-
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
================================
+ ข้อแนะนำสำหรับการอ่าน +
1. เนื้อเรื่อง เรื่องราวทั้งหมดเป็นเพียงจินตนาการของคนเขียน
2. หากพาดพิงต่อความเชื่อใดแล้ว ขออภัยมา ณ ที่นี่ด้วยนะคะ
3. เรื่องนี้เขียนขึ้นเพื่อสร้างความบันเทิงผ่อนคลายในการอ่าน
4. คนเขียนชอบแนวแฟนตาซีเวทมนตร์สิ่งลี้ลับค่อนข้างมาก อาจจะโอเว่อร์บ้างในบางมุมนะคะ ^^;;
5. เป็นเรื่องแรกที่ได้เขียน ยังไงแล้วก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ จะทำให้ดีที่สุดค่ะ
6. หนึ่งคอมเม้นท์ หนึ่งกำลังใจ หนึ่งแรงใจ แก่คนเขียน ^^ ถ้าไม่รบกวนอะไรแล้วชอบเรื่องนี้ ขอรบกวนเวลาเล็กน้อยเท่านั้นนะคะ ^^
ขอบคุณนะคะ ^^
* * ส า ร บั ญ * * :katai2-1:
อาถรรพ์พงไพร ๑ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=48438.msg3159373#msg3159373)
อาถรรพ์พงไพร ๒ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=48438.msg3160939#msg3160939)
อาถรรพ์พงไพร ๓ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=48438.msg3184200#msg3184200)
อาถรรพ์พงไพร ๔ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=48438.msg3192360#msg3192360)
อาถรรพ์พงไพร ๕ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=48438.msg3194596#msg3194596)
อาถรรพ์พงไพร ๖ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=48438.msg3203877#msg3203877)
อาถรรพ์พงไพร ๗ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=48438.msg3209745#msg3209745)
อาถรรพ์พงไพร ๘.๑ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=48438.msg3245063#msg3245063)
อาถรรพ์พงไพร ๘.๒ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=48438.msg3253676#msg3253676)
อาถรรพ์พงไพร ๙ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=48438.msg3254663#msg3254663)
อาถรรพ์พงไพร ๑๐ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=48438.msg3289531#msg3289531)
-
ตำนานเล่าลือมาช้านาน
ไม่เคยมีผู้ใดเลื่องรู้
จริงหรือเพียงลมปาก
หนึ่งท้าว ผู้ยิ่งใหญ่บนเวหา
ยอมสยบเพียงเจ้า
หลายเพลาล่วงเลย
ที่เฝ้าคอย ยอดดวงใจ
หนึ่งเทพาเลือดผสม
กุมดวงแก้วท่านท้าว
มิเคยรู้
สัญญาผูกพัน
ไม่อาจลืมเลือน
ไม่ว่าจักหมื่นภพแสนชาติ
ข้าจักตามหาเจ้า
...เทพาเจ้าฤทัย
-๑-
ท้าวเวหา
“ ที่เรายืนกันอยู่ คือ ทางเข้าป่าอาถรรพ์ตามโบราณที่เล่าขานกันมาสืบเนื่องกว่าหลายสี่ร้อยปี และ... ”
เสียงบรรยายของอาจารย์ด็อกเตอร์ศักดิ์ชัยยังคงพูดต่อไปด้วยเสียงเนิบนาบมือเหี่ยวย่นบ่งบอกอายุอานามที่ไม่น้อยแล้วเผยมือไปทางด้านหลังอันเป็นต้นไม้มากมายสีเขียวชอุ่มบริเวณโดยรอบช่างเงียบงันจนน่าพิศวง... ใช่แล้ว ตอนนี้พวกผมกำลังยืนอยู่กลางป่าด้วยสีหน้าอันบ่งบอกได้ดิบดีว่า...อยากกลับบ้าน อยากอาบน้ำ อยากตากแอร์เพราะมันโคตรจะร้อนเลย!
มือยกขึ้นจับเสื้อแล้วกระพือๆเร็วๆเผื่อไล่ลมร้อนในร่างกาย เหงื่อกาฬมากมายผุดออกมาทุกรูขุมขนสภาพเหมือนเพิ่งไปวิ่งมาเป็นร้อยๆกิโลเมตร
“ ไอ้ชล เอาน้ำมากินบ้างดิ๊! ” เพื่อนรักนามว่านนท์รูปหล่อพ่อรวยดีกรีนักกีฬามหา’ลัยเอ่ยเสียงดังพร้อมหันหน้าโทรมเหงื่อไม่ต่างจากผมมาให้ดู ดูน่าสงส๊ารสงสาร เดี๋ยวเพื่อนแสนดีอย่างนายชลธี ธารรักษา คนหล่อใจดีสุดแสนดีเป็นที่รักของสาวๆจะช่วย...
อึก อึก อึก...
ฮ่าาาาาา ดื่มแทนให้
“ ไอ้สัสชล!! ” เบิกตาโพล่งเมื่อผมยกขวดน้ำที่มีน้ำเหลืออยู่แค่เศษหนึ่งส่วนหกของขวดกระดกดื่มพรวดเดียวจนเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่หยดเดี๋ยว น้ำมีน้อยต้องรู้จักใช้สอยสิครับ
“ กูหิวน้ำพอดีว่ะ โทษที ” ทำหน้าทำตาเศร้าแป๊ป ให้มันเชื่อ...
“ ไม่ต้องมาสตอเลยมึง ” ชกกำปั้นหนักๆดัง ‘ปั้ก’ เข้าเต็มไหล่จนแทบช้ำ เจ็บนะเว้ย! “ คนยิ่งหิวน้ำอยู่ ”
มันบ่นพึมพำเบาๆพลางถอนหายใจอย่างหนื่อยๆยิ่งอากาศที่ร้อนอบอ้าวแล้วยิ่งทำให้พวกผมสองคนไม่มีอารมณ์จะหยอกล้อกันเท่าไหร่... ผมเสมองเพื่อนร่วมชั้นปีที่มีสภาพจะเป็นลมอยู่รอมร่อแล้ว
“ นนท์ เอาน้ำของเราไปดื่มก่อนก็ได้นะ เรามีสองขวดน่ะ ”
เสียงหวานของเพื่อนร่วมทริปร่วมกรรมร่วมคณะดังขึ้นพร้อมร้อยยิ้มใจดีเหมือนนางฟ้า(ของผม) มือเล็กขาวผ่องยื่นขวดน้ำคริสตัลที่ยังไม่ได้เปิดให้กับชายนนท์อันกำลังหน้ามืดตามัวคว้ามาโดยไม่พูดไม่จา เธอชื่อน้ำฟ้าเป็นสาวน้อย(ตัวน้อยจริงๆ)น่ารักของคณะที่ทั้งใจดีมารยาทงาม ใครได้เป็นแฟนคงสบายไปทั้งชาติ แน่นอน...คนคนนั้นต้องเป็นผม หนุ่มหล่อคนหนึ่งของคณะ...(จากอีกหลายๆคนหล่อในคณะ)
“ ขอโทษนะฟ้า ไอ้นนท์มันหิวมากไปหน่อย ” ผมหัวเราะแหะๆเป็นเชิงขอโทษ
“ ไม่เป็นไร ” นางฟ้าก็ยังคงเป็นนางฟ้าอยู่ดี หลงรักเลยครับ
“ ฟ้าร้อนมั้ย เราพัดให้เอามั้ย ”
ผมเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นเหงื่อเกาะตามใบหน้านวลของเธอ ยิ่งหน้าเธอดูซีดลงแล้วยิ่งเป็นห่วง...
“ ไม่เป็นไรๆ ขอบคุณนะชล ชลใจดีจัง ”
นี่ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในป่านี่ ผมคงเต้นระบำเซิ้งหมอรำด้วยความปลื้มปริ่มหัวใจไปแล้วล่ะครับ... คนของใจอุตส่าห์ชมเลยนะ
“ แหม่ ชลค่ะ นนท์ก็ร๊อนร้อน พัดให้นนท์บ้างสิเค๊อะ ”
เสียงทุ้มดัดจริตของเพื่อนที่คิดว่าจุกน้ำตายไปแล้วดังหอนขึ้นอย่างถูกจังหวะการขายขนมจีบซาลาเปาระหว่างผมกับฟ้าได้พอดิบพอดี(เหรอ!) แล้วไอ้ท่าทางสะดีดสะดิ้งมาเกาะแกะแขนผมเอาหน้ามาถูไถเหมือนลูกแมว...
สยอง!
“ นักศึกษาตรงนั้น กรุณาเงียบด้วยครับ ”
พวกเราสามคนสะดุ้งโหยงแทบจะทันทีเมื่อเสียงเนิบนาบของอาจารย์ศักดิ์ชัยเอ่ยดุตักเตือนเนื่องจากเสียงของพวกเรามันรบกวนสมาธิการบรรยายของแกเข้า... เมื่อทุกเสียงเงียบลงแล้วทำเหมือนตั้งใจฟังบรรยายอีกครั้ง
“ และสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้... เป็นความเชื่อที่เป็นไปได้มากกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ เพียงแต่ยังไม่มีใครได้พบเห็น และผมก็กำลังศึกษาเรื่องนี้อยู่เช่นกัน ”
สายตาของเขาดูจริงจังกว่าทุกครั้ง ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่านะ... เขากำลังจ้องมาที่ผม... แต่จ้องผมทำไม
“ ในป่าที่นี้ลึกลับกว่าที่ใดในโลก มีสัตว์หายากมากมายเคยอาศัยอยู่... รวมถึง... ” แกเว้นวรรคเล็กน้อยเลยทำให้บรรยากาศเริ่มเงียบสงัด สงัดจริงๆไม่อิงนิยายครับ ทุกคนดูลุ้นและสนใจมากๆ
“ มังกร ”
เงียบ... เงียบกว่าเดิม สีหน้าของทุกคนดูเหลือเชื่อและแกมไม่เชื่อมากกว่าครึ่ง ใช่ ผมก็ไม่เชื่อ คุณจะบ้าเหรอ มังกรมันก็มีแค่ในนิยายนิทานหลอกเด็กเท่านั้น ถ้ามันมีจริงๆ ปานนี้พวกเราคงเห็นซากมันไปนานแล้ว
“ บางคน...อาจจะหาเจอ คนเรามีฟันเฟืองชีวิตที่ต่างกัน บางที...อีกไม่นาน ‘ใครสักคน’ ในพวกเราอาจจะหา...มังกรเจอ ” เขาว่าแบบนั้นแล้วทำไมผมรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังพูดกับผมคนเดียว... ราวกับสะกดจิตผมก็ไม่ปา
มังกร
มันก็มีแต่ในนิยายเท่านั้นแหละ
พยายามส่ายหน้าเบาๆกับความไร้สาระสุดกู่อย่างไม่ใส่ใจ... จริงๆที่พวกเรามากันในวันนี้คือแค่มาปลูกป่าตามกิจกรรมของคณะ แต่ไหงกลายเป็นต้องมานั่งฟังยืนฟังตาแก่ติ๊งต๊องอย่างอาจารย์ศักดิ์ชัยมายืนเล่าเรื่องเหนือธรรมชาติด้วยเนี่ย
“ มึง มึงว่าแกเต็มเปล่าวะ ” ไอ้นนท์ป้องปากกระซิบข้างหูผม แต่คุณมึงพูดซะเสียงดังขนาดนี้ไม่ต้องป้องปากกระซิบก็ได้นะ...
“ คิดแบบมึงนั้นแหละ แกก็เป็นแบบนี้มานานล่ะ ชินเถอะ” ผมตอบปัดๆไปเพราะเริ่มหงุดหงิดกับอากาศอบๆที่ไม่มีแม้แต่ลมพัดโบก นี่มันก็ป่า ทั้งที่มันควรจะเย็น แต่มันกลับร้อนจนจะเดือด
...ร้อนจนเหมือนจะเป็นลม
บ้า! ผมเป็นผู้ชายนะ จะมาเป็นลมกับอีกแค่นี้ ตลกบริโภคแล้วคุณ!
“ ถ้ามีจริง ทำไมเราถึงไม่พบล่ะค่ะ ในเมื่อเราไม่พบ แล้วทำไมถึงคิดว่ามีจริงค่ะ ” นักศึกษาคนหนึ่งที่ดูจะทนไม่ไหวกับแกเลยยกมือขึ้นถามตรงๆ
“ เป็นคำถามที่ดี ” แกหันไปพยักหน้ารับให้แก่นักศึกษาคนเดียวก่อนจะหันกลับมา...เอ่อ... มองผมอีกครั้ง “ สิ่งหนึ่งที่เราอาจจะไม่เห็นพวกเขา เป็นเพราะมีใครบางคนปกป้องพวกสัตว์อยู่... ใครบางคนที่เสมือนเทพผู้ปกครองรักษาผืนป่าอาถรรพ์นี้ ”
เขาหยุดพูดเพียงเท่านั้นและยอมละสายตาจากผมสักทีไปเปลี่ยนเรื่องใหม่แทน...
“ เอาล่ะ ต่อไปผมจะพาพวกคุณเข้าไปในป่า... แล้วห้ามพวกคุณเดินแตกแถวล่ะเดี๋ยวจะหลงเอา แล้วที่ให้เดินดูเนี่ยเผื่อ...เราจะเจอมังกรด้วย ฮ่าๆๆ ”
แกว่าติดตลกก่อนจะเดินนำไปตามทางของแกและแน่นอนพวกกระผมก็ต้องเดินตามไปเงียบๆ...
ผมชะลอเท้าให้ช้าลงหลังจากเดินมากว่าชั่วโมงแล้วเพราะความเมื่อยล้า ตอนนี้พวกเรากำลังเข้ามาลึกขึ้นเรื่อยๆแล้ว ยิ่งพบกับธรรมชาติและความสวยงามที่มากขึ้น ผมหยุดพักเงียบๆเพื่อเก็บรายละเอียดกลิ่นอายธรรมชาติให้มากที่สุด มองดูดอกไม้กล้วยไม้ป่าแปลกตาอย่างสนุกยกกล้องในมือขึ้นถ่ายเก็บตามประสาคนชอบถ่ายรูป และมันคงเพลินจนเกินไป รู้สึกตัวอีกที...บรรยากาศรอบตัวเริ่มเย็นสบายขึ้น... ไม่สิ...มันเย็นจนแทบแช่แข็งได้เลยต่างหาก! ลมเย็นหนาวพัดแรงขึ้นผ่านร่างไปมาให้สะท้านเล่น
“ อะไรวะ... หนาวชิบเป๋ง ” ผมพึมพำเบาๆพลางลูบแขนตัวเองไปมาอย่างขนลุก ครั้นหันหน้ากลับไปจะไปบ่นกับเพื่อนคนอื่นก็ชะงักกึก...
เพื่อนกูหายไปไหนหมด!!!!
“ ไอ้นนท์! ไอ้นนท์ อยู่ไหน! ”
“ ฟ้า! ฟ้าได้ยินชลมั้ย! ”
ผมลองตะโกนเรียกดูเผื่อจะมีเสียงใครตอบกลับแต่เปล่าเลย... ไม่มี... ตายล่ะ นี่ผมหลงทางเหรอ คนอย่างชลธีน่ะเหรอหลงป่า ไม่จริง! ไม่เชื่อ!
ซวยแล้วไงมึง ไอ้ชล
สองเท้าของผมก้าวเดินอย่างไม่รู้ทิศรู้ทางรู้แค่มันลึกเข้าไปเรื่อยๆ... นี่ผมจะไปทะลุมิติไหนมั้ย แบบในหนังอ่ะ ที่เดินๆอยู่ทะลุไปอดีต วุ้ย คิดอะไรบ้าๆบอๆมันจะเป็นไปได้ยังไง... หรือจะเป็นไปได้ว่ะ ไอ้ด็อกเตอร์นั้นมันพาเพื่อนผมทะลุมิติไปแล้วมั้ง ยิ่งประหลาดๆอยู่
ผมเดินไปเดินมาอย่างหมดจดหนทาง... ไปทางไหนก็เหมือนจะวนกลับมาที่เดิมเหมือนกับกำลังเดินอยู่ในเขาวงกต ท่านเจ้าป่าเจ้าเขาใครก็ได้ช่วยลูกช้างที ส่งใครก็ได้มาพาผมออกไปจากป่าทีเถอะ แล้วลูกช้างลูกแมวตัวนี้จะทำบุญทำกุศลเจ็ดวัดเจ็ดวาเลยครับ
“ สาธุ!! ขอให้ออกจากป่าได้ทีเถอะเจ้าประคุณณณ ”
ผมยกมือขึ้นเหนือหัวก่อนตะโกนดังๆให้ได้ยินไปถึงหูเจ้าที่เจ้าทางเจ้าป่ากันเลยทีเดียว... อ้าปากจะพูดขออีกรอบแต่กลับ....
“ อุ๊บ! ”
มือปริศนาทั้งหยาบและแข็งจนแทบบาดหน้าหล่อๆ(?)ปิดปากผมแน่นและอีกมือก็ดึงตัวผมเข้าหาตัวเองจนแผ่นหลังกระทบกับอกหนาๆที่แข็งแปลกๆเข้าเต็มๆ...
เฮ้ย! อะไรวะเนี่ย!
สัญชาตญาณการเอาตัวรอดทำให้ผมดิ้นสุดชีวิตแต่อีกฝ่ายกลับไม่สะเทือนเป็นเวลาอยู่นานที่กว่าผมจะหยุดดิ้นไปเอง แฮ่ก เหนื่อยครับ นี่คนหรือหินวะ ไม่สะเทือนสักนิด!
“ อื้อ อื้อ! ”
“ ชู่ เงียบนะครับ แล้วพี่จะปล่อย ” เสียงทุ้มกระซิบเบาๆข้างหูทำเอาผมพยักหน้าลงแทบจะไม่ทัน แหม่... แต่เสียงพี่แม่งโคตรหล่อเลยว่ะ
“ อ่ายยยย อื้อๆๆ ” คนอย่างนายชลธีไม่มีใครสั่งได้เว้ย!
“ ถ้าโวยวาย พี่จะฆ่านะครับ ”
ตาเหลือกหุบปากเงียบในทันทีหลังจากคำว่าฆ่ากระแทกสมองอันน้อยนิด... พี่จ๋า ปล่อยน้องเถอะ อยากได้เงินอยากได้ทองหรืออะไร จะให้ทั้งหมดเลยครับ
“ ... ”
“ ดีมากครับ ไม่โวยวายนะ สัญญา? ”
“ อื้อๆๆ ” พยักหน้าลงแรงๆเป็นการรับปาก... มือหนาจึงค่อยๆปล่อยออกจากตัวผมช้าๆ...
และเมื่อเป็นอิสระผมก็หันควับมาเพื่อดูหน้าคนที่ทำตัวเหมือนโจรที่จะปิดปากฆ่าตัดตอนคนหล่อของคณะให้ตายคาป่าดับอนาถอย่างผม ที่อยากเห็นหน้าไม่ใช่เพราะพิศวาสอะไร แต่เผื่อไว้เผื่อผมวิ่งหนีทันวิ่งไปแจ้งตำรวจแล้วจะได้บอกรูปร่างหน้าตามันถูก แต่ถ้าถูกฆ่าก่อนก็จะได้ตามไปหลอกถูกคนไงครับ
“ ไอ้พี่นาท!! ”
นึกว่าใคร...
ไอ้ศัตรูมารหัวใจระหว่างผมกับฟ้านั่นเอง...
ผู้ชายเพอร์เฟคแมนขวัญใจสาวๆในคณะร่วมถึงตุ๊ดเกย์เก้งกวางทั้งหลายอีกด้วย มันชื่อ กัมปนาท โดยส่วนตัวผมมักเรียก ‘ไอ้นาท’ หรือสุภาพหน่อย ‘ไอ้พี่นาท’ เป็นรุ่นพี่ปี 3 ของผมเองแล้วยังควบตำแหน่งพี่ภรรยาในอนาคตของผมอันใกล้อีก เพราะงั้นผมจึงพยายามทำตัวดีๆ แต่มันแม่งกวนตีนใส่ตลอดตั้งแต่ปีหนึ่งแล้ว! ใครมันจะทน ไอ้ผมก็มารยาทดีเคารพพี่เลยไม่เกรงใจมันตั้งแต่ปีหนึ่งเหมือนกัน...
“ ครับ? น้องชล? ” มันทำหน้ามึนๆใส่แต่ผมเห็นนะว่ามันแอบยักคิ้วให้ผมสองจึก ยิ้มมุมปากอีกหนึ่งวินาทีก่อนจะกลับเป็นนิ่งๆ ดูมัน ไอ้กวนประสาท!! แล้วเมื่อครู่ มันจงใจจะแกล้งผมให้ตกใจจนร้องไห้แน่ๆ!
“ เล่นบ้าอะไรของมะ... ของพี่ว่ะ! ”
เกือบล่ะ เกือบหยาบคายต่อรุ่นพี่ที่รักอีกแล้ว...
“ สนุกๆไง ”
สนุกกับพ่อมึงสิว่ะ!
ชะอุ๊ย พ่อพี่ก็พ่อตาผมนี่หว่า...
“ แต่ผมไม่สนุกด้วย! แล้วพี่มาแถวปีสองได้ไง! ปีสามเขาไปทำฝายทางนู้นเว้ย! ” ชี้ทางมั่วแม่งตอนนี้ไม่รู้ทิศครับ อนาถจริงๆนายชลธี
“ ถ้าไม่มาคงไม่เห็นเด็กหลงทางหรอก ” ยิ้มอีกแล้ว ไอ้เขี้ยวเล็กๆนั่นมันอะไร น่าจับหักทิ้งชิบ จะยิ้มทำบ้าอะไรเยอะแยะห่ะ!
“ ไม่ได้หลง! ” เถียงครับ งานนี้ไม่ยอมเสียหน้าเด็ดขาด
“ อ้อเหรอออ ” ลากเสียงยาวจนหน้าหมั่นไส้
“ เออดิ! ”
ผมสะบัดเสียงใส่อย่างหงุดหงิดมองหน้าจ้องตาพี่เขาตรงๆบ่งบอกให้รู้ว่าไม่พอใจมากๆ แม่งรู้ตัวนะว่าตัวเองหล่อแล้วยังทำตัวน่าหมั่นไส้อีก เดี๋ยวๆ...มัน เอ่อ...
“ อะ ไอ้พี่นาท ” ผมยกมือขึ้นชี้อีกฝ่ายด้วยมือสั่นๆ สั่นทำไมวะ!
“ หือ? ” ยัง ยังทำหน้างง
“ หน้าพี่ หน้าพี่ ” พูดซ้ำๆพร้อมมองใบหน้าหล่อๆขาวๆของมันที่ตอนนี้มันมี...
ผิวสีน้ำเงิน...
เจ้าตัวทำหน้างงๆก่อนจะยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองแล้วก็ยิ้ม... เฮ้ย!! นี่มึงบ้าเหรอ หน้าตัวเองกำลังจะพังมีอะไรแปลกๆขึ้น มึงดีใจเหรอ! ผิวหน้าขาวๆนั่นมีจุดสีน้ำเงินเข้มแต้มและรอยปื้นยาวๆสีน้ำเงินนั่นมันดูประหลาดและน่ากลัว
ไม่สิ... ไม่ใช่แค่หน้า...
แขน...
มันเป็น...เกล็ดสีน้ำเงิน
ผมแหกตามองชัดๆให้เต็มตาทั้งสองแล้วค่อยๆค้นพบอะไรหลายๆอย่าง...
“ แขนพี่ มัน... ” มันเป็นเหมือนเกล็ดแข็งๆเหลื่อมเงาวาวผิวหนังหนา
“ อ้อ เกล็ดนะ ” มันว่าอย่างสบายอารมณ์ผิดกับผมที่เริ่มหัวหมุนเคว้ง...
ไอ้พี่นาทมันยืนเก๊กเป็นนายแบบอยู่สักพักสูดลมหายใจเข้าไปอีกหลายเฮือก จากนั้นแขนที่เป็นเกล็ดอยู่แล้วก็ลามหนักไปทั่วจนถึงต้นแขน เพราะมันใส่เสื้อแขนสั้นเลยเห็นว่าเกล็ดแปลกๆลามไปทั่วแขนแล้ว... เฮ้ย! หรือมันจะเป็นโรคใหม่วะ! กลายพันธุ์จากไอ้ไวรัสเมอร์สเปล่า ที่ติดต่อทางการหายใจน่ะ!
แล้ว...ที่ผมยืนกับมันแบบนี้ แสดงว่าเดี๋ยวผมก็ต้องติดมันอ่ะดิ!! ม่ายยย นายชลธียังไม่อยากตายนะครับ เพิ่งจะลืมตาดูโลกมายี่สิบปีเอง ทำไงดีวะ กลั้นหายใจ!!
แม่งว่าแล้วไอ้ป่าอาถรรพ์นี่มันต้องมีโรคประหลาดแน่ๆ นี่ไง ผมกำลังเจออยู่นี่ไง!!
“ ทำอะไร ” มันทำหน้าไม่เข้าใจเมื่อเห็นผมพองลมปากกลั้นหายใจ มันถามไม่พอ เดินเข้ามาจะแตะตัว แต่ผมรีบเบี่ยงหลบหลับตาแน่นพยายามทำเหมือนมันเป็นธาตุอากาศ...
ไอ้โรคประหลาดนี่นอกจากมันจะแพร่เชื้อทางลมหายใจแล้วมันต้องแพร่ทางการแตะตัวแน่ๆ!(ถูกสั่งสอนให้คิดสงสัยสันนิษฐานตลอดเวลาตั้งแต่เรียนมาครับ) เพราะเฉพาะนั้นอย่าให้มันโดนตัวจะดีที่สุด!
“ อย่าเข้ามานะเว้ย! ” บอกทั้งๆที่ยังหลับตา
“ ชล เป็นอะไร ” เสียงอ่อนโยนจนแทบละลาย... โทษที พอดีไม่ใช่ผู้หญิงครับ
“ ... ” เงียบ จะให้ตอบอะไรล่ะ เกลียด? กลัว? รังเกียจ?
“ ชล... ลืมตาครับ ”
“ ... ” ยังคงคอนเซปเงียบ แต่ตอนนี้จะขาดอากาศตายแล้วครับ
“ ไม่ลืมตา พี่จูบนะครับ ”
ลืมตาแทบจะทันที ไอ้บ้า! มุกบ้าอะไรของมันวะ จูบ!?! เห็นกูเป็นผู้หญิงรึไง ที่ใช้มุกนี้แล้วคิดว่าจะลืมตาเหรอ ไม่มีทาง!! แต่...
ตอนนี้กูก็ลืมตาแล้วนี่หว่า...
“ ชลเป็นอะไร ” มันถามอย่างร้อนรนเมื่อเห็นเด็กปากสุนัขอย่างผมเงียบเป็นครั้งแรก ตอนนี้ผมทนไม่ไหวแล้วจริงๆ
ผมขอหายใจก่อนนะ
“ ปล่อย ไอ้พี่นาท! ปล่อยดิ! ” ตายเป็นตายสิครับงานนี้ หายใจเข้าปอดเต็มๆ จะไวรัสพันธุ์ไหนก็เข้ามาเลย! ขอตายวิธีอื่นแทนการกลั้นหายใจแล้วกัน...
“ ไม่ ปล่อยไป เราคงได้วิ่งป่าราบไปบอกว่าพี่เสียๆหายๆน่ะสิ ”
รู้ทัน!!
“ เงียบแสดงว่าจริง ” ไอ้พี่นาทมันถอนหายใจเบาๆราวกับเหนื่อยๆกับผม “ ชล พี่ขอจริงๆนะ เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับนะ อย่าบอกใคร พี่ขอร้อง ”
“ ทำไมผมต้องทำ ” ใช่ ทำไมผมต้องทำ
“ ถ้า...ชลพูดออกมา พี่จะฆ่าชล ”
แววตาสีดำแปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินสดใสแต่กลับวาววับสว่างวาบจนผมใจคอไม่ดีในอกเริ่มหวั่นผวาด้วยความรู้สึกกลัวจับใจเพราะเป็นครั้งแรกที่ไอ้พี่นาทมันพูดกับผมด้วยเสียงเย็นยะเยือกแบบนี้...
“ งั้นบอกผมได้มั้ย พี่เป็น..เอ่อ โรค...อะไร ทำไมบอกคนอื่นไม่ได้ ”
ผมถามออกไปตรงๆด้วยความหวาดๆอยู่พอสมควร เผื่อไม่เข้าหูพี่ท่านอาจโดนฆ่าในพริบตาก็ได้ ยิ่งอยู่ในป่ายิ่งหาศพหล่อๆของผมไม่เจอ(ถึงตายแต่ก็ต้องหล่อไว้ก่อน) ไอ้พี่นาทมันยืนนิ่งไปเลยก่อนจะทำหน้าครุ่นคิดอะไรของมันแล้วขยับปากเบาๆแต่ผมกลับได้ยินชัดเต็มสองรูหู...
“ พี่เป็นมังกร ”
ผมคิดว่ามันคงเป็นฝัน... และมันเป็นฝันที่มันเหมือนจริงเกินไป
...เป็นฝันที่มันจะทำให้ฟันเฟืองชีวิตของผมเริ่มหมุนเปลี่ยนทิศ
TBC.
*************************************
เรื่องแรก ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ
-
o13 o13 o13 o13 o13
น่าสนุกและตื่นเต้น มาอัพบ่อยๆนะ รออยู่ :call: :call: :call: :call:
-
ไอ้หยา ได้เจอจริงๆเลยมั้ยล่ะชล
-
น่าติดตามมมม
มาต่อไวๆนะคะ♡
-
:mc4:
-
อ้อ. เกล็ด นะ !
-
พี่มังกรก็เป็นคนในยุคปัจจุบันสินะ
แล้วทำไมถึงขู่จะฆ่าบ่อยขนาดนี้ล่ะคะ o18
ติดตามค่ะ
-
อยากอ่านต่ออ่าๆๆ มีมักกรด้วย ตื่นเต้น รอๆๆ มาอัพบ่อยๆนะคะ :mew2:
-
เทพายอดแก้วตา
โปรดอย่าโบยบิน
นับสี่ร้อยปีว่ายวน
แสนทุกข์ระทม
อันสิ้นสุดการรอคอย
ห่วงหาและรักมิเสื่อมคลาย
-๒-
ท้าวเวหา
“ เดี๋ยวพี่จะพาออกจากป่านะ เพื่อนเราอยู่ตรงนู้น ”
ไอ้พี่นาท... หนุ่มหล่อของคณะพ่วงตำแหน่งพี่ภรรยาในอนาคตว่าพร้อมชี้ไปทางด้านซ้ายของผม มันทำท่าจะเดินนำไปแต่ติดที่ผมจับแขนมันได้ทันก่อน
เฮ้ย! ทำไมมันทำเหมือนก่อนหน้านี้ไม่มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นว่ะ หรือ...เมื่อกี้ผมหูเพี้ยนได้ยินผิด...
“ ไอ้พี่นาท เมื่อกี้พี่ว่ายังไงนะ ” ถามเพื่อความมั่นใจ
“ เดี๋ยวพี่จะพาออกจากป่านะ เพื่อนเราอยู่ตรงนู้น ” พูดประโยคเมื่อกี้พร้อมทำถามเดิมแปลกไปคือรอยยิ้ม...กวนเส้นที่เพิ่มมา
เห็นมั้ย มันกวนประสาทแค่ไหน!
ผมแหวเสียงดัง “ ไม่สิเว้ย ประโยคก่อนหน้านั่น! ”
“ อ้อ... ”
“ พี่เป็นมังกร ”
ชัดแจ๋วเลยครับท่าน... มังกร มังกรไอ้ตัวคล้ายๆจระเข้ผสมตะกวดจิ้งเหลนกิ้งก่าที่บินได้น่ะเหรอ... เกิดมายี่สิบปีเพิ่งเคยได้ยิน...
ผม...ควรตกใจมั้ย
หรือในใจผม... เชื่อในเรื่องของมังกร...
แล้วทำไมผมต้องใส่ใจอะไรกับเรื่องแบบนี้ด้วยว่ะ!
ผมยืนนิ่งคิดหนักเพื่อทบทวนและเรียบเรียงเรื่องราวประหลาดๆที่เกิดขึ้นในวันนี้... ให้ตอบตามจริงเอาผมเองก็ตกใจนะ แต่แปลก...ที่มันไม่ได้ตกใจมากมายอะไรนัก จนผมยังแปลกใจตัวเองเลย
พวกคุณลองคิดตามนะ...
ตั้งแต่ปีหนึ่งที่ผมเห็นมัน ‘กัมปนาท’ รุ่นพี่ที่มาว๊ากรับน้องพวกผมและท่าทางกวนเส้นของมันที่มักกระตุกต่อมน้ำโหผมบ่อยๆ ไหนจะเป็นพี่ชายของฟ้า ผู้หญิงที่ผมต้องตามาตั้งแต่ในวันสอบสัมภาษณ์... แล้ววันหนึ่งคนที่เรารู้จักกลับ...มี’อะไร’แปลกไปจากคนธรรมดาทั่วไป
อะไรที่ว่า...มันค่อนข้างจะ...มากไปหน่อย...
เกินกว่าคนทั่วไปจะรับได้...
อ้าว... แล้วผมไม่ใช่คนทั่วไปเหรอวะ
นับวันนายชลธียิ่งสับสนกับระบบความคิดตัวเอง...
ไอ้ตกใจก็ตกใจ แต่จะให้ผมทำยังไงได้ ตกใจ หวาดกลัวแล้ววิ่งหนีเหรอ คุณนี่ไม่ใช่หนังภาพยนตร์นะที่ผมต้องวิ่งไปป่าวประกาศแล้วให้คนแห่มาจับตัวมันไปทดลองผ่าฉับๆคว้านไส้น่ะ... นี่คือเหตุผลสวยๆ แต่ในความจริง...
ผมก้าวขาไม่ออกครับ... วิ่งไม่ไหว
บรรยากาศมันเงียบเกินไปนะ... ไม่ชอบว่ะ
ผมควรพูดอะไรใช่มั้ย
“ คือ... ” ผมไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้สักเท่าไหร่... ปกติก็เป็นคนพูดมากอยู่แล้ว ให้มายืนเงียบๆมองหน้ากันแบบนี้มันพิลึก
“ พี่... ”
ปัดโธ่!
พอผมอ้าปากจะพูด มันก็ยกปากหนักๆของมันจะพูดบ้าง... กวนประสาทชะมัด!
“ ผมก่อน ” ผมเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยกอดอกอย่างถือดีราวกับจะตอกย้ำให้มันรู้ว่าผมต้องการคำอธิบายมากกว่าคำว่า ‘พี่เป็นมังกร’ และต้องการถามมันอีกเยอะ!
“ ผมขอถามพี่อีกรอบ... พี่เป็นมังกรจริงๆเหรอ ”
วนมาลูปเดิม... อย่ารำคาญถ้าผมถามอะไรซ้ำๆเดิมๆ เพราะเรื่องนี้มัน...เกินความเชื่อไปแล้ว ขอถามย้ำเพื่อความมั่นใจ... แต่ไอ้พี่นาทมันจะเขมือบผมลงท้องไปก่อนเปล่าวะ
“ จะให้พี่เปลี่ยนเป็นมังกรเต็มตัวเลยก็ได้นะ ” มันก็พาซื่อจริงๆ แค่ตอบมาก็พอแล้วไม่ต้องมาโชว์ตัวประหลาดไปมากกว่านี้หรอก
“ หยุดเลย! ขืนพี่เป็นมังกรจริงๆแล้วกินผมเข้าไปจะทำไง!! ”
ยกมือขึ้นเบรกพี่ท่านเป็นพัลวันทันใด... เห็นปากดีแบบนี้... ผมก็มีดีแต่ปากแหละครับ...
“ พูดแบบนี้... แสดงว่าเชื่อพี่แล้วใช่มั้ย ” ประกายความดีใจเล็กๆปรากฏขึ้นในดวงตาสีแปลกนั้น มันดีใจอะไร
“ เออ เชื่อ ” ผมพยักหน้าอย่างจำยอมเพราะคิดดีๆแล้ว “ เอฟเฟคต์ที่แขนพี่ถึงใช้เทคโนโลยีอีกกี่ปีข้างหน้ามันก็ไม่เนียนหรอก... ”
“ อีกอย่างนะชล ” ไอ้พี่นาทขัดขึ้นก่อนเมื่อนึกอะไรได้...
“ อะไร ”
“ พี่ไม่มีทางกินชลหรอก ”
มันว่าพร้อมโปรยยิ้มหวานกว้างกว่าเดิม คำพูดประหลาดมันเผลอทำให้ผมหน้าร้อนฉ่าแปลกๆยังไงก็ไม่รู้ แต่ผมก็ทำเพียงเบ้ปากใส่มันเท่านั้น
“ แล้วบอกผมทำไม ”
“ ก็อยากบอก ”
“ ทำไมต้องอยากบอก ”
“ อยากให้รู้สึกพิเศษ ”
...ตายสิครับ ถ้าเป็นผู้หญิงนี่คงเผลอไหลไผลตัวละลายเหลวเป็นเนยโดนความร้อนไปแล้ว
แค่รู้ว่ามันเป็นมังกรก็รู้สึกพิเศษกว่าชางบ้านแล้วครับคุณพี่นาท
“ หยุดปากหวานเรี่ยราดได้แล้วไอ้พี่นาท! ” ทนไม่ไหวแล้วครับ ร้อยวันพันปีเจอหน้านับแสนมันก็ไม่เคยแสดงท่าทีเจ้าชู้ปากหวานใส่ผมเลย แล้ววันนี้มันอะไร หัวฟาดพื้นมารึไง
“ เปล่านะ พี่เพิ่งเคยพูดแบบนี้กับชลคนแรก ”
พูดแบบนี้กับชลคนแรก
พูดแบบนี้กับชลคนแรก
พูดแบบนี้กับชลคนแรก
ให้ตายสิ... ขนาดพูดกับผมคนแรกยังพาให้ใจสะท้านกระตุกขนาดนี้ ถ้ามันเชี่ยวชาญผมไม่ระเบิดไปแล้วเหรอ
“ หยุด ผมจะอ้วก ” จะอ้วกจริงๆนะ “ ผมว่าเรากลับมาเรื่องของพี่ก่อนเถอะ ”
“ พี่? ”
มันชี้ที่ตัวมันเองแล้วเอียงคอทำหน้ามึนๆใส่ผมประมาณว่า...เรื่องอะไรเหรอ
ผมยักคิ้วกวนอวัยวะเบื้องล่างไปที...
“ ผมว่าพี่ควรอธิบายกับผมเรื่องนี้ ”
“ อธิบายอะไร ” มันทำหน้าเป็นมังกรงง ...ไม่เข้าใจล่ะสิ ก็คล้ายๆหมางง แต่มันดันเป็นมังกรไง
“ ก็ที่พี่เป็นมังกรไง! ”
มันลังเล “ พี่ต้องอธิบายจริงๆเหรอ ”
“ เออดิ! ”
“ มันยาวนะ ”
“ ผมมีเวลา! ” ผมตอบออกไปแทบจะทันที
“ อยากรู้เรื่องพี่ขนาดนั้นเชียว ”
หมด... หมดคำถามและความอยากรู้ทั้งหมดทั้งปวงทันที เมื่อมันเห็นผมทำหน้าเอือมๆใส่รอบก่อนจะเริ่มต้นพูดใหม่...
" จะอธิบายมั้ย "
“ พี่ไม่เคยพูดเรื่องนี้ให้ใครฟังนี่น่า ไม่รู้จะเริ่มยังไง ” ยกมือเกาหลังคออย่างแก้เก้อ
ผมยกนิ้วชี้ตัวเอง “ ผมคนแรกที่รู้ ”
“ อืม มนุษย์คนแรกที่รู้ ”
รู้สึกดีใจแปลกๆ
อยากประกาศให้โลกรู้ชะมัด
อยากจดลงกินเนสบุ๊ค...
มนุษย์คนแรกที่หามังกรเจอ วะฮะฮ่า!
“ งั้นพี่ก็ต้องหัดพูด! อธิบาย! ”
ไอ้มังกรมันพึมพำเสียงกระซิบแมลงหวี่ยังแทบไม่ได้ยิน “ เมื่อก่อนไม่เห็นคิดจะฟังข้าเลย ”
“ ว่าไงนะ ” ไม่ค่อยได้ยินเท่าไหร่
“ เปล่า แค่บอกว่าเราเหมือนเด็ก... ช่างถามจริงๆ ”
“ สรุปจะอธิบายมั้ย ไม่งั้นก็กลับ! ”
“ พี่ไม่รู้จะอธิบายยังไง... ชลถามพี่มาเลยก็ได้ พี่จะได้ตอบไปเป็นอย่างๆ ”
ผมมองหน้ามันเล็กน้อย “ ทำไมพี่ถึงเป็น...เอ่อ มังกร ”
สงสัยจริงๆ มันจะเป็นมังกรได้ไง มันต้องมีที่มาที่ไปดิ แบบ...ถูกสาป! เดี๋ยวๆ แบบนั้นมันนิทานเจ้าหญิงไปคงไม่ใช่
“ ไม่รู้ เกิดมาก็เป็นแบบนี้แล้ว ”
ผมถลึงตาใส่มันอย่างหงุดหงิดนอกจากไม่ตอบให้เคลียร์แล้วยังกวนโอ๊ยอีก! ให้มันได้แบบนี้สิ อยากเป็นมังกรย่างมั้ย!
“ เอาจริงๆ! ”
“ ก็พี่ไม่รู้จริงๆ ” มันตอบย้ำ “ เกิดมาก็เป็นแบบนี้แล้ว ”
“ เออ ”
ส่ายหน้าไปมาเพื่อสื่อให้มันรู้ว่าผม...เบื่อ เบื่อที่จะถามมันแล้ว คำถามร้อยแปดพันเก้าที่ผมจะถามมันมลายหายสลายไปกับอากาศอย่างรวดเร็ว
“ ไม่ถามแล้วเหรอ ” ไอ้พี่นาทเลิกคิ้วอย่างงงๆ
“ ขี้เกียจถาม ”
“ แต่พี่อยากให้ชลถามนะ ”
แล้วเมื่อไหร่จะเลิกพูดจาหวานๆหว่านเสน่ห์สักที
หยอดได้หยอด
คนนะ ไม่ใช่กระปุกออมสิน
“ ถามไป พี่ก็ตอบกวนตีน ไม่ถงไม่ถามแล้ว ” ผมโบกมือไล่ๆปัดๆตัดรำคาญ...
“ ถามมาเถอะนะ ชล พี่อยากตอบ ”
“ ไม่ ”
“ นะ...”
เงียบ... เงียบอีกแล้ว
มองหน้ามัน
มันมองหน้าผมตอบ และใช้สายตา...อ้อน
เออ ผมยอมแพ้...
“ พี่รู้ทางออกป่ามั้ย ”
“ รู้ ” มันพยักหน้าหงึกๆ
“ แล้วรู้ทางกลับไปหอของมหา’ลัยมั้ย ”
“ รู้ ” มันพยักหน้าอีก
“ เออดี เรื่องยาวนักใช่มั้ย งั้นเดี๋ยวจะถามยาวววววเลยครับ ไม่ต้องกลับมันแหละ ”
ผมถอนหายใจเล็กน้อย ถึงป่านี้จะเป็นป่าที่อยู่ติดๆใกล้ๆกับมหา’ลัยก็เถอะ แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เข้ามาลึก...มากๆจนผม เออ...หลง
แค่มันรู้ทางออกทางกลับก็โอเคแหละ ผมขี้เกียจไปหาไอ้อาจารย์บ้าๆแล้ว มานั่งคุยกับตัวประหลาดตรงหน้าดีกว่า...
“ ยืนทำไม นั่งดิ ” ผมหรี่ตามองไอ้พี่นาทเป็นเชิงสั่ง
นี่ก็ถามจริง “ นั่งทำไม ”
“ ยืนคุยมันเมื่อย เข้าใจปะ ” กวนตีนอีกสักรอบด้วยน้ำเสียงและหน้าตา
อยากให้ถามมากนัก
เดี๋ยวจะซักจนหาทางกลับเป็นมังกรไม่ถูกเลยนี่
ผมนั่งจ้องหน้ามันเพื่อคิดเรียบเรียงคำถามในหัว
“ จ้องเหมือนพี่เป็นสัตว์ประหลาดเลยนะ ”
คงเพราะเห็นว่าผมเงียบไปนานมันแต่จ้องหน้ามันล่ะมั้งเลยพูดขึ้นก่อน
“ เออ สัตว์ประหลาด ” ผมตอบไปโดยไม่คิดแอบรู้สึกผิดนิดๆพอเห็นหน้าของมันที่ดูนิ่งงันไปเลย...
มันถอนหายใจ “ ทำเป็นไม่เคยเห็นไปได้ ”
“ ก็ไม่เคย ”
“ แน่ใจเหรอว่า ไม่เคย ”
น้ำเสียงเรียบๆในคราแรกกลับไม่ใช่ในตอนนี้มันทั้งดังกว่าและใส่อารมณ์มากกว่าจนผมรู้สึกได้... โกรธ น้อยใจ...
น้อยใจบ้าอะไรวะ
“ จะไปเคยเห็นได้ยังไงห่ะ เกิดมายี่สิบปีก็เพิ่งจะเจอมังกรเนี่ย ” ผมขึ้นเสียงใส่บ้างกลบรรยากาศแปลกๆ
“ นั่นสินะ ” มันปรับสีหน้าใหม่เหมือนเพิ่งนึกได้ “ งั้น...ชลอยากถามอะไรก็ถามมาเถอะ”
จิ้มข้างแก้มตัวเอง “ ทำไม... สีน้ำเงิน ”
ทำไมไม่เป็นสีอื่น
ในตำนานส่วนใหญ่ก็เป็นสีแดง สีดำ ไม่ใช่เหรอ
“ หน้ากับเกล็ดเหรอ ” มันชี้ที่หน้าและมือเกล็ดสีน้ำเงินเข้ม...“ มันเป็นที่สายพันธุ์ ”
เออเว้ย อันนั้นรู้ แต่ช่วยขยายความให้มนุษย์โง่ๆคนนี้เข้าใจหน่อยได้มั้ย
“ ทำไมเงียบล่ะ ” ไอ้พี่นาทชะโงกหน้าจนแทบชิดเมื่อเห็นเด็กปากมากอย่างผมดูเงียบๆงันๆ
“ ผมถามไป พี่ก็ตอบสั้นๆ ให้ผมมานั่งตรัสรู้เอง ผมก็ไม่รู้จะถามอะไรแล้ว เบื่อที่จะพูดกับคนปากหนัก ” กัดไปอีกนิด
บอกไปตามจริง...
ถามอะไรไป
แม่ง...มันก็ปล่อยให้ค้างๆคาๆ
เข้าใจเองคนเดียว
“ ชล... เชื่อเรื่องของมังกรจริงๆมั้ย ”
“ ตอนแรกก็ไม่เชื่อเท่าไหร่ พอเจอ... ” มองหน้ามันเป็นคำตอบ “ ก็เชื่อ ”
“ มังกรอย่างพวกเรา...มีหลายเผ่าพันธุ์ แบ่งไปตามธาตุและสิ่งที่ต้องปกป้องตามหน้าที่ สีแดงที่หมายถึงธาตุไฟ เสมือนเทพแห่งไฟ ” เป็นครั้งแรกเลยที่รู้สึกว่ามันพูดเยอะและทำให้ผมเข้าใจมากขึ้น...
“ งั้นสีน้ำเงิน... ธาตุน้ำเหรอ ” ผมตาโตขึ้นเล็กน้อยอย่างตื่นเต้น
มันยิ้มแล้วปล่อยให้กำกวม“ ไม่รู้สิ... คิดเอาเอง ”
ดีได้ไม่ถึงสิบวิ กลับมาพูดไม่รู้เรื่องเหมือนเดิม
เดี๋ยวพ่ออัดหน้าสักรอบเอามั้ย!
“ ชลถามแล้ว พี่ขอถามบ้างนะ ” ไอ้พี่นาทมันเห็นผมเงียบก็เลยพูดขึ้นก่อน
ผมว่าออกไป “ ตามใจ ”
“ ชล ตกใจมากรึเปล่า ” มันลังเลที่จะถามดูจากสายตาที่กลิ้งไปมาอย่างกังวล... “ ที่พี่เป็น...มังกร ”
คำถาม...อือหือ
ไม่ถามผมพรุ่งนี้เลยละครับคุณ...
ไอ้พี่นาทมันถามมาพร้อมกับดวงตาสีน้ำเงินสว่างของมันดูกังวลกว่าตอนแรกมาก เป็นใครก็ตกใจทั้งนั้นแหละ คนนะ จะแปลงร่างเป็นมังกรได้ไง นี่มันเรื่องเหนือธรรมชาติเลยนะ! ผมตกใจจนหายตกใจไปนานแล้ว
“ ก็ตกใจ... ” หน้ามันสลดลงจนแทบเหลือหนึ่งนิ้ว “ นิดหน่อย ”
“ ชลโกหก ”
บ๊ะ!
คนอุตส่าห์รักษาน้ำใจแล้วนะเว้ย
“ เออ ผมตกใจมากๆๆๆๆๆ จนจะบ้าแล้ว พอใจยัง! ”
ตะโกนใส่ด้วยความอัดอั้นก่อนจะได้เสียงหัวเราะของมันกลับมา ตลกบ้าอะไรห่ะ! พอโกหกไปก็ทำหน้าเศร้า บอกความจริงไปแล้วหัวเราะ... ไอ้มังกรประสาท...
“ ชล... อยู่กับพี่ ”
“ ... ”
“ ขอร้อง อย่าโกหกกัน ”
ผมเงียบ... รู้สึกเหมือนมีรอยรั่วในหัวกับคำพูดนั้น
คำพูดนั้น...มันแปลกๆ เหมือนจะ...เคยได้ยิน
ช่างมันเถอะ
“ ทำเหมือนผมจะอยู่กับพี่งั้นแหละ ไม่รู้รึไงเกลียด ” ผมว่าไป
มันยิ้ม “ รู้นานแล้ว ”
เกลียดแล้วยิ้มเนี่ยนะ... มังกรตัวนี้มันประสาทจริงๆ
“ ถ้าไม่ถามพี่แล้ว พี่จะถามต่อนะ ”
ผมขมวดคิ้วงงๆ “ ให้สลับกันถามว่างั้น ”
“ จะได้แฟร์ๆไง ”
“ ตอนนี้พี่อายุเท่าไหร่ ”
“ ยี่สิบเอ็ด ...ถ้านับตามอายุของโลกมนุษย์นะ ” ไอ้พี่นาททำหน้าครุ่นคิดยกมือขึ้นนับเลขกันเลยทีเดียว สังเกตดีๆบนหน้าเฮียแกรอยแต้มสีหน้าเงินเริ่มหายไปแล้ว... เหลือแต่มือมันที่ยังเป็นเกล็ดแข็งๆอยู่
“ เอาอายุจริงสิครับคุณ! ”
“ ก็...ห้าร้อยยี่สิบสองปี ”
ผมว่า...เรามาอยู่ในจุดที่อึ้ง ตะลึงจนจุกพูดอะไรไม่ออกแล้วล่ะ... รูปร่างภายนอกคือชายหนุ่มร่างสูงสวมชุดนักศึกษาใบหน้าอ่อนเยาว์วัยยี่สิบเอ็ด... แล้วจะให้ผมเชื่อเหรอ...
ว่า...คนตรงหน้าอายุตั้งห้าร้อยกว่าปีแล้ว
แต่...มันเป็นมังกร ผมลืม...
“ ทำไมไม่แก่ ” เด็กขี้สงสัยก็ต้องถามดิ
มันหัวเราะ “ เกินหนึ่งคำถามแล้วนะ ”
ผมชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะทำเสียงจิ๊ในลำคออย่างนึกขัดใจ “ เออ ถามผมมาดิ ”
“ แล้วชล...”
มันเม้มปากด้วยสีหน้าแปลกๆก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มหน้าระรื่นกวนประสาทผมแทน...
“ ...รังเกียจพี่มั้ย ”
รังเกียจมั้ยงั้นเหรอ...
ถ้ามันถามว่าเกลียดอะไรมันบ้าง ผมนี่ต้องตั้งโต๊ะแถลงการณ์เลยว่านายชลธีเกลียดคุณม๊ากมากแค่ไหน... ถ้าเจอคำถามนี้ต่อให้ว่างสามวันก็ยังสาธยายไม่หมด แต่...ถ้าถามว่า...รังเกียจมั้ยนี่...ก็คงมีคำตอบเดียวแหละ...
ไม่
“ ก็...ฮึ ” ขอฟอร์มหน่อย
“ ...หมายถึง...ไม่รังเกียจที่พี่เป็นมังกรใช่มั้ย ”
รู้ว่าผมฟอร์มจัดแล้วยังจะถามให้ผมอายอีกนะ...
“ ไว้พี่เป็นไส้เดือนแมลงสาบก่อนแล้วกัน ผมถึงจะรังเกียจ ”
ทำไมผมต้องแพ้มันตลอดว่ะ
ทำไมต้องมาขยายความตลอดให้ตัวเองเสียฟอร์ม...
“ ผมถามต่อได้ยัง ”
“ อื้อ! ” คราวนี้มันยิ้มกว้างตาปิดให้ผมเลยทีเดียว... ที่พวกผู้หญิงชอบพูดกันว่าหมอนี่มันยิ้มสวย... คงจริงสินะ...
เฮ้ย! คิดอะไรของมึงอยู่เนี่ยชลธี!
“ คำถามเมื่อกี้ ทำไมไม่แก่ ” ยังคาใจ
แม่ง...อยากรู้เผื่อผมจะได้อายุยืนยาวหล่อลากแบบมัน
“ ก็ร่างนี้ไม่ใช่ร่างจริงของพี่ไง ”
...ผมว่ามันค่อนข้างจะเหนือธรรมชาติหนักเข้าไปแล้วสิ มีหนังสือเล่มหนึ่งที่ผมเคยอ่านนะมันเป็นเรื่องเล่าคล้ายๆกับสิ่งที่ไอ้พี่นาทว่าแหละ... ทำไมรู้สึกมันชักประหลาดขึ้นทุกคำตอบ
ผมควรหยุดถามมั้ย
“ แล้วร่างจริงพี่เป็นยังไง ”
ยังอยากรู้อ่ะครับ
" เกินหนึ่งคำถามนะ ฮ่าๆๆ " ไอ้พี่นาทมันหัวเราะแต่ก็ไม่ว่าอะไรทำหน้าเลิกคิ้วข้างหนึ่งก่อนจะยกมือลูบคางทำท่านึกคิด... กวนทรีนนะมึง...
“ ก็... หล่อกว่านี้เยอะ ”
จบครับ จบการสนทนาเท่านั้น กลับบ้าน แยกย้าย!! ผมลุกขึ้นยืนพรวดพราดทำเอาไอ้พี่นาทตกใจลุกขึ้นตามผมทันที
“ เฮ้ย พี่ล้อเล่น นั่งก่อนๆ ถามต่อๆ ”
ผมเงยหน้ามองมัน “ ผมถามอีกคำถามแล้วกัน เบื่อจะคุยกับมังกรหลงตัวเองแล้ว ”
“ หลายๆคำถามก็ได้ ” มันว่าเสียงอ่อย
“ เก็บไว้ถามวันอื่นแล้วกัน ”
“ ...งั้นต่อจากนี้เราจะได้เจอกันบ่อยๆเหรอ ”
ผมว่า...ผมพลาดครั้งใหญ่เลย อยากจะตีปากตัวเองสุดๆ เพราะไอ้ความอยากรู้เรื่องของมันแท้ๆ เลยพลั้งปากออกไป โธ่...จะมีใครอีกนอกจากผมที่จะเจอมังกร เห็นมั้ย ไม่มี! เพราะงั้นผม นายชลธีจะเป็นผู้สืบค้นผ่าคว้านตับไตมาพิสูจน์เอง... อ่า...ผมว่าแค่ถามก็พอมั้ง ผมยังไม่อยากเป็นฆาตกรฆ่ามังกร
“ ไม่รู้เว้ย ” ชลธีจะไม่ยอมเผยไต๋อีกแน่ๆ “ จะให้ถามมั้ย! ”
“ ก็ถามมาสิ ”
ยิ้มอีกแหละ ไอ้ยิ้มที่เหมือนชนะผมตลอดเวลานี่...
แม่งโคตรน่าหงุดหงิด
“ ทำไม...ถึงเกล็ดขึ้นตอนหายใจ ”
ผมถามในประเด็นที่ผมสงสัย... ผมเรียนสายวิทย์คณิตมาตั้งแต่มัธยมต้นนะ โดนฟูกฟักให้คิดสงสัยสังเกตตั้งสมมติฐานหาคำตอบ ตอนที่มันเกล็ดลามถึงต้นแขนตอนนั้นมันสูดลมหายใจเข้าปอดไปเต็มๆ... เห็นเปล่า ผมช่างสังเกต!
“ อ้อ... ”
“ เพราะเราอยู่ในเขตป่าอาถรรพ์ ”
บทสนทนาเริ่มเข้ามาถึงในจุดยากอีกรอบ จุดที่ผมงงและไปไม่ถูก... มองรอบตัวที่เป็นป่าและป่า กลืนน้ำลายแทบไม่ทัน ที่นี่...คือป่าอาถรรพ์อย่างที่อาจารย์ศักดิ์ชัยบอกจริงๆนะเหรอ...
“ แล้ว...มันเกี่ยวอะไรกับพี่ ”
“ เกี่ยวสิ... เกี่ยวมากด้วย ”
มันจ้องลึกสบตาผมนิ่งแววตามันจริงจังแล้วสื่อบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจนัก...
“ ถ้าเป็นคนของป่าอาถรรพ์... หากเหยียบย่างเขามาในนี้ จะกลับร่างเดิมได้หากเราตั้งใจ ”
มือหยาบกร้านแข็งทื่อยกขึ้นลูบข้างแก้มผมเบาๆ มันเจ็บ... แต่ทำไมมันอุ่น... จนไม่อยากให้มันผละออกจากใบหน้าเลย
ไอ้พี่นาท... ตั้งใจให้ผมเห็น
ทำไม...ต้องผม
“ ...ทั้งๆที่นี่สำคัญ ...ทำไมถึงจำไม่ได้สักที ”
มันเอ่ยเสียงแผ่วเป็นอีกครั้งที่ผมไม่ได้ยิน วงคิ้วของผมขมวดเข้าหากันอย่างงงๆ รู้สึกตัวอีกทีก็กระเด้งตัวลุกหลบมือหยาบๆของไอ้พี่นาทแล้ว
“ กลับกันเถอะ เริ่มเย็นแล้ว ”
ไอ้พี่นาทมันยิ้มเหมือนกับเมื่อครู่ไม่เคยได้แตะหน้าผม ส่วนผมเองก็ได้แต่เม้มปากแน่นอย่างสับสน ไอ้เมื่อกี้มันอะไรวะ ทำไมไม่ปัดมือออก... เว้ย! ไม่เข้าใจมันเลยจริงๆ
ผมเงียบไม่ได้ตอบรับอะไร
มันก็มองหน้าผมแล้วยิ้ม...เหนื่อยๆ
ค่อยๆหันหลังเตรียมเดินนำเพื่อพาผมออกจากป่า
ผมมองแผ่นหลังนั่นแล้วเลื่อนไปมองแขน...
ยังเป็นเกล็ดอยู่...
“ แล้วจะไปสภาพนี้ ” ผมถามขึ้นท่ามกลางความเงียบของเรา
มันมองแขนตัวเองเล็กน้อย “ อีกพักใหญ่ๆก็กลับเป็นปกติ ไม่ต้องห่วงหรอก ”
ใครห่วงกัน!
ไอ้พี่นาทดูจะไม่ใส่ใจนักยิ้มให้ผมราวกับจะบอกว่า...มันไม่มีอะไรหรอก เหอะ... อวดดีชะมัดไอ้มังกือ กิ้งกือเอ๊ย
ตุบ...
“ ใส่ซะ ”
เสื้อคลุมสีดำของผมถูกโยนใส่หัวมัน...
ผมเบือนหน้าหนีสายตาและรอยยิ้มของมันที่ส่งกลับมา... ก็แค่...คิดว่าถ้าคนอื่นมาเห็นเข้า มันจะถูกเอาไปผ่าทดลองก็แค่นั้น เห็นแบบนี้ผมก็คนดีนะ!
“ ขอบคุณ ”
เสียงแผ่วของมันเอ่ยออกมาก่อนจะใส่เสื้อคลุมของผม... ไม่ลืมที่จะส่งยิ้มหวานๆมาให้
ผมพยักหน้าให้มันแบบส่งๆไป
จากนั้นเราก็เงียบกันทั้งคู่... เบือนหน้าไปคนละทาง...
ปล่อยให้สายลมอ่อนๆพัดพาความรู้แปลกในอกออกไปอย่างช้า...
รู้สึกเหมือนหัวใจมันแกว่งแปลกๆกับรอยยิ้มเมื่อกี้...
กลับไปหอ ผมคงต้องหาจิตแพทย์สักรอบก็น่าจะดี...
หรือ...จะไปหาหมอหัวใจดี...
รู้สึกเหมือนมันเต้นแปลกไปจังหวะหนึ่ง
**************************************************
ตอนนี้...
ผม...
ออกจากป่ามาได้แล้วครับ!!
อยากจะเต้นระบำรอบมหา’ลัยจริงๆ ต้องขอบคุณไอ้พี่นาทจริงๆที่มันมาเจอตอนผมหลงป่าพอดี พอออกจากป่าได้สัญญาณโทรศัพท์ก็กลับมาพร้อมข้อความนับครึ่งร้อยสายที่ไม่ได้รับเกือบๆยี่สิบสาย ดูผ่านๆแล้วส่วนใหญ่ก็เป็นไอ้นนท์นั้นแหละ แล้วก็มีเพื่อนในคณะที่สนิทกันอีกสามสี่คน ผมส่งข้อความไปหาไอ้นนท์บอกว่าออกจะป่าแล้ว ไม่ต้องห่วงก่อนจะปิดเครื่องหนี...
ยังไม่พร้อมโดนมันซักครับ...
“ กินอะไรก่อนกลับหอมั้ย ”
เสียงหล่อดังขึ้น อย่าถามว่าเสียงใครก็เสียงไอ้มังกรที่ผมบังเอิญไปตกเก็บมาได้ในป่าไงครับ ไอ้พี่กัมปนาทไง... ตอนนี้มือของมันเริ่มกลับเป็นมือคนปกติแล้ว แต่ตรงต้นแขนมันยังมีเกล็ดอยู่ เสื้อผมเลยโดนยึดไปโดยปริยาย...
“ เลี้ยงปะ ”
หันมายักคิ้วก่อนตอบ “ ก็ได้นะ ”
“ งั้นไป ”
ของฟรี มีหรือนายชลธีจะพลาด
ลาภปากสิครับคุณ
“ แล้วปกติมังกรกินอะไร ”
ผมถามมันขณะที่เรากำลังเดินผ่านร้านข้าวน่ากินมามากมายแล้ว...
มองไปรอบๆเพื่อหาร้าน “ ก็กินเหมือนมนุษย์ปกติแหละ ”
“ จริงอ่ะ ” เด็กช่างสงสัยเช่นผมก็ยังคงถามต่อ
“ พี่ไม่หลอกเด็กหรอกครับ ”
ผมชักสีหน้ากับคำว่าเด็กของมัน คิดว่าตัวเองผู้ใหญ่มากรึไงถึงได้ทำท่าทางดุผมเหมือนผมเป็นเด็กน้อย เฮ้ย แต่มันก็อายุตั้งห้าร้อยกว่าแล้วนี่หว่า ลืมเลย มังกรแก่
ร่างจริงมันคงเป็นตาแก่ถือไม้เท้าแน่ๆ...
“ สั่งเลย ”
เสียงไอ้พี่นาทว่าขึ้นเมื่อเราเข้ามานั่งในร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทางร้านหนึ่งหลังจากเดินมาเป็นชั่วโมงกว่าจะหาร้านถูกใจเจอ
“ ผมเอาเล็กต้มยำสองแล้วกัน ” ผมว่าไปเหมือนจะขออนุญาตมัน เพราะมันคือคนจ่ายตังค์ เราต้องให้เกียรติสิครับ นี่มารยาทงามดังชายไทยสมัยก่อนเลย
“ พี่เอาบะหมี่ต้มยำพิเศษเส้น สิบชามแล้วกันนะ ” มันหันไปบอกกันเด็กในร้านที่ยืนจดอยู่ เด็กสาวทำตาโตกับจำนวนชามไม่ต่างจากผม
“ กินหรือยัด ” ถามไปหลังจากเด็กพนักงานเดินออกไป
“ ปกติพี่ก็กินเยอะแบบนี้แหละ ”
“ นั้นสิ มังกรก็ต้องกินเยอะ ” ผมพึมพำราวกับคุยกับตัวเองก่อนจะเขี่ยๆก้อนน้ำแข็งในแก้วน้ำเล่นระหว่างรอเล็กต้มยำของตัวเอง
อืม... มังกรงั้นเหรอ
ทำไมผมต้องเป็นคนเจอด้วยวะ ยิ่งไอ้อาจารย์ศักดิ์ชัยนั่นก็พูดกรอกหูก่อนหน้าผมจะเจอกับมังกรประมาณชั่วโมง เหมือนว่าแกจะรู้เลยว่าผมจะเป็นคนเจอ... ผมว่าเรื่องนี้มันแปลกๆนะ
อืม จะว่าไป...เหมือนผมลืมถามเรื่องสำคัญไปนะ...
“ ไอ้พี่นาท ”
“ หือ? อะไรครับ ” มันช้อนตาอ้อนๆของมันขึ้นมาสบตาผม...
“ ถ้าพี่เป็นมังกร ”
“ แล้วฟ้าล่ะ เธอเป็นมังกรรึเปล่า ”
ใช่ ฟ้าเป็นน้องของไอ้พี่นาท แสดงว่า...ฟ้าของผมก็ต้องเป็นมังกร... ไม่จริงน่า บอกทีดิว่ามันไม่จริง ผมแอบชอบมังกรชอบมาเป็นปีๆเลยเหรอวะ
ไอ้พี่มังกือมันมองหน้าผมเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าเบาๆพลางระบายยิ้มไปด้วย...
“ ไม่ใช่...”
อะไรนะ...
“ ฟ้าไม่ใช่มังกร ”
ทำไม
“ ฟ้าเป็นมนุษย์ธรรมดา ”
ก็เป็นพี่น้องกันไม่ใช่เหรอ...
“ อีกเรื่อง... พี่กับฟ้าไม่ใช่พี่น้องกัน ”
เหมือนกับว่ามันอ่านใจผมได้ยังไงยังงั้น มันตอบมาตรงกับที่ผมกำลังตั้งถามในหัวทุกอย่าง... ผมนั่งอึ้งและสับสนกับสิ่งที่ได้ยิน มันเรื่องอะไรกันวะ
“ ไม่ใช่พี่น้อง... ได้ไง ก็ไหน ” ผมไม่สามารถเรียบเรียงคำพูดได้เลยจริงๆ ใครๆก็รู้ว่าทั้งคู่เป็นพี่น้องกัน
“ ชล... เชื่อเรื่องเวทมนตร์มั้ย ”
ไอ้พี่นาทมันยืดตัวนั่งดีๆก่อนจะโน้มมาเท้าคางกับโต๊ะให้ระยะการคุยของเราสั้นลงเพราะคนในร้านเริ่มเยอะขึ้นเหมือนกับมันกำลังกลัวว่าใครจะมาได้ยิน...
“ มังกร... สามารถใช้เวทมนตร์ได้ ”
ผมว่า...ผมควรไปนอนแล้วนะ มันเยอะเกินไปที่ผมจะรับไหวแล้ว... มังกร ป่าอาถรรพ์ เวทมนตร์... นี่มันลึกลับเกินไปแล้วนะ
“ แค่ลบและสร้างความคิดความทรงจำ สอดแทรกใหม่เข้าไป มันไม่ใช่เรื่องยาก ”
บะหมี่ต้มยำของไอ้พี่นาทสามชามแรกถูกวางบนโต๊ะ มันหยิบตะเกียบขึ้นมาก่อนจะเริ่มคีบเข้าปากช้าๆ...
“ อันที่จริง... มีคำถามหนึ่งที่พี่อยากให้ชลถามพี่ ”
อยากให้ผมถามงั้นเหรอ...
หลังจากมันกลืนเส้นบะหมี่ของมันไปเรียบร้อยแล้ว เล็กต้มยำของผมก็ถูกวางบนโต๊ะ มันรอให้เด็กพนักงานร้านเดินออกไปก่อนแล้วค่อยพูด...
“ พี่อยากให้ชลถาม... ”
“ ทำไมต้องเป็นชล ทำไมพี่ถึงอยากให้รู้ชลรู้ว่าพี่เป็นมังกร ”
นั่น...เป็นคำถามที่ผมอยากถามที่สุด
แต่ผมไม่แน่ใจกับคำตอบของมัน
ผมกลัวว่า...คำตอบของมันจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับผม
TBC
************************************
ขอบคุณนะคะ ฝากติดตามเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ
-
มังกือ 5555555 พี่นาทต้องการจะสื่ออะไรกับชลอ่า รอๆ :katai2-1:
-
เอ๊ะๆ พี่นาทกะชลมีซัมติงอะไรกันมาก่อนหรือเปล่าอ่ะ :hao4:
-
ชอบแนวนี้มากเลยค่ะ จะติดตามเป็นกำลังใจให้นะค่ะ >o<
-
หู้ยยยยยยย ชลเล่นตัว ซึนจริงๆเลย 555555555
-
โอยยยยยย ชอบบบบยบบบ
มาต่ออีกนะ ชอบมากกกกกกกกกกกกก
-
ชอบบบบบบบบบบบบบบ อยากอ่านต่อแล้วครับ ฮืออออออ
เป็นกำลังใจให้นะครับ ปูเสื่อรอยาวๆ
:z3: :katai1:
-
น่าสนจายยยย
-
พี่นาทกับชลต้องมีอดีตเกี่ยวข้องกันแน่เลย
รอตอนใหม่ :call: :call: :call: :call:
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
ชอบแนวนี้อ่าาา ติดตามๆๆ ปูที่นอนปูเสื่อรอเลยย :mew1: :call:
-
น่าสนใจมากค่าาาา ติดตาม ๆ :katai5:
-
เรื่องแปลกดี น่าติดตาม รออ่านบทต่อไปนะฮะ
ฟันเฟือนที่ว่า น่าจะเป็น "ฟันเฟือง" หรือเปล่า
-
สนุกมากๆเลยเรื่องนี้ :mew1: :mew1:
-
เปิดอ่านอีกรอบ ชอบจริงๆนะ 55555555 ชลดูขึ้นๆลงๆ ปูเสื่อรอทุกวันนะ :katai3: :katai3: :katai3: :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call:
-
ยังรอพี่มังกรอยุ่น่าาาา อัพ อัพ :call: :call:
-
โอยฟิน มาต่ออีกนะ ปูเสื่อรอแล้ว
ชอบแนวแบบนี้มากกกก
-
ชอบแนวนี้ แฟนซี ชลแกปากดีจริงเป็นไงหล่ะ
-
พี่นาทเป็งมังกรรรรรรรร
ชอบๆ :mc4: :mc4:
-
ว๊าวววว เรื่องมังกรหรือเนี่ยยย อยากอ่านต่อจังเลย
อยากรู้ว่าทำไมต้องเป็นชล มันมีไรในกอไผ่ใช่มั้ย มาต่ออีกไวๆเลยน้า
-
:-[ :-[ ชอบแฟนตาซีกิึ่งไทยที่สุดค่ะ กรี๊ด กร๊าซซซซ
-
รออยู่น่าาา รีบๆอัพน่าา อยากอ่านต่อแล้ววว :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
-
คนเขียนหายค่าาาาาาาาาา
-
:z3: หลงเข้ามาอ่านคือน่าติดตามมากค่าาา ต้องขอบคุณกระทู้เเนะนำเลยตามมา
แต่ว่านะเพิ่งเห็นวันที่อัพ คุณคนเขียนหายไปไหนค๊าาา มาต่อด่วนเลยค่าา หายไปนานต้องกลับมาต่อแบบคุ้มจุใจนะคะ
-
โอ้ยย แก อยากอ่านต่อ
-
มันต้องมีอะไรในกอไม้(?)แน่ๆอ้ะ โอ๊ยยย อยากรู้
-
ท้าวเวหา
๓
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่...
ก่อนจะวางตะเกียบในมือลงเปลี่ยนเป็นนั่งตัวตรงจ้องหน้าคนตรงข้าม...
ตอนนี้เหรอ... ตอนนี้ผมกำลังนั่งกินบะหมี่อยู่กับไอ้พี่นาทหรือไอ้มังกรกิ้งกือตัวประหลาดนั่นเอง หลังจากออกจากป่าก็ตรงดิ่งมานั่งชิวๆกินก๋วยเตี๋ยวกัน แต่ยังไม่ทันได้แตะก็เจอเข้ากับประโยคคำถาม ไม่สิแค่ปนระโยคบอกเล่าที่ทำเอาเงียบแดกกินไม่ลงเลยทีเดียว มันถามว่าอะไรน่ะเหรอ ก็...
‘ ทำไมต้องเป็นชล ทำไมพี่ถึงอยากให้ชลรู้ว่าพี่เป็นมังกร ’
คุณครับ... คุณจะให้ผมตอบยังไง
‘ เฮ้ยๆๆ นาย เราอยากรู้มากเลยนาย ว่าทำไมนายต้องบอกเราวะ’
ก็ไม่ใช่
หรือ
‘ พี่นาทค่ะ พี่นาทช่วยบอกเหตุผลกับน้องชลหน่อยนะคะ ’
อันนี้ก็ตุ๊ดไป...
พอๆๆ
ไม่ว่าจะอะไรจะให้ตอบแบบไหน ผมก็ไม่พร้อมฟังคำตอบอยู่ดี ถามว่าอยากรู้มั้ย ตอบเลย... อยาก!! แต่บางเรื่องมันก็ไม่ควรจะรู้อ่ะ แค่นี้รู้สึกชีวิตก็เริ่มแปลกๆไปแล้ว ให้รู้เพิ่มเติมดีไม่ดีพรุ่งนี้ผมอาจจะเสกคาถาป้องกันตัวจากมังกรได้ก็ได้นะ! (สมองไม่เหลือแล้วชลธี)
“ ถามไปพี่จะตอบเหรอ ” ผมถามไปตรงๆ เพราะรู้ดีว่าไอ้พี่นาทมันไม่ยอมบอกมาดีๆตรงๆแน่
มันก้มหน้าลงเล็กน้อยเหมือนเก็บความรู้สึก “ ...ไม่ ”
ผมไหวไหล่ประมาณว่า ‘ เห็นมั้ย แล้วจะให้ถามทำไม ’
“ พี่กลัวบอกไป ชลจะไม่เชื่อมากกว่า ”
ไอ้พี่นาทรีบแก้ต่างทันทีก่อนผมจะเข้าใจผิด โทษทีไม่ทันแล้วครับคุณ
“ ไม่มีอะไรน่าเหลือเชื่อไปกว่าพี่ล่ะ ”ผมว่าขำๆเพื่อเรียกบรรยากาศตึงๆให้คลายออก หยิบตะเกียบแล้วจ้วงเล็กต้มยำของตัวเองทันที
“ ฮ่าๆๆ นั้นสินะ ”
มันคลายสีหน้ากังวลลงก่อนจะลงมือกินบ้าง...
บางอย่าง แค่เราลืมๆมันไปก็อาจจะดี
ลืมบางคำที่อึดอัด
แล้วเริ่มต้นด้วยคำใหม่ที่รื่นรมย์จิตใจ
“ ให้เดินไปส่งที่หอมั้ย ”
เงียบได้สักพักมันก็เปิดปากถามอีก แต่คุณนาทครับ... หน้าผมอยู่นี่ คุณคุยกับชามบะหมี่ที่เจ็ดอยู่หรือครับ ตอนนี้ผมกินเสร็จไปแล้วสองจนต้องสั่งซาหริ่มร้านข้างๆมานั่งรอมันกิน
“ ไม่ต้อง กลับเองได้ ”
ไอ้พี่นาทเงยหน้าขึ้นมาด้วยสีหน้าดุๆคิ้วหนาขมวดเข้าหาเหมือนไม่พอใจนัก “ แต่มันมืดแล้ว อันตราย ”
“ ผม เป็น ผู้ ชาย ครับ ”
เน้นย้ำทีละครับเอาให้ชัดถึงเส้นสมองประสาทรับรู้เลยครับ...
“ ผู้ชาย ใช่ ” มันมองหน้าผมนิ่ง “ แต่พี่ก็ห่วงเราอยู่ดี ”
ตึก!!
แค่กๆ!
เสียงเหมือนอะไรกระตุกแรงๆ คลับคล้ายคลับคาเสียงหัวใจของนายชลธียังไงไม่รู้สิมันดังอยู่ในอกที่รับรู้ได้เพียงเจ้าของ แต่ไอ้เสียงสำลักซาหริ่มติดคอนี่ดังไปยันหน้าปากซอยแหละ
“ แค่กๆ พูดอะไร เพ้อเจ้อ ”
คนตรงข้ามเติมน้ำให้อีกแก้วเมื่อผมฟาดไปจนหมดแก้วรอบนึงเมื่อกี้ “ พูดจริง เป็นห่วง ”
“ พอๆ หยุดเลย จะอ้วก! ”
“ ฮ่าๆๆ โอเคๆ ” หัวเราะร่วนเลยนะ แกล้งได้แกล้งดี เดี๋ยวเอาคืนบ้างแล้วจะหนาว!
“ แต่ยืนยันคำเดิม... จะไปส่ง ”
ผมชักสีหน้า “ บอกว่า... ”
“ ไม่งั้นจ่ายค่าเล็กต้มยำกับซาหริ่มเองนะ ” ว่าหน้าตายสนิท
หึ... คิดจะเล่นไม้นี้กับผมเหรอ คิดว่าจะยอมเหรอ กับอีแค่ค่าข้าวค่าขนมแค่นี้ มีปัญญาจ่ายครับ
มีปัญญาจ่ายด้วยการเป็นเด็กล้างจานหลังร้านครับพี่
จ่ายให้เค้าด้วยนะตะเอง
“ เออๆ แค่ไปส่งก็จบใช่ปะ ”
ผมทำทีเป็นตอบปัดๆแบบรำคาญเออออยอมให้มันไปส่ง พอได้รับคำอนุญาตก็ยิ้ม จะยิ้มอะไรนักหนาห่ะ เปลือง! ดูดิ๊ โต๊ะข้างๆจะละลายแหละ
หมั่นไส้!
หลังจากออกมาจากร้านก๊วยเตี๋ยวผมกับมันถกเถียงกันอีกพักใหญ่ๆเรื่องจะเดินกลับหอหรือหารถสองแถวกลับ ไอ้ผมนั้นเมื่อย อยากนอนแล้วก็อยากนั่งรถกลับครับ แต่ไอ้คุณกระเป๋าสตางค์เดินได้ของผมชั่วคราวมันดันอยากเดินเที่ยวชมเมืองตอนกลางคืนก่อน ...แน่นอน... ผมยอมมัน เดินก็เดิน! เอาให้ขาลากเลยแม่ง!
“ กินขนมอีกมั้ย ”
วะ! ไม่ใช่เด็กนะที่จะเอาขนมมาล่อ!
“ อยากกินสายไหมร้านนั้น ”
ไม้ลูกชิ้นเนื้อในมือชี้ไปที่รถสายไหมสีสวย ส่วนอีกมือก็ถือถุงลูกชิ้นข้างในมีเหลืออีกห้าหกไม้... ชลธีเลี้ยงง่ายไม่กินเยอะครับ
“ อ่าฮะ ”
มันตอบรับเสร็จก็เดินเข้าไปคุยกับลุงคนขายท่ามกลางเด็กตัวเล็กๆที่มองมันอย่างประหลาดใจ ก็มันขนมสำหรับเด็กอ่าน่า ผู้ใหญ่เข้าไปซื้อก็แปลกๆ
เอ๊ะ! งั้นกูก็เด็กอ่ะดิ!
“ พ่อของลูกจริงจริ๊ง ”
ผมหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อเห็นไอ้พี่นาทควักแบงค์ห้าร้อยให้ลุงแล้วแจกสายไหมให้เด็กๆ อะไรจะคนดีปานนี้ ใครได้เป็นพ่อของลูกนี่โชคดีไปสิบชาติ
แล้วทำไมผมต้องมาชมมันด้วยห่ะ!
ยืนกินลูกชิ้นได้อีกสามไม้สายไหมสีฟ้าอ่อนอันใหญ่ถูกยื่นมาตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มกว้างๆที่ยิ้มไม่รู้จักเบื่อของคนที่ไปซื้อสายไหมมันทำให้ผมเผลอยิ้มนิดๆ แค่นิดๆน่า!
“ สีฟ้า ” ไม่มีอะไรน่าประหลาดใจไปกว่าสิ่งที่มันพูด
“ รู้นะ ว่าเราชอบสีฟ้า ”
ผมพยักหน้ารับส่ง “ เออ ”
“ ไม่ถามเหรอว่าพี่รู้ได้ไง ” มันชะโงกหน้ามาใกล้อย่างสงสัยเมื่อผมรับสายไหมไปถือแล้วเริ่มลงมือกินแทนลูกชิ้นที่เหลือ
“ ไม่อ่ะ ”
จบครับ จบการสนทนาแค่นี้บ่งบอกให้รู้ว่าผมต้องการกิน ไม่ต้องมาชวนคุย มันก็ไม่ว่าอะไรแค่ส่ายหน้าเนือยๆเท่านั้น เริ่มดึกคนก็เริ่มเยอะ เพราะผมมัวแต่กินเลยเดินชนใครต่อใครเยอะแยะจนไอ้พี่นาทก้มหัวขอโทษแทบไม่ทัน สุดท้ายมันเลยดึงถุงขนมทั้งหมดไปถือแล้วจับมือข้างนั้นไว้พาเดินแหวกผู้คนโดนใช้ลำตัวกันคนไม่ให้ชนผม ยิ่งคนเยอะมันยิ่งจับมือผมแน่นราวกับ...
กลัวผมจะหายไป
จะหายยังไงมือตุ๊กแกซะ
ตลอดทางผมเงียบไม่พูดอะไรปล่อยให้มันจับมือไปเรื่อยๆ ไม่รู้สิ สายตาของผมมันเผลอมองแผ่นหลังกว้างๆนั้นนานไปจนละสายตาไม่ได้... มันคุ้นเคยแปลกๆ
เลื่อนมามองมือที่จับแน่นที่ให้ความรู้สึก
อบอุ่น
หึ เมาขนมรึไงชลธี คิดบ้าอะไรวะ
ผมส่ายหน้าไปมาเหมือนคนบ้าอยู่พักใหญ่จนมาถึงหน้าหอตัวเองนั่นแหละถึงเลิกบ้ากลับมาเป็นคนกวนปากดีแทบไม่ทัน
ผมแหวใส่ทันที “ ปล่อยได้แหละ เหนียวมือชะมัด ”
“ โทษที ลืมตัว ”
มันว่าพร้อมสายตาเจ้าเล่ห์... จนขนแขนคนโดนจ้องลุกพรึ่บ
“ แยกย้าย ผมง่วงแล้ว เหนื่อย ”
“ อ่าฮะ ” มันพยักหน้าร่าเริงมีความสุขเต็มล้นอก มึงไปมีความสุขอะไรมาวะ (เสือก) แต่มันเล่นๆได้แปป สีหน้ามันก็นิ่งแล้วจริงจัง
“ ชล ”
“ อะไรอีกล่ะ ” คนมันง่วงแล้วนะเฟ้ยเดี๋ยวพ่อเตะคว่ำเลย!
“ มีปานติดตัวมาใช่มั้ย ”
วงคิ้วเริ่มชนกันพร้อมสีหน้างงเป็นเชิงถาม “ มี แล้วถามทำไม ”
“ เปล่าๆ ” ไอ้พี่นาทเดาะลิ้นราวกับใช้ความคิด “ อีกนานสินะ ”
“ ว่าไงนะ ” ผมฟังไม่ถนัดเลยถามใหม่ ไม่ค่อยจะเสือกเลยครับ
“ เปล่า แค่จะบอกว่า... ”
“ ฝันดีนะ เด็กดี ”
ว่าจบปลายนิ้วก้านยาวสากยกขึ้นมาหยิกแก้มผมเบาๆอย่างหมั่นเขี้ยวก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปจนหายลับไปกับความมืด...
อึ้ง
ผมยืนหน้าเหวออยู่พักใหญ่กว่าจะรู้สึกตัวก็ยืนหน้าแดงกุมแก้มตัวเองอย่างรู้สึกจะบ้าขึ้นมาซะเฉยๆ เมื่อกี้มันอะไรกันวะ!! อ๊ากกกก ไอ้พี่นาทกลับมาเคลียร์กันก่อนนะเว้ย!!
มาทำน่ารักใส่แบบนี้ คนมันใจเต้นนะเฟ้ย!!
****************************************************
หลังจากเลิกบ้าได้ก็ตรงดิ่งขึ้นห้องมาอาบน้ำอาบท่าเลิกฟุ้งซ่านได้สักแปปก็มานั่งคิดเล็กคิดน้อยอีก... นี่กูนิสัยแต๋วไปตั้งแต่เมื่อไหร่วะเนี่ย อยากจะเอาหัวโขกกำแพงให้สติกลับมาจริงๆ จะหน้าแดงอะไรหนักหนาวะ
“ เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกับกูวะ ”
ยกมีขึ้นทึ้งหัวอย่างคิดไม่ตกกับไอ้คำพูดที่ติดตราตรึงใจทั้งหลายทั้งแล มันต้องการจะสื่ออะไรของมัน วุ้ย ช่างมัน ยังไงก็คงไม่มีอะไรแล้ว ผมกับมันคงไม่ได้เจอหน้ากันบ่อยๆอยู่แล้วแหละ
“ ทำงานๆ ชล ทำงานสิว่ะ จะได้เลิกบ้า ”
เสียงพึมพำกับตัวเองว่าขึ้นพลางเช็ดผมเปียกๆอยู่หน้ากระจกแล้วต้องชะงักเมื่อเห็นปานสีน้ำเงิน ย้ำว่า สีน้ำเงิน มันประหลาดใช่มั้ยครับ ใช่.. มันโคตรประหลาดเลยเถอะ ปานนี้มันก็มีมาตั้งแต่เกิดแล้ว ตอนแรกมันเป็นรูปกลมๆรีๆ แต่ตอนนี้มัน... เอ่อ แปลก
ปานมันเปลี่ยนรูปได้ด้วยเหรอวะครับ
ผมยกมีขึ้นแตะตรงต้นแขนติดกับหัวไหล่ขวาแล้วลูบมันเบาๆ “ ไอ้พี่นาทมันถามถึงปานด้วยนี่หว่า ”
ไอ้ปานประหลาดนี่... มันเกี่ยวอะไร...
ช่างเถอะ คิดมากแก่ไว
ให้ชีวิตกูปกติสักวันสักอย่างเถอะครับ...
โอ๊ยๆ พอๆ ไปๆ เลิกคิด หาเสื้อใส่แล้วไปทำงานเถอะ งานสุมเป็นบ้า...
*************************************************************************
วันนี้จะยังคงเป็นเช้าที่สดใส ผมยังคงนอนหลับอย่างสบายใจเพราะมันเป็นวันเสาร์ หยุดเรียน มีเวลานอนพักผ่อนมากขึ้น ยิ่งเมื่อคืนทำงานจนดึกยิ่งต้องการนอนมากขึ้น ทุกอย่างมันจะเป็นไปตามนั้น หากว่า...
ก๊อก ก๊อก ก๊อก....
อืม สงสัยจะเป็นแฟนสาวของเพื่อนข้างห้อง คงจะเอาน้ำเต้าหู้มาให้ชัวร์ๆ ผมเดาไปเรื่อยแม้ตาจะยังคงหลับสนิท พลิกตัวตวัดขาหนีบหมอนข้างอย่างง่วงงุนสะลึมสะลือหาท่าสบายและ...หลับต่อ คร่อก
ก๊อก! ก๊อก!
สงสัยแฟนคนข้างห้องจะเริ่มโมโหแล้วครับ....
ก๊อกๆๆๆๆๆ!!!
แม่คุณครับ เคาะขนาดนั้นพังห้องแฟนคุณไปเลยก็ได้ครับ
ปัง!!! ปัง!!!
ผมว่านะ...
ผมควรเลิกหลอกตัวเองและลุกไปเปิดประตูห้องผมได้แล้ว...
ก่อนที่ห้องข้างๆจะบริจาครองเท้าให้ผม
เออ... ให้มันได้แบบนี้สิครับ ผมหยันตัวลุกขึ้นจากเตียงนุ่มๆด้วยความหงุดหงิดใจก่อนจะตะโกนออกไป “ รอแปป กำลังลุก! ”
เสียงเคาะประตูเงียบลงทันทีเสียงถอนหายใจพรืดหนักถูกพ่นออกมาพยายามเปิดเปลือกตาสู้แสงและสมองเริ่มทำการคิดคำด่า
คนที่กล้ามายุ่งย่ามเวลานอน ถ้าเป็นไอ้บรรดาเพื่อนรักนะ พ่อจะด่าให้ลืมทางกลับบ้านเลย...
“ มาทำอะไรแต่เช้าว่ะ คนจะนอน!! ”
กระชากประตูห้องเปิดกว้างพร้อมตีหน้ายุ่งใส่คนที่กล้ามากวนเวลานอนปรายหางตามองได้เพียงชั่วครู่ก็เบิกโพล่งอย่างตกตะลึงลืมง่วง้ลยทีเดียว
“ อรุณสวัสดิ์ครับน้องชล ”
รอยยิ้มกว้างสว่างเจิดจ้าจนต้องหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นใหม่ จ้องหน้าคนมากวนเวลานอนอย่างเอาเรื่อง...ไอ้มังกือ ไอ้ไส้เดือน ไอ้พี่นาท! มาทำเวรสวรรค์วิมานหาที่นอนอะไรตอนตีห้าห่ะ!
“ มาทำบ้าอะไรตีห้าวะ! มันรบกวนคนอื่นรู้ปะ ” ถามเสียงห้วนพร้อมหาววอดๆใส่มันทันใดมิวายบ่นไปชุดหนึ่ง
“ ตีห้าอะไร หกโมงจะเจ็ดโมงแล้วต่างหาก ”
มันทำหน้าซื่อแล้วชูนาฬิกาข้อมือให้ดู...
ชี้ไปทางด้านหลังที่มีนาฬิกาเรือนโตแขวนอยู่ “ นาฬิกาพี่เสียเถอะ ของผมเพิ่งตีห้า! ”
“ ของชลเสียสิไม่ว่า ไม่เชื่อดูโทรศัพท์ดิ ”
มันเองก็ไม่ยอมแพ้ที่จะเสียหน้า แน่นอนว่าผมก็มั่นใจว่าตอนนี้มันคือตีห้า นาฬิกาเรือนนั้นผมเพิ่งเปลี่ยนถ่านเมื่อสามวันก่อนเอง จะเสียได้ไง
“ ดูมั่นใจจริงนะ ” แขวะเข้าให้
มันหัวเราะออกมาสั้นๆ “ หึ ”
แต่สีหน้ามันนี่ ‘ คนหน้าแตกไม่ใช่พี่แน่นอน~ ’
ได้! เดี๋ยวรู้เลย!
ผมเดินเข้าห้องมาหยิบโทรศัพท์กดเปิดดูเวลาด้วยสีหน้าชั่วร้ายมากๆ... และเวลาคือ...
เพล้ง!
หึ เป็นไง หน้าแตกสิครับมึง มึงหน้าแตกเว้ย!
มึงไงไอ้ชล... หน้ามึงพังยับไม่เหลือล่ะ
06.49 น...
“ ไง~ กี่โมงครับ ”
เสียงกวนประสาทดังคลอมาในหัวพร้อมเสียงหัวเราะที่น่าจับฆ่าหมกป่า เออ! รอบนี้มึงชนะ! กูแพ้ครับ จบมั้ย
“ จะเจ็ดโมงครับ! ”
นี่ก็เสือกลืมตัวไปประจานความหน้าแตกยับอีก โอ๊ย อายกจับตัวเองทุ่มลงพื้นจริงๆ ผมทึ้งหัวตัวเองไปมาก่อนจะเดินปึงปังไปทางไอ้พี่นาทมังกรที่ยืนยิ้มเป็นอาแป๊ะร้านเฉาก๊วยซอยแปะเกี๊ยะถนนปอเปี๊ยะอำเภอแปะก๊วยจังหวัด... พอเถอะครับ ก่อนมันจะไปไกลกว่านี้....
“ แล้วมาทำไม ขึ้นมาถูกได้ไง ” น้ำเสียงบ่งบอกสุดๆว่าไม่พอใจมากๆ
“ ถามคุณป้าเจ้าของหอ เลยขึ้นมาถูก ” มันยิ้มโชว์เขี้ยวยักคิ้วให้นิดๆ
“ แล้วจะมาทำไม อย่าลีลา ตอบมา จะไปนอนต่อครับคุณ ” ผมว่าไปหาวไปด้วย ง่วงจริงๆนะ
ถุงน้ำเต้าหู้สามถุงสามสีถูกยื่นมา “ ซื้อมาฝากน้องชลครับ ”
ผมมองถุงน้ำเต้าหู้
แล้วเงยหน้ามองมันอีกรอบ...
เกิดคำถามบนใบหน้าขึ้นทันใด...
มันล้มหัวฟาดมาเหรอ
ปกติไม่เคยคิดจะมาวุ่นวายอะไรกับผม
ไอ้พี่นาทเห็นผมนิ่งไปนานก็โบกมือหย็อยๆ “ รับสิ ”
ผมยังเงียบมองมันต่อ... มันรู้ได้ไง ผมชอบกินน้ำเต้าหู้
“ ไม่ชอบกินเหรอ ”
ไอ้พี่นาทถามเสียงอ่อยรอยยิ้มหุบลงช้าๆเมื่อเห็นผมเงียบเอาแต่จ้องหน้ามันท่าเดียว
“ ชอบ” ผมเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบๆ “ ...ขอบคุณ ”
นายชลธีอยากจะชกหน้าตัวเองแรงๆสักสิบทีกะอีแค่เห็นหน้าหงอๆของมันถึงกับหายง่วงหายหงุดหงิดไปรับน้ำเต้าหู้มันมาอีก... เกิดอะไรขึ้นกับเขาเนี่ย
“ พี่กินด้วยนะ ” ท่าทีกระตือรือร้นกลับมาทันควัน
“ ไม่ พี่ซื้อมาให้ผม และผมรับแล้ว เพราะฉะนั้น...พี่กลับไปได้แล้ว ไปๆ ”
เมื่อของฟรีมาอยู่ในมือแล้วคนให้ก็ไม่สำคัญอีกต่อไป แหม่...ที่ใจอ่อนให้รับน้ำเต้าหู้ไปนี่ไม่ใช่อะไรครับ.. ของฟรีล้วนๆลาภปากอีกครา
หน้าด้านกว่านายชลธีก็ไม่รู้จะเรียกอะไรแล้วครับ
ร่างสูงใหญ่ถูกคนตัวเตี้ยกว่าอย่างผมผลักอกอย่างแรง...แต่แม่ง มันไม่สะเทือนสักนิดจนผมเผลอจิ๊ปากอย่างไม่พอใจพร้อมทั้งสีหน้าหงุดหงิดทำเอาคนมองรู้สึกขบขันได้ไม่น้อยต้อนรับเช้าวันใหม่ที่สดใส...ที่ต้องรอคอยมาแสนนาน
“ ไม่ไป ” พูดเสียงเรียบก่อนจะชะโงกคอมองผ่านเข้าไปในห้อง “ ขอเข้าไปในห้องได้มั้ย ”
ทำหน้ามึนๆแล้วชี้เข้าไป...
“ ไม่ได้เว้ย! ”
ผมแหวใส่ไอ้พี่นาทที่ยืนตีมึนไม่ไปไหน จะมาขอเข้าห้องผม บ้ารึเปล่าห่ะ!! ห้องรกอย่างกับรังหนู ใครมันจะกล้าให้เข้ากันเล่า เห็นแบบนี้ผมยังมีความอายอยู่นะครับ
“ ซ่อนใครไว้เหรอ ” มันหรี่ตามองผมราวกับจับผิด ท่าทางของมันตอนนี้เหมือนกำลังตามจับผิดแฟนอยู่ชัดๆ แต่เผอิญ... กระผมนายชลธีนั้น... ไม่ใช่แฟนมันครับ
“ ยุ่ง! ” ผมว่าไปอย่างไม่สนใจผลักอกมันอีกรอบแม้จะรู้ว่ามัน...ไม่ขยับก็ตาม
“ ไม่รีบกินน้ำเต้าหู้เหรอ เดี๋ยวเย็นจะไม่อร่อยนะ ”
มันพาเปลี่ยนเรื่องแล้วชี้มาที่น้ำเต้าหู้ในมือผม สายตาผมเลื่อนมองตามก่อนจะเบิกโพล่งเมื่อนึกได้ รีบหมุนตัวเข้าห้องไปหาแก้วมาใส่ทันที อู๊ยย คนเขาอุตส่าห์ซื้อมา ไม่กินก็น่าเสียดายแย่สิ
และด้วยความตะกละของตัวผมเองที่มัวแต่เทน้ำเต้าหู้อย่างระมัดระวังก็ลืมไปว่าตัวเองลืมปิดประตูห้องปล่อยให้ตัวอะไรๆเดินสำรวจห้องรกๆอย่างสนอกสนใจ
“ อยู่คนเดียวเหรอ ” เสียงมันถามขึ้นโดยที่ผมยังคงให้ความสนใจกับน้ำเต้าหู้อยู่ โอ๊ะ มีปาท่องโก๋ด้วยๆ
“ อืม ”
“ ไม่เหงาเหรอ ”
“ เออ ”
“ ไม่หารูมเมทหน่อยเหรอ จะได้ลดค่าห้อง ”
“ รวย ”
ผมตอบกลับไปปัดรำคาญแล้วปากเริ่มซัดน้ำพลางเคี้ยวปาท่องโก๋ไปด้วย กินได้สักพักก็หันไปมองทางไอ้พี่นาทอันกำลังทำตัวเป็นเด็กตัวน้อยเดินสำรวจตรวจห้องอย่างสนุก ผมมองแล้วเหมือนจะนึกอะไรออก...
“ เฮ้ย! เข้ามาได้ไง! ใครอนุญาตให้เข้าห้องว่ะ! ”
เสียงโวยวายมาทันทีฟาดงวงฟาดงาทันใดจนคนรองรับอารมณ์ถึงกับมึนไปเลย
มันสบตากับผมพร้อมทำหน้าเอือมๆ “ เด็กตะกละ ” แล้วก็ไม่ได้สนใจว่าผมจะโวยวายต่อหรือไม่
ไอ้พี่นาทมันว่าผมอย่างไม่ได้จริงจังนักแล้วหันไปให้ความสนใจกับโต๊ะทำงานรกๆที่เต็มไปด้วยกระดาษงานข้อมูลต่างๆที่จะต้อง
ทำรายงานส่งเร็วๆนี้...
“ ฝุ่นเยอะชะมัด ” ผู้บุกรุกพูดพลางยกปลายนิ้วที่ปาดไปตามขอบโต๊ะขึ้นมาดู
ผมถลึงตาใส่ส่อให้เห็นเลยว่าไม่ชอบใจที่มันมายุ่งวุ่นวายแบบนี้ แต่บังเอิญปากกำลังกินน้ำเต้าหู้ถุงที่สองอยู่เลยไม่ว่างด่าครับ
“ คุณชายครับ รับไม่ได้ก็ออกไปครับ ” ออกปากไล่พร้อมยกมือโบกไล่ไปด้วย
“ แล้วนี่รายงานอะไรเหรอ ” นั่นไง เริ่มกวนอวัยวะเบื้องล่างอีกแหละ
ผมบอกแล้วใช่ม่ะ
ว่ามันโคตรของโคตรกวนตีนเลย
“ ยุ่ง ”
ผมว่าอย่างไม่จริงจังนักก่อนจะแกะน้ำเต้าหู้ถุงที่สองต่อ ร้านหน้ามอชัวร์ๆ รสชาติอร่อยกลมกล่อมแบบนี้มีร้านเดียวแหละ
เพราะผมมัวแต่สนใจของกิน
“ เฮ้ย! ทำอะไร! ”
ผมร้องเสียงหลงเมื่อจู่ๆไอ้พี่นาทเดินไปทางหน้าห้องน้ำแล้วหยิบตะกร้าผ้าขึ้นเดินเก็บเสื้อผ้าของผมบางตัวที่ผมโยนไม่ลงตะกร้าอันระเกะระกะเต็มพื้น เขาเก็บขึ้นใส่ตะกร้าให้เงียบๆโดยไม่คิดรังเกียจ
“ ทำอะไร วางเลย! วางๆ ”
จู่ๆหน้าเริ่มร้อนขึ้นมานิดๆกับการกระทำบ้าๆของมัน
“ ก็เก็บผ้าให้ไง ” ยัง ยังจะมายิ้มอีก มันว่าจบก็เก็บเนคไทใส่ตะกร้า
“ ไม่ต้องยุ่งเลย วางลง มาทำอะไรแบบนี้ห่ะ ใครเขาทำกัน ไม่ใช่พ่อแม่ ” ผมบ่นใส่อย่างจริงจังแล้วท้ายประโยคเสียงแผ่ว
“ ไม่ใช่แฟนเขาไม่ทำกันหรอก ”
“ ว่าไงนะ ”
มันชะโงกหน้ามาแทบจะชิดกันพร้อมตาแป๋วๆ...
จมูกชนจมูก
อีกสองเซนหน้าผากจะแตะกัน
อีกคืบปากจะแตะกัน...
ถ้าในละคร...เขาต้องหลับตาใช่มั้ย...
งั้นผมคง...
เป๊าะ!!
ดีดหน้าผากไอ้พี่นาทเต็มเหนี่ยว หน็อย คิดจะฉวยโอกาสกันรึไงฟะ!
“ ดีดหน้าผากพี่ทำไมเนี่ย ” มันถอยหน้าหดคอหนีทันทีมือหนายกกุมลูบหน้าผากด้วยความเจ็บจนน้ำตาเล็ด สงัสยจะดีดแรงไปหน่อย หรือผิวมันบางว่ะ ไม่ดิ มันเป็นมังกร ผิวมันแข็งไม่รู้สึกหรอก
เอ่อ... แต่ๆ หน้าผากมันแดงๆเนอะ
“ ดีดเพราะหมั่นไส้ ”
ผมยื่นปากใส่อย่างเย้าแหย่ก่อนจะยกน้ำเต้าหู้ดื่มต่อ... เย็นหมดแล้วมัวแต่ทะเลาะกับมัน ขอไปอุ่นน้ำเต้าหู้ก่อนแล้วกัน คิดเสร็จสองเท้าแสนรู้ใจพาเดินไปยังไมโครเวฟแล้วอุ่นมันอย่างรวดเร็ว หอของผมมันค่อนข้างหรูนะ มีห้องน้ำห้องครัวห้องนอนแบ่งเป็นสัดส่วนไปคล้ายๆคอนโดแหละ แค่เล็กกว่าเท่านั้นเอง
“ ชล เครื่องซักผ้าอยู่ไหน ”
“ อะเอียงอ่า ”
พูดไปพลางเคี้ยวขนมปังไส้กรอกเซเว่นที่ซื้อมาเมื่อวานซืนมะรืนมะเรื่องไปด้วย ก็ไม่รู้นะว่ามันถามหาเครื่องซักผ้าไปทำไม จะซักผ้าให้ผมงั้นเหรอพ่อคุณ...
เฮ้ยเดี๋ยว... หรือมันจะซักผ้าให้ผมจริงๆว่ะ!
“ แค่กๆๆๆ ” เฮ้ยยๆ หยุดเลยไอ้พี่นาท จะมาทำตัวเป็นเหมือนภรรเมียของผมด้วยการดูแลเสียงยิบๆย่อยๆงานบ้านเนี่ยนะ
พอนึกได้แล้วก็สำลักขนมปังติดคอทันที แค่กๆ โอ๊ย น้ำ! กำลังจะเดินหาน้ำเสียงไมโคเวฟก็ดังขึ้นเลยหันไปเปิดแล้วคว้าน้ำเต้าหู้มากระดกพรวดจนลืมไปว่า...
มันร้อน...
“ ร้อน!! ร้อนอ่าๆๆๆ ”
ไม่โง่ไม่บื้อแบบชลธีทำไมได้นะคุณ... ผมยืนดิ้นเร่าๆกระทืบเท้าไปมาน้ำตาเล็ดแลบลิ้นออกมาแล้วเอามือพัดๆระบายความร้อน
โอ๊ยยย ปากพองเหงือกพังกันพอดี
เพราะเสียงโวยวายไม่หยุดของคนบื้ออย่างกระผมล่ะมั้งครับ นายกัมปนาทเลยเดินเข้ามาโซนห้องครัวด้วยใบหน้าตื่นๆแกมเป็นห่วง...
“ ชลเป็นอะไร ”
ผมรีบปรับสีหน้าเป็นปกติ “ เปล่า! ”
ใครมันจะยอมบอกวะ ว่ากินน้ำเต้าหู้ร้อนๆไม่เป่า
เสียฟอร์มเชิงชายหมดดิ
มันครางเบาๆรับ “ เหรอ ”
ต่าสายตามันกลับสอดเสือ.. เอ๊ย สอดส่องหาต้นตอ และแน่นอนมันก็เจอ... แก้วสีแหลืองเป็ดน้อยข้างๆตัวผมนี่ไง เวรแล้วมึง...
“ หึ เด็กชะมัด ” มันไม่ได้ว่าอะไรได้ทำแค่หัวเราะเบาๆยิ้มน้อยๆแบบ...เอ็นดู ผมรู้สึกแบบนั้นนะ แถมเอื้อมมือมาโยกหัวผมเลยอย่างถือวิสาสะจนผมต้องปัดทิ้งอย่างไม่พอใจเล็กๆ
“ พอเลย ไปไกลๆเลยไป๊ ” ผมว่าหน้าผมกำลังแดงแน่ๆ ไม่ใช่เขิน แต่อายน่ะสิไม่ว่า
“ ร้อนอยู่รึเปล่า ”
ไอ้พี่นาทหยุดยิ้มแล้วถามเสียงจริงจังมือเลื่อนมาจับปลายคางผมเบาๆแล้วจ้องดูปากเจ่อๆแดงๆใกล้ๆ
“ ไม่แล้ว ”
ปากน่ะไม่ร้อนแล้ว
แต่หน้าเนี่ยจะร้อนแทนแล้ว!
มันพยักหน้าหงึกๆแล้วหมุนตัวไปเปิดตู้เย็นหยิบเหยือกน้ำเย็นๆมารินใส่แก้วให้ผมเพื่อดับร้อนในปากที่ยังกรุ่นๆคุกๆอยู่ทั่ว...
เออ แล้วทำไมเมื่อกี้ผมไม่หาน้ำเย็นกินว่ะ
ไอ้ฟายยยยยยชลลลลล
“ แล้วเมื่อกี้ถามหาเครื่องซักผ้าทำไม ”
ดื่มน้ำเสร็จไปสามแก้วค่อยรู้สึกดีขึ้นหน่อย เอิ๊กก อิ่ม แฮ่
ไอ้พี่นาทยิ้มหวานจนแทบเห็นปีกงอกจากหลังวงแหวนงอกบนหัว “ อ้อ ก็ซักผ้าให้ไง ”
“ ทำทำไม ”
“ อยากทำ ” คนตัวสูงกว่าว่าพร้อมเบือนหน้าหนีให้เห็นริ้วปื้นแดงๆข้างแก้ม “ อยากดูแลเหมือนเมื่อก่อน ”
ห่ะ...
เมื่อก่อน?
เมื่อก่อนผมเคยคบมันด้วยเหรอหว่าาาาาา
เท่าที่จำได้...ตั้งแต่เกิดมา กูโสดครับ ทั้งโสดทั้งซิง ไม่มีใครเอา กระซิกๆ แล้วกูจะมาประจานตัวเองเพื่อ? ๆอ้คุณพี่เหมือนจะรู้ตัวว่าทำคนโง่อย่างผมเอ๋อแดกโง่กว่าเดิมเลยพาเปลี่ยนเรื่อง
“ วันนี้ว่างปะ ”
ทำไมจะพากูไปทัวร์ชิมรึไง
“ ว่าง ” ตอนแรกว่าจะทำงานนะ แต่เที่ยวหน่อยก็ดี ช่วงนี้งานเยอะ ขอพักผ่อนบ้างก็ดี
มันลังเล “ ไปเที่ยวกันมั้ย ”
“ ที่ไหน ”
“ ไม่บอก ” ยิ้มเจ้าเล่ห์อีก จะหลอกกูไปขายเปล่าว่ะ ยิ่งหน้าตาดีอยู่ด้วย
“ งั้นไม่ไป ” เอาสิๆๆๆ
“ เที่ยวฟรี ไม่เสียสักบาท”
อือหือ
“ แถมกินฟรีตลอดทริป ”
คุณกัมปนาท คุณมันร้ายนักที่เล่นข้อนี้ เล่นข้อนี้มีหรือกระผมจะ... “ ไปดิ อาบน้ำแปป! สิบนาที รอเลย! ”
วางของกินแก้วน้ำทุกอย่างในมือทิ้งแล้ววิ่งโร่ไปคว้าผ้าขนหนูเตรียมวิ่งผ่านน้ำ เอ๊ย อาบน้ำ แต่เสียงหล่อๆของไอ้พี่นาทขัดขึ้นก่อน
“ ชล ถามอะไรหน่อยดิ ”
“ เร็วๆ จะอาบน้ำ! ”
“ ปกติ มีใคร...เอ่อ มาช่วยชลเก็บห้องมั้ย ”มันถามพลางชี้ๆไปรอบห้องที่ค่อนข้างรก... กระดาษเอสี่ปลิวไปทั่วห้อง ปากกา สี ไฮไลท์กระจัดกระจาดทั่ว เพราะงานมันเยอะเลยไม่ได้มีเวลาสนใจจะเก็บนัก
กูมองกูยังทุเรศตัวเอง มึงไม่รู้สึกขยะแขยงกูบ้างเหรอหา ไอ้พี่นาท!
“ ไม่มี ”
“ พี่...คนแรก ” มองหน้าผมแล้วไอ้แววตาดีใจปนลุ้นระทึกนั่นมันอะไร
“ ก็...เออดิ ” ผมถอนหายใจ “ เก็บผ้าให้คนแรก ซักผ้าให้คนแรก พอใจยัง! ”
“ พอใจแล้วครับ ” ยัง ยังจะมายิ้มอีก
“ ไปอาบน้ำได้ยัง? ”
“ ได้แล้วคร้าบบบ ”
แต่ก่อนผมจะเดินเข้าห้องน้ำไป...
ผมเงียบใส่
มันยิ้ม
ผมเหลือบมอง
มันก็ยังยิ้มอยู่...
สุดท้าย...
ผมก็เผลอยิ้มออกมาจนได้....เฮ้อ
ไปอาบน้ำดีกว่า ก่อนจะเผลอแสดงออกมากไป...
หรือไม่ทันแล้วว่ะ
TBC.
ไม่ได้หายไปไหนน่าา ติดสอบ 55555 ขอบคุณทุกคอมเม้นท์น่า ติชมได้นะคะ ขอบคุณค่ะ เป็นกำลังใจให้ด้วยน่าา จะพยายามให้เขียนดีที่สุดค่ะ ^^
-
ชอบอ่ะ นาทน่ารักกกก
-
น่ารักเฟ้อออออ
-
คนนึงซึนคนนึงซน
-
พี่มังกรคะ ขนาดพี่แค่ซักผ้าให้นี่พี่ฟินขนาดนี้เลยเหรอคะ
เหอะๆ รักมากขนาดนี้ทำไมไม่เอาไปอยู่ด้วยเลยล่ะพี่
-
พี่นาทน่ารักเกินไปอ่าาาาา ดูแลดีเกิ๊นน อิจฉาชลอ่า มาไวๆน่าา รออออ :mew1: :mew1:
-
น่าร้ากกกกกกกกกก น้องชลขี้เวิ่นแต่น่าร้ากกกกกก
พี่นาทดีอ่ะ ชอบบบบบบบ รอตอนต่อไปน้าาาาา
-
เป็าเรื่องที่น่ารักใสๆ
แต่ก็ยังมีปมที่ทำให้แอบคิดอยู่
-
มาอัพเเล้วววว ชลซึนๆดีอ่า ชอบบบ ส่วนพี่นาทน่ารักมากเลยอ่า ชอบมาก ห่วงมาก เอากลับบ้านเลยสิค่ะ 5555555555 รอตอนต่อไปน้าาา :mew1: :mew1: :katai2-1:
-
คือดีอะ รอๆ
-
น่ารักเวอร์อ่ะ พี่มังกรอบอุ่นมากๆเลย ขอได้ไหม ฮ่า
-
รอๆๆๆ รอกันยาวๆไป
อยากรู้แล้วเนี่ย 555
-
พี่นาทนี่มารุกใส่ไม่ให้ชลตั้งตัวเลยนะ
-
พี่มังกรคะ ขนาดพี่แค่ซักผ้าให้นี่พี่ฟินขนาดนี้เลยเหรอคะ
เหอะๆ รักมากขนาดนี้ทำไมไม่เอาไปอยู่ด้วยเลยล่ะพี่
เอาน้องชลใส่พานถวายพี่มังกร :mew3:
@ PEiPEishawol2977 : ไม่หายไปไหนครับบ ปิดเทอม เจอกันคุ่มจุใจเเน่ :mew1:
@ vivisama : ต้องขอน้องชลก่อนนะคะ ฮ่าๆๆ :hao3:
-
เรื่องน่ารักดีค่ะ
พี่มังกรก็ค่อยๆจีบ เอ๊ย ป้อนข้อมูลน้องชลไปเนอะ
เดี๋ยวก้อคุ้นเคยขึ้นมาเองแหละ
-
ละมุนนนนนนนนน//มุดหมอนนน
ติดตามเลยน่าสนุกๆ
-
อยากได้แบบพี่นาทอ่ะ
ตามมาดูแลถึงขนาดที่ว่าซักผ้าให้ด้วย :-[
พี่นาทสู้ๆ น้ำหยดลงหินทุกวันหินยังกร่อนหัวใจน้องชลก็เช่นกัน
รอเวลาเมื่อไหร่มังกรจะได้ลงเล่นน้ำ :mew1:
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
ยอมแล้วทูลหัวอยากมีหลัวเป็นมังกร ~~
-
บุคลิกพี่นาท น่ารักดีอ่ะ ทำตัวน่ารักปากหวานแค่กับน้องชลใช่ไหม
รอชมต่อไปค่ะ น่าติดตาม
-
พี่นาทน่ารักจังเลยค่ะ เป็นคนรักกันมาตั้งแต่ชาติปางไหนรึเปล่าคะเนี่ย
-
อาถรรพ์พงไพร ๔
มันบอกว่าจะพาผมไปเที่ยว...
ใช่ มันโคตรสนุกเลย กินเล่นเที่ยวชิวๆตามที่มันบอก
ซะที่ไหนกันเล่า!!
“ แฮ่กๆ ยะ ยังไม่ถึงอีกเหรอ ”
ผมปาดเหงื่อบนใบหน้าออกเป็นรอบที่สิบเจ็ดของวัน แม้จะยังเป็นเวลาสายๆแดดอ่อนๆก็เถอะ แต่คุณลองมั้ย เดินขึ้นเขาข้ามน้ำปีนห้วยมาสองชั่วโมง ...ใช่ คุณฟังไม่ผิดหรอก
ขึ้นเขา!!
หึ อยากรู้ล่ะสิว่าอยู่ๆทำไมนายชลธีถึงได้นึกพิสดารมาปีนเขาขึ้นเขาลงห้วยให้ตัวเองเหนื่อยเล่น เปล่าเลย นู้น ไอ้คนข้างหน้านู้น มันหลอกผมมาครับ!!! น่าจับเหวี่ยงลงเขาจริงๆนะ นึกแล้วยังหงุดหงิดกับไอ้ประโยคเมื่อสองชั่วโมงก่อน...
‘ จะพาผมไปเที่ยวไหน ’ ผมถามหลังจากเราทั้งคู่ออกจากห้อง
‘ บ้านพี่ ’
‘ห่ะ บ้านพี่อะนะ ไม่ไป!! ’ เตรียมหมุนกลับหอ แต่มันคว้าไหล่ผมได้ทัน
‘ แต่บ้านพี่มีขนมเยอะนะ มีไร่องุ่นกับสตอเบอรี่ด้วย ’
มันว่าหน้านิ่งแต่รอยยิ้มมุมปากนั่นมันอะไร หึ... เพราะเหตุผลง่ายๆที่ทำให้ผมมาลำบาก
ไอ้นิสัยเห็นแก่กินนี่ไง!!
อยากจะตบกะโหลกตัวเองหลายๆทีอย่างที่คุณหญิงแม่เคยบอกจริงๆ เคยมีตอนเด็กๆ ผมเกือบโดนลักพาตัวหลายรอบแล้วเพราะไอ้นิสัยตามชาวบ้านต้อยๆถ้ามีขนมมาล่อเนี่ย...โตมาก็คิดว่าจะหายนะ แต่เป็นหนักกว่าเดิม มีครั้งหนึ่ง... เกือบโดนจับไปขายเพราะมันซื้อไอศกรีมแล้วล่อผมให้เดินตาม ดีที่แม่มาทัน ไม่งั้นไม่มีนายชลธีอยู่ทุกวันนี้หรอก
กลับมาปัจจุบันเถอะ อายประวัติตัวเองเหลือคณา ...ผมพาหน้ามุ่ยๆของตัวเองไปหามันที่ดูฟิตเปรี๊ยะไม่มีการหอบให้เห็น
“ ไอ้พี่นาท! อีกไกลปะวะ ” กูเหนื่อยล่ะ ทิ้งกูไว้ตรงกลางทางเถอะ
มันหยุดเดินแล้วหันมาถาม “ ไม่ไกลหรอก เหนื่อยแล้วเหรอ ”
“ ไม่เหนื่อยมั้ง! ”
มันพยักหน้า “ งั้นเดินต่อ ”
กูประชด เข้าใจมั้ยยยยยยยยย
ผมทำหน้าหงิกหน้างอไม่ยอมเดินต่อจนมันต้องหันกลับมาแล้ว “ เดินมาเร็วๆ ”
“ สั่งจริงเว้ย ”
ผมพึมพำเบาๆแอบด่ามันไปเล็กน้อยแล้วรีบเดินตามมันไป รอบกายมีแต่ป่า มีแต่ต้นไม้ นี่บ้านมันจะลึกลับไปแล้วนะ เดินไปเนี่ย
จะทะลุไปอีกโลกมั้ย ไหนๆชีวิตก็แฟนตาซีสุดแล้วก็เอาให้สุดๆไปเลยแล้วกัน
“ ต้องเดินแบบนี้ไปมหา’ลัยตลอดเลยเหรอ ” ผมชวนคุยเมื่อเห็นว่าบรรยากาศมันดูเงียบพิกล
“ เปล่า นี่เดินครั้งแรก ” มันส่ายหน้า
“ แล้วปกติทำไง ” อย่าหาว่าเสือก แค่อยากชวนคุยเฉยๆ
“ บิน ”
จบครับไม่ถามต่อแล้ว เออ มันไม่ใช่คนนี่จะเดินให้เสียเวลาทำไม เป็นมังกรก็บินไปบินมาแปปเดียวเดี๋ยวก็ถึง จะเดินให้เมื่อยตุ้มทำไง เอ๊ะเดี๋ยวนะ... แล้วจะเดินทำไม?
“ ไอ้พี่นาท!!!!”
เสียงผมทำให้ป่าแตกได้เลยทีเดียว โมโหน่ะรู้จักมั้ย! แววตาผมส่อถึงความโมโหสุดๆน้ำเสียงเกรี้ยวบ่งบอกอารมณ์ว่าดีสุดๆจนไอ้มังกือต้องหันมามองแล้วยิ้มแห้งๆให้
“ มีอะไรเหรอชล ”
“ ไม่ต้องมาถามเลย!! ” ผมเหวี่ยงใส่ไม่ยั้ง “ บินได้แล้วทำไมไม่บิน!! ให้เดินทำไมวะ! เหนื่อย ”
“ ก็บินมันใช้เวลาน้อย แต่เดินอ่ะ มีเวลาอยู่ด้วยกันเยอะ ”
ไอ้พี่นาทหันมายิ้มละไมให้เล็กน้อยมีมากมือเกาจมูกโด่งๆแก้เขินอีก คือ... คนที่สมควรเขินมันผมเปล่าวะ! ผมพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อตั้งสติและคิดย้อนไปถึงคำพูดของไอ้นนท์เมื่อวานก่อนตอนเที่ยงคืนๆกว่าๆมันก็โทรมาชวนคุยเรื่อยเปื่อยจนมาถึงเรื่องผม
‘ มึงออกจากป่ามาได้ไง ’
‘ พี่นาทอ่ะ ’
‘ อย่างที่ฟ้าว่าก็จริงอ่ะดิ! ’
‘ ฟ้าว่าอะไร ’
‘ พี่นาทกำลังจีบมึง ไอ้ชล! ’
‘ บ้า กูผู้ชาย จะมาชอบได้ไง ’
‘ ไม่รู้แหละ กูว่าเขาต้องจีบมึงชัวร์ๆ! มึงก็น่ารักดี นิสัยดี ถ้าตัดเรื่องเห็นแก่กินนะ ’
‘ มึงว่ากูเห็นแก่กินเหรอ! ’
‘ เออ!! ’ มันเงียบไปเล็กน้อย ‘ ถ้าเขาชอบมึงจริง กูก็โอเคนะ ’
‘ กูไม่โอเค! ’
‘ โอเคไปเถอะ หน้าหล่อๆอย่างไอ้พี่นาทเนี่ย มันจะมีหลงผิดมาชอบคนแบบแกได้สักกี่คน อย่ามาเรื่องเยอะ มึงไม่เอา กูเอานะเว้ย ’
‘ ไอ้เพื่อนเวรมึง @#$#%^$^%& ’
มันพยายามอวยไอ้ตัวประหลาดสุดกำลังจนผมคิด... แม่งไอ้พี่นาทเนี่ยมันไปติดสินบนอะไรมันไว้
“ เงียบเลย งอนเหรอที่ไม่พาบินมา ” มันเอ่ยถามไม่วายยักคิ้วให้อีก
ผมทำหน้าบึ้ง “ ไม่ได้งอน แค่เหนื่อย! ”
“ เราก็ขึ้นมาไวๆสิ เนี่ย ถึงแล้ว ”
มันควักมาเรียกตอนนี้มันอยู่ตรงเนินโขดหินใหญ่ข้างบนส่วนผมก็อยู่ข้างล่างมองตามไปด้วยสายตาละห้อยบวกอนาถใจทำไมดูมันไม่เหนื่อยเลยฟะ ผู้ชายก็ผู้ชายเหมือนกัน
“ มันเหนื่อยนะเว้ยยยยย ”
ผมบ่นลั่นป่าก็ยังไม่หายเหนื่อยหรอกและสุดท้ายก็จำยอมเดินลากสังขารตัวเองขึ้นไป ทำหน้าตึงใส่มันไปนิดนึงให้สำนึกที่พาผม
มาลำบากแต่เปล่าเลยมันยิ้มหน้าระรื่นกวนส้นกลับมาแทน
พอพ้นโขดหินใหญ่ก็พบกับพื้นหญ้ากว้างใหญ่ไม่ไกลมีบ้านไม้สามชั้นหลังใหญ่ตั้งตระหง่านจนผมอดประทับใจในความสวยงามไม่ได้ พอดูไปเรื่อยๆรอยยิ้มผมเริ่มหุบลงแปรเปลี่ยนเป็นคำถามและความแปลกใจ...
และสิ่งที่ทำให้ผมแปลกใจคือ...
บ้านหลังนั้น
มันคือบ้านที่ผมฝันเห็นมาตลอด...
ตอนผมอายุประมาณสิบห้าสิบหกผมมักจะฝันเห็นอะไรแปลกๆมาตลอด มันเป็นเรื่องราวด้วยซ้ำ ฝันติดๆกันทุกคืน แถมบางครั้งยังเป็นเรื่องซ้ำๆซากๆอีก ไม่แปลกที่ผมจะจำฝังใจเข้าเส้นเลือดแกนสมอง
ไม่รี่รอให้ไอ้พี่นาทพูดอะไรร่างกายของผมเดินตรงไปที่บ้านนั้นอย่างไม่รู้สึกเนื้อรู้สึกตัว ไออุ่นและกลิ่นอายคุ้นเคยที่น่าประหลาดบีบคั้นในอกจนรุ่มร้อน กะพริบตาอีกทีผมก็มาหยุดตรงหน้าประตูของบ้านแล้ว ฝ่ามืออุ่นยกขึ้นแนบกับประตู เพียงแค่แตะแผ่วเบากระแสไฟฟ้าจากไหนไม่รู้แล่นเข้ามากระทบจนต้องรีบชักมือออก สติกลับมาเต็มร้อยฉับพลัน คราวนี้ก็ยืนเป็นงงสิครับ... มาทำอะไรตรงนี่หว่า แถมยังเดินนำเจ้าของบ้านมาอีก
“ ชล... เป็นอะไรรึเปล่า ” มันถามด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แววตามันจ้องลึกลงมาในตาผม ผมเห็น...แววตาสีน้ำเงินกำลังวูบไหวและปกปิดบางอย่างไว้ก่อนที่มันจะกลับเป็นสีดำปกติ
“ เปล่า ” ผมกลั้นหายใจเล็กน้อย “ บ้านสวยดีนะ ” พาแถไปอย่างอื่น
ไอ้พี่นาทพยักหน้าอย่างไม่ถือสาอะไร ก่อนจะล้วงมือหากุญแจในกระเป๋ากางเกง...
“ บ้านพี่เหรอ ใหญ่ไปปะ ” ผมถามเพื่อสร้างบรรยากาศชิวๆไม่ให้น่าอึดอัดเกินไป
“ ไม่หรอก ไม่ใช่บ้านพี่ ” มันส่ายหน้ายิ้มๆ
“ ของพ่อแม่พี่งั้นสิ ”
“ ไม่ใช่ ” คราวนี้ไอ้พี่นาทเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมแบบจริงจัง แวบหนึ่งมีความน้อยใจอยู่ปะปน
วะ!
นี่กูไปทำอะไรให้มึงน้อยใจวะครับ!
ผมทำหน้าไม่ถูกไม่รู้จะพูดยังไง บ้านมันก็ไม่ใช่ บ้านพ่อแม่มันก็ไม่ใช่ ทำไม... มึงสร้างเองจากเวทมนตร์เหรอครัช
“ สร้างจากเวทมนตร์อ่ะดิ ” น่าตีกับความปากไว
มันพยักหน้าพลางไขกุญแจเข้าบ้าน “ ใช่ ”
“ พี่สร้างได้จริงดิ สร้างให้ผมสักหลังดิ เอาแบบนี้เลย อยากได้ ” ผมเขย่าแขนมันเหมือนเด็กๆ จนมันเผลอหัวเราะ ดึงผมให้เดินตามเข้ามาในบ้าน
“ รู้อะไรมั้ย... บ้านหลังนี้น่ะ ”มันเว้นวรรคให้ผมงงแปปก่อนจะนิ่งค้างเมื่อมันเข้ามาประชิดตัว
“ ชลธารเป็นคนสร้างขึ้นเลยนะ ”
มันโน้มมากระซิบเสียงหนักข้างหูผมคล้ายจะตอกย้ำเข้าไปในสมองน้อยๆของผม ผม...กำลังไม่เข้าใจกับสิ่งที่มันพูด...
ชลธาร...ใคร กิ๊กเก่ามึงสินะ เผอิญกูชื่อชลธี ไม่ใช่ชลธารว่ะ ด้วยความไม่ชอบใจเท่าไหร่ผมเลยผลักอกมันออกอย่างแรงจนมันงงไปเลย เออดี งงตายไปเลย
นี่มันกำลังสับสนจนละเลือนจำผมผิดกับกิ๊กเก่ามันรึไงฟะ หน้ากูเหมือนแฟนเก่ามึงรึไง
แล้วทำไมผมต้องหงุดหงิด! ไหนตอบ!
ไอ้พี่นาทยืดตัวตรงแล้วเดินนำผมเข้าไป...
ผมยังคงยืนเงียบอยู่ที่เดิม...
มันเดินไกลออกไป... แต่ผมยังอยู่ที่เดิม
เจ็บ... เจ็บมือชะมัด
ผมเหลือบมองมือตัวเองที่เผลอกำแน่นตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้...
นี่ผมกำลังเป็นบ้าอะไรเนี่ย!
วันมามากรึไง ห่ะ!
“ บ้าชิบ ”
ผมสบถออกมาเมื่อความรู้สึกบางอย่างกำลังครอบงำไปทั่วจนทำให้อารมณ์เสีย ยืนทะเลาะกับตัวเองได้สามสี่นาทีก็เสยผมไปทางด้านหลังอย่างไม่ค่อยชอบใจตัวเองนักแล้วค่อยก้าวเดินตามหลังไอ้พี่นาทไป
ว่าแต่... มันไปทางไหนแล้ววะ
เอาแล้วไงชลธี... หลงแล้วไงมึง
ผมหันไปรอบตัวเองอย่างเครียดๆไม่รู้จะไปทางไหนดี บ้านเนี่ยจะใหญ่ไปไหน ทำความสะอาดเหนื่อยตายกันพอดีวุ้ย เอาวะ! เดินๆมั่วๆไปก่อนแล้วกัน
คิดเสร็จผมก็เดินไปทางซ้ายเจอกับห้องนับสิบ...
เอ่อ... จะเปิดเข้าไปดีมั้ย ก็เห็นไอ้พี่นาทมันเดินมาทางนี้นี่หว่า แล้วอยู่ห้องไหนล่ะเนี่ย ช่างแม่ง! ไล่เปิดมันทุกห้องเลยแล้วกัน จะหาว่าไร้มารยาทก็ว่าเถอะ นายชลธีไม่เคยอายใคร ด้านมากมายครับ
แต่ยังไม่ทันได้แตะกลอนประตูเสียงทุ้มของใครก็ไม่รู้ตวาดขึ้นจากทางด้านหลัง
“ นั่นเจ้าจะทำอะไร!! ”
วงคิ้วเรียวขมวดคิ้วกับสรรพนามแปลกๆที่ดังขึ้นก่อนจะหันหน้าไปทางต้นเสียงจากข้างหลัง ก่อนจะตกตะลึงอึ้งค้างจัดกับใบหน้าคมคายเข้าขั้นหล่อแบบไม่ใช่มนุษย์มนา
ทำไมหล่อ!!
ผมยาวๆถูกเกล้ารัดรวบๆทำให้เจ้าตัวดูเซ็กซี่ ไหนจะผ้าคาดหนังปิดตาซ้ายที่ดูดิบๆเถื่อนๆนั่น... รวมๆ มันไม่น่าจะใช่คนแล้ว หล่อเกิ๊นนนน กูอิจฉา!!
แต่พอมันเห็นหน้าผมชัดๆมันก็ตะลึงไม่ต่างกัน
“ จ้าว... มา..ได้ยังไง ” มันหลุดมาเบาๆ
หือ จ้าว ใครวะ
“ จ้าว... ” มันว่าอะไรของมันแต่ไอ้ที่ปรี่ตรงมายังผมแล้วเขย่าๆเนี่ย มันใช่เหรอ! เขย่าเหมือนกูเป็นเซียมซี มึนเว้ย “ จ้าวจริงๆด้วย ”
“ ปะ ปล่อย นายพูดเรื่องอะไร เราไม่เข้าใจ ” ผมพูดออกไปแบบนั้นมันก็ชะงักเบิกตาอย่างตกใจ ชักมือหนีเหมือนผมเป็นของร้อน
มันพยายามย้ำ “ ใช่สิ ต้องใช่ ”
“ ก็บอกว่าไม่ใช่ไง! ” ผมตะคอกใส่หน้าจนมันชะงักไปแล้วกวาดตามองหน้าผมดีๆ...
“ นั่นสิ... ไม่ใช่ คงไม่ใช่หรอก คงจำผิด โทษที ” มันว่าก่อนท้ายประโยคจะแผ่วเบา “ ...อย่างที่ไอ้ท่านท้าวบอกสินะ ”
คุณพี่ตาข้างเดียวว่าถอยห่างจากผมก้าวหนึ่งแล้วมองด้วยแววตาแบบเดียวกับไอ้พี่นาท... เจ็บปวด น้อยใจ
โอ๊ยยยย กูไปทำเวรทำกรรมอะไรให้พวกมึง มึง และมึงน้อยใจกันห่ะ
“ เจ้า เอ๊ย นายมากับท่านทะ...เอ่อ นาทใช่มั้ย ”
คนแปลกหน้า(เปลี่ยนสรรพนามไปเรื่อยตามอารมณ์นายชลธี)พูดติดๆขัดๆเหมือนไม่เคยคุยกับคนแปลกหน้า เฮ้ย สรุป ผมหรือมันวะที่เป็นคนแปลกหน้า
มันอ่ะแปลกหน้า ส่วนผมอ่ะหน้าแปลก #ทำร้ายตัวเองสุด
“ ใช่ๆ นาย เอ่อ พี่เห็นเขามั้ยครับ ” ดูจากรูปร่างและหน้าตา กูควรเรียกพี่แหละ สูงพอๆกับไอ้พี่นาท หรือ...กูเตี้ยเองวะ
“ อยู่ห้องอาหาร เดี๋ยวข้า เอ่อ ฉันพาไป ”
พี่ท่านพยักหน้าให้ส่งๆแล้วนำไปอีกทาง เมื่อกี้ไอ้พี่นาทไม่ได้มาทางนี้เหรอฟะ มึงนี่มั่วได้ใจเลยจริงชลธีเอ๊ย
“ พี่เป็นพี่ของพี่นาทเหรอครับ ” หน้าตาไม่เห็นจะคล้ายกันเลย
มันตอบเสียงเย็น “ เปล่า ไม่ใช่ ”
เออ กูไม่ถามแล้วก็ได้ แหม่ ท่าจะดุขนาดนี้
ชื่อแซ่ว่าจะถามก็ช่างมันแล้ว ไม่กล้าถาม กลัวเฮียท่านกระโดดกัดคอครับ
คนแปลกหน้าที่ไม่รู้ว่าเป็นใครพาผมเดินผ่านห้องต่างๆอย่างชำนาญทั้งที่มันเหมือนเขาวงกตน้อยๆชัดๆ จนมาถึงห้องอาหารที่มีไอ้พี่นาทนั่งหันซ้ายหันขวาเหมือนมองหาอะไรอยู่ พอเห็นหน้าผมก็ลุกมาหาทันที
“ หายไปไหนมา! พี่ตกใจหมด คิดว่าเราหลงไปไหนแล้ว ”
เอ่อ... หน้ากูดูโง่ขนาดหลงเลยเหรอ
คนพามาหลุดขำมาเล็กน้อย “ หึ ”
“ เออหลง ใครใช้ให้เดินไว ” ผมจิกตาใส่อย่างเอาเรื่อง
“ ขาสั้นสิไม่ว่า ” พี่คนหล่อหน้าโหดว่าพลางปรายตามองช่วงขาของผมที่สั้นกว่ามันเยอะ เพราะหัวผมสูงเท่าจมูกมันเท่านั้นเอง ซึ่งผมสูงถึงร้อยเจ็ดเก้าเซนติเมตรเลยนะครับ มันสิสูงเกินมาตรฐาน สองเมตรนี่น่าจะได้นะ คนหรือเปรตฟะ
“ อย่าทะเลาะกันน่า สกาย ” ไอ้พี่นาทเข้ามาขวางทัพด้วยใบหน้ายิ้มๆ ดูไม่ทุกข์ร้อนเท่าไหร่
สกาย... ชื่อเพราะดี ไม่เหมาะกับหน้าแบดๆของคุณพี่ท่านเลยจริงๆ
“ เออ แล้วคิดยังไงพามาที่นี่ เขารู้เรื่องพวกเราแล้วเหรอ ”
“ รู้แล้ว ”มันระบายยิ้มแต่แววตาอ่อนล้าจนผมใจหาย “ ที่พามาก็...เผื่อจะมีอะไรๆดีบ้าง ”
“ แล้วผลเป็นไง ” สกายถามแม้จะรู้คำตอบอยู่เต็มอก
พวกเขาพูดเรื่องอะไรกัน
ผมมองไอ้พี่นาทสลับกับพี่สกายด้วยความไม่เข้าใจ แต่ที่รู้ๆคือมันสองคนพูดถึงผมอยู่ชัวร์ๆ ความรู้สึกมันบอกแบบนั้น เอ๊ะ หรือเราไม่ควรมโนไปเอง เดี๋ยวไม่ใช่เราแล้วมันจะเจ็บ
ไอ้พี่นาทมองหน้าผมแล้วฝืนยิ้ม “ อย่างที่นายเห็น ”
“ ...มันไม่มีอะไรดีขึ้นเลย ”
มันว่าจบด้วยน้ำเสียงสั่นๆแล้วดึงผมเข้าไปกอดแนบอกความอุ่นร้อนแล้วความรู้สึกหวาดกลัวจากคนกอดทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก ตกใจก็ตกใจ ไหนจะความรู้สึกแปลกๆจนแทบระเบิด ผมทำท่าจะดันมันออกแต่เสียงอู้อี้คล้ายคนหมดแรงได้เอ่ยยื้อรั้งไว้ “ ขออยู่แบบนี้สักพัก...นะ ”
ใบ้แดกสิไม่รู้จะตอบอะไรพอเงยหน้าไปขอความเห็นจากพี่สกาย เฮียแกก็ทำท่าเหมือนให้ผมกอดตอบ พอผมไม่ทำมันก็ท่าทำขู่เหมือนจะปาดคอผม แทบยกมือไม้ขึ้นกอดตอบเกือบไม่ทัน
มันคิดว่าผมเป็นชลธงชลธารแฟนเก่ากิ๊กเก่ารึไงกัน ถึงมากอดเนี่ย เว้ย! แล้วมึง ไอ้ชลธี มึงเลิกหงุดหงิดซะ!
