-
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้
18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17
เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
-
บทนำ
ไม่มีอะไรเลวร้ายที่สุด นรกของคนหนึ่งอาจเป็นสวรรค์ของอีกคนหนึ่ง
เรื่องคอขาดบาดตายของคนหนึ่งอาจะเป็นเรื่องธรรมดาของอีกคนหนึ่ง
เมื่อดอกพิกุลร่วงหล่นลงมาจากต้นให้ได้เก็บ มือหนึ่งเอื้อมหยิบยกขึ้นมาดอมดมสูดกลิ่นหอมของความสดใหม่ จนกระทั่งวันหนึ่งมันเหี่ยวเฉาไร้ซึ่งความสวยงาม หากเป็นคนอื่นคงสลัดทิ้งปล่อยให้มันตกลงพื้นคืนสู่พะสุธา
แต่ สำหรับทินกรไม่ใช่ เขาเลือกเก็บดอกพิกุลที่ตนหลงรักในวันแรกเอาไว้ เฝ้าเก็บรักษาเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอมอยู่ในกล่องสีใส ซุกซ่อนมันเอาไว้ไม่ให้ใครได้เห็น
ชายหนุ่มเคยบอกกับเขาว่า เขานั้นมีค่า ไม่สมควรได้รับและพบเจอกับเรื่องเลวร้ายใดๆอีก
น่าเศร้าที่พิกุลไม่สามารถเข้าใจมันได้อย่างลึกซึ้งเท่าที่อีกฝ่ายต้องการให้เขาเข้าใจ
มีบางสิ่งบางอย่างกำลังบิดเบือนความหมายแฝงของมันจนบิดเบี้ยวไม่หลงเหลือสภาพ จากเดิมเคยสุขสมปลื้มปิติยินดีแปรเปลี่ยนเป็นสะอิดสะเอียนคลื่นเหียนชวนสำรอก
'รู้ครึ่งๆกลางๆ อันตรายกว่าไม่รู้เลย'
ความเจ็บปวดรวดร้าวราวกับตายทั้งเป็นก่อตัวขึ้นท่ามกลางความมืดครึ้มฟ้าครึ้มฝน จนกระทั่งมันพรั่งพรูออกมายากจะเก็บในยามที่ฝนตกหนักโปรยปรายสาดพายุโหมกระหน่ำ
ความรู้สึกดำมืดเกาะกินกลางสายฝน ก่อนที่มันจะถูกซ่อนลงใต้พรมในจิตใจกลายเป็นขยะรอวันส่งกลิ่นเน่าเหม็นเมื่อถึงจุดอิ่มตัว
ท้องฟ้าสว่างวาบ พระอาทิตย์แทรกตัวออกจากเมฆก้อนสีดำสาดแสงส่องลงยังพื้นดิน บ่งบอกว่ายามนี้ฝนได้หยุดตกแล้ว พร้อมๆกับความครุกรุ่นที่ถูกเก็บซ่อนมันเอาไว้ในใจของเด็กน้อย นามว่า พิกุล
-
บทที่ 1
ใจกลางเมืองแถบชนบทที่เต็มไปด้วยความสงบเรียบง่ายปกคลุมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ส่งต่อความร่มรื่นให้แก่มวลมนุษย์และสรรพสิ่งที่มีชีวิต
เช่นเดียวกัน ทินกรเป็นคนหนึ่งที่รับเอาความร่มรื่นสดชื่นนั้นเข้ามาอย่างเต็มปอด ขณะกำลังนั่งอยู่ภายใต้ร่มไม้ใหญ่ ทอดมองใบหน้าที่สวยหวานคลับคล้ายสตรี แต่หารู้ไม่ว่าหากพินิจมองดูให้ดีกลับกลายเป็นบุรุษเพศ
คงไม่แปลกหากมองคราแรกจะเป็นเช่นนั้น
ผิวพรรณขาวผุดผ่องร่างกายสะโอดสะองดูอ้อนแอ้นอรชร ใบหน้าสวยถูกแต่งแต้มด้วยคิ้วเรียว เข้ากันดีกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อน ขนตาดกหนาเป็นแพ เสริมกับจมูกโด่งปลายรั้นคล้ายนิสัยของเจ้าตัวซึ่งรับกับปากกระจับสีสดได้เป็นอย่างดี
ยามย่างเท้าเปล่าเปลือยลงบนพื้นหญ้าเขียวชอุ่มช่างดูเหมือนเพศสตรีนัก ผมยาวระต้นคอสีน้ำตาลปลิวสไวตามแรงลมที่พัดผ่านขับส่งให้ยิ่งมองยิ่งน่าหลงใหล ราวกับเทพธิดาตัวน้อยลงจากสรวงสวรรค์มาวิ่งเล่นในสวนดอกไม้ก็ไม่ปาน
ไม่คิดว่าการเลี้ยงดูอย่างดี ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมเช่นนี้ จะสามารถทำให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงได้มากขนาดนั้น ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มบางเบาแกมเอ็นดูแต่แอบแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์ ซึ่งผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาในวัยสามสิบ
อายุสิบแปดแล้วนะ พิกุล
ทินกรลอบคิดไปถึงเรื่องราวต่างๆต่อจากนี้ภายในใจเพียงลำพัง ขณะสายตายังคงทอดมองร่างแน่งน้อยวิ่งเล่นอยู่ในสวนโดยทิ้งรองเท้าแตะเอาไว้ข้างกายเขา
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ยังคงประดับอยู่บนใบหน้าไม่เลือนหาย พลางแลบลิ้นหนาเลียริมฝีปากเมื่อคิดถึงเรื่องใต้สะดือ ยามพิกุลเด็กน้อยที่ไม่เจนโลกถูกเขาสอนสั่งว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิดบนเตียงนอนกว้าง
เผยความคิดลามกอนาจารอยู่ในหัวเป็นฉากเป็นตอนราวกับกำลังดูหนังอีโรติกก็ไม่ปาน ทว่าความคิดลามกพลันถูกพับเก็บ เมื่อร่างแน่งน้อยที่เคยวิ่งเล่นอยู่ในสายตาของชายหนุ่ม บัดนี้กลับหายไปไม่ได้ยินแม้แต่เสียงร้องเพลงฮัมเบาๆ ดวงตาคมกวาดมองรอบกายด้วยความตื่นตระหนก พยุงร่างกายลุกขึ้นเต็มความสูง สาวเท้าก้าวเดินไปตามทางที่เด็กหนุ่มเคยเล่น ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง
ทว่ากลับไม่พบแม้แต่ความผิดปกติใดๆ คิ้วหนาเริ่มขมวดขึ้นเรื่อยๆสีหน้าแสดงออกอย่างชัดเจนว่ากำลังเคร่งเครียดและไม่สนุกเลยสักนิด พลางหันใบหน้ามองซ้ายขวาหน้าหลังก็แล้ว แหวกพุ่มไม้ตามทางเพราะคิดว่าเด็กซนนึกอยากจะเล่นซ่อนหาก็แล้ว แต่กลับไม่พบแม้แต่เงา
พาลให้ความตึงเครียดเริ่มทวีคูณ เมื่อนึกไปถึงสถานที่หนึ่ง สถานที่ที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้โดยไม่ให้ใครได้พบเห็น
ขณะพิกุลกำลังสนุกสนานกับการเก็บดอกไม้ในสวนขึ้นมาทัดหู ชะโงกใบหน้าเมียงมองตนเองในน้ำสีใสจากอ่างน้ำพุ ทว่าพิกุลกลับพบเห็นผีเสื้อตัวน้อยขนาดเล็ก โผบินเกาะบนดอกไม้บริเวณหูของเขา ปีกของมันสีฟ้าช่างสวยและแปลกตากว่าผีเสื้อที่เคยเห็นทั่วไป ความสนอกสนใจแปรเปลี่ยนจากน้ำใสสะท้อนเงาเป็นผีเสื้อแทน
"เจ้าผีเสื้อน้อย" ว่าเสียงใสพร้อมรอยยิ้มเริงร่าพลางขยับมือเรียวบางขึ้นบนใบหู หมายจะจับเอาดอกไม้ที่เพิ่งทัดออกมา เพื่อมองดูผีเสื้อตัวนั้นได้อย่างชัดเจน
แต่ไม่เป็นดังที่คิด ผีเสื้อปีกสีฟ้าครามโผบินทยานขึ้นบนอากาศมุ่งหน้าตรงไปยังเส้นทางหนึ่ง ซึ่งมีพุ่มไม้ขนาดย่อมปกคลุมไว้
พิกุลหันใบหน้ากลับไปมองยังชายหนุ่มซึ่งกำลังนั่งเอนกายพิงแผ่นหลังกับต้นไม้ อาศัยร่มเงาเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ เมื่อไม่พบสายตาที่ทอดมองมายังตน สองเท้าเปลือยเปล่าพลันขยับมุ่งหน้าตรงไปยังเส้นทางที่ผีเสื้อตัวนั้นบินหายเข้าไปทันที
ไม่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้คือที่ไหน เหตุใดถึงได้แตกต่างกับด้านนอกลิบลับ ยิ่งย่างกรายเข้ามาลึกขึ้นยิ่งพบแต่ความมืด แสงแดดจากพระอาทิตย์บนท้องฟ้าริบหรี่ลง เงยหน้ามองเพื่อหาเหตุผลจึงพบว่าถูกต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านปกคลุมเอาไว้ ไม่ให้พื้นที่เต็มไปด้วยเศษใบไม้แห้งได้รับแสงสว่าง พาลให้สถานที่แห่งนี้ดูอึมครึมมืดมนและน่ากลัว
ผีเสื้อตัวนั้นหายไปแล้ว พิกุลพบเพียงความว่างเปล่า ครั้นจะขยับเท้าเดินกลับ แต่กลับถูกบางสิ่งบางอย่างดึงดูดให้เลือกที่จะชักเท้าก้าวเดินเข้าไปหา
เบื้องหน้าที่ตั้งตระหง่านคือบ้านคน แม้จะดูรกร้างไม่ได้รับการใช้งานมาหลายปี แต่ความสงสัยจากสมองอันน้อยนิดที่ไม่เคยได้ออกไปด้านนอกพบเจอผู้คนเช่นพิกุล ทำให้มีความคิดไม่ลึกซึ้งมากนัก
เขาคิดเพียงแค่ว่าบ้านหลังนี้คือบ้านร้าง ไม่อาจคิดไปถึงว่าเป็นบ้านของใคร และใครเป็นผู้อยู่อาศัยมาก่อน เกิดอะไรขึ้นกับบ้านหลังนี้ทำไมถึงได้ถูกปล่อยให้รกร้าง ความคิดพวกนั้นพิกุลไม่อาจนึกถึง..
หากมองดูและสังเกตให้ดี รอบตัวบ้านถูกรายล้อมด้วยรั้วที่เต็มไปด้วยไม้เลื้อย พินิจพิเคราะห์ลักษณะของบ้านเป็นรูปทรงเก่าแก่คล้ายถูกสร้างมานานหลายสิบปี
ซึ่งน่าแปลกที่พิกุลกลับไม่รู้สึกหวาดกลัว กลับกันเขาดันรู้สึกได้ถึงความคุ้นเคยกับสถานที่ตรงหน้าอย่างน่าประหลาด แววตาคู่สวยสบมองตัวบ้านด้วยความรู้สึกอุ่นวาบในอก จนเผลอไผลยกมือเรียวเล็กข้างหนึ่งหมายจะจับแตะบริเวณรั้ว
ทว่ากลับถูกมือใหญ่แสนคุ้นเคยฉุดกระชากให้ออกห่างพร้อมกับเสียงเข้มที่ตามมาติดๆ
"พิกุล!" เสียงเข้มเอ่ยขึ้นด้านหลังขณะกำลังจับข้อมือของพิกุลกำเอาไว้อย่างแน่นหนา ช่วงตัวทั้งตัวถูกดึงรั้งให้แนบชิดกับอ้อมอกอุ่นของชายหนุ่ม ผู้ซึ่งเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่อาจรู้ได้
ใบหน้าหวานตื่นตนกเพียงครู่ ก่อนจะค่อยสงบจนเป็นปกติหันเงยมองคนที่กอดเขาเอาไว้ ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความดีอกดีใจ
ช่างไม่รู้ตัวเสียเลย ว่าต่อจากนี้เด็กน้อยกำลังจะถูกลงโทษ เพราะเป็นต้นเหตุที่ทำให้ทินกรกรุ่นโกรธ
"กลับบ้าน.."
ทินกรเอ่ยพร้อมกับใบหน้าที่ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มส่งกลับไปให้ เขากวาดมองบ้านหลังนั้นด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหงุดหงิดและไม่ชอบใจ พลางพูดต่อให้เด็กในอานัติเข้าใจว่าสถานที่ที่ควรจะอยู่คือที่ใดกันแน่
"ที่นี่ไม่ใช่บ้านของเรา"
บัดนี้ทินกรกำลังรู้สึกตึงเครียด เหตุผลเพราะสถานที่เบื้องหน้าไม่ใช่ที่ที่เด็กน้อยอย่างพิกุลควรย่างกรายเข้ามา ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเพราะเหตุผลอะไร ทำไมอีกฝ่ายถึงได้เดินดุ่มเข้ามาลึกถึงขนาดนี้
ความคิดและความหวาดกลัวมากมายในอกค่อยๆก่อตัวขึ้น พาลทำให้ทินกรไม่สามารถควบคุมการกระทำของตนเองได้ มือที่จับรั้งข้อมือขาวพลันดึงฉุดกระชากให้ร่างเล็กไร้เรี่ยวแรง เซถลากึ่งเดินกึ่งวิ่งตามการสาวเท้าเดินที่ยาวมากกว่าเป็นสองเท่า ใบหน้าหวานจากเดิมที่เคยยิ้มเพราะดีใจแปรเปลี่ยนเป็นตื่นตนกอีกครั้ง ดวงตาเบิกกว้างงุนงงราวกับยังไม่รู้เนื้อรู้ตัวว่าตนกำลังกระทำความผิด
"คุณทิน เจ็บครับ ช้าลงหน่อยได้ไหมครับ กุลก้าวเท้าตามไม่ทัน"
พิกุลพยายามบอกให้ชายหนุ่มซึ่งมีใบหน้าเคร่งเครียดถมึงทึงช่วยผ่อนแรงดึงรั้งลงบ้าง แต่ดูเหมือนจะบอกอย่างไรความรุนแรงกลับไม่ได้ลดน้อยลงเลย สองเท้าที่ก้าวถี่จนเกือบจะเรียกว่าวิ่ง ในขณะที่ชายหนุ่มร่างสูงทำเพียงแค่เดินด้วยการก้าวยาวๆ พาลให้สองเท้าเปลือยเปล่าเสียดสีกับผิวหญ้าและเศษดินเศษไม้รวมไปถึงเศษหิน เกิดเป็นแผลเจ็บปวดยามก้าวเดิน
ตลอดทางผ่านคนงานดูแลสวนขณะกำลังยืนกวาดใบไม้บนพื้นหน้าบ้าน หันมองมาทางพิกุลซึ่งถูกฉุดกระชากให้เดินโดยทินกร สีหน้าแววตาที่ส่งมานั้นคล้ายกับคนกำลังสงสาร แต่ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าการยืนมองนิ่งๆ
ตั้งแต่ถูกแรงฉุดรั้งในป่าด้านหลังจนกระทั่งตอนนี้ พิกุลส่งเสียงสอบถามอีกคนมาตลอดทาง แต่กลับไม่ได้รับแม้แต่คำตอบใดๆหลุดเล็ดรอดออกมาจากปาก นอกเสียจากการกระทำรุนแรงพวกนี้
จนกระทั่งมาถึงในห้องของชายหนุ่ม ความรุนแรงหยุดลงพร้อมๆกับร่างทั้งร่างเซถลาล้มลงกับพื้น ดวงตาคู่สวยเอ่อคลอไปด้วยน้ำสีใสแววตาเจือความสับสนงุนงงและตื่นตนก ว่าเหตุใดทำไมชายหนุ่มที่เคยอ่อนโยนตรงหน้าถึงได้เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน
"คุณทิน" เสียงเล็กเอ่ยเรียกชายหนุ่ม น้ำตาหยดใสพลันไหลรินตกลงข้างแก้มขาวเงยใบหน้าสวยสบมอง ก่อนจะสะอึกสะอื้นร้องห่มร้องไห้จนฟังไม่ได้สรรพว่ากำลังพูดถึงสิ่งใด
ทินกรก้มมองร่างผอมบางที่บัดนี้กำลังนั่งหมดสภาพ ช่วงขาตั้งแต่เข่าลามไปถึงเท้า เขาพบร่องรอยของบาดแผลจากการเสียดสี คิ้วเข้มพลันขมวดมุ่นนึกโกรธตัวเองที่ไม่อาจยับยั้งการกระทำที่รุนแรงพวกนี้ได้
ก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นมามองใบหน้าขาวที่กำลังร้องห่มร้องไห้จนตัวโยน เนื้อตัวสั่นเทาราวกับลูกนกขาดแม่ ในตอนนี้ยอมรับว่าตนเองรู้สึกผิดไม่น้อย แต่ในความรู้สึกผิดมีความกรุ่นโกรธอีกฝ่ายผสมเจือปนอยู่
ไม่รู้ว่าพิกุลรู้เห็นสิ่งใดบ้าง และไม่รู้ว่าพิกุลนึกอย่างไรถึงได้เดินทางเข้าไปในสถานที่แห่งนั้น อะไรดลจิตดลใจให้เด็กน้อยของเขาเลือกที่จะเข้าไปที่นั่น..
ในยามนี้ ทินกรเหมือนคนวิตกจริตและกังวลใจ เขากำลังหวาดกลัวบางสิ่งบางอย่าง เขากำลังกลัวว่าเรื่องที่พยายามจะลบเลือนและปกปิดมันให้มันมลายหายไป กลัวว่าวันหนึ่งมันจะย้อนกลับและเปิดเผยออกมา
ทว่าในขณะเดียวกันความโกรธค่อยๆเจือจางลง เมื่อถูกมือนิ่มแตะสัมผัสที่ฝ่ามือ สายตาคมก้มลงสบมองใบหน้าเปื้อนน้ำตาของเด็กน้อย ขณะค่อยๆเอียงเอนแนบแก้มใสกับมือของเขา ราวกับกำลังออดอ้อนร้องขอความเห็นใจ
และแน่นอนทินกรไม่ใช่คนใจร้ายขนาดนั้น หากไม่ใช่เรื่องที่สมควรจะให้เขาต้องใจร้าย
ทินกรไม่ปล่อยให้เวลาเลยผ่านไปนาน คนอายุมากกว่าย่อมชอบยามเวลาเด็กน้อยภายใต้อานัติแสดงอาการออดอ้อน ที่นานๆครั้งจะเปิดเผยออกมาให้เขาเห็น คำว่าฉวยโอกาสจึงเกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศคุกรุ่นเจือจางบางเบา
"ลุกขึ้น" เสียงเรียบเอ่ยออกมา พลางลอบแสยะยิ้มยามเด็กหนุ่มขยับตัวลุกขึ้นตามคำสั่ง
"รู้ตัวไหมว่าทำอะไรผิด"
"ไม่รู้ครับ" พิกุลส่ายหน้า ดวงตาคู่สวยยังคงรื้นน้ำเงยหน้าสบมองชายหนุ่มราวกับรอคำตอบ ว่าสิ่งที่ตนทำผิดนั้นคืออะไร
"ผิด ที่ทำให้ฉันเป็นห่วง"
พิกุลก้มหน้างุด ก่อนขยับกายเข้าหาเชื่องช้าพลางซุกใบหน้าลงกับอกของชายหนุ่มโดยไม่เอ่ยปากขอ ซึ่งไม่จำเป็นต้องขอพฤติกรรมเช่นนี้ทินกรเคยชินเสียแล้ว
นึกไปถึงช่วงแรกสมัยพิกุลยังเด็กและไม่รู้ประสีประสา ในตอนที่เขาสอนสั่งให้เริ่มเรียนรู้การกระทำถึงเนื้อถึงตัว แตะ สัมผัส ลูบคลำ ทำอะไรต่อมิอะไรที่คนสองคนสามารถทำได้ ไม่คิดไม่ฝันว่ามันจะกลายเป็นประโยชน์มากมายถึงเพียงนี้
ยามที่ทินกรได้รับรู้ถึงสัมผัสที่มาจากพิกุล ราวกับเขาได้รับการเติมเต็มช่องโหว่ของจิตใจที่ผุพังไม่เหลือชิ้นดี
"กุลขอโทษ"
พิกุลเอ่ยเสียงสั่นเครืออู้อี้ยามซุกใบหน้าอยู่กับอกหนาไม่ยอมละออก ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงความชื้นแฉะเปียกซึมผ่านเนื้อผ้า
พิกุลกำลังร้องไห้เพราะเขา
ทินกรถอนหายใจยาว พลางขยับมือลูบสัมผัสกลุ่มผมนุ่มสีน้ำตาลยาวปกรดต้นคอ เพื่อปลอบประโลมให้เด็กน้อยขี้แยหยุดร้องไห้ ก่อนจะคิดเรื่องลามกขึ้นมากลางคัน แม้จะรู้ว่าไม่ควรและไม่เหมาะสมแต่สำหรับทินกรแล้ว ยามนี้เขาอยากได้รับการเติมเต็มนั้นจากเด็กตรงหน้ามากกว่าสิ่งอื่นใด
อยากแน่ใจว่าเด็กคนนี้ยังคงเชื่อฟังเขาอยู่เหมือนเดิม..
"ทำยังไงให้ฉันหายโกรธ รู้ไหม" น้ำเสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้นท่ามกลางบรรยากาศสงบยามเย็น
ใบหน้าหล่อเหลาเผยรอยยิ้มดุจชายหนุ่มผู้หิวโหยในรสรัก หันมองเด็กน้อยขณะกำลังละใบหน้าออกจากอก ก่อนจะเคลื่อนตัวย่อลงคุกเข่ากับพื้นอย่างว่าง่าย คล้ายกับรู้ว่าสิ่งที่ควรทำนั้นคืออะไร โดยไม่จำเป็นต้องบอกออกมาเป็นประโยค พลางเงยหน้าหวานคล้ายสตรีบนแก้มใสเจือสีแดงระเรื่อ มือขยับแตะลูบคลำของสงวนของเขาซึ่งหลบซ่อนภายใต้เนื้อผ้า
"รู้ครับ"
"ทำให้ฉันหายโกรธสิ"
สิ้นเสียงมือเล็กที่เคยลูบคลำค่อยๆปลดเปลื้องอาภรณ์ส่วนล่างของชายหนุ่ม คว้าจับเอาของแข็งร้อนผ่าวออกมาด้านนอก สาวรูดเบาๆจนกระทั่งเริ่มขยายตัวเต็มฝ่ามือ เคล้าไปกับเสียงคำรามต่ำหลังจากหลุดรอดออกมาจากลำคอหนา ใบหน้าหล่อคมคายขยับก้มมองการกระทำไร้เดียงสานั้นด้วยความพออกพอใจ
ทินกรเลื่อนมือข้างหนึ่งแตะแก้มขาวขึ้นสีแดงระเรื่อเกลี่ยปลายนิ้วโป้งเบาๆด้วยความเอ็นดู คิ้วหนาพลันขมวดมุ่นเมื่อถูกเด็กน้อยเล่นซุกซนกับส่วนกลางกาย ก่อนจะกัดฟันกรอดจนกรามขึ้นเป็นสัน ยามถูกลิ้นเล็กกระหวัดเลียส่วนที่อ่อนไหวที่สุด
มือที่เคยลูบคลำแก้มใสเปลี่ยนเป็นเคลื่อนจับเอากลุ่มผมนุ่มดึงรั้งใบหน้าสวยให้เชิดขึ้น เพื่อจะได้มองสีหน้าท่าทางของอีกคนอย่างถนัดถนี่ ยามกำลังทำเรื่องแสนลามกด้วยใบหน้าใสซื่อและไร้เดียงสา
ไม่เคยมีครั้งไหนที่ทินกรจะไม่รู้สึกลุ่มหลง เด็กน้อยตรงหน้าเปรียบเสมือนผ้าขาวสะอาดที่ถูกเขาแต่งแต้มด้วยสีสัน จนกระทั่งผ้าผืนนั้นดูน่ามองขึ้นเรื่อยๆ ทินกรไม่อาจรู้ได้เลยว่าวันใดวันหนึ่งเขาถึงจะเบื่อผ้าที่เขาบรรจงตกแต่งผืนนี้
"พิกุลจะทำให้ฉันหลงไปถึงไหน" น้ำเสียงนุ่มนวลแหบพร่า เอ่ยถามคนที่คุกเข่าช่วยเหลืออย่างถึงใจอยู่กลางหว่างขา
ใบหน้าที่ขยับเข้าออกนั้นช่างสวยและน่ามองเสียจริง ทินกรไม่เคยพบเจอชายใดมีใบหน้างดงามเช่นนี้มาก่อน
เขาจำได้ดีว่าครั้งแรกที่ได้พบเจอกับพิกุล เวลานั้นก่อเกิดเป็นความรู้สึกอยากครอบครองมาไว้ข้างกาย และยามที่ได้มาไว้ข้างกาย ความรู้สึกโลภละโมบไม่รู้จักพอดันมีมากขึ้นจนหาจุดสิ้นสุดไม่ได้
เวลานี้ได้มาเพียงตัวยืนตั้งตระหง่านโชว์เป็นตุ๊กตากระเบื้องเคลือบมันจะไปพออะไร ร่างกายและหัวใจของเด็กคนนี้จะต้องเป็นของเขาด้วยเช่นกัน
แม้จะได้มาบางส่วน เพราะการเสี้ยมสอนในเรื่องคาวโลกีย์ ตั้งแต่เด็กน้อยมีฝันเปียกครั้งแรก คำว่าสองสามจึงตามมาติดๆ จนกระทั่งช่ำชองโดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากสั่งให้ทำ แต่สามารถทำได้ราวกับเกิดมาเพื่อสิ่งนี้โดยเฉพาะ
ยังไม่ทันได้นึกถึงเรื่องราวเก่าก่อนจบสิ้นดี ความเสียดเสียวมากมายกองรวมตัวอยู่ในจุดๆเดียว ราวกับกำลังเฝ้ารอการปลดปล่อย จนกระทั่งร่างทั้งร่างกระตุกเกร็งเมื่อถูกครอบครองด้วยปากนุ่มนิ่มขนาดเล็ก
ชายหนุ่มก้มมองใบหน้าแดงก่ำ ริมฝีปากฉ่ำไปด้วยน้ำใสไหลยืด ความกำหนัดยากจะหักห้ามทวีความรุนแรงโหมกระพือ จึงคว้าเอาหัวทุยกดกระแทกให้รับเอาของร้อนเข้าไปเต็มปากเต็มคำ ใบหน้าหล่อเหลาเงยเชิดสูดปากครางเสียดเสียวเสียงแหบพร่า เมื่อยามได้ปลดปล่อยคาวน้ำสีขุ่นเข้าไปเต็มปาก
พิกุลหอบหายใจรุนแรง ใบหน้าขึ้นสีแดงจัดเมื่อกลืนกินน้ำคาวสีขุ่นอย่างยอมจำนน คล้ายกับชายหนุ่มแน่ใจดีแล้วว่าพิกุลกลืนน้ำคาวจนหมดสิ้น ก่อนจะดึงของสงวนออกจากริมฝีปากสีสดจนเป็นอิสระ
เมื่อถูกปล่อยพิกุลเท้ามือยันพื้นก้มหน้าไอโขลกเพราะอาการสำลักในทันที หลังจากกลืนกินของเหลวอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว น้ำมากมายถูกกลืนลงคอมีหลงเหลืออยู่ตามมุมปากสีสด พิกุลยกมือขึ้นมาปาดเช็ดมันออกอย่างลวกๆ ดวงตาเหม่อลอยไร้ทิศทางนั่งแน่นิ่งสบสายตาก้มมองไปยังพื้นกระเบื้อง
ทินกรก้มมองผลงานของตนเอง พลางจับเอากลางกายของตนยัดลงใต้เนื้อผ้าดังเดิม รอยยิ้มมุมปากผุดขึ้นบนใบหน้ายามเห็นเด็กน้อยใสซื่อที่ว่าง่ายกว่าปกติ จนทำให้เขานึกเอ็นดูไม่น้อย
นับวันเขายิ่งหลงใหลร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปตามช่วงอายุ ความรู้สึกตื่นเต้นคล้ายกับรอคอยเรื่องบางอย่างพลันตีตื้นขึ้นมาในอก ไม่หลงเหลือความรู้สึกกรุ่นโกรธเมื่อไม่กี่นาทีก่อนเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว
"พิกุลอยากให้ฉันอาบน้ำให้ไหม" เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นเมื่อพิกุลหยุดไอและเงยหน้าสบมอง
แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากตอบ ร่างผอมบางถูกอุ้มขึ้นจากพื้นโดยคนถามทันที สาวเท้ามุ่งหน้าเดินตรงไปยังห้องน้ำซึ่งอยู่ไม่ไกล ก่อนจะวางลงบนพื้นกระเบื้องเย็นเฉียบให้ยืนด้วยสองขา ยกมือหนาปลดเปลื้องอาภรณ์ให้จนหมดสิ้น
พร้อมกับอุ้มร่างแน่งน้อยที่กำลังทำสีหน้างุนงงขึ้นอีกครั้ง บรรจงวางร่างเปลือยเปล่าไว้ในอ่าง ซึ่งถูกเติมเต็มด้วยน้ำอุ่นและกลีบดอกไม้ลอยตัวบนผิวน้ำ ราวกับได้เตรียมการเอาไว้ให้ล่วงหน้า
พิกุลแสดงสีหน้าสงสัยหลังถูกวางลง ปกติพิกุลจะอาบน้ำในห้องของตนเองไม่ใช่ห้องของชายหนุ่ม และไม่เคยเลยแม้สักครั้งที่จะได้เข้ามาในห้องนี้ เพราะทุกครั้งที่คุณทินต้องการพบ จะเข้ามาหาพิกุลด้วยตนเองที่ห้องเท่านั้น
ถือว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกของพิกุลที่ได้มาเยือนห้องนอนของบุคคลที่ดูแลเขาอย่างดีตั้งแต่ยังเล็ก จวบจนกระทั่งอายุสิบแปดปีบริบูรณ์เมื่อเที่ยงคืนที่ผ่านมา
น้ำอุ่นหอมกลิ่นดอกไม้ช่วยทำให้พิกุลผ่อนคลายจากความเจ็บปวดที่เต็มไปด้วยบาดแผลรอยขีดข่วน แม้ในคราแรกจะตื่นกลัวเพราะอารมณ์ร้อนและรุนแรงของชายหนุ่ม ซึ่งมันช่วยไม่ได้เขาเองที่เป็นคนผิด เขาเป็นคนที่ทำให้คุณทินต้องเป็นห่วง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความอยากรู้อยากเห็นมากเกินไปของเขา
ในขณะที่กำลังคิดถึงอะไรไปพลางๆ ทว่าเด็กหนุ่มสัมผัสได้ถึงมือที่ลูบคลำบริเวณเนินเนื้อบนอก แม้จะเป็นบุรุษแต่ร่างกายกลับคล้ายสตรี เอวที่คอดกิ่วรับกับอกที่ผึ่งผายมีเนินหนั่นเนื้อบริเวณช่วงอกเล็กน้อยคล้ายเด็กสาววัยแรกแย้ม
ดวงตาคู่สวยพับปิด เงยใบหน้าพิงลงขอบอ่างนอนรับสัมผัสจากชายหนุ่มอย่างยินยอมพร้อมใจ ไม่มีขัดขืนหรือเสียงห้ามปรามเกิดขึ้น
ทินกรทอดมองเรือนร่างขาวสะอาดหมดจด แม้ไม่ได้อาบด้วยน้ำนมทุกวันแต่ผิวพรรณนั้นช่างผุดผ่อง เมื่อใดที่ลากฝ่ามือผ่านตุ่มไตสีสด เมื่อนั้นอกบางจะแอ่นรับราวกับต้องการให้เขาเคล้นคลึง การตอบรับสัมผัสจากมือที่มีมากกว่าในวัยเด็ก ช่างเป็นอะไรที่ทำให้ทินกรรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย
แม้แต่สีหน้าแววตาที่พิกุลแสดงออกมาช่างดูเป็นธรรมชาติไปเสียหมด พาลให้เขายิ่งหลงใหลจนโงหัวไม่ขึ้น ไม่รู้จะหาเด็กที่ไหนมาเทียบเคียง แต่ถึงกระนั้นเขาคงไม่คิดหา คนเดียวที่ทินกรแทบจะทำทุกอย่างให้หากเอ่ยปากขอ มีเพียงแค่พิกุลเท่านั้น
ชายหนุ่มกระตุกยิ้มเมื่อนึกถึงความรู้สึกของตนเองที่เอาแต่คิดถึงพิกุลไปเสียเกินครึ่ง แม้แต่เรื่องงานที่เขารักนักรักหนายังโดนเด็กน้อยแทะเล็มครอบครองพื้นที่ไปจนแทบหมด และแบบนี้จะให้ทินกรเอาเวลาไปคิดถึงคนอื่นได้อย่างไร..
ความคิดพลันหยุดลง เมื่อถูกมือเล็กใต้ผิวน้ำจับแตะเพื่อให้ทินกรขยับลูบไล้เนื้อนิ่มเสียที รอยยิ้มมุมปากผุดขึ้นอีกครั้งก่อนจะเคลื่อนมือจนถ้วนทั่วทุกบริเวณ ถูไถสบู่เหลวหอมกลิ่นดอกไม้ให้จนเสร็จสรรพ
ไม่มีการล่วงเกินใดๆเกิดขึ้นในห้องน้ำ แม้จะอยากทำจนแทบทนไม่ไหว
เพราะ ทินกรต้องการรอให้เวลาที่เหมาะสมมาถึงเสียก่อน ยามพระอาทิตย์ตกดินจนลาลับขอบฟ้า เมื่อแสงจันทร์ขึ้นมาแทนที่ดวงตะวัน จนก่อเกิดเป็นความมืดสนิทยามค่ำคืน
เขาจึงจะเริ่มทำในสิ่งที่รอคอยมานานเกือบสิบปีให้สมดังใจ
_______________________________________
เรื่องนี้ดราม่าและอีโรติกนิดหน่อย ทั้งเรื่องจะเต็มไปด้วยความปวดใจ ใครไม่ชื่นชอบสไตล์แบบนี้ เราขออภัยล่วงหน้านะคะ
แต่เราชอบให้นิยายสมหวัง เพราะงั้นเรื่องนี้สบายใจได้ค่ะ แม้ระหว่างทางอาจจะทรมานใจนิดหน่อยก็ตาม...
:katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
-
:pig4:
:3123: :L2: :L1:
-
บทที่ 2
บรรยากาศยามเย็นในวันสำคัญย่อมมีอะไรต่อมิอะไรที่แสนพิเศษ ในทุกปีพิกุลจะได้รับเค้กและช่อดอกไม้เป็นของขวัญซึ่งดอกไม้มักจะถูกเปลี่ยนชนิดไปเสียทุกครั้ง แต่ปีนี้ดูเหมือนว่าจะพิเศษกว่าปีไหนๆ เพราะดอกไม้ที่ได้รับคือดอกไม้ชนิดเดียวกับชื่อของ พิกุล
'พิกุล'
เสียงทุ้มของชายหนุ่มเอ่ยด้านหลัง
ขณะยื่นช่อดอกพิกุลส่งให้
พลางกระซิบข้างหูอย่างเอาใจ
บรรจงไซร้ปลายจมูกข้างแก้มนวล
"ชอบไหม" ทินกรกระซิบเสียงพร่าข้างใบหู จนเด็กหนุ่มสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนระอุรินรดจนต้องหดคอหนี
"ชอบครับ" พิกุลตอบรับพร้อมกับคว้าช่อดอกพิกุลกลิ่นหอมคลุ้งไว้แนบอก หันใบหน้าหวานเมียงมองชายหนุ่มตัวสูงโปร่ง สวมใส่ชุดสูทผูกไทดูเป็นระเบียบราวกับหลุดออกมาจากเทพนิยาย
เครื่องหน้าที่หล่อเหลาคมคาย สันกรามเด่นชัด โครงหน้าได้รูปถูกประดับด้วยคิ้วหนา ดวงตาสีดำขลับคล้ายหินสีนิล เสริมเติมแต่งด้วยจมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากขนาดพอดี บวกกับผิวสีน้ำผึ้งช่วยขับส่งให้ไม่ว่าจะแต่งกายด้วยชุดแบบไหน มักจะออกมาหล่อเหลาอยู่เสมอ
รอยยิ้มบางเบาจากทินกรถูกส่งกลับมาให้ หลังพิกุลตอบกลับ ก่อนจะสาวเท้ายาวเดินเข้าไปนั่งโต๊ะที่ถูกจัดเตรียมอย่างเป็นระเบียบ หันใบหน้ากลับมามองเด็กหนุ่มที่ยืนนิ่งเพียงครู่ คล้ายส่งสัญญาณกลายๆว่าให้นั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
ประโยคสนทนาเล็กๆน้อยๆถามไถ่ถึงเรื่องราวความหลังเมื่อปีก่อนเริ่มต้นขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะขบขันของคนทั้งสอง เมื่อยามพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า เทียนบนโต๊ะจึงถูกจุดเพื่อเพิ่มความสว่าง รับกับบรรยากาศเย็นสบายริมหน้าต่างบานใหญ่
เมื่อลมโชยพัดผ่านเบาๆกระทบผมยาวระต้นคอ พิกุลจึงยกปลายนิ้วขึ้นเกี่ยวกลุ่มผมขึ้นทัดหู เปิดเผยใบหน้าหวานไร้เครื่องสำอางประทินโฉม ใบหน้าที่สามารถมองดูได้อย่างไม่นึกเบื่อ แก้มใสกับริมฝีปากสีชมพูสดดูเป็นธรรมชาติอย่างไร้ที่ติ ราวกับถูกสวรรค์สรรค์สร้างให้เกิดมาเป็นคนที่งามพร้อม โดยไม่ต้องเสริมเติมแต่งใดๆให้รกหูรกตา
ทินกรสบมองใบหน้านั้นอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยพูดในสิ่งที่ตนเฝ้าคิดมาตลอดหลายปี
"หลังจากคืนนี้ผ่านไป พิกุลจะกลายคนในครอบครัวของฉันแล้วนะ"
"..."
พิกุลชะงักครู่หนึ่ง ขณะกำลังให้ความสนใจกับเค้กตรงหน้า เมื่อได้ยินประโยคจากอีกฝ่ายพาลทำให้ต้องละสายตาออก เงยมองเจ้าของคำพูดด้วยแววตาซื่อใส พลางพยักหน้ารับรู้ด้วยรอยยิ้ม ราวกับเข้าใจสิ่งที่อีกคนสื่อความหมายเป็นอย่างดี
แต่ แท้จริงแล้ว พิกุลไม่ได้เข้าใจประโยคดังกล่าวเลยแม้แต่นิด
คำว่าครอบครัวอาจมองได้หลายความหมาย บวกกับพื้นเพของพิกุลที่เป็นเด็กไม่ช่างสงสัย และมักจะเชื่อฟังคำพูดทุกคำจากทินกรเสมอ พาลทำให้การรับรู้ผิดพลาดไปมากโข
ครอบครัวในความหมายของทินกรนั้น ไม่ได้หมายถึงการเป็นลูกเป็นหลานแต่อย่างใด เพราะแท้จริงแล้วทินกรต้องการให้พิกุลเป็นภรรยาอย่างถูกต้องตามกฎหมายของเขา
ในระหว่างที่กำลังคิด ทินกรสบมองเจ้าของใบหน้าหวานขณะยกแก้วน้ำสีอำพันขึ้นจิบ ก่อนจะลอบยิ้มมุมปากพร้อมกับสายตาเจ้าเล่ห์ ซึ่งบัดนี้ลูกไก่ตัวน้อยกำลังตกอยู่ในกำมือของมนุษย์เยี่ยงเขา
อันที่จริงไม่จำเป็นต้องเติมแต่งสิ่งใดเพื่อให้ได้ครอบครอง เพราะไม่ว่าจะด้วยอะไรพิกุลจะไม่มีวันปฏิเสธสัมผัสที่มาจากเขาได้ แต่เพราะครั้งนี้เป็นครั้งแรกในการร่วมรักอย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่เพียงแค่ผิวเผินภายนอกอย่างเช่นปกติ
ดังนั้นทินกรจำเป็นต้องใส่บางอย่างลงไปในน้ำสีอำพัน บางอย่างที่มีฤทธิ์กระตุ้นให้อวัยวะสำหรับสอดใส่ สามารถรองรับตัวตนของเขาได้โดยไม่เจ็บปวด
หากทินกรจะทำอะไรต่อมิอะไรที่ตนอยากทำร่วมกับพิกุลเด็กหนุ่มที่เขาหลงรักเกือบสิบปี ค่ำคืนนี้คงเป็นเวลาเหมาะสมที่สุดแล้ว
รอยยิ้มยากจะบอกถึงความหมายถูกส่งไปยังหนุ่มน้อยที่นั่งทานอาหารใต้แสงเทียนเบื้องหน้า ก่อนสายตาคมจะหยุดกวาดมอง เมื่อพบเห็นรอยเปื้อนจากอาหารที่มุมปากของเด็กหนุ่ม แม้สามารถเลือกที่จะบอกให้อีกฝ่ายได้รับรู้ แต่ทินกรกลับทำตรงกันข้าม
ทินกรชันตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สาวเท้ายาวเดินเข้าใกล้จนกระทั่งยืนขนาบข้าง พิกุลที่พบเห็นความผิดปกติจึงเงยหน้าสบมองด้วยแววตาใสซื่อผสมปนเปไปกับความงุนงงระคนสงสัย
ยิ่งอีกฝ่ายไร้เดียงสามากเท่าไหร่ เขายิ่งอยากรังแกให้ร้องห่มร้องไห้ภายใต้ร่างกายเป็นที่สุด
"มีอะไรหรอครับ คุณทิ.."
ยังไม่ทันเอ่ยจบริมฝีปากนุ่ม ถูกประกบปิดด้วยปากของทินกร ความตกใจและงุนงงผสมปนเปจนทำตัวไม่ถูก มือเล็กปัดป่ายไร้ทิศทางจนทินกรคิ้วขมวดแสดงความหงุดหงิดออกมาเล็กน้อย ก่อนจะคว้ารวบเอามือที่ไม่อยู่นิ่งจับยึดไว้ด้วยมือเดียว
ยิ่งจูบ ก็ยิ่งโลภ จนความละโมบเกาะกินจิตใจอย่างไม่รู้จักพอ
ทินกรต้องการมากกว่าแค่การจูบสอดแทรกเรียวลิ้น เขาต้องการอะไรที่มันลึกซึ้งและลึกล้ำมากกว่านั้น อะไรที่สามารถแสดงออกได้ว่า เขาได้ครอบครองคนๆนี้จนหมดสิ้น ไม่หลงเหลือแม้สักสิ่งให้ใครอื่นได้มีโอกาสลักลอบขโมยไป
ใบหน้าหล่อผละออกให้เด็กหนุ่มได้พักหายใจจากการถูกปล้นจูบ พลางก้มหน้าจ้องมองเรือนร่างขาวนวลยามอยู่ใต้แสงเทียน ขณะสวมใส่ชุดเดรสสีขาวตัวเล็กซึ่งเหมาะสมกับสัดส่วนเว้าโค้งจนพอดิบพอดี
ชุดพวกนี้ทินกรเป็นคนสรรหามาให้ใส่ ช่างเข้ากับเอวคอดกิ่วที่ยากจะได้เห็นในเรือนร่างของเด็กชาย จนทำเอาเลือดลมในกายของชายวัยสามสิบอย่างทินกรร้อนรุ่ม พลางแลบลิ้นเลียริมฝีปากแห้งผาก ยามคิดไปถึงตอนที่ตนกำลังเปลื้องอาภรณ์ออกจากร่างกายผอมบางตรงหน้า
ทินกรไม่อาจยับยั้งชั่งใจของตนเองได้อีกต่อไป การรอคอยแสนยาวนานสิ้นสุดลงตั้งแต่พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า บัดนี้ไม่จำเป็นต้องประวิงเวลาอีกแล้ว
ทันทีที่ความคิดมากมายจบลง พลันจ้องมองใบหน้าน่ารักน่าเอ็นดูด้วยแววตาที่ต่างออกไปจากที่เคย
ความเอ็นดูมลายหายไป คงเหลือไว้แต่ความอยากครอบครอง
"ลุกขึ้น"
"แต่เค้ก.."
"ขึ้นไปบนห้องกับฉัน"
เสียงทุ้มต่ำผสมผสานไปด้วยความคุกรุ่นเจือการออกคำสั่ง พิกุลก้มหน้างุดโดยไม่ยอมเงย มือยังคงกำแก้วใสซึ่งด้านในบรรจุน้ำสีอำพันเพียงก้นแก้ว
ทินกรปรายตามองถ้วนทั่ว เมื่อไม่เห็นว่าอีกฝ่ายขยับกายตามคำสั่ง จึงก้มใบหน้าเข้าหา ก่อนจะจุมพิตลงบนกลุ่มผมนุ่มให้เด็กน้อยผ่อนคลายและเคารพเชื่อฟังอย่างเคย
ทว่าสายตาคมกริบพลันเหลือบสังเกตเห็นใบหูขาว ลวนลามไปถึงแก้มกลมที่เคยขาวซีด ซึ่งตอนนี้กำลังขึ้นสีแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัดเสียจนทินกรใจเต้นระส่ำ
ความตื่นเต้นระคนปวดหนึบไปทั่วทั้งลำกายก่อตัวขึ้น เมื่อสมองจินตนาการไปว่าพิกุลกำลังคิดถึงเรื่องอะไรอยู่ ถึงได้มีสีหน้าท่าทางแสดงออกมาเช่นนี้ ก่อนจะแสยะยิ้มเพียงครู่ เอื้อมมือคว้าเอาช่วงแขนเล็กดึงรั้งให้ลุกขึ้นยืนเคียงข้างร่างกายตน
"พิกุล" เสียงแหบพร่ากระซิบข้างหูซุกไซร้จมูกโด่งดมกลิ่นหอมบนหนั่นเนื้อนิ่มที่แก้มใส เจ้าของชื่อเคลื่อนใบหน้าหนีคล้ายกำลังเหนียมอาย แต่กลับถูกจับรั้งไว้ด้วยมือหนา "อย่าดื้อกับฉัน"
ประโยคสุดท้ายคล้ายกับเป็นถ้อยคำลั่นวาจาตัดจบเพื่อสิ้นสุดพฤติกรรมปฏิเสธ ข้อมือเล็กถูกดึงรั้งให้เดินตาม พิกุลตกใจไม่น้อยแต่ในความตกใจยังพอมีสติหลงเหลือ มือข้างหนึ่งรีบเอื้อมคว้าเอาช่อดอกพิกุลพกติดมาด้วยราวกับช่อดอกไม้เป็นของล้ำค่า
ทินกรสบมองจังหวะนั้นพอดิบพอดี ใบหน้าแสดงความรู้สึกเอ็นดูอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะยิ้มเยาะขบขันกับท่าทางหวงแหนช่อดอกไม้ของคนที่ตนรัก
ภายในห้องนอนถูกตกแต่งอย่างเรียบง่าย หน้าต่างบานใหญ่ใกล้หัวเตียงถูกเปิดรับลมเย็นยามค่ำคืน บนเตียงพบหมอนสองใบราวกับเตรียมการเอาไว้ตั้งแต่เนิ่น
ไม่รอช้ายามที่คนทั้งคู่เข้ามาในห้องแม้ประตูยังไม่ทันปิด ร่างทั้งสองรัดเกี่ยวกันราวกับไม่ได้สัมผัสกันมานานแรมปี
แสงไฟสลัวขับส่งให้บรรยากาศยามค่ำคืนเต็มไปด้วยอารมณ์และความเสน่หา และคงเพราะน้ำสีอำพันนั้นเริ่มออกฤทธิ์ดวงตาคู่สวยคู่นี้ถึงได้ฉ่ำเยิ้ม ยามที่ส่งสายตามองมายังเขา ทินกรอดไม่ได้ที่จะกดจูบลึกล้ำสอดแทรกเรียวลิ้นร้อน ส่งให้เป็นรางวัลสำหรับสายตาที่แสนเย้ายวน
"คืนนี้นอนที่นี่นะ" ทินกรเอ่ยเสียงแหบพร่าหลังละริมฝีปากออกห่าง
พลางถอยลำตัวออกก้าวหนึ่งเพื่อปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตนที่แต่งกายมาอย่างดิบดี ก่อนจะหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อเริ่มรู้สึกไม่ทันใจ
พิกุลเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายพลางส่งยิ้มบางให้ พร้อมกับยื่นมือเล็กเข้าช่วยเหลือโดยใช้เวลาไม่นานร่างกายของชายหนุ่มก็เปลือยเปล่า
ทินกรจ้องมองหนุ่มน้อยขณะกำลังถกกระโปรงสีขาวขึ้น คล้ายกำลังเปลื้องชุดของตนเองบ้าง ทันทีที่เห็นจึงรีบยื่นมือคว้าจับมือเล็กไว้เพื่อห้ามปราม พิกุลงุนงงว่าสิ่งที่ตนทำมันผิดตรงไหน แท้จริงไม่ได้ผิดแต่ชุดที่ทินกรหามาให้ คนที่สามารถปลดเปลื้องได้ต้องเป็นเขาเท่านั้น
ทินกรอดคิดไม่ได้เลยว่าหากร่างเปลือยเปล่าอยู่ภายใต้ร่างกายหนั่นแน่นของตน สีหน้ายั่วยวนที่อีกฝ่ายแสดงออกมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว หวั่นเกรงว่าจะกลายเป็นเชื้อเพลิงที่ทำให้ทินกรไม่สามารถยับยั้งอารมณ์ได้
ทินกรกลัวว่าจะเผลอไผลทำเรื่องรุนแรงกับร่างกายบอบบางนี้เข้า ขนาดแค่จินตนาการเพียงเล็กน้อยความกำหนัดที่เคยปลดปล่อยออกมาจนนับครั้งไม่ถ้วน พลันไหลมากองรวมอยู่ในจุดๆเดียว
สายตาคมทอดมองร่างตรงหน้าอีกครั้ง เมื่อพิกุลหย่อนกายลงนั่งบนเตียงนุ่ม ก่อนจะเอื้อมมือคว้าจับเอาข้อมือหนาดึงให้เข้ามาใกล้ๆ พร้อมกับเคลื่อนใบหน้าจรดริมฝีปากจุมพิตลงบนกล้ามเนื้อ พรมจูบอยู่เช่นนั้นอยู่นานพาลให้ทินกรชักจะทนไม่ไหว
เด็กหนุ่มเงยหน้าสบสายตากับทินกรขณะกำลังรอดูว่าเขานั้นจะทำอย่างไรต่อ และเจ้าของใบหน้าซื่อใสก็ให้คำตอบ ด้วยการแลบลิ้นชื้นแฉะเต็มไปด้วยน้ำสีใสไล้เลียกล้ามเนื้อแน่นอย่างเอาใจ
ทินกรอดไม่ได้จนเผลอแลบลิ้นเลียริมฝีปากของตนเอง ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าไม่เคยลุ่มหลงสิ่งใดเท่านี้มาก่อน ไม่เคยแม้แต่จะอดทนเฝ้ารออะไรด้วยระยะเวลาที่ยาวนานเช่นนี้ เขาไม่รู้ว่าตนไปเอาความมุ่งมั่นพวกนั้นมาจากไหน ถึงได้ตั้งตารอพิกุลให้พรั่งพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจได้ถึงขนาดนี้
ยามทินกรสอนสั่ง พิกุลเรียนรู้ เป็นแบบนี้เสมอตั้งแต่พาเจ้าตัวมาชุบเลี้ยง และดูเหมือนว่าการสอนสั่งจะเป็นไปได้อย่างราบรื่น และออกจะดีกว่าที่คิดเสียด้วยซ้ำ
"นอนลง"
เพราะความรู้สึกมากมายที่อดกลั้นมาตลอดตั้งแต่อยู่ข้างล่าง เวลานี้ร่างกายของพิกุลพรั่งพร้อมต่อบทเรียนสุดท้ายแล้ว ไม่จำเป็นต้องยืดเยื้อเวลาให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์
ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบไล้แก้มนุ่มนิ่ม ขณะกำลังฝังใบหน้าซุกลงบนกล้ามท้องอย่างเอาใจ เพื่อส่งสัญญาณให้ละใบหน้าออกและนอนลงแต่โดยดี
"แต่.."
พิกุลเงยหน้าสบมองคล้ายไม่เข้าใจ เวลาแบบนี้อีกฝ่ายจะต้องให้เขาช่วยเหลือ ไม่ด้วยมือก็ด้วยปาก เหตุไฉนถึงต้องนอนลง ในเมื่อส่วนแข็งขืนนั้นขยายคับพองขนาดนี้แล้ว
ทว่ายังไม่ทันได้คิดสงสัยนานคำพูดของชายหนุ่ม ทำเอาพิกุลคิ้วขมวดกว่าเก่า เอียงใบหน้าน่ารักหลังได้ยินจนจบประโยค
"ฉันจะสอนบทเรียนสุดท้ายให้"
ทินกรไม่รีรอแม้แต่จะฟังคำทักท้วง ใบหน้าที่เอียงเอนคล้ายสงสัยนั้นน่าเอ็นดูก็จริง แต่สำหรับเวลานี้เขาไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านั้น
"พิกุลจะต้องเรียนรู้มันให้ดีและจำเอาไว้ให้ขึ้นใจ"
น้ำเสียงนุ่มทุ้มแฝงเจือความดุดันแกมบังคับถูกเอ่ยออกมา เพื่อให้อีกฝ่ายยินยอมโดยไม่จำเป็นต้องร้องขอ ใบหน้าหล่อขยับเลื่อนเข้าหาพร้อมๆกับดันร่างเล็กให้เอนตัวนอนบนเตียงนุ่ม
เอื้อมมือทั้งสองสอดประสานฝ่ามือเล็ก ก้มหน้าซุกไซร้จมูกสูดดมกลิ่นกายหอม พลางเคลื่อนไหวร่างกายเสียดสีไปตามลำตัวหุ้มอาภรณ์ของเด็กในอานัติ เพื่อปลุกเร้าความรู้สึกวาบหวามให้เผลอไผลกับรสสัมผัสของตน
แทบไม่ต้องมองหาคำตอบ ผลงานที่ทินกรแต่งแต้มตั้งใจทำพลันปรากฏอยู่ตรงหน้า เจ้าของดวงหน้าสวยเผยแววตาฉ่ำเยิ้มคล้ายคนมัวเมายามถูกแตะต้องและสัมผัส จ้องมองกลับมาราวกับต้องการให้ทำมากกว่าแค่สัมผัสภายนอกร่างกาย
ทินกรทำแน่ แต่ต้องรอก่อน
ทินกรเงยหน้าขึ้น พลางเคลื่อนตัวถอยออกจากเด็กหนุ่มที่หอบหายใจจนตัวโยน ก่อนจะขยับตัวนั่งคุกเข่าเลื่อนมือข้างหนึ่งสัมผัสลำกายของตนเอง ส่วนอีกข้างลูบคลำค้นหาบางสิ่งภายใต้กระโปรงลายลูกไม้สีขาว
ด้านในไม่มีอาภรณ์ปกปิดของสงวนเพราะคนสั่งไม่ให้สวมใส่คือทินกร ก่อนจะพบเข้ากับสิ่งที่ตนค้นหา กอบกุมกำไว้ในมือพร้อมกับเริ่มขยับสาวรูดไปพร้อมๆกัน ทั้งของตนเองและของเด็กด้านล่าง
พิกุลเบิกตากว้างตกใจยามถูกสัมผัส เท้ายันฝ่ามือยันตัวลุกขึ้นนั่งจ้องอีกคนขณะขยับมือไปมาภายใต้กระโปรงไม่หยุด ใบหน้าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นขึ้นสีแดงระเรื่อเมื่อมองดูการกระทำของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน เคลื่อนสายตามองก่อนจะหยุดลงที่ดวงตาคู่คม ขณะจ้องมองกลับมาราวกับต้องการจะกลืนกินเขาไปทั้งตัว
ไม่นานเด็กน้อยก็นิ่วหน้าเพราะเริ่มเสียดเสียวมากขึ้นเรื่อยๆ สองเท้าที่วางราบยกขึ้นตั้งชันจิกนิ้วเกร็งลงบนเตียงนุ่ม จนกระทั่งทนไม่ไหวยกมือทั้งสองอุดปากของตน พร้อมกับร่างทั้งร่างกระตุกเกร็งปลดปล่อยคาวน้ำสีขุ่นเต็มฝ่ามือใหญ่ มีบางส่วนสาดกระเซ็นเปรอะเปื้อนชุดลายลูกไม้สีขาวจนขึ้นเป็นดวงกว้าง
พิกุลก้มมองด้วยใบหน้ารู้สึกผิด เพราะชุดที่เลอะเทอะคือชุดที่คุณทินตั้งใจซื้อมันมาให้
ทินกรสบมองใบหน้าเศร้าสร้อยอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเคลื่อนเข้าหามอบจูบปลอบขวัญให้ ราวกับบอกเป็นนัยว่าเขาไม่ได้นึกโกรธ แต่กลับกันเขารู้สึกเอ็นดูเสียด้วยซ้ำ
พลางละฝ่ามือออกจากลำกายแข็งขืนของตน แม้จะยังไม่ได้ปลดปล่อยเพราะความอดทนที่มีมากกว่า บวกกับความเชื่อที่ว่า หากร่างกายสามารถอดกลั้นได้นานมากเท่าไหร่จะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพได้มากขึ้นเป็นเท่าตัว
ทินกรเอื้อมมือทั้งสองเข้าหาเพื่อโอบอุ้มร่างแน่งน้อยขึ้นมาวางไว้บนตักแกร่ง ขณะยังคงเคลื่อนใบหน้ามอบจูบลึกล้ำส่งให้ไม่ละไปไหน
ไม่น่าเชื่อ พิกุลนั้นเรียนรู้เร็วกว่าที่คิด มีหลายครั้งที่เจ้าตัวจูบตอบเขาโดยไม่จำเป็นต้องสั่งให้ทำ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีไม่น้อยเลยทีเดียว ฉับพลันมือใหญ่ที่ลูบคลำหนั่นเนื้อนุ่มนิ่มบริเวณช่วงเอว พลางเคลื่อนไหวผ่านสะโพก ก่อนจะหยุดลงที่ช่องทางด้านหลัง ซึ่งบัดนี้ฉ่ำแฉะไปด้วยของเหลวใสที่เจ้าตัวขับออกมา พร้อมกับแรงอารมณ์อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
"อึ่ก คุณทินทำอะไร"
พิกุลร้องเสียงหลงขยับมือยกขึ้นเกาะไหล่ของทินกรแน่นหลังถูกสัมผัสในส่วนที่เร้นลับ ใบหน้าหวานพลันเหยเกกระชับอ้อมแขนโอบกอดลำคอ เคลื่อนตัวเข้าหาจนแนบชิดติดกัน เด็กน้อยตัวสั่นเทาราวกับลูกนกพลางอิงซบเสี้ยวหน้าด้านข้างกับบ่าแกร่ง หันเมียงมองมือใหญ่อย่างกล้าๆกลัวๆ ขณะกำลังขยับเขยื้อนไปมาบริเวณก้นของตน
"คุณทิน.."
"สอนบทเรียนสุดท้าย" ทินกรเอ่ยเสียงแหบพร่าหันหน้ากระซิบข้างใบหูขาว ก่อนจะแลบลิ้นเลียแก้มใสให้กำลังใจพิกุล เพื่อเรียนรู้บทเรียนก่อนจะจบสิ้นหลักสูตร
พิกุลกัดริมฝีปากล่างทันที เมื่อรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังสอดแทรกนิ้วยาวเข้ามาด้านใน ซึ่งช่องทางด้านหลังกำลังชื้นแฉะเสียจนสามารถสอดใส่เข้าไปได้ง่ายกว่าปกติที่ควรจะเป็น
ทินกรรู้สึกขอบคุณน้ำชาสีอำพันส่งกลิ่นหอมของดอกมะลิที่พิกุลดื่มเมื่อช่วงเย็น ส่งผลให้จีบที่พับปิดสนิทขยายตัวกว้างและหลั่งน้ำใสเหนียวหนืดออกมา ช่วยให้การสอดใส่เป็นไปได้โดยง่ายและไม่ฝืดเคือง
เด็กหนุ่มนั่งหอบหายใจ พลางอ้าปากงับไหล่ของชายหนุ่มที่กำลังสอดแทรกนิ้วยาวแทงจุดเสียวซ้ำๆ ก่อนที่ทินกรจะเพิ่มนิ้วซอยถี่ๆ เมื่อเห็นว่าคนบนตักกำลังแสดงอาการและตอดรัดเรียวนิ้วของเขาอย่างรุนแรง จนได้ยินเสียงน้ำที่หลั่งออกมาเป็นเสียงเฉอะแฉะ จวบจนกระทั่งร่างแน่งน้อยกระตุกเกร็งยามถึงจุดหมายปลายทางเป็นรอบที่สอง
ทินกรจัดการปลดเปลื้องอาภรณ์น่ารำคาญตาออกจนหมด เผยให้เห็นผิวกายขาวนวลรับกับแสงจันทร์เต็มสองตา กวาดมองจนถ้วนทั่วจนพบเห็นบางอย่างชูเด่นล่อตาล่อใจ สุดท้ายก็อดไม่ได้พลางก้มลงฟัดกัดยอดอกสีสดดูดดุนจนเกิดเสียง สลับตวัดลิ้นเลียจนฉ่ำไปด้วยน้ำลาย
อารมณ์ที่พุ่งสูงขึ้นส่งผลให้ทินกรไม่สามารถอดทนได้อีก ไม่รอช้าพลันเอื้อมมือแหวกหนั่นเนื้อนิ่มออกจากกันเพื่อสอดใส่ของที่ใหญ่กว่านิ้วหลายเท่าเข้าไปแทนที่
"อื้อ"
"อดทนหน่อยนะ...อืม พิกุล"
ทินกรเอ่ยเสียงแหบพร่า พยามยามข่มอารมณ์ของตนเองไม่ให้กระทำอะไรที่รุนแรงลงไป ใบหน้าหล่อเหลาเหยเกกัดฟันกรอดจนกรามขึ้นรูป เพราะกำลังอดทนกับความคับแน่นแม้จะมีน้ำใสหล่อลื่นช่วยเหลือให้การสอดใส่ง่ายขึ้น แต่ดูเหมือนเด็กน้อยบนตักยังคงตื่นตนกตกใจอยู่ พาลให้ช่องทางนั้นเครียดเกร็งเสียจนไม่สามารถไปต่อได้
"ผ่อนคลายนะเด็กดี"
ชายหนุ่มเอ่ยเสียงอ่อนโยน ขับกล่อมให้เด็กน้อยบนตักโอนอ่อนยอมให้เขาสอดผสานร่างกายเข้าหา พลางเอื้อมมือจับใบหน้าน่ารัก ซึ่งบัดนี้กำลังมีน้ำตาเม็ดใสไหลลงข้างแก้ม ก่อนจะก้มจูบซับน้ำตาให้อย่างรักใคร่
จนกระทั่งการสอดแทรกสามารถผ่านเข้าไปได้ทั้งลำกาย แม้จะมีอาการสะดุ้งตื่นกลัวเล็กน้อยแสดงออกมาให้เห็น แต่ร่างบนตักกลับเคลื่อนตัวโผเข้ากอดเป็นเด็กน้อยไม่รู้จักโต ทินกรลอบยิ้มยามได้เห็นท่าทางน่ารักที่แสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนจะขยับร่างกายช่วงล่างตอกอัดเน้นย้ำเข้าไปด้านในเพื่อคลายความต้องการของตน
"อื้อ อื้อ"
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นบนใบหน้าหล่ออีกครั้ง หลังจากแกล้งกระทั้นกลางกายเข้าหาให้คนบนตักร้องหวีดหวิว เมื่อรับรู้และรู้สึกได้ว่าพิกุลสามารถปรับตัวได้แล้ว ทินกรจึงคว้าเอวคอดด้วยมือทั้งสองข้าง พร้อมกับสวนกระแทกแก่นกายเข้าหาลึกล้ำมากยิ่งขึ้น พาลให้ก้นกลมเด้งรับแทบไม่ทัน
ความสุขสมเปรมปรีดิ์ที่ได้ครอบครองร่างกายของเด็กตรงหน้า ทุกการกระทำแสดงออกถึงความเป็นเจ้าของ สายตาคมกวาดมองไปถ้วนทั่วทั้งร่างสะโอดสะอง ก่อนจะหยุดสายตาที่ช่องทางขณะกำลังตอดรัดส่วนแข็งขืนไม่มีหยุด
ทินกรจ้องมองช่องทางฉ่ำแฉะยามถูกกลางกายของตนตอกอัด สลับกับมองใบหน้าหวานที่กำลังเหยเกปรือตามองมาที่เขา พาลให้ความต้องการที่จากเดิมมีมากอยู่แล้วบัดนี้พลันพุ่งทะยานมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะผลักไสร่างเล็กบนตักนอนราบกับเตียงนอน จับเอาขาเรียวทั้งสองข้างยกขึ้นพร้อมกับอ้าออกกว้าง จนเห็นอะไรต่อมิอะไรได้ถนัดถนี่
ฉับพลันร่างหนาของชายหนุ่มขยับคร่อมชันมือทั้งสองลงกับเตียง พร้อมกับกระทั้นร่างกายช่วงล่างเข้าหาเป็นจังหวะ เงยใบหน้าสูดปากเสียดเสียวยามถูกรัดรึงราวกับกำลังเคล้นให้ทินกรปลดปล่อย
"พิกุลเป็นของฉันแล้ว นับตั้งแต่วันนี้"
สิ้นเสียงทุ้มแหบพร่าเอ่ยข้างใบหูขณะกำลังขึ้นสีแดงก่ำ พิกุลพยักหน้ารับรู้ปรือตามอง ก่อนจะขยับใบหน้าเข้าหาเพื่อจูบริมฝีปากของชายที่ตนรู้สึกผูกพันที่สุดในชีวิต
ร่างทั้งสองสอดประสานรวมกันเป็นหนึ่งอีกครั้ง โดยต่างฝ่ายต่างไม่มีใครยอมใคร ยามคนหนึ่งหยุด อีกคนจะขยับเขยื้อนเข้าหาไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ราวกับว่าคนทั้งสองเกิดมาเพื่อครองคู่กัน
เสียงครางหวีดหวิวของเด็กหนุ่มผสมผสานกับเสียงครางต่ำแหบพร่า เกิดขึ้นในค่ำคืนแรกของช่วงวัยสิบแปดปี กระทั่งบทรักที่โหมกระหน่ำสาดใส่ความใคร่ต่อกันจบลง ทินกรปลดปล่อยในร่างกายของพิกุลจนหมดสิ้นทุกหยาดหยด ก่อนจะโอบกอดร่างผอมบางไร้เรี่ยวแรงบนเตียงนุ่มราวกับเป็นเนื้อเดียว
ในคราแรกพิกุลเจ็บปวดจนเกือบสิ้นลม แต่ยามได้รับการเติมเต็มทั้งปลอบประโลมและการสอดใส่อย่างช้าๆและใจเย็น ผสมปนเปไปกับรสสัมผัสสอดเข้าถอนออก พาลให้ความรู้สึกเจ็บแปรเปลี่ยนเป็นความเสียวกระสัน
พิกุลไม่รู้ว่าการกระทำสอดใส่เช่นนี้ทำไปเพื่อสิ่งใด เขารู้เพียงแค่เป็นการเรียนรู้ของวิชาแขนงหนึ่งเหมือนที่แล้วมาเท่านั้น คนโง่งมอย่างเขาไม่อาจเข้าใจสิ่งที่ชายหนุ่มต้องการบอกได้ การที่อยู่แต่ในบ้านไม่เคยได้ออกไปไหนไกลเกินกว่าที่อีกฝ่ายกำหนด ทำให้การเรียนรู้ที่จะเข้าใจคำพูดที่ไม่ชัดเจนเป็นเรื่องยากของพิกุล
พิกุลเรียนรู้เพียงแค่คำว่า ได้ และ ไม่ได้ หากต้องการให้พิกุลเป็นของคุณทิน พิกุลสามารถให้ได้โดยไม่คิดปฏิเสธ ไม่ว่าอีกฝ่ายต้องการให้ทำอะไร พิกุลจะไม่มีแม้แต่ข้อกังขาให้ขัดใจ..
ยามคุณทินโกรธ พิกุลจะกลัวสีหน้าและแววตาของชายหนุ่มที่สุด เพราะฉะนั้น คำว่า ปฏิเสธ จึงแทบไม่เคยหลุดออกมาจากปากของพิกุลเลยสักครั้ง
สายลมเย็นยามดึกพัดผ่านกระทบผิวเปลือยเปล่าที่เต็มไปด้วยเหงื่อชะโลมกาย หลังจากผ่านช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยตัณหาและราคะ ความเย็นที่สัมผัสผิวเนื้อพาลให้ทินกรที่กำลังโอบกอดร่างกายเล็กเปิดเปลือกตาจากความเหนื่อยล้า ตวัดสายตาคมทอดมองออกไปยังนอกหน้าต่าง จนแสงสว่างจากดวงจันทร์สะท้อนดวงตาดำขลับ
พลันให้นึกไปถึงเรื่องในอดีตยากจะลืมที่เกิดขึ้น ซึ่งไม่สามารถจะย้อนกลับไปแก้ไขได้ ความผิดพลาดมากมายเกิดขึ้นจนนับครั้งแทบไม่ถ้วน จนกลายเป็นก้อนเนื้อสีดำเกาะกินจิตใจที่เน่าเฟะจนมาถึงทุกวันนี้
แม้ปัจจุบันจะดำรงอยู่ด้วยความรัก ความสุข ความอบอุ่น ปราศจากเรื่องแย่ๆจากช่วงเวลาเก่าก่อน ทว่าลึกๆแล้วในใจของทินกรกลับคิดว่า หากสามารถย้อนเวลาหวนคืนกลับไปได้
เขาจะไม่ทำเช่นนั้นกับครอบครัวของพิกุล...
_____________________________
ฝากติดตามนิยายของเราด้วยนะคะ ผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้
สามารถคอมเม้นได้นะคะ เราไม่กัดค่ะ55555555
-
ภาษาดีมาก เนื้อเรื่องน่าติดตาม เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะคะ
-
ชอบภาษามากๆค่ะ ดีมากกก อ่านตอนแรกคิดแล้วต้องดราม่าแน่ๆ แต่เห็นว่าจบแฮปปี้ก็ดีใจค่ะ ระหว่างทางจัดมาหนักๆเลยค่ะ 555
อยากรู้ว่าคุณทินเคยทำอะไรไว้กับครอบครัวพิกุล
-
:katai2-1:
-
บทที่ ๓
แสงแดดยามเช้าสว่างสาดส่องเข้ามายังห้องนอน หน้าต่างบานใหญ่ยังคงถูกเปิดรับแสงตะวันรวมไปถึงบรรยากาศลมเย็นๆยามเช้า เคล้าไปกับเสียงนกร้องขณะกำลังขยับปีกบิน
บนเตียงกว้างสีสะอาดตามีร่างของคนสองคนนอนกอดเกี่ยวร่างกายของกันและกัน หากพินิจมองดูให้ดีคนที่ถูกกอดจนจมอยู่ในอ้อมอก คงเป็นใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่หนุ่มน้อยผิวขาวสะอาดสะอ้าน
แม้ในยามนี้จะมีริ้วแดงเป็นจ้ำขึ้นตามหนั่นเนื้อเป็นบางจุด อันเกิดมาจากการบีบเค้นจากฝ่ามือใหญ่ผ่านการกระทำที่ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ แรงอารมณ์ที่ยากจะควบคุม ยามขยับโยกเคลื่อนไหวร่างกายตอกอัดแสดงความเป็นเจ้าของ มือที่ปัดปายเคล้นคลึงไม่สามารถผ่อนแรงลงได้ ส่งผลให้ร่างแน่งน้อยมีร่องรอยบอบช้ำจากการร่วมรักหลังจากสร้างความสัมพันธ์ลึกซึ้ง
เรือนร่างเปลือยเปล่าในอ้อมกอดขณะกำลังนอนหลับใหลหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ทุกอย่างตกอยู่ในสายตาของทินกรมาครู่หนึ่งแล้ว
เสียงนกร้องในยามเช้าและแดดที่เริ่มร้อนขึ้นจนกัดกินผิวกายเปลือยเปล่า ส่งผลให้ทินกรไม่สามารถข่มตาหลับต่อได้แม้จะมีอาการเหนื่อยเพลีย ดวงตาคู่คมเงยสบทอดมองออกไปยังหน้าต่าง พลางหลับลงพร้อมกับคิ้วขมวดหลังถูกแสงแดดส่องเข้าเต็มตา
ก่อนจะละออกมาหันมองไปทางอื่น สายตาคมพบเห็นช่อดอกพิกุลที่เริ่มเหี่ยวแห้งถูกวางแน่นิ่งบนพื้น ทินกรหลุดเสียงหัวเราะขบขันออกมาจากลำคอ ยามคิดไปถึงตอนที่พิกุลถือช่อดอกไม้นี้ติดตัวมา ใบหน้าใสซื่อที่ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังถูกเขาจูงมือขึ้นมาบนห้อง ช่างไร้เดียงสาเสียจริง
ทินกรจ้องมองดอกพิกุลที่เริ่มมีสีน้ำตาลเข้มไร้ความสด ดวงตาคู่คมพลันหรี่มองขณะคิดถึงเรื่องบางอย่างที่คล้ายคลึงกับเจ้าของชื่อ
ดอกพิกุลไม่อาจสดใสบริสุทธิ์ได้ตลอดเวลา วันหนึ่งมันต้องเหี่ยวเฉาและไร้กลิ่นหอมน่าพิศมัย
หากเปรียบกับคนที่ยังบริสุทธิ์ผุดผ่องคงเหมือนกับดอกไม้สดส่งกลิ่นหอมน่าหลงใหล แต่ถ้าวันหนึ่งวันที่คนๆนั้นไม่บริสุทธิ์อีกต่อไปแล้ว มันจะแตกต่างอะไรกับดอกไม้ที่เหี่ยวแห้งโรยราไร้กลิ่นหอมหรือ
เช่นเดียวกัน พิกุลของเขาไม่บริสุทธิ์อีกต่อไปแล้ว ซึ่งคนที่ทำให้พิกุลไม่บริสุทธิ์ ก็คือเขา
ทินกรละสายตาออกจากช่อพิกุลเหี่ยวเฉา หันกลับมามองเด็กหนุ่มร่างเล็กในอ้อมอก สายตาที่ทอดมองเต็มไปด้วยความรู้สึกรักใคร่ หลงใหล และยินดี เพราะการรอคอยแสนยาวนานได้สิ้นสุดลงแล้ว ไม่มีอีกแล้วการเฝ้ามองดอกไม้ที่อยู่บนต้น บัดนี้ดอกไม้ดอกนั้นถูกเขาถือเอาไว้ในมือ หลังจากถึงเวลาที่ร่วงหล่นของมัน
ทินกรเฝ้ามองเด็กในอ้อมอกไม่ยอมละสายตาไปไหน จนกระทั่งร่างเล็กเริ่มขยับเคลื่อนไหวคล้ายกำลังเมื่อย ทินกรนึกเอ็นดูไม่น้อย พลางขยับใบหน้าเข้าหาก่อนจะจุมพิตลงบนเรือนผมนุ่มเบาๆ
ดวงตาคมหลับลงคิดถึงบางสิ่งที่ตนรู้สึก เผยรอยยิ้มบางแสดงออกถึงความรักต่อคนในอ้อมกอด ทุกอย่างล้วนเป็นความรู้สึกที่มาจากใจที่แท้จริงของเขาทั้งสิ้น
แม้ดอกไม้นั้นจะไม่สด ไม่มีกลิ่นหอม
แต่เขาจะทะนุถนอมราวกับมันเป็นของมีค่า
พิกุลสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นบนเรือนผม พลางเปิดเปลือกตาหรี่ปรือกระพริบถี่เพื่อปรับแสง พบเห็นแผ่นอกเปลือยเปล่าเป็นสิ่งแรก ก่อนจะเงยใบหน้าขึ้นสบมองเจ้าของอกเปลือย ขณะกำลังจ้องมองลงมาที่พิกุลอยู่ก่อนแล้ว
"คุณทิน" เสียงแหบแห้งเอ่ยออกมาเป็นประโยคแรกของวัน ทำเอาทินกรขมวดคิ้วคล้ายรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
ชายหนุ่มขยับตัวชันศอกข้างหนึ่งบนเตียงนอน ยกมืออีกข้างจับแตะบริเวณหน้าผากของหนุ่มน้อย จนคิ้วที่ขมวดคลายลงแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าเจือความหงุดหงิดเข้ามาแทน
"ตัวร้อน" เสียงเข้มเอ่ยพร้อมกับขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะวางเท้าลงกับพื้นคล้ายจะลุกขึ้นยืนเพื่อเดินออกไปทำอะไรสักอย่าง
ทว่าช่วงแขนกลับถูกพิกุลรั้งเอาไว้ ใบหน้าหวานแม้จะดูอ่อนล้า ทว่าแก้มใสนั้นกลับขึ้นสีแดงระเรื่อเจือจาง จมูกโด่งรั้นที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงอ่อนๆ ช่างน่ามองจนไม่อาจละสายตาออกไปได้
พิกุลเงยหน้าสบมองชายหนุ่มที่กำลังทำหน้าหงุดหงิด ก่อนจะก้มหน้าหลุบสายตาหนีความรู้สึกประหลาดนั้น ในใจของพิกุลเวลานี้กำลังเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย ส่วนหนึ่งคือไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายคิดจะลุกขึ้นเพื่อไปทำสิ่งใด อีกส่วนกลับรู้สึกหวั่นไหวทำตัวไม่ถูกเมื่อถูกสายตาที่ยากจะอ่านออกนั้นสบมองลงมาอย่างจัง
"เงยหน้า"
เสียงเข้มถูกเอ่ยออกมาหลังจากพิกุลเอาแต่ก้มหน้างุดไม่ยอมเงย ก่อนจะถูกเชยคางขึ้นด้วยมือหนาอีกข้าง แม้ข้างหนึ่งจะถูกพิกุลดึงรั้งเอาไว้ ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่คิดจะดึงออก พิกุลเงยหน้าอย่างจำใจแม้จะยังไม่พร้อมที่จะต้องสบมองแววตาคู่นั้นในเวลานี้
ครู่หนึ่งสายตาที่มองลงมาเต็มไปด้วยความต้องการบางอย่าง ช่างเหมือนกับเมื่อคืนไม่มีผิดเพี้ยน แต่ทว่าเป็นเพียงแค่ชั่ววูบหนึ่งเท่านั้น บัดนี้อีกฝ่ายกำลังแสดงสีหน้าราวกับกำลังโกรธเขานักหนา
เพราะพิกุลตื่นสายอย่างนั้นหรอ หรือเป็นเพราะอะไร เด็กหนุ่มปรามาสตัวเองที่ดันเกิดมาโง่เง่าคิดสิ่งใดไม่เคยออก ขนาดเรื่องเพียงแค่นี้เหตุใดเขาถึงไม่เข้าใจ
คงเพราะกำลังทำสีหน้าไม่เข้าใจออกไป อีกฝ่ายถึงได้ให้คำตอบสั้นๆที่ไม่จำเป็นต้องคิดให้ปวดหัว
"ฉันโกรธตัวเอง ที่ฉันทำพิกุลป่วย"
พิกุลเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างทันที ขณะที่มือยังคงดึงรั้งชายหนุ่มตรงหน้าไม่ยอมปล่อย จนคนที่ถูกรั้งเลิกคิ้วมองคล้ายสอบถามว่าเหตุใดถึงได้ดึงแขนเอาไว้แบบนี้
"ผิดที่กุล เพราะกุลอ่อนแอ คุณทินไม่ผิด"
พิกุลกล่าวโทษตนเองเงยใบหน้าสบมองด้วยความรู้สึกผิด ท่าทางเช่นนี้ทำเอาทินกรหลุดยิ้ม พลางเลื่อนมืออีกข้างที่ว่างเอื้อมจับใบหน้าขาวเจือสีแดงระเรื่อที่ข้างแก้ม แม้จะสัมผัสได้ถึงความร้อนจากพิษไข้ แต่เพราะความน่ารักน่าเอ็นดูทำให้ทินกรรู้สึกอยากทำมากกว่าสัมผัสลูบคลำภายนอก
รู้ทั้งรู้ว่าเด็กน้อยกำลังป่วย แต่ความต้องการและหลงใหลเรือนร่างที่แทะโลมเท่าไหร่ก็ไม่เพียงพอ ดันกลบเกลื่อนความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเสียจนหมดสิ้น
ก่อเกิดเป็นความสัมพันธ์ลึกซึ้งทางกายอีกครั้งในยามเช้า ร่างทั้งสองโรมรันพันเกี่ยวจนแทบจะรวมเป็นเนื้อเดียว สอดประสานสิ่งที่เชื่อมติด เพื่อใช้เป็นตราสัญลักษณ์ย้ำเตือนว่าร่างกายของคนทั้งคู่นั้น ต่างเป็นของกันและกัน
กาลเวลาผันเปลี่ยนมาเกือบสองปี หนุ่มน้อยเติบโตขึ้นด้วยอายุยี่สิบ แต่ทว่าร่างกายกลับหยุดชะงักการเจริญเติบโต แน่นอนว่านั่นเป็นสิ่งที่เรียกว่าแปลกประหลาด หากได้ลองอ่านงานวิจัยในหลายแขนง บุรุษเพศร่างกายยังคงเจริญเติบโตต่อได้อีกหลายปีต่อจากนี้
เรือนกายผอมบางราวกับเด็กหญิง ผิวพรรณคล้ายกับเด็กอ่อน ลักษณะนิสัยใจคอน่ารักน่าเอ็นดู ยามได้ฟังเสียงใสเจื้อยแจ้ว เสมือนกับได้ฟังเสียงเพลงบรรเลงขับขานชวนให้ผ่อนคลาย
ร่างแน่งน้อยหย่อนกายลงบนตักของชายหนุ่ม ขณะกำลังตั้งหน้าตั้งตาทำงานบนโต๊ะอย่างตั้งใจ การกระทำดังกล่าวพาลให้ความสนใจในหน้าที่การงานถูกขโมยไปจนหมดสิ้น ทินกรละสายตาออกจากงานตรงหน้าก่อนจะหันมาสบมองเรือนหน้าหวาน ซึ่งบัดนี้แก้มใสและปลายจมูกถูกแต่งแต้มด้วยเลือดฝาดขึ้นสีแดง คงเป็นเพราะอากาศช่วงนี้เปลี่ยนผันง่าย
บ้างก็หนาว บ้างก็ร้อน และบางทีก็มีฝน เขาไม่ได้ห่วงสิ่งใดมากไปกว่าเด็กน้อยบนตักจะล้มป่วย ยิ่งพักหลังมานี้อาการป่วยง่ายเริ่มทวีความถี่มากขึ้น ทินกรจำเป็นต้องจ้างวานให้หมอฝีมือดีมาตรวจถึงสองครั้งสองคราในหลายเดือนก่อน เพราะกลัวว่าร่างกายของเด็กตรงหน้าจะไม่แข็งแรง
มากไปกว่านั้น การเรียกให้หมอประจำตัวของพิกุลเข้ามาตรวจอยู่บ่อยครั้งเมื่อปีก่อน ในพักหลังเริ่มห่างหายจากการเรียกตัว เหตุเพราะคำตอบที่ได้รับมักเป็นการส่ายหน้า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ร่างกายของคนจะสามารถทำตามความต้องการได้ดั่งใจ ยิ่งต้องการถวิลหายิ่งยากที่จะได้มาตามคาดหวัง
ความคิดมากมายวนเวียนในหัวของทินกร ก่อนจะถูกกลบด้วยความรู้สึกอุ่นร้อนนุ่มนิ่มบนแก้มตอบ ดวงตาคมพลันหรี่มองร่างแน่งน้อยบนตักด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ เมื่อพบเห็นความออดอ้อนแสดงออกมาให้ทินกรรู้สึกกระชุ่มกระชวย รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าพร้อมกับขยับก้มฟัดแก้มขาวลวนลามไปถึงคอระหงส์ หวังจะให้เป็นของรางวัลสำหรับความช่างอ้อน
"ไม่เอาแล้ว กุลไม่กวนคุณทินแล้ว"
"นั่งก่อน"
"คุณทินชอบแกล้ง"
"แล้วใครกันที่เป็นฝ่ายเริ่ม"
เด็กขี้เถียงหยุดชะงักนิ่งลงทันตา ก้มใบหน้างุดจนคางชิดติดกับอกคล้ายกับยอมจำนน ทินกรสังเกตเห็นอาการก็ได้แต่ยิ้มขำ ก่อนจะเคลื่อนใบหน้าเข้าฟัดแก้มขาวขึ้นสีแดงอีกรอบคล้ายกับยังไม่หนำใจ พลางเอ่ยปากสอบถามถึงการเข้ามาหาในเวลาเช่นนี้ ซึ่งปกติเวลาแบบนี้พิกุลของเขาจะใช้ไปกับการปลูกต้นไม้และเดินเล่นในสวย
"น่าแปลก ปกติเวลานี้พิกุลจะต้องอยู่ที่สวนไม่ใช่หรอ"
"ไปมาแล้วครับ แต่โดนลุงมิ่งดุตอนจะเอื้อมจับผีเสื้อ"
ทินกรใบหน้าเปลี่ยนสีทันทียามได้ยินในสิ่งที่ทำให้รู้สึกไม่ถูกใจ ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเพิ่งโดนดุกลับมา แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกตึงเครียดคืออย่างอื่น
ชายที่ชื่อมิ่ง คือคนที่ทำให้ทินกรรู้สึกเช่นนี้
เขามักจะย้ำนักย้ำหนาว่าไม่ให้คนสวน นามว่ามิ่งขวัญ ยุ่งเกี่ยวหรือพูดคุยสิ่งใดกับพิกุล แต่ดูเหมือนว่าคนผู้นั้นกำลังจะผิดคำพูดเสียแล้ว การมีอยู่เอาไว้ซึ่งชีวิตคงไม่มีค่ามากพอสำหรับคนอย่างมันสักเท่าไหร่ในตอนนี้
คนที่รู้เรื่องราวมากมายในอดีตมีเพียงไม่กี่คนที่ยังอยู่รอด การร้องขอชีวิตสำหรับบางคนควรค่าแก่การได้ แต่สำหรับบางคนไม่สมควรที่จะได้ แน่นอนว่ามิ่งขวัญเป็นคนหนึ่งในเหตุการณ์ครั้งนั้นที่ก้มหน้าร้องขอชีวิตจากคนอย่างทินกร
การตัดสินใจไว้ชีวิตมาพร้อมกับคำมั่นสัญญาที่ต้องทำ หากทำได้ก็จะสามารถใช้ชีวิตอยู่ต่อ แต่ถ้าหากวันใดไม่สามารถทำได้อีกแล้ว ชีวิตคงไม่จำเป็น
ฉับพลันความตึงเครียดเกาะกินจนเต็มใบหน้า ส่งผลให้เด็กหนุ่มตัวสั่นเทายามได้เห็นในสิ่งที่ตนไม่เคยได้เห็นมานาน ใบหน้าของชายที่เป็นทั้งชีวิตของพิกุลบัดนี้กำลังเคร่งเครียดราวกับกำลังโกรธสิ่งใดมา ทั้งที่ก่อนหน้ายังยิ้มหยอกล้อกับเขาอยู่เลย
มือเล็กพลันเอื้อมแตะข้างแก้มของชายวัยสามสิบ คล้ายกับเรียกสติให้อีกฝ่ายหันมาสบตามอง พิกุลเอียงใบหน้าราวกับกำลังตั้งคำถาม หวังให้คนตรงหน้ามอบคำตอบให้ ทว่าเวลาเลยผ่านกลับถูกปกคลุมด้วยความเงียบ ไม่มีแม้แต่เสียงใดเอื้อนเอ่ยออกมาสักคำเดียว
พิกุลรู้สึกสงสัย ประจวบกับค่อยๆเริ่มประติดประต่อเหตุการณ์ตอนอยู่ในสวน ลุงมิ่งมีอาการตื่นตนกตกใจหลังจากเอ่ยปากพูดคุยจนจบประโยค หลังจากนั้นก็รีบวิ่งหนีหายไปจากสายตา คล้ายกับว่ากำลังทำเรื่องผิดยังไงยังงั้น
เรื่องผิดอย่างนั้นหรอ
"อย่าโกรธลุงมิ่งเลยนะครับ กุลเองที่ผิด กุลจะจับผีเสื้อมาเลี้ยงเพราะเห็นว่าสวยดีแต่ถูกลุงมิ่งห้ามไว้ ก็จริงอย่างที่ลุงมิ่งว่า จะจับผีเสื้อตัวเป็นๆมาเลี้ยงได้ยังไง เจ้าผีเสื้อก็มีชีวิตมีครอบครัวของมัน"
"ทำไมจะไม่ได้"
"..."
"ถ้าชอบ ก็แค่จับใส่กล่องเลี้ยงเสียก็จบ"
"แต่ผีเสื้อมีครอบครัว"
"ใครสนเรื่องนั้นกัน สิ่งที่ควรจะสนไม่ใช่การมีสิ่งที่ชอบอยู่ในกำมือหรอกหรอ"
พิกุลลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เมื่อได้ฟังสิ่งที่ชายหนุ่มเอ่ยพูดต่อหน้าต่อตา ราวกับเป็นเรื่องปกติ ความคิดที่ต่างฝ่ายต่างคิดไม่เหมือนกัน พิกุลทำได้แค่เบือนหน้าหนีไม่กล้าแม้แต่สบตา
แววตาของอีกฝ่ายช่างดูใจร้ายและเยือกเย็น
"มิ่งพูดอะไรกับพิกุลอีกไหม" ทินกรเอ่ยถามเสียงทุ้มทุกคำเต็มไปด้วยความต้องการจะเอาคำตอบ ใบหน้าที่เคร่งเครียดพาลทำให้พิกุลรู้สึกกดดัน
"ไม่ครับ" พิกุลตอบพร้อมส่ายหน้าหวือ จ้องมองทินกรด้วยแววตาสงสัย ว่าเหตุใดทำไมถึงได้จริงจังนัก
แน่นอนว่าความตึงเครียดมีที่มาที่ไป เหตุเพราะทินกรกำลังหวั่นกลัวบางอย่าง โดยเฉพาะยามที่พิกุลกำลังถูกช่วยเหลือให้หลุดออกจากกรงทอง ทินกรไม่อยากคิดไปถึงตอนนั้น เพราะตอนนี้ทินกรรู้อยู่แก่ใจดีว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไรกับเขา มากกว่าคำว่าผูกพันแต่เราทั้งคู่ต่างถูกผูดมัดด้วยความสัมพันธ์ทางกาย
คำว่าครอบครัวที่เป็นมากกว่าครอบครัวแบบญาติมิตร พิกุลเป็นของทินกรในคำคืนแรกของการบรรลุนิติภาวะ หลังคืนนั้นก็เปลี่ยนผันจากเด็กในความดูแลไปเป็นภรรยา และใช้นามสกุลเช่นเดียวกันกับของเขา แม้อีกฝ่ายจะดูสับสนและไม่เข้าใจแต่สำหรับทินกรหาได้สน ขอแค่อีกฝ่ายไม่ปฏิเสธยามเขาต้องการ นั่นถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี
การร่วมมีสัมพันธ์ลึกซึ้งย่อมเกิดจากความยินยอมพร้อมใจของทั้งสองฝ่าย และแน่นอนว่า พิกุลยินยอมให้เขาทั้งร่างกายและอาจจะจิตใจ แบบนี้จะไม่ทำให้เขารู้ได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายก็รู้สึกดีต่อเขาด้วยเช่นกัน
หากจำเป็นต้องนึกไปถึงวันที่เจ้าตัวรับรู้เรื่องราวที่อาจจะทำให้ใจเปลี่ยนผันหันเห แม้จะกลัวอยู่ในที แต่ทินกรเชื่อว่าในเวลานั้น เสี้ยวหนึ่งในจิตใจของพิกุลจะต้องมีเยื่อใยต่อเขาบ้างไม่มากก็น้อย
"มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ"
เพราะสงสัยจึงโพล่งถามออกไปโดยไม่ได้สังเกตสีหน้าแววตาของชายหนุ่มให้ดี ทำให้การสอบถามที่ไม่ได้คิดอะไรของพิกุล เกิดเป็นชนวนที่ทำให้อีกฝ่ายกรุ่นโกรธขึ้นมาอีกครั้ง
ทินกรรู้สึกไม่ชอบใจที่คนบนตักเอ่ยปากถามในสิ่งที่เขาไม่ต้องการให้คำตอบ แม้ใบหน้าจะเต็มไปด้วยควาทใสซื่อไร้เดียงสา แต่ในเวลานี้ทินกรไม่ได้รู้สึกเอ็นดูเลยแม้แต่น้อย กลับกันทินกรกลับรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่าน ยิ่งเห็นว่าอีกฝ่ายหัดคิดเองและสงสัยมากขึ้น ทั้งๆที่พื้นเพนิสัยไม่ใช่คนแบบนี้ ทินกรยิ่งรู้สึกเคร่งเครียดมากขึ้นเป็นทบทวี
จนพลั้งเผลอปากเอ่ยคำพูดสั่นวาจาเสียดแทงอย่างไม่ได้ตั้งใจออกไป พร้อมกับใบหน้าที่ไม่ได้ยิ้มแย้มอย่างเคย
"ฉันไม่คิดว่าพิกุลจะกลายเป็นเด็กอยากรู้อยากเห็นมากขนาดนี้ เพราะอะไรกันนะ ที่ทำให้พิกุลเริ่มสอดรู้ในทุกเรื่อง"
พิกุลตัวชาวาบเมื่อได้ยินประโยคที่เต็มไปด้วยความเย็นชาไร้ความรู้สึก เขาไม่ได้โง่แล้วเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายกำลังบอกว่าเขานั้น 'สอดรู้สอดเห็น' มากเกินไป
ความรู้สึกผิดก่อตัวแต่ทว่ากลับผสมเจือไปด้วยความน้อยอกน้อยใจ แน่นอนว่าคนไม่เคยโดนดุมานานยามถูกดุหรือว่ากล่าวตักเตือนย่อมรู้สึกมากกว่าปกติ ใบหน้าที่หมองหม่นอย่างเห็นได้ชัดบ่งบอกว่ากำลังรู้สึกเสียใจและน้อยใจ พาลทำให้ทินกรที่จ้องมองอยู่รู้สึกคันยุบยิบในอก
ใช่ว่าทินกรอยากดุเด็กบนตักเสียเมื่อไหร่ แต่เพราะอีกฝ่ายดันถามในเรื่องที่เขาจะไม่มีวันตอบ ยิ่งเห็นสีหน้าเศร้าหมองลงหลังจากถูกเขาดุ มือข้างหนึ่งพลันยกขึ้นหมายจะสัมผัสบริเวณแก้มขาวเพื่อปลอบโยนและขอโทษ ทว่าคนที่เคยนั่งนิ่งส่งมอบความอบอุ่นให้ กลับถดกายถอยหนีสัมผัสหนำซ้ำยังลุกขึ้นคล้ายจะเดินออกไปจากบริเวณ
ทินกรรู้สึกหงุดหงิดที่เห็นการกระทำเอาแต่ใจนั้น แม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายน้อยอกน้อยใจ แต่เพราะอารมณ์มากมายที่ผสมปนอยู่ในอกของเขา ส่งผลให้การแสดงออกนั้นรุนแรงและสับสนแทนที่จะอ่อนลงอย่างในคราแรก
ทันทีที่เห็นว่าพิกุลทำท่าจะเดินออกห่าง มือข้างหนึ่งพลันคว้าจับต้นแขนอีกคนเอาไว้อย่างแรง ก่อนจะออกกำลังกำบีบเสียแน่น จนพิกุลนิ่วหน้าหันกลับมามอง
"เจ็บ"
คำพูดไร้ซึ่งหางเสียง ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความแข็งกร้าว ยิ่งได้ฟังอีกฝ่ายเอ่ยพูดแรงมือที่ควรจะอ่อนลงกลับทวีความรุนแรงมากขึ้น จนสัมผัสได้ถึงกระดูกขนาดเล็กใต้หนั่นเนื้อหลังกำแน่นอย่างแรง
"คนที่ควรโกรธคือใคร ไม่ใช่ฉันหรอกหรอ"
"ทำไมคุณทินจะต้องโกรธ กุลทำอะไรผิด หรือเพราะกุลคุยกับลุงมิ่ง กุลถึงผิด"
เด็กหนุ่มตัดพ้อน้ำตาเอ่อคลอรอบดวงตาคู่สวย ขับส่งให้จมูกเริ่มขึ้นสีแดงจางๆ ริมฝีปากบางเบะคล้ายเด็กกำลังงอแง ไม่รู้ว่าตนกำลังร้องไห้เพราะอะไร เพราะความเจ็บที่ถูกบีบจนแน่นที่ต้นแขน หรือเพราะอารมณ์ที่มันไม่คงที่กันแน่
พิกุลไม่รู้อาจให้คำตอบกับตัวเองได้ เพราะปกติไม่ใช่คนเอาแต่ใจ ซึ่งตอนนี้พิกุลไม่สามารถหักห้ามอารมณ์ของตัวเองได้ จนสุดท้ายก็ปล่อยมันออกพรั่งพรูมาและพูดประโยคที่ไม่คิดว่าตนเองจะกล้าพูด
"หากคิดว่ากุลเป็นคนชอบสอดรู้สอดเห็น กุลคงไม่อยู่กับคุณทินมาจนถึงตอนนี้หรอก"
"พิกุล!" ทินกรเรียกชื่ออีกคนเสียงดังลั่นห้องด้วยน้ำเสียงที่โกรธจัด เขาไม่ชอบที่อีกฝ่ายแสดงท่าทางและสีหน้าแบบนี้ใส่ ยิ่งคำพูดที่ส่อแววว่าหากเป็นคนอื่นก็คงหนีหายไปแล้วแบบนี้ ไม่รู้ว่าเจ้าตัวกำลังหมายความว่าอย่างไร
หรือเพราะในหัวกำลังคิดจะหนีหายไปจากเขา ถึงได้กล้าพูดประโยคแบบนี้ออกมา ทินกรหยุดคิดไม่ได้ว่าหากวันหนึ่งไม่มีพิกุลอยู่ข้างกายตัวเขาจะเป็นอย่างไร ความหวาดกลัวที่จะเสียคนที่รักพลันตีตื้นขึ้นมากลางอก ขยับกายลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ฉุดกระชากดึงรั้งร่างผอมบางไร้เรี่ยวแรงเข้าหาตัว พลันก้มมองใบหน้าริ้นน้ำตาด้วยความรู้สึกโกรธเต็มที่
พิกุลชะงักงันหลังสบมองดวงตาคู่คม เนื้อตัวสั่นเทาทันทีที่เห็นก่อนจะรีบก้มหน้าหลบหนีสายตาของอีกฝ่าย ยอมรับว่าพิกุลไม่เคยเห็นแววตาโกรธจัดเช่นนี้มาก่อนเลยสักครั้ง ถือว่าเมื่อสองปีที่แล้วยังน้อยกว่านี้เป็นเท่าตัว
น้ำตาที่เอ่อคลอเริ่มไหลรินลงข้างแก้มใส เขาร้องไห้อีกแล้วพลางนึกกล่าวโทษตัวเองที่เอาแต่ร้องไห้โดยไม่รู้จักโตเสียที อายุก็เกินวัยเด็กมาแล้วเหตุใดยังต้องมาเสียน้ำตาให้กับเรื่องแบบอยู่นี้อีก ไหนจะเรื่องที่ตนเอ่ยพูดพาลให้รู้สึกผิด
แม้จะพูดออกไปแบบนั้นแต่ในใจของพิกุลไม่ได้คิดจะหนีหาย การมีชายหนุ่มคนนี้อยู่ข้างกายเป็นสิ่งเดียวที่พิกุลต้องการ คิดไม่ออกว่าหากวันหนึ่งไม่มีคนๆนี้อยู่แล้ว ตนเองจะใช้ชีวิตอยู่ต่อยังไง น้ำตาที่ไม่สามารถห้ามให้ไหลบัดนี้ไหลลงจนเลอะสองแก้ม สะอึกสะอื้นพยายามกลั้นน้ำตาจนตัวโยน
ทินกรจ้องมองเด็กตรงหน้าด้วยสายตาที่ค่อยๆปรับเปลี่ยนเป็นปกติ เพียงแค่เห็นน้ำตาเขาก็ใจอ่อนยวบแล้ว ท้ายที่สุดก็ยอมลงให้ พลันละมือข้างที่บีบกำช่วงแขนจนแน่นปล่อยให้พิกุลเป็นอิสระ สบมองช่วงแขนเพียงครู่เดียวเท่านั้น
เพราะทันทีที่ปล่อยมือคนตัวเล็กหมุนตัวสาวเท้าวิ่งหนีออกจากห้อง คล้ายกับทินกรเป็นคนที่พิกุลไม่อยากอยู่ใกล้ยังไงยังงั้น
ไม่มีคำว่าขอโทษใดๆออกจากปากของพิกุลดังเช่นปกติ
ทินกรถอยหลังหย่อนกายลงกับเก้าอี้หนังตัวใหญ่ หลังจากพิกุลที่ช่างดื้อรั้นกว่าเคยวิ่งหนีออกไปจากห้อง ขยับเอนพิงแผ่นหลังทอดมองไปยังกล่องใสที่มีดอกพิกุลดอกหนึ่งถูกเก็บใส่ไว้อย่างดี ก่อนจะแค่นยิ้มออกมาส่ายหน้าเบาๆให้กับความผลีผลามของตนเอง พลางหลับตาและปล่อยความคิดนึกถึงประโยคสนทนากับชายคนหนึ่ง
'ร่างกายของเด็กคนนี้ไม่ค่อยแข็งแรง ไม่ทราบว่าเคยเจออะไรที่กระทบกระเทือนมาอย่างหนักบ้างหรือเปล่าครับ'
'หมายถึง..'
'เช่น เจอเหตุการณ์ที่ทำให้ช็อค หวาดกลัว อะไรอย่างนี้น่ะครับ'
'...ไม่นะ...ไม่มี'
"ไม่มี..."
ทินกรเปิดเปลือกตาขึ้นพลางเอ่ยเสียงเบาหวิว ทอดสายตามองไปยังดอกพิกุลที่แห้งเหี่ยวในกล่องใสอีกครั้ง ก่อนจะเอื้อมมือคว้ามันขึ้นมามองดูใกล้ๆ
ดอกพิกุลแห้งเหี่ยวนี้ เขาเก็บมันมาจากช่อที่ได้ให้เจ้าตัวในวันเกิด ดอกไม้ช่อนั้นถูกวางไว้บนพื้นโดยต่างไม่มีใครสนใจใยดีไร้ค่า แต่น่าแปลกที่ทินกรกลับคิดว่ามันมีค่าแม้จะเหี่ยวเฉาไปแล้ว เฉกเช่นกับเด็กหนุ่มที่เขาเฝ้าทะนุถนอมเลี้ยงดู
การผูกมัดด้วยเชือกบางๆที่เกิดขึ้นหลังจากมีความสัมพันธ์ทางกาย บัดนี้เขามองว่าแทบไม่ได้ช่วยให้อะไรมันดีขึ้นเลย ได้แค่ตัวแต่หัวใจกลับไม่เคยได้ กินอยู่ด้วยความผูกพันเพราะเห็นหน้ากันตั้งแต่เล็ก พิกุลก็ยังคงเป็นพิกุล ช่างเป็นเด็กที่ใสซื่อไม่เคยเปลี่ยน แม้จะโตด้วยอายุที่เกินเด็กไปแล้ว
แต่คำว่า รัก พิกุลยังไม่รู้จักคำๆนี้
{ อ่านฉากสปอย + ติดตามการอัพเดท }
Twitter: kachettt | Tag: #หลงกลิ่นพิกุล
-
ทินกรยังคงอาศัยเวลาในช่วงกลางวันก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างหนักเช่นปกติ
การเป็นเจ้าของธุรกิจมากมายไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครต่างก็ทำได้ แม้จะเป็นถึงเจ้าของการออกปากสั่งเพียงไม่กี่คำก็สามารถทำให้งานแต่ละงานลุล่วง แต่ถึงกระนั้นงานบางอย่างจำเป็นต้องลงมือและลงแรงเข้าไปปฏิบัติมันด้วยตนเอง เพราะไม่สามารถให้ใครคนอื่นทำแทนได้
ใบหน้าเคร่งขรึมขณะจดจ่อกับงาน ขับส่งให้ทินกรดูเป็นคนที่จริงจังกับหน้าที่ เพราะถ้าหากได้ลงมือทำแล้วจะไม่สามารถละออกมาได้ง่ายๆ ทินกรเป็นคนที่มีนิสัยทำอะไรทำจริง และมักจะมีความอดทนสูง
มีหลายครั้งที่ทินกรเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องทำงาน เพื่อตรวจเช็คข้อมูลยอดขายรายรับรายจ่ายต่างๆนาๆ นั่งอยู่แบบนั้น แม้จะมีขยับลุกขึ้นเดินผ่อนคลายบ้างเป็นครั้ง แต่ไม่นาน เขาจะกลับไปให้ความสนใจกับงานต่อโดยไม่นึกเบื่อหน่าย
ท่ามกลางความเงียบสงบในห้องทำงานที่มีแค่ทินกรโทรศัพท์มือถือข้างกายกำลังสั่นอยู่บนโต๊ะจนทำลายความเงียบ พาลให้ทินกรหลุดออกจากสมาธิบนหน้าแท็บเล็ต หันมองแล้วคว้าเอาเครื่องมือสื่อสารขึ้นมากดรับและแนบมันกับหู
(สวัสดีครับ ใช่คุณทินเจ้าของธุรกิจแปรรูปมัน ข้าวโพด อ้อย สับปะรด แตงโ..)
เสียงเอ่ยทักจากคนในสายทำทินกรกลอกตาอย่างนึกรำคาญ เขาจำเสียงนี้ได้เป็นอย่างดีแม้จะไม่ได้เจอหน้ากันมานานหลายเดือน แต่คำว่าเพื่อนสนิทย่อมสามารถต่อติดการสนทนาได้เสมอโดยไม่มีอาการเกร็งใดๆ
"ธนาอย่ากวนประสาท ฉันกำลังทำงาน มีอะไรก็รีบพูดมา"
(โอ้ คุณทินกำลังทำงานอยู่หรอครับ ไม่ใช่ทำอย่างอื่นกับ..)
"ถ้าโทรมากวนประสาท ฉันจะตัดสาย"
(โทษที จะจริงจังแล้ว)
ทินกรนิ่งเงียบรอฟังเสียงจากคนปลายสายเอ่ยพูด ปกติแล้วเพื่อนสนิทคนนี้จะไม่โทรมาบ่อยนัก หากโทรมาก็มักจะมีเรื่องมีราวอะไรมาเล่าเสมอ และตอนนี้ก็เช่นกัน
เหตุผลหลักๆคงหนีไม่พ้นการเข้าร่วมงานที่เต็มไปด้วยคนดังในแวดวงธุรกิจ
สำหรับสังคมภายนอกทินกรไม่เจนจัดนักเพราะเอาแต่ขลุกตัวกับบ้าน ใช้ชีวิตปลีกวิเวกอยู่กินอยู่อาศัยด้วยความเรียบง่ายคล้ายกับกำลังละทางโลก การเข้าสังคมกับผู้คนมากหน้าหลายตาและโด่งดังอยู่ในวงการจอแก้ว พาลทำให้ทินกรยากจะรับมือกับมัน
หลายครั้งที่ทินกรมักจะหลีกเลี่ยงการพบปะผู้คนมากหน้าหลายตา โดยการส่งตัวคนสนิทที่รับใช้ดูแลในหลายๆเรื่องของเขาไปร่วมงานแทน
แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้ ทินกรคงจะปฏิเสธได้ยากกว่าปกติ เพราะจะต้องเข้าร่วมงานสังคมที่จะมีผู้คนมากมายรายล้อม แม้จะเคยไปมาแล้วจนนับครั้งได้ ทว่าครั้งนี้คงเป็นอีกครั้งที่ทินกรจะต้องเผยตัวเพื่อออกงาน
คำว่าอีกครั้ง หมายถึงเขาเคยร่วมงานมาก่อนเมื่อครั้งอดีต แต่มันนานมากนานจนเขาแทบจะลืมเหตุการณ์ที่ว่าไปจนหมดสิ้น จะมีเพียงภาพจำลางๆที่ลอยละล่องอยู่ในหัว เป็นภาพใบหน้าผู้หญิงแต่งกายด้วยชุดเจ้าสาว ยืนเคียงคู่กับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ทินกรคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี
ภาพความทรงจำที่ทินกรอยากจะลืมมันไปให้หมดสิ้นในครั้งอดีต ค่อยๆชัดเจนขึ้นอีกครั้ง เมื่อเขากำลังนึกถึง
(ทินงานนี้มึงจะปฏิเสธไม่ได้ มันคืองานใหญ่ คนดังในสังคมธุรกิจที่มึงจำเป็นต้องติดต่อมากันเยอะมาก ถ้าขืนส่งตัวลูกน้องไปร่วมงานแทนเหมือนอย่างเคย มึงจะกลายเป็นคนไร้มารยาท)
"แต่ช่วงนี้ไม่ค่อยว่าง"
(จะบอกอีกใช่ไหม ว่าที่ไม่ว่างเพราะเอาเวลาทั้งหมดกกกอดกับเมีย)
"จะว่างั้นก็ไม่ผิด"
(เด็กนั่นผู้ชายนะ หวังว่ามึงจะจำได้ ไม่ใช่หน้ามืดตาบอดคิดว่าเป็นเด็กผู้หญิง)
"แต่ก็เหมือน"
มีเพียงไม่กี่คนที่จะรู้ว่าทินกรเอาแต่สุมตัวหมกร่างกายไว้กับบ้านทำไม แท้จริงไม่ใช่เพราะพื้นเพนิสัยแต่เป็นเพราะเหตุผลอย่างที่เพื่อนว่า ชายหนุ่มไม่คิดปฏิเสธเพราะถึงจะปฏิเสธ เพื่อนสนิทอย่างธนาก็คงไม่เชื่ออยู่แล้ว
แต่ถึงธนาจะรู้ว่าทินกรเก็บตัวอยู่บ้านเพราะอะไร แต่ก็ไม่ได้รู้ไปเสียทั้งหมด
เรื่องของอดีต เหตุผลที่แท้จริง ความลับ และเรื่องราวหลายๆอย่าง ทินกรไม่เคยบอกให้ใครได้รู้ แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ล่วงรู้ความลับนี้
แน่นอนว่าพิกุลจะไม่มีวันได้รับรู้เรื่องคาวและสกปรกโสมมพวกนั้นเด็กขาด เพราะสำหรับพิกุลแทบไม่แตกต่างอะไรกับดอกไม้ที่เขาเก็บไว้ด้านในกล่องใสเลยแม้แต่น้อย
ซึ่งไม่ว่าใครก็ตามจะไม่มีสิทธิได้สัมผัสแตะต้องหรือแม้แต่มองดูในระยะใกล้ชิด จะมีเพียงเขาคนนี้คนเดียวที่จะได้อภิสิทธิ์นั้น
(โอเค ขอไม่ปฏิเสธว่าเมียมึงสวยเหมือนผู้หญิง แต่พักเรื่องนั้นไว้ก่อน สิ่งที่สำคัญมากๆคือมึงต้องไปงานเลี้ยง เหตุผลสั้นๆ และกูจะไม่รบเร้ามึงต่อ งานนี้กูจะไปร่วมงานด้วย)
"คิดไว้ไม่มีผิด"
(กูขอไม่พูดเยอะแล้วกันนะทิน คิดว่ามึงก็คงรู้ดี)
"ไว้จะคิดดู ส่งรายละเอียดตามมาทีหลังแล้วกัน ถ้าว่างจะเข้าไปอ่าน"
ทินกรบอกปัดไม่อยากรำลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตมากนัก แม้จะเป็นคนไม่ค่อยเจ้าคิดเจ้าแค้นอะไร แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่อาจหักห้ามใจไม่ให้คิดถึงได้
จะมีอะไรที่ทำให้เพื่อนสนิทของเขาอย่างธนาออกงานบ้าง ถ้าหากไม่ใช่เพราะภรรยาของธนาจะมาด้วย พอนึกไปถึงใบหน้าของหญิงสาวอายุน้อยกว่าเขาถึงสามปี พาลให้นึกย้อนไปในช่วงวัยเยาว์ที่หล่อนและเขายังอายุไม่ถึงยี่สิบ
เราทั้งคู่ต่างเป็นคนรักที่แสดงออกและสานสัมพันธ์ทางกายได้อย่างถึงพริกถึงขิง ใครๆต่างก็บอกว่าเราทั้งสองจะต้องแต่งงานกันอย่างรวดเร็วแน่นอน เหตุผลที่ใช้มาพูดแสนติดตลกเพราะทินกรอาจจะทำหญิงสาวท้องเสียก่อน
น่าขบขัน เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าพอมาคิดถึงตอนนี้ หากเธอคนนั้นท้องขึ้นมาจริงๆ เด็กคนนั้นจะเป็นลูกของใครกัน จะเป็นลูกของเขาหรือของธนากันแน่..
ทินกรหมกมุ่นกับการทำงานผ่านแท็บเล็ต ตรวจสอบข้อมูลยอดขายรายได้และรายจ่ายมากมายจนเริ่มเมื่อยล้า เขาใช้เวลากับพื้นที่ตรงนี้มากกว่าปกติที่เคยเป็น ในใจเผลอตัวหลุดสมาธิไปหลายต่อหลายครั้ง เพราะเอาแต่คิดถึงเรื่องราวเก่าก่อน
ใบหน้าคมคายที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าบัดนี้กำลังเคร่งเครียด จนคิ้วหนาขมวดขึง สาดสายตาคมจ้องมองอุปกรณ์เทคโนโลยีทันสมัยตรงหน้า ก่อนจะต้องยอมแพ้จัดการพับปิดมันลงพร้อมกับยกมือขึ้นนวดขมับ
เวลานี้เขาไม่มีแม้แต่สมาธิในการทำงาน เพราะสิ่งที่ทินกรกำลังคิดอยู่ในหัวเรื่องนั้น ซึ่งมีอยู่ไม่กี่เรื่อง และเรื่องที่ว่าคงหนีไม่พ้นเรื่องของพิกุล
พอได้นึกย้อนไปถึงเรื่องราวในอดีตสมัยที่ทินกรยังหนุ่มแน่น ใบหน้าสวยที่โผล่เข้ามาในความคิดช่วงนั้นคือเด็กน้อยน่ารัก ที่เผลอวิ่งเล่นไล่จับผีเสื้อเข้ามาในสวนหลังบ้านของเขา
พอเหมาะพอดีกับตอนที่ทินกรกำลังมีสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ อดคิดไม่ได้ว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้คนที่เหมือนกับซากศพเน่าเปื่อยรอวันเผาอย่างทินกร สามารถลุกขึ้นยืนหยัดอีกครั้งได้ คือรอยยิ้มใสซื่อไร้พิษภัยของเด็กน้อยที่ชื่อ พิกุล
คงจะตั้งแต่ตอนนั้นที่ทินกรหลงระเริงไปกับความงดงาม จนไม่สามารถถอนตัวขึ้นได้ กลายเป็นเขาที่ถลำลึกปล่อยใจให้กับเด็กน้อยโดยลืมไปเสียสนิทว่า พิกุลในตอนนั้นอายุเพียงแค่เก้าขวบ
ชายหนุ่มแค่นยิ้มให้กับความรู้สึกของตนเองที่ช่างน่าขันและน่าขยะแขยงพาลให้ขนลุกในคราวเดียวกัน คนที่มากด้วยประสบการณ์บนเตียงอย่างทินกร แน่นอนว่าในยามร่วมรักกับหญิงสาวที่ถูกซื้อมาด้วยเม็ดเงิน ในขณะที่เขาต้องการเสวยสุขระบายความใคร่ สิ่งที่คิดและผุดภาพในหัวสมอง ดันมีแต่ใบหน้าของเด็กน้อยอย่างพิกุลในทุกครั้ง
เฝ้าจินตนาการใบหน้ายามกำลังสมสู่ จนไม่นึกถึงความผิดชอบชั่วดี
ยิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งรู้สึกโลภอยากครอบครอง จนความคิดต่ำช้าในใจกลืนกิน เกิดเป็นเรื่องที่ยากจะย้อนหวนคืนกลับไปแก้ไข
แน่นอนว่าเรื่องที่ผ่านมาแล้วไม่สามารแก้ไขได้ สิ่งที่ทำได้มีเพียงการเก็บงำซุกซ่อนมันเอาไว้ไม่ให้ใครได้พบเห็นอีก เรื่องราวของความสกปรกโสมมที่เกิดขึ้นในอดีต ทินกรอยากฝังมันลงใต้ดินให้ลึกที่สุด จนไม่มีใครสามารถขุดมันขึ้นมาเพื่อโชว์ความเน่าเหม็น
ท่ามกลางความคิดที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด จนไม่ทันได้รู้สึกตัวว่ามีใครคนหนึ่งยืนมองไม่ใกล้ไม่ไกลอยู่ก่อนแล้ว เสียงเอ่ยทักดังขึ้นทำให้ทินกรหลุดออกจากภวังค์ความคิด
"ดื่มชาสักหน่อยนะครับ" เสียงใสเอ่ยข้างกายทำให้ทินกรที่กำลังนั่งเคร่งขรึม ยกใบหน้าหล่อที่เจือความคิดบางอย่างซุกซ่อนอยู่ขึ้นมามอง
เขาไม่คิดแปลกใจ และนึกเอ็นดูเสียด้วยซ้ำ ที่เห็นพิกุลเป็นฝ่ายเข้ามาหาเขาก่อน แม้จะเพิ่งร้องห่มร้องไห้ไปเมื่อไม่มีกี่ชั่วโมงก่อนหน้า ทินกรรู้ดี เด็กอย่างพิกุลไม่มีวันที่จะโกรธเขาได้นานนักหรอก
ซึ่งรวมไปถึงตัวเขาเองด้วย ยอมรับว่าวูบหนึ่งโกรธแต่ความโกรธนั้นค่อยๆมลายหายไป และถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกผิด
ในหัวคิดเอาไว้ว่า หลังจากจบสิ้นงานตรงหน้าเมื่อไหร่ ทินกรจะเข้าไปหา พบ และพูดคุยเพื่อง้องอนเด็กน้อยเจ้าอารมณ์คนนี้เสียหน่อย แต่ยังไม่ทันไร เวลานี้เขากลายเป็นคนที่ช้ากว่าไปเสียแล้ว
"มานั่งบนตักฉันสิ" เสียงทุ้มเอ่ยนิ่งๆ สายตาไม่ได้สนใจชาร้อนที่มีกลีบดอกไม้ลอยวนบนน้ำสีอำพันเลยสักนิด ในเมื่อมีของสวยงามน่ามองกว่าอยู่ตรงหน้าทินกรขนาดนี้ จะให้ไปสนใจสิ่งอื่นได้อย่างไร
ไม่จำเป็นต้องรอนาน เด็กวัยยี่สิบสาวเท้าเข้าหาพร้อมกับหย่อนกายลงบนตักของทินกรอย่างว่าง่าย เนื้อตัวอุ่นๆนี้ช่วยทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายเสียจริง การสวมใส่เพียงเสื้อผ้าชิ้นบางบนร่างกายไม่คิดว่าจะเป็นประโยชน์ได้มากถึงขนาดนี้
ทินกรอดไม่ได้พลางพิงใบหน้าหล่อคมคายเจือความเหนื่อยล้ามาตลอดทั้งวันกับการทำงานอยู่กับที่ เอียงซบแผ่นหลังนุ่มหอมกลิ่นดอกไม้อ่อนๆ ยื่นมือทั้งสองโอบกอดร่างแน่งน้อยกระชับให้ใกล้ชิดกับอกของเขา
ราวกับได้เพิ่มพลังงานในยามที่เหนื่อยล้า
"กุลขอโทษนะครับ"
"อืม"
ไม่ใช่ไม่อยากตอบเป็นรูปประโยคที่ยาวกว่านี้ แต่ในเวลานี้เขาอยากพักผ่อน การได้โอบกอดเจ้าของผิวกายนุ่มนิ่มเคล้ากลิ่นหอมชวนให้ผ่อนคลาย ทำให้ทินกรยากจะละออกมาให้ความสนใจเรื่องอื่น
"คุณทิน หลับแล้วหรอครับ"
"ยัง"
"เรื่องเมื่อกลางวัน.."
เจ้าของใบหน้าหวานยังไม่ทันได้เอ่ยจบ ร่างผอมบางพลันถูกอุ้มจนตัวลอยโดยชายหนุ่มร่างกำยำ ก่อนจะถูกวางลงบนเตียงนุ่มไม่ใกล้ไม่ไกล ความงุนงงเกิดขึ้นบนใบหน้าสวยหันมองชายหนุ่มเพื่อให้อีกคนคลายข้อสงสัย
จนกระทั่งได้รับคำตอบเป็นการถูกกกกอดร่างกายกายใต้ผ้าห่มผืนหนา
"ชาดอกไม้ไว้ฉันจะกินมันอีกทีตอนตื่น แต่ตอนนี้ฉันอยากพักผ่อนกับพิกุลมากกว่า"
พูดจบก็ยื่นหน้าฟัดแก้มใสขณะกำลังหันใบหน้ามองด้วยความงุนงง ช่างเป็นความงุนงงที่น่ารักไม่น้อย นับวันยิ่งเวลาผ่านไปนานเข้า เด็กน้อยตรงหน้าเริ่มมีอายุมากขึ้นตามกาลเวลา จากผิวพรรณที่เคยขาวสะอาดสะอ้านอยู่แล้ว บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นเปล่งปลั่งมีหนั่นเนื้อนุ่ม ซึ่งเกิดขึ้นบนบริเวณที่ทินกรชื่นชอบและมักจะสัมผัสอยู่บ่อยครั้ง
ทั้งก้น ทั้งหน้าอก เอวที่คอดกิ่ว รวมกันแล้วราวกับเป็นหญิงสาววัยแรกแย้ม เปิดเผยรูปร่างและผิวกายน่าหลงใหล พาลให้ทินกรหยุดความคิดเกี่ยวกับเรื่องลามกไม่ได้
แต่ตอนนี้เขาจะต้องละวางเรื่องอย่างว่าไปก่อน หากขืนทำอะไรไปมากกว่านี้ เด็กน้อยในอกของเขาจะชอกช้ำไม่น่าพิศมัย เขาอยากทะนุถนอมให้ร่างกายนี้มีความพรั่งพร้อมในครั้งต่อๆไปมากกว่า
คาดหวังอยู่ลึกๆว่ามันอาจจะช่วยให้เขาได้รับในสิ่งที่ตนคาดหวังมาตลอดชีวิต
"ไหนบอกหน่อย อะไรทำให้พิกุลโมโหฉันได้มากขนาดนั้น"
ความสงสัยที่ติดค้างอยู่ในใจของชายหนุ่ม ซึ่งตลอดมายังไม่เคยได้รับคำพูดโกรธเกรี้ยวจากพิกุลเลยสักครั้ง ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกตั้งแต่ทินกรอาศัยอยู่กินกับพิกุล เขานึกฉงนใจว่าเพราะอะไรกันแน่ที่ทำให้พิกุลโกรธขึงและเอ่ยถ้อยคำที่ไม่น่าฟังพวกนั้น
"กุลไม่รู้"
"หืม จะไม่รู้ได้ยังไง ถ้าพิกุลของฉันไม่รู้ ฉันจะไปถามใครได้อีก"
"จู่ๆก็โกรธขึ้นมาเอง จนควบคุมไม่ได้ กุลของโทษ.."
เด็กน้อยขยับกายซุกใบหน้าลงกับอกของเขาทันที ราวกับรู้สึกผิดนักหนาที่ตนเองเผลอทำอะไรที่ไม่สมควรออกไป ชายหนุ่มอมยิ้มน้อยๆยกมือลูบกลุ่มผมนุ่มเบาๆคล้ายปลอบประโลม เนื่องจากสัมผัสได้ว่ามีน้ำอุ่นๆไหลซึมบนเสื้อของเขา
พิกุลกำลังร้องไห้
ตัวก็แค่นี้อารมณ์แปรปรวนเสียจริง...
ทินกรหยุดชะงักมือที่ลูบคลำกลุ่มผมสีน้ำตาลแทบจะทันที เมื่อฉุกคิดได้ว่าความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในร่างกายของพิกุล มีความคล้ายคลึงกับสิ่งที่คนโตมากประสบการณ์และมีอายุอย่างเขารู้ พาลทำให้ทินกรเนื้อเต้นดวงตาคมเบิกกว้างไร้ซึ่งอาการง่วงงุนอย่างคราแรก
ยังไม่ทันไรสิ่งที่ทำให้เขาเริ่มมั่นใจและดูเหมือนจะมากกว่าเดิมก็เกิดขึ้น พิกุลผลักไสร่างกายของเขาออกพลันขยับตัวลุกขึ้นมุ่งหน้าวิ่งตรงไปยังห้องน้ำ ชายหนุ่มมองดูมือเล็กที่ยกขึ้นปิดปากพาลยิ่งทำให้เขามั่นใจเป็นทบทวี
ร่างกายพลันขยับลุกขึ้นตามสาวเท้ายาวมุ่งตรงไปยังห้องน้ำที่เพิ่งถูกเปิดออก จ้องมองคนรักที่นั่งก้มหน้าก้มตาอ้วกสำรอกอาหารที่เพิ่งทานไปเมื่อช่วงกลางวัน อย่างน่าสงสารและน่าเป็นห่วง
ทินกรอดไม่ได้พลันหย่อนกายลงนั่งข้างๆ ยกมือลูบไล้แผ่นหลังให้ ขณะกำลังโก้งโค้งสำรอกสิ่งต่างๆออกมาราวกับคนอาหารเป็นพิษและไม่สบาย
เกือบครึ่งปีแล้วที่ทินกรไม่ได้ให้หมอประจำตัวมาตรวจร่างกายของพิกุล แม้เราทั้งคู่จะมีสัมพันธ์ทางกายแทบทุกสัปดาห์ ซึ่งดูเหมือนว่าคราวนี้คงจะถึงเวลาแล้ว ที่จะให้หมอที่เขาติดต่อมาดูแลพิกุลโดยเฉพาะสำหรับร่างกายที่แสนพิเศษ ได้เข้ามาตรวจตราให้แน่ใจและชัดเจนอีกครั้ง
แม้จะได้รับคำตอบที่ไม่น่ายินดีมาถึงสองครั้งสองคราในช่วงก่อนหน้า แต่ไม่รู้อะไรที่ทำให้ทินกรสัมผัสได้ว่าคราวนี้เขาจะต้องได้รับข่าวดี
ทินกรเผลอหลุดยิ้มขณะกำลังคิดถึงเรื่องราวน่ายินดีที่มีโอกาสเกิดขึ้นมากกว่าครึ่ง พลางลูบคลำกลุ่มผมนุ่มของอีกคนอย่างหลงใหลรักใคร่ ก่อนจะโอบพยุงร่างแน่งน้อยไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาช่วยล้างทำความสะอาดใบหน้าอย่างเอาใจใส่ดูแล
"กุลรู้สึกว่าตัวเองอารมณ์ร้อน และก็อ้วกบ่อยช่วงสองวันมานี้ บางทีก็เวียนหัว กุลคิดว่าน่าจะไม่สบาย"
"งั้นฉันจะให้หมอมาตรวจดีไหม"
พิกุลส่งสายตาไม่เข้าใจกับท่าทีของชายหนุ่มซึ่งสะท้อนขึ้นมาบนกระจกใส แววตาที่เต็มไปด้วยความดีใจนั้นกำลังหมายถึงอะไร มีเรื่องอะไรให้ดีใจอย่างนั้นหรือ
"ยังอยากอ้วกอยู่อีกไหม"
"ไม่แล้วครับ"
สิ้นสุดประโยคชายหนุ่มร่างกายสูงใหญ่โอบอุ้มเจ้าของเรือนกายผอมบางขึ้นแนบอกทันที ราวกับกลัวว่าการเดินด้วยเท้าจะทำให้กระทบกระเทือนอะไรบางอย่าง ทินกรยังคงอมยิ้มไม่เลิกไม่รา จนกระทั่งวางร่างที่ตนอุ้มจากห้องน้ำลงบนเตียง
ก่อนจะหย่อนกายลงนอนข้างๆ ซ้อนร่างกายแนบชิดกับร่างนุ่มนิ่มพลางเอื้อมมือโอบกอดอย่างหลวมๆ พิกุลรู้สึกและสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนที่มีมากกว่าปกติ
พลางหันใบหน้าเงยสบมองชายหนุ่มที่แม้อายุจะมากกว่าตนถึงหนึ่งรอบ แต่ความหล่อเหลากลับมีมากเสียจนพิกุลใจเต้น
"พิกุลเก่งมากเลยรู้ไหม"
เด็กน้อยไม่เข้าใจประโยคที่อีกฝ่ายพูดเท่าไรนัก คิ้วเล็กขมวดเข้าหากัน เฝ้ารอให้ชายหนุ่มค่อยๆช่วยแก้ปมแห่งความสงสัย ทว่ายิ่งอีกฝ่ายพูดพิกุลกลับยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่
"ขอบคุณพิกุลดอกนี้ ที่ยอมร่วงหล่นลงมาจากต้น ให้ฉันได้เก็บไว้อยู่ในครอบครอง"
พิกุลนึกน้อยใจขึ้นมาว่าเหตุใดทำไมตนถึงได้ซื่อบื้อขนาดนี้ หลายคราที่ชายหนุ่มเอ่ยประโยคสั้นๆที่เขามักจะตามไม่ทันอยู่เสมอ ราวกับว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเป็นเรื่องที่พิกุลจำต้องนำไปแปลงความหมายอีกรอบหนึ่ง แต่ก็ใช่ว่าคนอย่างพิกุลจะสามารถแปลงความหมายได้
น่าเศร้าที่พิกุลไม่สามารถรับรู้ได้ถึงความหมายที่แท้จริงของมัน..
ยามพิกุลร่วงหล่นลงมาจากต้น ในยามนั้นมันทั้งสดและส่งกลิ่นหอมรัญจวนเชิญชวนให้จับต้อง และลิ้มลองสูดดมกลิ่นที่ธรรมชาติธรรมชาติสรรสร้าง แต่เมื่อเวลาผ่านเลยไปหลังถูกจับต้องอยู่หลายครั้งเข้า ดอกพิกุลที่เคยสดสีขาวอมเหลืองอ่อนค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มและดำคล้ำในที่สุด
บางคนเลือกที่จะทิ้งขว้างยามไม่ได้รับประโยชน์จากมันอีก เพราะไม่มีกลิ่นหอม ไม่สวยสดงดงามอย่างที่เคยเป็น แต่น่าแปลกที่คนอย่างทินกรยังคงยึดมั่นเก็บรักษาพิกุลดอกนั้นเอาไว้ ราวกับเป็นของมีค่าราคาแพงที่คนร่ำรวยเงินทองอย่างเขาไม่สามารถหาซื้อมันได้อีก
เฝ้าถนอมและเก็บใส่กล่องใส เอาใจใส่ดูแลไม่ให้ผู้ใดได้พบเห็น
กลายเป็นของล้ำค่ายากจะค้นหาสิ่งใดมาทดแทน ซึ่งคงจะไม่มีสิ่งใดทดแทนได้อีกแล้วหลังจากนี้ เพราะหัวใจของชายหนุ่มยกมันทั้งดวงให้เด็กน้อยนามว่าพิกุลตั้งแต่อีกคนยังเยาว์วัย
แต่น่าเสียดายเด็กชายที่เขาหลงรัก กลับไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพยายามจะสื่อเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว..
-
:pig4:
o13
-
:haun4:
-
นั่นมันเพราะการเลี้ยงดูแบบระบบปิดของทินกรเองนะ พิกุลดดอกนี้ถึงได้หัวช้าไม่รับรู้ถึงสิ่งที่สื่อออกไป จะโทษใครได้ละ //มีปมไรเอ่ยทินกรถึงได้ต้องการปกปิดมากมายขนาดนั้น กุลความจำเสื่อม?ถ้าใช่คือช็อคเพราะเห็นใครบางคนลงมือกับครอบครัวตัวเองป่ะ? บ้านหลังนั้นที่รู้สึกคุ้น บ้านตัวเองใช่ไหม? ที่ลงมือทำไปแบบนั้นเพราะฝั่งนั้นทำกับนี่ก่อน หรือเพราะแค่อยากได้มาครอบครองถึงต้องแย่งชิงมา อัยยะ!! รอตามยาวๆ งานนี้ เดาไปเรื่อย 555555 สนุกเว้ยเฮ้ย! ภาษาดีอีโรติกจริง รอตอนต่อไปเลยค่ะ ขอบคุณนะคะที่แต่งมาให้ได้อ่านกัน :pig4: :pig4: :pig4:
-
รู้สึกสงสารน้องพิกุลจัง ต้องมีเรื่องราวโหดร้ายในวัยเด็กแน่ๆ แต่น้องคงจำไม่ได้หรือเปล่านะ
-
น้องท้องแล้ววว คุณพี่ปิดบังอะไรน้องไว้คะเนี่ย น่าจะเรื่องใหญ่น่าดู ดราม่ามากแน่เลย แต่เห็นว่าจบแฮปปี้ก็ดีใจแล้วค่ะ รอตอนต่อไปนะคะ :mew3:
-
บทที่ 5
ความคาดหวังที่มักจะมาพร้อมกับความผิดหวัง บัดนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว ชายหนุ่มร่างสูงกำยำอยู่ในวัยที่ต้องการสร้างครอบครัวเล็กๆ กำลังนอนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่สบมองเด็กน้อยในอ้อมกอดยามหลับใหลไม่รู้เรื่องรู้ราว
คำพูดที่ทำให้ทินกรรู้สึกปลาบปลื้มยินดีคงหนีไม่พ้นคำบอกกล่าวจากชายผู้ทำอาชีพหมอ หลังเข้ามาตรวจสอบถึงอาการผิดปกติในร่างกายพิกุล
'คุณพิกุลกำลังท้องครับ จากที่ตรวจอย่างละเอียด เด็กในครรภ์มีอายุประมาณห้าสัปดาห์แล้ว'
ความผิดธรรมชาติของมนุษย์บางครั้งก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากกว่าความแปลกประหลาด ทินกรค้นพบว่าพิกุลมีความพิเศษแตกต่างจากคนอื่นเมื่อนานมาแล้ว หลังจากได้อยู่อาศัยด้วยกันมาและพบเจอกันทุกวี่วัน สิ่งหนึ่งที่ทำให้ทินกรรู้สึกสงสัยคงหนีไม่พ้นร่างกายที่ออกไปทางสตรีเพศ
ความสงสัยที่ค่อยๆเพิ่มพูนและมากมายขึ้นเรื่อยๆ พาลให้ชายหนุ่มไม่อาจจมกับความรู้สึกของตนเองได้ เฝ้าค้นคว้าข้อมูลผ่านแท็บเล็ตจนกระทั่งได้คำตอบที่น่าเชื่อถือ แต่ไม่ถึงกับมั่นใจว่าสิ่งที่ตนสืบค้นนั้นเป็นเรื่องจริง
การจ้างวานหมอที่สามารถดูแลเคสพิเศษเช่นนี้จึงเกิดขึ้น ท้ายที่สุดทินกรก็มั่นใจกับคำตอบที่ตนได้รับในที่สุด
'คุณพิกุลสามารถตั้งครรภ์ได้ครับ ปกติแล้วลักษณะอาการแบบนี้จะเกิดขึ้นเฉพาะเพศหญิงเท่านั้น ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่คุณพิกุลมีอวัยวะบางอย่างคล้ายกับเพศหญิงมากถึง 60 เปอร์เซ็นต์'
คราแรกทินกรยอมรับกับตนเองตั้งแต่ยังหนุ่มแล้วว่าในอนาคตเขาจะไม่คิดมีทายาท ยิ่งตนมีรักให้กับเพศเดียวกัน ความคิดที่เคยอยากสร้างครอบครัวเล็กๆมีเด็กตัวน้อยๆคอยวิ่งเล่นจึงถูกพับเก็บลง ชายหนุ่มไม่คิดสนใจสิ่งใด ขอเพียงได้อยู่ดูแลเคียงคู่กับคนที่ตนพึงพอใจเพียงเท่านั้น
ทว่าบัดนี้ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว พิกุลสามารถอุ้มท้องให้เขาได้ และเป็นถึงตัวแปรที่สามารถทำให้คนอยากมีครอบครัวมากอย่างทินกรรู้สึกปลื้มใจไม่น้อย ช่างเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ยินดีเสียจนไม่สามารถหุบยิ้มได้ และคงไม่มีคนที่กำลังเป็นพ่อคนไหนไม่รู้สึกดีอกดีใจยามตนกำลังมีทายาทหรอก
ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มมีความสุขราวกับไม่เคยได้ยิ้มเช่นนี้มานาน สบมองร่างอรชรในอกขณะกำลังหลับ ยกมือข้างหนึ่งเกลี่ยเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนขึ้นทัดหูเปิดเผยใบหน้าที่หวานราวกับน้ำผึ้ง
จากเคยน่ารักน่าเอ็นดูในวัยเด็ก เติบโตขึ้นด้วยอายุและสรีระในวัยแตกเนื้อ ส่งผลให้ผิวพรรณผุดผ่องกว่าปกติ ใบหน้าอิ่มเอิบรับกับเครื่องหน้าเป็นอย่างดี เมื่อกวาดสายตามองเรือนกายพบเอวคอดน่าสัมผัสยามนอนตะแคงข้าง
ทินกรอดไม่ได้ที่จะยกมือไปสัมผัสหนั่นเนื้อนุ่มบริเวณแก้มก้นใต้ผ้าผืนบาง พลางลูบคลำความนุ่มนิ่มอย่างถือวิสาสะในตอนที่อีกคนหลับ เสียงอืออาครางครวญเมื่อถูกรบกวนเอ่ยขึ้นผ่านริมฝีปากสีสด ใบหน้าที่เคยหลับใหลอย่างสบายอกสบายใจแปรเปลี่ยนเป็นนิ่วคิ้วขมวดเข้าหากัน
"ฉันกำลังรบกวนอยู่ใช่ไหม"
ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเย้าแหย่กระซิบกระซาบข้างใบหูขาว ก่อนจะเลื่อนขึ้นจุมพิตเรือนผมนุ่มแสดงออกถึงความรักใคร่ที่เพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่มือยังคงลูบคลำหนั่นเนื้อที่ดูเหมือนจะนุ่มนิ่มกว่าเคย พลางขยับโอบกอดร่างแน่งน้อยเข้าหาอกของตนเอง จนกระทั่งร่างกายของคนทั้งคู่แนบชิดติดกัน
"คุณทิน"
"หืม"
เสียงตอบรับที่นุ่มทุ้มทำพิกุลทำตัวไม่ถูก ดวงตาปรือปรอยมองแผ่นอกพลางกลอกกลิ้งไปมา ก่อนจะเริ่มเห่อร้อนบริเวณใบหน้าที่ขาวซีดด้วยพื้นเพของผิวพรรณ จนกระทั่งขึ้นสีแดงระเรื่อลามปามไปถึงใบหูขาว
"อะไรกัน เรียกชื่อแต่กลับไม่พูด พิกุลของฉันหลับอีกแล้วหรอ"
"เปล่าครับ"
"อึดอัดหรือเปล่า ฉันกอดแน่นไปไหม"
"นิดหน่อยครับ"
"ช่างซื่อตรงเสียจริง"
ทินกรว่าแสร้งน้อยอกน้อยใจพลางเคลื่อนกายออกห่าง ปล่อยให้ร่างผอมบางเป็นอิสระหลังจากถูกโอบกอดเอาไว้เสียแน่นหนา ราวกับกลัวว่าจะหนีหายจากไปยังไงยังงั้น
พิกุลหน้าตาตื่นรีบเงยมองชายหนุ่มหลังจากถูกปล่อยให้เป็นอิสระ คล้ายกับต้องการกล่าวขอโทษ แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากพูดสิ่งใดร่างแน่งน้อยพลันถูกคร่อมทับเบาๆด้วยร่างกายหนาแน่นกำยำ
ก่อนหน้านี้ การถดการถอยห่างเป็นเพียงแค่การกระทำที่ต้องการหยอกล้อภรรยาเพียงเท่านั้น..
ชายหนุ่มเคลื่อนใบหน้าหล่อเหลาเข้าหาจูบริมฝีปากนุ่มหยุ่น ก่อนจะเลื่อนขึ้นไปพรมจูบทั่วใบหน้าพาลให้เด็กน้อยที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวหลับตาปี๋ ทินกรเผลอหลุดยิ้มเมื่อเห็นคนใต้อานัติกำลังหน้าแดงก่ำยิ่งกว่าลูกเชอรี่ผลสด
พลางขยับร่างกายถอยลงไปด้านล่างเอื้อมมือใหญ่จับข้อเท้าขาวยกขึ้นบรรจงจูบข้อเท้าน้อยๆนั้น แสดงออกถึงการยอมจำนนศิโรราบให้ทุกวิถีทาง และพร้อมจะจงรักภักดีไม่คิดมีใครอื่นในใจนอกเสียจากเจ้าของหัวใจคนนี้
พิกุลลืมตาตื่นด้วยความตกอกตกใจยามอีกฝ่ายกระทำในสิ่งที่ตนไม่คาดคิด ก่อนจะรีบชันตัวลุกขึ้นนั่งยันมือข้างหนึ่งไปด้านหน้าคล้ายห้ามปรามให้อีกคนหยุดกระทำสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควรเสีย
"คุณทินอย่าทำแบบนี้เลยครับ"
"ทำไมล่ะ"
"มันเป็นของต่ำ ไม่เหมาะ.."
"ฉันไม่สน ร่างกายทุกส่วนของพิกุลเป็นของฉัน ฉันจะสัมผัสหรือแตะต้องส่วนไหนก็ได้"
"..."
ทินกรสบมองเด็กตรงหน้าหลังถูกเขาเอ่ยแสดงออกถึงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ บนแก้มใสค่อยๆขึ้นสีแดงก่ำซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากความขัดเขิน ก่อนจะสบมองไปยังดวงตากลมใสที่เอาแต่หลุกหลิกราวกับกำลังทำตัวไม่ถูก
ไม่ว่าพิกุลจะทำอะไร ช่างน่ารักไปเสียหมด..
"พิกุลรู้ไหม การจูบตรงนี้หมายถึงอะไร" ทินกรเอ่ยเสียงเบาลง หลังเมื่อครู่เพิ่งกล่าววาจาเสียงแข็งออกไป
"ไม่รู้ครับ"
"หมายถึงการสัญญาว่าจะรัก และซื่อสัตย์กับคนๆเดียวตลอดไป"
ไม่ได้มีบ่อยครั้งนัก ที่ชายหนุ่มจะเอ่ยวาจาคำหวานแสดงออกถึงความรักแบบนี้ พาลให้พิกุลทำตัวไม่ถูกเหม่อมองบุคคลตรงหน้าคล้ายถูกต้องมนต์ ก่อนจะเริ่มรู้สึกตัวเมื่อถูกสัมผัสที่บริเวณท้องน้อยผ่านริมฝีปากอุ่น
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ชายเสื้อคลุมสีครีมถูกเลิกขึ้นจนเห็นหน้าท้องขาว และไม่รู้ตัวเลยว่าถูกลูบคลำบริเวณท้องน้อยอย่างเอาใจ ราวกับบริเวณนั้นมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ดึงดูดชายหนุ่มตรงหน้า จนกระทั่งพิกุลได้สติยามอีกฝ่ายจุมพิตลงบนผิวกายพร้อมกับพูดน้ำเสียงเรียบเรื่อย
"พรุ่งนี้ช่วงเย็น ฉันจะเดินทางเข้ากรุงเทพ"
ทินกรพูดในขณะที่กำลังฝังใบหน้าครึ่งหนึ่งลงแนบกับท้องน้อย สีหน้าและแววตาแสดงออกถึงความห่วงหาอาทร คล้ายกับไม่อยากลาจากกันไปไกล หากเป็นไปได้เขาก็อยากพาพิกุลไปด้วย
แต่เมื่อคิดไปถึงสายตามากมายจากผู้คนภายนอก ขณะกำลังมองมายังพิกุลของเขา เท่านั้นเองความคิดมากมายถูกยุติลงทันตา
จะไม่มีใครได้เห็น..
เขาหวงแหนพิกุลมากกว่าสิ่งใด ยิ่งกว่าเพชรล้ำค่าราคาแพงที่มีเพียงไม่ถึงสิบชิ้นบนโลก พิกุลของเขามีค่ามากกว่านั้น และของล้ำค่าไม่จำเป็นต้องนำไปตั้งโชว์โอ้อวดผู้ใด จะมีเพียงเจ้าของของมันคนเดียวเท่านั้นที่ได้สิทธิในการเชยชม
"พิกุลอยู่ได้ใช่ไหม"
"คุณทินจะไปนานหรือเปล่าครับ"
"ประมาณ 5 วัน"
เจ้าของใบหน้าหวานเริ่มเปลี่ยนสี คิ้วเล็กขมวดมุ่นคล้ายคนสงสัยใคร่รู้ ว่าอีกคนจะไปที่ไหน ไปทำอะไร และไปทำไม แต่กระนั้นหากเอ่ยปากถามออกไปมากเกินกว่าจำเป็น เกรงว่าจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกรำคาญใจเหมือนครั้งก่อนเมื่อไม่นานมานี้
ความสงสัยจึงถูกเก็บลง หากชายหนุ่มไม่อยากบอกตรงๆ เขาก็ไม่คิดจะรบเร้าหาคำตอบ
"ทำไมถึงทำหน้าอย่างนั้น"
ทินกรเอ่ยถามหลังจากขยับกายลุกขึ้นนั่ง พลางเคลื่อนตัวพิงเอนแผ่นหลังกับหัวเตียง มือทั้งสองช้อนอุ้มร่างแน่งน้อยให้เอนพิงบนแผ่นอกหนั่นแน่นของตน
"เปล่าครับ"
"ฉันไปไม่นาน"
"แต่คุณทินไม่เคยไปไหน"
"ครั้งนี้มันจำเป็น"
"..."
พิกุลไม่อาจเถียงต่อ แม้ในใจอยากจะรั้งไม่ให้ชายหนุ่มเดินทางไกลก็ตามที ใบหน้าที่หมองลงอย่างเห็นได้ชัดเกิดจากความกลัวที่อยู่ก้นลึกในใจ ชายหนุ่มเป็นผู้ชายอีกทั้งยังหน้าตาจัดเข้าขั้นว่าดีมาก การเดินทางเข้าไปในสถานที่ที่คนพลุกพล่านเช่นนั้น จะไม่ให้พิกุลกลัวได้อย่างไร ใจคนนั้นยากแท้หยั่งถึงจะตาย
แต่เพราะเป็นความต้องการของอีกฝ่าย พิกุลไม่มีสิทธิจะห้าม ในเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยออกมาเสียเต็มปากเช่นนั้นว่ามันจำเป็น จะให้เขางอแงหรือทำตัวงี่เง่าก็ไม่ใช่เรื่อง
ทินกรเห็นเด็กที่นั่งพิงอกของเขานิ่งเงียบไป จึงขยับเคลื่อนใบหน้าหล่อเหลาไซร้จมูกโด่งไปตามลำคอระหงส์ พลางสูดกลิ่นหอมอ่อนๆเฉพาะตัวของเด็กน้อยในอ้อมกอดเพื่อให้เจ้าตัวคลายกังวล
"ฉันมีแค่พิกุลคนเดียว ไม่มีใครอื่นนอกจากนี้อีกแล้ว"
เพราะรู้ว่าเด็กในอ้อมกอดกำลังหวาดกลัวสิ่งใด การจากบ้านไปหลายวันนั้นอาจทำให้อีกคนที่อยู่ทางนี้เพียงลำพังหวั่นใจได้ ทินกรหลุดยิ้มด้วยความรู้สึกดีใจไม่น้อย เพราะการแสดงออกของพิกุลทำให้เขารู้สึกลำพอง หลงคิดไปว่าพิกุลกำลังรู้สึกกับเขามากกว่าที่เคยเป็น พลันอ้าปากแลบลิ้นสากไล้เลียลำคอขาวราวกับตบรางวัลชั้นดีให้
"พิกุลกำลังกลัวว่าฉันจะไปหาสาวๆใช่ไหม"
"ครับ"
"พิกุลกำลังหวงฉัน"
"ครับ"
พิกุลตอบกลับทุกคำพูดที่อีกฝ่ายถาม ไม่มีคำโกหกหรือซ่อนเร้นปกปิดความรู้สึก ความซื่อตรงที่กลายเป็นนิสัย ยามคิดสิ่งใดก็มักจะแสดงออกไปอย่างนั้น ทำให้ทินกรยิ่งหลงรักตัวตนของพิกุลมากยิ่งขึ้น พลางซุกไซร้เข้าหาความนุ่มหยุ่นของผิวเนื้อขาวผ่อง จูบซับมอบความรักให้เพื่อใช้เป็นหลักประกันยืนยันว่าทินกรหลงใหลเจ้าตัวมากแค่ไหน
ดวงหน้าใสเผยแววตาปรือปรอยเหม่อมองไร้ทิศทาง ยามถูกลิ้นร้อนสัมผัสช่วงลำคอและใบหู ความเสียดเสียวและมวนท้องทำเอาพิกุลตัวชาวาบไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกาย พลันปล่อยให้ร่างกายถูกชายหนุ่มด้านหลังกกกอดกระทำเรื่องหวาดเสียวด้วยความยินยอม
แม้จะเป็นสัมผัสเพียงภายนอก แต่กลับทำให้ร่างผอมบางอ่อนระทวยราวกับเทียนถูกไฟรน ยิ่งถูกสัมผัสแตะต้องบริเวณของสงวนภายใต้ผ้าชิ้นบาง ร่างทั้งร่างพลันกระตุกราวกับโดนของร้อน
ทินกรไม่คิดว่าพิกุลจะมีความรู้สึกไวมากขนาดนี้ เป็นเพราะเขาถามคำถามที่ชวนให้อีกฝ่ายตื่นเต้นหรือเปล่า ถึงได้มีอาการและอารมณ์มากกว่าปกติ
ทั้งที่ในใจอยากจะทำมากกว่าการจูบลูบคลำภายนอก แต่เขาไม่สามารถทำได้มากไปกว่านี้ หากเผลอไผลทำอะไรที่มันรุนแรงเกินไปเกรงว่าพิกุลจะล้มป่วยและไม่สบายเอา ในช่วงเวลาที่ทิรกรไม่อยู่บ้านแน่นอนว่าเขาอยากให้พิกุลมีร่างกายที่แข็งแรงที่สุด ยามที่ไม่มีทินกรคอยดูแลไม่ว่าใครหน้าไหนเขาไม่ไว้ใจทั้งนั้น
ดังนั้นแม้จะอยากทำเรื่องวาบหวามมากมายขนาดไหนแต่เขาต้องหักห้ามใจไม่ให้มันเลยเถิด
ใบหน้าหล่อคมคายยังคงฝังลงที่ซอกคอหอมกรุ่นไม่มีละออก มือข้างหนึ่งลูบคลำก็ส่วนอ่อนไหวของเด็กน้อยไปพลาง ถึงจะอยู่ใต้ร่มผ้าแต่ชายหนุ่มไม่คิดสนใจจะดึงรั้งผ้าชิ้นบางออก ก่อนจะค่อยๆเงยมองสบเจ้าของใบหน้าหวานสวยราวกับเด็กหญิง ขณะกำลังเงยเชิดหลับตาพริ้มรับรู้สัมผัสที่เขามอบให้อย่างยินยอมพร้อมใจ
"ฉันหลงพิกุลขนาดนี้ จะให้ไปหาหญิงอื่นได้อย่างไร" ชายหนุ่มเอ่ยเสียงนุ่ม บรรจงจูบประทับริมฝีปากบนแก้มใสที่ขึ้นสีแดงระเรื่อ ยามเด็กน้อยในอ้อมกอดปลดปล่อยของเหลวขุ่นจนเลอะอาภรณ์ผืนบาง
สิ่งที่พูดทั้งหมดคือความจริง เขาไม่คิดจะมีใครมานานมากแล้วตั้งแต่มีพิกุลเข้ามาในชีวิต ความรักที่เป็นการครอบครองเอาไว้เพียงผู้เดียวไม่ให้อีกฝ่ายได้พบเจอใครแม้มันจะดูน่ารังเกียจ แต่คนที่เคยผิดหวังกับความรักอย่างเจ็บปวดเช่นเขา ไม่มีวันจะให้คนที่ตนรักและหวงแหนหลุดมือได้อีกเป็นครั้งที่สอง
ในขณะที่กำลังคิด ร่างแน่งน้อยพลันขยับพลิกตัวหันหน้าเข้าหา เงยใบหน้าน่ารักสบมองดวงตาของเขาราวกับกำลังร้องขออะไรบางอย่าง ทินกรเลิกคิ้วคล้ายถามหาสิ่งที่เด็กน้อยต้องการ พลางเลื่อนสายตามองมือเล็กแสนนุ่มนิ่มเคลื่อนไหวลูบคลำแผ่นอกของเขาไม่มีหยุด ก่อนจะค่อยๆปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตราคาแพงเม็ดแรกและตามมาด้วยเม็ดที่สอง
ทว่าพิกุลจำต้องหยุดมือที่กำลังปลดเปลื้องผ้าของชายตรงหน้า เมื่อถูกจับยึดหยุดนิ่งเอาไว้คล้ายกับห้ามปรามไม่ให้กระทำต่อ พิกุลเอียงคอไม่เข้าใจหากเวลาปกติจะต้องมีการสานต่อความสัมพันธ์และสัมผัสร่างกายมากกว่าภายนอกเพียงอย่างเดียว แต่ดูเหมือนครั้งนี้อีกฝ่ายไม่ได้ต้องการให้ลึกซึ้งขนาดนั้น
"ไว้ฉันกลับมาจากกรุงเทพก่อน"
ทินกรเอ่ยเสียงทุ้มน่าฟังแต่สายตาที่ใช้มองสบกลับเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ ในหัวเต็มไปด้วยฉากการร่วมรักของตนและเด็กหนุ่มตาใสตรงหน้า แม้ในใจอยากจะฟัดเสียให้ลุกไม่ขึ้นตั้งแต่ตอนนี้ แต่เขาไม่สามารถทำตามใจนึกได้
ยิ่งเจ้าตัวท้องด้วยแล้ว การร่วมรักจำเป็นต้องอ่อนโยนและทะนุถนอมมากกว่าปกติ ไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถมีความสัมพันธ์ได้เลย แต่จากการสอบถามอย่างละเอียดจากแพทย์ที่ดูแลรักษาในด้านนี้โดยตรง ทินกรจำเป็นต้องอดทนอดกลั้นไม่พลั้งพลาดกระทำรุนแรงจนเกินไป
รอยยิ้มบางค่อยๆผุดขึ้น ทินกรย้อนคิดไปถึงตอนที่ตัวเองและพิกุลมีความสัมพันธ์กัน แทบทุกครั้งเขามักจะถนอมร่างกายของพิกุลเสมอ หากเทียบกับตนเองในช่วงชีวิตวัยรุ่นช่างแตกต่างจนไม่อาจเทียบติด
ความสัมพันธ์ทางกายที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเต็มไปด้วยความใคร่อยากปลดปล่อย ไร้ซึ่งความอ่อนโยนหรือแม้แต่เห็นอกเห็นใจคู่นอน ทินกรกระทำเพื่อระบายความใคร่เมื่อทุกอย่างจบลงต่างฝ่ายต่างถึงจุดหมาย
แม้แต่เธอที่เคยเป็นรักแรกของทินกร เธอคนนั้นก็ยังไม่ได้รับความเห็นอกเห็นใจแบบที่เขาให้มันกับพิกุล
เอาเข้าจริงพอถึงวันที่ต้องเดินทางไกล ทินกรกลับอยากอยู่ที่บ้านและบอกปัดเพื่อนสนิทอย่างธนาไปเสีย ไม่รู้มีอะไรมาสะกิดใจทำให้ทินกรรู้สึกแปลกในอก ความวูบโหวงและหวาดกลัวบางสิ่งบางอย่างพวกนี้มันคืออะไร
ทินกรยืนสวมใส่เสื้อเชิ้ตสีเข้มขณะกำลังติดกระดุมเม็ดบนสุด ทว่ากลับต้องหยุดชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินเสียงของประตูห้องที่ถูกเปิดออก ชายหนุ่มหันใบหน้าหล่อคมคายสบมองคนเข้ามาใหม่ด้วยรอยยิ้มบาง เอ่ยเรียกชื่อเสียงนุ่มนวลยามได้มองใบหน้าไร้เครื่องประทินโฉม
"พิกุล.."
"ให้กุลช่วยนะครับ"
ราวกับว่าเราสองคนเป็นคู่แต่งงานข้าวใหม่ปลามัน ความเป็นธรรมชาติที่ถูกเสริมเติมแต่งมาเรื่อยๆ หลังจากเกิดความสัมพันธ์ลึกซึ้งที่นับครั้งไม่ถ้วน ดูเหมือนพิกุลจะเริ่มเรียนรู้การเอาอกเอาใจและดูแลเอาใจใส่ได้เป็นอย่างดี
ทินกรไม่นึกขัด พลางปล่อยมือที่กลัดกระดุมลงเปลี่ยนเป็นโอบรอบเอวบางของเด็กตรงหน้าแทน เขาไม่สนว่าอีกฝ่ายจะอายุมากจนเลยเลขสองไปแล้วหรือไม่ เขาคิดเพียงแค่พิกุลยังคงเป็นเด็กสำหรับคนอย่างเขาอยู่เสมอ ความน่ารักน่าเอ็นดูและซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกเป็นสิ่งที่เขาหลงรักมาตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน จนกระทั่งถอนตัวไม่ขึ้นจนทุกวันนี้
"วันนี้ช่างเอาอกเอาใจฉันเสียจริง"
"..."
"ทนเหงาสักเดี๋ยว ฉันจะรีบกลับมาหา"
"ทำไม.."
"หืม"
"เปล่าครับ"
คำถามที่พิกุลอยากถามมาตลอดตั้งแต่รู้ว่าชายหนุ่มจะเดินทาง ถ้อยคำที่ถูกเอื้อนเอ่ยรวมไปถึงสีหน้าแววตาแสดงออกมา จนทำให้ทินกรมั่นใจว่าเจ้าตัวไม่ได้อยากให้เขาไป
เช่นกัน ทินกรเองก็ไม่ได้อยากไปเลยนักหนา แต่เพราะมันเป็นหน้าที่การงานที่อาจส่งผลอันดีต่อธุรกิจของเขาในอนาคต ทำให้ทินกรเลือกที่จะไม่ปฏิเสธและตอบรับคำเชื้อเชิญนั้นเมื่อคิดอย่างถี่ถ้วนดีแล้ว
"ไม่อยากให้ฉันไปใช่ไหม"
พิกุลชะงักนิ่งดวงตาหลุกหลิกราวกับถูกจับได้ว่าตนกำลังคิดอะไร
"ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก ฉันต้องไป" ทินกรเอ่ยเสียงเข้มขึ้น เมื่อเห็นท่าทางของเด็กตรงหน้าที่เอาแต่พยายามปกปิดความรู้สึกของตนเอง พาลให้ทินกรรู้สึกไม่ชอบใจนิดหน่อย เขาชอบที่เจ้าตัวแสดงมันออกมาตรงๆเสียมากกว่า
พิกุลสลดลงทันที ในหัวมีแต่คำถามมากมายว่าเหตุใดทำไมถึงต้องไป
แม้จะอยากถามมากมายเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงเก็บมันลง พิกุลไม่อยากให้ตนเองกลายเป็นคนงี่เง่าน่ารำคาญในสายตาของอีกฝ่าย
ทว่าจู่ๆคำถามที่ไม่กล้าแม้แต่จะถามออกไป อีกฝ่ายกลับตอบให้โดยที่ไม่จำเป็นต้องเอ่ย
"ฉันไม่ได้อยากไป แต่เพราะมันเป็นงานที่ไม่สามารถบอกปัดได้ หากบอกปัดไม่เข้าร่วม คนพวกนั้นจะมองว่าฉันไร้มารยาท"
ทินกรเอ่ยเสียงเรียบเรื่อยผ่านความจริงทั้งหมดทั้งมวล เขาไม่คิดโกหกแต่เลือกเปิดเปลือยความเป็นตัวเองให้อีกฝ่ายได้รู้เห็น ทั้งหน้าที่การงาน ความจำเป็นในการเข้าสังคม มีหลายอย่างที่ทินกรเริ่มคิดเปลี่ยนแปลง การปิดบังล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ทำให้เขาพะวงและตึงเครียดอยู่คนเดียวเสมอ หากเป็นไปได้ทินกรอยากค่อยๆปรับเปลี่ยนมันเสียใหม่ ค่อยๆเปิดเผยเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเขาทีละนิดให้พิกุลคนที่เขารักได้รับรู้
แต่คงจะต้องเป็นหลังจากที่กลับมาจากกรุงเทพเสียก่อน..
-
:pig4:
:3123:
-
จะทันการไหมละ จะช้าไปไหม 5วันเลยนะ
ยิ่งมีลางสังหรณ์วูบโหวงหวาดกลัวแปลกๆ อะๆยังไงคุณทิน อุต๊ะ!!ลุ้นเลยงานนี้พิกุลจะเจอไรบ้าง กลับมาจากกรุงเทพจะเงิบไหม 555 ดีใจที่ท้องแล้ว ชอบความรักเดียวใจเดียวของทินกรนะ แต่วิธีการได้มาครอบครอง อืมมมม รอฟังอยู่นะ 55 พิกุลก็รู้สึกหวั่นไหวไปไม่น้อย รักความหมายเดียวกันไหม ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง รอให้พิกุลรู้สึกมากกว่านี้คงเข้าใจ น่าเอ็นดูพิกุลจริง ไม่อยากจะทำตัวงี่เง่าแต่ก็อยากวอแว ก็นะอารมณ์คนกำลังท้องแปรปรวน ทินกรต่อไปต้องเข้าใจ ไปหาซื้อหนังสือคุณพ่อมือใหม่มาอ่านไป๊ 5555 โอ้ยยสนุกก บรรยายดี รอตอนต่อไปเลยค่ะ ขอบคุณนะคะที่แต่งมาอัพต่อ :pig4: :pig4: :pig4:
-
บทที่ 6
ผ่านมาแล้วสามวันกับการที่ไม่มีทินกรอยู่ข้างกาย แม้พิกุลจะหาอะไรต่อมิอะไรทำเพื่อคลายความเหงาผ่อนปรนความเบื่อ ทั้งออกไปเดินเล่นในสวนหลังบ้านซึ่งเป็นสถานที่ที่ตนชื่นชอบส่วนตัว แต่กลับรู้สึกไม่มีความสุขเหมือนอย่างที่เคยเป็น
ปกติพิกุลมักจะปลูกต้นไม้ บ้างก็ทำอาหารโดยเรียนรู้วิธีการจากแม่บ้านและคนสวน มีทำความสะอาดบ้างประปราย แต่ทุกอย่างล้วนแล้วเป็นเรื่องง่ายที่ใครๆต่างก็ทำ
มีบางสิ่งที่ดูเหมือนจะแปลกกว่าปกติ เนื่องจากพิกุลที่ถือว่ากำลังอยู่ช่วงวัยรุ่น แต่กลับไม่สันทัดการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ทั้งๆที่ตนเองก็จัดว่าอยู่ในวัยที่ควรจะคล่องแคล่วในเรื่องเทคโนโลยีเป็นพิเศษ
เหตุผลหลักที่ทำให้พิกุลไม่ได้เรียนรู้การใช้เทคโนโลยีคงหนีไม่พ้น คุณทินกร
ถึงบางครั้งจะเคยมีความคิดที่อยากจะลองใช้ พอจะเอื้อมแตะหรือหยิบจับมันขึ้นมา เขามักจะโดนชายหนุ่มดุและห้ามปรามเกือบทุกครั้ง พิกุลไม่เคยคิดถามหาเหตุผลว่าทำไม หรือเพราะอะไร รู้เพียงว่าชายหนุ่มไม่ชอบ เขาก็เลยไม่ชอบตามไปด้วย
ความสงสัยอาจมีบ้างยามที่โตขึ้นความคิดความอ่านก็ย่อมมากตามอายุ แต่นั่นไม่ได้ทำให้พิกุลนึกสงสัยมากเท่าไหร่ หากเทียบกับเรื่องที่ติดค้างในใจเมื่อไม่นานมานี้
ยิ่งเติบโต ก็ยิ่งมีความคิดริเริ่มประติดประต่อเรื่องราวได้ด้วยตนเอง หลายครั้งที่พิกุลหัดที่จะดื้อรั้นเพราะสิ่งที่ตนคิดกับสิ่งที่ชายหนุ่มคิดนั้นไม่เหมือนกันแม้แต่เสี้ยวเดียว อาศัยความเงียบไม่เถียงและดูใสซื่อเป็นตัวนำทางให้ดูคล้ายกับคนเชื่อฟัง แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ใช่
หากจำต้องหยิบยก เรื่องในหลายวันก่อนคงเป็นเรื่องหนึ่งที่พิกุลเผลอแสดงความดื้อรั้นและแสร้งทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีบางสิ่งที่พิกุลไม่ได้บอกให้ทินกรรู้ มากกว่าที่เอ่ยปากบอกเล่าให้ทินกรฟัง มีบางส่วนที่ถูกเก็บงำเอาไว้ไม่ได้ถูกเปิดเผย
'ผีเสื้อมีครอบครัวที่จะต้องกลับไปหานะครับ คุณพิกุลปล่อยมันเถอะ'
'คุณพิกุลเองก็มีครอบครัว'
'ครอบครัวของคุณพิกุล อยู่ที่นั่น'
พิกุลจำได้ดีถึงสถานที่ที่ลุงมิ่งเป็นคนชี้นำ ปลายนิ้วที่มุ่งตรงไปนั้นคือป่ารกร้างด้านหลังซึ่งเต็มไปด้วยความชื้นและมืดสลัว ในบริเวณมีบ้านเก่าหลังหนึ่งตั้งตระหง่านท่ามกลางป่า และครั้งหนึ่งพิกุลเคยย่างกรายเข้าไปก่อนที่จะถูกห้ามปรามโดยทินกร
ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ พิกุลเคยอ่านความหมายนี้จากหนังสือเล่มหนึ่ง ไม่แปลกที่ตัวเองนั้นกำลังถูกยุยงส่งเสริมคล้ายกับประโยคในหนังสือ ให้ดื้อรั้นอยากทำเรื่องที่เคยเอ่ยปากอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะไม่ทำอีก
ความสงสัยถูกเก็บซ่อนในใจตั้งแต่นั้นมาหลังจากไม่ได้เอ่ยปากถามหาถึงเหตุผล เหตุใดถึงไม่อยากให้เข้าไปในบ้านหลังนั้น เหตุผลมันต้องมีมากกว่าความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยอย่างแน่นอน
ใบหน้าฉงนใช้ความคิดเคร่งเครียดให้กับเรื่องที่กำลังไตร่ตรอง ก่อนจะหยุดลงเมื่อนึกถึงประโยคสุดท้ายจากปากของชายรุ่นราวคราวพ่ออย่างลุงมิ่ง
'ครอบครัวของคุณพิกุล อยู่ที่นั่น'
ครอบครัวอย่างนั้นหรือ แล้วการที่เขาอยู่ที่นี่ร่วมกับคุณทินไม่ใช่ครอบครัวหรือยังไง..
คิ้วเรียวขมวดขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะพยายามเรียบเรียงเรื่องราวเก่าก่อน ว่าเคยมีสิ่งใดที่ตนพอจะจดจำได้บ้างในครั้งอดีต ทว่ายิ่งคิดมากเท่าไหร่กลับไม่พบสิ่งใดในความทรงจำ นอกจากความว่างเปล่า
หากจะมี ก็คงมีเพียงใบหน้าของชายหนุ่มชื่อทินกร ที่เลี้ยงดูเขาด้วยความอบอุ่นรักใคร่มาตั้งแต่ยังเด็กคนเดียวเท่านั้น ความทรงจำในวัยเด็กที่ว่างเปล่าราวกับมีบางส่วนขาดหายไป คล้ายกับโดนลบออกจนไม่มีเหลือ พิกุลไม่สามารถนึกคิดหรือจดจำเรื่องในวัยเด็กก่อนหน้าที่จะรู้จักกับทินกรได้เลยสักเรื่อง
ทว่าจู่ๆคำพูดหนึ่งก็ตีตื้นขึ้นมา ท่ามกลางความสงสัยมากมาย
'อย่าไปที่นั่นอีกเป็นอันขาด'
พิกุลจำได้ดีทุกประโยคทุกถ้อยคำที่อีกฝ่ายเอาแต่ย้ำเตือน พร่ำบอกกับเขาว่าสถานที่แห่งนั้นไม่สมควรเข้าไปโดยให้เหตุผลว่าเป็นห่วงกลัวจะได้รับอันตราย ซึ่งพิกุลยินดีที่จะทำตามอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
แต่ ไม่ใช่สำหรับตอนนี้
หากคิดดูนับว่าเป็นโอกาสดีที่คุณทินไม่อยู่บ้าน หากเขาแอบเข้าไปเพื่อคลายความสงสัยและค่อยกลับออกมาถือว่าไม่ได้เสียหาย ยังมีพอเวลาเหลือถึงสองวันด้วยกันกว่าคุณทินกรจะกลับมาถึงที่นี่
แน่นอนว่าถ้าหากไม่มีใครปริปากบอก อีกฝ่ายจะไม่มีทางรู้อย่างแน่นอน และถึงจะรู้ เวลานั้นเขาก็กลับมาแล้ว โดยอาจจะโดนดุนิดหน่อยคงไม่เสียหายอะไร
ช่วงบ่ายถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการแอบลักลอบเดินทางไปยังป่ารกร้างด้านหลัง พิกุลไม่ได้คิดเตรียมตัวอะไรเพียงแค่นั่งรอเวลา จนกระทั่งเข็มยาวในนาฬิกาทรงกลมบนฝาผนังเคลื่อนผ่านเลขสิบสอง ส่วนเข็มสั้นชี้ตรงกับเลขหนึ่งพอดิบพอดี
สองเท้าขาวพลันขยับหย่อนลงกับพื้นห้องยันตัวลุกขึ้นยืน ก่อนจะมุ่งหน้าเดินออกแง้มประตูมองซ้ายขวา เมื่อไม่พบใครจึงเดินด้วยท่าทีปกติตรงไปยังประตูบ้านด้านหลัง
บริเวณด้านหลังนี้ พิกุลมักจะใช้มันอยู่บ่อยครั้ง เพราะใช้เวลาเดินไปที่สวนดอกไม้รวดเร็วกว่าประตูหน้าเป็นไหนๆ มือเรียวขยับคว้าจับเอาลูกบิดประตูเปิดออก ทว่ากลับต้องชะงักนิ่งไม่กล้าขยับตัว หลังมีเสียงทักจากทางด้านหลัง
"คุณพิกุลจะออกไปไหนหรือคะ"
"จะออกไปสวน"
"ท้องฟ้ากำลังมืดครึ้ม อย่าออกไปเลยค่ะ เกิดฝนตกกลางคันเดี๋ยวจะไม่สบายเอา"
หลังจากได้ยินคำบอกกล่าวจากแม่บ้าน ว่าเวลานี้ฝนกำลังจะตก พลันชะโงกใบหน้าเงยมองท้องฟ้ายามกลางวันแสกๆที่เริ่มครึ้มฟ้าครึ้มฝน บนนั้นไม่มีแสงแดดสว่างจ้าดังเช่นปกติ คล้ายกับพระอาทิตย์กำลังถูกเมฆสีทะมึนขนาดใหญ่บดบัง
ป่าที่ว่านั่นอยู่แค่ตรงหน้าซึ่งถือว่าไม่ไกลมากนัก หากเดินเท้าไม่ถึงสิบนาทีก็ถึง ฟ้าฝนคงยังไม่ตกลงมาในขณะที่เขากำลังเข้าไปหรอก เผลอๆคงจะตกในตอนที่เขากลับมาถึงบ้านแล้วด้วยซ้ำ
เมื่อคิดได้ว่าตนยังคงมุ่งมั่นไม่ละความพยายามในการเดินหน้าเข้าไปในป่า พลันขยับตัวสาวเท้าเดินออกจากบ้าน พร้อมกับประโยคที่ไม่รอคำทักท้วงจากหญิงวัยกลางคนด้านหลัง
"แค่ออกไปเดินเล่น ถ้าฝนตกจะรีบกลับมา"
สองเท้าขาวที่สวมเพียงรองเท้าแตะขนาดพอดีขยับมุ่งหน้าตรงไปยังป่า อันเป็นสถานที่ที่ลุงมิ่งเป็นคนบอกกล่าวเมื่อไม่นานมานี้ พิกุลเดินเข้ามาจนถึงด้านในของป่าทว่ากลับมืดกว่าครั้งก่อนมาก คงเป็นเพราะท้องฟ้าที่มืดครึ้มจากสภาพอากาศในวันนี้ ส่งผลให้ในป่าแห่งนี้ไม่มีแสงแดดสาดส่องลงมาถึง
พิกุลหยุดการเดินเท้าเมื่อถึงบริเวณที่ตนคุ้นเคย รั้วลวดหนามและบ้านหลังเก่าที่ไม่ได้ถูกใช้งานเพราะไม่มีคนอยู่อาศัย หากเป็นคนปกติธรรมดาอาจจะกลัวและประหม่าที่จะต้องเดินเข้าไปในที่ที่ไม่คุ้นอีกทั้งยังน่ากลัว แต่สำหรับพิกุลความรู้สึกพวกนั้นแทบไม่มีอยู่ในจิตใจเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว
ช่างน่าแปลก
ตรงกันข้าม พิกุลกลับรู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้ดูคุ้นเคยกับเขาเสียมากกว่า ความสบายใจและความอบอุ่นพลันแล่นปรี่เข้ามาในอกอย่างไม่สามารถค้นหาคำตอบ ดวงตาคู่สวยสบมองไปยังบ้านหลังเก่า ก่อนจะเอื้อมมือแตะลงบนรั้วที่เต็มไปด้วยต้นไม้เลื้อยสีเขียว พร้อมกับพยุงตัวขึ้นปีน และกระโดดลงข้ามฝั่งเข้ามาในอนาเขตที่ไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของ
ยามที่เท้าสัมผัสพื้นหญ้าขนาดสูงเกือบถึงเข่า ดวงตากวางใสเฝ้ามองออกไปยังบ้านที่ตั้งอยู่ไม่ห่าง ฉับพลันกำเนิดความรู้สึกปวดหนึบบริเวณศีรษะอย่างไร้สาเหตุ ราวกับกำลังมีของหนักขนาดใหญ่ทุบตีให้รู้สึกเจ็บปวด
คิ้วเล็กขมวดยกมือข้างหนึ่งกุมขมับส่วนอีกข้างจับยึดต้นไม้พยุงร่างกายไม่ให้ล้มทรุด พลางผ่อนลมหายใจยาวและสูดเข้าออกเป็นจังหวะเพื่อผ่อนคลายอาการปวด ที่จู่ๆก็เกิดขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ
พิกุลไม่นึกประหลาดใจเพราะคิดว่าอาการดังกล่าวอาจเป็นอาการป่วยโดยปกติของตน
ทว่าในขณะที่กำลังคิด พิกุลสัมผัสได้ถึงหยาดน้ำฝนที่ตกกระทบผิวกาย ดวงตาคู่สวยมองเงยขึ้นบนฟ้าที่ออกสีเทาครึ้มทะมึนจนน่ากลัว ไม่มีแสงตะวันสาดส่องความร้อนในช่วงบ่ายอย่างที่เคยเป็น บัดนี้มีเพียงความมืดและเสียงลมแรงที่พัดโบกกระทบใบไม้ จนเกิดเสียงหวีดหวิวชวนให้ขนลุก
ยามที่น้ำจากท้องฟ้าตกหล่นลงมาถี่มากขึ้น พิกุลกัดฟันทนสาวเท้ามุ่งหน้าเดินตรงไปยังบ้านตรงหน้าเพื่อหวังใช้เป็นที่หลบฝน หากเดินย้อนกลับในเวลานี้คงจะใช้เวลาอีกหลายนาทีกว่าจะถึง สู้เดินเข้าไปหลบพายุและหาที่พักพิงเสีย รอให้สภาพอากาศกลับมาดีขึ้นจนปกติค่อยคิดเดินทางกลับก็คงไม่สาย
กระทั่งสองเท้าเดินมาหยุดที่พื้นกระเบื้องซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของตัวบ้าน ด้านบนเป็นหลังคาช่วยเป็นกำบังให้อย่างดี ส่วนด้านหน้าเป็นประตูบ้านที่ถูกปิดสนิท มีไม้เลื้อยพันปกปิดจนแทบไม่เห็นลูกบิดของประตู
น่าแปลกที่จู่ๆพิกุลก็รู้สึกว่าบ้านหลังนี้ลักษณะภายนอกดูคุ้นตาราวกับเคยพบเห็นที่ไหนมาก่อน พลันกวาดมองไปถ้วนทั่วบริเวณหน้าประตูที่ถูกตกแต่งอย่างสวยงามด้วยฝีมือช่าง แม้จะถูกปกคลุมด้วยพรรณไม้สีเขียวในบางส่วน แต่ความสวยงามที่ผสมปนกับความคุ้นเคยทำให้พิกุลรู้สึกประหลาดในใจ
"ทำไมรู้สึกคุ้นแบบนี้" เสียงพึมพำหลุดรอดออกมาจากริมฝีปาก
ขณะกำลังมองไปรอบๆบริเวณยามฝนกำลังตกหนัก และมีทีท่าจะเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ พาลให้ช่วงแขนข้างหนึ่งถูกลมฝนพัดผ่านจนเปียกชุ่ม เกิดเป็นความหนาวเหน็บจากละอองน้ำ ก่อนจะขยับถอยหนีแต่กลับไม่พ้นเนื่องจากความแรงของลมที่มีมากกว่าปกติ พิกุลจึงตัดสินใจหันมองไปยังประตูเบื้องหน้าอีกครั้ง
"ขอเข้าไปหลบฝนด้านในนะครับ"
พิกุลเอ่ยเสียงสุภาพตามมารยาทที่ถูกเสี้ยมสอนมาอย่างดีจากคนที่โตกว่า พลางเอื้อมมือคว้าลูกบิดหมุนเปิดทว่ากลับง่ายดายเสียจนน่าแปลก ในความแปลกกลับไม่มีความหวาดกลัวใดๆหลุดรอดออกมาจากใบหน้าเลยแม้แต่น้อย หากจะมีก็คงมีเพียงความสับสนและรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากกว่า
ไม่รอช้าสองเท้าพลันก้าวเข้าไปด้านใน ก่อนประตูจะถูกปิดอย่างแรง จนพิกุลต้องรีบหันหลังกลับไปมองด้วยความตกใจ เสียงพรูลมหายใจยาวเมื่อรับรู้ว่าต้นเหตุไม่ใช่อย่างที่คิด แต่เป็นเพราะแรงลมจากด้านนอกทำให้ประตูถูกปิดลงด้วยตนเอง
พิกุลละสายตาจากบานประตูเจ้าปัญหาหันมองรอบกาย และหมุนตัวมองทุกบริเวณของตัวบ้านที่เต็มไปด้วยฝุ่นผงติดตามเฟอร์นิเจอร์และพื้นกระเบื้องที่ไร้ซึ่งการทำความสะอาดมาหลายปี ก่อนจะหยุดชะงักสายตาเมื่อพบเข้ากับสิ่งที่คุ้นเคย ราวกับมีแรงดึงดูดบางอย่างให้เดินตรงเข้าหาอย่างไม่คิดลังเล
เบื้องหน้าคือประตูซึ่งอยู่ใกล้กับบันไดสำหรับขึ้นชั้นสอง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรดลจิตดลใจให้พิกุลเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงนี้ ก่อนจะเอื้อมมือคว้าจับลูกบิดนั้นไว้ยามเดินมาถึง ความรู้สึกสงสัยและอยากคลายความขัดข้องใจก่อตัวขึ้นท่ามกลางเสียงฝนฟ้าคะนองด้านนอก
เมื่อเกิดความสงสัย ก็จำต้องหาคำตอบ
พลันเอี้ยวมือบิดประตูตรงหน้า กระทั่งมันเปิดออกกว้างจนพบเห็นส่วนต่างๆด้านในห้อง
คิ้วเล็กขมวดขึ้นอีกครั้งพร้อมกับใบหน้าที่เหยเกจากความเจ็บปวด อาการปวดศีรษะตีตื้นขึ้นมาอีกระลอก กระทั่งก่อเกิดเป็นเสียงหอบหายใจที่เริ่มกระชับถี่ พร้อมกับหลับตาปี๋เพราะอาการปวดหนึบ ราวกับโดนอะไรบางอย่างทุบตีจนแทบจะทนไม่ไหว
สองขาพลันสั่นเทาไร้เรี่ยวแรงในการยืน มือที่กำลูกบิดประตูเบื้องหน้ายังคงกำแน่นไม่มีปล่อย ก่อนจะทรุดตัวลงกับพื้นผลักไสประตูห้องจนเปิดออกกว้าง พิกุลพยายามเงยหน้าขึ้นเพื่อมองไปยังด้านในแม้จะมีอาการปวดศีรษะ ในขณะที่มือทั้งสองกดขมับของตนเองแน่นราวกับว่ามันจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดขึ้นมาบ้าง
ก่อนจะค่อยๆเปิดเปลือกตาจ้องมองเข้าไปในห้อง พร้อมกับแสงสว่างวาบจากท้องฟ้าสาดเข้ามายังหน้าต่างกระทบดวงตาคู่สวยเข้าอย่างจัง และจบลงด้วยเสียงคำรามจากฟากฟ้าดังสลั่นลั่นบริเวณ
ก่อเกิดเป็นภาพเคลื่อนไหวบางอย่างขึ้นในหัวราวกับกำลังย้อนไปถึงอดีตของใครสักคน ภาพที่พิกุลไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น หรืออาจจะรู้แต่เขานั้นจดจำมันไม่ได้
ความลับบางอย่างที่ถูกปิดบังซ่อนเร้นโดยคนที่ดูแลทะนุถนอม ถูกเปิดเผยท่ามกลางฟ้าฝนคึกคะนอนสาดพายุโหมกระหน่ำ ทำเอาพิกุลน้ำตาเอ่อนองเต็มใบหน้าอาบสองแก้มจนไร้เงาของเด็กน้อยที่เคยสดใส เพราะบัดนี้มีแต่ความเสียอกเสียใจหลังจากถูกหลอกลวงโดยคนที่เชื่อใจมากที่สุด
เฝ้าดูแลอย่างดีเพื่ออาศัยความซื่อและความโง่เขลาให้หลงเชื่อว่านั่นคือความบริสุทธิ์จริงใจ และจริงดังว่าชายหนุ่มคนนั้นทำให้พิกุลหลงเชื่อเสียเต็มประดา แท้จริงจุดประสงค์ก็เพื่อจะซุกซ่อนความเน่าเฟะของการกระทำแสนเลวร้ายเอาไว้ลงใต้ดิน
ปกปิดไม่ให้ได้รับรู้ อาศัยความซื่อสัตย์และเชื่อคนง่าย กำชับย้ำนักย้ำหนาจนจำติดสมองว่าไม่ให้เข้ามาในที่แห่งนี้ เพราะกลัวว่าความทรงจำแสนเลวร้ายพวกนั้นจะหวนคืน
เลือดสาดนองเต็มห้องหับ บนร่างกายแน่งน้อยคือผู้เป็นบิดาที่ถูกลั่นไกด้วยปืนทะลุกลางศีรษะ เลือดสีสดสาดกระเซ็นเต็มใบหน้าและเปรอะเปื้อนบนที่นอนสีขาว ก่อนร่างของบิดาจะถูกเท้าของชายที่คุ้นหน้าเป็นอย่างดีผลักไสอย่างหยาบคาย จนร่างกายชายวัยกลางคนล้มลงนอนแน่นิ่งบนพื้นเย็นเฉียบ
ดวงตากลมโตคล้ายกับดวงตาของกวางพลันเบิกกว้างจ้องมองชายผู้เข้ามาใหม่ พร้อมกับปืนที่จับอยู่ในมือเป็นหลักประกันชั้นดีว่าใครเป็นผู้กระทำเรื่องเลวร้าย
เสียงกรีดร้องดังขึ้นโหยหวนในความทรงจำ พาลให้พิกุลต้องนิ่วหน้ากับภาพที่อยู่ในอดีต ก่อนจะมืดดับไร้สิ่งอื่นใดให้รับรู้ต่อ
เป็นภาพที่พิกุลหลงลืมบางส่วน ซึ่งบัดนี้ได้หวนกลับมาอีกครั้ง แม้จะสั้นจนไม่สามารถเข้าใจได้ถึงเหตุผลและแก่นแท้ของเหตุการณ์ แต่ภาพที่ฉายชัดเสียจนติดตาในความทรงจำ คือ บิดาถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตา
ร่างผอมบางสั่นเทาขณะกำลังนั่งเหม่อลอยมองเข้าไปในห้อง ห้องที่เปรียบเสมือนสถานที่เกิดเรื่องราวน่าหวาดกลัวและหดหู่ใจ บัดนี้ใบหน้าหวานเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาที่ยากจะหักห้ามให้หยุดไหล ซึ่งมันนานมากแล้วที่พิกุลไม่ได้ร้องไห้หนักขนาดนี้ ครั้งสุดท้ายที่ร้องพิกุลจำไม่ได้ เขารู้เพียงว่าการได้มาอยู่ร่วมใช้ชีวิตเคียงข้างกับทินกรเป็นช่วงเวลาที่เขามีความสุขที่สุด
ไม่มีครั้งไหนที่อีกฝ่ายจะทำให้พิกุลเสียใจจนรับไม่ไหว เพราะการเลี้ยงดูอย่างดีน้อยครั้งที่จะดุด่าว่ากล่าวทำให้พิกุลพบแต่ความสุขและสบายใจยามได้อยู่ใกล้
แต่ทว่า หากเทียบกับตอนนี้ไม่สามารถเทียบติดเลยด้วยซ้ำ ความเสียใจผิดหวังที่ต้องมารับรู้ความจริง บัดนี้มันล้นหลามเสียจนไม่มีอะไรมาฉุดรั้งได้ ใบหน้าหวานที่เคยสดใสพลันเศร้าหมองลงทันตา
ก่อนจะเกิดความรู้สึกสับสนวุ่นวายเพราะคิดหาเหตุผลจากสมองที่แสนโง่เขลา ว่าเหตุใดชายหนุ่มถึงไม่คิดฆ่าให้ตนตายไปพร้อมๆกับครอบครัว ทำไมถึงยังไว้ชีวิต ทำไมถึงได้เลี้ยงดูฟูมฟักเป็นอย่างดี
และทำไมถึงคิดทำร้ายครอบครัวของเขาแบบนั้น เหตุผลที่ทำมันคืออะไร..
ความคิดที่จะหาคำตอบถูกพับเก็บ ก่อนจะคงเหลือไว้ซึ่งความเจ็บปวดรวดร้าวราวกับตายทั้งเป็น พลันก่อตัวขึ้นท่ามกลางความมืดครึ้มฟ้าครึ้มฝน จนกระทั่งมันพรั่งพรูออกมายากจะเก็บซ่อนในยามที่ฝนตกหนักโปรยปรายสาดพายุโหมกระหน่ำ
โก่งโค้งร่างกายที่นั่งคุกเข่าวางมือทั้งสองแนบไปกับพื้น ก้มหน้าร้องไห้เสียงดังพร้อมกับหวีดร้องออกมาเสียงแหลม ท่ามกลางเสียงคำรามของฟ้าที่กู่ร้องยามเม็ดฝนโหมกระหน่ำ มือทั้งสองที่เคยทาบแปรเปลี่ยนเป็นกำแน่นดวงตาที่ร้องไห้ออกมาอย่างหนักแดงก่ำ แววตาสิ้นแสงและหมดสภาพไม่หลงเหลือคราบความไร้เดียงสา
ความรู้สึกดำมืดค่อยๆคลืบคลานเกาะกินจิตใจ ก่อนที่มันจะถูกซ่อนลงใต้พรมกลายเป็นขยะรอวันส่งกลิ่นเน่าเหม็นเมื่อถึงจุดอิ่มตัว
จนกระทั่งท้องฟ้าสว่างวาบ พระอาทิตย์แทรกตัวออกจากเมฆก้อนสีดำพร้อมกับสาดแสงส่องลงยังพื้นดิน แทรกแสงตามกระจกสีขุ่นผ่านเล็ดลอดเข้ามากระทบผิว บ่งบอกว่ายามนี้ฝนได้หยุดตกแล้ว พร้อมๆ กับความครุกรุ่นที่ถูกเก็บซ่อนมันเอาไว้ในใจของพิกุล
น้ำตาที่เคยไหลพลันหยุดนิ่ง ดวงหน้าหวานไร้เดียงสาแปรเปลี่ยนเป็นเรียบตึง ราวกับกำลังคิดสิ่งใดอยู่ภายในตลอดเวลา
แววตาที่ว่างเปล่ายากจะค้นหา รอยยิ้มที่แสยะออกมาขณะกำลังมองไปยังเตียงนอนเก่าๆซึ่งเป็นจุดเกิดเหตุ ไม่มีอีกแล้วพิกุลที่เคยซื่อสัตย์ต่อความรู้สึก ทุกอย่างมันพังลงตั้งแต่ได้รับรู้ความจริงผ่านความทรงจำสั้นๆในหัว
อดีตที่เจ็บปวดทรมาน แม้จะไม่รู้ถึงเหตุผลและต้นตอ แต่สิ่งที่พิกุลรู้และเห็นจนภาพชัดเสียจนติดตา คือ ทินกรใช้ปืนลั่นไกฆ่าบิดาของตน
มือที่เคยกำแน่นแบออกพร้อมกับออกพยุงตัวลุกขึ้นยืนด้วยสองเท้า หันมองรอบกายที่แต่เดิมเคยเป็นบ้านของตนมาก่อน ทว่าบัดนี้ไม่มีคนอยู่อาศัยอีกแล้ว แม้จะเงียบเหงาแต่กลับรับรู้และสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและคุ้นเคย
ดวงตากวาดมองเพียงครู่ ก่อนจะตัดสินใจสาวเท้าเดินออกมา ไม่แสดงอาการเศร้าโศกอย่างเคย แต่กลับเต็มเกลื่อนไปด้วยความเรียบตึงไร้ซึ่งอารมณ์
พิกุลเดินออกมาจนกระทั่งถึงบ้านที่ใช้อยู่อาศัยในปัจจุบัน พลางสาวเท้าเดินเข้าไปด้านในพบเสียงดังโหวกเหวกราวกับเกิดเรื่องขึ้น ก่อนจะคลายความสงสัยด้วยการเปิดประตูหลังบ้านออก พบกับเหล่าคนงานสามสี่คนที่ยืนทำหน้าเครียด เอ่ยพูดรูปประโยคที่พอจับใจความได้ว่า กำลังตามหาตนไม่พบ
ตอนนี้การหายตัวไปอย่างไร้วี่แววคงรู้ถึงหูคุณทินกรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว..
"กำลังทำอะไรอยู่หรอ"
แม้จะรู้ว่าคนกลุ่มตรงหน้ากำลังทำสิ่งใด แต่การแสร้งทำเป็นไม่รู้นั้นถือเป็นสิ่งที่ควรทำมากที่สุดในตอนนี้
สิ้นสุดคำพูด คนงานที่กำลังทำหน้าเครียดต่างตกอกตกใจ แตกฮือกันออกมาหันมองหน้าของพิกุลราวกับค้นพบของล้ำค่าที่เพิ่งทำหาย ก่อนจะรีบกรูเข้ามายืนห้อมล้อมก้มหน้าก้มตาให้พร้อมรอยยิ้มดีใจประดับประดาขึ้นบนใบหน้าของทุกคน
"คุณพิกุล ไปไหนมาคะ"
"เดินเล่นในสวน"
"แต่พวกเราตามหากันทุกซอกทุกมุมของสวนแล้ว ไม่เจอคุณพิกุลเลย"
"คิดว่าโกหกหรอ"
น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเต็มไปด้วยความเย็นชาและไม่สบอารมณ์ แตกต่างกับพิกุลคนก่อนโดยสิ้นเชิง พาลให้เหล่าคนใช้นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
พิกุลละสายตากวาดมองเลยไปยังด้านหลังหญิงสาว เพื่อมองหาชายแก่คนหนึ่ง ทว่ากลับไม่พบเห็นอยู่ในครรลองสายตา ความสงสัยประดังขึ้นคิ้วเรียวสวยขมวด พลางกัดริมฝีปากชมพูอ่อนยามนึกคิดสิ่งบางอย่างขึ้นมาในหัว
หรือจะโดนไล่ออกไปแล้ว
"ลุงมิ่งไปไหน"
คำถามเสียงแข็งเอ่ยออกมาพร้อมกับใบหน้าที่ไม่สบอารมณ์อย่างเต็มที่ ยิ่งพบว่าใบหน้าที่ตื่นตนกตกใจของเหล่าคนงาน คล้ายคนอึกอักไม่กล้าพูดในสิ่งที่ตนถาม ก็ยิ่งทำให้แน่ใจว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นกับลุงมิ่ง ผู้ซึ่งเป็นคนที่สามารถบอกเล่าเรื่องราวเก่าก่อนให้กับพิกุลได้
"ถาม ก็ตอบ"
"ลุงมิ่งโดนไล่ออกแล้วค่ะ"
หญิงสาวรับใช้ตรงหน้าเอ่ยพูดด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลน ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวบางสิ่งบางอย่าง ราวกับสิ่งที่เอ่ยออกมานั้นเป็นเรื่องที่ไม่สมควรจะพูด
พิกุลยิ้มรับกับคำตอบพลางขยับกายเดินผ่าน มุ่งหน้าตรงไปยังชั้นสองซึ่งเป็นห้องนอนของตน ก่อนจะทิ้งท้ายประโยคที่ทำให้เหล่าคนงานทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
"โดนไล่ออก หรือโดนฆ่าตายกันแน่"
{ อ่านฉากสปอย + ติดตามการอัพเดท }
Twitter: kachettt | Tag: #หลงกลิ่นพิกุล
-------------------------------
หลังจากนี้น้องกุลจะอ่านใจยากหน่อยนะคะ เราพยายามจะเขียนตัวละครอย่างพิกุลให้เป็นเด็กที่ยังคงไว้ซึ่งความซื่อสัตย์และจริงใจกับความรู้สึกอยู่ แต่ตอนนี้อาจจะถูกบดบังด้วยความผิดหวังและเสียใจไปก่อน จนกลายเป็นเด็กที่ดูเสแสร้งแกล้งทำแสดงออกอย่างไม่จริงใจในบางคราว
แน่นอนว่าพื้นเพนิสัยจากแก่นแท้ของมนุษย์เคยเป็นอย่างไร ยังไงมันก็จะเป็นอย่างนั้นไม่มีเปลี่ยน ยังไงน้องกุลก็ยังเด็กดีนะคะ เห็นใจน้องนะ555
ตอนต่อไปจะย้อนอดีตของทินกรนิดหน่อย อดีตที่เคยมีความรักเกิดขึ้น ความรักที่ทินกรเคยเจ็บปวดมากที่สุด ก่อนจะมาเจอกับพิกุล จนกลายเป็นความบิดเบี้ยวของหัวใจ กักขังหน่วงเหนี่ยวพิกุลแบบนี้จนกระทั่งปัจจุบัน
เขาคนนั้นคือใคร รอติดตามนะคะ
ขอบคุณนักอ่านที่ช่วยแนะนำนิยายใน twitter มากเลยค่ะ ช่วยให้เราได้มีผู้ติดตามนิยายเรื่องนี้มากขึ้นหลายสิบคนเลย เราขอขอบคุณอย่างจริงใจเลยนะคะ ที่ทำให้เรามีกำลังอยากจะแต่งต่อไปเรื่อยๆ ขอบคุณมากค่ะ
-
:pig4:
:3123:
-
โว้ววๆๆ พิกุลมาเวอร์ชั่นเย็นชา น่ากลัวพิลึก 55555 และแล้ววันนี้ก็มาถึงค้นหาคำตอบเอง เจอจริง รู้แจ้ง แม้ความจำกลับมาบางส่วนแต่ก็มากเกือบจะเต็มร้อยสินะ รอดูส่วนที่เหลือจะพลิกไหม นั่นนะซิ เหตุผลที่ทำมันคืออะไร.. แต่ยังไงซะมันก็เป็นเรื่องยากที่จะยอมรับให้กับคนที่ฆ่าครอบครัวตัวเองต่อหน้าต่อตา ในเวลานี้พิกุลไม่อาจเชื่อใจทินกรได้อีก ทินกรจะสามารถกู้ความเชื่อใจให้กลับมาได้ไหม รอลุ้นกันยาวเลย ทินกรจะดูออกไหมงานนี้ เขาตีหน้าซื่อเก่งขึ้นนะ 5555555 โอ๊ยยยยยลุ้นชิบ สนุกกกกมากกกค่า อยากรู้เรื่องจริงๆเล้ยยย ทำไมๆเพราะอะไรๆว่ายังไงๆผู้แต่ง 55555 ขอบคุณนะคะที่แต่งมาอัพต่อให้ได้อ่าน ชอบบมาก รรรรรร :pig4: :pig4: :pig4:
-
น้องพิกุลเวอร์ชั่นนี้เลิฟเลย อยากรู้จริงๆคุณทินกลับมาจะเป็นยังไง
สงสารน้องมาก พ่อโดนฆ่าต่อหน้าต่อตาโดยคนที่ตัวเองหลงเชื่อใจมาตลอด มันยากที่จะให้อภัย
-
ฆ่าพ่อน้องทำไม มีเหตุผลอะไรต้องฆ่าพ่อน้องต่อหน้าน้องงงงงงงอ่ะ :z3: :z3:
-
ตอนที่ 7
[/b]
สองเท้าขยับก้าวเดินขึ้นมาบนชั้นสอง ไม่สนใจเหล่าคนใช้ที่ยืนนิ่งเงียบไร้ปากไร้เสียงด้านล่าง หากเป็นปกติเขาจะไม่ทำเช่นนี้ แต่ครั้งนี้ไม่ได้ปกติอย่างเคย
พิกุลไม่คิดจะให้ความสนใจเรื่องอื่นใดอีก และไม่คิดจะเสแสร้งแกล้งทำให้ตนดูเป็นเด็กน้อยไร้เดียงสา บัดนี้เขาโตแล้ว โตพอจนรู้เรื่องอะไรต่อมิอะไรได้ด้วยตนเอง
เขาพอแล้วกับการที่เป็นคนโง่เขลาในสายตาของชายหนุ่มและสายตาของใครๆ
เรือนร่างผอมบางเดินมาหยุดอยู่บริเวณหน้าห้องของชายหนุ่ม ซึ่งขณะนี้กำลังทำงานอยู่ที่กรุงเทพ มือขาวเอื้อมแตะลูกบิดบรรจงเปิดประตูย่างกรายเข้ามา กวาดสายตาไร้ซึ่งความรู้สึกมองรอบห้องที่คุ้นเคย
ตั้งแต่วันเกิดครบรอบอายุสิบแปดปี พิกุลไม่เคยได้กลับไปนอนห้องส่วนตัวของตนเองอีกเลย ในทุกค่ำคืนจากคำสั่งที่แสนเด็ดขาด ห้องนี้จะกลายเป็นห้องของเขาตั้งแต่คืนวันนั้น ส่วนห้องเก่าที่เคยใช้หลับนอนแต่เดิม บัดนี้ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นห้องหนังสือที่นานๆครั้งตอนจะเข้าไปหยิบจับขึ้นมาอ่าน
การใช้ชีวิตร่วมกันที่ปกติก็ใกล้ชิดกันมาตลอดอยู่แล้ว ไม่เข้าใจว่าการนอนร่วมเตียงเคียงข้างกันนั้นสำคัญไฉน เหตุใดอีกฝ่ายถึงได้จริงจังกับมันนัก ถึงขั้นขนเตียงนอนชุดเก่าและเฟอร์นิเจอร์ภายในห้องนำไปเก็บไว้ในห้องใต้บันได หลงเหลือห้องนอนเพียงห้องเดียวและเตียงขนาดใหญ่ในห้องส่วนตัวของชายหนุ่ม
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกคลื่นไส้คลื่นเหียนคล้ายอยากจะอาเจียน ความปวดหนึบบริเวณศีรษะค่อยๆรุนแรงขึ้น ก่อนจะพยุงร่างกายเกือบไร้เรี่ยวแรงหย่อนลงนั่งบนเก้าอี้ใกล้ตัวมากที่สุด
ดวงตาคู่สวยกระพริบถี่ยกมือขึ้นนวดขมับคลึงเบาๆราวกับต้องการจะผ่อนคลายให้อาการนั้นดีขึ้น แต่กลับไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย ความอ่อนแอที่แม้แต่ตนเองยังนึกเกลียดแสดงออกมาจนทำให้รู้สึกหงุดหงิด ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเกิดมามีร่างกายที่ไร้ซึ่งความแข็งแรงอย่างกับคนขี้โรคเช่นนี้
นึกไปก็มองไปบนโต๊ะทำงานของชายหนุ่ม ที่ถูกเก็บและจัดวางสิ่งของอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ก่อนแววตาคู่สวยจะสะดุดและหยุดนิ่งมองที่ถุงกำมะหยี่ซึ่งโผล่เล็ดลอดออกมาบางส่วนไม่ใกล้ไม่ไกล มันถูกเก็บไว้อย่างดีคล้ายกำลังซุกซ่อนไม่ให้ใครพบเห็น
คิ้วเล็กขมวดมุ่นพลันเอื้อมมือคว้าหยิบถุงกำมะหยี่นั้นออกมาพร้อมกับเปิดมันออก พบกับกล่องใสขนาดพอดีมือภายในบรรจุดอกพิกุลที่เหี่ยวเฉาเอาไว้อยู่หนึ่งดอก พิกุลที่บัดนี้มีสักษณะดำคล้ำเสียจนหากไม่มองให้ดีก็ไม่อาจทราบได้ว่าเป็นดอกไม้ชนิดใด
จากเดิมที่ไม่เคยเข้าใจชายหนุ่ม บัดนี้ยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้นไปอีก
ความสับสนและงุนงงประดังเข้ามาในหัว ก่อนจะหยุดชะงักนิ่งตัวชาวาบไปทั่วทั้งร่างกาย เมื่อนึกถึงคำพูดของคนที่เป็นถึงสามีเมื่อไม่นานมานี้
'ถ้าชอบ ก็แค่จับมาใส่กล่องเลี้ยงเสียก็จบ'
พิกุลรู้ตัวดีว่าตนเป็นที่ชื่นชอบและรักใคร่ของทินกรมากขนาดไหน
ความรักที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยความผูกมัด ไร้ซึ่งความอิสระ ซุกซ่อน และปกปิดเรื่องเน่าเฟะ
ช่างน่าสมเพชสิ้นดี ที่ตนนั้นหลงเชื่อว่านั่นคือความรู้สึกบริสุทธิ์และจริงใจ
ดวงตากลมสวยจับจ้องไปยังกล่องใสในมืออีกครั้ง พบความสั่นเทา ก่อนจะรีบวางมันลงราวกับเป็นของร้อนยากจะถือ มีความคิดบางอย่างเกิดขึ้นในหัวซึ่งกำลังประติดประต่อเรื่องราวเข้าหากัน ไม่รู้ว่าเรื่องที่คิดมีความจริงเท็จแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ หากรวมเข้ากับความทรงจำที่มีเพียงน้อยนิดที่เขาพอจดจำได้
คือ ความชั่วช้าสามานของอีกคน ที่ถูกห่อหุ้มเปลือกนอกด้วยใครอีกคนที่อีกฝ่ายเป็นคนสร้างมันขึ้นมากับมือ
อีกด้านหนึ่ง สถานที่ซึ่งเปรียบเสมือนงานปาร์ตี้ขนาดย่อมที่มีแต่เหล่าคนดังในสังคมธุรกิจ แสงไฟหลากสีสาดส่องวับวาวเป็นจังหวะตามเสียงเพลงท่ามกลางความมืดสลัว มีหลายคนถือแก้วไวน์ราคาแพงโยกไหวร่างกายไปตามเสียงเพลง แต่บางคนเลือกนั่งตามโซฟาและเก้าอี้ที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้
ทว่าในบริเวณกลับมีชายหนุ่มกำลังนั่งถือแก้วไวน์ที่พร่องไปเพียงค่อนหนึ่ง ใบหน้าไม่สบอารมณ์คล้ายกับคนไม่มีความสุข
"เป็นไรวะทิน ไวน์ไม่ถูกปากหรอ"
"..."
"กูพอจะเดาออก มึงกำลังคิดถึงเมียที่บ้าน"
"แล้วมึงล่ะ ไม่คิดถึงเมียหรือไง"
ทินกรว่าพร้อมกับพยักพเยิดสายตามองไปทางด้านหลังของเพื่อน ขณะกำลังมีหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเขาคุ้นเคยมาเป็นอย่างดีในอดีต สีหน้าเริ่มแดงก่ำเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ขณะกำลังยืนโยกย้ายร่างกายกับชายหนุ่มไม่ทราบชื่อเสียงเรียงนาม
"ปกติก็ไม่"
"ใจกว้างดี"
ทินกรแค่นยิ้มหยันให้กับความไม่คิดอะไรของเพื่อนชายที่ตนสนิทสนม แม้เพื่อนของเขาจะมีครอบครัวจนถึงขั้นมีลูกสาววัยเกือบประถม กลับไม่คิดสนใจภรรยาที่กำลังยืนเต้นยั่วยวนกับชายหนุ่มนักธุรกิจด้านหลังนั่นเลยแม้แต่น้อย
"อย่าเรียกว่าใจกว้างเลย ก็แค่ให้อิสระต่อกัน"
"อิสระ" ทินกรทวนคำพูดพร้อมกับเลิกคิ้วสูงมองเพื่อนที่กำลังยกแก้วไวน์ขึ้นจิบด้วยสีหน้าไม่ยี่หระ
"จะให้กูตามเฝ้าเมียไปทุกที่ก็ไม่ใช่เปล่าวะ บางทีก็ปล่อยบ้าง อีกอย่างพื้นเพเธอก็ไม่ใช่คนเรียบร้อย จะให้เปลี่ยนก็คงจะยาก"
ธนาเอ่ยพร้อมกับหันมองไปยังหญิงสาวอีกคนซึ่งไม่ใช่ภรรยาของตนเอง ก่อนจะลอบยิ้มด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ้าชู้และเจ้าเล่ห์
"ส่วนกูก็ได้อิสระเหมือนกัน แฟร์ๆ"
"มึงหมายถึง.."
"ผู้ชายอย่างพวกเรา กินแต่อาหารเดิมๆรสชาติเดิมๆ มันจะไปอร่อยอะไรวะ"
ทินกรหันมองตามเพื่อนชายขณะกำลังพยักพเยิดใบหน้าไปทางหญิงสาวคนหนึ่ง รูปร่างหน้าตาดีผอมเพรียวผิวขาวสะอาดสะอ้าน แต่งตัวด้วยอาภรณ์ราคาแพงริมฝีปากแดงจัดด้วยเครื่องประทินโฉม ช่วงสะโพกผายส่ายโยกไปตามจังหวะเพลงจนเห็นทรวดทรงอกเอวไปถึงไหนต่อไหน
หากเป็นแต่ก่อนในยามปกติ ทินกรคงคิดอยากจะเดินเข้าหาพร้อมกับเชิญชวนพูดคุยต่อบทสนทนากัน เพื่อที่จะจบลงบนเตียงพร้อมกับเรื่องอย่างว่า แต่ในเวลานี้เขากลับรู้สึกแตกต่างออกไปอย่างน่าประหลาด ทินกรไม่มีความรู้สึกเช่นนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว ราวกับสิ่งที่เคยเป็นในช่วงวัยหนุ่มบัดนี้มลายหายไปหมด
ทว่าในหัวกลับคิดถึงแต่ใบหน้าของเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าใสซื่อ แม้จะไม่มีรสชาติที่เผ็ดร้อนน่าลิ้มลองเหมือนใครๆ แต่สำหรับทินกรรสชาติที่ถูกปากเช่นนี้ เขาไม่คิดจะสรรหาอย่างอื่นมาทดแทนหรือลิ้มลอง
"เชิญมึงคนเดียว กูไม่อยากลองรสชาติแปลก"
"ถามจริง"
"อืม"
"ให้มันได้อย่างนี้สิวะ เด็กคนนั้นมันลงยาอะไรมึงมา ถึงได้เปลี่ยนไปขนาดนี้ จากทินกรชายหนุ่มนักรักกลับตะละปัดกลายเป็นชายผู้หลงแต่เมีย"
"คงเพราะความบริสุทธิ์และไร้เดียงสาล่ะมั้ง ซึ่งคนพวกนั้นไม่มี"
ทินกรเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มประดับใบหน้าหล่อเหลา ยามใดที่คิดถึงใบหน้าน่ารักน่าเอ็นดูขณะกำลังยิ้มแย้ม ยามนั้นเขาจะเผลอหลุดยิ้มตามออกมาราวกับเป็นคนบ้า ที่กำลังหลงใหลเมียรักของตนเอง
"ถ้าพูดไปและยิ้มไปจนเป็นถึงขั้นนี้ กูว่ามึงต้องไปตรวจร่างกายสักหน่อย กูกลัวว่าใจมึงจะไม่ได้อยู่ตรงนี้ แต่อยู่ที่บ้านนอกนั่น"
ธนาส่ายหัวให้เพื่อนสนิทด้วยรอยยิ้มขบขัน พลางเอื้อมมือขึ้นตบบ่าเบาๆ ทันใดนั้นเองหางตาของธนาสอดส่ายไปเห็นหญิงสาวผู้เป็นถึงภรรยา ขณะกำลังสาวเท้าก้าวเดินเข้ามาในบริเวณ
เมื่อพบเห็นผู้มาใหม่ซึ่งทินกรเองก็ถือว่ารู้จักในระดับหนึ่ง ก่อนจะปรับเปลี่ยนสีหน้าแทบจะทันทีจากเดิมที่เคยยิ้มขบขันกับเพื่อนสนิทบัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นถมึงทึง เงยใบหน้าหล่อคมคายจ้องมองสตรีที่กำลังยืนหยุดนิ่ง ใบหน้านั้นแดงก่ำซึ่งเต็มไปด้วยความเมามายแต่ไม่ถึงกับไม่ได้สติ เธอสบมองมาที่ทินกรพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ
"แพรขอคุยกับพี่ทินเป็นการส่วนตัวได้ไหมคะ"
ราวกับประโยคนั้นเป็นประโยคคำสั่งไม่ใช่ประโยคร้องขอ การจะขอคุยกับชายที่เป็นถึงแฟนเก่าและแฟนคนแรก หากทินกรเป็นธนาคงไม่อนุญาตให้คุยลำพังอย่างแน่นอน หรือถ้าอนุญาตเขาจะต้องอยู่ด้วย
แต่คนอย่างธนา ที่มีนิสัยไม่คิดอะไรแถมยังใจกว้างเสียจนทินกรรู้สึกว่ามันกำลังกลายเป็นปัญหา ซึ่งยังไม่ทันจะได้อ้าปากบอกปฏิเสธหญิงสาว ธนาก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะเดินหายออกไปจากบริเวณราวกับว่าเรื่องเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ พี่ทิน"
เสียงเล็กหวานของหญิงสาวที่เขาไม่ได้ยินมานานเกือบสิบปีเอ่ยขึ้น พร้อมกับหย่อนกายลงนั่งข้างๆ โดยไม่เกรงกลัวต่อสายตาของใครหลายคนที่กำลังจับจ้องมองมาจากภายนอก
เธอคนนี้ถือว่าเป็นหญิงสาวที่อยู่ในตระกูลโด่งดังมีชื่อเสียงในวงการจอแก้ว ทั้งที่ก็มีครอบครัวอยู่แล้วกลับเลือกที่จะทำเรื่องเสื่อมเสีย จนกลายเป็นเรื่องฉาวโฉ่ให้คนอื่นติฉินนินทาอย่างสนุกปาก
เฉกเช่นตอนนี้ เธอช่างเป็นผู้หญิงที่น่าไม่อายเสียจริง
ทินกรเบนสายตาหลบหนีแววตาฉ่ำปรือคู่นั้น ก่อนจะก้มมองน้ำสีอำพันบนโต๊ะพร้อมกับเอื้อมมือคว้าขึ้นมาหมายจะดื่ม ทว่ากลับถูกยับยั้งด้วยมือนุ่มของหญิงสาวข้างกาย ไม่เพียงแต่แตะต้องมือของเขาโดยตรงแต่ยังลูบคลำราวกับว่าคุ้นเคยกันนักหนา
ทินกรก้มมองมือนั้นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหยันเหยียด ก่อนจะลอบขำในลำคอเผยรอยยิ้มมุมปากอย่างที่มักจะทำเป็นประจำ
"เหมือนคุณลืมไปว่าตอนนี้คุณกำลังอยู่ที่ไหน"
"แพรไม่ได้ลืมค่ะ"
"เกรงใจสามีคุณหน่อยก็ดี อย่างน้อยก็ถือซะว่าสามีคุณคือเพื่อนของผม"
ทินกรเอ่ยถ้อยคำที่เต็มไปด้วยการเตือนสติพร้อมกับชักมือออกอย่างไว้มารยาท พลางยกแก้วไวน์สีอำพันขึ้นดื่มจนหมด ก่อนจะผลุนผลันคล้ายจะลุกขึ้นเดินเพื่อหนีออกไปอีกทาง
แต่กลับถูกฉุดรั้งอีกครั้งด้วยคำพูดที่ทำให้หัวใจที่เคยทรมานเจ็บปวดเจียนตาย จนมันชาด้านรูปทรงบิดเบี้ยวเมื่อครั้งวัยหนุ่ม หวนกลับมามีความรู้สึกอีกครั้ง
"แพรไม่ได้รักธนา แต่แพรรักทิน"
"..."
"แพรพลาดและแพรท้อง เรื่องถึงหูผู้ใหญ่ทำให้พวกเราต้องเกี่ยวดองกันเพราะเรื่องนี้"
ทินกรยืนนิ่งเงียบอยู่นาน ดวงตาคมที่เคยไร้ความรู้สึก บัดนี้กำลังสับสนวุ่นวายจนไม่สามารถจะควบคุม เธอคือรักแรกของเขาเป็นรักแรกที่ยากจะลืม
แต่กระนั้นอดีตก็คืออดีต ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว
ความเป็นผู้ใหญ่และความคิดความอ่านที่เด็ดขาด แม้จะสับสนแต่ทินกรก็สามารถชั่งน้ำหนักของความรู้สึกตนเองได้เป็นอย่างดีและรวดเร็ว ทินกรรู้ว่าอะไรเป็นไปได้และอะไรเป็นไปไม่ได้
ซึ่งในใจของเขากำลังเฝ้าคิดถึงคนึงหาแต่ใคร ตัวเขาย่อมรู้ดีที่สุด
ในเมื่อตัดใจลาขาดจากกันไปแล้ว การมาพูดในช่วงเวลาที่มันช้าเกินไปเช่นนี้คงไม่มีความหมาย ดวงตาคู่คมหรี่มองไปยังหญิงสาวอีกครั้งราวกับว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้สบมองเธอ ก่อนจะเอ่ยพูดประโยคที่ทำให้หญิงสาวตัวชาวาบไร้ปากไร้เสียง
"เรื่องระหว่างเรามันจบไปนานแล้ว และตอนนี้ผมก็กำลังมีครอบครัวและมีลูกกับคนที่ผมรัก ทางที่ดีคุณควรเอาเวลาพวกนี้ไปดูแลสามีที่กำลังไปคั่วมั่วกับสาวน่าจะดีกว่า"
พูดจบพร้อมกับเบนสายตามองไปยังสาวสวยอีกคนที่กำลังยืนนัวเนียกับชายหนุ่มที่แสนจะคุ้นตา
"สามีคุณอยู่นั่น"
ทินกรเอ่ยเสียงเบาเคลื่อนใบหน้าหล่อเหลาก้มลงกระซิบข้างใบหู พร้อมกับรอยยิ้มมาดร้ายที่หากใครได้เห็นเป็นต้องหวาดกลัว
"ถ้าไม่อยากได้ลูกที่ไม่ได้มาจากท้องตัวเอง คุณควรลุกขึ้นและเดินเข้าไปขวางน่าจะดีกว่า"
ร่างสูงใหญ่ผละออกห่างปรายตามองหญิงสาวตรงหน้าเพียงครู่หนึ่ง ก่อนจะสาวเท้ายาวเดินออกไปจากบริเวณ ทิ้งให้ลูกสาวนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงโด่งดังยืนนิ่งอึ้งดวงตาแดงก่ำคล้ายกับกำลังร้องไห้
แพรพยายามอดทนอดกลั้นน้ำตาที่กำลังเตรียมตัวจะหลั่งริน พร้อมกับขยับกายหมุนตัวเดินอย่างเร่งรีบเข้าไปหาชายหนุ่มผู้ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นสามีของตน ขณะกำลังยืนนัวเนียกับหญิงสาวท่ามกลางแสงไฟสลัว
"ธนา!"
"แพร.."
"..."
ทันทีที่สายตาของธนาหันมองกลับมา น้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้ไม่ให้ไหล บัดนี้ไม่สามารถอดกลั้นมันได้อีกแล้ว ความเจ็บปวดระคนเศร้าโศกเสียใจกับเรื่องในอดีตที่ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขได้ มันถูกปล่อยออกมาจนธนาอดไม่ได้ที่จะสงสาร
หญิงสาวอีกคนข้างกายที่ดูเหมือนจะหมดหน้าที่ได้ก้าวเท้าเดินออกไปพร้อมกับแก้วไวน์ หายไปในความมืดปล่อยให้คนสองคนซึ่งเป็นสามีภรรยายืนพูดคุยกันเพียงลำพัง
แม้เวลาจะเลยผ่านมานานแสนนาน ภาพความทรงจำของแพรในวันที่ถูกบอกเลิกวันนั้น ยังคงวนเวียนฉายชัดเป็นฉากเป็นตอนจนภาพติดตา เหตุการณ์วันนั้นเหมือนกับตราบาปที่ทำให้เธอเจ็บปวดเจียนตาย
ก่อนชายหนุ่มที่เธอรักจะหนีหายไร้ซึ่งวี่แวว แม้จะพยายามตามหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ จนกระทั่งไม่นานมานี้ข่าวคราวเพียงสั้นๆที่แว่วเข้ามากระทบหูมีเพียง ทินกรมีภรรยานามว่า กุลภวัณ
"ผมบอกคุณแล้ว ว่าตอนนี้ทินมันมีแค่...เด็กคนนั้น"
"เด็กคนนั้นมีดีอะไร"
"..."
ธนาเงียบไปครู่หนึ่ง ก้มใบหน้าหล่อเหลาแบบชายไทยมองภรรยาที่ตีหน้ามุ่ยร้องห่มร้องไห้จนเครื่องสำอางเลอะเทอะ ก่อนจะยกมือข้างที่ว่างขึ้นมาแตะแก้มเบาๆคล้ายกับปาดน้ำตาสีใสออกให้
พลางเอ่ยประโยคที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสนทนาก่อนหน้า
"ตัดใจจากทินเถอะ"
ธนาเอ่ยเสียงทุ้มอ่อนโยนแต่ใบหน้ากลับเต็มเกลื่อนไปด้วยความรู้สึกเจ็บทรมานยากจะเก็บซ่อน ในแววตาคมกริบสะท้อนความคาดหวังลึกๆอยู่ในนั้น เขาคาดหวังจะให้หญิงสาวตรงหน้าตอบตกลง
ธนาคลี่ยิ้มเมื่อเห็นใบหน้าที่เริ่มปรับจนเป็นปกติ นิ้วโป้งพลันขยับเกลี่ยแก้มใสขึ้นสีแดงระเรื่อจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ หลังจากเห็นว่าอีกคนไม่ได้ขัดขืนและสะบัดมือเขาทิ้งอย่างที่เคยเป็นมาตลอดเกือบสิบปี
พลางเคลื่อนใบหน้าก้มลงพร้อมกับจุมพิตบนริมฝีปากสีแดงสด คล้ายผลเชอรี่รสชาติหอมหวานจากลิปสติกราคาแพง ริมฝีปากที่เขาถวิลหามานานแสนนาน ครั้งสุดท้ายที่เขาได้จูบมันนานมาก นานเสียจนเขาจดจำมันไม่ได้
การนอนห้องเดียวกันแต่ต่างที่ต่างทางมันทรมานสำหรับชายหนุ่มเช่นเขา แสร้งทำเป็นรักใคร่ให้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกัน ว่าเราทั้งคู่นั้นเหมาะสมขนาดไหน
ตลอดระยะเวลายาวนานนั้น เห็นจะมีเพียงแค่ธนาคนเดียวที่แสดงออกมาด้วยความจริงใจ ค่อยๆรัก ค่อยๆผูกพันจากการอยู่กินอยู่อาศัยใต้ชายคา แตกต่างกับหญิงสาวโดยสิ้นเชิง ในใจของเธอไม่ได้มีเขาเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว หากจะมีก็คงเป็นอีกคนซึ่งไม่ใช่เขา
ทว่าบัดนี้ไม่มีอีกแล้ว ไม่มีเสียงห้ามปราม ไม่มีการด่าทอ ไม่มีมือที่คอยยกขึ้นผลักไส มีเพียงความยินยอมพร้อมใจยืนแน่นิ่งรับสัมผัสวาบหวามจากเขาเท่านั้น..
ธนาโยนทิ้งความรู้สึกเจ็บปวดพวกนั้นออกจากอก เมื่อสัมผัสได้ถึงผลลัพธ์จากความพยายามของตนเอง
"ผมอยากมีน้องให้ไพลิน"
เสียงกระซิบข้างใบหูยามถอนริมฝีปากออกห่าง ทำเอาหญิงสาวใบหน้าแดงก่ำไปทั้งหน้าจนลุกลามถึงหูขาว ราวกับคำพูดนั้นช่วยเรียกสติ มือเรียวทั้งสองรีบยกขึ้นหมายจะผลักไสชายหนุ่มผู้ได้ชื่อว่าเป็นสามีในนาม แต่ทว่ากลับถูกรวบตรึงเอาไว้ไม่ให้ขยับไปไหน
ธนาจะไม่ปล่อยเธอคนนี้เป็นอิสระอีกต่อไปแล้ว
"ไพลินบ่นกับผมอยู่บ่อยๆว่าอยากมีน้อง"
"คนโรคจิต" เธอว่าพร้อมกับถอยตัวออกห่างแทบจะทันที ก่อนจะรีบเดินหนีไป ธนาอมยิ้มขบขันกับท่าทีนั้นและส่ายหน้าเบาๆ พลางสาวเท้าเดินตามเพื่อไม่ให้คลาดกัน
แท้จริงแล้วทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ แทบจะเป็นเรื่องที่แสดงขึ้นมาทั้งนั้น แพรไม่ใช่ผู้หญิงที่มั่วกับผู้ชายไปทั่วอย่างที่ทินกรเห็นและรับรู้ เธอทำแบบนั้นเพื่อให้ทินกรแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมา เธออยากรู้ว่าทินกรยังมีความรู้สึกกับเธอหลงเหลืออยู่บ้างหรือไม่
และดูเหมือนว่าความรู้สึกที่แพรพยายามตามหากลับไม่ได้กลับมาดังที่ตนหวัง
ทินกรไม่ได้รู้สึกกับเธออีกต่อไปแล้ว..
ย้อนกลับไปตั้งแต่แพรท้องและคลอดลูกสาวชื่อว่า ไพลินออกมา หลังจากนั้นเธอก็เลิกยุ่งเกี่ยวกับการท่องราตรีและดื่มของมึนเมาจนกลายเป็นคนละคน ราวกับว่าแอลกอฮอล์มันกลายเป็นตราบาปในชีวิตของเธอไปแล้ว
เช่นกัน ธนาก็ถือเป็นหนึ่งในความทรงจำที่เธอไม่อยากจดจำ การแต่งงานที่เกิดขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ ความพลาดพลั้ง ความหลงระเริงและมัวเมาไปกับความสนุกในวัยรุ่น ทำให้เราทั้งสองต้องพบเจอกับเรื่องที่ยากจะแก้ไขมาตลอดเกือบสิบปี
อยู่อาศัยกันไปด้วยความรู้สึกว่างเปล่า อยู่เพื่อเด็กที่เกิดมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ไร้ซึ่งความรักระหว่างชายและหญิง แม้ธนาอยากได้รักแทบตายแต่กลับแพ้ราบคาบให้กับเพื่อนที่สนิทที่สุดของตน
แล้ววันนี้ก็ได้มาถึง วันที่เธอคิดอยากจะตัดใจ และเพื่อความแน่ใจเราทั้งคู่ต่างวางแผนกัน ธนายอมให้แม้ในใจจะหวาดกลัวความรู้สึกของเพื่อนสนิทอยู่ลึกๆ หากมีสักเสี้ยวหนึ่งที่เพื่อนของเขาอยากกลับมาเริ่มต้นใหม่กับเธอ เขาคงต้องยอมรับความจริงว่าตนนั้นเป็นผู้แพ้
แต่สุดท้ายคำตอบนั้นกลับทำให้ธนายิ้มได้ แต่ถึงจะยิ้ม ยามได้เห็นว่าภรรยาในนามกำลังเศร้าหมอง เขาก็อดไม่ได้ที่จะยกความรู้สึกดีใจนั้นทิ้งออกจากอก ธนาอยากดูแลเธอให้มากกว่านี้ อยากเป็นคนที่อยู่ข้างๆแทนที่คนในใจของเธอ
และดูเหมือนว่าเธอกำลังเปิดเส้นทางที่ว่านั่นให้กับธนาแล้ว..
ทินกรเดินออกมาจากสถานบันเทิงจนถึงด้านนอก เสียงเพลงขับขานด้านในมีเล็ดลอดออกมาเบาๆ ก่อนจะกวาดสายตามองไปยังชายชุดสูทคนหนึ่งขณะกำลังยืนนิ่งรออยู่บริเวณทางเข้า
เมื่อชายชุดดำที่ถือเป็นคนสนิทสบสายตากับทินกร จึงรีบสาวเท้าเดินเข้ามาหาเขาอย่างเร่งรีบราวกับว่าเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น ทินกรลอบสังเกตสีหน้าที่เปลี่ยนไปของคนสนิทซึ่งมีท่าทางดูไม่สู้ดี พาลให้ใจของเขาร้อนรนอย่างบอกไม่ถูก
หรือว่ามันจะเกี่ยวข้องกับพิกุล..
-
เกิดเรื่องใหญ่แล้วทินกร รีบกลับไปเร็ว เมียรักกลายเป็นอีกคนที่สุมความแค้นไว้เต็มอกไปแล้ว จะสังเกตุได้ไหม ต้องได้สิอยู่กินกันมานานย่อมต้องดูออก(มั้ง55) ทำไมรู้สึกสงสารทินกรยังไงไม่รู้แหะ รอดูเหตุผลในการฆ่าก่อน ยังไม่เปิดปมเลย อยากรู้ใจจิขาดแล้วแม่เอ๊ยย!! 555 ธนาก็ดีนะรักแพรรักเมีย แพรตัดใจเถอะอยู่กับผัวธนาอะดีแล้ว เปิดใจซะเธอจะได้รู้ถึงความสุข แม้มันพลาดแต่เริ่มต้นก็เริ่มกันใหม่ได้นี่ สนุก ลุ้นชิบ จะเกิดไรขึ้นนะตอนหน้า ตามต่อๆ ขอบคุณนะคะที่แต่งมาอัพต่อ รออยู่เสมอจ้า ชอบบบบบบบบ :pig4: :pig4: :pig4:
-
:pig4:
-
ตายๆๆๆ ค้างเลย กำลังเข้มข้นเลยค่ะ55 ชอบสำนวนการเขียนของคุณนักเขียนจัง ภาษาสวย อ่านเพลินมากค่ะ
-
น้องงงรู้ความลับแล้วววววง รีบกลับไปเลยยยยยยยยยนะะ :hao5:
-
บทที่ 8
"เกิดอะไรขึ้นกับพิกุล"
ไม่รอช้าให้มากความ เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าท่าทางของคนสนิทที่คอยติดตามดูแลพิกุลอยู่ห่างๆ อย่าง 'อรัญ' ใบหน้าที่เผยความผิดปกติ พาลทำให้ทินกรไม่สามารถควบคุมความรู้สึกตึงเครียดของตนเองได้
"ฉันถามก็ตอบ อ้ำอึ้งอยู่ทำไม" น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยขึ้นอีกครั้งเพื่อทวนถามหาคำตอบที่ควรจะได้รับ หลังพบเพียงแต่อาการอ้ำอึ้งมาร่วมนาที จนกระทั่งได้รับคำตอบของคำถามที่ทำให้ใจกระตุกวูบ
"คนใช้ที่บ้านรายงานมาว่า คุณพิกุลหายตัวไปตั้งแต่ช่วงบ่าย และกลับมาอีกครั้งตอนช่วงเย็นครับ"
"หายตัวไป?"
"จากคำบอกเล่า ตอนที่คุณพิกุลกลับมา...ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปจากเดิม.."
อรัญเอ่ยหนักแน่นแต่ติดขัด ยอมรับความจริงกับสิ่งที่ตนไม่สามารถควบคุมและดูแลได้อย่างที่เคยเป็น ความหละหลวมที่เกิดขึ้นส่งผลให้เกิดช่องโหว่และความผิดพลาดยากจะแก้ไข พลันก้มหน้ายืนนิ่งรอคำบัญชาและด่าทอจากคนที่เป็นดั่งผู้มีพระคุณ
ทินกรนิ่งค้างราวกับโดนสะกด ร่างกายทั้งร่างรู้สึกชาวาบ ดวงตาคมกริบกวาดมองไร้ทิศทางครุ่นคิดถึงเรื่องที่ตนไม่อยากจะนึกถึง ลมหายใจพลันหอบถี่ก่อนจะหันมองไปยังคนสนิทอีกครั้ง เอื้อมมือดึงรั้งกระชากคอเสื้อคนที่ยืนก้มหน้านิ่งจนร่างกายเซถลา ก่อนจะพ่นวาจาที่เต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธซึ่งมาพร้อมกับใบหน้าเคร่งเครียดถมึงทึง
"แค่เด็กโง่ๆคนเดียว ทำไมดูแลไม่ได้!"
"ขอโทษครับ"
อรัญชายหนุ่มวัยยี่สิบแปดที่ถูกเรียกตัวมารับใช้ และปรนนิบัติดูแลครอบครัวนี้แทนผู้เป็นพ่อที่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ เขาเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อานัติของทินกรตั้งแต่ยังอายุน้อย ถ้อยคำที่มักจะได้ยินเป็นประจำจนขึ้นสมอง คือคำว่า คุณทินกรเป็นผู้มีพระคุณ
คำพูดซ้ำๆ เป็นประโยคที่มาจากปากของผู้เป็นพ่อ จวบจนกระทั่งพ่อของตนตายจาก การดูแลเรื่องต่างๆ ภายหลังจากนั้น กลายเป็นหน้าที่ของคุณทินกรทั้งสิ้น
คงไม่แปลกที่อรัญจะรู้สึกผิดหวังที่ตนไม่สามารถทำงานให้สำเร็จได้สมดั่งใจ เขาเองก็รู้สึกแย่ไม่น้อยที่ดันละเลยหน้าที่จนมันกลายเป็นเรื่องใหญ่และเลยเถิดเช่นนี้
"รับผิดชอบความผิดพลาดของตัวเองได้เท่านี้หรอ"
"..."
อารัญก้มหน้าก้มตายอมรับความผิดพลาดของตนเองอย่างยอมจำนน แม้จะโดนกระชากคอเสื้อแต่กลับไม่มีแม้แต่เสียงที่เอ่ยปฏิเสธหรือแก้ตัวใดๆ
อรัญพลาดที่หลงคิดว่าคุณพิกุลจะเชื่อฟังคำพูดย้ำคิดย้ำทำของเจ้านายอย่างคุณทินกร ไม่คิดว่าจะขัดขืนคำสั่ง จนกระทั่งมันกลายเป็นเรื่องเป็นราว พาลทำให้เรื่องที่ไม่สมควรเกิดขึ้นซึ่งนำไปสู่ความยากที่คิดจะแก้ไข
ทินกรปล่อยมือออกจากเสื้อพร้อมกับใบหน้าหงุดหงิดและโกรธจัด ก่อนจะยกมือง้างหมัดบันดาลโทสะต่อยหน้าของคนสนิทอย่างแรงจนเซถลาล้มลงกับพื้น ก้มหน้ายืนจ้องมองคนที่หมดสภาพด้วยสายตาเอาเรื่องอย่างถึงที่สุด
ความผิดพลาดครั้งใหญ่เช่นนี้ เพียงแค่หมัดเดียวจากน้ำมือของเขานั้นมันยังน้อยเกินไปด้วยซ้ำ
อรัญตัวสั่นเทารับรู้ถึงรสชาติคาวเลือดคละคลุ้งอยู่ในปาก พลางยันมือดันตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพร้อมกับก้มหน้าให้อีกครั้ง ราวกับกำลังยืนรอรับคำด่าทอจากเจ้านายที่ทรงอิทธิพล เวลาเช่นนี้เขารู้ตัวดีว่าไม่ควรแสดงท่าทีอ่อนแอออกมาให้เจ้านายเห็น แม้จะเจ็บปวดทั้งภายนอกและภายในร่างกายก็ตาม
"กับงานง่ายๆแค่นี้ยังทำไม่ได้"
"ผมยอมรับผิดทั้งหมดครับ ผมสัญญาว่าจะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก ได้โปรดเถอะครับ ให้โอกาสผม"
"ไร้ประโยชน์"
สิ้นสุดคำพูดที่ดูเหมือนจะไม่มีการให้อภัย ร่างทั้งร่างพลันทรุดลงกับพื้น อรัญถือวิสาสะเอื้อมมือจับแตะที่ข้อเท้าเบื้องหน้า ความรู้สึกผิดและหวาดกลัวการถูกทอดทิ้งพลันตีตื้น เงยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาที่ยากจะเปิดเผยให้ใครได้เห็น พลางสบมองคล้ายขอความเห็นใจและโอกาสอีกครั้ง
"...กำลังแสดงเป็นเมียฉันอยู่หรือไง ฉันจะบอกอะไรให้ น้ำตาพวกนั้นฉันไม่คิดให้ค่ากับมันหรอกนะ"
อรัญนิ่งค้างราวกับความลับที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้อย่างดิบดี บัดนี้ได้ถูกเปิดเผยโดยคนที่เป็นดั่งเจ้าของชีวิตและหัวใจ
ความรู้สึกที่เขามีให้คนๆนี้มันมากเกินกว่าแค่คำว่า เจ้านายและลูกน้อง วันแรกที่ได้ก้าวเท้าเข้ามารับใช้ทุกคำสั่งแทนผู้เป็นพ่อ เป็นวันที่ทำให้คนอย่างอรัญได้ค้นพบกับความรัก
แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีวันเป็นไปได้ เพราะคนที่ตนให้ความรู้สึกดันมีเจ้าของหัวใจเสียแล้ว แต่สำหรับอรัญเรื่องนั้นถือเป็นเรื่องเล็กน้อย ความอิจฉาริษยา หรือแม้แต่ความหึงหวง เขาเก็บมันลงในก้นลึกของจิตใจ แสดงออกมาเพียงแค่ความยินดีที่เห็นคนที่ตนรักมีความสุขเท่านั้น
แท้จริงแล้วภายในใจมันกลับตรงกันข้าม เพียงแต่อรัญไม่สามารถแสดงมันออกมาได้ก็เท่านั้น ก้มหน้าก้มตายอมทำให้ทุกอย่างตามคำสั่ง แม้สิ่งที่ทำมันจะเกี่ยวข้องกับคนที่เป็นถึงกาฝากของหัวใจ..
"ไม่ใช่..คือผม" คำพูดติดขัดถูกเอ่ยขึ้นพร้อมกับดวงตาที่กลอกไปมาไม่กล้าสบมอง พื้นซีเมนต์กลายเป็นจุดโฟกัสที่อรัญให้ความสำคัญมากกว่าดวงตาคมกริบของคนตรงหน้า
"อย่าคิดว่าฉันมองไม่ออก"
ทินกรมองเห็นถึงความรู้สึกมากมายที่มาจากแววตาคู่นั้น เขามองเห็นมันตั้งแต่อีกฝ่ายยังเด็ก และความชัดเจนค่อยๆมากขึ้นตามระยะเวลา แต่ทินกรเลือกที่จะเมินเฉย มองข้ามมันมาตลอด ราวกับว่าความรู้สึกนั้นเป็นสิ่งไร้ค่าไม่น่าพิศวาสใดๆ
แม้จะเป็นความรู้สึกที่บริสุทธิ์ ทว่าสำหรับทินกรแล้วหากไม่ได้คิดจะรับมันไว้ เขาจะทำเพียงแค่หมางเมินมันไปราวกับมันไม่มีตัวตน เพราะอย่างน้อยๆการกระทำของอีกฝ่ายยังพอมีประโยชน์ต่อคนอย่างเขาอยู่บ้าง ไม่เพียงแต่ความรู้สึกที่คิดเกินกว่าเจ้านายและลูกน้อง แต่ประโยชน์ที่เขาจะได้พ่วงมาด้วยคือ ความจงรักภักดี
"หลังจากนี้ดูแลเมียของฉันให้ดี อย่าให้เกิดความผิดพลาดอีกเป็นอันขาด"
ทินกรอดไม่ได้ที่จะพูดตอกย้ำความรู้สึกนึกคิดของอีกฝ่าย วาจาที่เต็มไปด้วยความชัดเจนในถ้อยคำว่าใครคือคนสำคัญหนึ่งเดียวของทินกร บ่งบอกความหมายแก่คนที่รับฟังว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ ก่อนจะผลักไสปลายเท้าให้ร่างที่กอดเกี่ยวช่วงขาให้หลุดจากพันธนาการ ล้มลงกับพื้นปูนซีเมนต์อย่างไม่สนใจใยดีอีก
ทินกรมุ่งหน้าเดินตรงไปยังรถยนต์ส่วนบุคคลคันหรู ก่อนจะเอื้อมมือเปิดประตูด้วยตนเอง ซึ่งในเวลาปกติคนที่จะทำหน้าที่นี้คืออรัญ แต่ดูเหมือนว่าเวลานี้การปรนนิบัติคงไม่จำเป็นสำหรับคนอย่างเขา หลังจากเอ่ยพ่นคำพูดที่พาลทำให้บรรยากาศรอบกายดูคุกรุ่นออกมา สายตาคมกริบหลุบตาต่ำก่อนจะหลับตาลง ย้อนกลับไปให้ความสนใจกับคนสำคัญที่เขารู้สึกเป็นห่วงมากที่สุดในสถานที่อยู่ห่างไกลเมือง
ทินกรนั่งรออยู่ในรถไม่นานมากนัก จนทุกอย่างเข้าสู่ภาวะปกติ เสียงเงียบเชียบในรถขณะกำลังแล่นลงสู่ท้องถนน ส่งผลให้ทินกรสามารถใช้สมาธินึกคิดเรื่องต่างๆได้ด้วยความใจเย็น
ทั้งหมดทั้งมวลในหัวของทินกรมีเพียงแค่เรื่องของพิกุล สำหรับคนอื่นหากไม่มีค่ามากพอ เขาไม่คิดสนใจจะนึกถึง ทินกรพยายามตั้งสติและเรียบเรียงเรื่องราวต่างๆในหัว คิดถึงวิธีการที่จะใช้จัดการต่อจากนี้ แม้จะยังไม่รู้ว่าพิกุลที่เปลี่ยนแปลงไปราวกับเป็นคนละคนตามคำบอกเล่า จะเกิดจากสิ่งที่เขาคิดหรือไม่ก็ตาม
แต่ทว่าภายในใจของชายหนุ่มกลับคิดอยู่เพียงแค่เรื่องเดียวคือ ความทรงจำที่เลือนหายไปเกือบสิบปีของพิกุล ดูเหมือนจะหวนคืนกลับมาอีกครั้ง..
รถยนต์คันหรูถูกจอดบริเวณหน้าบ้านหลังใหญ่ ก่อนจะถูกเปิดประตูโดยคนรับใช้ที่รีบออกมาต้อนรับด้วยสีหน้าตื่นตนก ทินกรสาวเท้าลงจากรถพลางหันมองหน้าคนที่เปิดประตูให้ พร้อมกับเอ่ยปากถามหาคนสำคัญด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
"พิกุลอยู่ไหน"
"คุณพิกุลกำลังพักผ่อนอยู่บนห้องค่ะ"
หลังจากได้รับคำตอบที่เต็มไปด้วยน้ำเสียงกล้าๆกลัวๆของหญิงรับใช้ ทินกรเลิกให้ความสนใจก่อนจะสาวเท้ามุ่งหน้าเดินตรงเข้าไปในบ้านโดยไม่คิดใส่ใจใครอื่นอีก
สิ่งที่ทินกรให้ความสนใจมากที่สุดในเวลานี้คงหนีไม่พ้นพิกุล ซึ่งเจ้าตัวกำลังพักผ่อนอยู่บนห้องราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ภายในบ้านเต็มไปด้วยความเงียบ ไร้วี่แววเสียงใสเจื้อยแจ้วต้อนรับการกลับมา เสียงดังของรถยนต์สำหรับเด็กที่ตื่นง่ายอย่างพิกุลเวลานี้กลับไร้กระทั่งเงา ทินกรอดคิดไม่ได้ว่าหากเป็นเวลาปกติ พิกุลคงจะวิ่งออกมารับเขาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มมีความสุข และคงไม่ปล่อยให้บ้านเงียบเชียบเช่นนี้เป็นแน่
ความรู้สึกเจ็บแปลบในอกก่อตัวขึ้นทีละนิด ผสมปนเปไปกับความสับสนวุ่นวายในใจ เวลานี้ทินกรกำลังรู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวว่าตนอาจจะถูกคนสำคัญละเลย พาลให้ความรู้สึกต่างๆตีตื้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
ก่อนจะยกมือขึ้นปลดเน็กไทบริเวณช่วงคอ แม้บนร่างกายสวมใส่ชุดสูทอย่างดี ทว่าแววตาคมกริบกลับกำลังเคร่งเครียดพาลให้คิ้วหนาขมวดมุ่น หมดคราบความทะนงและหยิ่งผยอง
ทินกรยืนนิ่งกลางบ้านพลางกวาดสายตามองความเปลี่ยนแปลงรอบกาย บรรยากาศที่เคยอยู่แล้วอบอุ่น บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นเงียบสงัด แม้ตลอดทางที่นั่งอยู่บนรถจากกรุงเทพเพื่อมุ่งหน้าตรงกลับมายังบ้าน จะขบคิดถึงวิธีจัดการและแก้ไขปัญหาระหว่างตนกับพิกุล ทว่ากลับไม่พบแม้สักทางที่จะสามารถทำได้
คิ้วหนาที่เคยขมวดค่อยๆคลายลง ดวงตาเหม่อลอยมองออกไปไร้ทิศทางพลันหยุดชะงักนิ่ง ก่อนจะหันสบสายตาเข้ากับเด็กหนุ่มที่ตนคุ้นเคยขณะกำลังสาวเท้าเดินลงมาจากชั้นสอง
ทุกอย่างตกอยู่ท่ามกลางความเงียบซึ่งไร้เสียงเอ่ยทัก ไม่มีใครเป็นฝ่ายเปิดประโยคขึ้นมาก่อน จนกระทั่งร่างเล็กหยุดก้าวเดินเมื่อเกิดความใกล้ชิดในระยะไม่ถึงเมตร ทินกรสบมองใบหน้าหวาน พลางยกมือขึ้นหมายจะจับแตะแก้มใสที่ตนมักจะสัมผัสอยู่เป็นประจำด้วยความคิดถึง
ทว่ากลับต้องค้างมือเอาไว้อย่างนั้น เมื่อสายตาคมเหลือบไปเห็นดวงตาคู่สวยที่ดูแตกต่างออกไปจากเดิม
"หยุดทำไม..คุณทิน"
พิกุลสบสายตาพร้อมกับเอียงคอสงสัยกับท่าทางของอีกฝ่าย ไม่ว่าเปล่า พลางขยับใบหน้าเข้าหาฝ่ามือที่ค้างนิ่ง เอียงเอนแก้มใสแตะรับกับมือของชายหนุ่ม ก่อนจะยกมือข้างหนึ่งขึ้นกอบกุมมือหนาลูบไล้ไปมาราวกับรักใคร่
"ไม่อยู่บ้านตั้งหลายวัน คุณทินไม่คิดถึงกุลบ้างหรอ"
เสียงใสเอ่ยพร้อมกับขยับกายเข้าหา ก่อนจะซุกใบหน้าลงกับอกหนั่นแน่น เผยรอยยิ้มบางเบาพร้อมกับแววตาที่ยากจะอ่านออก
พิกุลสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายดูแปลกไปจากเดิม ซึ่งคงจะหนีไม่พ้นเรื่องที่เราทั้งสองต่างฝ่ายต่างรับรู้ดีอยู่แก่ใจ เพียงแค่ไม่ได้เอ่ยออกมาอย่างตรงไปตรงมาก็แค่นั้น
ยอมรับว่าตัวเองรู้สึกแย่เสียยิ่งกว่าแย่ แต่กลับเลือกที่จะอยู่เคียงข้างทั้งๆที่ใจแตกสลายจนละเอียดไปแล้ว ความหม่นหมองผิดหวังผสมเจือความกรุ่นโกรธถูกซุกซ่อนเอาไว้ในใจ แสดงออกว่าตนไม่เป็นอะไรทั้งๆที่ใจเจ็บจนแทบทนไม่ไหว ก่อเกิดเป็นการกระทำที่ดูเสแสร้งราวกับกำลังเล่นละครให้อีกฝ่ายตายใจว่าเขานั้นไม่ได้ทรมานเจียนตายอย่างที่คิด
"กุลคิดถึงคุณทิน.."
พิกุลไม่คิดใส่ใจ แม้การแสดงออกของอีกฝ่ายจะดูด้านชากว่าปกติ คำพูดแสนหวานเช่นเคยถูกเอ่ยขึ้น พร้อมกับอ้อมแขนเล็กที่โอบรัดร่างกายหนา ใบหน้าขยับเลื่อนเงยมองชายหนุ่มด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคิดถึง ทว่าภายในกลับมีบางอย่างซุกซ่อนอยู่
ทินกรไม่สามารถอ่านแววตาคู่นี้ออก ทั้งๆที่พยายามจะเข้าใจอย่างเต็มที่ ในเมื่อความทรงจำเก่าก่อนกลับมาแล้ว แต่ทำไมพิกุลของเขาถึงยังแสดงสีหน้าท่าทางที่ดูซุกซ่อนความรู้สึกบางอย่างนี้ออกมา หากค้นพบกับความจริงแล้วทำไมถึงยังแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ความสงสัยที่มากกว่าเดิมส่งผลให้ทินกรไม่อาจยับยั้งชั่งใจ พลันเอ่ยถามในสิ่งที่ตนต้องการรู้ และหยุดการกระทำเสแสร้งที่เด็กหนุ่มผู้เคยใสซื่อแสดงมันออกมา
"เมื่อช่วงบ่าย พิกุลหายไปไหน"
"เดินเล่นในสวน"
"ทั้งๆที่ฝนตกหนักอย่างนั้นหรอ"
"วันนี้ฝนไม่ได้ตก"
ทินกรไม่ใช่คนโง่ที่จะมองไม่ออกว่าทุกถ้อยคำที่อีกฝ่ายพูดเป็นคำโกหกทั้งสิ้น ใบหน้าที่แสดงออกมาราวกับว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องจริง เสแสร้งแกล้งทำทั้งคำพูดและท่าทาง เผยรอยยิ้มที่ไม่ได้ยิ้มออกมาจากความรู้สึกข้างใน รอยยิ้มเช่นนี้ทินกรไม่นึกอยากได้ สิ่งที่เขาอยากได้มากที่สุดคือพิกุลคนเดิมที่แสดงออกทุกการกระทำอย่างตรงไปตรงมาคนนั้น
"โกหกไม่เป็น ทำไมถึงยังโกหก"
"..."
เวลานี้ทินกรไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดเลยแม้แต่น้อย แต่กลับกันทินกรรู้สึกเหนื่อยล้า พิกุลที่เคยซื่อตรงกับความรู้สึกบัดนี้เปลี่ยนแปลงไปราวกับไม่ใช่คนเดียวกัน หากรู้อะไรมาทำไมไม่พูดกับเขาให้มันจบไป เจ็บปวดขนาดไหนทำไมถึงเลือกเก็บซ่อนเอาไว้ไม่ปล่อยมันออกมา
พิกุลกำลังคิดอะไรอยู่อย่างนั้นหรือ..
ความสงสัยเกิดขึ้นพร้อมๆกับความล้าทั้งกายและใจ พลางยกสองมือขึ้นจับเอามือเล็กที่เกาะเกี่ยวร่างกายออกห่าง ก่อนจะเอื้อมมือลูบคลำกลุ่มผมนุ่มยาวสลวยระต้นคอแบบที่เขาชอบ รอยยิ้มอบอุ่นจากทินกรส่งมอบมันให้กับคนรักพร้อมกับเอ่ยประโยคตัดจบออกไป
"นี่ก็ดึกมากแล้ว พิกุลขึ้นไปพักผ่อนเถอะ"
"แล้วคุณทิน.."
"ไว้ฉันจะตามขึ้นไป"
พิกุลชะงักนิ่งเมื่อเห็นสีหน้าและแววตาหม่นหมองของชายหนุ่ม ความปวดหนึบในอกที่ไม่รู้ว่าสาเหตุมาจากไหนก่อตัวขึ้น จนต้องยกฝ่ามือขึ้นมากอบกุมมันเอาไว้ ขณะจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาซึ่งบัดนี้กำลังเหนื่อยล้าเต็มทน
ความสับสนวุ่นวายในใจก่อตัวพร้อมกับความรู้สึกหลากหลาย ดวงตาคู่สวยหลุบลงต่ำมองพื้นคล้ายกับกำลังเคร่งเครียดกับการกระทำไม่สมควรของตนเอง ก่อนจะหยุดคิดสาวเท้าเดินเข้าหาคนที่กำลังถอยหลังเดินออก พลางคว้ามือเอื้อมจับช่วงแขนที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อให้อีกฝ่ายหยุดนิ่ง และหันกลับมาให้ความสนใจตนอีกครั้ง
"ช่วงบ่ายกุลไปบ้านร้างหลังนั้นมา"
"..."
ไม่รู้อะไรดลใจให้ตนยอมเอ่ยปากบอกความจริง ทั้งๆที่คิดเอาไว้แล้วว่าจะปิดบัง พิกุลไม่สามารถทำมันได้ดั่งใจนึก ไหนจะการโกหกที่ยากแสนยากรวมไปถึงการซุกซ่อนความรู้สึกนั้นก็ไม่แพ้กัน
"ขอโทษที่โกหก"
"ฉันไม่โกรธ ขอแค่พิกุลกลับมาปลอดภัยก็พอแล้ว"
ทินกรเอ่ยพร้อมกับคว้าตัวเด็กหนุ่มเข้ามากอด น่าแปลกที่สีหน้าแววตาของพิกุลเมื่อครู่แสดงออกอย่างชัดเจนว่ากำลังขอโทษ ไร้ซึ่งความเสแสร้งแกล้งทำอย่างในตอนแรก ความรู้สึกหนักอึ้งค่อยๆทุเลาเมื่อสัมผัสได้ถึงมืออุ่นของพิกุลที่เอื้อมออกมาโอบกอดเขาเช่นเดียวกัน
ก่อนจะคว้าจับมือเล็กสอดประสานเรียวนิ้วยาวเข้าหา จนสัมผัสได้ถึงแหวนที่อีกคนสวมใส่อยู่ในมือ ส่งผลให้ความอุ่นวาบชะล้างจิตใจที่หนาวเหน็บเมื่อครู่จนหมดสิ้น เมื่อรับรู้ว่าคนรักยังคงสวมแหวนของเขาเอาไว้ดังเดิม คล้ายเปรียบเสมือนความรู้สึกที่พิกุลยังมีให้เขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป
ทินกรจับยึดมือเล็กเอาไว้มั่น ราวกับไม่ต้องการให้พิกุลคนเดิมคนนี้ลาหายจากไปไหน เหนี่ยวรั้งเอาไว้ให้อยู่ต่ออย่าคิดหนีจากกัน ก่อนจะเอ่ยพูดประโยคบอกความรู้สึกที่ตนปรารถมากที่สุดให้อีกฝ่ายได้รับรู้
"อย่าไปไหนอีกเลย อยู่ที่นี่กับฉัน"
"..กุลจะอยู่กับคุณทิน"
คำตอบรับที่ดูเหมือนจะเข้าใจไปคนละความหมาย แม้คำตอบหากได้ฟังจากปากจะดูน่ายินดีและใจอุ่นวาบ ทว่าแท้จริงแล้วเมื่อลงลึกไปถึงความหมายกลับตรงกันข้าม ส่งผลให้เกิดความรู้สึกปวดหนึบคล้ายถูกกัดกร่อนอย่างช้าๆ
ทินกรไม่ได้อยากให้พิกุลอยู่ข้างเขาเพียงแค่ร่างกายอย่างที่อีกฝ่ายกำลังเข้าใจ มากกว่าที่เขาต้องการเพียงภายนอกคือใจของพิกุล เพราะสิ่งที่ทินกรหวาดกลัวที่สุดไม่ใช่การลาจาก แต่ความรู้สึกของพิกุลต่างหากที่เขากำลังหวาดกลัว
เหนือสิ่งอื่นใด ทินกรรู้สึกเป็นห่วงความรู้สึกของคนรักมากกว่าตัวเอง เด็กหนุ่มที่เคยใสซื่อไร้มลทินบัดนี้กำลังคิดอะไรอยู่ในใจ คนอย่างเขาไม่มีความสามารถมากพอจะรับรู้ ในเมื่อเจ้าตัวยังคิดอยากจะอยู่ข้างกายเขาก็พร้อมจะอ้าแขนรับเอาไว้ แม้จะไม่รู้ถึงเหตุผลแท้จริงก็ตาม
ทินกรขยับกายออกห่างพลางจูงมือคนรักเดินตรงไปยังโซฟาในห้องรับแขก ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งเหนี่ยวรั้งร่างกายผอมบางเข้าหาในท่ายืน มือยังคงสอดประสานไม่มีปล่อยพร้อมกับเงยหน้ามองเด็กน้อยที่ก้มมองมา ทินกรเอียงซบใบหน้าครึ่งซีกลงกับท้องน้อยของภรรยาที่ตนรัก ก่อนจะหลับตาส่งความรู้สึกที่ตนมีให้อีกฝ่ายผ่านการกระทำที่แตกต่างกว่าเคย
พิกุลงุนงงก้มหน้าสบมองท่าทางที่แปลกไปของชายตรงหน้า ดวงตาคู่สวยที่คราแรกเคยแสดงออกว่าว่างเปล่า บัดนี้มันเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ล้นเอ่อออกมาจนยากจะควบคุม ท่าทางที่อีกฝ่ายแสดงออกให้เขาเห็นทำไมถึงได้ดูรู้สึกผิดขนาดนั้น ทั้งๆที่ในอดีตอีกฝ่ายตั้งใจทำมันกับมือแท้ๆ
ครอบครัวที่รักสูญเสียไปเพราะคนๆเดียว ความเลือดเย็นที่อีกฝ่ายทำกับครอบครัวของเขานั้นยากที่จะให้อภัย จนไม่อยากคิดจะถามหาเหตุผลและต้นตอ พิกุลอยากหยุดนิ่งมันเอาไว้สักพักไม่คิดถึงมันต่อ และอยากยอมโง่เพื่อตามใจความรู้สึกของตนเอง
ไม่น่าเชื่อว่าความรู้สึกผูกพันในปัจจุบัน สามารถกลบเกลื่อนความดำมืดในจิตใจได้อย่างแยบยลขนาดนี้ ส่งผลให้น้ำตาหยดใสไหลรินลงข้างแก้มด้านหนึ่ง ก่อนจะยกมืออีกข้างขึ้นปาดให้มันแห้งเหือดไปพร้อมกับความรู้สึกปวดร้าวที่อยู่ในใจ เปิดเผยความรู้สึกว่างเปล่าไร้ความรู้สึกออกมาแทนที่
หัวใจที่แตกสลายไปแล้วยากจะหล่อหลอมให้หวนคืนกลับมาคงรูป แม้จะถูกค้ำจุนให้คงสภาพไว้ด้วยความผูกพันเกือบสิบปี แต่ในเมื่อมันพังยับเยินไปแล้ว จะให้มันเป็นรูปเป็นร่างดังเดิมคงยาก
มันเจ็บไม่น้อยเลย ที่มารู้ว่าคนที่ตนหลงเหลือในชีวิตเพียงคนเดียว และคิดมาตลอดว่าเขาคนนั้นคือครอบครัวที่ตนจะให้ความรักและเชื่อฟังทุกคำพูดคนนี้ จะเป็นคนๆเดียวกับชายที่พรากครอบครัวของเขาไปแบบไม่มีวันกลับมา
ครอบครัวที่ถูกพรากไปคือครอบครัวที่แท้จริง
ไม่ใช่ 'หลอกลวง' เช่นนี้
ทุกความคิดถูกหยุดเมื่อชายหนุ่มเอ่ยพูดประโยคที่เต็มไปด้วยความรู้สึก แม้แต่พิกุลที่แสนโง่เขลายังเข้าใจ
"ฉันรักพิกุล"
ทินกรเอ่ยเสียงจริงจังเงยใบหน้าสบสายตากับพิกุล แสดงออกผ่านทางสีหน้าแววตาอย่างชัดเจน พอๆกับคำพูดหนักแน่นที่ตนเพิ่งเอ่ยปาก เขาอยากพูดคำๆนี้มานานแล้ว แค่ยังอยากเก็บมันเอาไว้ในตอนที่อีกฝ่ายพร้อมจะรู้สึกแบบเดียวกับเขา
แต่ ดูเหมือนยิ่งรอนานเท่าไหร่ ทินกรก็ยิ่งกลัว แม้จะผูกมัด ครอบครอง กักขัง ไม่ให้อีกฝ่ายมองเห็นโลกภายนอกหรือแม้แต่ใครๆ ทว่านานวันกลับกลายเป็นเขาฝ่ายเดียวที่รู้สึกแบบนี้
ไม่เคยมีสักครั้งที่พิกุลจะเอ่ยวาจาว่ารักใคร่ในแบบสามีภรรยาด้วยปากของตนเอง แม้จะแสดงออกผ่านการกระทำให้เขาได้เห็น แต่ทินกรกลับไม่มั่นใจหวาดกลัวว่าการกระทำนั้นเป็นเพียงความเคยชินที่ตนเป็นคนเสี้ยมสอนตั้งแต่ยังเด็ก ทั้งที่เราทั้งคู่ต่างก็มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันจนอะไรต่างๆมันกำลังเกิดขึ้นเป็นรูปเป็นร่าง
ทว่าหากตนไม่พูดให้ชัดเจนในเวลาที่มันอาจจะสายเกินแก้ ทินกรเกรงว่ามันช้าเกินไปและอาจจะไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีกเลย ใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกมากมายแสดงออกมาโดยไม่ปกปิด เงยหน้าสบมองเจ้าของหัวใจเพื่อหวังจะเอาความรู้สึกแบบเดียวกันกลับมา
แต่แล้วในดวงตาคู่สวยคู่นั้น...
กลับไม่มีสิ่งใดสะท้อนกลับมาเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว
ทินกรก้มหน้ายอมรับความจริง แม้สิ่งที่ตนเอ่ยออกไปจะลึกซึ้งแค่ไหน แม้จะแสดงออกไปว่ารักนักรักหนา แต่สิ่งที่ได้กลับมาดันไม่พอจะหล่อเลี้ยงหัวใจที่เริ่มเหี่ยวเฉาได้เลย
ก่อนจะถอนหายใจปล่อยทิ้งความรู้สึกปวดหนึบ หันไปให้ความสนใจกับท้องน้อยของคนรักอีกครั้ง พลางพรมจูบผ่านเนื้อผ้าแสดงออกว่ารักใคร่ อย่างน้อยๆแม้ตนจะให้รักที่ไม่ได้รักกลับ แตสิ่งที่อยู่ในท้องของภรรยาเป็นสิ่งที่พอจะช่วยฉุดรั้งให้เขาอยากจะพยายามต่อ ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างไม่คาดหวังมากจนเกินไป อย่างน้อยก็พอช่วยบรรเทาให้รู้สึกเจ็บปวดน้อยลงก็ยังดี
"คุณทิน.."
เสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบคล้ายกับต้องการให้เขาหยุดการกระทำที่เริ่มเลยเถิด ทินกรไม่คิดสนใจน้ำเสียงในขณะที่กำลังพรมจูบมือหนาพลันคว้าจับชายกระโปรงชุดนอนยกขึ้นสูง เคลื่อนใบหน้าคมคายแทรกตัวเข้าไปใต้เนื้อผ้า ก่อนจะจูบซับตรงๆบนพุงนุ่มไร้กล้ามเนื้อ แตะสัมผัสด้วยเรียวลิ้นไล้เลียอย่างเอาอกเอาใจ วนเวียนไปมาไม่ละออกไปไหนจากจุดๆเดิม
เด็กในครรภ์คนนี้จะต้องเติบโตเป็นเด็กที่ได้รับความรักจากพ่อและแม่อย่างไม่ขาดเหลือ ทินกรอยากสร้างครอบครัวที่อบอุ่นขึ้นด้วยมือของตนเอง ครอบครัวที่เกิดมาจากความรักของคนสองคนระหว่างเขาและพิกุล
เขาเชื่อว่าเด็กคนนี้จะต้องเกิดมาเป็นเด็กที่น่ารักน่าเอ็นดูเหมือนแม่ และจะต้องเข้มแข็งไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆเหมือนพ่อ
มือที่โอบรั้งร่างแน่งน้อยหลวมๆบัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นโอบกอดแน่นขึ้นตามความรู้สึกของตนเอง จนกระทั่งถูกมือนุ่มเอื้อมจับใบหน้าเสี้ยวหนึ่งพลางลูบไล้เบาๆ
"ทำไมคุณทินถึงชอบจูบตรงนี้"
พิกุลว่าพร้อมกับเอื้อมมือข้างที่ว่างชี้และจิ้มเบาๆบริเวณพุงน้อยๆของตนเอง ยอมรับว่าสงสัยไม่น้อย พักหลังมานี้อีกฝ่ายเอาแต่กอดและจูบราวกับพุงของเขามีบางอย่างที่สามารถดึงดูดได้
ก่อนจะเอียงคอมองชายหนุ่มเพื่อรอคำตอบที่ทำให้ตนกระจ่าง คลายความสงสัยออกจากหัว ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับทำให้พิกุลแน่นิ่ง
"ไว้ฉันจะบอก ตอนพิกุลรักฉันแล้ว"
น้ำลายอึกหนึ่งถูกกลืนลงคอที่แห้งผาก คำว่ารักหากเป็นก่อนหน้านี้ ก่อนที่เขาจะรู้อะไรต่อมิอะไรที่ทำให้เจ็บปวด คำรักพวกนั้นพิกุลอาจจะมอบให้อีกฝ่ายโดยไม่มีข้อกังขาอย่างแน่นอน
แต่สำหรับตอนนี้มันไม่ใช่
ดวงตาคู่สวยที่ใช้มองสบเมื่อครู่หันมองไปทางอื่นแทบจะทันทีหลังฟังจบประโยค ทินกรแค่นยิ้มให้กับท่าทางที่พิกุลแสดงออกมาให้เห็น ความรู้สึกปวดหนึบในใจทำเอาทินกรไม่สามารถทำเรื่องอย่างว่าต่อได้ แม้คนตรงหน้าจะมีอารมณ์ร่วมไปกับสัมผัสวาบหวามของเขาแล้วก็ตาม
มือที่ดึงรั้งชายผ้าค่อยๆปล่อยลง พร้อมกับถอยใบหน้าออกห่าง ส่งยิ้มอบอุ่นให้แม้จะฝืนมากก็ตาม
"นี่ก็ดึกแล้ว พิกุลขึ้นไปพักผ่อนเถอะ"
-
o13
:3123:
-
:katai2-1:
-
เหตุผลอะไรกันที่ทำให้คุณทินฆ่าครอบครัวของพิกุล
-
:pig4:
-
คุณทินนอกจากจะไม่โง่ ยังดูเขาออกแล้ว ชอบอีกอย่างก็ตรงเนี้ยละคือรู้จังหวะถอย จังหวะเว้นระยะไว้ก่อน ถ้าเขาไม่เราก็ไม่ฝืน อารมณ์ของพิกุลตอนนี้เจ้าตัวกำลังสับสนมากทั้งจะรักทั้งจะแค้น เอาไงดี 555 ทางออกของปัญหาคิดว่าเลิกเล่นใส่หน้ากากกันเถอะนะ เพราะนี่ก็อยากรู้แล้วว่าทำไมถึงฆ่า ถึงตอนนี้ก็ยังความเข้าใจความรู้สึกทั้งของสองคนอยู่ ก็นะ เขาฆ่าครอบครัวจะแค้นก็ไม่แปลก แต่ก็นั่นละเหตุผลคือไร มันจะมีน้ำหนักมากพอไหมที่เขาจะสมควรตาย แต่ใจลึกๆแล้วทำไมเหมือนจะรู้สึกเห็นใจทินกรมากกว่านะ 5555 ที่สำคัญนะถ้าพิกุลจับจุดได้ว่าทินกรปรารถนาสิ่งใดมากที่สุดในชีวิต พอรู้ว่าท้อง แล้วพังมันลงมากับมือ น้ำตากูแตกไหลพรากๆกับทินกรแน่ 5555 แต่อย่าเลยนะ แค่นี้ใจทินกรก็พังแล้วเบาๆ นี่เศร้าตามเลย ให้เด็กคนนี้ได้เกิดมาเป็นครอบครัวนะ แต่ก็อย่างว่าตอนนี้พิกุลมีความแค้นในใจก็ไม่รู้จะทำอะไรลงบ้าง เดาใจไม่ถูกเหมือนกัน เอาเป็นว่ารอตอนหน้าดีกว่า 555 ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รออ่านอยู่เสมอค่ะ เป็นกำลังใจให้ตอนต่อไปนะคะ แต่งดีมาก o13 :pig4: :pig4: :pig4:
-
อึดอัดไปหมดเลยยยย :z3: :hao5: