พิมพ์หน้านี้ - LOVE LEADER ภาค 2 [เชียร์ฝันสนั่นหัวใจ] - ตอนที่ 17 : รับผิดชอบ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: Kings Racha ที่ 07-08-2018 21:18:06

หัวข้อ: LOVE LEADER ภาค 2 [เชียร์ฝันสนั่นหัวใจ] - ตอนที่ 17 : รับผิดชอบ
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 07-08-2018 21:18:06
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง





--------------


LOVE LEADER 2

เชียร์ฝันสนั่นหัวใจ

------------------------------------------------
(ภาพปก)>> https://www.picz.in.th/image/BQ2olN
(แนะนำตัวละคร)>> https://www.picz.in.th/image/BQ6wcg


“.....เป็นยังไงกันบ้างคะน้องๆนิสิตใหม่ทุกคน ได้ฟังเรื่องราวของ 'น้ำชา' เด็กหนุ่มผู้มุ่งมั่นสู่การเป็นผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัยมัณฑนาไปแล้ว รู้สึกเป็นยังไงกันบ้าง มีใครรู้สึกว่าอยากจะเป็นผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัยของเราบ้างไหม...?

 

จ้าๆ ไม่ต้องแย่งกันยกมือขนาดนั้นก็ได้ เพราะถึงอย่างไรก็ตาม ถ้าทุกคนตั้งใจฟังที่พี่เล่ามาทั้งหมดจริงๆ ก็คงรู้แล้วว่า ไม่ใช่แค่คิดว่าอยากเป็นแล้วจะได้เป็น กติกาของเรามันก็ยังเหมือนเดิม ต้องให้รุ่นพี่ประทับตราผู้นำเชียร์ให้ ไม่มีระบบสมัครหรอกนะ....

 

 

อะไรกัน ทำหน้าหงอยอะไรขนาดนั้น..... เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน

 

เพื่อเป็นการปลอบใจทุกคน พี่จะเล่าเรื่องราวหลังจากความสำเร็จของน้ำชาให้ฟัง....ดีไหม แหม! เรื่องราวของคนเราน่ะ ตราบเท่าที่ยังไม่ตาย มันไม่มีคำว่าอวสานหรอก ถึงแม้เส้นทางของน้ำชาจะไปถึงจุดมุ่งหมายของเขาแล้ว แต่นั่นมันก็แค่ในบทบาทของนิสิตปีหนึ่ง เป็นแค่ฉากในฐานะรุ่นน้องเท่านั้น ไม่อยากรู้เหรอว่าถ้าต้องมาอยู่ในบทบาทของรุ่นพี่บ้าง น้ำชาจะยังทำได้ดีอยู่ไหม

 

ไหนจะ พี่ตอง ที่เลื่อนขึ้นไปอยู่ปีสาม ชั้นปีที่ต้องอยู่ในบทบาทคณะกรรมการควบคุมการรับน้องและช่วงสำคัญของการเรียนในคณะวิศวกรรมศาสตร์ นี่ยังไม่นับรวม ต้อม น้ำขิง ท๊อป บุ๋น สุ่ย และข้าวเจ้าอีกนะ ทุกก้าวของชีวิตมันมีเรื่องราวอยู่ทั้งนั้น

 

และมีผู้คนอีกมากมายที่จะเข้ามาในชีวิตของตัวละครเอกของเรา

 

เอาล่ะ.....

 

 

พร้อมจะฟังต่อกันหรือยัง..... ถ้าพร้อมแล้ว ตั้งใจฟังอีกรอบก็แล้วกันนะ.......



(สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยอ่าน ภาค 1) >> https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63181.0
หัวข้อ: LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 1 [ภาพในอดีต Part 1]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 07-08-2018 21:23:44
ตอนที่ 1 [ภาพในอดีต] - Part 1









รั้วสีทองส่องแสงในหล้า ศาสตร์มัณฑนา นำปัญญาพาข้าฯ สู่หมาย....



ทำไมถึงยังรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเพลงเพลงนี้นะ ทั้งที่ได้ยินมาเป็นร้อยๆรอบแล้ว ปิดเทอมที่ผ่านมาก็ซ้อมกับเพลงนี้มาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ แต่เอาเถอะ จะบอกว่าไม่ตื่นเต้นก็คงผิดปกติแล้วล่ะ ก็ในเมื่อต้องมาได้ยินเพลงนี้ในขณะที่เต้นโชว์ท่าเต้นมาตรฐานเพลงมาร์ชมหาวิทยาลัยมัณฑนาให้รุ่นน้องปีหนึ่งเป็นพันๆคนดูนี่นา



......ให้คำมั่นสัญญา ว่าจะเป็นคนดี บัณฑิตศรีแห่งรั้วมัณฑนา



กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

ไม่ได้ยินเสียงกรี๊ดแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ รู้สึกเหมือนหูจะดับเลย



ผมและเพื่อนๆ ผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัยมัณฑนาทั้งสิบสองคนเดินลงจากเวทีภายในโดมรวมใจ สถานที่แรกสำหรับการนัดพบของนิสิตใหม่ทุกปี แต่ปีนี้ผมมาที่นี่ในฐานะรุ่นพี่ปีสอง..... อ้อ ผมคงต้องแนะนำตัวก่อนซินะ เผื่อว่าบางคนยังไม่รู้จักผมมาก่อน.....

ผมชื่อ ชา ครับ หรือจะเรียก น้ำชา ก็ได้ ผมก็ยอมรับนะว่าไม่ชอบให้ใครเรียกชื่อเล่นแบบสองพยางค์เท่าไหร่นัก มันฟังดูออกจะหน่อมแน้มไปหน่อย แต่ก็ต้องยอมรับอีกนั่นแหละว่าเริ่มชินซะแล้ว เพราะคนรอบข้างแทบจะเรียกผมแบบสองพยางค์กันทั้งนั้นเลย เอาเถอะ อย่างไรซะ จะเรียกผมแบบไหนผมก็ยังเป็นผมคนเดิมอยู่ดี ผมยังเป็น นายธชานา ธนกฤษ นิสิต(ที่ถูกขนานว่า)อัจฉริยะจากภาควิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมัณฑนา และอีกหน้าที่สำคัญของผมก็คือการเป็นผู้นำเชียร์ประจำมหาวิทยาลัยหรือก็คือเชียร์ลีดเดอร์ที่ทุกคนน่าจะรู้จักกันดี และถึงแม้ว่าผมจะตัวสูงไม่เท่าเพื่อนลีดผู้ชายคนอื่นๆ แต่ด้วยความนิยมเมื่อปีที่แล้วทำให้ผมถูกกำหนดให้ยื่นในตำแหน่งกลาง(Center)



“ไอ้ชาเย็น เสื้อข้างหลังมึงหลุดออกมาจากกางเกงแล้ว หัดดูแลภาพลักษณ์ตัวเองหน่อยดิวะ เป็นรุ่นพี่แล้วนะมึงอ่ะ”

“กูเต้นมันก็ต้องมีหลุดบ้างไหมวะ แล้วก็ไม่ต้องมาทำปากเก่งตำหนิกูเลยนะมึงอ่ะ เสื้อมึงก็หลุด แถมเป็นข้างหน้าเลยด้วย”

“อ้าว เหรอ เพิ่งเห็น พอดีว่าน้องชายกูมันใหญ่ไปหน่อย เสื้อผ้าก็เลยมีหลุดบ้างวะ เข้าใจกูหน่อยนะเพื่อน”

“กล้าพูดนะมึง ไอ้ต้อม”

“ไม่เชื่อเหรอ จะดูก็ได้นะ เพื่อนกันกูไม่หวงหรอก”

“ไอ้สัดต้อม ไอ้เพื่อนเวร เดี๋ยวกูก็ตบเกรียนแตกเลยไอ้นี่ อย่าคิดว่าขึ้นปีสองแล้วกูจะไม่กล้าทำไรมึงนะ แล้วที่สำคัญกูก็ไม่เคยอยากดูอะไรของมึงทั้งนั้น อุบาทว์!”

“เหรอจ๊ะน้องน้ำชา ต้องเป็นของพี่ตองซินะมึงถึงจะอยากดู”

“ไอ้ต้อม!”

“อ่ะๆๆๆ ไม่ทันกูหรอก กูฝึกวิทยายุทธมาหลบหลีกมึงเป็นอย่างดี กูไปส่องเด็กๆปีหนึ่งก่อนนะจ๊ะ น้ำขิงที่รักของกูรออยู่ ไปล่ะนะจ๊ะไอ้ชาเย็นเพื่อนรัก”

“ไอ้...” ไอ้เพื่อนสารเลว ไวนักนะมึงเดี๋ยวนี้

ไอ้คนที่เพิ่งจะต่อล้อต่อเถียงกับผมนั่นน่ะคือเพื่อนผมเอง คิดว่าหลายคนคงรู้อยู่แล้วว่าไอ้ต้อมเป็นเพื่อนสนิทที่สารเลวที่สุดของผมมาตั้งแต่ปีมะโว้(มัธยม) ไม่รู้ว่าผมทนคบกับมันได้ยังไง แถมยังมาเป็นลีดมหาลัยด้วยกันอีก ไม่น่าช่วยติวให้มันสอบติดสถาปัตย์เล๊ยยยยย



“อิชาาาาาาาาาาาาาา เมื่อไหร่จะออกไปซะที น้องๆปีหนึ่งกำลังรอมึงอยู่นะ”

“เออๆ ไปแล้วๆ”

และโจทก์ใหม่ที่เพิ่งสลับสับเปลี่ยนเข้ามาหาผมก็คือ เพื่อนสนิทอีกเช่นเดียวกัน แต่เพิ่งมาสนิทกันเพราะเรียนที่มหาลัยนี้ มันชื่อเจสซี่ แต่ผมชอบเรียกมันว่าอิช้างมากกว่า เพราะมันคือกะเทยร่างยักษ์ที่หลงใหลการกินสุดๆ และที่มันเข้ามาตามผมเนีย ก็เพราะมันเป็นบัดดี้ของผม ก็อารมณ์คล้ายๆกับผู้จัดการส่วนตัวของดารานั่นแหละ ไม่อยากอธิบายแบบนี้เลย ฟังแล้วมันกระดากหูยังไงไม่รู้ ผมไม่เหมาะกับการเป็นคนดังหรือดาราอะไรแนวนั้นหรอก จริงๆแทบจะไม่เข้าข่ายบุคคลที่จะสามารถเป็นลีดมหาลัยได้ด้วยซ้ำ ไม่สูง ไม่เท่ แถมผิวก็ขาวจนซีด แถมยังถูกเข้าใจผิดบ่อยๆว่าเป็นผู้หญิง ด้วยหน้าที่หวานเกินเหตุ..... เฮ้ออออออ ขี้เกียจเล่าแล้ว เอาเป็นว่าถ้าอยากฟังเรื่องราวของผมหรือเพื่อนหรือคนรอบข้างหรืออะไรก็ตามที่มาจากความเดิมตอนที่แล้ว ก็ไปหาข้อมูลเอาเองก็แล้วกัน เรื่องของผมหาได้ไม่ยากหรอก



“อะนี่ค่ะ ตราปั๊มของนายแม่นะคะ” อิช้างส่งตราประทับให้ผมในขณะที่เดินออกจากห้องพักเพื่อกลับเข้าไปในโดมรวมใจ

หน้าที่ของผมวันนี้คือการมองหารุ่นน้องปีหนึ่งไม่ว่าคณะใดก็ตาม แล้วประทับตราผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยลงบนป้ายชื่อ อันเป็นสัญลักษณ์ว่าบุคคลนั้นมีสิทธิ์เข้ารับการคัดตัวเป็นผู้นำเชียร์ในคณะของตนเอง

“อย่าเรียกกูแบบนี้ต่อหน้าคนอื่น” ผมเอ็ด ก็ดูมันดิ รู้ทั้งรู้ว่ากำลังจะไปเจอคนมากมายยังสรรหาคำเรียกแปลกๆมาเรียกผมอยู่นั่นแหละ

“แหมมมม ค่ะ คุณหนูธนาชา” อิช้างจีบปากจีบคอพูดประชดใส่ผม “ไม่ให้เรียกว่านายแม่จะให้เรียกว่าอะไรคะ ก็เล่นคาบสามีแห่งชาติอย่างพี่ตองไปรับประทานคนเดียวซะอยู่หมัดแบบนั้นแล้ว”

“อี สม เจต” มึงจะไม่หยุดใช่ไหม “ไม่ต้องมาทำหน้าไม่พอใจกู ถ้ายังไม่หยุดพูดเรื่องของกู กูจะเรียกมึงแบบนี้ทั้งวันเลย แล้วมึงก็ควรจะรู้ตัวด้วยว่าปีสองเนื้อหาที่เรียนยากแค่ไหน ยังอยากให้กูติวอยู่ไหม”

“โอ๊ยยยยย มึง ก็หยอกกันบ้างอะไรบ้าง ใครจะไปกล้าว่านายแ...... เอ่อ.... เพื่อนรักได้ล่ะ ไปๆๆ ไปดูน้องๆปีหนึ่งวัยใสกันดีกว่าเนาะ โน่นๆๆ คนโน้นหน้าตาใช่ได้อยู่นะ”

เปลี่ยนเรื่องเชียวนะมึง อิช้าง ต้องให้ขู่ตลอด



“เธอๆ นั่นใช่พี่น้ำชาหรือเปล่าอ่ะ” “ใช่จริงด้วย นี่ไง เรามีรูปในโทรศัพท์ด้วย ต้องใช่แน่ๆ” / “เห้ยพี่น้ำชานี่หว่า อย่างน่ารักอ่ะ นี่ถ้าไม่มีข่าวว่าคบกับพี่ลีดคนนึงกูจะพุ่งเข้าไปจีบเดี๋ยวนี้เลย” / “คนนี้ใช่ไหมที่เป็นแฟนกับพี่ตอง ลีดคนที่หล่อจนเป็นตำนานอ่ะ ตัวจริงน่ารักเนอะ ถึงว่าซิทำไมที่ตองถึงชอบ” / “แก!! เห็นพี่น้ำชาแล้ว คนนี้ไงที่ดังมาจากแฮชแท็กพี่ตองน้องน้ำชาอ่ะ” / “ไอ้ชิบหาย มึงดูพี่คนนั้นดิ พี่แกน่ารักโคตรๆอ่ะ กูเป็นผู้ชายด้วยกันกูยังหวั่นไหวเลย”



“เอ่อ.........” อิช้างอ้าปากค้าง ยืนนิ่งไม่กล้าเดินเข้าไปในกลุ่มปีหนึ่งที่กำลังนั่งเป็นระเบียบ

ไม่ใช่แค่มันหรอกที่อึ้ง ผมนี่โคตรอึ้งเลย แถมความอายเข้าไปด้วย บ้าเอ๊ย นี่คนรู้เรื่องของผมกันแค่ไหนเนีย ทำไมการปรากฏตัวของผมถึงได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขนาดนี้ แล้วพวกมึงก็ช่วยนินทากันเบาๆหน่อยได้ไหม ถ้าจะพูดถึงกูดังขนาดนี้ ไม่ไปพูดใส่ไมโครโฟนบนเวทีเลยล่ะ กูเป็นรุ่นพี่พวกมึงนะ เดี๋ยวเหอะ ถ้าพวกมึงคนไหนมาเป็นลีดนะ จะสั่งให้ยืนการ์ดสักสองหมื่น เอาให้ไม่กล้านินทาอีกเลย



“ดังใหญ่นะมึงอ่ะ” ไอ้สุ่ยเดินเข้ามาหาผม นี่ก็เพื่อนลีดอีกคนจากคณะเดียวกับผมเอง

“ใช่ๆ” วาวาเสริม ส่วนผู้หญิงคนนี้เป็นบัดดี๊ของไอ้สุ่ย แต่เป็นเพื่อนสนิทในกลุ่มของผม (กูก็ยังจะมาอธิบายอีกเนาะ พอๆ หาอ่านเอาเองนะ) “เมื่อกี๊นะ เดินไปไหนมาไหนก็มีแต่คนถามหาพี่น้ำชา พี่น้ำชาอยู่ไหน พี่รู้จักพี่น้ำชาไหม จนไม่มีใครฟังแนะแนวบนเวทีเลย”

“หยุดเลยวาวา ไม่ต้องมาแซ็ว” ผมเอ็ด แต่ก็แอบหนักใจด้วย ถ้าขืนผมมีชื่อเสียงมากแบบนี้ รั้งแต่จะทำให้ผมรู้สึกอึดอัดเสียเปล่าๆ รู้สึกว่าความรู้สึกของปีนี้กับปีที่แล้วมันช่างต่างกันจริงๆ จากที่แทบไม่มีใครสนใจ ตอนนี้แทบจะไม่มีใครละความสนใจจากผมเลย

“แต่มึงก็วางตัวดีๆนะเว้ย” ไอ้สุ่ยพูดขึ้นอีกครั้ง “ยิ่งคนรู้จักมึงเยอะๆแบบนี้ จะยิ่งเป็นที่จับตามอง”

“อืม” ยิ่งทำให้รู้สึกหนักใจขึ้นไปใหญ่เลย

“เอาน่า ไม่ต้องทำหน้าตึงขนาดนั้นก็ได้ หน้าตาอย่างมึงดังได้ไม่นานหรอก เดี๋ยวก็ดับ”

“อ้าว” มึงจะมาเป็นเพื่อนสารเลวของกูอีกคนแล้วใช่ไหมไอ้สุ่ย

“กูล้อเล่น ขำๆเพื่อน ไปก่อนนะ ไปหาข้าวเจ้าดีกว่า วันนี้อยากกินบราวนี่ ไปขอให้ข้าวเจ้าทำให้กินดีกว่า”

“เดี๋ยวก่อนซิสุ่ย เราต้องสังเกตการณ์น้องปีหนึ่งก่อนนะ เอาตราปั๊มไปด้วยซิ...” แล้ววาวาก็วิ่งตามไอ้สุ่ยไป



“เอาไงมึง” อิช้างเอ่ยปาก “จะยืนอยู่ตรงนี้หรือจะเข้าไปตามหาเด็กปีหนึ่งดี”

“...........” เห้อออออ ทำไมทุกครั้งที่เข้ามาในโดมรวมใจถึงมีเรื่องให้ลุ้นและเครียดทุกครั้งนะ “ไปก็ไปมึง แต่ขอเดินรอบๆ ให้ชินก่อนก็แล้วกัน”

“โอเค”



แล้วผมกับอิช้างก็เดินเรียบๆเคียงๆอยู่พักใหญ่ ไม่กล้าเข้าไปในจุดที่พวกปีหนึ่งนั่งสักที ก็ไม่ว่าผมจะไปตรงไหนก็มีเสียงพูดหึ่งๆขึ้นมาทันที สายตาจ้องตรงดิ่งมาที่ผมกันหมด แล้วแบบนี้ใครมันจะไปกล้าเดินเข้าไปล่ะ อิช้างก็พลอยตกประหม่าไปด้วย เราสองคนทำอะไรไม่ถูกเลยตอนนี้



“เอ่อ... มึงว่าคนนั้นเป็นยังไง” อิเจสซี่รวบรวมความกล้าและตัดสินใจพูดออกมาในที่สุด มันพยายามชี้เป้าไปที่เด็กหนุ่มคนนึง มันคงพยายามทำตัวมั่นใจเป็นตัวอย่างให้ผมดู

“ก...ก็ดีนะ” ผมเองก็ต้องพยายามบ้าง จะมาปล่อยให้ไอ้พวกเด็กปีหนึ่งทำให้ผู้นำเชียร์ประจำมหาวิทยาลัยที่โด่งดังด้านเชียร์ลีดเดอร์อย่างผมตกประหม่าได้ยังไง เอาวะ เอาไงเอากัน “น้องโดนปั๊มตราลีดหรือยัง มึงช่วยดูหน่อยซิ”

“คิดว่ายังนะ” อิช้างตอบ มันพยายามหรี่ตามอง “เข้าไปเลยไหม”

“ไปกัน” ผมตัดสินใจในที่สุด

ทำไมการเดินไปกี่ก้าวมันถึงได้ดูเหมือนไกลจังวะ ขากูนี่ก็เกร็งจนจะเป็นหุ่นกระบอกอยู่แล้ว

เราสองคนเดินตรงไปหาเด็กหนุ่มคนหนึ่ง หน้าตาโฉบเฉี่ยวแต่มีความดูดีแบบมาดคุณชายนิดๆ แถมตัดผมทรงโคตรแนว ไถข้างบวกกับรากไทรอะไรสักอย่าง(ทรง Under Cut) เอาเป็นว่าถ้าไม่หล่อจริงตัดผมทรงนี้ไม่มีทางรอดแน่นอน



“น้องครับ” ผมเรียกและพยายามอ่านป้ายชื่อ สีชมพู่ นี่เป็นคณะวิทย์เหมือนเรานี่หว่า แบบนี้ค่อยประหม่าน้อยลงหน่อย ว่าแต่ชื่ออะไรนะ อ้อ “น้องแทน”

“ครับ” พูดจาฉะฉาน ไม่มีลังเลเลย บุคลิกมั่นใจดี

“ช่วยยืนป้ายชื่อขึ้นมาให้พี่หน่อยครับ” ผมเอ่ย พร้อมกับเตรียมตรายางขึ้นมารอประทับลงบนป้ายชื่อ

“ป้าย? ป้ายชื่อของผมอะเหรอครับ”

“ใช่ซิครับ” จะหมายถึงอะไรได้อีกล่ะ คนที่นั่งอยู่แถวๆนี้เขาดูท่าว่าจะเข้าใจกันหมด แต่ไอ้เจ้าเด็กคนนี้กลับเลือกที่จะแสดงท่าทีไม่เข้าใจอย่างชัดเจน

“ผมให้ไม่ได้หรอกครับ”

“ห๊ะ” ผมกับอิช้างอุทานออกมาอย่างเป็นอัตโนมัติ

“ผมรู้นะว่าตรายางของพวกพี่หมายถึงอะไร” ไอ้น้องมันเหมือนกำลังจะอธิบาย “แต่ผมมาที่นี่เพื่อมาเรียน ไม่มีเวลาสำหรับเรื่องอื่นหรอกครับ พวกลีดอะไรนั่นผมไม่สนใจหรอกครับ”

“ห๊ะ” ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามีคนคิดแบบนี้ในมหาลัยที่ทุกคนมีฝันอยากเป็นเชียร์ลีดเดอร์แบบนี้ เหมือนเพิ่งได้ยินว่ามะม่วงออกผลเป็นทุเรียนยังไงก็ไม่รู้ ผมหันไปหาอิช้าง ซึ่งก็ได้เห็นแค่สีหน้าอึ้งๆของมัน

“เอ่อ....” ผมพยายามสรรหาคำเพื่อที่จะพูด ไม่นึกเลยว่าการตัดสินใจที่ยากลำบากของผมจะทำให้เจอเรื่องหน้าแตกตั้งแต่แรก แล้วกูควรจะพูดอะไรต่อล่ะเนีย “เอ่อ....”



“มีอะไรหรือเปล่าครับชา”

หึ!!!

“พ...พี่ตอง”

บุคคลที่เข้ามาในการสนทนาคนนี้ไม่อธิบายก็คงไม่ได้ เพราะเขาคือ... เอ่อ... แฟนของผมเอง (อย่าให้ผมแนะนำแบบนี้บ่อยๆนะ มันเขินปากมากจริงๆ)

นี่คือพี่ตอง รุ่นพี่จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาคอมพิวเตอร์ ปีสอง ไม่ใช่ซิ ปีนี้ปีสามแล้ว ก็.... จะให้พูดว่าไงดีล่ะ มันก็เขินๆอะนะ แต่พี่ตองก็ยังดูหล่อและอบอุ่นเสมอในสายตาของผม ภายใต้ทรงผมสกินเฮดกับสายตาที่ชวนหลงไหลนั่นก็ยังทำให้ผมใจเต้นทุกครั้งที่ได้มองมันนานๆ ถึงผมกับพี่เค้าจะเคยเป็นคู่แข่งตัวฉกาจกันมาก่อนเมื่อสมัยมัธยม แต่หลังจากผ่านร้อนผ่านหนาวกันมาเมื่อปีที่แล้ว ปัจจุบันผมก็คงต้องบอกว่าผมโชคดีมากจริงๆที่มีพี่เค้าอยู่ข้างๆในฐานะคนรู้ใจ

“ว่าไงครับ มีเรื่องอะไรตรงนี้หรือเปล่า” พี่ตองถามอีกครั้ง

“คือ...” จะอธิบายยังไงดี

ในขณะที่ผมกำลังนึกคำที่จะอธิบายก็ได้สังเกตเห็นว่ารอบข้างตัวผมยิ่งมีเสียงซุบซิบมากขึ้น ก็แหงล่ะ ไอ้ตัวสูงมายืนทำท่าเป็นห่วงเป็นใยผมซะขนาดนี้ คงยิ่งเหมือนไปราดน้ำมันใส่กองไฟ

“น้องเค้าปฏิเสธตราประดับค่ะพี่ตอง” อิช้างอาสาอธิบายเอง ว่าแต่มึงพูดตรงไปไหมเนีย

“ปฏิเสธ?” ใช่ พี่ทำหน้าได้ถูกต้องแล้ว ใครๆก็เหวอทั้งนั้นแหละ แล้วพี่ตองก็หันไปหาต้นเหตุ “น้อง...แทน รู้ใช่ไหมว่าตราประทับนี้หมายถึงอะไร”

“รู้ครับ” น้องตอบนิ่งๆ

“แต่ก็ยังปฏิเสธ”

“ตามนั้นเลยครับ”

“พี่ขอถามเหตุผลได้ไหม”

“ผมมาที่นี่เพื่อมาเรียนครับ ไม่มีเวลาสำหรับกิจกรรมมากนัก แล้วก็...” อ้าว เงียบเฉยเลย แล้วก็อะไรวะ “เอาเป็นว่าผมไม่สะดวกครับ”

“งั้นพี่ถามอีกข้อนะ รู้ใช่ไหมว่า ต่อให้ไม่ถูกประทับตรายาง ก็ต้องเข้าร่วมกิจกรรมอยู่ดี ทุกคนต้องทำกิจกรรมห้องเชียร์ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งไหนก็ตาม นั่นเป็นกฎ แล้วก็มีผลต่อการเรียนจบด้วย”

“.......” ไอ้น้องหรี่ตาลง เป็นการแสดงความคุ้นคิดอย่างชัดเจน แปลว่าไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนซินะ คงเข้าใจว่าถ้าไม่เป็นลีดก็ไม่ต้องทำอะไร

“ด...เดี๋ยว!” พี่ตองแทบร้อง ผมก็ตกใจเหมือนกัน จู่ๆ ไอ้น้องแทนคนนั้นก็ลุกออกจากเก้าอี้เฉยเลย

พี่ตองกับผมวิ่งตามออกไปเกือบไม่ทัน มันจะไปไหนของมัน

“น้องจะไปไหน” พี่ตองเรียกอีกครั้งเมื่อเราออกมาอยู่นอกโดม

“ผมจะไปหาอธิการบดีครับ”

“ว...ว่าไงนะ”

“ผมจะไปหาอธิการบดี ขอร้องให้เขายกเลิกกฎแบบนี้ ที่นี่เป็นสถาบันการศึกษา ยังไงเขาก็คงเห็นคุณภาพการศึกษาสำคัญกว่าเรื่องอื่นๆอยู่แล้ว”

“น้องจะวิ่งเข้าไปหาอธิการบดีหน้าตาเฉยแบบนี้ไม่ได้ และที่สำคัญพี่ไม่อยากจะทำให้ผิดหวังนะ แต่กฎนี่อธิการบดีเป็นคนกำหนดด้วยตัวเองเลย ที่นี่เราสนับสนุนการทำกิจกรรมคู่กับวิชาการ”

“......” เงียบอีกครั้ง “งั้นผมจะไปยื่นเรื่องลาออก”

“ฮ...เฮ้ ใจเย็น มันถึงขนาดนั้นเลยเหรอ มีอะไรหรือเปล่า ปรึกษาพี่ได้นะ”

“โทษทีนะพี่ แต่ผมไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายอะไรให้พี่ฟัง”

“ทำไมจะไม่จำเป็นล่ะ” ห๊ะ จำเป็นยังไง ไม่ต้องไอ้น้องนั่นหรอก ผมก็อยากรู้เหมือนกัน “น้องรู้จัก ก.น.ช.ไหม”

“ไม่ครับ”

“พี่คือ ก.น.ช.หรือคณะกรรมการควบคุมการรับน้องและการใช้สิทธิโดยมิชอบ พี่มีหน้าที่โดยตรงในการควบคุมกิจกรรมต่างๆของปีหนึ่ง  เพื่อให้อยู่ในจุดที่พอดี เพราะงั้นเรื่องของน้องปีหนึ่งทุกคน พี่ต้องสนใจ”

เนี่ยอะนะคำอธิบาย นึกว่าจะมีอะไรมากกว่านี้  ไอ้พี่ตอง ไอ้หัวเหม่งเอ๊ย

“นี่ไม่ได้เกี่ยวกับการรับน้องนะพี่” น้องมันยังดื้อด้านที่จะไป “ผมขอตัวนะครับ” แล้วมันก็จากไปจริงๆ ทิ้งพวกผมให้อึ้งกิมกี่อยู่กันสามคน (รวมอิช้างเข้าไปด้วย)



“นี่มันเกิดอะไรขึ้นล่ะเนีย” อิเจสซี่คราง “อุตส่ารวบรวมความกล้าเข้าไปหาก็โดนปฏิเสธตั้งแต่คนแรกเลย”

ก็นั่นนะซิ ยิ่งเสียความมั่นใจไปกันใหญ่เลยกู

“ช่างมันเหอะมึง” อิช้างปลอบใจผม “ยังมีปีหนึ่งอีกเยอะแยะ เข้าไปในโดมกันเถอะ”

“.......” พูดตามตรงนะว่าไม่อยากเข้าไปแล้ว ขืนทำให้เด็กคนอื่นๆ วิ่งแจ้นไปลาออกเหมือนไอ้เด็กคนนี้อีกล่ะ

“ทำตามที่เพื่อนบอกเถอะนะชา” พี่ตองพูดก่อนจะวางมือลงบนไหล่ของผมอย่างอ่อนโยน เราอยู่ด้วยกันมานานจนพี่เขาน่าจะรู้ว่าตอนนี้ผมรู้สึกเป็นยังไง “คงไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกหรอกนะ คนที่มาเรียนที่นี่ทุกคนอยากได้ตราปั๊มทั้งนั้นแหละ เข้าไปข้างในเถอะ”

“แต่...” มันหมดความมั่นใจไปแล้วนี่นา

“เชื่อพี่เถอะครับ กลับเข้าไปเถอะนะ แฟนพี่เก่งอยู่แล้ว แต่เดี๋ยวพี่ขอตัวไปทำธุระแป๊บนึงนะ เดี๋ยวตามเข้าไป... เจสซี่ พาน้ำชากลับเข้าไปในโดมเถอะ”

“ค่ะพี่ตอง” อิช้างรับ “ไปเถอะมึง อย่าไปคิดมาก น้องๆสวยหล่ออีกหลายคนยังรอเราอยู่นะ”



ไม่นานผมก็กลับเข้ามาในโดม



“พี่น้ำชา พี่น้ำชาใช่ไหม” ทันทีที่กลับเข้ามาในโดมผมก็โดนเด็กหนุ่มคนหนึ่งวิ่งตรงเข้ามาหา

“ค...ครับ” อะไรวะ

“ปั๊มตราลีดให้ผมหน่อย”

“ห๊ะ!” เดี๋ยวๆๆๆ จู่ๆมายื่นป้ายชื่อให้แบบนี้ก็ได้เหรอ

“ปั๊มตราไงพี่”

“เดี๋ยวนะคะน้อง.... เกล้า” อิช้างอ่านชื่อจากป้ายและพยายามกันเด็กคนนั้นให้ออกห่างจากผม “พวกพี่จะเป็นคนคอยเฝ้าสังเกตการณ์น้องๆเอง ไม่จำเป็นต้องลุกออกมาจากเก้าอี้แบบนี้นะคะ กลับไปนั่งเถอะ น้องยังอยู่ในช่วงแนะแนวการเป็นนิสิตใหม่จากเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยนะคะ ตั้งใจฟังเรื่องบนเวทีก่อนดีกว่านะ”

“พี่จะบอกว่าผมไม่เข้าหลักเกณฑ์การเป็นลีดใช่ไหม” อะไรของมันอีก “โห่พี่ ปั๊มๆไปเหอะ มีรุ่นพี่ลีดเดินผ่านผมไปไม่รู้กี่คนต่อกี่คนแล้ว ไม่เห็นจะมีใครปั๊มตราให้ผมเลย”

“ขอร้องนะคะ กลับไปนั่ง”

แล้วเด็กหนุ่มคนนั้นก็มีสีหน้าไม่พอใจเท่าไหร่นัก ก่อนจะปล่อยป้ายชื่อของตัวเองกลับไปห้อยต่องแต่งเหมือนเดิม

“เดี๋ยวก่อนครับ” ผมตัดสินใจพูดในที่สุด

“อิชา” อิช้างพยายามห้ามผม แต่ผมส่งสัญญาณให้มันเงียบ มันคงพยายามห้ามไม่ให้ผมสนทนากับน้องคนนี้

ผมไม่กล้าพูดหรอกว่าใครมีหน่วยก้านหรือมาตรฐานที่เหมาะแก่การเป็นผู้นำเชียร์ เพราะตัวผมเองก็ไม่ได้เริ่มต้นมาจากความเหมาะสมเหมือนกัน แต่น้องคนนี้ก็อยู่ไกลกับคำว่าใกล้เคียงจริงๆ นอกจากบุคลิกภายนอกที่ไม่ได้น่าสนใจแล้ว ยังมีสีหน้าบึ้งตึงไม่รับแขกอีก อีกทั้งเหมือนกับอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเขาไม่ได้สนใจดูแลตัวเองนัก เพียงแต่เราควรให้โอกาสทุกคนก่อน เหมือนอย่างที่ผมได้รับโอกาสมา

“ป้ายชื่อสีม่วง มาจากคณะสังคมใช่ไหม” ผมถาม

“.....” ไม่ตอบ แต่ใช้การพยักหน้า นี่ก็อีกข้อ ขาดความสุภาพอย่างแรง

“น้องอยากเป็นผู้นำเชียร์เหรอ” ผมถามอีกครั้ง

“ในโดมนี้ ใครๆ ก็อยากเป็นทั้งนั้นแหละพี่ ถ้าเป็นลีดได้ก็เท่ากับมีงานกับเงินมากองตรงหน้าใช่ไหมล่ะ”

นี่ไม่ใกล้กับคำตอบที่อยากได้ยินเลยแม้แต่นิดเดียว

“แล้วน้องเตรียมตัวมาแค่ไหนสำหรับการจะมาเป็นผู้นำเชียร์” ถามอีกสักข้อก็แล้วกัน

“เตรียมตัว? มันต้องเตรียมตัวด้วยเหรอ อ๋อ หมายถึงรูปร่างหน้าตาอะนะ แบบนั้นมันเตรียมตัวกันได้ด้วยเหรอพี่ ผมเลือกเกิดไม่ได้ ก็คงหน้าตาดีเท่าคนอื่นไม่ได้หรอก ก็แค่คิดว่ากฎเกณฑ์พวกนั้นน่าจะเปลี่ยนไปแล้ว เพราะผมได้ยินมาว่าพี่เองก็ไม่ได้เข้ากฎเกณฑ์เท่าไหร่ยังเป็นถึงลีดมหาลัยได้ ผมก็เลยเลือกสอบเข้าที่นี่ ก็แค่นั้น สรุปว่าพี่ยังใช้หลักเกณฑ์เก่าๆ กันอยู่เหรอ”

มึงนี่มัน.... สงบใจไว้

“อยากได้ตราปั๊มจริงๆใช่ไหม” ผมถามหน้านิ่ง

“พี่จะปั๊มให้ผมเหรอ”

“ก็ไม่มีปัญ....”



“ไม่ผ่านครับ” มีเสียงหนึ่งแทรกเข้ามา

ผมหันไปแล้วพบว่าเป็นไอ้ข้าว หรือที่ทุกคนเรียกว่าข้าวเจ้า เพื่อนลีดของผมอีกคนจากคณะสังคมศาสตร์

“ชาไม่ต้องประทับตราหรอก” ไอ้ข้าวบอกถึงจุดประสงค์ของตัวเองอย่างชัดเจนอีกครั้งในขณะที่จ้ำอ้าวเข้ามา “ยังไงน้องคนนี้ก็ไม่ผ่าน”

“ทำไมอ่ะพี่” ไอ้น้องเกล้าเริ่มโวยวายนิดหน่อย “เพราะผมไม่หน้าตาดีเหมือนคนอื่นใช่ไหม แล้วทีพี่น้ำชาล่ะ ผมก็ไม่เห็นว่าพี่เขาจะดูดีเกินไปกว่าผมเท่าไหร่เลย”

“น้อง...”

“ไม่ต้องเจส” ผมห้ามอิช้างไว้

“พี่เป็นคนที่จะทำหน้าที่ในการคัดเลือกผู้นำเชียร์ของคณะสังคมศาสตร์ในรอบต่อไป” ไอ้ข้าวอธิบายอย่างมีชั้นเชิง “พี่บอกได้เลยว่าน้องไม่ผ่าน แล้วก็ไม่เกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาด้วย ถึงน้องจะผ่านตรงนี้เข้าไปได้ก็มีแต่จะเสียเวลาเปล่า ชัดเจนแล้วนะ เพราะงั้นตอนนี้ รบกวนช่วยกลับไปนั่งที่ของตัวเองได้แล้วนะครับ อ้อ พี่ยังมีอีกเรื่องที่อยากจะบอก พี่ไม่รู้ว่าน้องเข้าใจอะไรมาก่อนที่จะมาเรียนที่นี่ แต่อย่างนึงที่น้องเข้าใจผิดแน่ๆก็คือ พี่น้ำชากับน้องมันห่างกันหลายขุมเกินไป อย่าดึงพี่เค้าลงไปเทียบกับน้องอีกนะ พี่บอกในฐานะรุ่นพี่คณะเดียวกับน้องนะ ไปเถอะชา”



ไอ้ข้าวคว้าตัวผมให้ออกไปจากตรงนั้นโดยมีอิเจสซี่กันท่าไว้ข้างหลัง ทำอย่างกับกลัวว่าไอ้น้องคนนั้นจะพุ่งมาทำร้ายผม
หัวข้อ: LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 1 [ภาพในอดีต Part 2]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 07-08-2018 21:25:47
ตอนที่ 1 [ภาพในอดีต] - Part 2




“ทำไมถึงพูดแบบนั้นวะข้าว” ผมถามทันทีที่เดินห่างออกมาแล้ว “เดี๋ยวก็โดนน้องเกลียดขี้หน้าเอาหรอก”

“ก็น้องคนนั้นว่ามึงอ่ะ” ไอ้ข้าวตอบ “ใครมาว่าไอดอลกู กูก็โกรธทั้งนั้นแหละ”

เวรกรรม นี่ผ่านไปปีนึงแล้วมึงยังไม่เลิกมองกูเป็นไอดอลอีกเหรอ

“เมื่อกี้ยืนดูอยู่” ไอ้ข้าวว่าต่อ “เห็นนะว่ากำลังจะปั๊มตราลีดให้เด็กคนนั้น”

“ก็ถ้ามันอยากได้นักก็จัดให้” ผมตอบเคืองๆ ไม่ได้เคืองไอ้ข้าวนะ เคืองไอ้เด็กปากกวนส้นตีนนั่น “จะได้รู้ว่ามาตรการคัดเลือกโหดขนาดไหน ต่อให้ไม่โดนมึงด่าตอนนี้ ตอนไปคัดที่คณะ คนอย่างมึงก็จัดหนักอยู่ดี กูพูดถูกไหม”

“ไอ้ถูกมันก็ถูก แต่ถ้าเกิดปั๊มให้ใครก็ได้ รุ่นพี่ลีดมหาลัยอย่างพวกเราก็คงไม่ต้องลงมาสังเกตการณ์ก็ได้มั้ง ปล่อยให้ทุกคนเข้ารับการคัดเลือกไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ เราเป็นรุ่นพี่แล้วนะชา ที่สำคัญเราเข้าถึงแก่นแท้ของการเป็นผู้นำเชียร์ในเชิงลึก มันเป็นหน้าที่ของเราที่จะมองหาคนที่มีบางอย่างเพื่อนำน้องๆ เหล่านั้นเข้าสู่กระบวนการฝึกฝน”

“อือหือมาเป็นชุด นี่สรุปกูเป็นไอดอลหรือเป็นลูกของมึงกันแน่เนีย”

“กูแค่เตือนในฐานะเพื่อน เจสซี่ก็ช่วยชาด้วยนะ”

“ค่ะๆๆ คุณเพื่อน” อิช้างจีบปากจีบคออีกครั้ง “แหม ตั้งแต่กำราบเดือนคณะวิทย์อยู่หมัด รู้สึกว่าข้าวเจ้าจะมั่นอกมั่นใจขึ้นนะ”

“แน่นอนอยู่แล้ว เราต้องเก่งเหมือนชาให้ได้” นี่ก็อีกอย่างที่ยังไม่เปลี่ยน ไอ้ข้าวก็ยังพูดถึงเรื่องของมันกับแฟนได้หน้าตาเฉยเหมือนเดิม “ไปเดินดูต่อกันได้แล้ว ไปกันเหอะปัง” ไอ้ข้าวเรียกบัดดี้ของตัวเอง

อ๋อ คนนี่อะเหรอบัดดี้ของไอ้ข้าวที่เป็นเพื่อนเอกเดียวกับไอ้สุ่ย เด็กหนุ่มตัวเล็ก สูงเกือบจะเท่าๆกับผม มีเหล็กจัดฟันซะด้วย ท่าทางเจี๋ยมเจี้ยม ชอบทำหน้าลนลาน ไอ้สุ่ยคงหาเพื่อนมาคุมแฟนมันซินะ

แล้วกูจะไปสนใจเขาทำไมวะ ทำงานๆๆ เลิกเสียเซลฟ์ได้แล้ว



“มึงๆ พี่น้ำชากำลังจะเดินมาแล้ว พี่เขาอาจจะปั๊มให้มึงก็ได้นะ” “ยืดอกไว้ๆ” /“เธอว่าพี่เขาจะปั๊มให้เราไหม ได้ข่าวว่าพี่เขาไม่ได้เน้นหน้าตามาก” “ก็ได้ยินมางั้นเหมือนกัน โชคดีเราอาจจะโดยปั๊มทั้งสองคนก็ได้นะ”



ชิบ....

ยังไม่ทันจะก้าวเกินสองก้าวเลย เริ่มอีกแล้วเหรอ เออ กูรู้ว่ากูไม่ใช่คนหน้าตาดีมากมาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากูจะปั๊มให้ใครก็ได้นะโว๊ยยยยยย



“เราไปอยู่ห้องพักเหมือนเดิมกันดีกว่าไหม” อิช้างเสนอในที่สุด ในฐานะบัดดี้ของผม มันก็คงลำบากใจไม่ต่างจากผมนัก

“นั่นซิ” ผมเห็นด้วยทันที



ในที่สุดผมและอิเจสซี่ก็ตัดสินใจเดินออกจากโดม แล้วเข้าไปหลบในห้องพักของลีดมหาลัย และหางานอย่างอื่นทำ เช่น การเตรียมดอกไม้เพื่อแจกให้น้องปีหนึ่งตอนเที่ยง



“....죄송합니다” เสียงใครบางคนมาสปีคเกาหลีอยู่แถวๆ หน้าห้อง เสียงคุ้นๆแฮะ แต่ไม่นานความสงสัยก็หมดไป เมื่อพี่บุ๋นเปิดประตูเข้ามาในห้อง พี่ลีดมหาลัยปีสามที่อยู่เอกเดียวกันกับผมเอง เดี๋ยวนี้สวมแว่นตาตลอดแถมยังพูดภาษาเกาหลีเก่งขึ้นมากเลย ไปเป็นศิลปินฝึกหัดที่เกาหลีแค่ครึ่งปี ไม่คิดว่าจะคุยโทรศัพท์เป็นภาษาเกาหลีได้แล้ว “อ้าวไอ้น้ำชา มาทำอะไรในนี้วะ ไม่ออกไปดูปีหนึ่งเหรอ”

“ไม่อ่ะพี่” ผมตอบ “ผมอึดอัด”

“อึดอัดทำไมวะ คนเยอะเหรอ”

“เปล่าพี่ คือ.... น้องปีหนึ่งเข้าใจว่ามาตรฐานในการปั๊มตรายางของผมไม่สูงเท่าพี่ลีดคนอื่น ผมก็เลย... อยู่ตรงนี้ดีกว่า”

“คิดมากไปหรือเปล่า”

“ไม่มากหรอกค่ะพี่บุ๋น” อิช้างเสริม “หนูก็อยู่ในเหตุการณ์ตลอด นี่พี่ยังไม่เห็นนะคะ น้องบางคนถึงขั้นพูดคอมเม้นเรื่องรูปร่างหน้าตาของอิชาต่อหน้าเลย”

“เด็กสมัยนี้มันกล้าขนาดนั้นเลยเหรอ” พี่ท๊อปอ้าปากค้าง “มึงก็อย่าไปคิดมากไอ้น้ำชา มึงอ่ะน่ารักจะตาย กูเป็นพี่มึงกูไม่โกหกหรอก”

“อะไรของพี่ ไม่เห็นจะเป็นเหตุเป็นผลเลย” ผมพูดขำๆ “เพราะเป็นพี่นั่นแหละถึงกล้าโกหกกันได้”

“เออ แต่กูไม่โกหกไง เดี๋ยวถ้ามึงเลิกกับไอ้ตองเมื่อไหร่กูสัญญาว่าจะจีบมึงเลย โอเคไหม”

“หราาาาาาาาาาาาาา แล้วจะเอาพี่ท๊อปไปเก็บไว้ไหนละพี่ถ้าพี่มาจีบผมอ่ะ”

“เอาเก็บไว้ในห้องแล็บไง กูว่าจะให้พี่ท๊อปไปแต่งงานกันเครื่องอัดยาแล้วเนีย”

“ทำไมพูดงั้นอะพี่”

“ก็ไม่มีไรหรอก พี่ท๊อปขึ้นปีสี่แล้วไง ยุ่งมากๆ เห็นบอกว่าต้องทำโปรเจ็คจบ แถมที่เกาหลีก็โทรมาตามตลอด บอกว่าพี่ท๊อปมีสิทธิได้เดบิวท์สูงอยากให้ไปซ้อมเยอะๆ ขนาดเมื่อตอนเดือนที่แล้วเอเจนซี่ยังส่งพี่ท๊อปไปให้สัมภาษณ์รายการดังเลยนะ ทั้งๆที่ยังเป็นแค่เด็กฝึกหัดอยู่ ทางโน้นคงจะคาดหวังกับพี่ท๊อปน่าดู ก็เลยโทรมาตามตลอด กูก็ไม่รู้จะตอบแทนยังไงแล้ว ได้แต่ขอโทษไปวันๆ”

“เหนื่อยแย่เลยเนาะ”

“ก็ธรรมดาแหละ ชินแล้ว ว่าแต่มึงจะไม่ออกไปดูน้องจริงๆเหรอ กูว่าจะไปช่วยปีสองปั๊มตราลีดหน่อย เออ ว่าแต่ตราปั๊มเหลือบ้างไหม”

“เหลือค่ะพี่บุ๋น” อิเจสซี่ตอบทันที มันเดินไปเปิดลิ้นชักแล้วคว้านหาตรายางมายื่นให้พี่บุ๋น “นี่ค่ะ ตรารูปไม้ สัญลักษณ์ประจำตัวของพี่บุ๋น”

“เก่งนะเราเนีย” พี่บุ๋นชมอิช้าง “มึงไม่ออกไปแน่นะไอ้น้ำชา”

“ไม่ดีกว่าพี่ คนอื่นคงทำหน้าที่ได้ดีกว่าผม” ผมตอบตรงๆ

“บอกว่าอย่าคิดมาก ว่าแต่เห็นไอ้ตองกับพวกปีสามไหม”

“พี่ลีดปีสามอยู่ในโดมแล้วพี่ แต่พี่ตองออกไปทำธุระ”

“งั้นเหรอ เสียดายนะ มึงกับไอ้ตองไม่เข้าโดม งั้นเด็กปีนี้อดได้ตรารูปเพชรอะดิ”

“ตรารูปไหนก็เหมือนกันนั่นแหละพี่”

“เออๆ เก็บดอกกุหลาบไว้ให้กูด้วยนะ ไปล่ะ”

“จะเอาไปให้พี่ท๊อปเหรออออ” ผมตะโกนแซ็วไล่หลัง

“พูดมาก” พี่แกก็ยังไม่วายที่จะตะโกนกลับมาทั้งๆที่เดินออกไปแล้ว



ผมกลับมานั่งตัดหลาบกุหลาบต่อ พร้อมกับผูกริบบิ้นทีละดอกๆ



เฮ้อออออออออออออออ

เอาจริงๆนะ ตอนนี้บอกอารมณ์ตัวเองไม่ถูกเลย เคยคิดว่าช่วงปีหนึ่งยากแล้ว แต่การเป็นพี่ลีดที่มีคุณสมบัติไม่ครบแบบนี้ ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรยังไงก็ไม่รู้ กับอีแค่ปั๊มตรายางให้เด็กปีหนึ่งสักคนยังทำไม่ได้เลย



ไม่นานเพลงมาร์ชมหาวิทยาลัยก็ดังขึ้น อันเป็นสัญญาณว่าใกล้ช่วงปล่อยปีหนึ่งไปตามคณะแล้ว งานจัดเตรียมดอกกุหลาบของผมกับอิเจสซี่ก็เสร็จพอดี



“กูไปเข้าห้องน้ำแป๊บนะมึง” ผมบอกอิช้างก่อนจะเดินคอตกออกไปนอกห้อง ตรงดิ่งไปที่ห้องน้ำ

รู้สึกเหมือนเดจาวูเลย อ้อ จำได้แล้ว ปีที่แล้วกูก็เดินมาล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำพร้อมกับอารมณ์เซ็งๆแบบนี้นี่หว่า เพียงแต่ว่าปีที่แล้วเซ็งเพราะไม่มีใครปั๊มตราลีดให้ ส่วนปีนี้เซ็งเพราะปั๊มตราลีดให้คนอื่นไม่ได้ อนาถจริงชีวิตกู

ในขณะที่ผมกำลังเดินกลับไปที่ห้องพักผู้นำเชียร์ สายตาก็เหลือบไปเห็นช่องทางเดินเล็กๆที่นำไปยังด้านหลังของโดม อดขำไม่ได้สักที ก็เพราะปีที่แล้วผมเคยแอบเข้าไปในช่องนี้แล้วเต้นเพลงมาร์ชมหาวิทยาลัยเพียงเพราะอยากระบายความเซ็งที่ไม่โดนประทับตรายางจากพวกพี่ลีด แต่ดันไม่ดูตาม้าตาเรือ ไปเต้นโชว์ให้พี่ท๊อปดูซะได้

ผมเดินเข้าไปในช่องทางเดินนั้นโดยอัตโนมัติ อยากรู้ว่าหนึ่งปีผ่านไป สภาพของด้านหลังจะยังเป็นเหมือนเดิมไหม ก็แอบคิดถึงหน่ยๆ

หวังว่ากูจะไม่เจอใครมาเต้นบ้าๆแบบผมอยู่ตรงนั้นนะ



หึ!

หือออออออ

เห้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

ผมแทบจะตาค้างเมื่อเห็นว่ามีคนมาเต้นท่ามาตรฐานเพลงมาร์ชมหาลัยอยู่ตรงนี้จริงๆ



เขาคือเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ผมไม่เห็นหน้าเพราะเขาหันหลังอยู่ แต่วิธีการเต้นแบบนี้ก็บอกได้เลยว่าฝึกมาด้วยตัวเองแน่นอน เสี้ยววินาทีหนึ่งที่ผมเหมือนจะเห็นภาพตัวเองในอดีตกำลังยืนเต้นอยู่ตรงนั้น เหมือนมีเงาของผมครอบร่างของเด็กคนนั้นอยู่เลย นี่เหรอ มุมมองของคนที่มองเห็นความพยายามของคนๆหนึ่งอยู่เบื้องหลัง พี่ท๊อปจะรู้สึกแบบที่ผมรู้สึกอยู่ไหมนะ



.......ให้คำมั่นสัญญา ว่าจะเป็นคนดี บัญฑิตศรีแห่งรั้วมัณฑนา

เพลงจบโดยที่ผมยังยืนช็อกอยู่เลย



#เสียงโทรศัพท์

จู่ๆ เสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น ปลุกให้ทั้งผมและเด็กหนุ่มที่เต้นอยู่เบื้องหน้ามีสติกลับขึ้นมา เด็กปีหนึ่งคนนั้นหันหลังมาแล้วตาค้างทันทีที่เห็นผมยืนอยู่ แต่ผมยังไม่มีเวลาคุยด้วย เพราะต้องรับโทรศัพท์ก่อน

“ฮัลโหล”

“ฮัลโหลชา อยู่ไหนครับ” พี่ตองนั่นเอง ผมไม่ทันได้มองดูเลยว่าเป็นพี่ตองที่โทรมา

“อยู่... เอ่อ... หลังโดมรวมใจ”

“ไปอยู่อะไรตรงนั้น”

“ก็....”

“ช่างมันเถอะ เดี๋ยวพี่ไปหานะ รออยู่ตรงนั้นแป๊บเดียว”

ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด

จะรีบวางไปไหน



“พ...พี่น้ำชา” เด็กหนุ่มตรงหน้าของผมเอ่ยขึ้นทันทีที่โทรศัพท์ของผมถูกเก็บ

ผมค่อยๆ มองหน้าเขา และอ่านป้ายชื่อ อะตอม ป้ายสีชมพู แปลว่าเป็นเด็กคณะวิทย์ซินะ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีเด็กคณะวิทย์ที่มีความคิดบ้าๆอยู่ถึงสองคนซึ่งมาเต้นตรงนี้ในวันและเวลาเดียวกัน

“ม...มาแล้วเหรอครับ”

ห๊ะ “มาแล้ว?” เมื่อกี้ไอ้น้องคนนี้มันพูดว่ามาแล้วใช่ไหม ผมว่าผมฟังไม่ผิดนะ

“ครับ” เด็กที่ชื่ออะตอมตอบ “ผมเต้นรอที่มาสิบกว่ารอบแล้ว”

“สิบกว่ารอบ!!” เดี๋ยวๆๆๆ เดี๋ยวนะ ถึงว่าซิ หน้าตานี่เหงื่อย้อยเชียว แต่... “รู้ได้ไงว่าพี่จะมานี่”

“ผมชื่ออะตอมครับ อยู่คณะวิทย์ เอกชีวะ”

“โอเค แล้วสรุปว่ารู้ได้ยังไงว่าพี่จะมายืนอยู่ตรงนี้”

“คือผม.... เอ่อ.... ผมศึกษาเรื่องของพี่มาน่ะครับ พี่ท๊อปเคยเล่าเอาไว้ในรายการหนึ่งของเกาหลีเมื่อเดือนก่อน เห็นพี่เขาเล่าถึงเหตุการณ์นี้ด้วย แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าจุดที่พี่น้ำชามาแอบเต้นใช่ตรงนี้จริงๆหรือเปล่า ก็เลยลองเสี่ยงเต้นไปเรื่อยๆดู”

พี่ท๊อปพูดถึงเรื่องนี้จริงเหรอ หรือว่าจะเป็นสัมภาษณ์ที่พี่บุ๋นเล่าให้ฟังเมื่อกี้ “แล้วทำไมถึงต้องอยากอยากหน้าพี่ด้วยล่ะ”

“ก็.... เหมือนกับทุกคนนั่นแหละครับ ผมเองก็อยากได้รับตราประทับของลีดมอมัณฑนาเหมือนกัน แต่.... ผมคิดว่ารูปลักษณ์ของผมคงจะเข้าตารุ่นพี่ได้ยาก ถ้าเป็นพี่น้ำชา ถ้าเป็นพี่อาจจะมองข้ามเรื่องนี้แล้วก็มองเห็นความพยายามของผมก็ได้ ผมก็เลยมาเต้นตรงนี้ไปเรื่อยๆ หวังว่าพี่จะบังเอิญอยากกลับมาดูสถานที่ที่พี่เองก็เคยพยายามมาก่อน”

มีอะไรที่สามารถทำให้กูอึ้งได้มากกว่านี้อีกไหม จัดมาเลย รู้สึกจะเจอแต่เรื่องกระแทกใจทั้งวันเลย

“แล้วทำไมถึงอยากเป็นลีดขนาดนั้นล่ะ” คือผมไม่ได้จะหมายถึงว่าน้องมันหน้าตาไม่ดีนะ เอาจริงๆ น้องมันก็หน่วยก้านใช้ได้นะ ไม่ได้สูงเด่นแต่ก็รับรองว่าไม่จมหายไปในหมู่เพื่อนผู้ชายรุ่นเดียวกันแน่นอน ผิวอาจจะไม่ขาวเท่าผม แต่สีผิวน้ำตาลอ่อนๆนี่ก็มีเสน่ห์ไม่น้อย ส่วนหน้าตาที่บอกว่าไม่มั่นใจก็ไม่เห็นด้วยอย่างแรง ถึงจะไม่ได้ดูดีแบบกระแสนิยม แต่ก็เป็นหนุ่มหน้าไทยหวานๆ ที่น่ามองพอสมควร

“ผมอยากได้ทุนน่ะครับ” น้องตอบ

“ทุน? อ๋อ” ใช่ซินะ ปีนี้ทางบริษัท T-Queen World Wide บริษัทด้านสื่อแฟชั่นของแม่ผมร่วมกับ KTYC บริษัทเรือขนส่งสินค้าของพ่อพี่ตอง จัดแคมเปญพิเศษที่จะมอบทุนเรียนฟรีให้กับนิสิตชายหญิงอย่างละหนึ่งคนที่สามารถเข้าคัดเลือกจนเป็นผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัยและได้รับคัดเลือกให้เป็นเซ็นเตอร์(ตำแหน่งกลาง) แถมยังได้เป็นแบรนด์แอมบัสเดอร์ของนิตสารในเครือตลอดหนึ่งซีซั่น ได้ทั้งทุนเรียนฟรีและเงินสดอีกก้อน “นี่ซินะเหตุผล”

“ค...ครับ”

“ศึกษามาดีเหมือนกันนิ”

“บ้านผมค่อนข้างฐานะไม่ดี แล้วผมเองก็ไม่ได้เรียนเก่งขนาดที่จะไปสอบชิงทุนได้ ก็เลยต้องพยายามศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับทุนที่ใช้ความสามารถด้านอื่นๆมาช่วยน่ะครับ”

“เปล่า พี่ไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น พี่หมายถึงศึกษาเรื่องลีดมาดีนิ สำหรับคนที่ฝึกเอง พี่ขอชมว่าทำได้ดีมาก”

“อ๋อ ขอบคุณครับพี่ ว่าแต่มัน... ดีพอที่ผมจะได้รับตรา...”



“เจอแล้ว อยู่นี่เอง” การสนทนาถูกแทรกขึ้นมา พี่ตองนั่นเอง “แล้วนี่ใครเนีย”

“สวัสดีครับพี่ตอง ผมชื่ออะตอมครับ เป็นรุ่นน้องจากคณะวิทยาศาสตร์ครับ” โอ้โห พูดอย่างกับซ้อมมาเป็นอย่างดี

“แล้ว...?” พี่ตองหันหน้ามาถามผม

“ก็เป็นรุ่นน้องที่ชากำลังจะปั๊มตราลีดให้ไง” ผมตอบยิ้มๆ ส่วนไอ้น้องอะตอมอะเหรอ ยิ้มกว้างจนปากแทบฉีก

“งั้นเหรอ” พี่ตองเลิกคิ้วมอง “ถ้างั้นพี่มีอีกคนมาให้ชาปั๊มให้ด้วย ออกมาเร็ว”

“อ้าว น้อง...” ผมร้อง ก็ไอ้เด็กคนที่หลบอยู่หลังพี่ตองก็คือเด็กคนแรกที่ผมคิดจะประทับตราให้ แต่ก็ปฏิเสธเสียงแข็งไปแล้วนี่นา แถมยังพูดถึงขั้นว่าจะไปลาออกด้วยซ้ำ

“สวัสดีครับพี่” น้องแทนยกมือไหว้ผม ทำไมท่าทีดูเปลี่ยนไปจัง

“แล้ว... สรุปว่าน้องอยากเป็นผู้นำเชียร์แล้วเหรอ ไหนบอกว่าไม่อยากเสียเวลาเรียนไง” ผมถาม

“ก็กล่อมอยู่นานเหมือนกัน” พี่ตองเป็นคนตอบ “แต่พอบอกว่าปีที่แล้วมีพี่ลีดคนนึงที่เป็นถึงเด็กอัจฉริยะระดับประเทศ น้องมันก็เลยยอมกลับมา”

“ผมกลับมาเพราะเรื่องทุนเรียนฟรีต่างหากละพี่” ไอ้น้องแทนรีบแก้ต่าง แต่ก็มีท่าทีเขินๆ สรุปว่าเพราะเรื่องทุนหรือเพราะเรื่องของผมกันแน่นะ

“เอาเถอะ ไปขอตราประทับจากพี่น้ำชาไป” พี่ตองดันน้องให้มาหาผม

“เอาจริงดิ” ผมหันไปหาพี่ตอง พี่ตองแค่พยักหน้า “โอเค งั้นน้องอะตอมกับน้องแทนครับ รบกวนยื่นป้ายชื่อขึ้นมาให้พี่หน่อย”

ทั้งสองยื่นป้ายขึ้นมาตรงหน้าตัวเอง



เกร็ก  เกร็ก

เรียบร้อย

นึกว่าจะไม่ได้ประทับตราให้ใครซะแล้ว แต่พอมาก็มาทีเดียวสองคนเลย ค่อยรู้สึกมีคุณค่าหน่อย

“เจอกันที่คณะนะ” ผมบอก

“ครับ/ครับ” ทั้งคู่ตอบรับ

“งั้นก็กลับเข้าไปในโดมได้แล้ว เจ้าหน้าที่จะปล่อยให้พักเที่ยงแล้ว”

“ขอบคุณครับพี่น้ำชา ขอบคุณมากนะครับ” “ขอบคุณครับ” ทั้งสองจากไป



“ถามจริง ที่หายไปทำธุระมา ไปกล่อมไอ้น้องแทนนั่นมาใช่ไหม” ผมถามทันทีที่เหลือผมกับพี่ตองแค่สองคน

“ฉลาดเหมือนเดิมเลยนะแฟนพี่” ดูมันตอบ

“ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย น้องมันไม่อยากเป็น ถึงกล่อมมาวันนี้ได้ ก็ไปต่อยากอยู่ดี เรื่องแบบนี้มันต้องใช้แรงบันดาลใจเยอะนะ”

“เหมือนที่ชามีแรงบันดาลใจที่อยากอยู่ใกล้ๆ พี่อ่ะเหรอ”

“......” ไม่ต้องมาหยอดกูเลย

“ก็พี่เห็นว่าชาเสียความมั่นใจเพราะเด็กคนนั้นไง พี่ก็เลยไม่อยากให้แฟนพี่ผิดหวัง เดี๋ยวก็จะคิดมากว่าตัวเองทำให้เด็กคนนั้นต้องลาออกจากมหาลัยอีกอ่ะ พี่รู้นะว่าชาแคร์ความรู้สึกของคนรอบข้างมากแค่ไหน”

“ถ้าแค่นั้น ก็แค่กล่อมให้ไม่ต้องลาออกก็พอนี่นา ไม่เห็นจะต้องถึงขั้นให้ปั๊มตราให้เลย”

“อย่าลืมซิครับ พี่เองก็เป็นลีดมหาลัยเหมือนกันนะ เด็กคนนั้นอ่ะมีของ มีพรสวรรค์ แค่ยังไม่รู้ตัวเอง พี่รู้สึกได้ น้องเค้าแค่ต้องการคนสอนเก่งๆอย่างแฟนพี่เท่านั้นเอง”

“แหวะ ยังจะมาพูดอีก”

“พี่ชมแฟนตัวเอง ผิดตรงไหนครับ ว่าแต่ชาเถอะ น้องคนที่ชื่ออะตอมนั่น คิดดีแล้วเหรอที่ปั๊มตรายางให้”

“ก็ถ้าคนของพี่ตองมากับพรสวรรค์ คนของชาก็มากับพรแสวงเหมือนกัน” ผมตอบก่อนจะเดินออกไปจากตรงนั้น

“ไม่ใช่คนของพี่ซะหน่อย พี่แค่ช่วยกล่อมไม่ได้แปลว่าเป็นคนของพี่นะ ยังไงชาก็เป็นคนเจอเด็กคนนั้นก่อนไม่ใช่หรือไง....” แล้วพี่แกก็พยายามแก้ตัวไปเรื่อยๆ ก็ไม่ได้ว่าอะไรซะหน่อย ชอบทำเป็นเรื่องใหญ่ทุกทีเลยเวลาที่ผมพูดอะไรแนวนี้



กับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น สำหรับผมอ่ะ ก็แค่ปลื้มใจที่ได้ทำหน้าที่ของรุ่นพี่ผู้นำเชียร์ แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่า กับเด็กสองคนนั้น เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้......







........จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิต
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER ภาค 2 [เชียร์ฝันสนั่นหัวใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 07-08-2018 22:42:31
ต่ออออ ขอยาวๆๆๆ
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER ภาค 2 [เชียร์ฝันสนั่นหัวใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: NunanNunan ที่ 08-08-2018 01:54:30
 :z1: :z1:  รอค่ะ คิดถึงพี่ตองน้องน้ำชา
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER ภาค 2 [เชียร์ฝันสนั่นหัวใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: netich ที่ 08-08-2018 03:34:24
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER ภาค 2 [เชียร์ฝันสนั่นหัวใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 08-08-2018 06:55:48
มาต่อแล้ว   ชอบบบบบบบบบบ   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

พี่ตอง  น้ำชา   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 2 [อุทกภัย Part 1]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 09-08-2018 13:08:45
​ตอนที่ 2 : อุทกภัย









“มึงจะให้ดอกกุหลาบใครวะ” ไอ้ต้อมถามผม หลังจากที่กลุ่มผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยมายืนรอน้องปีหนึ่งได้สักพัก พวกเขากำลังถูกปล่อยออกจากโดมรวมใจเพื่อไปที่คณะของตนเอง

“ก็ไม่รู้ดิ” ผมตอบ ผมไม่มีใครในหัวเลย “แล้วมึงอ่ะ”

“กูมีแล้ว”

“ใครวะ”

“เดี๋ยวมึงก็รู้... ว่าแต่พี่ตองของมึงไปไหนซะแล้วล่ะ”

“ไปคณะสังคมแล้ว พี่ตองต้องไปช่วยคัดตัวให้ลีดสังคม”

“อ้าว ไม่ได้ไปช่วยที่คณะมึงเหรอ”

“กูเสนอเองแหละ ไม่อยากให้เป็นข้อครหาว่าใช้พวกเดียวกัน”

“ผัวเออออตามเมียงี้เหรอ”

“ไอ้สัด” ผมยื่นมือไปกะจะตบเกรียนไอ้เวรต้อม แต่เดี๋ยวนี้มันเร็วขึ้นจริงๆ คว้ามือผมไว้ได้ทันตลอด “จากที่ดูวันนี้ก็พอจะเดาได้แล้วล่ะว่าเรื่องของกูกับพี่ตองคนรู้เยอะแค่ไหน ก็เลยคิดว่าไม่เอามาตัดสินร่วมกันดีกว่า พี่ตองก็เลยขอร้องให้พี่เก้อมาที่คณะวิทย์แทน แล้วของมึงอ่ะ ได้พี่ปีสามคนไหนไปช่วย”

“พี่แอมคณะมึงนั่นแหละ.... เฮ้ยๆ น้องมากันแล้ว”



มีเด็กปีหนึ่งมากมายเดินออกมาจากโดมรวมใจอย่างเป็นระเบียบ แต่ระเบียบนั้นก็พังทันทีที่เด็กๆ เดินผ่านกลุ่มของลีดมอ ทุกคนพยายามออกจากแถวและเดินเบียดมาใกล้กับพวกผม คงหวังจะได้ดอกกุหลาบจากพวกผู้นำเชียร์ละมั้ง

ผมรู้สึกเกร็งๆยังไงก็ไม่รู้ ไม่รู้จะยื่นให้ใครดี สายตาของน้องๆแต่ละคนนี่แทบจะกระโดดงับดอกกุหลาบเพียงดอกเดียวที่อยู่ในมือของผมอยู่แล้ว



“เห้ย โซนิค ทางนี้ๆ” เสียงไอ้ต้อมดังขึ้นมาอีกครั้ง มันกำลังทักทายเด็กหนุ่มปีหนึ่งตัวสูงคนหนึ่ง ก่อนจะยื่นดอกกุหลาบของมันให้เด็กคนนั้น

“อ้าวโซนิค มาเรียนที่นี่เหรอ” จู่ๆ น้ำขิง(ลูกพี่ลูกน้องของผม)ก็โผล่เข้ามาจากหลังไอ้ต้อมและทักทายเด็กคนนั้น รู้จักกันด้วยเหรอวะ

“พี่น้ำขิงหวัดดีครับ” เด็กหนุ่มคนนั้นตอบ เด็กคนนี้ตัวสูงกว่าไอ้ต้อมซะอีก แถมยังดูเหมือนพวกนักเล่นกล้ามหน่อยๆด้วย ป้ายสีม่วงก็แสดงว่าเป็นเด็กสังคมซินะ เอ๊ะ มีตราปั๊มลีดมอซะด้วย แต่ก็ไม่แปลกใจหรอก หน้าตาหล่อโดดเด่นซะขนาดนี้ น่าจะดูดีพอๆกับเด็กคนที่ชื่อแทนเลยแหละ

“เดี๋ยวๆ กูพี่มึงนะ ไม่คิดจะหวัดดีกูหน่อยเหรอ” ไอ้ต้อมเอ็ดขำๆ

“ก็หวัดดีไปแล้วไงพี่ ตอนที่พี่ปั๊มตราลีดให้ผมไง” อ๋อออออ ไอ้ต้อมปั๊มให้นี่เอง “แต่ผมเพิ่งเจอพี่น้ำขิง ก็ต้องหวัดดีดิพี่ พี่สะใภ้ของผมทั้งคนนะ”

เอิ่มมมมม กูจะอึ้งกับตรงจุดไหนดีล่ะ นิสัยพูดตรงนี่เหมือนไอ้ต้อมไม่มีผิด มันสองคนเป็นพี่น้องกันจริงหรือเปล่าหว่า

“นี่ๆ กูมีคนจะแนะนำให้รู้จัก” ไอ้ต้อมผายมือมาที่ผม “นี่เพื่อนสนิทกูชื่อช....”

ผมมองแรงไปที่ไอ้ต้อมทันที แนะนำกูดีๆนะมึง

“เอ่อ... ชื่อน้ำชา เป็นลูกพี่ลูกน้องกับน้ำขิง ไอ้ชา นี่ลูกพี่ลูกน้องของกู ชื่อโซนิค”

“หวัดดีคร...” โซนิคตกใจเล็กน้อยที่เห็นหน้าผม ก่อนจะสลับมองหน้าผมกับน้ำขิงไปมา “หน้าพี่สองคนเหมือนกันเลย”

“ใครๆก็พูดแบบนี้ทั้งนั้นแหละ” ผมตอบ ก่อนจะหันไปหาไอ้ต้อม “มึงไม่เห็นบอกว่ามึงมีลูกพี่ลูกน้องด้วย”

“อ้าว ทีมึงยังไม่บอกเลยว่ามึงมีลูกพี่ลูกน้อง แถมยังหน้าตาเหมือนกันด้วย” ไอ้ต้อมตอบกลับ

“แล้วกูจะไปเล่าให้มึงฟังทำไม มึงไม่ได้ถามนิ”

“มึงก็ไม่ได้ถามกูเหมือนกัน... ไอ้โซนิคมันเรียนอยู่ต่างจังหวัด แต่ก็ไปๆมาๆบ้านกูตลอด ก็เลยรู้จักน้ำขิง กูก็เพิ่งรู้ไม่นานนี่เองว่ามันมาเรียนที่นี่”

“เหรอ” ผมตอบ แล้วหันกลับไปหาญาติของมัน “ยินดีที่ได้รู้จักนะโซนิค มีปัญหาอะไรก็ปรึกษาพี่ได้นะ”

“ได้เหรอครับ” โซนิคร้องทันที

“ถ้าไม่ใช่เรื่องเงินอะนะ” ผมหัวเราะ

“งั้นผมขอ....”

“เห้ยๆ ไปก่อนๆ คนเริ่มเยอะแล้ว ไว้ค่อยคุยกันวันหลัง” ไอ้ต้อมไล่ญาติของมันเพราะการจราจรบริเวณนั้นเริ่มหนาแน่นแล้ว “เดี๋ยวกูโทรหานะ เร็วดิ รีบออกไป คนเยอะ”

“งั้นไว้เจอกันใหม่นะพี่” โซนิคโดนฝูงผู้คนดันออกไป



“เป็นไงลูกพี่ลูกน้องของกู” ไอ้ต้อมถามผม

“เป็นไงอะไรวะ?” ผมไม่เข้าใจ

“หล่อสู้กูได้ปะ มึงว่าปีนี้นามสกุลอาจแผ่นดินของกูจะคว้าตำแหน่งเดือนมหาลัยมาได้อีกไหมวะ”

“มึงคิดอะไรของมึงเนีย โห๊ะ” ผมส่ายหน้า ระหว่างนั้นก็เจอเด็กหนุ่มคุ้นหน้าเดินมาในความวุ่นวาย “ก็ไม่แน่นะ ถ้ามีเด็กคนนี้เป็นคู่แข่ง แทน แทน”

ผมเรียกแทนเด็กจากคณะของผม คนที่ผมเพิ่งจะประทับตราให้ไปเมื่อสายๆของวันนี้ และพยายามยื่นดอกกุหลาบให้

“เป็นไรอ่ะ อยู่ดีๆ ก็ไม่พอใจเราซะงั้น” อ้าว ไอ้น้องแทน ไม่คิดจะสนใจมองดอกกุหลาบที่กูยื่นให้เลยรึไง แล้วนั่นคุยอยู่กับใครวะ...? อ้อ น้องอะตอมนั่นเอง รู้จักกันแล้วเหรอ

“พี่น้ำชายื่นดอกกุหลาบให้น่ะ รับดิ” ไอ้น้องอะตอมเตือนเพื่อน แต่ดูสีหน้าไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ ก่อนจะเดินหน้ามุ่ยออกไป

“ข....ขอบคุณครับพี่” แทนรีบรับและวิ่งออกไป โดยที่ผมได้แค่อ้าปากค้าง ไม่ทันจะได้พูดอะไรเลย



“น้องคณะมึงเป็นไรมากเปล่าวะ” ไอ้ต้อมถามงงๆ “ทะเลาะกันตั้งแต่วันแรกเลยเหรอ แล้วนี่ดอกกุหลาบจากลีดมอเชียวนะ ทำอย่างกับรับน้ำตอนวิ่งมาราธอน”

“นั่นดิ” ผมเห็นด้วย

“เหมือนน้องคนนั้นจะไม่ค่อยพอใจที่ชายื่นดอกกุหลาบให้น้องอีกคนนะ” ขิงแทรกขึ้นมาอีกครั้ง “ขิงเห็นสายตาของน้องเค้าจ้องชามาแต่ไกลแล้ว”

หึ จริงดิ

หรือว่าจะจริงวะ ไอ้น้องอะตอมมันยิ่งมีความหลังเกี่ยวกับเรื่องผมอยู่ด้วย ถ้าเกิดว่าเป็นอย่างที่ขิงบอกจริงก็แสดงว่าผมทำให้น้องมันผิดหวังซินะ คือที่ผมเข้าใจความรู้สึกก็เพราะเมื่อปีที่แล้วผมเองก็จ้องดอกกุหลาบของพี่ตองเหมือนกัน

“มึง ไอ้ต้อม พากูไปซื้อดอกกุหลาบหน่อยดิ” ผมขอร้องไอ้ต้อม

“ขนาดนั้นเลยเหรอวะ” ไอ้ต้อมเข้าใจทันทีว่าผมอยากได้ดอกกุหลาบไปให้น้องอะตอม

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวขิงไปเอาตรงฝั่งของพี่เชียร์ให้ ยังไม่หมดหรอก” ขิงอาสา

“ไม่ต้องหรอกขิง” ผมห้ามไว้ก่อน “ชาอยากได้ที่มันแตกต่างหน่อย”

“เอางั้นเหรอ”

“ใช่... ไปไอ้ต้อม หมดหน้าที่ของเราตรงนี้แล้ว พากูไปซื้อดอกกุหลาบหน่อย”

ผมกับไอ้ต้อมและขิงออกมานอกมหาลัยเพื่อหาซื้อดอกกุหลาบที่ร้านดอกไม้ใกล้ๆ ตอนแรกว่าจะซื้อเป็นช่อ แต่นั่นคงเว้อร์เกินไป เอาเป็นแค่ดอกกุหลาบสีขาวละกัน จะได้ดูแตกต่างหน่อย



“ฮัลโหล มึงอยู่ไหนอิชา” อิช้างนั่นเองที่โทรมาหาผม

“กำลังจะถึงคณะแล้ว” ผมตอบ “กูออกไปซื้อของนิดหน่อย”

“เออ รีบๆมานะมึง ใกล้ถึงคิวลีดคณะขึ้นเวทีแล้ว”

“โอเคๆ”



หลังจากวางสายไม่ถึงห้านาที ไอ้ต้อมก็ขับรถมาส่งผมที่คณะวิทยาศาสตร์ แล้วตัวมันเองก็ต้องตรงดิ่งไปที่คณะสถาปัตย์ของมัน

ผมรีบเดินเข้าไปยังโถงกลางของคณะซึ่งกำลังมีการแนะแนวจากเจ้าหน้าที่บนเวที บรรยากาศเหมือนกับปีที่แล้วเลย



เสี้ยววินาทีที่กำลังเดินอยู่นั้น หางตาก็ได้เห็นน้องอะตอมนั่งอยู่แถวริมสุดซึ่งผมเดินผ่านพอดี ดูเหมือนว่าไอ้น้องแทน(ไม่รู้อะไรดลจิตดลใจให้ผมใส่คำว่าไอ้กับเด็กคนนี้เหมือนกัน)จะยังพยายามคุยกับน้องอะตอมอยู่นะ ถึงแม้ว่าจะได้รับการห้อมล้อมจากคนรอบข้างที่สนใจในป้ายชื่อที่มีตราประทับก็ตาม



“อะตอม” ผมหยุดและเรียกน้องอะตอมทันที

“ค...ครับ” อะตอมเงยหน้ามามองผมอย่างงงๆ

“อะนี่ พี่ให้” ผมยื่นดอกกุหลาบสีขาวหนึ่งดอกในช่อตกแต่งเล็กๆ ให้



หึยยยยยยย

เกิดเสียงขึ้นทันที

อะไรวะ เด็กปีหนึ่งเป็นไรกัน

แล้วผมก็ได้คำตอบเมื่อเห็นว่าทุกคนมองมาที่ผม

เดี๋ยวๆๆๆ กูไม่ได้คิดอะไรกับน้องมันนะ แค่ให้เป็นน้ำใจเฉยๆ ชิบหายละกู รู้งี้แอบเอาไปให้ที่อื่นที่เป็นส่วนตัวกว่านี้ดีกว่า ไม่น่าเลยกู น่าจะฉุกคิดนิดนึง

“ขอบคุณมากครับพี่น้ำชา” แต่น้องอะตอมไม่มีเขินอายเลย รีบคว้ากุหลาบไปทันที “จริงๆ พี่ไม่ต้องให้ผมก็ได้นะครับ แค่ปั๊มตราลีดให้ก็ไม่รู้จะขอบคุณยังไงแล้ว”

“อ...เออ” ตอบไงดีวะกู “พี่เอามาปลอบใจเฉยๆ เพราะเดี๋ยวต่อไปถ้าน้องผ่านเข้าไปเป็นลีดคณะได้จริงๆ รับรองว่ามีเหนื่อยจนอยากลาออกแน่”

“ไม่หรอกครับ ผมจะอดทนครับ”



“คราวนี้ก็ได้เหมือนกันแล้วนะ” ไอ้น้องแทนแทรกขึ้นมา “หายเคืองเราแล้วใช่ไหม”

“อืม”

ไอ้สองคนนี้นี่มันอะไรกันวะ

“เอ่อ พี่ขอตัวแล้วนะ” ผมเอ่ย “ต้องขึ้นเวทีแล้ว”

“ครับ ขอบคุณอีกครั้งนะครับ”

แล้วผมก็เดินไปรวมกับเพื่อนลีดคณะที่ด้านข้างของเวที



“เนี่ยอะเหรอของที่มึงไปซื้อ” อิช้างเจสซี่ถามผมทันที มันยืนอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย

“เออ” ผมตอบ “กูก็ให้เป็นน้ำใจเฉยๆ”

“เดี๋ยวนี้นายแม่ของเรามีซื้อดอกไม้ให้ผู้ด้วยเนาะ” นี่คืออิเล็กครับที่กำลังเอ่ยแซ็วผม หนึ่งในสามแก็งนางฟ้า(เจสซี่ เล็ก วาวา)เพื่อนสนิทในเอกของผม “อะไรยังไงค่ะ แล้วเอาเจ้าชายตองไปไว้ไหน”

“พูดมากนะอิเล็ก” พวกมึงนี่มันปากมากจริงๆ “กูก็พูดอยู่นี่ไงว่าให้เป็นน้ำใจเฉยๆ ตอนนั้นกูมีแค่ดอกเดียวก็เลยให้ได้แค่คนเดียว”

“แล้วอีกคนที่ให้คือใครเหรอ” วาวา จำเป็นต้องอยากรู้อีกคนไหมเนี่ย

“ก็น้องคณะเรานี่หลัก ที่ชื่อแทนอ่ะ” ผมตอบผ่านๆ

“น้องแทนที่มีข่าวว่าจะเป็นสามีแห่งชาติคนใหม่อะเหรอ” วาวาร้อง สามีแห่งชาติอะไรวะ

“อ๋อ น้องสองคนที่มึงปั๊มตราลีดสีเงินให้อะนะ” เดี๋ยวๆ อิเล็กรู้เรื่องนี้ได้ไง

“มึงรู้ด้วยเหรอว่ากูปั๊มตราให้ใครบ้าง” ข่าวมันไวขนาดนี้เลยเหรอ

“รู้ซิค่ะ” อิเล็กตอบ ทำปากเหมือนเป็นเรื่องสำบัดสำคัญ “ปีนี้ตราประทับสีเงินของมึงเนียดังสุดเลยรู้ไหม ได้ยินมาว่าปั๊มให้เด็กปีหนึ่งแค่สองคนไม่ใช่เหรอ แถมเป็นเด็กคณะเราด้วย มาตรฐานสูงนะมึงอ่ะ”

“แน่นอน ผู้นำเชียร์ที่กูเป็นบัดดี้ให้ก็ต้องคัดเลือกแต่คนที่มีคุณภาพอยู่แล้ว” แหมอิช้าง มึงก็กล้าโอ้อวดเนาะ รู้อยู่เต็มอกว่าไม่ใช่แบบนั้นเลย



“อะไรกัน หาว่าเราคัดคนไม่มีคุณภาพมาเหรอ” นั่นไงอิช้าง โดนเกตุแขวะจนได้ ถึงจะแค่ขำๆก็เถอะ นี่คือเกตุเพื่อนลีดจากเอกชีวะวิทยา แถมยังเป็นถึงประธานลีดมหาลัยด้วย จริงๆตำแหน่งนี้เพื่อนๆโหวตให้ผม แต่ผมเชื่อในฝีมือของเกตุมากกว่าและที่สำคัญผมยังต้องมารับหน้าที่ประธานลีดของคณะอีก ก็เลยให้เกตุดำรงตำแหน่งประธานของผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยดีกว่า

“ว๊าย เปล่านะเกตุ เราแค่...” อ้าวๆ อิช้าง ดูซิจะแก้ตัวยังไง ตอนพูดละทำชูคอ

“ล้อเล่น” เกตุขำเล็กน้อย “แต่เกตุก็อยากรู้เหมือนกันว่าชาหายไปไหน ทำไมไม่เห็นอยู่ในโดมเลย”

“มีธุระนิดหน่อยน่ะ” ผมโกหก ไม่อยากเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเท่าไหร่นัก “ส่วนปีหนึ่งสองคนนั้นที่ได้ตราปั๊มจากเราเพราะว่าเราเจอน้องอยู่นอกโดมพอดี”

“อ๋อ แบบนี้เอง” เกตุคลายสงสัย แต่เหมือนเธอยังมีบางอย่างอยากพูด

“มีอะไรหรือเปล่า” ถามไปเลยดีกว่า

“มีเรื่องพูดถึงชาแปลกๆอ่ะ” หึ!? “ไม่รู้ใครปล่อยข่าวว่าชาลำเอียง ไม่ยอมคัดเลือกลีดให้กับคณะอื่น คงจะคิดกันประมาณว่า ชาหวังไปถึงการแข่งสปีริดเชียร์อะไรอย่างนั้น ถ้าเกิดช่วยคัดคนของคณะอื่นก็จะเป็นการเพิ่มคู่แข่งให้กับคณะวิทย์”

“ใครมันบ้าคิดแบบนั้น” ผมแทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน “เราจะตัดคู่แข่งทำไม สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะคณะไหน มันก็ต้องไปคัดลีดมออยู่ดีนั่นแหละ”

“เราก็เชื่อว่าชาไม่น่าจะเป็นคนแบบนั้น ยิ่งมาได้ฟังเหตุผลแล้วก็เลยเข้าใจว่าไม่ว่าง เราก็แค่มาเล่าให้ฟัง อย่าไปคิดมากเลย พี่ท๊อปเองไม่ยิ่งกว่าชาอีกเหรอ ปั๊มให้แค่ปีละคนเอง... เกตุว่าชามาสนใจเรื่องที่จะต้องพูดบนเวทีก่อนดีกว่า ประธานลีดต้องเป็นตัวแทนกล่าวต้อนรับนะ”

ก็เล่นพูดมาแบบนี้ ใครมันจะไม่คิดมากล่ะ โอ๊ะ ช่างแม่ง สนใจเรื่องตรงหน้าก่อนละกัน



“และคนกลุ่มต่ไปที่จะมากล่าวทักทายน้องๆ นะคะ ขอเสียงปรบมือต้อนรับพี่ๆ ผู้นำเชียร์คณะวิทยาศาสตร์ด้วยค่าาาาาาาาาาาาาา”



ก็มีเสียงกรี๊ดตามเคยนั่นแหละ



ผมและเพื่อนๆทั้งสิบสองคนขึ้นสู่เวทีอย่างเป็นระเบียบ ทุกคนยืนในตำแหน่งของตัวเองอย่างรู้งานโดยไม่ได้นัดแนะกันมากนัก ส่วนผมก็ถือไมโครโฟนยืนอยู่หน้าสุดของทุกคน



“สวัสดีน้องๆทุกคนนะครับ”

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

เอิ่มมมมม ใจเย็นไหมน้องๆ พี่ยังไม่ทันจะพูดอะไรเลย



“พี่ชื่อ.... (แนะนำว่าไงดีวะ).... น้ำชานะครับ”  เอ๊า! แล้วทำไมกูถึงเลือกที่จะเรียกแทนตัวเองแบบนี้วะ สงสัยจะเพี้ยนเพราะความตื่นเต้นที่ต้องมาพูดจริงๆจังๆต่อหน้าคนเยอะๆ “ตัวแทนของผู้นำเชียร์คณะวิทยาศาสตร์ของเรา”

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

กรี๊ดอีกแล้วเหรอ



“ก็...ขอกล่าวต้อนรับน้องๆปีหนึ่งคณะวิทยาศาสตร์ทุกคนนะครับ” รีบพูดๆ เดี๋ยวแม่งกรี๊ดกันขึ้นมาอีก “สำหรับปีการศึกษาที่กำลังจะเริ่มขึ้นในวันจันทร์หน้า พี่ก็ขออวยพรให้ทุกคนเริ่มต้นชีวิตในฐานะนิสิตมหาวิทยาลัยมัณฑนาอย่างสวยงามนะครับ... และสำหรับหน้าที่ของพี่ในวันนี้ก็คือการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับกิจกรรมห้องเชียร์ของคณะเรานะครับ สองเดือนหลังเปิดปีการศึกษา น้องๆทุกคนจะต้องเข้าร่วมกิจกรรมห้องเชียร์เพื่อซ้อมและเตรียมตัวสู่การแข่งขันเชียร์กีฬาในงาน Spirit Cheer และอีกหนึ่งเดือนหลังจากนั้นสำหรับการแสดงเชียร์กีฬาประจำมหาวิทยาลัยของเราในงาน Power Cheer” มีเสียงฮือฮาขึ้นเล็กน้อย เหมือนสมัยผมอยู่ปีหนึ่งเลย “และนั่นคือกิจกรรมหลักของเราที่จะคู่ขนานไปกับการเรียนตลอดสามเดือนนี้นะครับ พี่ก็คงจะขอฝากน้องๆทุกคนตั้งใจทั้งเรียนและทำกิจกรรมอย่างเต็มที่นะครับ เพราะทุกๆอย่างมีผลต่อการจบการศึกษาทั้งสิ้น... ต่อไปเป็นอีกเรื่องนะครับที่พี่จะประชาสัมพันธ์ ในกลุ่มของน้องๆที่กำลังนั่งอยู่ในขณะนี้ จะมีบางคนนะครับที่ได้รับการประทับตราผู้นำเชียร์บนป้ายชื่อ รบกวนน้องที่ได้รับการประทับตราในที่นี้ทั้งหมดลุกขึ้นด้วยครับ”

ไม่นานหลังจากที่ผมพูดร้องขอก็มีน้องๆทยอยลุกขึ้น

เอาจริงๆนะ ตอนที่ผมอยู่ปีหนึ่ง ผมยังสงสัยอยู่เลยว่าทำไมต้องให้ลุกขึ้นโชว์ตัวด้วย ก็เพิ่งรู้ว่ามันคือกุศโลบายในการลดความตื่นเต้นของน้องๆที่ผ่านเข้ารอบ เป็นการให้เผชิญเรื่องตื่นเต้นตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะหลังจากนี้จะต้องพบกับการแสดงความสามารถที่ตื่นเต้นยิ่งกว่านี้ ดังนั้นหากลดความตื่นเต้นลงได้ก็จะทำให้น้องๆ สามารถศักยภาพทได้อย่างเต็มที่มากขึ้น



“หลังจากนี้ น้องๆที่ได้รับตราประทับคงจะพอรู้แล้วนะครับว่าจะต้องมีการคัดตัวต่อ หลังจากเลิกกิจกรรมตรงนี้ก็อยู่ด้วยกันก่อนนะครับ ขอบคุณน้องๆทุกคนครับ”



โอเค เสร็จภารกิจตรงนี้สักที ต่อไปก็ขึ้นไปเตรียมตัวในรอบตัดตัวที่ชั้นบนซินะ



“อิชา เมิงงงงง” อิเจสซี่เดินลากเสียงเข้ามาหาผมที่ขึ้นมายังห้องสัมภาษณ์แล้ว

“ว่า”

“พรุ่งนี้ตอนบ่ายมีงานแฟชั่นโชว์ที่ห้องเสื้อ AXA นะ เขานัดสิบโมงเช้า จะให้กูเรียกแท็กซี่ไปรับหรือมึงจะไปเอง”

“อ๋อ ไม่ลืมหรอก งั้นมึงโทรหาพี่ซีซี่ให้หน่อย ถามว่าพรุ่งนี้ช่วงเช้าพี่ตองว่างไหม ถ้าว่าง...”

“โอเค เข้าใจแล้ว ถ้าว่างก็คือจะให้พี่ตองไปส่งใช่ไหม แต่ถ้าไม่ว่างก็ให้กูเรียกแท็กซี่ไปรับมึงที่คอนโด”

“เออ ตามนั้น”

“ได้ เดี๋ยวกูจัดให้”

เคยคิดขำๆเหมือนกันนะว่า ไอ้ตำแหน่งบัดดี้เนีย ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ แต่หลังจากปีที่แล้วที่ได้มาเป็นสิบสองคนสุดท้ายของผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยจริงๆ งานไม่เคยว่างมือเลย ทั้งงานถ่ายแบบ เดินแบบ ถ่ายโฆษณา ยิ่งไอ้ต้อมหรือเกตุที่ถูกจ้างไปร่วมแสดงซีรีย์เป็นครั้งคราว บอกตามตรงว่าจัดการแทบไม่ทัน ผมก็พยายามรับงานน้อยๆแล้วนะ เพราะมีงานวิจารณ์ผลงานวิจัยที่ทำมาตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่บางงานมันก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ เพราะเขาเป็นผู้สนับสนุนที่เหนี่ยวแน่นยาวนานของมหาวิทลัยนี้ ขืนปฏิเสธงานเยอะๆ ได้โดนเจ๊ชมพู่นายใหญ่แห่งตึกลีดมหาลัยฆ่าปาดคอแน่



ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง ไอ้สุ่ยก็นำปีหนึ่งที่ได้รับตราประทับขึ้นมายังห้องสัมภาษณ์

ผม ไอ้สุ่ย และเกตุ รับหน้าที่เป็นกรรมการคัดเลือกประจำคณะ แล้วก็ได้มายด์เพื่อนลีดมหาลัยจากคณะสถาปัตย์กับพี่เก้อตัวแทนลีดมอปีสามมาร่วมคัดเลือกด้วย
หัวข้อ: LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 2 [อุทกภัย Part 2]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 09-08-2018 13:10:09
(ต่อ Part 2)




“พอพี่เรียกชื่อก็ขึ้นไปบนเวทีแล้วก็แนะนำชื่อ นามสกุล แล้วก็ภาควิชาเลยนะครับ” ไอ้สุ่ยแนะนำเบื้องต้นให้ปีหนึ่งฟัง “เริ่มที่ใครก่อนดี”

“ได้ข่าวว่าปีนี้ตราประทับสีเงินมาแรง งั้นพี่ขอเสนอให้เริ่มจากคนที่ได้ตราสีเงินก่อนก็แล้วกัน” เวรกรรมมมมม ขนาดลีดปีสามอย่างพี่เก้อยังได้ยินข่าวเรื่องนี้เหรอเนีย ข่าวสมัยนี้มันแพร่เร็วยิ่งกว่าไข้หวัดอีกเนาะ

“โอเค ได้เลยพี่” ไอ้สุ่ยรับ แล้วหันไปหาน้องปีหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านหลัง “น้องสองคนได้ตราประทับสีเงินใช่ไหม ใครจะขึ้นก่อนดี”

ผมหันไปมอง เห็นน้องอะตอมกับไอ้น้องแทนเลิกคิ้วใส่กัน ในสายตานั้นช่างเต็มไปด้วยคำพูดมากมายแม้จะไม่ได้ออกเสียง ถ้ามีเสียงออกมา ก็คงจะ ‘มึงดิ’ ‘มึงนั่นแหละไปก่อน’



“ผมก่อนก็ได้ครับ” ไอ้น้องแทนคือคนที่ยอมอาสาก่อน จะเรียกว่าเสียสละหรือยอมแพ้ดีล่ะ

“โอเค เราได้พี่น้ำชาสองแล้ว” ไอ้สุ่ยหันมาแซ็วผม “พี่น้ำชาก็เป็นคนแรกของปีที่แล้ว เอ็งอ่ะเหมาะแล้วในฐานะที่ได้ตราประทับจากพี่เค้า”



“ขอโทษครับ” จู่ๆก็มีคนแทรกขึ้นมา หึ น้องอะตอมเองหรอกเหรอ “ผมขอขึ้นก่อนได้ไหมครับ”

เชรดดดดดดดดดด

“เอาจริงเหรอ” ไอ้สุ่ยถามย้ำ

“จริงครับ” น้องอะตอมยืนยัน

“แล้วเอ็งอ่ะ เอ่อ... แทน เพื่อนจะขอขึ้นก่อนได้ไหม”

“ได้ครับ” ไอ้น้องแทนเกาหัวนิดหน่อย ประมาณว่างงๆ น้องมันคงอยากถามน้องอะตอมว่า สรุปว่าอยากขึ้นก่อนหรือขึ้นหลังกันแน่

“เชิญเลยน้อง...อะตอม”



แฟ้มประวัติของน้องอะตอมถูกแจกจ่ายให้กรรมการทั้งห้าในขณะที่น้องกำลังเดินขึ้นเวที



“สวัสดีครับ” น้องอะตอมเริ่มทักทาย “ผมชื่ออะตอมครับ ธราธิป ไอราพิทักษ์ อยู่ภาควิชาชีววิทยาครับ”

“น้องอะตอมเคยเปลี่ยนชื่อมาก่อนเหรอ” เกตุเป็นคนเริ่มถาม “พี่เห็นมีใบเปลี่ยนชื่อในแฟ้มประวัติด้วย ขอถามได้ไหมว่าเปลี่ยนทำไม เกี่ยวกับเรื่องดวงหรือความมั่นใจอะไรทำนองนี้หรือเปล่า”

“ไม่ใช่ครับ ผมยังใช้ชื่อเดิม แต่เปลี่ยนนามสกุลครับ แต่ก่อนผมใช้นามสกุลของ.... แม่ แต่ปัจจุบันใช้นามสกุลพ่อครับ”

ผมคิดไปเองหรือเปล่าว่าน้องไม่ค่อยอยากพูดถึงเรื่องนี้

“แล้ววันนี้จะมาแสดงความสามารถอะไรครับ” ผมจึงเปลี่ยนเรื่อง

“ผมจะมาเต้นโชว์ครับ ผมขอใช้มือถือได้ไหมครับ”

“ได้ครับ”

รั้วสีทองส่องแสงในล้า ศาสตร์มัณฑนา นำปัญญา พาข้าฯ สู่หมาย.......



นั่นไง กูว่าแล้วเชียว ซื้อหวยทำไมไม่ถูกนะ น้องคนนี้ศึกษาเรื่องของผมมาเยอะจริงๆด้วย ถ้าถึงขั้นใช้ความสามารถแบบเดียวกับผมในรอบสัมภาษณ์แบบนี้ แสดงว่าคงรู้อีกหลายเรื่องเกี่ยวกับตัวผมแน่ๆ

เย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้

มีเสียงปรบมือให้กำลังใจจากคนในห้องเมื่อการเต้นจบลง



“พี่ว่าพี่รู้แล้วว่าใครที่เหมาะจะมาเป็นพี่น้ำชาสอง” ไอ้สุ่ยทั้งพูดทั้งยิ้ม “น้องอะตอมนี่แหละ รู้ไหมว่าคนที่ใช้ท่าเต้นมาตรฐานเพลงมาร์ชมอปีที่แล้วก็คือพี่น้ำชาเหมือนกัน ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเห็นอีกในปีนี้”

“มันก็โอเคนะ” เกตุกลับมาพูดอีกครั้ง “แต่พี่ยังไม่รู้สึกว้าวเท่าไหร่ อืมมม อาจจะเป็นเพราะพี่เคยเห็นแบบนี้มาเมื่อปีที่แล้วหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ ว่าแต่... น้องพอจะมีความสามารถอื่นๆที่จะนำเสนออีกไหมอะคะ”

“พี่เห็นด้วยกับพี่เกตุนะ” มายด์สนับสนุน “พี่ก็รู้สึกไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่เหมือนกัน พอดีว่าคณะสถาปัตย์สัมภาษณ์จบไปก่อนหน้านี้แล้ว แล้วก็มีแต่คนเอาเพลงมาร์ชมาโชว์ทั้งนั้นเลย ตอนแรกก็สงสัยอยู่ว่าไอเดียนี้มันมาจากไหน ที่แท้ก็มาจากน้ำชานี่เอง”

ก็ใครจะไปรู้ล่ะว่าปีนี้จะมีคนสิ่งที่กูเคยทำไปเลียนแบบเยอะขนาดนั้น นี่เรื่องของกูคือรู้กันทั้งมหาลัยแล้วใช่ไหมเนี่ย

“ว่าไงครับอะตอม มีความสามารถอย่างอื่นอีกไหม” ไอ้สุ่ยถามย้ำ

“เอ่อ....” เห็นได้ชัดเลยว่าน้องอะตอมไม่มีแผนสำรอง “ผมทำตาเหล่ได้ครับ”

ห๊ะ!!

ไม่ทันจะพูดพร่ำทำเพลง น้องมันก็จัดโชว์ตาเหล่มาให้พวกผมดูเลย

เวรกรรม

ทั้งขำ ทั้งอายแทนน้องมัน ตาเหล่นี่มันเป็นความสามารถพิเศษต้องไหนวะ ใครๆก็ทำได้หรือเปล่า น้องมันก็ทำแล้วดูน่ารักดีนะ เพียงแต่มันน่าตลกมากกว่านี่ซิ

แล้วก็มีเสียงหัวเราะขึ้นมาทั้งห้องอย่างที่คาดไว้จริงๆ วินาทีต่อมาคนบนเวทีก็หน้าเจือนขึ้นมาทันที เป็นกูกูก็เสียเซลฟ์วะ โดนคนหัวเราะใส่ทั้งห้องแบบนี้

อ้าว เห้ยๆๆๆๆๆ นั่นคือตาแดงเหรอ อยากบอกนะว่าจะร้องไห้



“เอ่อ....” ต้องรีบแก้สถานการณ์ก่อน “น้องคิดว่าตอนนี้ตัวเองสามารถยืนการ์ดได้มากที่สุดเท่าไหร่ครับ”

“ยืนการ์ดเหรอ?” พี่เก้อหันมาถามผมทันที “ทำไมถึงถามน้องแบบนั้นล่ะ น้องยังไม่เคยฝึกการเป็นลีดเลย จะรู้จักวิธียืนการ์ดได้ยังไง”

ผมกำลังรอคำถามนี้อยู่เลย

“ผมว่าน้องน่าจะรู้นะครับพี่เก้อ” จริงๆก็เดาเอานั่นแหละ แต่ผมเชื่อในการมีเหตุผลของตัวเองและคิดว่าน่าจะทายไม่ผิดนะ “คือน้องคนนี้อะครับ ผมไปเจอน้องเขาแอบเต้นเพลงมาร์ชมอของเราที่หลังโดมรวมใจ ตอนนั้นน้องเต้นต่อเนื่องไม่หยุดเป็นสิบๆรอบเลย คนที่สามารถเต้นท่ามาตรฐานของเพลงมาร์ชติดต่อกันได้เป็นสิบๆรอบแบบนั้น ผมว่าน้องเค้าน่าจะฝึกฝนร่างกายมาเป็นอย่างดี การยืนการ์ดก็น่าจะเคยทำมาก่อน”

“น้องทำอย่างนั้นจริงๆเหรอ” พี่เก้อดูจะประหลาดใจมาก "ไปเต้นอยู่หลังโดมคนเดียวอะนะ"

“ก็....ครับ” น้องอะตอมตอบเขินๆ ดีแล้ว ดีกว่าให้มายืนร้องไห้โชว์

“แล้วรู้จักการยืนการ์ดหรือเปล่า”

“ก็พอทราบครับ”

“ไหนยืนการ์ดให้พี่ดูสักสิบหน่อยดิ”

“หนึ่งครับพี่เก้อ สองครับพี่เก้อ....” ว้าวววว ขนาดเป็นคนเดาว่าน้องมันทำได้อยู่แล้ว แต่ผมก็ยังรู้สึกทึ้งเลยที่น้องทำได้จริงๆ ทั้งสีหน้า ท่ายืน ความแข็งแรงของมือและท่อนแขน ความจริงจังในการเตรียมตัวนี้ ไม่ธรรมดาเลย “...เก้าครับพี่เก้อ สิบครับพี่เก้อ”

“โอ้โห ทำได้จริงด้วย” พี่เก้อยังทึ้งไม่หาย “เอามือลงได้... แล้วคิดว่าตัวเองทำได้เยอะแค่ไหน”

“ยืนการ์ดอะเหรอครับ  เอ่อ... ผมเคยทำสถิติสูงสุดไว้ที่หกร้อยห้าสิบครับ” น้องตอบซะการเตรียมตัวของพี่เมื่อปีที่แล้วกระจอกไปเลย “แต่ถ้าอดทนจริงๆ ก็น่าจะได้ประมาณแปดร้อยครับ”

“แปดร้อย! แล้วถ้าพี่สั่งแปดร้อยตอนนี้ล่ะ คิดว่าทำได้ไหม” เห้ย!! เอาจริงเหรอพี่เก้อ

“ก็ไม่แน่ใจครับ แต่.... ผมสามารถพยายามได้”

“อืมมมมมมม” พี่เก้อพยักหน้าเหมือนว่าพอใจในคำตอบ “โอเค พี่พอแล้ว มีใครอยากดูอะไรจากน้องอีกไหม”

ผมและพวกที่เหลือส่ายหน้า

“งั้นมาตัดสินกันดีกว่านะ” ไอ้สุ่ยเปิดในที่สุด “เชิญพี่เก้อก่อนเลยครับ”

“ผ่านครับ” พี่เก้อตอบโดยไม่ลังเล

“ก็....” มายด์คิดนิดหน่อย “ผ่านค่ะ พี่เห็นแล้วว่าน้องพยายามมากจริงๆ ดูก็รู้ว่าเตรียมตัวมาดี คณะวิทย์ท่าทางจะได้ลีดสายแข็งนะปีนี้”

“น้องทำให้พี่นึกถึงใครรู้ไหม” คราวนี้เป็นเกตุบ้าง “น้องทำให้พี่นึกถึงพี่น้ำชา คนที่เต็มไปด้วยความพยายามจนน่าชื่นชม พี่ให้ผ่านค่ะ”

โอ๊ยเกตุ พูดซะเราเขินไปด้วยเลย ส่วนน้องอะตอมอะเหรอ เหลือแต่กระโดดดีใจเท่านั้นแหละที่ยังไม่ได้ทำ

“น้องผ่านแล้วนะครับ” ไอ้สุ่ยสรุปให้ “ถ้าได้สามผ่านขึ้นไปก็ถือว่าผ่านทันที แต่ถ้าให้พี่ตัดสินด้วยอีก พี่ก็ให้ผ่านเหมือนกันครับ... ว่าแต่เจ้าของตราประทับเถอะ ถ้ายังตัดสินได้ จะให้ผลน้องว่ายังไง”

“ไม่ต้องถามก็ได้” ผมตอบโดยที่ยังยิ้มให้น้องและแอบภูมิใจในตัวเองเล็กๆ เลือกคนมาไม่ผิดเลย “น้องผ่านตั้งแต่ที่พี่ประทับตราให้แล้ว”

“ขอบคุณมากครับพี่น้ำชา” น้องอะตอมยิ้มกว้าง

“ขอบคุณพี่ๆคนอื่นๆด้วย” น้องยกมือไหว้ขอบคุณตามที่ผมแนะนำ “แต่พี่มีเรื่องนึงอยากจะบอกน้องนะ ด้วยความที่เราได้มีโอกาสคุยกันมาก่อน พี่ถึงได้รู้ว่าน้องอาจจะกำลังมีตัวพี่เป็นแบบอย่างอยู่ พี่ไม่ได้จะห้ามหรือจะตั้งตัวเป็นไอดอล แต่ว่าหลังจากนี้ พี่อยากให้น้องเป็นตัวของตัวเอง มีแนวทางเป็นของตัวเองดีกว่านะครับ และที่สำคัญเลย น้องมีหน่วยก้าน รูปร่างหน้าตาที่ดีนะ ดีกว่าพี่เยอะ มั่นใจในตัวเองเข้าไว้ แล้วก็ขอให้ทำความฝันที่อยากมายืนในตำแหน่งเซ็นเตอร์ให้สำเร็จนะ ตำแหน่งของพี่รอต้อนรับทั้งน้องและทุกๆคนอยู่ วันนี้ทำได้ดีมากครับ”

ทุกคนปรบมือ

“พูดซะกูซึ้งไปด้วยเลย” ไอ้สุ่ยแอบพูดกับผมในขณะที่น้องอะตอมเดินยิ้มกว้างลงจากเวที “ตราประทับสีเงินอีกคนเชิญขึ้นเวทีได้เลยครับ”

ไอ้น้องแทนเดินขึ้นไปบนเวทีทันที การปรากฏตัวของเด็กคนนี้สร้างความฮือฮาให้กับทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องหลายคน ต้องยอมรับจริงๆว่าเขามีหน้าตาที่โดดเด่นมากจริงๆ สาวๆในห้องหลายๆคนถึงขั้นเสียอาการ ม้วนบิดเป็นการใหญ่ นี่ซินะเสน่ห์ที่กูไม่มี

“แนะนำตัวเลย” ไอ้สุ่ยบอก

“รับ” น้องมันตอบแบบสะดุ้งๆ ดูท่าว่าจะตื่นเต้นนะ “ผมชื่อนายอวกาศ คล้ายจันทร ชื่อเล่นชื่อแทน อยู่ภาควิชาธรณีวิทยาครับ....” แล้วก็เงียบอีกครั้ง

ผมเปิดแฟ้มมาดู แล้วเห็นบางอย่างในใบผลการเรียนที่ทำให้เกิดความสนใจ

“น้องจบมัธยมมาจากญี่ปุ่นเหรอครับ?” ผมถาม

“ใช่ครับ”

“ไหนลองแนะนำตัวเป็นภาษาญี่ปุ่นหน่อยได้ไหม”

“ได้ครับ.... こんにちは わたしのなまえは  TAN です どうぞ よろしく おねがいします”

ว้าวววววววววววว

แหม อุทานกันทั้งห้องเชียว ยิ่งอิพวกแก๊งนางฟ้าเพื่อนผมนี่แทบจะคลั่งกันเลยทีเดียว

“แล้วทำไมถึงไม่เรียนที่ญี่ปุ่นต่อละครับ” ผมกลับมาถามอีกครั้ง “ทำไมถึงกลับมาที่ไทย”

“ผมได้ทุนถึงแค่มอปลายครับ” ไอ้น้องอธิบายเหตุผล

“ไม่มีทุนต่อแล้วเหรอ... คือพี่ถามเพราะพี่อยากรู้เฉยๆ ไม่ได้จะขับไล่ไสส่งน้องไปไหนนะ เพราะเท่าที่ดูจากผลการเรียนก็ดูเหมือนว่าจะเป็นประเภทเด็กเรียนดีนี่นา เรื่องขอทุนต่อคงไม่ยาก”

“ก็พอมีครับ แต่ผมอยากกลับมาเรียนที่ไทยมากกว่า มันมีเหตุผลบางอย่าง”

อืมมมมมม แปลว่ากูถามไม่ควรถามต่อซินะ

ตั้งแต่สัมภาษณ์กันมา ถ้าไม่นับรวมเมื่อเช้าที่มีเรื่องกันนิดหน่อย เด็กคนนี้ดูโตกว่าวัยมาก ไม่ใช่หน้าแก่นะ แต่มีบุคลิกของคนคูลๆ เท่แบบฉลาด แถมยังสูงโดดเด่นพร้อมกับออร่าบางอย่างที่ไม่ใช่ว่าใครๆจะมีได้

“แล้ววันนี้จะมาโชว์ความสามารถอะไรคะ” เกตุคือคนถามคำถามถัดไป

“ผมไม่มีความสามารถพิเศษอะไรทำนองนี้เลยครับ” อ้าว ตอบซื่อๆอย่างงี้เลยเหรอ “ผมอยู่ญี่ปุ่นหลายปีก็เลยไม่รู้ว่าที่มหาลัยนี้ให้ความสำคัญกับเชียร์ลีดเดอร์ ผมไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาเลยครับ รู้แต่ว่าตราประทับคืออะไรเพราะมีพี่คนนึงบอกตอนจะเข้าแนะแนวเมื่อเช้า ส่วนอื่นๆก็ไม่รู้มาก่อนเลยครับ”

“ไม่มีอะไรโชว์สักนิดเลยเหรอ” พี่เก้อถามบ้าง “เอาจริงๆ พี่ว่าบุคลิกของน้องดีมากนะ พูดจาก็ฉะฉาน เป็นเดือนมหาลัยได้สบายเลย”

“ก็มีพูดภาษาญี่ปุ่นนี่แหละครับ ยกเว้นซะแต่ว่าพี่ๆอยากฟังความรู้เกี่ยวกับธรณีวิทยา”

“พี่อยากฟัง” ผมตอบทันที ไม่รู้ซิ พี่ตองบอกว่าเด็กคนนี้มีของบางอย่าง ถ้าให้เขาได้แสดงความเป็นตัวเองเยอะๆอาจจะได้เห็นอะไรก็ได้ “เล่าอะไรง่ายๆให้พี่ฟังสักเรื่องนึงหน่อยได้ไหม เกี่ยวกับวิชาธรณีนั่นแหละ”

“ได้ครับ... ผมขอเดินไปหาพวกพี่ด้านล่างได้ไหมครับ”

“เชิญเลย”

น้องมันเดินมาจริงๆ พร้อมกับหยิบแท็บเล็ตอันใหญ่ของตัวเองออกมาจากกระเป๋า แล้วเปิดภาพเคลื่อนไหวบางอย่างขึ้นมาให้พวกผมดู

“ผมขอเล่าเกี่ยวกับปรากฏการณ์การเกิดอุทกภัยนะครับ” นั่นคือการเกริ่น “พวกพี่ๆเคยได้ยินกันใช่ไหมครับว่าการตัดไม้ทำลายป่ามีส่วนทำให้เกิดน้ำท่วมและน้ำป่าไหลหลาก แต่นั่นไม่ใช่แค่สาเหตุเดียวครับ ยังมีสามารถเหตุที่หลายๆคนยังไม่รู้ ดูนี่นะครับ นี่คือชั้นดินทั่วๆไปของโลกเรานะครับ พี่จะสังเกตเห็นว่าดินโดยปกติจะเต็มไปด้วยช่องว่างของอากาศ มีความร่วนอยู่ภายใน ซึ่งภาษาทางการเราเรียนว่ารูพรุนในเนื้อดิน รูพรุนพวกนี้จะมีส่วนสำคัญอย่างมากนะครับ เวลาทีเกิดน้ำท่วมขึ้น เพราะมันจะเป็นช่องทางระบายให้น้ำไม่ขังอยู่บนผิวดิน เปรียบเทียบง่ายๆก็เหมือนกับว่าเรามีช่องระบายน้ำอยู่ในห้องน้ำเยอะๆ น้ำในห้องน้ำก็จะแห้งเร็ว แต่พี่ดูในภาพต่อไปนะครับ นี่คือสภาพพื้นดินของบริเวณที่อยู่อาศัยครับ เพราะการปลูกสร้างบ้านเรือน อาคาร หรือถนน เราจะต้องมีการบีบอัดและเพิ่มชั้นดินให้แน่นเพื่อให้สามารถรักษาโครงสร้างของสิ่งปลูกสร้างไว้ได้ใช่ไหมครับ ผลที่ตามมาก็คือ ช่องอากาศในดินหายไป นั่นก็หมายถึงช่องทางระบายน้ำหายไปด้วย แล้วพี่ลองนึกถึงเมืองที่หนาแน่นไปด้วยสิ่งปลูกสร้างซิครับ เพราะไม่ว่าหันไปทางไหนก็มีแต่บ้าน ตึก ถนน เสาสูง พื้นดินที่จะเป็นตัวช่วยในการระบายน้ำลงสู่ชั้นดินเบื้องล่างก็หายไปด้วย เวลาฝนตกลงมาหนักๆ น้ำก็เลยท่วมได้ง่ายเพราะระบบระบายน้ำทำไม่ทัน แล้วทุกวันนี้พื้นที่ดินร่วนก็เริ่มหายไป เพราะความต้องการสร้างสิ่งปลูกสร้างขยายออกไปเรื่อยๆ

คือ..... ผมสารภาพก็ได้ครับว่าผมกลับมาที่ไทยเพราะผมอยากสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับคนไทยเกี่ยวกับธรณีวิทยา และศึกษาด้านธรณีวิทยาของประเทศไทย" น้องมันหยุดพูดแล้วหายใจเข้าลึกๆ ประหนึ่งว่ากำลังทำใจที่จะพูดเรื่องสำคัญบางอย่าง "สมัยผมแปดขวบ ผมต้องเห็นพ่อตัวเองตายต่อหน้าต่อตาเพราะภัยธรรมชาติที่ได้รับการกระตุ้นจากฝีมือมนุษย์ ผมไม่โทษใครหรอกครับ ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่ถ้าคนเรามีความรู้มากพอ มันก็น่าจะหลีกเลี่ยงได้ สาเหตุที่ผมต้องดั้นด้นไปเรียนที่ญี่ปุ่นก็เพราะอยากศึกษาเกี่ยวกับแผ่นดินไหวที่นั่น ผมศึกษาทุกอย่างที่ทำได้ เพราะมันอาจจะสามารถส่งต่อความรู้ไปยังหลายๆคน จะได้ไม่มีใครเจอเรื่องน่าเศร้าอย่างผม แต่ผมลืมไปว่า เสียงของคนธรรมดาคนหนึ่งไม่มีทางดังมากพอ จนกระทั่งเมื่อเช้า มีพี่ ก.น.ช.คนหนึ่ง(พี่ตองซินะ)แนะนำผมว่า ถ้าผมอยากมีเสียงที่ดังขึ้น ผมก็ต้องทำให้ตัวเองมีชื่อเสียงมากพอ เพื่อให้ทุกๆคนหันมาฟังเสียงของผม ผมก็เลยตัดสินใจเข้ารับการคัดตัวเป็นเชียร์ลีดเดอร์ด้วย เพราะใครๆก็บอกว่าการเป็นเชียร์ลีดเดอร์ของที่นี่เป็นก้าวแรกของการเป็นคนมีชื่อเสียง และที่สำคัญผมก็อยากได้เงินสักก้อนนึงเพื่อไปปรับปรุงสถานที่ๆมันเคยพรากชีวิตพ่อของผมไป ทุกวันนี้ที่ตรงนั้นยังไม่มีใครแก้ไขมันเลย เพราะได้ยินว่าถ้าเป็นที่หนึ่งของรุ่นก็จะได้รับทุนและเงินจำนวนหนึ่ง

ที่ผมเล่ามาทั้งหมด ผมแค่อยากจะขอโอกาสจากพวกพี่ทุกคน ผมอาจจะยังไม่มีอะไรเลยในตอนนี้มาโชว์ให้พวกพี่ได้ดู แต่ผมก็มีความมุ่งมั่นตั้งใจไม่แพ้ใคร ถ้าได้โอกาสผมจะทำอย่างเต็มที่ เพราะงั้น ช่วยพิจารณาผมด้วยนะครับ”

O           M           G



เรื่องเล่ายาวเหยียดนี้ทำให้ความหมายของจุดประสงค์การเป็นผู้นำเชียร์เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง บางคนอยากเป็นผู้นำเชียร์ของที่นี่เพราะชื่อเสียง เงินทอง การยอมรับในสังคม หรือในกรณีของผมเพื่อตามมาอยู่ใกล้ชิดกับคนๆหนึ่ง แต่สาเหตุที่ผมเพิ่งจะได้ฟังมานี้ มันยิ่งใหญ่และเต็มไปด้วยคุณค่าจริงๆ



“เอ่อ....” ไอ้สุ่ยยังอ้าปากค้างจากสิ่งที่ได้ฟัง ผมว่าทุกคนก็อาการเดียวกันนั่นแหละ ในขณะที่ไอ้น้องแทนยังคงโค้งตัวลงเหมือนการคาราวะของคนญี่ปุ่น “เงยหน้าได้แล้วน้อง เชิญบนเวทีเลยครับ”

น้องทำตามนั้น

ผมพยายามเรียกสติตัวเองกลับคืนมา รู้สึกยังตกอยู่ในห้วงอารมณ์ความจริงจังของน้องมันอยู่เลย

“ต...ตัดสินกันเลยดีไหม” ไอ้สุ่ยยังช็อกไม่หาย



“ผ่านครับ” ผมขอเป็นคนแรกที่ตัดสินก่อนเลย “ใครอาจจะมองว่ามันไม่ยุติธรรมหรือพี่ตัดสินที่หน้าตาอะไรก็ช่าง แต่พี่ไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเลย พี่ไม่สนใจว่าน้องจะหน้าตายังไง แต่พี่ขอพูดเลยนะ น้องไม่ได้กำลังจะมาเอาชื่อเสียงจากการเป็นผู้นำเชียร์หรอก แต่ความคิดและทัศนคติของน้องต่างหากที่จะมาเพิ่มคุณค่าให้กับองค์กรผู้นำเชียร์ของเรา พี่ก็เลยให้ผ่านอย่างไม่มีเงื่อนไขอะไรเลย ขอให้น้องทำสำเร็จนะ... พี่คนอื่นๆล่ะครับ”

“พี่ก็ให้ผ่านเหมือนกัน” ไอ้สุ่ยเป็นคนถัดไป “น้องแม่งโคตรเท่อ่ะ พี่ฟังเรื่องของน้องแล้วพี่รู้สึกอยากทำอะไรที่มีประโยชน์ให้กับประเทศชาติเลยอ่ะตอนนี้ เอ็งเจ๋งจริงวะ ผ่านๆๆๆๆ”

“ผ่านเหมือนกันค่ะ” เกตุว่าต่อทันที “เรื่องที่น้องเล่ามันดีมากนะคะ แต่ต่อให้พี่ตัดความรู้สึกในส่วนนั้นทิ้งไป น้องก็ยังผ่านอยู่ดี เพราะในขณะที่น้องเล่าเรื่องยาวๆให้พวกเราทุกคนฟัง น้องมีบุคลิกภาพที่ดีมาก มีความมั่นใจ สายตามั่นคง ยืนแล้วดูสง่า”

“พี่ก็ผ่านค่ะ” มายด์เอ่ย “นอกจากรูปร่างหน้าตาแล้ว น้องแทนมีน้ำเสียงที่น่าฟังมากเลยนะคะ เป็น Voice Leader ได้สบายๆเลย ไม่อยากพูดอีกครั้งเลยว่าคณะวิทย์กำลังจะได้ผู้นำเชียร์สายแข็งไปอีกคน คณะวิทย์ปีนี้น่ากลัวจัง”

“พี่ให้ผ่านอยู่แล้ว” พี่เก้อคือคนสุดท้าย “พี่ให้ผ่านตั้งแต่เห็นน้องครั้งแรกแล้วล่ะ ทรงมันได้ ยังไงก็อยากลืมรักษาสัญญาที่จะทำเต็มที่ด้วยก็แล้วกันนะน้องนะ”

“โอเคครับ ห้าผ่านเลย” ไอ้สุ่ยขมวดจบ “เชิญลงจากเวทีได้ครับ คนต่อไปขอเป็นน้องผู้หญิงบางนะ เอ่อ... น้องเสื้อฟ้าคนนั้น ใช่ครับ น้องนั้นแหละ เชิญบนเวทีเลยครับ”



แล้วหลังจากผ่านสองคนแรกไปก็ไม่มีใครได้ห้าผ่านจากพวกผมอีกเลย



อย่างที่ไอ้สุ่ยพูดนั่นแหละ ตอนนี้ผมเกิดความรู้สึกฮึกเหิมอยากทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ แต่ผมว่าการปั้นให้อะตอมกับแทนมีชื่อเสียงและทำตามความฝันสำเร็จก็อาจจะเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้เรื่องอื่นก็ได้



"​เราขอโทษนะที่เคืองนายไปอ่ะ" ผมแอบได้ยินน้องอะตอมคุยกับไอ้น้องแทน "เสียใจเรื่องพ่อของนายด้วยนะ​"

"​เราโอเค" นั่นคือที่ไอ้น้องแทนตอบ "​แล้วเรื่องทุนอ่ะ นายก็อยากได้เหมือนกันไม่ใช่เหรอ"

"เรื่องนั้น.... เอาเป็นเราต่างก็มีเหตุผลกันทั้งคู่ งั้นก็มาแข่งกันอย่างยุติธรรมก็แล้วกัน"

"สรุปว่าเรากลายเป็นคู่แข่งกันแล้วเหรอ"

"​ทำไม กลัวเหรอ"

"ไม่กลัวอยู่แล้ว"



เอ................?

ไอ้สองคนนี้มันมีปัญหาอะไรกันมาก่อนหน้านี้วะ



อืมมมมมมมม

เอางี้แล้วกัน ย้อนกลับไปดูที่มาที่ไปของสองคนนี้สักหน่อยดีกว่า.........









..........จุดเริ่มต้นของพรสวรรค์และพรแสวง
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER ภาค 2 [เชียร์ฝันสนั่นหัวใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: BBChin JungBB ที่ 09-08-2018 15:29:50
ทำไมรู้สึกกลัวอะตอมจัง เหมือนน้องมีจุดประสงค์บางอย่าง
หลายๆอย่างก็ดูตั้งใจจะเป็นน้ำชาสองด้วย

หัวข้อ: Re: LOVE LEADER ภาค 2 [เชียร์ฝันสนั่นหัวใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: Riik ที่ 09-08-2018 17:50:04
ตามต่ออออออ
หัวข้อ: LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 3 [จุดประสงค์แอบแฝง Part 1]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 09-08-2018 19:19:21
​ตอนที่ 3 : จุดประสงค์แอบแฝง







1 ปีก่อน



“สวัสดีค่ะ ประชาสัมพันธ์มหาวิทยาลัยมัณฑนาค่ะ”

“สวัสดีครับ เอ่อ... พอดีว่าผมมีเรื่องอยากจะสอบถามหน่อยน่ะครับ”

“สอบถามเรื่องอะไรคะ”

“พอดีผมอ่านเจอโฆษณาในเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยน่ะครับว่า ปีการศึกษาที่จะถึงนี้ ทางมหาวิทยาลัยจะมอบทุนให้กับนิสิตที่ได้รับเลือกเป็นผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยใช่ไหมครับ”

“อ๋อ เรื่องนั้นเอง ใช่ค่ะ แต่ว่าเรามีทุนให้เพียงแค่สองทุนนะคะ คือ ชายหนึ่งคนและหญิงหนึ่งคน สำหรับคนที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัยและต้องยืนในตำแหน่งกลางด้วยค่ะ”

“ตำแหน่งกลาง?”

“ใช่ค่ะ เป็นตำแหน่งที่ต้องได้รับการคัดเลือกเป็นพิเศษ”

“อย่างงั้นหรอกเหรอครับ แล้ว.... จริงหรือเปล่าครับที่ว่าจะได้เป็นแบรนด์แอมบัสเดอร์ให้สื่อของ T-Queen ด้วยอะครับ”

“ค่ะ ใช่ค่ะ ตามประกาศในเว็บไซต์เลยค่ะ”

“แล้วพอจะทราบไหมครับว่า เป็นเฉพาะสื่อภายในประเทศหรือต่างประเทศด้วย”

“ในส่วนของรายละเอียดสัญญากับทางบริษัท T-Queen World wide มหาวิทยาลัยของเราไม่ทราบถึงขั้นตอนนั้นนะคะ... ไม่ทราบว่าสนใจอยากรับทุนหรือเปล่าเอ่ย ตอนนี้เรียนอยู่ชั้นอะไรแล้วค่ะ”

“มอหกครับ”

“ถ้าสนใจก็คงต้องสอบเข้ามาเรียนที่มหาวิทยาลัยมัณฑนานะคะ นี่เป็นทุนพิเศษ ไม่มีการสอบแข่งขันเหมือนทุนอื่นๆ แต่ถ้าสนใจทุนอื่นๆก็สามารถสอบถามได้นะคะ”

“เอ่อ... ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมากครับ”

“ค่ะ ยินดีค่ะ”

แบบนี้นี่เอง

ผมวางสายและกลับมานั่งมองหน้าจอคอมฯ ในห้องนอนของตัวเองอีกครั้ง



“ยังไม่เลิกล้มความคิดนั้นอีกเหรอ”

ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อจู่ๆมีใครคนหนึ่งเปิดประตูห้องนอนของผมเข้ามา

“พ่อ!” พ่อนั่นเอง “พ่อแอบฟังตอมเหรอ”

“พ่อบังเอิญผ่านมาได้ยิน” พ่อของผมอธิบายด้วยสีหน้าหมองเศร้า ท่านยังคงมองมาที่ผม “ตอมคิดจะทำอะไร พ่อไม่เชื่อหรอกว่าตอมอยากได้ทุนเรียนที่มหาลัยนั้น”

“.......” พ่ออ่านใจของผมอย่างถูกต้อง เอาจริงๆพ่อรู้ดีที่สุดว่าทุกอย่างที่ผมเลือกทำเพื่อจุดประสงค์เดียว

“ปล่อยวางซะเถอะนะตอม เรื่องมันก็ผ่านมานานมากแล้ว พ่อรู้ว่าลูกเสียใจ แต่เราก็ทำกันมาทุกวิถีทางแล้วนิ พ่อไม่อยากให้ลูกยึดติดกับอดีต และหวังกับเรื่องที่เป็นไปได้ยากเรื่องนี้อีก”

“แต่มันก็ไม่เสียหายนิพ่อ ก็ถ้าเกิดว่ามันพอจะทำให้มีความหวังขึ้นมาได้บ้าง จะเล็กน้อยแค่ไหน ตอมก็อยากทำ เพื่อแม่ แม่อาจจะกำลังรอตอมกับพ่ออยู่ที่ไหนสักแห่งในโลกก็ได้ ตอมไม่เชื่อหรอกว่าแม่.....ตายแล้ว”

“พ่อก็ไม่อยากจะเชื่อแบบนั้น” ในที่สุดพ่อก็เดินลงมานั่งบนเตียงและวางมือลงบนขาของผม “แต่เราสูญเสียไปมากแล้วนะกับการตามหาแม่ ตอมควรจะปล่อยวางและนึกเรื่องของตัวเองได้แล้ว อนาคตของตอมหลังจากนี้ ตอมก็เห็นว่าบ้านเราไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมาย ถ้าตอมยังมัวเสียเวลากับเรื่องนี้ ตอมจะไม่รู้จักวางแผนเพื่อตัวเองสักที อยากอยู่ทำสวนที่บ้านนอกเหมือนพ่อหรือไงกัน”

“แล้วทำสวนมันไม่ดีตรงไหนอ่ะ ตอมรักที่นี่ ตอมรักพ่อ แต่ตอมก็อยากเจอแม่ อยากให้แม่มาอยู่ด้วยกันกับพวกเรา เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์”

“อะตอม เชื่อพ่อเถอะนะ ปล่อยวางเรื่องนี้เถอะลูก ถ้าลูกยังขืนเป็นทุกข์อยู่แบบนี้ คนที่จะเป็นห่วงลูกที่สุดก็คือแม่ของตอมเอง พ่อเชื่ออย่างงั้นนะ”

"................"



ผมถอนหายใจ พ่อมักพูดแบบนี้เสมอเพื่อให้ผมหยุดความพยายามที่จะตามหาแม่ แม่ที่ถูกพลัดพรากจากผมไปสิบกว่าปี ผมแทบจำหน้าแม่ไม่ได้ด้วยซ้ำ ผมไม่มีรูปถ่ายหรือแม้แต่ของดูต่างหน้าจากแม่เลย มีเพียงความทรงจำเลือนรางที่ยังตกค้างอยู่ในสมอง รอยยิ้มของแม่ ความอบอุ่นจากแม่ ถ้าไม่เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นเมื่อสิบสี่ปีที่แล้ว ผมกับพ่อก็คงไม่ต้องมานั่งปลอบใจกันไปวันๆอย่างนี้ เราคงใช้ชีวิตตามประสาคนต่างจังหวัดอย่างครอบครัวอื่นๆ

ผมยังมองภาพโฆษณาในคอมพิวเตอร์ไม่วางสายตา มีรูปเด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักคนหนึ่งอยู่ที่มุมของกรอบโฆษณาพร้อมกับข้อความที่เขียนว่า ‘ทุกความพยายามมีความสำเร็จรออยู่เสมอ – น้ำชา ธชานา ธนกฤษ’



“ตอมขอทำเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้ายนะพ่อ” ผมหันไปขอร้องผู้เป็นพ่อด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น

“แต่...”

“ตอมจะตั้งใจสอบเข้าที่นี่ให้ได้ ไม่ทิ้งการเรียน ไม่เหลวไหลแน่นอน ตอมจะทำแค่เท่าที่ควรทำ แต่ตอมอยากทำเรื่องนี้จริงๆ ขอแค่ครั้งนี้ครั้งสุดท้าย ถ้าตอมมีโอกาสได้ทำงานกับบริษัทสื่อยักษ์ใหญ่อย่าง T-Queen แม่อาจจะได้เห็นตอมในสื่อ แต่ถ้าไม่... ตอมจะยอมรับความจริง และไม่ขอร้องทำเรื่องพวกนี้อีกแล้ว”

“...........” พ่อของผมนั่งคุ้นคิด นี่เป็นการเจรจาต่อรองที่ดูจะเป็นที่น่าพอใจสำหรับพ่อ “งั้นก็ได้ แต่ตอมต้องตั้งใจเรียนนะ ยังไงก็ต้องเรียนจบให้ได้ และพ่อหวังว่าตอมจะไม่เสียใจถ้ามันไม่เป็นไปอย่างที่ตอมหวังไว้”

“ครับ”



ในความดีใจที่ต่อรองกับพ่อได้ก็ยังมีความเศร้าเล็กๆฝังตัวอยู่ ถึงพ่อจะอนุญาตแต่ก็ไม่ได้หมายถึงว่ามันจะสำเร็จ และถ้าครั้งนี้ไม่สำเร็จ ผมก็คงต้องทำใจที่จะหยุดตามหาแม่จริงๆซินะ



เอาล่ะ เกริ่นเรื่องของผมมาจนถึงตรงนี้ ผมคิดว่าคงถึงเวลาต้องแนะนำตัวแล้ว



ผมชื่อ อะตอม เรียกว่า ตอม เฉยๆก็ได้ ชื่อปัจจุบันของผมตอนนี้คือ ธราธิป ไอราพิทักษ์ ที่บอกว่าชื่อปัจจุบันก็เพราะก่อนหน้านี้ผมไม่ได้ใช้นามสกุลนี้หรอก ผมเคยนามสกุล ไนชวิ ซึ่งเป็นนามสกุลของแม่ของผมเอง ผมรู้นะว่าคุณกำลังคิดว่านามสกุลเก่าของผมมันแปลก ซึ่งถ้าจะเล่าก็คงต้องเท้าความไปถึงแม่ของผม

จากที่ฟังบทสนทนาที่ผมคุยกับพ่อเรื่องของแม่ คุณคงหงุดหงิดใจนิดหน่อยที่ผมเฉไฉพูดท่านั้นท่านี้ ไม่เล่าเรื่องให้ชัดเจนสักที แต่ถ้าคุณเป็นผม คุณก็คงจะอยากเลี่ยงที่จะพูดถึงอดีตอันเจ็บปวดเหมือนกัน และที่สำคัญคือ เรื่องของแม่ในความทรงจำของผมไม่ได้ชัดเจนขนาดนั้น เพราะตอนนั้นผมยังเด็กมาก เรื่องส่วนใหญ่ที่รู้มาก็มาจากที่พ่อเล่าให้ฟังซะมากกว่า

เอ.... จะเล่าว่ายังไงดีล่ะ เอาเป็นว่า แม่ของผมไม่ใช้ประชาชนของประเทศนี้ เอาจริงๆก็ไม่ใช่ประชาชนของประเทศไหนเลยด้วยซ้ำ แม่เป็นชนกลุ่มน้อยไร้สัญชาติที่อาศัยอยู่ใกล้กับแนวชายแดนฝั่งประเทศพม่า พ่อของผมเล่าว่า พ่อไปพบรักกับแม่ตอนสมัยที่พ่อยังทำงานเป็นผู้รับเหมา ทำธุรกิจเกี่ยวกับการสัมปทานดูดทราย เพราะพ่อต้องทำงานที่แม่น้ำที่อยู่ตรงเขตแดนระหว่างประเทศ ก็เลยได้เจอกับแม่ละมั้ง ก็อย่างที่บอกนั่นแหละว่าผมไม่ค่อยรู้รายละเอียดเท่าไหร่ แต่ในที่สุดผมก็ได้ลืมตาดูโลกจนได้

ความทรงจำที่ผมพอจะจำได้ตอนนั้นก็คือ พ่อ แม่และผมอยู่กันค่อนข้างลำบาก เรามีข้อจำกัดหลายอย่างและแม่ก็เป็นคนไร้สัญชาติ ครอบครัวเราอดทนอยู่นาน แต่ในที่สุดตอนผมสี่ขวบ เมื่อหมดสัญญาทำงานของพ่อที่ชายแดน ครอบครัวเราก็กำลังจะมีชีวิตที่ดีขึ้น พ่อเดินทางกลับเข้าประเทศเพื่อจัดการเรื่องของครอบครัวของเรา ดำเนินเรื่องเพื่อให้แม่และผมมีสัญชาติเหมือนกับพ่อ ภาพความทรงจำที่ชัดเจนที่สุดก็คงเป็นภาพที่แม่ร้องไห้แต่ก็ยิ้ม ตอนนั้นผมไม่เข้าใจหรอก เพิ่งมาเข้าใจตอนโตนี่เองว่า ตอนนั้นแม่คงดีใจมากที่ไม่ต้องอยู่อย่างลำบากอีกแล้ว

สิ่งเดียวที่ผมกับแม่ทำตอนนั้นก็คือ รอวันที่พ่อกลับมารับพวกเรา แม่ร้องรำทำเพลงทุกวัน และทำแต่อาหารดีๆให้ผมกิน ผมเดาว่าตอนนั้นคงดีใจมากอะนะ

แต่แล้วทุกอย่างก็ไม่เป็นไปตามที่คิด........

คืนหนึ่งที่หมู่บ้านชนกลุ่มน้อย ผมกำลังนอนหลับอยู่ในอ้อมกอดของแม่ บรรยากาศกำลังเย็นสบายเพราะฝนตกลงมาค่อนข้างหนัก แต่ก็ต้องตื่นขึ้นและร้องไห้จ้าด้วยความตกใจ เสียงกรีดร้องและเสียงดังของอาวุธปืนสนั่นหวั่นไหวไปทั่วหมู่บ้าน



“อย่าร้องนะลูก อย่าร้องนะ เงียบๆไว้”

นี่เป็นหนึ่งในคำพูดของแม่ที่ผมยังจำได้ไม่ลืม และมันก็เป็นคำพูดสุดท้ายที่ได้ยินจากแม่

แม่ให้ผมเงียบเสียงอยู่ภายในบ้านหลังเล็กๆ แต่ตัวเธอกลับวิ่งออกไปข้างนอก ผมทั้งกลัวและหนาว ไม่รู้นานแค่ไหนที่แม่หายไป จนกระทั้งมีคนเปิดประตูเข้ามา แต่นั่นไม่ใช่แม่ของผม เขาอุ้มผมออกไป ผมจำได้แต่เสื้อสีดำที่มีตัวหนังสือสีเขียวบนอก เขียนว่า SF040 ผมจำได้เพราะผมมองเห็นแค่นั้น เขาจับผมไว้กับอกแน่นมากจนแทบดิ้นไปไหนไม่ได้ ผมถูกพาตัวออกไปจากความวุ่นวาย ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วและสับสนไปหมด ถ้าจำไม่ผิดผมคงไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการร้องไห้ไปเรื่อยๆ

แต่หลังจากเหตุการณ์นั้น ความทรงจำใหม่ที่ผมจำได้แม่นเลยก็คือ พ่อและผมออกตามหาแม่ แม่หายสาบสูญเพราะถูกกลุ่มค้ายาเสพติดจับไปเป็นตัวประกันพร้อมกับชนกลุ่มน้อยจำนวนหนึ่ง การยิงกันที่เกิดขึ้นนั้นคือการปะทะกันของกลุ่มค้ายาเสพติดกับทหาร และคนที่อุ้มผมออกมาก็คงเป็นทหารคนหนึ่ง กลุ่มคนร้ายจับแม่และตัวประกันคนอื่นๆไว้เพื่อใช้ต่อรองให้พวกมันหนีจากการจับกุม ซึ่งก็สำเร็จซะด้วย ข่าวล่าสุดที่ผมกับพ่อรู้มาก็คือ พวกนั้นหนีเข้าไปในพม่า และปล้นเรือสินค้าหนีออกทะเลฝั่งอันดามัน ไปพร้อมกับตัวประกันทุกคน ไม่มีใครรู้ว่าเรือลำนั้นไปเทียบท่าที่ไหน พ่อพยายามขอความช่วยเหลือไปที่รัฐบาลพม่า รัฐบาลไทย สถานทูตหลายต่อหลายแห่ง เราเดินทางไปหลายประเทศอยู่สองสามปี ไม่ว่าจะขอความช่วยเหลือทางไหน ก็ไม่มีวี่แววของแม่หรือแม้กระทั่งข่าวลือเกี่ยวกับเรือที่แม่นั่งออกมาเลย

พ่อใช้เงินเก็บเกือบทั้งหมดไปกับการตามหาแม่ จนเมื่อในที่สุด เมื่อกำลังใจในการตามหาแม่หมดลง ไร้ข่าว ไร้วี่แวว ไร้กำลังทรัพย์ เราสองพ่อลูกก็จำยอมต้องถอดใจ ผมอาจจะยังไม่ถอดใจแต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก ผมเป็นแค่เด็ก ซ้ำร้ายก็คือพ่อพยายามห้ามผมทุกครั้งที่เห็นว่าผมยังพยายามที่จะตามหาแม่ ผมเสียใจอย่างหนักช่วงปีสองปีแรก แทบจะไม่มีคืนไหนเลยที่ไม่ร้องไห้หาแม่ พ่อตัดสินใจเปลี่ยนอาชีพมาทำไร่ผลไม้ที่บ้าน เพื่อเป็นการอยู่กับผม พ่อมักพูดว่าพ่อจะไม่ห่างจากผมอีก เพราะการห่างกันครั้งนั้นสร้างประสบการณ์ที่เลวร้ายอย่างยิ่งให้กับครอบครัวของเรา



นี่แหละเรื่องของผม ตอนนี้คุณคงเข้าใจแล้วใช่ไหมว่าทำไมผมจึงมุ่งมั่นอยากเป็นอันดับหนึ่งของผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยมัณฑนานัก นั่นก็เพราะผมอยากใช้พื้นที่สื่อที่อยู่ในมือของบริษัท T-Queen World Wide แม้จะเป็นความหวังที่เล็กน้อยแค่ไหน แต่ผมก็ยังอยากที่จะมีโอกาสเจอหน้าแม่อีกครั้ง

เพราะงั้นตอนนี้ผมขอตัวไปเตรียมตัวและหาข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับการจะเป็นผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัยมัณฑนาก่อน นี่คือโอกาสที่ผมจะปล่อยให้หลุดมือไปไม่ได้

บุญกรรมทั้งหลายที่เคยทำมา ลูกเดินมาจนถึงทางเส้นสุดท้ายแล้ว ถ้าแม่ของลูกยังมีชีวิตอยู่ โปรดให้ลูกได้พบแม่อีกครั้งด้วยเถิด.............................................









ปัจจุบัน



ทำได้แล้ว

ในที่สุดก็ทำได้ ได้เดินเข้ามหาลัยมัณฑนาในฐานะนิสิตอย่างเต็มภาคภูมิ

หนึ่งปีกับการอ่านหนังสือทุกวันเพราะรู้ตัวว่าไม่ใช่คนหัวดีมากนัก แต่ก็สอบติดคณะวิทยาศาสตร์ ภาควิชาชีววิทยาของที่นี่จนได้ ต้องเป็นคณะนี้เท่านั้น

หลังจากนี้ก็คืออีกเรื่องที่ต้องทำให้สำเร็จเหมือนกัน การเป็นผู้นำเชียร์..... นอกจากการอ่านหนังสืออย่างหนักตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา มีอีกเรื่องที่ผมก็ทำไม่เคยขาดเหมือนกัน นั่นก็เคยการเตรียมตัวเพื่อมาเป็นผู้นำเชียร์ของที่มหาลัยนี้ ทั้งศึกษาข้อมูล ซ้อมเต้นด้วยตัวเอง ไล่ค้นหาทุกอย่างที่จะสามารถทำให้ผมขึ้นไปสู่เป้าหมาย ผมรู้ดีว่านี่ไม่ใช่งานง่าย เพราะถ้าถึงขั้นที่ทั้งประเทศยกฉายาของงานลีดเดอร์ของที่นี่ว่าเป็น ผู้นำเชียร์บนหอคอยเกียรติยศ แสดงว่ามันก็ต้องยากไม่ใช่เล่นๆ



เอ.............????

น่าจะเป็นตรงนี้นะ......

จากที่ศึกษาข้อมูลเรื่องผู้นำเชียร์ของมหาลัยนี้มาอย่างดี โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับพี่น้ำชา รุ่นพี่คนที่ดำรงตำแหน่ง Center คนปัจจุบัน ทำให้ค่อนข้างมั่นใจว่า บริเวณหลังโดมรวมใจที่ผมกำลังยืนอยู่ตอนนี้เป็นจุดที่พี่เขาเคยแอบเต้นมาก่อนซึ่งนั่นทำให้พี่เขาได้รับการประทับตราผู้นำเชียร์ ผมก็เลยมีความหวังว่าถ้าหากผมมายืนเต้นตรงนี้ ผมอาจจะได้รับตราประทับอย่างพี่เขาบ้าง

รั้วสีทองส่องแสงในหล้า.....



นั่นไง เพลงขึ้นจนได้

ทันทีที่ได้ยินเสียงเพลงผมก็เริ่มโซโลด้วยการวาดลวดลายที่ซ้อมมาอย่างดี.....



เห้อออออออออออ.......

นี่เต้นไปเป็นสิบรอบแล้วนะ ทำไมยังไม่เห็นมีใครมาซะที

ผมชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าจุดที่ผมกำลังเต้นอยู่นี้ใช่ที่เดียวกับที่พี่น้ำชาเคยมาเต้นหรือเปล่า เพราะไม่มีวี่แววว่าจะมีใครมาเลย เต้นจนเหงื่อท่วมไปหมดแล้ว

รั้วสีทองส่องแสงในหล้า....

เพลงขึ้นอีกแล้ว เอาไงดีๆ

เต้นอีกสักรอบก็แล้วกัน ถ้าไม่มีใครเข้ามาก็กลับเข้าโดม ยังพอมีเวลาเหลืออีกหน่อย ถ้าพลาดจากตรงนี้อาจจะยังมีโอกาสอีกก็ได้ หวังว่าในโดมพวกรุ่นพี่ลีดจะยังไม่กลับออกไปกันหมดนะ

....บัญฑิตศรีแห่งรั้วมัณฑนา

จบไปอีกรอบโดยไม่มีอะไรเลย....



#เสียงโทรศัพท์

เห้ยยยยยยยยย!!!!

เสียงอะไรวะ

ผมหันหลังกลับไปมองอย่างรวดเร็ว



น..... นี่..... นี่มัน....



“ฮัลโหล” คนตรงหน้าผมหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาคุย

“…………”

“อยู่... เอ่อ... หลังโดมรวมใจ”

“………..”

“ก็....”

“.................”

โทรศัพท์ถูกเก็บแล้ว แปลว่าจบการสนทนาแล้วซินะ



“พ...พี่น้ำชา” ปากของผมมันเรียกชื่อพี่เขาออกมาเอง ก็จะไม่ให้เรียกได้ไงล่ะ พี่เขาติดอยู่สมองผมมาเป็นปีแล้ว“ม...มาแล้วเหรอครับ”

“มาแล้ว?” พี่น้ำชาคงงงว่าทำไมผมถึงพูดแบบนั้น

“ครับ” ตอบตรงๆไปเลยก็แล้วกัน “ผมเต้นรอที่มาสิบกว่ารอบแล้ว”

“สิบกว่ารอบ!!” พี่เค้าถึงกับร้องเสียงหลง “รู้ได้ไงว่าพี่จะมานี่”

“ผมชื่ออะตอมครับ อยู่คณะวิทย์ เอกชีวะ” มารยาทที่ดีต้องแนะนำตัวก่อน

“โอเค แล้วสรุปว่ารู้ได้ยังไงว่าพี่จะมายืนอยู่ตรงนี้”

“คือผม.... เอ่อ....” จะพูดว่าไงดีวะ เท่าที่ศึกษามาพี่น้ำชาเป็นคนทำอะไรตรงๆง่ายๆไม่ซับซ้อน เราก็ควรจะพูดตรงๆไปเลยดีกว่า “ผมศึกษาเรื่องของพี่มาน่ะครับ พี่ท๊อปเคยเล่าเอาไว้ในรายการหนึ่งของเกาหลีเมื่อเดือนก่อน เห็นพี่เขาเล่าถึงเหตุการณ์นี้ด้วย แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าจุดที่พี่น้ำชามาแอบเต้นใช่ตรงนี้จริงๆหรือเปล่า ก็เลยลองเสี่ยงเต้นไปเรื่อยๆดู”

“แล้วทำไมถึงต้องอยากหน้าพี่ด้วยล่ะ”

“ก็.... เหมือนกับทุกคนนั่นแหละครับ ผมเองก็อยากได้รับตราประทับของลีดมอมัณฑนาเหมือนกัน แต่.... ผมคิดว่ารูปลักษณ์ของผมคงจะเข้าตารุ่นพี่ได้ยาก ถ้าเป็นพี่น้ำชา ถ้าเป็นพี่อาจจะมองข้ามเรื่องนี้แล้วก็มองเห็นความพยายามของผมก็ได้ ผมก็เลยมาเต้นตรงนี้ไปเรื่อยๆ หวังว่าพี่จะบังเอิญอยากกลับมาดูสถานที่ที่พี่เองก็เคยพยายามมาก่อน”

“แล้วทำไมถึงอยากเป็นลีดขนาดนั้นล่ะ”

“ผมอยากได้ทุนน่ะครับ” ผมเลือกที่จะเลี่ยงตอบจุดประสงค์หลัก ใช้ข้ออ้างอันนี้น่าจะเข้าท่ากว่า

“ทุน? อ๋อ…. นี่ซินะเหตุผล”

“ค...ครับ” อย่าหาว่าผมโกหกเลยนะ แต่เรื่องของผมมันซับซ้อน

“ศึกษามาดีเหมือนกันนิ”

“บ้านผมค่อนข้างฐานะไม่ดี” แอบไขว้นิ้วไว้ล่ะกัน ผมขอโทษที่ต้องโกหกจริงๆนะพี่ “แล้วผมเองก็ไม่ได้เรียนเก่งขนาดที่จะไปสอบชิงทุนได้ ก็เลยต้องพยายามศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับทุนที่ใช้ความสามารถด้านอื่นๆมาช่วยน่ะครับ”

“เปล่า พี่ไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น” อ้าว แล้วหมายถึงะไรอ่ะ อุตส่าคิดคำโกหกตั้งหลายประโยค “พี่หมายถึงศึกษาเรื่องลีดมาดีนิ สำหรับคนที่ฝึกเอง พี่ขอชมว่าทำได้ดีมาก”

“อ๋อ” เห้ยยยย พี่เค้าชมเราด้วย เป็นนิมิตหมายที่ดี “ขอบคุณครับพี่ ว่าแต่มัน... ดีพอที่ผมจะได้รับตรา...”



“เจอแล้ว อยู่นี่เอง” ซะงั้น ใครเข้ามาขัดจังหวะละเนีย หึ*!* นี่มันพี่ตอง แฟนของพี่น้ำชานี่นา เจอคนดังสองคนพร้อมกันเลยเรา “แล้วนี่ใครเนีย”

“สวัสดีครับพี่ตอง” มารยาทที่ดีคือการแนะนำตัวก่อน(อีกครั้ง) “ผมชื่ออะตอมครับ เป็นรุ่นน้องจากคณะวิทยาศาสตร์ครับ”

“แล้ว...?” พี่ตองก็คงจะยังไม่เข้าใจอยู่ดี

“ก็เป็นรุ่นน้องที่ชากำลังจะปั๊มตราลีดให้ไง” ว่าไงนะ! เมื่อกี๊พี่น้ำชาพูดว่าอะไรนะ

“งั้นเหรอ” พี่ตองพูดต่อ “ถ้างั้นพี่มีอีกคนมาให้ชาปั๊มให้ด้วย ออกมาเร็ว”

“อ้าว น้อง...” พี่น้ำชาอุทานเมื่อเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังของพี่ตอง

ใครล่ะนั่น?

หน้าตาดีสุดๆ สูงพอๆกับพี่ตองเลย อาจจะไม่ได้ล่ำสัน แต่รูปร่างหน้าตาแบบนี้ก็ไม่แปลกที่พี่ตองจะพามาให้พี่น้ำชาปั๊มตราให้.... เกิดเป็นคนหน้าตาดีนี่มันน่าอิจฉาจริงๆ ไม่ต้องพยายามอะไรมาก

“สวัสดีครับพี่” คนมาใหม่ยกมือไหว้

“แล้ว... สรุปว่าน้องอยากเป็นผู้นำเชียร์แล้วเหรอ ไหนบอกว่าไม่อยากเสียเวลาเรียนไง” พี่น้ำชาพูด

“ก็กล่อมอยู่นานเหมือนกัน” พี่ตองเป็นคนตอบ “แต่พอบอกว่าปีที่แล้วมีพี่ลีดคนนึงที่เป็นถึงเด็กอัจฉริยะระดับประเทศ น้องมันก็เลยยอมกลับมา”

กำลังพูดถึงพี่น้ำชาซินะ แน่นอนว่าผมต้องรู้อยู่แล้ว ผมศึกษาทุกอย่างของลีดมหาลัยนี้มาเป็นอย่างดี เรื่องที่พี่น้ำชาเป็นเด็กอัจฉริยะด้านคณิตศาสตร์แนวหน้าของประเทศถือเป็นข้อมูลที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

“ผมกลับมาเพราะเรื่องทุนเรียนฟรีต่างหากละพี่” อ๋ออออออ ที่แท้เขาก็อยากได้ทุนนี่เอง

“เอาเถอะ ไปขอตราประทับจากพี่น้ำชาไป” พี่ตองดันคนมาใหม่ให้มายืนข้างๆผม สูงชะมัด ยืนใกล้ๆคนหน้าตาดีแบบนี้จะทำให้เราหมองลงไหมเนีย

“เอาจริงดิ” พี่น้ำชาช่างใจอยู่สักพัก “โอเค งั้นน้องอะตอมกับน้องแทนครับ รบกวนยื่นป้ายชื่อขึ้นมาให้พี่หน่อย”

รีบซิครับงานนี้ ผมยื่นป้ายชื่อให้พี่น้ำชาอย่างรวดเร็วจนเกือบจะหลุดออกจากเชือก

เกร็ก เกร็ก

เจ๋ง ได้มาแล้วโว้ยยยยยยยยย เดี๋ยวจะเก็บขึ้นหิ้งบูชาไว้อย่างดีเลย

“เจอกันที่คณะนะ” พี่น้ำชาบอก

“ครับ/ครับ” ผมและคนข้างๆ ตอบรับ



จากนั้นเราสองคนก็เดินออกมาจากด้านหลังของโดมเพราะจะกลับเข้าไปยังงานแนะแนวด้านใน



“อยู่คณะวิทย์เหมือนกันเหรอ” จู่ๆ คนที่เดินมาด้วยกันกับผมก็ตั้งคำถามใส่ “เห็นป้ายชื่อสีเดียวกัน”

“ใช่” ผมตอบสั้นๆ ก็จะให้ตอบว่าไงอ่ะ

“เอกไรอ่ะ”

“ชีวะ”

“เป็นคนแถวนี้หรือเปล่า หรือว่าต่างจังหวัด”

“เดี๋ยวนะ” นี่กำลังสอบสัมภาษณ์กูอยู่หรือไง “เราต้องตอบไหมเนี่ย”

“ก็เราเป็นเพื่อนกัน ก็ต้องรู้ข้อมูลกันไว้ดิ”

“เพื่อน?” นี่กูเป็นเพื่อนกับมึงแล้วเหรอ “เราจะเป็นเพื่อนกับคนที่ไม่รู้จักชื่อได้ไง”

“อ๋อ เราลืมไป เราชื่อแทนนะ อยู่ธรณี ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ”

“เอ่อ....” ฝากเนื้อฝากตัวเนี่ยนะ ทำไมใช้คำแปลกๆจัง “เราชื่ออะตอม อยู่เอก... บอกไปแล้วนี่นา”

“แล้วสรุปว่ามาจากต่างจังหวัดหรือเปล่าอ่ะ”

“ทำไมถึงอยากรู้เรื่องนั้นจัง มันสำคัญเหรอ”

“เรากำลังหาพวกเดียวกันอยู่ เรามาจากต่างจังหวัด ที่นี่ดูเหมือนจะมีแต่เด็กเมืองหลวง เรากลัวทำอะไรประหลาดๆ เราไม่ค่อยรู้วัฒนธรรมของคนแถวนี้สักเท่าไหร่”

เมืองหลวง วัฒนธรรม.... โอเค มึงพูดแปลกจริงๆ ทำตัวหยั่งกับมาจากกาแล็กซี่ไกลโพ้น

“เราเป็นเด็กต่างจังหวัด” ผมยอมตอบในที่สุด ก็ไอ้คนข้างๆผมนี่จ้องรอคำตอบผมจริงจังมาก มึงจริงจังไปปะเนี่ย

“ดีเลย” ดีใจขนาดนั้นเชียว
หัวข้อ: LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 3 [จุดประสงค์แอบแฝง Part 2]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 09-08-2018 19:22:01
(ต่อ Part 2)




“ว้าวตายแล้ว”

อะไร!!! ใครตายวะ

“เธอๆ ตราปั๊มสีเงินนี่ของใครเหรอ ไม่เคยเห็นเลย” เขา เอ้ย หล่อนถาม เอาเป็นว่าช่างเถอะ แต่คำถามของคนนี้คนเดียว ทำเอาปีหนึ่งระแวกนั้นหันมาสนใจกันหมดเลย แม้กระทั้งรุ่นพี่ที่เดินอยู่แถวนั้นก็อยากรู้ไปด้วย ตอนนี้ผมกลับเข้ามานั่งอยู่ในโดมเรียบร้อยแล้ว



“พี่คนที่ชื่อน้ำชาปั๊มให้”

“เห้ย!” ผมห้ามไอ้เพื่อนใหม่ เอ้ย เออ ช่างมันเถอะ “ทำไมไปบอกเขาง่ายๆอย่างงั้นล่ะ”

“ไม่ควรบอกเหรอ” ดูความซื่อของมันซิ

“ไอ้บอกมันก็ไม่ผิดหรอก แต่ดูนั่นซิ” ผมชี้ไปที่รอบๆตัว

ดูเหมือนทุกคนจะเริ่มมีประเด็นเม้ามอยกันสนุกปากระหว่างช่วงแนะแนวบนเวทีที่ไม่ใครฟังไปเสียแล้ว

“เราทำอะไรผิดไปหรือเปล่าอ่ะ”  ไอ้แทน เรียกมันอย่างงี้ก็แล้วกัน ไอ้แทนชักเริ่มหน้าเสีย

“ก็ไม่ได้ผิดอะไรขนาดนั้นหรอก” ผมคลายความกังวลให้ “สุดท้ายก็คงรู้กันอยู่ดี”

“งั้นเหรอ... แล้วนายชอบชีววิทยาเหรอ ที่เลือกเรียนเอกนี้อ่ะ”

“ก็ไม่เชิงอ่ะ พอดีที่บ้านเราเป็นเกษตรกร แล้วเราก็อยากเข้าคณะวิทย์ ให้ไปสอบเข้าเอกอื่นคงไม่ไหว เราหัวไม่ดีเท่าไหร่ ก็เลยเลือกเอกนี้ ขยันอ่านหนังสือเยอะๆเอา เรียนเอกนี้ก็เผื่อเอาความรู้กลับไปใช้กับที่บ้านได้ด้วย”

“อย่างนี้นี่เอง”

“แล้วนายล่ะ ทำไมสอบเข้าธรณี ไม่ค่อยมีคนสนใจเรียนเท่าไหร่นะ สมัยนี้”

“ก็คล้ายๆกันนั่นแหละ เราอยากเอาความรู้ไปใช้” เป็นคนตอบคำถามซื่อๆดีแฮะ ไม่มีความนัยแอบแฝงอะไรเลย “ว่าแต่... เมื่อกี๊พี่น้ำชาก็กล่อมให้นายเป็นเชียร์ลีดเดอร์เหมือนกันเหรอ”

“ห๊ะ เปล่า....” เอ๊ะ เดี๋ยวนะ “เมื่อกี๊นายพูดว่า...เหมือนกัน เหรอ”

“ใช่ ก็เราเห็นนายคุยกับพี่เขาสองคนหลังโดมแบบนั้น ก็นึกว่าจะเหมือนที่เราโดนพี่อีกคนนึงกล่อมให้มาเป็นเชียร์ลีดเดอร์”

“พี่อีกคน? อ๋อ... นั่นน่ะ พี่ตอง พี่เขาเป็น....” คงไม่ดีเท่าไหร่ถ้าจะแนะนำว่าพี่ตองเป็นแฟนพี่น้ำชา

“เป็น...?”

“เป็น....เอ่อ...พี่ลีดมอปีสาม”

“อ๋อ ถึงว่าดิ ว่าแล้วเชียวทำไมพี่เขาถึงต้องมาเกลี่ยมกล่อมเราด้วย ที่แท้ก็เป็นเชียร์ลีดเดอร์นี่เอง คงพยายามหาคนเข้าชมรมกันอยู่”

“ชมรม?” นี่มันพูดอะไรของมันวะ ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกขัดใจ ตั้งแต่ที่มันบอกว่าโดมเกลี่ยกล่อมให้ได้ตราประทับแล้ว ไอ้บ้านี่มันไม่ให้เกียรติการเป็นผู้นำเชียร์ของที่นี่เลยนี่หว่า “นายคิดว่าผู้นำเชียร์ของที่นี่เป็นชมรมหรือไง รู้ไหมว่าการเป็นลีดของมอมัณฑนาหมายถึงอะไรกันแน่”

“อ๋อ เรื่องนั้น รู้ซิ พี่....อะไรนะ พี่ตองใช่ไหม พี่เค้าบอกแล้วล่ะว่าการเป็นเชียร์ลีดเดอร์ของมหาลัยนี้ก็เท่ากับเป็นจุดเริ่มต้นของคนที่จะมีชื่อเสียง เราถึงได้ตอบตกลงไง”

“ชื่อเสียง? ชื่อเสียงเนี่ยนะ” ไอ้เวรตะไลเอ๊ย ยิ่งฟังยิ่งอยากฉีกป้ายชื่อที่ห้อยคอของมันทิ้ง แม่ง ไม่ให้เกียรติความยิ่งใหญ่ขององค์กรผู้นำเชียร์เลย แถมยังพูดได้หน้าตาเฉย คิดว่าหล่อแล้วจะพูดจองหองยังไงก็ได้หรือไงวะ

“อย่าเข้าใจผิดนะ เรื่องเป็นคนมีชื่อเสียงนั่น เราก็ไม่ถึงกับคาดหวังกับมันนักหรอก แต่เราอยากให้ทุนกับงานที่จะได้รับหลังจาก...”

“พอ! เข้าใจแล้ว อยากได้ทุน เราก็อยากได้เหมือนกัน” กูไม่ทนฟังอีกแล้ว “แต่รู้อะไรไหม เรามาคิดๆดูแล้ว นายเข้ากับเราไม่ได้หรอก”

“อะไรนะ!?”



กูไม่ทนนั่งอยู่ข้างมันแล้ว ผมเดินลุกออกไปเก้าอี้ทันที คือจะบอกว่าผมเป็นคนแรงก็คงไม่ใช่ แต่เพราะถึงเวลาที่พิธีกรบนเวทีปล่อยเด็กปีหนึ่งออกจากโดมแล้ว ส่วนเรื่องโกรธก็โกรธจริง รู้สึกเหมือนโดนถ่มน้ำลายใส่หน้าเลย

ผมไม่โกรธนะที่ไอ้บ้านั่นถูกเกลี่ยกล่อมให้รับตราประทับ ทั้งๆที่ผมพยายามอย่างหนัก แต่การที่มันมองคุณค่าของผู้นำเชียร์แบบนี้ มันเท่ากับเป็นการดูถูกความฝันของผมชัดๆ โอเค ผมอาจจะมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง แต่ก็ไม่เคยลืมเกียรติยศขององค์กรผู้นำเชียร์ที่ยิ่งใหญ่นี้เลย



“นาย นาย อะตอม”

แม่ง ไอ้ชิบหายนิ ยังจะตามกูมาอีก

ไม่สนโว๊ย รีบเดินเข้าไปในแถวดีกว่า....



หึย! นั่นมีพวกรุ่นพี่มาแจกดอกกุหลาบที่ทางออกโดมด้วยเหรอ

เห้ย!! มีพวกพี่ลีดมอด้วย พี่น้ำชาจะให้ดอกกุหลาบใครกันนะ จะให้เราหรือเปล่าหว่า ไม่แน่นะ พี่เขาถึงขั้นปั๊มตราให้เราแค่คนเดียว

“ทำไมนายถึงพูดแบบนั้นอ่ะ เราทำอะไรผิด” อ้อ มีไอ้ปากเสียนี่อีกคน ยิ่งเห็นหน้ามันยิ่งอารมณ์เสีย

“.......” ไม่คุย กูไม่คุยด้วยโว๊ย สนใจพี่น้ำชาดีกว่า

นั่น! พี่น้ำชายื่นดอกกุหลาบมาทางนี้แล้ว ให้เราหรือเปล่านะ



“แทน แทน”

“................” ช็อกเลยกู พี่น้ำชาดันเรียกชื่อไอ้บ้านี่ ทำไมต้องให้ดอกกุหลาบคนอย่างมันด้วยวะ

“เป็นไรอ่ะ อยู่ดีๆ ก็ไม่พอใจเราซะงั้น” มึงยังจะมาพูดกับกูอีก พี่น้ำชาเขายื่นดอกให้อยู่น่ะ ต่อให้มึงมีความคิดไม่ให้เกียรติองค์กรของพี่เขา อย่างน้อยก็ช่วยรับน้ำใจจากคนที่มีน้ำใจกับมึงหน่อยได้ไหม

“พี่น้ำชายื่นดอกกุหลาบให้น่ะ รับดิ” ก็ไม่รู้หรอกว่าผมใช้น้ำเสียงแบบไหนไป แต่ไม่อยากอยู่ตรงนั้นเลย กุลงกุหลาบอะไร กูไม่อยากได้ทั้งนั้นแหละ

“ข....ขอบคุณครับพี่” ผมได้ยินคำขอบคุณของ.... โอ๊ย ช่างแม่งเหอะ อย่าให้ต้องพูดถึงมันอีกนะ



“ไปคณะวิทย์ครับ” ผมบอกกับคนขับรถไฟฟ้าที่ผมเพิ่งจะขึ้นมา

“คณะวิทย์เหมือนกันครับ” แหนะ ไอ้ห่านิ มึงจะตามตอแยกูไปถึงไหน “นี่นายโกรธเราเรื่องอะไรเนีย”

โอ๊ยยยยยย มึงนี่มันไม่เหมือนคนปกติจริงๆ

“เรื่องดอกกุหลาบ” เออ กูตอบไปแม่งอย่างนี้แหละ จะได้เลิกเซ้าซี่กูซะที

“ดอกกุหลาบ? มันทำไมเหรอ นายแพ้ดอกกุหลาบเหรอ”

“เปล่า” ทำไมกูต้องมานั่งอธิบายอะไรพวกนี้ให้มันฟังด้วยวะ “กูอยากได้ดอกกุหลาบจากพี่น้ำชา เข้าใจแล้วก็เลิกถามซะที”

“ดอกกุหลาบนี่อะเหรอ... งั้นเรายกให้ก็ได้นะ”

“นี่! ของแบบนี้เขายกให้กันได้ที่ไหน ให้เกียรติพี่เขาหน่อยเหอะ”

“แต่นายบอก...”

“กูไม่บอกอะไรถึงนั่นอ่ะ เลิกพูดซะที”

“แต่เราเป็นเพื่อนกันนะ”

“ใครเป็นเพื่อนมึงวะ” กูขึ้นจริงๆแล้วนะ “ยังไม่เข้าใจอีกหรือไงว่าไม่อยากคุยด้วย ภาษาคนอ่ะ เข้าใจป่ะ”

“..........” เออ เงียบไปซะที



นั่งรถไฟฟ้าอยู่แค่สองคน แม่ง อึดอัดชิบหาย



หลังจากนั่งรถไฟฟ้ามาสักพัก ผมก็มาถึงบริเวณอาคารเรียนของคณะวิทยาศาสตร์ มีพี่ๆคอยมาต้อนรับและเรียกให้เข้าไปนั่งรวมกันที่โถงกลางของคณะ ส่วนไอ้คนที่เดินทางมากับผม มันหยุดพูดแล้วก็จริง แต่มันก็ยังตามผมติดเป็นเงาไม่ห่าง พอหันไปก็ทำหน้าซื่อ ทำเป็นไม่ได้ตามมา ลอยหน้าลอยตา ทำที่มองนั่นมองนี่นะมึง ที่กูคิดว่ามึงเป็นคนซื่อๆท่าจะคิดผิดซะแล้ว อย่ามาลองดีกับกูนะ มึงสูงกว่ากูนิดหน่อยไม่ใช่ว่ากูจะต่อยไม่ถึงนะ



“อุ๊ย เธอนี่เองเหรอที่ได้ตราปั๊มสีเงิน” มาถึงผมก็โดนเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งทักทันที ตูดยังไม่ทันจะถึงพื้นดีเลย “เธอคนนี้ก็มี สองคนนี้นี่เองที่ได้ตราปั๊มจากพี่น้ำชา”

ไอ้..... หมดคำจะด่ามันแล้ว จะตามติดกูไปถึงไหน เออ มึงอยากอยู่อยู่ตรงไหนก็อยู่ จะนั่งข้างกูก็นั่งไป เดี๋ยวถ้ายังทำตัวตามติดกูมากๆ กูจะพาเดินกลางแดดแม่งทั้งวัน ให้มันหมดหล่อไปเลย

พอถึงตอนเที่ยงก็มีข้าวกล่องจากเจ้าหน้าที่คณะมาเสิร์ฟถึงที่

“ว้าว หมูยอ” ผมอุทานเบาๆอย่างเป็นอัตโนมัติ ก็คนมันชอบอ่ะ พวกหมูยอ กุนเชียง อะไรแนวๆนี้ผมชอบมากเลย อาจจะเป็นเพราะว่าสมัยเด็กๆผมได้กินของพวกนี้บ่อย ที่หมู่บ้านชนกลุ่มน้อยมักจะหาซื้อเนื้อและผักสดยาก ส่วนใหญ่ก็จะเป็นอาหารสำเร็จรูป ก็เลยติดใจในรสชาติละมั้ง

“...............” !!!!!!!

จู่ๆ ไอ้บ้าข้างๆก็จิ้มหมูยอมาใส่ในกล่องของผม

“ไม่ต้อง” เอาของมึงคืนไป

“..............” แน๊ะ ยังจะเอาคืนมาอีก

“ไอ้....” แล้วมันก็หันกล่องอาหารของมันไปไกลจากผมเพื่อไม่ให้ผมสามารถเอาคืนไปได้ ไอ้บ้านี่ทำไมมันต้องพยายามง้อผมขนาดนี้ด้วยนะ มีจุดประสงค์แอบแฝงอะไรอยู่หรือเปล่า ส่วนไอ้เรื่องที่ว่าผมจะทิ้งของกินน่ะเหรอ ไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน คุณค่าของอาหารผมรู้จักดี

เออ เรื่องของมึง ไม่เอาคืนงั้นกูจะแดกแม่งให้หมดเลย ไม่ต้องมาทำเป็นยิ้ม กูกินเพราะกูถูกสอนมาแบบนี้โว๊ย



การแนะแนวจากคณะเริ่มขึ้นในอีกอึดใจต่อมา ใจผมอ่ะก็อยากจะตั้งใจฟังที่พี่ๆบนเวทีเขาพูดนะ แต่พวกปีหนึ่งที่อยู่รอบตัวผมนี่ซิ สนใจอะไรมากมายกับตราปั๊มของผมกับ... ไม่ กูจะไม่พูดถึงมึง จนผมไม่มีสมาธิฟังแนะแนวเลย อุตส่าห์จะแก้ตัวเมื่อเช้าที่มัวแต่สนใจเรื่องตราประทับจนไม่ได้ฟังอะไรเลยสักหน่อย



“อะตอม” หึ! ใครเรียก ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง

“ค...ครับ” เห้ยยยย พี่น้ำชานี่หว่า

“อะนี่ พี่ให้”

!!!!!!!!!!!!!!

ดอกกุหลาบนี่นา ดอกสีขาว ไม่เหมือนของคนอื่นๆซะด้วย นี่ซิของที่ผมอยากได้โดยไม่คิดจะคืนให้

“ขอบคุณมากครับพี่น้ำชา” ผมไม่รู้ว่าเมื่อกี๊ใช้ความเร็วเหนือแสงหรือเปล่าในการคว้าดอกกุหลาบจากพี่เค้า “จริงๆ พี่ไม่ต้องให้ผมก็ได้นะครับ แค่ปั๊มตราลีดให้ก็ไม่รู้จะขอบคุณยังไงแล้ว” แต่ใจจริงก็อยากได้นะ

“อ...เออ” พี่เขาอึ้งๆ “พี่เอามาปลอบใจเฉยๆ เพราะเดี๋ยวต่อไปถ้าน้องผ่านเข้าไปเป็นลีดคณะได้จริงๆ รับรองว่ามีเหนื่อยจนอยากลาออกแน่”

“ไม่หรอกครับ ผมจะอดทนครับ” กำลังใจมาเต็มสุดๆไปเลยตอนนี้

“คราวนี้ก็ได้เหมือนกันแล้วนะ” หลังจากที่ไอ้คนที่ตามติดผมมาเงียบไปนาน ในที่สุดมันก็พูดอีกครั้ง “หายเคืองเราแล้วใช่ไหม”

“อืม” ตอบๆมันไป อารมณ์ดีขึ้นเยอะเลย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากูอยากจะเสวนากับมึงหรอกนะ



หลังจากจบกิจกรรมที่โถงคณะวิทย์ ผมและเหล่าเพื่อนในคณะผู้ได้รับตราประทับจากลีดมหาลัยก็ถูกนำตัวขึ้นไปยังชั้นบนของอาคารเพื่อทำการสอบสัมภาษณ์ต่อ

ในการสอบสัมภาษณ์นั้น ผมได้ตระหนักความจริงสองอย่างคือ

หนึ่ง พี่น้ำชาดีใจกับผมมาก พี่เค้าช่วยแก้สถานการณ์ในขณะที่ผมกำลังแย่ระหว่างแสดงความสามารถพิเศษอันน่าอายของผม จนผมสามารถผ่านเข้ารอบได้

และสอง... กับไอ้บ้านั่น ไม่ซิ เรียกมันว่าไอ้แทนก็แล้วกัน ให้เกียรติมันหน่อย ก็เพราะหลังจากนั่งฟังการสอบสัมภาษณ์ของมันแล้ว ผมถึงได้เห็นถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงในการตอบรับมาเป็นผู้นำเชียร์ มันเองก็มีอดีตเกี่ยวกับครอบครัวเหมือนกัน ก็เลยอยากเป็นคนมีชื่อเสียงและอยากได้ทุนเพื่อแก้ไขอดีตและทำประโยชน์ให้กับสังคม

นี่ซินะคำว่า ไม่ฟังให้ดีๆก่อน ผมก็รู้สึกผิดนะที่ไม่ยอมฟังเรื่องราวของไอ้แทนก่อนที่จะไปโกรธเคืองมันขนาดนั้น



"​เราขอโทษนะที่เคืองนายไปอ่ะ" ผมพูดกับไอ้แทนทันทีที่มันกลับลงมาจากการสัมภาษณ์ เข้าใจผิดก็ต้องขอโทษ นั่นคือสิ่งที่พ่อสอนมา แล้วก็ที่สำคัญ... "เสียใจเรื่องพ่อของนายด้วยนะ​"

"​เราโอเค" ไอ้แทนตอบพร้อมกับรอยยิ้ม ต้องยิ้มขนาดนั้นเลยเหรอ แค่กูกลับมาคุยด้วยเนีย "​แล้วเรื่องทุนอ่ะ นายก็อยากได้เหมือนกันไม่ใช่เหรอ"

"เรื่องนั้น...” มันก็ไม่ใช่จุดประสงค์หลักเท่าไหร่หรอก “เอาเป็นเราต่างก็มีเหตุผลกันทั้งคู่ งั้นก็มาแข่งกันอย่างยุติธรรมก็แล้วกัน"

"สรุปว่าเรากลายเป็นคู่แข่งกันแล้วเหรอ"

"​ทำไม กลัวเหรอ" เรื่องเปลี่ยนอารมณ์ขอให้บอก ผมเก่งอยู่แล้ว

"ไม่กลัวอยู่แล้ว"



นั่นแหละเรื่องราวของผม เอาเป็นว่าน่าจะพออธิบายถึงตัวผมแบบพอสังเขปได้แล้วนะ ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมเดี๋ยวมาเล่าให้ฟังอีกก็แล้วกัน ส่วนตอนนี้กลับไปสนใจเรื่องของคนที่สำคัญกว่าผมอย่างพี่น้ำชากันดีกว่านะ.....



.........................................................................



(น้ำชา)



“สำหรับการสัมภาษณ์วันนี้ก็จบลงแล้วนะครับ” ผมกล่าวกับน้องๆผู้เข้ารอบ “ตอนนี้เราเหลือกัน สามสิบสองคน มีผู้ชายทั้งหมดสิบห้าคน และผู้หญิงสิบเจ็ดคน” เยอะสุดๆ เลย เด็กมันมาจากไหนกันนักหนาล่ะเนีย “เราต้องมีการคัดออกอีกให้เหลือชายและหญิงอย่างละหกคนนะครับ... เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งโวยวายไป พวกพี่ไม่สามารถคัดใครออกได้อีกแล้ว หน้าที่นั้นจะเป็นของมวลชนในวันเปิดกิจกรรมห้องเชียร์”

“สำหรับการคัดตัวรอบสิบสองคนของทุกคณะนะครับ มีกติกาที่เหมือนกันก็คือ...” ไอ้สุ่ยเล่าต่อจากผม มันทำหน้าที่รองประธานลีดได้เป็นอย่างดี ใช้ได้ๆ “น้องๆ จะต้องแสดงท่าเต้นเพลงมิ่งขวัญมัฑณนาซึ่งเป็นเพลงเก่าแก่ของมหาวิทยาลัยเราในวันเปิดห้องเชียร์ แล้วเพื่อนๆและแขกในวันนั้นจะโหวตให้กับพวกน้องตามที่เขาชื่นชอบ ไม่ว่าน้องจะเต้นได้หรือไม่ได้ เราจะวัดกันที่คะแนนโหวตเท่านั้น”

“มีเต้นไม่ได้ด้วยเหรอครับ?” น้องอะตอมถาม ผมกะไว้อยู่แล้วว่าน้องมันต้องถาม

“มีซิครับ” ผมตอบ “เพราะท่าเต้นเพลงนี้น้องๆทุกคนจะต้องค้นหาและฝึกซ้อมด้วยตัวเอง โดยมีเวลาก่อนถึงวันเปิดห้องเชียร์ ซึ่งก็คือหนึ่งสัปดาห์จากนี้ นี่เป็นการทดสอบความพยายามของน้องๆเอง เพราะฉะนั้น โชคดีนะครับ แล้วพบกันว่าอาทิตย์เพื่อบล็อกกิ้ง สำหรับวันนี้...... ขอบคุณทุกคนครับ”



เฮ้อออออออออออ

เสร็จภารกิจวันนี้สักที ผมเดินลากวิญญาณของตัวเองลงมาข้างล่างหลังจากบอกลาเพื่อนๆ



“เหนื่อยไหมครับวันนี้”

“อ้าว พี่ตอง” ผมแปลกใจนิดหน่อยที่เห็นพี่ตองมายืนรออยู่ที่โถงคณะวิทย์ “มาถึงนานหรือยัง”

“ก็สักพักแล้วครับ” พี่ตองตอบยิ้มๆ ก่อนจะรับของจากมือของผมไปถือแล้วส่งเสื้อคลุมของคณะวิศวะมาให้ผมถือแทน การกระทำแบบนี้เป็นเรื่องปกติของผมกับพี่เขาไปแล้ว “เด็กปีหนึ่งเป็นไงกันบ้าง”

“อะไรกัน มาถึงก็ถามหาเด็กปีหนึ่งเลยเหรอ”

“คิดไรอยู่ครับ พี่ถามเพราะว่าอยากรู้เรื่องเด็กสองคนนั้นที่ชาปั๊มตราให้ต่างหาก ยังต้องให้พี่พูดอีกเหรอว่าพี่เลิกสนใจคนอื่นไปตั้งนานแล้ว มีแฟนน่ารักแบบ...”

“พอ” ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหนึ่งปีที่ผ่านมายังต้องมาเบรกไอ้หัวเหม่งนี่ไม่ให้พูดอะไรชวนเลี่ยนกลางที่สาธารณะแบบนี้

“ชาเริ่มก่อนเองนะ” ยังจะมาส่งสายตาอีก

“ก็บอกว่าพอไง.... เด็กสองคนนั้นก็ตามที่คาดนั่นแหละ น้องอะตอมมีความพยายามสูงมากจนเอาชนะใจกรรมการได้ทุกคน แต่คนที่พีคกว่าน่าจะเป็นน้องแทน เด็กคนนั้นมีประวัติความเป็นมาที่เหลือเชื่อมากเลย จุดประสงค์ที่อยากเป็นลีดก็ยิ่งใหญ่สุดๆเลย”

“อ๋อ เรื่องพ่อของน้องอะนะ”

“พี่รู้?”

“พี่ก็ต้องรู้ซิ พี่เป็นคนเกลี่ยกล่อมน้องมันเองนี่นา”

อ๋ออออ



“พี่น้ำชาครับ รอก่อนครับพี่น้ำชา”

ใครเรียกละเนีย จะถึงรถอยู่แล้ว

“อ้าว อะตอม ว่าไง” น้องอะตอมนั่นเอง แล้วไอ้น้องแทนก็วิ่งคู่มาด้วยกัน เดี๋ยวดีกันเดี๋ยวทะเลาะกันนะไอ้เด็กสองคนนี้

“เรื่องเพลง....อะไรนะ”

“มิ่งขวัญมัณฑนา” ไอ้น้องแทนบอกให้

“เออใช่” น้องอะตอมร้อง ความจำสั้นจริงๆเด็กกู จะไหวไหมเนี่ย “เพลงมิ่งขวัญมัณฑนาอ่ะครับ คือ... อย่าหาว่าผมขอพี่มากไปเลยนะครับ ถึงแม้พี่จะให้ทั้งตราประทับกับดอกกุหลาบกับเราสองคน แต่ผมขอร้องอีกอย่างนึงได้ไหมครับ ช่วยบอกพวกผมหน่อยว่าผมจะไปหาท่าเต้นเพลงนี้ได้ที่ไหน”

“ผมก็ขอร้องด้วยอีกคนนะครับ” ไอ้น้องแทนเสริม “ผมไม่อยากพึ่งพาปัจจัยอื่นๆอย่างเดียว ผมอยากพิสูจน์ว่าตัวเองก็พยายามเหมือนกัน”

“ก็....” ก็พอรู้อยู่หรอกว่าต้องมีคนเข้ามาขอร้องเรื่องนี้ แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้

“น้องก็ยืนอยู่ต่อหน้าคนที่รู้ท่าเพลงนี้ทั้งสองคนแล้วนี่ไง” เอ้า ไอ้พี่ตอง ตอบเร็วไปไหม

“เดี๋ยวดิ” ห้ามไปก็ห้ามไปทันอยู่ดี

“บอกไปเถอะน่า” ไอ้พี่ตองยิ้มมุมปาก “สุดท้ายก็ต้องบอกน้องอยู่ดี นี่เด็กของเราสองคนเลยนะ”

“หมายความว่าพี่น้ำชากับพี่ตองรู้ท่าเพลงนี้เหรอครับ” น้องอะตอมตาลุกวาว “พี่ๆพอจะสอนพวกเราหน่อยได้ไหมครับ”

“แล้วจะเอาอะไรมาแลกล่ะ” เอาวะ มาถึงจุดนี้แล้ว ตามเกมส์ไปละกัน

“แลกเหรอครับ... ผมไม่มีค่าสอนให้หรอกครับ พี่ก็รู้...”

“เดี๋ยวๆๆๆ จะบ้าเหรอ คิดว่าพี่อยากได้เงินหรือไง” ดูมันคิด

“นั่นดิอะตอม พี่เค้าคงไม่ได้หมายถึงอยากได้ของมีค่าหรอก” โอเค โชคดีที่ไอ้น้องแทนมันยังพอตีความออก “พี่เขาคงหมายถึงให้เราทำอะไรแลก อารมณ์เหมือนกับการรับน้องอะไรแบบนั้นหรือเปล่า”

“อ๋อ แบบนี้เองเหรอ” น้องอะตอมคล้อยตามอย่างง่ายดาย ก็ไม่ถึงกับตีความถูกเป๊ะๆ แต่ประมาณนี้ก็พอได้อยู่ “งั้นพี่น้ำชาสั่งมาได้เลยครับ จะให้พวกเราทำอะไร เต้นท่าไก่ย่างไหมครับ ผมเคยดูในละคร เวลารับน้องในมหาลัยพวกรุ่นพี่ชอบให้เต้นท่าไก่ย่างกัน”

เวรกรรม ผมละอดขำกับเด็กคนนี้ไม่ได้ซะที ขนาดพี่ตองยังหลุดหัวเราะเลย

“ท่าไก่ย่างคืออะไรเหรอ” ไอ้น้องแทนก็บ้าจี้ไปด้วย มันยิ่งอยู่ต่างประเทศนานๆอยู่ ไม่รู้จักวัฒนธรรมการรับน้องของประเทศนี้หรอก

“นี่ยังจะเต้นกันอีกหรือไง” ผมส่ายหน้า “วันนี้ก็เต้นกันไปเยอะแล้วนะ”

“ไม่ให้เต้นแล้วจะให้ทำไรอะครับ” น้องอะตอมยังสงสัย ท่าทางจะอยากได้ท่าเต้นเพลงมิ่งขวัญจริงๆ

“พาไปโรงบาลดีไหม” พี่ตองเสนอ

“ก็คิดๆอยู่” ผมตอบ ส่วนไอ้น้องสองคนก็ทำหน้างงว่าผมกับพี่ตองพูดเรื่องอะไรกัน “แต่ชาว่าตอนนี้พาน้องสองคนนี้ไปหาอะไรกินก่อนดีกว่า”

“ม...ไม่เป็นไรดีกว่าครับ/เกรงใจครับพี่” ปีหนึ่งทั้งสองรีบพูดประสานเสียงพร้อมกัน

“ไม่อยากได้แล้วเหรอท่าเต้นเพลงมิ่งขวัญมัณฑนาน่ะ” ผมถามและใช้จิตวิทยาเชิงบังคับเล็กน้อย

“ก็....”

“ถ้าอยากได้ก็ไปหาไรกินกัน เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง” ผมเร่งสรุปเลย “ไปๆ ขึ้นรถ”

น้องสองคนก็เลยต้องขึ้นรถมาแบบงงๆ

“จริงๆพี่น้ำชาไม่ต้องเลี้ยงพวกเราก็ได้นะครับ” น้องอะตอมพูดขึ้นอีกครั้งเมื่อพี่ตองเริ่มขับรถออกไป “พวกเราควรจะต้องเลี้ยงพี่ซะอีก”

“พี่เป็นพี่นะ” ผมขำในความคิดของเด็กพวกนี้ “เอาเถอะ พี่ชวนไปหาอะไรกิน พี่ก็ต้องมีเหตุผลอยู่แล้ว ที่สำคัญ ก็ไหนบอกว่าอยากได้ทุนกันทั้งคู่ไม่ใช่เหรอ เก็บเงินไว้เถอะ โดยเฉพาะเอ็งนะแทน ถ้าอยากทำตามความฝันระดับนั้นก็ต้องรู้จักเก็บเงินตั้งแต่วันนี้รู้ไหม”

“ขอบคุณที่แนะนำครับพี่” ไอ้น้องแทนพยายามโค้งศีรษะทั้งๆที่อยู่ในรถ นี่มันยังติดนิสัยจากคนญี่ปุ่นไม่หายอีกเหรอ “ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ”

“อะไร?”

“พี่สองคน....”

“จะบ้าเหรอแทน เสียมารยาท” น้องอะตอมรีบห้าม นั่นนะซิ ถ้าจะถามเรื่องของกูกับพี่ตองตรงๆ อันนี้ก็เสียมารยาทจริงๆนะ ไหนมึงชอบติดนิสัยจากคนญี่ปุ่นมาไม่ใช่เหรอ ไม่รับวัฒนธรรมความมีมารยาทของเขามาด้วยหรือไง

“ทำไมอ่ะ แค่จะถามว่าทำไมพี่เขาสองคนถึงใส่ใจพวกเราแค่นั้นเอง” อ้าวเหรอ จะถามแบบนี้หรอกเหรอ ก็มึงเล่นขึ้นต้นประโยคมาอย่างนั้น ใครฟังก็เข้าใจผิดทั้งนั้นแหละ “ดูพวกพี่เขาใจดีกับเราสองคนมากเลย”

“ก็....” ผมนึกว่าเหตุผลที่อธิบายให้ฟังเข้าใจง่ายๆ “น้องสองคนทำให้พี่นึกถึงตัวเองกับ....”

“กับพี่เหรอ” พี่ตองแทรกทันทีพร้อมกับยิ้มกว้าง เวรกรรม กูคงหาเหตุผลที่เข้าใจง่ายไปหน่อย เปลี่ยนๆๆๆ

“พี่หมายถึง พี่อยากทำให้ความฝันของน้องทั้งสองคนเป็นจริง น้องสองคนทำให้พี่มองเห็นพรสวรรค์กับพรแสวงที่อยู่กันคนละคน ก็ถ้าเป็นไปได้พี่ก็อยากให้น้องสนิทๆกันไว้นะ เพราะถ้าเป็นไปได้ มันคงดีมากถ้า............







...........พรสวรรค์กับพรแสวงอยู่ด้วยกัน”
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER ภาค 2 [เชียร์ฝันสนั่นหัวใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: Riik ที่ 09-08-2018 20:23:29
ถ้ามีอัพตอนใหม่ ใส่หัวข้อแจ้งหน่อยได้ไหมคะ __ จะได้ตามต่อถูกจ้า
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER ภาค 2 [เชียร์ฝันสนั่นหัวใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 09-08-2018 22:25:54
ถ้ามีอัพตอนใหม่ ใส่หัวข้อแจ้งหน่อยได้ไหมคะ __ จะได้ตามต่อถูกจ้า

แจ้งยังไงอ่าาาาา ช่วยสอนหน่อย ทำไม่เป็นจริงๆ
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER ภาค 2 [เชียร์ฝันสนั่นหัวใจ] - ตอนที่ 3 : จุดประสงค์แอบแฝง
เริ่มหัวข้อโดย: BBChin JungBB ที่ 10-08-2018 02:20:10
โล่งละ ตอนแรกคิดว่าอะตอมจะมาร้ายซะแล้ว
ส่วนแทนดูซื่อๆดี สองคนนี้เหมาะสมกันดีนะ

 :really2:
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER ภาค 2 [เชียร์ฝันสนั่นหัวใจ] - ตอนที่ 3 : จุดประสงค์แอบแฝง
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 10-08-2018 10:24:46
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 4 [ภารกิจ Part 1]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 10-08-2018 16:21:35
​ตอนที่ 4 : ภารกิจ









“โซนิค”



ใครเรียกกูวะ?



“พี่ข้าวเจ้า เรียกผมเหรอพี่” รุ่นพี่ลีดนี่เอง นึกว่าใครที่ไหน มีอะไรหว่าก็เพิ่งจบรอบสัมภาษณ์เมื่อกี๊เองนี่นา

“ใช่” พี่เขาตอบโดยมีพี่คนหนึ่งเดินมาด้วย ตัวเล็กๆ ท่าทางเหนียมๆพร้อมกับเหล็กดัดฟันสีฟ้า “เรื่องรอบต่อไปอ่ะ ที่จะต้องเต้นเพลงมิ่งขวัญมัณฑนา ถ้าอยากติดตัวจริงก็อย่าลืมไปหาข้อมูลด้วยนะ ปกติพี่ไม่ควรจะมาเจ้ากี้เจ้าการอะไร แต่ไหนๆน้องก็มีหน่วยก้านดีกว่าคนอื่นๆ อย่าให้เสียชื่อก็แล้วกัน”

“แต่ผมไม่ค่อยมีเวลามากนักนะพี่ ผมเป็นนักกีฬาว่ายน้ำ ผมต้องซ้อมทุกเย็นเลย”

“ก็ถ้าจะเอาดีทางนี้ก็ต้องทำให้ได้ จัดการเวลาดีๆ”

“แต่เมื่อกี๊พวกรุ่นพี่ที่ให้ของพวกนี้มา” ผมหมายถึงดอกไม้ ช็อกโกแลต และขนมนมเนยที่ถืออยู่เต็มมือของผมตอนนี้ “เขาบอกว่ายังไงผมก็ผ่านเข้ารอบอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเต้นเพลงนั้นเป็นก็ได้”

“ก็ถ้าจะคิดแบบนั้นพี่ก็จนใจ พี่ก็พูดได้แค่นี้ สมัยก่อนพี่ไม่มีโอกาสได้พิสูจน์ตัวเอง ก็เลยอยากให้น้องทำให้ได้ ถ้าน้องอยากจะแค่ยืนเฉยๆรอคนมาชื่นชม ก็ตามใจ แต่พี่ไม่ชื่นชมด้วยก็แล้วกัน”

แล้วทำไมผมจะต้องแคร์ว่าพี่จะชื่นชมผมหรือไม่ชื่นชม....

นั่นไง ทำหน้าแบบนี้ ไหนบอกว่าตามใจกูไง ไอ้พี่หน้าติ๋มที่ยืนอยู่ด้วยก็ชักสีหน้าใส่กูอย่างชัดเจน

อ่ะๆๆๆ “แล้ว... พี่จะให้ผมทำไงอ่ะ ผมจะไปหาท่าเต้นได้ที่ไหน” ทำเป็นถามไปงั้นแหละ กูไม่เอาเวลาที่มีค่าไปทำเรื่องพวกนั้นหรอก

“สี่ ไม่ซิ ตอนนี้คงเหลือแค่สามคนแล้วที่รู้ว่าท่าเต้นเพลงมิ่งขวัญเต้นยังไง”

“แล้วพี่...”

“ไม่มีพี่อยู่ในนั้นแน่นอน แต่เพื่อนพี่รู้ เพียงแต่... พี่จะไม่เป็นธุระจัดการหรือติดต่อให้นะ น้องต้องจัดการด้วยตัวเอง”

“......” นั่นไง นี่แหละเหตุผลที่กูจะไม่ทำ ใครจะไปว่างขนาดนั้นวะ

“คนที่รู้ท่าเต้นเพลงนี้ก็คือ หนึ่ง อาจารย์หมอพิชิต ถ้าอยากเจอคงต้องไปโรงพยาบาล แต่พี่ไม่แนะนำเท่าไหร่ ชื่อเสียงเรื่องความโหดของอาจารย์ท่านไม่ใช่เล่นๆ ที่สำคัญคงจะเป็นการรบกวนเวลางานมากจนเกินไป... คนที่สองคือ พี่ท๊อป แต่คนนี้พี่ก็ไม่แนะนำเหมือนกัน” เอ้า!! สรุปคือไม่แนะนำใครเลย แล้วจะให้กูไปเรียนกับกระบอกไม้ไผ่รึไง “เพราะพี่เขาอยู่ปีสี่แล้ว ยุ่งเรื่องเรียนมาก แถมยังอยู่แต่ต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่... คนที่สาม คนนี้แหละที่พี่จะแนะนำ พี่ตองกับพี่น้ำชา”

ห๊ะ!!! “เมื่อกี๊พี่พูดถึงใครนะ?”

“พี่ตองกับพี่น้ำชา”

เห้ยยยย พี่น้ำชา เอ๊ะ เดี๋ยวนะ “ทำไมคนที่สามถึงมาสองคนล่ะ?”

“เพราะพี่ตองกับพี่น้ำชาถือเป็นคนๆเดียวกัน”

“ยังไงวะพี่” จะต้องพูดให้งงไหมเนี่ย

“ไม่ใช่เรื่องที่พี่จะมาบอก แต่เอาเป็นว่าโซนิคจะไปขอความช่วยเหลือจากใครก็ได้ในสองคนนี้”

แบบนี้ก็แจ่มเลย แน่นอน คนที่กูจะต้องไปหาก็ต้องเป็น... พี่น้ำชา อยู่แล้ว

อุตส่าห์ชวดขอเบอร์พี่เค้าไปเมื่อตอนเที่ยง ไม่คิดว่าจะมีเหตุให้ได้เจอพี่เขาเร็วขนาดนี้ แบบนี้พลาดไม่ได้ซะแล้ว

“โอเคพี่ ผมจะหาท่าเต้นให้ได้อย่างที่พี่แนะนำก็แล้วกัน ยังไงผมก็จะเอาดีทางนี้แล้วนี่นา” ว่าไปนั่น “ว่าแต่... พี่พอจะมีเบอร์พี่น้ำชาป่ะ”

“มี แต่พี่ไม่ให้ บอกแล้วไงว่าต้องจัดการเรื่องนี้เอง พี่มาแนะนำให้ขนาดนี้ก็ถือว่าทำมากเกินไปแล้ว”

“โหพี่....”



ปี๊บ ปี๊บ

ใครวะ มีบีบแตรแถวนี้



“พี่ต้องไปแล้วนะ” เอ้า! ไปเลยงะ ใครมารับวะ สำคัญขนาดนั้นเลยหรือไง

“เดี๋ยว...”

“ปังจะให้เราไปส่งไหม” อ้าว หันไปคุยกับไอ้พี่หน้าติ๋มซะงั้น เคลียร์กับกูก่อนไหนครับพี่

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราต้องเข้าไปที่คณะวิทย์ก่อน” อืมมมม เสียงเป็นแบบนี้นี่เอง ฟังเหมือนเด็กเนิร์ดเลย แต่เมื่อกี๊พูดว่าอยู่คณะวิทย์ใช่ไหม “มีเรื่องต้องคุยกับบัดดี๊ทางโน้น ข้าวเจ้าไปเถอะ สุ่ยรอในรถนานแล้ว”

“โอเค ยังไงก็ขอบใจสำหรับวันนี้มากนะ พรุ่งนี้เจอกัน”

“ได้ๆ อ้อ อย่าลืมนะพรุ่งนี้สิบโมงที่ AXA”

“ไม่ลืมๆ เจอกันพรุ่งนี้ ไปละ”

บอกลากันเสร็จสับ ลืมกูเฉยเลย



“เดี๋ยวดิ” ผมเรียกพี่คนที่ยังอยู่ ชื่อปังใช่ไหมถ้าฟังไม่ผิด

“เรียกใครเหรอน้อง” พี่แกหันมาทำหน้า... เอ่อ.... เรียกว่าหน้าโหดได้ไหมแบบนี้ ดูยังไงก็เจี๋ยมเจี้ยม “ผมเป็นรุ่นพี่คุณนะ เรียกให้มันดีๆหน่อย”

“โหดซะด้วย” กูจะพูดตรงๆแบบนี้ มีปัญหาไรไหม

“ว่าไงนะ ก็บอกแล้วไงว่าผมเป็นรุ่นพี่ของ...”

“แล้วพี่มีปัญหาอะไรกับผมไหมล่ะ ผมเห็นนะว่าเมื่อกี๊พี่ชักสีหน้าไม่พอใจใส่ผม ผมก็มีความรู้สึกไม่พอใจเหมือนกัน และผมก็ไม่ใช่คนใจเย็นหรือจะอารมณ์ดีกับคนที่ทำเป็นก่างใส่ผมด้วย”

“ค...คุณจะท...ทำอะไรผมอ่ะ” โถ่ เสียงสั้นเชียว โดนขู่แค่นี้ก็หงอซะแล้ว ไหนเมื่อกี๊ทำปากเก่งจัง

“เดี๋ยววววว” ผมพี่คว้าแขนไอ้รุ่นพี่ตัวน้อยที่พยายามจะวิ่งหนีผม แขนสั่นอย่างชัดเจน นี่กลัวกูขนาดนั้นเลยเหรอ

“จ...จะทำอะไรอ่ะ น...นี่มันมหาลัยนะ ผ...ผมสู้นะ” เนี่ยนะท่าทางของคนจะสู้ ทำหน้าอย่างกับเด็กจะร้องไห้

“เอาเป็นว่าถ้าพี่ตอบคำถามผมมาสักสองสามข้อ ผมจะทำเป็นอารมณ์ดีแล้วก็ลืมเรื่องที่พี่ชักสีหน้าใส่ผมก็แล้วกัน”

“จะ...ถามอะไร”

ง่ายกว่าที่คิดแฮะ “พี่อยู่คณะวิทย์ใช่ไหม”

“ทำไมผมต้องบอกค...”

“พูดมากจริงเลย บอกให้ตอบก็ตอบเหอะน่า” ผมรู้ว่าจังหวะไหนควรจะต้องทำเป็นขู่ คนขี้หงอแบบนี้ ผมแกล้งมานักต่อนักแล้ว

“อ...อืม อยู่”

“ก็แค่นั้น ต้องให้เสียงดัง”

“ป...ปล่อยได้ยัง ผมเจ็บนะ”

กรรม เผลอจับแรงไปหน่อย สงสัยจะอินกับบทมากไปหน่อย

“เดี๋ยวดิ” พอปล่อยได้ก็ทำท่าจะหนีอีกรอบ ไวจริงๆ แต่ไม่ไวเท่านักกีฬาอย่างอั๊วหรอก ผมรีบคว้าแขนไว้อีกรอบ(จับเบาลงแล้วนะ)

“อ...อะไรอีก”

“พี่ชื่อปังใช่ป่ะ”

“อ....อืม”

“พอจะรู้จักพี่น้ำชาหรือเปล่า”

“ใครๆก็รู้จักน้ำชาทั้งนั้นแหละ ดังที่สุดในลีดมหาลัยแล้ว”

“พอจะมีเบอร์ของพี่เค้าไหม”

“ไม่มี”

“ตอบดีๆ อย่ามาทำไก๋น่า”

“ย...อย่าทำอะไรผมนะ ไม่งั้นผมร้องให้คนช่วยจริงๆด้วย” ฮึฮึ น่าขำชิบหาย ร้องให้คนช่วยเนี่ยนะ ไม่สมกับเป็นรุ่นพี่เล๊ยยยย

“งั้นก็เอาเบอร์พี่น้ำชามา อย่าลีลา จะได้ไม่ต้องมีปัญหากัน”

“ก็บอกว่าไม่มีไง แค่รู้จัก ไม่ได้หมายความว่าต้องมีเบอร์ซะหน่อย”

“งั้น... พอจะหาทางติดต่อให้ได้ไหม”

“ทำไมผมต้องช่วยคุณด้วย นั่นมันหน้าที่ของคุณไม่ใช่หรือไง อยากติดต่อเรื่องท่าเต้นเพลงมิ่งขวัญละซิ ผมรู้นะ”

“สรุปว่าจะไม่ช่วย” กลับมาขู่อีกรอบดูดิ ดูซิจะมีท่าทียังไง

“ก...ก็... เออ ก็บอกว่าไม่ช่วยไง”

“นี่...” จะลองของใช่ไหม ตัวแค่นี้ทำใจกล้า สะกิดทีเดียวก็กระดูกหักแล้ว

“จะชกจะต่อยอะไรก็เชิญ แต่ไม่ช่วยหรอก คุณมันรุ่นน้องนิสัยไม่ดี ผมไม่ช่วยหรอก”

ห๊ะ เอาจริงดิ หลับตาปี๋ กัดฟันแน่นจนเหล็กดัดฟังจะกระเด็นออกมาอยู่แล้ว นี่เตรียมตัวให้กูชกจริงดิ คนบ้าอะไรวะ แบบนี้ก็มีด้วย

จะบ้าเหรอ ใครมันจะไปชกคนไม่มีทางสู้ลงวะ ถ้าทำอย่างงั้นก็ใจโคตรหมาเลย



“ช่วยผมหน่อยน่าาาาาาา นะนะ” ไม้แข็งไม่ได้ผล งั้นก็ต้องยอมใช้ไม้อ่อน ยังไงก็ต้องหาทางเข้าถึงตัวพี่น้ำชาให้ได้ ผมปล่อยมือจากแขนของรุ่นพี่ตัวน้อย

“เอ่อ....” พี่แกลืมตาก่อนจะงงในท่าทีของผม

“นะพี่ ช่วยติดต่อให้ผมหน่อยดิ เดี๋ยวที่เหลือผมจัดการเอง”

“ไม่ ทำไมผมต้องช่วยคุณด้วย ผมเป็นบัดดี้ของข้าวเจ้า ไม่ใช่ของคุณซะหน่อย”

อ๋ออออ พวกที่เป็นผู้ช่วยของลีดมหาลัยเรียกว่าบัดดี้นี่เอง ว่าแต่ ไอ้คนตรงหน้าผมนิมันยังไง พอกูอ่อนให้แล้วก็ตัวทำได้ใจเลยนะ เดี๋ยวก็กลับไปโหดซะหรอก ไม่ได้ๆ ต้องใจเย็นๆ เมื่อกี๊พี่มันก็ไม่ยอมเราไปรอบนึงแล้ว ขืนขู่อีก คราวนี้จบเกมส์แน่ๆ

“ก็ผมแค่อยากทำตามที่พี่ข้าวเจ้าแนะนำไง” ผมอ้าง “ไหนพี่บอกว่าพี่เป็นบัดดี้ของพี่ข้าวเจ้าไม่ใช่เหรอ พี่เค้าคาดหวังกับผมมากนะพี่ก็น่าจะดูออก พี่ไม่คิดจะช่วยทำสิ่งที่พี่ข้าวเจ้าคาดหวังให้สำเร็จเหรอ”

“......” มีนิ่งคิด แสดงว่าเริ่มได้ผล งั้นขอร้องอีกหน่อยละกัน

“นะครับพี่ปัง ช่วยผมหน่อยนะ ผมขอโทษก็แล้วกันนะที่ตะหวาดพี่ไปเมื่อกี๊ ผมไม่ได้ตั้งใจ ผมใจร้อนมากไปหน่อย ช่วยติดต่อพี่น้ำชาให้ผมหน่อยนะ หรืออะไรก็ได้ที่ทำให้ผมได้เจอกับพี่เค้า นะพี่นะ นะครับ” ลูกอ้อนมาเต็ม

“จะลองคิดดูก็แล้วกัน” ได้ทีแล้ววางท่าใหญ่เชียวนะ “จะลองถามบัดดี้ของน้ำชาให้ก็แล้วกัน แต่! ไม่รับรองผลนะ ถ้าไม่ได้ก็ช่วยไม่ได้นะ”

“โอเค แค่นี้ก็พอพี่ ขอบคุณพี่มากเลยนะ”

“อืม”

“อ้าว เดี๋ยวดิพี่”

“อะไรอีกล่ะ จะกลับคณะแล้ว”

“แล้วผมจะติดต่อพี่ได้ไงอ่ะ ขอเบอร์ติดต่อพี่หน่อยดิ”

“เบอร์? ก็.... เอามือถือมาดิ” นึกว่าจะพูดอะไร แต่ก็ดี ง่ายๆแบบนี้ค่อยคุ้มกับที่ผมทำเป็นอ่อนให้หน่อย

ผมส่งโทรศัพท์ของผมให้ แล้วพี่ตัวน้อยก็กดเบอร์ของตัวเองลงเครื่องของผมก่อนจะส่งคืนมาให้

“งั้นเดี๋ยวคืนนี้ซักสองทุ่มผมโทรถามความคืบหน้านะพี่”

“สามทุ่ม สองทุ่มยังอ่านหนังสืออยู่” แหน๊ะ ทำเป็นวางท่า เดี๋ยวเถอะมึง หมดประโยชน์เมื่อไหร่จะขู่ให้หงอเลย

“โอเค สามก็สาม งั้นสามทุ่มผมโทรหานะ อย่าลืมติดต่อให้ผมด้วยนะ”

“อืม... ไปได้ยัง”

“เชิญครับคุณรุ่นพี่”

แล้วคนตรงหน้าผมก็รีบหันหลังแล้ววิ่งไปอย่างรวดเร็ว นี่คือยังกลัวกูอยู่ใช่ไหมเนี่ย ตลกจังรุ่นพี่คนนี้



เอาล่ะ เอาของฝากพวกนี้ไปเก็บในรถดีกว่า แล้วก็ไปซ้อมว่ายน้ำ คืนนี้สามทุ่มค่อยเช็คความคืบหน้าอีกที........



คงสงสัยละซิว่าทำไมผมอยากเจอพี่น้ำชานัก แต่ก็คงพอจะเดากันได้อยู่มั้ง ผมอ่ะชอบพี่น้ำชา ชัดเจนนะ ชอบตั้งแต่แรกเห็นเลยแหละ จะเรียกว่าแรกเห็นก็คงไม่ถูกซะทีเดียว ความจริงคือผมชอบคนที่เหมือนกับพี่น้ำชามาก่อนซะมากกว่า รู้นะว่าทายกันถูกแล้ว ใช่ ผมชอบพี่น้ำขิง

เมื่อปีก่อน พี่ต้อม ลูกพี่ลูกน้องของผม เปิดตัวแฟนของตัวเองกับที่บ้าน แล้วที่ช็อกกว่าก็คือแฟนพี่ต้อมดันเป็นผู้ชายซะงั้น แรกๆผมก็ตกใจอะนะ แต่พอรู้จักพี่น้ำขิงได้ไม่นานก็เข้าใจเลยว่าทำไมพี่ต้อมถึงกล้าเอาแฟนที่เป็นผู้ชายมาเปิดตัวกับพ่อแม่แบบนั้น น่ารัก ฉลาด อ่อนโยน นิสัยดี เหตุผลแค่นี้ก็ทำให้พ่อแม่พี่ต้อมหลงลูกสะใภ้จนหัวปักหัวปำแล้ว แล้วพอผมได้คุกคลีกับพี่น้ำขิงนานๆก็เลยเกิดความรู้สึกแอบชอบแฟนของพี่ตัวเองอย่างไม่รู้ตัว

แต่ครั้นจะให้ผมไปยุ่งกับแฟนของลูกพี่ลูกน้องตัวเองก็คงไม่ใช่เรื่อง แล้วที่ร้ายแรงกว่านั้นก็คืออำนาจบารมีของบ้านพี่ต้อมถือว่าอยู่คนละชั้นกับบ้านผมเลย ขืนไปยุ่งกับคนของบ้านพี่เค้า ไม่ใช่แค่ผมอะดิที่จะซวย พ่อแม่ของผมอาจจะซวยตามไปด้วย เพราะงั้นก็เลยเก็บความชอบไว้ในใจ หาทางออกด้วยการไปลองของกับคนอื่นๆข้างนอกเอา

จะบอกว่าไงดีล่ะ ผมก็เพิ่งจะรู้ตัวเองมาได้ปีนึงนี่แหละว่าผมเป็นพวกไบเซ็กชวล เพียงแต่มันก็ไม่ขนาดนั้น ผมก็ยังชอบผู้หญิงอยู่นะ แค่เกิดอารมณ์บ้างกับผู้ชาย แต่ก็ต้องน่ารักๆหน่อยนะ ถ้ามาแบบหน้าหนวดๆ หุ่นล่ำกล้ามใหญ่ แบบนั้นก็เอาไม่ลงเหมือนกัน แถมรู้สึกอยากจะอ้วกด้วยซ้ำ

แล้วพอเมื่อเที่ยงที่ผ่านมา พอผมได้เจอว่ามีพี่น้ำขิงอยู่อีกคนนึง(หมายถึงพี่น้ำชา) ก็รู้สึกเหมือนสวรรค์ยังเห็นใจผมอยู่ ไม่น่าเชื่อว่าในโลกนี้จะมีคนที่หน้าตาเหมือนกับคนที่ผมแอบชอบอยู่อีกคน เพราะงั้นผมก็เลยตกหลุมพี่น้ำชาทันทีที่เห็นกันเพียงครั้งแรก

คงแปลกใจใช่ไหมล่ะว่าทำไมผมถึงไม่ติดต่อผ่านทางพี่ต้อม แบบนั้นอ่ะห้ามเด็ดขาด ถึงผมจะรู้ตัวแล้วว่าผมมีรสนิยมความชอบแบบไหน แต่พ่อของผมนี่ดิ แอนตี้พวกรักร่วมเพศอย่างแรง ถ้าไม่ติดว่าบารมีของบ้านพี่ต้อมคุ้มกะลาหัวอยู่ พ่อก็คงเป็นหนึ่งคนที่จะชูป้ายขับไล่พี่น้ำขิงออกไปจากตระกูล และอาจรวมไปถึงพี่ต้อมด้วย เพราะงั้นเรื่องความชอบที่เพิ่มเติมมาใหม่ของผมนี้จะบอกให้พี่ต้อมรู้ไม่ได้ เพราะมันอาจจะรู้ไปถึงหูของพ่อผมได้ แล้วพ่อผมอ่ะโคตรโหดนะจะบอกให้ เป็นครูมวยไทยด้วย ขืนโดนพ่อซ้อม ผมได้ตายอย่างเขียดแน่ๆ

ช่วยผมเก็บเรื่องนี้เป็นความลับด้วยก็แล้วกัน......................................................................







และนั่นก็คือหนึ่งคนที่กำลังจะเข้ามามีช่วยเกี่ยวข้องในชีวิตของน้ำชา ผู้นำเชียร์ตำแหน่ง CenTer ของเราจะรู้หรือเปล่านะว่า ชีวิตรักในช่วงปีสองของเขากำลังจะมีบทพิสูจน์ใหม่เข้ามา เอาเป็นว่ากลับไปที่เจ้าตัวดีกว่า กลับไปดูว่าเขามีแผนอะไรเพื่อรับมือกับเรื่องพวกนี้หรือเปล่า.....







(มุมของน้ำชา)



“อยากกินอะไรก็ไปตักเลยนะ” ผมบอกกับอะตอมและแทน รุ่นน้องคณะวิทย์ที่ผมพาพวกเขาออกมาทานอาหารเย็น “ที่นี่เป็นบุพเพ่ ตักได้ตามใจชอบเลย สมัยปีหนึ่งชอบมากินบ่อยๆ”

“เกรงใจจังเลยครับ” น้องอะตอมยังคงวางตัวเกรงใจอยู่ตลอด

“มาถึงร้านแล้ว ยังจะเกรงใจอะไรอีก ถ้าเกรงใจก็กินเข้าไปเยอะๆ จะได้คุ้มกับค่าบุพเพ่”

“งั้นเราไปตักอาหารกันเถอะ” ไอ้น้องแทนชวนเพื่อน “ไม่ได้เห็นอาหารไทยเยอะๆแบบนี้มานานแล้ว น่ากินทุกอย่างเลย”

“ดีๆ เอาอย่างที่แทนพูดนั่นแหละ” ผมสนับสนุน “ว่าแต่... ทำไมสองคนเดินมาตัวเปล่า ไม่มีใครซื้อขนมให้เหรอ”

“ขนม?” ไอ้น้องแทนคิด “อ๋อ เหมือนจะมีนะครับ แต่ผมสองคนรีบวิ่งตามพี่มา ก็เลยไม่ทันได้รับของจากใครเลย”



“ไม่ได้นะ” พี่ตองแทรกขึ้นมา ในขณะที่กำลังดูบางอย่างในมือถือ “เวลาที่มีคนซื้อของมาให้ต้องรับและขอบคุณพวกเขา เราอยู่ในจุดที่การกระทำทุกอย่างกำลังถูกจับตามอง ไม่ว่าเขาจะซื้ออะไรให้หรือขอถ่ายรูปหรือแค่จับมือ ก็ควรให้เกียรติคนที่เขาชื่นชอบเรา”

“พี่ก็เห็นด้วยนะ” ผมเสริม “แต่มันก็มีแค่ช่วงแรกๆเท่านั้นแหละ หลังๆเดี๋ยวกระแสก็ซาลง ช่วงนี้ก็วางตัวดีๆแล้วกัน”

“ครับ เราจะจำไว้ครับ” ไอ้น้องแทนรับปากก่อนจะหันไปหาอะตอม “ไหนๆ ก็กินบุพเพ่แล้ว มาแข่งกันไหมว่าใครกินได้เยอะกว่ากัน”

“เล่นไรเป็นเด็กๆไปได้” อะตอมตอบ

“โห่ แข่งเถอะ ไหนๆเราก็เป็นคู่แข่งกันอยู่แล้ว หรือว่ากลัว”

“เอาคำพูดกูมาใช้เหรอ มา ก็ได้ แข่งก็แข่ง” ในที่สุดก็รับคำท้า เปลี่ยนอารมณ์ซะงั้น “แล้วจะแข่งกันด้วยอะไร ต้องเป็นของที่เหมือนกันนะ เพื่อความยุติธรรม”

“เอาเป็น.... อะตอมชอบกินอะไร”

“ชอบเหรอ? อืมมมม หมูยอก็ชอบนะ แต่วันนี้เพิ่งจะกินไปเอง งั้นเอาเป็นก๋วยเตี๋ยวไทยไหม แข่งกันที่จำนวนชามว่าใครเยอะกว่ากัน”

“เริ่ม”

“เห้ย รอด้วยดิ อย่าโกงนะเว้ย”

“ใครโกง ช้าเอง อย่ามามั่ว”

แล้วปีหนึ่งทั้งสองก็เดินเร็วสี่คูณร้อยไปที่โซนอาหาร

เด็กปีหนึ่งนี่มันสดใสกันจังเลยนะ



“ชาครับ” พี่ตองเรียก

“ว่าไง”

“พี่เช็คตารางงานแล้ว พรุ่งนี้พี่ไปส่งชาได้ แต่พี่ไม่ได้อยู่ที่งานด้วยนะ พี่ต้องไปถ่ายแบบอีกที่หนึ่ง”

“ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว จริงๆถ้าพี่ตองยุ่ง ชาโทรบอกอิเจสซี่ให้โทรตามแท็กซี่ให้ก็ได้นะ”

“ไม่ต้องหรอกครับ พี่อยากไปส่ง แล้วเสร็จงานก็รอพี่ก่อนนะ เดี๋ยวพี่กลับไปรับ พี่ไม่อยากให้ชานั่งแท็กซี่กลับเอง ไม่ชอบเวลาที่พวกแท็กซี่มองชา”

“พูดไรของพี่ เพ้อเจ้อน่า”

“ยังไงก็จะไปรับไปส่งเอง”

“ตามใจก็แล้วกัน ไปถ่ายแบบสายอย่ามาโทรชานะ.... แล้วจะกินอะไร เดี๋ยวชาตักมาให้”

“อะไรก็ได้ครับ”

“โอเค”

ผมเดินไปที่โซนอาหารบ้าง เดี๋ยวนี้พี่ตองไม่ค่อยเซอร์วิสผมทุกอย่างเหมือนแต่ก่อนแล้ว นั่นก็เพราะผมขอไว้เอง ผมอยากเป็นคนทำบ้าง เรื่องการดูแลผมพี่เค้าแทบจะทำทุกอย่างมาตลอด ช่วงหลังๆผมก็เลยออกปากเองว่าอยากทำเกี่ยวกับเรื่องงานบ้าน อาหารการกิน อะไรแนวๆนี้ ก็เป็นแฟนกันนี่นา จะแบมือรอเป็นฝ่ายรับอย่างเดียวได้ไง.......





“แปลว่าปีที่แล้วพี่ก็ไปช่วยงานที่โรงพ... แอ๊ะๆ พยาบาลมาอะดิ” อะตอมตื่นเต้นกับเรื่องที่ผมเล่าถึงการทำงานช่วยโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยเมื่อปีที่แล้ว ในขณะเราทั้งสี่กำลังทานอาหารกัน

“กินกันช้าๆก็ได้นะ” ผมเตือน ก็ไอ้น้องสองคนนี้อะดิ มันแข่งกินกันจริงๆ จริงจังซะด้วย กระหายชัยชนะอะไรกันขนาดนั้น “เดี๋ยวก็สำลักหรอก”

“ไม่ได้หรอกพี่ เดี๋ยวไอ้แทนมัน.... เห้ย กินช้าๆดิ”

“อ้าวอะตอม เอาพริกมาใส่ชามของเราทำไม” ไอ้น้องแทนโวยวาย “เรากินเผ็ดไม่ได้”

“กินก๋วยเตี๋ยวไทยมันก็ต้องเผ็ดซิ ไม่งั้นจะอร่อยได้ไง ไม่ต้องๆ กูใส่เยอะแล้ว”

“เอ็งสองคนนี่เสียงดังนะ เล่นกันเป็นเด็กๆไปได้” ผมเอ็ด

"ขอโทษครับ" "ขอโทษครับ"
หัวข้อ: LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 4 [ภารกิจ Part 2]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 10-08-2018 16:22:57
(ต่อ Part 2)



“ปล่อยน้องเถอะชา เด็กผู้ชายกำลังทำความรู้จักกันก็งี้แหละ” พี่ตองออกปากพูด เดี๋ยวนะ เด็กผู้ชายบ้าอะไรทำความรู้จักกันด้วยการแข่งกิน “แล้วสองคนอยากทำงานที่โรงบาลไหม”

“ได้ครับ ไม่มีปัญหา” ไอ้น้องแทนตอบรับทันที “ก็บอกว่ามันเผ็ดไง”

"กินๆไปเถอะ" สลดได้ชั่วลมหายใจเดียวจริงๆ

“แต่ยังมีปัญหาอีกอย่างนะ” ผมนึกเรื่องนึงได้

“อะไรอ่ะ” พี่ตองถาม

“ก็แทนยังไม่มีพื้นฐานเกี่ยวกับการเต้นลีดเลยอ่ะ ต่อให้ช่วยงานที่โรงพยาบาลแล้วก็มีปัญหาตอนวันซ้อมอยู่ดี”

“ก็จริง หรือจะส่งไปให้พี่ชมพู่สอนดี”

“อย่าเลย เกรงใจพี่เค้า ปีที่แล้วก็ลำบากกับชามาคนนึงแล้ว”

“งั้นผมไปศึกษาเองก็ได้ครับ” แทนเสนอ “แล้วมันมีผลต่อการไปช่วยงานที่โรงพยาบาลหรือเปล่าครับ”

“เรื่องงานนั่นก็อีกเรื่อง แต่เรื่องพื้นฐานการเต้นสำคัญกว่ามาก ถ้าไม่มีพื้นฐานเลย ต่อให้มีพรสวรรค์แค่ไหนก็ไม่มีทางเต้นออกมาได้ดีหรอก ยังไงก็ต้องมีคนปรับพื้นฐานให้”

“อะตอมสอนหน่อยได้ป่ะ” ไอ้น้องแทนหันไปขอความช่วยเหลือคนข้างๆ

“กูเนี่ยนะ” อะตอมอุทานทันที “ไม่เอาหรอก กูเต้นไม่เก่งขนาดนั้น แล้วอีกอย่าง คู่แข่งที่ไหนเขาสอนให้กัน”

“ก็แค่พื้นฐานเอง ทำไม กลัวกูชนะจริงๆ หรือไง”

กรรม สรรพนามของไอ้เด็กสองคนนี้เริ่มเปลี่ยนแล้ว มึงสนิทกันเร็วไปไหม

“ใครกลัว แต่พื้นฐานของกูก็ไม่ได้ดีถึงขั้นจะไปสอนใครได้หรอก”

“ก็แค่เต้นๆ เอง....”

“เข้าใจใหม่ซะนะแทน” ผมแทรกทันที “ถ้าคิดว่าผู้นำเชียร์แค่เต้นๆ ก็คิดใหม่ตั้งแต่ตอนนี้เลย อะตอมอ่ะพูดถูกแล้ว ถึงจะเต้นท่ามาตรฐานเพลงมาร์ชมหาลัยได้ แต่ที่อะตอมเต้นยังห่างจากคำว่าถูกต้องมาก”

“ขนาดนั้นเลยเหรอพี่น้ำชา” น้องอะตอมเสียงอ่อน “ผมซ้อมหนักมากเลยนะ”

“นี่เป็นความจริง ท่าเต้นเพลงมาร์ชของจริง ไม่ใช่อะไรที่ฝึกเองได้หรอกนะ”

“แล้วแบบนี้จะเอาไงดี” พี่ตองเริ่มใช้ความคิด “ทั้งอาทิตย์นี้ชากับพี่ก็ไม่ค่อยจะว่างด้วยซิ คงลงมาสอนเองไม่ได้”

“คงต้องขอร้องคนอื่นแล้วล่ะ แต่ใครกันที่จะยอมมาปรับพื้นฐานให้สองคนนี้”

ผมเริ่มใช้ความคิด แต่ไอ้นักกินตรงหน้าของผมก็ยังไม่ลืมที่จะแข่งขันกัน

“ในรุ่นของชาก็เห็นจะมีแต่ข้าวเจ้านั่นแหละที่มีพื้นฐานดีกว่าคนอื่นๆ”

“นั่นซิ.... ชาก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่ข้าวเจ้าจะยอมมาสอนให้หรือเปล่านี่ซิ”

“ยอมอยู่แล้วถ้าชาขอร้องเองอ่ะ”

ก็รู้อยู่หรอก แต่จะให้ผมเอาเปรียบข้าวเจ้าที่มองผมเป็นไอดอลแล้วถือโอกาสใช้งานเขาได้ยังไง

“ไม่ต้องคิดมากหรอก พี่ว่าข้าวเจ้าเต็มใจช่วย วันนี้ที่พี่ไปช่วยคณะสังคมเป็นกรรมการมา พี่เห็นเด็กท่าทางใช่ได้อยู่คนนึง ข้าวเจ้าก็ดูจะมีความหวังกับเด็กคนนี้อยู่นะ ถ้าให้เด็กคนนั้นมาปรับพื้นฐานร่วมกับเด็กสองคนของคณะวิทย์แล้วแลกกับที่ชาสอนท่าเพลงมิ่งขวัญให้เด็กจากคณะสังคม แบบนี้ก็น่าจะแฟร์เกมส์นะ วินวินกันทั้งสองฝ่าย ชาก็จะไม่ต้องรู้สึกผิดด้วย”

พี่ตองน่าจะกำลังพูดถึงไอ้น้องโซนิค ลูกพี่ลูกน้องของไอ้ต้อม

“งั้นชาจะลองคุยกับไอ้ข้าวดูก็แล้วกัน พรุ่งนี้มีงานเดินแบบด้วยกันพอดี”

“ตามนั้น.... ส่วนน้องสองคน หยุดกินแล้วฟังที่พี่จะพูดแป๊บนึง” พี่ตองสั่ง

อะตอมกับแทนวางตะเกียบอย่างรวดเร็ว

พี่ตองยื่นกระดาษแผ่นนึงให้ปีหนึ่งทั้งสองคน

“เอากระดาษแผ่นนี้ไปยื่นที่โรงบาลพรุ่งนี้ตอนเช้า” พี่ตองอธิบาย “จะมีพยาบาลส่งน้องสองคนไปต่ออีกทีนึง ที่นั่น น้องจะได้เจอกับอาจารย์หมอคนนึง น้องจะต้อง....”

“จะต้องคุยกับอาจารย์ท่าน” ผมรีบแทรก ไม่รู้ว่าพี่ตองจะพูดอะไร แต่ถ้าเป็นการบอกเคล็บลัดที่มากเกินไป อันนี้ผมไม่เห็นด้วยอย่างแรง “บอกว่ารู้จักพี่หรือพี่ตองก็ได้ อาจารย์ท่านจะให้... เอ่อ... ช่วยงานที่โรงพยาบาล เลือกแผนกที่ยากทำก็แล้วกัน”

“แค่นั้นเองเหรอครับ” ไอ้น้องแทนสงสัย “ง่ายไปไหม”

“แค่นั้น นั่นแหละคือภารกิจที่ต้องทำ” ผมตอบ ไม่รู้ว่าน้องมันจับพิรุจของผมได้แค่ไหน แต่ถ้าผมไม่บอก ยังไงสองคนนี้ก็ต้องเผชิญกับบททดสอบของอาจารย์หมอพิชิตอยู่ดี “กินต่อได้ กินซิ เดี๋ยวอะตอมชนะนะ” แกล้งเปลี่ยนเรื่องไป แต่ก็ได้ผล ทั้งคู่กลับมาแข่งกินจุอีกครั้ง

เอาล่ะ พรุ่งนี้คงต้องไปคุยกับไอ้ข้าวซินะ





เช้าวันต่อมา ทันทีที่จบเดินแฟชั่นโชว์ ผมก็เข้าไปคุยกับไอ้ข้าวเรื่องการขอให้มันมาสอนปรับพื้นฐานให้อะตอมกับแทนทันที อย่างที่คาดไว้ ไอ้ข้าวรับคำขอโดยง่าย



“เห็นว่าที่คณะสังคมปีนี้มีเด็กหน่วยก้านดีใช่ไหม มึงจะให้กูสอนเพลงมิ่งขวัญให้ก็ได้นะ” ผมเสนอตามแผนที่วางเอาไว้ "ถือเป็นการแลกกัน"

“ถ้าได้อย่างงั้นก็ดีมากเลย” ไอ้ข้าวดีใจ ท่าทางมันจะคาดหวังกับเด็กคนนี้จริงๆ อย่างที่พี่ตองบอกไว้เลย “แต่ก็ไม่แน่ใจว่าน้องคนนี้จะใส่ใจกระตือรือร้นแค่ไหน ก็แนะนำไปแล้วแหละ ไม่รู้ว่าจะ... อ้าว โซนิค นี่ไงเด็กปีหนึ่งที่กูพูดถึง”

ไอ้ข้าวเห็นใครบางคนมาจากด้านหลังของผม

“สวัสดีครับพี่ข้าวเจ้า” โซนิคจริงๆ ด้วย “สวัสดีครับพี่น้ำชา”

“มาหาพี่น้ำชาเหรอ” ไอ้ข้าวกระตือรือร้นที่จะถามเด็กคณะตัวเอง

“ใช่ครับ” น้องมันก็ท่าทางดีใจที่ได้เจอผมเช่นกัน

“งั้นก็คุยกันไปสองคนนะ” ไอ้ข้าวบอก ก่อนที่มันจะแอบกระซิบกับผมเบาๆ “ถ้าโซนิคไม่พยายามขอร้องมึงก็ไม่จำเป็นต้องตกลงนะ”

แล้วไอ้ข้าวก็เดินออกไป ชัดเจนว่ามันคงอยากให้ไอ้น้องโซนิคแสดงออกถึงความพยายามด้วยตัวเอง แต่ผมไม่รอช้าหรอก ถามไปตรงๆเลยก็แล้วกัน



“อยากให้พี่สอนเพลงมิ่งขวัญให้ไหม” / “สอนเพลงมิ่งขวัญมัณฑนาให้ผมหน่อยครับ”



อ้าว พูดพร้อมกันซะงั้น ถ้างั้นก็ง่ายเลย



“ได้ดิ” ผมบอก “แต่พี่อยากให้...”



“น้ำชา น้ำชา” จู่ๆก็มีใครคนหนึ่งวิ่งหน้าตั้งเข้ามา บัดดี้ของไอ้ข้าวนั่นเอง “ขอโทษนะน้ำชา คุณเข้ามาในนี้ได้ไง คุณจะพรวดพราดเข้ามาหาน้ำชาแบบนี้ไม่ได้นะ ผมแนะนำให้มาหา ไม่ใช่จะให้มาทำตัวเสียมารยาทแบบนี้” นี่กำลังพูดกับโซนิคเหรอ สองคนนี้รู้จักกันด้วยเหรอ

“อะไรวะพี่ นี่มันธุระของผม เรื่องอะไรมาห้ามผมล่ะ ผมไม่มีธุระอะไรกับพี่แล้ว อย่ามายุ่งน่า” โอ้โห นี่คือน้ำเสียงที่ลูกพี่ลูกน้องของไอ้ต้อมใช้พูดกับรุ่นพี่เหรอ ก้าวร้าวเกินไปหรือเปล่า

“ยังไงก็ไม่ได้ ออกไปก่อน” คนห้ามก็ยังพยายามห้ามต่อไป

“บอกว่าอย่ายุ่งไง ฟังไม่รู้เรื่องใช่ไหม”

เห้ย นี่ไม่ปกติแล้วนะ ทำไมถึงขั้นต้องแสดงสีหน้าข่มขู่แบบนั้นด้วยวะ นั่นรุ่นพี่มึงนะ

“ย... อย่าทำอะไรผมนะ” บัดดี้ของไอ้ข้าวรีบปล่อยมือจากแขนของเด็กเกรี้ยวกราดแล้วมายืนเกาะหลบอยู่หลังของผมอย่างรวดเร็ว

ไม่ได้ๆ ต้องพูดอะไรหน่อยแล้ว จะมาแสดงท่าทีแบบนี้ได้ไง ทำตัวไม่สมเป็นรุ่นน้องเลย

“น้อง....”



“เห้ย ขนมปัง” มีใครจะพูดแทรกอีกไหม อะไรกันนักหนา

อ้าว ไอ้สุ่ยนี่หว่า ไม่มีเดินแบบวันนี้นี่นา มันมานี่ทำไม

“เห็นข้าวเจ้าไหม” อ้อ ไม่รับไอ้ข้าวนี่เอง

“เพิ่งออกไปจากห้องเมื่อกี๊นี่เอง” คนที่เกาะหลังผมตอบ

“โอเค  “ ไอ้สุ่ยพูด “งั้นเดี๋ยวเรารับข้าวเจ้ากลับเลยนะ ขนมปังกลับเองได้ใช่ไหม”

“ได้ๆ พรุ่งนี้อย่าลืมเตือนข้าวเจ้าด้วยนะว่ามีประชุมที่คณะสังคม”

“โอเค”



“นี่พี่ชื่อขนมปังเหรอ” ทันทีที่ไอ้สุ่ยจากไป ไอ้โซนิคก็แซ็วบัดดี้ของไอ้ข้าวทันที แถมยังหัวเราะอย่างเปิดเผย “โห่พี่ ติ๋มได้อีกอ่ะ”

“นี่คุณ” ขนมปังเคืองทันทีแต่ก็ยังเกาะหลังผมแน่น

“ทำไม มีปัญหาอะไรกับผมหรือเปล่าครับคุณรุ่นพี่ขนมปัง”

“น...”

“เราขอคุยกับน้องแป๊บนึงได้ไหมขนมปัง” ผมออกปากพูดในที่สุด ทนดูความปีนเกลียวของเด็กคนนี้ไม่ไหวแล้ว ต้องจัดการอะไรซะบ้าง “ไม่ ไม่ต้องไปไหน ขนมปังอยู่ตรงนี้ด้วยกันนี่แหละ”

“ได้ยินแล้วนะ พี่น้ำชาอยากคุยกับผม ช่วยอยู่เงียบๆด้วย” ยังไม่วายจะหันไปขู่เขาอีกนะมึง

“เรื่องที่พี่จะสอนท่าเต้นเพลงมิ่งขวัญให้ ยังสนใจอยู่ไหม” เริ่มแผน

“สนใจซิครับพี่น้ำชา”

“แต่พี่ไม่สอนให้ฟรีๆหรอกนะ ใครจะให้พี่สอนให้ก็ต้องทำอะไรแลกเปลี่ยนทั้งนั้น”

“บอกผมมาเลยครับ ผมยินดีทำทุกอย่างเลย”

“ยินดีทำ แต่ก็ต้องทำสำเร็จด้วยนะ ไม่ใช่สักแต่ว่ารับปากอย่างเดียว”

“ผมเป็นคนจริงครับพี่ พูดแล้วก็ต้องทำได้ พี่ไว้ใจผมได้เลย” พูดซะเว้อร์เชียว เคยคิดว่าไอ้ต้อมเล่นใหญ่แล้วนะ ญาติมันนี่เบอร์ใหญ่กว่าเห็นๆ แต่ก็ดี ถือว่าเป็นไปตามแผน

“พูดได้ดี.... เห็นแล้วใช่ไหมว่าพี่ข้าวเจ้ามีงานเยอะแค่ไหน”

“พี่ข้าวเจ้า?” ไม่ต้องงง กูกำลังจะอธิบาย

“ใช่ พี่ข้าวเจ้าน่ะ เป็นทั้งประธานลีดคณะสังคมของน้อง งานนอกมหาลัยก็ต้องทำ ไหนพี่จะเพิ่งขอร้องให้เขามาทำธุระให้พี่อีก เพราะงั้น... พี่ก็เลยอยากขอร้องให้น้องโซนิค ช่วยมาทำงานเป็น..... ผู้ช่วยของบัดดี้ของพี่ข้าวเจ้าให้หน่อย”

“ห๊ะ” “ห๊ะ”

ผมไม่แปลกใจในการอุทานของขนมปังและไอ้น้องโซนิคเลยสักนิด เพราะกะไว้แล้วว่าต้องมีปฏิกิริยาแบบนี้

“ไม่เอานะน้ำชา” ขนมปังร้องปฏิเสธเป็นการใหญ่

“เชื่อเราเถอะน่าขนมปัง” ผมพยายามใช้จิตวิทยา “ช่วงนี้ข้าวเจ้ากำลังงานเยอะ ขนมปังจะได้เบางานลงมาบ้าง มีผู้ช่วยแข็งแรงๆอยู่ด้วยสักคนก็ดีออกนี่นา”

“แต่ว่า....” ขนมปังมีสีหน้าระหว่างความอึดอัดและหวาดกลัวเมื่อมองหน้าเด็กคนนี้

“ถ้าพี่เห็นว่าขนมปังมีท่าทีหวาดกลัวแบบนี้ พี่จะถือว่าภารกิจของน้องล้มเหลวนะ” ผมหันไปหาเด็กปีหนึ่งตัวสูงตรงหน้าอีกครั้ง พยายามพูดทุกอย่างให้ชัดเจนที่สุด “ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่พี่เขาถูกทำร้ายร่างกายหรือข่มขู่หรือแม้กระทั้งบ่นเล็กๆน้อยๆ ถ้าพี่ขนมปังโทรมาฟ้องว่าโซนิคไม่ดูแลหรือไม่ช่วยงานหรือทำให้พี่เขาไม่สบายใจ พี่จะถือว่าการทดสอบล้มเหลวทันที เข้าใจที่พี่พูดไหม”

“คือ...” ไอ้น้องโซนิคหน้าตาลังเลแบบปิดไม่มิด ความมั่นใจของมึงหายไปไหนแล้วล่ะ

“ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ตกลง” ถึงคิวที่มึงต้องฟังคำขู่บ้าง

“ด...ได้ครับ ได้ครับพี่น้ำชา ตกลงครับ” ดีมาก

ตอนแรกก็กะว่าจะให้ไปช่วยงานที่โรงบาลเหมือนอะตอมกับแทน แต่คนแบบนี้ต้องโดนดัดสันดานให้เข็ด

“ช่วยงานพี่ขนมปัง” ผมสั่งย้ำ

“ค...ครับ”

“ดูแลความปลอดภัยให้พี่ขนมปัง”

“ครับ”

“ไปรับไปส่ง”

“ครับ”

“พี่เขาสั่งอะไรก็ต้องทำ”

“เอ่อ....”

“ไม่ตกลงเหรอ”

“ต... ตก....ตกลงครับ ตกลง ผมจะทำทุกอย่างเลยครับ”

“โอเค พี่จะโทรหาพี่ขนมปังทุกวันเพื่อถามถึงการทำงานของน้อง หวังว่าพี่จะไม่ได้ยินว่ามีอะไรหรือใครมาทำให้บัดดี้คนเก่งคนนี้ต้องไม่สบายกายไม่สบายใจนะ”

“ครับ”

“ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีนะ ถ้าทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดีก็เจอกันอีกทีวันอาทิตย์นะ.... อืมมมม พี่ว่า เริ่มเลยดีกว่าไหม ด้วยการไปส่งพี่ขนมปังกลับที่พัก” ผมหันไปหาขนมปังบ้าง ซึ่งเจ้าตัวยังคงมองไอ้เด็กปีนเกรียวด้วยความหวั่นใจอยู่เลย “ยังไงฝากน้องคนนี้ไว้ช่วยงานสักอาทิตย์นึงนะ เดี๋ยวเราขอเบอร์ที่เจสซี่โทรไปหาทุกวันนะ ไม่ต้องกลัวนะ”

“แต่ว่า....”

“ไม่ต้องกังวล เชื่อเราซิ”

“ก...ก็ได้”

“โอเค.... งั้นเชิญไปส่งพี่ขนมปังได้ เจอกันวันอาทิตย์นะ”

“ก็ไปดิ ยืนมองหน้าทำไม” แหน๊ะ ดูไอ้โซนิคมันพูด นี่ยังไม่พ้นสายตากูเลยนะ

“อะแฮ่ม” ต้องให้กูเตือนไหม

“อ... เอ่อ... เชิญครับพี่ขนมปัง เดี๋ยวผมไปส่งครับ” ดี แบบนี้แหละที่ต้องการ อย่าหลุดนะมึง “ผมช่วยถือของให้นะครับ เดี๋ยวพี่หนัก”

โถไอ้น้อง หงอเชียวนะ คนแข็งๆอย่างเอ็งต้องเจอไม้นี้แหละ

แล้วในที่สุดทั้งสองก็จากไป



“นี่คิดจะทำอะไรเหรอครับคุณแฟน”

“พ...ตอง” ชอบเข้ามาข้างหลัง เอ้ย เข้ามาทีเผลอแบบนี้ตลอด นี่ไม่ใช่พระพุทธเจ้านะที่จะมีสติรู้แจ้งตลอดเวลาได้ “ให้ซุ่มให้เสียงกันบ้างซิ”

“ก็พูดแล้วนี่ไง ชาตกใจอะไรขนาดนั้น นี่แสดงว่ากำลังวางแผนอะไรอยู่ใช่ไหม”

“แผนอะไรเล่า”

“ก็เมื่อกี๊ไง พี่ยืนดูอยู่ตั้งนานแล้ว นี่คิดจะทำอะไรกันแน่ ทำไมให้เด็กคนนั้นไปเป็นผู้ช่วยของบัดดี้ของข้าวเจ้า”

โอ้โห นี่ยืนฟังมานานแค่ไหนกันเนีย รู้เรื่องละเอียดอะไรเบอร์นั้น

“ก็ไม่มีอะไร” ผมบอก “ก็แค่ดัดนิสัยคนก้าวร้าวนิดหน่อย”

“ยังไง”

“รู้หรือเปล่าว่าน้องคนเมื่อกี๊เป็นลูกพี่ลูกน้องของไอ้ต้อม”

“จริงอ่ะ!?”

“ใช่ ก็ถ้ามันสองคนเป็นญาติกันจริงๆ ก็คงมีอะไรที่คล้ายๆกัน พวกโผงผาง ทำทีเป็นมั่นใจในตัวเองแบบนี้.....









........มักสยบด้วยขั้วที่ตรงกันข้าม”
หัวข้อ: LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 5 [ความคาดหวัง Part 1]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 11-08-2018 00:09:36
ตอนที่ 5 : ความคาดหวัง









“ฮัลโหลสวัสดีครับ ปังพูดครับ” คนปลายสายรับโทรศัพท์จากผม พูดซะเพราะเชียว ก็รู้อยู่นะว่าขนมปังเป็นคนสุภาพแต่ไม่คิดว่าจะสุภาพขนาดนี้ เคยคิดว่าขิงเรียบร้อยแล้วนะ เจอขนมปังเข้าไป ขิงถือว่าเบาไปเลย ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงโดนไอ้น้องโซนิคมันขู่ได้ง่ายๆแบบนั้น

“ขนมปัง นี่ชานะ” ผมบอก

“ชา? อ๋อ น้ำชาเหรอ”

“ใช่ เราขอเบอร์มาจากเจสซี่อ่ะ เป็นไงบ้าง ตอนนี้ทำอะไรอยู่ โซนิคได้ไปช่วยงานตามที่รับปากไว้ไหม”

“เอ่อ.....” อะไรคือการอ้ำอึ้ง “ทำไมถึงโทรมาตอนนี้ล่ะ ไหนน้ำชาบอกว่าจะโทรมาตอนเย็นไม่ใช่เหรอ” บ่ายเบี่ยงซะงั้น

“โทรมาตอนไหนก็ไม่เห็นต่างกันเลย หรือขนมปังยุ่งอยู่”

“เปล่า ไม่ได้ยุ่ง”

“แล้วสรุปว่าไง น้องช่วยงานโอเคไหม”

“ก็....” อ้ำอึ้งอีกแล้ว

“อย่าบอกนะว่าน้องไม่ได้มาช่วยงานตามที่ตกลงกันไว้” ยิงตรงแม่งเลย

“ป..เปล่า มาช่วย น้องช่วยงานดีมากเลย” ไม่จริงอ่ะ เรื่องการจับโกหก คนอย่างผมไม่เป็นสองรองใคร ลองขนมปังพูดด้วยน้ำเสียงแบบนี้ ต้องมีอะไรไม่ปกติแน่ๆ

“ดีแล้วล่ะ งั้นก็แค่นี้นะ”

“อ...โอเค”

ผมกดวางสายทันที แต่เพียงชั่วอึดใจเดียวผมก็โทรไปหาคนเดิมอีกรอบ เพียงแต่ไม่ใช่การโทรผ่านเสียงธรรมดา ผมเปิดวิดีโอคอลเลย



“น....น้ำชา ทำไมโทรมาอีกล่ะ”

“ก็โทรมาดูความจริงไง” ถามจริงก็ตอบตรง และก็อย่างที่สงสัย จากภาพสถานที่ที่ปรากฏบนหน้าจอตอนนี้ ดูยังไงก็ไม่ใช่คณะสังคมแน่นอน “แล้วนี้ขนมปังอยู่ที่ไหนน่ะ?”

“เรา.....”

“ขนมปัง บอกความจริงกับเรามาดีกว่านะ อย่าให้เราต้องโทรหาข้าวเจ้านะ” นี่กูเพิ่งจะขู่เขาไปหรือเปล่าวะ

“ย...อย่าโทรนะ ก็ได้ๆ” กว่าจะยอมสารภาพได้นะ “เราอยู่หน้าหอของ....”

“ของใคร?”

“โซนิค”

“ห๊ะ! ทำไมไปอยู่ที่นั่นล่ะ”

“เรามา.... รอน้องอยู่หน้าหออ่ะ”

“เดี๋ยวก่อนนะขนมปัง ทำไมขนมปังต้องไปรอโซนิคด้วย น้องไม่ใช่เหรอที่ต้องรอขนมปัง แล้วนี่มันกี่โมงแล้วเนี่ย สิบโมงกว่าแล้วนิ ยังไม่ไปทำงานกันอีกเหรอ”

“น้องบอกให้เรามารอที่นี่ ตอนเช้าน้องไม่ว่าง”

“ห๊ะ” “เห้ยยยย นั่นพูดกับใครอ่ะ”

อืมมมมม มาแล้วเหรอไอ้ตัวแสบ

“อย่าบอกๆ” ไม่ต้องทำมาเป็นกระซิบ กูได้ยิน ต่อให้กูไม่ได้ยินกูก็เดาได้ นี่มึงต้องขู่ให้ขนมปังไปยืนรอที่หอแหงๆ แทนที่ตัวเองจะต้องเป็นคนขับรถไปหาเขา

“ขนมปัง ส่งโทรศัพท์ให้โซนิคหน่อย เราจะคุยกับน้องเอง” ผมบอก

ดูจากสีหน้าแล้ว ขนมปังยังดูกลัวไอ้เด็กคนนี้อยู่มาก ท่าทางยังกล้าๆกลัวๆอยู่เลยที่จะต้องส่งโทรศัพท์ให้กับไอ้ตัวการ   



“พ...พี่น้ำชา”

“ไม่ผ่าน” ผมพูดทันที

“อะไรนะครับ!” ไม่ต้องมา อะไรนะครับ ​กับกูเลย

“พี่พูดชัดเจนแล้วนะว่า ไม่ผ่าน ​ภารกิจของน้องล้มเหลว”

“เดี๋ยวซิครับพี่น้ำชา ค...คือ....คือผมแค่...”

“แค่ให้พี่ขนมปังมารอที่หอ ในเวลาสิบโมงกว่า ทั้งๆที่น้องมีหน้าที่ต้องไปรับพี่เขา จะพูดอย่างนี้หรือเปล่า”

“พอดีว่าผม...”

“พอดีว่าผมขู่พี่เขาได้ ผมก็เลยขู่พี่เขาอย่างเต็มที่ และผมก็ไม่อยากตื่นเช้า พี่ต่อประโยคถูกไหม”

“.....” เงียบไปเลยซิมึง เวลากูโหดกูก็เอาจริงนะ กะอีแค่เขี่ยเด็กไร้ความรับผิดชอบทิ้งทำไมกูจะทำไม่ได้ ยังไงไอ้ข้าวก็ต้องช่วยกูอยู่ดีต่อให้มีหรือไม่มีไอ้เด็กคนนี้ก็ตาม

“น้องคิดว่าความคาดหวังในภารกิจครั้งนี้ของพี่คืออะไรกัน เมื่อวานพี่สั่งน้องชัดเจนทุกอย่าง พยายามไม่พูดตรงๆว่าน้องควรมีสัมมาคาราวะกับพี่ขนมปัง อย่าคิดว่าพี่จะมองข้ามนะ ถ้าน้องแปลสิ่งที่พี่พูดไม่ออก ซ้ำยังทำตามคำสั่งไม่ได้ พี่ก็ขอพูดตามตรงว่าเราสองคนคงไม่สามารถร่วมงานกันได้ พี่ไม่สามารถร่วมงานกับคนไม่มีความรับผิดชอบและขาดความยำเกรงรุ่นพี่อย่างน้องได้จริงๆ”

“พ....พี่น้ำชาครับ ผมผิดไปแล้วครับ ผมจะไม่ทำอีกแล้ว ผมสัญญาครับว่าจะทำตามที่พี่บอกไม่ให้ขาดตกบกพร่องแน่นอน อย่าเพิ่งตัดสินผมเลยนะครับ” พูดเป็นชุดแบบไม่หายใจเชียวนะมึง

“เมื่อวานน้องก็พูดแบบนี้ ไหนล่ะคำว่า คนจริง ที่น้องอวดอ้างสรรพคุณตัวเอง... เอาล่ะ พี่จะไม่พูดกับน้องอีกแล้ว ส่งมือถือให้พี่ขนมปัง พี่จะยกเลิกคำสั่งกับพี่เขา”



ไม่ต้องมาทำหน้าสลดใส่กู เด็กอย่างมึงต้องเจอแบบนี้ คิดว่ากูจะแคร์หรือไง พอเลย เมื่อวานอุตส่าคิดว่าจะเปลี่ยนนิสัยก้าวร้าวของคนได้ แบบนี้ก็เห็นชัดๆว่ามันฝังลงในดีเอ็นเอแล้ว ตอนแรกกะว่าจะใช้เด็กคนนี้เป็นข้ออ้างให้ข้าวเจ้ามาช่วยซะหน่อย แต่ดูแล้ว กูคงต้องขอร้องตรงๆแล้วล่ะ



“น้ำชา คือ...” ขนมปังพยายามจะพูดกับผมเมื่อได้รับโทรศัพท์ของตัวเองคืน

“เราขอโทษที่ต้องทำให้ลำบากนะขนมปัง” ผมพูดตัด “เราผิดเองที่เอาเรื่องของเราไปให้ขนมปังทำ ยังไงก็กลับไปทำหน้าที่ของตัวเองเถอะนะ เราไม่รบกวนแล้วดีกว่า ยังไงก็ขอบใจมากนะ”

“ไม่เป็นไรเลย แต่ว่า.....ให้โอกาสน้องอีกทีได้ไหม นะ ถือว่าเราขอร้องล่ะ”

“ห๊ะ!! นี่ขนมปังจะไปขอร้องแทนเด็กคนนั้นทำไม เค้าทั้งพูดจาไม่ดีกับขนมปัง ทำตัวก็ไม่สุภาพ แถมยังทำให้ขนมปังลำบากขึ้นอีก ทั้งๆที่หน้าที่ของเขาคือการต้องทำให้ขนมปังสบายขึ้นด้วยซ้ำ”

“ร...เราจะไม่ให้น้องมาข่มขู่ได้อีกแล้ว แต่ว่าครั้งนี้ ขอร้องนะ ให้โอกาสน้องทำภารกิจต่อเถอะนะ ข้าวเจ้าคาดหวังกับน้องคนนี้มาก”

ดู๊ ดูดู ดูความเป็นคนดีของไอ้คนสุภาพนี่ซิ พูดซะกูใจอ่อนเลย

“งั้นเราขอคุยกับน้องอีกทีหน่อย” อ่ะๆ ถ้าเจ้าตัวเขาโอเค กูก็จะทำอะไรได้ล่ะ



“ผมสัญญาครับ ผมจะปรับปรุงตัว ผมสัญญาจริงๆนะครับ ไม่ทำแบบนี้อีกแล้วครับ” ไอ้เด็กนี่ ชิงพูดก่อนเลยนะ ไม่เปิดโอกาสให้กูเตือนมึงก่อนเลย

“ครั้งนี้พี่จะถือว่าพี่ขนมปังขอร้องนะ แต่ถ้ามีครั้งหน้าอีก พี่จะไม่ใจดีอีกแล้ว ต่อให้อธิการบดีมาขอร้องพี่ก็ไม่ใจอ่อนแบบนี้อีกเด็ดขาด”

“ครับ เอาหัวผมเป็นประกันได้เลย”

“พี่ไม่อยากฟังคำโอ้อวดของน้องอีกแล้ว พี่จะขอดูด้วยตัวเอง จากนี้พี่จะโทรหาพี่ขนมปังตลอด ถ้าพี่เห็นพฤติกรรมอะไรทำนองนี้อีก เตือนแล้วนะ” มาสเตอร์เชฟไทยแลนด์ก็มา เอากะกูดิ

“ครับพี่น้ำชา ขอบคุณครับ งั้นผมขอไปทำหน้าที่ของตัวเองเลยนะครับ... พี่ขนมปังครับ ไปคณะสังคมกันครับ มาครับเดี๋ยวผมถือของให้นะ ไม่ต้องครับเดี๋ยวผมเปิดประตูรถให้เอง....”

ทำเป็นร้างภาพ ไอ้เด็กเวร ทำให้ได้ตลอดนะมึง

ผมยกเลิกวิดีโอคอลก่อนจะยืนจ้องโทรศัพท์มือถือของตัวเอง

เห้ออออออออออออออออ

“เป็นอะไรครับชา ทำไมทำหน้าแบบนั้น” พี่ตองถาม ตอนนี้ผมกับพี่ตองอยู่กับที่โรงพยาบาล ผมกำลังเดินเก็บกล่องอาหารกลางวันให้น้องๆ ในแผนกผู้ป่วยเด็ก ส่วนพี่ตองกำลังเล่นจิ๊กซอว์กับน้องโชกุน “เดี๋ยวจะต้องไปถ่ายแบบแล้วนะ ทำหน้าแบบนั้นเดี๋ยวภาพก็ออกมาไม่สวยหรอก”

“ชาเป็นห่วงเด็กสองคนนั้นอ่ะ” ผมบอก เรียกว่าระบายเสียมากกว่า

“สองคน? อ๋อ อะตอมกับแทนอะเหรอ  ก็แล้วไหนเมื่อวานพี่เห็นชายังทำท่าห้ามไม่ให้พี่บอกวิธีเจรจากับอาจารย์หมอให้สองคนนั้นฟังอยู่เลย ไหงมากลุ้มเองแบบนี้ล่ะ”

“ก็ดูนี่ซิ พี่ตองเห็นแล้วใช่ไหมว่าไอ้น้องโซนิคนั่น แค่เรื่องง่ายๆมันยังทำไม่ได้เลย แล้วอะตอมกับแทนล่ะจะเป็นยังไง ภารกิจของสองคนนี้ถือว่ายากกว่ามากเลยนะ”

“พี่ว่าชาคาดหวังมากเกินไปนะ ถ้ากลัวว่าน้องจะไม่ผ่านทำไมไม่ปล่อยให้พี่บอกเคล็บลัดการพูดกับอาจารย์หมอไปตั้งแต่เมื่อวานล่ะ”

“ชาก็แค่อยากให้ทั้งสองคนผ่านบททดสอบได้ด้วยตัวเอง อยากให้เขาได้เห็นคุณค่าของสิ่งที่กำลังจะได้มา แต่พอมาคิดอีกแง่นึง มันก็ไม่ต่างกับชาส่งคนไปให้อาจารย์หมอดุ แล้วก็ไม่รู้ว่าสองคนนั้นจะรับมือได้หรือเปล่า แล้วถ้าน้องถอดใจล่ะ หรือว่าเสียความรู้สึก ถ้าน้องรับมือกับอาจารย์หมอไม่ได้ล่ะ”

“ชาครับบบบ วิตกจริตเกินไปแล้ว อย่าไปกังวลแทนน้องมันเลยนะ ทุกคนมีเรื่องที่ต้องเจอทั้งนั้น ชาทำถูกแล้วครับ แค่นี้ก็ถือว่าเราช่วยมากแล้วนะ หน้าที่บางอย่างก็ต้องปล่อยให้เค้าได้ทำเองบ้าง”

เห้ออออออออ มันก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี ปีที่แล้วผมโดนด่าซะบ่อน้ำตาแตกเลย นี่ถ้าขืนผมทำให้เด็กสองคนนั้นตกอยู่ในสภาพเดียวกับผม ผมคง.... รู้สึกแย่ชะมัด เห้ออออออออ

“แล้วนั่นชาจะไปไหนครับ?” พี่ตองถามเมื่อเห็นผมหันหลังกำลังเตรียมเดินออกไปนอกห้อง

“ไปห้องน้ำ” ผมโกหก “ชาปวดท้อง”

แท้ที่จริงแล้ว ผมออกมาเพื่อลงไปยังชั้น 3 ห้อง MD1103 ห้องพักของหมอพิชิต ซึ่งตอนนี้อะตอมกับแทนน่าจะกำลังรออาจารย์หมออยู่ในนั้น

หวังว่าทั้งสองคงจะไม่โดน.....



“คิดว่ามันเป็นเรื่องตลกหรือไง เพราะรุ่นพี่แนะนำเหรอ ไม่รู้จักใช้ความคิดกันเองเลยใช่ไหม”



เชี่ยยยยยยยยย เวรกรรมมมมมมมมม

ไม่ทันขาดคำ ให้ตายเถอะ อาจารย์หมอพิชิตกำลังรัวกลองชุดเลย

ผมพยายามเงียบแอบฟังการสนทนา



“ก็พี่น้ำชาเค้า...”

“พี่น้ำชา พี่น้ำชาทำไม เพราะเธอสองคนรู้จักคนดังก็เลยคิดว่าผมจะตอบตกลงรับปากให้มาทำงานที่โรงพยาบาลง่ายๆเลยอย่างงั้นเหรอ”

นี่คงจะเป็นอะตอมซินะที่กำลังโดนตะหวาดใส่ จากสถานการณ์ไอ้น้องแทนก็คงอยู่ในนั้นด้วย

“เราสองคนแค่อยากมา...” เสียงของไอ้น้องแทน

“แค่*?* เธอพูดว่าแค่เหรอ” คุณพระคุณเจ้า อาจารย์หมอจัดหนักกว่าที่ผมโดนซะอีก ขนาดไอ้น้องแทนพยายามจะอธิบบาย อาจารย์ท่านยังไม่เปิดช่องให้เลย เอาไงดีวะกู จะเสียมารยาทเข้าไปช่วยเลยดีไหม “คิดว่าการเป็นผู้นำเชียร์ของที่นี่เราขึ้นอยู่กับคำว่า แค่ อย่างนั้นเหรอ ถ้าพวกเธอไม่รู้จักความสำคัญของระบบนี้ก็ไม่ควรก้าวเท้าเข้ามาหาผม คิดว่าผมตั้งกฎต่างๆขึ้นมาทำไม เพื่อให้เด็กเส้นอย่างพวกคุณมาทำตัวสบายใจ เดินเข้ามาเป็นคนดังได้หน้าตาเฉยหรือไง ผมไม่รับ และต่อให้ใครจะมาพูดช่วยพวกคุณ ผมก็ไม่ยอมรับทั้งนั้น ออกไปจากห้องพักของผม!!”

“ร...เรากลับกันเถอะแทน” อะตอมคงกลัวขึ้นมาจริงๆแล้วล่ะซิเนีย น้ำเสียงแบบนี้

“ให้ตายเถอะ เด็กสมัยนี้นี่มันเป็นยังไงกัน ขยันทำเป็นแต่เรื่องไร้สาระ คิดอะไรดีๆกันเองไม่เป็นหรือยังไง” คุณหมอก็ยังคงบ่นเสียงดัง

ตายแล้วกู คิดถูกคิดผิดวะเนี่ยที่ส่งสองคนนี้มาหาอาจารย์หมอ กะว่าจะให้เป็นไปตามขั้นตอนซะหน่อย ขืนเป็นแบบนี้คงต้องให้ข้ามบางขั้นตอนแล้วล่ะ

ผมยืนรอเด็กปีหนึ่งทั้งสองอยู่หน้าห้องที่ผม....เอ่อ....แอบฟังมานาน ถ้าออกมาเจอกันจะได้ปลอบใจน้องๆ

“ด้วยความเคารพนะครับคุณหมอแต่ช่วยถอนคำพูดด้วยครับ”

“ว่าไงนะ!”

!!!!!! เออ ใช่ เห็นด้วยกับอาจารย์หมอ เมื่อกี๊มึงว่าไงนะไอ้น้องแทน

“ผมบอกว่า ช่วยถอนคำพูดด้วยครับ”

เห้ย!! บ้าแล้ว ไปพูดแบบนั้นกับอาจารย์หมอได้ยังไง กูจะยืนเฉยไม่ได้แล้ว ต้องรีบเข้าห้องเพื่อไปห้าม จะปล่อยให้มีการสาดอารมณ์กับผู้ใหญ่แบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด

“เดี๋ยวก่อน”

!!!!! ตกใจรอบสอง ก็จู่ๆ เอ่อ.... พี่ตองมาจากไหนล่ะเนี่ย

พี่ตองหยุดผมไว้ไม่ให้พรวดพราดเข้าไปในห้องที่กำลังเดือดดาลกันด้วยอารมณ์

“คุณหมายความว่ายังไงที่ให้ผมถอนคำพูด” เสียงของอาจารย์หมอดังออกมาอีกครั้ง ฟังดูเกรี้ยวกราดไม่เปลี่ยนแปลง

“*เรื่องที่บอกว่าผม...* *ไม่ซิ... ที่บอกว่าเราสองคนทำอะไรดีๆ ไม่เป็น”นี่กำลังจะอธิบายหรือเถียงอยู่กันแน่วะไอ้น้องแทน“*ผมอาจจะไม่เข้าใจระบบองค์กรผู้นำเชียร์ของที่นี่ ผมอาจจะเป็นเด็กเส้นอย่างที่คุณหมอกล่าวหา แต่ถ้าจะบอกว่าเราสองคนทำอะไรดีๆ ไม่เป็นอันนี้ผมไม่ขอยอมรับ”

“แทน นี่มึงอย่าไปเถียง...” อะตอมคงกำลังพยายามห้าม

“ได้ไงล่ะอะตอม คนเราต้องรู้จักที่จะมีจุดยืนเป็นของตัวเองนะ จะยอมให้คนอื่นว่าต่อว่าเราฝ่ายเดียวได้ไง.... สำหรับผม ผมยอมรับครับว่าผมไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมากนักสำหรับการเป็นผู้นำเชียร์ของที่นี่ เพราะผมหวังที่จะใช้การเป็นคนมีชื่อเสียงของที่นี่เพื่อยอดยอดต่อการทำประโยชน์ให้กับสังคม แต่สำหรับเพื่อนผมคนนี้ เขามีหัวใจของผู้นำเชียร์อย่างเต็มตัว ฝึกฝน มุ่งมั่น และพยายามมากกว่าใคร เพราะงั้นผมจะขอยืนหยัดเพื่อผมและเพื่อนครับ เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาแบมือขอทำงานจากคุณหมอหรือเพราะมีรุ่นพี่แนะนำให้มา แต่เรามาเพราะนี่เป็นหนึ่งในสิ่งที่เราควรจะต้องทำ เหมือนกับที่รุ่นพี่หลายๆคนได้โอกาสทำ ผมคือนายอวกาศ คล้ายจันทร จะไม่ยอมเดินกลับออกไปเพราะถูกปฏิเสธหรือได้รับการดูถูกจากใครเด็ดขาด โปรดมองเห็นความมุ่งมั่นของเราสองคนด้วยเถอะครับ”

นี่ถ้าเดาไม่ผิดไอ้น้องแทนมันคงกำลังโค้งคำนับแบบคนญี่ปุ่นอยู่แหงเลย

“ผ....ผมก็ขอร้องด้วยอีกคนครับ” แบบนี้ก็แปลว่าอะตอมทำตามซินะ

แล้วนี่จะออกมาท่าไหนล่ะเนีย ถึงจะไม่ใช่คำตอบที่คาดหวัง แต่ความเด็ดเดี่ยวที่ได้ฟังไอ้น้องแทนพูดก็ส่งพลังออกมาไม่ใช่น้อยๆเลย

“เมื่อกี๊เธอพูดว่าเธอชื่ออะไรนะ” นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมคาดหวังจะได้ฟังจากอาจารย์หมอพิชิตเลย ทำไมอาจารย์ท่านถึงถามแบบนั้น

“อวกาศ คล้ายจันทรครับ” เสียงของไอ้น้องแทนตอบ

“เธอเป็นอะไรกับ เมฆา คล้ายจันทร หรือเปล่า คนที่ถูกเรียกว่าวีรบุรุษเดินดิน รู้จักเขาไหม”

“เขาคือพ่อของผมเองครับ”

“พ่อ? เธอคือลูกชายของวีรบุรุษเดินดินเหรอ”

“ครับ”

“งั้นก็แปลว่าเธอคือคนที่ได้เห็น....”

“ครับ ผมคือคนที่ได้เห็นพ่อของตัวเองตายไปต่อหน้าต่อตา”

“ผมขอโทษ”

“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับคุณหมอ ผมไม่เคยเสียใจกับเรื่องนั้นเลย ผมภูมิใจเสมอที่จะบอกใครๆว่าผมได้เห็นวาระสุดท้ายของพ่อ เพราะแม้กระทั้งวินาทีสุดท้ายของชีวิตพ่อก็ยังทำเพื่อช่วยเหลือชีวิตผู้อื่นอยู่”

“เธอช่างมีจิตใจที่กว้างใหญ่เหมือนพ่อของเธอจริงๆ ผมไม่คิดเลยว่าตัวเองจะโชคดีขนาดนี้ที่ได้เจอลูกชายของเมฆา พวกเราที่ทำงานสายแพทย์ การอุทิศตนเพื่อรักษาชีวิตของผู้อื่นเป็นงานของหมออย่างพวกเรา แต่เมฆาคือคนที่วิ่งชนเข้ากับปัญหา เขาเลือกที่จะรักษาชีวิตของผู้อื่นก่อนเสมอ ถ้ามีคนอย่างพ่อเธอสักร้อยสักพันคน โรงพยาบาลก็คงมีผู้ป่วยน้อยลงมาก.... ว่าแต่ ที่เธอพูดว่าอยากมีชื่อเสียงเพื่อทำประโยชน์ให้สังคม เธอหมายถึงอะไร จะสืบทอดเจตนารมณ์ของพ่ออย่างนั้นเหรอ”

“ไม่เชิงครับ ผมคงไม่ใช่แนวที่จะวิ่งเข้าใส่ปัญหาเหมือนพ่อ แม่เองก็คงไม่อยากเห็นผมทำอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ผมได้รับบทเรียนจากการสูญเสียพ่อว่า การกระทำบางอย่างของมนุษย์ก่อความอันตรายขึ้นได้โดยไม่คาดฝัน ผมอยากมีชื่อเสียงเพื่อให้ทุกคนหันมาฟังสิ่งที่ผมอยากให้ทุกคนร่วมด้วยช่วยกันแก้ไข ถ้าทุกคนในสังคมช่วยกัน ก็จะไม่เกิดเรื่องแย่ๆขึ้นกับใครอีก”

“เธอคงหมายถึงเรื่องหน้าดินแม่น้ำถล่มซินะ เหตุการณ์ที่ทำให้เธอต้องสูญเสียพ่อ”

“ไม่ใช่แค่เรื่องนี้หรอกครับ ทุกๆอย่างที่ผมจะทำได้ ผมพยายามศึกษาด้านธรณีวิทยาทุกๆด้านก็เพื่อให้เข้าใจธรรมชาติ ความอันตราย และวิธีรับมือกับมัน ผมแค่หวังว่าคนอื่นๆจะเห็นว่ามันสำคัญอย่างที่ผมให้ความสำคัญ”

“นี่เป็นวาทะที่ผมไม่ได้คาดหวังจะฟังจากเด็กปีหนึ่งที่เดินเข้ามาหาผมหรอกนะ ถ้าว่ากันตามตรง ผมอยากให้พวกเขาแสดงจิตวิญญาณของคนที่พร้อมจะเป็นผู้นำมากกว่า แต่จุดประสงค์ของเธอมันยิ่งใหญ่กว่าคำว่าจิตวิญญาณอยู่มาก เพราะฉะนั้น ผมให้เธอผ่าน ผมยอมรับในตัวเธอ”

“ขอบคุณมากครับคุณหมอ แต่ถ้าคุณหมออยากดูคนที่มีจิตวิญญาณ ผมขอแนะนำพื่อนคนข้างๆของผมคนนี้ครับ”   

“เธอเหรอ”

“ค...ครับ” มีเสียงของอะตอมดังออกมาบ้าง

“ไหนบอกมาซิว่าจิตวิญญาณของเธอคืออะไร”

“คือ... ผมไม่อยากทำให้อาจารย์ผิดหวัง แต่จริงๆแล้วผมแค่อยากเป็นผู้นำเชียร์ก็เพราะ.... ผมอยากตามหาแม่ที่หายสาบสูญไป”

“ว่าไงนะ” “อะไรนะ” หือ?!?!?

ตอนนี้คือทุกคนคงสัยสงกันหมด ไม่เว้นแม้แต่พี่ตองที่ยืนอยู่ข้างๆผม

“แม่ของผม....” ฟังจากน้ำเสียงแล้ว อะตอมคงกำลังทำใจเพื่ออธิบายของเรื่องยากๆอยู่ “แม่ถูกพวกพ่อค้ายาเสพติดจับไปเป็นตัวประกัน เพื่อหนีการจับกุมออกไปในทะเลตั้งแต่ผมแค่สี่ขวบ ผมไม่รู้ชะตากรรมของแม่เลยว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน เรือของพวกคนร้ายไปจอดที่ประเทศไหน ผมกับพ่อพยายามตามหาแม่มาตลอด แต่ก็ไม่เจอเลย แต่! ผมเชื่อนะครับ ผมเชื่อว่าแม่ยังมีชีวิตอยู่ ผมถึงอยากได้เป็น center ของผู้นำเชียร์เพื่อหวังใช้พื้นที่สื่อของ T-Queen บอกเรื่องราวของผมออกไปยังต่างแดน นี่อาจจะช่วยให้แม่ได้เห็นผมหรือแค่มีสัญญาณบางอย่างจากแม่ก็ยังดี”

“อย่าหาว่าผมทำลายความคาดหวังของเธอเลยนะ แต่ถ้าแม่ของเธอยังมีชีวิตอยู่จริงๆ เธอคงติดต่อมาตั้งนานแล้ว ทุกประเทศต้องส่งประชาชนกลับประเทศบ้านเกิดอยู่แล้ว”

“ผมรู้ครับ แต่มันติดอยู่ตรงที่ว่า... แม่ของผมเป็นคนไร้สัญชาติครับ แม่เป็นชนกลุ่มน้อยของเมียนม่า ไม่เคยมีสัญชาติมาก่อน ซึ่งตอนที่เกิดเรื่องขึ้น แม่กำลังจะได้สัญชาติแล้ว เพียงแต่... มันไม่ทัน เพราะงั้น แม้กระทั่งตอนนี้ ถึงแม่จะเป็นผู้เคราะห์ร้าย แต่แม่ก็ยังเป็นคนผิดกฎหมายยู่ดีไม่ว่าจะอยู่ที่ประเทศไหน มันจึงเป็นหน้าที่ของผมที่จะตามหาแม่ด้วยตัวเอง แม่กลัวและลำบากมานาน ผมอยากใช้โอกาสนี้เพื่อตามหาแม่ให้พบ ผมคงไม่ได้มีจิตวิญญาณอย่างที่ผมพยายามแสดงออกหรอกครับ”

“เรื่องของเธอสองคนนี่มัน....” ผมรู้ว่าคุณหมออยากพูดว่าสะเทือนใจ คนที่แอบฟังอยู่นอกห้องอย่างผมยังอดสงสารไม่ได้เลย “พอได้มารู้เรื่องของเธอสองคนแบบนี้แล้ว มันทำให้ผมตระหนักได้เลยว่า องค์กรผู้นำเชียร์ของเรามีคุณค่ามากมายมหาศาลแค่ไหน เอาล่ะ พวกเธอสองคนสอบผ่าน ไปทำตามความฝันซะ ทำให้สำเร็จ ผมจะเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้”

“ขอบคุณครับ” “ขอบคุณครับ”

“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวไปทำงานต่องานนะ เดี๋ยวจะตามคนมาพาพวกคุณไปทำงาน อยากช่วยแผนกไหนก็บอกเขาเลยนะ”

อาจารย์หมอพิชิตเปิดห้องออกมาและชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นผมกับพี่ตองยืนอยู่หน้าห้อง



“อ้าว ผมกำลังจะโทรตามอยู่พอดีเลย” อาจารย์ท่านบอก “เด็กสองคนที่ชาส่งมา ผมขอชมนะว่าเลือกมาได้ดี”

“ขอบคุณครับ” เอาจริงๆ ผมไม่ได้เลือกดีอะไรหรอกครับ แค่มันบังเอิญมากกว่า

“เข้าไปหาสองคนนั้นเถอะ พาพวกเขาไปทำงานด้วยนะ ฝากด้วยล่ะ”

“ครับคุณหมอ”

แล้วหมอพิชิตก็เดินจากไป



“เดี๋ยวก่อน” พี่ตองคว้าผมไว้อีกครั้ง

“ทำไมอ่ะ” ผมถาม

“อย่าเพิ่งเข้าไปเลย ดูนั่นดิ” พี่ตองชี้ให้ผมดูภายในห้องผ่านช่องประตูที่ยังแง้มอยู่

เอิ่มมมมมมมมมมมมม

อะตอมกับแทนกำลังกอดกันอยู่

คงปลอบใจกันอยู่ซินะ ก็พอเข้าใจได้ เพิ่งจะเล่าเรื่องเศร้าของครอบครัวไปนี่นา



“รอตรงนี้ก่อนก็ได้” ผมตัดสินใจยืนรอข้างนอก

“ไม่น่ารักเลยนะครับ” จู่ๆพี่ตองก็พูดกับผม

“พูดอะไรอ่ะ?” ไม่เข้าใจ

“ก็ชาไง ไม่น่ารักเลยนะที่โกหกพี่ว่าจะมาเข้าห้องน้ำ”

“เอ่อ....” ลืมไปเลยว่าโกหกเรื่องนี้ไว้

“เราเป็นแฟนกันนะ พี่ไม่ชอบเลยที่ชาโกหกพี่แบบนี้”

“ก็ชาอยากลงมาดูอะตอมกับแทนอ่ะ ชาไม่อยากบอกเพราะกลัวว่าพี่ตองจะห้ามชาไว้”

“ใช่ พี่ห้ามแน่ แต่ถ้าชาอยากมาจริงๆ พี่จะห้ามอะไรได้ล่ะ”

“ชาขอโทษนะ”

พี่ตองแค่ยักไหล่ “ตอนนี้พี่เข้าใจแล้วว่าชารู้สึกยังไงที่พี่โกหกชาเมื่อตอนที่พี่กับพี่ลูกแก้วสร้างเรื่องกันตอนนั้น”

โหหหหห ย้อนไปซะไกลเชียว

“เอาเป็นว่า หลังจากนี้ไม่โกหกกันแล้วนะ”

“โอเคครับ”

“สัญญามาก่อน”

โอ๊ะ นี่อยู่วิศวะปีสามแล้วนะ มีมาเกี่ยวก้อยสัญญาอะไรอีก

“เร็วซิครับ สัญญาก่อน”

“สัญญาก็สัญญา” ยอมๆทำตามไป ไอ้หัวเหม่งเอ๊ย



“อ้าว พี่น้ำชา พี่ตอง” ในที่สุดอะตอมกับแทนก็เดินออกมาจากห้อง “นึกว่าใครมาคุยกันอยู่หน้าห้องซะอีก”

กรรม ได้ยินหมดเลยเหรอ

“อ๋อ พี่มาพาสองคนไปทำงาน” ผมแก้ตัว

“แล้วทำไมต้องเกี่ยวก้อยกันด้วยล่ะครับ” ไอ้น้องแทนถาม

กรรม ลืมเอานิ้วออก

“ป...เปล่า ไม่มีอะไร” นี่กูทำไมต้องทำตัวรุกรี้รุกรนด้วยล่ะ “ไปทำงานกันได้แล้ว รู้หรือยังว่าอยากจะทำแผนกไหน”

“ผมมีในใจแล้วครับ” ไอ้น้องแทนตอบทันที

“มึงมีแล้วจริงดิ” อะตอมถาม ผมก็อยากรู้เหมือนกัน

“ใช่ ผมอยากทำแผนกฉุกเฉินครับ”

“โห” พี่ตองร้อง “นั่นหนักนะ งานยาก ออกข้างนอกด้วย คิดดีแล้วเหรอ”

“คิดดีแล้วครับ ผมมีฝันที่อยากช่วยเหลือสังคม งั้นก็เริ่มจากออกไปช่วยเหลือคนเจ็บฉุกเฉินก่อนเลยละกัน”

“ไม่ห้ามก็แล้วกัน” ผมไม่อยากจะขัดขว้างความคิดยิ่งใหญ่ของเด็กคนนี้ ภายใต้ใบหน้าหล่อเหลา ทำไมถึงมีความคิดที่ดีขนาดนี้ได้นะ แต่ก็ขัดกับบุคลิกที่เป็นคนขี้เล่น รวมอยู่ในคนๆเดียวได้ยังไง “แล้วอะตอมล่ะ อยากทำแผนกไหน”

“ทำกับแทนก็ได้ครับ” น้องอะตอมตอบ “ม...ไม่ได้หมายถึงทำอะไรกับมันนะ หมายถึงทำงานแผนกเดียวกันมันเฉยๆ”

ไม่ได้ว่าอะไรซะหน่อย ไม่มีใครคิดอะไรเลยเนีย คิดอยู่คนเดียวเลยยยยย

“โอเค งั้นเดี๋ยวพี่พาไปแผนกฉุกเฉินละกัน” ผมบอก



หัวข้อ: LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 5 [ความคาดหวัง Part 2]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 11-08-2018 00:11:22
(ต่อ Part 2)




แล้วจากนั้นก็เดินนำเด็กปีหนึ่งทั้งสองไปส่งที่แผนกฉุกเฉิน



เห็นว่าต้องเรียนรู้งานนิดหน่อย แผนกนี้ต้องใช้ความเชี่ยวชาญพอสมควร คงต้องศึกษาข้อมูลกันดีๆ

เอาเป็นว่าผมปล่อยให้ทั้งสองทำงานของตัวเองไป ส่วนตัวผมก็ออกเดินทางในช่วงบ่ายเพื่อไปถ่ายแบบให้กับเครื่องดื่มยี่ห้อหนึ่ง โดยมีพี่ตองขับรถไปส่ง



“พี่ตอง” ผมเรียกในขณะที่เราทั้งสองกำลังนั่งรถ

“ครับ” พี่ตองตอบรับ

“พอจะขอร้องพ่อพี่ตองให้หานักสืบเก่งๆให้ชาหน่อยได้ป่ะ?”

“อะไรนะ!?”

“นักสืบ”

“จะเอาไปทำอะไรครับ”

“นี่เดาไม่ออกจริงๆเหรอ... ก็สืบหาแม่ของอะตอมไง”

“สืบทำไม เราก็ได้ยินแล้วไม่ใช่เหรอว่าอะตอมเขามีจุดประสงค์ที่จะใช้สื่อของแม่ชาเพื่อตามหาแม่ของเค้า”

“ถ้าชาจะช่วยจริงๆ ชาไม่รอจนถึงวันที่อะตอมได้เป็น Center หรอก ชาโทรขอร้องแม่ตอนนี้เลยก็ได้”

“นั่นซินะ จริงๆ ชาก็ขอแม่ได้เลยนี่นา แล้วทำไมถึงไม่ทำล่ะครับ”

“ก็เพราะ.... ชากลัวเรื่องมันจะไม่ได้สวยงามอย่างที่อะตอมคิดเอาไว้ไง ชาอยากให้นักสืบตามหารอยร่องของแม่อะตอมก่อน ให้แน่ใจกว่านี้หน่อยว่าแม่ของน้องยังมีชีวิตอยู่ เพราะถ้ามันไม่ใช่อย่างที่อะตอมคิด..........









...........สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือความคาดหวังนี่แหละ”



.........................................................................





(ในมุมของโซนิค)



“แม่งเอ๊ย เหนื่อยชิบ” ผลสบถกับตัวเอง

ไม่ไหวแล้ว ขอนั่งพักแป๊บ

ไม่เข้าใจเลยว่าพวกบั๊ดดี้ของผู้นำเชียร์ทนทำงานผู้ช่วยแบบนี้ได้ไง เดินทั้งวัน จัดตารางเวลาจนตาลาย ไหนจะค่อยเช็คของถือของอีก



“ฮัลโหลครับ.... ใช่ นี่ปังเอง” นี่ก็อีกคน เห็นหน้าติ๋มๆ แต่คล่องงานชะมัด เดินทั้งวันไม่มีบ่นเลย ไม่รู้ชาติที่แล้วเกิดเป็นทศกัณฑ์หรือเปล่า ถึงสามารถหยิบจับทุกอย่างพร้อมกันได้ โทรศัพท์ไปด้วยถือแก้วน้ำไปด้วย มืออีกข้างก็จดสมุดงาน เดินไปเดินมาจนคนที่มองอยู่อย่างผมตาลายไปหมดแล้ว “น้ำชาโทรบอกเรื่องที่จะให้เด็กคณะวิทย์มาเรียนปรับพื้นฐานกับข้าวเจ้าแล้วใช่ไหมเจสซี่”

หึ! เมื่อกี๊พูดถึงพี่น้ำชาเหรอ

“งั้นวันนี้รบกวนเจสซี่โทรหาน้องสองคนของคณะวิทย์ด้วยนะว่าให้มาซ้อมที่ห้องซ้อมคณะสังคมตอนห้าโมง”

“.............” มีเด็กปีหนึ่งจะมาที่คณะเราซินะ

“พรุ่งนี้ไม่ว่างเหรอ โอเค ไม่เป็นไร เดี๋ยวบอกข้าวเจ้าให้ แต่วันอื่นๆไม่มีปัญหาใช่ไหม”

“.............”

“อ้อ แต่ว่าวันพฤหัสฯ ขอเป็นสี่โมงเย็นนะ”

“..............”

“โอเค งั้นเราจะบุ๊คกิ้งตามนี้เลยนะ” ในที่สุดไอ้รุ่นพี่ตัวน้อยก็วางสาย

เพล้ง

โอ๊ะ กรรม เพิ่งจะชมอยู่หยกๆว่าคล่องงาน ทำแก้วร่วงพื้นแตกซะงั้น



เห้อออออ หน้าที่กูอีกซินะที่ต้องไปช่วยเก็บกวาด

ก็ตั้งแต่เช้าจนถึงเวลาบ่ายสามนี้ ผมก็ทำหน้าที่ช่วยเหลือเขามาตลอด ขืนขาดตกบกพร่องอีกละก็ โดนพี่น้ำชาเอาจริงแน่ นี่กูคิดถูกหรือเปล่าวะที่ไปชอบพี่เค้า ตอนแรกนึกว่าจะน่ารักเหมือนพี่น้ำขิง แต่เมื่อเช้านี้จัดหนักใส่เราซะไปไม่เป็นเลย



“ไม่ต้องๆ เดี๋ยวผมจัดการ...”

“โอ๊ย*!!*” นั่นไง ไม่ทันจะขาดคำ จะรีบก้มลงไปเก็บทำไม หาเรื่องให้ตัวเองโดยเศษแก้วบาดนิ้วจนได้

“ซุ่มซ่ามจริงๆนะพี่เนีย” กรรม กูนี่ก็ปากไวจริง ลืมไปเลยว่าต้องพูดดีๆกับรุ่นพี่คนนี้ ก็ไอ้คนตรงหน้าผมมันน่าแกล้งนี่หว่า ก็เลยเผลอบ่อยไปหน่อย “เอ่อ.... ผมเก็บให้ดีกว่านะ พี่ไปล้างแผลเถอะ”

พูดดีๆ ท่องไว้ๆ

“ไม่เป็นไร แค่แผลนิดหน่อย” แน๊ะ ทำเป็นเก่ง

“บอกให้ไปล้างก็ไปเถอะ....ครับ” เกือบจะเผลออีกแล้ว “ผมเป็นผู้ช่วยของพี่ เดี๋ยวผมเก็บเศษแก้วให้เอง ระวังอย่าเหยียบอะไรอีกก็แล้วกัน”

“งั้นก็.... ฝากด้วยนะ” เจ้าตัวเดินออกไปในที่สุด



ผมจัดการเก็บกวาดเศษแก้วที่แตกบนพื้นจนเรียบร้อย



มหาลัยตอนช่วงปิดเทอมนี่เงียบจังเลยแฮะ นึกว่าจะคึกคักกว่านี้ซะอีก



“วันนี้ตอนห้าโมงเย็นมีซ้อมปรับพื้นฐานนะ” รุ่นพี่ตัวน้อยเดินกลับมาบอกตารางนัดกับผม มือเปียกๆ แสดงว่าไปล้างแผลมาจริงๆอะดิ ว่าง่ายเหมือนกันแฮะ

“โอเคครับ” ผมตอบ แล้วล้วงกระเป๋ากางเกง หยิบบางสิ่งออกมาจากกระเป๋าเงิน “นั่งลงดิพี่ เดี๋ยวผมติดพลาสเตอร์ยาให้”

“ติด?” ทำไมต้องทำหน้างง ไม่รู้จักพลาสเตอร์ยาหรือไง “ไม่ต้องหรอก แค่นี้เอง”

“ถ้าแค่นี้ก็ติดดิพี่ มันไม่ได้ยุ่งยากตรงไหนเลย ยกเว้นซะแต่ว่าแผลพี่จะใหญ่กว่านี้ อันนั้นผมคงต้องพาไปหาหมอ... เอ่อ... ผมแค่พูดหยอกเฉยๆ พี่อย่าไปฟ้องพี่น้ำชานะ.... มาพี่ นั่งๆ เดี๋ยวผมปิดแผลให้”

ผมรีบแก้ตัวด้วยการดึงคนที่ยืนอยู่ให้นั่งลงข้างๆ

“มีพลาสเตอร์ยาติดตัวด้วยเหรอ” คนตรงหน้าถาม

“มันชินมั้ง ผมเป็นนักว่ายน้ำ แผลเล็กๆน้อยๆโค๊ชก็บังคับให้ปิดตลอด ไม่งั้นลงน้ำไม่ได้ ก็เลยพกของแบบนี้จนชินไปแล้ว”

“งั้นเหรอ.... ว่าแต่ว่า ทำไมถึงรับปากมาช่วยงานล่ะ ก็เห็นบอกว่าต้องซ้อมว่ายน้ำไม่ใช่เหรอ แล้วแบบนี้จะซ้อมได้ไง”

อือหืออออ ถามซะตรงจุดเลย

ความจริงก็คิดไม่ตกเรื่องนี้มาทั้งคืนแล้ว แต่... “ก็ผมเลือกทางนี้แล้วนิ ถ้าจะเป็นลีดก็คงต้องบอกลาเรื่องว่ายน้ำ การคัดตัวนักว่ายน้ำจะมีในช่วงเปิดเทอมเหมือนกัน ผมไม่สามารถแยกร่างทำสองอย่างพร้อมกันได้หรอก... อ่ะพี่ เสร็จแล้ว เป็นแบบกันน้ำ สองสามวันก็เอาออกได้เลย”

“ขอบใจนะ”



“ผู้ช่วยคนนี้ช่วยได้มากเลยนะปัง” ใครบางคนพูดขึ้น

พี่ข้าวเจ้านั่นเอง กำลังเดินออกมาจากห้องประชุมพร้อมกับพี่ลีดคณะคนอื่นๆ แต่เหมือนว่ากำลังจะไปที่ไหนกันอีก

“ก็พอใช้ได้อยู่” แม๊ะ อุตส่าจะชมก็ไม่ชมให้เต็มที่นะ ทำเป็นวางท่า ดูยังไงก็เจี๋ยมเจี้ยมอยู่ดีนั่นแหละ

“ปังก็แนะนำน้องก็แล้วกัน” พี่ข้าวเจ้าพูดยิ้มๆ ก่อนจะหันมาหาผม “ไม่นึกว่าน้ำชาจะสั่งภารกิจแบบนี้มาให้โซนิคทำนะ นึกว่าจะเป็นอะไรที่ยากกว่านี้ แต่เป็นผู้ช่วยของบั๊ดดี้ลีดมหาลัยก็หนักเอาการอยู่นะ อย่าถอดใจก่อนก็แล้วกัน”

“สบายมากพี่” ถึงจะมีแอบบ่นบ้างก็เถอะ

“แล้วพี่น้ำชาสั่งอะไรมาบ้างเนีย หรือแค่มาช่วยงานอย่างเดียว”

“ก็ทุกอย่างแหละครับ ช่วยงาน ไปรับไปส่ง คอยอารักขาความปลอดภัยด้วย”

“แบบนี้ค่อยสมกับเป็นภารกิจหน่อย” จากนั้นพี่เขาก็หันกับไปคุยกับบั๊ดดี้ของตัวเอง “เดี๋ยวเราไปเสนอโครงการกับคณะบดีต่อก่อนนะปัง”

“โอเค เรารู้แล้ว” คนตัวเล็กตอบทันที “เย็นนี้เรานัดน้องจากคณะวิทย์ให้มาซ้อมปรับพื้นฐานที่นี่แล้วนะ แต่พรุ่งนี้น้องสองคนติดภารกิจ ส่วนวันพฤหัสฯ เรานัดให้น้องมาสี่โมงเย็นเพราะข้าวเจ้าต้องมีงานต้อนรับผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงกีฬาตอนสามทุ่ม เผื่อเวลาไว้หน่อย”

“โอเค เอาตามที่ปังบอกเลย ยังไงก็เตือยเราเรื่อยๆนะ”

“ได้” โอ้โห เก่งจริงว่ะ

“งั้นเราไปทำธุระต่อแล้วนะ แล้วก็.... อย่าทำอะไรบาดมืออีกล่ะ”

มีแซวก่อนไปซะด้วย



“ทำไมต้องหน้าแดงด้วยพี่” ผมหันไปเห็นหน้าคนข้างๆพอดี นี่ผมไม่ได้หลงตัวเองนะ แต่พี่ขนมปังเหมือนจะหน้าแดงเพราะว่าผมเพิ่งจะทำแผลให้อย่างที่พี่ข้าวเจ้าแซวจริงๆด้วย

“ค...ใครหน้าแดง บ้าแล้ว อากาศมันร้อน” เหรอออออ ร้อนจัดเลย นี่มันในอาคารชัดๆ

“อย่าบอกนะว่าพี่....”

“พ...พูดอะไรไร้สาระ” มีตะกุกตะกัก นี่อย่าบอกว่าแอบหวั่นใจกับกูจริงๆนะ ก็พอรู้อยู่หรอกว่าผมหน้าตาดี(นี่ไม่ได้หลงตัวเองจริงๆนะ) แต่กับคนที่ผมโหดใส่เขาขนาดนั้น ไม่น่าจะมีผลอะไรนะ “เดี๋ยวผมก็โทรฟ้องน้ำชาเลยนิ”

“พี่จะฟ้องเรื่องอะไรอ่ะ” ไหนลองดูอีกทีดิ ได้แกล้งคนนี่มันเหมือนได้กินของหวานหลังมื้ออาหารยังไงก็ไม่รู้ “จะฟ้องว่าผมหล่อจนทำให้พี่หน้าแดงเหรอ”

“ใครหน้าแดงเพราะคุณ ก็ผมบอกแล้วไงว่าอากาศร้อน คุณกำลังทำให้ผม... ไม่ชอบใจอยู่นะ” ช่างเลือกคำด่าได้เบาเหลือเกิน ยิ่งฟังยิ่งอยากแกล้ง แต่เอาไว้แค่นี้พอ เดี๋ยวแม่งฟ้องจริง กูซวยเลย

“โอเค ไม่พูดก็ไม่พูด”

เจ้าตัวโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด



“มองนาฬิกาทำไมบ่อยๆ” หลังจากเงียบกันอยู่สักพัก คนตัวเล็กก็ถามขึ้นมา

ห๊ะ! กูมองนาฬิกาเหรอ ไม่รู้ตัวเลย “อ๋อ ผมชินอีกแล้ว ก็มันเคยเช็คเวลาตลอด ผมต้องคอยดูเวลาไปซ้อมว่ายน้ำมาเป็นสิบๆปี มันติดเป็นนิสัยไม่แล้วที่ต้องค่อยเช็คเวลาตลอด”

“ถ้าชอบว่ายน้ำขนาดนั้น ก็ไปซ้อมซิ”

“ก็บอกไปแล้วไงว่าผมแยกร่างไม่ได้”

“ไม่ต้องแยกร่างหรอก แค่จัดเวลาดีๆ คนเราก็มียี่สิบสี่ชั่วโมงต่อวันเท่ากันทั้งนั้น น่าเสียดายออกนะ อุตส่าทำมาเป็นสิบปีแล้ว”

“พูดซะผมกลับมาคิดมากเลย เมื่อคืนก็นั่งเครียดกับเรื่องนี้ทั้งคืน อุตส่าตัดสินใจแล้วว่าจะเลือกทางลีด”

“คนเราไม่ต้องเลือกแค่อย่างใดอย่างหนึ่งหรอกนะ น้ำชากับข้าวเจ้าอ่ะเป็นตัวอย่างที่เห็นชัดมาก สองคนนี้เป็นผู้นำเชียร์ที่ดังมาก แต่ก็เป็นนิสิตที่เรียนเก่งมากเหมือนกัน เรียกว่าระดับอัจฉริยะยังได้เลย มันไม่เกี่ยวซะหน่อยว่าเราจะต้องทิ้งอย่างใดอย่างหนึ่งไป”

“เลิกพูดเถอะ ผมทำแบบนั้นไม่ได้หรอก แค่แบ่งเวลากินข้าวกับเวลานอนออกจากกันก็ยากแล้ว”

“อะนี่” จู่ๆ พี่ขนมปังก็ส่งสมุดงานเล่มหนึ่งมาให้ผม

“อะไรพี่”

“ก็สมุดจดตารางเวลาไง เอาไปใช้แบ่งเวลา”

“ไม่เอา ผมทำไม่เป็น ผมเรียนเอกวัฒนาธรรมตะวันออกนะพี่ ไม่มีความรู้อะไรแนวนี้หรอก”

เอ้า ถอนหายใจใส่กูซะงั้น

“ต้องซ้อมว่ายน้ำตอนไหน?”

“ถามทำไม”

“ก็จะจดให้นี่ไง ต้องซ้อมว่ายน้ำตอนไหนบ้าง”

“บอกว่าไม่ต้องไง” อย่ามารื้อฟื้นได้ป่ะ ยิ่งอยากจะทำเป็นลืมๆอยู่

“ถ้าไม่บอก ผมจะโทรไปฟ้องน้ำชานะว่าคุณขู่ผม”

“ห๊ะ!?” ใครขู่ใครกันแน่วะ

“จะบอกไม่บอก”

“ตีห้า” ตอบก็ตอบวะ ยุ่งจังเลย

“ถึงตอนไหน”

“ก็...สองชั่วโมง ถึงเจ็ดโมงละมั้ง”

“แค่วันละรอบเหรอ”

“ปกติก็ต้องสองรอบแหละ แต่ตอนเย็นก็ต้องมาซ้อมปรับพื้นฐานลีดนี่ไง ถึงบอกว่าไปว่ายน้ำไม่ได้ ไม่ต้องจดแล้ว เอามานี่...”

“อย่าเพิ่งกวนผมซิ ผมกำลังจดอยู่นะ” เอ.... ไอ้รุ่นพี่คนนี้ พูดไม่รู้เรื่องหรือไง “แล้วตอนเย็นต้องซ้อมกี่ชั่วโมง”

“สองมั้ง” ขี้เกียจจะตอบแล้ว บอกว่าไม่ได้ทำไมไม่เชื่อวะ

“คัดตัววันไหน”

“อีกสองอาทิตย์”

“ต้องมีเงื่อนไขไหมว่าต้องซ้อมอย่างน้อยกี่วัน”

“ก็ต้องมีดิ นี่กีฬานะ อย่างน้อยก็ต้องสิบวันอ่ะ”

“งั้นก็....” เจ้าตัวก็ยังสนุกกับการจดตารางเวลาต่อไป ผ่านไปสักพักก็ส่งตารางเวลาของสองอาทิตย์มาให้ผม “ถ้าทำตามตารางนี้ก็สามารถทำทั้งสองอย่างพร้อมกันได้แล้ว”

“บ้าเหรอ ตารางเช้ากับเย็นชิดกันขนาดนี้ ผมจะเอาเวลาที่ไหนกลับไปอาบน้ำแต่งตัวไม่ทราบครับคุณบั๊ดดี้ อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์ นัดผมแปดโมงไม่ใช่เหรอ”

“ที่สระว่ายน้ำไม่มีห้องอาบน้ำเหรอ”

“ก็มี แต่มันยุ่งยากไปไหม เตรียมของ เตรียมเสื้อผ้า ว่ายน้ำ เข้ามหาลัยมาช่วยงานบั๊ดดี้ กลับไปว่ายน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าอีกที กลับมาซ้อมลีด เตรียมของสำหรับวันพรุ่งนี้ กว่าจะได้นอน นี่ผมเป็นแค่คนธรรมดานะ ไม่ใช่ลูกคุณหนูที่จะมีคนคอยทำทุกอย่างรอไว้ให้”

“งั้น.... เดี๋ยวผมจัดการให้ก็ได้”

"ว...ว่าไงนะ” นี่กูหูฟาดไปหรือเปล่า

“ก็แค่มีปัญหาช่วงเวลาคาบเกี่ยวที่กลัวจะไม่ทันใช่ไหมล่ะ งั้นเดี๋ยวผมจัดการเรื่องเตรียมเสื้อผ้าไว้ให้ละกัน กับพวกรายละเอียดปีกย่อยนิดหน่อยจนกว่าจะถึงวันคัดตัวนักกีฬา ถ้าแบบนี้ก็ไม่มีปัญหาแล้วใช่ไหม ถ้างั้นเดี๋ยวเย็นนี้คุณเอาเสื้อผ้ามาให้ผมสองชุดก็แล้วกัน เดี๋ยวที่เหลือผมจัดการให้เอง แต่อาจจะมีปัญหานิดหน่อยตรงที่ต้องคอยรับส่งผม งั้นก็...มารับผมตอนเช้าก่อนออกมาว่ายน้ำด้วยเลย จะได้ตัดปัญหาตรงนี้ไป”

“ทำไม...” ถึงใจดีกับเราขนาดนี้วะ เฮ้ย! เดี๋ยวดิ “แต่ถ้าพี่ทำแบบนั้น พี่น้ำชาก็หาว่าผมใช้งานพี่แทนที่จะมาช่วยงานพี่อะดิ ยังไงก็ไม่ได้อยู่ดี”

“ถ้าผมไม่พูด คุณไม่พูด น้ำชาก็ไม่รู้หรอก หรือถ้าเขารู้จริงๆ ผมจะช่วยแก้ตัวให้ก็แล้วกัน น้ำชาไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล เขาคงเข้าใจ”

“มันจะดีเหรอ” จากใจเลยนะ จริงๆก็แอบดีใจนะที่จะสามารถกลับไปซ้อมว่ายน้ำได้ เพราะไอ้เรื่องผู้นำเชียร์นี่แหละที่ทำให้ตัดสินใจจะทิ้งการเป็นนักกีฬาไป พอได้ยินว่าจะได้กลับไปซ้อม มันทั้งดีใจแล้วก็โล่งใจไปพร้อมๆกันเลย แต่ว่ามันก็เกรงใจอยู่ดี ไอ้เรื่องจัดการกับเวลาคงต้องยอมรับแล้วล่ะว่าพี่ขนมปังเก่งจริงๆ แต่เรื่องที่พยายามหาทางช่วยเหลือเรานี่ซิที่ยังไม่เข้าใจ ทั้งๆที่เราทั้งขู่ทั้งแกล้งเขาไว้ขนาดนั้น “ผม...เกรงใจ”

“แค่สองอาทิตย์เอง ช่วงนี้ยังไม่เปิดเทอมด้วย ข้าวเจ้ายังไม่มีงานเยอะหรอก ก็พอจะทำได้อยู่”

“แต่....”

“เอาแบบนี้แหละ อย่าทิ้งการว่ายน้ำเลย มันน่าเสียดายจะตาย ถือว่าผมตอบแทนเรื่องพลาสเตอร์ยาก็แล้วกัน” ตอบแทนเรื่องพลาสเตอร์ยาเนี่ยนะ มันเทียบกันไม่ได้เลยสักนิด “ผมขอตัวเอาน้ำไปเสิร์ฟให้คณะบดีก่อนนะ”

“ให้ผมทำดีกว่า” ผมรีบอาสา

“รู้เหรอว่าห้องคณะบดีอยู่ไหน” ก็.... ไม่รู้หรอก “ผมทำเอง ที่สำคัญคือคุณยังไม่มีสิทธิ์เดินเข้าออกสำนักงานคณะบดี ผมไปนะ”

“เดี่ยวก่อนครับ” ผมเรียกพี่ขนมปังไว้ “ผม....เอ่อ.....





.................ขอบคุณนะครับ”
หัวข้อ: LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 6 [การรับมือ Part 1]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 11-08-2018 08:39:27
ตอนที่ 6 : การรับมือ









“สวัสดีครับ แผนกฉุกเฉิน โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยมัณฑนาครับ”

“จากศูนย์อุบัติเหตุ 1669 แจ้งเหตุรถจักรยานยนต์ล้มที่ถนนเรียบคลองชลประทาน ผู้บาดเจ็บเป็นชายวัยประมาณสามสิบถึงสี่สิบปี มีบาดแผลหลายแห่งแต่ยังมีสติ หมายเลขผู้แจ้ง 08X-XXX-XXXX ชื่อผู้แจ้ง คุณอนันต์  ชัยวงศ์”

“ผมรบกวน...”



ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด



“อ้าว....” อะไรวะ วางสายเร็วไปไหม กูจดไม่ทันเว้ย ผมหันไปหาพี่พยาบาลที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างลังเล

“จดไม่ทันใช่ไหม” พี่พยาบาลถามผมเหมือนว่าเธอจะเข้าใจสถานการณ์อยู่แล้ว พี่เค้าเป็นพี่พยาบาลสาว เอ่อ... ไม่สาวเท่าไหร่ ออกแนวห้าวๆหน่อย “ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่อธิบายให้ฟัง ขอส่งเคสนี้ก่อน”

พี่พยาบาลส่งบอร์ดแบบฟอร์มผ่านช่องกระจกเลื่อนไปให้พนักงานกลุ่มหนึ่งซึ่งรออยู่ด้านนอกของโรงพยาบาล แล้วพนักงานกลุ่มนั้นก็เคลื่อนพลพร้อมอุปกรณ์ปฐมพยาบาลออกไปกับรถพยาบาลที่เปิดไซเรนอย่างรวดเร็ว



“จำไว้นะน้องอะตอม” เธอกลับมาพูดกับผมด้วยเสียงห้าวๆของเธอ “งานแผนกฉุกเฉิน ต้องเร็ว ความจำต้องดี เพราะคนเจ็บกำลังรอเราอยู่ อย่างเคสเมื่อกี๊ การล่าช้านิดหน่อยถือว่าเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้ผู้บาดเจ็บมากขึ้น โชคดีนะที่พี่รับสายร่วมด้วย”

“ข...ขอโทษครับ”

“เปล่า ไม่ต้องรู้สึกผิด พี่เข้าใจ งานนี้ไม่ง่ายอยู่แล้ว เอาเป็นว่าพี่จะบอกเคล็ดลับง่ายๆให้ฟัง ถ้าจดไม่ทัน ให้ฟังไปก่อน เน้นจดที่สถานที่กับเบอร์โทรศัพท์เป็นสำคัญ แล้วค่อยมาใส่ข้อมูลอื่นๆที่หลัง หรือถ้าจำข้อมูลรายละเอียดอื่นๆ ไม่ได้จริงๆ ก็ไม่ต้องกังวล เดี๋ยวจะมีเจ้าหน้าที่ที่ลงพื้นที่ เขาจะโทรหาคนที่แจ้งเหตุเองอีกทีอยู่แล้ว”

แบบนี้นี่เอง “เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณนะครับ”

“งั้นพี่ขอไปห้องน้ำแป๊บนึงนะ ถ้ามีใครโทรมาแจ้งเหตุอีก จำไว้ มีสติ ฟัง กรอกลงแบบฟอร์ม แล้วส่งให้ทีมกู้ภัย เข้าใจนะ”

“เข้าใจครับ” จะก็พยายามแล้วกัน



รู้สึกสับสนและตื่นเต้นมากเลยตอนนี้ ผมคิดผิดหรือเปล่าเนี่ยที่ขอมาช่วยแผนกฉุกเฉินกับไอ้ขี้แกล้งแทน สงสัยละซิว่าทำไมผมถึงเรยกว่ามันไอ้ขี้แกล้ง ก็ตั้งแต่เมื่อวานที่ผมแกล้งมันนิดหน่อยด้วยการใส่พริกลงไปในก๋วยเตี๋ยว หลังจากนั้นมันก็หาทางเอาคืนผมตลอด เริ่มจากเล็กๆน้อยๆด้วยการโทรมากวนผมตั้งแต่เช้ามืด แอบดึงลิ้นกระเป๋ากางเกงผมออกมา ไปจนถึงแอบผูกเชือกรองเท้าของผมให้มัดติดกันเพื่อให้ผมเสียหลัก เดี๋ยวเถอะมึง กูยังหาจังหวะเอาคืนมึงไม่ได้ กูจะลงทัณฑ์มึงให้สาสมเลย

กลับมาพูดถึงการทำงานในแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยมัณฑนา ทุกอย่างที่นี่รวดเร็วไปหมด มีแต่เสียงร้องของคนเจ็บ ผ้าพันแผล และคราบเลือด ความจริงผมไม่ได้กลัวเลือดหรือจัดการปัญหาไม่ได้หรอก แต่เพราะเมื่อไม่นานมานี้ผมเพิ่งเปิดใจเล่าเรื่องเศร้าเกี่ยวกับแม่ของผมให้คนอื่นฟัง ผมยังไม่สามารถมีสติสตังมากพอในการทำงานด้วยอารมณ์เศร้าซึมนึกถึงอดีต



“มาเล่นเกมส์กันไหม” จู่ๆไอ้แทนก็โผล่มาที่โต๊ะรับโทรศัพท์

“จะเล่นอะไรอีก ว่างมากหรือไง” ผมเอ็ดไอ้คนที่ชอบทำเป็นเล่นได้ทุกเล่น “ไม่ต้องไปช่วยดูแลคนเจ็บหรือไง หน้าที่มึงอ่ะ”

“ว่างแล้ว” เจ้าตัวตอบหน้าระรื่น “คนมันมีความสามารถอ่ะน้อง งานแค่นี้ เล็กน้อยมาก ไม่เหมือนมึงหรอก แค่รับโทรศัพท์ยังทำหน้าเหวออยู่เลย อ่อนจริงๆ”

“ใครน้องมึง มึงว่าใครอ่อน กูก็ทำได้เว้ย”

กริ่งงงงงงงง

​สายเข้าอีกแล้ว



“อ่ะ นี่ไง สายเข้าพอดี ไหนบอกทำได้ ทำให้ดูหน่อยดิ”

มึงกล้าท้าทายกูเหรอ ได้.... ค่อยดูนะ

“สวัสดีครับ แผนกฉุก.....”

“มีเด็กถูกรถเฉียวที่ถนนหน้ามหาลัยค่ะ ส่งรถพยาบาลมาด่วนเลยได้ไหมค่ะ ตรงแถวๆ เอ่อ แถวๆนี้มีเซเว่น แล้วๆๆ รถที่เฉียวก็หนีไปแล้ว น่าจะทะเบียน กอไก่ขอไข่ ห้าแปด...หรืออะไรสักอย่างนี่แหละ ส่งมาเลยได้ไหมค่ะ เด็กไม่ได้สติเลย”

“อ...อะไรนะครับ” รัวไปไหมเนีย ใครจะไปฟังทันวะ “เอ่อ.... คือ.... รถ เอ้ย! เด็ก เอ้ย! หมายเลขอ่ะครับ หมายเลข...” เชี่ย กูจะถามอะไรวะเนี่ย “เห้ย!!”

จู่ๆไอ้แทนก็แย่งหูฟังโทรศัพท์ไปจากผม



“ใจเย็นๆนะครับ ทีมงานเราพร้อมอยู่แล้ว แต่ช่วยแจ้งสถานที่เกิดเหตุอีกครั้งนึงได้ไหมครับ” ทำไมวิธีการรับมือเรื่องฉุกเฉินของไอ้คนที่แย่งการสนทนาจากผมไป มันถึงได้เหมือนกับมืออาชีพเลยวะ ไม่อยากยอมรับเลยว่าต่างกับผมแบบคนละขั้ว “สะพานลอยหน้ามหาวิทยาลัยนะครับ เยื้องกับเซเว่น ครับ....... คนเจ็บเป็นใครครับ?....... เด็กประมาณแปดถึงสิบขวบนะครับ....... ไม่ได้สติ ไม่มีบาดแผลภายนอก โอเคครับ........ ขอหมายเลขโทรศัพท์กับชื่อผู้แจ้งด้วยครับ......... ครับ เรียบร้อยครับ........ อ๋อ ยังไม่ต้องแจ้งรายละเอียดในคดีก็ได้ครับ เรื่องนั้นเป็นกระบวนการของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในส่วนของเรา เดี๋ยวเราจะส่งรถพยาบาลไปภายในห้านาทีนะครับ รบกวนรอรับโทรศัพท์ของเจ้าหน้าที่ด้วยนะครับ” ทันทีที่วางสายมันก็รีบยื่นแบบฟอร์มไปนอกกระจกให้ทีมกู้ภัย ทำแบบเดียวกับพี่พยาบาลคนเมื่อกี๊เลย



“เฮ้ย ทุกคน มีเคสเข้า ออกรถๆ” นั่นคือเสียงสุดท้ายของกระบวนการจากพี่ๆทีมกู้ภัย ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติอย่างรวดเร็ว

ก๊อก



“โอ๊ย” จู่ๆไอ้บ้าแทนมันก็ออกปากกามาเคาะที่หัวผม แกล้งอะไรกูอีก “อะไรของมึงเนีย มาตีหัวกูทำไมเนีย”

“ไหนบอกว่าทำได้ไง” นี่กูไม่ใช่น้องมึงนะ ทำอย่างกับกูเป็นเด็กไปได้ “รับโทรศัพท์แค่นี้เอง ทำไมต้องสติแตกขนาดนั้นด้วย”

“ก็....” จะแก้ตัวว่ายังไงดีล่ะ “แล้วมึงมาตีหัวกูทำไมเล่า” ไหนๆก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงแล้ว ทำเป็นโกรธก็แล้วกัน เดี๋ยวเสียหน้า

“เจ็บขนาดนั้นเลย”

“ก็เออดิ”

“ไหนๆดูหน่อย หัวโนไหม”

“ไม่ต้องมาทำเป็นพูดประชดกูเลยมึงอ่ะ มาโดนมั้งไหมล่ะ”

“โห โกรธขนาดนั้นเลยเหรอ... อ่ะๆ กูให้เคาะหัวกูคืนก็ได้”

เห้ย เดี๋ยวๆ ไม่ต้องจับมือกูไปตีหัวมึงขนาดนั้นก็ได้ กูไม่ใช่เด็กอนุบาลนะ

“ไร้สาระจริงๆเลยมึงเนีย” แต่ผมก็รีบชักมือกลับก่อน

“ก็เนีย ให้ตีคืนแล้วนี่ไง”

“ไม่ตีอะไรทั้งนั้นอ่ะ กลับไปทำงานของมึงเลย”

“ก็บอกว่าไม่มีอะไรให้ทำแล้ว กูว่ากูอยู่ตรงนี้ดีกว่า ขืนปล่อยมึงนั่งรับโทรศัพท์คนเดียว...”

“กูรับโทรศัพท์คนเดียวแล้วมันเป็นยังไง? พูดดีๆนะมึง”

“ก็เดี๋ยวจะ... เหนื่อยไง โทรศัพท์เข้าตลอด ต้องมีคนช่วยบ้าง กูมาช่วย ไม่ดีเหรอ”

“ทำเป็นพูดนะมึงอ่ะ”

“จะขอบคุณกูก็ได้นะ”

“เรื่องไรล่ะ อยากทำก็ทำไปดิ” นี่กูยังเคืองมึงอยู่นะ ไม่ต้องมาทำเป็นแหย่เลย

“ก็ทำอยู่นี่ไง” โอ๊ะ ไม่รู้จะเถียงมันยังไงแล้ว “ไม่ตีหัวกูคืนแน่นะ”

“ไม่” เอ๊ะมึงนิ

“น่า....นะ ตีหน่อยน่า อ่ะนี่ เอาปากกาตีหัวกูคืนก็ได้ถ้ากลัวเจ็บมือ”

“บอกว่าไม่ไง”

“เถอะน่า เดี๋ยวก็โกรธกูอีกอ่ะ เอาหน่อยนะ หรือจะให้กูทำฮาราคีรีเลยไหม เป็นการสารภาพบาป... ข้าน้อยผิดไปแล้วที่บังอาจเอาปากกาไปเคาะหัวท่าน ข้าน้อยสมควรตาย นายท่านโปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วย เฮือกกกก”

ไอ้บ้าเอ๊ย มึงนี่มัน.... หลุดขำเฉยเลยกู  ก็ดูมันดิ ทำท่าเอาปากกาทิ่มพุงตัวเอง แถมยังทำเสียงอย่างกับในหนังญี่ปุ่น นี่ถ้าพวกสาวๆที่กรี๊ดมันมาเห็นว่ามันติ๊งต๊องขนาดนี้ คงหมดพิศวาสในตัวมันเป็นแน่

“อารมณ์ดีขึ้นแล้วนิ”

หึ! ใครอารมณ์ดี?  “หมายถึงกูเหรอ”

“ก็คุยอยู่กับมึงคนเดียวเนีย จะให้หมายถึงใครอีกล่ะ.... ตั้งแต่ที่มึงเล่าเรื่องแม่ ก็ทำหน้าอมทุกข์มาตลอดเลย กว่าจะยิ้มออก ต้องให้กูแสดงหนังตลกให้ดูจนได้ อย่างกะว่ากูต้องมาเลี้ยงเด็กเลย”

นี่อย่าบอกนะว่าที่มึงทำเป็นเข้ามาคุยกับกูเพราะมึงอยากให้กูรู้สึกดีขึ้น

“เออ ก็โอเคขึ้นแล้ว ขอบใจล่ะกัน แต่วันหลังอย่าเอาอะไรมาตีหัวกูอีกนะ”

“โอเค... แต่มึงยังตีกูคืนได้อยู่นะ”

“ไม่ต้อง พอเลย มึงนิ” แปลกคนนะมึงเนีย “ถามจริงเหอะ ทำไมต้องเป็นกูวะ?”

“หมายความว่าไง” คนตรงหน้าผมสงสัย

“ทำไมถึงอยากเป็นเพื่อนกับกู เรารู้จักกันแค่วันเดียว แต่ดูมึงพยายามจะสนิทกับกูให้ได้ มันมีเหตุผลอะไรวะ อย่ามาอ้างว่าเพราะกูกับมึงเป็นเด็กต่างจังหวัดด้วยกันนะ เหตุผลแค่นั้นมันเบาไป” ก็จริงอ่ะ นี่ไม่ใช่ละครนะ ที่คนสองคนจะสนิทสนมกันได้แค่ข้ามตอน

“อันนี้ถามจริงจังเลยเหรอ”

“กูเหมือนพูดเล่นหรือไง”

“ไม่รู้เหมือนกันอ่ะ” นั่นมันใช่คำอธิบายซะที่ไหนวะ “แต่เรื่องที่ว่าเป็นเด็กต่างจังหวัดเหมือนกันนั่นก็เกี่ยวนะ มึงก็รู้แล้วนิว่ากูอยู่ญี่ปุ่นมานาน วัฒนธรรมของวัยรุ่นบ้านเราสมัยนี้กูยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ก็เลยไม่ค่อยกล้าคุยกับใคร ถ้าไม่บังเอิญว่าเราสองคนได้ตราประทับจากพี่น้ำชาพร้อมกัน ตอนนี้กูอาจจะยังไม่กล้าคุยกับเพื่อนคนไหนเลยก็ได้”

“หาคนเกาะว่างั้น”

“ไม่ได้เหรอ”

“ก็ตามใจมึงละกัน แต่มึงกับกูอยู่กันคนละเอกนะ มึงอย่าลืมหาเพื่อนสนิทในเอกมึงไว้บ้างก็ดีนะ”

“ยังไม่เปิดเทอมนี่หว่า แล้วก็อีกอย่าง ก็อยากมีเพื่อนอยู่เอกไบโอมากกว่า”

“ทำไมวะ” บ้าเหรอ คนปกติเขาก็ต้องอยากมีเพื่อนในเอกก่อนทั้งนั้นแหละ

“ก็กูเรียนธรณีใช่ไหมล่ะ ความรู้ทางธรณีบางเรื่องก็ต้องอาศัยความรู้เกี่ยวกับพวกพืชหรือสิ่งมีชีวิตอะไรพวกนี้ด้วย ไม่แน่ว่าในอนาคตกูอาจจะต้องการผนวกความรู้สองเรื่องนี้เข้าด้วยกันก็ได้”

“จริงใจจังนะมึงอ่ะ พูดไปพูดมาก็กะจะคบกับกูเพราะผลประโยชน์"

“นั่นมันแค่ทฤษฎี สุดท้ายแล้วมันก็ต้องมีพื้นฐานที่จิตใต้สำนึก มันคงบอกว่ากูควรอยู่ใกล้ๆมึงละมั้ง”

“ไอ้บ้า พูดไรของมึง” นี่มันรู้ตัวหรือเปล่าว่าคำพูดแบบนี้เขาไม่ได้เอาไว้ใช้พูดกับเพื่อน แต่เอาไว้พูดกับ.... ไม่ กูจะไม่พูดคำนั้นออกมาเด็ดขาด

“ก็พูดความจริงไง” ยังจะย้ำอีก “แต่ถ้ามันทำให้มึงไม่สบายใจ งั้นเอางี้ไหมล่ะ ถ้ามึงยอมมาเป็นแหล่งความรู้ในอนาคตให้กู กูจะช่วยมึงตามหาแม่เป็นการตอบแทน อ้อ พูดถึงเรื่องนี้ ที่มึงอยากเป็น center เพราะอยากใช้สิ่งนี้ตามหาแม่ใช่ไหม งั้นกูไม่ขอแข่งด้วยก็แล้วกัน”

“ขอบใจนะที่เห็นใจกูนะ แต่กูไม่อยากใช้เหตุผลนี้มาเป็นข้ออ้างในการทำให้มึงเลิกล้มปณิธาน ถึงกูจะอยากได้มันแค่ไหน แต่ถึงยังไงจุดประสงค์ของมึงก็สำคัญไม่แพ้กัน เป็นประโยชน์กับคนหมู่มาก เรื่องของกูมันแค่เพื่อตัวกูคนเดียว เอาเป็นว่าแฟร์เกมส์เหอะ สู้กันอย่างยุติธรรม อย่างที่เราตกลงกันตั้งแต่แรก”

“เอาอย่างนั้นก็ได้ แต่ถึงยังไงกูก็จะช่วยมึงตามหาแม่อยู่ดี”

“ถ้ามันง่ายขนาดนั้น กูก็คงไม่เสียเวลาหามาตั้งสี่สิบปีหรอก”

“ก็สิบสี่ปีก่อนหน้านี้ไม่มีกูไง แต่หลังจากนี้ มึงจะมีกูแล้ว”

“...........” ไอ้บ้าแทน มึงพูดแบบนี้อีกแล้วนะ ถึงกูจะไม่ใช่ผู้หญิง แต่กูก็..............









......................................มีความรู้สึกนะ



…………………………………………..





(ในมุมของน้ำชา)



กี่โมงแล้วเนี่ย

ห้าโมงครึ่ง



“อิเจส” ผมเรียกบั๊ดดี้ของตัวเอง

“ว่าไงคะ” มันก็จีบปากจีบคอพูดตามเคย

“มึงช่วยเช็คให้หน่อยว่าพวกปีหนึ่งไปเรียนปรับพื้นฐานกับข้าวเจ้าหรือยัง”

“ไปแล้ว กูเช็คให้แล้ว มึงไม่ต้องห่วงหรอก ระดับกูแล้ว มึงสนใจเรื่องที่จะต้องไปประชุมต่อที่คณะดีกว่าไหม จะไม่ทันอยู่แล้ว พี่ตองทำไมไม่มารับซะที มึงก็ถ่ายแบบเสร็จนานแล้วนะ ผั... เอ้ย แฟนของพวกเราหายไปไหนนานจัง”

“อิช้าง กล้าพูดต่อหน้ากูเลยเหรอ”

“โอ๊ยยยย ให้กูได้อยู่ในจินตนาการบ้างก็ได้ พี่ตองงานดีขนาดนั้น แบ่งๆให้กูหน่อย ถึงจะแค่ในมโนภาพของกูก็เถอะ”

“กู ไม่ อ นุ ญาต”

“อิชาขี้งก” ดูมันพูดกับผมซิ นี่มึงเป็นผู้ช่วยกูนะ “แต่ไม่เป็นไร เห็นว่าน้องโซนิคก็แซ่บอยู่ แถมน้องแทนด้วยอีกคน คนอะไรหล่อลื๊ม โอ๊ย ปีนี้ฟินเว้อร์ พูดแล้วก็หิว อยากไปห้องซ้อมคณะสังคมขึ้นมาเลย”

อยากจะด่าจริงๆ แต่... “อยากไปจริงๆไหมล่ะ”

“ก็อยากนิดนึง” ตอแหลชัดๆ “แต่กูทิ้งมึงไปไม่ได้ กูจะต้องได้ชื่อว่าเป็นบั๊ดดี้ที่สมบูรณ์แบบที่สุดในบรรดาบั๊ดดี้ทั้งหลายทั้งปวง โดยมีอิเล็กกับอิวาวาเป็นที่สองและที่สามตามลำดับ”

“มึงนี่ก็ช่างสรรหาคำมาพูดเนาะ เออ ถ้ามึงจะไปก็ไป เพราะกูก็จะไปเหมือนกัน”

“จริงอ่ะ ว่าแต่... แล้วพี่ตองล่ะ?”

“เดี๋ยวกูโทรหาเอง มึงโทรหาแท็กซี่ให้มารับเลย”

“โอเค”

ผมกดโทรศัพท์หาพี่ตอง ส่วนอิช้างก็จัดการในส่วนของมัน



“ฮัลโหลครับชา” พี่ตองรับสายในเวลาไม่นาน แล้วจะกระซิบทำไม

“พี่ตองอยู่ไหน?”

“พี่คุยงานอยู่ที่คณะวิศวะครับ”

“อ้าว กลับไปแล้วทำไมไม่บอก”

“พี่ไม่ได้ตั้งใจจะมาครับ โดนเรียกตัวมาด่วน”

“ใครเรียก?”

“อาจารย์ที่คณะครับ พอดีว่าพี่ได้รับคัดเลือกให้ไปดูงานที่ต่างประเทศ”

“ห๊ะ!?”

“ก็ผลการเรียนพี่ออกมาดีจนขยับเข้าไปอยู่ในกลุ่มนิสิตเรียนดี ทางคณะจะจัดโครงการดูงานที่อังกฤษหนึ่งสัปดาห์ ก็เลยเรียกพี่กับพวกเกรดสูงๆเข้ามาด่วน แล้วชาถ่ายแบบเสร็จยังครับ”

“เสร็จแล้ว”

“งั้นรอพี่เดี๋ยวเดียวนะ พี่ใกล้คุยเสร็จแล้ว อาจารย์เขากำลังสรุปแล้ว”

“ไม่ต้องมาหรอก เดี๋ยวชานั่งแท็กซี่กลับเอง”

“ก็บอกแล้วไงว่าพี่ไม่อยากให้ชานั่งแท็กซี่” ดูความคิดไอ้พี่ตองดิ ห่วงไม่เข้าเรื่องอีกแล้ว

“ไม่เป็นไรหรอก ชากลับกับอิเจสซี่ พี่ตองทำธุระไปเถอะ แล้วชาจะไปประชุมลีดที่คณะสายแล้วด้วย”

“พี่ขอโทษนะครับ พี่ไม่รู้ว่าจะโดนเรียกตัวด่วนแบบนี้”

“ไม่เป็นไร งั้นก็เจอกันที่มหาลัยนะ”

“ครับบบ รักนะครับ”

“ครับ”

“อย่าเพิ่งวางดิ ไม่เห็นบอกรักพี่เลย”

“พอเลยพี่ตอง ทำธุระตัวเองไป”

“นะนะนะ พี่อยากฟังบ้าง นี่ถ้าพี่ต้องไปอังกฤษจริงๆ พี่คิดถึงชาแย่เลย”

“นิ....” โอ๊ยยยย “ชารักพี่ตองนะครับบบบ โอเคนะ แค่นี้แหละ”

พอ กดวางสายแม่งเลย



หัวข้อ: LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 6 [การรับมือ Part 2]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 11-08-2018 08:40:27
(ต่อ Part 2)



“แหวะ ชารักพี่ตองนะครับบบบ” แซ็วเร็วเชียวนะอิช้าง

“ไหนล่ะแท็กซี่” ผมเปลี่ยนเรื่อง

“แท็กซี่นะคะ ไม่ใช่ประตูโดเรมอน ถึงจะโทรปุ๊บโผล่ปั๊บได้ ยังมีเวลาให้มึงจู๋จี๋กับพี่ตองอีกนานค่ะ”

“อิช้าง หุบปากไปเลย”

“ค่าๆๆๆ กูมันพูดอะไรก็ผิดเนาะ เป็นบั๊ดดี้ของน้ำชานี่มันข่มขื่นจริงๆ”

“ข่มขื่นมากไหม กูจะได้หาบั๊ดดี้ใหม่ ส่วนแบ่งห้าสิบเปอร์เซ็นนี่ไม่พอใช่ไหม”

“แซ็วค่ะแซ็ว คิดจริงคิดจังตล๊อดๆ อ่ะโน่นไง แท็กซี่มาแล้ว เชิญเสด็จเพคะ”



ในที่สุดก็ได้เดินทางสักที ระหว่างการเดินทาง ไม่อยากเชื่อเลยว่าพี่ตองจะพูดไว้ถูก แท็กซี่มองผมแปลกๆจริงๆด้วย ดีนะที่อิเจสซี่มาด้วย ผมนี่ขนลุกตลอดเวลาเลย

พอถึงร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ ผมก็เลยรีบให้แท็กซี่จอดแล้วก็สั่งให้อิช้างเรียกคันใหม่ แต่ไม่ใช่แค่จะหลีกเลี่ยงสายตาลามกของไอ้คนขับรถโรคจิตนั่นหรอก ผมอยากจะซื้ออะไรนิดหน่อยพอดี



“เป็นไงบ้างทุกคน” นี่เป็นคำทักทายแรกเมื่อผมเปิดห้องซ้อมของคณะสังคมเข้ามา “พี่มีขนมมาฝาก”

อะตอม แทน และโซนิคกำลังยืนการ์ดเหงื่อท่วมตัวอยู่ โดยมีไอ้ข้าวเป็นคนสอนและอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆห้องก็คือขนมปัง

ห้องซ้อมคณะสังคมเป็นแบบนี้เองเหรอ ถึงจะไม่ใหญ่เท่าที่คณะวิทย์ แต่สะอาดสะอ้านดี แถมคงคอนเซ็ปสีม่วงไว้ได้เป็นอย่างดีเลย

“อ้าว ไอ้ชา จะมาทำไมไม่บอก” ไอ้ข้าวทักทายผม



“สวัสดีครับพี่น้ำชา” นี่คือการทักทายจากโซนิค ส่วนอะตอมกับแทนแค่ยกมือไหว้เพราะเราเจอกันแล้วเมื่อช่วงเช้า



“ยังไม่ต้องยิ้มตอนนี้เลยโซนิค ยืนการ์ดใหม่อีกทีซิ” ไอ้ข้าวโหมดเซียน เอ้ย โหมดรุ่นพี่ลีด “ก็บอกว่าอย่าถ่างขาออกจากกันไง ดูอะตอมกับแทนเป็นตัวอย่างซิ ส่วนน้องอะตอมแขนตกแล้วนะ ตั้งแขนดีๆ”

“โหดจังเลยนะ” ผมแซ็วเพื่อนพร้อมกับค่อยๆเดินไปยืนคู่กับมัน ไอ้น้องโซนิคนี่ยิ้มแฉ่งเลยตอนเห็นหน้าผม ส่วนอะตอมกับแทนรอยยิ้มแทบจะไม่เปื้อนหน้าแล้ว ท่าทางจะเหนื่อยน่าดูเลย “ให้น้องๆพักกินขนมก่อนไหม”

“เพิ่งพักไปเมื่อกี๊เอง” ไอ้ข้าวบอก “ให้ยืนการ์ดอีกสักพักค่อยกินของว่างก็แล้วกัน”

“โอเค” โหดจริงว่ะ



“มีแต่งานดีๆทั้งนั้นเลยอะมึง” อิช้างที่เดินมาเข้ากับผมทำทีกระมิดกระเมี้ยนพูดเบาๆ เห็นผู้ชายไม่ได้จริงๆนะมึงเนีย



“ว่าแต่มึงไม่ต้องไปประชุมที่คณะวิทย์เหรอ” ไอ้ข้าวถามผม “เห็นสุ่ยบอกว่ามีประชุมภาคค่ำนิ”

“ก็กำลังจะไปนี่แหละ แต่แวะมาดูน้องๆก่อน เดี๋ยวจะหาว่ากูส่งเด็กมาแล้วไม่ตามมาดูแล”

“ไม่ลำบากอะไรหรอก” แล้วจู่ๆไอ้ข้าวก็หันมากระซิบเบาๆกับผม “น้องที่ชื่อแทนมีพรสวรรค์มากเลยนะ ส่วนน้องอะตอมก็ขยันซ้อมสุดๆ”

ผมพยักหน้าเบาๆให้รู้ว่ารับรู้แล้ว

ก็พอจะเดาได้อยู่

“งั้นกูไปประชุมแล้วนะ” ผมกล่าวลา “ฝากตรงนี้ด้วยก็แล้วกัน”

“ไม่มีปัญหา แล้วจะไปยังไงอ่ะ มีรถเหรอ?”



“ให้ผมไปส่งไหมครับ ผมมีรถ” จู่ๆไอ้น้องโซนิคก็ร้องแทรกขึ้นมา

“ไม่ต้องหรอก พี่นั่งรถไฟฟ้าไปได้” ผมตอบยิ้มๆ “คนที่พี่อยากให้น้องไปรับไปส่งไม่ใช่พี่หรอก” เอาเป็นว่ารู้กันนะ ส่วนไอ้น้องโซนิคก็หน้าหงอยไปซะอย่างนั้น นี่หวังจะเอาใจกูอะไรเบอร์นั้น ให้มาฝึกท่าลีดพื้นฐานขนาดนี้แล้ว ยังเดาไม่ออกอีกเหรอว่ากูจะสอนเพลงมิ่งขวัญให้แน่นอนอยู่แล้ว “ไปนะข้าว”

“เจอกัน”

“เจอกันเพื่อน”



จากนั้นผมกับอิช้างก็รีบขึ้นรถไฟฟ้าของมหาลัยตรงดิ่งไปที่คณะวิทยาศาสตร์

เพียงแค่ครู่เดียวก็มาถึงจุดหมาย แต่ก็ต้องประหลาดใจทันทีเมื่อเห็นคนจอแจเต็มตึกคณะวิทย์ไปหมด ทั้งๆที่นี่ก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว ไม่น่ามีคนคนเยอะขนาดนี้นะ



“ชา” เกตุกับไอ้สุ่ยวิ่งออกมาจากความวุ่นวายเพื่อตรงมาหาผม โดยมีวาวากับอิเล็กตามมาด้วย

“เกิดอะไรขึ้นเนีย” ผมถามทันที “ทำไมคนเยอะจัง”

“นี่คือเด็กปีหนึ่งที่ผ่านเข้ารอบ” ไอ้สุ่ยอธิบาย “แต่ไม่ใช่แค่คณะเรานะ มีหลายคณะเลย ทุกคนมาที่นี่เพื่อตามหามึง เพื่อเพลงมิ่งขวัญมัณฑนา”

“ห๊ะ” ผมอุทานทันที



“นั่นพี่น้ำชานิ” “เห้ย พี่น้ำชามาแล้ว” “ไหนๆๆ”

เอาแล้ววววววว



“อิชา มึงขึ้นไปบนตึกก่อน เดี๋ยวกูรับหน้าเสือให้” อิเจสซี่บอกผมทันที

“เดี๋ยวกูกับวาวาอยู่ช่วยด้วย” อิเล็กเสริม

“รีบขึ้นตึกก่อนเถอะชา” เกตุเร่งผมเช่นกัน

“อ....โอเค” ขึ้นก็ขึ้นวะ



“น้องๆเดี๋ยวค่ะ พี่น้ำชาต้องมีประชุมนะคะ” “น้องปีหนึ่งยังไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นบนตึกนะคะ” “น้องคะ ให้พวกพี่เขาทำงานกันก่อน”

นั่นคือเสียงของอิเจสซี่ อิเล็ก และวาวา ทั้งสามดักความวุ่นวายไว้เบื้องล่าง ส่วนผม ไอ้สุ่ย และเกตุรีบวิ่งขึ้นบันไดมาชั้นสอง



“อย่างกับอยู่ในหนังเรื่องผีชีวะ” ไอ้สุ่ยเอ่ย มึงนี่ช่างเปรียบเทียบนะ

“แล้วชาจะเอายังไงดีล่ะทีนี้” เกตุถามผม

“จะบ้าเหรอเกตุ เราสอนเด็กปีหนึ่งทุกคนไม่ไหวหรอกนะ” ผมตอบ สอนได้ก็เก่งแล้ว “แล้วพวกปีหนึ่งแห่มาจากไหนเยอะแยะขนาดนี้”

“ก็ธรรมดาแหละมึง” ไอ้สุ่ยว่า “ปีนี้ดันมีรางวัลมาล่อตาล่อใจ ปีหนึ่งแม่งก็เลยอยากเต้นเพลงมิ่งขวัญกันซะหมดเลย”

“แต่มันก็ไม่ควรจะเยอะขนาดนี้เปล่าวะ”

“เกตุไม่อยากเอาข่าวลือไม่ดีมาบอกชาอีกครั้งเลย” เกตุว่าอะไรนะ “ชารู้ไหมว่า มีพวกลีดปีเดียวกับเราบางคน แอบทำตัวเซี้ยมปีหนึ่งกันลับๆอยู่เบื้องหลัง เหมือนว่าพวกนั้นจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นะที่ชาได้เป็นลีดมหาลัย”

“บ้าแล้ว เราทำหน้าที่มาเป็นปีแล้วนะ มันจะมาไม่พอใจอะไรตอนนี้”

“แค้นฝังหุ่นไงเพื่อน” ไอ้สุ่ยเปรียบเทียบให้ผมฟังอีกครั้ง "ข้าวเจ้าก็บอกกูประมาณนี้เหมือนกัน"

“แต่ถึงยังไงชาก็ต้องมีวิธีรับมือกับเรื่องนี้นะ” เกตุบอก “เด็กปีหนึ่งทุกคนมีสิทธิ์ที่จะรู้เพลงมิ่งขวัญมัณฑนาเท่าๆกัน ขืนชาไปปฏิเสธโต้งๆ มีหวังโดนกระแสโจมตีระลอกใหญ่กว่าเดิมแน่”

อะไรกันวะเนี่ยยยยยยยย ทำไมปีที่แล้วไม่เห็นไอ้พี่ตองมันจะมารับมือกับอะไรแบบนี้เลย ตอนกูไปขอให้มันสอน มันก็ปฏิเสธกูโต้งๆเหมือนกัน แล้วไหงความซวยมาตกที่กูวะ จะบ้าตาย



“เรื่องจะรับมือกับเด็กปีหนึ่งยังไงเอาไว้ก่อน” ผมตัดสินใจพูด “ตอนนี้ถึงเวลาต้องประชุมของลีดคณะเราแล้ว รีบเข้าห้องก่อนดีกว่า เพื่อนๆคงรอกันแล้ว”



ก็ทำไงได้ล่ะ ผมก็ต้องตัดสินใจแบบนี้ไปก่อน ขืนมัวเอาสมองไปคิดเรื่องวุ่นวายที่ชั้นหนึ่ง แผนสำหรับการฝึกผู้นำเชียร์คณะวิทยาศาสตร์ปีนี้ก็คงไม่เกิดกันพอดี

การประชุมเตรียมความพร้อมสำหรับการฝึกและคัดเลือกผู้นำเชียร์รุ่นใหม่ของคณะวิทยาศาสตร์เริ่มต้นขึ้น ส่วนใหญ่เราก็ใช้แนวทางและรูปแบบการฝึกซ้อมคล้ายกับปีที่แล้ว แต่อาจจะเน้นการจัดระเบียบร่างกายให้มากขึ้น เพราะเท่าที่สังเกตเมื่อวันสอบสัมภาษณ์ ถึงแม้ปีหนึ่งส่วนใหญ่จะมีหน้าตาที่ดี บุคลิกดี แต่พื้นฐานการใช้ร่างกายยังถือว่าอ่อนมาก รวมถึงมีมติที่จะดึงพวกพี่ๆจากตึกผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัยมาร่วมสอนน้องๆด้วย ส่วนหนึ่งก็เพื่อให้เด็กปีหนึ่งได้สัมผัสถึงระดับความจริงจังของกิจกรรมห้องเชียร์

มีการแบ่งหน้าที่ในการติดต่อประสานงานครูสอนแต่งหน้า ครูสอนการแสดง เทรนเนอร์ปรับบุคลิกภาพ ผู้นำเต้นกายบริหาร และผู้สอนคลาสจำเป็นอื่นๆ และจากการทำงานครั้งนี้ทำให้ผมได้เห็นความยุ่งยากของการทำงานของคณะวิทยาศาสตร์ อาจจะด้วยชื่อเสียงของคณะเราจึงทำให้หน่วยงานเอกชนหลายแห่งแข่งขันเพื่อเข้ามามีส่วนในการร่วมกิจกรรม การคัดเลือกและกำหนดกรอบการทำงานร่วมกันของคณะ ครูฝึกพิเศษ และหน่วยงานเอกชนจึงเต็มไปด้วยข้อถกเถียง งานนี้ถ้าจะขอบคุณใครก็คงต้องขอบคุณตัวหลักทั้งสามคนของคณะวิทยาศาสตร์อย่างผม ไอ้สุ่ย และเกตุ

ผมใช้ความสามารถทางคณิตศาสตร์ของตัวเองในการจัดการรูปแบบตารางเวลาที่ซับซ้อน (ยังจำทฤษฎีกราฟที่ผมใช้แก้ปัญหาเรือขนส่งสินค้าเมื่อปีที่แล้วได้ใช่ไหม นั่นแหละ มันกลับมาอีกครั้งแล้ว)



“งั้นก็ยึดตามแผนนี้ไปก่อนนะ”

ประโยคที่เกตุมักจะพูดบ่อยๆระหว่างการประชุม ถึงแม้เกตุจะไม่ได้มีตำแหน่งสำคัญในคณะวิทยาศาสตร์ แต่เธอก็เป็นถึงประธานผู้นำเชียร์ของมหาวิทยาลัย คำพูดของเธอจึงเป็นเสมือนบทสรุปของทุกเรื่องๆ บวกกับความสามารถในการสั่งการอย่างเด็ดขาด เรื่องที่ควรจะยุ่งยากหลายๆเรื่องจึงคลี่คลายไปโดยง่าย



“รายนี้รู้สึกว่าจะยื่นหนังสือประมูลไปที่วิทยาลัยนานาชาติเหมือนกันนะ เรายังจะเก็บรายนี้ไว้พิจารณาอยู่ไหม”

ส่วนนี้ก็เป็นผลงานจากการเป็นคนกว้างขวางของไอ้สุ่ย มันมักจะมีข้อมูลสำคัญที่ได้มาจากไหนก็ไม่รู้มาบอกที่ประชุมเสมอ



“งั้นวันนี้พอแค่นี้ก็แล้วกันนะ” ผมบอกเลิกการประชุมในเวลาเกือบสี่ทุ่ม เพลียมาก หนักตาชะมัด “ส่วนเรื่องโครงการเดี๋ยวจะให้บั๊ดดี้ช่วยกันทำสองสามคนก็แล้วกัน เอ่อ... เจสซี่ เล็ก วาวา ช่วยกันเขียนได้ไหม”

“ได้” อิเพื่อนสามหน่อของผมตอบทันที “จะใช้ตอนไหน”

“พรุ่งนี้เย็นๆก็แล้วกัน” ผมตอบ “ใช้ข้อมูลตามที่ประชุมเลยนะ”

“ไม่มีปัญหา” อิช้างตอบ ถึงแม้อิเพื่อนสามตัวนี้ของผมจะดีดเกินเหตุไปบ้างบางเวลา แต่พวกมันก็ถือว่าทำงานได้ในระดับดีเยี่ยม เก่งงาน อ่านเกมส์ล่วงหน้า และทำงานเป็นระบบ สมแล้วที่เป็นเพื่อนกู (555 วกเข้าหาตัวเองจนได้)

“โอเคนะทุกคน” ผมกลับมาพูดกับที่ประชุมอีกครั้ง “ช่วงนี้ก็แบ่งเวลากันดีๆนะ งานจะค่อนข้างยุ่ง ถ้างานไหนที่ทับกับงานของคณะแล้วเคลียร์ไม่ได้จริงๆก็บอกเรานะ เผื่อเราจะให้พี่ชมพู่ช่วยพูดกับลูกค้าให้ กลับไปพักผ่อนกันดีกว่าทุกคน เจอกันวันมะรืนนะ”

เสียงเก้าอี้เลื่อนเป็นสัญญาณของการกระจายตัวของเหล่าผู้นำเชียร์ในห้องประชุม



“อิชา” อิช้างรีบเข้ามาหาผม

“ว่าไง?”

“ให้กูลงไปดูให้ก่อนดีกว่าไหม เผื่อว่าพวกเด็กปีหนึ่งยังอยู่”

“ไม่ต้องหรอกมึง ลงไปด้วยกันนี่แหละ ยังไงกูก็ต้องเผชิญกับเรื่องนี้”

“เดี๋ยวก่อนชา” เกตุขว้างผมไว้ “แน่ใจแล้วเหรอ เกตุไม่รู้หรอกนะว่าชาจะรับมือกับเรื่องนี้ยังไง แต่ถ้าชาคิดจะสอนเด็กทุกคนที่เดินเข้ามาหา เกตุบอกเลยว่าเกตุไม่เห็นด้วย เพลงมิ่งขวัญเป็นเพลงแรกของมหาลัยเราเลยนะ ถ้าทุกคนสามารถเต้นมันได้ง่ายๆ ความสำคัญของมันก็จะหายไปทันที”

“กูเห็นด้วยกับเกตุนะไอ้ชา” ไอ้สุ่ยคือคนที่เข้ามาเสริมทัพ “มึงอ่ะชอบทำเรื่องพวกนี้ให้เป็นของง่ายเกินไป แต่มันก็ต้องมีข้อจำกัดกันบ้างนะเว้ย ไม่ใช่ว่าทุกคนควรได้รับโอกาส”

“กูคิดเรื่องนี้ดีแล้ว” ผมบอกเพื่อนทั้งสอง “เอาเป็นว่ากูจะไม่ทำให้เรื่องนี้ง่ายเกินไปก็แล้วกัน ลงไปกันเหอะ”

ผมไม่รอช้า รีบเดินลงบันไดทันที ไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้แล้ว ง่วง อยากพักผ่อนเต็มทีแล้ว

และเมื่อลงมาถึง.......



“เจ๊ซีซี่” ผมร้อง รู้สึกแปลกใจอย่างที่สุดที่เจอบั๊ดดี้ของพี่ตองมาอยู่ที่ตึกคณะวิทย์ “มาอยู่นี่ได้ไงอ่ะครับ”

“เจ้าชายตองน่ะซิเรียกพี่มา”

“พี่ตองเรียกมา... แล้วไหนพี่ตองอะครับ”

“โน่นไง” เจ๊ซีซี่ชี้ไปที่ประตูกระจก

พี่ตองกำลังคุยกับเด็กสาวสองคนอยู่นอกอาคาร ท่าทางจริงจังกันน่าดูเลย แล้วพวกปีหนึ่งที่ยกโขยงกันมาหายไปไหนหมด

“อย่าเพิ่งไปน้ำชา” เจ๊ซีซี่ห้ามผมไม่ให้เดินไปหาพี่ตอง “ตองกำลังคุยธุระอยู่”

“ธุระ?” ธุระอะไรวะ ดูยังไงก็เป็นเด็กปีหนึ่งชัดๆ พี่ตองไม่น่าจะมีเรื่องอะไรให้ต้องคุยกับเด็กสาวปีหนึ่งสองคนนั้นนะ



ผมยืนรออยู่สักพัก จนทุกคนที่ลงมาด้วยกันกับผมกลับที่พักกันหมด แม้กระทั่งเจ๊ซีซี่ที่สั่งให้ผมรอก็กลับไปด้วย



“ขอโทษที่ให้รอนะครับ” ในที่สุดพี่ตองก็กลับมา

“คุยอะไรกับเด็กสองคนนั่นน่ะ” ผมถามทันที

“ถามแบบนี้แปลว่า...หึงเหรอครับ”

“ไอ้พี่ตอง” ไม่ต้องมาทำลีลาเลย ตอบมา กูไม่หึงกูก็ไม่ใช่คนแล้ว บ้าหรือเปล่าให้ยืนรอแฟนตัวเองคุยกับผู้หญิง

“โห่ อย่าโหดซิครับ นั่นมันน้องลีดปีหนึ่งที่ผ่านสอบสัมภาษณ์มา น้องเค้าจะมาหาชานั่นแหละ”

“อ้าว ก็แล้วทำไมไม่ให้มาหาชาล่ะ”

“คิดว่าพี่มาที่นี่ทำไมล่ะ แล้วก็เหตุผลที่เรียกซีซี่มาด้วย เด็กปีหนึ่งหายไป ทายไม่ถูกเหรอว่าพี่เพิ่งทำอะไรไป”

“พี่ตองไล่เด็กปีหนึ่งพวกนั้นไปเหรอ” อย่าทำอะไรบ้าๆขนาดนั้นนะขอร้อง

“ไม่ถึงกับไล่หรอก พี่แค่บอกว่าแฟนพี่ยุ่งมากและไม่มีเวลาสอนเพลงมิ่งขวัญให้...”

“จะบ้าเหรอ”

“ฟังให้จบก่อนซิครับ พี่บอกเด็กพวกนั้นไปว่า ถ้าน้องคนไหนสามารถขอลายเซ็นของพี่ชมพู่มาได้ พี่จะยอมให้น้ำชาสอนเพลงมิ่งขวัญให้”

ห๊ะ!!!

กูจะบ้าตาย ต้องรีบโทรไปขอโทษพี่ชมพู่โดยด่วนเลยแบบนี้

“เดี๋ยววววว” จู่ๆ ไอ้พี่ตองก็แย่งโทรศัพท์ของผมไป

“เอาโทรศัพท์ชามานี่” ผมเริ่มโวยวาย นี่ไม่เข้าใจสถานการณ์เลยใช่ไหมเนี่ยว่าเพิ่งจะทำอะไรลงไป “ชาจะรีบโทรไปหาพี่ชมพู่”

“คิดว่าพี่ไม่ได้เตรียมการเรื่องนี้ไว้หรือไง” หึ! ยังไง? “ตอนที่พี่มารับชา พอเห็นเด็กพวกนี้พี่ก็รู้แล้วว่าชากำลังเจอกับปัญหา แล้วพี่ก็รู้อีกว่าชาเป็นคนขี้สงสาร ชอบแคร์คนอื่นมากจนเกินไป ขืนให้ชามารับมือกับเรื่องนี้เอง มีหวังเด็กรุ่นนี้เต้นเพลงมิ่งขวัญกันได้ทั้งมหาลัยแน่ๆเลย พี่ก็เลยโทรไปขอพี่ชมพู่แล้วว่าจะใช้ชื่อพี่เค้าเป็นข้ออ้าง แต่ไม่ต้องห่วงหรอก พี่ชมพู่จะไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากเรื่องนี้แน่นอน พี่เค้าไปปฏิบัติธรรมอยู่ที่ธิเบต กว่าจะกลับมาก็วันเปิดห้องเชียร์โน่นเลย แต่ต่อให้พี่ชมพู่อยู่ ตึกลีดมอก็ไม่อนุญาตบุคคลภายนอกให้เข้าไปอยู่ดี.... คราวนี้ก็เลิกกังวลได้แล้ว โอเคนะครับ”

“ทำไมต้องออกหน้าแทนชาด้วยล่ะ สุดท้ายเด็กพวกนั้นก็ต้องเข้าใจความเป็นจริงของสถานการณ์นี้อยู่ดี แล้วพี่ตองอาจจะโดนเกลียดได้นะ”

“นั่นพี่ก็คิดแล้ว” ยังจะมายิ้มสบายใจอีก “แต่พี่ไม่เหมือนชา พี่ไม่ได้แคร์ทุกคนแบบที่ชาเป็น ใครจะต่อว่า นินทา หรือเกลียดพี่ก็ให้เกลียดไป ขอแค่........









...........ชาคนเดียวที่ยังรักพี่อยู่ก็พอ”
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER ภาค 2 [เชียร์ฝันสนั่นหัวใจ] - ตอนที่ 6 : การรับมือ
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 11-08-2018 12:57:28
หวานไม่เปลี่ยน
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 7 [สิ่งดีๆ Part 1]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 11-08-2018 18:03:07
​ตอนที่ 7 : สิ่งดีๆ









“ขอโทษนะครับ ผมมาหาขนมปังครับ” ผมพูดกับอาม๊าท่านนึงซึ่งกำลังเก็บกวาดเศษแป้งและชิ้นส่วนของขนมปังที่ตกหล่นอยู่ตามพื้น

เพิ่งรู้นะว่าที่บ้านของรุ่นพี่ตัวน้อยคนนี้เป็นร้านขายแบเกอร์รี่ (เพราะเมื่อเช้าเบี้ยว ไม่ได้มารับพี่เขา แฮ่ๆ) แต่ไม่ใช่แนวสมัยใหม่นะ จากภาพรายการสินค้าที่เห็นตามข้างฝาผนังเหมือนจะเป็นแบเกอร์รี่จำพวกขนมปังสูตรไทยโบราณ กลิ่นหอมๆที่เตะจมูกนี่คงเป็นกลิ่นของการอบแป้งที่ยังคงตกค้างอยู่ในร้านซินะ แม้ว่านี่จะเป็นเวลาค่ำที่ไม่น่ามีการอบขนมปังแล้ว

คิดมานานแล้วว่าพี่ขนมปังมีกลิ่นอะไรหอมๆติดตัว ที่แท้ก็มาจากที่นี่นี่เอง



“ขนมปังลูก ขนมปัง” จากวิธีการเรียกของอาม๊า คงเป็นย่าหรือไม่ก็ยายของพี่ขนมปังแน่เลย เข้าใจแล้วว่าที่มาที่ไปของชื่อหน่อมแน้มมาจากไหน “ขนมปัง มีเพื่อนมาหา”

“...........” ไม่มีการตอบรับแต่อย่างใด

“ขึ้นไปหาเขาเลยก็แล้วกันนะหนู” อาม๊าตัดสินใจบอกผม “สงสัยจะอาบน้ำอยู่ ห้องขนมปังอยู่ชั้นสี่นะ”

“ค...ครับ” สูงจัดเลย “งั้นผมขอรบกวนสักครู่นะครับ”

“ขึ้นไปเลยๆ”



ผมค่อยๆเดินขึ้นบันไดอย่างระมัดระวังจนมาถึงชั้นสี่ที่มีห้องเพียงห้องเดียว แถมเปิดประตูคาไว้ซะด้วย

ตุ๊บ

“เมี๊ยวววว”

นั่นเสียงแมวเหรอหรืออะไร



 “พูริน” เสียงนี้น่าจะเป็นของรุ่นพี่ตัวน้อยนั่นนะ “ซนอีกแล้วนะ เจ็บไหม”

คุยกับใครวะ

ด้วยความสงสัยและช่างเผือก ผมจึงค่อยๆผลักประตูห้องของพี่เค้าเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น......แมว จริงๆด้วย

“บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าปีนขึ้นไปบนชั้นหนังสือ มานี่เลย โอ๋ๆๆ เจ็บไหมเอ่ย”

หน่อมแน้มได้ตลอดเวลาจริงจริ๊งงงง ที่แท้ก็กำลังนั่งโอ๋แมวที่โดนหนังสือร่วงลงมาใส่ แล้วก็อุ้มแมวขนปุยไปด้วยเก็บหนังสือที่ร่วงลงบนพื้นไปด้วย อย่างกะภาพแม่ที่กำลังเลี้ยงลูกเล็กๆอยู่



“สมกับที่เป็นแมวของพี่เลยเนาะ” ผมเริ่มต้นทักทายด้วยการแซ็ว แต่ก็ยืนอยู่หน้าห้องนะ ไม่ได้เข้าไป

“ค...คุณ!” คนตัวเล็กสะดุ้งนิดหน่อยที่เห็นผมมายืนอยู่หน้าห้องนอนตัวเอง แต่แล้วก็ขมวดคิ้วใส่ผม คงจะเพิ่งระลึกได้ว่าโดนผมแซ็ว “คุณหมายความว่าไง”

“ตัวเล็กแล้วก็ซุ่มซ่ามไง” ผมบอก

“นิคุณ”

“แต่ก็น่ารักดี...." ผมรีบแก้ "หน้าแดงอีกแล้วนะพี่เนี่ย ผมชมแมว ไม่ได้ชมพี่ซะหน่อย”

“คุณ...”

“อ่ะๆๆ ชมพี่ด้วยก็ได้”

“คุณมาที่นี่ทำไม” นี่หงุดหงิดแล้วเหรอ ดูยังไงก็ติ๋มเหมือนเดิม

“ก็ให้ผมเอาชุดมาให้ไม่ใช่เหรอ” ผมยกเสื้อผ้าสองชุดในไม้แขวนเสื้อให้ดู

“อ๋อ รอแป๊บนึงนะ ผมขอเก็บของเดี๋ยวเดียว”

“ยังจะมีเวลาเลี้ยงแมวอีกเนาะ งานผู้ช่วยลีดมอก็ยุ่งมากพออยู่แล้ว”

“เรื่องของผมน่า” แล้วรุ่นพี่ตัวน้อยก็เดินมาที่ประตูห้องเมื่อจัดการเก็บกวาดเสร็จ  พร้อมกับถือแมวมาด้วยในมือ “เอาชุดมาได้แล้ว”

“ผมเอาไปเองก็ได้นะจริงๆแล้ว” ผมยังไม่อยากส่งให้ ถึงแม้ว่าคนตรงหน้าจะสั่งให้ผมเอามาให้ก็ตาม “แค่นี้ผมก็เกรงใจพี่จะแย่แล้ว ไหนจะต้องตื่นเช้าไปที่สระกับผม แล้วก็ต้องมาวุ่นวายกับเสื้อผ้าของผมอีก”

“ผมบอกไปแล้วไงว่าผมจัดการได้ แล้วที่ให้เอาชุดมาให้ก็เพราะว่าจะส่งไปให้ร้านซักรีด จะเอาไปนัดหมายให้ร้านเขาเอาไปส่งไว้ที่ล็อดเกอร์ที่สระว่ายน้ำแล้วก็มารับไปซักตามเวลา แบบนี้คุณจะได้ไม่ต้องมีปัญหาเรื่องเตรียมเสื้อผ้าอีก แต่เดี๋ยวผมจัดการให้ เพราะคุณคงยังไม่รู้จักร้านบริการซักรีดที่ดีๆแถวนี้หรอก ผมจัดเตรียมเสื้อผ้าให้ข้าวเจ้าบ่อย พอจะติดต่อกับร้านให้ได้อยู่”



อือหือ ถึงจะหน้าติ๋มๆ ไปหน่อย แต่ก็ต้องยอมรับจริงๆว่ามีระบบการจัดการในสมองที่ดีมาก คิดข้ามฉ็อตไปแค่ไหนวะเนี่ย



“งั้นผมก็รบกวนด้วยนะ” ผมยอมส่งสองชุดที่ถือมาให้คนเลี้ยงแมวตรงหน้า “เรื่องค่าใช้จ่าย เท่าไหร่ก็บอกผมนะ”

“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ได้มากมายอะไร”

“ไม่ได้ดิพี่ พี่มาเป็นธุระให้ผมแล้วยังจะมาออกตังให้ผมอีกได้ไง”

“ผมมีรายได้จากการทำงานเป็นบั๊ดดี้ให้ข้าวเจ้า ส่วนคุณเป็นแค่รุ่นน้องปีหนึ่ง เดี๋ยวผมจัดการให้เอง”

“คำก็รุ่นน้อง สองคำก็รุ่นน้อง รุ่นน้องอย่างผมก็หล่อจนทำให้รุ่นพี่บางคนหน้าแดงได้ก็แล้วกัน” ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงชอบแกล้งรุ่นพี่คนนี้นัก เห็นคนหน้าติ๋มๆแบบนี้ทีไร มันอดใจให้ไม่แกล้งไม่ได้จริงๆ

“กลับไปหอของคุณได้แล้ว” แน๊ะๆ หน้าแดงอีกแล้ว ผู้ชายแบบไหนวะ เขินเพราะโดนผู้ชายด้วยกันแซ็ว “ไม่เหนื่อยหรือไง ทำงานหนักมาทั้งวัน ไหนจะโดนฝึกพื้นฐานจากข้าวเจ้าอีก”

“นั่นดิ.... เห้ออออ พูดแล้วก็เหนื่อย พรุ่งนี้ต้องเจออะไรอีกก็ไม่รู้ พี่ข้าวเจ้านี่ก็โหดเหมือนกันนะ” โหดถึงขั้นไม่ปล่อยให้กูพักบ้างเลย วันนี้พี่น้ำชาอุตส่ามาหาถึงห้องซ้อม แต่ก็ไม่ได้คุยอะไรกับพี่เค้าเลย แอบเซ็งหน่อยๆ เพราะความสัมพันธ์ของผมกับพี่เขาไม่พัฒนาไปถึงไหนสักที

“พรุ่งนี้ไม่น่าจะมีอะไรมากหรอก”

“พี่รู้ได้ไง”

“ก็ข้าวเจ้าบอกไง เขาบอกผมว่าจะสอนแต่งหน้าพวกคุณพรุ่งนี้”

“ต้องแต่งหน้าด้วยเหรอ แต่ผมไม่เคยแต่งหน้ามาก่อนเลยนะ เครื่องสำอางก็ไม่เคยมีกับเค้า”

“ผมเตรียมไว้ให้แล้ว คุณแค่ตั้งใจเรียนก็พอ”

โหหหหหห ซึ้งเลยกู

“พี่ขนมปังนี่น่ารักเหมือนน้องแมวจริงๆด้วย น้องแมวชื่ออะไรนะ”

“พูริน” คนตรงหน้าผมตอบเขินๆ

“หวัดดีครับพูริน”

“นี่ตัวเมีย.... กลับไปได้แล้ว ผมจะพักผ่อน ดึกมากแล้ว”

“โอเคครับ ฝันดีนะคะพูริน” ผมแสร้งทำเป็นบอกลาแมว “ส่วนพี่ขนมปังก็ฝันดีนะครับบบบบ”

“อืม”



​ปัง

ปิดประตูใส่ซะเร็วเชียว แค่บอกฝันดีแค่นี้ก็ต้องเขินด้วย แล้วกูจะยิ้มทำไมเนีย สงสัยชอบใจที่แกล้งเขาได้



เมื่อเสร็จธุระทั้งหมด ผมก็ขับรถเดินทางกลับหอพักของตัวเอง

เหนื่อยเหมือนกันแฮะไอ้ลีดอะไรนี่ เพลียไปหมดแล้ว อยากอาบน้ำนอนจะแย่แล้ว

ถึงหอสักที.....



“โซนิค”

เสียงใครเรียกวะ คุ้นๆ

ผมมองหาต้นเสียงที่หน้าประตูห้องตัวเอง



“อ้าว พี่น้ำขิง” แฟนพี่ต้อมนั่นเอง “มาหาพี่ต้อมเหรอครับ แต่เอ๊ะ พี่ต้อมไม่น่าจะอยู่ห้องนี้แล้วนี่นา ผมจำได้ว่าห้องนี้เช่าทิ้งไว้เก็บของๆพี่ต้อมเฉยๆ พี่เค้าไปอยู่กับพี่น้ำขิงแล้วไม่ใช่เหรอ”

“พี่มาเอาเน็คไทร์สำรองให้ต้อมน่ะ พอดีอันที่ใส่อยู่มันไปเกี่ยวโดนตะปูขาด”

“อ๋อ.... อิจฉาพี่ต้อมจังเลยนะ มีแฟนคอยดูแลตลอดเลย แล้วพี่ผมนี่ยังไงถึงใช้ให้แฟนตัวเองมาเอาของให้”

“ต้อมไม่ได้ใช้ พี่มาเอง วันนี้ต้อมทำงานมาหนักทั้งวันแล้ว ป่านนี้คงหลับไปแล้วละมั้ง”

“พี่น้ำขิงทำไมดูแคร์พี่ผมจัง” จริงๆอยากจะพูดว่า โคตรน่าอิจฉาเลย มากกว่า เมื่อไหร่ผมจะมีแฟนแบบนี้สักที อุตส่าได้เจอคนที่เหมือนกับพี่น้ำขิงทุกอย่าง แต่กลับไม่มีโอกาสได้เข้าถึงตัวเขาบ้างเลย

“มันก็ไม่ได้ลำบากอะไรนี่นา ถ้าเรารู้สึกดีกับใครสักคน มันก็เป็นธรรมดาที่เราอยากจะทำสิ่งดีๆให้กับเขา วันนึงถ้าโซนิคได้เจอคนที่เข้ามาทำดีด้วย ก็อาจจะเข้าใจความรู้สึกของพี่เอง”



คนที่มาทำดีด้วยเหรอ......

จะเหมือนกับที่พี่ขนมปังทำหรือเปล่านะ แต่เป้าหมายของเราเป็นพี่น้ำชานี่นา ไม่ใช่พี่ขนมปัง



“ผมก็หวังว่าจะเจอครับ” ผมตอบ

“แล้วนี่รู้หรือเปล่าว่านี่เป็นห้องเก่าของลูกพี่ลูกน้องของพี่เอง” ห๊ะ ห้องไหน หมายถึงห้องของผมเนี่ยเหรอ “จำน้ำชาได้ไหม”

“จ...จำได้ครับ” อึ้งไปเลยกู รู้แต่ว่าพี่ต้อมหาห้องไว้ให้ แต่ไม่นึกว่าจะเช่าห้องเก่าต่อจากพี่น้ำชาให้ บุพเพสันนิวาสชัดๆ

“ได้ข่าวว่าผ่านรอบสัมภาษณ์มาแล้วนิ ทำไมไม่ไปขอร้องน้ำชาล่ะ น้ำชาเต้นเพลงมิ่งขวัญได้นะ รู้หรือเปล่า”

“ก็พอจะเคยได้ยินมาบ้างครับ” ผมโกหก ผมต้องพยายามไม่พูดถึงเรื่องของผมกับพี่น้ำชามากนัก แม้แต่พี่น้ำขิงก็ตาม จะให้ไปเข้าหูพี่ต้อมไม่ได้ “ผมจะลองทำตามที่พี่แนะนำก็แล้วกันครับ”

“โอเค งั้นพี่กลับก่อนนะ”

“หวัดดีครับพี่”



จากนั้นพี่น้ำขิงก็จากไป



ผมรีบเปิดประตูเข้าห้องตัวเองที่เพิ่งจะรู้ว่าเป็นห้องเก่าของพี่น้ำชามาก่อน

ฟินจัง รู้สึกเหมือนได้อยู่ใกล้ๆพี่น้ำชาเลย นี่จะเป็นกลิ่นของพี่เขาหรือเปล่านะ

ผมทิ้งตัวลงบนเตียงของตัวเองแล้วกอดหมอนข้างประหนึ่งว่าได้กอดพี่น้ำชาอยู่



เฮ้ออออออออออ

ไปอาบน้ำนอนดีกว่า พรุ่งนี้เช้าต้องตื่นไปว่ายน้ำอีก คงต้องตื่นให้เร็วขึ้นอีกหน่อยเพราะต้องไปรับพี่ขนมปังที่หอ พูดถึงพี่ขนมปัง รายนี้คงจะกำลังจัดการแผนงานสำหรับวันพรุ่งนี้อยู่ หรือไม่ก็อาจจะกำลังมุ้งมิ้งอยู่กับแมวก็ได้

ส่งข้อความไปแกล้งหน่อยดีกว่า......



‘ฝันดีนะครับ จาก ผู้ช่วยสุดหล่อ’

‘ขอบใจ นอนได้แล้ว’ ตอบกลับมาแล้ว

‘ผมไม่ได้บอกพี่ ผมจะฝากบอกพูรินต่างหาก’ ฮ่าๆๆๆๆ ความแกล้งนี้

‘ได้ เดี๋ยวบอกให้’ ถ้ามองเห็นหน้าได้ก็คงทำหน้าหงุดหงิดอยู่ซินะ

แฮ่ๆๆ แกล้งคนสำเร็จ สบายใจแล้ว อาบน้ำได้............





เช้าตรู่วันต่อมา ผมเดินทางออกจากหอพักแต่เช้าและตรงดิ่งไปรับรุ่นพี่ตัวเล็กที่ร้านเบเกอร์รี่ของเขา ก่อนจะมาซ้อมว่ายน้ำที่สระว่ายน้ำมหาวิทยาลัย

ระหว่างซ้อมผมก็ได้เจอคนคุ้นหน้าคุ้นตาสองสามคน เคยเห็นเมื่อสมัยที่แข่งว่ายน้ำตอนมัธยม ไม่นึกว่าจะได้มาเจอหน้ากันอีกที่นี่ แต่ผมก็ไม่ได้ไปทักทายอะไรเขาหรอกนะ ก็ไม่ได้รู้จักนิ

การซ้อมเป็นไปอย่างรวดเร็ว ผมไม่เพลียหรือเหนื่อยกับการว่ายน้ำตอนเช้าแบบนี้เลยสักนิดเพราะเป็นสิ่งที่ทำมาเป็นสิบปีแล้ว แต่ไม่ใช่กับ......



“พี่ขนมปัง” ผมพยายามปลุกคนที่นอนหลับอยู่บนม้านั่งข้างสระว่ายน้ำให้ตื่น “พี่ขนมปัง”

“ครับ....” นี่ขนาดงัวเงียนะเนี่ย ยังจะพูดเพราะอีก “คุณเองเหรอ ซ้อมเสร็จแล้วเหรอ”

“เสร็จแล้ว” ผมตอบ “เจ็ดโมงกว่าแล้ว”

“ล....แล้วทำไมไม่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าล่ะ มายืน.....แก้ผ้าแบบนี้ทำไม”

“นี่มันชุดว่ายน้ำ จะให้ผมใส่เสื้อคลุมว่ายน้ำหรือไงล่ะ” นี่ก็แปลกคน เห็นผู้ชายแก้ผ้าก็ไม่ได้อีก จะติ๋มไปไหน “แล้วอีกอย่าง ผมยังไม่เห็นเสื้อผ้าที่จะให้ผมไปเปลี่ยนเลย”

“อ...อ๋อ อยู่ในล็อกเกอร์นั่นแหละ ร้านเอามาแขวนไว้ให้แล้ว อ่ะนี่ผ้าเช็ดตัว” หึ! เตรียมผ้าเช็ดตัวไว้ให้ด้วย

“ขอบคุณครับ” ผมขอบคุณในความใส่ใจของคนตรงหน้า

นี่กูทำให้พี่เขาลำบากหรือเปล่าวะ ต้องมานอนรอกูซ้อมกีฬาเป็นชั่วโมงๆ ต้องมาตื่นเช้าเพื่อกู แถมยังเตรียมนั่นนี่ให้อีก พอเห็นแบบนี้แล้วก็รู้สึกผิดเลยที่เคยแกล้งพี่เขาแรงๆ ถ้าเป็นไปได้................







...................อยากย้อนเวลากลับไปทำดีกับเขาให้มากกว่านี้





.......................................................................................





(มุมของน้ำชา)



เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งด้วยความขี้เกียจของผมซึ่งยังไม่สามารถแกะตัวเองออกจากเตียงได้.....

อากาศและเสียงพร่ำๆแบบนี้ แปลว่าเช้านี้มีฝนตกลงมาซินะ น่านอนต่อจัง

อ้าว

พี่ตองหายไปไหน?

ปกติน่าจะยังนอนแอ้งแม้งอยู่ข้างๆเรานี่นา ยิ่งบรรยากาศแบบนี้ด้วยแล้ว กว่าจะปลุกให้ตื่นได้ไม่ใช่ง่ายๆ



“เรายังให้คำตอบไม่ได้อ่ะอร” เสียงพี่ตองนี่หว่า คุยกับใครแต่เช้า

ผมค่อยๆเดินออกจากห้องนอนไปยังส่วนห้องนั่งเล่น เห็นพี่ตองกำลังหันหลังคุยโทรศัพท์อยู่ที่เคาเตอร์ทานอาหาร

“เราไม่อยากทิ้งน้ำชาไปนานๆ แถมไปไกลถึงอังกฤษด้วย” นั่นพูดถึงเราอยู่ใช่ไหม “......เราเข้าใจว่ามันเป็นโอกาสที่ดี แต่....”



“พี่ตอง” ผมตัดสินใจเรียกพี่ตอง พอจะเดาออกแล้วว่าเรื่องอะไร

“อร เดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวเราโทรหาอีกที” คนตรงหน้าผมรีบวางสาย “ตื่นแล้วเหรอครับ หิวหรือยัง พี่อุ่นนมให้เอาไหม”

“ไม่เป็นไร นั่นหน้าที่ของชา”

“อ๋อใช่ พี่ลืมไป”



ผมเดินไปหยิบนมในช่องฟีซออกมาใส่หม้ออุ่นนม แล้วเมื่อมันละลายและอุ่นจนได้ที่ก็ตักใส่แก้วมาเสิร์ฟให้พี่ตองที่นั่งอยู่ที่เคาเตอร์



“แล้วไหนแก้วของชาล่ะ” คนตรงหน้าผมถาม

“ชายังไม่หิว” ผมตอบ “พี่ตองดื่มเถอะ ชาอยากนั่งดูพี่ตองแบบนี้ก่อน เดี๋ยวถ้าพี่ไปอังกฤษนานๆ ชาคงไม่ได้เห็นหลายวัน”

“ช...ชาครับ เรื่องนั้น...” คนตัวสูงวางแก้วนมลงทันที

“ตอบตกลงไปดูงานเถอะ” ผมตัดบททันที “ไม่ต้องห่วงชาหรอก ชาอยู่ได้ ชาขึ้นปีสองแล้วนะ”

“แต่...”

“โอกาสแบบนี้ไม่มีมาบ่อยๆนะ พี่อาจจะสามารถไปอังกฤษเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ไปเพื่อดูงานต่างประเทศ ไม่มีมาบ่อยๆหรอกนะ แล้วจะได้ไปที่ไหนรู้หรือยังอ่ะ”

“ที่ Imperial College ครับ”

“ชื่อคุ้นๆนะ มหาลัยเกี่ยวกับวิศวะใช่หรือเปล่า”

“ใช่ครับ”

“งั้นก็ดีเลยซิ แบบนี้พี่ยิ่งควรจะไปมากๆเลยนะ ไปเถอะนะ น่าสนุกดีออก”

“แต่พี่ต้องทนคิดถึงชาไม่ไหวแน่เลย”

“ถ้าพี่ตองคิดถึงชาจริงๆก็ควรจะไปที่สุดเลย”

“ยังไงครับ?”

“ก็เพราะว่าชาอยากมีแฟนเป็นนายวิศวะใหญ่และมีประวัติว่าเคยไปดูงานที่อังกฤษมาแล้วไง”

“พี่รู้นะว่าชากำลังพยายามเกลี่ยกล่อมพี่อยู่”

ผมก็รู้แหละว่ายังไงพี่ตองก็ต้องจับได้ แต่นี่มันเป็นหน้าที่ของผมที่จะมอบสิ่งที่ดีให้คนที่ผมรัก

“ตอบตกลงเถอะนะ” ผมเอื้อมมือไปกุมมือคนตรงหน้าไว้ “ชาอยากให้พี่ตองไปจริงๆ”

“หอมแก้มพี่ก่อน แล้วพี่จะลองคิดอีกที” ไอ้หัวเหม่งเอ๊ย มีลูกเล่นตลอด แต่ยอมก็ได้ อ่ะ...จุ๊บ “ทำไมของ่ายจัง นี่อยากให้พี่ไปจริงๆเหรอ”

“มันสำคัญกับพี่ตองนี่นา ชาไม่อยากให้พี่ใช้ความสัมพันธ์ของเราเป็นข้ออ้างในการหยุดทำสิ่งที่ควรจะทำ ถ้าเรารักกันจริงๆ ชาก็ควรจะทำสิ่งดีๆให้พี่ การสนับสนุนให้พี่ตองไปดูงานครั้งนี้ก็เป็นหนึ่งในเรื่องสำคัญที่ชาควรจะทำไม่ใช่เหรอ”

“ตอนนี้พี่ชักเริ่มสงสัยแล้วว่าชาติที่แล้วพี่ทำบุญด้วยอะไร ถึงได้มีแฟนที่น่ารัก เก่ง ฉลาด และใส่ใจพี่ขนาดนี้”

“สรุปว่าจะไปดูงานแล้วใช่ไหม”

“ไปก็ได้ครับ”

“งั้นก็รีบดื่มนมได้แล้ว แล้วก็รีบโทรไปคอนเฟิร์มกับคณะซะนะ” ผมหันหลังกลับมาที่ส่วนเคาท์เตอร์เครื่องครัว ก่อนจะเปิดตู้เย็นอีกครั้งเพื่อดูวัตถุดิบในนั้น “วันนี้จะกินอะไรดีอ่ะ มีเบคอน มีไข่ เอาเป็นชุดอาหารเช้าแบบง่ายๆ....พี่ตอง จะมากอดชาทำไม”

จู่ๆไอ้หัวเหม่งก็เดินเข้ามากอดผมจากข้างหลัง

“ตอนนี้ไม่อยากกินอาหารช้า อยากกินน้ำชามากกว่า” ไอ้จอมหื่นพูดออกมาหน้าตาเฉยซะงั้น

“ไม่ต้องเลย วันนี้พี่ตองมีถ่ายโฆษณาไม่ใช่เหรอ”

“เขาโทรมาเลื่อนแล้ว ฝนตก ไม่เห็นเหรอครับ”

นั่นซิ ลืมไปเลยว่ามีฝนตก ผมมองออกไปที่กระจกคอนโดฯ สายฝนกำลังตกลงมาอย่างต่อเนื่อง

“แต่ก็ต้องไปประชุม ก.น.ช.ไม่ใช่เหรอ”

“นั่นตั้งบ่ายโมงครับ”

“งั้นเราก็ควรจะเข้าไปที่โรงบาล....พ....พี่ตอง” ข้ออ้างของผมไม่เป็นผลอีกต่อไปเมื่อคนตัวสูงเลิกกอดผมแต่กลับอุ้มผมขึ้นมาแทน

“เดี๋ยวค่อยไปก็ได้” นั่นไง มันเริ่มแล้ว คำโปรยเสน่ห์กับดวงตาที่เหมือนจะสะกดคนมองให้หยุดนิ่งได้ “นานๆทีเราจะว่างพร้อมกัน เดี๋ยวอาทิตย์หน้าเปิดเทอม พี่ก็ต้องไปดูงานตั้งนานแน๊ะ”

“ไปแค่อาทิตย์เดียวเอง”

“นาทีเดียวก็คิดถึง”

“อ....เอาจริงเหรอ”

ไม่มีเสียงตอบ มีแค่การพยักหน้าเบาๆ

“งั้นชาขอไปแปรงฟันก่อนได้.....”

จบเลย

จบการสนทนาและข้ออ้างใดๆ

ทันทีที่ริมฝีปากทั้งสองประกบกัน โลกทั้งใบก็คล้ายจะหยุดหมุนไปด้วย คำออดอ้อนแสนหวานและบรรยากาศที่แสนเป็นใจนี้ก็พาให้ช่วงเช้าของวันนี้ผ่านไปโดยที่มีแต่ผมกับพี่ตองเท่านั้น………………..

หัวข้อ: LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 7 [สิ่งดีๆ Part 2]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 11-08-2018 18:04:57
(ต่อ Part 2)



“วันนี้หน้าตาสดใสนะมึงอิชา” อิช้างเจสซี่แซ็วผมทันทีที่เจอหน้ากันที่ห้องซ้อมคณะวิทย์ “โดนยาดีมาละซิท่า”

“หุบปาก” นั่นคือคำตอบจากผม

“อิจฉาอิชาจังเลยเนาะ มีผู้งานดีอยู่ในการครอบครอง” อิเล็กคร่ำครวญ “เมื่อไหร่จะมีผู้ดีๆเข้ามาในชีวิตกูบ้างนะ”

“น้องแทนกับน้องอะตอมไงมึง” วาวา ได้โปรดอย่าติดเชื้ออิสองตัวนี้

“เออใช่” อิเล็กเห็นด้วยทันที “สองคนนี้งานดีอยู่นะ ถึงน้องอะตอมจะหน้าหวานไปหน่อยแต่กูก็ไม่ติดนะถ้าน้องเค้าจะมาชอบกู”

“งั้นกูจองน้องแทนนะ ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้ หล๊อหล่อ เท๊เท่ แถมมีดีกรีเป็นนักเรียนญี่ปุ่นด้วยอ่ะ อยากเป็นแม่บ้านญี่ปุ่นขึ้นมาทันทีเลย”

“พวกมึงจะจองใครก็จองไป” อิช้างเริ่มแสดงอิทธิฤทธิ์บ้าง “แต่ห้ามยุ่งกับน้องโซนิคของกูเด็ดขาด”

“โซนิคไหนอ่ะมึง” วาวาถาม

“โอ๊ยยยย อิชะนีตกข่าว” อิเล็กต่อว่าเพื่อน “แรร์ไอเท็มจากคณะสังคมปีนี้ไง ได้ข่าวว่าหล่อจนแผ่นดินไหว เป็นนักกีฬาว่ายน้ำด้วย แซ่บลื๊มมม ตัวเก็งเดือนมหาลัยปีนี้เชียวนะ”

“โอ้โห อิช้าง หวังสูงไปไหมมึงอ่ะ”

“แหม ว่าแต่กูนะอิวาวา น้องแทนของมึงก็ตัวเก็งเหมือนกันนั่นแหละ แต่ใครจะไปรู้ ต้อมกับน้ำขิงก็สร้างตำนานรักระหว่างเดือนมหาลัยกับบั๊ดดี้มาแล้ว ทำไมกูจะมีกับเขาบ้างไม่ได้”

“กูไม่หวังสูงอย่างพวกมึงหรอก ขอแค่หนึ่งในเจ้าชายก็พอ” อิเล็กชูคอ “มึงว่าน้องอะตอมจะชอบแบบกูไหม”

“ตื่นนน!!!” ผมไม่ทนฟังอีกต่อไปแล้ว “ออกมาจากจินตนาการกันได้แล้ว นี่กูชวนพวกมึงมาดูเตรียมเนื้อหาก่อนเรียนนะ ไม่ใช่ให้มาพูดเพ้อเจ้อ ช่วยอยู่กับความจริงตรงหน้าด้วย”

“โอ๊ย อิชา” อิช้างโวยวาย “แสร้งทำเป็นเออ-ออกับพวกกูไปก่อนไม่ได้หรือไง”

“อย่างอิชาจะไปเห็นใจอะไรพวกเรา ก็มันเอาพี่ตองไปกินคนเดียวแล้วนิ”

“อิช้าง อิเล็ก ถ้าพวกมึงยังไม่หยุดพูดนะ....”

“โอเคค่ะซังกุงสูงสุด” อิเล็กรีบตัดบท “เรามาอ่านหนังสือกันดีกว่า หยุดเพ้อเจ้อ พวกมึงสองคนก็เลิกพูดได้แล้ว”

“ค่ะ” อิช้างกับวาวาประชดอิเล็กอย่างกับซ้อมมา พวกมึงควรเลิกดูซิทคอมกันได้แล้วนะ จังหวะตบมุกเก่ามากเลย

“แต่เดี๋ยวก่อน” อิช้างยังมีเรื่องอยากพูด “อ่านหนังสือเสร็จแล้วไปห้องซ้อมคณะสังคมได้ไหม กูอยากไปหาน้องโซนิคของกู”

“อิช้าง” นี่มึงจะถ่วงเวลาไปถึงไหน

“กูล้อเล่น กูจะเอาโครงการซ้อมลีดของคณะเราให้มึงดูต่างหากล่ะ อะนี่”

“เขียนเสร็จแล้วเหรอ” เร็วดีแฮะ ผมรับร่างโครงการมาดู

“แน่นอนซิ กูสามคนเป็นใครให้มันรู้ซะบ้าง”

“เออ มึงสามคนเก่งมากกกก แค่เพ้อเจ้อไปหน่อยเท่านั้นเอง”

“ค่ะ เพ้อเจ้อก็เพ้อเจ้อ แต่.... ไปห้องซ้อมคณะสังคมไม่ได้จริงๆเหรอ” ดูความวอแวของมันซิ

“อ่ะๆๆ ไปก็ไป ถือว่าพวกมึงทำงานดี แต่พวกมึงต้องเตรียมเนื้อหาของเทอมนี้ให้เสร็จก่อนนะ” ผมก็พูดไปงั้นแหละ ที่จริงแล้วก็กะจะเข้าไปหาไอ้ข้าวกับน้องปีหนึ่งพวกนั้นอยู่แล้ว

“ว๊ายยยย นายแม่ใจดีที่สุดเลย ขอกอดหน่อยนะ”

โถมเข้ามากอดกูเนียไม่ดูรูปร่างมึงเลยนะอิช้าง

“กูไปด้วย” “กูด้วย” แล้วอิเล็กกับวาวาก็โถมเข้ามากอดผมเช่นกัน

“พอได้แล้วพวกมึงนิ” ผมพยายามหลุดออกมาจากสัมภเวสีทั้งสามตัว “รีบอ่านหนังสือ อยากไปคณะสังคมเร็วๆไม่ใช่หรือไง”

“อ่านหนังสือๆๆ” คึกเชียวนะ



นี่แหละครับ หนึ่งในหลายๆสาเหตุที่ทำให้ผมไม่มีเวลาว่างมากนักในช่วงใกล้เปิดเทอมอย่างนี้ นอกจากการรับงานนอกมหาวิทยาลัย และการเตรียมตัวสำหรับกิจกรรมห้องเชียร์ เรื่องการเรียนก็เป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่จะขาดไปเสียไม่ได้ ผมให้ความสำคัญกับมันถึงขนาดที่ว่าต้องเขียนลงไว้ในสมุดตารางเวลา

การเตรียมเนื้อหาเป็นไปอย่างราบรื่น ส่วนใหญ่ก็เป็นแค่การทำความเข้าใจกับเนื้อหาอย่างกว้างๆไปก่อนเพื่อทำให้เห็นขอบเขตของสิ่งที่จะต้องเรียน ถึงแม้ผมจะถูกใครๆเรียกว่าเป็นอัจฉริยะ แต่ผมไม่เคยประมาท ผมไม่เคยมีความคิดว่าเพราะเราถนัดจึงไม่จำเป็นต้องตั้งใจเรียนหรืออ่านหนังสือ ไม่มีใครเก่งได้ตลอดไปโดยไม่พยายามหรอก อันนี้ผมบอกไว้เป็นเคล็ดลับเลยนะ ถ้าเราอยากจะเป็นคนเก่ง สิ่งสำคัญก็คือต้องคิดอย่างที่คนเก่งคิด ทำอย่างที่คนเก่งทำ จะเรียกว่าเป็นการสะกดจิตตัวเองก็ได้ นี่แหละเคล็ดลับสำคัญที่ผมใช้สอนพี่ตองจนพี่เค้าขึ้นมาอยู่ในจุดดีเยี่ยมได้

พูดถึงพี่ตองแล้วก็แอบใจหายเหมือนกันแฮะ ถึงผมจะเป็นคนยุให้พี่ต้องไปดูงานต่างประเทศเอง แต่ตัวผมเองนี่แหละที่รู้สึกหดหู่ลึกๆ จู่ๆพี่ตองก็จะหายไปจากชีวิตตั้งเป็นสัปดาห์ ผมคงเหงาน่าดูเลย

เลิกคิดๆ ยิ่งคิดยิ่งเศร้า เอาเป็นว่าตั้งใจอ่านหนังสือดีกว่า แล้วก็ต้องตรวจร่างโครงการอีก ทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก่อน……





#เสียงโทรศัพท์



“ฮัลโหลพี่ตอง” พี่ตองนั่นเองที่โทรมาในเวลาเกือบห้าโมงเย็น

“ชาครับ พี่ต้องไปคุยเรื่องเดินทางไปดูงานที่คณะวิศวะอีกแล้ว ชาเสร็จธุระหรือยัง พี่จะได้ไปรับก่อน”

“พี่ตองไปคุยธุระก่อนก็ได้ เดี๋ยวชาว่าจะเข้าไปดูการฝึกของไอ้ข้าวซะหน่อย ชาไปรอที่คณะสังคมก็ได้”

“เอางั้นเหรอ”

“เอาตามนี้แหละ เย็นนี้ชาว่าจะเข้าไปช่วยไอ้ข้าวสอนน้องๆ”

“โอเคครับ ถ้าเสร็จแล้วก็โทรหาพี่นะ”

“ได้ครับ”

ผมกดวางสาย



“ไปคณะสังคมกันนนน” คึกเกินไปแล้วนะมึงอิช้าง



พวกเราเดินทางไปที่ห้องซ้อมของคณะสังคมศาสตร์ตามแผนที่วางไว้ แต่......



“อ้าว หายไปไหนกันหมดอ่ะ” ผมถาม ก็เมื่อเปิดประตูห้องซ้อมเข้าไป เห็นแต่โซนิคยืนอยู่คนเดียว

“พี่น้ำชา” โซนิคตาลุกวาวที่เห็นผม

“สรุปว่าหายไปไหนกันหมด” ผมถามอีกครั้ง

“นี่อะเหรอน้องโซนิค เนื้อโคขุนเกรดเอชัดๆ” อิสามใบเถา อย่าเพิ่งสะดีดสะดิ้งกันได้ไหม

“พี่ข้าวเจ้ากำลังมาครับ” โซนิคตอบ “ส่วนอีกสองคนไม่รู้ว่าหายไปไหนเหมือนกัน”

สองคน? อ๋อ อะตอมกับแทนซินะ

“เออใช่ กูลืมบอกไป” อิเจสซี่พูดแทรก “น้องสอนคนติดธุระต้องออกไปดูพื้นที่หรืออะไรสักอย่างนี่แหละ เห็นบอกว่าแผนกฉุกเฉินนัดไว้”

“แล้วจะมาฝึกหรือเปล่า”

“มาๆ แต่น่าจะหลังสองทุ่ม”

“โอเค” ผมหันกลับไปหาโซนิคเพราะมีบางอย่างสงสัยอยากถาม “แล้วทำไมน้องมาอยู่ตรงนี้ ถ้าพี่ข้าวเจ้าไม่อยู่ แสดงว่าก็ต้องออกไปทำงานข้างนอกละซิ ซึ่งนั่นหมายความว่าพี่ขนมปังกำลังออกไปทำงานโดยที่น้องไม่ได้ช่วยอยู่”

“เอ่อ คือ....” อะไรคือการนิ่งคิด

“พี่หวังว่าจะไม่ได้ยินอะไรที่เกี่ยวกับการละเลยคำสั่งจากน้องอีกนะ” ผมเริ่มขู่

“ผ...ผมเพิ่งกลับมาจาก...”



“ได้ๆ เดี๋ยวเราบอกน้องให้” จู่ๆก็มีเสียงหนึ่งเข้ามา ผมหันไปหาคนมาใหม่ ขนมปังนั่นเอง “ว...หวัดดีน้ำชา หวัดดีทุกคน” เจ้าตัวทักทาย

“ช่วยบอกเราหน่อยได้ไหมว่าทำไมโซนิคอยู่ตรงนี้ แต่ขนมปังเพิ่งจะเข้ามาในห้อง” ผมเปิดประเด็นถามผู้มาใหม่ทันที “น้องละเลยต่อหน้าที่ ไม่ไปช่วยงานขนมปังอีกแล้วใช่ไหม”

“ป...เปล่า ไม่ใช่อย่างนั้น คือเราให้น้องไปเอา.... เครื่องสำอางมาให้น่ะ วันนี้ข้าวเจ้าบอกว่าจะมีสอนน้องๆแต่งหน้า”

“นี่ขนมปังไม่ได้กำลังโกหกเราอยู่ใช่ไหม” คิดเหรอว่ากูดูไม่ออก

“ป...เปล่านะ เราให้น้องไปเอาเครื่อง...”



“ผมไปสระว่ายน้ำมาครับ” แล้วไอ้น้องโซนิคก็ตะโกนผ่ากลางปล้องขึ้นมา แต่เมื่อกี๊ได้ยินว่าไปไหนมานะ “ผมไม่ได้ไปเอาเครื่องสำอางมาหรอกครับ ผมไปซ้อมว่ายน้ำมา”

“คุณ...”

“ไม่ต้องโกหกแทนผมหรอกพี่” โซนิคยืนกรานที่จะพูดในสิ่งที่ตนอยากพูด แม้จะดูเหมือนว่าขนมปังกำลังพยายามจะอธิบายความให้เป็นอื่นก็ตาม แถมเจ้าตัวยังเอาตัวเองเข้ามายืนขวางระหว่างผมกับขนมปังไว้ นี่คิดว่ากูจะกระโจนเข้าไปทำร้ายเพื่อนหรือไง “ผมทิ้งงานผู้ช่วยพี่ขนมปังไปสองชั่วโมงครับ เพื่อไปซ้อมว่ายน้ำ”

“นั่นอยู่ในข้อตกลงของเราด้วยเหรอ” ในเมื่อน้องมันกล้าพูดตรง ผมก็กล้าถามตรงเหมือนกัน

“ก็....ไม่มีหรอกครับ” นั่นคือการสารภาพซินะ

“น...น้ำชา” ขนมปังกล้าๆกลัวๆที่จะพูดกับผม ผมว่าผมเคยเห็นภาพนี้มาก่อนนะ ไอ้การพูดโดยหลบอยู่ข้างหลังแบบนี้ แต่ครั้งนี้เจ้าคนพูดเลือกที่จะหลบอยู่ข้างหลังของคนที่เคยขู่ตัวเองมาก่อน “คือว่า...เราเป็นคนให้น้องไปซ้อมเองแหละ อันนี้พูดจริงนะ ไม่ได้โกหก อีกไม่กี่วันจะมีการคัดตัวนักกีฬาว่ายน้ำ เราก็เลยอนุญาตให้น้องไปซ้อมช่วงบ่ายสามถึงห้าโมงเย็น ต...แต่ว่าเวลาที่เหลือน้องก็ช่วยงานเราตามที่น้ำชาสั่งทุกอย่างนะ ไปรับไปส่ง แล้วก็ทำงานได้ดีหมดเลย”

อ๋อออออ นี่คือเหตุผลทั้งหมดเหรอ

“แล้วสรุปว่าจะเอาดีทางไหนกันแน่” ผมหันกลับไปคุยกับโซนิคต่อ “จะเป็นผู้นำเชียร์หรือนักกีฬาว่ายน้ำ”

“ทั้งสองอย่างครับ” ตอบเร็วเชียว อย่างกับว่ารู้อยู่แล้วว่าต้องโดนถามแบบนี้ “พี่น้ำชายังสามารถเป็นลีดและเรียนเก่งไปพร้อมๆกันได้เลย ผมเองก็ต้องทำได้เหมือนกัน”

“ขอบใจที่ชม แต่แบบนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆนะ ที่คนเราจะทำได้ดีทั้งสองอย่าง”

“ถ้าแต่ก่อนผมอาจจะทำไม่ได้ แต่ตอนนี้ผมมีพี่ขนมปังช่วยสอนเกี่ยวกับการแบ่งเวลาให้ เพราะงั้น... ผมทำได้ครับ”

“..........” แอบทึ่งเหมือนกันแฮะ แค่วันสองวัน เด็กคนนี้กลับได้เรียนรู้อะไรมาเยอะเลย “ก็ได้ พี่อนุญาตให้ไปซ้อมกีฬาก็ได้ แต่ต้องไม่มีเหตุผลอื่นอีกแล้วนะ งานที่ต้องช่วยพี่ขนมปังก็ต้องตั้งใจทำเหมือนเดิม”

“ขอบคุณครับพี่” โซนิคถอนหายใจแสดงถึงความโล่งอกอย่างชัดเจน แสดงว่าเมื่อกี๊ทำใจดีสู้เสืออยู่ซินะ



“น้องโซนิคคะ ถ้าจัดการเวลาไม่ได้ ให้พี่ช่วยก็ได้นะ” เมื่อเห็นว่าบรรยากาศสงบลง อิช้างก็อาศัยจังหวะนี้เข้าชาร์ตไอ้น้องโซนิคทันที “น้องจะได้ทำหลายอย่างเลย ซ้อมลีดซ้อมกีฬา มีเวลาเหลือเยอะแยะ หรือถ้ายุ่งมากๆเดี๋ยวพี่จัดหาอาหารการกินไว้ให้ด้วยก็ได้ สนใจไหมคะ”

“ม...ไม่เป็นไรดีกว่าครับ” สมน้ำหน้าอิช้าง โดนน้องปฏิเสธแบบไม่เหลือเยื้อใยเลย “ผมมีพี่ขนมปังคอยช่วยแล้วครับ”

“แต่พี่เก่งกว่าขนมปังอีกนะ ขนมปังงานเยอะแล้ว ให้พี่ช่วยดูแลน้องโซนิคเถอะ” ยังจะพยายามอีก มึงนี่มันหน้าด้านจริงๆ



“อิช้าง” ผมเรียก “กูก็งานเยอะเหมือนกัน ไม่ต้องใจบุญไปดูแลคนเพิ่มอีกหรอก กลับมานี่เลยมึงอ่ะ”

“แต่...”

“ไปนั่งอยู่ข้างห้องเลย” ผมย้ำ “อิเล็ก วาวา มึงสองคนก็ด้วย จ้องน้องเยอะไปแล้วนะ น้องไม่ใช่กระดูกนะ มาทำลิ้นห้อยกันอยู่ได้ ไปนั่งข้างๆห้องโน่นเลย ไม่งั้นเดี๋ยวกูให้ออกไปนั่งรอข้างนอกนะ”

“มึงอ่ะ” ไม่ต้องมาทำเป็นตัวเล็กต่อหน้าผู้ชายเลย ไปนั่งสงบจิตสงบใจที่มุมห้องกันให้หมดเลยไป



จากนั้นอิเพื่อนสามตัวของผมก็เคลื่อนย้ายตัวเองไปนั่งที่ข้างห้อง แต่ก็ยังไม่วายจ้องมองโซนิคตาเป็นมันเหมือนเดิม



“แล้วข้าวเจ้าจะเข้ามาตอนไหนอ่ะขนมปัง” ผมกลับมาเข้าสู่สาระอีกครั้ง

“กำลังเข้ามา แต่อาจจะช้าหน่อยนะ” ขนมปังตอบ “ข้าวเจ้าเอาอาหารเย็นไปให้สุ่ยที่สตูดิโอถ่ายแบบ”

เอิ่มมมมม ไม่ต้องอธิบายละเอียดขนาดนั้นก็ได้นะขนมปัง ซื่อจริงๆ

“งั้นโทรบอกข้าวเจ้าเลยว่าไม่ต้องรีบ” ผมบอก “เดี๋ยวเราสอนให้ก่อน”

“พ...พี่น้ำชาจะสอนผมเหรอ” ต้องร้องดีใจขนาดนั้นเลย

“พี่ก็เป็นลีดมอเหมือนกัน ทำไมจะสอนไม่ได้ล่ะ” ผมอธิบาย

“งั้นมาเริ่มกันเลยไหมครับ”

“อ...โอเค” จะกระตือรือร้นไปไหมน้อง

“ขนมปังเราขอเครื่องสำอางหน่อย”

“โอเค” ขนมปังรีบวิ่งไปหยิบเครื่องสำอางมาให้ผม



จากนั้นผมกับโซนิคก็มานั่งหันหน้าเข้ากระจกห้องซ้อมกันทั้งคู่ เพื่อเริ่มหลักสูตรการแต่งหน้า ส่วนขนมปังก็เดินไปนั่งที่ข้างห้องกับเพื่อนของผม พวกบั๊ดดี้ของผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัยรู้จักกันหมดอยู่แล้ว คงพอจะปล่อยให้อยู่ด้วยกันได้อยู่



“พี่น้ำชาครับ” จู่ๆโซนิคก็เรียกผม เรียกว่ากระซิบกับผมดีกว่า

“ว่าไง” นี่ยังไม่ทันจะเริ่มสอนเลยนะ มีข้อสงสัยแล้วเหรอ

“จะว่าอะไรไหมครับ ถ้าผมจะ.......









..........ขอเบอร์โทรศัพท์หน่อย”
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER ภาค 2 [เชียร์ฝันสนั่นหัวใจ] - ตอนที่ 7 : สื่งดีๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 11-08-2018 22:01:19
สนุก  ชอบบบบบ   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
.
น้ำชา เก่งรอบตัวจริงๆ   :hao3:
โซนิค ชื่นชอบน้ำชาแบบไอด้อล
แล้วจะรู้เองว่าคนที่ใช่น่ะคือใคร  :impress2:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 8 [ความลับ Part 1]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 12-08-2018 22:58:34
​ตอนที่ 8 : ความลับ









ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ใครมันมาเคาะห้องน้ำของกูฟร่ะ ดูไม่ออกหรือไงว่ามีคนใช้ห้องนี้อยู่ ห้องอื่นมีเยอะแยะ



“미안해요...(ขอโทษทีครับ....)”

“นี่พี่เอง”

หึ! พูดภาษาไทยและน้ำเสียงแบบนี้ นี่มัน....

“พี่ท๊อปเหรอ?” ผมถามทันที จริงๆก็พอจะเดาได้แหละ คนที่พูดไทยได้ในตึกนี้ก็มีแค่ผมกับพี่ท๊อปเท่านั้น

“ครับ” พี่ท๊อปตอบกลับ แต่ผมเพิ่งจะรู้ตัวว่าเสียงเคาะเมื่อกี๊ไม่ได้มาจากประตูหน้าห้องน้ำ แต่มาจากผนังที่กั้นระหว่างห้องน้ำของผมกับห้องข้างๆซึ่งมีพี่ท๊อปพูดอยู่

“มีอะไรสำคัญหรือเปล่า พี่รู้ใช่ไหมว่าเอเจนซี่ห้ามเราสองคนใช้ภาษาไทยที่นี่”

“พี่รู้ครับ”

“แล้วก็ที่สำคัญ เราสองคนไม่ควรทำตัวสนิทสนมกันมากนะเวลาอยู่ที่นี่ ไม่งั้น...”

“พี่รู้แล้วครับว่าอาจจะทำให้คนที่นี่จับได้เกี่ยวกับความสัมพันธ์แล้วเรา”

คำพูดที่ได้ฟังเสมือนการถูกค้อนทุบหัวแรงๆ ถึงแม้นี่จะเป็นข้อตกลงที่ผมขอร้องพี่ท๊อปไว้ แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่อยากจะยอมรับและฟังมากนัก

“พี่ท๊อป...” ผมเสียอ่อน “บุ๋นรู้ว่าพี่ท๊อปอึดอัด แต่ก็อย่างที่เราเคยคุยกันไว้ พี่ท๊อปมีสิทธิ์ที่จะได้เดบิวท์สูง บุ๋นไม่อยากให้เรื่องของเราเป็นเหตุให้พี่เสียอนาคตไป บุ๋น.... ขอโทษนะ แต่บุ๋นมาทีหลังการเป็นศิลปินฝึกหัดของพี่เป็นปีๆ บุ๋นคงรู้สึกแย่ ถ้าการเข้ามาของบุ๋นทำให้โอกาสที่ดีในชีวิตของพี่หายไป”

“พี่เข้าใจครับ” เข้าใจจริงเหรอ ทำไมน้ำเสียงเศร้าจัง “แต่พี่แค่อยากจะมาบอกบุ๋นว่า เพลงที่พี่จะเลือกร้องในรอบสุดท้ายวันนี้ พี่ร้องให้บุ๋นนะครับ วันนี้เป็นรอบสุดท้ายแล้ว ถ้าผลการตัดสินออกมา ไม่ว่าพี่จะได้เดบิวท์หรือไม่ได้ แต่พี่ก็ทำเพราะมีบุ๋นอยู่ข้างๆ ขอบคุณนะครับที่เป็นแฟนกัน ถึงจะไม่มีใครรู้ก็ตาม”

“พี่...”



“나는 정말로 흥분한다…”

ชิบหายล่ะมีคนเข้ามาในห้องน้ำ



การสนทนาระหว่างผมกับพี่ท๊อปเงียบไปทันที

ระหว่างที่รอบุคคลที่เข้ามารบกวนการ(แอบ)สนทนาของผมกับพี่ท๊อปอยู่นั้น ในหัวของผมก็คิดวนซ้ำเรื่องความรักในความลับของผมกับพี่เขา ทุกครั้งที่เดินทางมาเกาหลีจะเป็นเหมือนอีกโลกหนึ่ง

หลายคนคงคิดว่าชีวิตรักของผมกับพี่ท๊อปน่าอิจฉาละซิ ได้อยู่ด้วยกันตลอด ได้มีโอกาสทำงานคล้ายๆกัน แถมเป็นงานที่อนาคตไกลอีกต่างหาก แต่นั่นไม่จริงเลย เราต้องทำเหมือนรู้จักแต่ไม่สนิทกัน ทำเป็นว่าจริงจังกับการซ้อมทั้งที่อยากมีเวลาอยู่ด้วยกันบ้าง เรื่องการซ้อมเต้น ร้องเพลง และการออกกำลังที่ว่าหนัก ยังเทียบไม่ได้กับความรู้สึกหนักอึ้งที่อยู่ในใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา ผมกับพี่ท๊อปเดินทางมาอยู่ยาวที่นี่ตั้งแต่ปิดเทอมจนกระทั่งตอนนี้ที่ภาคเรียนกำลังจะเปิด อาจจะมีเปิดทางกลับไปบ้างตามโอกาสสำคัญ อย่างเช่น พี่ท๊อปต้องกลับไปเตรียมทำงานวิจัยสำหรับเรียนจบ หรือผมที่ต้องกลับไปมอบหมายงานด้านผู้นำเชียร์ของคณะวิทยาศาสตร์ให้กับน้องๆรุ่นต่อไป ซึ่งนั้นก็ทำให้เราแทบไม่เหลือเวลาให้กันเลย ซ้ำร้ายพี่ท๊อปยังถูกจับแยกไปอยู่หอพักอีกทีหนึ่ง นั่นก็เพราะตอนนี้พี่เขาอยู่ในโปรเจ็คคัดเลือกบุคคลที่มีสิทธิ์จะได้เป็นศิลปินจริงๆ ต้องเข้าพักกับพวกที่อาจจะผ่านการตัดตัวเหมือนกัน

และวันนี้คือวันสุดท้ายที่พี่ท๊อปและเหล่าเด็กฝึกหัดซึ่งเข้าทดสอบโปรเจ็คเพื่อเดบิวท์เป็นศิลปินกลุ่ม ต้องมาแสดงความสามารถที่เป็นจุดแข็งของตัวเองผ่านการแสดงที่ดีที่สุด และหากทำการแสดงออกมาเข้าตาผู้บริหารก็จะได้เข้าสู่กระบวนการการเป็นศิลปินกลุ่มที่แท้จริง



“..................” เสียงข้างนอกเงียบลงแล้ว



“บุ๋นครับ” พี่ท๊อปเรียกผมอีกครั้ง

“ครับ” ผมตอบอย่างเศร้าใจ ผมไม่ได้เศร้าที่ไม่ได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมโปรเจ็คเดบิวท์นะ (ถึงมันจะเป็นความคาดหวังของศิลปินฝึกหัดทุกคนก็เถอะ) แต่ผมเศร้าที่ความสัมพันธ์ของผมกับพี่ท๊อปมันยากลำบากแบบนี้ ก่อนเคยคิดว่าทุกอย่างกำลังไปได้สวยแล้วเชียว พ่อก็รักพี่ท๊อปมากขึ้นทุกวันๆ แต่กลายเป็นตัวผมเองที่ต้องพยายามลดความสัมพันธ์กับพี่เขาลงทุกวันๆ

“รอฟังเพลงจากพี่ด้วยนะครับ”

“บุ๋นฟังแน่นอนอยู่แล้วครับ.... เอ่อ พี่ท๊อป”

“ครับ”

“Fighting นะ”

“ขอบคุณนะครับ”

แล้วจากนั้นผมก็ได้ยินเสียงพี่ท๊อปเปิดประตูห้องน้ำออกไป



ผมตามออกมาหลังจากนั้นสักพัก แล้วจึงเข้าไปยังสเตเดี้ยมซึ่งอยู่ที่ชั้นใต้ดินของบริษัท ศิลปินฝึกหัดทุกคนของบริษัทที่ผมฝึกอยู่นี้ได้รับสิทธิ์ให้มาชมการแสดงจากคนที่มีสิทธิ์ได้เดบิวท์ แต่ไม่มีสิทธิ์ให้คะแนนหรือร่วมตัดสินแต่อย่างใด มีแค่พวกผู้บริหารเท่านั้นที่จะได้ทำอย่างนั้น

หลังจากนั่งรออยู่กว่าหนึ่งชั่วโมง ไฟจากบนเวทีก็เริ่มสาดแสง อันเป็นสัญญาณว่าการแสดงชุดสุดท้ายของผู้เข้ารอบแต่ละคนกำลังจะเริ่มขึ้น มีพิธีกรเป็นศิลปินที่เคยฝึกในค่ายมาช่วยสร้างความตื่นเต้นให้กับการตัดสิน แสงสีเสียงถูกจัดเตรียมมาเป็นอย่างดีเพื่อความระทึกใจ แต่สำหรับผมไม่มีอะไรที่สามารถทำให้ใจเต้นได้เลย นอกจาก...พี่ท๊อปเท่านั้น

หลายคนเลือกการเต้นหรือร้องพร้อมเต้นมาแสดง นั่นเพราะการเต้นเป็นเอกลักษณ์สำคัญของศิลปินไอด้อลที่นี่ แต่ไม่ใช่กับพี่ท๊อป ต่อให้เราไม่ค่อยมีเวลาได้คุยกัน ผมก็พอจะเดาได้ว่าพี่ท๊อปจะเลือกการร้องเพลงมาแสดงในวันนี้ ไม่ใช่ว่าพี่เขาเต้นไม่เก่งนะ แต่ยอมรับเถอะ นอกจากใบหน้าที่หล่อสะดุดตาสาวเกาหลีแล้ว พี่ท๊อปยังมีน้ำเสียงที่ไพเราะเป็นเอกลักษณ์ซึ่งหาได้ยากมากในเด็กฝึกหัดต่างชาติ

ส่วนผมอ่ะเหรอ ร้องแค่พอใช้ได้ เต้นแค่พอไม่เพี้ยนจากคนอื่นๆ อาจจะมีได้รับการชมบ้างเวลาที่ฝึกแร็ป แต่ก็ยังห่างจากความเป็นจริงอยู่มาก ที่สำคัญคือภาษาเกาหลีของผมยังไม่แข็งแรงมากนัก อาจจะต้องใช้เวลาอีกสักพัก พวกครูที่นี่มักจะบอกว่าผมอาจจะเป็นคนที่สำคัญที่สุดถ้าได้เดบิวท์เป็นวงเพราะสามารถทำได้ทุกอย่าง สามารถซับพอร์ตทีมได้ แต่ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ ภาษายังเป็นอุปสรรคของผมอยู่ ก็พอฟังได้แล้ว แต่ยังพูดไม่คล่องปากนัก



“....십삼 세 TOP”

มาแล้วววววว

ในที่สุดพี่ท๊อปก็ถูกพิธีกรประกาศให้ทำการแสดงในลำดับคนที่สิบสาม



พี่ท๊อปเดินขึ้นเวทีพร้อมกีต้าร์หนึ่งตัว ท่ามกลางความตื่นเต้นและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้ชมนั้น ก็มีชั่วอึดใจหนึ่งที่สายตาของพี่ท๊อปได้มองเห็นผมที่นั่งอยู่ในเงามืดๆด้านท้ายของสเตเดี้ยม

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าเราทั้งสองอย่างห้ามไม่ได้

และจากนั้นเสียงบรรเลงผ่านการเกากีต้าร์ของพี่ท๊อปก็เริ่มดังขึ้นอย่างอ่อนละมุน......



.......นี่มัน.....เพลงที่ผมชอบเวลาว่างนี่นา พี่ท๊อปคงไม่บังเอิญว่ารู้นะ



When your legs don’t work like they used to before

(เมื่อขาทั้งสองของคุณไม่สามารถใช้งานได้ดีเท่าเดิม)

And I can’t sweep you off of your feet

(และผมไม่สามารถทำให้คุณตกหลุมรักผมได้อีกแล้ว)

Will your mouth still remember the taste of my love?

(ริมฝีปากของคุณจะยังคงจดจำรสชาติความรักของผมได้อยู่ไหม)

Will your eyes still smile from your cheeks?

(ดวงตาของคุณจะส่งยิ้มความคู่กับใบหน้าของคุณได้ไหม)



And, darling, I will be loving you ’til we’re 70

(ที่รัก ผมจะยังคงรักคุณตลอดไป แม้ว่าเราจะอายุล่วงเลยถึง 70)

And, baby, my heart could still fall as hard at 22

(ที่รัก หัวใจดวงนี้ของผมยังคงเป็นของคุณเสมอ และยังมั่นคงเหมือนตอนอายุ 22)

And I’m thinking ’bout how people fall in love in mysterious ways

(และผมได้ครุ่นคิดว่า เหล่าผู้คนต่างตกหลุมรักกันในวิธีที่น่าพิศวงนี้ได้อย่างไร)

Maybe just the touch of a hand

(บางทีอาจเพียงแค่การแตะมือกัน)

Well, me—I fall in love with you every single day

(อย่างไรก็ดี สำหรับผมนั้น ผมตกหลุมรักคุณทุกเมื่อเชื่อวัน)

And I just wanna tell you I am (และผมเพียงต้องการที่จะบอกคุณ ผมตกหลุมรักคุณนะ)

*So honey now

(ดังนั้น ที่รัก ในช่วงวินาทีนี้)

Take me into your loving arms

(โปรดนำพาผมไปสู่อ้อมแขนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักของคุณ)

Kiss me under the light of a thousand stars

(จุมพิตผมภายใต้แสงสว่างของดวงดาวนับพัน)

Place your head on my beating heart

(ซบหัวของคุณมาตรงจุดที่หัวใจของผมกำลังเต้นอยู่)

I’m thinking out loud

(ผมกำลังคิดออกมาดัง ๆ)

That maybe we found love first  where we met

(ว่าบางทีเราอาจพบรักตั้งแต่สถานที่แรกที่เราพบกัน)

When my hair’s all but gone and my memory fades

(แม้ว่าเส้นผมของผมร่วงโรยไปหมด และความทรงจำเลือนหายไป)

And the crowds don’t remember my name

(ทั้งเหล่าผู้คนไม่สามารถนึกชื่อของผมออก ได้อีกแล้ว)

When my hands don’t play the strings the same way

(หรือเมื่อมือคู่นี้ ไม่สามารถเล่นกีตาร์ได้เหมือนเคย)

I know you will still love me the same (แต่ผมรู้ดีว่า คุณจะยังรักผมเหมือนเช่นเดิม)

‘Cause honey your soul could never grow old, it’s evergreen

(ที่รัก… เพราะว่าวิญญาณของคุณจะไม่มีวันแก่ จะยังคงอ่อนเยาว์ตลอดกาล)

And, baby, your smile’s forever in my mind and memory

(และ ที่รัก… รอยยิ้มของคุณจะคงอยู่ในใจและความทรงจำผมตลอดไป)

I’m thinking ’bout how people fall in love in mysterious ways

(ผมได้ครุ่นคิดว่า เหล่าผู้คนต่างตกหลุมรักกันในวิธีที่น่าพิศวงนี้ได้อย่างไร)

Maybe it’s all part of a plan

(บางที มันอาจเป็นทุก ๆ ส่วนประกอบของแผนการก็ได้)

Well, We’ll just keep on making the some mistakes

(แต่ก็นะ เราจะทำผิดพลาดแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ)

Don’t worry l ever understand

(ไม่ต้องกังวล ผมเข้าใจได้เสมอ)

*So baby now

(ดังนั้น ที่รัก ในช่วงวินาทีนี้)

Take me into your loving arms

(โปรดนำพาผมไปสู่อ้อมแขนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักของคุณ)

Kiss me under the light of a thousand stars

(จุมพิตผมภายใต้แสงสว่างของดวงดาวนับพัน)

Place your head on my beating heart

(ซบหัวของคุณมาตรงจุดที่หัวใจของผมกำลังเต้นอยู่)

I’m thinking out loud

(ผมกำลังคิดออกมาดัง ๆ)

That maybe we found love first  where we met

(ว่าบางทีเราอาจพบรักตั้งแต่สถานที่แรกที่เราพบกัน)

*So baby now

(ดังนั้น ที่รัก ในช่วงวินาทีนี้)

Take me into your loving arms

(โปรดนำพาผมไปสู่อ้อมแขนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักของคุณ)

Kiss me under the light of a thousand stars

(จุมพิตผมภายใต้แสงสว่างของดวงดาวนับพัน)

Oh, darling, place your head on my beating heart

(โอ้ ที่รัก… โปรดซบหัวของคุณมาตรงจุดที่หัวใจของผมกำลังเต้นอยู่)

I’m thinking out loud

(ผมกำลังคิดออกมาดัง ๆ)

That maybe we found love first  where we met

(ว่าบางทีเราอาจพบรักตั้งแต่สถานที่แรกที่เราพบกัน)

Oh, baby, we found love first  where we met

(โอ้ ที่รัก… เราอาจพบรักตั้งแต่สถานที่แรกที่เราพบกัน)

And I found love first ‘cause you are…

(และผมพบรักครั้งแรกด้วยสิ่งที่คุณเป็น…)





..............................มีเสียงปรบมือดังขึ้นมามากมายหลังการร้องเพลงสิ้นสุดลง ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน



ผมพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ให้ใครเห็นว่าผมกำลังน้ำตาไหลออกมา อาจจะมีบางคนที่ร้องไห้ให้กับเพลงและน้ำเสียงที่ไพเราะนี้ แต่สำหรับผมที่ฟังเพลงนี้มาเป็นร้อยๆรอบ หรือแม้แต่ใครก็ตามที่เคยฟังเพลง Thinking Out Loud มาก่อน ก็คงบอกได้ว่านี่ไม่ใช่เวอร์ชั่นต้นฉนับ มันคือเวอร์ชั่นที่พี่ท๊อปเปลี่ยนเนื้อร้องบางส่วน เท่าที่พอจะจับได้ก็อย่างเช่น......

my heart could still fall as hard at 22

(หัวใจดวงนี้ของผมยังคงเป็นของคุณเสมอ และยังมั่นคงเหมือนตอนอายุ 22),

maybe we found love first  where we met

(บางทีเราอาจพบรักตั้งแต่สถานที่แรกที่เราพบกัน),

We’ll just keep on making the some mistakes. Don’t worry l ever understand.

(เราจะทำผิดพลาดแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องกังวล ผมเข้าใจได้เสมอ)

หรือแม้กระทั่งประโยคสุดท้ายที่ร้องว่า

I found love first ‘cause you are…

(ผมพบรักครั้งแรกด้วยสิ่งที่คุณเป็น…)



เนื้อร้องพวกนี้ถูกเปลี่ยน ทั้งหมดนี้เพื่อร้องให้กับผมคนเดียวได้ฟัง ทั้งหมดเพื่อที่พี่ท๊อปจะบอกผมแค่ว่า.........









..............ยินดียอมรับในความลับของเรา



...
หัวข้อ: LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 8 [ความลับ Part 2]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 12-08-2018 23:01:19
(ต่อ Part 2)



(ในมุมของน้ำชา)



“จะว่าอะไรไหมครับ ถ้าผมจะ...ขอเบอร์โทรศัพท์หน่อย”

“จะเอาไปทำไม” นึกว่าจะพูดอะไร แค่จะขอเบอร์โทรศัพท์เนี่ยนะ นี่ยังไม่เข้าใจอีกเหรอว่ากูสอนเพลงมิ่งขวัญมึงอยู่แล้ว ไม่ต้องกังวลขนาดนั้นก็ได้ “พี่ก็เห็นความเคลื่อนไหวของน้องตลอดนั่นแหละ อย่าลืมซิว่าพี่เองก็โทรหาพี่ขนมปังตลอด”

“ไม่ใช่แบบนั้นครับ” นี่มึงไม่จำเป็นต้องกระซิบก็ได้นะ เรื่องมันไม่ได้เป็นความลับอะไรเบอร์นั้น “ผมจะเอาไว้ติดต่อกับพี่น้ำชา”

“อยากติดต่อกับพี่?”

“ครับ”

“ไม่ยากเลย ติดต่อผ่านพี่ขนมปังซิ”

“แต่...”

“เลิกพูดได้ยัง พี่จะได้เริ่มสอนซะที... เอางี้ ถ้าจะติดต่อพี่จริงๆ พี่ยังยืนยันนะว่าติดต่อผ่านพี่ขนมปัง ที่พี่ให้ทำแบบนี้ก็เพราะ ช่วงนี้น้องกับพี่ขนมปังยังต้องติดต่อประสานงานและช่วยเหลือกันบ่อยๆใช่ไหม พี่อยากให้น้องมีคอนแท็คกับพี่เขาเยอะๆ ตามนี้ โอเคนะ มาเริ่มเรียนกันดีกว่า พี่จะเริ่มจากให้น้องรู้จักเครื่องสำอางและอุปกรณ์ต่างๆที่ผู้ชายจำเป็นต้องใช้ในการแต่งหน้าก่อนนะ เอ๊ะ! เดี๋ยวนะ” ผมหันไปหาอิช้างเจสซี่ “เจสซี่ มึงโทรหาช่างตัดชุดหน่อยได้ป่ะ ถามเขาให้ทีว่าเข้ามาวัดตัวน้องสักสองสามที่นี่ได้ไหม”

“ให้มาตอนนี้เลยเหรอ” อิช้างถามผมกลับทันที

“กูอยากให้มาตอนสองทุ่มอ่ะ พอจะนัดได้ไหม อยากให้มาวัดชุดให้อะตอมกับแทนด้วย”



“กูเองๆๆๆๆ” จู่ๆอิเล็กก็ร้องขึ้นมา “กูรู้จักร้านที่บริการตอนดึก กูคุยให้เขามาได้ งานนี้เดี๋ยวกูทำให้เอง”

“โอเค” ผมตอบ แต่กูรู้จุดประสงค์มึงนะ พอเกี่ยวกับเรื่องน้องอะตอมนี่รีบเชียว อินี่ท่าทางปลื้มน้องมันจริงๆแฮะ



“งั้นเรากลับมาเรียนกันต่อดีกว่าเนาะ” ผมหันกลับมาพูดกับไอ้น้องโซนิค “ขวดนี่เรียกว่าไพรเมอร์นะ ตัวนี้จะเหมาะกับการแต่งหน้าผู้ชายเพราะช่วยเรื่องรูขุมขน....”

แล้วผมว่าต่อไปเรื่อยๆ ด้วยหลักสูตรการสอนแต่งหน้า

สมัยก่อนถ้าให้ผมมาสอนแต่งหน้าก็คงไม่รอดหรอก แต่เพราะได้รับการเรียนรู้มามาก ไม่ว่าจะจากพี่หนุง(สไตล์ของผู้นำเชียร์มหาวิทยาลัย) จากการเรียนในช่วงซ้อมของคณะ และที่สำคัญก็คือจากการลงมือแต่งหน้าจริงมานับครั้งไม่ถ้วน ผมก็ไม่ได้เต๊ะท่าว่าเป็นผู้เชียวชาญขนาดนั้นหรอก แต่ถ้าสอนแค่พอให้เข้าใจวิธีการลดจุดด้อยและโชว์จุดเด่นก็พอจะบอกได้อยู่ เอาจริงๆแล้วการแต่งหน้ามันก็แอบมีวิธีการคิดคล้ายกับกระบวนการทางคณิตศาสตร์อยู่นะ มีรูปแบบ ไม่ใช่จะลงแปรงสะเปะสะปะได้ มีหลักการวาดเชิงเรขาคณิต ก็ประยุกต์ๆความรู้ในสิ่งที่ถนัดมาใช้การความรู้ใหม่ๆ ไม่ได้ยากขนาดนั้นถ้าตั้งใจเรียนรู้

แต่ปัญหามันอยู่ที่ได้คนที่นั่งเรียนกับผมนี่แหละ สมาธิสั้นไปไหมไอ้น้อง ชอบมองหน้าผมเหม่อๆแบบคนสติหลุด เด็กคนนี้ทำให้ผมนึกถึงไอ้ต้อมสมัยที่ผมเริ่มรู้จักมันใหม่ๆเลย ชอบมองหน้าผมเป็นเหม่อๆและเหมือนมีคำถามอะไรในใจแบบนี้แหละ สมกับเป็นลูกพี่ลูกน้องกันจริงๆ ถ้าตบเกรียนบ่อยๆอาการจะหายไปเหมือนกันไหมนะ

“ฟังอยู่หรือเปล่าเนีย” ผมพูดประโยคนี้กับน้องมันบ่อยมาก นี่ถ้าไม่เกรงใจว่ายังไม่สนิทกันจะตบเกรียนให้แตกเลย



หลังจากสอนไปได้สักพักใหญ่ๆ ร้านตัดชุดก็เข้ามาที่ห้องซ้อมของคณะสังคม พร้อมกับไอ้ข้าวที่ตามมาติดๆ สำหรับการมาของสองคนนี้ ผมไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก แต่เมื่ออะตอมกับแทนตามเข้ามาหลังจากนั้นไม่นาน ผมจับสังเกตบางอย่างได้



“อะตอม” ผมเรียกคนที่ผมเห็นสิ่งไม่ปกติ

“ค...ครับ” ตกใจเกินไปหรือเปล่า

“เป็นอะไรหรือเปล่า” ผมถามทันที น้องมันมีอาการหน้าซี๊ด ดวงตาสั่นๆ เนื้อตัวก็สั่น



“ความผิดของผมเองครับ” นี่คือคำตอบจากไอ้น้องแทน

“คือ?” อะไรกันอีกแล้วเนียไอ้สองคนนี้

“คือ....” นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เห็นไอ้น้องแทนไม่มั่นใจในการพูดของตัวเอง “อะตอมไปนั่งพักก่อนไหม”

อ้าว นึกว่าจะเล่าให้กูฟัง หันไปคุยกับเพื่อนซะงั้น



“ไม่...ไม่เป็นไร” อะตอมบอกว่าไม่เป็นไร แต่ดูยังไงก็มีอะไรแน่ๆ

“ไม่เป็นไรใช่ไหม” ผมพูด “งั้นก็ไปวัดชุดก่อนไป”

อะตอมค่อยๆเดินไปวัดชุดตามที่ผมสั่งแบบคนไร้สติ

ผมไม่ได้ใจร้ายนะ แต่เห็นว่าน้องมันควรได้รับการพักจริงๆ เพียงแต่ถ้าเขาพูดว่าไหวออกมาเองแบบนี้ ก็ควรหากิจกรรมอย่างอื่นที่ไม่ต้องคิดหรือทำอะไรให้ไปทำ ซึ่งก็คือการไล่ให้ไปพักนั่นแหละ



“ไหนเล่ามาซิ” ผมหันไปคุยกับแทน

“เรื่องมันก็เป็นแบบนี้ครับ..............................









................................(หนึ่งชั่วโมงก่อน)



(ในมุมของอะตอม)



“ตรงนี้เรียกว่าอะไรนะ”  ผมถามคนที่นั่งมาด้วยกัน ไอ้แทนขี้แกล้งนั่นแหละ

ตอนนี้ผมนั่งรถมากับพี่นักกู้ภัยคนหนึ่งเพื่อศึกษาสถานที่บริเวณที่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยนัก รถที่นั่งมาก็คือรถกู้ภัยฉุกเฉินในสังกัดของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยมัณฑนา ส่วนที่ผมกับไอ้แทนนั่งอยู่คือช่วงกระบะของรถที่มีการครอบด้วยหลังคาปิด ก็เดาได้ไม่อยากว่าเป็นส่วนที่ใช้ในการขนส่งผู้บาดเจ็บกรณีฉุกเฉิน

แต่ผมมีปัญหานิดหน่อยก็ตรงที่ ผมดูแผนที่ไม่เก่ง เรียกว่าดูไม่เป็นเลยดีกว่า ความจำก็ไม่ได้ดีขนาดนั้น ถ้าไม่เจอหรือทำจนชินก็ยังไม่สามารถจำอะไรได้ง่ายๆ ความยากทั้งสองอย่างมารวมกันแบบนี้ ทำเอาหัวของผมรับภาระจนจะเกินขีดจำกัดอยู่แล้ว

“ซอยประตูห้า” ไอ้คนที่นั่งอยู่ด้วยกันตอบกลับมา “แต่เด็กมหาลัยนี้เรียกว่าซอยสังสรรค์”

“รู้ได้ไง?”

“ป้าร้านขายน้ำบอก” แล้วมันก็ยื่นแก้วน้ำให้ผม น้ำส้ม

“ขอบใจ”

“ขอบใจทำไม มึงต้องจ่าย”

“อ้าว ทำไมกูต้องจ่ายอ่ะ”

“ก็นี่ไง มึงจำชื่อสถานที่ไม่ได้อีกแล้ว”

“เกี่ยวไรวะ ไม่ได้ตกลงกันซะหน่อยว่าจำไม่ได้ต้องจ่าย”

“เอาน่า หาอะไรแข่งกันจะได้ไม่เบื่อ แถมถ้าไม่มีอะไรมากระตุ้น มึงก็คงจำไม่ได้ซะที”

“นี่มึงว่ากูโง่เหรอ”

“ไม่ได้พูดแบบนั้นซะหน่อย”

“ไหน เอามานี่ดิ” ผมแย่งแผนที่ในมือของไอ้คนตรงหน้ามา “ไหนบอกดิซอยข้างหน้าเรียกว่าอะไร”

“ซอยโรงพัก” !!! ตอบเร็วเกินไปไหม มึงคิดหรือยังเนีย “ถูกหรือเปล่า”

“.........” ชิบหายแล้ว นั่นซิ มันถูกหรือเปล่าวะ ผมพยายามเพ็งดูแผนที่ในมือที่แย่งมา

“ไม่รู้ล่ะซิ”

“ร...รู้ซิ” ไม่รู้หรอก แต่กูแก้ตัวไว้ก่อน “เออ ถูก.... แล้วซอยถัดไปล่ะ”

“ถัดไปมันใช่ซอยที่ไหนกันล่ะ นั่นมันทางเรียบคลองชลประทาน”

“อ...เออ กูก็หมายถึงอันนั้นแหละ แล้ว...”

“ถัดถนนเรียบคลองชลฯ ก็จะต่อตรงไปที่ถนนทางเข้าประตูสามของมหาลัย ถัดไปอีกคือถนนชุมชนแขก ส่วนที่เราผ่านมาคือถนนหน้าโครงการหมู่เพชรอรุณ อยากรู้อะไรอีกไหม”

“......” ไอ้บ้านี่ทำไมมันความจำดีจังวะ มึงจะเก่งเกินไปแล้วนะ

“เอาคืนมานี่เลย” แล้วมันก็แย่งแผนที่คืนไป “กูอ่ะจำได้เกือบหมดแล้ว มึงอ่ะห่วงตัวเองก่อนเหอะ พี่เขาขับรถวนมาสองรอบแล้วยังจะลืมอีก นี่แหละเหตุผลที่มึงต้องจ่ายค่าน้ำ”

“เออ” กูแพ้ก็ได้วะ ก็คนมันความจำไม่ดีนี่หว่า “เท่าไหร่”

“ครั้งหน้าค่อยจ่ายก็แล้วกัน ครั้งนี้กูจ่ายให้ก่อน เอาไว้ทบต้นทบดอกทีเดียว”

ซักวันนึงเถอะมึง กูจะเอาคืนให้ได้....

วี วอ วี วอ วี วอ .......

!!!!!!

เกิดอะไรขึ้น

จู่ๆ สัญญาณฉุกเฉินของรถที่ผมกำลังนั่งก็ดังขึ้น



“มีเคสด่วนนะน้อง” พี่คนขับเปิดกระจกระหว่างคนขับกับส่วนหลังเพื่อบอกถึงจุดประสงค์ “อุบัติเหตุใหญ่ เราต้องไปที่เกิดเหตุ”

“โอเคครับพี่” ไอ้แทนตอบรับทันที



เชี่ยยยยย

จู่ๆ ความเร็วของรถกู้ภัยก็ถูกเร่งอย่างกะทันหัน มันแล่นแหวกการจราจรทั้งหมดเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายอย่างบ้าคลั่ง



“ชิบ...”

“ระวัง” ด้วยแรงเหวี่ยงของรถที่ผมยังรับมือไม่ทัน จึงทำให้เสียหลักโงนเงน แต่... ไม่รู้จะเรียกว่าโชคดีหรือปล่า ที่ไอ้คนข้างๆคว้าตัวผมเข้าไปกอดไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง และเกาะราวเหล็กที่ติดอยู่กับรถไว้ด้วยมืออีกข้างหนึ่ง “เดี๋ยวหัวก็กระแทกหรอก จะไปช่วยคนอื่นเดี๋ยวก็กลายเป็นคนเจ็บซะเองหรอก.... ไม่ต้องขยับแล้ว อยู่อย่างงี้แหละ นิ่งๆไว้ก็พอ”

เอ๊า ไอ้นี่

แต่ก็เถียงไรมันมากไม่ได้ เพราะผมก็ยังไม่ชินกับการเหวี่ยงของรถกู้ภัยจริงๆ ทำตัวเป็นหนึ่งเดียวกับมันไปก่อนก็แล้วกัน เอ้ย! ไม่ใช่ๆ หมายถึงปล่อยให้มันจับผมไว้แนบหน้าอกแบบนี้ เอ้ย! อันนี้ก็ไม่ใช่... ช่างมันเถอะ นี่กูแก้ตัวอยู่กับใครเนีย



“ถึงแล้ว” นั่นคือสัญญาณอันรวดเร็วของพี่คนขับรถ



ไอ้แทนปล่อยกอดออกจากผมแล้วเปิดท้ายประตูรถวิ่งออกไปทันที

ไหนบอกว่ามึงไม่ใช่ประเภทวิ่งเข้าใส่ปัญหาไง นี่มันทะยานเข้าใส่ชัดๆ

ผมยังงุนงงกับความสับสนอลหม่านของบรรยากาศรอบข้างอยู่ จึงค่อยๆก้าวเท้าออกมาจากรถและดูสิ่งที่เกิดขึ้น

รถกู้ภัยอีกหลายคันจอดอยู่ที่นี่ บางส่วนก็กำลังขับเอาไป มีการขนย้ายเปลฉุกเฉิน มีเศษซากของอุปกรณ์ส่วนควบของรถกระจัดกระจายอยู่บนพื้น มีคนพยายามจอดรถมุงดู มีคลอง มีคนอยู่ในคลอง

“ระวังอะตอม เดี๋ยวก็เหยียบศพหรอก” มีศพ

ห๊ะ!!!!!!

ชิบหายแล้ว มีศพด้วย

ผมกระโดดตัวลอยออกจากจุดที่ตนเองยืนอยู่ แม้จะยังไม่เห็นอะไรชัดเจน เห็นเพียงผ้าขาวที่ปิดอะไรบางอย่างไว้เท่านั้น

น....น.....นี่......นี่มัน

ชัดเจนเลย แม้จะเห็นแค่มือที่โผล่ออกมาจากภายใต้ผ้าดิบสีขาว แต่ก็บอกได้ไม่ยากว่านี่คือร่างของคนที่ไร้วิญญาณแน่นอน



“ยืนนิ่งๆนะอย่าขยับไปไหน” ไอ้แทนสั่งผม

“ด...ด....ได้” ผมตอบทันที



ไอ้เพื่อนขี้แกล้งของผมเปลี่ยนโหมดตัวเองทันใดด้วยการวิ่งวุ่นไปช่วยจุดนั้นทีจุดนี้ที บ้างก็ช่วยขนเปล บ้างก็ช่วยยกกล่องพยาบาล บ้างก็ช่วยส่งของ

เท่าที่ผมพอจะประมวลเหตุการณ์ได้ รู้สึกว่านี้จะเป็นอุบัติเหตุรถยนต์พลิกคว่ำ เพราะจากสภาพที่รถยนต์กำลังถูกกู้ขึ้นมาจากในคลองก็เดาได้เลยว่าเป็นอย่างที่คิด คนเจ็บที่ยัง...เอ่อ...ยังมีชีวิตอยู่ ถูกพาตัวไปที่โรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว



“พี่ต้องอยู่ช่วยกู้ซากรถขึ้นมานะ” พี่คนขับรถเดินมาบอกไอ้แทนซึ่งก็อยู่ใกล้ๆ ผมนี่แหละ “เดี๋ยวน้องสองคนกลับไปที่โรงพยาบาลก่อน เอาร่างของผู้หญิงคนนี้ไปด้วยนะ น้องมาช่วยพี่ห่อที”



ม่ายยยยยยยยยย ผมไม่ทำเด็ดขาด

ผมปล่อยให้ไอ้แทนกับพี่คนขับรถจัดการกับร่างของหญิงผู้ไร้ลมหายใจนี้ โดยที่ผมไม่เลือกที่จะหันไปมองตรงนั้นแม้แต่หางตา เห็นแต่ว่าทั้งคู่ช่วยกันแบกร่างนั้นขึ้นไปส่วนหลังของรถกู้ภัยที่ผมเคยนั่ง



“โอเค เอาไปได้เลย” พี่เขาสั่งต่อ “น้องขับรถเป็นใช่ไหม”

“เป็นครับ” ไอ้แทนตอบ

“ดี งั้นน้องอีกคนก็นั่งข้างหลังไปพร้อมกับศพนะ”

ห๊ะ!!!! ม...ม....ไม่ ไม่นะ “พี่...”

“ไปเร็วอะตอม”

“.........” ไม่เอา ไม่เอาเด็ดขาด หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ไป

“อะตอม เร็วดิ ขึ้นรถ”

“......” ใครมันจะไปกล้าวะ

“ทำไมหน้าซี๊ดจังอ่ะ.... นี่อย่าบอกนะว่ากลัว”

“ป...เปล่า” ไม่รู้อ่ะ โกหกไว้ก่อน ถึงจะกลัวแต่ก็ไม่อยากให้ไอ้บ้าแทนเอาเรื่องนี้มาเป็นเหตุผลในการล้อเลียนหรือแกล้งผมในอนาคตอีก

“ไม่กลัว แต่เสียงนี่สั่นเลยนะ เอางี้ มึงไปขับรถล่ะกัน เดี๋ยวกูนั่งข้างหลังเอง”

“ข....ขับไม่เป็น”

“อะไรวะ โตป่านนี้แล้วยังขับรถยนต์ไม่เป็นอีกเหรอ”

“ก็ไม่เคยมีนี่นา”

“แล้วจะเอาไง รถก็ขับไม่เป็น นั่งก็นั่งไม่ได้อีก กลัวขนาดนั้นเลย”

“ก็บอกว่า....ม...ไม่ได้กลัวไง” ไม่กลัวก็บ้าแล้ว

“โอเค ไม่กลัวก็ไม่กลัว งั้นก็รีบขึ้นรถได้แล้ว ก่อนที่คนจะมุงไปมากกว่านี้”

“...........” เอาไงดีวะกู จะขึ้นไปนั่งกับ.... ไม่เอาไม่พูด เอาเป็นว่าไม่กล้าก็แล้วกัน แต่จะบอกเรื่องนี้กับไอ้บ้าแทนก็ไม่ได้ ขืนมันรู้ความลับว่ากูเป็นคนกลัวผี มันได้เอาเหตุผลนี้มาแกล้งอีกแน่เลย

“กลัวก็บอกว่ากลัวดิ” นั่นไง ไม่ทันจะขาดคำ มันก็เริ่มล้อผมแล้ว

“ไม่ได้กลัว”

“อย่ามาทำเก่งน่ะ เดี๋ยวเรียกคนอื่นมานั่งแทนละกัน.... มีใครพอจะว่างไหมวะแถวนี้” ไอ้แทนพยายามมองหาคนมาช่วย ซึ่งไม่มีเลย ทุกคนวุ่นวายกับหน้าที่ตัวเอง ที่ว่างก็คงเป็นพวกกลุ่มคนที่ยืนมุง “เอ่อ.... พี่ครั...”

“ไม่ต้องเรียก บอกว่าไม่กลัวไง ขึ้นรถได้แล้ว” เอาวะ ข่มใจไว้ แค่แป๊บเดียวก็ถึงโรงบาลแล้ว อย่าไปมองก็พอ

“แน่ใจนะ เดี๋ยวลองหา...”

“บอกว่าไม่ต้องไง เร็วๆเข้า” ผมก้าวเท้าขึ้นไปยังส่วนหลังของรถกู้ภัย แต่แม้ว่าจะพูดอย่างนั้น ขาของผมมันก็ไม่ยอมทำงานตามประสิทธิภาพที่ควรจะเป็นเลย

กล้าไว้ๆๆ ไม่มีอะไรหรอก มีผ้าห่ออย่างดี ไม่มีอะไร นั่นมันแค่... ท่อนไม้ ใช่แล้ว นี่คือท่อนไม้

“ไหวแน่นะ” ยังจะมาถามอีก

“เออ รีบไปซะที” ผมเปล่งเสียงเต็มที่เพื่อกลบความกลัวไว้



เมื่อเห็นว่าผมโอเค ไอ้บ้าแทนจึงปิดประตูส่วนครอบหลังรถ ทิ้งไว้ให้ผมอยู่เพียงลำพังกับ....ท่อนไม้



วินาทีต่อมา รถกู้ภัยที่มีไอ้ขี้แกล้งเป็นคนขับก็แล่นออกไปอย่างรวดเร็ว เร็วก็ดีแล้ว อยากถึงโรงพยาบาลไวๆ ไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้ว

ผมไม่แน่ใจเลยว่าตอนนี้ผมหายใจอยู่หรือเปล่า ที่สัมผัสได้มีอยู่สองอย่างคือ กล้ามเนื้อทั้งตัวของผมกำลังเกร็งแน่นและสายตาที่มองเห็นเพียงหลังคาของรถ ผมจะไม่หันลงมามองสิ่งที่อยู่ใต้สายตาเด็ดขาด



ตึ๊ง ตึ๊ง

รถยนต์สะดุดบางอย่างจนตัวผมลอย หัวแทบจะชนกับหลังคาส่วนครอบ แถมยังหวี่ยงอีกต่างหาก



เอ๊ะ!!!!

อะไรหยุ่นๆที่ขาวะ

“...............................................................................!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”

พ....พ......พ่อจ๋า แม่จ๋า ฮื่อออออ.... ช่วยลูกด้วย

ไม่นะ ไม่นะ ทำไมวะ ทำไม ทำไมไอ้สิ่งที่ผมกลัวที่สุดถึงต้องขยับลอยมาเกยอยู่บนตักของผมด้วยล่ะ



“ช.....ช่วย” ผมตะโกนไม่ออก สัมผัสเสียงตัวเองไม่ได้เลย

รู้สึกแต่ว่ามีความรู้สึกขนลุกมันวาบๆต่อเนื่องไม่หยุด ขาในส่วนที่สัมผัสก็คล้ายจะไร้ความรู้สึก ที่รู้สึกคงจะมีแต่ของเหลวที่ไหลออกมาจากดวงตาของผมนี่แหละ ขนาดว่าหลับตาปี๋น้ำตายังไหลออกมาเป็นก๊อกเลยตอนนี้

ช่วยด้วย ผมกลัวแล้ว ผมกลัวแล้ว ฮื่อออออออออออออ

ไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน รู้แต่ว่าสมองของผมมันเริ่มไม่รับรู้ข้อมูลรอบตัวแล้ว ผมไม่ยอมหายใจด้วยซ้ำ อย่างกับวิญญาณของผมไม่อยู่ในร่างไปเป็นนาน



“เห้ย!! อะตอม” ผมทั้งดีใจ โล่งใจ แต่ก็อายอยู่ใรทีที่ได้ยินเสียงนี้ของไอ้บ้าแทน “พี่ครับช่วยผมยกศพลงมาหน่อย”

ถ....ถึง ถึงแล้วใช่ไหม ถึงโรงบาลแล้วใช่ไหม

รีบๆมายกมันออกไปที ได้โปรดดดดดด

ผมบอกไม่ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่อยากให้เวลานี้ผ่านไปให้เร็วที่สุด



“อะตอม อะตอม” ผมถูกเขย่าตัว

ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้น เห็นไอ้บ้าแทนตรงหน้า มันคงขึ้นมาดึงสติของผมกลับ ผมรีบมองไปที่พื้นรถ

ไม่มี ไม่มีแล้ว

“เป็นไรมากไหม กูขอ...”

“ออกไปเลย” ไม่รู้ผมไปเอาความโกรธสุดชีวิตนี้มาจากไหน ผมฮึดฮัดออกมาจากรถกู้ภัย กระทืบเท้าปึงปังเข้าไปที่ห้องแผนกฉุกเฉิน

“เดี๋ยวก่อนอะตอม” ไม่ต้องมาเรียก ไม่ต้องมาตาม “จะไปไหนเนี่ย”

“กูจะกลับแล้ว” ผมตอบโวยวาย

“เบาๆดิ นี่โรงพยาบาลนะ”

“กู จะ กลับ แล้ว” กูพูดเบาแล้ว พอใจหรือยัง

“เดี๋ยวดิ โกรธอะไรเนีย แล้วร้องไห้ทำไม ตัวก็สั่นด้วย กลัวมากขนาดนั้นแล้วทำไม...”

“เออ กูกลัว มึงอยากฟังแบบนี้ใช่ไหม พอใจหรือยัง อยากจะเอาไปล้อหรืออะไรก็เรื่องของมึงเลย กูไม่อยู่ด้วยแล้ว”

“เดี๋ยวๆๆ อะตอม รอก่อน”



ผมไม่ฟังอะไรทั้งนั้น เปิดประตูห้องฉุกเฉินได้ผมก็กระวีกระวาดออกมาทันที



“นี่งอนอะไรเนีย” ยังจะตามมาอีก กูดูเหมือนอยู่ในอารมณ์ที่อยากคุยกับมึงตรงไหนวะ “นี่ไม่ได้คิดจะล้ออะไรเลยนะ แค่จะขอ...”

“ไม่ต้องมาพูดเลยนะ เงียบไปเลย”

“อะตอม ฟังกันก่อนดิ ขอร้อง”

“ปล่อยนะเว้ย” มึงจะมาคว้าแขนกูไว้ทำพระแสงอะไร “มึงรู้ความลับกูแล้วนิ พอใจแล้วใช่ไหมที่รู้ว่ากูกลัวอะไร จะแกล้งอะไรกูอีก”

“โอเคๆๆ ฟังก่อนดิ นะ ใจเย็นๆนะ รู้แล้วว่าผิด ก็แค่อยากจะขอโทษ”

“เออ ดี มึงขอโทษเลยนะ ขอโทษกูมาเดี๋ยวนี้เลยนะ”

“ครับบบบบ ก็ขอโทษอยู่นี่ไง... ไม่ร้องไห้ดิ โตแล้ว ร้องไห้ทำไม”

“ไม่ต้องมายุ่ง กูเช็ดเองได้” กูไม่ได้กลัวถึงขั้นเช็คน้ำตาตัวเองไม่ได้หรอกนะ

“หายโกรธยัง”

“ไม่รู้อะไรทั้งนั้นอ่ะ” นี่แหละโมเม้นที่กูบ่นจะดื้อ ใครก็เอากูไม่ลงทั้งนั้น

“แล้วนี่โกรธเรื่องอะไรอ่ะ ก็ถามแล้วว่ากลัวหรือเปล่า แล้วก็ตอบว่าไม่กลัว พอจะหาคนมานั่งแทนก็บอกว่าไม่ต้องอีก แล้วก็มาโกรธกันเฉยเลย”

“ก็....” เพราะอะไรวะ ไม่รู้อ่ะ รู้แต่ว่าโกรธ มันอาจจะสวิชมาจากความกลัวกับอายมั้ง ก็เลยต้องเลือกวิธีแสดงออก แต่ก็โกรธไปแล้วนิ จะให้กูให้เหตุผลว่าอะไรล่ะ “ก็มึงขับรถไม่ดีอ่ะ”

“ขับรถไม่ดี? โกรธเพราะเรื่องนี้หรือแค่ข้ออ้าง”

“ไอ้..... ช่างมันเหอะ กูจะกลับแล้ว”

“อ่าๆๆ ขอโทษๆ เมื่อกี๊ที่พูดไปคือไม่ถูกใจใช่ไหม ก็บอกหน่อยซิ ไม่ได้ใช้ภาษาไทยมานาน มันก็เลยลืมไปบ้าง แต่ขอโทษจริงๆ”

“...........” โอ๊ยยยย ไม่รู้จะด่ามันว่าไงแล้ว “เออ จะกลับแล้ว ปล่อย”

“จะกลับไปไหนล่ะ นี่มันจะถึงเวลานัดของพี่ข้าวเจ้าแล้วนะ เราต้องไปคณะสังคมนะ”

เออว่ะ ลืมไปเลย มัวแต่สติหลุดออกนอกโลกไป

“ก็ไปดิ” ผมยังไม่หยุดโวยวาย เชื่อไหมว่ามือยังไม่หยุดสั่นเลยตอนนี้

“ครับบบบๆ แต่รถไฟฟ้ายังไม่มาเลย จะไปยังไงล่ะ.... โอเค ไม่พูดแล้ว หุบปากแล้ว”

ไอ้..... หมดปัญญาจะหาคำมาพูดกับมันแล้ว.................................................







...........................................(ปัจจุบัน)





(ในมุมของน้ำชา)



“โอ้โห” ผมอุทานออกมาโดยไม่รู้ตัวหลังจากได้ฟังเรื่องทั้งหมด “ร้ายแรงอยู่นะเนี่ย”

“ผมรู้สึกผิดมากเลยครับ” แทนมีสีหน้าการแสดงออกตรงไปตรงมาอย่างที่ตนเองพูดจริงๆ

“รู้สึกผิดเรื่องไหน” ผมถามเพื่อให้แน่ใจ “เรื่องที่ชอบแกล้งอะตอม เรื่องขับรถไม่ดี เรื่องที่ยังง้ออะตอมไม่สำเร็จ หมายถึงอันไหน”

“ผมทำผิดเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ”

“พี่ไม่รู้ พี่ถึงได้ถามนี่ไง”

“ผมรู้สึกผิดที่ไปรู้ความลับของอะตอมเข้า ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยอยากให้ผมรู้เรื่องนี้เท่าไหร่”

เอาจริงๆ ผมก็พอนึกภาพออกนะ ถ้าเป็นเรื่องกลัวความมืด กลัวผีสาง หรืออะไรจำพวกนี้ ผมเองก็คงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าอะตอมสักเท่าไหร่ แต่นาทีนี้คงต้องพูดปลอบใจไอ้เด็กคนที่รู้สึกผิดนี่ก่อน

“ความลับบางอย่างมันก็ไม่ได้เกิดมาเพื่อแค่เป็นความลับอย่างเดียวหรอกนะ บางทีมันก็มีมาเพื่อรอจุดประสงค์อย่างอื่น”

“ผมไม่ค่อยเข้าใจที่พี่พูดเท่าไหร่เลยครับ ขอโทษนะ ผมไม่ได้ใช้ภาษาไทยมานาน”

“ก็อย่างเช่น กรณีนี้ พี่ว่าอะตอมคงไม่ได้อยากจะปิดบังเรื่องแบบนี้ไว้เป็นความลับอะไรขนาดนั้นหรอก แต่มันแค่ไม่ใช่เรื่องที่จะไปป่าวประกาศบอกใครๆ คำถามก็คือ เมื่อเราได้เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ได้รู้ความลับนั้นแล้ว จะทำยังไงกับมัน เพราะสำหรับบางคน ความลับมีไว้เพื่อ..............









....................รอใครสักคนมาเข้าใจ”
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER ภาค 2 [เชียร์ฝันสนั่นหัวใจ] - ตอนที่ 8 : ความลับ
เริ่มหัวข้อโดย: BBChin JungBB ที่ 14-08-2018 03:13:18
นอกจากน้ำชาจะส่งต่อหน้าที่ให้รุ่นน้องแล้ว
เหมือนน้ำชากำลังจับคู่ให้น้องๆ แบบไม่รู้ตัวด้วย
เดาว่าเดี๋ยวต้องมีอีก 1-2 คู่ปรากฎตัวมาแน่เลย

 :hao3: :hao3:
หัวข้อ: LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 9 [ตอบแทน Part 1]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 15-08-2018 16:18:39
​ตอนที่ 9 : ตอบแทน









“ส่งพี่ขนมปังกลับบ้านดีๆล่ะ”

“ครับบบบ”

บทสนทนาสุดท้ายระหว่างผมกับโซนิคจบลงด้วยการฝากฝังภารกิจให้ผู้ฟังทำต่อไป



โซนิคและขนมปังเคลื่อนที่ออกไปด้วยรถยนต์ส่วนตัว แต่ไม่ทันที่ผมจะได้หันหลังกลับเข้าไปในห้องซ้อมคณะสังคม รถยนต์คันหนึ่งที่คุ้นเคยก็ขับเข้ามาแทนที่



“เสร็จหรือยังครับ” พี่ตองนั่นเองที่มาถึง พี่เขาเลื่อนกระจกรถลงเพื่อสนทนากับผม “กลับกันเลยไหม”

“ยังอ่ะ” ผมตอบ “อะตอมกับแทนเพิ่งจะมาถึง ชาว่าจะอยู่สอนช่วยไอ้ข้าวก่อน”

“โอเคครับ” พี่ตองเดินลงมาจากรถ เอ....? ทำไมท่าทางคนตรงหน้าของผมถึงได้ดูเหนื่อยๆ

“พี่ตองไปทำอะไรมาเนีย ทำไมดูเหนื่อยๆ”

“หลังคุยกับที่คณะเสร็จ พี่ไปเจอพวกปีหนึ่งที่พี่ให้ไปหาลายเซ็นของพี่ชมพู่เมื่อวาน แต่ก็ตามที่ชาคาดการณ์ไว้ พวกนั้นรู้ความจริงแล้วว่าพี่ชมพู่อยู่ต่างประเทศ”

“แล้วพี่ทำไงอ่ะ”

“ก็หนีซิครับ กว่าจะหลบหนีออกมาได้ เสียเวลาอยู่ตั้งนาน”

“เห็นไหมล่ะ ชาก็เตือนพี่ไปแล้วว่าเด็กพวกนั้นต้องรู้ความจริงเข้าจนได้”

“พี่ก็บอกชาไปแล้วเหมือนกันว่าพี่ไม่สนใจ”

“สนใจบ้างก็ได้นะ แคร์คนรอบข้างบ้างเถอะพี่ตอง เราอยู่ในโลกนี้แค่สองคนไม่ได้หรอกนะ”

“แล้วชาจะให้พี่ทำไงอ่ะ ให้ปล่อยปีหนึ่งทุกคนพุ่งมาหาชาเหรอ ที่ทำก็เพราะพี่เป็นห่วงนะ”

“ชาก็แค่เป็นห่วงพี่เหมือนกันนั่นแหละ”

“เราอย่ามาถกประเด็นเรื่องนี้กันเลยนะ เข้าไปซ้อมกันดีกว่า”



“เธอว่านั่นใช่รถของพี่ตองไหม...”

เสียงใครที่ไหนมาพูดแถวนี้



“เด็กปีหนึ่งอีกแล้ว!!” พี่ตองรู้ในทันที ผมกับพี่ตองอาจจะยังไม่ถูกพบ แต่ถ้าขืนยังอยู่ตรงนี้โดนจับได้แน่ๆ “เข้าไปในห้องซ้อมกันเถอะครับ เดี๋ยวชาจะถูกเห็นเข้า”

“ไม่ ไม่ต้องเข้าไปหรอก” ผมห้ามไว้ “พี่ตองกลับไปเถอะ”

“ว...ว่าไงนะ นี่ชาโกรธอะไรพี่เนีย”

“เปล่า แต่รถของพี่ยังจอดอยู่ตรงนี้ ต่อให้เข้าไปหลบในห้องซ้อม เด็กพวกนั้นก็คงหาทางตามจนเจอเราสองคนได้อยู่ดี ถ้าพี่ไม่อยากให้ใครเจอตัวชาจริงๆ ก็คงต้องขับรถล่อให้ทุกคนออกไป”

“แล้วชาจะกลับยังไงล่ะ”

“ชากลับได้น้า ไปเถอะ”

“แต่...”

“เร็วเข้าซิ เดี๋ยวก็โดนเจอตัวจริงๆหรอก”

พี่ตองลังเลอยู่สักพัก

“ก็ได้ครับ”

พี่ตองคล้ายว่าจะไม่ชอบใจนัก แต่ก็จำใจต้องวิ่งกลับเข้าไปในรถ และเร่งขับรถออกไป ส่วนผมก็หันหลังวิ่งกลับเข้าไปในห้องซ้อมเช่นกัน



ปิดม่านบังประตูกระจก

ล็อคให้เรียบร้อย



“ทำไมต้องล็อคห้องด้วยอ่ะชา?” ไอ้ข้าวถามผม

“มีเด็กปีหนึ่งมาแถวนี้” ผมตอบ

“แล้วเกี่ยวกับการที่ต้องทำตัวลับๆล่อๆด้วยเหรอ” มันยังถามผมอีก

“หมายถึง เด็กปีหนึ่งที่ผ่านสอบสัมภาษณ์ อยู่แถวๆนี้” นี่กูว่ากูอธิบายชัดแล้วนะ

“อ๋อ เข้าใจแล้ว” กว่าจะเข้าใจนะมึง



“อยู่ในนั้น พี่คนนึงหนีเข้าไปในห้องซ้อม”

เห้ย!!!

ใครวะ



ก๊อก ก๊อก ก๊อก ......

เสียงเคาะประตูเกิดขึ้นทันที... เอาแล้วไง

ผมส่งสัญญาณบอกทุกคนในห้องว่าให้เงียบเสียงไว้



ปัง ปัง ปัง ปัง

ความรุนแรงของการเคาะเริ่มมากขึ้น



“ไม่เห็นมาเสียงใครในนี้เลย” เสียงของเด็กสาวคนหนึ่งดังมาจากฝั่งตรงข้ามของประตู

“เชื่อซิ มีพี่คนนึงวิ่งเข้าไปในนั้น” ไอ้บ้านี่มันเป็นใครวะ ช่างฟ้องจริงๆ “คนที่ชื่อน้ำชาอ่ะ”

ห๊ะ รู้ถึงขนาดนั้นเลยเหรอ

“จริงเหรอ.....พี่น้ำชา พี่น้ำชาคะ อยู่ในนี้หรือเปล่าคะ”



นั่นไง ซวยแล้วกู ไม่รู้ล่ะ เงียบไว้ก่อน



“ไม่เห็นมีใครตอบเลย” ความเงียบของผมยังใช้ได้ผล

“เชื่อผมซิว่าต้องมีพี่เขาอยู่ในนั้นแน่ๆ” ชักอยากรู้จริงๆแล้วว่าไอ้เด็กคนนี้เป็นใคร “ว่าแต่ว่า พวกเธอมาตามหาพี่เขาทำไมเหรอ”

“พวกเรามาขอให้พี่น้ำชาสอนเพลงมิ่งขวัญมัณฑนาให้” สาวเจ้าอธิบาย “พวกเราเป็นคนที่ผ่านสัมภาษณ์ผู้นำเชียร์ของคณะวิศวะน่ะ”

“อ๋อ จริงๆผมก็พอจะเดาออกอยู่แล้วล่ะ.... แต่ถ้าจะมาขอร้องพี่คนนี้จริงๆ ผมว่ากลับไปเถอะไม่มีประโยชน์หรอก”

“ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ” นั่นดิ มึงกล้าดียังไงวะมาพูดถึงกูแบบนี้ “พี่น้ำชาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้จักท่าเต้นเพลงนี้ ไม่ให้มาหาพี่เขา แล้วจะให้ไปหาใคร”

“ผมถามหน่อยว่าพวกคุณรู้จักพี่น้ำชาคนนี้หรือเปล่า”

“รู้ซิ ทำไมจะไม่รู้ พี่เขาดังมากนะ ถ้าใครที่คิดจะมาเรียนที่นี่ไม่เคยเห็นพี่น้ำชาในช่องหรือเพจของมหาลัยเลยก็คงมาจากต่างประเทศแล้วล่ะ”

“ผมหมายถึง รู้หรือเปล่าว่าจริงๆแล้วพี่น้ำชาเป็นคนยังไงกันแน่ หรือพวกคุณคิดว่าพี่เขาดูเป็นคนชอบให้โอกาสคนเหมือนอย่างที่เห็นในทีวี เคยคิดไหมว่านั่นอาจจะเป็นแค่ภาพที่พี่เขาสร้างขึ้นมา”

“ทำไมเธอถึงพูดแบบนั้น สนิทกับพี่เขาเหรอ”

“รู้จักไม่รู้จัก ผมก็โดนปฏิเสธจากพี่เขามาแล้ว คนที่เคยได้รับโอกาสมาอย่างพี่น้ำชาน่ะนะ ใครจะไปคิดล่ะว่าเป็นพวกดังแล้วลืมตัว ทั้งๆที่ตัวเองเคยได้โอกาสมาจากพี่ท๊อปแท้ๆ แต่กลับมองคนอื่นแค่ภายนอก ไม่ตัดสินกันที่ความสามารถ”

“ที่พูดเนีย มีหลักฐานอะไร หรือแค่อยากใส่ร้ายพี่เค้า” นี่เป็นเสียงของน้องผู้หญิงอีกคน ผมพอจะแยกแยะน้ำเสียงออก

“แล้วเห็นพี่เขาออกมาต้อนรับพวกคุณไหมล่ะ ทั้งๆที่พวกเธอทุกคนก็มีความพยายามไม่ยิ่งหย่อนกว่าคนอื่น แต่ทำไมพี่เขาไม่คิดจะเห็นค่า แต่กลับเอาแต่หลบหนีพวกคุณตลอดเวลา จริงๆผมมีข้อมูลที่เด็ดกว่านี้อีกนะ เชื่อหรือเปล่าว่าในห้องนี้มีปีหนึ่งแค่สองคนที่พี่เขายอมสอนให้ คนที่ได้รับตามประทับสีเงินไง”

เกิดเสียงซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นทันที



กูไม่ทนฟังแล้ว....



“อย่า” ไอ้ข้าวรีบเข้ามาจับมือผมไว้ มันคงคาดเดาได้ว่าผมกำลังจะทำอะไร แต่....



แกร๊ก

“มาตามหาพี่เหรอครับ” ไม่มีอะไรหยุดผมไม่ให้เปิดประตูไปเผชิญกับความจริงได้ทั้งนั้น



“พี่น้ำชา!!”



โอ้โห กี่คนเนีย หนึ่ง สอง สาม สี่... สี่คนเลยเหรอ แล้วก็... ผู้ชายเพียงหนึ่งคนที่ยืนอยู่ตรงนี้คงเป็นคนที่กล่าวหาผมอย่างร้ายกาจซินะ

แต่ว่า.... หน้าคุ้นๆนะ



“น้องอีกแล้วเหรอ” ไอ้ข้าวเป็นคนที่เริ่มการสนทนาทันทีที่เห็นเด็กหนุ่มคนนั้น

“ผมทำไมเหรอพี่” พูดจาไม่มีหางเสียง หน้าตาไม่รับแขกแบบนี้ อ๋ออออ จำได้แล้ว เด็กปีหนึ่งคนที่เคยมาขอให้ผมปั๊มตราลีดมอตอนที่อยู่โดมรวมใจนั่นเอง

“ก็...”

“ไม่เป็นไรข้าว” ผมรีบห้ามไอ้ข้าวไว้

งานนี้กูขอเป็นคนลงมือเอง นิ่งมานานแล้ว เดี๋ยวมึงจะได้เห็นจริงๆแล้วว่ากูไม่ได้มีพื้นฐานเป็นพวกจิตใจโอบอ้อมอารีอย่างที่มึงพยายามกล่าวหาจริงๆ คนอย่างกูก็ผ่านอะไรมามาก คิดว่าจะเป็นหมูในอวยให้เด็กปีหนึ่งมาเล่นงานง่ายๆเหรอ เตรียมรับมือกับกูให้ดีก็แล้วกัน

“ขอโทษน้องๆด้วยนะที่พี่ต้องทำเป็นหลบๆซ่อนๆ” ผมเริ่มพูดกับน้องผู้หญิงทั้งสี่คน

“แล้วทำไมพี่ถึงออกมาล่ะครับ” ไอ้เด็กนี่ มึงอย่ามาทำเป็นเล่นลิ้น คิดว่ากูดูไม่ออกหรือไงว่ามึงทำเป็นพูดยั่วให้กูได้ยิน กูจะได้ออกมาเจอกับปัญหา

“พอดีพี่ได้ยินเสียงใครคนนึงนินทาพี่น่ะครับ พี่ก็เลยอยากจะออกมาดูสักหน่อย ไม่ทราบว่าน้องผู้หญิงคนไหนพูดถึงพี่ลับหลังในทางที่ไม่ดีหรือเปล่า”

“ไม่ใช่พวกเรานะคะ แต่เป็น...” ต้องขอบใจน้องผู้หญิงคนนึงมากที่ชี้ไปยังไอ้เด็กปากดีนั่น ทุกอย่างเป็นไปตามแผน

“จะบอกว่าน้องคนนี้นินทาพี่เหรอ ไม่น่าใช่หรอกมั้ง​” กูเคยเรียนการแสดงว่า ไอ้เรื่องแสดงสีหน้าให้สมบทบาทน่ะ ไม่ใช่ปัญหาสักนิด “สันดานของลูกผู้ชายเขาไม่นินทาคนอื่นลับหลังหรอก พี่ไม่เชื่อเด็ดขาดเลย ต้องเป็นผู้หญิงแน่ๆที่สามารถพูดถึงพี่แบบนั้นได้ อย่าหาว่าพี่เหยียดเพศเลยนะ แต่ผู้ชายอย่างเรารู้ดีว่าเราไม่มีนิสัยแต๋วๆแบบนั้น ใช่ไหมครับน้อง... น้องชื่ออะไรนะ”

“.......” ดี แสดงสีหน้าแบบนั้นแหละ อย่ามาทำเป็นหลบหน้ากู ปากเก่งขนาดนั้นแล้วจะมาหงออะไรตอนนี้ เห็นกูใจดีมานาน คิดว่ากูร้ายไม่เป็นหรือไง แต่มึงกับกูชั้นเชิงมันต่างกันมากนัก

“น้องมีชื่อใช่ไหม” เอาซี กูจะจี้ถามมึงแบบนี้ไปเรื่อยๆ

“เกล้า” ตอบมาจนได้ ทีอย่างงี้ทำเป็นมองไปทางอื่น

“เอ... หน้าคุ้นๆนะ” ผมแสดงต่อ “น้องใช่คนที่มาขอให้พี่ปั๊มตราลีดให้วันแนะแนวที่โดมใช่ไหม”

“ขอ...” น้องผู้หญิงคนหนึ่งแทรกขึ้นมาทันที “มันมีกติกาที่สามารถขอให้พวกรุ่นพี่ปั๊มตราลีดได้ด้วยเหรอคะ?”

“ไม่มีอยู่แล้ว” น้องผู้หญิงคนที่ยืนอยู่ท้ายสุดตอบให้ “เราทุกคนใช้กติกาเดียวกัน นั่นคือต้องได้รับการคัดเลือกจากรุ่นพี่ลีดมหาลัย ไม่นึกว่าจะมีคนที่... ทำอะไรแปลกๆแบบนั้นด้วย เธอไม่รู้กติกานี้เหรอ”

“อย่าไปพูดอย่างนั้นเลยยยยย” ถึงปากผมจะพูดแบบนั้น แต่ใจจริงอยากจะขอบใจน้องผู้หญิงคนนี้มากๆ พูดได้ถูกใจและตรงประเด็นดีจริงๆ “ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะมีฝันทั้งนั้น เอาจริงๆพี่ก็รู้สึกผิดนะที่ไม่ได้ปั๊มตราลีดให้น้องเกล้าในวันนั้น”

“มันก็จริงอยู่ค่ะ” น้องผู้หญิงที่ผมประทับใจพูดอีกครั้ง “แต่ถ้าเรารู้ว่ากติกาคืออะไร เราก็ควรเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับกติกาเดียวกันไม่ใช่เหรอคะ ไม่ใช่เดินไปขอตราปั๊มทื่อๆ ตัวหนูเองก็ฝึกฝนและพัฒนาบุคลิกภาพตัวเองมาตั้งนาน ทั้งศึกษาทั้งซ้อมมาเป็นปี รู้ว่าตัวเองบุคลิกหน้าตายังไม่เข้าเกณฑ์ก็ควรจะปรับปรุงพัฒนา ไม่ใช่ไม่ลงมือทำอะไรสักอย่าง หวังแต่ความเห็นใจจากคนอื่น... เราไม่ได้กำลังว่าเธอนะ... เรากำลังพูดถึงตัวเอง เพราะเราก็เป็นคนนึงที่มีพยายามทำเรื่องพวกนี้ จนได้รับคัดเลือกมาตามกติกาที่ถูกต้อง หวังว่าเธอคงพอจะเข้าใจนะ”



โอ้! มาย! ก๊อด!

จัดหนักกว่าที่คิดแฮะ



“ก็จริงอย่างที่น้องพูดครับ” ผมสนับสนุน ไม่ใช่แค่อยากทับถมไอ้เด็กปากเสียนี่นะ แต่ความเป็นจริงที่ถูกต้องมันก็ควรเป็นอย่างนั้น “แต่พี่ก็อยากให้โอกาสทุกคน เอางี้ก็แล้วกัน.... เอ่อ... ข้าว พอจะเปิดสัมภาษณ์รอบพิเศษอีกสักรอบได้ไหม ไหนๆน้องเกล้าก็มาอยู่แถวนี้แล้ว อยากเห็นความสามารถของน้องสักหน่อย..... ว่าแต่ น้องมาทำอะไรแถวนี้เหรอครับ นี่มันยังไม่เปิดเทอมนะ”

“มา....” ไอ้เด็กปากเสียอ้าปากค้าง ไหนลองหาเหตุผลมาแก้ตัวดิ เท่าที่ประมวลจากเหตุการณ์ทั้งหมด มึงดูจะสังเกตการณ์แถวนี้มาสักพัก คงเอาไว้หาเรื่องกูแบบตอนนี้ละซิ เจอกูถามตรงๆแบบนี้ ดูซิจะตอบยังไง “เดินเล่นไง ผมมาเดินเล่น นี่มันคณะของผม”

“เดินเล่นเวลาแบบนี้เนี่ยนะ ไม่ค่ำไปหน่อยเหรอ พี่ว่าน้องเอาเวลาไปเตรียมตัวสอบหลักคณิตดีกว่านะ พรุ่งนี้จะเปิดสอบวันแรกแล้ว”

“จริงด้วย!!!” น้องผู้หญิงคนหนึ่งร้อง “ยังไม่ได้อ่านหนังสือเลย มัวแต่วุ่นวายเรื่องลีด ลืมไปเลยว่ามีสอบ งั้น... หนูขอตัวก่อนนะคะ เรื่องเพลงมิ่งขวัญเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน หนูไม่อยากมาสอบใหม่อีกปีหน้า สวัสดีค่ะพี่น้ำชา สวัสดีค่ะพี่ข้าวเจ้า”

“สวัสดีค่ะ” “สวัสดีค่ะ”

อ้าว ซะงั้น ไปกันเป็นขบวนเลย

“เดี๋ยวก่อนซิเกล้า” ผมเรียกไอ้คนที่กำลังจะทำเนียนเดินตามคนอื่นไป “ไม่อยู่ก่อนเหรอ เดี๋ยวพี่ขอร้องให้พี่ข้าวเจ้าช่วยเปิดรอบสัมภาษณ์พิเศษให้”

“คือ.... ผมไม่อยากเป็นแล้ว ต้องไปอ่านหนังสือ”

แล้วไอ้เด็กปากเสียนั่นก็รีบเดินจากไป ยกเว้น....

“น้องไม่ไปอ่านหนังสือเหมือนเพื่อนเหรอ” น้องผู้หญิงคนที่ผมชอบใจยังยืนอยู่ที่เดิม

“หนูบอกพี่แล้วไงคะว่าหนูเตรียมตัวมาเป็นปี” เธอให้เหตุผล “เรื่องที่ต้องสอบหลักคณิตหนูรู้อยู่แล้ว ไม่มีปัญหาสำหรับเรื่องนั้นค่ะ แต่ที่หนูมาที่นี่เพราะหนูต้องการเจอพี่น้ำชา หนูมาเพื่อเพลงมิ่งขวัญมัณฑนาค่ะ”

อือหือ สายตาแน่วแน่มาก

ภายใต้ใบหน้าสวยหวานและผมยาวเป็นลอนเล็กน้อยนี้ มีบางอย่างที่ยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ รู้สึกเหมือนกำลังมอง.......

“เหมือนยืนคุยอยู่กับเกตุเลยเนอะ” ไอ้ข้าวพูดขึ้นอย่างที่ผมคิดเป๊ะ

“น้องชื่ออะไรครับ” ผมถาม

“ครีมค่ะ” เธอตอบพร้อมกับยิ้มเป็นนัย

“น้องครีมต้องการท่าเพลงมิ่งขวัญมัณฑนาจริงๆเหรอ”

“จริงค่ะ”

“แล้ว.....น้องครีมจะเอาอะไรมาแลก”

“มาแลก?” เธอตั้งคำถาม แต่คล้ายว่าจะเข้าใจในสิ่งที่ผมพูดรู้แล้ว

“พี่รู้ว่าน้องเข้าใจความหมาย”

เธอยิ้ม แปลว่าเข้าใจจริงๆ เด็กผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา สวย เก่ง มีจิตวิทยาดี

“หนูไม่แลกแล้วได้ไหมค่ะ แต่หนูอยากขอให้พี่ช่วยสอนเพลงมิ่งขวัญเป็นการตอบแทนหนู”

“ตอบแทนเหรอครับ?” งงในงงไปเลยซิกู “ตอบแทนน้องเรื่องอะไร”

“ก็เรื่องที่หนูช่วยจัดการกับคนที่ชื่อเกล้าให้ไงคะ หนูดูออกนะว่าพี่พยายามจะทำอะไรเมื่อกี๊นี้ ถึงหนูจะอยากตำหนิคนนั้นอยู่แล้ว แต่ถ้าพี่ไม่ได้หนู แผนที่พี่วางไว้ก็คงไม่สมบูรณ์แบบขนาดนี้หรอก เพราะงั้น หนูก็เลยขอให้พี่ตอบแทนหนูเรื่องนี้” คราวนี้เป็นผมเองที่อ้าปากค้าง ไอ้ข้าวก็อาการเดียวกัน “นะคะพี่ จะใช้ให้หนูทำอะไรเพิ่มเติมอีกก็ได้ แต่ช่วยสอนท่าเต้นให้หนูหน่อย” เปลี่ยนเป็นลูกอ้อนซะงั้น

“เอ่อ...” ผมหันไปหาไอ้ข้าว “พอจะสอนอีกคนได้ไหมข้าว”

“ไม่มีปัญญา” ไอ้ข้าวตอบ

“งั้นก็เชิญข้างในเลยครับน้องครีม” ผมบอก

“เย้” สาวเจ้าดีใจทันที

“แต่ว่า พี่คงต้องหาภารกิจอะไรสักอย่างให้น้องทำนะ งานนี้ไม่ฟรีนะครับ”

“โอเคค่ะ ได้เลย”

“แล้วจะปิดประตูห้องซ้อมอีกไหม” ไอ้ข้าวถามผมก่อนที่เราจะเดินกลับเข้าไปข้างใน

“ไม่ต้องหรอก คงไม่มีใครมารบกวนแล้วล่ะ” ผมบอกไอ้ข้าว



จากนั้น ผม ไอ้ข้าว และน้องครีม เดินเข้าไปในห้องซ้อม
หัวข้อ: LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 9 [ตอบแทน Part 2]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 15-08-2018 16:19:46
(ต่อ Part 2)



“ชะนีน้อยคนนี้คือใคร” อิช้างรีบเดินเรียบๆเคียงๆ เข้ามากระซิบถามผม

“ไม่ต้องรีบถามขนาดนั้นก็ได้ กูกำลังจะบอกทุกคนอยู่แล้ว” ผมตอบมัน

“มึงทำอะไรมึงคิดจะปรึกษากูก่อนไหม นอกจากวาวาแล้ว กูไม่ยอมรับชะนีหน้าไหนทั้งนั้น เพราะนางอาจจะมาเป็นคู่แข่งในการแย่งน้องโซนิคไปจากกู”

โอ๊ะ นึกว่าจะพูดอะไร “ไร้สาระจริงๆเลยมึงนิ”

ผมเดินไปหาอะตอมและแทน

“นี่คือน้องครีมนะ” ผมแนะนำหญิงสาวผู้มาใหม่ให้รู้จักกันและกัน “น้องมาจากวิศวะใช่ไหม”

“ใช่ค่ะ” เธอตอบเสียงใส

“ส่วนสองคนนี้คืออะตอมกับแทนนะ เด็กจากคณะวิทย์”

“สองคนนี้ใช่ไหมคะที่ได้ตราประทับสีเงินจากพี่น้ำชา”

“ก็.... ตามนั้น” แอบเซ็งนิดนึงที่เรื่องนี้ยังถูกพูดถึงอยู่

“สวัสดี เราชื่อครีมนะ อยู่วิศวะไฟฟ้า”

“ไม่ยักรู้ว่ามาก่อนว่าผู้หญิงก็เรียนวิศวะไฟฟ้าได้ด้วย” ไอ้น้องแทนเอ่ยขึ้น

“ต้องเป็นผู้ชายเท่านั้นหรือไง” เหมือนน้องครีมจะไม่ค่อยปลื้มนักที่ได้ยินแบบนั้น

“เปล่า ไม่ใช่แบบนั้น เราหมายถึงว่าไม่รู้ว่าผู้หญิงก็ชอบเรียน....เอ่อ อะตอม ช่วยพูดหน่อย”

“ใช่เลย ไอ้คนนี้มันกำลังพูดดูถูกความสามารถของผู้หญิงอยู่” เวรกรรม นี่ไม่ใช่ช่วยแล้วมั้งอะตอม “รู้หรือเปล่าว่าชายหญิงเดี๋ยวนี้สิทธิเท่าเทียมกันแล้ว”

“ไม่...ไม่ใช่แบบนั้นนะ ทำไมพูดแบบนั้นอ่ะ เราแค่จะ....”

“พอๆๆๆ” ผมหยุดการทักทายที่ยืดยาวเกินความจำเป็นของเด็กพวกนี้ไว้ “แทนเพิ่งกลับมาจากญี่ปุ่น บางทีก็จะมีปัญหาเกี่ยวกับการใช้ประโยคภาษาไทย เอาเป็นว่า รู้จักกันแล้วนะ งั้นเราไปซ้อมกันดีกว่า” ผมหันไปหาไอ้ข้าว “ข้าวๆ ช่วยหน่อย”

“ว่าไง” ไอ้ข้าวเดินเข้ามา

“ช่วยสอนพื้นฐานการเต้นให้น้องครีมหน่อย” ผมร้องขอ “เดี๋ยวกูต้องสอนอะตอมกับแทนเกี่ยวกับการแต่งหน้า”

“แล้วไม่ต้องสอนแต่งหน้าให้น้องครีมเหรอ”

“ให้เรียนพื้นฐานท่าลีดก่อนดีกว่า เดี๋ยวค่อย...”

“เรื่องสอนแต่งหน้าไม่ต้องก็ได้ค่ะ” น้องครีมแทรกขึ้นมา “หนูพอจะมีความรู้พวกนี้อยู่บ้าง”

“งั้นเหรอ” ก็น่าจะจริงนะ ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็คงแต่งหน้าเป็นอยู่แล้ว “งั้น... น้องไปวัดตัวก่อนก็แล้วกัน แล้วก็ไปซ้อมพื้นฐานท่าลีด.... ฝากด้วยนะข้าว”

“ไม่มีปัญหา”



แล้วไอ้ข้าวกับน้องครีมก็แยกตัวออกไป



“ส่วนเราสองคน” ผมหมายถึงอะตอมกับแทน “มาเรียนกันได้แล้ว”

ผมพาเด็กปีหนึ่งทั้งสองนั่งหันหน้าเข้าหากระจกห้องซ้อมเพื่อสอนคลาสแต่งหน้าสุภาพบุรุษอีกครั้ง ส่วนไอ้ข้าวก็ทำการสอนพื้นฐานท่าเต้นของผู้นำเชียร์อยู่ใกล้ๆ

แต่ก่อนที่ผมจะทำการสอนกลับบังเอิญสังเกตเห็นว่าน้องอะตอมมีสีหน้าไม่สู้ดีอีกแล้ว

“เป็นอะไรหรือเปล่าอะตอม” ผมถาม เมื่อกี๊ยังเห็นหน้าตากลับมาร่าเริงอยู่เลย “ยังไม่หายกลัวอีกเหรอ ไหวไหมน้อง”

“ไหวครับ” น้องตอบ “แต่ว่า.... คือผม.... ผมลืมไปสนิทเลยอะครับว่าพรุ่งนี้มีสอบหลักคณิต พอได้ยินที่พี่น้ำชาพูดเมื่อกี๊ ผมก็เลยนึกขึ้นมาได้”

“แล้วทำไมเหรอ มีปัญหากับการสอบหรือไง”

“ก็นิดหน่อยครับ ผมไม่ค่อยถนัดทางวิชาคำนวณเท่าไหร่ จริงๆแล้วผมไม่ถนัดอะไรเลยมากกว่า พื้นฐานผมเป็นคนหัวทึบอะพี่”

“อย่าพูดอะไรแบบนั้นดิ!” ไม่ใช่ผมนะ นี่เป็นการพูดแทรกขึ้นมาของไอ้น้องแทน “คนเรามันแค่ถนัดไม่เหมือนกัน จะพูดตัดพ้อตัวเองให้มันได้อะไรขึ้นมา”

“ยุ่งน่า” เด็กสองคนเริ่มเปิดศึกกันอีกแล้ว “มึงไม่ใช่กู จะไปเข้าใจได้ไง กูไม่ได้เก่งไปซะทุกอย่างเหมือนมึงนิ”

“มันไม่มีหรอกอะตอม คนที่เก่งทุกอย่างน่ะ รู้ว่าไม่ถนัดก็พยายามดิ มึงก็ไม่ได้เต้นลีดได้ตั้งแต่แรกไม่ใช่เหรอ”

“เออ กูเต้นไม่ได้ตั้งแต่แรก กูฝึกมาเป็นปี และกูก็ไม่ได้มีพรสวรรค์เหมือนมึง อย่ามาทำเป็นจำไม่ได้หน่อยเลยว่าเมื่อวานพี่ข้าวเจ้าชมมึงตลอดทั้งๆที่เพิ่งเคยเต้นครั้งแรก”

“แล้วนี่กูทำอะไรผิดวะ ทำไมต้องพาดพิงกันด้วย ก็ขอโทษเรื่องเมื่อเย็นไปแล้วไง”

“ก็มึงเริ่มก่อน”

“กูเนี่ยนะเริ่มก่อน กูแค่ไม่อยากให้มึงพูดจาดูถูกตัวเอง”

“ก็นั่นแหละ จะอะไรก็ช่าง มึง....”

“พอ” กูไม่ทนอยู่กลางสมรภูมิของมึงสองคนแล้วนะ “จะทะเลาะหรือจะเรียนหรือจะไปอ่านหนังสือ เลือกมาสักอย่างดิ”

“ร...เรียนครับ” เพิ่งจะรู้ตัวนะอะตอมว่าทะเลาะกันไม่เกรงใจพี่เนีย

“ขอโทษเพื่อนซะอะตอม” ผมสั่ง

“อ...อะไรนะพี่น้ำชา” อะตอมร้อง “ทำไมตอมต้องขอโทษมันด้วยอ่ะ”

“เพราะอะตอมเริ่มก่อน และพี่ก็เห็นด้วยกับแทน ที่แทนพูดเพราะมีจุดประสงค์ที่ดีกับเพื่อน คนเราถ้าจะทำอะไรให้สำเร็จก็ต้องเริ่มต้นด้วยการหยุดดูถูกตัวเอง นั่นน่ะถูกแล้ว ขอโทษแทนซะ เดี๋ยวนี้เลย”

“ไม่เอาอ่ะ ตอมไม่ขอโทษมันหรอก มันเริ่มก่อนนะ พี่น้ำชาก็เห็น”

“ที่พี่เห็นคืออะตอมเริ่มก่อน” บ่นจะดื้อก็ดื้อเอาเรื่องเหมือนกันแฮะเด็กคนนี้ ต้องกำราบเสียตั้งแต่วันนี้ “ถ้าคิดจะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกับพี่จริงๆ ก็ขอโทษตามที่พี่บอกเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นไม่ต้องมาเรียกพี่ว่าพี่อีกนะ”

“ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ครับพี่น้ำชา ผมไม่ได้...”

“ไม่ต้องมาปกป้องอะตอมเลยนะแทน” ดูไว้ซะ นี่คือพี่ในตอนบทโหด “อะตอมทำผิด ต้องเรียนรู้ที่จะขอโทษบ้าง แทนตามใจอะตอมบ่อยไปแล้วนะ ที่สำคัญ นี่คือสิ่งที่พี่พยายามจะสอนให้ฟัง คนเราไม่ควรตอบแทนความหวังดีของใครด้วยการไปต่อว่าเขานะอะตอม”

“แต่...” อะตอมยังพยายามจะหัวดื้อกับผม

“พี่จะไม่พูดซ้ำแล้วนะ” นี่กูขู่มาถึงจุดไคลแม็กซ์แล้วนะ จะยอมอ่อนข้อลงไหม

“........” คนหัวดื้อยังนิ่งเงียบ แต่ก็ลังเลอยู่ในขณะเดียวกัน “ขอโทษ” อือหือ ห้วนได้กว่านี้อีกไหม

“อะตอม” เตือนครั้งที่หนึ่ง “ขอโทษใหม่ พูดดีๆ”

“.........ขอโทษ” กว่าจะยอมพูดออกมาได้นะ

“จะโกรธพี่ก็ได้นะที่บังคับให้ทำ แต่รู้ไว้เลยว่าพี่หวังดีกับอะตอม”

“ป...เปล่านะครับ ตอมไม่ได้โกรธพี่น้ำชาซะหน่อย”

“ก็ดี ถ้าพี่เตือนแล้วรู้จักฟัง เราก็คุยกันได้ เอาเป็นว่าเริ่มเรียนกันได้แล้ว จะได้เสร็จไวๆ น้องสองคนต้องกลับไปอ่านหนังสืออีก”

เอาล่ะ หลักสูตรแต่งหน้าถูกรีรันจากผมอีกครั้ง

แม้อะตอมจะอ่อนข้อให้ผม แต่ดูเหมือนว่าเขาจะยังเคืองในตัวไอ้น้องแทนที่ทำให้เขาถูกผมตำหนิ ก็ถ้าจะเป็นเด็กหัวดื้อแบบนี้ ผมก็คงต้องปล่อยให้เขาเรียนรู้จากประสบการณ์ชีวิตเองแล้วล่ะ............





“สี่ทุ่มครึ่งแล้ว เอาไว้แค่นี้ดีกว่านะ” ผมให้สัญญาณยุติ เพราะแต่ละคนเริ่มเบื่อและหมดแรงแล้ว

อิเพื่อนสามเกลอพลังหญิงของผมถึงขั้นหลับกองกันเป็นพะเนินอยู่ข้างห้อง นี่ขนาดมีผู้ชายที่พวกมันหมายตาอยู่ในห้องยังจะหลับอีก เชื่อพวกมึงเลย



“เสร็จแล้วเหรอชา” ไอ้ข้าวถามผมขึ้นมาทันที

“อืม แค่นี้ก็น่าจะโอเคแล้ว” ผมตอบ

“ทางนี้ก็เรียบร้อยแล้วเหมือนกัน น้องครีมมีพื้นฐานมาดี ก็เลยสอนง่าย”

“งั้นเหรอ เป็นไงครีม เหนื่อยไหม”

“ก็พอสมควรค่ะ” น้องครีมตอบ

“โอเค งั้นก็แยกกันดีกว่านะวันนี้ พรุ่งนี้มีสอบก็อย่าลืมอ่านหนังสือกันนะ”

“ครับ/ค่ะ”

เมื่อน้องๆ ทยอยกันออกไป และไอ้ข้าวเริ่มดับไฟในห้องซ้อม ผมก็ปลุกอิเพื่อนสามตัวให้ตื่น ถึงเวลากลับไปสู่เตียงนอนซะที



อิเจสซี่ อิเล็ก และวาวากลับไปเอารถยนต์ส่วนตัวที่จอดไว้ที่คณะวิทย์เพื่อกลับหอพัก พวกมันย้ายมาอยู่หอเดียวกันเมื่อเทอมที่แล้ว ส่วนไอ้ข้าวก็มีสุ่ยมารับ น้องปีหนึ่งทั้งสามคนนั่งรถไฟฟ้าไปลงที่ประตูทางออก สงสัยจะอยู่ไม่ไกลจากมหาลัยมากนัก ในส่วนของผมนั้นเดินทางกลับมาด้วยแท็กซี่ ตอนแรกก็ว่าจะโทรหาพี่ตอง แต่มาคิดอีกที มันก็ดึกพอสมควรแล้ว ไม่อยากรบกวนพี่เขา



“กลับบ้านดึกเหมือนกันนะคะ ไม่กลัวเหรอ” พี่แท็กซี่ถามผมระหว่างการเดินทางกลับ ผมให้อิช้างโทรเรียกแท็กซี่ที่เป็นผู้หญิงมารับเท่านั้น ยอมรับว่าเข็ดกับการถูกมองด้วยสายตาหื่นๆของแท็กซี่ผู้ชาย

“ก็มันจำเป็นต้องทำงานนิครับ ก็เลยต้องกลับดึกแบบนี้” ผมตอบ

“พี่มารับเด็กแถวนี้บ่อย เห็นว่าที่มหาลัยนี้ชอบเรื่องลีดๆอะไรพวกนี้ด้วย”

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ”

“พี่มีลูกสาวคนนึง ใกล้จะเรียนจบมอหกแล้ว ถ้าเขาอยากมาเรียนที่นี่ พี่ก็คงไม่สนับสนุน กลัวลูกสาวจะเสียการเรียน ขืนมัวแต่วุ่ยวายกับกิจกรรม คงเรียนไม่ได้เรื่อง”

“มันไม่ใช่แค่นั้นหรอกครับ” ผมไม่ได้พยายามจะปกป้ององค์กรผู้นำเชียร์หรืออะไรหรอกนะ แต่อยากพูดคุยกับพี่แท็กซี่มากกว่า “ต่อให้ไม่มาเรียนที่นี่ มหาลัยอื่นๆก็มีกิจกรรมไม่น้อยเหมือนกัน ผมว่าปล่อยให้พวกเขาได้เจอกับการเรียนรู้หลายๆอย่าง นอกจากจะเปิดประสบการณ์ใหม่ๆแล้ว เขาอาจจะได้เรียนรู้ที่จะเผชิญกับปัญหาด้วยตัวเอง ได้เรียนรู้การเข้าสังคม ได้เรียนรู้การอยู่ใต้คำสั่ง ได้เรียนรู้การจัดการบริหารเวลา ได้ฝึกฝนที่จะต้องพบกับแรงกดดัน ผมว่าถ้าลูกของพี่รู้จักที่จะมองทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาให้เป็นเหมือนตำราชีวิต เขาก็จะได้ประโยชน์จากมัน....นี่น่าจะเป็นจุดประสงค์ที่มหาลัยสร้างรูปแบบกิจกรรมมากมายพวกนี้ขึ้นมานะครับ ผมคิดว่างั้น”

“น้องพูดแบบนี้ก็แสดงว่าน้องเป็นลีดละซิ”

“ก็ใช่ครับ ผมเป็นลีดของมหาลัย”

“แล้วเรื่องเรียนเป็นยังไงบ้างล่ะ”

“ก็น่าพอใจครับ”

“น้องน่ะโชคดี แต่ไม่ใช่ทุกคนจะรับมือได้ทุกเรื่องเหมือนน้องหรอกนะ”

“ผมไม่เก่งขนาดนั้นหรอกครับ” ผมปฏิเสธ และไม่น่าเชื่อเลยว่าการปฏิเสธครั้งนี้จะได้รับการยืนยันในอีกเพียงชั่วอึดใจ





“น้องผู้หญิงคนนี้เป็นใคร” มันคือประโยคแรกที่ผมได้ยินจากพี่ตองหลังจากเปิดประตูเข้ามาภายในคอนโดฯ

“ผู้หญิงไหน?” ผมถามก่อนจะวางข้าวของลงไปกองบนชั้นวาง

“นี่ไง” คนที่นั่งอยู่บนโซฟาชูโทรศัพท์ในมือตัวเองขึ้นมาให้ดู ผมจึงเดินไปนั่งข้างๆและหยิบโทรศัพท์มาดู

“อ๋อ” นึกว่าใคร “นี่น้องครีม คนที่ผ่านเข้ารอบจากคณะวิศวะ ชาเพิ่งจะรับปากจะสอนเพลงมิ่งขวัญน้องเค้า ว่าแต่... พี่ตองเอารูปนี้มาจากไหน”

ดูๆ แล้ว นี่มันเป็นภาพถ่ายที่ถ่ายจากมุมมองของคนที่อยู่นอกห้องซ้อมคณะสังคมนะ

“ใครส่งมาเหรอ” ผมถามย้ำ

“.............” ไม่ตอบ

กรรม

ทำไมพี่ตองทำหน้าแบบนั้นล่ะ

“พี่ตองเป็นอะไรอ่ะ” ผมถามเสียงอ่อน “โกรธอะไรชาอ่ะ เกี่ยวอะไรกับรูปนี้หรือเปล่า”

“นี่มันภาพจากเพจของมหาลัย” ในที่สุดคนตัวสูงก็พูดออกมา “ลองดูซิว่าไอ้คนโพสมันเขียนแคปชั่นว่าอะไร”

“แคปชั่น?” ผมก็ยังไม่เข้าใจ แต่ก็ลองเปิดอ่านดู



‘ลีดมอมัณฯปีนี้รับสอนแค่เด็กของตัวเอง ทั้งห้องมีแค่เด็กคณะวิทย์กับวิศวะ ไม่บอกก็คงพอเข้าใจนะว่าหมายความว่ายังไง นี่เหรอผู้นำเชียร์บนหอคอยเกียรติยศ #เด็กเส้น’



“ห๊ะ! ใครมันบ้าโพสอะไรแบบนี้” ผมพยายามเปิดเข้าไปดูว่าใครโพสข้อความนี้ แต่เจ้าของเฟสบุ๊คลบบัญชีตัวเองไปแล้ว แต่ไม่นานผมว่าผมพอรู้แล้ว “ต้องเป็นเด็กปีหนึ่งคนนึงที่อยู่คณะสังคมแน่เลย วันนี้ชาเพิ่งเจอกับน้องคนนั้นมา....”

“มันไม่เกี่ยวหรอกว่าจะเป็นใคร” จู่ๆไอ้คนตัวสูงก็พูดเสียงเข้มต่ำ น้ำเสียงที่ผมไม่ได้ยินมานานแล้วนับตั้งแต่เราสองคนเลิกมองกันเป็นศัตรู “ทำไมถึงทำอะไรตามใจตัวเองแบบนี้”

“ก็...”

“ที่พี่ช่วยแก้ปัญหาให้ มันไม่ทำให้ชาฉุกคิดเลยเหรอว่าพี่พยายามป้องกันปัญหาพวกนี้ แล้วพอพี่เผลอแป๊บเดียว ชาก็รับสอนเด็กคนใหม่อีก ไม่คิดจะปรึกษากันบ้างหรือไง”

“พี่ตอง...”

“แล้วเห็นหรือเปล่าว่ามันเกิดเรื่องขึ้นจนได้ ใครๆจะมองชาว่ายังไง...”

“พี่ตอง*!!!!*” อะไรนักหนาวะ ไม่คิดจะฟังกันบ้างหรือไง มาถึงก็ใส่กูยับเลย “ชาโตแล้วนะ ไม่ใช่เด็กๆ ชาไม่มีสิทธิ์คิดหรือตัดสินใจทำอะไรเองเลยหรือไง”

“ถ้าไม่ใช่เพราะเราเป็นแฟนกัน พี่ก็จะไม่ใส่ใจหรอก” แล้วไอ้หัวเหม่งก็ลุกเดินเข้าไปในห้องนอนแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

อะไรวะ

ผมพยายามเดินตามเข้าไปในห้อง แต่ก็พบว่าไอ้คนที่เพิ่งโวยวายนอนนิ่งอยู่บนเตียงและหันหน้าเข้าขอบเตียงเป็นการแสดงออกที่ชัดเจนว่าไม่ต้องการคุยกับผม

“พี่ตอง” ผมเรียก

“.......” เงียบ

โอ๊ย จะงอนก็งอนไป เหนื่อย ไม่อยากคุยก็ไม่ต้องคุย

นี่แหละเรื่องที่ผมไม่เก่ง ผมง้อใครไม่เป็นหรอกนะ

เมื่อไม่รู้ว่าควรจะต้องจัดการกับความขัดแย้งนี้อย่างไร ผมจึงเดินไปเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำชำระร่างกายไล่ความเหนื่อยล้าออกไปให้สิ้น แต่เมื่อออกจากห้องน้ำมา.....



“พี่ตอง ทำไมไปยืนอยู่ตรงนั้นล่ะ” ผมถาม ตอนแรกก็นึกว่าจะนอนหลับหน้ามุ่ยไปแล้ว แต่กลับไปยืนนิ่งอยู่ที่โต๊ะเอกสารของผม “ยังโกรธชาอยู่ใช่ไหม”

“......” ก็ยังไม่ตอบอีกเหมือนเดิม แต่กลับมีเสียงถอนหายใจกลับมาแทน

ผมค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ๆคนตัวสูง ทั้งๆที่ร่างกายยังปกคลุมด้วยแค่ผ้าขนหนูอย่างหลอมๆ

“นี่พี่.... ดูกรอบรูปอยู่เหรอ” ผมถามอีกครั้ง น่าจะใช่นะ ถ้าเดาจากองศาการมอง เหมือนว่าพี่ตองกำลังจ้องกรอบภาพข่าวที่พี่ตองเคยช่วยชีวิตผมจากการจมน้ำซึ่งวางอยู่บนโต๊ะเอกสาร

“พี่ขอโทษนะครับ” ในที่สุดพี่ตองก็พูดออกมา แต่นี่ไม่ใช่คำพูดที่ผมคาดว่าจะได้ยินสักเท่าไหร่ จากนั้นพี่ตองหยิบรูปขึ้นมาดู “พี่ผิดเองที่เป็นห่วงชามากเกินไป... รู้หรือเปล่า ทุกครั้งที่พี่เห็นภาพนี้ มันตอกย้ำพี่เสมอว่าชาทำอะไรเพื่อพี่มานานแค่ไหน เพียงแค่การช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆของพี่ครั้งเดียวซึ่งพี่เกือบจำมันไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ไม่ใช่กับชา ชาตอบแทนน้ำใจเล็กๆของพี่อยู่ในเงามืดมาตลอดหลายปี.... นั่นทำให้พี่ระอายใจ และมันควรเป็นหน้าที่ของพี่ที่จะห่วงใย ปกป้อง และตอบแทนชาบ้าง แต่พี่ก็คงทำมากเกินไป.... พี่ขอโทษนะครับ”

“อย่าพูดแบบนั้นซิ” พอได้ฟังจุดประสงค์ของพี่ตองแล้ว มันทำให้ผมรู้สึกแย่จริงๆที่ไม่พยายามเข้าใจพี่เขาบ้าง แถมยังไม่คิดจะง้อเลยสักนิด “ชาเองก็ผิดเหมือนกันที่ทำอะไรไม่ปรึกษาพี่ตอง”

“แต่ถึงยังไงพี่ก็ไม่ควรโกรธชาแบบนั้น” พี่ตองวางกรอบรูปและหันประจันหน้ากับผม

“โกรธบ้างก็ได้" ผมบอก "เราเป็นแค่คนธรรมดา มีรัก โลภ โกรธ หลง ขืนไม่ทะเลาะกันบ้าง เดี๋ยวพอเกิดเรื่องไม่เข้าใจกันในวันข้างหน้าจะไม่มีภูมิคุ้มกัน ถึงยังไงชาก็....ไม่อยากเสียพี่ตองไป”

“พี่สงสัยจริงๆแล้วว่าชาติที่แล้วพี่ทำบุญด้วยอะไรถึงได้โชคดีที่มีแฟนที่ดีแบบชา”

“ใครบอกล่ะ พี่ตองไม่ได้โชคดีซะหน่อย ชาทั้งดื้อแล้วก็ง้อใครไม่เป็น แถมชา....มีลูกให้พี่ตองก็ไม่ได้”

“หือ!? ทำไมถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาละครับ”

“ชาคิดเรื่องนี้มาตลอดนั่นแหละ ความรักกับความจริงมันสวนทางในใจชามาตลอด บางทีชาก็เคยคิดนะว่ามันถูกแล้วเหรอที่เราจะคบกันจริงๆ”

“มันถูกซิครับ ในเมื่อพี่เลือกชาแล้ว จะเป็นยังไง พี่ก็รับได้ทั้งนั้น”

“แต่พี่ตองต้องไม่ลืมนะ ถ้ามองไปถึงในอนาคต ถ้าเราสองคนไม่มีลูกจริงๆ ตอนที่เราแก่ตัวไป ใครจะมาดูแลพี่ล่ะ ไม่ใช่แค่พี่ตองหรอกนะที่อยากตอบแทนชา ชาก็อยากสามารถมีลูกให้พี่ตองเพื่อตอบแทนความรักของพี่เหมือนกัน”

“งั้นเราก็ดูแลกันและกันซิครับ ดูแลกันตลอดไป”

“แต่ว่า...”

“อย่าคิดเรื่องแบบนี้อีกเลยนะครับ ถ้าชาอยากตอบแทนพี่จริงๆ....”

“เดี๋ยวๆๆๆ จะทำอะไรเนียพี่ตอง” จู่ๆไอ้หัวเหม่งก็เปลี่ยนโหมด เพิ่งดราม่ากันอยู่เมื่อกี๊ แต่ตอนนี้มันพยายามจะปลดผ้าขนหนูออกจากตัวผมซะแล้ว

“ไหนบอกว่าอยากตอบแทนพี่ไง”

“มันใช่แบบนี้ที่ไหนกันเล่า... เดี๋ยวซิ เมื่อเช้าก็เพิ่งทำไปไม่ใช่หรือไง” แต่ไอ้คนตัวสูงไม่คิดจะฟังอะไรผมเลย พยายามเข้าจู่โจมแบบไม่คิดชีวิต “พ...พี่ตอง....พี่................................... ขึ้นไปบนเตียงก่อนดีกว่าไหม”



บ้าเอ๊ยยยย

สุดท้ายกูก็ยอมจนได้ หรือว่านี่จะเป็น................









..................วิธีการตอบแทนของผม”
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER ภาค 2 [เชียร์ฝันสนั่นหัวใจ] - ตอนที่ 9 : ตอบแทน
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 15-08-2018 17:05:35
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 10 [เสพติด Part 1]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 23-08-2018 16:20:58
​ตอนที่ 10 : เสพติด









“นี่ไม่ใช่บ้านของผมนะ คุณจอดที่นี่ทำไม”

“ร้านก๋วยเตี๋ยวไง”

“ผมเห็นแล้ว แต่คุณจอดทำไม”

“ก็เรามาร้านก๋วยเตี๋ยว ก็ต้องกินก๋วยเตี๋ยวซิ ไปๆ ลงรถได้แล้ว”

“ด...เดี๋ยวก่อน ไม่ได้นะ...”

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง”

“ผมไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น แต่คุณต้องไปส่งผมที่บ้าน ม่ารอทานข้าวเย็นกับผมอยู่ แล้วก็ต้องไปให้อาหารแมวอีก”

“ถามจริง ชีวิตพี่เคยทำอะไรนอกตารางเวลาบ้างหรือเปล่า”

“จะยังไงก็ช่าง ไปส่งผมที่บ้านเดี๋ยวนี้เลย ไม่งั้นผมโทรฟ้องน้ำชาจริงๆด้วย”

“หยุดเลยๆๆ”

“คุณ! เอาโทรศัพท์ของผมมานะ”

“ผมไปส่งพี่แน่ๆ ไม่ต้องห่วง ขอเวลาแค่ห้านาที โอเคไหม ไม่เกินนี้แน่นอน รอแป๊บ”

นั่นคือบทสนทนาของผมก่อนจะลงไปจากรถเพื่อตรงดิ่งไปร้านอาหาร



หลังจากได้รับการสอนแต่งหน้าจากพี่น้ำชาแล้ว นี่เป็นเวลาสองทุ่มครึ่งซึ่งผมใช้พลังงานไปเยอะมากและยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยตั้งแต่เที่ยง  เพราะต้องทำงานช่วยรุ่นพี่ตัวน้อย แจ้นไปซ้อมว่ายน้ำตอนบ่ายแก่ๆ แล้วก็กลับมาเรียนแต่งหน้าอีก ตอนนี้ก็เลยหิวเป็นพิเศษ

ผมรีบสั่งรายการอาหารกับลุงเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยว



ระหว่างรอก็เอาโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นคร่าเวลาดีกว่า



อ้าว! ไม่ใช่เครื่องกูนี่หว่า เผลอถือหยิบโทรศัพท์ของพี่ขนมปังติดมือมาด้วย

หึ ไม่ได้ล็อคเครื่องไว้เหรอ ทำไมไม่ล็อคเครื่องไว้วะ คนแบบนี้ก็มีด้วย

แล้วดูรูปพื้นหลังมีแต่แมวทั้งนั้น ท่าทางจะชอบแมวเอามากๆ ว่าแต่.....

หึหึหึหึหึ

แผนชั่วบังเกิด ผมนี่ก็แปลกเนาะ พอเห็นช่องที่จะแกล้งรุ่นพี่ตัวน้อยนี่ได้เมื่อไหร่ก็ไม่คิดจะละเว้นเลยสักครั้ง สงสัยจะเสพติดการแกล้งไปแล้ว

ผมจัดการเปิดแอพลิเคชั่นกล้องถ่ายรูป จากนั้นก็ถ่ายหน้าตัวเอง เอาที่แบบว่า ถ้าใครเปิดหน้าจอมาต้องมีตกใจหรือไม่ก็หลอนที่เห็นหน้าผมแน่นอน แล้วก็ทำการตั้งค่าเป็นภาพพื้นหลัง…. เรียบร้อย...



“ได้แล้วครับน้อง” พ่อค้าบอกในขณะที่ผมปฏิบัติการกลั่นแกล้งเสร็จพอดี

ผมรีบชำระเงินแล้วก็วิ่งกลับรถพร้อมด้วยถุงอาหารในมือ



“มาแล้วววว บอกแล้วว่าแป๊บเดียว” ผมพูดทันทีที่เข้ามาในรถ

“โทรศัพท์ของผมล่ะ” รุ่นพี่ตัวน้อยทวงถามทันทีเช่นกัน

“โทรศัพท์?” ผมทำเนียนว่าจำไม่ได้

“ก็โทรศัพท์ที่คุณแย่งผมไปไง”

“อ๋ออออ” หึหึ เนียนไหมล่ะ “อ่ะนี่.... เดี๋ยวๆๆ”

“อะไรอีกล่ะ เอามาซะที”

“พี่เลิกใช้สรรพนามแทนตัวพี่กับผมว่า ‘ผม’ กับ ‘คุณ’ ได้แล้วมั้ง”

“ทำไมอ่ะ ก็ผมชอบเรียกแบบนี้”

“ผมเข้าใจ” เอาจริงๆผมก็ชอบแหละ ผมชอบคนสุภาพ ยิ่งพูดเพราะยิ่งชอบ ไม่งั้นผมคงไม่ชอบพี่น้ำขิงมาก่อนหรอก เพียงแต่... “แต่มันฟังดูห่างเหิน เราก็รู้จักกันประมาณหนึ่งแล้วนะพี่”

“แล้วจะให้ผมเรียกคุณว่าอะไร”

“ก็...” เปิดช่องมาให้แกล้งขนาดนี้แล้ว เอาซะหน่อยซิ

“ค...คุณจะทำอะไรผมอ่ะ” รุ่นพี่ตัวน้อยพยายามควานหาสลักเปิดประตูรถยนต์อย่างรนรานเมื่อผมเอาหน้าเข้าไปใกล้ๆเขา นี่ยังกลัวผมอยู่อีกเหรอ ถอยไปจนจะสิงประตูรถอยู่แล้ว “ผม...ผมร้องให้คนช่วยจริงๆนะ”

“ผมไม่ได้จะทำอะไรซะหน่อย” ผมแอบขำในใจ “ผมแค่จะให้พี่ดูหน้าผมชัดๆ แล้วช่วยบอกผมหน่อย คนที่พี่เห็นตรงหน้าชื่ออะไร”

“ก...ก็ โซนิค ไง”

“ก็ใช่ไง พี่ก็เรียกผมว่าโซนิคดิ หรือจะเรียกว่าน้อง หรือจะเรียกว่า....ที่รัก ก็ได้นะ”

“จ...จะบ้าเหรอ ผมจะไปเรียกคุณแบบนั้นทำไม”

หึหึหึหึหึ ว่าแล้วว่าต้องหน้าแดง

“ยังจะเรียกผมว่า คุณ อีก บอกให้เรียกชื่อเฉยๆไง หรือพี่อยากเรียกผมว่าที่รักจริงๆ”

“ใครมันจะไปอยากล่ะ เอาโทรศัพท์มานี่” กรรม มัวแต่แกล้ง เผลอโดนฉกโทรศัพท์คืนไปซะงั้น “ผมจะโทรฟ้องน้ำชาว่าคุณแกล้งผม”

“เห้ย! เดี๋ยวๆๆ ใจเย็นๆ ผมก็แค่...หยอกนิดเดียวเอง อย่าๆๆๆ อย่าโทรนะครับ อย่าโทรนะคร้าบบบบ ผมผิดไปแล้ว” สถานการณ์เปลี่ยนมาเป็นกูรนรานเองได้ไงวะ เออ ช่างเหอะ ต้องรีบห้ามไว้ก่อน

“ผมจะโทร ผมจะไม่ปล่อยให้คุณมาขู่ผมอีกแล้ว”

“ถ้าโทรผมปล้ำพี่จริงๆนะ”

“ว....ว่าไงนะ”

“อย่าคิดว่าผมไม่กล้าทำนะ ตัวเล็กแค่นี้ พี่โดนผมจู่โจมก่อนที่จะทันได้กดโทรศัพท์แน่นอน” ผมขู่หนักขึ้น

“ย...อย่านะ” คราวนี้คนตัวเล็กถึงขั้นเขย่าสลักเปิดประตูเป็นการใหญ่ คงจะกลัวเข้าจริงๆ

“ยังจะกล้าฟ้องอีกไหม” ผมยังแกล้งต่อ คนตรงหน้าเริ่มหน้าถอดสี “โด่พี่....ผมล้อเล่น พี่จะบ้าเหรอ ใครจะไปกล้าทำอะไรพี่ได้ ผมได้รับหน้าที่ให้มาดูแลพี่นะ ไม่ใช่มาทำร้ายซะเอง”

“ง...งั้นก็รีบกลับไปส่งผมที่บ้านได้แล้ว” นี่คือยังระแวงอยู่ใช่ไหม

“คร้าบๆ”

พอเลิกแกล้งได้ผมก็ออกรถ พารุ่นพี่ตัวน้อยกลับที่พักของตัวเอง

ชอบทำหน้าแบบนี้ ใครๆมันก็อยากแกล้งทั้งนั้นแหละ





“ถึงแล้วคร้าบบบบบ” เพียงไม่นาน ผมก็มาจอดรถที่หน้าตึกแถวซึ่งก็คือบ้านของคนที่ผมมาส่งนั่นแหละ

“ขอบใจ” รุ่นพี่ตัวน้อยรีบเก็บของแล้วลงจากรถของผมไป

“เดี๋ยวๆๆ” อ้าว เรียกไม่หันเลย ผมก็เลยต้องลงรถตามไปด้วย



“เพื่อนมาส่งอีกแล้วเหรอขนมปัง” อาม่านั่นเอง ท่านยังเก็บกวาดร้านเช่นเคย เธอเห็นผมเข้าพอดี

“สวัสดีครับ” ผมกล่าวทักทายพร้อมยกมือไหว้

“มีอะไรอีก” พี่ขนมปังหันมาถามผมด้วยท่าทีกลัวๆเกร็งๆ

“ทำไมพูดกับเพื่อนไม่เพราะเลยขนมปัง” อาม่าเอ็ด อ้อ รู้แล้วว่าใครสอนให้รุ่นพี่ตัวน้อยพูดจาสุภาพแบบนี้ แต่ประโยคเมื่อกี๊สำหรับผมคือไม่ติดละอองฝุ่นของคำว่าหยาบคายเลย

“ไม่เป็นไรครับ” ผมบอก “ผมแค่จะเอาเกาเหลามาฝากครับ พอดีขนมปังลงรถเร็วไปหน่อย ก็เลยตามเอามาให้น่ะครับ”

“เอามาให้อาม่าเหรอ” เรียกแทนตัวเองว่าอาม่าจริงด้วยแฮะ

“ครับ” ผมตอบ

“ขอบใจนะลูก น่ารักมากๆเลย” อาม่ารับถุงเกาเหลาจากผมพร้อมกับจับแก้มเบาๆ “หล่อจังเลยนะเรา หุ่นก็ดี.... แล้วกินอะไรหรือยัง” เอิ่ม อาม่าครับ ทำไมเรื่องมันเปลี่ยนเร็วจัง

“ก็...ยังหรอกครับ แต่ผมมีแล้ว” ผมยกถุงเกาเหลาอีกถุงให้อาม่าดู “เดี๋ยวก็จะแวะซื้อข้าวไปกินที่หอครับ”

“ไม่ต้องๆ มากินกับอาม่าก็ได้” อาม่ากล่าวชวนอย่างชื่นมื่น

“ม่า!” แต่รุ่นพี่ตัวน้อยดูจะไม่ชื่นมื่นเท่าไหร่นัก

“ไม่เป็นไรก็ได้ครับอาม่า” เมื่อเห็นเช่นนั้นผมจึงรีบออกตัว

“ไม่อึดอัดหรอก มากินด้วยกันดีกว่า จะไปเสียตังซื้อข้าวอีกทำไม อาม่าหุงข้าวไว้เยอะแยะ.... ขนมปังนี่ก็จริงๆเลย ดูทำท่าทำทางเข้า ไม่มีน้ำใจกับเพื่อนเลยนะ”

“เปล่านะครับ ปังไม่ได้ทำท่าอะไรซะหน่อย” ดูความงอแงเป็นลูกแมวของคนตรงหน้าผมซิ เห็นแล้วมันน่าแกล้งจริงๆ

“ผมไม่รบกวนดีกว่าครับ เดี๋ยวขนมปังจะอึดอัดเปล่าๆ ผมกลับไปกินที่หอก็ได้ครับ” ผมยังยืนยัน

“ม...ไม่ได้อึดอัดซะหน่อย” รุ่นพี่ตัวน้อยรีบปฏิเสธพร้อมกับมองผมตาเขียว

“เห็นไหมล่ะ ไปชักสีหน้าใส่เพื่อนแบบนั้น ใครๆก็ต้องคิดว่าเราไม่ต้อนรับทั้งนั้นแหละ” อาม่าเอ็ดหลานชายตัวเองอีกครั้ง “เข้าไปๆๆ ไปกินข้าวกันเถอะ”

อ...อ้าว    ต้องเข้าไปจริงๆเหรอ โดนอาม่าคว้าแขนแล้วลากมานั่งโต๊ะทานอาหารจริงๆ คราวนี้ก็เลยกลายเป็นผมที่อึดอัดเอง



“ต้มจับฉ่าย ผัดถั่วงอก ผัดกระหล่ำน้ำมันหอย” ผมท่องเมนูอาหารที่เห็นตรงหน้าเพื่อลดความตึงเครียด “โอ้โห มีแต่ผักทั้งนั้นเลยนะครับ แล้วไหนจะเกาเหลาของผมอีก”

“กินได้ไหมลูก เดี๋ยวอาม่าไปเจียวไข่ให้ เอาไหม”

“ก...กินได้ครับ” เวรกรรม พูดมากจนจะทำให้คนแก่ลำบากซะแล้วกู “จริงๆผมต้องกินผักเป็นมื้อเย็นอยู่แล้วครับ เพราะผมเป็นนักกีฬา ต้องควบคุมอาหาร แต่เมนูผักแถวนี้หาทานยากครับ ส่วนใหญ่ก็มีแต่เนื้อกับแป้งทั้งนั้น”

“งั้นก็มากินด้วยกันบ่อยๆซิลูก มาทุกวันเลยก็ได้”

“ม่าครับ” พี่ขนมปังร้องขึ้นมาอีกครั้ง

“เป็นยังไงนะ ขนมปังนิ ทำไมชอบชักสีหน้าใส่เพื่อน เสียมารยาทจังเลย” อาม่าเอ็ดหลานชายเป็นรอบที่สาม จนทำให้ผมอดขำไม่ได้

“หัวเราะอะไร” นั่นไง โดนเลยกู

“ขนมปัง!” คราวนี้อาม่าถึงขั้นลงมือตีหลังมือของหลานตัวเอง

“อ...อาม่าครับ” ผมก็ต้องรีบห้ามซิ จะบ้าเหรอ ทำให้ยายหลานเขาทะเลาะกันได้ไง “ไม่เป็นไรครับ จริงๆผมเป็นรุ่นน้องของขนมปังครับ โดนดุประจำนั่นแหละครับ”

“ประจำเลยเหรอ?” กรรม ไม่ได้ช่วยทำให้อาม่าคล้ายอาการตำหนิหลานชายตัวเองลงเลย

“คือ...” ผมพยายามหาเหตุผล “มันก็เป็นธรรมดาของรุ่นพี่รุ่นน้องนั่นแหละครับ ไม่มีอะไรต้องกังวลครับ”

“แต่อาม่าไม่ค่อยชอบใจเลยนะที่ขนมปังทำแบบนี้” อาม่าคล้ายว่าจะยอมคลายอาการลง “แล้วนี่เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันเหรอ ชื่ออะไรล่ะลูก”

“ครับ ผมเป็นรุ่นน้องครับ แต่อยู่คนละกันคณะกัน ชื่อโซนิคครับ” ผมตอบ

“อ้าวเหรอ ก็นึกว่าเป็นแฟนขนมปังซะอีก” หือ!?!?! “หรือว่ากำลังจีบกันอยู่”

“ม่า!! ไม่ใช่เลย นี่รุ่นน้องจริงๆ ม่าพูดไรเนีย” เจ้าคนตัวเล็กโวยวาย แต่ผมนี่ดิ ยังอึ้งอยู่เลย

“อาม่าจะไปรู้ได้ยังไง ก็นึกว่ามีคนใหม่แล้ว แล้วพ่อคนที่ชื่อกัซนั่นล่ะ หายไปไหนซะแล้ว”

“ปังบอกม่าไปตั้งหลายทีแล้วไงว่า ปังเลิกกับเขาไปแล้ว”

“แล้วคนหล่อๆที่ชื่อสุ่ยล่ะ ก็เห็นมาบ้านอยู่พักนึงไม่ใช่รึไง”

“นั่นยิ่งไม่ใช่ใหญ่เลย นั่นเพื่อนที่คณะของปัง”

“คนนั้นก็ไม่ใช่ คนนี้ก็ไม่ใช่ แล้วเมื่อไหร่จะมีแฟนซะที ตัวเองยิ่งบอบบางอยู่ หาผู้ชายดีๆมาดูแลได้แล้ว นี่ไง คนนี้ก็ท่าทางใช่ได้ออก หน้าก็หล่อ หุ่นก็ดี ท่าทางเอางานเอาการ... ว่าแต่ว่า หนูชื่ออะไรนะลูก”

“ซ...โซนิคครับ” ผมตอบอึ้งๆ

“ชื่อภาษาฝรั่งอาม่าจำไม่ค่อยได้ โซ่...เอ่อ...โซนิคใช่ไหม”

“ค...ครับ”

“ชอบหลานอาม่าไหม" ห๊ะ ถามผมว่าอะไรนะ "ขนมปังเก่งงานบ้านนะ อาม่าสอนมาเองกับมือเลย อาหารการกินก็พอจะไปวัดไปวาได้อยู่ ไม่อดตายหรอกลูก”

“ม่า..!!” พี่ขนมปังโวยวายขึ้นมาอย่างเหลืออด คงจะอายมาก “ทำไมเราต้องมาพูดเรื่องนี้กันตอนนี้ด้วยล่ะ นี่เวลาอาหารนะ”

“อาม่าก็หาแฟนให้อยู่นี่ไง....”

“ไม่ต้องหาอะไรทั้งนั้นแหละ กินข้าวได้แล้ว ถ้าม่ายังพูดอยู่ ปังจะขึ้นไปกินบนห้องแล้วนะ”

“อ่ะๆๆๆ ไม่พูดก็ไม่พูด.... ว่าแต่หนูไม่ชอบหลานอาม่าบ้างเหรอ”

“อาม่า!”

“อ่ะๆ กินข้าวๆ”

“ม่าอ่ะ” นี่คือเสียงสบถของรุ่นพี่ตัวน้อย และก็เป็นเสียงสุดท้ายบนโต๊ะอาหาร เพราะหลังจากนั้นทุกอย่างก็เงียบขึ้นทันที



ตอนนี้ในหัวผมว่างเปล่ามากเลย นี่สรุปว่าพี่ขนมปังเขาชอบผู้ชายเหรอ เห็นติ๋มๆ ก็นึกว่าแค่เป็นคนเรียบร้อย แต่นี่มันของจริงเลยนี่หว่า แถมยังเปิดเผยให้คนในครอบครัวรู้อีก

ไปไม่ถูกเลยกู

ผมรีบกินอย่างรวดเร็ว ก็มันเกร็งอ่ะ ได้ล่วงรู้ความจริงของบ้านนี้แล้วทำไมทำให้ตกประหม่าก็ไม่รู้ ทั้งๆที่ตัวผมเองก็มีอารมณ์ชอบผู้ชายเหมือนกัน ผมควรที่จะรู้สึกปกติด้วยซ้ำ แต่มันไม่ชินจริงๆ นี่เป็นบรรยากาศที่ไม่สามารถเห็นได้ในบ้านของผมอย่างแน่นอน..............





“เอ่อ......ขอโทษนะที่ต้องมาฟังเรื่องแปลกๆที่ม่าพูด”

นี่เป็นเวลาสามทุ่มกว่าที่รุ่นพี่ตัวน้อยเดินออกมาส่งผมขึ้นรถกลับบ้านพร้อมกับอุ้มแมวขนปุยในมือ

“ก็...” ผมไม่รู้จะพูดว่าไง อาจจะเพราะไม่ได้พูดไปนานก็เลยลืมวิธีที่จะพูดมั้ง

“ถ้าคุณ....ไม่สะดวกใจที่จะมาช่วยงานผม เดี๋ยวผมโทรบอกน้ำชาให้ก็ได้นะ ผมเข้าใจว่าบางคนอาจจะรับไม่ได้ที่ต้องมาอยู่ใกล้กับ....คนแบบผม”

คนแบบ...?

“บ้าเหรอพี่” พอเข้าใจในความหมายที่คนตรงหน้าพูด ผมก็เลยรีบปฏิเสธ ผมเองก็มีความชอบที่ต่างจากคนทั่วๆไป คงไม่มีสิทธิ์ไปคอมเม้นใครแบบนั้น “ผมไม่มีปัญหาหรอก พี่กับอาม่าคุยกันได้อย่างเปิดเผยก็ดีแล้ว จริงๆผมว่ามันก็...น่ารักดีออกนะ”

“งั้นเหรอ” พี่เขายิ้มออกมา อืม เวลายิ้มจริงๆจังๆก็ดูสดใสดีนี่นา

“ผมชมแมวพี่ต่างหาก” ฮ่าๆ ว่าแล้วว่าต้องหุบยิ้มและดึงหน้าตึงใส่ผม “เอาเป็นว่าเจอกันพรุ่งนี้นะพี่”

ผมเตรียมตัวขึ้นรถเพื่อเดินทางกลับ

“ยังไงก็...” รุ่นพี่ตัวน้อยพยายามคุยกับผมก่อนที่ผมจะก้าวขึ้นรถยนต์ “.....ฝันดีนะ”

หึ! “เมื่อกี๊พี่บอกฝันดีผ..... อ้าว...  พี่”

เดินเข้าบ้านไปเฉยเลย

อะไรของเขาวะ รีบจ๊ำอ้าวเข้าประตูบ้านอย่างกับกลัวว่าผมจะจ้องตาแล้วทำให้กลายเป็นหิน เอ.... หรือว่าเขินอีกแล้วกันนะ แต่ก็.......









...........น่ารักดี
หัวข้อ: LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 10 [เสพติด Part 2]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 23-08-2018 16:21:50
( ต่อ Part 2 )



(มุมของอะตอม)



ฮื่ออออออออ

อยากจะร้องไห้ ทำไมข้อสอบหลักคณิตมันถึงได้ยากขนาดนี้วะ ไม่เห็นจะมีตรงกับที่อดหลับอดนอนอ่านเมื่อคืนนี้เลย



“อะตอม” ไอ้นี่ก็อีกคน เรียกอยู่นั่นแหละ ตั้งแต่สอบเสร็จ ผมก็ตรงดิ่งมาที่โรงพยาบาล ถึงจะใช้พลังงานไปกับการสอบมากแค่ไหน ก็ยังต้องมาช่วยงานที่แผนกฉุนเฉินตามที่สัญญากับพี่น้ำชาและหมอพิชิตไว้ แต่ไอ้บ้าแทนมันก็เทียวมาคุยกับผมตลอด ไม่รู้เป็นโรคอะไรนักหนา

“.......” ไม่ตอบเว้ย

“ยังไม่หายโกรธกูอีกเหรอ”

“โกรธอะไร มึงไม่ใช่เหรอที่โกรธกู กูก็ขอโทษไปแล้วไง จะมาอะไรอีก”

“พูดประชดแบบนี้ แปลว่ายังโกรธอยู่ใช่ไหม” รู้แล้วยังจะมาถามอีก “กูรู้นิว่านั่นพี่น้ำชาบังคับ กูไม่ได้อยากให้มึงขอโทษกูซะหน่อย หายโกรธเหอะน่า นะ”

“มึงว่างมากหรือไง ไปทำงานโน่นไป นั่นไง มีรถฉุกเฉินมาอีกแล้ว”

“โอเค” นี่มึงถอนหายใจใส่กูเหรอ “งั้นก็อย่าลืมดูคะแนนด้วยนะ ที่สอบไปอ่ะ คะแนนออกแล้ว”

ห๊ะ!! จริงเหรอ

เอาแล้วไงกู ไม่กล้าเปิดดูคะแนนเลย



ผมหยิบโทรศัพท์ออกมา หวังจะตรวจดูผลการสอบของตัวเอง แต่....



“น้องค่ะ มาช่วยกันหน่อยเร็ว” จู่ๆก็มีพี่พยาบาลร้องขอความช่วยเหลือเสียงดัง

ผมหันไปที่จุดที่คาดว่าจะมีคนต้องการความช่วยเหลือ ปรากฏพบกับความวุ่นวายที่เตียงผู้ป่วยเตียงหนึ่ง เสียงเอี๊ยดอ๊าดของเตียงที่ดังกว่าปกติทำให้พอจะเดาได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติบนเตียงนั้น



“กรี๊ดดดดดดด กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”



“มาช่วยกันหน่อยเร็ว”

ชิบหายละ มัวแต่อึ้ง

ผมรีบวิ่งไปที่เตียงดังกล่าว พบเด็กสาวคนหนึ่งกรี๊ดลั่นและพยายามดิ้นอยู่บนเตียง

“ขอยาคลายกล้ามเนื้อหน่อย..... หนูๆ ใจเย็นๆ..... ยาได้หรือยัง เตรียมรมยาสลบด้วย..... จับแขนไว้หน่อย.... ใครก็ได้ตามหมอมาที” พี่พยาบาลคนหนึ่งบัญชาการเหตุการณ์อย่างวุ่นวาย

เด็กสาวผมสั้นยังคงกรีดร้องไม่หยุด พยายามใช้มือตีไปที่ใบหน้าของตัวเอง

ความวุ่นวายเกิดขึ้นอยู่พักใหญ่ จนเมื่อคุณหมอมาและสามารถพาตัวผู้ป่วยคลุ้มคลั่งเข้าไปยังห้องพิเศษอีกห้องหนึ่งได้

โอ๊ย

ผมเพิ่งจะมาสำนึกได้ว่าตัวเองเจ็บแขน คงเป็นเพราะถูกน้องผู้หญิงคนเมื่อกี๊ตีแขนหลายต่อหลายครั้ง



“เป็นอะไรอ่ะ เจ็บแขนเหรอ” มาอีกแล้ว ไอ้บ้าแทนนี่มันยังไงวะ

“เปล่า” ตอบแค่นี้แหละ

“ไหนขอดูหน่อย”

“ก็บอกว่าไม่เป็นอะไรไง” ออกไปไกลๆเลยไป ผมผลักไอ้บ้านี่ให้ออกไปห่างๆ แต่เพื่อป้องกันไม่ให้มันเข้ามาใกล้ผมอีก ผมจึงเดินออกไปจากตรงนั้น



ว่าแต่...

คะแนนเป็นไงบ้างวะ

ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาอีกครั้ง เพื่อตรวจดูคะแนนสอบของตนเองในเว็บไซต์



นายธราธิป ไอราพิทักษ์ คะแนน 32% ไม่ผ่าน



“................” ตึงเลยกู ไม่มีวี่แววที่จะใกล้เคียงกับคำว่าผ่านเลย ต้องผ่านที่หกสิบห้าเปอร์เซ็น เอายังไงละทีนี้ เหลือเวลาอีกสองวัน จะสอบผ่านไหมเนีย หรือต้องไปสอบอีกทีปีหน้า.... ว่าแต่....

จู่ๆ ผมก็อยากดูคะแนนของไอ้บ้าแทนซะอย่างนั้น

มันชื่ออะไรหว่า.... อ๋อ อวกาศ ชื่อแปลก จำได้ไม่ยาก



นายอวกาศ  คล้ายจันทร  คะแนน 89% ผ่าน



แม่เจ้า คะแนนมันจะสูงไปไหนเนีย คนบ้าอะไรแม่งเก่งทุกอย่างขนาดนี้วะ

หงุดหงิดจริงๆ โลกแม่งไม่ยุติธรรม มันทั้งหล่อ ทั้งเก่ง แล้วแบบนี้จะเอาอะไรไปแข่งกันมันได้ล่ะ



“แทน” หึ เสียงคุ้นๆ “เป็นไงบ้าง แล้วอะตอมไปอยู่ไหนซะละ” พี่น้ำชานั่นเอง

“ไม่รู้เหมือนกันครับ” กูก็หลบอยู่ในมุมนี่ไง “เห็นเดินออกไปไหนแล้วก็ไม่รู้ เหมือนยังจะโกรธอะไรผมอยู่สักอย่าง” อ้าว นี่มึงนินทากูนิ

“อีกแล้วเหรอ” อีกแล้วอะไรพี่น้ำชา พี่ควรจะเข้าข้างผมนะ ดูมันทำตัวดิ น่าหมั่นใส้จะตายไป “อะตอมเป็นแบบนี้แล้ว เอ็งก็คอยแต่ตามใจเพื่อนอยู่ได้ ถามจริง ไม่เบื่อบ้างเหรอ”

“ก็เพื่อนนิครับ ผมก็พอเข้าใจนะครับ เขาขาดแม่ตั้งแต่ยังเด็ก คงไม่มีโอกาสงอแงบ่อยนัก ส่วนผมก็ดูแลแม่มาตั้งแต่เด็กๆเมื่อกัน ก็เลยชินกับการเทคแคร์คนอื่นไปแล้ว”

“งั้นเหรอ ยังไงพี่ขอฝากอะตอมหน่อยนะ พี่คงไม่สามารถ...”



“ฮื่ออออออออ ลูกแม่”

เสียงหนึ่งขัดการสนทนาขึ้นมา



“เป็นอะไรไหมครับคุณแม่” พี่น้ำชาเข้าไปคุยกับหญิงค่อนข้างมีอายุคนหนึ่ง เธอนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่หน้าห้องฉุกเฉินพิเศษที่เด็กสาวจอมคลุ้มคลั้งเพิ่งจะเข้าไป

“ผมขอตัวไปช่วยทางโน้นก่อนนะครับพี่” ไอ้บ้าแทนรีบวิ่งไปช่วยรถฉุกเฉินคันใหม่ที่มาเทียบจอดหน้าโรงพยาบาล

“...........” ส่วนหญิงคนที่พี่น้ำชาเข้าไปพูดด้วยไม่ยอมตอบอะไร เอาแต่ส่ายหน้าและร้องไห้ออกมา

“มีอะไรปรึกษาผมได้นะครับ ผมเป็นนิสิตช่วยงานของโรงพยาบาลนี้ครับ”

“ลูก...” เธอยอมพูดออกมาแล้ว “ลูกแม่จะเป็นอะไรหรือเปล่า”

“แล้วลูกคุณแม่เป็นอะไรมาครับ” พี่น้ำชาถามตามประสาคนที่เพิ่งเข้ามาเห็นเหตุการณ์

“ลูกสาวแม่ทำร้ายตัวเอง”

“ทำร้ายตัวเอง?”

“ค่ะ เธอควบคุมตัวเองไม่ได้”

“เอ่อ....ครับ” ผมรู้ทันทีว่าพี่น้ำชายังไม่เข้าใจ ผมที่แอบฟังอยู่ตรงนี้ยังไม่เข้าใจเท่าไหร่เลย

“แม่แค่บอกเขาว่า เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยออกไปกินข้าวนอกบ้าน เพราะวันนี้แม่ทำของโปรดไว้ให้เขาแล้ว แต่เขาไม่ฟังแม่เลย เอาแต่ประชดแม่ ทำร้ายตัวเอง จนชัก... ฮื่อ.... แม่ผิดเอง แม่ควรจะพาเขาออกไปแท้ๆ ไม่งั้นก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้”

“เอ่อ... เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นบ่อยไหมครับ ที่เขาชอบทำร้ายตัวเองอะครับ”

“ก็ตั้งแต่ที่พ่อเขาเสียไปเพราะถูกรถชน แม่พยายามพาเขาไปเที่ยว หาซื้อของที่เขาชอบมาให้ หวังว่าจะลบเลือนความทรงจำแย่ๆที่ครอบครัวเราเสียเสาหลักไป แต่ไม่ว่าแม่จะทำยังไง ลูกสาวแม่ก็ยิ่งอาการแย่ลงทุกวันๆ”

“คุณแม่ครับ ผมขอพูดอะไรตรงๆได้ไหมครับ... ด้วยผมเองก็สูญเสียพ่อเหมือนกัน ผมจำหน้าของพ่อไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ผมก็ไม่เคยคิดว่าการทำร้ายตัวเองมันคือทางออกเลยนะครับ”

“แต่เขาสนิทกับพ่อมาก เขาเสียใจ แม่ก็พยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่ก็อย่างที่เห็น...”

“ผมเห็นครับ ผมเห็นชัดเจนเลยด้วยว่าลูกสาวแม่ไม่ได้เป็นอะไร”

“จะไม่ได้เป็นอะไรได้ยังไง ไม่เห็นเหรอว่าเขาชักไม่หยุด”

“ขอโทษจากใจจริงนะครับคุณแม่ แต่คนที่มีอาการผิดปกติมากกว่าลูกสาวของคุณแม่ตอนนี้ น่าจะเป็นคุณแม่เองนะครับ”

“ว...ว่าไงนะ!?” ความพูดตรงของพี่น้ำชาทำให้ทั้งคุณแม่และผมอึ้งไปเลย

“ผมถามหน่อยได้ไหมครับ ลูกสาวคุณแม่มักจะมีอาการโวยวายหรือคลุ้มคลั่งหรือชักหรือกรีดร้อง ตอนที่เธออยากได้อะไรเป็นพิเศษแล้วไม่ได้ดั่งใจใช่ไหมครับ”

“ก็....” แปลว่าใช่ซินะ จากการสีหน้าแบบนี้ใครๆก็ดูออก

“แล้วคุณแม่ก็ตามใจลูกสาวอย่างหนักหลังจากเสียคุณพ่อไปใช่ไหมครับ”

“แม่ก็ต้องทำซิ เขากำลังเสียใจ”

“คำว่า กำลังเสียใจ ที่คุณแม่พูดถึงนี่มัน... นานแค่ไหนแล้วครับ”

“ก็...ตั้งแต่ขึ้นปอห้าใหม่ๆละมั้ง ม...แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“ซึ่งตอนนี้ลูกสาวของคุณแม่เรียนชั้นไหนแล้วครับ”

“กำลังจะขึ้นมอห้า”

“โอเคครับคุณแม่ ผมไม่ใช่หมอนะครับ แต่ว่าผมบอกได้ครับว่าลูกสาวคุณแม่เป็นอะไร”

“แม่ก็รู้ว่าเขามีภาวะทางจิตเพราะเจอเรื่องเสียใจอย่างรุนแรง หมอเคยบอกมาแล้ว แม่ก็ให้เขากินยาตลอด”

“ยาอะไรก็ไม่ช่วยทำให้น้องดีขึ้นหรอกครับ แม่พูดเองไม่ใช่เหรอว่าน้องอาการหนักขึ้นทุกวัน สิ่งเดียวที่น้องเป็นอยู่ตอนนี้ก็คือเสพติดการถูกตามใจมากจนเกินไป และคนที่ทำให้น้องเป็นแบบนี้ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกครับ” แรงได้อีก

“แต่...”

“คุณแม่ครับ ตั้งแต่เราคุยกันมาเนีย คุณแม่มีเหตุผลมาพยายามแย้งผมตลอดเลยนะครับ แต่ทุกครั้งที่คุณแม่ให้เหตุผล มันก็จะกลับไปที่เรื่องเดิมคือคุณแม่ตามใจเขา น้องอาจจะโชคร้ายที่สูญเสียคุณพ่อ หลายคนก็โชคร้ายที่สูญเสียคนที่ตัวเองรัก แต่สิ่งที่คุณแม่กำลังทำ คุณแม่กำลังพรากการมีชีวิตของน้องไปนะครับ หลังจากที่น้องดีขึ้นในวันนี้ คุณแม่อาจจะกลับไปตามใจน้องแบบเดิมก็ได้ นั่นไม่มีใครมาห้ามคุณแม่ได้อยู่แล้ว แต่น้องจะกลับเข้าโรงพยาบาลแบบนี้อีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า และในวันนึงที่คุณแม่ไม่สามารถจะอยู่เพื่อตามใจเขาได้อีกต่อไป น้องจะใช้ชีวิตอยู่ต่อได้ยังไงโดยปราศจากคุณแม่”

“...............” คุณแม่นิ่งอึ้งไปเลย แล้วเพียงชั่วครู่ เธอก็ร้องไห้อย่างหนักออกมาอีกครั้ง

ถ้าให้ผมเดาจากที่เห็น ผมก็คงจะเดาว่า จริงๆแล้วคุณแม่น่าจะเข้าใจในสถานการณ์อยู่แล้ว แต่ไม่อยากยอมรับ และไม่เคยมีใครมาพูดตรงจุดขนาดนี้

“ผมขอโทษสำหรับการพูดกับคุณแม่ตรงๆนะครับ” พี่น้ำชายังคงพยายามใช้เสียงเรียบๆเหมือนเดิม “แต่น้องควรได้รับภูมิคุ้มกันสำหรับการใช้ชีวิตในวันข้างหน้าได้แล้ว”

“ม...แม่...ควรทำยังไงดี ตอนนี้อาการของเขาก็หนักขึ้น แม่ไม่กล้าขัดใจเขาหรอกนะ”

“มันไม่มีอะไรง่ายหรอกครับคุณแม่ แม่อาจจะใช้เวลาอีกเป็นเดือนเป็นปี อาจจะได้มาที่โรงพยาบาลอีกบ่อยๆ แต่มันก็คุ้มนะครับกับสิ่งที่จะได้กลับมาหลังจากนั้น.... ถ้าคุณแม่นึกภาพไม่ออก ผมจะเล่าเรื่องของผมให้ฟังครับ... ตัวผมเองใช้เวลาถึงแปดปีในการที่จะได้คุยประโยคแรกกับคนๆนึง คนที่เหมือนจะอยู่ไกลสุดๆจนผมไม่อาจเอื้อมถึง คนที่เขาเกลียดผมเข้าไส้ คนที่ผมเฝ้ามองเขาอย่างชื่นชมมาโดยตลอด แต่แล้วในวันนึง จากความพยายามกว่าแปดปี ตอนนี้ผมได้คุยกับเขาทุกวัน ได้อยู่ใกล้เขาทุกนาทีที่ต้องการ และมีสิทธิ์ที่จะคิดถึงเขาทุกวินาทีที่ใจปรารถนา อย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆ เพราะงั้นคุณแม่เชื่อในความพยายามเถอะครับ ถ้าคิดเสมอว่าสิ่งที่จะทำต่อไปนี้ ทำเพื่อคนที่เรารัก มันจะไม่มีวันเหนื่อยเลยครับ อาจจะมีล้มและเจ็บระหว่างทางบ้าง แต่มันจะเป็นแผลเป็นที่เราภูมิใจทุกครั้งที่ได้มอง เชื่อมั่นในตัวเองไว้ครับ”

“ขอบ....ขอบใจมากนะลูก แม่จะพยายาม”

พี่น้ำชายิ้มให้กับคุณแม่ผู้พรั่งพรูไปด้วยน้ำตา

“เห้อออออ" จู่ๆพี่น้ำชาก็ถอนหายใจ "พอได้คุยกับคุณแม่แบบนี้แล้วก็ทำให้ผมสะท้อนถึงตัวเองเหมือนกันนะครับ... ทั้งๆที่ผมแนะนำคุณแม่ได้อย่างง่ายๆ แต่ผมกลับจัดการเรื่องของตัวเองไม่ได้เลย ตอนนี้ผมรู้จักน้องอยู่คนนึง เขาเป็นเด็กค่อยข้างดื้อ ขี้งอน เอาแต่ใจ แถมยังมีเพื่อนคอยตามใจเหมือนที่คุณแม่ตามใจลูกสาวของคุณแม่นี่แหละครับ”

นี่กำลังพูดถึงเราอยู่หรือเปล่าเนีย...... เออ ก็คงใช่แหละ

“แล้วเขาเป็นยังไงบ้าง” คุณแม่เป็นผู้ถามบ้าง

“ก็ยังไม่ถึงกับชักหรอกครับ” พี่น้ำชาหัวเราะเล็กๆ บรรยากาศการพูดคุยเริ่มผ่อนคลายขึ้น “แต่ก็พูดยากอยู่เหมือนกัน จริงๆผมว่าจะฝากฝังให้คนอื่นช่วยปรับปรุงนิสัยของน้องคนนี้ไปแล้ว แต่พอมาคุยกับคุณแม่แล้ว ผมกลับมาคิดว่า ในเมื่อผมแนะนำคุณแม่ได้ แล้วทำไมผมถึงไม่ลงมือทำเองบ้าง... เอาเป็นว่า เรามาพยายามไปด้วยกันดีกว่านะครับ”

“จ๊ะลูก ขอบใจหนูมากนะ”

“ยินดีครับคุณแม่”



“ผู้ป่วยสงบลงแล้วค่ะ” พยาบาลคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องฉุกเฉินพิเศษ “คุณแม่จะเข้าเยี่ยมเลยไหมค่ะ”

“เข้าค่ะๆ” คุณแม่รีบตอบ แต่แล้วเธอก็ชะงักและตัดสินใจนั่งอยู่กับที่ “ยังไม่เข้าไปดีกว่าค่ะ ดิชั้นขอนั่งอยู่ตรงนี้ก่อน ถ้าลูกสาวดิชั้นถามหา ช่วยบอกเขาทีนะคะว่าดิชั้นติดธุระอยู่ที่ที่ทำงาน”

“ด..ได้ค่ะ” พี่พยาบาลดูจะงงๆเล็กน้อย "แล้วถ้าน้องเกิดชักขึ้นมาอีกรอบละคะ"

"ก็....ขอรบกวนคุณหมอด้วยก็แล้วกันค่ะ"

"จะแจ้งคุณหมอให้นะคะ" พี่พยายามเดินกลับเข้าห้องไปอีกครั้ง



“เองงี้เลยเหรอครับคุณแม่” พี่น้ำชาอึ้งในการตัดสินใจของผู้หญิงที่ตนเองเพิ่งจะให้คำแนะนำไป

“เอาอย่างนี้แหละ” คุณแม่ทำสีหน้ามุ่งมั่น “ถ้าจะเริ่มก็ต้องเริ่มตั้งแต่ตอนนี้”

“งั้น... ผมขอตัวก่อนดีกว่านะครับ เห็นคุณแม่แล้วก็อยากจะเริ่มลงมือทำบ้าง ยังไงขอให้ลูกสาวหายไวๆนะครับ”

“จ๊ะ ขอบใจหนูอีกทีนะ”

“ครับบบ สวัสดีครับ” แล้วพี่น้ำชาก็เดินออกมา





“พี่น้ำชา” หลังจากที่ฟังคนอื่นพูดมานาน คราวนี้เป็นคิวของผมบ้าง ผมวิ่งตามที่น้ำชาซึ่งพี่เขาก็คงกำลังตามหาผมอยู่เหมือนกัน

“อ้าว อะตอม พี่หาตั้งนาน อยู่นี่เองเหรอ” พี่น้ำชาเอ่ยถาม

“ครับ พอดีตอมหลบไปทำใจเรื่องคะแนนสอบนิดหน่อยน่ะครับ”

“คะแนนสอบ? อ๋อ หลักคณิตอะเหรอ มันแย่ขนาดต้องไปหาที่ทำใจเลยเหรอ”

“สามสิบสองเปอร์เซ็นครับ”

“อืมมมม คงต้องทำใจจริงๆ.... เอางี้ไหม พี่หาคนมาติวให้ ความจริงพี่ก็อยากสอนให้เองนะ แต่ช่วงนี้ไม่มีเวลาเลย งานลีดมันวุ่นวายมาก นี่ก็ต้องเข้าไปเสนอโครงการอีก”

“ขอบคุณมากเลยครับ แต่ตอมรู้สึกเกรงใจพี่น้ำชามากเลย”

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก แต่ถ้าจะเกรงใจจริงๆ ช่วยพี่อย่างนึง”

“ครับ?”

“ช่วยเลิกเป็นคนขี้งอนซะที” เอาแล้วไง พี่น้ำชาเริ่มแล้ว “พี่ก็ไม่อยากจะมาจู้จี้หรอกนะเพราะพี่ก็ไม่ได้เป็น...”

“เข้าใจแล้วครับ ตอมจะเลิกทำตัวแบบนี้”

“ใช่ เพราะพี่.... ห๊ะ.... ว่าไงนะ ทำไมวันนี้ยอมง่ายจัง”

“ก็พี่แสดงความเป็นห่วงตอมขนาดนี้ ตอมไม่อยากทำให้พี่ต้องมาลำบากใจเพิ่มอีก รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กเล็กๆยังไงก็ไม่รู้”

“อย่างงั้นเหรอ... งั้น... ก็ดีแล้ว เอาเป็นว่าพี่ไปทำธุระของตัวเองดีกว่านะ”

“ครับพี่”

“เดี๋ยวก่อน มีอีกเรื่องนึง รู้ใช่ไหมว่าอะตอมทำตัวงอแงใส่ใครไว้”

“ร...รู้ครับ”

“ไปแก้ไขมันซะ”

“ครับ”

“พี่แค่อยากเห็นน้องของพี่ทั้งสองคนรักกันนะ”

“ครับ!?” หมายความว่าไงละเนีย

“ก็เป็นเพื่อนกันนี่นา ก็ควรรักกันไว้ไม่ใช่เหรอ” อ๋อ เพื่อนรักซินะ แล้วกูคิดไรของกูเนีย

“เข้าใจแล้วครับ”

“งั้นพี่ไปจริงๆแล้วนะ เดี๋ยวส่งคนมาติวให้ เดี๋ยวให้พี่เจสซี่โทรมานัดหมายสถานที่ให้นะ”

“ครับ”



แล้วพี่น้ำชาก็จากไป

ส่วนตัวผมนั้น......



“อ่ะนี่”

“........อะตอม” ไอ้บ้าหน้าหล่อมันทำหน้างงทันทีที่เห็นว่าผมยื่นทิชชู่ให้ “ให้กูเหรอ”

“อืม” ไม่เห็นหรือไงล่ะ “ก็เห็นเหงื่อออก ยังไม่หยุดทำงานเลยไม่ใช่เหรอ เอาทิชชู่มาให้นี่ไง”

“เอ่อ... แต่กูมือเปื้อนโคลนอยู่อ่ะ พอดีกำลังเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุใส่ซิปล็อกอยู่ ไงก็ขอบใจมากนะ เอาวางไว้แถวๆนี้ก่อนก็ได้”

“เหรอ”

“เดี๋ยวๆ จะทำอะไรอ่ะ”

“ก็เช็คเหงื่อให้ไง ติดงานอยู่ไม่ใช่งะ ทำไปดิ”

“เช็คให้กู?”

“เออ ถามมากนะมึงอ่ะ” ไม่เสียเวลาพูดแล้ว ผมเช็ดเหงื่อที่แทบจะท่วมหน้าของไอ้คนตรงหน้าออก มันก็ยังทำหน้างงๆอึ้งๆใส่ผมอยู่นั่นแหละ “มองไร ทำงานไป”

“อ...โอเค” แล้วมันก็หันกลับไปจัดการงานตรงหน้าต่อ



ไอ้นี่เหงื่อออกเยอะเหมือนกันนะเนีย

ที่ผมตัดสินใจมาง้อไอ้บ้าแทน(ไม่รู้แบบนี้เรียกว่าง้อหรือเปล่า)ก็คงเป็นเพราะผมเริ่มสำนึกได้แล้วว่าช่วงนี้ผมทำตัวงี่เง่าแปลกๆ ไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองเลย ไม่รู้ว่าผมหงุดหงิด งอแง หรืออิจฉากันแน่ ผมถึงแสดงพฤติกรรมพวกนี้ออกมา ทั้งๆที่แต่ก่อนผมก็ไม่ใช่คนแบบนี้นะ แต่ช่วงนี้โกรธง่ายไปหน่อย โดยเฉพาะกับคนๆนี้

พอ เลิกคิด

ผมหันมาทำหน้าที่ตัวเองบ้าง วันนี้ไม่รู้ว่าเป็นวันเทศกาลคนเจ็บหรือเปล่า คนเข้าห้องแผนกฉุกเฉินไม่หยุดเลย ผมเดินถือของไปมาจนขาลากหมดแล้ว..........





เห้ออออออ

หมดแรง

ผมทิ้งตัวลงบนโซฟาในห้องส่วนตัวของร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ผมมาโผล่ที่นี่ได้อย่างไรนะเหรอ ก็พี่น้ำชาไงที่แนะนำให้มา หลังจากช่วยงานที่โรงพยาบาลเสร็จ ระหว่างที่กำลังอาบน้ำอยู่ที่หอ พี่เจสซี่ก็โทรมาและส่งโลเคชั่นบอกให้ผมมาร้านกาแฟร้านนี้ ซึ่งเป็นร้านกาแฟโทนสีดำเข้มๆ แต่ความพิเศษก็คือมีห้องส่วนตัวให้สามารถเช่าได้ เรียกว่า ติวเตอร์รูม



นี่กี่โมงแล้วเนีย.... จะหนึ่งทุ่มแล้วนี่นา พี่น้ำชาจะส่งใครมาติวให้เราหว่า หรือว่าจะเป็นพี่น้ำขิง ลูกพี่ลูกน้องของพี่เขา.....





ก๊อก ก๊อก ก๊อก



“อ....อ้าว แทน” จู่ๆไอ้บ้าแทนก็เข้ามาในห้อง

“อะตอมเหรอ?” มันพูดพร้อมกับทำหน้างงๆ

“จะมา อะตอมเหรอ อะไรล่ะ กูซิต้องเป็นคนถาม มึงมาที่นี่ทำไม แล้วเข้ามาในห้องนี้ทำไม”

“ก็บั๊ดดี้ของพี่น้ำชาโทรหา บอกว่ามีคนอยากให้ช่วยสอนคณิตศาสตร์ให้”

“ห๊ะ!” นี่อย่าบอกนะว่า “มึงเองเหรอที่จะมาสอนกู”

“ก็.... ถ้ามึงไม่โอเคเดี๋ยวกู...”

“เปล่า ไม่ใช่อย่างงั้น” นี่ผมกลายเป็นคนขี้เอาแต่ใจไปแล้วจริงๆเหรอเนีย ใครๆก็ชอบทำเหมือนผมเป็นคนง้องแง้งไปซะหมด “ก็มาสอนดิ แต่กู...หัวไม่ดีนะ เมื่อคืนก็อ่านจนเกือบเช้า ได้คะแนนมาแค่.... สามสิบสองเปอร์เซ็นเอง”

“ไม่เห็นจะน้อยตรงไหนเลย สามสิบสองเปอร์เซ็น ทำคะแนนอีกนิดหน่อยก็ผ่านแล้ว”

“นิดหน่อยบ้าไรล่ะ อีกตั้ง...”



“อาหารมาแล้วค่ะ”

พนักงานสาวเข้ามาในห้อง เพื่อเอาอาหารเข้ามาเสิร์ฟ ข้าวผัดกุนเชียงของผมนั่นเอง

“สั่งมาเหรอ” ไอ้แทนถามผม

“ก็.... มันหิวอ่ะ” ก็ตอบเขินๆ ยังไม่ทันได้ติวเลย มาถึงผมก็สั่งอาหารก่อนเลย

“โอเค กินก่อนก็ได้” ไอ้คนตรงหน้าผมหันไปหาพนักงานสาว “ผมขอแบบนี้อีกทีนึงครับ”

“ข....ขอ.....แบบ....”

อะไร พี่สาวครับ พี่เป็นอะไรไม่ทราบ อยู่ดีๆก็เป็นโรคตอบสนองช้าซะอย่างนั้น ตอนผมสั่งก็เห็นดีๆอยู่เลย

อ้อ  รู้ละ เห็นหน้าไอ้แทนนี่เอง

“พี่ครับ ขอข้าวผัดกุนเชียงอีกหนึ่งครับ” ผมพูดดึงสติพนักงาน จะหลงในความหล่อเท่ของมันผมไม่ว่าหรอก แต่ส่งอาหารมาให้ผมก่อน แล้วก็รีบไปทำงานของตัวเองได้แล้ว

“ค...ค่ะๆ” เธอรนราน

“เดี๋ยวครับ” ผมรีบเรียก “ข้าวของผมไม่ใช่เหรอ”

“อ๋อ” จะถือออกไปซะงั้น “ข...ขอโทษค่ะ”

ในที่สุดผมก็ได้จานอาหารของตัวเอง ก่อนที่สาวเจ้าจะเดินเขินๆชายตามองไอ้แทนออกไป ส่วนไอ้ตัวต้นเหตุก็แค่หยักไหล่ให้ผม

เออ มึงมันหล่อมากกกกกก อย่าให้พวกผู้หญิงรู้ก็แล้วกันว่ามึงมันขี้แกล้งแค่ไหน



“ขอกินก่อนละกัน” ผมบอก

“ตามสบาย” มันตอบ



โอเค ได้นั่งกินอาหารเป็นเรื่องเป็นราวซะที



#เสียงโทรศัพท์



“ครับแม่” อ๋อ แม่ไอ้บ้าแทนโทรมาหานี่เอง “.......คงต้องไปพรุ่งนี้เช้าครับ วันนี้ผมต้องสอนเลขให้เพื่อน”

เดี๋ยวๆ หมายถึงกูเหรอ ว่าแต่.... จะไปไหนวะ

“.....ครับ ต้องไปอยู่แล้วครับ แม่ดูแลเธียร์เถอะครับ”

“........”

“ครับแม่ สวัสดีครับ รักแม่นะครับ” แล้วมันก็วางสาย



น่าอิจฉาจัง ได้บอกรักแม่ด้วย

“ทำไมทำหน้าเศร้าแบบนั้นอ่ะ” คนที่นั่งตรงข้ามผมถามขึ้น

“เปล่า” ผมเลือกที่จะไม่ตอบ

“คิดถึงแม่เหรอ” แต่ก็หลบความฉลาดของมันไปไม่ได้

“ก็....ไม่รู้ดิ จะบอกว่าคิดถึงก็คงพูดได้ไม่เต็มปาก เพราะยังไม่รู้เลยว่าแม่อยู่ที่ไหน”

“ไม่ต้องเศร้าหรอก บอกแล้วไงว่าจะช่วยตามหา.... ที่หน้าอ่ะ...” ห๊ะ อะไร

“อะ....อะไร”

“ข้าวติดมุมปาก” ไอ้บ้าแทนพูดหน้าตาเฉย ทั้งๆที่เพิ่งจะใช้นิ้วปัดเมล็ดข้าวที่ติดริมฝีปากของผมออกไป

“มึงทำบ้าอะไรของมึงเนีย” บางทีมึงก็เสพติดการเอาใจคนอื่นมากไปนะ “เรื่องแบบนี้ ผู้ชายด้วยกันเขาไม่ทำให้กันหรอกนะ”

“หมายถึง?” ยังจะมาทำหน้างงอีก “อ๋อ ที่เช็ดปากเมื่อกี๊อะเหรอ ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน ที่ญี่ปุ่นเขาก็ทำเป็นเรื่องปกติ กูไม่ถือหรอก”

“กูต้องเป็นพูดว่าไม่ถือ ไม่ใช่มึง แล้วที่นี่ประเทศอะไร ไม่ใช่ญี่ปุ่นนะเว่ย”

“คิดมากน่า ก็เราสนิทกันแล้วนิ แค่เช็ดข้าวที่เปื้อนเอง วันหลังถ้าข้าวเปื้อนปากกูแล้วมึงเช็ด กูก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ ทำได้เลย”

“เออ กูยอม” ขี้เกียจจะเถียง “ว่าแต่..... มึงต้องไปทำธุระอะไรหรือเปล่า ที่คุยกับแม่เมื่อกี๊อ่ะ”

“เอาดอกไม้ไปไหว้พ่อน๊ะ”

“พ่อ?”

“ใช่ ไหว้หลุมศพของพ่อ มันก็ไม่ใช่หลุมศพหรอก เป็นที่ๆพ่อจากไปมากกว่า”

“งั้นมึงจะไปก็ได้นะ กูไม่อยากเป็นเหตุผลที่รั้งให้มึงต้องทำเรื่องสำคัญแบบนี้”

“ไม่หรอก ไม่ได้ไกลขนาดนั้น ไปพรุ่งนี้ก็ได้ พอดีแม่ต้องไปงานประชุมผู้ปกครองของน้อง ก็เลยไปไม่ได้ปีนี้ ทุกปีเราแค่ไปวางดอกไม้ระลึกถึงพ่อเท่านั้นเอง พรุ่งนี้สายๆค่อยไป แล้วก็กลับเย็นๆ”

“งั้นก็ต้องไปกลับคนเดียวอะดิ”

“ก็คงงั้น เดี๋ยวคืนนี้จะกลับไปเช็ควิธีเดินทางอีกที ไม่ได้เดินทางด้วยรถทัวร์นานแล้ว”

“งั้น.... กูไปเป็นเพื่อนไหม”

“......” ไอ้คนตรงหน้ามองหน้าผมอึ้งๆนิดหน่อย

"ทำไม ซึ้งเหรอ จะขอบใจกูก็ได้นะ" ผมแหย่

“จะไปลำบากทำไม ไม่สนุกหรอกนะ”

“ไม่ได้จะไปสนุกอยู่แล้วนิ ก็มึงขึ้นรถไม่เป็นไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวขึ้นผิดคันก็ไม่ได้กลับมามหาลัยกันพอดี ยังไงมึงกับกูก็ยังเป็นคู่แข่งกันอยู่”

“แล้วไม่ห่วงเรื่องสอบหรือไง”

“งั้นมึงก็ตั้งใจสอนกูดิ ถ้ากูผ่านกูจะได้ไม่ห่วง”

“ครับผมมม จะพยายาม..... แล้วทำไมจู่ๆถึงอยากจะไปด้วยกันอ่ะ”

“ก็มึงพูดเองไม่ใช่เหรอว่าเราสนิทกันแล้ว มันก็เป็นแค่.................









..............เรื่องที่คนสนิทจะทำให้กันได้”
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER ภาค 2 [เชียร์ฝันสนั่นหัวใจ] - ตอนที่ 10 : เสพติด
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 23-08-2018 20:21:03
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER ภาค 2 [เชียร์ฝันสนั่นหัวใจ] - ตอนที่ 10 : เสพติด
เริ่มหัวข้อโดย: BBChin JungBB ที่ 05-09-2018 19:37:38
ยังรออ่านตอนต่อไปอยู่นะครับ  :katai5:
หัวข้อ: LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 11 [หันหลัง Part 1]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 14-09-2018 12:37:28
คำสารภาพบาป

ขอโทษนะครับที่หายไปนาน เหตุผลง่ายๆมีแค่สองข้อเท่านั้น
1.เอเชียนเกมส์ - ถ้าอยู่ในช่วงมหกรรมกีฬา ผมจะไม่มีสติหรือสมาธิในการเขียนอะไรทั้งนั้น ขออภัยในความบ้ากีฬาของผมเป็นอย่างยิ่ง (แฮ่ๆ)
2.งานเข้า - งานประจำของผมมีจัดฝึกอบรมและประชุมมาสองสัปดาห์ติดแล้ว แทบจะไม่มีเวลาหายใจเลย

เพื่อชดเชยความผิดที่ผมทิ้งการเขียนไปนาน จึงขออนุญาตลงตอนใหม่ที่ยาวกว่าปกติหน่อย ขอให้สนุกนะครับ และติดตามต่อไปด้วยนะ จะพยายามเขียนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ

..............................................

ตอนที่ 11 : หันหลัง









“โซนิค......”

“.............” ใครเรียกเนีย ขอนอนก่อนไม่ได้หรือไง

“โซนิค”

“อือ....” ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมา

“อะนี่ ผ้าเช็ดตัว” อ่อ นึกว่าใคร พี่ขนมปังนั่นเอง “ไหวหรือเปล่า”

“ว...ไหวพี่” ผมตอบ ก่อนจะยันตัวเองขึ้นนั่งพร้อมกับเอื้อมมือไปรับผ้ามาเช็ดหัว แต่....

“ไหนบอกว่าไหวไง แค่แรงจะหยิบผ้าเช็ดตัวยังไม่มีเลย” คนตรงหน้าเอ็ดผม แล้วรุ่นพี่ตัวน้อยก็ก้มหยิบผ้าเช็ดตัวที่หล่นขึ้นมาเช็ดศีรษะให้ผม “ซ้อมหนักไปหรือเปล่า ขนาดตัวเปียกยังเผลอหลับข้างสระว่ายน้ำได้ แบบนี้จะไม่แย่เหรอ”

“ผมก็แค่พักสายตาน่า” ผมแก้ตัว

“พักสายตาแต่มีเสียงกรนเนี่ยนะ ผมเดินไปหยิบผ้ามาให้คุณยังไม่ถึงห้านาทีเลย หลับเป็นเรื่องเป็นราวได้ขนาดนี้แล้วยังจะมาปากเก่งอีก”

“บ่นเป็นชุดเชียวนะครับบบบ นี่เป็นรุ่นพี่หรือเป็นแฟนผมไม่ทราบครับ” ผมแกล้งแซวอีกครั้ง น่าจะรอบที่ร้อยแล้วมั้ง แต่ก็ได้ผลทุกที รุ่นพี่ตัวน้อยยังหน้าแดงเสมอ

“บ้า” อ้าว ทิ้งผ้าเช็ดตัวไว้บนหัวผมซะงั้น

“เดี๋ยวๆๆ แล้วพี่จะไปไหน” ทำเป็นจะเดินหนี เขินอะดี๊

“ก็ไป.....” ดูซิจะแก้ตัวว่าอะไร “ไปเอาสถิติเวลาของคุณมาให้ดูไง”

“แล้วไอ้ที่อยู่ในมือของพี่ไม่ใช่ตารางเก็บคะแนนเวลาของผมเหรอ”

“ก....ก็ใช่” หึหึ

“แล้ว?”

“ก็...ลืมไง.... เวลาของคุณก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดี ไม่มีตก ถ้าไม่ว่ายติดต่อกันมากเกินไปก็คงไม่มีปัญหาอะไร ถ้าทำได้แบบนี้ การคัดตัวคงไม่มีปัญหา”

“พี่ไม่ได้กำลังเปลี่ยนเรื่องเพราะเขินใช่ไหม”

“นี่!!...”

“ครับบบบบ ไม่แกล้งแล้ว” ผมทำทีเป็นยอม  “แต่พี่เขินบ่อยๆก็ได้นะ.... น่ารักดีออก”

“คุณ!!”

“ก็แค่ชม อ่ะๆๆ ผมขอดูตารางคะแนนหน่อยดิ”

“เอาไปเลย.... เสร็จแล้วก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าไปแล้วนะ จะเจ็ดโมงเช้าแล้ว”

“เดี๋ยวๆ นี่พี่ยังจะไปไหนอีก”

“ไปดื่มน้ำ”

“อ๋อ โอเคครับ เชิญครับ”

แล้วพี่ขนมปังก็เดินเขินๆออกไป ท่าทางจะยังเขินไปหาย



เอาจริงๆนะ ถ้าผมไม่ได้ชอบพี่น้ำชาอยู่ ผมคงเปิดหัวบุกรุ่นพี่ตัวน้อยคนนี้แบบจริงจังกว่านี้ ถึงจะไม่ได้น่ารักแบบพี่น้ำชา แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นคนที่มีรอยยิ้มและริมฝีปากที่ชวนให้มอง ตัวก็เล็กๆ จัดฟันแบบเด็กเนิร์ด แถมยังสุภาพอย่างที่ผมชอบ ยิ่งเวลาเขินยิ่งน่าฟั๊ด

พูดถึงเรื่องสุภาพ ผมเริ่มรู้สึกผิดหวังกับพี่น้ำชานิดหน่อย ถึงแม้พี่น้ำชาก็หน้าตาเหมือนพี่น้ำขิงซึ่งผมแอบชอบในความสุภาพอ่อนหวานของพี่เขา แต่ดูเหมือนว่าพี่น้ำชาจะมีนิสัยที่ค่อนข้างตรงกันข้ามกับที่คาดหวังไว้อย่างชัดเจน พี่เขาไม่ใช่คนพูดจาไพเราะ ออกจะห้วนด้วยซ้ำ ไม่พยายามสุภาพ แถมดุและมีความเจ้าเล่ห์ในความฉลาดที่ผมไม่สามารถคาดเดาได้

เห้ออออออ เริ่มแอบสองจิตสองใจแล้วว่าจะลุยต่อเรื่องความรู้สึกที่มีต่อพี่น้ำชาดีหรือเปล่า แล้วก็ที่สำคัญเลย รู้สึกว่าโอกาสที่ผมจะได้ทำความรู้จักและใกล้ชิดกับพี่เขาแบบสองต่อสอง ช่างหาได้อยากเหลือเกิน ผิดกับพี่ขนมปัง พี่ผมได้ใกล้ชิดตลอด ใกล้ชิดจนรู้เบื้องลึกเบื้องหลังระดับหนึ่ง และถ้าผมไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไป ผมก็คิดว่ารุ่นพี่ตัวน้อยคนนี้จะแอบมีความรู้สึกเล็กๆบางอย่างเป็นสัญญาณมาให้ผมเห็นตลอด นี่ถ้าเขารู้ว่าที่ผมยอมมาใกล้ชิดกับเขาในตอนแรกเป็นเพราะมีจุดประสงค์จะเข้าหาคนอีกคน มันจะเป็นการทำร้ายความรู้สึกของเขาหรือเปล่าน้า

ช่างมันเหอะ อย่าเพิ่งสนใจเลย ดูตารางคะแนนก่อนละกัน สนใจเรื่องตรงนี้ก่อน

ผมก้มลงมองตารางสถิติที่พี่ขนมปังช่วยจับเวลาในขณะที่ผมว่ายน้ำมาตลอดสองชั่วโมงช่วงเช้ามืด

มีการทำค่าเฉลี่ยเวลากับข้อสังเกตให้ด้วย รู้สึกว่าจะแอบใช้สูตรฟิสิกส์กับการออกกำลังของผมนิดหน่อย ถึงผมจะดูไม่รู้เรื่องแต่ก็พอจะเดาได้ว่ามีการคำนวนเกี่ยวกับการว่ายน้ำของผม นอกจากจะตื่นมาเฝ้าผมว่ายน้ำแต่เช้าแล้วยังจะอุตส่าเป็นธุระช่วยโค๊ชการซ้อมให้อีก จะแสนดีไปถึงไหน..... นั่นไง คิดถึงรุ่นพี่ตัวน้อยอีกแล้ว

พอๆๆ ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าดีกว่า



นี่คือวันสุดท้ายของการช่วยงานพี่ขนมปังแล้ว พรุ่งนี้คือวันบล็อกกิ้งที่คณะนัดหมายไว้ ซึ่งตอนเย็นของวันพรุ่งนี้ผมจะได้พบกับพี่น้ำชาแบบเต็มๆ และอาจจะยาวนานถึงคืน คงจะฟินน่าดู ถ้าโชคอำนวยอวยชัย ผมอาจจะสามารถใช้โอกาสนี้ในการสารภาพความรู้สึกด้วยก็ได้ อยากให้ถึงพรุ่งนี้เร็วๆจัง

แต่ก็.... ถ้าถึงพรุ่งนี้จริงๆ ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่ผมคาดการณ์ไว้จริงๆ นั่นก็แปลว่า ผมกับขนมปังก็จะ...



“....ไม่ยักรู้ว่าว่ายน้ำเป็นด้วยนะปัง”

หือ??? เสียงใครหว่า เหมือนว่ากำลังคุยอยู่กับพี่ขนมปัง

ผมบังเอิญได้ยินการสนทนาระหว่างที่กำลังเดินออกจากสระว่ายน้ำไปห้องล็อคเกอร์

“ก...กั๊ซ” นี่คือเสียงของพี่ขนมปังซินะ ผมค่อยๆเดินไปดูที่โถงระหว่างทางเดิน มันเป็นจุดที่มีไว้สำหรับตู้น้ำดื่ม ผมแอบดูอยู่หลังกระถางต้นไม้สูง “ม...มาทำอะไรที่นี่อ่ะ”

“มาหาปังไง” คู่สนทนาอีกคนตอบ มาหาทำไมวะ? “ได้ข่าวว่าช่วงนี้ปังมาที่นี่ตอนเช้า ไม่นึกว่าจะเจอจริงๆ เป็นไงบ้างสบายดีไหม ยังน่ารักเหมือนเดิมนะ”

!!!!! อะไรคือการเอ่ยปากชมวะ

“ขอร้องเถอะกั๊ซ เลิกยุ่งกับเราได้แล้ว”

นี่มันใช่บทสนทนาปกติหรือเปล่านะ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ผมรู้สึกหงุดหงิดในใจบอกไม่ถูก

ผมพยายามมองดูหน้าไอ้คนที่มาสนทนากับขนมปัง หน้าตาก็พอไปวัดไปวาได้ อาจจะดูตัวโตกว่ารุ่นพี่ตัวน้อยหน่อย แต่หน้าโบกแป้งจนเทาแบบนี้ ดูมุมไหมก็บอกได้ทันทีว่าไม่ใช่ชายแท้หรืออย่างน้อยก็ไม่ได้ชอบผู้หญิงแน่ๆ

แล้วมันมายุ่งกับรุ่นพี่ตัวน้อยทำไมวะ แต่เอ....? ชื่อกั๊ซนี่มันคุ้นๆอยู่นะ

เดี๋ยวนะ! นั่นมันชื่อแฟนเก่าของขนมปังนี่หว่า จำได้ว่าอาม่าเคยพูดถึงชื่อนี้

“อย่าพูดแบบนั้นดิปัง เรามันก็คนเคยๆกันอยู่” เดี๋ยวๆๆๆ มึงพูดว่าอะไรนะ ไอ้หน้าเทา ถึงมึงจะเป็นแฟนเก่าก็ไม่ได้หมายความว่าจะมาพูดอะไรก็ได้นะเว้ย

“หมายความว่าไง” ใช่เลยพี่ขนมปัง โวยวายไปเลย

“ก็จะหมายความว่าไงละ อย่าบอกนะว่าปังลืมรสชาติของเราไปแล้ว นี่ไง เราก็มาหาแล้วนี่ไง” ไอ้สัดเอ๊ย ถ้ามึงพูดอะไรแนวนี้อีกครั้งเดียว ก็จะไม่ทนแล้วนะ

“อย่าบ้าน่ากั๊ซ เราจบกันไปแล้วนะ แล้วพูดจาแบบนี้ มันสมควรซะที่ไหน”

“ทีแต่ก่อน เราพูดแบบนี้ ปังไม่เห็นจะว่าอะไรเราเลย เราก็เพิ่งห่างกันแป๊บเดียวเอง ลืมเรื่องของเราหมดแล้วเหรอ”

“เราไม่ลืมหรอกกั๊ซ เราจำได้ดีว่ากั๊ซบอกเลิกและเดินออกไปจากชีวิตเราเอง โดยไม่แยแสความรู้สึกเราเลย และไม่พยายามเข้าใจเราเลย”

“ก็ตอนนั้นเราโกรธ เราถึงมาที่นี่เพื่อมาขอโทษปังนี่ไง ปังก็รู้ว่าเราขี้หึงแค่ไหน เราแค่อยากอธิบายให้ฟังว่า ตอนนั้นพอรู้ว่าปังจะมาเป็นบั๊ดดี้ให้ลีดมหาลัย เราหึงไปหน่อย ก็เลยทำอะไรไม่คิด แต่ตอนนี้เราเข้าใจแล้วนะ เรากลับมาคบกันเหมือนเดิมเถอะนะ นะปังนะ”

“เราอาจจะดูไม่ฉลาดนะกั๊ซ แต่กั๊ซคิดว่าเราจะเชื่อข้ออ้างที่กั๊ซพูดเหรอ กั๊ซไม่ได้หึงที่เราไปเป็นบั๊ดดี้ให้ข้าวเจ้า แต่กั๊ซโกรธที่จะไม่มีคนรองมือรองเท้าให้กั๊ซเรียกใช้งานต่างหาก กั๊ซโกรธที่เราจะไม่สามารถอยู่คอยรับใช้กั๊ซได้ตลอดเวลาเหมือนเดิม”

“โถ่ ปัง ใครบอกปังละว่าเราคิดแบบนั้น เราหึงปังจริงๆนะ ใครๆก็รู้ทั้งนั้นว่าลีดมอหน้าตาดีกันขนาดไหน คนที่จะปล่อยให้แฟนตัวเองไปอยู่กับคนพวกนั้น ก็คงเสียสติแล้วล่ะ”

“คนที่เสียสติคือเราต่างหาก ตอนที่ถูกกั๊ซบอกเลิก เราคิดว่าตัวเองเสียใจมากแล้ว แต่พอเรามาคิดได้ว่าเราทุ่มเทความรักของเราให้กับคนที่ไม่เห็นค่าแบบนั้น เรายิ่งรู้สึกเสียใจจนแทบจะเสียสติ แต่ตอนนี้เราได้สติดีแล้ว และเราจะไม่กลับไปเจอเรื่องแบบนั้นอีกเด็ดขาด”

“ปังถึงพยายามหลบหน้าเราใช่ไหม ไม่ติดต่อเราเลย” ไอ้หน้าเทา จู่ๆก็ของขึ้น มันคว้าแขนของพี่ขนมปังเข้าไปหาตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่าคนที่ถูกคว้าก็เริ่มมีสีหน้าหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด เหมือนกับว่าถูกกระทำแบบนี้อยู่บ่อยๆ “ปังทำแบบนี้กับเราได้ไงวะ นี่ไม่เห็นความสำคัญของเราเลยใช่ป่ะ เราอุตส่าตามมาง้อขนาดนี้แล้ว ยังจะทำลีลาอยู่ได้ แต่ก่อนไม่เห็นเป็นแบบนี้เลย หรือว่าปังแอบไปมีคนอื่นแล้ว ห๊ะ แอบไปมีคนอื่นแล้วใช่ไหม ไหนพูดมาดิ”



“เออ กูนี่แหละคนอื่นที่มึงพูดถึง” ในที่สุดกูก็หมดความอดทน

ผมแสดงตัวออกมาจากมุมที่หลบอยู่ทั้งๆที่ยังอยู่ในชุดว่ายน้ำกับผ้าเช็ดตัวผืนเดียว “ปล่อยมือมึงจากขนมปังเดี๋ยวนี้”

“น...นี่ใครอ่ะปัง” ไอ้หน้าเทายอมปล่อยมือจากรุ่นพี่ตัวน้อยและล่าถอยออกไปนิดหน่อย แสดงถึงความกลัวอย่างชัดเจน โถ นึกว่าจะแน่ พอเจอคนตัวใหญ่กว่าหน่อยก็หงอ ใจตุ๊ดของแท้เลย แบบนี้ต้องเจอกู

“มึงอยากเจอแฟนใหม่ของขนมปังไม่ใช่เหรอ” เอาซิวะ เรื่องขู่ กูไม่แพ้ใครอยู่แล้ว แต่ถึงจะมีเรื่องกันจริงๆ อย่างไอ้หน้าเทานี่ไม่ละคายผิวหนังกำพร้าอยู่แล้ว ผมเดินไปขั้นกลางระหว่างการสนทนา “กูนี่ไงแฟนใหม่ มีปัญหาอะไรไหม”

“จ....จ....จริงเหรอปัง” ถ้าจะกลัวขนาดนี้ มึงจะวิ่งหนีไปเลยก็ได้นะ ไม่ต้องทำเป็นกล้ายืนเผชิญหน้าอยู่ตรงนี้ก็ได้

“เออ กูก็พูดอยู่เนีย หูหนวกหรือไง” ผมตะหวาดใส่ทันที เอาให้แม่งสะดุ้งโหยงไปเลย

“ง...งั้นก็ด...ดีใจด้วยนะ ฝ....ฝากดูแลฟ...แฟน....”

“มึงพูดว่าอะไรนะ แฟนใคร พูดดีๆนะมึง”

“ม...หมายถึง ฝากดูแลขนมปังด้วยนะ.... แฟนใหม่ของปังหล่อดีนะ ง....งั้นขอตัวก่อนนะ”

“เดี๋ยว” มึงจะมาจะไปแบบลอยหน้าลอยตาอย่างงี้ไม่ได้ ฟังคำขู่อย่างเป็นทางการจากกูก่อน “วันหลังอย่ามายุ่งกับขนมปังของกูอีก” ผมคว้ารุ่นพี่ตัวน้อยที่ยืนหลบอยู่เบื้องหลังมาโอบเอว “ไม่งั้นเราได้เห็นดีกันแน่”

“อ....โอเค”

แล้วไอ้หน้าเทาที่เคยทำเป็นอวดเก่งก็ได้ทำการเดินเร็วสี่คูณร้อยออกไป



“ป...ปล่อยได้แล้ว” พี่ขนมปังเอ่ยขึ้นจากนั้นไม่นาน

“เดี๋ยวมันก็มารังแกพี่อีกหรอก” ผมยังไม่วายที่จะทำเป็นแกล้ง

“วิ่งออกไปขนาดนั้น คงไม่กลับมาแล้วล่ะ” แล้วก็หลุดออกจากเงื้อมมือของผมจนได้ “ข...ขอบใจนะที่เข้ามาช่วย แต่... พูดแบบนั้น คุณจะไม่เสียหายเหรอ”

“เสียหายอะไรกันพี่ แค่นี้เอง ผมมีหน้าที่ต้องปกป้องพี่อยู่แล้ว”

“แต่กั๊ซอาจจะเอาเรื่องนี้ไปพูดต่อก็ได้นะ โกหกไปแบบนั้น คุณจะไม่เสียหายจริงๆเหรอ เพราะถ้าคนอื่นเข้าใจผิดว่าคุณเป็นแฟนกับคนอย่างผม อาจจะ...”

“คนอย่างพี่? มันทำไมวะ”

“ก็มันไม่ใช่เรื่องปกตินี่นา”

“ทำไมชอบคิดในแง่ไม่ดีกับตัวเองตลอดเลยอ่ะ ไหนดูหน้าดิ” ผมจับค้างของผมตรงหน้าให้แหงนมาสบตาผม “พี่ก็ไม่ได้มีหัวผักกาดงอกออกมาจากหน้าซะหน่อย นิสัยก็ไม่ได้เลวร้าย ถ้าคนมันจะเข้าใจว่าผมกับพี่เป็นแฟนกันแล้วมันจะทำให้ผมเสียหายยังไง ไม่ปกติยังไง ไหนบอกมาดิ”

“แต่ผมกับคุณ....”

“ผมกับพี่ทำไม?”

“ร...เราดูไม่เหมาะสมกัน คุณที่ถูกชมว่าหน้าตาดีตลอด ส่วนผม...”

“เนี่ยนะเหตุผล โคตรฟังไม่ขึ้นเลยพี่ พี่ฟังไว้ตรงนี้เลยนะ พี่น่ารักที่สุดสำหรับผม และถ้าใครบังอาจมาดูถูกว่าพี่หน้าตาไม่ดีให้ผมได้ยิน ผมจะซัดมันให้ดู เพราะงั้นพี่ควรจะเลิกดูถูกตัวเองได้แล้ว โอเคนะ”

“...........” คนตรงหน้าผมไม่ตอบ แต่ก็แสดงท่าทีว่าเข้าใจ พร้อมกับหน้าแดงเขินๆ

“ถ้าไอ้แฟนเก่าของพี่มารังควานอีก รีบบอกผมเลยนะ ผมจะตามไปเก็บมันถึงที่เลย”

“พอเถอะน่า เขาคงไม่กล้าหรอก คุณเล่นขู่เขาไปขนาดนั้น”

“แล้วไปเคยคบกับไอ้คนแบบนี้ได้ไงวะพี่ ดูยังไงก็พวกเห็นแก่ตัว แค่เห็นหน้าก็ไม่ถูกชะตาแล้ว คนอะไร โบกแป้งจนหน้าเทาตั้งแต่เช้า เขียนคิ้วซะใหญ่เป็นลูกชิ้นปลาเลย”

“ผมไม่ได้มีทางเลือกในชีวิตมากมายขนาดนั้นหรอกนะ”

“อีกแล้ว พูดแบบนี้อีกแล้ว พี่มีสิทธิ์ที่จะเลือกใครก็ตามเหมือนๆกับทุกคน ไม่ใช่ว่าเห็นใครเข้ามาในชีวิตหน่อยก็ตอบตกลงเขาไปหมด แล้วเป็นไงล่ะ เลือกแฟนไม่ดูตาม้าตาเรือ ได้ไอ้คนแบบนี้เนี่ยนะ”

“ใช่ คุณพูดถูก ผมได้บทเรียนเรื่องนี้แล้ว ผมถึง....” จู่ๆก็เงียบ แวบหนึ่งที่ผมเหมือนจะจับสังเกตได้ว่าหางตาของพี่เค้าเหลือบมาที่ผม “....ไม่ตกหลุมรักใครง่ายๆ”

“เอ่อ.... พี่ คือว่า...” เอาแล้วไงกู นี่ผมไม่ได้คิดไปเองแล้วล่ะ ผมเองก็ผ่านเรื่องความรักมาพอสมควร จากพฤติการณ์ที่คนตรงหน้าแสดงออก ค่อนข้างชัดเจนว่าเขามีความรู้สึกบางอย่างกับผมจริงๆ

“ผมไปรอหน้าอาคารนะ” จู่ๆพี่ขนมปังก็ตัดบทของผม “รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ แล้วก็สัมภาระบางส่วนผมเอาออกมาให้แล้ว”

“ด....เดี๋ยว...”

รุ่นพี่ตัวน้อยเดินออกไปโดยเมินการเรียกของผม

ผมได้แต่ยืนอ้าปากค้างดูพี่เขาเดินก้มหน้าจากไปพร้อมกับของพะรุงพะรังในมือ



........โอเค ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนก็ได้ แล้วค่อยออกมาเคลียร์ปัญหาคาใจนี้



ระหว่างการอาบน้ำ ผมแทบไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ เพราะในหัวคิดถึงแต่สีหน้าของขนมปังที่เพิ่งจะได้เห็น หรือว่าจริงๆแล้ว เรื่องทั้งหมดนี้เกิดมาจากการเล่นสนุกจนเกินเลยของผมเอง ผมกำลังทำให้คนๆหนึ่งมีความหวังอยู่หรือเปล่า แล้วตัวผมล่ะรู้สึกยังไง ผมชอบพี่น้ำชาจริงๆเหรอ หรือว่าผมแค่ชอบคนที่หน้าตาเหมือนพี่น้ำขิงเท่านั้น แล้วจริงๆผมรู้สึกกับขนมปังอย่างไร คำถามมากมายวิ่งเต็มหัวไปหมด

เห้อออออ กูมาเดินคอตกอย่างงี้ได้ไงเนีย



“ขอโทษที่มาส่งหนังสือช้านะครับ เมื่อวานมีงานยุ่งนิดหน่อย ก็เลยลืมไปเลยครับ”

เสียงใครคุ้นๆ ดังขึ้นระหว่างที่ผมกำลังจะเดินออกจากอาคารหลังเสร็จธุระทั้งหมดแล้ว

“พ...พี่น้ำชา” ผมเรียกคนที่เห็น พี่น้ำชานั่นเอง พราเขาเพิ่งคุยบางอย่างกับเจ้าหน้าที่สระว่ายน้ำเสร็จ

“อ้าว โซนิค” พี่เขางงๆนิดหน่อยที่เห็นผม “มาทำอะไร... อ๋อ มาซ้อมว่ายน้ำซินะ พี่นี่โง่จริง ไม่น่าถามเลยก็นี่มันสระว่ายน้ำนี่นา”

“ค...ครับ ผมมาซ้อมว่ายน้ำ” ผมอธิบายความรู้สึกตัวเองไม่ออกที่ได้มีโอกาสเจอพี่น้ำชาแบบสองต่อสองเสียที และที่สำคัญมันช่างพอเหมาะพอเจาะกับการที่ผมอยากปลดล็อกความรู้สึกที่ค้างอยู่ในใจ “แล้วพี่น้ำชามาทำอะไรที่นี่ครับ”

“อ๋อ พี่มายื่นเอกสารขอใช้สระว่ายน้ำช่วงเปิดห้องเชียร์น่ะ ปีนี้ทางมหาลัยอยากให้ผู้นำเชียร์มีกิจกรรมออกกำลังกายควบคู่การซ้อมเต้นอย่างเดียว แต่พอดีเมื่อวานพี่ลืมเอาเอกสารมายื่น วันนี้ก็เลยต้องรีบเข้ามาแต่เช้า”

“แปลว่าผมจะได้ว่ายน้ำด้วยเป็นลีดด้วยเหรอครับ”

“ก็แค่วันละหนึ่งชั่วโมง แล้วที่สำคัญ พี่ก็ขอในนามของลีดมหาลัย ถ้าอยากว่ายน้ำ เอ็งก็ต้องเป็นลีดมหาลัยให้ได้ก่อน แต่อย่างเอ็งคงไม่ต้องห่วงหรอกมั้ง รูปร่างหน้าตาแบบนี้ คงมีแต่คนพร้อมจะเทใจให้”

“แล้วพี่ล่ะครับ” เปิดหัวมาขนาดนี้แล้ว ก็ต้องถามให้สุด

“พี่ทำไม?”

“ผมอยากรู้ว่า สำหรับพี่แล้ว พี่เทใจให้ผมบ้างหรือเปล่า” เอาล่ะ ถึงเวลาที่ต้องพูดซะที หาโอกาสมาหลายครั้ง ผมจะไม่ปล่อยให้โอกาสแบบนี้หลุดลอยไปอีกแล้ว

“ห...เห้ย พูดไรแบบนั้น เอ็งก็เป็นรุ่นน้องในสังกัดพี่คนนึงเหมือนกัน พี่ก็เชียร์น้องๆทุกคนเท่ากันนั่นแหละ แต่ขออุบไวก่อนนะว่าวันเปิดห้องเชียร์จะโหวตให้ใคร....” นี่พี่น้ำชาไม่เข้าใจความหมายที่ผมพูดจริงๆเหรอ “พี่ขอตัวก่อนนะ ต้องไปทำธุระต่อ นัดน้องครีมเอาไว้”

“ผมชอบพี่ครับ”

“...........................” พี่น้ำชาหยุดนิ่งมองหน้าผมทันที “ว....ว่าไงนะ”

“พี่ได้ยินถูกแล้วครับ ผม ชอบ พี่ น้ำชา ครับ ชอบมาตลอด”

“ช....ชอบ?”

“ครับ ผมชอบพี่ ทั้งหมดที่ผมทำ ทุกอย่างก็เพื่อให้ผมได้มีโอกาสมาบอกความรู้สึกนี้กับพี่น้ำชา จะเป็นไปได้ไหมครับที่เราสองคนจะ...”

ตุ๊บ**!!!**

เสียงบางอย่างดึงความสนใจของการสนทนาไปทันที



“พ....พี่ขนมปัง!” ผมพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว

เสียงที่เกิดขึ้นคือเสียงกระเป๋าสัมภาระของผมหล่นตกลงพื้น ซึ่งก่อนหน้านั้นมันเคยอยู่บนมือของรุ่นพี่ตัวน้อยที่ตอนนี้มีเพียงสีหน้าที่ว่างเปล่า

จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เดาได้ไม่ยากเลยว่าพี่เขาได้ยินบทสนทนาทั้งหมดที่ผมคุยกับพี่น้ำชา



“.............” ไม่มีคำพูดใดจากพี่ขนมปัง มีเพียงภาพการเดินหันหลังจากไปเท่านั้น



“.............” แล้วผมล่ะ ควรต้งทำยังไง



“เอ่อ... จะตามไปไหม” พี่น้ำชาคือผู้ถามขึ้นมา และนั่นก็เป็นคำถามเดียวกับสิ่งที่อยู่ภายในความรู้สึกลึกๆของผมตอนนี้ แต่อีกใจผมก็ยังอยากอยู่ตรงนี้ กว่าจะได้มีโอกาสเจอและพูดคุยกับคนที่ผมบอกตัวเองทุกวันว่าชอบเขา มันไม่ง่ายเลย

“ไม่เป็นไรครับ” ผมตัดสินใจที่จะไม่ไป “ยังไงผมก็ต้องมีหน้าที่ช่วยพี่ขนมปังตามคำสั่งของพี่น้ำชาอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ ผมอยากคุยกับพี่ก่อน”

“พี่ไม่ได้หมายถึงว่าเอ็งจะตามขนมปังเพื่อไปช่วยงานเขาไหม” พี่น้ำชาพยายามจะพูดอะไรสักอย่าง “พี่หมายถึง จะตามไปปรับความเข้าใจกับขนมปังไหมต่างหาก”

“ปรับความเข้าใจ?”

“ถามจริง ดูไม่ออกเหรอว่าขนมปังมีใจให้เอ็ง เห็นแค่นี้ก็น่าจะรู้แล้ว”

“ก็....” พอจะดูออกอยู่หรอก “แต่ว่า....คนที่ผมชอบคือ...” อะไรบางอย่างทำให้ผมชะงัก ความลังเล ความไม่มั่นใจ ทุกอย่างกำลังเล่นงานผมพร้อมๆกัน

“เอาจริงๆเลยนะ” พี่น้ำชาเอื้อมมือมาแตะที่ไหล่ของผม “พี่ดูแค่นี้ก็รู้แล้วว่าเอ็งชอบใครกันแน่ สายตาที่เอ็งมองขนมปังเมื่อกี๊ พี่บอกได้เลยว่า เอ็งสารภาพรักผิดคนแล้วล่ะ”

“แต่ผมชอบพี่จริงๆนะ” ผมพยายามยืนยัน

“พี่จะไม่พูดว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอกนะ แต่พี่จะบอกเอ็งอีกครั้งว่า เอ็งสารภาพรักผิดคนแล้วจริงๆ สายตาที่เอ็งมองพี่กับขนมปัง มันคนละแบบกันเลย และพี่มั่นใจว่าที่เอ็งกำลังมองพี่อยู่ ไม่ใช่สายตาของคนที่กำลังรู้สึกรักหรือชอบ”

จริงเหรอ.... ว่าแต่.... “ทำไมพี่ถึงพูดว่าเป็นไปไม่ได้ล่ะ”

“เพราะพี่...”



“...น้ำชามีคนที่มองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักอยู่แล้วไง”

จู่ๆก็มีเสียงชายคนหนึ่งแทรกขึ้นมา เขาเดินออกมาจากมุมหนึ่งของกำแพง



เอ๊ะ! คนนี้หน้าคุ้นๆ เหมือนจะเป็นคนดังของมหาลัยนี่หว่า



“พี่ตองใช่ไหมครับ” ผมถาม

“ใช่” พี่ตองตอบทันที และจากนั้นไม่นานผมก็ได้เห็นคำตอบของทุกๆคำถามที่สงสัย พี่เขาเดินมายืนคู่กับพี่น้ำชาแล้วจับมือกันและกันต่อหน้าผม “กูแปลกใจนิดหน่อยนะที่ยังมีคนกล้ามาสารภาพรักกับแฟนของกูแบบนี้”

“ผ....ผม....ผม” ติดอ่างซะงั้นกู “ผมไม่รู้เลย”

“ก็รู้แล้วนิ”

“พอเถอะน่าพี่ตอง” พี่น้ำชาห้ามความระอุของแฟนหนุ่มตัวเองไว้ “น้องมันไม่รู้”

“มีด้วยเหรอคนที่ไม่รู้ว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน” พี่ตองยังไม่เชื่อใจ

“............” ไม่มีคำตอบจากผม ก็ไม่รู้จริงๆนี่หว่า ไม่เคยเห็นอยู่ด้วยกันเลยสักครั้ง

“น้องมาจากต่างจังหวัด” พี่น้ำชาอธิบายแทน

ในหัวผมตอนนี้อ่ะ ว่างเปล่าเลย ความหมายของทุกอย่างที่ตั้งใจทำ ถูกทำลายลงตรงหน้า แถมยังเหมือนจะสูญเสียคนที่เขารู้สึกดีกับผมไปด้วยพร้อมๆกัน

“ทำไมทำหน้าแบบนั้นโซนิค” พี่น้ำชาถาม “รู้สึกแย่ขนาดนั้นเลยเหรอที่โดนพี่ปฏิเสธ”

“คือผม.... ก็ไม่รู้เหมือนกัน” ผมพูดสิ่งที่อยู่ในใจจริงๆตอนนี้ ไม่รู้ ไม่เข้าใจ บอกอะไรไม่ได้สักอย่าง

“สรุปว่ามึงชอบใคร” นี่คือคำถามจากพี่ตอง อย่างกับโดนมีดแทงเข้าที่หัวใจอย่างแรง “ไหนพูดมาชัดๆดิ”

“พี่ตอง” พี่น้ำชาพยายามเอ็ด

“ชาไม่ต้องมาขัดพี่เลย” พี่ตองยังลี้ตามองผม “ถ้าขืนมันยังตอบว่าชอบชาอยู่นะ พี่กับมัน...”

“พี่ตอง” พี่น้ำชาเอ็ดจริงจังกว่าเดิม “มองตาของน้องก็รู้แล้วละมั้งว่าตอนนี้ความคิดไม่ได้อยู่ที่ชาเลย... นี่โซนิค ถ้าเอ็งจะมองตามขนมปังขนาดนั้น ก็รีบตามไปซะซิ”

“ครับ?” ห๊ะ อะไรนะ กูมองตามไปจริงๆเหรอ ไม่รู้ตัวเลย

“งั้นก็ตามไป” พี่ตองพูดเชิงสั่ง

“ครับ?”

“มึงจะไม่แน่ใจอะไรนักหนาวะ” พี่ตองเริ่มขึ้นเสียง “ถ้ามึงชอบเขาก็ถึงเวลาตามเขาไปได้แล้ว หรือถ้ามันไม่แน่ใจจริงๆ ก็เดินไปพูดกับเขาให้รู้เรื่อง”

“แต่ผม...”

“ถ้ามึงช้ากว่านี้อาจจะเสียใจภายหลังก็ได้นะ ฟังนะ เวลาน้ำชางอน กูไม่เคยหยุดตื้อเลยเลย ตื้อเท่านั้นที่ครองโลก”

“พี่ตอง!!!” นี่คือพี่น้ำชากำลังเขินซินะ ถ้าเป็นปกติผมก็คงรู้สึกจั๊กจี๊ไปด้วย แต่สถานการณ์ตอนนี้ ผม.... “โซนิค” พี่น้ำชาเรียกผมอีกครั้งด้วยสังเกตเห็นสีหน้าของผม “ที่พี่ตองพูดก็ถูกนะ ถ้าเอ็งแคร์ขนมปัง นี่แหละคือโอกาสง้อ ถ้าเอ็งมีความรู้สึกบางอย่างในใจ นี่แหละโอกาสพิสูจน์ ตัวพี่เองก็ไม่ได้สนิทอะไรกับขนมปังมากมาย พี่บอกไม่ได้เลยว่า จากเรื่องที่เกิดขึ้น เอ็งจะยังสามารถกลับไปพูดคุยปกติกับขนมปังได้ไหม และถ้ายังมัวไม่แน่ใจอยู่แบบนี้ ขนมปังอาจจะไม่มีความอดทนรอมากพอนะ ซึ่งหมายถึง จากนี้ไป เอ็งกับขนมปังอาจจะหมดโอกาสได้เคลียร์ใจกันอย่างถาวรนะ ถามตัวเองดูละกันว่ารับได้ไหม ถ้าขนมปังจะหายไปจากชีวิต”

“ไม่!” ปากผมตอบออกไปเองได้ไงไม่รู้

“มึงก็รีบไปดิ” พี่ตองยุ “ตามไปง้อเลย เชื่อกู ไปขอจีบเขาไว้ก่อนก็ได้ กูเคยทำมาก่อน”

“นี่แนะนำแล้วใช่ไหม” พี่น้ำชากระทุ้งสีข้างแฟนตัวเอง “แต่พี่ก็...เห็นด้วยนะ ถึงเวลาต้องไล่ตามความรู้สึกตัวเองแล้วล่ะ ไหนๆวันนี้ก็ว่างหนึ่งวันแล้ว ใช้วันนี้ให้คุ้มค่าก็แล้วกันนะ”

“.............” นั่นซินะ หมดเวลาคิดแล้ว ขอเอาความรู้สึกแรกที่หัวใจบอกเป็นตัววัดก็แล้วกัน “งั้นผมต้องไปตามพี่ขนมปังซินะ... ว่าแต่.... ผมจะรู้ได้ไงว่าพี่เขาไปไหน”

“ที่ยืนกันอยู่ตรงนี้สามคน ก็น่าจะมีเอ็งคนเดียวนั่นแหละที่รู้จักขนมปังดีที่สุด”

“อ่อ ใช่ จริงด้วย งั้นผม....ไปนะครับ”

“โชคดี” “อย่ามายุ่งกับแฟนกูอีกนะ” คงไม่ต้องบอกนะว่าใครเป็นคนตะโกนประโยคไหนไล่หลังผมมา
หัวข้อ: LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 11 [หันหลัง Part 2]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 14-09-2018 12:38:58
(ต่อ Part 2)



ผมหยิบสัมภาระที่ตกพื้นขึ้นแล้วตรงดิ่งไปที่รถยนต์ของตัวเอง



ถ้าจะมีที่ไหนที่รุ่นพี่ตัวน้อยจะไปได้ก็คงเป็น.....



“พี่ข้าวเจ้า พี่ข้าวเจ้าครับ” ผมเรียกเมื่อเดินทางอย่างรวดเร็วมาหาเป้าหมายที่ตัวเองต้องการที่คณะสังคมศาสตร์ ผมหายใจหอบนิดหน่อย เพราะหลังจากจอดรถได้ผมก็วิ่งตามหาพี่ข้าวเจ้าทั่วคณะเลย “เห็น... เห็นขนมปังไหมครับ”

“ขนมปัง?” พี่ข้าวเจ้าพูด “น้องควรใช้คำว่า ‘พี่ขนมปัง’ นะ แต่ช่างมันเถอะ เพราะตอนนี้พี่อยากถามน้องมากกว่าว่าเกิดอะไรขึ้นกับขนมปัง”

“เกิดอะไรขึ้น? หมายความว่าไงครับ?” คือไรวะ

“ขนมปังโทรมาขอลาออกจากการเป็นบั๊ดดี้”

“ห๊ะ!! ว่าไงนะ”

ถามตัวเองดูละกันว่ารับได้ไหม ถ้าขนมปังจะหายไปจากชีวิต คคำพูดของพี่น้ำชาลอยเข้ามาในหัวของผมทันที

“ไม่รู้เรื่องเหมือนกันเหรอ ดีนะที่วันนี้มีงานไม่มาก ไม่งั้นพี่แย่แน่ๆ”

“ด...เดี๋ยวๆๆๆ เดี๋ยวก่อนครับ ลาออก? ทำไม? ยังไง? เมื่อไหร่? แล้วพี่ก็ให้ลาออกเลยเหรอ”

“ก็ให้ทำยังไงได้ล่ะ ถ้าเขาลาออกจริงๆพี่ก็คงไปบังคับอะไรเขาไม่ได้ ถึงจะเสียดายคนเก่งๆก็เถอะ”

“ไม่ได้นะพี่ พี่จะให้พี่ขนมปังลาออกไม่ได้นะ”

“จะมาเขย่าตัวพี่ทำไมเนีย”

“ข...ขอโทษครับ” ผมเผลอใช้มือเขย่าตัวพี่ข้าวเจ้าด้วยร้อนใจ

“นี่มันอะไรกันเนีย” พี่ข้าวเจ้าเริ่มสงสัย “ปังโทรมาลาออก โซนิคมาเป็นเดือดเป็นร้อนขอร้องแทน ทั้งสองคนมีอะไรผิดปกติกันหรือเปล่า”

“เปล่าครับ” โกหกไวไปเปล่าวะกู

“แน่เหรอ?”

“ก็..... เอาเป็นว่าพี่อย่าเพิ่งให้พี่ขนมปังลาออกนะ”

“พี่ก็ไม่ได้อยากให้เขาลาออก แต่เขา...”

“งั้นผมจัดการเอง ผมจะตามพี่ขนมปังกลับมาให้ พี่ให้เวลาผมก่อน”

“หา?!?! นึกคึกอะไรขึ้นมาเนีย”

“ก็พี่ไม่อยากเสียคนเก่งไปไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวผมจัดการให้พี่เอง”

“ก็....” พี่เขาชั่งใจ “งั้นพี่ให้เวลาไม่เกินวันนี้นะ พี่ให้เจสซี่ติดต่อคนใหม่ไว้แล้ว ยังไงพี่ก็ยังต้องทำงาน ร้างบั๊ดดี้นานๆคงไม่ได้ เอาเป็นว่าถ้าภายในวันนี้โซนิคสามารถเกลี่ยกล่อมขนมปังกลับมาทำงานได้ พี่จะไม่ดิวกับคนใหม่ละกัน”

“โอเคครับพี่” เอาวะ ต้องทำให้ได้ “งั้นผมไปก่อนนะพี่ ผมจะตามพี่ขนมปังกลับมาให้ได้แน่นอน ไปนะครับบบ”

“อ...โอเค โชคดี.................”



ผมกลับมายังรถยนต์  ในหัวทั้งรู้สึกผิด กังวล และใช้ความคิดไปพร้อมๆกัน

นี่แปลว่าขนมปังคงมีความรู้สึกบางอย่างกับผมอย่างรุนแรงซินะ ถึงขั้นยอมลาออกจากงานที่ตัวเองทำ เขาคงไม่อยากเจอหน้าผม ครั้งนี้ผมต้องแก้ไข นี่เป็นครั้งแรกเลยตั้งแต่เข้ามาเหยียบมหาลัยนี้ที่รู้สึกว่ากำลังตัดสินใจทำอะไรถูกต้องเสียที



และหลังจากออกเดินทางมาสักพัก

ถึงแล้ว.....



“อาม่าครับ อาม่า! ขนมปังอยู่ไหมครับ” ผมตั้งคำถามฝ่าผู้คนมากมายที่มาซื้อขนมปังที่หน้าร้าน คือตอนนี้ผมฝ่าได้แต่เสียงเท่านั้น เข้าไปไม่ได้เลย

“อ้าวซ....โซ่....อะไรนะ” อาม่าคงยังจำชื่อผมไม่ได้

“โซนิคครับ”

“นั่นแหละๆ จะกินขนมปังเหรอลูก”

“เปล่าครับ” ผมกับอาม่าตะโกนหากัน ทำไมคนมันวุ่นวายจังวะ เคยมาแต่ตอนค่ำๆ ไม่คิดเลยว่ากลางวันจะมีคนเข้าร้านมากมายขนาดนี้ “ผมตามหาขนมปัง หมายถึงพี่ขนมปังอะครับ อยู่นี่หรือเปล่า”

“อ๋อ ขนมปังเหรอ เห็นขึ้นไปข้างบนแล้ว เป็นอะไรก็ไม่รู้ เรียกให้มาช่วยขายของก็ไม่ช่วย” แต่ผมพอจะรู้เหตุผลอยู่ “ตอนนี้อาม่ายุ่งอยู่นะ โซ่ขึ้นไปหาเองก็แล้วกัน....” เปลี่ยนชื่อให้ผมซะงั้น

“ไส้เผือกห้าชิ้น ได้หรือยังม่า”

“ได้แล้วๆ ใจเย็นซิแม่พร”



ผมเลิกรบกวนอาม่าแล้วเดินฝ่าคนเข้าไปในตึก

ถึงอาม่าจะบอกให้ผมขึ้นไปห้องพี่ขนมปัง แต่นี่ก็ไม่ง่ายเลย

เดี๋ยวนะ แล้วทำไมกูไม่ใช้โทรศัพท์วะ โง่ตั้งนาน

ผมหยิบโทรศัพท์ออกมา



#เสียงโทรศัพท์



หือ???

ทำไมมีเสียงโทรศัพท์อยู่แถวนี้ ผมยังอยู่ที่ชั้นหนึ่งที่มีลูกค้าจอแจ ไม่น่าจะได้ยินเสียงโทรศัพท์ของรุ่นพี่ตัวน้อยใกล้ๆได้นะ

เสียงมาจากตรงนี้



!!!!!!!! ถังขยะ

ผมเห็นโทรศัพท์มือถือของพี่ขนมปังถูกทิ้งไว้ในถังขยะใบเล็กที่ตั้งอยู่ภายในร้าน

แล้วนี่มัน.... ภาพพักหน้าจอที่ผมเคยแอบตั้งเป็นรูปใบหน้าของผมไว้ ยังไม่ถูกเปลี่ยนอีกเหรอ ถ้างั้นก็แสดงว่าทั้งหมดที่พี่เขาทำดีกับผมและยอมสละความสะดวกสบายในชีวิตในช่วงที่ผ่านมา นั่นเป็นเพราะพี่เขาแอบมีความรู้สึกดีๆให้ผมจริงๆด้วย

เหมือนถูกมีดทะลวงเข้ากลางหัวใจอีกครั้ง เพียงแค่การตัดสินใจทำเรื่องผิดพลาดครั้งเดียวของผม ไม่รู้เลยว่าจะมีผลต่อสภาพจิตใจของคนๆหนึ่งมากขนาดนี้



“ขอ....ขอโทษนะครับ ผมขอเข้าไปหน่อย” ไม่ได้แล้ว กูต้องจัดการเคลียร์ปัญหาทั้งหมดให้ได้

เมื่อแหวกผู้คนเข้ามายังส่วนแยกจากร้านได้ ผมก็รีบวิ่งตรงขึ้นไปยังชั้นสี่เพื่อตามหาคนที่ผมต้องพบเขาให้ได้



ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“................” เงียบฉี่

ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“................” เงียบอีกครั้ง ผมพยายามบิดลูกบิดประตู แต่ก็ไม่เป็นผล

“ขนมปัง” ผมเริ่มเรียก “ขนมปังเปิดประตูให้หน่อย”

“...............” ตอบอะไรมาสักอย่างไม่ได้หรือไงกันนะ เงียบแบบนี้แล้วผมใจไม่ดีเลย

“ขนมปัง”

ไม่มีเสียงตอบใดๆเลยแม้แต่น้อย

เดี๋ยวนะ!!

เหมือนผมได้ยินเสียงเบาๆของการแอบร้องไห้

“ข...ขนมปัง” ผมเริ่มทุบประตู “เป็นอะไรอ่ะ ออกมาคุยกันก่อนนะ ขนมปัง ม...มันไม่ใช่อย่างที่เห็นนะ”

เหมียว เหมียว มีเพียงเสียงแมวที่ตอบกลับมาเท่านั้น

“ถ้าไม่ยอมออกมา ผมจะนั่งอยู่ตรงนี้แหละ” ผมเริ่มใช้กลยุทธ แต่ก็ไม่มีวี่แวว่าจะได้ผลอะไรเลย



ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงที่ผมนั่งรออยู่ที่เชิงบันไดโดยไม่มีท่าทีว่าคนในห้องจะออกมาพบผมเลย ผมคร่าเวลาด้วยการเปิดดูนั่นนี่โน่นในโทรศัพท์ของผู้ที่ผมตามมาง้องอน

ไม่รู้ว่าผมคิดถูกหรือเปล่า เพราะเมื่อยิ่งเห็นว่าในโทรศัพท์มีรูปของผมอยู่เต็มแกลลอรี่ไปหมดมันยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิด ดูเหมือนว่าขนมปังจะแอบถ่ายผมไว้โดยตลอด ส่วนใหญ่ก็เป็นภาพตอนผมซ้อมว่ายน้ำ

แล้วนี่อะไรหว่า...?



’18.07-22 ต.ค.2017-ช่างเป็นรุ่นน้องที่แย่จริงๆ ก็แค่หน้าตาดีกว่าคนอื่นนิดหน่อย’



‘19.32-23 ต.ค.2017-ทำไมน้ำชาถึงขอร้องให้รุ่นน้องนิสัยไม่ดีคนนั้นมาทำงานช่วยด้วยนะ’



‘06.59-24 ต.ค.2017-คนแบบนี้ไม่สมควรได้เป็นผู้นำเชียร์เลย’



‘12.40-24 ต.ค.2017-ถึงจะพูดจาไม่ดีไปบ้าง แต่เขาก็พอจะมีน้ำใจ(พลาสเตอร์ยา)’



‘20.11-25 ต.ค.2017-จริงๆแล้วเขาก็เป็นคนมีเป้าหมายดีนะ แค่ขาดการจัดการเวลาที่ดี’



‘09.47-26 ต.ค.2017-ใครกันแน่ที่เป็นรุ่นพี่ แกล้งกันอยู่ได้’



‘22.05-26 ต.ค.2017-เขาฝากบอกพูรินว่าฝันดี บ้าหรือเปล่า’



‘22.06-26 ต.ค.2017-ความรู้สึกเราชักจะเตลิดไปกันใหญ่ อย่าเผลอใจให้ใครง่ายๆซิ เดี๋ยวก็เสียใจอีกหรอก’



21.36-27 ต.ค.2017- ‘แปลกจังที่เขาไม่รังเกียจเราเลย ทั้งๆที่รู้เรื่องของเราแล้ว’



‘05.05-28 ต.ค.2017-หรือว่าจะเปิดใจอีกครั้งดีนะ แต่เขาจะมาสนใจคนอย่างเราเหรอ’ (ข้อความเมื่อเช้านี้นี่นา)



เห้ออออออออ

ยิ่งอ่านยิ่งชัดเจน

ว่าแต่ รุ่นพี่ตัวน้อยนี่ก็แปลก คนแบบไหนถึงได้มาเขียนไดอารี่ใส่มือถือไว้แบบนี้ ทำตัวก็แปลกๆ ทำตัวเหมือนเด็กๆ ทำตัวให้ต้องรู้สึกว่าอยากดูแลปกป้องอยู่ตลอดเวลา



“อ้าว ไอ้น้อง”

ชิบหาย!!! ตกใจหมดเลย

“พี่...เอ่อ....” ชื่ออะไรนะ ลืม รู้แต่ว่าเป็นเพื่อนสนิทของพี่ข้าวเจ้า

“กูชื่อสุ่ย” พี่เขาตอบ “ว่าแต่มึงเหอะ มานั่งอะไรอยู่ตรงนี้ เห็นอาม่าบอกว่ามีคนมาหาไอ้ปัง ไม่คิดว่าจะเป็นมึง”

“ผมต้องถามพี่มากกว่าว่าพี่มาที่นี่ทำไม ผมเป็นผู้ช่วยบั๊ดดี้ ผมก็ต้องอยู่นี้อยู่แล้ว”

“งั้นมึงก็ตกงานอย่างเป็นทางการแล้ว ไม่รู้เหรอว่าไอ้ปังลาออกจากการเป็นบั๊ดดี้แล้ว”

“เอ่อ....”

“แปลว่ารู้ งั้นมึงก็ต้องรู้ว่ากูเป็นเพื่อนสนิทของไอ้ปัง กูจะมาถามมันว่าเกิดอะไรขึ้น คงไม่แปลกใช่ไหม”

“พี่เป็นเพื่อนสนิทกับขนมปังด้วยเหรอ ผมนึกว่าพี่สนิทกับพี่ข้าวเจ้าซะอีก”

“ข้าวเจ้า? นี่มึงไปอยู่ไหนมาเนียถึงไม่รู้ว่ากูกับข้าวเจ้าเป็นอะไรกัน”

เป็นอะไรกัน?

“ข้าวเจ้าเป็นแฟนกูเว้ย ส่วนไอ้ปังเป็นเพื่อนสนิทที่เอกของกู” หลายอย่างในวันนี้ได้พิสูจน์ให้ผมได้เห็นว่า ตัวผมเองรู้อะไรน้อยเหลือเกิน “มึงกลับไปได้แล้ว กูจะคุยกับเพื่อน จะถามมันซะหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น”

“เอ่อ...พี่” ผมเรียกพี่เขาไว้ก่อนที่ทันจะได้เคาะประตู

“อะไรวะ กูจะคุยกับเพื่อน”

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

พี่เขาไม่สนใจฟังแต่กลับเคาะประตูทันที

“ไอ้ปัง ไอ้ปังอยู่ไหม นี่กูเอง สุ่ย”

“................” ทุกอย่างยังเงียบเหมือนเดิม

“มันไม่อยู่เหรอ” พี่สุ่ยหันมาถามผม

“ผมคิดว่าอยู่นะ” ผมตอบ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก “ไอ้ปัง เปิดประตูให้กูหน่อย กูมีเรื่องจะคุยด้วย”

“..........สุ่ยกลับไปก่อนเถอะ เราไม่ค่อยสบาย” เห้ย! ตอบออกมาแล้ว กูนั่งรอตั้งนานไม่ตอบ พี่คนนี้มาแป๊บเดียวตอบเลยนะ จะบอกว่าโล่งอกก็ติดความรู้สึกหงุดหงิดใจอยู่นิดหน่อย

“เป็นไรเปล่า ให้พาไปหาหมอไหม” พี่สุ่ยตั้งคำถามต่อ

“ไม่เป็นไร”

“งั้นเปิดประตูให้กูหน่อย มีเรื่องจะคุยด้วย”

“ร...เราไม่ค่อยสะดวกอ่ะ”

“อะไรของมันวะ” พี่สุ่ยเกาหัว คงงงให้พฤติกรรมของเพื่อน “เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับมึงไหม”

“ครับ!” ผมแทบตะโกน จู่ๆก็ถูกตั้งคำถาม

“มีพิรุจแบบนี้ แปลกว่ามีอะไรแน่ๆ ไหนอธิบายมาดิ”

“คือ.....” งานมาเข้ากูได้ไงวะ

“มึงชื่ออะไรนะ”

“ครับ? เอ่อ โซนิค ผมชื่อโซนิคพี่”

ก๊อก ก๊อก ก๊อก “ปัง มึงกับไอ้น้องที่ชื่อโซนิคมีอะไรกันวะ”

“เห้ยพี่!!!” เอางี้เลยเหรอ

“............................” แต่ก็ไม่มีเสียงใดตอบกลับมาอยู่ดี



“เงียบแบบนี้ แสดงว่ามีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ” พี่สุ่ยวิเคราะห์ “มึงอธิบายมาดิว่ามึงทำอะไรเพื่อนกู”

“คือผม....”

“นี่อย่าบอกนะว่ามึงรังแกเพื่อนกูอ่ะ”

“รังแก? เห้ย! ไม่ใช่พี่ ผมยังไม่ได้ทำอะไรพี่เขาเลย ผมแค่....”

“จะพูดก็พูดมา ก่อนที่กูจะหมดความอดทนกับมึง กูรู้นะว่ามึงเป็นเด็กของไอ้ชา อย่าให้กูต้องตามไอ้ชามาที่นี่ด้วยอีกคนนะ”

“ก็พี่น้ำชานั่นแหละครับที่ส่งผมมาที่นี่”

“ห๊ะ? อะไรกันวะ กูงงไปหมดแล้ว”

เห้ออออออ ผมถอนหายใจ

ผมตัดสินใจแสดงภาพพักหน้าเจอของรุ่นพี่ตัวน้อยให้คนตรงหน้าผมดู

“กูไม่ตลก มึงจะเอารูปมึงทำหน้าหมาแมวอะไรมาให้กูดู กูก็ไม่ตลกทั้งนั้นอ่ะ” พี่เขายังไม่เข้าใจ

“นี่ไม่ใช่โทรศัพท์ของผม ของพี่ขนมปัง”

“แล้วมีรูปมึงอยู่ในเครื่องได้ไง”

“ดูดีๆดิพี่ ตั้งเป็นภาพพักหน้าจอด้วย แถมยังมีอีกหลายรูปเลย”

“หา? นี่อย่าบอกนะว่า ไอ้ปังมัน....ชอบมึงเหรอ” พี่สุ่ยดึงโทรศัพท์ไปดู “ก็ยอมรับว่ามึงก็หล่อ แต่ไหง...”

“เราไปคุยกันข้างล่างดีกว่าไหมครับ” ผมเสนอ ขืนคุยทุกอย่างตรงนี้ คนที่อยู่ข้างในก็คงได้ยินกันพอดี

“เอ่อ.... ก็ได้”



หลังจากนั้นผมกับพี่สุ่ยก็ลงมาคุยกันที่ชั้นสาม



“สรุปว่ายังไงวะ” พี่สุ่ยตั้งคำถามทันที “ไอ้ปังชอบมึงจริงๆเหรอ เห็นมันเพิ่งจะเลิกกับคนเก่า ไม่นึกว่าจะเปิดใจให้คนใหม่เร็วขนาดนี้”

“ผมก็อยากรู้เรื่องนั้นเหมือนกัน” ผมตอบอย่างอ่อนใจ “แต่พี่เขาไม่ยอมเปิดประตูมาคุยกับผมเลย”

“แล้วมึงอ่ะ ที่มาตามคุยกับมันแบบนี้ แปลว่ามึงก็...ชอบมันเหมือนกัน กูพูดถูกไหม”

“นั่นผมก็ไม่แน่ใจครับ”

“อะไรของมึงวะ มึงมีอะไรที่แน่ใจบ้างหรือเปล่าเนีย”

“ก็เพราะอย่างงี้ไงพี่ ผมถึงอยากคุยกับขนมปัง แต่เขาก็เอาแต่งอนแล้วก็เงียบ ไม่พูดอะไรกับผมเลย”

“แล้วทำไมไอ้ปังต้องงอนมึงด้วย กูปะติดปะต่อเรื่องไม่ถูกเลย”

“เรื่องนั้น..... คือผม.....”

“อย่าปล่อยกูลุ้นนานได้ไหม กูเหนื่อย”

“ผมไปสารภาพรักกับพี่น้ำชาครับ”

“ห๊ะ? คืออะไรวะ กูไม่เข้าใจ ไอ้ปังชอบมึง มึงก็ดูเหมือนจะชอบมัน แต่มึงดันไปสารภาพรักกับไอ้ชา แล้วมึงบ้าหรือเปล่า ไอ้ชามัน...”

“ผมรู้แล้วว่าพี่น้ำชาเขามีแฟนแล้ว แต่ผมเพิ่งรู้ ถ้ารู้ว่าพี่น้ำชากับพี่ตองคบกันอยู่ ผมก็คงไม่ทำแบบนั้นหรอก”

“เอางี้ ตอบกูชัดๆที สรุปว่ามึงชอบใครกันแน่ ไอ้ชา หรือ ไอ้ปัง”

“...............”

“เงียบ...... กูพูดไว้ตรงนี้เลยนะ มึงเห็นแก่ตัวมาก การที่มึงแสดงท่าทีแบบนี้ เป็นกู กูก็โกรธ มึงทำเหมือนว่าจะชอบไอ้ปัง แต่ก็มีไอ้ชาอยู่ในใจ นี่มันอย่างกับว่ามึงเห็นไอ้ปังเป็นตัวสำรองอ่ะ มึงจะทำอย่างงี้กับเพื่อนกูไม่ได้นะ”

“ไม่ใช่นะพี่”

“ไม่ใช่? แล้วมันยังไงวะ”

“ผม.... ผม..... ผมไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี....... โอเค ก็ได้พี่ ผมผิดเอง ผมให้ความหวังขนมปัง ผมแม่ง....”

“งั้นมึงก็กลับไปได้แล้ว”

“ห๊ะ!?”

“ก็ในเมื่อมึงยอมรับออกมาเองแล้ว มึงจะต้องการอะไรอีกวะ โอเค ไอ้ปังอาจจะเสียใจตอนนี้ แต่ถ้ามึงไม่ได้ชอบมัน มันแค่บังเอิญเผลอทำตัวให้ความหวังมัน งั้นก็ไม่เป็นไร ปล่อยมันเสียใจแค่วันนี้แล้วให้ทุกอย่างจบ แต่ถ้าขืนมึงยังดึงดังอยู่ตรงนี้ มันก็ยิ่งทำให้ไอ้ปังเสียใจกว่าเดิม ยิ่งทำให้มันมีความหวังมากกว่าเดิม ถ้ามึงรู้สึกผิดจริงๆ มึงควรหันหลังเดินกลับไปได้แล้ว หมดเวลาเอาความไม่แน่ใจของมึงมาเป็นเครื่องมือเล่นตลกกับความรู้สึกคนอื่นแล้ว”

“ไม่พี่” โอเค ยอมรับก็ได้ว่าก่อนหน้านี้ลังเล แต่ผมจะไม่เป็นแบบนั้นอีกแล้ว “ผมอาจจะทำผิดไปบ้าง แต่ตอนนี้ผมเข้าใจชัดเจนแล้ว ต่อให้ผมต้องอยู่ที่นี่ทั้งวันทั้งคืน ผมก็จะคุยกับขนมปังให้ได้... ผมจะอยู่ ผมจะแก้ไข”

คนตรงหน้าผมมองมาที่ผมอย่างพินิจ

“ตัวกูเองก็เคยทำผิดพลาดมาก่อน” พี่เขาพูดคล้ายว่ากำลังรำลึกความหลัง “และตอนนั้นกูก็หวังที่จะได้โอกาสในการแก้ไข เห็นมึงแบบนี้แล้ว..... โอเค งั้นมึงก็ขึ้นไป ทำทุกอย่างเพื่อเคลียร์ใจกับไอ้ปังให้ได้ กูเอาใจช่วยก็แล้วกัน มีอะไรก็ปรึกษากูได้ และถ้ามึงมีความรู้สึกดีๆกับเพื่อนกูจริง....................









.....................อย่าปล่อยให้เขาเดินหันหลังจากไปอีก”

หัวข้อ: Re: LOVE LEADER ภาค 2 [เชียร์ฝันสนั่นหัวใจ] - ตอนที่ 11 : หันหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: BBChin JungBB ที่ 14-09-2018 13:51:51
สู้ๆนะโซนิค  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER ภาค 2 [เชียร์ฝันสนั่นหัวใจ] - ตอนที่ 11 : หันหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 14-09-2018 19:08:20
โซนิค สู้ๆ   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 12 [ปล่อยมือ Part 1]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 17-09-2018 08:25:30
ตอนที่ 12 : ปล่อยมือ




ใจเย็นไว้ ใจเย็นไว้
ฮื่ออออ..... ไม่กล้าดู เอาไงดีวะกู
เอาน่า ทุกอย่างต้องโอเคซิ
บ้าเอ๊ย ไม่กล้ามอง
ไม่ได้ๆๆ ยังไงก็ต้องดูให้รู้แน่ไว้ก่อน เอาวะ
แล้วถ้ามันไม่โอเคล่ะ.....

“หกสิบหกเปอร์เซ็นต์”
“ห๊ะ อะไรนะ?”
“หกสิบหก” คนข้างๆผมย้ำให้ฟัง
“ไหนๆๆๆ” ผมแย่งโทรศัพท์ของมันมาดู

ธราธิป  ไอราพิทักษ์ 66% ผ่าน

“Yes yes yes” ผมพยายามไม่ตะโกนออกมา เพราะตอนนี้อยู่บนรถทัวร์ที่มีคนนั่งเต็มไปหมด
“เปิดดูตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง ทำหน้าตาลุ้นอยู่ได้ตั้งนาน” ไอ้คนข้างๆผมแซวพร้อมกับดึงมือถือของมันกลับไป
“ใครจะไปเก่งเหมือนมึงล่ะครับไอ้คุณแทน สำหรับกูไม่ใช่อะไรที่จะเห็นกันได้ง่ายๆหรอกนะ คำว่า ‘ผ่าน’ เนีย”
“แต่ก็ผ่านแล้วนิไง”
“เออ”
“ขอบใจกูหรือยัง”
“อะไรนะ นี่มึงทวงบุญคุณเหรอ”
“ล้อเล่นน่า ดีใจด้วยละกันที่ผ่าน หมดเรื่องเครียดไปอีกเรื่องแล้วนะ”
“อืม แต่ยังไงก็ขอบใจมึงละกันนะ”
“ห๊ะ อะไรนะ ไม่ได้ยินเลย”
“ไอ้...”
“ล้อเล่นๆ แหม นานๆได้ยินอะไรแบบนี้ที พูดดังๆหน่อยก็ไม่ได้”
“เออออออ ขอบพระคุณมากคร้าบบบบบบบ ขอบคุณในความกรุณาที่ติวให้ผมสอบผ่านหลักคณิตมาได้.... พอใจยัง” ประชดซะเลย “อะนี่ เอาป๊อปคอร์นครับท่าน เชิญเอาไปรับประทานให้เต็มที่เลยนะครับ”
“น่ารักมาก”
“กูบอกมึงกี่ทีแล้วว่าผู้ชายเขาไม่พูด....”

“จะไปไหนกันเหรอค่ะหนุ่มๆ” เสียงหนึ่งแทรกขึ้นมา
ใครบังอาจแทรกการสนทนาวะ
อือหืออออออ สาวสวยทั้งแก๊งค์เลย
มีสาวๆกลุ่มหนึ่งซึ่งนั่งอยู่อีกฟากหนึ่งของรถทัวร์กำลังมองมาที่พวกผมตาเป็นมัน ไม่ซิ จริงๆแล้วมองมาที่ไอ้แทนคนเดียวเสียมากกว่า ผมว่าจะไปเปลี่ยนชื่อเป็น ‘นายอากาศ’ คงจะเหมาะกับสถานการณ์ตอนนี้

“ไปกาญจนบุรีครับ” ไอ้แทนยิ้มตอบ สาวๆฟินกันเป็นแถบๆ ผมนี่มองบนเลย
“พวกเราก็จะไปเมืองกาญจ์เหมือนกันเลย” สาวเจ้าตอบกลับ "ใจตรงกันนะคะ"
“ก็แหงซิครับ นี่มันรถไปเมืองกาญจ์ ถ้าจะไปกระบี่ก็คงไม่ขึ้นคันนี้หรอก” ..................................เดี๋ยวนะ นี่อะไรเข้าสิงให้กูพูดออกไปแบบนี้วะ
“เอ่อ...” ในที่สุดผมก็เป็นที่สนใจผู้หญิงพวกนั้น “เพื่อนเหรอ เป็นมิตรดีนะ” แหมคุณผู้หญิงครับ น้ำเสียงที่พูดกับผมเนีย ไม่ใกล้เคียงกับตอนที่พูดกับไอ้หน้าหล่อเลยนะ
“เปล่าครับไม่ใช่เพื่อนของผมหรอก” อ้าวไอ้นี่ เห็นผู้หญิงสวยๆหน่อยไม่ได้ มึงทิ้งความเป็นเพื่อนไปเลยนะ “นี่ แฟน ของผม ครับ”
“ฮ.....อื่ออออออออ” ไอ้เชียแทน มึงพูดอะไรของมึงเนีย แล้วมันก็เลวมาก ปิดโอกาสในการพูดแก้ตัวของผมด้วยการเอาข้าวโพดคั่วอุดปากผมไว้และปิดปากแน่น
“ฟ.....แฟนเหรอ” ไม่ใช่เว้ยยยยยย
“ครับ เรากำลังจะไปเที่ยวกัน” มึงยังจะพูดอีก ช่วยหันมาดูกูหน่อยได้ไหม ป๊อปคอร์นท้วมปากกูแล้วเนีย แถมเอามือล็อคแขนปิดปากกูไว้เสร็จสับ ไอ้บ้าแทน มึงทำอะไรของมึงเนี่ย
“งั้น.....ขอให้สนุกนะ” แล้วสาวๆทุกคนก็หมดความสนใจในตัวผมสองคนทันที

“ทำบ้า....” ผมพยายามคืนอิสรภาพให้ปากของตัวเอง แต่มันก็รีบปิดปากผมเหมือนเดิม
“เบาๆ” ไอ้บ้าแทน มึงไม่ต้องกระซิบใกล้ขนาดนี้ก็ได้ ปากมึงจะชนหน้ากูอยู่แล้ว “ถ้าไม่พูดแบบนี้ ผู้หญิงพวกนั้นคงไม่หยุดคุกคามซะที”
ผมส่งสัญญาณว่า เออ กูเข้าใจ มันจึงค่อยๆปล่อยมือออก
“โอ๊ย!” ผมชกเข้าที่ไหล่ของไอ้คนทำอะไรไม่ปรึกษาทันที
“แล้วทำไมต้องพูดว่าเรา....” กระดากปากที่จะพูดต่อชะมัด
“เป็นแฟนกันอะเหรอ”
“อย่าพูดแบบนี้อีกนะ กูไม่ชอบ”
“โอเค.............” เอ๊า อยู่ดีๆก็ไม่พูดต่อ ชักสีหน้าใส่อีก ไม่พอใจอะไรของมันวะ
“เออๆ จะอ้างอะไรก็อ้างเหอะ แต่ปรึกษากูหน่อยไม่ได้หรือไง”
“ไม่แล้วล่ะ”
“โกรธอะไรกูเนีย” แล้วมันก็ไม่พูดอะไรต่อจริงๆ “เห้ย เห้ยยยย”
“..........” ผมพยายามแหย่มัน แต่มันก็ไม่หันมามองผมเลย นี่มึงกลายเป็นคนขี้งอนตั้งแต่เมื่อไหร่เนีย ต้องเป็นกูซิที่แสดงท่าทีแบบนี้ เอิ่ม... นี่กูกำลังยอมรับว่าตัวเองขี้งอนอยู่หรือเปล่าวะเนีย
“อะๆ ป๊อปคอร์นไหม อร่อยนะ มาๆ เดี๋ยวกูป้อน”
“ไม่หิว”
“หิวบ้าอะไร นี่มันป๊อปคอร์น มึงจะกินเอาอิ่มหรือไง..... เอ่อ....” ลืมตัวโวยวายซะงั้นกู เปลี่ยนเรื่องๆ “น้ำไหม”
“.........” มึงจะเยอะไปแล้วนะ
“อะไรของมึงวะ โกรธอะไรของมึงเนีย”
“ก็มึงไม่ชอบไม่ใช่เหรอ ทำแบบนี้ เดี๋ยวคนอื่นก็เข้าใจผิดหรอก”
“ก็บอกว่า... เออ แล้วแต่มึงเหอะ จะโกรธก็โกรธไป” ขี้เกียจจะสนใจแล้ว
“หึหึหึหึหึหึ”
อะไรของมันวะ อยู่ดีๆก็หัวเราะ เป็นไบโพลาร์หรือไง แต่ก็ช่างแม่ง จะหัวเราะจะร้องไห้กูก็ไม่แคร์แล้ว
“อะตอม” ไอ้บ้าแทนพยายามใช้ตัวกระแซะผม แต่กูไม่สนหรอก ทีเมื่อกี๊ทำเป็นไม่พูดด้วย “อะตอมครับบบบ”
“อย่ามายุ่ง” เดี๋ยวเหอะมึง
“ล้อเล่นน่า ไม่ได้โกรธจริงๆหรอก แค่เห็นว่ามีคนง้อ ก็เลย...อยากดูนานๆ”
“นี่มึง... สองรอบแล้วนะ”
“อ่ะๆ ล้อเล่นๆ มาๆกินป๊อปคอร์นกัน”
“ไม่กิน ไม่ต้องมาป้อน เอามือออกไปเลยนะ”
“โห่ งอนอีกแล้ว ไม่น่ารักเลย”
“ไอ้...”
“อย่างอนเลยน่า ต้องอยู่ด้วยกันอีกทั้งวัน เอางี้ เดี๋ยวพาไปเที่ยว โอเคไหม”
“พาไปเที่ยวห่าอะไร ก็นั่งรถทัวร์กันทั้งคู่ ทำอย่างกับเอารถส่วนตัวมาเอง”
“ก็เช่ารถไง มันคงพอจะมีบ้างแหละ เดี๋ยวขอเช็คดูหน่อยว่าที่กาญจนบุรีมีอะไรน่าเที่ยวบ้าง”
“ไปที่ด่านเจดีย์สามองค์ไหมล่ะ” ผมพูดออกมาทันที
“ทำไมถึงอยากไปที่นั่น ว่าแต่... หายงอนแล้วเหรอ”
“มึงนี่มัน...”
“โอเคๆๆ ไม่งอนๆ ไปก็ไป ที่นั่นมีอะไรน่าเที่ยวเหรอ”
“ไม่มีหรอก มีแค่สถานที่ท่องเที่ยวธรรมดา แล้วก็....”
“แล้วก็? เป็นอะไรอ่ะ ทำไมหน้าเศร้าแบบนั้น แล้วมือเป็นอะไรน่ะ คันเหรอ”
“เปล่า” ผมพูดลอยๆ ผมมักจะเกาที่ฝามือตัวเองทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องในอดีต “ที่นั่นไม่ได้มีอะไรน่าเที่ยวนักหรอก มีแค่ความทรงจำ ทิวทัศน์ที่คุ้นเคย กลิ่นที่คุ้นเคย เรื่องของ...แม่ กูเคยอยู่ที่นั่นมาก่อน หมายถึงอีกฝั่งน่ะ ตอนเด็กๆ เวลาที่เบื่อๆหรือตอนที่นอนไม่ค่อยหลับ แม่ชอบจับมือของกูไปเกาเล่น กูก็เลยติดทำแบบนี้ ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษหรอก แค่มันเป็นความรู้สึกที่.... เห้อ บ้าหรือเปล่า กูจะมาดึงดราม่าทำไม ไปทำธุระของมึงนั่นแหละ อย่ามา...”
“มานี่” จู่ๆ ไอ้บ้าแทนก็ดึงมือผมไป
“ท...ทำอะไรเนีย”
“ทำแบบนี้ใช่ไหม” มันเอานิ้วมาเกาฝามือผมเฉยเลย
“ทำอะไรของมึง ไอ้บ้า ปล่อยนะ อายเขา”
“อายใคร” ดูมันตอบดิ จะบ้าหรือไง ชายสองคนนั่งจับมือกันบนรถทัวร์ มันใช่เรื่องปกติที่ไหน แต่แรงมันเยอะจริง ดึงมือคืนมาไม่ได้เลย “งั้นถ้าไม่มีให้เห็นก็จบใช่ไหม” วินาทีต่อมา ไอ้หน้าหล่อมันก็เอาเสื้อคลุมตัวใหญ่ของมันมาวางทับมือของผมกับมันไว้เพื่อซ่อนจากสายตาของคนอื่นๆ
“ไม่เอา” ผมยังพยายามปฏิเสธ
“กูก็ไม่ใช่แม่ของมึงหรอก แต่ถ้ามันพอจะทำให้คลายความคิดถึงลงได้ กูก็พอจะเข้าใจ อย่าลืมดิว่า กูก็สูญเสียพ่อไปเหมือนกัน..... แปลกดีนะที่คนที่เรารักถูกพรากไปในที่ใกล้ๆกันเลย ความคิดถึงนี่มันมีพลังเนอะ”
“แทน...” ผมหยุดต่อต้านลงทันที ไม่เคยเห็นมุมเศร้าของมันแบบนี้เลย

ผมปล่อยให้คนที่นั่งข้างๆเกาฝ่ามือของผมอยู่อย่างนั้น ถึงมันจะไม่เหมือนที่แม่ทำ แต่ก็เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายที่คล้ายว่าจะไหลผ่านสัมผัสเหล่านี้ จนเมื่อผมเริ่มรู้สึกคุ้นชินกับมัน ความอบอุ่นและความปลอดภัยก็มีพลังอำนาจอย่างเต็มที่ ทำให้ผมเผลอเอียงคอลงไปซบไหล่ของไอ้คนข้างๆเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ได้ รู้สึกเพียงว่า...............




....................อยากอยู่แบบนี้ไปนานๆ
หัวข้อ: LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 12 [ปล่อยมือ Part 2]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 17-09-2018 08:26:52
(ในมุมของบุ๋น)




คิดถึงจังความรู้สึกนี้

ผมกำลังหลับตานิ่งรับสัมผัสของสองมือที่กุมกันไว้ระหว่างผมกับพี่ท๊อปบนเครื่องบินกลับเมืองประเทศบ้านเกิด นานเหลือเกินที่ไม่ได้สัมผัสผิวกายของกันและกัน ด้วยต้องพยายามไม่แสดงความสัมผัสที่เกินเลยตลอดการฝึกร้องฝึกเต้นที่เกาหลีในช่วงปิดเทอมใหญ่ แม้จะได้กลับมาไทยบ้าง แต่ก็เพราะมาทำธุระ จึงไม่ได้มีเวลาให้กันมากนัก แต่ครั้งนี้ถึงเวลาเปิดเทอมแล้ว การใช้เวลามากมายที่ต่างแดนจะได้สิ้นสุดลงเสียที
ต้องยอมรับว่าค่ายเพลงที่ผมกับพี่ท๊อปเป็นศิลปินฝึกหัดอยู่นี้ค่อนข้างที่จะเข้าใจหัวอกของนักศึกษาต่างแดนอย่างเรา โดยปกติค่ายเพลงจะไม่ค่อยรับเด็กฝึกที่ไม่ทุ่มเทเวลาให้กับการฝึกเป็นศิลปิน ค่ายอื่นๆถ้าเด็กไม่เลือกหันให้การศึกษาก็ต้องแบ่งเวลาเก่งสุดๆ แต่เพราะเป็นค่ายนี้ผมถึงยังมีเวลากลับมาเรียนและมีชีวิตอีกด้านที่ค่อนข้างผ่อนคลาย ไม่ตึงเครียดเหมือนอยู่แดนกิมจิ

“เห้อ...” หือ!?
“เป็นไรพี่ท๊อป” ผมถามคนที่กุมมือผมไว้ จู่ๆก็ถอนหายใจออกมา “จะกลับไทยแล้วไม่ดีใจหรือไง”
“ก็ดีใจครับ แต่...” พี่เขาลูบมือผมไปมาอย่างคุ่นคิด “พี่ไม่อยากกลับไปเกาหลีอีกแล้ว”
“ทำไมล่ะ กลับมาครั้งหน้าพี่จะได้เตรียมซิงเกิลแล้วนะ ไม่ดีใจหรือไง”
“ก็เรื่องนี้แหละที่ทำให้พี่ไม่อยากมา ตอนนี้พี่ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าดีใจหรือเปล่าที่สุดท้ายก็ได้ยืนยันการเดบิวต์”
“ก็ต้องดีใจซิ นี่มันความฝันของเด็กฝึกทุกคนนะ”
“แต่มันหมายถึงพี่จะไม่ได้อยู่กับบุ๋นอีกแล้ว ไม่ว่าจะคิดทางไหน โอกาสที่น้อยอยู่แล้วจะยิ่งน้อยกว่าเดิมอีก พี่ไม่อยากสูญเสียหัวใจของพี่ไป”
“แหวะ เลี่ยนเกินไปแล้วพี่ท๊อป”
“ก็มันจริงนี่นา”
“ยังจะพูดอีก... ตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองไปเถอะ บุ๋นโอเค”
“แต่พี่ไม่โอเค”
“มันไม่แย่ขนาดนั้นหรอก... ถ้างั้นก็ใช้เวลาที่เหลือให้คุ้มค่าซิ กว่าซิงเกิลจะออก ยังต้องใช้เวลาอีกนาน ถ้าตามที่ ‘พีดีนิม’ บอกพี่ท๊อปก็คงต้องวุ่นวายอยู่ในช่วงสามสี่เดือนนี้ เรายังมีเวลาได้อยู่ด้วยกันอีกนานเลยนะ”
“งั้นคืนนี้....”
“คิดอะไรเนีย”
“ก็ไหนบอกว่าจะมีเวลาอยู่ด้วยกันไง”
“มั่วแล้ว ไอ้คนลามก”
“ไม่ได้จริงๆเหรอ...”
“ไม่ต้องมาทำหน้าทำตาเลย” แน๊ะ ยังจะมามองตาปริบๆอีก “ถ้าอยากจะทำอะไรคืนนี้ ก็มีอย่างหนึ่งให้ต้องทำ ไปวันเกิดพ่อบุ๋นไง ไปไหวไหม ไม่รู้จะถึงทันหรือเปล่า”
“อ้าว วันนี้ถึงวันเกิดคุณพ่อแล้วเหรอ ไปไหวซิ คงทันอยู่มั้ง น่าจะอีกสองชั่วโมงเครื่องก็ลงแล้ว แต่พี่ไม่รู้เรื่อง ก็เลยไม่ได้เตรียมของขวัญอะไรไว้ให้เลย”
“ไม่เป็นไรหรอก พ่อคงเข้าใจ”
“งั้นเดี๋ยวให้ปิงปิงเตรียมไว้ให้ก็แล้วกัน”
“อย่าไปรบกวนพี่เขาเลย ช่วงนี้พวกปีสี่ก็ยุ่งอยู่กับงานวิจัย พี่ปิงปิงเขาก็คงไม่ว่างดูแลพี่ท๊อปนักหรอก”
“งั้น.... ก็ขอให้ปิงปิงโทรบอกร้านเตรียมของขวัญไว้ให้ แล้วเราก็แวะเข้าไปเอา แบบนี้คงไม่รบกวนเกินไป”
“ก็บอกว่าไม่เป็นไรไง พ่อไม่ว่าอะไรพี่หรอกน่า”
“ไม่ได้ซิครับ กว่าพี่จะเอาชนะใจพ่อบุ๋นได้ต้องใช้เวลาเป็นปีๆ ขืนทำตัวไม่สม่ำเสมอ เดี๋ยวคุณพ่อก็ได้แย่งบุ๋นไปจากพี่หรอก”
“แหวะ... ตามใจพี่ท๊อปก็แล้วกัน” เชื่อเขาเลย พอได้โอกาสพูดก็พูดอะไรเลี่ยนๆตลอด

จากนั้นพี่ท๊อปก็รีบส่งข้อความไปหาพี่ปิงปิงเพื่อขอให้จัดเตรียมของขวัญไว้ให้

เอาจริงๆผมก็พอเข้าใจนะว่าทำไมพี่ท๊อปถึงต้องคอยเอาใจพ่อตลอด ก็เมื่อปีที่แล้ว หลังจากที่ไอ้น้องน้ำชามันสร้างช่องทางให้พี่ท๊อปเป็นฮีโร่ช่วยกิจการที่ร้านของพ่อให้พ้นวิกฤตไฮโดรควิโนนจากฝีมือของพี่กั้ง เดี๋ยวนะ ต้องเรียกว่า นักโทษชายกั้งสิ หลังจากนั้นพ่อก็เริ่มยอมเปิดใจให้พี่ท๊อปนิดหน่อย ย้ำ!  แค่นิดหน่อยเท่านั้น
พ่อไม่ว่าเรื่องที่ผมกับพี่ท๊อปคบกัน แต่ก็ไม่ให้พี่ท๊อปเข้าไปเจอได้ง่ายๆ หรือทุกครั้งที่พ่อมาเยี่ยมผมที่บ้านเช่า พ่อก็จะสั่งให้พี่ท๊อปหลบไปอยู่ที่อื่น ดีที่ว่าพี่ท๊อปเป็นคนรู้จักวิธีเข้าหาผู้ใหญ่และเป็นคนมีความมุ่งมั่นสูงมากกกกกกก ความพยายามตลอดทั้งปีจึงประสบความสำเร็จ พ่ออนุญาตให้พี่ท๊อปไปหาได้ ผมเห็นบางทีก็เรียกไปหาเองโดยไม่มีผมไปด้วยเสียด้วยซ้ำ แต่ท่านก็ยังรับไม่ได้เท่าไหร่เวลาที่พี่ท๊อปทำโรแมนติกกับผมต่อหน้าแก ส่วนใหญ่เวลาไปเจอพ่อ เราสองคนจึงต้องทำเหมือนแค่พี่น้องที่สนิทกัน เอาเถอะ แค่นี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว


“ไหนบอกว่าไหวไง บุ๋นเห็นพี่หาวตลอดทางเลย” ในที่สุดเราก็มาถึงบ้านของพ่อผมแล้ว แต่ผมยังห่วงคนข้างๆไม่วางใจ ก็หลังจากลงเครื่องมาได้ก็ขับรถพร้อมกับหาวนอนมาตลอดทางแบบนี้ ไม่ให้เป็นห่วงได้ไง
“ไหวครับบบบ” เหมือนพี่ท๊อปจะแค่ตอบเพื่อให้ผมหยุดถาม
“พี่ท๊อป” ผมเรียก แต่เจ้าตัวไม่มองหน้า เอาแต่ทำเป็นวุ่นวายค้นหาของที่เบาะหลัง นี่คิดว่าดูไม่ออกหรือไง เรียกไม่ฟังดีนัก งั้นก็จับหน้ามาจ้องซะเลย “พี่ท๊อป บุ๋นเรียกพี่ ไม่ได้ยินหรือไง”
“ได้ยินแล้ว”
“ได้ยินแต่ทำเป็นไม่ฟัง บุ๋นจะบอกว่าขากลับบุ๋นจะเป็นคนขับเอง”
“ไม่” ไอ้พี่ท๊อปมันปฏิเสธอย่างกับรู้อยู่แล้วว่าผมจะพูดอะไร
“บุ๋นไม่ได้ขอ....”

ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ใครหว่ามาเคาะกระจกรถยนต์
เวรกรรม นั่นพ่อนี่นา
พี่ท๊อปเลื่อนกระจกลง

“สวัสดีครับพ่อ” พี่ท๊อปยกมือไหว้ทักทายก่อนผมเสียอีก
“พ่อมาตั้งแต่เมื่อไหร่อะครับ” ผมถาม
“ก็ตั้งแต่สองคนมัวสวีทกันอยู่นั่นแหละ” พ่อตอบหน้านิ่ง
“ข...ขอโทษครับพ่อ” พี่ท๊อปรีบแสดงความรับผิดชอบ ด้วยว่าเราทั้งสองต่างรู้ว่าพ่อไม่ชอบเรื่องแบบนี้ “เราสองคนแค่...”
“พ่อไม่ได้ว่าอะไร  รีบลงมาได้แล้ว”
“ครับ?” พี่ท๊อปงง ผมนี่ยิ่งงงหนัก งงในงงอีกทีนึงเลย
“คนรอเต็มบ้านแล้ว รีบๆลงมาเร็ว” พ่อเร่ง
“ค...ครับ”

ผมกับพี่ท๊อปรีบลงจากรถยนต์ แต่ก่อนหน้านั้น...

“พ่อครับ” พี่ท๊อปเรียกพ่อของผม ก่อนจะยื่นถุงของขวัญให้ “สุขสันต์วันเกิดครับ มีความสุขมากๆและสุขภาพแข็งแรงนะครับ”
“ให้พ่อเหรอ” พ่อรับไปแล้วเปิดดูทันที “นี่... รู้ได้ไงว่าพ่ออยากได้คันเบ็ดรุ่นนี้ พ่อไม่เคยบอก.... อ๋อ ถามบุ๋นมาละซิ”
“บุ๋นไม่ได้บอกอะไรนะครับพ่อ” ผมรีบออกตัว ก็ไม่ได้บอกจริงๆอ่ะ พี่ท๊อปฝากพี่ปิงปิงซื้ออะไรมาให้ยังไม่รู้เลย เพิ่งจะมารู้พร้อมๆกับพ่อนี่แหละ
“ผมแอบถามพนักงานที่ร้านของพ่อมาน่ะครับ” พี่ท๊อปสารภาพ “พวกพี่เขาบอกว่าพ่อบ่นบ่อยๆว่าอยากได้คันเบ็ดรุ่นนี้แต่ไม่มีเวลาไปซื้อ”
“ถามได้ยังไง ก็เห็นไปอยู่เกาหลีกันตั้งนาน” ปากก็ถามเพราะความสงสัยนะ แต่พ่อดูจะให้ความสนใจกับคันเบ็ดอันใหม่เสียมากกว่า
“ผมก็พอมีคอนแท็กอยู่บ้างครับ เวลาที่ไม่ได้ซ้อมก็คอยถามพวกพี่พนักงานอยู่เรื่อยๆ”
“นี่กะทำคะแนนเต็มที่เลยใช่ไหม” อะไรคือการที่พ่อพูดตรงไปตรงมาขนาดนี้
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ก็แค่...”
“เอาเถอะ ขอบใจมากก็แล้วกัน”
“......!!!” แล้วสิ่งน่าตกตะลึงก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อพ่อของผมเข้าสวมกอดพี่ท๊อปและผมพร้อมๆกัน
ผมกับพี่ท๊อปได้แต่ตาค้างและหันมองกันผ่านด้านหลังของพ่อแบบไม่เข้าใจ
“เอาล่ะ เข้าบ้านกันได้แล้ว” พ่อผมปล่อยกอดเราของคน “พ่อก็มีอะไรจะให้ทั้งสองคนเหมือนกัน.... รีบเข้าไปเถอะ ทุกคนรอนานแล้ว”
ตอนนี้ผมกับพี่ท๊อปคือยังช็อคอยู่เลย แต่ในเมื่อพ่อเดินนำเข้าบ้านแล้ว เราสองคนก็เลยทำได้แค่รีบเดินตามเข้าไป

ถึงพ่อจะพูดว่าเดินเข้าบ้าน แต่จริงๆแล้วมันคือส่วนของสวนหลังบ้านเสียมากกว่า ทั้งสวนถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นงานสังสรรค์เล็กๆหรืออาจจะไม่ค่อยเล็กเท่าไหร่

“น้องบุ๋น” “ท๊อปกับบุ๋นกลับมาแล้ว” “ว่าไงค่ะหนุ่มเกาหลี”
การทักทายจากญาติและเหล่าพนักงานของร้านเกิดขึ้นทันทีที่ผมและพี่ท๊อปปรากฏตัว
“สวัสดีครับทุกคน สวัสดีครับพี่แจน สบายดีไหมพี่ชาติ ไงครับนี่พนักงานใหม่เหรอ” เอาจริงๆนะ พี่ท๊อปเข้ากับคนของบ้านผมดีกว่าตัวผมเองซะอีก จนทำให้ผมได้แค่ทักทายตาม นี่บ้านใครกันแน่หว่า
“รีบพาแฟนไปหาอะไรกินเถอะ” เหอะ!? เมื่อกี๊พ่อพูดกับผมว่าอะไรนะ นี่มันแปลกเกินไปแล้วนะ “พ่อขอตัวไปคุยกับแขกหน่อย"
“ครับ...” ยอมรับเลยว่าตอบด้วยความงงๆ

ผมกับพี่ท๊อปเดินไปร่วมกินดื่มกับพี่ๆพนักงานที่รุ่นราวคราวเดียวกัน

งานเลี้ยงวันเกิดยังคงดำเนินต่อไป มีแขกเข้ามาร่วมงานเรื่อยๆ ถ้าไม่นับเรื่องที่พ่อพูดจาแปลกๆตั้งแต่ที่เจอกันก็ไม่มีอะไรผิดปกติ เป็นเพียงงานกินดื่มตามปกติ และการเซอร์ไพส์ด้วยเค้กตามประสา เว้นเสียแต่ว่า.....

“ขอบคุณเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ญาติสนิทมิตรสหายทุกคนนะครับที่ให้เกียรติมาร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของคนแก่ๆอย่างผม” พ่อของผมเริ่มพูดด้วยไมโครโฟนในช่วงที่แขกมาค่อนข้างมาก “ด้วยอายุระดับนี้ก็ไม่คิดว่าจะยังต้องมาจัดงานวันเกิดอะไรแบบนี้นะครับ แต่ก็ถือเป็นโอกาสดีๆ ที่ผมจะได้จัดงานเพื่อเลี้ยงตอบแทนพนักงานของผมทุกคน และสำหรับคนที่ทำให้งานวันนี้เกิดขึ้นมาได้ก็คงต้องขอเสียงปรบมือให้กับแจน พนักงานคนเก่งของเราครับ”
ก็มีเสียงปรบมือไปตามระเบียบแหละครับ แต่พี่แจนนี่หน้าบานเลย อ่ะๆ ให้เขาหน่ย
“และในโอกาสดีๆแบบนี้” พ่อยังคงพูดต่อ “ผมก็จะขอใช้เวลาตรงนี้ในการที่จะประกาศเรื่องสำคัญให้กับทุกท่านได้ร่วมเป็นสักขีพยาน นั่นก็คือ.... ผมขอประกาศว่านับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แจนจะขึ้นมาเป็นผู้จัดการใหญ่ของร้าน Refresh แทนผม พร้อมกับหุ้นบริหารหกสิบเปอร์เซ็น”
 
ว้าววววววววววว
แม้แต่ผมยังอดประหลาดใจและปรบมือไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงพี่แจนเลย ตอนนี้เธอน้ำตาไหลด้วยความดีใจและตกใจไปเรียบร้อยแล้ว
“และมีเรื่องน่าเศร้าที่ต้องประกาศเพิ่มเติมก็คือ ด้วยความที่แจนขึ้นมาเป็นผู้จัดการใหญ่เพียงหนึ่งเดียวของร้านนี้แล้ว จึงทำให้ผมกลายเป็นคนว่างงาน และเพื่อที่ผมจะไม่ทำตัวเป็นตาแก่ว่างงานไปวันๆ ผมจึงมีแผนในการเปิดร้านเวชสำอางค์สาขาใหม่ในอีกสามเดือนข้างหน้า ทุกคนคงต้องทำงานกันหนักมากขึ้นหน่อยนะ”
โอ้โห พ่อมีเรื่องเซอร์ไพส์ไม่หยุดหย่อนเสียที
“โดยร้านใหม่นี้จะเปิดตัวในวันเดียวกับ งานหมั้น ของลูกชายของผม”

อะไรนะ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

“....................................................................” ผมได้แค่อ้าปากค้าง ปากสั่นและตัวแข็งท่อ
พี่ท๊อปลุกขึ้นมายืนข้างๆผม ว่าแต่ผมลุกขึ้นมายืนตั้งแต่เมื่อไหร่เนีย

“หลายๆคนในที่นี้คงจะพอทราบกันมาบ้างแล้วว่าลูกชายของผม เจ้าบุ๋น กำลังคบหากับท๊อปอยู่” เดี๋ยวๆๆๆ นี่พ่อพูดอะไรเนี่ย พ่อจะพูดทุกอย่างใส่ไมโครโฟนแบบนี้ไม่ได้นะ
ทันใดนั้น พี่ท๊อปรีบคว้ามือผมไปจับไว้แน่น แต่ดวงตาของเราทั้งสองยังคงจ้องมองความระทึกใจเบื้องหน้า ถ้าเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ผมคงไม่มาห่วงกับการจับมือกันต่อหน้าคนอื่นแค่นี้หรอก
“และเพราะตลอดทั้งปีที่ผ่านมา เด็กๆทั้งสองได้สอนคนแก่หัวโบราณอย่างผมได้พบกับโลกใบใหม่ ได้เห็นความรัก ความทุ่มเท หรืออย่างน้อยก็ความพยายามที่ท๊อปจะเอาชนะใจผมด้วยความรักที่มีในตัวลูกชายของผม หลังจากคิดอยู่นาน ผมก็นึกไม่ออกเลยว่าชาตินี้จะมีใครที่สามารถรักและดูแลลูกชายคนเดียวของพ่อได้ดีขนาดนี้ เพราะอย่างนั้น... ท๊อปเอ๊ย... จะรังเกียจไหมที่พ่อจะขอให้ท๊อปเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเรา....”
“...............” พี่ท๊อปยังอึ้ง ผมก็ยังช็อค

แต่เดี๋ยวก่อนนะ สามเดือนงั้นเหรอ....!!! ไม่ได้ซิ พี่ท๊อปต้องเตรียมเดบิวท์นี่นา ขืนตารางเวลาซ่อนกันช่วงนี้ทางค่ายไม่ปราณีแน่นอน

“ว่าไงท๊อป ยังรักลูกชายของพ่ออยู่ไหม พ่อฝากท๊อปดูแลน้องได้ไหม”
“ม....”
“ตกลงครับ” พี่ท๊อปเอ่ยตะโกนกับพ่อของผมและบีบมือผมแรงขึ้น “ขอบคุณคุณพ่อที่วางใจผม ผมจะไม่ทำให้ผิดหวังครับ”
มีเสียงปรบมือและกู่ร้องยินดีออกมาจากคนทั่วทั้งงาน
แต่ไม่ใช่กับผม...
“พ....พี่ท๊อป....”
“ไม่ต้องพูดอะไรครับ” พี่ท๊อปตัดบทผม “พี่รู้ว่าบุ๋นห่วงเรื่องอะไรของพี่ แต่ไม่ต้องห่วง พี่ขอบุ๋นแค่อย่างเดียว................




...................อย่าปล่อยมือพี่นะครับ”

...

(ในมุมของอะตอม)




“ตอม.... อะตอม.... ถึงแล้ว” ผมถูกปลุกให้ตื่น
เมื่อลืมตาขึ้นด้วยความอ่อนเพลียเล็กน้อย ผมยังสัมผัสได้ว่ามือของผมถูกกุมไว้จากคนข้างๆ นี่ผมกับไอ้บ้าแทนจับมือกันมาตลอดเลยเหรอ
“ถึงแล้วเหรอ” ผมเนียนพูดไปด้วยปล่อยมือออกด้วย
“จะจับมือไว้เหมือนเดิมก็ได้นะ” ไอ้บ้าแทน พูดออกมาหน้าตาเฉยอีกแล้ว กูอุส่าทำเนียน
“ไปได้แล้ว คนจะลงหมดรถอยู่แล้ว” เลิกต่อประโยคกับมันดีกว่า ขืนเปิดช่องให้มันมาก เดี๋ยวมันก็แกล้งแหย่ผมอีก   

เราสองคนเดินทางออกจากศูนย์ขนส่งฯทันทีเพื่อตรงไปยังเป้าหมายของไอ้คนที่ผมมาเป็นเพื่อนมัน
นี่เป็นเวลาบ่ายโมงนิดๆที่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง พวกเราตัดสินใจแวะทานอาหารกลางวันและเดินทางต่อทันที ไม่มีเวลาให้หยุดพักมากนักเพราะต้องรีบเดินทางและต้องเผื่อเวลาเดินทางกลับด้วย เนื่องจากว่าวันพรุ่งนี้คือวันนัดบล็อกกิ้งของคณะ แล้วไหนจะต้องซ้อมเต้นเพลงมิ่งขวัญจากพี่น้ำชาอีก

“มีอะไรหรือเปล่าอะตอม” ไอ้ขี้แกล้งถามผม ขณะนี้เรากำลังนั่งรถตู้ประจำทางไปยังสถานที่เป้าหมาย
“เปล่า ไม่มีอะไร” ผมโกหก ทั้งที่ในใจมีลางสังหรณ์แปลกๆ ก็เส้นทางที่กำลังเดินทางไปนี้ ทำไมผมจึงรู้สึกว่ามันคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก หรือผมอาจจะคิดมากไปเอง

ผมเก็บความสงสัยไว้เป็นชั่วโมงๆ ในที่สุดก็เกิดความชัดเจนขึ้น....

“ถึงแล้ว ลงมาซิ” คนตัวสูงถามผม
“ที่นี่เหรอ” ผมถามเพื่อความแน่ใจ
“ใช่ แต่ต้องเดินไปอีกนิดหน่อย รีบไปกันเถอะ แดดเริ่มร้อนแล้ว”
ผมไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการเดินและเงียบ
ที่นี่มัน......
“ขอธูปเทียนสองชุดครับ” ไอ้คนนำทางดูจะคุ้นเคยกับที่นี่ดีพอสมควร เขาตรงดิ่งไปยังร้านขายดอกไม้ธูปเทียน

ผมมองไปที่บรรยากาศรอบๆเพื่อทดสอบความแน่ใจอีกครั้ง

“อะนี่” ชุดสักการะหนึ่งชุดถูกส่งมาให้กับผม “เดี๋ยวเดินไปอีกนิดหน่อยนะ.... รู้หรือเปล่าว่าแม่น้ำนี้เรียกว่าอะไร”
“แควน้อย” ผมตอบทันทีโดยแทบจะไม่ได้คิด ผมรู้คำตอบตั้งแต่แรกที่เห็นว่ารถมาจอดที่แม่น้ำนี้แล้วด้วยซ้ำ
“รู้จักด้วยเหรอ” คนฟังอึ้งนิดหน่อย แต่ก็กลับไปพูดต่อและออกเดินนำผมต่อ “ที่นี่แหละที่พ่อของกู....จากไป.... มองเห็นแพรร้านอาหารที่อยู่ตรงนั้นไหม.... ระวังรถนะ” ไอ้คนพูดไม่ได้ต้องการคำตอบอะไรจากผม ดูเหมือนมันจะแค่ต้องการเล่าเรื่องให้ฟังไปเรื่อยๆเสียมากกว่า
"ขอบใจ" ผมถูกจูงมือข้ามถนนไปยังอีกฝั่ง และมือยังถูกกำมือไว้แน่นขณะข้ามสะพานคอนกรีตเพื่อกันไปยังอีกฝั่งของแม่น้ำ
“แล้วที่อยู่ฝั่งโน้นอ่ะ นั่นน่ะ เห็นไหม ยังมีป้ายเก่าๆปักอยู่เลย” สิ่งที่ถูกชี้นำสายตาให้มองทำวิญญาณของผมหลุดออกจากร่างในบัดดล มันคือป้ายเหล็กสีเขียวขึ้นสนิทเก่าๆขนาดใหญ่ที่ปักอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเหนือสันทรายสูง มีตัวอักษรเลือนรางสีขาวเขียนไว้ แต่ถูกบดบังด้วยเถาไม้เลื้อย “แล้วก็เสาไม้เก่าๆตรงนั้น ที่อยู่ใกล้ๆกันอ่ะ นั่นคือตำแหน่งเดิมของแพรร้านอาหารร้านที่เคยอยู่
ฤดูฝนเมื่อสิบปีที่แล้ว ร้านอาหารนี้โทรแจ้งส่วนกลางว่าดินริมตลิ่งบริเวณใกล้ๆกับร้านกำลังค่อยๆถล่มลงมา หมายถึงตรงป้ายสีเขียวนั่นแหละ และด้วยกลัวว่าอีกไม่นานมันคงถล่มลงมาจริงๆจนทำให้ทรัพย์สินเสียหาย ส่วนกลางจึงส่งคนมาช่วยกันขนย้ายแพรนี้ไปอยู่อีกฝั่ง ทั้งกู้ภัย อาสา ทหาร ตำรวจ ก็รีบมาช่วยกันเต็มที่ แน่อยู่แล้วชายผู้ถูกเรียกว่าวีรบุรุษเดินดินก็ต้องไม่พลาดงานจิตอาสาแบบนี้ พ่อตัดสินใจมาที่นี่แบบไม่ต้งคิดเลย แต่ไม่รู้ว่าเวรกรรมอะไรที่ทำให้กูตัดสินใจอยากมากับพ่อด้วยวันนั้น....
ในตอนที่ทุกคนกำลังเร่งมือย้ายข้าวของออกจากแพรกลางฝนที่ตกอย่างหนัก สายน้ำเชี่ยว ตลิ่งก็จะถล่มไม่ถล่มแหล่ หน้าดินที่ทุกคนกังวลว่ามันจะถล่มก็มาดันถล่มลงมาจริงๆ มันกระแทกเข้าใส่ตัวแพรจนเสียศูนย์ ทำให้เด็กผู้หญิงคนนึงที่ช่วยแม่ขนหม้อใบเล็กๆผลัดตกลงไปในแม่น้ำ ทุกคนตกใจและร้องขอคนให้ช่วย แล้วกูให้ทายว่าใครเป็นคนกระโดดลงไปช่วย ใช่ พ่อของกูเอง พ่อกระโดดลงไปหาเด็กผู้หญิงคนนั้นอย่างไม่ลังเล และเพราะช่วยคนมาเยอะ พ่อช่วยเด็กน้อยคนนั้นได้ในเวลาแค่เดี๋ยวเดียว แต่ยังไม่ทันที่จะพาคนขึ้นฝั่ง หน้าดินจากตลิ่งเดิมก็ถล่มลงมาอีกรอบ คราวนี้มันกระแทกโดนคนที่อยู่ในน้ำ พ่อกับเด็กผู้หญิงถูกผลัดออกไปไกล แล้วก็นี่ไง” เราสองคนเดินจนมาถึงใต้สะพาน “ตอหม้อสะพานนี้หยุดพ่อกับเด็กหญิงไว้ แต่เพราะปริมาณของดินที่ถล่มลงมามากเกินไป พ่อไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองให้พ้นจากระดับน้ำได้ ถูกหน้าดินและหญ้ากดทับติดไว้กับตอหม้อ จมอยู่ใต้น้ำ พ่อได้แค่ดันให้เด็กน้อยอยู่พ้นน้ำ ปล่ยให้ตัวเองจมอยู่ทั้งอย่างนั้น
ทุกความช่วยเหลือตรงดิ่งมาที่ตรงนี้ แต่.... สายเกินไป เด็กผู้หญิงรอดจากการจมน้ำ แต่คนที่ลงไปช่วย............กลับขึ้นฝั่งมาแค่ร่างกายที่ไม่มีลมหายใจ กูต้องทนเห็นพ่อแน่นิ่งไปต่อหน้าต่อตาโดยที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย นี่แหละเหตุผลที่กูเลือกเรียนธรณีวิทยา รู้อะไรไหม ไอ้ป้ายเก่าๆนั่นคืออะไร นั่นน่ะคือบริเวณที่นายทุนมาขุดทรายไว้ เขาหาประโยชน์จากมัน ขุดมัน ดูดมัน แต่กลับไม่คิดที่จะปรับหน้าดินคืน ทิ้งงานที่ตัวเองทำไว้อย่างเห็นแก่ตัว โดยไม่คำนึกเลยว่ามันอาจสร้างความเสียหายให้กับคนอื่น แต่ที่น่าเจ็บใจคืออะไรรู้ไหม นั่นก็คือครอบครัวกูไม่สามารถเรียกร้องอะไรจากนายทุนคนนี้ได้เลยเพราะเขาหมดสัญญาสัมปทานเกินสี่ปีแล้ว ตอนนั้นกูทั้งเจ็บใจและแค้นสุดๆ กับการไร้ความรับผิดชอบจนสิ่งที่เขาทิ้งไว้มันมาพรากชีวิตคนดีๆคนหนึ่งไป เขาสมควรที่จะได้รับบทเรียนบ้าง แต่ไม่มีเลย.....
เอาเถอะ เรื่องมันก็ผ่านมานานมากแล้ว ก็ถือซะว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้กูเลือกที่จะทำประโยชน์ให้สังคม มาเถอะ เดี๋ยวจะพาเดินไปไหว้พ่อที่ตอหม้อ.....”
“ท....แทน” ผมเรียกด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ผมต้องหยุดทุกอย่างไว้ก่อน
“อะตอม! เป็นอะไรอ่ะ ร้องไห้ทำไม อย่าบอกนะว่าร้องไห้เพราะเรื่องของพ่ออ่ะ มันเศร้าขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ป....เปล่า” ผมเริ่มก้มหน้าและส่ายหน้า หลังจากฟังเรื่องเล่าทั้งหมด ผมกลัวเหลือเกินที่ต้องพูดสิ่งต่อไปนี้ “ปล่อยมือเถอะแทน”
“ทำไมอ่ะ ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวช่วยพาเดินไป แถวใต้สะพานมันลื่นนะ เลิกร้องไห้ได้แล้ว ไม่น่าเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเลย” แทนพยายามปาดน้ำตาออกจากใบหน้าของผม แต่ผมห้ามไว้
“จ....จำได้ไหมว่า...นายทุนคนนั้น...ม...มาจากบริษัทอะไร” ผมตัดสินใจพูดต่อ ยังไงผมก็ต้องพูดต่อไป
“จำได้ดิ ไม่เคยลืม.... AIRA”
“นั่นน่ะ....อ...อ่านว่า ไอรา ม...มาจากคำว...ว่า ‘ไอราพิทักษ์’ นามสกุลของกูเอง นายทุนที่ทำให้หน้าดินถล่มก็คือ....พ่อของกูเอง”
“...................................................................” ไม่มีเสียงตอบรับกลับมาใดๆ ตัวผมเองก็ไม่กล้าพอที่จะเงยหน้ามอง ได้แต่ก้มลงและปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอยู่อย่างนั้น

มือทั้งสองของเรายังจับกันไว้ แต่ไม่มีความรู้สึกใดๆส่งผ่านมาอย่างที่เคย เป็นเพียงสัมผัสเย็นชืดเท่านั้น

“ข...ขอโทษนะแทน” ผมตัดสินใจพูดออกมา “ตอน....ตอนนั้นพ่อมัวแต่ตามหาแม่ จนลืมทำในสิ่งที่ต้องทำ ไม่คิดเลยว่ามันจะสร้างผลเสียจนทำให้ใครต้อง....ตาย”

วินาทีนั้นเองที่มือของผมถูกปล่อยจากคนเบื้องหน้าให้ตกลงไปสู่แรงโน้มถ่วงของโลกดังเดิม ไม่มีแม้แต่ความรู้สึกที่เย็นชืดหรือสัมผัสใดๆ ทำไมถึงได้รู้สึกอย่างกับว่าเชือกที่เคยมัดเอาไว้แน่นถูกตัดให้ขาดออกจากกันอย่างที่มิอาจต่อคืนได้

ดวงตาของผมค่อยๆเงยขึ้นมองคนตรงหน้า แต่ผมกลับเห็นเพียงแผ่นหลังของเขาที่นิ่งสนิท ไร้เสียง ไร้ความรู้สึก ไร้ความปรารถนาดีทุกอย่างที่เขาเคยมอบให้ เหมือนกันว่าเราทั้งสองคนถูกแยกออกมาอยู่ในโลกคนละใบ ทั้งที่ห่างกันเพียงระยะที่ลมหายใจสามารถสัมผัสกันได้

“ข....ขอโทษนะ” และเมื่อไม่มีความหมายใดๆที่ผมจะยืนอยู่ตรงนี้ ผมจึงหันหลังและเดินจากไปจากตรงนั้น ตรงที่ผมไม่ควรจะยืนอยู่มากที่สุด

ผมเดินประคงร่างตัวเองออกมา เดินไปตามถนนอย่างไร้ความหมาย.....

แบบนี้มันถูกแล้วใช่ไหม มันคงถูกต้องแล้วที่ผมกับเขา..............




..............ควรปล่อยมือออกจากกัน

หัวข้อ: Re: LOVE LEADER ภาค 2 [เชียร์ฝันสนั่นหัวใจ] - ตอนที่ 12 : ปล่อยมือ
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 17-09-2018 18:24:17
 :L2: :3123: :pig4:
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER ภาค 2 [เชียร์ฝันสนั่นหัวใจ] - ตอนที่ 12 : ปล่อยมือ
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 17-09-2018 22:31:38
แทน อะตอม คนใกล้ตัว  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 13 [รุ่นพี่ Part 1]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 20-09-2018 23:34:31
​ตอนที่ 13 : รุ่นพี่









“ไม่ได้นะ ถ้าพี่ตองทำแบบนี้ ชาจะโกรธจริงๆด้วย”

“เกิดเรื่องแบบนี้แล้ว ชายังจะไล่พี่ไปอังกฤษอีกเหรอ”

“ชาไม่ได้ไล่ แต่มันคือเรื่องที่พี่ควรทำ นี่มันดูงานต่างประเทศเชียวนะ อย่าให้เรื่องของเราทำให้พี่ตัดสินใจทำอะไรโง่ๆได้ไหม”

“ก็ได้ชา พี่มันโง่เองที่เป็นห่วงแฟนตัวเอง พี่โง่เองที่หึงแฟนตัวเอง ก็ขนาดว่าพี่อยู่กับชาแทบจะตลอดเวลา เมื่อเช้ายังมีคนมาตามจีบชาได้เลย แบบนี้เรียกว่าโง่สำหรับชาซินะ”

“พี่ตอง นี่เราไม่ได้ทะเลาะกันเรื่องชานะ เรากำลังพูดถึงเรื่องของพี่และสิ่งที่ควรทำ เดี๋ยวนี้เราไม่ต้องลำดับความสำคัญในชีวิตกันแล้วใช่ไหม”

“ก็ความสำคัญในชีวิตพี่ตอนนี้....”

“ไม่ต้องมาอ้างเลยนะว่าชาคือส่วนที่สำคัญที่สุดในชีวิตพี่ สิ่งที่สำคัญที่สุดในตัวพี่ก็คือตัวพี่เอง”

“แต่...”

“แล้วก็เลิกพูดเรื่องที่ว่าอยากชดเชยเวลาที่ผ่านมาได้แล้ว ชาได้รับมามากพอแล้ว มากกว่าที่ชาทำให้พี่มาตลอดแปดเก้าปีนี้ด้วยซ้ำ”

“...............” ไอ้หัวเหม่งเม้มปาก เหมือนจะหมดคำที่จะเอามาเถียงผมได้ ในที่สุดบรรยากาศในห้องซ้อมเต้นคณะสังคมฯ ก็เงียบได้เสียที

“ชาเข้าใจว่าพี่กังวลเรื่องเมื่อเช้าที่โซนิคมา....”

“สารภาพรัก” ดูไอ้คนตรงหน้ามันต่อประโยคให้ผมซิ มันน่านัก

“เรียกว่าบอกความรู้สึกจะดีกว่านะ” ผมรีบแก้ ไอ้พี่ตองนิ พอบ่นจะเอาแต่ใจ ก็รังแต่จะบิ๊วบรรยากาศอยู่นั่นแหละ จะดึงดราม่าไปไหนก็ไม่รู้ “แล้วที่สำคัญก็คือ ทั้งพี่แล้วก็ชา เราก็ได้เห็นแล้วนิว่าน้องมันมีคนอยู่ในใจจริงๆอยู่แล้ว ถ้าจะต้องให้เตือนความจำ ไอ้น้องโซนิคไม่ใช่คนแรกที่มาสารภาพรักผิดคนกับชานะ พี่ท๊อปก็เคยเป็นแบบนี้มาก่อน แล้วดูเดี๋ยวนี้ซิเป็นไง ตัวติดกันกับพี่บุ๋นไปแล้ว”

“แล้วคนอื่นล่ะ มันไม่ได้มีแค่คนสองคนหรอกนะที่คิดจะมายุ่งกับชา พี่รู้นะว่าเดี๋ยวนี้ชอบมีคนมองชาตลอด ขนาดพี่ประกาศเรื่องความสัมพันธ์ของเราชัดเจนขนาดนี้ ยังไม่วายเลย”

“ชาจะไปห้ามความคิดคนอื่นได้ยังไง แบบนี้ก็ต้องห่อชาเก็บไว้ในกล่องแล้วมั้ง”

“ถ้าทำได้ พี่ทำไปแล้วล่ะ”

“นี่พี่ตองเป็นอะไรเนีย พี่เคยเป็นคนมีเหตุผลกว่านี้นะ พี่เคยเห็นชานอกใจหรือไง พี่เคยเห็นชาตอบรับคนอื่นหรือไง”

“มีซิ ไอ้พี่กั้งนั่นไง”

“พี่ตอง นั่นมันเป็นแผน ถ้าจะขุดคุ้ยเรื่องเดิมๆมาทะเลาะแบบนี้ ชาจะไม่คุยด้วยแล้วนะ”

“ก็พี่....” อะไรของเขาอีกละเนีย อยู่ดีๆก็ทำหน้าเศร้า เมื่อกี๊ยังตาลีตาเหลือกเถียงอยู่เลย “พี่รู้สึกผิดที่ช่วงนี้ไม่มีเวลาให้ชาเลย มัวแต่เตรียมตัวจะไปอังกฤษท่าเดียว ไม่รู้คณะจะนัดไปคุยอะไรกันนักหนา ก็แค่จัดกระเป๋าแล้วก็เดินทาง แถมถ้าไปจริงๆพี่จะติดต่อชาได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ พี่กังวลไปหมด หรือจริงๆแล้วพี่อาจจะแค่เอาเรื่องที่เด็กคนนั้นมาสารภาพรักกับชาเพื่อเป็นข้ออ้างที่จะได้ไม่ต้องจากชาไปไหนไกลๆ”

เวรกรรม รู้สึกเห็นใจซะงั้น เมื่อกี๊ยังบึ้มบ้ำใส่กันอยู่เลย

“ไม่ต้องกังวลหรอกน่า” ผมเปลี่ยนโหมดเป็นน้ำเสียงอ้อยอิ่งพร้อมกับเลื่อนมือขึ้นไปโอบรอบคอคนตรงหน้า นี่ถ้าไม่ใช่เพราะตรงนี้เป็นที่รโหฐานไร้ผู้คน ผมไม่ทำอะไรแบบนี้หรอกนะ “ชาจะดูแลตัวเองอย่างดี ไม่ปล่อยให้ใครมาเกาะแกะ แล้วก็จะตั้งหน้าตั้งตารอพี่ตองทุกวันเลย”

“ชาทำอะไรครับ ทำอ้อนแบบนี้ ระวังจะลำบากนะ” ไม่ใช่แค่ผมหรอกที่เปลี่ยนโหมด ไอ้หัวเหม่งก็มองผมด้วยสายตาของเสือที่พร้อมจะกินเหยื่อในทุกที่ทุกเวลา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้

“บางครั้งชาก็ต้องยอมลำบากบ้าง” กูก็ไปอ่อยเขาซะงั้น เอาเถอะ ก็ยังดีกว่าทะเลาะกัน

“แน่ใจนะ”

“ไม่แน่ใจก็ได้” ผมแสร้งทำเป็นหมดอารมณ์และเตรียมเดินหนี

“มานี่เลย” ไอ้เสือหิวรีบคว้าเอวของผมกลับเข้ามากระชับตัวเอง “ยอมลำบากใช่ไหม”

“อื่อ.....อี่ออง” ผมพยายามจะพูด ก็รู้อยู่หรอกว่าจะเจอกับอะไร แต่การจู่โจมอย่างรวดเร็วริมฝีปากพร้อมกับความรู้สึกที่รุนแรงแบบนี้ อันนี้ไม่ได้เตรียมใจไว้เลย

แต่ไม่ว่าผมจะแสดงท่าทางอย่างไรเพื่อให้คนตรงหน้าลดทอนความรุนแรงลงบ้าง เขาก็ไม่ดูเหมือนว่าจะเข้าใจที่ผมต้องการจะสื่อเลย นี่ถ้าขืนผมโดนกระทำรุนแรงจริงๆในสถานที่แบบนี้ คงไม่วายทำเสียงดัง... เอ่อ... หมายถึงมันคงเป็นเรื่องเอิกกระเหริกจนเกินไป



“มาทำอะไรแถวนี้”



“เชี่ย...” ผมรีบหยุดพี่ตองไว้จากการกระทำทั้งหมด

“อ..อะไรครับ” พี่ตองถามด้วยความงุ่นงง

“ไม่ได้ยินหรือไง มีเสียงคนพูดอยู่นอกห้อง” นี่ต้องหน้ามืดเบอร์ไหนเนียถึงจะไม่ได้ยินเสียงที่ดังขนาดนี้



“นี่มันห้องซ้อมนะ ทำไมถึงมาทำด้อมๆมองๆ” เสียงนั่นดังขึ้นอีกครั้ง



“นั่นไง ได้ยินไหม” ผมถาม แต่จะว่าไปทำไมมันคุ้นจังวะ ผมจึงพยายามเงี่ยหูฟังดีๆ



“ป...เปล่า ผมแค่มาเดินเล่น” นี่คืออีกเสียงหนึ่งจากอีกคน นี่ก็คุ้นเหมือนกัน

“นี่ไม่ใช่ที่ๆใครจะมาเดินเล่นกัน แอบทำอะไรไม่ดีหรือเปล่า เด็กคณะไหนเนีย” อ๋อ พอจะรู้แล้วว่าเสียงใคร

“คือ.... ผมนึกขึ้นได้ว่ามีธุระ ขอตัวก่อนนะ”

“ด...เดี๋ยว ถามว่ามาจากคณะไหน พี่เป็น ก.น.ช.นะ ตอบมาก่อน เห้ย จะรีบไปไหน”

“.........” ไม่มีเสียงการสนทนากลับ แสดงว่าไอ้คนที่ถูกเจอตัววิ่งหนีไปแล้ว



“อะไรของมันวะ มีอะไรในนี้ให้ดูนักหนา..... เห้ย! นี่พวกมึงทำอะไรกันเนี่ย” พี่บุ๋นนั่นเอง พี่เขาเปิดประตูเข้ามาในห้องซ้อม “นี่มันในมหาลัยนะ ถ้าคิดจะทำอะไรบ้าๆกลับไปทำที่บ้านพวกมึงซิ”

หึ.....  เห้ยยยยยย!!!

ชิบหายละกู มัวแต่เงี่ยหูฟังจนลืมออกจากการสวมกอดที่ค่อยข้างจะไปถึงขั้นนัวเนียระหว่างผมกับพี่ตอง จนทำให้พี่บุ๋นเข้ามาเห็นจนได้

ผมรีบกระโดดออกจากพี่ตองอย่างเร็วที่สุด

“ค....คือ...” จะอธิบายยังไงดีละกู ภาพมันชัดซะขนาดนี้

“ไม่ต้องเลย พวกมึงไม่ต้องแก้ตัวเลย กูไม่ได้ตาบอด” พี่บุ๋นยังคงเอามือปิดตาตัวเองไว้ แต่ก็เหลือบมามองเรื่อยๆว่า สิ่งที่จะมองนั้นปลอดภัยต่อสายตาหรือยัง “ติดกระดุมให้เรียบร้อยไอ้น้ำชา”

“ห๊ะ?” กระดุมไหน... อ้าว เวรกรรม นี่กูเลยเถิดมาถึงขั้นตอนปลดกระดุมเสื้อตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ผมรีบจัดแจงเสื้อผ้าของตัวเองให้เข้าที่เช่นเดิม

“มึงด้วยไอ้สัดตอง เข็มขัดมึงอ่ะ” พี่บุ๋นยังไม่หยุดโวยวาย

“ท...โทษทีๆ” พี่ตองก็รีบติดเข็มขัดของตัวเองที่ถูกปลดออกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ให้กลับมาทำหน้าที่คาดกางเกงไว้เช่นเดิม

“พวกมึงนี่มัน...” เมื่อเห็นว่าทุกอย่างปกติดีแล้ว พี่บุ๋นจึงยอมเดินเข้ามาในห้องซ้อมจากที่ก่อนหน้านี้เอาแต่ยืนอยู่หน้าประตู “คิดจะทำบ้าอะไรกันเนีย นี่มันมหาลัยนะ ขืนมีคนมาเห็นเข้าจะเป็นยังไง”

“............” อึ้งไปเลยกู พี่ตองเองก็เงียบ ก็ตอนนั้นมันไม่ได้คิดอะไรนี่นา ลืมตัวไปนิดเดียวเอง

“ดีนะที่กูมาเห็นเข้าซะก่อน ไม่งั้นพวกมึงคงทำอะไรต่อมิอะไรไปแล้วมั้ง” พี่บุ๋นยังสั่งสอนพวกผม อย่างกับโดนแม่ดุเลย “โชคดีแค่ไหนแล้วที่เป็นกู ขืนเป็นคนอื่นมาเห็นละก็ พวกมึงได้ซวยแน่ๆ แล้วเมื่อกี๊ใครก็ไม่รู้มาหย่องๆอยู่แถวนี้ ถ้าขืนไอ้เด็กคนนั้นมาเห็นเข้าแล้วถ่ายรูปพวกมึงตอนกำลัง..... อย่าให้กูต้องพูดนะ พวกมึงจะทำยังไง เรื่องแบบนี้เสียแล้วเรียกคืนไม่ได้นะ”

“ผมพอจะรู้อยู่ครับว่าเป็นใคร” ผมบอก ถ้าเท่าที่ได้ยินเมื่อกี๊น่าจะเป็นเด็กคนปีหนึ่งคนที่พยายามทำลายชื่อเสียงของผม นี่มันยังไม่เลิกรังควานผมอีกเหรอ “เด็กคนนี้พยายามหาเรื่องผมอยู่ คงมาด้อมๆมองๆ....”

“จะใครก็ช่าง ยังไงมันก็ไม่สมควร พวกมึงโตแล้วนะ ทำไมทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดีวะ โดนเฉพาะมึงนะไอ้น้ำชา มึงต้องรู้ได้แล้วนะว่าตัวเองอยู่ในฐานะรุ่นพี่ จะมาทำตัวไม่รู้เรื่องเมื่อตอนมึงอยุ่ปีหนึ่งไม่ได้ รู้ตัวซะทีว่าตัวเองเป็นคนมีชื่อเสียง ทำอะไรนึกถึงผลเสียหน่อยดิวะ มึงแบกรับชื่อของผู้นำเชียร์มหาลัยไว้อยู่นะ อนาคตที่ต้องเสียไปอีก คิดบ้างไหม” นี่พี่บุ๋นไปหงุดหงิดอะไรมาล่ะเนีย พี่เขาไม่เคยอารมณ์เสียใส่ผมขนาดนี้มาก่อนเลย

“เออๆ เอาน่า พวกกูผิดไปแล้ว” พี่ตองรีบห้ามความเดือดดานของพี่บุ๋นไว้ แต่พอโดนว่าแบบนี้แล้ว ผมก็อดละอายใจไม่ได้เลยที่ทำเรื่องอะไรแบบนี้ลงไป “มึงอย่าว่าน้ำชาเลย เรื่องนี้กูผิดเอง”

“มึงผิดกันทั้งสองคนนั่นแหละ” พี่บุ๋นยังโวยวายต่อ นี่พี่แกดูหงุดหงิดเกินกว่าที่เคยเห็นจริงๆนะ “ปีสามแล้วนะมึงอ่ะไอ้ตอง แทนทีจะเป็นคนที่เข้าใจสถานการณ์ดีกว่าน้องมัน”

“เออๆๆ กูจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว โอเคนะ... ว่าแต่ มึงมานี่ทำไม”

“ก็มาหามึงไง”

“มาหากู? มาหาทำไม แล้วรู้ได้ไงว่ากูอยู่ที่นี่”

“กูโทรถามซีซี่ เจ๊แกบอกว่ามึงอยู่ที่นี่ คือกู...” อ้าว ซะงั้น อยู่ดีๆพี่บุ๋นก็นิ่ง เงียบ และแอบเร้าเบาๆ วิญญาณคุณครูเจ้าระเบียบหายไปไหนเร็วจัง

“ว่าไง” พี่ตองถามย้ำ

“กูมีเรื่องจะคุยกับมึง”

“อาหะ ว่ามาดิ”

“เอ่อ... ออกไปคุยกันแบบ...ที่อื่นได้ไหม”

“ทำไมวะ ก็คุยตรงนี้ก็ได้ คนรู้จักกันทั้งนั้น”

“พี่บุ๋นคงมีเรื่องอยากปรึกษาพี่ตองอ่ะ” ผมอาสาอธิบายเอง ดูท่าทีก็รู้ว่าอยากคุยเรื่องส่วนตัวกับเพื่อนที่วางใจ “พี่ตองออกไปคุยกับพี่บุ๋นเถอะ”

“เหรอ?” พี่ตองถามเพื่อน

“อืม ก็ตามนั้นแหละ” พี่บุ๋นตอบเรียบๆ

“โอเค ไปก็ไป” พี่ตองหันมาหาผม “เดี๋ยวพี่กลับมานะ”

ผมพยักหน้าให้

จากนั้นพี่ตองกับพี่บุ๋นก็เดินออกไปจากห้องซ้อม ทิ้งไว้ให้ผมอยู่คนเดียว



เพราะไม่มีอะไรทำผมจึงซ้อมเต้น รื้อฟื้นความทรงจำเกี่ยวกับเพลงมิ่งขวัญมัณฑนาซะหน่อย  เอาจริงๆก็คือผมมาที่นี่เพื่อซ้อมเต้นนี่แหละ เพราะเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ต้องสอนอะตอม แทน โซนิค และน้องครีม



พี่ตองกับพี่บุ๋นหายไปซะนานเลย นี่ก็เที่ยงกว่าแล้วนะ ไม่กลับมากันซะที ดีนะที่มีขนมปังกับนมมาด้วย ไม่งั้นผมได้โมโหหิวแน่ๆ



#เสียงโทรศัพท์

หึ! โทรศัพท์ใครหว่า ไม่ใช่เครื่องผมนะ เครื่องของผมอยู่ในกระเป๋ากางเกง



“ของพี่ตองนี่นา” ผมพึมพำเมื่อเห็นว่าพี่ตองลืมโทรศัพท์ทิ้งไว้ที่มุมห้อง

‘อาวินัย’

อ่อ นึกว่าใคร คุณวินัย ผู้จัดการบริษัทท่าเรือขนส่งของพ่อพี่ตองนี่เอง คนนี้ผมพอจะรู้จัก คงไม่น่าเกลียดหรอกมั้งถ้าผมจะรับสายแทน

“ฮัลโหล สวัสดีครับ” ผมกดรับสาย

“ครับคุณชายน้อย”

“อ๋อ นี่ชาเองครับคุณอา พอดีพี่ตองลืมโทรศัพท์ไว้  ถ้าพี่ตองกลับมาผมจะให้โทรกลับไปหาคุณอานะครับ”

“ไม่เป็นไรครับคุณหนู ผมต้องการคุยสายคุณหนูน้ำชาพอดี”

“ครับ? คุยกับผมเหรอครับ” แปลกจัง อย่างคุณวินัยมีอะไรจะคุยกับผมละเนีย “มีอะไรให้ช่วยเหรอครับ หรือว่าที่ท่าเรือเกิดปัญหาอะไรขึ้นหรือเปล่า”

“ไม่ครับไม่ ครั้งนี้ผมไม่ได้จะมารบกวนอะไรครับ แต่จะมาบอกเรื่องที่คุณชายน้อยสั่งให้ผมจัดหานักสืบให้เมื่ออาทิตย์ก่อน”

“ครับ!” เรื่องนี้นี่เอง ผมเองก็เกือบลืมไปแล้ว อัลไซเมอร์เริ่มแดกแล้วกู

“เรื่องที่ให้สืบหาครอบครัวที่หายไปของคนที่ชื่อธราธิป ไอราพิทักษ์ เป็นความต้องการของคุณหนูน้ำชาใช่ไหมครับ”

“ใช่ครับ” ผมตอบอย่างกระตือรือร้น “มีอะไรคืบหน้าบ้างไหมครับ”

“คงไม่เรียกว่าคืบหน้าหรอกครับ แต่เรียกว่าเราได้เบาะแสสำคัญเลยจะดีกว่า”

“จริงเหรอครับ แล้วเบาะแสคืออะไรครับ”

“คืออย่างนี้ครับ........”



ผมรับฟังเรื่องราวยาวเหยียดจากคุณอาวินัยเกี่ยวกับเบาะแสสำคัญนี้อยู่พักใหญ่



หลังจากฟังทั้งหมด ไม่น่าเชื่อเลยว่าโลกใบนี้มันช่างกลมเหลือเกิน หลายคนที่เข้ามาในชีวิตของผมดูจะมีความเชื่อมโยงเล็กๆถึงกันไปหมด อย่างกับว่าชะตาได้กำหนดไว้แล้วว่าเราทุกคนต้องมาพบกัน………..



“ขอบคุณมากนะครับคุณอาวินัย” ในที่สุดผมก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด “ได้เรื่องยังไงแล้วผมจะติดต่อไปครับ”

“ครับ รีบหน่อยนะครับ”

“ครับ สวัสดีครับ”

“สวัสดีครับคุณหนู”

ผมกดวางสายและเตรียมโทรหาอะตอม ผู้ที่สมควรรับรู้เรื่องราวนี้โดยเร็วที่สุด.... เออ ลืมไปเลย ไม่มีเบอร์โทรของน้องมันนี่นา



หัวข้อ: LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 13 [รุ่นพี่ Part 2]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 20-09-2018 23:35:39
#เสียงโทรศัพท์

ใครมันช่างโทรมาแทรกได้พอเหมาะพอเจาะขนาดนี้

ผมหยิบโทรศัพท์ของตัวเองที่กำลังดังออกมา

“อิเจสซี่” อิช้างนั่นเอง “โทรมาตอนกูกำลังมีเรื่องสำคัญเลยนะ”

“สำคัญแค่ไหนมึงก็ต้องอธิบายเรื่องนี้กับกูก่อน” อะไรของมันวะ มาถึงก็ฉอดๆใส่ผมเลย “บอกมาซิว่ามึงทำอะไรน้องอะตอม”

“ทำอะไรวะ” ผมไม่เข้าใจเลยสักนิด “กูยังไม่ได้เจอน้องเลย... แต่พูดถึงขึ้นมาก็ดีแล้ว ส่งเบอร์โทรศัพท์ของอะตอมมาให้กูหน่อย กูจะโทรหาน้อง”

“กูโทรหาจนโทรศัพท์จะระเบิดอยู่แล้ว มึงรู้หรือเปล่าว่าน้องส่งข้อความมาบอกว่าขอลาออกจากการเป็นลีด”

“อะไรนะ!! ทำไม”

“กูต้องเป็นคนถามมึง”

“กูจะไปรู้ได้ไง ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้เจออะตอมเลย”

“งั้นมึงก็จัดการเรื่องนี้เองก็แล้วกัน อิเล็กคุ้มคลั่งจะตายอยู่แล้วที่ผัวมโนของมันลาออก แต่ก็อย่างที่บอกนะ กูโทรไปหาน้องแล้ว โทรไปเยอะแล้วด้วย ไม่มีการรับสายเลย มึงพอจะรู้ไหมว่าน้องอะตอมอยู่ที่ไหน เผื่อกูจะพาอิเล็กไปวอนอ้อนให้น้องกลับมาได้”

“หยุดความคิดเลยนะ พวกมึงไม่ต้องไปยุ่งกับน้องเลย”

“โอ๊ย ช่วยๆเพื่อนหน่อยก็ไม่ได้ เพื่อนอยากได้ผู้จนตัวสั่นก็หมดแล้วเนี่ย... เออใช่ พูดถึงเรื่องนี้ มึงนะมึง อิชา กูได้ข่าวมาว่าเดี๋ยวนี้น้องโซนิครูปหล่อมาดแมนแฮนซัมและกล้ามท้องเป็นลอนของกูไปคลุกคลีง้องอนอยู่กับขนมปังใช่ไหม เพราะมึงคนเดียวเลยที่ทำให้ผู้ชายของกูไปสนใจคนอื่น”

“มึงก็เลิกบ้าได้แล้วอิช้าง ผู้ชายของมึงอะไรกัน น้องมันจะรักใครชอบใครก็เป็นสิทธิ์ของน้องมันหรือเปล่าวะ กูไม่ได้ไปสั่งให้เขาสองคนชอบกันซะหน่อย”

“นี่แปลว่าโซนิคของกูกับขนมปังชอบกันจริงๆเหรอ อ๊ายยย มึง เป็นเพราะมึงเลยอิชา เพราะให้สองคนนั้นใกล้ชิดกันเกินไป....”

“อี สม เจต เลิกเล่นใหญ่ซะที.... กูมีเรื่องที่ต้องปวดหัวมากพออยู่แล้ว ส่งเบอร์น้องอะตอมมาให้กูเดี๋ยวนี้”

“ไม่ กูกำลังคุ้มคลั่ง...อ๊ายยยยยย”

“มึงได้คุ้มคลั่งจริงๆแน่ถ้ากูไม่แนะนำมึงให้บริษัทของแม่กู ยังอยากทำงานใน T-Queen World wide อยู่ไหม ถ้าอยากก็หุบปากเดี๋ยวนี้”

“เอ่อ.....” หยุดคลั่งเชียวนะมึง เจอคำขู่นี้ไปยังไงมันก็ต้องยอม “อ...เออก็ได้ เดี๋ยวกูส่งให้....ฮื่อๆ โซนิคสุดหล่อขอกู....”

“เดี๋ยว” ผมนึกบางอย่างขึ้นได้ “ส่งเบอร์ของแทนมาด้วย”

“เอาไปทำไม”

“กูบอกให้ส่งก็ส่งมาเถอะ ถามมากนะมึงอ่ะ กูยิ่งรีบๆอยู่”

“เออๆๆๆ เดี๋ยวส่งให้...... คอยดูนะมึง กูจะไปทวงโซนิคของกูคืนมา” แน๊ะ อินี้ ยังจะมาบ่นก่อนวางสายอีก

ผมรอข้อความจากอิช้าง สาเหตุที่ผมไม่มีหมายเลขโทรศัพท์ของคนอื่นๆก็เพราะเป็นการแบ่งหน้าที่กันกับอิช้าง ถ้าเป็นเรื่องงาน อิเจสซี่จะรับภาระนั้นทั้งหมด ซึ่งก็คล้ายๆผู้นำเชียร์คนอื่นๆนั่นแหละ เราทุกคนต่างก็อยากแยกชีวิตส่วนตัวออกจากงานและคนที่ไม่จำเป็น แต่จากสถานการณ์ตอนนี้ถือได้ว่าการติดต่อเด็กสองคนนั้นให้ได้เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง



#คุณได้รับ 1 ข้อความ

มาแล้ว



เมื่อได้รับข้อความจากอิช้าง ผมก็รีบติดต่อหาคนที่ต้องการทันที....

แต่.... อะตอมไม่รับสายจริงๆด้วย

งั้นก็คงต้องโทรหาไอ้น้องแทนแล้วล่ะ สองคนนี้อยู่ด้วยกันตลอด คงจะพอติดต่อถึงกันได้......



“สวัสดีครับ” แทนรับสายแล้ว

“แทนเหรอ นี่พี่เองนะ พี่น้ำชา” ผมบอก

“ครับพี่น้ำชา มีอะไรครับ”

“พี่พยายามติดต่อหาอะตอม แต่มันไม่รับสายพี่เลย อะตอมได้อยู่กับแทนไหม”

“...............” อะไรคือการเงียบวะ

“ฮัลโหลๆ” สัญญาณไม่ดีหรือไง “แทนได้ยินไหม พี่มีเรื่องสำคัญจะคุยกับอะตอม”

“.......ครับ” ตอบมาแล้ว นี่ตกลงว่าสัญญาณไม่ดีหรือเป็นเพราะอะไรกันแน่ “ผมได้ยินครับ แต่ไม่รู้ว่าเขาไปไหน”

“แปลว่าไม่ได้อยู่ด้วยกัน หรือว่าอยู่ด้วยกันแต่ไม่รู้ว่าอะตอมไปไหน”

“แปลว่าผมไม่อยากรับรู้ว่าเขาไปไหน” หือ???? ทำไมแทนพูดแบบนี้ล่ะ

“นี่เกิดอะไรขึ้น ทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า” ผมว่าผมพอจะสัมผัสถึงความผิดปกติบางอย่างได้นะ

“..............” ไม่ตอบ แบบนี้แปลว่ามีปัญหากันจริงๆ แปลกนะ ปกติเห็นแทนยอมน้องอะตอมตลอด มีโมเม้นทะเลาะกันขนาดนี้เลยเหรอ

“นี่มันเกี่ยวอะไรกับที่อะตอมขอลาออกจากลีดด้วยใช่หรือเปล่า” ผมพยายามจี๊ถาม

“ครับ!?” เสียงแบบนี้คล้ายว่าไอ้น้องแทนจะยังไม่รู้เรื่องนี้

“อะตอมส่งข้อความมาบอกว่าขอลาออกจากลีดคณะ นี่ทะเลาะกันรุนแรงถึงขั้นไม่อยากเห็นหน้ากันเลยเหรอ”

“..............” ขยันเงียบจังวะไอ้น้องแทน “......ก็เรื่องของเขาซิครับ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมซะหน่อย”

นั่นไง มีเรื่องกันชัวร์ 2,000,000%

“เอางี้ พอจะรู้ไหมว่าอะตอมอยู่ที่ไหน พี่จัดการเองก็ได้”

“ผมไม่รู้หรอกครับ แต่คงอยู่ที่กาญจ์นี่แหละ”

“กาญจ์.... กาญจไหน? กาญจนบุรีน่ะเหรอ”

“ครับ”

“แล้วอะตอมไปทำอะไรที่นั่น”

“วันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของพ่อผม ผมชวนเขามาไหว้พ่อที่กาญจ์ แต่....”

“เดี๋ยวๆๆๆ เดี๋ยวก่อนนะ” เอาล่ะ ขอใช้ความสามารถทางด้านการอนุมานให้เหตุผลมาปะติดปะต่อเรื่องนี้หน่อย “แทนพาอะตอมไปไหว้พ่อที่กาญจนบุรี แต่ว่าทะเลาะกัน อะตอมส่งข้อความมาขอลาออก นี่แสดงว่าเพิ่งจะทะเลาะกันใช่ไหมเนี่ย”

“................” การไม่ตอบครั้งนี้แปลว่าไม่ปฏิเสธแน่นอน

“แล้วทำไมแทนถึงปล่อยเพื่อนไว้ที่ต่างจังหวัดแบบนั้นล่ะ มันไม่อันตรายไปหน่อยเหรอ”

“เขาก็รู้จักที่นี่พอๆกับผม คงไม่เป็นอะไรหรอกครับ”

“พี่จะเชื่อว่าอะตอมปลอดภัยก็ต่อเมื่อมีแทนอยู่ด้วย แต่ถ้าปล่อยอะตอมไว้คนเดียวแบบนั้น พี่พูดตามตรงว่า พี่ไม่แน่ใจเลย เป็นเพื่อนกันก็ทะเลาะกันบ้างมันคงไม่แปลก และพี่ก็ไปห้ามอะไรไม่ได้ด้วย แต่ถึงขั้นปล่อยเพื่อนไปแบบนั้น ออกจะโหดไปหน่อยนะ ที่พี่ฝากให้ดูแลอะตอมพี่ไม่ได้แค่พูดเฉยๆนะ แต่เพราะพี่รู้ว่าอะตอมยังไม่โตพอที่จะดูแลตัวเองได้ ซึ่งตอนนี้...พี่ไม่อยากจะเดาในแง่ที่ไม่ดีนะ แต่การที่อะตอมไม่รับโทรศัพท์ของพี่แบบนี้ อาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ได้” อย่าหาว่าผมดูถูกน้องมันเลยนะ แต่อย่างอะตอม น่าจะยังไม่เจ๋งพอที่จะดูแลตัวเองด้วยตัวคนเดียวอยู่ที่ห่างไกลได้ น้องยังมีความเป็นเด็กและต้องการคนดูแลที่เป็นผู้ใหญ่กว่าอย่างไอ้น้องแทน

“................” เออ ไม่ตอบก็ไม่ตอบ

“ก็ได้ งั้นแค่บอกพี่มาก็ได้ว่าอะตอมอยู่แถวไหนของเมืองกาญจ์ พี่จะไปตามหาเองก็ได้ ยังไงพี่ก็เป็นรุ่นพี่ หน้าที่ของพี่คือดูแลน้องของพี่ทุกคน” ผมไม่เชิงว่าพูดหรอก เรียกว่าบ่นดีกว่า “ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอะตอมจะทิ้งโอกาสในการเป็นลีดแบบนี้ ไหนบอกว่าอยากใช้โอกาสนี้ตามหาแม่ไง อุตส่าเจอเบาะแสแล้วแท้ๆ”

“ว่าไงนะครับ!”

“โทษทีๆ พี่บ่นมากไปหน่อย บอกมาเถอะว่าอะตอมอยู่แถวไหน เดี๋ยวพี่จะตามหาเอง”

“ไม่ใช่ครับ พี่น้ำชาพูดเรื่องเบาะแส... เบาะแสของ...”

“ใช่ พี่ให้นักสืบตามหาเบาะแสของแม่อะตอมมาได้อาทิตย์นึงแล้ว เพิ่งได้เบาะแสนี่แหละ แต่ตอนนี้เบาะแสกำลังจะหายไปแล้วถ้าพี่ไม่ได้เจออะตอมภายในวันนี้”

“ยังไงครับ”

“เมื่อคืนวานทางการฟิลิปปินส์จับแก๊งค้ายากลุ่มเดี๋ยวกับที่จับตัวแม่ของอะตอมและชาวบ้านไปได้ ที่รู้เรื่องเร็วขนาดนี้ก็เพราะบังเอิญว่าเรือที่โจรปล้นไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน เป็นเรือที่บริษัทเอกชนในพม่าเช่าไปจากบริษัท KTYC นั่นก็คือบริษัทของครอบครัวพี่ตอง นักสืบก็มาจากบ้านพี่ตองนั่นแหละ แต่มันติดปัญหานิดหน่อยก็คือ หลายคนที่ถูกจับเป็นตัวประกันตอนนั้นถูกส่งไปใช้แรงงานในอีกหลายประเทศตามเครือข่ายค้ายาเสพติดของพวกนั้น ทางนักสืบก็เลยอยากรู้ว่าหน้าตาของแม่อะตอมเป็นยังไง เขาจะได้ชี้แจ้งให้ทางการฟิลิปปินส์ส่งตัวกลับมาหาครอบครัวที่ไทย เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นคนไร้สัญชาติ ถ้าไม่มีใครไปยืนยันหรือระบุตัวตนภายในวันนี้ UN(ยูเอ็น)จะรับเข้าไปที่ดูแลตามโครงการ และเคลื่อนย้ายผู้เคราะร้ายทั้งหมดไปที่อเมริกา ซึ่งถ้าถึงตอนนั้น นักสืบของพี่จ้างคงเข้าไปแทรกแซงงานของ UN ไม่ได้.... เข้าใจหรือยังว่าทำไมพี่ถึงอยากเจออะตอมให้.....”



“น้ำชา”

หึ! ใครเข้ามาในห้องอีกละเนีย วันนี้กูถูกขัดจังหวะบ่อยไปแล้วนะ



“อ้าว พี่ท๊อป” พี่ท๊อปนั่นเอง “เอ่อ แทน แป๊บนึงนะ ถือสายรอเดี๋ยว พี่ขอคุยธุระก่อน..... มีอะไรครับพี่ท๊อป ”

“ชาอยู่นี่จริงด้วย... น้องเจสซี่บอกว่าชาอยู่นี่” พี่ท๊อปพูด

“ครับ แล้วพี่มีอะไรจะคุยกับชาเหรอ”

“พี่มีเรื่องอยากปรึกษาหน่อย พอจะมีเวลาไหม”

“เอ่อ...คือ...” จะบอกว่าไม่มีเวลาได้ไหม ยังไงก็อยากใช้เวลาตอนนี้ติดต่อหาอะตอมก่อน แต่นี่ก็พี่ท๊อป เอาไงดีวะกู   

“บุ๋นขอเลิกกับพี่”

“ว...ว่าไงนะครับ!!!!!” ชิบหายแล้วไง เอาล่ะซิกู

“พอจะมีเวลาไหม พี่ไม่รู้จะหันไปคุยกับใครแล้ว” เวรกรรม พี่ท๊อปกำลังเศร้าสุดๆเลยนี่นา

ในฐานะน้องก็อยากปลอบใจพี่ท๊อปนะ แต่ในฐานะรุ่นพี่ผมก็อยากช่วยน้องอะตอมเหมือนกัน สำคัญกันคนละอย่าง จะเลือกทางไหนดีละเนีย

“เอ่อ...แทน...” ผมหันกลับมาคุยกับคนในสาย “จะว่าอะไรไหมถ้าพี่....” ไปไม่ถูกเลยกู

“ผมจัดการให้ก็ได้ครับ” จู่ๆไอ้น้องแทนก็อาสา “พี่จัดการธุระทางนั้นเถอะครับ”

“แต่เอ็งสองคนทะเลาะกันอยู่ไม่ใช่หรือไง นี่มันเรื่องสำคัญเกี่ยวกับครอบครัวของอะตอมนะ พี่จะไว้ใจคนที่กำลังทะเลาะกันได้ยังไง”

“ไม่ต้องไว้ใจหรอกครับ แต่ผมเป็นคนเดียวที่สามารถตามหาเขาได้เร็วที่สุดในตอนนี้”

“อ...เออๆ เอางั้นก็ได้” ก็มีแค่วิธีนี้เท่านั้นแหละในสถานการณ์แบบนี้ “งั้นเดี๋ยวพี่จะส่งเบอร์ของคนที่แทนจะต้องประสานงานด้วยไปให้ก็แล้วกัน”

“ครับ”

“แล้วก็อีกอย่าง... ถ้าไม่อึดอัดเกินไป ช่วยขอร้องให้อะตอมกลับมาเป็นลีดแทนพี่ด้วยนะ”

“...............ครับ”  ตอบรับได้ลังเลสุดๆไปเลยไอ้น้อง

อ้าว วางสายไปซะแล้ว

เอาเถอะ รีบส่งเบอร์ของอาวินัยให้ไอ้น้องแทนก่อน



‘0XX-XXX-XXXX ติดต่อเบอร์นี้นะถ้าเจออะตอมแล้ว เขาจะประสานเรื่องกับนักสืบให้’ ผมพิมพ์ข้อความส่ง



“ชา” พี่ท๊อปเรียกผม

“เกิดอะไรขึ้นครับ” โอเค สนใจเรื่องทางนี้ก่อนก็ได้วะ ปรับอารมณ์ไม่ทันเลยกู “ทำไมพี่บุ๋นถึง....บอกเลิกพี่แบบนั้นอ่ะ”

“เพราะพี่กับบุ๋นกำลังจะหมั้นกัน”

“อะไรนะ!?!?” วันนี้มีเรื่องให้ตกใจเยอะไปนะ ชีวิตปีหนึ่งที่ว่ายากของกู รู้สึกว่าปีสองจะไม่เบาลงเลย

พี่ท๊อปนั่งลง จะเรียกว่านั่งดีไหมนะ เรียกว่าทรุดลงไปกับพื้นดีกว่า นี่ต้องเศร้าแค่ไหนเนียถึงจะทำให้เพอร์เฟ็คแมนอย่างพี่ท๊อปนั่งกอดเข่าซังกะตายได้

“เล่าให้ผมฟังได้ไหมครับ” ผมแตะไหล่ชายผู้เศร้าสร้อยและนั่งลงข้างๆเขา “ทำไมพี่สองคนต้องเลิกกันด้วย ทั้งๆที่จะหมั้นกัน.... ว่าแต่ จะหมั้นกันจริงๆเหรอครับ”

“ใช่ เรื่องนี้พ่อของบุ๋นเป็นคนออกปากเองเลย เมื่อคืนวานนี้เอง”

“แล้ว....?”

“มันตรงกับช่วงเดียวกับที่พี่กำลังจะได้เดบิวต์”

“เดบิวต์? หมายถึง การได้เป็นศิลปินมีชื่อของวงการเพลงเกาหลีน่ะเหรอ แล้วมันเกี่ยวกันยังไงครับ”

“ชาไม่รู้เหรอ คู่ของพี่ไม่เหมือนคู่ของตองกับชานะ หรือต้อมกับน้ำขิง หรือสุ่ยกับข้าวเจ้า พี่อิจฉามากเลยรู้ไหมที่พวกชาสามารถเปิดเผยความสัมพันธ์กันได้ ถึงแม้จะมีคนรู้เรื่องของพี่กับบุ๋นอยู่บ้าง แต่ก็มีแค่พวกเราที่สนิทกันแล้วก็พนักงานที่บริษัทของพ่อบุ๋น แต่ถึงยังไงเรื่องของพี่กับบุ๋นก็ยังต้องเก็บไว้เป็นความลับ เพราะมันจะมีผลอย่างมากกับการเป็นศิลปินที่เกาหลี คนที่โน่นยังไม่ยอมรับเรื่องอะไรพวกนี้ ซึ่งพี่กับบุ๋นก็เข้าใจและเราก็ตกลงกันว่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ แต่...”

“แต่ถ้าถึงขั้นมีงานหมั้น มันก็คงยากที่จะเป็นความลับใช่ไหมครับ” ผมเดา “และพี่บุ๋นก็ไม่อยากเป็นต้นเหตุทำให้พี่ท๊อปเกิดข่าวเสียหายจนต้องเสียโอกาสที่เกาหลีไป”

“ใช่” พี่ท๊อปตอบเศร้าๆ จมในอารมณ์ยิ่งกว่าเดิมอีก “พี่ไม่เคยต้องการให้มันเป็นแบบนี้เลยนะ ถ้าเลือกได้พี่ก็ไม่อยากเป็นไอดอลแล้ว แต่บุ๋นไม่ยอมท่าเดียว สุดท้ายเราทะเลาะอย่างหนักเพราะพี่ยื่นคำขาดว่าพี่จะเลิกเป็นศิลปินฝึกหัดและไม่ทำงานที่เกาหลีอีกแล้ว แต่ไม่นึกเลยว่าบุ๋นจะยืนคำขาดกับพี่เหมือนกัน บุ๋นไม่ให้ทางเลือกกับพี่เลย บุ๋นทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้งานหมั้นเกิดขึ้น เพื่อไม่ให้พี่ยกเลิกสัญญากับค่าย เพื่อให้พี่ได้ไปต่อในหน้าที่การงาน จนถึงขั้น ยอมเดินจากพี่ไป”

“พี่บุ๋นเขาอาจจะแค่...สับสนอยู่ก็ได้ เขาคงเป็นห่วงอนาคตของพี่ท๊อปมาก จนตัดสินใจอะไรผลีผลามไป ถ้าทุกอย่างเย็นลง อาจจะไม่มีอะไรก็ได้นะ”

“เจ้าของบ้านเช่าที่พี่กับบุ๋นอยู่ มาบอกพี่ว่า บุ๋นไปขอยกเลิกสัญญาเช่าบ้านแล้ว บริษัทขนย้ายวัสดุก็โทรมาบอกว่าจะเข้ามาเก็บของของบุ๋นทั้งหมดออกไปเย็นนี้... แบบนี้ยังจะบอกว่าบุ๋นสับสนอยู่ไหม”

“เอ่อ....” คุณพระช่วย นี่พี่บุ๋นใจแข็งขนาดนี้เลยเหรอ เวรแล้วไง จะช่วยยังไงดีล่ะคราวนี้ “มันต้องมีวิธีซิ ชาขอคิดแผนแป๊บนึง”

“มันจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อบุ๋นเขาเป็นคนบอกเลิกเอง พี่ทั้งอธิบายทั้งง้อทุกอย่างแล้ว แต่เขาก็เลือกที่จะเดินหนี เชื่อไหมล่ะว่าบุ๋นออกไปจากบ้านเช่าตั้งแต่เมื่อคืน ไม่กลับเข้ามานอนแม้กระทั่งที่พักของตัวเอง จะมีแผนไหนที่จะให้เขากลับมาได้อีกล่ะ หรือต่อให้บุ๋นกลับมาจริงๆ นั่นก็แปลว่าพี่ยอมที่จะยกเลิกการหมั้นและเดบิวต์เต็มตัว ซึ่งมันก็แทบไม่ต่างอะไรเลยกับการที่เราต้องเลิกกัน”

“อย่าเพิ่งหมดหวังซิพี่ท๊อป” ผมพยายามปลอบ “ผมรู้จักพี่บุ๋นดี ที่พี่เขาทำแบบนี้เพราะรักพี่มาก และที่ไม่ยอมนอนที่บ้านเช่าก็คงเป็นเพราะทนเห็นพี่ท๊อปไม่ได้ พี่เขาคงกลัวว่าจะเกิดใจอ่อนขึ้นมา พี่บุ๋นอ่ะรักพี่ท๊อปอย่างไม่ต้องสงสัยเลย เชื่อชาเถอะ”

“รักแบบนี้ มันเป็นรักยังไงกัน ทำไมความรักของพี่ไม่เหมือนคนอื่นๆบ้าง...”



ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก

อะไรอีกล่ะเนีย ใครมาเคาะห้องตอนนี้วะ กูเบื่อการโดนขัดจังหวะจริงเว้ยยยยย



ผมลุกมาเปิดห้องซ้อมเต้น



“อ้าว น้องครีม” น้องครีมนั่นเอง “กลับมาทำไมอ่ะ ไม่อยู่ช่วยงานที่โรงพยาบาลเหรอ” ที่ผมถามก็เพราะผมเพิ่งจะสั่งน้องไปเมื่อเช้านี้เองว่าให้ไปหาหมอพิชิตและช่วยงานที่โรงพยาบาลเหมือนอย่างอะตอมและแทน

“อาจารย์พิชิตท่านไม่อยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ” น้องตอบ “ ก็อยู่ค่ะ หนูได้พูดคุยกับท่านแล้ว แต่ท่านบอกว่าตอนนี้โรงพยาบาลมีการตรวจสอบการคุณภาพของโรงพยาบาล ก็เลยไม่ว่าง ตอนนี้ห้ามมีนิสิตช่วยงานในโรงพยาบาลด้วย หนูก็เลยช่วยงานไม่ได้ เพราะงั้น... หนูไม่รู้จะไปไหน ก็เลยต้องกลับมาหาพี่ที่นี่ เผื่อว่าพี่น้ำชาจะมีอะไรอย่างอื่นให้หนูช่วย”

“พี่คงไม่มีอย่างอื่นให้ช่วยหรอก” ผมสารภาพตามตรง ไม่มีแผนสำรองเลย ยิ่งในเวลาแบบนี้ยิ่งไม่มี ถ้าอยากให้ช่วยก็คงอยากให้ช่วยปลอบหนุ่มหล่อที่นั่งเศร้าอยู่ในห้องซ้อมนั่นแหละ ถ้าได้สาวสวยแบบนี้มาปลอบใจอาจจะดีขึ้นละมั้ง.... เดี๋ยวววววววนะ!!! เหมือนจะคิดอะไรออกแล้ว “พี่นึกออกแล้วว่าจะให้ครีมช่วยพี่ทำอะไร”

“ได้เลยค่ะ” น้องกระตือรือร้นทันที “หนูก็อยากทำอะไรบ้าง เดี๋ยวคนอื่นๆจะหาว่าหนูไม่ทำอะไรเลย”

“งั้นช่วยพี่เรื่องนี้ก็แล้วกัน..................









..................ช่วยทำให้ใครคนหนึ่งหึงหน่อย”
หัวข้อ: LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 14 [เริ่มใหม่ Part 1]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 30-09-2018 22:05:38
​ตอนที่ 14 : เริ่มใหม่ Part 1 - 1/2









(ในมุมมองของโซนิค)



“ขนมปังงงงงง ขนมปังคร้าบบบบบบบ”

“....................” เงียบอีกตามเคย

“นี่มันจะเย็นแล้วนะ ไม่ออกมาหาอะไรกินซะหน่อยเหรอ”  ผมพยายามหว่านล้อม จริงๆผมก็เกลี่ยกล่อมเขามาเกือบจะทั้งวันแล้ว แต่รุ่นพี่ตัวน้อยที่อยู่ในห้องกลับใจแข็งอย่างน่ากลัว ไม่ฮือไม่อืออะไรเลย เงียบกริบ ทำตัวอย่างกับว่าไม่ได้อยู่ในห้อง “ผมเป็นห่วงจริงๆนะ ออกจากเถอะนะ อย่าทำแบบนี้เลย เราคุยกันไม่ได้เหรอ”

“....................” เห้อออออออ อ่อนใจจริงๆ



ไม่น่าตัดสินใจพลาดเลยกู เลยต้องมานั่งพิงประตูห้องเขาอยู่ทั้งวัน ข้าวปลาก็ไม่ได้กิน พูดคุณเดียวอย่างกับคนบ้า



#เสียงโทรศัพท์

ใครโทรมาหว่า... แต่ก็ดีเหมือนกัน อยู่คนเดียวนานๆเริ่มเบื่อแล้ว



“ฮัลโหล สวัสดีครับ” ผมรับสาย

“ฮัลโหลโซนิค นี่พี่เองพี่ข้าวเจ้านะ”

“ค...ครับ” เวรละไงกู ลืมไปเลยว่าวันนี้ทำข้อตกลงกับพี่ข้าวเจ้าไว้ว่าต้องตามขนมปังกลับไปทำหน้าที่บั๊ดดี้ให้ได้

“สำเร็จหรือเปล่า เรื่องที่ไปทำ” นั่นไง ยิงตรงเข้าเรื่องแบบไม่รีรอ

“ก็...ใกล้สำเร็จแล้วครับ”

“ฟังไม่เหมือนน้ำเสียงของคนที่ใกล้สำเร็จเลยนะ” จับได้ซะงั้น “ถ้ายังไงพี่ว่าคงต้องหาบั๊ดดี้ใหม่จริงๆแล้วล่ะ”

“ด...เดี๋ยวๆๆๆ เดี๋ยวซิครับพี่ ผมใกล้สำเร็จแล้วจริงๆ”

“โซนิค พอเถอะ เรื่องนี้พี่ขอจัดการเองดีกว่า น้องกลับไปพักผ่อนได้แล้ว เตรียมตัวสำหรับการบล็อกกิ้งและการซ้อมในวันพรุ่งนี้ดีกว่า นะ”

“แต่...”



ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด

อะไรวะ จะรีบวางไปไหนเนี่ย



“ขนมปัง!!!” คร่าวนี้ผมเรียกอีกครั้งแต่ดังยิ่งกว่าเดิมและเคาะประตูแรงมากขึ้น เผื่อคนข้างในจะสัมผัสได้ว่าผมจริงจังมากแล้วนะ  “ขนมปังงงง”

เอาซิวะ กูจะเคาะไปเรื่อยๆ ให้ดังอยู่แบบนี้แหละ ถ้าไม่ออกมาก็จะเคาะจนมือหักทั้งสองข้างเลย เรื่องนี้เราก่อ เราต้องจัดการให้ได้ เพราะถ้าจัดการไม่ได้ ก็เท่ากับจะไม่ได้เจอคนในห้องนี้อีก แบบนั้นจะไม่ทนเด็ดขาด จะไม่ทำพลาดเป็นครั้งที่สอง

“ขนมปังงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง” ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง

“พอเถอะ”

ห๊ะ!!

“ข...ขนมปัง” ตอบแล้ว ในที่สุดก็ตอบ “ออกมาคุยกันหน่อยได้ไหม ผมขอโทษ ผมอยากเจอหน้าขนมปังนะ ออกมาคุยกันเหมือนเดิมได้ไหม”

“เหมือนเดิมเหรอ?” นี่เป็นการโต้ตอบจากคนข้างในครั้งแรกเลยหลังจากที่ผมนั่งอยู่หน้าห้องนี้มาทั้งวัน

“ใช่ซิ นะ ออกมาเถอะ”

“เหมือนเดิมที่พูดถึง หมายถึงให้ผมกับคุณกลับมาคุยกันเหมือนเดิม กลับมาร่วมงานกันเหมือนเดิม ใช้ผมเป็นเครื่องมือเพื่อเป็นทางผ่านไปหาคนที่คุณชอบ อย่างนั้นใช่ไหมที่เรียกว่าเหมือนเดิม”

“มันไม่ใช่อย่างนั้น...”

“อย่างไหนล่ะ อย่างที่คุณถูกน้ำชาบังคับให้มาช่วยงานผม อย่างที่น้ำชาสั่งให้คุณดีกับผม อย่างที่คุณทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ได้ใกล้ชิดน้ำชา อย่างที่คุณยอมทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ อยู่กับคนที่ไม่อยากอยู่ เพื่อเป้าหมายเดียว หรืออย่างที่ผม...” เจ้าตัวเงียบลงคล้ายว่าไม่อยากพูดต่อ

“ก็ได้ ผมยอมรับก็ได้ว่าที่ทำมาก่อนหน้านี้เพราะมีจุดประสงค์แบบนั้น ถึงทำทุกอย่างไปแบบนั้น แต่เพราะผมไม่รู้มาก่อนว่าพี่น้ำชาเขามีเจ้าของอยู่แล้ว ไม่งั้น...”

“ไม่งั้นจะทำไมเหรอ ไม่งั้นคุณก็จะไม่มาเสียเวลาทำเรื่องพวกนี้ใช่ไหม”

“คือมัน....” ก็จริงนั่นแหละ ผมคงแก้ตัวไม่ได้สำหรับเหตุผลนี้จริงๆ

“ไม่พูดต่อ ก็แปลว่ายอมรับ ทุกอย่างที่คุณทำ มีอะไรที่ออกมาจากใจจริงของคุณบ้างไหม ตลอดเวลาที่เรารู้จักกัน คุณจริงจังสักหนึ่งวินาทีไหม”

“ผม....ผมขอโทษ” ไม่รู้โว๊ย ขอโทษไว้ก่อนก็แล้วกัน

“ขอโทษเรื่องอะไร คุณก็ทำถูกแล้วนิ เราทุกคนย่อมทำทุกอย่างเพื่อจุดทุ่งหมายของตัวเองอยู่แล้ว ซึ่งถึงวันนี้ภารกิจของคุณก็เสร็จสมบูรณ์ทุกอย่างแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องขอโทษอะไรทั้งนั้นแหละ”

“ผมขอโทษที่ทำให้...ทำให้ขนมปัง....คือ....”

“จะพูดว่าขอโทษที่คุณเผลอทำให้ผมชอบคุณน่ะเหรอ” อึ้งไปเลยกู ไม่นึกเลยว่าขนมปังจะกล้าพูดออกมาตรงๆแบบนี้ “ไม่เป็นไร เอาเถอะ ยังไงซะนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกอยู่แล้วที่ผมเสียใจเพราะมีใจให้คนอื่น แต่เพื่อทำให้ทำใจง่ายขึ้น การที่เราไม่ต้องพบกันอีกคงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด”

“อย่าพูดแบบนั้นเลยนะ ผมยังไม่อยาก... เราพบกันอีกไม่ได้เหรอ ได้ไหม ผมสัญญาว่าหลังจากนี้จะไม่มีใครมาบังคับอะไรผมอีกแล้ว”

“...................................” นี่คือความเงียบอีกครั้ง เขาจิตใจเข้มแข็งกว่าที่ผมคาดเอาไว้มาก แบบนี้ทำให้ผมเริ่มท้อจริงๆแล้ว

“ก...ก็ได้ เราอาจจะไม่ต้องพบกันก็ได้ แต่อย่าเลิกทำงานบั๊ดดี้เลยนะ ความผิดครั้งนี้ผมเป็นคนเริ่มมันเอง ขนมปังไม่ควรที่จะต้องมาเป็นคนที่ได้รับผลกระทบจากมัน กลับมาทำงานเหมือนเดิมเถอะนะ ผมไม่อยากรู้สึกผิด ถ้าขนมปังยอมกลับไปทำงาน ผมจะไม่อยู่กวนใจอีกเลย”

แกร็ก  แอ๊ดดดดดด

จู่ๆ ประตูห้องก็เปิดออกมา เผยให้เห็นรุ่นพี่ตัวน้อยที่ยืนอยู่ห่างจากผมเพียงไม่กี่เซนติเมตร ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความน่ารักน่าหลงใหล ตอนนี้นิ่งสนิทเหมือนภาพวาดไร้อารมณ์



“ข...ขนมปัง” นั่นคือที่ผมพูด พอเขาออกมาจริงๆผมกลับนึกไม่ออกว่าควรพูดอะไร ได้แต่ดีใจบวกกับอึ้งไปพร้อมๆกัน

“ขอโทรศัพท์ให้ผมด้วย”

“ห๊ะ?” ผมงง

“โทรศัพท์ของผมที่อยู่ในมือคุณ ขอให้ผมด้วย” คนตรงหน้ายื่นมือออกมา

ผมได้แต่ส่งโทรศัพท์มือถือให้เขาอย่างไม่เข้าใจ

รุ่นพี่ตัวน้อยกดโทรศัพท์หาใครคนหนึ่ง

“ฮัลโหลข้าวเจ้า” อ๋อ พี่ข้าวเจ้านี่เอง “................ไม่เป็นอะไรแล้ว ขอบคุณที่เป็นห่วงนะ เรามีเรื่องจะขอหน่อยน่ะ...............เราขอกลับไปทำงานบั๊ดดี้ของข้าวเจ้าเหมือนเดิมได้ไหม ข้าวเจ้าติดต่อคนใหม่แล้วหรือยัง....................โอเค งั้นเราจะกลับไปทำงานพรุ่งนี้เหมือนเดิมนะ ขอโทษที่ทำให้ลำบาก......................ก็ ยังอยู่..........................ประมาณนั้นแหละ เอาเป็นว่าเราจะกลับไปช่วยงานข้าวเจ้าเหมือนเดิมแน่นอน จะไม่ทำอะไรเอาแต่ใจแบบนี้อีกแล้ว..........................ได้ เจอกันพรุ่งนี้” แล้วเขาก็วางสาย

“เมื่อกี๊ขนม... เห้ย เดี๋ยวๆๆ” ผมรีบดันประตูเอาไว้ จู่ๆคนตรงหน้าก็จะปิดประตูขังตัวเองไว้อีกรอบ

“ผมกลับไปทำงานแล้วนี่ไง” เขาพูดแต่ก็ออกแรงจะปิดประตูห้องตัวเองเต็มที่ “คุณไม่ต้องรู้สึกผิด แล้วก็ช่วยทำตามที่พูดด้วย อย่ามากวนใจผมอีก”

“นี่ขนมปังยอมทำทั้งหมดเพื่อจุดประสงค์นี้เหรอ เพื่อที่จะไล่ผมกลับไปเนี่ยนะ” ผมยังดันประตูไว้ ก็ไม่ได้ใช้แรงเยอะเท่าไหร่หรอก แต่เริ่มมีแรงอย่างอื่นมากกว่าที่ทำให้เหงื่อตก พอได้ยินคนตรงหน้าพูดแบบนี้แล้วมันรู้สึกหงุดหงิดบอกไม่ถูก “อยากให้ผมกลับไปขนาดนั้นเลยเหรอ”

“ผมก็แค่ทำเหมือนคุณไง ยอมทำทุกอย่างเพื่อจุดประสงค์เดียว ถึงจะไม่เต็มใจก็ตาม”

“ก็บอกแล้วไงว่าผมขอโทษ ผมยอมรับก็ได้ว่าที่ทำก่อนหน้านี้ทั้งหมดเพราะมีจุดประสงค์แอบแฝง แต่ก็ไม่ใช่ว่าเรื่องที่ผมทำมันจะ...”

“กลับไปได้แล้ว รักษาคำพูดของตัวเองด้วย” จะพูดแทรกทำไมนักหนาวะ ให้กูอธิบายอะไรให้จบสักครั้งได้ไหมเนี่ย

“ไม่” เอาดิ กูก็ดื้อเป็นเหมือนกันนะ

“นี่คุณหลอกผมอีกครั้งนึงแล้วใช่ไหม”

“เปล่า แต่ผมแค่เป็นห่วง ที่สำคัญหน้าที่ของผมยังไม่จบ พี่น้ำชาสั่งให้ผมอยู่เพื่อช่วยขนมปังทุกอย่าง ผมก็จะอยู่”

“นี่มันก็ครบอาทิตย์นึงแล้ว หน้าที่ของคุณจบแล้ว” เอาล่ะ ถึงตรงนี้คนตัวเล็กเริ่มออกแรงดันประตูกับผมแบบจริงจังแล้ว

“พี่เขาไม่ได้กำหนดซะหน่อยว่าผมต้องทำถึงแค่ไหน ผมอาจจะทำต่อไปอีกเรื่อยๆก็ได้”

“ก็ได้ ถ้าคุณจะพูดแบบนี้ คุณก็คงจำได้ว่าน้ำชาสั่งคุณไว้ว่ายังไง คุณต้องทำตามทุกอย่างที่ผมสั่ง งั้นผมขอสั่งให้คุณกลับไปและอย่าพยายามมาหาผมอีก”

“ผมขอปฏิเสธ” เอาซิวะ ใครมันจะเสียงแข็งกว่ากัน

“คุณมันหน้าด้าน”

“อะไรนะ” ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนอย่างขนมปังจะกล้าใช้คำพูดร้ายกาจแบบนี้ นี่รังเกียจกันขนาดนั้นเลยเหรอวะ “เออใช่ ผมมันหน้าด้าน หน้าด้านพอที่จะมานั่งหน้าห้องใครก็ได้เป็นวันๆ หน้าด้านพอที่จะมารับมาส่งคนที่เขาไม่เต็มใจ หน้าด้านพอที่จะเป็นห่วงคนที่ผมเป็นห่วง”

“ไม่ต้อง ผมทำเองได้”

“ทำเองได้เหรอ ใครกันที่คอยปกป้องขนมปังตลอด ใครกันที่คอยขับรถให้ ใครกันที่คอยยืนอยู่ข้างๆรอฟังคำสั่ง ไม่มีผมแล้วขนมปังจะรู้สึก”

“งั้นเหรอ”

เชี่ยๆๆๆ จู่ๆเขาก็ละแรงออกจากการดันประตู ทำให้ผมเสียหลักไถลเข้าไปในห้อง



“จะโทรหาใครอ่ะ” ผมถามทันทีเมื่อคนตรงหน้ายกโทรศัพท์เพื่อต่อสายหาใครบางคน

“คนที่จะทำคุณได้สำนึกสักทีว่าผมไม่รู้สึกอะเลยต่อให้ไม่มีคุณอยู่ด้วย” ต้องพูดให้รู้สึกเจ็บช้ำน้ำใจขนาดนี้เลยเหรอวะ “ฮัลโหลกั๊ซเหรอ พรุ่งนี้เช้ามารับเราเข้าไปทำงานในมหาลัยหน่อยได้ไหม ใช่ ไม่มีปัญหา มารับได้เลย....นี่! คุณ”

“นี่โทรมันเองเหรอ” ตอนนี้บอกไว้เลยว่าเดือดขั้นสุดแล้ว ผมเอามือใหญ่ของตัวเองกระชากโทรศัพท์ออกมาจากการสนทนาของคนตรงหน้าแล้วกดวางสายทันที

“ใช่” คนตัวเล็กตรงหน้าเริ่มตะคอกเสียง กล้าตะคอกเสียงใส่กูเลยเหรอ

“ผมตามง้อทั้งวัน คอยปกป้อง คอยช่วย แต่กลับโทรหาไอ้คนแบบนี้เหรอ”

“แล้วจะทำไม เอาโทรศัพท์คืนมานะ”

“นี่คิดถึงผัวเก่ามากนักใช่ไหม”

“คุณไม่มีสิทธิ์มาพูดกับผมแบบนี้นะ”

“แล้วจะทำไม อยากจะประชด ไม่เห็นต้องโทรหามันเลย รู้ก็รู้ว่ามันทำไม่ดีไว้กับตัวเองไว้ แต่ยังจะหันไปพึ่งคนอย่างมันเนี่ยนะ จะประชดอะไรก็ให้มันมีขอบเขตบ้างดิ”

“ผมจะทำอะไรมันก็เรื่องของผม”

“เออ ดี งั้นกูจะทำอะไรมันก็เรื่องของกูเหมือนกัน”

“ค....คุณ.... คุณจะทำอะไรอ่ะ....ป.....ปล่อยผมนะ ปล่อยยยยย**!!!**”

กูตามง้อทั้งวันแม่งไม่ใจอ่อน พูดจาออกมาแต่ละคำมีแต่ทำร้ายจิตใจ ซ้ำยังเอาไอ้เลวนั่นมาเย้ยต่อหน้า

“ป.......อืออออ อื๊ออออออ” กูจะไม่ยอมอ่อนข้อให้อีกแล้ว ริมฝีปากนี้จะต้องถูกผนึกไว้ด้วยปากของกูนี่แหละ จะได้ไม่ไปพูดกับใครได้อีก

“ป....ปล่อย”

“ชอบคนเลวๆนักไม่ใช่เหรอ นี่ไง เลวพอไหม” ดูไว้ซะ กูจะแสดงให้ดูว่าคนเลวของจริงเป็นยังไง

“อืออออออ”

แค่แขนขาเล็กๆ คิดเหรอว่าจะทำอะไรคนอย่างกูได้ แค่ทับไว้นิดหน่อยก็สิ้นฤทธิ์แล้ว

“หลุดซิวะ” ไอ้เสื้อผ้าน่ารำคาญพวกนี้ ฉีกออกไปให้หมด อย่ามาขว้าง

กูจะเป็นเจ้าของร่างกายนี้แต่เพียงผู้เดียว ต่อจากนี้จะไม่ยกให้ใครทั้งนั้น ไม่รอรีโอกาส ไม่มีการพูดพร่ำทำเพลงอะไรอีกแล้ว



“....................................................................ฮื่อออออ ฮ....ฮื่อ ฮื่อออออ”

เสียงใครวะ?

ใครมาส่งเสียงร้องไห้น่ารำคาญแถวนี้

เหมือนมีอะไรสั่นๆอยู่ใต้ร่างกายของเรา



“ข.....ขนมปัง” เชี่ยยยยยยยยยยยย กูทำเชี่ยอะไรลงไปวะเนี่ย

“ย....อย่า ฮื่อๆ อย่าทำอะไรผมเลย” ร่างกายเบื้องล่างที่ถูกผมกดทับกำลังสะอื้นไห้อย่างหนัก ร่างกายของเขาสั่นเทิ้มไปหมด สองมือที่พนมไหว้ด้วยความหวาดกลัวนั้นห่างจากใบหน้าของผมเพียงไม่กี่มิลลิเมตร “ขอ...ข...ขอร้อง ผมกลัวแล้ว อย่า...ทำอะไรผมเลย ฮื่ออออออ”

ร่างกายของเขายิ่งกระตุกแรงขึ้นเพราะทั้งกลัวและร่ำไห้

นี่กูทำอะไรลงไปเนี่ย

ขนมปังมานอนอยู่บนเตียงได้ยังไง ผมผลักเขาลงมาเหรอ?

เสื้อผ้าบนตัวที่ขาดหวิ่นนี่ก็ฝีมือของผมเหรอ

แก้มและคอที่แดงช้ำนี่ก็คงเกิดจากความหน้ามืดของผมอีกซินะ

“ขนมปัง ค...คือผม...” ผมรีบผละตัวเองออกมาจากคนตัวเล็กเบื้องล่าง

ทันทีที่ได้อิสรภาพ คนตัวเล็กก็รีบถอยล่นนำกายตนเองไปคุดคู้อยู่ที่มุมเตียงจนติดผนัง ใบหน้ายังเปียกไปด้วยน้ำตา ดวงตายังแดงก่ำ มือเล็กๆของเขาพยายามกวาดรวบผ้าห่มมาปิดป้องกายตนเองทั้งที่ยังสั่นกลัว

“เหมียว เหมียววว”

แมวน้อยขนดกกระโดดขึ้นมาไต่ลำตัวที่สั่นกลัวและเลียแก้มใสๆ ประหนึ่งว่ามันกำลังเช็ดน้ำตา และส่งเสียงร้องเพื่อปลอบประโลม



“อย่าเข้ามานะ**!**” เพียงแค่ผมขยับตัวนิดหน่อย ขนมปังก็ร้องออกมาจนลั่นห้อง ผมจึงได้แค่หยุดยืนนิ่งมองสิ่งที่ตัวเองเพิ่งจะลงมือทำ แม้มันจะยังไม่ไปถึงไหน แต่นี่ก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่ผมจะไม่รู้สึกผิด

“ผม....ผมขอโทษ” คำพูดเดียวที่นึกออกในตอนนี้ “ผมแค่....ผมแค่โกรธ ผมไม่มีสติ ผมขอโทษนะ”

“ก็บอกว่าอย่าเข้ามาไง ฮื่ออออ” เสียงร้องด้วยความกลัวนี้ยิ่งทำให้หัวใจของผมเหมือนแตกสลาย กูกล้าดียังไงวะไปทำกับเขาแบบนี้

“ผมขอโทษ” ผมพูดได้แค่นี้จริงๆ

“ทำไม ทำไมทุกคนถึงใจร้ายนัก” นี่เป็นคำพูดตัดพ้อที่เสียดแทงหัวใจของผมที่สุดในโลกเลย “มีแต่คนทำร้ายจิตใจ ผมทำผิดอะไรนักหนางั้นเหรอ ฮื่ออออ ฮื่ออออออ”

“ขนมปัง”

“ออกไป**!!!**”

“ขนมปัง”

“บอกให้ออกไปไง” น้ำตาของเขาพลั่งพรูออกมาไม่หยุด และถ้ายิ่งผมพยายามเข้าใกล้เขามากกว่านี้ เขาคงจะยิ่งทุกข์ใจหนักขึ้นไปอีก

“งั้นผม.... กลับก็ได้” ผมสำนึกได้แล้วว่าเวลานี้ควรยอมแพ้และถอยได้แล้ว

“จากนี้ไป” จู่ๆ คนตัวเล็กก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “เราเคยรู้จักกันมาก่อน”

“..................” ทั้งที่อยากจะพูด แต่ก็เหมือนพูดไม่ออก ไม่มีคำใดสามารถพูดใช้ในสถานการณ์นี้ได้เลย สุดท้ายจึงทำได้เพียงเดินออกไปเท่านั้น

หัวข้อ: LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 14 [เริ่มใหม่ Part 1]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 30-09-2018 22:07:03
​ตอนที่ 14 : เริ่มใหม่ Part 1 - 2/2





เสียงร้องไห้ของคนที่ผมทิ้งเขาไว้เบื้องหลังมันช่างดังเหลือเกิน มันดังอยู่ในหูของผมกระทั่งว่าขับรถออกมาไกลแล้วเสียงนั้นก็ยังชัด ภาพของดวงตาที่หวาดกลัวก็ยังติดอยู่ในความทรงจำจนแทบจะมองไม่เห็นถนนหนทางเบื้องหน้า



#เสียงโทรศัพท์

ใครแม่งโทรมาตอนนี้วะ ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่อยากคุยกับใครเลยสักนิด



“ฮัลโหล” ผมรับด้วยเสียงอ่อน

“เออ โซนิคเหรอ นี่กูเอง สุ่ย”

“ครับ?”

“สุ่ยไง เมื่อตอนเที่ยงกูยังคุยอยู่กับมึงเลย ลืมกูแล้วหรือไงวะ”

“อ๋อ ครับพี่ มีอะไรครับ”

“ก็ไม่มีอะไร จะโทรมายินดีกับมึงซะหน่อย เก่งนี่หว่า สุดท้ายก็ง้อไอ้ปังสำเร็จจนได้ ข้าวเจ้าเพิ่งบอกกูเมื่อกี๊เองว่าปังยอมกลับมาทำงานเหมือนเดิมแล้ว”

“ครับ..............”

“อะไรวะ ทำไมน้ำเสียงมึงไม่เหมือนคนที่กำลังดีใจเลย”

“ผม.... ผมทำพลาดว่ะพี่”

“พลาด? ยังไงวะ ก็ที่ไอ้ปังยอมกลับมาทำงานไม่ใช่เพราะมึงง้อมันสำเร็จหรือไง”

“นั่นไม่ใช่เพราะผมง้อเขาสำเร็จหรอกครับ เขาแค่ตัดรำคาญผมก็แค่นั้น”

“อ้าววว แบบนั้นหรอกเหรอ เออๆ แต่ก็ยังดี อย่างน้อยมึงก็ยังมีโอกาสได้เจอหน้ามันอีก ถือเป็นสัญญาณที่ดี”

“ไม่หรอกพี่ ที่ผมบอกว่าทำพลาด จริงๆแล้วคือผม....”

“มึงทำไม?”

“ผมรังแกขนมปังว่ะพี่ ผมหน้ามืดไปหน่อย ผมทำ........”

“ว....ว่าไงนะ! นี่มึง...”

“ครับ ก็ตามนั้นแหละพี่ ถึงผมจะห้ามตัวเองไว้ได้ก่อน แต่ตอนนี้ เขาก็เกลียดผมไปแล้ว แถมยังประกาศออกมาอีกว่าไม่ขอรู้จักผมอีก หมดหวังแล้วจริงๆว่ะพี่”

“ไอ้โซนิคเอ๊ยยยย” เสียงถอนหายใจดังออกมาชัดเจน “มึงนี่มันน่าโดนต่อยให้ลงไปกองกับพื้นจริงๆ”

“ผมรู้พี่” ก็อยากโดนอัดสักเปรี้ยงเหมือนกัน เผื่อจะทำให้รู้สึกดีขึ้น

“แต่กูก็พอจะเข้าใจได้ กูก็เคยเจอปัญหาแบบนี้มาเหมือนกัน”

ห๊ะ!? “ยังไงนะพี่”

“เออๆ ไม่ต้องถามมาก เอาเป็นว่ากูเข้าใจมึงก็เลยกัน แล้วหลังจากนี้มึงจะทำยังไงต่อวะ”

“ทำอะไรต่อเหรอ ก็คงต้องออกจากชีวิตขนมปังแหละพี่ เขาคงไม่ให้อภัยผมแล้ว”

“อือหือ พระเอกโคตรรรร นี่ถ้ามึงอยู่ใกล้ๆ กูจะเคาะกะบานให้”

“อ้าวพี่ ก็ผมทำกับเขาแบบนั้นแล้ว จะให้ผมทำยังไงได้อีกอ่ะ ผมเป็นคนผิดนะพี่”

“กูไม่ได้บอกว่ามึงทำถูก กูแค่จะหมายถึงว่ามึงไม่ควรยอมแพ้ ทำผิดมึงก็ไปขอโทษซิวะ”

“เขาคงไม่ยกโทษให้ผมง่ายๆหรอกพี่”

“กูก็ไม่ได้บอกว่ามันง่าย กว่ากูกับข้าวเจ้าจะตกลงใจกันได้มึงคิดว่าแค่มองตากันหรือไง ของแบบนี้มันต้องใช้เวลาเว้ย ตื๊ออ่ะรู้จักไหม มันอาจจะฟังดูโบราณนะเว้ย แต่การตื้อก็เป็นวิธีการแสดงความจริงใจอย่างนึง มึงลงมือทำหรือยัง หรือแค่คิดอยู่กับตัวเองคนเดียว”

“ตื้ออีกแล้วเหรอ” ช่วงนี้มีแต่คนแนะนำให้ผมทำแต่สิ่งนี้

“อะไรนะ”

“เปล่าพี่ ไม่มีอะไร แล้วผมควรจะต้องทำยังไงดี”

“นี่กูต้องบอกมึงทุกอย่างเลยไหม ตอนที่มึงจะไปสารภาพรักกับไอ้ชา มึงทำยังไงวะ กูอยากรู้ มึงได้ปรึกษาใครเหมือนที่ปรึกษากูตอนนี้หรือเปล่า”

“ก็...เปล่าพี่”

“เออ ก็ใช่ไง มึงต้องคิดเอง เอาเข้าจริงๆมึงอาจจะรู้วิธีอยู่แล้วก็ได้ แต่ตอนนี้สภาพจิตใจของมึงยังไม่มั่นคงมากกว่า แต่ถ้ามึงอยากจะได้คำแนะนำอะไรจริงๆ อืมมมมม ในฐานะที่กูรู้จักไอ้ปังมา ชีวิตมันมีสิ่งสำคัญอยู่แค่สองอย่างคือ ย่าของมัน กับ แมว”

“เอ่อ....” แล้วมันจะช่วยให้ขนมปังยกโทษให้ผมได้ยังไง

“กลับไปคิดเองก็แล้วกัน กูแนะนำแค่นี้แหละ”

“ครับพี่”

แล้วพี่สุ่ยก็วางสาย



.................เอาวะ ยังไงก็ต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง วันนี้มีคนมาเตือนสติเยอะเกินไปแล้ว กูควรรู้จักที่จะทำอะไรด้วยตัวเองซะบ้าง



ขนมปัง อาม่า แมว...... งั้นเหรอ

สามคีย์เวิร์ดนี้จะทำให้ผมได้รับการยกโทษได้ยังไง........................





----เช้าตรู่ของวันต่อมา----



“เอาวางไว้ตรงนั้นแหละ เอาพวกนี้ไว้ข้างบน ขนมปังพวกนี้ชิ้นเล็กแต่ไส้เยอะ ถ้าอยู่ข้างล่างมันจะเละรู้ไหน”

“เข้าใจแล้วครับอาม่า” ผมตอบ



“ม่าครับ ปังต้องเข้ามหาลัยแล้วนะ มีอาหารเช้าให้....... คุณ!”

ตุ๊บ!!!



“อ้าวๆ ทำอะไรน่ะขนมปัง ทำไมซุ่มซ่ามแบบนี้ ถุงแป้งร่วงลงมาแตกเลยเห็นไหม” อาม่าเอ็ดหลานตัวเองทันที

“ผมจัดการให้เองครับ” ผมที่อยู่ในเหตุการณ์รีบอาสาเข้าไปช่วยเก็บกวาดทันที

อันที่จริง ที่ถุงแป้งร่วงลงมาแบบนี้ก็มีที่มาจากตัวผมเองนี่แหละ ก็ทันทีที่รุ่นพี่ตัวน้อยเห็นผมเข้ามาอยู่ในบ้านของตัวเองตอนเช้ามืดแบบนี้ แถมยังอยู่ในชุดผ้ากันเปื้อน แล้วก็ช่วยงานของร้านอีก เขาก็คงตกใจเป็นธรรมดา



“ย...อย่าเข้ามานะ!!” ผ่านไปหนึ่งคืนแล้ว แต่ประโยคคำสั่งประโยคนี้ยังไม่หายไปจากความทรงจำของขนมปังเลย

“ไปพูดอะไรกับเพื่อนอย่างนั้นได้ยังไง” อาม่าสงสัย “เขาจะช่วยเก็บกวาดให้ ขนมปังนั่นแหละที่ต้องถอยออกมา เดี๋ยวแป้งก็เลอะเสื้อผ้าหรอก”

“แต่เขา....” เจ้าตัวคงเพิ่งจะมาสำนึกได้ว่าไม่ควรพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ผมรู้ตัวดีว่าเขาคงยังโกรธหรือกลัวผมอยู่ แต่เรื่องแบบนี้คงไม่สามารถพูดออกมาให้ใครฟังได้ง่ายๆ คงไม่มีใครกล้าประกาศบอกหรอกว่า ผมเกือบโดนผู้ชายข่มขืน

เมื่อเห็นว่าไม่น่าจะมีการโวยวายใดๆ ผมจึงเดินเข้าไปเก็บถุงแป้งทำขนมที่ตกลงมาเสียหายเพราะความตกใจของรุ่นพี่ตัวน้อย แต่ก็แน่นอนว่าคนตัวเล็กแทบจะกระโดดหนีออกไปเมื่อผมเดินเข้าไปใกล้

ไหนๆสถานการณ์ก็เป็นใจแล้ว ผมจึงแสร้งทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น และทำแค่สิ่งที่ตัวเองต้องทำตรงหน้าก็พอ



“คุณมาที่นี่ทำไม” ขนมปังกัดฟันกระซิบ

“เอ่อ....พูดกับผมเหรอ” แต่ผมไม่กระซิบ แถมยังตีหน้าไม่เข้าใจในคำถามของรุ่นพี่ตัวน้อย นั่นจึงทำให้ปฏิกิริยาของคนตรงหน้าแสดงออกว่า ไม่เข้าใจ อย่างชัดเจน

“ก็ใช่ซิ คุณมาทำอะไรที่นี่”

“ก็...มาช่วยงานอาม่าไง” ผมตอบซื่อๆ

“ใครขอร้องคุณไม่ทราบ” จ้าๆ จะเหน็บแนมยังไงก็เชิญเลย แค่ได้คุยด้วยก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว แต่เพื่อรักษาสภาวะนี้ไว้ ผมจะต้องทำตามแผนที่เตรียมมา

“อาม่าไง อาม่าขอ ใครจะมาขอผมได้ล่ะ” ผมตอบกวนๆ “จริงๆก็ไม่ใช่ว่าอาม่ามาขอร้องให้ผมช่วยหรอก แต่ผมเห็นว่าอาม่าแก่แล้ว ต้องทำงานหนักตอนเช้าทุกวัน ผมก็เลยอาสามาช่วย อาม่าก็ยินดีนะ ไม่เชื่อถามอาม่าดูซิ.... อาม่าครับ ผมมาช่วยงานแบบนี้ทุกวันได้ไหมครับ”

“เกรงใจพ่อโซ่แย่เลย แต่ก็ขอบใจมากเลยนะ” อาม่าหมายถึงผม ท่านคงชินปากมากกว่าที่จะเรียกผมอย่างนี้ “หล่อแล้วยังมีน้ำใจอีก ช่วงนี้ขนมปังเขาทำแต่งานที่โรงเรียนไม่มีเวลาว่างมาช่วยอาม่าอย่างเมื่อก่อน ได้คนหนุ่มแข็งแรงมาช่วยก็เหนื่อยน้อยลงไปเยอะเลย”

“ยินดีครับอาม่า ผมยินดีมาช่วยอาม่าทุกวันเลยครับ” ผมตอบก่อนจะเก็บกวาดทุกอย่างลงถังขยะ แล้วกลับไปเรียงของต่อที่ชั้น ทิ้งให้ใครบางคนมองผมอย่างแปลกใจสงสัย



“ปังไปทำงานแล้วนะครับม่า” แม้คนตัวเล็กจะแปลกใจในพฤติกรรมของผม แต่ผมก็สังเกตเห็นว่ายังระแวงผมอยู่ ขนมปังจึงตัดสินใจที่จะเดินออกไป เห็นได้ชัดว่าทำทีไม่สนใจผม

“แล้วไม่กินข้าวเช้าก่อนเหรอ” อาม่าถามหลานชาย “อาม่าทำข้าวเช้าไว้ให้เยอะแยะ หรือไม่ก็เอาที่อาม่าห่อไว้ให้ไปกินก็ได้นิ”

“ไม่เป็นไรครับ ปังไม่หิว” ดูเหมือนว่าเขาจะไม่อยากอยู่ตรงนี้นานนัก “ปังออกไปรอแท็กซี่ก่อนนะครับ รักม่านะครับ”

“อ...อ้าว รีบไปไหนของเขากันนะหลานคนนี้” อาม่าได้แต่พูดตามหลังหลานชายที่ออกจากบ้านไปแล้ว



“อาม่าครับ” ผมเอ่ยขึ้นทันที “ผมขอตัวแป๊บนึงนะครับ”

“จะไปไหน ปวดห้องน้ำเหรอ” อาม่าถาม

“เปล่าครับ ผมจะเอาห่อข้าวไปให้ขนมปัง” ผมตอบตรงๆ

“เหรอๆ ขอบใจนะ รีบไปไป๊ เดี๋ยวไม่ทัน”

“ครับ”



ผมรีบวิ่งเข้าไปในครัว หยิบกล่องอาหารสีเขียวที่อาม่าจัดเตรียมไว้บนโต๊ะอาหาร แล้ววิ่งอย่างรวดเร็วเพื่อออกไปที่หน้าร้าน



“เดี๋ยวก่อน” ผมรีบเรียกรุ่นพี่ตัวน้อยทันทีที่เห็นเขายืนอยู่หน้าร้าน

“ค...คุณจะทำอะไร” นี่ยังกลัวผมอยู่ซินะ เจ้าตัวแสดงท่าทางหวาดกลัวจนถึงขั้นรังเกียจใส่ผมทันทีที่มองเห็นผม เอาเถอะ มันเป็นกรรมที่ผมก่อไว้เอง ต้องยอมรับให้ได้

“ผมแค่จะเอาอาหารเช้ามาให้” ผมยื่นกล่องอาหารไปให้คนตรงหน้า

“ไม่ต้องพยายามทำดีกับผมหรอกนะ มันไม่ช่วย...”

“ผมไม่ได้ทำดีอะไรด้วยซะหน่อย” ผมตัดบท “อาม่าวานให้ผมเอามาให้ ผมก็แค่เอามาให้ เรื่องมันก็มีแค่นั้น”

“ผมไม่ใช่คนโง่นะ คิดว่าจะหลอกผมได้เหรอ ผมไม่รับของอะไรจากคุณทั้งนั้น”

“อาม่าครับบบบ หลานชายอาม่าบอกว่าไม่อยากกินอาหารของอาม่าครับ” ผมตะโกน

“คุณ!” คนตรงหน้ารีบคว้ากล่องอาหารจากมือของผมไปทันทีก่อนจะรีบตะโกนแก้ต่างให้ตัวเอง “ปังไม่ได้พูดแบบนั้นนะม่า..... คุณนี่มัน...”

ผมพยายามไม่ขำที่ได้ชัยจากการประลองครั้งนี้

“............” เมื่อเห็นว่าผมทำให้เขาอับอาย เขาจึงหันหลังกลับไปรอรถเช่นเดิม

“เรื่องรถน่ะ...”

“ไม่” คนตัวเล็กตัดบทของผมอย่างไว “ผมบอกแล้วไงว่าผมจัดการทุกอย่างเองได้ ไม่ต้องไปส่งผม ผมจะไม่รับความช่วยเหลืออะไรจากคุณอีกแล้ว”

“ผมพูดเมื่อไหร่เหรอว่าผมจะไปส่ง เราไม่ได้รู้จักมักจี้อะไรกัน ผมจะไปส่งทำไม”

“.............” คนตรงหน้าหันกลับมามองหน้าผมอย่างไม่เข้าใจ แบบนี้แหละที่ต้องการ

“ผมแค่จะบอกว่า ถ้าจะรอรถจริงๆ เข้าไปรอข้างในบ้านก็ได้นิ เดี๋ยวแท็กซี่มาก็เห็นเอง จะมายืนรอตรงนี้ทำไม อยู่มืดๆคนเดียวมันอันตรายนะ”

“...............” เขาดูจะไม่เข้าใจอะไรสักเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็เงียบและหันกลับไปเหมือนเดิม แต่ไม่ต้องห่วง ผมไม่ยอมแพ้หรอก ครั้งนี้จะไม่มีคำว่าแพ้แน่นอน

“ผมชื่อโซนิคนะ อยู่คณะสังคม ปีหนึ่ง พี่ชื่ออะไรเหรอ”

“คุณคิดจะเล่นอะไรของคุณ” ในที่สุดผมก็ถูกสนใจเสียที แต่ค่อนข้างจะอยู่ในอารมณ์ที่ฉุดเฉียวสักหน่อย

“ก็แนะนำตัวไง” ผมตอบหน้าตาย “คนเราไม่รู้จักกันมาก่อน บอกชื่อกันก็คงไม่แปลก”

“ไม่รู้จักกันมาก่อน...เหรอ”

“ก็ใช่ไง หรือว่าพี่รู้จักผม.... แล้วสรุปว่าพี่ชื่ออะไรเหรอ”

“ผมไม่อยากรู้จักคุณ ผมไม่จำเป็นต้องแนะนำตัวเอง” แน๊ะ มีเล่นกลับซะด้วย คิดเหรอว่าแค่นี้จะได้ผล

“ว้า... เสียดายจัง แค่ทำความรู้จักกันก็ไม่ได้เหรอ คือผมแค่อยากจะบอกว่า ผมเหมือนจะ...ชอบพี่เอามากๆเลยนะ”

“ว่าไงนะ! คุณนี่มัน....”

“ผมทำไมเหรอ ผมหล่อ ผมเท่ หรือว่า ผมก็ทำให้พี่ชอบผมเหมือนกัน”

“เลว” อือหือออออ จี๊ดเลยกู ช่วงนี้คนตัวเล็กรู้จักสรรหาคำพูดแรงๆมาใช้นะ

“ก็เป็นคำชมที่ผมไม่ค่อยได้ยินจากใครมาก่อน.... แต่ไม่เป็นไร เพราะถึงยังไงผมก็ชอบพี่อยู่ดี ชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นพี่เมื่อกี๊เลย ชอบมาก แล้วก็จะจีบให้ติดให้ได้ด้วย”

“............” เขามองหน้าผมอย่างไม่เข้าใจอีกครั้ง

“สงสัยล่ะซิว่าทำไมผมถึงชอบพี่เร็วขนาดนี้ ก็พี่ดันบังเอิญหน้าเหมือนกับใครคนนึงที่ผมชอบเขาเอามากๆ ตัวเล็กๆ เหล็กจัดฟันสีฟ้า อาจจะขี้แยไปหน่อย แต่ก็เป็นคนเก่งคนนึง แถมยังเป็นถึงบั๊ดดี้ของลีดมหาลัยมัณฑนาซะด้วย”

“คุณ!”

“ทำไมเหรอ พี่รู้จักคนที่ผมพูดถึงด้วยเหรอ”

“.............” ไม่ตอบ คิดจะต่อกรกับไอ้หนุ่มจอมกะล่อนอย่างผม มันไม่ง่ายหรอกนะ บอกไว้เลย

“แต่โชคร้ายไปหน่อยที่ผมทำเรื่องแย่ๆไว้กับเขา” ผมว่าต่อ “เขาก็เลย ไล่ตะเพิดผมออกมา และยังประกาศว่าไม่เคยรู้จักกับผมมาก่อน.... ผมก็เสียใจนะ แต่ทำยังไงได้ จบแล้วก็ต้องจบไป หน้าที่ของผมก็คือใช้ชีวิตต่อและเริ่มใหม่กับใครสักคน.....  แต่ใครจะไปเชื่อล่ะ พอมาวันนี้ ผมก็ดันบังเอิญมาเจอพี่ ได้เห็นว่าอาม่ามีหลานที่น่ารักเอามากๆ... พี่น่าจะเหมาะที่จะมาเป็นคนที่เริ่มต้นใหม่กับผมนะ”

“เจ้าเล่ห์... คุณจะตีความคำพูดของผมแบบไหนก็เชิญ แต่ผมจะไม่มีวันยกโทษให้คุณเด็ดขาด”

“เดี๋ยวก่อนซิพี่ ยังไม่ได้ข้อสรุปเลย” ผมตัดสินใจคว้าแขนของคนตรงหน้าเอาไว้ก่อนที่เขาจะหันไปอีก “ว่าไงครับ..............









................. สนใจเริ่มใหม่กับผมไหม”
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER ภาค 2 [เชียร์ฝันสนั่นหัวใจ] - ตอนที่ 14 : เริ่มใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 01-10-2018 11:33:37
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 14 [เริ่มใหม่ Part 2]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 01-10-2018 22:22:55
ตอนนี้ 14 : ​เริ่มใหม่ Part 2 - 1/2









(ในมุมมองของอะตอม)



“พ่อหนุ่ม พ่อหนุ่ม มานั่งทำอะไรแถวนี้ ใกล้ค่ำแล้วนะ รีบกลับบ้านเถอะ เดี๋ยวทหารจะออกตรวจแถวนี้ ถ้าพวกทหารมาเห็นจะลำบากนะ”

“ขอบคุณครับป้า ผมรู้แล้วครับ อีกสักพักผมก็กลับแล้ว”

“เอาๆ ระวังตัวด้วยนะ กลางค่ำกลางคืนมันอันตราย”

“ครับ”



ผมหันกลับไปมองที่ภูเขาสูงเบื้องหน้าอีกครั้ง



จากความทุกข์ที่รับรู้เรื่องราวในอดีตของคนๆหนึ่ง ไม่มีสิ่งใดที่ทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นเลย แม้กระทั่งภาพที่เห็นตรงหน้า ทั้งที่เป็นทิวทัศน์ของที่ๆเคยเป็นแหล่งที่อยู่เก่า ทั้งที่มันเคยทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจยามได้มอง แต่ตอนนี้กลับรู้สึกเจ็บปวด รู้สึกผิด รู้สึกว่าตนเป็นคนไร้ความรับผิดชอบ

การมาที่นี่ในวันนี้ ได้ทำให้ผมรับรู้เรื่องราวการสูญเสียของ....แทน เพื่อนใหม่ เพื่อนคนที่คอยอยู่เคียงข้างผมในทุกเมื่อที่ผมรู้สึกท้อ รู้สึกสนุก รู้สึกหงุดหงิด หรือแม้กระทั่งตอนที่ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนโง่ เขาได้ส่งมอบสิ่งดีมากมายมาที่ผม แต่กลับกลายเป็นว่าอดีตของครอบครัวเราทั้งสองถูกผูกติดกันไว้ด้วยความสูญเสียใหญ่หลวงที่เป็นดั่งแผลบาดลึกในหัวใจ



แม่ครับ ทั้งหมดที่เราทำมา มันถูกหรือผิดกันแน่....

หรือว่านี่จะเป็นกรรมของเรา ครอบครัวเราจะไม่สามารถพบกันได้อีกแล้วเหรอ......

เพราะการที่เราพรากชีวิตคนอื่นไปหรือเปล่าที่ทำให้เราไม่อาจเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์......



#เสียงโทรศัพท์

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาอีกแล้ว

น่าจะเป็นร้อยสายแล้วละมั้งที่มีคนโทรเข้ามาหลังจากที่ผมตัดสินใจว่าจะไม่กลับไปเป็นผู้นำเชียร์อีก

ผมทำใจไม่ได้จริงๆ ผมไม่อาจแบกหน้าไปพบกับคนที่ครอบครัวของผมเป็นต้นเหตุทำให้หัวหน้าครอบครัวของเขาจากไปได้เลย แม้จะมีเหตุผล แม้จะมีคำอธิบาย แต่ไม่มีสิ่งใดเยียวยาความรู้สึกของการสูญเสียแบบนี้ได้หรอก หรือต่อให้ผมแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ทุกครั้งที่ผมมองเห็นเขาก็จะยิ่งเป็นกระตุ้นเตือนให้หวนนึกถึงสิ่งนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า บาปที่ครอบครัวของผมทำไว้นั้น ไม่อาจให้อภัยได้จริงๆ



ผมยังคงนั่งนิ่งบนม้านั่งก้อนหินที่เริ่มเย็นขึ้นเพราะอุณหภูมิที่เริ่มต่ำลงของเวลาโพล้เพล้ ไม่สนใจเสียงโทรศัพท์ ไม่มีความรู้สึกใดกับสิ่งเร้ารอบข้าง ไม่แม้กระทั่งรู้สึกถึงลมหายใจของตัวเอง



กว่าหนึ่งชั่วโมงที่นั่งมองวิวเบื้องหน้าอย่างไร้ความหมาย บางครามีหยดน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้เป็นเพราะคิดถึง เสียใจ หรือรู้สึกผิดกันแน่

จากสถานที่ที่เคยคักคึก เวลานี้ทุกอย่างดูสงบลงแล้ว ร้านรวงทยอยปิดตัวลง ผู้คนเดินทางกลับที่พักตน เหลือเพียงไม่กี่คนที่ยังเดินอยู่แถวๆนี้เพื่อจัดการธุระบางอย่างเหล่าที่คั่งค้าง บ้างก็มีพาหนะขับผ่านแต่ก็นานๆครั้ง

การนิ่งอยู่เนินนานแบบนี้ ปกติควรเป็นแค่การนิ่งเพื่อละทิ้งสิ่งว้าวุ่นในใจ แต่กลับเหมือนว่ามันยิ่งทำให้คิดเรื่องต่างๆมากมายไปหมด คิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า วนเวียนกลับมาที่เดิม

ผมคงต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่างแล้วล่ะเพื่อขจัดความทุกข์ใจและความรู้สึกผิด



ตื๊ดดดดด ตื๊ดดดดดด ตื๊ดดดดดดด “ฮัลโหลตอม”

“ฮัลโหลครับพ่อ” ผมตอบกลับเมื่อได้ยินเสียงของพ่อจากการรับสาย และพยายามกดเสียงไว้ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทันทีที่ได้ยินเสียงของพ่อ ความรู้สึกมากมายก็รื้นขึ้นมาจนเกือบทำให้น้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง

“เป็นไงลูก สบายดีนะ เหนื่อยไหมวันนี้”

“ก็...” ผมสูญหายใจเข้าลึกๆ “เหนื่อยนิดหน่อยครับ เจอเรื่องมาหนักพอตัวเลยวันนี้”

“มันก็แบบนี้แหละนะชีวิตมหาวิทยาลัย ไหนจะเรื่องซ้อมเต้นอะไรนั่นอีก ตอมไม่เหนื่อยก็แปลกน่ะซิ” พ่อยังคงพูดอย่างสบายใจ เขาจะรับรู้บ้างไหมนะว่าการทิ้งงานให้คั่งค้างไว้ในอดีตนั้น มันส่งผลกระทบร้ายแรงต่อชีวิตของผู้อื่น แต่อย่าต้องมารับรู้เลย แค่นี้พ่อก็เจอเรื่องทุกข์ใจมามากพอแล้ว ผมขอแบกรับความทุกข์นี้ไว้คนเดียวก็พอ

“ผมยังไหวครับ สบายมากเลย” ผมฝืนพูด

“มาแปลกนะวันนี้ ปกติไม่เคยเห็นพูดอะไรแบบนี้ แต่ได้ยินแบบนี้ก็ดีใจนะ พ่อนึกว่าตอมจะงอแงซะอีกพอไปอยู่ไกลบ้านแบบนี้คงได้เรียนรู้อะไรมาเยอะ โตขึ้นแล้วนะลูกพ่อ”

“ค...ครับ” ทำไมการแสร้างว่าทุกอย่างยังปกติมันถึงได้ยากจังวะ “พ่อครับ...”

“ว่าไง”

“ตอมรักพ่อนะครับ”

“นี่วันพ่อเหรอ หรือวันเกิด เอ... ไม่ใช่นี่นา บอกรักพ่อเนื่องในโอกาสอะไรเนีย”

“ตอมแค่รักพ่อ ต้องมีโอกาสพิเศษอะไรด้วยเหรอ”

“งั้นเหรอ ก็ไม่เคยเห็นพูดมาก่อน แต่พ่อก็ดีใจนะ พ่อก็รักตอมเหมือนกันนะลูก”

“พ่อครับ”

“วันนี้เรียกพ่อบ่อยนะ ทุกอย่างปกติดีใช่ไหม”

“ก็ตอมคุยกับพ่ออยู่นี่นา ตอมก็ต้องเรียกพ่อซิ... พ่อเคยคิดไหมว่าเรื่องที่ครอบครัวของเราเจอ เรื่องที่เกิดขึ้นกับ....แม่ มันเป็นเพราะกรรมที่ครอบครัวเราเคยทำเอาไว้”

“นี่ตอมกำลังคิดถึงแม่อยู่ใช่ไหม ลูกร้องไห้อยู่หรือเปล่า มีเพื่อนอยู่แถวๆนั้นไหม พ่อเป็นห่วง”

“เปล่าครับ ตอมอยู่คนเดียว ตอมไม่ได้ร้องไห้ ตอมแค่ลองตั้งคำถามกับสิ่งที่มันเกิดขึ้น” แต่น้ำตาของผมไหลออกมาเรียบร้อยแล้ว

“อะตอมลูกพ่อ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาในชีวิตเรา มันคือบททดสอบนะลูก เราอาจไม่มีความสุขเหมือนครอบครัวอื่นๆ แต่เราก็ยังมีกัน เรายังมีชีวิต ยังมีคนอีกมากมายที่เจอเรื่องที่หนักกว่าเรา คนที่เจอกับโรคร้าย คนที่ขาดอิสรภาพ คนที่อยู่ก็เหมือนตาย คนพวกนี้น่าสงสารกว่าเรามากนะ”

“แล้ว....แม่ละครับ แล้วแม่คือคน ป...ประเภทไหน” ในที่สุดผมก็ห้ามตัวเองไม่ได้ “ทำไมถึงเป็นแม่ที่ต้องเจอกับเรื่องร้ายๆ ทำไมไม่เป็นคนอื่นหรือให้เป็นผมก็ได้”

“อะตอม” น้ำเสียงของพ่อบอกความห่วงใยและสงสารออกมาทันทีเมื่อรับรู้การร่ำไห้ของผม “ปล่อยวางเถอะนะลูก ก็อย่างที่ลูกบอก เราทุกคนมีกรรมเป็นของตัวเอง เมื่อฝืนมันไม่ได้ ก็ทำในส่วนของตัวเองให้ดีที่สุดก็พอ แค่ตอมเป็นคนดี พ่อเชื่อว่าแม่ของลูกจะดีใจแน่นอน”

“ค...ครับ” การพูดแต่ละคำช่างยากลำบากเหลือเกิน “พ...พ่อครับ....ตอมยอมแพ้แล้ว”

“ยอมแพ้? หมายถึงอะไรเหรอ”

“ที่...ที่ตอมเคยพูดไว้ว่าตอมจะใช้การเป็นผู้นำเชียร์เพื่อตามหาแม่ ต...ตอนนี้....ตอมรู้แล้วว่าควรยอมแพ้”

“ทำไมเหรอลูก เกิดอะไรขึ้น ซ้อมหนักเหรอหรือว่าเรียนไม่ไหว”

“เปล่า...เปล่าครับ ตอมแค่คิดว่ามันถึงเวลาที่ตอมจะต้องยอมแพ้แล้ว ตอมจะไม่...ไม่กลับไปเป็นผู้นำเชียร์อีกแล้ว ตอมรู้แล้วว่าเมื่อไหร่ที่ควรยอมแพ้ เราควรเชื่อที่พ่อพูดตั้งนานแล้ว ตอมจะเลิกตามห.............”



เอ๊ะ!? โทรศัพท์ โทรศัพท์อยู่ไหน ใครเอาโทรศัพท์ไป



“ฮัลโหลครับคุณพ่อ ผมชื่อแทนครับ เป็นเพื่อนของอะตอม”

“ท....แทน” จู่ๆ คนที่เป็นต้นเหตุของความทุกใจก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลังของผม พร้อมกับดึงโทรศัพท์ของผมไปคุย

“อะตอมแค่เหนื่อยนิดหน่อยครับ เขาไม่ได้หมายความตามที่พูดหรอกครับ” แม้คนตรงหน้าจะคุยโทรศัพท์อยู่ แต่เขาก็เอาแต่จ้องหน้าผมเขม็ง ไม่รู้ว่าโกรธหรืออะไรกันแน่ ผมจึงทำได้แค่ยืนอึ้งและเงียบฟัง “เรื่องที่จะตามหาคุณแม่ยังไม่เปลี่ยนแปลงครับ............................ครับ ผมยืนยันครับว่าเขาแค่เหนื่อยนิดหน่อย ทำให้สับสนไปบ้าง แต่เขาจะดีขึ้นครับ...........................ครับ ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะดูแลเขาเอง...............................ครับ สวัสดีครับ”

โทรศัพท์ของผมถูกส่งกลับมาเมื่อการสนทนาสิ้นสุด



“ท...ทำไม” นี่เป็นหนึ่งในคำพูดที่ไม่ใกล้เคียงกับสิ่งที่อยากจะพูดมากที่สุด แต่ก็พูดออกมาแล้ว เมื่อเห็นใบหน้าของคนๆนี้ ทุกอย่างในหัวของผมก็เหมือนจะสับสนไปหมด

“เพราะอดีตเปลี่ยนแปลงไม่ได้ไง” เขาตอบผมด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ผมไม่อาจเข้าใจความรู้สึกแท้จริงของเขาได้เลย “มันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป แต่เรื่องของอะตอมยังไม่ผ่านไป ยังมีโอกาสแก้ไขมันอยู่ ทำไมต้องทิ้งโอกาสนั่นด้วยล่ะ คิดได้ยังไงว่าจะเลิกตามหาแม่ ก็เคยบอกไปแล้วไงว่าจะช่วยตามหา”

“ขอ....ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ ฮื่ออออออออ....” นี่คือครั้งแรกเลยที่ผมร้องไห้ออกมาจริงจังขนาดนี้ น้ำตามันไหลออกมาไม่หยุด แม้พยายามแล้วแต่ก็ทำไม่ได้ “พ่อไม่ได้....ตั้งใจ พ่อไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษแทนพ่อด้วยนะ พ่อไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”

“มานี่” คนตรงหน้าคว้าร่างกายของผมเข้าไปกอดแนบไหล่ของเขาไว้ “พอได้แล้ว เลิกขอโทษได้แล้ว... ขอโทษนะที่เย็นชากับอะตอมไป ตอนนั้นมันยังทำใจไม่ได้... แต่ว่าตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ ไม่โทษใครทั้งนั้น อย่าทิ้งความฝันที่อยากเจอแม่ของอะตอมเลยนะ”

ดีเหลือเกิน เขาช่างใจดีเหลือเกิน ในโลกนี้มีคนที่แสนดีขนาดนี้อยู่ด้วยอย่างนั้นหรือ

เหนือกว่าร่างกายที่ใหญ่กว้างก็คือจิตใจของเขานี่แหละที่มันกว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด อย่างกับว่าสามารถโอบล้อมชีวิตของเราทั้งชีวิตไว้ได้เลย

“ไปกันเถอะ ทหารเริ่มออกตรวจแล้ว” แทนเตือนเมื่อเห็นรถสีเขียวของพวกทหารขับสำรวจ

ผมค่อยๆคลายตัวออกมา

ตอนนี้เหมือนผมจะเพิ่งรู้ตัวว่าท้องฟ้ามืดลงมากแล้ว

แม้จะยังไม่สร่างจากคราบน้ำตา แต่ผมก็ถูกนำทางไปยัง....



“นี่รถใครอ่ะ” จู่ๆ แทนก็เปิดรถยนต์คันหนึ่งเพื่อให้ผมเข้าไป

“เช่ามา” เขาตอบ

แบบนี้นี่เอง ผมรีบขึ้นไปบนรถ วางกระเป๋าของตัวเองลงและจัดแจงใบหน้าที่เลอะไปด้วยน้ำตาออกไป

ไม่นานจากนั้นแทนก็ขับรถออกไป

“ร...รู้ได้ยังไงว่าอยู่ที่นี่” ถึงผมจะสบายใจขึ้นแล้ว แต่การพูดกับแทนแบบจริงจังที่นอกจากคำว่าขอโทษ มันไม่ใช่อะไรที่พูดออกมาได้ง่ายๆเลย

“ด่านเจดีย์สามองค์นี่อ่ะเหรอ” เขาทวน “ก็อะตอมพูดเองไม่ใช่เหรอว่าอยากมาที่นี่”

“แต่มันไม่ได้แปลว่าจะเจอจริงๆนี่นา” ผมยังสงสัย

“ก็เจอแล้วนี่ไง มันอาจจะเสี่ยงไปหน่อย แต่ก็ถือทายถูก ดีที่ทันมาได้ยินอะตอมกำลังคุยกับพ่อ เรื่องที่จะเลิกตามหาแม่น่ะ อย่าทำอีกนะ” เขายังคงย้ำ

“ก็มัน....”

“ไม่ต้องแล้ว ไม่ต้องพูดถึงทุกๆเหตุผล ยังไงการตามหาแม่ของอะตอมก็ต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง”

“ขอโทษจริงๆนะ เรื่องที่...”

“เลิกพูดเถอะ ไม่มีใครต้องขอโทษใครอีกแล้ว” ผมเหมือนโดนเอ็ดแต่ก็เหมือนโดนปลอบไปพร้อมๆกัน “เราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้กันอีกแล้ว แต่ถ้าอยากจะพูดอะไร มีคนนึงที่อะตอมต้องรีบพูดกับเขา”

“ใคร?”

“พี่น้ำชาไง เรื่องที่จะเลิกเป็นเชียร์ลีดเดอร์น่ะ รู้นะว่าทำแบบนั้นทำไม เพราะไม่กล้ากลับมาเจอหน้ากันอีกใช่ไหม”

“ก็ตอนนั้น...”

“ตอนนั้นก็ส่วนตอนนี้ ตอนนี้ก็คือตอนนี้ ตอนนี้ยังทัน รีบโทรไปหาพี่น้ำชาเถอะ บอกพี่เขาว่าทุกอย่างปกติดี พรุ่งนี้เราสองคนจะยังไปบล็อกกิ้งและซ้อมเต้นเหมือนเดิม.... รออะไรล่ะ โทรไปดิ”

“คือ.... ไม่มีเบอร์พี่น้ำชา”

“อ๋อ ใช่ ลืมไป เอาเครื่องนี้โทรก็ได้” แทนส่งโทรศัพท์ของตัวเองมาให้ผม “เบอร์ที่โทรเมื่อกี๊นั่นแหละ โทรออกได้เลย”



ผมทำตามนั้น



“ฮัลโหลครับพี่น้ำชา” ผมพูดเมื่อมีคนรับ

“ฮัลโหลแทน เป็นไง เจออะตอมหรือยัง” น้ำเสียงพี่น้ำชาฟังดูร้อนใจอย่างเห็นได้ชัด ทุกคนต่างเป็นห่วงผมอยู่ซินะ “ถ้าวันหลังพากันไปไหนแล้วทิ้งเพื่อนไว้แบบนี้อีก พี่จะจับเงสองคนแยกกันแล้วนะ ว่าอย่างที่ไหน...”

“พ..พี่น้ำชาครับ” ผมต้องรีบขัด “นี่ผมอะตอมเองครับ”

“อะตอม! เจอกับแทนแล้วใช่ไหม ค่อยหายห่วงหน่อย เกิดอะไรขึ้น”

“ไม่มีอะไรแล้วครับ พี่น้ำชาครับ คือ... เรื่องที่ผมบอกว่าจะไม่เป็นลีดแล้ว ผมยัง...กลับไปซ้อมเหมือนเดิมได้ไหมครับ”

“ได้ซิ ได้อยู่แล้ว พี่ดีใจนะที่ได้ยินแบบนี้”

“ครับ ขอบคุณครับ”

“ว่าแต่เรื่อง... เอ่อ... แค่นี้ก่อนนะอะตอม พี่มีธุระ” ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด

อ้าว วางซะแล้ว
หัวข้อ: LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 14 [เริ่มใหม่ Part 2]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 01-10-2018 22:24:24
ตอนที่ 14 : เริ่มใหม่ Part 2 - 2/2



“อ่ะ” ผมยื่นโทรศัพท์คืนให้คนที่กำลังขับรถ

“ยังไม่ต้องคืน มีอีกอย่างนึงที่อยากให้ดู” แทนบอก “เปิดรูปในมือถือดูซิ”

“รูป?”

“ใช่ เปิดคลังภาพขึ้นมาดูเลย”

“เนี่ยอ่ะเหรอ” มันคือภาพของใบหน้าคนแต่ละคน

“ใช่ รู้จักใครในนี้ไหม”

“ห๊ะ” ตอนนี้ผมลืมเรื่องเศร้าเมื่อกี๊ไปแล้วเพราะมีความงงเข้ามาแทนที่

“ดูไปเรื่อยๆก่อน ถ้ารู้จักหรือคุ้นคนไหนก็บอก”

“เอ่อ...” อ่ะๆ ดูก็ดู

ผมเลื่อนภาพดูไปเรื่อยๆ ใบหน้าของแต่ละคนที่ผมเห็นทำให้ผมรู้สึกสะกิดใจอะไรบางอย่าง แต่มันก็ไม่มากพอที่ผมจะกล้าพูดออกมาว่ารู้จักหรอกนะ

“ก็...อาจจะคุ้น..มั้ง” ผมตัดสินใจพูดเมื่อเลื่อนดูทั้งหมดและพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว “แต่ก็คงไม่รู้จักอะไรเป็นพิเศษหรอก ทำไมเหรอ ให้ดูคนพวกนี้ทำไม”

“งั้นเหรอ” เหมือนแทนจะผิดหวังในคำตอบของผม “สักคนก็ไม่รู้จักเลยเหรอ ลองดูอีกทีไหม”

“ดูดีแล้ว สรุปว่าจะบอกได้หรือยังว่าให้ดูรูปคนพวกนี้ทำไม”

“ถ้าบอกอะไรไปอย่าเพิ่งตกใจนะ”

“อะไร” ยิ่งพูดยิ่งงง

“คนพวกนี้คือคนที่ถูกจับตัวไปพร้อมกับแม่ของอะตอม”

“อะไรนะ!” ถ้ามีอะไรที่สามารถทำให้ผมส่งเสียงให้ดังกว่านี้ได้ผมก็จะทำ “ล...แล้วๆๆ แล้วเอารูปพวกนี้มาจากไหน แล้วทำไมไม่มีรูปของแม่ล่ะ แล้ว...”

“ใจเย็นๆ อะตอม”

“ใจเย็นบ้าอะไรล่ะนี่มันเรื่องสำคัญนะ บอกมาซิว่าไปเอารูปคนพวกนี้มาได้ยังไง”

“ก็จะอธิบายอยู่นี่ไง แต่อะตอมต้องเงียบก่อน”

“ก็พูดมาดิ...” ผมยังเร่งเร้า

“เมื่อวานนี้ทางการฟิลิปปินส์จับแก๊งค้ายาที่จับคนในหมู่บ้านของอะตอมเป็นตัวประกันได้”

“จับได้แล้วเหรอ!”

“ฟังก่อนนะ ใจเย็นๆ” แทนคงเห็นว่าผมเริ่มร้อนรน เขาจึงเอื้อมมือมากุมมือผมไว้ “ใช่ จับได้แล้ว แต่ว่ายังไม่ใช่ทั้งหมด”

“หมายความว่าไง สรุปว่าจับได้หรือไม่ได้”

“จับได้ แต่แก็งพวกนี้กระจายตัวออกไปที่ประเทศอื่นๆด้วย ที่ให้อะตอมดูภาพของคนพวกนั้นก็เพราะว่านี่เป็นชาวบ้านแค่ส่วนเดียวที่ตำรวจช่วยไว้ได้”

“หมายความว่า...” ผมไม่อยากพูดคำที่สิ้นหวังนี้เลย “ไม่เจอแม่เหรอ”

“ตอนนี้ยัง แต่ไม่ต้องห่วงนะ ได้ข่าวมาว่าตำรวจสากลลงมาทำคดีนี้แล้ว คงจะมีการขยายผลไปที่คนอื่นๆอีก และถ้าจับผู้ต้องหาทุกคนได้ ก็มีโอกาสสูงมากที่จะได้เจอแม่ของอะตอม”

“จริงเหรอ”

“จริงซิ เพราะงั้นอย่าเพิ่งยอมแพ้นะ อะตอมยังต้องมีความหวังนะ ถ้าวิเคราะห์ดีๆ อย่างน้อยเราก็รู้อย่างนึงแล้วว่าคนที่ถูกจับตัวไปยังคงมีชีวิตอยู่”

รู้สึกเหมือนไฟแห่งความหวังถูกจุดให้ลุกโชติช่วงขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งที่น้ำตาเพิ่งจะหยุดไหลแต่ก็ไหลออกมาอีกจนได้ เพียงแต่ต่างออกไป นี่คือน้ำตาของความดีใจสุดชีวิต

“แล้ว... รู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง” เมื่อปรับอารมณ์ได้ ก็เกิดคำถามนี้ขึ้นมาในหัวทันที

“ใช่แล้ว ลืมไปเลย ต้องโทรหาคนๆนึง” แทนนึกอะไรบางอย่างได้ “กดโทรหาคุณวินัยให้หน่อย อยู่ในรายการโทรนั่นแหละ”

“ใคร?”

“เดี๋ยวเล่าให้ฟัง โทรก่อนเถอะ”



ผมรีบทำตามนั้น แล้วส่งโทรศัพท์คืนให้เขา



“ฮัลโหลครับ คุณวินัย ขอโทษที่โทรมาช้านะครับ” แทนกำลังคุยกับใครอยู่นะ “เรื่องคือว่า......”



อ๋อออออ

หลังจากที่ผมได้ฟังบทสนทนาทั้งหมดก็เริ่มเข้าใจสถานการณ์แล้ว

พี่น้ำชาช่างมีน้ำใจจริงๆ พี่ตองก็ด้วย พวกเขาอุตส่าจ้างนักสืบตามเรื่องแม่ให้กับผม ไม่ว่าเรื่องนี้จะสำเร็จหรือไม่ แต่บุญคุณครั้งนี้ช่างยิ่งใหญ่ ผมจะชดใช้พวกพี่เขาหมดในชาตินี้หรือเปล่าก็ไม่รู้

เมื่อเรื่องทุกอย่างกระจ่าง ความรู้สึกอึดอัดและเศร้าใจได้รับการเยียวยา ตอนนี้ผมก็เริ่มที่จะมีความสุขกับบรรยากาศรอบตัวแล้ว ถนนที่มืดมิดทำไมถึงได้ดูสวยงามแบบนี้นะ แม้สองข้างทางจะมองไม่เห็นอะไรมากนักแต่ผมก็อยากจะมองมันตลอดเวลา แถมยังมีคนข้างๆคอยจับมือให้กำลังใจผมแบบไม่ปล่อยเลย





“จอดรถทำไมอ่ะ” ผมถาม จู่ๆคนข้างๆผมก็จอดรถยนต์ที่ข้างทางหลังจากเดินทางกันมาพักใหญ่ๆ

“จำไม่ได้แล้วเหรอ” จำอะไรได้วะ “วันนี้อะตอมมาที่นี่เพื่ออะไร... ไหว้พ่อใช่ไหม แล้วไหว้หรือยัง”

“ย...ยัง”

“ก็นี่ไง พากลับมาไหว้พ่อแล้ว รีบลงรถเถอะ เดี๋ยวจะดึกไปมากกว่านี้ ต้องเอารถไปคืนแล้วก็ต้องกลับมหาลัยอีก”

“ท...แทน” ผมรั้งเขาไว้

“ว่าไง”

“มันจะดีเหรอ คือยังไงก็...”

“ดีซิ มันต้องดีอยู่แล้ว อะตอมจะได้ขอโทษแทนพ่อตัวเองสำหรับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น”

“.............” ผมไม่กล้าพูดอะไรต่อเลยเมื่อกลับมาได้ยินเรื่องนี้อีกครั้ง

“ไปเถอะนะ ไปไหว้พ่อเถอะ ถ้าได้ทำอาจจะรู้สึกดีขึ้นก็ได้ หมดเรื่องที่ค้างคาใจ ให้พ่อได้มีโอกาสยกโทษให้อะตอมกับครอบครัวบ้าง”

นั่นซินะ แม้มันจะเป็นการกระทำที่ไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่ แต่เพื่อขจัดความรู้สึกผิดในใจ การไหว้ขอขมาพ่อของแทนก็อาจจะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นก็ได้

“ไปเถอะ เร็วเข้า” แทนชวนอีกครั้ง



ด้วยความที่บรรยากาศมืดลงไปมาก เราสองคนจึงต้องเดินอย่างระมัดระวังเพื่อลงไปที่ใต้สะพาน



คืนนี้เป็นคืนเดือนหงาย บวกกับแสงไฟสลัวๆและเสียงดนตรีเบาๆจากแพร้านอาหารที่อยู่ไม่ไกล คงไม่มีใครคิดมาก่อนว่าใต้สะพานที่หลบจากสายตาของผู้คนจะมีบรรยากาศที่ชวนให้หลงใหลเช่นนี้ หากหนุ่มคนไหนพาสาวๆมาสารภาพรักที่นี้ คงยากที่จะถูกปฏิเสธ..... กูคิดอะไรของกูเนีย



“อะนี่”

“อะไรเหรอ” ผมมองเห็นสิ่งที่แทนส่งมาให้ไม่ค่อยถนัดนัก

“ดอกไม้ธูปเทียนไง” คนตรงหน้าผมบอกพร้อมกับส่งรอยยิ้มมาให้

“นี่เตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ก็ตั้งแต่ที่สำนึกได้ว่าทำไม่ดีกับอะตอมไปไง กะเอาไว้ว่ายังไงก็ต้องพากลับมาไหว้พ่อให้ได้”

“ขอบใจนะ” ผมยอมรับก็ได้ว่าผมส่งยิ้มกลับไป นี่น่าจะเป็นรอยยิ้มแรกเลยที่ผมมอบให้เขาโดยที่เขาไม่ต้องแกล้งทำให้ผมขำ

วันนี้คือวันที่เป็นข้อพิสูจน์ได้อย่างดีว่าคนๆนี้มีจิตใจที่อบอุ่นและยิ่งใหญ่เหลือเกิน

ผมหันหน้าไปที่ตอหม้อสะพาน พร้อมกับยกมือขึ้นไหว้

“สวัสดีครับคุณพ่อ” ผมตัดสินใจที่จะพูดออกมาเพื่อแสดงความจริงจังและจริงใจในการสักการะวิญญาณของบุคคลผู้ล่วงลับ “ผมชื่ออะตอมนะครับ เป็นลูกชายของพ่อเมฆ ผู้รับเหมาขุดเจาะทราย คนที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้...”

“ไม่ต้องพูดก็ได้นะ” แทนแทรก เขาคงกลัวว่านี่อาจจะทำให้ผมกลับไปเศร้าอีกครั้ง

“ไม่เป็นไร พูดออกมานั่นแหละดีแล้ว.... ผมขอโทษนะครับที่ครอบครัวของผมเป็นต้นเหตุทำให้คุณพ่อเสียชีวิต ผมขอรับผิดแทนครอบครัวทั้งหมดที่ไม่มารับผิดชอบเก็บงานให้เรียบร้อยจนเกิดอันตรายขึ้น ผมคงไม่หวังให้วิญญาณของคุณพ่อให้อภัย และก็ไม่ได้หวังให้แทนให้อภัยด้วย แต่แค่อยากบอกให้คุณพ่อรู้ว่าผมเสียใจ หากตอนนั้นครอบครัวของผมไม่ได้พบกับการสูญเสียคนในครอบครัวเช่นกัน พวกเราไม่มีทางทิ้งสิ่งที่ต้องทำไว้แบบนี้แน่นอน แต่ในเมื่อเวลามันย้อนกลับไม่ได้แล้ว ผมจึงพูดได้แค่ขอโทษ และเพื่อชดเชยสิ่งที่ครอบครัวผมทำเอาไว้ ผมสัญญาว่าจะมีชีวิตอยู่เพื่อทำสิ่งใดก็ตามที่ลูกชายของคุณพ่อร้องขอ จะช่วยเหลือและอยู่ข้างๆเขา ขอให้วิญญาณของคุณพ่อจงสงบสุขนะครับ”

ได้พูดทุกอย่างที่ควรจะพูดแล้ว แม้จะเศร้าแต่ก็สบายใจขึ้นมามากจริงๆ

“อะตอม” แทนเรียกผม “พูดจริงเหรอที่ว่าจะอยู่ข้างๆกัน”

“จริงซิ” ผมตอบทันที “จะอยู่ข้างๆ จะคอยช่วย จะทำสิ่งที่แทนขอร้อง ถึงแม้ที่ผ่านมาแทนจะเป็นคนที่ช่วยมาตลอด แต่ต่อไปนี้...”

“ไม่ต้องหรอก” เขาตัดบท “ขอแค่ประโยคที่พูดว่าจะอยู่ข้างๆกันก็พอ แค่นี้ก็ทำให้รู้แล้วว่าที่ตัดสินใจตามหาอะตอมในวันนี้ ไม่ใช่การตัดสินใจที่ผิดพลาด”

“...............” ผมเข้าใจนะ เขาคงต่อสู้กับความรู้สึกของตัวเองมาไม่น้อย แต่เล่นพูดตรงๆแบบนี้ คนฟังก็เขินเป็นนะ “ไอ้บ้า พูดอะไรไม่รู้จักอาย เอาดอกไม้ไปวางดีกว่า”

“ระวังนะ มันลื่น” คนข้างหลังเตือน



ผมค่อยๆเดินผ่านสายน้ำตื่นๆระหว่างขอบตะหลิงเพื่อเอาดอกไม้ธูปเทียนไปวางยังตอหม้อบนแทนปูนที่สามารถวางได้



ผมยืนนิ่งมองอยู่อย่างนั้นสักพักก่อนที่จะหันกลับมา

โอเค แค่นี้ก็รู้สึกสบาย.....



“ระวัง!!!”

เชี่ยยยยยย

จู่ๆผมก็เสียหลักเพราะเหยียบก้อนหินลื่นๆใต้ผิวน้ำ ดีนะที่แทนคว้าตัวผมไว้ได้ก่อน

ผมพยายามช่วยเหลือตัวเองให้ขึ้นมายืนทรงตัวเหมือนเดิมจากการถูกประคองเอวไว้

“ขอบใจน......................................................................”



ผมตกใจนิดหน่อยที่ดวงตาของผมและคนตรงหน้าอยู่ใกล้กันมากถึงเพียงนี้........



ไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยว่าเขามีนัยตาสีน้ำตาลอ่อนที่ระยิบระยับเมื่อต้องแสงไฟ

ไม่เคยรู้เลยว่าขนคิ้วที่ดำหนาพวกนั้นเรียงเส้นสลับไปมาได้อย่างเป็นระเบียบ

แม้จะเคยเห็นหน้ากันบ่อยแล้ว แต่ก็เพิ่งเห็นว่าเขามีจมูกที่สูงตรงจนเกือบชนกับใบหน้าของเรา

และก็ไม่เคยรับรู้มาก่อนเลยว่าสัมผัสของริมฝีปากเรียวตรงจะให้สัมผัสเช่นนี้......



“แทน!”

นี่มันอะไรกัน

ผมพยายามดึงสติตัวเองกลับมาไม่ให้เคลิบเคลิ้มด้วยการผลักตัวเองออกจากคนตรงหน้า

ที่เกิดขึ้นเมื่อกี๊ ผมเพิ่งจะถูกเขา.... จูบ ใช่ไหม

“ท...ทำแบบนี้ทำไม” เสียงของผมมันติดขัดอย่างช่วยไม่ได้จริงๆ

“อ...” แทนเอาแต่อ้าปากค้างและขมวดคิ้ว สายตาของเขามองอยู่แต่ที่พื้น “ไม่รู้ ข...ขอโทษ เราขอโทษ จู่ๆมันก็... ควบคุมตัวเอง...ไม่ได้ ขอ...ขอโทษ”

“ไม่เป็นไรๆ” ทำไมผมถึงกลายมาเป็นคนพูดปลอบล่ะ ผมโดนกระทำนะ แต่พอเห็นสายตาที่ไม่มั่นคงของคนตรงหน้าแล้ว มันทำให้ผมรับรู้ถึงความสับสนที่อาจก่อตัวเป็นความสับสนที่ไม่สิ้นสุด ผมจึงต้องห้ามไว้ก่อน “ไม่เป็นไรนะ เมื่อกี๊ มันแค่... อุบัติเหตุ... ใช่ไหม”

“เปล่า” อ้าว อะไรของมึงวะ อุส่าจะหาสาเหตุให้ ปฏิเสธซะเร็วเชียว “เรา... เราตั้งใจ... ทำ”

“.........” ไปต่อไม่ถูกเลยกู

“ต...แต่....คือ....ทำไม..... ม....ไม่เข้าใจเลย” เพิ่งเคยเห็นแทนมีท่าทีไม่มั่นใจแบบนี้เป็นครั้งแรกเลย เขาดูสับสนและเครียดจริงๆ

“ช่างมันเถอะ” งั้นก็ช่างแม่งละกัน ก็ทำอะไรไม่ได้แล้วนิ ไม่เข้าใจกันทั้งสองฝ่ายแบบนี้ จริงๆผมเองก็ควรจะสับสนด้วยซ้ำ “กลับกันได้แล้ว พรุ่งนี้มีบล็อกกิ้งแต่เช้า”

“เดี๋ยว” ผมถูกรั้งไว้ในวินาทีที่จะเดินสวนเพื่อขึ้นไปบนถนน

“..............” ผมไม่ถามว่ารั้งผมไว้ทำไมด้วยซ้ำ แค่ยืนนิ่ง ความรู้สึกมากมายมันหลั่งไหลเข้ามาเต็มไปหมดเลย

“เราเลิกเป็นเพื่อนกันเถอะ”

“ห๊ะ” จะบ้าเหรอ แค่....จูบกันนิดเดียว ถึงขั้นต้องเลิกเป็นเพื่อนกันเลยเหรอ

เออ แต่ก็เข้าใจได้แหละ อยู่ดีๆก็จูบผู้ชายด้วยกัน เป็นใครก็ต้องวิตกจริตเป็นธรรมดา ไม่อยู่ใกล้กันน่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่า

บ้าเอ๊ย เพิ่งจะปรับความเข้าใจกันได้ เกิดเรื่องใหม่ให้ต้องปล่อยมือออกจากกันอีกแล้ว

“เห้ย! เดี๋ยวๆ ทำไรอ่ะ” จู่ๆผมก็ถูกดึงให้เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของไอ้คนสับสน

“.................” แทนกอดผมนิ่งอยู่แบบนั้น นิ่งสนิท นิ่งเหมือนกับว่ากำลังมีความคิดมากมายตีกันอยู่ในหัว

“เอ่อ....แทน” ผมเรียกทั้งๆที่ถูกกอดอยู่แบบนั้น

“เราไม่ต้องเป็นเพื่อนกันแล้วได้ไหม” นึกว่าจะพูดอะไร สุดท้ายก็พูดประโยคเดิม “ถ้าขืนยังเป็นเพื่อนกันต่อไป...........









.............เราคงไม่กล้าเริ่มใหม่ในฐานะอื่น”
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER ภาค 2 [เชียร์ฝันสนั่นหัวใจ] - ตอนที่ 14 : เริ่มใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: BBChin JungBB ที่ 02-10-2018 02:16:20
หูยๆ เอาแล้วๆ เค้าจะขยับสถานะกันแล้วจ้า  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER ภาค 2 [เชียร์ฝันสนั่นหัวใจ] - ตอนที่ 14 : เริ่มใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 02-10-2018 14:52:53
แทน อะตอม   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 15 : ยอม
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 08-10-2018 22:55:48
​ตอนที่ 15 : ยอม









(ในมุมมองของบุ๋น)



“กูเข้าใจนะว่ามึงกำลังเศร้า แต่มึงก็นั่งนิ่งแบบนี้มานานแล้วนะ ไปหาอะไรกินไหมเพื่อน”

“กูไม่หิว” ผมตอบ

ตั้งแต่ลากไอ้ตองออกมา ผมก็ขอให้มันมานั่งฟังเรื่องการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ระหว่างผมกับพี่ท๊อปที่สวนเทเลทับบี้(สวนสาธารณะ)ข้างคณะวิทยาศาสตร์

ไอ้ตองเป็นหนึ่งในเพื่อนที่ค่อนข้างเข้าใจผมมากที่สุด มันไม่ถามซักไซ้ แค่ถามถึงสาเหตุนิดหน่อย ที่เหลือส่วนใหญ่ก็คือให้มันมานั่งข้างๆผมเท่านั้น ผมไม่พร้อมที่จะอยู่คนเดียว แม้ผมจะเป็นคนตัดสินใจเดินออกมาจากพี่ท๊อปเอง แต่การหายไปของคนที่เคยอยู่ด้วยกันตลอดเวลาไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ผมพยายามที่จะทำทุกอย่างให้เด็ดขาด ผมไม่เช่าบ้านต่อ ผมจ้างคนให้ไปขนข้าวของออกจากบ้านเช่า นั่นไม่ใช่ว่าผมเข้มแข็ง แต่เพราะผมรู้ตัวดีว่าจิตใจของผมอ่อนแอ ถ้ามีแม้แต่เสี้ยววินาทีหนึ่งที่ผมจะเห็นหน้าของพี่ท๊อป ผมก็จะใจอ่อนทันที

อย่าหาว่าผมใจร้ายเลยนะ ผมไม่ใช่ไม่รักพี่เขา แต่ด้วยความรักที่มากมายนี้ต่างหากที่ทำให้ผมตัดสินใจทำแบบนี้ ถึงแม้พี่ท๊อปจะดูเป็นคนฉลาด แต่ผมรู้ดีว่าถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับผม พี่เขาจะเป็นคนดื้อและไร้เหตุผล และเพื่อป้องกันไม่ให้พี่ท๊อปทิ้งความพยายามและอนาคตของตัวเองในเกาหลีไป ผมต้องเป็นคนลงมือทำอะไรสักอย่างเอง



#เสียงโทรศัพท์

“รับโทรศัพท์หน่อยไหมเพื่อน” ไอ้ตองเตือนผมหลังจากที่ผมปล่อยให้มันดังอยู่อย่างนั้น

“กู...ไม่กล้าดู” ผมสารภาพ

“กลัวพี่ท๊อปจะโทรมาอะดิ” มันพูด ผมแค่พยักหน้า “เอามานี่ กูรับให้เอง”

ไอ้ตองดึงโทรศัพท์ออกไปจากกระเป๋ากางเกงของผม

“หึ!นี่เบอร์ของกูนิ” ไอ้ตองบอก จากนั้นมันก็รับสาย “ฮัลโหล”

“.............................”

“อ้าว ชาเองเหรอ” ไอ้น้ำชานั่นเองที่โทรมา

“............................”

“พี่ลืมโทรศัพท์ไว้ที่นั่นหรอกเหรอ แล้วชามีอะไรครับ”

“............................”

“นั่นซิ พี่ออกมานานแล้วนี่นา ลืมไปเลยว่าชายังไม่ได้กินอะไร”

“............................”

“โอเคครับ งั้นเดี๋ยวพี่ไปรับ อยากกินอะไรครับวันนี้” เห็นไอ้ตองแสดงความเป็นห่วงเป็นใยแฟนมันแล้ว ผมก็รู้สึกอิจฉาและเจ็บจี๊ดในใจขึ้นมาทันทีเลย “...........ครับ ได้ครับ รอแป๊บนึงนะ”



“มึงไปเถอะ” ผมเอ่ยปากก่อนที่ไอ้ตองจะทันได้พูดอะไร “กูจะอยู่ตรงนี้แหละ”

“เห้ย ไม่ได้ กูไม่ปล่อยให้มึงอยู่คนเดียวหรอก ไปๆ ชาหิวข้าวแล้ว”

“กูไม่ไปไง” ผมก็มีมุมดื้อนะ

“แล้วมึงจะกลับยังไง รถมึงจอดอยู่คณะสังคมโน่นนะ จำได้หรือเปล่าว่ามึงเอารถกูออกมา”

“เออ กูหาทางกลับเองได้”

“เอ๊ะ มึงนี่ดื้อเกินไปแล้วนะ ถ้ามึงเป็นน้ำชาก็จะจับปล้ำแม่งตรงนี้แหละ กูยิ่งอารมณ์ค้างอยู่ด้วย”

“ไอ้เวรตอง”

“เออ กูพูดเล่น ไปๆๆ อยากให้กูพูดมากกว่านี้นะ ไม่งั้นกูจะจับมึงลากไปเดี๋ยวนี้แหละ”

“เออๆๆ” ไปก็ไปวะ ขืนไม่ไปไอ้ห่าตองมันลากผมไปจริงๆแน่ ไอ้นี่แม่งเถื่อนกับผมตลอด





“หายไปไหนกันมาตั้งนานอ่ะ” นี่คือคำพูดแรกของไอ้น้ำชาเมื่อผมเดินทางมาถึงห้องซ้อมคณะสังคม

“มีเรื่องคุยกันนิดหน่อยน่ะ” ไอ้ตองตอบ

“งั้นไปหาอะไรกินกันเถอะ ชาหิวมากกกกเลย”

“แล้วไม่ได้กินขนมปังที่ซื้อมาเหรอ”

“ก็...กิน แต่มัน...หิวอีกแล้ว”

“โห ชากินเยอะขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ไม่รู้ๆ หิวก็หิวไง” ไอ้น้ำชาโวยวายเฉยเลย “พี่บุ๋น ไปกันเถอะพี่ ชวนพี่ท๊อปไปกินข้าวด้วยกันก็ได้นะ ไปเจอกันที่ร้าน วันนี้ผมอยากกินซูชิ เห็นว่าพี่ท๊อปชอบ....”

“ชา!!!” ไอ้ตองคงเห็นว่าผมหน้าเสียที่ได้ยินชื่อพี่ท๊อปจึงรีบเข้าไปห้ามแฟนตัวเอง

“ทำไมอ่ะ” ก็เป็นธรรมดานั่นแหละที่ไอ้น้ำชาจะงง มันยังไม่รู้เรื่องของผมกับพี่ท๊อปนี่นา “ก็ชวนพี่ท๊อปไง พี่ท๊อปชอบกินซูชิ ชาจำได้”

“ชอบไม่ชอบก็.... เอาเป็นว่าเราไปกันแค่นี้แหละ” ไอ้ตองพยายามแก้สถานการณ์ให้ดีขึ้น ใจผมก็อยากจะพูดว่าไม่เป็นไรนะ แต่จริงๆมันไม่ใช่ ผมเป็น เป็นหนักด้วย “แล้วกินซูชิได้ด้วยเหรอ ไหนบอกไม่กินอาหารดิบไง”

“ก็.... ลองกินดู เผื่อจะอร่อย”

“ชาแปลกๆนะวันนี้”

“ไม่แปลกอะไรทั้งนั้นแหละ ไปกินได้หรือยัง หิวจะแย่อยู่แล้ว”

“โอเค ไปก็ไป”



กว่ามันสองคนจะเคลียร์ปัญหาครอบครัวกันได้ ในที่สุดก็ได้ออกมาหาอะไรกินซะที



พอมาถึงร้าน ผมกลับรู้สึกจิตตกอีกครั้ง พี่ท๊อปชอบกินซูชิมากๆ ผมแค่เห็นหน้าซูชิก็พลอยทำให้นึกถึงหน้าของเขา



“พี่บุ๋นเป็นอะไรหรือเปล่า” ไอ้น้ำชาถามผม ตอนนี้เรานั่งอยู่ในร้านซูชิร้านหนึ่ง ซึ่งไอ้น้ำชาเป็นคนเลือกเอง เห็นมันบอกว่าดูในรีวิวร้านอาหารมา ท่าทางน่ากิน “ทำไมหน้าเศร้าจัง”

“ชา” ไอ้ตองพยายามเตือนแฟนตัวเองอีกครั้ง

“อะไรอ่ะ” ไอ้น้ำชาเริ่มไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น “พี่ตองเอ็ดชาอีกแล้วนะ นี่มีอะไรที่ชาควรจะต้องรู้หรือเปล่า”

“มานี่ ออกไปคุยกับพี่ข้างนอก” ไอ้ตองพยายามลากแฟนมันออกไป

“ทำไมอ่ะ ออกไปทำไม”



“ไม่ต้องหรอก” ผมขอเป็นคนพูดเรื่องเองก็ได้ ถึงยังไงซะไอ้น้ำชาก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล รู้จากไอ้ตองหรือจากผมก็ไม่ได้ต่างกันนักหรอก “กูจะบอกมึงอยู่แล้ว”

“บอก?บอกอะไรอ่ะ” ไอ้น้ำชาถาม

“กูกับพี่ท๊อป....” เห้อ พูดยากจังวะ พูดๆไปเถอะ “ไม่ใช่กูกับพี่ท๊อปอีกแล้ว”

“เอ่อ... ยังไงนะ แล้วพี่กับพี่ท๊อปเป็นใครไปแล้วอ่ะ ผมไม่เห็นจะเข้าใจเลย”

“กูกับพี่ท๊อปเลิกกันแล้ว” ต้องให้กูพูดตรงๆใช่ไหมถึงจะเข้าใจ

“จ...จริงดิ เมื่อไหร่อ่ะพี่ เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงเลิกกัน แล้วพี่ท๊อปเป็นไงบ้าง แล้วต่อจากนี้จะเป็นยังไง...”

“ชาครับ” ไอ้ตองแทรก “บางทีตอนนี้อาจจะยังไม่ใช่เวลาตั้งคำถามพวกนี้นะ ให้บุ๋นมันทำใจหน่อย มันเองก็คงเสียใจ”

“แต่ชาเป็นห่วงนี่นา จู่ๆมาได้ยินเรื่องแบบนี้ พี่ท๊อปจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ ว่าแต่...แค่บอกชามาว่าทำไมถึงเลิกได้ไหม”

“เพื่อพี่ท๊อป” ได้ อยากฟัง งั้นเดี๋ยวกูบอกให้ “พี่ท๊อปกำลังทิ้งอนาคตทุกอย่างเพราะกู เขากำลังจะทิ้งความพยายามเกือบสองปีที่เกาหลีเพื่อมาอยู่กับกู ทั้งๆที่ทุกอย่างกำลังไปได้สวย กู...ยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้ กูไม่ได้ไม่รักเขานะ แต่ที่ต้องเลิกกันก็เพราะว่ารักนี่แหละ เพราะงั้นอย่าถามอะไรกูอีกเลยนะ”

“................” มันไม่ถามอะไรผมต่อจริงๆ แต่ขมวดคิ้วและมีสีหน้าของความไม่เข้าใจอย่างชัดเจน

“มึงสงสัยอะไรอีก” ก็มันทำหน้าชวนให้ถามอ่ะ ผมก็ต้องถามซิ

“เปล่าพี่ ผมแค่ไม่เข้าใจตรรกะของพี่ พี่กับผมก็เด็กเอกเลขทั้งคู่นะพี่ แต่ผมไม่เข้าใจวิธีการให้เหตุผลของพี่จริงๆ เพราะรักก็เลยต้องเลิกเนี่ยนะ ถ้าทุกคนคิดกันแบบนี้ งั้นคนรักกันก็ต้องเลิกกันหมดโลกแล้วอะดิ”

“แต่ไม่ใช่ทุกคนจะเจอเรื่องเดียวกับกูนะ”

“ผมกับพี่ตองก็ไม่ได้เจอเรื่องเดียวกับพี่ แต่ถ้าตราบใดที่พี่ตองยังมีความรู้สึกกับผมอยู่ และผมก็รู้ใจตัวเองแน่ชัดว่าผมยังเต็มไปด้วยความรู้สึกรัก จะปัญหาแบบไหนผมก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ ไม่รู้ซิพี่ แต่ปีนึงที่ผ่านมา ก็ทำให้ผมเข้าใจอย่างนึง อุปสรรคไม่ได้ถูกสร้างมาให้เรายอมแพ้ ผมกลับมองว่ามันเป็นเครื่องพิสูจน์ซะด้วยซ้ำ”

ไม่อยากยอมรับเท่าไหร่เลยว่ารู้สึกจุกเหมือนกับว่าโดนไอ้น้ำชาต่อยเข้าที่ท้องอย่างแรง แต่... “กูตัดสินใจไปแล้ว แบบนี้แหละดีที่สุดแล้ว”

“งั้นเหรอพี่.... แต่ก็อาจจะดีอย่างที่พี่พูดก็ได้ หลังจากนี้สาวๆในมหาลัยคงได้คลุ้มคลั่งกันแน่ๆ”

“หมายความว่าไงวะ”

“อ้าว ก็พี่ท๊อปโสดแบบนี้ พวกสาวๆคงก่อสงครามหย่อมๆเพื่อแย่งชิงคนอย่างพี่ท๊อปแน่ๆ หล่อ ฉลาด การศึกษาดี มีอนาคต นี่ยังไม่นับรวมเรื่องที่พี่ท๊อปเป็นคนซื่อสัตย์และจริงจังกับความรักอีกนะ”

ไอ้บ้าเอ๊ย โดนหมัดที่สองเข้าให้

นี่กูตัดสินใจอะไรผิดไปหรือเปล่าวะ

ไม่ๆๆๆ เราทำถูกแล้ว

“ก็ช่างดิ” กูต้องหนักแน่นในการตัดสินใจของตัวเอง “หลังจากนี้มันไม่ใช่เรื่องของกูแล้ว เขาจะไปมีใครใหม่ก็ไม่ใช่สิทธิ์อะไรของกู”

“ก็จริงแหละ แต่ถ้า...”

“ชาาาาาา” ไอ้ตองแทรกอีกครั้ง “พอเถอะ พี่ว่าชาพูดความในใจเยอะไปแล้วนะ ไหนบอกว่าอยากกินซูชิไม่ใช่เหรอ อาหารวางอยู่ตรงหน้าตั้งนานแล้ว เมื่อไหร่จะกินซะที”

“เอ่อ....” ไอ้น้ำชาดูลังเล นี่มันอยากกินจริงๆหรือเปล่าเนีย“น่ากินดีนะ แต่ขอกินดื่มก่อน คอแห้ง”

“ชาทำตัวแปลกๆจริงๆด้วย มีอะไรหรือเปล่า”

ไอ้ชาส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว “อ๊อก! อ๊อกๆๆๆ”

“ค่อยๆดื่มซิครับ” ไอ้ตองรีบหยิบกระดาษทิชชูไปเช็ดน้ำที่หกเลอะเทอะเพราะแฟนมันสำลักน้ำออกมา “เปียกหมดเลย”

“ข...ขอโทษ” ไอ้น้ำชากล่าวขอโทษ “ซูชิเปียกหมดเลย เดี๋ยวชาไปหยิบชิ้นใหม่ก่อนนะ”

แล้วมันก็ลุกออกจากโต๊ะ แต่ไปได้ยังไม่ถึงสิบวินาทีก็เดินกลับลงมานั่งเหมือนเดิม พร้อมกับตัวแข็งทื่อ

“เป็นไร” “มีอะไรครับ” ผมกับไอ้ตองถามทันที ก็ท่าทางแบบนี้ ไม่ให้สงสัยก็ไม่ใช่คนแล้ว

“ป...เปล่า ไม่มีอะไรเลย” เนี่ยนะไม่มีอะไร โกหกชัดๆ

“แล้วไหนซูชิ” ไอ้ตองยังสงสัย “จะไปเอาซูชิไม่ใช่เหรอ”

“คือ...เอ่อ...ไม่อยากกินแล้ว”

“อะไรนะ” ไอ้ตองพยายามหันไปดูว่าไอ้น้ำชาไปเจอกับอะไรมา

“หันไปไหน” ไอ้น้ำชาร้อง นี่ไง โคตรของโคตรมีพิรุจเลย “มองอะไร ไม่มีอะไรหรอก บอกว่าไม่อยากกินแล้วไง ไม่ต้องมองไปทางนั้นนะ”

“ไม่จริงอ่ะ ต้องมีอะไรแน่ๆ พี่ไปดูหน่อยดีกว่า”

“ไม่มี ไม่ต้องไป บอกว่าไม่ต้องไปก็ไม่ต้องไปไง” มันรั้งไอ้ตองไว้สุดชีวิต “กินกันเถอะ พี่บุ๋นก็รีบกินได้แล้ว เราจะได้รีบกลับนะ ผมมี...เอ่อ...ธุระต้องไปทำอีก”

ทำไมถึงได้รู้สึกว่าเรื่องที่ไอ้น้ำชากำลังแสดงพิรุจนี้มันเกี่ยวข้องอะไรกับผมสักอย่าง

“ธุระไหน” ไอ้ตองก็สงสัยไม่เลิก

“ธุระก็ธุระซิ กินได้แล้ว เร็วๆ.... เดี๋ยวๆ พี่บุ๋นจะไปไหน ไปไม่ได้นะ”



เออ ยิ่งมึงห้ามกูยิ่งอยากรู้ ต้องมีอะไรแน่ๆ

ไหนวะ มีอะไร



“........................” น.....นั่นมัน..... พี่ท๊อปนี่นา กำลังกินซูชิอยู่กับผู้หญิงที่ไหนวะ ไม่เคยเห็นมาก่อน สวยด้วย สวยพอที่จะเป็นดาวมหาวิทยาลัยได้เลยด้วยซ้ำ



เชี่ยยยยยย

ผมรีบหลบ

สงสัยจะยืนมองเขาสองคนนานเกินไป เกือบไปแล้ว เกือบโดนเห็นตัวแล้ว

รีบกลับโต๊ะดีกว่า



“ก็บอกแล้วไงว่าอย่าไป” นั่นคือที่ไอ้น้ำชาพูดหลังจากที่ผมกลับมาถึงโต๊ะ

“...........” ใครจะไปรู้วะว่าจะไปเจออะไรแบบนั้น

ว่าแต่ ทำไมพี่ท๊อปถึงไปอยู่กับผู้หญิงคนนั้นได้วะ พี่ท๊อปไม่มีพี่น้องนี่นา ญาติก็ไม่เคยเห็น เพิ่งเลิกกันไปแค่วันเดียว มีคนใหม่แล้วเหรอ ไม่เสียใจบ้างเลยหรือไงวะ

“พี่บุ๋น”

“ห๊ะ” ผมถูกเรียกสติกลับมา

“โอเคไหมพี่ เราไปกินร้านอื่นกันไหม”

“เออ...”

“เห้ยๆๆๆ” ไอ้ตองร้องแทรก “พี่ท๊อปเดินมาแถวนี้แล้ว”

ห๊ะจริงดิ เมนู เมนูอยู่ไหน เอามาปิดหน้าไว้ก่อน

“ทำอะไรของพี่เนี่ย” ไอ้น้ำชาดึงกระดาษเมนูที่ผมเอาขึ้นมาบังใบหน้าของตัวเองออก “นี่ไม่ใช่ละครนะพี่ ทำแบบนี้มีแต่พี่ท๊อปจะจับได้ว่าพี่อยู่ตรงนี้ ทำตัวปกติไว้ซิ ที่สำคัญพี่เลิกกับเขาไปแล้วไม่ใช่เหรอ พี่ต้องแสดงออกว่าพี่สบายดีดิ ไม่ใช่ลุกลี้ลุกล้นแบบนี้”

เออ ก็จริง

แต่มันก็ยากอยู่นะ

ผมหันกลับมาสนใจกับอาหารของตัวเองและนั่งอย่างเปิดเผย



“พี่ว่าไปดูหนังก็ได้นะ มีหนังใหม่กำลังเข้า เรื่องนี้น่าดู”

“ก็ดีค่ะ เอาที่พี่ท๊อปอยากทำเลย ครีมตามใจพี่ค่ะ”



‘ครีมตามใจพี่ค่ะ’เชอะ ทำเป็นพูดดี



สุดท้ายพี่ท๊อปกับผู้หญิงคนนั้นก็เดินออกจากร้านไปโดยไม่สังเกตเห็นผมที่นั่งอยู่ตรงนี้เลยแม้แต่นิดเดียว



“เหมาะสมกันดีเนาะ” ไอ้ชามองตาม

“ไม่เห็นจะเหมาะเลย” เหมาะตรงไหนวะ

“กูก็ว่าเหมาะนะ” ไอ้ตองสนับสนุน

“มึงดูยังไงว่าเหมาะวะ ผู้หญิงสวยๆแบบนี้ ดูแป๊บเดียวก็รู้ว่าไม่มีทางเป็นคนจริงใจได้หรอก”

“มึงหัวเสียอะไรเนีย”

“หัวเสีย หัวเสียอะไร กูไม่ได้หัวเสียอะไรทั้งนั้นแหละ” ยิ่งพูดยิ่งโมโห “ไม่แดกแล้ว ไม่เห็นจะอร่อยเลย ไอ้ซูชิอะไรเนีย แดกกันเข้าไปได้ยังไงก็ไม่รู้”

“อ้าว แล้วมึงจะไปไหน”

“เรื่องของกู”

“อ้าว”



อย่าหาว่าผมแอบตามสองคนนั้นออกไปเลยนะ แต่อยากไปดูให้เห็นกับตาจริงๆดิ คนแบบไหนวะที่จะสามารถคุยกับคนใหม่ได้เลย ทั้งๆที่เพิ่งเลิกกับกูไปเมื่อวานนี้เอง ไม่คิดจะเสียใจสักหน่อยเลยหรือไงกัน

ถ้าไม่ติดว่ามีผู้หญิงอยู่ด้วยกูจะวิ่งเข้าไปต่อยหน้าไอ้บ้าท๊อปเดี๋ยวนี้เลย



นี่มาดูหนังกันจริงๆเหรอ สองต่อสองเนี่ยนะ ทำแบบนี้ได้ไงวะ



#เสียงโทรศัพท์



“อะไร” ผมตะคอกใส่โทรศัพท์ เพราะรู้ว่าเป็นไอ้ตองที่โทรมา

“มึงอยู่ไหนเนีย มึงลืมกุญแจรถไว้ที่โต๊ะเนีย”

“กู.... ออกมาซื้อของ”

“แล้วจะกลับมาตอนไหนกูจะได้รอ”

“ไม่ต้องรอ มึงกลับไปเลย”

“แล้วรถมึงอ่ะ”

“เอากุญแจไว้ที่มึงนั่นแหละ หรือก็หาใครมาขับไปไว้ที่คอนโดฯของมึงก่อนก็ได้ เดี๋ยวว่างกูเข้าไปเอา”

“เออๆ เดี๋ยวกูให้น้ำชาขับกลับไปเก็บไว้ที่คอนโดฯก่อนก็แล้วกัน”

“เออ”

“ว่าแต่... มึงไม่ได้ตามพี่ท๊อปออกไปใช่ไหม”

“ม...ไม่ได้ตาม” จะให้บอกความจริงได้ไง บ้าเหรอ เสียฟอร์มหมด

“จริงอ่ะ”

“ถามไรมากวะ แค่นี้แหละ กูจะ...คุยกับพนักงาน กูซื้อของอยู่ แค่นี้นะ” วางแม่งเลย จะได้ไม่ต้องถาม



อ้าว สองคนนั้นหายไปไหนแล้ว

โน่นไง กำลังเข้าไปในโซนโรงหนังกันแล้ว ว่าแต่ ดูเรื่องอะไรกันวะ โรงไหนก็ไม่รู้

บ้าเอ๊ย มัวแต่คุยโทรศัพท์ ก็เลยคลาดกันเลย กะว่าจะตามเข้าไปถึงในโรงหนังซะหน่อย

งั้นก็นั่งรอแถวๆนี้แหละ

ไม่ได้ๆ ขืนนั่งแถวนี้ ถ้าสองคนนั้นดูหนังเสร็จแล้วเดินออกมา ก็ต้องเห็นว่าเรามานั่งเฝ้าอยู่ตรงนี้อะดิ  งั้น.... ไปนั่งรอแถวๆม้านั่งตรงโน่นก็แล้วกัน



ผ่านไปชั่วโมงกว่าแล้วที่ผมนั่งอยู่ในห้าง

นี่กูบ้าหรือเปล่าวะที่มานั่งแอบมองคนออกจากโรงหนัง รปภ.จะหาว่ากูมาแอบวางระเบิดหรือเปล่าเนีย แล้วหนังบ้าอะไรถึงได้นานขนาดนี้ จะสองชั่วโมงแล้วนะ ยังไม่ออกกันมาอีก



หึ! นั่นไง เดินออกมาแล้ว

แหม คุยกันยิ้มแย้มเชียวนะ ขัดหูขัดตาชะมัด

เดี๋ยวๆๆๆ เวรแล้วไง ทำไมเดินมาแถวนี้วะ



“ขอบคุณนะคะที่พาครีมออกมาเลี้ยงอาหาร” โล่งอกไปที สองคนนั้นไม่เห็นว่าผมนั่งอยู่ตรงนี้

“ยินดีครับ” แหวะ

“แถมยังพามาดูหนังด้วย ไม่นึกว่าผู้ชายจะชอบดูหนังรักแบบนี้ด้วย นึกว่าพี่ท๊อปจะเบื่อซะอี” พี่ท๊อปก็พากูมาดูหนังออกจะบ่อย กูไม่เห็นจะต้องพูดเลย ทำเป็นเสียงอ่อนเสียงหวาน

“ก็บอกแล้วไงว่ายินดี วันหลังถ้าครีมอยากไปไหนก็บอกพี่นะ”

“พี่ท๊อปใจดีจัง คิดไม่ผิดเลยที่ครีมคุยกับพี่”

“พี่ต่างหากล่ะที่ต้องพูดแบบนั้น ครีมให้เกียรติออกมาเที่ยวกับพี่แบบนี้ ขอบคุณนะครับ”

“พูดแบบนี้กับทุกคนหรือเปล่าเนีย”

“ไม่หรอกครับ ถ้าไม่ใช่คนสำคัญ”

“หวังว่าครีมคงเป็นคนสำคัญแค่คนเดียวนะ”

“ก็...ถ้าพี่จะสารภาพตามตรงว่าพี่เพิ่งโสดได้ไม่นาน ครีมจะหาว่าพี่คุยกับครีมเร็วเกินไปหรือเปล่า” ทำไมกล้าใช้คำว่า เพิ่ง วะ แบบนี้เรียกว่า เมื่อวาน ต่างหาก

“ไม่เลย ต่อให้พี่เพิ่งโสดแค่วันเดียวแล้วมาคุยกับครีม ครีมก็ไม่สนใจ ขอแค่ครีมเป็นคนที่คุยกับพี่ท๊อปแค่คนเดียวก็พอ” ผู้หญิงอะไร ไม่มีหัวคิด กล้าคุยกับผู้ชายที่เพิ่งโสดเมื่อวานเนี่ยนะ สติดีอยู่หรือเปล่า

"ครับ ขอบคุณนะครับ" จะไปขอบคุณมันทำไมวะ

“นี่ก็เย็นมากแล้ว งั้นครีมขอตัวกลับก่อนดีกว่านะคะ”

“ให้พี่ไปส่งไหม” บ้าหรือเปล่า อาสาไปส่งเนี่ยนะ

“ไม่เป็นไร ครีมกลับเองได้ แล้ว... พี่ท๊อปจะทำอะไรต่อคะ”

“ก็เดี๋ยวว่าจะกลับเลยเหมือนกันครับ แต่ขอเข้าห้องน้ำก่อน”

“ดื่มน้ำอักลมเข้าไปเยอะ คงจะอยากเข้าห้องน้ำเป็นธรรมดา ขอโทษนะคะที่ครีมสั่งเครื่องดื่มเข้าไปในโรงหนังเยอะไปหน่อย กลายเป็นภาระของพี่ท๊อปเลย”

“ไม่เป็นไรเลย พี่ชอบดื่มน้ำอัดลมอยู่แล้ว” โกหกชัดๆ พี่ท๊อปเนี่ยนะชอบกินน้ำอัดลม

“ค่ะ งั้นครีมกลับแล้วนะคะ ไว้เจอกันใหม่นะ”

“ครับ เดินทางปลอดภัยนะ ถึงห้องแล้วโทรหาพี่ด้วยล่ะ”

“ค่ะ ไปนะคะ” เออ ไปซะทีเหอะ จะอาลัยอาวรณ์อะไรกันนักหนา



ในที่สุดก็จากกันได้สักที

หลังจากสองคนนั้นแยกย้ายกันไป พี่ท๊อปก็ตรงดิ่งไปที่ห้องน้ำอย่างที่พูดไว้ ส่วนผมก็ตามไปอะดิจะมีอะไรมาก

เอ๊ะ เดี๋ยวนะ เราจะตามเขาเข้าไปในห้องน้ำได้ยังไง หรือต่อให้เจอหน้าเขาเราจะพูดว่ายังไง คงบอกว่าแอบตามมาไม่ได้ เอาไงดีวะ

คิดซิคิด ถ้าเป็นไอ้น้ำชามันจะรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ยังไงวะ
หัวข้อ: LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 15 : ยอม
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 08-10-2018 22:56:37
ต่อ Part 2



“เครื่องดูดฝุ่นลดห้าสิบเปอร์เซ็นค่ะ สนใจไหมคะ” เสียงพนักงานหน้าช็อปคนหนึ่งดังขึ้น



อ่าาาาาา นึกออกแล้ว

ผมรีบจัดการตามแผนที่มีในหัวให้เร็วที่สุด ก่อนที่พี่ท๊อปจะออกจากห้องน้ำ



ออกมาหรือยังหว่า.....



หึ! นั่นไง



“โอ๊ย!!” กูเอ๊ย นี่กูมาทำเป็นแกล้งล้มแบบนี้ทำไมเนีย แต่ก็เอาเถอะ ทำไปแล้วนิ

“คุณครับ คุณ เป็นอะไรหรือเปล่า” ขอบคุณสวรรค์ที่มุกนี้ได้ผล คนดีอย่างพี่ท๊อปต้องวิ่งเข้ามาช่วยคนเดือดร้อนอยู่แล้ว

“อ...อ้าว พี่ท๊อป” งานการแสดงก็ต้องมา ตลกตัวเองชิบหาย อย่าให้ใครรู้เรื่องนี้เด็ดขาดเชียวนะ

“บ...บุ๋น” พี่ท๊อปตาค้างเมื่อเห็นว่าคนที่ตนวิ่งเข้ามาช่วยพยุงคือผม “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” พี่เขายังมีสายตาที่เป็นห่วงผมเหมือนเดิมเลย ทำไมกันนะ ทำไมผมถึงบอกเลิกคนที่แคร์ผมขนาดนี้ไปได้ แถมตอนนี้เขากำลังเริ่มความสัมพันธ์กับคนใหม่เสียด้วยซ้ำ

“ไม่...ไม่เป็นไรครับ บุ๋นแค่เดินไม่ระวัง พอดีถือกล่องใหญ่ไปหน่อย ก็เลยมองไม่เห็นทาง” ผมแสร้งทำเป็นว่าพยายามลุกขึ้นให้ได้ด้วยตัวเอง “โอ๊ย”

“เจ็บเหรอ” พี่ท๊อปยังคงเป็นห่วง เริ่มรู้สึกผิดแล้วแฮะที่แกล้งทำเป็นสำออย

“นิดหน่อยครับ บุ๋นเดินได้” ผมบอก ก่อนจะหยิบกล่องเครื่องดูดฝุ่นที่เพิ่งซื้อมาอย่างทะลักทุเล นี่ถ้าไม่ติดว่าผมทำเป็นแกล้งอยู่ ไอ้กล้องนี่ก็สร้างความลำบากให้ผมพอสมควรอยู่นะ “ขอบคุณนะครับที่ช่วย บุ๋นขอตัวนะครับ”

เอาวะ มาถึงขึ้นนี้แล้ว แกล้งเดินกระแผกต่อละกัน

“ไม่ให้พี่ช่วยแน่นะ” ได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อ พี่ท๊อปตามมาจริงๆ

“บุ๋นเดินได้ครับ โอ๊ย” การแสดงไปอีกกกก

“เอามาให้พี่เถอะครับ พี่ถือให้ดีกว่า”

“อย่าเลยครับ บุ๋นไม่อยากรบกวนพี่ท๊อป บุ๋นเกรงใจ”

“ไม่เป็นไร เอามาเถอะ” พี่ท๊อปแย่งกล่องในมือผมไปถืออย่างง่ายดาย “รถจอดไหน เดี๋ยวพี่เอาไปส่งให้”

“บุ๋นไม่ได้เอารถมาอะครับ” ความโกหกนี้ สัญญาว่าหลังจากนี้จะไม่พูดโกหกต่อเนื่องแบบนี้อีก “บุ๋นนั่งแท็กซี่มา พี่ท๊อปไปส่งบุ๋นที่แท็กซี่ก็ได้ครับ”

“เอ่อ...ถ้าบุ๋นไม่รังเกียจ ให้พี่ไปส่งก็ได้นะ จะได้ไม่ต้องแบกของหนักๆลงรถเอง”

“บุ๋นไม่รังเกียจหรอก แต่บุ๋นแค่เกรงใจ ที่สำคัญเราสองคนก็...” นี่กูรีบเข้าประเด็นเร็วเกินไปไหมนะ

“นั่นซินะ พี่ลืมไปว่าเราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว บุ๋นคงไม่อยากให้พี่ไปส่งหรอก งั้น... พี่คืนของให้บุ๋นดีกว่า”

ห๊ะ เดี๋ยวๆๆ อะไรมันจะเปลี่ยนอารมณ์ง่ายขนาดนั้น

เพียงอึดใจเดียว กล่องสินค้ากล่องใหญ่ก็กลับมาอยู่ในมือของผม

“โอ๊ย!!!” มารยาในโลกนี้ กูต้องเอามาใช้ให้หมด แสดงความเจ็บปวดออกมาซะ

“เจ็บเหรอ” พี่ท๊อปรีบหันกลับมา

“ป...เปล่าๆ บุ๋นแค่ทิ้งน้ำหนักมากไปหน่อย พี่ท๊อปกลับเถอะครับ บุ๋นรู้ว่าพี่ท๊อปคงโกรธบุ๋นอยู่ ถ้าไปส่งบุ๋นแบบนี้คงทำให้พี่อึดอัด”

“เอาเป็นว่า... ช่างมันเถอะ พี่ไปส่งดีกว่านะ เอากล่องมานี้ครับ” แล้วพี่ท๊อปก็รับกล่องกลับไป เห้อออออ โล่งอก “เดินไหวไหม”

“ไหวครับ”



ผมต้องพยายามรักษาสภาพการแกล้งเป็นคนขาเดี้ยงไปเรื่อยๆจนถึงรถยนต์ของพี่ท๊อป

ไม่ได้นั่งรถยนต์คันนี้แค่วันเดียว รู้สึกอยากนั่งอย่างน่าประหลาด



“ขอบคุณนะครับที่ไปส่งบุ๋น” ผมเปิดประเด็นขึ้นมาอีกครั้ง

“ครับ” อ้าว ปิดประโยคไวจัง หรือว่าเขาเพิ่งจะสำนึกได้ว่าไม่ควรพูดคุยกับผม

“พี่ท๊อปมาทำอะไรที่ห้างเหรอ”

“มากินข้าวแล้วก็ดูหนังครับ”

“มา...คนเดียวเหรอครับ”

“เปล่าครับ มากับน้องผู้หญิงคนนึง” นี่ จะโกหกให้กูใจชื้นหน่อยก็ได้นะ ตอบตรงเกินไปแล้ว “บุ๋นละครับ มาทำอะไร”

“มา...ซื้อเครื่องดูดฝุ่น”

“อ๋อ ย้ายไปอยู่ที่ใหม่ คงต้องทำความสะอาดเยอะซินะครับ” นี่ไม่ได้กำลังประชดใช่ไหม

“ประมาณนั้นแหละครับ”

“.........................” อ้าว เงียบอีกแล้ว



เราต่างฝ่ายต่างเงียบกันตลอดทาง มีเพียงการพูดบอกทางของผมเท่านั้นที่พอจะทำลายความเงียบได้ เป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงกว่าจะมาถึงบ้านเช่าหลังใหม่ของผม



“คนมาส่งของแล้วนิ” ประโยคแรกของพี่ท๊อปเมื่อเห็นบ้านของผม ก็ตอนนี้มีพนักงานขนย้ายของสี่ห้าคนกำลังขะมักเขม้นเอาสิ่งของเครื่องใช้ของผมจากบ้านเช่าหลังเก่าลงบ้านเช่าหลังใหม่ “น่าอยู่ดีนะ”

“ก็.....” คงพูดว่า มาอยู่ด้วยกันซิ ไม่ได้ซินะ แถมในสถานการณ์ที่มาคนเอาของมาลงแบบนี้ยิ่งพูดไม่ได้ใหญ่เลย เป็นจังหวะที่ไม่ดีเอาซะเลยยยย “ขอบคุณนะครับที่มาส่ง บุ๋นขอหยิบกล่องเครื่องดูดฝุ่นแป๊บนึงนะครับ”

“พี่ยกให้ดีกว่านะ” พี่ท๊อปรีบอาสาเดินลงมาถือของให้ ผมไม่รู้ว่าควรดีใจดีไหม เพราะจริงๆแล้วพี่เขาอาจจะแค่เป็นสุภาพบุรุษตามนิสัยดั่งเดิมก็ได้ แต่ถึงยังไงผมก็ดีใจอยู่ดี



“เอ่อ... คุณศิวากร ราศรีหรือเปล่าครับ”พนักงานคนหนึ่งเดินมาหาพี่ท๊อป

“ผมครับ” ผมรีบออกตัว

“อ๋อ เรารับของทั้งหมดตามที่ลูกค้าสั่งมาลงให้แล้วนะครับ” เขาบอก อ้อ เสร็จพอดีงั้นเหรอ “ผมขออนุญาตคืนกุญแจให้นะครับ”

“ครับ” ผมรับกุญแจบ้านเช่าหลังเก่าคืนมา

“ถ้ามีปัญหาของไม่ครบตามรายการหรือของหาย สามารถแจ้งทางเราได้เลยนะครับ ทางบริษัทจะรับผิดชอบตามสัญญาจ้างครับ”

“โอเคครับ”

“ขอบคุณที่ใช้บริการนะครับ”



พนักงานทุกคนจากไปหลังจากจบการสนทนาไม่นาน



“มาครับ เดี๋ยวพี่เอากุญแจไม่คืนเจ้าของบ้านเช่าให้” จู่ๆพี่ท๊อปก็วางกล่องเครื่องดูดฝุ่นลงกับพื้นทั้งๆที่ยังอยู่หน้าบ้าน

“ครับ?”

“บุ๋นจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเอากุญแจไปคืนเองไง เพราะถึงยังไงพี่ก็ยังต้องกลับไปย้ายของของพี่ออกจากบ้านหลังนั้นเหมือนกัน”

“.................” ผมไม่รู้เลยว่าตอนนี้สีหน้าของผมแสดงอารมณ์อะไร รู้แต่ว่ามือมันส่งกุญแจไปให้คนตรงหน้าจริงๆ

“งั้นพี่ว่าพี่ขอตัวก่อนดีกว่านะครับ”

“พี่ท๊อป!” ผมเกือบจะตะโกนออกมา

“ครับ?”

จะไปจริงเหรอ... ผมอยากพูดแบบนี้นะ แต่ไม่รู้อะไรมันเย็บปากไว้ ก็เลยได้แค่พูดว่า... “พี่จะย้ายไปอยู่ที่ใหม่เหรอ”

“ก็ต้องอย่างนั้นซิครับ พี่คงไม่เข้มแข็งเหมือนบุ๋นหรอก พี่ทนอยู่ที่เดิมไม่ได้แน่ๆ”

ถ้าร้องว่าโอ๊ยได้ ก็จะร้องออกมาเลย ทำไมถึงพูดแทงใจดำกันได้เจ็บขนาดนี้ ก็รู้อยู่หรอกว่าสถานะของเราสองคนมันเป็นยังไง แต่เจอพูดตรงๆเข้าให้แล้วร้องไม่ออกเลย

“พี่ไปแล้วนะ”

“พี่ท๊อป!” คราวนี้กูตะโกนอกมาจริงๆซินะ

“มีอะไรอีกครับ”

"..........." มีอะไรอีกงั้นเหรอ มันจำเป็นต้องทำตัวห่างเหินกันขาดนี้เลยเหรอ

“ว่าไง ถ้าไม่มีอะไรแล้ว พี่ขอ...”

“พี่ท๊อปจะไปอยู่ที่ไหนอ่ะ หาได้แล้วเหรอ ถ้ายังหาไม่....”

“ยังหาไม่ได้หรอก” คนตรงหน้าพูดแทรกอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนเขาจะมีสีหน้าเรียบเฉยอย่างน่ากลัว “แต่ก็อยากออกจากที่นั่นให้เร็วที่สุด แถวนี้ก็น่าอยู่นะครับ เพียงแต่พี่คง.... ช่างมันเถอะครับ พี่ขอตัวจริงๆแล้วดีกว่านะ ไว้เจอ... ไม่ซิ โชคดีนะครับ”

ห๊ะ ไปจริงเหรอ ไปจริงดิ

เดี๋ยวซิ เดี๋ยวก่อน

“พ...พี่...” ตุ๊บ“โอ๊ย!!!”

ไอ้กล่องเครื่องดูดฝุ่นบ้านิ มาวางขว้างกูอะไรตรงนี้วะ ทำกูล้มหัวคะมำเลย

“พี่...พี่ท๊อป... โอ๊ย!” เชี่ยแล้วไงกู จากเมื่อกี๊ที่แกล้งทำเป็นเจ็บ รู้สึกว่าตอนนี้จะเจ็บเข้าจริงๆแล้วล่ะ ข้อเท้าแพลงหรือเปล่าวะ จะมาซุ่มซ่ามอะไรตอนนี้เนี่ย

“นี่บุ๋นจะแกล้งหกล้มอีกรอบแล้วเหรอ พี่ไม่มีเวลามาให้บุ๋นปั่นหัวเล่นแบบนี้ตลอดไปหรอกนะ”

“..................” อะไรนะ นี่อย่าบอกนะว่าพี่เขารู้มาตลอดว่าที่กูแกล้งเจ็บมาตลอด แต่... “แต่ว่าครั้งนี้บุ๋น...”

“พอเถอะนะ พี่ขอร้อง” พี่ท๊อปใจแข็งอย่างถึงที่สุด พี่เขาหันหลังและรีบเดินจากผมไป

“พ...พี่ท๊อป พี่ท๊อปอย่าเพิ่งไป” ช่างแม่งแล้ว กูต้องรั้งพี่เขาไว้ให้ได้ กูจะตะโกนให้สุดเสียงเลย ต่อให้มีน้ำตาไหลออกมากูก็จะตะโกนอย่างไม่อายใคร “พี่ท๊อป ไม่นะ ขอร้องล่ะ อย่าไปนะ พ...พี่ท๊อป ฮื่ออออ” ผมทำได้แค่ตะโกนและคลานลากขาตัวเองที่เจ็บเพื่อตามคนเบื้องหน้าไป

“...................................” พี่ท๊อปหยุดนิ่งแล้ว แต่เขาเอาแต่ก้มหน้าและไม่หันกลับมา ก็ไม่รู้หรอกว่ากำลังเห็นใจหรือสมเพศตัวผมอยู่ แต่อย่างน้อยก็หยุดเดินแล้ว

“พี่....พี่ท๊อป ย...อย่าไปเลยนะ บุ๋นขอโทษ อย่าจากบุ๋นไปได้ไหม บุ๋นทำผิดไปแล้วจริงๆ อย่าทิ้งบุ๋นไป.... อย่าทิ้งบุ๋นไปได้ไหม...พี่ท๊อป....พี่ท็อป....ฮื่อออออ พ...”



!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!



“ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย คิดว่าพี่จะทนดูบุ๋นในสภาพนี้ได้หรือไง”

น...นี่ผมกำลังถูกกอดอยู่เหรอ

พี่ท๊อปหันกลับมากอดผมจริงๆน่ะเหรอ



“บ....บุ๋นขอโทษ ฮื่อออออ บุ๋นขอโทษ” คราวนี้ผมยิ่งร้องไห้หนักขึ้นไปอีกเมื่อแน่ชัดกับสิ่งที่เกิดขึ้น

พี่ท๊อปกอดผมไว้อย่างอบอุ่น

“ม...ไม่ต้องร้องไห้นะครับ” แม้พี่ท๊อปจะพูดเช่นนั้น แต่ก็เหมือนว่าพี่เขาเองก็ควบคุมตัวเองไม่ได้เท่าไหร่นัก “พี่อยู่ตรงนี้แล้ว อย่าร้องไห้อีกเลยนะ ให้ทนอะไรก็ทนได้ แต่พี่ทนเห็นบุ๋นเสียใจไม่ได้จริงๆ”

จะบ้าเหรอ ยิ่งพูดแบบนี้ก็ยิ่งหยุดไม่ได้ซิ ทั้งๆที่เราเป็นฝ่ายทำไม่ดีกับเขาไว้ก่อนแท้ๆ แต่ทำไมเขาถึงยังแสดงความรักต่อเราได้มากขนาดนี้ กูมันโง่จริงๆด้วยที่ตัดสินใจทำอะไรแบบนั้น ไม่เอาอีกแล้ว ไม่ปล่อยพี่ท๊อปไปไหนอีกแล้ว



“พ...พี่ท๊อป” ผมพยายามออกจากกอดของพี่ท๊อป

“ครับ” พี่ท๊อปสงสัย

“บุ๋นขอโทษจริงๆนะ บุ๋นเครียดแล้วก็กังวลไปหมด บุ๋นไม่รู้ว่าควรทำยังไงดี”

“ครับ ไม่เป็น......”

การอธิบายด้วยคำพูดอย่างเดียวสำหรับผมไม่มากพออีกต่อไปแล้วในสถานการณ์เช่นนี้ ผมจึงตัดสินใจแสดงความรักผ่านริมฝีปากทันที อย่างจริงจังและอย่างเปิดเผย



“...............................................................................................” ผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ รู้แต่ว่าผมไม่อยากหยุดที่จะส่งผ่านความรู้สึกและคำขอโทษมากมายจากการสัมผัสริมฝีปากของกันและกัน



“บ....บุ๋น” จู่ๆคนตรงหน้าก็ถอนการกระทำที่กำลังเคลิบเคลิ้มออก

“ท...ทำไมอ่ะ พี่ท๊อปยังไม่หายโกรธบุ๋นอีกเหรอ” ใจไม่ดีเลยตอนนี้

“เปล่าครับ แต่.... พี่ไม่อยากทำให้บุ๋นเจ็บ บุ๋นไม่รู้หรอกว่าพี่หวังให้เรากลับมาคืนดีกันแค่ไหน ด้วยความปรารถนาทั้งหมดนี้ พี่คงอดกลั้นความรู้สึกที่อาจจะ...รุนแรงไว้ไม่ได้ ขืนเรายังทำแบบนี้ต่อไปพี่คง....”

ให้ตายเถอะ นึกว่าจะพูดอะไร

“งั้นอย่าอดกลั้นมันไว้นะ บุ๋นยินดีแบกรับมันไว้ทั้งหมด ขอแค่...พี่ท๊อปยกโทษให้บุ๋นก็พอ พี่จะทำอะไรบุ๋นยอมหมดเลย”

“ถ้างั้น....” พี่ท๊อปดูยังลังเลนิดหน่อย “พี่ขอโทษนะครับ”

“อื้อออออออ.....” ผมถูกจู่โจมอีกครั้งในที่สุด อาการเจ็บขาที่เพิ่งได้รับมา ดูเหมือนจะไร้ผลต่อร่างกายของผมไปเลยเมื่อถูกกลบด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าของคนสองคน



ผมไม่รู้เลยว่าตัวผมและพี่ท๊อปเข้ามาอยู่ภายในบ้านได้ยังไง ผมอาจจะเดินมาหรือถูกอุ้มเข้ามา... ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน

“จะบอกเลิกพี่อีกไหม”

“ม...ไม่...ไม่แล้ว...อาซซซ์”

“รับโทษที่บอกเลิกพี่ซะเจ้าเด็กดื้อ..... รับเข้าไป รับเข้าไปอีก”

“อื๊อ....อ....อ...อ...อ...อ...อ...อื้ออออออ”

มันช่างเป็นการร่วมรักที่เต็มไปด้วยบทสนทนาตลอดเวลา

ภายในเวลาไม่กี่อึดใจ บ้านเช่าหลังใหม่รกไปด้วยข้าวของที่กระจัดกระจายทั่วห้อง กิจกรรมความรักอันรุนแรงของพี่ท๊อปและผมส่งผลให้เราไม่ต้องแกะกล่องเครื่องใช้ที่เพิ่งขนย้ายมาถึงเลย บ้างล้ม บ้างคว่ำ บ้างก็ถึงขั้นแตกหักเสียหาย แต่เชื่อเหอะว่าผมไม่รู้สึกสนใจอะไรพวกนี้เลยในนาทีนี้ ต่อให้ทุกอย่างพังหรือพี่ท๊อปตีเนื้อก้นของผมจนแดงแสบหรือจับแขนขาไปในท่าทางฝืนธรรมชาติแค่ไหน ผมก็จะไม่อิดออด แม้กระทั่งการเสร็จภารกิจซ้ำแล้วซ้ำเล่าในเวลาใกล้ๆกัน ผมก็ไม่คิดจะบ่นออกมาเลย

ผมยอมแล้ว ยอมทุกอย่างเลย ไม่เอาอีกแล้วความรู้สึกที่สูญเสียอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตไป ต่อไปนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมก็จะรักษาคนๆนี้ไว้ ไม่ยอมให้ใครแย่งไปเด็ดขาด





“จ....เจ็บ....เจ็บไหมครับ...เห้อ” พี่ท๊อปหายใจหอบอย่างหนัก หลังจบกิจกรรมความรักของเราเป็นรอบที่.... เอ่อ... ช่างเถอะ นับไม่ไหวแล้ว “บุ๋น....เจ็บไหม พ....พี่....พี่ขอโทษนะ”

“ไม่...ครับ” กูก็ช่างหน้าด้านตอบเนาะ ทั้งเหนื่อยทั้งชายังมีหน้าปฏิเสธอีก “ไม่เจ็บเลยสักนิด บุ๋น...ยังไหว”

ผมพยายามอย่างหนักที่จะยกแขนตัวเองขึ้นไปพาดกอดคนข้างๆ เราทั้งสองนอนเปลือยอยู่ท่ามกลางบ้านที่เต็มไปด้วยข้าวของที่กระจัดกระจาย แถมเนื้อตัวของผมยังเลอะไปด้วยเหงื่อและของเหลวจากคนข้างๆ ช่างเป็นภาพที่น่าอายซะจริง

“พี่....รู้ว่าบุ๋น...ไม่ไหวแล้ว” พี่ท๊อปยังพูดหอบๆ “พอแค่นี้เถอะครับ.... ดึกเกินไปแล้ว”

“ก็....ก็ได้” ผมตอบ ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมา

“ข้าวของพวกนี้ล่ะ... เราควรเก็บกวาดดีไหม”

“ช่างมันเถอะ... เอาไว้พรุ่งนี้ก็ได้ บุ๋นอยากนอนกอดพี่ท๊อปไว้แบบนี้ก่อน ได้ไหม”

“นี่ถ้าพี่ไม่หมดแรงซะก่อน บุ๋นจะต้องโดนอีกรอบแน่ๆ พูดอะไรน่ารักๆแบบนี้ รู้ไหมว่ามันทำให้พี่ใจสั่น”

“บุ๋นจะพูดแบบนี้กับพี่บ่อยๆนะ สัญญา”

“เห้ออออ เหมือนได้แฟนใหม่เลยแฮะ..... ขอบใจมากนะ น้ำชา”

“อะไร?” เมื่อกี๊พี่ท๊อปพูดถึงชื่อไอ้น้ำชาเหรอ พูดผิดหรือเปล่า กูชื่อบุ๋นนะ ผมนี่ขึ้นเลย “พี่พูดขอบใจไอ้น้ำชาทำไมอ่ะ นี่พี่คิดว่าบุ๋นเป็นใครอยู่เนีย”

“ใจเย็นซิครับ พี่พูดถูกแล้ว พี่ไม่ได้คิดว่าบุ๋นเป็นคนอื่นซะหน่อย แต่พี่ขอบใจน้ำชาจริงๆ”

“ไปขอบใจมันทำไมอ่ะ ทั้งๆที่บุ๋นเป็นคนยอมพี่ทั้งหมดนี้เลยนะ”

“ครับบบบ พี่รู้แล้ว” พี่ท๊อปคว้าตัวผมกลับลงไปนอนกอด “แต่พี่ขอบใจน้ำชาที่วางแผนให้บุ๋นยอมพี่ไง”

“ห๊ะ!?”

“จะโกรธก็ได้นะ แต่พี่คิดว่ามันก็คุ้ม น้ำชาดูเหมือนจะรู้จุดอ่อนของบุ๋นดีนะ เขาถึงได้วางแผนให้บุ๋นแสดงความรู้สึกจริงๆของตัวเองออกมาได้ เรื่องที่บุ๋นไปเจอพี่อยู่กับน้องครีม นั่นน่ะ น้ำชาวางแผนไว้ทั้งหมดเลย”

“ว่าไงนะ นี่ไอ้น้ำชามัน...”

“อย่าไปโกรธน้ำชาเลยน่า ไม่ดีเหรอที่น้องเขาทำให้เราสองคนปรับความเข้าใจกันได้ เอาเข้าจริงๆพี่ก็แอบหวั่นใจนิดๆนะ กลัวจะไม่ได้ผล แต่ก็ได้ผลดีอย่างไม่น่าเชื่อเลย น้ำชามีบุญคุณกับพี่ตลอดเลย ตั้งแต่ปีที่แล้ว ถ้าไม่ได้น้ำชา เราสองคนก็คงไม่ได้เป็นแฟนกันหรอก.... จริงไหม”

“ไม่รู้แหละ” จะว่าดีก็ดีแหละ แต่มันเคืองๆยังไงไม่รู้

“อย่าโกรธน้องเลยนะ ถือว่าพี่ขอล่ะ”

“แต่ว่ามัน...”

“นะครับบบบ นะ พี่สัญญาว่าครั้งหน้าพี่จะเป็นคนวางแผนง้อบุ๋นด้วยตัวเอง แต่ครั้งนี้พี่ต้องเพิ่งความอัจฉริยะของน้ำชาจริงๆ อย่าโกรธน้องเลยนะ นะครับ”

“เออๆๆ ก็ได้ แต่ไม่ใช่ว่าบุ๋นยอมรับเรื่องที่พี่ท๊อปจะง้อบุ๋นครั้งต่อไปหรอกนะ เพราะว่าต่อไปนี้.................









................บุ๋นจะเป็นคนง้อพี่เอง”
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER ภาค 2 [เชียร์ฝันสนั่นหัวใจ] - ตอนที่ 15 : ยอม
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 09-10-2018 16:13:37
บุ๋นคนใหม่ใส่ใจพี่ท็อป 555
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER ภาค 2 [เชียร์ฝันสนั่นหัวใจ] - ตอนที่ 15 : ยอม
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 09-10-2018 17:59:50
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER ภาค 2 [เชียร์ฝันสนั่นหัวใจ] - ตอนที่ 15 : ยอม
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 12-10-2018 02:54:57
ชอบทุกคู่เลย จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 16 [คุณค่า Part 1]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 14-11-2018 21:26:39
ขอบโทษที่หายไปนานนะครับ แต่ทุกอย่างยอมมีเหตุผลของมัน เหตุผลง่ายๆของผมเลยก็คือ..... "คอมพังงงงงงงงงงงง" ไหนๆคอมพังแล้วก็เลยใช้โอกาสนี้กลับไปวางโครงเรื่องให้แข็งแรงยิ่งขึ้น ยังไงก็ฝากติดตามต่อด้วยนะครับบบบบ

.........................................................................​


ตอนที่ 16 : คุณค่า (Part 1)









“ไม่ใช่ครับ.... ไม่ไช่ๆ!! ต้องให้น้องผู้หญิงแนะนำตัวให้หมดก่อน น้องผู้ชายถึงจะเริ่มเดินนะ.... ใช่ๆ ยืนรอตรงนี้ก่อน   ไม่ๆ   ก็พี่บอกให้รอก่อนไง......”



เห้ออออออออออออ

เหนื่อยไปไหมเนี่ยกู

ไอ้เด็กพวกนี้นิ สอนไม่รู้จักจำกันซะที แค่ลำดับการเดินขึ้นลงเวทีแค่นี้เอง ไม่ได้มีเวลาซ้อมให้ทั้งวันนะ



“เป็นอะไรวะมึง” ไอ้สุ่ยเอ่ยถามขึ้นระหว่างที่ผมปล่อยให้น้องปีหนึ่งซ้อมแนะนำตัวด้วยตัวเองไปเรื่อยๆ “ทำไมเครียดจัง”

“นี่เป็นชั่วโมงแล้วนะ” ผมตอบ “น้องยังจำลำดับก่อนหลังกันไม่ได้เลย”

“นี่ผ่านไปแค่ชั่วโมงเดียวเอง เรามีเวลาทั้งเช้าเลยนะ จะเครียดอะไรนักหนาวะ ต้องให้กูเตือนความจำไหมว่ามึงคือเจ้าชายน้อยน้ำชา ผู้นำเชียร์อัจฉริยะบนหอคอยเกียรติยศ เรื่องแค่นี้มึงทำได้อยู่แล้ว”

“ใครตั้งฉายานี้วะ เว้อชิบหาย แล้วทำไมต้องเจ้าชายน้อยด้วยวะ”

“ก็พี่ตองของมึงเป็นเจ้าชายไปแล้วไง มึงก็ต้องเป็นเจ้าชายน้อยดิ เดี๋ยวทับไลน์กัน”

“เพ้อเจ้อนะมึงอ่ะ ว่างมากก็ไปสอนน้องเลยไป”

“น้องมันก็ซ้อมกันดีอยู่แล้ว ปล่อยให้ทำอีกสองสามรอบก็โอเคแล้ว”

“ให้มันได้จริงๆเหอะ พรุ่งนี้มีกล้องมาถ่ายทอดทั้งมหาลัยนะมึง ถ้าคณะเราทำผิดพลาดขึ้นมา อายเขาตายเลย นี่มันคณะวิทย์นะ แม่ง ทำไมกูต้องมาเลือกเรียนคณะที่ทุกคนคาดหวังกับงานลีดขนาดนี้ด้วยวะ”

“เอาจริงๆนะไอ้น้ำชา กูว่ามึงเครียดกว่าปกตินะ เป็นอะไรกันแน่วะ”

“.............”

“อ้าว เงียบซะงั้น.... มีไรก็บอกมา ปรึกษากูได้นะ กูก็เพื่อนมึงนะ”

“กูก็แค่... อยากทำหน้าที่รุ่นพี่ให้เต็มที่อ่ะ ไม่รู้ดิ ช่วงหลายวันมานี้เหมือนกูจะถูกทำให้เขวไปกับปัญหารอบตัวเต็มไปหมด จนกูเกือบจะลืมไปแล้วว่าหน้าที่ของกูจริงๆคือการที่ต้องสร้างลีดรุ่นใหม่ให้มีคุณภาพ กูก็ไม่รู้หรอกนะว่ารุ่นพี่ปีที่แล้ว เขามีเรื่องมากกว่าการสอนลีดหรือเปล่า แต่กูรู้สึกว่าตัวเองยังทำหน้าที่ตรงนี้ได้ไม่ถึงครึ่งของพวกพี่เขาเลย มันผิดหวังในตัวเองได้ไงไม่รู้วะ”

“อือหือ... ปรึกษาซะยาวเลย.... เอ่อ... แล้วปัญหาที่บอกว่าทำให้เขวเนีย คือปัญหาอะไรวะ”

“หลายเรื่องอ่ะ ก็ไม่ค่อยเกี่ยวกับกูเท่าไหร่หรอก”

“หนึ่งในนั้นมีเรื่องของไอ้น้องโซนิคกับขนมปังหรือเปล่า”

“หึ!! มึงรู้เรื่องด้วยเหรอ” มันรู้ได้ไงวะ

“เออ ก็พอรู้บ้าง ทำอย่างกับมึงรู้เรื่องได้คนเดียวอย่างงั้นแหละ มึงมีอะไรก็บอกกูหรือบอกคนอื่นบ้างก็ได้นะ ห่วงคนอื่นอ่ะมันก็ดี แต่ไม่จำเป็นต้องมากเกินไปหรอกเว้ย ถามจริงเหอะ มึงกับไอ้ต้อมเคยได้มีโอกาสเจอกันบ้างหรือเปล่าวะ มึงมีเพื่อนเยอะแยะเลยนะที่จะให้ปรึกษา ไม่ใช่มาทำหน้าเครียดแบบนี้คนเดียว โลกไม่ได้หยุดรอบตัวมึงนะ”

“บ่นซะกูเป็นเด็กเลย.... แต่มึงก็พูดถูกนะ เรื่องของไอ้น้องโซนิคนั่นกูก็ควรจะปรึกาไอ้ต้อมเพราะมันเป็นญาติกัน กูเก็บทุกเรื่องไว้กับตัวเองจริงๆ พอมาเป็นรุ่นพี่แบบนี้แล้วมันรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบชีวิตรุ่นน้องยังไงก็ไม่รู้วะ กูควรปล่อยวางบ้างใช่ป่ะ”

“เออ คิดได้ก็ดี กูเข้าใจว่าตอนปีหนึ่งมึงเจออะไรมาเยอะ แต่ตอนนี้มึงมีชีวิตอยู่ในฐานะรุ่นพี่ปีสอง มันคือโลกอีกใบที่มึงก็ต้องเผชิญ แต่ถ้ามันมากไปก็คุยกับเพื่อนบ้าง เดี๋ยวไอ้ต้อมมันก็น้อยใจหรอก”

“เออๆ เดี๋ยวกูโทรหาให้มันมาเจอวันนี้แหละ... เออ ใช่ บ่ายนี้มึงก็ไปด้วยดิ กูต้องสอนเพลงมิ่งขวัญให้น้องอ่ะ”

“กูก็ต้องไปอยู่แล้วเปล่าวะ นั่นมันคณะสังคมนะ ข้าวเจ้าอยู่นั่น ขืนไม่ไปรับ กูก็อดแดกข้าวเย็นกันพอดี”

แหมมมมม คบกันมาเป็นปียังจะมาอวดความเลี่ยนให้กูฟังอีก



“น้ำชาๆ” เกตุเรียกมาจากด้านบนเวที “มาคุยกับเจ้าหน้าที่เวทีหน่อย”

อ้าว งานมาแล้ว แยกย้ายกันทำงานต่อซิครับ หมดเวลาเม้าท์



ตลอดทั้งเช้า ผมก็อยู่แต่ที่คณะวิทยาศาสตร์ บล็อกกิ้งให้น้องๆอย่างเดียว ถึงจะไม่มีอะไรมากแต่ก็กินเวลายันเที่ยงเลย



หลังจากจบภารกิจที่คณะแล้ว ผมก็ตรงดิ่งไปที่ห้องซ้อมคณะสังคม โดยให้ไอ้ต้อมมารับ แฮ่ๆ เรียกมันมาหาบ้าง รู้สึกว่าช่วงนี้จะห่างหายไปจากการสนทนากับไอ้ต้อมอย่างที่ไอ้สุ่ยบอกจริงๆนั่นแหละ



“คิดไงชวนกูมาเนีย” ไอ้ต้อมเอ่ยถามขณะที่ผมกับมันจอดรถที่คณะสังคมเรียบร้อยแล้ว

“กูคิดถึงเพื่อนบ้างไม่ได้ง่ะ” ผมตอบขำๆ เดินไปคุยกันไป

“หรา... พี่ตองมึงไปไหนแล้วล่ะ”

“อยู่คอนโด ช่วงนี้เริ่มเก็บของแล้ว อีกสามสี่ต้องไปดูงานที่อังกฤษอ่ะ”

“โห่ แล้วงี้เจ้าชายน้อยจะอยู่กับใครล่ะจ๊ะ คิดถึงพี่ตองแย่เลย”

“เชี่ย กูไม่ชอบฉายานี้เลย ใครแม่งตั้งวะ....”





“จะทำอะไรอ่ะ!!!”

หือออออ!!!???

เสียงใครในห้องซ้อมวะ คุ้นๆเหมือนกันแฮะ อย่าหาว่าผมขี้เสือกเลย ชาติที่แล้วผมคงทำบุญด้วยลำโพงละมั้ง ชาตินี้ถึงได้บังเอิญได้ยินอะไรๆ อยู่ตลอด



ผมกับไอ้ต้อมหยุดนิ่งอยู่หน้าห้องซ้อมคณะสังคม ก่อนจะมองหน้ากันเชิงว่า จะเข้าไปดีหรือไม่



“เป็นอะไรครับ ผมแค่อยากรู้เฉยๆว่าพี่ใช้น้ำหอมกลิ่นอะไร ผมว่ามันหอมดี” ตอนนี้ผมคิดว่าผมพอจะเดาออกแล้วว่าใครอยู่ในนั้น “แต่ตัวพี่หอมจริงๆนะ”

“อ...ออกไปเลยนะ” อีกเสียงเริ่มโวยวาย เสียงนี้ผมก็รู้แล้วเหมือนกันว่าเป็นใคร “ไม่งั้นผมจะเรียก รปภ. จริงๆด้วย”

“เรียกมาทำไมเหรอครับ ผมก็แค่อยากรู้ว่าพี่ใช้น้ำหอมกลิ่นอะไรก็แค่นั้นเอง ไหน ผมขอดมใกล้ๆกว่านี้หน่อยนะ กลิ่นคุ้นๆนะครับ ทั้งหอมทั้ง....น่ากิน หรือว่าจะเป็นกลิ่น....ขนมปัง”

“อย่า...”



“โซนิค!!!” อ้าว ไอ้เวรต้อม มึงพรวดพลาดเข้าไปอย่างงี้เลยเหรอ ไม่ส่งสัญญาณบอกกูบ้างเลย

“พ...พี่ต้อม” ไอ้น้องโซนิคตกใจตาค้างไปเลยที่เห็นลูกพี่ลูกน้องของตัวเองเข้ามา.... เอ่อ.... จะเรียกว่าไงดีล่ะ ภาพที่เห็นเหมือนกับไอ้น้องโซนิคมันพยายามดันขนมปังติดกับผนังกระจก นี่ถ้าไม่คิดในแง่ร้ายเกินไป ผมคงคิดว่าขนมปังกำลังจะถูกไอ้เด็กนี่....ขืนใจ



“โอ๊ย!!!”

“เห้ยยยยย” อันนี้เสียงผมเอง จะไม่ให้ผมร้องเสียงหลงได้ไงล่ะ ก็ในเมื่อไอ้บ้าโซนิคมันผลักขนมปังออกไปจากตัวเองอย่างแรง เล่นเอาขนมปังเสียหลักล้มไปกองกับพื้นเลย

“ผ....ผม” อะไรของไอ้โซนิควะ มึงผลักเขาแต่ก็ทำตาระห้อย แล้วตกลงว่ามึงจะช่วยหรือมึงจะยืนดู

ช่างแม่ง กูช่วยเองก็ได้วะ

“เป็นไรไหมขนมปัง” ผมรีบพุ่งเข้าไปประคองขนมปังขึ้นมา เป็นไรไหมละเนีย ยิ่งตัวเล็กๆอยู่

“ข...ขอบใจน้ำชา โอ๊ย!” ขนมปังเหมือนจะเจ็บแขนนิดหน่อย สงสัยข้อศอกจะกระแทกพื้น

“เจ็บมากไหม” ผมถาม แต่แล้วก็หันไปหาไอ้ตัวการ “ทำบ้าอะไรของเอ็งเนี่ยโซนิค ผลักพี่เขาทำไม”

“เอ่อ....คือ....คือผม....” ดูมัน ไม่ขอโทษ แต่ก็เหมือนสำนึกผิด ทำท่าทางอยากจะช่วย แต่ก็เหมือนขาโดนล็อกไว้

“ยังจะยืนปื้ออีก...”

“โอ๊ย!!!” ขนมปังร้องเจ็บออกมาอีกครั้ง

“โทษทีๆ” ผมเผลอจับแรงไปหน่อย ก็อารมณ์มันขึ้นนี่นา “เจ็บมากไหมขนมปัง เราพาไปหาหมอไหม”

“ไม่...ไม่เป็นไร” ถึงปากจะพูดกับผม แต่สายตาของขนมปังกลับมองไอ้คนที่เพิ่งผลักตัวเองอย่างเอาเลือดเอาเนื้อ

“ขอ...ขอโ...”



“โซนิค” จู่ๆไอ้ต้อมก็แทรกขึ้นมา “ออกมาคุยกันหน่อย”

ไอ้ต้อมเรียกและเดินออกจากห้องไปทันที อย่างกับรู้ว่ายังไงไอ้น้องโซนิคก็ต้องตามออกไปอยู่แล้ว

เออวะ มันตามออกไปจริงๆด้วย ไม่มีลังเลเลย แถมยังทำหน้าหงอยๆ มันอะไรกันวะไอ้พี่น้องคู่นี้



“เราขอดูหน่อยนะ” ผมหันมาสนใจคนเจ็บข้างๆ “ก็มีรอยช้ำนิดนึงอ่ะ แต่ไม่น่าจะรุนแรงมาก”

“เราก็ไม่ค่อยเจ็บเท่าไหร่หรอก” ขนมปังตอบ “เมื่อกี๊ตกใจเกินไปหน่อยก็เลยร้องเสียงดัง ยังไงก็ขอบใจนะที่เป็นห่วง”

“ดีแล้วล่ะ ว่าแต่... เกิดอะไรขึ้นอ่ะ ทำไมโซนิคถึงผลักขนมปังลงมาล่ะ”

“อย่าไปพูดถึงคนๆนั้นเลย” หึ พูดงี้เลยเหรอ “เราขอตัวกลับก่อนดีกว่านะ พอดีข้าวเจ้าขอให้เรามาเปิดห้องซ้อมไว้ให้อ่ะ เสร็จธุระของเราแล้ว เราขอตัวก่อนนะ”

“ไม่อยู่ดูน้องซ้อมด้วยกันก่อนเหรอ เดี๋ยวพวกเพื่อนเราก็จะมาที่นี่อีกหลายคนเลย อยู่ด้วยกันซิ สนุกดีออก”

“ไม่อ่ะ” ปฏิเสธไวกว่าแสงอีก “เรากลับก่อนดีกว่า”

“ขนมปัง” ผมพยายามที่จะคุยกับเขา “มีปัญหาอะไรบอกเราได้นะ ปรึกษาเพื่อนๆบ้างก็ได้ สุ่ยกับข้าวเจ้าคงเป็นห่วง ถ้าเห็นขนมปังหน้าตาอมทุกข์แบบนี้” เหตุการณ์นี้ทำไมมันคุ้นๆวะ เหมือนกูก็เพิ่งจะถูกพูดมาแบบนี้ นี่ต้องมาพูดกับคนอื่นต่อแล้วเหรอ

“.............” ไม่ตอบซะงั้น มีอะไรในใจกันน่า เห็นแบบนี้แล้วเป็นห่วงจัง

“มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างขนมปังกับโซนิคใช่ไหม” พูดตรงๆซะเลยละกัน

“..............” ไม่ตอบเช่นเคย แต่จากสถานการณ์ก็เดาได้ว่ามีอะไรในก่อไผ่แน่ๆ

“ถ้าโซนิคทำอะไรให้ขนมปังไม่พอใจบอกเราได้นะ เดี๋ยวเราจัดการให้ แต่... เราก็พอดูออกนะ ว่ามีความรู้สึกบางอย่างระหว่างขนมปังกับเด็กคนนั้น...”

“ไม่ใช่ซะหน่อย” ทีอย่างงี้ละรีบพูดเชียว

“ที่พูดว่า ‘ไม่’ หน่ะ พูดกับเราหรือพูดกับตัวเองกันแน่” งานนักปราชญ์ก็มาว่ะ “ไม่ต้องบอกเราก็ได้ ถ้าไม่มีอะไรจริงๆ ขนมปังเอาไว้บอกตัวเองเถอะ แต่ถ้ายังไม่แน่ใจ ก็... ลองใช้เวลากับมันอีกสักหน่อยดีไหม โซนิคไม่ใช่เด็กที่เลวร้ายนะ เขาอาจจะโผงผางไปบ้าง แต่เราคิดว่าเด็กคนนี้ก็มีเสน่ห์ในแบบของเขานะ คุณค่าของคน บางทีมันก็ต้องใช้เวลานานหน่อยเพื่อจะพิสูจน์ให้เห็น”

“ไม่ใช่ทุกคนจะโชคดีเหมือนน้ำชาหรอกนะ”

“โชคดี? เราเนี่ยนะ โชคดียังไง?”

“ก็ที่ได้เจอคนดีๆ คนที่ไม่ทำร้ายน้ำชา แล้วก็รักน้ำชาตั้งแต่แรกแบบไม่ลังเล”

“ไม่ลังเล? รักเรา? อ๋ออออ.... ถ้าจะหมายถึงพี่ตองละก็ ขนมปังเข้าใจผิดอย่างแรงเลยแหละ พี่ตองทั้งร้ายกาจกับเรา ไม่เคยมองหรือพูดกับเราดีๆเลยเกือบสิบปี นอกจากจะไม่มีความรู้สึกดีๆกับเราแล้ว ดูเหมือนว่าแต่ก่อนพี่ตองจะเกลียดเราเข้าไส้เลยด้วยซ้ำ เกลียดแบบที่เห็นหน้าก็ไม่ได้ ได้ยินเสียงเราก็ไม่ได้ แค่เราหายใจใกล้ๆยังผิดเลย เทียบกับที่โซนิคทำกับขนมปังแล้วถือว่าคนละชั้นเลยแหละ แบบนี้สำหรับเราไม่เรียกว่าโชคดีนะ”

“จริงเหรอ” ขนมปังทำหน้าเหมือนเด็กที่ถูกผู้ใหญ่เฉลยว่าไม่มีเซนตาครอสอยู่จริง

“นี่ไม่ใช่หนึ่งในเรื่องที่เราคิดจะโกหกเลย มันไม่ได้น่าภูมิใจสักนิดเดียว”

“แล้วทำไมน้ำชากับพี่ตองถึง...”

“เวลาไง เวลาให้คำตอบได้ทุกอย่างนั่นแหละ แต่ที่สำคัญคือตัวเราเอง เรายอมรับว่าเรามีความจริงใจมากๆ ตอนนั้นเราก็ไม่ได้หวังให้พี่ตองเห็นใจหรือชอบเรามากขึ้นหรอกนะ เราแค่ทำเพื่อพี่เขาให้ดีที่สุดก็แค่นั้น ไม่รู้ซิ สมองมันบอกให้ทำ ทั้งๆที่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษหรอก สุดท้ายก็...อย่างที่เห็น  คือเราไม่อยากเต๊ะท่าเป็นผู้เชียวชาญนะ แค่อยากจะบอกว่า ทุกคนเกิดมาเพื่อรอใครสักคนอยู่ ขนมปังอย่าเพิ่งรีบปิดโอกาสตัวเองเลย หรือถ้าขนมปังยังติดใจเรื่องโซนิคกับเราอยู่ เราบอกได้เลยนะว่า น้องมันเข้าใจตัวเองช้าไปหน่อย เชื่อเถอะว่า โซนิคไม่ใช่รายแรกหรอกที่สารภาพความรู้สึกกับเราโดยไม่รู้ใจตัวเองจริงๆ” คงรู้นะว่าผมหมายถึงพี่ท๊อป

“เรา......” แอบได้ผลนิดนึงเหมือนกันแฮะ คนเบื้องหน้าผมลังเลนิดหน่อย “...เรากลับก่อนนะ”

อ้าว

“โอเค” อ่ะๆ กลับก็กลับ “เดินทางปลอดภัยนะ แล้วก็ขอบใจนะเรื่องที่มาเปิดห้องซ้อมไว้ให้”

“งั้นเราไปแล้วนะ”

“อืม ไม่เจ็บแล้วใช่ไหม”

“ไม่แล้วล่ะ ไปนะ”



แล้วบั๊ดดี้เหล็กดัดฟันก็เดินเอื่อยๆออกไปจากห้องซ้อมในที่สุด



ว่างล่ะ ไหนๆว่างแล้วก็ซ้อมเพลงมิ่งขวัญมัณฑนารอพวกน้องปีหนึ่งดีกว่า





“กูถือเองได้ มึงก็ถือของตัวเองไปดิ”

“ก็แทนอยากถือให้ ไม่เห็นเป็นไรเลย กระเป๋าใบแค่นี้  ไม่ได้หนักอะไร”

เสียงคนคุยกันมาจากนอกห้องอีกแล้ว

“กูไม่ได้พิการซะหน่อย ถือเองได้ ไม่ต้องมาแย่งเลย เอามือออกไปๆ”

“ก็บอกว่าอยากถือให้ไง”

“ไอ้บ้าแทน อย่างี่เง่าได้ไหม ไม่งั้นจะไม่คุยด้วยแล้วนะ”

“แค่อยากถือของให้นิดๆหน่อยๆนี่มันเป็นเรื่องงี่เง่าตรงไหน ไม่เห็นจะเข้าใจเลย แทนก็แค่อยากแสดงออกว่า....”

“หยุด ไม่ต้องพูดอะไรออกมาเลยนะ”

ขอย้ำอีกครั้ง ผมไม่ได้เป็นคนขี้เสือกขนาดนั้นนะ แต่ทำไมถึงชอบมีอะไรมาเข้าหูตลอด แล้วก็เป็นโรคอะไรไม่รู้ที่จะต้องไปเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเขา อย่างกรณีนี้ก็เหมือนกัน ฟังดูก็รู้ว่าอะตอมกับแทนง้องแง้งกันอีกแล้ว



“จะเข้ามาได้ยัง” ผมไม่รีรอที่จะเปิดประตูออกไปเรียกไอ้เด็กสองคนที่ยังคงยื้อแย่งกระเป๋าสะพายอยู่หน้าห้องซ้อม “ไม่ต้องเถียงกันเรื่องกระเป๋าแล้วมั้ง นี่มันถึงห้องซ้อมแล้ว”

“พ...พี่น้ำชา” ตกใจอะไรรึอะตอม นี่พี่เอง ทำหน้าเหมือนเห็นผี “ข...ขอโทษครับ จะเข้าไปแล้วครับ... ปล่อยมือซิ”

“อะตอมก็เข้าไปซิ เดี๋ยวแทนถือเข้าไปให้เอง” ดูมัน ไอ้น้องแทนยังจะมีน้ำใจอีก

“เอ๊ะ มึงนี่ยังไง...”

“พอ” กูไม่ทนฟังแล้ว ผมออกจากห้องก่อนจะดึงกระเป๋าเจ้าปัญหามาไว้กับตัว “เอามานี่ กูจะถือให้เอง เข้าไปห้องซ้อมกันซะที.... ยังจะมามองหน้าอีก เข้าไปได้แล้ว ไปๆๆๆ”



เออ เข้าไปกันได้ซะที จะอะไรกันนักหนา หุ๊



“รีบทำความสะอาดพื้นให้เรียบร้อยนะ” ผมสั่งทันทีเมื่อตามเข้ามาในห้อง



“......ก็บอกว่าทำเองได้ไง”

“ไม่ต้อง เดี๋ยวแทนทำให้....”

“อย่านะ” ผมเตือน ผ่านไปแค่นาทีเดียว ง้องแง้งกันอีกแล้ว “อย่าให้ต้องขึ้นเสียงอีกรอบนะ ช่วยกันทำความสะอาดเดี๋ยวนี้เลย”

จะบ้าตาย กว่าจะลงมือทำอะไรกันได้แต่ละอย่าง เถียงกันอยู่นั่นแหละ ไอ้น้องแทนก็ไปกินยาอยากเป็นสุภาพบุรุษที่ไหนมาก็ไม่รู้ ค่อยแต่จะอาสาช่วยอะตอมตลอดเวลาอยู่นั่นแหละ



ไม่นานไอ้ต้อมก็กลับเข้ามา แต่ไม่ยักกะเห็นไอ้น้องโซนิคแฮะ หายไปไหนนะ



“โซนิคอ่ะ” ผมถามไอ้ต้อม

“เดี๋ยวก็ตามเข้ามา” มันบอกพร้อมกับยิ้มมุมปาก “มันขอเวลาดูใจตัวเองแป๊บนึง”

ดูใจอะไรของมันวะ ทำไมต้องพูดเป็นปริศนา

“เออๆ ซ้อมไปเหอะ เดี๋ยวมันก็ตามเข้ามา”

อ่ะๆๆ ก็ได้วะ
หัวข้อ: LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 16 [คุณค่า Part 2]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 14-11-2018 21:27:33
ตอนที่ 16 : คุณค่า (Part 2)



ผมหันกลับมาซ้อมเต้นต่อไประหว่างรอการทำความสะอาดห้องของเด็กปีหนึ่งทั้งสอง



“อิชาาาาาาาาาา พวกกูมาแล้ว” คงทายไม่ยากนะว่าใครคือกลุ่มแขกรายใหม่ อิเพื่อนสามเกลอแก๊งนางฟ้าของผมนั่นเอง พวกมันเข้ามาหลังจากผมซ้อมได้ไม่นาน

“อุ๊ย ไปช่วยน้องอะตอมดีกว่า” “น้องแทนนี่นา น้องแทนนนน พี่ช่วยถูพื้นให้ไหมคะ” “อิชา โซนิคของกูล่ะ”

“นี่พวกมึงเป็นเพื่อนกูจริงๆใช่ไหม” ผมแขวะ “มาถึงก็ถามหาแต่ผู้ชาย ของขาดกันนักหรือไงห๊ะ”

“โอ๊ย ก็ถามหาบ้างไรบ้าง” อิช้างทำท่าชะอ้อนชะแอ้น “ว่าไง น้องโซนิคอยู่ไหนเหรอ”

“ข้างนอก เดี๋ยวก็มา” กูตอบให้แล้ว อย่ามาเซ้าซี่อีกนะ “วันนี้กูจะให้พวกมึงดูแลน้องๆนะ”

“ได้ค่ะนายท่าน” ถูกใจเชียวนะอิช้าง

“ทุกคนนะ ไม่ใช่แค่คนใดคนหนึ่ง” ผมเตือน

“ค่า....”



“สวัสดีค่ะพี่น้ำชา”

มีแขกใหม่เข้ามา.... อ่อ นึกว่าใคร น้องครีมนั่นเอง

“หวัดดีครับน้องครีม”  ผมตอบรับ “เรื่องเมื่อวานนี้ต้องขอบใจมากนะ ลำบากหน่อยนะ”

“ไม่หรอกค่ะ แค่แกล้งเล่นละครนิดหน่อย” เรากำลังพูดถึงเรื่องที่ผมวานให้น้องครีมทำเป็นสนิทสนมกับพี่ท๊อป

“ไม่รู้เหมือนกันว่าได้ผลแค่ไหน พี่ก็ไม่ได้ติดตามผลเลย ไม่รู้ว่าพี่ท๊อปกับพี่บุ๋นเคลียร์กันหรือยัง”

“เคลียร์เรียบร้อยแล้วค่ะ”

“ห๊ะ ครีมรู้ได้ไง”

“ก็พี่ท๊อปกับพี่บุ๋นไปรับหนูมาที่นี่ค่ะ”

“จริงอ่ะ!! หนูปลอดภัยดีใช่ไหม พี่บุ๋นไม่ได้ตำหนิหรือทำอะไรหนูใช่ไหม”

“เปล่าค่ะ พี่ท๊อปเขาคงอยากแสดงความบริสุทธิ์ใจละมั้ง ก็เลยพาพี่บุ๋นมาทำความรู้จักกับหนู เราจะได้ไม่เข้าใจผิดกัน”

“อ๋อ... โล่งอกไปที ว่าแต่ พี่ท๊อปกับพี่บุ๋นอยู่ไหนล่ะ”

“เห็นคุยกันว่าจะไปเอารถยนต์พี่บุ๋นที่คอนโดฯอะไรสักอย่างนี่แหละค่ะ”

อ๋ออออ รถยนต์ของพี่บุ๋นที่ผมขับไปเก็บไว้ที่คอนโดฯ ของพี่ตองนั่นเอง

“ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว” ผมบอก “ไปช่วยแทนกับอะตอมทำความสะอาดห้องเถอะ”

“ค่ะ” แล้วเธอก็รีบไปทำตามที่บอก





“แค่สี่ทุ่มเท่านั้นนะ”

“ครับบบบบ”

หือ!!!!!!!

เดี๋ยวๆๆๆ

อะไร ยังไง ทำไมจู่ๆขนมปังถึงเดินกลับเข้ามาพร้อมไอ้น้องโซนิค ถึงแม้เจ้าเด็กเนิร์ดจัดฟันจะมีสีหน้าไม่เต็มใจนักแต่ก็เหมือนว่ายอมเดินเข้ามาในห้องซ้อมแต่โดยดี

ไม่ได้ๆ เรื่องนี้ริวต้องยุ่ง ถามซะหน่อยดีกว่าว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอก ทำไมสองคนนี้กลับเข้ามาด้วยกันได้



“พี่น้ำชาครับ”

“ครับ?” ผมถูกอะตอมรั้งไว้เสียก่อน

“คือ.... ตอม...” อ้าว อ้ำอึ้งทำไหมหว่า

“มีอะไรก็ว่ามาเลย”

“ตอมขอบคุณนะครับ เรื่องที่พี่น้ำชาช่วยสืบหาเบาะแสแม่ของตอม ตอมไม่รู้จะขอบคุณยังไงเลย” อะตอมยิ้มเขินๆ   

“อ๋อ นึกว่าเรื่องอะไร แค่นี้เอง พี่อยู่ในจุดที่ช่วยได้พี่ก็ช่วย ถ้าเป็นคนอื่น เขาก็คงช่วยเหมือนกันนั่นแหละ”

“ถ้าตอมมีกำลังทรัพย์มากพอ ตอมจะไม่รบกวนพี่น้ำชาเลย แต่....”

“พี่เข้าใจ อะตอมไม่อยากรบกวนพี่ แต่ก็อยากตามหาแม่ เอาเป็นว่าตอนนี้พี่มีศักยภาพพอที่จะช่วยได้ พี่จะช่วยอย่างเต็มที่ ส่วนอะตอมก็นึกถึงแค่เรื่องที่ต้องทำในตอนนี้”

“ครับ เดี๋ยวผมจะกลับไปทำความสะอาดครับ”

“เปล่า ไม่ใช่เรื่องนี้ พี่หมายถึง.... แทน มานี่ซิ” ผมเรียกไอ้คนที่ทำท่าเช็ดกระจกอยู่ คิดว่ากูดูไม่ออกหรือไงว่ามึงแอบฟังอยู่ ทันทีที่ถูกเรียก ไอ้น้องแทนก็รีบวิ่งมาทันที “พี่รู้สึกว่าทั้งสองคนจะลืมอะไรไปบางอย่างนะ”

“ลืม....?” อะตอมพยายามคิด

“ใช่ ลืม” ผมบอก “ทั้งอะตอมทั้งแทน มีจุดประสงค์ในการเป็นผู้นำเชียร์กันทั้งคู่ พี่ไม่ตำหนิที่อยากแสวงหาผลประโยชน์จากตรงนี้ เพราะแม้แต่ตัวพี่เองก็มีจุดประสงค์อื่นเหมือนกันก่อนที่จะมาเป็นผู้นำเชียร์ แต่ท้ายที่สุดแล้ว เราต้องไม่ลืมว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ผู้นำเชียร์ของมหาวิทยามัณฑนา มีคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ในตัวของมันเอง และพี่อยากให้ทั้งสองคนระลึกไว้เสมอว่าสิ่งที่ควรทำตอนนี้คืออะไร หยุดทำตัวล้อเล่น หยุดง้องแง้งเหมือนเด็กไม่รู้จักโต หรือแม้กระทั่งหยุดเอาใจใส่คนอื่นมากกว่าที่จะสนใจสิ่งที่ตัวเองควรทำเพื่อพัฒนาตนเองสู่การเป็นผู้นำเชียร์ที่ดี” ประโยคสุดท้ายผมหมายถึงพฤติกรรมขี้เอาใจของไอ้น้องแทน

“ค...ครับ” อะตอมและแทนก้มหน้าตอบพร้อมกัน

“นี่แค่ด่านแรกนะ ยังไม่ผ่านเข้าไปเป็นลีดคณะด้วยซ้ำ  ถ้ายังทำตัวแบบนี้อีก พี่จะไม่หนุนหลังให้อีกแล้วนะ.... ทั้งคู่เลย” แอบรู้สึกผิดนิดนึงที่ตำหนิน้องนะ(แค่นิดเดียว) แต่ผมต้องพูดอะไรบ้าง ไม่งั้นจะเป็นการให้ท้ายพวกเขาเกินไป



“โถๆ ดุจังนะไอ้รุ่นพี่ชาเย็น” ไอ้ต้อมนั่นเองที่เข้ามาสับสวิทอารมณ์กลางบทสนทนา “น้องมันก็แค่จีบกัน ไม่ได้ทำอะไรเสียหายซะหน่อย คนกำลังมีความรัก มึงก็เข้มงวดไปได้”

“ห๊ะ!!!” ผมร้อง

“อะไร มึงดูไม่ออกเหรอ” ไอ้ต้อมถามผมพร้อมกับแสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ “ปั๊ดโถ่เอ๊ย ไว้พี่จะสอนนะเด็กชายชาเย็น”

จริงเหรอวะ

เอ่อ.... ท่าจะจริงแล้วล่ะ ถึงอะตอมจะทำท่าอยากปฏิเสธ แต่ก็ไม่พูดต่อ ส่วนไอ้อีกคนนี่แล้วใหญ่ หน้าแดงเชียว เขินเป็นกับเขาด้วยเหรอนั่น

“พอๆๆๆ” ไม่พูดต่อแล้ว กูไม่อยากไปมีส่วนในเรื่องส่วนตัวของคนอื่นอีกแล้ว “ใครจะทำอะไรก็ทำ ตอนนี้ถึงเวลาซ้อมแล้ว รีบไปทำความสะอาดเลยนะ ให้เวลาอีกห้านาที....” ผมไล่ทุกคนออกไป ยกเว้นไอ้ต้อมนี่แหละที่ยังยืนอยู่ข้างๆ ทำหน้าเย๊าะเย้ยในความอ่อนเดียงสาของผม “โซนิค เกตุ เร่งมือเข้า เราไม่ได้มีเวลากันทั้งวันทั้งคืนนะ.... อิช้าง อิเล็ก อย่าไปเกาะแกะน้อง เธอด้วยวาวา ออกไปซื้อข้าวมาเลย เร็วๆ”



“ใครเอาตำแยชุบแป้งทอดให้อิชากินเข้าไปหรือเปล่าวะมึง”

“อิช้าง กูได้ยินนะ” ผมรีบท้วง “บอกให้ออกไปซื้อข้าวไง ไปกันทั้งสามคนนั่นแหละ เดี๋ยวพวกมึงจะโดนหวายลงหลัง”

“ค่า... ไปๆๆ พวกมึง เดี๋ยวนายหญิงจะพิโรธ”



“ถามจริง มึงดูไม่ออกจริงๆเหรอ” ดูความอยากเอาชนะของไอ้ต้อมดิ มันยังไม่หยุดพูดอีก “กูมองแค่แว๊บเดียวกูก็รู้แล้วเนีย”

“กูไม่สน” ผมตอบ “มึงว่างนักก็ไปช่วยน้องทำความสะอาดห้องโน่นไป”

“เรื่องไร กูเป็นถึงลีดมหาลัยที่หล่อที่สุดในปีสอง กูยืนหล่อๆอยู่แบบนี้แหละ”

“กล้าพูดนะ เดี๋ยวกูตบเกรียนแตกเลย”



“ชา”

“อ้าว ข้าว” มีแขกมาอีกแล้ว เอ๊ย ไม่ใช่ซิ นี่คณะสังคม คณะของไอ้ข้าว ต้องเรียกว่า เจ้าของบ้านต่างหากแล้วก็มีไอ้สุ่ยมาด้วย “มาทำไรกันอ่ะ”

“กูพาใครบางคนมาหามึง” ไอ้สุ่ยเปรย ก่อนจะมีหญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามา

“เกตุ!” ผมร้อง “มึงพาเกตุมาทำไมอ่ะ”

“ก็ข้าวเจ้าบอกว่ามึงมีน้องผู้หญิงคนนึงต้องสอน กูก็เลยคิดว่ามึงน่าจะต้องการรุ่นพี่ลีดที่เป็นผู้หญิงมาช่วยสอนสักคน ซึ่งเกตุคงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว”

“นี่เรากลายเป็นตัวเลือกไปแล้วเหรอ” เกตุแซ็ว

“หมายถึงเก่งไง” ไอ้สุ่ยรีบแก้ตัว “ทั้งสวย ทั้งเก่ง แถมเป็นลีดมอด้วย”

“อะแฮ่ม” ไอ้ข้าวทำท่ากระแอ่ม เข้าใจนะว่ามึงกำลังหึง แต่ไอ้วิธีการกระแอ่มแบบนี้มันเอาไว้ใช้ในละคร 

“เปล่าๆ ไม่ใช่อย่างงั้น” ไอ้สุ่ยรีบโบกไม้โบกมือแก้ตัวอีกครั้งเป็นการใหญ่ “สุ่ยหมายถึงเผื่อไอ้ชาต้องแตะเนื้อต้องตัวน้องผู้หญิงไง”

อ๋อ อย่างงี้นี่เอง เข้าใจคิดนี่นา ก็จริงนั่นแหละ ให้สอนน้องผู้หญิง มันก็คงต้องมีโดนตัวกันบ้าง เพื่อป้องกันพฤติกรรมไม่เหมาะสม ก็ควรให้ผู้หญิงด้วยกันเขาเป็นคนสอน



“โอ้โห คนเยอะจัง” ผมควรจะหงุดหงิดนะที่มีคนเข้ามาอีกแล้ว แต่นี่คือพี่กอล์ฟ ซึ่งเป็นแฟนของเกตุ ถ้าไม่ให้เข้ามาก็คงใจร้ายไปหน่อย

“หวัดดีครับพี่กอล์ฟ” ผมกล่าวทัก

“เด็กในสังกัดเยอะน่าดูเลยนะน้ำชา” พี่กอล์ฟแซ็ว “แต่คงสอนง่ายกว่าเด็กวิศวะโง่ๆอย่างพวกพี่อยู่ละมั้ง”

“นั่นมันคนละอย่างกันครับพี่ สอนคณิตกับสอนลีดไม่เหมือนกันนะ”

“พอๆๆ” เกตุแทรก “สอนได้หรือยัง เกตุคันไม้คันมือจะแย่แล้ว”

“อ....โอเค” จริงจังไปไหนเกตุ อย่างกินหัวเด็กๆของเรานะ “ทุกคน วางมือได้แล้ว มารวมกันตรงนี้ครับ พี่จะเริ่มสอนแล้ว”



เอาล่ะ สอนได้ซะที

“ดูพี่ก่อนนะ”

ห้านาทีแรก ผมก็ทำการเต้นเต็มเพลงให้อะตอม แทน โซนิค และครีม ได้ดู จนคิดว่าพวกเขาเข้าใจจังหวะดีแล้ว จากนั้นก็ทำการเริ่มลงทีละท่า ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และทุกคนก็ดูตั้งใจอย่างที่ควรจะเป็น แต่.....



“น้ำชา เกิดเรื่องแล้ว!!” อุปสรรคก็มา นี่สอนได้ถึงครึ่งชั่วโมงหรือยังเนีย

“อะไรครับพี่ท๊อป” ผมไม่รู้ว่าควรตื่นเต้นดีหรือเปล่าที่จู่ๆ พี่ท๊อปกับพี่บุ๋นวิ่งหน้าตั้งเข้ามาในห้องซ้อมแบบนี้

“ไอ้ตองถูกเรียกเก็บตัวด่วน” พี่บุ๋นพูดแบบน้ำไหลไฟดับ

“ห๊ะ” เก็บตัว เก็บตัวอะไรวะ

“เออ รีบไปก่อนเถอะ”

“เดี๋ยวดิพี่ ผมติดสอนอยู่ จะทิ้งน้องไปได้ไง” แถมยังไม่เข้าใจสถานการณ์เท่าไหร่ด้วย

“คืองี้” พี่ท๊อปกำลังหาคำอธิบาย “ตองถูกมหาลัยเรียกให้ไปอบรมด่วนที่เชียงใหม่ก่อนเดินทางไปอังกฤษร่วมกับมหาลัยอื่นๆ”

“ครับ” แล้วไง มันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ

“นี่มึงจะไม่ไปส่งแฟนมึงหรือไง” พี่บุ๋นโวยวาย “ไอ้ตองจะไม่ได้กลับมาแล้วนะ อบรมเสร็จก็ไปอังกฤษต่อเลย”

“อะไรนะ!”

“เออ เข้าใจหรือยัง ถ้าเข้าใจก็รีบไปได้แล้ว เร็ว เดี๋ยวกูไปส่ง” พี่บุ๋นไม่รอช้าที่จะมาจูงมือผม

“เดี๋ยวก่อนซิพี่ เดี๋ยวๆ” ผมชะงัก

“อะไรอีก”

“ก็...ผมต้องสอนเพลงมิ่งขวัญให้น้องๆ พวกนี้”

“ไปก่อนเถอะน่า”

“แต่ว่า...” ผมยังสองจิตสองใจ จะให้ผมทิ้งหน้าที่ของตัวเองได้ยังไง ก็รู้อยู่หรอกว่ามันเป็นเรื่องสำคัญที่ผมควรไปส่งพี่ตอง แต่จะให้เอาเรื่องส่วนตัวมาเป็นเหตุผลในการทิ้งงานเนี่ยนะ

“เดี๋ยวพี่อยู่สอนให้ก็ได้” พี่ท๊อปตัดสินใจ “พี่รู้จักเพลงนี้ แต่อาจจะต้องรื้อฟื้นกันหน่อย”

“เอ่อ...เอางั้นเหรอครับ” ผมไม่แน่ใจนัก

“จะอยู่จริงเหรอ” พี่บุ๋นดูท่าจะไม่อยากให้พี่ท๊อปอยู่เท่าไหร่ เห็นได้ชัดว่าไม่อยากให้อยู่กับน้องครีมโดยที่ไม่มีตัวเองอยู่ด้วย

“เอาไงดีอ่ะ” ผมเริ่มร้อนใจแล้ว

“กูไปส่งมึงเอง” ไอ้ต้อมอาสาพร้อมเดินเข้ามาเอามือกอดคอผม “บอกมาเลยพี่ว่าผมต้องพามันไปที่ไหน”

“ที่คอนโดฯนั่นแหละ” พี่บุ๋นรีบตอบ

“โอเค ไปกัน ไอ้ชาเย็น” ไอ้ต้อมเร่ง

“แต่...” ผมยังลังเล ส่วนพี่ท๊อปกับพี่บุ๋นเริ่มเข้าไปหาเด็กปีหนึ่งและเข้าสู่กระบวนการสอน “โอ๊ย! ไอ้สัดต้อม มึงกล้าตบเกรียนกูเหรอ”

“ก็เออดิ” มันเหมือนจะดุผมนิดหน่อย “มึงจะบ้าเหรอ นั่นพี่ตองนะเว้ย แฟนมึงทั้งคนนะ หน้าที่ของมึงเลยนะที่ต้องไปส่งพี่เขา ทีเมื่อกี๊ทำเป็นปากเก่งสอนน้องเรื่องคุณค่าการเป็นลีด ตอนนี้มึงควรจะต้องรู้จักคุณค่าของการเป็นคนรักบ้างนะ”

เอาซะกูเถียงไม่ออกเลย

“เออๆๆ งั้นก็รีบไป” ไม่อย่าเชื่อเลยว่าชีวิตนี้จะถูกไอ้ต้อมตบเกรียนและสั่งสอนในเวลาเดียวกัน



หลังจากขึ้นรถยนต์ของไอ้ต้อม ผมก็โทรหาพี่ตองทันที แต่ยังไม่ทันจะกดอะไรเลย คนทางโน้นก็โทรเข้ามาเสียก่อนแล้ว



“ฮัลโหลพี่ตอง” ผมรับ

“ชาครับ พี่มีเรื่องด่วนอ่ะ พอดีว่าทางมหาลัย...”

“ชารู้แล้ว” ผมตัดบท “พี่ท๊อปกับพี่บุ๋นมาบอกชาแล้ว”

“อ้าว เหรอ ขอโทษนะครับที่พี่บอกช้าไปหน่อย มันค่อนข้างเร่งด่วน พี่ก็เลยต้องรีบเก็บของยัดใส่กระเป๋า”

“ไม่เป็นไร ตอนนี้ชากำลังจะไปหาพี่ตองที่คอนโดฯแล้ว”

“ไม่ต้องมาหรอก ไปหาพี่ที่สนามบินเลยดีกว่า”

“ทำไมอ่ะ จะออกไปแล้วเหรอ”

“อีกครึ่งชั่วโมง รถของมหาลัยก็จะมารับพี่ไปที่สนามบินแล้ว ถ้าชาไปที่โน่นเลย เราน่าจะเจอกันพอดี”

“เอางั้นเหรอ”

“ครับ ขืนมาเจอกันที่คอนโดฯเดี๋ยวก็คงได้คลาดกัน ไปเจอกันทีเดียวเลยดีกว่า”

“โอเค งั้นเดี๋ยวชาโทรหาอีกทีนะ”

“ครับ”

“ไอ้ต้อม ไปสนามบินเลย” ผมบอกไอ้ต้อมทันทีที่วางสาย “พี่ตองกำลังจะไปที่โน่นแล้ว”

“อือหือ” ไอ้ต้อมร้อง “อย่างกับผจญภัยตามรักแท้”

“ขับๆไปเหอะน่า”

“เออๆ”







“อยู่ด้านข้างครับ ใกล้ๆรูปปั้นยักษ์”

“ไหนอ่ะ ชาก็อยู่ตรงรูปปั้นแล้วนี่ไง” หลังจากที่มาถึงสนามบิน  ผมก็คุยโทรศัพท์ไปด้วยตามหาพี่ตองไปด้วย  โดยมีไอ้ต้อมช่วยมองหาอยู่ข้างๆ

“โน่นๆ” ไอ้ตองสะกิดผมให้มองไปด้านหลัง

“พี่ตอง” กรรม เผลอร้องดังไปหน่อย คนแถวนั้นหันมามองเต็มเลย

“รีบไปหาผัวมึงดิ” ไอ้ต้อมผลักผมให้เดินไปข้างหน้า เพราะผมมัวแต่อายอยู่

เอาวะ ถึงจะอายแต่ก็คงต้องเดินไปหา



ทั้งที่เห็นพี่ตองทุกวัน แต่ตอนนี้กลับรู้สึกเขินๆพิกล อาจจะเป็นเพราะยังไม่ได้เตรียมตัวที่จะบอกลาพี่เขาเลย พอทุกอย่างเกิดขึ้นแบบเร่งด่วนก็เลยทำให้เกิดความรู้สึกโหวงๆไปด้วย



“พี่ต้องไปแล้วนะ” พี่ตองเริ่มทันทีที่เราทั้งสองเดินมาใกล้กัน “เดี๋ยวอีกสักพักก็ต้องเข้าเกทแล้ว”

“ทำไมเร็วแบบนี้ล่ะ” ผมไม่รู้จะถามอะไร นี่ผมต้องรับมือกับความเหงาจริงๆเหรอ

“พี่ก็เกือบไม่ทันเหมือนกัน แต่ถ้าให้เดา พี่คิดว่าคงเป็นเพราะมีมหาลัยอื่นเข้าร่วมดูงานด้วย ทีมงานก็เลยอยากละลายพฤติกรรมของพวกนักศึกษา จะได้ไม่ไปมีปัญหาที่โน่น ก็เลยโดนเรียกเก็บตัวด่วนแบบนี้”

“แล้วของทุกอย่างเตรียมเสร็จแล้วเหรอ ไม่ลืมอะไรใช่ไหม”

“ไม่รู้ซิครับ ถ้าลืมก็คงต้องไปหาซื้อที่โน่น”

“ที่โน่นได้ข่าวว่าอากาศหนาวไม่ใช่เหรอ เตรียมเสื้อผ้าหนาๆแล้วหรือยัง”

“เตรียมแล้วครับ”

“เอกสารล่ะ อุปกรณ์ในห้องน้ำ แล้วไหนจะ...”

“ชาครับบบ” คนตรงหน้าหยุดความกังวลของผม “ขืนชาเป็นห่วงพี่มากขนาดนี้ พี่ก็ดูงานแบบไม่สบายใจซิ พี่ไม่ได้ไปเป็นปีซะหน่อย”

“ก็มัน....” อย่าร้องไห้นะกู “แล้วพี่ตองจะติดต่อชามาตอนไหนอ่ะ เดินทางนานไหม”

“พี่จะทำทุกวิถีทางเพื่อติดต่อแฟนของพี่ให้เร็วที่สุดครับ” ถึงจะได้ยินแบบนี้ แต่มันก็ไม่ทำให้สบายใจขึ้นมาสักเท่าไหร่หรอก “แต่ถ้าติดต่อมาช้า พี่ก็มีชาอยู่ข้างๆแล้วล่ะ”

“อะไร?”

คนตัวสูงหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อคลุม.....

“จ...จะเอาไปด้วยเหรอ มันเก่าแล้วนะ เอาของเก่าๆแบบนั้นไปใช้ไม่อายเพื่อนเหรอ” ก็นึกว่าอะไร หมวกคลุมศรีษะนั่นเอง มันเป็นหมวกผ้าไหมเก่าๆสีฟ้าเทาที่ผมซื้อให้พี่ตองตอนอยู่เกาหลีปีที่แล้ว สภาพของมันตอนนี้ไม่ใช่แค่ตกเทรนนะ แต่เริ่มมีรูขาดเล็กๆแล้วด้วยซ้ำ “ซื้ออันใหม่ไปดีกว่านะ อันนี้มันแทบจะกันอากาศหนาวไม่ได้แล้ว เดี๋ยวชารีบหาซื้อแถวๆนี้ รอแป๊บเดียว”

“ไม่ต้องครับไม่ต้อง" พี่ตองขว้าแขนผมไว้ "ของบางอย่างก็มีคุณค่าในแบบของมันนะครับ” พี่ตองสวมหมวกไหมพรมเก่าๆที่ศีรษะของตัวเองอย่างภาคภูมิใจ “ที่สำคัญพี่ไม่ได้ใส่มันไว้เพื่อความอบอุ่นของร่างกายซะหน่อย.................









......................แต่เพื่อความอบอุ่นของหัวใจต่างหาก”
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER ภาค 2 [เชียร์ฝันสนั่นหัวใจ] - ตอนที่ 16 : คุณค่า
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 15-11-2018 22:11:44
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER ภาค 2 [เชียร์ฝันสนั่นหัวใจ] - ตอนที่ 16 : คุณค่า
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 17-11-2018 04:00:50
แพ้ความอบอุ่นของพี่ตองมากจริงๆ :-[
หัวข้อ: LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 17 [รับผิดชอบ Part 1]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 18-11-2018 18:24:57
​ตอนที่ 17 : รับผิดชอบ (Part 1)









“เห้ยๆๆ ไอ้ชาเย็น น...นี่มึงร้องไห้เหรอ”

“ป....เปล่า”

“เปล่าห่าอะไร ร้องไห้อยู่ชัดๆ เมื่อกี๊ยังทำเก่งอยู่เลย สุดท้ายพอพี่ตองไปจริงๆมึงก็ร้องไห้ซะงั้น”

“..........” แล้วจะให้กูกระโดดดีใจหรือไงวะ คนเคยอยู่ด้วยกันทุกวัน จู่ๆก็หายไป.... เศร้าเลยกู

“กรรม ร้องไห้จริงจังเลยทีนี้ ไหวไหมมึง”

“ไหว” ก็ตอบไปงั้นแหละ

“แน่นะ”

“อืม กูแค่ใจหายนิดหน่อย เดี๋ยวก็ดีขึ้น”

“เออๆ กูเข้าใจ ถ้าน้ำขิงไปไหนไกลๆนานๆกูก็คงเศร้าเหมือนกัน ไม่เป็นไรนะมึง ช่วงนี้เดี๋ยวกูกับน้ำขิงจะแวะไปหามึงบ่อยๆละกัน”

“ไม่ต้องหรอกน่า” ผมพยายามกลับมาประคองอารมณ์ของตัวเองอีกครั้งด้วยการหายใจเข้าออกช้าๆและปาดน้ำตาออกไป “ตั้งใจขับรถต่อไปเหอะ น้องๆรออยู่”

“ทำเป็นเก่งไปเหอะมึง ร้องไห้งอแงอีกทีกูไม่ปลอบใจนะ”

“เออ”

“เออ”



เห้ออออ ต้องหาเรื่องคุยอะไรมาเปลี่ยนความคิดในหัวซะแล้ว จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน



“เออใช่ มึงคุยไรกับโซนิควะ เกิดอะไรขึ้นนอกห้องซ้อมอ่ะ” ผมเปิดประเด็น “กูเห็นโซนิคกับขนมปังกลับเข้ามาด้วยกันเฉยเลย”

“เสือก!”

“ไอ้สัดต้อม” เพี้ยงงง!! ขาดรสมือกูนานเกินไปแล้วนะมึง ครั้งนี้ไม่มีพลาด เพราะมันขับรถอยู่นั่นเอง จึงไม่มีวิทยายุทธใดมาป้องกันการโจมตีของกูได้

“ไอ้เพื่อนเวร ตบซะแรงเลย เดี๋ยวความรู้ที่กูอุส่าสั่งสมมาก็หลุดออกหมดหรอก”

“ปากเสียแบบมึงก็ต้องโดนแบบนี้แหละ กูให้มึงเล่าก็เล่ามา”

“ขอร้องดีๆเป็นไหม  เทอมนี้ถ้าเกรดกูตกนะ จะฟ้องน้ำขิงว่ามึงทำให้กูสมองไม่ดี”

“เหรออออออ อยากฟังคำขอร้องจากกูเหรอ... ‘เล่ามาเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นมึงเจ็บตัวอีกรอบแน่’ นี่แหละคำขอร้องฉบับของกู”

“กูไม่..... เดี๋ยวๆๆ เออๆ เล่าให้ฟังก็ได้ ไอ้เพื่อนชั่วเอ๊ย เดี๋ยวเหอะมึง สักวันหนึ่งกูจะแก้แค้นมึงให้สาสม”

“เล่ามาซะที”

“ก็กำลังจะเล่าอยู่นี่ไง ใจร้อนไปได้ เรื่องมันก็ไม่ได้มีอะไรหรอก ก็แค่.............. ”









(2 ชั่วโมงก่อน)



-ในมุมของโซนิค-



“อาทัศน์รู้เรื่องนี้หรือยัง”

“ค...ครับ!?” ชิบหายละไง พี่ต้อมไม่คิดจะถามไถ่หรืออ้อมค้อมเลยเหรอวะ ออกมาจากห้องซ้อมได้แป๊บเดียวก็ยิงคำถามเข้าประเด็นเลย

“จะต้องให้กูพูดตรงๆใช่ไหม” พี่เขาเอ่ยอีกครั้ง คราวนี้รู้สึกขนลุกไปทั้งตัวเลย

“พ...พี่พูดอะไรอ่ะพี่ ผ...ผมไม่เห็นจะเข้าใจเลย” ไม่ได้ๆ ยังไงพี่ต้อมก็ห้ามรู้เรื่องนี้เด็ดขาด ไม่งั้นก็ไม่วายจะไปถึงหูพ่อ ซึ่งถ้าพ่อรู้เรื่องรสนิยมทางเพศที่เปลี่ยนไปของผม โลกของผมได้พังทลายลงมาแน่ๆ

“บั๊ดดี้คนนั้นชื่ออะไรนะ บั๊ดดี้ของข้าวเจ้าน่ะ” เอาแล้วไง “อ๋อ ใช่ ขนมปังใช่ไหม มึงกับบั๊ดดี้คนนั้น....”

“มันไม่มีอะไรนะครับ....”

“กูไม่โง่ขนาดนั้นหรอกนะโซนิค คิดจริงๆเหรอว่ากูดูไม่ออก มึงกับขนมปังกำลังมีความสัมพันธ์บางอย่างต่อกันใช่ไหม แล้วที่ผลักเขาล้มเมื่อกี๊ก็เพราะกลัวว่ากูจะรู้เรื่องนี้เข้า แล้วเอาไปบอกพ่อมึงใช่ไหม”

“คือ.....” นี่มัน ชาร์ล เซเวียร์ ชัดๆ (มนุษย์กลายพันธุ์ที่มีความสามารถในการได้ยินความคิดผู้อื่น : X-MEN) อ่านใจกูออกทุกอย่างเลย

“รู้ใช่ไหมว่าอาทัศน์ไม่ชอบเรื่องแบบนี้เข้ากระดูกดำ  พ่อเอ็งคงเป็นประทับใจมากถ้ารู้เรื่องนี้เข้า”

“ผม.....” ไม่รู้จะพูดหรือเถียงอะไรเลยตอนนี้ บอกตามตรงว่าความกลัวเข้าครอบงำไปหมดเลย แค่คิดว่าถ้าพ่อรู้เรื่องเข้า งานนี้ศพไม่สวยแน่ๆ

“ขนาดตอนที่พ่อเอ็งรู้ว่าน้ำขิงเป็นแฟนกู อาทัศน์ยังเกือบจะโวยวายออกมา นี่ถ้ารู้ว่าลูกชายตัวเองก็.......เตรียมเจ็บตัวไว้ได้เลย”

“..............” ทำไมจะไม่รู้ล่ะ ไม่งั้นจะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้เหรอ

“แล้วจะเอายังไง จะเลิกยุ่งกับบั๊ดดี้คนนั้นหรือเปล่า ถ้าเอ็งเอ่ยปากมาว่าจะไม่ยุ่งกับเขาอีก กูก็จะถือว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นและอาทัศน์ก็จะไม่รับรู้เรื่องนี้”

“ครับ? ต...แต่ผม...” ไหงขู่กันแบบนี้วะ แถมยังให้เลือกทันทีด้วย

“ทำไม จะไม่เลิกยุ่งกับเขาเหรอ งั้นกูบอกพ่อมึงก็ได้ใช่ไหม ถ้าไม่เอ่ยปากมาตอนนี้ กูโทรหาอาทัศน์จริงนะ”

“เดี๋ยวๆๆๆ เดี๋ยวก่อนพี่” จะบ้าเหรอ ให้ตัดสินใจเดี๋ยวนี้เลยเหรอ

“แล้วมึงจะเอาไง นั่นอาทัศน์นะ จะเลือกอะไรระหว่างเจ็บตัวกับเจ็บใจ”

“............................” เชี่ยเอ๊ยยยย ทำไมพี่ต้อมต้องมาเห็นด้วยวะ

“ถ้ายังเงียบอยู่ กูจะถือว่ามึงไม่อยากให้กูโทรนะ ซึ่งนั่นก็แปลว่ามึงงจะเลิกยุ่งกับบั๊ดดี้คนนั้น” เดี๋ยวดิ  “กูนับถึงสามนะ.... หนึ่ง....สอง................สาม”

“.....................” กูแม่งโคตรกากเลยว่ะ ทำได้แค่เงียบนิ่งแล้วก็ยอมรับชะตากรรม

“ดีแล้วล่ะ” จู่ๆพี่ต้อมก็เอามือมีตีไหล่ผมแรงๆ เสมือนว่าชื่นชมในการตัดสินใจของผม “มึงคงรู้ดีอยู่แล้วว่าอะไรเป็นอะไร อาทัศน์น่ากลัว กูเองยังไม่อยากทำเรื่องให้แกโกรธเลย ถึงตอนนี้กูจะคบกับน้ำขิง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอยากให้มึงเอาเป็นแบบอย่าง....  ที่สำคัญ เท่าที่ดูแล้ว กูก็รู้ว่ามึงกับบั๊ดดี้ที่ชื่อขนมปังนั่นคงไม่ได้จริงจังอะไรกันเท่าไหร่หรอก อย่าเอาความรู้สึกครึ่งๆกลางๆไปแลกกับการต้องเจ็บตัวเลย ไม่คุ้มหรอก... เข้าไปซ้อมเถอะ”

“ไม่ใช่นะ!” จะบอกว่าผมเผลอตะโกนออกมาก็คงไม่ถูกซะทีเดียว แต่มันขัดใจจริงๆที่พี่ต้อมพูดออกมาแบบนั้น

“เห้ย! เป็นไรวะ ตะโกนทำไม”

“พี่เข้าใจผิดแล้ว ไม่จริงเลยที่พี่พูดว่าผมไม่จริงจัง”

“จริงจังเหรอ การผลักเขาแบบนั้น เรียกว่าจริงจังเหรอวะ”

“ผม...ผมก็แค่...”

“แค่กลัว...ใช่ไหม หรือ แค่กังวลว่ากูจะรู้ความจริงแล้วเอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อมึง เพราะถ้าเป็นเหตุผลนี้กูก็กล้าพูดได้เลยว่ามึงไม่ได้จริงจังอะไรกับเขาหรอก ถ้าการแค่จะยอมรับความรู้สึกตัวเองต่อคนอื่นโดยยังมีความรู้สึกกลัวติดในใจแบบนี้ ใครที่ไหนก็พูดแบบกู คนที่กล้าผลักไสคนอื่นแบบนั้น มันไม่ใช่วิสัยของคนที่พูดว่าจริงจัง”

“.........................” พูดไม่ออกเลยกู ให้พี่ต้อมต่อยหน้าแรงๆซะยังจะดีกว่าให้พี่เขาพูดความจริงในเบื้องลึกของจิตใจแบบนี้

“เอาน่าๆ” พี่ต้อมกลับมาตีไหล่ผมอีกครั้ง “กูพูดแรงไปหน่อย ถึงยังไงซะมึงก็เป็นน้องของกู กูอยู่ข้างเอ็งเสมอแหละ ยังมีสาวๆสวยๆรอมึงอยู่อีกเยอะ อาทัศน์ก็จะได้ไม่ฟาดงวงฟาดงา มึงก็ได้เจอคนที่เหมาะสม อย่าลืมดิว่าผู้ชายตระกูล ‘อาจแผ่นดิน’ หล่อขั้นเทพทุกคน  ก็แค่คนๆนึง หน้าตาก็งั้นๆ ถือซะว่าเลิกยุ่งกับคนที่ไม่เหมาะสมกับมึงก็แล้วกัน.... ไปๆๆๆ ไปซ้อมได้แล้ว ไอ้ชารอนานแล้ว”

“ต้องคนนี้... ต้องคนนี้เท่านั้น” ไม่รู้ว่าทำไมปากของผมถึงลั่นออกมาอีก  ทั้งๆที่อีกนิดเดียวก็จะจบประเด็นกับพี่ต้อมอยู่แล้ว

“เมื่อกี๊พูดอะไรนะ” พี่ต้อมที่กำลังจะจากไปกลับมาให้ความสนใจผมอีกครั้ง

“ผมไม่สนว่าใครจะมองขนมปังยังไง” เอาวะ ไหนๆก็พูดแล้ว ต่อให้เกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ กูไม่สนใจแล้ว “พี่อาจจะมองว่าขนมปังไม่เหมาะกับผม แต่นั่นไม่จริงเลย ผมต่างหากที่ยังทำตัวไม่เหมาะสมกับเขา ทำตัวก็ไม่ดี ทำร้ายเขา แถมยังขี้ขลาด เอาแต่หลบอยู่หลังความกลัว ผมจะม....จะไม่หยุด ผมจะไม่เลิกยุ่งกับเขาหรอก!!!  ผมเลือกแล้ว ต่อให้พี่โทรบอกพ่อ ผมก็จะไม่ให้ใครมาห้ามผมยุ่งกับขนมปังอีกแล้ว”

“มึงแน่ใจนะ” คราวนี้พี่ต้อมยกมือถือขึ้นมาโชว์หมายเลขโทรศัพท์ของพ่อผม พร้อมนิ้วที่เตรียมสัมผัสปุ่มโทรออก อันเป็นการยื่นโอกาสครั้งสุดท้าย “จะไม่เปลี่ยนใจแน่ใช่ไหม คุ้มแล้วใช่ไหมที่จะเสี่ยงผิดใจกับที่บ้านเพราะคนๆนี้ อยากลืมนะพ่อเอ็งกับพ่อพี่ถึงจะเป็นพี่น้องกันแต่ทัศนคติต่างกันสุดขั้ว เอ็งอาจจะเจอสิ่งที่เลวร้ายกว่าที่คิดไว้ก็ได้”

“ผ...ผม... ผมแน่ใจ” เอาวะ ผมไม่รู้ว่าตัวเองพยักหน้าแรงแค่ไหนเพื่อยืนยันคำพูดตัวเอง แต่ก็รู้สึกปวดคอนิดๆเหมือนกัน

“ถ้างั้น.....” เอาเลย โทรเลย ตายเป็นตาย ต้องไม่พลาดอีก คนนี้แหละที่หัวใจบอกว่าต้องสู้ “.....ถ้างั้นก็หันไปบอกเขาโน่น”

“อ...อะไรนะ??”  พูดอะไรของเขาวะ

“โน่นไง” พี่ต้อมดันไหล่ผมเพื่อให้หันไปดูบางสิ่งที่อยู่ด้านหลัง



!!!!!!!!

“ข...ขนมปัง” มายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่เนีย



คนตัวเล็กเบื้องหน้าที่ยืนห่างจากผมเพียงไม่กี่ก้าว ยืนขมวดคิ้วและเหมือนจะอึ้งๆอะไรอยู่



“ไปบอกเขาด้วยปากของเอ็งเองไป” พี่ต้อมสะกิดบอก “ไปบอกเขาว่าเอ็งรู้สึกยังไง เขาคงอยากฟังความจริงใจจากปากเอ็งมากกว่า”

“น...นี่พี่รู้มาตลอดเลยเหรอว่าขนมปังยืนอยู่ตรงนี้” ผมสงสัย

“ก็ต้องเห็นดิ” พี่จะพูดหน้าตาเฉยเกินไปแล้ว นี่มันหลอกให้ผมพูดชัดๆ “กูไม่ได้ตาบอดนะ”

“แล้ว...ทำไมพี่ไม่บอกผม”

“บอกเอ็ง? แล้วมันจะได้อะไรขึ้นมาวะ กูจะบอกให้นะกูรอวันนี้มานานแล้ว วันที่มึงกล้าเป็นตัวของตัวเอง  คนอย่างมึงมันติดอยู่ใต้ปีกของพ่อตัวเองนานเกินไปแล้ว ก็ไม่รู้หรอกว่ามึงจะกล้าเสี่ยงมากแค่ไหน เพราะงั้นกูก็เลยอยากให้มึงพูดความต้องการที่อยู่ในใจของตัวเองออกมาจริงๆ อย่างจริงใจและกล้าหาญ เพียงแต่ไม่คิดว่าสิ่งที่ทำให้ความคิดของมึงปลดล็อคจะมีอิทธิพลมาจากคนนี้”

“แล้วเรื่องที่พี่จะบอกพ่อ....”

“จะบ้าเหรอ กูมีสิทธิ์อะไรไปยุ่งกับชีวิตของมึงขนาดนั้นวะ  กูก็ขู่ไปงั้นแหละ กูว่ามึงรีบ.... อ้าวๆ ขนมปังเดินไปโน่นแล้ว มัวแต่คุยกันอยู่นี่แหละ ตามเขาไปได้แล้ว”

กรรม จริงด้วย เดินจ้ำอ้าวไปแล้ว



รอไรล่ะ วิ่งซิครับ



“ขนมปัง ขนมปัง รอก่อน” ผมพยายามวิ่งตาม ก็ไม่ได้ลำบากอะไรนักหรอกเพราะคนข้างหน้าผมไม่ได้ขายาวอะไรนัก ดักหน้าซะเลยละกัน “เดี๋ยวๆ หยุดก่อน หยุดก่อนได้ไหม ขอร้อง”

“ปล่อยนะ” คงเดาได้นะว่าผมคว้าแขนรุ่นพี่ตัวน้อยไว้

“ผมชอบขนมปังนะ” พูดแม่งดื้อๆแบบนี้แหละ และมันก็ได้ผลแบบฉับพลันทันที คนตรงหน้าหยุดการขัดขืน กลายเป็นเงยหน้ามองผมด้วยความประหลาดใจ อาศัยจังหวะนี้แหละ “ผมขอโทษที่ผมไปสารภาพรักกับพี่น้ำชา ทั้งๆที่ใจจริงแล้วผมชอบขนมปัง แต่ตอนนั้นผมไม่รู้ตัวจริงๆ ผมขอโทษที่ผมผลักขนมปังเมื่อกี๊ นั่นเพราะผมกลัวพี่ต้อมจะรู้เรื่องที่ผมชอบขนมปังแล้วเอาไปบอกพ่อ แต่ผมไม่กลัวแล้ว ไม่อีกแล้ว ผมจะไม่ลังเลอีกแล้ว ผมพูดจริงๆนะ ครั้งนี้จะไม่มีลูกไม้อะไรอีก...”

“ปล่อยนะ” ขนมปังตัดบทผม เหมือนเขาจะดึงสติตัวเองกลับมาได้ จึงสะบัดแขนตัวเองออกจากพันธนาการแบบสุดแรง แล้วนี่ไปแรงเยอะมาจากไหน หลุดจากมือผมเฉยเลย “ผมไม่สนใจคำขอโทษหรือเหตุผลอะไรของคุณทั้งนั้น”

ใจแข็งอะไรแบบนี้

เขาหันหลังควับอย่างไวเตรียมเดินจากไป

“อย่าไปได้ไหม!!” นี่คงไม่ใช่เวลาที่ผมจะยอมแพ้อีกแล้ว เพียงเสี้ยววินาทีเดียวที่ผมใช้แขนโอบกอดคนตัวเล็กไว้จากด้านหลังของเขา ไม่ว่ายังไงผมก็จะไม่ปล่อยเขาไปอีกแล้ว “อย่าทิ้งผมไปได้ไหม”

“ท...ทำอะไรน่ะ” คนตัวเล็กในอ้อมกอดโวยวาย “นี่มันในมหาลัยนะ”

“ก็ดี ทุกคนจะได้รู้ว่าผมชอบขนมปัง” เอาดิ กูจะดื้อแพ่งแบบนี้แหละ แต่เอาเข้าจริงๆก็ไม่มีใครอยู่แถวนี้หรอก ยังไงซะนี่ก็ยังเป็นวันปิดภาคเรียนอยู่ ก็เลยไม่มีใครเห็นบทตามง้อนางเอกของผม

“ไม่ได้ผลหรอก ไม่ว่าจะมาไม้ไหน ผมก็ไม่กลับไปเชื่อใจคุณอีกแล้ว ถ้าอยากจะกอดไว้นักก็เชิญ แต่คุณจะไม่ได้อะไรไปมากกว่า.....ความว่างเปล่า”

“.....................” พูดซะขนาดนี้ ผมก็ต้องปล่อยอะดิ ทำไมใจแข็งนักวะ นอกจากจะไม่ให้ความหวังแล้วยังตั้งใจทำลายความรู้สึกของผมทิ้งอีก

“เข้าใจก็ดีแล้ว งั้นผมขอตัว....”

“ไม่ไปได้ไหม” นี่จะเป็นความพยายามเฮือกสุดท้ายของผมแล้วจริงๆ หากความจริงใจที่ผมกำลังจะพูดนี้ยังไม่มีผลต่อความรู้สึกของเขาอีก ผมก็จะยอมแพ้อย่างสิ้นเชิง “อยู่กับผมก่อนได้ไหม อยู่เป็นกำลังใจให้ไอ้คนขี้ขลาดอย่างผมก็ยังดี ผมรู้แล้วว่าผมผิด ผิดที่รู้ตัวช้าว่าจริงๆแล้วหัวใจของผมต้องการคนที่อยู่ข้างผมเสมอ ผมรู้แล้วว่าผมทำไม่ดีกับขนมปังไว้เยอะ ทั้งทำร้ายทั้งจิตใจ ทำร้ายทั้งร่างกาย ผมมันก็แค่.... แค่คนโง่ที่ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่น่าให้อภัย ไม่สมควรได้รับโอกาสที่จะมีคนมายืนอยู่ข้างๆเลยด้วยซ้ำ .... ผมไม่ชอบเลยที่แสดงออกด้านนี้ของตัวเองออกมา ที่ทำเป็นเข้มแข็ง พูดจากวนๆ รักษาภาพลักษณ์อยู่ตลอดเวลา  แต่ทั้งหมดก็เพื่อซ่อนปมความอ่อนแอของตัวเองไว้ ไม่ให้ใครรู้ว่าผมมันขี้ขลาดแค่ไหน กลัวแม้กระทั่งพ่อตัวเอง พูดว่าชอบอะไรก็ไม่ได้ พูดว่าชอบคนที่ชอบก็ไม่ได้ เป็นในสิ่งที่อยากเป็นก็ไม่ได้ ถ้าเทียบกับคนทั่วไปที่มองว่าผมสมบูรณ์แบบแล้ว ผมยังไม่มีโอกาสมีชีวิตที่เป็นตัวเองเลยแม้แต่นาทีเดียว.... แต่พอมาเจอขนมปัง ผมก็อยากที่จะเป็นตัวเองมากขึ้น อยากรักคนที่รู้สึกรัก พูดว่าชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไรก็ได้ที่อยากพูด มีคนอยู่ข้างๆ มีคนคอยใส่ใจ ดูตารางเวลาให้ผม ไปนั่งเฝ้าผมซ้อมว่ายน้ำตั้งแต่เช้ามืด และผมก็คอยไปรับไปส่งเขา เทคแคร์เขากลับ พูดคุยกับครอบครัวของเขาได้ทุกเรื่อง ทดแทนคำพูดมากมายที่ผมพูดกับครอบครัวตัวเองไม่ได้ ทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำจริงๆ ไม่ใช่สิ่งที่พ่อพูดว่าผมต้องทำ................. ก็แค่นั้นเอง”

“.................................................................................”



บรรยากาศทั้งหมดเงียบสงบลงเหมือนไร้แม้แต่วิญญาณของทุกสรรพสิ่ง



ตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนนี้ นี่คือครั้งแรกเลยที่ผมพูดความในใจที่เก็บซ่อนตลอดชีวิตออกมา เป็นความรู้สึกที่ทั้งอึดอัด ตื่นเต้น และโล่งอกไปพร้อมๆกัน



ทุกอย่างยังคงเงียบต่อไป จะบอกว่าดีใจที่ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนตรงหน้ากำลังเดินจากไปมันก็ใช่ จะบอกว่าเสียใจที่เขาไม่ตอบรับคำสารภาพของผมมันก็ถูก ผมทำได้แค่ก้มมองพื้นต่อไปเหมือนนักโทษที่รอคำพิพากษา



“มีพลาสเตอร์ยาอีกอันไหม” นั่นคือเสียงแรกจากคนตัวเล็กช้างหน้า

“ครับ?” ผมเงยหน้ามอง แต่ก็ค่อนข้างงงนิดหน่อย มันเกี่ยวอะไรกับสถานการณ์นี้หว่า

“ก็เมื่อกี๊คุณผลักผมล้ม ไม่เห็นเหรอว่ามีแผลถลอกที่ฝ่ามือ” คนตรงหน้าอธิบายพร้อมกับยื่นฝ่ามือที่มีแผลเล็กๆมาให้ดู “เห็นบอกว่าชอบพกพลาสเตอร์ยาติดตัวตลอดไม่ใช่เหรอ”

“อ...อ๋อ มีๆ” รีบเลยกู อยู่ไหนวะ ผมควานหาสิ่งที่คนตัวเล็กต้องการเป็นการใหญ่ ไม่รู้ตื่นเต้นอะไรถึงได้ลืมไปพักนึงว่าผมเอามันใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อเป็นประจำอยู่แล้ว “น...นี่ครับ”

“ก็....ติดให้ด้วยซิ คุณเป็นคนทำไม่ใช่เหรอ งั้นก็....รับผิดชอบด้วยก็แล้วกัน”

“ครับ?”

“ปิดแผลไง” สมองผมว่างเปล่าไปชั่วขณะ “จะทำไม่ทำเนีย”

“ทำๆๆๆ ทำครับ มาครับ เดี๋ยวผมปิดให้” ผมรีบคว้ามือของขนมปังไว้

นี่เป็นสัมผัสทางกายครั้งแรกเลยที่ผมได้รับด้วยความเต็มใจจากคนตรงหน้า หลังจากการผิดใจกันอยู่นาน ผมรู้นะว่ารุ่นพี่ตัวน้อยคนนี้มีฝ่ามือที่นิ่มนวลแต่ครั้งนี้มันรู้สึกนุ่มละมุนจนผมกลัวว่ามือใหญ่กระด้างของผมจะจับแรงเกินไปแล้วทำให้มันบอบช้ำ

“จะสั่นทำไมเล่า” ผมถูกเตือน นี่กูสั่นเหรอวะ

“ข...ขอโทษครับ” ใจเย็นๆ แค่แปะพลาสเตอร์ยาเอง ทำมาเป็นร้อยๆครั้งแล้วจะมาประหม่าอะไรตอนนี้

เวรกรรม ควบคุมตัวเองไม่ได้เลยกู

“เลิกสั่นได้แล้ว” มืออีกข้างของขนมปังยื่นมาจับมือที่สั่นของผมไว้เพื่อให้มันสงบลง “แค่ปิดลงไปก็พอ”

การปิดแผลเล็กๆที่ยากลำบากจบลงในที่สุด ผมพ้นลมหายใจออกมา รู้สึกเหมือนกับว่ากลั้นไว้อยู่นาน

“ผมขอโทษเรื่องที่....”

“เข้าใจแล้ว” รุ่นพี่ตัวน้อยตัดบทของผม “ไม่ต้องขอโทษแล้ว”

“ขอบคุณที่เข้าใจนะครับ” ใจชื่นขึ้นมาทันทีเลย “ต่อไปนี้ถ้าขืนผมยังทำไม่ดีกับ....”

“อย่าสัญญาในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ซิ” นี่คือการตัดบทอีกครั้ง “คำสัญญาเป็นแค่ความตั้งใจ แต่สุดท้ายแล้วมนุษย์เราก็เป็นได้แค่คนปกติ ผิดพลาดกันได้ทั้งนั้น แต่ถ้าทำผิดแล้วก็แค่รับผิดชอบเท่านั้นเอง”

“ค...ครับ” อือหือ ขนมปังไปกินหนังสือปรัชญามาจากไหนละเนีย ไม่เคยเห็นมุมนี้เลยแฮะ

“แล้วเรื่อง...พ่อของคุณ คือมัน... ร้ายแรงมากเลยเหรอ ถ้าเขารู้ว่า...”

“รู้ว่าผมชอบขนมปังอะเหรอ” รีบดึงมาดกวนของตัวเองกลับมาดีกว่า ให้คนตรงหน้าคุมเกมส์ไว้แบบนี้เสียเชิงหมด

“ผู้ชาย! ผมจะพูดว่าผู้ชายต่างหาก” กลับมาแล้วเหมือนกันซินะ หน้าแดงตอนเขินแบบนี้ค่อยสมกับเป็นรุ่นพี่ตัวน้อยของผมหน่อย

“ก็....คงเป็นเรื่องใหญ่น่าดู” ผมตอบ “พ่อชอบบ่นตลอดเวลาเห็นพวก...เอ่อ...ไม่รักษาค่านิยมดั่งเดิม ซีรีส์ การ์ตูน หรือนิยายแนวๆนี้ห้ามมีให้เห็นในบ้านเด็ดขาด เมื่อปีที่แล้วตอนที่พี่ต้อมเปิดตัวว่าคบกับพี่น้ำขิง บ่นให้ผมฟังเป็นเดือนๆจนหูชาเลย บอกว่าถ้าเป็นผมจะจับมาซ้อมแทนกระสอบทรายซะให้เข็ด”

“ซ...ซ้อมแทนกระสอบทราย!”

“ใช่ พ่อผมเป็นครูสอนมวย แล้วก็อย่าคิดว่าเป็นคำขู่นะ ตอนสิบขวบผมโดดซ้อมว่ายน้ำไปเล่นเกมส์กับเพื่อนแค่ครั้งแรกครั้งเดียว พ่อจับผมขึ้นชกกับพวกพี่นักมวยในสังกัดจนครบทุกคนเลย ปิดท้ายด้วยยืนคุมให้ผมวิ่งรอบค่ายมวยยันเช้า ถ้าไม่ได้แม่มาช่วยไว้ ผมนึกไม่ออกเลยว่าตอนนี้จะยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า”

“น...น่ากลัว...จัง”

“ใช่ ผมกลัวฝังใจเลยแหละ แต่ตอนนี้ช่างมันเถอะ ถ้าเกิดหลังจากนี้พ่อจะรู้ว่าผมชอบขนมปัง ผมจะยอมเจ็บตัวก็ได้ ถ้าตายเพราะความรัก พระเจ้าคงรับขึ้นไปอยู่บนสวรรค์”

“จะบ้าเหรอ จะยอมเจ็บตัวทำไมเล่า ก็ไม่เห็นต้องบอกเลย”

“นี่แปลว่าผมชอบขนมปังได้แล้วใช่ป่ะ”

“ห๊ะ.... ม...ไม่ได้พูดแบบนั้นซะหน่อย”  เจ้าตัวรีบโวยวายเป็นการใหญ่ น่ารักจริงๆ ช่างเป็นคนที่อ่านง่ายเหลือเกิน

“ก็ขนมปังแนะนำไม่ให้ผมบอกพ่อว่าผมชอบขนมปัง ก็แปลว่าขนมปังยอมรับแล้วอะดิ”

“หยุด ไม่ต้องพูดเลยนะ ไม่งั้นผมจะกลับจริงๆด้วย”

“โอเคครับโอเค ไม่พูดก็ได้ว่าผมชอบขนมปัง”

“เดี๋ยวเถอะ คุณนี่มัน....”

“เดี๋ยวดิ! แกล้งนิดเดียวเอง จะกลับจริงๆเหรอ ไหนบอกว่าเข้าใจกันแล้วไง ทำไมถึงยังจะหนีกลับอีกล่ะ”

“จะไปห้องซ้อม น้ำชานัดคุณมาซ้อมไม่ใช่หรือไง ทุกคนรอคุณนานแล้ว มัวพูดอะไรไร้สาระอยู่ได้”

“ห้องซ้อม?.... อ๋อ ไปครับ ไปๆๆ มาครับ ผมถือของให้นะ”

“ก็เอาไปซิ” ตกลงจะดุหรือจะเขินกันแน่ครับคุณขนมปัง แต่ก็ช่างเถอะ แค่นี้ก็ดีมากแล้ว

ถึงขนมปังจะไม่ให้ผมสัญญา แต่จากนี้ไป...................







...................จะไม่พลาดอีกแล้ว
หัวข้อ: LOVE LEADER ภาค 2 ตอนที่ 17 [รับผิดชอบ Part 2]
เริ่มหัวข้อโดย: Kings Racha ที่ 18-11-2018 18:26:03
​ตอนที่ 17 : รับผิดชอบ (Part 1)



(ปัจจุบัน)



-ในมุมของอะตอม-



“กลับมาแล้วครับทุกคน” ประตูห้องซ้อมเปิดออก ในที่สุดพี่น้ำชาก็กลับมาแล้ว โดยมีเพื่อนสนิทที่ชื่อพี่ต้อมเข้ามาด้วย “โทษทีนะครับ รถติดมากเลย กว่าจะถึง เกือบจะสามทุ่มอยู่แล้ว”

“ไม่เป็นไรหรอก มีคนช่วยสอนเยอะ” พี่ท๊อปเป็นคนตอบ “เด็กๆก็ใช้ได้  เรียนรู้กันเร็วดี”

“ถึงไหนแล้วครับ”

“ก็จบเพลงแล้วแหละ ส่วนใหญ่ก็ฝึกให้จำท่าให้ได้ เอางี้ละกัน แยกสอนรายคนเลยดีกว่า.... เอาเป็น.... น้องเกตุสอนน้องครีมนะ ข้าวเจ้าสอนโซนิค สุ่ยกับชาสอนอะตอมกับแทนละกัน”

“ได้ครับ” เย้ๆ พี่น้ำชาจะมาสอนผมแล้ว “ไอ้สุ่ย มานี่ เราแยกไปสอนตรงท้ายห้องดีกว่า”



“เห้ยไอ้ข้าว เดี๋ยวกูช่วยสอนนะ” พี่ต้อมอาสา

“อะไรๆไอ้ต้อม” พี่สุ่ยรีบเอ่ยปาก “จะไปยุ่งกับข้าวเจ้าทำไม นั่นมันคนของกู มึงออกมาเลย”

หือออออ พี่สุ่ยพูดอะไรน่ะ อย่าบอกนะว่าพี่สุ่ยกับพี่ข้าวเจ้าเป็น.....

“กูไม่ทำไรแฟนมึงหรอกไอ้เวร” ไม่ทันไรพี่ต้อมก็ไขข้อสงสัยให้ แต่แปลกที่พี่ข้าวเจ้าไม่ยักแสดงท่าทีขัดเขินเลยแม้แต่น้อย จนผมแอบคิดว่านี่อาจเป็นเรื่องปกติที่ใครๆก็พูดกัน บ้าเหรอ ยังไงเรื่องแบบนี้ก็ไม่ปกติหรอก “กูจะไปสอนเพราะไอ้โซนิคเป็นน้องกู ”

“มึงอยู่สถาปัตย์ นั่นเด็กสังคม น้องมึงเชี่ยไร” ท่าทางพี่สุ่ยจะขี้หึงเอาเรื่องเลยนะเนีย

“ดูปากกูนะครับไอ้เพื่อนส้นตีน ลูก พี่ ลูก น้อง  เข้าใจนะเพื่อน มึงไปสอนน้องคณะมึงเหอะ กูไม่ทำอะไรแฟนมึงหรอก เพราะว่า..... อ้าว นั่นไง แฟนกูมาแล้ว” พี่ต้อมหมายถึงแขกคนใหม่ที่เข้ามายังห้องซ้อมคณะสังคมแห่งนี้

เดี๋ยวๆๆๆๆ อย่าบอกนะว่าผู้ชายที่หน้าหวานๆคนนี้เป็นแฟนของพี่ต้อม เห้ย! ไม่จริงอ่ะ พี่ต้อมออกจะผู้ช๊ายผู้ชายขนาดนี้เนี่ยนะ แถมหล่อ เท่ มีแฟนเป็นผู้ชายได้ไงวะ นี่ถ้าไม่ติดเรื่องมารยาทผมจะเอ่ยปากถามซะเดี๋ยวนี้เลย

“เออ แล้วไป” พี่สุ่ยวางใจ “แต่อย่าทำไรตุกติกนะมึง ไม่งั้นเจอกันที่สนามบอลคราวหน้ากูจะถล่มทีมมึงให้ยับเลย”

“ถุย ไอ้อ่อน กล้าพูดนะมึงอ่ะ ถล่มกูให้ดูหน่อยดิ อยากจะดูน้ำหน้าเหมือนกัน”

“เออ มึงค่อยดู.....”



“พอๆๆๆๆ” พี่น้ำชาคือผู้ยุติสงครามการทับถมกันของพี่หน้าหล่อทั้งสอง “จะไปสอนใครก็ไป เลิกไร้สาระกันซะที พวกมึงไม่ได้มีเวลาทั้งคืนนะ พรุ่งนี้ต้องเปิดห้องเชียร์อีก แยกย้ายไปสอนได้แล้ว”

“เพราะมึงนั่นแหละ” “มึงนั่นแหละ”



ผมแอบขำเล็กๆ พี่น้ำชาเหมือนเป็นแม่ของพวกพี่ลีดปีสองเลย สั่งทีเดียว ทุกคนทำตามทันที



“ไม่ต้องมายิ้มเลยอะตอม ไปซ้อม” กรรม ไหงผมถึงโดนไปด้วยล่ะเนี่ย “แทน.... แทน!”

“ครับ!” ไอ้บ้าแทนมัวยืนเม่ออะไรก็ไม่รู้

“ไปซ้อมซิ เร็วเข้า ไปทางโน่น” พี่น้ำชาสั่ง



การซ้อมจากพี่น้ำชาเริ่มขึ้น



ไอ้หนุ่มญี่ปุ่นถูกแยกไปสอนโดยพี่สุ่ย ส่วนผมได้รับการสอนเป็นพิเศษ ไม่ซิ ต้องเรียกว่า โคตรพิเศษ จากพี่น้ำชา

นี่ผมคิดถูกหรือคิดผิดกันแน่ที่ดีใจตอนรู้ว่าพี่น้ำชาจะมาสอน พี่เขาดุมากกกกก ฝึกหนักสุดๆ ผมแทบไม่ได้เอาแขนลงเลย แค่ขยับแขนผิดองศานิดเดียวก็ให้เริ่มเต้นใหม่ทั้งเพลง ตอนนี้แม้กระทั้งโดนยุงกัดผมยังไม่กล้าขยับเลย

ผมแอบหันไปดูคนอื่น อาจจะมีซ้อมหนักบ้าง แต่อย่างน้อยคนอื่นก็ยังได้พักหรือคุยเล่นกับพวกพี่ๆบ้าง

พี่น้ำชาาาาาาาา ขอพักนิดนึงบ้างไม่ได้เหรอ เห้ออออ ได้แค่คิด พี่เขาทำหน้าจริงจังขนาดนี้ ผมจะกล้าพูดออกมาได้ยังไง………….





“คืนนี้กลับไปก็รีบพักผ่อนกันซะนะ”

ในที่สุด ในที่สุดดดด จบซะที

คืนนี้มันยาวนานจริงๆ เผลอแป๊บเดียวก็จะห้าทุ่มแล้ว

“ขอบคุณพี่ๆทุกคนที่เขามาช่วยสอนด้วยเด็กๆ” พี่น้ำชาสั่ง



“ขอบคุณครับ/ค่ะ” พวกผมรีบทำตาม แขนผมนี่แทบจะยกขึ้นไหว้ไม่ไหวกันเลยทีเดียว



“โอเค กลับได้ครับทุกคน..... เจสซี่ พรุ่งนี้ไปเอาชุดที่ร้านมาให้น้องๆด้วยนะ มีเบอร์โทรของน้องทุกคนแล้วใช่ไหม.....”

พี่น้ำชายังอยู่คุยธุระกับเพื่อนต่ออีกนิดหน่อย ส่วนคนอื่นๆก็เริ่มแยกย้ายแล้ว



“กลับกันเถอะ” ไอ้บ้าแทนก็เข้าประชิดตัวผมเร็วเหลือเกิน กูยังไม่ทันได้ขยับไปไหนเลย

“ก็ต้องกลับอยู่แล้วซิ” กูคงไม่อยู่หรอก ตาจะปิดอยู่แล้ว “จะเอาไปไหนเล่า เอามานี่”

ดูมัน ไอ้สุภาพบุรุษแทนพยายามจะถือของให้ผมอีกแล้ว ดีนะที่ผมไหวตัวทัน คว้ากระเป๋าสะพายของตัวเองกลับมาได้ก่อน



“เดี๋ยวสุ่ยเก็บของให้ ข้าวเจ้าไปรอที่รถเถอะ”/“งั้นข้าวเจ้าไปสตาร์ทรถรอนะ หิวหรือเปล่า คืนนี้อยากกินอะไรไหม”     

 

“ต้อมไม่ต้องถือให้ขิงก็ได้นะ สอนน้องมาเหนื่อยๆ สัมภาระแค่นี้เอง ขิงถือได้ เรารีบกลับกันเถอะ”/“ไม่เป็นไร ต้อมถือให้อย่างเดิมแหละดีแล้ว ต้อมรู้นะว่าน้ำขิงง่วงจะแย่แล้ว อยู่ดึกๆทีไรเป็นแบบนี้ทุกทีเลย ก็บอกแล้วไงว่าไม่ต้องมาหาก็ได้.... เห้ยๆ ไอ้ชาเย็น มึงจะรีบไปไหน เดี๋ยวกูกับน้ำขิงไปส่ง”



“พี่ท๊อปเหนื่อยไหม เหงื่อเต็มเลย มานี่ เช็ดเหงื่อหน่อยนะ”/“ขอบคุณครับ แต่พี่ไม่เหนื่อยเท่าไรหรอก บุ๋นล่ะเหนื่อยไหม ขอบใจนะที่มาช่วยพี่สอน เป็น ก.น.ช.แท้ๆ กลับยังต้องมาสอนลีดอีก”



“เกตุครับ อันนี้เอาวางไว้ไหนอ่ะ”/“เอาไว้เลยรถเลยก็ได้พี่กอล์ฟ เกตุขอยืมข้าวเจ้าแล้ว จะเอาไปสอนน้องที่คณะวิทย์”



“ผมนึกว่าขนมปังจะกลับตั้งแต่สี่ทุ่มอย่างที่พูดไว้ซะอีก”/“ก็ดึกขนาดนี้แล้วผมจะกลับยังไงล่ะ ยังไงคุณก็ต้องไปส่งผมอยู่ดี”



เดี๋ยวๆๆๆๆๆ คืออะไร เป็นอะไรกันไปหมด อะไรคือการเทคแคร์กันและกันเป็นอย่างดี อะไรคือการโชว์หวานแบบไม่สนคนรอบข้าง จะมาบิวท์ทำไม





“...............” นั่นไง ไอ้บ้าแทน มองคู่อื่นตาละห้อยเลย

โอ๊ยยยยย คือกูผิดใช่ไหมเนียที่ทำกับมันแบบนั้น

“อะนี่” ผมยื่นกระเป๋าของตัวเองไปให้ไอ้คนหน้าเศร้า

“ห๊ะ!!” ทีอย่างงี้ทำงงนะมึง

“ก็กระเป๋าไง อยากถือนักไม่ใช่หรือไง ก็ถือไปดิ เมื่อยแขนจะแย่อยู่แล้วเนีย พี่น้ำชาเล่นซะกูอ่วมเลย”

“ให้แทนถือให้เหรอ?”

“จะถือไม่ถือ”

“ถือครับๆ” มันรีบคว้ากระเป๋าของผมไปถือ แทบจะกอดไว้เลยด้วยซ้ำ ยิ้มกริ่มเชียวนะ

“ไปๆๆ ง่วงจะแย่อยู่แล้ว” นี่กูไม่ได้เปลี่ยนเรื่องเพราะเขินใช่ไหม



ห้องซ้อมถูกปิดไฟทันทีหลังจากผมและทุกๆคนออกมา

เพราะทุกคนมีรถยนต์ส่วนตัวกันมาเอง และมีผู้โดยสารประจำกันอยู่แล้ว จึงกระจัดกระจายกันออกไปอย่างเป็นอัตโนมัติภายในไม่กี่นาที



“น้องอะตอมค่ะ” เพื่อนพี่น้ำชาเรียกผม พี่คนนี้ชื่อ..... เล็ก ใช่ๆ ชื่อเล็ก

“ครับผม” ผมขานรับ

“กลับยังไงเหรอ ไปส่งพี่หน่อยซิ พี่ไม่ได้เอารถมา”

“เอ่อ....” ทำไมพี่เขาทำเสียงอ่อนเสียงหวานใส่ผมละเนีย “ผมไม่มีรถอะครับ”

“อ้าวเหรอ” พี่เขาดูผิดหวังนิดหน่อย “งั้นกลับกับพี่ไหม พี่มีรถ”

“อ้าว ไหนเมื่อกี๊พี่บอกว่าไม่ได้เอารถมานิครับ”

“ไม่ใช่ๆ หมายถึง รถของเพื่อนพี่อ่ะ เรามากันสามคน แต่รถยังว่างอยู่นะ นั่งได้”



“ว่างมากค่ะอิเล็ก” บั๊ดดี้ตัวใหญ่ของพี่น้ำชาแทรก “มาสามคน พร้อมของอีกครึ่งคัน มึงชวนน้องเขากลับ จะให้น้องเขานั่งหลังคาไปหรือไง”

“โอ๊ยมึง ก็เบียดๆกันไป อบอุ่นดี”

“ม....ไม่เป็นไรดีกว่าครับ” ผมรีบปฏิเสธ “ผมกลับกับเพื่อนดีกว่าครับ พวกพี่ๆกลับกันเถอะ”



“อุ๊ย! น้องแทนมีรถด้วยเหรอ” พี่ผู้หญิงคนนี้เป็นบั๊ดดี้พี่สุ่ย ผมจำได้ ชื่อวาวาซินะ “งั้นพี่กลับด้วยคนได้ไหมค่ะ”

“ผมก็ไม่มีเหมือนกันครับ” ไอ้แทนรีบออกตัว

“หว่า แย่จัง แบบนี้พี่ก็อดเป็นตุ๊กตาหน้ารถของน้องแทนละซิ”

“ตุ๊กตาหน้ารถ?” ผมรู้เลยว่าไอ้หน้าหล่อนี่ไม่เข้าใจความหมายนี้

“ก็คือคนที่นั่งรถไปกับเราไง คนที่เราคอยไปรับไปส่ง แบบว่า มีรถส่วนตัวก็จะได้คอยเทคแคร์พี่ เอ๊ย! หมายถึงคอยเทคแคร์สาวๆที่ถูกใจ ไปรับไปส่ง อะไรยังงี้ ใครๆก็อยากเป็นตุ๊กตาหน้ารถของน้องแทนทั้งนั้นแหละ” พี่เขาดูว่างเนาะ ยืนอธิบายให้ฟังเป็นเรื่องเป็นราวเชียว



“พวกมึงสองตัวจะกลับกันไหม” พี่บั๊ดดี้ตัวใหญ่เริ่มโวยวาย “อิพวกตุ๊กตาเสียกบาล หรือจะเกาะล้อไปกันคะ”

“โอ๊ยยยยย ไปๆๆๆ แหม อยู่แอ๊วผู้แป๊บนึงก็ไม่ได้” พี่เล็กฉุนเฉียว แต่ก็ยอมเดินไป พร้อมกับลากที่วาวาที่เอาแต่มองไอ้แทนไปด้วย “น้องโซนิคโดนสอยไปทานแล้วไม่คิดจะช่วยสนับสนุนเพื่อนบ้างเลยนะ.....”



นี่คือกูกลับได้แล้วใช่ไหม โอเค นึกว่าจะมีบทสนทนาต่ออีกยาวซะแล้ว



ผมเริ่มออกเดิน เพียงแต่....

“แทน” มันไม่ยักกะตามผมมา เอาแต่ยืนเม่อ “ไอ้แทน!”

“ห๊ะ! ครับ” เม่ออะไรของมันวะ เม่อเก่งนะวันนี้

“ไม่กลับหรือไง ง่วงจะแย่แล้ว”

“กลับครับกลับ” เจ้าตัวรีบวิ่งตามมา



แต่ยังเพิ่งเดินต่อได้ไม่กี่ก้าวก็มีรถยนต์คันหนึ่งมาจอดดักหน้าพวกผมไว้



“ไง ให้ไปส่งไหม” ครีมนั่นเอง เธอเปิดกระจกลงมาคุยกับพวกผม ว้าว มีรถเป็นของตัวเองด้วยแฮะ

“ไม่เป็นไรหรอก เราเกรงใจอ่ะ” ผมตอบ “หออยู่แค่ออกจากประตูมอนี่เอง”

“งั้นเราไปส่งที่ประตูก็ได้” เธอยังคงชักชวน

“แต่เรา....”

“ไปเถอะน่า ดีกว่าเดินไปนะ มืดแล้ว มีผีหรือเปล่าก็ไม่รู้”

“เอ่อ....” พูดซะกูขนลุกเลย ลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปได้ไง “งั้น...รบกวนหน่อยนะ”

“ขึ้นมาเลย”

“ขอบใจนะ” ผมรีบเปิดประตูแล้วยัดตัวเองเข้าไปเบาะหลังของรถเก๋งคันหรู แต่ก็เช่นเคย.... “แทน เข้ามาดิ เร็ว”

“อะตอมไปเถอะ” หึ!? เมื่อกี๊ไอ้แทนพูดว่าไงนะ “แทนไม่รบกวนดีกว่า”

“เป็นไรอ่ะ” ครีมหน้าเหวอไปเลยที่ถูกปฏิเธ “รถเราสะอาดนะ หรือว่ากลัวเราจะพาไปทำมิดีมิร้าย ไม่ต้องห่วงหรอกน่า”

“ไม่ใช่อย่างนั้น เราชอบเดินมากกว่าอ่ะ” ห๊ะ เนี่ยนะเหตุผล แล้วไอ้บ้าหน้าหล่อมันก็ยื่นกระเป๋าสะพานคืนมาให้ผม “ฝากส่งอะตอมด้วยนะครีม ไปล่ะ”



เห้ย อะไรของมันวะ ปิดประตูรถเสร็จสับแล้วก็เดินไปเฉยเลย



“เพื่อนนายนี่แปลกๆนะ อินดี้น่าดูเลย” ครีมพูดกับผม “แต่ช่างเถอะ เรารีบกลับกันดีกว่านะ......”

“ด....เดี๋ยวๆๆๆๆ เดี๋ยวก่อนครีม” ผมรีบหยุดเธอไว้ก่อนที่จะออกรถ “เราว่า.... เรากลับกับแทนดีกว่า คือเราไม่อยากให้มัน.... เอ่อ.... เอาเป็นว่าขอบใจนะที่จะไปส่ง แล้วก็ขอโทษแทนไอ้แทนมันด้วยนะ เดินทางปลอดภัยนะ บ๊ายบาย”



ผมรีบเปิดประตูรถออกมาเพราะกลัวว่าครีมจะรั้งผมไว้



ไอ้บ้าแทน ไปไหนแล้ววะ..... โน่นไง



ผมรีบวิ่งตามหลังไอ้คนตัวโย่ง วินาทีต่อมารถยนต์ของครีมก็ขับเลยผ่านผมไป



“อะไรของมึงเนีย” นี่คือประโยคแรกที่ผมเอ่ยถามหลังวิ่งมาทันไอ้พระเอกเอ็มวีที่เดินอยู่ริมถนนมหาลัยคนเดียว

มันเหมือนจะตกใจนิดหน่อยที่เห็นผมตามมา  แต่ก็ชะงักแค่แป๊บเดียวแล้วก็เดินต่อไป

เอ๊า อะไรของมันวะ

“ไอ้แทนนนน” คราวนี้ผมดึงมือมันกลับมาเพื่อให้มันหยุดเดิน “กูถามว่าเป็นอะไร ทำไมไม่ขึ้นรถไปกับครีม”

“อะตอมอยากเป็นตุ๊กตาหน้ารถเหรอ”

“หึ?” ผมนี่งงเลย มันถามอะไรของมันวะ

“ก็อะตอมยอมขึ้นรถไปกับครีม”

อ๋อออออ ตุ๊กตาหน้ารถ ที่พี่วาวาพูดให้มันฟังเมื่อกี๊อะนะ “เห้ย! ไอ้บ้า คิดได้ไง นั่นมันเป็นคำเปรียบเทียบผู้ชายกับผู้หญิง”

“ก็ใช่ไง”

“ก็ใช่อะไร”

“ครีมเป็นผู้หญิง อะตอมก็เป็นผู้ชาย”

“ไม่ใช่... เอ้ย! ใช่ เออใช่ กูเป็นผู้ชาย แต่มันไม่ได้พูดถึงสถานการณ์แบบนี้ ตุ๊กตาหน้ารถเขาเอาไว้พูดถึงผู้หญิงที่นั่งรถไปกับผู้ชาย แบบเป็นแฟนหรือโดนจีบอะไรแบบนี้” นี่มันไม่เข้าใจความหมายจริงๆเหรอวะ ก็รู้นะว่าไปอยู่ญี่ปุ่นมานาน แต่นี่เป็นคำเปรียบเทียบพื้นๆเองนะ “ส่วนไอ้ที่ครีมชวนน่ะ เขาเรียกว่ามีน้ำใจ แล้วการที่มึงปฏิเสธเขาแบบนั้นมันเสียมารยาทรู้ไหม”   

ไอ้คนตรงหน้าไม่ตอบ แค่ยักไหล่

“ทำแบบนี้คิดว่าเท่นักหรือไง”  ต้องตำหนิหน่อยแล้ว

“เปล่า แค่ไม่เข้าใจ”

“ไม่เข้าใจอะไร”

“ไม่เข้าใจว่าทำไมอะตอมตอบตกลงครีมง่ายจัง เขาชวนแค่นิดหน่อย อะตอมก็ขึ้นรถไปง่ายๆ”

“แล้วมันยากตรงไหนวะ ก็พูดอยู่นี่ไงว่าเขาชวน”

“แล้วทีกับแทนอ่ะ แค่ขอถือกระเป๋าให้ก็ต้องขอเกือบทั้งวัน ทำนั่นก็ไม่ได้ พูดนี่ก็ไม่ได้ ที่ขอเลื่อนสถานะก็ยังไม่ยอมตอบรับเลย”

“พ...พูดบ้าอะไรเนีย” มันวกมาเรื่องนี้ทำไมกัน อุส่าว่าจะทำเป็นลืมๆไปแล้วเชียว

“เห็นไหม.... สุดท้ายคำพูดของคนอื่นก็สำคัญกว่า”

“ไม่ใช่อย่างนั้น... อ้าว จะรีบเดินไปไหนอีกล่ะเนีย ยังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย” ผมพยายามเดินตามไอ้คนพูดไม่รู้ความ แต่มันก็ไม่มีท่าทีสนใจผมเลย “นี่ถ้ามึงไม่คุยกันให้รู้เรื่อง กูก็จะไม่สนใจแล้วนะ”

“แล้วมันต่างจากเดิมตรงไหน ยังไงอะตอมก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับคำพูดของแทนอยู่แล้ว” ดูความดึงดราม่าของมันดิ

โอ๊ยยยย กูจะบ้าตาย

“มึงนี่พูดไม่รู้เรื่องนะ แล้วก็คิดอะไรตื้นๆด้วย อยู่ดีๆจะให้กูตอบตกลงได้ไงวะ คบกันเป็นแฟนนะเว้ยไม่ใช่เล่นขายของ ถึงจะติ๊งต่างได้ในทันที” ตอนนี้ผมทั้งบ่นทั้งรีบเดินตาม จากที่เหนื่อยอยู่แล้วกลายเป็นเหนื่อยกว่าเดิมอีก

“แต่อย่างน้อย อะตอมก็ควรตอบอะไรมาก่อนซิ ไม่ใช่ปล่อยให้รอคำตอบไปเรื่อยๆ”

“บ้าหรือเปล่า” นี่กูต้องด่ามึงว่าบ้าอีกกี่รอบกันเนีย เข้าใจอะไรยากจัง “ของแบบนี้มันก็ต้องใช้เวลาดิ”

“ก็รู้ว่าต้องใช้เวลา แต่ก็ควรตอบมาก่อน ถ้าตกลงเราก็จะได้ศึกษากัน หรือถ้าไม่ตกลง ก็จะได้พยายามใหม่ อยู่ในสถานะครึ่งๆกลางๆแบบนี้มันทำตัวไม่ถูกนะรู้ไหม”

“อะไรของมึงวะ ที่มึงพูดเนีย หมายความว่ากูต้อง say yes ก่อน แล้วมึงถึงจะจีบกูทีหลังเนี่ยนะ คนสติดีๆเขาไม่ทำแบบนั้นกันหรอก”

“ใครๆเขาก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้นแหละ”

“ไม่จริงอ่ะ ใครๆที่มึงบอก กูไม่เคยเห็นมาก่อน เขามีแต่ต้องจีบกันก่อนถึงจะตกลงเป็นแฟนกันได้...... เอ๊ะ! เดี๋ยวๆ” ผมว่าผมพอจะระลึกได้แล้วว่าทำไมมันมีความคิดแปลกๆแบบนี้ “นี่มึงอย่าบอกนะว่าคนญี่ปุ่นเขาตอบตกลงเป็นแฟนกันก่อนแล้วค่อยจีบกันทีหลัง”

“ไม่เกี่ยวหรอกว่าเป็นที่ญี่ปุ่น ที่ไหนก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น”

“กูว่ามึงเข้าใจผิดแล้ว ที่นี่ประเทศอะไร ไม่ใช่ญี่ปุ่นบ้านมึง เราไม่มีวัฒนธรรมที่จะตอบตกลงเป็นแฟนก่อนแล้วค่อยจีบกันทีหลังหรอกนะ”

“พูดจริงเหรอ”

“โอ๊ะ! โอ๊ย! ไอ้บ้า หยุดกะทันหันก็ไม่บอก” ชนเต็มๆเลยกู “เออ จริง มึงไปถามใครก็ได้ ไม่มีใครเขาคิดแบบมึงหรอก”

“งั้นเหรอ คนที่นี่มีวิธีคิดที่แปลกจัง ถ้าไม่เป็นแฟนกันก่อนแล้วจะกล้าทำดีด้วยได้ไงล่ะ” มันพึมพำไปด้วยและทำท่าคิดไปด้วย นี่ถ้าไม่ติดว่ามึงเป็นคนฉลาด กูจะด่าว่าโง่ตอนนี้เลย “ไม่เอาอ่ะ แทนไม่ถนัด อะตอมตอบมาก่อนดีกว่าว่าจะเป็นแฟนกับแทนไหม แบบนี้จะได้รู้ว่าควรทำตัวยังไง”

“อะ??.....” ตอบตอนนี้เนี่ยนะ

“ว่าไง” จะเร่งทำไมเล่า “แทนชอบอะตอมนะ เรามาเป็นแฟนกันไหม”

“เอ่อ....” เอางี้เลยเหรอ ผมนี่หน้าร้อนผ่าวเลย จะให้ตอบยังไงล่ะ นี่มันเป็นคำถามปกติที่คนทั่วไปเขาถามกันเหรอ “คือกู....”

“คือ?”

“ก...กูตอบ.....ปฏิเสธได้ไหมอ่ะ คือมัน...ยังรู้สึกแปลกๆอยู่อ่ะ เป็นเพื่อนกันไปก่อนไม่ได้เหรอมึง มัน....” ก็จริงนิ มีคนมาขอเป็นแฟนโต้งๆก็ว่าแปลกแล้ว แต่นี่โดนผู้ชายสารภาพรักยิ่งแปลกไปใหญ่เลย จะให้ตอบตกลงมันก็เกินไปแล้ว นี่ไม่ใช่ละครบุพเพสันนิวาสนะที่แค่ล้มใส่กันบ่อยๆแล้วจะหลงรักกันได้ ถึงผมกับมันจะเคยเผลอจูบกันไปทีนึงก็เหอะ ก็ยอมรับว่าหลังๆไอ้บ้านี่คอยทำดีและเอาใจผมตลอด ก็รู้ว่าใกล้ชิดกันกว่าคนทั่วไป.... เดี๋ยวนะ ทั้งหมดที่บรรยายมานี่คือผมโดนจีบหรือเปล่าหว่า หรือว่าจริงๆผมโดนมันจีบไปแล้ว แต่ไม่รู้ตัว แล้วแบบนี้มันจะเสียใจที่ผมปฏิเสธหรือเปล่าวะ

“ไม่ตกลงงั้นเหรอ....เห้ออออ” คนตรงหน้าถอนหายใจอย่างผิดหวังออกมา แต่มันก็ดูแปลกๆนะ คือถ้าเป็นอาการของคนทั่วไปที่โดนปฏิเสธตรงๆ คงเสียศูนย์กว่านี้ มันกลับแค่แสดงท่าทางเหมือนเด็กที่โดนพ่อแม่ปฏิเสธไม่ให้ไปนอนค้างบ้านเพื่อน

“ขอโทษนะมึง คือกูยัง...”

“งั้นเอาไว้ถามใหม่วันหลังก็แล้วกัน” แล้วไอ้บ้าก็หันหลังเดินต่อไปอีกครั้ง

หึ!? “ด...” ผมห้ามปากตัวเองไว้ ก็กะว่าจะสงสัยอยู่อะนะ แต่ผมว่ามันคงมีความคิดแปลกๆไม่เหมือนคนแถวนี้ สงสัยรับวัฒนธรรมแดนอาทิตย์อุทัยเข้าไปมาก

เอาไว้ถามใหม่วันหลัง...งั้นเหรอ  เฮ้อๆ แปลกดี

แต่เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน นึกว่าผมจะทำร้ายจิตใจของมันซะแล้ว เพราะก็อย่างที่พูดไปนั่นแหละ ช่วงหลังๆก็ได้ไอ้บ้าแทนนี่แหละที่คอยเทคแคร์ตลอด ขืนผมเป็นคนทำให้มันเสียใจซะเอง คงจะรู้สึกผิดแย่เลย



“มหาลัยตอนกลางคืนก็สวยดีนะ”

“ส...สวย? อ๋อ ใช่ สวยดี” อะไรวะ กลับมาเป็นปกติได้เลยเหรอ บทสนทนาเมื่อกี๊ไม่มีผลทางด้านจิตใจเลยหรือไง เริ่มตามความคิดของมันไม่ทันแล้ว

“สถานที่สวยๆแบบนี้ ไม่ดูเหมือนว่าจะมีผีอย่างที่ครีมพูดตรงไหนเลย”

“พ...พูดบ้าอะไรของมึงเนีย” ผมนี่รีบใช้เทคนิคการสไลด์ตัวเข้าหาสิ่งมีชีวิตใกล้ตัวเลย ก็ไอ้แทนนั่นแหละ แถวนั้นก็มีแค่มันแล้วนิ

“ถึงแทนจะยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่คนที่ยังไม่เป็นแฟนกัน เขาไม่เกาะแขนกันแบบนี้หรอกนะ”

“ไม่เกี่ยวซะหน่อย” ปากก็ปฏิเสธนะ แต่ก็ไม่ปล่อยมือหรอก ผมไม่ยอมเดินในที่มืดๆโดยขาดที่พึ่งเด็ดขาด

“ถ้ากลัวขนาดนั้นแล้วลงมาจากรถของครีมทำไมอ่ะ”

“ก็...." กูต้องหาเหตุผลมาอธิบายด้วยเหรอเนีย "เดี๋ยวมึงก็หาว่ากูทิ้งให้มึงเดินกลับหอคนเดียว”

“พฤติกรรมคนไทยเดี๋ยวนี้แปลกจริงๆด้วย ไม่เป็นแฟนกันแต่ก็สามารถแคร์กันขนาดนี้ ไม่เห็นต้องห่วงเลยว่าแทนจะเดินกลับคนเดียวหรือเปล่า” อือหือ มึงพูดแบบนี้ก็เท่ากับกูไม่เนียนอะดิ

“อะนี่”

“อะไรเหรอ”

“กระเป๋าไง ก็บอกว่าจะถือให้ไม่ใช่เหรอ กูตามมาเพราะว่าจะเอากระเป๋ามาให้มึงถือนี่แหละ พูดอะไรไว้แล้วแล้วก็หัดรับผิดชอบด้วย เอาไปถือเลย” ผมยัดกระเป๋าใส่มือมัน

ไอ้หน้าหล่อรับกระเป๋าไปแบบงงๆ แต่ก็ยิ้มมุมปากออกมา

“ยิ้มอะไรวะ” ผมสงสัย

“อะตอมบอกว่าคนที่นี่ต้องจีบกันก่อนถึงจะเป็นแฟนกันได้ใช่ไหม”

“ใช่ กูพูด” แล้วไง

“ที่อะตอมทำแบบนี้คือกำลังเปิดโอกาสให้เราจีบอยู่หรือเปล่า”

“โอ๊ะ คิดได้เนาะ” ยอมกับความคิดของมันจริงๆ “แค่ถือกระเป๋าแค่นี้ มันไม่ใช่การจีบกันของเด็กวัยรุ่นที่นี่หรอกนะ คิดน้อยจริงๆ”

“แบบนี้นี่เอง” กระเป๋าของผมถูกสะพายเข้าไหล่ของคนข้างๆ โดยมีผมเกาะแขนอยู่ไม่ห่าง นี่ถ้าไม่น้ำเน่าเกินไป ผมคงคิดว่ากำลังอยู่ในฉากเอ็มวีเพลงรัก (คิดไรของกูวะ) “เอาเป็นว่าแทนจะลองศึกษาเรื่องของคนที่นี่ให้มากขึ้นก็แล้วกัน จะได้รู้ว่า.............









..................การจีบคนข้างๆ ควรจะต้องทำยังไง”
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER ภาค 2 [เชียร์ฝันสนั่นหัวใจ] - ตอนที่ 17 : รับผิดชอบ
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 18-11-2018 22:00:28
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: LOVE LEADER ภาค 2 [เชียร์ฝันสนั่นหัวใจ] - ตอนที่ 17 : รับผิดชอบ
เริ่มหัวข้อโดย: BBChin JungBB ที่ 12-03-2019 00:07:22
ยังรออยู่นะ  :katai5: