All I want for Christmas is you
...สามปีที่ผ่านมา...ผมเดินเล่นคนเดียว กินข้าวคนเดียวมาตลอด ทำงานให้มันยุ่ง ๆ เพื่อจะได้ไม่คิดมาก ทำงานให้ลืมความเหงา ทำงานให้มันเหนื่อย กลับบ้านจะได้นอนหลับโดยที่ไม่ต้องคิดถึงเรื่องที่ผ่านมา...แต่พอเรื่องงานเริ่มเข้าที่ ผมก็ว่างขึ้น พอเลิกงานผมถึงได้มาเดินเล่นฆ่าเวลาในคืนก่อนวันคริสต์มาส...
“...เดียร์...” ผมหันขวับไปตามเสียงเรียก
“...ซัน...” ผมพูดชื่อเค้าเบา ๆ หลังจากอึ้งไปซักพักจนเค้าเดินเข้ามาใกล้
“...มาคนเดียวเหรอ...”
“...อืม...ซันล่ะ...” ผมมองหาคนที่คิดว่าซันน่าจะพามาเดินเล่นด้วย
“...มาคนเดียวสิ...จะให้มากับใครล่ะ...เออ...แล้วนี่เดียร์กินข้าวหรือยัง...ซันหิวอ่ะ หาอะไรกินกันเถอะ...” ซันรีบพูดเมื่อผมส่ายหน้าเป็นการตอบคำถาม ก่อนจะเดินนำไปร้านที่ “เรา” สองคนเคยชอบไปกินด้วยกันเมื่อสามปีที่แล้ว
“...เดี๋ยว...”
“...ทำไมอ่ะ เดียร์ไม่อยากกินร้านนี้เหรอ...” ซันหยุดหน้าร้านแล้วหันมาถามผม
“...เปล่า...เราไม่อยากกินกับซันอ่ะ...ขอโทษนะ เราขอกลับก่อนดีกว่า...” ผมกลั้นใจพูดออกไป
“...เดียร์ยังโกรธซันอยู่ใช่มั้ย...”
“...เราไม่รู้สึกอะไรกับซันเลยต่างหาก...” ผมเบือนหน้า แล้วเดินหนีไปอีกทาง
“...ไม่จริงหรอก...ตาของเดียร์มันฟ้อง...” ซันเดินตามมาพูดใกล้ ๆ
“...ยังหลงตัวเองไม่เลิกเนอะ...” ผมยิ้มมุมปาก ซันชะงัก เค้าไม่เคยเห็นผมทำท่าอย่างนี้
*
*
...ผมเดินก้าวยาว ๆ มาจนถึงสถานีรถไฟฟ้า หันไปมองเห็นซันล้วงกระเป๋าหาเหรียญเพื่อซื้อบัตร ส่วนของผมเป็นบัตรประเภทรายเดือนอยู่แล้วจึงเดินผ่านเข้าไปอย่างสบาย ตอนหัวค่ำอย่างนี้คนเยอะต้องต่อคิวกันหยอดเงินซื้อตั๋ว ซันคงตามมาไม่ทันหรอก ผมหันไปมองซันด้วยความสะใจ...
....ผมยืนรอรถไฟฟ้าอย่างกระสับกระส่าย ถ้าเดินเร็วกว่านี้อีกนิดก็ทันขบวนเมื่อกี้แล้ว ตอนนี้ต้องรออีกซักพัก กังวลว่าซันอาจจะตามมาทันก็ได้ แต่ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อเห็นเค้าเดินขึ้นผิดไปอีกฝั่ง พยายามจะหลบไม่ให้ซันเห็น แต่ไม่ทัน ซันมองมาทางนี้พอดีและหันหลังลงบันไดท่าทางจะต้องวิ่งมาฝั่งที่ผมรอรถแน่ ๆ ทำไงดี ถ้าซันวิ่งเร็ว ๆ คงทันรถไฟฟ้าขบวนใหม่ที่กำลังจอดเทียบพอดี...
...ผมเดินไปขึ้นรถทางหัวขบวน คาดว่าถ้าซันวิ่งข้ามฝั่งมาทัน ก็จะต้องขึ้นที่ท้ายขบวน ไม่น่าจะได้เข้าใกล้ผมอีก...คนในรถแน่นซะจนผมอึดอัด แต่ผมกลับคิดถึงแต่ทำยังไงถ้าซันเดินไล่ทีละตู้จนมาถึงผมได้ เค้าต้องมีวิธีเดินหาผมในรถไฟฟ้าแน่ ๆ...เท่าที่รู้จักกันมา นอกจากที่เค้าจะเป็นคนประเภทหลงตัวเอง เค้ายังเป็นคนที่ถ้าอยากจะทำอะไร เค้าต้องทำให้ได้...
...ในที่สุดผมก็หาวิธีหนีได้...เมื่อรถจอดสถานีต่อมา ผมก็ออกจากรถ เพื่อรอขบวนถัดไป ทีนี้ซันก็จะไม่มีทางได้เจอผมในรถไฟฟ้าขบวนนั้นแล้ว...แต่...เมื่อผู้โดยสารทยอยเดินกันลงบันได รถไฟฟ้าเคลื่อนตัว ผมหันไปทางท้ายขบวน เห็นซันยืนยิ้ม และยักคิ้วกวน ๆ ให้ผมอยู่...ชิบหายแล้ว...นึกว่าจะหนีพ้น...
“...นึกแล้วว่าเดียร์ต้องทำอย่างนี้...” ซันเดินตรงเข้ามาหา
“...แสนรู้เนอะ...” ผมกัด
“...ก็เดียร์จะหนีซันทำไมอ่ะ...”
“...ไม่อยากเจอ ไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากคุยด้วย...” ผมพูดตรงข้ามกับใจทุกอย่าง
“...ให้ซันได้อธิบายเรื่องเมื่อสามปีที่แล้วหน่อยสิ...”
“...ไม่ช้าไปหน่อยเหรอ...” ผมทำหน้าเบื่อหน่าย
“...โอเค เราขอโทษ เราผิดไปแล้ว ตอนนั้นเรายังเด็ก เราคิดถึงเดียร์ทุกวันเลยรู้มั้ย...” ซันพูดรัวราวกับว่ากลัวผมจะเดินหนีไปอีก
“...หึ หึ เหรอ...” ผมหัวเราะในคอ และยิ้มมุมปากให้ก่อนจะหันหน้าหนี ข่มใจไว้ เค้าโกหก อย่าไปเชื่อเค้า แต่ทำไมเราต้องหน้าร้อนผ่าวขนาดนี้ด้วยวะ
“...จริง ๆ นะ เราตามหาเดียร์ทุกทีที่เราชอบไปกัน แต่ก็ไม่เคยเจอเดียร์เลย...”
“...เราไม่โง่ไปในที่เดิม ๆ ให้มันเจ็บหรอก...” ผมพูดเสียงเรียบ
“...เราไปหาที่เงียบ ๆ นั่งคุยกันเหอะ...” ซันอึ้งไปซักพัก ก่อนจะใช้มือแตะข้อศอกผมให้เตรียมก้าวเข้ารถไฟฟ้าขบวนใหม่ที่กำลังจะเข้าเทียบสถานี
*
*
...ช่วงหัวค่ำ สถานีเพลินจิต คนแน่นมาก เราต้องเข้าไปยืนเบียดกัน น้ำหอมกลิ่นคุ้นเคยระเหยออกมาจากตัวซัน ความรู้สึกเดิม ๆ กลับเข้ามาเร็วจนผมตั้งตัวไม่ทัน ลมหายใจอุ่น ๆ ของเขาเป่าอยู่ข้างแก้ม จะหันหลังหนีก็คนแน่นจนขยับตัวไม่ได้ ตอนนี้เราต้องหันหน้าชนกัน ผมทำไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าซัน ได้แต่ก้มมองกระดุมเสื้อเชิ้ตของเขา สาบานได้ว่าไม่ได้ตั้งใจจะมองเนื้อเนียน ๆ ที่พ้นรอยแยกของเสื้อตัวนั้นเลยจริง ๆ แต่ซันก็ยังชอบใส่เสื้อเชิ้ตปลดกระดุมลงมาแบบนี้ตั้งแต่เรียน ผมก็ดันชอบมองซะด้วยสิ...
...เมื่อรถไฟฟ้ามาถึงสถานีอโศก มีคนต้องไปต่อรถไฟใต้ดิน เราก็ต้องเบี่ยงตัวหลีกทางให้พวกเค้า ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อซันเอามือมาโอบที่เอวผม มองภายนอกไม่น่าเกลียดนัก เหมือนเพื่อนกำลังดึงเพื่อนไม่ให้ขวางทางคนอื่น แต่พอผมเงยหน้ามองที่ตาของซัน มันทำให้ผมตกอยู่ในภวังค์อีกครั้ง...นานแค่ไหนไม่รู้ที่ผมยืนนิ่งอย่างนี้ รู้สึกตัวอีกทีก็เห็นว่าคนในรถไฟฟ้ามองมาที่เราสองคนเป็นตาเดียว เมื่อพ้นสถานีอโศก และพร้อมพงษ์ ผู้โดยสารก็เริ่มบางตา ที่ว่างเหลือแยะแยะ แต่ที่คนเค้ามองก็คงเพราะซันยังยืนแนบชิดติดกับตัวผม ภาพผู้ชายหน้าตาดี รูปร่างสูงโปร่งในชุดพนักงานออฟฟิศสองคนยืนตัวติดกันกลางโบกี้รถไฟฟ้าทั้ง ๆ ที่คนไม่เบียดกันอย่างตอนที่ขึ้นเมื่อสองสามสถานีก่อน มันทำให้คนมองอย่างไม่ต้องสงสัยว่าสองคนนี้ไม่ใช่เพื่อนกันธรรมดาแน่นอน...
...ยังไงก็หนีไม่พัน...กินข้าวเสร็จแล้วแยกย้ายกันก็ได้...ไม่งั้นซันคงตามไม่เลิก...ผมคิดวางแผนว่าจะพาซันไปกินข้าวที่ร้านประจำที่คุ้นเคยจะได้รู้ทางหนีทีไล่ เผื่อการคุยกันครั้งแรกในรอบสามปีมันจะจบลงไม่สวย จะได้มีทางชิ่งหนีแบบที่ซันไม่สามารถตามได้...และถึงแม้ว่าผมจะใจอ่อนยวบตั้งแต่เห็นหน้าซันครั้งแรก ให้อภัยเค้าตั้งแต่ที่เค้าเอ่ยปากขอโทษ...แต่ความเจ็บที่มันฝังลึกมาสามปี มันทำให้ผมต้องป้องกันตัวเองไม่ให้เจ็บแบบครั้งที่แล้ว ซึ่งมันเจ็บซะจนไม่กล้ามีใครใหม่ทั้ง ๆ ที่ยังอยู่ในสภาพที่พอจะเป็นที่ถูกใจของใครหลายคน แต่ผมก็ปฏิเสธคนที่เข้ามาทุกคน เพื่อนผมถึงกับงงในการถอดเขี้ยวเล็บก่อนวัยของผม...
“...พักอยู่ในซอยทองหล่อเหรอ...” ซันเดินตามผมมายืนใกล้ ๆ ประตู
“...เปล่า...จะเข้าไปหาอะไรกินเฉย ๆ...”
“...อืม...ดี...ไม่ได้มาทองหล่อนานแล้ว...กินเสร็จแล้วเรา...”
“...รีบกินจะได้รีบกลับ...” ผมพูดแทรกก่อนที่ซันจะพูดจบ
“...โอเค...แค่เดียร์ยอมคุย ยอมกินข้าวกับซันก็ดีกว่าที่คาดไว้แล้ว...”