ท่ามกลางความเงียบงันมีเพียงเสียงหัวใจของคนตรงหน้าที่ผมกอดไว้ดังก้องในหัวใจ
“ มันทรมานนะ ” ไอ้พี่นาทเอ่ยขึ้นเสียงสติให้ผมหันไปสนใจ
“ ... ” ไม่รู้จะตอบอะไร เลยได้แต่เงียบ
“ ทรมานที่ต้องอยู่ในสภาพแบบนี้ ”
“ ... ”
“ ทำไมถึงจำไม่ได้สักที ทำไม... ”
มันพูดวนซ้ำๆเหมือนสติหลุดไปแล้ว ส่วนไอ้คนไม่รู้อะไรอย่างผมก็ไม่รู้จะพูดยังไงนะ... แต่คงต้องพูดอะไรบ้าง เพราะดูเหมือน...คนที่มันพูดถึง คนที่มันกำลังต่อว่า...
มันคือ ผม
ถ้าผมคิดไม่ผิดนะ
“ ...ขอโทษนะ ”
!!
คำขอโทษที่ไม่รู้อะไรของผมไม่ได้ทำให้ไอ้คนที่กอดผมอึ้งไปแค่คนเดียวรวมถึงพี่สกายด้วย ใช่... ผมไม่รู้อะไรเลยจริงๆนั้นแหละ ความรู้สึกผมก็ครึ่งๆกลางๆ รู้สึกคุ้นเคยแล้วก็จำอะไรไม่ได้ มันน่าหงุดหงิดนะ
บางทีคนที่มันพูดอาจจะไม่ใช่ผม หรือจะใช่ผม อันนี้ผมไม่รู้... ไม่อยากเข้าข้างตัวเองไง
แต่แบบผมสงสัย...ตั้งแต่ที่มัน เอ่อ หมายถึงไอ้พี่นาทเนี่ย ให้ผมรู้แล้วว่ามันเป็นมังกรแล้ว มันคงเป็นเรื่องที่น่าจะเกี่ยวกับผมนั่นแหละ เห็นหน้าโง่ๆแบบนี้ ผมก็ฉลาดนะคุณ แอบผสมความมโนส่วนตัวลงไปใส่สีตีไข่เพิ่มนิดๆ
“ ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอก... นายไม่ใช่เขา ”
ผมสะอึกไปเล็กน้อยกับสิ่งที่เฮียสกายแกกำลังพูด... ไม่ใช่ผมสินะ
ทำไมรู้สึกผิดหวังจังที่ไม่ใช่ผม
พี่สกายว่าเสียงแผ่วแทบกลืนหายไปกับเสียงลมหายใจ ใบหน้าหล่อเบือนไปอีกทางกัดเม้มริมฝีปากซีดเหมือนกักเก็บบางอย่างไว้ “ ขอโทษ...ที่ตอนนั้น ถ้าพวกเราไปทัน... เขาคง...”
“ พอแล้ว... ”
เสียงทุ้มเอ่ยหนักข้างหูผมก่อนจะผละออกจากกัน มันถอยไปก้าวหนึ่งแล้วส่งยิ้มสบายๆให้เหมือนเมื่อกี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนผมเริ่มตามไม่ทัน
“ เดี๋ยวถึงเวลา ก็คงจำได้เอง ” สีหน้าดูคาดหวังผิดกับดวงตาที่เศร้าสร้อยเหมือนพยายามหลอกตัวเอง
พี่สกายพยักหน้ารับ “ ตอนนี้ก็พยายามๆรื้อๆฟื้นๆไปก่อนก็พอ ”
“ อื้อ ”
“ แต่คงต้องรีบนะ... เหลือเวลาไม่มากแล้ว ”
พี่นาทหน้าตึงไปเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับแอบเห็นมันกำหมัดแน่นก่อนจะคลายออกเมื่อเห็นว่าผมกำลังมองมันแล้วค่อยๆส่ายหน้าให้ผมราวกับบอกเป็นนัยๆว่าไม่มีเรื่องอะไรหรอก
“ ชลอยากกินองุ่นมั้ย ” บรรยากาศตึงเครียดหายวับทันทีเมื่อชวนเข้าเรื่องของกิน
มีหรือจะปฏิเสธ “ กินดิ! ”
“ สกายไปหยิบมาให้หน่อย ” มันสั่งไปอีกทอดหนึ่งแล้วจูงมือผมมานั่งที่โต๊ะไม้สักยาวกลางห้องอาหารเยื้องๆไปก็เป็นห้องครัวใหญ่
“ เออครับ ท่านท้าว แต่ลืมไปแล้วเหรอ ผมรับใช้จ้าวคนเดียว คนอื่นไม่ ”
สกายว่าด้วยสีหน้าเรียบนิ่งค่อนไปทางเย็นยะเยือกจนผมแอบเสียวสันหลังไปเลย แต่ดูเหมือนไอ้พี่มังกรมันจะชินไปแล้ว ทำเพียงยักไหล่แทน
“ แต่ที่นี่ฉันใหญ่สุด ทีนี้ไปหยิบมาให้ได้ยัง ” มันยักคิ้วส่งไปให้
“ ฮึ่ย ”
พี่สกายทำท่าจะค้านแต่ไอ้พี่นาทมันเจ้าเล่ห์กว่าทำเอาเฮียขาโหดต้องยอมเดินหายไปหาองุ่นมาให้ผม เห็นหน้าหงิมๆแบบไอ้พี่
นาทนี่ เจ้าเล่ห์หน้าตายมากนะ
พอเหลือกันอยู่สองคน...
ผมก็ไม่รู้จะเริ่มบทสนทนายังไง ทั้งที่เมื่อก่อนคิดอะไรได้ก็พูดได้เลย แต่ตอนนี้... มันมีเรื่องอื่นๆให้คิดนี่น่า
“ มีอะไรอยากถามพี่รึเปล่า”
เยส! นั่นแหละที่ผมอยากให้มันพูด ผมพยักหน้าลงเล็กน้อยอารมณ์ไว้เชิงแกมก็อยากให้เล่า แต่กูนั้นไม่ได้อยากรู้เท่าไหร่หรอกกกก
“ ก็...เยอะแยะ ”
“ นั่นสินะ เยอะมากๆเลยด้วย ” พี่นาทยกยิ้มนิดๆก่อนจะยกแก้วกาแฟขึ้นจิบนิดๆ วงคิ้วของพี่เขาขมวดเข้าหากันตลอดเวลาที่อยู่กับผม
ผมฉีกยิ้มกว้าง “ แล้วจะเล่าปะ ”
“ ให้ถามได้วันละ 2 ข้อ ” มันชูสองนิ้วแล้วโบกไปมา
สองข้อ!! น้อยไปมั้ยวะ
แต่เอาว่ะ! ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
“ ถามได้เลยปะ ” ผมถามกลับแล้วเอื้อมมือไปรับตะกร้าองุ่นจากพี่สกาย “ ขอบคุณครับ ” เฮียแกส่งให้ผมเสร็จก็เดินออกไปเพื่อให้ความเป็นส่วนตัวกับพวกผม
“ นาท ฉันจะไปดูพนานะ ”
“ อื้อ... อย่าให้เขาออกมาได้นะ ” ไอ้พี่นาทพยักหน้ารับด้วยความกังวล
พนา... ใครวะ
โอ๊ย ต่อมเสือก เอ๊ย อยากรู้ทำงานจริง
“ เออน่า ตอนนี้คงเล่นกับยูนิคอยู่ ไม่มีอะไรหรอก ”
ยูนิค... ใครอีกวะ แม่ง! อยากรู้เว้ยยย
“ มีอะไรก็เล่าๆไปเถอะ หน้ามันดูอยากรู้มากแล้ว ”
เหมือนเฮียแกจะรู้ความอยากเสือกของผมเลยโพล่งขึ้นมาแบบนั้น พูดตรงๆแบบนี้ เค้าอายนะ โธ่วว เห็นหน้าหนาๆด้านๆก็ยังมีความอายหลงเหลืออยู่นะ
เฮียแกทำท่าจะเดินออกแต่เอี้ยวคอมาถามผม “ คืนนี้นอนนี้ปะ ”
“ บ้า! ใครจะไปค้างที่นี่! ”
ผมเผลอตวาดใส่อย่างลืมตัว รู้สึกหน้าร้อนๆขึ้นมาตอนเฮียแกถาม แต่ทำไมต้องรู้สึกด้วยวะ แค่ผู้ชายด้วยกันชวนค้างด้วย ไม่เห็นต้องรู้สึกกกกกกกก
“ ฮ่าๆ ตามใจเถอะ ” เฮียแกหัวเราะร่วนจากนั้นจึงเดินออกไป
พอผมหันกลับมามองหน้าหล่อๆของไอ้พี่นาทก็เห็นมันทำตาละห้อยเหมือนลูกหมาถูกทิ้ง ไม่ดิ อย่างมันต้องมังกรถูกทิ้งซะมากกว่า
“ เป็นอะไร ”
“ จะไม่นอนค้างจริงๆเหรอ ”
ผมกลอกตามองเพดานข้างบนก่อนจะเหลือบไปทางมันแล้ว...
ผัวะ!
“ โอ๊ย เจ็บนะชล ” มันร้องโอดโอยพลางลูบหัวไหล่ตัวเองป้อยๆหลังจากโดนผมชกเต็มๆ
“ ดี สม ”
ผมแสยะยิ้มหมั่นไส้มันเล็กน้อยก่อนจะหยิบองุ่นขึ้นมากิน
“ หวานดี ” ผมชม
“ แน่นอนสิครับ ปลูกเองกับมือ ” ยอมันไม่ได้เลยจริงๆ หลงตัวเองจริงนะพ่อคุณ
“ ไร่องุ่นอยู่ตรงไหนอ่ะ ”
ผมถามไปงั้นแต่ยังคงสนใจกับองุ่นอยู่ เผลอแปปเดียวก็หมดไปครึ่งตะกร้าแล้ว แหม่ ก็มันอร่อยนี่ครับ
“ เดินออกไปตรงนี้ก็เห็น ” มันชี้ไปด้านระเบียงข้างนอกที่มีโต๊ะให้นั่ง มองออกไปก็รู้แล้วว่าข้างนอกกำลังเย็นสบายได้ที่ ผมมองเลยไปตามดู...ก่อนในหัวจะเริ่มว่างเปล่า ผมผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็วไม่ลืมคว้าตะกร้าองุ่นแล้วค่อยเดินออกไป สกิลแดกนี่เยอะสุดๆ
“ อยากกินพายองุ่นมั้ย ”
เจ้าของบ้านถามเบาๆแต่ผมไม่ได้ฟังเท่าไหร่แถมไม่ได้ตอบด้วย แต่หางตาก็เห็นมันเดินเข้าไปหยิบอะไรในครัว ผมเลยชิ่งเดินออกมาก่อน ภาพตรงหน้าเหมือนกับในฝันอีกแล้ว
ทำไมนะ เหมือน เหมือนมากๆด้วย
ผมน่าจะลืมเล่าอะไรบางอย่างไปนะ... มันอาจจะไร้สาระไปนะ แต่มันก็เริ่มไม่ไร้สาระแล้ว ตั้งแต่ผมมาเหยียบบ้านของไอ้พี่นาท มันมีบางอย่างคุ้นตาและคุ้นเคย... ฝันที่ผมจำได้แม่นที่สุดเลยคงเป็นภาพผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ริมระเบียงมีต้นไฮเดรนเยียสีขาววางอยู่ข้างๆ... นัยน์ตาของเขาเป็นสีฟ้าสวยแต่มันดูเยอหยิ่งและน่าเกรงขาม แต่ผมมองไม่เห็นหน้าเขาหรอกนะ เห็นแค่ดวงตา แล้วจากนั้นผมก็ตื่น...
ทันทีที่ที่เปิดประตูกระจกเลื่อนออกสายลมพลิ้วแผ่วโหมกระหน่ำปะทะร่างของผมจนเริ่มเจ็บขึ้นมา แต่เพียงเสี้ยววินาทีทุกอย่างก็กลับเป็นปกติ... ผมวางตะกร้าองุ่นลงบนโต๊ะแถวนั้น ก่อนจะพาตัวเองเดินไปจนสุดทางระเบียงด้วยหัวใจที่เต้นโครมครามด้วยความลุ้นระทึก...
นัยน์ตาค่อยๆเบิกโพล่งขึ้นเรื่อยๆเมื่อเห็นสิ่งที่ภาวนาไม่ให้มี... ใช่ เหมือนกับในฝัน...
ไฮเดรนเยียสีขาว...
มือเย็นเฉียบเอื้อมไปหยิบมันขึ้นมาแล้วถือไว้ ความเย็นของกระถางแผ่เข้ามาให้ผมรู้สึก แต่ไม่รู้ทำไมนะ พอผมจับมันแล้ว ผม...
ผม...อยากร้องไห้
ผมกำลังคิดถึงใคร... ใครก็ไม่รู้
มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นวะ! ผมไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น
ผมกำลังเสียสติใช่มั้ย
ผมว่านะ ผมไม่ควรมาที่นี่ตั้งแต่แรก ถ้าไม่มาที่นี่ ผมคงไม่รับรู้อะไร หรืออาจจะได้รู้ช้าลงเล็กน้อย แต่เมื่อมาแล้วผมคงหลีกเลี่ยงเรื่องนี้ไม่ได้...
“ ชล...ชล มีอะไรรึเปล่า วันนี้เงียบบ่อยจัง ”
เสียงข้างหลังเอ่ยขึ้นให้ผมหันไปสนใจ มันมีสีหน้ากังวลแล้วต้องตกใจเมื่อเห็นต้นไม้ในมือผม
“ พี่นาท... ” ผมกัดปากตัวเองเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด
...ควรถาม หรือปล่อยให้อึดอัดต่อไป
บางทีผมอาจจะเป็นคนธรรมดาก็ได้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวอะไรกับพวกเขา
แต่ในเมื่อผมกำลังรู้สึกแปลกๆ หลายๆอย่าง ผมก็ไม่อยากให้อะไรคาใจ
เอาว่ะ ชลธี! เป็นไงเป็นกัน! ถามเลย!
**************************************************
มีต่อๆ โพสล่างนะคะ
-
“ อยากถามอะไรพี่เหรอ ” มันต่อบทสนทนเมื่อเห็นผมเงียบไปพักใหญ่
“ อื้อ ”
“ ...ผมเป็นใคร ”
อึ้ง แน่สิครับ ผมยังอึ้งเลย ก็มันไม่รู้จะถามอะไรนี่หว่า สิ่งที่ผมต้องรู้มันควรเริ่มจะตัวผมดีกว่ามั้ย แล้วค่อยรู้อย่างอื่นตามมาทีหลัง ผมมองไอ้พี่นาทที่ทำหน้ากระอักกระอ่วนไม่รู้จะตอบอะไรแล้วนึกขำ
“ เอ่อ... คำถามนี้ไว้ตอบทีหลังได้มั้ย ” มันว่าสีหน้าเคร่งเครียด
“ ทำไม ”
“ ถ้ารู้ว่าตัวเองเป็นใคร... ตัวเราเองจะแย่นะชล ” ยังคงไม่ยอมพูด...
ผมเอ่ยหยอก “ ถ้ารู้แล้วจะมีคนมาตามฆ่ารึไง ”
พี่นาทมีสีหน้าตึงทันควันเมื่อผมพูดเรื่องนี้
มันพยักหน้า “ ใช่ จะมีคนตามฆ่า ”
ลืมปากไว้บ้านทันที... นายชลธียังไม่อยากตายนะเว้ย นี่กูมาเผลอยุ่งเรื่องอะไรเข้าฟะเนี่ย จะแฟนตาซีหลุดโลกไปแล้วนะ นี่ฝันอยู่ปะ ตื่นดิว่ะ
ไอ้พี่มังกรมันเดินมายืนเท้าแขนที่ระเบียงข้างๆผม สูดลมหายใจเล็กน้อยเพื่อคลายสีหน้าหวั่นๆ
มันไม่ยอมมองหน้าผม...
แล้วทำไมต้องรู้สึกแย่วะ
“ อย่างที่ชลรู้... พวกเราไม่ใช่มนุษย์ ” เอ่ยขึ้นเสียงราบนิ่งจนจับความรู้สึกไม่ได้
“ พวกเรา? พี่สกายก็มังกรเหรอ ” นายชลธีคิดช้าไปมั้ย
“ เปล่า ” อ้อ มนุษย์ โล่งอก “ สกายเป็นเสือดำ ”
“ เสือดำ!! ”
ผมทำตาโตเท่าไข่นกกระจอกเทศเกือบทำกระถางต้นไม้หล่นทีเดียว เป็นเสือนี่เองถึงว่าทำไมหน้าดุจริง แต่มึงควรตกใจกว่านี่มั้ยชลธี! หรือกูมีภูมิต้านทานเรื่องพรรค์นี้ไปแล้วนะ
“ อืม จริงๆก็มีเยอะแหละ แต่ที่นี่มีแค่บางตัว ”
ผมถาม “ พี่ไม่ได้อยู่คนเดียวเหรอ ”
มันส่ายหน้า “ เปล่า ในบ้านตอนนี้มีแค่มังกรสาม เสือดำหนึ่ง ยูนิคอร์นสอง แค่นั้นแหละ ”
ยูนิคอร์น!?!
จงตื่นซะ ชลธี ตื่นนนนนน
ผมยกมือข้างหนึ่งขึ้นนวดขมับอย่างปวดหัว... นี่มันประหลาดเกินลิมิตที่ผมต้องการแล้ว แค่ไอ้มังกรตรงหน้าก็แทบจะประสาทกินแล้ว ยังจะมีตัวอื่นอีกเหรอ
“ ยูนิคอร์น ไอ้ม้ามีเขาน่ะเหรอ ” ยังจะถามต่ออีก ตบปากแตกเลยนี่
“ ใช่ ”
โอ๊ยยยย ชลธีอยากตื่นค่ะคุณณณณ
ผมยืนขมวดคิ้วผูกปมแทบเป็นเงื่อนตายเพราะตอนนี้ในหัวตีกันวุ่นเลย พอเห็นผมเงียบมันก็เริ่มพูดต่อ...
“ เมื่อมีพวกอมนุษย์ ก็ต้องมีพวกล่าพวกอมนุษย์ ”
ผมชะงักความคิดล้านแปดพันแสนสองร้อยเจ็ดหมื่นของตัวเองทันทีแล้วหันไปมองมันด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ พอมันเห็นหน้าตลกๆของผม เสียงหัวเราะก็บังเอิญ
“ ไม่ต้องกลัวไปหรอก พวกนั้นทำอะไรเราไม่ได้หรอก ” มันพูดให้สบายใจจับหัวผมโยกไปมา แต่ไม่รู้ทำไม...
ผมรู้... มันโกหก
มันปิดบังผมอยู่... แต่ว่ามันคืออะไรกัน
“ เหอะ มนุษย์จะไปทำอะไรพวกพี่ได้กัน พี่เป็นมังกร พ่นไฟใส่ก็ตายเกลื่อนแล้ว ” ผมว่าติดตลกให้มันขำๆ ยังดีที่มันขำตามนะ ไม่งั้นผมหน้าแตกแน่
“ นั้นสิ ฮ่าๆ ” ขอบคุณที่ขำให้ “ แล้วอยากถามอะไรอีกมั้ย ”
“ มี ”
มันยักคิ้วให้ “ ว่าไงล่ะครับ ”
“ ชลธาร เป็นใคร ”
ไอ้พี่นาทเลิกคิ้วเล็กน้อยให้กับคำถามของผม มันนิ่งคิดไปเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจเบาๆ...
“ แฟนเหรอ ” ผมกลืนน้ำลายอย่างเหนียวคอ
“ ใช่ ” มันตอบ ผมยืนค้างยิ้มค้างกับแววตาดุดันนั้น
ไม่...
ทำไมผมอยากได้ยินคำนี้มากกว่านะ
ผม...กำลังเป็นบ้าอะไร “ แฟนเก่าเหรอ ”
พยักหน้าสิ ตอบว่าใช่สิ...
“ ไม่ใช่ ” ไอ้พี่นาทส่ายหน้าเบาๆ เงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วยิ้มสว่างไสวจนผมเผลอจิกเล็บเข้าที่กระถางต้นไฮเดรนเยียอย่างแรงจนเล็บฉีก...
“ เขาไม่เคยเป็นแฟนเก่า ”
ไม่เห็นอยากรู้
ผมเบือนหน้าไปอีกทาง...
“ เขาอยู่ในใจเสมอ... ถึงตัวเขาจะตายไปแล้ว แต่เขาไม่เคยตายจากหัวใจ ”
ไม่เห็นอยากฟังเรื่องน้ำเน่าเลย
“ ชล ทำไมเลือดออก ”
น้ำเสียงตกใจว่าขึ้นพร้อมมืออุ่นหยิบยกกระถางออกจากมือผมที่เล็บฉีกยาวจนได้เลือด ...ไม่เห็นรู้สึกเจ็บเลย หรือเพราะมีบางอย่างเจ็บหนักกว่า
ทำไมต้องรู้สึกหงุดหงิดแปลกๆว่ะ!
“ เล็กน้อยน่า ” ผมดึงมือออกเพราะหัวใจมันเผลอหลุดจังหวะปกติไปนิดนึง “ แล้วแฟนพี่เป็นมังกรด้วยใช่ปะ ”
“ เปล่า ไม่ใช่หรอก ” มันส่ายหน้าแล้วยิ้ม
...ชอบเวลาที่มันยิ้มนะ แต่ไม่ใช่ยิ้มเพราะคนอื่น
ผมไม่ชอบ
เฮ้ยยยยยยยยย ชลธี มึงเป็นอะไรเนี่ยมาอารมณ์สาวน้อยอะไรตอนนี้ฟะ ชอบมันเหรอ ก็ไม่ไง แล้วทำไมต้องมารู้สึกเจ็บ รู้สึกน้อยใจ รู้สึกหงุดหงิด มึงหยุดบ้าได้แล้วเว้ย
“ รักมากเลยสิ ” ผมพยายามยิ้มเอ่ยแซว
“ ใช่ ” มองหน้าผมนิ่ง
“ รักมากด้วย ”
ตึกตัก ตึกตัก
ความร้อนจากไหนไม่รู้พุ่งขึ้นหน้าจนร้อนฉ่าไปหมด ผมอึกอักไปไม่ถูกถึงมันจะไม่ได้บอกกับผม แต่มาพูดว่ารักแล้วจ้องหน้าเนี่ย เป็นใคร ใครก็รู้สึกนิดนึงแหละ...
“ คงเป็นคนที่น่ารักมากสินะ พี่ถึงรักขนาดนี้ ” ไม่ได้อยากประชดนะ แต่แบบ.. กูก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
“ ฮ่าๆ ไม่หรอก เขาน่ะ... ”
ยังไม่ทันทีมันจะได้เล่าความหวานชื่นระหว่างมันกับแฟนเสียงประตูกระจกก็ถูกเลื่อนออกขัดจังหวะ เออ ก็ดี บทสนทนาจะจบ ไม่ได้อยากถามมันเรื่องนี้เท่าไหร่...
“ ท่านท้าว อยู่ไหนครับ ” เสียงหวานเอ่ยขึ้นพร้อมใบหน้าเนียนอ่อนเยาว์ชะโงกออกมาอย่างกลัวๆเกร็งๆ
“ มีอะไรเหรอ ยูนิค ”
พี่นาทหยุดการคุยกับผมแล้วเดินเข้าไปคุยกับเด็กหนุ่มคนนั่น ส่วนผมก็ขอสงบสติเรียบเรียบทุกอย่างจัดระบบความคิดใหม่ก่อนนะ
“ ยูนิครบกวนท่านรึเปล่า เห็นพี่สกายบอกท่านมีแขกคนสำคัญ ”
เหอะ สำคัญ ตลกล่ะ
ผมค่อนหัวเราะออกมาเบาๆกับสิ่งที่พี่สกายบอก... หึ สำคัญไม่เท่าชลธารหรอก... เอ๊ะ แล้วนี่เราจะมานั่งประชดประชันทำแป๊ะไรเนี่ย วุ้ย เหมือนทำตัวเป็นนางขี้อิจฉาอยู่ไม่มีผิด
“ ไม่รบกวนหรอก แล้วมีอะไรครับ หรือว่าถึงเวลาอาหารเที่ยงแล้ว ” เจ้าของบ้านถามพลางยกนาฬิกาขึ้นดู
“ อาหารเที่ยงอีกสิบห้านาทีตั้งโต๊ะครับ แต่ว่าที่ยูนิคมาตาม คือ... ” เด็กหนุ่มมีสีหน้าลำบากใจ
“ คือ? ” มังกรหนุ่มทำหน้างงๆ “ พนา...เหรอ ”
“ ครับ คือ...น้อง เอ่อ งอแง ไม่ยอมกินข้าวครับ ตั้งแต่เช้าแล้ว ”
ผมเหลือบเห็นสีหน้าถอดสีของไอ้พี่นาทนิดหน่อย ว่าแต่...พนานี่ใครเนี่ย
“ ทำไมถึงงอแงล่ะ ปกติก็ไม่เคยนี่ ”
“ ผมก็ไม่รู้ครับ จะให้ทำยังไงดี ” เด็กหนุ่มคนนั้นมีสีหน้าลำบากใจหนัก
ไอ้พี่นาทหัวเราะสรวลอย่างสนุกผิดกับหน้าคนที่โดนสั่ง “ บังคับง้างปากไปเลย ฮ่าๆๆ ”
ยูนิคตะเบ็งเสียงใส่เล็กน้อย “ ท่านท้าว!! ”
“ ใครมันจะไปกล้าทำแบบนั้นกับลูกชายท่านกันเล่า!! ”
“ ลูก!?! ”
ผมอุทานออกมาเสียงดังพอให้ตัวเองได้ยินชัดกระแทกแก้วหู สะบัดหน้าไปทางวงสนทนาที่อยู่ไกลพอสมควรเห็นพวกเขาคุยต่อไปเรื่อยๆไม่ได้หันมาสนใจผม ซึ่งก็ดีแล้ว เพราะตอนนี้ผมกำลัง...
สติแตกสุดๆ...
ไอ้พี่นาท ไอ้กิ้งกือ ไส้เดือนตะขาบตะเข็บนั่น...
มันมีลูกแล้ว!!!!
ผมควรทำสีหน้ายังไงดี... ทุกอย่างมันตีรวนกันไปหมดจนผมเริ่มรับไม่ไหว ผมกำลังสับสน ใช่ ผมกำลังสับสน นี่ผมกำลังหลับ และฝันอยู่ใช่มั้ย หรือผมตื่นอยู่แล้วนี่มันคือความจริง
ทำไมนะ... จู่ๆ ผมอยากย้อนเวลาไปเมื่อเช้า...
ผมจะปฏิเสธมันไป
ผมไม่ควรมาที่นี่ตั้งแต่แรก นั่นคือสิ่งที่ถูกต้อง! ผมไม่น่ามารับรู้เรื่องพวกนี้เลยจริงๆ!
มันกำลังทำให้ผมเสียสติจริงๆ!
แล้วผมจะหงุดหงิดงุ่นง่านคิดมากทำไมเนี่ย กูไม่ได้เป็นอะไรกับมันเว้ย!!
TBC.
น้องชลเริ่มบ้าเเล้ว 5555555
-
:a5: :a5: อารมณ์ประมาณว่าทุกอย่างอยู่ตรงหน้าแต่แตะต้องไม่ได้
-
พี่นาทหันกลับมาด่วน มีคนกำลังจะสติแตกแล้ว 5555
-
วี๊ดวิ้วววววววว ชลธี ชลธาร ใครกันนะ
ชอบๆๆไ อยากให้ตัวนายเอกจำให้ได้เร็วๆจังง
-
สนุกดีค่ะตามนะคะ ชอบน้องชล ชอบนิสัยแบบท่านเท้า
เนื้อเรื่องก็น่าสนุกดีค่ะ
-
เฮ้ย ทำไมรู้สึกค้างๆ เหมืินอยากอ่านอีกด รอค่ะ สนุกมากก
-
ชลธีเป็นชลธารกลับชาติมาเกิดรึป่าวนะ
-
ท่านท้าวถ้าเป็นไปได้รีบอธิบายให้น้องชลฟังก็ดีนะ ก่อนที่จะสติแตกไปมากกว่านี้
เข้าใจผิดไปหมดแล้ว ไม่รีบอธิบายระวังน้องจะถอยห่างนะ
-
เราก็อยากรู้ไปกับนุ้งชลด้วยนะ อยากรู้มากๆ 5555
-
ฉากสุดท้ายนี่สติแตกพร้อมกับชล55555555 ลู๊ก ลูก ลูก!!!
-
อ๊ากกกก ค้างอ่าาาา ตกใจกับลูกมาก มาจากไหน รอ รอ อยากอ่านต่อเร็วๆเเล้ว มาอัพไวๆน่าาา :katai2-1: :pig4:
-
เข้ามาติดตามคุณพี่มังกรค่ะ
-
พี่นาทควรรีบอธิบายด่วน ชลสติแตกไปแล้ว เเละนี่ก็กำลังสติแตกตามชลเเล้ว โอ๊ยยยยย มาต่อเร็วๆนะ รอออ ปูเสื่อรอ อยากรู้ๆ :katai5: :katai5:
-
มาต่อให้ไวเลยนะ ชอบมากๆๆๆๆๆๆๆ
-
เฮ้ย ทำไมรู้สึกค้างๆ เหมืินอยากอ่านอีกด รอค่ะ สนุกมากก
ดีใจที่ชอบ >< แล้วรีบอัพอย่างว่องไวนะครับ 555555 :mew1:
-
อาถรรพ์พงไพร ๕
อยากเอื้อนเอ่ยให้เจ้ารู้
ถึงความถวิลหา
จากเหล่าเกลอแท้
แต่ทำมิได้...
ตรอมตายเก็บจำความขมกลืน
รอเวลาจักปลดเปลื้อง...
เจ้าดวงตากล่องดวงใจแสนเวทนา
เจ็บร้อนรุ่มสุ่มอกทรวงเจ้าตัวน้อย
ถูกกุมขังกักเหนี่ยวเพียงเดียวดาย
ต้องมารร้ายระกำฤทัยเท่าใด
คงต้องทำ
ต่อให้เจ้าร่ำร้องปานขาดตัวตาย
จงอย่าได้เอ่ยเรียก
...จ้าวพ่อ...
ลูก...
สามตัวอักษรสั้นๆยังคงลอยวนไปวนมารอบสมองซึมลึกเข้าไปยังชั้นลึกส่วนลับสมองของนายชลธี ตอนนี้ผมกำลังเผชิญหน้ากับเรื่องน่าเหลือเชื่ออยู่ครับ ไอ้เรื่องที่ว่าไอ้พี่นาทเป็นมังกรว่าน่าตกใจแล้ว มันยังน้อยครับ! ยังมีเรื่องของไอ้พี่สกายที่เป็นเสือดำอีก ไหนจะเรื่องยูนิคอร์นม้ามีเขาอีก แต่มันยังไม่ทำให้ผมตกใจเท่า...
ไอ้พี่กัมปนาทมันมีลูก
ลูกชายด้วย
โอ้ ขอยาดมที รู้สึกวิงเวียนศีรษะคล้ายจะเป็นลม
ผมแสร้งเดินไปเดินมาอยู่แถวระเบียงมองดูบรรยากาศรอบตัวแต่หูนี่เงี่ยฟังสองคนนั้นคุยกันอย่างไร้มารยาทตลอดเวลา โธ่ถัง แล้วคุณไม่อยากรู้รึไง
“ แต่ยังไงก็ต้องให้น้องกินดีๆนะครับ ไปง้างปากน้องเดี๋ยวจะยิ่งร้องไห้ใหญ่นะครับ ” ยูนิคยังคงพูดหาทางอื่นที่ดีกว่านี้
จะว่าไปเด็กหนุ่มคนที่ชื่อยูนิคเนี่ยน่ารักน่าเอ็นดูดีนะ ตัวผอมๆบางๆลมพัดทีน่าจะปลิวได้นะ ที่น่าสนใจคือ เส้นผมสีเหลืองอ่อนเนื้อครีมนั้นมากกว่า เหมือนสายไหมเลย... จะว่าไปก็เริ่มหิวขึ้นมา
“ เลี้ยงเด็กไม่เป็นด้วยสิ ” ไอ้พี่นาทยกมือเกาท้ายทอยอย่างครุ่นคิด
บ๊ะ! นี่ลูกเอ็ง แต่เอ็งเลี้ยงไม่เป็นเนี่ยนะ
พ่อประสาอะไร แย่จริงๆ
ผมส่ายหน้าเอือมระอาแม้จะยังหันหลังให้กับทั้งคู่อยู่ อืม... หิวจริงๆนะมือไวเท่าความคิดยกนาฬิกาขึ้นดูเวลาที่บ่งบอกเวลาเกือบจะเที่ยงตรงแล้ว มิน่า ผมถึงได้หิว ท้องอย่าเพิ่งร้องๆ เผือกต่อก่อน
เสียงเล็กดูลำบากใจและคิดหนักสุดๆ “ ยูนิคฟังจากพี่สกายแล้ว... ลองให้...เลี้ยงได้รึเปล่า ”
“ ไม่ได้! ” คนนี้ก็ปฏิเสธแทบไม่ต้องคิดหน้าคิดหลัง “ ยังไงก็ไม่ได้ ต้องรอเวลา ร่างกายมนุษย์รับพลังของพนาไม่ได้ ”
“ ยูนิครู้ว่าต้องรอเวลา... แต่นั่นมัน...” ร้องโอดครวญ
“ ข้ารู้... มันทรมาน ”
สีหน้าของมังกรหนุ่มแปรเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่งเกร็งเครียดจนเส้นผมสีดำค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มโดยไม่รู้ตัวบวกพร้อมด้วยดวงเนตรสีน้ำเข้มภายในนั้นกำลังกรุ่นคุกด้วยความหวาดกลัวแต่ยังคงมีความหวังอยู่... บรรยากาศรอบตัวดูเย็นเยียบสะท้านอกขึ้นมา
“ แต่เราทนกันมากว่าหลายร้อยปีของมนุษย์แล้ว... จะทนต่อไปอีกหน่อยก็ไม่ต่างกัน ”
ผมหรี่ตามองอากาศมองแสงแดดแล้วฉงนใจ... อะไร เมื่อกี้ยังอุ่นๆอยู่เลย ทำไมหนาวเยือกแบบนี้ ปรับสีหน้าปกติเลิกสนใจฟ้าฝนแล้วเงี่ยหูฟังต่อ ผมว่าเรื่องมันค่อนข้างจะมาถึงจุดพีคแหละ หลายร้อยปี พวกเอ็งเป็นอมตะกันรึไงฟะ ชลธีได้แต่คิดแล้วก็สงสัย...
“ ทนน่ะทนได้ครับ แต่พวกนั้นไม่ได้รอเรานะครับ ” สายตาเต็มไปด้วยความกังวล “ จะโจมตีเราเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ”
“ ตราบใดที่ ’มัน’ ยังหาทางแก้ไม่ได้ เรายังคงเบาใจ ”
“ ท่าน... ไม่รู้ว่าท่านจะทราบรึยัง คนของเราได้ข่าวมา ” ท้ายประโยคแทบจะกระซิบ ” ทางนั้นกำลังพยายามตัว...อยู่ครับ ”
“ ...พวกมันต้องการอะไร ” ไอ้พี่นาทกัดฟันถามเสียงหนัก
“ เลือดครับ... ” ยูนิคว่า ก่อนจะคลี่ยิ้ม “ แต่เลือดในตอนนี้ใช้การอะไรไม่ได้ถึงพวกมันจะได้ไป เพราะเป็นเลือดธรรมดา ”
เฮ้ย เลือด! มันจะเอาเลือดมาทำอะไรกันฟะ หรือ...มันจะกินเลือดกันเป็นอาหาร!! ไอ้ผมที่ยืนอยู่ห่างๆเริ่มเหงื่อตกเขื่อนแตกทำนบพังเลยทีเดียว กูจะโดนเขมือบเปล่าเนี่ย ...แล้ว แล้วที่ไอ้พี่นาทพาผมมาบ้านนี่ก็เพื่อฆ่าแล้วกินใช่มั้ย!! ว้ากกก ไม่เอาเว้ย! ยังไม่อยากตายนะ เอาไงดีๆ หาทางหนีดีมั้ย หรือจะเนียนทำเป็นไม่ได้ยินดี เฮ้ย แต่แม่งคงไม่หรอกมั้ง ไอ้ผมก็ชอบคิดเป็นตุเป็นตะ คงไม่มีอะไรหรอกก #ปลอบใจตัวเอง
“ ถึงยังไง... ข้าก็ไม่มีทางให้พวกมันได้เลือดไป ”
“ หรือแม้จะแตะตัว... ก็ไม่มีวัน ”
โห คำพูดพี่แม่งเท่ฝุดๆว่ะ ตบมือให้ๆ
แล้วไอ้คนนอกอย่างผมจะเลิกแอบฟังห่างๆงงอย่างห่างๆ อึ้งมึนเอ๋อแบบนี้สักที ฟังไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรเล้ยยย ทั้งที่น่าจะตีเรื่องออกบ้างตามประสาคนฉลาด... ฮึ ไม่ เราโง่ เราตีเรื่องออกอ่ะ งงชิบ มันพูดเรื่องบ้าอะไรกัน ไม่ได้เข้าใจขึ้นเล้ยยย แอบฟังไปนี่แทบศูนย์บอกไว้เลย
“ เฮ้อ จริงๆบอกไป ทุกอย่างน่าจะจบไวขึ้น แต่...มันดันพูดไม่ได้นี่สิครับ ” เด็กหนุ่มระบายลมหายใจออกมานวดขมับเบาๆอย่างเครียดไม่แพ้กัน
“อดทนจนกว่าจะถึงวันที่เหมาะสม ” ไอ้พี่นาทว่าสบายๆโยกหัวคนตัวเล็กไปมาเหมือนไม่อยากให้กังวล
“ ยังไงยูนิคก็ว่า เราต้องตื่นขึ้นก่อน เพราะเขาดันเล่นสวนกลับแรงซะขนาดนั้น ไม่น่าจะตื่นขึ้นได้ง่ายๆ ” เสียงใสหัวเราะร่าก่อนเสียงทุ้มจะหัวเราะตาม
“ เขาเคยยอมใครที่ไหนกัน ” มันว่า “ เราน่ะ ไปตั้งโต๊ะได้แล้ว จะเที่ยงแล้ว ”
“ ครับๆ ” เด็กหนุ่มพยักหน้ารัวๆก่อนจะเสมองมาทางผมแล้วยิ้ม “ เจ็ดที่นะครับ ”
“ ของพนา ยกไปบนห้องน่ะ ”
ไอ้พี่นาทกำชับเบาๆ แต่ไอ้ผมเนี่ยเสือกได้ยิน นี่ใครครับ ชลธีไง เรื่องเผือกๆเสือกๆของถนัดไม่มีทางเล็ดลอดไปจากหูทิพย์ของผมได้หรอก ทั้งที่เมื่อกี้บอกจะเลิกเผือกนะ แต่หูดันไวเมื่อพูดถึงเด็กพนา แต่ทำไมมันดูจะหวงลูกมันจัง อยากเห็นหน้าเด็กจัง มันต้องแอบไปทำสาวท้องมาชัวร์ หน้าหล่อแบบนี้ไปฟันแล้วทิ้ง สุดท้ายต้องรับผิดชอบเด็ก พอได้เด็กมาก็ไม่ชอบเด็กทำร้ายทารุณกักขังเด็ก โฮ ช่างน่าสงสารจริงๆลูกพนา เลวจริงๆไอ้พี่นาท #เรื่องมโนแต่งเรื่องยกให้ผมเถอะ
ผมหันไปทางทั้งคู่แล้วเดินเข้าไปหาอย่างเนียนๆ เมื่อคิดอะไรดีๆออก ใจหนึ่งก็กลัวเรื่องที่สงสัยว่ามันกินเลือดเป็นอาหารหรือเปล่า แต่ความสงสัยใคร่รู้มีมากจนกลบความกลัว ถ้าวันนี้ไม่ได้เห็นหน้าลูกมัน คนขี้เผือกอย่างผมคงนอนไม่หลับตาค้างยันเช้าแน่ เพราะงั้น...
“ พี่นาท คืนนี้ผมค้างที่นี่ได้ปะ ” หันไปทำหน้าซื่อไร้พิรุธ
ทั้งคู่เลิกคุยกันแล้วหันมาจ้องผมแบบไม่เชื่อหู “ หา / หา อะไรนะ ” ไม่ใช่แค่ไอ้พี่นาทคนเดียวที่งง เด็กหนุ่มน่ารักก็งงไปตามกัน แต่เสี้ยววิ ไอ้หน้าหล่อๆของคุณพี่มังกรก็กระดี๊กระด๊าเป็นมังกรได้ขนมทันที
มันเดินมาคว้าไหล่ผมแล้วเขย่าเมื่อเก็บอาการดีใจไม่อยู่ “ ชลจะนอนที่นี่จริงเหรอ! ”
“ เออ ขี้เกียจเดินลงเขา ” แถครับ งานทอแหลต้องมา ทำท่าทำทางปวดขาด้วยครับ มันจะได้เชื่อ
“ งั้น งั้น ” ดูมันจะดีใจเกินเหตุจนเรียบเรียงคำไม่ถูก
ผมถาม “ นอนได้ปะ ”
“ ได้สิๆๆ ” หน้าตานี่ดีใจจนฉุดไม่อยู่แหละพี่ หุถบยิ้มหน่อยดิ๊
“ แล้วให้ผมพักห้องไหนได้บ้าง ”
“ ห้อง เอ่อ ที่ห้อง ” มันกะพริบตาปริบๆเหมือนนึกไม่ออกเรียงสมองคิดไม่ทัน เด็กยูนิคเลยชิงพูดขึ้น
“ งั้นก้อออ...ให้เพื่อนท่านท้าวนอนห้องท่านท้าวสิครับ ง่ายจะตาย ” น้ำเสียงร่าเริงว่างั้น แต่เดี๋ยวๆ ไม่ใช่แล้วมั้ง ง่ายไปมั้งน้องครับบบ ไม่เอา
“ คือว่า ” อ้าปากเตรียมปฏิเสธ
“ ต้องขอโทษด้วยนะครับ พอดีห้องอื่น ยูนิคยังไม่มีเวลาทำความสะอาดนะครับ ” เหมือนเด็กจะรู้ทันรีบดักคออย่างไวว่อง “ นอนห้องท่านท้าวเถอะนะครับ ”
“ ใช่ๆ ” ไอ้เวรมังกือก็รีบพยักหน้ารับทันทีไม่มีใครสนใจหน้าผมสักนิดเล้ยยย ว่ากำลังทำสีหน้าพอใจแค่ไหนที่จะต้องนอนห้อง
เดียวกับมัน ประชดครับประชด
ผมโวย “ ไม่เอา! จะนอนคนเดียว! ”
“ อย่าดื้อสิครับชล เป็นเด็กดีหน่อยสิ ”
น้ำเสียงหวานอ่อนโยนว่าเบาๆตบท้ายด้วยรอยยิ้มเทวดาที่ผมไม่เคยจะขัดมันได้สักครั้ง จริงๆอยากขัดอีกรอบนะ แต่ผมแม่ง... พ่ายแพ้ตั้งแต่มันพูดประโยคอันตรายต่อการแกว่งของหัวใจเมื่อกี้แล้ว เกือบใจอ่อนจริงๆ แต่ประโยคถัดมานี่ผมขึ้นเลย!
“ ถ้าไม่นอนห้องพี่ พี่จะไม่ให้กินข้าวกินขนมนะ ”
กูไม่ใช่เด็กนะเว้ย!!
ทำหน้าจริงจัง “ ยอมอดข้าวเว้ย ถ้านอนห้องพี่อ่ะ จะนอนคนเดียว! ”
ไอ้พี่นาทมันส่งสายตาไปให้เด็กยูนิค ไอ้เด็กน่ารักเลยช่วยกล่อมผมอีกแรง
“ พี่... เอ่อ ” ทำหน้างงๆไม่รู้จะเรียกผมว่าอะไร
“ ชลธีครับ ”
น้องพยักหน้ารับ “ ครับ พี่ชลธา... ชล...ธี ”
ผมจิกตามองเด็กที่พลิกลิ้นพูดใหม่อย่างน่าสงสัย เมื่อกี้จะเรียกผมว่าอะไรนะ
“ พี่ชลธีครับ คือ นอนห้องท้าวเถอะนะครับ ยูนิคไม่ว่างหาห้องให้ใหม่จริงๆครับ ” ทำหน้าตาน่าสงสารใส่อีก
ไอ้พี่นาทเสริม “ ใช่ๆ สงสารเด็กนะ ”
เห็นดีเห็นงามกันจริงนะ!
“ พี่นอนห้องอาหารก็ได้ ” ปาดเหงื่อเล็กน้อยเมื่อเจอลูกอ้อนของเด็กน่ารัก
น้องเบะปากแล้วส่ายหน้า “ ไม่ได้นะ นอนห้องนี้เดี๋ยวไม่สบาย แล้วยูนิคจะรู้สึกไม่ดีนะ ”
ยัง... ยังไม่หยุดอ้อนอีก
ผมเม้มปากแน่นเมื่อมองหน้ายูนิคตรงๆ ทำไมรู้สึกใจมันอ่อนยวบไม่กล้าจะไปขัดอะไร ปกติผมก็มักใจอ่อนยวบเป็นเยลลี่กับพวกเด็กอยู่เป็นทุนเดิม
“ นะคร้าบบบบบบ ” มาเกาะแขนยิ้มตาปิดให้อีก โอ๊ย ตายๆ ยอมแล้วครับ ยอมมมม
“ เอ่อ... ” กูควรทำไง
“ ชล อย่าดื้อสิ ” ไอ้เจ้าของห้องนี่ก็หุบยิ้มสักทีเซ่! มึงกำลังล่อลวงกูอยู่สินะ ไอ้มังกรเจ้าเล่ห์!
ยูนิคก็ยังคงตื้อไม่เลิก “ นอนห้องท่านท้าวเถอะครับ ไม่มีอันตรายนะ ”
มันนั้นแหละตัวอันตรายเลย!
อันตรายต่อหัวใจ!
ผมทำหน้าจะร้องไห้แล้วตอบอย่างจำยอม “ ก็ได้ ก็ได้ นอนห้องท่านท้าวของเราก็ได้ ”
โฮ แม่จ๋า หนูไม่อยากนอนกับสัตว์ประหลาดดด
เดี๋ยวมันกินหนูเข้าไปจะทำไง
“ ดีมากครับ ” เจ้าของห้องรีบขยับยิ้มกว้างแล้วหันไปขยิบตาส่งซิกกับยูนิค อารมณ์แบบ... นายเจ๋งมาก เดี๋ยวมีรางวัล แล้วจากนั้นเด็กยูนิคก็เดินฮัมเพลงออกไปปล่อยให้ผมแยกเขี้ยวเขาโหล่ควันออกหูอยู่กับมันสองคน
“ ถ้าทำอะไรผมตอนหลับ ผมเอาเรื่องแน่ ” ชี้หน้าขู่เลย
“ พี่ไม่ทำอะไรเราหรอก ” มันโน้มลงมาจนจมูกเราชนกัน...
“ ขอนอนกอดเฉยๆก็พอ... ”
ฉ่า.../ / / / / / / / / / / / / / / /
กอด!!
ผมถึงกับไปไม่เป็นเลยคุณก็ดูน้ำเสียงมันดิแม่งโคตรจะเซ็กซี่ฟีโรโมนพุ่งพรวดให้คนฟังหน้าร้อนขึ้นมาได้เนี่ย มันร้ายมั้ยล่ะ!
ระหว่างที่ผมมัวแต่เขินอยู่มันก็เอ่ยขึ้นใหม่ให้ผมหน้าแตกเล่น
“ กอดเฉยๆ เพราะพี่ติดหมอนข้างอ่ะ ไม่มีไร ”
ผมทำหน้าเหลอหลาชะงักความคิดล้านเจ็ดแทบไม่ทัน
“ อะไร หวังอะไรอยู่เหรอ ” รอยยิ้มแพรวพรายถูกหยิบยื่น
แอ่ยเสียงแข็ง “ ใคร! ใครเขาคิดอะไร ไม่มีเว้ย ”
“ เหรอออ ” มันทำเสียงกวนตีน “ แต่หน้าแดงนะเรา ”
“ ใครหน้าแดง!! ใครเขาเขินกัน ไม่มีเว้ย!! ”
ไอ้พี่นาททำหน้าอึ้งกอนเเก้มมันจะขึี้นเลือดฝาดหลังจากฟังจบ... ส่วนผมเองนั้นก็ชะงักปากแทบไม่ทัน ชลธี! แกพูดบ้าอะไรออกไป หา! ไปปล่อยไก่ปล่อยเป็ดให้เขารู้ได้ไง อยากจะเอาหน้ามุดดินอิบอายเลย
ผมเสตามองไปทางอื่นเพื่อสงบสติอารมณ์ความฟุ้งซ่าน ส่วนไอ้พี่นาทก็ปล่อยให้ผ่านไปเงียบๆหลายนาทีไม่พูดอะไร ทำดีมากเลือกที่จะไม่แซวผมต่อ... โคตรรักพี่เลยว่ะ
“ พี่จะทำเป็นไม่รู้แล้วกันว่าชลเขินพี่ ” มันว่ายิ้มๆ แล้วยกสองมือหยาบมาหยิกแก้มทั้งสองข้างของผมแล้วหัวเราะสุขใจเป็นที่สุด
ผมขอถอนคำพูดเมื่อกี้!!
ฆ่ามังกรถึงจะผิด พรบ.คุ้มครองสัตว์ใกล้สูญพันธุ์มั้ย
เออ... แล้วมังกรมันจัดอยู่ในประเภทสัตว์อะไรหว่า...
“ หยุดพูดเลยนะเว้ย หยุด!! ”
เลิกคิ้ว “ ทำไมต้องหยุด ”
ดวงตากลมโตของผมตวัดมองอย่างเอาเรื่อง แต่ไอ้คนหาเรื่องกลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“ มาต่อยกันสักยกมั้ย! ” ตั้งการ์ดเตรียมต่อยเต็มที่
“ เลิกเล่นแล้วเป็นเด็กได้แล้ว ไปกินข้าวเที่ยงกันดีกว่า ” ริอาจมาทำเสียงดุใสอีก
พอเห็นผมทำท่าจะอ้าปากด่าอีกยก ไอ้มังกือเจ้าเล่ห์ได้ถือวิสาสะจับมือแสนนุ่มนิ่มของผมลาก ย้ำว่าลาก เพราะผมพยายามขืนตัว เห็นบ้าๆบอๆ ก็ไม่ง่ายนะครัช เห็นแบบนี้รักนวลสงวนตัวด้วย จะให้ผู้ชายมาแตะเนื้อต้องตัวง่ายๆได้ไงกัน เอ๊ะ แต่กูก็ผู้ชายนี่น่า ลืม แต่ถึงจะขืนตัวไปยังไงก็สู้แรงมันไม่ได้ มันพยายามลากผมเข้ามาในห้องอาหารที่ตอนนี้มีบุคคลใหม่อีกสองคนกำลังจัดจานจัดโต๊ะอาหารอยู่
พอผมกับไอ้คุณเจ้าของบ้านเข้ามาพวกเขาสองคนก็หันมามองตามๆกัน ไล่มองจากพี่นาทและมาที่ผม พอเห็นผมเท่านั้นแหละเบิกตาโตหน้าซีดราวกับเห็นผีกลางวันแสกๆไม่ปาน
นี่คนนะ ไม่ใช่ผี แถมหล่อมากด้วย หรือพวกเขาจะตะลึงในความหล่อของเรากันนะ #สะบัดบ็อบใส่
เสียงเข้มคนไร้มารยาทที่จับมือผมเอ่ยเสียงดัง “ อย่าพูดอะไรออกมานะ ”
ที่พูดดักไว้เพราะเห็นเด็กผมดำทำท่าจะอ้าปากพูด พอเจอเสียงน่าเกรงกลัวหวั่นใจของพี่นาทเลยแทบหุบปากไม่ทัน
แต่ทั้งคู่ยังคงจับจ้องที่ผมเหมือนตัวประหลาดโดยที่คนเด็กกว่าก็ยังคงพยายามกัดปากตัวเองแน่นกลัวที่จะพูดอะไรออกมา ยิ่งเห็นสีหน้าของเด็กผมดำที่หน้าคล้ายๆยูนิคกัดปากแน่นดวงตาแดงก่ำเหมือนจะร้องไห้แล้วผมยิ่งสงสัย
คนบ้านนี้มันจะอะไรนักหนา ดูความลับเยอะกันจริง
ไอ้เรามันก็คนจริง... ชอบไปเสือกกับเขาด้วยสิ
“ ยูจิน ใจเย็นๆ ” คนตัวสูงๆที่กำลังจัดจานอยู่พยายามยิ้มแย้มให้คนตัวเล็ก ใบหน้าขี้เล่นกับผมสีขาวมัดเกล้ายุ่งๆคล้ายๆกับสกาย แต่คนนี้ดูน่าเข้าถึงมากกว่าและดูไม่มีพิษภัยสักเท่าไหร่
สกายที่นั่งอยู่มุมห้องเหลือบมองดูสถานการณ์แล้วเอ่ยขึ้นเผื่อแก้สถานการณ์ให้ดีขึ้น “ พาเด็กแกออกไปก่อนไป เดือนพราย ”
“ ใครเด็กมันกันวะ! ” เสียงห้าวจากเด็กผมดำสวนชั่วพริบตาทำเอาผมสะดุ้งโหยง “ หาอะไรยัดปากแล้วอยู่เงียบๆไปลุง ”
“ ใครลุงแกมิทราบ ”
“ ก็ลุงไง แก่สุดในนี้ ”
เอ่อ... แก้ให้ดีขึ้น หรือแย่ลงกันว่ะ
“ ไอ้พราย มึงเอาเด็กออกไปก่อนเถอะ เดี๋ยวได้มีคนปากแตกกินข้าวเที่ยงไม่ได้ ” เสียงเฮียอย่างโหดครับ
“ เข้ามาสิ คิดว่ากลัวรึไง!! ”
แหม่น้อง... พลังใจสุดยอดเกิน
แต่พลังเสียงนี่...
กะจะให้แก้วหูพี่เลยมั้ย
“ ตัวแค่นี้ จะทำไรได้ ” พี่สกายคนแบดยักคิ้วให้เหมือนกับเติมน้ำมันลงบนกองเพลิงชัดๆ
“ ทำไอ้เสือแก่อย่างแกนอนซมตายได้หลายวันนะเว้ย จะลองมั้ยล่ะ! ” น้อง... เอ่อ พี่ดูจากสารรูปแล้ว ตัวน้องยังไม่ถึงไหล่มันเลยนะครับ คนที่น่าจะนอนตายน่าจะน้องมากกว่านะ
ด้วยความหวังดี อยู่เฉยๆเถอะ
ผมแอบหัวเราะให้กับความมีสีสันของบ้านหลังนี้ ดีนะไม่เหงาเท่าไหร่ บ้านถึงจะใหญ่แต่ทุกคนดูน่ารักสนิทกันดี
ถึงจะดูเหมือนจะฆ่ากันก็เถอะ
“ พอดีไม่อยากรังแกเด็กว่ะ ” พี่เสือเขาไหวไหล่อย่างไม่สนใจแล้วหันมาสนใจที่ผมกับไอ้พี่นาทแทน “ สรุป นอนที่นี่? ”
ไอ้เด็กตัวเล็กหน้าบึ้งกว่าเดิมเมื่อสกายทำเมิน ดีที่เดือนพรายรั้งได้ทันแล้วลากไปสงบอารมณ์ตรงระเบียงข้างนอก
ผมตาเหลือกตาโตโพล่งถามแทบไม่ทัน “ รู้ได้ไง! ”
“ เสือน่ะ หูไวนะ ” ไอ้พี่สกายเดาลิ้นแล้วยิ้มแสยะให้ผมแล้วพี่แกจึงหยิบหนังสือนิตยสารมาเปิดอ่านต่อ
ตอนแรกคิดว่าพี่แกจะเย็นชาแบดบอยตัวพ่อนะ แต่แม่ง...กวนตีนระดับไฮเอ็นท์ตัวพ่อเลยสิไม่ว่า
ถุย เสือหูไว
หรือแอบฟัง
มันถามต่อ... โธ่ แอบเสือกนะเฮีย “ แล้วนอนห้องไหน ”
“ เด็กที่ชื่อยูนิคบอกให้นอนห้องเดียวกับมัน ”
หน้างอโดยอัตโนมัติชี้นิ้วไปทางหนุ่มมังกรจอมเจ้าเล่ห์ด้านข้างยืนยิ้มไม่หุบเหมือนพรุ่งนี้จะไม่ได้ยิ้มอีกแล้ว
“ พี่ยูนิคงั้นเหรอ ”ยู จินที่น่าจะสงบจิตสงบใจได้แล้วเลยเดินเข้ามาทันประโยคที่พูดถึงพี่ชายตัวเอง ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะ “ หึ พี่เขาร้ายกาจชะมัด ”
เดือนพรายยกมือตีปากเล็กๆของยูจิน “ แน่ะ ว่าพี่ตัวเองไม่ดีนะ ”
“ ยุ่ง! ไปไกลๆเลยไป๊! ไปดูพนานู้นไป! ”
ผมส่ายหน้าขำๆให้กับภาพตรงหน้า ยูจินดูเป็นเด็กเอาแต่ใจและวีนๆเหวี่ยงๆแต่เดือนพรายดูจะไม่ได้รำคาญอะไรออกจะชอบแกล้งแหย่เพิ่มอีกต่างหาก ...แอบคิด คู่นี้มีซัมติงรองไรรึเปล่านะ
เดือนพรายหันไปถามไอ้พี่นาท “ เอ่อ... แล้วจะให้ทำยังไงกับพนาดี ท่านท้าว ”
“ ให้อยู่ในห้องนั่นแหละ ขังไว้นั้นแหละ ” พี่นาทว่าเสียงเรียบก่อนทุกคนจะพยักหน้ารับ
ไอ้พ่อเวร
ขังลูกได้ไงห่ะ! เดี๋ยวฟ้องปวีณาเลยนิ!
ตอนแรกเดือนพรายจะเดินกลับเข้าไปดูไอ้ลูกชายของพี่นาทที่มันแอบซุกเงียบไว้ แต่ยูนิคเดินเข้ามาบอกว่าจะไปดูเอง ...ดูเหมือนจะไม่อยากให้ผมเห็นมากเลยนะ มากจนมีพิรุธ หรือเราไปเสือกเยอะเกินเลยรู้สึกว่าต้องรู้ทุกเรื่อง...
คิดมากไปก็ปวดหัว
.
.
.
แต่ตอนนี้ ตรงนี้ ดันมีเรื่องให้น่าปวดตับปวดใจมากกว่าแล้วสิ
แน่นอนมันโคตรจะเรื่องใหญ่ ใหญ่กว่าเรื่องลูกชายของพี่นาทอีก
นั่นก็คือ...
อาหารอยู่ตรงหน้าแล้วกินไม่ได้!!
มันเรื่องใหญ่สำหรับนายชลธีมากนะคุณณณณ โอ๊ยยย ท้องมันกำลังประท้วงหนักแล้ว กินได้ยังงง
ณ เวลานี้ผมกำลังนั่งน้ำลายหกน้ำลายหยดมองอาหารตรงหน้าพลางกลืนน้ำลายอย่างหนืดๆคอ แหม่... ก็มันน่ากินนี่ครับ ให้มานั่งมองร่วมสิบห้านาทีได้แล้วยังไม่ได้กินเลย แถมกลิ่นชวนยั่วใจซะขนาดนี้ แล้วคนอย่างชลธีมันเคยต้องรออาหารมั้ย ไม่! มันจ้วงกินทันทีเลยครับ! จะร้อนจะเย็นจะไม่อร่อย มันไม่สน มันกินลูกเดียว!
พี่นาทดูจะเห็นสีหน้าทรมานตาละห้อยเป็นลูกแมวของผมเลยยกโถข้าวส่งให้
“ ชลกินก่อนก็ได้ ไม่ต้องรอยูนิคหรอก”
ผมเหลือบมองคนที่เหลือที่นั่งนิ่งรอยูนิคอยู่เหมือนกันแล้วถอนหายใจพรืด มากินข้าวบ้านเขาแล้วยังจะมาหน้าด้านกินก่อนก็ไม่ใช่
ที่นะคุณ ให้ผมมีมารยามทางสังคมบ้าง แค่นี้ทุกคนก็มองผมเป็นเด็กเห็นแก่กินจะแย่แล้ว แต่ ฮึก หิวง่ะ แต่ว่าแค่นี้ ชลธีทนได้ กิน
น้ำลายตัวเองไปก่อนก็ได้!
ผมส่ายหน้า “ รอให้ครบก่อนก็ได้ ผมยังไม่หิว ”
ยังไม่หิวเท่าไหร่ แต่ก็มากพอจะแดรกมังกรได้ทั้งตัว...
“ เอางั้นเหรอ ” มันถามยั้งเชิงยิ้มน้อยๆเพราะดูก็รู้ว่าผมแทบจะเขมือบโต๊ะเข้าไปได้แล้ว วุ้ย พูดแล้วก็อายตัวเองจริงๆ
“ ระหว่างรอ... งั้นเรามาหาเรื่องคุยกันดีกว่ามั้ยครับ ” เดือนพรายโพล่งขึ้นทำลายความเงียบและรอยยิ้มกว้าง หมอนี่ยิ้มบ่อยพอๆกับไอ้พี่นาทนี่แหละ น่าหมั่นไส้พอๆกัน
ก็ดูดิ... ไอ้พี่นาทก็หล่อแบบเทพบุตรจุติมาเกิด ชาตินี้จะหาเจออีกมั้ย ก็ไม่น่าเจอ ส่วนเฮียสกายแกก็หล่อเถื่อนเซอร์ฟีลลิ่งพี่ตูนบอดี้แสลมแต่หายากเหมือนกันนะหน้าแบบเฮียแก ส่วนไอ้คนสุดท้ายนี่ผมโคตรเกลียดหน้าเลยแม้ว่ามันจะไม่ได้ทำอะไรให้ผมก็เถอะ เดือนพราย... มันหล่อแบบหล่อชิบหายไตวายควายล้ม เผลอๆหล่อกว่าไอ้พี่นาทอีก ที่เกลียดหน้าก็เพราะมันหล่อนี่แหละ จริงจังและจริงใจ อิจฉาหน้าหล่อๆมันครับ ทำไมไยพระเจ้าไม่ให้ผมหน้าตาแบบนี้บ้างงง
แล้วพอผมมานั่งรวมๆกับพวกนี้แล้ว จากที่ไม่มีอะไรอยู่แล้ว ตอนนี้ติดลบไปแล้วครับ...
“ ก็ดีนะ ” ยูจินสนับสนุนหันมามองหน้าผม ผมเลยได้สติหลุดจากวังวนความอิจฉา “ พวกเรายังไม่ได้แนะนำตัวใช่มั้ยครับ ”
“ ก็... ถ้าอย่างทางการนะ ก็ยัง ” ผมตามตอบความจริง ชื่อแซ่แต่ละคนที่ผมรู้นี่ก็ใช้สกิลเสือกและแอบฟังล้วนๆ
“ ท่านท้าวนี่ทำตัวเองเจ้าบ้านที่แย่จริงๆ ”
เด็กหนุ่มเบ้ปากใส่คนที่นั่งหัวโต๊ะอย่างไม่เคารพเท่าไหร่ ปากพวกเขาก็ให้ตำแหน่งไอ้พี่นาทดีอยู่หรอกนะ ท่านท้าว แต่การกระทำนี่สวนทางกันสุดๆ ดี ผมชอบ ฮ่าๆๆ
มันทำหน้าบึ้งใส่ “ ได้ที่เอาใหญ่เลยนะยูจิน ”
“ หึ ” ยูจินค่อนหัวเราะก่อนจะหันมายิ้มให้ผม “ ผมจะแนะนำให้เองครับ ผมชื่อ ยูจิน เป็นน้องชายฝาแฝดกับเด็กผมครีมๆ พี่เขาชื่อ ยูนิค เราสองคนเป็นยูนิคอร์นนะครับ ”
“ ยูนิคอร์นเจ๋งอ่ะ! ” ผมร้องลั่นด้วยความตื่นเต้นจนเด็กอมยิ้ม
เขาส่ายหน้า “ ไม่หรอก เจ๋งสุดคงเป็น... ” แล้วเขาก็เงียบ
ไม่ค่อยจะเสือกเลยกูเนี่ย “ ใครเหรอ ”
อยากถามแม่เหมือนกัน ว่าตอนเด็กนี่เอาเผือกให้ผมกินแทนข้าวเหรอ
โตมา ผมถึงได้ขี้เสือกเรื่องชาวบ้านขนาดนี้
“ เปล่าๆ ไม่มีหรอกครับ ฮ่าๆ ” ยูจินเบี่ยงประเด็นใหม่ “ ส่วนนั้นหน้าโหดๆโฉดๆตาแก่ตาเดียวนั่น ชื่อ สกาย เป็นเสือดำแก่! ”
“ ลุกมาต่อยกันเลยมั้ยไอ้ม้าเวร ” เฮียแกส่งสายคมกริบแทบบาดคอมาให้ขนลุกขนพองเล่น
ไอ้เปี๊ยกนี่ก็ท้าจริง “ เอาดิ คิดว่ากลัวรึไง ”
“ พอเลย ทั้งน้องม้าและพี่เสือ เดี๋ยวบ้านก็พังกันพอดีครับ ” เดือนพรายลุกขึ้นห้ามทัพอย่างใจเย็น กดไหล่ยูจินให้นั่งลงตามเดิมก่อนจะหันมาหาผม “ ส่วนพี่ชื่อ เดือนพรายนะครับ เป็นมังกรเหมือนกับท่านท้าวครับ ”
“ อ่า... ครับ ส่วนผมชื่อชลธีนะครับ ” ผมแนะนำตัวเล็กน้อย รู้สึกจะช้าไปหน่อยก็เถอะ พอผมจะอ้าปากพูดต่อเสียงฝีเท้าหนักๆของใครบางคนดังขึ้นขัดให้ทุกคนหันไปมองทางประตู
“ แฮ่กๆ! พะ พนา พนาไม่อยู่ในห้อง!! ”
เป็นยูนิคนั่นเองที่วิ่งหน้าตั้งมาใบหน้าน่ารักโทรมไปด้วยเหงื่อคงเพราะน่าจะวิ่งหารอบบ้านมารอบหนึ่งก่อนแล้วพอหาไม่เจอถึงได้วิ่งมาบอกพวกเราที่ห้องอาหาร เฮียเสือดำที่ตอนแรกนั่งนิ่งไม่สนใจใครเท่าไหร่กระเด้งไปหาคนตัวเล็กอย่างรวดเร็วจนผมงง... ดูใบหน้าหล่อที่กำลังร้อนรนนั่นดิ
“ บอกแล้วไงว่าอย่าวิ่ง บอกกี่ทีแล้ว ถ้าหอบขึ้นมาจะทำไง ” ดุเอาโล่เลยครับ
คนโดนดุหน้าซีดลงกว่าเดิม “ คือยูนิค... ”
“ ไม่ต้องแก้ตัว ดูสิ เหงื่อเต็มไปหมด จะเป็นลมแล้ว มานั่งๆ ”
เฮียแกแทบจะอุ้มอยู่แล้วถ้าไม่ติดว่าน้องชายที่โคตรจะหวงพี่ชายเดินเข้ามากั้นกลางแล้วประคองพี่ไปนั่งพักแถมไม่ลืมที่จะหันไปแลบลิ้นใส่สกาย
“ หาทั่วแล้วแน่ใช่มั้ยยูนิค ” สีหน้าดูไม่ดีเท่าไหร่ของพี่นาทเริ่มทำให้ผมเครียดตาม
“ ทั่วแล้วครับท่านท้าว ไม่เจอ ”
“ คงอยู่ในบ้านนี่แหละ ไม่น่าจะไปไหนได้ ไปหากันเถอะ ” คำสั่งจริงจังแล้วเรียบนิ่งสะกดให้ทุกคนฟังจากนั้นจึงแยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็วจนห้องที่เคยแคบกลับกว้างขึ้นถนัดตา
“ พี่นาท พนาเป็นใครเหรอ ”
ไม่รู้นะทำไมถึงถาม ผมแค่อยากลองใจมันเท่านั้นแหละ มันเคยบอก...ห้ามผมโกหกมัน แล้วมันล่ะ... เมื่อไหร่จะเลิกโกหกผม
มันยิ้มสบายๆ “ น้องชายพี่เองครับ ”
หึ... โกหกหน้าตายชะมัด
ผมค่อนหัวเราะในลำคอเล็กน้อยแอบผิดหวังและรู้สึกแย่เล็กๆ แต่ถ้าเอาตามความจริงแล้ว ผมมันคนนอกไง ไม่เห็นจำเป็นที่ไอ้พี่นาทต้องเล่าทุกอย่างให้ฟัง ไม่เห็นจะสำคัญเลย
สำคัญตัวเองมากๆ ใช่ว่าจะดี...
เปรียบเสมือนการหลอกตัวเองให้อยู่ในวนวังแห่งความเจ็บปวด
มันน่าหัวเราะเยาะตัวเองจะตายไป
แค่ไอ้พี่นาทให้ผมรู้ว่ามันเป็นมังกร
ใช่ว่า ผมจะเป็นอะไรสำคัญอะไรกับมัน
ที่มันยังวุ่นวายกับผมก็แค่กลัวว่าผมจะไปป่าวประกาศเรื่องมัน
ทุกอย่างมันไม่มีอะไร ไม่มีอะไรทั้งนั้น
ผมแค่... ผมแค่คิดเข้าข้างตัวเอง
ก็เท่านั้น...
************************************************************
มีต่อโพสล่างๆ
-
“ ให้ผมช่วยหามั้ย ”
เสนอตัวช่วยเหลือแม้อารมณ์ตอนนี้จะไม่ได้อยู่ในระดับที่ดีพอจะทำอะไรให้ใคร กำลังรู้สึกไม่เข้าใจตัวเองอย่างหนักนี่สิ...
“ ไม่ต้องหรอก ชลรออยู่ที่นี่ดีกว่า เรื่องของครอบครัวพี่ พี่จัดการเองได้ ”
ไอ้พี่นาทว่าเพื่อให้ผมเลิกกังวลและสบายใจแต่มันกลับเสียดแทงความรู้สึกดีๆของผมเข้าเต็มเปา มันลูบหัวผมเล็กน้อยแล้วพูดอะไรต่อก็ไม่รู้เพราะผมไม่ค่อยมีสติฟังเท่าไหร่ รู้สึกตัวอีกทีก็เสียงปิดประตูห้องนั้นแหละ และสุดท้ายในห้องนี้ก็เหลือแค่ผมคนเดียว
ก็ถูกอย่างที่มันว่าแหละ เรื่องของครอบครัวเขา เราไม่เกี่ยว
แล้วผมมาบ้างี่เง่าเป็นเต่าตุ่นทำอะไรกัน เออ!! ครับ สารภาพตรงๆเลยว่าตอนนี้ผมกำลังรู้สึกดี ดีมากๆกับมัน ทั้งที่แบบเมื่อก่อนไม่ได้อะไรนะ ไม่รู้สิ... มันมีความรู้สึกบางอย่างที่พยายามกรอกหูผมครอบงำผมบอกว่า...
ผมมีสิทธิ์ทุกอย่างในตัวพี่นาท
ทั้งที่ในความจริง
เรา...ไม่ได้เป็นอะไรกัน
มันไร้สาระว่าไหม... ตอนนี้ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้น ยิ่งใกล้มันยิ่งรู้สึกมากขึ้นจนมันควบคุมไม่ได้... มันรู้สึกเหมือนไม่ใช่ตัวเอง คุณเคยมั้ย แบบนี่คือตัวคุณ แต่มีใครอีกคนพยายามควบคุมเราอยู่... ใช่ นั้นแหละที่ผมกำลังรู้สึก
ผมต้องบ้าไปแล้วเเน่ๆ
************************************************************
ครืนนนน เปรี้ยงง!
ความเป็นไปของอากาศด้านนอกเรียกความสนใจให้ผมจากความมืดที่คืบคลานเข้ามาในใจ ผมเลิกฟุ้งซ่านแล้วหันไปมองอย่างชินตา น่าแปลกเนอะ ทั้งที่ตอนแรกไม่มีวี่แววฝนหรือพายุเลย อาจแปลกสำหรับคนอื่น แต่ไม่ใช่กับผม...
เวลาที่ผมรู้สึกแย่หรือไม่มั่นใจ หรือกำลังเศร้า สภาพอากาศมักแปรผันตามผมเสมอไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ผมเคยลองพิสูจน์ดูแล้ว แดดเปรี้ยงๆ ผมไปนั่งอยู่ตรงนั้นแล้วร้องไห้ปล่อยโฮออกมาเพราะเรื่องติดศูนย์ศิลปะ เท่านั้นแหละเหมือนฟ้ารั่วโลกจะพังให้ได้ ฝนเทกระหน่ำลงมาเมฆดำจากไหนไม่รู้เคลื่อนมาพร้อมทั้งฟ้าร้องฟ้าผ่าพายุลมกรรโชกอีก... ทุกครั้งที่ผมเสียใจก็มักได้สายฝนร้องไห้เป็นเพื่อนตลอด เลยไม่ค่อยเหงาเท่าไหร่...
ผมไม่เคยที่จะต้องเศร้าคนเดียว
ผมมักมีสายฝนเป็นเพื่อน
ยามร้องไห้
ผมมักมีแสงอาทิตย์เป็นเพื่อน
ยามมีรอยยิ้ม
ผมมักมีสายลมเป็นเพื่อน
ยามสุขใจและสบายใจ
อย่างที่บอก...ผมไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยว
แต่พอเจอมัน... มันเป็นคนแรกที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกทิ้งไว้กลางป่า ทิ้งให้โดดเดี่ยวอยู่คนเดียว... ถึงตอนนี้ฟ้าฝนข้างนอกกำลังร้องไห้อยู่แทนให้ มันก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลย...
เพราะ...ไอ้มังกรนิสัยไม่ดีนั่นไงละ
“ ไหนๆก็รู้สึกไม่ดีแล้ว ตกลงมาแรงๆเลย ” ปากว่าไปพลางขยับยกยิ้มมองด้านนอกที่ฝนเริ่มเทหนักเรื่อยๆ
ดี ตกเข้าไป ฟ้าผ่าใส่หัวไอ้มังกือไส้เดือนด้วยก็ดี!
เปรี้ยงงงง!!!
เฮ้ยๆ ล้อเล่นๆ อย่าๆ ยังไม่อยากกินมังกรย่าง
ผมเลิกสนใจอากาศแล้วหันมายังโต๊ะกินข้าว อาหารคงเย็นชืดหมดแหละเลยได้แต่ส่ายหน้าอย่างเซ็งๆ งั้นขอชิงกินก่อนแล้วกัน ไม่ไหวแล้วค่ะ! ชลธีเครียด เครียดแล้วชลธีต้องกินค่ะ!
แตะชามต้มยำไก่เบาๆ “ เอาไปอุ่นดีกว่า เย็นชะมัด ”
ไม่ต้องรอขออนุญาตใครแล้ว หิว!
รอยยิ้มคลี่กว้างขึ้นเมื่อความเศร้าถูกกลบด้วยอาหาร นายชลธีนั่นไม่มีอะไรซับซ้อนซ่อนเงื่อนหรอก เอาของกินมาล่อมาง้อ ก็หายแล้ว ของกินต้องมาก่อนเสมอนั่นคือคติ...
สำหรับคนเห็นแก่กิน เช่นเค้าไงตะเอง
“ ไมโครเวฟอยู่ไหนฟะ ”
ยกชามต้มยำกับจานผัดอะไรสักอย่างมาทางห้องครัวเผื่อหาอุ่นพวกมัน กินข้าวตอนร้อนๆมันดีนะ เจริญอาหารดีด้วย แต่ปลายเท้าต้องชะงักเมื่อสองตาดันเจอเข้ากับ...
เด็กมีหาง!!
ตัวเหวอะไรอีกเนี่ย!
ใช่ ฟังไม่ผิดหรอก เด็กมีหางจริงๆ เด็กผู้ชายน่าจะอายุประมาณสี่ขวบตัวเล็กๆในชุดสีฟ้าก็ดูจะเหมือนเด็กธรรมดาทั่วไป แต่มันดันไม่ปกติเพราะหางยาวๆคลับคล้ายคลับคาหางมังกรในภาพวาดที่เขาวาดๆกันงอกออกมาจากก้น...
กระผมได้แต่ยืนหน้าอึนปนประหลาดใจครั้งที่เท่าไหร่ของวันแล้วก็ไม่รู้ กูควรจะทำไงดีวะ หลังจากยืนเป็นมนุษย์หน้าโง่ได้เกือบๆสองนาทีเจ้าเด็กแปลกก็หันหน้ามาทางผม
เหมือนกระแสไฟแรงสูงแล่นเข้าสู่ร่างเพียงแค่สบตากับเด็กตัวน้อย...
เพล้ง!
เพล้ง!
ตุบ!
เสียงชามและจานในมือร่วงหล่นพร้อมๆกับร่างผมที่ลงไปนอนกองกับพื้นด้วยอาการปวดหัวรุนแรงและความแสบร้อนรอบบริเวณคอและช่วงอกจนอยากจะร้องออกมาด้วยความเจ็บร้าวแต่ปากดันไม่ขยับ มันเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นกำลังกดผมให้จมลงไปกับพื้น... อากาศกำลังกดทับตัวผมก็ไม่ปาน แถมลมหายใจถูกยึดหายจนเหลือเพียงแผ่วเบาเสมือนกำลังจะ...
ตาย
ไหนจะความรู้สึกหวงหาและคิดถึงที่โจมตีประดังประดามันมากมายจนท่วมท้นเข้ามาในแวบแรกที่ได้สบตากับเด็ก ตอนนีไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้นเพราะความเจ็บแปลบทั่วร่างเหมือนเข็มนับร้อยทิ่มตามร่างมีดนับพันกำลังเฉือนเนื้อ ผมนอนนิ่งอยู่เช่นนั้นมองดูเด็กชายวัยสี่ขวบได้ยังคงจ้องมาที่ผมตาค้างก่อนจะค่อยๆ
“ ฮึก... ฮึก... ฮือ!! ”
เริ่มร้องไห้...
ร้องทำแมวหาเพกาซัสเหรอลูก!
กูสิต้องร้อง เจ็บจะตายแล้ววว
“ ฮึก คิด ฮะ ฮือ คิดถึง... ”
เด็กน้อยตอนแรกนั่งแหมะอยู่กับพื้นพยายามลุกขึ้นแล้วเดินเต๊าะแต๊ะมาทางผมที่มีเศษกระเบื้องจากจานกระจายอยู่ ผมปรือตามองพยายามส่งสายตาไม่ให้เดินมา แต่ดูเหมือนว่าเด็กจะร้องไห้ไม่ได้สนใจสิ่งแวดล้อมนะตอนนี้เลย...
“... อย่า เดิน มา ” พยายามออกเสียงให้เด็กได้ฟัง แต่มันกลับเบาจนเป็นเสียงกระซิบ
“ รัก... รัก ฮือ ”
เว้ย!! ไอ้เด็กบ้า! มึงมองดูทางก่อนได้มั้ย! มันทำกำลังทำให้ผมสติแตกอีกรอบเพราะความเป็นห่วงเด็กที่ยังไงแล้วมันต้องเหยียบเศษกระเบื้องเป็นแน่แท้ถ้าจะเดินมาหาผม แล้วทุกย่างก้าวของเด็กมันก็ยิ่งทำให้ผมหายใจไม่ออก
สุดท้ายเป็นผมเองที่ต้องกัดฟันฝืนร่างกายเอาแขนตัวเองกวาดเศษแตกไปอีกทางพอจะให้เด็กเดินมาได้ ความรู้สึกแรกที่สัมผัสโดนกระเบื้องบาด...
ก็เจ็บน่ะสิถามได้!!
น้ำตาเล็ดเลยสิคราวนี้...ไม่ใช่แค่น้ำตา เลือดสีแดงยังมาเต็มอีก... ให้ตายสิ
แต่ที่กูอยากรู้ตอนนี้คือ... ทำไมร่างกายมันขยับไม่ได้!
“ พนา...พนาเป็นเด็กดีนะ พนาคิดถึง ฮือ กลับ...กลับมาแล้ว จริงๆ ”
พอกวาดของออกไปได้ไอ้เด็กนี่ก็โถมตัวล้มใส่ผมทันทีกอดหมับแน่นไม่ปล่อย แต่ยิ่งอยู่ใกล้มันเหมือนอากาศจะยิ่งน้อยลงทุกที แรงกดดันมากมายที่แทบจะทำให้ผมจมไปกับพื้น... บรรยากาศที่น่าอึดอัดนี่มันอะไรกัน...
“ คิดถึงพนามั้ย ” เด็กน้อยยิ้มกว้างแม้จะมีน้ำตาไหลลงมาเรื่อยๆ
“ ... ”
ปากกูขยับไม่ได้ครับ...
“ ฮึก ฮือ ไม่รักพนาแล้วเหรอ ทำไมไม่ตอบ ฮือ ” เวรแล้วไงมึง ร้องไห้หนักกว่าเดิมพร้อมแรงกดดันที่แทบเอาผมกระอักเลือดได้...
คือ...กูอยากตอบครับ “ ... ”
“ ทำไมไม่พูด ทำไม ฮือ ” ยิ่งร้องไห้หนัก ไอ้ผมเนี่ยก็ตายไวยิ่งขึ้น...
“ ... ”
กราบล่ะ.... ใครก็ได้ช่วยที
สาบาน จะเลิกเสือกเรื่องชาวบ้านแล้ว
ไอ้พี่นาทเว้ยยยย มาช่วยกูหน่อยยยย
พรึ่บ!!!
ร่างของเด็กน้อยปลิววูบขึ้นจากผมด้วยฝีมือของสกาย ก่อนจะได้คิดอะไรต่อ ไอ้พี่นาทที่โผล่มาจากไหนไม่รู้ก้าวมาขวางตรงหน้าผมด้วยสีหน้าน่ากลัวแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน จนผมรู้สึกสยองขึ้นมานิดๆ มองตามมือของมันที่กำลังวาดอะไรสักอย่างบนอากาศหลังจากนั้นจึงมีอักขระหน้าตาประหลาดสว่างวาบแล้วพุ่งใส่ตัวเด็กที่ชื่อพนา
ผมเบิกตาโพล่งมองการกระทำที่แสนจะน่าหวาดหวั่นนั้นด้วยดวงแก้วที่สั่นระริก บรรยากาศมันตึงเครียดและน่ากลัวจนผมแทบหยุดหายใจ...
นี่กูมาผจญภัยในเรื่องอะไรอยู่เนี่ย!!
แต่พออักขระโดนตัวเจ้าเด็กพนานั้นแล้ว บรรยากาศแสนอึดอัดและกดดันหายไปในพริบตาและมันมาพร้อมกับ...
“ เชี่ย!!! เจ็บ!!! ”
ผมร้องลั่นเมื่อความเจ็บมากกว่าเดิมหลายเท่าแผ่เข้ามาอย่างรวดเร็วตามเส้นประสาททุกสัดส่วน ร่างกายจากอัมพาตเป็นง่อยอยู่นานก็ขยับได้ตามใจดั่งใจนึกเหมือนเดิม พอขยับได้ผมรีบลุกขึ้นจากพื้นแต่ไอ้พี่นาทมันไวกว่าเข้าชาร์ทประคองผมด้วยความเป็นห่วง
“ เจ็บมากมั้ย ” สีหน้ามันเหมือนกำลังโทษตัวเอง
ผมส่ายหน้า “ ไม่เท่าไหร่ ทนได้ ”
เอาตามตรง... ไม่อยากพูดมาก เหนื่อยและเจ็บอยู่...
มันเบนสายตาไปทางพนาที่สกายกำลังปลอบให้หยุดร้อง “ พนา... ทำไมทำแบบนี้ ”
“ พนา ฮือ พนาคิดถึง ฮือ พนาอยากเจอ ฮือ พนาอยากเจอ!! ” เด็กร้องโวยวายหนักกว่าเดิม สกายเองได้แต่ยึดรั้งตัวไว้เพราะเด็กทำท่าจะกระโจนใส่ผมท่าเดียว
“ แต่พนา... ตอนนี้ยังไม่ได้ เราพูดเรื่องนี้กันไปแล้ว ” สกายพยายามพูด “ อย่างที่พนาเห็น... พลังของพนาจะฆ่าเขา ”
“ ไม่จริง ไม่เชื่อ! ปล่อย! สกายปล่อย! ”
พี่นาทเดินเข้าไป “ พนาเงียบ ”
“ ท้าวพ่อใจร้าย!! ใจร้าย!! ทุกคนไม่รักพนาแล้ว ฮือ ฮือ! ”
สีหน้าของคนเป็นท้าวพ่อซีดเปลี่ยนสีแววตาสั่นระริกกับคำพูดบาดหัวใจของเด็ก ขนาดผมคนนอกฟังไปยังเหมือนถูกแทงปางตาย แล้วไอ้พ่อเด็กไม่เจ็บจนชาเลยรึไง
“ ไม่!! เกลียด พนาเกลียดทุกคน ปล่อย! ปล่อยย! ฮือ! ”
พนายังคงดื้อเพ่งไม่ยอมจนไอ้พี่นาทต้องอุ้มเอง มือน้อยๆทุบตีไหล่เรื่อยๆพร้อมกับเสียงร้องไห้ไม่หยุด น่าแปลกนะ....เสียงร้องไห้มันบาดใจผมเหลือเกิน... อยากกอดชะมัด...
“ พนา ไม่ร้อง พนา ” เสียงทุ้มอ่อนโยนพยายามปลอบโยน
แต่เด็กก็ไม่มีกระจิตกระใจจะฟังนัก “ ฮือ ปล่อยสิ ปล่อย! พนาเกลียด เกลียดทุกคน ฮึกฮือ ”
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ท่ามกลางความเงียบยังคงมีเสียงร้องไห้ของเด็ก สกายเบือนหน้าไปอีกทางเหมือนไม่อยากมอง ยูนิคและยูจินที่เข้ามาทีหลังกำลังร้องไห้สะอื้นตามอยู่ไกลมีเดือนพรายยืนให้เด็กทั้งกอดซบ ไอ้พี่นาทยืนทื่อเป็นต้อนไม้ก้อนหินให้เด็กทุบตีเล่น และผม...ยืนเลือดสาดไหลเป็นก๊อกกะละมังแกลลอนมองทุกคน... น่าอนาถใจจริงๆ
“ ไอ้พี่นาท... ส่งเด็กมา ”
เสียงของใครสักคนพูดออกไปสร้างความตกตะลึงให้แก่ทุกคน และดูเหมือนจะเป็นเสียงของผมด้วยสิที่ว่าออกไป... สองขาสองเท้าเดินเข้าไปใกล้ตัวมังกรหนุ่ม สองมือแตะลงที่หลังของเด็ก...แล้วค่อยๆดึงเด็กออกจากอ้อมกอดของคนเป็นพ่อมาสู่...
อ้อมกอดของผม
เสียงร้องไห้ยิ่งสะท้านทรวงกว่าเดิมแต่มือน้อยๆกลับโอบรอบคอผมแล้วซุกหน้าไว้ที่ลาดไหล่ความรู้สึกหนาวเย็นและเดียวดายจากเด็กน้อยทำให้ผมเศร้า วูบหนึ่งในใจผมเกือบพูดบางอย่างออกมา...แต่ยั้งปากไว้ทัน
“ ไม่ร้องนะครับ เด็กดี ” เสียงอ่อนโยนของผมเอ่ยว่ามือก็ตบหลังปลอบเด็กเบาๆ
“ พนาเป็นเด็กดี ท้าวพ่อบอกว่าถ้าพนาเป็นเด็กดี จะ...เอ่อ ” เด็กน้อยกลืนคำสุดท้ายลงคอไปแล้วสะอื้นแทน “จะกลับมาหาพนา ”
“ ท้าวพ่อเหรอ... ”
ผมเสตามองหน้าไอ้พี่นาทที่ยืนส่งยิ้มฝืนๆฝืดๆและแววตาที่อ่อนล้ามาให้...
“ เขา...เป็นลูกของพี่...ใช่มั้ยพี่นาท ” ผมเอ่ยออกไปด้วยรอยยิ้มติดมุมปาก ก็ไม่เข้าใจนะว่ายิ้มทำไม ยิ้มเยาะสมเพชตัวเองมั้ง จับคนโกหกได้แล้ว
“ ...หึ ปิดไม่ได้จริงๆสิน่ะ เรื่องนี้ ”
มันยังหัวเราะได้ทั้งที่แววตากำลังเจ็บปวด...
“ ใช่ ...พนาเป็นลูกของพี่เอง ”
ช็อกซีนนีม่าโตเกียวพาวเวอร์...
เจ็บสัสเหมือนโดนตีนอัดหน้ากลางมหาสมุทร..
แต่...ตอนนี้เจ็บแขนเอี้ยๆ... เลือดจะหมดตัวแล้วครัช....
เตรียมใจมาฟังบ้างแล้ว แต่พอมาฟังเข้าจริงๆ ล้มทั้งยืนเลยนะ... ผมพยายามจะไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรนอกจากยืนปลอบเด็กต่อไปเรื่อยๆ
เสียงร้องของพนาเงียบลงเป็นสัญญาณบอกว่าเด็กได้หลับไปแล้ว เมื่อทุกความอึดอัดผ่านพ้นไปทุกคนจึงได้หายใจทั่วท้องสักที.... เดือนพรายผละตัวจากเด็กแฝดแล้วมารับตัวพนาไปอุ้ม แต่กว่าจะเกะมือเด็กออกจากคอผมได้ก็กินเวลาไปเกือบสิบนาที อะไรจะมือตุ๊กแกปานนั้น เป็นผู้รักษาประตูมั้ย ท่าจะรุ่งนะ
ส่วนผมหลังจากงัดออกจากพนาได้ก็โดนเด็กแฝดวิ่งหน้าตั้งมาประคองไปนั่ง... ทุกอย่างมันเงียบเชียบจนผมรู้สึกไม่ดีนัก ก็อย่างที่เคยบอก... ผมไม่ใช่คนเงียบ ติดพูดมากด้วย แต่สถานการณ์ตึงเครียดแบบนี้...
กูยอมเงียบสักวันแล้วกัน ฮือ
โอ๊ย เจ็บแผลจัง
ไอ้พี่นาทเดินหน้านิ่งเข้ามานั่งข้างๆผมแล้วเอ่ยสั่ง “ ยูจินไปตามตาเฒ่ามาไป ”
“ ไม่ต้องสั่งก็ไปอยู่แล้ว ” เด็กผมดำว่าก่อนจะวิ่งหายไปอย่างรวดเร็ว บ๊ะ อะไรมันจะวิ่งไวขนาดนั้น อ้อๆ แต่ลืมไป พวกนี้ไม่ใช่คนปกติทั่วไป
“ ปวด ”
ผมครางออกมาเบาๆยกแขนที่เต็มไปด้วยเลือดขึ้นดู อือหือ เศษกระเบื้องยังฝังติดเนื้อก็มี... ดึงออกหวังได้มีเลือดพุ่งปรี๊ดชัวร์ๆ
“ ทนหน่อยนะชล ยูจินไปตามหมอแล้ว ”
“ อืม ”
“ ชล... โกรธพี่เหรอ ” มันว่าเสียงหงอๆอ่อยๆค่อยๆ “ เงียบอีกแล้ว โกรธจริงๆใช่มั้ย ”
ผมเลิกคิ้วขึ้นเหลือบมองมันแล้วหัวเราะในลำคอ
มันยิ่งหน้าหดเล็กลงเมื่อเจออาการเงียบตึงมึนใส่
ผมเคาะนิ้วมืออีกข้างที่ไม่เจ็บอย่างไตร่ตรอง...
โกรธเหรอ... ไม่หรอก มันไม่ได้โกรธ
“ ผมแค่...รู้สึกแย่กับพี่ว่ะ ไม่ได้โกรธ ”
“ ชล ชล พี่ขอโทษ พี่ขอโทษ ” มันคว้ามือผมไม่กุม เปล่าๆ กระชากไปกุมถึงจะถูก
“ โอ๊ย เจ็บ! ดึงไปทำไมฟะ! ”
ผมสบถด่ามันไปเพิ่มจนมันทำอะไรไม่ถูกสีหน้าแย่กว่าเดิมจนเป็นมังกรต้มแล้ว เออ ตลกดี สะใจดีด้วย ลนลานให้มากๆ
“ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ”
มันพร่ำขอโทษไม่หยุดจนดูน่าสงสาร...
“ พอๆ จะขอโทษไปยันโลกหน้าเลยมั้ย ” ประชดซะหน่อยจะได้เลิก
มันขมวดคิ้วหนัก “ ได้นะ ถ้าชลจะหายโกรธ ”
“ มันใช่เวลากวนตีนมั้ย ” ผมหรี่ตาจิกมันพลางผ่อนลมหายใจร้อนๆให้ตัวเองรู้สึกดีนิดนึง
“ ...พี่ต้องทำยังไงให้ชลไม่รู้สึกแย่กับพี่ ”
มันถามด้วยสีหน้าจริงจังไร้แววล้อเล่นหรือกวนตีน ผมจ้องตามันเพื่อดูว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่แต่ก็ไม่มีพิรุธอะไร
“ เล่าความจริงมาสิ ”
ผมไม่อยากเห็นคนโง่ๆที่หลงเข้ามาวุ่นวายรับรู้เรื่องพวกนี้แล้วต้องมารับรู้ครึ่งๆกลางๆ...
มันชะงักค้างไปเลยแล้วค่อยๆปล่อยมือผม... กลายเป็นผมเองที่หน้าชาวาบกับการกระทำอันบ่งบอกได้แล้วว่ามันเลือกอะไร...
“ ...ขอโทษ ตอนนี้พี่พูดไม่ได้จริงๆ ”
ไม่สบตา
ไม่มองหน้า
ไม่มีรอยยิ้ม
...แล้วทำไมผมถึงรู้สึกแย่แบบนี้วะ
คงเพราะไม่ได้กินข้าวเที่ยงกับเจ็บตัวล่ะมั้ง สมองเลยเบลอๆ คิดอะไรเพี้ยน รู้สึกสับสน มันมีแค่นั้น ไม่มีอะไรมากกว่านั้น และที่สำคัญ ผม...ไม่ได้เป็นอะไรกับมัน ไม่ได้เป็น
แล้วสิ่งที่ผมควรจะทำตอนนี้...
“ ผม...กลับบ้านก่อนนะ ”
ไอ้พี่นาทเงยหน้าหันมามองทำท่าจะเอื้อมมือมารั้งแต่ก็ปล่อยค้างแล้วเลื่อนไว้ข้างตัวแทน...
“ อืม... แล้ววันจันทร์ เจอกันที่มอนะ ”
ผมเม้มปากเป็นเส้นตรงกับการกระทำของมัน...นิ่งขรึมจนเหมือนเย็นชา
มันเบือนหน้าหนีผม
ผมมองแต่ไม่ได้พูดอะไร
มันยังคงไม่มองมาที่ผม
สุดท้าย...
ผมก็เดินออกมา...
ด้วยความรู้สึกโหวงๆในหัวใจ...
บางที... กินข้าวสักจาน ผมอาจจะรู้สึกดีขึ้น
ใช่...
แค่ 'อาจจะ' เท่านั้น
TBC.
-
ทำไมเล่าไม่ได้อ่ะ ไม่ใช่แค่ชลนะที่รู้สึกแย่อ่ะ ตอนนี้คนอ่านก็รู้สึกแย่ อยากอ่านอีก รออออ พนานี่ลูกของท้าวกับชลธารป่ะ เดาๆ
-
เง่อ สงสารชลอะ อิพี่นาทนิ ทำชลเสียใจ
-
:katai1: :katai1: มันหน่วง หน่วงใช่ไหมหน่วงงงงงงงงงงง
-
:beat: :beat: :beat: :beat: จะเงียบทำไม ทำไมไม่เล่าออกไปล่ะท่านท้าว
พูดไม่ได้บอกไม่ได้ไม่ใช่ตอนนี้ คือจะรอให้เลิกยุ่งเลิกสนใจก่อนใช่ไหม
-
ขอให้พนาเป็นลูกของพี่นาทกับชล สาธุ
-
มีเรื่องให้อึ้งกันเรื่อยๆ....
-
ค้างงงงงง
ว่าแต่ แผลน่ะ ไม่รักษาก่อนเหรอ? เดินมาทั้งอย่างนั้นเลย?
-
ค้างอีกแล้วจร้าา
เรื่ิองนี้ต้องกระจ่ายสิ รอๆตอนต่อไป
:katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ชอบนิยายแนวนี้ค่ะ แต่ก็ชิบให้บทดูมีที่มาที่ไป
ไม่ใช่บังเอิญลูกเดียว ขอให้นิยายเรื่องนี้มีดีเทลที่ดีนะคะ
เพราะเราชอบเรื่องนี้มากกกกกกกก
เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ
-
ต่อด่วนนนน เลยค่ะ ลุ้นมาก
-
ตอนนี้อิคนอ่านต่อมเผือกจะแตกยิ่งกว่าชลธีอีก 5555 อย่กเผือกมากมาย บางทีกินข้าวซักจานอาจจะหาย
-
โอ๊ยยยย ค้างเเรง ทำไมพี่นาททำงี้อ่ะ ทำไมไม่พูด :ling1: :ling1: ตอนนี้มันหน่วงอ่ะ เรื่องนี้มีปมมีจุดให้คิดเยอะ ยิ่งอ่านยิ่งขี้เผือกตามชลเเล้วนะ 55555555 รอตอนต่อไปน่าา :hao3:
-
โอ๊ย อยากรู้อะ :ling1:
-
ชล... ทำแผลก่อนมั้ย 55555555 แต่พี่นาท ทำไมไม่อธิบายไปเล่า :ling1: รอๆๆ ลุ้นๆ กับตอนต่อไป
-
เบื่อจริง มีความมลับเนี่ยยยย
-
ความลับเยอะจริงพี่นาท ชวนน้องมาแต่ไม่บอกไรเลยเนี่ยนะ
-
รอๆๆๆๆๆๆๆๆๆ สนุกมากกก
-
ตอนนี้อิคนอ่านต่อมเผือกจะแตกยิ่งกว่าชลธีอีก 5555 อย่กเผือกมากมาย บางทีกินข้าวซักจานอาจจะหาย
น่าจะข้าวหลายจานนะคะ มีเรื่องให้ขุดเผือกขุดมันเยอะ 55555555555555555
-
อาถรรพ์พงไพร ๖
จงอย่าได้รับรู้
เพียงเชื่อใจและเชื่อฟัง
รอวันเวลา
อย่าได้ริตามหารือสืบความ
รู้ก่อนเวลาอันสมควร
หาใช่เรื่องดีนัก
จงอดทนต่อทุกสิ่ง จงรอ
รอจนกว่า...
คำสาปจะคลาย
แล้วความจริงจะรับรู้
ด้วยตัวเจ้า
...เทพาแห่งพงไพร...
[กัมปนาท ‘ Part]
ผมมองชลธีที่เดินออกไปด้วยความว้าวุ่นใจ...
ใช่ว่าผมไม่รู้สึกอะไร ยังไงแล้วความเจ็บปวดของคนที่รู้ย่อมมีมากกว่าคนที่ไม่รู้... ผมทำให้เขารู้สึกแย่ ผมรู้ แต่...มันเป็นเรื่องที่พูดตอนนี้ไม่ได้ ผมอึดอัดที่ต้องอยู่ในสภาพแบบนี้
ในความจริง ผมควรอยู่ห่างเขาก่อนจะถึงเวลาที่สมควรจริงๆ ใช่ พวกเราวางแผนไว้แบบนี้ ให้เขาไม่รู้อะไรรอวันที่เขาอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ก่อน พวกเราถึงเริ่มเคลื่อนไหว ทุกอย่างจะเป็นไปตามนั้น ถ้าพวกนั้นไม่หาชลเจอเสียก่อน
คงเพราะพลังที่ใกล้จะฟื้นคืนตัวเลยจับพลังได้ ยิ่งตามกลิ่นได้ง่ายขึ้นไปอีก...
ในวันที่เขาหลงอยู่ในป่า มันอาจจะดูเป็นเรื่องจงใจที่ผมไปปรากฏตัวต่อหน้าชลด้วยสภาพกึ่งมังกร แต่ไม่ใช่... มันบังเอิญ พวกล่าอมนุษย์ได้แฝงตัวเข้ามาในป่าหาเวลาที่เหมาะสมเพื่อกำจัด ผมไหวตัวได้ทันจากนั้นจึงตามหาตามเก็บพวกมันทีละคนอย่างเงียบเชียบและไวที่สุด แต่น่าโชคร้ายตรงที่คนสุดท้ายที่ผมต้องกำจัดอยู่ใกล้กับชลพอดี ผมเลยต้องเบี่ยงเบนความสนใจของชลมาไว้ที่ผมแทน ขืนปล่อยให้เขาเดินโง่ๆต่อไปคงพบศพพวกอมนุษย์กันพอดี...
แล้วตอนนั้นดันเกิดการต่อสู้ทำให้ร่างกายของผมอยู่ในสภาพครึ่งคนครึ่งมังกรไหนจะอยู่ในเขตอาณาบริเวณใกล้ป่าอาถรรพ์ยิ่งควบคุมพลังได้ยาก เลยทำให้ต้องเผยตัวกับชลว่าผมนั้น...ไม่ใช่คนธรรมดา
ผมคิดเสมอว่า...การอยู่ห่างๆมันทำให้ผมทรมาน แต่พอได้อยู่ใกล้ๆทำตัวสนิทสนมกว่าเก่ามันกลับทรมานมากเดิมหลายเท่าตัว... แต่ผมถอยหลังกลับไม่ได้แล้ว... พวกนั้นรู้ตัวแล้ว จะยิ่งอันตรายหากชลอยู่ไกลจากสายตาของผม...
ตึก ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าย่ำหนักใกล้เข้ามายังที่ที่ผมนั่งเลยทำให้หลุดจากภวังค์ความคิด...
“ ท้าวเอ๋ย นั่งหน้าเศร้าทำไมกันหรือ ”
เสียงยานคางกล่าวทักทายดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของ ’อาจารย์ศักดิ์ชัย’ นั่นมันก็แค่ตัวตนใหม่ที่สร้างขึ้นมาบังตาพวกมนุษย์เท่านั้น
ผมลุกขึ้นแล้วคุกเข่าลงกับพื้นก้มหน้าชิดอก “ สวัสดียามบ่าย ท่านผู้เฒ่า ”
“ สวัสดีท่านท้าวกัมปนาท แล้วเจ้าตัวปัญหาของเรานั้นอยู่ที่ไหนกัน ” ท่านนั่งลงบนเก้าอี้ที่ผมเคยนั่งก่อนจะเทสายตามองหาตัว
ชลธีทั่วห้องแต่พบเพียงคราบเลือดที่หยดเป็นทาง...
“ กลับไปแล้วครับ ” เอ่ยเสียงแผ่วเหม่อมองท้องฟ้าด้านนอกที่ตอนแรกฝนตกหนักแต่ตอนนี้สภาพอากาศกลับเย็นสบายดังเดิม
อาจารย์ศักดิ์ชัยเลิกคิ้วเล็กน้อย “ แล้วเจ้าปล่อยให้เด็กหนุ่มกลับไปทั้งแผลแบบนั้นหรือ ”
“ ครับ ”
คิดว่าผมไม่ห่วงเขาเหรอ ผมห่วงเขาแน่นอยู่แล้ว แต่มันดันติดตรงที่ผมกลัวนิสัยเก่าของเขานี่สิ...
“ นี่ท่านท้าวยังไม่เลิกนิสัยนี่อีกหรือ ผ่านมาตั้งหลายร้อยปีแล้ว ” ถอนหายใจปลงตรงกับมังกรหนุ่ม
“ เขาบอกว่าเขาอยากกลับ ผมก็ไม่กล้า... ”
“ ไม่กล้าแย้ง เพราะกลัวฝ่าเท้าเมียรักประทับหน้าสินะ ”
ผมสะดุ้งโหยงกับคำกล่าวนี้แอบปฏิเสธในใจดังๆว่าเลิกกลัวแล้ว ทั้งที่ในความจริง... ต่อให้ผ่านไปอีกสักพันปี ผมก็คงยังกลัวเขาเหมือนเดิม
หรือว่าพูดในแบบโลกมนุษย์...
ให้เกียรติและเกรงใจเมียครับ
“ ท่านก็พูดไป ผมไม่ได้กลัว...สักหน่อย ”หลบตาพูดอ้อมแอ้ม
ถามเสียงสูง “ งั้นหรือ ”
“ ... ” เอ่อ... ไม่กล้าพูดเต็มๆปาก เผื่อเจ้ายูจินเอาไปฟ้อง ทีนี้ผมได้ตายคาเท้าคนรักเป็นแน่...
“ ฮ่าๆๆ ข้าไม่หยอกเจ้าแล้ว เลิกหน้าซีดได้แล้วกระมัง ” คนแก่กว่าหัวเราะร่าอย่างสนุกผิดกับหน้าผมลิบลับ “ แต่ปล่อยให้เดิน
กลับเองจะดีรึ ไหนบอกว่าพวกนั้นตามกลิ่นเจอแล้วไง ”
“ ผมส่งภูตติดตามไปแล้วครับ ” ผมว่ายิ้มๆเผื่อให้ท่านผู้เฒ่าสบายใจ ท่านพยักหน้ารับก่อนจะโบกมือสองครั้ง ชุดน้ำชาร้อนกรุ่นกลิ่นหอมจากใบชาได้มีขึ้นบนโต๊ะ...
รินน้ำชาใส่ถ้วยพลาง “ ยูนิคบอกแล้วใช่มั้ย ”
“ ครับ เรื่องเลือดของชล ”
“งั้นหรือ ” กระดกน้ำชาชิมรสเล็กน้อยก่อนใบหน้าขี้เล่นตามประสาคนแก่แล้วพลันเปลี่ยนเป็นจริงจัง “ ทางเข้าป่ายังดีอยู่ใช่มั้ย ”
“ ...เราเจอรอยแตกสองจุดทางตะวันตกครับ ” เอ่ยรายงานความเป็นไปด้วยสีหน้าไม่ค่อยจะสบายใจสักเท่าไหร่กับรอยแตกที่เกิดขึ้น “ ตรวจสอบแล้วมีอักขระปีศาจผสมอยู่ครับ ”
คนแก่ได้ฟังดังนั้นเริ่มมีสีหน้าเปลี่ยนไป หัวคิ้วขยับเลื่อนชนกันก่อนจะพึมพำเบาๆ “ นี่พวกมันร่วมมือกับปีศาจรึ ”
“ เป็นไปได้ครับ... เป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆ ”
ผมว่าออกไปตามความจริงที่คิด เพราะพวกล่าอมนุษย์เป็นเพียงมนุษย์เดินดินธรรมดาที่ต้องฝึกเวทย์ฝึกการต่อสู้ตั้งแต่เด็กให้มีพลังสะสมและแข็งแกร่งพอจะต่อสู้... ส่วนพวกอมนุษย์เช่นเขานั้นก็ต้องคอยหลบหลีกเลี่ยงการปะทะตลอด เพราะไม่ได้อยากทำร้ายพวกมนุษย์ แล้วการที่พวกมันรวมมือกับปีศาจเหมือนๆกับพวกผมก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่ ปีศาจเหมือนกันหากต้องสู้
กันเอง คงเจ็บปางตายแน่...
มือเหี่ยวย่นยกขึ้นลูบคางอย่างครุ่นคิด “ คงต้องหาทางแก้แล้วสร้างเวทย์ใหม่ ” คิดได้เพียงเท่านั้นก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ แต่คนเขียนดันไม่รู้เรื่องไม่อยู่แล้วนี่สิ ”
“ ระหว่างนี้ผมจะให้สกายแกะตัวอักษรแล้วเขียนกันไว้ก่อนแล้วกันนะครับ ” ผมเสนอไปอย่างไม่มั่นใจเท่าไหร่ว่าสกายจะทำได้
“ ทำยังไงก็ได้ ขอยืดเวลาให้นานที่สุดจนกว่าจ้าวจะตื่นเต็มที่ แล้วทุกอย่างก็จบ ” คนเฒ่าคนแก่ว่าอย่างสบายใจ “ เหลืออีกกี่เดือน ”
ผมตอบไปอย่างรวดเร็ว “ ประมาณห้าหกเดือนได้ครับ ”
“ อีกไม่นาน พวกล่าอมนุษย์รุ่นใหม่คงตามกลิ่นเราเจอ ”
“ รุ่นใหม่เหรอ ” ครางถามอย่างฉงนใจ
“ คนเก่าที่เราเจอล่าสุดเมื่อ 60 ปีที่แล้วเพิ่งตาย ” ดวงตาอ่อนล้าเหม่อมองไปทางนอกหน้าต่างที่อากาศข้างนอกเริ่มอึมครึมอีกแล้ว “ เพราะงั้น...ลูกชายมันนั่นแหละเป็นคนที่ติดต่อกับปีศาจ ”
ผมหัวเราะเบาๆ “ ผมเองก็ลืมไปว่าพวกนี้มักเปลี่ยนรุ่นบ่อยๆ เพราะไม่ได้เป็นอมตะเช่นพวกเรา ”
“ ให้ระวังตัวกันหน่อยแล้วกัน เจ้าลูกชายคนนี้น่าจะร้ายพอตัว ”
“ ผมจะให้ทุกคนระวังตัวครับ ”
พยักหน้ารับก่อนจะเดินกลับเข้าไปในครัวเพื่อหยิบผลไม้มาให้กับคนแก่ที่เคารพนับถือ
อาจารย์ศักดิ์ชัยเงยหน้าหันมาถาม “ ว่าแต่เจ้าตัวเล็กได้พูดอะไรไปหรือเปล่า ”
“ เปล่าครับ แค่ร้องไห้เฉยๆ ”
“ ก็พรากกันมานาน เด็กจะร้องไห้ก็ไม่แปลก ” ยิ้มบางเบาอย่างเศร้าใจเมื่อหวนคิดเรื่องเก่าๆ “ เดี๋ยวฉันจะเขียนเวทย์สะกดให้แล้ว
กัน เข้าใกล้ได้ แต่อย่าให้พูดออกมาก็พอ ”
ก้มหัวให้เป็นเชิงขอบคุณมือกระด้างค่อยๆวางถาดผลไม้ลงบนโต๊ะก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่เดิม...
“ ถ้าพูดออกไปก่อนเวลาจะเป็นยังไงครับ ”
ที่ปิดบังกันอยู่ไม่ยอมบอกอะไรกับเจ้าตัวนั่นเป็นเพราะคำสั่งของท่านผู้เฒ่าคนนี้โดยที่พวกผมก็ไม่ได้รู้รายละเอียดลึกนัก
“ วิญญาณจะบิดเบือนและแตกสลายอย่างไม่มีวันหวนคืน ” หยิบผลไม้ขึ้นมาปอกช้าๆ “ ทางที่ดีอย่าพูดเลย ”
สายลมเย็นวาบพัดโหมผ่านหน้าไปอย่างรวดเร็ว ความชาและเย็นยะเยือกถูกแผ่ซ่านไปทั่วใบหน้าและหัวใจอันกำลังเต้นเร่าด้วยความปวดหนึบ
ยิ่งคิดหวนกลับอดีตแล้วนึกโทษตัวเอง...
ถ้าวันนั้น...
คนที่โดนคำสาปเป็นผม
มันคงจะดี
เสียงหัวเราะดูเหมือนจะอารมณ์ดีแต่แฝงด้วยโทสะแรงกล้า “ มันก็ช่างกล้านะที่เล่นแบบนี้ ”
ผมเบือนสายตาไปอีกทาง “ ผมปกป้องไม่ได้มากกว่า”
“ เลิกโทษตัวเองได้แล้ว แล้วดูแลไอ้เด็กนั่นให้ดีแล้วกัน ” คนเป็นอาจารย์ว่าก่อนจะนึกอะไรบางอย่างได้ “ จริงสิ เจ้าอย่าลืมเสียเล่าว่าในตอนนี้จิตใจชลไม่ได้เย็นเยียบเป็นน้ำแข็ง จะทำอะไรก็คิดดีๆ มนุษย์น่ะชอบคิดมาก ”
“ ... ” ชลไม่น่าจะเป็นคิดมากมั้ง
“ เห็นหน้ามังกรป่วยของเจ้าแล้ว ข้าเซ็งเสียเหลือเกิน ” ว่าเสียงหน่ายใจโบกมือไล่อีก “ รีบไปง้อเมียไป เดี๋ยวไปมีชู้ไม่รู้ด้วยนะเว้ย ”
“ ไม่มีหรอกครับ ” ปากว่าไปแต่ใจเริ่มแก่วงๆ
“ หึ ตามใจเจ้าเถอะ ” คนแก่ว่าพลางหัวเราะหึในลำคอเมื่อแกล้งมังกรหนุ่มได้ “ ข้าขอตัวกลับก่อนแล้วกัน ”
คิ้วผมกระตุกอย่างแรงเมื่อเจอคำว่าชู้ เมื่อสร้างความเคลือบแคลงใจให้ผมเสร็จอาจารย์ศักดิ์ชัยก็ลุกขึ้นแล้วขอตัวกลับ ส่วนผมเหรอ... นั่งหน้าบึ้งคิดไม่ตกกับประโยคเมื่อครู่ ตอนนี้เขายิ่งรู้สึกแย่กับผมด้วย ยิ่งผมไปหาจะโดนโกรธเพิ่มมั้ยวะเนี่ย
“ เอาไงดีวะ ” ผมพึมพำอยู่กับตัวเองอย่างคิดไม่ตก
...เอาไงดีเนี่ย ไปดีไม่ไปดี
‘ระวังเมียมีชู้นะ’
ไม่หรอกมั้ง...
‘ระวังเมียมีชู้นะ’
...หรือจะมีว่ะ
‘ระวังเมียมีชู้นะ’
‘ระวังเมียมีชู้นะ’
‘ระวังเมียมีชู้นะ’
เว้ย! ไปก็ไปว่ะ!
ตามไปดูหน่อยแล้วกัน ใกล้ๆค่ำแล้ว เผื่อมีอะไรไม่ดี...ไม่ได้ไปจับผิดนะ แค่ตามไปดูแค่นั้นว่าปลอดภัย
ยกมือขึ้นยีหัวอย่างเครียดกับความวุ่นวายในหัวก่อนจะลุกพรวดพราดเดินออกจากห้องอาหารที่สวนกับยูจินพอดี เด็กนั่นหยุดเดินแล้วหันมาถามผม
“ ท้าว จะไปไหน ” ถามซะห้วนไร้ความยำเกรงจริงๆ ไอ้เด็กนี่
“ ยุ่ง ” ผมว่าเบาๆ แล้วเดินต่อไป
เด็กจอมยุ่งถลึงตาใส่ “ ต่อยกันเลยมั้ยท่านท้าว ปากหาเรื่องนะ ทีกะพวกผมก็เก่งจริง ทีกับท่านจ้าวไม่เห็นจะเก่งเลย ” น้ำเสียงเย้ยเยาะเต็มเปี่ยม
เก่งไปก็ได้เจอฝ่าพระบาทสิครับ...
“ ไม่อยากลงไปต่อยกับเด็ก ” หยุดเดินแล้วหันไปหามันไม่ลืมที่จะยืมประโยคชวนปรี๊ดแตกขึ้นมาราดบนกองเพลิงร้อนๆ
“ ติดเชื้อมาจากไอ้เสือแก่รึไง ” จิ๊ปากอย่างไม่ชอบใจเท่าไหร่ “ ถามดีๆ จะไปไหนครับ ”
“ ไม่บอกได้ปะ ” ผมยักคิ้วให้ด้วยความกวนตีน
“ ไม่บอกก็ไม่ต้องไป ”
จบประโยคคมแหลมของดาบจากไหนไม่รู้จ่อเข้าที่คอหอยห่างเพียงไม่กี่มิลลิเมตรมันก็จะแทงคอผมได้แล้ว หลอดไฟด้านบนสะท้อนแสงกระทบลงบนดายเล่มยาวแสนงามที่ดูก็รู้ว่าเจ้าของมัน ดูแลรักษาอย่างดีถึงได้แววงามขนาดนี้
ผมเตือนหลุบตาต่ำมองดาบแล้วพ่นลมหายใจ “ เล่นของอันตรายไม่ดีนะยูจิน ฟ้องไอ้พรายแน่ ”
“ ทำอยากกับมันเคยห้ามอะไรผมได้ ” เด็กชายแสยะยิ้มสยองกดแรงที่ดาบมากขึ้น “ ก็บอกมาสิจะไปไหน ”
กรอกตา“ ไปหาชล ”
เด็กหนุ่มทำหน้าไม่เชื่อเท่าไหร่แต่ก็ยอมลดดาบลง เฮ้อ เล่นของอันตรายจริงๆเลยนะเด็กคนนี้ แต่ยังไม่ยอมปล่อยให้ผมไปง่ายๆอยู่ดี
“ ไปทำไม ” เอ๊ะ เป็นเจ้าหนูจำไมรึไงกัน ถามจริงเลย
“ ไม่ใช่เรื่องของเด็ก ” ผมย้ำคำเดิมพร้อมยิ้มมุมปากวางมือลงบนศีรษะกลมแล้วโยกไปมาราวเอ็นดู “ อายุถึงร้อยปีรึยังก็ไม่รู้ ”
“ ร้อยสามปีแล้วเว้ย! ” ปัดมือผมทิ้งแล้วถดถอยห่างราวกับรังเกียจ “ จะไปไหนก็ไปเถอะ แต่เอานี่ไปด้วยแล้วกัน ”
บางอย่างถูกปาใส่หน้าแต่ดีที่รับไว้ได้ทันท่วงทีพอดิบพอดี แววตาคมเจือปนความงุนงงกับสิ่งที่อยู่ในมือ แต่พอคลายก็รับรู้ได้เลยว่าคือสิ่งใด
สร้อยเงินห้อยด้วยอัญมณีสีฟ้ารูปหยดน้ำ...
“ เขาให้พนาไว้ สั่งว่าห้ามถอด แล้วถอดมาทำไม ” น้ำเสียงอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นเข้มและดุดันทันที ตวัดตามองหาเรื่องคนที่เอามาทันที
ยูจินไม่ได้มีท่าทีเกรงกลัวสักนิด “ พนาฝากไปให้ท่านชล จบมั้ยท้าว ”
“ เอาไปใส่คืนพนาไปเดี๋ยวนี้ ” ผมยื่นสร้อยกลับ
“ วะ! พ่อกับลูกคู่นี้มันยังไงกันห่ะ เอาแต่ใจ! สั่งจริงๆ! ” เสียงแหลมตวาดใส่อย่างเหลือทน “ จะเอายังไงก็แล้วแต่เลย ไปตกลงกันเองไป ไม่ยุ่งแล้ว! ”
“ เดี๋ยวยูจิน บอกว่าเดี๋ยวไง! ”
ตะโกนกลับ “ รำคาญ! เลิกเรียกได้แล้วเว้ย! ”
“ ไอ้ม้าผมดำ หยุดเว้ย! ”
ผมตะโกนเรียกรั้งอีกฝ่ายไว้แต่ดูเหมือนว่าไอ้เด็กม้ามีเขาจะไม่ได้ฟังเลยเดินสะบัดตูดออกไป แล้วไม่ลืมจะปิดประตูไล่ผมอีก
ก้มมองดูสายสร้อยในมือแล้วถอดหายใจเฮือกใหญ่...
พนาคงรู้ว่าผมต้องไปหาหมอนั่นถึงได้ให้สร้อยมา...
ผมก้มลงมองอีกครั้ง
มุมปากหยักเคลื่อนยิ้มพลางหัวเราะน้อยๆ...
แต่คงมีอีกอย่างที่พนารู้...
เมื่อเจ้ากลับมาแล้ว
สร้อยเส้นนี้มันก็ควรกลับไปหาเจ้าของตัวจริง...
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ต่อโพสล่างๆ
-
[ชลธี’Part]
ผมว่า...
ทางนี้มันคุ้นๆนะ
ไม่สิ ต้นไม้ต้นนี้ก็คุ้น
ไม่คุ้นก็คงจะแปลก
เพราะผมเดินวนมาที่เดิมจะหกรอบแล้วไงครับ!!
หันซ้ายหันขวาก็มีแต่ป่าและป่าและป่า ผมหมุนตัวไปรอบๆเพื่อหาทางลงจากเขา ใช่ ลงจากเขา กำลังสงสัยอยู่กันสินะว่าผม
กำลังทำอะไร ที่ไหน บอกสั้นๆให้ได้ใจความเลย
ผมกำลังหลงป่าครับ
ส่วนสาเหตุการหลงก็ความอวดดีกับความโง่ล้วนๆไม่มีอะไรผสมของผมนั้นเอง เผือกอวดดีน้อยใจเป็นนางเอกแสนดีขอด้วยกลับบ้าน แล้วเป็นไง หลงสิครับ! แต่ไอ้คุณเจ้าของบ้าน ไอ้คนพามานี่ก็ไม่ได้เรื่องเหมือนพระเอกหนังน้ำเน่าจริงๆเลย ซื่อบื้อ ไม่งงไม่
ง้อ ยังมีหน้ามาบอกอีกเจอกันที่มหา’ลัยเลย
ยิ่งคิดยิ่งน้อยใจชิบหาย
ไหนๆก็บ่นแล้วขอเล่าย้อนกลับไปเมื่อสองชั่วโมงที่แล้วเลยแล้วกัน วันนี้ผมโดนไอ้มังกรบ้านั้นลากมาเที่ยวบ้านมัน และได้รับรู้อะไรหลายๆอย่าง พาผมมากระตุ้นต่อมสอดเผือกเรื่องราวของมันให้อยากรู้กว่าเดิม แต่ก็ไม่เล่าอะไร ปิดบังอีก น่าหงุดหงิดมากให้ตายเถอะ แต่เรื่องน่าสะพรึงอีกคงไม่พ้นเรื่องลูกของมัน คิดแล้วยังสยอง เด็กบ้าอะไรน่าขนลุกผิดกับหน้าตาน่ารักลิบลับ เพราะเจอเด็กนั่นไงผมถึงได้แผลเลือดสาดขนาดนี้ แต่จะว่าไป...
ทำไมกูไม่ทำแผลก่อนวะ
โอ๊ย ถึงว่าทำไมมันเจ็บขึ้นเรื่อยๆ
พลิกแขนตัวเองดูแผลที่เลือดเริ่มแห้งเหลือแค่ทิ้งรอยติดเกรอะกรัง แต่โคตรน่าอนาถใจเลยจริงๆ ที่อวดดีเดินออกมาทั้งๆที่เป็นแผลเนี่ย
“ ไปทางไหนดีเนี่ย ” บ่นพร่ำกับตัวเองด้วยประโยคเดิมๆครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
วันนี้จะได้นอนกลางดินกินกลางทรายชัวร์ๆแน่ ผมถอนหายใจทิ้งอีกหลายๆรอบก่อนจะเดินไปทางขวาแต่เดินต่อไปได้เพียงสอง
ก้าวก็ต้องชะงักเมื่อเจอเข้ากับ...
รอยแตก
คืออะไรวะเนี่ย ชลธีก็ไม่เข้าใจเลยจริงๆที่ต้องมาเจออะไรแปลกๆเช่นนี้ ผมมองภาพตรงหน้าที่มันเป็นป่าแต่ดูเหมือนจะมีบางอย่างกั้นไว้เหมือนคลื่นน้ำใสๆกำลังบิดเบี้ยวแถมตรงกลางยังมีรอยแตกใหญ่ด้วย
“ นี่กูมีทะลุมิติไหนวะเนี่ย ”
ยืนกอดอกมองด้วยความสนใจกับสิ่งแปลกประหลาด ถ้าโทรศัพท์มีสัญญาณน่ะพ่อจะโทรตามนาซ่ามาวิจัยวิเคาระห์เรื่องประหลาดสักหน่อย ถ้าตามนาซ่าได้จะให้จับไอ้มังกรปากหนักไปผ่าดูเครื่องในด้วยเลยแล้วกัน
จา... จ้าว...เท...พะ พา...
สะ เสียงอะไรน่ะ!
ผมหันขวับไปรอบกายเพื่อหาต้นตอของเสียงปริศนา ฉับพลันต้นไม้ใหญ่สองต้นตั้งระหว่างรอยแตกใหญ่เริ่มมีบางสิ่งแปลกประหลาดไปจากเดิม ใบไม้ในตอนแรกที่เห็นมันเป็นสีดำค่อยๆแปรกลับมาเป็นสีเขียวตามธรรมชาติ...
ไม่สิ... มันไม่ใช่แค่สองต้น แต่ที่ที่ผมกำลังยืนอยู่มันเต็มไปด้วยใบไม้สีดำ...
“ ป่าเชี่ยอะไรวะเนี่ย ขนลุกชิบ ”
แววตาสั่นคลอนบ่งบอกถึงความหวาดกลัวในใจ... สองเท้าเผลอก้าวถอยหลังจนไปชนกับต้นไม้อีกต้น เงยหน้าขึ้นมองด้านบนอย่างรวดเร็ว ต้นไม้หืดแห้งเหมือนไร้ลมหายใจค่อยๆกลับมา ใบไม้เปลี่ยนสี...
งงสิครับงานนี้ อะไรวะเนี่ย นี่มันแฮร์รี่ พอตเตอร์รึไงกัน
...ดะ ได้ โปรด... ปะ ปลด ปล่อย...
เสียงนั่นอีกแล้ว!
ผมยกมือขึ้นปิดหูของตัวเองไว้เพราะมันช่างเป็นเสียงที่บาดแก้วหูเหลือเกิน น้ำเสียงแห้งราวกระซิบเจือปนความทรมานและทุกข์ทนนี่มันอะไร มันไม่เพียงบาดแก้วหูแต่กลับบาดลึกลงกลางใจจนเจ็บหนึบ
...พะ พวกนั้น ก กำ ลัง... ระ...วัง ...ร...ะวั...ง
นัยน์ตาโตเบิกขึ้นเรื่อยๆกับเสียงหลอนอันกึกก้องอยู่ในหัว มือสองข้างกดแนบชิดกับหูมากขึ้นไม่อยากจะได้ยินอะไรอีกแล้ว ไม่... พอแล้ว
แต่มันบอกให้ระวัง... ระวังอะไร...
ว่าไอ้พี่นาทมันอมพะนำแล้วนะ เจอไอ้เสียงเวรๆนี่เข้าไปแล้วอยากโดดหน้าผาตายจริงๆ ไม่ได้ช่วยให้รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ
ตู้ม!!!
“ ฮึก! ”
สะ เสียงอะไร!
เสียงสะอื้นดังขึ้นไม่ต้องไปหาที่ไหนไกลหรอกของนายชลธีเองครับ ฝ่ามือยกป้องปากจับหน้าอกตามสัญชาตญาณความตกใจอย่างว่องไว แล้วเมื่อกี้มันเสียงอะไรเหมือนระเบิดเลย...
ระ...วั..ง...ตัว...
เว้ย! ไอ้เสียงเวรๆหลอนประสาทนี่ก็อีก อะไรวะเนี่ย!
ระวังอะไรก็บอกมาเซ่!
วันนี้ต้องให้นายชลธีสติแตกกี่รอบวะครับถึงจะพอใจ ผมคิดอย่างหงุดหงิดก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงระเบิดติดๆกันอีกสองสามครั้งบนหัว.... แล้วพอเงยหน้าขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นในเลือดแล้วต้อง...
มังกรกับงูมีปีก!!
เว้ยยยเฮ้ยยย ตัวอะไรวะนั่น!
เห็นแค่เพียงหางใหญ่ๆกับปีกกว้างของสัตว์ประหลาดที่เดาได้ว่าต้องเป็นมังกรกำลังแหวกว่ายอยู่บนนภากว้างกับอีกหนึ่งสัตว์ใหญ่ของงูที่มีออพชั่นเพิ่มเติมเป็นปีกใหญ่ว่ายวนในอากาศฟาดฟันกับมังกรไม่หยุด
ปกติงูมันมีปีกเปล่าหว่า ชลๆ มึงหยุดคิดแล้วตบหน้าตัวเองดิ จะได้ตื่นเผื่อร่างจริงอาจจะไปนอนสลบไสลอยู่ในป่า แล้วไอ้ภาพตรงหน้าเป็นเพียงความฝันบ้าๆเพ้อๆเท่านั้น
เพี๊ยะ!
ยกมือฟาดแก้มอย่างแรง “ เชี่ย เจ็บ! ”
เรื่องจริงเหรอ โอ๊ยยย แล้วจะทำไงจะออกจากป่าได้ไงฟะ ขอย้อนเวลาไปขอไม่ไปรู้จักไอ้พี่นาททันมั้ยครับ พอเจอมันแล้วชีวิตโครตบรรลัยเลยจริงๆ
ไม่ได้ เราต้องออกจากป่า เดี๋ยวนี้!
หลงทางก็ช่างปะไร
แต่...ซ้ายหรือขวาดี
โบราณว่าขวาร้ายซ้ายดี งั้น...ซ้าย!
ตุ้บ!...
กองไฟมหึมาหล่นมาตรงหน้าเฉียดหัวไปแค่นิดหน่อย ไอร้อนจากกองเพลิงแผ่รังสีไปทั่ว ผมยืนนิ่งค้างอยู่แบบนั้นจ้องตาไม่กะพริบกับซาก...เอ่อ... ซากอะไรวะ ตัวยาวๆใหญ่ๆ มีปีก เห็นแล้วช่างคลับคล้ายคลับเหมือนจะเป็น...งูมีปีกที่บินบนฟ้าเมื่อกี้...
ภาพงูตัวใหญ่กำลังดิ้นทุรนทุรายท่ามกลางเพลิงสีแดงฉานทำเอากลืนน้ำลายแทบไม่ได้ จะวิ่งหนียังไม่ได้เลย เสียงกรีดร้องของงูดังก้องไปทั่ว หัวมันสะบัดไปมาราวกับถูกค้อนทุบแล้วพอมันเห็นผมยืนอยู่มันก็นิ่งค้างไปเสี้ยวนาทีก่อนปากของมันจะอ้ากว้างแล้วพ่นอะไรบ้างอย่างออกมา
ผมควรหลบใช่มั้ย...
แต่ขาแม่งไม่มีแรงว่ะ...
ขอร้อง...
ใครก็ได้ ช่วยที
หนูยังไม่ได้กินข้าวค่ะ หนูยังตายไม่ได้นะ
พึ่บ!
แรงกอดหนักๆโถมเข้าหาร่างจนผมเซเกือบล้มแต่ยังดีที่คนกอดประคองกอดตัวผมไว้เลยไม่ล้ม สิ่งแรกหลังจากลืมตาคือใบหน้าแต้มเกล็ดสีน้ำเงินเข้มและรอยยิ้มอ่อนโยนที่ประทับอยู่ตลอดเวลา
ผมเงยหน้าจ้องอึ้งๆ “ ไอ้...พี่นาท ”
“ ไม่เจ็บตรงไหนใช่มั้ย ” มันถามเสียงแผ่วเหงื่อกาฬไหลท่วมหน้า
เพราะมันเอาตัวมาบังผมจนมิดเลยได้รับพิษงูไปเต็มๆ...
ส่ายหน้าไปทั้งๆที่ยังไม่หายอึ้งตกใจ
...มันมาได้ยังไง
หรือ...ไอ้มังกรบนฟ้าเมื่อกี้ คือ มัน...เหรอ
“ ไม่เจ็บก็ดีแล้ว ” ฉีกยิ้มกว้างให้เห็นเขี้ยวก่อนจะเอี้ยวตัวไปทางกองเพลิง หน้าอ่อนโยนเปลี่ยนกลายเป็นความดุดัน แววตาวาวโรจน์สีน้ำเงินสะท้อนชวนเย็นเยียบ " ส่วนแก...ไอ้งูเวร "
...กลัว
ใช่... ผมกำลังกลัวมัน
ฝ่ามือหนากลับไม่ใช่แต่เป็นกรงเล็บน่ากลัวและผิวหนังหนาๆเป็นเกล็ดสีน้ำเงินยกขึ้นแล้วกางออก เสียงทุ้มนุ่มไพเราะสบายหูกลับกลายเป็นเสียงเย็นชาราบเรียบไร้อารมณ์ยิ่งพาให้หัวใจเผลอเต้นระรัวด้วยความะท้าน...
คนคนนี้เป็นใคร
...ไม่ใช่ไอ้พี่นาท
ไม่ใช่...
“ อย่ากลัว ” เสียงนั้นดังขึ้นหยุดชะงักทุกความนึกคิดความรู้สึก ผมเลื่อนสายตาไปมองมันที่ยังคงหันหน้าไปทางกองเพลิงหันหลังให้กับผม มันน่าจะรู้สึกโหวงเหวงแต่กลับเบาใจอุ่นใจเพราะมีแผ่นหลังกว้างป้องปกแล้วไหนจะ...
มือมนุษย์ปกติอุ่นๆที่กุมมือซ้ายผมไว้แน่น...
แอบอมยิ้มได้ผิดสถานการณ์สุดจะกลั้น แต่ต้องตกใจอีกคราเมื่อสายตาเจ้ากรรมดันเผลอไปเห็นแผลผุพองทั่วกายหลัง ผิวเนื้อของมังกรกำลังถูกกัดกลั้นเสมือนเอาน้ำกรดราด
เมื่อกี้...มันเอาหลังมาบังพิษงูให้ผม...
“ ดับสลายไปซะ ”
เสียงหนาวเย็นกล่าวขึ้นอีกครั้งพร้อมลูกไฟสีน้ำเงินลูกใหญ่จากฝ่ามือเคลื่อนพุ่งทะลวงใส่งูยักษ์ในกองเพลิงให้หมอดไหม้มากเกิน เสียงร้องเจ็บร้าวเกินรับดังขึ้นสุดเสียงก่อนตัวมันจะเหลือเพียงฝุ่นผง ไฟสีแดงร้อนระอุจึงดับลง...
และความเงียบก็เคลื่อนมาแทน...
“ ไอ้พี่... ” จะถามไถ่อาการแต่ดัน
หมับ!
คว้าไปกอดแนบแน่นซ้ำสอง อ่อก หายใจไม่ออก “ ...ดีใจที่ปลอดภัย ”
เสียงอ่อนโยนดังเดิมพาซะกูขนลุกเกลียวเลยครับ เมื่อกี้ยังขาโหดอยู่กลับมานุ่มนิ่มต่อแหละ กูกลัวค่า กูกลัวว
“ มา...ได้ไง ”
“ ตามกลิ่นมา ” มันผละออกแล้วยิ้มละมุนให้ไม่สีหน้าเจ็บปวดตามร่างกายสักนิด แต่...เมื่อกี้มันว่ายังไงนะ ตามกลิ่นมา...
นี่หมา หรือ มังกร เอาให้แน่
“ แล้วมาทำไม ใครใช้ให้มา ” โทนเสียงยังคงความเดิม คือ ผมยังงอนมันอยู่ เหอะ ถึงจะประทับใจที่มันช่วย แต่กูยังโกรธยังงอน
อยู่ “ กลับไปเลยไป ไม่มีอะไรแล้ว ”
เชิดหน้าอย่างไม่สำนึกบุญคุณ... เลวจริงๆ
“ กลับไป เดี๋ยวก็มีตัววุ่นวายมาอีก ” มันว่าด้วยสีหน้ากังวล “ คราวนี้อาจจะสู้ไม่ได้แล้วนะ พี่เจ็บระบมหมดแล้ว ชลได้ตายจริงๆแน่ครับ ”
ผมชะงักค้างอารมณ์แง่งอน ถึงตายเลยเหรวะครับ ฮึ่ย ถ้าตายจะไปหลอกมึงคนเเรกเลย ไอ้พี่นาท!
คิดเสร็จแล้วหันไปมองหน้ามันและก็แผลมัน...
“ แล้วไง ” แสร้งไปงั้น เป็นผมโดนขนาดนั้นคงตายตั้งแต่สองวิแรกแล้ว “ แล้วเจ็บมากเปล่า ”
พักเบรกการงอนการโกรธมัน
แล้วมาทำตัวเป็นมนุษย์แสนดีแปบ
นี่ไม่ได้ห่วงน่ะ แค่...เป็นต้นเหตุหนึ่งสำหรับการเจ็บของมัน
“ นิดหน่อย ไม่ใช่พิษร้ายแรงอะไร ” มายิ้มอีก “ ห่วงเหรอครับ ”
ผมกรอกตานิดนึง “ ประสาท จำไม่ได้รึไงว่าผมยังไม่โอเคกับพี่อยู่ ”
“ จำได้ ” หน้าสลดทันตา แหม่ เล่นละครเก่งนะ ออสก้าร์มั้ย “ ก็...มาง้อนี่ไง ”
ผมชะงักกับการง้อตรงๆของมัน เอียงหัวใส่มันเป็นเชิงถามว่า...นี่เอ็งง้อแล้วหรือ พอเห็นผมยังเงียบมันยิ่งกระสับกระส่ายกว่าเดิมยืนไม่นิ่งราวกับคิดไม่ตก...
“ เอ่อ... ”
เชิดหน้า “ อะไร ”
พูดมาสิ
พูดมาาาา
“ คือ... ” ตะกุกตะกักเสียงแผ่วแทบปลิวไปกับลมซ้ำยังแก้มขาวยังมีสีเลือดฝาดๆขึ้น “ ชล ”
รำคาญแล้วนะ หิว หลงป่า กูหิวครับ “ เร็วๆ หิวข้าวเว้ย ”
“ ง้อนะ คืนดีกับพี่เถอะนะครับ ”
ประโยคน่ารักด้วยใบหน้าแดงๆกับหูแดงเถือก ไม่พอยังมีนิ้วก้อยยื่นมาแทบชิดหน้าอีก... ผมมองนิ่งๆตั้งแต่ใบหน้าแดงๆมายังมือ...
ยังคงสเตปเงียบ...
“ ไม่หายเหรอ ”
เงียบครับ ไม่ได้ยิน มองฟ้า
“ ทำไงให้หายโกรธ บอกพี่หน่อยสิ ”
เหลือบหางตามองแล้วหัวเราะหึ โธ่ ถามไปมันก็ไม่บอกอยู่ดี เปลืองน้ำลาย
“ ...ถะ ถ้าชลหายโกรธ ” มันดูลังเลแต่ก็พูดต่อ “ จะเลี้ยงข้าวเจ็ดวัน ”
หันขวับตาวาวทันที...
เฮ้ย ชล อย่าเพิ่งเห็นแก่กินดิว่ะ!
เราไม่ได้ง่ายนะ
“ ขนมทุกเวลาที่ต้องการ ”
...อือหือ น้ำลายจะไหล
“ อยากกินอะไรจะให้หมดเลย ” มันทุ่มสุดตัว “ เพราะงั้น...หายงอนเถอะนะครับ ”
เอาจริงนะ... ผมหายงอนตั้งแต่นิ้วก้อยที่ชูมาแล้ว มังกรอะไรมุ้งมิ้งเป็นบ้า ตัวก็โตแต่มันทำอะไรเด็กๆ ผมระบายลมหายใจเล็กน้อยก่อนจะยกมือขึ้นเกี่ยวตอบมัน ทีนี้จากมังกรป่วยเป็นมังกรคึกเลย
“ ดีด้วยเพราะเห็นแก่ที่เจ็บตัวนะ ไม่ใช่เพราะข้าวเจ็ดวัน ” เสตาไปทางอื่นอย่างกระดากปาก แหม ไอ้เรื่องกินๆก็มีประกอบการตัดสินใจบ้าง
ไอ้พี่นาทยกมือขึ้นเกาจมูกแก้เก้อ “ แค่หายโกรธ พี่ก็ดีใจตายแล้ว ”
“ บอกว่าไม่ได้โกรธไง ”
“ เชื่อตายแหละ ” กลับมากวนโอ๊ยตามเดิม น่าจะโกรธงอนมันต่อจริงๆเลยเชียว “ พูดถึงเรื่องนี้แล้ว... พี่คงบอกชลได้แค่นิดเดียว ”
มองมันตรงๆ “ เรื่องอะไร ”
“ ทุกเรื่องที่ชลอยากรู้... ขอให้ชลเชื่อใจพี่ ถ้า...พร้อมเมื่อไหร่พี่จะบอกเราเอง ” มันว่าเสียงเรียบแต่จริงจัง “ ไม่นานหรอก ”
“เรื่องของพี่เถอะ ผมไม่อยากรู้แล้ว ผมจะกลับบ้าน ”
ฮึ่ย... เรื่องนี้อีกแหละ
ผลักอกมันเบาๆก่อนจะเดินเลี่ยงไปทางซ้าย ถึงจะไม่รู้ทางก็ช่างมันสิ ไม่อยากเสวนากับมังกรป่วยแล้ว เบื่อ
“ เดี๋ยวสิ เดี๋ยวไปส่ง ” จับข้อมือไว้แน่น
ผมดึงมือกลับแต่มันกุมไว้แน่น “ จะกลับเอง ปล่อย ”
“ ไม่ต้องพูดมากเลย กลับบ้านพี่ก่อน ” ไอ้พี่นาทไม่พูดพร่ำทำเพลงทำเนื้อร้องอะไรต่อจับผมรวบขึ้นอุ้มในท่าเจ้าสาวทันที
ฮะ เฮ้ย! ทำบ้าอะไรเนี่ย
ผมโวยลั่น “ ทำอะไรเนี่ย ปล่อยลงเดี๋ยวนี้นะ ไม่เอา จะกลับหอโผมมมม ”
“ แผลเปิดแล้ว ไปทำแผลบ้านพี่เถอะ แถมเย็นมากแล้วด้วยนะ อันตราย... ”
หุบปากเงียบทันทีกับคำว่าอันตราย หันเหสายตาไปมองซากงูเมื่อครู่ก็พอเดาได้ว่าอันตรายในรูปแบบไหน พอคิดอีกที... มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับผมนี่หว่า ทำอย่างกับผมโดนตามล่ายังไงยังงั้น
เมื่อตะกี้เจองูบิน
ต่อไปคงเจอหมูบินได้ชัวร์
กลับบ้านมันก็ได้ว่ะ!
“ เออๆ ปล่อยลงดิ เดี๋ยวเดินเอง ” ยอมว่าง่ายๆ วันนี้ผจญภัยแฟนตาซีเหนื่อยแล้ว ให้มันอุ้มแบบนี้มันรู้สึกไม่ดีแรงและหนักมาก
มันอมยิ้มหน้าบาน “ ไม่ ”
“ ไอ้พี่นาท! ปล่อย จะเดิน! ” เริ่มดิ้น มันน่าอายจะตาย
“ ใครว่าเราจะเดินกลับ ” มันว่าด้วยเสียงเจ้าเล่ห์ แล้วก้มลงมามองผมด้วยสายซุกซน “ เราบอกว่าไม่อยากเดินไม่ใช่เหรอ ”
กูบอกตอนไหนฟะ....
ผมทำหน้านึกอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะจำได้ว่าเมื่อเช้าบ่นปนด่ามันว่าบินได้ทำไมไม่พาผมบิน... เดี๋ยวนะ มันกำลัง...
มันพยักหน้าเมื่อเห็นสีหน้าตื่นๆซีดๆของผม “ ตามนั้นครับ ”
“ เฮ้ย เดี๋ยว เดี๋ยว ”
โบกไม้โบกมือปฏิเสธแต่ดูเหมือนจะไม่ทันซะแล้ว...
ปีกใหญ่งอกออกจากแผ่นหลังที่มีแผลเหวอะหวะมันงอโค้งก่อนจะสยายกางออกให้ได้ตะลึงในความน่าเกรงขาม ถ้ามันเป็นปีกขนนกสีขาว ไอ้พี่นาทคงเป็นเหมือนเทวดาเทวทูตเลย แต่นี่ไม่ใช่... มันเป็นปีกของมังกรอันเป็นเสมือนปีศาจและสัตว์ร้าย เพราะงั้นมันเลยต้องเป็นซาตานไม่ใช่เทวดา
“ จับแน่นๆนะ ถ้าไม่อยากตก ”
มันเย้าแหย่เล็กน้อยด้วยรอยยิ้ม
ผมเบิกตาโพล่งยังคงกลัวรีบคว้าคอมันเป็นหลักยึดโดยไว
ไอ้พี่นาทหัวเราะเบาๆ โน้มกระซิบข้างหู “ อย่ากลัวไปเลย ”
ไอ้บ้า! ใครมันจะไม่กลัววะ
แหม่ เจอแต่อะไรประหลาดๆ ไม่กลัวก็ให้มันรู้ไป แม่งไม่ใช่คนแล้ว
สีหน้าของผมมันคงดูออกง่ายมากสินะว่ากำลังกลัวจับใจ... แต่แล้วความกลัวก็ค่อยๆเจือจางลงจนแห้งหาย
“ ไม่ปล่อยให้ตกหรอก ไว้ใจพี่เถอะครับ เชื่อพี่ รอพี่ ไม่ทำให้ผิดหวังหรอก ”
ตึกตัก...
หึ... แอบใจเต้นจนได้แถมดังซะด้วย
คำพูดง่ายๆแต่สื่อทุกอย่างให้ชัดเจนว่าเรื่องไหนบ้าง...
ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าที่นี่ที่ไหน กำลังบินหรือกำลังเดินอยู่ เพราะสายตาดันไปหยุดที่หน้าหล่อๆของมันจนละสายตาไม่ได้นี่สิ บางที... ให้มันเป็นไปแบบนี้โดยที่ผมไม่ถามอะไรเลย ก็น่าจะดี...
...ถ้ายังไม่อยากให้รู้ ไม่ถามก็ได้
ให้รอ ก็...ได้
แต่รอแล้ว... จะไม่ทำให้ผมผิดหวังใช่มั้ย
ถ้าทำให้ผิดหวัง...
พ่อจะทำมังกรอบน้ำผึ้งกินแน่!!
ฺTBC.
-
ชิช่ะมดตานอย ตั้งหกเดือนเลยเหรออ รอจั้งหกเดือนแล้วจะไม่ให้ชลมีชู้ได้ไง#ผิดส์ :katai1: :katai1: :katai1:
-
เมื่อไหร่ครอบครัวจะอยู่พร้อมหน้าหนอ.... :ling1:
-
มังกรอบน้ำผึ้งยังดีนะคะ ชีวิตยังมีความหวาน(?)
มังกรอบโอ่งนี่อึดอัดแย่เลย 55555
-
แนะนำให้ชลมีชู้ ชู้ ชู้วววว หมั่นไส้พี่นาทอ่ะ เเลจะเเอบฉวยโอกาสเยอะ 555555555555 รอตอนต่อไปครับบบบ :pig4: :pig4: :pig4:
-
ห้าหกเดือนนนน รอป่านนั้นเมียมีผัวใหม่ไปแล้วว
-
รออีกหกเดือนเลยนะ อยากรู้เหมือนกัน อิอิ
-
หกเดือน OoO ยาวนานเหลือเกินนน แต่อยากรู้ รออออ รอออ :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
-
:o8: :o8: ฉันรักมังกรน้อยพนาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา
-
อาถรรพ์พงไพร ๗
กลิ่นหอมชื่น
อบอวลตรวนด้วยรัก
สองดวงฤทัย
เคลื่อนชิดหา
หากแต่มารมีเรื่อยไป
ช้าๆได้พร้าเล่มงาม
จงจำไว้
รอรักแล้วอย่าลืมภัย
เงาครึ้มเริ่มเที่ยวหา
“ ไอ้ชล!! ตื่นเว้ย! ”
เสียงตะโกนข้างหูเรียกสติสตังที่กำลังฝันหวานให้สะดุ้งตื่นมาพบกับความเป็นจริง กะพริบตาถี่ๆพร้อมกวาดสายตาไปทั่วห้อง ซึ่งมันโล่งสุดๆ ไปเลย อ้าว... เพื่อนไปไหนหมดวะ
“ หือ.. เพื่อนไปไหนกันหมดวะ ” หันไปถามหน้ามึนใส่นนท์ที่ยืนสะพายเป้เก็บของหมดแล้วเตรียมพร้อมไปมาก
มันทำหน้าหงิก “ เขากลับบ้านกันหมดแหละมึง มีมึงเนี่ย หลับเป็นตาย ถามจริง นี่มึงงีบหลับหรือมึงตายวะ ”
ผมส่ายหน้าอย่างเซ็งๆ ถามนิดเดียวแม่งเล่นต่อซะยาวเป็นเมตร นี่เพื่อนหรือแม่ว่ะครับ ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นหยิบกระเป๋ามาเตรียมเก็บของบ้าง แต่ยังสะลึมสะลืออยู่เล็กน้อย
“ กลับบ้านหมดอะไร ” ผมแหวใส่ก่อนบุ้ยปากไปทางหญิงสาวคนหนึ่ง “ ฟ้าก็ยังเก็บของอยู่เลย ”
“ จะไม่อยู่ได้ไง ” ไอ้นนท์ลอบยิ้มเจ้าเล่ห์ “ ในเมื่อวันนี้กูชวนฟ้าไปกินเคเอฟซี ”
เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดว่าไม่ลืมจะยักคิ้วแสยะยิ้มราวกับผู้ชนะมาให้อีก ขึ้นเลยทีนี้ อะไรกันอ่า ทำไมฟ้าทำร้ายจิตใจชลแบบนี้ ฮือ คราวก่อนชลชวนไปกินไอติมหน้ามอ ก็ไม่ว่าง คราวประนู้นก็ชวนไปกินสเวนเซ่น ก็ไม่ว่าง แล้วทำไมที่ไอ้นนท์ ทำไมฟ้าถึงไปอ่า ไม่ยอมเว้ยงานนี้!
“ กูไปด้วย ” ผมแสยะยิ้มคืนให้หลังจากเก็บของเสร็จ
“ เฮ้ย จะไปเป็นกอขอคองอจอ... ” มันร้องเสียงหลง
“ มึงจะเอาให้ครบสี่สิบสี่ตัวเลยมั้ยครับคุณนนท์ แหม่ ” ผมดักคอมันไว้ได้ทันก่อนที่มันจะไปถึงฮอนกฮูก “ อยากกินไก่เหมือนกัน
จะทำไมครับเพื่อน ”
“ แดกวันอื่นสิ กูจะไปกับฟ้าสองคน ”
ไอ้นนท์ทำน้าจริงจังอย่างไม่ยอม แล้วมีหรือผมจะทำตาม เรื่องไหนก็ยอมได้ แต่เรื่องนี้ ไม่มีวันซะหรอก
“ เหอะ ” ผมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะหันไปทางฟ้าที่หันมาทางผมพอดี “ ฟ้าครับ จะไปกินเคเอฟซีกับไอ้นนท์เหรอ ”
หึ รู้จักไอ้ชลน้อยไปแล้ว รางวัลสุพรรณหงส์ก็เคยได้มาแล้ว คิดว่าเขาจะไม่รู้รึไงว่าควรเล่นละครบทไหนถึงจะทำให้ฟ้าใจอ่อน
“ ใช่จ้ะ ” นางฟ้าก็ยังคงเป็นนางฟ้า ยิ้มรับซะหวานหยด
ผมทำหน้าหงอๆ “ ชลไปด้วยได้รึเปล่า พอดีชลยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้าเลยอ่ะฟ้า ”
“ ข้าวหน้ามอก็มี ถ่อไปทำไม เคเอฟซีเนี่ย ” ไอ้นนท์ว่าหน้านิ่งแต่ผมรู้ว่ามันกำลังหัวเราะในใจที่ฉีกหน้าผม หึ แต่คิดเหรอว่าแค่นี้
จะทำอะไรหน้าหนาๆด้านๆของผมได้
“ แต่ผมอยากกินด้วยอ่าฟ้า ชลไปด้วยได้รึเปล่า ” เมินมันครับ แล้วไปอ้อนวอนกับนางฟ้าใจดีดีกว่า บีบน้ำตานิดๆ
“ ก็ไปสิชล เพื่อนเยอะๆสนุกดีออก เนอะนนท์ ” นางฟ้าหันไปยิ้มกว้างหน้าซื่อกับไอ้นนท์ซ่างตอนนี้มันกำลังมองมาทางผมราวจะฉีกเนื้อเสียให้ได้
ไอ้นนท์ทำหน้าอึกอัก “ ครับ...ฟ้า ”
“ เดี๋ยวพี่ชายฟ้าจะไปด้วยนะคะ ได้รึเปล่า ” เธอหันมาเอียงคอถามอย่างนึกกังวล
“ ได้อยู่แล้วฟ้า ”
ผมตอบรับไปทันที ตอนนี้จะใครก็ได้ทั้งนั้นเอามาเป็นก้างขวางคอไอ้นนท์ให้หมด สีหน้าตอนมันกำลังจะตานี่แหละ ฮาสุดแล้ว!
แต่...ไอ้ชล มึงลืมอะไรไปรึเปล่าวะ
พี่ชายฟ้า มันก็...
ไอ้พี่นาทนี่หว่า!!
ถึงจะแค่เป็นพี่น้องกันหลอกตามที่ไอ้พี่นาทมันเล่านะ แต่ยังไงแล้ว...ขอไม่ไปแล้วทันมั้ยวะ...
เป็นผมเองที่มีท่าทีลำบากใจ “ เอ่อ... คือ ”
“ เป็นอะไรรึเปล่าชล หน้าซีดจัง ” ฟ้าย่นคิ้วมองหน้าผมอย่างสงสัยปนห่วงใย อือหือ เป็นปลื้มสิครับ ทำให้นางฟ้าประจำคลาส
ประจำคณะเป็นห่วงเป็นใยได้
“ ป่วยเหรอมึง กลับไปนอนก็ได้นะ กูไม่ว่า ” เข้าทางไอ้เวรเพื่อนทันที รีบยัดเยียดอาการมาให้อย่างว่องไว
“ เปล่า แค่หิว จะเป็นลมเว้ย ” ตอบกลับไปแบบนั้นแต่ยังคงจุกกับข้าวตอนเช้ากินไปเป็นกะละมังอยู่ แต่เรื่องอะไรจะยอมรับว่ากิน
แล้ว ขืนบอกความจริงไป ก็อดไปแดกไก่สิครับ
“ อ้าวเหรอ งั้นแปบนะ ฟ้าโทรตามพี่นาทก่อน ”
ผมถลึงตาใส่ฟ้าอย่างลืมตัวจะร้องห้ามแต่เธอดันสะพายกระเป๋าถือของเดินออกจากห้องไปคุยโทรศัพท์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โฮ
กกกก สี่วันที่กระผมอุตส่าห์สาหัสหนีหน้ามันก็พังทลายสิเนี่ย
ครับ ใช่ ได้ยินไม่ผิดหรอกครับ
หนีหน้า... หรือก็คือ
หลบหน้านั้นเอง
ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะสะพายกระเป๋าเดินตามฟ้าออกไปหน้าห้อง ต้องเจอมันจริงๆเหรอวะเนี่ย เซ็งจริงๆ ส่วนสาเหตุที่หลบหน้า ผมขอไม่บอกแล้วกัน มันไร้สาระ อย่ารู้เลย
“ ฝากไว้ก่อนเถอะมึง ไอ้ชล ไอ้เพื่อนเลว ”
ไอ้เพื่อนนนท์ก็ยังไม่เลิกที่จะโกรธผมครับ ไอ้นี่มันเห็นหญิงดีกว่าเพื่อนใช่มั้ย ได้ จะจำไว้เลยยย
ผมทำหน้าป่วยใส่มัน เอาจริงๆไอ้นนท์มันก็รู้ว่าผมไม่ได้จะจีบฟ้าจริงๆจังๆหรอก แค่ชอบแกล้งๆมันกันมันเป็นกอขอคองอมันสนุก
ดีไง
พวกเรายืนรอไอ้พี่นาทร่วมสิบนาทีที่บริเวณหน้าคณะก่อนร่างสูงจะวิ่งกระหืดกระหอบลงมาจากตึกตรงที่พวกผมยืนรออยู่ น้องสาว
คนสวยรีบกระวีกระวาดใช้กระดาษในมือพัดวีคลายร้อนให้มันทันที
“ ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ค่ะ ” หญิงสาวคนเดียวที่ยืนอยู่ตรงนี้ว่า
ผมเบือนหน้าไปทางอื่นรากับมองไม่เห็นสายตาคมๆของมันที่จับจ้องผมตั้งแต่มันวิ่งมาแล้ว แถมตอนนี้ก็ยังมองหน้าไม่เลิก ถ้าเป็นปลากัด คงท้องเป็นโขยงแล้วมั้ง
“ ก็ฟ้าบอกเองนี่ว่าให้รีบๆ ” หันไปยิ้มน้อยๆให้กับฟ้าก่อนจะหันกลับมามองผม มองทำไมครับ รู้ตัวว่าหล่อ “ ฟ้าบอกว่าชลไม่ได้กินข้าวเช้ามาเหรอ จริงเหรอ ”
กะพริบตาปริบๆ ใบ้แดกเลยกู สายตาโคตรรีดคั้นเลย จับได้ว่ากูโกหกนี่ จะตายมั้ยวะ
เป็นฟ้าที่ชิงพูด “ ใช่ค่ะ ชลไม่ได้กินข้าวเช้า เมื่อกี้ฟ้าเห็นหน้าซีดๆด้วย เรารีบไปกันเถอะค่ะ เดี๋ยวชลจะเป็นลมซะก่อน ”
ไอ้พี่นาทพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะลดเป้สะพายลงหยิบบางอย่างออกจากกระเป๋าแล้วยื่นให้ผมท่ามกลางความมึนงงเอ๋อของคนอื่นๆ
มองเลื่อนสายตามองลงที่มือใหญ่แล้วชะงักเงยหน้ามามองมันอย่างอึ้งๆ
“ กินรองท้องไปก่อนนะ จะได้ไม่หิวมาก ”
ไอ้พี่นาทแม่ง...
“ พี่แวบไปซื้อให้เมื่อกี้ก่อนจะมาหาเราน่ะ ” ตบท้ายด้วยรอยยิ้มใจดี
มันแม่ง...
ทำกูเขิน
เพราะไอ้เหตุการณ์ใจเต้นโครมระเบิดลงคร่าวก่อนไง ที่ทำให้ผมต้องหนีหน้ามัน ก็มันไม่พร้อมเจอนี่หว่า!
ขณะที่ผมกำลังยืนนิ่งเป็นไอ้ใบ้หน้าแอบแดงนิดๆ เสียงมารข้างตัวก็ดังขึ้นเรียกสติให้กลับมา...
“ หึ ไอ้ชล... มึงเสร็จกูแน่ ”
หันไปมองตามเสียงชั่วร้ายแล้วจะพบว่าสีหน้ามันกำลังสะใจสุดๆ แววตามองผมกับไอ้พี่นาทสลับกันอย่างล้อๆ ไม่วายทำไม้ทำมือกุ๊กกิ๊กให้ผมได้อายเพิ่มอีก
“ งั้นชลกินขนมปังไปก่อนนะ รองท้องไว้ๆ กว่าจะถึงร้านตั้งยี่สิบนาที ” เพิ่งรู้นะว่าฟ้าเป็นคนพูดมากแบบนี้ แต่ผมว่าน่ารักดีนะ ไม่แปลกที่ผู้ชายหลายคนในคณะจะชอบ รวมไปถึงไอ้เพื่อนขี้โมโหนี่ด้วยไง
“ ไปรถฟ้าแล้วกัน เดี๋ยวพี่ขับเอง ” ไอ้พี่นาทยื่นมือไปขอกุญแจรถจากฟ้า
ส่วนผมที่เพิ่งรับขนมปังมาจากมันก็รีบแกะแล้วแดกเลย แหม่ ขนมฟรีก็ต้องรีบกินสิครับคุณ เดินตามหลังกลุ่มไปยังรถของฟ้าที่จอดอยู่บริเวณหน้าคณะพอดี
“ เดี๋ยวชลนั่งหน้ากับพี่นะ ” มันหันมาพูดนิ่งๆกับผม ครั้นจะปฏิเสธ แมวแถวนี้มันรีบสนับสนุนซะก่อน
“ เออดี ไปนั่งข้างหน้าเลย ”
ว่าจบไอ้นนท์ก็เปิดประตูรถยัดผมเข้าไปไม่ลืมที่จะปิดประตูให้ด้วย โอ้โห เป็นเพื่อนกันมาตั้งนานเพิ่งเห็นมึงบริการกูถึงขนาดนี้ ทำขนาดนี้มึงไม่หาพานมาใส่กูถวายไอ้พี่นาทเลยล่ะ
ขี้เกียจเปิดสงครามน้ำลายจึงเลือกที่จะนั่งเงียบๆแล้วแดกขนมปังในมือต่อไป บรรยากาศในรถไม่ได้เงียบมากนักเพราะเสียงสองคนข้างหลังพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ ส่วนข้างหน้าน่ะเหรอ... เงียบ
หลังจากกินขนมปังหมดก็ไม่รู้จะวางตัวยังไงดี มือไม้วันนี้แลจะเกะกะจนน่าตัดทิ้งจริงๆ
รู้สึกแปลกๆว่ะ ที่มันเงียบใส่แบบนี้...
มันโกรธอะไรกูเปล่าวะ
ผมเหลือบหางตามองมัน...
มันนิ่งสายตายังคงจ้องอยู่ที่ถนน
ไอ้ชล มึงนี่ก็โง่เนอะ ให้เขาหันมามองมึง เดี๋ยวก็ได้ตายยกรถสิว่ะ ผมยักไหล่พยายามไม่สนใจมันหันกลับไปมองวิวทิวทัศน์นอก
หน้าต่าง ก่อนเสียงทุ้มจะแว่วขึ้นเบาๆ
“ ชล มีอะไรรึเปล่า ” มันถาม “ เห็นเรามองพี่หลายรอบแล้ว ”
รอบเดียวเถอะ! อย่ามามั่วสิ อย่ามโนสิครับพี่
ตอบไปทั้งที่ยังมองด้านนอก “ ก็เปล่า ”
“ งั้นเหรอ ”
ไอ้พี่นาทตอบรับเสียงเบาก่อนทุกอย่างจะเงียบลงอีกครั้ง... คราวนี้บรรยากาศยิ่งแย่กว่าเดิมอีก นัยน์ตากลมของผมเหลือบไปซ้ายทีขวาทีอย่างตึงเครียด สรุปว่า...
มันโกรธผมอยู่จริงๆสินะ!
แล้วจะให้ง้อเหรอ ไม่มีทาง!!
ทำไมต้องง้อ ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย
“ หายเจ็บแผลยังชล ”
อ้าว... นี่กูคิดมากไปเหรอ แล้วทำไมต้องกังวลว่ามันจะโกรธด้วยหา!
“ ชล ชล ได้ยินเปล่า”
ขณะที่ผมกำลังนั่งตบตีกับตัวเองอยู่ ไอ้พี่นาทก็เอ่ยขึ้นอีกครั้งแถมคราวนี้ยังหันหน้ามามองดูแขนผมที่มีผ้าก๊อซแปะเต็มไปทั่ว ตอนที่ไอ้นนท์มันเห็นก็ซักไม่หยุดเลย สุดท้ายต้องบอกไปว่าสะดุดล้มคว่ำไถลตัวไปตามพื้นกว่าสิบเมตร ๆฟังดูเว่อร์เนอะ แน่นนอว่า ไอ้นนท์เชื่อเว้ย
ผมพูดเองยังรู้สึกเชื่อยาก แล้วมันเชื่อไปได้ไง...
“ แผลแก้วบาดน่ะเว้ย ไม่ใช่ช้ำถึงจะหายไวปานนั้น ” ผมบ่นตอบไปพลางยกแขนตัวเองดูไปด้วย ฮึ่ย เห็นทีไรก็พาลให้หงุดหงิดไอ้เด็กพนาจริงๆเลย
“ ก็ใครใช้ให้ชลไปปัดเศษแก้วเล่า ” ไอ้พี่นาทว่าเสียงขรึมหน้านิ่วคิ้วผูกโบว์ “ โง่เอง ” ว่าเสร็จก็หัวเราะ
ผมถลึงตาเบ้ปากหันไปมองหน้ามัน “ แล้วจะให้คุณลูกชายพี่เหยียบเศษแก้วรึไงกันครับ ”
ไอ้นี่มันรักลูกมันบ้างมั้ยเนี่ย
ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ~
“ เอ่อ นั้นก็... ” อึกอักพูดอะไรไม่ออก “ มันก็จริง ถ้าชลไม่ช่วยพนา ปานนี้คงได้แผลเยอะแน่ ”
“ เออสิ ” ผมส่ายหน้าเล็กน้อย “ แล้วทีหลังก็คิดก่อนจะพูดนะพี่ ”
ยิ้มขำรับ “ คร้าบๆ ”
จบครับ จบการสนทนาเพียงเท่านี้ เพราะตอนนี้รถได้จอดลงหน้าห้างสรรพสินค้าใหญ่ที่ไม่ห่างจากมหา’ลัยมากนัก ไอ้ผมที่เพิ่ง
ยัดขนมปังไปก็เริ่มรู้สึกอืดๆขึ้นมานิดๆ พวกเราสี่คนพอลงจากรถได้ก็มุ่งไปเคเอฟซีที่ตั้งใจไว้ทันทีแต่ดันโชคร้ายนิดนึงที่โต๊ะที่
เหลืออยู่ดันไม่พอ
“ ต้องขออภัยด้วยนะคะ โต๊ะเหลือแค่สองที่ค่ะ ” พนักงานสาวกล่าวส่งยิ้มขอโทษให้ไอ้พี่นาท ผมจิกตาใส่พนักงานคนนั้นอย่าง
ลืมตัวก่อนจะรีบทำเป็นมองฟ้ามองดินมองหลอดไฟตอนผู้หญิงคนนั้นหันมา
วันนี้ตูเป็นอะไร อารมณ์แปรปรวนจริง...
“ แล้วจะกินอะไรกันดีละคะ ” ฟ้าทำหน้ามุ่ยที่น่ารักมากๆหันไปทางไอ้(เชี่ย)นนท์
มันทำท่าคิดเล็กน้อย “ งั้นให้ไอ้ชลกับพี่นาทกินที่นี่ แล้วเราไปกินร้านอื่นแล้วกัน ”
“ ได้ไง! ” ผมโพล่งขึ้นทันที ได้ไงกันเล่า แบบนี้ไอ้นนท์ก็ได้ทำคะแนนเยอะดิ ไม่มีกอขอคองอเช่นผมเนี่ย
“ อะไรของมึงไอ้ชล ” มันหรี่ตามองผม “ อยากแดกไก่ก็แดกไปสิ ”
หน็อย... พ่ออยากกระโดดถีบจริงๆ
“ งั้นเอาตามที่นนท์บอกแล้วกัน เดี๋ยวพี่จะอยู่กินที่นี่กับชลนะ ” ไอ้คนข้างตัวผมก็พยักหน้ารับยิ้มๆ ส่งกุญแจรถคืนฟ้า “ เดี๋ยวพี่
กลับเองนะ ”
“ แล้วชลจะกลับยังไง ” นางฟ้าหันมาถามด้วยความห่วงใย(มโน)
“ คะ... คือ ”
ไอ้พี่มังกือชิงตัดบท “ เดี๋ยวพี่ไปส่งเองครับ ไม่ต้องห่วง ”
คำพูดกวมๆกำๆ ของไอ้พี่นาทสร้างความมึนเอ๋อให้กับสองคนนั่นไม่มากก็น้อย พอเห็นว่าไอ้นนท์จะอ้าปากพูดอะไรอีก มันก็
จัดการลากผมไปนั่งที่โต๊ะว่างทันที เสียมารยาทที่สุด! มันทำให้รู้เลยว่าต้องการจะอยู่กับผมและไม่อยากให้ใครมารบกวน
มันทำงี้ หมายความว่าไงวะ...
“ ปล่อยได้ยัง ” ผมถามหลังจากมันลากมานั่งที่โต๊ะแล้วเอาแต่เงียบ
มันทำหน้างงๆ “ หือ ปล่อยอะไร ”
“ มือผมเนี่ย จะจับยันชาติหน้าเลยมั้ย ” ประชดเข้าให้ แต่เสือกลืมอีกว่าไอ้พี่นาทเนี่ยประชดไปมันก็รับหมด
“ ได้นะ ถ้าชลให้จับ ” คลี่ยิ้มแย้มหนักกว่าเดิม ไม่เกรงหน้าใครเลย
แต่พี่ท่านช่วยแคร์หน้าคนรอบข้างบ้าง ดูสิ จ้องหน้าผมไม่เลิกทั้งสายตาอิจฉาริษานั่นด้วย
ผมดึงกระชากมือตัวเองกลับ ตวาดกลบอาการหน้าร้อนๆ “ พอเลย ไปสั่งไก่เลยไป๊ ”
“ ครับๆ ” ยังจะยิ้มอีก เปลือง!
มันลุกไปซื้อให้อย่างว่าง่ายไม่วายที่จะโยกหัวผมก่อนจะเดินไป ผมทำเสียงฮึดฮัดในลำคอเล็กน้อยอย่างหงุดหงิดกับท่าทีของมันที่ค่อนข้างจะ..เยอะ เกินเพื่อนเกินพี่น้องแหละ
เอ๊ะ หรือมันเกินมานานแล้วว่ะ
นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปได้ครู่หนึ่งไก่เคเอฟซีก็ถูกวางตรงหน้า กลิ่นหอมๆของทอดกระแทกจมูกเต็มๆ แค่นิดเดียวก็เรียกน้ำย่อยได้แล้ว ตอนแรกก็จุกขนมปังนะ แต่พอเจอไก่...หิวทันตาเลยสิเราชลธี
ผมหยิบส้อมขึ้นมาแล้วจิ้มที่นักเก็ต “ สั่งเยอะไปรึเปล่า อดอยากมารึไง ที่บ้านไม่มีข้าวกินรึไง ” มาเป็นชุดก็สมควรแล้วที่ผมจะบ่น
ก็ดูดิ ไก่นับสี่ห้าสิบชิ้นบนโต๊ะ แถมยังแอบเห็นสีหน้าโต๊ะข้างๆที่มองมาไม่หยุดแล้วรู้สึกอับอายมากครัช ซื้อมาขนาดนี้เอามาเผาเล่นรึไงค่ะคุณณณ
“ นิดเดียวเอง ” มันยักไหล่อย่างชิว “ เดี๋ยวมีคนช่วยกิน ”
เครื่องหมายคำถามต่อมเสือกมาทันที “ ใคร ”
“ นู้นไง ”
ไอ้พี่นาทลงมือกินไก่ก่อนผมซะอีก ปากก็คาบไก่มือก็ชี้ไปทางด้านหลังให้กระผมหันไปมองแล้วตรัสรู้เอง แน่นอนว่าคนขี้เสือกเป็นชีวิตจิตใจอย่างผมนั้นก็รีบหันขวับคอแทบหลุดไปมองทางประตูร้านที่กำลังมีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา
“ พี่ชลลล! ”
เสียงตะโกนดีใจของเด็กตัวเล็กดังลั่นเรียกความสนใจให้ทุกชีวิตหันไปมองเด็กที่ใช้ชุดแฟนตาซีมังกรเป็นจุดเดียว ดวงหน้าเล็กยิ้มแป้นตาเป็นประกายก่อนจะวิ่งเหยาะมาทางผมกับไอ้พี่นาทที่แม่งกินไม่ลืมหูลืมตา สนใจลูกมึงหน่อยสิว่ะไอ้นี่
แต่...พนาครับ เราสนิทกันแล้วเหรอครับ
“ พนา อย่าวิ่งสิครับ ” ยูนิครีบตามมาคว้าช้อนตัวใต้รักแร้เด็กน้อยวัยละอ่อนขึ้นเพราะกลัวว่าจะวิ่งหกล้มซะก่อน
“ ยูนิค ปล่อยพนา ปล่อยสิ ” ดีดดิ้นตวัดหางมังกรของตัวเองไปมาจนตีเข้ากับหน้าของคนอุ้ม เลยจำเผลอปล่อยมือให้เด็กพนา
หล่นตุ้บ...
อ้าวเฮ้ย เวรแล้วมึง
ตุ้บ!
ยูนิคหน้าเหวอไปเลย “ พะ พนา ”
“ ฮะ ฮึก ” เบะปากแล้ว... เตรียมสำลีได้เลย
เอามาทำอะไรน่ะเหรอ ก็...
“ แง!!!!! ”
อุดหูตัวเองน่ะสิ!!!
เด็กพนาตัวน้อยแหกปากร้องไห้ลั่นร้านจนกระจกร้านสั่นเลยทีเดียว พลังเสียงหนูช่างไร้ที่ติจริงๆ แก้วหูกูสะเทือนไปยันตับเลยครับ คนอื่นๆในร้านบางส่วนยกมืออุดหูแน่น บางส่วนก็ลุกหนีไปเลย
ส่วนไอ้คนเป็นพ่อน่ะเหรอ...
นั่งแดกไก่อย่างไม่รู้สึกอะไร
เป็นผมอีกเช่นเคยที่ต้องเดินไปอุ้มคุณเด็กมังกรน้อยพนามาปลอบ นี่กูเป็นแค่รุ่นน้องไอ้พี่นาทน่ะเว้ย ไม่ใช่พ่อไอ้เด็กนี่ แต่ทำไมตูยังดูแลดีกว่ามัน ไอ้พี่นาทนี่เป็นพ่อยอดแย่จริงๆ
“ ฮึก ฮือ เจ็บอ่า ” นี่ก็ร้องจริง น้ำหูน้ำตาหรือแม่น้ำเจ้าพระยาครับลูก
ผมกระชับตัวเด็กแล้วยืนอุ้ม “ โอ๋ๆ ไม่ร้องน่า ไม่เจ็บหรอก นิดเดียวเอง ”
“ นี่ผ้าอ้อมน้องครับ ” เดือนพรายเดินเอาผ้าอ้อมมาวางบนไหล่ผมและยิ้มให้แล้วเดินไปหาโต๊ะนั่งกับพวกยูนิค
เอ้า นี่โยนภาระให้กูเหรอครับ
ผมยืนเคว้งน็อคกลางอากาศเลย เอียงคอมองหน้าเด็กที่ยังเบะปากสะอื้นกับไอ้คนเป็นพ่อที่นั่งกินไม่เลิก ไม่มองสถานการณ์เลย นี่ถ้าห้างไฟไหม้มันจะยังนั่งกินอยู่มั้ย
“ พี่ชาย ฮือ เจ็บก้นง่า ฮือ ” เสียงร้องอ้อแอ้เรียกให้ผมไปสนใจ
ผมส่ายหน้าขำๆ “ เจ็บมากเปล่า ” ถามพลางอุ้มเด็กมานั่งลงที่โต๊ะ
“ มากๆ พนาเจ็บหางด้วย งื้ออ ฮือ ” พนานั่งปุ๊กลงบนตักผมพลางจับหางให้ผมดู ซึ่งตรงปลายหางมันแดงๆระเรื่อ คงช้ำมั้ง แต่
เดี๋ยว มังกร หนังมันหนาไม่ใช่อ่อ
“ เจ็บ? ” ผมเผลอทวนซ้ำ
“ นี่มันลูกมังกร ยังไงผิวหนังก็บางอยู่ก็คงเจ็บอยู่หรอก ” พี่สกายคนแบดนั่นเองที่ไขความกระจ่างให้ผม รู้สึกตั้งแต่เฮียแกเข้ามา
ในร้าน ดูจะไม่มีใครกล้าเข้าอีกเลย ก็ดูรังสีความน่ากลัวดิ ขนาดผมรู้จักยังสยองเลย เฮียแกเดินมาแบ่งไก่ที่โต๊ะผม ซึ่ง...เอาไปเถอะ เพราะมันเยอะชิบหายเลยครับ
“ อ้อ แล้วมากันทำไมต้องเยอะเนี่ย ” ผมถามพลางใช้ผ้าอ้อมเช็ดหน้าให้กับพนาปานกับมันเป็นลูกของผมเอง
“ ยูจินบอกอยากกินอาหารที่ห้างบ้าง ก็เลยพาลงมา ”
เดือนพรายตอบแทนขณะเลือกไก่ใส่ถาดของตัวเอง พอพวกมันทำแบบนี้แล้ว รู้สึกว่าโต๊ะผมนี่มันโต๊ะลูกค้าหรือโต๊ะบุฟเฟ่ต์ตักได้ตลอดกันว่ะ
“ แล้วทำไมต้องพาพนามาด้วย ” อ้าว พ่อเด็กฟื้นแล้วเหรอ นึกว่ากระดูกไก่ติดคอตายไปแล้ว
สกายหันมาตอบ “ แล้วจะให้ปล่อยอยู่คนเดียวรึไง พ่อมันก็ไม่ดู ”
โอ๊ยย ชอบ ด่ามันๆ
“ ก็ฉันต้องทำอย่างอื่นปะ ” ไอ้พี่นาทคายไก่ที่กำลังกินอยู่แล้วจ้องหน้าสกายตรงๆ
“ ฉันรู้ แต่แกก็ควรดูแลลูกบ้าง ” สั่งสอนเสียงดุ
“ ก็ฉันเลี้ยงไม่เป็นนี่หว่า ”
เดือนพรายสวนบ้าง “ ทำอย่างกับพวกฉันเลี้ยงเป็นงั้นแหละ ”
“ ก็หัดๆไปก่อนไง เดี๋ยวพวกแกก็ต้องเลี้ยงลูกตัวเอง ”
ไอ้พี่นาทกอดอกยักคิ้วเหล่ตาไปทางเด็กแฝดยูนิคอร์นที่นั่งคุยกันอยู่ ก่อนจะหันกลับมาจ้องหันคนทั้งสองที่เพิ่งเลือกไก่เสร็จ
“ ยังเด็กอยู่ ฉันไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอกน่า ” เดือนพรายว่าหน้าแดงเถือก
สกายแสยะยิ้มให้ “ ระวังมีใครคาบไปแดกแล้วกัน ”
“ โอ้โห ทำอย่างกับมึงกล้าแตะยูนิคตายแหละ ”
แล้วทั้งคู่ก็ทะเลาะกันไปถึงโต๊ะ ปล่อยให้ผมนั่งนิ่งตีความกับสิ่งที่ได้ยิน... ผู้ชายกับผู้ชาย มีลูกด้วยกันได้เหรอวะ สิ่งมหัศจรรย์ที่เก้าเลยเว้ย! (แปดก็ไอ้พี่นาทนี่ไง)
ผมก้มมองไอ้เด็กมังกรบนตักแล้วก็สงสัย... แล้วนี่มันเกิดจากพ่อแม่แบบไหนหว่า
“ ไอ้พี่นาท ” สงสัยแล้วต้องถาม มันเป็นการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์อย่างหนึ่งครับ
“ หือ ” คาบไก่อีกตามเคย พี่หิวพี่ก็บอกสิครับ.. แดกซะน่ากลัวเลย “ อะไรเหรอ ”
“ เมื่อกี้... หมายความว่าไงอ่ะ มีลูก... ” ผมอึกอัก แต่ต่อมความอยากรู้แม่งทะลุปรอท “ แบบสกายกับยูนิคมัน... ได้เหรอ ”
ไอ้พี่มันพยักหน้า “ ได้... เราไม่ใช่มนุษย์ไง ถึงทำได้ ”
จบ เคลียร์ทุกความสงสัย เอาซะกูไปไม่เป็นหาคำถามต่อไม่ได้เลย ผมถอนหายใจทิ้งเล็กน้อยเพื่อที่จะขจัดความอยากรู้แล้วสนใจกับไก่บ้าง เพราะตั้งแต่มาก็ยังไม่ได้แตะเลย
“ พี่ชล พนาอยากกิน ”
พอจะลงมือกิน มารขัดขวางก็มา
“ กินได้ใช่เปล่า ไอ้พี่นาท ” ผมหันไปถามความเห็น แล้วมันก็พยักหน้าตอบมา
ผมว่าผมตะกละแล้วนะ พอเจอมันแล้ว กูยอมแพ้เลย...
มืออวบๆของพนาคว้าหยิบส่วนอกไก่กรอบมายื่นให้ผม เท่านั้นแหละ รู้เรื่องเลย ว่า...มื้อนี้กู...อดแดก ต้องมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กจำเป็นเนี่ยนะ ตลกร้ายสุดๆ
“ แกะๆๆ ” เร่งอีกนะ
“ ครับๆ จิ้มซอสมั้ย ” ผมฉีกไก่แล้วถามด้วยรอยยิ้ม
พนาพยักหน้า “ ซอสมะเขือเทศ ”
ผมจิ้มซอสตามที่เด็กสั่งแล้วป้อนให้ ทำแบบนั้นไปเรื่อยๆจนรู้ตัวอีกที ไอ้เด็กนี่ก็ล่อไปกว่าเจ็ดชิ้นแล้ว กินจุเหมือนพ่อมันไม่มีผิดเลยจริงๆ
งานนี้ผมคุยเล่นกับพนาจนแทบจะเรียกว่าสนิทได้แล้ว ส่วนไอ้พี่นาทเหรอ ยังคงนั่งแกะไก่กินไม่เลิก กระเพาะคนหรือกระเพาะมังกรว่ะเนี่ย เออ มันเป็นมังกรนี่หว่า ลืม
ผมถามไปว่าทำไมพนาถึงใส่ชุดแฟนตาซีเด่นแบบนี้ ก็ได้คำตอบว่ากลบไอ้เจ้าหางมังกรของจริงที่โผล่มาไง เพราะยังเด็กเลย
ควบคุมพลังไม่ได้
พอเงยหน้าจะหยิบน้ำอัดลมมาจิบแก้กระหายน้ำลายแห้งชิ้นไก่พอดีคำก็ยื่นมาตรงหน้า
“ อะไร ”
“ ชลยังไม่ได้กินเลยไง ”
มึงเพิ่งรู้สึกเหรอ! ถ้ากูโดนฆ่าตรงนี้แล้วมึงไม่รู้ตัวนี่ กูเชื่อเลย!
“ เห็นพี่กินก็อิ่มแหละครับ ” ว่าไปอยากที่คิด เพราะมันเป็นแบบนั้นจริงๆ
มันทำหน้าสลดเล็กน้อย “ คำนี้คำเดียวก็ได้ ”
“ ป้อนลูกพี่ไปเถอะ ”
ว่าไปหัวเราะเล็กน้อยอุ้มเด็กพนาขึ้นมาพอดีกับมือไอ้พี่นาท เด็กน้อยตาแป๋วพอเห็นไก่ก็กัดหมับเลย ส่วนไอ้คนป้อนก็หัวเราะน้อยๆเลื่อนมือมายีผมลูกแล้วหยิบแก้วน้ำตัวเองที่เป็นน้ำเปล่าให้พนาดื่ม
ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่า... ตอนนี้ผมรู้สึกว่าเราเหมือนพ่อแม่ลูกมากเลย ฮ่าๆๆ ท่าจะประสาทแล้วสิ หลังจากที่ให้พนานั่งตักนานจนเหน็บกินก็เปลี่ยนไปให้พี่นาทอุ้มบ้าง
กินกันไปได้อีกพักใหญ่ก็ดันมีเรื่องแปลกเกิดขึ้น...
“ ท่านท้าว! กลิ่นไอนักล่า! ”
เสียงยูนิคตะโกนมาจนผมชะงักปากที่กำลังแดกไก่... ตูเพิ่งจะได้กินเองนะเว้ย
ใบหน้าแย้มยิ้มกับผมในตอนแรกพลันเย็นยะเยือกเหมือนตอนที่สู้กับงูในป่าไม่มีผิด “ พวกมันมาได้ไง ”
“ ไม่รู้แหละ ยังไงก็หนีก่อนเถอะ พนาก็อยู่ด้วยแบบนี้ลำบาก ” สกายว่าเสียงเรียบอย่างมีสติลุกขึ้นควักมือให้เด็กแฝดลุกตาม แต่ยูจินยังคงอิดออดคงเพราะยังกินไม่อิ่ม
“ ชล ลุกเร็ว ”
ไอ้พี่นาทหันมาพูดกับผมส่วนมือก็กระชับตัวลูกชายแน่นสีหน้าเย็นยะเยือกขัดกับแววตากังวล พวกผมลุกขึ้นเก็บข้าวของของตัวเองเตรียมจะออกจากร้านถ้าไม่...
เพล้ง!!!
ฉึก!!
“ ยูนิค!!! ”
ร่างของเด็กหนุ่มผมสีอ่อนทรุดลงกับพื้นตามแรงโน้มถ่วงโลก แต่ดีที่สกายคว้าร่างได้ทัน เลือดสีสดเปรอะไปทั่วเสื้อของสกายเพราะใส่สีขาวเลยเห็นได้ชัด ส่วนผมน่ะเหรอ ยืนแข็งทื่อเป็นตอไม้ไปแล้ว...
ดาบเล่มยาวสีดำทะมึนเสียบเข้าตรงท้องเด็กจังๆแต่ดีที่ไม่ทะลุ แต่ทว่าเพียงแค่นั้นก็ปางตายแล้ว
ทุกคนมัวแต่ตะลึงกับสถานการณ์ที่พลิกผันแปรผวนเช่นนี้จนทำอะไรไม่ถูก ไอ้พี่นาทเองก็ยืนนิ่งเบิกตาตะลึงค้าง เราทุกคนเหมือนสติหลุดกันไปแล้ว จนเสียงเท้าหนักๆของกลุ่มคนจะเดินเข้ามา...
ใคร...
ผมเงยหน้ามองกลุ่มคนพวกนั้นที่มีเพียงสี่คนใส่ชุดคลุมสีดำทะมึนมิดชิดตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนกับพวกลัทธิอะไรสักอย่าง ดูเผินๆอาจจะไม่มีอะไร แต่ไอสีดำรอบๆตัวพวกมันเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยงสยดสยองที่สุดแล้ว อาวุธในมือพร้อมรบมาก เดือนพรายที่ตั้งสติได้ก่อนก็สะบัดมือทั้งสองข้างให้แปรเปลี่ยนเป็นมือเกล็ดมังกรดันตัวยูจินหลบไปไว้ข้างหลัง...
สถานการณ์ตอนนี้ยิ่งกว่าหนังแอ็กชั่นฮอลลีวูดอีก แถมชัดเต็มตาทั้งสัมผัสและกลิ่นด้วย
...ผมกลืนน้ำลายอย่างเหนียวคอกับสิ่งที่ไม่เคยพบเจอ
ตอนนี้ผมควรรู้สึกกลัวมากกว่าที่จะหัวเสียนะ
ถามว่าที่หัวเสียคือเรื่องอะไรน่ะเหรอ ก็เรื่อง...
กูยังไม่ได้กินไก่สักชิ้นเลยเว้ยยยยยย
.
.
.
ขอกินให้เสร็จก่อนแล้วพวกเอ็งค่อยมาไม่ได้รึไงห่ะ!!
TBC.
ฮึบบบบสุดท้าย ชลก็ไม่ทิ้งลายตะกละ 55555555
-
พี่นาทสู้ๆ ตอนนี้น่ารักมากๆ รอตอนต่อไปนะคะ
-
หูยยยยย แจ่มมิหยอกอ่ะ
ชอบพนาแหะ เด็กอาร้ายยยย มีหางโพล่มาด้วย55555
-
ฮา ชลอะ จะได้กินก้อไม่ได้กิน
-
หืยยยยยยยย มันส์แน่ๆ งานนี้ รอตอนต่อไปน้าาาา ใครเป็นพวกองค์กรโค้ดดำ ใช่เขารึป่าวว
-
:hao7: :hao7: น้องชลสายแดก
-
ถึงหิวก็ต้องทนแล้วละชน อดตลอด :o12:
-
เวลาแบบนี้ยังจะมาห่วงกินอีก ถถถถถ
-
ยูนิค โดนแทงเป็นไงบ้างเนี่ย :ling3:
ชลห่วงพนาก่อนนนนนนนนกลัวโดนลูกหลง
ขนาดล้มยังร้องซะห้างแทบแตก
มีทั้งมังกรเด็กและมังกรเจ็บจะสู้ไหวไหมเนี่ย :katai1:
ชลห่วงกินมากกว่าห่วงเรื่องเขาตามฆ่าอีกอ่ะ
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
ยังจะห่วงกินอีกชล 555 ห่วงลูกห่วงสามีก่อนไหม
-
เดี๋ยวๆ ชลๆ ห่วงยูนิคก่อนมั้ยคะ 5555555 อย่าเพิ่งห่วงกิน กลัวตายก่อนลูกกกก อย่าเพิ่งห่วงไก่ ปล.พนาน่ารักง่าาาา :-[ :-[
:pig4: :pig4:
-
สนุกมากกกกกกกก มาต่อไวๆๆนะคะ
นั่งเปิดทุกวันเลยยย มาต่อเถอะนะคะ :katai4:
-
จะร้องไห้หรือขำชลดีเนี่ย สถานการณ์นี้ยังห่วงกินอีก 55555 :mew5: :mew5: :mew5: :mew5:
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
สนุกมากกกกกกกก มาต่อไวๆๆนะคะ
นั่งเปิดทุกวันเลยยย มาต่อเถอะนะคะ :katai4:
ขอบคุณค่ะ ดีใจจังที่ชอบ :mew4: จะพยายามเขียนให้ดีที่สุดงับบบ :pig4:
-
มาต่อเถอะค๊าบบ :katai1: :katai1: :katai1:
-
รอฉันรอเธออยู่ แต่ ไม่รู้ เธออยู่หนใด....
เธอจะมาเธอจะมาเมื่อไหร่.....
-
คนเขียนหายยยยยย :ling1: :ling1: ฉันรอพี่ที่หน้าเว็บทุกวันเลยนะ :mew2:
-
อาถรรพ์พงไพร
๘
...เหมือนจะได้ยินเสียงจากที่ไหนสักที่
กระซิบเบาๆว่าจะพาไปอยู่ด้วย
เสียงมันใกล้เข้ามาเรื่อยๆบวกกับสถานการณ์ตรงหน้า...
คิดบวกลบคูณหารถอดรากแล้ว เปอร์เซ็นต์น้อยนิดที่จะรอด
พลาดนิดเดียว ได้ลงไปเฝ้ายมทูตชัวร์ป้าบ!
ถ้าไม่จริง นายชลธีคนนี้ยอมอดข้าวหนึ่งมื้อเลยเอ้า!
อย่าถามว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น ให้ถามว่ากระผมนายชลธียังมีชีวิตอยู่ดีกว่ามั้ย ตอนนี้ผมยังคงครบสามสิบสองหรือเปล่า แต่ผมยังคงครบสามสิบสองดีครับ! ในตอนนี้สถานการณ์ตรงหน้าค่อนข้างจะเลวร้ายขั้นโคม่าเลยทีเดียว... ร่างกายสูงสง่าของสกายเต็มไปด้วยบาดแผล ส่วนเดือนพรายลงไปกองกับพื้นกุมท้องที่ถูกแทง ด้านหลังผมเป็นเด็กแฝดยูนิคอร์นที่คนพี่นอนหมดสติไปแล้ว มียูจินที่นั่งห้ามเลือดให้อยู่ทั้งที่สภาพตัวเองยังจะคุมสติไม่ไหว
ข้างๆผมเป็นไอ้พี่นาทที่ยืนทะมึนตึงจะก้าวไปช่วยสองคนนั้นก็เกรงจะไม่มีใครป้องปกสี่ชีวิตที่เหลือ...
จริงๆนายชลธีก็อยากจะวิ่งหนีอยู่นะ ถ้าไม่ติดว่าขาก้าวไม่ออก...เลยจำต้องนั่งปลอบไอ้ลูกมังกรอยู่ไง... สภาพจิตใจผมก็ไม่แข็งกระด้างขนาดที่จะไม่รู้สึกหวาดหวั่นหรือหวาดกลัว... แต่มันกลัวจนไม่สามารถแสดงออกไปแล้ว
ไอ้พี่นาทสะบัดมือโบกให้โต๊ะเคาน์เตอร์หลายตัวมาช่วยในการบดบังพวกตัวถ่วงทั้งสี่อย่างผม พนา ยูจินยูนิค เพื่อที่จะได้ไม่โดนลูกหลงไปด้วย
“ อย่าลุกจากตรงนี้นะ ” มันพยายามจะยิ้มให้ผมทั้งที่มันไม่ควรจะมีในตอนนี้ด้วยซ้ำ
ผมพยักหน้าซบลงที่ตัวอวบๆของพนา “ อือ ”
“ ไม่ต้องกลัวนะ ” มันยังคงฝืนยิ้มต่อไป... “ พี่ไม่ให้ใครมาทำร้ายชลกับลูกได้หรอก ”
มือหนาวางลงทั้งบนหัวผมและพนา มันยิ่งทำให้พนาร้องไห้กอดตัวผมแน่นไปอีกจนจะหายใจไม่ออกแล้วไอ้เด็กบ้า! แต่ทำไมไอ้ประโยคข้างบนมันแปลกๆวะ ชลกับลูก... พูดซะเหมือนว่ากูเป็นเมียมึงซะงั้น
“ ไปได้แล้ว ” ผมเอ่ยปากไล่
“ แต่... ”
ผมเงยหน้ามองจ้อง “ จะรอให้สกายกับเดือนพรายตายก่อนรึไงหา! ”
“ แล้วไม่กลัวพี่จะตายบ้างเหรอ ” น้อยใจ... สาดมาเต็มที่เลยนะ แล้วมันใช่เวลาเหรอไอ้มังกือกิ้งก่าไส้เดือน!
ผมชักสีหน้าเซ็งๆ “ หนังเหนียวแบบนี้ คงตายง่ายหรอก ” ถอนหายใจ “ ไปได้แล้ว ”
มันบุ้ยปากอย่างงอนๆราวกับผมทำผิดมากมาย... จะงอนเป็นตุ๊ดก็ไว้ทีหลังไม่ได้รึไง
“ เออ... ระวังตัวด้วยแล้วกัน ”
ก่อนมันจะไปไกลผมก็เอ่ยขึ้นพลางหันหน้าไปอีกทางซ่อนใบหน้าแดงร้อนแปลกๆไปเงียบๆ “ ไม่ได้ห่วง แค่ยังไม่อยากกินมังกรย่าง ”
“ ครับๆ ”
ยิ้มร่าเลยนะ...
ผมมองตามหลังมันไปด้วยความรู้สึกอัดๆในอก...
ไอ้พี่นาทเข้าไปในวงชุลมุนป้องกันให้เพื่อนทั้งสองอย่างว่องไวและคล่องแคล่ว แล้วถ้าเอ็งจะเก่งขนาดนี้ แล้วทำไมถึงปล่อยให้สองคนนั้นสะบักสะบอมซะปางตาย มังกรเลว
เมื่อกัมปนาทเข้าสู่วงต่อสู้ชายชุดดำเริ่มเปลี่ยนเป้าหมายรุมมังกรน้ำเงินอย่างกัมปนาทแบบไม่มีทางให้หยุดพักหายใจ การ
เคลื่อนไหวเร็วขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับชายปริศนาที่ล้มลงไปเรื่อยๆ ถึงยังไงพวกนี้ก็เป็นแค่มนุษย์เท่านั้น ริคิดจะสู้รบกับปีศาจยังคง
เร็วไปหมื่นปี...
เพราะมัวแต่หลบหลีกดาบของอีกคน จึงไม่ได้ระวังข้างหลังที่พวกมันคว้าบางอย่างมา...
ตู้ม!
เสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมหัวใจชวนให้เต้นระรัวหนักกว่าเดิม... ผมหลับตาแน่นภาวนาให้ทุกอย่างไม่เลวร้ายไปกว่านี้ จะให้ชะโงกคอมองสถานการณ์มันก็ไม่ใช่ที่ เห็นแบบนี้ยังกลัวตายนะครับ
“ ต่างคนต่างอยู่ไม่ได้รึไงวะ!! ” เสียงคำรามลั่นก้องไปทั่วมันทั้งน่ากลัวและน่าเกรงขาม จำได้ดีว่าเป็นเสียงของไอ้พี่นาท... แต่ไม่เห็นสภาพของมันสักนิด...
กัมปนาทนึกขอบคุณที่ตัวเองใช้โต๊ะบังสายตาของชล เพราะตัวเขาในสภาพที่โดนระเบิดเต็มๆกลางหลังมันไม่ค่อจะน่าชมสักเท่าไหร่... ขบเขี้ยวกัดฟันทรงตัวยืนขึ้นแววตาเริ่มแปรสี...
“ มนุษย์กับปีศาจมันร่วมโลกกันไม่ได้ ” เสียงไร้ความรู้สึกดังกังวานพร้อมมีดนับร้อยปรากฏรอบตัว “ ยิ่งพวกเจ้ามาอยู่ในโลกนี้ ยิ่งต้องถูกกำจัด ”
“ แต่เราก็ไม่ทำอันตรายใคร ”สกายตวาดลั่น “ เราแค่มารอรับคนของเราเท่านั้น! ”
คนพูดชะงักปากแทบไม่ทันเมื่อรู้ตัวแล้วว่าดันพูดอะไรออกมาซะแล้ว... กัมปนาทหันไปถลึงตาใส่อย่างคาดโทษ ยังไม่ทันที่จะออกตัวรบราต่อ เสียงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย...
“ รับหมอนั่นหรือว่า... ” เสียงปริศนาดังขึ้นพอจากในอากาศที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นเสียงของใคร “... พวกเจ้ากำลังจะบอกว่าหาหมอนั่นเจอแล้ว?”
แต่ดูเหมือนกัมปนาทจะจำได้ดีถึงกับหน้าซีดเซียว...
“ นา...ซิสส์ ” สกายเอ่ยออกมาเบาๆเมื่อเงามืดค่อยๆรวมตัวกันจากทุกสารทิศ... ก่อรวมร่างเป็นคนขึ้นมาช้าๆ... กัมปนาทเองก็ยืนตัวแข็งนิ่งไม่ไหวติงจ้องเขม็งที่กลุ่มหมอกดำ...
ใครคนหนึ่งก้าวออกมาจากควันสีดำพร้อมใบหน้าหล่อร้ายกาจหน้าซีกซ้ายมีลวดลายสีดำแต่งแต้มไว้ให้รู้ว่ามันคือสัญลักษณ์บางอย่าง...
สัญลักษณ์ของการฆ่าและช่วงชิงอำนาจและพลังของปีศาจ...
มันทำบ้าอะไรลงไป!!
“ สวัสดี... ไม่เจอกันตั้งหลายร้อยปีเลยนะ ” สุรเสียงรื่นเริงกล่าว “ คิดถึงข้าหรือเปล่า ”
“ ไม่มี..ทาง ”
กัมปนาทเบิกตากว้างพร้อมกับเสียงประท้วงในหัว ไม่! ไม่! มันไม่มีทางตื่นก่อนคำสาป ไม่มีทาง! ถึงจะตื่นขึ้นมาแล้วก็ต้องตาย ร่างมนุษย์ที่ถูกแช่ไว้เป็นร้อยๆปี ไม่มีทางจะมีเรี่ยวแรงหรือพลังเวทย์เหลือแล้ว
“ อากาศอุ่นๆแบบนี้ ไม่ได้สัมผัสมานานเท่าไหร่แล้วนะ ” ชายคนนั้นยังคงมีท่าทีสนุกสนานยกมือยกมือวาดไปบนอากาศ...
“ นาซิสส์... ”
ไม่สิ... ชายตรงหน้าไม่ใช่ร่างของนาซิสส์คนนั้น เป็นใครก็ไม่อาจรู้... แต่ดวงจิตในร่างตอนนี้คือ นาซิสส์คนนั้น คนที่มันฆ่าคนรักของเขา และสาปให้พวกเขาต้องทุกข์ทรมานอยู่กับโลกที่ไม่มีเสาหลัก...
“ เกือบจะลืมชื่อตัวเองแล้วสิ ” รอยยิ้มเหี้ยมประดับบนดวงหน้า “ ขอบคุณที่ยังจำกันได้”
“ สงสัยหรือ ทำไมข้าถึงตื่นขึ้นมาก่อนคนของเจ้า ” รอยยิ้มที่ไม่น่าเชยชมแย้มขึ้น “ ดูจากสีหน้าโง่ๆของพวกเจ้าแล้ว ข้าจะบอกให้ก็ได้ ”
นาซิสส์ว่าอย่างสบายๆก่อนจะร่ายมือเบาๆยกเก้าอี้ที่ล้มระเนระนาดขึ้นมาตัวหนึ่งเพื่อให้เขานั่ง...
“ ต้องขอบใจเจ้าพวกทายาทสายเลือดของข้า ที่บังเอิญเจ้าเด็กคนนี้ ” ชี้ที่ดวงหน้าของร่าง “ มันอาจหาญอยากลองวิชาที่สืบมา หาทางติดต่อกับพวกปีศาจ...แล้วก็ฆ่า ชิงอำนาจจนได้พลังที่ยิ่งใหญ่ ”
ชื่นชมในตัวหลานรักคนนี้จริงๆที่โลภมากและทะเยอทะยานจนสุดท้ายตัวเองก็ต้องตาย...
“ ดีที่ลูกหลานข้ามันปลูกฝังมานับร้อยปี ให้ถอนคำสาปให้ข้า ” เว้นวรรคเล็กน้อย “ เจ้าเด็กนี่จึงหาทางปลดคำสาปข้า จนมันสำเร็จ แต่ร่างกายข้ามันอ่อนแอจวนจะตาย เลยต้องฆ่าแล้วยึดร่างนี้แทน ”
“ แล้วหลานเจ้า... ”
นาซิสส์คลี่ยิ้มกว้างพร้อมชูมือขึ้นกำๆแบๆ “ ตอนนั้นน่ะหรือ มือของข้ายื่นออกไปยังดวงจิตของมัน จับมันไว้ ” กำมือ “ แล้วกระชากออก บีบมันจนแตกสลาย ”
สามหนุ่มที่สภาพสะบักสะบอมมองตาค้างกับความโหดร้ายนั่น กฎของโลกพวกเขา มันคือ ข้อห้าม... การแย่งชิงพลัง การขโมยร่างย้ายร่างหรือการทำลายดวงจิต...
แต่ในตอนนี้ความผิดทั้งหลายกลับไหลเวียนอยู่ในตัวนาซิสส์ตรงหน้านี่แล้ว...
“ ร่างใหม่ก็ดีนะ... เปี่ยมไปด้วยอำนาจ และอายุ...ที่ไม่วันหมดสิ้นของปีศาจ ”
เดือนพรายยกมือที่อาบเลือดชี้หน้าอีกฝ่าย “ เจ้า... หลานเจ้ากลืนกินวิญญาณปีศาจเข้าไปแล้วหรือ! ”
“ ใช่... นี่สินะที่เขาเล่าลือกัน หากได้กินวิญญาณของปีศาจที่ตนฆ่าแล้วจะได้ชีวิตอมตะชั่วนิรันดร์ ” นาซิสส์โคลงหัวไปมาตามเสียงหัวเราะจิตๆของตัวเขาเอง
“ หึ... แต่ยังไงเจ้าก็เป็นเพียงมนุษย์ เอาชนะพวกข้าไม่ได้อยู่ดี ” สกายเอ่ยเย้ยหยันก่อนจะสำลักเลือดก้อนใหญ่ สร้างความหรรษาให้แก่คนร้ายกาจมากขึ้น
“ ดูสภาพตัวเองซะก่อนเถิด จะตายอยู่แล้ว ”
สกายขู่... “ อย่าคิดว่าพวกข้าไม่รู้... ที่นี่เขียนเขตผนึกปีศาจไว้ ” พูดเพียงเท่านั้นก็สำลักเลือดอีกระลอก...
กัมปนาทตวัดหางตามองอาการพรรคพวกตัวเองเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมาพูดจี้จุดใครอีกคน “ ฆ่าพวกข้าแล้ว... ยังไงเจ้าก็ไม่มีวันก้าวไปเป็นเทพได้ ”
“ นี่หรือวิธีขอเอาชีวิตรอดของท่านน่ะ ” มองเหยียดอย่างดูถูก
“ จะฆ่าก็ได้นะ... เพราะยังไงแล้วป่าอาถรรพ์ก็ไม่มีวันเป็นของเจ้า”
หางคิ้วคนโดนดูถูกกระตุกแรงพร้อมโทสะฉาบวาบไปทั่วดวงตา “ ทำไม... ป่านั่นในตอนนี้มันมีเจ้าของด้วยหรือ แถมเจ้าของเก่ามันยังไม่รู้เรื่องเลยนี่ ควรมอบให้แก่ข้าได้แล้ว ”
“ ฝันหรือ ” กัมปนาทว่าพร้อมทั้งไอเป็นเลือดออกมาจากการช้ำในตอนโดนระเบิด
นาซิสส์ส่ายหน้าเล็กน้อย “ ข้ามีวิธีบังคับที่ดีกว่านั้น ”
หันไปทางหลังเคาน์เตอร์ที่มีพวกชลอยู่...
“ มันจะไม่มีครั้งที่สอง ” เสียงเหี้ยมของกัมปนาทกล่าว ก่อนที่ใบหน้าของตัวเขาจะเริ่มขึ้นเกล็ดน้ำเงิน “ ริจะยึดป่า แต่ยังไม่สามารถรู้ตำแหน่งของป่าได้ ช่างโง่เขลานัก ”
“ กัมปนาท! ”
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่กัมปนาทเริ่มร้อนรนจนไม่มีสติคุม “ ต่อให้หาเจอ เจ้าก็เข้าป่าไม่ได้ ”
“ หึ... ลืมไปแล้วหรือ... เสาหลักเขตแดนพลังหายไป อีกไม่นานก็ป่าปรากฏ ” นาซิสส์ไร้ท่าทีหวาดกลัวก่อนจะยกมือขึ้นแล้วตวัด
ลงอย่างรวดเร็ว “ ใช้พลังเพียงน้อยนิด... ก็พังมันได้แล้ว!”
ไม่ถึงเสี้ยววินาทีเคาน์เตอร์บาร์ก็ระเบิดแตกพังออกให้เห็นร่างของชลธีที่นั่งกอดเด็กคนหนึ่งอยู่... หัวคิ้วคนพาลคลี่ออกมาเล็กน้อยเมื่อมองลงไปที่เด็กน้อยอันกำลังร้องห่มร้องไห้อย่างเสียขวัญ...
“ นั่นลูกเจ้าหรือ ” ชี้ไปที่เด็ก “ น่ารักน่าเอ็นดู... ถ้าทำอะไรมันสักหน่อย เข้าจะว่าจะมั้ย ”
ชลธีเบิกตาแทบถลนกับคำพูดนั่นกระชับเด็กเข้าหามากกว่าเดิมส่ายหน้าเป็นระวิงพร้อมมองไปทางไอ้คุณพี่นาทอย่างหวาดๆ
สาบานเลย หลังจบงานนี้ เขาจะทำบัญเก้าวัด
เจอแต่อะไรก็ไม่รู้!
กินก็ยังไม่ได้กิน ยังจะมาให้ตายอีก!
เขายังไม่อยากกินข้าวมื้อสุดแล้วตายนะเว้ย!
พรุ่งนี้ยังมีชีวิตกินข้าวอยู่
“ ถ้าแตะต้องลูกข้า อย่าหวังจะมีลมหายใจถึงพรุ่งนี้เลย! ” กรงเล็บมังกรกางออกข่มความปวดแสบพุ่งตัวไปหมายคว้าคออีกฝ่ายแต่กลับคว้าได้เพียงอากาศ มิหนำซ้ำยังถูกพวกพวกรับใช้ของนาซิสส์แทงจากข้างหลังอีก...
“ ไอ้พี่นาท!! / ท้าวพ่อ! ”
ร่างของมังกรหนุ่มค่อยๆทรุดลงไปใบหน้าแสดงถึงความเจ็บปวดเจียนตาย เงยหน้ามองคนที่ยืนเหนือหัวด้วยแววตาอาฆาต...
อยากจะลุกฉีกเนื้อมันเป็นชิ้นๆแต่ร่างกายกลับไม่ขยับ มีบางอย่างกำลังแผ่ซ่านเข้ามาตามเซลล์ผิวหนังให้รู้สึกร้าวราน...
“ ท่าทางดูไม่ได้เลยนะท่านท้าว ”
ขบบดเขี้ยวอย่างเคียดแค้น “ อย่าให้ข้าลุกได้! ข้าจะถลกหนังเจ้าโยนให้สัตว์เดนตายกิน! ”
“ ปากดีจริงนะ ” กระชากดาบที่เสียบอยู่ข้างหลังของกัมปนาทออกให้เลือดสีแดงสดทะลักออกมาราวกับเขื่อนแตก
“ อ๊าก!! ”
มังกรหนุ่มร้องเสียงหลงกับความปวดเจียนตายนี้... แต่มันคงไม่สาแก่ใจของอีกฝ่าย
“ หึ... ทรมานเจ้าเพียงเท่านี้มันอาจจะไม่สนุกเท่าไหร่ ” เบนสายตาไปทางลูกน้อยแก้วตาดวงใจของพวกมัน เดินตรงไปหมาย
คว้าตัวเด็ก “ มันต้องทำร้ายคนสำคัญสิ ”
คนเป็นพ่อเริ่มร้อนรน “ อย่า! อย่า! ”
“ หึ ”
ปลายนิ้วเกือบจะได้แตะกับตัวเด็กแล้วถ้าไม่มีอีกคนปัดมือนาซิสส์ออกได้ทัน...
เพี๊ยะ!
“ นึกว่าใคร... เจ้าเด็กอวดดีเองหรือ ”
เป็นยูจินเอง เด็กยูนิคอร์นยืนขวางหน้าด้วยใบหน้าที่เจือเต็มไปด้วยความเคียดแค้น ดวงตาสวยแกงก่ำจากการร้องไห้ “ ออกไป ออกไป!!! ”
รอบตัวของยูจินเต็มไปด้วยควันประหลาดออร่าพุ่งพรายออกมาหมายจะปัดป้องออกจากภัยร้าย...
หากเป็นมนุษย์แล้วโดนไอปีศาจของเด็กตรงหน้าแล้วจะสิ้นใจทันที แต่เผอิญ...นาซิสส์ก้าวข้ามความเป็นมนุษย์มาเสียแล้วสิ...
“ ข้าไม่อยากรังแกเด็กนักหรอกนะ ”
“ ข้าไม่ใช่เด็ก! ”
“ เด็กไม่เด็กก็หลบไป อย่ามาขวาง ”
เสียงอ่อนโยนว่างั้นแต่แสงไฟกลับสะท้อนเงาของมีด คนตัวเตี้ยทำสีหน้าตะลึงจะเบี่ยงหลบแต่มันไม่ทันกรีดยาวพร้อมทั้งยังถูกโยนหลบให้พ้นทาง...
ชลธีมองภาพนั้นอย่างหมดสิ้นสติประคอง หยาดเลือดของเด็กที่ปกป้องกระเซ็นมาโดนหน้าเขา... ยกมือขึ้นแตะมันเบาๆให้รับรู้ว่าเป็นเลือด และมันยังอุ่นอยู่...
เหมือนความคิดของเขาถูกกดหยุด ในหัวขาวโพลนไปหมด...
กลางอกมันร้อนจนแทบประทุ... ดวงตาเหลือกขึ้นบนจนเหลือเพียงตาขาว... เขาจำสภาพตัวเองได้แค่นั้นก่อนที่ทุกอย่างจะมืดลงอย่างช้าๆ...
พร้อมกับแววตาหวาดกลัวของนาซิสส์...
และเสียงบทสวดที่ดังก้องอยู่เต็มหัว...
.
.
.
มันเกิดอะไรขึ้น...
TBC.
ฮึบบบ ขอโทษที่หายไปนานน่าาาาา พอดีเอ็นข้อมือขวาฉีกเลยพักยาวไปหน่อย แหะๆๆ
ฝากเอ็นดูพนามังกรน้อยด้วยน่า
-
มาทำให้ค้างแล้วก็มาจากเราไป :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:
เข้าใจหัวอกชลที่พี่นาทพามากินไก่แล้วก็ยังไม่ได้กินนนนนน
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
มาทำให้อยากแล้วจากไป ลุ้นว่าต่อไปจะเป็นยังไง ขอบคุณมากค่ะไรท์ :pig4:
-
สงสัยชลธีจะตื่นขึ้นตอนขับขัน
-
ชลจังจะตื่นขึ้นมาเหรอ ขอให้หายไวๆน๊า
-
มาแล้วๆ รอนานปายยยย
โอ้ยยยยย อินาซิส ทำไมชอบจังงง ชอบเล่นระเบิดจะ เป็นพวกเดียวกะไอซิซเหรอออ
ฮืออออ ค้างอ่า นางชลจะเผยฤทธิ์แล้ว ต่อด่วนจร้าาา
-
นาร์ซิสร้ายได้อีก รอให้ชลฟื้นคืนได้เร็วๆ
-
รอน้าาาา มาต่อไวๆ :ling1:
-
เอาอีกกกกกกก
-
อ๊ากกกกกก มาทำให้อยากเเละจากไป ฮือออ รอๆๆ :katai1: และก็หายไวๆนะคะ รออยู่น่าาา :mew1:
-
.แปะะะะ
-
อู้ยยยย ปูเสื่อรอยาวเลยยยย เกิดอะไรขึ้นกับชลอ่าาาา ลุ้นๆๆๆ :call: :call: :call:
รอตั้งนาน ขอบคุณที่อัพนะคะ หายไวๆๆน่าาา :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
ลุ้นระทึกมาก ทุกคนสู้ๆ อย่าเป็นอะไรกันนะะะ :katai1:
-
อาถรรพ์พงไพร
๘.๒
ความคับเเค้นนานนับ
จนอยากลืม
กาลเวลาไร้รักษา
บากแผลกลางอก
ยิ่งนานยิ่งเจ็บ
ยิ่งโกรธเคือง
อย่าพลาดพลั้ง
เพราะมีหนึ่ง
คอยทำลาย...
แหมะ
แหมะ
แหมะ
.
.
.
เสียงหยดน้ำไหลลงผืนกระทบหินท่ามกลางความมืดที่แสนเงียบงัน... ไม่มีแสงสว่าง ไม่มีสิ่งมีชีวิต ไม่มีอะไรเลย นอกจากความว่างเปล่า... เหมือนจะเป็นถ้ำหรือหลุมลึกก็ไม่เชิง... ใจกลางของจุดที่ลึกที่สุดมีก้อนหินใหญ่มหึมาตั้งตระหง่านอยู่... ด้านหนึ่งของหินมีโซ่ตรวนตรึงร่างของใครบ้างคนอยู่ ใบหน้านั้นสงบนิ่งและเยือกเย็น... เปลือกตายังคงปิดสนิทและ...มีลมหายใจ ถามถึงเนื้อตัวก็ผิดแปลก...โปร่งใสไม่มีเนื้อหนัง
อีกด้านของหิน...มีโซ่ตรวนพันธนาการร่างของอีกคนไว้ไม่ต่างกันเท่าไหร่... แต่กลับมีสภาพร่างกายที่มีเนื้อหนังสัมผัสได้...แต่หากไร้ซึ่งลมหายใจ ทางด้านล่างของฝั่งนั้นมีโครงกระดูกมนุษย์อยู่ที่กำลังพังผุ... บรรยากาศมันดูเงียบงันมาหลายต่อหลายร้อยปี จนกระทั่ง...
“ แค่ก!! ”
ร่างใดร่างหนึ่งจากในสองสำลักก้อนเนื้อปนโลหิตออกมากระจายทั่วพื้นดิน... ลมหายใจกลับมาอีกครั้งและสำลักเลือดอีกหลายครั้ง เปลือกตาถูกเปิดขึ้นวาววับอย่างเครียดแค้นไหลพร้อมด้วยเลือดก่อนจะขยับปากกู่คำราม...
“ เจ้ามัน... ปีศาจ! ” ใบหน้าหล่อเหลาแต่งแต้มด้วยรอยสลักบนหน้าคำรามท่ามกลางความเงียบ ก่อนอึดใจหนึ่งจะมีอีกเสียงแทงทิ่มเข้ามา...
“ เจ้าว่าข้าเป็นปีศาจหรือ ...ดูตัวเองก่อนจะดีกว่าหรือไม่ ”
เสียงเย็นดังวานขึ้นจากร่างโปร่งแสงของอีกคน... ดวงตายังคงปิดสนิทมีเพียงปากที่เปิดขยับ “ คิดว่า เจ้าจะออกไปได้คนเดียวหรือ ”
“ ใครมันปลดคำสาปให้เจ้า! ” คนเจ็บร้องโอ๊ยอย่างทรมาน ไม่คิดไม่ฝันว่าอีกฝ่ายจะออกมาได้ก่อนจะถึงเวลา
“ คิดว่าข้าอ่อนหัดขนาดเจ้าเลยหรือ ที่ต้องรอให้เลือดเนื้อตัวเองมาปลดปล่อย ” ทุกวาจาล้วนเหยียดหยามและสบประมาท “ ข้าไม่ใช่มนุษย์ไร้ค่าแบบเจ้าเสียหน่อย ”
“ แต่ตอนนี้เจ้ามันไร้ค่า! ทำอะไรไม่ได้ นอกจากยืมร่างคนอื่น ”
คลี่ยิ้มมุมปาก “ ...หึ คนอื่นเสียที่ไหน ”
“ เจ้าหมายความว่าไง ”
“ นั่น... มันคือร่างของข้า ”
“ พวกเจ้า...! ”
หัวเราะเยาะ “ รู้ตอนนี้ก็สายไปแล้ว... นาซิสส์... หึ ”
“ กัมปนาทไม่ได้โง่ขนาดนั้น... เขาฉลาดพอที่จะจัดการทุกอย่างแทนข้า”
คนถูกเรียกชื่อกัดฟันกรอดอย่างคับแค้นใจที่พลาดไปกับสิ่งที่ไม่น่าพลาด... หากร่างนั้นถูกทำลายยับจะเป็นได้เพียงวิญญาณเร่รอนลอยลม เหมือนกับที่มันทำกับเขา...ที่ทำให้เขาเป็นเพียงวิญญาณจนต้องหาร่างใหม่ ในขณะที่เวทย์ที่เขาร่ายใส่มันเป็นเพียงการทำลายอวัยวะในร่างและสาปแช่ง หากปล่อยให้ร่างเกิดใหม่แล้วเมื่อฟื้นจากคำสาปก็จะยังมีชีวิตอยู่ต่อได้สบาย ผิดจากเขาคนนี้ที่ต้องยึดร่างคนอื่นฟื้นกฎเกณฑ์ทั้งปวง...
แล้วใครกันมันจะไปรู้เล่า...ว่ามันได้สลัดร่างทิ้งผูกโซ่ตรวนไว้เพียงวิญญาณ เวลากว่าร้อยปีเขาก็นึกว่าอีกฝั่งของตนก็มีร่างเนื้อหนังถูกตรึงไว้ไม่ต่างกัน... แต่ส่วนตัวเขาถูกผนึกไว้ทั้งตัวและวิญญาณ... หากฟื้นแล้วแต่ร่างกายยังคงเป็นมนุษย์ไม่ถึงสิบวิเขาก็จะตาย... แล้วร่างที่เป็นซากอยู่กับพื้นนั้นก็เป็นแค่ร่างเก่าๆของเขา
ของที่ไม่จำเป็นแล้ว...ก็ทิ้งมันไปซะ...
ฟังดูเหมือนความหวังถูกทุบทำลายให้พังสิ้น แต่ใบหน้าเจ้าเล่ห์นั้นยังคงมีรอยยิ้ม...
“ บอกข้าหมดแบบนี้... ไม่ระวังตัวเสียเลยนะ ”
“ อะไร ”
“ บอกถึงร่างใหม่ของเจ้ามาเช่นนี้... ถ้าหากไร้ร่างล่ะ... เจ้าจะเป็นยังไง ” คราวนี้ใครกันที่เป็นต่อ คนที่ถูกย้อนเข้าหาตัวเองก็
เงียบไปเช่นกัน... ไม่นึกว่าตัวเองจะเผลอพลั้งพูดไป...
“ ตอนนี้ข้าไม่อะไรต้องกังวลอีกแล้ว ในเมื่อได้ร่างใหม่ หากรอดจากคำสาป ข้าก็กลับเป็นปกติเช่นเดิม ”
“ ...เจ้ามันยิ่งกว่าปีศาจ ”
“ แต่เจ้าต่างหาก... ไม่มีร่างให้อยู่ ”
“ ... ”
“ วิญญาณก็จะดับสูญสิ้นไม่มีวันหวนคืน ”
“ ... ”
“ ข้าชักรอไม่ไหวแล้วสิ วันที่เจ้าจะพังลงไปต่อหน้าข้า หึ ”
“ ... ”
“ เจ้าร่างมนุษย์หน้าโง่นั้น... ข้าไม่ปล่อยให้อยู่ถึงวันปลดปล่อยเป็นแน่ ”
ดวงตาสีดำมืดเปิดลืมขึ้นช้าๆหลังจากได้ฟัง... เสือกไสกระตุกยิ้มเย็นออกมาก่อนจะนึกถึงหน้าของใครบางคน...
ปกป้องอีก ‘ครึ่งหนึ่ง’ ของข้าไว้ให้ได้นะ... กัมปนาท
ไม่ใช่คำขอร้อง... แต่มันคือ ‘คำสั่ง’
*********************************************
หากมีคนสลบไป
ไม่นานคงฟื้น
แล้วคงฟื้นตื่นลืมตาได้
เพราะเสียงกระซิบและอ้อนวอนข้างหู...
หรือกลิ่นอายของยา...
แต่มันไม่ใช่กับนายชลธี...
.
.
.
“ ชล... ”
เสียงแผ่วกระซิบข้างหูเบาๆมันน่ารำคาญจนต้องย่นคิ้วขมวดแน่น... ไม่นานก็คลายออกช้าๆเมื่อจมูกได้กินหอมๆของอะไรสักอย่าง...
ยิ่งนานยิ่งมีกลิ่นที่อบอวลรอบตัวมากขึ้น... หอมเหมือนอะไรสักอย่าง...
หอมจนน้ำลายเริ่มไหล...
“ ชล... ”
เสียงทุ้มยิ่งดังขึ้นมาบวกด้วยกลิ่นหอมๆใกล้ๆจมูก... จำได้ว่า...ผมสลบไป วูบไปเลย แล้วไอ้ที่หอมๆอยู่ใต้จมูกผมมันคงไม่พ้นยาดมชัวร์ๆ...
“ ตื่นได้แล้ว ไม่หิวเหรอ ”
เสียงยังคงพูดไปเรื่อยๆ ซึ่งมันค่อนข้างจะเหมือนเสียงไอ้พี่นาทเข้าทุกที ...เมื่อกี้มันถามเหรอว่าหิวมั้ย อยากจะตะโกนดังๆเลยเว้ย แม่งโคตรหิว โคตรอยากจะเลาะเนื้อมังกรมาย่างกิน...
แต่มันเหมือนมีอะไรมาถ่วงตาไว้ทำให้มันลืมขึ้นได้อย่างยากลำบาก...
อยากตื่นแต่เหมือนมีบางอย่างฉุดลงให้นอนลง...
เฮ้ย...
กลิ่นหอมๆนั่น.... กำลังจะเคลื่อนไปไกล... มันกำลังจะหายไป!
วินาทีนั้นเปลือกตาก็เบิกโพล่งขึ้นเด้งตัวตื่นขึ้นทันที... กวาดตามองรอบตัวก็รู้แล้วว่าที่นี่มันไม่ใช่หอของเขาแต่กลับเป็นบ้านของไอ้พี่นาท...
หอบหายใจอย่างหนักเหงื่อแตกพลั่กเลยทีเดียว อยากจะตะโกนดังๆไปเลย
กูยังไม่ตายเว้ยยยยย
นายชลธีรอดแล้ววว
จับเนื้อตัวเช็คลมหายใจว่ายังมีชีวิตอยู่มั้ยก่อนเลย แต่ไม่รู้ทำไมมันถึงรู้สบายตัวเเปลกๆเหมือนได้ออกกำลังกายเเรงๆให้ร่างกายมันสดชื่นขึ้น...
แถมแปลกอีกอย่าง... รู้สึกหัวโล่งๆไร้กังวล ทั้งที่ปกติน่าจะยังสติแตกอยู่
นี่กูกำลังจะบ้าใช่มั้ย
“ หรือเราตายแล้วไม่รู้ตัวว่ะ ” ชะงักความดีใจกะทันหันแล้ว ยกมือขึ้นหยิกเต็มแรง “ โอ๊ย เจ็บ! ”
“ ก็ยังไม่ตายนี่ ”
“ ใช่ครับ ชลยังไม่ตาย ”
เสียงมังกรที่ไหนวะ... หันหวับไปทางต้นเสียง
ก็พบมังกรเจ้าของบ้านยืนยิ้มหล่อถือจานข้าวแกงกะหรี่อยู่...
เดี๋ยวนะ... ไอ้กลิ่นหอมๆเมื่อกี้ คือ...
“ ไง ฟื้นแล้วเหรอ ” มันถามมึนๆ ผมพยักหน้าเล็กน้อย แหม ที่ลืมตาอยู่นี่สลบอยู่มั้ง “ มองหายาดมเหรอ ” ถามต่อเมื่อผมยังสอดสายตาหาบางอย่าง...
ผมพยักหน้า “ ใช่ ”
ยาดมสูตรไหน
อย่าบอกนะว่าสูตรกลิ่นแกงกะหรี่
“ นี่ไง ยาดมสูตรพิเศษ ” นั่นไง! อย่างที่ผมคิดเลยยยย มันเอาข้าวแกงกะหรี่มาล่อผมให้ตื่น มันจะบ้าเหรอ! ใครเขามันจะตื่นกัน สลบไปมันก็ต้องใช้ยาดมดิว่ะ ไม่ใช่ข้าวมาล่อเว้ย...
แต่จะว่าไป...
กูตื่นเพราะกลิ่นข้าวมันล่อใจนี่หว่า...
ชลธีอยากจะโขกหัวตัวเองมาก ณ จุดจุดนี้...
“ พี่แม่งบ้า ” ไม่รู้จะพูดอะไรก็ว่าไปแบบนั้น ตอนนี้ไม่มีอารมณ์ไปด่ามันหรอก มีสิ่งเดียวที่ต้องการแล้วต้องการมานานแล้วด้วย แล้วแบมือไปทางมัน
ทำหน้างงๆ “ อะไร ”
“ ข้าว ”
นิ่งเป็นหลับ ขยับตาตื่นก็แดก...
“ หือ? ”
“ ขอข้าว ”
“ เอาไปทำไม ”
วะ! เอาไปโปรยเล่นมั้ง!!
“ หิวเว้ย! จะให้กินมั้ยวะ ไม่ให้ก็บอก จะได้ไปหากินที่อื่น!! ”
ผมปรี๊ดเลยที่มันแกล้งไม่เลิก พอเห็นผมเริ่มไม่ไหวมันก็ถึงจะยื่นจานข้าวมาให้ ได้ข้าวปุ๊บไอ้ผมนี่ก็ไม่รีรอเลยครับ ยัดซัดข้าวอย่างหิวโหยราวกับไม่ได้กินอะไรมาเป็นปีๆ
ทุกอย่างทำเหมือนปกติทั้งที่ผมเองก็พอจะจำได้ลางๆว่าเจออะไรแปลกๆมา...
แล้ว...กูรอดมาได้ยังไงวะ
คิดแล้วก็ยังโมโห ชวนไปหาอะไรกินแล้วพาไปเจอเหตุการณ์เสี่ยงตาย มันน่าจะโดนถีบสักที... ช่วงนี้ควรไปทำบุญใช่มั้ยวะ เจอแต่อะไรบ้าๆบอๆก็ไม่รู้ รู้แค่ตอนนี้พลาดนิดเดียว...กูตาย
“ เออ ไอ้พี่นาท ” หลังจากหายตาลายหิวข้าว กระเดือกข้าวลงคอไปคำก่อนจะหันไปทางพี่นาทที่นั่งอยู่ตรงโซฟาข้างๆเป็นพนาที่หลับอยู่ “ ผมมาอยู่ที่นี่ได้ไง ”
แรงเริ่มกลับมา
ขอตั้งโต๊ะซักสอบปากคำจำเลยเลยดีกว่า...
“ ไม่จำเป็นต้องรู้หรอก ” มันว่ายิ้มๆราวกับไม่ใช่เรื่องน่าสนใจสักเท่าไหร่ พอหาหน้ามืดหิวข้าวก็เห็นแผลตามตัวของไอ้พี่นาท... “ รอดมาได้ก็ดีแล้ว ”
“ แล้วทำไมผมถึงสลบไปล่ะ ” เกาหัวตัวเองอย่างไม่เข้าใจ... “ แล้วรอดมาได้ยังไง ตอนก่อนผมจะสลบ จำได้ว่าไอ้คนที่ชื่อนาซิสส์อะไรนั่นมันมองผมอย่างหวาดๆ ”
มันหุบยิ้มพลัน
ผมมองหน้ามันรอคำตอบ...
โดยที่ปากยังไม่หยุดเคี้ยวข้าว
จะว่าไปก็อร่อยดีว่ะ
บางทีชลธีก็คิด...
คิดว่าควรเลิกเห็นของกินเป็นที่หนึ่งสักที...
“ ว่าไง ” เร่ง เล่าสักทีดิวะ
“ ก็ไม่มีอะไร ชลแค่ตกใจที่เห็นเลือดมั้ง ” มันคลี่ยิ้มล้อเลียนหมายจะให้ผมอายแต่เกือบจะอายล่ะ ถ้าตาของไอ้พี่มันดูจะไม่ได้เล่นๆสักเท่าไหร่ แถมมันยังเลี่ยงประโยคคำถามอันที่สองของผมอีก
มันน่าสงสัยนะ...ว่ามั้ย
“ ไม่เล่นดิ ” วางช้อนลงเหมือนไม่อยากจะกินต่อแล้ว เปล่า ไม่ใช่ มันหมดแล้วว่ะ “ ผมไม่ได้กลัวเลือดนะพี่ ”
เหมือนมันจะชะงักไปเล็กน้อยเบิกตานิดๆเหมือนจะนึกออก เออ แล้วก็มีเรื่องที่ผมสงสัยอีกอย่าง ทำไมไอ้พี่นาทมันถึงรู้แทบจะทุกอย่างเลยว่ะ ว่าผมชอบอะไร ไม่ชอบอะไร จริงๆผมก็ไม่เคยเล่าโฆษณาทั่วหล้านะว่าชอบอะไร ยิ่งกับไอ้พี่นาทที่กวนตีนผมมาตั้งแต่เข้าปีหนึ่งด้วยแล้ว ผมไม่มีทางเล่าให้มันฟังแน่ๆ!
“ ก็คงไม่ได้กินอะไรเลยเป็นลมมากกว่า ” เคยเห็นมังกรตายมั้ยครับ เดี๋ยวพ่อจับฆ่าเลย... ผมปั้นหน้านิ่งทำทีเย็นชาใส่หวังให้มันยอมเล่าอะไรออกมาบ้าง
แต่...
“ อยากไปดูเด็กสองคนนั้นมั้ย ”
เวร เปลี่ยนเรื่องอีก!
พอจะอ้าปากวกกลับเรื่องเดิม ไอ้เด็กมังกรน้อยก็ตื่นพอดี... ลุกนั่งงัวเงียจ้องมาทางผมทีพี่นาททีด้วยตาใสแป๋ว นั่งตวัดหางไปมา...
“ หาว... พนาหิว” หาววอดพลางทำตาปริบๆอ้อนๆไปทางพ่อของมัน ถ้ามันเป็นลูกผมนะ จะไม่แปลกใจเลยที่ตื่นมาแล้วก็แดก แต่นี่ไม่ใช่ไง...
แต่มึงตื่นมาผิดเวลาไปมั้ยยยยย
“ ปะ ไปหาอะไรกินกัน ” ไอ้พี่นาทก็เนียนจริงคว้าตัวลูกมาอุ้มลุกขึ้นเตรียมออกจากห้อง นี่มันชิ่งชัดๆ!
ไม่วายหันมาหาผม...
“ ชลอยากกินขนมหวานมั้ย ”
เอาขนมมาล่ออีก... คิดว่าจะหลงกลลืมเรื่องเมื่อไม่กี่ชั่วโมงงั้นเหรอ...
“ เห็นว่าเดือนพรายทำไว้หลายอย่างเหมือนกัน อร่อยทั้งนั้นเลยใช่มั้ยพนา ” หันไปส่งซิกให้เด็ก ไอ้เด็กก็กตัญญูเหลือคณาพยักหน้าหงึกๆ
“ ไปเร็วๆ เดี๋ยวพนาแย่งกินหมดนะ ” กวักมือเรียกผมหย็อยๆ
ผมจิ๊ปากอยากขัดใจ “ พี่นาท พี่ตอบผมมาก่อน... ”
ไม่... รอบนี้เราจะไม่ให้ของกินมาชักจูง
“ วันนี้รู้สึกจะมีชูครีมด้วยนะ ”
ชะงักปากเบิกตานิดๆ เมื่อกี้มันว่าอะไรชูๆนะ
แต่...ไม่! ตั้งสติครับชล
ยังไม่ละความพยายาม “ คนที่ชื่อนาซิสส์ เขาเป็น... ”
“ ชูครีมมมมม เลยนะ ” มันลากเสียงยาวอย่างหลอกล่อ...
สติชล...สติ๊!
“ ทำไมเขาต้องมาทำร้ายพวกเราด้วย... ”
ไอ้พี่นาทยังคงไม่ละความพยายามเหมือนกัน “ เนื้อนุ่มๆ กัดทีนี่ อื้ม อร่อยแบบ...สุดๆ ”
“ ... ” กลืนน้ำลายและคิดภาพตาม
“ครีมหวานๆ หอมๆ แทบละลายในปาก ”
เอื๊อก...
หอม... นุ่ม...
" ถ้าไม่ได้กินสักชิ้น คงเสียดายแย่เลย "
โอเค... รอบนี้มึงชนะ ไอ้พี่นาท...
“ เออ! ยอมแล้วๆ ไม่ถามแล้วเว้ย ” แหวใส่อย่างหัวเสีย “ แม่งเล่นยั่วน้ำลายหกขนาดนี้ ใครมันจะทนวะ ”
ไอ้พี่นาททำหน้างงๆ “ พี่ยังไม่ได้ยั่วเลย ถ้ายั่วจริง ชลก็อ้าปากค้างไปนานแล้ว ”
“ หมายถึงของกินเว้ย! ” ว่าไปหน้าก็เริ่มร้อน ก็ดูสายตามันดิ! วาวเป็นประกายเลย
“ อ้าวเหรอ นึกว่าพี่ซะอีก ”
หลงตัวเอง!!
ปล่อยมันเพ้อไปครับ ถ้าผมไม่ต่อเดี๋ยวมันก็หยุดเอง พอเห็นผมเริ่มเบื่อหน่ายมันก็รีบลากไปหาขนมทันที...
ผมส่ายหน้าเบาๆแอบเอือมระอากับตัวเองนิดๆ เขาเอาอะไรมาให้กินเรามันก็ไขว้เขว้ตลอด แต่...คิดเหรอว่าเรื่องนี้ผมจะรามือง่ายๆ
ไม่มีทาง!!
คนอย่างชลธี อยากรู้ก็ต้องรู้!
อยากเสือกก็ต้องได้เสือก!
ส่วนตอนนี้ ขอกินชูครีมที่รักก่อนนะ
ของกินที่หนึ่ง
TBC.
เย้ มาอีกหนึ่ง แหะๆ ชลก็ยังไม่ทิ้งลายเช่นเดิม 5555555
-
เอ เกิดอะไรขึ้นอะ
-
พนามานิดเดียวเองอ่ะ งุย
-
ทำไม เกิดอะไรขึ้นถึงรอดมาได้ :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
พนาาาา เราคิดถึงเธอออ
-
ทุกคนดูชอบน้องพนา ดีใจที่ชอบค่ะ
รักน้องพนาอย่าลืมคอมเม้นติชม
รักหนูชล อย่าลืมบวกเป็ด 555555
ขอบคุณทุกคนที่ชอบนะคะ ต่อไปจะเริ่มเข้มข้นตะลุยโลกกว้างงงงงง ฮาาา
:pig4:
-
อยากรู้มากกว่าเดิมอีกกก เกิดอะไรขึ้นอ่าาาา :ling1: อยากรู้ๆ มาต่อไวๆน่าาา :pig4:
-
พนามานิดเดียวเองง่าาาา ให้น้องมาเยอะๆ #หลงเด็ก 555555 :-[
-
เกิดอะไรขึ้น แล้วตอนเกริ่นๆหมายความว่ายังไง ชลธารคุยกับนาซิสส์เหรอ
หรืออะไรยังไง งง ชลธีระเบิดพลังออกมาเหรอ โอ้ยปวดหมองรอคนแต่งมาเฉลยครับ
-
อาถรรพ์พงไพร ๙
ภัยร้ายเริ่มคืบคลาน
ความมืดแลความกลัว
จักกลืนกินทุกผืนที่
แสงสว่างจากดับไหม้เริ่มลุกโชน
กล่าวขานมาเนิ่นนาน
...จ้าวพงไพร...
อีกไม่นาน...จะกลับมา
“ ยังไม่ตายอีกเหรอ ”
ทันทีที่เท้าเดินเข้ามาเหยียบห้องทานอาหารเสียงปากแมวๆจากคนโหดก็ดังขึ้น ผมมองเห็นสกายที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผลกำลังนั่งทำอะไรบางอย่างบนโต๊ะที่มีแต่ของแปลกๆ ที่รู้อย่างหนึ่งคือแผนที่เก่าโบร่ำโบราณ ถามว่ารู้ได้ไง ก็ดูสิมันเป็นแผนที่ที่ทำมาจากหนังสัตว์ที่เริ่มขาดๆไปแล้ว
พวกนี้นอกจากประหลาดแล้ว ยังจะโบราณอีก
“ ไม่ตายง่ายๆหรอกน่า ห่วงผมเหรอ ” ถึงจะไม่ได้สนิทชิดเชื้อมาก แต่เจอสถานการณ์เสี่ยงตายมาด้วยกันแบบนี้คงต้องสนิทกันแล้วล่ะ
มันตวัดตาข้างเดียวที่เหลืออยู่ขึ้นมามองแล้วเหยียดยิ้ม “ เปล่า ถ้าตายจะได้กิน ไม่ได้กินเนื้อมนุษย์มานานแล้ว ”เฮียแกเลียปากเพิ่มมาอีก...
สยอง!
โอเค ชลธีคนนี้จะจำไว้เลยว่าเล่นไม่ได้เลยกับขาโหดคนนี้... ผมอ้าปากจะต่อเถียงอีกรอบแต่พนาที่ไอ้พี่นาทปล่อยให้เดินเองมันกระตุกขากางเกงผมยิกๆ ให้ไปนั่งที่โต๊ะ ซึ่งก็คือไอ้โต๊ะที่สกายครองนั้นแหละ ผมเลยได้แต่จิ๊เสียงในคออย่างเซ็งๆแล้วอุ้มเจ้าพนาเด็กตัวน้อยขึ้นมาแล้วเดินไปนั่งมองดูว่าสกายกำลังทำอะไร (เสือกนั่นเอง)
“ ทานขนมก่อน ” เสียงไอ้พี่มังกรว่ามาพร้อมชูครีมหอมๆหลายสิบหลายร้อยชิ้นในถาดใหญ่แถมยังร้อนอยู่เลย ผมตาวาวขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเริ่มลงมือทาน...
แน่นอน...ต้องไม่ลืมไอ้เด็กมีหางด้วย
ป้อนมันพลางยัดให้ตัวเองไปด้วย...
“ ระบุจุดได้มั้ย ” ไอ้พี่นาทหันไปถามสกายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ ทิศไหนพอระบุได้รึเปล่า นิดเดียวก็ยังดี ”
สกายถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะวาดมือผ่านแผนที่ให้มันเกิดภาพขึ้น ผมที่นั่งกินชูครีมเงียบๆก็ต้องผงะตกใจนิดๆ กับภาพป่าใหญ่ภูเขารายล้อมในขนาดภาพจำลองสามมิติ มันใหญ่มากขนาดเป็นเพียงแค่ภาพจำลอง ถ้าเป็นของจริง มันจะใหญ่ขนาดไหนฟะ
“ จุดนี้ทางตะวันตก ” มือที่มีแต่ผ้าพันแผลของสกายชี้ไปที่จุดโล่งๆเหมือนทางเข้าป่า “ น่าจะเบาบางที่สุด ”
“ มีคนไปดูรึยัง ”
“ ยัง ” เงียบไปเล็กน้อย “ แต่ฉันว่าฉันจะลงไปดูเอง เขียนทับเวทย์ลงไป ”
มันพูดภาษาอะไรกันวะเนี่ย
ชลไม่เข้าจายยยยยยยยย
พี่นาทพยักหน้าเล็กน้อย “ จะให้คนไปดู ส่วนอีกสามทิศที่เหลือก็คงปล่อยไม่ได้ ต้องไปตรวจสอบ ”
“ พวกพี่...กำลังทำอะไรกัน ”
อดไม่ได้ที่จะถาม แม่งอยู่กับพวกคนความลับเยอะนี่เบื่อนะ ถามใครใครก็เลี่ยง ใครก็เบี่ยงไม่ตอบ
“ เล่าเรื่องป่าไปคงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง มันไม่เกี่ยวกับเรื่องของหมอนั่น ” สกายถอดหายใจเฮือกใหญ่ราวกับเบื่อเหมือนกันที่พูดมาไม่ได้ “ ได้ใช่มั้ย ท่านผู้เฒ่า ”
สกายหันไปทางก้านหลังที่ว่างเปล่า... เลิกคิ้วนิดๆ... มันคุยกับใครวะ...
“ ... ” พี่นาทเองก็เงียบแต่ก็มองไปที่จุดเดียวกับที่สกายมองอยู่ ไอ้ผมเหรอก็มองไปกินไป มันอร่อยจริงๆนะ พนายังไม่หยุดกิน แล้วผมจะหยุดทำไม
“ ข้ารู้ว่าท่านอยู่ตรงนั้น ” เสียงหน่ายว่าก่อนจะหันกลับมา
ไม่กี่นาทีต่อมาร่างของใครบางคนที่ผมรู้จักก็เดินออกมาจาก...
กำแพง!!
ว้อททททททททททท
นี่มันอะไรวะเนี่ย ผีเหรอ!
ดูดิ ตกใจมากไป ชูครีมตกเลย
แต่ที่ตกใจมันไม่ใช่แค่เดินทะลุกำแพงได้ แต่มันเป็นคนต่างหาก แถมนั่นยังเป็น...อาจารย์ศักดิ์ชัย อาจารย์ในคลาสเรียนของผมเนี่ยนะ!
“ สวัสดี นักศึกษาชลธี ” มันใช่เวลามาทักทายมั้ย
ผมต้องการคำอธิบาย!!
วางชูครีมลงก่อนจะยกมือไหว้ “ สวัสดีครับ อะ... อาจารย์ ” อยากจะถามต่อใจจะขาด อาจารย์เป็นตัวเหวอะไรอีกครับ
“ มีเรื่องสงสัยอยู่มากมายสิเรา ” ว่ายิ้มๆซึ่งมันตรงกับใจผมมาก ไม่รีรอจะพยักหน้ารับไป
ไอ้เด็กบนตักผมก็ลุกพรวดยืนบนตัดผมจนหางมันกระแทกคางผมเต็มๆ ไอ้เด็กเวร!
“ ท่านปู่ พนาคิดถึง! ” ร้องลั่นอย่างยิ้มแย้มก่อนจะขยับตัวเล็กน้อยให้ปีกเล็กๆงอกมาจากหลังและมันก็กระแทกเบ้าตาทั้งสองของผมเต็มๆ มึงเกลียดกูก็อย่ามาทำร้ายกันแบบนี้สิเว้ย เจ็บ!
มันงอกปีกออกมาได้ก็บินเลย บินไปหาอาจารย์แก่อย่างรวดเร็ว คนแก่หัวเราะอย่างเอ็นดูก่อนจะอุ้มเด็กเดินมานั่งตรงข้ามผม
นั่งกุมหน้าอย่างเจ็บๆ
ไอ้เด็กเวร... เดี๋ยวพ่อจับทำมังกรลวกจิ้มหรอก!
“ เจ้าพวกนี้คงไม่ได้พูดอะไรเลยสินะ ” ถามอย่างสบายๆ ตัวประกอบฉากอย่างสกายกับพี่นาทก็มองหน้ากันแล้วนั่งลงเงียบๆ มันคงคิดว่าดีกว่าล่ะมั้งที่ให้ผู้ใหญ่พูด...
“ ครับ ” กูก็ไม่รู้จะตอบรับอะไรนี่หว่า ได้แต่เก็บความตะลึงไว้ลึกๆ
ส่ายหน้าเล็กน้อย “ อย่าไปโกรธพวกนี้เลย อาจารย์สั่งเองว่าห้ามพูดอะไรก่อนจะถึงเวลา ”
“ แต่การไม่ให้ผมรู้อะไรเลย มันอึดอัดนะครับ แล้วบางครั้งมันก็พาให้ผมเสี่ยงตาย แล้วกลับไม่ให้ผมรู้อะไรเลยเนี่ยนะครับ ” ขึ้นสิงานนี้ กูน้อยใจ! เพราะกูไม่รู้อะไรเลย
ไม่กงไม่กินมันแล้วขนมเนี่ย!
“ ...อึดอัดก็ระบายมาเถอะ อาจารย์จะรับฟัง ” พูดเสียงเรียบ “ แล้วเดี๋ยวจะเล่าอะไรให้ฟัง ”
หูตั้งเลยสิครับ... จริงๆแค่ระบายไปอย่างเดียวก็ได้ ไม่ต้องเล่าอะไรหรอกกก ไม่ได้อยากรู้สักนิดเลยยยย
ผมระบายลมหายใจเล็กน้อยเหล่ไปทางไอ้พี่นาทที่แม่งต่อให้ผมกราบตีนมันมันก็ยังไม่ปริปาก “ คือ...ผมไม่เข้าใจหลายๆอย่าง ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยเจออะไรแบบนี้ แล้วอยู่ดีๆก็เจอมัน... เจอพี่นาท เจอมังกร เจอตัวประหลาด แล้วไหนจะเจอพวกนาซิสส์อะไรนั่นอีก ”
ทุกคนเงียบและปล่อยให้ผมพูดออกมา... ซึ่งมันก็ดี เพราะแม่ง อึดอัดมาหลายครั้งแล้ว!
“ มีหลายครั้งที่ผมคิดว่ามันต้องมีอะไรเกี่ยวกับตัวผม เพราะพี่นาทเอาผมมาเอี่ยวแบบนี้ ” มองหน้าคนที่ถูกกล่าวถึงนิ่งๆ “ แล้วพอเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่มีใครพูด ใครอธิบายให้ผมฟังเลย แล้วยังบอกว่าผมไม่เกี่ยวอีก ”
หายซ่าเลยสิไอ้พี่นาท นั่งซึมเป็นหมาถูกทิ้งเลยอ่ะดิหลังจากที่ผมพูดออกไป กูรอให้มึงรู้สึกมานานแหละ เสือกไม่รู้ห่าอะไรเลยยยย ชลจะบ้า
“ พอถามมากๆก็จะบอกว่ายังไม่ถึงเวลา ให้ผมรอ ให้ผมเชื่อใจ ” รู้สึกเจ็บแปลบในอกขึ้นมาเฉยๆ “ ตอนนี้ผมก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วเหมือนกันว่าผมจะยังเชื่อใจมันได้รึเปล่า ”
“ เชื่อได้สิ! ” ไอ้พี่นาทโพล่งขึ้นมาทันควัน “ พี่ไม่เคยโกหกอะไรชล
“ แต่พี่ปิดบังผม! ”
“ ก็เพื่อปกป้องเราต่างหากเล่า!!”
ผมชะงักอารมณ์ที่กำลังจะปะทุเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มันเถียง แถมหน้ามันยังขึงขังจนหน้ากลัวอีก เหมือนจะได้สติก็นิ่งไปแล้วนั่งเงียบต่อ...
ผมมองมันต่อราวกับจะให้มันอธิบายกับคำพูดเมื่อครู่...
มันหมายความว่ายังไง...
“ อย่าไปโกรธเลย ” เสียงยานคางว่าอย่างจริงจัง “ อย่างที่กัมปนาทพูด... เพื่อปกป้องเรานั่นแหละ ชลธี ”
“ ปกป้องผม? ยังไง? ” สงสัยมากถึงมากที่สุด ไอ้การที่เรารู้ก่อนนี่มันจะตายได้รึไง...
ดวงตาฝ้าฟางมองผมยิ้มๆ “ มันเป็นเรื่องที่อธิบายได้ยาก... เราอยากจะฟังหรือ ”
โห... โคตรพร้อมเลยจารย์
พร้อมมาตั้งแต่บ้านแหละ
มั่นใจยิ่งกว่าสอบไฟนอลอีก ว่าอยากฟัง
“ อยาก... ”
เสียงมังกรขัดอีกแหละ “ แต่กฎมันห้าม... ”
“ กฎมันแค่อย่าให้รู้เรื่องราวของชลธาร แต่ไม่ได้รวมถึงเรื่องของป่าหรือจะเป็นเรื่องของตัวเขาในตอนนี้ ” เสียงแก่ตีจริงจังพลางลูบหัวเด็กมีหางที่เพิ่มเติมคือมีปีก “ สิ่งที่เราต้องทำคืออย่าให้รู้ถึงตัวตนในอดีต หากรู้ก่อนที่วิญญาณจะรวมกันมันจะเกิดการบิดเบือน ตอนนี้มีสองวิญญาณยังทำได้เพราะมีแค่ดวงจิตยังคงดวงเดียว แต่ถ้าสร้างตัวตนขึ้นมาใหม่จะกลายเป็นสองดวงจิตสามวิญญาณและจะไม่สามารถหลอมรวมได้...และจะตายในที่สุด ”
เอื๊อก...
ผมฟังไปก็แอบลอบกลืนน้ำลายไป อะไรมันจะโหดร้ายขนาดนั้น ถ้าโหดร้ายมาก ผมไม่ฟังก็ได้...
“ ชลธารในตอนนี้ ไม่มีใครรู้ว่าเป็นยังไง อยู่ที่ไหน รู้แค่เป็นเพียงวิญญาณ ”
“ ... ” นั่งกัดปากฟังเงียบๆอย่างระทึกใจ
“ รับปากกับอาจารย์ ว่าเราจะไม่สืบเรื่องราวของชลธารต่อ หากรับปาก จะเล่าทุกเรื่องให้ฟัง ” หันสายตามาทางผมราวกับบีบบังคับอยู่นิดๆ ว่าอย่าได้ขุดคุ้ยเรื่องของชลธาร
ตอนแรกก็อยากรู้นะ
แต่ตอนนี้จะเป็นใครก็ช่างเถอะ
ขี้เกียจจะรู้แล้ว
ขอรู้เรื่องตัวเองก็พอ...
“ ครับ ผมจะไม่ยุ่งเรื่องของชลธาร ” ผมรับปาก และแน่นอนว่าผมจะไม่ยุ่งจริงๆ ผมแค่อยากรู้เรื่องของผมเท่านั้น
“ ดีมาก ” เอ่ยชมราวกับผมเป็นเด็กแบบพนา ก่อนพาไปเรื่องอื่น “ เราเองคงรู้ตัวบ้างถึงความสามารถแปลกๆในบางครั้งของตัวเอง ถูกมั้ย ”
ชายแก่ว่าอย่างไม่ได้ตกใจนักแถมดูเหมือนจะรู้ดีซะด้วย...
“ ถ้าแปลกๆคงเป็นเรื่องของสภาพอากาศครับ ”อันนี้แปลกจริง... สงสัยมานานแล้วเหมือนกัน “ มันมีอะไรรึเปล่าครับ ”
“ นั่นเป็นหนึ่งในความสามารถของพวกเทพปกครองที่ต้องมี ” ยกถ้วยชาที่สกายเอามาเสิร์ฟขึ้นจิบแก้กระหาย แต่เมื่อกี้ว่าอะไรเทพๆนะ!
“ เทพ? ” ทวนด้วยความเหลือเชื่อ
“ เรื่องนั้นยังไม่ต้องรีบร้อน แต่เสียงที่ต้องรู้คือสิ่งนี้ต่างหาก ”จิ้มลงบริเวณหัวไหล่ที่มีปานประหลาดอยู่ “ ตรงนี้ คือ คำสาป.... ”
“ หา ” ผมร้องครางอย่างไม่เข้าใจนัก
“ เมื่ออายุครบยี่สิบ... คำสาปถึงจะคลายออก รูปร่างของปานจะเป็นรูปใบไม้สามใบสีเขียว ” ยกยิ้มน่าขนลุก “ แต่ตอนนี้เป็นสีน้ำเงิน ใช่มั้ย ”
รู้ได้ไง! “ ครับ ”
“ อีกกี่เดือนจะครบอายุยี่สิบหรือ ” ขมวดคิ้วถาม...
“ ตอนนี้อีก 5 เดือนครับ ” มันเกี่ยวอะไรหว่า แล้วคำสาปอะไรฟะ... เริ่มมึนงงระดับแอดวานซ์
“ ตอนนี้...เจ้าเป็นเพียงแค่ครึ่งหนึ่ง ยังต้องมีอีกครึ่งมาเติมเต็ม ร่างกายที่ดีที่สุดสำหรับรองรับพลังคืออายุยี่สิบปี ” ขยับยิ้มกว้างกว่าเดิม “ แล้วเวลานั้น...เราต้องมาทำพิธีชำระเลือดก่อนจะรอให้อีกครึ่งหนึ่งของชลเข้ามาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับชลธาร ”
“ ผมไม่เข้าใจ... ” รู้สึกขนลุกแปลกๆ แต่เมื่อกี้หมายความว่ายังไงนะ... ผมกับชลธาร
“ โง่ไง ถึงไม่เข้าใจ ” สกายแสยะยิ้มสวนขึ้นมาทันที
ผมตาโตเล็กน้อยอย่างคับแค้นพยายามไม่สนใจเสียงกา “ แล้วครึ่งหนึ่งคืออะไร ”
“ ท่านผู้เฒ่า คุยกับคนโง่ไปมันแต่เสียเวลา ” อยากกินเสือร้องไห้พอดีเลยว่ะ... เมนูเย็นนี้ชัดๆ มันหันมายักคิ้วใส่ผม “ ครึ่งหนึ่งคือวิญญาณ อีกครึ่งคือร่างกาย หายโง่สักที ”
มันกำลังจะบอกว่า... ผมกับชลธารมีความเกี่ยวข้องกันงั้นเหรอ... เข้าใจให้ง่ายที่สุด คือเหมือนเป็นคนคนเดียวกันแต่กลับชาติมาเกิดอะไรงี้ปะ ส่วนหนึ่งของกันและกัน เอ๊ะ หรือจะแฝดที่พลัดพราก เอ๊ะ หรือไม่ใช่
แต่ตอนนี้ไมเกรนจะขึ้นแล้วเว้ย
กูไม่ใช่โคนันนะ จะได้คิดตามควานหาจิ๊กซอว์ที่ขาดหายของเรื่องได้ไว
“ แล้วก่อนที่จะอายุครบกำหนดพิธีฟื้นวิญญาณ เราก็ต้องทำจิตใจให้ว่างพอรองรับการเติมเต็ม ”
เดี๋ยวๆ ตามไม่ทันแล้วเว้ย
เมื่อกี้พิธีชำระเลือด แล้วมาพิธีฟื้นวิญญาณ
แล้วไอ้ครึ่งหนึ่งเนี่ย... ผมเป็นครึ่งไหน
ร่างกาย หรือ วิญญาณ
ทำพิธีเวรๆอะไรแล้ว... ผมจะตายมั้ย
แล้วถ้าผมไม่ทำล่ะ...
“ แล้วถ้าผมไม่ทำล่ะ ” ทีนี้แหละสายตาแทบจะทิ่มทะลุทั้งพี่นาททั้งสกายแล้วไหนจะอาจารย์อีกเพ่งเขม็งประมาณว่า แกไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ...
“ ถ้าไม่ยอม เราคงต้องใช้วิธีที่รุนแรง ” ว่าสบายโดยไอ้พี่สกาย “ ยอมเถอะ ยังไงแล้ว...นายก็ต้องทำแล้วอีกอย่างนายก็ไม่ใช่คนของโลกนี้ ”
พี่นาทพยักหน้าลงอย่างเห็นพร้อม... เออ เอาเข้าไป นี่กูเป็นตัวประหลาดไปกับพวกพี่มันแล้วใช่มั้ย...
“ แต่ถ้าไม่ทำก็... ” อาจารย์ศักดิ์ชัยลูบคางที่มีแต่หนวดเครา “ ตาย ”
อ้าวเฮ้ย...
ไอ้สอดเรื่องชลธารก็ตาย
ไอ้ไม่ทำพิธีก็ตาย
คือ...ยังไงแล้ว ผมก็ต้องทำตามที่พวกเขาประสงค์ถูกมั้ย
จู่ๆทำไมมันเจ็บอย่างงี้วะ ทำไมมันรู้สึกเหมือนเป็นเครื่องมือให้เขามาใช้เล่น อารมณ์เหมือนใช้ร่างกายผมรองรับวิญญาณใครก็ไม่รู้ หรือ จะเอาวิญญาณผมไปใส่ร่างใครยังไงยังงั้น อันนี้คิดในแบบง่ายๆนตามแบบฉบับคนฉลาด
เขาเอาแต่พูดถึงชลธาร ซึ่งแม่งเป็นใครก็ไม่รู้ เหมือนจะให้ผมไปรวมร่างกับเขายังไงไม่รู้ แต่ฟังๆดูแล้ว เหมือนพวกเขาพยายามจะบอกว่าชลธารเนี่ยกำลังอยู่ในสภาพที่ลำบาก ต้องช่วยเหลือ โดยมีผมที่ต้องช่วย ผมกับชลธารมันมีอะไรเกี่ยวข้องกันแน่วะ! งง!
ถ้าตัวผมในตอนนี้มันคือชลธารที่กลับชาติมาเกิด (เรียกแบบเข้าใจง่ายที่สุด) ผมจะไม่รู้สึกแย่เลยเว้ย ตอนนั้นก็ตะล่อมๆถามไอ้พี่นาทดูว่าผมใช่คนที่มันว่าถึงมั้ย แล้วมันก็ว่าไม่ใช่ ตอนนั้นผมคิดว่าแม่งมันแค่เบี่ยงประเด็นเฉยๆ แต่ถ้าแม่งไม่ใช่ขึ้นมาจริงๆ แหละ นี่ใจแป่วมานะ
...แล้วผมเป็นตัวอะไร
เฮ้อ... ชักไม่อยากกินข้าวเย็นแล้วสิ
รู้สึกแย่เป็นบ้าเลยว่ะ
คิดมากมายก็เครียดงี้แหละ
แต่ยังไงก็ขอถามหน่อยเถอะ
จะได้เคลียร์ๆไป!
ถ้ามันตรงและใช่อย่างที่ผมคิด จะเลิกกังวลเลย!
“ ผมสงสัยอย่างหนึ่ง ” เงยหน้าสบตากับคนชรา เขาพยักหน้าเป็นเชิงให้ถาม “ ผม... คือชลธาร ใช่มั้ย ”
เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ของทุกคนดังขึ้น... ประมาณว่า... เออ! กว่าจะเข้าใจ ปัดโธ่...ก็ดูดิพูดกันมาตั้งแต่ต้นเนี่ย ไอ้ผมมันต้องวิเคราะห์ขนาดไหนกว่าจะได้
เป็นคำตอบที่ชวนกรี๊ดมากเว้ยเฮ้ย
รู้สึกดีใจและภูมิใจสุดๆกับการไขปริศนาได้เอง
แถมรู้สึกโล่งใจขึ้นอีกหน่อยที่ทำให้ตัวเองดูมีความสำคัญขึ้น จากที่เป็นแค่นายชลธีที่วันๆแม่งมีดีแค่กิน ตอนนี้มาเป็นชลธารที่น่าจะกลับชาติมาเกิด(คิดเองเข้าใจเอง) ให้เดา... ชลธารเนี่ยจะต้องเป็นคนที่สำคัญมากๆชัวร์...
อืม... มันคือการหลอกตัวเองให้ดีใจ...
ใช่
ในอดีต ผมอาจจะเป็น ชลธารอะไรนั่น
แต่ตอนนี้ผมเป็นชลธีว่ะ...
นี่กูกำลังน้อยใจตัวเองในอดีตเหรอ
จะประสาท!
“ ถ้าให้พูดตามนั้น มันก็ได้อยู่... แต่เราในตอนนี้ยังไม่สมบูรณ์ดี ” อาจารย์ศักดิ์ชัยว่าต่อ “ เราก็เลิกสงสัยได้แล้ว เลิกคิดกังวลได้แล้ว ไม่ว่าจะชลธารหรือชลธี ”
“ ... ” นี่มีเวทย์อ่านใจคนเปล่าลุง
“ ล้วนเป็นคนสำคัญของพวกเรา ”
รู้สึกหัวใจพองโตขึ้นมาซะงั้น...
ผมถามต่ออย่างลืมตัว “ แล้วผมในอดีตเป็นยังไง แล้วทำไม... ”
มือเหี่ยวย่นถูกยกขึ้นอย่างไว... “ บอกแล้วไง ห้ามถามเกี่ยวกับชลธาร ”
อึก... สายตาช่างน่ากลัว...
ถามเรื่องชลธารที่ไหน
เรื่องตัวเองในอดีตต่างหาก!
แต่มันก็คือเรื่องเดียวกันเปล่าวะ
“ รู้แค่ว่าตัวเองคือชลธาร แต่ยังไม่สมบูรณ์ดีก็พอแล้ว ” สกายมันยังคงไม่เลิกจิกกัด “ ถามมากระวังจะตายตั้งแต่ยังไม่ถึงยี่สิบ ”
“ ขอให้เด็กไม่รัก ” แลบลิ้นใส่แม่ง เอาดิ ไม่กลัวเว้ย
ตอนนี้ชลสบายใจล่ะครับ ถือว่าการเสือกสำเร็จแม้จะนานมาเป็นอาทิตย์ที่โง่อยู่ก็ตาม ผมพอจะคิดหาเรื่องหาทางออกให้ตัวเองได้แหละ รู้ตัวเองเป็นใครก็พอแหละ ส่วนเขาในอดีตจะเป็นยังไง รออีกห้าเดือนก็ได้วะ ยังไงก็ต้องรวมวิญญาณเข้ากับตัวเองในอดีตอยู่แล้ว ตอนนั้นค่อยถามก็ได้ ยังไม่สายสำหรับการเสือก...
ได้รู้มาขนาดนี้ ไอ้ชลก็ตายตาหลับแล้ว
“ พูดบ้าอะไร! ” แทบจะตะโกนใส่หน้า พูดเรื่องจริง อย่ามาเขินน่า
ผมยักคิ้วใส่ “ เปล่า ร้อนตัวทำไม ”
“ พอเสือกจนรู้ว่าอะไรยังไงแล้วนี่ กวนตีนเลยนะ ” สกายกัดฟันกรอด ถ้าไม่มีไอ้พี่นาทนี่ ผมคงโดนเสือขย้ำไปนานแล้ว มีไอ้พี่นาทอยู่ ชลจะไม่กลัว ถ้าไม่มีมัน ...ผมจะสงบปากสงบคำครับ
คนแก่หัวเราะเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นแล้วเด็กพนาก็บินออกจากตัวมานั่งลงที่ตักผมตามเดิม “ ไม่มีอะไรแล้ว อาจารย์ก็ขอตัวนะชล มีสอนภาคค่ำ ” ยักคิ้วให้ผมเล็กน้อย
“ อ้อ ครับ ”
ไม่ลืมที่จะกำชับ “ พวกคุณก็ดูแลชลธีให้ดี อย่าให้เป็นอะไรไปก่อนอายุจะครบยี่สิบนะ ”
จะว่าไป... เหมือนลืมอะไรสักอย่าง...
เออใช่!
“ อาจารย์... ” หายไปแล้ว...
ไอ้ชลลลล ลืมถามได้ไงวะ!
ก็ถามว่า... อาจารย์เป็นตัวอะไรยังไงเล่า!
บ๊ะ! รอไปเจอที่มอแล้วถามก็ได้เว้ย
ผมยักไหล่อย่างชิลๆก่อนจะหยิบชูครีมมากินต่อด้วยความสบายใจสุดๆ แม้จะยังงงๆกับตัวเองอยู่นิดๆ จะว่าบังเอิญก็ไม่ใช่ เพราะไอ้พี่นาทมันเข้ามาวุ่นวายแต่แรกเลย แต่พวกเขาเอาอะไรมามั่นใจว่าตัวผมเนี่ยจะเป็นชลธารจริงๆ
แต่พูดเรื่องปานนี่... ผมมีนี่หว่า
เออ เลิกคิด แดก!
อารมณ์ดีแล้วต้องกิน กิน และกิน
“ เออ เดี๋ยวเล่าเรื่องป่าอาถรรพ์ไปก่อนแล้วกัน ” พี่นาทเลื่อนเก้าอี้ออกแล้วลุกขึ้นอ้อมมาเล่นหัวผมกับลูกมันเล็กน้อย “ คืนนี้นอนที่นี่ไปก่อนนะ พี่ไม่มีแรงไปส่งแล้วจริงๆ ”
เออ กูเชื่อ
ดูจากสารร่างที่มีแต่ผ้าพันแผล
ผมพยักหน้าไปเพราะไม่อยากทำให้พวกเขาลำบากใจมากนัก แค่นี้ผมก็ดูเหมือนจะเป็นตัวปัญหาจะแย่แล้ว (เพิ่งรู้ตัว?)
“ แล้วทำไมต้องฉันวะ ” สกายยีหัวเท่ๆของตัวเองอย่างขัดใจก่อนจะวาดมือให้ภาพสามมิติของป่าให้ดูเล็กของอีกหน่อยเพื่อจะอธิบายให้ผมฟัง
เฮ้อ ต้องรอให้ตายๆไปก่อนมั้ยถึงจะอธิบายกันได้
คราวหน้าไว้สงสัยอยากเสือกอะไร รอให้เรื่องร้ายๆมาก่อน มันถึงจะอธิบายกัน...
“ ตั้งใจฟังล่ะ จะอธิบายเกี่ยวกับป่าให้ฟัง แต่อย่ามาหลอกถามเรื่องชลธาร เข้าใจ? ”
จิ๊! รู้ทัน!
พี่มันยักคิ้วให้ “ ว่าไง ”
“ เออครับ ไม่ถามครับ จะนั่งเงียบๆฟังอย่างเดียวครับ ”
ผมพรืดลมหายใจร้อนๆออกมาอย่างเซ็งแซ่ก่อนจะเริ่มหยิบชูครีมขึ้นกินต่อ แต่แขนเสื้อดันถูกเด็กเวรตะไลพนาน้อยกระตุกยิกๆ
“ หือ? ” ก้มหน้าลงไปหางงๆ
“ ป้อนหน่อย ” อ้าปากรอเลยทีเดียว “ เร็วๆ ” สั่งจริง!
มึงนี่มันมารขัดขวางการกินจริงๆ
แม่เอ็งเป็นใคร อย่าให้รู้นะ จะด่าเช็ดเลย!
“ ครับๆ ” ผมยิ้มให้เด็กอย่างเซ็งๆแล้วก็ป้อนขนมมันไปด้วยฟังเรื่องเล่าไปเรื่อย มันเล่าเกือบทุกอย่างมีถามผมเป็นพักๆก้วยว่าจำอะไรได้บ้างมั้ย คำเดียวเลย คือ ไม่ รู้สึกคิดถึงหรืออะไรยังไงโหยหามั้ย ก็ไม่... ไม่รู้สึกอะไรเลย มีหลายครั้งที่มันนิ่งทำหน้าเสียใจเป็นพักๆ ก่อนจะโหดตามเดิม พอถามมันกลับไปถามจำได้ขึ้นมาผมจะไม่ตายรึไง มันนี่แทบจะล้มเหมือนนึกได้
จำไอ้ครั้งแรกที่มาบ้านมันได้เลย สิ่งเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกได้คือไอ้ดอกไฮเดรนเยีย... ส่วนอื่นๆ ไม่รู้อะไรเลยไม่รู้หรอกนะว่ามันมีความหมายว่าอะไร แถมตอนนั้นไอ้พี่นาทก็มาดราม่าอีกทำไมจำไม่ได้นู้นนี่นั้น พอผมรู้สึกเหมือนคนผิดก็ขอโทษไป แล้วมันก็บอกผมไม่ผิด...
เออ ผมก็ไม่ผิดจริงนั้นแหละ
เพราะยังไงผมกับชลธารก็คนละโลกกันอยู่ดี
ลึกๆเขาก็คงอยากให้ผมจำได้ไวๆ แต่ก็ต้องยั้งปากไม่ให้พูดในหลายเรื่องเพื่อปกป้องผม
ส่วนผมก็ต้องปกป้องตัวเอง ด้วยการที่
เรื่องนี้ผมจะพยายามทำใจ นิ่งระงับต่อมเสือกตัวเองให้แล้วกัน...
ต่อโพสล่างๆ
-
(กัมปนาท)
สายตาคมมองไปยังโต๊ะอาหารที่มีสกายยืนอธิบายเกี่ยวกับเรื่องป่าอาถรรพ์อยู่ มันก็คงต้องระวังอย่างหนักไม่ให้เผลอพูดเรื่องของชลธาร ตอนแรกพวกเราก็กะจะไม่อธิบายอะไรอยู่แล้ว แต่เจ้าตัวเขาก่อนจะไปดันบอกให้อธิบายได้แต่อย่าฟื้นเรื่องราวความเป็นมาหรือประวัติของชลธารในอดีตเพราะมันจะส่งผลกระทบต่อพิธีฟื้นวิญญาณ
มีหลายครั้งที่ผมเกือบทำทุกอย่างพัง... ใช่ มีหลายครั้งที่ผมอยากให้เขาจำทุกอย่างได้ ชลเขาอึดอัดที่ไม่รู้อะไร ส่วนผมก็อึดอัดที่ทำอะไรต่อมิอะไรไม่ได้...
โธ่... พรากกันมาเป็นร้อยๆปีๆ
มันก็อยากจูบอยากกอดเมียให้หายคิดถึงบ้างนี่หว่า
แต่นี่ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง!
ชลในตอนนี้คือน่ารักอ่อนโยน ต่างจากชลธารตัวจริงแทบสิ้น รายนั้นเย็นยะเยือกและน่ากลัวเกินไป คนคนเดียวกันแต่คนละนิสัย... นี่รึเปล่าที่มนุษย์เขาว่ากัน...
กาลเวลาทำให้คนเปลี่ยน...
ถ้ารวมดวงจิตเข้าร่างได้อย่างสมบูรณ์แล้วคงจะดี ถ้าทำไม่ได้อีกฝ่ายก็ตาย... แค่คิดถึงตรงนี้ใจผมนี่หายวาบเลย
ยืนนิ่งมองดูอยู่นานจนเห็นว่าชลเริ่มจะนิ่งๆกินได้ปกติไม่ได้สงสัยอะไรหรือกังวลเกี่ยวกับเรื่องของนาซิสส์แล้ว ผมจึงหมุนเท้าเดินออกมาเพื่อกลับไปห้องนอนตัวเองเพื่อคิดอะไรบางอย่างและจัดการอะไรอีกหนึ่งอย่าง...
ห้องชั้นบนสุดของบ้านนั้นกว้างใหญ่เกินจำเป็นแต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร จริงๆแล้วห้องนี้ไม่ใช่ของผมด้วย เดินเข้าไปนอนเหยียดบนเตียงอย่างเหนื่อยปนปวดแผล ของีบสักแปป แล้วค่อยจัดการติดต่อหาไอ้เวรเธียร์
แค่หลับตาลงภาพเหตุการณ์ระทึกขวัญก็ปรากฏขึ้นช้าๆราวกับแผ่นหนังกรอกลับ...
.
.
.
ผมตกใจกับสิ่งที่เห็น... ร่างของยูจินกระเด็นไปกระแทกกับกำแพงร้านอย่างแรง ไอ้พรายมันก็รีบถลาไปหาเด็กของมันทันที... ผมที่ทำอะไรไม่ได้เพราะบาดแผลใหญ่เกินทน นอนหมอบกัดฟันมองดูเหตุการณ์อย่างหวาดหวั่น
นาซิสส์... มนุษย์ที่ฉีกกรอบความเป็นมนุษย์ขึ้นมาเป็นปีศาจ... ศัตรูที่คิดจะแย่งชิงทุกอย่างของพวกเรา... มันเป็นคนโลภต้องการทั้งอำนาจและเงินตรา ต้องการที่จะครองทั้งโลกมนุษย์และผืนป่าอาถรรพ์...
แต่มันไม่มีทางที่จะมาที่นี่ได้ ไม่มีทาง ถึงเชื้อสายมันจะปลดคำสาปได้ แต่เชื่อได้ว่าคงไม่มีทางทำได้สำเร็จขนาดนี้ เวทย์ของชลธารไม่ได้ขี้หมูขี้หมาที่ใครมันจะแก้ได้ง่าย เลือดล้างเลือด...เคยได้ยินมั้ย
ถ้าไม่ใช่เลือดของหมอนั่น ไม่ว่าใครก็ล้างไม่ได้...
มีบางอย่างแปลกไป... ร่างของนาซิสส์นิ่งงันเบิกตาโพล่งมองร่างที่นั่งกับพื้นอย่างชลธีกับพนาด้วยความหวาดวิตกจนสังเกตได้... อะไร ทำไม
ผมมองอย่างสงสัยก่อนจะเลื่อนไปมองใบหน้าของชลธีที่มีบางอย่างแปลกไป... ดวงตาสวยเหลือกจนขาวปากกำลังพึมพำบางอย่างก่อนที่ความรู้สึกเหมือนไฟช็อตร่างจะเข้ามาสู่ผม...
ร่างโปร่งของชลธีค่อยๆลุกขึ้นสวนทางกับนาซิสส์ที่ก้าวถอยหลัง... ไม่นานเกินรอนักลำคอสวยขยับเคลื่อนหมุนราวกับบริหารร่างกายให้พร้อมหลับตาลงก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้งด้วยสีตาที่เปลี่ยนไปจากดำเป็นสีเขียวมรกต รอยยิ้มเย็นถูกส่งมอบ อ้อมแขนก็กระชับร่างของพนาที่จ้องมองตาค้างอยู่แน่น... เงียบหลายนาทีก่อนจะ...
“ จ้าวพ่อ!! ”
เด็กน้อยร้องอย่างดีใจก่อนจะกอดคอหมับ ชลธีที่ตอนนี้มีท่าทีเปลี่ยนไปก็ได้แต่หัวเราะในลำคอลูบหัวเด็กไป...
“ คิดถึงเจ้าเหลือเกิน เจ้าตัวน้อยของข้า ” ชลธีว่าพร้อมรอยยิ้มหวานแล้วเคลื่อนมือไปจ่อกลางลำคอเด็ก
“ แต่มันได้เวลานอนของเจ้าแล้วล่ะ ”
สิ้นเสียงไว้เท่านั้นก่อนจะกดแรงหนักลงไปยังจุดที่หมายไว้แค่เสี้ยววินาทีเด็กน้อยก็สลบเหมือดไปแล้ว... ผมมองภาพนั้นอย่างสยดสยอง... ชลธีวางเด็กลงนอนดีๆ ก่อนจะก้าวมาประจันหน้ากับนาซิสส์ที่ยิ้มขมขื่น...
“ เก่งนี่ที่ออกมาได้ ” เอ่ยชมอย่างไม่เต็มใจนัก
หัวเราะในลำคอนิดๆ “ เจ้าทำได้ ไยข้าจะทำไมได้ ”
“ งั้นก็กลับลงไปขุมนรกนั้นเถอะ ” สิ้นประโยคนั้นคมมีดนับร้อยจากไหนไม่รู้ได้ทะยานพุ่งเข้าหาร่างของชลธีอย่างรวดเร็ว...
ชลธีมองเขม็งที่กลุ่มมีดนั่นส่งจิตสังหารแผ่ออกมาอย่างแรงกล้าจนมีดพวกนั้นหยุดนิ่งโดยที่อีกไม่กี่มิลลิเมตรจะเสียบเข้าร่างเขา... ยกมือขึ้นแล้วตวัดลงเพียงแค่นั้นมีดเป็นดงก็ร่วงหล่นราวกับแมลงไร้ค่า...
“ หึ... ของเด็กเล่น ”สายตาดูแคลนอย่างหนักเหมือนเติมเชื้อไฟเข้าไปอีก...
อีกฝ่ายยิ้มเจ้าเล่ห์ “ แน่ใจ? ”
“ หือ? ” ชลธีทำหน้าไม่เข้าใจก่อนที่...
ฉึก!!
ดาบเล่มหนึ่งจากทางด้านหลังเสียบเข้าที่ไหล่อย่างจังจนเลือดไหลออกมา... แต่ไร้ซึ่งเสียงโอดโอยของความเจ็บปวด... มือเรียวเอื้อมไปกระชากดาบนั้นออกราวกับเหมือนว่ามันแค่เศษไม้เล็กๆ
บาดแผลใหญ่เหวอะหวะจนผมเริ่มหวั่นใจ...จะเป็นอะไรมั้ยวะ
แต่ลืมไป... หมอนั่นไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว
ชลธียักไหล่อย่างชิวๆปล่อยแผลไว้แบบนั้นเพียงหลับตาแผลก็สมานตัวอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแผลแต่ชุดเองก็เป็นปกติดังเดิม นาซิสส์มองดูอย่างทึ่งจัดแอบเห็นมันถอยไปอีกก้าว...
“ ต่อไป...ตาข้า ”
เสียงเรียบว่าก่อนจะวาดมือบนอากาศให้ปรากฏดาบเล่มเรียวยาว ผมมองดูอย่างโล่งใจแปลกๆ ที่รอดตายแล้ว แล้วไหนจะดีใจสุดๆกับสถานการณ์ในตอนนี้ที่ชลธีเปลี่ยนไป... ท่าทางโหดร้ายที่ไม่ได้เห็นมาเป็นร้อยๆปีนั่น...
จับดาบได้ก็พุ่งตัวใส่ร่างของอีกฝ่ายทันที อีกฝ่ายก็เร็วไม่ต่างกันร่ายดาบมากันไว้ได้ทันท่วงที เพลงดาบมีเท่าไหร่งัดออกมาหมด มีหลายครั้งที่ใบหน้าของชลธีขึงขังจนน่ากลัว และเมื่อหงุดหงิดสุดๆก็ถีบเข้าที่ท้องของนาซิสส์เต็มๆ
“ ร่างกายไม่เคยออกกำลังเลยรึไร ถึงได้ตึงเช่นนี้ ” บ่นไปพลางขยับคอหมุนข้อมือบริหารไปด้วย
คนที่โดนถีบจังๆถึงกับกระอักเลือดออกมา ยังไม่ทันได้ลุกตั้งหลัก ฝ่าเท้ากระซัดเข้าหน้าจังๆจนล้มเงย ไม่ทันได้หายมึน ความเจ็บที่ข้อมือและข้อเท้าก็แปลบขึ้นมา
มองดูแล้วก็คือมีดสี่เล่มที่ตรึงร่างเขาไว้... เหนือหัวขึ้นไปเป็นชลธีที่ยืนมองไร้แววสงสาร มีแต่ความโหดเหี้ยม...
“ ไม่เจ็บหรอก เพราะร่างจริงไม่ได้อยู่ที่นี่ หึ ”
“ ทำอะไรตอนนี้คงเปล่าประโยชน์สินะ ” ชลธีแสยะยิ้มเลว
“ อ่า... ไหนๆ ก็ออกมาแล้ว ขอบอกอะไรให้ฟังแล้วกัน ” นาซิสส์กระตุกยิ้มแม้สภาพจะไม่ได้อยู่เหนือเลย มันหันมาทางผม “ ป่านั้น... ข้าอาจจะหาทางเข้าไม่เจอ แต่คนของข้าน่ะ...ไม่แน่! ”
“ หมายความว่าไง ”
ชลธีพาดาบคมมาจ่อที่ลำคอก่อนจะเค้นเสียงเหี้ยมสีหน้าทะมึนตึงแทบกระโจนเข้าใส่
“ ก็หมายความตามนั้น ” นาซิสส์ถึงตกเบี้ยยังคงไม่ยอม “ หึ... ที่นี้จะทำอะไรก็ทำ ”
“ ทำแน่ ”
รอยยิ้มชวนสยองบวกน้ำเสียงอันตรายจนผมต้องเผลอหยุดหายใจไปหลายครั้ง... มองดูเงียบๆว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร... จากนั้นดาบในมือก็เสียบเข้าตรงตำแหน่งเดียวของสกาย ต่อมาก็ตรงที่เดียวกับเดือนพราย สุดท้ายก็ของยูนิคที่ได้ว่ามันแรงและหนักที่สุด...
ยูนิคนี่...ลูกรักไม่ต่างจากพนา ใครแตะคงไม่น่ารอด...
แม้จะโหดร้ายมากเท่าไหร่ก็ยังไม่มีเสียงร้องของนาซิสส์...
“ เฮ้อ... ร่างนี้มันไม่เจ็บหรอก... ” เสียงเอื่อยๆว่าก่อนจะขยับแสยะยิ้มมุมปาก “ ถ้าทำร้ายวิญญาณน่ะไม่แน่ ”
“ !! ” นาซิสส์เบิกตากว้างขึ้นจะร้องห้ามแต่ไม่ทันแล้ว ดาบเสียบเข้ากลางอกตำแหน่งหัวใจ
พลันร่างกายรีบสลายหายเป็นเศษฝุ่นเหลือเพียงดวงจิตกลมๆที่ถูกเสียบโดนไปเล็กน้อยเพราะหลบทัน แต่แค่น้อยนิดก็สร้างความเจ็บได้มากโขแล้ว
ลูกกลมๆเบียดหลบทันก็รีบสลายหายไปทันที...
“ หนีไปได้ เหอะ ” สะบัดดาบทิ้งอย่างเมื่อยๆไม่ได้ยี่หร่ะเท่าไหร่
กวาดสายตามองดูรอบๆที่เละเทะไปหมด... ดูก็รู้ว่าก่อนที่เขาจะมานั้นมีการปะทะที่รุนแรงแค่ไหน... ชลธีหันตามมามองที่ผมก่อนจะตีหน้านิ่งเดินเข้ามา... และ...
ตั้บ!!
เจอหน้าคนรักแล้วทักทายกันด้วยวิธีนี้เหรอ
ประเทศไหนมันสอนวะ!
เท้าหนักกระทืบลงกลางอกผมอย่างจังจนสำลักไอออกมาพร้อมเลือดจำนวนหนึ่ง... ผมปรือตามองการกระทำของอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจนัก...
แล้วกระทืบผมทำไม?
แค่นี้ก็เจ็บจะตายห่าแล้ว
นี่ผมรักคนแบบนี้ไปจริงๆเหรอ
“ รู้ใช่หรือไม่ ว่าทำสิ่งใดผิด ” เสียงเล็ดรอดไรฟันมันช่างน่ากลัวแทบจะฆ่ากัน
ผมส่ายหน้าเล็กน้อย “ มะ... ”
ตั้บ!
ลงมาอีกครั้งเป็นเชิงให้หุบปาก...
“ ทำให้ลูกตกอยู่ในอันตราย ไม่ผิดเลยเนอะ ” ว่าอย่างโกรธเคืองเปรยหางตาไปมองพนาที่ยังหลับ(สลบ)ไม่รู้เรื่อง “ อีกเรื่อง... ”
“ อะไร... ”
“ ชลธีคือตัวข้า ปกป้องไม่ได้ก็ตายซะไป! ” แทบจะตะโกนใส่หน้า กระทืบซ้ำอีกสองทีก่อนที่ร่างของชลธีจะร่วงลงไร้แรงพยุง... หมดสติและนอนราบไปกับพื้นข้างตัวผม...
แต่ก่อนจะไปเสียงจิตก็ดังขึ้นในหัวผม...
“ หากตัวข้าอยากรู้สิ่งใดจงเล่าขาน ”
“ เว้นไว้เพียงเรื่องราวของข้า ”
“ ข้ารำคาญตัวเองที่สอดรู้ จงเล่าไปซะ ”
ผมกำลังยิ้มเนี่ยนะ หลังจากโดนกระทืบด้วย... ท่าจะบ้า... ผมเข้าใจดีว่าคราวนี้ผมผิดที่ปกป้องไม่ได้ ไม่แปลกที่จะโดนโกรธขนาดนั้น แต่ไอ้คำทิ้งท้ายนี่ขำขันจริงๆ รับรู้แทบจะทุกอย่าง แสดงว่า...ดวงจิตเริ่มเชื่อมกันแล้วถึงจะเล็กน้อย แต่เป็นเรื่องที่ดีในวันหน้าที่จะรวมวิญญาณ
“ เลิกยิ้มแล้วพาตัวเองกลับบ้านเถอะ ” เสียงหน่ายมาแต่ไกลของสกายว่า... “ เจ็บแผลเป็นบ้าเลยว่ะ ”
“ เออ ” เดือนพรายตอบรับก่อนจะประคองตัวเด็กยูจินขึ้นมา
“ อืม ”
ผมครางรับเบาๆก่อนจะพยุงตัวกัดฟันทนพิษบาดแผล ดูเหมือนเขตเวทย์กันปีศาจจะถูกทำร้ายไปแล้วถึงได้ค่อยมีเรี่ยวแรงหน่อย... ผมประคองทั้งตัวชลธีและอุ้มพนาไว้ก่อนจะพาร่างไร้สติออกจากร้านที่พังยับ...เพียงแค่ก้าวเดียวที่พ้นร้าน... สภาพพังๆก็กลับเป็นเหมือนเดิมไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน
.
.
.
ผมลืมตาตื่นขึ้นหลังจากคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา แอบอมยิ้มนิดๆกับท่าทางโหดร้ายนั่น ชลธารทั้งเย็นชาและโหดร้าย ส่วนชลธีก็เหมือนด้านอ่อนโยนที่นานๆทีชลธารจะมีให้เห็นในครั้นอดีต หากตอนรวมวิญญาณแล้วขอด้านอ่อนโยนเยอะๆหน่อยแล้วกันนะ...
นอนคิดไปเรื่อยเปื่อยก่อนจะยันตัวลุกขึ้นไปห้องเล็กๆตรงมุมห้อง... ในนั้นมืดทึบจนไม่เห็นอะไร ผมถอดหายใจเล็กน้อยก่อนจะใช้เล็บมังกรกรีดลงที่ฝ่ามืดให้เลือดหยดลงพื้น เพียงแค่หยดเดียว พื้นห้องก็สว่างวาบด้วยวงเวทย์สีแกง เบื้องหน้าเป็นกระจกน้ำใสกลมๆ...
“ เธียร์ ” เรียกครั้งที่หนึ่ง
“ ... ” ไร้วี่แวว
“ ไอ้เวรเด็กมังกรตอแหลเธียร์!! ”
ตึง!!
กระจกน้ำแทบแตกเมื่อจู่ๆไอ้เด็กบ้าจากอีกฝ่ายมันเล่นปาของใส่กระจกแทบแตก ก่อนที่มันจะโผล่หนังหน้ากวนประสาทมาให้ชม... ใบหน้าน่ารักกับรูปร่างของเด็กเดินเข้ามาที่หน้ากระจก
“ มีไรลุง ”
ผมยียวนกลับ “ ได้ข่าวว่าอายุน้อยกว่านับร้อยปีนะ ”
หึ ใช่... ถึงเห็นว่ามันเด็กแบบนี้อย่าคิดว่ามันจะอายุอานามเท่ายูนิคยูจินนะ ไอ้เนี่ยมันอายุจะห้าร้อยหกร้อยปีแล้วด้วยซ้ำ อย่างที่ผมเรียกมังกรตอแหลไง โกงอายุโกงตัวเอง
“ ไม่มีอะไรก็ไสหัวกลับไป ” แววตาเริ่มหงุดหงิดไม่น้อย “ รู้มั้ยว่ากูแลคนเดียวมันเหนื่อย ป่าบ้าอะไรใหญ่ขนาดนี้วะ เนี่ย แล้วมีสัตว์หลงเข้ามาสภาพปางตายเกือบยี่สิบตัว ใครจะรักษา! ”
“ นายไง ”
“ ไม่มีทาง! ทางไม่อยากให้พวกมันตายคามือฉันก็อย่า! ” คนตัวเล็กว่าเสียงโมโห “ เอาสกายกลับมาไม่ก็ไอ้ยูนิคมารักษาดิ๊! ”
“ ไม่ได้ ” ผมว่าเสียงขรึมทันที... “ วันนี้... เราถูกโจมตี ”
ปลายสายเงียบลงชะงักอาการหงุดหงิดการจะตีหน้าจริงจัง...
“ เป็นไปได้ยังไง ”
“ นาซิสส์ เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ” ผมว่าออกไป ก่อนสีหน้าของเธียร์จะตกใจ
มันพึมพำ “ เวรแล้วมั้ยล่ะ ”
เวรจริงๆนั้นแหละ
“ ระวังป่าไว้ด้วยล่ะ บางทีมันอาจจะมีพวกแฝงตัวเข้าไป ” ผมเอ่ยเตือน จำได้ถึงคำพูดของนาซิสส์ในวันนี้
เธียร์เลิกคิ้วนิดๆ “ มันไม่มีทางเข้ามาได้หรอกน่า ”
“ อย่าประมาท ”
ผมจ้องเขม็งใส่อีกคนให้เลิกทำทีไม่สนอะไรได้แล้ว นาทีนี้มันต้องระวังทุกอย่างทุกฝีก้าว ไอ้เด็กตอแหลในกระจกสบถใส่ผมหลายคำจะอ้าปากถามต่อ...
แต่...
ปัง!! ตู้ม!!
เสียงระเบิดเบาๆดังขึ้นจากในกระจก ทำเอาเราทั้งคู่เผลอตะลึง...
“ เกิดอะไรขึ้น!! ” เธียร์หันไปตะโกนด้านหลัง มันลุกไปคุยกับใครสักคนก่อนจะร้องลั่น “ ปัดโธ่เว้ย!! ”
ผมมองดูอย่างร้อนใจ “ เธียร์! เกิดบ้าอะไรขึ้น! ”
มันตวัดตากลับมามองด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทิ้มไปด้วยความโกรธร่างกายเริ่มแปรผันจากมนุษย์เป็นมังกรเกล็ดดำทีละนิด...
“เวทย์อาณาเขตทางตะวันตกพัง! ”
“ ...! ”
“ กลับมาช่วยเดี๋ยวนี้ ก่อนที่นี่จะไม่เหลืออะไรเลย! ”
แสงสว่างดับลงก่อนความมืดจะกลืนกิน...
ในหัวตอนนี้คิดอะไรไม่ออกทั้งนั้นแต่ที่รู้ๆคือความรู้สึกในอกที่เหมือนดำดิ่งลงเหวกับคำว่าไม่เหลืออะไร... แค่คิดมือไม้ก็เย็นเชียบขึ้นมา... พลันคิดยั้งความรู้สึกสูญเสียแปรเปลี่ยนให้มันร้อนระอุไปด้วยความเกรี้ยวกราด... แววตาเริ่มเปลี่ยนสีน้ำทะเลที่กำลังเดือด...
คนเดียวที่กล้าทำบ้าบิ่นขนาดนี้...
คงมีแต่มัน
ไอ้นาซิสส์!!
TBC.
แฮ่กๆ มาอย่างว่องไว
รีบมาต่อแบบยาวๆและเต็มๆ ก่อนที่จะไม่ว่าง เก็บตัวสอบปลายเดือนนี้ค่ะ 555555
รักน้องพนาอย่าลืมเม้นให้น้องน่า
รักน้องชลสายกินอย่าบวกน้องเป็ดนะคะ
สนุกไม่สนุกติชมได้น่า จะได้แก้ไขค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและชอบเรื่องนี้นะคะ ^^
-
ชลธี ภาคซาตาน อิอิ
-
o22 น้องชลเก่งกว่าพี่นาทอีกอ่ะ ก็หวังว่าพี่นาทจะสมหวังตามที่ต้องการนะ
ถ้าชลธีกับชลธารรวมกันได้แล้วขอให้เก่งแต่อ่อนโยนนะ เดี๋ยวพี่นาทจะช้ำเพราะน้ำมือเมียเสียก่อน
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
สนุกค่ะเพิ่งได้เข้ามาอ่าน :katai2-1:
น้องพนาน่ารัก ชลธีภาคมนุษย์ก็น่ารักนะ รอตอนต่อไปค่ะ :L2:
-
สงสารพี่นาท 5555555555 ช้ำหนักกว่าเดิมอีก ส่วนชลธีภาคพิเศษ นี่โหดเเท้ o13
ปล.พนาน้อยน่ารักกกมีปีกด้วยยย *ชูป้ายเชียร์เด็กค่ะ*
ปูเสื่อนอนรอตอนต่อไปยาวๆ :pig4:
-
เป็นตอนที่มันส์มาก... แอบสะดุ้งตรงกระทืบพี่นาทอ่ะ 55555555 โหดร้ายมาก
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
รอตอนต่อไป อัพไวๆเน้ออ
-
รอๆๆๆๆๆๆๆ ดีใจกลับมาต่อแล้ววว
:mew1: :mew1:
-
พนาน่าร้ากกกกกก
-
เกิดอะไรขึ้น แล้วตอนเกริ่นๆหมายความว่ายังไง ชลธารคุยกับนาซิสส์เหรอ
หรืออะไรยังไง งง ชลธีระเบิดพลังออกมาเหรอ โอ้ยปวดหมองรอคนแต่งมาเฉลยครับ
ลุ้น ลุ้นนน :katai2-1:
พนาาาา เราคิดถึงเธอออ
พนาฝากบอก คิดถึงพี่สาวคนสวยเหมือนกันงับ ('^')
รอน้าาาา มาต่อไวๆ :ling1:
จะพยายามงับ :katai4:
เอาอีกกกกกกก
:katai4: :katai4: :katai4:
ชลธี ภาคซาตาน อิอิ
ชอบภาคไหนมากกว่ากัน มนุษย์? ซาตาน? *ชูป้ายมนุษย์ชลคนกินแหลก*
o22 น้องชลเก่งกว่าพี่นาทอีกอ่ะ ก็หวังว่าพี่นาทจะสมหวังตามที่ต้องการนะ
ถ้าชลธีกับชลธารรวมกันได้แล้วขอให้เก่งแต่อ่อนโยนนะ เดี๋ยวพี่นาทจะช้ำเพราะน้ำมือเมียเสียก่อน
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
ไม่ได้ตายเพราะศัตรูแต่จะตายเพราะเมียรักก :hao3:
รอๆๆๆๆๆๆๆ ดีใจกลับมาต่อแล้ววว
:mew1: :mew1:
รออออ ขอบคุณงับ :mew1:
พนาน่าร้ากกกกกก
เด็กมีหางเพิ่มเติมคือมีปีก พนาฝากบอก พี่สาวคนสวย ('^') อยากได้เด็กไปเลี้ยงดูมั้ยครับ ยังขาดคนเลี้ยงหนม :mew4:
สนุกค่ะเพิ่งได้เข้ามาอ่าน :katai2-1:
น้องพนาน่ารัก ชลธีภาคมนุษย์ก็น่ารักนะ รอตอนต่อไปค่ะ :L2:
ขอบคุณค่า ฝากด้วยนะคะ :mew1:
ขอบคุณนะคะ ช่วงนี้ติดสอบอาจจะไม่ได้อัพ
รอหน่อยน่าาา สอบเสร็จเจอกันนน :katai4: :katai4:
-
เพิ่งเข้ามาอ่าน สนุกมากครับ ชอบชลธีกับน้องพนาแล้วสิ
-
อาถรรพ์พงไพร
๑๐
สองจิต หนึ่งร่างกาย
สองจิต หนึ่งหัวใจ
ตรึงตราเพียงหนึ่งเดียว
ฝังรากนับร้อยปี
ไม่คลายสลาย
หัวใจด้านชา มันจริงหรือ
.
.
.
จ้าวพงไพรไร้ฤทัย
หากเพราะ
ใครบางคน
มันขโมยไปจนไม่เหลืออะไรแล้ว
อะแฮ่ม!
กระผมนายชลธีตอนนี้รายงานตัวครับ สภาพโดยรวมแล้วผมยังปกติ มีเนื้อหนังครบ ลมหายใจยังปกติไม่สะดุด แต่กำลังจะสะดุด....
“ พี่ชล มาเล่นพ่อแม่ลูกกันนะ! ”
กูจะบ้า!
ย้อนกลับไปเมื่อหลังจากรับรู้เรื่องราวคร่าวๆ ไอ้เด็กมีหางเพิ่มเติมคือมีปีกแต่ปัจจุบันมันเก็บปีกไปแล้วจึงเหลือแค่หางเหมือนเดิม... ง่ายๆคือเป็นเด็กมีหางตามเดิมนั้นเอง
ถุ้ย! ถ้าจะพูดแค่นี้ จำเป็นต้องยืดยาวมาเกือบสองบรรทัดมั้ย
วกกลับมาที่เดิม คือเรื่องของเรื่อง หลังจากที่ไอ้พี่สกายมันก็เล่าเรื่องป่าอาถรรพ์ให้ฟัง เล่าแบบรอบนอกจริงจัง ทิศไหนมีอะไร ในป่ามีตัวอะไร ถามว่ากูอยากรู้จุดนี้มั้ย ก็ไม่! ไอ้ที่อยากรู้ ถามไปก็ไม่ได้คำตอบแถมได้รับสายตาโหดๆกลับมาอีก
ส่วนเรื่องชลธารน่ะหรือ.... หึ ระดับโปรอย่างไอ้ชลธีอย่างนี้มีหรือจะพลาด
เออ พลาด!
พลาดแล้วพลาดอีก พลาดจนหนาแหกไปสิบตลบ
คิดแล้วก็หงุดหงิดงุ่นง่านแล้วก็แดกชูครีม... พอ เดี๋ยววันนี้เราก็ไม่รู้เรื่องกันสักทีว่าไอ้สิ่งที่ทำให้ผมกำลังสติแตกคืออะไร คืออย่างนี้นะ ระหว่างที่ไอ้พี่สกายมันเล่า ไอ้เด็กเวรมีหางก็เริ่มเซ็งๆปัดแผนที่ห้ามิติของป่าอาถรรพ์บนโต๊ะทิ้ง (สี่มิติน้อยไปเอาสักห้าเลยครับ) ด้วยเหตุผลน่าถีบ...
“ พนาเบื่อ มาเล่นกัน ”
จบเลย รู้เรื่อง
ไอ้พี่สกายนี่ขอบายสลายตัวหายคนแรกแถมขู่อีกให้ผมเล่นเป็นเพื่อน พอปฏิเสธแม่งก็แยกเขี้ยวขู่อีกจะแล่เนื้อผมไปย่างทำมื้อเย็น คิดว่าจะกลัวเหรอ เหอะ...
ผมยอมเล่นกับเด็กก็ครับเฮีย ฮือออ
และด้วยเหตุเช่นนี้ทำให้ผม...กำลังทำหน้าที่ปฏิบัติการสุดน่ารัก(พ่องมึงสิ)อยู่ในห้องนอนใหญ่กว้างกว่าร้อยเอเคอร์ของไอ้เด็กนี่
ที่ทำเอาผมนี่แทบหลั่งน้ำตา ห้องนอนกูกลายเป็นที่นอนปลวกเลยครับ
ผมโดนเด็กนี่ลากขึ้นมาบอกให้ช่วยอาบน้ำให้หน่อย ให้เล่านิทานด้วย พนาจะนอนแล้ว... มองนาฬิกาแล้วก็คิดดังๆในใจ... มึงเด็กอนามัยไปมั้ย เพิ่งจะห้าโมง จะนอนแหละ แต่ก็น่าจะดี ผมควรรีบส่งมันเข้านอน แล้วตัวผมจะได้กลับสักที
จะว่าไป...วันนี้แลจะยาวนานจังเลยนะ ยืดยาวมาสี่ห้าตอนแหละ แม่งยังไม่จบวันสักที ง่วงนะเนี่ย
“ พนาค่ะ มาปะแป้งเร็วจะได้ตัวหอมๆๆ ”
“ คร้าบบบ ”
“ พนาจ๊ะ ใส่สีฟ้ามั้ย น่ารักดีนะ ”
สาบานสิ.... นี่เสียงมึงไอ้ชล
เพราะมากมึง
เพราะกว่าตุ๊ดเด็กเพิ่งรู้ตัวเป็นตุ๊ดนิดนึง ฮ่วย!
“ ตามใจแม่เลยครับบบ ”
“ อยากให้แม่อ่านนิทานเรื่องอะไรดีคะ ”
แม่มาก็แม่ไป เฮ้ยๆ ผิดประเด็นแล้วไอ้เด็กเวร
“ เรื่องนี้ๆ ”
มืออวบๆเล็กเอื้อมไปหยิบนิทาน... สาบานสิ นิทานก่อนนอนเด็กเป็นนิทานบางๆไม่ใช่ตำราโบราณหนาอย่างดึกดำบรรพ์เล่มนี้ ผมรับมาด้วยสีหน้าตะลึงๆ โห ถ้ากูเปิดแรงมันจะหลุดติดมือมามั้ยเนี่ย
เสียงร้องดังขึ้นหลังจากผมมัวแต่ตะลึงอยู่กับความหนาของหนังสือ “ เร็วๆสิครับแม่ พนาอยากฟังงง ”
มาพร้อมสายตาออดอ้อนที่มองแล้วภาพไอ้พ่อมังกรตัวโตมันเคยทำใส่แล้วรู้หน้าร้อนขึ้นมาซะงั้น ท่าจะประสาท... กูเนี่ย!
ส่วนมึงนี่ก็...เล่นสมจริงไม่ใช้แสตนอินจริงๆนะ เอาซะกูเกือบเคลิ้มไปเลยว่ามีลูกจริงๆ แต่มันจะดีกว่านี้ถ้าเรียกว่าพ่อ ใครมันจะอยากเป็นแม่วะ! หน้าผมออกจะหล่อเหลาปานนี้
“ เลิกเรียกแบบนั้นได้แล้วหน่า พี่ไม่ชอบนะครับ ” ผมว่าเบาๆไม่เชิงน้ำเสียงที่ดุนักเพราะกลัวว่าจะมีเด็กร้องไห้ซะก่อน “ ถ้าเรียกอีก จะไม่เล่าแล้วนะ ”
พนามุ่ยปาก “ แต่เราเล่นพ่อแม่ลูกกันอยู่นะ ” ตากลมเริ่มแดงนิดก่อนจะพึมพำเบาๆ “ ใจร้ายที่สุด ”
ผมนี่อึ้งเลยครับ เหมือนถูกกระทืบแล้วเหวี่ยงลงเหวไม่มีผิด หนังสือในมือตอนนี้เหมือนถูกเหวี่ยงเข้าเบ้าหน้าจริงๆ นายชลธีนั่งอ้าปากค้างไปกว่าสิบวิถึงจะได้สติจะขอโทษขอโพยเด็กก็งอนไปล่ะ
“ โอ๋ๆ พี่ขอโทษครับ หายงอนนๆ ” กูไม่เคยอ้อนใครนะ สำนึกไว้เลยแกเป็นคนแรก เด็กมีหาง
ทำแก้มป่อง “ หอมแก้มเค้าก่อน ”
หอมก็หอมครับ ยังไงก็เด็ก
“ หน้าผากด้วย ”
หน้าผากครับ หน้าผาก
“ หายงอนได้แล้วนะครับ ” ผมฉีกยิ้มกว้างให้
เอาแต่ใจยันวินาทีสุดท้ายจริงๆ ลูกใครวะ! “ อยากให้หายงอนก็เล่าสิ เร็วๆ ง่วงแล้วนะ ”
“ ครับ คร้าบบบบ ตามได้ที่สั่งคร้าบบบบ ”
ผมถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อยใจเป็นที่สุด มือเล็กเปิดทีละอย่างระมัดระวังขณะอ่านไปเล่าไปบวกพร้อมกับความรู้สึกในอกความรู้สึกข้างในที่ร้อนระอุขึ้นจนต้องปาดเหงื่อไปเล่าไป สายตาผมจดจ้องอยู่ที่ตัวอักษรแต่ละตัวเขม็งแทบจะไม่ละสายตา... มือที่เพียงแค่จับหนังสือไว้เบาๆกลับจิกลงแน่นแทบกระดาษขาด
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนที่เสียงของผมค่อยๆเงียบลงพร้อมกับพนาที่หลับไปแล้ว ผมยังคงอ่านหนังสือในมือนั้นต่อไป... มันไม่ใช่นิทาน ไม่ใช่ มันเหมือนจะเป็นเรื่องเล่ากับตำนานที่จดบันทึกไว้มากกว่า...
เด็กหนุ่มแสนธรรมดาคนหนึ่งที่ต้องผจญภัยกับเรื่องลี้ลับ... ไม่รู้ว่าทำไมยิ่งอ่านผมยิ่งรู้สึกอยากอาเจียนเพราะอาการปวดหัวจี๊ดๆ ไม่ทันไปพลิกอ่านบทต่อไปประตูห้องก็ถูกเปิดออก
ปัง!
ผมสะดุ้งโหยงปล่อยให้หนังสือหล่นจากมือ เพียงแค่หลุดพ้นจากหนังสือเล่มนั้นมวลอากาศมากมายพาเข้าสู่ปอดจนรู้สึกดีแทบลอยคลายจากความอึดอัดในครั้งแรกไป คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจก่อนจะหันไปทางประตูด้วยสายตาตำหนิ เกิดไอ้เด็กนี่ตื่นขึ้นมาป่วนอีกจะทำไงวะ!
“ สกายล่ะ! ” ถามผมด้วยสีหน้าตื่นกลัวจัดหน้าผากเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อไม่ได้สนใจสถานการณ์เลยว่ามีคนหลับ ไม่มีมารยาทจริงๆ “ ชล สกายอยู่ไหน! ”
เมื่อเห็นผมไม่ตอบนิ่งเงียบก็ถามใหญ่เสียงดังจนผมเริ่มไม่ชอบ... “ ตั้งสติแล้วพูดกันดีๆดิพี่ ”
ผมเกลียดน้ำเสียงตอนพี่แกกระโชกโฮกฮากชะมัด ไม่รู้ดิ มันน่ากลัว
เหมือนมันจะได้สติมาบ้างก็รีบสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆแล้วระบายยิ้มอ่อนๆให้ผมวางมือลงบนหัวตามสเตป
“ พี่ขอโทษครับชล มีเรื่องที่น่าตกใจนิดหน่อย ” มันพยายามใจเย็นจริงๆ แต่ไอ้มือที่วางบนหัวผมเนี่ยจะจิกหัวผมตบเลยมั้ย สั่นอย่างกับเป็นสันนิบาต
“ มีอะไรที่น่าตกใจไปกว่าเรื่องของวันนี้ด้วยเหรอ ” ผมว่าเหมือนประชดแต่ไอ้พี่นาทก็ไม่ได้ว่าอะไร เปลี่ยนจากมือวางบนหัวมาจับข้อมือแล้วดึงลากฉุดออกจากห้องนอนลูกพี่แก ลงมาที่ห้องอาหารที่เดิม
แลกูมาบ้านพี่มันทีไรต้องมาอยู่ห้องอาหารตลอดเลยว่ะ... คิดเหมือนกันใช่มั้ยยยย
ก่อนจะดันตัวผมนั่งลงด้วยสภาพที่ผมยังงงๆเอ๋อแดกอยู่ แล้วตัวเองเดินไปยืนอีกฝั่งโต๊ะอาหารคลี่แผนที่หนังสัตว์ออกอีกครั้งวาดมือลงไปก่อนจะมีแสงสีแดงฉาบวาบปรากฏภาพใหม่ที่ทำเอาผมตกใจสุดๆ...
“ นี่มันอะไร! ”
นิ้วสั่นๆของผมชี้ไปที่จุดหนึ่งของป่าอาถรรพ์ที่มีไฟไหม้ขนาดใหญ่ เมื่อบ่ายๆมันยังไม่มีเลยนี่! เงยหน้ามองอีกคนที่มีสีหน้าตึงเครียดแล้วยิ่งพูดอะไรไม่ออก
“ เสียงดังลั่นบ้าน มีอะไร ”
เสียงโหดเข้มที่ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเป็นสกายเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเซ็งๆแต่พอเห็นอะไรบนโต๊ะแล้วพลันหน้าเปลี่ยนสีทันที สาวเท้าเข้ามาใกล้แล้วจับจ้องไม่วางตา
“ มีคนบุกรุก ” พึมพำเบาๆก่อนจะหันไปกระชากคอเสื้อไอ้พี่นาทอย่างรุนแรง “ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำไมไม่รีบบอกกู! ”
“ ก็กำลังตาม ” ว่าเสียงเรียบๆ “ กูรู้ว่า มึงกำลังรู้สึกยังไง ”
“ มึงไม่เข้าใจ!! ” เป็นครั้งแรกที่สกายขึ้นเสียงราวกับฟิวส์ขาด บรรยากาศในห้องดูจะอึดอัดมาคุสุดจนกูอยากจะสลายไปกับฝุ่นจริงๆ
แล้วทำไมกูต้องมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ทุกทีวะ!
จะพยายามสงบบอกสงบคำนะครับ... จะนั่งเงียบๆด้วย...
“ มึงเคย...ทรยศพวกกู ”
สีหน้าของไอ้พี่นาทดูชาดิกไปเลยกับคำนั้นแวบหนึ่งความรู้สึกผิดในแววตาของมันพุ่งมาที่ผมแวบก่อนจะหันไปประจันหน้ากับสกายอีกครั้ง...
“ เรื่องนั้นมันแค่อดีต ...กูได้รับโทษหนักขนาดไหนมึงก็รู้ดี ตอนนี้กูก็สำนึกแล้ว ” พี่นาทหลีกเลี่ยงประเด็นนี้แล้วปัดมือสกายออกเบาๆ “ มึงกับพรายไปก่อนเลย เดี๋ยวไปส่งชลข้างล่างก่อน ”
พี่สกายหันขวับมาจ้องที่ผมทันทีเอาซะแทบจะขาดสองท่อนเลยทีเดียว... อุตส่าห์ทำตัวหลีบเป็นอากาศธาตุแล้วนะเนี่ย ยังจะเห็นอีกเหรอวะ
“ อืม กลับดีๆแล้วกัน ” เหวอสิครับ มันถอนหายใจแล้วพูดกับผมดีๆจากนั้นก็รีบรุดออกไปจัดการปัญหาที่เกิดขึ้น ปล่อยให้ผมอยู่กับไอ้พี่นาทสองคนอีกแหละ
“ เดี๋ยวพี่พาไปส่งที่หอนะครับ ” มันยิ้มราวกับเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยิ้มเล่นๆแล้วพับแผนที่เก็บ
ผมถาม “ จะกลับยังไง ”
พี่นาทเอียงคอเล็กน้อยพลางยิ้มมุมปาก “ อยากบินลงไปอีกมั้ย ”
ขนแขนขนคอแสตนอัพเลยมึง แค่คิดก็ขยาดแล้ว จำครั้งก่อนได้มั้ยที่พี่มันอุ้มผมแล้วพาบิน โอ๊ยยยย เร็วยิ่งกว่าวินแฮปปี้หน้ายิ้มที่ไม่รู้จะซิ่งไปลงนรกขุมสุดท้ายรึไงก็ไม่รู้ ลงมาเหยียบพื้นได้นี่ขาสั่นพับๆตับไตม้ามเครื่องในแทบจะทะลักออกปาก ถ้าขืนมันบินพาผมไปส่งนะ พรุ่งนี้ผมคงได้คลานไปเรียนจริงๆแน่
“ ล้อเล่นน่า เลิกทำหน้าตลกได้แล้ว ” ไอ้พี่นาทยักคิ้วให้ก่อนจะเดินมาหาผม “ พี่มีวิธีที่เร็วกว่านั้นอีก ”
มันยังจะมีวิธีที่เร็วกว่าการบินของมึงอีกเหรอ!!
“ ละ แล้วจะกลับยังไง ” ถามอย่างระมัดระวังตัวให้นิ่งที่สุด... แต่มือกูนี่สั่นสะท้านมากเลยตรับ
มันตอบหน้าซื่อๆ “ หายตัว ”
“ แบบแฮร์รี่ พอตเตอร์เหรอ!! ” ผมตาโตทันทีความกลัวหายแทนที่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นแต่กลับได้รับสายตางุนงงมาแทน
“ อะไรคือ แฮร์รี่ พอตเตอร์ ”
ยกตีนก่ายหน้าผากตอนนี้ได้มั้ย... ยิ่งมันทำหน้าเป็นมังกรงงด้วยแล้วก็ไม่อยากจะด่าเลยโบกมือไล่ๆ เบี่ยงประเด็นมาที่เดิม
“ เร็วๆหายตัวๆ ผมอยากกลับบ้านแล้ว ”
“ รับทราบครับ ” เคยบอกมั้ย ผมเกลียดไอ้เสียงนุ่มๆของมันชะมัด...
ผมยืนนิ่งๆตรงหน้ามันอย่างใจจดใจจ่อรอดูว่ามันจะทำยังไงต่อไป มันขยับตัวเข้ามาแทบชิดร่างผมไม่พอซ้ำยังยกมือกอดผมอีก มันซบหน้าลงที่ไหล่ของผมก่อนจะพึมพำเบาๆ
“ ทำไมต้องกอด ” ถามเสียงขุ่น อยู่กับมันนี่เปลืองเนื้อเปลืองตัวตลอดจริงๆ
เสียงทุ้มว่าอย่างไม่ยี่หร่ะนัก “ ถ้าไม่กอดไว้เราเผลอหลุดมือไป คงต้องหลุดหล่นไปตกที่ไหนก็ไม่รู้ที่ไม่ใช่หน้าห้องตัวเอง จะเอาแบบนั้นมั้ย ”
ขู่ไม่พอ แกล้งคลายอ้อมกอดอีก เป็นผมซะเองที่เลิกถือตัวกุลบุรุษชายไทยกอดมันแน่นเลย ไม่ได้จะหลอกกอดมันนะ แค่ไม่อยากกระเด็นไปที่ไหนไม่รู้ เดี๋ยวเผลอกระเด็นไปอยู่ตกหน้าชานยอลอปป้าที่เกาหลีขึ้นมาแล้วจะยุ่ง ยิ่งหน้าหล่อๆแบบนี้แล้วเดี๋ยวเขาหลงรักเราขึ้นมาแล้วจะยุ่ง
ถุ้ย! ตื่น หยุดมโน
ผมบ่น “ ยอมกอดครั้งเดียวนะเว้ย ”
“ มีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งต่อไป ”
ไอ้มังกรโลภ หึ่ย
“ แล้วการใช้เวทมนตร์มันอาจจะเผยร่างจริง... เราห้ามมองนะครับ ” มันซบหน้าลงกับคอผมแทบจะฝังหน้าลงไปด้วยซ้ำ “ แต่พี่ยังไม่อยากให้เราเห็น ”
ซุกคอกูไปนี่ไม่เหมือนนิยายนะครับ หอมกรุ่นนี่อย่าหวัง ยังไม่ได้อาบน้ำตั้งแต่เมื่อวาน ไปเรียนก็ไม่ได้อาบ ภูมิใจมั้ยที่พูดเนี่ย บอกเลย... ด้านแล้ว
นัยน์ตาสีเข้มของผมแอบเหล่ไปทางมัน “ ทำไม... มันน่าเกลียดมากเหรอ ”
“ เปล่าหรอก... ”
ไม่ต้องมองเห็นก็รู้ว่าไอ้มังกรที่แอบฉวยโอกาสกอดผมเนี่ยกำลังยิ้มร่าอยู่
“ แค่กลัวว่าคนแถวนี้จะตกหลุมรักเข้าน่ะสิ ”
ฉ่า!!
สายตาเลิ่กลั่กทันทีกับคำพูดที่โคตรจะมั่นอกมั่นใจแสนหลงตัวเอง แต่ไม่รู้ทำไมในใจกลับเต้นระรัวผิดจังหวะซะได้ เมื่อทำอะไรไม่ถูกก็ได้แต่ทุบหลังมันไปแรงๆทีหนึ่ง มันหัวเราะตอบกลับมาเบาๆจากนั้นฝ่ามือทั้งสองข้างของผมเริ่มรู้สึกถึงความร้อนแทบปะทุจากร่างของไอ้พี่นาท ขาแข็งยืนนิ่งจะทรุดไปก็ไม่ได้เพราะถูกอีกฝ่ายประคองไว้
สิ่งที่เห็นคือเราทั้งคู่อยู่ท่ามกลางวงอักขระแปลกๆสีทองสว่าง และสีที่เห็นอีกอย่างคือเส้นผมสีน้ำเงินเข้มเกือบดำที่ยาวสลายมันแผ่ออกก่อนจะคลุมร่างทั้งสองของผมกับไอ้พี่นาทไว้...
แอ๊ด...
ประตูห้องอาหารเปิดออกช้าๆ พร้อมกับร่างเล็กของพนาที่ยืนยิ้มกว้างหัวเราะคิกคักให้กับห้องที่ว่างเปล่าที่ตามความจริงควรจะมีกัมปนาทกับชลธี แต่มันกลับไร้วี่แวว...
“ หายตัวก็แค่จับมือก็ได้แล้ว ” เสียงเล็กว่าอมยิ้มไปด้วย
“ ท้าวพ่อหลอกกอดจ้าวพ่อสิไม่ว่า ร้ายชะมัด”
“ ท้าวพ่อใครเนี่ย เจ้าเล่ห์ชะมัด ”
ก็แค่กอด
ไม่อยากจะอวด... จ้าวพ่อหอมแก้มพนาก่อนด้วยแหละ!
.
.
.
อะไรเอ่ย...เจ้าเล่ห์ที่สุด
ต่อโพสล่างนะคะ
-
สิ่งแรกที่เห็น...
รอยยิ้มกว้างๆกับหน้าหล่อๆของไอ้พี่นาท...
สิ่งที่เห็นต่อมา....
นี่คือห้องนอนของผม แสดงว่าเรามาถึงหอของผมโดยสวัสดิภาพ
.
.
.
ผมยิ้มให้พี่มันเล็กน้อยก่อนจะยกมือวางบนอกมันและพูดเสียงดังฟังชัด...
“ หลบไป! จะอ้วก!! ”
แรงมีเท่าไหร่ทุ่มใส่มันเหวี่ยงอย่างแรงจนมันเซล้มไปกับพื้นเลย นาทีนี้ไม่สนใจแม่งแล้ว ที่รู้ๆคือ กูจะอ้วก!!
สองมือเกาะกอดชักโครกแล้วโก่งคออาเจียนของกินสารพัดที่ยังไม่ได้ย่อยออกมาหมดไส้หมดพุง โอ๊ยย ชูครีมที่กินไป เสียดาย โฮกกกก
โก่งคอสำรอกทุกสิ่งออกมาได้ก็รู้สึกร้อนๆที่หลังเหลือบหางตาไปก็เห็นหน้าไอ้คนที่ทำให้ผมตกอยู่ในสภาพนี้ทำหน้าหงอยๆลูบหลังผม มองค้อนใส่มันไปก่อนจะอาเจียนออกมาอีก
กว่าจะหยุดก็เอาซะหอหมุนติ้วหัวแทบฟาด หมดเรี่ยวแรงเลยทีเดียว ไอ้พี่นาทเลยต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการหิ้วปีกผมมานอนกองอยู่บนเตียง
ลองมันไม่รับผิดชอบดิ เจอตีนแน่
“ ดื่มน้ำหน่อยชล ” มันสะกิดผมแล้วส่งแก้วน้ำเย็นจัดมาให้ ไม่รอให้ไอเย็นระเหย ผมกระดกดื่มพรวดไม่กลัวจะสำลักเลย ขณะที่ผมดื่มน้ำอยู่มันก็เอาผ้าที่ไหนไม่รู้ว่าเช็ดหน้าเช็ดตาให้ผมรู้สึกสดชื่นขึ้น
พอผมดีขึ้นบ้าง ผมก็ไล่มันทันที
“ ไม่ไปป่าอาถรรพ์รึไง ” มาอยู่กับผมเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว เดี๋ยวไอ้คุณพี่สกายขาโหดจับผมหักคอขึ้นมาทำไง ยังไม่อยากตายนะ
“ กำลังจะไปครับ ” มันบอกสบายๆแต่สีหน้าที่ไปแล้ว ผมถอนหายใจปลงตกกับมัน เก็บอาการได้ทุเรศจริงๆ
มือผมยื่นออกไปตอนไหนไม่รู้ไปดึงหยิกแก้มมันไปมาอย่างหงุดหงิด อย่างมันน่ะ ทำหน้าไม่สบายใจแล้วแม่งไม่เข้า หน้ามันเหมาะกับรอยยิ้มมากกว่า
อืม...ก็ผมชอบเวลามันยิ้มนี่
.
.
เดี๋ยวเฮ้ย! นี่กูคิดอะไรออกไปเนี่ย ลบทันมั้ย ไม่ทันชัวร์... เอาหัวโขกพื้นแทนแล้วกัน ฮืออ
“ ไปได้แล้ว ” ผมขมวดคิ้วนิดอย่างครุ่นคิด จะพูดดีมั้ย “ เอ่อ... ระวังตัวด้วยแล้วกัน ”
ไอ้พี่นาทยกยิ้มให้เห็น “ ไม่เป็นไรอะไรอยู่แล้วครับ พี่ซะอย่าง
แหม่ ไอ้มังกรตัวไหนถูกยำเละเมื่อบ่ายวะ
“ พี่ต้องไปแหละ เราอย่าลืมทำแผลนะครับ อย่าโดนน้ำล่ะ ” มือหนาพลิกแขนผมที่เต็มไปด้วยผ้าก๊อซ ผลงานจากการช่วยเหลือไอ้เด็กพนาด้วยการปัดเศษแก้ว คิดถึงมันแล้วยังเจ็บไม่สร่าง
“ รู้แล้วๆ ไปได้แล้ว เดี๋ยวพี่สกายมันมาแดกหัวผมหรอก ” ผลักหน้ามันออกไปไกล
ไอ้พี่นาทยิ้มขำพลางหยันตัวลุกขึ้นยืนที่ปลายเตียงผมเตรียมหมุนตัวเดินออกไปแล้วแต่ไม่วายหันกลับมาหาผมทิ้งท้ายประดยคชวนหน้าร้อนหน้าแดงอีก
“ จริงสิ พี่ลืมบอกเราไปอย่าง ”
“ หือ? ” อะไรหว่า บอกรักกูรึเปล่า อ๊ายยย ถุ้ย!
“ วันนี้น่ะ... ”
“ ... ”
“ อาบน้ำด้วยนะ ”
“ !! ”
“ ตัวเหม็นมาก ”
“ ไอ้มังกรเหี้ยยยยยยย ”
หน้าร้อนหน้าแดงด้วยความอับอายที่จุกอก ฮืออออ
ปาหมอนใส่กลับไปก็ไม่ทันอีก ปาไปก็ทะลุอากาศเพราะมันหายตัวไปแล้ว...
ว่าแต่... ผมควรอาบน้ำมั้ย....
ไม่ล่ะ.... อาบพรุ่งนี้ก่อนไปเรียนแล้วกัน คร่อก!
ตึง! ตึง!
ปังๆๆ!!
เปลือกตาปิดสนิทค่อยๆขยับยุกยิกไม่เป็นสุขก่อนจะลืมตาตื่นขึ้นในความมืดสนิท เท้าแขนยันตัวขึ้นนั่งปิดปากหาววอดด้วยความง่วงเต็มประดา เอื้อมมือไปเปิดนาฬิกาในโทรศัพท์ดูก็เป็นเวลา
เกือบตีหนึ่ง
ใครมันบังอาจมารบกวนเวลานอนของเขากัน เดี๋ยวพ่อเตะปลิวเลยนี่ ผมขยับตัวลุกขึ้นเดินเซๆไปท่ามกลางความมืดที่ปกคลุมรอบตัวก่อนจะเคาะหาลูกกลอนประตูได้ กระชากเปิดออกด้วยความโมโห
“ จะเคาะทำเหี้ยอะไรนักหนา บ้านไฟไหม้รึไง! ”
ตะโกนใส่หน้าดำหน้าแดงตายังไม่ลืม เท้าแขนไปกับวงกรอบประตูอย่างหาที่พึ่งพิง จากความรู้สึกที่รู้สึกได้คือมีผู้ชายสามคนตรงหน้าห้อง... มาทำไร หรือจะมาขโมยของ แต่แม่งโจรมีมารยาทซะด้วยมาเคาะห้องก่อนขโมย ถุ้ย ผิดประเด็นแหละไอ้ชล
“ ตอนนี้ยัง แต่อีกแปป หอคนแถวนี้จะไฟไหม้ ”
ตื่นเลยครับ ตื่นเลย
ตานี่สว่างจ้ารับความมืดมาก ความง่วงหายเข้ากลีบเมฆเลย เหลือเพียงความตกตะลึงที่วันนี้ตะลึงไปสิบตลบตีลังกากลับหน้ากลับหลังได้หลายรอบล่ะ
“ สกาย! ” ร้องเรียกด้วยความหวาดผวายิ่งใบหน้าหงิกๆของเฮียแกแล้วยิ่งสั่นใหญ่เลยครับ สภาพบุรุษยามวิกาลทั้งสามค่อนข้างจะเละพอดู จากที่แผลเต็มตัวอยู่แล้ว ยังได้แผลใหม่มาอีก แล้วไอ้ที่หิ้วปีกกันอยู่นั่น ใครวะ
“ เออ ” มันยักคิ้วให้ก่อนจะเอามือหยาบๆของมันดันผมให้หลบไป “ หลบดิว่ะ ”
ครับ หลบครับหลบบบ
ห้องก็ห้องกูทำมายทำไมต้องมาฟังคำสั่งมัน ฮือ นี่ไม่ได้กลัวนะ แค่เกรงใจ ฮึก
ผมหลีกทางหลบให้กับสกายและเดือนพรายให้ทั้งคู่หิ้วปีกร่างที่ดูเหมือนจะหมดสติมีสติหรือแม่งตายแล้วก็ไม่แน่ใจของไอ้พี่นาทมาไว้ที่เตียงผม เฮ้ยยย เดี๋ยวเปื้อนเลือดกันพอดี จะตายก็ไปข้างนอกดิ
อะไรเอ่ยแล้งน้ำใจ...
กูนั่นเอง
“ แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น...ครับ ”ไยต้องตวัดตาคมมาดุด้วยอ่ะครับ.... นี่ขนาดทำตัวหงิมๆไม่ปากมากแล้วนะ เลิกสักทีสิว่ะ ไอ้ท่าทางจะแดกหัวกูเนี่ย
เดือนพรายคนดีของกูเอ่ยเบาๆด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ “ คือมันมีปัญหานิดหน่อยครับ แต่ก็ไม่น่าจะใหญ่เท่าไหร่ ผมขอพูดเรื่องนี้ก่อนนะ เรื่องของป่าอาถรรพ์เราจัดการเรียบร้อยแล้วไม่มีอะไรต้องห่วงนะครับ ”
กูไม่ได้อยากรู้เรื่องป่าเหวอะไรทั้งนั้นครับ ตอนนี้กูสนใจแต่ไอ้พี่นาทที่หน้ามันกำลังแปลกๆ แปลกอย่างบอกไม่ถูก แถมตาพี่แกยังวาววับเลียปากมองมาทางผมนี่ต้องการอะไรครับ
“ เอ่อ งั้นเหรอ ” พรายครับ พี่ท่านกรุณาเข้าเรื่องนี้ด่วนๆ
คนที่น่าจะปกติสุดอย่างเดือนพรายกล่าวต่อ “ ช่วงนี้ที่เรากังวลเรื่องใครจะมาทำร้ายก็หายห่วง เราให้คนแฝงตัวอยู่ทั่วแล้ว ไม่น่าจะมีอันตรายแล้วล่ะครับ ชลไม่ต้องกังวลว่าจะเจอนักล่าแบบในวันนี้แล้วนะครับ ”
“ จริงดิ ” ชีวิตกูจะปลอดภัยแล้วชิมิ
“ ครับ ”
ผัวะ!
หัวงามๆของเดือนพรายถูกมือมารนามว่าสกายตบผัวะอย่างแรง คนชั่ว บังอาจมาทำร้ายเดือนพรายอปป้าของกูเหรอ ทั้งเรื่องมามีมันปกติสุดแล้ว ยังจะตบหัวเขาอีก เดี๋ยวพูดกันไม่รู้เรื่องจะทำไมฟะ
“ มึงจะอ้อมโลกเพื่อ เข้าเรื่องนี้ดิวะ! ” ชี้หน้าตัวปัญหาที่นั่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาทางผม ไอ้พี่นาทมันกวักมือให้ผมเข้าไปหามัน แต่ผมยังคงกังวลกับท่าทางของมันเลยไม่กล้าที่จะขยับเท้าไปหา ทันทำหน้างอนิดๆก่อนจะพูดขึ้น
“ ชล พี่หิวน้ำ ขอน้ำหน่อยสิครับ ” เสียงหวานปานน้ำผึ้งค้างปีทำเอาใจกูสั่นเป็นจังหวะร็อกเลยครับ เพื่อเลี่ยงสถานการณ์กระอักกระอ่วนเลยจำต้องเดินไปหยิบน้ำมาให้มัน
เดินถือแก้วน้ำไปให้มันแต่แทนที่มันจะคว้าแก้วมันดันคว้าข้อมือผมดึงให้นั่งอยู่ในอ้อมกอดของมันไม่แคร์สายตาไอ้สองสิ่งมีชีวิตที่ยืนหัวโด่อยู่สักนิด สติสตังกูนี่บินลอยกระชากออกจากตัวเลย สิ่งแรกที่พูดออกไปพาเอาทั้งห้องเงียบเลย
“ เฮ้ยพี่! เล่นบ้าอะไรวะ ดีนะ น้ำไม่หก ”
อู๊ยยย ดีนะที่กูประคองแก้วทัน ไม่งั้นน้ำหกแก้วแตกชัวร์ นี่แก้วโปรดด้วยนะเว้ย สกรีนหน้าจีดีอปป้าไว้ด้วย ทำมาตั้งสามร้อยห้าสิบบาท ค่าส่งแปดสิบ ค่าธรรมเนียมโอนอีกสามสิบ ไม่รู้แม่งจะแพงไปไหนไอ้ค่าธรรมเนียมเนี่ย
“ เออ แล้วพวกพี่มีอะไรอีกปะ ” ผมหันไปถามสกายที่ยืนหน้าเครียดนิดๆ
“ ก็มี ” มันถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “ ขอฝากไอ้ท่านท้าวไว้คืนหนึ่งแล้วกันนะ ”
หา ทำหน้าเป็นหมางงแปป บ้านพี่ก็มี ไยต้องมานอนบ้านกูครับ คิ้วขมวดผูกโบว์ได้ครู่ก็รู้สึกถึงมือปลาหมึกคนแถวนี้เลื้อยอยู่แถวเอว โอ๊ยยย นี่บ้าจี้นะ อย่าจับบบ
“ ถือว่าช่วยกันหน่อยนะครับ ” เดือนพรายอปป้าพูดด้วยน้ำนุ่มๆ โอ๊ย กูตาย จริงๆไม่อยากพิศวาสแต่อย่างใด แต่เจอหน้านานๆแล้วรู้สึกจะคลับคล้ายเซฮุนอปป้า
“ เดี๋ยว ช่วย? ช่วยอะไร หะ เฮ้ย!! ” แก้วน้ำจีดีอปป้าถูกมือหนาของไอ้พี่นาทดึงไปวางที่หัวเตียงแล้วจัดการกอดรัดลูบไล้นายชลธีทันที เดี๋ยวๆนี้มึงเป็นอะรายยยย
สกายยิ้มร้ายพลางถอยห่างจากเตียง “ อย่างที่เห็น ”
ไม่ใช่แค่เห็นเว้ย สัมผัสได้เลยครับ
กูขนลุกกกกกกกกก
“ มันเป็นห่าอะไร บอกกูมาสิว่ะ เฮ้ยๆ อย่าดึงเสื้อ! ” ผมตีมือไอ้พี่มังกรอย่างว่องไวแต่ดูมันเหมือนจะไม่มีสติรับรู้เท่าไหร่ ยิ้มเป็นบ้าเป็นหลัง
ถ้าเวลาปกติ กูจะเคลิ้มนะ ยิ้มของมึงเนี่ย
แต่นี่มันยิ้มหื่น ไอ้เหี้ยยยยยยยย
“ ก็ไม่เป็นไรครับ ” เดือนพรายอปป้า เวลานี่มันใช่เวลามาโปรยเสน่ห์มั้ย กูไม่หลงครับ ตอนนี้ต้องการคำตอบ “ ตอนที่จัดการพวกมันได้ มันเผอิญมันร่ายเวทมนตร์สุดท้ายไว้ และมันก็โดนไอ้ท่านท้าวเต็มๆ ”
อธิบายได้ใจเย็นจริงๆ อปป้าของกู
มือผมทาบดันอกไอ้พี่มันก็รับรู้ได้ถึงอุณหภูมิที่ร้อนผ่าวแทบไหม้ “ แล้วโดนเวทย์อะไรวะ เฮ้ยๆ ทำบ้าอะไร มึงถอดเสื้อทำมายยยยยย ”
กูขอกรี๊ดแปบดิ๊ เลือดจะพุ่งกับหุ่นไอ้พี่นาท เฮ้ยๆเดี๋ยวๆ มึงตั้งสติก่อนชล หาทางรอดก่อนดิ หันสายตาไปทางบุรุษทั้งสองที่น่าจะช่วยได้ แต่แม่งมันถอยไปยืนที่ประตูตั้งแต่เมื่อไหร่วะ!
เดือนพรายยังคงมีรอยยิ้มประดับใบหน้า ร่ายมือบนอากาศปรากฏของสองอย่าง ลอยมาวางข้างเตียงผม ทำเอานัยน์ตาแทบถลนออกนอกเบ้า
เจลหล่อลื่น ถุงยาง....
“ อย่างที่เห็น... มันโดนเวทย์กระตุ้นมา ” ยังจะยิ้มอีก กูขอปลดตำแหน่งมึงงงง จากอปป้าอันดับสี่ไปอยู่ที่ร้อยเลย “ หวังว่าของพวกนี้จะช่วยบรรเทาได้นะ ”
พ่องมึงเซ่!
“ เห็นพวกมนุษย์เขาใช้กันน่ะ ” แต่กูจะไม่ใช้เว้ยยยยยยย เอาไอ้พี่นาทกลับไป
ร่างหนาที่ไม่ใช้เสื้อ(มันจงใจยั่วกูใช่มั้ย)จับแขนผมแน่นแล้วใช้อีกมือปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาของผมอย่างเร่งรีบ
“ เฮ้ยยยย หยุด หยุด มึงตั้งสติไอ้พี่นาท มึงตั้งสติ๊! ” เกิดมาสิบเจ็ดสิบแปดสิบเก้าปีแม่งยังไม่เคยเรื่องแบบนี้ จะมีครั้งแรกกูขอผู้หญิงไม่ได้รึไงวะ “ อย่าจับ อย่าจับไง จับเหี้ยอะไรมึงเนี่ย! ”
“ ชล ชล ” จะเรียกชื่อกูทำซากสวรรค์วิมานทำไม หันไปทางไอ้สองตัวร้ายที่กำลังเป็นต้นเหตุให้กูเสียตัว แม่งยิ้มร่าไม่ต่างหาก
“ ไปเถอะพราย เขาจะมีความสุขกันแล้ว ไม่อยากขัด ”
ความสุข หรือความทุกข์ เอาดีๆ!
ไม่ทันได้อ้าปากกรีดร้องขอความช่วยเหลือร่างของสองคนนั้นก็หายวับไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงไอ้มังกรหื่นกับเด็กหนุ่มไร้เดียงสาที่อีกไม่กี่นาทีมันต้องเสียซิง... ช่างน่ายินดี
ยินดีกับผีอ่าเซ่!! ไอ้พวกบ้า มึงกลับมาช่วยกันก่อนสิว่ะ กูยังไม่พร้อม ฮือออ
“ ไอ้พี่ มึงปล่อย ปล่อยกูเดี๋ยวนี้! ” ให้ใครช่วยไม่ได้ ก็ต้องช่วยตัวเองนี่แหละ
แม่งไม่ฟังเลย “ ชล... ชลครับ หอม ”
“ หอมบ้านมึงสิ กูไม่ได้อาบน้ำมาสองวันแหละ! ” กูก็เถียงได้ไม่ดูสถานการณ์เลยครับ ดิ้นคลุกๆอยู่อ้อมกอดมันจนรู้สึกถึงอะไรๆที่มันแข็งๆทิ่มอยู่ตรงสะโพก...
มันคืออารายยยยยยยยยยยย อ๊ากกกกก
“ ยอมเถอะนะครับ ” กดจมูกลงบนแก้มขาวของผมหนักพาให้นิ่งชะงักได้เลย มันก็อาศัยจังหวะที่ผมเผลอผลักผมนอนลงกระชากเสื้อกูอีก
ผมยกมือดันไหล่มัน ถึงจะรู้ว่ายังไงก็สู้แรงมันไม่ได้ แต่ยังไงผมก็ไม่ยอมเสียซิงให้มันแน่ๆ
“ พี่นาท พี่ตั้งสติดิวะ คือพี่ ผมไม่พร้อมเว้ย ” เสียงสั่นแล้วนะ กลัวนะเว้ยไม่ใช่ไม่กลัว กูจะโดนข่มขืนอยู่แล้วให้มานอนยิ้มร่ามันใช่เหรอ! “ พี่ พี่ปล่อยผมไม่เถอะนะ ”
ไอ้พี่นาทเลื่อนสายตานิ่งๆมามองสายตาอ้อนวอนของผมแล้วนิ่งไปเลย... หึ ไม่ทำแล้วสินะ
“ ทำสายตาแบบนี้ ใครมันจะหยุดกันครับ ”
อ้าว เวรแล้วมึง
แววตามันหื่นกระหายเพิ่มอีกสองเท่าตัวโถมตัวแทบจะรวมร่างกับผม ความอบอุ่นจนร้อนจัดทาบทับลงมา ริมฝีปากอุ่นทาบลงบนใบหน้าจูบหนักทั่วตั้งแต่หน้าผาก จมูก เปลือกตา แก้ม
ส่วนผมได้แต่นอนตัวสั่นหลับตาแน่นอย่างหวาดกลัว ไม่เอานะ ไม่เอาเว้ย
ได้แต่ร่ำร้องในใจดังๆกับความมืดที่หาแสงสว่างไม่ได้ แต่ก่อนที่จิตใจจะฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ เสียงเพลงเบาๆคล้ายเพลงกล่อมเด็กก็ดังขึ้น มันฟังดูเบาสบายจนแทบเคลิ้มหลับแต่ก่อนจะหลับเสียงสุดท้ายก็ดังชัดเต็มสองหู...
“ ตัวข้าเอ๋ย... หลับสักหน่อยเถิด... ที่เหลือ... ข้าจะจัดการให้ หึหึหึ ข้าไม่ยอมให้ตัวเองสกปรกก่อนเวลาหรอก ”
เป็นเสียงที่น่าขนลุกเป็นบ้า!!
.
.
.
กัมปนาทที่กำลังหลงมัวเมาอยู่ในเวทย์กระตุ้นปลุกกำหนัดก็ไม่ได้ทันระวังตัวถึงแววตาออดอ้อนเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นนิ่งเรียบและดุดัน มุมปากคนใต้ร่างแสยะยิ้มหยันออกมา....
คนตัวเล็กกว่าใต้ร่างคว้าท้ายทอยคนด้านบนมารับจูบแสนร้อนแรงดุเดือดอย่างรวดเร็วจนกัมปนาทตกใจแต่ก็เคลิ้มไปกับรสจูบอย่างรวดเร็ว ตอบโต้กลับไปอย่างร้อนแรงไม่ต่าง ริมฝีปากเล็กจูบหนักคลึงริมฝีปากหนากว่าอย่างเจนจัดและรุนแรงมากจนเลือดไหลออกมา...
ร่างสูงตกอยู่ในห้วงตัณหาก็ไม่ได้สนใจนักมันยิ่งปลุกปั่นอารมณ์ดิบให้พุ่งสูง ไม่รู้ตัวเลยแม้กระทั่งตัวเองกำลังนอนอยู่ใต้ร่างของชลธีไปซะแล้ว...
กว่าจะรู้ตัวก็...
แกร๊ก แกร๊ก แกร๊ก แกร๊ก!!!
โซ่ตรวนจากไหนไม่รู้พุ่งมาตรึงข้อมือและข้อเท้าของกัมปนาทอย่างรวดเร็ว คนบนร่างแสยะยิ้มเย้ยมองดูภาพตรงหน้าอย่างถูกใจผิดกับสีหน้าซีดเซียวของอีกฝ่าย
“ รู้สึกตัวแล้วหรือ... ”
“ ชะ ชล...ธาร ” อารมณ์ร้อนในกายแทบจะหายเกลี้ยง ลางร้ายแทบจะมาเยือนแทน... “ มาได้ไง...แล้วชล... ”
" ข้าให้หลับพักผ่อนไปก็เท่านั้น " หุบยิ้มช้าๆก่อนเเววตาจะฉาบด้วยความโมโหเเละคลี่ยิ้มใหม่ " ถ้าเจ้าชลมันไม่สติเเตกจิตฟุ้งซ่านอ้อนวอนจนน่ารำคาญ ข้าก็ไม่ออกมาหรอก แถมเจ้าอาจจะได้กินข้าไปแล้ว... "
" !! "
ปลายนิ้วกดลงตามจุดของร่างกาย " ความร้อนซึมเข้าอวัยวะทั้งหมดแล้วหรือ " คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันนิดๆเหมือนจะกังวล
ใบหน้าคนโดนโซ่รัดได้เเต่นอนนิ่งเหงื่อเเตกกระสับกระส่าย เหมือนมังกรที่รอการถูกเชือด
“ โดนเวทย์กระตุ้นชั้นดีมาซะด้วย สงสัยต้องเจ็บหนักหน่อยนะ ”
ข้อมือเล็กเริ่มหักข้อนิ้วไปมาเพื่อบริหารกล้ามเนื้อเตรียมแก้เวทย์กระตุ้นให้กับคนรัก...
“ ไม่ ไม่ ชล ข้าไม่ทำอะไรแล้ว ไม่ ” กัมปนาทที่ตอนแรกแทบจะไร้สติตอนนี้มีสติแทบจะครบร้อย รีบปฏิเสธ “ เดี๋ยว เดี๋ยวข้าจัดการตัวเอง ไม่ ไม่ยุ่งกับร่างแล้ว ”
“ ไม่ทันแล้วกัมปนาทที่รักของข้า มาสนุกกันดีกว่า ”
“ ม่ายยยยยยยยยยย ”
TBC.
ก่อนอื่น...
กราบขอประทานอภัยเจ้าค่ะ :hao5: ข้าน้อยหายหัวไปนานหลังจากติดช่วงสอบ
ติดเข้าค่ายเเละติดการป่วยหนักอยู่ 2 อาทิตย์
ขอโทษที่หายไปนานน่า ปีใหม่เเล้วเราจะปรับปรุงตัวพาน้องพนามาเที่ยวเล่นบ่อยๆนะคะ
จะพยายามอัพถี่ที่สุดเท่าที่จะทำได้
ขอบคุณทุกคนที่รอนะคะ :mew1:
อาทิตย์หน้าเจอกันค่ะ ' อาถรรพ์พงไพร 11 '
-
ในที่สุดดดดด ก็อัพเเล้ววววว :mew1: :mew1:
ชอบพนาอ่า เด็กเจ้าเล่ห์แบบนี้ ขอสักคนได้มั้ย ภาคชลธีนี่อย่างบ้าบอ ภาคชลธารนี่โหดมาเลย
แล้วพี่มังกรของเราจะรอดมั้ยคะเนี่ย 555555
ปูเสื่อรอยาวๆ อาทิตย์หน้าา :katai4: :pig4:
-
ถ้ารวมร่างแล้วกลัวพี่นาทช้ำไปทั้งตัวจริงๆ
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
อัพเเล้วว อ๊ากก ยังไม่ว่างอ่าน ขอปักไว้ก่อนนน :katai1: :katai1: :katai1:
-
ว่างอ่านเเล้ว เย้!
ตอนนี้น่ารัก ฮาๆดี 555555 คนฮานี่ชลธีเลยค่ะ จะโดนปล่ำอยู่แล้วยังห่วงเเก้ว 555555 คือยอมใจจริงๆ ส่วนพนาน้อยของหมู่เฮานี่เจ้าเล่ห์สุดเลย ลูกใคร ลูกพี่มังกรที่เจ้าเล่ห์พอกัน สมเเล้วที่เป็นพ่อลูกกัน :katai3: เเต่ที่พีคสุดตรงชลธารอ่ะ มาทีนี่วูบเลย สงสารพี่มังกรของเรา ปางตายช้ำในไปแล้วมั้ง *ส่งใจเป็นกำลังใจให้นะคะ* ไม่รู้อ่ะ ชอบทั้งชลธีชลธาร สองขั้วต่างกัน ภาคไหนก็ชอบ 5555555 :mew1: ขอบคุณค่าาา รอตอนต่อไปน้าาา :pig4: :pig4:
-
ฮาอะ พี่นาทเจออะไรเนี้ย
-
สนุกมากๆค่ะ รอลุ้นๆๆ
-
ช่วงตอบคอมเม้น อิอิ กิกิ
ว่างอ่านเเล้ว เย้!
ตอนนี้น่ารัก ฮาๆดี 555555 คนฮานี่ชลธีเลยค่ะ จะโดนปล่ำอยู่แล้วยังห่วงเเก้ว 555555 คือยอมใจจริงๆ ส่วนพนาน้อยของหมู่เฮานี่เจ้าเล่ห์สุดเลย ลูกใคร ลูกพี่มังกรที่เจ้าเล่ห์พอกัน สมเเล้วที่เป็นพ่อลูกกัน :katai3: เเต่ที่พีคสุดตรงชลธารอ่ะ มาทีนี่วูบเลย สงสารพี่มังกรของเรา ปางตายช้ำในไปแล้วมั้ง *ส่งใจเป็นกำลังใจให้นะคะ* ไม่รู้อ่ะ ชอบทั้งชลธีชลธาร สองขั้วต่างกัน ภาคไหนก็ชอบ 5555555 :mew1: ขอบคุณค่าาา รอตอนต่อไปน้าาา :pig4: :pig4:
ดีใจที่ชอบค่ะ >< พนาเขาได้พ่อมาเต็มๆๆ ไม่มีหมกเม็ด 5555555
ถ้ารวมร่างแล้วกลัวพี่นาทช้ำไปทั้งตัวจริงๆ
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
มังกรน่วมทั้งตัววว
ในที่สุดดดดด ก็อัพเเล้ววววว :mew1: :mew1:
ชอบพนาอ่า เด็กเจ้าเล่ห์แบบนี้ ขอสักคนได้มั้ย ภาคชลธีนี่อย่างบ้าบอ ภาคชลธารนี่โหดมาเลย
แล้วพี่มังกรของเราจะรอดมั้ยคะเนี่ย 555555
ปูเสื่อรอยาวๆ อาทิตย์หน้าา :katai4: :pig4:
ไม่น่ารอดดดดด
สนุกมากๆค่ะ รอลุ้นๆๆ
ลุ้นนนน
ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ต้องมีสักวันสักวันที่อัพ อาถรรพ์พงไพร 11
ช่วงนี้เริ่มเข้าใกล้ช่วงสอบเเล้ว มรสุมงานเริ่มถามไถ่ อาจจะอัพช้าอีกนิดในช่วง ก.พ.
ช่วงนี้อากาศเเสนจะหนาวเหน็บและเเปรปรวน :ling3:
รักษาสุขภาพกันด้วยน่า อากาศเปลี่ยนเเปลงบ่อยค่ะ
-
อาถรรพ์พงไพร ๑๑
อดีตอาจรักใคร่
แต่ปัจจุบัน
ไม่ใช่...
เวลาเปลี่ยน ความรักมักจืดจาง
หากจะเริ่มต้นใหม่
ไม่มีคำว่าสาย
...
...
....
อืม...
เสียงครางฮือดังขึ้นเบาๆ พร้อมอาการเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวจะประดังประดาเข้ามาไม่หยุด โอ๊ย เอามีดแทงกันเลยมั้ยครับ ถ้าจะทิ่มแทงกันขนาดนี้
นายชลธีค่อยๆหยัดตัวลุกขึ้นบิดเนื้อบิดตัวไล่ความเมื่อยขบออกไป นี่กูนอนผิดท่ารึไงวะถึงได้ปวดไปทั้งตัว แต่ถึงจะปวดตัวแต่ก็รู้สึกได้นอนเต็มที่ ไม่ตื่นกลางดึก ไม่ฝันเลยสักกะนิด เลขก็ไม่เห็น จะเอาไปแทงหวยสักหน่อย อดเลยกู
หันไปมองนาฬิกาที่บ่งบอกเวลาเป็นเจ็ดโมงเช้าพอดิบพอดีไม่มีเกินแล้วนึกโล่งใจ ยังเหลือเวลาอีกสามชั่วโมงถึงจะได้เวลาไปเรียน
นั่งมองเพดานไปเรื่อยอย่างครุ่นคิด... เหมือนจะลืมอะไรไปสักอย่าง... คิดดิ คิดไอ้ชล
เมื่อคืน...
กลับมาจากบ้านไอ้พี่นาท ก็อ้วกแตก
แล้วก็นอน ไม่ได้อาบน้ำ
อะไรเอ่ย...สกปรก
โธ่ ตอนมัธยมนะ ไปเข้าค่ายรด.ไม่ได้อาบน้ำตั้งเจ็ดวัน ยังไม่เห็นจะเหม็นเลย กะอีกแค่ไม่อาบสองวันมันจะเหม็นขนาดนั้นเลยรึไง ไหนดมสิ๊
ก็ไม่เท่าไหร่...
.
.
.
อีกไม่เท่าไหร่จะกลายเป็นศพขึ้นอืดแล้ว!
แต่...
นั้นไม่ใช่ประเด็นเว้ย มันมีอะไรอีกนะ...
เมื่อคืนหลังจากที่เราหลับไป จำได้ว่าไอ้พี่สกายกับเดือนพรายอปป้าหิ้วร่างไอ้พี่นาทเข้ามาโยนใส่เตียงและก็บอกว่าฝากหน่อย พอสองคนนั้นกลับไป... ไอ้พี่นาทก็...
ก็...
ไอ้เหี้ยยยยย
มันจะปล้ำกู!!
“ เฮ้ย แล้วนี่..กู กู ” ผมอ้าปากค้างพะงาบๆกับสิ่งที่นึกได้ มือไม้เริ่มสั่นปัดป่ายไปตามตัวอย่างหวาดหวั่น นี่กู...กูเสียซิงแล้วงั้นเหรอ โอ๊ยยยย ม่ายยย ม่ายยยย
แต่กูไม่เจ็บสะโพกว่ะ...
แสดงว่ากูยังซิง... ใช่มั้ย
หรือของไอ้พี่นาทเล็ก เลยไม่เจ็บ
หรือ...
พอ!!!
ขอตัวไปสำรวจร่างกายให้แน่ชัดก่อน ว่ายังครบดีปกติดีอยู่หรือไม่...ด้วยการ... ไปอาบน้ำครับ
สิบนาทีเดี๋ยวรู้เรื่อง!!!
.
.
.
ฮึก... ฮือ
ไอ้...ไอ้พี่นาท มัน
มัน...
มันไม่ได้ปล้ำผมอ่า!!!
ฮืออออออออ
แล้วนี่กูมาร้องไห้ทำปลวกอะไรวะครับ มึงควรดีใจสิวะที่มันไม่ได้ปล้ำ หรือว่ากูเสียใจวะที่ไม่ได้เป็นเมียมัน... เริ่มงงกับตัวเองขึ้นทุกวัน.... แล้วถ้านายชลธีไม่ได้เสียตัวแล้วไอ้พี่นาทมันไปเอากับใครวะ... สภาพเป็นมังกรตกมันขนาดนั้น ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย...
ช่างแม่ง! ไปเรียนเดี๋ยวก็เจอ
ค่อยซักฟอกสอบสวนมันก็ยังทัน!
********************************
กัมปนาทขอยึดพื้นที่สักครู่
ผมยังมีลมหายใจครับ...
แต่ไม่ค่อยสบายดีเท่าไหร่
แค่ก!
เลือดยังคงสำลักออกมาไม่หยุดสักที
“ สมน้ำหน้า ” เสียงเปรต เอ๊ย ยูนิคอร์นเด็กว่าเบาๆพร้อมยื่นกะละมังใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยเลือดข้นสีดำร้อน มือเย็นชืดของผมเกาะกะละมังไว้อย่างหมดแรง หน้าซีดเซียวจนแทบไม่เหลือสีเลือด
“ แค่ก หุบปาก ” เค้นเสียงว่าออกไปอย่างทรมานก่อนจะสำรอกเลือดออกมาอีก มันล้วนแต่เป็นพิษ ถ้าไม่เอาออกมาคงได้ระเบิดตัวตาย...
ชลธารก็ทำซะเจ็บแสบเสียเหลือเกิน พอเห็นว่าใกล้คำสาปจะคลายก็ออกมาแทรกแซงร่างตัวเองเป็นว่าเล่น อีกนิดจะได้แอ้มร่างกายที่คิดถึงอยู่แล้ว แต่ไงกลายเป็นผมที่ต้องตกอยู่ในสภาพปางตายแบบนี้ด้วย
“ อวดดี ถือเองไป ” ยูจินแสยะยิ้มแล้วปล่อยให้ผมถือกะละมังเลือดด้วยแรงตัวเองที่แทบจะไม่มี ประคองไม่ทันนี่มีนองเลือดนะครับ
“ ยูนิค... ขอไปหาชลไม่ได้เหรอ ” ผมถามเสียงอ่อย ช่วงนี้ไม่อยากหยุดเรียนในมหา’ลัยสักเท่าไหร่ เผื่อมีนักล่าแฝงตัวแล้วจะแย่
ยูนิคส่ายหน้า “ ไม่ได้ครับ ท่านท้าวต้องพักเยอะๆ จนกว่าแผลจะหาย ห้ามออกไปจากห้องนี้ครับ ”
“ แต่... ” หูหางผมตกหมด
“ ไม่ได้ครับ ”เผด็จการที่สุด! ผมเบ้ปากจะพูดต่อก็สำลักเลือดออกมา
“ นี่ ท้าวพ่อ ” เสียงเล็กของพนา ลูกน้อยแสนจะ...น่ารักของผมเรียกไม่พอดึงชายเสื้ออีก เดี๋ยวก็ได้ล้มทับพอดี
ผมหันไปหาถามเสียงอ่อย “ ว่าไงครับ ”
“ วันนี้ชลจะมามั้ย ” ถามด้วยหน้าตาใสซื่อตาเป็นประกายความหวังระยิบระยับ
เอาตามตรงนะ... ขืนไปเจอหน้าตอนนี้มีหวังโดนกระทืบกลับมาให้ช้ำกว่าเดิมสิ รายนั้นโวยวายที่หนึ่ง คิดเองเออเองที่สองไม่เป็นรองใครหน้าไหน ปานนี้ไม่รู้คิดไปแล้วมั้งว่าโดนผมข่มขืนรังแก
ตลอดเวลาที่ผมอยู่บนโลกมนุษย์ในฐานะกัมปนาทพี่ชายของน้ำฟ้า ผมคอยดูติดตามชลธีเสมอ นิสัยเจ้าตัวในตอนนี้ผมพอจะรู้ดีเลยครับ ทั้งกินจุ เอาของกินมาล่อก็เป๋ตาม โวยวาย คิดมาก มโนเก่งอีก (ตามที่ผู้หญิงในคลาสเรียนของผมมันว่ากันนะครับ) ถ้าว่ากันตามจริงแล้ว มุมแบบนี้มันหาไม่ได้เลยจากชลธาร รายนั้นนิ่งเงียบ ยิ้มทีก็ขนลุกขนพองสยองสุดๆ แต่ไม่ว่าจะคนไหน พวกเขาก็คือคนๆเดียวกัน สุดท้าย...ผมก็รักอยู่ดีไม่ว่าจะเป็นยังไง
แต่ที่ผมห่วงคือ...ชลธีในตอนนี้เขาไม่ได้รักผม
ใช่ มันน่าห่วง...มากๆ
ถึงชลธารจะรักผม แม้รักของเขาจะรุนแรงก็เถอะ ผมก็ไม่มั่นใจพอหากที่จะทำพิธีแล้วชลธีไม่ได้รักใคร่อะไรผม แล้วเกิดการผิดพลาดรวมร่างทำพิธีสำเร็จแต่หัวใจของเขากลับไม่มีผม อันนี้เป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้จริงๆ
แต่ผมไม่ค่อยรู้ด้วยนี่สิ ...การจีบมนุษย์คนหนึ่งต้องทำยังไง
แรงกระตุกทำให้ผมหลุดจากภวังค์ “ ทำไมเงียบล่ะ ”
ยิ้มกะพริบตาถี่ๆเพื่อเรียกสติ “ ยูนิคไม่ให้พ่อลงไปครับ ” ผมบอกไปตามตรงเพราะสภาพร่างกายมนุษย์ตอนนี้เรียกได้ว่าพังยับสุดๆ แผลก็ยังไม่สมานสักจุดที่เห็นไม่เป็นรอยอะไรนี่ใช้เวทย์ลวงตาทั้งนั้น...
“ งื้อ งั้นให้เดือนพรายกับสกายไปรับสิๆๆ ” เดี๋ยวพ่อถีบเลยนี่ ปวดหัวมากกว่าเดิมอีก
ผมยิ้มอ่อนๆ “ ไปอ้อนลุงๆเขาเองนะครับ ส่วนพ่อ...คงต่อใช้เวลารักษาตัวหลายวัน แถมยูนิคยังห้ามไม่ให้ลงอีก ” สิ้นประโยคก็ไอออกมาอีกชุดใหญ่ “ แล้วก็ชลคงไม่ว่างครับ เมืองมนุษย์เขาต้องเรียนกันครับ ”
“ งั้นพนาจะไปเรียน! จะได้เจอชล ” เด็กเอาแต่ใจว่า
ผมส่ายหน้า “ ไม่ได้ครับ เรายังเด็ก ”
พนามองผมด้วยสีหน้าผิดหวังปนแง่งอนเพราะไม่ได้ดั่งใจจึงหันไปหายูนิคที่สภาพซีดเซียวเพราะยังไม่ฟื้นจากบาดแผลนัก
ยูนิคหันไปมาทางผม “ แล้วเรื่องเรียนของท่านท้าวล่ะครับ ”
“ คงต้องให้น้ำฟ้าส่งใบลาให้อาจารย์ ”
ผมว่าอย่างอ่อนแรงสุดๆ พยายามเค้นแรงน้อยนิดส่งกระชากจิตควบคุมแทรกแซงผู้หญิงแสนน่ารักคนนั้น.... พนามองดูอย่างเซ็งเป็ดเซ็งไก่เซ็งพ่อมังกรหันมาหาแฝดยูนิคอร์นผู้ควบตำแหน่งพี่เลี้ยงตัวเอง
“ ยูนิค สกายอยู่ไหน ” แหวใส่อย่างไม่มีความเคารพ
“ พี่สกายนอนอยู่ครับ สภาพก็แย่พอกับท่านท้าวครับ ” เด็กหนุ่มยิ้มแห้งกลับไปพลางหยิบชุดผ้าเนื้อบางสีดำออกจากตู้ไม้ขนาดใหญ่มาผลัดเปลี่ยนให้กับผมที่ใกล้จะหมดแรงเต็มที่ “ ท่านท้าวน่าจะหลับสักสามวันนะครับ เผื่อจะดีขึ้น อ้อแล้ว ผมขอเตือนนะครับ ห้ามหนีออกไปเด็ดขาด ”
ผมพยักหน้าให้กับคำแนะนำแกมสั่งนั้นแล้วหลับตาลงเอนกายลงบนพื้นแข็งๆที่เป็นพื้นดิน กะละมังรองเลือดถูกยูจินดึงออกไป เสื้อผ้าที่สวมอยู่ก่อนหน้านี้ถูกถอดออกจนเปลือยเปล่าและถูกคลุมด้วยผ้าสีดำบางๆ...
ทุกคนขยับตัวห่างจากตัวผม ก่อนยูนิคสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะผสานมือเข้าหากันแล้วร่ายเวทย์การฟื้นฟูใส่ ตราอักขระโบราณฉายวาบเป็นแสงสีขาวทั่วห้องมืดขนาดใหญ่ ร่างกายเนื้อหนังของมนุษย์ค่อยๆหายไปจนให้เห็นเกล็ดแข็งสีน้ำเงินเข้มทั่วตัว ร่างกายขยายใหญ่ขึ้นมากกว่าเดิมสามสี่เท่า ใบหน้าของมนุษย์ไม่มีอีกแล้ว มีเพียงมังกรสีน้ำเงินสูงขนาดใหญ่นอนขดตัวอยู่ในวงเวทย์สีขาว....
ห้องนี้อยู่ชั้นใต้ดินจึงเพียงพอที่จะให้มังกรตัวโตตัวหนึ่งนอนได้อย่างสบายใจโดยไม่มีใครรบกวน... บรรยากาศเงียบลงหลังร่ายเวทย์ พนามองนิ่งๆก่อนจะสะบัดหน้าไปหายูนิคอีกครั้งผู้เป็นบุคคลที่ใจอ่อนที่สุด มือป้อมรีบตะปบขาเกาะแกะทันที
“ ยูนิคคคค ”
คนโดนเสียงถึงกับเหงื่อตกเลย “ ว่าไงครับ ” ย่อตัวลงอุ้มเด็กขึ้นมาแล้วหันไปหายูจินเพื่อส่งสัญญาณให้ขึ้นไปด้านบน คนเป็นน้องพยักหน้ารับแล้วหอบกะละมังเลือดขึ้นไปด้วย
“ พนาอยากไปหาชล ” ร้องบอกความต้องการตัวเอง “ ไป นะ นะ! ”
“ แต่ว่า... ” ยูนิคทำหน้าไม่ถูก ปกติเขาเองก็ไม่เคยจะลงไปข้างล่างเดินปะปนอยู่ในฝูงมนุษย์นัก ยกเว้นจะลงไปกับสกาย เขาเพิ่งลงมาอยู่ที่นี่ได้แค่ปีกว่าๆของโลกมนุษย์เอง
จะให้ลงไปงั้นเหรอ...
“ ก็ไปสิ!! ”
เสียงห้าวที่ไม่ตัวเขาร้องแทรกมา ยูนิคหันไปหาด้วยใบหน้าที่ไม่ค่อยจะเห็นด้วยนัก แต่รอยยิ้มของน้องชายที่นานๆที่จะส่งมาให้พาให้ใจอ่อนยวบ
“ เดี๋ยวพาไปเอง ” ยูจินยิ้มกว้างฉวยตัวพนามาไว้กับตัวเอง “ พี่จับมือผมไว้แน่นๆล่ะ ”
“ ไม่เอา ยูจิน เดี๋ยวก็โดนดุหรอก ”
“ ไม่มีใครกล้าว่าพนาสักหน่อย ” เด็กนี้ก็ถือตัวว่าใหญ่คับบ้านจริงๆเลย เฮ้อ
“ ใช่ เพราะงั้น ไปกัน! ”
ยูนิคได้แต่ส่ายหน้าอย่างปลงตกจะอ้าปากห้ามแต่โดนยูจินคว้ามือมาจับแน่นแทบแกะไม่ออกแล้ว...วูบ!! ความมืดแผ่ซ่านออกมาจนมองอะไรไม่เห็น เพียงแค่อึดใจเดียว...
ต่อโพสล่างนะคะ
-
“ เฮ้ยยยยย!! ”
เสียงร้องระดับฟ้าจะถล่มดินจะทลายโลกจะพังเขื่อนจะแตกโคตรจะดังแทงแก้วหูตายนี่มันเสียงใครวะ ไม่รู้จักมีความเกรงอกเกรงใจ พ่อแม่มันเคยสอนมารยาทมามั้ย หนังสือผู้ดีเคยอ่านมั้ย ยังสินะ ยัง ยัง...
ยังไม่หยุดด่าตัวเองอีก!
ไอ้เสียงร้องดังสุดติ่งงูกระดิ่งฟรุ้งฟริ้งเมื่อครู่เป็นของกระผมนายชลธีคนเดิมเพิ่มเติมคืออาบน้ำแล้ว แฮ่!
เบรกอารมณ์พูดคนเดียวแปบ... และก้มมองดูสถานการณ์ประหลาดตรงหน้า...
คุณจะคิดยังไง... เมื่อคุณกำลังเดินเอื่อยๆจะเข้าตึกคณะเรียนแล้วมีบางอย่างร่วงลงมาตรงหน้า ไม่ดิ แบบปรากฏตรงหน้าเลย โผล่มาแบบผีในหนังไม่มีผิด! แต่ที่โผล่มาเสือกไม่ใช่ผีไง เป็นเด็กสามตัว เอ๊ย สามคนยืนทำหน้ายิ้มแป้นมาให้
“ ยูจินนนนน ”
“ ครับ ”
“ ยูนิคคคคคค ”
“ อ่า...ครับ ”
“ พนาาาาา ”
“ คร้าบบบบบบบ ^O^ ”
ร้องซาวด์สโลโมชั่นเพื่อ? จะลากยาวทำแป๊ะซะปลาช่อนรึไง เปลืองแรงเขียนมั้ย เปลือง!
หันซ้ายหันขวามองหน้ามองหลังกระโดดตบมองวิดพื้นมองด้วยความเงียบเพราะเกรงว่าจะมีคนสนใจ... แต่ถ้าเขาสนใจ เขาสนใจตั้งแต่มึงกระโดดตบแล้วชล...
“ มากันได้ไงเนี่ย มานี่เลยๆๆ ” จัดการหนีบหิ้วคว้าคอเด็กให้เดินตามมายังลานกว้างสวนของตึกคณะเลือกหามุมมืดสักมุมเพื่อคุยกัน
ผมมองรอบตัวที่ดูจะสนใจไม่เลิกแล้วต้องแยกเขี้ยวใส่ให้หยุดมอง เออ รู้ว่าหน้าตาดีครับ ไม่ต้องมอง
หมายถึง ไอ้เด็กทั้งสามนะครับที่หน้าตาดี ส่วนผมน่ะเหรอ... เศษเล็บขี้เล็บของไอ้เด็กพวกนี้น่ะสิ
คิดแล้วก็อยากจะร้องไห้ ฮึก!
“ ชล คิดถึงพนาเปล่า ” เด็กมีหางเพิ่มเติมคือชุดนอนแฟนตาซีเป็นชุดหมาสีน้ำตาล เหลือบๆมองดูเหมือนจะไม่มีหางแล้วแต่เสือกมีปีกแทน โอ๊ยยย หาความปกติให้ไอ้เด็กนี่ไม่ได้สักที
ผมทำหน้าบึ้ง “ ไม่ ”
หันหน้าลูกมันแล้วพาลจะนึกถึงพ่อมังกรมัน มันทำอะไรกับกูไว้รู้มั้ยยยยยยย
มันไม่ปล้ำกูเว้ย! กูเคือง!
เดี๋ยวๆ ไม่ใช่ๆ ผิดประเด็นไปไกลล่ะ กูเคืองเพราะพี่มันจะปล้ำกูเว้ย และกูดีใจสุดๆที่รอดเงื้อมือมันมาได้โดยที่ตัวเองยังคงบริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นยองใยอยู่
ทุกคนควรเข้าใจให้ตรงกัน นายชลธีนั่นไม่เกินก็ขาด บ้าๆบอๆ พูดไม่รู้เรื่อง
“ ฮึก! ฮือออออออ ” สองวิต่อมาเสียงระเบิดร้องไห้ดังสะท้านปฐพีตึกแทบถล่ม... เพื่อนพี่น้องนักศึกษาหันขวับมาจ้องเขม็งที่ผมเป็นเชิงต่อว่าทันที กรี๊ดดดด กูทำอารายยยย
ผมวางของลงบนโต๊ะแล้วจัดการอุ้มไอ้เด็กเจ้าปัญหาขึ้นมาปลอบทันที “ โอ๋ๆ ไม่ร้องนะครับ พี่แค่ล้อเล่นเองงงง ”
“ แง!!! ”
ร้องหนักกว่าเดิมอีก ไอ้เด็กเวร....
ผมทำหน้าเอ๋อไม่รู้จะทำยังไงพอหันไปขอความช่วยเหลือจากเด็กแฝดก็นั่งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้มองนกมองไม้กินขนม(มาจากไหนวะ)
เบะปากจะร้องไห้ตาม “ ยูนิค มาช่วยพี่ปลอบหน่อยสิครับ ”
เจ้าของชื่อยิ้มหวานให้ และ... “ พี่ชลทำน้องร้องไห้ก็ปลอบเองสิครับ ”
ไอ้เด็กปีศาจนี่ครายยยยยยย
เอาน้องยูนิคแสนดีเชื่อฟังคนเดิมกลับมาด่วนนนน
“ ฮึอ ฮึกกก ” ไอ้นี่ก็ยังไม่หยุดร้องอีก ผมล่ะจนปัญญาจะปลอบแล้วจริง ร้องไห้ร้องไป กูมีปัญญาทนฟัง อีกสามสิบนาทีกูจะชิ่งไปเรียนล่ะ
“ ทำอะไรอยู่วะชล ”
อุ๊ย เสียงหล่อที่ไหนเรียกเค้า...
หันขวับคอแทบเคล็ด...ผมหันไปมองตามเสียงนั้นก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างเลิกสนใจไอ้เด็กขี้แยแทบจะทันที ก็เจอหน้าหล่อๆขาวผ่องลอยกระแทกเบ้าตาทันที มันสูงเปรตพอๆกับไอ้พี่นาท ทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมองมัน ทำมายทำไมคนที่ผมรู้จักแม่งหน้าตาดีระดับชนิดถวายข้าวสารวัดสิบตันบริจาคเงินสามล้านก็ยังไม่ได้เบ้าหน้าแบบนี้เลย
“ เคลียร์ มาไงวะมึง ” ผมถามกลับมองหน้าโคตรจะหล่อโคตรอปป้าของเพื่อนต่างคณะที่เผลอไปสนิทตอนไหนก็ไม่รู้ นานๆจะได้เห็นหน้ามันสักที มั่วแต่ไปคลุกอยู่กับสาว
มันยักไหล่ “ ขับรถมา ”
“ กวนตีน ” หล่อแล้วกวนตีนนับว่าผิดนะครับ “ มาส่งสาวอ่ะดิ๊ ”
“ รู้ใจจริง ” มันหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะให้ความสนใจกับเด็กในอ้อมกอดผมที่แม่งหยุดร้องไห้แล้วแถมยังจ้องหน้าเคลียร์นิ่งไม่วางตาอีก “ นี่ลูกนายเหรอ ”
“ บ้า! / ใช่! ”
“ หา? ”
“ เฮ้ย! / เฮ้ย! ”
“ ไอ้ชลมีลูกเว้ย!!! ”
“ จริงดิ ไอ้ชลธีอ่ะนะ! ”
“ มีผู้หญิงเอามันด้วยเหรอ หน้าแม่งหวานกว่าผู้หญิงอีก ”
เสียงแรกคือ ผม เสียงที่สอง คือ ไอ้เด็กเวรพนา เสียงที่สามคือ เคลียร์ที่เอ๋อไปแล้ว เสียงที่สี่ห้า คือ เด็กแฝด และไอ้สามเสียงสุดท้าย มึงมายังไงห่ะ ไอ้โต๊ะข้างๆ! สาระแน! หน้าใครหวาน เขาเรียกหวานสไตล์ผู้ชายอ่อนโยนเฟ้ย! เห็นหงิมๆนี่ หญิงเยอะนะมึงงงงงง
“ น้องชายข้างบ้านน่ะ ” ผมยิ้มร่ากัดฟันกรอดพยายามพูดไหลลื่นเป็นปลานิล(คืออยากกิน ไม่มีไรมาก) มือจับผมเด็กลูบๆอย่างเอ็นดู แม้ในใจนั้นกูอยากจะกระชากหัวมันก็ตาม...
“ เหรอ ” เคลียร์มันหรี่ตามองพิจารณาแล้วโน้มหน้ามาจนแทบจะชิดกับเด็กในอ้อมกอดผม พนาน้อยมองนิ่งๆไม่ได้ขยับหนี ดูแววตาแล้วแทบจะลุกไหม้แปลกๆ... “ เด็กน่ารักดีนะ”
เคลียร์มันยิ้มหวานให้ก่อนจะทำเรื่องไม่คาดฝัน
ฟอด...
ปลายจมูกโด่งๆหอมลงบนแก้มอวบๆของพนาหนักๆก่อนจะผละออกโดยที่ไอ้เด็กพนาตาค้างเติ้งไปแล้ว พอได้สติก็เบะปากร้องไห้จ้าอีกรอบ จนผมต้องรีบปลอบ ไอ้เด็กนี่ โดนคนหล่อหอมแก้มแล้วยังร้องไห้อีก ถ้าเป็นผมนี่คงดีใจเนื้อเต้นริกๆเป็นจังหวะสามช่าไปแล้ว
อะไรเอ่ย... ใจง่าย
“ มึงแกล้งเด็กทำไม ” ผมทำเสียงดุใส่ไอ้เพื่อนตัวดีที่ยังคงไม่สนโลก นั่งลงที่นั่งโต๊ะหินอ่อนก่อนจะฉกตัวเด็กจากอ้อมกอดของผมไปนั่งแหมะบนตักมันแล้วดึงแก้มอวบทั้งสองข้างอย่างเมามันส์ให้เด็กแหกปากร้องไห้หนักกว่าเดิม
“ ปล่อย ปล่อย ไอ้บ้า ปล่อยพนานะ ”
เด็กน้อยหยุดร้องไห้แล้วก็อาละวาดตีมือเคลียร์ไม่หยุด ไอ้คนรักเด็กก็หัวเราะร่าอุ้มตัวเด็กมังกรขึ้นลงแกล้งจะโยนขึ้นฟ้าหลายรอบล่ะ แต่มึงอย่านะเว้ย นี่ลูกมังกรเว้ย ขืนโยนขึ้นฟ้าเดี๋ยวมันกางปีกบินขึ้นมา ชิบหายเลยนะ
“ โอ๋ๆ เด็กน่ารัก ไม่ร้องสิครับ พี่แค่หยอกเล่นเอง ” เคลียร์มันรักเด็กนะ จากที่เพื่อนต่างคณะมันเล่ากันมา เห็นมีค่ายอาสาที่ไหน มีมันที่นั่น หล่อไม่พอยังเสือกใจบุญรักเด็กแข่งกับนางงามอีก
ยูจินนั่งมองเงียบไม่ได้คิดจะช่วยพนาเลย “ พี่ชล เลิกเรียนกี่โมงอ่ะครับ ”
“ ยูจินนนน ช่วย อุ๊บ ” พนาน้อยหันจะไปร้องขอความช่วยเหลือแต่โดนขนมปังยัดปากเล็กไปด้วยฝีมือเคลียร์ “ แอ่ก แอ่ก ”
“ โทษที พี่ไม่น่ายัดไปแบบนั้นเลย ” คนหล่อทำหน้ารู้สึกผิดพลางลูบหลังเด็กไปด้วย พนาแหน้าดำหน้าแดงคายขนมปังใส่ฝ่ามือใหญ่ที่รองรับอยู่ น้ำลายและก้อนขนมปังชิ้นใหญ่เปื้อนเปรอะมือใหญ่แต่เคลียร์ไม่ได้รังเกียจอะไร ออกจะเอ็นดูเด็กมีหางที่ตอนนี้มีปีกอยู่มากกว่าเดิมอีก
“ แค่กๆ แค่กๆ ” เด็กตัวน้อยยังไอไม่หยุดจนเคลียร์ต้องอุ้มให้ซบกับไหล่กว้างมันและลุกขึ้น
“ เดี๋ยวกูเอามาคืน พาไปหาน้ำกินก่อน ”
ว่าเสร็จก็ฉกตัวเด็กไปเลย ทำเอางงแดกทั้งโต๊ะ... เออ เอาไปเถอะ แค่ไม่เอาไปขายก็พอ ผมพยักหน้าหงึกๆไป ถ้าพนามันโตกว่านี้ไม่เด็กทารกนะ กูคงคิดว่าไอ้เคลียร์มันจีบมันเต๊าะแล้ว แต่ถ้ามันชอบจริงนี่เสี่ยงคุกไปเปล่า เด็กแม่งยังไม่ถึงห้าขวบเลยมั้ง แล้วนี่กูคิดอกุศลไรเนี่ย
“ พี่ชล ปล่อยพนาไปกับผู้ชายไม่น่าไว้ใจแบบนั้นได้ไง ” ยูจินดุผมพลางยัดขนมเข้าปากแล้ววิ่งตามไป “ พี่มันแย่ ”
ว๊ายยย โดนเด็กด่า
เจ็บเหมือนโดนส้นตีนอัดหน้ากลางมหาสมุทรเลยครับ....
ผมพ่นลมหายใจทิ้งอย่างไม่ได้คิดมาก โธ่ ผมรู้จักไอ้เคลียร์มาตั้งนาน ดีกรีสิบผู้ชายในฝันที่สาวๆชะนีเก้งกวางสมันเลียงผาทั้งหลายต้องการ มันคงไม่สิ้นคิดขโมยเด็กน่ารำคาญไปหรอก
จริงสิ... เหมือนผมลืมอะไรไป
“ ยูนิค แล้ว...พี่นาทอ่ะ ” อ้อมแอ้มก้มหน้างุดราวเด็กสิบห้าหัดมีความรัก ความรักพ่องสิ กูอายเรื่องเทื่อคืน ตอนนี้คิออยากกระทืบมัน
ยูนิคทำหน้างงนิดๆก่อนจะตอบ “ ท่านท้าวรักษาตัวอยู่ครับ น่าจะมาไม่ได้สักสามวัน ”
“ เป็นอะไรมากมั้ย ”
“ เจ็บหนักเลยครับ คงออกมาไม่ได้หลายวัน กระดิกตัวคงยาก แผลเต็มตัวมากครับ ” คงหมายถึงแผลจากวันนั้นที่เกิดการปะทะที่ห้างแล้วก็ที่ไอ้พี่มันไปป่าแล้วก็...
“ เรารู้ใช่มั้ยว่า...เอ่อ ไอ้พี่นาทอ่ะมันโดนแบบ แบบ ” ติดอ่างเลยครับ มันน่าอายนี่หว่า
ยูนิคพยักหน้า “ ครับ โดนเวทย์กระตุ้นปลุกกำหนัดครับ ” ยิ้มนิดๆ “ แต่พี่ชลก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่ครับ ยังไม่โดนไม่ใช่เหรอ ”
“ ก็...ใช่ ” แล้วทำไมผมต้องมานั่งคุยเรื่องปั่มๆปั๊มๆๆกับเด็กที่อายุหน้าตารูปร่างรวมกันจะถึงสิบห้าด้วยเนี่ย “ พี่...รอดมาได้ไงยังงงอยู่เลย ”
“ อ้อ ” เด็กหนุ่มหน้าหวานพยักหน้ารับฟังมีแวบหนึ่งที่ผมเห็นว่าไอ้เด็กนี้มันจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ยั้งไว้ “ เรื่องนี้ผมขอไม่ยุ่งแล้วกัน ไปถามท่านท้าวเองนะครับ ”
“ อีกตั้งนานกว่าจะเจอ... ” ผมหลุดพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่เสียงสงสัยของยูนิคจะดังขึ้นเรียกสติผม
“ เอ๋... พี่ชลคิดถึงท่านท้าวขนาดนั้นเลยเหรอครับ ”
!!
“ ปะ เปล่าสักหน่อย ” เอ่ยตะกุกตะกักก่อนจะเบือนหน้าร้อนๆของตัวเองไปอีกทาง” ดี ไม่ต้องมมาเลย ตายไปเลย ถ้ามาให้เห็นหน้าจะกระทืบให้เละเลย ”
คนฟังหัวเราะเบาๆ “ ครับ ผมจะพยายามเชื่อแล้วกัน ” รอยยิ้มสวยยกขึ้นแล้วเหม่อมองไปบนท้องฟ้า “ เหมือนเมื่อก่อนเลย... เขาก็ปากแข็งปากหนักแบบนี้ตลอด ”
หูหางตั้งทันที “ เขาไหน ชลธารเหรอ ”
“ ...อ่า ครับ ” ยูนิคครางรับเบาๆ “ แต่ไม่ต้องถามเรื่องราวของเขาเลยนะครับ เดี๋ยวพอพี่อายุครบก็รู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว ”
“ ก็มันอยากรู้เร็วๆนี่หว่า ” นายชลธีไม่ค่อยจะขี้เสือกเลยครับ... “ เดี๋ยวพี่ต้องขึ้นเรียนแล้ว เราก็กลับกันได้แล้วนะ”
“ ที่มาก็เพราะพนาบังคับล่ะครับ เดี๋ยวถ้าท่านท้าวรู้ว่าหนีออกมาคงแย่กันหมดแน่ ”
เด็กยูนิคอร์นว่าหน้าแหยจะเปิดปากพูดอีกครั้งไอ้ตัวกลมๆเป็นก้อนๆก็กระโดใส่หน้ายูนิคแล้วร้องไห้โยเยเป็นรอบที่สามล้านของวันตั้งแต่ผมเจอมัน
“ ฮือออ ยูนิค กลับบ้านๆๆๆ ”
พยายามยามแกะมือกาวออก “ ปะ เป็นอะไรครับ เดี๋ยว พี่หายใจไม่อก ”
“ ไอ้บ้าเคลียร์ มันแกล้งเค้า มันแกล้ง แง! ” ฟ้องใหญ่เลย ผมเบือนสายตาไปทางเพื่อนตัวดีที่ยิ้มร่าไม่ได้รู้สึกผิดแล้วเกิดอาการหมั่นไส้เอื้อมมือไปหยิกพุงมันแรงๆทีนึง
“ แกล้งเด็กทำห่าไร ดูมันดิ๊ ร้องไห้จนหน้ามันแดงหมดแล้ว ” ผมหยิบผ้าเช็ดหน้าแล้วลุกขึ้นเท้าแขนกับโต๊ะข้างหน้า อีกข้างเอื้อมไปเช็ดหน้าเช็ดตาให้เด็กขี้แย
“ เหรอ... ร้องไห้เพราะหน้าแดงเหรอ ” น้ำเสียงดูเจ้าเล่ห์ซะจนผมแปลกใจ หันกลับไปหามัน...
“ มึงทำอะไรน้องห่ะ ”
“ ก็เปล่า แกล้งเล่นเฉยๆ ” มันกดยิ้มมุมปากก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธเหมือนไม่ได้ทำอะไรผิด “ มึงก็ไปเรียนได้แล้วชล ไป เดี๋ยวกูไปส่งหน้าห้อง ”
มันกระตุกแขนเสื้อผมพลางหันไปยักคิ้วให้พนาที่มองจ้องไม่หยุด พอสบตาเข้า ไอ้เด็กพนาก็เบือนหน้าหนี.... เกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย
“ งั้นผมขอตัวกลับก่อนนะ ” ยูนิคที่มีสภาพงงไม่ต่างจากผมว่าก่อนจะพยักหน้าให้ยูจินที่ยืนมองสำรวจไอ้เคลียร์แปลกๆเงียบๆ “ ไปเถอะจิน ”
มาสร้างความอยากรู้ให้กูและก็จากไป...ขอบคุณ
ผมมองตามเด็กสามคนนั้นไปอย่างห่วงๆ จะกลับกันได้มั้ยนะ แต่ช่างเถอะ ขนาดมายังมาได้ กลับก็ต้องกลับได้สิ สองมือเก็บกวาดหนังสือชีทขึ้นมาถือแต่โดนใครอีกคนที่ยังไม่ไปไหนสักทีเหมือนมันไม่มีเรียนแย่งไปถือ
“ เร็ว เดี๋ยวกูไปส่ง ”
ผมเบ้ปากนิดๆ “ กูไม่ใช่พวกผู้หญิงของมึงไม่ต้องมาเอาใจ ”
“ หน้าอย่างมึง กูไม่แลเหมือนกันครับ ” คนหล่อปากหมา ชลรับไม่ได้จริงๆ ขี้เกียจต่อปากต่อคำเลยเดินนำขึ้นตึก มันก้เดินตามมาไม่พูดอะไร
เดินไวเหมือนควายหายแต่ก็เบรกเท้าแทบไม่ทันหน้าเกือบทิ่มไปนอนวัดกับพื้นขัดมันของคณะ... นัยน์ตาเบิกโตมองไปข้างหน้า... ผมยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นจนคนตามหลังมาถึงกับร้องทัก
“ หยุดทำไม ” เคลียร์โน้มมาถามเพราะผมเตี้ยไง “ มองอะไรวะ ”
มองอะไร... นั่นสิ...
ตรงหน้าผมในระยะร้อยเมตร(สายตากูช่างไกลจริงๆ) เห็นผู้ชายคนหนึ่งที่หน้าตาโคตะระคุ้นๆเดินมากับผู้หญิงฝูงหนึ่ง... หน้าตาก็โคตรจะสวย มีคนหนึ่งควงแขนมาด้วย ใบหน้าของคนที่อยู่ศูนย์กลางนั้นตอบรับยิ้มแย้มพูดคุยสนุก...
ยูนิคอร์นตัวไหนมันบอกวะ... ไอ้พี่นาทจะไม่มา...
แล้วไอ้ที่เดินหน้ายิ้มหัวเราะหยอกล้อกับผู้หญิงนั่นมันอะไร...
วูบหนึ่งรู้สึกเหมือนอะไรมาผลักตกเหวไม่มีผิดและรู้สึกถึงความร้อนในอก แต่มีเพียงครู่เดียวก็เรียบเฉย... มันแค่วูบเดียวจริงๆ
“ หือ... มองพี่กัมปนาทเหรอ ” เคลียร์มองตามแล้วหันมาพูดกับผม “ เขาเรียนคณะนี้นี่เนอะ ไม่ได้เป็นเดือนคณะแต่ดังมากเลยว่ะ ”
“ เหรอ ” ผมพยายามจะไม่ใส่ใจอะไร แต่ตานี่ยังจ้องมันไม่เลิก
“ ไม่เคยเห็นคบใครเลยนะ แต่รู้กันทั้งมหาลัยว่ามันคุยเล่นไปทั่ว ใครเข้าหามันก็คุย ” ทำไมกูไม่รู้วะ ปกติกูนี่รู้หมด ใครชอบใคร ใครเกลียดใคร บ้านใครปลาทองตาย บ้านไหนหมาคลอดลูกกี่ตัวกูรู้หมด “ ไม่ใช่มันเจ้าชู้นะ แต่แบบใครเข้ามาคุย มันก็คุยเหมือนๆกันทุกคน แล้วผู้หญิงมักคิดเองเออเองแหละว่ามันชอบ ”
ผมรู้จักมันมาตั้งแต่ปีหนึ่ง... ทำไมผมไม่รู้อะไรเลย
แล้วไอ้เกือบๆเดือนที่ผ่านมา พาผมเจอแต่อะไรก็ไม่รู้นี่...คือห่าไรวะ
ทำไมกูรู้สึกเหมือนเป็นคนนอกแบบนี้วะ...
คิดว่ารู้จักมันดี คิดว่าสำคัญ... แต่แม่งไม่ใช่ว่ะ
แต่...ไม่เคยจะเห็นเลยว่ามันควงหญิง... ไม่เคยเห็นจริงๆนะตั้งแต่รู้จักพี่มันมา
“ มึงได้ดูในเฟสปะ คนติดตามเยอะชิบหาย กูเห็นแล้วโคตรอิจฉาเลยว่ะ ” มันเล่นเฟสด้วย โห...ไอ้มังกรไฮเทคยุคโซเซี่ยลดิจิตอล แต่มึงไม่รู้จักแฮร์รี่ พอตเตอร์... ทำดี
รู้สึกเหมือนคนโง่ก็คราวนี้แหละ...
ผมยืนนิ่งกับสภาพจิตใจที่ติดลบคำพูดไอ้เหี้ยเคลียร์แม่งก็เข้าหูทุกอย่าง จนสุดท้ายก็หันไปถามมันด้วยความสงสัย
เรื่องราวของมันในอีกโลกผมก็ไม่รู้
เรื่องราวของมันในโลกมนุษย์ที่มันสร้างขึ้นมาลวงตาคน...ผมก็ไม่รู้
สรุป ผมรู้อะไรเกี่ยวกับมันบ้างวะ
“ มึงชอบพี่เขารึไงวะ ดูจะรู้ทุกอย่างเลยจริงๆ ” ผมถาม
“ อ้าว ชอบน้องสาวเขาก็ต้องรู้นิสัยพี่ชายเขาไว้บ้างดิว่ะ ” น้องสาว...อ้อ น้ำฟ้าน่ะเหรอ....
ผมหัวเราะนิดๆ “ โชคร้ายหน่อยนะ ไอ้นนท์เพื่อนกูใกล้จะคบกับน้ำฟ้าล่ะ ” ตอแหลครับ
“ จริงดิเฮ้ย! ” มันคว้าตัวผมหมับแล้วเขย่าๆๆๆ กูคนนะ ไม่ใช่ขนมโลตัส ยิ่งเขย่ายิ่งอร่อย “ ไม่ได้ล่ะ กูต้องไปทำคะแนน มาเลยมึง พากูไปหานางฟ้าคนสวยซะดีๆ ห้องไหน บอกกูมาเลย ”
จับข้อมือผมหมับแล้วลากขึ้นบันไดตรงไปห้องเลยไอ้ผมก็ขี้เกียจจะขืนแรงมันก็ปล่อยๆให้มันลากไป แล้วเป็นจังหวะเดียวกันที่ไอ้พี่นาทมันเงยหน้าขึ้นมาพอดี มันดูตกใจอ้าปากจะเรียกผมแต่จู่ๆแววตามันก็เปลี่ยนพลันเจือความขุ่นเคืองไว้มากมายจนผมไม่เข้าใจ...
ใครสมควรจะเป็นคนโกรธวะ!!
ผมตีหน้าบึ้งกลับไปแล้วหันกลับไปเดินเร่งนำไอ้เคลียร์ไปห้องเรียนเอง ไอ้เคลียร์มันก็คงงงมั้งว่าผมจะรีบไปตามควายที่ไหน พอมาถึงห้องก็ตรงรี่ไปหาน้ำฟ้าที่นั่งรอเรียนอยู่โดยมีสายตาไอ้นนท์ทิ่มแทงเป็นหมาวัดหวงนางฟ้าอยู่แล้วขำ เพราะอาจารย์ยังไม่มามันก็เลยต้องรีบใช้โอกาสน้อยนิดในก่อนจีบ
ผมยิ้มขำเดินเข้ามาเตรียมนั่งข้างๆไอ้นนท์...
หมับ!!
แรงจับที่ต้นแขนดึงรั้งไม่ให้ผมนั่ง... ในห้องที่กำลังเสียงดังสุดก็เริ่มเงียบ... และซุบซิบ...
“ แก นั่นพี่กัมปนาทรองเดือนปะ ”
“ เข้ามาหาฟ้ามั้ง ”
“ ตาบอดไปมั้ยมึง เขาจับแขนไอ้ชลอยู่ แหกตาดู ”
ไม่ต้องตกใจแบบนิยายครับที่หันไปแล้ว เฮ้ยยย นาย มาได้ไงวะ! ฟังจากคนรอบข้างขี้เสือกก็รู้หมดแหละว่าใคร ไม่มีอารมณ์มาตกใจแหละ ผมวางของในมือลงก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับมัน...
“ มีอะไร ”
มันทำหน้าขรึม “ ไปคุยกันข้างนอก ” เหลือบมองไปทั่วห้องที่มองมาอย่างสนใจ...
“ ผมต้องเรียน ” ว่าแล้วก็สะบัดแขนออก แล้วมันก็จับใหม่ “ ปล่อยดิ! ”
“ ไปคุยกัน ” มันว่าอย่างเอาแต่ใจ “ แปบเดียว ”
เริ่มหงุดหงิดแล้วนะ “ จะเรียน ” เอาดิ เอาแต่ใจเป็นเหมือนกัน
“ งั้นเลิกเรียนคุยกัน ” มันถอนหายใจระบายอารมณ์โมโห คิดว่ามึงโมโหคนเดียวรึไงวะ “ เลิกกี่โมง ”
“ ... ”
ผมเงียบไม่ตอบสะบัดแขนออกแล้วนั่งลงปล่อยมันยืนค้างไว้แบบนั้นแหละ มันดูจะหงุดหงิดกว่าเดิมแล้วเดินไปหาฟ้าคุยกันนิดหน่อยแล้วพยักหน้าสองสามที หันไปทางไอ้เคลียร์อีกแปปจากนั้นก็เดินออกไป ผมถอนหายใจอย่างเซ็งแซ่เพราะไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่ากำลังเล่นบ้าอะไร
หลังจากไอ้พี่นาทไป ไอ้เคลียร์ก็ไป ไม่ถึงสิบวินาทีที่พวกมันไป อาจารย์ก็เดินเข้ามา และเริ่มสอนต่อจากบทที่แล้วที่ค้างไว้... ไอ้ผมที่ปกติไม่เคยคิดจะตั้งใจวิชาเจ๊แกก็จดโน้ตยิกเลยครับ ถามว่าเขาใจมั้ย ตอบเลย ไม่สักนิด แค่จดๆไปเท่านั้นจะได้ไม่ต้องเอาสมองไปคิดอะไร
ท่าทางผมคงประหลาดมากมั้งจนเพื่อนต้องสะกิดถาม “ มึง... เป็นไรวะ ”
“ เปล่า ” ผมตอบไปแต่ตายังคงจ้องที่โปรเจกเตอร์ “ มึงคิดว่ากูมีอะไร ”
“ เปล่า... ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว ” มันทำหน้าลังเลก่อนจะตบไหล่ผมเบาๆ “ ถ้ามีอะไรก็เล่าให้กูฟังได้นะ ยังไงก็เพื่อนกัน ”
“ อืม ”
ผมพยักหน้าไปก่อนจะดำดิ่งต่อการจดทุกอย่างลงกระดาษ สามชั่วโมงเต็มๆที่ผมจดไม่หยุด เลิกจดก็ตอนหมดเวลา เจ๊แกดูหงุดหงิดพอสมควรที่สอนไม่จบบท เลยต้องสั่งงานเดี่ยวเพิ่ม การบ้านเพิ่มอีก โอ๊ย ส่งพรุ่งนี้! .ให้ตายเถอะ
“ ชล ”
“ หือ ”
ผมครางรับอย่างงงๆขณะที่กำลังเก็บของ เงยหน้ามองฟ้าเล็กน้อย ดูจากสีหน้าแล้วคงมีเรื่องจะถามผมแน่ๆ
“ มีอะไรรึเปล่า ”
เธอส่ายหน้า “ เปล่าๆ แค่แปลกใจนิดหน่อยนะ ตอนแรกพี่นาทบอกจะไม่มานะ แต่ไหงมาได้ก็ไม่รู้ แถมยังดูหงุดหงิดใส่ชลด้วย มีอะไรกันรึเปล่า ตอนอยู่บ้านพี่นาทก็ปกตินะ ”
ปกตินี่..คงเป็นภาพลวงตาที่มันใช้แทรกแซงความทรงจำเธอสิไม่ว่า...
“ ไม่มีอะไรกันหรอก อย่าสนใจเลยๆ ” ผมยิ้มให้เพื่อบอกว่าไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วลุกขึ้น “ เรากลับก่อนนะฟ้า จริงสิ มีร้านไอติมเปิดใหม่หน้ามอ ลองชวนไอ้นนท์ไปกินดิ ”
“ อ้อ ” ฟ้าพยักหน้ารับแล้วหันไปทางเพื่อนผม “ เอ่อ...นนท์ว่างมั้ย ”
“ ว่าง!!! ”
สำหรับฟ้าแล้ว ต่อให้ไอ้นนท์ไม่ว่างมันก็ว่างให้ได้แหละ ผมยิ้มรับกับภาพน่ารักตรงหน้า คู่นี้เหมาะกันจะตาย ไอ้นนท์มันก็หล่อ ฟ้าก็สวยแถมนิสัยยังน่ารักอีก เป็นแฟนกันคงน่าอิจฉาดี
เดินพ้นขอบประตูห้องเรียนให้รองเท้าพ้นมาสามเซนก็โดนมือใหญ่คว้าหมับ วันนี้มันเป็นอะไรกันวะ มีแต่คนคว้าคนจับแล้วลาก ลาก นี่คนครับ ไม่ใช่ตุ๊กตาที่คิดว่าจะจับลากไปไหนก็ได้
ไม่ต้องมองก็รู้ว่าใคร ไม่ใช่ริว จิตสัมผัสก็เดาได้....
ไอ้พี่นาท...
“ พี่มีอะไรกับผม ” น้ำเสียงฟังดูห่างเหินจริ๊งจริง ปล่อยให้มันลากลาก และลาก มันไม่ตอบคำถามผมพาเดินออกจากตึกคณะมาหน้ามอ...คือมึง... คือร้อนมาก วันนี้กูไม่ได้ทาครีมกันแดดมาด้วย
“ เฮ้ยพี่ หยุด! ”
หมดความอดทนแหละ ปล่อยให้ตัวเองเป็นนางเอกผู้อ่อนแอมานานโดนฉุดกระชากลากถูกข่มขู่รังกลั่นแกล้งตบจูบล่ามโซ่ พอๆไม่ใช่ล่ะ ผมสะบัดมือออกจากมือตุ๊กแกมันแล้วจ้องหน้ามันตรงๆ
เสือกมาหยุดตรงหน้าป้ายรถเมล์อีกห่า... คนมองตรึม... ไม่เป็นไร กูหน้าหนาพอ
“ มีอะไรก็พูดมา จะกลับหอ ” พยายามคุมเสียงให้ปกติแต่หน้าผมนี่งิกงอไปแหละ
“ ไปคุยที่อื่น ”
ทำท่าจะจับตัวผมอีกรอบ แต่รอบนี้ไม่ง่ายครับ เพราะผมหลบไง
“ ตรงนี้ เดี๋ยวนี้ ” เอาดิ ไอ้ชลนอกจากมีดีที่ขี้เสือกก็ดื้อนี่แหละ
ไอ้พี่นาททำหน้าเคร่งเครียดพลางกัดปากตัวเองนิดๆ แววตามันแทบจะเผาร่างผมได้แล้ว ก็ดูมันดิ ทำท่าจะบีบคอซะขนาดนั้น เป็นบ้าอะไร
“ มันเป็นใคร ”
ห่ะ? คำถามอะไรวะ
“ ใครเป็นใคร ” ไม่ได้จะกวนครับ แต่ไม่รู้จริงๆ
มันถอนหายใจเล็กน้อย “ คนที่จับมือชลที่บันได ”
ร้องอ้อในใจกำลังจะตอบไปว่าเพื่อน แต่มาคิดอีกที... แล้วมันเกี่ยวอะไรด้วยวะ ทำไมต้องบอกมันวะ ที่มันหงุดหงิดก็เรื่องนี้เหรอ
แต่คนที่ควรหงุดหงิดมันผมเปล่าวะ
“ ทำไมไม่ตอบ ” มันร้อนรนขึ้นมาดื้อๆ
“ แล้วทำไมผมต้องบอก ผมกับพี่ยังไม่ได้เคลียร์เรื่องเมื่อคืนนะ พี่ทำอะไรผมไว้ หา!! ” กระชากคอเสื้อนักศึกษามันแล้วเหวี่ยงไปกระแทกต้นไม้ที่มีอยู่ต้นเดียวท่ามกลางแดดร้อนๆทางเดินฟุตบาท
“ พี่ เอ่อ เรื่องนั้น ” มันอึกอัก “ พี่ไม่รู้ตัว คือพี่ขอโทษ แต่ แต่ชลก็ไม่ได้เป็นอะไรไม่ใช่เหรอ ”
“ ก็ใช่! ”
“ งั้นเราก็ตอบพี่มา ไอ้คนที่คุยเมื่อเช้ามันใคร ” แววตามันวาวโรจน์ขึ้นอีกครั้งเอาซะกูตามไม่ทัน เดี๋ยว คือมึงผิดแล้วมึงมาเปลี่ยนประเด็นใหม่เนี่ยนะ
ให้โอกาสกูได้โกรธบ้างเถิดดดมึงงงง
“ เพื่อน ทำไม มีปัญหาอะไร ” ผมเล่นหูเล่นตาใส่ ทีตัวเองยังรายล้อมด้วยผู้หญิง ยังไม่ได้ว่าสักคำ อ้าว...แล้วทำไมกูต้องว่ามันด้วยวะ
“ เพื่อนแล้วทำไมต้องจับมือ ”
“ นั้นมัน... ”
“ คิดว่าพี่ไม่เห็นรึไง ชลกับมัน... ”
ผมมองหน้ามันด้วยแววตาแบบไหนก็ไม่รู้แต่ก็ทำให้มันเงียบชะงักไปได้ “ พี่นาท ”
“ ... ”
“ พี่เป็นบ้าอะไรวะ ”
“ พี่... ”
“ ทำเหมือนหึงผม ”
“ ! ”
ผมถอนหายใจแล้วมองมันตรงๆ “ เราไม่ได้เป็นอะไรกัน อย่าลืม ”
“ ผมมันแค่รุ่นน้องคนหนึ่ง ไม่สิ คนสำคัญ สำคัญแค่พิธีกรรมบ้าๆนั้น รอวันรวมวิญญาณกับชลธารอะไรนั่น ผมก็สำคัญกับพี่แค่นั้นแหละมั้ง พี่จะอะไรนักหนาวะ ทีตัวเองแม่งอยู่กับหญิง กูยังไม่ว่าห่าอะไรสักคำ ”
ประชดลูกใหญ่เลยครับ น้อยใจ โกรธ หึง...
ไม่ใช่แล้ววววว อันสุดท้ายไม่ใช่แล้ววว
“ ไม่ใช่ ไม่ใช่ ” ไอ้พี่นาทที่ตอนแรกแม่งเป็นมังกรบ้าเมากาวอยู่ก็สร่างเลยครับ หายหงุดหงิดผมไปในทันทีแทนที่ด้วยแววตาเศร้าแทน จับมือผมไว้ข้างหนึ่ง “ ผู้หญิงนั่นเพื่อในคลาสๆ มันไม่มีอะไร พี่ขอโทษ พี่แค่คิดมากไปเอง แล้วก็ พี่แค่ แค่ แค่ ”
“ มาบอกผมพรุ่งนี้แล้วกันนะ ” ถ้าจะติดอ่างขนาดนี้
“ เดี๋ยวสิ แค่ๆ โว้ย!! ” จู่ๆมันก็ตะโกนใส่หน้าผมอย่างหงุดหงิดแล้วหันไปอีกด้านแล้วบ่นกับตัวเอง “ เมียก็เมียข้า ทำไมข้าดูไม่มีสิทธิ์อะไรสักอย่างเลยวะ”
อะไร เอียๆ เมียๆวะ
ผมนิ่งเงียบไปเพราะโดนมันตะโกนใส่หน้า... พานน้ำตาจะไหล แม่งเป็นเหี้ยอะไรวะ มาตะคอกใส่
“ สงสัยต้องมาเริ่มกันใหม่ตามแบบวิธีมนุษย์ ”
มันหันกลับมาด้วยใบหน้าจริงจัง... เปลี่ยนอารมณ์ไวไปมั้ยพ่อมังกร เดี๋ยวโมโห เดี๋ยวเศร้าเดี๋ยวจริง ไปหาหมอมั้ย
“ เริ่มอะไร ” ถามอย่างระแวง และยิ่งเหงื่อตรงเมื่อมันขยับมาชิด...
“ มนุษย์เวลาเขาชอบใครสักคนนี่ เขาต้องจีบกันก่อนใช่มั้ย ”
“ ก็...ใช่ ”
ไม่จีบแล้วจะให้เดินไปฉุดกระชากลากคนที่ชอบมาปล้ำขืนใจรึไงวะ
ประสาทดิ
“ ถ้าพี่ชอบชล พี่ก็ต้องจีบก่อนใช่มั้ย ”
ผมพยักหน้าหงึกๆ “ ใช่ ”
“ งั้นถ้าพี่จีบเรา เราจะโอเคมั้ย ”
“ โอเค ”
ผมยักไหล่อย่างชิวๆ ตอบไปไม่ได้คิดหนัก ก่อนจะมาทบทวนใหม่ว่ามันพูดอะไร ค่อยเบิกตากว้างหันควับสบตายิ้มๆกับรอยยิ้มกว้างของมันแล้วรู้สึกตัวเองพลาดไปแล้ว...
“ ...เอ่อ... ขอเอาคำเมื่อกี้คืนได้มั้ย ”
“ ไม่ทันแล้วครับ ”
“ เริ่มจากอะไรดี ถ้าจีบกัน...” มันนิ่งคิดมืออบอุ่นเลื่อนมาจับข้อมือผมไว้ “...งั้นไปเดทกัน ”
“ !! ”
“ มนุษย์เขาเรียกแบบนี้ใช่มั้ย งั้นไปกันเถอะ ”
!!
อะไรเอ่ย... เนี๊ยนเนียน
มึงก็เนียนเกินนน เนียนซะจนกูลืมไปแล้วว่ากูยังโกรธมึงอยู่
ไอ้มังกรเจ้าเล่ห์!! ไอ้มังกรเผด็จการ!!
TBC.
มายาวๆ เผื่อจะหนีไปทำงานส่งก่อนสอบ ฮึบบบ
อะไรเอ่ย ดองนิยาย :hao7:
ตอนนี้เรามีอะไร อะไร กุบกิบอยู่น่า มีใครเห็นบ้าง :katai2-1:
ขอบคุณนะคะ ^^
-
ชล ตามไม่ทันคนเจ้าเลห์อะดิ อิอิ
-
เห้ยยยย ผิดล้าววว เค้าต้องปล้ำก่อนแล้วค่อยจีบ อ่าโด่วว แอะๆ อิพนานี่เป็นลูกชล แต่ชนไปเกิดใหม่จนอายุจะครบ 20 แสดงว่าอิเด็กพนานี่ก็คงไม่ใช่อายุตามร่างที่เราเห็นชะมะ? อาจถูกพนึกร่างไว้หรือไม่ก็แปลงร่างเป็นเด็ก แบบนี้ถ้าชลทำพิธีพนาจะโตมั้ยอ่ะ คือตอนนีกลิ่นจิ้นออกละนะ พนาเคลียร์ หนุ่มรักเด็กกะอิเด็กงอแง >>>//<<<<
-
สงสารนาทนะ นาทเอ้ย ทำใจนะลูกกกก ได้เมียโหด
สงสัยจริงๆค่ะ เมียโหด(ถ้าไม่โหดหื่น ก็จะยอมนอนด้วยกันยาก) แล้วไปมีลูกกันอีท่าไหน นาทฉวยโอกาส?
ท้องยังไงคลอดยังไง มังกรออกลูกเป็นไข่ ชลลี่ก็ต้องวางไข่อะจิ เหอๆๆๆๆๆ :haun4:
-
อิพี่นาทเนียนจีบเลยนะ แล้วเรื่องพนากับเคลียร์นี่ยังไงๆ
-
ไม่รู้จะสงสารใครดี 5555555 พี่นาทช้ำกระอักเลือดกันเลยทีเดียว แต่เฮียเเกเนียนเกิน :hao6: แต่เคลียร์กับพนานี่ยังไงๆๆ ซัมธิรองใช่มั้ยยยย :katai2-1:
:pig4: :pig4:
-
เคลียร์พนา :-[ เอาใจช่วยพ่อมังกรนะครัช 5555555 น่าสงสารที่สุด 555555 ชลนี่ก็ฮาไม่รู้จะฮายังไงเเล้วจริงๆ
-
เมื่อไหร่หนอที่เธอจะกลับมา
คอยนับวันเวลาเธออัพตอนใหม่
หายไปนานแล้วทำไมไม่มาอัพใหม่
มาต่อจนจบได้ไหมฉันเฝ้ารอ
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
เพิ่งได้มาอ่านค่ะ สนุกมากกกกก รอต่อนะคะ :katai1:
-
อยากให้อยากให้ผู้เขียนคนเขียนมาต่อนะครับ
นานเท่าไหร่ก็จะรอผ่านไป จะรอผ่านไปกี่ปีก็จะรอกี่ปีกี่ปีก็ ก็จะรตอนนี้ 2021 แล้วก็จะรอ
-
:call: :call: :t3: