมองดูมันพลางลูบไปตามเนื้อตัว “ มึงว่า กูหล่อยัง”

ก็รู้อยู่หรอก ว่าแมว มันพูดไม่ได้ แต่ถึงอย่างงั้นก็ยังถามออกไปแบบที่ไม่รู้จะเสริมความมั่นใจให้กับตัวเองยังไงดี

“ คือ ช่วยอย่ามองกูด้วยสายตาที่มันว่างเปล่าขนาดนั้นได้มั้ยอะ ” แววตาที่ดูไม่รับรู้อะไรคล้ายกับว่าในสมองเล็กๆนั้นจะพูดประมานว่า

‘ เป็นเหี้ยอะไรเอ่ย ถามกูทำไมจ้ะ ’

“ ขอสักเมี๊ยวนึงให้ชื่อใจ พี่เมี่ยงดูน่ารักกว่าแก้มหอมมั้ยครับ ” กระพริบตาปริบๆมองเจ้าหน้าขนที่ลุกขึ้นนั่งก่อนจะลงเลียขนขนตัวเอง นายท่านกระโดดลงจากเตียง มันสะบัดตูดเดินไปด้านนอกอย่างที่ไม่มีความสนใจในตัวผมสักนิด แต่บางทีนั่นอาจจะเป็นคำตอบ

‘ ไม่น่ารักจ้ะเมี่ยง ’

“ มึงนี่ไม่คิดจะมุ้งมิ้งกับกูแบบบ้านนู้นเค้าหน่อยเหรอ บ้านนู้นเค้ามุ้งมิ้งกันมากเลยนะ เค้ามีความขานรับต่างๆ นายท่านค้าบบ ” นอกจากจะไม่มุ้งมิ้งตอนนั้นมันจะยังหันมองผมแบบเหลือบตาด้วยความรู้สึกราวกับว่า ‘ มึงเป็นอะไรของมึงเนี้ย ผีเข้าเหรอเมี่ยง ’ “ เมี๊ยวหน่อยสิมึง อย่าเฉยเมยได้ปะละ ”

ขยี้หัวไอ้ตัวป่วนด้วยความมันเขี้ยวก่อนจะโดนอีกฝ่ายงับใส่เบาๆ ผมยิ้มกว้างพลางถอนหายใจออกมาด้วยความสุขแบบที่ไม่ว่าจะมองอะไรก็คล้ายว่ามันจะกลายเป็นสีชมพูไปเสียทั้งหมดเลยในตอนนี้ ทุกอย่างดูสดใส พาสเทล อารมณ์ดีแม้จะโดนแมวตัวเองเมินก็ตาม


ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูทำให้ผมหยุดมือที่กำลังเทอาหารของนายท่านลงแทบจะทันที รอยยิ้มที่หุบไม่ลงผมเดินตรงไปที่ประตูพลางมองดูคนมาใหม่ผ่านตาแมว แล้วก็ได้แต่ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างไม่รู้ว่าต้องเก็บความรู้สึกยังไง

หัวใจของผมนั้น มันกำลังกระพือปีก แล้วตอนนี้มันก็กำลังบินออกไปนอกห้องตรงนั้น อย่างที่ควบคุมอะไรไว้ไม่ได้

“ มาแล้วเหรอ ” แง้มประตูให้อีกฝ่ายเห็นแค่ตาในตอนที่ถาม แต่คนที่มายืนอยู่ข้างหน้าห้องก็แค่หลุดยิ้มก่อนจะก้มตัวลงมาสบตากันใกล้ๆ

“ เป็นอะไรครับคุณ ”

“ แล้วมึงจะเข้ามาใกล้กูทำไมเนี้ย ” ดึงตัวเองออกห่าง ประตูนั้นก็เปิดออกกว้างขึ้น คนร่างสูงยิ้ม

“ ก็คิดว่ายังไม่ได้ใส่เสื้อผ้าซะอีก เห็นโผล่มาแค่ตา ” ว่าแบบนั้นพลางถอนหายใจเสียงดัง “ เสียใจเลยอะ ว่าจะมาช่วยแต่งตัวให้แฟนสักหน่อย ”

“ ตลกละไอ้สัด ” ผมว่าอีกคนก็เดินเข้ามาด้านใน อาร์มมองไปรอบๆ ก่อนจะหยุดสายตาอยู่ที่ไอ้ตัวลายของผมที่ตอนนี้กำลังนั่งสงบเสงี่ยมอยู่บนพื้น พลางเงยหน้ามองอาหารที่อยู่บนโต๊ะอย่างรอคอยความหวัง

“ ว่าไงมึง ยังไม่ได้กินอะไรอีกเหรอ ” ย่อตัวลงเกาคออีกฝ่ายที่ก็หลับตาพริ้ม แต่พอหยุดมือกลับแยกเขี้ยวใส่กันเฉย ตามสไตส์ของคู่กัด  “ แก้มหอมกินเสร็จ แล้วก็เดินตัวกลมไปนอนกลิ้งบนหอคอยเค้าแล้วนะจะบอกให้ ”

“ ก็นี่ไงกูกำลังทำให้ ” ผมว่าพลางเดินกลับมาเทอาหารเม็ดต่อจนถึงปริมานที่ให้กินเป็นประจำ ผสมเข้ากับอาหารเปียกคลุกเคล้ามันจนเข้ากัน ก่อนจะสะดุ้งตัวอยู่ไม่น้อยกับร่างสูงที่คิดว่านั่งเล่นกับแมวอยู่กลับลุกขึ้นเต็มสูงแล้วเดินมากอดคอกันไว้แบบที่พิงร่างทั้งร่างลงมาใส่กัน

ท่าทางที่ชวนให้หัวใจทั้งดวงของผมหนักไปหมด หนำซ้ำยังเต้นแรงจนแทบจะไม่เป็นจังหวะกับความใกล้ชิดที่ไม่ทันตั้งตัว

“ กูหนักนะไอ้สัด มึงคิดว่าตัวเองสองขวบหรือไง ” บอกแบบนั้นอีกคนก็หลุดยิ้ม แต่เหมือนว่าคำท้วงนั้นจะไม่ได้มีผลอะไรสักเท่าไหร่ แถมซ้ำคนที่กอดกันยังดึงหน้าตัวเองลงมาตั้งลงบนไหล่อีก

“ ว่าแต่ทำไมตัวคุณแฟนหอมจังเลยละครับ ”

“ ปกติ ” ตอบออกไปแบบนั้นสั้นๆ ทั้งๆที่อยากจะบอกว่า ‘ตอแหลไอ้สัด มึงเล่นถูสบู่ตั้งสามรอบทำไมมันจะไม่หอม ไหนจะน้ำหอมที่มึงฉีดลงไปอีก ’

“ คือหอมจนอยากอยู่ด้วยทั้งวันเลย ”

“ เอาเชือกมามัดตัวกูไว้กับมึงเลยมั้ย ” เหลือบมองเสี้ยวใบหน้าคมของคนที่ทำให้ใจเต้นแรงไม่หยุดหย่นนั้น แต่เหมือนว่าอาร์มจะไม่ได้รับรู้อะไรถึงคำประชดประชัน

“ ได้เหรอ ”

“ K ” สบถไปแบบไม่ออกเสียง ผมดึงตัวเองออกห่างก่อนจะหยิบจานอาหารของเจ้าตัวลายมาวางไว้ตรงที่เดิม “ เชิญครับ นายท่าน ”

“ จะว่าไปมันก็เชื่องดีนะ ” ร่างสูงบอกพลางมองอีกตัวที่กำลังกินอาหารอยู่ “ ตอนมึงทำอาหารให้กิน ไม่เห็นมันจะกระโดดขึ้นมาเลย ”

“ ตั้งไว้ก็ไม่มีกระโดดมาแอบกินก่อนนะ ” ผมบอก ก่อนจะย่อตัวลงลูบหัวกลมๆนั้น “ สงสัยจะถูกฝึกมาอย่างงั้นจากเจ้าของเก่า ”

“ แล้วเดทแรกวันนี้เรากินอะไรกันดี ” อาร์มพูดพลางนั่งพิงกับโต๊ะก่อนจะยิ้มมองผมที่ทำได้แค่เบือนหน้าหนีอย่างไม่รู้จะตอบว่าอะไร แม้เมนูอาหารจะมีมากมายในสมองเพราะเป็นคนที่ชอบกิน แต่พอสถานการณ์แบบนี้มันกลับถูกกลืนหายไปหมด ไม่มีอะไรเหลืออยู่ให้เป็นข้อมูลแม้สักอย่างเดียวในตอนนั้น ผมเหลือบมองอาร์ม “ ว่าไง ”

“ ตอบว่าอะไรก็ได้ ได้มั้ย ” ว่าแบบนั้นอีกคนก้มหน้าลงพลางยิ้มกว้าง ก่อนจะเงยหน้ามองกันอีกครั้งด้วยสายตาเอ็นดู “ ปกติกูชอบคิดของกินมากเลยนะ แต่ตอนนี้ก็คือสมองกูว่างเปล่าสุดๆ ”

“ เหรอ ”

“ อื้ม ” ยักคิ้วตอบรับอีกฝ่ายก่อนจะหันไปหยิบกระเป๋าผ้าของตัวเองขึ้นสะพายไหล่ สายตาของผมตรวจเช็คไปรอบๆห้อง ว่าไม่มีอะไรที่ลืมทิ้งไว้แบบที่อาจจะเสี่ยงตกแตก “ งั้นเมี่ยงไปแล้วนะนายท่าน ” บอกเจ้าตัวลายที่เอาแต่กินข้าว ในตอนนั้นอาร์มมันก็ยกยิ้ม

“ แล้วสรุปกินอะไรดี ”

“ ก็บอกว่าไม่มีอะไรที่อยากจะกินเป็นพิเศษไง ” ผมย้ำพลางมองอีกคนที่ก็เอื้อมมือมากอดคอกันไว้ เราเดินตรงไปที่ลิฟต์

“ น่าแปลกที่คนช่างกินอย่างมึงจะไม่มีอะไรที่อยากกิน ” เหลือบมองร่างสูงที่ขยับมือที่ตั้งอยู่บนไหล่มาจับแก้มกัน แต่ถึงอย่างงั้นผมก็พยักหน้ารับอย่างจำยอม นั่นก็จริงอยู่แหละ เพราะปกติก็คือคิดตั้งแต่ตื่นนอนแล้วว่าเช้า เที่ยง เย็น จะกินอะไรดี พื้นที่ในสมองคือคิดเรื่องกินมากกว่า 60% เป็นเรื่องใหญ่และจริงจังที่สุดในชีวิตแล้ว

“ ก็บางที อาจจะเป็นเพราะมึงมั้ง ” หยุดเท้าลงหน้าลิฟต์ที่ปิดสนิท ผมกดเรียกลิฟต์ก่อนจะถอนหายใจใส่ภาพสะท้อนเบื้องหน้าของเรา

“ ยังไง ” อาร์มก้มลงถาม

“ ก็เพราะมีมึงอยู่ไง ” หันไปบอกอีกคนพลางยักคิ้วให้ “ กูนะ แค่มีมึงอยู่ กินอะไรก็ได้ทั้งนั้นแล้วละตอนนี้ ความอยากอาหารลดลงฉับพลับ คล้ายๆว่ากูจะมีความสุขกับทุกอย่างเลย ”
 
แววตาเบิกกว้างขึ้นฉับพลันในตอนนั้น ริมฝีปากบางของอีกฝ่ายก้มลงแนบจูบลงบนอวัยวะเดียวกันนั้นของผม อย่างไม่ทันให้ได้ตั้งตัวใด ก่อนที่ลิฟต์จะถูกเปิดออกพร้อมทั้งกับอีกคนที่ดึงตัวเองกลับยืนข้างกันเหมือนเดิม ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ บางทีกูอาจจะต้องหาวิธีเอาไว้จัดการกับความน่ารักของมึงแล้วมั้ง ”  โดนดันเข้าไปในลิฟต์แบบที่ไม่รู้ว่าต้องแสดงความรู้สึกยังไง ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ทั้งจูบ หรือแม้แต่คำพูดนั้น ใบหน้าของผมร้อนผ่าว ถ้าอยู่ในการ์ตูนสักเรื่องที่ชอบดู ก็คงมีควันอ่อนๆลอยขึ้นมา ความรู้สึกแบบน็อคไปแล้ว อย่างไม่มีทางไปต่อได้อีก

แม้ว่าในสมองจะมีคำถาม
แล้วกูละ ควรมีอะไรเอาไว้จัดการกับมึงที่ทำให้กูหัวใจเต้นแรงขนาดนี้บ้างมั้ยนะ


มันกลายเป็นความเงียบตลอดทาง ผมที่นั่งเบลออยู่ข้างเบาะที่นั่งคนขับทั้งๆที่คิดเอาไว้ตั้งแต่ก่อนนอนว่าจะแค่กินอะไรกันแถวคอนโดแล้วก็ขับรถกันออกมาคนละคันเพื่อปกป้องกันพบเห็นของเพื่อนในกลุ่ม แล้วเราก็จะพูดเรื่องที่อาจจะทำให้ประสาทแดกนั่นก่อนเพื่อทำการตกลง

แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย ยกเว้นเข้าไปนั่งนิ่งๆในรถคันหรูนั่นแล้วปล่อยให้อีกคนพาไปกินอาหารเช้า จนสุดท้ายรถก็มาจอดลงอยู่ที่ร้านโจ๊กที่อยู่ไม่ไกลจากคอนโดเราเท่าไหร่ 

“ มึงเคยมากินโจ๊กร้านนี้มั้ย ” อาร์มถามในตอนที่ดึงเบรคมือขึ้น แล้วหันมองเข้าไปในร้าน ที่ตอนนี้มีคนนั่งอยู่แค่ไม่กี่ที่ในนั้น

“ เพิ่งรู้ด้วยซ้ำว่ามันมีร้านขายโจ๊กตรงนี้ ”

“ อร่อยนะ จะบอกให้ ” ร่างสูงว่างั้นก่อนจะดับปิดเครื่องยนต์ของตัวรถ โดยรอบร้านเป็นตึกแถวที่ค่อนข้างเก่า แถมคูหาที่ขนาบข้างทั้งซ้ายขวาก็ไม่มีคนเช่า ง่ายๆว่าถ้าดูจากสภาพแววดล้อมก็ไม่น่าอร่อยเลย คนขายก็แก่มากแล้ว ส่วนคนที่ยังแข็งแรงก็น่าจะเป็นเด็กน้อยที่ท่าทางว่าน่าจะเป็นหลาน อายุสัก 10 ขวบได้

“ พี่อาร์มมมมม ” ผมเบิกตาขึ้นน้อยๆในตอนที่เด็กผู้ชายคนนั้น เบิกตากว้างด้วยท่าทางดีใจในตอนที่เจอคนที่เดินตามมาด้านหลัง

“ ยังไม่ไปโรงเรียนอีกเหรอ ” คำพูดที่ดูเหมือนสนิทสนมนั้นยังดูน้อยไปในตอนที่เด็กคนนั้นวิ่งเข้ามากอดอีกฝ่ายไว้ด้วยท่าทางยินดี ใบหน้าน่ารักของเด็กน้อยนั้นยิ้มแป้น

“ วันนี้หยุดครับ หยุดเพราะเป็นวันเกิดของโรงเรียน ”

“ น่าจะเรียกว่าวันสถาปนาโรงเรียนมั้ย ” คนที่โดนกอดอยู่ว่าอย่างงั้นก่อนจะขยี้หัวเด็กน้อยไปด้วยสายตาเอ็นดู อาร์มหันไปก้มลงไหว้คนที่อยู่หลังหม้อโจ๊กใบใหญ่นั้นที่ก็พยักหน้ารับกลับมาให้ด้วยรอยยิ้มเอ็นดู “ คุณลุงสวัสดีครับ ”

“ ไม่ได้มานานเลยนะ แล้ววันนี้พอใครมาด้วยละ ” สายตาที่หันมามองกัน ผมยกมือไหว้ท่าน

“ สวัสดีครับ ผมเมี่ยงครับ เป็นเพื่อนกับอาร์ม ”

“ แฟน ” ร่างสูงว่างั้นพลางมองผมด้วยสายตาจริงจัง “ มึงเป็นแฟนกูนะ พูดได้ยังไงว่าเป็นเพื่อน ไม่ใช่เพื่อนสักหน่อย ”

“ แล้วคือทำไมมึงต้องจริงจังกันเบอร์นี้”

“ ก็มึงไม่ใช่เพื่อนอะ ” อาร์มมันย้ำอย่างงั้น ผมก็ได้แต่หันไปมองเจ้าของร้านโจ๊กที่ยิ้ม ต่างจากเด็กน้อยที่ก็มองเราด้วยสายตาสับสนอยู่ไม่น้อย แต่นั่นก็คงไม่แปลกอะไร สังคมเราก้าวไปไกลก็จริง แต่การที่ผู้ชายสองคนบอกว่าเป็นแฟนกันมันก็เป็นเรื่องแปลกอยู่ดี ในสายตาของเด็ก

“ อ๋ออออออออ พี่คนนี้เหรอ ที่พี่อาร์มบอกว่าจะพามาแนะนำ คนนี้น่ะเหรอ คนที่พี่อาร์มชอบอยู่ ” ผมหันมองอาร์มในตอนที่เด็กน้อยคนนั้นพูด แต่อีกคนก็แค่ยิ้ม อาร์มส่ายหน้าไปมา

“ คนนั้นเค้าไม่มาด้วยแล้วละ เพราะพี่ไม่ได้ชอบเค้าแล้ว พี่ชอบพี่เมี่ยง พี่ก็เลยพาพี่เมี่ยงมาไง ก็สัญญากับปู่ไว้ ”

“ อ๋ออออออออออ พามาแทนพี่คนนั้นเหรอ ”

‘ เด็กเปรต มึงพูดเหี้ยอะไรของมึงเนี้ย ’ พูดแทนอาร์มมันในใจเพราะคิดว่ามันน่าจะคิดอย่างงั้นแน่นอน มีอย่างที่ไหนพูดให้กระอักกระอ่วมกันตั้งแต่วันแรกและเดทแรกเลย

“ พูดอะไรแบบนั้น ” คุณลุงที่ขายโจ๊กพูดขัด “ เรื่องแบบนี้มันไม่มีใครมาแทนใครได้หรอก ยกเว้นแค่จะเปลี่ยนใจแล้ว ”

“ พี่อาร์มเปลี่ยนใจแล้วเหรอ เปลี่ยนใจก็คือไม่ชอบแล้วเหรอ ”

“ แน่นอนสิ ”

“ แต่ว่าพี่อาร์ม พี่อาร์มห้ามเปลี่ยนใจไปจากโจ๊กของปู่นะ ” เด็กผู้ชายตัวผอมว่าด้วยรอยยิ้มกว้างแบบที่ตาปิดไปหมด แต่อีกฝ่ายก็แค่หัวเราะ

“ ไม่เปลี่ยนใจหรอก จากคนนี้ก็จะไม่เปลี่ยนเหมือนกัน ” ชี้มาทางผมที่ก็ได้แต่ตีมันแบบที่ไม่รู้จะต้องทำตัวยังไง

“ แล้ววันนี้พี่อาร์ม กับพี่.. เอ่อ พี่ พี่ที่เป็นแฟนของพี่อาร์ม พี่ชื่ออะไรเหรอครับ ” คำถามของแววตากลมนั้นทำให้ผมผ่อนลมหายใจออกมา อยู่ๆภายในร้านก็เหมือนจะร้อนขึ้นมากระทันหัน  ผมยิ้มแห้งแบบที่ไม่รู้ต้องทำหน้ายังไงต่อหน้าเด็ก แล้วก็ต้องตอบออกไปอย่างไม่มีทางเลือก

“ ชื่อเมี่ยงครับ ”

“ พี่อาร์มกับพี่เมี่ยงจะกินอะไรครับวันนี้ ”

“ โจ๊กหมูใส่ทุกอย่าง ไม่ใส่ขิงครับ ”

“ เหมือนเดิมนะ ” เด็กน้อยบอกอีกคนก็พยักหน้ารับ ก่อนที่แววตากลมนั้นจะหันมามองกัน “ แล้วแฟนพี่อาร์มจะกินอะไรครับ ”

“ พี่เมี่ยงดีมั้ย สั้นกว่าเยอะเลยนะ ” ผมว่าแต่เจ้าเด็กน้อยตัวแสบก็ทำทีเป็นเบลอใส่กัน “ เอาโจ๊กหมูเหมือนกันครับ แต่ของพี่ใส่ขิงนะ ”

“ มึงกินขิงด้วยเหรอ ” สีหน้าแย่ที่หันมาถาม เป็นสีหน้าที่เหมือนจะถามกันว่า มึงกินมันเข้าไปได้ยังไง

“ ก็กูไม่ใช่เด็กน้อยสักหน่อย ” ผมว่าอีกคนก็แค่หันไปบอกกคนรับออเดอร์

“ ขอหมูกรอบเพิ่มจานนึงด้วยนะ ”

“ ครับ เชิญนั่งเลย แต่ว่าก็รอสักครู่นะ ” หลุดยิ้มกับความช่างพูดนั้น ผมกับอาร์มนั่งลงตรงโต๊ะที่ว่างก่อนที่ผมจะเอ่ยถามอีกคน

“ มึงดูสนิทกับเด็กคนนั้นแล้วก็ คุณลุงเจ้าของร้านมากเลยนะ ”

“ อื้ม ” อีกฝ่ายยอมรับ “ กูชอบกินโจ๊กตอนเช้าๆ ก็เลยมาบ่อย ”

“ แล้วเค้าอยู่ด้วยกันสองคนเหรอ ”

“ ใช่ พ่อแม่เด็กทำงานอยู่ต่างจังหวัดน่ะ เป็นข้าราชการทั้งคู่ ”

“ ก็แปลก ทำไมไม่เอาลูกไปด้วยวะ ”

“ เคยถามเหมือนกัน แต่เค้าบอกว่า อยากอยู่กับปู่ เค้าติดปู่เค้าน่ะ ”

“ มึงดูสนิทกับน้องเค้านะ ” เชิดหน้าไปที่คุณผู้ช่วยตัวจิ๋วอีกฝ่ายก็ยิ้มในตอนที่หันมองตามไป
 
“ พฤษน่ะเหรอ ” เด็กคนนั้น ชื่อน้องพฤษสินะ ผมหันไปมองตาม “ ถ้ามึงออกไปนอกร้าน จะเห็นว่ามันมีร้านเหล้าอยู่ร้านนึงที่อยู่ไกลไปหน่อยสักหน่อย เมื่อก่อนกูเคยมาเมาแล้วมานั่งไม่ได้สติอยู่หน้าร้าน ลุงก็เลยหาน้ำให้กิน จนหายแฮงค์ พอเช้าวันต่อมากูเลยมาอุดหนุนโจ๊กเค้า แล้วกูก็มาสอนการบ้านให้พฤษบ่อยๆ จะได้ไม่ต้องเสียตังค์ไปเรียนพิเศษ ”

“ เหรอ ” หลุดพูดออกมาเพราไม่คิดว่าอีกคนจะมีไลฟ์สไตส์ที่อบอุ่นอะไรขนาดนี้ด้วย แต่เหมือนตอนนั้นอาร์มจะจับผิดจากในแววตาของผมได้เสียก่อน มันเลยยิ้ม ก่อนจะยื่นมือมาเคาะลงบนหน้าผากผม

“ ทำไม หน้าตากูมันไม่เหมาะกับการทำอะไรแบบนี้เหรอ ”

“ ถ้ากูบอกใช่ ”

“ กวนตีน ”

“ โจ๊กอร่อยๆ มาแล้วครับ ” พนักงานเสิร์ฟค่อยๆว่าถาดเสิร์ฟลงบนโต๊ะ กลิ่นโจ๊กหอมๆโชยขึ้นแตะจมูกเรา ผมที่สูดกลิ่นความน่ากินนั้นก่อนจะพูดขึ้นเสียงเบาๆ

“ น่ากินจัง ”

“ อร่อยด้วยครับ ” พฤษว่า เราก็ยิ้มกว้างก่อนจะต่างคนต่างลงมือกินอาหารที่ก็ไม่ได้เกินจริงไปเลยกับคำกล่าวของเด็กน้อย

โจ๊กรสชาติดีทุกอย่างดูเข้ากัน แม้แต่หมูกรอบที่วางอยู่เป็นจานกลางก็กรอบอร่อย ชนิดที่ต้องเบรคเสียงเคี้ยวเพื่อไม่ให้มันดูดังจนเกินไป ผมยังอยากจะรักษามันไว้อยู่ สำหรับความน่าจดจำในเดทแรกของเรา

“ มึงไม่ต้องตั้งท่าเคี้ยวขนาดนั้นก็ได้ มันกรอบ เคี้ยวยังไงก็เสียงดัง ” ไม่พูดเปล่าร่างสูงยกตะเกียบคีบเอาหมูกรอบเข้าปากก่อนจะเคี้ยวเสียงดัง “ อร่อย ”

“ แล้วทำไมมึงไม่กินขิง ”

“ มันอร่อยตรงไหนละ ” อีกฝ่ายตอบผมก็ได้แต่หลุดยิ้ม เรานั่งกินกันไปเงียบๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะถูกจัดการเสียเกลี้ยงจานถึงได้เวลาลุก

“ อร่อยมากเลยครับ ” ผมบอกคุณลุงคนทำเค้าก็ยิ้ม แต่ในตอนที่จะหยิบเงินจ่าย อาร์มก็เป็นคนตัดหน้าจ่ายไปให้ก่อน

“ กูเลี้ยง ” มันว่าแบบนั้น ผมก็พยักหน้ารับ

“ แต่รอบหน้ากูเลี้ยงนะ ” ไม่มีคำตอบจากอีกฝ่าย และก่อนที่ผมจะท้วงคำตอบตลงคุณลุงก็พูดขัดขึ้นก่อน

“ ถ้าอร่อยก็พามากินกันบ่อยๆนะ ” ยิ้มอ่อนโยนที่ส่งให้เรา ผมสัมผัสได้ถึงความเอ็นดูในตัวร่างสูงคนที่ยืนข้างกันจากที่มองในแววตานั้น อย่างที่ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นอย่างงั้น

“ ผมไปแล้วนะ ” อาร์มบอก ก่อนกวักมือเรียกเด็กน้อยที่ก็หันมามองเราพอดีให้เข้ามาหา แบงค์ร้อยถูกล้วงออกจากกระเป๋าเสื้อ แล้วยื่นไปให้ “ เอาไว้กินหนม ”

“ ขอบคุณครับพี่อาร์ม ” ยิ้มกว้างในตอนที่ได้เงินพร้อมกับก้มลงไหว้ด้วยท่าทางดีใจแบบกลั้นไว้ไม่อยู่ เจ้าตัวเล็กถึงขั้นบิดไปมา

“ แล้วให้อาร์มพามาอีกนะ ” คุณเจ้าของร้านบอกอีกคนก็ยิ้ม

“ เดี๋ยวจะพามาบ่อยๆเลยครับ เอาให้เบื่อโจ๊กร้านลุงไปเลย ” เสียงหัวเราะที่ดังลั่นในตอนนั้น เราเดินกลับมาขึ้นรถด้วยรอยิ้มของความสุข ก่อนรถที่ขับออกไปเพลงที่ได้ยินเบาๆจากหน้าปัดวิทยุ มันไม่มีอะไรที่ต้องรู้สึกกังวลเลย เวลาก่อนเข้าเรียนก็มีเหลือเฝือ ผมผ่อนหลังลงกับเบาะที่นั่งก่อนจะหันไปถามอีกฝ่าย

“ ถามจริง ทำไมสนิทกับคุณลุงที่ร้านนั่นจังวะ ” อาจเพราะรู้สึกว่า สายตานั้นที่มองมีความรู้สึกมากกว่าจะเป็นแค่เรื่องราวที่อีกคนเล่า ในตอนนั้นอาร์มหันมองผม

“ วันนั้นจำได้ว่าก็เหมือนหลายๆครั้งที่กูเสียใจเรื่องคนที่กูเคยแอบชอบนั่นแหละ กูเมา เลยเดินโซซัดโซเซมานั่งหน้าร้านเค้า แล้วก็ด้วยความเมาก็เลยพิงหลังลงกับประตู ประตูมันเป็นแบบประตูม้วนเหล็กใช่มั้ยละ ”

“ อื้ม ”

“ กูนั่งโขกหัวตัวเองกับประตูเหมือนอยากจะลืม จนเค้าออกมาดู แล้วก็เอาน้ำให้กิน แล้วเราก็ได้คุยกัน ไม่รู้เพราะเมาหรืออะไร กูเล่าเรื่องของกูให้เค้าฟัง ตอนนั้นจำได้ที่เค้าพูดว่า สักวันกูจะออกจากวังวนตรงนี้ได้เอง เมื่อตอนที่กูได้เจอคนที่ใช่จริงๆ แล้วเค้าก็บอกกันไว้ว่า เจอเมื่อไหร่ก็พามาแนะนำให้รู้จักด้วยแล้วกัน กูก็เลยพามึงมาไง ”

“ เหรอ ”

ก็ว่าทำไมสายตานั้นถึงได้รู้สึกโล่งนัก เรื่องราวมันเป็นแบบนี้นี่เอง และจะว่าไป มันก็น่าสงสารเหมือนกันนะ แม้ผมจะไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นแบนั้นก็เถอะ

ชีวิตนี้ผมไม่เคยทุ่มเทรักให้ใครมากๆอย่างมันมาก่อน แต่ก็รับรู้ได้ถึงความทรมาน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ราวกับเป็นเรื่องของตัวเอง

“ สงสารกูเหรอ ” อาร์มพูดเหมือนจะเดาได้ว่าผมรู้สึกยังไงจากในแววตา มือหนาเอื้อมมือที่เคยวางอยู่ตรงเกียร์เข้ามาจับมือกัน “ แต่บางทีที่กูต้องเจ็บมากๆ อาจเป็นเพราะ พอตอนที่เจอมึง กูจะได้ตัดใจง่ายๆก็ได้ ”

“ คิดว่างั้น ”

“ อื้ม ” มันว่ายิ้มๆ ในตอนนั้นผมก็กระชับมือของอาร์มไว้แน่น ด้วยความรู้สึกแบบที่ไม่อยากจะให้มันเป็นความสงสารหรืออะไร ทุกเรื่องผ่านมาแล้ว และผมก็ไม่อยากจะปลอบมันด้วยว่า เรื่องไหนผ่านไปแล้วเรื่องนั้นดีเสมอ เพราะมันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น บางทีไม่ควรเกิดเลยน่าจะดีกว่า

“ แต่ว่าถ้ากูเป็นมึง กูจะไม่ให้นะ ร้อยนึงอะ ”

“ ทำไม ” ร่างสูงหันมาถามพลางขมวดคิ้ว

“ ก็น้องถามออกมาได้ยังไง ว่ากูมาแทนพี่คนนั้นเหรอ ไม่ได้ปะ นี่เดทแรกไง ไม่ควรกระอักกระอ่วมนะครับ ”

“ ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร ” อาร์มว่าพลางยักคิ้วให้กัน “ ยังไงกูก็มั่นใจในตัวเองอยู่แล้ว ว่าความรู้สึกที่กูมีให้มึง มันคือเรื่องจริง ”

“ จีบเก่งชิบหาย ” เผลอพูดออกไปอย่างงั้นด้วยสายตาคาดโทษที่มองอีกคนแต่เหมือนว่านั่นจะไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอะไร อาร์มมันยักคิ้วให้กันก่อนจะยิ้ม

“ ไม่ได้จีบเก่ง จีบมึง ”

“ พอเถอะ ” หันออกมองนอกหน้าต่างรถที่เคลื่อนตรงไปด้วยความเร็วคงที่อย่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อ มือที่ถูกกระชับอยู่ในตอนนั้น นิ้วโป้งที่ค่อยๆเกลี่ยเบาๆอยู่ตรงหลังฝ่ามือของผม ราวกับว่ากำลังเรียนหลักสูตร
ความรักเบื้องต้น เนื้อหาวิชา ศึกษาดูใจ 101

ส่วนสิ่งที่ได้เรียนรู้ในชั่วโมงแรกนี้ ก็เหมือนจะมีอยู่ สามอย่างด้วยกัน  ข้อแรก อาร์มเป็นคนอบอุ่นมากกว่าที่ผมคิดเยอะเลย แถมยังเป็นคนใส่ใจอีก ข้อสอง อาร์มไม่กินขิง ส่วนข้อสุดท้ายก็คือ มันทำให้ผมหัวใจเต้นแรงเก่งชิบหาย และแม้แต่ตอนนี้หัวใจก็ยังเต้นแรงอยู่ หนำซ้ำยังเหมือนจะพองโตขึ้นเรื่อยๆ เพราะความสุขแบบที่สามารถลอยออกไปจากรถได้

ฉะนั้น มือของผมเลยจึงต้องกระชับมือหนาข้างนั้นไว้  เพื่อไม่ให้ตัวเอง ลอยหลุดหายไปไหนจากอีกฝ่าย

‘ ทั้งที่จริงๆ ก็ไม่ได้อยากจะจับสักเท่าไหร่หรอก ’   
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 23 :: up! 22-5-63} #หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 29-05-2020 20:22:55
รถขับวนลานจอดขึ้นไปจนถึงชั้นบน ผมเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ควรนั่งอยู่ตรงนี้ก็ตอนที่รถจอดลงที่ช่องจอด แล้วภายในรถนั้นอยู่ๆก็เงียบขึ้นมาอย่างฉับพลันเพราะเพลงที่จบลง สายตาของผมมองซ้ายดูขวาราวกับจะมองหาคนรู้จัก

“ เป็นอะไร ”

“ เปล่า ” ปากบอกงั้นแต่หน้ากับซีดลง ผมรับรู้ถึงเหงื่อที่ชื้นอยู่ในขณะนี้ถึงขั้นถ้าดึงมันมาถูเข้ากับกางเกงตัวที่ใส่ และก่อนที่คนข้างกันจะหันมาถามอะไร สายตาผมก็หันไปเห็นเข้าเสียก่อน กับผู้ชายรูปร่างสันทัดที่เดินลงมาจากรถ คันที่จอดอยู่ตรงข้ามกันกับเรา “ นั่นมัน เพื่อนมึงนิ ”

“ ไอ้โฮม ” ผมเงียบในตอนที่อาร์มพูด ไม่ใช่ว่าไม่รู้ชื่อหรอก ผมรู้ แต่ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงต่อไปมากกว่า

ลองคิดสถานการณ์ที่ถ้ามันเห็นเราสองคนเดินลงมาจากรถก็รู้สึกขนลุกแล้ว  มันจะว่ายังไงก็ไม่รู้ มันจะเอาไปบอกดีนมั้ย อาร์มจะโดนอะไรมั้ย แล้วผมละ เรื่องราวต่อจากนั้นของเราละ มันจะเป็นยังไงต่อ

“ ไปหาเพื่อนกูกัน ”

“ ให้เพื่อนมึงไปก่อนได้มั้ย ”

ประโยคที่เราต่างคนต่างพูดนั้น มันต่างกันไปทั้งความหมาย และความรู้สึก สีหน้าของอาร์มที่ดูตื่นเต้นดีใจนั้นค่อยๆลดความรู้สึกพวกนั้นลง จนกลายเป็นนิ่งให้กัน ปากที่เหมือนจะพูดอะไรต่อ ถึงขั้นหยุดค้างไป แบบที่ไม่คาดคิดว่า ผมจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา

“ ขอโทษ ” ว่าแบบนั้นก่อนจะถอนหายใจออกมา แล้วหลบสายตาที่จ้องมองนั้นอย่างไม่กล้าสู้หน้า “ ไว้ก่อนได้มั้ย กูอยากบอกเพื่อนกูก่อน หมายถึงเรื่องของเรา แล้วพอกูบอกเพื่อนกูแล้ว มึงก็ค่อยบอกเพื่อนของมึง ได้มั้ย ”

“ ทำไมวะ ” คำถามสั้นๆนั้น มีทั้งความผิดหวังอยู่ในแววตาอย่างที่ไม่คาดคิดว่า เรื่องราวนี้จะเกินขึ้นด้วยซ้ำ อาร์มเหมือนตั้งใจมาตั้งแต่บอกรักกันแล้วว่าวันนี้จะพาผมมาแนะนำกับทุกคน เหมือนมันต้องการเปิดเผยต่อทุกอย่าง แบบที่ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น “ มึงไม่ได้อยากจะบอกใครๆหรอกเหรอ ว่าคบกับกู ”

“ ไม่ใช่อย่างงั้นนะ ” ได้แต่ส่ายหน้าไปมา อยู่ๆเหตุผลมากมายที่อยู่ในสมองก็คล้ายจะหายไปอย่างฉับพลัน

ก็ทั้งๆที่รู้ว่าความรักในแบบที่อีกฝ่ายอยากมีมาตลอด ก็คือความรักแบบที่จะได้แสดงความรักต่อคนที่รักอย่างเปิดเผย และซื่อตรงต่อความรู้สึก มันที่ต้องเจ็บปวดกับการแอบรักใครบางคนมาตลอด มันที่ถูกขังอยู่ในที่มืดตลอด แต่วันนี้พอตัดใจลงได้ ทุกอย่างกลับวนมาตรงจุดเดิม

จุดที่เหมือนจะต้องกลับไปอยู่ในความมืดนั้น

“ กูไม่อยากจะมีปัญหากับเพื่อน ไอ้เบสไอ้เจ้ยสำหรับกู มันก็เป็นเพื่อนที่ดีนะมึง เราต่างคนก็ต่างรู้ว่า กลุ่มเราไม่ถูกกัน ถ้ากูกับมึงเดินควงกันเข้าไป มันจะดูเหมือนหักหน้าเปล่าวะ มันดูเหมือนเราไมได้ให้ความสำคัญกับเพื่อนเลย  เราคบกัน เราไม่บอกไม่กล่าวอะไร เหมือนเราไม่แคร์มันแล้วอะ ” อาร์มเงียบไปในตอนที่ผมอธิบาย ในแววตานั้นที่เหมือนจะทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจซ่อนอยู่

“ เชื่อกูหน่อยนะ กูไมได้อยากปิดบังเลย แต่กูก็ไม่อยากจะทำเหมือนมันไม่มีค่าอะไรในชีวิตกูอีกแล้ว เพราะพวกมันก็ดีกับกู กูเลยไม่อยากทำร้ายความรู้สึกของพวกมัน ถึงมึงจะมองว่ามันปัญญาอ่อนก็เถอะ ”

ท้ายประโยคที่เสียงค่อยๆอ่อนลง ผมหวังว่าอาร์มจะเข้าในสิ่งที่ผมกำลังรู้สึก มันก็จริงอยู่ ที่ผมกลัวเรื่องวุ่นวายและไม่อยากให้มันเกิดขึ้นกับตัวเอง แต่ในอีกมุมนึงผมก็คิดถึงเรื่องของเพื่อนตัวเองเหมือนกัน  ผมไม่อยากจะทำเหมือนไม่แคร์แล้วซึ่งสิ่งใด

“ ไม่ใช่ว่ากูไม่แคร์มึง ไม่ใช่ไม่บอก เราบอกอยู่แล้ว แต่ขอให้กูได้บอกพวกมันก่อนได้มั้ย ให้พวกมันได้รู้จากปากกู ก่อนที่จะเห็นว่าเราเดินอยู่ข้างๆกัน ” ร่างสูงพิงตัวเองกับเบาะที่นั่ง อาร์มไม่ได้พูดอะไรออกมา “ กูเองก็ไม่อยากจะให้มึงมีปัญหากับดีนนะ เราเป็นแฟนกัน มันคือความสุขจริงมั้ย มันไม่ควรมีใครต้องมารู้สึกหงุดหงิดกับเรื่องเพื่อน เพราะงั้นมึงไปบอกดีน แล้วกูก็จะไปบอกเบสดีมั้ย ”

“ เอาจริงๆ กูไม่คิดที่จะแคร์อะไรไอ้ดีนอยู่แล้ว ต่อให้วันนี้มันบอกว่า ถ้ากูคบมึง มันจะไม่คบกูเป็นเพื่อนอีก กูก็พร้อมที่จะเลือกมึง แล้วก็ไม่คบมันเป็นเพื่อน ”

“ อาร์ม..”

“ เพื่อนกันมันไม่ต้องเห็นด้วยกันทุกเรื่อง  เรื่องไหนผิดต้องเตือน แต่เพื่อนกันก็ไม่มีสิทธิ์มาสั่งให้เพื่อน รัก หรือไม่รักใคร เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่กูต้องตัดสินใจด้วยตัวเองหรอกเหรอ เรื่องแบนี้ต้องให้เพื่อนมามีส่วนร่วมเหรอ ไม่ต้องหรอกมั้ง กูรักมึงอะ กูไม่ได้อยากจะให้ใครมารักมึงของกูอยู่แล้วปะ ”

กลายเป็นผมที่เงียบไปในตอนนั้น ก็จริง ผมอยากจะตอบมันแบบนี้ แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่อยากจะทำอยู่ดี ก็ผมยังอยากจะบอก เบสกับเจ้ยก่อน ผมแค่อยากจะบอกพวกมันว่า ผมกำลังคบหากับอาร์ม ถึงไม่ได้หวังคำยินดี แต่อย่างน้อยก็ไม่อยากให้มันเห็นในสถานการณ์ที่คล้ายกับการโดนหักหน้า

“ แต่มึงกับกู คงไม่เหมือนกัน ” คนที่นั่งอยู่ข้างกันว่าอย่างงั้น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วมองออกไปข้างหน้า

“ อย่าพูดแบบนั้นสิวะ มึงพูดเหมือน กูไม่ได้รู้สึกรักมึง เหมือนที่มึงรู้สึกรักกู ”

“ ไม่ใช่ ” อาร์มหันมาบอกกัน มันที่แนบหน้ากับพวงมาลัยนั้น ก่อนจะเอื้อมมือมาจับแก้มกัน “ กูหมายความว่าเราแค่คิดถึงเรื่องนี้ไม่เหมือนกัน กูที่อยากจะป่าวประกาศ  อยากจะเดินไปไหนมาไหนกับมึงในมหาลัย อยากจะนั่งกินข้าว ซื้อน้ำ กินขนม ไปนั่งอ่านหนังสือที่หอสมุด กูที่อยากจะไปยืนรอมึงหลังเลิกเรียนแล้วเราก็กลับบ้านด้วยกัน ”

“ กูก็อยากทำแบบนั้น แต่มึงเข้าใจมั้ยว่า ตอนนี้ถ้าเราเดินเข้าไปแล้วทุกคนเห็น มันจะมีแต่ความอึ้งเท่านั้น แบบอะไร ไม่เห็นเคยบอกมาก่อนเลยว่าคบกัน มึงไปรู้จักกันตอนไหน แล้วตามนิสัยไอ้เบสไอ้ดีนอะ กูไม่อยากให้มึง แล้วก็ให้ตัวเองมีปัญหา เลยอยากจะให้เราแยกย้ายไปบอกเพื่อนเราก่อน ”

“ อื้ม ”

“ กูไม่ได้แคร์ผลลัพธ์ ถ้ามันไม่โอเค กูก็คงปล่อยพวกมันไป เพราะกูก็บอกแล้ว กูไม่ใช่คนที่เอาตัวเองไปแคร์กับอะไรแบบนั้น ไม่ใช่ว่าเพื่อนบอกว่าห้ามคบ กูจะทำตาม ทั้งๆที่ความสุขของกูอยู่ตรงนี้ เข้าใจใช่มั้ย เราแค่บอก เพื่อไม่ให้เพื่อนรู้สึกว่า โดนหักหน้าที่เราสองคนเป็นอริกันแต่มาคบกัน  ”

“ ก็เข้าใจ ” ถึงจะพูดออกมาแบบนั้นแต่ดูเหมือนอีกคนก็ยังจะหงุดหงิดอยู่ดี อาร์มมันถอนหายใจ “ กูเข้าใจมึงจริงๆนะ ”

“ อย่าทำแบบนี้สิว่ะ  เข้าใจกูหน่อย นี่แฟนไง ”

“ ก็เข้าใจแล้วไง แต่กูเซ็งไมได้เหรอ ก็มันไมได้เป็นอย่างที่กูคิดอะ ” พูดแบบนั้นอีกจะถอนหายใจ อาร์มมันมองไปข้างหน้า “ งั้นมึงก็ลงไปก่อนแล้วกัน ถึงห้องแล้วก็ค่อยส่งข้อความมาบอกกู แล้วเดี๋ยวกูเดินตามลงไป ”

“ งั้นมึงอย่าทำหน้ากร่อยแบบนั้นสิวะ มึงทำหน้าแบบนี้ กูจะลงรถไปแบบสบายใจได้ไงละไอ้สัด ”

“ ก็มึงไม่ตามใจ ” คำพูดเหมือนเด็กเอาแต่ใจขึ้นมากระทันหัน เป็นท่าทีที่บอกกันว่า เข้าใจแล้วละ แต่ก็อยากจะให้เอาใจกันหน่อย “ คนเรามันไม่ได้ทำอะไรที่อยากทำ ย่อมหงุดหงิดเป็นธรรมดา ”

“ แล้วมึงจะให้กูทำยังไง มึงถึงจะหายหงุดหงิด ” ถามออกไปแบบนั้นอีกฝ่ายก็เลิกคิ้ว ก่อนจะถอนหายใจแล้วนิ่งคิด อาร์มมองหน้าผม ที่ก็กำลังมองหน้ามัน “ ว่าไง ”

“ จูบกูหน่อย ” พูดแบบนั้นด้วยเสียงเรียบนิ่ง ผมก็ได้แต่นิ่ง พร้อมกับสมองที่ตั้งคำถาม

 ‘ เอาไงดีละไอ้สัด ’ คือมันก็จริงอยู่ ที่เราก็จูบกันแล้ว มันก็ไมได้จะอยู่ในขั้นที่เร็วไปหรือช้าไป แต่ครั้นจะให้ดึงตัวเองเข้าไปจูบอีกฝ่าย แบบนั้นผมก็ยังไม่กล้าเท่าไหร่เหมือนกัน

“ ไม่เอา กูไม่กล้าหรอก ” บอกออกไปตามตรง ก่อนจะค่อยๆหลับตาแล้วยื่นหน้าเข้าไปหาอีกคนเล็กน้อย ผมส่งเสียงในคอ “ อื้ออออ ”

“ อะไร ” อาร์มถามยิ้มๆ ในตอนที่ผมหรี่ตาข้างนึงขึ้นมอง

“ มึงเริ่มสิ ” พูดเหมือนเอาแต่ใจ ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้คนนั่งข้างอีกครั้ง “ อื้มมมมม เริ่มเลย เริ่ม ”

“ แล้วมึงน่ารักขนาดนี้ ก็คือ ยังไงก็จะไม่ยอมให้กูบอกใคร หรือพูดกับใครก่อนเหรอวะ ว่าเราคบกัน ใจร้ายชิบหายเลยนะ ” ลืมตามองอีกคนที่ก็ดึงตัวเองเข้ามาใกล้ อาร์มจูบลงบนริมฝีปากของผม ก่อนจะเอียงหน้าหอมที่ข้างแก้มในวินาทีต่อมา แล้วตอนนั้น ในตอนที่เราผละกันสบตา มันก็พูดย้ำ “ ใจร้าย ”

“ กูให้สัญญาว่า ถ้าวันนี้มีคนมาจีบกู กูจะบอกเค้าว่า กูมีแฟนแล้ว ” นิ้วก้อยที่ถูกส่งไปให้ ผมเกี่ยวเข้ากับนิ้วของอีกคน “ เพราะงั้นกูบอกเบสเมื่อไหร่ว่าเป็นแฟนกัน มึงก็บอกดีนได้เลยนะ ”

“ ก็คือต้องรอมึงบอกไอ้เบสก่อน ”

“ แน่นอนสิ ขืนมึงบอกดีนแล้ว กูยังไม่บอก เรื่องก็โป๊ะแตกสิ ” ถอนหายใจออกมาก่อนจะหันหน้าไปทางอื่น  ในตอนนั้นผมก็ได้แค่ยิ้ม

“ เอาน่า กูรู้ว่ากูน่ารักมากๆมึงเลยอยากจะแสดงความเป็นเจ้าของกูไวๆ แต่พี่อาร์มก็ช่วยอดทนหน่อยเถอะนะครับ ” ฉีกยิ้มให้คนที่นั่งอยู่ อาร์มไม่ได้บอกว่าผมหลงตัวเองหรืออะไร มันดึงตัวเองเข้ามาจูบกันในตอนที่ผมกำลังจะเปิดประตูแล้วก้าวลงไปจากรถ “ ตอนเย็นเจอกัน  แล้วเดี๋ยวกูให้มึงหอมหนึ่งฟอด เพื่อลดความคิดถึง โอเคมั้ย ”

“ ไม่โอเค เพราะกูจะหอมมึงสองฟอด แล้วกูก็จะนั่งกินข้าวกับมึง พาไอ้ตัวแสบออกไปเดินเล่นด้วยกัน แล้วก็ไปซื้อขนม กลับมาก็นั่งดูหนังด้วยกันสองคน ”

“ น่าสนใจ ” ว่าแบบนั้นด้วยความรู้สึกอบอุ่นแบบที่เพียงแค่คิดถึงช่วงเวลานั้นก็อยากจะให้มันมาถึงเร็วๆ ด้วยความรู้สึกสุขราวกับใครมาสูบหัวใจให้พองโตอยู่ในอก 

.........................................................

.
บนตึกเรียนที่ผู้คนค่อนข้างบางตา ผมดึงนาฬิกามาดูเวลาก่อนจะพบว่าอีกตั้ง 20 นาทีกว่าจะเข้าเรียน ประตูลิฟต์ถูกเปิดออกในตนที่ถึงขั้นเรียน เสียงเอะอะโวยวายเริ่มดังมาจากตรงนี้ ห้องเรียนที่อยู่ด้านในสุด ผมเปิดมันก่อนจะยกยิ้มมองกลุ่มเพื่อนที่ก็แยกย้ายไปตามความถนัด ไอ้จุ้นนั่งคุยกับเพื่อนคนละกลุ่มเรื่องเกมส์ ส่วนไอ้โฮมก็น่าจะไถมือถือเรื่อยเปื่อยตามสไตส์ของมัน

“ ดี ” เอ่ยทักพวกมันสองคนก่อนจะดึงเก้าอี้ออกแล้วหย่อนตัวลงนั่ง คนที่ไถมือถืออยู่ก็เหลือบตามามอง

“ มีข่าวดีใช่มั้ย ” พูดเหมือนว่าหน้าตาผม มันดูออกทั้งหมดว่ากำลังมีความสุขแค่ไหน แต่อาจจะเพราะรอยยิ้มที่ก็หุบมันไม่ลงเลยแม้จะแค่คิดถึงหน้าของคนที่เมื่อเช้าได้นั่งจับมือกันมาตลอดทาง “ หมั่นไส้ไอ้สัด ”

“ กูมีแฟนแล้วนะ ” ยักคิ้วให้คนฟัง ที่ก็พยักหน้ารับแบบที่ส่ายหน้าไปมา

“ เออไอ้สัด ดีใจด้วย แต่หุบยิ้มหน่อยได้มั้ย ”

“ ยาก ” พูดสั้นๆแบบนั้นก่อนจะนั่งลง โฮมมันก็เหลือบมอง

“ แล้วมึงบอกดีนยัง ” ผมมองหาคนที่อีกคนพูดถึง แต่เหมือนว่ามันจะไม่ได้อยู่ที่นี่ “ นี่มันยังไม่มาอีกเหรอวะ ”

“ อื้ม ” ได้คำตอบรับนั้นก่อนจะผ่อนหลังลงกับเก้าอี้ที่นั่ง ผมนึกถึงคำพูดของเมี่ยงในตอนที่หันไปมองคนข้างกัน

“ เมี่ยงบอกว่า มันอยากจะบอกไอ้เบสก่อน แล้วพอมันบอกเบสแล้ว ก็ค่อยให้กูบอกดีน ”

“ เหรอ ” คนฟังตอบรับสั้นๆ

“ จริงๆวันนี้กูตั้งใจจะเดินเข้ามาด้วยกัน แต่เมี่ยงบอกว่าไม่อยากจะทำแบบนั้น มันบอกว่าไม่อยากจะหักหน้าไอ้เบส ”

“ ก็จริงของมัน ทำถูกแล้ว ”

“ เหรอวะ ”

“ แล้วมึงมีความสุขเหรอวะ ตลอดเวลาที่ไอ้ดีนทะเลาะกับไอ้เบส กูแม่งโคตรไม่มีความสุขเลย แต่เพราะเวลาที่เราอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มมันก็สนุกดี ดีนมันก็เป็นเพื่อนที่ดี กูเลยมองว่า นั่นมันก็เรื่องส่วนตัว ”

“ ส่วนตัวมากเลย เวลามันทะเลาะกับไอ้เบส กูเห็นก็ลากเราเข้าไปด้วยตลอด ” คนฟังยกยิ้ม

“ มันเหมือนโดนหักหน้านะ ถ้ากูไม่รู้แล้วเห็นมึงเดินเข้ามากับเมี่ยง มันดูเหมือน มึงแม่ง ไม่ใช่เพื่อนกันเหรอวะ ทำไมไม่เล่า ทำไมไม่บอก เหมือนมึงไม่ได้แคร์แล้วอะ ว่าใครต้องรู้สึกยังไง ไม่ได้แคร์ที่เราเป็นเพื่อนกันเลย ”

“ บางทีตอนนี้กูอาจจะเป็นอย่างงั้นก็ได้นะ ” ผมบอกก่อนจะยกคิ้วให้อีกฝ่าย “ เพราะกูรู้สึกว่า ไม่จำเป็นต้องแคร์มันแล้วจริงๆนั่นแหละ กูไม่สนเลยด้วยซ้ำ ว่ามันจะรู้สึกยังไง ”

“ พอหลุดออกไป ก็ไปซะไกลเลยนะไอ้สัด ” โฮมมันว่าแล้วนั่นก็อาจจะหมายถึงหัวใจของผม “ แล้วนี่มึงเข้าใจใช่มั้ย หรือว่าโกรธกันไปแล้ว ”

“เข้าใจสิไอ้สัด ”

“ ก็ดี เพราะความรักที่ดีคือการเอาใจเค้ามาใส่ใจเราอะนะ ” สองนิ้วที่ขยับขึ้นลง เป็นเครื่องหมายคำพูดที่ผมก็แค่ยักคิ้วไปให้ไม่ได้ตอบอะไร โฮมมันก็ถามต่อ “ แล้วไง เช้าไปเดทกันมาละสิ ”

“ อื้ม กูพาเค้าไปหาคนสำคัญมา ”

“ สีชมพูเหลือเกิน ” ประโยคที่เหมือนจะอดหมั่นไส้กันไม่ได้นั้น ผมหลุดยิ้มก่อนที่ห้องทั้งห้องนั้นจะเงียบไป เพราะประตูห้องเรียนที่ถูกเปิดออก กับท่าทางของคนที่เข้ามาใหม่

“ ทำไมสภาพไอ้ดีนมันเป็นแบบนั้นวะ ” เสียงไอ้จุ้นที่หันมากระซิบเรา ทำเอาทั้งผมทั้งโฮมหันมามองหน้ากันแบบที่ไม่ได้นัดหมาย ดีนมาในสภาพที่ทำให้ทั้งห้องเงียบกริบ มันดูโทรมเหมือนไม่ได้อาบน้ำมาเรียน ท่าทางก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่ได้นอนมาตลอดคืน บางทีอาจจะเพิ่งสร่างเมาแล้วได้สติก็เลยตัดสินใจมาเรียน

“ สภาพมึง กลิ่นเหล้าหึ่งเลยไอ้สัด ” ผมเอ่ยทักมันไปอีกคนก็ยกยิ้มก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวข้างๆ

“ ทำไม สนใจด้วยเหรอ ”

“ เมื่อคืนมึงไปเมาที่ไหนมาวะเนี้ย ” ไอ้จุ้นที่ดึงตัวเองขึ้นมานั่งบนโต๊ะแล้วเอ่ยถามคนมาใหม่ที่ก็แค่หันมามอง “ ไม่ชวนเลยน้า ”

“ กูไม่ได้ตั้งใจไปกิน แค่ไม่มีอะไรทำ เลยไปกิน ” ว่าแบบนั้นยิ้มๆคล้ายกับคนที่ยังคงเมาอยู่ ในตอนนั้นโฮมที่ก้มลงดูเวลาตรงหน้าจอมือถือ ก่อนจะหันมาสะกิดผม

“ มึงพามันออกไปเถอะ ถ้าให้อาจารย์มาเห็นมันในสภาพแบบนี้ ไม่น่าจะดีนะ ” คนที่นั่งอยู่เงยหน้ามองกันในตอนที่ได้ยิน ดีนที่ยกยิ้มในตอนนั้น

“ ไอ้อาร์มคงไม่ได้อยากไปหรอก กูไปคนเดียวก็ได้จ้า ถ้ากูจะน่ารังเกียจขนาดนั้นแล้วละก็นะ ” มันลุกขึ้นเต็มสูงทั้งๆที่ยังนั่งลงได้ไม่ถึงห้านาที ท่าทางที่ดูหมดอาลัยตายอยากนั้น ชวนให้ผมถอนหายใจแล้วเดินนำมันออกไป แบบที่ไม่ได้พูดอะไรต่อให้ยืดยาว

  เราเดินข้างกันมาจนถึงลิฟต์แบบที่ไม่พูดอะไร ผมกดลิฟต์ให้เราลงไปถึงชั้นล่างเพราะถ้ายังวนเวียนอยู่ในตึก อาจารย์ก็อาจจะเห็น แม้ว่าเค้าจะไม่ได้สนใจอะไร แต่ผมก็มองว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่ที่เค้าจะมาเห็นรักศึกษาสักคนในสภาพแบบนี้

“ อยากสูบบุหรี่ ” คนที่เดินอยู่ข้างหลังว่าแบบนั้นก่อนจะเชิดหน้าเข้าไปที่ด้านหลังตึก ผมก็พยักหน้ารับก่อนจะเชิดหน้าไปที่โรงอาหาร

“ งั้นกูไปซื้อน้ำให้แล้วกัน ”

“ อะเค ” ว่าแบบนั้นพร้อมกับนิ้วที่ยกมือขึ้นทำท่าทางตามที่พูด เราแยกย้ายกันตรงนั้น ผมเดินตรงไปซื้อน้ำเปล่าตามที่บอก ก่อนจะเดินเข้าไปหลังตึกตรงโซนสูบหบรี่ แล้วในตอนนั้นก็เห็นว่าดีนก็กำลังนั่งสูบหบุหรี่อยู่เงียบๆในพื้นที่ที่ไม่มีใครเลยสักคน ควันสีเทาที่ถูกพ่นออกจากปาก มันหันมายกยิ้มให้กัน ก่อนจะส่ายบุหรี่ในมือไปมา  “ สักหน่อยมั้ย แต่มีอันเดียวนะ จะกล้าสูบต่อจากปากกูหรือเปล่าน้า ”

“ เป็นเหี้ยอะไร มึงกินเหล้าเข้าไปขนาดไหน ทำไมสภาพถึงได้เหี้ยขนาดนี้ ”

“ ก็เท่ากับความเสียใจที่โดนคุณปฎิเสธความรักนั่นแหละครับ ” ผมถอนหายใจออกมาตอนที่อีกคนพูด แต่ดีนกลับแค่ยิ้ม “ ไม่ต้องสนใจกูหรอกน่า มาคุยเรื่องมึงกันดีกว่า แฟนมึงอะ เมื่อไหร่จะพามาแนะนำให้กูรู้จัก ”

“ เร็วๆนี่แหละ รอเค้าพร้อม ”

“ แล้วกูจะตั้งตาคอยนะ ”

“ แล้วนี่ได้กลับบ้านหรือเปล่า ” ผมถาม อีกคนก็หลุดยิ้ม

“ กลับสิ แล้วก็โดนไล่ให้ออกจากบ้านเรียบร้อยแล้วด้วย แม่บอกว่าถ้าไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองให้มันดีกว่านี้ ก็ไม่ต้องกลับมาละ ” ดีนว่าอยย่างงั้นก่อนจะพิงหลังลงกับกำแพงตึก “ ช่างไม่ได้ดูบรรยากาศรอบตัวเลยแม่กู แทนที่จะถามว่า กูเป็นอะไร ทำไมถึงได้มีสภาพแบบนี้ ไม่ได้ถามเลย ว่าสภาพหัวใจกูตอนนี้มันเป็นยังไงบ้าง ”

“ วันนี้กลับไปก็ไปขอโทษแม่ซะ ”

“ อาร์ม กูขอไปอยู่กับมึงสักพักได้มั้ย ” ประโยคที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมานั้นทำให้ผมขมวดคิ้ว “ แม่ไม่ให้กูเข้าบ้าน บัตรก็โดนอายัติไปแล้ว มีติดตัวแค่ห้าพันเอง ขอกูไปอยู่กับมึงสักพัก จนกว่าแม่หายโกรธได้มั้ยวะ ” สายตานั้นที่หันมามองกันอย่างขอร้อง “ ไม่มีที่พึ่งแล้วจริงๆมึง ขอกูอยู่ด้วยคนนะ ”

..........................................................

ไม่รู้จะเอ่ยออกมาว่าอย่างไรดี มันยังดีละ

แล้วพี่อาร์มจะตัดสินใจอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ด้วยนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกับคอมเม้นท์

 :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 24 :: up! 29-5-63} #หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 29-05-2020 21:24:18
 :pig4: :pig4: :pig4:

อิดีน  เมิงคิดว่าอาร์มเป็นของตายสินะเลยไม่ได้สนใจเมื่อครั้งอดีตที่ผ่านมา 

แต่พอเขาปฏิเสธ  ก็เลยรู้สึกเสียหน้าใช่ป่ะ? 
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 24 :: up! 29-5-63} #หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 29-05-2020 22:10:32
พอจะหลุดมือ เลยเสียดายหรือเปล่า ดีน
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 24 :: up! 29-5-63} #หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 29-05-2020 23:32:38
เอาแล้ว ๆ ๆ  มีเรื่องแล้ววววววว  :hao3:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 24 :: up! 29-5-63} #หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 30-05-2020 12:11:42
ความลับแตกแน่นอน ไม่ใช่ดีนจะจับได้นะ อาร์มเองนี้แหละจะไม่ทน ถ้าไม่ได้ไปหาเมี่ยง 555 เออพูดมากะเข้าใจนะเรื่องเปิดเผยความสัมพันธ์กับเพื่อน กะอย่างว่าแหละ เป็นเราเองก็คงอะไร ยังไง แต่สุดท้ายก็โอเคอยู่ดี มาต่อยาวเลย หวานขึ้นตา พอจะได้รักนี่คือบับ แหวะ เลี่ยนว่ะอาร์ม 555555 สนุก  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 25 :: up! 5-6-63} #หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 05-06-2020 20:26:27
ตอนที่ 25

“ ไม่มีที่พึ่งแล้วจริงๆมึง ขอกูอยู่ด้วยคนนะ ” ประโยคที่ฟังชวนให้ผมได้แต่นิ่ง แรกเริ่มสมองตอบรับว่า ‘ อย่า ’ อย่างกระทันหัน และมันก็เป็นการตอบรับที่หัวใจเองก็รู้สึกเช่นนั้น ว่าอย่าหาเหาใส่หัว แบบที่ใครว่ากัน แต่เหมือนดีนจะจับทางกันได้ มันก็เลยถาม “ ไม่ได้เหรอวะ ทำไม ? ”

“ ไม่สะดวก ” ผมบอก “ บางทีแฟนกูอาจจะมาหา  แล้วมันก็คงอึดอัดที่เห็นมึงอยู่ในห้องของกู อย่างตอนกลางคืนที่กูคุยกับแฟน กูก็ไม่อยากให้คนอื่นมาฟังว่าเราคุยอะไรกันบ้าง ”

“ คนอื่นเลยเหรอวะ ” ดีนมันพูดยิ้มๆ ก่อนจะดูดบุหรี่จากมวนที่ถือเข้าไปจนเต็มปอด แล้วก็ค่อยๆพ่นควันออกมา “ ถามจริง กูไม่ใช่เพื่อนมึงแล้วเหรอ แค่เพื่อนกูก็ ไม่ใช่เหรอวะ ”

“ พูดอะไรแบบนั้น ” ถามออกไปอีกฝ่ายก็เสหน้าไปทางอื่นอย่างไม่อยากจะยอมรับในสิ่งที่ผมกำลังจะพูด “ นี่มึงเข้าใจบริบทที่กูจะสื่อบ้างมั้ย เข้าใจสถานการณ์บ้างมั้ย ”

“ เข้าใจ ” คนตรงหน้าพยักหน้ารับ “ เข้าใจว่ามึงรังเกียจกู แล้วก็ไม่อยากจะให้กูเข้าไปอยู่ใกล้ๆแฟนของมึงเท่าไหร่  ถามจริง ทำไมวะ   ” สายตานั้นหันมามอง พร้อมกับรอยยิ้ม “ กลัวว่าตัวเองจะกลับมารู้สึกกับกูอีกเหรอ ”

“ หลงตัวเองอีกแล้วนะ ” บอกอีกฝ่ายด้วยเสียงเรียบ ดีนก็นิ่งไป “ อย่าคิดว่าคำพูดของมึงจะจุดความรู้สึกของกูที่เคยมีให้มึงได้ ไอ้ที่คิดว่า ถ้าพูดดูถูกความรู้สึกกูให้มากๆ กูจะให้มึงมาอยู่ด้วย เพราะจะพิสูจน์เรื่องที่ว่ากูไม่ได้รู้สึกอะไรกับมึงแล้วให้มึงเห็น แล้วมึงก็จะค่อยๆทำให้กูรู้สึกดีกับมึงแบบที่กูเคยอยากได้ ” ผมยกยิ้ม ” ถ้าคิดอะไรพวกนั้นอยู่  ก็ขอบอกตรงนี้เลย ว่ามันไม่ได้ผล มึงไม่ต้องพยายาม ”

 “ ก็ล้อเล่นมั้ยวะ จริงจังไปได้ ” บอกปัดแบบอดไม่ได้ ก่อนจะถอนหายใจแล้วดึงมือข้างที่ถือบุหรี่อยู่นั้นขึ้นมาสูบ สายตาเรียวนั้นเหลือบมองผม “ แล้วยังไง สรุปคือกูไปไม่ได้ถูกมั้ย ”

“ ขอกูปรึกษาแฟนกูก่อนแล้วกัน ” ผมบอกปัด แต่ในตอนนั้นดีนก็แค่หลุดหัวเราะ

“ มันต้องขนาดนี้เลยเหรอวะ เราเป็นเพื่อนสนิทกันนะ แล้วกูก็แค่มีปัญหากับที่บ้าน เลยอยากจะมาขออยู่บ้านมึงมันก็เท่านั้นเอง ถามจริง นี่มีเมียหรือมีแม่ ต้องขออนุญาตด้วย ”

“ ก็มึงไม่ใช่แค่เพื่อน มึงเป็นคนที่กูเคยชอบ แล้วมันไม่มีแฟนคนไหนหรอก ที่จะโอเคหรอก กับการที่เห็นคนที่แฟนเราเคยชอบ เข้ามาอยู่ใกล้ๆ ”

“ คนที่แฟนเราเคยชอบ ” ดีนมันทวนประโยคนั้นก่อนจะยกยิ้ม “ ไม่เคยคิดเลยรู้มั้ย ว่าจะต้องเข้ามาอยู่ในสถานะนี้ ทั้งๆที่ตลอดมา กูเป็นคนที่มึงชอบมาตลอดแท้ๆ ”

ความเงียบเชียบก่อตัวขึ้นอย่างฉับพลัน บรรยากาศรอบตัวเราในตอนนี้มีเพียงแค่ความอึดอัด เอาเข้าจริง แม้แต่ตัวผมก็ไม่คิดเหมือนกันว่าตัวเองจะหลุดออกมาจากตรงนั้นได้ ตรงที่ที่ยืนรอคอยใครตรงหน้านี้มาตลอด

ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นมาจากเรื่องง่ายๆ คนที่ย้ายเข้ามาใหม่ เป็นอริกับคนที่รัก และด้วยความกลัวที่ความลับเรื่องที่ผมเรียกแก้มหอมขาจะแตก จนทำให้ดีนเสียหน้า ก็เลยบอกความลับของอีกฝ่ายออกไปทั้งๆที่ตั้งใจจะเก็บไว้ขู่ถ้าการทะเลาะของพวกมันลุกลามถึงขั้นจะต่อยตี

จนสุดท้ายเมี่ยงที่สร้างแผนขึ้นมาเพื่อทำให้ผมตกหลุม แต่ต่างฝ่ายก็ต่างก็ไม่มีใครยอมตกเป็นรอง สุดท้ายพอพ่ายแพ้ไปทั้งหมด รู้ตัวอีกที รอยยิ้มแบบตาปิดที่คล้ายกับเจ้าแก้มหอมในตอนร้องเรียกกัน ก็เข้ามานั่งอยู่ในใจทีละน้อย

คนที่อยู่ๆก็เข้ามากลายแล้วเป็นคนที่อยากให้มีอยู่  เป็นคนที่ผมอยากจะตื่นขึ้นมาเจอ แล้วหลับไปพร้อมๆกัน

เข้ามาแทนที่คนตรงหน้า แบบที่ไม่รู้ตัวเลยว่า เมื่อไหร่

“ เค้าน่ารักมากเหรอวะ มึงเคยบอกว่า มึงชอบเวลาที่กูยิ้ม แล้วเวลาที่เค้ายิ้ม มันเป็นยังไง เหมือนกูมั้ย ”

“ เค้าน่ารักมาก แต่เค้าไม่ได้เหมือนมึง เค้าน่ารักในแบบของเค้า ” ผมตอบ “ เพราะมึงก็คือมึง เค้าก็คือเค้า มันไม่เหมือนกันหรอก เค้าไม่ได้มีอะไรเหมือนมึง เหมือนมึงที่ก็ไม่ได้มีอะไรเหมือนเค้า ”

“ งั้นเหรอ อยากเห็นจังเลยนะ คนคนนั้น ” ดีนพูดยิ้มๆก่อนจะผ่อนแผ่นหลังลงกับกำแพง “ จะหน้าตาเป็นยังไงน้า ”

“ เดี๋ยวมึงก็ได้เห็น เค้าพร้อมเมื่อไหร่กูจะพามาแนะนำ ”

“ จะเป็นคนที่ทำให้กูตกใจหรือเปล่าวะ ” คำพูดนั้นมาพร้อมรอยยิ้มมุมปาก “ นี่ ”

“ อะไร ”

“ ถ้าแฟนมึงไม่ยอม บอกว่าไม่ให้กูไปอยู่กับมึง มึงก็คือ จะเลือกแฟนมึงเหรอ ”

“ แน่นอนสิ ” ผมพยักหน้ารับ “ ยังไงกูก็ต้องแคร์ความรู้สึกของแฟนกูอยู่แล้ว ”

“ ทั้งๆที่กูเป็นเพื่อนรักมึง ทั้งๆที่ว่า กูสนิทกับมึงที่สุด ทั้งๆที่มึงเองก็รู้ว่า มึงช่วยกูได้คนเดียว มึงก็ยังจะปฎิเสธเหรอวะ ”

“ ถ้าแฟนกูไม่โอเค กูจะหาโรงแรมให้มึงอยู่ แล้วกูจะจ่ายค่าใช้จ่ายส่วนนั้นให้มึงไปก่อน มีก็ค่อยเอามาให้ ” ดีนหันไปมองทางอื่นในตอนที่ผมเสนอข้อตกลงแบบนั้น

“ มึงแม่ง ทำตัวเหมือนรังเกียจกูเลยอาร์ม นี่ถ้ากูพึ่งพาไอ้โฮมกับไอ้จุ้นได้ กูไปแล้วละ ไม่มาพึ่งมึงหรอก ติดแค่กูไม่ได้สนิทกับไอ้สองคนนั้นขนาดนั้น ”

“ หรือจะให้กูคุยกับแม่ให้ ”

“ คุยตอนนี้มีแต่แย่กับแย่ ” ท่าทางเหนื่อยหน่ายใจบอกกันอย่างงั้น “ ให้กูอยู่ที่ห้องมึงเถอะน่า ถ้าแฟนมึงไม่สบายใจ มึงก็ไปอยู่ที่ห้องแฟนมึงสิ  ”

‘ ที่ซึ่งก็อยู่ข้างๆห้องกันนั่นแหละ ’ ผมต่อประโยคนั้นในใจ อย่างไม่รู้เลยว่าที่จริงแล้วการที่ดีนมานั่งอยู่ตรงนี้ และพยายามจะย้ายเข้ามาอยู่ที่ห้องของผม มันคือเรื่องจริงหรือโกหก

ดีนไม่ใช่คนที่ยอมแพ้กับอะไรง่ายๆ มันไม่ชอบการตกเป็นรองใคร ไม่ชอบที่จะต้องเป็นฝ่ายเสียใจ ผมรู้จักมันดี และก็เพราะรู้ดีแบบนั้นเลยลังเลเรื่องที่อีกคนกำลังขอร้อง ก็จริงอยู่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างดีนกับแม่ค่อนข้างแย่ แต่มันก็เป็นแบบนั้นมาตั้งแต่ที่ผมเริ่มรู้จักกับอีกฝ่าย

บ้านดีนมีฐานะ พ่อรับราชการทหารยศสูง ส่วนแม่ก็เป็นคนที่อยู่ในวงสังคม มันที่เป็นลูกชายคนเดียวของบ้าน ที่ค่อนข้างถูกคาดหวังไว้สูงในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเรียน และการวางตัว แต่ก็เช่นกันที่ตัวมันก็ชอบทำอะไรขวางความต้องการพวกนั้นเสมอ

เป็นอาการขวางโลกที่บางทีผมก็เข้าใจ และบางทีก็ เยอะเกินไป

“ แล้วกลับไปคุยกับแม่ ไปขอโทษเค้ามันไม่ดีกว่าเหรอ ” ผมเสนอ “ หนีมาอยู่กับกู แก้ปัญญาที่ปลายเหตุมากเลยนะ เพราะยังไงมึงก็ต้องกลับไปขอโทษ แล้วก็คุยกับเค้าอยู่ดี ”

“ แล้วต้องให้พูดอีกกี่ครั้ง ก็บอกตอนนี้แม่หงุดหงิด ขออยู่กับมึงก่อน เดี๋ยวเค้าอารมณ์ดีกูจะกลับบ้านเอง มึงแม่ง..รังเกียจอะไรกูขนาดนั้น ”

“ แล้วกูต้องพูดอีกกี่ครั้ง ว่ากูกับมึงมันไม่ได้อยู่ในฐานะที่กูไม่ต้องคิดอะไร ”

“ ถามจริง มึงแม่งคิดเยอะเกินไปเปล่าวะ บางทีแฟนมึงอาจจะไม่คิดอะไรก็ได้ ” ดีนมันถาม ผมก็ถอนหายใจออกมา บุหรี่ถูกโยนลงพื้นในตอนนั้น ก่อนรองเท้าราคาแพงจะบี้มันจนดับสนิท

“ ก็ยังดีกว่าไม่คิดอะไรเลย ” และอีกอย่างก็เพราะเคยพูดแบบไม่คิดอะไรเลยมาแล้ว และไม่อยากจะให้มันเป็นแบบนั้นอีก “ เอาเป็นว่าขอแฟนกูก่อนแล้วกัน ยังไงจะบอกอีกที ”

“ ก็ได้ ” ดีนตอบรับแบบที่ไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ มันถอนหายใจเซ็งๆ ก่อนจะดึงตัวเองออกจากการพิงผนังแล้วหันมามองกันยิ้มๆ “ แต่ว่านะมึง ความลับน่ะ มันไม่มีในโลกนะ แน่ใจเหรอ ว่ามึงจะไม่รีบบอกกูมาซะตอนนี้  ว่าแฟนมึงคือใคร ”

“ กูไม่คิดจะปิดบังอยู่แล้ว ต่อให้ตอนนี้มึงรู้ว่าเค้าเป็นใคร จะประกาศบอกใครต่อใครเลยก็ได้ กูไม่สนหรอก เพราะจะวันนี้หรือพรุ่งนี้ พวกมึงก็ต้องรู้อยู่แล้ว จริงมั้ยละ ” ยิ้มให้คนที่มองกันนิ่งแบบที่กำลังเก็บความรู้สึกทั้งหมดและกดมันไว้ ผมไม่รู้หรอกว่าดีนรู้เรื่องผมกับเมี่ยงมั้ย แต่ที่รู้คือ ผมจะไม่ตกเป็นเครื่องมือของอีกคนไม่ว่าจะทางไหน “ มึงคงสร่างเมาแล้ว งั้นกูไปเรียนก่อนแล้วกัน ”

“ แต่ไปตอนนี้อาจารย์ก็ไม่เช็คชื่อให้มึงอยู่แล้ว จะไปทำไมวะ เสียเวลา ”

“ ตอนที่กูชอบมึงก็เหมือนกันนั่นแหละ ” ดีนมันเอียงหน้าให้กัน ในตอนนั้นผมยกยิ้ม “ เสียเวลา ”

“ K ” อีกฝ่ายว่าไล่หลังผมมา “ แม่ไม่สอนเหรอไอ้สัดว่าถึงไม่รักกันแล้วก็อย่ามาทำร้ายคนที่เคยรักให้เจ็บ ”

“ เอาคืนหน่อยไม่ได้เหรอ ” หยุดขาที่กำลังจะเดินออกไป ก่อนจะหันไปถาม “ แล้วแม่มึงไม่สอนบ้างหรือไง ว่าไม่ควรทำให้คนที่รักมึงต้องเจ็บ เพราะตอนที่เค้าไม่รักแล้ว บางทีเค้าอาจจะกลับมาเอาคืนก็ได้ ”

 “ ไม่สอน ” ดีนบอกแบบนั้นในตอนที่จ้องมองผม  “ เพราะกูไม่เคยคิด ว่ามึงจะไม่รัก ”
ไม่ได้ตอบอะไรคนที่พูด ผมแค่เดินออกมาจากตรงนั้น เดินออกมาอย่างไม่หันหลังกลับไปมองว่าอีกฝ่ายจะมองอยู่ จะร้องไห้ หรือว่าจะทำอะไร มันก็คงเหมือนกับเมื่อคืน ที่ผมเองก็ไม่ได้โทรกลับไปถาม และสนใจว่าตอนนี้มันอยู่ไหน หรือกำลังรู้สึกยังไง

ผมไม่จำเป็นต้อง ขอโทษ เพราะการรักเมี่ยงไม่ใช่เรื่องความผิด
คล้าบกับที่มันไม่รักผม นั่นก็ไม่ใช่ความผิดเหมือนกัน

“ ขอโทษครับ ” ก้มหน้าเข้ามาในห้องพร้อมกับบอกเช่นนั้นเบาๆ การเรียนการสอนถูกหยุดไว้ชั่วคราวจนอาจารย์หันมมองด้วยสายตาที่ไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก กับนักศึกษาที่เข้าเรียนในเวลานี้ เพราะมันก็ผ่านเวลาเข้ามานานกว่ายี่สิบนาทีแล้ว ผมถึงจะเข้ามาในห้อง

“ คิดว่ามึงไม่เข้ามาแล้ว ” หย่อนตัวลงนั่งยังไม่ทันจะได้หยิบเอกสารแจกใหม่ โฮมมันก็เอ่ยทัก “ แล้วไอ้ดีนเป็นยังไงบ้าง ”

“ กูว่ามันไม่ได้เมาขนาดนั้น ” ผมบอก “ ก็ยังพูดรู้เรื่อง สติสมประกอบดี ”

“ ท่าทางหงุดหงิด แตกต่างกับเมื่อเช้าอย่างลิบลับ ” ยกยิ้มกับคำพูดนั้นก่อนจะพิงหลังกับเก้าอี้ตัวที่นั่ง

“ ไอ้ดีนมันขอมาอยู่ที่ห้องกู เห็นบอกว่าทะเลาะกับแม่ ”

“ แล้วมึงว่าไง ให้มา ? ”

“ กูบอกมันไปว่าถามเมี่ยงก่อน ” คนฟังเลิกคิ้วในตอนที่ฟัง พลางพยักหน้ารับ

“ แล้วมึงบอกเมี่ยงยัง ”

“ ยัง แค่กำลังคิด ”

“ คิดว่า ”

“ เมี่ยงไม่รู้ว่าคนที่กูเคยชอบคือดีน กูเลยไม่รู้จะเริ่มบอกมันยังไง ถ้าบอกว่าดีนมีปัญหากับที่บ้าน ถ้าตอนนี้มันยังไม่บอกเบสเรื่องของกู กูคิดว่ามันน่าจะให้ดีนมาอยู่ แล้วเก็บเรื่องของเราไว้สักพักก่อน แต่ถ้ากูบอกความจริง ก็กลัวมันรู้สึกกับกูไม่เหมือนเดิม ”

“ อื้ม ” คนฟังถอนหายใจออกมาในตอนที่ฟัง และแบบที่อดบ่นไมได้ “ ยากจังไอ้สัด ”

“ ใช่ ”

“ พอกูคิดจะบอกให้มึงบอกเมี่ยงเรื่องไอ้ดีน กูก็กลัวว่าเมี่ยงจะไม่เข้าใจ กลายเป็นว่ามึงปิดบังมัน แล้วสุดท้ายยังไม่ทันได้รักก็ต้องเลิกไปก่อน เพราะเค้ารู้สึกว่า ทั้งมึงทั้งดีนใกล้ชิดกันขนาดนั้น ยังไงก็ต้องกลับไปรักกัน ตัดไปขาดหรอก แต่ถ้าแนะนำว่า ไม่ต้องบอก กูก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วถ้าเมี่ยงรู้ มันจะรู้สึกยังไง ”

“ มึงคิดเหมือนกูเลย แล้วเพราะกูไม่ได้รู้จักเมี่ยงดีพอ กูเลยเดาไม่ได้ว่ามันจะแสดงความรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้ แต่ที่กูมั่นใจก็คือ ถ้ามันตัดสินใจที่จะทำอะไรแล้ว มันเข้มแข็งพอที่จะไม่เปลี่ยนใจ ”

เช่นกันที่ว่า ถ้ามันคิดว่าตัวเองไม่มีทางชนะดีน เพราะสุดท้ายไม่ว่ายังไงผมก็ต้องกลับไปหาอีกคน แล้วก็จะทิ้งมันไว้ทั้งอย่างงี้ ทุกอย่างระหว่างเรา คงจบลงตรงนี้  เมี่ยงไม่คิดจะให้โอกาสกันด้วยการไปต่ออยู่แล้ว

มันมั่นใจในความคิดของตัวเอง ว่าถูกต้องมากพอ
เป็นคนตัดไปตั้งแต่ต้นลม แม้ยังไม่รู้เลยว่า เรื่องราวสุดท้ายจะเป็นยังไง

“ อื้ม ” เสียงเบาๆที่ตอบรับ ชวนให้ผมผ่อนลมหายใจออกมา

“ ใจนึงก็อยากจะแสดงให้เห็นก่อนว่ากูรู้สึกยังไงกับมัน อยากบอกด้วยการกระทำว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ฉาบฉวยอะไร กูรักมันจริงๆ และอยากจะพิสูจน์ให้เห็น แต่อีกใจก็กลัวว่า ถ้าสุดท้ายมันรู้ มันจะเสียใจ ที่ว่าทำไม่บอก ”

“ ถ้ากูเป็นมึง กูจะเลือกอย่างแรก เพราะอย่างน้อยเราก็ยังได้ทำให้เค้ารู้ว่าเรารู้สึกยังไง ไม่ใช่โดนตัดสินไปแล้วว่า สุดท้ายมันก็กลับไปรักกันนั่นแหละ เพราะงั้นเราก็เลิกกันเถอะ เพื่อเสี่ยงความเจ็บปวดในอานาคต มึงน่ะก็แค่ชอบกูเพื่อแค่ประชดมันเท่านั้นแหละ ”

“ อื้ม ”

“ แต่การที่จะทำอะไรแบบนั้น มึงต้องมั่นใจก่อนนะอาร์ม ว่ามึงรู้สึกยังไงกับมัน ถ้ามึงเด็ดเดี่ยวพอ ต่อให้เมี่ยงรู้ว่ามึงเคยชอบดีนมาก่อน แต่การกระทำของมึงก็จะบอกมันแล้วก็เป็นหลักฐาน ว่ามึงรู้สึกยังไงกับมัน และนั่นไม่ใช่แค่บอกรักมึง เพื่อประชดใครแน่นอน ” ผมพยักหน้ารับประโยคนั้น “ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอยู่ที่การตัดสินใจของมึง เพราะมึงรู้จัดไอ้แก้มก้อนดีกว่ากู ”

มือถือที่วางอยู่ข้างตัว ผมมองมันก่อนจะตัดสินใจหยิบขึ้นมาแล้วเปิดเข้าไปในโปรแกรมแชท ชื่อที่อยู่ด้านบนสุด ผมปักหมุดไว้ เพราะกลัวมันจะหล่นลงไปด้านล่างเรื่อยๆ เพราะเราที่ไม่ค่อยคุยกันผ่านทางโปรแกรม


Mieng:
มีอะไรจะคุยด้วยหน่อย
ว่างมั้ยครับ

ประโยคที่เด้งขึ้นมาบนหน้าจอทั้งๆที่ยังไม่ได้กดพิมพ์ข้อความชวนให้ผมยิ้ม เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ว่า ผมมีเรื่องจะคุยด้วย เลยทักทายกันขึ้นมาก่อน

Mieng:
เฮ้ย
อ่านโคตรเร็ว
ถามจริง
พี่อาร์มรอข้อความของน้องเมี่ยงอยู่ปะครับ

Arm:
พูดมากจัง
Mieng:
เขินแหละ
ดูออกทั้งหมดนะ
Arm:
คือกูเองก็มีเรื่องจะคุยกับมึงเหมือนกัน

Mieng:
ใจตรงกันทุกเรื่องเลยเรา
แต่ก็แบบนี้แหละเนอะ
แฟนกันนี่น่า
Arm:
ถามจริง
สติมึงยังดีอยู่มั้ย
ดูเหมือนจะขาดยานะ

Mieng:
แล้วมันมีอะไรให้กูต้องหงุดหงิดเหรอ
กูมีแฟนแล้วและหล่อมากด้วยนะ
แค่นี้ก็ไม่รู้ว่าจะต้องหงุดหงิดด้วยเรื่องอะไรแล้วมั้ยละ
Arm:
คล้ายๆว่าประโยคนี้จะเป็นประโยคที่กูพูดกับมึงเมื่อเช้ามั้ย
Mieng:
แฟนกูพูด
แล้วมึงเป็นแฟนกูมั้ย
Arm:
เป็นครับผม

Mieng:
บ้าบอ
เขินอะไรไม่รู้
แต่เขินอีกแล้ว
Arm:
ตอนอยู่ด้วยกันไม่เห็นมึงจะแรดขนาดนี้
ถามจริง
ไปโดนตัวไหนมา

Mieng:
อาร์ม
Arm:
ครับ

Mieng:
ไม่ได้เรียกมึง
กูแค่ตอบ
ก็มึงถามว่าไปโดนตัวไหนมา
Arm:
ร้ายมากนะ

Mieng:
มึงไม่ร้ายเลยมั้ง
บางทีมึงทำหัวใจกูป็อปแป็ปมากนะ
รู้ไว้ด้วยนะไอ้สัด
สำนึกผิดซะ

Arm:
แล้วหัวใจป็อปแป็ปมันคือยังไง

หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 24 :: up! 29-5-63} #หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 05-06-2020 20:27:41
Mieng:
ก็มันจะหัวใจเต้นแรงไง
มันจะเต้นเร็ว
แล้วก็เหมือนจะน้วยอ่อน
ไม่มีเรี่ยวแรง
นั่นแหละที่เค้าเรียกว่า
หัวใจมันป็อปแป็ป
Arm:
ไม่คล้ายกับอาการของกูตอนนี้เลย

Mieng:
แล้วอาการตอนนี้ของคนป่วยเป็นยังไงครับ
ไหนบอกหมอ
Arm:
ยิ้มไม่หุบครับ
คล้ายๆแฟนจะน่ารักเกินไป
Mieng:
บ้าบออีกแล้ว
Arm:
แล้วตกลงทักมามีอะไร
นอกเรื่องเก่งนะมึง
Mieng:
คือมีเรื่องจะคุยด้วยต่อหน้า
เลิกคาบเช้าไปดูหนังกันมั้ย
กูจองห้องดูหนังไว้แล้ว
Arm:
เหมือนจับมือกูใส่นวมแล้วก็ถาม
ว่าต่อยมวยกันมั้ย

Mieng:
555555555555555555
งั้นก็ไปเนอะ
Arm:
แล้วมึงไปเอาบัตรมาจากไหน
เวลาจองห้อง
มันต้องใช้บัตรนักศึกษาสี่ใบไม่ใช่เหรอ


Mieng:
กูก็คนมีเพื่อนมั้ยละ
เห็นแบบนี้เพื่อนก็คบกูนะ
Arm:
คิดว่าไม่มีใครคบซะอีก
Mieng:
นั่นมึงแล้วละ
เอาไปว่ากูไปแอบจองมาแล้ว
เราเจอกันนะ
ที่ห้องดูหนังหมายเลขสี่
แล้วอย่าบอกใคร
โอเค๊
Arm:
ท่าทางดูเหมือนคนเป็นชู้ที่แอบคบกันดี

Mieng:
เร้าใจดีใช่มั้ยละ
Arm:
ประสาท


ทิ้งท้ายข้อความไว้แบบนั้นก่อนที่สติกเกอร์ขยับได้กวนตีนอันนึงจะถูกส่งมาให้ ภาพเด็กส่ายก้นไปมาให้ผม ที่ถึงจะขมวดคิ้วเพราะรู้สึก ‘ อะไรวะ ’ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างออกมาอยู่ดี

“ คนเหี้ยอะไร โคตรน่ารัก ” พูดกับตัวเองแบบนั้นในตอนกดล็อคหน้าจอแล้วคว่ำมันลงบนโต๊ะ หัวใจที่สั่นไหวของผมเพียงแค่คิดถึงรอยยิ้ม และท่าทางประกอบการพิมพ์ที่ก็คงกวนตีนไม่ต่างกับเวลาที่อีกฝ่ายพูดกับผมด้วยท่าทางปากยื่นปากยาว ก็ทำให้รู้สึกเหมือนหัวใจคล้ายจะไร้เรี่ยวแรงลงเรื่อยๆ

เป็นอาการ ‘  คล้ายว่าหัวใจจะป็อปแป๊ปเลยกู ’

โรงหนังของมหาลัยอยู่ในโซนของหอสมุด ออกแบบมาในรูปแบบที่คล้ายกับตู้คาราโอเกะที่เรียงยาวลึกเข้าไปด้านใน ห้องหมายเลข 4 ที่เรานัดพบกัน ผมมองเข้าในนั้นเห็นว่าอีกฝ่ายมารออยู่แล้ว เมี่ยงที่กำลังจดจ่อกับการ์ตูนไม่ต่างอะไรกับเด็กเล็ก ชวนให้ยิ้ม

 
ก๊อก ก๊อก ก๊อก


ความสนใจของคนในห้อง หันมามองต้นเสียง ผมเปิดประตูเข้าไปดานในนั้นก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งข้างอีกคนที่ก็มองกันไม่วางตาตั้งแต่เดินเข้ามา เรานั่งกันอยู่ที่แถวสองของโซฟาในห้อง เว้นที่ว่างสองที่อย่างงั้น และในวินาทีนี้ ทีวีที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้รับความสนใจอีก 

“ ยิ้มอะไรขนาดนั้น ” หันไปถามอีกคนที่ก็แค่ส่ายหน้าไปมา เมี่ยงพิงตัวเองกับเบาะโซฟาที่นั่ง สายตาที่หันไปสนใจการ์ตูนเรื่องนั้นอีกครั้ง เราเงียบลง แล้วปล่อยให้ทีวีตรงหน้ากลบความเงียบ ส่วนผมก็ค่อยๆเลื่อนมือไปกุมมือของอีกคนที่ก็เม้มริมฝีปากอย่างเห็นได้ชัดว่าอยู่ในอาการเขินอาย

เมี่ยงดึงมือขึ้นข้างขึ้นมาเกาหัวเหมือนไม่รู้จะแสดงปฎิกิริยาอะไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “ แล้วมึงมีอะไรจะพูดกับกู ”

“ เอ่อ..” มือที่ถูกจับกุมอยู่ถูกเลื่อนออกเบาๆในตอนที่อีกคนเอ่ยพูดออกมาอย่างงั้น เมี่ยงขยับตัวเอียงตัวมองกัน ท่าทางที่หนักใจนั้นชวนให้ผมขมวดคิ้ว

“ มีอะไร ”

“ คือ เรื่องที่กูจะพูดกับมึง คือฟังแล้วอาจจะหงุดหงิด แต่กูก็ไม่อยากจะให้มึงหงุดหงิด กูเลย..”

“ ไม่กล้าพูด ” ต่อประโยคนั้นให้จบแทนอีกคนที่ก็พยักหน้ารับ ผมไม่อยากจะเดาเลย ว่าเรื่องที่อีกคนจะพูดแต่ไม่กล้าพูดมันคือเรื่องอะไร มีความรู้สึกว่าเดาออกอยู่แล้ว แม้ว่าจะยังไมได้ฟัง

“ กูยังไม่ได้บอกไอ้เบสเลย เรื่องที่เราคบกัน ” เสียงเบาๆที่พูดออกมาแบบนั้นทำให้ผมผ่อนแผ่นหลังที่ลงกับโซฟาอย่างที่ไม่รู้ว่าต้องรู้สึกยังไง เพราะนั่นแหละ คือสิ่งที่ผมคิด “ แต่กูบอกเจ้ยแล้วนะ เจ้ยรู้เรื่องของเราแล้ว กูบอกมันแล้ว ว่ากูคบกับมึงเป็นแฟน ”

“ แล้วยังไงละ ” ผมถามกลับ “ ก็คือว่ามึงจะให้กูรอ จนกว่ามึงจะกล้าพูดกับไอ้เบส แล้วกูก็ค่อยบอกไอ้ดีน ตอนนี้ก็ขอให้กูปิดบังเรื่องของเรากับเพื่อนกูไว้ก่อน แบบนั้นใช่มั้ย เรื่องที่มึงจะพูด ”

“ มันก็...” อีกฝ่ายถอนหายใจออกมา “ อื้ม ”

ได้แต่หลับตาลงในคำตอบรับนั้นที่ได้ยิน เอาเข้าจริง พอได้ฟังออกมาจากปากอีกคนมันเจ็บกว่าที่คิดไว้เสียอีก

“ รู้มั้ย ว่ามันเหมือนมึงไม่ได้อยากจะบอกใครเรื่องของเรา เหมือนแค่อยากจะเก็บเอาไว้ เก็บไว้แบบลับๆ มันเหมือนมึงไม่ได้รู้สึกกับกู แบบที่กูกำลังรู้สึกกับมึง ”

“ ไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยมึง ฟังก่อนสิวะ ”

“ ก็ฟังอยู่นี่ไงเมี่ยง ฟังมาตั้งแต่เช้าแล้วด้วย ” ผมบอก แบบที่ได้จ้องไปข้างหน้าอย่างไม่อยากจะหันไปสบแววตาเศร้าๆนั้น เพราะสุดท้ายไม่ว่ายังไงก็ต้องพ่ายแพ้  “ มึงบอกว่าไม่อยากฉีกหน้าเพื่อน กูเข้าใจ กูก็ให้เวลาไปบอก ไปเคลียร์ให้เรียบร้อย แต่พอตอนนี้ก็บอกอีกว่า ขอยืดเวลาไปก่อน ”

“ ก็มันไม่ได้พูดง่ายขนาดนั้น มึงลองมาเป็นกูสิ ”

“ แล้วกูไม่ได้อยู่ในฐานะเดียวกับมึงเหรอ ” อีกฝ่ายเงียบ “ ดีน ก็ไม่ได้ถูกกับไอ้เบสเหมือนกัน เราก็อยู่ในฐานะเดียวกันนั่นแหละ กูคบกับดีนมามากว่ามึงคบกับเบสอีก แล้วจะมาพูดว่า ให้กูลองมาเป็นมึงอีกเหรอ ” เสียงถอนหายใจของคนข้างๆ เมี่ยงก้มหน้าลง

“ ขอโทษ ” มันว่าแบบนั้นก่อนจะเงียบไปอยู่นาน “ กูแค่ไม่กล้า กูไม่กล้าที่จะพูดมันออกไป พอกูมองหน้ามันแล้ว กูกลัวมันสียใจในสิ่งที่กูทำ ทั้งๆที่ กูก็รู้ว่าสักวันนึง บางที พอเรียนจบ พอโตแล้ว มันอาจจะไม่ได้เข้ามาเป็นคนสำคัญในชีวิตกูด้วยซ้ำ แต่กูก็ไม่กล้า ”

ท้ายประโยคที่เบาหวิว  การ์ตูนที่ถูกเปิดอยู่ เรื่องที่เคยดูน่ารักนั้นกลับไม่มีใครสนใจมันอีกต่อไป เมี่ยงที่นั่งก้มหน้าลง ส่วนผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกมา ในสมองส่วนนึงมีประโยคของไอ้โฮมลอยวนเวียนอยู่ในหัว ‘ เราไม่ใช่เค้า เพราะงั้นอย่าตัดสินใจด้วยความรู้สึกของตัวเอง คนเรามีเหตุผลไม่เหมือนกัน ’

“ ตอนที่กูเข้าไปในห้องกูบอกเจ้ยคนแรกเลย แต่พอไอ้เบสมา กูกำลังจะหาจังหวะบอก มันก็แทรกเรื่องดีใจของมันขึ้นมาก่อน ”

“ เรื่องมันที่ดีใจ ? ”

“ อื้ม ” อีกฝ่ายพยักหน้ารับ ก่อนจะเหลือบมองผม

“ คือไอ้เบสอะมึง เพิ่งได้รถใหม่มา พ่อมันซื้อให้ หลังจากที่ใช้รถคันเก่ามานาน คราวนี้พอกูจะพูดกูเลยไม่กล้า คือมึงเข้าใจใช่มั้ยละ ” ถามออกมาแบบนั้นก่อนจะทำหน้ายู่ให้กัน เพราะรู้ว่าคำถามนั้น ผมปฎิเสธ แน่นอน ผมไม่เข้าใจหรอก “ กูอยากให้มันมีความสุขสักสองวันก่อน พอมันโอเคแล้ว ก็ค่อยบอก ไม่อยากจะเป็นเรื่องที่ทำให้มันหงุดหงิดใจ ”

“ การที่เพื่อนที่มีความรัก คือเรื่องที่จะทำให้มันหงุดหงิดใจเหรอวะ ”

“ ก็เราเป็นอริกัน ” เมี่ยงหันมาบอกผม ก่อนจะถอนหายใจ “ กูไม่รู้หรอกว่าถ้าพูดออกไปเบสจะรู้สึกยังไง อาจจะวิ่งเอาไปบอกไอ้ดีน แล้วล้อไอ้สัดนั่นเต็มที่ ว่าในที่สุดเพื่อนที่สนิทของมัน ก็มาตกหลุมรักเพื่อนมันอย่างกู หรือว่าจะตกใจมาก เสียใจมาก ที่แบบอยู่ๆ กูกับมึงก็รักกัน ทั้งๆที่ดูท่าทางเกลียดกันมาตลอด แล้วสุดท้ายกูก็ต้องถอยตัวออกจากพวกมันมา อย่างช่วยไม่ได้ ”

“ เห้อ..” ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้จะพูดอะไร แววตาเรียวหันมามองผม

“ ปัญญาอ่อนใช่มั้ย ความคิดกู ดูไร้สาระใช่มั้ย ”

“ ใช่ ” ผมตอบออกไปตามตรง “ เพราะถ้าเป็นกู กูจะไม่เสียเวลาอยู่แม้สักวินาทีเดียว เพราะยังไงมันก็ต้องรู้ มันไม่ได้หมายความว่า ถ้ารู้ช้าแล้วจะเสียใจช้าสักหน่อย ถ้ามันเสียใจกับเรื่องนี้ ยังไงมันก็ต้องเสียใจอยู่...ดี ”

“ อะไรของมึง อยู่ๆคิดอะไรขึ้นมาได้วะ ”

“ เปล่า ” ผมบอกปัดก่อนจะถอนหายใจ

เอาจริงๆแล้วเรื่องนี้ มันต่างอะไรกับเรื่องของผม ผมก็ปิดบังเมี่ยงอยู่เหมือนกัน เพราะรู้สึกจังหวะมันไม่เหมาะเลยที่บอก เมี่ยงก็คงมีเหตุผลของเมี่ยงเหมือนกัน เบสเป็นเพื่อนมัน มันก็คงหนักใจที่จะบอก ไม่ได้เหมือนกันที่อยู่กับดีนในอีกฐานะ เลยไม่จำเป็นต้องแคร์แล้ว

“ เงียบอีก ”

“ กูแค่คิดถึงเรื่องที่มันคล้ายๆกัน แล้วตกลงมึงจะเอาแบบนี้ ”

“ อื้อออออ กูขอเวลาอีกสองวันนะ เพื่อที่จะบอกไอ้เบส แล้วกูจะบอกมันในเร็วที่สุดเลย  ” เสียงตอบนั้นค่อนข้างเบา เมี่ยงพยักหน้ารับ “ มึง..เข้าใจกูใช่มั้ย ”

“ ไม่เข้าใจ แล้วจะไม่มีวันเข้าใจด้วย แต่ว่าต่อให้กูไม่เข้าใจ แล้วก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มัน อะไรวะ ไร้สาระวะ เพื่อนแม่งไม่ได้มาแคร์ทุกความรู้สึกของมึงสักหน่อย แต่สุดท้ายแล้ว กูก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี มึงตัดสินใจแบบนี้ แล้วกูก็ต้องเคารพมัน จริงมั้ย ”

“ อื้ม ” พยักหน้ารับแบบนั้นก่อนจะเอื้อมมือมาจับ “ อาร์ม มึงไม่โกรธกูได้มั้ย ” ผมเหลือบมองคนที่ถามแบบนั้น ด้วยท่าทางลังเล “ คือจะโกรธก็ได้ แต่ให้โกรธนิดนึง แบบว่า ง้อแล้วหายเลย จุ๊บแล้วก็คือหายเลยนะ ได้มั้ยวะ ”

เหลือบมองไปทางอื่นอย่างจนใจในแววตา อยู่ๆสถานการณ์ก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ความวุ่นวายในใจแม้จะก่อตัว แต่พอสายตาไปสบเข้ากับแววตาเรียวที่กำลังทำท่าทีงอแง แถมยังมาต่อรองให้งอนแค่นี้ได้มั้ย แล้วมันอดไม่ได้เลยที่จะยิ้ม

“ มึงแม่ง ” แล้วสุดท้ายก็อดไม่ไหว ผมสถบออกไปทั้งอย่างงั้นด้วยรอยยิ้มกว้าง

“ ได้มั้ยอะอาร์ม นะ ” เอียงหน้าถามกันแบบชนิดที่ไม่ว่ายังไงก็ต้องตอบตกลงอย่างไม่มีเงื่อนไขใดทั้งนั้น แล้วสุดท้ายผมก็พยักหน้ารับไป

“ ตามใจมึงแล้วกัน ”

“ พี่อาร์ม ใจดี ” ลากเสียงบอกกันก่อนจะกระพริบตาให้แต่ดูคล้ายเหมือนคนเจ็บตามากกว่าจะเรียกว่า วิ้งค์

“ กูไม่ใจดีหรอก ” ว่าแบบนั้นนิ้วก็ชี้เข้าที่แก้ม อีกคนก็ทำทีเป็นดึงตัวเองเข้ามามองหา

“ ก็ไม่มีอะไรติดอยู่นะ ”

“ หรือจะเอาแบบนี้ ” หันไปจูบริมฝีปากอีกคนที่ก็เบิกตาขึ้นมาด้วยความตกใจ เมี่ยงต่อยลงบนแขนผม ก่อนจะสบถ

“ ไอ้สัด ” ยกยิ้มกับคำพูดนั้นก่อนจะยื่นมือไปจับแก้มอีกคน และอดไม่ได้เลยที่จะเกลี่ยมันเบาๆด้วยนิ้วโป้ง “ เออ แล้วมึงมีเรื่องจะพูดกับกูด้วยไม่ใช่เหรอ เรื่องอะไรอะ ”

“ ดีนจะไปอยู่ที่ห้องกู มันทะเลาะกับที่บ้านมา ”

“ ชิบหายละ ” เมี่ยงพูดแบบนั้นก่อนจะขมวดคิ้ว “ นี่คือ เท่ากับ เราจะไม่มีเวลาสวีทกันเลยนะ ถ้ากูไม่ยังบอกไอ้เบสแบบนี้ ก็คือจบแล้วนะ ”

“ ก็ใช่ไง บิงโกเลยมั้ยละ ” ผมพยักหน้ารับ “ ก็ตอนแรกกูคิดว่าถ้ามึงบอกเบสแล้ว ทุกอย่างก็จบ กูแค่ย้ายมาอยู่กับมึง แล้วให้ไอ้ดีนอยู่ที่ห้องกูไป ”

“ แต่ถ้ากูไม่บอกแบบนี้ เราก็คือต้องปกปิดเรื่องที่คบกันเหรอวะ ทั้งตอนอยู่ที่นี่ แล้วก็ตอนที่กลับไปถึงคอนโด ”

“ ก็คงต้องเป็นแบบนั้น ” คนฟังถอดหายใจออกมาก่อนจะพิงตัวเองเข้ากับเบาะที่นั่ง ด้วยสีหน้าที่แปลไม่ออกเท่าไหร่ “ เปลี่ยนไปบอกไอ้เบสตอนนี้ยังทันนะ ”

“ เรื่องนั้นมันก็...” เมี่ยงถอนหายใจ เหมือนไม่ว่ายังไงมันก็ไม่กล้าอยู่ดี

“ ไอ้เบสมันดีใจขนาดไหน กูละอยากรู้ ทำไมถึงทำเอามึงไม่กล้าบอกมันขนาดนี้ ”

“ ก็เมื่อวิชาเมื่อเช้าแทบไม่ได้เรียนเลย พี่แกเล่นพูดเรื่องรถตลอดคลาส เห่อมากจนขนาดตั้งชื่อ มีความเรียกน้องตลอด น้องงั้นน้องงี้ แถมยังยิ้มไม่หุบ เลี้ยงขนม เลี้ยงน้ำพวกกูไปอีก ”

“ หึ ” ส่ายหน้าไปมาก่อนจะยกยิ้มอย่างคิดภาพตามแล้วรู้สึกเหนื่อยแทนคนข้างๆ ที่ต้องรับมือ

“ แต่ว่านะ แล้วเรื่องที่กูอยู่ข้างๆห้องมึง บอกว่ากูเพิ่งย้ายมาแล้วกันเนอะ มันคงไม่คิดว่าแปลก ”

“ แปลกอะไร กูไม่ใช่เจ้าของคอนโดที่จะไปคิด หรือจะไปตัดสินใจได้สักหน่อย ว่าใครจะมาอยู่ข้างๆห้องกู ”

“ นั่นก็จริง แต่แพลนของเราวันนี้อะ ” เสียงอ่อนที่เอ่ยบอกกัน “ ต้องล่มเหรอวะ ไม่อยากให้ล่มเลยอะ น้องอยากอยู่กับพี่อาร์มมมมม ”

“ แล้วจะให้ทำยังไงละครับ ” ผมถามกลับอีกคนก็พิงตัวเองกับโซฟาตัวที่นั่ง แบบที่ไม่ได้ตอบอะไรออกมา เมี่ยงหน้างอ” แต่ยังไงกูฝากแก้มหอมไว้ที่ห้องมึงหน่อยนะ กูไม่อยากจะทิ้งมันไว้ให้อยู่กับดีน  ”

“ ทำไมวะ ”

“ เพราะกูคงไม่ค่อยอยู่ห้องไง กูติดแฟนเหมือนกันนะ เลยคิดว่าแอบไปอยู่กับแฟนกูน่าจะดีกว่า แล้วดูท่าทางว่าแฟนกูไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เค้าน่าจะอยากอยู่กับกูด้วย ” ยักคิ้วให้อีกคน เมี่ยงก็ยิ้มกว้างออกมาก่อนจะค่อยๆหุบลงเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง

” แล้วมันจะไม่จับได้เหรอวะ ว่ามึงแว๊บมาห้องกู ”

“ กูไม่ใช่มึงสักหน่อย ที่โกหกเมื่อไหร่ จะจับได้ทันที ”

“ ว่ากูได้เหรอมึงน่ะ นี่แฟนนะ ”

“ ว่าแต่เมี่ยง ถามอะไรหน่อย ” หันไปถามอีกคนที่ก็เบิกตาขึ้นด้วยความสนใจกับสิ่งที่ผมกำลังจะถาม  “ มึงคิดยังไงกับคนที่ปิดบังความจริงกับมึง ”

“ แบบปิดไม่ให้รู้น่ะเหรอ ”

“ อื้ม ” พยักหน้ารับคำถามนั้นอีกคนก็ครุ่นคิดอย่างหนัก

“ คงดูที่เจตนาว่าทำไมต้องปิด เพราะไม่ใช่ทุกเรื่องที่จะพูดได้สักหน่อย คนเราต้องดูบรรยากาศ ความจริงไม่ใช่สิ่งที่คนฟังอยากฟังทั้งหมดหรอก เพราะงั้นก่อนพูดเลยต้องดูก่อน ว่าคนฟังเค้าพร้อมรับฟังมั้ย ไม่ใช่คิดแค่ว่าต้องพูดเพราะมันคือความจริง เรื่องทุกเรื่องมีเวลาที่เหมาะสมที่จะพูดอยู่นะ อย่างเรื่องของเราไง ” คนที่นั่งอยู่ข้างๆกันยิ้ม “ เป็นความจริงที่ควรดูสถานการณ์ก่อน ไม่ใช่คิดแค่ว่าต้องพูดออกไป เพราะมันไม่ใช่ทุกคน ที่จะยินดี แล้วก็รับมือได้กับสิ่งที่ต้องรู้ ”

“ แต่มึงแน่ใจแล้วนะ ว่าจะปิดบังเรื่องของเราไปแบบนี้ ” คำถามนั้นที่ผมถาม เมี่ยงนิ่งคิดมันอยู่สักพัก ก่อนจะพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มแบบไม่ใส่ใจเท่าไหร่

“ แหมม ก็แค่สองวันเองมั้ยวะ ”

...................................................
แหมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม
เดี๋ยวเราจะได้รู้กัน ว่ามัน แหมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม จริงมั้ยนะ น้องเมี่ยง
เจอกันตอนหน้าค่ะ
มันส์ แน่นอนน
#นายท่านของแก้มหอม ฝากแท็กในทวิตด้วยนะคะ  :mew2: :กอด1: :L2: :3123: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 25 :: up! 5-6-63} #หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 05-06-2020 21:58:59
ความสัมพันธ์แบบนี้โครตอึดอัด พลาดนิดเดียวคือเจ็บ
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 25 :: up! 5-6-63} #หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 05-06-2020 22:06:11
ให้ 3หึ หึหึหึ *ยกยิ้มมุมปาก* ไม่รู้จะพูดอะไรแล้วเหมือนกัน รอตอนหน้าค่อยว่ากันอีกที 5555555 อ๋อ ไอ้เรื่องที่อาร์มกังวลว่าเมี่ยงจะโกรธหรือเลิกรักนี่ ตัดไปได้เลยขนาดยังไม่ได้ใจนายมา เขายังยินดีรอ แล้วตอนนี้ได้ใจนายมา เมี่ยงรักจนจะบ้าตายอยู่แล้วเถอะ ฮอลลลล 5555555 ขอบคุณนะคะที่มาต่อยาวๆเลย  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 25 :: up! 5-6-63} #หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 05-06-2020 23:05:07
 :pig4: :pig4: :pig4:

เด๋วก็ต้องมีเหตุให้ยืดเวลาในการบอกความจริงกับเบสไปเรื่อย ๆ อีกแหละ  เชื่อจิ
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 25 :: up! 5-6-63} #หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 05-06-2020 23:15:47
ครึ่งวันความก็แตกชัวส์ ๆ น้องเมี่ยงเอ่ย  :laugh:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 25 :: up! 5-6-63} #หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 07-06-2020 20:09:48
ให้รู้กันไปค่ะ ว่าความลับใครจะแตกก่อนกัน
อาร์มเคยชอบดีน หรืออาร์มเมี่ยงคบกัน

เข้าใจเมี่ยงนะ และเข้าใจอาร์มด้วย
แต่ตอนนี้หงุดหงิดเมี่ยงมาก แคร์ใจอาร์มบ้าง อย่ามัวแต่คิดถึงใจเพื่อน
มันย้อนแย้งกับสิ่งที่เมี่ยงบอกว่า ถึงต่อไปเพื่อนจะไม่ได้มาอยู่ในชีวิต แต่...

ดีนก็เร้าหรือเนาะ ดีค่ะ ให้มันปะทุกันไปเลย จะได้จบๆ ไม่ต้องมาวอแวกันอีก
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 25 :: up! 5-6-63} #หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 08-06-2020 21:33:11
หมั่นไส้ดีน หลงตัวเองจริงๆ
ไม่ค่อยอยากเชื่อว่ามีปัญหาจริง อยากดึงอาร์มกลับมากกว่า
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 25 :: up! 5-6-63} #หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 08-06-2020 21:34:10
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 26 :: up! 12-6-63} #หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 12-06-2020 20:27:40
ตอนที่ 26

‘ อยู่ไหน ’  ข้อความนั้นของดีนปรากฏขึ้นในหน้าจอมือถือของผม ระหว่างที่กำลังย้ายของส่วนตัวที่จำเป็นบางส่วน รวมถึงของส่วนตัวของเจ้าแก้มหอมที่ตอนนี้กำลังวิ่งไปมาหยอกล้อกับไอ้นายท่านเจ้าของห้องด้วยความสุข  ชนิดที่เรียกได้ว่าวุ่นวายไปหมด จนเมี่ยงต้องออกปากเตือนบ่อยๆว่าให้มันน้อยๆลงหน่อย เพราะเล่นวิ่งชนนู้นนี่ไปซะทั่ว

‘ อยู่กับแฟน ’ กดพิมพ์ตอบไป บนหน้าจอก็ขึ้นคำว่าอ่านแล้วเหมือนอีกฝ่ายจะรออยู่ซึ่งคำตอบ แต่กลับไม่มีข้อความอะไรส่งกลับมาทั้งนั้น

“ อะไรของมัน ” พูดกับตัวเองเบาๆก่อนจะส่ายหน้าไปมา ผมยัดมือถือใส่เข้าไปในกระเป๋าหลังของกางเกงในตอนที่เห็นอย่างงั้น แล้วหันมาสนใจกับของส่วนตัวที่เอาใส่กระเป๋าออกกำลังกายใบใหญ่มา สมองกำลังคิดถึงของที่จำเป็นว่ามีอะไรอีก แต่ในตอนนั้น คุณเจ้าของห้องก็เดินเข้ามาหาพอดี ตรงส่วนของห้องแต่งตัวที่ผมกำลังยืนอยู่

“ กูว่าแค่นี้ก็พอแล้วมั้ง ” เมี่ยงตอบแทนความคิดของผมพลางเอื้อมมือมาจับชุดที่แขวนอยู่ในตู้ สายตาที่ดูพิจารณาเสื้อผ้าพวกนั้นที่เหมือนจะมีมากเกินจำเป็นด้วยซ้ำในความรู้สึกของมัน แถมยังไม่นับชุดนอนและข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ “ ถามจริง ไอ้ดีนจะอยู่นานเลยเหรอวะ ”

“ เพราะไม่รู้เหมือนกันไง เลยต้องเอามาก่อน ”

“ แต่ค่อยกลับไปเอาก็ได้มั้ง ห้องมึงก็แค่ก้าวเดียวนี้เองนะ ” อีกฝ่ายบอกพลางแหวกชุดของผมที่แขวนอยู่พวกนั้น ก่อนจะส่ายหน้ายิ้มๆ “ แต่ก็คือมีทุกชุดแล้วเนอะ ชุดไปเที่ยว ชุดอยู่บ้าน นักศึกษา ชุดนอน คือ พี่ย้ายมาอยู่กับผมเลยมั้ยอะครับ ”

“ ได้เหรอ พี่สนใจนะ ” หันไปสบสายตาเรียวนั้นก่อนจะถามแบบจริงจัง แต่เหมือนคนขี้เขินจะแค่เบิกตาขึ้นนิดหน่อยด้วยความตกใจ เมี่ยงเหลือบมองไปทางอื่นอย่างไม่รู้จะต่อกรกันยังไง

“ ไม่รู้เว้ย ”

“ เอาจริงนะ ถ้าเราบอกเรื่องของเรากับทุกคนแล้ว ย้ายมาอยู่ด้วยกันมั้ย ”

“ มึงก็ถามอะไรอย่างงั้นวะ ” อีกคนบอกเสียงจริงจังก่อนจะถอนหายใจ ร่างขาวที่หันมาเผชิญหน้า “ คือมันยากมากนะไอ้สัด เพราะกูไม่รู้ว่าต้องตอบยังไงให้มันดูแบบ ก็ไม่ได้อยากจะอยู่ด้วยหรอกนะ แต่ก็เออ จะตามใจแล้วกัน อยู่ด้วยก็ได้ ประหยัดค่าห้อง ”

“ ส้นตีน ” สุดท้ายก็ต้องสบถออกไปอย่างงั้นกับท่าทางน่ารักของอีกคน ที่ทำทีเหมือนไม่ต้องการแต่ก็เขินจนหน้าแดงไปหมด เป็นความน่ารักที่อดใจไว้แทบไม่ไหว ผมเดินเข้าไปกอดคนพูดไว้จากด้านหลัง แล้วทำให้มันช่วงวินาทีที่รับรู้ได้ถึงความสุขของหัวใจ ที่ลอยล่องคล้ายราวกับอยู่ในอวกาศ

ลำตัวที่เหมือนจะลอยขึ้นมา หัวใจที่เหมือนจะเคว้งคว้าง จับแทนจะรู้สึกไมได้ถึงการมีอยู่ เมี่ยงคล้ายกับสารเสพติดชนิดรุนแรง ความน่ารักที่พอฉีดเข้าเส้นแล้ว ก็ทำให้เบลอไป

“ คนเหี้ยอะไรวะ แค่อยู่ด้วยใกล้ๆก็มีความสุขแล้ว ”

“ ขอบใจที่ชมกันนะครับ คือก็รู้แหละว่ารักเนอะ แต่ปล่อยก่อนได้มั้ยอะ ต้องไปจัดห้องไง ประเด็นน่ะ ” ยกยิ้มพลางคลายอ้อมกอดที่กอดรัดนั้น เมี่ยงเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง มันแบ่งส่วนนึงของโต๊ะให้ผม รวมถึงชั้นบนตู้ “ แต่ถ้าย้ายมาอยู่ด้วยกัน เราย้ายขึ้นไปอยู่ชั้นบนกันมั้ยละ ”

มันคงหมายถึงห้องใหญ่แบบสองห้องนอน หรือสามห้องนอนของคอนโดนี้ ที่อยู่ด้านบนสุด มันเป็นห้องแบบที่ก่อนหน้านี้ผมเคยคิดจะเช่าเหมือนกัน เพราะห้องนอนกว้างขวางกว่ามาก แถมยังมีห้องที่แบ่งไว้สำหรับเลี้ยงแมวโดยเฉพาะ

“ เอาสิ ” พยักหน้ารับตามใจอีกคน เมี่ยงก็เหมือนจะหลุดลอยไปกับจินตนาการของตัวเองในช่วงขณะนึง

“ กูเคยขึ้นไปดูตอนที่เข้ามาเลือกห้องเหมือนกัน มันมีห้องของแมวด้วยนะ มีระเบียงตรงห้องแมวด้วยแบบออกไปดูวิวข้างนอกได้ไม่ต้องกลัวตก แล้วตรงประตูก็มีช่องแมวลอดเล็กๆน่ารักมาก แถมตรงพื้นที่ส่วนกลางยังมีระเบียงด้วยเปิดกว้างด้วย ไม่มีกรงมากั้นเหมือนห้องนี้ ไม่อึดอัด ”

“ ใช่ ”

“ ถ้าไปอยู่ห้องนั้นเราซื้อต้นไม้มาปลูกกันด้วยดีมั้ย  ซื้อเก้าอี้มาวาง วันไหนอากาศดีๆ เราไปก็ออกไปนั่งดูวิว กินหนม แล้วก็กินบียร์ด้วยกัน ”

“ ขี้เมาเหรอมึงน่ะ ”

“ นิดโหน่ยยยย ” ไม่พูดเปล่าแต่ยังทำท่าทีเหมือนคนเมาใส่กัน ด้วยการเอียงตัวไปมานิดๆ “ แล้วกูก็อยากจะให้มีสักมุม ที่เราจะฉายโปรเจ็คเตอร์ได้ด้วย เอาไว้ดูหนังประดุจอยู่กันในโรงแต่กดหยุดได้ เวลาปวดฉี่ แล้วพอเช้านะ เราก็ตื่นขึ้นมาทำอาหารอร่อยๆกินกัน หรือบางทีก็แวะไปกินที่อื่น ไม่มีเรียนก็กลับมาทำกับข้าว ไปเดินเล่น ซื้อของเข้าบ้าน ”

“ มีความสุขเนอะ ” บอกอีกคนที่ก็นิ่งไปในตอนนั้น เมี่ยงพยักหน้ารับ

“ อื้ม ”

“ แค่คิดว่ามีกู มีมึง เราที่ทำอะไรแบบนั้นด้วยกันทุกวัน ก็อยากจะมีชีวิตอยู่ไปอีกนานๆเลย ”

“ ขนาดนั้นกันเลย ”

“ อื้ม ก็กูไม่รู้สึกมีความสุขมานานแล้ว ” บอกอีกคนตามตรงก่อนจะเดินไปยืนข้างเมี่ยง ผมเอาน้ำหอมของตัวเองมาวางไว้บนชั้นที่อีกคนจัดพื้นที่ไว้ให้  “ ก่อนหน้านี้กูใช้ชีวิตแบบผ่านไปวันๆ ตื่นขึ้นมาใช้ชีวิต แล้วก็หลับไปตามกลไลของร่างกายที่ต้องพักผ่อน ไม่ได้รู้สึกมีความหวังกับเรื่องอะไร เป็นชีวิตน่าเบื่อๆชีวิตนึง ที่จะจบลงวันนี้ก็ได้ หรือพรุ่งนี้ก็ได้ ไม่เสียดายอะไรทั้งนั้น ”

“ มึงก็อย่าพูดแบบนั้นสิวะ ” เมี่ยงหันมาบอกก่อนจะดึงมือขึ้นมาจับแก้มกัน “ มึงแม่ง กำลังทำให้กูเศร้าไปด้วยเลย ”

“ ขนาดนั้น ” ผมยิ้ม แต่เหมือนอีกคนจะไม่ได้ยิ้มด้วยแล้วในตอนนี้ เมี่ยงทำหน้างอ มันพยักหน้ารับก่อนจะดึงมือลง

“ มันทำให้กูรู้สึกผิด ว่าที่ผ่านมากูทำอะไรอยู่ กูไปอยู่ไหนมา ทำไมกูไม่รีบมาเจอมึง แล้วทำให้มึงมีความสุขซะนะ ” อีกคนบอกยิ้มๆ “ เวลามึงเศร้า หรือเวลามึงเผลอคิดถึงเรื่องที่มันเศร้า เรื่องอดีตของมึง รู้มั้ยว่า มันไม่ใช่แค่คำพูดนะ แววตาของมึงมันเศร้ามากเลย เศร้าแบบคนที่ไม่ได้หวังว่าชีวิตนี้จะมีความสุขอีกแล้ว ความหวังมันเหมือนริบหรี่ ”

“ แล้วตอนนี้กูดูมีความสุขมั้ย ” ก้มลงจ้องมองแววตาเรียวของอีกฝ่าย เมี่ยงก็ถอนหายใจ

“ มี แต่ก็เพราะมึงมีกูไง ”

“ ใช่ กูที่มีความสุข เพราะกูมีมึง ”

แบบที่เถียงไม่ได้เลย ว่ามันไม่จริงเช่นนั้น

ชีวิตผมเป็นแบบนี้ แบบที่คล้ายกับดอกไม้คอตกใกล้ตายในกระถางที่ดินแห้งกัง กิ่งก้านที่ดำคล้ำของมัน ดูยังไงก็ไม่น่ารอด แต่อยู่ๆก็มีคนใจดี เดินมารดน้ำให้ทุกวัน น้ำแห่งความหวัง หลั่งรินลงเป็นความหวัง คล้ายกับดวงตะวันที่ทำให้ดอกไม้นั้นค่อยๆชูช่อออกมาจากความแห้งแล้ง แล้วหันหน้าไปมองหา อย่างที่ไม่อยากละสายตากลับมามองจุดเดิมอีก

“ บ้าบอ ” พูดแบบนั้นมือก็ทุบเข้ากับตู้แบบที่ไม่รู้จะระบายความเขินอายลงที่ไหน “ แต่คือกูก็รนหาที่เขินเนอะไอ้สัด รู้ว่าฟังแล้วจะเขิน จะหัวใจบ็อปเป็ป จะทำตัวไม่ถูก จะน้วยๆ แต่ยังไงก็ยังจะถามอยู่ดี เหนื่อยหัวใจจริงๆเล๊ย ”

“ ประสาท ” บอกมันสั้นๆแค่นั้น ผมเดินออกมาจากส่วนของห้องนอนด้วยรอยยิ้มกว้างแบบที่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ ก็หุบไม่ลงเลย

 ตรงส่วนของห้องนั่งเล่นตอนนี้ คอนโดแมวที่วางเด่นอยู่มีเจ้าก้อนขนสองตัวกำลังมีความสุขยิ่งกว่าใครๆ ไอ้นายท่านนอนกอดแก้มหอมแบบที่เลียขนให้อีกตัวกลายเป็นภาพที่ดูไปดูมาก็ยังรู้สึกว่าน่าหมั่นไส้ มันเป็นท่าทางที่อดใจไม่พูดไม่ได้เลย “ จะมากไปแล้วมั้งมึงน่ะ ”

เจ้าของแววตาสีเหลืองหันมาจ้องกัน แต่เหมือนว่ามันจะไม่ได้ใส่ใจอะไรกับคำพูดของผมเท่าไหร่นัก ไอ้ตัวกวนตีนยังคงก้มหน้าเลียขนให้แก้มหอมไม่มีหยุด แถมยังเป็นการเลียแบบที่หันมาจ้องกันด้วยสายตาที่เหมือนจะกำลังก่อสงครามประสาทยังไงอย่างงั้น

“ ข่มกูได้ข่มกูไป ไว้เจ้านายมึงบอกไอ้เบสเมื่อไหร่ กูจะสวีทแข่งกับมึงไอ้สัด ” บอกอีกฝ่ายอย่างงั้นก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ แต่ยังไม่ทันเอื้อมมือไปจับแมวตัวเอง ไอ้ตัวลายก็ดึงขาหน้ามากันไว้ก่อน นายท่านคล้ายจะดันมือผมออก แบบท่าทีที่ว่า อย่ามาแตะต้องแก้มหอมของผม  “ เอามือมึงออกไปเลย จะมากไปแล้วมั้ง ”

“ ทะเลาะอะไรกันนนนนนน ” เมี่ยงลากเสียงพลางเดินออกมาถาม ผมที่เหลือมองมัน ก่อนจะเชิดหน้าไปที่มือตัวเอง

“ มึงดูมัน ” แต่เหมือนว่าท่าทางนั้น จะทำให้อีกฝ่ายแค่หัวเราะออกมาเสียงดังลั่น

“ ฮ่าๆ ร้ายนักนะ!! แต่นายท่านนั่นพ่อเค้ามึง เราจะเป็นศัตรูกับพ่อตาไม่ได้นะ เราต้องอ่อนน้อมกับเค้า เข้าใจมั้ย ” พูดด้วยสายตาจริงจัง เมี่ยงเดินมาลูบหัวไอ้ตัวลายของตัวเอง แล้วหันมาก้มหน้าให้ผม “ ขอโทษด้วยนะครับ พอดีลูกชายผมแกไม่เคยมีเมีย ”

“ ตลกมากมั้ยไอ้สัด ” ถามมันออกไปอีกคนก็เบิกตา แล้วหันไปกระซิบแมวตัวเองอีกครั้ง

“ พ่อตามึงร้ายมากนะนายท่าน ระวังตัวไว้ด้วยละ ” เหลือบตามองคนพูดแบบนั้นแต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ เสียงสายโทรเข้าของผมก็ดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน “ สงสัยไอ้ดีนโทรมาหามึงแน่เลย ”

“ น่าจะอย่างงั้น ” ดึงมือถือออกจากกระเป๋าหลังแล้วก็เป็นแบบที่คาด สายโทรศัพท์ของดีนโทรเข้ามา ผมโชว์ให้เมี่ยงดูก่อนจะกดรับ “ ว่าไง ”

“ ยังอยู่กับแฟนเหรอวะ ” ปลายสายถาม ผมก็พยักหน้ารับ

“ อื้ม มีอะไร ”

“ ห่างเหินสัด ” ดีนมันว่า “ นี่ พูดจริงๆนะ มึงอย่ามาทำตัวเก็กขรึมกับกูได้มั้ย มันโคตรน่ารำคาญเลย ไม่เนียนด้วย ”

“ อะไรของมึงอีก ” ผมถามกลับอีกฝ่ายก็ถอนหายใจ “ แล้วตกลงเอาไง จะมานอนที่ห้องกูมั้ย ”

“ แล้วมึงให้อยู่มั้ยละ ”

“ ก็บอกจ่ายค่าโรงแรมให้ก่อนก็ไม่เอา บ้านไอ้โฮม ไอ้จุ้น มึงก็บอกไม่สนิท แล้วจะให้กูทำยังไง ”

“ พูดเหมือนไม่อยากจะให้กูไปอยู่เลย ”

“ ก็รู้ตัวนี่ ” เมี่ยงถึงขึ้นหันมาขมวดคิ้วใส่ผมในตอนที่ได้ยินคำนั้น ส่วนอีกฝ่ายก็แค่ถอนหายใจหงุดหงิดออกมา  “ กูเตรียมห้องไว้ให้แล้ว จะมาก็มาได้เลย ”

“ เห็นมั้ยยังไงมึงก็ต้องใจอ่อนให้กูนั่นแหละน่า ” อีกฝ่ายว่ายิ้มๆ ดีนเหมือนดีใจขึ้นมากะทันหัน “ งั้นกูขับรถไปเลยนะ ”

“ อื้ม ” ขานรับในลำคอ แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะวางสายไป

“ แล้วมึงจะกินอะไร กูซื้อเข้าไปให้มั้ย ”

“ เก็บตังค์ที่มึงมีไว้เถอะ มีแค่ห้าพันไม่ใช่เหรอไง ”

“ แล้วมึงจะแดกทั้งห้าพันเลยหรือไงละไอ้สัด ก็แทนคำขอบคุณที่มึงให้กูไปอยู่ด้วยไง เลือกมาๆ จะได้นั่งกินด้วยกัน เหล้าก็ได้นะครับผม เต็มที่เลย ”

“ ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวกูจะกินกับแฟนกู ส่วนตัวมึงอยากจะกินอะไรก็ซื้อมาได้เลย เอาแค่กินคนเดียวพอไม่ต้องเผื่อกู จะซื้อมาตุนไว้ก็ได้ ถ้าไม่อยากจะออกไปข้างนอกบ่อยๆ ” ปลายสายเงียบไปในตอนที่ผมพูดอย่างงั้น จนต้องเรียกซ้ำเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ฟังอยู่ “ ดีน..”

“ รู้แล้ว ” ปลายสายตอบกลับมาอย่างงั้น ก่อนจะกดตัดสายไป แบบที่ปล่อยให้ผมขมวดคิ้วกับหน้าจอนั้นอยู่สักพัก ก่อนจะเก็บมันใส่ไว้ในกระเป๋าหลังกางเกงที่เดิม

“ ถามหน่อย ” เมี่ยงเอ่ยถามออกมาทันที หลังจากเห็นว่าทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว “ มึงทะเลาะกับดีนเหรอ ”

“ ไม่ได้เรียกทะเลาะ เรียกว่า..” เว้นช่วงประโยคไปอย่างหาคำตอบ ส่วนคนรอฟังก็เอียงหน้ามองคล้ายกับแมวเวลาสงสัย

“ ว่าอะไร ”

“ ก็แค่กูไม่ได้ตามใจมันเหมือนทุกที แล้วก็ต่อจากนี้กูก็จะไม่ตามใจมันอีกแล้ว ”

“ งงนิดหน่อย ” เมี่ยงว่าอย่างงั้น ก่อนจะส่ายหน้า “ แต่ไม่เข้าใจมากๆเลย ”

“ ไม่ต้องสนใจหรอกน่า สนใจเรื่องนี้ดีกว่า เย็นนี้จะกินอะไร  ” แววตาเรียวให้ความสนใจขึ้นมาทันทีอย่างครุ่นคิด

“ ข้าวหน้าหมูมั้ย... ” พูดแบบไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ ผมก็หลุดยิ้ม

“ ท่าทางมึงดูเหมือนไม่มั่นใจเท่าไหร่นะ ”

“ ก็กูไม่รู้ว่ามึงจะอยากกินมั้ย แต่กูจำได้นะ มึงเคยบอกว่ามึงชอบกิน ก็เลยคิดว่า กินของที่เราชอบกินด้วยกันเป็นมื้อเย็นน่าจะดี เพราะมันคือมื้อเย็นแรกของการเป็นแฟนกัน ”

“ เห่อจริงนะ  แต่ก็ดี ” บอกแบบนั้นก่อนจะยิ้มให้อีกคน แบบที่มองจนมันต้องเอ่ยถาม

“ แล้วมองอะไรกูขนาดนั้น กูพูดอะไรผิด หรือว่าหน้ากูติดอะไร ” มือขาวเล็กยกขึ้นจับหน้าตัวเอง มันลูบๆอยู่นานก่อนจะหันหน้าเข้าไปหาทีวีที่พอสะท้อนให้เห็นใบหน้าของตัวเอง “ ก็ไม่เห็นจะมีอะไร แล้วมึงยิ้มอะไรของมึงวะ ”

“ มีนะ มันมีบางอย่างติดอยู่ ” เดินเข้าไปใกล้ในตอนที่พูดพร้อมกับโน้มลงตั้งคางไว้บนไหล่ขาวนั้น ผมกระซิบ “ ความน่ารักไง ติดอยู่บนหน้ามึงอะ เต็มไปหมดเลย ”

“ บ้า มึงแม่งพูดความจริงอะไรออกมาอย่างงั้น ” หันมาบอกกันหน้าตาหน่ายๆ มันโบกมือไล่ผม “ ไปๆ ไปจัดการข้าวหน้าหมูกันเถอะ จะสั่งหรือว่าจะทำกินกันเอง เลือกๆมา ”

“ ทำกันเองก็น่าจะได้อยู่นะ ” ผมบอกยิ้ม แบบที่ยังอยู่ในความน่ารักของประโยคข้างต้น “ ในห้องกูมีเครื่องปรุงอยู่ ”

“ ไม่ยุ่งยากเหรอวะ ”

“ ไม่หรอกน่า ” ว่าแบบนั้นก่อนจะยักคิ้วให้อีกคน “ กินข้าวเย็นกับแฟนมื้อแรก สั่งมาได้ไงละ ต้องทำสิ แสดงฝีมือให้แฟนดู  ”

“ อีกแล้วนะ ” น้ำเสียงที่หาเรื่องกัน เมี่ยงถอนหายใจ “ ก็บอกแล้วไง ว่าหัวใจกูมันจะป็อปแป็ปน่ะ ไม่ฟังกันเลยนะไอ้สัด ”

“ มึงนี่ก็น่ารักไม่ทิ้งช่วงจริง ” เสียงหัวราะของเราในชั่วเวลานั้น ขาที่นำเดินออกจากห้องไปที่ห้องของผม เราเตรียมอุปกรณ์สำหรับอาหารทำง่ายๆ กลับมา ก่อนที่ผมจะลงมือทำเมนูที่อีกฝ่ายอยากกิน และแน่นอนว่าผู้ช่วยก็เดินวนไปวนมาอยู่ข้างหลังอย่างงั้นแบบที่ไม่รู้จะหยิบจับอะไรดี

“ ช่วยมั้ย ”

“ ช่วยอยู่นิ่งๆ ” เงยหน้าบอกคนที่ถอนหายใจออกมาเซ็งๆในตอนที่ได้ยิน เมี่ยงดึงตัวเองขึ้นนั่งลงบนพื้นที่ว่างของเค้าท์เตอร์ข้างผม สายตาเรียวที่ก้มมองดูอย่างตั้งใจแม้จะแค่หั่นผักปกติ พร้อมกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่อย่างงั้น “ ยิ้มเหี้ยอะไร ”

“ มีความสุขแล้วยิ้มไม่ได้เหรอ ” ตอบออกมาตรงๆ อีกคนก็เอียงหน้ามองกัน “ มึง.. ยังจำวันที่เราเจอกันที่ห้างได้มั้ย ที่เราเดินกลับบ้านด้วยกันหลังซื้อของเสร็จ ”

“ อื้ม ”

“ วันนั้นกูเห็นมึงซื้อของเข้าครัวเยอะมาก ยังจำได้เลยว่ามึงพูดเยอะมากว่าของที่ซื้อไปจะทำอะไรบ้าง ตอนนั้นนะ ในใจกูก็เลยคิดว่า แหม อยากได้เป็นผัวจัง ” หลุดยิ้มออกมาพลางส่ายหน้าให้กับคำพูดนั้น แต่พอหันไปมองเมี่ยงก็แค่ยิ้มตาปิดให้กัน “ ไม่อยากจะเชื่อเลยเนอะ ว่าไม่นานหลังจากนั้นก็จะได้มาเป็นผัวจริงๆด้วย ”

“ เออ กล้าที่จะพูดดี ”

“ แล้วมันจะแปลกยังไง ” พูดแบบนั้นอย่างไม่ใส่ใจ เท้าที่ลอยอยู่เหนือพื้นแกว่งไปมา “ เอาจริงๆ กูคิดด้วยซ้ำ ว่าเราคงไม่ได้รักกันแล้วละ ” ชะงักมือที่กำลังหั่นหอมหัวใหญ่ไปแทบจะทันทีในตอนที่ได้ยินอย่างงั้น ผมเงยหน้าถามอีกคน

“ ทำไมคิดงั้น ”

“ ก็ตัดใจจากคนที่ชอบมันยากมากเลยไง กูเลยไม่คิดว่ามึงจะทำได้ ”

“ งั้นเหรอ ” พอเห็นว่าวางมีดที่ถืออยู่ คนที่เห็นส่ายหน้าปฎิเสธ เมี่ยงคงคิดว่าผมเคือง

“ ไม่ได้คิดดูถูกมึงนะ แต่ขนาดกูนะ กูชอบมึงใช่มั้ยละ กูยังตัดใจจากมึงแล้วทำใจว่ามันคงเป็นไปไม่ได้แล้วเรื่องของเรา  กูยังรู้สึกเลยว่ายากมาก เพราะยังไงก็ยังอยากให้มึงหันมามองกูอยู่ดี ”

“ แต่ตอนนี้ผมก็หันมองคุณอยู่แล้วนี่ไง ”  สายตาในตอนนั้นของเรา สบกันพอดี “ ความรู้สึกของกูกับเค้า มันต่างกันกับความรู้สึกของกูกับมึงนะ กับมึง กูชอบมึง แล้วมึงก็ชอบกู ส่วนเค้า กูชอบเค้าฝ่ายเดียว เค้าไมได้ชอบกู เมื่อก่อนมันดูไม่มีหวังก็จริง เพราะกูไม่ได้เจอคนที่อยากจะรักจริงๆก็เลยจมอยู่แต่กับเค้า แต่พอกูเจอมึง ทุกอย่างมันก็ง่ายขึ้น  ”

“ สภาพของคนที่ตัดใจได้แล้วก็ประมานนี้เหละไอ้สัด ” เมี่ยงมันแซว “ จะพูดอะไรก็ได้ ”

“ พูดมากจัง ไปตักข้าวใส่ถ้วยไป จะเสร็จแล้วครับ ” เชิดหน้าไปที่กระทะตรงหน้ากลิ่นหอมอ่อนๆของหมูผัดซอสแบบญี่ปุ่นโชยขึ้นมา ก่อนคนที่นั่งกวนกันอยู่จะเด้งตัวออกจากเค้าท์เตอร์แล้วตรงไปที่มุมเก็บจาน ถ้วยกลมขนาดกลางถูกหยิบขึ้นมาสองใบ แต่ยังไม่ทันจะได้เปิดอุ่นกล่องข้าวที่อุ่นไว้ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาก่อน


ครืน ครืน ครืน

“ ไอ้ดีนถึงแล้วแน่เลย ” เมี่ยงว่าแบบนั้นด้วยสีหน้าขัดใจมันที่วางทุกอย่างลงพลางมองหน้าผม แต่ก็พอเข้าใจอยู่ เป็นใครก็คงหงุดหงิดกำลังจะกินข้างแล้วแท้ๆ แต่ก็ยังมีคนมาขัดขวางความสุขอีก

“ โทษที ”

“ เออน่า มึงรับสายมันเถอะ ” วางจานคงบนเค้าท์เตอร์มันที่เหลือบกันในตอนที่ผมกดรับสายโทรศัพท์

“ ว่าไง ” กรอกเสียงไปตามสาย อีกฝ่ายก็ตอบรับมาด้วยเสียงสดใส คลอไปมากับเสียงของถุงพลาสติกที่ดูท่าทางว่าคงแวะซื้ออะไรเข้ามาเยอะแยะพอดู

“ ถึงแล้ว ลงมารับหน่อย ”

“ เดี๋ยวกูส่งรหัสเข้าตึกไปให้ มึงขึ้นมาแล้วกัน กูรอในห้องนะ ”

“ ก็ได้ ” เสียงราบเรียบตอบกลับมา ผมก็กดวางสายไป ก่อนจะเหลือบมองเมี่ยงที่ก็ถอนหายใจมองกันอยู่ และเหมือนมันจะจับท่าทางกันได้อีกฝ่ายเลยถามขึ้นมาก่อนที่ผมจะพูดอะไร

“ ยังไง ”

“ ดีนถึงแล้ว เดี๋ยวกูจะเข้าไปรอมันในห้อง แล้วพอจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว กูจะกลับมาหานะ ไม่ต้องล็อคประตู กูจะได้เปิดเข้ามาเลย ”

“ อื้ม แล้วข้าวละ ”

“ มึงกินก่อนได้เลย เดี๋ยวกูกลับมากินส่วนของกู ”

“ ไม่เอา ” อีกคนส่ายหน้าไปมา “ ไข่ออนเซ็นมึงยังไม่ทำให้กูเลย ข้าวหน้าหมูก็คือต้องมีไข่ออนเซ็นนะ ”

“ งั้นกูทำให้ก่อนแล้วกัน ”

“ รีบไปเถออะน่า ” เมี่ยงรั้งมือกันไว้ มันถอนหายใจคล้ายว่าประโยคต่อไปนี้มันไม่ค่อยอยากจะพูดเท่าไหร่  “ ไหนบอกว่าจะกินข้าวเย็นด้วยกันไง นี่เป็นข้าวเย็นมื้อแรกของการเป็นแฟนกันของเรานะเว้ย มันล่มไม่ได้หรอก เดี๋ยวกูรอมึงเอง ” สายตาเรียวหันมาสบตาผมก่อนจะยิ้ม “ แต่มึงรีบไปแล้วก็รีบกลับมาหากูนะ โอเคมั้ย ”

“ โอเคครับ ” ตอบรับเสียงเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้มันที่ก็ขมวดคิ้วงงไม่น้อย

“ อะไร เข้ามาใกล้ทำไม ”

“ คำเมื้อกี้น่ารักดี ขอหน่อย ” พูดเสียงเรียบๆก่อนจะเอียงหน้าเข้าไปจูบริมฝีปากนั้น แล้วย้ำประโยคที่ชวนให้หัวใจเต้นแรงเมื่อครู่ “ แล้วกูจะรีบกลับมาหามึงนะ ”

“ ตกใจหมดไอ้สัด ” เสียงเบาที่มาพร้อมกับสายตาเรียวที่มองตามแผ่นหลังของผมมาจนถึงประตูห้องที่ปิดลงในตอนที่เดินออกมา

ผมหยิบมือถือในกระเป๋าหลังขึ้นมาส่งรหัสเข้าคอนโดไปให้ดีนในตอนที่เปิดประตูเข้าไปในห้อง สายตากวาดไปรอบห้องในระหว่างที่รอ ผมเช็คห้องของตัวเองว่าไม่มีอะไรที่ชวนให้ขัดหูขัดตา ก่อนจะมาหยุดอยู่กับกรอบรูปหลายๆอันที่ใช้สำหรับตกแต่งในส่วนของโซนนั่งเล่น

บนนั้นมีทั้งภาพครอบครัวที่เคยถ่ายตอนไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยกัน ภาพแก้มหอมตอนยังเด็ก ภาพของผมที่ชอบ แล้วก็ภาพของดีนที่มีทั้งภาพเดี่ยวแล้วภาพที่เราถ่ายคู่ ภาพรวมกลุ่มมหาลัยที่ผมเอามาใส่ๆไว้แบบที่แค่ไม่อยากให้ดูมีพิรุธตอนที่เพื่อนมาหาที่ห้อง

จะว่าไปก็ยังไม่เอาออกเลย ของบางอย่างก็อยู่กับเรานานจนกลายเป็นความเคยชิน แบบที่ไม่ได้สนใจเลยว่า ความรู้สึกตอนนี้ จะยังชอบอยู่ หรือไม่ชอบมันแล้ว ทั้งๆที่ของชิ้นนั้นอาจจะสร้างบาดแผลให้กับคนมาใหม่ก็ได้ ถ้ามันยังอยู่ตรงนี้ แล้วความจริงถูกเปิดเผยออกมา

กรอบรูปนั้นถูกดึงลงมาในตอนที่ความคิดพวกนั้นลอยเข้าสู่สมอง ภาพของดีนในตอนนั้นผมเป็นคนถ่ายมัน ภาพที่อีกคนกำลังยิ้มกว้างให้กล้อง ภาพที่เคยรู้สึกว่ามันสดใสยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ ภาพที่เคยคิดว่าไม่ว่ามองไปเมื่อไหร่ก็ชวนให้ยิ้ม

แต่พอเวลาเปลี่ยน ความรู้สึกเปลี่ยน
ภาพเดิมนั้น กลับเป็นแค่ภาพปกติที่ไม่ได้ทำให้รู้สึกอะไรอีกต่อไป

 ผมดึงมันออกมาจากกรอบอันนั้น รวมถึงภาพคู่ของเรา แต่ยังไม่ทันจะคิดว่าจะย้ายมันไปที่ไหน เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นมาก่อน

หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 25 :: up! 5-6-63} #หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 12-06-2020 20:29:27
ก๊อก ก๊อก ก๊อก   

“ มาแล้วครับโผมมมม ” เสียงทักทายสดใสดังขึ้นในตอนที่ผมเปิดประตูออกไป ก่อนสายตานั้นที่สบจะก้มลงมองของที่ผมถืออยู่ในมือ ดีนนิ่งไป “ อะไรกันวะ แล้วนั่นมึงจะเอารูปกูไปไหน ”

“ ไม่มีอะไรหรอก ” ก้มลงมองภาพนั้นก่อนจะยักไหล่ “ แค่จะเอาไปเก็บเข้าใส่อัลบั้ม มึงเข้ามาก่อนสิ ” หันหลังเดินเข้ามาด้านในตรงประโยคสุดท้ายที่เอ่ยออกไป

เสื้อผ้าหนึ่งกระเป๋าใหญ่ถูกวางลงบนโต๊ะ พร้อมทั้งอาหารการกินอีกถุงใหญ่ผมหันมองของพวกนั้นที่ดูคล้ายกับการเตรียมการมาอย่างดี ก่อนจะเหลือบมองอีกคน แต่เหมือนสายตานั้นจะมองอะไรบางอย่างอยู่จนผมต้องหันมองตาม

“ มึงดูสิ ร่องรอยของความรัก ”

“ อื้ม ” ผมตอบรับอย่างที่ก็รู้สึกอย่างงั้น มันคือร่องรอยของการเคยมีอยู่ของภาพสองภาพบนฝาผนังนั้นและยังคงชัดเจน ไปด้วยร่องรอยของฝุ่น เป็นร่องรอยจากแดดที่บ่งบอกถึงความยาวนานของการตั้งอยู่ของภาพสองภาพนั้น ที่ไม่เคยถูกย้ายไปไหน ไม่เคยถูกปลดลงมา และเพียงแค่มองดู ก็ชวนให้ทั้งรู้สึกว่างเปล่าไปหมด

“ ใครจะคิดว่ากูจะตกลงเป็นที่สอง กูยังไม่เคยคิดเลย ”

“ มึงไม่ได้ตกเป็นที่สองหรอกดีน ” ผมบอกก่อนจะเดินไปหยิบเอาอัลบั้มรูปที่อยู่ตรงชั้นวางมาใส่ภาพสองภาพนั้นที่เคยถูกแขวนอยู่ กลับไปรวมอยู่กับภาพที่มันเคยอยู่ตามเดิม “ มึงแค่กลับมาเป็นเพื่อนสนิทของกู เพราะความรัก มันไม่ควรมีที่หนึ่งหรือที่สอง มันควรมีแค่คนคนเดียว ”

“ นั่นก็จริง ” ยักคิ้วตอบรับแทนคำพูด อีกคนมองดูผมที่ผมเอากรอบรูปเปล่าที่เหลือไปแขวนไว้ที่เดิมเพื่อไม่ให้มันดูเป็นร่องรอยน่าเกลียด

“ แล้วจะแขวนกรอบรูปเปล่าไว้อย่างงั้นอะนะ ถ้ากูเป็นมึง กูจะใส่รูปเดิมไปก่อน พอมีรูปใหม่เปลี่ยนก็ค่อยเอาลงมา ”

“ แต่กูไม่ได้รู้สึกอะไรกับมึงแล้ว จะให้แขวนไว้ทำไมวะ ” ผมถามอีกคนก็ได้แต่นิ่ง “ แขวนไป มึงก็รั้น ยังเข้าข้างตัวเองว่ากูยังเหมือนเดิม ทั้งๆที่มันไม่ใช่แล้ว ”

“ เลิกพูดเรื่องน่าหงุดหงิดพวกนั้นเถอะน่าไอ้สัด มึงไม่เบื่อบ้างเหรอไง ” บอกปัดแบบที่ไม่อยากจะสนใจ คนมาใหม่ก็หันหลังไปเปิดถุงใส่ของที่เพิ่งซื้อมาจากห้าง “ กูซื้อขนมที่มึงชอบมาเผื่อมึงด้วย จำได้มั้ยอันนี้ ” ขนมที่ดีนถืออยู่คล้ายกับขนมสมัยก่อนที่ผมชอบกิน มันเป็นแท่งคล้ายไม้เวลากินต้องเอาไปจุ่มรสช็อคโกเล็ตหรือว่าสตอเบอรี่ที่ในกล่องแถมมา “ สมัยก่อนเราซื้อมาแบ่งกินกันประจำเลย ตอนอยู่ม.ต้น ตอนนั้นเราซื้อคนละรสจำได้มั้ย แต่ก็กินด้วยกัน ”

“ อื้ม ” ขานรับในคออีกคนก็ยิ้ม ก่อนจะยื่นมันมาให้ “ กินด้วยกันมั้ย ”

“ โทษทีมึง แต่แฟนกูรอกินข้าวอยู่ ”

“ งั้นเหรอ ” แววตานั้นนิ่งไปแม้แต่รอยยิ้มก็ค่อยๆจางลงไปด้วยเช่นกัน ดีนในตอนนั้นถอนหายใจมันวางของที่พยายามเชิญชวนผมลงบนโต๊ะ พลางมองไปรอบๆแบบที่ไม่รู้จะพูดอะไรออกมา “ กู ต้องอยู่คนเดียวสินะ ”

“ มึงอยู่ห้องกูได้ตามสบายเลยไม่ต้องเกรงใจ เดี๋ยวกูไปอยู่ห้องแฟนกูเอง ”

“ สรุปก็คือมึงจะไม่อยู่ที่นี่เลยเหรอวะ ”

“ อื้ม กูจะไปอยู่กับแฟนกู ” พยักหน้ารับอย่างงั้น สายตาของเราที่สบกันผมรู้สึกมันมีเพียงแค่ความว่างเปล่า ดีนหันหน้าไปทางอื่นในตอนที่มันรู้สึกว่าน้ำตากำลังจะไหล ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาแบบที่พูดอะไรไม่ออก

ก็รู้ว่ามันทำใจยาก สำหรับอีกฝ่ายเรื่องนี้มันคงกะทันหันเสียจนมันไม่ทันตั้งตัว สมองเองก็คงแยกออกเป็นหลายๆส่วน แล้วก็คงตั้งคำถาม ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงหรือโกหก และหน้าที่ของผมก็คือการย้ำกับมันว่าทุกอย่างนี้คือเรื่องจริง

ไม่มีเวลามานั่งทำให้อีกคนรู้สึกดี หรือเข้าใจอีกแล้ว
คิดง่ายๆแค่ว่า ไม่งั้นจะเป็นเมี่ยงเองที่จะเจ็บปวด

“ นี่กุญแจ ” ยื่นมันไปให้อีกคนแต่ทว่าฝ่ามือนั้นกลับไม่ได้ยื่นออกมารับแต่อย่างใด ผมเลยจำเป็นต้องวางไว้บนโต๊ะกินข้าวที่ว่างอยู่ “ วางไว้ตรงนี้นะ ”

“ อาร์ม มึงไม่รักกูแล้วจริงๆเหรอวะ ” ท่ามกลางความเงียบเชียบนั้นเสียงของอีกฝ่ายเอ่ยถามขึ้นมากับผม ดีนที่หันมามองกัน ขาที่เดินเข้ามาใกล้ ก่อนมือจะคว้าจับเข้าตรงปลายเสื้อตัวที่ผมใส่ “ ไม่รักกูแล้วจริงๆเหรอ เรารักกันมาตั้งหลายปี ทุกอย่างมันจบง่ายขนาดนี้เลยเหรอวะ ทุกอย่างมัน..”

“ ไม่ใช่คำว่าเรา ดีน ” ผมบอก “ ตลอดมามึงไม่ได้รักกู แล้วตอนนี้ กูก็ไม่ได้รักมึงแล้ว ”

“ ไม่ใช่นะมึง มึงแม่งไม่เคยเข้าใจอะไรเลย ไม่เคยคิดเข้าใจอะไรในตัวกูเลย มึง..”

“ กุรู้ว่ามึงคิดอะไรอยู่ กุรู้ว่าทำไมมึงถึงบอกว่าทะเลาะกับแม่ ทั้งๆที่ไมได้ทะเลาะ แล้วนั่นก็เพราะว่ามึงยังหวังว่าถ้าเราได้อยู่ด้วยกัน มึงคิดจะรั้งกูไว้ให้ได้ ด้วยการมาอยู่กับกู แล้วพอกูกลับไป ทุกอย่างก็กลับไปเป็นปกติ ”

“ มึง..”

“ มึงคงคิดว่ามันง่ายมากที่กูจะเลิกชอบเค้า แล้วกลับมาหามึงเหมือนเดิม แต่ดีน..” ผมหันไปมองสบสายตานั้น “ ตอนนี้กูไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้วนะ กูไม่ได้อยู่ข้างๆมึงแล้ว กูเดินออกไปแล้ว จากที่ตรงนั้น มันไม่มีกูอยู่แล้ว อย่าคิดรั้งกูไว้อีกเลย เพราะต่อจากนี้ มึงนั่นแหละที่จะเจ็บเอง ”

“ แต่กูไม่อยากจะเชื่อ ก็มันไม่ใช่เมื่อวานที่เรารักกัน มันไม่ใช่อย่างงั้น เรารักกันมาตั้งนาน มันนานมากเลยนะ แล้วอยู่ๆมึงก็เจอมัน แล้วสุดท้ายมึงก็รักมัน แล้วกูละ ความรักของกู ความรักของเรา คือ..” อีกฝ่ายเว้นเสียงไปดีนที่กำลังร้องไห้แม้แต่จะพูดออกมาสักประโยคมันก็คงรู้สึกว่าบีบหัวใจไปหมด “ ทุกอย่างมันจบลงได้ง่ายขนาดนี้เลยเหรอ มึงไม่รักกูแล้วจริงๆเหรอ ขอร้องอย่าประชดกูแบบนี้ อย่าบีบบังคับกูแบบนี้ กูเองก็มีเหตุผลของกู ถือว่าขอร้อง ”

“ กูจะพูดครั้งสุดท้าย กูไม่ได้กระชด ไม่ได้คิดว่าจะบีบบังคับให้มึงพูด กูไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น สิ่งที่กูคิด สิ่งที่กูทำ คือกูรักเค้าแล้วกูก็อยากจะปกป้องเค้า ปกป้องความรักของกูที่กูไม่เคยมีมาก่อน ” ผมยิ้มให้คนฟัง “ แล้วนั่นก้คือเหตุผล กูอยากทำอะไรๆ แบบที่กูอยากทำ อยากได้แล้วก็ อยากมี กูอยากมีความรักดีๆ แล้วตอนนี้กูก็เจอเค้าแล้ว เค้าที่เข้ามาแล้วทำให้กู หลุดออกจากมึง เค้าที่ทำให้กูรู้สึกอยากเลือกเค้า แล้วถ้าถ้าพูดอย่างใจร้าย ก็คือ เค้าทำให้กูเลือกเค้า มากกว่ามึง แค่นั้นเอง ”

“ อาร์ม..”

“ เข้าใจกูหน่อยเถอะ กูแค่ต้องไปแล้วดีน เพราะมันไม่มีใครรอมึงอยู่ได้ตลอดหรอก อย่างที่กูเคยบอกมึงไง ” ผมเอ่ยทวนความจำกับคนตรงหน้า “ ถ้าสักวันกูเจอใครที่กูรัก กูจะไป แล้ววันนี้มันก็แค่เป็นแบบนั้น ”

“ กูไม่คิดว่ามึงจะไม่รักกูเลยรู้มั้ย แม้แต่ตอนนี้ วินาทีนี้ กูก็ยังไม่อยากจะเชื่อ  กูคิดมาตลอดว่ามันไม่มีใครที่มึงจะรักได้เท่ากู ถ้ากูอยู่ข้างๆมึง ไม่มีวันที่มึงจะรักเค้า ยังไงมึงก็ต้องกลับมารักกู ” อีกคนยิ้ม ก่อนจะหันหน้าไปทางอื่นราวกับว่าไม่ได้รู้สึกอะไรอย่างงั้น  ดีนนิ่งไป “ น่าตลกดีนะว่ามั้ย ที่กูเคยมั่นใจได้ถึงขนาดนั้น ”

“ อื้ม ” ผมพยักหน้ารับ “ กูไปแล้วนะ มีอะไรก็โทรมา ”

“ อื้ม ”

“ แล้วนี่จะอยู่กี่วัน ”

“ ก็..จนกว่าที่แม่จะหายโกรธมั้ง คงสองสามวัน ” หลุดยิ้มออกมาในตอนที่อีกคนพูดแบบนั้น ผมเชิดหน้าไปที่กระเป๋าเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายพามา “ ซีนตอนนั้นมันเป็นยังไงวะ ทะเลาะกับแม่ แล้วก็วิ่งขึ้นห้องไปหยิบเสื้อผ้ามาเหรอวะ หรือว่าแค่บอกแม่ ว่าจะมาอยู่คอนโดกูสักสองสามวันเพราะมีงานกลุ่มที่ต้องทำ ”

“ มึงคิดว่ากูโกหก ”

“ ถ้าทะเลาะกับแม่ คนอย่างมึงจะออกมาเลยโดยที่ไม่รอเก็บเหี้ยอะไรมาทั้งนั้น แต่ถ้ามีกระเป๋านั่นก็หมายความว่า มึงไม่ได้ทะเลาะ แต่ก็คงบอกแม่ว่ามีงานกลุ่ม แล้วที่มึงตั้งใจมาอยู่กับกูที่นี่ ก็เพื่อหวังว่าถ้าได้อยู่ด้วยกันสองคน ได้ใกล้ชิด กูจะเปลี่ยนใจ อย่างที่กูเคยเป็นมาตลอด ”

“ คิดมากไปเปล่าวะ ” คนที่ตรงหน้าว่าแบบนั้น ดันไม่ได้ตอบรับว่าจริง แต่ก็ไม่ปฎิเสธ ตามนิสัยที่ก็เป็นมาตลอด แต่ตอนนั้นผมก็แค่ถอนหายใจก่อนจะพยักหน้ารับแบบที่ไม่พูดอะไรต่อ

“ เอาที่สบายใจเลย ถ้าคิดว่าเก่งจริง อยากจะทำอะไรก็ทำ แต่บอกไว้ก่อนนะ ” ผมยกยิ้มในตอนที่หันไปบอกดีน ก่อนที่จะเดินออกจากห้องของตัวเอง “ กูไม่รับผิดชอบต่อการเจ็บปวดของมึงในทุกกรณี ”


............................................................


ประตูที่ผมหันไปมองมันในทุกสิบวินาที จนตอนนี้ต้องนอนลงเหยียดยาวแบบที่หันหน้าตัวเองไปฝั่งประตูแบบที่รอคอยให้ประตูนั้นเปิดออกมาโดยเร็ว แต่เหมือนไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ ประตูบานนั้นก็ยังไม่เปิดออกมาอยู่ดี

“ นี่มันผ่านไปกี่ชั่วโมงแล้ววะ ” ผมหันไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่ตรงผนังเหนือทีวีแต่เหมือนว่าจะเพิ่งผ่านไปเพียงแค่สิบนาทีเท่านั้น “ ไม่ใช่สิบชั่วโมงหรอกเหรอวะ ”

“ เมี๊ยว ” เสียงใสที่เหมือนจะเดินขึ้นมาบนหลัง ผมเหลือบหันไปมองก็เจอเข้ากับยัยตัวอ้วนขนฟูสีขาวที่เดินต้วมเตี้ยมขึ้นมาบนหลังกำลังจะนอนแหมะลงแบบที่ไม่มีการขออนุญาตใด

“ แก้มหอม ทำไมป๊ามึงช้าจังเนี้ย กูหิวแล้วนะ ” ถึงจะพูดออกไปแบบนั้นแต่ก็ยอมรับว่าไม่ใช่อย่างงั้นซะทีเดียว และถ้าให้พูดง่ายๆเลยก็คือ มันเป็นอาการแบบที่ไม่อยากจะให้อีกคนไปไหนสักเท่าไหร่

ผมอยากให้อาร์มอยู่ด้วยกัน ใช้ชีวิตแบบคู่ข้าวใหม่ปลามัน เพราะมันหงุดหงิดชิบหายที่โดนขัดแต่ทำอะไรไม่ให้เพราะทุกอย่างมันก็เป็นที่ตัวผมเองที่เลือกจะไม่พูดอะไรออกไปให้เคลียร์ แล้วเก็บทุกอย่างไว้ก่อน

‘ ถ้าคิดว่าดีก็ทำไป แต่กูไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวกันเลย มันมีความสุข มึงก็มีความสุขเหมือนกัน แฟร์ๆหน่อยมั้ยละไอ้สัด มึงต้องทุกข์ ต้องอึดอัด เพราะต้องเก็บความลับด้วยเหรอ ’ เสียงของไอ้เจ้ยที่เหมือนจะดังสะท้อนมายังคงก้องอยู่ในหัว ก่อนที่อีกคนจะพูดปัดสั้นๆ ในตอนที่เห็นว่าผมหนักใจ ‘ ก็แล้วแต่มึงอะ เรื่องของมึง ก็เอาที่สบายใจ ’ 

“ เห้ออออ ถ้าวันนี้กูบอกไปมันจะดีกว่ามั้ยน้า ” พูดแบบนั้นกับตัวเองก่อนจะถอนหายใจเซ็งๆออกมาอีกครั้ง “ เอาจริง กูอยากจะนั่งกินข้าวกับอาร์มตรงนี้แล้วก็ดูหนังสักเรื่องแล้วเนี้ย นายท่านค้าบบบ แก้มหอมขาาาา ”

“ เมี๊ยว ” เจ้าตัวน่ารักตอบรับ

“ ทำไมป๊ามึงช้าจัง ถ้ามาช้ากว่านี้ หมูในกระทะมันจะไม่อร่อยเอานะ ” ไม่มีเสียงตอบรับจากเจ้าก้อนขนอีก มีแต่ไอ้นายท่านที่เดินเอาตัวถูไถกับมือของผมที่ลอยอยู่เหนือพื้นแบบที่ขอให้เกาคางให้หน่อย “  ไม่เข้าใจเลยทำไมต้องเป็นไอ้อาร์มด้วย เพื่อนคนอื่นไม่มีให้พึ่งพาเลยหรือไง ไอ้สัด ”

“ ม๊าว ” เสียงที่ดังมาจากไอ้ตัวลายด้านล่าง ผมหลุดยิ้มกับจังหวะที่เหมือนจะเป็นใจนั้น

“ มึงก็คิดเหมือนกูใช่มั้ยนายท่าน สงสัยจะมีเพื่อนคนเดียวแน่ๆเลยไอ้สัดนั่น ”

แกร๊ก
 
เสียงเปิดประตูดึงความสนใจของผมให้เงยหน้าขึ้นไปมองก่อนจะหลุดยิ้มกว้างออกมาพร้อมกับดึงตัวเองขึ้นนั่งแทบจะทันทีแบบที่ระงับบความดีใจไว้ไม่อยู่ ไม่ต้องคิดถึงเจ้าแก้มหอมที่กระโดดลงแทบจะไม่ทัน ส่วนอาร์มเองนั้นก็หลุดยิ้มกว้างออกมาในท่าทีนั้น ก่อนจะปิดประตูห้องของผมลงด้วยความเงียบเชียบ

“ ตื่นเต้นเหรอที่เห็นกูมา ” คงอดแซวกันไม่ได้ แต่ก็เอาเถอะ ท่าทางเมื่อครู่ก็เหมือนพวกหมาแมวรอเจ้าของมากจริงๆ ยังไงก็โกหกไม่ได้อยู่แล้ว และแน่นอนว่าตอนนี้ถ้ามีหางก็คงส่ายไปมาดุ๊กดิ๊กไม่มีหยุดเหมือนพวกหมาตัวน้อยๆเวลาดีใจเวลาเห็นเจ้านาย 

แต่ถึงอย่างงั้น ผมก็ไม่ใช่คนที่จะยอมรับเรื่องน่าอายแบบนั้น ให้ออกจากปากไปตรงๆหรอก แม้จะไม่เนียนเลยก็ตาม

“ กูแค่หิวมากๆแล้วต่างหากละไอ้สัด ”

“ เหรอครับ ” ตอบรับแบบนั้นอาร์มก็เดินเข้ามาใกล้ก่อนจะย่อตัวลงมาจนหน้าของเราเสมอกัน “ คิดว่าจะคิดถึงกูมากๆ จนทนไม่ไหวแล้วซะอีก ”

“ หลงตัวเองอะไรเบอร์นั้นหนอ ” เบือนหน้าหนีสายตาวิบวับนั้นก่อนจะโดนอีกฝ่ายหอมแก้มไปเต็มฟอดแบบที่แก้มยุบ ตัวเอียงไปอีกทาง จนต้องยกมือขึ้นปิดแก้มตัวเองแล้วมองคนกระทำอย่างคาดโทษ แต่ใช่ว่าอาร์มจะสนใจ มันเดินเข้าไปครัวไปทั้งอย่างงั้น แถมยังไม่ได้สนใจใจซึ่งสิ่งใดเลยสักนิด “ ไอ้สัด ”

เสียงเตาแก๊สดังขึ้นในวินาทีที่อีกฝ่ายมาถึง อาร์มอุ่นหมูที่ทำเอาไว้ก่อนจะจัดการลวกไข่ มันที่หันมามองผมแบบที่ไม่พูดอะไร แต่กลับเชิดหน้าไปทางกล่องข้าวที่เราอุ่นไว้ก่อนหน้า แบบที่บอกใบ้กันด้วยท่าทางแค่ว่า ‘ มาตักข้าวครับไอ้หมูอ้วน  จะนั่งอืดอยู่ทำไม ’

“ แล้วมึงจะกินข้าวเท่าไหร่ เยอะมั้ย ” มือจับที่ตักข้าวผมตักขึ้นมาปริมานที่คิดว่าอีกฝ่ายจะกิน ก่อนจะยื่นไปให้ดู “ แค่นี้มั้ย ”

“ อีกหนึ่งทัพพี ”

“ โอเค ” ตักข้าวตามที่อีกคนบอกก่อนจะยื่นไปให้ดูอีกครั้ง แล้วในตอนที่กำลังจะตักข้าวของตัวเองผมก็เอ่ยถามอีกคน

“ แล้วตกลงดีนว่ายังไง มึงกลับมาหากูแบบนี้ มันไม่ว่าเหรอ ”

“ มันจะว่าได้ยังไง ” อีกคนบอกก่อนจะหันมายกยิ้มให้กัน “ มันมีสิทธิ์อะไรมาว่ากู กูจะอยู่กับแฟนกู ”

“ ว้าวซ่าส์มากนะไอ้สัด ถ้าเปิดตัวว่ากูคือแฟน จะว้าวซ่าส์แบบนี้มั้ย ”

“ กูจะว้าวซ่าส์ให้ได้มากกว่านี้อีก ” อาร์มว่าแบบนั้นก่อนจะยักคิ้วให้กัน แบบท้าทาย “ พอวันนั้นมาถึง มึงว้าวซ่าส์ให้ได้เท่ากูแล้วกัน ”

“ กลัวแล้วจ้าพี่อาร์ม อย่าจับน้องจูบกลางโรงอาหารก็กัน ถ้าทำกูถีบนะบอกไว้ก่อน ”  เจ้าของมือที่เอื้อมมาหยิบถ้วยข้าวของผมไม่ได้พูดอะไรต่อทั้งนั้น อาร์มแค่ยิ้มให้กับคำพูดนั้น พร้อมทั้งตักหมูที่ผัดเอาไว้ขึ้นมา ก่อนจะตอกไข่แล้วก็โรยต้นหอม “ น่ากินโคตร ”

“ อร่อยด้วย ”

“ อร่อยก็ตักใส่จานตัวเองเร็วๆ กูหิวแล้วเนี้ย กูจะไปเตรียมน้ำให้มึงนะ มึงตักเสร็จก็ไปรอที่หน้าทีวีนะ เลือกหนังไว้เลยก็ได้นะ อยากดูเรื่องอะไร ”

“ มึงเป็นคนดูหนังไปกินข้าวไปเหรอ ”

“ ก็มีบ้าง แบบที่บ่อยๆและถี่ๆ ก็น้า จะทำยังไงได้กูอยู่คนเดียวนี่น่า กินข้าวคนเดียวมันก็เหงาๆน้าถ้าไม่ดูหนัง ” ว่าแบบนั้นก่อนจะหยิบขวดน้ำแล้วก็แก้วสองใบเดินไปที่โต๊ะ  ส่วนอาร์มก็เดินถือชามข้าวมา

เรานั่งลงบนโซฟาด้วยกัน เปิดทีวีที่สุดท้ายด้วยความหิวก็แค่เปิดช่องหน้าแรกของรายการโปรดทิ้งไว้ทั้งอย่างงั้น แต่กลับไม่กดเลือกสิ่งที่อยากดูแต่อย่างใด แน่นอน ผมตัดสินใจวางรีโมตลงแล้วตักข้าวที่ส่งกลิ่นหอมเชิญชวนนั้นเข้าไปในปาก

“ เป็นไง ” ยังไม่ทันจะเคี้ยวคนที่นั่งอยู่ข้างกันที่กินข้าวไปแล้วคำโตก็ถามแบบยิ้มๆ  ผมพยักหน้ารับแบบที่เบิกตาให้โตที่สุด แบบอยากให้อีกฝ่ายรับรู้

“ โคตรอร่อย ”

“ กินเยอะ ๆ ถ้าอยากกินอีกก็มีอีก ”

“ มึงจะขุนกูให้เป็นหมู แล้วถ้าอ้วนมากๆก็จะเอาไปขายในตลาดมืดเหรอ ” หันบอกอีกคนที่ก็เอื้อมมือมาจับที่แก้มก่อนจะหยิก

“ ก็น่าสนใจนะ เพราะเนื้อแก้มน่าจะได้ราคา แถมกูยังพิสูจน์แล้วว่า ทั้งหอมและก็นุ่มมากเลย ”

“ มึงโยงเหี้ยน่ากลัวแบบนี้ให้กูเขินได้ยังไง ถามก่อน ” ผมถาม “ อัศจรรย์ใจจริงๆเลย ” เสียงหัวเราะของคนที่นั่งกันดังลั่นแบบที่เรียกว่าแทบจะดังไปถึงห้องข้างๆจนต้องยกมือขึ้นปิดปากมัน “ จะเสียงดังไปแล้วไอ้สัด มึงอยากให้ไอ้ดีนมันมาเคาะประตูห้องเราหรือไง ”

“ ก็ดีนะ จะได้รู้ไปเลยไง จบๆ ”

“ จุกๆ ” เสริมประโยคนั้นของมัน ก่อนที่ผมจะเอื้อมมือไปหยิบเอารีโมตทีวีขึ้นมาเปิดเรื่องที่น่าสนใจซึ่งแน่นอนว่าก็เป็นแค่หนังตลกสักเรื่องที่สร้างบรรยากาศให้ห้องของเรามันไม่เงียบมากจนเกินไป


หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 25 :: up! 5-6-63} #หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 12-06-2020 20:29:53
ครืน ครืน ครืน

สายโทรศัพท์ของอาร์มดังขึ้นมาขัดจังหวะของเรา ผมเผลอถอนหายใจออกมาเบาๆในตอนที่เห็นว่ารายชื่อบนหน้าจอนั้นเป็นชื่อของคนที่ตอนนี้กำลังอาศัยอยู่ข้างๆห้องเรา

“ แปปนะ ” อาร์มว่าอย่างงั้นผมก็พยักหน้ารับ ก่อนอีกคนจะกดรับแล้วกรอกเสียงไปตามสาย

“ ว่าไง ทีวีไม่ติดเหรอ มันก็เปิดได้ปกตินะ ลองดูสายด้านหลังดีๆ กูก็ไม่ได้เช็คเหมือนกัน บางทีก่อนหน้านี้ไอ้แก้มหอมอาจจะไปเล่น ก็ยังไม่ติดเหรอ งั้นมึงเล่นมือถือไปก่อนแล้วกัน ก็จะให้กูทำยังไงดีนกูอยู่ห้องแฟนกู  ก็ลองขยับๆดูก่อน ไม่งั้นก็ขยับถ่านรีโมต บางทีถ่านจะหมด ลองดูหลายๆวิธี แก้ไขปัญหาด้วยตัวเองก่อน เออ กินข้าวอยู่ อื้ม มึงจะทำกินก็ทำเลย ในห้องกูมาม่าก็มี ถ้ามึงอยากกิน ไม่ไป ใครจะไปเรื่องแค่นี้ อื้ม แค่นี้ ” สายนั้นถูกกดวางแม้จะไม่ได้ยินอีกฝั่งแต่ก็พอประติดประต่อเรื่องราวทั้งหมดได้  อีกคนวางมันลงข้างตัวก่อนจะพิงตัวเองลงกับโซฟาตัวที่นั่ง

“ มันจะให้มึงกลับห้องเหรอ ”

“ เห็นบอกทีวีเปิดไม่ติด ” อาร์มว่าแบบนั้นก่อนจะถอนหายใจ “ แต่เดี๋ยวมันก็ทำได้เองนั่นแหละ อย่าคิดมากเลย ”

“ จะดีเหรอวะ ” อีกฝ่ายหันมามองในตอนที่ผมถาม

“ ก็อย่าคิดว่ากูอยู่ตรงนี้ ถ้ากูอยู่ไกล ก็ต้องขับรถไปทำให้มันเหรอ ตลกแล้ว ”

“ นั่นก็จริง ”

“ แต่เดี๋ยวมันก็โทรมาอีก ไอ้สัดนี่ ยังไงก็ต้องหาเรื่องจนกูกลับไปหามันอยู่แล้ว คืนนี้คงมีสารพัดเรื่องนั่นแหละ มันไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอก ”

“ เพราะกูไม่ยอมบอกเบสเหรอวะ เรื่องมันถึงเป็นแบบนี้ ” อดถามมันไม่ได้เลย ก็จริงอยู่ที่ไม่อยากจะทำลายความรู้สึกเพื่อน แต่ถ้ามันจะต้องทำให้อาร์มยุ่งยากขนาดนี้ ตอนนี้ผมก็รู้สึกไม่โอเคแล้วเหมือนกัน

“ ไม่หรอก ” อีกฝ่ายบอกปัด “ ในกรณีนี้ถ้าเราบอก มันคงเดินมาเคาะประตูห้องเราเลยมั้ง จนกว่ากูจะยอมอยู่ที่ห้องกับมัน มันถึงจะหยุดมีปัญหา ”

“ ขนาดนั้นเลยเหรอ ”

“ มันเป็นคนแบบนั้น ” หลังประโยคตอบรับอาร์มก็ตักข้าวขึ้นมากินแบบที่ไม่ได้ใส่ใจอะไรต่อ “ ไม่มีอะไรหรอก กินเถอะ ”

แต่ถึงอย่างงั้นสายโทรศัพท์ที่ดังอยู่ตลอดช่วงเย็นของวันก็ชวนให้หงุดหงิดจนแทบอยากจะกร่อนด่าให้ผ่านทะลุกำแพงไป แม้แต่เจ้าของเครื่องถึงกลับต้องปิดเสียงให้เหลือแต่สั่นแต่ถึงอย่างงั้นมันก็ยังรบกวนเราไม่มีหยุดย่น เรียกได้ว่า แทบทุกชั่วโมง

ปัญหาหาร้อยแปดเกิดขึ้นภายในห้องนั้น ทีวีไม่ติด เปิดน้ำร้อนไม่เป็น เตาแก๊สใช้ยังไง ไมโครเวฟเปิดไม่ติด ที่โกนหนวดอยู่ไหน หรือแม้แต่เรื่องใหญ่ๆที่อีกคนแทบจะพุ่งออกจากห้องไปหาคือ ปิดเตาแก๊สไม่เป็น จนตอนนี้ที่อาร์มต้องกลับเข้าห้องตัวเองไปสักพัก ผมก็เริ่มไม่รู้แล้วว่าปัญหาที่เกิดขึ้น มันจริงหรือโกหก

“ มันมีด้วยเหรอวะ คนที่มันจะไม่รู้เรื่องอะไรเลยแบบนี้ ” พูดกับตัวเองแบบนั้น ในตอนที่เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดนอน เพราะตอนนี้เริ่มเข้าสู่ช่วงเวลาสองทุ่มแล้ว

ผมหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาดูเวลา อาร์มเดินไปที่ห้องตัวเองก็ราวๆ ยี่สิบนาทีแล้ว และยังกลับไปกลับมาเลย ผมเดาว่าถ้าไม่ด่าอยู่ ก็คงสอนใจนู้นนี่นั่นอยู่ในห้อง

‘ เบื่อชิบหาย ’ บอกกับตัวเองอย่างงั้นในตอนที่เดินออกไปจากห้องนอน หนังที่อยากดูก็ไม่ได้ดูแบบตั้งใจ แทนที่จะได้นั่งหัวเราะกับมุกตลกโง่ๆกับหนังลาโรงที่อยู่ในโปรแกรมดูหนังกลายเป็นว่าต้องมานั่งหงุดหงิดกับสายโทรศัพท์ แถมดึกๆแบบนี้ ควรจะได้นอนคุยๆกันในห้องนอน ก็เสือกจะมีปัญหาอีก

“ หิวมั้ยพวกมึง ” ผมพูดกับกับไอ้พวกตัวแสบในตอนที่หยิบเอาจานอาหารขึ้นมาจากที่ตั้งทั้งสองใบ จัดการล้างก่อนจะเช็ดจนสะอาด แล้ววินาทีที่เปิดถุงอาหารเม็ดเทลงใส่ถ้วยในจำนวนนึง ในตอนนั้นเจ้าก้อนขนสองตัวก็รีบวิ่งมาวนเวียนอยู่ที่โต๊ะ แบบที่ไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่ ก่อนจะบอกให้ตอนที่วางจานอาหารลง “ เผื่อหิวดึกๆนะ ”

“ กลับมาแล้ว ” เสียงตรงหน้าประตูชวนให้ผมหันไปมองคนที่เข้ามาใหม่ อาร์มที่ถอนหายใจออกมา พลางมองอาหารแมวที่ผมวางลงบนที่ตั้งเมื่อครู่ “ ให้อาหารแมวเหรอ ”

“ อื้ม เผื่อพวกมันหิวดึกๆ ” พยักหน้ารับตอบรับก่อนจะให้ไปยิ้มให้คน “ ยังไงเพื่อนมึง เกือบทำคอนโดวอดทั้งหลังมั้ย ”

“ หม้อเกือบไหม้ไปใบนึง ” อีกคนบอกแบบนั้นผมก็ได้แต่เบิกตา แต่อาร์มก็เหมือนจะเหนื่อยหน่ายเต็มทนเหมือนกัน มันเลยถอนหายใจออกมา

“ พูดไม่ออกเลยกู ”

“ มันไม่รู้จักวิธีช่วยเหลือตัวเองเบื้องต้นเลยเหรอวะ พ่อแม่เลี้ยงมายังไงของมัน ” บอกอีกฝ่ายที่ก็แค่ยักไหล่ราวกับชินชาเหลือเกินแล้วกับอะไรแบบนี้

“ อย่างงี้แหละ มีคนทำให้ทุกอย่างตั้งแต่เด็กจนโต ” ว่าแบบนั้นพร้อมกับเดินมากอดกันจากด้านหลังพร้อมทั้งวางคางลงบนไหล่ด้วยท่าทางแบบที่เหมือนจะไม่ไหวแล้ว “ แต่หลังจากนี้ก็ไม่น่าจะมีอะไรแล้วละมั้ง ทีวีกูเช็คแล้ว น้ำร้อนกูก็สอนเปิดแล้ว ทุกอย่างน่าจะโอเค ”

“ แต่ทำไมกูไม่เห็นคิดแบบนั้นเลยวะ ” พูดแบบนั้นออกไปเบาๆ ผมแค่รู้สึก ว่ามันต้องมีอะไรอีกแน่ๆ อะไรสักอย่าง แต่ก็นั่นแหละ ผมเดาไม่ออกเหมือนกันว่ามันคืออะไร

.................................................

ตกดึกในห้องของเราก็หลงเหลือไว้เพียงแค่ความเงียบ ไม่มีเสียงโทรศัพท์มากวนใจมาสักระยะแล้ว และนั่นก็เป็นอะไรที่ดีที่สุดเลย อาร์มอาบน้ำเรียบร้อยมันปะแป้งตัวหอมแบบกลิ่นเดียวกับผม เราที่นอนหนุนหมอนเดียวกันมองฟ้าเพดานขาวที่ก็แทบไม่มีอะไร แต่ทว่าบรรยากาศกลับรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ยกเว้นเสียแต่ มือหนาที่กำลังวอแวกับเจ้าน้องของผม

“ นี่ มึงอย่ายุ่งน่า ” มือหนาที่พยายามจะผลักตุ๊กตาเน่าในความคิดของมันออกไปให้ไกลจากผม แต่ผมก็แค่กอดไว้แน่นอย่างไม่ยอมเช่นกัน  แล้วพออีกฝ่ายเห็นว่ามันเป็นแบบนั้น นิ้วชี้ก็เริ่มขยับขึ้นมาเกลี่ยจมูกกัน

“ ไอ้เด็กน้อย ติดหมอนเหม็น ”

“ ไม่เหม็น หอมจะตาย ” สูดเข้าไปเต็มฟอดจนคนที่มองอยู่ถึงกับหลุดหัวเราะ  แต่ในตอนที่มันจะกำลังใช้นิ้วเกลี่ยจมูกกันอีก ผมก็ทำทีเป็นจะงับ

“ พรุ่งนี้กินอะไรดีมื้อเช้า ”

“ เรานี่ก็สายแดกพอตัวนะ ยังไม่ทันขึ้นวันใหม่เลย ก็คือคิดแล้วนะ ว่าจะกินอะไรพรุ่งนี้ ”

“ หมายถึงตัวเอง ” อาร์มก้มหน้าลงถามผม ที่ก็แค่สบถออกไป

“ ไอ้สัด ”

“ ง่วงยัง ”

“ ถ้ามีคนกอดก็คงจะเริ่ม แต่ไม่ใช่เริ่มง่วงนะ เริ่มอยากนอน เพราะอยากโดนกอด ” ยักคิ้วพลางพลิกตัวจ้องมองอีกคนที่ก็พลิกตัวมามองกันก่อนจะใช้นิ้วเขี่ยจมูกกันเป็นการคาดโทษ

“ ร้ายอีกแล้วนะ ”

“ ร้ายยังไงไม่ทราบครับ ”

“ ก็ทำหัวใจกูป็อปแป็ปไง ” หลุดหัวเราะเสียงดังกับท่าทางกล่าวโทษที่ดูจริงจังแบบที่ไม่ค่อยเข้ากับหน้าเท่าไหร่นั้น  ผมที่กำลังจะดึงตัวเองเข้าไปอดมันแต่ยังไม่ทันจะได้จูบ หรือนอนกอดกันแบบเต็มอ้อมแขนอย่างที่คิด เสียงที่ไม่อยากจะได้ยินก็ดังขัดขึ้นมา


ครืน ครืน ครืน

“ อีกแล้วเหรอวะ ” ผมถามเจ้าของมือถือที่วางอยู่ตรงหัวเตียง อาร์มก็ได้แค่ถอนหายใจก่อนจะพลิกตัวไปหยิบมันขึ้นมาดู แล้วก็เป็นเหมือนอย่างทุกครั้ง คือ ดีน เป็นคนที่โทรเข้ามาอีกแล้ว “ ไม่ใช่ว่าคราวนี้กางผ้าห่มไม่เป็นนะไอ้สัด ”

“ ก็ไม่แน่ ” อาร์มแกล้งเย้าผมก่อนจะหันมากดรับสาย “ ว่าไง ข่มตาหลับเถอะไอ้สัด ขอร้อง แล้วอย่าโทรมาอีก กูจะนอกกอดเมียกู กูง่วงแล้ว แล้วจะให้กูทำยังไงอะดีน มึงนอนไม่หลับแล้วกูต้องทำยังไง ไม่ไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องเลยมึง นอนเถอะ ก่อนที่กูจะไม่รับสายมึง แล้วอย่าโทรมาอีกนะ จะนอนแล้ว ”

ผมหยิบมือถือที่อีกฝ่ายกับถืออยู่นั้นขึ้นมา ก่อนจะกดปิด ท่ามกลางสายตาคมที่มองดูด้วยความสงสัย เพราะผมไม่เคยเป็นแบบนี้

 ก็แค่ไม่ไหวแล้ว โทรมาอยู่นั่น โทรมาอยู่ได้ ทั้งๆที่มันไม่ใช่เรื่องที่น่ารักเลยกับการไปดึงมือถือที่อีกฝ่ายกำลังคุยอยู่อย่างงั้น ถ้าเป็นผมคุยอยู่ ผมก็คงไม่ชอบให้ใครทำเหมือนกัน แต่นี่มันไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้วจริงๆ จะรบกวนไปจนถึงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

รบกวนแบบไร้สาระ
รบกวนแบบตั้งใจไม่ให้เราอยุ่ด้วยแบบมีความสุขด้วยซ้ำ

“ นอนเถอะ กอดกูหน่อย อย่าไปสนใจอะไรมันอีกเลยมึง ” บอกแค่นั้นก่อนจะยื่นมือถือคืนไปให้อีกคนที่ก็ตอนนั้น อาร์มแค่หยิบมันไปปิดตัวเครื่องลง แล้ววางมันตรงที่เดิม ร่างสูงหันมาดึงตัวเองเข้าไปกอดผม เราที่นอนลงกับเตียง

“ โทษที ไม่น่ารักเลยใช่มั้ยที่ทำเมื่อกี้ ”

เพิ่งรู้ว่าตัวเองหงุดหงิดกับเรื่องเล็กๆได้ถึงขนาดนี้ เพิ่งรู้ว่าแค่ไม่ได้รับความสนใจเต็มที่ก็คล้ายกับเด็กเล็กที่เอาแต่ใจสุดๆ แต่ผมก็แค่รู้สึก ว่ามันชักจะมากเกินไปแล้ว ทำไมแฟนผมต้องไปคอยเอาใจใส่คนอื่นขนาดนั้น ทั้งๆที่พื้นที่ตรงนี้มันควรเป็นของเรา นี่คือช่วงเวลาของเราด้วยซ้ำ แต่ทำไมถึงต้องมาคอยแบ่งมันไปให้คนอื่น แล้วทำไมคนอื่นต้องมีความเกรงใจ ก็รู้ว่าอยู่กับแฟน แต่ก็มาคอยขัดกันอยู่เรื่อย

“ มึง ”

“ กูมีอะไรจะปรึกษา” อาร์มพูดขึ้นในตอนที่เอ่ยเรียกอีกฝ่าย “ พรุ่งนี้ดีนจะไปมหาลัยกับกูรถมันไม่มีน้ำมัน กูกำลังคิดหาทางปฎิเสธ เพราะกูอยากจะไปกับมึง แต่เหมือนว่ามันจะไม่มี รถมึงอยู่ที่นี่ รถกูอยู่ที่นี่ รถดีนก็อยู่ที่นี่ ถ้าปล่อยให้มันลงไป มันก็เห็นรถกู ความแตกแน่นอนเรื่องที่กูอยู่ที่นี่ตลอด เพราะงั้นจะเป็นอะไรมั้ย ถ้าพรุ่งนี้กูจะทำเป็นมารับดีนด้านล่าง ความลับของเราจะได้ไม่แตก จะได้ยืดเวลาไปแบบที่มึงบอก ”

“ แล้วถ้ามันเห็นรถกูละ”

“ รถมึงไม่เป็นอะไรหรอก มึงก็ใช้ชีวิตปกติ เหมือนแค่อยู่ที่นี่ ไม่มีอะไร ”

“ แล้วกูละ ” คล้ายกับว่าจะถามซ้ำแต่ไม่ใช่ ในตอนนั้นอ้อมกอดที่กอดกันอยู่ ผมรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่ค่อยๆผ่อนออกกมาอย่างหนักใจ “ มึงไปกับมัน แล้วกูจะไปยังไง ”

“ ก็คงต้องไปเองแล้วละ ไม่งั้นเรื่องของเราก็แตก มึงยังไม่อยากจะให้เบสรู้เรื่องไม่ใช่เหรอ  ก็มีแค่ทางนี้แหละ หรือมึงคิดว่าไง ”

“ งั้นก็ปล่อยให้มันแตกไปเลยได้มั้ย ” ผมพูดเสียงเรียบหลังจากที่นิ่งไปอยู่นาน จนอาร์มที่กอดกันอยู่ถึงขั้นผละตัวเองออกเพื่อมองกัน

“ เมี่ยง..”

“ กูแค่ไม่อยากจะให้มึงไปไหนอีก พอแล้วได้มั้ย มึงที่เหมือนไม่ใช่ของกูคนเดียวแบบนี้ ไอ้เรื่องที่คิดว่า ก็แค่นี้ แม่งไม่ใช่เรื่องแค่นี้แบบที่คิดไว้เลย ”

...................................................................

ไหนใครบอกว่าสองวันเอง  เป็นยังไงละ
ตอนนี้ยาวมาก หวังว่าจะจุกใจกันไปเลยนะคะ
เจอกันตอนหน้าค่ะ มันส์กว่านี้แน่นอน #ขอบีบมือไว้ ณ ที่นี้

ท้ายนี้ หนมมี่รักพี่อาร์มนะคะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์
ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ในทวิตด้วยน้า
หนมมี่ จ้ะ
 :katai4: :katai4: :katai2-1: :katai2-1: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 26 :: up! 12-6-63} #หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 12-06-2020 23:49:56
หึหึ อิอิ คึคึ ทนไม่ไหวแล้วสิ ถ้าไม่บอกใครก็วนลูปไป up 2u เอาที่สบายใจนะ รอตอนหน้าจ้า  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 26 :: up! 12-6-63} #หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 12-06-2020 23:51:29
เหนื่อยใจไปกับคนกลางด้วย โสมนามหน้า อยากไม่หักดิบกับดีน็เป็นอย่างนี้แหละ  o18
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 26 :: up! 12-6-63} #หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 13-06-2020 00:23:53
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 26 :: up! 12-6-63} #หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 13-06-2020 01:08:06
 :pig4: :pig4: :pig4:

น้องเมี่ยงลีลาเกิ๊น   บอก ๆ ไปเลยจะได้เป็นอิสระ  คนไทยแปลว่าอิสระอ่ะ
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 26 :: up! 12-6-63} #หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 13-06-2020 08:04:22
เหมือนรอวันแตกหักกับความไม่ชัดเจนของทั้งคู่ มาม่าชามโตแน่นอน
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 26 :: up! 12-6-63} #หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 13-06-2020 22:46:26
ดีนกลายเป็นคนน่ารำคาญไปซะแล้ว

ถ้าดีนจะมาออกตัวตอนนี้ ว่ารักอาร์มมาตลอด แต่ต้องปกปิดเพราะพ่อแม่หรืออะไรก็ตาม การแสดงออกตลอดมาก็ไม่น่าจะใช่ มีสาวมีแฟนมีคนควงโดยไม่ได้แคร์เลยว่าอาร์มจะเจ็บจะเสียใจ ถ้าใช่ คงมีอีโก้เต็มที่ว่ายังไงอาร์มก็รักไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

ถึงวันนี้ที่อาร์มตัดใจได้ มีแฟนขึ้นมาจริงๆ ถึงกับดิ้นทุรนทุราย ไม่เชื่อว่าอาร์มจะหลุดจากเสน่ห์ ??? ปีนจากหลุมรักของตัวเอง
จะเป็นแค่หมาหวงก้าง หรือรู้ตัวเมื่อสาย
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 27 :: up! 19-6-63} #หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 19-06-2020 20:21:21
 
ตอนที่ 27

เสียงรบกวนที่ชวนให้หงุดหงิด ถูกตัดออกจากความน่ารำคาญตั้งแต่เมื่อคืน คนข้างกันปิดโทรศัพท์ลง ตัดสายเรียกเข้าของคนข้างห้องที่อาจจะโทรเข้ามาแล้วทำให้หงุดหงิดอีกออกไปทั้งหมด แต่ถึงแม้ว่ามันจะเป็นอย่างงั้น ผมก็ยังรู้สึกหงุดหงิดอยู่ดี

มันความหงุดหงิดแบบที่ไม่ได้หงุดหงิดคนข้างกาย
ผมแค่หงุดหงิดตัวเอง  หงุดหงิดที่ทำไมไม่ทำอะไรๆให้มันเรียบร้อยซะตั้งแต่ทีแรก

แต่ก็คิดเหมือนกันว่า ถ้าบอกออกไป เช้านี้ก็อาจจะประมานว่า มีใครบางคนมาเคาะประตูห้องเรา ขอออกกินข้าวเช้าด้วย และแน่นอนว่ามันรวมถึง ขอไปมหาลัยด้วยคน

“ ทำไมวะ ” คำถามนั้นถูกถามขึ้นมาในตอนที่ผ่อนลมหายใจพร้อมทั้งลืมตาตื่น ผมเอื้อมมือไปจับมือถือของตัวเองที่วางอยู่ตรงลิ้นชักหัวเตียงขึ้นมาดูเวลา

เจ็ดโมงเช้าเข้าไปแล้ว ทั้งๆที่คิดไว้ว่าจะได้นอนแบบมีความสุขกับคืนแรกของความสัมพันธ์พิเศษที่เพิ่งเริ่นต้นขึ้น เราที่อาจจะหยอกล้อกันนิดหน่อย มองตา ไม่ก็เล่นจักกะจี้กันบ้าง หรืออาจจะนอนดูอะไรสักอย่างที่น่าสนใจในมือถือแบบหัวชนกัน ตื่นสายสักหน่อยเพราะมีเรียนสิบโมง 

แต่สุดท้ายก็เหมือนว่าจะไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้เท่าไหร่ 

ผมพลิกตัวเองหันมองคนที่ยังคงหลับสนิท มือหนาที่วางอยู่ตรงเอวนั้น ชวนให้หลุดยิ้มออกมาในตอนที่อาร์มทำทีท่าเหมือนจะตื่น เพราะแรงมือที่ดึงผมเข้าไปในอ้อมกอดนั้น

“ แล้วก็บังอาจมาว่ากูนะ ว่าติดตุ๊กตาเน่า ” ยื่นนิ้วเข้าไปเขี่ยจมูกโด่งของคนที่นอนข้างกันเบาๆ อาร์มที่สะบัดหน้าไปมา สายตาคมหรี่มองกันแบบสู้แสง พร้อมกับคิ้วเข้มที่ขมวดเข้ากันแน่น

“ กี่โมงแล้ว ”

 “ เจ็ดโมง ”  คำตอบชวนให้คนฟังถอนหายใจมันลืมตาตื่นขึ้นมาแบบชนิดที่ไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ แน่นอนว่ามันยังไม่ใช่เวลาที่ต้องตื่นในตอนนั้น อาร์มก็เลยแค่กระชับอ้อมกอดของผมให้เข้าไปใกล้กันอีก จนลมหายใจนั้นรดลงต้นคอจนชวนให้หดตัวอย่างรู้สึกแปลก ผมดันตัวเองออก “ ปล่อยไอ้สัด ขนลุก ”

“ กอดหน่อย ”

“ หน่อยเหี้ยอะไรละ กูขนลุก ” ได้ยินแต่เสียงหัวเราะที่ดังออกมาจากในคอของคนที่เอาแต่ยิ้ม อาร์มดึงตัวออกห่างจากผม

“ แล้วแค่นี้ต้องรังเกียจกันด้วยเหรอครับ ” ส่ายหน้าไปมาพลางเอียงหน้าหนีบคอฝั่งที่โดนลมหายใจนั้นแบบที่คิดว่าอาจจะทำให้ความรู้สึกจักกะจี้นั้นมันหายไป ถ้าทำเช่นนั้น

“ ใช่ เพราะขนลุกมากนะ ขอย้ำให้รับรู้ไว้เลย ” ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่เอาแต่ยิ้ม ผมลุกขึ้นนั่งบนเตียง ในตอนนั้นอีกคนก็แค่ดึงเจ้าตุ๊กตาหมีของผมเข้ามากอดไว้แน่นราวกับจะให้เป็นตัวแทนกัน สายตาคมนั้นหลับลงอีกครั้ง มันพึมพำ “ นอนกอดไอ้เน่าก็ได้ ”

“ กรุณาให้เกียรติพี่หมีของกูด้วยนะ มึงกอดมันก็ต้องพูดกับมันดีๆ เข้าใจมั้ย ”  เอื้อมมือไปลูบ อาร์มก็ก้มลงจูบมัน

“ โอเคมั้ยครับ คุณน้องของคุณพี่หมี ”

“ ดีมาก ” ว่าแบบนั้นมือก็เอื้อมไปลูบหัวอีกคนคล้ายกับว่าเป็นเด็กน้อย “ เด็กดีนะครับน้องอาร์ม นอนต่ออีกหน่อยน้า เดี๋ยวถึงเวลาหม่าม๊ามาปลุกนะครับ ”

“ แล้วหม่าม๊า ไม่นอนกับป่าป๊าแล้วเหรอ ” สายตาคมถามกันแบบที่เปิดตาข้างเดียวนั้นขึ้นดู แต่ในตอนนั้นผมก็แค่นิ่ง แน่นอนว่ารวมทั้งเสียงแล้วก็หน้าตาด้วย

“ เล่นด้วยหน่อยไม่ได้เลยนะไอ้สัด เก็บแม่งทุกเม็ด ”

“ แน่นอน ” มันตอบรับพลางยักคิ้วให้กัน “ แต่พูดจริงๆว่าแปดโมงครึ่งตื่นยังทันเลย มึงก็น่าจะนอนต่ออีกหน่อย ”

“ นอนไม่หลับแล้วมึง ” พูดแบบนั้นก่อนจะยักคิ้วพร้อมทั้งกับดึงตัวเองลงจากเตียง มือที่เปิดลูกบิดของห้องแต่ยังไม่ทันจะก้าวออกไป เจ้าตัวลายก็มานั่งรอหน้าห้องอยู่แล้วแบบที่รู้เวลา ผมยิ้ม “ นายท่านค้าบบบบบ ” เอ่ยเรียกแบบเสียงสองสามสี่ใส่อีกตัว

ปกติก่อนหน้านี้ผมจะแค่เปิดประตูห้องแง้มเอาไว้ พอเช้าเมื่อไหร่นายท่านก็จะเอามือเขี่ยประตูให้กว้างออกเพื่อแทรกตัวเข้ามาหากัน แต่เพราะวันนี้ผมปิดประตูสนิทไม่เหมือนทุกที มันก็เลยแค่นั่งรออยู่อย่างงั้นเพื่อรอเวลาที่จะเคาะประตูเรียกผม

“ ว่าไงมึง ” ก้มลงเกาคออีกตัวก่อนจะพาตัวเองมานั่งลงบนโซฟาแบบที่ไม่รู้จะทำอะไร ผมผ่อนหลังกับพนักพิงพลางมองเพดานขาวที่แสนว่างเปล่านั้น พร้อมกับเจ้าก้อนขนสองตัวที่ก็กระโดดขึ้นมานอนขดกันบนตักแบบพร้อมเพียง

‘ เอาไงดีวะ ’ คำถามที่ผุดขึ้นในสมองของผม สาเหตุหลักของการนอนไม่หลับทั้งคืน และต้นเหตุของคำถามนั้นก็คือ ‘ จะทำยังไงดีกับเช้าวันนี้ดี ให้อาร์มไปกับดีน แล้วผมก็ต้องไปเองเหรอ ’ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องถอยเปล่าวะ ถึงที่อาร์มพูดมันจะถูก ว่าเป็นทางเดียวที่ผมจะยังเก็บความลับเรื่องของเราไว้  ในกรณีที่ผมยังไม่อยากจะบอกเบสก่อน ก็เหมือนจะมีแค่ทางนี้

แต่ก็ยังรู้สึกว่า ไม่ใช่เรื่องอะไรสักหน่อย

ก็ถ้าสมมุติว่าผมไม่ได้อยู่ที่นี่ อาร์มไปอยู่กับผมตรงคอนโดที่ใกล้มหาลัย แล้วคือยังไงละ ? พอตอนเช้าก็ต้องวนรับมารับดีนก่อนเหรอวะ ก็ไม่ใช่เรื่องมั้ยละ

แล้วคิดยังไงก็ไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมมันไม่รู้จักพึ่งพาตัวเองบ้าง และที่ไม่เข้าใจกว่านั้นคือ ทำไมมันไม่มารยาทขนาดนั้น คนบ้าอะไร โทรมาขอความช่วยเหลือตลอดจนต้องปิดมือถือ ไม่งั้นก็คือไม่ได้นอน

“ แล้วคือสุดท้าย กูต้องยอมขับรถไปเองเหรอวะ ” ก้มลงถามเจ้าก้อนขนที่ก็ไม่มีคำตอบให้  “ ก็ไม่ควรมั้ย ถึงกูจะขับรถไปได้ สบายมาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องนะ จริงมั้ย มันไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายสักหน่อย ทำไมมันไม่ไปเอง เรียกแท็กซี่ก็ได้ ทำไมไม่ทำ เออ มันไม่ใช่เรื่องที่กูต้องโอเคเปล่าวะ ถึงกูจะยังไม่บอกไอ้เบส และถึงมันจะเป็นทางเดียว แต่นี่ก็ไม่ใช่ทางออกนะ เราไม่จำเป็นต้องยอมมันสักหน่อย ถ้ามันจะไปเรียนไม่ได้เพราะไม่มีรถ ก็ให้มันรู้ไปสิวะ ถ้าแค่เรื่องนี้ มันยังเอาตัวรอดไม่ได้ ชาตินี้จะไปทำอะไรแดก จริงมั้ยพวกมึง พวกมึงคิดเหมือนกูมั้ย ”

สายตากลมของเจ้าแมวสองตัวเงยหน้ามองหน้ากันด้วยสายตาไม่เข้าใจ แน่นอนว่าในนั้นมีคำถามที่ว่า ‘ เป็นเหี้ยอะไรของมึงอะมนุษย์ พูดคนเดียวอยู่ได้ น่ารำราญจริงๆเลย ’

“ คนที่มันคู่กันแล้ว ไม่มีทางเข้าใจคนที่เค้ามีปัญหาหรอก ” ผมก้มลงบอกอีกสองตัวอย่างงั้นก่อนจะลูบขนนุ่มๆ “ แต่ถ้าบอกเบสไป ดีนรู้ว่ากูคบกับอาร์มมันจะยังไงวะ ถ้ารู้ว่าอยู่ข้างๆห้องกัน มันไม่มาเคาะทุกสองนาทีเลยเหรอ ขนาดไม่รู้มันยังโทรมาแล้วโทรมาอีกเลยนะ ”

“ เมี๊ยว ” เสียงที่เหมือนจะรำคาญเงยหน้าขึ้นร้องบอก ผมก็ได้แต่ถอนหายใจ

“ รำคาญเหมือนกันมึง ไม่รู้จะทำยังไงแล้วเนี้ย กูละคือ แสนจะปวดหัว หาทางออกไม่เจอเลยให้ตายเถอะ ”

“ บ่นเหี้ยอะไร งุ้งงิ้งแต่เช้า ” เสียงของคนที่คิดว่านอนอยู่เอ่ยพูดขึ้นมาผ่านประตูที่เปิดออก อาร์มที่เดินมาใกล้กันนั้น มันเกาคอตัวเองเดินเข้าไปในครัวเป็นอย่างแรก แก้วน้ำถูกดึงขึ้นมาจากที่วาง อีกคนกดน้ำกินจากหน้าตู้เย็น “ ว่าไง บ่นเหี้ยอะไรตั้งแต่เช้า ”

“ เรื่องเพื่อนรักมึงไง ” ว่าแบบนั้นอีกคนก็เลิกคิ้ว เหมือนสมองยังไม่จูนเท่าไหร่

“ เรื่องอะไร เพื่อนรักกู ”

“ ยังจะถามอีก ” ผมว่า ก่อนจะเชิดหน้าไปด้านหน้าแบบบอกใบ้ด้วยท่าทางว่าใครคือคนที่ผมเอ่ยถึงอยู่ “ เพื่อนดีน ชายผู้ซึ่งมีปัญหาทุกระดับประทับตีนกูไง ”

“ ฮ่าๆ ” เสียงหัวเราะดังลั่นของคนฟัง ผมถอนหายใจออกมาก่อนจะหันหน้าไปทางอื่นแบบเซ็งๆ

“ ยังจะมาหัวเราะอีก กูไม่อยากจะไปเรียนคนเดียวอะ รู้สึกไม่แฟร์เลยด้วย ทำไมกูต้องโดนทิ้งให้ถอยที่ให้มันด้วย ทำไมมันไม่พึ่งพาตัวเองบ้าง เท็กซี่ก็มี เรียกไปมหาลัยสิไอ้สัด ทำไมต้องมาใช้แฟนกู กูหวงนะ ”

“ งั้นจะออกก่อนมั้ยละ ” คนตรงหน้าถามออกมาเสียงเรียบ “ ถ้าเราออกก่อน ปิดเครื่องหนี มันลงมาก็ไม่เห็นรถกูจอดอยู่ก็จบแล้ว ส่วนรถของมึง มันจำไม่ได้อยู่แล้ว ถ้ามันโทรตามตอนกูเปิดเครื่อง กูจะบอกเองว่าคงไปรับไม่ทันแล้ว ให้มันเรียกแท็กซี่มาเอง ”

“ ได้เหรอ ” ผมถามย้ำ อีกคนก็แค่พยักหน้ารับแบบที่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมายเท่าไหร่

“ เอาความสบายใจของมึงเป็นที่ตั้งเมี่ยง ไม่ต้องสนใจอะไร ”

“ แล้วเมื่อคืนใครบอกให้กูไปเอง ” อาร์มมันยิ้มในตอนที่ผมพูด “ ใครบอกกูว่าถ้า กูยังไม่อยากจะบอกไอ้เบส ให้กูใช้แผนนี้ เพราะมันเป็นแผนเดียวที่มี ”

“ ก็แผนเดียวที่กูคิดออกในตอนนั้นไงครับ ”

“ K ” พลิกตัวหันไปพูดแบบไม่ออกเสียงอีกฝ่ายก็หัวเราะ “ แต่ว่านะมึง  ถ้าดีนรู้เรื่องของเรา รู้ว่าเราอยู่ที่นี่ มันจะไม่มาเคาะประตูห้องเรียกเราตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยเหรอวะ คราวนี้ต่อให้ปิดเครื่องหนีก็ไม่รอดพ้นแล้วนะ เพราะความประสาทแดก จะส่งตรงถึงหน้าประตูบ้านท่านเลย ”

“ ไอ้สัด ” ถึงขั้นสบถออกมาแต่อาร์มก็แค่ส่ายหน้า “ กูไม่กลัวหรอก ก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะด้านได้ขนาดไหน ”

“ หรือกูจะประสาทแดกใส่มันกลับดี ”

“ ยังไง ” อีกฝ่ายถามพลางวางแก้วที่ถือลงบนโต๊ะ อาร์มพิงตัวเองเข้ากับเค้าท์เตอร์มองดูผมที่กำลังคิดหาตัวอย่างที่มันเข้าท่า

“ ก็อย่างเวลามันมาเคาะประตูบอกว่า ให้มึงไปทำอะไรสักอย่างที่ห้องให้หน่อย กูก็คือลงไปนอนดิ้นกับพื้นเลยนะ เอาแบบเด็กอนุบาลอะ แล้วก็ตะโกนว่า ม่ายเอา ม่ายเอา น้องเมี่ยง จะไม่ให้พี่อาร์มของน้องเมี่ยงไปไหนทั้งนั้น ม่ายให้ปายยยยยยยย พี่อาร์มต้องอยู่กับเมี่ยงๆน้า แล้วก็ดิ้นๆ กลิ้งไปพื้นด้วยเป็นไง ”

“ เออ เข้าท่า ”

“ กูประชด ไอ้สัด ” พูดออกไปแบบไม่ออกเสียงในท้ายประโยค อาร์มก็แค่หัวเราะให้กันแล้วส่ายหน้าไปมาอย่างที่ไม่ได้รู้สึกกังวลต่ออะไรทั้งนั้น

“ เอาจริงๆ  มึงดูไม่สนใจมันเลยนะ ”

“ ก็อย่าไปสนใจมันให้เยอะขนาดนั้น เอาจริงๆมึงก็แค่ทำไปอย่างที่ใจมึงอยากทำ ไม่ต้องถนอมน้ำใจอะไรให้มันมาก โอเคที่เรื่องบางเรื่อง การจัดการปัญหาของกูยังไม่เคลียร์ มันต้องคิดให้ดีก่อน ” ผมขมวดคิ้วในตอนที่อีกคนพูด แต่เหมือนว่ามันจะจับทางกันได้ก็เลยอธิบายต่อ “ หมายถึงว่า เรื่องบางเรื่องถ้ามันมากเกินไป เราไม่โอเคที่จะทำให้ ก็ไม่ต้องไปใส่ใจ หรือไปคิดถึงความรู้สึกมันให้มาก จนกลายเป็นว่ามาทำร้ายความรู้สึกของตัวเอง ”

“ โอเค เก็ต ” ผมพยักหน้ารับ

“ ตอนนี้เราก็แก้ไขไปเฉพาะส่วน เอาทีละเรื่อง อีกอย่างนะ คนอย่างดีน ถ้าเราไม่สนใจมันมากๆเข้า แล้วพอมันทำอะไรไม่ได้ มันก็ไปเองนั่นแหละ ตอนนี้มันก็แค่รั้น เพราะคิดว่าตัวเองยังไม่แพ้เท่านั้นแหละ ”

“ งง ” เอียงหน้ามองคนที่พูดออกมาอย่างงั้น “ แพ้อะไร ไม่มีใครแข่งกันมันเลยนะ คือนี่เราพูดเรื่องเดียวกันมั้ย ”

“ มึงพูดเรื่องไอ้ดีนใช่มั้ย ” คนตรงหน้าถามกันอย่างงั้น ผมก็พยักหน้ารับ “ งั้นก็เรื่องเดียวกันครับ ”

“ ทำไมเหมือนจะเป็นคนละเรื่องเดียวกัน ” เอียงหน้าไปมาซ้ายทีขวาทีใส่อีกคนที่ก็แค่ยกยิ้มให้กันอยู่อย่างงั้น ก่อนที่อาร์มจะบอก

“ คือถ้าเป็นกู กูจะไม่มานั่งหน้าแมวงงอยู่อย่างที่มึงเป็นนะ กูจะรีบไปอาบน้ำ แล้วเตรียมตัว ก่อนที่ไอ้ดีนจะตื่น แล้วโทรมาหากูขอติดรถเราไปมหาลัยด้วย แบบที่คราวนี้เราจะหาข้ออ้างอะไรไม่ได้เลย ”


......................................................


เป็นครั้งแรกที่ออกจากบ้านตั้งแต่แปดโมง แม้ว่าจะมีเรียนสิบโมง และก็เป็นครั้งแรกที่ไม่รู้จะพาตัวเองไปในไหนในเช้าแบบนี้ ห้างก็ยังไม่เปิด ร้านอาหารข้างทางก็ไม่รู้จะกินอะไร ส่วนในมหาลัยก็ยังไม่อยากจะเข้าไป

“ เอาไงดี ” ผมหันไปถามอาร์มที่ก็เลิกคิ้วมองกัน

“ ก๋วยจั๊บมั้ยละ ”

“ ก็ได้นะ ” สิ้นเสียงคำตอบนั้น ตัดภาพมาอีกทีเราก็นั่งอยู่ในร้านคุณปู่เจ้าเดิมของน้องพฤษที่วันนี้ไม่อยู่ ไปโรงเรียนตั้งแต่เช้าแล้ว และความรู้ใหม่เลยก็คือ ที่ร้านนอกจากโจ๊กแล้วก็ยังมีก๋วยจั๊บขายด้วย เป็นก๋วยจั๊บหมูกรอบ ที่แทบจะมองเส้นไม่เห็นเลย เพราะหมูกรอบก็คือจัดเต็มเอามากๆ

“ น้องพฤษไปโรงเรียนแบบนี้แล้วใครช่วยลุงแกขายวะ ” ผมถามพลางเชิดหน้าไปที่เจ้าของร้านผู้มากด้วยประสบการณ์และอายุ ที่กำลังขะมักเขม้นอยู่ตรงหน้าเตา

“ ลูกจ้างแกเยอะแยะไป ” อาร์มบอกพลางตักก๋วยจั๊บตรงหน้าเข้าไปกินแบบเต็มคำ มันที่เชิดหน้าไปที่หลังร้าน “ มึงคิดว่าหลังร้านนั่นมีกี่คน ”

“ เยอะเลยเหรอวะ ”

“ เค้าเคยบอกกูว่า เค้าเป็นแค่คนขาย กับคนควบคุมสายการผลิตทั้งหมดในทุกวันเท่านั้น”

“ โห คำพูดคำจา ” คนฟังหัวเราะในตอนที่ผมพูดก่อนจะเชิดหน้ามาที่ชามก๋วยจั๊บของผม

“ มึงไม่ต้องกลัวว่าเค้าจะเหนื่อยหรอก เค้ารวยกว่าเราอีก ”

“ เหรอ ” ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะตอบรับ  สายโทรศัพท์ที่ก็ดังขัดขึ้นก่อนนั้น ผมเหลือบมองมันที่วางอยู่บนโต๊ะนั้น

ชื่อที่ปรากฏ ชวนให้ผมยกยิ้มเพราะทายถูกตั้งแต่ได้ยินเสียงเรียกเข้าในวินาทีแรกว่า ดีน คงจะเป็นคนโทรที่เข้ามาแน่นอน แล้วมันก็เป็นอย่างงั้น หลังจากที่อาร์มเปิดเครื่องมือถืออีกครั้งในระหว่างที่เราติดไฟแดง ข้อความมากมายส่งเสียงแจ้งเตือนกันราวสายน้ำไหล แบบที่ไม่ว่างเว้นอยู่หลายนาที

แล้วผมก็รู้สึกเลยว่าข้อความพวกนั้น น่าจะมาจากดีนแค่คนเดียวนั่นแหละ

“ เพื่อนรักมึงอะ ” เชิดหน้าไปที่โทรศัพท์อีกฝ่ายก็ถอนหายใจ อาร์มหยิบมันขึ้นมารับ

“ ว่าไง อยู่ข้างนอก พาแฟนมากินข้าว มึงเรียกเท็กซี่ออกมาแล้วกัน กูขี้เกียจวนเข้าไปรับ ก็ไม่ทำไม กูอยู่ใกล้มหาลัยแล้วด้วยจะเข้าไปให้เสียเวลาทำไมละ ” อาร์มเว้นเสียงไป อาจเพราะปลายสายเองก็เป็นเช่นนั้น “ ข้อความอะไร ยังไม่ได้อ่านเลย เพิ่งเปิดเครื่อง แค่นี้ก่อนนะ กูจะกินข้าว ” เสียงของดีนที่เหมือนยังพูดไม่จบตะโกนออกมาจากปลายสายนั้น ผมมองดูโทรศัพท์ที่ถูกคว่ำลงกับโต๊ะกับเจ้าของเครื่องที่แค่ยกช้อนขึ้นกินอย่างไม่สนใจอะไรอีก

“ มึง ตัดสายแบบนั้นคือมันจะดีเหรอวะ ” ผมถามออกไปด้วยความรู้สึกที่ไม่ดีเท่าไหร่ “ มึงเป็นเพื่อนรักกันนะ ถามจริงๆ ทะเลาะอะไรกันเปล่าวะ เรื่องกูมั้ย ”

“ ดีนยังไม่รู้เลยว่ากูคบกับมึง ” คนตรงหน้าบอกกันอย่างงั้น อีกฝ่ายก็ถอนหายใจ “ มันเป็นคนเอาแต่ใจเมี่ยง มันยึดมั่นในความคิดของตัวเอง แบบที่ว่าถ้ามันคิดแบบนี้ มันจะไม่ยอมถอดใจ แล้วตอนนี้หน้าที่ของกูก็คือ ทำให้มันรู้ ว่ามันคิดผิด ”

ได้แต่พยักหน้ารับคำพูดนั้น ถึงแม้จะไม่เข้าใจเลยในสิ่งที่อีกคนพูดเลยก็ตาม อาร์มไม่ได้บอกว่าอะไรคือสิ่งที่ดีนกำลังเอาแต่ใจ ไม่ได้บอกว่าอะไรคือสิ่งที่ดีนกำลังคิดผิด อาร์มพูดแค่ว่าดีนเอาแต่ใจและเข้าใจผิดเกี่ยวกับมัน

และแม้ว่าอยากจะถามแค่ไหน แต่เหมือนหัวใจลึกๆจะห้ามกันไว้ว่า ‘ อย่าเลย ’

“ อยากรู้ใช่มั้ย ว่าเรื่องอะไร ” คนตรงหน้าที่ถามกันออกมายิ้มๆ ในแววตานั้นที่เหมือนจะจับความรู้สึกกันได้ ผมพยักหน้ารับ

“ นิดนึง ”

“ ไม่น่าจะนิดหรอก ” อาร์มมันแซว “ แต่เดี๋ยวกูจะเล่าให้มึงฟังแน่ แต่ไว้ให้มันถึงตอนที่เล่าได้นะ ”

“ โอเค ตามนั้นครับผม ” พยักหน้ารับรู้ เป็นอันว่าเข้าใจและหยุดความสงสัยไว้แค่นั้น คนเราให้ความรู้สึกกับเรื่องแต่ละเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตไม่เหมือนกัน เรื่องบางเรื่องเราสบายใจในการเล่า แต่กับบางเรื่องก็ไม่ เราไม่ได้อยากจะเล่าให้ใครฟัง มันต้องรอจังหวะเวลาที่พร้อม

แล้วผมก็อยากจะเป็นแฟนที่เหมือนความสบายใจ
ก็เอาเป็นว่า ถ้ามันอยากจะเล่าเมื่อไหร่ ก็คงเล่ากันเองนั่นแหละ

“ แต่จะว่าไป ลุงแกทำก๋วยจั๊บอร่อยดีนะ ”

“ มึงหิวด้วยละกูว่า ” คำพูดที่ชวนให้แยกเขี้ยวใส่อีกฝ่าย เราหลุดยิ้มออกมาให้กัน ก่อนที่ต่างฝ่ายจะต่างก้มหน้าจัดการอาหารตรงหน้าแบบชนิดที่เกลี้ยงถ้วย แต่ถึงอย่างงั้นก็ยังมีเวลาชิวแบบเหลือเฟืออยู่เป็นกอง จนขนาดที่วนรถหาสาขาของกาแฟร้านดังที่ชอบจนเจอ แล้วจัดกันมาคนละแก้วรวมถึงขนมอีกคนละชิ้น ถึงจะขับรถมามหาลัยตามวินัยของความเป็นนักศึกษา

“ ตอนเย็นนี้เจอกันนะ ” บอกแบบนั้นคนที่ขับรถพามาก็ยักคิ้วให้กันยิ้มๆ เป็นช่วงวินาทีที่แววตาของเราสบ ไม่รู้อะไรดลใจแต่มือกลับยื่นออกไปจับแก้มนั้น จนแม้แต่อาร์มเองยังเลิกคิ้วงง “ มึงมีอะไรบอกกูได้นะ ไม่ว่ามึงจะไม่สบายใจกับเรื่องอะไรก็ตาม บอกกูนะ ”

“ ครับผม ” ตอบแบบนั้นด้วยรอยยิ้ม พร้อมทั้งมือหนาที่จับเข้าที่มือของผมก่อนจะเอียงหน้าเข้าซบ“ มึงเองก็เหมือนกัน มีอะไรก็คุยกันนะ คุยได้ทุกเรื่อง ”

“ โอเค ”  ยักคิ้วพร้อมกับตอบอย่างงั้น เราเงียบให้กันสักพักก่อนจะเดินลงจากรถไปที่ลิฟต์ของตึกจอด

“ วันนี้ตอนเย็นมีเรียนมั้ย ” ร่างสูงที่หันมาถาม ผมก็ส่ายหน้า “ กูมีเรียน งั้นมึงก็เอากุญแจรถไป เผื่อจะกลับ จะได้ไม่ต้องมาคอยกู” ว่าแบบนั้นกุญแจรถของอีกคนก็ถูกยื่นมาให้แต่ยังไม่ทันที่ผมจะรับ

“ สัดเมี่ยง ” เสียงของคนที่มาใหม่ด้านหลังเราก็ชวนให้ชักมือกลับก่อนจะสะดุ้ง

หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 26 :: up! 12-6-63} #หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 19-06-2020 20:21:58
เบสที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ท่าทางมันดูงงไม่น้อยที่เห็นผมกำลังจะเอื้อมมือไปจับกุญแจรถของอีกฝ่ายที่เป็นอริกันอย่างงั้น แต่ด้วยความมือไว อาร์มยัดกุญแจรถใส่มือของผมแบบที่ก็ต้องเอาใส่กระเป๋าแบบเร่งรีบ เพราะเราขับรถคนละยี่ห้อกัน แล้วแน่นอนว่า ความแตกชัวร์แบบไม่ต้องสืบเลย

“ ว่าไงมึง ” หลุดถามออกไปด้วยหน้าตาแบบที่ไม่รู้เรื่องอะไร แต่อีกฝ่ายก็ยังเหลือบมองฝ่ายอริแบบที่ไม่วางตา มองจนคนโดนมองถึงขั้นเอ่ยถาม

“ มองเหี้ยอะไร ” อาร์มว่าแบบนั้นแต่คนมองก็แค่แบะปากใส่ เบสก้าวมายืนข้างผม มันดึงแขนข้างนึงของผมไปควง ก่อนจะก้มลงกระซิบแบบเด็กๆ “ อย่าไปอยู่ใกล้มันมึง ”

“ อะไรของมึง ” ผมหันไปถามอีกฝ่าย “ กูแค่ทำกุญแจรถหล่นแล้วมันก็เก็บให้ ”

“ งั้นมีแอลกอฮอล์เปล่า อย่าลืมฉีดฆ่าเชื้อนะ ” มันว่าผมก็ได้แต่ถอนหายใจ ต่างกับอาร์มที่ไม่ได้พูดอะไร อีกคนแค่ยกยิ้มก “ ยิ้มเหี้ยอะไร ”

“ เสือกอะไรมึงละ ” ว่าแบบนั้นเสียงของลิฟต์ตัวที่รอก็เปิดออกพอดี จังหวะนั้นอาร์มเดินเข้าไปด้านในเป็นคนแรกตามด้วยผมแล้วก็เบสที่ก็เดินกอดคอกันเข้ามา

“ วันนี้มึงมาเร็วนะ ” ร่างสูงถามกันผมก็พยักหน้ารับก่อนจะดึงชอคโกแล็ตเย็นที่ซื้อมาขึ้นมาดูดเพราะไม่รู้จะทำอะไร แน่นอนว่าเพราะสายตาคมของคนที่ยืนอยู่ด้านหลังกำลังมองกันอยู่พอดี ความรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องแบบที่ใครว่ากัน ก็คงประมานนี้ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่มีประโยคอะไรที่อยากจะพูดทั้งนั้น เป็นแค่ความรู้สึกที่อยากจะหายไปจากตรงนี้ หายไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ก็ยิ่งดี

“ มึงเอามือออกได้มั้ย ” ไม่ใช่เสียงของผม แต่เป็นเสียงของคนด้านหลังที่พูดขึ้น แล้วนั่นก็ทำให้ไอ้เบสหันไปมองดูด้วยความไม่เข้าใจเท่าไหร่

“ พูดอะไรของมึง ”

“ กูบอกว่า ให้เอามือออก ” ไม่พูดเปล่ามือหนาเอื้อมมาจับข้อมือของเบสก่อนจะดึงมันลงด้วยสายตาไม่พอใจเท่าไหร่ที่อีกฝ่ายกอดกันอยู่อย่างงั้น

“ เหี้ยอะไรเนี้ย ” ร่างสูงคนที่ยืนอยู่ข้างกันหันไปถาม สถานการณ์ที่ทำให้ผมได้แต่มองหน้ามันสองคนแบบเลิ่กลั่กอย่างไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี แต่ก็เหมือนโชคยังดีอยู่ที่ประตูลิฟต์มันเปิดออกพอดี ผมก็เลยได้โอกาสดึงอีกคนให้ออกมาจากลิฟต์

“ ถึงแล้ว ออกมาไอ้สัด ” ว่าแบบนั้นมือก็ทั้งฉุดทั้งกระชากเพื่อนสนิทตัวเองให้เดินตามกันออกมา แบบที่ยิ่งไกลจากคนที่อยู่ร่วมกันในลิฟต์ได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี

“ แล้วนี่มึงจะลากกูไปถึงไหนไอ้สัด ” ว่าแบบนั้นคนที่โดนลากอยู่ก็ทำตัวให้หนักขึ้น ไอ้เบสขมวดคิ้วมองผม ใบหน้าหล่อเหลาของมันที่จ้องมองกัน เป็นท่าทางที่ชวนให้ผมผ่อนลมหายใจออกมาก่อนจะเหลือบไปมองทางอื่น

“ อะไร ”

“ มึงดูเหมือนมีอะไรนะ ”

“ ไม่มี!! ” หันไปเถียงอย่างงั้นอีกคนก็นิ่งไป ผมทำทีเป็นถอนหายใจ “ กูกลัวมึงแม่งไปวางมวยกับไอ้สัดอาร์มในลิฟต์น่ะสิไอ้สัด เลยต้องดึงออกมาก่อน ”

“ ไม่วางหรอกน่า ไอ้อาร์มไม่ใช่คนแบบนั้น แต่ถ้าไอ้ดีนอะ ไม่แน่ ” ว่าแบบนั้นมือหนาก็ดึงขึ้นมากอดคอกันอีกครั้ง และคราวนี้มันดึงให้ผมเดินตรงไปกับมันตรงทางฝั่งของโรงอาหาร “ ไอ้อาร์ม เห็นแบบนั้นมันใจเย็นนะ แต่ก็ในวงเล็บที่ว่า ถ้ากูไม่ไปต่อยไอ้ดีนเข้าละก็นะ เพราะถ้ากูต่อยไอ้ดีนเข้า ไอ้สัดนั้นคงกระโจมเข้ารุมกูจนยับเลยมั้ง ”

“ ก็มึงแม่งเสือกไปต่อยเพื่อนรักมัน ”

“ ใช่ที่ไหน เพราะกูต่อยเมียมันต่างหากละ ”

“ นี่มึงยังจะคิดเรื่องนี้อยู่อีก ” ผมว่า แบบที่อยากจะตะโกนออกไปว่า ‘ ต่อยเมียมันอะไร แฟนไอ้สัดอาร์มคือกูที่มึงกอดอยู่เนี้ย แล้วที่มันจะต่อยมึงเมื่อกี้ ก็เพราะมึงกอดกูนั่นแหละ ยังจะไม่รู้ตัวอีก ส้นตีน ’

“ อ้าวๆ ว่าไม่ได้นะ เพราะเมื่อคืน กูได้รับข่าวสารเด็ดมาก ฟังแล้วจะขนลุก กูขอบอกแค่นี้แหละ แต่ว่าขอเล่าพร้อมๆกันนะ พี่เบส ไม่ชอบพูดหลายที  ”หันมาบอกกันด้วยสายตาเหมือนขาเม้าส์ในทีวี ก่อนที่มันจะหันไปโบกมือทักทายกับไอ้เจ้ยที่ก็กำลังนั่งกินข้าวร้านโปรด พร้อมกับพูดคุยกับคนในหน้าจอมือถือ ซึ่งแน่นอนว่าก็คงเป็นมิ้ง แฟนของมันแบบที่ไม่ต้องเดินไปเห็นก็รู้ได้เลยจากตรงนี้

“ หวัดดีจ้ามามิ้ง ” ปล่อยมือที่กอดคอกันอยู่ ไอ้เบสไปเอียงหน้าใส่หน้าจอมือถือของเพื่อนสนิท ทักทายคนที่อยู่ในนั้น ส่วนมิ้งเองก็แค่ยิ้มหวานก่อนจะโบกมือทักทายกลับมาให้

“ มาถึงก็เสือกเรื่องครอบครัวชาวบ้านเลยนะไอ้สัด ” เจ้ยมันว่าแต่ถึงอย่างงั้นก็ยิ้มกว้างอยู่ดี

มิ้งเป็นแฟนของเจ้ย เท่าที่รู้มันคบกันมาตั้งแต่ม.ปลาย อีกคนเรียนอยู่มหาลัยรัฐชื่อดังแต่ทั้งคู่ก็อยู่คอนโดเดียวกันตามประสาคู่รักที่ก็ห่างกันไม่ได้เลย ถ้าไม่มีใครไอ้เจ้ยก็ยกมือถือขึ้นคุยกับมิ้งตลอด ซึ่งก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า พวกมึงจะคุยอะไรกันเยอะแยะ อยู่บ้านด้วยกันยังคุยกันไม่พอใจอีกเหรอ

“ มามิ้งหวัดดี ” ทักทายอีกคนตามธรรมเนียมคนที่เห็นก็เบิกตาก่อนจะยิ้มกว้างให้ จนอดแซวไม่ได้เลย “ ก็คือยังน่ารักเหมือนเดิมเลยน้า ”

“ เมียกู หน้าเหี้ย ” ตามประสาผัวขี้หวงไอ้เจ้ยมันว่าอย่างงั้นพร้อมทั้งผลักหัวผมให้ออกห่างจากหน้าจอ ซึ่งแน่นอนว่ามันวุ่นวานพอสมควร เพราะมีทั้งผมทั้งเบสที่คอยผลัดวนเวียนอยู่ที่หน้าจอนั้นเพื่อกวนตีนมัน

มิ้ง เป็นสาวผมยาว ตัวเล็ก ที่ผิวขาวมาก แถมยังชอบทำสีผมแปลกๆในความรู้สึกของผม แล้วสีที่ทำอยู่ก็เหมือนจะเป็นสีม่วงๆเทาๆแบบพาสเทล ที่ก็เข้ากับอีกคนมาก ชนิดที่ว่าหน้าเหมือนบาร์บี้อยู่แล้ว ทำสีนี้ก็ยิ่งเหมือนบาร์บี้ไปอีก

“ งั้นเพื่อนมาครบแล้ว มิ้งวางละนะ เธอไม่เหงาละ ”

“ ไม่เกี่ยวเลย ” ถึงจะว่าอย่างงั้นแต่เจ้าของเครื่องก็แค่ยิ้มก่อนจะพยักหน้ารับ สายนั้นถูกตัดไป พร้อมกับผมแล้วก็ไอ้เบสที่ก็โบกมือไล่หลังเสมือนแบล็คกราวของภาพ

“ ไปหาข้าวแดกเลยไปไอ้พวกขี้เสือก ” เจ้าของเครื่องหันมาบอกด้วยหน้าตาไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก ก่อนจะหันไปกินข้าวต่อ ผมนั่งลงตรงข้ามกับคนที่กำลังกินข้าว พลางยกน้ำที่ถือมาขึ้นดูด ก่อนจะหันบอกคนที่กำลังจะเอ่ยชวน

“ กูกินมาแล้ว มึงไปซื้อเถอะ ”

“ โอเค ” ไอ้เบสรับคำก่อนจะเดินออกไปจากโต๊ะ แผ่นหลังที่ห่างออกไปชวนให้โล่งใจอย่างน่าประหลาด ผมผ่อนลมหายใจออกมาจนคนที่กินข้าวอยู่ถึงกับต้องทัก

“ โล่งใจขนาดนั้น ”

“ โหห มึงต้องเห็นฉากเมื่อกี้ที่ลิฟต์ไอ้สัด ” ผมว่า “ กูกับไอ้อาร์มยืนอยู่หน้าลิฟต์ แล้วอาร์มมันก็กำลังจะยื่นกุญแจรถมาให้กู เพราะมันมีเรียนบ่ายด้วยเผื่อกูกลับก่อนไรเงี้น แต่ไอ้สัดนี่รู้มาจากไหน อยู่ๆโผล่มา เลิ่กลั่กกันชิบหายตอนนั้น แถมมันยังมากอดคอกูอีก ไอ้อาร์มก็เสือกสั่งให้ปล่อยแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเลย ดีนะลิฟต์เปิดพอดี กูนี่ลากออกมาแทบไม่ทัน โชคยังดีมันไม่เซ้าซี้ถาม ว่าทำไมไอ้อาร์มถึงมาสั่งให้มันห้ามกอดคอกู ”

“ กูก็บอกแล้วว่าให้บอกๆซะ เรื่องจะได้จบๆ ” คนตรงหน้าส่ายหน้าไปมายิ้มๆ “ เชื่อกูหน่อยเถอะ ขอร้องแล้วก็ได้ ”

“ เออ กูจะบอกมันเดี๋ยวนี้แหละ ”

“ ก็หวังว่ามึงจะไม่คิดขึ้นมาได้อีก กับคำที่ว่า เพราะมันมีความสุขกับข้าวเช้ามากๆ ก็เลยไม่อยากจะทำให้มันเสียอารมณ์ ” ประโยคที่ฟังตั้งแต่หน้ามหาลัยก็รู้ว่าประชด ผมเผลอถอนหายใจออกมาก่อนจะมองไปทางร่างสูงที่กำลังคุยกับป้าร้านขายข้าวด้วยท่าทางสนิทสนมอย่างอารมณ์ดี “ ถามจริงเถอะ ”

“ ว่า ”

“ ตอนนี้มึงมีความสุขเหรอ ที่ต้องปิดบังเรื่องของไอ้อาร์มกับไอ้เบส ” ได้แต่นิ่งไปในตอนที่อีกคนถาม “ เอาแบบคำตอบพื้นฐาน จากความรู้สึกพื้นฐานของมึงในตอนนี้นะ อึดอัดมั้ยวะ ถามจริง ”

“ ก็ไม่ขนาดนั้น ” ทั้งที่ตอบออกไปอย่างงั้นแต่ในใจก็มีแต่ความรู้สึกเหนื่อยล้า ผมฟุบหน้าลงกับโต๊ะตัวที่นั่ง ส่วนคนถามก็ได้แต่หัวเราะ

“ ไอ้เมี่ยงเป็นเหี้ยอะไร ” เสียงที่ไม่ต้องเงยหน้าขึ้นมาก็รู้ว่าเป็นใคร น้ำหนักตัวของคนมาใหม่หย่อนตัวลงนั่งข้างเพื่อสนิทตัวเอง ตอนนั้นไอ้เจ้ยบอกเบส

“ มันมีเรื่องให้เครียดนิดหน่อย ”

“ เรื่องอะไร ” คำถามที่ถูกโยนมาให้ผมผ่อนลมหายใจแล้วในตอนที่กำลังจะส่ายหน้า สมองก็เหมือนจะหยุดความรู้สึกนั้นไว้ ‘ พิรี้พีไรอยู่นั่นแหละไอ้สัด จะบอกก็แค่บอก บอกๆไปเลยไปต้องพูดนู้นเรื่องนี้เลยนะ พูดออกไป พูดเลย มึงมีแฟนแล้วนะ แล้วแฟนมึงก็ชื่ออาร์ม แล้วถ้าถามว่าอาร์มไหนก็บอกไปเลย อาร์มเพื่อนไอ้สัดดีน เพื่อนรักมึงนั่นแหละเบส ’

“ ว่าไง ”

“ กูมีแฟนแล้วนะ ” ตัดสินใจบอกไปอย่างงั้นไอ้เบสก็หลุดยิ้มกว้าง มือที่จับช้อนอยู่ปล่อยลงด้วยความสนใจในประโยคของผมแทบจะทันที

“ เฮ้ยเดี๋ยววววว ใคร ไปคบกันตอนไหนไอ้เสือ ก็ว่าเงียบๆกลับเร็วตลอด ตอนแรกคิดว่าติดแมวนะมึงน่ะ  แล้วหน้าตาเป็นไง มีรูปมั้ย  มาให้กูใส่ใจหน่อย สาวคณะไหน มหาลัยเราปะ หรือว่าคนละมหาลัย ”

“ มึงฟังมันให้จบก่อนมั้ย ” เจ้ยพูดขัดคนที่นั่งข้างกัน อีกคนก็ได้แต่ทำหน้าเซ็งราวกับเด็กเล็กที่โดนพ่อแม่ดุ

“ ก็กูตื่นเต้นไอ้สัด น้องเมี่ยงจะมีแฟนแล้ว คุณพ่อแบบกูก็ต้องตื่นเต้นสิ ”

“ แฟนกูเป็นผู้ชายนะ ” ประโยคที่ผมพูดทำเอาคนที่ยิ้มอยู่ยิ้มค้างอยู่อย่างงั้น สายตาเล็กเหลือมองคนที่นั่งข้างกันเหมือนจะหาแนวร่วมกับคำพูดนั้นที่ได้ยิน แต่ยังไม่ทันพูดอะไร ผมก็ชิงพูดต่อ “ แล้วแฟนกูก็คือไอ้อาร์มนั่นแหละ ที่มึงเห็นว่าอยู่ด้วยกันเมื่อกี้ ”

“ ห๊ะ ? เดี๋ยวนะ อาร์ม ? อาร์มไหน ”

“ อาร์มเพื่อนของเพื่อนรักมึงไงเบส เพื่อนดีนของเบส เพื่อนที่เบสรักม๊ากมาก ” เจ้ยที่หันไปลากเสียงใสอีกคนด้วยท่าทางสนุกแต่เหมือนแววตานั้นจะไม่ได้สนุกด้วย เบสดูท่าทางนิ่งไป เป็นท่าทางนิ่งๆที่แม้แต่เจ้ยยังหุบยิ้ม ก่อนจะขยับมือที่วางอยู่ใกล้ๆสะกิด “ เป็นเหี้ยอะไร นิ่งไปเลยไอ้สัด ”

“ ก็มึงเล่นเหี้ยอะไรกัน ไม่เห็นสนุก ” มันว่าอย่างงั้นก่อนจะถอนหายใจ “ ช่วยตอแหลอะไรที่มันเนียนๆหน่อยได้มั้ย พวกหน้าเหี้ย ไอ้อาร์มมันชอบไอ้ดีน ชอบมาตั้งนานแล้วด้วย ”

“ ไม่ได้โกหก ” ผมบอก แต่อีกคนก็แค่ยิ้ม

“ กูดูออกไอ้สัด ไม่ได้โง่เลย มึงสองคนวางแผนกันมาใช่มั้ย จะแกล้งกูใช่มั้ย ”

“ เรื่องจริงเบส ” เจ้ยหันไปบอกเพื่อนตัวเองเสียงจริงจัง อีกคนก็นิ่ง

“ แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง กูไม่เห็นรู้เรื่องเลย มึงไปเจอกันที่ไหน ที่มหาลัยก็ไม่เห็นพวกมึงจะมีท่าทางชอบเหี้ยอะไรกันเลย นั่งตรงข้ามกันก็บ่อย ”

“ มึงไม่ได้สังเกตเองหรือเปล่า หรือว่ามึงมัวแต่มองไอ้ดีน จ้องแต่จะหาเรื่องทะเลาะกับมัน ก็เลยไม่ได้สนใจอะไรอย่างอื่นเลย ” คนตรงข้ามผมพูดแบบนั้น ร่างสูงก็หันมามองหน้ากันแบบที่ยังไม่อยากจะเชื่อกันเท่าไหร่

“ ขอร้อง อย่าตอแหลกูเรื่องนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องที่มึงจะมาล้อเล่นกูเลยนะ ก็เมื่อคืน..”

“ กูไม่ได้โกหก ” ผมย้ำอย่างงั้น ก่อนจะถอนหายใจ “ มึงจำได้มั้ยว่ากูเคยบอกว่า กูจะย้ายห้องเพราะเริ่มเลี้ยงแมวมั้ย ”

“ ก็ อื้ม ”

“ นั่นแหละ ห้องที่กูย้ายไปข้างๆห้องมันคือห้องของอาร์ม ไอ้สัดนั่นเลี้ยงแมวอยู่ตัวนึง เราก็เลยรู้จักกัน คือจริงๆเรื่องมันยาวกว่านั้น แต่นั่นแหละ กูกับมันก็รู้จักกันแบบลับๆ ไม่ได้คิดจะบอกมึง เพราะกลัวมึงไม่โอเค ที่กูเป็นเพื่อนมึง แล้วไปสนิทกับเพื่อนอริของมึงอย่างดีน แต่สุดท้ายก็นะ..” ผมเว้นเสียงพลางเหลือบมองคนที่มองกันอยู่

“ สุดท้ายก็คือเป็นแฟนกันเลย ”

“ อื้มมมม ” ลากเสียงยาวพลางพยักหน้ารับ คนฟังก็ได้แต่ถอนหายใจไปทางอื่น สำหรับเบส ในวินาทีนี้อาหารตรงหน้าคงดูน่าเบื่อลงทันทีในความรู้สึก   แต่ก็นั่นแหละ ความจริงก็คือความจริง ยังไงสักวันก็ต้องรู้

“ อย่าทำสีหน้าให้เพื่อนลำบากใจสัดเบส ” เจ้ยมันออกปากเตือน “ เมี่ยงมันเครียดมากเรื่องที่มันชอบกับไอ้อาร์มทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องอะไรที่ต้องเครียดเลย มันแม่งต้องมีความสุขเพราะมีความรักด้วยซ้ำ แต่เพราะกลัวมึงรู้สึกไม่ดี เมื่อวานก็ไม่ยอมบอก รับรู้ไว้ด้วยว่า มันแคร์มึงแค่ไหนแล้ว ”

“ แล้วคือกูต้องโอเคเลยเหรอ ” เบสมันเอ่ยถามเราสั้นๆ “ ใจเย็นหน่อยเจ้ย ให้กูทำใจก่อน กูไม่ได้ค่อยๆรู้เรื่องของมันแบบที่มึงรู้ จะให้กู ตาโต ปรบมือดีใจ แล้วบอกว่า ดีใจด้วยนะมึง มันยังไม่ได้อะตอนนี้ แถมเมื่อคืนกูเจอไอ้ดีนแล้ว.. ”

“ แล้วอะไร ”

“ เปล๊า ” ว่าแบบนั้นคนตัวสูงก็พยักหน้ารับ “ อย่าสนใจเลยไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะกูอาจจะเข้าใจผิด หรือเปล่านะ.. ”

“ อะไรของมึง ”

“ โทษทีนะมึง ” ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงพูดออกมาแบบนี้ท่ามกลางเพื่อนทั้งสองคนตรงหน้า ผมแค่รู้สึกมันเป็นคำที่อยากจะพูด เหมือนกับว่าความจริงผมควรเล่าเรื่องของอาร์มให้มันฟังตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ ผมสมควรค่อยๆเล่า แบบที่เล่าให้เจ้ยฟัง ไม่ใช่อยู่ๆจะบอกก็บอกแบบนี้

“ มันไม่ใช่ความผิดของมึงเมี่ยง ” คนตัวสูงบอกกันอย่างงั้น พลางยกมือขึ้นราวกับจะห้ามความคิดของผม “ แต่ขอเวลากูทำใจหน่อย เพราะตอนนี้คือช็อคมากจริง ยังงงอยู่ด้วยเนี้ย ” ว่าแบบนั้นเบสก็หันมองเพื่อนสนิทตัวเอง “ เจ้ย..”

“ เออ เรื่องจริงไอ้สัด ต้องให้ย้ำอีกกี่หน พวกกูจะโกหกมึงทำเชี้ยอะไรละ ”

“ คือมันมีอะไรให้มึงชอบเมี่ยงกูถามจริง หล่อก็ไม่หล่อ กูยังหล่อกว่าอีก ”

“ ให้โอกาสมึงพูดอีกทีนะ ” ว่าแบบนั้นคนพูดก็ถึงหันมามองกันตาโต เบสมันเม้มปากในตอนที่เรามองกดดันมัน

“ เออ มันหล่อ แต่กูก็หล่อเหมือนกันอะ กูเฟรนลี่กว่าด้วย ไม่เหมือนมัน มันไม่ค่อยพูด พูดทีก็น่าต่อย มึงเอาอะไรไปชอบมัน ”

“ มึงต้องลองคบมันดู เปิดใจ ”

“ คือจะให้กูแย่งผัวมึง ”

“ ไอ้สัด ” สบถออกไปคนฟังอยู่ก็หัวเราะ เบสมันหันไปกินข้าวของมันต่อ ก่อนจะถามขึ้นมา เหมือนกับว่าคิดอะไรบางอย่างได้ “ แต่ว่านะ เรื่องนี้ไอ้ดีนยังไม่รู้ใช่มั้ย ”

“ กำลังจะรู้ ” บอกแบบนั้นก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาเตรียมพิมพ์ไปบอกอีกคนตามที่ตกลงกันไว้ แ ต่เหมือนเบสจะจมอยู่กับความคิดของตัวเองอยู่สักพัก

“ คิดเหี้ยอะไรอยู่ ” คนที่นั่งข้างกันหันไปถามเพื่อนตัวเอง เจ้ยมันขมวดคิ้วเหมือนสงสัยอยู่นาน

“ เมื่อวานกูเจอไอ้ดีนที่ผับ มันแม่งเมาแอ๋เลย แถมมาคนเดียว ” ร่างสูงว่าอย่างงั้นก่อนจะยิ้ม

“ ไปผับได้ไง มันบอกน้ำมันรถจะหมด ”

“ ไม่รู้ แต่สาวรุมล้อมมันเพียบเลย เหมือนจะเลี้ยงเหล้าด้วยมั้ง แถมยังพูดอีกว่า..” สายตาเรียวหยุดสิ่งที่กำลังจะพูดพลางหันไปมองกลุ่มคนที่เดินเข้ามา แล้วนั่นก็คือ กลุ่มของอาร์มและพรรคพวก เบสนิ่งไปสักพักก่อนจะพูดเบาๆกับตัวเอง “ หรือว่านะ..”

“ หรือว่าอะไร ” เจ้ยถาม แต่อีกคนก็ไมได้ตอบอะไรร่างสูงแค่ยกยิ้มพลางยกมือขึ้นเหมือนขอพักการพูดคุยกับเรา

“ วี๊ดวี้ว ว่ายังไงครับ คุณเพื่อนเขย ” ประโยคที่แทบอยากจะมุดดินหนีไปให้ไกลสุดขอบฟ้า อาร์มหันมองผมเหมือนจะถามกันว่า ‘ บอกเบสแล้วเหรอ ’ แต่ผมกลับไม่กล้าแม้จะหันไปมองตาอีกคน ทำได้แค่ยิ้มแห้งๆอยู่อย่างงั้น แบบชนิดที่ไม่ต่างกันกับไอ้เจ้ย รายนั้นก็ถอนหายใจออกมาแถมยังยกมือจับหัว แน่นอนว่าเราคงสบถคำเดียวกัน แล้วนั่นก็อาจจะเช่น ‘ ไอ้สัดเอ้ยยยยยยยยยยยยยย ’

“ อะไรกันวะ ” คนตัวเล็กที่ชื่อจุ้นเอ่ยถามออกมาด้วยความไม่รู้ สีหน้าแตกต่างจากดีน อาร์ม แล้วก็โฮมโดยสิ้นเชิง มันถามเบส “ เพื่อนเขยเหี้ยอะไรมึง ”

“ อ้าววววว นี่ยังไม่รู้กันเหรอค้าบ ” คนตอบว่ายิ้มๆก่อนจะยืนขึ้นพลางผายมือมาทางผม “ ก็คือเพื่อนผมน้องเมี่ยงคำ ตอนนี้ดำรงตำแหน่ง แฟนของพี่อาร์ม ที่เป็นเพื่อนพวกคุณอยู่ไง ผมก็เลยทักทายเค้าไงครับ ฮายยยย ว่ายังไงครับเพื่อนเขย ”

“ กูจะอยากจะบ้าตาย ” เจ้ยที่ถึงขั้นส่านหน้าแต่อาร์มกลับแค่ยิ้ม มันตอบรับ

“ เออ ว่ายังไง ”

“ เชี้ยอาร์ม  เดี๋ยว นี่เรื่องจริงเหรอวะ กูคิดว่าอำเล่นๆ ” ยังเป็นจุ้นคนเดิมที่ออกอาการตกใจกว่าใคร มันที่หันไปมองดีนแต่เหมือนอีกคนจะแค่จ้องมองผมอยู่อย่างงั้น แบบที่ไม่พูดอะไรออกมาเลยสักคำ

“ อย่ามองเพื่อนกูด้วยสายตาอย่างงั้นสิครับคุณดีน มันไม่เป็นมิตรเลยน้า นี่เพื่อนเขยไง นี่แฟนของเพื่อนรักเลยน้า ” เน้นคำนั้นเป็นพิเศษ แต่ดีนก็แค่มองมันด้วยหางตาอย่างที่ไม่ใส่ใจเท่าไหร่

“ เสือก ” ว่าแบบนั้นก่อนจะเหลือบมองเพื่อนตัวเองอย่างอาร์ม แล้วก็พูดเสียงเรียบ

“ กูขอให้รักของมึงมันล่มจมไวๆก็แล้วกันนะไอ้สัด ”

“ มันไม่เป็นแบบนั้นหรอก ” ร่างสูงตอบรับก่อนจะยกยิ้ม

“ ปากเสียจริงเว้ย ไม่น่ารักเลยน้า คำนั้นอะ ” เบสมันสวนกลับ “ แต่ก็อย่างว่าละน้า ใครมันจะไปดีใจด้วยลง คนที่ชอบเรามาตั้งนาน อยู่ๆก็เปลี่ยนใจจากเราไปหาคนอื่น หนำซ้ำยังเป็นคนที่เราเกลียดอีก เห้อออออ ”

“ หมายความว่าไงวะ ” ผมที่เอ่ยถามออกไป เบสมันก็หันมามองกัน

“ มึงคงยังไม่รู้ งั้นกูจะบอกไว้ เพราะยังไงมึงก็รู้อยู่แล้ว เมื่อคืนไอ้ดีนไปเมาเหล้าที่ผับประจำ ซึ่งกูก็อยู่ที่นั้น สาวคนนึงในกลุ่มมันเล่าว่า ไอ้อาร์มชอบไอ้ดีนจ้า ชอบมากกกกกกกกกกกกกเลย ชอบมาตั้งนานแล้วด้วย ที่มันมาเมาก็เพราะ อาร์มเปลี่ยนใจหปจากมันแล้ว และคนที่มันเปลี่ยนใจไปหาก็คือมึงไงครับ เพื่อนเมี่ยง ”

สายตาของผมหันมองอาร์มในตอนที่ได้ยินนั้น แต่เหมือนอีกคนจะแค่นิ่งไป อาร์มไม่เถียงกลับอะไรเลย ไม่ปฎิเสธด้วย ว่าเรื่องนี้มันไม่ใช่ความจริง 

“ เหี้ย เดี๋ยวนะ เดี๋ยวเลย เดี๋ยว..” จุ้นเพื่อนอาร์มเอ่ยขัดขึ้นมา ก่อนจะเชิดหน้าถามไอ้เบสแบบหาเรื่อง “ มึงพูดเหี้ยอะไรของมึง พูดให้มันดีๆหน่อย ใครชอบใคร มึงพูดเหมือนไอ้อาร์มเคยชอบไอ้ดีน ”

“ ก็ใช่ไง ตามนั้นแหละ  ” คำพูดที่พูดขึ้นมาแบบเสียงเรียบๆของดีน ชวนให้ตรงนั้นเงียบไปหมด สายตานั้นหันมามองจ้องผม “ ก่อนหน้านี้อาร์มเคยชอบกู แล้วนี่ก็คือของขวัญที่กูซื้อให้กู ” แหวนที่นิ้วนางด้านซ้ายถูกยกขึ้นมาเป็นหลักฐาน คนที่กำลังพูดอยู่ตรงหน้าผมยกยิ้มให้กัน “ แต่ตอนนี้เหมือนว่า มันจะเลิกชอบกูแล้ว และมันก็ไปชอบมึงไง ” เชิดหน้ามาให้กัน ก่อนที่แหวนบนนิ้วนั้นจะถูกถอดออกแล้วยื่นมาให้ “ กูให้ เอาไปสิ ยังไงมันก็ไม่ได้ชอบกูแล้ว กูก็คงไม่จำเป็นต้องใส่อีก ”

ได้แต่ยืนมองดูแหวนนั้นที่ถูกยื่นเอามาให้อย่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อ คล้ายกับว่าโลกทั้งใบมันมีแค่ผมกับดีนที่อยู่ตรงหน้านี้  หูของผมอื้อ หน้าผมชา หัวใจของผมเหมือนลอยเคว้างคว้างไปหมด ก็คล้ายกับการถูกตบฉาดใหญ่กลางสี่แยก แล้วก็คล้ายกับการลอยคว้างไปอย่างไร้จุดหมายในหลุมดำที่แสนว่างเปล่า

สติของผมขาดไป ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะบรรยายความรู้สึกตอนนี้ว่ายังไง  ขนาดในสมองเองก็ยังมีแต่คำถาม ว่า นี่มันอะไรกันวะ แต่ทว่าในคำถามนั้นก็เหมือนจะมีคำตอบอยู่แล้ว คำตอบของคำถามมากมายที่เคยสงสัยก่อนหน้านี้

ทำไมดีนถึงวุ่นวายกับเรานัก ทั้งๆที่มันเป็นแค่เพื่อนสนิท

ทำไมดีนถึงดูเหมือนพยายามดึงอาร์มออกไปจากผมนักนะ ทั้งๆที่อีกฝ่ายก็บอกอยู่ตลอด ว่าอยู่กับแฟน ก็น่าแกรงใจกันสิ

  แต่แล้วเหตุผลทุกอย่างมันก็อยู่ตรงนี้
ก็เค้าไม่ใช่แค่เพื่อนไง แล้วนั่นก็คือคำตอบ

คนที่อาร์มเคยบอกผมว่า มันมีคนคนนึงที่ชอบอยู่แล้ว คนที่ทำให้อีกคนเจ็บปวดเหมือนจะตาย นั่นก็คือดีน

ดีนคนที่เป็นทั้งเพื่อนสนิทที่สุด และคนที่รักที่สุดของอาร์ม

ดีนคนที่เป็นคำตอบของทุกๆอย่าง แม้แต่ในเรื่องราวที่อีกฝ่ายบอกกันไว้ก่อนหน้านี้ว่าถึงเวลาเมื่อไหร่แล้วจะเล่ากัน

ดีนคนที่ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นใครคนนั้น 

“ รับไปสิ ตอนนี้มึงเป็นแฟนอาร์มแล้วไง ” อีกคนว่าอย่างงั้น แต่มือหนากับแค่คว้าแหวนนั่นไว้ก่อน

 “ อย่าหลงตัวเองดีน ” อาร์มดึงแหวนนั้นที่ดีนกำลังถืออยู่ ก่อนจะหันไปบอก “ อย่าดูถูกกูขนาดนั้น กูรักเมี่ยง แล้วเค้าก็ไม่ได้มาแทนที่ใคร ” แหวนเงินถูกโยนทิ้งลงบนพื้นจนเกิดเสียงกระทบ ผมที่มองดูมันหมุนวนอยู่อย่างงั้น ทั้งๆที่ตอนนี้คนสองคนที่ประจันหน้ากันไม่ใช่ดีนกับเบสอีกต่อไป แต่มันคืออาร์มที่ผลักดีนออกไปให้ไกลจากผม ผมที่ได้แต่นิ่งอย่างงั้น แบบที่ไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มทำอะไรก่อน  “ อย่ามายุ่งกับแฟนกู ” ว่าแบบนั้นร่างสูงก็หันกลับมามองกัน

แล้วนั่นก็เหมือนจะเป็นจังหวะเดียวกันที่ผมเองก็เงยหน้าขึ้นมองอาร์มพอดี

“ นี่มันเรื่องจริงเหรอวะ ” ทั้งๆที่ไม่ใช่ประโยคที่ควรถามเลย ทุกอย่างก็ชัดเจนอยู่แล้วด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างงั้น ปากผมก็ยังถามอีกคนออกไป ด้วยใจที่อยากจะภาวนาให้มันเป็นแค่เรื่องโกหก

ทว่าในตอนนั้นอาร์มแค่นิ่ง อีกฝ่ายที่ผ่อนลมหายใจออกมา มันคล้ายกับตอนที่เราเล่นเกมส์แล้วแพ้ ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามแผน อีกคนมองตาผม สายตานั้นมีคำตอบอยู่แล้ว

‘ ใช่ มันจริงอย่างงั้น ’ นี่คือสิ่งที่อีกคนบอกกัน
แล้วมันก็เหมือนจะย้ำ ให้เจ็บซ้ำลงไปอีก 

.............................................................
กอดน้องเมี่ยงนะลูก
แต่ก็สงสารพี่อาร์มเหมือนกัน พี่อาร์มก็ชัดเจนมากแล้วนะ
ไม่รู้จะยังไงดี สงสารทุกคนเลย

ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ด้วยนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์
หนมมี่
 :katai4: :katai4: :katai4: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 27 :: up! 19-6-63} #หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 19-06-2020 21:27:27
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 27 :: up! 19-6-63} #หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 19-06-2020 21:43:49
ทำไมเราแอบสะใจผลลัพธ์ที่ได้วะ ขอดราม่าหนักๆๆๆๆ เอาให้ตายกันไปข้าง อ้ำอึ้งกันอยู่ได้แทนที่จะพูดๆๆๆไปซะตั้งแต่แรก
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 27 :: up! 19-6-63} #หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 19-06-2020 22:44:50
เออจริงแอบสะใจเบาๆกับการโป๊ะตึงโป๊ะรอบนี้ 5555 บทจะแตกโป๊ะก็เอาซะรู้กันมันทุกคนทุกฝ่ายทุกเรื่องที่คาใจเลย ดี๊ไม่ต้องพูดอีกหลายรอบ ทีเดียวจบ จากนี้ไปจะยังไงก็เรื่องของพวกuนะ 5555 จะมาเสียใจอะไรตอนนี้ละเมี่ยง ก็เข้าใจว่าเงิบอะนะ แต่คุยกันเถอะ ถ้าไม่อยากเลิกอีกรอบ พออาร์มจะจริงจังทีก็มีเรื่องตลอด เอาไปเอามากูเริ่มสงสารอาร์มละนะ ผู้ไขว่คว้าหารัก 5555 อาร์มจะเล่าก็ไม่ได้เล่าสักที ลากยาวมาจนแตกโป๊ะเป็นไงทีนี้ ความผิดใคร เอาไว้ก่อนๆ สนุกกจ้า ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รอตอนหน้าเลยจะเป็นยังไงกันบ้าง  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 27 :: up! 19-6-63} #หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 19-06-2020 23:14:57
 :pig4: :pig4: :pig4:

น้องเมี่ยงจะถามย้ำเรื่องในอดีตไปเพื่ออะไร?   การกระทำของพี่อาร์มตอนปัจจุบันมันชัดเจนอยู่แล้ว 

ถึงแม้อดีตจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่  อย่าเอาอดีตมาบั่นทอนกัน  ดูปัจจุบันสิว่าพี่อาร์มแคร์ใครกันแน่

และสิ่งที่พี่อาร์มปฏิบัติกับไอ้ดีนในตอนปัจจุบันนี้  มันมีทางให้ถ่านไฟเก่าคุหรืออย่างไร  ฮะ น้องเมี่ยง?

ลำไยน้องเมี่ยงจริง ๆ เลย

หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 27 :: up! 19-6-63} #หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 19-06-2020 23:17:27
กอดปลอบหนูเมี่ยงทีนึง หนูไม่โง่นะลูก เพียงแค่หนูตามพวกเขาไม่ทัน เท่าน้้นเอง  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 28 :: up! 26-6-63} #หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 26-06-2020 20:24:35
ตอนที่ 28

“ เป็นไง พอใจมึงยัง ” ฝีเท้าที่หยุดลงของเจ้ยคนที่เดินนำอยู่ หันมาพูดกับเบสที่เดินอยู่ตรงกลาง ส่วนผมเดินตามมาแบบรั้งท้ายสุด

สีหน้าหงุดหงิดของคนที่เดินนำอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่มีให้เห็นกันง่ายๆ เจ้ย เป็นคนมีเหตุผลมาตลอดใรความรู้สึกของผม จนขนาดที่เราเคยพูดกันบ่อยๆเลยว่า อารมณ์ของมันถ้าไม่ถึงขีดสุดจริงๆ ก็คงเหมือนใบไม้ที่ลอยอยู่ในน้ำ

ลอยเหนือทุกดราม่าในทุกการทะเลาะกันของดีนและเบส แต่หนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่

“ กูก็ไม่ได้พอใจเปล่าวะ ”

“ กูก็ไม่ได้พอใจเปล่าวะ แล้วมึงทำแบบนั้นลงไปได้ยังไง ” คำถามที่ทำให้อีกคนถึงกับเงียบ เบสมันก้มหน้าลง “ ก้มหน้าทำไม รู้สึกผิดเหรอ กับสิ่งที่มึงทำลงไป ”

“ กู.. ”

“ รู้มั้ยว่าถ้ากูเป็นไอ้เมี่ยง กูต่อยมึงไปแล้ว ” บอกแบบนั้นอีกคนก็ถอนหายใจออกมา ก่อนจะหลุดยิ้มแล้วส่ายหน้าไปมา “  ไม่ดิ ถึงเป็นกูตอนนี้กูรู้สึกอยากจะต่อยหน้ามึงไอ้สัด ”

“ ขอโทษ ” พูดออกมาแบบนั้นอีกคนก็เชิดหน้ามาทางผมที่อยู่หลังสุด

“ หันไปบอกไอ้เมี่ยงสิ ตอนนี้มึงกล้าหันไปมองหน้ามันหรือเปล่าละ ” ผมเบือนหน้าหนีอย่างไม่รู้จะพูดอะไรในตอนที่เบสหันมามองหน้า “ รู้มั้ยว่ากูหงุดหงิดมึงชิบหาย หงุดหงิดที่ทั้งๆไอ้เมี่ยงมันแคร์ความรู้สึกของมึงขนาดนั้น เห็นมึงมีความสุขกับรถคันใหม่ของมึง แต่ทั้งๆที่มันเองก็มีความสุขเหมือนกัน แต่มันก็ไม่ยอมบอกมึง มันกลัวมึงจะเสียความรู้สึก แต่นี่มันอะไรกัน มึงพูดออกไปได้ยังไง ไม่คิดเลยเหรอว่าเพื่อนจะเสียใจ มึงเอาแต่ตัวเองอะไอ้สัด มึงเอาแต่ความสะใจของตัวเองเท่านั้นเลย ”

“ มึง มันก็ไม่ได้ขนาดนั้นเปล่าวะ ”

“ ไม่ได้ขนาดนั้น ไม่ได้ขนาดนั้นอะไร กล้าพูดนะไอ้สัดว่าไม่ได้ขนาดนั้น ไม่ได้รู้สึกขนาดนั้น มึงอยากเห็นไอ้ดีนเสียหน้าจนตัวสั่น เพราะรู้ว่ามันยังไม่รู้ ก็เลยเอาเรื่องไอ้เมี่ยงไปบอก แล้วพอเห็นมันยังนิ่ง ก็เลยพูดเรื่องเหี้ยนั่นออกไป ทั้งๆที่ก็ มึงพูดออกมาได้ยังไงอะ  ไม่เห็นใจไอ้เมี่ยงบ้างเหรอ ”

“ แต่สักวันมันก็ต้องรู้เปล่าวะ ”

“ แล้วมันใช่เรื่องที่มึงต้องบอกเพื่อความสะใจมั้ยวะ แล้วแม้แต่ตอนนี้ ประโยคของมึง คำพูดของมึง ก็ไม่ใช่อะไรที่ฟังแล้วรู้สึกดีเลยไอ้สัด เหมือนทำไปเพราะความสะใจล้วนๆเท่านั้น มึงไม่แคร์ใครเลยอะเบส ” เจ้ยมันว่าก่อนจะถอนหายใจ “ ทั้งๆที่คนอื่นเค้าแคร์มึงขนาดนี้ ทั้งๆที่พวกกูแคร์มึงขนาดนี้ แต่มึงกลับไม่ได้แคร์พวกกูเลย ”

“ ขอโทษ ”

“ ขอโทษแต่ไม่สำนึก จะขอโทษทำเหี้ยอะไร ” เจ้ยมันตะโกน “ ขอโทษแล้วมันเอาอะไรกลับมาได้บ้างวะ ขอโทษแล้วเมี่ยงมันจะหายเสียใจเหรอวะ ” คำพูดถอนหายใจออกมาก่อนจะหันไปทางอื่น “ ก็จริงอยู่ที่ไอ้อาร์มมันชอบดีน กูเองก็รู้มาตลอด ”

“ มึงก็รู้เหรอ ” เบสถามย้ำกับอีกคน ที่ก็พยักหน้ารับ

“ ก็กูเคยเรียนห้องเดียวกับมันมาก่อน ทำไมจะไม่รู้ ”

“ แล้วทำไมตอนนั้นมึงไม่พูดว่าไอ้อาร์มมันชอบไอ้ดีน ทั้งๆที่มึงเองก็รู้ ”

“ ก็รู้ว่าอะไรมันควรพูด อะไรมันไม่ควรพูดไงไอ้สัด ” เจ้ยตะโกนใส่เบสเสียงดังลั่น “ มึงคิดว่าไอ้อาร์มมันมีความสุขเหรอ กับการรักใครสักคนแล้วไม่ได้รับรักนั่นตอบเลย แล้วมึงคิดว่ามันน่าล้อนักเหรอวะ กับแค่การที่มึงรักใครสักคน แต่ทุกครั้งที่ถูกพูดถึงก็จะถูกปฎิเสธ ว่ามันไม่จริง ทั้งๆที่เค้าก็พูดกับเราอีกอย่าง ” ทุกอย่างเงียบ เจ้ยมันยกยิ้ม

“ มึงรู้มั้ย คนที่มันโดนปฏิเสธความรัก แต่ร้องไห้ไม่ได้ด้วยซ้ำ มันเป็นยังไง คนที่ต้องยิ้ม ต้องมองดูคนที่เรารัก รักคนนู้น มีความสุขคนนี้ แบบที่มันไม่ใช่เรา นั่งฟังคำพูดปฎิเสธ ที่มึงเอาแต่ล้อเหมือนเด็กอนุบาลว่าชอบกันหรือเปล่า ทั้งๆที่เป็นความจริง ก็ชอบ แต่ก็ต้องทำเป็นไม่รู้สึกอะไร ถามจริง ถ้าเป็นมึง มึงเฉยได้เหรอ จะรู้สึกก้มหน้าก้มตายอมรับคำพูดที่เค้าบอกว่า เค้าไม่รักเราได้เหรอ  จะก้มหน้าก้มตาทนรอ เป็นแค่คนในความลับได้เหรอ ”

“ ก็กูไม่รู้ ”

“ แต่ถ้ามึงรู้ มึงก็ทำ เหมือนอย่างที่มึงรู้ว่าไอ้อาร์มเคยชอบไอ้ดีน แล้วพอรู้ว่าอาร์มมันตัดใจมาชอบเมี่ยงแล้ว มึงก็เอาเรื่องที่เห็นไอ้ดีนเสียใจเมื่อคืนที่ผับมาแฉมันเพื่อความสะใจ เพื่อความสนุก โดยที่ไม่ดูเลยว่าเพื่อนมึงรู้สึกยังไง ”

“ ก็บอกว่ากูขอโทษ กูไม่ทันคิดอะไร ทุกอย่างตอนนั้นมันเร็วมาก กูก็เพิ่งปะติดปะต่อเรื่องได้ กูก็เลยพูดไป  ”

“ ก็เลยพูดไปได้ยังไง มึงใช้คำว่า ก็เลยพูดไป ได้ยังไง ”

“ สักวัน ยังไงเมี่ยงมันก็ต้องรู้ ” ประโยคนั้นชวนให้คนฟังถึงกับเงียบไป เจ้ยมันจ้องหน้าเบส จ้องอยู่นานมาก ก่อนจะค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมา

“ แต่ก็ไม่ใช่จากปากของมึง มันควรจะได้ฟัง จากปากของคนที่มันรัก มันควรจะได้ฟังเหตุผล และที่มาที่ไป ไม่ใช่จากปากของคนที่คอยคิดแต่จะหาเรื่องเพื่อนเหมือนเด็กๆ โดยที่ไม่สนใจอะไรเลย ว่าเพื่อนมึงจะรู้สึกยังไงอย่างมึง ”

“ ไอ้เจ้ย..” เบสมันเรียกเพื่อนสนิทเสียงเบา

“ อยากจะถามจริงๆเลยว่า มึงสนใจอะไรบ้างวะ นอกจากความสะใจของตัวเอง เคยคิดสนใจความรู้สึกของเพื่อนแบบพวกกูบ้างมั้ยวะ ”

“ ขอโทษ ”

“ ไปกันเถอะมึง ” เจ้ยเดินมาหาผม มันที่ถอนหายใจให้กันนั้น ในแววตามีแต่ความรู้สึกแย่แทนกันเต็มไปหมด “ เข้าเรียนกันเถอะ อย่าไปสนใจคนอื่นที่มันไม่สนใจเราเลย ” เหลือบมองไอ้เบสในช่วงท้ายของประโยคนั้น

“ อื้ม ” พยักหน้ารับคำชวนนั้น ผมเองก็เหลือบมองเบสที่ตอนนั้นมันมองผมอยู่

“ เมี่ยง กูขอโทษจริงๆนะ ขอโทษที่ไม่ได้คิดอะไรเลยขนาดนั้น ” เสียงที่พูดแบบนั้นชวนให้ขาของผมหยุด แต่ทว่า ปากกับพูดอะไรออกไปไม่ได้เลย

ความรู้สึกตอนนี้ไม่ได้อยู่ในจุดที่เอ่ยออกไปได้ว่า ‘ ไม่เป็นอะไรมึง ’ เพราะในหัวใจที่มีเพียงแต่ความสับสน แม้แต่โทรศัพท์มือถือที่สั่นไม่มีหยุดเพราะสายโทรเข้า ผมยังไม่คิดอยากจะรับสายเลยแม้แต่น้อย

ตอนนี้ไม่รู้เลยว่าต้องพูดอะไร
มันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องรู้สึกยังไงกับเรื่องที่เกิดขึ้น

บรรยากาศก่อนหน้านี้ที่โรงอาหาร ผมจำได้ว่าอาร์มเอื้อมมือมาจับมือของผม เจ้าของใบหน้าคมที่เหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างในตอนนั้น แต่ผมกลับไม่ได้ยินเลย ความรู้สึกตกใจคล้ายเสวิตซ์กดปิดการได้ยินของผมลงในตอนนั้น ทุกอย่างมันนิ่งสนิท

“ กู ไปเรียนก่อนนะ ” แล้วสุดท้ายนั่นคือประโยคที่ผมพูดออกไป ก่อนจะเดินออกมาจากตรงนั้น โดยที่ไม่ได้ฟังเสียงเรียกของอีกฝ่ายเลย แต่ถึงอย่างงั้นอาร์มก็ยังโทรเข้ามาไม่มีหยุด ต่อให้ปิดเสียง ปิดสั่น แต่หน้าจอก็ยังแจ้งเตือนกันอยู่แบบนั้น

“ ไม่รับสายมันหน่อยอะ ” คนที่นั่งอยู่ข้างกันเชิดหน้ามาที่มือถือของผมที่เพิ่งถูกดึงให้คว่ำหน้าจอลง “ มันคงอยากจะคุยกับมึงนะ ”

“ รู้ ” ผมตอบรับ “ แต่ตอนนี้กูยังไม่อยากจะคุย ”

“ มีอะไรพูดกับกูได้ ” เจ้ยพูดสั้นๆพลางผ่อนหลังลงกับเก้าอี้ตัวที่กำลังนั่ง “ เมี่ยง..”

“ หื้ม ? ” หันไปบอกอีกคนก็ยิ้มจางๆ

“ กูขอโทษแทนไอ้เบสด้วยนะ ”

“ มึง..กูถามได้มั้ย ” ผมหันไปมองคนข้างๆ อีกคนก็พยักหน้ารับ

“ เรื่อง ? ”

“ ทำไมถึงไม่บอกกูวะ มึงเองก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ เรื่องที่ไอ้อาร์มชอบดีน แต่ทำไมถึงไม่ยอมบอกกูเลยวะ ” สายตาของคนที่มองกันนั้นเปลี่ยนไป ลมหายใจที่ผ่อนออกมา ราวกับว่าสุดท้ายแล้ว มันก็ต้องพูดในสิ่งที่ไม่ค่อยอยากจะพูดกันสักเท่าไหร่

“ เอาจริงๆตอนแรกกูไม่คิดว่ามึงกับมันจะมาถึงจุดนี้หรอก ไม่เคยคิดเลยจริงๆเว้ย จนมาถึงตอนที่มึงเล่าเรื่องไอ้อาร์มนามสมมุติเหี้ยอะไรนั่น กูถึงจะมารู้ว่าจริงๆ มึงกับมันคงเริ่มมีใจให้กันแล้ว ”

“ อื้ม ”

“ กูพูดความจริงได้มั้ย ” ประโยคนั้นทำให้ผมนิ่งไปสักพัก ก่อนจะพนักหน้ารับ “ จากที่ฟังมึงเล่ามาตลอด กูก็รู้สึกว่าไอ้อาร์มมีใจให้มึงเหมือนกัน กูเลยอยากจะให้มึงเข้าไป แล้วพาไปอาร์มออกมาสักที จากวังวนนั้น ”

“ มึงหมายถึงดีนเหรอ ” อีกฝ่ายยักไหล่ยิ้มๆ

“ กุรู้จักกับมันมานาน เมื่อก่อนก็อยู่กลุ่มเดียวกัน ไอ้สัดนั่นที่ชอบเพื่อนตัวเอง ชอบแบบ ดูจากดาวอังคารก็ยังดูออก แต่ไอ้สัดดีนก็ทำเหมือนจะไม่รับรู้เรื่องนี้เลย หนำซ้ำยังเอาแต่คอยบอกมันว่า ให้รอ ทั้งๆที่จริง ก็ไม่รักนั่นแหหละ แต่ไม่กล้าพูดออกมากลัวเสียเพื่อนไป ”

“ เหรอ ”

“ ฟังแล้วอาจจะดูเหมือนกูเอาความดีเข้าตัว เพราะถ้าไอ้อาร์มมูฟออนไม่ได้แล้วทำมึงให้เจ็บ กูแม่งก็ไม่ต่างอะไรกับไอ้เหี้ยเบสเหมือนกัน ที่ไม่ยอมบอกอะไรมึงแบบนั้น ” ผมนิ่งในตอนนั้นเจ้ยมันก็ถอนหายใจ “ ตอนแรกกูก็ลังเลเหมือนกัน ว่าจะบอก ตอนที่มึงมาเล่าเรื่องที่ไอ้อาร์มบอกมึงว่ามีคนที่มันชอบอยู่แล้ว กูอยากจะบอกเหมือนกันว่าเป็นดีน ”

“ แล้วทำไมไม่บอก..”

“ แล้วถ้ากูบอก มึงจะยังให้โอกาสมันมั้ยวะ ” คำถามนั้นกลายเป็นผมที่เงียบไป “ มึงจะยังให้โอกาสมัน เหมือนอย่างที่ก่อนหน้านี้มึงให้โอกาสมันมั้ย หรือว่ามึงจะคิดเหมือนที่ไอ้ดีนคิด ว่ามันไม่ทางหรอก ที่อาร์มจะเลิกรักมัน ”

“ กู..”

“ นั่นแหละ คือเหตุผลที่กูไม่บอก เพราะถ้าบอก มึงจะตัดสินมัน ตัดสินแบบที่ไม่ได้ลองเลย ว่ามันจะทำได้มั้ย แล้วใครๆก็เป็นแบบนั้น ถ้ารู้ว่าอาร์มชอบดีน ก็จะมีแค่คำพูดที่ว่า ไม่มีทางหรอก มันเป็นเพื่อนรักกัน มันอยู่ด้วยกันตลอด คนข้างนอก จะเข้าไปได้ไง ไม่มีทาง ”

“ ก็ใช่ไง ”

“ แต่ตอนนี้มึงก็เข้าไปแล้วนี่ ” เจ้ยมันเถียงผม ก่อนจะพูดเสียงเรียบ “ ในใจของไอ้อาร์ม มึงเข้าไปแล้วนะ หรือที่กูพูดมันไม่จริง ”

ถ้าให้พูดกันตามตรง ผมก็ไม่รู้หรอก ว่าในใจอาร์มตอนนี้มีผมอยู่มั้ย ไม่รู้เลยว่าในหัวใจนั้น ผมเป็นคนเดียวหรือเปล่าที่อีกคนรัก แต่สิ่งที่รู้คือ มันทำตามในสิ่งที่มันสัญญากันไว้เสมอ

ตั้งแต่วันที่ขอโอกาส ว่าจะพยายามพาตัวเองออกมาจากคนที่มันชอบ แล้วตั้งแต่วันที่มันบอกว่ามันเลิกชอบใครคนนั้นแล้ว อาร์มก็แสดงให้เห็นกันมาตลอดถึงคำว่า เรา

เราที่หมายถึง พื้นที่ข้างๆของผมนั้นมีมัน และพื้นที่ข้างๆมันนั้น มีผม
เราที่เป็นเพียงคนสองคนที่อยู่เคียงข้างกัน ไม่มีคนอื่น

“ มึง ” ผมผุดลุกขึ้นคนที่นั่งอยู่ก็ถึงกับเด้งตัวออกห่าง ก่อนจะถาม

“ ตกใจหมดไอ้สัด มึงลุกทำเหี้ยอะไรเนี้ย  ”

“ กูคิดว่า กูควรไปหาไอ้อาร์มว่ะ ” พูดแบบนั้นคนฟังก็ขมวดคิ้วมันคงอยากจะบอกกันนั่นแหละว่าอาจารย์จะมาแล้ว แต่เหมือนว่าจะมีอีกความรู้สึกนึงโผล่ขึ้นมา เจ้ยมันเลยแค่พยักหน้ารับยิ้มๆ

“ ก็ดีนะ เพราะตอนนี้ไอ้ดีนอาจจะรู้สึกดีกับการกระทำของไอ้เบสอยู่ได้ อีกอย่างท่าทางของมันก็ไม่ค่อยอยากจะยอมรับเท่าไหร่เลย ว่าตอนนี้ไอ้อาร์มไม่ได้รักมันแล้ว ”

ผมไม่ได้ตอบรับคำพูดนั้นของอีกคน ไม่ได้แม้แต่พยักหน้าหรือแสดงทีท่าเห็นด้วยกับสิ่งที่อีกคนพูดออกมา แต่สิ่งที่ผมทำมีเพียงแค่เดินออกมาจากในห้องที่กำลังจะมีการเรียนการสอนเพียงแค่อีกไม่กี่นาทีนั้น

“ แล้วนั่นเธอจะไปไหน ” เสียงของอาจารย์ผู้หญิงประจำภาควิชาเดินเข้ามา เธอที่เปิดประตูเข้ามาเจอกับผมที่กำลังวิ่งสวนออกไปพอดี ตอนนั้นเลยทำได้เพียงแค่ตะโกนตอบ อย่างไม่อยากเสียมารยาทในตอนที่ผู้ใหญ่ถาม

“ ห้องน้ำครับอาจารย์ ” เป็นเพียงแค่คำตอบสิ้นคิด แต่จะทำยังไงได้ ผมคิดมันได้แค่นั้น ในตอนที่วิ่งผ่านห้องน้ำไปยังลิฟต์ของตึกที่ก็พอถึง ผมก็กดปุ่มนั้นย้ำๆอย่างที่ใจอยากให้มันมาถึงเร็วๆ

“ จะรีบไปไหนของมึงวะเมี่ยง ” เบสที่นั่งอยู่แถวนั้นเดินเข้ามาถาม ผมเพิ่งสังเกตว่ามันไม่ได้เดินตามเราเข้าไปในห้องเรียน แต่กลับนั่งอยู่ข้างนอกคนเดียวมาตลอด อีกฝ่ายเดินเข้ามาทักกัน

“ ไปหาอาร์ม ” ผมบอก อีกคนก็นิ่งไป ในแววตานั้นเหมือนมีแต่ความไม่สบายใจซ่อนอยู่ ผมพอรู้ ว่าเบสคงอยากจะขอโทษผมอีก “ ไม่ต้องขอโทษกูซ้ำๆหรอก ครั้งเดียวก็รู้เรื่องแล้วไอ้สัด ”

“ แต่ว่าเมื่อกี้..”

“ ตอนนั้นที่กูไม่ได้รับคำขอโทษของมึงเมื่อกี้ ”

“ ไม่เป็นไร กูมากกว่าที่ต้องพูดคำนั้น ”

“ ตอนนั้น กูแค่ไม่สามารถบอกมึงได้ มันไม่เป็นอะไรหรอก ไม่ต้องคิดมาก เพราะกูแม่งเป็น แล้วมันก็เป็นมากด้วย กูแม่งโคตรช็อค ไม่คิดว่าเรื่องมันจะเป้นแบบนี้ ไม่คิดว่าคนที่อาร์มชอบจะเป็นดีนเลย ”

“ อื้ม ”

“ ตอนที่เจ้ยด่ามึง กูเลยไม่รู้จะพูดอะไร ” บอกคนตัวสูงที่คอตกลงทันทีในตอนได้ยิน “ แต่ว่าตอนนี้กูโอเคแล้ว กูมานั่งคิดๆ เอาจริง กูไม่ควรใส่ใจกับเรื่องอะไรแบบนั้น เพราะมันก็แค่อดีต กูควรมองปัจจุบันในสิ่งที่อาร์มมันทำให้กูมากกว่าจริงมั้ยละ ”

“ อื้ม ” เบสพยักหน้ารับในคอ

“ แต่มึงอะไอ้สัด ”

“ อะไร ”

“ ทำเหี้ยอะไรก็คิดหน่อยเถอะนะ เพราะสิ่งที่มึงทำ มันดูเหมือนมึงไม่แคร์เพื่อนแบบกูเลย จนไม่รู้แล้วว่า ฐานะเพื่อนที่มึงให้ แม่งคือเพื่อนจริงๆ หรือแค่คบๆไปอย่างนั้น ”

“ ขอโทษ ” เสียงเบาที่เอ่ยออกมาพร้อมกับเสียงถอนหายใจ “ กูไม่ทันคิดจริงๆ สำนึกได้แล้ว ว่าไม่ควรพูดออกไปแบบนั้นเลย กูแม่ง พอเห็นแววตาของไอ้ดีนที่กำลังหงุดหงิดทั้งๆที่ทำหน้านิ่งอย่างงั้น ก็ยิ่งอยากจะพูดออกไป ทั้งๆที่กูควรแคร์ความรู้สึกของมึงที่เพื่อนมากกว่าด้วยซ้ำ แต่กูก็ลืมมันไปหมด ” เบสมันนิ่งไป “ เจ้ยแม่งพูดถูกทุกอย่างเลย กูแม่งโคตรเหี้ย ”

“ เออ ก็ดีที่มึงยังรู้ตัว ”

“ ต่อไปกูจะไม่ทำแบบนั้นอีก ” พยักหน้ารับรู้คำพูดนั้น ลิฟต์ที่เรียกก็มาถึงพอดี “ ให้อภัยกูนะ ผิดไปแล้วจริงๆ ”

“ เออ มึงไปเรียนเถอะ กูจะไปคุยกับไอ้อาร์มมันหน่อย ”

“ งั้นฝากขอโทษไอ้อาร์มด้วย แล้วถ้ากูเจอมันกูจะขอโทษมันต่อหน้าอีกที ”

“ ได้ ” แล้วก็โคตรเห็นด้วยเลย ว่าคนที่มันควรขอโทษรองจากผม ก็คือใครคนนั้น ที่ตอนนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่ากำลังรู้สึกยังไงบ้าง

ลิฟต์พาผมขึ้นมาจากชั้นที่อยู่ถึงสามชั้น ประตูลิฟต์ที่เปิดออก แต่ยังไม่ทันจะได้เดินไปไหน ขาก็ต้องหยุดชะงักอยู่ตรงประตูนั้น  เพราะพื้นที่ด้านหน้าที่เห็น ที่อยู่ไม่ไกลจากตัวลิฟต์นั้น กลุ่มของอาร์มก็กำลังนั่งอยู่ด้วยกัน แม้จะเป็นคนละมุม

“ มึง ” ไม่ใช่เสียงของอาร์มที่เอ่ยเรียกผม แต่เป็นเสียงของโฮมที่เอ่ยเรียกอาร์มก่อนจะเชิดหน้ามาทางผม ร่างสูงที่ตอนนี้สายตาเอาแต่จ้องหน้าจอมือถือไม่ผละสายตาไปไหน สายที่ไม่ถูกรับ มันกดโทรออกอย่างงั้น อยู่ท่ามกลางความเงียบเชียบบนชั้นนี้

ก็น่าจะกดรับโทรศัพท์มันสักหน่อย ก่อนหน้าที่กำลังรอลิฟต์อยู่ก็ยังดี

“ เมี่ยง ” รอยยิ้มดีใจนั้นแบบเห็นได้ชัด ร่างสูงเดินเข้ามาหาผมด้วยความดีใจแบบที่ปิดความรู้สึกกันไว้ไม่อยู่ ท่าทางงุ่นง่านที่เหมือนอยากจะถามอะไรสักอย่าง แต่ผมพูดขึ้นก่อน

“ ขอโทษ ” ว่าแบบนั้นก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมา “ กูไม่ได้รับสายมึงเลย ”

“ ไม่เป็นไร ” อาร์มที่เหมือนยิ้มค้างส่ายหน้าไปมา และแน่นอนมันไม่ผละสายตาไปไหนเลยจากผม

“ คือที่กูมา กูคิดว่ากูควรพูดเรื่องของเราให้รู้เรื่อง ไม่งั้นมึงจะรู้สึกเครียด แล้วกูก็ไม่อยากจะมันเป็นงั้น  คือกูไม่ได้โกรธมึงนะ ตอนนั้นสับสนนิดนึงก็จริง ” ผมเริ่มยกมือขึ้นเกาหัวตัวเอง เรียบเรียงประโยคไม่ได้ขึ้นมากะทันหัน “ หรือควรจะเรียกว่าช็อค แบบว่าไม่ทันคิดจริงๆ ว่ามันจะออกมาเป็นแบบนี้ แต่ว่าตอนนี้ได้สติแล้ว ทุกอย่างโอเค มึงก็อย่าคิดมากนะ กูไม่ได้โกรธมึงเลย กู..”

อ้อมกอดที่ดึงผมเข้าไปกอดหยุดประโยคยาวเหยียดที่กำลังพูดนั้นให้จบลงโดยพละการ ใบหน้าคมที่ซบลงกับไหล่ อ้อมกอดที่รัดแน่น ผมได้ยินเสียงอีกฝ่ายถอนหายใจออกมาเมื่อโล่งอก แต่ทว่าตัวอาร์มเองกลับไม่ได้พูดอะไรมาต่อจากนั้น

แต่บางทีนั่นก็อาจจะเพียงพอแล้ว กับการบอกกันว่าอีกฝ่ายรู้สึกโล่งใจและความสุขมากแค่ไหน ที่เห็นผมยืนอยู่ตรงนี้

“ หวานจังนะ ” เสียงของเพื่อนที่นั่งอยู่ทัก ผมดึงตัวเองออกในตอนที่สบสายตาเข้ากับโฮมพอดี “ สบายใจแล้วละสิมึง ” ประโยคนั้นอีกคนหันไปถามเพื่อนที่ก็ตอบรับด้วยคิ้วที่ยักขึ้นลงเป็นคำตอบ “ รู้มั้ยมึงทำมันแทบคลั่งเลยนะ ”

“ กูเหรอ ” ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง อีกฝ่ายก็พยักหน้ารับ

“ มันนั่งอยู่ตรงนี้ ไม่คุยกับใคร ไม่ไปไหน เอาแต่กดโทรไปหามึง กูบอก ลงไปหามึงมั้ย ก็เอาแต่บอกว่า กลัวมึงจะยังรู้สึกไม่ดี ที่ต้องเห็นหน้ามัน ตอนแรกคิดว่าอีกห้านาทีไม่ดีขึ้น ก็ว่าจะลากไปหามึงแล้วเมี่ยง ”

“  ก็เว่อร์ไป ” ดีนที่นั่งอยู่อีกฝั่งพูดขึ้น ในตอนนั้นเราก็หันไปมอง “ ทำไม ก็กูพูดตามความจริง ก็ไม่เห็นว่ามันจะเว่อร์เหมือนที่ไอ้สัดโฮมพูดเลยสักนิด ก็ปกติ กูตอนที่มันโทรหาไม่รับ ก็โดนโทรจิกเหมือนกันนั่นแหละ ”

“ มึง พอเถอะ ” คนที่ชื่อจุ้นเอ่ยปรามมัน ดีนหันไปมาสบสายตากับผม

“ ไปข้างนอกกันมั้ย ” อาร์มที่ก้มลงถามกันเหมือนอยากจะดึงผมให้ออกจากความน่ารำคาญนั้น “ ไปหาอะไรกิน ดูหนัง หรือว่าทำอะไรก็ได้ ”

“ ไปเรียนมั้ย ” ผมบอกมันก่อนจะเอียงหน้ายิ้มให้ ในแววตานั้นคงมีความรู้สึกที่อยากจะบอกกันเต็มทีแล้วกับเรื่องที่มันคาราคาซังอยู่ แต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่เข้าใจมัน จนต้องรีบอธิบายขนาดนั้น ตอนนี้ผมเข้าใจมันดีในจุดนึง เลยคิดว่า ก็ไม่จำเป็นแล้ว ค่อยคุยกันตอนไหนก็ได้ “ เลิกเรียนแล้วค่อยคุย กูจะให้เวลามึงพูดทั้งคืนเลยดีมั้ย อยากจะพูดอะไรก็พูดเลย ”

“ บนเตียงด้วยปะน้า ” จุ้นที่พูดแซวแบบยิ้มกว้าง อาร์มก็หลุดยิ้มตาม มันหันไปมองเพื่อนตัวเองยิ้มๆ ความสุขนั้นกลั้นไม่อยู่แล้ววินาทีนี้

“ เสือก ไอ้สัด ”

“ ไม่เป็นไร กูไม่ได้โกรธมึงสักหน่อย กูเข้าใจแล้วว่ามันก็แค่เรื่องของอดีต ” เหลือบสายตาไปมองดีนในตอนที่พูดคำนั้น อีกคนก็ยกยิ้มก่อนจะหันไปทางอื่นอย่างที่รู้ตัวว่าผมกำลังพาดพิงอยู่ “ กูจะรอมึงเลิกเรียน แล้วเราค่อยคุยกันที่บ้าน โอเค๊ ? ”

ก็แค่ไม่อยากจะให้มันดูเป็นเรื่องใหญ่ ผมไม่อยากจะให้ดีนรู้สึกว่าตัวเองสำคัญ เป็นคนสำคัญในชีวิตของเราที่ต้องจัดการ ต้องรีบทำให้เรื่องของมันเรียบร้อย แต่อยากจะให้อีกคนรู้ตัวว่า ในความสัมพันธ์ของผมกับอาร์ม มันไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้นเลย

ก็เป็นแค่อดีต
อดีตที่ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อปัจจุบัน และอนาคตทั้งนั้น

หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 27 :: up! 19-6-63} #หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 26-06-2020 20:24:56
“ โอเค งั้นเจอกันตอนเย็น แล้วเดี๋ยวกูโทรหา ” พยักหน้ารับอีกคนงึกงัก อาร์มก็ถอนหายใจออกมา ฝ่ามือนั้นจับมือของผมแน่น “ กูไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้มึงตัดสินใจมาหากู กูไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่มึงคิดอยู่ แต่ขอบคุณมาก ที่เชื่อใจกู ”

“ ก็มึงไง ” ผมบอกอีกคนยิ้มๆ “ ถ้ามึงถามว่าอะไรที่ทำให้กูตัดสินใจมาหามึง คำตอบก็คือมึง การกระทำของมึง ที่ทำให้กูมาตลอด ทุกอย่างก็แค่นั้น ที่ทำให้กูคิดได้ ไม่มีอะไรมากเลย ”

“ เหรอ ” คนฟังว่าแบบนั้นยิ้มๆ ในแววตานั้นมีความสุขขึ้นมาอย่างฉับพลัน อาร์มพยักหน้ารับ มันก้มลงมากอดผมไว้อีกครั้ง ก่อนจะแอบเอียงหน้าลงหอมแก้มกันแบบที่ไม่ให้โจ้งแจ้งเท่าไหร่เพราะสายตาเพื่อนกำลังจ้องมอง เสียงทุ้มนั่นกระซิบลงข้างหู “ คำตอบแบบ.. ชื่นใจอะไรขนาดนี้ว่ะ ”

“ จะอ้วก ขอตัวไปเรียนก่อนแล้วกัน ” ดีนมันว่าแบบนั้นในตอนที่เห็นเรากอดกัน ร่างสูงที่เดินผ่านไปในตอนนั้น เราผละตัวออกห่างกันพอดี แต่ผมก็แค่ยิ้มเกร็งให้อีกคนแบบที่ไม่ได้พูดเถียงอะไร แม้ในใจจะตะโกนออกไปว่า ดูจากดาวอังคารยังรู้ว่ามึงรับไม่ได้ แล้วทำมาเป็นบอก จะอ้วก กลบเกลื่อน โธ่เอ้ย!! รู้ทันหรอก

“ คุยตอนเย็นได้แน่นะ ”

“ แน่สิว่ะ ” พยักหน้ารับย้ำอีกคน ผมก็ดึงตัวเองออกจากอีกคนพร้อมกับเดินไปที่ลิฟต์ “ กูไปละ เมื่อกี้ตอนมาสวนกับอาจารย์ บอกเค้าไว้ว่าไปเข้าห้องน้ำ  ไม่แน่ตอนนี้เค้าคงคิดว่ากูแม่งตกส้วมไปแล้วมั้ง อาจจะให้เพื่อนในห้องช่วยตามหา ”

“ โอเค ” ตอบรับแบบนั้นอาร์มก็กดลิฟต์ให้กัน “ เลิกเรียนแล้วจะบอกอีกที ว่าเจอกันที่ไหน ” พยักหน้ารับคำพูดนั้นผมเดินเข้าไปในลิฟต์ที่ก็มาถึงพอดี 

มือหนากดลิฟต์ลงไปชั้นล่างให้กัน ในตอนที่ผมเดินเข้าไปด้านใน แต่ในตอนที่จะหันไปกลับมายิ้มให้ คนตรงหน้าก็ดึงตัวเองเข้ามาใกล้กันแบบไม่ทันให้ตั้งตัวเสียก่อน อาร์มจูบผม ก่อนจะผละออกในตอนที่ประตูลิฟต์ค่อยๆปิดตัวลง

ปากที่กำลังจะอ้าออกด่าว่า ‘ ทำเหี้ยอะไรของมึง ’ แต่สายตาของคนที่กำลังยิ้มกว้างพร้อมทั้งยักคิ้วให้กันนั้น กลับทำให้ต้องกลืนความรู้สึกพวกนั้นลงไปในที่สุด

ยกโทษให้ก็ได้
แต่เพราะเห็นว่ามึงมีความสุขหรอกนะ

.........................................................

สุดท้ายก็ต้องมาจองห้องดูหนังของมหาลัยแบบที่ไม่รู้จะพาตัวเองไปไหน เพราะความยาวนานของทั้งช่วงต่อเวลาและคาบเรียนตอนเย็นของอีกคน ครั้นจะไปนั่งที่คาเฟ่ก็เบื่อ และการดูหนังนี่แหละ เป็นอะไรที่คั่นเวลาได้ดีที่สุดเลยสำหรับผม

‘ รออยู่ที่ห้องดูหนัง ห้องเดิม เพิ่มเติมคือ วันนี้ไม่ดูการ์ตูนแล้ว ห้ามแซว! ’ ส่งข้อความไปหาอีกคนที่ก็คงยิ้มกว้างไม่น้อยในตอนที่ได้อ่าน วันนี้ผมเลือกหนังแอคชั่น แน่นอนว่าไม่ได้ซีเรียสกับคำพูดแซวแบบที่ว่าไปจริงๆ แค่อยากจะดูก็เท่านั้น


ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ สวัสดีครับ ” เสียงทุ้มที่ทำให้ผมหันไปมอง เผลอแปปเดียวการรอคอยที่คิดว่ายาวนานก็สิ้นสุดลงเสียแล้ว และแน่นว่าการดูหนังภาคต่อนี่มันยอดเยี่ยมดีจริงๆ เพราะลืมไปเลยว่ากำลังคอยอยู่ “ คอยนานมั้ย ”

“ จริงๆมันก็นานแหละ แต่ก็คือดูไม่นานเลย เพราะไอ้หนังเหี้ยนี่สนุกมาก ” ชี้ไปที่หนังบนหน้าจออีกคนก็หลุดยิ้มก่อนจะดึงตัวเองลงนั่งข้างกัน แต่อาร์มดูเหนื่อยอยู่ไม่น้อย ในตอนที่มันผ่อนตัวลงนั่ง หลังที่พิงกับเบาะอีกคนก็ค่อยๆไหลลงมานอนบนตัก ใบหน้าคมนั้นหลับตาสนิท “ เรียนหนักเหรอวะ ”

“ อื้ม ” ตอบกันด้วยเสียงในลำคอ อาร์มถอนหายใจ “ เข้าคลาสวิชาเอกทีไรกูอยากตายทุกที ”

“ ยากมากเลย ”

“ อาจารย์คนสอนเคี่ยวสัดๆ ถึงมันจะไม่มีสอบ แต่ก็ใช่ว่าจะดีเลย ถ้าคะแนนโปรเจ็คออกแบบไม่ดี แม่งก็เหี้ยพอกัน ”

“ ก็เฉลี่ยๆไง กูได้ข่าวคณะมึงสอบน้อย ”

“ น้อยเหรอวะ ” คนฟังทวนคำพูดนั้น “ เรียนห้าตัว สอบก็สามแล้วนะ พวกจริยธรรมสื่อ กฏหมายอะไรอีก ตอนแรกเลือกเรียนคณะนี้ คิดว่าทฤษฎีจะน้อย ที่ไหนได้ แล้วไอ้ตัวที่ไม่สอบก็ใช่ว่าจะสบายเลย โปรเจ็คยากชิบหายไอ้สัด ”

“ แล้วจะบ่นอะไรขนาดนั้นอะ  ” ผมบีบหน้ามันอีกคนก็ยิ้มเหนื่อยๆ พลางพลิกตัวมากอดเอวกันไว้ กลายร่างเป็นไอ้ลูกหมาตัวโตที่คิดว่าตัวเองตัวเล็กนิดเดียวซะงั้น “ แล้วนี่วันนี้ดีนจะยังไปนอนห้องมึงมั้ย ”

“ มันไม่ได้พูดอะไรนะ ”

“ แล้วคืนกุญแจยังละ ” ผมถามอีกคนก็ยกยิ้มพลางส่ายหน้า “ แบบนั้นก็แสดงว่า ยังคงอยู่ ” คำพูดนั้นดึงให้คนที่นอนอยู่ดึงตัวเองขึ้นมามองหน้ากัน อาร์มพิงตัวเองลงกับพนักพิงของโซฟา มันเงียบอยู่สักพัก

“ ขอโทษนะ ” เสียงทุ้มพูดแบบนั้นด้วยสีหน้าจริงจัง อาร์มจ้องมองผม “ กูขอโทษ ขอโทษที่ปิดบังมึงเรื่องของดีน ”

“ แล้วทำไมถึงไม่คิดบอก ” คำถามนั้น คือคำถามเดียวที่ผมอยากรู้ในตอนนี้ คำถามเดียวที่ว่า ทำไมถึงไม่บอกกันเลย ทำไมถึงให้คนอื่นมาบอกกันแบบนี้ “ มึงกลัวเหรอ ว่าถ้ามึงบอก กูจะไม่ให้โอกาสมึง เพราะมันยากเกินไป ที่มึงจะตัดใจจากดีน ”

“ อื้ม..เพราะกูแค่เห็นแก่ตัวเมี่ยง กูไม่อยากเสียมึงไป ไม่อยากกลับไปเหมือนวันนั้น วันที่มึงผลักกูออกไปจากทุกอย่าง วันที่มึงไม่ฟังอะไรทั้งนั้น  ” อีกฝ่ายบอกกันอย่างงั้น อย่าไม่ปิดบังในความรู้สึก “ กูอยากจะแสดงให้มึงเห็น ว่ากูรู้สึกยังไงกับมึง อยากแสดงให้มึงเห็นก่อนที่จะบอกเรื่องทุกอย่าง แต่ก็นั่นแหละ ไอ้สัดเบสก็บอกไปแล้ว แบบที่ไอ้ดีนต้องการเลย ”

“ มึงจะพูดว่า ดีนอยากจะบอกเรื่องนี้อยู่แล้ว และพอไอ้เบสพูด ทุกอย่างก็พอดีเลยงั้นเหรอ ”

“ อื้ม ” ใบหน้าคมพยักหน้ารับ

“ แล้วแหวนนั่น..จริงมั้ย ”

“ จริง กูเป็นคนซื้อให้ดีนตอนวันเกิด ” ผมพยักหน้ารับคำพูดนั้น อีกคนยกยิ้ม “ มึงรู้มั้ยว่า ก่อนหน้านี้มันไม่ส่ด้วยซ้ำ จนกูจำไม่ได้แล้วว่า มันใส่ไว้ที่คอหรือว่านิ้วนางข้างขวา แต่พอวันนี้ ตอนที่มันอยู่ตรงหน้ามึง มันดันใส่อยู่ข้างซ้ายซะงั้น ”

“ เหรอ ”

“ อื้ม ”

“ อยากฟังมั้ย เรื่องของกูกับมัน ถ้าอยาก จะเล่าให้ฟังทั้งหมดเลย ”

ก็น่าแปลกที่คำถามนั้น ผมรู้สึกอยากจะบอกออกไปมากว่า ‘ ไม่อยาก ’ ใบหน้าที่ส่ายไปมาในตอนนั้นอาร์มมันยิ้ม

“ กูรู้แล้วว่ามึงเจ็บปวด กูไม่อยากจะถามให้มึงเล่า ให้มึงไปคิดถึงภาพเก่าๆพวกนั้นอีก ช่างมันเถอะ ยังไงมันก็ผ่านไปแล้ว ตอนนี้มึงรู้สึกกับกูคนเดียว กูก็พอใจแล้ว ”

“ น่ารักอีกแล้ว ” คำพูดนั้นมาพร้อมกับใบหน้าที่เลื่อนเข้ามาใกล้กัน ริมฝีปากที่จูบลงบนริมฝีปากของผมนั้น ชวนให้ยิ้มออกมา “ จำที่กูบอกได้มั้ย ถ้ามีอะไรให้พูด ให้ถาม มึงถามกูได้ทุกคำถาม ถ้ามีอะไรที่มันกวนใจมึงอยู่ ก็ถามออกมาได้เลย ”

“ ห่วงจังนะไอ้สัด ”

“ ก็กูรัก” คำตอบนั้นชวนให้ผมนิ่งไป หัวใจเกิดอาการเต้นไม่เป็นจังหวะขึ้นมากะทันหัน แต่อาร์มก็แค่เอื้อมมือมาเขี่ยจมูกกันยิ้มๆ “ กูเคยจินตนาการความรักที่กูอยากมีมาตลอด แล้ววันนี้กูมีมึงแล้ว กูก็จะทำอย่างที่ตั้งใจไว้ กูจะทำให้มึงมีความสุข ”

“ อะไรบ้างอะ ไหนลองบอกกูมาหน่อย เผื่อมีอะไรที่น่าสนใจ กูจะได้ตั้งตารอ ”

“ ไม่บอก บอกไปก็ไม่ตื่นเต้นสิ ” คนที่ก้มลงมาจูบกันอีกครั้งว่าแบบนั้น ก่อนจะหันไปมองหนังที่ฉายอยู่บนหน้าจอ

และแน่นอนว่าความเสียใจ ของปัญหาเดิมๆ ในอดีต คงไม่ใช่แพลนที่มันวางไว้หรอก ‘ อยู่กับวันนี้ดีกว่า เราจะไม่จมอยู่กับอะไรแบบนั้น ‘  ความคิดนี้ที่แล่นเข้ามาในตอนนั้น

ก็ดีแล้วละ ที่ไม่ได้อยากจะรู้เลยว่าเรื่องราวอะไรที่มันเคยผ่านมา


ครืน ครืน ครืน

เสียงเตือนของโทรศัพท์ที่ร่างสูงถืออยู่ ชวนให้ผมก้มลงไปมอง ไม่ต่างอะไรกับคนที่ถือมันอยู่ ตัวอย่างของข้อความของที่คนส่งเข้ามา ฉายขึ้นบนหน้าจอ

‘ อยากคุยด้วย เจอกันที่ห้องมึงหน่อย กูจะคืนกุญแจห้องให้ ’ แล้วนั่นก็คือข้อความจากดีน ข้อความที่อาร์มเงยหน้าขึ้นถามผม แค่สั้นๆ

“ กูไปได้มั้ย ”

“ ไปสิ แต่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ต้องการการช่วยเหลือ ก็ตะโกนให้เสียงดังๆเลยนะ แล้วกูจะเข้าไปช่วยมึงเอง ” กำมือแน่นด้วยความมาดมั่น และมั่นใจ อาร์มที่หลุดหัวเราะออกมาเสียงดังในตอนนั้น ผมไม่อยากจะให้มันกังวลในเรื่องของเรามากเกินไป

เป็นของขวัญที่มันชัดเจนกันมาตลอด

.............................................................................
ยาวมาก เลยตัดไปลงศุกร์หน้า
แต่รับรองว่า “ ว้าวซ่าส์ มากแน่นอน “ ให้เสียงโดยน้องเมี่ยง
มันอาจจะยาวไปสักหน่อย แต่หนมไม่อยากจะเขียนแบบบีบจนขาดความเข้าใจบางจุดไป
ขอโทษด้วยนะคะ ถ้ายืดยาวไปบ้างในบางช่สง
ท้ายนี้ ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ในทวิตด้วยน้า
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์
หนมมี่

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 28 :: up! 26-6-63} #หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 26-06-2020 22:51:03
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 28 :: up! 26-6-63} #หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 26-06-2020 23:12:32
จะคืนกุญแจจริง ๆ เหรอ ดีน มีอะไรแอบแฝงหรือเปล่า  :hao3:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 28 :: up! 26-6-63} #หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 26-06-2020 23:44:00
คืนไปเถอะ ยื้อไว้เหนื่อยป่าว คงเห็นชัดแล้วว่าเขาหมดใจให้จริงๆ หึ! ปรับความเข้าใจกันได้ก็ดีแล้ว เข้าใจความรู้สึกทุกคนเลยนะจะไม่ต่อว่า เราเองก็เคยเป็นแบบเบส ปากไปไวมาก ไม่คิดก่อนพูด ก็ได้แต่เสียใจที่พูดออกไปเพื่อความสะใจ ประชดประชัน ก็เลยไม่มีสิทธิ์จะว่าเบสได้เพราะตัวเองก็เป็น 55 ผิดแล้วก็จำระวังคำพูดมากขึ้นแค่นั้น เพื่อนๆก็ยังคบเหมือนเดิม เจ้ยเองก็เข้าใจถ้าตัวเองอยู่ในสถานการณ์แบบเจ้ยอาจทำแบบนั้นก็ได้ และเมี่ยงดีแล้วที่รับปรับความเข้าใจ อดีตช่างมันเถอะเพราะปัจจุบันเขาก็แสดงออกชัดมากว่ารักเลือกใคร เมื่อก่อนสองกลุ่มเจอหน้ากันตีกันตลอด ต่อไปคงควงแขนกันไปร้านเหล้าหรือเนื้อย่างอะ 5555 อาร์มกับเมี่ยงเลยกลายเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์เพื่อนไปอีก  o13 ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รอตอนหน้าเลยจ้า  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 28 :: up! 26-6-63} #หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 28-06-2020 19:10:09
หวังว่าดีนจะเข้าใจและไม่เร้าหรือ และอาร์มจะเอาตัวรอดได้

เมี่ยงน่าเอ็นดูมาก ทั้งตอนน่ารัก ทั้งตอนน่าสงสาร ช็อคไปเลย
แต่เจ้ยคือเพื่อนที่ดีนะ ในมุมมองเรา เจ้ยคิดเป็น สองจิตสองใจ
แต่ชั่งน้ำหนักได้ ว่าอะไรควรไม่ควร

อาร์มทำได้ดีมากแล้ว ชัดเจนที่สุด ความชัดเจนของอาร์ม
และคำพูดของเจ้ย กระตุ้นความคิดเมี่ยงได้ดี

เบสคือดีนเลย ไม่ต่างกัน เพื่อความสะใจ
จนเพื่อนมองไม่เห็นความรักกันของความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 29 :: up! 3-7-63} #หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 03-07-2020 20:28:54
ตอนที่ 29

“ กูไปได้มั้ย ” เพราะไม่อยากจะปิดเป็นความลับ เรื่องของดีน ผมรู้ว่าต่อไปนี้คงเป็นเรื่องที่ทำให้เมี่ยงรู้สึกไม่สบายใจ ถ้าทุกอย่างมันไม่ชัดเจนพอ

“ ไปสิ แต่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ต้องการความช่วยเหลือ ก็ตะโกนให้เสียงดังๆเลยนะ แล้วกูจะเข้าไปช่วยมึงเอง ” ท่าทางกำหมัดด้วยสายตามาดมั่นที่คล้ายกับเด็กเล็ก ชวนให้ผมหลุดหัวเราะเสียงดังแบบที่อดใจไม่เอื้อมมือไปขยี้หัว ไม่ได้เลย

ก็เป็นซะอย่างงี้ น่ารักใส่ตลอดเลย

“ นี่กูพูดจริงๆนะ มึงก็อย่าหัวเราะไป ถ้ามันบังคับมึง อย่าไปตกเป็นเหยื่อของมันนะ มาตกเป็นเหยื่อของกูแทนเข้าใจมั้ย แต่ถ้าไม่ไหว ดื้อด้านมากๆ ก็ให้ตะโกนออกมาให้สุดเสียงเลยนะว่า ‘ เมี่ยงช่วยกูด้วย!!’ แบบนี้นะ แล้วกูจะวิ่งหิ้วกระทะไปทุบหัวมันเอง โอเคนะ ”

“ ครับผม เข้าใจแล้ว ” พยักหน้ารับคำพูดนั้น คนฟังก็ยกนิ้วโป้งถูกใจมาให้

“ ดีมาก ทำตามด้วยนะ ”

“ ค้าบบบบบบบบบบบบบบบ ” ลากเสียงบอก และแบบที่อดใจไม่ไหวเลยในความน่ารักของคนที่พยักหน้ารับกันงึกงักอยู่ตรงหน้า ผมจูบเมี่ยง

“ อีกละ เยอะแล้วนะไอ้สัด ขอย้ำ เยอะไปแล้ว ” คิ้วที่ขมวดติ้วเข้าหากัน แต่ถึงอย่างงั้นท่าทางนั้นก็ยังทำให้ผมก้มลงไปจูบที่ริมฝีปากของอีกฝ่ายอยู่ดี แต่คราวนี้แถมให้ที่ข้างแก้มอีกทั้งสองข้าง  “ ยัง คือมึงจะยังไม่หยุด ”

“ อื้ม ”

“ ได้ มึงเจอกู ” ว่าแบบนั้นสีหน้านั้นก็จริงจังขึ้นมาโดยทันที นิ้วมือผสานเข้าหากัน ใบหน้าที่เอียงหน้าไปมา เหมือนคนกำลังเตรียมพร้อมจะใช้กำลัง จนผมได้แต่ขมวดคิ้ว แต่ยังไม่ทันจะถามอะไร มือขาวสองข้างก็จับเข้าที่แก้ม

เมี่ยงประคองหน้าผม มันออกแรงบีบจนปากจู๋ ก่อนจะดึงหน้าเข้ามาใกล้ แล้วจูบลงไปบนริมฝีปากนั่นอย่างแรง แบบย้ำลงซ้ำๆ หนำซ้ำยังบอกกันอีก “ นี่แหน่ะ จูบกลับเลย ”

“ นี่คือจะหยุดน่ารักไม่ได้เลยใช่มั้ยวะ ” ยิ้มถามมัน อีกคนก็ส่งยิ้มกว้างมาให้

“ พูดตามตรงนะ หน้าตาดีอย่างกู มันก็ยากนิดนึงแหละ ” คนน่ารักบอก ในแววตาที่ดูหนักใจไม่น้อยนั้น กวนตีนแบบที่ผมทำได้แค่ส่ายหน้าไปมามา อย่างที่ไม่รู้จะต่อกรยังไง เมี่ยงลุกขึ้น มันจับมือผม  “ กลับบ้านกันเถอะ หิวแล้วด้วยเนี้ย ”

“ แวะหาอะไรกินก่อนมั้ยละ” ประโยคนั้นทำให้อีกฝ่ายนิ่งไป ในสมองของคนตอบมันคงคิดอยากจะบอกกันว่า ‘ ปล่อยให้ดีนคอย มันจะดีเหรอวะ ’ แต่เพราะไอ้สัดนี่ก็แสบใช่ย่อยเหมือนกัน มันก็เลยแค่ยกยิ้มก่อนจะหันมาบอกกัน

 “ ก็ดีนะ หิ๊วหิวอะ ”

‘ ดูออกหมดเลยว่าตอแหล ’ ตอบในใจอย่างงั้น พร้อมกับยิ้มรับในคำตอบ


ก็ยอมรับว่าแพ้ของของน่ารักอยู่ไม่น้อยเลย แล้วแบบนั้นใครจะกล้าขัดใจ


เราใช้เวลานานมากอยู่ในร้านซูซิที่ไม่ไกลกันนักจากมหาลัย แถมคนข้างๆยังชวนกินของหวานที่ก็ละเมียดละไมเหลือเกินแบบที่จะทำให้ช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ และกลับบ้านให้ช้าที่สุดเพื่อกวนตีนคนที่กำลังรอผมอยู่ เมี่ยงที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ในตอนที่เห็นมือถือผมสว่างขึ้นมาเพราะสายโทรเข้าที่ปิดเสียงไว้มันก็เชิดหน้าชวนให้ดู

“ รับสายมันหน่อย บอกว่ายังไม่เสร็จ รอหน่อย ” ว่าแบบนั้นผมก็ส่ายหน้าปฎิเสธ

“ ก็บอกไปแล้วว่าแวะกินข้าว ถ้ารอไม่ไหว ก็ให้ฝากกุญแจไว้ที่นิติ แต่ถ้ายังยืนยันว่าจะอยู่รอ ก็อยู่ไป ”

“ อยากรู้จัง ว่ามันมีเรื่องอะไรที่จะต้องคุยกับมึงต่อหน้าขนาดนั้น แล้ววันนี้มันไม่คุยกับมึงเหรอ  ”

“ ไม่ ” ส่ายหน้าบอก ผมแอบถอนหายใจออกมา เอาจริงๆก็พอเดาออกนั่นแหละ ว่าเรื่องที่อีกฝ่ายคุย มันคือเรื่องอะไร

ก็คงไม่พ้นเรื่องเดิมๆที่เราคุยกันมาตลอด เรื่องที่อีกฝ่ายยังคิดว่าผมหลอกตัวเองว่ารักเมี่ยง ทั้งๆที่ยังรักมันอยู่

  กว่าจะเสร็จอีกมื้อที่มีความสุขก็เกือบจะค่ำ จนขากลับเข้าคอนโดกลายเป็นช่วงเวลาเลิกงานพอดี รถที่ติดจนแทบไม่เขยื้อนไปไหน แต่ทว่าในนี้กลับไม่มีอะไรน่าเบื่อเลย เพลงที่เราฟังเมี่ยงร้องคลอตามมันไปตลอด สายตาเรียวที่มองออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนจะหันมาบอกกัน

“ ไอ้ดีนด่ามึงชิบหายแล้วมั้งตอนนี้ ” เมี่ยงว่าแบบนั้นพลางหันไปดูเวลาที่อยู่ตรงส่วนคอนโซลรถ เพราะนับจากตอนที่ดีนโทรมาจนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปนานมากแล้ว ที่ผมปล่อยให้อีกฝ่ายคอยอยู่

“ เราก็ไม่ได้ปล่อยให้มันรอข้างนอกสักหน่อยหรือว่าตากฝนอยู่ มันก็อยู่ในห้องกู ไม่ต้องคิดมากหรอก ” ผมว่าปัดก่อนจะเอื้อมมือไปขยี้หัวคนนั่งข้าง ที่ถึงจะดูเหมือนกวนตีนยังไง แต่มันก็คิดถึงคนอื่นอยู่ดี หลังประโยคนั้นเมี่ยงพยักหน้ารับ

“ นั่นก็จริง ”

รถถอยเข้าจอดที่ช่องจอดประจำของคอนโด ผมผ่อนลมหายใจออกมากับคนนั่งข้างที่ก็ยิ้มกว้างในตอนที่เห็น มือขาวปลดเข็มขัดนิรภัยมันที่ทำทีจะลงไปแต่ผมคว้ามือไว้ก่อน สายตาเรียวที่หันมามองกันในตอนนั้น ผมพูดอ้อนมัน

“ เหนื่อย ”

“ แล้ว ? ” คิ้วเลิกขึ้นแบบที่ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ เมี่ยงเงียบอยู่นาน มันเหลือบมองผมก่อนจะพลิกตัวมาหากัน “ จะเอาอะไร ”

“ มีอะไรให้เลือกบ้างอะ ” ถามออกไปแบบนั้นอีกคนก็นิ่งคิด

“ เลี้ยงน้ำแก้วนึง ” ถอนหายใจออกมาไปในตอนที่ฟัง ผมเหลือบมองไปนอกหน้าต่างรถฝั่งที่ตัวเองนั่ง ก่อนจะเอียงหน้ามองอีกคน ที่ก็ยังมองกันอยู่แบบนั้นอย่างไม่รู้เรื่องอะไรในท่าทีที่ผมกำลังจะสื่อ จนต้องอมลมตรงแก้มข้างนึงให้มันดู

“ เอ๋ ~ เป็นเหี้ยอะนั่น ” พูดแบบนั้นพลางเอียงหน้าครุ่นคิดกับสิ่งที่ผมทำ จนชวนให้หลุดยิ้มออกมาก่อนจะทำทีเป็นพุ่งเข้าจัดการมันสักหน่อย แต่อีกคนก็แค่หัวเราะลั่น “ ก็ไม่รู้อะ ว่ามึงต้องการจะสื่ออะไร แล้วคือกูผิดเหรอ ก็ไม่ปะ ”

“ กวนตีนนะมึงน่ะ ”

“ ว่าอีก ว่าแฟนแบบนี้ได้เหรอ มึงอะ ทำเหี้ยอะไรไม่เคลียร์เองปะ คนเราอะ อยากได้ก็พูดออกมาสิ พูดให้มันชัดๆหน่อย ”

“ จูบเพิ่มพลังให้หน่อย เหนื่อย ” หันไปบอกแบบนั้น แต่กลายเป็นว่าคนที่รอฟังอยู่กลับนิ่งไปซะอย่างงั้น เมี่ยงมันเหลือบไปมองทางอื่น แก้มขาวแดงขึ้นกะทันหัน

“ อะ อะไรของมึง! ” ถามกันแบบอารมณ์เสียใส่ แววตาที่เบิกขึ้น มันคงรู้สึกเขินไม่น้อยที่อยู่ๆผมก็ขอให้ผมอะไรแบบนั้น

“ ก็มึงบอกเองว่าพูดให้มันชัดๆ ” หน้านิ่งบอกอีกฝ่ายแบบพาซื่อ เมี่ยงมันก็ทำทีเป็นคิดข้ออ้าง “ อะไรกันมึงเขินเหรอ ทั้งๆที่เมื่อกี้ในห้องดูหนังมือยังจับหน้ากูมาจูบเลยนะ ”

“ มันก็ไม่เหมือนกันเปล่าวะ อันนั้นมันแบบ..” ใบหน้าขาวเว้นเสียงไป เหมือนมันกำลังหาคำอธิบาย “ อันนั้นมันก็ประมานว่า มีต้นเรื่องให้ทำ เข้าใจม่ะ มึงไม่ทันตั้งตัวอะ มึงไม่รู้ว่ากูจะทำอะไร แต่อันนี้มึงรู้อะ มึงรู้ว่ากูจะทำอะไร มึงรู้ว่ากูจะจูบ มึงก็เลยจ้องมองกู แบบนั้นกูก็ต้องเขินสิ มึงจ้องกูขนาดนี้ ถ้ากูเป็นปลาหมอกูท้องแล้วนะหน้าเหี้ย แล้วจะไม่ให้กูเขินได้ยังไง ใจเต้นแรงจะตายแล้วเนี้ยรู้มั้ย กู..”

จูบที่ริมฝีปากนิ่มสีชมพูนั้นในที่สุด อย่างที่อดใจไม่ได้กับน่ารักที่แสนจะมู่จู้นั่น ผมผละตัวออกเล็กน้อย พลางเหลือบสบสายตาของอีกคนก่อนจะยิ้ม เราเลื่อนตัวมาเข้ามาหาก่อนจูบกันอีกครั้ง ร่างกายที่ขยับเข้ามาใกล้กันของเรา ไม่ต่างอะไรกับริมฝีปากที่กำลังขยับจูบนั้นให้ลึกซึ้ง

มือที่วางค้ำอยู่ตรงที่พักแขนเริ่มขยับเข้าไปกอดเอวบางพลางดึงเข้ามาใกล้ ก่อนจะผละริมฝีปากออกแล้วเอียงหน้าลงจูบที่ซอกคอขาว สูดกลิ่นหอมอ่อนๆของน้ำหอมที่อีกฝ่ายใช้จนกลายเป็นกลิ่นตัว ไล่ลงต่ำจนมาถึงปกคอเสื้อ ผิวขาวที่โผล่พ้นออกมา ผมจูบย้ำลงไป

“ มึง..” เสียงผ่อนลมหายใจเบาๆ ผมเงยหน้าขึ้นสบสายตาเรียวนั้น ริมฝากสวยเม้มกันแน่น “ ไม่เอาในรถนะ ”

“ อึกกกกก ฮ่าๆ ” หลุดหัวเราะออกมาในตอนที่ฟัง ผมซบหน้าลงกับไหล่อีกคนด้วยความรู้สึกเอ็นดู

“ หัวเราะเหี้ยอะไร ความต้องการของกู มันตลกมากเหรอ ”

“ แล้วมึงคิดว่าเราจะมีอะไรกันในรถเหรอไง ? ” ยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกคน เมี่ยงมันก็จ้องตากันเขม็ง

“ ก็มัน.. ก็มึงเอามาอะ กูก็เลยคิด”

“ ลามกจังน้า เธอคิดว่า พี่จะทำอะไรเธอเหรอครับ ”

“ มึงงงงง มึงแม่งอย่าพูดเหี้ยอะไรแบบนี้กับใครนะ ถือกูขอเลย ” ถึงขั้นขมวดคิ้วในตอนที่ฟัง แต่คนหน้าตาจริงจังตรงหน้าก็แค่เอามือจับอกตัวเอง “ คือใจเต้นแรงเลยนะ ถึงขั้นเกือบวูบเลย กับคำว่าเธอครับ ”

“ เห้อออ ” เบือนหน้าหนียิ้มๆกับมุกของอีกคน แต่เมี่ยงก็ยังยื่นมือมาจับหน้าผมพลางดึงให้หันมาเผชิญหน้า

“ นี่กูพูดจริงนะ กูไม่อยากเป็นหม้ายก่อนวัยอันควร เข้าใจมั้ย เผลอมึงไปพูดแบบนั้นใส่คนอื่นแล้วเค้าตายขึ้นมา มึงติดคุกเลยนะ ”

“ ด้วยข้อหาอะไรไม่ทราบ ”

“ ทำเค้าใจเต้นแรงและตายไปในที่สุดไง ” ก้มหน้าลงอย่างไม่รู้จะพูดอะไร สารภาพเลยว่ามันยากมากที่จะสู้ด้วย จนสุดท้ายก็ได้แต่หงุดหงิดอยู่ในใจ คนเหี้ยอะไรจะน่ารักขนาดนี้ น่ารักแบบที่ยากจะต่อกรด้วย “ มึงจะบอกว่ากูหล่อ ”

“ แน่นอน ก็แฟนกู ”

“ ลงไปเลยไป ” เชิดหน้าไปที่ประตูอีกคนก็หันไปมอง พร้อมด้วยรอยยิ้มกว้าง เมี่ยงยักคิ้วให้ผม นิ้วขาวยกขึ้นเก็กหล่อ “ อะไรอีก ”

“ เขินก็บอก ดูออกทั้งหมดนะ ” ทิ้งท้ายไปแบบนั้น แต่ก็นั่นแหละ เถียงไม่ออกอยู่ดี เพราะมันจริงทั้งหมดเลย

...............................................................................


“ จะเข้าห้องกูก่อนมั้ย หรือว่าจะไปคุยกับดีนเลย ” สายตาเรียวที่หันมาถามกันในตอนที่เรายืนรอลิฟต์ที่กำลังลงมารับตรงชั้นหนึ่ง ท่าทางที่ให้ความสนใจผมครุ่นคิด

“ ไปเลยแล้วกัน จะได้เสร็จๆจบๆ ไป กี่โมงแล้วละ ” เชิดหน้าถาม เพราะเห็นมือถือที่อีกฝ่ายถืออยู่ เมี่ยงพลิกมันขึ้นมาดู บนหน้าจอนั้นฉายเวลาหนึ่งทุ่มครึ่งเข้าไปแล้ว “ ทุ่มครึ่งแล้วเหรอวะ ”

“ ก็แหม กว่าเราจะออกจากมหาลัยก็ห้าโมงกว่าแล้วมั้ย กว่าจะกินข้าวเสร็จอีกอะ รถติดอีกละ เข้าใจยังทำไมเพื่อนมึงโทรมาจิกเป็นไก่ขนาดนั้น ” เชิดหน้ามาที่มือถือของผมที่อยู่ในกระเป๋า ประโยคยาวเหยียดที่มันพูดด้วยปากมู่จู้ผมดึงมือขึ้นขยี้หัวก่อนจะลดลงมาตรงคอแล้วกอดกันไว้อย่างงั้น

“ ครับๆ ขอโทษทีแล้วกันนะ ”

“ ว่าแต่พรุ่งนี้เรียนเช้า เรียนบ่าย ”
 
“ บ่ายนะ มึงก็บ่ายนะ กูจำได้ ” ว่าแบบนั้นผมก็พยักหน้ารับ เพื่อเน้นย้ำว่าทุกอย่างที่อีกฝ่ายบอกมันถูกต้องแล้ว “ แต่ว่าพรุ่งนี้กินอะไรกันดีเรา ”

“ หมดวันนี้ก่อนได้มั้ย ”

“ มึง วันนี้มันจบแล้ว ไม่กินแล้วไง อันนี้คือพรุ่งนี้ ไม่เข้าใจคำถามเหรอ ”

“ งั้นไว้พรุ่งนี้ค่อยคิด ” แต่พอบอกแบบนั้น เจ้าคนข่างกินก็ถึงกับนิ่งไป

“ มึงแม่งไม่ได้เลยนะ ” สายตาเรียวหันมาบอกแบบนั้นด้วยความจริงจัง “ ชีวิตมันมีวันพรุ่งนี้ถูกม่ะ เพราะงั้น เราก็ต้องคิดถึงวันพรุ่งนี้เข้าไว้ จะได้เป็นพลังบวก เพราะต่อให้วันนี้ชีวิตของมึงมันเหี้ยมากพรุ่งนี้มึงแม่งไม่อยากอยู่แล้ว แต่ถ้ามึงมีของอร่อยๆรออยู่ มันก็เป็นหนึ่งในความสุขเล็กๆ ที่จะทำให้อยากจะใช้ชีวิตต่อไปแล้วนะ ”

“ ตระกะสมกับแก้มอ้วนๆของมึงดี ” ขยับมือที่กอดคออีกฝ่ายอยู่บีบเนื้อแก้มขาวจนคนช่างพูดถึงกับต้องอ้าปากประท้วงกับความเจ็บ ในตอนนั้นลิฟต์ที่รอก็มาถึงพอดี

“ นี่ อย่าลืมนะ ”

“ อะไรครับ? ” หันไปถามเมี่ยงมันก็ถอนหายใจ ประตูลิฟต์ก็เปิดออกพอดีตรงชั้นของเรา

“ ก็เรื่องที่กูบอกมึงไว้ไง ว่าถ้ามีอะไร ก็ตะโกนออกมาให้สุดเสียงเลย กูจะหิ้วกระทะเข้าไปทุบหัวมันให้มึงเอง อย่าไปตกเป็นเหยื่อของมัน ”

“ ให้มาตกเป็นเหยื่อของมึงแทน ” ผมพูดล้ออีกคนก็ยักคิ้ว

“ แล้วก็อย่าล็อคห้องเข้าใจมั้ย เพราะกูวาร์ปเข้าไปไม่ได้ โอเค๊ ? ”

“ ครับๆ ” พยักหน้ารับพลางยักคิ้วให้อีกคน ผมยืนรอเมี่ยงเปิดประตูเข้าไปในห้อง มือขาวที่โบกบ๊ายบายกันเหมือนจะไปไหนสักทีที่ไกลมากๆ ทำเอาผมหลุดยิ้ม

ประตูบานนั้นจะปิดลง ผมก้าวเท้ายาวมายืนอยู่ที่หน้าประตูห้องของตัวเอง ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่าย มือผมเอื้อมเคาะประตูบานนั้น


ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“ คิดว่าจะไม่มาแล้วไอ้สัด ” ประโยคแรกที่ดีนเอ่ยทักกัน ผมไม่ได้พูดอะไรมากกว่าการยักคิ้วทักทายมัน ก่อนจะเดินเข้าผ่านเข้าไปในห้อง “ ทำเหี้ยอะไรอยู่โคตรช้า ”

“ ไปกินข้าวกับเมีย ” บอกแบบนั้นผมนั่งลงบนโซฟาของตัวเอง พลางมองไปที่โต๊ะที่อยู่ข้างหน้า ดูเหมือนอีกคนกำลังกินบ็อปคอร์นกับเบียร์ยี่ห้อที่ชอบอยู่ “ แล้วนี่กินข้าวยัง ”

“ เป็นห่วงเหรอ ”

“ แค่ถามได้มั้ยไอ้สัด ทำไมต้องโยงเข้าเรื่องตลอด ” ว่าแบบนั้นก่อนจะผ่อนลมหายใจ มันก็ยกยิ้ม ก่อนหมุนตัวไปที่ตู้เย็น เสียงเปิดกระป๋องเบียร์ที่ได้ยินทำเอาผมหันไปมองแผ่นหลังนั้น

“ สักหน่อยนะ ” ว่าแบบนั้นเบียร์เย็นเฉียบก็ถูกยื่นมาให้ ผมกินมันเข้าไปแบบที่ไม่ได้คิดอะไร ก่อนจะวางลงบนโต๊ะแล้วมองคนที่เดินมานั่งข้างๆ “ คือมึงกินแค่นั้น ”

“ ก็ไม่ได้อยากกิน มึงมีอะไรจะพูดก็พูด ” ผมถามซ้ำ อีกคนก็ยกยิ้มพร้อมกับดึงเบียร์ของตัวเองขึ้นมากิน

“ ทำไม ? ไอ้เมี่ยงไม่อยากจะให้กิน ”

“ เกี่ยวอะไรกัน มึงเลิกโยงไปที่เมียกูได้มั้ย ” ถามออกไปแบบนั้น อีกฝ่ายก็ยักไหล่

“ ก็ใครจะไปรู้ บางทีไอ้สัดนั่นอาจจะบอกว่า อย่ามานั่งกินเหล้ากับกูก็ได้ เพราะบางทีถ้าเมาแล้ว อาจจะเผลอเผยสิ่งที่ไม่ควรพูดออกมาก็เป็นได้ ”

“ อะไรคือสิ่งที่มึงบอกว่า ไม่ควรพูด ”

“ ก็ประมานว่าจริงๆ มึงอาจจะเตี๊ยมกับไอ้สัดนั่น เพราะว่าสนิทกัน อยู่คอนโดเดียวกัน ”

“ มึงรู้ว่าเมี่ยงอยู่ที่นี่ ” ผมถาม ดีนก็นิ่งก่อนจะพยักหน้ารับ

“ กูก็ไม่ได้โง่นี่ จริงๆวันนั้นมึงเองก็เห็นกูใช่มั้ย วันที่มึงจูบกับเมี่ยง ”

“ มึงอยู่ที่นี่ ? ” ถามกลับไปแบบนั้นอีกคนก็เบือนหน้ายิ้ม “ มึงมาด้วยเหรอ กูคิดว่า พอกูวางสาย มึงจะไม่มา แล้วก็ตรงไปกินเหล้าเลย ”

“ รู้มั้ยมึงแม่งโคตรโกหกไม่เนียนเลย ” คำถามนั้นทำให้ถอนหายใจออกมา เบียร์ตรงหน้าถูกดึงขึ้นมาดื่มระบายความเหนื่อยหน่ายนั้น แต่ดีนก็แค่ยิ้ม มันยิ้มเหมือนจับผิดอะไรได้ในตัวผม “ กูว่ามึงต้องรู้จักกับไอ้เมี่ยงที่นี่ แล้วก็สนิทกันถึงขั้นเล่าเรื่องของกูให้ฟัง แล้วมันก็เลยบอกมึงว่าช่วยใช่มั้ย ”

“ ดีน ”

“ กูว่านี่คือแผนของไอ้เมี่ยง ใช่มั้ย ใช่สิ แน่นอนอยู่แล้ว ” สายตานั้นมีแต่น้ำตาที่คลออยู่ แววตาที่ผมเคยชอบ แววตาที่เคยเป็นความสุขทั้งหมด ตอนนี้มันสั่นไหวไปหมด เสียงของดีนเองก็สั่น “ มึงก็แค่อยากจะให้กูยอมรับมึง ยอมรับในความสัมพันธ์ของเรา ส่วนไอ้เมี่ยงก็แค่อยากจะสะใจที่ความลับของเรามันเปิดเผย ใช่มั้ย บอกกูเถอะ กูไม่โกรธเลยจริงๆ กูรู้จักมึงดี กุรู้จักมึงดีกว่าใคร  มึงจะเลิกรักกูได้ยังไง ทั้งๆที่มันแค่ไม่กี่วันเอง มึงจะเลิกรักกูที่รักมาตั้งหลายปีได้แค่ในไม่กี่วันเหรอ พูดยังไงก็ไม่เข้าใจหรอก มันไม่มีอะไรที่ทำให้รู้สึกเชื่อได้เลย กูรู้จักมึงดี ”

“ ผิดแล้ว ” ผมพูดขึ้นเสียงเรียบ ก่อนจะหันไปมองมัน มองคนที่ตอนนี้น้ำตาไหลออกมาช้าๆในตอนที่สบตาผม ผมที่เหมือนจะค่อยๆจางหาย และดูไกลออกไปในเรื่อยๆในความรู้สึกนั้น “ มึงไม่ได้รู้จักกูหรอก มึงแทบไม่เคยรู้จักกูเลยด้วยซ้ำไป แม้แต่ตอนนี้มึงยังไม่รู้จักกูเลย ว่ากูเป็นคนยังไง มึงถึงได้พล่ามอะไรพวกนั้นออกมาไง ”

“ แล้วมันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอวะ กับการไม่รักกู ” คำถามนั้นที่จ้องมองกัน ผมก็ได้แต่ถอนหายใจ

“ ลดความมั่นใจของตัวเองลง แล้วมึงจะมองเห็นกูชัดขึ้น กูที่เป็นเพื่อนมึงมาสิบปี กูเป็นคนแบบนั้นเหรอวะ  กูเป็นคนชอบโกหก สร้างเรื่องตอแหลเพื่อให้มึงมารักเหรอ กูเป็นคนแบบที่ชอบบีบบังคับคนอื่นเหรอวะ ถามจริงดีน กูเป็นคนแบบนั้นจริงๆเหรอ ” ถามย้ำคนตรงหน้าที่ก็ได้แต่เอนหลังลงพิงกับเพดานที่ว่างเปล่านั้น ดีนปล่อยให้น้ำตาของตัวเองไหลไปทั้งอย่างงั้น

“ มึงจะไปรู้อะไร บางที อาจจะเพราะกูรู้จักมึงดีเกินไปก็ได้ เลยยังดิ้นรนอยู่แบบนี้ไง แบบที่ยังไม่อยากจะยอมรับความจริง ว่าทุกอย่างมันจบแล้ว จบแบบที่กูยังไม่ทันได้เริ่มสิ่งที่กูคิดจะทำด้วยซ้ำ ”

ความเงียบคืบคลานเข้ามากั้นกลางบทสนทนา เราไม่แม้แต่จะมองหน้ากัน ทุกอย่างมันไปคนละทิศ ความรักที่คนใดคนนึงพยายามอยู่คนเดียว มีวันหมดอายุซุกซ่อนอยู่ตรงที่ใดสักที่หนึ่งอยู่แล้ว 

“ กูรักมึงนะ ”

ที่สุดท้ายพอจะตอบรับ มันกลับใช้การไม่ได้แล้ว
ทุกอย่าง มันสายเกินไป

“ กูรักมึงจริงๆ รักตลอดมา ความรู้สึกของกูคือแบบนั้น กูไมได้พูดเพราะแค่อยากจะดึงมึงไว้ไม่ใช่เพราะมึงเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดเลยไม่อยากเสียไป มันไม่ใช่อย่างงั้น ” ผมเงียบในตอนที่ฟัง ดีนเองก็เหมือนกัน อีกคนยังคงมองเพดานที่ว่างเปล่าอยู่แบบนั้น “ แต่เหตุผลที่กูไม่อยากจะตอบรับ ก็เพราะว่าที่บ้านกูไม่โอเคกับการที่กูจะชอบผู้ชายด้วย กูเลยยังไม่อยากจะตอบรับมึง ที่บอกอยากรอให้เรียนจบก่อน ก็คือรอให้ถึงตอนที่กูไม่ต้องพึ่งพาเค้า กูก็จะตอบรับความรู้สึกของมึงได้เต็มปาก ทุกอย่างมันก็แค่นั้น ”

“ อื้ม ” ตอบรับด้วยเสียงในคอ

แต่ทำไมยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกตลกก็ไม่รู้ ทำไมยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่า อีกฝ่ายไม่ได้รู้จักผมเลยสักนิด ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่า ทุกอย่างนั่นก็เป็นเพียงข้ออ้าง ข้ออ้างโง่ๆ ที่มันแค่พูดออกมา พล่ามออกมา เหมือนคนกำลังจะตาย ลมหายใจสุดท้ายที่สมองสั่งการก็คือ จนดิ้นรนในทุกวิถีทาง

“ มึง..”

“ เลิกพูดเถอะ ยิ่งมึงพูดเท่าไหร่ มันยิ่งทำให้กูรู้สึกว่า จริงๆมึงแม่งไม่รู้จักกูเลย มึงไม่เคยรู้เลยด้วยซ้ำว่ากูรู้สึกยังไงกับมึง ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึก ว่าจริงๆแล้ว เราแม่ง เดินคนละทางมาตั้งนานแล้ว แต่กูเพิ่งรู้ตัว ว่าจริงๆ กูแม่ง ยืนอยู่คนเดียว บนถนนที่คิดว่า มันมีมึงอยู่ ” ผมหลุดหัวเราะออกมาในตอนที่พูดประโยคนั้นจบ “ พ่อแม่ไม่ชอบที่มึงชอบผู้ชายเหรอ ก็เลยปิดบังงั้นเหรอ ด้วยเหตุผลคือเพราะมึงต้องใช้เงินเค้าก็เลย ไม่บอก เหรอ ? อย่างงั้นเหรอ แล้วทำไม ไม่บอกกูสักคำลั คือไม่รู้ตัวเลยเหรอ ว่าตอนนั้นกูทำให้มึงได้ทุกอย่างเลยด้วยซ้ำ ถ้ามึงรักกูเรื่องแบบนี้ไม่ใช่ปัญหาเลยด้วยซ้ำ ”

เสียงหัวเราะผมเริ่มดังขึ้น “ มึงบอกว่า รักกูมาตั้งนานแล้ว แต่สิ่งที่ทำคือ บอกว่าให้กูรอ ส่วนมึงก็คบกับผู้หญิงคนนั้นไปทั่ว หึ ” ผมยกยิ้ม “ ดูรักกูมากเลยว่ะ คนรักกันเค้าทำกันแบบนี้เหรอ หรือยังไงอีก เสียสละมั้ย ไม่อยากจะให้กูเหงามั้ย เลยเปิดโอกาสให้กูรักคนนั้นคนนี้ด้วย ตัวเองเลยเปิดก่อน เป็นการนำร่อง แบบนั้นมั้ย ”

“ มึง ”

“ แล้วไม่เจ็บเหรอ ตอนที่เห็นกูรักคนอื่น แต่ว่าตอนนั้น..” ผมเว้นเสียงไปแบบยิ้มๆ “ ตอนนั้น กูเจ็บมากเลยนะ ที่เห็นคนที่กูรัก รักกับคนอื่นที่ไม่ใช่กู แล้วตอนนั้นมึงไม่เจ็บบ้างเหรอ หรือรู้สึกแค่ว่า ไม่ว่ายังไงกูก็ไปไหนไม่รอดอยู่แล้ว ก็เลยปล่อยกูไปไม่สนใจอะไร  เหมือนที่เคยบอกกูแบบมั่นใจวันนั้นไง ว่าไม่ว่ายังไง มันก็ไม่มีทางสำเร็จ กับการที่กูจะเลิกรักมึง ”

ยิ้มให้อีกคนที่ก็เงียบไป น้ำตาของดีนหลุดไหลไปแล้ว หลงเหลือไว้เพียงแค่คราบน้ำตา ที่มือของผมเอื้อมไปเช็ดให้ “ พอได้แล้วดีน ”

“ แต่ว่า ”

“ มันสายไปแล้วมึง กูตอนนี้ไม่มีพื้นที่ที่ไหนในใจที่เป็นของมึงแล้ว ยอมรับเถอะ ว่าเรื่องของเรา มันจบแล้ว กูไม่ได้รับมึงแล้ว กูรักเมี่ยง ” ลุกขึ้นเต็มความสูงในตอนที่พูดคำนั้นจบ แต่เหมือนว่าอีกคนก็ยังไม่อยากจะยอมรับ ดีนดึงตัวเองขึ้น สองมือนั้นกอดรั้งที่เอวไว้แน่น ใบหน้าซบลงบนไหล่

ราวกับ เชือกเส้นสุดท้ายของมนุษย์ทุกคนที่ทำได้ทุกอย่าง

ดีนจูบลงบนไหล่ผม มือที่พยายามดึงดันให้หันมาเผชิญ ใบหน้านั้นโน้มลงมา ริมฝีปากเองก็พยายามที่จูบกันจนผมต้องดึงหน้าหนี ส่วนมือที่ดันมันออก จนสุดท้ายแรงทั้งหมดก็ผลักอีกคนล้มลงไปนั่งลงบนโซฟา ผมตะโกนลั่น

“ พอแล้วมึง!! หยุดได้แล้ว ” เสียงที่เบาลงตรงท้ายประโยค ผมถอนหายใจพลางมองหน้าคนที่ก้มหน้าลงอยู่แบบนั้น น้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่อาย มือทิ่ดหน้าตัวเองไว้ กลั้นเสียงร้องไห้ที่ดังลั่นเหมือนเด็กเล็กๆ

 เชือกเส้นสุดท้ายของเรา มันขาดลงแล้ว

“ คิดถึงอนาคตบ้างมึง  อย่าทำตัวไม่มีค่าอย่างงั้น อยากจะมองหน้ากูไม่ติดไปทั้งชีวิตเหรอ ” ผมบอก ก่อนจะเอื้อมมือมาจับไหล่นั้น “ มันยากที่จะยอมรับ กูรู้ แต่มึงก็ต้องยืนหยัดให้ได้นะ ” ไม่มีคำตอบรับใดหลุดออกมาจากปากนั้น ผมถอนหายใจ “ แล้วก็จำเอาไว้ ว่าอย่าทำแบบนี้กับใครอีก ไม่รักก็บอกไปเลยว่าไม่รัก เพราะความรัก มันไม่ใช่ความเกรงใจ อย่าไปทำให้ใคร มันต้องเสียเวลาแบบที่ทำกับกู ”

กูที่สะสมความรู้สึกของเรามาตั้งนาน
แต่ตอนทุบประปุกออกดู กลับพบว่าในนั้นมันมีแค่กู 
และไม่มีเลย แม้แต่คำว่า รัก จากมึง

เปิดประตูออกจากห้องของตัวเองแล้วปล่อยอีกฝ่ายไว้อย่างงั้น โดยที่ไม่พูดอะไรต่อ ผมผ่อนลมหายใจออกมาในตอนที่ปิดประตูลง ก่อนจะก้าวเท้ามายืนอยู่ที่หน้าประตูข้างๆ มือก็เอื้อมเคาะ


ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“ กลับมาแล้วเหรอ ” รอยยิ้มกว้างที่เห็นในวินาทีที่ประตูเปิดออกนั้น ชวนให้หัวใจพองโตจนหลุดยิ้มตามออกมา ผมผ่อนหายใจโล่งในขณะที่เดินเข้าไปใกล้ร่างขาว ก่อนจะโน้มตัวลงกอดอีกฝ่ายไว้อย่างแนบแน่น

“ กลับมาแล้วครับ ” และจะไม่ไปไหนอีก จะอยู่ด้วยกันแบบนี้ ไปตลอดเลย

.........................................................
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 28 :: up! 26-6-63} #หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 03-07-2020 20:29:22

‘ ออกมั้ย ’ ข้อความในหน้าจอมือถือชวนให้ผละสายตาออกมาจากหน้าจอทีวีที่กำลังฉายหนังที่ค่อนข้างหน้าเบื่อหน่ายต่างจากรีวิวที่มีแต่คนกล่าวชม ผมหยิบมันมาดูพลางครุ่นคิดถึงคำตอบ เพื่อนแก้งค์กินเหล้าของผมเป็นคนละกลุ่มกับเพื่อนมหาลัย เพราะไอ้เมี่ยงไม่ใช่สายดื่ม และไอ้เจ้ยก็ค่อนข้างติดเมีย

‘ มึงออกเหรอ ’

‘ ออก ’

‘ งั้นกูก็ออก ’ ตอบออกไปแบบนั้นผมกดล็อคหน้าจอมือถือรวมทั้งทีวีตรงหน้า คว้าเอาของที่จำเป็นทั้งหมด ยันใส่กระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินลงมาที่ลานจอดรถ และใช้เวลาไม่ถึง 30 นาทีในการมาถึงที่ผับร้านประจำ

“ มันเร็วดีจังเว้ย ” คนที่เอ่ยชวนลงจากรถพร้อมกับผม นิ้วของเราทำทีท่าคล้ายกับท่ายิงปืนส่งเข้าหากันพร้อมกับเสียงจิ๊ปากเล็กๆแบบปกติอย่างที่ชอบทำให้กัน

ซุง เป็นเพื่อนคนละมหาวิทยาลัยกับผม หนุ่มรูปร่างสูง หน้าตาไม่ดีเท่าไหร่ เพราะผมหล่อกว่ามากนั้น เคยมีแต่คยบอกว่าเราลักษณะคล้ายๆกัน แม้แต่ในด้านไลฟ์สไตส์ต่างๆ แต่ผมก็ยังมองว่า ผมเจ๋งกว่ามันอยู่ดีนั่นแหละ ในทุกด้านเลย

 เรารู้จักกันแต่แต่ม.ปลาย อยู่กลุ่มเดียวกันมาตั้งแต่นั้น แถมยังถูกแต่งตั้งสถาปนาให้เป็นเพื่อนก๊งเหล้ามาตั้งแต่เราเริ่มเข้าผับกันครั้งแรก

“ ไอ้สัดเวย์อะ ”

“ มาถึงแล้ว ส่งไลน์มาบอกเมื่อกี้ อยู่ข้างในนู้น ” เชิดหน้าเข้าไปในผับก่อนที่ผมจะเหลือบไปเห็นรถยุโรปคันคุ้นตาที่จอดอยู่ด้านนอก

“ นั่นมันออดี้ไอ้ดีนนี่หว่า ” พูดแบบนั้นคนที่ยืนอยู่ข้างๆก็โค้งมามอง ไอ้ซุงมันเหลือบมองผม

“ อย่ากวนตีนมันอีก ถือกูขอสงบศึกสักครั้ง ไม่มีใครหาว่ามึง เจ๋งเลย เคนะ ”

“ พูดเหี้ยอะไรกับคนดีๆแบบกู มึงก็เห็นว่าทุกครั้งไอ้สัดนั่นเริ่มก่อน กูไม่คิดจะทำเหี้ยอะไรมันอยู่แล้วเปล่าวะ ” หันไปบอกคนยืนข้างๆ อีกคนก็ยกยิ้มก่อนจะส่ายหน้า แน่นอนว่ามันไม่เชื่อกัน “ พอแล้วกับเรื่องของมัน วันนี้กูโดนยับสัดๆ ไม่ขอหาเรื่องอีกจ้ะพี่จ๋า ”

“ ยับอะไร ” มันถาม พลางขมวดคิ้ว “ มึงโดนเหี้ยอะไรมา ”

“ ไอ้สัดเจ้ยยังไม่ได้เล่ามึงเหรอ ” คนฟังส่ายหน้า “ ทำไม เกิดอะไรขึ้นอีก ทะเลาะกัน ”

“ ไม่มีอะไรมาก กูแค่ปากเหี้ย พูดเรื่องที่ไม่ควรพูด คือไอ้สัดเมี่ยง แม่งชอบกับไอ้อาร์มเพื่อนสัดดีน แต่เมื่อคืนก็อย่างที่มึงรู้ ไอ้อาร์มมันเคยชอบไอ้ดีนมาก่อน นั่นแหละ กูชิงบอกเรื่องนั้นก่อน แบบที่ไอ้สัดอาร์ม ยังไม่เคยบอกเพื่อนกูเลย ”

“ หน้าเหี้ย ”

“ จ้า รู้แล้วจ้า สำนึกแล้ว จะไม่ต่อยดีกับไอ้สัดนั่นอีกต่อไปแล้วแม่ พอใจมั้ย ” ยกมือไหว้คนที่อยู่ตรงหน้าแบบที่ไม่รู้จะทำยังไงแล้วกับเรื่องที่เกิดขึ้น “ กูง้อสัดเจ้ยมาทั้งวันแล้ว แม่ง โกรธกูยิ่งว่าไอ้เมี่ยงอีก ”

“ มึงก็รู้ว่ามันเป็นจริงจังกับเรื่องแบบนี้ ” เราผลักประตูผับในตอนที่อีกคนพูดประโยคนั้นเสียงดังก้องของเพลงที่กำลังถูกเปิด ผมมองไปรอบๆหาโต๊ะตัวเองที่มาก่อนหน้าแต่กลับเจอเข้ากับคนรู้จักอย่างไอ้สัดดีนที่อยู่ตรงเค้าท์เตอร์บาร์ก่อนเสียอีก “ นั่นไง สัดเวย์ ”

“ อื้ม ” ขานรับในคอ ผมเดินไปนั่งลงที่โต๊ะของเพื่อนสนิทที่ก็ยิ้มกว้างแบบเห็นฟันเกือบทุกซี่ ให้กัน มือที่ยกทักทายผมนั่งลง และแบบที่ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไร แก้วถูกดึงขึ้นมาชงเหล้าทันที

“ ซี้มึงก็มานะสัดเบส ” เชิดหน้าหน้าไปที่ไอ้ดีนที่นั่งอยู่ในมุมตรงกับผมพอดี “ แต่วันนี้มาแปลก มาถึงก็นั่งลงตรงนั้น แล้วก็สั่งรัวๆเลยครับ ไม่พูดจากับใครเลย สาวเข้ามาคุย ปกติไอ้สัดนี่จะแบบแอ๋วๆตอบนะ แต่หนนี้ไม่เลย ”

“ มึงแม่งสนใจอะไรมันขนาดนั้นก่อน ” ผมถามคนเล่าก็หันมามองแบบหาเรื่อง

“ หน้าเหี้ยแล้วไง ”

“ ก็ดูสนใจแบบเกินเบอร์จริงๆอะไอ้สัด ” ซุงมันบอกก่อนจะยกแก้วเข้ามาชนแก้วของผมที่ก็ชนเข้ากับชนแก้วของอีกคนพอดี

“ แต่วันนี้มันดูผิดปกติจริงๆนะ มึงต้องเห็นตอนที่มันเดินเข้ามา ” คนที่เห็นเหตุการณ์บอกย้ำแบบนั้นด้วยสายตาความจริงจัง “ ปกติมันจะเดินเข้ามายังไง ”

“ ก็เดินมาด้วยหน้าเหี้ยๆแบบที่คิดว่าตัวเองหล่อชิบหาย แล้วก็ควงมากับใครสักคน แล้วถ้ามันเห็นเรา มันจะเหลือบมองเรา เหมือนเราแม่ง คือกลุ่มคนไร้ค่า ”

“ เอาซะเห็นภาพเลยไอ้สัด ” ผมว่าแบบนั้นกับคำพูดของไอ้ซุง ก่อนจะยกเหล้าขึ้นกิน

“แต่วันนี้มันไม่เป็นแบบนั้น มันร้องไห้มาเลยนะ มือยังเช็ดน้ำตาอยู่เลย แล้วคราวนี้มันก็เดินก้มหน้าก้มตาไปนั่งฟุบอยู่ที่เค้าท์เตอร์บาร์เลยนะ เล่นเอาบาร์เทนเดอร์เลิ่กลั่กสุดๆ มีความมองมึงมองกู แบบกูจะทำเหี้ยยังไงกับไอ้เชี้ยนี่ดี ”

“ มึงคิดเหมือนกูมั้ยบีหนึ่ง  ” ถามไอ้ซุงที่ก็ยกเหล้าขึ้นดื่มแบบยิ้ม

“ เหมือนสิบีสอง ”

“ เหมือนเหี้ยอะไร พวกมึงคิดเหี้ยอะไรอีก ” คนเล่าพูดขึ้นแบบโวยวาย พลางหันมองเราแบบเลิ่กลั่ก “ ไอ้สัดกูไม่ได้ชอบไอ้ดีน ”

“ ยังไม่ได้พูดอะไรเลยเวย์ ทำไมร้อนตัวอะ ” ผมถาม ก่อนที่อีกคนจะพูดแบบไม่ออกเสียงท่ามกลางเสียงหัวเราะของเรา

“ หน้าเหี้ย ”

 เพลงในผับคลอไปพร้อมกับบทสนทนาระหว่างกลุ่มของเรา บ้างก็ร้องเพลงตามที่ได้ยิน ผมโยกหัวเบาๆ ก่อนจะยกแก้วเหล้าตรงหน้าขึ้นดื่ม แล้วหันเหลือบไปมองคนที่นั่งกินเหล้าเงียบๆอยู่ที่บาร์คนเดียว

“ มองเหี้ยอะไรอยู่ ” ไอ้เวย์ถามผมยิ้มๆ แบบหมายจะแซว ผมก็หันไปยกยิ้ม

“ เวย์สนใจในตัวกูจังเลยอะ  ว่าแต่ทำไมถึงรู้ว่ากูมองดีนน้า เพราะเวย์มองดีนอยู่เปล่า ”

“ K ”

“ พวกมึงๆ ดูนั่น ” สายตาของไอ้ซุงที่เชิดหน้าไปด้านหน้าพลางกับยกเหล้าขึ้นดื่ม สายตาของมันที่ชี้ชวนให้มองนั้น ภาพที่เห็นคือผู้หญิงคนนึงที่กำลังนัวเนียอยู่กับไอ้ดีนด้วยจูบที่ออกรส  มือเธอไล้ไปตามแผ่นหลังก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงกระเป๋าตังค์ที่เสียบอยู่ตรงกางเกงด้านหลังของอีกคน

“ นั่นมันโจรล้วงกระเป๋าในคราบเสือสาวนี่น่า ”

“ แล้วเราจะนั่งอยู่ตรงนี้แบบที่ไม่ทำอะไรเลยเหรอสัด ” ว่าแบบนั้นก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปที่คนทั้งคู่ ผมคว้าเอามือสาวคนสวยที่อยู่ในชุดเดรสรัดรูปสีดำสนิทนั่น ก่อนจะจ้องมองเธอ ที่ก็มีท่าทีเบิกตาขึ้นกะทันหันด้วยความตกใจ “ จะทำอะไรครับ ล้วงกระเป๋าเหรอ ไม่น่ารักเหมือนหน้าตาน้า ”

“ ยุ่ง! ฉันไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นสักหน่อย ” เธอว่านั้นพลางผลักอกของคนที่จูบนัวเยียกันอยู่เมื่อครู่นั้นเสียเต็มแรง คนเมาเซเข้าซบอกผม “ เพื่อนมึงเหรอ ”

“ ก็ไม่เชิง ”

“ งั้นฝากบอกด้วยแล้วกันว่าจูบห่วยชิบหาย ” สะบัดตัวหนีไปทันทีแบบที่เหมือนว่าทำทีเป็นเสียงดังโวยวายเพื่อกลบเกลื่อนเรื่องราวที่เกิดขึ้น

“ พี่ ผู้หญิงคนนั้นจะล้วงกระเป๋าผู้ชายคนนี้ ” ผมบอกบาร์เทนเดอร์ที่ก็มีท่าทีตกใจไม่ไม่น้อย ก่อนจะเชิดหน้าไปทางเธอเพื่อบอกให้จัดการ แล้วหันกลับมามองดูคนเมาที่ดึงตัวเองออกจากผมด้วยความเชื่องช้า ดีนมันถอนหายใจ

“ วันเหี้ยอะไรวะเนี้ย ”

“ นี่มันเมาได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ ” เอ่ยถามออกไปอีกคนก็เหลือบตาขึ้นมามอง ก่อนจะยกยิ้มให้

“ คิดว่าใคร ที่แท้ก็มึงนี่เอง แต่ก็เอาเถอะ วันนี้ก็คงไม่มีอะไรเหี้ยเท่ากับเรื่องนั้นแล้วละ ต่อไปนี้ก็ด้วย ” ว่าแบบนั้นยิ้มๆ มันหันไปสั่งคอลเทลกับบาร์เทนเดอร์ แบบที่ไม่ได้ขอบคุณอะไรผมสักคำ

“ ช่วยมึง กูช่วยหมาแม่งยังรู้บุญคุณมากกว่า ” พูดแค่นั้นก่อนจะส่ายหน้าเดินออกมา แต่ยังไม่ทันจะเดินกลับมาถึงโต๊ะคนที่เมามากกลับล้มตัวตกลงจากเก้าอี้ที่นั่งตามแรงโน้มถ่วง  “ เชี้ย! ”

คนทั้งผับหันมองเราเป็นสายตาเดียว ร่างที่ล้มลงนอนกับพื้น แต่เหมือนคนที่ตกลงนั้นจะไม่ได้รู้สึกอะไร ร่างหนาพลิกตัวนอนหงายก่อนจะหลุดยิ้ม แล้วก็หัวเราะออกมา ราวกับชีวิตตอนนี้ของมันเป็นอะไรที่โคตรจะบัดซบ บัดซบจนไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่มีอะไรจะทำให้รู้สึกแย่กว่าที่เป็นอยู่ได้อีก

“ นี่มันเหี้ยอะไรกันวะ ” พูดแบบนั้นก่อนจะถอนหายใจแล้วดึงร่างของคนเมาขึ้นมา มันที่แทบไม่ได้สติ ผมจำเป็นต้องเอามือข้างนึงนั้นพาดเข้าที่คอ ก่อนจะเชิดหน้าไปทางเพื่อนอย่างไอ้ซุงไอ้เวย์ที่เดินเข้ามาช่วย “ ฝากจ่ายตังค์ค่าเหล้าให้ไอ้สัดนี่หน่อย แล้วก็เอาบิลมาด้วย กูจะเอาไปเก็บกับมัน ”

“ โอเค ” เวย์พยักหน้ารับให้ผม มันที่เดินตรงไปจัดการเรื่องพวกนั้นกับไอ้ซุง ส่วนเราก็เดินออกมาถึงรถพอดีก่อนที่ผมจะพิงร่างของมันเข้ากับรถของเจ้าตัว

“ แล้วกูจะจัดการมึงยังไงดีวะ ” ยันมือประคองร่างอีกคนที่พร้อมแลนดิ้งทิ้งดิ่งลงพื้นในทุกเมื่อ “ ดีน ” สายตาเรียวนั้นเหลือบมองกัน มันตอบสนองต่อเสียงเรียก ก่อนที่จะค่อยๆขยับมือเข้ามาจับที่คอเสื้อของผมในตอนนั้น อีกคนพูดพูดยิ้มๆ

“ จัดการกูยังไงเหรอ ไม่เห็นจะยากเลย ” มันว่าแบบนั้น พร้อมกับใบหน้าที่ดึงข้ามาหากัน และอย่างไม่ทันได้ระวังตัวให้ดี ดีนจูบผม แบบที่ตาเล็กๆต้องเบิกขึ้นกว้างอย่างสุดตัวด้วยความตกใจ  ก่อนประโยคที่ไม่ทันได้คาดคิดยิ่งกว่านั้น จะถูกเอ่ยออกมา “ ไปมีอะไรกันปะ ”

“ ขออีกที ว่าไงนะ ” เพราะดูเหมือนว่าเมื่อครู่ผมจะฟังผิดไป

...............................................................
เจอกันตอนหน้าค้า #วิ่ง
ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ในทวิตด้วยนะคะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์จ้า
ขอบคุณสำหรับกำลังใจดีๆในทุกๆครั้งเลย
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 29 :: up! 3-7-63} #หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 03-07-2020 21:10:53
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 29 :: up! 3-7-63} #หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 03-07-2020 21:17:27
ฮิ้ววว ก็ถ้าจะจากคู่แค้นมาเป็นคู่รัก มันก็เป็นสีสันไปอีกแบบนะ เอาเล้ย เชียร์ๆ  :impress2: 555555
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 29 :: up! 3-7-63} #หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 03-07-2020 23:08:13
ดีนถึงกับเสียศูนย์ไปเลยล่ะมั้ง
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 29 :: up! 3-7-63} #หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 04-07-2020 00:22:29
 :m22: ต่อ ๆ
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 29 :: up! 3-7-63} #หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 04-07-2020 01:15:31
 :pig4: :pig4: :pig4:

นั่นไงหล่ะ   มันมีเค้าลางตั้งแต่ต้นแล้ว

ว่าคู่กัดมักจะต้องกลายมาเป็นคู่กัน  หุหุ
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 29 :: up! 3-7-63} #หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 12-07-2020 21:42:32
มารอเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 30 :: up! 17-7-63} #หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 17-07-2020 20:33:18

ตอนที่ 30


ทุกอย่างเงียบ เงียบจนได้ยินแม้แต่เสียงของตัวอะไรสักอย่างร้อง เป็นเสียงที่ดังจี๊ดๆอยู่ในหู ผมมองหน้าคนตรงหน้า คนที่กำลังยกยิ้มให้กัน แต่ทว่าในแววตานั้นกลับมีเพียงแต่ความว่างเปล่า

มันเหมือนไม่ใช่คนเดิมที่เคยรู้จักกันด้วยซ้ำ

ดีนคนที่นัยน์ตามีแต่ความรู้สึกดูถูกยามที่มองมาหากันกับท่าทางเหนือกว่า แต่ในวินาทีนี้มันกลับไม่มีอะไรแบบนั้นอยู่เลย แต่นั่นแหละ... บางที ก็อาจจะเพราะกำลังเมา

‘ เออใช่ เมาแหละ พูดเหี้ยอะไรแบบนั้นออกมาได้ คงเมาแน่ๆ ’  คิดได้แบบนั้นผมก็ถอนหายใจออกมา ก่อนจะหันไปจ้องมันแบบจริงจัง  “ ถ้ามึงเมาก็กลับบ้านไปนอน ” แต่ดีนก็แค่ยิ้ม “ ยิ้มเหี้ยอะไร นี่รู้มั้ยว่าพูดอะไรออกมา ”

“ โอเคๆ ” ตัดจบแค่นั้นด้วยเสียงที่เหมือนกับคนงัวเงีย ร่างที่ค่อยๆยืนหยัดด้วยขาตัวเอง มันผ่อนลมหายใจออกมา พลางหันไปอีกฝั่ง แล้วตอนนั้นเองที่ไอ้ซุงกับไอ้เวย์ก็เดินออกจากผับและกำลังตรงเข้ามาหา “ มึงไม่ใช่มั้ย งั้นกูจะลองถามเพื่อนมึงดู ” 

ขาที่พยายามยืน ดีนใช้สติของตัวเองทั้งหมดที่มีทำทีเป็นจะเดินไปหาสองคนนั้น แต่ผมก็แค่ดันมันเอาไว้ก่อน ด้วยความไม่เข้าใจเลยว่า ตอนนี้มันคิดอะไรอยู่ และไม่เข้าใจเลยว่า มันจะทำอะไรแบบนี้ไปเพื่ออะไรกัน

“ เป็นเหี้ยอะไรของมึงวะ สติก่อนมั้ยไอ้สัด ” เสียงตะโกนที่ชวนให้อีกคนนิ่ง ไม่ต่างอะไรกับคนสองคนข้างหลังที่ถึงขั้นชะงัก ดีนหลุดหัวเราะออกมาในตอนที่จ้องหน้าผม

“ แล้วทำไมต้องดุด้วยอ่า ” สายตาของคนไร้สติมองกันอย่างล่องลอยในตอนที่ถามกลับมา ดีนมันยกยิ้มพลางเอียงหน้าไปมาแบบซ้ายทีขวาที “ หงุดหงิดอะไรขนาดนั้น แค่อยากลองเอง ก็ไม่ได้เหรอ ”

“ แล้วมันใช่เรื่องที่มันต้องลองมั้ย ใช่เรื่องที่มึงต้องเอาตัวไปเข้าแลกเหรอ ” ผมถาม ก่อนจะยกยิ้ม “ ทำไมวะ พอเค้าไม่เอา ก็คือจะปล่อยฟรีเลยว่างั้น นี่มึงไร้ค่าขนาดนั้นเลย ”

ไม่มีเสียงตอบกลับมา สีหน้าที่เรียบนิ่งแปรเปลี่ยนไปเป็นความหงุดหงิด สายตาเล็กที่ไม่ต่างกันของเราจ้องมองกัน แต่แทนที่จะเถียงอะไรอย่างปกติ คนเมากลับแค่หันหลังหนี ดีนควานหากุญแจรถในกระเป๋าตัวเองแบบสะเปะสะปะ มือมันควานหาไปทั่ว

 “ เมาขนาดนี้มึงยังจะขับรถออกไปเป็นภาระให้สังคมอีกเหรอ คนอื่นเค้าไม่ได้อยากจะตายไปกับมึงมั้ย ”

“ ด่าอยู่นั่น พอสักทีได้มั้ยไอ้สัด! ” เสียงตะโกนที่ดังขึ้นมาจนชวนให้สะดุ้ง คนที่ตะโกนมาผ่อนลมหายใจออกมาพลางซบหน้าลงกับตัวรถ ทุกอย่างเงียบลงอีกครั้ง ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาอีก แล้วตอนนั้นเองที่ผมจะได้ยินเสียงร้องไห้เบาๆ ของคนที่ค่อยๆไหลลงไปนั่งยองอยู่ข้างๆกับรถของตัวเอง

“ ไอ้นี่ก็ไหลจัง ” พูดเหมือนติดตลกมือสองข้างก็ยกเช็ดมันออกไป

“ ก็ได้นะ ” ดีนเหลือบมองผมในตอนที่พูดคำนั้นออกมา

“ อะไร ”

“ ก็ที่มึงถามเมื่อกี้ไง ว่ามีอะไรกันมั้ย แล้วคำตอบของกูก็คือ ก็ได้นะ ” ยักไหล่ให้ในตอนที่พูดแต่เหมือนมันจะนิ่งไป “ กูน่ะ ไม่ขัดศรัทธาอยู่แล้ว เพราะกูไม่ได้เสียเปรียบอะไรสักหน่อย ว่าแต่มึงเถอะ ”

“ อะไร ”

“ จะเอาจริงหรือเปล่าละ หรือแค่พูดออกมาพล่อยๆ ”

“ ไม่กลับคำอยู่แล้ว ” สายตาของคนที่ไม่เคยยอมแพ้เงยมองกันก่อนจะเว่าแบบนั้น ผมก็ได้แต่ยกยิ้ม “ เพราะถึงไม่ใช่มึง กูก็จะไปถามเพื่อนมึงอยู่ดี ”

“ เงี่ยนมากเลยว่างั้น ” ดีนไม่ตอบอะไรในตอนที่ผมถาม “ แต่ก็อย่าเลย ถ้าเป็นเพื่อนกู คงไม่หนำใจหรอก ” ผมบอก “ ถ้าเอากับใครสักคน เอากับกูที่เป็นศัตรูนี่แหละดีน เพราะมันดูชีวิตมึงไม่มีศักดิ์ศรีที่สุดแล้ว ”

รอยยิ้มที่ค่อยๆเหยียดยิ้มขึ้นมาตรงมุมปากเล็กๆ ดีนมันถอนหายใจในตอนที่เพื่อนของผมสองคนเดินมาถึง แววตานั้นก็หลับลง ลำตัวที่ค่อยๆไหลลงตามแรงโน้มถ่วง เหมือนคุมสติไม่ไหวนั้น ผมจำต้องดึงขาตัวเองเข้าไปกั้นไว้ที่ข้างตัวเองอีกฝ่าย กันไว้ไม่ให้มันล้มลงนอนบนพื้นหินสกปรก

“ ปวดหัวชิบหาย ลืมตาแทบจะไม่ขึ้นเลย ” ว่าแบบนั้นใบหน้านั้นก็ซบลงมาที่ขาของผม สายตาเรียวเล็กไม่มีทีท่าจะลืมตาขึ้นมา ดีนที่ถอนหายใจออกมาเบาๆ คงร้อนรุ่มไปหมดทั้งร่าง ไม่นับความรู้สึกที่คงอยากจะอ้วกเอาทุกอย่างออกมาแต่ก็ทำไม่ได้ สุดท้ายทุกอย่างมันก็เลยอัดแน่นอยู่ในอก 

“ สมควร ” พูดแค่นั้นแต่ขาก็ขยับเข้าไปแนบลำตัวอีกคนให้มากขึ้น ก่อนจะเกร็งไว้อย่างงั้นในตอนที่รู้สึกถึงน้ำหนักตัวที่เหมือนจะเอนลงมามากกว่าเดิมจากคนไร้สติ

 “ สภาพดูน่าหดหู่สัดๆ ” ไอ้ซุงเดินเข้ามาพลางเชิดหน้าไปยังคนเมาที่เจ้าตัวหมายถึง ส่วนไอ้เวย์มันยื่นบิลให้ผม ที่ก็ยื่นมือไปรับก่อนจะก้มหน้าลงมองรายจ่ายทั้งหมดนั้น

“ แดกเหมือนกลัวไม่ตายเร็วอะไอ้สัดซัดแต่ละตัว แรงๆทั้งนั้น ” ผมยกยิ้มพลางมองรายชื่อค็อกเทลที่อยู่บนกระดาษตรงหน้า

“ นี่มันตั้งใจมาเมาเลยนี่หว่า ” ก้มหน้าลงมองคนที่นั่งนิ่งๆแบบหมดสภาพ ก่อนจะพับบิลลงใส่กระเป๋าแล้วหันไปบอกเพื่อน “ เดี๋ยวกูโอนให้นะ รวมถึงของกูด้วย ”

“ อื้ม ”

“ แล้วนี่จะเอายังไง ” เราสามคนมองหน้ากันในตอนที่ซุงเอ่ยถามประโยคนั้น ผมเหลือบมองไปทั่วลานจอดรถ ในที่นี่ไม่มีใคร ไม่เอารถมา  แล้วนั่นก็ทำให้ผมต้องคิดหนัก

“ โทรให้เพื่อนมันมารับมั้ย ไอ้อาร์มอะ ” เวย์มันเสนอทางออก ผมก็เหลือบมองก่อนจะส่ายหน้า

“ คงไม่จำเป็น ดีนมันจะไปห้องกู ”

“ ห๊ะ ? ” ราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เสียงประสานของเพื่อนสองคนถามกันขึ้นมาเหมือนนัดหมาย

“ เออ ก็มันบอกแบบนั้น ว่าจะไปนอนห้องกู ”

“ แล้วมึงก็ให้มันไป ”

“ แล้วจะให้กูทำยังไงอะ ” ผมถามกลับ “ ให้มันขับรถกลับบ้านเองในสภาพแบบนี้ ? ”

“ ก็บอกอยู่ ว่าทำไมไม่โทรหาเพื่อนมัน ”

“ นี่โง่ หรือโง่มากเอ่ย ” หันไปถามไอ้ซุงอีกคนก็ทำทีเหมือนจะกำหมัดซัดใส่ผมแบบยิ้มๆ

“ เดี๋ยวเถอะไอ้สัด ”

“ ก็มึงถามเหมือนไม่คิด มึงก็รู้ว่ามันทะเลาะกับไอ้อาร์มที่ตอนนี้ก็เป็นผัวของเพื่อนกูอยู่ แล้วอีกอย่างกูไม่โทรไปบอกให้ไอ้เมี่ยงมันหงุดหงิดหรอก วันนี้วีรกรรมกูเยอะพอแล้ว ก็นี่แหละ การไถ่โทษของกูงายยย ” ยักคิ้วให้ในประโยคจบ แต่เหมือนคนที่ยังไม่เชื่อกันยังไงก็ยังไม่เชื่อกันอย่างงั้น ทั้งไอ้เวย์ไอ้ซุงหันหน้าไปคนละทาง “ ท่าทางแบบนั้นมันหมายความว่ายังวะไอ้สัด ”

“ หมายความว่าจะขึ้นถึงห้องมั้ย ไม่ใช่ต่อยกันอยู่ในลิฟต์นะหน้าเหี้ย ”

“ นี่ก็เกินไป ”

“ ไม่เกินหรอกจ้าเพื่อน กูเห็นเจอกันทีไร จะใส่หมัดกันตลอดเลย “

“ ก็แค่จะ ไม่เคยได้ใส่หมัดใส่มันสักที ” ผมเถียงกลับก่อนจะถอนหายใจเบาๆ “ มึงก็รู้ว่ากูสุภาพแค่ไหน ไม่มีทางหรอกไอ้ที่จะทำร้ายใคร ”

“ มีพื้นที่ตรงไหนให้กูขากถุยได้บ้างมั้ย ” ไอ้สัดซุงที่ทำทีเป็นมองซ้ายมองขวา ผมยกยิ้มกับท่าทางแบบนั้นก่อนจะพูดไม่ออกเสียง

“ หน้าเหี้ย ”

“ แล้วมึงจะเอามันกลับยังไง ” คำถามของไอ้เวย์ทำเอาผมคิดหนักอีกครั้ง เพราะมันเป็นคำถามที่ก่อนหน้านี้ผมก็กำลังคิดอยู่เหมือนกัน ครั้นจะให้ผมจอดรถของตัวเองไว้ ก็เกรงว่าจะไม่ได้ และจะให้จอดรถอีกคนไว้ก็เหมือนจะไม่ได้เหมือนกัน

“ รถแพงทั้งคู่ด้วยนะ ” ไอ้ซุงมันพูดยิ้มๆ “ เอาไงอะ ”

“ ช่วยขับรถกูไปที่คอนโดให้หน่อยได้มั้ย กูจะขับรถไอ้ดีนกลับเอง ” ผมบอกเพื่อนสองคนก็มองหน้ากัน เวย์มันพยักหน้ารับ

“ งั้นเดี๋ยวกูขับรถกูตามไป แล้วก็รับมึงกลับมาแล้วกันสัดซุง ”

“ โอเคตามนั้น ” โยนกุญแจรถของตัวเองให้อีกฝ่าย ไอ้ซุงไอ้เวย์แยกย้ายออกไปตามแผนที่วางไว้ ส่วนผมก็ย่อตัวลงประคองคนที่เหมือนจะหลับไปแล้วให้ลุกขึ้น “ ดีน ” เอื้อมมือตบแก้มมันเบาๆ แววตาเล็กก็ค่อยๆบรือตามอง

“ ถึงแล้วเหรอ ”

“ ถึงก็เหี้ยละ ลุกขึ้น ” ว่าแบบนั้นพร้อมกับออกแรงดึงอีกคนขึ้นมาพิงรถของเจ้าตัว ผมจับไปที่หน้าขา แล้วพอมั่นใจว่ามันคือกุญแจมือมันก็ทำหน้าที่ล้วงเข้าไป แต่เหมือนคนเมาจะไม่ได้คิดแบบนั้น ดีนจับที่คอเสื้อของผมแน่นเหมือนมันจะคิดไปเป็นอย่างอื่นในความรู้สึกผม “ ใจเย็นก่อน ” กระซิบบอกอย่างงั้นก่อนจะผละตัวออกห่าง ผมชูกุญแจรถขึ้นตรงหน้ามัน “ แค่ล้วงกุญแจรถเอง ”

ดึงมือของคนที่ยังจับกันที่ปกเสื้อไม่ปล่อยไปไหน ลำตัวหนาที่เอนเอียงงุนงง ชวนให้ผมยกยิ้มกับการเข้าข้างตัวเองเมื่อครู่ แล้วก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ เพราะมันไม่ได้เป็นอย่างที่คิดแต่อย่างใด

“ คือ ไม่ได้มีอารมณ์หรอกเหรอวะ ” ถามแบบนั้นก่อนจะหุบยิ้มลง เพราะดีนไม่ได้จับคอเสื้อแบบที่คิดเลย มันแค่เมา เมาจนยืนไม่อยู่ ก็เลยจับคอเสื้อกันไว้แบบที่ไม่ให้ตัวเองล้มลงไปไหน แล้วหน้าตาของคนตรงหน้า คือไม่ได้ลืมตาขึ้นมามองกันด้วยซ้ำ “ โทษที หลงตัวเองไปหน่อ ”

   แล้วก็ขอบคุณมากที่มึงไม่ได้สติขนาดนี้ ไม่งั้นคงโดนล้อไปทั้งชีวิตแน่นอน
กับคำที่มันคงออกมาในรูปแบบที่ว่า กูไม่ได้พิศวาสอะไรในตัวมึงขนาดนั้นมั้ยไอ้สัด

“ ถ้าจะอ้วกบอกนะ ” ว่าแบบนั้นในตอนที่ยัดอีกคนตรงที่นั่งข้างคนขับเรียบร้อย ส่วนผมที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย ใช้เวลามองดูปุ่มต่างๆในรถที่ไม่เคยขับอยู่ไม่นาน ก็รีบถอยหลังออกไปจากที่จอดแล้วขับกลับคอนโดตัวเองไปแบบที่คันหลังคงแช่งแม่กันอยู่ไปหลายครั้ง ด้วยข้อหาที่กว่าจะออกรถได้ก็เนิ่นนานเสียเหลือเกิน

“ ให้กูช่วยพยุงมันขึ้นไปมั้ย ” ไอ้เวย์ที่เปิดประตูรถของตัวเองเอ่ยถามผม ในตอนที่เดินออกมาตรงที่ที่นั่งข้างคนขับ ส่วนรถของผมตอนนี้ไอ้ซุงก็จอดให้เรียบร้อยตรงที่ว่างข้างๆกัน มันเดินออกมาพลางโยนกุญแจให้

“ ให้กูช่วยพยุงไอ้ดีนขึ้นไปให้มั้ย ” คำถามเดียวกันกับอีกคน ผมก็ส่ายหน้าไปตามเดิม

“ ไม่ต้องหรอกกูไหว ” ว่าแบบนั้นอีกคนก็ยักคิ้วตอบรับมาให้ “ โคตรหอมกลิ่นป้ายแดง บุญตูดกูจริงๆ ได้ขับเบนส์พี่เบส เกือบเฉี่ยวฟุตบาทแล้วเมื่อกี้ ตื่นเต้น ”

“ ตีนกูนะพูดเลย ”

“ ใช้ให้กูขับมาเองนะ ได้เหรอไอ้สัดประโยคนั้น ” ว่าแบบนั้นล้อๆ ผมก็ยกยิ้มพลางเก็บกุญแจรถของตัวเองใส่ลงไปในกระเป๋ากางเกง “ กลับแล้วไอ้สัด ขอให้ไอ้สัดดีนอ้วกใส่พื้นห้องมัน ”

“ แล้วพอตื่นเช้ามันกูจะได้ถีบมันจมกองอ้วกนั่นแหละ ”

“ แค่คิดก็หายนะแล้วไอ้สัด ” เวย์มันว่าพลางส่ายหน้า “ คิดเหี้ยอะไรก่อนถึงเอามันมาที่ห้อง ”

“ แล้วจะให้กูทิ้งมันไว้ในผับให้โจรสาวเค้ามาล้วงกระเป๋ามันอีกเหรอไงละ ” ผมว่า “ ตามสโลแกนกูไง หน้าตาดีมีน้ำใจ โอเค๊ ? ”

“ ฟังแล้วปวดขี้ชิบหาย ไปละ ” ซุงมันเขี่ยหูตัวเองแบบที่รับไม่ค่อยได้ ก่อนมันสองคนจะโบกมือลาแล้วขับรถออกไป

ผมใช้เวลาเกือบสิบนาทีในการพาคนเมาที่แทบจะไม่ขยับขาเดินเองเลยกลับมาที่ห้อง วินาทีที่ปล่อยอีกคนให้นอนลงบนโซฟากลางห้อง ผมถึงขั้นถอนหายใจออกมาอย่างหมดแรง และแทบจะทรุดลงตรงนั้น

 “ หนักชิบหาย ” เอ่ยบ่นออกมาอย่างอดไม่ได้ และรู้สึกตัวเองโง่ชิบหายที่บอกปัดความช่วยเหลือจากเพื่อนสองคนเมื่อครู่ 

ทั้งๆดูภายนอกก็ไม่ได้คิดว่าจะหนักอะไรเอาเบอร์นี้ มันก็รูปร่างดีแบบที่คนหุ่นเฟิร์มเค้าเป็นกัน หุ่นก็พอๆกับไอ้เมี่ยง ที่ตอนนั้นผมแบกมันตอนเมากลับไปที่ห้องแบบแทบจะอุ้มได้ แต่พอเป็นไอ้เหี้ยนี่ กลับคนละเรื่องเลย ตัวแม่งโคตรแน่น

ของทุกอย่างถูกวางลงบนโต๊ะ ผมเดินไปที่ครัว หยิบเอาแก้วขึ้นมากินน้ำเย็นๆให้ชื่นใจ ก่อนจะวางมันลงบนเค้าท์เตอร์ แล้วมองดูคนเมาที่ยังลงนอนนิ่งอยู่แบบนั้นไม่ขยับไปไหน และทบทวนกับตัวเองว่า ควรจะทำอะไรต่อไปดี  จะเช็ดตัวให้ หรือแค่ปล่อยให้มันนอนเรื้อนไปแบบนั้นจนถึงเช้า

“ อย่างหลังแล้วนะ ขี้เกียจ ” พูดกับตัวเองแบบยกยิ้ม ก่อนจะผละสายตาไปที่หน้าจอมือถือของตัวเองที่สว่างขึ้นมา ผมเดินไปดูมัน แล้วบนหน้าจอนั้นก็ปรากฏสายโทรเข้า “ แล้วนี่กูไปปิดเสียง ปิดสั่นมันตอนไหน ” 

“ กว่าจะรับสายนะไอ้สัด ” ประโยคที่ได้ยินผ่านสาย ผมหลุดยิ้มออกมาก่อนจะดึงมันออกจากข้างหูเพื่อให้มั่นใจว่า เป็นชื่อ ที่เขียนว่า เพื่อนเจ้ย จริงๆ ไม่มีผิดแต่อย่างใด

“ คุยกับกูได้แล้วอะ ” ผมถามใครอีกคนก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา

หลังจากเรื่องนั้น วันนี้ทั้งวันเจ้ยไม่คุยกับผมเลย ไม่คุยเลยสักคำเดียวหลังจากเกิดเหตุการณ์นั้น แถมยังนั่งหน้านิ่งไปสนใจ ไม่ว่าผมจะพูดอะไรมันก็เมิน ไม่ตอบสักคำถาม

“ กูโทรมาขอโทษที่อินเกิน ” มันว่าแบบนั้นผมก็หลุดยิ้มอย่างห้ามไว้ไม่อยู่

เอาตรงๆคือโคตรดีใจ แน่นอนว่าการทะเลาะกับไอ้สัดเจ้ยแทบจะเป็นสิ่งเดียวในชีวิตที่ผมไม่อยากจะให้มันเกิด จนบางทีก็หาคำตอบไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น

ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก รู้จักกันครั้งแรกก็ต้องขึ้นม.ปลาย แถมยังมีเพื่อนอย่างไอ้ซุง ไอ้เวย์เข้ามาอยู่ในกลุ่ม แต่ถึงอย่างงั้นก็ยังรู้สึกไม่อยากจะทำอะไรให้ขัดใจมันอยู่ดี คล้ายๆว่าจะเกรงใจ จนบางทีก็โดนไอ้สัดสองตัวนั้นขู่บ่อยๆ ว่า ‘ ฟ้องพ่อมึงอะ ’ ไม่ก็ ‘ ทำเหี้ยอะไรเกรงใจพ่อมึงหน่อย ’

แต่ก็อาจจะเพราะด้วยนิสัย

เจ้ยเป็นคนใจดี เป็นคนเดียวที่ถึงจะด่าจะว่ายังไง มันก็ยังเข้าใจในความเป็นผม ที่บางทีถ้าเป็นคนอื่น คงอยากเลิกคบไปแล้ว โดยเฉพาะตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับความปัญญาอ่อน ที่ผมเล่นทะเลาะกับดีนมานานร่วมปี

แต่ถึงอย่างงั้นมันก็อยู่ข้างกันตลอด เป็นคนที่คอยเตือนสติในตอนทำตัวเหี้ยๆ  แล้วก็คอยยินดีในตอนที่มีความสุข

“ เอาจริง แค่มึงคุยกับกู กูก็ดีใจแล้วครับ ” นั่นแหละ จากใจเลยจริงๆ เป็นความรู้สึกที่ตอนนี้ถ้าตะโกนออกไปก็คือจะตะโกนว่า โคตรโล่งเลยค้าบบบบบบบ

“ เมื่อกี้เมี่ยงมันโทรมาคุยกับกู บอกให้กูคุยกับมึงได้แล้ว ”

“ รู้สึกผิดไปใหญ่เลยกู ” ผมว่า พลางนึกถึงใบหน้าใจดีที่ก็ยิ้มให้กันแห้งๆในชั่วโมงเรียนที่ต้องนั่งกั้นกลางระหว่างเราสองคนของไอ้สัดนั้น เรื่องของตัวเองก็ปวดหัวมากพออยู่แล้ว เพื่อนยังมาทะเลาะกันอีก “ ต้องยกพานไปกราบมันแล้วมั้ยในจุดนี้ ”

“ เออดี กูเห็นสมควรนะ ตอนให้ก็เอาแบบคลานเข่าด้วยนะไอ้สัด ”

“ K เค้ารณรงค์ยกเลิกหมอบคลานกันแทบตาย มึงนี่ยังไง ”

“ ก็มึงถามอะ ” เจ้ยมันว่ายิ้มๆ “ แล้วไม่แค่นั้นนะ กูกลับมาบ้าน พอมิ้งมันเห็นหน้ากูเซ็งหน่อย ก็ถามใหญ่ สุดท้ายพอเล่าจบ เมียด่ากูกระจุย บอกว่ากูทำตัวเหมือนเด็กเล็ก โกรธกับเพื่อนแล้วไม่คุย ทำไมไม่เคลียร์ให้จบๆ ”

“ อะ ต้องสองพานไปเลยแล้วมั้งจุดนี้ ทั้งน้องมิ้งน้องเมี่ยง ” ว่าแบบนั้นปลายสายที่หัวเราะก็ถอนหายใจ

“ แต่เบส กูมีอะไรจะคุยกับมึงอย่างนึง ”

“ ว่า ” มองคนที่นอนอยู่บนโซฟาในตอนที่ตอบรับปลายสาย ผมหย่อนตัวลงนั่งตรงส่วนพักแขนที่ว่าง

“ เลิกทะเลาะกับไอ้ดีนเถอะ เลิกประสาทแดกใส่กัน ถ้ามันหาเรื่องมึงก่อนนะ มึงก็ทนๆไป อดทนเอาหน่อย กูเชื่อว่า ถ้ามึงไม่ตอบรับ ไม่นานมันก็เลิกยุ่งกับมึงเองนั่นแหละ นะ ถือว่าสงสารไอ้เมี่ยงมัน ”

“ กูก็คิดว่าจะ..” อย่างงั้น คำนี้ถูกหยุดชะงักไปก่อนที่จะได้พูด เพราะตอนนั้นคนที่คิดว่านอนอยู่เฉยๆกลับดึงตัวเองขึ้นมาแล้วกอดเข้าที่เอวอย่างแนบแน่น แต่ไม่เท่านั้น ดีนซบลงบนแผ่นหลังของผม

“ มึง..” เสียงครางเบาๆนั้นเอ่ยเรียกกัน “ ทำไมมันเป็นกูไม่ได้แล้ววะ ทำไมอะ ”

“ เชี้ยเบส นี่มึงอยู่กับใครวะ ”

“ เปล่าๆ ” บอกปัดแบบพัลวัล แต่แน่นอนว่าปลายสายคงไม่เชื่อ

“ ก็กูได้ยินอะ เสียงมึงคุยกับใคร ”

“ มึง ”

“ นั่นไง เรียกอีกละ มึงอยู่กับใครเหรออออ ” มันว่ายิ้มๆ แบบที่ผมนึกหน้าออกเลยว่ากำลังแสดงทีท่ายังไงอยู่ “ เออๆ ไม่กวนแล้วไอ้สัด ไว้พูดกันก็ได้ แค่เนี้ย ”

“ เฮ้ย มึงกำลังเข้าใจผิด ” ผมว่าเสียงดังแต่ก็เท่านั้น เมื่ออีกฝ่ายแค่กดตัดสายไปอย่างคิดเองเออเอง สรุปความเอง และไม่รอฟังผมอธิบายอะไรทั้งสิ้น “ เจ้ย ไอ้เจ้ย เดี๋ยว..”

“ มึง ”

“ มึงเป็นเหี้ยอะไรเนี้ย ” หันไปถามคนเมาแบบเสียงดัง ก่อนจะนิ่งไปในตอนที่เห็นว่ามันบรือตามองกันอยู่แบบที่สติไม่ค่อยครบสักเท่าไหร่

เออ แล้วกูจะเอาความเหี้ยอะไรกับคนเมาวะ

“ มึง ” เสียงที่เอ่ยเรียกย้ำกัน รู้หรือเปล่าก็ไม่รู้ว่าคนที่เรียกซ้ำๆซากๆอยู่ตรงหน้านี้คือใคร

“ ว่าไง ” แต่ผมก็ตอบรับ ในตอนนั้นดีนมันก็คว้ามือเข้ามาจับก่อนจะก้มหน้าลงซบกับหลังฝ่ามือนั้น

“ ขอโทษ ขอโทษนะ แต่ให้โอกาสกูไม่ได้เหรอ แค่สักครั้ง นะ ขอร้อง ให้โอกาสกูเถอะ กูจะแก้ตัว กูจะทำให้รู้ ว่ากูรัก รักมึงแค่ไหน ”

“ นี่ทำไมอยู่ๆ มึงดูอาการมันดูหนักขึ้นมาอย่างงั้นวะ ” ผมพูดเสียเบาๆ พลางถอนหายใจแล้วหันไปทางอื่น แบบไม่รู้จะทำยังไงต่อ

เมื่อกี้ตอนที่อยู่ตรงหน้าผับอาการมันยังดูไม่เมามากขนาดนี้ แต่ยิ่งผ่านไป อาการเมามายของอีกคนกลับหนักขึ้น ทั้งๆที่จริงก็ควรสงบลงได้แล้ว

“ เห้อออออออออออออออออออออออ ” ไอ้แต่ลากเสียงยาวออกมา ผมที่หันไปมองมันอีกครั้ง  ดีนก็เอ่ยเรียก

“ อาร์ม ” ลำตัวที่ดึงตัวเองเข้ามาใกล้กัน ดีนจับที่แขนผมออกแรงจนต้องหันไปเผชิญหน้า ก่อนร่างขาวจะดึงตัวเองที่ไร้สติเข้ามาจูบกันที่ริมฝีปาก

แววตานั้นยังหลับสนิทนตอนที่ผมมองดู ต่างจากรูปปากที่กำลังขยับจูบดูดดื่มอยู่บนสิ่งเดียวกันนี้ ส่วนมือเองก็ยังคงลูบไล้ไปตามรอบเอวที่ดึงรั้งตัวผมให้เข้ามาใกล้ ดีนผละตัวออกมันที่เลื่อนมือขึ้นมาปลดกระดุมสองเม็ดด้านบนของผมที่จำเป็นต้องคว้ามือนั้นให้หยุดลง

“ อย่า บอกไว้ก่อนว่าถ้าตื่นเช้ามาจะเสียใจนะ  ”

“ เราลองมีอะไรกันมั้ย นะ ” คำพูดนั้นมาพร้อมกับสาตาที่คอไปด้วยน้ำตายามที่ถาม ดีนกำลังขอร้องใครคนนั้นในความรู้สึกของมัน คนที่มันไม่ใช่ผม “ ถ้ามึงไม่เชื่อในสิ่งที่กูพูดออกมา ต่อไปนี้ กูจะเก็บเรื่องของเราเอาไว้แค่กับเฉพาะพ่อแม่ของกู แล้วเราก็มาอยู่ด้วยกัน นะ โอเคมั้ย มาประกาศให้คนทั้งโลกมันรู้ไปเลยว่าเราเป็นอะไรกัน มีอะไรกันเถอะ  ”

มือนั้นถอดเสื้อที่กำลังสวมในตอนที่พูดจบ แผ่นอกขาวเปลือยเปล่าในตอนที่มันโยนเสื้อตัวเองลงพื้นไป ทุกอย่างในช่วงเวลานั้นทำให้ผมนิ่งเพราะไม่รู้เลยว่าตอนนี้อีกฝ่ายคิดจะทำอะไร แต่ผมก็แค่หันไปหยิบเสื้อตัวนั้นก่อนจะคลุมไว้ให้ แต่ดีนก็แค่ขืนตัว มันปัดออก

“ พอเถอะ มึงเมามากแล้ว ” มือถูกดึงขึ้นมาปิดปากผม มันที่ส่ายหน้าไปมา

“ ไม่พูดแบบนี้ได้มั้ย อาร์ม มึงไม่พูดได้มั้ยวะ ” สายตาวิงวอนที่บอกกัน ผมทำได้แค่พยักหน้ารับอย่างจนใจ

สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้เลย แม้แต่จะบอกว่า ผมไม่ใช่ใครคนนั้น

คนเราพอเวลาเสียใจมากๆก็เป็นแบบนี้ เป็นเหมือนเชือกที่พอมันขาดออก ด้วยแรงดึงรั้งทั้งหมดที่มี หางเชือกนั้นก็เหมือนจะสะบัดไปมาอย่างไร้ทิศทาง แล้วถูกปล่อยดิ่งไว้อย่างงั้นจนน่าใจหาย

ดีนเองก็เป็นแบบนั้น มันเองไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ตัวเองต้องทำอะไร ต้องรู้สึกแบบไหน ต้องเข้าใจอะไร ผมรู้ว่ามันก็คงรู้ว่าตัวเองผิด แต่นั่นแหละ มันก็ยังไม่รู้อยู่ดี ว่าต้องจัดการความรู้สึกของตัวเองยังไง

รู้แค่ว่าเสียใจ รู้แค่ว่าไม่อยากเสียไป
 ดีนคงรู้แค่นั้น

“ ก็ได้ แต่ไม่มีอะไรกันนะ ”

“ ทำไม ”

“ ก็กูไม่มีอารมณ์ ” ผมบอก อีกคนก็นิ่ง “ ให้ได้แค่นอนกอดเฉยๆ”

“ ก็ได้ ” ตอบรับเสียงอ่อนก่อนที่จะดึงตัวเองในตอนนั้นให้เข้ามาซบลงบนอก มันที่กอดกันไว้แน่นหลับตาลงด้วยริมฝีปากที่ยังคงพรึมพรำความรู้สึกของตัวเองออกมา “ แค่นี้ก็ได้ จะตามใจหมดเลย ”

“ อื้ม ”

“ แต่อย่าพูดแบบนั้นได้มั้ย ”

“ พูดอะไร ” ถามออกไปแต่อีกฝ่ายก็ทำได้แค่กอดกันแน่น

“ อย่าไล่กูไป กูไม่ได้อยากจากมึงไปไหน กูอยากอยู่กับมึง อยากอยู่ใกล้ๆ ”

“ เออ ไม่ไล่ ” ตอบแบบนั้นก่อนจะดันอีกคนลงมาซบที่อก ผมนอนราบกับโซฟาตัวที่นั่งแบบที่ลุกออกไปไหนไม่ได้ ส่วนคนบนร่างเองก็ขยับตัวเข้ามากอดกันไว้แน่นแบบไม่ไปไหนเช่นกัน ดีนนอนอยู่ในซอกโซฟาด้านในที่ว่างอยู่นั้น  “ นอนได้แล้ว ดึกแล้ว ”

“ ไม่ไปไหนนะ ” มันถามย้ำด้วยจิตสำนึกที่ก็คงไม่ไว้ใจกัน

“ จริง ไม่ไปไหนหรอก ” ลูบหัวอีกคนอย่างที่ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าประโยคที่พูดออกไปมันสมควรพูดมั้ย  แต่ที่รู้สึกคืออยากจะให้มันสงบลงหน่อย จะแค่สักนิดก็ยังดี “ หลับเถอะ ฝันดี ”

ไม่มีเสียงตอบรับอะไรกลับมาทั้งนั้น มีเพียงแค่ลมหายใจสม่ำเสมอของคนเมาที่แทบจะไม่มีสติ แต่มันก็แบบนี้  เราไม่มีทางรู้หรอก ว่าของบางอย่างมีค่ากับเรามากแค่ไหน

ยกเว้นก็ตอนที่เราเสียมันไปแล้ว

...........................................................................

หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 29 :: up! 3-7-63} #หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 17-07-2020 20:34:04

แสงอาทิตย์อ่อนๆผ่านช่องผ่านของม่าน ผมขมวดคิ้วพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะรู้สึกชาไปทั่วร่างในตอนที่ขยับตัวเองออกจากซอกโซฟาที่รู้สึกคับแคบ รวมถึงสมองที่หนักเหมือนจะเป็นตัน จนแม้แต่สายตายังบรือขึ้นมองรอบข้างแทบไม่ได้ แต่นั่นก็แค่ก่อนเห็นภาพตรงหน้า ภาพที่ชวนให้เบิกตาก่อนจะรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแบบที่ตกใจสุดขีด

“ เชี้ย!!! ” สะโกนสุดเสียงในตอนที่ลุกขึ้นนั่ง หัวใจของผมเต้นรัวต่างจากคนตรงหน้าที่แค่ขมวดคิ้วพลางดึงคอตัวเองขึ้นมองกัน

เบสมันถอนหายใจก่อนจะขยี้หัวอย่างเสียอารมณ์ไม่น้อยกับตอนที่เห็นผมตกใจอย่างงั้น แล้วก็ตามแบบฉบับบของมัน ไม่พ้นว่าต้องกวนตีน

“ ทำไมตัวเหมือนบทนางเอกละครหลังข่าวไปได้  ทำไม ? มึงตื่นมาหลังจากเมาเหล้าและตกใจที่รู้ว่านอนอยู่บนตัวพระเอกเหรอ ”

“ ก็ช่างกล้าที่จะบอกว่าตัวเองเป็นพระเอกนะไอ้สัด ” ผมถามมันอีกคนก็ยกยิ้มเหยียดให้กัน เบสมันมองลงต่ำ ผมเองก็มองตาม ก่อนจะเบิกตากว้างอีกครั้งในตอนที่รู้ว่า ตัวเองไม่ได้ใส่เสื้ออยู่ด้วยซ้ำ

‘ เชี้ย ’ ได้แต่สบถอยู่ในใจ ก่อนไอ้เบสที่ยันตัวเองลุกขึ้นนั่งจะค่อยๆเลื่อนตัวเข้ามาใกล้ จมูกที่ค่อยๆใกล้กันของเรา ผมได้แต่นิ่งอย่างไม่รู้ว่าจะหันไปทางไหนเพื่อหลบ ก่อนจะถามออกไปเสียงแข็ง  “ มึงจะทำเชี้ยอะไร ”

“ ทำเป็นรังเกียจ แหมมมมมมม ทีเมื่อคืนนะ ”

“ เมื่อคืนทำไม ” ผมถาม อีกคนก็แบะปากน้อยๆ ก่อนจะหันไปเหลือบมองอื่น

“ ลองคิดดูสิ ทำไมน้า ” มันลากเสียงกวนตีนแบบที่อยากจะซัดใส่หน้าเข้าสักหมัด “ ตื่นมาเสื้อก็ไม่ใส่ แถมยังมานอนกอดอยู่ข้างๆกูอีก เอาจริงๆนะ นี่ถ้าใครเข้ามามาเห็นก็คิดได้อย่างเดียวมั้ยนะ ”

“ Kเถอะ ไม่มีทาง ”

“ อ๋อ เหรอ ” เสียงกวนตีนว่าแบบนั้น ก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟาตัวที่นั่ง ร่างสูงลุกขึ้นบิดขี้เกียจด้วยท่าทีสบายๆชวนให้ผมรู้สึกไม่มั่นใจในความรู้สึกตัวเองขึ้นมาเสียอย่างงั้น ก็มันดูเหมือนเมื่อคืนมีอะไรสักอย่างระหว่างผมกับมัน

“ ไม่ใช่ว่าเมื่อคืนเรามีอะไรกันจริงๆนะไอ้สัด ” ผมถามใบหน้ากวนตีนนั้นก็หันมายกยิ้มถาม

“ ปวดตูดมั้ยละ รู้สึกเหนียวๆมั้ย ตรงก้นมึงอะ ”

“ ไม่ ”

“ งั้นก็แสดงว่าไม่ไง ” เบสมันว่าแบบลอยหน้าลอยตา แต่ผมในตอนนั้นกลับถอนหายใจโล่งออกมาจนอีกคนยกยิ้ม “ ชวนเค้าไปมีอะไรด้วย แต่ยังไม่รู้เลยว่าต้องทำยังไงเวลาผู้ชายมีอะไรด้วยกัน คิดเหี้ยอะไรอยู่น้า อยากรู้จริงๆเลย ”

“ แล้วนี่กุญแจรถกูอยู่ไหน ” ถามแบบเปลี่ยนเรื่องกับคนที่เดินไปเปิดตู้เย็นในห้องครัวของตัวเอง

“ เอาอะไรหน่อยมั้ย ห้องกูมีน้ำส้มด้วยนะ ”

“ ไม่เอา ”

“ เอาหน่อยน่า ” ว่าแบบนั้นอย่างตามใจตัวเอง ดีนมันยื่นน้ำส้มแบบกล่องมาให้ แต่ผมก็แค่มองมันแบบไม่เชื่อใจเท่าไหร่ “ จะได้สดชื่นไง รับไปหน่อย ” ท้ายประโยคที่บอกกันอย่างงั้นมันยิ้มตอนที่เห็นผมยังนิ่ง “ กูไม่ทำอะไรมึงหรอก เพราะถ้าทำ ก็ทำไปตั้งแต่มึงชวนกูมีอะไรกันแล้ว ทำไปตั้งแต่มึงจูบกู เพราะคิดว่ากูเป็นไอ้อาร์ม ”

“ พูดเหี้ยอะไรของมึง ”

“ พูดเรื่องจริงไง ” กล่องน้ำส้มถูกยื่นให้ และคราวนี้ผมก็ต้องรับมันมาอย่างช่วยไม่ได้

‘ ทำไมจำอะไรไม่ได้เลยวะ ’ คำถามที่ผุดขึ้นมาในหัวยามที่มองกล่องน้ำส้มที่ถืออยู่ในมือ ผมจำได้แค่ว่า ผมชวนมันมามีอะไรกัน ผมจำได้เท่านี้ แต่อย่างอื่นก็แทบไม่รู้เรื่องเลย “ กูคิดว่ามึงเป็นอาร์มเหรอ ”

“ มากกว่านั้นคือมึงจูบ แล้วก็พูดสารพัดเลย อะไรบ้างน้า ” มันทำท่าคิด “ จะตามใจหมดเลย จะเปิดเผยเรื่องของเราให้คนอื่นรู้ อย่าไปได้มั้ย อยู่กับกู หึ ” เบสมันยิ้มให้กัน  “ ว้าวมากเลยอะ ไม่คิดว่ามึงจะมีโมเม้นท์แบบนี้ด้วย แบบว่า อ้อนๆ ” รอยยิ้มมุมปากของคนที่พูดถึงชวนให้ผมทำได้แค่นิ่งแล้วถอนหายใจออกมา

เพิ่งรู้สึกเกลียดตัวเองก็ตอนนี้

มากกว่าการอยากด่าตัวเองที่เมาได้ไร้สติอย่างงั้น ก็คือการมานั่งคำพูดที่เหมือนจะดูถูกกัน ทั้งๆที่ทุกอย่างนั้น ก็คือความรู้สึกในใจ

“ ตลกมากเหรอวะ ” ผมถาม “ ความรู้สึกของกู มันแม่ง ดูตลกมากเลยเหรอวะ ”

“ ก็ไม่ใช่จะอย่างงั้น ” กลายเป็นไอ้เบสที่เงียบไป มันที่หันไปมองทางอื่น ผมเองก็ทำได้แค่ลุกขึ้นจากที่นั่ง

“ กุญแจรถกูอยู่ไหน จะกลับบ้าน ”

“ คุยกันหน่อยสิ ” มันว่าพลางจับข้อมือของผมไว้ เบสเงยหน้ามองกันในตอนที่ผมก้มลงมอง “ โทษที แต่จะไม่หาเรื่องแล้ว นั่งลงก่อนเถอะ ”

“ มีอะไร ” ในที่สุดก็นั่งลงตรงที่โซฟาตัวเดิมอย่างช่วยไม่ได้ อีกคนก็นิ่งมองกันอยู่สักพักจนผมต้องเอ่ยถาม “ แล้วก็ไม่พูด มีอะ..”

“ มึงคิดจะมีอะไรกับกูจริงๆมั้ยเมื่อคืน หรือแค่จะประชดไอ้อาร์ม ”

“ แล้วยุ่งอะไรกับมึงด้วย ”

“ ยุ่งสิ ก็มึงจะมีอะไรกับกูอะ ” ถามกลับอย่างงั้นในตอนที่ผมบอกปัด ก่อนจะถอนหายใจ “ ขอพูดหน่อยนะ  ช่วยอย่าทำตัวไร้ค่าขนาดนั้นได้มั้ย รู้มั้ยว่าเมื่อคืนถ้าไม่ใช่กู มึงอาจจะไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้แล้วนะ มึงอาจจะนอน อยู่ตรงไหนสักที่ในสภาพที่มันยับเยินกว่าที่มึงจะคาดคิด อาจจะติดโรค ก็แค่คนคนเดียวไม่รัก อย่าตัดสินใจว่าชีวิตมึงไม่มีค่าอะไรแล้วสิ ”

“ กูไม่ได้..”

“ กูรู้มึงไม่ได้อยากจะเอากับใครหรอก มึงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการเอากับผู้ชายมันเป็นยังไง แต่เหมือนมึงแค่อยากจะทำลายชีวิตตัวเองให้มันจบๆไป เพราะมึงรู้สึกเหมือนมันไม่มีค่าอะไรแล้ว ซึ่งถามว่าไอ้สัดอาร์มมันจะมารู้สึกอะไรมั้ยกับสิ่งที่มึงทำ คำตอบคือไม่ มันไม่ผิดสักหน่อย ก็มึงไม่รักมันเอง จะมาเรียกร้องเหี้ยอะไร ”

“ รัก! ใครบอกกูไม่รักมัน ” ผมตะโกนเถียงอีกฝ่ายที่ก็เงียบลง “ อย่ามาทำเป็นตัดสินว่ากูรู้สึกอะไร หรือไม่รู้สึกอะไรได้มั้ย ทำเป็นรู้ดีกว่าตัวกู มึงแม่งเป็นใครอะ  ”

“ มึงเคยรู้สึกอยากกอดมันมั้ย ไอ้อาร์มอะ ” กลายเป็นว่าต้องนิ่งไปในตอนที่อีกคนถาม “ กอดแบบที่คิดถึง กอดแบบที่รู้สึกว่าอยากจะจูบ อยากจะหอมแก้มมันแรงๆสักฟอดให้ชื่นใจ อยากจะชวนกันนั่งลงบนโซฟาแล้วดูหนังสักเรื่อง แล้วกินอะไรสักอย่างไปพร้อมกัน เงยหน้าขึ้นมาจูบกันบ้างในตอนที่เรื่องราวในหนังมันโรแมนติกมากๆ ถามจริง ที่บอกจริงๆก็รู้สึกชอบมันอะ มึงเคยรู้สึกแบบนั้นกับมันบ้างมั้ย ”

‘ ไม่เคยหรอก ’ คำตอบนั้นผุดขึ้นมาในสมองของผม ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนั้นเลย ก็อยากจะดูหนังกับมันนะ แต่ก็แค่อยากดูปกติ เหมือนเพื่อนทั่วไปที่ดูหนังเรื่องโปรดด้วยกัน ไม่เคยเลย ที่จะอยากทำอะไรแบบนั้น อย่างที่อีกคนว่ามา

“ ไม่เคยใช่มั้ยละ ” เบสที่เหมือนจะจับความรู้สึกของผมได้เอ่ยบอกกันยิ้มๆ “ นั่นแหละ คือความแตกต่างระหว่างความรู้สึกของมึงกับมัน ”

“ อาร์มมันไม่ได้รู้สึกอยากจะทำอะไรแบบนั้นกับกูหรอก ”

“ น้อยไปสิไอ้สัด” อีกคนเถียง “ มันจริงจังเวลาที่มึงทะเลาะกับกูแบบที่พร้อมเข้าชาร์จกูตลอดเลย ถ้าเผลอคิดจะต่อยมึง เคยรู้สึกมั้ยว่ามันรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่มึงควงใคร ซึ่งต่างจากมึงที่รู้สึก เฉยๆกับการที่มันควงใคร ”

“ กูจะรู้สึกเฉยๆได้ยังไง กับเพื่อนมึง กูไม่ได้รู้สึกอะไรเหรอ ”

“ รู้สึกเพราะมึงรู้สึกไง ว่าคนนี้ไอ้อาร์มมันจริงจัง คนนี้ไม่เหมือนคนอื่นหมาที่เลี้ยงกำลังวิ่งออกไปหาเจ้าของใหม่ ใครมันจะไม่รู้สึก ” เบสมันบอกยิ้มๆ “ แต่ขนาดหมามันซื่อสัตย์ยังไง ถ้าเจ้าของทำร้ายมันซ้ำๆ แล้วเจ้าของใหม่ดีกับมันมากๆ มันก็เปลี่ยนเจ้าของเหมือนกันนะ ” ผมเงียบนตอนที่อีกคนสบตา “ ถามจริงๆเถอะ มึงแน่ใจเหรอ ว่าจริงๆความรู้สึกที่มึงให้มัน เป็นแบบคนรักกันจริงๆ หรือแค่เพื่อนที่กลัวว่าจะเสียไป ถ้าเกิดว่าไปตอบรับรัก ”

กลายเป็นว่าผมตอบไม่ได้เลยกลับคำถามนั้น มันมีแต่เพียงความเงียบ กับคำถามที่ยังวนเวียนกับความรู้สึกที่ตัวเองกำลังเอ่ยถามตัวเอง ‘ เออ หรือว่ามันจะเป็นอย่างงั้นกันวะ สำหรับความสัมพันธ์ของเรา ’ 

“ คนรักกันอะ มันก็ต้องอยากจะอยู่ใกล้ๆกันอยู่แล้ว เราที่ทั้งหวง ทั้งหึง แล้วก็เป็นห่วง ความรักมันคือความรู้สึกแบบนั้น  เว้นแต่แค่ว่ามึงไม่รักมัน มึงเลยไม่อยากจะอยู่ใกล้มันไง ” เบสมันถอนหายใจยิ้มๆ “ รู้ตัวได้แล้วดีน มึงไมได้รักมันแบบที่มันรักมึงหรอก มึงแค่รู้สึกไม่อยากจะเสียเพื่อนอย่างมันไปถ้ามึงปฎิเสธคำสารภาพรักนั้นเรื่อมันเลยยุ่งแบบนี้  ทุกอย่างมันก็เท่านั้นเอง แล้วเนี้ยแหละคือคำตอบ ”

“ แล้วทำไมมันถึงเจ็บขนาดนี้วะ ” ผมถามอย่างรู้สึกตลก มึงข้างที่ว่างยกขึ้นจับหัวใจตัวเองที่เหมือนจะถูกจับไว้แน่นแบบไม่มีปล่อยจากมือของใครสักคน “ ทำไมกูถึงรู้สึกว่าไม่อยากจะให้มันหายไปเลยวะ ”

“ ก็แค่ไม่อยากจะให้หายไปไม่ใช่เหรอวะ เลยพยายามรั้งไว้จนถึงที่สุด ”

อาจจะเป็นอย่างงั้น อาร์มไม่รักกันแล้ว จะหายไปจากกันที่สุด อาร์มที่ก็คงไม่ได้อยู่ข้างๆกันแล้ว ถ้าเกิดว่าแฟน ก็ไม่มีแฟนคนไหนรู้สึกดีกับการที่แฟนตัวเองต้องมาอยู่ใกล้ๆคนที่ชอบไม่ใช่เหรอ แล้วแบบนั้น จะได้อยู่ใกล้ๆกันเหมือนเดิมได้ยังไง

แต่ก็ยังอยากเป็นนะ เพื่อนรักของไอ้เหี้ยนั่น
คนที่มันใจดีให้กัน ในทุกๆเรื่องเลย   

“ แต่ก็นั่นแหละ วันนี้ไม่ว่าจะรั้งยังไง มันก็หายไปแล้ว ” ผมพูดยิ้มๆ “ คงไม่ใช่คนที่จะมาใจดีกับกูในทุกๆเรื่องอีก จะว่าไปตอนนั้นก็ไม่น่าเลยเนอะ”

“ ที่มันสารภาพรักกับมึงน่ะเหรอ ”

“ อื้ม ตอนนั้นกูบอกว่าให้รอก่อน ถ้าพร้อมแล้วจะบอก แต่กูก็ไม่เคยพร้อมเลย จนวันนี้มันเอง ก็ไม่พร้อมเหมือนกันแล้ว ”

“ บางทีตอนนั้นอาจจะยังเด็กเกินไปที่จะตอบคำถามอะไรอย่างงั้น อาจจะยังไม่รู้ว่าต้องตอบยังไง ให้มันยังอยู่ ” เบสยกยิ้มให้ผม ในตอนที่เราสอบสายตากัน “ มึงจะร้องไห้ก็ได้นะ ร้องให้กับตัวเองที่ตลอดเวลาไม่เคยทำอะไรให้มันถูกเลย หรือจะร้องไห้เพราะรู้สึกว่าต่อไปนี้มึงกับมันไม่มีทางเหมือนเดิมอีกแล้วก็ได้ แต่อย่าประชดเหี้ยอะไรอย่างที่ทำเมื่อคืนอีก ”

“ อื้ม ” ขานตอบออกไปอย่างงั้น แบบที่ไม่รู้จะตอบอะไร น่าแปลกที่บรรยากาศมันกลับนิ่ง และสงบมากจนน่าใจหาย สงบเสียจนไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่คือการพูดคุยกันระหว่างเรา

“ รู้มั้ยชีวิตมึงมีค่าสำหรับใครสักคนเสมอนะ เดี๋วสักวันมันก็มี คนที่จะทำให้มึงรู้สึกแบบนั้น แบบที่ตอนนี้ ไอ้อาร์มไอ้เมี่ยงมันรู้สึกต่อกัน”

“ แบบที่อยากกอดตอนดูหนังน่ะเหรอ ”

“ อื้ม ”

“ อาร์มมันจะเคยรู้สึกแบบนั้นกับกูจริงๆเหรอวะ ” ไม่รู้ทำไมถึงถาม แต่ผมกลับถามออกไปพร้อมกับพิงหลังลงกับโซฟาที่นั่งก่อนจะยกยิ้ม  “ กูยังไม่เคยรู้สึกแบบนั้นกับใครเลยนะ จะสักคนเดียวก็ไม่ ”

“ ก็เพราะไม่ได้รักใครจริงๆไง แล้วนั่นแหละ คือคำตอบ ”

“ แล้วมึงเคยรู้สึกเหรอ รู้ดีจัง ”

“ เคยสิ แต่เค้าไม่ได้รู้สึกกับกูหรอก ”

“ งั้นเหรอ เหมือนไอ้อาร์มเลยงั้นสิ ”

“ ไม่เหมือน เพราะกูไม่โง่ขนาดนั้น ” คนตอบว่ายิ้มๆ  “เรื่องบางเรื่อง อะไรที่เราพอรู้อยู่แล้วว่ามันเป็นยังไง จะไปเสียเวลากับมันทำไม ”

“ มึงพูดเหมือนที่อาร์มพูดเลย ” ประโยคนั้นทำให้ผมยิ้ม ยังจำมันได้อยู่เลยตอนที่อีกคนบอกประโยคที่ทำเจ็บจนหน้าชาไปหมดนั้น กับคำที่ว่า อย่าไปทำให้ใครเค้าเสียเวลาแบบที่ทำกับมันอีก

“ กูยังอยากย้ำอีกรอบ ว่ามึงเสียใจได้นะ ” เบสพูดคำนั้นก่อนจะยื่นมือมาลูบหัวผมที่ก็ปัดออกอย่างเร็ว แต่อีกคนก็แค่ยกยิ้ม “ ตอนนี้ไม่อยากจะเจอหน้ามันก็ไม่เป็นไร มันไม่แปลกที่จะอาย หรือทำอะไรไม่ถูก  แต่อย่ากลัวที่จะเข้าไปขอโทษ หายแล้วก็เข้าไปคุยกับมัน กูว่ามันน่าจะยังอยากคุยกับมึงนั่นแหละ  เพื่อนรักกันนี่ ”

“ อื้ม ”

“ แล้วก็นี่ กุญแจรถมึง ” ของที่ผมตามหาถูกยื่นออกมาจากในกระเป๋ากางเกงของอีกคน “ กลับบ้านดีๆ ”

“ มึง ”

“ อะไร ”

“ ถ้าขออยู่ต่อสักพักได้มั้ยวะ ” แต่เหมือนคำถามนั้นจะทำให้คนฟังกลับแค่นิ่งไป “ กูขอแม่มาอยู่กับไอ้อาร์มสักพัก เพราะต้องทำรายงานตัวนึง ตอนนี้กูยังกลับบ้าน แล้วก็ยังไม่อยากจะไปเรียนด้วย ”

“ แล้วมึงจะปล่อยให้เพื่อนมึงเป็นห่วงเหรอ ”

“ กูจะโทรบอกมันเองว่าไม่ต้องเป็นห่วง บอกอยู่ทะเลแล้วกัน โอเคมั้ย ”

“ แล้วทำไมไม่ไปจริงๆ ไปพักผ่อน ”

“ ถ้ากูไปจริงๆ แม่กูก็รู้ว่ากูไม่ได้ออยู่กับไอ้อาร์ม แบบนั้นก็ชิบหายพอดีสิ ส่วนถ้าไปอยู่กับไอ้จุ้น กูก็ยังไม่พร้อมจะอธิบายอะไรมัน ”

“ จะอยู่ได้ ก็ถ้าอยู่ได้อะนะ ” มันว่าแบบนั้นพลางมองไปรอบๆ คอนโดของตัวเอง “ แต่ไม่ใช่อยู่แบบคุณชายนะ ช่วยจ่ายค่าที่พักเป็นการทำความสะอาดให้ด้วย ”

“ ไม่เคยทำอะ ” ผมว่า อีกคนก็นิ่งก่อนจะยิ้ม

“ หัดสิ ” มันที่ว่าแบบนั้น ผมก็ทำได้แค่เจาะกล่องน้ำส้มในมือแล้วยกขึ้นดื่มอย่างรู้จะพูดอะไรต่อ แต่เหมือนว่าเบสจะแค่ยังยิ้มอยู่แบบนั้น มันดูอารมณ์ดี “ ยิ้มเหี้ยอะไร ”

“ แค่รู้สึกว่าฉลาดดี เพราะคงไม่มีใครคิดหรอกจริงมั้ย ว่ามึงจะมาอยู่กับกู ”

‘ มึงก็เหมือนกัน ’ ในใจของผมเถียงกลับไป คงไม่มีใครคิดเหมือนกัน ว่ามึงจะเป็นคนพูดจามีเหตุผลมากมายขนาดนี้ ทั้งๆที่ปกติ ก็เป็นแค่คนที่มีความคิด แบบปัญญาอ่อนเท่านั้น

..........................................................

 บรรยากาศในห้อง ไม่ได้เงียบเชียบ มันมีทั้งเสียงเคี้ยวบ็อปคอร์น เสียงทีวี แล้วก็เสียงแมวสองตัวที่เหมือนกำลังทะเลาะ แต่พอหันไปดูเมื่อไหร่กลับพบว่ามันก็แค่กำลังเล่นกัน ร่างสูงที่กลับจากห้องตัวเองเมื่อบ่ายไม่ได้เยี่ยงย่างออกไปไหนอีกตั้งแต่นั้น 

ถ้าไม่ปวดฉี่ กินข้าว ก็เหมือนว่าคุณชายอาร์มของผมจะไปออกห่างจากกันไปไหนเลย อย่างเช่นตอนนี้ที่มันกอดผมไว้แบบนี้ พร้อมทั้งมืออีกข้างที่หยิบเอาบ็อปคอร์นเข้าไปกินไม่มีหยุด พูดได้เลยว่า สุขใจเอามากๆ กับหนังตรงหน้า แบบที่ไม่มีความกังวลใจมันกั้นไว้ได้เลย

“ นี่..” ผมเอ่ยทักมันออกไปอีกคนก็หันมามองก่อนจะขานรับในคอ

“ หื้ม ? ”

“ ดีนเป็นไงบ้างอะ มึงไม่เห็นเล่าเลย ”

“ ก็คงเข้าใจแล้วละมั้ง ” อาร์มมันว่าแบบนั้นก่อนจะหันมายิ้มแซว “ ทำไม ? เป็นห่วงคู่อริเหรอครับคุณ ”

“ เอาจริงๆ จิตใจกูก็แสนดีในระดับนึงนะ เหมือนหน้าตานั่นแหละ ”

“ จิตใจน่ารักอะเหรอ ” พอมันถามกลับก็กลายเป็นว่าปั้นหน้าซ่อนยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ จนต้องตาโตขึ้นมาด้วยความตกใจ แล้วพูดออกไปเสียงเบาๆ

“ บ้า เอาความจริงเหี้ยอะไรมาพูดอีก ”

“ หึ ” อารืมันหลุดหัวเราะก่อนจะเอื้อมมือมาขยี้หัว “ ขอบใจที่เป็นห่วงมันนะ  แต่กูคิดว่าก็คงต้องให้เวลามันปรับตัวนั่นแหละ บางเรื่องมันก็เข้าใจยากอยู่ ทุกอย่างอาจจะเร็วไปสำหรับมัน แล้วอีกอย่าง ”

“ อีกอย่าง.. อีกอย่างอะไร ”

“ อีกอย่างมันเจ็บนะ กับการที่ต้องเห็นคนที่เคยรู้สึกรักเรา แต่เค้าไม่ได้รักเราแล้ว ”

“ อ่า ” ได้แต่ตอบแบบนั้นเสียงเบาๆ ก็เข้าใจความรู้สึกของมัน แต่นั่นแหละ ยังไงก็ห่วงอยู่ดี “ แล้วไม่โทรไปถามมันหน่อยอะ ว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่ อะไรทำนองนั้น ” ผมเสนอ

เอาจริงๆ เห็นห้องข้างๆเงียบไปแบบนี้ก็รู้สึกกังวลเหมือนกัน  คนตรงหน้ายิ่งเป็นคนตรงๆอยู่ เผลออีกคนเสียศูนย์แล้วไปทำอะไรสิ้นคิดขึ้นมาจะทำยังไง

“ ไม่อะ ” แต่อาร์มก็แค่ปฎิเสธ พลางกินบ็อปคอร์นเข้าไปในปาก “ ให้เวลามันดีกว่า ถ้ากูยิ่งโทรไปเป็นห่วง มันก็จะออกไปจากความรู้สึกที่คิดว่ากูยังรักยังห่วงไม่ได้ ก็ให้มันจัดการตัวเองไปเถอะ น่าจะดีที่สุดแล้ว ”

“ พูดซะกูรู้สึกผิดเลย เหมือนไปแย่งผัวเค้ามา ” คนฟังหลุดหัวเราะออกมาก่อนจะหันมาผลักหัวกัน “ แต่กูมาอย่างถูกต้องนะ กูรักมึงอย่างถูกต้อง กูรอด้วยนะ ให้หัวใจมึงมีแค่กูอะ กูไม่ผิด พี่อาร์มน้องบริสุทธิ์ ”

“ ครับๆ คุณมาอย่างถูกต้อง สำเนาถูกต้องที่สุดเลยคุณน่ะ ” ดึงตัวเองเข้ามาหากัน แต่ยังไม่ทันที่ริมฝีปากนั้นของเราจะจูบกัน เจ้าตัวลายที่ไม่รู้มาจากไหนกลับกระโดดขึ้นมาขวางเราจนต้องผละตัวออกห่างกันเสียอย่างงั้น “ เหี้ยไรเนี้ย ”

“ เหอะๆ ” ผมที่ได้แต่หัวเราะแห้งๆ ในตอนนั้น ไอ้นายท่านใช้สองข้างหน้าปีนป่ายขึ้นไปกับตัวของร่างสูงตรงหน้า สองขาหน้าที่อยู่บนอก ก่อนจะเอาขาข้างนึงตะบบเท้าหน้าเข้าที่ริมฝีปากบางของอีกคน ที่ทำให้ผมได้แค่หัวเราะออกมาเสียงดังลั่น

“ ฮ่าๆ ”

แต่ทว่าท่ามกลางความสุขนั้น เจ้าของใบหน้าคมกับแค่จ้องมองหน้าอีกฝ่ายแบบไม่ยอมลงให้กันสักเท่าไหร่ บรรยากาศที่ดูคล้ายจะมีศึก ในแววตาสีเหลืองทองนั้น นายท่านเหมือนจะบอกอีกคนว่า  ‘ อย่ามาแตะต้องเมี่ยงของกูนะไอ้สัด ’

........................................................

ถึงแม้ว่าจะไม่น่ารักบ้างในบางมุม แต่ไมได้หมายความว่าต้องจมอยู่กับความเสียใจนะคะ
สักวันนึง เมื่อดีนฟื้นขึ้นจากความรู้สึก ความรู้สึกผิดก็จะทิ่มแทงเค้า อันนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่ชีวิตยังไงก็มีหลายมุม ทั้งมุมสุข และ มุมทุกข์

ตอนหน้ามาดูคนทะเลาะกับแมวกันนะ

ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ด้วยนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์จ้า   :katai2-1: :katai5:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 30 :: up! 17-7-63} #หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 17-07-2020 21:23:39
 :katai2-1:
 o13
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 30 :: up! 17-7-63} #หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 17-07-2020 22:40:18
"กูไม่ผิด พี่อาร์มน้องบริสุทธิ์ ” ขออีกที ขอฟังแบบชัด ๆ อ้อน ๆ อีกทีดิ   :hao3:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 30 :: up! 17-7-63} #หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 17-07-2020 23:09:18
คู่หลักก็  :กอด1: :o8: :-[ คู่อริแค้นแสนรักก็ :katai3: :katai3: จะมีโอกาสพัฒนาได้ไหม ดูเคมีกันดีนะ  o22 ขอบคุณนะค๊าที่มาต่อ รอตอนต่อไป :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 30 :: up! 17-7-63} #หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 18-07-2020 12:03:48
 :pig4: :pig4: :pig4:

อ่านตอนนี้แล้ว

ให้ความรู้สึกว่า  คนที่ "เบส" รัก ก็คือ "ดีน" นั่นแหละ

แต่ก็เพราะรู้ไงว่า อาร์ม มันแฝงพวงมะม่วงอยู่  เลยไม่เข้าไปอะไรมาก 

ก็แค่พยายามเข้าไปอยู่ในสายตาของ "ดีน" ตลอดเวลา 

ดีนจะมาชวนทะเลาะ  ก็ยอมทะเลาะไปด้วย  แม้เรื่องที่ทะเลาะจะเป็นเรื่องไร้สาระก็ตาม

ถ้าเบสไม่รักดีน   ก็คงยอมปล่อยให้ดีนไปขอมีอะไร ๆ กับเพื่อนมันแล้วสิ   หุหุ
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 30 :: up! 17-7-63} #หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 18-07-2020 15:20:18
รู้สึกว่าเจ้ยเป็นตัวละครที่สำคัญมาก
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 30 :: up! 17-7-63} #หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 19-07-2020 21:16:38
ก็ต้องปรับตัวกันบ้างอะนะ ไม่ใช่ทุกคนจะเข้าใจ
ยิ่งดีน ยิ่งไปกันใหญ่ เป็นแค่ความรู้สึกว่าถูกแย่งและสูญเสีย
มากกว่าที่จะรั้งไว้เพราะรักกันจริงๆ

ต้องบอกว่าอาร์มทำได้ดีเลยแหละ ตัดใจ เริ่มใหม่ ชัดเจน
เมี่ยงก็น่ารัก แหย่ได้ป่วนประสาทกันดี หักลบอารมณ์ดิ่งได้เยอะ

เบสไม่ใช่คนไม่ดีอะไร แค่อารมณ์สนุกพาไป จนลืมคิดถึงความรู้สึก
เจอเจ้ยจัดให้ดอกใหญ่ ถึงกับสงบและไปต่อไม่เป็นเลย
เจ้ยคือเป็นคนกลางที่กลางจริงๆ รู้จักครบหมดทุกคนและไม่เข้าข้างใคร
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 31 :: up! 24-7-63} #หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 24-07-2020 20:26:18
ตอนที่ 31

บรรยากาศภายในห้องดูคุกรุ่น แต่โชคยังดีที่มันไม่ถึงขั้นที่เรียกว่าอึดอัด ตอนนี้บนตักของผมมีไอ้นายท่านนั่งอยู่ และสายตาของมันก็กำลังมองไปที่คุณแฟนของผม ที่ก็หาได้เฉยเมยต่อการมองนั้นไม่ แน่นอน อาร์มจ้องอีกตัวกลับ แถมยังถามแบบหาเรื่อง

“ มองอะไร อยากมีเรื่องเหรอมึงอะ ” ก็เพิ่งเคยเห็นครั้งแรกเหมือนกัน กับท่าทางจริงจังของคนที่หาเรื่องแมวขนาดนี้

“ จริงจังปะเนี้ย ” อดไม่ได้ที่จะถาม ผมเหลือบมองร่างสูงพลางยิ้มแห้งๆ ในตอนนั้นอาร์มก็ขยับเข้ามานั่งใกล้กัน แต่เหมือนว่าอะไรแบบนั้นจะไม่ใช่สิ่งที่นายท่านของผมจะพึงพอใจเท่าไหร่นัก อีกฝ่ายลุกจากตักลงมานอนเบียดข้างตัว กั้นไม่ให้คนที่อยากจะอยู่ใกล้กันเข้ามา พร้อมทั้งส่งสายตาหาเรื่องไปให้ “ ทำไมมันกวนตีนจังวะ ปกติมันไม่เป็นงี้เลยนะ ”

“ หวงมึงมั้ง ” เหลือบมองคู่อริในตอนที่พูดออกมา สายตาคมของทั้งคนทั้งแมวมองสบกัน แบบชนิดที่ถ้าอยู่ในการ์ตูนญี่ปุ่นสักเรื่องก็คงมีสายฟ้าฟาดลงมาเป็นซาวด์เอฟเฟค

“ แก้มหอมขา มานี่มา ” ตบตักตัวเองเรียกเจ้าก้อนขนอีกตัวที่ก็ไม่ได้มีท่าทางสนใจสิ่งใดให้เข้ามาหา แต่นั่นก็มีเพียงแค่ความเฉยเมยกลับมา อีกฝ่ายยังคงมองนิ่งๆออกไปด้านนอก “ สุนทรีย์อะไรขนาดนั้นวะ ”

“ ปกติมันก็เป็นแบบนั้น ”

“ ไม่ได้อ้อนๆมึงทั้งวันหรอกเหรอวะ ” หันไปถามคุณเจ้าของด้วยความสงสัย อาร์มที่พิงตัวเองกับโซฟาตัวที่นั่งส่ายหน้าไปมาบอกกัน “ เค้าอยากอ้อนเมื่อไหร่เค้าก็มาอ้อนเองอะ แต่ถ้าเค้าไม่มีอารมณ์จะอ้อน เค้าก็จะนั่งมองวิวอยู่แบบนั้นทั้งวัน แล้วถ้าเกิดเข้าไปอุ้ม มีหันมากัดด้วยนะ ”

“ ร้ายกับพ่อมันเหมือนกันนี่หว่า ” ผมว่าก่อนจะก้มลงมองแมวตัวเอง “ ส่วนไอ้เหี้ยนี่ก็อย่างที่บอก ครั้งแรกเลยครับที่ติดกูขนาดนี้ ” ลูบหัวไอ้ตัวแสบ ก่อนจะหลุดยิ้มในตอนที่ไอ้ตัวดีซบหน้าลงกับตักแบบออดอ้อนขั้นสุด “ งื้ออออออออออออ น่ารักอะ ไม่กล้าขยับขาเลยค้าบ ”

“ ประสาท ” ว่าแบบนั้นพร้อมกับมือที่เอื้อมมือมาผลักหัวกัน แต่คราวนี้ไอ้นายท่านเหมือนมันจะเร็วกว่า คมเล็บนั่นตะบบเข้ากับมือของอีกฝ่ายทันที จนอาร์มถึงขั้นร้องเจ็บ “ โอ๊ย ”

“ โดนเหรอ ” ผมถามพลางเอื้อมมือไปจับมืออีกคนด้วยความตกใจ  บนฝ่ามือนั้นแผลไม่ลึกหรอกเป็นแค่แผลข่วนเล็กๆ แต่ถ้าโดนน้ำก็คงไม่พ้นร้องซี๊ดขึ้นมาด้วยความแสบ “ ไอ้นายท่าน ” ผมพูดเสียงหนักพลางมองตัวการที่ก็เชิดหน้าไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ก่อนจะกระโดดลงจากโซฟา ขึ้นไปบนคอนโดแมวของตัวเองที่มีแก้มหอมนอนอยู่ แถมยังล้มตัวลงนอนข้างๆ แบบที่ไม่ได้แคร์เลยว่า  มันทำให้พ่อเค้าเจ็บ

“ คือมันรู้ใช่มั้ยว่า ว่าแก้มหอมเป็นลูกกู ”

“ โทษที ไหนมาดู ” ก้มลงมือที่จับไว้อยู่นั้น ผมมองซ้ายดูขวาแต่อาร์มก็แค่ดึงมือตัวเองออกก่อนจะจูบเข้าที่ข้างแก้ม

“ ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องห่วง ”

“ ไวเลยนะไอ้สัด ” ผมแซว แต่อีกคนก็แค่ยักคิ้ว

“ ลูกมึงไม่อยู่ กูก็ต้องรีบฉวยโอกาสสิ ”

นั่นแหละครับ ไม่ปฎิเสธแต่อย่างใด

“ ไอ้สัด ไปอาบน้ำได้แล้วมึงอะ ” ว่าแบบนั้นคนโดนสั่งก็ไหลลงมานอนลงบนตักด้วยท่าทีที่ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าขี้เกียจหรือว่าแค่แสดงละครเรียกร้องความสนใจดี 

“ อาบน้ำให้หน่อย ”

“ เป็นแมวหรือเป็นหมาอะจ้ะ ถึงต้องอาบให้ ” ตอบกลับไปแต่เหมือนคนอยากให้อาบน้ำให้จะยังไม่ยอมแพ้ อาร์มมันยกมือข้างที่ถูกข่วนขึ้นมา

“ แมวมึงทำกูเจ็บนะ ”

“ แอดว๊านขึ้นเยอะเลยน้าตัวเธออออออ ” ลากเสียงแซวออกไปเพราะยังจำได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่มันโดนไอ้นายท่านข่วน อีกฝ่ายก็บอกแบบนั้น แต่ตอนนั้นเหมือนจะแค่บอกสระผมให้หน่อย

“ แน่นอนสิ เป็นแฟนแล้ว ธรรมดาได้ไง ” ได้แต่ยิ้มเจื่อนมองมันพลางหันไปทางอื่นอย่างที่ไม่รู้ว่าต้องต่อกรด้วยยังไง ผมดึงหัวของอีกคนขึ้นมาจากตักพลางเลื่อนตัวเองออกมายืนก่อนจะเดินไปเข้าไปในครัว “ ไปไหนอะ ”

“ ให้อาหารแมว จะกินด้วยม่ะ ” ได้ยินแบบนั้นอีกฝ่ายก็พลิกตัวนอนคว่ำพลางนอนมองเจ้าก้อนขนสองตัวของตัวเอง มือที่เอื้อมไปเคาะกับโซฟา อาร์มเอ่ยเรียกแก้มหอม

“ แก้มหอมขา ”

“ แอ๊ว ” เสียงขานรับที่ได้ยิน แต่ภาพที่ตอนหันไปดูคือหางสีขาวที่สะบัดไปมาอยู่บนคอนโดแมวไม่มีการกระโดดลงมาพ่อมันแต่อย่างใด หนำซ้ำลูกสาวคนสวยยังล้มตัวลงนอนทับไอ้ตัวลายที่ก็นั่งอยู่บนคอนโดเดียวกัน

สถานการณ์แบบลูกสาวหนีตามผู้ชาย

ส่วนไอ้ว่าที่ลูกเขยก็วอนตีนพ่อตาสุดๆ แบบไม่มีหยุดยั้ง ด้วยการส่งสายตาสีเหลืองทองนั้นมาจ้องมองอาร์มก่อนจะก้มลงฟัดแก้มหอมแล้วเงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่าย คล้ายๆว่ากับจะอวดผลงาน

“ โคตรกวนตีนไอ้สัด ถ้าโดนถีบกูก็ไม่แปลกใจ ” หันกลับมาจัดการอาหารแมวต่อ ก่อนจะเดินเอาไปวางไว้ตรงที่ใส่อาหาร แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยเรียก คนที่คิดว่านอนอยู่บนโซฟากลับลุกเดินตรงเข้ามาใกล้ อาร์มกอดเข้าที่คอของผม ก่อนจะดึงให้ให้เดินมาตรงที่คอนโดแมว

“ อะไร จะทำอะไร ” ไม่มีคำตอบ สายตาคมคู่นั้นสบเข้ากับแววตาของเจ้าตัวลาย ก่อนที่อาร์มจะก้มลงหอมแก้มผมไปเต็มฟอดแล้วหันไปหาไอ้นายท่าน แบบที่ไม่ได้พูดอะไรต่อ แค่เชิดหน้าให้ด้วยท่าทางแบบ ‘ ก็มาสิไอ้สัด ’ แล้วแน่นอนว่าความกวนตีนระดับเดียวกันนั้น ไอ้นายท่านก้มลงไปฟัดแก้มหอมอย่างไม่ยอมแพ้

“ มึงสู้เหรอ ได้ ” บอกเสียงหนักอย่างงั้นพร้อมกับก้มลงหอมแก้มผมไปอีกฟอด “ มึงมา มึงมาเลยนะ ”

“ เอาเข้าไป ” ได้แต่พูดออกมาแบบนั้นตอนที่อาร์มหอมแก้มผมอีกฟอด เพราะฝ่ายตรงข้ามก็ไม่มียอมแพ้ จนไม่รู้แล้วว่ามันกวนตีน หรือมันกำลังเลียนแบบการกระทำของร่างสูงอยู่ “ นี่มึง.. ”

“ หึยยยย ” เสียงสถบน่ารักๆ ในตอนที่อีกคนเอ่ยพูดออกมาชวนให้ผมนิ่ง หน้าตาคมเข้มดูน่ารักขึ้นมากระทันหันในความรู้สึก เจ้าของใบหน้ายู่ที่ดูน่ารักระดมหอมแก้มกันแบบไม่มีหยุด เพื่อสู้กับอีกฝ่าย จนชวนให้ผมยิ้มกว้าง

เอาจริงๆ รู้สึกใจเจ็บแบบที่มีความสุขก็วันนี้ จนอยากจะตะโกนออกไปให้ก้องโลก แล้วก็ดึงอีกคนเข้ามากอดไว้แน่นๆพร้อมทั้งบอกว่า  ‘ ทำไมผัวน่ารักจังเลยค้าบบบบบบ เอ็นดูเหลือเกินนนน ’

“  อาร์ม ” หันไปเรียกคนแบบที่ต้องถอนหายใจไปด้วย แต่เหมือนว่าอีกฝ่ายจะยังไม่รู้ตัว

“ ทำไม ”

“ ทำไม ? ” ผมทวนคำพูดนั้น “ นี่กล้าถามอีกเหรอวะ ว่าทำไม คือมึงจะจริงจังกับการทะเลาะกับแมวขนาดนี้ไม่ได้นะ ”

“ ก็มันกวนตีน ”

“ มันเป็นแมว ” ย้ำให้อีกคนฟังอย่างงั้นก่อนจะยิ้มกว้าง “ มึงจะเอาอะไรกับมันอะ มันรู้เรื่องมั้ยเถอะ ว่าตอนนี้มันกำลังโดนส่งสารท้ารบอยู่ ”

“ มึงไม่เห็นท่าทางมันเหรอ มันฟัดแก้มหอมต่อหน้ากูนะ มันอวดกู กูเลยต้องฟัดมึงต่อหน้ามันเหมือนกันไง จะได้เจ๊าๆ ”

“ เจ๊าเหี้ยอะไรกับแมว ถามหน่อย นี่อยู่ป.สอง หรือปีสอง ” ผมว่า แต่เหมือนคนข้างกันจะยังไม่อยากยอมสักเท่าไหร่ อาร์มเบือนหน้าหนีผม แล้วก็คงเพราะในมุมนึงมันก็คงจะคิดเหมือนกันว่าตัวเองแม่ง โคตรจะปัญญาอ่อนเลย ที่ตัวเองมายืนทะเลาะกับแมวแบบนี้

“ ก็มันกวนตีนกู ” เสียงเบาๆที่เถียงผมถอนหายใจ

“ บางทีมันอาจจะแค่ทำตามมึงก็ได้ ใช่มั้ย นายท่านแค่ทำตามพี่อาร์ม ” เอื้อมมือไปลูบหัวเจ้าตัวแสบ อีกฝ่ายก็ขานรับขึ้นมา

“ แอ๊ววว ”

“ เห็นมั้ย  นายท่านเด็กดี พูดดีๆมันก็รู้เรื่อง ” ใบหน้าคมขมวดคิ้วแบบที่ไม่เชื่อกันสักเท่าไหร่ในตอนที่ผมบอกอย่างงั้น อาร์มมันหันไปมองไอ้นายท่านที่มองหน้ามันด้วยสายตากลมแบ๊ว แต่เชื่อเถอะว่า หลังจากที่ผมหันหลังเข้าห้องไป มันก็คงกลับมากวนตีนอีกฝ่ายเหมือนเดิม

“ ฝากไว้ก่อนเถอะมึง ” มือหนาเอื้อมขยี้หัวไอ้ตัวกวนตีนแต่ใช่ว่าอีกฝ่ายจะยอมอยู่นิ่งมือนึงก็พยายามเต็มที่จะตะบบอีกฝ่าย พร้อมกับเสียงหงุดหงิดใจที่ครางออกมาเบาๆ อาร์มเดินออกมาจากตรงนั้นตอนที่มันขยี้หัวอีกตัวจนหนำใจแล้ว

 “ แล้วนั่นจะไปไหน ”

“ อาบน้ำไง ” หันมาบอกกันก่อนจะยกยิ้ม “ หรือว่าจะอาบให้ผมดีละครับ คุณแฟน ”

“ อาบเองเถอะจ้ะไอ้สัด ” ฉีกยิ้มตอบอีกฝ่ายไปแบบนั้น ก่อนจะตีหน้านิ่งใส่มันแบบที่คนฟังต้องเดินเข้ามาแล้วจูบลงบนริมฝีปากแบบที่ไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่นั่นก็พอเดาได้ เมื่อดูจากหน้าตาที่น่ารักมากเลยแหละของผม

...........................................................

เสียงวิดีโอภาษาไม่คุ้นดังอยู่บนเตียงในตอนที่ผมอาบน้ำเสร็จ คนอารมณ์ดีนอนดูอะไรบางอย่างในมือถือนั้น อย่างใจจดจ่อ และไม่รู้ว่าคิดไปเองคนเดียวมั้ย แต่วันนี้อาร์มดูรีแลคมากเลย เมื่อเทียบกับหลายวันก่อน

“ มึงฟังรู้เรื่องด้วยเหรอ ” ล้มตัวลงนั่งบนเตียงคนที่กำลังจดจ่อก็หันหน้ามามอง อาร์มส่ายหน้าเป็นคำตอบ “ ฟังไม่ออก แล้วดูทำไม ”

“ ก็ดูจากท่าทาง ” ได้ยินแบบนั้นผมก็ล้มตัวลงนอนลงบนหมอนของอีกคน ใบหน้าจอที่อาร์มเลื่อนมาให้ดูด้วยกันนั้น มันเป็นเหมือนกันคลิปวีดีโอสั้นๆที่เคยผ่านหน้าจอในเฟสบุ๊คอยู่บ่อยๆ ตอนที่เลื่อนดูวีดีโอรีวิวอาหาร

“ เออ อันนี้กูเห็นบ่อยเลยนะ ”

“ เฟสบุ๊คมันฉลาด เวลาเราหยุดดูอะไร พอเลื่อนลงไปอีกก็จะเจออะไรแบบนี้อีกในสไตส์เดียวกันอีก ”

“ แล้วหลังจากนั้นก็คือ ดูเพลินจนหยุดดูไม่ได้เลยจ้า ” คนฟังที่หันมามองกันในตอนที่ผมพูด อาร์มยกยิ้มให้กันก่อนจะถอนหายใจแล้วก็ปิดหน้าจอนั่นลงทันที ก่อนจะพลิกตัวหันมามองหน้าผมด้วยหน้าตาดูยิ้มๆแบบมีเลศนัยจนต้องเอ่ยถาม “ อะไร ? ”

“ ไม่ขนาดนั้นอะ ” อาร์มมันว่า “ ไม่ได้เพลินขนาดนั้น เพราะสิ่งเดียวที่กูจะดูแล้วรู้สึกเพลิน มีแต่หน้ามึงเท่านั้น ”

“ บ้า ประสาท ” แบบที่ไม่รู้จะต้องสบถอะไรออกมา ผมดึงตัวเองออกจากหมอนของอีกคนมานอนบนหมอนตัวเองแบบที่ต้องกลั้นยิ้มกัดฟันไว้แน่น จนคนที่แกล้งกันนั้นถึงขั้นหัวเราะลั่นออกมาไม่มีหยุด “ ง่วงแล้วไอ้สัด ”

“ ง่วงแล้วไอ้สัด ” เอื้อมมือกอดกันก่อนจะขยำพุงของผมพร้อมกับเสียงล้อเลียน “ ไม่หรอก อย่ามาตอแหลเลยครับคุณ ” ลำตัวที่เข้ามาใกล้ผมผ่อนลมหายใจออกมาในตอนที่ริมฝีปากบางนั้นจูบลงที่หลังหูจนได้เสียงจุ๊บชัดเจน อาร์มกระซิบ “ มึงก็แค่เขิน ”

“ จักกะจี้ ” ดิ้นออกจากอ้อมกอดนั้นทั้งที่ไม่มีอะไรผิดจากที่พูดเลยสักคำ อาร์มพูดถูก หัวใจผมตอนนี้มันแทบจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว ใบหน้าเองก็ร้อนไปหมดราวกับกำลังนอนอาบแดดริมทะเล ผมหลับตาสนิทในตอนที่ต้องหันมาเผชิญหน้ากับคนที่ขยำพุงอยู่ไม่หยุด พร้อมกับกลั้นหายใจข่มความรู้สึกในอกที่แทบจะระเบิดออกมา แม้ไม่รู้ว่ามันจะช่วยได้มั้ย

“ ถ้ามึงกลั้นหายใจนานๆมึงจะตดนะ และก็จะเป็นการตดครั้งแรกในกูฟัง ”

“ ไอ้สัด ” ผ่อนลมหายใจออกมายิ้มๆในตอนที่ได้ยินอย่างงั้น ผมผลักอกอีกคนแบบที่ไม่รู้ว่าจะแสดงอาการยังไง ไม่ต่างอะไรกับรอยยิ้มกว้างของอีกฝ่าย อาร์มดึงผมให้เข้ามาใกล้ให้เข้ามาใกล้ด้วยความเงียบเชียบ

ความสุขของเราในวินาทีนั้น กระจายตัวออกไปโดยรอบ ราวกับว่ากำลังนอนอยู่ใต้ต้นซากุระสีชมพูบานสะพรั่งในหนังรักดีๆสักเรื่อง เป็นบรรยากาศที่อบอุ่นอยู่ในความรู้สึก แม้ว่าแท้จริงแล้วเราจะนอนอยู่เตียงสีขาวและหนุนหมอนใบเดียวกันอยู่

ก็คงเป็นสบายใจ และ โล่งใจ ราวกับว่าในที่สุดเรื่องราวทั้งหมด ก็จบสิ้นแล้ว
ทุกอย่างตอนนี้อยู่ในร่องในรอยของมัน ที่สามารถบอกได้เลยว่า ‘โคตรมีความสุข’

“ ปกติมึงชอบกินอาหารเช้ามั้ย ” นั่นเป็นประโยคแรกที่อีกคนเอ่ยถาม ประโยคที่ดูไม่เข้ากับสถานการณ์สักเท่าไหร่ แต่ผมก็อดคิดหาคำตอบมันไม่ได้

“ กินสิ ตอนเด็กๆแม่บอกว่าถ้าเราไม่กินข้าวเช้า เราจะเป็นอัลไซเมอร์นะ ” บอกแบบนั้นอีกคนที่ก็ยกยิ้ม “ ถามทำไม ”

“ ก็อยากรู้ว่าแฟนผมชอบอะไร ไม่ชอบอะไรทำอะไรบ้างไงครับ จะได้เอาใจถูก ”

“ บ้าบอ ” หัวใจคล้ายกับจะล้มเหลวไปในชั่วขณะในตอนที่พูดออกไปอย่างงั้น  ความรู้สึกสุขขยายตัวขึ้น ผมหุบยิ้มไม่ได้เลย แล้วในตอนนี้ก็เหมือนจะดูอาการหนักขึ้นไปอีก เมื่ออีกคนดึงตัวเองเข้ามาจูบที่ริมฝีปากแบบที่จำใจต้องยกมือขึ้นมากุมหน้าตัวเองไว้ แบบที่ไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่ากำลังแดงจัดขนาดไหน

“ เป็นอะไร ” ถามด้วยเสียงที่ติดสงสัยไม่น้อย คนบางคนก็แปลก ทำให้ใครเค้าหัวใจพองโตจนเจ็บอกไปหมดแล้ว แต่กลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย “ เมี่ยงครับ ”

“ อย่าพูดครับ ” ผมส่ายหน้าไปมาก่อนจะลดมือที่ปิดหน้าลดลงจนเห็นแค่ตา แล้วตอนนั้นเองที่ผมก็เห็นว่าอาร์มมันกำลังขมวดคิ้วยิ้ม

“ อะไรของมึง ”

“ ก็กูเขินอะ หัวใจกูมันแบบ เต้นแรง มึงเข้าใจมั้ย ”

“ แล้วมันไม่ดีเหรอ ” ถามแบบที่ไม่รู้จริงๆหรือกวนตีนก็ไม่รู้ แถมยังเอาแต่ยิ้มมีความสุข

“ เออ ไม่ดี กูเขิน เขินมาก มึงเข้าใจมั้ยว่า หน้ากูร้อน ร้อนแบบที่ ถ้าเอาไข่มาทอดก็คือกินได้เลยนะ หน้าร้อนแบบไข่สุกอะ” ผมว่าแต่อีกคนก็แค่ดึงมือที่ปิดหน้าอยู่นั้นเข้ามาแนบอกของตัวเอง แต่ตอนนั้นผมก็แค่ขืนมือออก “ มึงอย่าสัมผัส เขินนนนน ”

“ นิ่งก่อน แล้วฟัง ” เลิกดึงดันตามคำขอแต่ก่อนจะสัมผัสได้ถึงหัวใจเต้นแรงในยามที่แนบมืออยู่นั้น

“ แล้วยังไง ”

“ ก็นี่ไง ผลจากความน่ารักของมึง ”

‘ ซัดเข้าไปแล้วครับคุณผู้ชม หมัดตรงจากมุมน้ำเงิน ’ เสียงก้องในหัวดังขึ้นมาแบบนั้นในตอนที่ผมได้แต่นิ่งค้างใส่คนตรงหน้า ลมหายใจที่ผ่อนออกมาทำได้แค่ก้มหน้างุดลง และถ้าให้อธิบายชีวิตตอนนี้แบบชัดที่สุด ก็คงเป็นเหมือนในการ์ตูนญี่ปุ่นสักเรื่อง ที่ตัวเอกกำลังหน้าแดงไปหมด พร้อมด้วยเสียงประกอบแบบของร้อนจัดที่โดนน้ำสาดใส่แบบเต็มแรงจนมันดัง ‘ ฉ่า ’ พร้อมกับควันที่ลอยขึ้นเหนือหัว

“ โอเค เอาเลยจ๊ะ เอาที่สบายใจเลยนะจ๊ะ ” ว่าแบบนั้นก่อนจะถอนหายใจแล้วเงยหน้าขึ้นมองอีกคนแบบที่รวบรวมกำลังทั้งหมดที่มี ผมจ้องตามัน “ มึงมา ว่ามาเลย ”

“ อะไร”

“ ก็กูจะไม่ยอมแพ้แล้วไง กูจะสู้ ” ถลึงตาใส่อีกคนที่ก็หลุดยิ้มกว้างออกมาก่อนจะยกมือขึ้นมาใช้นิ้วดีดหน้าผากกันเบาๆ

“ ปัญญาอ่อน ”

“ กล้าว่าแฟนเหรอ ”

“ เออ นอกจากจะน่ารักเก่งก็ปัญญาอ่อนเก่งละมึงอะ ” เม้มปากใส่คนพูดอย่างไม่ยอมแพ้ แต่อาร์มก็แค่ยิ้มกับท่าทางนั้น “ จะว่าไปเราก็ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอีกฝ่ายเลยนะ กูยังไม่ค่อยรู้จักมึง มึงเองก็ยังไม่ค่อยรู้จักกู ”

“ นั่นสิ ” ก็ยอมรับว่ามันเป็นอย่างงั้น ตั้งแต่คบกันมายังไม่ค่อยได้รู้จักอีกคนสักเท่าไหร่เลย ยังไม่เคยไปเที่ยวด้วยกัน ไม่เคยแม้แต่จะไปเดท

“ ถามตอบสามอันดับกันมั้ยละ ”

“ ยังไงๆ ” ขยับตัวด้วยความสนใจ ผมรู้ว่าแววตาของผมมันคงแสดงสนใจน่าดู อีกคนถึงกับยิ้มกว้างอย่างงั้น

“ กูตั้งคำถาม มึงตอบมาสามอันดับแรกที่ชอบ ” คำอธิบายนั้นทำให้ผมพยักหน้ารับ “ พร้อมนะ ”

“ อื้อ! ”

“ อาหารที่ชอบ ”

“ ไอ้สัด ” ถึงขั้นสบถออกมา “ ยากมากนะ กูจะบอกชอบทุกอย่างไม่ได้แล้วสิ แต่กูแดกได้ทุกอย่างจริงๆนะ  ข้าวหน้าหมูมั้งแบบกินบ่อยๆเลย แล้วก็มีขนมทุกชนิด ไอติมก็ทุกชนิด ”

“ คำตอบสมเป็นมึง ”

หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 30 :: up! 17-7-63} #หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 24-07-2020 20:26:53
“ แล้วมึงอะ ของที่ชอบกิน สามอย่าง ”

“ ข้าวหน้าหมู แก้มน้องเมี่ยง ปากน้องเมี่ยง ”

“ เอาดีๆ ” โวยใส่คนที่เหมือนจะเอาแต่เล่น แต่อีกคนก็เถียงกลับแบบยิ้มๆพลางดึงตัวเองเข้ามาใกล้ อาร์มหอมแก้มผม มันพรึมพรำ

“ นุ่มสุดเลย ไอ้แก้มก้อน ” เสียงฟอดดังๆที่อีกฝ่ายกดหอมลงไปบนผิวแก้มนั้น อาร์มขยับตัวปรับท่าทางให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น ปลายจมูกเราใกล้แก้มแม้แต่เอวที่มือหนานั้นกอดรัดไว้ก็เหมือนขยับให้ได้องศา ทุกอย่างดุเหมือนถูกจัดวางแบบให้สบายตัวที่สุด

“ แล้วสีที่มึงชอบละคือสีอะไร ”

“ น้ำเงิน ขาว ดำ ”

“ เหมือนกันเลย ” ผมว่า “ แต่กูชอบ เทา กับ เหลืองด้วยนะ ”

“ สามอย่างที่ชอบในตัวกูที่มึงชอบ ” อาร์มถาม ผมก็นิ่ง

“ ไม่มี ”

“ ไอ้สัด ” คนถามถึงขั้นสบถออกมาในตอนที่ได้ยินคำตอบนั้น คนตรงหน้ายกยิ้ม “ ไม่มีเลย ”

“ อื้ม รู้ตัวอีกทีก็ชอบแล้วอะ ขนาดตอนนี้ยังไม่รู้เลย ว่าชอบได้ไงวะ บางทีอาจจะแบบชอบทุกอย่างมั้ง ”

“ ทุกอย่างเลยเหรอ ”

“ อื้ม  ก็มันรวมออกมาเป็นมึงนี่ ”

“ บางทีกูเองก็อาจจะเป็นอย่างงั้น ” ถอนหายใจบอกกันยิ้มๆ พร้อมกับกระชับอ้อมกอดนั้นให้แน่นขึ้นไปอีก “ ต่อไปมึงถาม ”

“ ชอบอะไรบนหน้ากู ”

“ บนหน้าเหรอวะ ” อาร์มมันถามซ้ำ

“ ขอร้องเลยนะ กรุณาอย่าบอกว่าไม่มี ” เสียงหัวเราะดังของคนตอบคำถาม อาร์มเงยหน้าขึ้นเปล่งเสียงแบบชนิดที่ลั่นห้อง มันที่หอมกัน

“ มีสิครับ แก้ม ปาก ตา ”

“ เหรอ ”

“ อื้ม แต่มันก็น่ารักหมดนั่นแหละ ก็อย่างที่มึงบอกไง ” เสียงทุ้มๆนั้นกระซิบบอก “ กูชอบทุกอย่างที่รวมกันเป็นมึง ”

“ โอยยยยยย หมัดซ้ายน็อคกูอีกแล้ว ” ผมว่าอีกคนก็ยกยิ้ม

“ ประสาท ”

“ งั้นถามกูบ้างมั้ย ”

“ จะมีเหรอ ”

“ แฟนกูหล่อขนาดนี้ไม่มีได้ไงวะ ” เสียงยิ้มของคนฟังชวนให้ผมยิ้มก่อนจะดึงตัวเองออกห่างอีกฝ่าย แววตาคมที่ลืมตามองกันในตอนนั้นผมจิ้มลงไปที่จมูก ตา แล้วก็ปาก “ จมูก ตา ปาก ”
 
“ ที่ชอบน่ะเหรอ ”

“ อื้ม ” ตอบรับอีกฝ่ายๆสั้น เราที่มองตากันก่อนผมจะพลิกตัวหันไปกดปิดไฟหัวเตียง “ นอนได้แล้วมึงอะ ง่วงมากแล้ว ดูออก ”

“ แล้วกู๊ดไนท์คิสอะ ”

“ แบบที่เอาตีนกูแนบปากมึงน่ะเหรอ ” ถามกวนตีนไปแบบนั้นแต่ถึงอย่างงั้นก็แค่พลิกตัวไปจุ๊บหน้าผากอีกคนจนเสียงดัง “ ฝันดีครับคุณแฟนที่เคารพรัก ”

“ บ้าจริง ไม่รู้ว่าจะนอนหลับรึเปล่าเลย ”

“ ทำไม ? หลับนั่นแหละน่า ท่าทางมึงดูง่วงมากเลยนะ ” บอกออกไปแต่เหมือนคนที่บอกว่าไม่รู้จะนอนหลับหรือเปล่า กลับขยับตัวเข้ามาใกล้ อาร์มกอดผมไว้ มันที่ถอนหายใจออกมา

“ กูยังดีใจอยู่เลยที่เมื่อกี้บอก ว่าชอบทุกอย่างเลยที่เป็นกู รู้มั้ยว่ามันเป็นครั้งแรกเลย ที่ใครสักคนบอกกูแบบนี้ ”

“ เหรอ ”

“ อื้ม มันเป็นคำที่โคตรดี เพราะงั้นอนุญาตให้มึงพูดกับกูแค่คนเดียวนะ ”

“ ชี้หวง ” อดแซวมันไม่ได้เลย แต่ถึงอย่างงั้นผมก็แค่ดึงตัวเองเข้าไปในอ้อมกอดนั้น ผ่อนลมหายใจของความสบายใจออกมา แล้วหลับตาลงในวินาทีที่อาร์มจูบลงบนที่หน้าผาก

“ ฝันดีครับ ” และดูเหมือนว่าคืนนี้ เราจะหลับลงด้วยความสุขยิ่งกว่าคืนไหนๆ ตั้งแต่ที่ตัดสินใจกันมา

..........................................................


แกร็ก แกร็ก แกร็กกกกกกกกกกก


เสียงข่วนประตูดังลากยาวจนชวนให้ผมที่พยายามพลิกตัวหนีลืมตาตื่นขึ้นด้วยความรำคาญ จำได้ว่าเมื่อคืนไม่ได้เปิดสนิทเหมือนทุกครั้ง เพราะรู้ว่าเช้าๆแบบนี้ไอ้นายท่านมันชอบเขี่ยประตูเปิดเข้ามาในห้อง

“ เห้ออออ ” ถอนหายใจออกมาด้วยความขี้เกียจ แต่ยังไม่ทันได้ลุกออกจากเตียงคนที่นอนอุตุอยู่ข้างกันกลับดึงตัวเองขึ้น พร้อมกับเดินตรงไปยังประตู ผมที่คิดว่ามันจะปิดให้ไอ้นายท่าน แต่เปล่าเลย อาร์มปิดประตูนั่นลง “ อ้าว ” ได้แต่มองคนที่กระทำการอย่างงั้นแบบเหวอๆ อาร์มล้มตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง พร้อมกับกอดเข้าที่เอวแล้วก็ซุกลงกับตัก

“ กูไม่ให้มันกอด กูจะกอดมึงคนเดียว ”

“ กวนตีนแมวแต่เช้าเลยนะไอ้สัด เมื่อไหร่จะญาติดีกันได้เนี้ย ” ใบหน้าคมที่หลุดยิ้ม ผมดึงตัวเองออกอย่างทุลักทุเลเพราะอีกฝ่ายขืนตัวแบบชนิดนี้ไม่ได้ลุกไปไหน “ เข้ามา ” เปิดประตูให้ไอ้ตัวหน้างอที่ก็ทำทีท่าเหมือนไม่พอใจเท่าไหร่ที่เปิดประตูช้า

ผมกลับขึ้นเตียงนายท่านมันก็กระโดดขึ้นมานอนในวงแขนตรงที่ประจำ แต่หนนี้มันไม่ซุก ไม่อ้อนแบบที่เคย แน่นอนว่ามันเอาแต่จ้องเขม็งไปยังคนที่นอนข้างผมที่ก็มองกลับมาแบบไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนให้สัตว์ตัวเล็กๆเลยสักนิด

“ มองไร ” อาร์มมันเชิดหน้าถาม ก่อนจะยักคิ้วให้อีกฝ่าย มือที่เอื้อมมือไปจิ้มที่หัวไอ้ตัวลาย ต่อให้โดนยกมือขู่ตะบบแค่ไหนแต่ตราบใดที่ยังไม่โดนเล็บแหลมๆนั่นข่วน ก็เหมือนว่าคนกวนตีนก็จะไม่มีทางหยุด “ เอ้ เอ้ เอ้ ”

“ มึงแม่งโคตรกวนตีนแมว ” ว่าแบบนั้นพลางดึงอีกตัวเข้ามากอด “ ใจเย็นๆไว้ลูกพ่อ อย่าไปกัดกับหมามันนะ ”

“ อ้าว ไม่ใช่แม่เหรอ ”

“ หน้าเหี้ยละ จะดูKกูปะ ” หันไปด่ามันอีกคนก็นิ่ง ก่อนจะค่อยๆยกยิ้มขึ้นมา แน่นอนว่าอาร์มพยักหน้ารับแบบไม่มีรอช้า

“ ดู ” ไม่มีคำพูดอะไรที่จะเถียงกลับได้เลย สุดท้ายเลยทำได้แค่ยกนิ้วกลางใส่มันที่ก็หัวเราะถูกใจออกมา อาร์มหันมาลูบหัวนายท่านที่ก็ตะบบมืออีกฝ่ายเหมือนทุกครั้ง เป็นท่าทางรังเกียจที่ก็แสดงออกให้เห็นทั้งท่าทางและสีหน้า ว่าอย่ามายุ่งกับกูนะ

“ ม๊าววววว ”

“ เออ อย่ามายุ่ง บอกมันอีก อย่ามายุ่งกับนายท่านได้มั้ยพี่อาร์ม ”

“ มีอะไรจะบอ เมื่อคืนกูนอนกอดเมี่ยงด้วยละ กอดทั้งคืนเลย ส่วนมึงก็ได้มาแค่ตอนเช้า ว๊ายยยยยย ” ได้แต่ถอนหายใจออกมากับท่าทางแบะปากที่อีกฝ่ายล้อเลียนเจ้าแมวที่อยู่ในอ้อมกอดผม

“ ข่วนหน้ามันเลยมั้ย จัดการมันเลย ” อุ้มเจ้าตัวหงุดหงิดไปตรงหน้าอีกคน แต่เหมือนว่าสีหน้าหงุดหงิดนั่นจะไม่แสดงอาการอะไรยกเว้นอ้าปากส่งเสียงไปเบาๆ

“ ม๊าว ”

“ กูแปลให้ มันบอกว่า ไอ้สัด ” ย้ำเสียงแบบนั้นก่อนจะวางอีกตัวลงบนที่นอน ส่วนอาร์มก็หัวเราะลั่น

“ มึงกล้าว่ากูเหรอ คืนนี้กูจัดการลูกพี่มึงแน่ ”

“ บ้า จัดการอะไรอะ ” เอามือปิดหน้าอกตัวเองพลางมองอีกฝ่ายแบบกลัวๆ “ กูไม่เคยผ่านมือใครมาเลยนะ กูบริสุทธิ์ดุจใยไหม ”

“ เรื่องจริง ” แต่กลายเป็นว่าคนตรงหน้ากลับดูตกใจไม่น้อยกับคำพูดนั้น ผมพยักหน้ารับ

“ กูยังไม่เคยมีอะไรกับใครนะ ”

“ แล้วตอนคบกับนาเดีย ก็ไม่ ”

“ อื้ม แล้วทำไมต้องทำด้วยอะ จับมือ หอมแก้มก็พอแล้วมั้ย ”

“ ก็ไม่ได้บอกว่าต้องทำ ” อีกฝ่ายบอกเสียงเบาแบบยิ้มๆ

“ แล้วมึงอะ เคยทำมาเยอะแล้วสิ ” ผมถามเชิงแซวแต่อีกคนก็แค่ยกยิ้ม อาร์มส่ายหน้าไปมา

“ ไม่ขนาดที่มึงกำลังคิดหรอก ”

“ รู้ด้วยว่ากูคิดอะไร ”

“ ก็คงคิดว่ากูเป็นเสือสักตัว ตอนกลางคืนออกล่าเหยื่อ มีอะไรกับคนที่เสนอให้ไปทั่ว ” หยุดยิ้มออกมาอาร์มมันก็หลุดหัวเราะ “ กูมีอะไรกับแค่คนที่อยากมีเท่าไหร่แหละ  ”

“ กับดีน ”

“ ยังไม่เคย ” มันสวนคำตอบแบบทันควัน “ กูจะไปเอามันได้ยังไง คบยังไม่ได้คบเลย กูเป็นจริงจังนะเมี่ยง กับความรู้สึก ไม่ใช่คนที่จะเอากับใครก็ได้อย่างงั้น ”

“ ขอโทษครับ ก็เมี่ยงไม่รู้ เบาๆหน่อย อย่าเพิ่งหงุดหงิดน้า ” ผมว่าเสียงอ่อนแบบอ้อนๆ ก่อนจะชวนอีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่อง “ แล้ววันนี้ว่างจะไปไหนมั้ย ”

“ ว่าจะพาแก้มหอมไปฉีดวัคซีน ”

“ งั้นมึงก็จะไปหาพี่หมอไอซ์อะดิ ”

“ อื้ม ”

“ เราพาไอ้นายท่านไปด้วยได้มั้ย สงสารมันอะ ถ้าปล่อยให้มันอยู่ตัวเดียวในห้อง ” ผมหันไปบอกแต่เหมือนอาร์มจะแค่ขมวดคิ้วให้กัน

“ คือมึงจะออกไปด้วย ” อีกฝ่ายถาม ผมก็พยักหน้ารับ

“ แน่นอนสิ ใครจะอยู่ห้องเฉยๆว่ะ น่าเบื่อตายเลย ออกไปด้วยกันนี่แหละ แถวโรงพยาบาลพี่หมอไอซ์ รถติดมากเลยนะกูจะบอกให้ แต่ถ้ามีกูไปด้วยรับรองว่ารถติดที่ว่าน่าเบื่อ ก็จะหายไป เพราะมึงก็คือจะมีกูอยู่ข้างๆไง ” ยิ้มหวานให้ไปหนึ่งกรุบ  อีกฝ่ายก็ทำทีเป็นหันไปมองทางอื่นแต่นั่นแหละ ผมรู้ ว่าอาร์มมันยิ้มอยู่ “ โอเคนะ ”

“ อื้ม ” ตอบกันมาเสียงสั้นๆแค่นั้นแม้ในใจอยากจะโห่ร้องออกมา ผมรู้ความลับแล้ว ไอ้อาร์มแพ้ผมเวลาอ้อนๆ แล้วแน่นอนว่าต่อไปนี้ ผมจะไม่แพ้มันแบบเมื่อคืนอีกเด็ดขาด

“ ยิ้มอะไรคนเดียว ” 

“ เปล๊า ” ตอบออกไปเสียงสูง อีกคนก็ลุกขึ้นจากเตียงไม่ต่างอะไรกับไอ้นายท่านที่ก็ลุกขึ้นจากตักผมเช่นั้น มันที่ลงไปตรงเตียงฝั่งของร่างสูง ส่วนผมที่หันมองตามอาร์มไป แต่ขาที่ยังไม่ทันเดินถึงประตูห้องน้ำ อีกฝ่ายก็ชี้มาที่เตียงแบบเสียงดัง

“ เห้ยๆ ” หันไปตามมือนั้นที่ชี้ก่อนจะเบิกตาขึ้นในตอนที่เห็นว่า แมวตัวเองฉี่ลงเรียบร้อยบนหมอนของไอ้อาร์มที่หนุนนอนเมื่อคืน

“ เหี้ย!!!! ” สบถได้แค่นั้นส่วนที่เหลือก็ได้แต่นิ่งค้างกับท่าทางไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาวนั่น ขาหน้าเล็กๆทำทีเป็นเขี่ยกลบฉี่อย่างที่ทำ “ แล้วมึงจะกลบอะไร มันไม่ใช่ทราย มันเป็นหมอน มันเป็นผ้า มันกลบไม่ได้หรอก  มึงอ่า  ”

“ สงสัยฉี่จองที่เหรอ ไม่ให้กูนอนแล้วว่างั้น ” ร่างสูงที่เดินเข้ามาถามอีกตัวยิ้มๆ ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “ แต่เสียใจด้วยนะ กูนอนหมอนเดียวกับเมี่ยงก็ได้ครับ ไม่แน่คืนนี้ กูนอนทับลูกพี่มึงเลย จะได้ไม่เปลืองพื้นที่  ” เสียงครางเบาๆในคอของไอ้นายท่านขู่อีกคนตอนได้ฟังจนผมหลุดหัวเราะกับมุมปากแมวที่กระตุกขึ้นคล้ายกับจะแยกเขี้ยวใส่อีกฝ่าย

“ พอเลย มึงทั้งคู่ มึงออกไปเลย ส่วนมึงก็ไปอาบน้ำ ”

“ แล้วนั่นจะทำยังไง ”

“ ส่งซักสิ ” ว่าแบบนั้นก่อนจะถอนหายใจแบบไม่รู้จะทำยังไง ผมมองไปที่หมอน ปลอกหอมๆก่อนหน้านี้แต่ตอนนี้กลับมีวงฉี่เปื้อนอยู่ “ ทะเลาะกันเองไม่ได้สินะ ต้องให้กูร่วมเดือดร้อนด้วย น่าสัดจริงๆ ”

“ บ่นเหี้ยอะไร ”

“ ไปอาบน้ำ ” หันไปตะโกนใส่อีกฝ่ายที่ก็ยิ้มค้างพลางหมุนตัวเข้าไปในห้องน้ำทันที ผมหันมองไอ้นายมันที่ก็เดินมานั่งจุ่มปุ๊กลงบนตักแบบที่รู้ตัวนั่นแหละว่าทำผิด

“ ไม่ต้องอ้อนเลยยยยยย ทำไมทำแบบนี้ ไม่น่ารัก ” ดึงเหนียงแก้มน้อยๆของอีกตัวผมลุกเดินออกไปนอกห้อง ก่อนจะวางอีกตัวลงบนพื้นพร้อมกับปิดประตูห้องนอนไว้ “ สวัสดีตอนเช้าครับไอ้อ้วงงงงง ” ก้มลงขยำพุงไอ้ก้อนขนที่เดินเข้ามาคลอเคลียขา แก้มหอมส่งเสียงเมี๊ยวๆตลอดทางราวกับจะขอให้อุ้ม “ อุ้มเหรอ ”

“ เมี๊ยว ” ไถหน้าเข้ามาที่ข้างคอ แบบว่าอ้อนกันสุดๆ ผมก็ได้แต่ยิ้ม

“ อ้อนสุด นี่ๆ พี่มีอะไรจะบอกนะแก้มหอมขานะ ” กระซิบลงข้างหูเจ้าตัวน่ารัก “ วันนี้ป๊าจะพาแก้มหอมไปฉีดยาละ คิคิ เจ็บแน่ๆเลย ฮือๆ ม่ายมีใครช่วยด้วย ”

“ แอ๊วว ”

“ แอ๊วไปก็เท่าน้าน เมี่ยงไม่ช่วยอ้วนหรอก อ้วงงงงงงง ” ย้ำกับอีกตัวที่ก็กระโดดลงไปจากตัวผม แล้วก็นั่นก็เป็นจังหวะเดียวกันที่ประตูห้องนอนเปิดออก อาร์มมันเดินออกมาพร้อมกับคว้าอุ้มแมวของตัวเองขึ้นไปจุ๊บรัวๆด้วยความรัก

“ เมื่อคืนหลับสบายดีมั้ยคะ หนูฝันถึงป๊าบ้างหรือเปล่า แก้มหอมขา ”

“ เมี๊ยว ” ซุกหน้าเข้าไปคอแบบออดอ้อนกันสุดฤทธิ์ และยิ่งอีกฝ่ายหอมไปเท่าไหร่อีกตัวก็ยิ่งน้วยตัวราวกับเป็นของเหลว เสียงเล็กๆนั่นก็อออดอ้อนกันไม่มีหยุด เป็นภาพที่โคตรจะน่ารักและเป็นภาพที่ไม่มีทางหาได้จากไอ้นายท่านของผม

“ นี่สินะที่เค้าพูดว่า บางทีเมียน้อยก็อาจจะในรูปแบบของแมว ”

“ เมียน้อยที่ไหน ” อาร์มมันถาม “ คิดให้ดีๆก่อน ”

“ เชี้ย มันมาก่อนกูนี่หว่า ” เบิกแบบคิดขึ้นมาได้ คนถามก็ได้แต่หลุดยิ้ม  “ ชิบหาย นี่กูเป็นเมียน้อยแมวเหรอ ”

“ บ้า นี่มันลูกของเรา ”

“ มึงอ่า อะไรก็ไม่รู้ ” หันไปอีกทางแบบที่เรียกได้ว่ายืนบิดและในตอนนั้นเองที่ร่างสูงดินเข้ามาใกล้ผม อาร์มกอดเข้าที่รอบเอว พร้อมกับใบหน้าที่ซบลงตรงคอ ลมหายใจอุ่นๆ มันจูบที่ข้างแก้ม พร้อมกับกระซิบ

“ เมี่ยงครับ ”

“ ครับ ”

“ บางทีมึงควรเลิกเพ้อ แล้วไปอาบน้ำสักที ” เสียงทุ้มที่ว่าแบบนั้นพร้อมกับดึงตัวเองออกห่าง ส่วนผมที่หันไปมองช้าๆ แต่ภาพที่เห็นมีแค่สายตาคมที่เชิดไปตรงประตูห้องนอน พร้อมกับมือที่กระชับกอดแมวตัวสวยนั้น  บอกเลยว่ามัน ช่างเป็นการกระทำที่ต่างกันโดนสิ้นเชิง


แต่ก็นั่นแหละ
ชีวิตของผม ที่เมียหลวงของแฟน อาจจะมาในรูปแบบของ แมวตัวน้อย


เวลาที่ใช้ในการจัดการธุระช่วงเช้าของวันไม่นานเท่าไหร่ เรากินแค่นมกับขนมปังคนละอย่าง เพราะแพลนของวันนี้ที่ตั้งใจไว้คือพาเจ้าแก้มหอมไปฉีดวัคซีน พาไอ้นายท่านไปเที่ยว อาบน้ำ แล้วเราก็จะฝากไอ้ตัวป่วนทั้งคู่ไว้ที่โรงพยาบาลสัตว์ ส่วนพวกเราสองคนก็จะแอบออกมาเที่ยวชมคาเฟ่

แน่นอนพี่อาร์มมุ่งมั่นมาก ถึงขั้นพกกล้องถ่ายรูปออกมาด้วยอย่างที่ก็ไม่ค่อยอยากไปเท่าไหร่

“ ไปกัน ” จับแมวใส่กรงเรียบร้อยเราที่เตรียมตัวออกเดินทาง ผมเดินไปใส่รองเท้า ไม่ต่างอะไรกับร่างสูงแต่ทว่าตอนนั้นผมกลับได้ยินเสียงเบาๆออกมาจากปากอีกคน

“ เชี้ย มันเล่นกูละ”

“ อะไร ” หันไปถามคนข้างกันที่ก็ได้แต่นิ่งไป จังหวะนั้นเองที่อาร์มมันดึงเท้าออกจากรองเท้าช้าๆ และภาพที่เห็นก็คือ ถุงเท้าของอีกคน ตรงฝ่าเท้านั้น มันเปื้อนไปด้วยขี้แมว

“ เหี้ยยยยย ” ถึงขั้นกรีดร้องเสียงลากยาวออกมา ผมรับรู้ได้ถึงความแฉะ และความแผละในตอนที่เหยียบเข้าไปบนกองขี้นั้น อาร์มมันหันมองผมก่อนจะก้มลงมองเจ้าตัวการ

“ มึงนี่มัน.. ”

“ ขอโทษพี่อาร์มเดี๋ยวนี้เลย ” ผมยกกรงที่ใส่ไอ้นายท่านขึ้นมาเผชิญหน้าพร้อมกับหันไปทางอีกฝ่าย “ ขอโทษเดี่ยวนี้ เมี๊ยวออกมาหนึ่งครั้งเลยนะ ทำไมมึงเป็นแมวอันธพาลขนาดนี้ เอ้า! เมินอีก ” เรียกว่าท่าทางนั้นไม่มีความเดือดร้อนและทุกข์ใจต่ออะไรทั้งสิ้น นายท่านมันมองหน้าอาร์ม มองเหมือนจะถามว่า ‘ ละจะทำไม ’

“ ไว้ลูกพี่มึงไม่อยู่บ้านเมื่อไหร่นะ มึงเจอกูแน่ ” ร่างสูงที่ฝากไว้แค่นั้นมันวางกรงแมวของตัวเอง ก่อนจะกระเผลกตัวเองเข้าไปที่ระเบียงด้านนอกพร้อมกับรองเท้าคู่โปรด อาร์มถอดถุงเท้าตัวเองออก ก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง

“ มึงนี่จริงๆเลย ทำไมนิสัยไม่ดีแบบนี้ ” ยกกรงขึ้นมามองหน้าไอ้ตัวลายที่ก็ไม่มีท่าทางสำนึกอะไร “ วันไหนนะ ถ้ากูไม่อยู่บ้าน มันเอามึงไปทิ้งจะทำยังไง ไม่กลัวเหรอ ”

“ ม๊าว ”

“ กลัวใช่มั้ย แบบนั้นนายท่านก็ต้องเป็นเด็กดีสิ ”

“ ม๊าว ”

“ ม๊าวๆนี่ สำนึกหรือไม่สำนึก หึยยยย นี่ถ้าไม่ติดว่าเอาเข้าไปในกรงแล้วน้า กูจะบู้บี้แก้มมึงเลย ไอ้อันธพาล” ลากเสียงบอกอีกตัว ในตอนนั้นอาร์มมันก็เดินออกมาจากห้องนอนพอดี

“ ขอจัดการเอาขี้ออกจากถุงเท้าแล้วก็รองเท้าก่อนได้มั้ย กูจะมันแช่ไว้ เย็นๆจะได้กลับมาซัก ”

“ ตามสบายเลยครับ กูไม่รีบ ” ส่ายหน้าบอกอีกฝ่ายยิ้มๆ อาร์มเดินไปจัดการทุกอย่างที่บอกกันก่อนจะเดินกลับมามองผมที่ก็ยังคงนั่งอยู่ที่ส่วนยกพื้นก่อนเข้าห้อง และแน่นอนว่า นาทีนี้ก็คงได้แต่ฉีกยิ้มจ้ะ ฉีดยิ้มอย่างเดียวเท่านั้น เพื่อลดความกรุ่นโกรธที่อีกฝ่ายมี 

“ รองเท้าคู่โปรดกูด้วยนะ ” มันที่ว่าแบบนั้นผมก็รีบลุกขึ้นไปหยิบรองเท้าอีกคู่ของมันมาวางลงให้ “ แต่ใส่คู่นั้นมันไม่เข้ากับชุดหรอก ไอ้นายท่านก็คงคิดแบบนั้นเหมือนกัน มึงใส่คู่นี่ดีกว่า มันเท่ ”

“ ลูกพี่มันก็เข้าข้างลูกน้องไม่น้อยเลยนะ ”

“ น่าๆ ก็อยากจะให้มึงปล่อยวางไง ” ผมโบกมือปัดก่อนจะหันไปพูดคนเดียวแบบเบาๆ “    มึงก็กวนตีนน้อยซะที่ไหนละไอ้สัด โดนเอาคืนบ้างก็ไม่เห็นจะแปลก ”

“มึงพูดอะไรกับใคร ”

“ เปล๊า ” ปฎิเสธออกไปแบบเสียงสูง ผมยิ้มก่อนจะเดินนำอีกฝ่ายออกไป แม้ในใจลึกๆจะรู้สึก ทั้ง สมควร และ สมน้ำหน้า มันอยู่ไม่น้อยก็ตาม

.........................................................
อย่ารบกันนนนนนนนนนนนนนนนนน
ใจเย็นๆจ้า
อยากให้ตอนนี้คนอ่านยิ้มๆ แฮปปี้
ขอให้มีความสุขกับสุดสัปดาห์ที่หยุดยาวนะค้า
ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ด้วยน้า
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 31 :: up! 24-7-63} #หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 24-07-2020 22:20:55
คนข้างห้อง นายทำอะไรกับทาสเราเนี่ย เราโครตเซ็งเลย  :katai1:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 31 :: up! 24-7-63} #หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 25-07-2020 01:40:49
 :pig4: :pig4: :pig4:

นายท่านมันร้ายนะเนี่ย  อิอิ
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 32 :: up! 7-8-63} #หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 07-08-2020 20:28:58
ตอนที่ 32


บรรยากาศในรถไม่ค่อยสงบเท่าไหร่เพราะแมวสองตัวด้านหลังพยายามอย่างที่สุดที่จะออกจากกรงเล็กๆนั้น จนสุดท้ายแล้วผมที่ทนไม่ไหวก็เลยต้องเปิดกรงให้มันทั้งคู่ออกมาชมวิวกันอยู่บนตัก ท่ามกลางแววตากลมที่ดูสนออกสนใจของเจ้าเหมียวชวนให้ผมยิ้ม แต่ในใจที่ลึกลงไปแล้วนั้นก็กลัวเหลือเกินเหมือนกันว่าจะมีใครฉี่หรือขี้บนรถแบบที่ฝากความทรงจำไว้ให้รัก

ซึ่งคราวนี้แน่นอนว่า เจ้าของรถไม่น่าจะแค้นแค่แมว
แต่น่าจะแค้นแฟนแบบผมด้วย เพราะตามใจเก่ง

“ อย่านิ่วหน้าขนาดนั้น ”

“ ตามใจเก่ง ” ว่าแบบนั้นมือหนาก็จับเข้าที่มือของผมในตอนที่รถของเราชะลอจอดตอนติดไฟแดง นิ้วโป้งที่ลูบเบาๆอาร์มยกยิ้ม

“ อย่าโกรธมันเลย มันก็แค่แมวอะ ”

“ ง้อแทนแมวเหรอมึงอะ ” ว่าแบบนั้นก็เคาะหัวไปทีนึง ผมยิ้มก่อนจะดึงไอ้นายท่านให้หันมาเผชิญหน้ากับอีกคน สองเท้าของมันผมจับให้อยู่ในท่าไหว้ แน่นอนว่าปรับเป็นเสียงสอง

“ นายท่านขอโทษกั๊บ นายท่านจะไม่ทำอีกแล้วนะพี่อาร์ม ขอโทษน้าค้าบ ขอโทษค้าบบบบ ”

“ ไว้มึงไม่อยู่กูจะทำซุปหางแมว โดนแน่ๆมึงอะ ” โดนจกพุงไปที ก่อนที่ไฟเขียวจะฉายขึ้นเป็นอันว่าบทสนทนาของเราก็หยุดลง ส่วนตัวรถเองก็เลี้ยวเข้าไปในลานจอดของโรงพยาบาล

เจ้าพวกตัวป่วนถูกจับใส่กรงอีกครั้ง เราพามันเดินขึ้นมาที่หน้าเค้าท์เตอร์เพื่อจัดการประวัติ วันนี้แก้มหอมมาตรวจสุขภาพ ฉีดวัคซีน ส่วนนายท่านไม่ได้มาทำอะไร ไม่มีอะไรให้ทำด้วยแต่ผมที่ก็พามาแล้ว ก็ยังยัดเยียดหาอะไรให้ทำ และนั่นก็คือ การอาบน้ำ

“ มารับพร้อมกันได้ใช่มั้ยครับ ”

“ ได้เลยค่ะ แต่ว่าต้องพาน้องขึ้นไปหาหมอไอซ์ก่อนน้า ” พนักงานด้านหน้าเธอว่าอย่างงั้น ก่อนจะเดินนำเราเดินไปที่ลิฟต์แล้วพาขึ้นไปที่ชั้นสามตรงส่วนของห้องตรวจทั่วไป

“ พี่หมอไอซ์สวัสดีครับ ” ก้มหน้าลงทักทายว่าที่พี่เขยที่ก็กำลังจะมาเป็นพี่เขยจริงๆในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า  ร่างสูงตรงหน้าที่ยิ้มใจดีให้กัน เราวางเจ้าแมวสองตัวลงบนโต๊ะตรวจ พี่หมอก็ดึงเอาไอ้นายท่านออกมาดูก่อน

“ พี่จะเช็คสุขภาพทั่วไปของไอ้นายท่านให้ก่อนนะ แต่คิดว่าไม่มีอะไร ”

“ น่าจะมีน่า พี่ตรวจดีๆเหอะ ” คนที่มาด้วยกันว่าอย่างงั้น “ เพราะบางทีค่าความกวนตีนของมันอาจจะสูงก็ได้ และใกล้จะโดนผมถีบเร็วๆนี้แหละ”

“ แล้วมึงหงุดหงิดอะไรขนาดนั้น ” พี่หมอไอซ์ทักคนเป็นน้อง ผมก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ก่อนจะป้องปากกระซิบ 

“ เมื่อเช้าไอ้นายท่านขี้ใส่รองเท้ามันน่ะ ”

“ ฮ่าๆ ” เสียงหัวเราะที่ดังลั่นห้องตรวจ เค้าลูบหัวแมวผมก่อนจะก้มลงบอกมัน “ ทำดีมาก ”

“ เอาเข้าไป ” คนโดนกระทำว่าแบบนั้นก่อนจะถอนหายใจหงุดหงิดพลางหันไปทางอื่น “ รองเท้าคู่โปรดด้วยเถอะ ไม่เป็นของตัวเองแม่งก็หัวเราะได้สิวะ ”

“ มีงอนว่ะ ” พี่ไอซ์ว่าแบบนั้นก่อนจะหันมามองผมแบบยิ้มๆ แล้วก้มหน้าลงตรวจไอ้ตัวลายต่อ  “ เอาน่า คิดว่าจะได้ฤกษ์ซักร้องเท้าที่มึงไม่เคยคิดจะซักมันเลยไง ”

“ พูดเหมือนปกติไม่เคยซัก ” คนหงุดหงิดเถียงกลับ แต่ในตอนนั้นพี่หมอกลับไม่ได้ตอบอะไร เค้าก็แค่ก้มหน้าลงตรวจไปตามร่างกายของไอ้นายท่าน ทั้งเหงือก ฟัน อุ้งเท้า แล้วก็อัตราการเต้นของหัวใจ

“ ถ่าย ฉี่ ปกติใช่มั้ย ”

“ ปกติครับ ” ผมตอบ แต่คนที่มาด้วยกลับแค่หลุดหัวเราะ

“ ไม่อะ เมื่อเช้ามันฉี่ใส่หมอน แล้วขี้ในรองเท้ากูไงไอ้สัด ”

“ มึงนี่ก็แค้นมันไม่เลิกนะ ” คนเป็นพี่ชายหันไปถาม “ หมายถึงว่าอึเป็นก้อนใช่มั้ย ตอนมึงเหยียบเป็นไง ”

“ เออ เป็นก้อน ”  เสียงตอบรับที่ยังคงหงุดหงิด

ความจริงก็เริ่มจะเห็นใจมันเหมือนกัน รองเท้าคู่นั้นอาร์มชอบมันมาก แบบที่ในหนึ่งอาทิตย์มี 7 วันก็ใส่คู่นั้นไปแล้ว 6 วัน น้อยมากที่มันจะใส่คู่ที่ใส่อยู่ ซึ่งแน่นอนว่าถ้ามันไปทำกับคนอื่น รับรองคงโดนเตะออกจากบ้านปลิวไปแล้ว

“ ปกติดีนะเมี่ยง สุขภาพแข็งแรง ” พี่หมอเงยหน้าบอกผมที่ก็พยักหน้ารับ

“ ขอบคุณครับ ”

“ ส่วนคราวนี้ก็เป็นตาของคนสวยคนนี้ ”

สองมาตรฐานอย่างชัดเจน  ในตอนที่ที่พี่ไอซ์เปิดกรงแล้วอุ้มเจ้าแก้มหอมออกมา คุณเจ้าหญิงขนยาวนัยน์ตาสีฟ้าก็ร้องอ้อนทักก่อนจะถูกวางลงบนเตียงตรวจที่ก็ถูกตรวจแบบไม่ต่างอะไรกับนายท่าน เพิ่มเติมก็มีฉีดยาอีกสองเข็มที่ซึ่งมันก็ร้องเมี๊ยวๆอยู่ตลอดเวลา

“ เมี๊ยว เมี๊ยว เมี๊ยว ”

“ โอ๋ๆ เจ็บเหรอครับลูก ไม่เป็นไรนะครับ ป๊าอยู่นี่นะ ไม่เป็นไร ” ลูบหัวเจ้าตัวสวยด้วยท่าทางอ่อนโยนจนผมได้แต่เอามือทาบอกอยู่ในใจ มันน่าเศร้านิดนึงที่กับผมมันยังไม่เคยพูดเลย ด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานและท่าทางอ่อนโยนอะไรแบบนี้ “ ลุงไอซ์ไม่ได้ทำอะไรครับ แค่ทำให้หนูแข็งแรงไงครับ ”

“ เป็นลุงของแก้มหอมสินะกู ”

“ หรือพี่มึงจะเป็นปู่ละ ”

“ ไอ้สัด ” คนเป็นพี่สบถใส่น้องชาย “ กูไม่แก่ขนาดนั้นมั้ย โอเค เสร็จแล้วครับคนสวย ” ท้ายประโยคที่ก้มลงพูดกับแมว

“ แล้วนี่ทำอะไรต่อ อาบน้ำไม่ได้นะ ”

“ นู้น ตัวนู้นอาบน้ำ ” เชิดหน้าไปเจ้าตัวลายของผมที่ตอนนี้นอนนิ่งอยู่ในกรง คนเป็นหมอก็ยกยิ้ม

“ ไม่ใช่พวกมึงจะแอบหนีไปเที่ยวก่อน แล้วค่อยกลับมารับมันหลังเที่ยวเสร็จเหรอ ”

“ ว้าว รู้ด้วย สงสัยจะทำบ่อยๆกับพี่พลู เลยจับไต๋ได้ ” ไอ้อาร์มมันเย้าอีกคนก็ทำทีเหมือนจะหลังมือใส่ พี่ไอซ์ยิ้ม

“ ไปเลยพวกมึงทั้งคู่ แล้วอย่าลืมกลับมารับแมวละ ไม่ใช่เที่ยวกันจนเพลินเพราะคิดว่า เปิด 24 ชั่วโมงจะมารับตอนไหนก็ได้ ”

“ ครับผม ” เราตอบพร้อมกัน พี่หมอไอซ์จัดการเอาแมวสองตัวในกรงขึ้นมาตั้งไปบนเตียงตรวจ ก่อนผมจะก้มลงไปบอกพวกมัน

“ เดี๋ยวตอนเย็นๆเมี่ยงมารับนะ ทั้งคู่เลย ” ว่าแบบนั้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นยิ้มให้ว่าที่พี่เขย แต่เหมือนจะต่างไปจากอีกคน อาร์มมันเดินมากอดคอผมพลางก้มหน้าลงบอกไอ้นายท่าน

“ ทิ้งไว้นี่แหละไอ้แมวกวนตีน กูไม่มารับมึงหรอก ” ผ่อนลมหายใจพลางเอื้อมมือไปปิดหูแมวตัวเอง ก่อนจะส่ายหน้า

“ อย่าไปฟังมันลูก อย่าไปฟังมัน ”

“ เดี๋ยวดูแลให้ ไปเที่ยวกันให้สนุกเถอะ ” พี่หมอไอซ์เดินนำเราออกมาจากห้องตรวจในตอนนั้น เค้าที่มาส่งเราตรงหน้าลิฟต์ แต่ทว่าก็ยังมีบางอย่างที่ผมสงสัยอยู่

“ มึง ” หันไปถามอาร์มอีกคนก็หันมามองหน้ากันหลังจากที่ประตูลิฟต์นั้นปิดลง

“ ว่า ? ”

“ พี่หมอไอซ์เค้ารู้เรื่องเรามั้ย ที่เราคบกัน ” เพราะรู้สึกว่าทำไมเค้าไม่เห็นแปลกใจเลยที่เรามาด้วยกัน แถมไม่ถามด้วยซ้ำ ซึ่งในความเป็นจริงเค้าควรจะแปลกใจมากๆเพราะล่าสุดที่เจอกันตอนทานข้าวครอบครัวก็แทบไม่ได้คุยกัน

“ เค้ารู้ว่ากูสนใจมึง ตั้งแต่วันที่เรานัดกินข้าวแล้ว ” คนข้างกันหันมาบอก “ แล้วก็ไม่ใช่แค่พี่กูที่รู้ด้วย ”

“ อย่าบอกนะ..” ผมรู้สึกว่าตัวเองเหมือนจะมีคำตอบอยู่ในใจ

“ ใช่ พ่อแม่กูก็รู้ ”

“ K ” และนั่นแหละครับ คือคำเดียวที่ผมสบถออกไปในตอนที่ได้ยิน  แบบที่ไม่อยากจะคิดเลยว่า ถ้าได้เจอกันอีกรอบ จะทำหน้าตาแบบไหนในตอนที่สบตาพวกเค้า

เก่งนักเรื่องทำอะไรไม่อ้อมค้อม
สักวันโลกต้องเอามึงมาเป็นหน่วยวัด ไอ้หน้าเหี้ย

เราตัดสินใจที่จะไม่ขับรถไปแต่เลือกเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเพื่อหลีกเลี่ยงรถติดตอนขากลับที่อาจจะเป็นเวลาเลิกงาน เพราะย่านที่เรากำลังจะไป เป็นย่านถนนที่มีคาเฟ่หลากหลายแบบแถมมันยังเป็นนี่นิยมมากในช่วงนี้ เหมือนศูนย์รวมของมุมถ่ายรูปของคนทั้งโลกโซเซียล

“ เราจะถ่ายรูปกันก่อน หรือว่าจะกินก่อน ” หันไปถามคนที่ยืนข้างกัน แต่เหมือนว่าอาร์มจะไม่ได้รับรู้อะไรแล้ว มันยกกล้องขึ้นถ่ายรูปผม และช็อตนั้นก็คงไม่ใช่ภาพที่ดูดีเท่าไหร่  อีกฝ่ายยิ้ม “ กูอ้าปากอยู่ใช่มั้ย ไอ้สัด ”

“ เป็นหลักฐานที่บอกว่า มึงมันยอดนักกิน ที่จริงจังกับมันมากกว่าเรื่องไหนๆ ” ว่าแบบนั้นอีกคนก็กอดเข้าที่รอบคอพลางยื่นพรีวิวภาพตรงหน้ากล้องให้ดู

“ หน้าเหี้ยชิบหาย ” ไม่ต่างอะไรไปจากที่คิด ในภาพนั้นผมอ้าปาก หน้าเหวอ มือก็ไม่รู้ชี้เหี้ยอะไรอยู่ “ ลบเลยนะ ”

“ ลบทำไม ” ว่าแบบนั้นกล้องก็ถูกดึงออกไปจากมือ พลางดึงให้ออกเดินไปข้างหน้า

“ ก็บอกอยู่ว่าหน้ากูเหี้ย ”

“ นั่นมันความคิดมึง ” อีกคนบอกก่อนจะยักคิ้วให้กัน “ แต่กับความคิดกูมันน่ารัก ไม่จำเป็นต้องลบ ”

“ จีบถี่ ไอ้สัด ” พูดแบบนั้นเสียงเบาๆ ผมก็พยักหน้ารับ “ งั้นก็เอาที่สบายใจเถอะจ้า ถ้าจะหลงกูขนาดนี้”

“ พูดมาก ” มือข้างที่กอดคอเคาะเข้าที่หัว เราเดินยิ้มกว้างลงมาจากสถานี

ด้วยระยะทางที่ไม่ได้ไกลเท่าไหร่ เราเดินเข้าไปในซอยที่บรรยากาศรอบข้างเริ่มเปลี่ยนไปทีละน้อย มันคล้ายกับถนน hajiland ของสิงคโปร์ ที่ทุกร้านตกแต่งด้วยสีสันน่าดึงดูดและก็เป็นสไตส์ของตัวเอง แต่ก็ไม่ได้ดูอึดอัดคับแคบแบบตึกแถวอย่างงั้น ยังพอมีร้านที่ดูเป็นบริเวนอย่างสวนเล็กๆ

“ ตกลงว่าจะกินก่อนหรือถ่ายรูปก่อน ”

“ หิวยังละ ” อาร์มมันหันมาถาม ผมก็ได้แต่นิ่ง  จนอีกฝ่ายพูดล้อๆ “ เงียบ.. ”

“ ก็ไม่รู้จะกินเลยดีมั้ย มันไม่ได้หิวขนาดนั้น ”

“ น้ำหน่อยมั้ยละ ”  คนข้างกันเชิดหน้าไปที่ร้านแบบฟู้ดทรัคที่ตกแต่งแบบเรียบง่ายด้วยโทนสีขาวดำ เมนูตัวโชว์ที่เป็นป้ายหร้าร้านบนพื้นดูน่าสนใจเพราะเป็นน้ำเกรฟฟรุ๊ทที่ผมชอบพอดี
 
“ น่าสนใจจจจจจ ” เดินตรงเข้าไปที่ร้านในตอนที่พูดแบบนั้น ผมเงยหน้าสั่งน้ำเกรฟฟรุ๊ทกับพนักงานก่อนจะหันมามองอีกคน

“ ชานมเผือก ” เสียงเรียบๆที่บอกกันแบบนั้น ผมก็นั่งลงตรงเก้าอี้ไม้แบบยาวข้างๆรถ และแน่นอนว่าคุณช่างกล้องประจำตัวก็ทำหน้าที่ได้ดี ด้วยการกดถ่ายรูปให้แบบชนิดที่ไม่ต้องสั่ง ส่วนผมก็ทำทีเป็นเก็กท่าทางต่างๆแบบทีเผลอ อย่างไม่ตั้งใจถ่าย ก่อนพนักงานจะเอ่ยเรียก

“ เกรฟฟรุ๊ท กับ ชานมเผือก ได้แล้วครับ ” น้ำสองแก้วของเราถูกยื่นมาให้ คนข้างกันชิงจ่ายเงินไปก่อนผมก็หันไปบอกมัน

“ รอบหน้ากูเลี้ยงนะ ” ว่าแบบนั้นผมยื่นน้ำให้พลางก้มลงชิมของตัวเอง ซึ่งก็เป็นรสชาติหวานๆเปรี้ยวๆแบบที่ชวนให้ผมหรี่ตาลง แต่ถึงอย่างงั้นก็รู้สึกสดชื่นอย่างที่สุด “ อาย่อย ” พูดแบบเสียงเด็กๆอีกคนก็ก้มลงดูดของตัวเอง

“ อื้ม ” เสียงที่ดังเบาๆแค่นั้น ร่างสูงเดินนำออกไปจากร้าน ผมก็เดินตามด้วยความงุนงงอยู่ไม่น้อย

“ ทำไมวะ ไม่อร่อยเหรอ ” ไม่มีคำตอบจากคนข้างกัน มีเพียงแค่แก้วน้ำชานมเผือกที่ยื่นมาให้ อาร์มหยุดเดินเพื่อให้ผมก้มลงดูดน้ำที่มันยื่นมา และหลังจากที่รสชาตินั้นไหลลงคอ มันก็ทำให้ผมได้แต่ยู้หน้าแบบที่พยายามจะกลืนความหวานที่เหมือนจะรวมมาจากทั้งโลกแล้วไว้ในแก้วนี้ลงคอไป “ หวานมาก ไอ้สัด ”

“ หวานแบบต้องตัดขา” อาร์มว่าพลางเขย่าน้ำแข็งในแก้วแบบที่เหมือนจะอยากให้มันละลายเร็วๆ

“ ถ้าแดกต่อแบบไม่รอให้น้ำแข็งละลายก็คือเขียนมรดกไว้นะ ว่าถ้าตายเพราะเบาหวาน สมบัติทุกชิ้นเป็นของกู ”

“ รวมถึงหัวใจด้วยมั้ย ”

“ จ้ะไอ้สัด อย่าให้ได้ช่อง  ก็จะคือจีบทุกช่วงจังหวะหายใจ ” แซวมันไปแบบนั้นอีกคนก็ดึงกล้องขึ้นมาพลางถ่ายรูปบรรยากาศโดยรอบนั้น  “ บรรยากาศดีเนอะ แดดก็ไม่แรง เหมือนโลกเห็นใจในความทุกข์ยากของเรา กว่าจะได้คบกันดีๆ วันนี้เลยทำให้เป็นวันพิเศษหนึ่งวัน ”

“ เอาจริง มึงนี่ก็เพ้อเจ้อเก่งเหมือนกันนะ ”

“ หมายความว่าไงวะ ” หยุดยืนนิ่งพลางมองอีกคนก็ไม่พูดอะไร อาร์มยิ้มแล้วก็ยกกล้องถ่ายรูปขึ้นมาถ่ายรูปผมไว้

“ ยิ้มหน่อย ”

“ ยิ้มมมม ” ฉีกยิ้มกว้างแบบตาปิด ก่อนจะเดินไปยืนอยู่หน้าร้านขายของน่ารักๆร้านนึง “ มึงถ่ายรูปตรงนี้ให้หน่อย เอาแบบทีเผลอนะ ”

“ อื้ม ” ขานรับแบบนั้นคุณตากล้องก็กดถ่าย ผมเดินไปดูภาพตัวอย่างด้วยความอยากรู้ แต่พบว่าในภาพนั้นไม่ได้เป็นอย่างที่ใจนึกเท่าไหร่

“ กูว่ามุมนี้แขนกูมันดูใหญ่ไป ถ่ายใหม่ได้มั้ย ”

“ ได้ ” พยักหน้ารับสั้นๆ ผมไปเดินอยู่ตรงจุดเดิม ก่อนจะบอกมัน

“ มึงต้องบอกกูด้วยสิว่ามุมไหนของกูมันโอเค ไม่โอเค แบบหมุนซ้ายหน่อย ขยับขวานิดนึง แบบเนี้ย เข้าใจปะ ”

“ อื้ม อยากได้แบบไหน ”

“ ผอมๆ ” แบบไม่ลังเล ก็คือรีเครสไปอย่างงั้นคนที่ถ่ายรูปก็ดึงกล้องขึ้นพลางมองผ่านเลนส์

“ แก้มอ้วนเกินไป ถ่ายยังไงก็ไม่ผอม ไหนจะผิวอีก มันขาวเกินไป ดูนุ่มฟูไปหมด ไม่ผอมหรอก ”

“ ไอ้สัดดีๆ ” สบถด่าคนถ่าย ผมได้แต่ก้มหน้าแบบที่ไม่รู้จะพูดอะไรออกมา ก่อนจะเงยหน้ามองมันด้วยเสียงงอแงงแบบเด็กเล็ก “ มึงอะ กูจะได้สักรูปมั้ยเนี้ย ”

“ อะไร ก็มึงบอกว่าเอาผอมๆ แก้มมึงเยอะเกิน ยังไงก็ไม่ผอมเปล่าวะ ” มันที่เถียงกัน ผมก็ผ่อนลมหายใจออกมาก่อนจะดึงน้ำในมือขึ้นมากิน แบบที่ไม่รู้ว่าต้องต่อกรยังไงกับคนตรงหน้าที่นี้ดี ก็รู้ว่ารักมาก หลงมาก แต่ไม่คิดเลยว่าจะเอาเหี้ยอะไรพวกนี้มากวนตีนกัน

“ ไม่คุยด้วยแล้วไอ้สัด ”

“ เหรอ ”

“ เออ กูโกรธมึง ”

“ อ้าว ไหนบอกไม่คุยด้วย ”  ได้แต่นิ่งไปในตอนที่คนข้างกันพูดออกมาอย่างงั้น ผมผ่อนลมหายใจออกมา ก่อนจะพ่นลมออกมาจนหน้าม้าปลิวไปหมดอย่างสงบจิตใจ ผมเดินนำออกไปแม้ว่าจะได้ยินหัวเราะของคนที่เดินตามหลังมาเป็นระยะ

‘ กูจะไม่พูดกับมึง จะไม่พูดเลยไอ้สัด ’ ในใจท่องแค่คำพูดนั้น แต่เหมือนอีกคนจะรู้จักกันดีเกินไป ขานั้นเลยหยุดเดินตามเมื่อเห็นอะไรสักอย่างที่หลอกล่อกันได้

“ นั่นมันโดนัทร้านนั้นที่หว่า ” เหลือบมองตามคำพูดนั้นแบบเสียความตั้งใจไปชั่วขณะ ร้านข้างทางแบบในตู้สีฟ้าขาว มันเป็นสัญลักษณ์ของความอร่อยที่เคยอ่านในรีวิวแบบนับไม่ถ้วน กับร้านโดนัทเนยสดแบบทำเอง  “ ไม่รู้มีใครอยากจะกินมั้ยน้า ”

‘ กูจ้าไอ้สัด ’ ในใจที่กัดฟันแน่นผมเดินตรงไปที่ร้าน พลางมองเมนูที่ก็ไม่ได้มีอะไรมาก มีเพียงแค่สองเมนูคือ โดนัทแบบโรยน้ำตาล กับ โรยชินนาม่อน

“ รับอะไรดีครับ กล่องละ 100 มีแปดชิ้น จะผสมกันก็ได้นะครับ ”

“ เอาแบบผสมกันครับ กล่องนึง ” ผมบอกก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงตัวที่สวมแต่ทว่า “ เชี้ย ” สถบออกมาเบาๆ เพราะลืมไปเลยว่า ไม่ได้พกกระเป๋าตังค์มา

“ ร้อยนึงครับ ” พนักงานยื่นโดนัทในถุงให้ผมที่ก็เหลือบมองคนข้างกันที่กำลังยืนก้มหน้ากลั้นยิ้มอยู่  ผมว่ามันคงรู้มานานแล้ว เรื่องผมไม่ได้พกเป๋าตังค์

“ มึง ” จำใจเรียกอีกฝ่ายเสียงเบา แต่อาร์มในตอนนั้นมันไม่ได้มองหน้าผมอีกคนหันไปทางอื่น จนผมต้องเรียกซ้ำ ในตอนที่สบตากับพนักงานแต่ไม่มีตังค์ให้ “ มึง ”

“ ฮ่าๆ ” เสียงหัวเราะที่หลุดออกมาดังลั่น แม้แต่พนักงานก็ยังงง

“ หัวเราะเหี้ยอะไร จ่ายตังค์ให้หน่อย ไม่ได้เอาเป๋าตังค์มา ”

“ อะไรครับคุณ มาขอตังค์ผมได้ยังไง เรารู้จักกันด้วยเหรอครับ ” ว่าแบบนั้นด้วยสายตาที่หันมามองผมแบบคนที่ไม่รู้จัก

“ มึงงง ” ผมเริ่มโวยแต่อีกฝ่ายก็แค่ยิ้ม

“ เอ้า ก็ไม่รู้จักจริงๆ คุณชื่ออะไร เป็นอะไรกับผม ”

“ ชื่อเมี่ยง เป็นเมียมึงอะ ” พูดแบบไม่ออกเสียงในท้ายประโยคก่อนจะรับขนมมาจากคนขายแล้วเร่งมันอีกครั้ง “ เร็ว จ่ายให้หน่อย ”

“ รู้จักกันแล้วเหรอ ” อีกคนถามผมก็พยักหน้ารับด้วยเสียงอ่อน อย่างไม่อยากจะขายหน้าพนักงานไปมากกว่านี้

“ รู้จักแล้ว ”

“ กูชื่ออะไร ”

“ อาร์มไง แฟนกู ” ผมว่าอีกคนก็มองกันเหล่ๆ “ เร็ว จ่ายให้หน่อย เค้ารอแล้วเนี้ย ”

“ พอไม่มีเงิน ก็รู้จักขึ้นมาทันทีเลยนะไอ้ขี้งอน ” ประโยคที่มาพร้อมกับรอยยิ้มนั้น อาร์มจ่ายเงินให้พนักงานส่วนผมก็หยิบเอาโดนัทในกล่องขึ้นมากิน ซึ่งก็ไม่ต้องพูดถึงรสชาติ เพราะสมราคาคุย มันเป็นโดนัทนุ่มๆที่อร่อยที่สุดตั้งแต่เคยกินมาเลย อร่อยถึงขั้นต้องกัดคำแล้วคำเล่า แบบที่ไม่สนใจว่าคนตรงหน้าจะถ่ายรูปไปสักเท่าไหร่

“ อร่อย ” ว่าแบบนั้นก่อนจะหยิบชิ้นใหม่ให้คนจ่ายเงินชิม อาร์มมันก้มลงกัดก่อนจะเคี้ยวแล้วพยักหน้ารับ “ อร่อยมั้ย ”

“ อร่อยดี แต่กับมึงคงอร่อยมาก ” มือหนามาพร้อมพร้อมรอยยิ้มเช็ดผงน้ำตาลไอซ์ซิ่งที่เหมือนจะเลอะอยู่บนขอบปาก แล้วก็ปลายจมูกให้กัน “ กินเผื่อจมูกด้วยเหรอ ”

“ อร่อย ” บอกแบบนั้นอีกคนก็ยิ้ม ส่วนผมก็มองไปรอบๆ “ หิวของคาวแล้วอะ ”

“ ใจเย็น มึงกำลังกินอยู่ ” อาร์มมันว่า ผมก็ถอนหายใจ

“ กูบอกว่าของคาว คาวหวานมันไม่เหมือนกัน คนเรากระเพาะมันแยกส่วน ”

“ เด็กอ้วน ” เสียงเบาๆที่ได้ยินมาพร้อมกับมือที่เข้ามากอดคอ  อาร์มมันยิ้มในตอนที่เห็นผมมองอยู่

“ กูได้ยินนะ ”

“ คำว่าเด็กอ้วนน่ะเหรอ ”

“ ไอ้สัด ” เสียงหัวเราะถูกใจของคนข้างๆ ผมเอียงหน้าหนีความกวนตีนนั้นแต่กลับไม่ได้อยากจะดึงตัวเองออกจากอ้อมกอดของอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก หนำซ้ำยังอยากจะเอียงหัวเข้าซบ

‘ ผมน่ะรักไออุ่นนี้ที่สุดเลย ’ นั่นคือสิ่งที่อยู่ในใจ แบบที่อยากจะตะโกนออกไปให้สุดเสียง ผมรักแม้แต่กลิ่นน้ำหอมที่มันกลายมาเป็นกลิ่นตัวของอีกคน เป็นความรู้สึกที่ต่อให้เดินข้างๆกันแบบไม่พูดอะไร ก็ยังมีความสุข

ซึ่งในชีวิตนี้มีไม่มากนัก ใครสักคนที่ทำให้รู้สึกแบบนี้

หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 31 :: up! 24-7-63} #หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 07-08-2020 20:29:23
“ กินอะไรกันดี ”

“ อยากกินสปาเก็ตตี้อร่อยๆ ” ผมบอกอีกฝ่ายก็มองไปรอบๆ ก่อนจะไปสะดุดตากับร้านอาหารที่ตกแต่งด้วยโทนเรียบๆ ตรงมุมถนน

“ ตรงนั้นมั้ย ”

“ ร้านน่าถ่ายรูปดีด้วย ”

“ ก็คือความตากล้องอะเนอะ แบบเน้นบรรยากาศ ไม่เน้นรสชาติ ” อดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซว เราเดินตรงไปที่ร้าน ไม่ลืมแวะถ่ายรูปกับเก้าอี้หวายทรงเก่าๆที่อยู่ด้านหน้าผนังสีขาวเรียบที่ด้านบนเป็นไฟนีออนสีเหลืองที่ดัดออกมาเป็นชื่อร้าน เราผลักประตูเข้าไปความเย็นก็ปะทะเข้าใบหน้า ไม่ต่างอะไรกับหลุดเข้ามาในอีกโลก บรรยากาศภายในร้านตกแต่งด้วยโทนสีขาวเหลือง มันน่ารักจนชวนให้ผมยิ้ม

“ ร้านน่ารักว่ะ ” เอ่ยพูดออกมาคนข้างกันก็ยิ้ม

“ ก็มึงชอบสีเหลือง ”  อาร์มว่าแบบนั้นก่อนจะเชิดหน้าไปที่โต๊ะ

“ จำได้ด้วย ”

“ แน่นอน ก็เป็นเรื่องของมึง ” ในตอนนั้นผมที่ยิ้ม ซึ่งต่างกับอีกคนที่เดินลงไปนั่งที่โต๊ะที่อยู่ด้านในตรงมุมที่นั่งแบบโซฟา แบบที่ไมได้คิดเลยว่ามันเป็นประโยคที่ทำให้ใจสั่นแค่ไหน ก่อนพนักงานที่เดินตามมาจะยื่นเมนูให้

“ เอาสปาเก็ตตี้ซอสมะเขือเทศกุ้งครับ ”

“ สปาเก็ตตี้ผัดขี้เมาทะเล ”

“ แล้วก็น้ำเปล่าสองครับ ” ชูนิ้วบอกพนักงานเธอก็พยักหน้ารับก่อนจะเดินออกไป ผมพิงหลังกับโซฟาตัวที่นั่งก่อนจะคนตรงข้ามกันจะยกกล้องขึ้นมา

“ เอียงหน้าหน่อย ” ปฎิบัติตามที่สั่ง อาร์มยกยิ้มกับผลงานตัวเองในตอนที่ดึงหน้ากล้องออกมาให้ดู

“ เฮ้ย ดูดี ” ผมว่าพลางมองมันที่ก็ยืดตัวขึ้นมาเหมือนเด็กเล็กทำความดี แล้วก็อยากให้ชม “ แต่กูก็หน้าตาดีด้วยแหละ เหมือนไม้แขวนอะ ถ้าไม้แขวนสวยหยิบเสื้อผ้าอะไรมาใส่ มันก็ดูดี ”

“ ก่อนหน้านี้ใครบอกว่า อ้วน ถ่ายดีๆ ”

“ ฮ่าๆ ” หัวเราะออกก่อนจะจัดท่าให้คนถ่ายรูป “ ถ่ายอีกๆ แสงสวย ”

“ มึงนี่มันแบบ...” ประโยคที่หยุดไป ผมได้แต่เชิดหน้าถามมันแบบหาเรื่อง

“ ทำไมๆ มึงมีอะไร จะว่ากูเหรอ ”

“ ขอโทษนะคะ ”  เสียงขัดคั่นกลางบทสนานั้นมาจากพนักงานสาวที่ยื่นจานเครปไมโลเค้กลงบนโต๊ะเรา

“ เอ่อ... ผิดโต๊ะมั้ยครับ พอดีไม่ได้สั่ง ” ผมบอกเธอแต่อีกคนก็แค่ส่ายหน้ายิ้มๆ

“ ไม่ค่ะ เพราะพี่ผู้ชายที่โต๊ะนั้น เค้าสั่งมาให้พี่คนน่ารักที่นั่งโต๊ะมุมโซฟา ” ก้มลงมองตัวเองแล้วพบว่าพี่เสื้อชมพูก็ไม่ใช่ใครที่ไหน และนั่นก็คือกูเองที่หลังจากวินาทีหลังนั้นก็ทำได้เพียงแค่หันไปยิ้มแห้งๆให้กับพี่เสื้อดำร่วมโต๊ะ ที่ก็หันไปเหลือบคนใจดีไม่รู้เวลา ที่สั่งเค้กมาให้

“ เอาไปคืนเค้าดีมั้ย ” ผมเสนอ แต่ในตอนนั้นอาร์มก็แค่ยกยิ้มก่อนจะเงยหน้าบอกพนักงาน

“ ขอบคุณนะครับ ”

“ เดี๋ยวๆ มึงจะกินเหรอ ” เอื้อมมือไปเบรคมือของอีกคนที่เตรียมตัวหยิบช้อนขึ้นมา อาร์มมันพยักหน้ารับยิ้มๆ

“ แน่นอน ถ้าไม่กินก็เสียน้ำใจแย่สิ คนอุตส่าห์เอามาให้ ” ผมเหลือบมองคนที่ให้เค้กชิ้นนี้มาด้วยสายตาที่ไม่รู้ว่าตัวเองต้องรู้สึกยังไง

เค้าเป็นผู้ชายร่างสูงผิวขาว ดูจากการแต่งตัวและท่าทางคิดว่าอายุเราไม่น่าจะห่างกันสักเท่าไหร่ เค้าที่ตอนนี้ยิ้มให้ผม พร้อมกับยกแก้วน้ำของเองขึ้นเป็นการทักทายนั้นชวนให้ผมกร่อนด่าในใจ

‘ ไอ้ควายยยยยยยยยยยยยยย มึงดูไม่ออกเลยเหรอว่าไอ้คนตรงหน้านี่มันผัวกู ’

“ ป้อนหน่อย ” สบสายตาคมที่ก็ขยับตัวเข้ามานั่งข้างกันแบบในมุมที่ต้องประจันหน้ากับคนให้เค้ก อาร์มหันมอง มันยิ้มๆ ก่อนจะหันมาบอกย้ำ “ ป้อนหน่อย ”

“ ป้อน ? ป้อนอะไร ” ทำทีเป็นงุนงง แต่สายตาคมก็แค่เชิดหน้าไปยังก้อนเค้กเจ้าปัญหาพร้อมกับยื่นช้อนที่ถืออยู่นั้นให้กัน “ เค้กเหี้ยนี่ไง ป้อนหน่อย อยากกิน ”

“ มึงเป็นเด็กเล็กเหรอไอ้สัด ” ผมถามก่อนจะหลุดยิ้มออกมากับท่าทางของมัน ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดมองอีกฝ่าย

“ อ้า ” อ้าปากเร่งกันผมก็จัดการตัดเค้กก่อนจะป้อนไปให้คำโต ส่วนคนรับไปก็แค่เคี้ยวแบบอวดอีกฝ่ายคล้ายว่าอยากทำให้รู้ว่าเหนือกว่า “ เค้กเหี้ยอะไรสชาติอุบาทว์ ไม่ได้เรื่อง ”

“ พาลแล้วไงไอ้สัด ” ผมว่าก่อนจะทำทีเป็นชิมแต่มือหนานั้นกลับหยุดมือนั้นไว้

“ ไม่ให้กิน ถ้าอยากกินเดี๋ยวซื้อให้ ”

“ ขี้หวง ” พูดออกไปเบาๆ คนฟังก็เชิดหน้าไปที่เค้กตรงหน้า

“ มึงป้อนมาอีก กูจะกินอีก ”

“ คือมึงทำเพื่ออะไรก่อน ” ถามมันแบบที่ไม่รู้เลยว่าจุดประสงค์การกระทำนี้คืออะไร

“ ความสะใจ ” ตอบแบบไม่แคร์อะไรทั้งนั้น สายตาก็ยังมองที่เค้า “ กล้าดียังไงส่งเค้กมาให้แฟนกู ”

“ เค้าอาจจะไม่รู้ไง ว่าเราเป็นแฟนกัน ” แต่เหมือนคำพูดนั้นจะไม่ใช่คำพูดที่คนหงุดหงิดอยากจะฟังสักเท่าไหร่ อาร์มหันมองผม “ เดี๋ยวๆ แล้วทำไมต้องมองกูด้วยสายตาเครียดแค้นอย่างงั้น ”

“ งั้นกูจะจูบมึง มันจะได้รู้ว่าเราเป็นอะไรกัน ”

“ เดี๋ยวๆ ใจเย็นนะ ใจเย็นเลย ไม่ได้มึง ”

“ ทำไมไม่ได้ ”

“ ก็กูเขิน มึงจะบ้าเหรอ แล้วทำไมต้องทำกันในร้านด้วย  ” ถามมันออกไปแต่คนฟังที่ดูเหมือนว่าจะไม่หายแค้นจะแค่ผ่อนลมหายใจแล้วพิงหลังลงกับเก้าอี้ตัวที่นั่ง อาร์มหันไปมองคนที่ส่งเค้กให้ผม “ อย่าไปสนใจเลยน่า ก็เค้าคงไม่รู้จริงๆนั่นแหละ ”

“ K ” สถบออกมาอย่างหงุดหงิด ก็เข้าใจความรู้สึกของมันอยู่ ลำพังถ้าเป็นผมมีใครมาทำแบบนี้ก็คงมีอาการไม่ต่างกัน แล้วก็คงพาลไม่กินเหี้ยอะไรแล้ว ไม่ก็คงนั่งหน้ามุ่ยตลอดจนกินเสร็จ แล้วแบบนั้นบรรยากาศดีๆที่มีก็คงกร่อยไม่เป็นท่าแน่

“ อะ กินเค้กหน่อย ” ยื่นช้อนที่ตักเค้กคำโตไปทางมันแบบที่ตั้งใจไม่ให้โดนปาก แต่เป็นแก้มแทน “ อุ้ย ” ทำทีเป็นสะดุ้งตกใจก่อนจะหยิบเอาทิชชูขึ้นเช็ดคราบซอสนั้น แล้วก็แบบที่ไม่ให้ตั้งตัว ผมเลื่อนตัวเข้าไปจูบริมฝีปากนั้นก่อนจะยิ้ม ท่ามกลางสายตาคมที่ก้มลงมองกันแบบงุนงงอยู่ไม่น้อย “ กูเป็นแฟนมึง โอเคนะ ”

“ ชอบว่ะ แม่งเปรี้ยวดี แต่ต้องเอาคืนหน่อยแล้ว ” รอยยิ้มกว้างที่พูดกันแบบนั้น อาร์มก้มลงจูบผมที่ริมฝีปากก่อนจะเหลือบไปยักคิ้วใส่คนให้เค้ก   แบบที่ก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กอนุบาลเลยสักนิด

“ เด็กเล็กมาก ”

“ น้องครับ ” ยกมือเรียกพนักงานในตอนที่อารมณ์ดีขึ้นอย่างฉับพลันนั้น อาร์มมันยิ้ม “ ฝากเอาจานเค้กเปล่านี่ไปให้โต๊ะที่เค้าฝากมาให้ที แล้วก็บอกเค้าด้วยนะ ” ท้ายประโยคนั้นร่างสูงพูดดังขึ้นเหมือนจงใจให้อีกฝ่ายได้ยิน “ แฟนกู กูเลี้ยงเองได้ ”

“ เอ่อ..”

“ ไม่ต้องเอาไปให้เค้าหรอกน้อง ” ผมว่าขัดก่อนจะหันไปเหลือบมองคนนิสัยเด็กที่ก็เหลือบตามองไปทางอื่นแบบที่ไม่สนใจสักเท่าไหร่

“ งั้นเก็บจานเลยนะคะ ”

“ ครับ ” พยักหน้ารับบอกเธอ ส่วนคนหาเรื่องก็ทำได้แค่พิงตัวเองลงกับเก้าอี้ตัวที่นั่งพร้อมกับกอดไหล่ผมด้วยความสุขซึ่งผิดกับท่าทางเมื่อครู่นั่นอย่างสิ้นเชิง

ครับ ก็เอาที่มึงสบายใจเถอะ

เราใช้เวลาจัดการสปาเก็ตตี้สองจานแบบที่ไม่นานเท่าไหร่ ก่อนจะออกไปตะเวนถ่ายรูปรอบๆพื้นที่ที่น่าสนใจ รวมถึงภาพถ่ายคู่ใบแรกของเราที่ผมกอดคออีกคน รอยยิ้มกว้างๆแบบที่แทบไม่เห็นตาเลยนั้น สดใสแข่งกับบรรยากาศ จนคิดเอาไว้ว่าคงบริ้นท์มันออกมา แล้วติดไว้สักมุมไหนมุมนึงของห้องเรา

“ คนเยอะเนอะ ”

“ ไม่คิดว่าจะอยู่เย็นขนาดนี้ด้วย ” อาร์มมันพูดก่อนจะขยับตัวให้ชิดผมเพราะแถวของขบวนที่เริ่มยาว “ แต่ภาพในแกลลอรี่ตรงร้านกาแฟนั้นสวยดีนะ ”

“ เอาจริงๆ กูไม่คิดว่ามึงจะอินกับการถ่ายรูป แล้วก็พวกรูปถ่ายขนาดนี้ ”

เคยคิดว่าก็คงแค่ระดับทั่วไป แบบสไตส์ที่คงถ่ายรูปในตอนไปเที่ยว แต่เปล่าเลย อาร์มไม่ใช่อย่างงั้น มันชอบถ่ายรูป ถ่ายบรรยากาศ ร้านคาเฟ่กึ่งแกลลอรี่ที่เราไป มันยืนอยู่ภาพได้เป็นหลายชั่วโมง แถมยังไปชวนพี่เจ้าของร้านคุยเป็นเรื่องราวอยู่นานด้วยความสุข แบบที่เจอคนคอเดียวกัน

“ กูชอบเก็บเรื่องราวที่เจอผ่านรูปถ่าย ชอบถ่ายของสวยๆงามๆ ยกตัวอย่างก็เช่น ” ว่าแบบนั้นกล้องอยู่ตรงไหล่ก็ถูกดึงขึ้นมาถ่ายรูปผม เสียงชัตเตอร์ที่ดังขึ้น ก่อนจะตัวอย่างภาพบนหน้าจอกล้องจะถูกพลิกกลับมาให้ดู “ นี่ไง ของสวยๆงามๆ ”

“ จ๊ะ ไอ้สัด จีบเก่งนัก ” ตอบกลับไปแค่นั้นอีกคนก็หลุดหัวเราะออกมา

ขบวนรถที่แสนอึดอัดจอดเทียบด้านหน้าเพียงแค่ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น เราที่พยายามเดินเข้าไปข้างในสุดก่อนจะมาหยุดอยู่ที่มุมประตู อาร์มยืนอยู่ตรงหน้าผม พร้อมกับยกมือขึ้นจับราวที่อยู่เหนือหัว

“ เอากล้องมากูถือให้ ” บอกแบบนั้นเพราะตัวเองพิงอยู่กับมุมของโบกี้คงประคองตัวได้มากกว่าอีกคนที่เหมือนจะต้องบังคับตัวเองไม่ให้ล้มลงมาใส่ผม

“ ขอถ่ายรูปนี้ก่อน ” แลบลิ้นให้อีกฝ่ายก่อนสายกล้องจะถูกคล้องไว้ตรงคอ “ เออ ยังไม่ได้เล่าเลย เมื่อวานกูลองคุยกับพี่นิติที่หอแล้วนะ เค้าบอกว่าห้องใหญ่แบบที่เราอยากได้มีอยู่ ไว้วันไหนเราว่างก็บอกได้เลย เค้าจะพาเราไปดู ”

“ เหรอ ” พยักหน้ารับอีกคนแบบงึกงัก

อยู่ๆก็อดตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้เลย แค่คิดว่าห้องจะกว้างขึ้นอีกเยอะ แบบที่เราสองคนอาจจะได้ทำอะไรมากขึ้นก็รู้สึกหุบยิ้มที่มีนั้นลงไม่ได้ ผมผ่อนลมหายใจออกมาในตอนนั้นก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่างของขบวนรถไฟ

 บรรยากาศของช่วงเวลาใกล้ค่ำ แสงสีส้มอ่อนๆชวนให้คิดว่า ถ้าย้ายห้องเมื่อไหร่ คงได้นั่งเอาขาพาดกับระเบียงแล้วมองท้องฟ้าด้วยกัน แบบที่จิบเบียร์ไปด้วย ชิวๆ

“ ยิ้มอะไร ” คนที่อยู่ตรงหน้าเอ่ยถาม ส่วนผมก็ทำได้ส่ายหน้า

“ แค่จินตนาการว่าชีวิตที่มีมึงอยู่ด้วยกันในห้องใหม่มันจะเป็นยังไง แล้วอยู่ๆก็มีความสุขขึ้นมา จนหยุดยิ้มไม่ได้เลย ”

“ หึ ” เสียงหัวเราะตรงมุมปาก อาร์มก้มลงมาจูบผมเบาๆ แบบรวดเร็วก่อนจะทำทีเป็นอ้างว่าอุบัติเหตุแบบหน้าตาเฉย “ ขอโทษครับ พอดีรถมันส่าย ”

“ อ้างชิบหาย ไอ้สัด ” ผมว่า “ จริงๆก็เพราะกูน่ารักมากจนมึงอดใจไม่ไหวก็บอกมาเถอะ ”

ไม่มีประโยคใดตอบกลับมา แน่นอนว่าอีกฝ่ายคงเถียงความจริงนี้ไม่ออกเช่นกัน อาร์มมันเลยทำได้แค่ยิ้มแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างโบกี้ของรถไฟเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

มันเป็นระยะทางที่ไม่ได้ไกลเท่าไหร่จากสถานีรถไฟฟ้าปลายทาง มาถึงหน้าโรงพยาบาลสัตว์ แต่ทว่าภาพที่ผมเห็นอยู่ในตอนนี้มันดูเหมือนพนักงานเกือบจะทั้งโรงพยาบาลจะกำลังดูวุ่นวายกับบางสิ่งจนชวนให้ขมวดคิ้ว ทุกคนที่ตอนนี้พยายามก้มๆเงยๆเหมือนหาอะไรสักอย่าง  ที่แม้แต่คนข้างกันเองยังอดสงสัยไม่ได้

“ เค้าหาอะไรกันวะ ”

“ เออ นั่นสิ ” ถึงจะพูดออกไปแบบนั้น แต่คำตอบเดียวในใจก็เหมือนจะมีอยู่แล้ว “ หมาแมวใครหายไปหรือเปล่าวะ ”

“ ไม่น่าหรอกมั้ง ” อาร์มพูดปัด แต่ก็นั่นแหละ แค่มันไม่น่า ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นไปไม่ได้

“ คุณหมอไอซ์ น้องอาร์ม น้องเมี่ยงกลับมาแล้วค่ะ ” เสียงที่ผมได้ยินมาจากอีกฝั่ง เราหันไปมองต้นเสียงนั่นก่อนจะเห็นพี่หมอไอซ์เดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่เรียกได้ว่าเครียด และถ้าเซ้นต์ของผมไม่พลาด มันคงไม่ใช่ข่าวดีอะไร

“ มีอะไรวะพี่ ทำไมดูวุ่นวายกันจัง ”

“ แมวหายน่ะ ” พี่หมอว่าแบบนั้น ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมา แล้วหันมามองหน้าผม  “ เมี่ยง ”

“ ครับ ”

“ นายท่านของเมี่ยงหลุดออกไปจากโรงพยาบาลนะ ตอนนี้เรากำลังช่วยกันตามหาอยู่ ”


...................................................................

ขอโทษที่หายหัวไปหนึ่งอาทิตย์
แต่ตอนนี้มาแล้วว มาพร้อมกับ แมวหนึ่งตัวที่หายไป
ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ในทวิตด้วยน้า
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์ฮับ
 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 32 :: up! 7-8-63} #หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 07-08-2020 23:36:20
"ไปเปิดดูกล้องวงจรปิด ทันเดี้ยวนี้ ปฏิบัติ "  :angry2:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 32 :: up! 7-8-63} #หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 08-08-2020 01:34:52
 :pig4: :pig4: :pig4:

นายท่าน...แกหนีออกไปตามหาพี่เมี่ยงใช่ป่ะ?
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 32 :: up! 7-8-63} #หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 09-08-2020 18:51:50
โอ๊ยยย นายท่านไปซ่อนไหน ทำให้เมี่ยงห่วงทำไม
ไปตามขัดขวางเมี่ยงอาร์มหรอ แล้วกลับเองไม่ได้งี้

อาร์มเมี่ยงก็สวีทกันดี คงามงอแง ง้องแง้งกัน แต่น่ารักน่ะ เอ็นดูมากจริง
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 32 :: up! 7-8-63} #หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 10-08-2020 21:48:01
นายท่านไปเที่ยว เดี๊ยวเดียวก็มา 5555 อาร์มเมี่ยงพอเป็นแฟนละแหมมมม หยอดกันเองเล่นเองเขินเองตลอด  :-[ :o8:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 33 :: up! 14-8-63} #หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 14-08-2020 20:49:30
ตอนที่ 33


ทุกอย่างรอบตัวของผมในวินาทีนั้นหยุดนิ่ง ประโยคที่ได้ยินดังชัดอยู่ในหัวและเหมือนจะดังก้องวนไปมาอยู่อย่างงั้น  ‘ นายท่านของเมี่ยงหลุดออกไปจากโรงพยาบาลนะ ตอนนี้เรากำลังช่วยกันตามหาอยู่ ’

   หัวใจนั้นเร่งจังหวะอย่างหาจุดสิ้นสุดไม่ได้ในตอนที่ฟัง
แต่ถึงอย่างงั้น ผมก็แค่หลุดถามออกไปยิ้มๆ

“ อำอะไรกันพี่ ไม่เห็นตลกเลย ” คนยืนข้างกันหันมามอง ผมเองก็หันไปยิ้มกว้างให้อาร์ม “ พี่มึงนี่ มุกเยอะนะ จะแกล้งกันอะดิ รู้ทันแหละน่า ”

“ พี่รู้ว่าเรารู้ ว่าพี่ไม่ได้โกหก ” นั่นคือสิ่งที่พี่หมอพูดออกมาหลังจากที่ยืนนิ่งอยู่นาน เค้าก้มหน้าลงก่อนจะถอนหายใจ ด้วยสีหน้าลำบากใจ แล้วก็พูดต่อ “ สองวันก่อนเรามีพนักงานอาบน้ำสัตว์เข้ามาใหม่ สามชั่วโมงก่อนหน้านี้ เค้าเปิดกรง แล้วก็เปิดประตูห้องแมวเอาไว้ อย่างที่เมี่ยงรู้ ส่วนของพื้นที่อาบน้ำมันก็อยู่ชั้นล่าง นายท่านเลยหลุดออกไปทางประตูหลัง ตอนที่เราดูจากกล้องวงจรปิด ขอโทษนะครับ มันเป็นความผิดของทางโรงพยาบาลเอง ”

“ แล้วกล้องวงจรปิดรอบๆ เห็นมั้ยว่ามันไปทางไหน ”  ร่างสูงข้างกันเอ่ยถามพี่ชายตัวเอง พี่หมอก็ชี้ไป

“ เดินออกไปทางฝั่งนั้นน่ะ ”  มือหนาที่ชี้ออกไปตรงตึกแถวด้านข้างของโรงพยาบาล ตรงนั้นมันเป็นตรอกซอกซอยที่เต็มไปด้วยคาเฟ่ ร้านอาหาร แล้วก็ตึกแถวสูงของบ้านสำหรับอยู่อาศัย

สีหน้าของพี่หมอไอซ์ยามมองกันในวินาทีนั้นมีแต่สายตารู้สึกผิดจนทำให้ผมพูดไม่ออก แม้ในหัวจะมีแต่คำถาม และความไม่เข้าใจมากมายวนเวียนอยู่แบบที่อยากจะด่า และตวาดออกไปสักครั้ง ว่าดูแลกันยังไง ทำไมถึงปล่อยให้หลุดออกมาได้ ที่นี่มันโรงพยาบาลสัตว์นะเว้ย แถมยังเป็นโรงพยาบาลใหญ่  ไม่ใช่เอาไปฝากไว้กับคนไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักหน่อย โคตรสะเพร่า ทำงานกันยังไง ยังกับเล่นขายของกันตอนเด็ก

“ เมี่ยง ” อาร์มเอื้อมมือมาจับมือผม ที่ตอนนั้นทำได้แค่ก้มหน้าลง แบบที่ต้องกลืนคำพูดพวกนั้นลงไป ก็พอรู้ว่าไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้น ทุกคนตอนนี้ก็พยายามหากันอย่างสุดความสามารถ และมันก็เกิดขึ้นแล้ว โวยวายไป ไม่มีประโยชน์

“ กูจะไปตามหาฝั่งนู้นนะ ” หันไปบอกอาร์มแบบนั้น ก่อนจะเดินออกไปจากวงสนทนาอย่างที่ไม่ได้สนใจอะไรคนรอบข้างอีก มันเป็นความรู้สึกอยากด่าที่ด่าไม่ได้ แต่ถ้าจะให้พูดว่า ไม่เป็นไร มันก็คงไม่ได้เหมือนกัน

“ เมี่ยง ” เสียงฝีเท้าที่วิ่งเข้ามาจับมือ ผมหันไปมองใครคนนั้นด้วยสายตาที่แทบจะไม่แสดงความรู้สึก มือหนาเอื้อมขึ้นลูบหัวกัน อาร์มก็คงพยายามปลอบ แต่มันก็เหมือนรู้ว่าไม่มีคำพูดไหนที่จะพูดออกมาได้เลย “ ต้องเจอแน่ ช่วยหากันขนาดนี้ยังไงก็เจอ ”

“ แม้มันจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่แทบจะเดาใจเหี้ยอะไรไม่ได้เลยอย่างงั้นเหรอ ” ผมถามกลับอีกคนก็นิ่ง คนเลี้ยงแมวด้วยกันรู้ดี แมวเวลาหายไป ถ้ามันไม่หายไปเลย มันก็กลับมาเอง ก็มีแค่นี้

“ อย่าคิดลบแบบนั้น ยังไงก็ต้องเจอ มันต้องเจอสิว่ะ ” อาร์มที่มั่นใจอย่างงั้น ผมถอนหายใจก่อนจะเอื้อมมือขึ้นขยี้หัวตัวเองแบบหงุดหงิด “ ไปหากัน ”

“ อื้ม ”

ขาที่ก้าวเดินออกไป เรื่อยๆอย่างเชื่องช้า พร้อมกับเสียงที่ค่อยๆตะโกนเรียกชื่อเจ้าตัวป่วนที่หลุดหายออกไป “ นายท่าน นายท่าน ” เสียงที่ตะโกนออกไปพร้อมกับเสียงลมหายใจของผมที่ผ่อนออก สายตาที่มองไปตรอกซอกซอยหรือแม้แต่ผู้คน ที่ไม่ว่าใคร ผมก็เข้าไปเอ่ยถามเค้าทั้งหมด

“ คุณป้าเห็นแมวตัวที่ดำเทา ผ่านมาแถวนี้บ้างมั้ยครับ ”

“ ไม่เห็นเลยจ้ะ ” เธอว่าพลางยิ้มก่อนจะกวาดขยะหน้าบ้านของตัวเองต่อไป แต่ถึงอย่างงั้นผมก็เดินเข้าไปหาก่อนจะยื่นรูปที่อยู่ในมือถือให้เธอดู

“ หน้าตามันเป็นแบบนี้ ไม่เห็นเลยเหรอครับ ”

“ ไม่เห็นเลยจ้ะ ” ย้ำกันแบบนั้น ผมก็ได้แต่ถอนหายใจ

เวลาเองก็เริ่มผ่านไปเรื่อย พาๆกับระยะทางที่ก้ยาวขึ้นไปไม่มีที่สิ้นสุด เราเดินหากันแทบทุกซอยตรงทางที่ภาพในวงจรปิดที่เห็นว่ามันเดินมา แต่ก็เหมือนจะไม่มีวี่แววว่าใครจะเห็นมันเลย ไม่ว่าจากคนในละแวกนั้น หรือเพจของโรงพยาบาลก็ช่วยกันโพสออกไปเผื่อว่าจะมีคนพบเห็น แต่ก็ไม่มีเบาะแสเลย

“ ถ้าคุณป้าเห็นมันเดินผ่านมาแถวนี้ช่วยโทรบอกผมหน่อยนะครับ อันนี้เป็นเบอร์ของผม ” โพสอิสสีส้มที่หาซื้อได้เมื่อครู่ผมเขียนเบอร์โทรลงไปพร้อมชื่อก่อนจะยื่นให้หญิงสูงวัยที่กำลังเดินออกกำลังกายอยู่ “ ฝากด้วยนะครับ ”

“ ได้จ้ะ ถ้าป้าเจอ ป้าจะโทรไปบอกนะ ”

“ ครับ ขอบคุณมาก ”

“ น้องเมี่ยง น้องอาร์ม พี่ทำใบปลิวมาให้แล้วค่ะ ” พนักงานที่โรงพยาบาลวิ่งเข้าไปหา เธอมาพร้อมกับใบปลิวจำนวนนึง บนนั้นมีภาพของนายท่าน พร้อมทั้งเบอร์โทรของผม ของโรงพยาบาลรวมถึงรางวัลนำจับที่ทางโรงพยาบาลเป็นคนแสดงความรับผิดชอบออกให้

“ รางวัลนำจับ หมื่นนึงเลยเหรอครับ ”

“ ไม่ต้องกังวลนะคะ ทางโรงพยาบาลของเราจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนนี้เองค่ะ ไม่ว่ายังไงก็จะหาน้องนายท่านให้เจอแน่นอนค่ะน้องเมี่ยง ” เธอว่าแบบนั้นก่อนจะถอนหายใจออกมาแล้วเหลือบมองอาร์มที่ก็ไม่ได้พูดอะไร ในตอนนั้นมือหนาหยิบใบปลิวทั้งหมดนั่นมา มันแบ่งให้ผมครึ่งนึง ส่วนของมันก็อีกครึ่งนึง

“ แล้วตอนนี้ทุกคนหาละแวกไหนกันบ้างเหรอครับ ” อาร์มมันถาม

“ ก็หารอบๆโรงพยาบาลค่ะ เผื่อน้องกลับไป แล้วก็หาบริเวนโดยรอบของโรงพยาบาลเลยค่ะ แยกกันไปคนละซอย มีพี่ส่วนนึงขับรถออกไปตรงหมู่บ้านอีกฝั่งที่ไกลหน่อย เผื่อน้องจะเดินไป ” ว่าแบบนั้นเธอก็หันมายิ้มให้กัน มือนั้นเอื้อมมือมาลูบที่ไหล่ “ เจอแน่นอนค่ะน้องเมี่ยง ไม่ต้องกลัวนะ เราจะช่วยกันหาจนกว่าจะเจอเลยค่ะ ”

“ ครับ ” ตอบรับไปแค่นั้น ผมกับอาร์มก็เดินหันหลังออกจากตรงนั้นก่อนจะเดินหาในละแวกนั้นต่อไป

ขาของเราเดินผ่านบ้านหลังแล้วหลังเล่า รวมถึงร้านอาหารทุกร้านที่ผมขอเข้าไปฝากใบปลิวเอาไว้เผื่อว่าเค้าจะเห็นมันเดินผ่านมา จะได้โทรแจ้ง

“ คุณน้าครับ ไม่ทราบว่าเห็นแมวตัวสีดำเทาเดินผ่านมามาแถวนี้บ้างมั้ย ” ผมแวะถามผู้ชายสูงวัยคนนึงที่เดินอยู่แถวนั้น พร้อมกับยื่นรูปเจ้านายท่านให้ดู แต่อีกฝ่ายก็แค่ส่ายหน้าก่อนจะเดินผ่านไปอย่างรวดเร็วแบบไม่สนใจ

“ ขอโทษนะครับ เห็นแมวตัวสีดำเทา เดินผ่านมาทางนี้บ้างมั้ย หน้าตามันประมานนี้ครับ ” อาร์มเองที่อยู่เยื้องกันก็ถามกับพนักงานออฟฟิศที่เดินอยู่แต่อีกฝ่ายก็แค่ยิ้มก่อนจะส่ายหน้าให้เหมือนกัน  ในช่วงเวลานั้นเราผ่อนลมหายใจออกมาพร้อมกัน ก่อนจะเดินไปเรื่อยๆตามซอยต่างๆแบบที่ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดที่ตรงไหน

เวลาเองก็ผ่านไปเรื่อยๆ จากช่วงเย็นที่สว่างตอนนี้ความมืดค่อยๆเคลื่อนตัวเข้ามาปกคลุมทั่วทุกพื้นที่แล้ว พระอาทิตย์ตกลงไปแล้ว  และนั่นก็ยิ่งทำให้หัวใจของผมยิ่งท้อลงไปอีก ร่างกายที่กระสับกระส่ายไปหมดนั้น ผมผ่อนลมหายใจออกมา ราวกับว่าแสงแห่งความหวัง มันหดลงไปทุกที และตอนนี้มันก็เหมือนจะแทนที่ด้วยความสิ้นหวัง
 
ยิ่งมืดก็ยิ่งหายาก เปอร์เซ็นการหาเจอจะยิ่งลดลงไปอีก  ประโยคที่สมองของผมคิด ไม่นับว่าบางทีมันอาจจะเกิดเหตุร้าย อาจจะโดนรถชน อาจจะโดนตี อาจจะไปไปโดนหมาจรจัดกัด หรือแม้แต่โดนจับไปเลี้ยงเพราะคนที่เจอเห็นว่ามันน่ารัก

“ ฝนเริ่มตกแล้วว่ะ ” ประโยคของคนที่ยืนอยู่เยื้องกันไม่ไกลทำเอาผมเงยหน้าขึ้นมองฟ้าที่ตอนนี้นอกจากฟ้ากำลังมืดครึ้มแล้ว เม็ดฝนเม็ดเล็กที่ทยอยกันร่วงหล่นลงมาก็ยิ่งย้ำกัน ว่าสิ่งที่กำลังทำ มันเหมือนไม่มีหวังมากขึ้นเรื่อยๆ

ความหวัง ที่แม้ใครจะบอกว่าเราต้องเจอแน่นอน
แต่ใจก็เหมือนจะสิ้นหวังกับสิ่งนั้นอย่างสิ้นเชิง คล้ายกับจะยอมรับกับสภาพ

“ เดี๋ยวก็ป่วยหรอก ” ใบปลิวถูกยกขึ้นมาบัง ผมลดสายตามองคนที่เดินมายืนอยู่ตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่นแบบที่ไม่พูดอะไร มือนั้นปัดความห่วงใยที่บังฝนให้กันไว้นั้นออก

“ ขอโทษนะครับ ” ผมเอ่ยทักคนที่เดินผ่านมา เธอคนนั้นที่หยุดนิ่งอยู่ในชุดของพนักงานบริษัท ขาที่เดินออกไปพร้อมกับใบปลิวในมือนั้น ผมยื่นให้เธอ “ พี่เจอแมวแบบนี้แถวนี้บ้างมั้ยครับ หรือว่า ตอนที่เดินมา เห็นมันบ้างมั้ยครับ แมวของผมมันหายไป ”

“ ไม่เห็นเลยค่ะ ” เธอว่าแบบนั้นด้วยท่าทางที่ดูส่งๆ เพราะเร่งรีบจะกลับบ้านก่อนฝนจะตกหนักกว่านี้ และผมเองก็เหมือนกัน ก่อนที่ฝนจะตกหนักกว่านี้ ก่อนที่ความหวังมันจะริบหรี่ลงเรื่อยๆมากกว่า ผมก็อยากจะเจอมัน อยากจะได้ยิน แม้สักประโยคก็ยังดี ว่าเห็นแมวของผมเดินอยู่แถวๆนี้

“ ช่วยหน่อยเถอะครับ พี่ไม่เห็นมันจริงๆเหรอ มันเป็นแมวตัวสีเทาดำครับ มันหน้าตาหล่อมาก แล้วมันก็น่ารักมากๆเลยด้วย ทุกเช้ามันนจะเดินเข้าไปนอนอยู่ข้างๆผม มันกินข้าวที่ผมทำให้กินหมดทุกมื้อเลย ”

“ ไม่เห็นค่ะ ” เธอย้ำกันแบบนั้นด้วยเสียงที่หนักขึ้น ก่อนจะถอนหายใจรำคาญแล้วเดินเบี่ยงตัวออกไป ผมก็หันเหสายตาไปหาคนอื่นที่เดินผ่านมาอีก

“ พี่ครับ พี่เห็นแมวตัวนี้บ้างมั้ยครับ มันเป็นแมวของผม ตัวมันสีดำเทา ”

“ ไม่เห็นครับ ” ประโยคที่ได้ยินซ้ำๆผ่านไปคนแล้วคนเล่า ผมที่ยืนถอนหายใจอยู่นั้น จนมือที่หมดแรงปล่อยลงข้างตัว ก่อนที่อาร์มจะเดินเข้ามาหา อีกฝ่ายยื่นมือขึ้นลูบหลังเบาๆ

“ ใจเย็นๆ ”

“ หายไปไหนก็ไม่รู้เนอะมึง ” แล้วนั่นก็เป็นประโยคแรกที่ผมพูดออกมา หลังจากที่เงียบไปนานตั้งแต่ที่รู้ข่าวร้าย “ เอาจริงๆ กูไม่อยากจะร้องไห้เลย กูรู้ว่าร้องไห้ไปมันก็ไม่มีประโยชน์ แต่มันหายไปไหนวะ มันหายไปอะมึง ” ขาที่ทรุดนั่งลงตรงนั้น ผมจับปลายขากางเกงของอาร์มด้วยสองมือที่กำไว้แน่น  “ อึก ฮือๆ นายท่าน มึงออกมาเถอะนะ ได้ยินมั้ย ได้ยินเสียงของเมี่ยงมั้ย ออกมาได้แล้วนายท่าน ออกมาสักที กลับบ้านกันได้แล้ว ฝนตกแล้วนะ เดี๋ยวก็ป่วยหรอก ไม่หิวรึไง ทำไมต้องทิ้งกูไปด้วยละ อึก ฮือๆทำไมมึงต้องหนีกูไปแบบนี้ ”

“ เมี่ยง ใจเย็น ”

“ กูไม่เย็นแล้ว!! ” ผมตะคอกคนที่ย่อตัวลงนั่งข้างกันนั้นกลับไป สายตาที่มีแต่น้ำตานั้น ผมเอ่ยถามอีกฝ่ายเสียงสั่น “ มึงจะให้กูเย็นไปถึงไหน ทั้งๆที่กูแม่งโคตรอยากจะด่าคนทั้งโรงพยาบาลอยู่แล้ว กูรู้ว่าไม่มีใครอยากจะให้มันเกิดขึ้น กูรู้ว่ามันเป็นอุบัติเหตุ แต่ถึงจะอย่างงั้นกูก็แม่งอยากจะตะโกนด่าพวกเค้าทุกคนเลย ดูแลกันยังไง ดูแลแมวกูยังไง มันหายไปทั้งตัวเลยนะ เอาแต่บอกแต่ให้กูใจเย็นๆ อยู่ได้ เดี๋ยวก็เจอ เดี๋ยวเจอ ไหนละ มันอยู่ไหน  อึก ทุกคนอึก ทุกคน แม่งก็เอาแต่บอกกูแบบนี้ แต่จะให้กูเย็นได้ยังไง แมวกูหายไปนะ นายท่านมันหายไป ”

“ เมี่ยง ”

“ ที่บอกว่าเราจะต้องเจอ ทั้งๆที่มันป่านนี้แล้วอะ ยังไม่เจอเลย ฝนก็ตก มืดก็มืด แค่กูคิดว่ามันจะอยู่ยังไง มันจะปลอดภัยมั้ย ใจกูก็จะขาดอยู่แล้ว ไม่ใช่แมวมึงก็พูดได้สิ มึงก็พูดกันได้ทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่คนที่มึงรักนี่ แต่นี่มันแมวกูนะ กูรักของกูอะอาร์ม อึก ฮือๆ อาร์ม อาร์มช่วยเมี่ยงด้วยสิ ช่วยเมี่ยงด้วย ”

อ้อมกอดที่ดึงกันเข้าไปกอดในตอนนั้น สองแขนที่กอดรัดกันไว้แน่น ไม่มีคำพูดปลอบอะไรอีก แม้แต่จะเป็นคำว่า ใจเย็น อย่างที่เคยพูด เหมือนมันแค่ปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไป อาร์มปล่อยให้ผมร้องไปตามที่อยากร้อง ปล่อยให้โวยวายไปตามที่อยากโวยวาย

เป็นความรู้สึกที่ตอนนั้นผมได้รับรู้ถึงคำที่ว่า สติแตก
มีลักษณะเป็นยังไง


...................................................................


เสียงฝนด้านนอกเริ่มตกหนัก การค้นหาเลยหยุดลงก่อนที่ตรงนี้ เวลาตอนนี้หนึ่งทุ่มครึ่ง ผมกับเมี่ยงเองก็ย้ายเข้านั่งด้านในตรงที่นั่งพักของโรงพยาบาลที่ตอนนี้มันเงียบเชียบไปหมด และตอนนี้เสียงเดียวที่ผมได้ยินแข่งกับสายฝนข้างนอก ก็เหมือนจะเป็นเสียงร้องไห้ของคนข้างๆ ที่ก็ทำอะไรไม่ได้เลย ยกเว้นจับมือข้างนั้นไว้

‘ จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ ฝนตกหนักแบบนี้ ไม่รู้มันจะเอาตัวเองไปนอนหลบฝนตัวสั่นอยู่ที่ไหน ’ 

บางทีนั่นก็อาจจะเป็นสิ่งเดียวที่เมี่ยงคิด ในตอนที่มองออกไปนอกหน้าต่างในตอนนี้ ส่วนในใจผมเองก็ยังภาวนาให้ฝนหยุดตกเสียที เราจะได้เริ่มออกตามหามันอีกครั้ง

“ มึงรู้มั้ยว่าทำไมกูถึงได้นายท่านมาเลี้ยง ”

“ ไม่รู้ ทำไมเหรอครับ ” เอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาบนแก้มนั้น อีกคนก็แบะปากแบบที่ไม่ต่างอะไรกับเด็กเล็ก เมี่ยงแพ้คำว่าครับ และในช่วงเวลาที่หัวใจมันอ่อนแอแบบนี้ อีกคนก็ทำได้แค่เปล่งเสียงอ้อนๆ

“ มึงงงงงงงง ”

“ ครับ ว่าไง หื้ม ? ” อีกคนดึงตัวเองเข้ามากอด

“ เราจะเจอมันมั้ยวะ ”

“ เจอสิครับ เดี๋ยวฝนหยุดตกเราออกไปหากันอีกรอบนะ ยังไงก็เจอ ” คนงอแงดึงตัวเองออกจากกันก่อนจะพยักหน้ารับ เมี่ยงถอนหายใจออกมาพลางพิงหลังกับเก้าอี้ตัวที่นั่ง มือข้างนึงยกขึ้นปาดน้ำตาลวกๆ แล้วก็นิ่งไป  “ ยังเล่าไม่จบเลย ตกลงเรื่องของนายท่านมันเป็นยังไง ”

“ มันเคยโดนเจ้าของเก่าทิ้งไว้ที่นี่ พี่หมอไอซ์เล่าว่า เจ้าของเก่ามันเธอเป็นผู้หญิง ไม่แน่ใจว่าได้นายท่านมาเป็นของขวัญ หรือว่าอะไร เพราะว่าตลอดเวลาที่เอามารักษาที่นี่เธอก็มาคนเดียวบ้าง กับแฟนบ้าง แรกๆมันก็ไม่มีปัญหาอะไร จนหลังๆหายไปนาน แล้วสุดท้ายก็กลับมาพร้อมมันที่ขาหัก ”

“ เหรอ ”

“ ตอนนั้นเธอไม่ยอมบอก ว่าหักเพราะอะไร อ้ำๆอึ้งๆบอกว่าตกลงมาจากที่สูงเอง ไมได้มีใครทำอะไร ” เมี่ยงยิ้มในตอนที่พูดออกมาแบบนั้น “ แต่พี่บอกไอซ์ก็ว่ามันอาจจะโดนตีจนขาหัก แล้วท่าทางว่าคนที่ตีจะเป็นแฟนของเจ้าของนั่นแหละ เธอเลยรู้จะพูดยังไง พี่หมอบอกอว่าบางทีมันอาจจะไปกัด ไปฉี่ใส่ของรักของเค้า ไม่ก็อาจจะเป็นคู่รักที่เลิกกัน แล้วพอหงุดหงิดทะเลาะกันก็มาลงกับแมวตัวเล็กๆอย่างมันที่ไม่รู้เรื่อง ”

“ งั้นก็ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมมันถึงไม่ชอบกู ” คำพูดนั้นทำให้คนที่นั่งอยู่ข้างกันหันมามอง ผมยิ้ม “ ก็บางทีมันอาจจะคิดก็ได้ ว่าถ้ามึงกับกูรักกัน สุดท้ายมันกับแก้มหอมก็คงโดนทิ้ง มันเลยพยายามจะขัดกูกับมึงเวลาสวีทไง ไม่เห็นเหรอ มันขัดแบบ ขัดชิบหายเลยนะ ”

“ บ้า  มันเป็นแมวนะ มันไม่คิดอะไรขนาดนั้นหรอก ”

“ แต่แมวก็มีหัวใจนะ เราไม่รู้หรอกว่าจริงๆมันคิดอะไร ก็อาจจะจริงที่มันอาจจะแค่กวนตีนกู แต่มันก็อาจจะเป็นแบบที่กูคิดก็ได้ มันก็เป็นไปได้หมดอะ ”

ความจริงผมเองก็เคยได้รับการติดต่อจากพี่ชายมาเหมือนกัน แมวตัวนึงที่เหมือนว่าจะถูกทำร้ายจากเจ้าของ โดนส่งเข้าโรงพยาบาลมาสามเดือนแล้ว แต่เจ้าของไม่ยอมมารับกลับ ตอนนั้นพี่ชายถามกันว่าสนใจเลี้ยงแมวเพิ่มอีกสักตัวมั้ยแก้มหอมจะได้มีเพื่อน แต่เพราะว่าตอนนั้น ผมไม่ได้คิดอยากจะมีแมวเพิ่ม ไม่รู้ด้วยว่าดีนจะรู้สึกโอเคมั้ย  ก็เลยปฎิเสธไป

แบบที่ไม่รู้เลยว่า สุดท้ายมันก็กลับมาเป็นแมวของแฟนผมในตอนนี้อยู่ดี

“ ฝนเริ่มซาแล้ว ออกไปหากันเถอะ ” ลุกขึ้นจากที่นั่งอีกคนที่เช็ดน้ำตาก็ดึงตัวเองขึ้นมายืนข้างกัน เมี่ยงสูดลมหายใจเข้าไปลึกแบบเต็มปอด เราเดินไปหยิบร่มกันมาคนละคัน ก่อนจะเดินออกไปตามหากันต่อ  ท่ามกลางแสงไฟริมถนนที่ส่องสว่างเป็นจุดๆภายใต้ท้องฟ้ามืดมิดที่ฝนยังโปรยปรายลงมา

“ หรือว่าบางทีมันจะไม่อยากเจอกูแล้ววะ ” คนที่เดินอยู่ข้างกันเอ่ยพูดแบบนั้น เราก็หยุดเดิน เมี่ยงหันมาหาผม ที่อาจจะเพราะสภาพแวดล้อมในตอนนี้ทำให้ความหวังดูริบหรี่ลงไปมากกว่าที่เป็น

“ อย่าเพิ่งคิดอย่างงั้น ” เอื้อมมือไปประคองแก้มของอีกฝ่ายก่อนจะค่อยๆไล้นิ้วโป้งเบาๆ “ ลองพยายามดูก่อน ”

“ อื้ม ”

“ งั้นเราแยกไปหาคนละทางมั้ย ” บอกแบบนั้นในตอนที่เห็นทางแยกข้างหน้า “ มึงไปขวา กูจะไปซ้ายเอง ”

“ ก็ได้นะ ” เมี่ยงตอบแบบนั้น “ แต่ถ้ามึงเจอ อย่าวิ่งเข้าไปจับมันนะ นายท่านไม่ค่อยชอบให้ใครอุ้ม ”

“ โดยเฉพาะกู ” เมี่ยงยิ้มกว้างออกมา ผมก็พยักหน้ารับ “ อื้ม เดี๋ยวโทรหา ” บอกแบบนั้นอีกฝ่ายก็เดินหันหลังออกไป

ส่วนผมก็ถอนหายใจออกมาในตอนที่เห็นเมี่ยงเดินออกไปแล้ว

ยอมรับว่าในใจมันคิด ทั้งมืด ฝนก็ตก ความหวังทุกอย่างดูริบหรี่เหมือนแสงเทียนที่ต้องลมแรง ทุกอย่างมันยากมากขึ้นทุกทีในความรู้สึก แต่ถึงอย่างงั้น ผมก็พยายามบอกตัวเอง ยังไงก็ต้องมีความหวัง ผมไม่อยากจะกอดเมี่ยงที่เอาแต่นอนร้องไห้ในคืนนี้ มันทรมานเกินไป

ขาผมเดินไปตามซอย ลึกเข้าไปเรื่อย สายตาก็มองไปตามซอกเล็กๆตามบ้าน รวมถึงเคาะประตูถามบ้านที่พอจะถามได้อย่างไม่รบกวน แต่ก็ไม่มีใครเห็นเลยสักคน กับเจ้าแมวสีดำเทา บนถนนนั้นเงียบเชียบจนน่าใจหาย ดวงไฟส่องสว่างเป็นระยะ ก่อนที่ผมจะยินเสียง

แกร็ก แกร็ก  ที่ดังอยู่ไม่ไกล

มันเหมือนกับเสียงใครกำลังจับถุงพลางสติก แต่พอมองไปตรงต้นเสียงที่เป็นจุดทิ้งขยะกลับไม่ได้มีใครอยู่ตรงนั้น ฝ่าเท้าของผมเดินเข้าไปอย่างเงียบเชียบด้วยใจเต้นรัวที่รู้สึกว่า อาจจะเป็นคนที่ตามหา ก่อนจะหยุดเดิน แล้วยิ้มขึ้นมาทันทีตรงหน้าถังขยะ ตรงส่วนของกองถุงพลาสติกใบใหญ่นั้น เจ้าตัววุ่นวายที่ทำให้แฟนผมร้องไห้ก็ยืนอยู่บนนั้น นายท่านกำลังคุ้ยหาอะไรกินอยู่

“ ไงมึง ” ผมเอ่ยทักมันที่ก็มองกันด้วยแววตาสีเหลืองทองอย่างจ้องเขม็ง “ ทำแฟนกูร้องไห้แล้วมายืนคุ้ยหาอะไรกิน มันได้เหรอวะ ”

เจ้าตัวลายไม่เหลือคราบความหล่อเหลาแบบที่เจ้าของมันชื่นชมนักหนาในทุกครั้ง รวมถึงกับบอกผู้คนแถวนี้เลยสักนิด  ขนสีดำเทาเปียกชุ่มเพราะฝน แถมยังมีคราบรอยดำเต็มไปหมดเหมือนไปมุดตัวซ่อนที่ไหนมา

“ ไม่แปลกใจแล้ว ว่าทำไมใครๆถึงบอกว่าไม่เห็น สภาพมึงจรจัดขนาดนี้นี่เอง ” ว่าแบบนั้นก่อนจะย่อตัวลง

“ กลับบ้านกันเถอะ ” สายตาจับจ้องอีกฝ่ายที่ก็นิ่งไม่ขยับไปไหน ผมยิ้มบอกมัน “ รู้มั้ยว่าเมี่ยงเอาแต่ร้องไห้เพราะเป็นห่วงมึงนะ ”

สายตาที่ดูไม่ค่อยเชื่อใจกัน ขานั้นเองก็เตรียมจะวิ่งหนีในทุกเมื่อ ถ้าผมเผลอยื่นมือออกไปทำทีเป็นจับ หรือแม้แต่ขยับเพื่อหยิบโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าเรียกให้อีกฝ่ายมารับ นายท่านดูเหมือนไม่ไว้ใจผมเลยสักนิด บางทีก็อาจจะกลัวว่าต้องกลับไปเป็นเหมือนเก่า เหมือนตอนที่โดนคนรักของเจ้านายเก่าทำร้าย

สถานการณ์ ณ ขณะนั้นดูน่าอึดอัด
แต่ถึงอย่างงั้น ก็เลือกที่จะพูดสิ่งที่อยากจะพูดออกไป

“ ไม่ได้อยากจะญาติดีกับมึงหรอก ฉี่ใส่หมอน แถมยังขี้ใส่รองเท้ากูอีก แต่ว่า...” ผมเว้นเสียงลงในตอนที่มองหน้ามัน “ มึงกลัวใช่มั้ยละ ว่ากูจะตีมึง แบบที่คนอื่นเค้าเคยทำกับมึง ”

ก็รู้หรอก ว่าแมวมันโต้ตอบไม่ได้ แล้วก็รู้ด้วยว่าแมวไม่ได้มีความคิดซับซ้อนอะไรขนาดนั้น
แต่นั่นแหละ ไม่ว่ายังไงก้ยังอยากจะพูด

“ ขอโทษที่ตอนนั้นบอกว่าจะไม่มารับ เหมือนอย่างที่เจ้านายเก่ามึงเคยพูด แต่ยังไงก็ต้องมารับสิว่ะ ไม่มารับแม่มึงก็เอากูตายสิจริงมั้ย ” ผมบอกก่อนจะยิ้ม “ กูไม่รู้ว่าเจ้านายคนเก่า เค้าทำอะไรกับมึงไว้บ้าง กูไม่รู้ว่ามึงคิดอะไรอยู่ กูไม่รู้ว่ามึงเข้าใจที่กูพูดมั้ย แต่อย่าคิดว่าทุกอย่างมันจะเหมือนเดิมสิวะ เพราะกูไม่เคยคิดที่จะตีมึง ” ขาที่เหมือนจะกระโดดหนี เริ่มดึงตัวเองนั่งนิ่งราวกับกำลังตั้งใจฟัง

“ กูรักเมี่ยงก็จริงแต่กูไม่ใช่คนขี้เหนียว กูแบ่งให้เมี่ยงรักมึงอยู่แล้ว แก้มหอมก็ด้วย แล้วที่สำคัญกูก็จะรักมึงด้วยเหมือนกัน รักแบบที่กูรักแก้มหอม  ” ในตอนนั้นมือของผมที่ยื่นออกไป รอให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาหา แบบที่ไม่รู้ว่าจะเดินเข้ามาหา หรือเชิดหน้าหนีไปแบบที่ชอบทำ “ เมี่ยงต้องมีมึงนะ มาเถอะนายท่าน กลับบ้านเรากัน กลับไปอยู่ด้วยกันนะ ”

ไม่มีเสียงตอบรับอะไร ยกเว้นเจ้าตัวลายที่กระโดดลงมาจากถุงขยะใบใหญ่นั้น นายท่านเดินตรงเข้ามาใกล้ผมก่อนจะซุกหัวออดอ้อนเข้ากับมือที่ยื่นออกไปนั้น ท่าทางที่ทำให้ผมหลุดยิ้ม ก่อนจะดึงมันขึ้นมาอุ้ม แล้วในตอนนั้นผมก็ย้ำ

“ กลับบ้านนะ กลับไปหาเมี่ยงกัน ”

อุ้มเจ้าตัวมอมแมมออกจากซอยแบบที่ใจตรงออกไปหาเมี่ยงแทบจะทันที มือข้างนึงของผมถือร่ม อีกข้างก็ถือแมว ส่วนสายตาที่มองออกไปด้านหน้าตรงต้นซอยนั้น ผมเห็นคนกางร่มสีเหลือง ที่เราเพิ่งแยกกันเมื่อครู่กำลังยืนก้มหน้ากดโทรศัพท์ของตัวเองด้วยท่าทางที่ดูไม่สบายใจ เพราะคงหาแมวตัวเองมาทั้งซอยแล้ว แต่หาไม่เจอ

“ เมี่ยง ” ผมเอ่ยทักในตอนที่กำลังจะเดินใกล้ถึง แต่ในจังหวะที่อีกฝ่ายหันมาทุกอย่างของร่างขาวนั้นก็เหมือนจะหยุดนิ่ง ร่มที่ถืออยู่ถูกทิ้งลงก่อนที่อีกคนจะวิ่งเข้ามาหาแล้วอุ้มนายท่านเข้าไปแนบอก

“ นายท่าน มึงหายไปไหนมา ทำไมถึงดื้อแบบนี้ อึก ฮือๆ นายท่านนนนนน กลับมาแล้ว กลับมาหาเมี่ยงแล้ว ” ร่างที่ทรุดลงกับพื้น เมี่ยงกอดอีกตัวไว้แน่นแบบชนิดที่ไม่กลัวว่ามันจะอึดอัด เสียงร้องไห้ที่ร่ำร้องแบบที่แทบจะขาดใจและโล่งใจในคราวเดียวนั้น ผมเองก็ย่อตัวลงข้างๆ ก่อนจะยื่นร่มไปบังฝนให้

“ ม๊าว ” เสียงที่ดังขึ้นมาของเจ้าตัวในอ้อมกอดที่เงยหน้ามองเจ้าของ เมี่ยงเองก็ก้มลงมองมันทั้งน้ำตา

“ อย่าหายไปไหนอีกนะรู้มั้ย อย่าหายไปไหนอีก ”

“ ไม่หายไปแล้วครับ ” ผมเลียนเสียงแมวบอกออกไปแบบนั้น “ ขอโทษนะกั๊บพี่เมี่ยง นายท่านออกมาเที่ยวเล่นนานไปหน่อย ทำให้พี่เมี่ยงร้องไห้เลย  ”

“ อาร์มมม ” เสียงงอแงที่ลากเสียงเรียกกันนั้น มาพร้อมสายตาปิดเปื้อนน้ำตาและรอยยิ้มที่น่ารักที่สุดในโลก

“ ครับผม ”

“ ขอบคุณนะ ”

ในวินาทีนั้นที่ผมยิ้ม เพิ่งรู้สึกว่าตัวก็ตอนนี้เองว่ารอยยิ้มของเมี่ยง และความสุขของเมี่ยง ส่งผลต่อความรู้สึกของตัวเองมากแค่ไหน

ก็เอาเป็นว่าบางทีนายท่านเอง ก็อาจจะไม่คิดอย่างงั้น บางมันอาจจะไม่เข้าใจที่ผมพูดด้วยซ้ำ แต่เหมือนกับว่าคำพูดที่บอกออกไป มันเป็นแค่ประโยคขอขอร้อง เพื่อให้อีกฝ่ายกลับมา และเพื่อให้คนตรงหน้านี้มีความสุข

ทุกอย่างมันก็เท่านั้น

“ กลับบ้านเรากันเถอะ ” แล้วนั่นก็เป็นประโยคสั้นๆที่พูดออกมา เพราะรู้สึกชอบมันเหลือเกินกับคำที่มีความหมายว่า ‘ บ้านของเรา ’

....................................................................

สั้นมาก และเพิ่งเขียนเสร็จเมื่อกี้เลยจริง
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์กันนะคะ
ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ในทวิต ด้วยนะคะ
ขอบคุณมากค่ะ
 :กอด1: :L2: :3123: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 33 :: up! 14-8-63} #หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 14-08-2020 21:53:58
เปิดใจแมวไป
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 33 :: up! 14-8-63} #หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 14-08-2020 22:46:58
ทำไมไม่รู้ มีความสังเห่า (หรณ์) ว่า ผู้หญิงที่เมี่ยงทักจะเป็นคนที่ทิ้งนายท่าน และที่นายท่านออกไปนอกโรงพยาบาลเพราะจำได้ว่าบ้านที่เคยอยู่ ๆ ใกล้โรงพยาบาล เลยจะกลับมาหาหรือเปล่าน่ะ   :teach:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 33 :: up! 14-8-63} #หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 15-08-2020 02:12:11
 :pig4: :pig4: :pig4:

โถๆๆๆๆๆ

น่าสงสารนายท่าน  คงฝังใจมากเลยสินะ
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 33 :: up! 14-8-63} #หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 15-08-2020 20:15:09
เอ็นดูอาร์มคุยกับแมวเป็นวรรคเป็นเวร รู้เรื่องพยักหน้าหงึกหงัก 5555  กลับบ้านนะนายท่าน  :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 33 :: up! 14-8-63} #หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 18-08-2020 20:21:30
กอดเมี่ยงน้า ได้ปลดปล่อยแล้ว และอาร์มก็เข้าใจ
ยิ่งตอนนี้เจอนายท่านแล้ว ยิ้มได้แล้วเนาะ

ต่อไปทั้งรพ. ก็ต้องระวังกันให้เยอะขึ้นนะ

อาร์มทำได้ดีค่ะ ใจเย็นพอตัว ช่วยเมี่ยงได้เยอะเลยน้า
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 34 :: up! 28-8-63} #หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 28-08-2020 20:22:43
ตอนที่ 34

ห้องขนาดใหญ่แบบหนึ่งห้องนอน และหนึ่งห้องเลี้ยงแมว เต็มไปด้วยกระดาษลังที่บรรจุของใช้ต่างๆจากห้องเก่าไว้เต็มทุกใบแบบที่ไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มจัดการกับอะไรก่อน  วันนี้เป็นวันย้ายห้องใหม่ หลังจากที่นายท่านทำเรื่องที่ผมคงจำไม่ลืมไปจนวันตาย วันนี้ก็เหมือนจะเป็นวันที่เราเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หลังจากผ่านมาสามวัน

รวมถึงความวุ่นวายก็ด้วย

“ ม๊าวววววววว ม๊าววววววว ” เสียงขัดใจที่ดังมาจากในกรง เจ้าก้อนขนสีขาวดูเหมือนจะไม่พึงพอใจเท่าไหร่ที่ถูกขังอยู่ในที่อึดอัดคับแคบอย่างงั้น แก้มหอมร้องเรียกให้เราเปิดกรงให้มัน แบบรับบท คุณหนูเอาแต่ใจ

“ ร้องทำไมอ้วง มีอารายยยยย ” ลากเสียงเอ่ยถามทั้งๆที่รู้ แต่เจ้าตัวน่ารักก็แค่ร้องตอบแบบเดิม

“ ม๊าววว ”

“ อะไรนะ ได้ยินไม่ชัด ”

“ ม๊าว ”

“ ม๊าวๆอะไร ขี้บ่นเหรออ้วงน่ะ ” ถามออกไปแบบนั้น ผมลุกขึ้นเดินมาหยุดที่หน้ากรงก่อนจะย่อตัวลงตรงหน้าเจ้าตัวเรื่องมาก แบบที่พร้อมจะเจรจาด้วย “ คือฟังนะอ้วงนะ พี่เมี่ยงรู้ว่าอ้วงก็คืออยากจะออกมา แต่ว่าตอนนี้อ้วงยังออกมาไม่ได้เข้าใจเปล่า แล้วนั่นก็เพราะว่า ของมันยังจัดไม่เสร็จ ถ้าอ้วงออกมาแล้ว ไปกระโดด ไปซน จนของมันหล่นตกแตก ป๊ากับพี่เมี่ยงก็ต้องตามเก็บอีกไงครับ เพราะงั้นก็ต้องอดทนนะ  เข้าใจมั้ยคะ ”

ไม่มีเสียงตอบรับแต่ในตอนที่ลุกขึ้นจากเจ้าตัวกลมที่ฟังผมตาแบ๋ว เจ้าของแมวที่คิดว่ากำลังจัดเตรียมของ ก็ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วยท่าทีที่ดูเหมือนจะเอ็นดูกันอยู่ไม่น้อย

เป็นสายตา และท่าทางที่ผมอดแซวไม่ได้

“ มองด้วยสายตาแบบนั้น  เพราะกูน่ารักมากเลยใช่มั้ย ”

“ มั่นหน้าจังครับ ” เสียงเรียบๆว่าแบบนั้น แต่ผมก็แค่ยักไหล่ใส่อีกคนไป

“ แน่นอน และเพราะกูก็คือ แฟนทั้งรักทั้งหลงมากเลยแหละ ” คนฟังที่ถึงขั้นหลุดยิ้ม ก่อนจะยกมือขึ้นกวักเรียกให้เข้าไปใกล้

“ มานี่หน่อย ”

“ ยังไง ” แต่พอถามออกไป กลับไม่มีคำตอบอะไรนอกจากริมฝีปากที่ลดลงจูบกับสิ่งเดียวกันนั้น อาร์มมันยกยิ้มในตอนที่ผละออกจากกันเพื่อมองหน้า

“ ก็แค่ไม่ผิดจากที่มึงคิดไง  ” คำพูดที่ตบท้ายด้วยการหอมแก้มไปอีกฟอดใหญ่ “ เพราะทั้งรักทั้งหลงจริงๆนั่นแหละ ”

“ บ้าบอ ” และระหว่างเรา ก็เหมือนจะเป็นแบบเดิมในทุกครั้ง  แบบที่สุดท้ายเหมือนว่าจะชนะ แต่ก็ยังไม่เคยชนะได้จริงๆสักที

กล่องใบแล้วใบเล่าถูกดึงเอามาจัดการตามพื้นที่ที่เราคิดกันเอาไว้ เราแยกกันไปคนละมุม อาร์มรับหน้าที่จัดของตรงส่วนครัว ส่วนพื้นที่ห้องนอนเป็นของผมที่ตอนนี้ตู้เสื้อผ้าก็ถูกจัดแยกแบบคนละฝั่ง และเหมือนจะเต็มไปหมดด้วยเสื้อผ้าที่ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆจากน้ำยาปรับผ้านุ่มกลิ่นโปรด

บนโต๊ะเครื่องแป้ง ผมพยายามจัดให้ดูโล่งที่สุด ด้วยการจัดน้ำหอมที่มีมากมายนั้นใส่ลงไปตรงชั้นวางข้างๆ และแน่นอนว่ามันเป็นของผม 98% ส่วนอีกเปอร์เซ็นที่เหลือเป็นของผู้ร่วมอาศัย อาร์มมีน้ำหอมอยู่แค่ไม่กี่ขวด กลิ่นก็เป็นโทนอบอุ่นตามฉบับที่ชอบ กลิ่นที่ผมชวนให้ผมไหลตัวไปซุกเวลาที่เรานั่งดูหนังด้วยกันในทุกครั้ง แต่ที่น่าแปลกคือพอผมฉีด มันกลับไมได้หอมอย่างงั้น

ในส่วนของห้องน้ำ สบู่ถูกวางลงบนชั้น  ผมหย่อนแปรงสีฟันที่เพิ่งซื้อใหม่คนละสีลงในที่ใส่ แล้วก็ยิ้มให้การเริ่มต้นใหม่ที่ไม่ว่าจะหยิบจับอะไร ก็รู้สึกน่ารักไปหมด ส่วนตัวผมชอบน้ำมาก เพราะมันแยกโซนดี แถมยังมีอ่างน้ำ

“ เสร็จแล้ววววว ” เดินลากเสียงออกมาจากห้องนอนหลังจากทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย แต่ในตอนที่ปิดประตูลง ผมหันมองอีกฝ่ายที่ก็ยกยิ้มเก็กหล่อให้กัน แบบที่เหมือนจะบอกว่า ในส่วนครัวก็เสร็จเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน

“ เป็นไง ”

“ อะไรเป็นไง หมายถึงในห้องเหรอ ”

“ อื้ม ” ร่างสูงพยักหน้ารับ

“ แน่นอนว่า เรียบร้อย งดงาม เป็นระเบียบ ขนาดพรมปลายเตียงก็คือมีการคำนวนมาอย่างดีแล้วว่า ขนานกับเตียงแบบไม่มีล้ำเส้นแม้แต่น้อย เหมือนในโรงแรมเลยแหละ น่านอนสุดๆอะครับ ”

“ เชื่อ แต่จะน่านอนสุดๆมั้ย คืนนี้ต้องลอง ” ขาที่เดินเข้ามาหากอดเข้าที่รอบเอวแบบคนมือไว อาร์มเบียดแก้มเข้ากับแก้มของผม มันซบ “ เพราะเหมือนจะไม่มีอะไรมาสู้คนที่นอนกอดกันบนเตียงทุกคืนได้เลย ไม่มีอะไรชวนให้นอนกอดกว่านี้ ”

“ จีบเก่งอีกแล้วจ้า  อย่าให้มีช่องว่าง พี่อาร์มกูเสียบหมด ”

“ ไม่ได้จีบเก่งอย่างเดียวนะบอกไว้ก่อน อย่างอื่นก็เก่ง ”

ประโยคที่ทำให้ได้แต่นิ่งคิด ปกติเท่าที่อ่านนิยายรักฉบับวัยรุ่น ถ้าพระเอกพูดแบบนี้กับนางเอกในเรื่องก็เหมือนจะมีอย่างเดียวมั้ยนะ ที่อีกฝ่ายจะสื่อถึง

“ เชี้ย...” ในใจของผมสถบออกมาอย่างงั้น ‘ อย่าบอกนะว่าคืนนี้มันจะบุกตีเมืองของผม ’

“ เงียบไปเลย ” คนพูดดึงตัวเองออกมองกันด้วยสายตางุนงง ผมก็ได้แต่นิ่งเพราะไม่รู้ว่าจะต้องแสดงความรู้สึกอะไรกับประโยคนั้น

จะบอกว่า  ‘ ไหนมาลองดูสิ ว่าจะเก่งอย่างที่พูดหรือเปล่า ’ แบบที่ใจต้องการก็ดูจะพร้อมรับมากเกินไป แต่จะบอกว่า ‘ อะไรอะ พูดอะไรอย่างงั้น ’  ก็กลัวอีกฝ่ายจะคิดว่าไม่พร้อม

ทั้งๆที่ก็พร้อมมาก และพร้อมมาหลายวันแล้ว

“ เมี่ยงครับ ” อาร์มเอ่ยเรียกผมซ้ำ

“ ครับ ” ส่วนผมที่หันไปตอบ ก็ทำได้แค่ยิ้มก่อนสายตาจะหันไปเห็นกล่องที่ยังคงวางอยู่ เป็นส่วนของของตรงโซฟาหน้าทีวี “ ตรงโซฟาหน้าทีวีค่อยจัดแล้วกันนะมึง ไปจัดส่วนในห้องแมวก่อน สงสารพวกมัน คงอึดอัด ”

“ โอเคครับ” มือที่ไม่มีทีท่าจะปล่อย อาร์มออกแรงดึงผมให้เดินไปพร้อมๆกัน

ส่วนของห้องแมว เป็นแค่ห้องสี่เหลี่ยมขนาดกลางที่มีระเบียงแบบปิด รวมถึงขั้นบันไดที่ตกแต่งมาเพื่อให้แมวได้ปีนป่ายมองวิวด้านนอก แต่ที่ผมภูมิใจนักหนา ก็คงเป็นเปลแมวไล่ระดับที่ผมแอบสั่งซื้อมาชนิดที่สีสันสดใสเอามากๆ ไม่นับที่ลับเล็บแบบรู้กระบองเพชรอีก

ห้องน้ำแมวถูกจัดไว้ตรงส่วนมุม  ส่วนคอนโดแมวเอามาตั้งไว้ใกล้กันเพื่อเพิ่มความยิ่งใหญ่เกรียงไกร ส่วนของตกแต่งที่มีก็เหมือนจะเข้ากันมาก มากแบบเกือบจะรก รวมถึงที่นอนกล้วยนุ่มๆที่คนเห็นยังรู้สึกอยากจะหย่อนตัวลงไปนอน

 ส่วนอาร์มซื้อโต๊ะญี่ปุ่นสีเข้ากับห้องไว้ตรงกลาง ด้วยแนวคิดที่ว่าบางทีก็อยากจะทำงานไปเล่นกับแมวไป

ที่ซึ่งก็ไม่อยากจะไม่อยากจะทำลายหัวใจคนซื้อเลยว่า
มึงคงไม่ได้ทำงานหรอกเลิกฝันไปได้เลย

 “ มาจ้า ได้เวลาออกมาทำห้องรกแล้วพวกมึง ” ว่าแบบนั้นผมย่อตัวลงหน้ากรงพร้อมสบสายตาสีฟ้ากของเจ้าคนฟูที่อาร์มบอกย้ำกันบ่อยๆ ว่าไม่ต่างอะไรกับผมในร่างแมว “ แก้มหอมขา จะออกมาเปล่า ”

“ เมี๊ยว ” พอได้ยินคำว่า ‘แก้มหอมขา’ เจ้าตัวน่ารักก็ขานรับกันเต็มที่ แต่ถึงอย่างงั้นผมกลับแค่ยิ้มมองมันแบบไม่ยอมเปิด อย่างที่อยากจะนั่งจ้องอีกตัวแบบกวนตีนไปอย่างงี้

“ ไม่ให้ออกหรอกอ้วง แบร่ๆ ” แลบลิ้นใส่อีกฝ่ายก็ส่งเสียงร้องขัดใจขึ้นมาทัน

“ ม๊าววววว ” ท่าทางที่ดูเหมือนจะรู้เรื่อง แก้มหอมประท้วงใหญ่

“ ม๊าวๆอะไร หื้มมม อ้วงโดนแกล้งเหรออออ ”

“ เมี๊ยววว ” เสียงใสมาพร้อมเท้าปุยที่เขี่ยเข้ากับประตูกรง ก่อนที่คนป็นพ่อแมวจะเดินเข้ามาใกล้ อาร์มย่อตัวลงนั่งข้างผม

“ ไหน ไหนใครแกล้งแก้มหอมของป๊าคะ”

“. เมี๊ยว ” เสียงอ้อนในระดับน่ารักเอ่ยร้องราวกับฟ้องคนเป็นพ่อ แววตากลมที่มอง เท้าปุกปุยทำหน้าที่เขี่ยประตูกรงแบบที่เรียกร้องความสนใจเต็มที่ “ เมี๊ยว เมี๊ยว “

แบบชนิดที่ว่าถ้าแปลเป็นภาษาคนก็คงมีใจความประมาน ‘ ป๊าขา~ พี่เมี่ยงแกล้งหนู พี่เมี่ยงแกล้งแก้มหอม ’

“ พี่เมี่ยงเค้าแกล้งหนูเหรอครับลูก ” เออออไปตามเรื่องด้วยเสียงสองแบบที่ชวนให้ต้องเหลือบมองผ่านหางตาแล้วยิ้มเกร็ง ก่อนคนพูดที่เหมือนรู้ตัวจะหันมามองหน้ากัน “ งั้นเดี๋ยวป๊าจัดการพี่เมี่ยงให้เลย มาทำแบบนี้กับแก้มหอมของป๊าได้ยังไงกันนะ ”

วินาทีต่อมาหลังจากจบประโยคนั้น อาร์มดึงตัวเองเข้ามาใกล้ผมแบบชนิดที่ไม่ทันให้ตั้งตัว สายตาคมไม่ผละไปมองสิ่งอื่นใด จนริมฝีปากของเรานั้น แนบสนิทชิดลง

“ อยากจูบก็บอก ต้องอ้างแมวด้วยเหรอ ” ถามคนที่ผละริมฝีปากออกไปแบบยิ้มๆแต่เหมือนคำพูดนั้นคล้ายจะเป็นคำดูถูกอยู่เสียหน่อย  คนฟังก็เลยยกยิ้มขึ้นมา อาร์มก้มหน้าลงอยู่สักพัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผม แต่ทว่า

“ เพราะถ้าเป็นกูนะ ” ประโยคที่เว้นช่วงเสียงไป ผมเอื้อมมือไปประคองหน้าของอีกคนก่อนจะดึงเข้าจูบ “ กูจะจูบเลย ไม่อ้างแมวหรอก ”

“ ร้ายจัง ” เสียงเบาๆที่พูด มาพร้อมริมฝีปากที่จูบลงบนริมฝีปากของผมอีกครั้งและครั้งนี้มันก็ไม่ได้แค่สัมผัสเพียงบางเบาที่ผ่านมาแล้วผ่านไป แต่มันกลับเคลื่อนไหวและขบเม้มลงบนอวัยวะเดียวกันนี้ อย่างดูดดื่ม จนท้ายที่สุด คนโดนท้าทาย ต้องจำยอมเผยอริมฝีปากออกเพียงน้อยอย่างยากห้ามใจ ผมทำตามความรู้สึกและขยับตอบรับรูปปากนั้นในจังหวะเดียวกัน


มันที่ทั้งดูดดื่ม

ลุ่มหลง

และชวนให้จมดิ่ง

เราแหวกว่ายลงสู่ความรู้สึกที่ไร้ความเขินอายใดนี้ ไม่สนเสียงน้ำลายที่กอดเกี่ยวกันและกันไว้อย่างคลอเคลีย ตราบเท่าที่ต้องการ

สายตาของผมหลับสนิทลงในตอนนั้น ร่างกายชานิ่งราวกับตุ๊กตาตัวน้อยยามที่ร่างสูงดันร่างตัวเองขึ้นทาบทับ แผ่นหลังลดระดับลงนอนราบบนพื้นห้อง รับรู้ถึงความอบอุ่น หรือแม้แต่กลิ่นน้ำหอมยามที่แผ่นอกของเราแนบชนิดกัน

สัมผัสมือข้างนึงสอดเข้ามาในเสื้อ ส่วนอีกข้างก็ลูบไล้ไปตามความยาวแขนพลางดึงขึ้นเหนือหัวแล้วกดไว้อย่างงั้น ก่อนคนมอบจูบดูดดื่มจะดึงตัวเองขึ้นจดจ้องริมฝีปากบวมแดงของผมด้วยรอยยิ้มมุมปากแบบชนิดที่พึงพอใจกับผลงานตัวเองอย่างที่สุด

มันเป็นท่าทางที่ชวนให้ผมเบือนหน้าหนีไปทางอื่น และอย่างไม่รู้ว่าต้องทำยังไง มือข้างที่ว่างยกขึ้นปิดหน้าตัวเอง พร้อมกับกัดริมฝีปากล่างของตัวเองเบาๆ

“ เก่งแบบเมื่อกี้อีกสักหน่อยสิครับ ” อาร์มที่ก้มลงจูบข้างแก้มผม มันที่ว่าแบบนั้นพลางเหลือบมองกัน ” แบบที่พูดว่าอยากจูบ แต่จริงๆก็อ้างแมว ”

“ มึงอะ เลิกพูดเลยนะ ”  เสียงหัวเราะที่ดังลั่นออกมาในตอนนั้น คนที่อยู่ด้านบนดึงตัวเองลงนอนราบข้างกัน ก่อนมือหนาจะเอื้อมมาจับมือของผมไว้ ท่ามกลางความเงียบเชียบ อากาศอบอุ่นและเสียงแมว ที่อยู่ๆก็ดังขึ้น เหมือนเครื่องเตือนสติ

“ เมี๊ยว..”

‘  ยังไม่ได้เปิดกรงแมวเลย  ’ ประโยคนั้นคงแล่นเข้ามาหัวของเราไม่ต่างกัน ผมกับอาร์มหันมองหน้า เราหลุดหัวเราะออกมาเสียงดังอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม


............................................................


ห้างใกล้คอนโดในวันหยุด ดูคนบางตากว่าทุกอาทิตย์ในตอนที่มองไปโดยรอบ หลังจากที่เราจัดห้องเรียบร้อย ก็ได้เวลาหุงหาอาหารสำหรับมื้อเย็นนี้ และแน่นอนว่าพ่อครัวมือฉมังก็ออกตัวเต็มที่สำหรับมื้ออาหารแรกในห้องใหม่ของเรา

“ จะว่าไปยังไม่มียาสีฟันเลย ” ผมพูดในตอนที่หยุดรถเข็นที่ตัวองกำลังเข็นอยู่ตรงหน้าชั้นวางที่เต็มไปด้วยยาสีฟันหลากหลายแบบ “ มึงชอบแบบไหน ”

“ แบบไหนก็ได้ ใช้ได้หมดอะ ”

“ สมุนไพร ”

“ ก็ได้ ” อีกฝ่ายบอก

“ แต่อะไรก็ได้ไม่ได้นะ เราต้องเลือกแบบที่มีส่วนประกอบที่เหมาะสมสำหรับฟันสวยๆของเรา เข้าใจมั้ยครับน้องอาร์ม ” แสดงท่าทางแบบสอนเด็กเล็กคนฟังก็หลุดยิ้ม ก่อนผมจะหันไปเลือกดูยาสีฟันที่จะใช้ แต่เหมือนว่าคนข้างกันจะจับจ้องโดยคนข้างกันแบบชนิดที่ไม่วางเลย

“ มองอะไร ไปซื้อของทำกับข้าวไปมึงอะ ไหนบอกจะทำหมูทอดซอสเปรี้ยวหวานอะไรนั่นไง ”

“ ไม่อะ อยากไปด้วยกัน ” พูดแบบเอาแต่ใจ คนที่ยืนอยู่ก็จับเข้าที่รถเข็น “ เลือกไปสิ กูเข็นให้ ”

“ อารมณ์ไหน ติดแฟนอ๋อ เราอะ ”  เอื้อมมือไปเขี่ยล้อๆที่ใต้คาง ผมแซวมันยิ้ม แต่อีกคนก็แค่เบือนหน้าหนี

“ ตกลงเลือกได้ยัง ยาสีฟันมึงอะ ”

“ ยอมรับมาก่อนว่าติดกูมาก ไม่อยากจะห่างกันไปไหน แล้วจะบอก ”

“ กูแค่คิดวันนั้น ” เผลอขมวดคิ้วในตอนที่อีกคนพูด อาร์มหยิบยาสีฟันที่ผมถืออยู่ในมือใส่ลงในรถเข็น

“ วันไหน ”

“ ก็วันที่เราเจอกันที่ห้าง หลังจากที่กูบอกมึง ว่ากูมีคนที่ชอบอยู่แล้ว จำได้มั้ยว่ากูบอกมึง ว่าสักวันกูจะลืมเค้า แล้วมาเดินซื้อของกับมึง เพื่อเข้าบ้านของเรา ”

“ ก็จำได้ ” พูดแบบเสียงอ้อมแอ้ม แก้มเองก็ระเรื่อแดงไปหมดเพราะภาพในวันนั้นฉายเข้ามาในหัว

ทั้งสีเสื้อ บรรยากาศ หรือแม้แต่ใบหน้าของคนที่พูดคำนั้น ผมเหลือบมองคนที่ค้ำตัวเข้ากับมือจับรถเข็นมองหน้ากันด้วยความรู้สึกมีความสุข อาร์มยักคิ้วให้ผม แบบที่แปลได้ประมานว่า ‘ เจ๋งมากเลยใช่มั้ยละตัวกู ’

“ จ้า เท่สุด แต่ช่วยเข็นรถออกมาด้วยจ้า จะได้กลับบ้าน หิวข้าวแล้วหน้าสัด ”

“ บ่นเป็นเมียเลย ” ประโยคที่ได้ฟังทำเอาผมหันไปเหลือบมองคนที่ยิ้มให้กันอย่างงั้น แต่อย่าหาถึงความสำนึกผิดใดไม่ และแน่นอนว่า อาร์มมันต้องเจอคนอย่างผม

“ ก็ใช่ไง หรือมึงจะให้กูเป็นผัวอะ ก็ได้อยู่น้า ” ลากเสียงในตอนท้ายแบบรอยยิ้มกรุ่มกริ่ม คนฟังก็ไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น อาร์มแค่เข็นรถออกไปข้างหน้า แล้วดึงมือข้างนึงขึ้นมากอดคอผม เราที่เดินข้างกันไปเรื่อยๆ ก่อนที่อีกฝ่ายจะหยุดแล้วตอนที่หันไปมองล็อคตรงนั้น ก็ทำให้ผมรู้ว่า ไม่น่าจะไปยุยงอะไรมันเลยจริงๆ

“ แบบไหนดี มาเลือกกันดีกว่า ยังไงก็ขาดอยู่พอดี ”

“ ปกติมึงใส่ไซส์ไหนอะ ” ทำทีเป็นเฉยๆ เหมือนไม่รู้สึกอะไรในตอนที่ถาม มือที่เอื้อมไปทำทีเป็นจับ ทั้งที่จริงหน้าแดงไปหมด ภาพก่อนหน้านี้ที่เรานอนทับก็ไหลวนเข้ามาในหัวเหมือนหนังเรื่องโปรดติดตา ผมหยิบของตัวเองแล้วโยนใส่รถเข็น “ ของกูประมาน 52 ”

“ ของกู 54 ” หยิบอย่างเหนือกว่าด้วยสายตาภาคภูมิใจราวกับเด็กเล็ก อาร์มหยิบแบบบางใส่ลงไปในรถเข็นแล้วยิ้มให้ผมที่ก็ทำได้แค่หันไปทางอื่นแบบยิ้มเกร็ง ด้วยนิสัยที่ต้องบ่นออกมาเบาๆว่า

“ เด็กเล็กชิบหายไอ้สัด มีอวดผ่านสายตาด้วย ”

“ แต่เอาจริงก็ไม่ได้ใหญ่หรอก จริงๆประมาน 52 นั่นแหละ แค่ไม่ชอบใส่แบบคับเกิน ก็เลยเอาแค่ไม่หลุดพอ กูเคยลองใส่ 52 แล้วอึดอัด ไม่ชอบ ”

“ น่าเศร้าที่กูรู้สึกสบายในตอนที่ใส่ 52  ” ยิ้มแห้งอีกหนึ่งกรุบคนที่ยืนข้างกันก็ยื่นมือมาขยี้หัวพร้อมเสียงหัวเราะที่เหมือนจะย่ำยีความเป็นชายอยู่ไม่น้อย  ‘ หึยยยยยยยยยยยยยยยยย แค้นใจนัก ’ “ แต่เดี๋ยวนะ..”

“ อะไร ” คำถามที่ทำให้ผมนิ่ง เพราะสมองสั่งการว่าหยุด และห้ามพูดสิ่งที่คิดออกไปเด็ดขาด กับประโยคที่ว่า ‘ ซื้อถุงยางอนามัยเตรียมไว้ขนาดนี้ คืนนี้มันอาจจะเกิดก็ได้ใช่มั้ย ภาคต่อจากห้องแมวเมื่อครู่ ’ “ เมี่ยงครับ ”

“ ไม่มีอะไรมึง ” ส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนจะเข็นออกไปข้างหน้าแบบที่ไม่พูดอะไรออกมาอีก

ของในรถเข็นถูกเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ตามความจำเป็น ทั้งของใช้ในบ้าน วัตถุดิบอาหารเย็น แล้วก็ขนม แต่เหมือนว่าอย่างสุดท้ายที่ว่ามันจะไม่ได้รับอนุมัติจากผู้อยู่ร่วมห้องโดยง่ายเลย เพราะว่าไม่ว่าผมจะหยิบอะไร อาร์มมันหยิบออกหมด

“ มึง ขอร้อง ” จับมือหนาที่กำลังจะหยิบถุงขนมออก อาร์มถอนหายใจยิ้มๆก่อนจะปล่อยมือออกจากห่อขนมรสโปรด ก่อนจะย้ำ

“ ถุงเดียวนะ ”

“ ถุงเดียวเองอะ ” ผมท้วง

“ บ็อปคอร์นอีกไงครับ พอแล้วมั้ง มีเยอะก็กินเยอะนะ ” โทนเสียงที่อ่อนนุ่มมบวกกับสายตาที่อบอุ่นนั้นชวนให้อยากงอแงแบบเด็ก ผมทำหน้างอ “ ตัวกินขนมแบบมึงซื้อมาเท่าไหร่ก็หมด ซื้อแค่พอกิน แล้วค่อยมาซื้อใหม่ ห้างมันก็แค่นี้ ”

“ งั้นขอไอศกรีมสักแท่งได้มั้ย กินรอมึงทำกับข้าว ” ยิ้มอ้อนคนข้างๆด้วยสายตาที่กระพริบปริบๆ จนคนมองถึงกับนิ่งไปสักพักแบบแพ้ยับ อาร์มเบือนหน้าหนีแต่ก็พยักหน้ารับตามใจในท้ายที่สุด เป็นเหตุลให้ไอติมรสส้มก็เลยมาอยู่ในมือผม ที่ตอนนี้ก็กำลังกินมันอยู่ด้วยข้ออ้างกลัวละลาย ในระหว่างทางที่เราเดินกลับบ้านด้วยกัน

“ จับมือหน่อย ” มือของคนข้างไประสานเข้าหากันแล้วกุมมันไว้แน่น  ผมยิ้มพลางดูดไอติมในมือก่อนจะยื่นให้อีกคน “ ดูดขนาดนั้นแล้วก็ยังจะให้กูกิน ”

“ รังเกียจเหรอ นี่แฟนไง ” ท้วงมันอย่างงั้นอีกคนก็อ้าปากเตรียมงับด้วยปากที่กว้างมาก “ อ้า... เยอะไป อ้าปากนิดเดียวพอ ”

“ ขี้เหนียว ” ว่าแบบนั้นพร้อมกับกัดไปนิดหน่อย ผมก็ถอนหายใจโล่งแล้วเอามากินต่อ แน่นอนว่าไม่มีรอบสองแน่นอน ไว้ใจไม่ได้มากกับผู้ชายคนนี้ แต่ถึงอย่างงั้นผมก็ยังกระชับมือนั้นไว้ พลางกับแกว่งเบาๆไปตามทางเดินกลับ

มีความสุขยิ่งกว่าวันไหนๆเลย หัวใจผมตะโกนออกมาอย่างงั้น
แล้วคนที่เดินยิ้มอยู่ข้างๆก็คงคิดไม่ต่างกัน

หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 33 :: up! 14-8-63} #หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 28-08-2020 20:23:00
อาหารมื้อเย็นแสนอร่อยจบไปแล้ว แต่เสียงบดเคี้ยวยังไม่จางหายไป บ็อปคอร์นรสคาราเมลถูกยัดใส่ปากไปตามจังหวะของหนังที่กำลังเปิดฉาย มันถูกหยุดช่วงไปบ้าง แล้วแน่นอนว่าก็เพราะโดนคนข้างๆฉกฉวยไปกินอย่างหน้าตาเฉย แบบที่ไม่ได้เต็มใจป้อนให้เลย

“ มึง กินของกูอีกแล้วนะ ” หันไปขึ้นเสียงหงุดหงิดใส่คนที่เหมือนจะมีความสุขกับการแกล้งผมมากกว่าดูหนังก็แค่ยิ้ม

“ ก็อยากให้แฟนป้อน ”

“ แต่มันน่ารำคาญ กูจะดูหนัง มันไม่รู้เรื่องเลยเนี้ย ”

“ เมี่ยงบอกว่าอาร์มน่ารำคาญเหรอครับ ” หน้าดูสลดลงทันทีในตอนที่พูดสายตาที่เบือนหน้าหนีไปทางอื่นดูเศร้าสร้อยแต่ก็พอดูออกมาแสดง ทว่าผมก็ยังรู้สึกผิด

“ ก็ไม่ได้..”

“ ได้เค้าแล้ว เธอคิดว่า เธอจะทำอะไรกับเค้าก็ได้งั้นเหรอ ”

“ เดี๋ยวๆ ไอ้สัด เรายังไม่ได้กัน ” ผมยกมือขึ้นเบรค อาร์มมันยกยิ้ม “ ผู้กำกับเหี้ย บทเว่อร์มาก ”

“ แต่อยากได้แล้วอะ ” ดึงตัวเองเข้ามาใกล้กัน ผมก็ทำทีเป็นเอนตัวออกห่างแต่หลังกลับเหมือนจะเอนลงนอนราบบนโซฟา แม้ปากจะบอก

“ เฮ้ยบ้า มึงขอแบบนี้เลยเหรอ ” คนที่อยู่ด้านบนเบือนหน้าหนีกันไปทางอื่นแบบที่ยิ้มกว้างออกมาอย่างไม่รู้จะทำยังไงกับอะไรที่มันดูสวนทางอย่างงั้น ก่อนจะหันมาถาม

“ ไม่พร้อมหรือเปล่าครับ ”

“ เหี้ย..” สบถออกไปอย่างงั้น อีกคนก็ยักคิ้ว ดูก็รู้ว่ามันรู้ว่าผมตอบตกลงทางท่าทางไปแล้ว ไม่พร้อมก็เหี้ยละเอนหลังขนาดนี้ แต่มันก็เหมือนยังกวนตีนแบบอยากให้ตอบ ทั้งๆที่ก็รู้อีกนั่นแหละ ว่าผมไม่ตอบหรอก

เพราะตอบก็ดูเหมือนจะต้องการมากเกินไปดูไม่งาม แต่ถ้าไม่ตอบก็แบบไมได้อะ เพราะต้องการ

“ ไม่ตอบอะ คิดเอง ”

“ คิดเองไม่ได้นะเมี่ยง มันต้องเตรียมตัว มึงรู้ใช่มั้ย ” สีหน้าจริงจังพูดขึ้นแบบนั้น ผมก็ได้แต่ถอนหายใจ พลางเหลือบมองมันด้วยสายตาที่ก็อยากจะบอกว่า ‘ นี่โง่จริง หรือแกล้งโง่ ’

“  กูจัดการตั้งแต่อาบน้ำแล้วหน้าเหี้ย ก็มึงเสือกซื้อถุงยางมา ” เหลือบมองคนที่มองกัน อีกคนก็ค่อยๆแย้มยิ้มออกมาก่อนจะซบลงบนไหล่แบบชนิดทุ่มน้ำหนักตัวลงเข้าใส่ “ อาร์ม ”

“ ทำไมมึงน่ารักจังวะ กูแพ้ไอ้สัด ” มันว่าแบบนั้นด้วยเสียงอแงแบบเด็กๆ “ ไม่ยั่วแต่โคตรยั่วแบบนี้ ได้เหรอวะ ”

“ ยั่วเหี้ยอะไรก่อน แค่บอกเฉยๆ ” ท้ายประโยคที่เบาเสียงลงเพราะใบหน้าคมที่ลดระดับลงที่ริมฝีปากของผมอีกครั้ง

อาร์มจูบผมเบาๆ ก่อนจะไล่ออกมาตรงข้างแก้ม มันที่ดึงตัวเองขึ้นมองหน้ากัน ก่อนริมฝีปากบางนั้นจะจูบลงบนริมฝีปากของผม ไล่ไปตรงข้างแก้ม จมูก แก้มอีกข้าง ก่อนจะเลื่อนขึ้นมาด้านบนเป็นดวงตาสองข้าง แล้วก็จบลงที่ริมฝีปากในท้ายที่สุด

เจ้าของใบหน้าคมนั้น ดึงตัวเองขึ้นมองผมด้วยลมหายใจบางเบาที่ผ่อนออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม

“ นั่นแหละ ที่เรียกว่าความน่ารัก ไม่รู้ตัวเหรอครับ ” จูบลงที่ริมฝีปากอีกครั้งในอกของผมก็เริ่มร้อนขึ้นกระทันหัน อัตราการเร่งของหัวใจยามที่ริมฝีปากนั้นบดเบียด ผมเผยอมันออกเล็กน้อยก่อนจะผ่อนลมหายใจที่ในอกอัดแน่นไปด้วยความอึดอัด มันผสมปนเปไปกันไปหมด

ความรู้สึกที่ร่างกายร้อนขึ้น หายใจลำบากขึ้น มือที่ทำได้แค่จิกไปบนโซฟาตัวที่นอนพายุลูกเล็กก่อตัวอยู่ในช่องท้องแม้ว่าปากจะขยับบกอดเกี่ยวกับลิ้นชื้นและน้ำลายก็เหมือนจะเป็นสารหล่อลื่น ถึงอย่างงั้นความรู้สึกก็ยังดึงให้ทุกอย่างยิ่งจมดิ่งลง

เหมือนสระน้ำดำมืด ลึก ที่เราทั้งคู่ตกลงไป ภาพทุกอย่างถูกตัดออก ไม่มีแม้แต่ความสว่างรอบตัว อาร์มผละริมฝีปากนั้นออกแล้วค่อยๆจูบลงที่ต้นคอ พร้อมกับมือที่สอดเข้าไปในเสื้อยืดสีขาวของผม

ฝ่ามือหนาลูบขึ้นจากเอว สะกิดเบาๆตรงยอดอกก่อนปลายนิ้วโป้งชี้จะค่อยๆขยี้บี้มันเพียงน้อยพร้อมกับริมฝีปากที่จูบไปเรื่อยตรงซอกคอ จนลมหายใจของผมร้อนผ่าว แบบชนิดที่ต้องผ่อนลมหายใจออกมาแรงๆอย่างห้ามใจไว้ไม่อยู่

อารมณ์ และความต้องการ ค่อยๆเพิ่มสูงขึ้น

“ มึง..” เสียงเบาหวิวที่หลุดออกจากปาก ความเสียวซ่านแผ่ซ่านไปตามร่าง ความรู้สึกในท้องร้อนขึ้น ผมดึงมือที่วางปิดหน้าตัวเองแบบที่ไม่รู้จะพามันไปตั้งไว้ส่วนไหน ก่อนที่เสื้อตัวนั้นจะถูกปลดออกโทษฐานที่มันขัดขวางและดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นใดในตอนนี้ อาร์มไล่จูบซอกลงต่ำมาที่ยอดอกนั้น ริมฝีปากขบเม้นเบาๆ บนยอดออกที่แข็งชันขึ้นอย่างไม่ช่วยปกปิด ร่างกายของผมซื่อตรงจนน่าหงุดหงิด เพียงแค่ลมหายใจของอาร์มผละผ่านร่างทั้งร่างก็เหมือนจะละลายยอมแพ้ ไม่ต่างกับยอดอกอีกข้างที่ถูกบี้ด้วยฝ่าจนมันตั้งชันขึ้น

จมูกคมกรีดร่างของผมในตอนที่ผละออกจากยอดอก มันไล่ตั้งแต่กลางอกมาจนถึงสะดือ ก่อนจูบลงไปเบาๆบนนั้น แบบที่ฝากรอยรักสีแดงจางไว้เป็นสัญลักษณ์

“ เมี่ยง เรียกชื่อสิอาร์มหน่อยสิครับ ”

“ หื้ม ? ” ผ่อนลมหายใจออกมาก่อนจะเหลือบตามองตรงด้านบนที่ก็แค่ยิ้ม ในตอนที่ล้วงมือเข้าไปตามขอบกางเกงยางยืด ก้นถูกยกขึ้นตอนที่มือนั้นสอดเข้าไปบีบก้นกลมกลึง

กางเกงตัวที่สวมจะถูกโยนออกจากตัว สภาพร่างกายเปลือยเปล่า ปรากฏสู่สายตาคนรักเป็นครั้งแรก และนั่นก็ทำให้ผมถึงกับปิดหน้าตัวเองด้วยมือเล็กๆที่ก็แดงจัดไปทั้งตัว

“ น่ารักแล้วครับ ไม่ต้องเขินหรอก ” ว่าแบบนั้นริมฝีปากบางก็จูบลงบางเบาที่ข้างเอว

“ มึงลองโดนจับแก้ผ้าแบบกูบ้างสิ ” เสียงอู้อี้ที่บอกไปอย่างงั้น แต่เหมือนคนฟังจะไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไหร่ อาร์มแค่ยิ้มในตอนที่ผมมองผ่านซอกนิ้วที่เอาแต่ปิดหน้า มันดึงตัวเองขึ้นมาก่อนจะถอดกางเกงบอลตัวที่ใส่แล้วโยนมันออกไปจนพ้นทาง

“ โอเคมั้ยครับ เท่าเทียมแล้ว ”

“ ไม่รู้มึง ” บอกปัดแบบนั้นร่างสูงก็เอื้อมมือเข้ามาสอดใต้ขา อาร์มดึงตัวผมให้เข้ามาใกล้ก่อนจะดึงขาข้างนึงนั้นตั้งไว้บนบ่า นิ้วเรียวสอดเข้าไปในปากแตะน้ำลายเหนียวเล็กน้อย ก่อนจะสอดนิ้วนั้นเข้ามาในช่องทางหลัง

ความรู้สึกที่รับรู้ตอนนั้นมีเพียงแค่ความว่างเปล่าในสมอง นิ้วยาวสอดใส่จากหนึ่งไปถึงสาม อาร์มดึงมันเข้าออกจนสมองของผมขาวโพลนไปทั้งร่างในยามที่มันกดย้ำความรู้สึกตรงด้านในที่เป็นจุดกระสัน ร่างทั้งร่างสั่นเทา จนผมเผลอถอนหายใจแรงอย่างควบคุมความรู้สึกไม่ได้ มือนั้นขยับลงปิดปากตัวเองแน่น ผมรู้สึกเสียงของผมมันน่าอาย

“ อ๊า อาร์ม.. ตรงนั้นมันแบบว่านะ..” ปลดปล่อยเสียงที่มีแต่ลมหายใจถี่ แต่คนทำดูเหมือนว่าจะได้ใจ นิ้วเรียวนั้นกดย้ำพร้อมกับตั้งคำถาม

“ ตรงนี้เหรอครับ ”

“ อ๊า อย่ากดย้ำอย่าง งั้น มัน บอกไม่ถูก แต่กู.. อ๊า ” บางทีส่วนกลางอาจจะบอกได้ดีที่สุดเพราะมันกำลังแข็งชันขึ้นมาเพียงน้อยพร้อมน้ำล่อลื่นหยดใสที่ไหลออกมาจากปลายทางออกนั้น ผมเม้มริมฝีปาก แต่เหมือนอีกฝ่ายยังแค่ย้ำ   “ อ๊า พอ พอก่อน อะ อาร์ม ”

“ ครับผม ” ใบหน้าคมจูบเข้าที่ข้างขา นิ้วนั้นถูกดึงออกมาก่อนจะถูกแทนที่ด้วยส่วนกลางที่ถูกขยับเข้าออกเป้นจังหวะด้วยฝ่ามือของเจ้าของร่าง อาร์มใส่ถุงยางอนามัย ก่อนจะค่อยๆตั้งท่า แล้ววินาทีต่อจากนั้น มันสอดเข้ามาในร่างของผม แบบที่ต้องอ้าปากค้างอยู่แบบนั้นด้วยความรู้สึกไม่เคยที่ของบางอย่างจะถูกสอดใส่เข้ามา “ เจ็บมั้ยครับ ”

“ อื้อ เจ็บ ” บอกแบบนั้นเสียงเบา ผมที่ยกมือปิดหน้าพลางหอบหายใจออกมาถี่ ร่างสูงเองก็หยุดทุกอย่างไว้แค่นั้น “ ไม่เป็นไรครับ  อาร์มไม่รีบ ไว้แบบนี้ก่อน ถ้าเมี่ยงหายเจ็บ แล้วอาร์มจะขยับนะ ”

ไม่มีเสียงตอบรับจากผมแต่อีกคนก็แค่รออยู่แบบนั้นอย่างใจเย็น ก่อนจะค่อยๆขยับเข้ามาเพียงช้า ทีละนิด ในตอนที่รับรู้ได้ถึงการขมิบเบาๆของช่องทางหลังนั้น  ความรู้สึกอุ่นขยับเข้าออกมันไม่เชิงกับเป็นจังหวะแต่เหมือนจะเป็นไปตามความรู้สึก ผมเหลือบมองคนกระทำที่เลียริมฝีปากเบาๆในวินาทีนั้น

“ มึง ก็เจ็บเหรอ ”

“ นิดหน่อย ” บอกกันแบบนั้นยิ้มๆ แต่ก็พอดูออกว่ามากอยู่

ผมเข้าใจความรู้สึกนั้น มันก็ไม่ต่างอะไรกับการยัดอะไรสักอย่างลงไปในที่ที่แคบกว่าสิ่งที่มี ไม่ใช่แค่ผมที่เจ็บ อาร์มเองก็คงเจ็บด้วย " แต่แค่เมี่ยงไม่เจ็บก็พอครับ ประมานนี้โอเคมั้ย ”

“ ก็โอเค ” บอกแบบนั้นเสียงเรียบๆ ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมา ผมปิดตาตัวเองสนิทก่อนจะพูดออกไป “ แต่เร่งกว่านี้ก็ได้ รู้แล้วว่ารัก ว่าถนอมความรู้สึกกัน แต่ว่าเซ็กส์แม่ง ยังไงมันก็ต้องมีความสุขทั้งมึงทั้งกูอยู่ดีอะ เพราะงั้นถ้ามึงอยากมากแล้ว ก็ใส่ๆเข้ามาเถอะน่า ยิ่งค้างแบบนั้นกูก็ยิ่งเจ็บนะ ”

“ น่ารักอีกแล้ว ” ส่วนกลางขยับเข้ามาในร่างเพิ่มอีกนิดหน่อย ร่างสูงดึงตัวเองเข้ามาใกล้กันในจังหวะนั้น อาร์มดึงมือที่ปิดหน้าของผมออกก่อนจูบลงไปที่ริมฝีปาก แล้วก็ดึงมือนั้นให้เปลี่ยนที่ยึดเกาะไปที่ด้านหลัง เสียงทุ้มนั้นกระซิบลงข้างหู “ จิกนิ้วลงบนหลังกูได้ตามใจเลย เจ็บแค่ไหนใส่ลงไปเท่านั้น ”

“ อื้อ ” ตอบในลำคออย่างงั้น

“ น่ารักที่สุดเลยครับเด็กดี ” ประโยคสุดท้ายที่อาร์มพูดก่อนจะริมฝีปากนั้นจะบดเบียดลงมาที่ริมฝีปากของผมราวกับจะให้ละทิ้งความสนใจจากส่วนกลางที่กำลังขยับเป็นจังหวะมากขึ้น

ผมขยำเสื้อตัวที่ร่างสูงใส่มันจนย่นยับ ยามที่แรงกระแทกนั้นเริ่มแรงขึ้น จังหวะสอดใส่ที่เน้นลึก จนต้องส่ายหน้าหนีจากการจูบนั้น มาเป็นการเปล่งเสียงตามความรู้สึกเสียแทน

“ อ๊า อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ ”

แรงกระแทกที่เน้นเข้ามาจนลึก ผมหลับตา พลางกัดปากตัวเองด้วยความครั้นเนื้อครั้นตัวไปหมด เหงื่อเม็ดเล็กไหลออกจากหน้า ความรู้สึกเสียวซ่านแล่นไปทั่วร่าง ผมจับส่วนกลางของตัวเองรูดขึ้นลงในตอนนั้น ควบคู่ไปกับความรู้สึกที่ช่องทางหลังที่กำลังโดนเสียดสีและสอดใส่

อยากเสร็จแล้ว ผมอยากปลดปล่อยทุกอย่างออกมา จังหวะที่มันทั้งหน้าทั้งหลังแบบนี้ เหมือนยิ่งเพิ่มความรู้สึกทุกอย่างให้ผม แม้แต่การกระแทกของเสียงน้ำหล่อลื่น ที่ดังยิ่งกว่าเสียงตบมือ แอร์ที่เคยเย็นฉ่ำวินาทีนี้มันร้อนไปหมด

ส่วนกลางนั้นสอดเข้าไปลึกอีกนิดแล้ว ลึกแบบที่รับรู้ถึงไรขนที่สัมผัสสัมผัสกับผิว อาร์มดันมันจนมิดด้ามแล้วดึงออกมาราวกับเครื่องสูบแรงดี ที่ดึงตัวเองเข้าออกอยู่อย่างงั้นจนในที่สุด การจมลงสู่ทะเลลึก ผมก็ลอยระล่องเข้าสู่ฝั่งฝัน พร้อมกับน้ำความต้องการที่ฉีดพุ่งออกมาจากมือ
 
“ อาร์ม..” เสียงที่เอ่ยเรียกตัวของผมกระตุกเบาๆ ลมหายใจหอบถี่ทำเอาคนที่อยู่ด้านบนยิ้ม ผมดึงมือสองข้างขึ้นกอดรอบคอของร่างสูง ดึงตัวเองจูบริมฝีปากนั้นที่ก็ตอบรับกันอย่างดี ทั้งที่ลมหายใจของเราจะยังหอบแรงอยู่

ดึงตัวเองขึ้นอย่างระวัง อาร์มกลายเป็นคนที่นั่งแทนที่ผมที่ขึ้นไปค่อมทับอีกฝ่ายไว้ แผ่นหลังของร่างสูงแนบชิดกับโซฟาขาของผมเกางเกงออกอ ส่วนกลางของอาร์มอยู่ในร่างผม และส่วนกลางของผมก็แนบชิดอยู่กับท้องของอีกคน

“ ไม่แฟร์ ” พูดแบบนั้นก่อนจะถอดเสื้อตัวที่ร่างสูงใส่ออก ผมก้มลงจูบอาร์มก่อนจะค่อยๆขยับตัวเองขึ้นลงแบบที่ยอดอกแข็งชันยังโดนอีกฝ่ายขบเม้มอยู่แบบนั้น “ อ๊า อ๊ะ อื้อออ อ๊ะ อ๊ะ ”

มือหนาบีบเข้าที่ก้นกลมอย่างช่วยบังคับจังหวะสอดใส่ให้จมลึก ก่อนที่อาร์มจะหยุดมือเพราะเหมือนว่ามันคงไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่ กับมุมนั่งแบบนี้

“ รอบนี้ขอเสร็จพร้อมกัน แล้วกันนะครับ ” มันพูดแบบนั้นก่อนจะดึงส่วนกลางออกจากตัวของผม อาร์มดึงให้ผมยืนขึ้นก่อนที่จะใช้มือดันให้โน้มตัวลงไปด้านหน้า แล้วสอดใส่ส่วนกลางเข้ามาอีกครั้ง

“ อ๊า ” มือหนาจับเข้าที่เอวหลังจากฝังมันเสียมิดด้าม ก้นของผมถูกขยับเข้าออกครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงกระทบดังคลอไปกับเสียงครางไม่ขาดช่วง ลำตัวของตัวโยกเข้าออกจนแทบนับจังหวะไม่ทัน เสียงครางหลงทิศไปไม่เป็นภาษา ด้วยความลึกและแรงกระแทกที่ถูกสอดใส่เข้ามาไม่มียั้ง  “ อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ อาร์ม อื้อออออ อ๊าห์ ”

ในตอนนี้สุขสม ผมแทบจะทรุดลงนั่งกับโซฟากับการปลดปล่อยออกมาในก๊อกที่สองแต่โชคดีที่มือหนากอดกันไว้ก็เลยไม่ล้มตัวลงไปกอง แต่เสียงหอบหายใจของเราในตอนนั้นแทบไม่มีใครต่างกัน

เหนื่อยจนแทบจะขาดใจ แต่มือที่กอดกันไว้ต่างฝ่ายต่างดึงให้หันไปเผชิญหน้ากัน เราโอบกอด และจูบอย่างดูดดื่มอยู่อย่างงั้นราวกับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ผละริมฝีปากหัวเราะให้กัน ก่อนจะจูบอีกครั้งด้วยแรงดึงดูดของไฟอารมณ์ที่ยังไม่มอดดับ  ขาเองก็ค่อยๆเดินถอยหลังอย่างเชื่องช้าเข้าไปในห้องนอน

เรายังคงมีอารมณ์ และเราก็ยังคงต้องการกันและกันอยู่
ผมคิดว่า อาจจะมีอีกสักรอบ บนเตียงของเรา ในคืนนี้

ครืน ครืน ครืน

ความเงียบเชียบของห้องนอนในเช้าวันใหม่ถูกรบกวน ด้วยเสียงลั่นเบาๆของมือถือที่ตั้งอยู่บนหัวเตียง ผมที่เอื้อมมือไปควานหามันอย่างสะเปะสะปะก่อนจะหยิบขึ้นมามองดู บนหน้าจอที่ไม่ใช่ของผม ปรากฏข้อความตัวอย่างของโปรแกรมสนทนา

แต่มันไม่ได้มีอะไรมาก

ก็แค่โฮม ที่ส่งข้อความมาหาอาร์ม ‘ มึงไอ้ดีนมันหายไปเกิน 5 วันแล้วนะ ’ และกับอีกข้อความที่ว่า ‘ กูชักเป็นห่วงแล้ว มันไม่ได้ติดต่อมึงมาเลยเหรอวะ  ’

ถอนหายใจเบาๆออกมาหนึ่งครั้ง ผมกดปิดหน้าจออย่างไม่ใส่ใจ แล้ววางมันลงที่เดิมก่อนจะพลิกตัวไปกอดคนที่ตอนนี้ยังคงหลับอุตุและกอดกันไว้แน่น

รู้แค่ว่า ผมมีความสุขมาที่สุดเลย ในตอนนี้

............................................................

ในที่สุด นั่นแหละค่ะ คนอ่าน
เจอกันตอนหน้านะคะ คิคิ

ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ในทวิตด้วยน้า
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์
หนมมี่ฮับ
 :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 34 :: up! 28-8-63} #หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 28-08-2020 22:19:40
นายท่าน ยังไม่ออกจากโรงพยาบาลหรอ  :hao4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 34 :: up! 28-8-63} #หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 29-08-2020 00:12:05
 :pig4: :pig4: :pig4:

ตอนนี้   นายท่านหายไปไหน?  นายท่านโก่งค่าตัวเหรอ?
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 34 :: up! 28-8-63} #หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 29-08-2020 20:06:27
แหมมมม หมั่นไส้คนมีความสุขมากที่สุดในตอนี้อ่ะ   :impress2: ห่วงเพื่อนในฐานะเพื่อนร่วมโลกบ้างก็ได้เด้อ 5555
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 35 :: up! 4-9-63} #หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 04-09-2020 20:27:34
ตอนที่ 35

ลืมตาตื่นได้สติขึ้นมาหลังจากหลับเป็นตายอย่างหมดแรง มือของผมกระชับร่างที่เคยอยู่ในอ้อมกอดแต่ทว่าตอนนี้มันกลายเป็นเพียงแค่หมอนใบนุ่ม หลงเหลือไว้เพียงแค่กลิ่นของเจ้าของแบบจางๆ

“ อยู่ข้างนอกเหรอวะ ” พูดกับตัวเองอย่างงั้นก่อนจะยกมือเกาคอตัวเองไปเรื่อยในตอนที่ลุกขึ้นนั่ง

ผมดึงตัวเองขึ้นจากเตียง ตรงออกไปนอกห้องที่ว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่คนที่อยากจะเจออย่างที่ใจคิด ผมเดินต่อไปที่ห้องแมว  แล้วภาพที่เห็นก็คือ หัวหน้าแมวที่กำลังตามหา กำลังนั่งกอดเข่าในชุดนอน อยู่ตรงหน้าเตียงกล้วยของไอ้นายท่านกับแก้มหอม ที่ตอนนี้กำลังนอนกอดกันอยู่แบบชื่นมื่นในนั้น

“ นี่..” เมี่ยงหันมามองผมที่เปิดประตูเข้ามา มันไม่ได้ทักกันหรอก มันกำลังทักแมวพร้อมกับเอื้อมมือไปจิ้มเข้าตรงพุงของไอ้ตัวลาย แต่กลับโดนมือนั้นตะบบเข้าให้ คล้ายว่าอย่ามายุ่ง “ โกรธอ๋ออออ ขอโทษนะ ”

“ งอนอะไรกันอีก ” ผมถามก่อนจะเดินเข้าไปขัดสมาธิอยู่ข้างๆ ปากที่หาวออกมาเพราะยังง่วง มือที่ทำทีจะเอื้อมมือไปอุ้มแมวตัวเอง แต่เหมือนไอ้ตัวลายจะหวงเป็นพิเศษ มันเอามือมาขวางผมไว้เหมือนกัน “ อะไร แมวกูมั้ย ลูกสาวกู ”

“ ม๊าวว ”

“ ม๊าวอะไร ”

“ มันบอกว่าแก้มหอมก็ของมันเหมือนกัน ” เมี่ยงแปลภาษาแมวให้ผมฟัง ที่ก็ได้แต่หลุดยิ้ม เอาจริงไม่รู้หรอกว่าถูกต้องมั้ย แต่ใจก็เชื่อไปแล้วด้วยความรู้สึกแบบที่ว่า แฟนผมก็น่ารักเหมือนลูกแมว ยังไงก็ต้องใช่แน่

“ เหรอครับ คุณหัวหน้าแมว ”

“ อื้ม ” พยักหน้ารับหงึกหงักเมี่ยงก็ลดตัวเองลงนั่งขัดสมาธิลงข้างผม ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ มันหันมามองผมแบบงงๆ “ เดี๋ยวนะ หัวหน้าแมวอะไร ”

ไม่ได้ตอบความสงสัยอะไรแค่ยื่นมือไปบีบแก้มคนตรงหน้าจะปากจู๋ ผมจูบมี่ยงซ้ำๆก่อนที่อีกคนจะดันหน้าเข้ามาสู้แบบไม่ยอมแพ้ มันคล้ายกับตอนแก้มหอมอ้อนผม เวลาที่เอาหน้าเข้ามาคลอเคลีย

“ มึงมาอาร์ม เข้ามา กูจะสู้  ” จูบกันซ้ำๆไม่พอ มือที่เอื้อมมือมากอดคอ มันจูบไปทั่วหน้าผม แบบที่ต้องยู่หน้าแล้วเอียงหนี

“ โอเคครับ ผมยอมแพ้แล้ว ” นั่นถึงไอ้ตัวซนมันถึงหยุด  “ แล้วตกลงงอนอะไรกัน ”

“ ก็ปกติตอนเช้าไอ้นายท่านจะเข้าไปในห้องกูใช่มั้ย แต่เมื่อเช้ามันไม่ได้เข้าอะ คงร้องเมี๊ยวๆอยู่ตรงนี้ แต่กูก็ไม่ได้ยิน ”  คนตรงหน้าส่ายหน้าประกอบประโยคเหมือนจะฟ้อง แบบชนิดที่ทั้งตาทั้งปากดูงอแงไปหมด เมี่ยงดึงตัวเองออกจากผม “ แล้วพอกูตื่น เดินมาหามันในห้อง มันก็สะบัดตูดหนีไปนอนกอดกับแก้มหอมเลย กูจะอุ้มก็ผลักมือ มีความจะตบเบาๆด้วย  ”

“ เฮ้ย มึงกล้างอนเมียกูเหรอ ” เอื้อมมือไปจิ้มตรงตูดแต่ก็โดนไอ้ตัวลายตะบบเข้าให้ มันที่จ้องตาผมไม่กระพริบ ราวกับจะให้สำนึกในความผิดที่เอาไปเมี่ยงไปกอดไว้ทั้งคืน

“ หรือเราจะติดประตูแมวดี ทางคอนโดเค้าบอกใช่มั้ยว่าติดได้ ”

“ อื้ม ” ผมพยักหน้ารับกับคำพูดนั้น ก่อนหน้านี้ทางคนดูแลถามมาเหมือนกันว่าเราจะติดมั้ยสำหรับประตูแมว เพราะเค้าจะทำการติดตั้งให้ก่อนที่เราจะย้ายเข้ามาอยู่ แต่ตอนนั้นทางเราปฎิเสธไปด้วยเหตุผลที่ว่ากลัวมันจะเดินออกมาในตอนที่เราเผลอเปิดประตูระเบียงไว้ แล้วอาจจะตกลงไปจากตึก

“ แต่ถ้าติด เผลอลืมปิดระเบียงแล้วชิบหายเลยนะ ” เมี่ยงมันถอนหายใจ อย่างคิดหนัก “ แต่พรุ่งนี้คงได้ยินแล้วมั้ง เมื่อเช้ามันเหนื่อยอะ กูเลยไม่ได้ยินอะไรเลย หลับลึกสัด ”

“ ทำไมถึงเหนื่อยอะ ” แซวออกไปเล่นๆแต่เหมือนคนพูดจะไมได้เล่นด้วย คนน่ารักตรงหน้าหันมามองแบบหาเรื่อง เมี่ยงบอกผม

“ เอากับมึงไงไอ้สัด ”

“ ฮ่าๆ ”  หลุดหัวเราะออกมาเสียงกัง อดไมได้เลยที่จะยื่นหน้าเข้าไปฝังจมูกเข้ากับแก้มนั่น ผมส่ายหน้าไปมาแบบอดไม่ได้

“ แล้วจริงๆ กูหลับนานกว่านั้นอีก เสือกมา มาตื่นก็ตอน..”

“ ตอน ? ” เพราเห็นมันเงียบไป ผมก็เลยเอียงหน้าถาม แต่คนตอบก็แค่เหลือบมองกันเหมือนแปลกใจในสิ่งที่ผมถาม

“ นี่จับมือถือยังมึงอะ ”

“ ยัง อยู่ไหนยังไม่รู้เลย ” ว่าแบบนั้นผมก็ได้แต่ถอนหายใจยิ้มๆ “ ทำไม ? มีอะไร มีคนโทรหากู มึงเลยตื่นเหรอ ”

“ ก็ประมานนั้น “ อีกฝ่ายบอกเสียงอ้อมแอ้ม “ แต่บอกไว้ก่อนเลยว่า กูไม่ได้ตั้งใจอ่านนะ คือมันสั่นที่หัวเตียงแล้วกูก็คิดว่าเป็นของกู กูเลยหยิบขึ้นมาดู แต่มันคือของมึง ” พยักหน้ารับยิ้มๆกับท่าทางอธิบายแบบเกินเบอร์ด้วยนิสัยที่ชอบหน้าตาตื่นเวลารู้สึกผิด

“ แล้วยังไงต่อ ”

“ กูเห็นตัวอย่างข้อความไอ้โฮม มันส่งมาหามึง ” ผมขมวดคิ้วในตอนที่เมี่ยงถอนหายใจออกมา พลางเม้มริมฝีปากแล้วทำทีเป็นหันไปมองทางอื่น ท่าทางที่ทำให้ผมต้องถาม

“ แล้วข้อความนั้นมันคืออะไร ”

“ ก็...” เมี่ยงหันมาเหลือบกัน ไม่ต่างอะไรกับเด็กเล็กที่ไม่ค่อยอยากจะบอกความจริงกับพ่อแม่สักเท่าไหร่ “ เรื่องดีนอะ ”

สิ้นคำนั้น ผมรู้สึกว่าสายตาของคนตรงหน้าเปลี่ยนไป เมี่ยงดูเป็นกังวล กังวลจนผมต้องเอ่ยถาม “ มีอะไรเปล่าวะ ”

“ มึงไม่เห็นเล่าเลย ดีนไม่มาเรียนห้าวันแล้วเหรอวะ ” ประโยคนั้นทำให้ผมหันไปมองทางอื่นแบบไม่รู้จะอธิบายยังไงดี “ แล้วลองโทรหามันบ้างยัง ”

“ โทรแล้ว แต่มันปิดเครื่อง ”

“ เหรอ ” ท่าทางที่ดูเป็นกังวลมากขึ้น เมี่ยงจ้องมองผม “ แล้วมึงสนิทกับมันขนาดนี้ ไม่มีเบอร์แม่มัน หรือว่าช่องทางติดต่ออื่นเลยเหรอวะ ”

“ มี ” ผมพยักหน้ารับก่อนจะเอนตัวค้ำมือลงกับพื้นด้านหลัง ก่อนจะผ่อนลมหายใจหนักใจนั้นออกมา แบบที่ก็คิดไม่ตกมาหลายวันแล้วเหมือนกันสำหรับเรื่องนี้ “ ก่อนหน้านี้ดีนมันบอกแม่มันว่า มาอยู่กับกู ซึ่งตอนนี้มันก็คงยังไม่ได้กลับบ้านหรอก ”

“ ทำไมคิดงั้น ”

“ ก็ถ้ามันกลับบ้าน แม่มันก็ต้องบังคับให้มันมาเรียน ”

“ มึงก็คิดง่ายไป เราไม่ใช่เด็กเล็กที่รถโรงเรียนมาส่ง แล้วต้องเดินเข้าโรงเรียนสักหน่อย แค่ออกจากบ้าน เค้าก็ไม่รู้แล้วว่าเราไปไหน จริงมั้ย บางทีมันอาจจะกลับบ้าน แล้วก็ทำทีเป็นออกมาเรียนแต่ไม่มาก็ได้ อาจจะไปที่อื่น เพราะไม่อยากเจอมึง  ” คนตรงหน้าผมบอก “ เอาจริงๆนะ ”

“ อะไร ”

“ ที่มึงไม่อยากจะสนใจมัน เพราะกลัวกูคิดมากหรือเปล่า ” สายตาที่ถามกันด้วยยิ้มจางๆ “  แบบว่า กลัวว่ากูจะคิดมาก เรื่องที่มึงดูเป็นห่วงเป็นใยในตัวไอ้ดีน ”

“ ไม่เกี่ยวกับมึงเลย แต่กูแค่ไม่อยากจะสนใจอะไรแล้วเมี่ยง ” แล้วนั่นก็คือสิ่งที่ผมคิดแบบไม่ได้จะโกหกอะไร

เอาจริงๆเรื่องนี้ก็เป็นอะไรที่คาราคาซังอยู่ในกลุ่มตั้งแต่สองวันแรกที่อีกฝ่ายหายไปแบบที่ไม่มีการติดต่อแล้ว ตอนนั้นดีนไม่มาเรียนเข้าวันที่สาม จุ้นเลยสั่งให้ผมโทรไปหา ที่ก็ซึ่งไม่ต่างกับเพื่อนคนอื่น มันปิดเครื่อง โทรหาไม่ติด แล้วพอบอกไปแบบนั้น อีกฝ่ายก็คะยั้นคะยอให้โทรไปหาแม่มันหน่อย แต่ผมก็ปฎิเสธไป วันนั้นอีกฝ่ายเลยบอกผม

 ‘ กลัวไม่เมี่ยงจะเสียใจที่มึงยังรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยไอ้ดีน ที่เป็นแฟนเก่าเหรอวะ ถึงไม่อยากจะยุ่งกับมันอีก ’

ที่ซึ่งความจริงไม่ได้เป็นแบบนี้เลย ผมไม่อยากจะโทรหาแม่ดีน เพราะไม่รู้ว่ามันโกหกอะไรอีกฝ่ายไว้ คนอย่างแม่ไอ้ดีนที่คุมความประพฤติลูกจนน่าอึดอัด เค้าไม่มีทางปล่อยมันให้หายไปเกิน 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว

ถ้าไม่อยู่บ้าน มันก็คงอยู่บ้านเพื่อนสักคน แล้วก็เปิดเบอร์ใหม่ ให้แม่มันโทรหา เพราะฉะนั้นแม่ของมันคงเป็นคนเดียวที่ยังคงติดต่อมันได้ และเพื่อไม่ให้แผนของมันที่ผมก็ไม่รู้ว่ามันบอกเธอไปว่ายังไงแตก ก็เลยตัดสินใจที่จะอยู่เงียบๆ ไม่โทรไป

ทุกอย่างมันก็แค่นั้น แต่เหมือนว่า จุ้น มันจะไม่เข้าใจ

“ รู้มั้ยว่าบางทีกูเหนื่อยมากเลยกับเรื่องนี้ ” ได้แต่ก้มหน้าลงในตอนที่พูด ผมหลับตาลงก่อนจะลุบหน้าตัวเองไปมา “ กูไม่อยากจะโทรไปหามันด้วยซ้ำ กูไม่ได้อยากรู้ กูไม่ได้อยากสนใจ แต่พอกูไม่ทำ เพื่อนก็บอกว่า เพราะมึงเหรอ กลัวมึงเสียใจเหรอ ทั้งๆไม่ใช่ ” ผมส่ายหน้า

“ กูแค่เหนื่อยแล้ว เหนื่อยที่ต้องอธิบายกับมัน ถ้ามันเผลอพูดว่า ที่โทรมาเพราะเป็นห่วงเหรอ กูก็เหนื่อยที่จะบอกมันแล้วอะ ว่าไม่ใช่ กูแค่ห่วงในแบบเพื่อน ไม่ได้คิดอะไร กูคิดถึงตอนที่กูต้องมาอธิบายเรื่องความรู้สึกของกูซ้ำๆ แค่นั้นก็ไม่อยากจะโทรแล้ว ” ผมถอนหายใจ

“ แต่มันไม่มีใครคิดถึงความรู้สึกของกูในจุดนี้เลย ทุกคนมองแค่ว่า กูแม่งใจร้ายว่ะ ต้องขนาดนี้เลยเหรอ ทั้งๆที่ก่อนหน้าที่ กว่ากูจะตัดมันขาดได้ กว่าจะพูดให้มันเข้าใจว่ากูไมได้รักมันได้ กูใช้เวลาตั้งเท่าไหร่ เพื่อถนอมความรู้สึกมันไว้ ทั้งๆที่มันไม่เคยคิดอะไรอย่างงั้นกับกูเลย  ”

“ อาร์ม ”

“ แต่แค่ครั้งนี้ที่กูเหนื่อยแล้ว อยากพอแล้ว มันกลับมองว่ากูแม่งแย่ว่ะ เออ ตลกดีไอ้สัด ” ผมยกยิ้มอย่างรู้สึกขัน

จุ้น มันก็สงสารแต่ไอ้ดีน เพราะเจ้าตัวคิดว่า ทางนั้นคือคนที่โดนทิ้ง แล้วพอเห็นว่าผมมีความสุขดีกับเมี่ยงความรู้สึกที่ผมเลือกเมี่ยง ไม่เลือกดีน ก็ยิ่งตอกย้ำลงไปในใจมัน ว่าอีกฝ่ายคือคนที่น่าสงสาร เอาแต่บอกว่าผมใจร้าย ไม่ดูดำดูดีเลย คบกันมาตั้งนานบ้างละ ความเพื่อนยังไม่มีให้บ้างละ


ทั้งๆที่ไม่ได้รู้เลย ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมต้องเจออะไรบ้าง
ถึงได้กล้าตัดสินใจเดินออกมาอย่างงั้น


“ โอ๋ๆ มานี่มา มาซบอกน้องเมี่ยงนะ ” มือขาวกางออกเหมือนเด็ก เมี่ยงดึงตัวเองเข้ามาหาผมก่อนจะดึงให้ซบลงตรงอก มันลูบหัวปลอบ “ กูเข้าใจ ว่ามันรู้สึกแย่ ที่เราอดทนมาตั้งนานแต่ไม่มีใครเข้าใจ มามองเห็น พอเห็นก็มาเห็นตอนที่เราเลิกที่จะอดทน แล้วก็มาบอกว่าเราใจร้าย กูเข้าใจว่ามึงเหนื่อยแล้ว ไม่อยากจะยุ่งอีก เพราะกลัวดีนมันวอแว”

“ จูบหน่อย ” เงยหน้าบอกคนปลอบแบบนั้น แต่หมือนเมี่ยงมันจะรู้ทัน อีกคนขมวดคิ้ว

“ เศร้าตอแหลเหรอไอ้สัด ”

“ เศร้าจริง ” ผมย้ำก่อนจะดึงขึ้นจูบที่ปลายคาง แล้วสูงขึ้นไปอีกหน่อยที่ปาก แล้วก็ข้างแก้ม “ แต่เศร้าเพราะตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอเมียนอนอยู่ข้างๆ จะมอนิ่งคิสสักหน่อย เซ็ง ”

“ โถ่ ไอ้สัด กูก็เผลอห่วงใยไปสิ ”

“ กูรู้สึกอย่างที่พูดกับมึงจริงๆ แต่อยู่มึง กูไม่อยากจะเอาเรื่องใครมาใส่ใจทั้งนั้น ” ผมบอก“ แล้วเป็นยังไงบ้าง ปวดตัวบ้างมั้ย ” คนที่ต้องตอบยกยิ้มในตอนที่ผมถาม มันหัวเราะในคอ

“ ระดับกู ” มันว่าอย่างงั้น “ จะเหลือเหรอไอ้สัด ปวดตูดจะตายห่าแล้วเนี้ย ”

“ โอ๋ๆ มาครับ จะปลอบ ” ดึงตัวมันเข้ามากอดแทน จูบลงไปบนผมนุ่มนั้นซ้ำอีกคนก็กัดฟันกรอดจนชวนให้ต้องกระชับฝ่ามือของตัวเอง ผมโยกตัวไปมา เมี่ยงนิ่งอยู่แบบนั้นสักพัก ก่อนจะดึงตัวเองออกจากอ้อมกอดของผม

“ แต่ว่าอาร์ม ”

“ ครับผม ”

“ กูว่ามึงโทรไปหน่อยก็ดีนะ เรื่องดีนอะ ” ว่าแบบนั้นด้วยเสียงเรียบ ผมก็หันไปทางอื่น พยายามแล้วจะออกจากบทสนทนาที่ไม่ชอบแต่อีกฝ่ายก็ดึงกลับมาจนได้ “ กูรู้ว่ามึงไม่อยากคุย แต่ฟังหน่อย กูเป็นห่วงมัน มันหายไปแบบนี้ ติดต่อไม่ได้แบบนี้ มันน่าเป็นห่วงนะ ยิ่งมึงบอกว่า แม่มันเป็นคนเดียวที่ติดต่อมันได้ กูว่ามันยิ่งน่าห่วงนะ ถ้ามันอยู่บ้าน ออกมาเรียนตลอด แล้วมันไปไหนอะ ทำไมไม่มา ”

“ แล้วจะให้โทรไปที่ไหนละครับ ก็บอกอยู่ว่ามันปิดเครื่อง ”

“ เบอร์บ้านมั้ย ”

“ ถ้าแผนมันแตกทำไง ” ผมถามกลับอีกคนก็นิ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาแบบครุ่นคิด ท่าทางที่ดูคิดหนัก ชวนให้ไอ้นายท่านที่ก่อนหน้านี้นอนอยู่ที่เตียง เดินมานั่งลงบนตัก “ อะ หายงอนแล้วเหรอ ” แขนขาวกอดแมวตัวเอง พุงน้อยๆโดนลูบ เมี่ยงก้มลงหอมบนหัวเจ้าตัวลายซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ก็คงสังเกตได้นั่นแหละ ว่าเจ้านายตัวเองเครียด มันเลยมาเดินมาหาด้วยความเป็นห่วง ไม่ค่อยต่างกับแก้มหอมเท่าไหร่ เจ้าตัวน่ารักก็นั่งมองผมอยู่เหมือนกัน

“ ตอนนี้เลิกคิดเรื่องแผนแตกไม่แตกเถอะ แล้วมึงไม่เป็นห่วงเหรอวะ ถ้าเกิดว่า มันอยู่บ้าน แต่ทำทีเป็นออกมาเรียน ทั้งที่ความจริง ไปเมา ไปติดยา อะไรแบบนั้นอะ ”

“ ดีนมันไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก ”

“ เราไม่รู้หรอกอาร์ม มันเสียใจอยู่นะมึง  แล้วเรื่องแบบนี้ ก็ชอบเข้ามาตอนคนมันขาดสติทั้งนั้นแหละ ”  ผมนิ่ง ในตอนนั้นเมี่ยงก็เอื้อมมือจะจับมือผม แต่ทว่าก็โดนไอ้นายท่าตะบบห้ามไว้ จนเราต้องหันไปสนใจไป “ ขอจับมืออาร์มหน่อย นี่แฟนเมี่ยง แล้วตอนนี้ก็กำลังเครียดอยู่ โอเคนะ ”

“ กวนตีน ” ผมพูดเสียงเบา พร้อมกับมือขาวที่ก็กระชับมือแน่น

“ กูเข้าใจนะว่ามึงรู้สึกยังไง เข้าใจว่าไม่อยากจะเหนื่อยหน่ายกับความดื้อของมัน แต่โทรไปหน่อยเถอะ มันต้องมีสักทางที่มึงติดต่อมันได้สิ มึงเป็นเพื่อนรักมันนะ ”

“ ทำไมอยากให้กูโทรไปจัง ไม่หึงเหรอ ”

“ ไม่เกี่ยวกับหึงไม่หึงเลย แต่ถ้าถ่านไฟเก่ามันลุกขึ้นมา กูเอาน้ำสาดเองไอ้สัด ” เมี่ยงว่าด้วยสีหน้าอินจัด จนผมหลุดยิ้ม “ เอาเป็นว่า ถ้าเกินขอบเขตกูคงหึง แล้วก็คงพูดกับมึงตรงๆ แต่ตอนนี้กูเชื่อใจมึง ว่ามันจะไม่มีอะไร แล้วก็เพราะบางทีที่มันหายไปแบบนี้ มันอาจจะแค่ไม่กล้าก็ได้ ”

“ ไม่กล้าอะไร ? ” ขมวดคิ้วมองคนตรงหน้าที่ก็แค่ยิ้มพลางก้มลงหัวหอมแมวตัวเอง

“ ก็ไม่กล้าสู้หน้ามึงไง เพราะสิ่งที่ทำเอาไว้ไง แล้วแบบนั้นมึงก็ยิ่งต้องทักไปนะ เพื่อบอกกับมันว่า ทุกอย่างโอเค ไม่เป็นไรหรอก ”

“ ไว้จะลองดู ” ก็ถ้ามันตอบกลับมานะ 

......................................................
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 34 :: up! 28-8-63} #หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 04-09-2020 20:28:08

สถานการณ์ภายในห้องดูไม่น่าไว้วางใจ มือของผมที่กำลังถือนิวเทนโด้ในมือชะงักความเร็วของการเล่นลง พลางมองไปยังจุดที่คล้ายว่าจะเป็นจุดเกิดเหตุในอีกไม่ช้า แผ่นหลังหนาของผู้ร่วมอยู่อาศัยที่เคยเป็นศัตรู

ดีนตอนนี้ยืนอยู่หน้าเตาในครัวของคอนโด มันอยู่ที่นี่มาห้าวันแล้ว ห้าวันที่ไม่ไปเรียน แล้วก็เอาแต่เล่นเกมส์ หมกตัวอยู่ในผ้านวมของผมที่กลายเป็นของส่วนตัวของมัน

“ ทำเชี้ยอะไรอีก ” เอ่ยทักออกไปคนที่เหมือนจะตั้งใจทำอะไรบางอย่างก็ถึงกับสะดุ้งเฮือก มันหันมามองผมตาขวาง

“ ตกใจไอ้เหี้ย ” ถอนหายใจออกมาพลางจับหน้าอก แล้วในตอนนั้นผมก็เห็นกลุ่มควันลอยขึ้นมาจากเตา

“ แล้วนั่นจะทำอะไร จะทำครัวกูไหม้อีกเหรอ ”  คนฟังถึงขั้นนิ่ง มือที่กำลังจะจัดการอะไรบางอย่างหยุดชะงักลง มันเหลือบมองผมด้วยสีหน้าหาเรื่อง

“ จะแดกมั้ย ”

“ ทำเผื่อกูด้วย ? ” ถามออกไปแต่คนฟังก็แค่ถอนหายใจทิ้งแล้วหันกลับไปทำอาหารตรงหน้าต่อ

ผมยังจำสองวันก่อนได้เลย ไม่รู้อีกคนคิดอะไร ถึงเกิดอยากจะกินบ็อปคอร์นช็อคโกเล็ตขึ้นมา แล้วก็แบบที่ราดช็อคโกเล็ตเองด้วย เจ้าตัวที่ลงทุนขับรถออกไปห้าง ไปซื้อบ็อปคอร์นถังใหญ่ที่โรงหนัง ก่อนจะกลับมาตั้งหม้อ โยนช็อคโกเล็ตลงไป

ที่สุดท้ายแล้ว...มันก็ไหม้ไปทั้งหม้อ

หน้าหงิกงอของคนที่ไม่ได้กิน เดินขึงขังมานั่งลงข้างตัว ปากที่เคี้ยวบ็อปคอร์นแบบที่ซื้อมา พอถามว่าทำไมไม่ซื้อมาง่ายกว่า ดีนก็บอกกันว่า อยากจะกินแบบ เป็นซอสราดช็อคโกเล็ตเยิ้มๆ ไม่ได้อยากจะกินแบบ คลุกไว้แห้งๆ วันนั้นผมก็เลยถามกลับไป

‘ แล้วทำไมไม่ซื้อซอสช็อคโกเล็ตที่มันทางหนมปังมา ’  ก็นั่นแหละ มันถึงได้หายโง่

กลิ่มหอมอ่อนๆของอาหารเริ่มโชยมาเข้าจมูกหลังจากที่ผ่านไปสักพัก ดีนไม่ได้เก่งขึ้นหรอก แต่ก็ฉลาดในการใช้ชีวิตมากขึ้น ยกตัวอย่างก็การทำมาม่าในรูปแบบต่างๆ ผมว่ามันทำได้ดี

“ มาม่าอีกแล้วเหรอวะ ” พอถามออกไป เสียงครางในคอที่แทบไมได้ยินก็ตอบกลับมา

“ อื้อ มาม่าเผ็ดเกาหลีอะ กูทำสามห่อเลย ”

ก้มลงมองนิวเทนโด้ที่อยู่ในมือ นิ้วขยับต่อเนื่องจนมันจบด่าน พอดีกับอาหารถาดยักษ์ที่วางลงบนโต๊ะตรงหน้า

“ เชี้ย ” ถึงขั้นสถบออกมาในตอนที่เห็น ไม่ใช่แค่มาม่าเผ็ดอย่างที่เข้าใจ แต่มีไส้กรอก ข้าวโพดเป็นท็อปปิ้งที่ก็เยอะมาก ตามภาษาคนเริ่มมีสกิลในการทำอาหารแต่ยังคำนวนปริมานไม่เป็นว่าต้องทำเท่าไหร่ กับการกินสองคน

“ ทำไม ไม่กิน ? ” พ่อครัวหัวร้อนถามออกมาแบบหาเรื่อง มือข้างนึงถือถ้วยแบ่ง อีกมือก็ถือส้อม เตรียมพร้อมจะนั่งลง แน่นอนว่าถ้าผมเรื่องมาก มันน่าจะโยนของในมือพวกนั้นแหละ เข้ามาใส่หน้า

“ กิน ” ตอบรับเสียงหนัก คนทำก็เดินลงมานั่ง ดีนยื่นถ้วยกับส้อมให้ผม มันที่เหลือบมองกัน แน่นอนว่าคง อยากได้คำชมเหมือนทุกที “ เดี๋ยวนี้อาหารมียกระดับเว้ย ใส่นู้นใส่นี่ด้วย สุดยอด ”

“ แน่นอน ” แล้วก็เป็นเหมือนอย่างทุกที คนได้รับคำชมกลั้นยิ้มไว้แบบที่ก็ทำทีเป็นไม่ได้สนใจ ทั้งที่หน้า หลัง ยืดตรงไปหมด “ กูซื้อไส้กรอกเวฟ แล้วก็ข้าวโพดต้มแล้วมาด้วยตอนไปเว่น เลยจับใส่เข้าไปรวมกัน ”

“ สุดยอด ” ยกมือให้หน่อย คนทำก็ยิ่งกลั้นยิ้ม ดีนมันก้มหน้าลงตักเส้นมาม่าใส่ชามของตัวเอง ก่อนเสียงสูดเส้นของเราสองคนจะดังตามมาเป็นระยะอย่างไม่มีขาดช่วง มันตามมาพร้อมกับเสียงซี๊ดซ๊าดของความเผ็ดร้อน จนผมต้องวางชามแล้วเดินไปที่ตู้เย็น

แป็ปซี่กระป๋องถูกเปิดเสียงดังป๊อก! ผมกินมันก่อนเพื่อระบายความเผ็ด แล้วค่อยหยิบแก้ว มาเปิดจ้วงน้ำแข็งที่อยู่ตรงตู้บน

“ เผื่อด้วย ”

“ คนใช้มึงเหรอกูน่ะ ” ถามกลับไปแบบนั้นคนกำลังเผ็ดก็ซี๊ดซ๊าดแบบผ่อนลมเข้าออกพลางมองด้วยสายตาอาฆาต

“ K ” มันพูดแบบนั้นก่อนจะทำทีเป็นลุกมา แต่ผมก็ยื่นแก้วของตัวเองที่ยังไม่ทันกินไปให้ไปก่อน

“ เอาไป ”  เดินกลับมาตักน้ำแข็งแก้วใหม่รวมถึงรินแป็ปซี่ใส่ใหม่  ผมกลับมานั่งที่เดิม แน่นอนว่าก็ยังกินต่อ  แลเมื่อพ่อครัวมือใหม่เห็นแบบนั้นมันก็เอ่ยแซวผม

“ อร่อยใช่มั้ย กินไม่หยุดเลยน้า ”

“ เอาอะไรมาไม่อร่อย มาม่า ไส้กรอกเวฟ กับข้าวโพดที่ต้มแล้ว สำเร็จรูปมาทั้งนั้น ” เชิดหน้าถามอีกฝ่ายที่ถึงกับต้องแบะปาก แล้วปล่อยตัวเองพิงหลังกับโซฟาตัวที่นั่ง ท่าทีที่ไม่สบอารมณ์ชวนให้ผมยิ้มก่อนจะก้มหน้าลงกินอาหารตรงหน้าต่อ  “ แล้วเมื่อไหร่มึงจะได้ฤกษ์ไปเรียนสักที ห้าวันแล้วนะ ”

เสียงถอนหายใจหนักดังมาเป็นคำตอบอย่างไม่อยากให้ถาม ท่าทางที่ชวนให้คนฟังหงุดหงิดมากขึ้น ดีนมันหยิบมาม่าที่เหลือในจานขึ้นมากินเพื่อเลี่ยงที่จะตอบ

“ เพื่อนไม่โทรมาหามึงบ้างเลยเหรอวะ ”

“ ก็คงโทรมา แต่ไม่ติด เพราะกูเปลี่ยนเบอร์ไปแล้ว ” อีกคนบอกด้วยท่าทีหน่ายๆ ผมก็ขยับมือที่ถือส้อมหนุมเส้นมาม่าที่อยู่ในมือก่อนจะซัดเข้าไปอีกคำ ก่อนจะจ้องสายตาเรียวที่มองมา

“ ไปเรียนได้แล้ว อย่าปล่อยให้เพื่อนเป็นห่วงนาน ”

“ ใครมันจะมาเป็นห่วงกู มันก้ใช้ชีวิตของมันปกตินั่นแหละ ” หันมาถามกลับยิ้มๆ ส่วนผมก็แค่ยกยิ้มกลับไปให้

“ มันมีอยู่แล้ว คนที่เป็นห่วงมึง แล้วมึงก็รู้ด้วยว่ามันมี แต่มึงยังไม่กล้าที่จะยอมรับ เพราะยังไม่กล้าจะเผชิญหน้ากับใครหรือเปล่า ”

“ ไม่ใช่เลยไอ้สัด ” ปฎิเสธออกมาแบบที่ไม่สำเหนียกในสายตาหลบลงต่ำของตัวเองสักเท่าไหร่ ผมกินมาม่าคำสุดท้ายในจานก่อนจะวางถ้วยเปล่านั้นลงบนโต๊ะ

“ ตอแหล ตอนนี้มึงแค่คิดถึงหน้าไอ้สัดอาร์ม มึงก็ไม่กล้าที่จะแต่งตัวแล้ว ทำไมกูจะไม่รู้ มึงตื่นเวลาเรียนตลอด เตรียมตัวจะไปในทุกคืน แต่พอเอาเข้าจริง มึงแม่งก็ไม่กล้า เพราะเผลอคิดถึงหน้ามัน ”

“ กูจะไปคิดถึงหน้ามันทำไมก่อน มีอะไรให้ต้องคิดถึงด้วย ” คนตรงหน้าเอ่ยถามผม ด้วยสายตาที่บอกกันว่า ดีนก็คือดีน ดีนคือคนไม่ว่ายังไง ก็ไม่ชอบแสดงด้านอ่อนแอให้ใครเห็น

ต่อให้จนตรอกแค่ไหน ปากก็ยังพูดออกมา ว่าไม่เป็นไร

“ กูจะไปคิดถึงคนที่ตอนนี้ ความรักสุกงอม จนแทบจะเน่าอยู่แล้วทำไม ” กระดกน้ำแข็งในแก้วที่ถือเข้าไปในปาก ด้วยท่าทีไม่สนใจ ผมก็ได้ยิ้ม

“ คำพูดนางอิจฉาชัดๆ ”

“ K ”  น้ำแข็งในปากถูกพ่นออกมาใส่ มันคะตอกถาม “ อิจฉาเหี้ยอะไร ”

“ ไม่อิจฉาก็ไปสิ หรือว่าที่ไม่กล้ามองหน้า เพราะไปทำกับเค้าไว้แสบนัก ” คราวนี้คนที่จ้องหน้าหาเรื่องกับเบือนสายตาหนีไปทางอื่น ดีนเขย่าน้ำแข็งนแก้วแบบที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไร ก่อนจะกินน้ำที่เหลือนั้นเข้าไป “ ใช่ จริงๆด้วยสินะ ”

“ ใครจะเหมือนมึง ทำเหี้ยกับกูไว้ตั้งเท่าไหร่ วันต่อมาก็ยังทำเหี้ยใส่เท่านั้น ” แก้วที่ถือถูกวางลงบนโต๊ะ พร้อมกับเจ้าของร่างหนาที่นอนลงบนโซฟา แบบเหยียดยาว ผ้าห่มผืนหนามันม้วนๆเอามากอดไว้ กลายร่างเป็นตัวอะไรอย่างที่อาจจะมีจำนวนนับว่า ก้อน

“ คนละเรื่องกันเลย คนฉลาดมันไม่เอามารวมกันหรอก ” ว่าแบบนั้นผมก็ลุกขึ้นเก็บจานเปล่าบนโต๊ะ ไปวางไว้ที่เค้าท์เตอร์ในครัว เปิดน้ำเตรียมล้างจาน ก่อนจะเห็นคนที่นอนก้อนกลมอยู่นั้น ลุกเด้งขึ้นมา ก่อนจะหันมามองกัน “ คิดทบทวนดีๆ ว่าที่ไม่อยากไปมันเพราะอะไรกันแน่ หวังว่ามึงจะไม่เอาอนาคตตัวเองไปทิ้งไว้กับคนที่มันไม่ได้รักมึง ”

“ ถึงขั้นใช้คำว่า เอาอนาคตตัวมาทิ้งเลยเหรอวะ ” คนที่นั่งอยู่บนโซฟาเถียง “ เว่อร์ไปไอ้สัด ”

“ แล้วแม่มึงส่งมึงมาเรียนมั้ย ทำไมไม่ทำในสิ่งที่มึงต้องรับผิดชอบ ” ปากที่กำลังอ้างเถียง แต่ผมก็ไม่เว้นช่วงให้มันได้พูด “ หยุดสองสามวันแรกกูยังพอเข้าใจ แต่สี่ห้าวันแล้วนะ เหลือเอาไว้เวลาเจ็บป่วยบ้างไอ้สัด เดี๋ยวก็ต้องดร็อปหรอก แล้วก็ต้องเปลือยตังค์แม่มึงอีก ”

“ มึงไม่เป็นกู จะไปรู้อะไร ” คนที่อยู่นั่งอยู่ตรงโซฟาเถียง ดีนมันหันไปมองทางอื่น “ ก็ตอนนั้นพอมาคิดย้อนไปแล้วโคตรเหี้ยเลย ทั้งคำพูด ทั้งการกระทำของกู แค่คิดว่า ต้องไปเจอหน้ามัน ต้องไปมอง ต้องไปยิ้ม แล้วทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร กูแม่งทำไม่ได้วะ ”

“ รู้สึกว่าตัวเองเหี้ยว่างั้น ”

“ ก็เออ ” ยกยิ้มขึ้นมาในตอนที่ได้ยิน ผมสะบัดมือตัวเองตอนล้างจานใบสุดท้ายเช็ดมันเข้ากับผ้าที่อยู่ใกล้ ก่อนเดินมาหยุดอยู่หน้ามัน อีกคนที่ก็เงยหน้าขึ้นมอง  “ อะไร ”

“ แต่ถ้าไม่ลองดูก็ไม่รู้นะ ว่ามันจะเป็นยังไง ”

“ ก็ตอนนี้ ไม่ได้อยากจะลอง ไม่พร้อม ”

“ งั้นรอให้มันเรียนจบก่อนมั้ย แล้วค่อยไปเรียน ” ผลักหัวคนที่นั่งหน้าเซ็งอยู่แบบนั้น ดีนเงยหน้ามองเพดาน มันเงียบอยู่สักพัก

“ มึงแม่งไม่เข้าใจ ”

“ กูเข้าใจ แต่แค่ไม่อยากจะให้มึงหนีอยู่แบบนี้ เดินหน้าต่อไปได้แล้วดีน ไอ้อาร์มมันเดินต่อไปแล้ว มึงก็รู้ว่ามึงหนีมันไปไม่ได้ตลอดอยู่แล้ว ”

“ ก็รู้ ” เสียงเรียบๆที่บอกกันอย่างงั้น ชวนให้บรรยากาศภายในห้องน่าเบื่อไปหมด

ผมรู้ว่ามันเองก็คงมีเหตุผลของมัน แล้วก็รู้ดีว่า ไม่ใช่คนที่อยู่ในจุดนั้น จะพูดอะไรออกมามันก็ดูง่าย ดูดีไปหมด ซึ่งแน่นอนว่ามันต่างกับคนปฎิบัติ คนเราต้องใช้ความกล้ามากแค่ไหนในการเดินเข้าไปหาคนที่เราทำเหี้ยไว้ตั้งเยอะแยะขนาดนั้น

“ รู้มั้ย กูคิดถึง ตอนกูจูบมัน แล้วก็บอกว่า มันคงจะรักใครไม่ได้นอกจากกูมากๆเลย ” ดีนพูดแบบนั้นยิ้มๆ “ มั่นหน้าชิบหายไอ้สัด ไม่รู้ไปเอาความมั่นใจแบบนั้นมาจากไหน ไม่นับตอนที่กูเอาแต่ไม่ฟังเหี้ยอะไร บอกว่ามันแค่วางแผนกับไอ้เมี่ยง เพื่อที่จะบีบบังคับกูอีก เหอะ ” คนพูดเบือนหน้าไปทางอื่นก่อนจะถอนหายใจทิ้ง ใบหน้านั้นก้มลงต่ำ นิ้วยาวเขี่ยไปมากับพื้นโซฟาตัวที่นั่ง “ แล้วแค่คิดว่ากูต้องไปเจอหน้ามัน ก็ไม่รู้แล้วว่าจะเอาตาไปมองตรงไหน ”

“ ตรงตาเค้าสิ ” แซวมันยิ้มๆ อีกคนก็ตวัดสายตามองแบบหาเรื่อง

“ K ”

“ ฮ่าๆ ” หลุดหัวเราะออกไปอย่างงั้น แต่เหมือนดีนจะไมได้ยิ้มด้วย “ ยั๊วะเก่ง ”

“ ไว้มึงอยู่ในสถานการณ์เหี้ยๆแบบนี้เมื่อไหร่ กูจะสมน้ำหน้าเช้าเย็นเลยไอ้สัด”

“ แหมมมมมมมมมมมมม ร้ายจังน้า ” ว่าแบบนั้นดีนมันก็ถอนหายใจด้วยสายตาหงุดหงิดที่ก็เหลือบไปมองทางอื่น มือเอื้อมไปหยิบนิวเทนโด้เตรียมจะเปิดเล่น ผมก็เอื้อมมือไปยึดมันมา “ ไปซื้อของกัน ”

“ ซื้ออะไรอีก ” สายตาเล็กขมวดคิ้วมองกันด้วยท่าทางงุนงง

“ ซื้อของเข้าบ้านไง ของบางอย่างมันหมดแล้ว ”

“ ก็ไปซื้อเองสิวะ ” ว่าแบบนั้นก่อนจะทำทีเป็นจะหยิบเกมที่อยู่ในมือ แต่ทว่าผมก็ถอยหลังออกห่างทัน “ เอาเกมกูมา ”

“ ซื้อเองเหี้ยอะไร ใช้ด้วยกันแต่ให้กูไปคนเดียวอะนะ” คนฟังลุกขึ้นจากโซฟา ดีนเดินตรงมาหาผม ท่าทางที่ดูหาเรื่อง มือคว้าเข้ากับเกมส์ที่ผมถือ แต่ใครเล่าจะยอม ผมเองก็จับมันไว้แน่นเหมือนกัน พร้อมทั้งขาที่ถอยหลังไปเรื่อยจนเกือบติดกำแพง แต่เหมือนอีกฝ่ายก็ไม่มียอมแพ้ แม้จะเตี้ยกว่าแต่ดีนมันก็ยืดสุดแขนเพื่อจะเอานิวเทนโด้ของตัวเองคืนไป

“ ว้าย เตี้ยจุงน้า ”

“ เฮ้ย.. เชี้ย! ” สิ้นสุดคำนั้น ขาที่กำลังยืดตัวก็เหมือนจะอ่อนลงกระทันหันดีนเอนตัว]h,มาทางผม หน้าเราที่ใกล้กันแค่คืบ เป็นวินาทีที่ทุกอย่างเงียบไปหมด มันเหมือนภาพค้างในทีวี และสิ่งเดียวที่เคลื่อนไหวก็ดูเหมือนจะเป็นหัวใจที่อยู่ๆก็เต้นแรงจนแทบทะลุอก “ เอามา ”

ดีนดูเหมือนมีสติก่อน มันดึงเอาเกมในมือไปจากผม ก่อนจะเดินออกห่างไปหยุดยืนนิ่งแบบที่หันซ้ายหันขวาอยู่กลางห้อง นิวเทนโด้เครื่องนั้นมันวางลงบนโต๊ะกินข้าว ก่อนอีกฝ่ายจะพูดเสียงอ้อมแอ้มแบบที่แทบไม่ได้ยิน

“ ไปด้วยก็ได้ ”

“ อะไร หมายถึงซื้อของ ? ”

“ ก็เออน่ะสิ ” สายตาที่หันมามองแบบติเตียน มันทำทีเป็นเดินนำออกไปก่อนแบบที่เหมือนมีอะไรต้องหลบกัน แต่ผมก็เห็นแล้วละ ไอ้หูแดงๆของมัน

บรรยากาศในห้างดูคึกคัก เสียงพูดคุยที่ดังมาจากทุกทิศวันนี้เราตัดสินใจมาห้างใหญ่เพราะระหว่างทางคนที่นั่งมาข้างๆ อยากกินไก่ทอดเกาหลีร้านดัง ต่อด้วยดูหนัง และที่ขาดไม่ได้ก็คือ อยากจะซื้อบ็อปคอร์น ดีนบอกกันว่า วันนี้จะซื้อทั้งซอสช็อคโกเล็ต และก็นูเทล่าไปกินด้วยกัน แบบที่ไม่กลัวเลยว่า ในอนาคตอาจจะต้องโดนตัดขา

“ ไปซื้อของก่อน หรือว่าจะไปกินก่อน ”

“ ซื้อของก่อนสิวะ  เพราะเพิ่งกินมา ” มองกันแบบถามไม่คิด ผมเองก็ถึงขั้นถอนหายใจมือที่ขยับอยากจะเอื้อมไปฟาดมันสักที กับไอ้คนที่เดินเก็กหล่ออยู่ข้างๆ แต่ทว่าขานั้นก็ชะงักลงในตอนที่ดีนหยิบมือถือขึ้นดูอะไรสักอย่าง หลังจากมีเสียงแจ้งเตือน

“ หยุดทำไม ” ถามออกไปก่อนหันไปมองดู บนนั้นเหมือนมีข้อความอะไรสักอย่าง ถูกส่งเข้ามาในโปรแกรมทวิตเตอร์ที่มันเล่น

“ เปล่า ” ตอบแค่นั้นมือก็กดล็อคมือถือก่อนจะยัดมันใส่กระเป๋ากางเกงข้างหลังแล้วเดินต่อ แต่ทว่ามันหยุดอีกครั้ง พร้อมด้วยกับดึงผมเข้าไปตรงทางหนีไฟข้างๆ ท่าทีนั้นรีบร้อนจนชวนหัวเสีย

“ เหี้ยอะไรของมึงอีก มีอะไร ”

“ พ่อกูมา ”

“ ห๊ะ ? ” ได้แต่เอียงหน้างงคำพูดนั้น ดีนเชิดหน้าทำทีเป็นสัญลักษณ์ให้ผมหันไปดู แล้วในตอนที่เหลือบมอง พ่อที่มันว่า ก็ตอบทุกอย่างได้หมดเลยว่าทำไมถึงรีบร้อนอย่างงั้น 

เพราะตอนนี้ อาร์มกับเมี่ยง กำลังเดินยิ้มให้กัน
และแน่นอน...มันตรงมาทางเรา

“ ห้างก็มีทั่วเมือง เสือกจะมาห้างเดียวกันก็วันนี้ ”

“ เอาฮูดขึ้น ” ดีนบอกผมที่ก็จำใจเอาฮูดตรงเสื้อของตัวเองขึ้นอย่างปิดบังให้ มันดึงให้ผมบังตัวมันไว้ ทำทีเหมือนตัวเล็กมาก ทั้งๆที่ก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ แค่เตี้ยกว่าหน่อยเดียวเอง

“ บังมิดมากเลยอะจ้ะ น้องดีนก็ตัวนิดเดียวแหละเนอะ ”

“ K ” มันเหลือบตาบอก “ เงียบไปเลยไอ้สัด ” ใบหน้านั้นก้มลงมาหลบกับอกผมหลังจากที่พูด ลมหายใจที่ผ่อนออกมาด้วยความตื่นกลัว ดีนเริ่มเม้มริมฝีปากด้วยความไม่มั่นใจในสิ่งที่ทำ ก็คงกลัวว่าอีกฝ่ายจะจับได้  แล้วในตอนนั้นมันก็บอกผม ” มึง ”

“ อะไร ”

“ จูบกูหน่อยได้มั้ย ”

“ ห๊ะ ? ” ดังกว่าเมื่อครู่ ผมงงแบบสุดตัวแต่ยังไม่ทันจะได้ถามว่าทำไม เพราะอะไร จูบทำไม คนตรงหน้าที่ตัดสินใจเร่งด่วนก็คว้าเข้าตรงต้นคอ แล้วดันให้ผมเข้าไปใกล้

วินาทีต่อมานั้น ปากของเราแนบสนิทกันแบบที่ผมตาตั้งค้างโตที่สุดในชีวิต ก่อนที่มันจะผละออกในตอนที่เห็นว่าอีกฝ่ายเดินผ่านไป

“ ไอ้...”

“ ยังเจ็บอยู่เลยว่ะ ” ประโยคสั้นๆนั้น ยุติคำพูดด่าของผมให้หยุดลง ลมหายใจที่ผ่อนออกช้าๆ ดีนมองผม “ กูไม่ได้รักมันจริงๆเหรอวะ ”

“ ทำไมถามแบบนั้น ”

“ ก็ทำไมมันยังรู้สึกอยู่เลย ตอนที่เห็นมันเดินมา ” มือข้างนึงยกขึ้นลูบที่อกฝั่งซ้าย “ มันรู้สึกเจ็บที่ตรงนี้ ”

‘ เหมือนกูเลย ’ ต่างกันที่กูไมได้เจ็บ หัวใจกูแค่เต้นแรง

.................................................


ขอยิ้มกริ่ม หนึ่งกรุบ
ฝากแท็ก #นายท่านและแก้มหอมด้วยนะคะ
นิยายเรื่องนี้ใกล้จบแล้ว อีกนิสนึงง ท่านใดสนใจ เกียมหยอดกระปุกหมูไว้ได้เลยน้า
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์

หนมมี่  :กอด1: :L2: :3123: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 35 :: up! 4-9-63} #หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 04-09-2020 22:54:12
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 35 :: up! 4-9-63} #หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 04-09-2020 23:12:22
ขำ  อารมณ์ของท่านผู้นำเผ่าวิฬา  :laugh:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 35 :: up! 4-9-63} #หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 05-09-2020 14:02:57
ต่างคนก็ต่าง....หัวใจ  :o8:

 :katai2-1: :katai2-1: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 35 :: up! 4-9-63} #หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 07-09-2020 09:07:13
จ๊ะ ไปให้สุดค่ะ เบสดีน คนหนึ่งกำลังเสียใจ อีกคนกำลังเปิดใจ
รีบจูนให้ตรงกันไวๆ นะ จะได้มีคนรักกัน ดูแลกันจริงๆ สักที

แหมมมมม อยากจะแหม ย้ายห้องใหม่ก็ฉลองเลยเนาะคนเรา
อาร์มก็ชัดเจนนะ และก็เสียใจเป็น ไม่ใช่คนทิ้งก่อนจะไม่เจ็บ
เพราะเจ็บมาเยอะ เลยเลือกเดินออกมา แค่นั้นเอง
เมี่ยงน่ารักมาจ้า ก่อกวน ทำให้ฟีลมุ้งมิ้งตลอด
เมี่ยงเปิดใจสุดแล้วนะตอนนี้ อยากให้ทุกอย่างจบแหละ จะได้ใช้ชีวิตต่อ
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 36 :: up! 11-9-63} #หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 11-09-2020 20:14:50

ตอนที่ 36


“ ก็ทำไมมันยังรู้สึกอยู่เลย ตอนที่เห็นมันเดินมา ” ราวกับอยากจะหยุดความเคลื่อนไหว ผมวางมือที่อกข้างซ้าย “ มันรู้สึกเจ็บที่ตรงนี้ ”

“ ก็ไม่เห็นจะแปลกที่เป็นแบบนั้น ” คนที่อยู่ตรงหน้าบอกกันแบบนั้น ด้วยสายตาที่เปลี่ยนเป็นเรียบเฉย ต่างกับตอนตั้งท่าจะกร่อนด่ากันเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง เบสมันถอนหายใจ “ มึงไม่เจอมันตั้งนาน ตื่นเต้นที่เห็นก็ปกติเปล่าวะ ”

“ มึงดูเชื่อมั่นจังเลยนะไอ้สัด ว่ากูไม่ได้รักมัน ”

“ แน่นอน เพราะถ้ามึงรักมันจริงๆ มึงจะไม่ทำกับมันแบบนั้น ” สีหน้าเรียบเฉย สายตาเรียวที่เหลือบมองกัน ก่อนจะยักคิ้วให้  แต่ผมในตอนนั้นกลับไม่ต่างอะไรกับคนที่ถูกปลายมีดแหลม ปักลงไปกลางอก จนร่างกายมันเย็นเฉียบ และคำเดียวที่ผุดขึ้นมาก็มีเพียงแค่ ‘ ก็จริง ’ 

ถึงความรักจะไม่ใช่การครอบครองเสมอไป แต่ก็ไม่ใช่การผลักไสในแบบที่ผมทำ ไม่ใช่การบอกให้อีกคนรออย่างไม่มีความหวัง แล้วก็ไม่ใช่การดึงกลับมา เพียงแค่เพราะกลัวว่า มันจะหายไป

“ แล้วตอนดึงกูมาจูบกูอะ ใครอนุญาตมึงไอ้สัด ” ประโยคที่ผมหันไปมองพลางขมวดคิ้วเพราะรู้สึกหยุมหยิมเสียเหลือกิน แต่ดูเหมือนคนถามจะไม่คิดแบบนั้น เบสมันขยับตัวเข้ามาใกล้ ในตอนนั้นแผ่นหลังของผมถูกดันจนติดกำแพง ทั้งสายตาและสีหน้านั้นดูจริงจัง จนผมต้องยกยิ้มกลบเกลื่อนในตอนที่เหลือบไปมองรูปปากนั้นเข้า จนรู้สึกหน้าร้อน

“ ทำไม ? ตื่นเต้นเหรอจ้ะ ที่จูบกับกูอีกครั้ง ” ส่งจูบให้คนตรงหน้าอีกครั้ง แต่เบสมันก็แค่นิ่ง สายตานั้นบอกกันว่านี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น มันจริงจัง และกำลังหงุดหงิดกับท่าทางนั้นของผม “ อะไรวะ แค่จูบเอง ทำเป็นหงุดหงิดไปได้ มึงเป็นสาวน้อยที่เพิ่งหัดมีรักครั้งแรกหรือไง ถึงได้..”

“ แล้วมึงเป็นเหี้ยอะไรกับกูละ ถึงมาจูบกู ” คำถามนั้นทำให้ผมนิ่ง “ ไม่รู้เหรอ ว่าถ้าไม่รู้สึกอะไรกัน เค้าไม่ให้จูบกัน เพราะไม่อย่างงั้น มันจะทำให้คนที่โดนจูบรู้สึก ”

“ รู้สึก ? รู้สึกอะไร ” ทวนคำพูดนั้นกับคนที่เหมือนไม่ได้ตั้งใจจะพูดคำนั้นออกมาสักเท่าไหร่ เบสเองก็ดูตกใจที่เป็นแบบนั้นสายตาของมันเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนป็นลุกลี้ลุกลน เจ้าตัวมองไปทางอื่น

“ แล้วมึงยังจะกินมั้ย ไก่ทอดเกาหลีอะไรของมึง ” แล้วสุดท้ายพอไม่อยากจะตอบก็ทำทีเป็นพูดเรื่องอื่น อย่างที่ชอบทำ

“ K ” พูดแบบไม่ออกเสียง อีกฝ่ายก็ถามซ้ำ

“ ว่าไง ตกลงจะกินมั้ย ”

“ กินเหี้ยอะไรละ คิดหน่อยมั้ยไอ้สัด ” ผมถามมัน “ นั่งแดกอยู่แล้วมันเดินมาเห็นจะทำยังไง  คาบไก่แล้ววิ่งออกมาเหรอ ”

“ ก็สภาพเหมือนหมาดีออก เข้ากับมึง ”

“ หน้าเหี้ย ” สบถอย่างงั้น ผมดึงตัวเองออกห่างอีกฝ่าย ก่อนจะถอนหายใจเซ็งแล้วเดินนำออกมา

แต่ที่แปลก คือทำไมต้องรู้สึกหงุดหงิดจังวะ
หงุดหงิดที่มันไม่ตอบเรื่องนั้น เรื่องที่ผมถาม
ว่ารู้สึกอะไร

ในตอนที่เราจูบกัน

 
 “ เป็นอะไรอีก ” คนที่เดินตามมาเอ่ยถาม ผมก็ส่ายหน้า ทั้งสติ สมอง และหัวใจ พยายามอย่างที่สุดแล้วที่จะชักจูงความรู้สึกนั้นให้ลดลง “ ดีน ”

“ อะไร ” หยุดขาที่กำลังเดิน แล้วหันไปมองคนที่ก็มองกันนิ่งๆ

“ หงุดหงิดอะไร ”

‘ ก็มึงไม่ตอบอะ ทำไมไม่ตอบที่ถาม คนโดนจูบจะรู้สึกอะไร ’  ใจที่เถียงออกไปอย่างงั้น ผมส่ายหน้าไปมากับความรู้สึกที่มันดูเหมือนจะแปลกๆนั่น  ‘ หึยยย ขนลุกไอ้สัด ทำไมต้องไปอยากรู้ด้วยวะ ’

“ ตกลงว่าไง ”

“ ก็เรื่องไอ้อาร์มนั่นแหละ ” โบ้ยให้อีกฝ่ายที่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย ผมทำทีเป็นถอนหายใจ “ อุตส่าห์อยากแดกไก่ทอดเกาหลี ต้องมาไม่ได้แดกเพราะแม่ง ไอ้หน้าสัด ขัดขวางความสุขของกูจริงๆ ทั้งๆที่มันแม่งก็มีความสุขจนจะสำลักตายอยู่แล้ว ”

“ แบบนี้เรียก แพ้แล้วพาล ”

“ มึงก็อีกคน ” ผมบอกคนที่เดินนำหน้าไป เบสหันมามองกันก่อนจะยิ้ม

“ ทำไมครับ ”

“ เหี้ย ” พูดแบบไม่ออกเสียง แต่เหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้น ร่างสูงเดินนำผมไปก่อนที่มันจะโยนกุญแจรถของตัวเองมาให้

“ เอาไป ”

“ อะไร ” รับมาแบบงงๆ ผมมองกุญแจรถที่อยู่ในมือ

“ ไปรอที่รถ กูจะไปซื้อไก่ทอดเกาหลี เหี้ยอะไรนั่นให้ เพราะถ้ามันเจอกูคนเดียวคงไม่เป็นอะไรหรอก จริงมั้ย ”

“ ก็จริง..”

“ แล้วอย่าได้คิดว่ากูทำเพื่อมึง เพราะแค่มาแล้ว และมันก็เสียเที่ยว ถ้าเราไมได้เหี้ยอะไรกับไปเลย ”  บอกกันแบบนั้นก่อนจะเดินไป แต่ถึงอย่างงั้นก็ยังหันกลับมาย้ำ “ แล้วอย่าเสือกอยู่แบบไม่ติดเครื่อง เพราะกลัวเปลืองน้ำมันอีกละ มันร้อน ”

“ โอเค ” ตอบรับเจ้าของรถยิ้มๆ แต่เหมือนเบสมันจะนิ่งไปในตอนที่เห็นผมทำทีท่าอย่างงั้น

“ ยิ้มเหี้ยอะไร ” มันถาม “ กูแค่อยากจะซื้อของเสร็จ แล้วเข้าไปตากแอร์ต่อในรถเลย ไม่อยากจะทนร้อน รอแอร์มันเย็นเท่านั้น ”

“ ก็ยังไม่ได้ว่าอะไร ” บอกมันไปแบบนั้นอีกคนก็พยักหน้ารับก่อนจะเดินออกไป ทั้งๆที่ในใจก็อยากจะแซวต่อ ว่ามันไม่ได้ร้อนอะไรขนาดนั้นหรอก ในห้างแอร์เย็นชิบหายขนาดนี้ เดินออกจากห้างขึ้นรถนิดเดียว เหงื่อจะมาทันไหลได้ยังไง

ยกเว้นว่ามันจะเป็นห่วงผม กลัวว่าจะนั่งทนร้อนอยู่ในรถ

“ เชี้ย ” สบถกับตัวเองกับความคิดงั้น พร้อมกับเลือดทั้งร่างที่เหมือนจะไหลกองมารวมกันที่หน้าแบบไม่นัดหมาย ผมหันหลังเดินไปตรงลิฟต์แบบคนเก็บอาการ ขาที่เดินตรงไปที่รถ สมองก็เอาแต่ถาตัวเองวนซ้ำไปมา

“ แล้วจะเขินทำเหี้ยอะไรวะ ” นั่นสิ เขินมันทำไม ไร้สาระ

สะบัดความคิดพร้อมกับส่ายหน้าไปมาด้วยท่าทีเหมือนจะขนลุกอยู่หน่อยๆ ผมผ่อนหลังลงกับเบาะคนขับที่นั่ง เร่งแอร์ที่ไม่รู้ว่าเพราะร้อน หรือเพราะอะไรที่ทำให้รู้สึกงุ่นง่านอย่างงั้นจนทำตัวไม่ถูก

“ เห้ออออ ” ถอนหายใจออกมาก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมา อย่างคิดจะเล่มเกมส์ฆ่าเวลาแต่ทว่าข้อความที่ไม่คิดว่าจะกลับไปอ่านอีกครั้งกลับฉายขึ้นมาบนหน้าจอที่ก่อนหน้านี้ ผมยังไม่ได้กดออกจากโปรแกรมแค่อย่างใด

ทวิตเตอร์ เป็นสื่อสังคมเดียวที่ผมไม่ได้ลบทิ้ง ในนั้นผมติดตามข่าวสารต่างๆ เพื่อให้มันอัพเดทความเป็นรอบๆตัวให้ได้รู้ และเพราะเพื่อนในกลุ่มไม่เล่นกัน ผมก็เลยเลือกที่จะเล่นมันเหมือนเดิม

แต่กลับลืมไปว่า ครั้งแรกในตอนที่สมัครเล่น เคยคะยั้นคะยอให้ไอ้อาร์มมันสมัครเป็นเพื่อนกัน เพียงเพื่อแค่อยากจะมีสักหนึ่งฟอลโลเว่อร์ที่คอยติดตามกัน และในวันนี้ หนึ่งคนที่ว่านั้นก็ส่งข้อความเข้ามาหา แบบที่เรียกว่า ตกม้าตายในเรื่องโง่ๆ อย่างแท้จริง

‘ หายหัวไปไหน ทำไมไม่มาเรียน กลับมาเรียนได้แล้วนะ เพื่อนเป็นห่วง รวมถึงกูด้วย อยากเจอมึงแล้ว ไอ้หน้าหมา ’

“ แต่กูยังไม่อยากจะเจอมึงสักหน่อย ” พูดกับตัวเองแบบนั้น ผมกดออกจากโปรแกรม ทำเป็นไม่สนใจมัน แล้วปล่อยมือถือลงข้างตัวทั้งอย่างงั้น

ไม่มีแม้แต่ประโยคที่คิดออก ก็เหมือนที่เบสบอก ไม่ผิดจากที่อีกคนคาดเท่าไหร่ ทุกตอนเย็นผมเตรียมตัวจะไปเรียน เรียกพลังใจเต็มเปี่ยม ก่อนจะไฟแห่งความกล้านั้นจะมอดไหม้ลงในตอนเช้าที่อาบน้ำเสร็จ และเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อจะหยิบเสื้อนักศึกษามาใส่

ที่สุดท้าย มันก็กลายเป็นแค่เสื้อยืดสีขาว กับกางเกงบอลโง่ๆ

ผมเคยลองจินตนาการถึงใบหน้าหล่อเหลาในตอนที่เราพบเจอ มานับครั้งไม่ถ้วน ในแววตาที่มองมาไม่มีหลบอย่างที่ชอบทำ คนหน้าดุที่พอไม่ยิ้มก็กลายเป็นคนน่ากลัวแบบที่ต้องบอกให้มันยิ้มอยู่บ่อยๆ เวลาพบเจอใคร

แต่ตอนนี้แม้คำว่า หวัดดี  ที่จะออกจากปากผม มันก็เหมือนจะหลุดไปได้ยาก เพราะแค่คิดว่า ต่อไปจากนั้นจะกลายเป็นเพียงความเงียบงันระหว่างเราที่คงมาพร้อมการหายใจไม่ออกของผม และเหงื่อที่คงไหลออกมาจากมือเต็มไปหมดอย่างยากจะควบคุม ด้วยความตกประหม่า


หลายคนเคยบอก
ว่าก้าวแรกนั่น สำคัญที่สุด ถ้าเราผ่านมันไปแล้ว ทุกอย่างก็จะโอเค

แต่นั่นแหละ
มันยากเพราะผมยังไม่คิดกล้า ที่จะก้าวผ่านมันไป
 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก


หันไปมองตามเสียงเรียก คนที่ยืนอยู่ด้านนอกเป็นเจ้าของรถที่ก็หอบของมาแบบพะรุงพะรัง เบสมันก้มลงมามองกัน ผมก็กดปุ่มปลดล็อค ประตูหลังก็ถูกเปิดออก ก่อนต้องเบิกตากับกองอาหารที่อีกคนแบกมาด้วย

“ มึงซื้ออะไรมาเยอะแยะขนาดนั้น ” คนที่ต้องตอบตวัดสายตามามองกัน ผมก็ได้แต่เม้มปากนิ่ง  แน่นอน ว่าผมคงถามเหี้ยอะไรออกไปแบบไม่เข้าหูมันเท่าไหร่

“ ก็ใครมันอยากแดกไก่ทอดเกาหลี ”

“ กู ” ผมตอบเสียงเรียบ ก่อนจะเหลือบมองที่ถุงพวกนั้น แน่นอนว่ามันต้องมีมากกว่าไก่ทอดเกาหลีแน่ๆละ เพราะงั้นก็ไม่น่าจะใช่ผมที่ผิดอยู่คนเดียว มันเองก็คงมีของที่อยากกินแล้วก็ซื้อมาแน่นอน “ แล้วไก่ทอดเกาหลี มึงซื้อมาทั้งฟาร์มเลยหรือไงไอ้สัด ถึงเยอะขนาดนี้ ”

“ แล้วใครบอก ว่าอยากแดกบ็อปคอร์นด้วย ” ได้แต่เงียบในตอนที่ได้ยินอย่างงั้น  ผมเหลือบไปทางอื่น “ กูสั่งไก่เกาหลีของมึง แถมยังมีข้าวเปล่า นู้นนี่นั่น แล้วเสือกคิดขึ้นได้ว่ามึงอยากกินบ็อปคอร์น มึงพูดก่อนเราจะออกมา กูก็เลยไปซื้อมาให้ ซอสช็อคโกเล็ตอะไรของมึงนั่นอีก ”

“ ซื้อมาด้วยเหรอ ” พลิกตัวไปจะหาด้วยความกระตือรืนร้น แต่คนที่หอบหิ้วมาก็แค่มองจ้องกันด้วยสายตาหงุดหงิดอย่างงั้น ไม่มีเปลี่ยน “ แล้วมึงจะหงุดหงิดทำเหี้ยอะไร กูใช้ให้ไปซื้อให้เหรอ ก็ไม่เปล่าวะ ” ปลายประโยคที่ค่อยๆเบาลง เพราะคนฟังที่เอาแต่จ้องกัน เบสวางมือจากการจัดถุงพวกนั้น

“ หอบมาให้ขนาดนี้ ขอบคุณสักคำ คือจะตาย ? ”

“ ขอบคุณครับ ” ตอบไปสั้นๆ แบบนั้นอีกคนก็หันไปจัดของต่อ

“ แล้วกูมายืนอยู่ตั้งนานไม่ได้เห็นเลยเหรอวะ ว่ากูยืนอยู่ ”

“ เหรอ ? ”  สบตากับอีกคนที่ก็เงยหน้าขึ้นมาจากของ เบสปิดประตูลงมันเดินกลับมานั่งข้างผม

“ เหม่อไปถึงไหนละ ” มันถามก่อนจะเชิดหน้าไปด้านนอก “ กูมายืนตรงหน้า เห็นมึงนั่งนิ่งๆ คิดว่าจะมอง แล้วจะแกล้งให้กูถือของอยู่แบบนั้นซะอีก ”

“ กูก็ไม่ได้เหี้ยขนาดนั้นมั้ย ”

“ สรุปก็คือไมได้มองอยู่จริงๆสินะ ” เบสมันว่ายิ้มๆ ก่อนจะดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาด แล้วพิงหลังกับเบาะ “ คิดถึงไอ้อาร์มอยู่ละสิ ”

“ พูดเหี้ยอะไร  กูจะไปคิดถึงมันทำไม ” หันไปเหลือบถามอีกคนก็ยิ้ม

“ แต่เมื่อกี้กูเจอมันด้วยนะ ” ชะงักมือที่กำลังจะออกรถ ก่อนจะผ่อนลมหายใจแบบทำเป็นไม่สนใจอะไร ผมปลดเกียร์ว่างเป็นเดินหน้า ก่อนจะเหยียบคันเร่ง แล้วขับออกไป

“ แล้วยังไงอะ ”

“ อยากรู้อ๋อออออ ” ลากเสียงยียวนผมก็ได้แต่เหลือบมอง

“ ก็แล้วแต่มึงอะ อยากเล่าก็เล่า ไม่อยากจะเล่าก็ไม่ต้องเล่า ”

“ ปากแข็งชะมัด ห้อยที่ยกน้ำหนักไว้กี่โลเหรอไอ้สัด ”  คนข้างกันลอยหน้าลอยตาปาก เบสมันเหลือบมองผม ก่อนที่จะเริ่มเล่า “ แต่จะพูดว่าเจอก็ไม่ถูก มันคงไม่เห็นกู ถ้ากูไม่ทัก ”

“ เหรอ ”

“ อื้ม ” อีกคนตอบแบบเสียงในคอ “ กูก็ถามว่ามาทำอะไรกัน มันก็บอกว่ามาดูหนัง กินข้าว แล้วก็ซื้อเสื้อผ้านิดหน่อย แล้วก็จัดการแซวมันไปหนึ่งกรุบ ว่าหวานกันจังเลยนะ แค่นั้น แล้วมันชวนกูไปกินข้าว กูก็บอกมีนัดกับทีวีที่บ้าน เพราะเสือกถือบ็อปคอร์นถังควายนั่นอยู่ จนไอ้เมี่ยงแซวว่า จะเอาไปแดกหรือซื้อเอาไปอาบ ”

“ หึ ” ผมเผลอหลุดยกยิ้ม

“ ตอนนี้ไอ้สัดนั่นคงคิดแล้วมั้งว่ากูแม่งคงชอบแดกบ็อปคอร์นมาก ดีไม่ดีอาจจะซื้อมาให้เป็นของขวัญวันเกิดกูปีหน้า ”

“ ก็ดีไม่ใช่เหรอ ”

“ กูแดกถึงสองคำก่อนมั้ย เวลามึงนั่งจ้วงเอา จ้วงเอาน่ะไอ้สัด ”

“ บ่นเก่ง ” เหลือบมองมันอีกคนก็ยกยิ้ม “ งั้นก็เอามาให้กูสิ เดี๋ยวกูกินให้แทน ”

“ เรื่องอะไรอะ ” เบสมันท้วง “ ของขวัญวันเกิดกู อยากกินก็มาแดกที่ห้องกู กูคงเอาไปให้มึงหรอกนะตอนนั้นอะ ”

“ ทำไมอะ กลัวเพื่อนล้อว่าดีกับกูแล้วเหรอ ”

“ กูไม่กลัวอะไรหยุมหยิมแบบนั้นหรอก กูไม่ใช่มึง ” อีกฝ่ายพาดพิง “ ก็แค่หวังผลพลอยได้อะไรนิดๆหน่อยๆ ”

“ อะไร ”

หลังคำถามนั้น อยู่ๆ อากาศในรถก็ร้อนขึ้นมากระทันหัน ผมเผลอกลืนน้ำลายในตอนที่สมองคิดทบทวนขึ้นมาได้ว่า ผลพลอยได้ที่ว่า หรืออาจจะเพราะอีกคนอยากให้ผมมาที่ห้องก็เลยให้มาเอาที่ห้องมันคงไม่เอาไปให้ ผลพลอยได้ที่ว่า คือผมจะได้มาเจอมันเหรอ ?  เหรอวะ ?

“ แล้วก็เงียบ ” เบสมันท้วง ผมก็เอื้อมมือไปเปิดแอร์แบบที่ไม่ได้พูดอะไรต่อ “ แล้วจะเปิดแอร์เพิ่มทำไม่หนาวเหรอ

“ ช่างกูเถอะน่า กูร้อน”

“ ชั้นไขมันมึงหนาเท่าไหร่เนี้ย เช็คไขมันบ้างนะมึงอะ ”

“ K เงียบๆไปเลย กูจะขับรถ ” หันไปด่ามันอย่างงั้นอีกคนก็สถเสียงหลง

“ อะไรของมึง อยู่ๆก็ยั๊วะขึ้นมา ” ผมถอนหายใจทิ้งก่อนจะพิงหลังกับเบาะเมื่อชะลอรถหยุดเพราะไฟแดง

“ แล้ว..”

“ อะไร ”

“ แล้วไอ้อาร์มมันเป็นยังไงบ้างอะ ” คำถามนั้นทำให้เบสหันมาเหลือบมองมัน ก่อนจะแบะปากยิ้มๆเชิงล้อ “ กูแค่ถามเฉยๆ แล้วมึงก็แค่ตอบ แค่นั้น จะได้มั้ย ”

“ ค้าบบบบบบบบบบบบบบบ” ลากเสียงยาวบอกแบบกวนตีน  “ แต่ก็ไม่เป็นยังไงอะ มันก็มีความสุขดี เดินมากับไอ้เมี่ยง จูงมือกันมา ภายใต้ความหยอกล้อ ก็โลกสีชมพูดกันไป สองคน ก็คิดดูว่า ไม่เห็นกูเลยอะ เหมือนกูตัวเล็กๆ สูงแค่สักสองเซ็นได้ ”

“ เหรอ ”

“ มันมีแต่มึงนั่นแหละ ที่ยังจมอยู่กับความไม่กล้าสู้หน้า กูว่ามันไม่คิดอะไรหรอก ไอ้อาร์มอะ มึงก็กลัวไปเองทั้งนั้น ” ประโยคที่เหมือนจะกำลังเข้าเรื่องซ้ำๆเดิมที่พูดกันมาแทบจะทั้งอาทิตย์ ทำให้ผมผ่อนลมหายใจบอกใบ้อีกฝ่าย ด้วยทั้งหน้าตาและท่าทาง ว่าไม่อยากจะฟัง 

“ ดื้อชิบหาย ” มือที่เอื้อมมาขยี้หัว แต่ก็เพียงแค่นั้น เบสไม่ได้พูดอะไรอีก อย่างที่ก็ตามใจกันเหมือนเคย

แต่นั้นก็แค่ในช่วงขณะนึง
เพราะอย่าลืมว่า คนสันดานดื้อด้าน ไม่ว่ายังไง มันก็ดื้อด้าน

หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 35 :: up! 4-9-63} #หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 11-09-2020 20:15:20

 “ มึงยังจำร้านขายเครปที่ขายในโรงอาหารได้มั้ย ” อยู่ๆคนที่นั่งดูทีวีอยู่ข้างๆกันก็พูดขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ผมที่กำลังหยิบบ็อปคอร์นใส่ปากชะงักลงก่อนจะขมวดคิ้วแล้วหันเหลือบไปมอง

ก็คงคิดว่าถ้าพูดดีๆไม่ได้ ก็ต้องเอาของกินมาล่อละมั้งนะ

“ เห้ออออ ” ถอนหายใจออกมาอย่างรู้ทัน ผมเหลือบมองมันที่ก็มมองกันแบบมีความหวัง ราวกับรู้สึกว่าแผนการณ์ที่คิดนี้ ต้องได้ผล

“ นึกออกแล้วใช่มั้ย ”

“ อื้ม แต่ไม่ได้ชอบกินเครป ” อีกฝ่ายนึงเงียบแบบที่เรียกว่านิ่งไป “ แล้วอีกอย่าง กูไม่ใช่คนที่ล่อด้วยคนกินได้ไอ้สัด ”

“ ใครบอกกูล่อมึง ” แล้วพอเสียเชิงคนอย่างมันก็บอกปัด “ กูแค่พูดให้ฟัง เผื่อมึงอยากกิน ”

“ แล้วถ้ากูอยากกิน มึงจะซื้อมาให้เหรอ ”

“ เรื่องอะไร ” เชิดหน้าบอกแบบหาเรื่อง ผมก็หลุดยกยิ้ม “ ไปซื้อเองสิ ”

“ ไม่ไปอะ ไม่ได้อยากกินอะไรขนาดนั้น ” ลุกขึ้นจากที่นั่งในตอนที่พูดคำนั้น

บ็อปคอร์นส่วนที่เหลือถูกเก็บใส่ตู้เย็น ก่อนจะถอนหายใจแล้วหยิบเอาแก้วน้ำจากชั้นวางลงมา ผมกดน้ำออกจากปุ่มหน้าตู้เย็น ก่อนจะหันไปมองร่างสูงที่ก็เดินมายืนใกล้ๆ เบสมันคว้าน้ำออกจากมือของผมไป แน่นอนว่าโดยที่ไม่ได้ขอ

“ นี่ ” แถมตอนที่จะพูดด่าอะไร อีกฝ่ายก็สวนขึ้นก่อน

“ มึงกลัวอะไร บอกกูหน่อยได้มั้ย ” ประโยคนั้นทำให้ผมเงียบ เบสเองก็พิงตัวเองกับเค้าท์เตอร์เพื่อรอฟัง “ คือกูเข้าใจนะว่า มันยาก กับการที่มึงจะเริ่มต้นเข้าไปคุยกับไอ้อาร์ม เพราะสิ่งที่มึงรู้สึกอยู่ในใจ แต่บอกกูหน่อยได้มั้ยว่าต้องทำยังไง มึงถึงจะไปเรียน ”

“ แล้วมึงจะวุ่นวายอะไรกับชีวิตกูนักหนา จะไปเรียนหรือไม่เรียนก็อยู่ที่กูมั้ยวะ หรือว่ามึงไม่ได้อยากจะให้กูอยู่ที่นี่แล้ว ถ้าแบบนั้นก็พูดมา..”

“ กูแค่ไม่อยากให้มึงหนี ไม่อยากให้มึงต้องใช้ชีวิตแบบนี้ กูอยากให้มึงเผชิญหน้ากับมัน กับไอ้อาร์ม มึงรู้มั้ย ว่ามันความสุขมากกับชีวิตของมันที่มีไอ้เมี่ยง แล้วมึงก็มีสิทธิ์นั้นเหมือนกันไม่ใช่เหรอวะ มีสิทธิ์ที่จะมีความสุขเหมือนกัน แล้วทำไมมึงถึงไม่กล้าออกมาจากห้องมืดๆของมึงสักทีวะ ”

หัวใจของผมเต้นช้าลงอย่างชะงัก ไม่ต่างอะไรกับที่อีกคนพูดสักนิด ใช่ ผมในตอนนี้ก็เหมือนกับคนที่นั่งเล่นเกมส์อยู่ในห้องที่แทบไม่มีแสงอื่นใดนอกจากทีวี ไม่รับแสงแดด ไม่มีข่าวสาร ขังตัวเองไว้อย่างงั้น เหมือนปิดซ่อนที่จะพบเจอกับความจริงใดๆ ที่อาจจะถาโถมเข้ามา

“ ข้างนอก มันดีกว่าห้องมืดๆของมึงตั้งเยอะ มันมีทั้งแสงแดด สายลม แล้วก็วันที่ฝนตกหนัก มันมีทุกอย่างเลย แล้วไอ้สิ่งเหล่านี้มันก็กำลังรอมึงอยู่  ทำไมมึงไม่คิดที่จะออกไปโดนแดด สูดอากาศดีๆ หรือแม้แต่เล่นน้ำฝนในวันเหี้ยๆกับเค้าบ้างเหรอวะ ”

“ พูดเหี้ยอะไรของมึง ” ผมบอกปัด ก่อนจะหัวเราะ แต่ก็โดนอีกคนที่วางแก้วน้ำลงบนเค้าท์เตอร์ คว้ามือขึ้นมาจับ

“ กูรู้มึงเข้าใจในสิ่งที่กูพูด กูรู้ว่ามึงรู้ ว่ากูหมายถึงอะไร ทั้งๆที่เรื่องนี้คือเรื่องของมึงกับไอ้อาร์ม แต่ทำไมมันเป็นคนเดียวที่มีความสุขได้ แล้วทำไมมึงถึงเป็นคนเดียวที่ต้องทุกข์  ที่ต้องหลบหน้าอยู่แบบนี้ด้วยวะ ”

“ ก็เพราะว่ากูมันเหี้ยไง ”

“ แล้วก็ก้มหน้ารู้สึกผิดอยู่แบบนี้น่ะเหรอ ไม่กล้าสู้หน้าใครอยู่แบบนี้ ทั้งๆที่มึงแค่ยอมรับในสิ่งที่ทำ ก้าวออกไปเผชิญหน้ากับแม่ง ทุกอย่างก็จบแล้ว ทุกอย่างมันก็อยู่ที่มึง แค่มึงคิดจะเผชิญหน้ากับมัน ชีวิตมึงก็มีค่าเหมือนกันนะเว้ย เริ่มต้นให้ได้แล้ว ”

“ มึงจะไปรู้อะไรวะ มึงจะมาเข้าใจความรู้สึกอะไรของกู มึงไม่ใช่กู ”

“ กูไม่ใช่มึง แต่กูอยากให้มึงมีความสุขไง! ” เสียงตะโกนนั้นทำให้ผมสะดุ้ง “ กูอยากให้มึงเดินอยู่ข้างๆ ในห้าง ได้ใช้ชีวิตแบบมีความสุข แบบที่มึงควรใช้ กูไม่รู้หรอก ว่ามึงต้องเผชิญกับเหี้ยอะไรบ้าง ใช่กูไม่รู้ แต่สิ่งที่กูรู้ คืออยากให้มึงออกไป อยากให้ได้มีชีวิตใหม่ อยากให้มีความสุข แบบที่เคยชวนกูทะเลาะทุกวัน กูรู้แค่นั้นแหละ  ”

“ พอเถอะไอ้สัด ” เสียงเรียบๆของผมทำให้คนที่พูดอยู่หยุดนิ่ง ผมก้นหน้าลง ในตอนนั้นไม่มีอะไรที่เบสพูดผิดเลย มันพูดถูก ถูกทุกอย่าง ติดแค่อยู่แค่ที่ผมมันกลัวเกินไป     ก้าวแรกสำหรับผมตอนนี้มันน่ากลัวเกินไป “ กูไม่อยากฟังแล้ว พอเถอะนะ ”

“ ดีน ” มือที่กำกันไว้แน่นบีบแน่นขึ้นเพื่อรั้งกันไว้ “ ไปมหาลัยเดี๋ยวนี้ มันไม่สนุกเลย มองไปทางไหนแม่งก็ไม่มึงให้ชวนทะเลาะด้วย เรากลับไปทะเลาะกันเหมือนเดิมเถอะ กลับไปเป็นมึง ที่กวนตีนกูในทุกวันได้แล้ว ” มือนั้นผ่อนแรงลง เบสปล่อยข้อมือของผมในตอนที่เห็นว่าผมนิ่ง “ แล้วมึงก็อย่าเข้าใจผิด กูไม่เคยคิดรำคาญที่มึงอยู่ที่นี่ แต่กลับกันที่ว่า กูยังอยากให้มึงอยู่ด้วยกัน ”

แล้วหลังจากนั้น
เราก็ไมได้พูดอะไรอีกนับจากนั้น

บรรยากาศตกดึกเต็มไปด้วยความเงียบเชียบ วันนี้ไม่เหมือนกับทุกวัน แม้เราจะนั่งอยู่ตรงโซฟาตัวเดิมที่เยื้องกัน แต่ต่างคนก็ต่างเล่นเกมส์ของตัวเอง เราไม่จอยเกมส์กันแบบปกติ เหมือนมันปล่อยให้ผมได้อยู่คนเดียว และก็ได้คิด

บางทีก็อาจจะให้ผมได้ถาม ว่าเบื่อหรือยัง กับการนั่งอยู่ในห้องมืดๆ จ้องหน้าจอทีวี และเกมส์ที่เล่นอยู่ในทุกวันนี้

“ ฝันดี ” ประโยคนั้นถูกพูดขึ้น หลังจากที่อีกฝ่ายลุกขึ้นจากโซฟา ผมที่หันไปมองมัน พยักหน้ารับ ตามด้วยยักคิ้วให้

“ อื้ม ฝันดี ”

พูดแบบนั้นจอยเกมส์ก็วางลงหลังจากที่อีกฝ่ายหันหลังเดินไป หรือว่าควรจะออกไปได้แล้วกันนะ 

เดินออกไปจากหลังประตูบานนั้นที่ปิดตัวมานาน


..............................................


ลืมตาตื่นขึ้นมาในช่วงเก้าโมง ผมตื่นขึ้นมาก่อนคนที่นอนอยู่ข้างๆ แล้วสิ่งที่ต้องถามตัวเองก่อนเป้นอันดับแรกในทุกครั้งก็คือ ‘ ไปเรียนดีมั้ยวะ ’ ก่อนจะพาตัวเองลงจากเตียง อาบน้ำแล้วก็เดินกลับมายืนอยู่ที่หน้าตู้เสื้อผ้า แต่วันนี้ไม่เหมือนเดิมอยู่อย่าง เพราะมันมาพร้อมกับคำพูดของไอ้เหี้ยนั่นที่ลอยเข้าหู

 ‘ เริ่มใหม่ได้แล้ว ’ และเมื่อหัวใจของผมบอกย้ำอย่างงั้น มือมันก็ปฎิบัติตามด้วยการเอื้อมออกไปหยิบชุดนักศึกษาที่ก็ไม่ได้ใส่มันมานานแล้ว

“ จะไปเรียนเหรอ ” คนที่เพิ่งตื่นเดินมาหยุดอยู่ตรงประตูห้องน้ำชวนให้สะดุ้งสุดตัว เบสมองผม มันที่อยากจะยิ้มแต่ทำเป็นนิ่งไว้ สายตาที่ดูดีใจ ผมถอนหายใจออกมา ก่อนจะเดินออกมาจากตรงนั้น

“ ไม่ได้ไปเพราะคำพูดของมึงหรอกไอ้สัด ”

“ จ้า ก็แล้วแต่จะโกหกหัวใจตัวเองเลยสุดหล่อ ”

‘ K ’ สบถออกไปอย่างงั้นในใจ แต่ทว่าตอนนี้ผมกลับรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องสักเท่าไหร่บนรถที่แล่นไปตามทาง มหาวิทยาลัยดูใกล้คอนโดเสียจนมือของผมมันชาเมื่อเห็นป้ายตรงทางเข้า และขาเองก็ดูจะเป็นอย่างงั้น

ร่างกายดูงุ่นง่านไปหมดตั้งแต่ออกเดินทาง และแม้ว่าในรถจะเปิดแอร์เย็นเฉียบแค่ไหน แต่ถึงอย่างงั้น มันก็ยังรู้สึกอึดอัดอยู่ดี จนผมผ่อนลมหายใจออกช้าๆ เพื่อระบายความรู้สึกพวกนั้นอยู่ดี ก็คงเป็นความรู้สึกที่อาจจะเรียกรวมๆว่า ความวิตกกังวล ละมั้งนะ

“ ใช่แหละ สติหน่อย สูดหายใจเข้า หายใจออก ลึกๆ ” พูดเองตอบเอง ผมสูดลมหายใจเข้าออก

“ เป็นอะไร ” คำถามของคนที่นั่งมาด้วยกันเอ่ยพูดขึ้นแบบนั้น ก่อนที่รถจะจอดลงที่ลานจอด แล้วนั่นก็ยิ่งทำให้ความรู้สึกของผมที่พยายามเก็บกักมันแทบจะทะลักออกมา

“ อยากอ้วก ” พูดออกไปตามที่คิดอีกคนฝ่ายก็ตาโต

“ อย่าเชียวนะไอ้สัด ”  แต่ถึงจะพูดอย่างงั้น น้ำลายในปากมันกลับใสไปหมดแล้ว ท้องก็เหมือนมีอากาศหมุนวนไปมา ผมรู้สึกลมหายใจเข้าออกมันไม่ปกติอีกต่อไป อึดอัดครั้นเนื้อครั้นตัวไปหมด เหงื่อเองก็ออกไปจนมือชุ่ม “ ถ้าจะอ้วกก็โก่งคอออกไปนอกรถกูนู้น ”

“ อยากได้ยาดม ”

“ ไม่มี ทำได้มากสุดก็แค่ผายปอด จะเอามั้ย ”

“ K ” หันไปสถบใส่คนพูดไม่เหี้ยๆ ผมพิงหลังลงกับเบาะ ก่อนจะมองเจ้าของรถที่ก็เดินออกไปจากรถ ก่อนจะวนกลับมาที่ตรงประตูฝั่งผม เบสเปิดมันออก

“ ลงมา ” ใบหน้าคมที่ก้มลงมองกัน ผมเบือนหน้าหนีก่อนจะถอนหายใจออกมา

“ ขอกุญแจรถมึงได้มั้ย ”

“ ไม่ได้ ” เบสบอกปัด พลางจ้องมองกัน “ กูรู้นะ ว่ามึงจะชิ่ง ”

“ ไม่ชิ่ง ” ผมส่ายหน้าบอก “ ก็แค่อยากจะนั่งพักสักพัก มึงอยากไปจะไปไปก่อน ”

“ ลงมา ” มือที่ยื่นมา ผมเงยหน้าขึ้นมองคนที่ก็หันไปมองทางอื่น “ กลัวอะไร กูจะไปกับมึงเอง ” ก้มลงมามองดูมือนั้นแต่ยังไม่ทันจับ คนพูดก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะก้มลงมาคว้ามือผมไว้แทน เบสมันดึงให้ออกมาจากรถ แล้วก็กดล็อคกุญแจแบบที่ไม่ให้เข้าไปได้อีก

“ K ” สบถด่ามันอีกครั้ง ก่อนจะโดนจูงมือแบบลากออกมาจากข้างตัวรถ ผมสะบัดมันออกพลางกลืนน้ำลายของความตื่นกลัวในตอนที่เห็นลิฟต์ลงตึก แต่ตอนนั้นคนที่อยู่ข้างกันก็แค่จับเข้าที่เอวตรงด้านหลัง เบสกระซิบลงข้างๆหู

“ ไม่ต้องกลัว กูจะอยู่ข้างๆมึงเอง ไปกันเถอะ กูไปส่ง ”

“ อื้ม ” หัวใจที่เบาบางลงอย่างย่าประหลาด ผมตอบออกไปอย่างงั้นแบบที่ไม่รู้สึกสบายใจขึ้นมาอย่างฉับพลัน แม้ว่าหน้าของผมมันร้อนไปหมดในยามที่หันไปมองตาอีกฝ่าย เป็นความสุขที่ก่อตัวขึ้นกระทันหัน แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไรเสียงนึงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น

“ เชี้ย... ไอ้ดีน ” เสียงที่ผมหันไปมอง เพื่อนตัวเองที่เบิกตากว้าง ไอ้จุ้นยืนอยู่ตรงนั้นนิ่งๆเหมือนตกใจอยู่ไม่น้อยที่เห็นกัน ก่อนมันจะวิ่งตรงเข้ามาหาผมก่อนจะกอดกันไว้แน่น “ มึงมาเรียนแล้ว!!! ”

“ อะ อื้ม ” ตอบมันออกไปสั้นๆ อีกคนที่ดึงตัวเองออกมาห่าง ในแววตากลมนั้นสั่นคลอไปด้วยน้ำตา

“ เชี้ย ใจเย็นไอ้สัด อย่าเพิ่งร้องไห้ ”

“ ก็กูดีใจ มึงมา มึงมาเรียนแล้ว มึงรู้มั้ยว่า แม่งโคตรคิดถึง ” ว่าแบบนั้นอีกคนก็หันไปมองเบส มันที่ขวมดคิ้วลง ก่อนจะหันมามองหน้าผม “ แล้วไอ้เชี้ยนี่ยังไง มันมาหาเรื่องมึงเหรอ ”

“ โหหหห มองกูในแง่ดีไม่ได้เลยสินะ ”

“ ก็คนอย่างมึง..”

“ กูมากับมัน ” ขวางคำพูดของตัวเตี้ยที่จะพูด ไอ้จุ้นก็เบิกตากว้าง แต่ก่อนที่มันจะถามอะไรผมก็ขวางไว้ก่อน เพราะแน่นอนว่า ถ้าตอบก็คงจะยาว “ ไว้ค่อยคุยกัน กูจะเล่าให้ฟังหมดทุกอย่างเลย ”

“ งั้นก็ไปเรียน ” มันว่าแบบนั้น ผมก็หันไปมองหน้าคนที่บอกว่าจะพาไปส่ง เหมือนบอกใบ้ด้วยสีหน้าว่า  ‘ งั้นเราก็ไปกัน ’  แต่ทว่า

“ งั้นก็ไว้เจอกัน ” ประโยคที่ไม่เหมือนกับที่พูดไว้หลุดออกมา ผมเบิกตามองมันที่ก็ยิ้มกว้าง “ ก็มึงมีเพื่อนแล้ว งั้นมึงก็ไปกับเพื่อนมึงแล้วกัน โชคดีนะจ้ะ จ๊วบ ” ส่งจูบให้แบบกวนตีน ผมที่อ้าปากค้างอยู่แบบนั้น แม้ในใจจะอยากจะโกนออกไปให้ดังลั่นลานจอด

“ Kยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ” แต่ไอ้สัดเบสก็คือไอ้สัดเบส ไว้ใจไม่ได้ยังไง ก็ยังไว้ใจไม่ได้อย่างงั้น ‘ ฝากไว้ก่อนเถอะ ไอ้หน้าเหี้ย อย่าให้ถึงทีกูแล้วกัน ’

“ มึง อยากให้มันไปด้วยเหรอวะ นี่สนิทถึงขนาดนั้นเลยอะ ” ประโยคที่อยู่ๆจุ้นมันหันมาถามผม อยู่ๆความรู้สึกทุกอย่างนั้นก็หยุดนิ่ง

เออ ก็ไม่รู้เหมือนกัน บางทีก็แค่อยากจะให้มันเห็นมั้ง ถึงความสำเร็จของผม ที่มันผลักดันกันมาตลอดทั้งอาทิตย์ ก้าวแรกที่ผมจะก้าวออกไป มีมุมเล็กๆ มุมนึงที่ผมรู้สึกว่าอยากจะให้มันร่วมยินดีไปด้วยกัน

“ ทำได้อยู่แล้ว ” เสียงที่ตะโกนออกมาของคนที่เดินห่างออกไปนั้น เบสไม่ได้หันมามอง มันแค่ยกมือขึ้นโบกบ๊ายบายให้กัน  “ กล้าให้ได้แบบทะเลาะกับกูอะไอ้สัด มึงมันเก่งอยู่แล้ว ”

“ อะไรของมันวะ ” จุ้นหันมาถามผม ที่ก็ทำได้แค่ยิ้มออกมา

“ ไปกันเถอะ กูพร้อมแล้ว ”  ที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งที่กลัวมาตลอด


..................................................


ตั้งใจว่าจะเขียนม้วนเดียวจบ แต่คุณพี่มันไม่จบเจ้าค่ะ
อีกอย่าง หนมไม่อยากจะยัดๆ จนขาดส่วนใดส่วนนึงไปของบางความสัมพันธ์ไป
เรามองว่ามันก็ยากนะ สำหรับดีน แล้วก็สิ่งที่ทำ
เพราะงั้นตอนหน้าเจอพี่อาร์ม

ป.ล. นิยายเรื่องนี้ใกล้จบแล้วนะคะ มีรวมเล่มแน่นอน แบบตอนพิเศษจุกใจเหมือนเดิม
ใครสนใจ เตรียมหยอดกระปุกหมูรอไว้ได้เลยยยยย

ท้ายนี้ ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ด้วยนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์ฮับ
 :L2: :3123: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 36 :: up! 11-9-63} #หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 11-09-2020 20:58:22
 :pig4: :pig4: :pig4:

จากคู่กัดแปรเปลี่ยนเป็นคู่รัก  ทั้งสองคู่เลย  อิอิ
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 36 :: up! 11-9-63} #หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 11-09-2020 22:05:25
เปิดใจมากขึ้นแล้วเว้ยคู่นี้ ใกล้ละๆ จากคู่กัด มาเป็นคนเคียงข้าง อีกไม่นานก็.... คึ :impress2: :-[
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 36 :: up! 11-9-63} #หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 11-09-2020 23:02:44
ถามนิด ถามหน่อย เรื่องนี้ใครค่าตัวแพงสุด ๆ เป็นเรา ๆ ว่า "น้องเหี้ย" เนี่ยล่ะ แพงสุด มาเกือบทุกตอน  :laugh3:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 36 :: up! 11-9-63} #หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 18-09-2020 20:32:31
ตอนที่ 37

ภายในห้องเรียนไม่มีคำว่าเงียบเชียบ ทุกคนดูแตกตื่นในตอนที่ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องเรียน ท่าทางดีใจผสมปนเปไปกับความแปลกใจในแววตานั้น พร้อมทั้งคำถามมากมายที่พุ่งเข้ามาใส่อย่างไม่มีพัก แต่โดยทั่วไปแล้ว มันก็เป็นคำถามประเภทเดียวกันหมด 

อย่าง ‘หายไปไหนมา’ ‘ทำไมไม่มาเรียน’ แล้วสุดท้ายก็ ‘คิดว่ามึงดร็อปเรียนไปแล้ว’  แต่ทว่าคำถามพวกนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดจนแทบจะหายใจไม่ออกอยู่ในขณะนี้ แต่กลับเป็นคนที่คิดว่าน่าจะอยู่ที่นี่ แต่ยังไม่เห็นต่างหาก ที่ทำให้รู้สึกอย่างงั้น

“ อีกนานกว่ามันจะมา ” คนที่ยืนข้างกันเหมือนจะจับสังเกตได้พูดขึ้นมาแบบนั้น ผมก็ถอนหายใจโล่ง แน่นอนว่าเพราะไม่มีไอ้อาร์มอยู่ “ ป่านนี้มันคงนั่งกินข้าวอยู่กับเมียมันที่โรงอาหารนั่นแหละ ห่างกันแทบไม่ได้ หวานจนอยากจะอ้วก กูบอกเลย ”

“ มึงพูดเหมือนหึงเลย ” หันไปแซวอีกคนที่ก็เหลือบตามองบน ไอ้จุ้นมันถอนหายใจ “ ทำไม จะอ้วกเหรอไอ้สัด ”

“ อยากให้มึงไปเห็นมันสวีทกันสักครั้งจังไอ้สัด ”

“ ยังไง มันป้อนข้าว ป้อนน้ำกันเหรอ ”

“ ก็ไม่ถึงขนาดนั้น ” พูดแบบนั้นก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งตรงที่นั่งแถวประจำของเรา แผ่นหลังที่พิงลงกับเก้าอี้ก็ทำทีเป็นคิด “ มันก็ประมานว่า ดูแลกันจนออกนอกหน้าเหลือเกิน ถ้าเช้าๆมาถึงมหาลัยมันก็จะเดินมานั่งที่โต๊ะด้วยกัน พอกันไปกินข้าว ก็งุ้งงิ้งกันสองคน ”

“ แล้วไงต่อ ” ผมยิ้มถาม เพราะรู้สึกถึงความไม่มีอะไรในเนื้อหานั้น

“ พอซื้อข้าวเสร็จ ไอ้อาร์มก็เดินไปซื้อน้ำให้ กินน้ำอะไรดี แล้วไอ้เมี่ยงก็แบบ น้ำเปล่าก็ได้ แล้วจากนั้นก็กลับมากินด้วยกัน คุยกันสองคน ตอนเย็นไปซื้อของกันนะ อีกฝ่าย อื้ม เอาสิ อยากกินของทอด ทอดให้กินหน่อย ไอ้อาร์มก็ยิ้ม ได้สิครับ กูแบบ จ้า ไอ้สัด อย่าให้กูมีบ้าง ขิงเช้าเย็นแบบยาวไปเลยไอ้เหี้ย ”

“ กูว่าอันนี้ไม่ได้หวานเหี้ยอะไรหรอก แฟนกันเค้าดูแลกันปกติไอ้สัด ส่วนมึง คืออคติ หน้าเหี้ย ”

“ ดีน.. มึงแม่ง ” อีกฝ่ายส่ายหน้าไปมา ราวกับผิดหวังในการตอบรับกลับของผมอยู่ไม่น้อย

“ อะไร ”

“ ปกติมึงต้องไม่เป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอวะ ยั๊วะหน่อยไอ้สัด ” หลุดยิ้มกับคำพูดนั้นก่อนจะส่ายหน้า

“ แล้วมึงจะให้กูยั๊วะเหี้ยอะไร ก็มันเป็นแฟนกัน ” คนฟังถอนหายใจ  “ เอาจริงๆ นี่พูดเพราะแค่อยากจะเข้าข้างกูเปล่าวะ ”

“ ไม่ใช่แบบนั้นไอ้สัด ” ถึงจะเถียงออกมา แต่ผมก็รู้แหละว่ามันคิดแบบนั้น ไอ้จุ้นเป็นเพื่อนที่ดี ผมรู้ มันก็แค่อยากจะอยู่ข้างผม อยากให้ผมรู้สึกว่ามีมันอยู่ข้างๆ

ถึงบางทีมันจะออกมาในรูปแบบ
ที่เหมือนจะตามใจกันอย่างผิดที่ผิดทางบ้างก็เถอะ

“ แล้วมึง..” เงียบไปอยู่นาน อีกคนก็ถามขึ้นมาแบบไม่เต็มเสียง “ เป็นยังไงบ้างวะ ”

“ สบายดี ” ตอบเรียบๆอีกคนก็ถอนหายใจ

“ พวกกูแม่งโคตรเป็นห่วงเลยรู้มั้ย ” จุ้นมันว่า “ กูโทรหามึงทุกวัน แล้วก็ทุกเวลาที่ว่างเลย  แต่มึงแม่งคือไม่เปิดมือถือเลยเหรอวะ ”

“ อื้ม ” ตอบสั้นๆ อีกคนก็ถอนหายใจ

“ กูส่งข้อความไปหามึงทุกช่องทางเลยนะมึงรู้มั้ย ทั้งไลน์ เฟส ข้อความ คือกูแม่งติดต่อมึงทุกทางเลย ยันอ้อนวอนให้ไอ้สัดอาร์มโทรหาแม่มึง ”

“ ห๊ะ ? ” ถึงขั้นสบถออกมาในตอนที่ได้ยิน ในตอนนั้นสีหน้าผมเปลี่ยนจนไอ้จุ้นถึงกับงง “ ไอ้อาร์มมันติดต่อแม่กูไปเหรอ ”

“ กูแค่บอก แต่มันไม่ทำ ” อีกฝ่ายว่า ผมก็ผ่อนลมหายใจ

“ มึงไม่ได้อยู่บ้านเหรอวะ กูคิดว่ามึงกลับไปอยู่บ้านตลอดเลย เลยอยากจะให้ไอ้อาร์มโทรไป ”

“ ก็โชคดีที่มันไม่โทร ” ได้แต่ยิ้มแห้งๆ กับคำพูดนั้น ผมหันมองไอ้จุ้น “ กูไม่ได้อยู่บ้านเลยไอ้สัด ”

“ แล้วมึงไปอยู่ไหนมา ”

“ ก็..” ปากที่กำลังจะเอ่ยบอก สวนทางกับสมองที่ตั้งคำถามอย่าง ‘ บอกดีมั้ยวะ ’ ขึ้นมา ก่อนที่สายตาของผมจะหันไปเหลือบมองประตู อาจารย์ประจำภาควิชาเดินเข้ามาแล้ว และคนที่ผมไม่อยากจะเจอหน้า ก็เดินตามเข้ามาด้วยเช่นกัน

“ มาละ ” จุ้นมันพูดเสียงเรียบๆ ต่างกับคนเข้ามาใหม่ที่หันมาเห็นผมแล้วฝีเท้านั้นกลับชะงักลง อาร์มนิ่งอยู่นานในตอนนั้น สายตาของเราที่มองจ้องกัน ก่อนไอ้โฮมจะได้สติ เอื้อมมือดันหลังอีกคนให้เดินมา

“ มาเรียนได้แล้วเหรอมึง ” โฮมมันทักผมที่ก็แค่ยักคิ้วกลับไปให้ ก่อนอีกคนจะหันไปเหลือบมองคนข้างตัวที่ตอนนี้ทำได้แค่มองหน้า แต่มันเหมือนจะไม่สามารถเอ่ยคำพูดอะไรออกมาได้สักอย่าง

“ ไง ” ใจของผมสั่น แม้มือจะยกขึ้นทักอีกฝ่ายพร้อมกับยักคิ้วให้ตามถนัด แต่ถึงอย่างงั้นฟันในปากกลับกัดกันแน่ราวกับจะเก็บกดความรู้สึกตื่นเต้นที่แทบจะทะลักออกมานั้นไม่ได้ แต่คนที่มองกันอยู่กลับดูตกใจไม่น้อย แววตาคมเบิกตาขึ้น  ก่อนจะยกยิ้มดีใจ

“ ไง ” พูดแบบนั้นก่อนจะดึงเอาเก้าอี้ที่อยู่ถัดจากผมตรงที่ปกติออก มันนั่งลง ส่วนไอ้โฮมก็นั่งตรงตัวถัดไป

ทุกอย่างก็เหมือนกับปกติในทุกครั้งที่เคยเป็น แต่วันนี้บอกเลยว่าโคตรอึดอัด จนต้องแสดงออกมาทางกายภาพ แบบที่แขนสองข้างของผมเกร็ง มือเองก็กำกันแน่น เป็นความรู้สึกที่ไม่กล้าแม้จะหันไปสบตา

ลมหายใจเหมือนจะกลายเป็นของหนัก ทุกอย่างจุกอยู่ในอกนี้ น้ำลายเหนียวถูกกลืนลงคอซ้ำแล้วซ้ำเล่า และไม่ว่าจะพยายามสงบสติอารมณ์ลงยังไง ก็เหมือนจะข่มใจให้ทำตัวตามปกติไม่ได้เลย

“ ย้ายที่นั่งกันหน่อย ” อาร์มหันไปบอกโฮม ในตอนนั้นผมก็หันไปมองหน้ามัน อีกคนก็ยิ้มให้ผม แบบที่รู้ดีว่าตอนนี้กำลังรู้สึกอะไร “ ไม่ต้องคิดมาก กูเข้าใจว่ามึงเกร็ง ”

“ อ่า..” ได้แต่ตอบออกไปสั้นๆ แบบที่เถียงอะไรออกไปไม่ได้เลย เพราะท่าทางที่ดูสบายใจขึ้นในตอนที่ไอ้โฮมย้ายมานั่งด้วยกันใกล้ๆนั้น ไม่มีทางไหนเลยที่พอจะปฎิเสธได้ ว่ามันไม่ใช่อย่างงั้น “ โทษที ”

“ ไม่เป็นไร ” โฮมมันว่าในตอนที่เหลือบมองผม “ แต่ดีแล้วที่มึงมาเรียนสักที พวกกูแม่งโคตรเป็นห่วงเลย ”

“ อื้ม ” ขานรับสั้นๆในคอก่อนจะก้มลงมือโทรศัพท์แบบที่ไม่รู้ว่าจะเอาสายตาจดจ่อไปทางไหน ก็คิดไว้อยู่แล้วว่าวันแรกมันต้องอึดอัด แต่ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าพอเอาเข้าจริง มันจะหนักขนาดนี้


ครืน ครืน ครืน

เหลือบสายตาไปมองมือถือในตอนที่มันสั่น บนหน้าจอนั้นปรากฏข้อความจากคนที่เพิ่งทิ้งกันหน้าตาเฉยตรงลานจอดรถ แต่ก็เป็นคนเดียวกันที่ทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นอย่างฉับพลันในตอนที่เห็น

best:
เป็นยังไง
สุขสบายดีมั้ยครับ

deen:
คนที่มันทิ้งกูได้หน้าตาเฉย
มีหน้ามาถามเหี้ยอะไรแบบนั้นด้วยเหรอ

best:
งอนเป็นเมียเลยน้า

deen:
ไอ้สัด

best:
ถามจริงๆ
เป็นยังไงบ้าง

deen:
แย่อะ

best:
เหรอ

deen:
อื้ม

คำว่า อ่านแล้ว ขึ้นอยู่ข้างๆข้อความของผมแต่ทว่ากลับไมมีข้อความอะไรตอบกลับ แม้จะแบบกวนตีนกันเหมือนปกติ ก็ไม่มี จนผมได้แต่ถอนหายใจออกมา

best:
ก้าวแรกก็แบบนี้
เพราะงั้นต้องมีก้าวสอง

deen:
K

best:
ทำไม
คือจะไม่มาแล้วว่างั้น

deen:
ก็ไม่ใช่จะอย่างงั้น

best:
ตอแหลแน่ๆ
พล๊อตพรุ่งนี้อาจจะฟอร์มป่วยใกล้ตาย


ได้แต่ถอนหายใจออกมากับคำพูดนั้นอีกครั้ง ‘ก็เสือกมองกันออกอีกไอ้หน้าสัด’ เอาจริงก็ไม่ต่างกับที่คิดเท่าไหร่ ในในใจลึกๆของผมตอนนี้ คือพรุ่งนี้จะฟอร์มป่วย เพราะไม่อยากจะมาเรียนแบบที่ต้องเรียนทั้งเช้า แล้วก็บ่าย


best:
แต่กูเชื่อว่าทุกอย่างมันจะดีขึ้นนะ
ไม่แย่ลงหรอก

deen:
เหรอ

best:
ก็ไอ้อาร์มมันส่งข้อความมาหาไอ้เมี่ยง
ขอไปกินข้าวกับมึงหลังเลิกเรียน
แสดงว่ามันไม่มีอะไรแย่หรอก
จริงมั้ย


ผมหันไปมองคนที่ถูกพูดถึง อาร์มที่กำลังกดพิมพ์อะไรสักอย่างในมือถือ พร้อมกับเงยหน้ามองหน้าจอของสไลค์ที่กำลังฉายเนื้อหาการเรียนภายในชั่วโมงที่อาจารย์กำลังอธิบาย


deen:
มึงรู้ได้ยังไง

best:
ก็ไอ้เมี่ยงมันนั่งข้างกู
แล้วมันก็หันมาบอก
ว่าหลังเลิกเรียนอาร์มจะชวนมึงไปกินข้าว
เพราะมันมีเรียนคาบเดียว
แล้วพวกกูมีสอง

deen:
เหรอ

best:
มันยังไม่ได้บอกมึงเหรอ

deen:
บอกเหี้ยอะไร
นอกจากคำว่าไง
ยังไม่ได้พูดเหี้ยอะไรกันเลย

best:
ทำเหี้ยมาเยอะอะเนอะ
เข้าใจอยู่
ว่ายากหน่อย

deen:
หน้าเหี้ย

best:
แต่เพราะงั้นมึงยิ่งควรไปนะ
จะได้คุยกับมันแค่สองคนไง


ผ่อนลมหายใจออกมากับข้อความนั้นอย่างอดไม่ได้ที่จะกังวล ผมเหลือบมองคนข้างๆอีกครั้ง แต่เหมือนไอ้โฮมมันจะสังเกตได้ ก็เลยหันมามองกันก่อนจะค่อยๆเอียงตัวเองพิงกับเบาะพิงของเก้าอี้เพื่อให้ผมเห็นคนที่ตั้งใจจะมองชัดขึ้น จนต้องหลุดยิ้มกับความพยายามของมันแล้วสบถออกไป

“ ไอ้สัด ”

“ เห็นว่ามึงอยากมองไง กูเลยหลีกทางให้ ” มันว่าแบบนั้นก่อนจะยักคิ้วให้กัน ผมก็ก้มลงอ่านข้อความบนหน้าจอมือถือนั่นอีกครั้ง


deen:
แล้วไอ้เมี่ยงให้ไปเหรอวะ
กูไม่ชอบสร้างปัญหาครอบครัวให้ใคร

best:
แหม
แล้วที่สร้างมาละครับ

deen:
ไอ้สัด

best:
มันให้ไป


deen:
ช่างกล้าหาญ
ไม่กลัวถ่านไฟเก่ามันคุเหรอไง
บอกก่อนว่ารอบนี้ถ้าคุขึ้นมา
ดับไม่ได้แล้วนะ

best:
ไม่คุหรอก

deen:
มันมั่นใจอะไรขนาดนั้นก่อน

best:
กูต่างหาก
ที่มั่นใจในตัวมึง
ว่ามันจะไม่เป็นอย่างงั้น
ไอ้เมี่ยงไม่ได้พูด


คำพูดนั้นทำให้ผมนิ่ง ไม่มีข้อความอะไรหลุดเข้ามาในหัวเลยแม้แต่จะเป็นประโยคแค่ประโยคเดียว ผมคิดถึงสีหน้าของคนที่กำลังสนทนาด้วยนั้น ผมคิดถึงเมื่อคืน ตอนที่ดีนมองตาผม แล้วพูดเพื่อให้ผมก้าวไปข้างหน้า

แล้วตอนนี้มันก็เหมือนจะยังผลักดันกันอยู่แบบนั้น ด้วยความรู้สึกที่อยากจะให้หลุดพ้นออกจากเรื่องราวที่ค้างคาใจที่ทำให้ผมไม่มีความสุขสักที

best:
แล้วกูก็เป็นคนที่บอกไอ้เมี่ยง
ว่าปล่อยให้มันได้ชวนมึงไปเถอะ
เพราะถ้ามึงไม่คุยตอนนี้
ก็คงไม่ได้คุยแล้ว

deen:
ทำไมจะไม่ได้คุย
ได้คุยสิ

best:
ไม่ใช่คุยแบบทั่วไป
หมายถึงเรื่องของพวกมึงที่ค้างคาอยู่
กูอยากให้มึงบอกมัน
บอกในสิ่งที่มึงรู้สึก


deen:
สิ่งที่กูรู้สึกเหรอ


best:
อื้ม

deen:
ไม่มีอะไรที่กูรู้สึกมั้ยละไอ้สัด

best:
แล้วมึงไม่อยากจะขอโทษมันหน่อยเหรอ
ตลอดหลายปีที่มึงบอกให้มันคอย
แต่จริงๆมึงไม่ได้รักมันเลยอะ

deen:
แต่กูยังไม่รู้เลย
ว่าตอนนั้นกูรู้สึกยังไงกับมันกันแน่

best:
มึงได้คุยกับมัน
มึงก็รู้เองแหละ
ว่าจริงๆแล้ว
ความรู้สึกนั้นคืออะไร

deen:
เหรอ

best:
อื้ม
เพราะช่วงเวลานั้น
มันจะตอบคำถามที่มึงสงสัยได้หมดเลย

หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 36 :: up! 11-9-63} #หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 18-09-2020 20:33:09

คว่ำหน้าจอมือถือของตัวเองลงพร้อมกับถอนหายใจ สายตาที่จ้องไปข้างหน้าผมนิ่งคิดประโยคที่อ่านซ้ำไปมา ก่อนจะส่ายหน้าสะบัดความคิดนั้นออกไป ยิ่งคิดยิ่งกังวล ยิ่งคาดเดาก็ยิ่งไม่ได้อะไร ตอนนี้มันเองก็ยังไม่เอ่ยปากชวน ถ้าชวนเมื่อไหร่ก็ค่อยว่ากัน เพราะบางทีมันอาจจะนั่งทบทวนแล้วรู้สึกว่า ไม่ชวนดีกว่า ก็ได้

“ มึง ” เสียงที่เอ่ยเรียกกันในตอนที่เลิกเรียนของคนที่นั่งถัดไปแค่เก้าอี้สองตัว ผมหันไปมองต้นเสียงนั้น อาจเพราะมันไม่มีเสียงอะไร ผมก็เลยได้ยินมันชัด อาร์มที่กำลังจ้องมองกัน “ หลังเลิกเรียนไปกินข้าวกัน ”

ท่ามกลางสายตาของทั้งไอ้โฮมกับไอ้จุ้นที่มองกันแบบยิ้มๆ พร้อมด้วยสายตาคาดหวังในคำตอบของผม ก็คงอยากจะให้ไปแบบสุดตัว ในตอนนั้นผมตอบรับ

“ ได้สิ ”

หลังจากคำตอบตกลง เวลาภายในห้องก็เหมือนจะเดินเร็วขึ้นแบบที่กระพริบตาไม่กี่ครั้ง เวลาที่เคยเชื่องช้าในคราวแรก ก็กลายเป็นติดสปีช จนจบลง นักศึกษาทุกคนถอยหลังออกจากโต๊ะ จัดเก็บของ ลุกขึ้นยืน รวมถึงผมที่ก็พยายามทำตัวให้ปกติที่สุด แม้ว่ามือตอนนี้จะพยายามจัดเอกสารซ้ำไปมา แบบที่ให้เข้าที่แล้ว เข้าที่อีก

“ แล้วจะไปกินข้าวที่ไหนกัน ” ไอ้จุ้นหันมาถามผม เอกสารที่ถือก็หล่นลงโต๊ะไปแบบไม่ทันตั้งตัว มือโกยมันเข้าที่อีกครั้งผมหันไปหาอาร์ม มันก็ยืนมองกันยิ้มๆ

“ ไม่รู้เหมือนกัน อาหารญี่ปุ่นมั้ย มึงชอบกิน ”

แทบจะลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศในตอนที่ได้ยินท้ายประโยคนั้น ก็ยังจำได้อยู่เลย ว่าผมชอบกินอาหารญี่ปุ่น ทั้งๆที่คิดว่า น่าจะลืมกันไปหมดแล้ว

“ กูคิดว่ามึงลืมไปแล้วนะ ว่ากูชอบกินอะไร ”

“ แล้วทำไมต้องลืมอะ ” มันที่ถามกลับมาแบบนั้นทำให้ผมนิ่ง “ แค่เลิกชอบ ต้องเลิกเป็นเพื่อนด้วยเหรอวะ คบกันมาเป็นสิบปี กูไม่ลืมหรอกว่าเพื่อนสนิทกูชอบกินอะไร ”

ประโยคที่ชวนให้ผมใบ้กินนั้น สายตาที่เหลือบมองไอ้จุ้นที ไอ้โฮมที แต่พวกมันทั้งคู่ก็แค่ยิ้มไม่ได้ตอบอะไร ผมหันไปมองอาร์มที่ยกมือขึ้น แล้วชี้ไปตรงประตู

“ ไปกันเถอะ ”

“ โอเค ” ผ่อนลมหายใจออกไปก่อนจะก้ามเดินตาม เราเดินมาถึงลานจอด

รถของอาร์มเป็นรถคันดีสีดำที่ผมจำป้ายทะเบียนได้แม่น ท่ามกลางเลขไม่กี่ตัวที่จำได้ในหัว เสียงปลดล็อคดังขึ้นตอนที่ร่างสูงเดินไปอีกฝั่ง แต่ตอนที่ผมจะเปิดประตูข้างคนขับ กลับพบตุ๊กตาโดนัลดั๊กตัวขนาดอุ้มที่วางอยู่บนที่นั่ง

“ โทษที ” คนขับว่าแบบนั้นก่อนจะดึงตุ๊กตาตัวนั้นไปวางไว้ตรงที่นั่งหลัง “ ตุ๊กตาของไอ้เมี่ยงมันน่ะ มันชอบกอดเวลานั่งรถมากับกู ”

“ เหรอ ” เผลอหลุดยยิ้มให้กับความน่ารักนั้น อีกฝ่ายก็พยักหน้ารับ

“ ไอ้สัดนั่นชอบขับรถเอง เวลากูขับมันจะพกตุ๊กตามาด้วย บอกว่าไม่ชอบให้มือว่าง ”

“ เหมือนเด็กเล็กเลยนะไอ้สัด ต้องกอดตุ๊กตา ”

“ นิสัยมันก็เหมือนเด็กเล็ก ” หันมาบอกกันด้วยรอยยิ้มที่ไม่ได้ยิ้มแค่ปาก แต่เป็นความสุขที่ออกมาจากทั้งหมด  ไม่ว่าจะแววตา หรือท่าทาง “ แล้วเมื่อเช้างอแงชิบหาย อยากกินซาลาเปาหมูแดงเซเว่น กูบอก กินข้าวต้มแล้ว พอก่อน ก็คือไม่ยอม อยากกิน จนต้องจอดรถ ให้ลงไปซื้อ ”

“ พูดเหมือนหงุดหงิด แต่ในแววตาคือเอ็นดูชิบหายเลยนะ ” แซวมันแบบนั้น อีกคนก็พยักหน้ารับ “ หลงสุด ”

“ กรุณาเรียกว่าหลงสัด ขอพูดแค่นี้ กูคือโคตรรักมัน แบบที่ในสมองมีแค่คำว่า น่ารัก เวลามองหน้ามัน ”

“ ไม่รู้จะพูดอะไรเลยกู ” ผมบอกมันแบบจำยอม “ มึงมาขนาดนี้แล้ว ”

“ แล้วมึงอะ เป็นยังไงบ้าง หายไปไหนมาตั้งนาน กลับบ้านเหรอ หรือยังไง ”

“ กูได้ข่าวว่า ไอ้จุ้นบอกให้มึงโทรหาแม่กู แต่มึงไม่ยอมโทร ” คนฟังพยักหน้ารับพอดีกับเครื่องยนต์ที่ถูกสตาร์ทขึ้น “ ขอบใจที่ไม่โทรนะไอ้สัด ไม่งั้นชิบหายแน่ ”

“ ก็คิดไว้แล้วว่าต้องอย่างงั้น ” อาร์มมันบอก “ แล้วยังไง มึงใช้ชีวิตยังไงก่อนหน้านี้ ”

“ ฟังแล้วมึงจะอึ้ง ” คนฟังขมวดคิ้ว ผมก็หันไปบอกก “ ไปอยู่กับไอ้เบสมา ”

“ ห๊ะ ? ” ไม่ใช่แค่คำพูด แต่มันมาพร้อมกับรถที่เบรคแบบที่เรียกว่ากระทันหันจนผมแทบจะพุ่งออกไปด้านนอก คนขับถามย้ำอีกครั้ง “ ไอ้เบส ไอ้เบสเพื่อนรักมึงอะนะ ”

“ K ” ผมสบกับคำประชดนั่น “ เออ เพื่อนรักกูนั่นแหละ ”

“ เดี๋ยวนะ ไปเจอกันได้ยังไง แล้วยังไงถึงไปอยู่กับมันได้ ” รถยนต์ถูกขับออกไปอีกครั้ง ผมก็หันออกไปนอกหน้าต่าง

“ วันนั้นหลังจากที่ทะเลาะกับมึง กูไปเมา แล้วก็เจอมันที่ผับ ตอนนั้นไม่อยากกลับบ้าน ก็เลยขอมันไปอยู่ด้วย เพราะคิดว่าคงไม่มีใครตามกูเจอแน่นอน ก็คงไม่มีใครคิดว่ากูจะอยู่กับมันอะนะจริงมั้ย ”

“ อื้ม ” เสียงทุ้มขานรับในคอ ก่อนจะยกยิ้ม “ กูคนนึงแหละไอ้สัดที่ไม่คิดอย่างงั้นเลย ” ยักคิ้วให้มันเป็นคำตอบแบบภูมิใจ อีกฝ่ายก็ถามต่อ “ แล้วอยู่กับมันเป็นยังไง เลิกเป็นศัตรูกันยัง ”

“ ก็คิดว่าเลิกแล้วมั้ง ” บอกแบบนั้นกันหันไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้ง น่าแปลก ที่อยู่ๆผมก็คิดถึงความรู้สึกตลอดอาทิตย์ที่อยู่กับอีกคนมา

ระหว่างเรา มันไม่มีประโยคไหน หรือตอนไหนเลยที่เราจะมานั่งชวนกันพูดคุยถึงเรื่องส่วนตัว ที่ประจำของเราเป็นโซฟาตัวใหญ่หน้าทีวี เรื่องเดียวที่เข้ากันได้ก็เหมือนจะเป็นเกมส์ เรานอนพร้อมกันแต่ไม่มีใครคุยกันเลยก่อนนอน เราแค่เล่นมือถือ แต่ถึงอย่างงั้น ระหว่างเรากลับเป็นอะไรที่สบายใจมากๆ

มันน่าสบายใจ จนรู้สึกตกใจ ว่าทำไมตัวเองถึงรู้สึกอย่างงั้น

เป็นความสบายใจที่ผมไม่ได้คิดถึงใครอื่น ไม่ได้คิดถึงอาร์ม และสิ่งเดียวที่กังวล ก็มีเพียงแค่เช้าตื่นนอนที่ต้องตัดสินใจก่อนไปเรียน ว่าต้องทำตัวยังไงในการเผชิญหน้า ให้ผมกับอาร์มรู้สึกไม่อึดอัด

ผมไม่เคยถามตัวเองเลยด้วยซ้ำ ว่าตอนนี้รู้สึกยังไงกับการไม่ถูกรัก ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้น ก็ไขว่คว้าจะเป็นตาย จนยอมทำแทบทุกอย่าง แล้วกลายร่างเป็นคนสิ้นคิดคนนึง

“ มึง ”

“ ว่าไง ”

“ ความรักคืออะไรวะ พอรู้มั้ย ” หันไปมองคนขับที่ขมวดคิ้วให้กันตอนที่ฟังอย่างสงสัย “ กูก็แค่อยากรู้ว่ากูรู้สึกยังไงกับมึง บอกหน่อยได้มั้ยวะ ”

“ ความรักคืออะไรเหรอวะ ” คนตอบทวนคำพูดนั้นซ้ำพลางมองไปข้างหน้า อาร์มกำลังคิดมันอย่างดี “ กูว่ามันต่างไปในเฉพาะบุคคลนะ อาจจะเรียกว่า คนละนิยาม แต่ละคนคงรู้สึกถึงความรักคืออะไรได้ต่างกัน ”

“ เหรอวะ ”

“ ตอนที่กูรักมึง กูรู้ตัวว่ากูรัก เพราะกูไม่อยากจะให้มึงรักใครนอกจากกู กูไม่ชอบเวลาที่มึงมีคนอื่น ไม่ชอบเวลาที่มึงมีแฟน แต่กับรู้สึกมีความสุขทุกครั้ง ที่เห็นมึงเลิกกัน  กูอยากเป็นคนที่กอดมึงได้ในตอนที่มึงเศร้า กูอยากเป็นทั้งรอยยิ้ม แล้วก็ความสุขของมึง แล้วนั่นก็คือความรักของกู ที่เคยมีให้มึง ”

“ อื้ม แล้วกับเมี่ยงละ ตอนนั้นรู้ได้ยังไงวะ ว่ารักมัน ”

“ อาจจะเป็นตอนที่มันไม่สนใจกูเลย ตอนที่มันบอกว่า ถ้ายังเลิกรู้สึกกับคนเก่าไม่ได้ ก็อย่ามายุ่งกับมัน ตอนนั้นใจกูเหมือนจะขาด เหมือนเจอคนที่อยากจะกอดมากๆ แต่กอดไม่ได้ ”

“ เหรอ ”

“ ความรู้สึกของกูตอนนั้น มันโคตรทรมานเลยรู้มั้ย เหมือนความสุขมันกองอยู่ตรงหน้า แต่ทำเหี้ยอะไรไม่ได้เลย กูรู้แค่ว่า กูอยากมีมัน อยากใช้ชีวิตแบบที่มีความสุขกับมันไปทุกวัน ”

“ รู้มั้ยว่ากูไม่เคยรู้สึกอย่างงั้นกับมึงเลย ” ทุกอย่างในรถตอนนั้นมีแต่ความเงียบกับประโยคที่ผมพูด “ กูขนลุกทุกครั้งที่เราจูบ กูไม่ชอบทุกครั้งที่เราต้องใกล้กัน แต่กูรู้สึกว่ากูปฎิเสธไม่ได้ เพราะถ้ากูทำ กูจะเสียเพื่อนแบบมึงไป แล้วกูก็ไม่อยากจะให้มันเป็นแบบนั้น ”

“ ขอโทษ ”

“ ขอโทษทำไมไอ้สัด ” ผมถามยิ้มๆ “ มึงไม่ผิดหรอก กูผิดเอง กูสิต้องขอโทษ ขอโทษนะที่ไม่ได้บอกมึงออกไปตามตรงว่ารู้ยังไง กูขอโทษที่แม้แต่เมื่อวาน หรือเมื่อกี้ กูก็ยังนั่งถามตัวเองว่าจริงๆ สิ่งที่กูรู้สึก มันคือความรักมั้ย ทั้งๆที่มันไม่ต้องถามแล้ว ทุกอย่างมันชัดมากๆอยู่แล้ว ว่ากูไม่ได้รัก เพราะถ้ารัก กูจะไม่บอกให้มึงรอ ถ้ารักก็คงอยากจะให้มึงมาอยู่ใกล้ๆ ไม่มีใครรักแล้วบอกให้อยู่ไกลๆ หรือรอก่อนหรอก จริงมั้ย ”

“ จริง แต่ก็ไม่ใช่แบบนั้นทั้งหมด ที่มึงทำ มึงก็รัก แต่มึงแค่รักแบบเพื่อน มึงเลยไม่อยากจะเสียกูไป ทุกอย่างมันก็แค่นั้น ไม่ใช่มึงไม่รักหรอกดีน มึงรักกูนะ แต่ความรักของกูกับมึงในตอนนั้น มันแค่มีสถานะที่ไม่เหมือนกัน ก็เท่านั้นเอง ”

หัวของผมโล่งไปในช่วงขณะนึง และแม้แต่หัวใจเองก็เหมือนจะเป็นเช่นนั้น คล้ายกับลมพัดอ่อนๆในช่วงฤดูหนาว ลมเย็นของช่วงเวลานั้นพัดผ่านผิวกาย เป็นความสบายอกสบายใจอย่างที่อยากสูดอากาศนั้นเข้าไปให้เต็มปอด

 “ ฟังเพลงหน่อยแล้วกัน แก้เบื่อ ” อาร์มมันว่าแบบนั้นก่อนจะเอื้อมมือไปกดปุ่มเปิดเพลง บนหน้าปัดวิทยุ เป็นช่วงเวลาที่เปิดเพลงยาวๆพอดี แต่เรามาสายไปเล็กน้อย เพลงที่ฟังมันถึงช่วงจบพอดี ก่อนที่มันจะขึ้นเพลงใหม่

ด้วยทำนองที่คุ้นหู ผมหันมองคนขับรถที่หันมามองกันพอดีในตอนนั้น ตอนที่คำร้องของบทเพลงนั้น เริ่มต้นขึ้น ‘ รู้ไหมว่าเราเจอกันครั้งแรกตอนไหน ความทรงจำเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เมื่อไหร่ที่ทำให้เราสองคนเริ่มหวั่นไหว ’

ผมหลุดยิ้มออกมา จำได้ว่าครั้งนึง เราเคยนั่งอยู่ด้วยกันแบบนี้ วันนั้นเพลงนี้ก็ดังขึ้นมาเหมือนวันนี้ อาร์มตอนนั้นจับมือของผม ตอนที่ถึงประโยคที่ว่า ‘ขอสัญญา ว่าจะรักเพียงคุณ ว่าจะรักแค่คุณ ว่าจะรักแค่คุณเท่านั้น’ แต่ในตอนนี้มือนั้นกลับเอื้อมออกไป มือข้างนั้น ปิดวิทยุลง

“ ไม่ใช่กูแล้วเนอะ ” เอ่ยพูดออกไปสั้นๆ เสียงทุ้มก็ตอบกลับ

“ อื้ม ตอนนี้มันไม่ใช่มึงแล้ว ”

“ มึงมีความสุขมากเลยใช่มั้ย ที่ได้คบกับเมี่ยง ”

“ อื้ม มีความสุขมากๆ ”

“ ดีแล้ว ” พูดอย่างงั้น ด้วยความรู้สึกที่มาจากใจ ผมยิ้มให้มัน เหมือนมันเองที่หันมายิ้มให้ผม “ มีความสุขให้มันมากๆนะมึง กอดมันไว้ให้แน่นๆด้วยนะ ความรักของมึงน่ะ ”

“ แน่นอนอยู่แล้ว ” คำพูดมั่นใจสมเป็นคนตรงหน้าทำให้ผมยิ้มกว้างมากขึ้นไปอีก

“ กูดีใจนะ ที่เห็นมึงมีความสุข ”

“ ดีน ” เลิกคิ้วมองคนที่หันมายิ้มให้ “ ถึงทุกอย่างที่เคยเป็นของมึง จะไม่ใช่ของมึงแล้ว แต่มึงยังเป็นเพื่อนกูนะ เพื่อนที่สนิทที่สุดในชีวิตกู แล้วตำแหน่งตรงนี้ มันจะเป็นของมึงไม่เปลี่ยนแปลง ”

“ กูรู้ ” ผมพยักหน้ารับ “ ดีที่สุดแล้วที่เป็นแบบนั้น ”

“ อื้ม ”

“ แต่ว่า ไม่ไปแล้วได้มั้ยวะ กินข้าว ” หันไปบอกกคนพามาที่ก็หันมามองด้วยความไม่เข้าใจ “ ไม่ได้อะไรนะไอ้สัด กูแค่รู้สึกว่าตอนนี้ มันไม่ใช่อารมณ์ที่กูจะไปกินข้าวกับมึงอะ ”

“ เศร้าๆเนอะ ”

“ อื้ม ” ผมตอบรับ “ ก็ไม่ได้เศร้า เสียใจเหี้ยอะไรหรอก แต่รู้สึกเศร้า จนไม่อยากจะแดกแล้วว่ะ ”

“ เข้าใจ ” อาร์มมันตอบ “ แล้วจะเอายังไง ให้ไปส่งที่ไหน ”

“ ข้างหน้านี่ก็ได้ ” เชิดหน้าไปตรงทางเท้าที่มีจอดพอดี อีกฝ่ายก็พยักหน้ารับ ก่อนจะเลี้ยวเข้าไปจอดตามที่บอก “ เจอกันพรุ่งนี้ ”

“ อื้ม ” ยิ้มให้กันอย่างงั้น ผมก็ยิ้มตอบ  ก่อนจะเดินลงไปจากรถ ที่ก็ขับออกไปหลังจากนั้นไม่นาน ส่วนผมที่ได้แต่ยืนมามองตามมันไป

ที่บอกว่าเศร้า คือเศร้าจริงๆ เศร้าจนกินอะไรไม่ลง เศร้าแบบที่คงไม่อยากจะยิ้ม หรือหัวเราะ มันเป็นเศร้าที่ทำไมตอนนั้นถึงไม่พูดออกไป ว่าไม่เคยรักมันเลย เศร้าที่ทำให้อีกฝ่ายเสียใจมาตั้งนานแล้วเพิ่งรู้สึกตัวก็วันนี้ ว่าไม่น่าเลย

“ ขอโทษนะมึง ” ไม่มีอะไรเหมาะกับคำพูดนี้อีกแล้ว ท้ายที่สุดก็มีแค่นี้ ที่พอจะพูดได้ แม้กับเรื่องราวที่ผ่านไปแล้ว “ ขอโทษจริงๆ ”

ผมหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาหลังจากถอนหายใจ บนหน้าจอที่ไม่มีแจ้งเตือนอะไร นิ้วมือกดปุ่มโทรออกไปหาเบอร์ที่โทรหาบ่อยที่สุดในช่วงนี้ แบบที่รองจากเบอร์ของแม่

“ ยังไง ” เสียงกวนตีนที่ตอบรับอย่างเคย ชวนให้ผมยกยิ้ม “ ว่าไงไอ้สัด ”

“ ยั๊วะจัง ”

“ ก็แล้วทำไมไม่พูด ”

“ อยากกินอาหารญี่ปุ่น ” พูดแบบนั้นปลายสายก็เงียบ “ มากินด้วยกันหน่อย ”

“ ไมได้ไปกินข้าวกับไอ้อาร์มเหรอวะ ”

“ เคลียร์กันเสร็จแล้ว แต่เศร้าเกินอะ เลยไม่ไปละ ”

“ เหรอ ”

“ มากินอาหารญี่ปุ่นเป็นเพื่อนหน่อย ” ผมพูดย้ำอีกฝ่ายก็ถอนหายใจ

“ กูเรียนอยู่ ” แต่ก็เหมือนทุกทีที่ผมเอาแต่ใจ  “ แล้วอยู่ไหน ”

“ ห้างข้างมหาลัยอะ ”

“ อีกสิบนาที ”

“ โอเค เจอกันนะ ”

“ ครับ ไอ้สัด ” นั่นแหละ แต่ก็ตามใจกันอยู่ดี

.............................................

มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก กับเรื่องราวตรงนี้
อบอุ่น แต่ก็เศร้าๆยังไงไม่รู้
แต่ตอนหน้าเจอน้องเมี่ยงดีกว่า คิดถึงยัยน้องแล้วววว ใช่ม้ายยย
ฝาแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ด้วยนะคะ
ขอบคุณมากฮับ
 :กอด1: :L2: :3123: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 37 :: up! 18-9-63} #หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 18-09-2020 23:06:44
 :L1:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 37 :: up! 18-9-63} #หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 19-09-2020 00:49:49
เปิดใจคุยกันอะไรๆมันก็จะผ่านไปได้ดี  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 37 :: up! 18-9-63} #หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 19-09-2020 02:31:48
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 38 :: up! 2-10-63} #หน้า 8 (ตอนจบ )
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 02-10-2020 20:19:48
ตอนที่ 38


บรรยากาศในรถค่อนข้างเงียบเชียบ และเหมือนจะมีแต่ความงุนงงของคนที่เหมือนจะรู้สึกได้ว่าทุกอย่างรอบตัว ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างที่คาดคิด ใบหน้าน่ารักที่กำลังขมวดคิ้วงงอยู่ตรงประตูรถ เมี่ยงเอียงหน้ามองผม

“ ทำไมมึง... ใส่ชุดอยู่บ้านวะ ” ถามแบบนั้นมันก็นิ่ง สีหน้าที่ดูไม่สู้ดี ผมมองดูเสื้อผ้าตัวเองแบบอดไม่ได้ที่จะส่งความสงสัยท่าสีหน้านั้นคืนกลับไป

เสื้อยืดสีขาวธรรมดาที่ใส่ แม้แต่กางเกงขายาวสีดำก็ดูธรรมดา ไม่มีอะไรแปลกไปสักอย่าง จะบอกว่าหยิบเสื้อผ้าผิดก็ไม่น่าจะใช่

“ มึงไปกินข้าวกันแน่นะ..”

“ คิดเหี้ยอะไรอยู่ ” เพราะรู้สึกว่าไม่น่าจะใช่เรื่องดีเลยถามออกไปแบบนั้น “ อย่าบอกนะ ว่ามึงคิดว่ากูไปมีอะไรกับไอ้ดีนมา ”

“ ไอ้เชี้ย!! กูไม่ได้คิดอย่างงั้นเลยนะ ไม่ได้ไม่เชื่อใจมึงเลยนะ ”  สายตาเรียวจ้องผมเขม็งพร้อมด้วยคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน ท่าทางจริงจังจนชวนให้ผมยิ้ม แล้วแน่นอนว่าสุดท้ายก็หลุดหัวเราะออกมา

“ เหรอครับ ” พูดออกไปแบบล้อๆ เมี่ยงที่ตอนนั้นดึงตัวเองเข้ามานั่งมันจ้องหน้าผม จนต้องเอื้อมมือไปจับที่แก้ม ก่อนจะบีบเบาๆ จนอีกคนหน้ายู้ “ แล้วทำไมทำหน้าตกใจจังครับ แค่เห็นกูใส่ชุดอยู่บ้านเอง ”

“ ก็มึงบอกว่าจะไปกินข้าวกับไอ้ดีนใช่มั้ยละ ”

“ อื้ม ” ผมขานรับ

“ กูเลยคิดว่ามึงจะออกไปกินข้าว แล้วก็จะมารับกู ไม่คิดว่าถึงขั้นจะต้องกลับไปอาบน้ำก่อน ”

“ หรือมึงจะคิดว่าทำไมกูต้องอาบน้ำน้า กูไปทำอะไรกับไอ้ดีนมากันนะ ทำไมถึงต้องกลับมาอาบน้ำ แล้วเปลี่ยนชุดใหม่มารับมึงด้วย ” เหลือบคนที่ต้องตอบ เมี่ยงตาโตขึ้นมาก่อนจะส่ายหน้าไปมาแบบผมปลิวไปหมด และแน่นอนว่ามันชัดมาก ว่าตรงกันข้ามกับความอยากรู้ที่มี

แล้วพอเห็นว่าผมไม่เชื่อเท่าไหร่ คนน่ารักที่เริ่มรู้จักหลบหลีกก็เหลือบมองไปทางอื่น มือขาวหยิบเอาไอ้ตุ๊กตาโดนัลดั๊กขึ้นมากอดด้วยท่าทางที่ไม่รู้จะทำยังไง ในสถานการณ์ที่โดนจับได้อย่างงี้

“ ว่าไง มึงคิดอะไรแบบนั้นอยู่มั้ยนะ ”

“ นี่มันกอดไอ้เป็ดกูมั้ย มึงได้ปกป้องไอ้เป็ดน้อยของกูเปล่า ” คำถามเบี่ยงเบนแบบที่หันมาหาเรื่องผมแทนนั้น ชวนให้ถอนหายใจออกมาก่อนจะยกยิ้ม ผมจ้องมองมัน

“ แล้วมึงคิดว่าไง ” ถามแบบนั้นอีกคนก็นิ่ง “ ผมเป็นคนแบบที่จะยอมให้คนอื่นมาแทนที่แฟนผม แล้วก็กอดตุ๊กตาเน่าๆของแฟนผมเหรอครับ ”

“ ไม่เน่าไอ้สัด อย่าว่าน้อง ” อีกฝ่ายบอกจริงจัง “ อย่าคิดว่าพอเป็นบทบอกรัก แล้วกูจะไม่สนใจในคำด่าของมึงที่มีต่อลูกน้อยของกูนะไอ้สัดอาร์ม ”

“ ครับๆ คุณแม่ดีเด่น ”

“ จะเป็นพ่อ! ” เมี่ยงมันเถียงเสียงดัง ผมก็ได้แต่พยักหน้ารับ

“ ก็แล้วแต่เมียเลยครับ ”

“ มึงแม่ง อย่ามาบลูลี่สถานะชีวิตกูนะเว้ย ” ปากสีสวยนั่นขยับเถียงอย่างเอาเรื่อง “ กูเป็นเมียมึง เพราะกูชอบที่จะเป็นอย่างงั้น แล้วก็เพราะกูรักมึงมากๆ แต่จะไม่เป็นแม่ ทำไมต้องเป็นแม่แค่เพราะเป็นเมียด้วยไอ้สัด กูนะ..”


จุ๊บ


ดึงตัวเองจูบเข้าที่ริมฝีปากของอีกคน เมี่ยงหยุดชะงักประโยคที่กำลังจะพูดนั้นไปโดยทันทีมันมองผม “ เมื่อกี้มึงบอกว่ารักกู ”

“ เห้อออออออออออออออ ” คนฟังถอนหายใจทิ้งออกมาแบบยาวๆ สายตาที่จ้องมองผม เอาจริงมันดูหาเรื่องอยู่ไม่น้อย “ ให้มันได้แบบนี้สิไอ้สัด ไม่เคยได้พูดจบเลยนะตัวกู”

“ รู้แล้วครับว่าไม่ชอบ ทีหลังจะไม่ทำอีก โอเคมั้ย ”

“ โอเค ” ตอบรับแบบนั้น แต่เหมือนว่าเรื่องราวนี้อีกคนจะปล่อยให้จบลงไม่ได้ เมี่ยงเหลือบมองผม “ นี่ ถ้าพูดว่ารักมึง จะถูกจูบเหรอ กูน่ะ ”

“ อื้ม ”

“ งั้นต้องลอง ” ว่าแบบนั้นมันก็ดึงตัวเองเข้ามาใกล้กันแบบยิ้มๆ  ก่อนจะเอียงหน้าไปมาแล้วพูดออกมาไม่มีหยุด “ รักมึง รักมึง รักมึง รักมึง ไหนอะ ไม่เห็นจะจูบเลย รักมึง รักมึงนะ รักนะ รักมึงอะ ”

“ เห้อออออออออออออออออ ” คราวนี้กลายเป็นผมที่ต้องเบือนหน้าหนีแล้วถอนหายใจออกมาบ้าง

จนท้ายที่สุดก็ทนไม่เคยไหว

 “ ก็น่ารักแบบนี้ไงไอ้สัด ทุกวันนี้ถึงได้โงหัวไม่ขึ้นอยู่แล้ว ” มือสองข้างเอื้อมไปประคองใบหน้าน่ารักที่กำลังยิ้มหวาน ผมจูบเมี่ยง จูบซ้ำๆ จูบเกินคำว่ารักที่อีกฝ่ายบอกด้วยซ้ำ ก่อนจะงับเบาๆเข้าไปที่ข้างแก้มขาว จนคนโดนกระทำถึงกับร้องโวยวาย

“ โอยยยยยย อย่ากินแก้มน้องงงง ” ว่าแบบนั้นพลางดันตัวออก เมี่ยงมันจ้องหน้าผมกลับ แน่นอนว่าก็ต้องกล่าวโทษกันตามเคยที่เป็น “ หนอยยย ไอ้สัด อ่อยไม่ได้เลย ตะครุบเป็นหมาเลย ”

“ แน่นอน ของดีใครไม่สนก็เสียของแย่ แถมแฟนกูยังน่ารักขนาดนี้ ”

“ บ้าบอ ใครบอกให้มึงพูดความจริงออกมาหน้าด้านๆอย่างงั้น ” ถอนหายใจยิ้มๆ พลางก้มมองอีกคนที่ก็กำลังมองกันแบบล้อเลียน

“ นี่คือไม่สงสัยเรื่องไอ้ดีนกับกูแล้ว ” สีหน้านั้นเปลี่ยนไปในตอนที่ผมถาม เมี่ยงยิ้มจางๆ พร้อมกับทำทีเป็นคิด ก่อนจะพยักหน้ารับในตอนที่ผมถาม “ ทำไม ? ไม่อยากจะถามแล้ว ”

“ ก็มันดูเหมือนไม่เชื่อใจ ”

“ เลยทำตัวน่ารักกลบเกลื่อนแทนว่างั้น ”

“ ไอ้เรื่องน่ารักก็คือกูน่ารักอยู่แล้วมั้ยละ ” ว่าแบบนั้นพลางดึงตัวเองเข้ามากอดคอผมด้วยมือทั้งสองข้าง เมี่ยงจูบกัน มันยิ้ม “ แต่ยอมรับก็ได้จ้ะ ว่าเป็นอย่างงั้นแหละ กูกลบเกลื่อนอยู่ แต่ที่บอกก็เพราะว่าพี่อาร์มก็คือมองออกอยู่แล้วอะเนอะ ไม่มีทางโกหกได้เลย ”

“ รู้ตัวก็ดี ” ตอบแบบนั้นก่อนจะดึงตัวเองเข้าไปจูบริมฝีปากสีสวยนั่นอีกครั้ง เราที่มองตากันอยู่อย่างงั้น เอาเข้าจริง บางทีผมก็มีคำถาม
 
ต้องทำยังไงตัวเองถึงจะหยุดอยากจะเข้าไปจูบ เข้าไปกอดคนตรงหน้านี้ได้ 

แม้บางครั้งจะอยู่เฉยๆ แต่แค่ผมเห็นเมี่ยง ไม่ว่าจะมุมไหนของห้อง หรือนั่งข้างกันในรถ ร่างกายมันก็เหมือนอยากจะพุ่งเข้าใส่ แล้วกอดอีกฝ่ายอยู่อย่างงั้น

ผมรู้ว่าเมี่ยงรู้ตัวเองดีว่ามันน่ารัก แต่ผมเชื่อว่ามันไม่มีทางเดาได้หรอกว่าสำหรับผมแล้ว มันน่ารักขนาดไหน เพราะแม้แต่คำว่า น่ารักมากๆ ก็ยังรู้สึกไม่ใช่อยู่ดี จะบอกว่า น่ารักไปหมด ก็ยังไม่พอดี

เมี่ยงน่ารักแบบที่หน้าตาน่ารัก ทำตัวน่ารัก แม้แค่นั่งอยู่นิ่งๆ ก็ยังน่ารัก

ผมว่ามันก็คืออาการหลงเมียนั่นแหละ แต่ของผมมันหลงแบบ หลงโดยแท้จริง หลงแบบไม่มีอะไรมากั้น

“แต่ไม่มีอะไรหรอกครับ ” ผมบอกมันกก่อนจะดึงตัวเองกลับมาจับพวงมาลัยรถอีกครั้ง “ กูไมได้ไปกินข้าวกับมันด้วยซ้ำ ”

“ อ้าว ก็มึงบอกจะไปนี่ ไม่ใช่เหรอ ”

“ ใช่ ตอนแรกก็ออกมาด้วยกันนั่นแหละ แต่พอพูดกันไปสักพัก มันก็ขอตัวลงกลางทาง บอกว่าไม่อยากจะไปแล้ว ”

“ เหรอ ” เสียงเบาๆของคนที่ตอบรับชวนให้ผมยิ้ม

“ ไม่ต้องกังวลหรอก เราเคลียร์กันแล้ว ไม่มีอะไรแล้วละ ดีนมันเข้าใจกูดีแล้ว มันเองก็ขอโทษกูแล้วด้วย ”

“ แล้วมึงรู้สึกยังไงบ้างละตอนนั้น แบบ ตอนที่เห็นดีนมันมาเรียน ”
“ ตกใจ ” ผมตอบตามที่คิด “ แต่ควรเรียกว่าช็อคมากกว่ามั้ง วินาทีนั้นกูแม่งนิ่งไปเลย ตอนที่เห็นมันนั่งอยู่ในห้อง ”
“ ตอนไอ้เบสบอกกู กูก็ช็อค มันบอกกูว่า มันเห็นไอ้ดีนมาเรียนแล้ว ”

“ มันบอกมึงอย่างงั้น ” ผมทวนคำถาม อีกคนก็พยักหน้ารับแบบไม่มีทีท่าว่าจะโกหก

“ ช่ายยย มันบอกว่าเจอกันที่ลานจอดรถละ ” เมี่ยงว่าแบบนั้นผมก็คิดถึงคำพูดของดีนที่บอกกันว่าช่วงที่ผ่านมามันไปอยู่กับไอ้เบส

‘ หรือว่าจะไม่อยากบอกใครวะ หรือบางทีอาจจะยังไม่ได้ถามไอ้ดีนว่าบอกได้มั้ย หรือไมได้ ก็เลยโกหกออกมาอย่างงั้นกับอีกคน ’

“ มึง เงียบไปเลย ” โดนจิ้มเข้าที่แก้ม ผมหันไปมองคนพูดก่อนจะยิ้ม

“ อยากให้กูพูดว่ารักมึงเหรอ จะได้ไม่เงียบไง ”

“ ได้ทีเอาใหญ่นะไอ้สัด ” บอกแบบนั้นมือขาวก็กระชับตุ๊กตาเป็ด เมี่ยงบี้แก้มลงกับตัวไอ้ตุ๊กตาขาวนั้น แต่สายตาเรียวยังดูเหมือนกังวล “ โอเคแล้วแน่ๆนะมึง มึงกับไอ้ดีนอะ ”

“ ทำไม ไม่มั่นใจเหรอครับ หรือคิดวด่ากูโกหก ”

“ อื้ม กลัวมึงโกหก เพราะแค่อยากจะให้กูสบายใจ ”

“ ไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอกครับ ” ผมย้ำ “ ไม่มีอะไรแล้วจริงๆ ดีนขอโทษกูแล้ว เรื่องที่มันไม่เคยรักกูเลย ซึ่งเอาจริงๆ กูก็ไม่ได้ต้องการให้มันพูดอะไรแบบนั้นหรอก แต่พอพูดแล้ว ก็เคลียร์ดีว่ะ กูรู้สึกเหมือน เราจะกลับเป็นเพื่อนกันได้ เพื่อนแบบที่มันเป็นเพื่อนจริงๆ อย่างที่มันควรเป็นตั้งแต่แรก ”

“ ก็แน่นอนละครับ มันต้องเป็นอย่างงั้นอยู่แล้ว มึงต้องเป็นเพื่อนกับมันจริงๆ เพราะมึงมีกูอยู่แล้ว ” ชี้หน้าเข้าหาตัวเอง ผมก็หลุดยิ้ม “ แล้วบอกไว้ก่อนว่าถ้ามึงคิดเป็นอย่างอื่น ไอ้ตุ๊กตาเป็ดถูกดึงออกมาจากอ้อมกอด เมี่ยงตีมันซ้ำเหมือนขู่เด็กเล็ก ก่อนจะหันมามองผมตาขวาง “ มึงตายแน่!! ”

“ ครับๆ กลัวแล้วครับผม ขู่เก่งจริง ”

“ แล้วแบบนั้น พอไม่ได้ไปต่อ มึงก็เลยกลับบ้านเหรอ ”

“ อื้ม ” ผมพยักหน้ารับ “ สุดท้ายก็ไปซื้อข้าวกินที่ห้าง แล้วก็เอาไปกลับไปกินที่ห้อง ยิ่งไปกว่านั้นคือกูเสือกซื้อข้าวปลาแซลม่อนไป ไอ้นายท่านกับไอ้แก้มหอมก็คือไม่มีใครทนไหวเลย กระโดดขึ้นโต๊ะกันวุ่นเลย ”

“ ฮ่าๆ ” เสียงหัวเราะของคนที่นั่งข้างกัน เมี่ยงเอื้อมมือมาหยิกแก้มที่แทบไม่มีของผม ก่อนจะดึงให้ส่ายไปมา “ โถๆ พี่อาร์มของกู โดนเทนัดก็ทีนึงแล้ว แถมยังโดนลูกตัวเองกับแฟนลูกแย่งข้าวกินอีก ”

“ ปลอบใจหน่อยสิครับ ” ดึงตัวเองเข้าไปใกล้ เมี่ยงยิ้มก่อนจะจูบผม ที่ก็ต้องหลุดยิ้มออกมาอีกครั้งอย่างไม่มีเบื่อ

“ งั้นเราไปกินข้าวกัน กินอะไรกันดี ”

“ อยากกินอาหารญี่ปุ่น ” พูดแบบนั้นมือของผมก็กระชับจับพวงมาลัย เกียร์ที่หยุดนิ่งผมเลื่อนมันให้เดินหน้าก่อนจะขับออกมาจากลานจอด พร้อมกับเสียงถอนหายใจของคนที่นั่งอยู่ข้างกัน “ ถอนหายใจอะไรขนาดนั้น ไม่อยากจะกินอาหารญี่ปุ่นเหรอ กินอย่างอื่นก็ได้นะ ”

“ ไม่ๆ อยากกินๆ กูแค่คิดเรื่องอื่นอยู่เฉยๆ ” ท้ายประโยคที่เบาลงเมี่ยงมองออกไปนอกหน้าต่าง ผมในตอนนั้นก็เลยเอื้อมมือไปหยิกแก้ม จนเจ้าของแก้มนุ่มนิ่มนั้นหันมามองกัน

“ มีอะไร ไหนลองบอกแฟนสิครับ ”

“ ง่อววววว ใจบางเลยนะพูดแบบนั้น ” พูดแบบนั้นด้วยรอยยิ้มก่อนจะพิงตัวเองลงกับเบาะรถที่นั่ง “ คือกูแค่กำลังคิดเฉยๆ ว่าพรุ่งนี้มันจะเป็นยังไง ”

“ อะไรเป็นยังไง ”

“ ก็ไอ้ดีนกลับมาแล้วไง  แต่กูยังอยากจะไปกินข้าวกับมึงทุกเช้าเลยนะ แล้วก็ตอนเที่ยงด้วย ” ขมวดคิ้วกับคำพูดนั้น ผมงงนิดหน่อยว่ามันเกี่ยวข้องอะไรกันกับการที่ไอ้ดีนกลับมาเรียน

“ แล้วมันเกี่ยวอะไรกันกับเรา ”

“ ก็ไอ้ดีนกับไอ้เบสมันไม่ถูกกัน มึงก็เพิ่งกลับมาดีกับไอ้ดีนใหม่ๆ กูเองก็ไม่อยากจะต้องอยู่ในสภาพแบบต้องเลือกด้วย ว่าต้องกินข้าวกับแฟนหรือว่าเพื่อน  เลยคิดว่าพรุ่งนี้เราอาจจะต้องแยกกันไปก่อน กลุ่มใครกลุ่มมัน ”

“ บางทีอาจจะไม่เป็นอย่างงั้นก็ได้ ” บอกคนที่หันมามองกันแบบสงสัย ผมยิ้ม “ ก็ให้มันถึงพรุ่งนี้ก่อน ไม่เห็นว่าต้องกังวลอะไรไขนาดนั้น ”

“ แต่ว่า ”

“ บอกไว้ก่อนว่ากูติดแฟนมากนะ แน่นอนว่ากูเลือกแฟนอยู่แล้ว ” เมี่ยงที่ยิ้มกว้างออกมา ผมก็เอื้อมมือไปขยี้หัวมัน “ ยิ้มได้แล้ว มึงมีกูอยู่นะ คิดว่ากูจะปล่อยให้มึง หงุดหงิดหรือว่าเสียใจเหรอ นี่ใคร กูอาร์มนะ ” ผมย้ำ “ อาร์ม แฟนเมี่ยงอะ ”

“ โหห อย่างเท่เลย ” นิ้วโป้งที่ยกให้กันนั้นในแววตามีแต่รอยยิ้มแบบที่ชอบ ผมยักคิ้วให้อีกฝ่าย “ แล้วจะไม่ให้รักได้ยังไงจริงมั้ย ”

“ มีแต่รักหัวปักหัวปำเท่านั้นแหละ บอกไว้เลย ว่าต่อจากนี้และตลอดไป โงหัวไม่ขึ้นแน่นอน ”

“ ยอมแล้วครับ พี่อาร์มค้าบบบบบบบบบบบบ ” ไม่ว่าเปล่าแก้มขาวที่เบียดกับตุ๊กตาตัวที่กอดพลางส่ายหน้าไปมาจนผมต้องหลุดยิ้มกว้าง

ก็อย่างที่ผมบอกดีน เมี่ยงน่ารักจนผมโงหัวไม่ขึ้นแล้ว เป็นความน่ารัก ที่ทำให้รู้สึกทั้งรักทั้งหลง  แบบที่ถ้าเป็นตุ๊กตาตัวเท่ากำมือก็อยากจะพกไปไหนมาไหนด้วย แล้วก็อยากเอาขึ้นมากอดมาหอมทั้งวัน

“ อ้าว จอดรถทำไม จะซื้ออะไรวะ ” สายตาเรียวหันมามองกันด้วยความท่าทางสงสัย คงเห็นว่าอยู่ๆรถของเราก็เบี่ยงออกจากเส้นทาง ก่อนที่ผมจะหยุดมัน เปลี่ยนเกียร์ให้หยุดนิ่ง แล้วดึงเบรคมือ “ อาร์ม ”

“ ขอจูบหน่อย ” เข็มขัดนิรภัยถูกปลดออกแบบรวดเร็ว ผมดึงตัวเองเข้าไปจูบริมฝีปากนั้น และแน่นอนที่ว่าคนตอบรับก็แค่กางมือออกกว้าง เมี่ยงกอดคอผม มันย้ำจูบเต็มแรงลงบนริมฝีปาก ก่อนจะค่อยๆเผยอมันออกเพียงน้อยเพื่อขยับรูปปากนั้นอย่างบดเบียดกันและกัน

เรายิ้มในตอนที่ผละตัวเองออก ก่อนจะดึงเข้าหากันอีกครั้งตามความรู้สึกที่ดึงดูดอย่างไม่คิดปิดบัง ก่อนที่ริมฝีปากสีแดงเจ่อนั้นจะกัดเบาๆลงบนริมฝีปากล่างของผมแล้วดึงออกเพียงน้อยด้วยความขี้เล่น

“ เด็กมันร้ายว่ะ ” ผมว่าก่อนจะยิ้ม แล้วจูบลงไปบนต้นคอขาว “ เอาจริงๆนะเมี่ยง ไม่อยากจะกินอาหารญี่ปุ่นแล้วว่ะ อยากกินอย่างอื่นแทนมากกว่า ”

“ คล้ายๆว่าจะเป็นกูมั้ยนะไอ้สัด สิ่งที่มึงอยากกิน ”

“ ใช่ ” ตอบรับกันออกไปตามตรง ผมดึงตัวเองขึ้นมองหน้ามันอีกคนก็ยกยิ้ม แต่แน่นอว่า แฟนผมน่ะ เรื่องกิน ต้องมาอันดับหนึ่ง

“ ไม่ได้ ” ว่าแบบนั้นก่อนจะดันตัวผมออก “ กูจะกินอาหารญี่ปุ่น มึงเลิกหวังไปได้เลย ”

“ อะไรวะ ”

“ ไปขับรถ ” บอกย้ำกันยังไม่พอ อีกฝ่ายเชิดหน้าไปตรงที่นั่งคนขับ มันบ่น “ เล่นด้วยหน่อยไม่ได้เลยนะ ใดๆก็คือจะกินกูอย่างเดียวเลยนะ ”

“ เมี่ยงอะ ” กระพริบตามองมันแบบอ้อนๆ แต่ทว่าอีกคนกลับหลบตา ใบหน้าขาวแก้มขึ้นสีแดงจัด แน่นอนว่ามันแพ้มาก

สำหรับไม้เด็ดของผม ก็คือลูกอ้อนที่อีกฝ่ายไม่เคยชนะ

“ เมี่ยงครับ ”

“ ไม่ต้องเลยยยยยย ไปกินข้าว ” เบือนหน้าหนีไปมองตรงหน้าต่างอีกฝ่ายถอนหายใจเหมือนกำลังสงบจิตใจของตัวเองลงยังไงอย่างงั้น “ มึงต้องกินข้าวก่อน ”

“ ก็ได้ครับ ” ตอบแบบเสียงอ่อนคนพูดที่ไม่มองหน้ากันก็ยิ่งขมวดคิ้ว เมี่ยงถอนหายใจแบบที่สุดท้ายก็ต้องพูดในสิ่งที่ไม่อยากจะพูด

“ ทำกันทีนึงมันนาน มึงแม่งก็ไม่เคยจบง่ายๆเลย มีรอบสองตลอด ไหนจะชอบกอดกูไม่ยอมลุกไปไหนอีก แล้วพอมันเป็นแบบนั้น มึงก็จะมารู้สึกว่ามึงหิว ก็ตอนที่อาบน้ำเสร็จนั่นแหละ คราวนี้ก็ต้องหาของกินกันให้วุ่นอีก ” เมี่ยงเหลือบมองผม “ ไปกินข้าวก่อน แล้วกู... ค่อยกินหลังกินข้าว เพราะเป็นของหวานอยู่แล้วนี่ จริงมั้ย ”

ไอ้ชิบหาย...

นี่สินะที่เค้าบอก เหนือฟ้ายังมีฟ้า และตอนนี้เหนือผมยังมีเมี่ยงอย่างแท้จริง

เพราะต่อให้อ้อนแค่ไหน อีกคนก็กำราบลงได้ทุกยก ต่อให้มันเขินแค่ไหน มันก็ทำได้ แบบที่ผมแพ้ราบคาบอย่างไม่อาจต่อกร

แล้วแน่นอนว่า ยกนี้ก็เหมือนกัน

“ โอเคครับ ” ตอบได้แค่นั้น หลังจากนิ่งไปสักพัก ผมดึงตัวเองกลับมาคาดเข็มขัดนิรภัยพร้อมทั้งริมฝีปากที่เม้มเข้ากันแน่น อย่างที่อยากจะเปิดกระจกรถ แล้วตะโกนออกไปสุดเสียงว่า โคตรน่ารักเลยเว้ยเมียกู

แม้ว่าจริงๆ ผมจะไม่ใช่คนชอบของหวานเลย

แต่ตอนนี้ต้องยอมรับเลยว่า อยากกินของหวานมากครับ


.................................................................
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 37 :: up! 18-9-63} #หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 02-10-2020 20:20:07


“ มึง พนันกันมั้ย ” คนขับหันมาพูดกับผมด้วยแววตาแบบที่เห็นว่าเรื่องสนุกกำลังจะเกิดขึ้น

วันนี้เมี่ยงเป็นคนขับรถ ส่วนผมที่กลายเป็นคนนั่งข้างๆก็ทำหน้าที่วอแวมือมันบ้าง เกลี่ยแก้วมันบ้าง จนอีกฝ่ายหันมาทำทีเป็นจะงับด้วยความรำคาญอยู่หลายครั้ง

“ พนันอะไรครับ ” จิ้มแก้มคนขับที่ก็เอียงหน้าหลบ

“ ยุ่งกับแก้มกูอีกแล้วนะ ” ว่าแบบนั้นด้วยท่าทางเสียอารมณ์ ผมก็ถามย้ำแบบวกเข้าเรื่องเดิม “ แล้วตกลงยังไง จะพนันอะไร ”

“ มึงว่าไอ้เบสไอ้ดีนวันนี้ มันจะเขม่นกันมั้ย ”

“ ไม่ ” ตอบแบบมั่นใจ คนฟังก็หันมามองหน้าด้วยความงุนงง แบบที่ผมต้องยกยิ้ม

“ ทำไมมึงคิดงั้น ”

“ ความรู้สึกมันบอก ว่าคงไม่ทะเลาะกันหรอก แต่อาจจะมีกวนตีนกันเล็กๆละมั้ง ”

“ กูทายว่า มันจะไม่นั่งโต๊ะเดียวกันด้วยซ้ำ คนอย่างไอ้ดีน ต่อให้ไอ้เบสชวนมัน มันก็ไม่มานั่งหรอก มันเกลียดไอ้เบสจะตาย ”

“ เหรอ ” มองออกไปด้านหน้า หลังที่พิงกับเบาะผมยิ้ม “ ก็รู้อยู่ว่าคนเรามันไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรกันง่ายๆ แต่อย่าลืมว่า เราคนเมื่อวาน ต่างจากเราในวันนี้นะ ”

“ พูดอะไรของมึง ” ถามแบบขมวดคิ้ว หนำซ้ำยังบ่นเบาๆ “ เพ้อเจ้อ ถามแค่ว่าพนันกันมั้ย เลือกข้างไหน ก็พูดไปนู้น ”

“ งั้นก็ขอโทษนะครับ ที่ขัดคุณหนูน่ะ ” หันไปบอกมันอีกคนก็ส่ายหน้าไปมา

“ ดีมาก งั้นก็เข้าเรื่อง กูอยู่ฝ่ายไอ้สัดเบส ไอ้ดีนแยกโต๊ะ แต่ไม่รวมเรานะ กูว่ามันจะต้องออกมาในรูปแบบของ ดีนก็นั่งกับไอ้จุ้นไอ้โฮม ส่วนไอ้เบสก็นั่งกับไอ้เจ้ย ส่วนเราก็นั่งกันสองคน งุงิกันปายยยย ” ท้ายประโยคนั้นอีกคนดูร่าเริงขึ้นมากระทันหัน “ เช้านี้กินอะไรกันดี ข้าวมันไก่ทอดมั้ย หรือว่าโจ๊กดี ”

“ ให้กูพูดก่อนสิว่าเสือกข้างไหน ” หันไปหยิกแก้มมันอีกคนก็ทำหน้ายู่

“ อะๆ มึงคิดว่าไง ”

“ คิดว่าไอ้เบสไอ้ดีนนั่งด้วยกัน ” บอกแบบนั้นเมี่ยงก็ถึงขั้นแบะปาก ก็คงคิดแหละว่าทำไม ผมถึงทายไปอย่างงั้น แต่มันก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ แน่นอนอยู่แล้วว่าขึ้นชื่อว่าการพนัน ยังไงก็ต้องอยู่คนละข้าง ไม่งั้นก็คงไม่สนุก แต่ถึงอย่างงั้นมันก็ถามกันอีกครั้ง

“ มั่นใจนะ ”   

“ มั่นใจครับ ว่าแต่คนแพ้พนันต้องทำอะไรอะ ”

“ เลี้ยงข้าว ” คนที่ในสมองมีแต่เรื่องกิน แน่นอนว่ายังไงก็พ้นเรื่องกิน

“ น้อยไป หอมแก้มต่อหน้าเพื่อนดีมั้ย ถ้ามึงแพ้ กูหอมแก้มมึง แต่ถ้ากูแพ้ มึงหอมแก้มกู ” แววตาที่ดูเหมือนจะสนใจของคนขับ ก่อนมันจะขมวดคิ้วเล็กน้อยในตอนที่คิดทบทวนอย่างดี “ เดี๋ยวนะ ”

“ ทำไม ไม่โอเคเหรอ เพิ่มหลายฟอดก็ไม่ได้นะ ”

“ ไม่สิ คือเดี๋ยวนะ กูหอมแก้มมึงถ้ามึงชนะ แล้วมึงก็หอมกูถ้ากูแพ้ มันไม่มีอะไรที่กูได้เปรียบเลยนะไอ้สัด ”

“ ก็เมี่ยงหอมแก้มอาร์มต่อหน้าเพื่อน ไม่ได้เปรียบเหรอครับ ”

“ ไม่ได้เปรียบเลยไอ้สัด ” มันพูดเสียงดัง ก่อนจะโวยวายคาดโทษกัน “ หน้าเหี้ย เลวมาก ดีนะ กูไหวตัวทัน ”

“ เสียใจจัง ” ทำหน้าเศร้าใส่อีกคนอ้อนๆ เมี่ยงมันก็ยิ่งส่ายหน้าไปมา

“ จิ๊ๆ ร้ายมากนะผัวกู ”

“ แล้วตกลงจะเอายังไง จะถึงแล้วนะครับ รีบคิดเร็ว ”

“ ให้มึงเลี้ยงโอมากาเสะกู ถ้ากูชนะ ”

“ แล้วถ้ากูชนะ กูหอมแก้มมึงนะ ”

“ ไม่เอาๆ ” คนชวนพนันในตอนต้นส่ายหน้าแบบชนิดที่หัวสั่นดุ๊กดิ๊กในตอนนี้ ก็คงจินตนาการถึงผู้คนมากมายที่ก็คงหันมาหามันในตอนที่เราหอมแก้มกันจนสีหน้านั้นแดงจัด “ กูอายเค้าไอ้บ้า ถ้ามึงชนะ กูจะเลี้ยงข้าวมึง ตกลงมั้ย อยากกินอะไรก็เลือกมาได้เลย ”

“ ไม่ได้อยากกินอะ ขอเป็นของหวานแทนได้มั้ย ” เหลือบมองคนที่มองกันแบบจับไต๋ได้ตั้งแต่ประโยคแรกที่พูด “ ของหวานแบบเมื่อคืน ”

“ ร้ายมากนะ ” เสียงเรียบๆที่เอ่ยบอกกัน แต่ผมก็แค่ยักคิ้วตอบกลับไป

“ กล้าพนันมั้ยละ ”

“ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่ถ้ากูชนะ ขอโอมากาเสะ ร้านที่แพงที่สุด ”

“ งั้นถ้ากูชนะ กูขอเสือกสถานที่เอง ”

“ มึงจะเอ้าดอร์เหรอ!! ไม่ได้นะ ถึงความรักจะไม่ใช่เรื่องบนเตียงไประเบียงบ้างก็ได้ แต่กูไม่ชอบระเบียงนะ ถ้ามีคนมองมาจะทำยังไง กูอาย ”

“ ใจเย็น ใจเย็นนะ ” เอื้อมมือไปจับมือของอีกคนที่กำอยู่ตรงพวงมาลัย เมี่ยงเถียงชนิดที่หน้าแดงไปหมด “ ไม่ระเบียงแน่นอน กูก็ไม่ชอบโชว์เมียกูให้ใครได้เห็นเหมือนกัน โอเค๊ ? ”

“ โอเค ” ตอบเสียงเบาๆอย่างโล่งใจ ผมก็ถามย้ำ

“ ตกลงก็ตามนี้นะ ”

“ อื้ม ” เมี่ยงที่พยักหน้ารับ ในตอนนั้นเรามาถึงมหาลัยพอดี   

ลานจอดตรงชั้นล่างที่ว่าง เราไม่ปล่อยให้โอกาสนี้เสียไป แต่ทว่าตอนที่กำลังจะลงจากรถ ร่างขาวก็หันมามองก่อนจะยื่นนิ้วก้อยมาให้ “ มาทำสัญญากัน ”

“ สัญญาครับ ” เกี่ยวนิ้วก้อยขาวเล็กๆนั่นด้วยรอยยิ้มกว้าง ผมยักคิ้วให้มันที่ก็จ้องผมแบบตาเขม็งอย่างมั่นใจ แน่นอนว่าไม่ต่างจากไอ้แก้มหอมสักเท่าไหร่ เมี่ยงมันย้ำ

“ ต้องไปหาร้านไว้แล้วสินะ ร้านไหนดีน้า ”

“ ครับ กูก็จะคิดไว้เหมือนกัน ว่ามุมไหนของบ้านดี ” 

คนอารมณ์ดีที่เดินอยู่ข้างกัน ฮัมเพลงอยู่ในใจแบบชนิดที่ดูออกทั้งหมดว่ามั่นใจมากแค่ไหนสำหรับการแข่งพนันในครั้งนี้ เมี่ยงมันยิ้มกว้าง ท่าทางใจลอยแบบที่กลืนน้ำครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะคงคิดถึงอาหารแสนอร่อยที่ฝัน

“ แล้วเช้านี้กินอะไรกันดีครับ ” เอื้อมมือไปกอดคอ เมี่ยงเองก็เงยหน้ามาหาผมแบบที่แววตาเป็นประกาย แน่นอนว่ามันคงคิดมาแล้ว ตั้งแต่ตื่นนอน และก็คงถามผมไปแบบนั้น สำหรับเมื่อครู่ที่ผ่านมา

“ อยากกินโจ๊กหมู กับขนมขาไก่ มึงเคยกินมั้ย ”

“ ไม่เคย เคยกินแต่กับปาท่องโก๋ ”

“ เออ อันนั้นก็อร่อย เพราะงั้นมึงต้องลองกับขนมขาไก่ ” กระพริบตาให้กัน หนำซ้ำยังชี้นิ้วใส่แบบที่เชิญชวน

“ แต่มันโคตรอ้วนเลยไม่ใช่เหรอวะ ”

“ อาร์ม แม่มึงไม่สอนเหรอ ว่าห้ามพูดแบบนี้ก่อนที่จะกินข้าว ”

“ นึกว่าจะเป็นสโลแกนประมาณว่า ถ้าของอร่อยไม่ว่าอะไรก็ศูนย์แคล ” เมี่ยงยิ้มกว้างในตอนที่ได้ยินอย่างงั้น มันยักไหล่

“ สโลแกนนั้นมันแน่นอนอยู่แล้วละน่า ”


โรงอาหารให้เช้าวันนี้ ผู้คนดูบางตามากกว่าปกติ  แต่ถึงอย่างงั้นเราก็ยังกวาดสายตาหาเพื่อนที่คิดว่าน่าจะมาก่อนแล้วอย่างเช่นทุกที และในตอนนั้นผมก็เห็นพอดี เพื่อนกลุ่มเดียวกับเมี่ยง ไอ้เจ้ยมันนั่งอยู่ตรงนั้น

“ นั่นไอ้เจ้ย ” ผมบอกเมี่ยงมันก็หันไปมองตามเสียงพูด และก็เช่นเดิมในทุกวัน เมนูที่มันกินในตอนเช้าก็คือขนมปังปิ้ง อย่างที่ก็เคยสงสัยเหมือนกันว่าไม่เบื่อบ้างเลยเหรอวะ

“ ขนมปังปิ้งอีกแล้วเหรอวะ ”

“ ช่างหัวกูเถอะน่า ” คนโดนทักบอกปัด “ พวกมึงไปหาข้าวกินเถอะไป ไอ้ดีนไอ้เบสมานู้นแล้วอะ ” ใบหน้าที่เชิดไปตรงทางเข้า ทำเอาคนตัวขาวเบิกตาขึ้นด้วยความสนใจ แล้วแน่นอนว่าอะไรแบบนั้นก็ยิ่งทำให้คนเดินเข้ามาใหม่ถึงกับชะงัก โดนเฉพาะไอ้ดีน

“ แล้วไปจ้องอะไรมันขนาดนั้นวะ ” เจ้ยมันถาม อีกคนก็เบิกตาตามปกติที่เวลามีคนจับได้ แบบชนิดที่โกหกใครไม่เก่ง เมี่ยงมันส่ายหน้าไปมา

“ ไม่มี ”

“ ใครจะเชื่อ เสียงสูงขนาดนั้น ” ผมพูดเสียงเบาก่อนจะก้มลงไปกระซิบ “ อยากให้เพื่อนมึงรู้เรื่องพนันหรือไง ”

“ ก็กูโกหกใครไม่เก่ง ” เมี่ยงบอกแบบนั้นเบาๆ สายตาของมันเหลือบไปมองไอ้เบสไอ้ดีนที่ตอนนี้เดินมาหยุดอยู่ที่โต๊ะเหมือนเรา

“ ไง ” เบสมันทักเราแบบชนิดที่ยกยิ้มด้วยสายตาล้อๆ “ หวานกันตั้งแต่ลานจอดเลยนะพวกมึง ”

“ เห็นด้วยเหรอวะ ” เมี่ยงถามแบบงงๆ

“ พวกกูจอดรถอยู่ข้างหลังรถมึง แต่พวกมึงคงจะไม่เห็นหรอก ”

“ ตั้งแต่มันคบกัน มันก็ไม่เห็นใครอยู่ในโลกของพวกมันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอวะ ” เจ้ยมันพูดเสริมแต่เหมือนคนโดนพาดพิงจะแค่ยิ้มแห้ง แน่นอนว่าเถียงไม่ออกตามระเบียบ “แล้วทำไมพวกมึงเดินมาด้วยกันวะ ไม่ร้อนเหรอ อยู่ใกล้กันอะ”

“ ร้อนสิ ยังกับนรก ” เสียงตอบเรียบๆของดีน มันหันไปยกยิ้มให้คนข้างๆที่ก็ยกยิ้มขึ้นมาไม่ต่างกัน แต่ไอ้เบสก็แค่พยักรับยิ้มๆแบบจำยอม

“ ครับๆ ไม่มีเหี้ยอะไรดีสักอย่างแหละกูน่ะ โดดเรียนไปหา ตามใจทุกอย่างยังไม่ดีเลย ”

“ ห๊ะ ? ” เมี่ยงที่เอียงหน้าถามงงๆ ในตอนนั้น แต่เหมือนว่าทั้งคู่จะไม่ได้ตอบอะไร หนำซ้ำไอ้ดีนยังเดินออกไปแบบชนิดที่ไม่สนใจจะตอบอะไรสักคำ จนร่างขาวต้องหันมาถามผม “ มันหมายความว่าไงนะเมื่อกี้ ”

“ หมายความว่ามึงแพ้พนันกูไงครับ ” ก้มลงกระซิบบอกกมัน เมี่ยงมันก็ทำได้แต่นิ่ง พร้อมกับปากที่กำลังจะอ้าเถียง “ ไอ้เบส ไอ้ดีนมามหาลัยด้วยกัน เหนือชั้นกว่าการนั่งกินข้าวโต๊ะเดียวกันอีกเนอะ ว่ามั้ยครับ ”

“ ไอ้สัด ” พอเถียงไม่ได้ก็เริ่มหยาบโลน มันส่ายหน้าไปมาอย่างไม่ยอมรับ “ ไม่สิ ไม่หรอก มันเข้าใจคำถามผิดเปล่า ” นิ้วเล็กชี้ไปที่คนสองคนนั้น เมี่ยงที่ยังคงดูงง จนต้องเดินตามออกไป และทั้งๆที่ปากบอกกว่าจะกินโจ๊ก แต่ร้านที่มันไปยืนต่อแถว คือข้าวมันไกทอดที่ไอ้สองคนนั้นยืนอยู่

“ ไหนบอกว่าจะกินโจ๊ก ”

“ ฉู่วววววววววววววววววว ” มาทั้งเสียงทั้งมือที่ยื่นมาปิดปากผม ท่าทางเลิ่กลั่กของมันชวนให้ไอ้ดีนหันมามอง

“ พวกมึงจะกินด้วยเหรอวะ ”

“ เปล่า ” ตอบออกไปยิ้มๆ ก่อนจะดึงเจ้าตัวทำแผนเสียให้ออกมาจากตรงนั้น แล้วมาต่อคิวร้านขายโจ๊กแทน แต่เหมือนว่าคนโดนลากจะไม่เข้าใจ

“ มึง ดึงกูออกมาทำไม กูจะฟังว่ามันคุยอะไรกัน ”

“ แล้วจะฟังทำไม ขี้เสือกเหรอมึงน่ะ ”

“ ไม่ได้เสือก ” สีหน้าจริงจังเถียงออกมา มันที่เหลือบมองคนสองคนข้างๆ เหมือนว่ายังติดใจ “ แต่มันเป็นไปไม่ได้ไง เนี้ย มึงไม่เห็นเหรอ มันยืนอยู่ด้วยกันเลยนะ มึง มันไม่เคยยืนอยู่ใกล้กันขนาดนี้แล้วไม่ทะเลาะกัน ”

“ กูรู้ ” ผมบอก “ แต่ก็เพราะมันไม่เป็นไปไม่ได้ไง แล้วแบบนี้มึงยังจะสงสัยอะไรอีก ” คำถามของผมทำให้อีกคนนิ่งก็จริง แต่เมี่ยงก็ยังหันไปมองพวกนั้น มันขมวดคิ้ว

“ แล้วมึงไม่สงสัยเหรอ ”

แล้วคราวนี้ดูเหมือนว่าผม จะต้องนิ่งบ้าง

“ ทำไมมึงดูไม่สงสัยเลยละ หรือว่ามึงรู้ ว่ามันดีกันอยู่ก่อนแล้ว ”

“ ใครจะไปรู้ ” ผมบอกปัด

“ แล้วทำไมพวกมึงดูไม่แปลกใจเลย แบบ เอ๊ะ ให้แรงกว่านี้ อย่างน้อยก็เอ๊ะ ให้เท่ากูเนี้ยไอ้สัด ”

“ บางทีไอ้เจ้ยมันอาจจะสงสัยกว่ามึงก็ได้ ” ผมเชิดหน้าไปที่อีกคนที่นั่งกินขนมปังอยู่ที่โต๊ะ แน่นอนว่ามันก็มองอยู่ และมองแบบชนิดที่เรียกว่า มองแบบไม่วางตาเลยด้วยซ้ำกับคนสองคนที่กำลังคุยกับ ยิ้มให้กัน ทั้งๆที่ปกติ มันเข้าใกล้กันไม่ได้ด้วยซ้ำ “ แต่ที่มันไม่พูด เพราะมันไม่อยากเสียบรรยากาศมากกว่า มึงน่ะไม่รู้เรื่อง ”

“ เหรอ ที่มึงไม่พูด ก็เพราะไม่อยากจะให้เสียบรรยากาศเหรอ ”

“ ใช่น่ะสิ ใครจะไปเหมือนมึง เก็บเป็นมั้ยครับคุณ อาการเนี้ย ”

“ หึยยยยยยย ” คนโดนว่ากัดฟันกรอด ก่อนจะหันไปมองเพื่อนตัวเองกับอดีตอริ “ แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีอะ ว่าทำไมมันถึงหันหน้าเข้ามาหากันได้วะ มันทะเลาะกันมาตลอดเลยนะ เห็นหน้ากันไม่ได้เลยนะ ”

‘ ไว้กูจะเล่าให้ฟัง ’ ประโยคนั้นผุดขึ้นจากหัวผม แต่เหมือนว่าถ้าบอกก็คงอดของหวานที่พนันอย่างแน่นอน เมี่ยงคงบอกว่า ทุกอย่างยกเลิก เพราะมึงรู้อยู่แล้วว่ามันดีกันแล้ว และแบบนั้นผมก็เลยได้แค่ตอบออกไปสั้นๆ “ ไม่รู้สิ ”

“ กูว่าเรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำ ” ท่าทางที่คิดไม่ตกของคนไม่ยอมแพ้ ผมเชิดหน้าไปที่ร้านขายโจ๊ก

“ ตกลงจะคิดหรือจะแดก ”

“ แดกสิ แหมม ” ว่าแบบนั้นเมี่ยงก็จิ๊ปากพลางสะบัดความคิดออกไปจากหัว ผมได้ยินเสียงมันเดินไปสั่งโจ๊กสองถ้วย พร้อมกับเสียงของไอ้ดีนที่หัวเสียกับน้ำซุปกระดูกที่ป้าคนขายยื่นให้มัน แต่โดนไอ้เบสชิงไปก่อน

“ โอ้ย ไอ้สัดนี่ หน้าเหี้ยจริง แย่งของกูอีกแล้วนะ ”

“ ฮ่าๆ ” เสียงหัวเราะที่ได้ยิน ก็ยังดูยียวนเหมือนเก่านั่นแหละ แต่ผมกลับเห็นมันยิ้มในตอนที่โดนแกล้ง ต่างจากตอนนั้นที่มันนั่งหงุดหงิดเป็นวันๆ

“ ท่าทางว่าจะมีเรื่องเซอร์ไพร์สกว่านี้แน่ๆ ” แล้วบางทีก็อาจจะมาเร็วแบบไม่ทันตั้งตัวก็ได้

“ ยืนเหม่ออะไรของมึง ได้แล้วเนี้ย ” คนข้างกันก้มหน้าลงใส่โจ๊กที่วางอยู่ตรงถาดที่ใส่ “ เดี๋ยวกูก็ใส่น้ำตาลลงไปให้สักร้อยช้อนเลยดีมั้ย  ”

“ คิดว่ากลัวอ๋อ ปกติแฟนกูหวานกว่าน้ำตาลร้อยช้อนอีก ”

“ หึยยย ขนลุก ” พูดแบบนั้นก่อนจะเดินเอาถ้วยโจ๊กนำออกไป ผมก็ได้แต่เดินตามไปหยุดอยู่ที่หยิบช้อน และแน่นอนว่า คงจะไม่ยอมปล่อยให้ช่วงเวลานั้นหายไป

“ แล้วอย่าลืมซะละ ” ก้มลงกระซิบข้างหูมัน อีกคนก็ยืนลวดช้อนอยู่ก็เอียงหน้ามามอง “ เพราะคุณแฟนแพ้พนันผมนี่ครับ ” เชิดหน้าไปตรงที่โต๊ะในโรงอาหารที่ตอนนี้ไอ้เบสไอ้ดีนนั่งตรงข้ามกันแล้วก็คุยกันอยู่ ไม่นับท่าทางไอ้เจ้ยที่ก็สนใจสุดๆแบบชนิดที่ มือถือตรงหน้ายังไม่สามารถดึงดูดมันได้

แต่ตอนนั้นเมี่ยงมันก็แค่ถอนหายใจ

“ แม่ง ฝากไว้ก่อนเถอะ ”

“ ครับ ” เพราะแน่นอนว่า ถ้าพนันอะไรแบบนี้ได้ ก็ขอยอมเสี่ยงกระเป๋าฉีกในทุกเกมส์

“ หมั่นไส้ในรอยยิ้มของมึงสัดๆอยากจะเอาโจ๊กราดหน้า แต่คิดอีกที เออ ก็ผัวกูเนอะ เลยจะยั้งมือไว้  แต่จำไว้นะ ”

“ ครับ ? ” ผมตอบยิ้มๆ

“ วันพระไม่ได้มีหนเดียว ”

“ แต่ก่อนอื่นเมี่ยงก็ จ่ายค่าพนันรอบนี้มาก่อนแหละเนอะ ”

“ หึยยยยยยยย ” ใบหน้าที่แม้ขนาดยู่หน้าขัดใจยังน่ารักนั้น ผมเผลอหลุดหัวเราะเสียงดังชนิดที่เรียกลั่นโรงอาหาร “ สีหน้ามีความสุขของมึงนี่แม่ง น่าหงุดหงิดจริงๆเลยนะไอ้หน้าสัด ”

ดูเหมือนว่า ลูกแมวขนฟูของผม จะขู่ไม่หยุดแล้วครับตอนนี้

......................................................


หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 37 :: up! 18-9-63} #หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 02-10-2020 20:21:07


สภาพโรยแรงของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ตอนเย็นวันนี้ กลายเป็นว่าหลังเลิกเรียนผมต้องเป็นคนขับรถแทน ส่วนคนที่ไม่ได้ขับ เอนเบาะเลื้อยไปมากับหมอนติดรถ ที่ก็เอามากอดแก้ขัดเพราะไม่ชอบให้มือมันอยู่ว่างๆ

“ เออ วันนี้พี่ที่คอนโดส่งข้อความมา ”

“ ว่า ” หันไปถามคนที่เหมือนอยู่ๆจะนึกขึ้นมาได้ เมี่ยงเบียดแก้มจลงกับหมอนก่อนจะหันมาบอกผม

“ คือเราย้ายออกก่อนสิ้นเดือนใช่มั้ย คราวนี้เค้าก็เลยอยากจะให้เราไปเช็คในห้องอีกที ก่อนที่เค้าจะมาเช็ค แล้วก็ปล่อยเช่าต่อ ”

“ โอเค งั้นไปเลยมั้ย หรือจะกลับไปเก็บของที่ห้องก่อน ”

“ กลับไปเก็บของที่ห้องก่อน ” ตัดสินใจได้อย่างงั้น ก็ทำตามที่วางแผน

เราเดินขึ้นไปบนห้อง แบบที่จับมือกันแล้วแกว่งไปมาตามประสา แต่วินาทีที่เปิดประตูเข้าไป เสียงใสของคนที่ยืนอยู่ข้างๆก็ตะโกนออกเหมือนทุกครั้ง

“ เมี่ยงกลับมาแล้วจ้า เด็กๆที่แสนจะน่ารักทั้งสองตัวววววววววววววววววววววววว ” ลากเสียงยาวไปแบบที่ผมต้องหันไปมองห้องข้างๆ ว่ามีใครเปิดประตูออกมาเพราะความตกใจมั้ย ก่อนจะดันหลังร่างขาวให้เข้าไป และผมเองก็ต้องรีบปิดประตู “ แม่ง เฉยเมย ”

เหลือบมองภาพที่ทำให้อีกคนบ่นออกมาอย่างงั้น แน่นอนว่า แมวสองตัวของเรากำลังนอนอยู่บนโซฟาไม่ได้สนใจอะไรสักเท่าไหร่เหมือนทุกที แม้แต่แมวเจ้าตัวอย่างไอ้นายท่าน มันก็ยังแค่นั่งเลียขนตัวเองหน่ายๆอยู่อย่างงั้น

“ ดูท่าทางรักพี่เมี่ยงมากเลยแต่ละตัว ”

“ ก็ไม่เห็นว่ามันจะเดินมาหามึงเหมือนกันนั่นแหละ ” เด็กน้อยที่เหมือนจะไม่ยอมอะไรทั้งนั้น เมี่ยงหันมาบอกผมก่อนจะยิ้มเยาะ

“ แก้มหอมขา มาป๊านี่มา ”

“ ม๊าวววว ” เจ้าก้อนขนเดินต้วมเตี้ยมเข้ามาตามเสียงเรียก ก่อนจะยืดตัวบิดขี้เกียจระหว่างทางแบบที่เล่นตัวกันในทุกครั้ง

“ แก้มหอมขา มาเร็วครับ มาหาป๊า ” เรียกซ้ำอีกคนเจ้าตัวน่ารักก็เดินเข้ามาหากันแบบที่ก็คลอเคลียตรงขา จนผมต้องก้มลงไปอุ้ม แล้วก็หอมไปเต็มฟอดแบบแสนรัก ก่อนจะเหลือบมองคนข้างกันที่มองอยู่ และแน่นอน ผมไม่มีทางลืมคำพูดบาดใจ “ ผิดกันเลยเนอะ ดูสิ ”

“ หนอยยยยยยยยยย นายท่านมึงยอมได้เหรอ ลุกขึ้นมาเลย นายท่าน!! ” ตะโกนออกไปด้วยความเกรี้ยวกราด แต่เหมือนอีกตัวจะแค่หันมามอง อ้าปากหาว แล้วก็พลิกตัวนอนเหยียดตามความยาวของโซฟาตัวที่นั่ง แบบที่ถ้าพูดได้ก็คงบอกกันว่า ‘ เป็นอะไรของมึงอะเมี่ยง ไร้สาระ ’

“ เหมือนมันจะบอกว่ามึงแม่ง โคตรไร้สาระ ”

“ คิดเหมือนกัน ” เสียงเรียบๆของคนที่ยอมแพ้ตอบ ก่อนจะมันจะหันมามองไอ้ก้อนขนของผมแทน เมี่ยงเอื้อมมือมาขยี้หัวไอ้ตัวยุ่ง “ อ้วน!! น่ารักนักนะ เดี๋ยวเถอะ ”

“ เมี๊ยว ” ไม่เพียงแต่ส่งเสียงร้อง แก้มหอมยังดึงตัวเองขึ้นคลอเคลียผมแบบแสนรัก แต่ตอนนั้นเมี่ยงมันก็แค่นิ่ง ก่อนจะพูดออกมาเบาๆ

“ เหมือนมันกำลังบอกกูเลย ”

“ หื้ม ? ” เอียงหน้าสงสัย อีกคนก็ยิ้มแห้งๆแบบขยายความ

“ ก็เหมือนไอ้แก้มหอมมันกำลังบอกกู ‘ ป๊าเป็นของของหนู พี่เมี่ยงน่ะ กล้าจะทำอะไรแบบนี้หรือเปล่าคะ ’ ”

“ ฮ่าๆ ” หลุดหัวเราะออกมากับความคิดนั้น ผมเอียงหน้าลงถูเบาๆกับขนนุ่มๆนั้น แต่เหมือนร่างขาวเองจะยิ่งหงุดหงิดกับท่าทางอย่างงั้น

“ ใช่สิ กูแม่งก็แค่เมียน้อยแมว ”

อยากจะมันเหมือนกัน  ว่าไม่ใช่หรอก

แต่ในช่วงเวลาแบบนี้
ถ้าบอกว่าเป็นแม่ไอ้แก้มหอม รับรองว่ายั๊วะกว่าเดิมแน่

ห้องเก่าของเราอยู่ต่ำกว่าชั้นที่อยู่ปัจจุบันประมานห้าชั้น เป็นห้องแรกที่ผมย้ายมาอยู่ตอนที่ตัดสินใจอยู่คนเดียว เพราะเหนื่อยกับการขับรถไปกลับบ้านที่ก็ค่อนข้างไกลในความรู้สึก แต่เหตุผลหลักจริงๆตอนนั้น ก็แค่อยากจะมีเวลาอยู่ด้วยกันกับคนที่ตัวเองรักแบบสองต่อสอง ในพื้นที่ที่วาดฝันเอาไว้ว่า คงไม่มีใครมาล่วงรู้ความลับของเรา

แต่ทว่าวันนึง โลกได้เหวี่ยงคนที่รู้สึกเกลียดขี้หน้าตั้งแต่เจอครั้งแรก ให้ได้มาเป็นเพื่อนบ้านกัน  อย่างไม่ทันตั้งตัว ราวกับว่า เป็นพรหมลิขิต

“ มึงไปเช็คห้องมึงนะ กูจะไปเช็คห้องกู โอเคม่ะ ”

“ โอเคครับ ”

ก้าวเท้าออกจากลิฟต์ เราเดินตรงมาแค่นิดหน่อยก็ถึงหน้าห้องเก่า บานประตูสีน้ำตาลเข้ม เลขห้องที่ต่างกันแค่เลขหลัง ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องตัวเองพร้อมกับเมี่ยง เราปิดประตูลงแบบห้องใครห้องมัน

ผมถอนหายใจออกมาในตอนนั้นที่มองไปรอบๆอย่างละเอียด เริ่มต้นตั้งแต่ส่วนครัว ที่ก็เปิดลิ้นชักทุกตู้ ก่อนจะถัดมาเป็นห้องนอน  ห้องนั่งเล่นส่วนกลาง จนครบ จริงๆก็ไม่ต้องเข้ามาเช็คหรอก ผมมั่นใจว่ามันไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่อีก ตั้งแต่ย้ายออกแล้ว

“ โอเค ” พูดกับตัวเองสั้นๆ หลังจากที่ไม่พบอะไร ยกเว้นฝุ่นที่ก็หลงเหลืออยู่บ้าง ตามประสาของสิ่งของที่ผ่านการใช้งาน

“ ฮัลโหลลลลล พ่อหนุ่มห้องข้างๆ ทำอะไรอยู่ละจ้ะ ” หลุดยิ้มออกมาในตอนที่หันไปตามเสียงที่มาจากระเบียง อย่างที่ไม่ต้องเดาเลยว่าเป็นใครกัน

“ ว่างเหรอครับคุณข้างห้องน่ะ ” เปิดประตูระเบียงแล้วเอียงหน้ามองคนเรียกที่ตอนนี้มายืนมายิ้มแฉ่งให้กันแบบที่ขอให้ได้แกล้งผมก็เหมือนจะมีความสุขที่สุดแล้ว

“ ไม่ว่างแต่คิดถึงแฟนแล้วง่ะ ห่างกันถึงสิบนาทียัง ”

“ ยัง ”

“ แต่อยากบอกให้รู้ว่า เวลาไม่สำคัญสำหรับเรานะ เพราะกูน่ะ คิดถึงมึงตลอดเวลาอยู่แล้วละ ปิ๊วๆ ” นิ้วเล็กประกอบท่ายิงส่งมาให้แบบที่ต้องรับมุกด้วยการเอามือจับหัวใจเบาๆ เหมือนโดนเข้าให้แล้ว กระสุนที่น่ารักนัดนั้น

“ มึงเช็คห้องเสร็จยัง ”

“ เหลือห้องนอน มึงอะเสร็จยัง ”

“ เสร็จแล้ว ” ตอบออกไปผ่านระเบียง คนฟังก็เบิดตาขึ้นเหมือนไม่ค่อยชื่อสักเท่าไหร่

“ เช็คให้ดีนะพี่อาร์ม ของหายไปน้องเมี่ยงไม่รู้ด้วยน้า ”

“ มึงอะเช็คให้ดี ” ผมสวนกลับอีกคนก็ยู่หน้าใส่ เมี่ยงเดินกลับเข้าไปในห้อง ผมก็ได้แต่หลุดยิ้ม

เผลอนึกถึงตอนคาบเช้าที่มีเรียน ระหว่างการสอนที่น่าเบื่อ อยู่ๆไอ้โฮมมันก็หันมาหาผม หลังจากที่เหล่เห็นหน้าจอมือถือที่เป็นภาพของเมี่ยงกำลังยิ้มกว้างจนตาปิด สองมือขาวอุ้มไอ้ตัวแสบที่ก็ทำหน้าหงุดหงิด เป็นภาพที่ผมขำทุกครั้งที่เห็น ก็เลยเอามาตั้งไว้ตรงหน้าจอ

‘ เอาจริงๆ กูไม่คิดเลยนะ ว่ามึงกับไอ้เมี่ยงจะมาถึงขั้นนี้ได้ ’ คนพูดยกยิ้มไม่ต่างอะไรกับผม แน่นอนว่าคิดแบบนั้นเหมือนกัน ผมก็ไม่คิดหรอก ว่าเราจะมาถึงจุดนี้ได้ ‘ จากคนเกลียดขี้หน้ากัน ชนิดที่มองหน้าแทบไม่ติด เพราะจะพุ่งตีนเข้าใส่กันตลอด สู่คู่รักที่แทบจะห่างกันไม่ได้ ’

‘ ก็ทำไงได้วะ ตอนนั้นลูกกูชอบลูกเค้า กูเป็นพ่อที่ดี ก็มีแต่ต้องตามใจลูกนั่นแหละ ’

‘ ขอบคุณแก้มหอมยังล่ะ ที่ทำให้พ่ออย่างมึงได้เมียอะ ’

‘ เออ คงต้องขอบคุณแก้มหอมจริงๆ ’

ขอบคุณที่เดินมาร้องเมี๊ยวๆ อยู่นอกระเบียงตรงนี้ จนเส้นขนานที่มันดูเป็นไปไม่ได้ของเรา มันได้บรรจบกัน

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูชวนให้ผมหันไปมอง ขาที่เดินออกจากระเบียงผมปิดล็อคมัน ไม่ลืมปิดม่าน แล้วมองดูโดยรอบอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ ก่อนจะเดินตรงไปเปิดประตูที่คนมาเคาะก็ไม่ใช่ใครที่ไหน

อดีตคนข้างห้อง ที่ค่อยๆน่ารักขึ้นในทุกวัน และดูเหมือนว่าตอนนี้ จะกำลังยึดครองพื้นที่ทุกซอกทุกมุมของหัวใจผมไปหมด

“ กลับบ้านเรากัน ” ประโยคสั้นๆที่เมี่ยงเอ่ยบอก ผมยิ้มกว้างออกมาแบบที่ไม่ได้พูดอะไร

แน่นอน มันมีความหมายในตัวของมันอยู่แล้ว

ในตอนนั้น ผมประตูห้องถูกปิดลง และล็อคมัน ห้องที่เคยเงียบเหงา และว่างเปล่านั้น ต่อไปนี้คงไม่มีแล้ว ความรู้สึกเศร้า หรือแม้แต่หนาวเหน็บ ก็คงเช่นกัน

“ แน่ใจนะ ว่าไม่ลืมอะไร ” คนตรงหน้าถามย้ำอีกครั้ง ตอนที่เราเดินถึงหน้าลิฟต์แต่ในตอนนั้นผมก็ทำเป็นคิดอย่างหนัก

“ เออ เหมือนจะลืมไปอย่างนึง ”

“ อะไร ” ถามออกมาอย่างไม่คิดสงสัย ผมยิ้ม

“ หัวใจกู อยู่ที่มึงมั้ย ”

“ แน่นอนสิ เหมือนหัวใจกูที่อยู่กับมึงนั่นแหละไอ้สัด ” แก้มขาวที่แดงจัด ผมก้มลงไปจูบริมฝีปากนั้น ที่เอื้อมมือมาคว้ามือผมแล้วกุมเอาไว้แน่น

“ กลับบ้านเรากัน ” ผมที่พูดย้ำคำที่ชอบนั้นออกไป เมี่ยงก็พยักหน้ารับ

“ อื้ม กลับกันเถอะ ”
กลับไปในพื้นที่ที่เป็นความสุขของเรา
กลับไปที่จุดเริ่มต้นใหม่ ที่ต่อจากนี้ จะไม่มีคำว่าเหงาและเดียวดาย
เพราะเรามีกันและกันอยู่

“ จะว่าไป กูยังไม่ได้เลี้ยงข้าวนายท่านกับแก้มหอมเลย ” เมี่ยงหันมาบอกกันในตอนที่เดินเข้าไปในลิฟต์

“ เลี้ยง ? ทำไม ปกติก็เลี้ยงอยู่แล้วไม่เหรอ ”

“ หมายถึงเลี้ยงของที่ดี แบบงานฉลองน่ะ ”

“ เนี่ยงในโอกาส ”

“ ขอบคุณที่ทำให้เราได้มาเจอกันไง ” ว่าแบบนั้นมือข้างที่กุมกันอยู่ก็กระชับแน่น “ กูละอยากจะเลี้ยงแบบจัดเต็มจริงๆเลยนะ ที่อุตส่าห์หารักดีๆแบบมึงมาให้ ”

“ เหมือนกัน ” ผมยิ้มรับ ก่อนจะก้มลงจูบอีกคน “ ขอบคุณที่หารักดีๆ แบบมึงมาให้เหมือนกัน ”

 “ ต่อไปถ้าใครถามว่ากูกับมึงรักกันได้ยังไงกูจะตอบ ว่ากูกับมึงน่ะโดนกามเทพแมวชื่อแก้มหอม  ร้องเมี๊ยวใส่ ”

“ เออ เป็นความคิดที่ดี ”

เราที่คิดไม่ต่างกันในตอนนั้น
ไขประตูเข้าไปในห้องใหม่ของเรา เพื่อเริ่มใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน นับจากนั้น

.........................................................................

และเรื่องราวน่ารัก ยังคงดำเนินต่อไป อย่างไม่มีขีดจำกัด
ติดตามได้ใน เล่ม .. ( ที่ก็ขายอยู่ในตอนถัดไป ซึ่งแน่นอนว่า ตอนพิเศษจุกใจหายห่วง )

ท้ายนี้ ขอขอบคุณสำหรับการติดตามมาตลอดนะคะ
ขอบคุณกำลังใจ คอมเม้นท์ แรงโดเนท ที่เป็นแรงผลักดัน เรื่องราวที่เราเหมือนจะถอดใจอยู่หลายครั้งให้จบลงอย่างสมบูรณ์แบบ

ความรักของอาร์เมี่ยงเป็นความรักที่น่ารักมากเลย เหมือนพบเจอได้ทั่วไป
มันไม่ได้พิเศษมาก แต่มันกลับดีมาก กับการได้เจอใครสักคนนึง
ในตอนนึง น้องเมี่ยงเคยพูดว่า เค้าอยากมีรักดี แล้วพี่อาร์มเองก็เหมือนจะรอรักดีๆนี้มาตลอด
แล้วเค้าสองคนก็พบกัน และหลังจากนั้นก็ทุ่มเทความรู้สึกให้และกันอย่างไม่มีหยุด

จบไปอีกเรื่องแล้ว

สุดท้ายนี้ เจอกันใหม่เรื่องหน้านะคะ

ขอบคุณสำหรับการติดตามมาเสมอค่ะ

หนมมี่ผู้ใสซื่อ

 
 :กอด1: :L2: :3123: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 38 :: up! 2-10-63} #หน้า 8 ( ตอนจบ )
เริ่มหัวข้อโดย: patwo ที่ 02-10-2020 20:41:33

ประกาศขายนิยาย °•*⁀➷=͟͟͞♡

(੭•̀ᴗ•̀)੭ ด้วยรักและปลาทู #นายท่านของแก้มหอม ꔛ

(https://scontent.furt2-1.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/120365114_3167104470054042_7345941548410296804_o.png?_nc_cat=108&_nc_sid=730e14&_nc_eui2=AeHegK1jEHFimCPc9GQhlTegCMCaDiZJ8skIwJoOJknyyWeGZsjOr44V-q0eNwLYIhiarYjPiwFMHeNm2CwAKplR&_nc_ohc=baPlsxkN9HMAX8Bt3Qc&_nc_ht=scontent.furt2-1.fna&oh=6df2ca933cba445b3248b47304e8ab27&oe=5F9C7AA4)

ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 2.10.62 – วันที่ 9.12.62

εїз รายละเอียดของหนังสือมีดังนี้

♡̶   ตอนหลัก 38 ตอน + ตอนพิเศษ 10 ตอน + ตอนพิเศษเฉพาะรอบพิมพ์เล่ม 2 ตอน
♡̶   รวมทั้งหมด  50 ตอน

⸝⸝⸝ หนังสือทั้งหมด 3 เล่มจบ ( จำนวน 1120 หน้าโดยประมาณอาจจะมากกว่านี้ )
แบ่งเป็น หนังสือตอนหลัก 2 เล่ม และตอนพิเศษอีก 1 เล่ม

⸝⸝⸝ ของแถม แบ่งเป็น 3 รอบนะคะ
•͜•♡  รอบตีพิมพ์ครั้งแรก
หนังสือทั้งหมด 50 ตอน + ปลอกสวม + photo card 2 ใบ + โปสการ์ดภาพหน้าปก 2 แผ่น + ที่คั่น 3 ชิ้น
•͜•♡  รอบตีพิมพ์ทั่วไป ( ในกรณีที่มีการรีบริ้นท์ )
หนังสือทั้งหมด 50 ตอน + ปลอกสวม + โปสการ์ดภาพหน้าปก 2 แผ่น + ที่คั่น 3 ชิ้น
•͜•♡  รอบ ebook
หนังสือ 48 ตอนจบ

ราคา 1250 รวมส่ง ems  ˓♡˒

 


꒰ รายละเอียดการสั่งจอง ꒱

1.   เมื่ออ่านรายละเอียดเรียบร้อบแล้ว ให้โอนเงินมาที่บัญชี
#พร้อมถ่ายสลิปหลักฐานการโอนเงินไว้ด้วยนะคะ

ชื่อบัญชี นางสาวอรชา ภูมิมาตร
ธนาคารไทยพานิชย์ สาขา บางจาก
เลขที่บัญชี 0892649044
**( ไม่ใช่เบอร์โทรศัพท์และไม่มีพร้อมเพย์ )
#สำคัญมาก " ถ่ายสลิปหลักฐานการโอนเงินเก็บไว้ด้วยนะคะ ”

2.   แจ้งโอนเงิน และกรอกข้อมูลด้านล่าง {. ด้านล่าง.   }
https://forms.gle/iqwANGcLchLQpy4B7

3.   อัพเดทการแจ้งโอนในภายใน 3 วัน

 ถ้าหากไม่มีชื่อขึ้นในฟอร์มภายใน 3 วัน
กรุณาติดต่อที่ DM twitter : @realkanom หรือ กล่องข้อความ facebook : หนมมี่ผู้ใสซื่อ
 
❝  หนังสือเล่มนี้สามารถ โอนเงินและกรอกรายละเอียดได้เลย เป็นการพรีออเดอร์ ที่ซึ่งเมื่อหมดเขตการจองเมื่อไหร่ หนังสือจะถูกส่งไปที่โรงพิมพ์ และหลังจากนั้น จะใช้เวลาในการตีพิมพ์ประมาณ 2 อาทิตย์ ซึ่งรายละเอียดในส่วนนั้น ทางเราจะอัพเดทความคืบหน้าให้ทราบเป็นระยะค่ะ ❞

❝ เพราะการเปิดจอง ติดกับงานหนังสือพอดี หนมจึงยกเลิกของแถมสำหรับรอบ 50 หรือ 80 คนแรกไปค่ะ เนื่องด้วยสภาพการเงินของทุกคน อาจจะค่อนข้างบีบรัด เราเลยจะแถมให้กับทุกคนในรอบพิมพ์แรกนี้เลยค่ะ ❞


ขอขอบคุณสำหรับการติดตาม และสนับสนุนมาโดยตลอด

หนมมี่ผู้ใสซื่อ
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 38 :: up! 2-10-63} #หน้า 8 ( ตอนจบ )
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 02-10-2020 21:43:17
 :L2: :L2: :pig4:   ยินดีด้วย มีความสุขกันให้มาก ๆ นะเด็ก ๆ
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 38 :: up! 2-10-63} #หน้า 8 ( ตอนจบ )
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 02-10-2020 23:08:20
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 38 :: up! 2-10-63} #หน้า 8 ( ตอนจบ )
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 03-10-2020 21:43:30
เป็นอะไรที่แบบ  :-[ อ่านแล้วเบาหวานจะขึ้น ทั้งหวานทั้งเลี่ยน หยอดเก่งละเกิ๊น 5555  :กอด1: จบแฮปปี้~~~~ไม่มีอะไรมาขวางกั้นเราได้อีกแล้ว ทั้งคนทั้งแมว น่าร๊ากกก หลังจากนี้คือใช้ชีวิตคู่ชิคๆ ตามอ่านกันมาอย่างยาวนาน กว่าจะได้รักกันเข้าใจกันดี ก็เหนื่อยเหมือนกันนะ 5555 ขอบคุณที่แต่งและมาอัพสม่ำเสมอจนจบ สนุกกมากกก ชอบเลย รอผลงานหน้านะคะ  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 38 :: up! 2-10-63} #หน้า 8 ( ตอนจบ )
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 09-10-2020 06:19:57
จบแล้ววว :mew2:
ขอบคุณมากนะคะ สำหรับนิยายที่มีโมเมนท์น่ารักให้ชื่นใจ
มีโมเมนท์บ้าบอ งี่เง่า ให้เอ็นดู และมีอะไรให้คิดตาม

เอ็นดูความเมี่ยงมากค่ะ และอยากรู้สถานที่ที่อาร์มเลือกมาก
ต่างคนต่างได้รักจริงกันสักที หลังจากที่มีน้ำตามาหลายรอบ
ได้รู้ความจริงว่าคบอริ แต่ความเป็นเพื่อนก็ไม่ซา

ลุ้นเบสดีนค่ะ น่าจะได้รับข่าวดีเร็ว ๆ นี้

ตลกเจ้ย คงเหวอไปแล้วจ้า 55555

ขอบคุณอีกครั้งนะคะ รอติดตามผลงานต่อ ๆ ไป นะคะ
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 38 :: up! 2-10-63} #หน้า 8 ( ตอนจบ )
เริ่มหัวข้อโดย: Ggthait ที่ 15-10-2020 19:49:06
เป็นนิยายที่สนุกมาก เป็นกำลังใจให้นักเขียนนะค้าาาาาา :mew1:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 38 :: up! 2-10-63} #หน้า 8 ( ตอนจบ )
เริ่มหัวข้อโดย: cutelady ที่ 21-10-2020 20:48:57

อ่านจบแล้วสนุกจัง

ตอนแรกอ่านแบบเรื่อยๆ ยังไม่มีอะไร  แต่ชอบมุกขยันหยอดเก่ง ของพี่อาร์ม มากกกกกก
และตอนที่มีความพยายามกับความรักที่ไม่อยากหลุดลอยหายไปอีก ของพี่อาร์ม  พระเอกฉลาดและจริงใจมากกกกกก
ชอบมากกก บอกต่อเลย  และเมี่ยงคำผู้ใสซื่อ แต่น่ารัก ขวัญใจหนุ่มน่ามนคนใจงาม

ขอขอบคุณนักเขียน (หนมมี่) ที่มีเรื่องราวดีๆ ต่อใจมาให้อ่านนะค่ะ

 :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 38 :: up! 2-10-63} #หน้า 8 ( ตอนจบ )
เริ่มหัวข้อโดย: silasa ที่ 22-10-2020 15:11:16
ขอบคุณนะคุณนักเขียน..ที่มีนิยายดีดีมาให้ฟินอยู่เรื่อยๆ :mew1:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 38 :: up! 2-10-63} #หน้า 8 ( ตอนจบ )
เริ่มหัวข้อโดย: PanGii ที่ 17-11-2020 13:33:13
น่ารักไม่ไหวแล้วววว ทั้งลูกแมวทั้งพ่อแมว
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 38 :: up! 2-10-63} #หน้า 8 ( ตอนจบ )
เริ่มหัวข้อโดย: ● MaYa~Boy ● ที่ 02-07-2023 21:19:52
สนุกมากคับ
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 38 :: up! 2-10-63} #หน้า 8 ( ตอนจบ )
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 04-07-2023 13:40:37
 :pig4:  :mew1:
หัวข้อ: Re: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 38 :: up! 2-10-63} #หน้า 8 ( ตอนจบ )
เริ่มหัวข้อโดย: sarawutcom ที่ 04-03-2024 19:30:55
เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว AIS เอไอเอส ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=HMk_TW7icaw (https://www.youtube.com/watch?v=HMk_TW7icaw)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว AIS เอไอเอส ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3 (https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3)

เน็ต เปิดเบอร์ใหม่ ย้ายค่าย เบอร์เก่า AIS ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=9tfjDajR-yU (https://www.youtube.com/watch?v=9tfjDajR-yU)