*
*
...เรานั่งแท็กซี่เข้าไปในซอย เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่ผมโทรถามโต๊ะว่างไว้ก่อนจะขึ้นรถเข้าไป ยังมีโต๊ะที่เป็นห้องส่วนตัวเหลืออยู่ ผมก็โอเค ร้านนี้เป็นร้านที่ผมมากับนายญี่ปุ่นบ่อย อาหารอร่อย บรรยากาศดี เป็นส่วนตัว และเป็นทางการ...
“...เดียร์สบายดีมั้ย...” ซันถามทำลายความเงียบ
“...ก็โอเคอ่ะ...” ผมตอบสั้น ๆ
“...ทำงานอะไรเหรอ...”
“...ทำออฟฟิศเล็ก ๆ...”
“...เอ่อ...แล้วตอนนี้เดียร์มีแฟนหรือยัง...” ซันถามไม่เต็มเสียงนัก
“...มันเป็นเรื่องส่วนตัว ซันอย่ารู้เลย...”
“...ก็เรา...”
“...ทำไม...ถ้าเรามีแฟนแล้ว ซันจะได้สนใจเหรอ...ชอบสิ...คนมีแฟนแล้วเนี่ย...” ผมประชด
“...ไม่ใช่อย่างนั้น...”
“...อ้าว ก็เห็นว่าเมื่อก่อนชอบคนมีแฟนแล้วนี่ ชอบเห็นคนเค้าแตกแยกกัน มีความสุขที่ได้เป็นมือที่สาม...” ผมกัดอีกเป็นชุด
“...เดียร์เข้าใจผิดนะ...”
“...เราเข้าใจอย่างนี้มาตลอดสามปี...ถ้าวันนี้จะมีคนมาบอกว่าความจริงมันเป็นยังไงเราคงไม่เชื่อหรอก...มันนานเกินไป เราฝังใจว่ามันเป็นอย่างนั้นไปแล้ว...” ผมดักคอ
“...เรากับพลไม่ได้เป็นอะไรกัน และก่อนที่เราจะเลิกติดต่อกับพล เค้ากับแฟนก็ยังคบกันดีนะ...”
“...ไหนบอกว่าเค้าจะเลิกกันไง จะเลิกกันตั้งแต่ก่อนที่ซันจะเข้าไปยุ่งด้วย...สั่งสอนเค้าไม่สำเร็จน่ะสิ...” ผมยิ้มเยาะ
“...ตอนแรกก็อยากจะสั่งสอนเค้านะ แต่อย่างที่เดียร์บอกนั่นแหละ เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปตัดสินว่าสิ่งที่เค้าทำมันผิดหรือถูก...” ซันพยายามข่มอารมณ์กับท่าทางของผม
“...คิดได้ตั้งแต่เมื่อไหร่...เมื่อกี้นี้หรือเปล่า...” ผมกวน
“...เดียร์...” ซันเรียกชื่อผมเสียงเข้ม
“...ทำไม...” ผมจ้องหน้าไม่หลบตา
“...เราคุยกันดี ๆ ได้มั้ย...” ซันพูดพลางมองด้วยสายตาเว้าวอน
“...แล้วเราหยาบคายตรงไหนเหรอ...นี่ก็พูดดี ๆ แล้วนะ...ดีซะจนเราลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้เคยสัญญากับตัวเองว่าจะไม่พูดกับซันอีก...” ผมทำใจแข็งตอกกลับไปอีกดอก
“...เดียร์คงโมโหหิว...อาหารมาแล้ว เรากินกันก่อนดีกว่า...” ซันสลดลงนิดนึงก่อนจะเปลี่ยนเรื่องพูด
*
*
...ถ้ามองภายนอกซันยังเหมือนเดิมทุกอย่าง ยกเว้นรูปร่างที่กำยำขึ้นตามวัย แต่นิสัยของซันเปลี่ยนไปจนแทบจะเป็นคนละคนกับที่ผมเคยรู้จัก...ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมทำท่าทางหรือพูดจากวนประสาทแบบนี้ ซันคงเดินหนีไปและไม่หันกลับมาสนใจผมอีกแน่นอน...แต่นี่เค้ายังยิ้มได้ ผมยังเพลินได้เหมือนเดิมกับการมองเค้าเคี้ยวชูชิตุ้ย ๆ หน้าแดงด้วยรสเผ็ดร้อนขึ้นจมูกของวาซาบิ...
...ซันทำตัวปกติ แต่ผมกลับรู้สึกอึดอัดกับการที่ต้องปั้นหน้าเรียบเฉย ไม่สนใจกับอาหารที่ซันตักให้ ต้องประหยัดคำพูด ถามคำตอบคำ ทั้งที่ในใจอยากจะถามไถ่ความเป็นไปของซันในระหว่างสามปีที่ผ่านมา...แต่ตรงนี้ซันยังเหมือนเดิม เค้าไม่เคยพูดเรื่องของเค้าก่อน ถ้าไม่ถามเค้าก็ไม่พูด คงเหมือนตอนที่ผมเดินจากมา เค้าก็ไม่พูด ไม่รั้งผมเลย...
“...ให้เราจ่ายเถอะ เราจะใช้บัตรเครดิตสะสมแต้ม...” ผมใช้ไม้ตาย เพื่อแย่งเป็นคนจ่ายเงินค่าอาหาร
“...งั้นเอาบัตรเดียร์จ่ายไป แต่เดียร์ต้องให้เราเลี้ยงคืนวันหลังนะ...”
“...มันคงไม่มีวันนั้นหรอก...” ผมพูดเสียงเบา
“...เฮ้อ...เราไม่เคยคิดเลยนะว่าเดียร์จะใจแช็งขนาดนี้อ่ะ...”
“...เราไม่ได้ใจแข็งหรอก แต่ใจมันชา ชาจนไม่รู้สึกอะไรแล้ว...”
“...โอเค...เราขอโทษที่รบกวนเดียร์ละกัน...กลับกันเถอะ...ดึกแล้ว พรุ่งนี้ต้องทำงานกันอีก...”
“...พรุ่งนี้เราหยุด...” ผมเผลอบอกไป มันเป็นคำพูดติดปาก เพราะผมมักจะใช้วันหยุดยาวช่วงคริสต์มาสไว้พูดเล่นให้เพื่อน ๆ อิจฉาเล่น
“...หยุดตั้งแต่พรุ่งนี้เลยเหรอ...”
“...ใช่...แต่เรามีธุระอย่างอื่นทั้งวันแหละ...” ผมรีบออกตัว
“...อืม...งั้นเราไปล่ะ...โชคดีนะ...” ซันโบกมือลา
“...เดี๋ยว...ซันจะกลับยังไงอ่ะ...”
“...เป็นห่วงเราด้วยเหรอ...” ซันหันกลับมายิ้มให้
“...เปล่า...เผื่อจะให้ติดรถแท็กซี่ออกไปปากซอยด้วยกัน...” ผมพูดเสียงเรียบ ทั้งที่ใจเต้นโครมครามเมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น
“...เราจอดรถไว้ที่พารากอน เดี๋ยวขึ้นรถไฟฟ้าไปเอา...”
“...อืม...งั้นเราหย่อนซันไว้ปากซอยละกัน...” ผมหลบตาซันแล้วโบกรถแท็กซี่ที่ผ่านมาพอดี
*
*
...เมื่อซันลงจากรถไป ผมได้แต่มองตามเค้าจนสุดสายตา...เมื่อกี้ยังเข้มแข็งอยู่เลย แต่ตอนนี้ผมต้องเอนตัวเอาหัวพิงกระจกรถ มองเหม่ออย่างไร้จุดหมาย น้ำตาที่แห้งไปแล้วกลับไหลออกมาอย่างง่ายดาย น้ำตาไหลพรากโดยปราศจากเสียงสะอื้นเพียงแค่คิดถึงคำขอโทษ เพียงแค่คิดถึงแววตาอ้อนวอนของคนที่ผมรักที่สุด...
...กลับถึงคอนโดอย่างคนอ่อนแรง...อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ผมก็ออกมาที่ระเบียง ยืนมองแสงไฟระยิบระยับยามค่ำคืนชองกรุงเทพฯ แสงไฟจากรถยนต์ที่วิ่งขวักไขว่ทั้ง ๆ ที่ดึกแล้ว...ลมหนาวพัดปะทะหน้ามันเย็นซะจนผมต้องกระชับเสื้อคลุม...หนาวกายใส่เสื้อผ้าหนา ๆ ก็อุ่นได้ แต่ตอนนี้ผมหนาวใจมากกว่า หัวใจที่ปิดตายมาตลอดสามปี ตอนนี้มันได้ถูกแง้มออกมาอีกครั้งโดยคนเดิม คนที่ทำให้ผมต้องปิดตายหัวใจดวงนี้ เค้ากำลังจะไขประตูหัวใจของผมด้วยคำว่าขอโทษคำเดียวเท่านั้น...
I don't want a lot for Christmas
This is all I'm asking for
I just want to see my baby
Standing right outside my door
Oh I just want you for my own
More than you could ever know
Make my wish come true
Baby all I want for Christmas is... You
...เสียงเพลงจากข้างห้องดังลอดผ่านระเบียง ฟังเพลินถึงประโยคสุดท้าย ถึงแม้ว่าเราจะไม่ใช่ฝรั่ง และเทศกาลนี้ก็ไม่เกี่ยวกับเราเลย แต่ก็ถ้าคำอธิษฐานถึงท่านเซนต์นิโคลัสเป็นจริง ผมก็อยากจะขอแค่สิ่งเดียว ขอให้ซานตาคลอสนำคนที่ผมรักที่สุดมายืนตรงหน้าประตูอย่างในเพลง สิ่งเดียวที่ผมต้องการที่สุดในคริสต์มาสนี้ก็มีแค่ซันเท่านั้น...
...แต่มันก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะวันนี้มันเป็นเพียงความบังเอิญ เราคงไม่ได้เจอกันเพราะผมจะไม่ไปเดินห้างแถวนั้นอีกเลย เราจะเก็บความทรงจำดี ๆ นี้ไว้ตลอดไป อย่างน้อยคำที่เราอยากจะได้ยินที่สุดก็ออกมาจากปากของซันแล้ว คำขอโทษคำเดียว เคยคิดว่าคนอย่างซันไม่มีทางพูดคำนี้ แต่เค้าก็พูดแล้ว...นึกเจ็บใจตัวเอง ทำไมเราถึงไม่ให้อภัยเค้าล่ะ ทิฐิใช่มั้ย ทิฐิที่เคยทำให้ผมกับซันต้องแยกจากกัน...สมน้ำหน้าตัวเองจริง ๆ ร้องไห้ต่อไปเถอะ...จะร้องไห้ หรือร้องเรียกเค้ายังไง ตอนนี้เค้าก็คงไม่กลับมาอีกแล้ว...
To be continued
[/color]
*****************************************************************************************************
...ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ ทุกกำลังใจ ทุกคำติชม อยากจะรู้ว่าชาวเล้าชอบกินมาม่าหรือของหวาน ก็เลยลองจัดตอนนี้ให้ รอดูเสียงตอบรับก่อนตัดสินใจว่าจะมีตอนต่อไปหรือเปล่า ไม่กล้าลงหวานมาก กลัวคนอ่านเลี่ยน 555++
...Miss you most และ All I want เป็นเรื่องสั้นเฉพาะกิจในช่วงคริสต์มาสสนอง Need คนเขียนซึ่งอยากลองทำอะไรใหม่ ๆ บ้าง ถึงแม้จะมีกลิ่นเด็กพาณิชย์ กับ We belong together บ้าง แต่ถ้าติดตามกันมา คงรู้ว่ามีอีก 1 แบบที่ผู้เขียนไม่เคยทำในเรื่องที่ผ่านมา ถ้าใครเดาถูก อาจจะมี Chapter 2 เร็ว ๆ นี้ก็ได้...
...เป้...
หนุกดีอ่ะ อ่านแล้วจี๊ดเลย
:monkeysad: