ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้
18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ฝรั่งใจรักนี้สายฝอ ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์ Hermitbooks ในนามปากกาMARIEค่ะ
(https://www.picz.in.th/images/2018/06/28/4F2eHJ.png)
ฝรั่งใจ ♥ รักนี้สาย ฝอ
สารบัญ
บทนำ
บทที่1 ผู้ดี..อังกฤษ?! (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66430.msg3809240#msg3809240)
บทที่2 ใต้แสงจันทร์กับชายผู้สวมผ้าพันคอสีฟ้า (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66430.msg3814920#msg3814920)
บทที่3 เชอร์ณต โฮลมส์!! (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66430.msg3823464#msg3823464)
บทที่4 มึน! งง! (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66430.msg3833011#msg3833011)
บทที่5 ผมมันบ้าแต่เขาน่ะบ้ากว่า! (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66430.msg3846370#msg3846370)
บทที่6 จีบ! (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66430.msg3860249#msg3860249)
บทที่7 ขบวนการสมคบคิด! (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66430.msg3876923#msg3876923)
บทที่8 OH BABY I LOVE YOU!! (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66430.msg3890601#msg3890601)
บทที่9 เอ๊ะ! หรือว่าจะหวั่นไหว? (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66430.msg3896838#msg3896838)
บทที่10 เพราะความป่วย.. (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66430.msg3904633#msg3904633)
บทที่11 ใจบางๆ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66430.msg3910391#msg3910391)
บทที่12 ไม่รู้ด้วยแล้ว..ใจ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66430.msg3927081#msg3927081)
บทที่13 ยอมแล้วใจ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66430.msg3937767#msg3937767)
บทที่14 จูบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66430.msg3973923#msg3973923)
บทที่15 เพราะรัก..จึงคิดถึง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66430.msg3981906#msg3981906)
บทที่16 เพราะคิดถึง..จึงมาหา (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66430.msg3996594#msg3996594)
บทที่17 I NEED YOU (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66430.msg4002568#msg4002568)
บทที่18 Go to uk (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66430.msg4008606#msg4008606)
ตอนพิเศษ Happy New Year ผมจะรักคุณไปทุกๆปี (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66430.msg4019937#msg4019937)
บทที่19 ให้รักมันพาไป (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66430.msg4025970#msg4025970)
บทที่20 เจ้าหญิง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66430.msg4028554#msg4028554)
บทที่21 Husband and Husband and Happy (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66430.msg4035084#msg4035084)
เรื่องอื่นๆ
เรื่องสั้น โปรดหันมาที่ผมสักครั้ง (Please) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66321.0)[ตอนเดียวจบ]
เรื่องยาว Love me Love my cat (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64124.0) [จบแล้ว]
Introduction
คนเราถ้าเกิดมาคู่กันแล้วก็ย่อมไม่แคล้วกัน ถึงแม้จะอยู่คนละซีกโลก ต่างภาษาต่างวัฒนธรรม
สุดท้ายโชคชะตาก็จะนำพาให้มาพบกัน!!
……………………………………..
“เพื่อน ณตคะ เพื่อนฟางมีเรื่องรบกวนให้ช่วยนิ๊ดนุงค่ะ” น้ำเสียงแบบนี้ช่างน่าสยดสยอง!!
“กูไม่ช่วย”
“เวร!!มึงฟังกูก่อนได้มั้ยล่ะ”
“2นาที จับเวลา”
“คืออย่างนี้ค่ะเพื่อนณต Mr.Jeremy บอสของ Paulสามีดิฉันจะมาประชุมกับบริษัทสาขาที่กรุงเทพเมืองฟ้าอมร เขาจะอยู่ที่กรุงเทพ3วันหลังจากนั้นเขาจะไปเที่ยวที่เชียงใหม่ต่ออีก3วัน เขาอยากได้ไกด์ท้องถิ่นพาเที่ยว รบกวนเพื่อนณตเป็นไกด์ให้หน่อยได้มั้ยคะ”
“ไม่ได้!! กูจบถา’ปัตย์ แล้วก็ไม่ได้เป็นไกด์ อยากได้ไกด์ก็ไปหาที่บริษัททัวส์สิ”
“แต่แกเป็นคนเชียงใหม่ ภาษาแกก็ดีด้วยไง อีกอย่างพอลก็ไปโม้ให้บอสฮีฟังว่าฉันมีเพื่อนสนิทอยู่ที่เชียงใหม่” วุ่นวายจริงๆ ขนาดอยู่ลอนดอนยังตามมาวุ่นวายกูถึงเชียงใหม่!!
“แล้วไง? อีกอย่างไม่ว่าง กูต้องเปิดร้านทุกวันมะ” ร้านที่ว่าคือร้านกาแฟครับ ผมมีเกสท์เฮ้าส์เล็กๆและเปิดร้านกาแฟเล็กๆด้านหน้าของเกสท์เฮ้าส์ พร้อมกับเป็นสถาปนิกฟรีแลนซ์ไปด้วย 108อาชีพครับ!!
“วันละเจ็ดพัน 3วันก็สองหมื่นเอ็ด!!” ถึงกับตาลุกวาว ต้องขายกาแฟเกือบ500แก้วถึงจะได้เงินสองหมื่น!! ไม่ตกลงก็ง่าวแล้ว!!
“ว่าง ส่งรายละเอียดมา” รีบตอบตกลงทันที ที่ร้านกับเกสท์เฮ้าส์มีพนักงานอยู่แล้ว ให้ช่วยๆกันดูไปก่อนไม่น่ามีปัญหา
“ดอกทองมากค่ะ พูดเรื่องเงินไวเลยนะมึงนิสัยงกไม่เคยเปลี่ยน!!”
“ถ้างั้นไม่ทำ แค่นี่นะ” ขอเล่นตัวนิดนึง ถ้าเกิดมันเปลี่ยนใจขึ้นมาก็ถือว่าฟาดเคราะห์ไปละกัน!!
“โธ่ๆ เพื่อนณต หยอกค่ะหยอก ดีออก!!” โล่งใจ!! นึกว่าต้องฟาดเคราะห์แล้วซะอีก ปากผมมันไวไปหน่อย!!
“ส่งรายละเอียดมาละกัน ว่าแต่แกจะกลับมาเมื่อไหร่ เพื่อนฝูงน่ะลืมหมดแล้วละมั้ง”
“มึงก็พูดง่าย อังกฤษ-ไทย ไม่ใช่กทม.-เชียงใหม่นะมึง ฉันก็อยากกลับจะตายห่า ถ้าคิดถึงฉันก็ส่งตั๋วมาสิ”
“เดี๋ยวส่งตั๋วนครชัยแอร์ไปให้”
“ค่ะ คงถึงชาติหน้าตอนบ่ายๆ!!”
“ก็ดีสิชาติหน้าจะได้เจอแกอีก ซึ้งน้ำตาแทบไหล”
“ค่ะ ไม่คุยกับมึงละไร้สาระ ค่าโทรทางไกลมันแพงนะมึง วางละคิดถึงนะจ๊ะเพื่อนเลิฟ จุฟๆ” ไม่รอให้ผมได้ล่ำลามันวางสายไปละ
ผมกับไอ้ฟางเป็นเพื่อนสนิทกันตอนเรียนมหา’ลัย ความฝันของมันคืออยากมีผัวฝรั่งเลยลงทุนไปเรียนต่อที่อังกฤษเพื่อหาผัวนะ เรื่องความรู้น่ะเรื่องรอง!! สุดท้ายนางก็ได้ฝรั่งสมใจ ผมเคยเจอพอลผัวมันแค่สองครั้งหลังจากที่มันแต่งงานได้สามปีนางจะกลับบ้านปีละครั้ง นี่ก็เกือบปีละที่ไม่ได้เจอกัน คิดถึงมันเหมือนกันแฮะ..
‘Mr.Jeremy Carson จะมาถึงเชียงใหม่วันเสาร์ ไฟท์บินจากกรุงเทพบ่ายโมงตรง ถึงเชียงใหม่ประมาณบ่ายสอง’ นี่คือรายละเอียดที่ไอ้ฟางส่งมาให้ ช่างเป็นรายละเอียดที่ชัดเจนซะเหลือเกิน!!
บอกแค่ชื่อ วันเวลาที่จะมาถึง แค่นั้น?! รูปของบอสผัวมันก็ไม่ส่งมาให้ดู เบอร์โทรอะไรก็ไม่ให้ หรือเอาเบอร์กูไปก็ได้ เกิดผิดพลาดอะไรจะได้ติดต่อกลับมา ติดต่อไลน์มันไปชาตินึงกว่าจะตอบกลับ โทรไปก็ไม่รับเวลาก็คนละเวลาอีก จะบ้าตาย!!
สุดท้ายก็ต้องชูป้ายชื่อ
‘Mr. Jeremy Carson’ คาร์สันงั้นเหรอ สงสัยพ่อของพี่บอสมันผลิตถุงตีนขายแน่ๆ!!
ว่าแต่เป็นบอสเจ้าของบริษัทก็น่าจะมีอายุแล้ว อายุน่าจะสัก50 ฝรั่งมีอันจะกินก็น่าเป็นคุณลุงอ้วนพุงพลุ้ย หัวก็น่าจะล้านหรือหัวหงอกน่าจะประมานนี้
นี่ก็ใกล้บ่ายสองแล้วเดี๋ยวคงจะมาถึง ไม่นานนักก็มีเสียงประกาศจากสายการบินว่าไฟท์ที่มาจากกรุงเทพบ่ายโมงมาถึงแล้ว
เมื่อเริ่มมีผู้โดยสารทยอยเดินออกมาผมเลยรีบชูแผ่นกระดาษเอสี่ เขียนด้วยปากกาเมจิกสีน้ำเงินว่า Mr.Jeremy Carson.
แล้วก็มีฝรั่งสุดเท่เดินตรงมายังผมด้วยรอยยิ้มแฉ่ง ยิ้มให้กูเหรอ?ไม่มั้ง หันไปดูข้างหลังก็ไม่มีใคร แล้วเค้าก็เดินมาหยุดตรงหน้าผม พร้อมกับรอยยิ้มที่กว้างกว่าเดิม..ยิ้มสวยจังวะ หัวใจกระตุกไปกับรอยยิ้มนั้น0.3วิ!!
“ป้านด”
“...” ใครวะป้านด?! แถวนี้ก็ไม่มีผู้หญิงรุ่นป้าสักคน
“คุณป้านดใช่มั้ยครับ” ภาษาอังกฤชัดเป๊ะขนาดนี้ แต่สำเนียงภาษาไทยทำไมแป่งๆจังวะ ป้านดคงหมายถึง ‘ปณต’ ชื่อกูแน่ๆ
“Mr. Jeremy?” ผมเลยถามกลับไป
“yes!!” OMG!! ลืมภาพลุงฝรั่งพุงพลุ้ยหัวล้านไปให้หมดสิ้น นี่มันนายแบบหลุดมาจากรันเวย์ชัดๆ โอ้แม่เจ้า ฝรั่งหุ่นนายแบบ สูงน่าจะสัก190ซม.!! ผมสีน้ำตาลเข้มยักโศกยาวระต้นคอ ดวงตาสีเทาสวย แต่งตัวก็โคตรจะสบายเสื้อยืดสีขาวล้วนกับกางเกงขาสั้นสีเทา พร้อมกับคีบอีแตะ สะพายกระเป๋าเป้ใหญ่เหมือนพวกแบ็คแพ็คเกอร์ ไม่มีภาพของคำว่าบอสอยู่เลย แถมยังดูเด็กอีกต่างหาก!! แต่ดูรวมๆแล้วบอกได้คำเดียว Very handsome!!
“ผมเจเรมีครับยินดีที่ได้รู้จัก” แล้วคุณพี่บอสก็แนะนำตัวอย่างเป็นทางการพร้อมกับยื่นมือมาทางผม
“ผม ปณต(ปะ-นด) ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ”ต้องออกเสียงชื่อตัวเองให้ชัดที่สุด อีตาบอสนี่จะได้ออกเสียงถูก
“ป้านดครับ..”
“เรียกผมว่า ณตก็ได้ครับ” เรียกชื่อเต็มแล้วสงสาร สงสารตัวกูนี่แหละ คนบ้าอะไรชื่อป้านด!!
“ณต วันนี้เราจะไปที่ไหนกันบ้างครับ”
“ก่อนอื่น ผมจะพาคุณไปเช็คอินที่โรงแรมก่อน แล้วเราจะไปหาอะไรกินกัน แล้วตอนเย็นไปช็อปปิ้งที่ถนนคนเดิน”
“น่าตื่นเต้นจังเลยนะครับ ผมมาเมืองไทยบ่อยมากแต่ไม่เคยมาเชียงใหม่เลย” อีพี่บอสพูดด้วยรอยยิ้มกว้าง
“ครับรับรองว่าต้องสนุกแน่นอน!!”
“ครับ” แล้วอีพี่บอสก็หันมายิ้มกว้างให้ผม..ทำไมรอยยิ้มมันมีเสน่ห์แบบนี้วะ!!
“โอเค งั้นเชิญทางนี้ครับ” ผมเดินนำคุณบอสไปยังรถอีโคคาร์คันจิ๋วของผม รู้สึกเหมือนรถจะคันเล็กกว่าคน ไอ้กระป๋องของผมมันจะยัดอีพี่บอสฝรั่งตัวเบิ้มนี้ได้มั้ยวะ ขอเรียกพี่แกว่าพี่เบิ้มละกันนะ!!
..เหมือนจะเริ่มเห็นเค้าลางมาแต่ไกลว่าสามวันต่อจากนี้ชีวิตกูสนุก วุ่นวายแน่นอน!!
TBC.
...
ขอฝาก ป้านดกับพี่เบิ้ม ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ
บทที่1 มาอาทิตย์หน้า ฝากติดตามกันด้วยนะคะ^^
Twitter - MA_LEE_01 (https://twitter.com/MA_LEE_01)
บทที่2 ใต้แสงจันทร์กับชายผู้สวมผ้าพันคอสีฟ้า..
“ก๊อกๆ” 7:55นาที ผมมาก่อนเวลานัด5นาที ไม่รู้ว่าพี่เบิ้มเตรียมตัวพร้อมรึยัง
“Good morning” พี่เบิ้มเปิดประตูทักทายผมด้วยรอยยิ้มสดใส ก่อนจะหอมซ้ายหอมขวาตามธรรมเนียม
..เหรอวะ!?
ด้วยความที่คิดว่าผมจะเดินตามเข้าไปในห้อง พี่เบิ้มจึงปล่อยมือที่จับประตูไว้ ทำให้ประตูค่อยๆปิดลงมา ไอ้ผมที่มัวยืนอึ้งอยู่เอามือดันประตูไว้แทบไม่ทัน ไม่งั้นดั้งกูยุบแน่ๆ!!
พี่เบิ้มในวันนี้ยังมาในลุคเซอร์เหมือนเดิม ผมยาวระต้นคอถูกรวบมัดไว้อย่างดี หรือว่าพี่เบิ้มมันจะรู้ว่าผมแอบชมในใจว่าต้นคอมันมีเสน่ห์เซ็กซี่ วันนี้เลยมัดผมซะ..อ่อยกู?! ผมว่าผมคงคิดมากไป พี่เบิ้มมันจะมารู้ความในใจผมได้ไง ว่ามะ..
กางเกงยีนส์ขาสั้นเท่าเข่า เสื้อยืดแขนสั้นสีขาวส่วนแขนสีน้ำเงินสกรีนคำว่า’กระทิงแดง’ พร้อมกับรูปกระทิงสีแดงสองตัวหันหัวชนกัน มันคือกิมมิคที่ฝรั่งทุกคนที่มาเมืองไทยต้องมีสินะ เสื้อเครื่องดื่มชูกำลังกับเสื้อแบรนด์น้ำเมาทั้งหลาย
วันนี้ไม่ใส่อีแตะแฮะ ใส่คอนเวิร์สสีขาวรุ่นคลาสสิค ที่ดูแล้วสีไม่ขาวเท่าไหร่น่าจะผ่านการใช่งานมาพอสมควร เอาง่ายๆคือเน่า ไม่ต่างจากคอนเวิร์สแจ็คเพอร์เซลล์ที่ผมใส่อยู่ตอนนี้สักเท่าไหร่ เน่าพอๆกัน
ช่างหัวรองเท้าเน่าๆมันไปก่อน สนใจอีพี่ฝรั่งตรงหน้าดีกว่าที่ตอนนี้กำลังยัดเสื้อใส่ในกระเป๋า เพราะวันนี้พี่แกจะไปนอนที่เกสท์เฮ้าส์ของผม สงสัยเหมือนกันว่าทำไมพี่มึงไม่เก็บตั้งแต่เมื่อคืน
“เมื่อคืนผมกลับมาก็เผลอหลับไป เลยไม่ได้เก็บของใส่กระเป๋า คุณรอแป๊ปนึงนะครับ” อีพี่เบิ้มหันมาบอกเหมือนรู้ว่าผมกำลังสงสัยอะไรอยู่ในใจ มึงเป็นริว จิตสัมผัส เวอร์ชั่นฝรั่งแน่ๆ!!
“ครับ ไม่ต้องรีบ” ไม่ถึง10นาทีพี่เบิ้มที่สะพายกระเป๋าเป้ใหญ่ก็พร้อมออกเดินทางด้วยเจ้ากระป๋องของผมที่ดูยังไงๆ คนก็ตัวใหญ่กว่ารถ เราแวะที่เกสท์เฮ้าส์ของผมก่อนเพื่อเก็บสัมภาระของพี่เบิ้ม
“คุณมีอะไรให้รองท้องบ้างมั้ยครับ ผมตื่นสายเลยไม่ได้ลงไปกินอาหารเช้าของโรงแรม”
ที่เกสท์ของผมก็มีบริการอาหารเช้าให้กับลูกค้าเหมือนกัน แต่เนื่องด้วยที่นั่งทานอาหารตอนนี้ถูกจับจองเต็มหมดแล้ว ผมจึงต้องพาลูกค้าวีไอพีมาทานที่บ้านของผมแทน แล้วทำไมไม่นั่งทานที่ร้านกาแฟก็เพราะทานที่บ้านสะดวกกว่าในความคิดของผมอ่ะนะ
“น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก่ เป็นอาหารเช้าง่ายๆที่คนไทยนิยมกินในตอนเช้า” ผมอธิบายให้พี่เบิ้มฟังคราวๆกับอาหารที่อยู่ตรงหน้า
“ส่วนนี่ก็ข้าวต้มหมูสับครับ ขนมปังปิ้งกับแจมก็นี้นะถ้าคุณต้องการเดี๋ยวผมไปเอามาให้”
“ไม่เป็นไรครับ แค่นี้ก็พอแล้ว” รอยยิ้มแทนคำขอบคุณช่างแสบตาดีแท้ เออ..แว่นตากันแดดลืมได้ไงว่าแล้วก็ลุกไปหยิบแว่นตากันแดดที่วางไว้ในห้องนอน หยิบมาเหน็บไว้กับคอเสื้อจะได้ไม่ลืม
“บ้านคุณน่าอยู่จังเลยนะครับ เล็กๆแต่ดูอบอุ่น” บ้านของผมเป็นบ้านหลังเล็กๆมีแค่สองห้องนอน เป็นบ้านชั้นเดียวกึ่งปูนผสมไม้ เฟอร์นิเจอร์ก็เป็นของเก่าเก็บที่แม่กับพ่อสะสมไว้ บ้านหลังนี้จึงให้ความรู้สึกวินเทจหน่อยๆบวกกับต้นไม้น้อยใหญ่ที่ให้ความร่มรื่นได้เป็นอย่างดี
“ขอบคุณครับ บ้านหลังนี้ค่อนข้างเก่า ผมอยู่บ้านหลังนี้ตั้งแต่จำความได้ ส่วนเกสท์เฮ้าส์เพิ่งสร้างได้สิบปี พอผมเรียนจบแม่ก็ยกให้ผมดูแลแทน ส่วนพ่อกับแม่ก็ไปดูแลอีกเกสท์เฮ้าส์นึงที่สร้างตอนก่อนที่ผมจะเรียนจบ”
ผมค่อนข้างโชคดีที่พ่อแม่ปูทางในเรื่องธุรกิจไว้ให้ แต่ใช่ว่าจะสบายซะทีเดียว เพราะผมต้องบริหารจัดการเองทุกอย่าง ต้องมีความรับผิดชอบและใส่ใจอย่างมากถึงจะดูแลธุรกิจด้านบริการนี้ได้
“คล้ายกับผมเลย ผมเรียนจบก็มาบริหารงานต่อจากครอบครัวเหมือนกัน ..ผมทานเสร็จละครับ” รอยยิ้มที่พี่เบิ้มส่งมาให้ มันเป็นรอยยิ้มที่เหมือนเข้าอกเข้าใจว่าผมรู้สึกยังที่ต้องแบกรับหน้าที่ต่อจากพ่อแม่ที่สร้างไว้ให้..อืม หัวอกเดียวกันสินะ
แต่ไม่น่าเหมือนของผมมันแค่ธุรกิจขนาดย่อม ส่วนของพี่เบิ้มคงเป็นธุรกิจขนาดใหญ่มหึมา!!
“ครับ งั้นก็ออกเดินทางได้”
เจ้ากระป๋องค่อยๆพาผมกับพี่เบิ้มขึ้นไปยังวัดพระธาตุดอยสุเทพที่อยู่เหนือระดับน้ำทะเลประมาณ1,000เมตร ได้อย่างปลอดภัย อึดมากลูกพ่อกลับลงไปข้างล่างแล้วพ่อจะพาไปเข้าศูนย์เช็คช่วงล่างให้แน่นเปี๊ยะเหมือนใหม่เลยไม่ต้องห่วง!!
“เดี๋ยวเราขึ้นไปไหว้พระข้างบนกันครับ”
“ข้างบน?”
“ครับ” แล้วผมก็ชี้ไปยังบันไดนาค ที่ยาวขึ้นไปสู่องค์พระธาตุด้านบน
“บันไดมีทั้งหมด306ขั้น คุณขึ้นไหวมั้ย ถ้าไม่ไหวมีกระเช้าพาขึ้นไป”
“ผมไหวเพราะผมออกกำลังกายประจำอยู่แล้ว ว่าแต่คุณเหอะไหวรึป่าว” สายตานี้ช่างสบประมาท ดูถูกอย่าว่าแต่ขึ้นบันไดเลย
รับน้องขึ้นดอยวิ่งจากมหา’ลัยขึ้นมาบนนี้กูก็ทำมาแล้ว!! เออ..แต่นั้นก็น่าจะประมาณเจ็ดปีมาแล้ว เอาน่าสังขารผมยังไหว..
“ผมไหว เห็นแบบนี้ผมแข็งแรงนะครับ”
“แฮกๆๆ” เสียงหมาหอบแดดที่ไหน ไม่ต้องมองหาที่ไหนไกล..ผมนี่แหละ น่าอายชะมัดเดินขึ้นบันไดมายังไม่ถึงร้อยขั้นผมก็หอบแดกซะแล้ว!!
“นี่ครับ ค่อยๆจิบนะ” ที่เบิ้มยื่นขวดน้ำเปล่าที่เปิดฝาเรียบร้อยแล้วมาให้กับผม
“ขอบคุณครับ” ผมค่อยๆจิบน้ำตามที่พี่เบิ้มบอก ตาก็แอบชำเรืองมองฝรั่งตัวเบิ้มที่ตอนนี้ใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กที่พกมาช่วยพัดให้กับผม ดูๆแล้วก็อย่างกะพี่เลี้ยงนักกีฬา!!
มึงเป็นหุ่นยนต์แน่ๆถึงไม่มีความรู้สึกเหนื่อยใดๆ เหงื่อสักหยดก็ไม่มี การหายใจก็ปกติ ทั้งที่ตัวก็หนักมีกระเป๋าเป้ใบเขื่องสะพายอยู่ด้านหลัง ส่วนด้านหน้าก็มีกล้องถ่ายรูปที่คล้องคอไว้ด้วยสายคล้องกล้อง
ส่วนผมเดินขึ้นมาตัวเปล่าเล่าเปือยมีแค่แว่นตากันแดดที่เหน็บอยู่ตรงคอเสื้อชิคๆ ที่ตอนนี้อยากจะช่างหัวชิคๆมัน!!แค่แว่นตาอันเดียวก็รู้สึกว่าเป็นตัวถ่วงในชีวิตกูเหลือเกิน อย่าถามว่าเหงื่อผมออกมั้ย? ออกตั้งแต่หัวรามไปถึงง่ามดาก!! หึๆ
แต่ที่น่าโมโหคือหลังจากที่หยุดพัดให้ผมอีพี่เบิ้มเอาแต่ถ่ายรูปผมตอนที่นั่งพักหายใจพะงาบๆ หมดกันความชิค!!
“คุณนี่น่ารักจริงๆ” พี่เบิ้มบ่นพึมพำ ตาก็ก้มลงมองภาพในกล้อง ถึงจะพึมพำแต่กูได้ยิน..น่ารักกับผีนะสิ!! แรงเถียงก็ไม่มี ทำไมผมถึงปวกเปียกแบบนี่น้า เกลียดตัวเองจริงๆ ไม่ได้ละจากนี้ไปผมต้องฟิตร่างกายให้แน่นเปี๊ยะสักหน่อยแล้ว!!
“โอเค ผมพร้อมแล้ว” เมื่อนั่งพักพอหายเหนื่อยแล้วก็ต้องฝืนใจเดินขึ้นต่อไป
และแล้วก็เดินมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย 306ขั้นเองเหรอ จิ๊บๆแค่นี่สบ๊าย ก็แค่ขาสั่นพั่บๆเท่านั้นเอง
บอกแล้วว่าผมน่ะแข็งแรง (หรา!!)
เมื่อขึ้นมาถึงก็พาพี่เบิ้มมาสักการะองค์พระธาตุก่อนเป็นอันดับแรก พี่เบิ้มทำตามผมทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะจุดธูปเทียน นำเทียนไปตั้งตรงแท่นสำหรับวางเทียน จากนั้นก็นั่งคุกเข่าพนมมือโดยมีดอกบัวและธูปอยู่ในมือผมตั้งจิตอธิฐาน พอลืมตาก็เห็นพี่เบิ้มมองมาอย่างยิ้มๆ ก่อนจะถามผม
“ผมขอพรได้มั้ย”
“ได้สิ องค์พระธาตุเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คนที่นี่ก็ต่างเคารพนับถือ และก็มีหลายคนที่ขอพรกับองค์พระธาตุแล้วสัมฤทธิ์ผล”
เมื่อฟังผมพูดจบพี่เบิ้มก็พนมมือขึ้นไหว้ขอพรแบบเก้ๆกังๆ เห็นแล้วผมก็อดอมยิ้มตามไม่ได้ ฝรั่งที่พนมมือไหว้แบบไทยๆนี่ก็ดูน่ารักดี..หืมมม น่ารักงั้นเหรอ!?
ประวัติของวัดพระธาตุดอยสุเทพ ผมก็ไม่รู้หรอกให้พี่เบิ้มอ่านเอาเอง เค้ามีแปลเป็นภาษาอังกฤษไว้ให้เรียบร้อย สบายแฮเลยเรา!! จากนั้นก็พาพี่เบิ้มไหว้พระภายในวัดจนครบ และให้พี่แกได้ถ่ายรูปจนหนำใจโดยเฉพาะวิวตัวเมืองเชียงใหม่ที่มองเห็นจากด้านบน พอหนำใจแล้วก็เดินลงไปยังลานด้านล่าง
ขาลงสบายหน่อยไม่เหนื่อยเท่าขาขึ้น อากาศตอนนี้ก็เย็นสบายกำลังดี เหมาะแก่การเดินลงแบบชิวๆ
“หิวรึยังครับ” ผมหันไปถามพี่เบิ้มที่ตอนนี้กำลังก้มดูรูปที่ตัวเองถ่ายด้วยใบหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่
ถ้าตาผมไม่ฝาดผมเห็นรูปตัวเองอยู่ในนั้น..
“นิดหน่อยครับ คุณละป้านด” ป้านดก็ยังคงตามมา มาไกลถึงดอยสุเทพ!!
“นิดหน่อยเหมือนกันครับ งั้นเราลงไปกินข้างล่างกันนะครับ ผมมีร้านแนะนำ”
“โอเค” พี่เบิ้มหันมายิ้มจนตาหยี โอ้ยแสบตา..แว่นกันแดดมีประโยชน์ก็คราวนี้แหละว่าแล้วก็หยิบมาใส่สักหน่อย
ขับรถลงจากดอยสุเทพก่อนเข้าตัวเมืองเชียงใหม่ ผมพาพี่เบิ้มแวะนมัสการอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย ซึ่งที่นี่เค้าเรียกว่าตีนดอยทางขึ้นดอยสุเทพ อันที่จริงผิดแผนไปนิดความจริงเราต้องแวะนมัสการก่อนที่จะขึ้นดอยสุเทพแต่ผมเห็นคนเยอะเลยขับผ่านเลยไป ตอนนี้เห็นคนโล่งๆเลยเลี้ยวรถเข้าไป
“แวะที่นี่สักหน่อยนะครับ ตามจริงผมต้องพาคุณแวะตอนขาขึ้น”
“โอะ ชื่อนี้เหมือนในประวัติที่อ่านเมื้อกี้” พี่เบิ้มที่อ่านป้ายทางด้านเข้า แล้วหันมาถามอย่างสงสัย
“ใช่แล้วครับ นี่คืออนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย ผู้ทำถนนขึ้นดอยสุเทพ”
“เค้าเป็นพระ?”
“ใช่แล้วครับท่านเป็นพระ ที่คนในท้องถิ่นรวมถึงคนนอกพื้นที่ศรัทธาเลื่อมใส”
“พระ สร้างถนนได้ด้วย?”
“ท่านช่วยระดมทุนและแรงงานจากชาวบ้านให้มาช่วยกันทำทางขึ้นดอยสุเทพ เพื่อจะได้ง่ายต่อการเดินทางขึ้นไปสักการระองค์พระธาตุ ไม่ใช่แค่ที่นี่นะท่านยังบูรณะวัดหลายวัดในแผ่นดินล้านนาหรือภาคเหนือในปัจจุบันด้วย” นี่ตกลงเมื่อกี้ได้อ่านประวัติจริงป่ะเนี่ย หรืออ่านแล้วไม่เข้าใจ?
“ว้าว ท่านและชาวบ้านมีน้ำใจและเสียสละดีจัง”
“เค้าเรียกว่าแรงศรัทธาครับ” ผมหันไปบอกพี่เบิ้มอย่างยิ้มๆ คนเราถ้ามีแรงศรัทธาต่ออะไรสักอย่างแล้วต่อให้ยากลำบากแค่ไหนก็สามารถฝ่าฟันไปถึง..
หลังจากนมัสการอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัยเสร็จแล้ว ก็มุ่งหน้าสู่ตัวเมืองเชียงใหม่พาพี่เบิ้มไปร้านอาหารที่ผมคิดไว้ว่าน่าจะถูกใจ และสัมผัสได้ถึงวัฒนธรรมล้านนา มื้อนี้เลยพาพี่เบิ้มมาท่านอาหารเหนือแบบฟูลคอร์ส
ร้านที่ผมพามาเป็นร้านแนวขันโตก ตกแต่งด้วยสไตล์ล้านนา ไม่นานนักพนักงานเสิร์ฟสาวสวยที่แต่งกายด้วยชุดผ้าซิ่นล้านนาก็ยกขันโตกมาเสิร์ฟ
ในขันโตกเต็มไปด้วยสำรับอาหารเหนือ ทั้งแกงฮังเล แกงโฮะ ลาบหมูคั่ว น้ำพริกอ่อง น้ำพริกหนุ่มพร้อมกับผักนึ่งและแคบหมู
อืม..มีแต่อาหารรสเผ็ด แต่จากการสังเกตเมื่อวานพี่เบิ้มทานเผ็ดได้ ไม่น่าจะมีปัญหา
“ถ้าเรามาตอนเย็นที่นี้จะมีโชว์การแสดงศิลปวัฒนธรรมของภาคเหนือให้ดูด้วย เสียดายที่ผมไม่ได้พาคุณมาทานมื้อเย็น” ผมทำหน้าเสียดายอย่างที่พูดจริงๆ เนื่องด้วยเวลาจำกัดเพราะตอนเย็นต้องไปหลายที่ผมเลยตัดสินใจพามาทานมื้อเที่ยงแทน
“ไม่เป็นไรครับ ไว้คราวหน้าเราค่อยมาใหม่” พี่เบิ้มพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆไม่ได้ซีเรียสอะไร
“...” หืม..คราวหน้า? เรา? ยังจะมาอีกเหรอ!! พูดแบบนี้หมายความว่าผมต้องเป็นฝ่ายพามาอีกใช่มะ?!
..แต่ทำไมรู้สึกดีใจอยู่หน่อยๆแฮะ..
“อร่อยมั้ยครับ เผ็ดเกินไปรึป่าว”
“อร่อยครับ เผ็ดไม่มากแบบนี้ผมทานได้สบาย” ส่วนใหญ่ร้านอาหารที่เน้นบริการให้กับนั่งท่องเที่ยวอาหารจะทำออกมารสกลางๆรสไม่จัดเท่าไหร่ พี่เบิ้มที่พอทานเผ็ดได้ เลยทานได้สบายคิดถูกแล้วพี่พามาที่นี่..
“ผมต้องเช็คอินที่เกสท์เฮ้าส์คุณมั้ย”
“ไม่ต้องครับผมฝากเด็กจัดการให้แล้ว”
“อาหารอร่อย บรรยากาศดีผมชอบนะ กลับไปผมคงต้องคิดถึงอาหารเหนือมากๆแน่” แปลกๆแฮะ ตอนพูดคำว่าคิดถึงทำไมต้องจ้องนัยน์ตาผมนิ่งด้วยละ ..หรือกูมีขี้ตาติด!!
หลังจากซัดขันโตกจนเกลี้ยง ถ้าแดกขันโตกได้พี่เบิ้มคงแดกลงท้องไปแล้วแน่แท้
ก็พาแกมาย่อยโดยการพามาเดินชมวัดไหว้พระ เนื่องด้วยเวลามีจำกัดผมจึงพยายามเลือกวัดที่มีสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นแกจะได้ประทับใจ วัดแรกที่ผมพามาคือวัดเจ็ดยอด จากนั้นก็พาไปวัดอุโมงค์ และจบด้วยวัดพระสิงห์ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเกสท์เฮ้าส์ของผม พี่เบิ้มก็ดูตื่นตาตื่นใจและสนอกสนใจภาพจิตรกรรมฝาผนังเป็นพิเศษ
“ผมชอบจิตรกรรมฝาผนังพวกนี้จัง และที่ผมสังเกตแต่ละวัดจะมีรูปไม่เหมือนกัน”
“ใช่แล้วครับแต่ละวัดจะเลือกใช้เรื่องราวที่ไม่เหมือนเหมือนกัน ลายเส้นแต่ละที่ก็ไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับฝีมือของจิตรกร จิตรกรรมฝาผนังในวัดส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวของพุทธประวัติในช่วงเวลาต่างๆ รวมถึงพวกนิทานชาดกประมานนี้ครับ” ไอ้ผมคนอธิบายก็ไม่ค่อยรู้อะไรมากมายซะด้วยสิ คราวๆแบบนี้ไปก่อนละกัน
“เมื่อวานที่ถนนคนเดินผมเห็นมีภาพคล้ายๆแบบนี้ขายด้วย พอเห็นที่นี่แล้วผมอยากได้ขึ้นมาซะแล้วสิ”
“วันนี้มีถนนคนเดินท่าแพเดี๋ยวผมพาไปซื้อครับถ้าคุณอยากได้”
“ครับ”
“งั้นเรากลับกันนะครับ”
“ได้ครับ”
“จิ๊บพี่ขอกุญแจห้องพักหมายเลข1หน่อย”
“ให้แขกไปแล้วพี่”
“แขกไหน? ในเมื่อMr.jeremy อยู่กับพี่ เอาไปให้ตอนไหน”
“อ้าว แปปนะพี่” แล้วจิ๊บก็เข้าดูข้อมูลลูกค้าพี่มาพักในแล็ปท็อป
“ห้องพักหมายเลข1 ลูกค้าชื่อหย่าจิ้ง เป็นชาวจีนนะพี่ แล้วลูกค้าก็เช็คอินแล้วเรียบร้อยทั้งแต่บ่าย”
“เอกไม่ได้บอกไว้เหรอว่าพี่จองไว้ให้ลูกค้าแล้ว”เอกคือพนักงานกะเช้าที่ผมสั่งให้เจ้าตัวจัดการเรื่องห้องพักหมายเลข1ที่จะว่างในวันนี้หลังเที่ยงวัน แล้วทำไมมันไม่จัดการวะ ไอ้เอกเล่นงานกูแล้ววว
“ไม่เห็นบอกอะไรเลยนะพี่ เปลี่ยนกะปุ๊บก็เห็นรีบออกไปเลยเห็นว่าจะไปซื้อของขวัญให้สาว”
ไอ้เอกมึงลืมได้ยังไงวะ ตัดเงินเดือนเดือนนี้เลยดีมั้ย เอาไงดีกับฝรั่งตัวเบิ้มที่ยืนทำหน้าไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวนี่ดีวะ โรงแรมที่พี่แกพักก็เช็คอินออกมาแล้วซะด้วยสิ
“มีเรื่องอะไรรึป่าวครับ”
“พอดีเกิดปัญหาขึ้นนิดหน่อย พนักงานผมไม่ได้จองห้องพักให้คุณ ความผิดผมเองแหละที่ไม่ได้ตรวจดูให้เรียบร้อย..งั้นคุณมาพักที่บ้านผมละกันครับถ้าไม่รังเกียจ”
“Lucky!” เสียงพี่เบิ้มพึมพำเบาๆ อะไรกี้ๆนะ?
“อะไรนะครับ”
“เอ่อ ผมไม่ได้รังเกียจ ยินดีและเป็นเกียรติที่ได้พักบ้านคุณ..กับคุณ” ประโยคทำนองนี้กลับมาหลอกหลอนกูอีกแล้ววว..
“โอเคครับ งั้นเราไปที่บ้านผมกัน” ผมพาพี่เบิ้มเดินลัดเลาะมาตามทางก้อนอิฐมอญที่วางเป็นทางยาวจากเกสท์เฮ้าจนมาถึงบ้านหลังน้อยๆของผม
“คุณพักที่ห้องของผมเลยละกันนะครับ ส่วนผมจะไปนอนห้องของพ่อกับแม่เอง” พักที่ห้องผมน่าสะดวกสบายกว่า โชคดีที่เพิ่งทำความสะอาดไปเมื่อวันก่อน
“ผมรบกวนคุณรึป่าว”
“ไม่ครับๆ มันเป็นความผิดผมเองผมต้องรับผิดชอบครับ”
“เรานอนห้องเดียวกันก็ได้นะครับ ผมไม่นอนดิ้น”
“ไม่ดีกว่าครับ เดี๋ยวคุณไม่สะดวก ตกลงตามนี้นะครับ” สายตามึงโคตรไม่น่าไว้ใจ ขืนนอนด้วยกลัวไส้แตก!!
อ๊ะ..อย่าคิดลึกกันครับ ผมกลัวพี่แกจะมานอนทับผมจนไส้แตกต่างหากล่ะ!
“คุณพักตามสบายเลยนะครับ ผมขอตัวไปทำงานสักหน่อย แล้วเดี๋ยวห้าโมงผมจะมาเรียกนะครับ”
“ขอบคุณครับ”
สิ่งแรกที่ต้องทำ คือการโทรไปเทศนาไอ้เอกก่อนเป็นอันดับแรก สะเพร่าแบบนี้มันต้องโดน ฮึมมม
เกทส์เฮ้าส์ตอนนี้ก็เรียบร้อยดีไม่มีปัญหาอะไร ผมเลยมาช่วยบีที่ร้านกาแฟที่ลูกค้าตอนนี้มีอยู่พอสมควร
โดยปกติแล้วงานที่เกสท์เฮ้าส์ผมจะเข้าไปตรวจดูความเรียบร้อนในตอนเช้าและตอนค่ำ ส่วนเวลาที่เหลือผมก็จะอยู่ที่ร้านกาแฟเป็นหลัก
“คาปูชิโน่เย็นแก้วนึงครับ”
“ได้ครับ โอ๊ะ..ทำไมคุณไม่พักที่บ้านละครับ”
"ผมอยากมานั่งเล่นที่ร้านกาแฟของคุณมากกว่า"
พี่เบิ้มคงจะอาบน้ำถึงได้เปลี่ยนชุดใหม่ กางเกงยีนส์ขาสั้นตัวเดิมแต่เปลี่ยนเสื้อเป็นเสื้อกล้ามสีขาวล้วน แขนค่อนข้างเว้าลึกทำให้มองเห็นแผงหน้าอกแพลมๆ อกจะแน่นไปไหน กล้ามแขนก็เป็นมัดๆ ฮึมมม นี่คือครั้งแรกที่เห็นหุ่นผู้ชายด้วยกันแล้วนึกอิจฉา
ผมก็ยังหมาดๆปล่อยสยายเส้นผมหยักศกเป็นลอนสวยตามธรรมชาติอยากจะลองสัมผัสกลุ่มเส้นผมนั้นสักครั้งคงจะนุ่มมือน่าดู..
..เบรกกกก เอี๊ยดดดด.. มึงกำลังคิดอะไรอยู่วะไอ้ณต นั้นมันผู้ชาย อยากจะจับผมผู้ชายเนี่ยนะ!! บ้าแล้ววว
“ณต ป้านด”
“อ่า ครับว่าไง” ตายห่า เผลอจ้องนานไปหน่อย น้ำลายไหลรึป่าววะ!!
“ผมขอชีสเค้กชิ้นนึงด้วยนะครับ”
“ได้ครับ รอสักครู่”
“พี่ณต คุณเจเรมีหุ่นแซบเน๊อะ เห็นแล้วน้ำลายแตก” บีที่กำลังชงกาแฟที่พี่เบิ้มสั่งไปเมื่อครู่หันมากระซิบกับผม กระซิบทำไมวะ พี่แกฟังภาษาเราไม่ออกเว้ย!!
“ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปพี่จะเข้าฟิตเนส” ผมพูดด้วยความมุ่งมั่น
“พี่ณตพูดคำนี้มาน่าจะ88รอบได้ละ” บีหรี่ตามองผมอย่างล้อๆ
“ครั้งนี้เอาจริงโว้ย” ผมสัญญากับตัวเองบนพระธาตุดอยสุเทพไว้แล้วว่าผมจะไม่อ่อนปวกเปียก ผมจะต้องแน่นเปี๊ยะ!!!!
“คำนี้ก็น่าจะประมาณ58รอบที่ได้ยิน”
“แล้วคำว่าหักเงินเดือนละ ได้ยินกี่รอบ”
“โธ่ พี่ณตสุดหล่อ หุ่นฟิตแอนด์เฟิม แถมยังใจดีอีกต่างหากน้องบีคนนี้จะเป็นกำลังใจให้และผลักดันให้เข้าฟิตเนสอย่างสม่ำเสมอค่ะ” คำพูดที่แข็งขันเหมือนทหารพร้อมทำท่าตะเบ๊ะ ทำให้ผมหลุดขำ
“ดีมาก แต่ว่าตอนนี้เอากาแฟไปเสิร์ฟได้แล้ว”
“รับทราบ” ยัง..ยังเล่นไม่เลิก
“นี่ครับ ชีสเค้ก”
“ขอบคุณครับ นั่งด้วยกันสิครับ” ลูกค้าเริ่มบางตาผมจึงลากเก้าอี้ลงนั่งตามคำชวน
“คุณคงเหนื่อยน่าดู พาผมไปเที่ยวทั้งวันยังต้องกลับมาทำงานอีก”
“ไม่เหนื่อยหรอกครับไม่ได้ใช้แรงงานอะไรมากมายสักหน่อย สนุกดีออก ว่าแต่วันนี้คุณไม่ทำงานเหรอครับ”
“ไม่ครับวันนี้ฟรี” ยิ้มซะกว้างเชียว ขอซื้อรอยยิ้มนี้ทิ้งได้มะ มันทำให้หัวใจตุ๊มๆต่อมๆ
ต่อหน้า2ค่ะ
บทที่ 3 เชอร์ณต โฮล์มส์!!
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่พี่เบิ้มจะอยู่ที่เชียงใหม่ ช่วงบ่ายพี่เบิ้มจะเดินทางกลับไปทำงานต่อที่กรุงเทพอีกหนึ่งวัน ในวันรุ่งขึ้นก็เดินทางกลับลอนดอนบ้านเกิด..
ผมเพิ่งรู้ว่าอีพี่เบิ้มแม่งเป็นคนขี้เซา ถึงว่าเมื่อวานตอนไปรับที่โรงแรมยังเตรียมตัวไม่พร้อมเมื่อถึงเวลานัด ตอนนี้แปดโมงเช้าเข้าไปแล้วพี่เบิ้มก็ยังไม่ออกจากห้อง..หรือว่าเมื่อวานแดกเยอะไปท้องแตกตายหมกอยู่ในห้องวะ!!
“เจเรมี่ ตื่นรึยังครับ”
“...” ผมเคาะห้องพร้อมกับเรียกอยู่อย่างนั้นสามรอบ ไร้ซึ่งการตอบรับใดๆ
ลองหมุนลูกบิดประตู..ห้องไม่ได้ล็อคนี่หว่า
“งั้นผมเข้าไปนะครับ” ผมเอ่ยบอกอย่างเกรงใจก่อนจะหมุนลูกบิดประตูเข้าไป สิ่งที่ปะทะเข้ากับสายตาคือ ชายหนุ่มผมยาวสีน้ำตาลเข้มระต้นคอนอนคว่ำอยู่บนเตียง ท่อนบนเปลือยเปล่า ส่วนท่อนล่างปกคลุมด้วยผ้าห่มสีครีม
ตึก ตึก จู่ๆก็ใจเต้นแรง หน้าร้อนเห่อกับแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามแข็งแรง..เซ็กซี่!
เพิ่งสังเกตว่าพี่เบิ้มมีรอยสัก เป็นตัวเขียนภาษาอังกฤษอยู่บริเวณบ่าด้านหลัง อ่านว่าอะไรผมก็อ่านไม่ออกเพราะมองเห็นไม่ชัด กำลังจะเดินเข้าไปใกล้อีกนิดหวังว่าจะได้เห็นตัวหนังสือบนแผ่นหลังนั้นชัดๆ อีพี่เบิ้มก็ดันพลิกตัวมานอนหงายเสียก่อน..นาทีนั้นผมแทบกลั้นหายใจ กลัวพี่เบิ้มจะตื่น ..แล้วทำไมต้องกลัวมันตื่นด้วยวะ ก็ผมเข้ามาปลุกพี่เบิ้มนี่หว่า!
“เจเรมี่” ผมเดินเข้าไปใกล้ พร้อมกับส่งเสียงเรียกไม่ดังมากนัก ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ใจก็ยิ่งสั่น ไรขนจากท้องน้อยที่ลามขึ้นมาจนถึงสะดือ ทำให้ผมหายใจติดขัด..มึงท่าจะบ้าแล้วไอ้ณต!!
ผมทำใจกล้าไปเขย่าแขนพี่เบิ้มเบาๆ เพื่อเพิ่มเลเวลในการปลุก นิ่ง..โอ้ยย อีตาบอสนี่ก็ตื่นยากตื่นเย็น นี่ถ้าเป็นอีซูซี่กูถีบตกเตียงไปนานแล้ว!! พอเพิ่มแรงเขย่าอีพี่เบิ้มก็ค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย
“Mr. Blue Scarf” พี่เบิ้มเอ่ยออกมาเสียงเบาคล้ายกับละเมอ
“หืม?” ละเมออะไรของพี่แก สงสัยจะหมายถึงชายหนุ่มที่สวมผ้าพันคอสีฟ้าที่เล่าให้ฟังเมื่อคืนล่ะมั้ง! คงจะชอบเรื่องนี้มากถึงขั้นเพ้อ
“ตื่นได้แล้วครับคุณ”
“อื่อ ขอโทษทีครับนี่ผมตื่นสายอีกแล้วสินะ” พี่แกว่าพลางใช้มือขยี้ตาเบาๆพร้อมกับลุกขึ้นนั่ง..อืมยังคงนิยามคำว่า ‘เซ็กซี่’ ได้คงเส้นคงวา ขนาดเพิ่งตื่นไอ้เส้นผมยาวสลวยที่รกปรกหน้ายิ่งทำให้ดูเซ็กซี่บวกกับหน้าอกที่เปล่าเปลือย เห็นแล้วก็อยากได้!!..อยากได้หุ่นแบบนี่ อย่าคิดไปไกลครับ!
“อาหารเช้าพร้อมแล้ว ถ้าคุณทำธุระส่วนตัวเสร็จเชิญทานได้เลย” ผมพูดจบก็หมุนตัวออกจากห้อง มือที่กำลังจะหมุนลูกบิดซะงักลงเมื่อนึกเรื่องที่จะพูดขึ้นได้อีกเรื่อง เลยหันหน้ากลับไปยังพี่เบิ้มอีกครั้ง
“อ่อ แล้วก...” เสียงของผมขาดหาย พร้อมกับเสียงสะบัดผ้าห่มออกจากตัวพี่เบิ้ม
“เชี่ย!!” ผมอุทานออกมาด้วยความตกใจ ทะ ทำไมมึงไม่นุ่งกางเกง บ๊อกเซอร์ก็ได้ กางเกงในก็ยังดี!
นี่มัน..นี่มันงูหลามเผือกชัดๆ!!!!! ..ตากุ้งยิงแน่ๆ ไม่สิตากูบอดแน่ๆ ใหญ่กระแทกเบ้าตากูซะขนาดนี้!!
“มีอะไรครับ ป้านด” มึงยังไม่รู้ตัวอิ๊ก ยืนเคะขี้ตาไม่รู้เรื่องรู้ราว โชว์งูหลามเผือกหราอยู่แบบนี้ใครมันจะไปพูดออก ..ลืม กูลืมไปหมดแล้วว่าจะพูดอะไร!!
“ไม่มีอะไรครับ ผมขอตัว” ผมรีบหมุนตัวออกจากห้องอย่างเร่งด่วน ..ให้ตายสิ!!
น้ำเย็นๆดับความร้อนจากการหน้าร้อนเห่อและในใจที่ร้อนรุ่มได้เป็นอย่างดี แต่จู่ๆน้ำเย็นที่กำลังดื่มก็กลายเป็นน้ำร้อนแทบจะลวกปากในทันทีเมื่อบียื่นอะไรบางอย่างมาให้
“พี่ณต กินข้าวหลามมั้ยพอดีญาติของบีไปเที่ยวชลบุรี เลยซื้อมาฝาก” บียื่นกระบอกข้าวหลามหนองมนของฝากขึ้นชื่อเมืองชลให้กับผม
“กระบอกใหญ่สุดเลยนะ บียกให้” บียิ้มประจบอย่างเอาใจที่มอบข้าวหลามกระบอกใหญ่ที่สุดให้
“กินเหอะ เออ พี่ลดความอ้วนอยู่น่ะ” ได้แต่กลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ เอาจริงๆมะ กูแดกไม่ลง แม่งแค่เห็นกระบอกข้าวหลาม
อีภาพงูหลามเผือกก็กระแทกเข้าเบ้าตา..บอดแน่ๆตากู!!
“Good Morning”
เห็นหน้าพี่เบิ้มหน้าผมก็ร้อนขึ้นมาอีกครั้ง ถึงกับทำอะไรไม่ถูก สติสตังหายไปหมด เพราะมึงคนเดียวอีงูหลาม
“ไม่สบายรึป่าวครับ หน้าแดงๆ” ไม่พูดเปล่าจับหน้าผมพลิกหันซ้ายหันขวา
“...” ถึงกับไปไม่เป็นเลยกู!
“หรือว่าคุณโกรธที่ผมตื่นสาย”
“เวลานอนคุณไม่ใส่เสื้อผ้านอนเหรอครับ” กูไม่ตอบกูเข้าประเด็นเลยละกัน
“ส่วนใหญ่ก็ไม่ใส่ครับ”
“...”
“โอ๊ะ ซอรี่ เมื่อกี้คุณคงเห็น..” นี่มึงเพิ่งรู้ตัวเหรอ!!
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ถือยังไงผมก็ผู้ชายมีเหมือนกับคุณ” ปากดีไปงั้นแหละแต่หัวใจแทบกระเด้งออกมาตอนที่เห็นไอ้เจ้างูหลามเผือกแผ่หราอยู่ในห้องของผม! เหอะ..มีเหมือนกันก็จริงแต่ขนาดต่างกันราวฟ้ากับเหว งูดินรึจะไปสู้งูหลามเผือก!!
“แล้วคุณชอบมั้ยครับ” สายตาที่ถามช่างวาววับ จิ้มตาบอดสักทีดีมะ
“แค่กๆ ชอบอะไร?” น้ำในปากแทบพุ่งใส่หน้ามึง อีพี่เบิ้มมึงถามเชี่ยไรเนี่ย!!
“ชอบถอดเสื้อผ้านอนแบบผมไงครับ” ได้แต่เป่าปากโล่งอกอยู่ในใจ ค่อยยังชั่ว นึกว่ามึงจะเป็นบอสโรคจิตซะแล้ว!
“ผมใส่เสื้อผ้านอน”
“ไม่ร้อนเหรอ?”
“เปิดแอร์”
“แล้วถ้าแอร์เสียล่ะ” อะไรของเมิง! กวนตีนกูป่ะเนี่ย!!
“เปิดพัดลม”
“แล้วถ้าพัดลมเสีย?”
“คุณต้องการอะไร?” ผมชักเริ่มหมดความอดทน
“ผมต้องการให้คุณถอดเสื้อผ้านอนเหมือนผม”
“...?!” ใครก็ได้บอกที ว่าผมกำลังโดนฝรั่งกวนตีนอยู่ใช่ป่ะ!
“ฮ่าๆ ล้อเล่นครับ ผมแค่แกล้งให้คุณทำหน้าเหวอ ผมชอบเพราะมันน่ารักดี”
“...?!” อะไร?? กูตามอารมณ์มึงไม่ทัน ผมได้แต่อ้าปากค้างกระพริบตาปริบๆมองหน้าพี่เบิ้มอย่างไม่เข้าใจ
“เห็นมั้ย น่ารักจริงๆด้วย” แล้วพี่เบิ้มก็ลูบที่แก้มผมเบาๆ
“...” ถ้าผมเป็นกาน้ำร้อนแบบนกหวีดตอนนี้คงมีเสียงหวีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่งแน่ๆ เพราะหน้ากูร้อนมากบอกเลอ!! ไม่รู้จะโกรธหรือเขินดี! ..สติ ไอ้ณตมึงต้องดึงสติกลับมาโดยด่วน
“ผมมาตามคุณไปทานอาหารเช้าด้วยกัน” จู่ๆก็ปรับโทนเสียงซะอ่อนโยน เมื่อกี้ยังแหย่กูอยู่เลย
“ผมทานแล้วครับ”
“งั้นนั่งเป็นเพื่อนผมหน่อยได้มั้ยครับ วันนี้ต้องกลับแล้วผมอยากใช้เวลาอยู่กับคุณให้มากที่สุด”
“...” อ้อน?! น้ำเสียงแบบนี้เรียกว่าอ้อนใช่มะ!?
อะไร?? (เช้านี้กูอะไร?หลายรอบมาก) ทั้งคำพูดและสายตามันผิดแผกต่างจากเมื่อวานมาก ‘อ่อย’ แล้วคำพูดของอีซูซี่ก็ผุดขึ้นมาในความคิด..จริงเหรอ ไม่จริงม้าง!!
“ไปครับ ผมหิวแล้ว” แล้วอีพี่เบิ้มก็คว้าข้อมือผมกึ่งดึงกึ่งลากออกจากร้านกาแฟไปยังตัวบ้าน นี่มันแรงคนหรือแรงควาย ออกแรงดึงแค่นิดเดียวตัวผมแทบปลิว!!
“ผมชอบอันนี้ครับ เค้าเรียกว่าอะไร” พี่เบิ้มถามพร้อมกับหยิบห่อใบตองที่หอเป็นสามเหลี่ยมวางไว้บนฝ่ามือหลังจากที่ทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้วโดยมีผมนั่งเป็นเพื่อนและกำลังทานของหวานล้างปากอยู่ ปากคงจะคาวมากกินข้าวเหนียวสังขยาไปสี่ห่อ และห่อที่ห้าห่อสุดท้ายที่วางอยู่บนฝ่ามือก็กำลังจะลงท้องตามไปติดๆ
“ข้าวเหนียวสังขยาครับ”
“ข่าว เนียว สัง ขา ยา” อย่าพยายามเลยพี่เมิง
“ข้าว เหนียว สัง ขะ หยา”
“ข้าว เหนียว สัง ขา หยา” เกลียดรอยยิ้มพี่เมิงจริงๆ
“ครับ”
“ว่าแต่ผมยังไม่เห็นซูซี่ ยังไม่ตื่นเหรอครับ” ใครจะไปขี้เซาเหมือนพี่เมิงงง ผมได้แต่ร้องด่าอยู่ในใจ
“ออกไปยิมตั่งแต่เช้าแล้วล่ะครับ” เห็นเป็นตุ๊ดหัวโป๊กแบบนี้ อีซูซี่ดูแลสุขภาพตังเองดีมาก ดีจนได้ผัวเป็นเทรนเนอร์ฟิตเนส!!
“ซูซี่คืนดีกับสามีรึยังครับ”
“ก็คงดีกันแล้วล่ะครับ พรุ่งนี้มันก็จะกลับสิงคโปร์แล้ว”
“ดีจังนะครับ ความรักเนี่ย”
“หืม..”
“ก็รักกัน ทะเลาะกันและก็ง้อกัน ดีออกนะครับความรักแบบนี้”
“แล้วความรักของคุณไม่ได้เป็นแบบนี้เหรอ โอ๊ะ ขอโทษครับ ผมไม่น่าเสียมารยาท” ลืมไปเลยว่าพี่แกหย่าแล้ว อาจจะจบกันไม่สวย ผมนี่ปากพาซวยจริงๆ!
“ไม่เป็นไรครับ การแต่งงานของผมมันไม่ใช่ความรัก เราแต่งเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ”
“...” นึกว่าจะมีแต่ในหนัง พวกคนรวยนี่เข้าใจยากจังแฮะ
“อดีตภรรยาของผมมีคนรักอยู่แล้ว เธอจำใจต้องแต่งงานกับผมเพื่อช่วยธุรกิจของที่บ้านเธอที่กำลังจะล้มละลายเพราะธุระกิจของครอบครัวเธอเอื้อต่อธุรกิจของครอบครัวผมด้วย พ่อผมเลยยื่นข้อเสนอนี้ให้กับพ่อของเธอ พ่อของเธอตอบตงลงรับข้อเสนอนี้ทันที อาจจะด้วยเหตุผลที่บ้านของเธอพยายามกีดกันคนรักของเธอเพียงแค่ว่าชายคนนั้นเป็นแค่อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมดาๆคนนึง ไม่ใช่นักธุรกิจที่มีทรัพย์สินมากมายเหมือนกับผม โดยลืมคิดไปว่าความรักมันไม่ใช่เรื่องของเงินแต่มันคือเรื่องของหัวใจต่างหากล่ะ” สีหน้าของพี่เบิ้มตอนที่พูดผมเดาไม่ถูกแฮะ ว่ากำลังคิดอะไรอยู่มันนิ่งมาก นิ่งจนเรียบเฉย
“ผมสงสัย แล้วทำไมคุณถึงยอมแต่งงานกับเธอล่ะครับทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเธอมีคนรัก”
“เพราะว่าผมอยากช่วยเธอ ครอบครัวของเราสนิทกันมาตั้งแต่ผมยังเด็ก ผมรักเธอเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง ถ้าการแต่งงานนี่มันจะช่วยครอบครัวของน้องสาวของผมได้ผมก็ยินดีที่จะช่วย ผมศรัทธาในความรักของทั้งคู่เลยให้สัญญากับทั้งคู่ว่าถ้าธุรกิจของครอบครัวเธอพ้นวิกฤตเมื่อไหร่ผมจะหย่าให้ทันที”
“แล้วคุณอยู่ด้วยกันกี่ปี”
“จะว่าอยู่ด้วยกันก็ไม่ถูก เราใช้คอนโดเป็นเรือนหอแต่ผมซื้อห้องข้างๆเอาไว้อีกห้องเพื่อให้เธอได้อยู่กับคนรักของเธอ
ใช้เวลาปีครึ่งพวกเราก็หย่ากัน ความจริงมันใช้เวลาแค่ปีเดียวเท่านั้นแหละแต่ผู้ใหญ่ไม่ยอมมันเลยยืดเยื้อมาอีกครึ่งปี
จนสุดท้ายเธอก็ตั้งครรภ์แน่นอนว่าไม่ใช่ท้องกับผม เพราะเราไม่เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งผมให้เกียรติเธอและคนรักของเธอ สุดท้ายผมทนไม่ไหวผมยอมไม่ได้ที่พวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกต้องแยกจากกัน ผมเลยบอกความจริงให้ทุกคนทราบ เพราะเด็กไม่ผิดและมันไม่ยุติธรรมเมื่อเด็กที่กำลังจะเกิดขึ้นมาลืมตาบนโลกใบนี้ต้องมารับกรรมที่ผู้ใหญ่อย่างเราๆก่อไว้..มันไม่ยุติธรรม
สุดท้ายเราก็ได้หย่ากัน ด้วยการที่พวกเขาเห็นแก่หลานของพวกเขาเอง เรื่องก็จบลงโดยที่พวกเค้าเปิดใจยอมรับสามีของเธอ แล้วผมก็โสดอีกครั้งจนถึงตอนนี้”
“นึกว่าเรื่องแบบนี้จะมีแต่ในนิยายซะอีก” ชีวิตจริงอิงมาจากนิยาย หรือนิยายที่อิงมาจากชีวิตจริงกันแน่น้า!
“นั้นน่ะสินะ ผมก็ไม่คิดว่าจะมาเจอเรื่องแบบนี้กับตัวเอง”
“แล้วตอนนี้คุณไม่มีแฟนเหรอครับ” ถึงจะโสดมันก็ต้องมีสาวๆกันบ้างล่ะ เพอร์เฟคขนาดนี้
“ไม่มีครับ แต่มีคนที่ชอบ” พี่เบิ้มนั่งเท้าคางพูดอย่างสบายๆ ดูผ่อนคลายขึ้นกว่าตอนที่เล่าเรื่องการแต่งงานเมื่อกี้นี้
“หมายความว่าผู้หญิงคนนั้นไม่รู้ว่าคุณชอบ”
“ครับไม่รู้”
“ทำไมคุณไม่จีบเธอละครับ หรือว่าเธอมีแฟนแล้ว”
“ผมเพิ่งรู้ว่าเขายังไม่มีแฟน ตอนนี้กำลังเริ่มจีบ” สายตาดูเป็นประกายเชียวนะเวลาพูดถึงคนที่ชอบ..น่าหมั่นไส้!
“ดีจังเลยนะครับ ผมขอให้คุณสมหวังในรักครั้งนี้นะครับ”
“ขอบคุณครับ..ผมก็หวังให้เป็นเช่นนั้น” แบบพี่เบิ้มจีบติดแน่นอน เฟอร์เฟคซะขนาดนี้ใครไม่เอาก็บ้าแล้ว!!
“Hi หนุ่มๆคุยอะไรกันคะ” อีซูซี่ที่เดินถือข้าวเหนียวหมูปิ้งเข้ามาในบ้านเอ่ยทักขึ้น
ได้ข่าวว่าไปยิมมา ล่อข้าวเหนียวหมูปิ้งแต่เช้า!!
“กับข้าวที่บ้านก็มีซื้อมาทำไมวะ”
“เอาน่า ฉันอยากกินให้กินหน่อยเหอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็กลับละ”
“ว่าแต่เจเรมีขึ้นเครื่องกี่โมงคะ”
“บ่ายโมงครับ”
“มีเวลาเหลืออีกประมาณสามชั่วโมงคุณอยากทำอะไรหรือไปไหนมั้ยค่ะ เดี๋ยวซูซี่พาไปรับรองรู้ทุกซอกทุกมุมมากกว่าอีป้านดแน่นอนค่ะ”
“ขอบคุณครับ แต่ไม่เป็นไรผมอยากอยู่ที่นี่กับณตมากกว่า”
“เห็นมั้ยฉันบอกแล้วคุณบอสสุดหล่อเขาอ่อยแก่อยู่” อีซูซี่กัดข้าวเหนียวคำโตพร้อมกับพูดลอยๆไม่ให้พี่เบิ้มจับได้ว่ากำลังพูดถึงพี่แกอยู่
“...” ผมได้แต่ส่ายหน้าให้กับความคิดมั่วซั่วของอีซูซี่..ไม่มีทางหรอก เขาก็เพิ่งบอกไปเองว่ากำลังจีบคนที่ชอบอยู่ แล้วจะมาอ่อยผมเพื่ออะไร อีกอย่างเดี๋ยวพี่แกก็กลับละ อาจจะไม่ได้เจอกันอีกก็ได้..อืม ไม่ได้เจอกันอีกเหรอ! อดใจหายไม่ได้เหมือนกันแฮะ..
“กลับไปลอนดอนผมจะไปเรียนภาษาไทย”
“คุณว่างเหรอครับ”
“ก็พอมีบ้างครับ ผมอยากฟังออกเวลาพวกคุณคุยกัน ท่าทางสนุกดี” บอกตามตรงเลยก็ได้นะว่าอยากรู้ว่าพวกเรานินทาอะไร! โด่ว..รู้ทันหรอกน่า
11.20น. ผมและอีซูซี่มาส่งพี่เบิ้มที่สนามบินเพื่อเดินทางไปประชุมที่กรุงเทพตอนเย็นก่อนจะเดินทางกลับอังกฤษในวันรุ่งขึ้น
“คุณไม่ลืมอะไรนะครับ”
“ไม่ลืมครับ เอามาครบหมดแล้ว”
“นี่มึงถามคุณบอสจะ99รอบได้ละนะ เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็รอบครอบไว้ก่อนไง อีกอย่างค่าส่งของไปเมืองนอกมันแพงนะมึง”
“งก!!” เออ กูยอมรับ
หลังจากนั้นรอไม่นานพี่เบิ้มก็เช็คอินและโหลดกระเป๋าเสร็จเรียบร้อย เรานั่งรอเวลากันสักพักก็ได้เวลาที่พี่เบิ้มต้องเข้าGate
“เจเรมี่ขา ถ้าซูซี่ไปลอนดอนเราจะได้เจอกันมั้ยคะ” เกลียดการจือปากของมันมาก ดีดปากแตกสักทีดีมะ!
“แน่นอน ถ้าคุณไปลอนดอนไปหาผมได้ทุกเมื่อ”
“งั้นซูซี่ขอเบอร์ติดต่อหน่อยได้มั้ยคะ”
“ไม่มีปัญหา” แล้วทั้งสองก็ทำการแลกเปลี่ยนช่องทางสำหรับการติดต่อสื่อสาร
“ป้านด”
“ครับ” นึกว่าวันนี้กูจะไม่ได้ยินคำนี้ซะแล้ว ตามหลอกหลอนจนวินาทีสุดท้ายเลยนะมึง!
“นี่ครับ แต่ช่วยอ่านหลังจากที่ผมเข้าGateไปแล้วได้มั้ยครับ” พี่เบิ้มยื่นกระดาษโพสอิทสีฟ้าที่พับครึ่งมาให้กับผม
“โอเค” ผมตอบรับแบบงงๆ
“แล้วเจอกันครับ” พี่เบิ้มหันไปกอดอีซูซี่เป็นการบอกลา ก่อนจะหันมาทางผม
“แล้วเจอกันนะครับป้านด..ผมจะคิดถึงคุณ” ประโยคหลังเขากระซิบบอกเบาๆ แล้วแนบริมฝีปากลงมาที่หน้าผากผมอย่างแผ่วเบา..แค่คำว่าคิดถึง กับสัมผัสตรงหน้าผากที่ตอนนี้รอยอุ่นจากสัมผัสนั้นยังไม่จางหายทำให้ใจผมเต้นแรงอย่างน่าประหลาด..และนี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกกลัวคำว่าห่างไกล..
“มึงคุณบอสเขียนว่าอะไร รีบๆอ่านสิฉันอย่างรู้” อีซูซี่เอ่ยปากทันทีหลังจากที่พี่เบิ้มเดินเข้าGateไปแล้ว
“เสือก”
“โห พูดแบบนี้ฆ่ากันชัดๆ เร็วกูอยากรู้”
“ใจเย็นดิ ไปที่รถก่อน”
“ยังไงๆ” ผมยื่นกระดาษแผ่นนั้นให้กับอีซูซี่หลังจากที่ผมอ่านมันแล้ว
“ You are my Destiny
Mr. Blue Scarf ”
ไม่เข้าใจ? งงในงง? ในหัวเต็มไปด้วยคำถาม?..ผมไปเป็นพรหมลิขิตของพี่เบิ้มตอนไหน? แล้วผมเกี่ยวอะไรกับชายที่สวมผ้าพันคอสีฟ้าในเรื่องที่พี่เบิ้มเล่าให้ฟังเมื่อคืน? คิดจนหัวแทบแตกก็คิดไม่ออก ผมมั่นใจว่าผมไม่มีผ้าพันคอสีฟ้านะ แล้วไม่เคยเจอพี่เบิ้มมาก่อน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมวะ..โอ๊ยยยยยย หัวจะระเบิด!!
..มึงทิ้งอะไรไว้ให้กูอีพี่เบิ้ม มึงออกมาเคลียร์กับกูให้รู้เรื่องก่อน!!!
“อ้ายยยย เห็นมะกูบอกแล้วว่าคุณบอสเค้าอ่อยมึง แต่กูไม่เข้าใจอะไรคือ Mr. Blue Scarf”
“เหอะ ถามกูแล้วกูจะไปถามใคร งงเหมือนกับมึงนั้นแหละ”
“ก็ถามคุณบอสสิ ไม่เห็นยาก”
“ถามยังไงล่ะ เบอร์ห่าอะไรก็ไม่มีสักอย่าง”
“แต่กูมี แล้วกูก็บอกเบอร์โทร พร้อมกับไอดีไลน์ของมึงให้เค้าไปแล้วด้วย รอไม่นานคุณบอสติดต่อมึงมาแน่นอน”
“ฮะ!! เสร่อแล้วไอ้ชาติ”
“หยาบคายอีณต กูช่วยมึงอยู่นะ”
“ช่วยให้กูวุ่นวายล่ะสิ..เออว่าแต่กูมีผ้าพันคอสีฟ้ามั้ยวะ”
“กูจะรู้กับมึงมั้ย!”
“แม่งไปนานกันจังวะ กูนั่งรอจนรากจะงอกอยู่แล้วเนี่ย” ไอ้ดอยเพื่อนสนิทให้กลุ่มอีกคนนึงของผมบ่นทันทีเมื่อผมกับอีซูซี่โผล่หัวเข้ามาในร้านกาแฟ
“ว๊ายย เพื่อนดอยเห็นหน้าเพื่อนไม่บ่นสิคะ มากอดทีหนึ่งคิดถึงมากมาย” ถึงปากมันจะบ่นไม่หยุดแต่มันก็สวมกอดอีซูซี่ด้วยความเต็มใจอยู่ดี
“เดี๋ยวๆ กอดอย่างเดียวหอมแก้มไม่ต้อง!!”
“เห็นพวกเราอยู่กันสามคนแบบนี้ก็นึกถึงไอ้ฟางมันว่ะ เมื่อไหร่จะได้รวมตัวกันครบแก๊งสักทีวะ” ปากของไอ้ดอยก็ยังขยับไม่หยุด
“นั้นดิ แต่ละคนเสือกมีผัวอินเตอร์ รวมตัวกันท่าจะยาก” ผมบ่นไม่จริงจังนัก
“อย่าบ่นจ๊ะ อีกหน่อยมึงก็มาอยู่สมาคมแม่บ้านอินเตอร์กับกูกับไอ้ฟางเหมือนกันนั้นแหละ” อีซู่ซี่เอ่ยแซว อย่างขำๆ
“เดี๋ยวถีบ!! เชิญพวกมึงอยู่กันตามสบาย”
“อะไรไอ้ณต มึงจีบสาวฝอเหรอวะ ประเทศไหน อังกฤษ อเมกา?”
“อังกฤษน่ะถูกแล้ว แต่ไม่ได้จีบ กำลังโดนจีบ แล้วก็..ไม่ใช่สาวฝอ แต่เป็นหนุ่มฝอ” ขอบใจมากซูซี่ที่ช่วยอธิบายแทนกู ถุย!!
“เหี้ย!! มึงโดนตอกเสาเข็มเหรอวะไอ้ณต”
“ไอ้สัด ตอกเสาเข็มพ่องดิ” ไอ้ห่าดอยแม่งพูดโดนตอกเสาเข็มมาคำเดียว ภาพอีงูหลามเผือกก็ลอยมากระแทกเบ้าตาจังๆอีกครั้ง กูอุตส่าห์ลืมไปแล้วแท้ๆ เหี้ย!! แค่คิดก็ขนลุก โดนจริงๆมีหวังแหก จุกไปถึงลิ้นปี่แน่ๆ!!
“มีความตายยากจ้า” แล้วอีซูซี่ก็โชว์หน้าจอมือถือที่มีสายเรียกเข้าเป็นวิดิโอคลอจากไอ้ฟาง
“Hi my friend อ๊ายยย อีดอยมึงก็อยู่ด้วย ฉันโทรมาถูกเวลาจริงๆครบองค์ประชุมค่ะ”
“เป็นไงมึงสบายดีมั้ย” ไอ้ดอยโบกมือพร้อยเอ่ยทักทาย
“สบายดีมากกกกก แต่อากาศอย่างหนาววว ฉันคิดถึงแสงแดดอันร้อนอบอ้าวของบ้านเราจริงๆ”
“ได้ข่าวว่าทะเลาะกับหลัวเหรอค่ะเพื่อนซี่”
“ซูซี่ เรียกให้เต็มๆค่ะ ดีกันแล้วย่ะ พรุ่งนี้ฉันก็กลับแล้ว”
“ไอ้ณต คุณบอสเป็นไง ลุล่วงไปได้ด้วยดีมั้ย ”
“ก็น่าจะดี เพิ่งส่งขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพไปเมื่อกี้”
“ฉันโอนเงินไปให้แล้วนะ”
“แต้งมึง ว่าแต่มึงสนิทกับคุณบอสมั้ยวะ”
“ก็ไม่เท่าไหร่ เจอกันบ้าง แต่กับพอลก็สนิทระดับนึงนอกจากจะเป็นเลขาแล้วพอลยังเป็นรุ่นน้องสมัยเรียนมหา’ลัยด้วยน่ะ ทำไมวะ?”
“คุณบอสเขาบอกว่าอีณตเป็นพรหมลิขิตของเขา” อีนี่ก็สาระแน ผมเลยถีบมันไปดอกนึง!
“เห้ย!! จริงดิ เล่ามาๆ”
“จะเล่ายังไงล่ะมึง กูก็ยังงงอยู่เนี่ย ว่าแต่มึงมีผ้าพันคอสีฟ้ามั้ยวะ แล้วกูเคยยืมของมึงรึป่าว”
“ไม่มีนะ ถามไรของมึงเนี่ย?!”
“ตอนนี้มันกำลังเพ้อ ปล่อยมันไปค่ะ”
“คุยไรกันวะ กูไม่เข้าใจด้วยสักอย่าง” ไอ้ดอยบ่น
“มึงไม่ต้องเข้าใจหรอก เดี๋ยวจะปวดหัวตามกูไปด้วย”
“นี่ๆพวกมึงทุกคน คิดถึงพวกแกนะ ต้องวางแล้วหลัวตามให้เข้าไปนอนต่อแล้ว ส่วนมึงไอ้ณตแล้วฉันจะหลังไมค์ไปเผือก ไปละบ๊ายบาย จุฟๆ”
"ไอ้ดอยมึงมีผ้าพันคอสีฟ้ามั้ยวะ แล้วกูเคยยืมของมึงรึป่าว” ผมถามคำถามเดิมที่ถามไอ้ฟาง
“ไม่มีอย่างกูเนี่ยนะใช้ผ้าพันคอ มึงนี่ถ้าจะอาการหนักเป็นไรมากป่าววะ” ไอ้ดอยบ่นพร้อมกับส่ายหน้าเอือม
“ซูซี่..”
“กูรู้ว่ามึงจะถามอะไร กูมีผ้าพันคอสีฟ้าแต่ไม่น่าจะเคยให้มึงยืมเพราะตอนนี้มันยังพับอยู่ในตู้อย่างดี”
“มึง กูว่าคืนนี้กูคงนอนไม่หลับ” ผมเป็นพวกเวลาสงสัยแล้วไม่ได้คำตอบจะคิดจนนอนไม่หลับ ใครที่เป็นเหมือนผมจะเข้าใจผมดี!
“มึงก็ถามคุณบอสตรงๆสิ”
“เดี๋ยวๆ กูขอขัดพวกมึงแปปนะ คุณบอสคือใคร แล้วผ้าพันคอสีฟ้าคืออะไร”
“มาให้จูบทีนึง แล้วจะบอก”
“ตีนกูน่ะสิ กับเพื่อนกับฝูงก็ไม่เว้น!”
“มีไวน์เหลือ จิบไวน์กันคืนนี้แล้วกูจะเล่าให้ฟัง”
“น่าสน โอเค ดิล” แล้วมันก็จับมือกันเป็นมั่นเป็นเหมาะ ส่วนผมนะเหรอ หัวแตกครับ!!
“ตอนเย็นไปยิมกัน กูเครียดดดด”
“โอเค ดิล” แล้วมันก็ประสานเสียงพร้อมกัน เอ่อ เอากับพวกมึงสิ
ออกกำลังกายให้เหงื่อออกสมองจะได้โล่ง ..โล่งกับผีน่ะสิ!! ยิ่งมีสมาธิจดจ่อกับตัวเองมากเท่าไหร่ คำถามยิ่งผุดขึ้นเต็มหัวไปหมด..
วิ่งบนสายพานขาก็ก้าวไปเรื่อยๆ ไม่ต่างกับสมองที่คิดทบทวนเรื่องที่พี่เบิ้มเล่าให้ฟังเมื่อคืนไปเรื่อยๆ..
พี่เบิ้มบอกว่าเห็นรูปถ่าย ในรูปมีคนทั้งหมดสี่คน เอ๊ะหรือว่าห้าวะ? ทุกคนน่าจะเป็นเพื่อนรักกัน แล้วพี่เบิ่มก็ไปสะดุดเข้ากับรอยยิ้มของชายที่สวมผ้าพันคอสีฟ้าจนไม่สามารถละสายตาได้ เวลาเครียดก็จะนึกถึงรอยยิ้มของชายหนุ่มที่สวมผ้าพันคอสีฟ้า..น่าจะประมาณนี้ รึป่าวว้า!
แล้วผมก็ถามว่าทำไมไม่จีบหรือเขามีแฟนแล้ว คำตอบที่ได้กลับมาเหมือนกับความไม่แน่ใจ เพราะพี่เบิ้มไม่รู้จักชายที่สวมผ้าพันคอสีฟ้าเลยแม้แต่ชื่อของเขา แต่ก็เต็มใจที่เป็นแบบนี้เพราะมันเป็นรักที่ไม่ต้องการการครอบครอง..ใช่ แกบอกว่าเป็นรักที่บริสุทธิ์ แล้วเหมือนเรื่องเล่านี้จะจบลงด้วยคำถาม
‘ แต่แล้ววันนึงชายที่สวมผ้าพันคอสีฟ้าก็มาอยู่ตรงหน้าของชายหนุ่ม โดยไม่คาดฝัน ถ้าคุณเป็นชายหนุ่มคนนั้นคุณจะทำยังไง ปณต ’ พี่เบิ้มเรียกชื่อผมได้ถูกต้องชัดเป๊ะเป็นครั้งแรก ผมเลยจำประโยคนี้ได้ขึ้นใจ
อืม..ผมตอบไปว่ายังไงน้า..
‘ ผมก็คงรีบคว้าเค้าไว้ เพราะนี่มันคือพรหมลิขิตชัดๆที่ทำให้พบกัน ’ ใช่ นี่คือคำตอบของผม
‘ นั้นน่ะสิ ไม่เห็นต้องคิดมากเลย ขอบคุณนะครับสำหรับคำตอบ ’ นี่คือคำพูดของพี่เบิ้มหลังจากที่ฟังคำตอบของผม เดี๋ยวนะ!! คำตอบงั้นเหรอ มานึกๆดูแล้วเหมือนแกถามเรื่องของตัวเองอยู่เลย
..สรุปแล้วเรื่องเล่านั้น ตัวละครคือผมกับพี่เบิ้มงั้นเหรอ?! แต่ที่งงคือแกไปเห็นรูปถ่ายนั่นที่ไหน แล้วผมก็ไม่มีผ้าพันคอสีฟ้าด้วย แล้วเรื่องนี้มันเกิดขึ้นนานยัง? พี่แกก็ไม่ได้บอกช่วงเวลาซะด้วยสิ โอ้ยยยยยยยยยย ..อยากจะร้องออกมาเป็นภาษากาตาล็อก!!
..รูปถ่าย!! ใช่ ผมต้องกลับไปหารูปถ่ายทั้งหมดที่มี ว่ามีรูปไหนที่ผมสวมผ้าพันคอสีฟ้า ถ่ายรูปกับเพื่อนงั้นเหรอ ก็คงเป็นรูปหมู่ที่ถ่ายกับชาวแก๊งนั่นแหละ..หึหึ กูจะไม่ถามมึงอีพี่เบิ้ม แต่กูจะหาคำตอบด้วยตัวเอง!!
...ถึงเวลาที่ เชอร์ณต โฮล์มส์ ต้องออกโรงพิสูจน์ล้าวววว!!
TBC.
........................................................................................
อ่านแล้วมีใครอยากกินข้าวหลามบ้างเอ่ย!!
ขอบคุณทุกๆกำลังใจค่ะ^^
Twitter - MA_LEE_01 (https://twitter.com/MA_LEE_01)
บทที่5 ผมมันบ้าแต่เขาน่ะบ้ากว่า!
เก็บมือถือยัดใส่กระเป๋ากางเกงหลังจากที่นั่งจ้องมันมา5ชั่วโมง! ให้ตาย
5ชั่วโมงผ่านไป อีพี่เบิ้มคงไม่มาแล้ว คำภาวนาขอให้ไม่มีตั๋วของผมคงสัมฤทธิ์ผล..ผมควรจะดีใจ แต่ลึกๆทำไมรู้สึกผิดหวังชอบกลแฮะ
ช่างเหอะๆ อย่าไปสนใจปิดร้านก่อนดีกว่า นี่ผมนั่งเฝ้ามือถือตั้งแต่ฟ้าแจ้งจางปางจนถึงหนึ่งทุ่มได้เวลาปิดร้านพอดิบพอดี นี่ถ้าไม่บ้ามึงทำไม่ได้นะแต่ก็น่าจะบ้าพอๆกับไอ้คนที่มันจองห้องพักยาว31คืนนั่นแหละ..แต่สิ่งหนึ่งที่ผมไม่เข้าใจตัวเองคือ ทำไม่ผมต้องรอ?! ทำไมว๊าาา
“กริ๊งงงงงงงงง”
“เฮ้ยย ใครตั้งนาฬิกาปลุกวะ” บีที่กำลังล้างแก้วอยู่ร้องด้วยความตกใจ
เสียงมือถือกูเองครับ ไอ้สัด!ตกใจ เล่นตั้งเสียงซะดังสุด และที่เลือกเสียงนี้เพราะคิดว่ามันดังที่สุดในบรรดาเสียงริงโทนของสมาร์ทโฟนรุ่นเก่าแต่ยังเก๋า แล้วยังไงล่ะ ก็หูดับไงครับ!
แรงสั่นพร้อมกับเสียงกรีดร้องของโทรศัพท์ดังขึ้นไม่หยุด กว่าจะล้วงมือถือออกมาได้ไอ้กระเป๋ากางเกงยีนส์ตัวนี้ก็ลึกซะเหลือเกินแถมยังรัดติ้วซะจนล้วงยากล้วงเย็น ไข่กูก็สั่นจนระบมไปหมด หมันแน่ๆกู!
เบอร์แปลกซึ่งเป็นเบอร์เดียวกันกับเบอร์ที่พี่เบิ้มใช้โทรมาเมื่อ5ชั่วโมงก่อน อยากจะรับตั้งแต่วินาทีแรกที่จกมือถือขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงได้ แต่ขอฟอร์มสักหน่อย ค่อยๆนับหนึ่งถึงห้าในใจ
1 2 3 4… ฉิบหาย!! สายตัด!! ปลายนิ้วกำลังจะแตะโดนปุ่มรับสายอยู่แล้วแท้ๆ
ลนลานๆ ทำไงๆ ใช่! โทรกลับ
‘หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ Sorry…’
“อ๊ากกกกก” โทรไม่ติด!
“เฮ้ย! พี่ณตเป็นไรคะ” บีถามด้วยสีหน้าแตกตื่น และคงจะงงว่าผมหัวฟัดหัวเหวี่ยงกับมือถือเครื่องนี้ทำไม
“เป็นบ้าาาาา”
“งั้นเชิญรับยาช่อง2ค่ะ ” แง่
“...” คอตก พูดไม่ออกบอกไม่ถูก
“ว่าแต่พี่ณตรอสายจากใครคะ เห็นจ้องมือถือมาตั้งแต่บ่าย”
“คนบ้า”
“อ่อ คนบ้าโทรหาคนบ้าด้วยกันนี่เอง” ผมได้แต่เงยหน้ามองบีด้วยสายตาละห้อย และกำลังจะกดโทรออกหาเบอร์แปลกนั่นอีกครั้ง แต่ทว่า..
“กริ๊งงงง” ไม่รีรอ กดรับตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้ยิน
“ผมมาถึงแล้วครับ โทรหาคุณแล้วคุณไม่รับ โทรกลับอีกทีก็โทรไม่ติด คิดว่าต้องหาทางไปหาคุณเองซะแล้วโชคดีที่โทรติด ที่มาช้าเพราะเครื่องบินดีเลย์ขอโทษนะครับที่ทำให้รอ” ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรออกไป อีพี่เบิ้มก็รีบพูดตัดหน้าก่อนด้วยความร้อนรน ..ร้อนรนกว่ากูก็มึงสินะ
“ผมไม่ได้รอสักหน่อย งั้นเดี๋ยวผมไปรับนะครับ” ไม่ได้รอเลย จริ๊งงงงง
“ขอบคุณครับ ผมจะรอด้วยใจจดจ่อ” มึงก็เวอร์
“บี พี่ฝากล็อกร้านด้วยนะ” รีบคว้ากุญแจรถแล้วออกจากร้านทันที ไม่ได้รีบเพราะกลัวใครจะรอนะ
เพราะผมหิวต่างหากล่ะตั้งแต่บ่ายกินแค่น้ำลำใยกับขนมปังไปแค่2แผ่น ไปรับเร็วก็จะได้หาอะไรกินเร็วไง..ได้โปรดเชื่อผม!
ใช้เวลา15นาทีก็มาถึงที่หมาย เพราะบ้านผมมันใกล้กับสนามบินและตอนนี้ก็เกือบสองทุ่มถนนมันก็ไม่ค่อยแออัดสักเท่าไหร่ ..ย้ำอีกครั้งว่าไม่ได้รีบเพราะกลัวใครจะรอ
เดินเข้ามาในตัวอาคารของสนามบินฝั่งผู้โดยสารขาเข้า มองซ้ายมองขวา อีพี่เบิ้มมันรออยู่ที่ตรงไหนวะกำลังจะกดเบอร์โทรออก แต่ขากับชะงักเมื่อมีใครบางคนโบกมือหย่อยๆอยู่ด้านหน้า ผมยืนยิ้มรอให้พี่เบิ้มเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหา เอ่อ..มันเป็นยิ้มทักทาย ไม่ใช่ยิ้มดีใจ อันนี้ก็อย่าเข้าใจผิด!
พี่เบิ้มในวันนี้ต่างออกไปจากพี่เบิ้มเมื่อสองอาทิตย์ก่อน ร่างสูงอยู่ในชุดสูทสีกรมท่าที่สวมทับเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสแล็คเข้ารูปสีเดียวกับเสื้อสูทที่เข้ากับรองเท้าหนังสีน้ำตาลเข้มที่ขึ้นเงาวาววับ ส่วนผมยาวก็ถูกรวบมัดไว้เป็นอย่างดีเผยให้เห็นใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาหล่อเหลา..อืม แบบนี้สิค่อยเหมาะสมกับคำว่าบอส..
แต่ใจผมนี่สิที่มันไม่เหมาะสม..ได้โปรดเถอะอย่าเต้นแรงไปกว่านี้เลย!
ร่างสูงเดินยิ้มเข้ามาใกล้ก่อนจะสวมกอดผมเป็นการทักทาย
“ผมคิดถึงคุณ” นี่คือประโยคแรกที่กล่าวทักทายเมื่อพบหน้า แล้วผมควรจะตอบกลับไปยังไง ‘ผมก็คิดถึงคุณ’ แบบนี้น่ะเหรอ ฝัน!
“รอนานมั้ยครับ”
“ไม่เลย”
“เอ่อ คุณช่วยปล่อยผมก่อนได้มั้ยครับ” ไอ้บ้านี่ยืนกอดผมไม่ยอมปล่อย คนนี่มองกันให้ควั่ก ถามว่าพี่เขาแคร์มั้ย โนแคร์จ้า
“ก็ผมคิดถึงคุณนี่นา” อย่าใช้เสียงอ้อนแบบเน้
“ครับๆ ผมหิวไปกินข้าวกัน” รู้แล้วๆ แต่ตอนนี้กูหิว!
“ผมก็หิว”
“งั้นก็ไปกันครับ”
จับมือ! จับมือกูทำม้ายยย สะบัดเท่าไหร่ก็ไม่ยอมหลุด แถมทำมึนชวนกูคุยเรื่อยเปื่อยอิ๊ก!
ดูๆไปแล้วอย่างกะคุณชายกับเบ๊ ซึ่งแน่นอนว่าเบ๊ คือผม คุณชายในชุดสูทสุดหรูซึ่งคาดว่าชุดนี้ราคาน่าจะเกือบแสน
ส่วนเบ๊อย่างผม เสื้อยืดห่านคู่สีขาวที่ใส่มาตั้งแต่เรียนปี1 สีเสื้อก็แลดูไม่ค่อยจะขาวสักเท่าไหร่ เอ่อ..เขาเรียกว่าสีขาวเข้ม
แถมคอเสื้อยังย้วยอีกต่างหาก กับกางเกงยีนส์สีซีดมอซอที่ไม่ได้ซักมานานชาติเศษ ส่วนรองเท้าน่ะเหรออีแตะคีบดาวเทียมจ้า หัวก็กะเซอะกะเซิงไม่เป็นทรง ดูสภาพตัวเองแล้วอยากจะสะบัดมือคุณชายทิ้งแล้ววิ่งหน้าตั้งไปรอที่รถก่อน แต่มันทำไม่ได้! มือไอ้คุณชายบ้านี่ก็เหนียวอย่างกะหนวดปลาหมึก
สิ่งที่ทำได้คือรีบจ้ำอ้าวไปให้ถึงรถโดยเร็วที่สุด ไอ้กระป๋องลูกพ่อเพิ่งเข้าศูนย์เช็คสภาพมาใหม่แท้ๆ ต้องมากรำศึกหนักอีกแล้ว!
‘ชายสี่เมียสี่ลูกสองบะหมี่เกี๊ยว’ เออ เอากะชื่อมันสิ
ร้านบะหมี่ข้างทางคือร้านที่เหมาะสำหรับคนหิวโซอย่างเรา คนหนึ่งก็ไม่มีอะไรตกถึงท้องเป็นชิ้นเป็นอันตั้งแต่บ่ายมัวแต่ใจจดใจจ่อกับอะไรก็ไม่รู้ ส่วนอีกคนก็ไม่ได้แดกอะไรเพราะมัวแต่หาตั๋วเครื่องบิน ดีแท้!
บะหมี่เกี๊ยวพิเศษสองชามถูกเสิร์ฟอยู่ตรงหน้า ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงต่างฝ่ายต่างโซ้ยบะหมี่เข้าปากทันใด
โชคดีของผมอย่างหนึ่งที่อีคุณชายมันกินง่ายอยู่ง่ายไม่ต้องหาร้านเลิศหรูให้เสียเวลา คุณชายตอนนี้พับแขนเสื้อเชิ้ตลวกๆนั่งโซ้ยบะหมี่อย่างสบายอารมณ์ ส่วนเสื้อสูทน่ะเหรอคุณชายมันโยนทิ้งไว้ในรถอย่างไม่ใยดี ก็อากาศมันร้อน ใส่สูทนั่งแดกบะหมี่ร้อนๆในสภาพอากาศแบบนี้ ถ้ามึงทนได้ มึงก็เป็นฝรั่งเซินเจิ้นแล้วล่ะ!
ก่อนกลับบ้านแวะซื้อของกินอีกเล็กน้อยคาดว่ากระเพราะควายอย่างพี่เบิ้มคงไม่อิ่มแม้จะฟาดบะหมี่เกี๊ยวพิเศษไปสองชามก็ตาม น้ำต้าหู้ทรงเครื่องคนละถุง ขนมปังสังขยาอีกหนึ่งชุด หมูสะเต๊ะอีกสักหน่อยละกันเผื่อเลี่ยน น้ำมะพร้าวปั่นนี่ก็น่าอร่อยอีพี่เบิ้มคงจะชอบอ่ะจัดไปคนละแก้ว และคาดว่าคืนนี้คงนอนไม่หลับเพราะท้องอืด! แต่อีโนช่วยคุณได้
ถึงบ้านเวลาสามทุ่ม ด้วยสภาพหนังท้องตึง
“คุณเดินไปที่บ้านก่อนเลยนะครับ เดี๋ยวผมขอแวะที่เกสท์เฮ้าส์สักครู่”
“โอเคครับ” ผมมองพี่เบิ้มที่ถือถุงของกินพะรุงพะรังเต็มไม้เต็มมือแล้วก็รู้สึกแปลกๆ มันเหมือนกับขาดอะไรไปสักอย่าง คนที่เพิ่งลงจากเครื่องมันต้องมีกระเป๋าเดินทางสิ ฉิบหาย! ลืมไว้ที่สนามบินแน่ๆ
โอ้ยน้อ..ผมก็ดันความรู้สึกช้าอีก
“เจเรมี่คุณลืมกระเป๋าเดินทางไว้ที่สนามบินรึป่าวครับ” ผมรีบตามพี่เบิ้มมาที่บ้านแล้วถามด้วยความร้อนรน
“ไม่ลืมครับ เพราะผมมาแต่ตัว” มาแต่ตัวจริงๆ ผับผ่า เพราะตอนนี้พี่มันถอดเสื้อเชิ้ตออกแล้วโชว์หน้าท้องเป็นลอนสุดคูล ทำให้ผมได้แต่กลืนน้ำลายลงคอด้วยความอิจฉา! สักวันกูต้องมีหน้าท้องแบบมึง ฮึมมม
“แล้วคุณจะใส่อะไรนอน แล้วชุดสำหรับพรุ่งนี้อีก” มาแต่ตัว เชื่อเขาเลย
“ผมไม่ใส่อะไรนอน คุณก็เคยเห็น” นัยน์ตาสีเทาช่างพราวระยับ กูอยากจะจิ้มตามึงบอด
”...!” ห่าราก น้ำเต้าหู้ที่กำลังเทใส่แก้วถึงกับกระฉอก เพราะงูหลามเผือกของมึงทำให้กูฝันร้ายแถมยังฝังใจไม่กล้าแดกอะไรที่เป็นทรงกระบอกอีกเลย ชีวิตช่างรันทด!
“ล้อเล่นครับ ผมขอยืมแค่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นของคุณก็พอ ส่วนชุดใส่กลับพรุ่งนี้ก็ชุดนี้ไง” พี่เบิ้มพูดพร้อมชูเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เพิ่งถอดออกก่อนจะเดินเข้าห้องผมแล้วจัดการแขวนไว้ในตู้เสร็จสรรพ
อีพี่เบิ้มมึงนี่ก็คุ้นเคยกับบ้านผมดีราวกับเคยอยู่มาตั้งแต่ชาติปางก่อนเน๊อะ แถมยังทำตัวสบายราวกับเป็นบ้านตัวเอง เดินออกจากห้องด้วยช่วงบนที่เปล่าเปลือยมานั่งกินหมูสะเต๊ะอย่างสบายอารมณ์ ผิดกับกูที่เป็นเจ้าของบ้านแท้ๆที่ทำตัวเกร็ง ซึ่งก็ไม่รู้จะเกร็งไปทำไม..
“หมูสีเหลืองนี่อร่อยดีนะครับ” อืมก็ถูกของมึง หมูสะเต๊ะบ้านใครสีบานเย็นล่ะว่ามั้ย?!
ผมปล่อยให้พี่เบิ้มนั่งแดกต่อไป ส่วนผมก็มาค้นเสื้อเพื่อให้พี่เบิ้มมันใส่ ไม่ไหวๆ ปล่อยให้พี่มันเปลือยท่อนบนแบบนี้นานๆแล้วใจบ่ดี!
แล้วที่ว่าจะใส่เสื้อผมพี่เบิ้มมึงก็พูดไม่คิดเนาะ ไม่ได้ดูขนาดตัวกูเล้ยย เสาไฟฟ้ากับตอหม้อชัดๆ ถ้ามึงใส่คงเหมือนใส่เสื้อเอวลอย!
เสื้อยืดสีน้ำเงินสกรีนคำว่า ‘Mobil Super’ ครับ! เสื้อแถมน้ำมันเครื่อง ได้มาตอนพาเจ้ากระป๋องไปเช็คสภาพหลังจากตรากตรำแบกพี่เบิ้มเมื่อ2อาทิตย์ก่อน
เสื้อตัวนี้ใหญ่ที่สุดเท่าที่ผมมี และมันยังใหม่เพราะตัวมันใหญ่ผมเลยไม่ใส่กะว่าจะให้ไอ้เอกมัน แต่ดันลืมทุกที จึงเป็นโชดีที่อีพี่เบิ้มไม่ต้องใส่เสื้อเอวลอย
และเสื้อตัวนี้มันก็พอดิบพอดีกับสารร่างของพี่เบิ้ม ใส่แล้วอย่างกะนายแบบโฆษณาน้ำมันเครื่อง!..แต่ถ้าผมใส่น่ะเหรอ หึ เด็กอู่ดีๆนี่เอง! โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรม..
“ผมนอนห้องไหนครับ”
“คุณนอนอีกห้องนึงละกันครับ พอดีห้องผมมันรก” มากระทันหันแบบนี้ใครจะไปเก็บห้องทันวะ
“ไม่เป็นไร ผมไม่ถือผมอยากนอนห้องคุณ” แล้วมึงจะถามเพื่อ?!
“โอเคครับ งั้นก็ตามสบายเดี๋ยวผมจะไปนอนอีกห้องนึงเอง” ถ้าไม่แคร์ความซกมกของห้องผม ก็ตามใจ
“ไม่ครับ! ผมอยากนอนห้องคุณกับคุณ”
“...!” อะไรของพี่เมิงงง จะนอนกับผมทำไมครับ ลูกค้าก็ไม่ใช่นอนก็นอนฟรี เรื่องมากจังวะ
“นะ ให้ผมนอนด้วยนะครับ ผมคิดถึงคุณผมอยากคุยกับคุณถึงเช้าเลย” มึงมันบ้า
“ผมง่วง”
“งั้นก็จนกว่าคุณจะหลับ” อย่าต่อรอง!
“เตียงมันแคบ เดี๋ยวนอนไม่สบาย”
“ผมนอนพื้นได้ ไม่มีปัญหา” เฮ้อ เอากับมึงสิ มึงมันบ้า มึน ซึน กูล่ะเกลียด..เกลียดตัวเองนี่แหละที่ไม่ยอมปฏิเสธ!
สุดท้ายอีพี่เบิ้มก็ได้นอนห้องเดียวกับผมสมใจ โดยปูฟูกนอนที่พื้น ฝันไปเหอะว่าผมจะยกเตียงให้ แค่ยอมให้นอนในห้องด้วยก็บุญโข
“ปิดไฟเลยนะครับ” พี่เบิ้มถามหลังจากที่ผมล้มตัวลงนอนบนเตียงเรียบร้อยแล้ว และแน่นอนว่ามึงต้องเป็นคนปิดเพราะอยู่ใกล้กับสวิทช์ไฟสุด
“ครับ”
“คุณผอมลงรึป่าวผมว่าจะทักตั้งแต่ที่สบามบิน” นี่ถือเป็นคำถามที่ดี
“น้ำหนักผมลดลงสองกิโล”
“ตรอมใจ คิดถึงผมเหรอ ”
“ผมเข้ายิมต่างหากล่ะ” สำคัญตัว!
“นึกว่าจะเหมือนผมซะอีก ผมก็น้ำหนักลดเหมือนกันกินอะไรไม่ค่อยลงเพราะมัวแต่คิดถึงคุณ”
“...” เวอร์วังตลอด
“ผมชอบรอยยิ้มที่คุณยิ้มให้ผมที่สนามบินแบบวันนี้จัง คุณยิ้มแบบนั้นให้ผมดูหน่อยได้มั้ยครับ”
“ฮะ บ้ารึป่าวคุณ ปิดไฟแล้วจะเห็นได้ไงล่ะ”
“งั้นผมเปิดไฟ”
“ไม่ต้อง! ผมไม่ยิ้ม!” จู่ๆจะให้ลุกขึ้นมายิ้มให้ บ้ารึป่าว ปวดหัวกับมึงจริงๆ
“ใจร้าย”
“นี่ผมถามหน่อย คุณไปเห็นรูปผมที่ไหน” เปลี่ยนเรื่องๆ ผมถามสิ่งที่รู้คำตอบอยู่แล้วแต่ก็อยากได้ยินจากปากพี่เบิ้ม
“จากฟาง พอลกดถูกใจ ผมก็เลยเห็น” ว่าแล้วเชียวต้องมาจากไอ้ฟาง
“รูปนั้นถ่ายตอนกลางคืนใช่มั้ย แล้วมีเพื่อนผมอีก3คน หนึ่งในนั้นคือฟาง กับซูซี่ใช่รึป่าว” ถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้งว่าเป็นรูปนั้นจริงๆ
“ใช่ครับ ในรูปตอนนั้นทุกคนดูเด็กกว่าตอนนี้” มึงหลอกด่าว่ากูแก่ใช่มะ
“น่าจะสี่ปีได้ รูปนั้นถ่ายตอนหลังเรียนจบ เป็นทริปฉลองเรียนจบกับกลุ่มเพื่อนสนิท”
“ผมอยากไปที่นั้นบ้างจัง”
“ต้องไปหน้าหนาวครับ ถึงจะได้บรรยากาศ”
“งั้นก็รอหน้าหนาวเน๊อะ” กูตกลงด้วยรึยัง?! ไอ้บ้านี่ก็ติต่างไปเอง เก่งแท้
“คุณผมง่วงแล้ว” จะให้คุยถึงเช้าไม่ไหวจริงๆ คือการมาของมึงทำให้กูเหนื่อยมากบอกเลย
“โอเคครับ งั้นผมไม่กวนแล้ว..Good Night”
“Good Night”
ผมกำลังฝัน...งูหลามเผือกตัวบิ๊กเบิ้มตัวหนึ่งมันกำลังค่อยๆเลื้อยรัดตัวผมที่นอนหลับจมลึกอยู่ในห้วงนิทรา
มันค่อยๆรัดตั้งแต่ปลายเท้าตวัดรัดแน่นขึ้นและเลื้อยรัดขึ้นมาเรื่อยๆจนถึงลำคอ ลมหายใจที่เข้าออกสม่ำเสมอเริ่มติดขัด
..หะ หาย หายใจไม่ออก!
เฮือก!! ผมสะดุ้งตื่นด้วยความกลัว เพราะความฝันนั้นมันเหมือนจริงมาก เหมือนว่าผมหายใจไม่ออกจริงๆ
เมื่อสติกลับมาผมก็รับรู้ถึงความรู้สึกหนักเหมือนมีอะไรบางอย่างพาดอยู่ที่ลำคอ เมื่อดวงตาคุ้นชินกับความมืดสลัวผมจึงยกเจ้าสิ่งที่มันอยู่บนคอผมขึ้นมาดู ท่อนแขน!! ของใคร?! ลุกขึ้นด้วยความไวแสงแล้วจ้องมองไปยังสัมผัสอุ่นๆที่อยู่ข้างๆ
ให้ตาย อีพี่เบิ้ม! มึงขึ้นมานอนกับกูได้ยังงายยยยยยยย
แถมยังจะฆ่ากูด้วยท่อนแขนของมึงอีกกกกกกก ไอ้ฆาตกร!
“คุณๆ” ผมเขย่าตัวพี่เบิ้มให้มันตื่น แต่ปลุกยังไงมันก็ไม่ยอมตื่น
“อือ” ทำเสียงรำคาญใส่กูอีก ทำไมขี้เซาได้ขนาดนี้วะ
“ก็ได้! กูยกเตียงให้” กูยอม
สุดท้ายผมต้องลงไปนอนฟูกแทนอีพี่เบิ้ม ฮึมมมม เจ็บใจนัก!
“ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ” ตีห้าครึ่ง เสียงนาฬิกาปลุกทำหน้าที่ของมันเหมือนเดิมเฉกเช่นทุกวัน ผมงัวเงียตื่นอย่างไม่เต็มตาเพราะรู้สึกว่ายังนอนไม่เต็มอิ่ม เพราะเหตุการณ์บ้าๆเมื่อกลางดึก นึกแล้วก็หงุดหงิดชะมัด
แต่แล้วความหงุดหงิดก็เพิ่มเป็นทวีคูณ เมื่อผมรู้สึกถึงสัมผัสอุ่นๆที่ต้นคอ รีบพลิกตัวกลับไปหาต้นตอของสัมผัสนั้น ถึงกับผงะ เมื่อสายตาปะทะเข้ากับใบหน้าที่หลับตาพริ้มของไอ้ฝรั่งตัวโต
อีพี่เบิ้ม!!!!! มึงอีกแล้ววว เป็นเจ้ากรรมนายเวรกูรึไง ตามติดชีวิตกูดีแท้
อุตส่าห์ยกเตียงให้มึงแล้วแท้ๆ มึงลงมานอนกับกูตอนไหน แล้วทำไมกูไม่รู้ตัว..
ใครก็ได้ส่งมันกลับที ฮืออออออ
TBC.
.........................................................................................
บทนี้สาระหามีไม่ มีแต่ความผีบ้าของคนสองคน เอิ๊ก
มาสั้นๆให้หายคิดถึง #พี่เบิ้มป้านด
บทที่8
OH BABY I LOVE YOU!!
“Good morning” พี่เบิ้มเดินยิ้มแป้นแล้นเข้ามาในร้านกาแฟ ผมจึงเอ่ยทักทายตามมารยาท
“Good morning baby” babyพ่อง?! กูไปเป็นที่รักของพี่มึงตอนไหน
“...” แล้วอีMorning kiss กูก็ไม่ชินสักทีสิน่า มือที่กำลังเช็ดโต๊ะอยู่ถึงกับชะงัก..ให้ตายสิ!
“ทานอาหารเช้ารึยังครับ”
“ยังครับ”
“ทำไมไม่ทานล่ะ ที่รัก”
“นี่คุณอย่าเรียกผมที่รักได้มั้ย”
“คุณไม่ชอบเหรอแต่ผมชอบนะ” ชอบกับผีน่ะสิ กูล่ะเกลียดรอยยิ้มแป้นแล้นของพี่มึงจริงๆ ขอซื้อต่อเหอะกูจะซื้อแล้วเอาไปปล่อยลงน้ำปิง!
“เขาเอาไว้ใช้เรียกคนรักไม่ใช่เหรอคุณ”
“ก็ใช่ไงครับ ก็ผมรักคุณ”
“...!!” มึงบอกรักกูง่ายดายขนาดนี้เลยเหรอ แล้วกูต้องทำไง โอ้ยยยย ไปไม่เป็นเลยกู..เมื่อคืนนอนไม่พอแน่ๆใจถึงได้สั่นแปลกๆ
“ที่รัก” ยังอีก
“นี่คุณ!”
“โอเคๆ ป้านด” ชื่อป้านดฟังแล้วเพราะหูก็ครั้งนี้แหละ เฮ้อออ
“ว่าไงครับ”
“ผมยกอาหารเช้ามาทานที่นี่ได้มั้ยครับ”
“ได้สิครับ” เช้าๆแบบนี้ห้องทานอาหารของเกสท์เฮ้าส์มักจะเต็มไปด้วยลูกค้าเพราะเราจะบริการอาหารเช้าถึงสิบโมงเช้า มาหลังสิบโมงก็อดครับเพราะหมด!
หลังจากนั้นไม่นานพี่เบิ้มก็ยกถาดที่ใส่อาหารเช้ามานั่งกินตรงชานด้านนอกของร้านกาแฟที่เอาไว้ไห้สำหรับลูกค้าที่อยากนั่งเอ้าท์ดอร์พร้อมกับโบกมือหย๋อยๆเรียกผมให้ไปหา ..อะไรของพี่มึงอีกวุ่นวายแต่เช้า
“มาทานด้วยกันครับ ผมตักมาเผื่อคุณด้วย” พี่เบิ้มยิ้มบอกอย่างใจดีก่อนจะยกชามข้าวต้มสองชามออกจากถาดแล้วก็เลื่อนเก้าอี้ให้ผมนั่งเสร็จสรรพ ทำขนาดนี้ใครจะกล้าปฏิเสธผมจึงนั่งลงอย่างว่าง่าย
“ขอบคุณครับ ความจริงแล้วคุณไม่ต้องตักมาให้ผมก็ได้เดี๋ยวผมไปทานเอง”
“อย่าพูดแบบนี้สิที่รัก ผมอยากทานกับคุณนะครับ”
“...” ได้แต่ทำตาเหลือกกับคำว่าที่รัก กูจะอ้วกก็เสียดายข้าวต้ม!
“ขนมปังมั้ยคุณ” แล้วพี่แกก็ยื่นขนมปังปิ้งที่ทาแยมส้มมาให้กับผม ผมจึงรับไว้เพราะกลัวพี่แกจะเสียน้ำใจหรอกนะ
“ผมมีแยมกุหลาบ คุณอยากได้มั้ยเดี๋ยวผมไปหยิบให้”
“ไม่ล่ะครับขอบคุณ แค่นี้ก็พอแล้ว” มึงจะทำผมทัดหูแก้เขินเพื่อ?
“เอ่อ..เศษขนมปังติดผมคุณน่ะครับ” ผมบอกพร้อมกับชี้ไปที่กลุ่มเส้นผมสีน้ำตาลสวยที่มีเศษขนมปังเกาะอยู่
“ออกยังครับ”
“ยังครับ ซ้ายหน่อย” เมื่อเห็นว่ามันยังไม่ยอมหลุดผมจึงจำใจต้องปัดเศษขนมปังนั้นออกให้
จังหวะที่เอื้อมมือที่เบิ้มก็ยิ้มกว้างพร้อมกับจ้องเข้ามานัยน์ตาผมนิ่ง แววตานั้นไม่มีแววสั่นไหวแต่มันเปิดเผยความในใจออกมาตรงๆให้ผมรับรู้ได้อย่างน่าประหลาด แล้วผมก็ใจเต้นรัวกับนัยน์ตาสีเทาคู่นั้นอีกครั้ง..
“อะ ออกแล้วครับ” ทั้งใจสั่นปากสั่นเลยกู
“ขอบคุณที่รัก”
..ให้ตายเหอะน่า! เมื่อไหร่จะเลิกเรียกแบบนี้สักที
“ผมอิ่มแล้วขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ” ทนนั่งต่อไม่ไหว รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองยังไงก็ไม่รู้
“เดี๋ยวครับ วันนี้ผมจะเข้ายิมตอนบ่าย คุณจะไปพร้อมผมมั้ย”
“ตามสบายเลยครับ ว่าแต่ทำไมวันนี้คุณรีบไปล่ะ”
“ตอนเย็นผมมีประชุมกับสาขาใหญ่ที่ลอนดอน ส่วนตอนสิบโมงเช้าก็มีประชุมกับสาขาที่กรุงเทพ”
“ประชุม?”
“ครับ ประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์” ช่างสะดวกสบายดีแท้ บริษัทพี่มึงนี่ก็ชิลดีเนาะ
“ครับ”
“เออจริงด้วย! ผมมีอะไรจะอวดคุณด้วยล่ะ” ร้องซะตกอกตกใจ อะไรจะตื่นเต้นปานนั้น
“อะไรครับ”
จากนั้นพี่เบิ้มก็หยิบกระดาษแผ่นเล็กที่ผับครึ่งออกจากกระเป๋าตัง แล้วยื่นให้กับผม
ลอตเตอลี่!! โอ้วววแม่เจ้า นี่พี่มึงแอดวานซ์ถึงขั้นซื้อหวยแล้วเรอะ!
“คุณซื้อมันได้ยังไง?”
“เมื่อวานผมไปถ่ายรูปวัดแถวๆนี้มา แล้วมีคุณลุงคนนึงเขาห้อยอะไรสักอย่างคล้ายกระเป๋าพอเดินผ่านผมเขาก็เปิดกระเป๋านั่น แล้วข้างในก็มีกระดาษที่มีตัวเลขเรียงกันเต็มไปหมด มันน่าทึ่งมาก ผมก็เลยช่วยแกซื้อ” เหอะ แล้วมึงสื่อสารกันยังไงวะ?
“แล้วคุณรู้มั้ยว่ามันคืออะไร”
“ครับ ผมพอจะรู้มันคือล็อตเตอร์ลี่ของไทยใช่มั้ยครับ”
“ใช่ครับ ถ้าถูกรางวัลพาผมไปเลี้ยงด้วยล่ะ” นี่พูดจริงไม่ได้พูดเล่นนะ มันเป็นธรรมเนียมป่ะถูกหวยก็ต้องเลี้ยงเพื่อนถ้าไม่อยากเลี้ยงเวลาถูกหวยก็ต้องปิดปากให้มิด!
“แน่นอน ว่าแต่กระเป๋าใส่ล็อตเตอร์เจ๋งดีนะ ผมชอบ ผมขอถ่ายรูปมาด้วยแหละ” แล้วพี่แกก็โชว์รูปเซลฟี่กับกระเป๋าใส่ล็อตเตอรี่
..เฮ้อ ความฝรั่งเขาล่ะ
“แล้วคุณซื้อมากี่ใบ”
“สิบใบครับ ผมไม่รู้จะซื้อเลขอะไรแต่ผมนับหนึ่งถึงสิบได้ ก็เลยนับให้ลุงฟัง” เหอะ ประสาทจะแดก นับหนึ่งถึงสิบให้ลุงขายหวยฟัง ลุงแกเลยจัด01-10ให้อย่างละใบ ถ้าพี่มึงนับหนึ่งถึงร้อยได้คงได้ซื้อยกแผง
..รวยเละล่ะงานนี้?!
บ่ายสามพี่เบิ้มโผล่หน้ามาให้เห็นอีกครั้ง แล้วคำว่า ‘ที่รัก’ ก็ตามมาหลอกหลอนไม่เลิก
“คุณไม่ไปกับผมแน่นะที่รัก”
“คุณไปก่อนเลยครับ ผมยังต้องทำงาน” ขอแยกไปเองบ้างเหอะ ไปด้วยกันทีไรอีเทรนเนอร์ส่วนตัวก็เทรนแบบถึงเนื้อถึงตัวตลอด เป็นแบบนี้บ่อยๆมันไม่ดี..ไม่ดีต่อใจ
“โอเคที่รัก งั้นตอนเย็นเจอกัน” กูไม่อยากเจอมึงสักนิด
วันนี้พี่เบิ้มมันไม่ขับมอไซค์แฮะ เลือกเดินชมนกชมไม้ไปตามทางแทน เพราะยิมของโจเซฟผัวของอีซูซี่อยู่ไม่ไกลจากเกสท์เฮ้าส์ของผมนักเดินไปได้สบาย..เหนื่อยกำลังดี!
แดดจ้าในตอนบ่ายโดยเฉพาะหน้าฝนแบบนี้มักเป็นสัญญาณว่าตอนเย็นมึงเจอกับฝนแน่นอน และก็เป็นอย่างที่คิดห้าโมงเย็นฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างหนักหน่วง แล้วใจก็ดันไปนึกถึงพี่เบิ้มมันมีประชุมตอนเย็นนี่หว่า ไอ้เย็นของมันนี่กี่โมงวะ ฝนตกหนักขนาดนี้แล้วพี่มันจะกลับยังไงวะ..แล้วทำไมกูต้องกังวลด้วยเนี่ย!
“พี่ณตเป็นไรค่ะ เดินไปเดินมาไม่หยุด”
“อ่อ ออกกำลังกายไง”
“ไม่ไปยิมเหรอพี่วันนี้”
“ไม่อ่ะ วันนี้ขอพักกล้ามเนื้อสักหน่อย” พูดให้ดูดีไปงั้นแหละ ความจริงคือขี้เกียจ
“อ่อค่ะ ว่าแต่พี่ณตจะโทรหาใครเห็นกดวางๆ ให้บีโทรให้มั้ย” ไอ้เด็กนี่ก็ตาดีจริงๆ
“ฝนตกไงจะโทรก็กลัวฟ้าผ่า”
“โทรเหอะพี่ฟ้าไม่ผ่าหรอก บีว่าเจเรมี่คงติดฝนกลับไม่ได้แน่ๆ”
“...” ได้แต่อ้าปากหวอ บีแกเป็นญาติริว จิตสัมผัสเรอะ!
“ม่ะ เดี๋ยวบีโทรให้” ว่าแล้วบีก็คว้ามือถือในมือผมแล้วกดโทรหาพี่เบิ้มหน้าตาเฉย ทำไมพนักงานของผมถึงได้เสร่อไม่เกรงใจผมได้ขนาดนี้
“โทรไม่ติดอ่ะพี่ เดี๋ยวลองโทรใหม่”
“พอแล้วๆ ไม่ต้องโทร” ผมรีบคว้ามือถือคืนทันที
“ได้ยินเจเรมี่คุยกับพี่ณตว่าตอนเย็นมีประชุมแต่ยิมอยู่ใกล้ๆแค่นี้เอง วิ่งกลับก็แค่เปียก ซวยหน่อยก็แค่เป็นหวัดเนอะพี่” นี่กำลังเล่นเกมส์จิตวิทยาอยู่เรอะ
“เออๆๆ จะไปรับเดี๋ยวนี้แหละ” กูแพ้! กูยอม!
จากนั้นก็คว้ากุญแจรถแล้วตรงดิ่งไปที่เจ้ากระป๋องของผมทันที ขับรถประมาณห้านาทีก็มาถึง โจเซฟยิม
กำลังชะลอจอดรถ เป็นจังหวะเดียวกับที่พี่เบิ้มกำชับหมวกที่สวมอยู่ให้แน่นและกำลังจะเตรียมตัวออกวิ่ง ผมจึงรีบบีบแตรรถเรียกพี่แกทันที เมื่อเห็นว่าเป็นผมพี่แกก็ยิ้มหน้าบานแล้วรีบวิ่งมาขึ้นรถทันที
“คุณมารับผมเหรอครับ คุณเป็นห่วงผมใช่มั้ยที่รัก ดีใจจัง” เมื่อปิดประตูรถพี่เบิ้มก็หันมาพูดกับผมด้วยสายตาที่เป็นประกาย
อะไรนะ! เป็นห่วงงั้นเหรอ ไม่จริงอ่ะ
“ป่าว ผมก็มาออกกำลังกาตามปกติไงคุณ” ใครจะยอมรับตรงๆล่ะว่าผมมารับ
“อ้าว งั้นเดี๋ยวผมเดินกลับเองก็ได้ครับ” เหอะ ถ้าพี่มึงเป็นหมาตอนนี้คงหูตก หางตก
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมไปส่งคุณแล้วค่อยกลับมาใหม่อีกทีก็ได้”
ระหว่างทางกลับถึงแม้จะใช้เวลาไม่กี่นาทีแต่พี่เบิ้มก็ปิดปากเงียบมาตลอดทาง แถมยังเล่นเอ็มวีทำหน้าเศร้าเหม่อมองสายฝนนอกหน้าต่าง..คิดว่ากูสนเหรอ ฝันไปเหอะ!
ผมลงจากรถแต่อีพี่เบิ้มก็ยังนั่งเหม่อไม่ยอมขยับ จนผมต้องเคาะหน้าต่างรถเรียกสติของพี่แกให้กลับมา
“ถึงแล้วคุณ” พี่เบิ้มสะดุ้งน้อยๆ ก่อนจะลงจากรถแล้วถามผมอย่างสงสัย
“คุณไม่ไปยิมแล้วเหรอครับ”
“วันนี้ผมตั้งใจไม่ไปอยู่.....” ฉิบหาย! เผลอพูดจนได้
“เมื่อกี้คุณว่าไงนะครับ”
“เอ่อ ผมไม่ไปแล้วจู่ๆก็ปวดท้อง”
“ที่รักคุณตั้งใจไปรับผม” แล้วอีหน้าหมาหง๋อยก็แปรเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างทันที หมั่นไส้นัก
“เอ่อ ผมขอตัว” อยู่ทำไมให้โง่ ต้องรีบชิ่งด่วน
“ที่รักจะไปไหน” อย่าสนใจกูนักได้มั้ย เสือกจริง
“ไปขี้!” แมร่ง! กูเกลียดรอยยิ้มของมึงที่สุดมันทำให้ใจกูแกว่ง ยอมรับก็ได้ว่ากูตั้งใจไปรับมึง กูกลัวมึงเปียกไง กลัวมึงกลับมาประชุมไม่ทันไง กลัวมึงเป็นหวัดไง แมร่ง!!!
“ที่รักขอบคุณนะที่คุณเป็นห่วงผม” NO!!!
“....” รีบจ้ำอ้าวอย่างไว ไม่สน แล้วก็อย่าหันไปมอง แต่ถึงไม่มองก็รู้ว่าไอ้ใบหน้าเท่ๆนั่นกำลังยิ้มปากแทบฉีกไปถึงรูหูแน่ๆ
สาธุ กูขอให้มึงปากฉีกกกกก
“ที่รักคุณไปผิดทางที่ร้านกาแฟคุณไม่มีห้องน้ำ” บ้าเอ้ย รีบหมุนตัวกลับไปทางเข้าบ้านแทบไม่ทัน
ฮือออ กูเกลียดเสียงหัวเราะของมึงงงงง
อีพี่เบิ้มมึงมันร้าย มึงทำร้ายหัวใจดวงน้อยๆของกูให้ทำงานหนัก กูขอ..ขอให้ปากมึงฉีก ฮือออออ
สี่ทุ่ม ตรวจตราความเรียบร้อยที่เกสท์เฮ้าส์เสร็จก็ได้เวลาพักผ่อนของผมสักที จังหวะที่กำลังจะเดินกลับบ้านก็เห็นพี่เบิ้มเดินลงบันไดด้วยท่าทางเบลอๆ แถมยังหัวฟูอีกต่างหาก
“ที่รัก” น่าตบปากเป็นที่สุด
“ประชุมเสร็จแล้วเหรอคุณ”
“ครับ คุณทานข้าวเย็นรึยัง”
“ทานแล้วครับ” สี่ทุ่มแล้วถ้ายังไม่ได้แดกข้าวไส้คงขาดพอดี
“งั้นผมไปหาอะไรทานก่อนนะ” ยังไม่ได้แดกข้าวอีกเรอะ สงสัยการประชุมคงหักหน่วงน่าดู
“เอ่อ เจเรมี่ ผมมีแกงเขียวหวาน คุณจะทานมั้ย” ดึกแล้วร้านข้าวใกล้ๆแถวนี้ก็คงปิดแล้ว แถมฝนยังตั้งเค้าทำท่าจะตกลงมาอีกหน เขาเป็นลูกค้าแถมยังพ่วงตำแหน่งเพื่อน และเป็นหัวหน้าเพื่อนเรา เราก็ต้องเป็นห่วงเป็นใยเป็นธรรมดา ใช่มั้ยล่ะ
..ใช้แล้วที่เป็นห่วงก็เพราะเขาเป็นเพื่อนเรานี่เอง ใช่ๆๆ
“ดีเลยครับ ตอนนี้ผมหิวมากๆเลย” พี่เบิ้มพูดพร้อมกับลูบท้องตัวเองแถมยังซบลงมาที่ไหล่ของผมอย่างหมดแรง
“งั้นก็ตามมาครับ” ให้ตาย ชอบมาทำให้ใจเต้นแปลกๆทุกทีสิน่า
แกงเขียวหวานไก่ถูกอุ่นแล้วยกมาเสิร์ฟให้กับฝรั่งตัวโตที่ตอนนี้กำลังหิวโซ
“อืมม หอมจัง ผมชอบแกงเคี้ยวหว่าน” สาบานว่านั้นชื่ออาหาร!
“แกง เขียว หวาน”
“แกง เคี้ยว หวาน” เฮ้อ เอาเหอะ
“เอาไข่เจียวเพิ่มมั้ยคุณ” แกงเขียวหวานอย่างเดียวก็กลัวพี่แกไม่อิ่ม
“ไค่เจียวว?”
“ออมเล็ทแบบไทยน่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ แค่มีแกงเคี้ยวหวาน กับคุณก็เพียงพอแล้ว”
“...” เออพอ กูเหนื่อย เหนื่อยกับรอยยิ้มของมึงนี่แหละจะขยันยิ้มไปถึงไหน
“เอ่อใช่ ผมได้คอนโดแล้วนะ พรุ่งนี้ไปดูกันนะครับ”
“เอ่อ...” ปฏิเสธยังไงดีหว่า
“ผมไม่ชินทาง ไปกับผมนะครับ พลีสสส”
“โอเคๆ” มึงไม่ชินทางแต่กูไม่ชินกับความอ้อนของมึง!
“แกงเคี้ยวหวานอร่อย ขอบคุณนะครับ ผมอิ่มแล้วเดี๋ยวล้างจานให้นะครับ” ไม่ถึงห้านาทีอีพี่เบิ้มก็ซัดแกงเคี้ยวหวาน เอ้ย แกงเขียวหวานซะหมดเกลี้ยง
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง”
“ขอบคุณมากครับ ถ้างั้นผมไม่รบกวนคุณแล้ว” ดี รู้งาน
“ครับ”
“กู๊ดไนท์ที่รัก” ไม่ทันตั้งตัวอีพี่เบิ้มโน้มหน้าลงมาจูบที่ปากผมอย่างรวดเร็ว เมื่อผละออกก็ฉีกยิ้มกว้างดวงตาเป็นประกายจากนั้นก็เดินผิวปากกลับห้องตัวเองอย่างอารมณ์ดี เล่นเอาซะผมทำอะไรไม่ถูกได้แต่ยืนนิ่งเหมือนถูกเหน็บกินไปทั้งตัว แต่สัมผัสอุ่นที่ริมฝีปากนั้นยังอยู่รวมถึงใจที่อุ่นมันอุ่นจนร้อนแทบระเบิด
..และไอ้รสจูบบ้านี่มันเป็นรส แกงเคี้ยวววหวานนน!! อีพี่เบิ้ม มึงงงงงง
เพนท์เฮาส์ชั้นบนสุดของคอนโดใจกลางเมือง เป็นคอนโดเก่าไม่ใช่คอนโดสร้างใหม่แต่อย่างใด แต่อายุของคอนโดยังไม่มากถือว่าใช้ได้และมีความหรูหราและทันสมัย
เพนท์เฮ้าส์ใจกลางเมืองแบบนี้ราคามันต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ มีเงินอย่างเดียวซื้อไม่ได้นะเนี่ย..ต้องโง่ด้วย แต่ที่โง่ไปกว่านั้นก็เหตุผลที่พี่เบิ้มเลือกคอนโดแห่งนี้ก็เพราะมันใกล้กับบ้านผมมากที่สุด..งี่เง่าสิ้นดี!
นึกแล้วก็เสียดายเงิน เงินที่พี่มึงต้องจ่ายให้กับเพนท์เฮาส์สุดหรูบ้านี่ คงซื้อที่ดินแถวชานเมืองได้หลายสิบไร่!
“เป็นไงครับ คุณชอบมั้ย”
“ผมว่ามันใหญ่ไปสำหรับการอยู่คนเดียวนะครับ” อยู่คนเดียวแถมไม่ได้อยู่ตลอดแบบนี้ แม่งโคตรสิ้นเปลือง
“สองคนต่างหากครับ” อยู่กับใครหว่า?
“ก็ยังใหญ่ไปสำหรับสองคนอยู่ดี ผมว่าห้องชุดสองห้องนอนกำลังพอดี”
“อืมม ถ้างั้นผมซื้อห้องชุดอีกห้องหนึ่งดีมั้ย”
“เพื่อ?”
“ก็คุณชอบห้องชุดนี่”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผม” พี่มึงบ้าป่ะเนี่ย
“ก็คุณไม่ชอบห้องนี่”
“แล้ว?”
“โอเค เอาเป็นว่าผมจะซื้อห้องชุดแบบที่คุณชอบ” มึงมันบ้า
“นี่คุณมีเหตุผลหน่อย ผมรู้ว่าคุณรวยและคงรวยขนาดซื้อดอนโดแห่งนี้ได้ทุกห้อง แต่ได้โปรดอย่าเล่นกับเงินแบบนี้ ยิ่งคุณทำแบบนี้มันยิ่งทำให้ผมคิดว่าโลกนี้มันช่างไม่ยุติธรรมนึกถึงคนที่เขาไม่มีอันจะกินหน่อยสิคุณ” เข้าใจอยู่ว่าเป็นเงินที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของพี่แกแต่มันก็อดโมโหกับการใช้เงินอย่างไม่เห็นค่าแบบนี้ไม่ได้นี่หว่า..ใครเป็นคนงกแบบผมจะเข้าใจในสิ่งที่ผมกำลังโมโห
“ที่รักผมขอโทษ” พี่เบิ้มถึงกับหน้าถอดสี นี่เป็นครั้งแรกที่ผมขึ้นเสียง ซึ่งที่จริงแล้วผมก็ไม่มีสิทธิ์เลยสักนิด
“เอ่อ ผมขอโทษที่เสียงดัง”
“ผมขอโทษ ที่จริงแล้วผมเป็นคนมีเหตุผลในการใช้เงินนะ แต่ครั้งนี้ผมแค่อยากตามใจคุณ” และนี่เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ผมไม่เข้าใจ ตามใจกูเพื่อ คอนโดมึงไม่ใช่คอนโดกู
“ผมไม่เข้าใจ”
“ผมอยากให้มันเป็นที่ของเรา ผมหวังว่าสักวันที่นี่จะเป็นบ้านหลังที่สองของเรา” พี่เบิ้มก้มหน้าพูดเสียงอ่อย นี่เป็นครั้งแรกที่พี่เบิ้มไม่กล้าสบตาผม
“...” กูก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี?!
“ที่รัก..ผมจริงจังกับคุณจริงๆนะครับ” พี่เบิ้มเงยหน้าขึ้นสบตาผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่แววตาสีเทาคู่นั้นช่างเว้าวอนและมันทำให้หัวใจของผมสับสนอย่างน่าประหลาด..
“เอาเป็นว่าคุณซื้อที่นี่ไปแล้วก็ควรจะอยู่ที่นี่ แต่ถ้าอยากได้ห้องอื่นก็ควรจะขายที่นี่ให้ได้ซะก่อน แล้วอย่าเอาความเห็นของผมไปเป็นตัวตัดสิน โอเค๊?” รู้แล้วล่ะว่ามึงจริงจัง จริงจังมากด้วย แมร่งเงินตั้งหลายสิบล้าน!
“โอเค ถ้างั้นผมก็เลือกที่นี่”
“ดีครับ”
“แต่ผมอยากรีโนเวท”
“แบบเดิมมันก็ดีอยู่แล้วนี่คุณ ทุกอย่างก็ยังดูใหม่”
“ใจเย็นที่รัก ผมแค่จะรีโนเวทบางส่วนไม่ใช่ทั้งหมด ผมไม่ชอบสีทองและมันไม่ใช่สไตล์ที่ผมชอบ มันดูเหมือนอียิปต์โบราณยังไงก็ไม่รู้” เมื่อพี่เบิ้มเห็นผมเริ่มชักสีหน้าก็รีบอธิบาย
ก็จริงอย่างที่พี่มึงว่าเพนท์เฮ้าส์แห่งนี้ตกแต่งสไตล์คลาสสิค ซึ่งเน้นความหรูหรามากกว่าพื้นที่ใช้สอย การตกแต่งก็เน้นโทนสีทองเป็นหลัก แนวนี้น่าจะเหมาะกับผู้บริหารอาวุโสมากกว่าบอสหนุ่มสุดเซอร์ที่ไม่มีเค้าของความเป็นผู้บริหารอยู่แม้แต่น้อยอย่างพี่เบิ้มจริงๆนั้นแหละ
“แล้วคุณอยากได้แนวไหน”
“แล้วแต่คุณแต่ไม่เอาแบบนี้” แล้วแต่กูอีกแล้ว
“นี่คุณ!”
“งั้นเอาแบบนี้ ซู่ซี่บอกผมว่าคุณเป็นสถาปนิกฟรีแลนซ์ คุณสนใจรับงานตกแต่งภายในให้ผมมั้ย”
“ผมไม่ว่าง ผมแนะนำให้ปรึกษาบริษัทของดอย”
“ไม่! ผมอยากให้คุณเป็นคนทำ” แม่ง งี่เง่าได้โล่
“ช่วงนี้ผมไม่ค่อยว่างจริงๆครับ” จริงๆอ่ะว่าง ทำได้สบาย ยิ่งงานแบบนี้ผมถนัดนัก
“ถึงผมจ้างบริษัทดอย ผมก็จะเลือกให้คุณมาเป็นสถาปนิกเพราะผมรู้ว่าคุณรับงานมาจากบริษัทของดอย” ฉลาดนัก!
“ใช่ครับ ผมรับก็ต่อเมื่อผมว่าง” เอาซี่ กูไม่ยอมซะอย่าง
“โอเค งั้นผมจะขายที่นี่ ทุกอย่างเป็นอันยกเลิก” พี่เบิ้มกอดอกพูดด้วยที่ใบหน้าที่งอง้ำ ตอนเด็กๆมึงต้องเอาแต่ใจตัวเองโคตรๆแน่
“โอเค งั้นก็กลับกันครับ” เรื่องของพี่มึงสิใครสน!
ผมเดินไปที่ประตูแต่ฝรั่งโข่งยังคงหน้าบึ้งยืนกอดอกนิ่งไม่ยอมขยับไปไหน ..ให้ตายให้มันได้แบบนี้สิ กูอยากให้ลูกน้องของมึงมาเห็นมุมนี้ของมึงจังเล้ยยย.. นี่นะหรือผู้บริหารหนุ่มน่าเกรงขาม เด็กห้าขวบชัดๆ!
“โอเคๆ ผมตกลงรับงานนี้ครับ” กูจะคิดค่าแรงจนมึงหมดตัวเลยคอยดู
“ขอบคุณที่รัก คุณน่ารักที่สุด” หึ แต่มึงน่าถีบที่สุด! แต่จะถีบก็กลัวจะโดนสวน สันแข่งแม่งคนละไซส์ โดนถีบทีนึงคงสลบไปสามชาติ!
กลับมาถึงเกสท์เฮาส์ ก็เจอกับเรื่องปวดหัวอีกครั้งเมื่อมีแขกไม่ได้รับเชิญที่ส่งตรงมาจากสิงคโปร์นั่งหน้าสลอนอยู่ในร้านกาแฟ..พี่เบิ้มคนเดียวกูก็ปวดกบาลแทบแย่เพิ่มอีซูซี่เข้าไปอีกคนมีหวังได้แดกพาราทั้งแผงแน่ๆเลยกู
“Hi Jeremy” อีตุ๊ดหัวโปกเดินนวยนาดเข้ามาสวมกอดพี่เบิ้มเป็นคนแรก กูเพื่อนมึงแท้ๆกับไม่เห็นหัว
“HI Joseph” เมื่อมันไม่เห็นหัวผม ผมจึงหันไปทักทายฝรั่งกล้ามปูที่ตามติดมันมาด้วยซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเจ้าของ โจเซฟยิม ผัวของอีซูซี่นั่นเอง
โจเซฟเป็นคนสิงคโปร์ก็จริงแต่หน้าตาไม่มีเค้าโครงของความเป็นเอเชี่ยนเลยแม้แต่น้อย เพราะพี่แกเป็นลูกเสี้ยว สิงคโปร์ ฝรั่งเศส แคนดา บราซิล แม่งรวมเชื้อชาติสี่ทวีปไว้ในคนคนเดียว เห่อะ..เป็นไงล่ะผัวของไอ้ชาติมันไม่ธรรมดา
ผมและโจเชฟเราทักทายกันเล็กน้อยก่อนที่อีซูซี่จะแนะนำให้พี่เบิ้มรู้จักกับผัวของมัน หึ มึงก็ยังไม่เห็นหัวกูสินะ
จากนั้นฝรั่งผู้เสพติดในการออกกำลังทั้งสองคนก็นั่งคุยกันอย่างออกรสออกชาติ บทสนทนาก็หนีไม่พ้นเรื่องออกกำลังกาย อีซูซี่จึงถูกตัดออกจากวงสนทนามันถึงได้หันมาทักผม
“ไงมึง สบายดีนะ”
“สบายดี แต่พอเจอหน้ามึงเริ่มจะคั่นเนื้อคั่นตัว”
“ค่ะ ไปเดทมาเหรอกูนั่งรอตั้งนาน”
“เดทพ่อง”
“ปากคอเราะร้าย คุณบอสไม่น่าหลวมตัวชอบมึงเล้ย” ใครขอให้มาชอบกูกันล่ะ
“ครั้งนี้กลับมากี่วัน”
“ฉันอยู่ยาวยังไม่มีกำหนดกลับ แต่มายสวีทฮาร์ทอยู่เดือนหนึ่ง” มายสวีทฮาร์ท! เอิ่มม มองบนแปป
“ทะเลาะกันอีกแล้วเหรอ ถึงได้อยู่ยาว”
“ป่าวค่ะ ช่วงนี้มายสวีทฮาร์ททำตัวน่ารักมากกก แต่ที่มาอยู่ยาวเพราะจะมารีโนเวทออฟฟิตให้เป็นห้องนอนด้วยน่ะ ไม่อยากพักที่บ้านแกก็รู้ว่าบ้านฉันมันไกล”
“ดีแล้ว เวลาหนีผัวมาจะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายกับกู”
“อิดอกใจร้าย แต่เรื่องของกูเอาไว้ก่อนเหอะ คุยเรื่องของอิดอยดีกว่า” หน้ามึงเต็มอัตราเสือกมากอีซูซี่
“กูว่ามันแม่งชอบซันนี่ มึงต้องเจอตอนมันอยู่ด้วยกันแล้วมึงจะรับรู้ได้”
“นัดเจอสิคะรอไร” ว่าแล้วอีซูซี่ก็ต่อสายหาไอ้ดอยทันที เรื่องเสือกนี่ไวนัก
เป็นอันตกลงว่าพรุ่งนี้ตอนเย็นมีนัดรวมตัวกันที่บ้านของผม ส่วนอีพี่เบิ้มก็เห็นดีเห็นงามด้วยที่จะได้เริ่มแผนการอย่างเป็นทางการ กูจะรอดูว่าจะรุ่งหรือจะร่วง
คิดแล้วก็เหมือนการรวมตัวของสหประชาชาติช่างหลายเชื้อชาติซะเหลือเกิน ...สนุกล่ะงานนี้!!
TBC.
………………………………………………..................
หายไปนานเพราะความป่วย ขอบคุณที่ยังไม่ลืมพี่เบิ้มป้านดกันนะคะ^^
บทที่9
เอ๊ะ! หรือว่าจะหวั่นไหว?
วันนี้เรามีนัดรวมตัวกันตามคำเชิญชวนของอีซูซี่และสถานที่ก็คือบ้านผมเอง..
ทุกคนกำลังช่วยกันเตรียมอาหารอยู่ในครัวสำหรับดินเนอร์ในคืนนี้ เมื่อที่ร้านไม่มีลูกค้าผมจึงแอบย่องมาดูว่าสถานการณ์เป็นยังไงบ้าง ดูเหมือนว่าตอนนี้ในครัวกำลังวุ่นวาย นี่พวกมึงทำกับข้าวหรือกำลังทำสงคราม สภาพห้องครัวตอนนี้บอกได้คำเดียวว่า เละ!
“ที่รัก ลองชิมจานนี้ดูครับ” เมื่ออีพี่เบิ้มเห็นผมโผล่หน้าเข้ามาในบ้านก็รีบรั้งผมให้ไปชิมอะไรสักอย่างที่อยู่ในจาน สภาพมันดูเหมือนหมูสับผัดแห้งๆกับอะไรสักอย่าง หน้าตาดูไม่น่าแดกเท่าไหร่ชิมแล้วขี้แตกป่าววะ?!
“มันคืออะไรครับ”
“มันคือไส้สำหรับทาโก้” ไส้ทาโก้! พี่มึงแน่ใจนะว่าใช่
“ผมทานเองครับ” ผมปฏิเสธช้อนที่จ่ออยู่ที่ปากที่ถือโดยฝรั่งตัวโตที่กำลังยิ้มแป้นแล้นอย่างน่าเตะตัดขามาก
“อ้ามมม” ดื้อด้านสิ้นดี ผมเลยจำใจอ้าปากรับแต่โดยดี
“อร่อยมั้ย?” หน้าตาพี่มึงนี่ลุ้นยิ่งกว่าลุ้นหวย
“ก็อร่อยดีครับ” มันก็ผงทาโก้สำเร็จรูปป่ะวะ ผมเหลือบไปเห็นซองผงทาโก้สำเร็จรูปที่วางอยู่ข้างเตา
โธ่ ก็นึกว่าจะมีฝีมือ
“มึงชิมนี่ด้วย แซ่บสุด” อีซูซี่แทรกกลางเข้ามาระหว่างผมกับพี่เบิ้มพร้อมกับยื่นจานยำอะไรสักอย่างมาตรงหน้าผม กลิ่นแม่งเปรี้ยวสัด!
“อะไรวะ”
“ยำมะนาว”
“ยำมะนาว! ยำมีเป็นร้อยแปดอีซูซี่”
“ก็กูอยากกิน สงสัยจะแพ้ท้อง”
“เหอะ มึงหามดลูกให้ได้ก่อน”
“ท้องนอกมดลูกได้ย่ะ” มโนเก่ง!
“ท้องขี้น่ะสิ! มึงไม่มีรังไข่มีแต่พวงไข่หรรม หยุดมโนไอ้ชาติ”
“ตบปาก หยาบคายมาก แล้วหยุดเรียกชื่อนี้สักที ได้ยินทีไรกูฝันร้ายทุกที” เหอะ เดี๋ยวกูจะตามไปกระทืบมึงในฝัน มึงได้ฝันร้ายแน่ๆ
“ว่าแต่ไอ้ดอยมึงทำอะไร” แต่ละคนก็ทำคนละเมนูประหนึ่งแข่งกันทำ
“ซันนี่ทำสปาเก็ตตี้มีทบอลกูเป็นแค่ลูกมือ พี่ทำแบบนี้ถูกมั้ยครับ” แล้วมันยื่นไก่บดที่ปั้นเป็นก้อนหันไปถามซันนี่ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ..ชอบล่ะสิ
“ก้อนใหญ่ไปนิดหนึ่งครับ แต่แบบนี้ก็ได้เต็มปากเต็มคำดี” ซันนี่ก็ใบหน้าเปื้อนยิ้มไม่ต่างกัน
“เนอะ เวลาที่ซันนี่เคี้ยวแก้มคงตุ่ยน่ารักดี”
หืมมมมม....บรรยากาศที่ฟุ้งไปด้วยดอกไม้กลับมาอีกแล้วววว
ส่วนอีซู่ซี่ก็ใช้ตีนสะกิดผมยิกๆ ถ้ามึงจะสะกิดกูขนาดนี้มึงถีบกูเหอะ อีตุ๊ดสันถึก!
เมื่อถึงเวลาร้านปิดก็ได้เวลาที่อาหารพร้อมขึ้นโต๊ะรับประทาน..
ทาโก้ของพี่เบิ้มมพอมันประกอบเป็นรูปเป็นร่างก็ดูน่าทานขึ้นมาทันที ส่วนเมนูของโจเซฟวัตถุดิบหลักคืออกไก่ตามสไตล์สายคลีนเขาล่ะ สลัดอกไก่ อกไก่ย่างซีอิ้ว อกไก่ผัดหน่อไม้ฝรั่ง รวมถึงมีทบอลของซันนี่และทาโก้ของพี่เบิ้มก็ทำมาจากเนื้ออกไก่ตามรีเควสของโจเซฟ หึ จบมื้อนี้คงได้เป็นเก๊ากันถ้วนหน้า!
มีแค่ยำมะนาวของอีซูซี่เท่านั้นแหละที่ปราศจากเนื้ออกไก่ แต่กินแล้วคงขี้แตกไปสามวัน!
เมื่อเริ่มดินเนอร์พี่เบิ้มก็ใส่ใจซันนี่เป็นพิเศษ คอยตักอาหารให้อย่างเอาใจ และชวนคุยอย่างสนุกสนาน ส่วนไอ้ดอยได้แต่ทำหน้าตึง แล้วใช้จังหวะที่พี่เบิ้มลุกเข้าไปในครัวเข้ามานั่งแทนที่ของพี่เบิ้มที่นั่งข้างซันนี่
“ผมขอนั่งตรงนี้นะครับ ผมหนาวแอร์ลงตรงฝั่งนั้นพอดี” มึงเนี่ยน่ะหนาว ได้ข่าวว่ามึงขี้ร้อน
“เชิญครับ” พี่เบิ้มตอบอย่างว่าง่ายก่อนจะหันมาขยิบตาให้ผมกับอีซูซี่ ..แผนพี่มึงถือว่าใช่ได้
“ถ้าคุณไม่ได้บอกว่าชอบณต ผมคงเข้าใจว่าคุณชอบซันนี่” แล้วไอ้ดอยก็พูดขัดขึ้นเมื่อพี่เบิ้มยื่นทิชชู่ให้ซันนี่เพื่อเช็ดคราบซอสที่เลอะตรงมุมปากอย่างใส่ใจ
“ครับผมชอบซันนี่ด้วย แต่แบบน้องชายนะเหมือนคุณไง”
“แต่ผมว่าไม่เหมือน” ไอ้ดอยรีบสวนกลับทันควัน
“ไม่เหมือนยังไง”คราวนี่เป็นอีซูซี่ที่ถามขึ้นด้วยความเผือกอย่างแรงกล้า
เผื่อทุกคนสงสัยว่าตอนนี้เราคุยภาษาอะไรกันเพื่อความเข้าใจของทุกคนเราเลือกใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารของวันนี้ จะได้ไม่ต้องแปลกลับไปกลับมาให้เสียเวลา
“ก็..ซันนี่เป็นน้องที่สนิทและเราก็รู้จักกันมานาน”
“อืมมมม สนิทระดับไหนวะ” ผมเท้าคางถามอย่างสบายอารมณ์ แต่ในใจกูนี่โคตรสนุกที่ไล้ต้อนมันแบบนี้
“เอาเป็นว่าสนิทมากกว่าสนิทกับเจเรมี่ละกัน มันก็เลยไม่เหมือนกันไง”
“อ่าฮะ โอเคๆ เรียกว่าน้องสนิทคนพิเศษว่างั้น”
“อืม” อั้ยยะ ชัดเจน
“มึงถามซันนี่ยังว่าอยากสนิทกับมึงรึป่าว”
“ว่าไงซันนี่ สนิทกับไอ้ดอยรึป่าว” ซันนี่ที่ตั้งหน้าตั้งตากินเกินความอร่อย ทำเป็นไม่สนใจบทสนทนาที่พวกผมคุณกันทั้งที่ใบหน้านั้นกำลังแดงก่ำ
“แบบไหนถึงเรียกว่าสนิทกันครับ”
“ก็แบบที่เราเป็นอยู่ตอนนี้ไง” ไอ้ดอยหันมาตอบฝรั่งน้อยหน้ามนด้วยแววตาที่จริงจัง
“แล้วตอนนี้พวกมึงสนิทกันแบบไหนวะ” คือกูอย่างรู้ไงสนิทแบบไหนก็บอกมาให้ชัดเจนสิวะ
“เสือก!”
ชัดเจนเต็มปากเต็มคำ แต่แค่นี้ก็พอจะรู้ชัดเจนเช่นกันว่ามึงคิดยังไงกับชันนี่..
จบมื้อค่ำเรานั่งคุยกันต่ออีกพักใหญ่ก่อนจะแยกย้ายกันกลับ..
ด้วยการเป็นเจ้าบ้านที่ดีและไม่ได้มีส่วนร่วมในการทำอาหารเลยแม้แต่น้อยผมเลยอาสาที่จะเป็นคนล้างจานเอง แต่พอเห็นสภาพห้องครัวที่เละเทะแล้วก็อดถอนหายใจไม่ได้ เฮ้อออออ
“ป้านด ผมช่วยนะครับ” อ้าวนึกว่าพี่เบิ้มกลับเข้าห้องไปแล้วซะอีกเพราะเห็นเดินออกไปพร้อมกับอีซูซี่
“ไม่เป็นไรครับ คุณไปพักเถอะ”
“ผมอยากช่วย” ว่าแล้วพี่เบิ้มก็ม้วนผมเป็นจุกอย่างลวกๆเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการทำความสะอาดห้องครัวที่แสนจะรุงรัง..แม่งเท่ชะมัด!
กูจะไม่ตัดผมกูจะไว้ผมยาวแบบพี่มึงบ้างเผื่อจะได้เท่สักเศษเสี้ยวของพี่มึงก็ยังดี!
ผมและพี่เบิ้มเราช่วยกันจัดการปัดกวาดเช็ดถูกคนละไม้คนละมือใช้เวลาไม่นานห้องครัวก็สะอาดวาววับเหลือเพียงแต่จานที่วางเรียงซ้อนกันอยู่ในซิ้งล้างจาน ไม่รอช้ารีบล้างจานให้เสร็จโดยไวจะได้พักสักที..
ผมเป็นคนล้างน้ำยาล้างจานแล้วก็ส่งต่อให้พี่เบิ้มล้างน้ำเปล่า มีหลายจังหวะที่มือของเราสัมผัสกันภายใต้ฟองสีขาว
อืมม..หัวใจผมก็ดันเต้นจังหวะแปลกๆซะด้วยสิ
“ชาร้อนหรือโกโก้ร้อนสักแก้วมั้ยคุณ”ผมถามพี่เบิ้มที่นั่งพักเหนื่อยที่โซฟาตัวยาวหน้าทีวีหลังจากที่เราทำความสะอาดในครัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“ชาคาโมมายล์สักแก้วก็ดีครับ” พี่เบิ้มพูดด้วยท่าทีที่ดูผ่อนคลาย ประหนึ่งเหมือนนั่งอยู่ในบ้านตัวเองก็ไม่ปาน
“โอเคครับ” ดึกๆและเหนื่อยแบบนี้ชาคาโมมายล์อุ่นๆสักแก้วก่อนนอนก็คงเหมาะที่สุด
รอไม่นานชาคาโมมายล์ก็พร้อมเสิร์ฟ ผมถือชาร้อนสองแก้วที่ควันลอยคลุ้งและส่งกลิ่นหอมละมุนมายังโต๊ะหน้าโซฟา จังหวะที่กำลังวางแก้วลงบนโต๊ะ ก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังมาจากในครัว ‘เคร้งงง!’
ผมรีบวางแก้วเพื่อจะไปดูที่มาของเสียง
“ที่รักระวัง!!” อ่า ไม่ทันแล้วครับ ด้วยความรีบผมดันพลาดวางแก้วลงบนขอบโต๊ะพอดิบพอดี
ส่งผลให้แก้วชานั้นตกลงบนพื้นแตกกระจาย..แต่ที่น่าตกใจไปกว่านั้นพี่เบิ้มปัดมือผมออกทำให้แขนของพี่แกโดนชาร้อนลวกเข้าเต็มๆ บ้าเอ้ย!
“เฮ้ย! คุณเป็นไรมั้ยครับ” ผมถามพี่เบิ้มด้วยความตกใจ
“ผมไม่เป็นไรที่รัก แล้วคุณล่ะโดนตรงไหนรึป่าว” มึงเป็นห่วงตัวเองก่อนมั้ย! แขนแดงเถือกขนาดนี้ยังจะบอกว่าไม่เป็นไรอีก
ผมรีบจูงมือพี่เบิ้มมาที่ซิ้งล้างจานในครัวแล้วเปิดน้ำให้ไหลผ่านแขนที่กำลังเริ่มบวมแดง
“คุณให้น้ำมันไหลผ่านแผลแบบนี้ไปเรื่อยๆนะครับ สัก20นาที เดี๋ยวผมไปหายามาทาให้นะ”
“ครับ”
ผมกลับเข้ามาในครัวอีกครั้งพร้อมกับยาทาแผลน้ำร้อนลวกและยาแก้อักเสบอีกหนึ่งเม็ด ส่วนพี่เบิ้มยังคงปล่อยให้น้ำไหลผ่านรอยแดงที่แขนไปเรื่อยๆ
“ทำไมคุณต้องเจ็บตัวแทนผมด้วยล่ะครับ”
“ผมทำไปตามสัญชาตญาณ ผมแค่ปกป้องคุณ”
“แต่คุณต้องเจ็บตัวเพราะผม”
“ก็ดีกว่าคุณเจ็บ ที่รักผมเต็มใจ ผมไม่เจ็บเลยสักนิด” พี่เบิ้มพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มพร้อมกับจับมือของผมไว้มั่น ผมรับรู้ถึงความรู้สึกที่ส่งผ่านจากฝ่ามือหนานั้นว่าพี่เบิ้มเต็มใจอย่างที่พูดจริงๆ
“...” บ้าเอ้ย! เมื่อก้มลงมองแผลที่แขนของพี่เบิ้มอีกครั้ง ขอบตาของผมก็ร้อนผ่าวขึ้นมาดื้อๆ..ทำไมต้องเจ็บตัวแทนผมด้วยวะ?? แล้วไอ้ที่บอกว่าไม่เจ็บก็โกหกชัดๆ ผมโดนกระเด็นใส่ตรงเท้านิดหน่อยยังรู้สึกแสบๆร้อนๆ นี่โดนลวกที่แขนเต็มๆเป็นผมคงนั่งร้องไห้น้ำตาแตกไปแล้วไม่มานั่งหน้าเปื้อนยิ้มแบบพี่มึงตอนนี้หรอก..ไม่เข้าใจพี่มึงเลย?!
รวมถึงไม่เข้าใจตัวเองด้วยทำไมหัวใจผมมันรู้สึกเจ็บไปด้วยวะ?!
“ที่รักคุณร้องไห้!”
“ป่าวสักหน่อย ผมแค่แสบตาสงสัยฝุ่นจะเข้าตา”
“ผมดูให้นะ” พี่เบิ้มค่อยๆประคองใบหน้าผมแล้วสำรวจเข้ามาในดวงตาของผม..หน้าของเราใกล้กันมาก ใกล้ซะจนหัวใจของผมแทบหยุดเต้น..
“เอ่อ สงสัยมันคงหลุดไปแล้วล่ะครับ คุณล่ะอาการปวดแสบปวดร้อนลดลงมั้ยครับ”
“ดีขึ้นมากแล้วครับ” พี่เบิ้มยังคงตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเช่นเดิม ไม่รู้ว่ารอยยิ้มนั้นมีความสุขหรือยิ้มเพราะไม่อยากให้ผมเป็นห่วงกันแน่?!
“ถ้างั้นก็ไปทายากันครับ” เรากลับมาที่โซฟาตัวเดิมอีกครั้ง ผมค่อยๆใช้ผ้าซับน้ำที่แขนของพี่เบิ้มก่อนบรรจงทายาให้อย่างเบามือ โชคดีพี่แผลไม่พุพองอาจเพราะน้ำที่ใช้ชงชาไม่ได้ร้อนจัดและเราปฐมพยาบาลได้ทันควัน แต่ถึงอย่างนั้นพี่เบิ้มก็คงปวดแสบปวดร้อนไม่น้อยแม้ปากจะบอกว่าไม่เป็นไรก็ตาม..
“ขอบคุณครับ” พี่เบิ้มเอ่ยขอบคุณหลังจากกลืนยาแก้อักเสบลงคอ
“ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณ ขอบคุณนะครับ” ผมเอ่ยขอบคุณด้วยความจริงใจ ที่พี่เบิ้มยอมเจ็บตัวแทนผมทั้งที่ไม่จำเป็นเลยสักนิด แต่ผมก็รู้สึกขอบคุณจริงๆ
“ผมเต็มใจที่รัก” น้ำเสียงของพี่เบิ้มช่างอ่อนละมุนรวมถึงสัมผัสอ่อนโยนที่ประทับลงมาที่หน้าผากของผม
แม้จะเป็นสัมผัสที่บางเบา แต่มันก็ทำให้หัวใจของผมร้อนระอุและสั่นไหวเป็นพิเศษ!
เกือบเที่ยงคืนกว่าที่ผมได้ล้มตัวลงนอนพร้อมกับหัวใจที่ว้าวุ้น เหตุการณ์เมื่อตอนค่ำ การกระทำของพี่เบิ้มทำให้หัวใจของผมสับสนไม่น้อย และนั้นส่งผลให้ผมนอนไม่หลับเลยคว้ามือถือขึ้นมาเล่นเผื่ออาการว้าวุ่นมันจะได้ลดน้อยลง หน้าจอมือถือปรากฏข้อความจากไลน์กลุ่ม ขบวนการสมคบคิด ที่ยังไม่ได้เปิดอ่านร้อยกว่าข้อความ แต่ยังไม่ทันได้เปิดอ่าน บุคคลเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่ได้อยู่ในกรุ๊ปไลน์นี้ก็โทรมาขัดจังหวเสียก่อน
“ว่าไงไอ้ดอย”
[ไอ้ณต คุณบอสของมึงชอบมึงแน่นะ]
“เอ้า กูจะไปรู้เหรอ” ถามแบบนี้กูต้องตอบยัง ใช่เขาชอบกูแบบนี้เหรอ?
“ทำไมเขาทำเหมือนจะจีบซันนี่เลยวะ แม่งมีคุยไลน์กันด้วยกูแอบเห็นตอนไปส่งซันนี่กลับบ้าน”
“ก็ปล่อยให้จีบไปสิ ไม่เห็นต้องเดือดร้อนเลย”
[เดือดร้อนสิวะ ก็กูกำลังจีบซันนี่อยู่]
“หึ มึงชอบซันนี่จริงๆสินะ”
[มึงรู้เหรอวะ]
“เออ กูดูออก” ทุกคนนั้นแหละดูออกยกเว้นฝรั่งน้อยหน้ามนบุคคลที่กำลังโดนจีบ!
[มึงว่ากูจะจีบติดมั้ยวะ]
“ติด”
[มั่นใจจังวะ] ก็น้องมันชอบมึง แต่ไม่บอกแม่งหรอก ของแบบนี้ต้องพยายามด้วยตัวเอง
“เซนส์กูมันบอก ว่าแต่มึงเป็นเกย์เหรอวะ” ที่ผ่านมาก็เห็นแม่งคบแต่ผู้หญิง
[ไม่รู้ดิ คิดว่าไม่นะที่ผ่านมากูก็คบผู้หญิงมาตลอด แต่ซันนี่พิเศษสำหรับกูว่ะ และซันนี่ก็เป็นผู้ชายคนเดียวที่กูสนใจ แต่มันก็ไม่สำคัญหรอกว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ยังไม่มันก็คือความรักที่ใช้หัวใจเหมือนกัน]
นั้นน่ะสินะ ความรักก็คือความรักไม่จำเป็นเสมอไปว่าต้องรักกับเพศตรงข้ามเท่านั้นไม่ว่าจะเพศไหนทุกหัวใจก็มีสิทธิ์ที่จะรัก..
“ซันนี่รู้ตัวรึป่าวว่ามึงกำลังจีบ”
[รู้มั้ง กูไม่ได้บอกแต่การกระทำของกูก็น่าจะดูออก] เหอะ ดูออกกับผีน่ะสิ ถ้าดูออกพวกกูจะวางแผนให้มึงหึงทำไม
“กูแนะนำให้มึงบอกให้ชัดเจนไปเลยว่ามึงกำลังจีบหรือบอกชอบไปเลยก็ได้”
[กูกลัวน้องจะปฏิเสธว่ะ] โอ้ยย คันปากอยากบอกกก
“มึงไม่คิดบ้างเหรอว่าซันนี่ก็อาจจะชอบมึง” กูใบ้ให้สุดๆแล้วนะ
[ก็แอบคิดเข้าข้างตัวเองบ้าง แต่ก็ยังไม่มั่นใจที่จะบอกว่ากูชอบเขา]
“มึงตั้งใจจะจีบขนาดนี้ มึงก็ต้องบอกป่าววะ ยังไงสักวันน้องมันก็ต้องรู้อยู่ดี”
[ก็จริงของมึง ไว้กูจะหาโอกาสดีๆบอก]
“เอ่อดี ให้ไวล่ะ”
[แต่ที่กูกลัวอีกอย่างก็คุณบอสของมึงนี่แหละ ถ้าเขาจีบซันนี่ขึ้นมาจริงๆกูคงสู้ไม่ไหว มึงยอมคบกับคุณบอสไปเลยได้มั้ยวะถือว่าช่วยเพื่อน] เพื่อนชั่ว!
“เจเรมี่ไม่ได้จีบซันนี่ เชื่อกู”
[จริงเหรอวะ]
“มึงไม่ต้องสนขิงข่าอะไรทั้งนั้นไอ้ดอย มั่นใจในตัวเองหน่อย ลุยจีบซันนี่เต็มที่โลด”
[เออๆ ขอบใจมึงมาก แต่ยังไงกูก็อยากให้มึงลองเปิดใจให้เจเรมี่นะ กูไม่ได้พูดเพราะเรื่องซันนี่หรอกนะ กูพูดในฐานะเพื่อนของมึง กูว่าเขาก็คงจริงใจกับมึงจริงๆไม่งั้นคงไม่ถ่อมาอยู่กับมึงเป็นเดือนๆแบบนี้]
ไอ้ดอยพูดจบมันก็วางสายทันที ส่วนผมก็จมอยู่กับคำว่า เปิดใจ ของไอ้ดอย แล้วหน้าพี่เบิ้มก็ลอยเข้ามาในความคิด ผมรู้อยู่เต็มอกว่าพี่เบิ้มมันชอบผมเพราะแม่งป่าวประกาศอยู่ทุกวัน และยิ่งเหตุการณ์ตอนค่ำที่ยอมเจ็บตัวแทนผมก็เหมือนตอกย้ำไปอีกว่าพี่เบิ้มคงจะชอบผมจริงๆ
...ผู้ชายกับผู้ชายงั้นเหรอ? ก็จริงว่าทุกคนมีสิทธิ์ที่จะรัก แล้วผมจะรักพี่เบิ้มได้จริงๆรึป่าวนะ??
TBC.
.....................................................................................
ป้านดแค่สับสนบวกกับความสึ่งตึง(ซื้อบื้อ) ให้เวลาป้าอีกสักนิดน๊าาา
บทที่12
ไม่รู้ด้วยแล้ว..ใจ
‘กริ๊งงงงงง’
ผมถูกปลุกด้วยเสียงนาฬิกาปลุกเจ้าเก่าเจ้าเดิมเหมือนเฉกเช่นทุกเช้าพร้อมกับดวงอาทิตย์ที่กำลังโผล่พ้นเส้นขอบฟ้า
ความงัวเงียในคราแรกเริ่มหายไปเมื่อสติเริ่มตื่น จากนั้นผมก็เริ่มสำรวจร่างกายว่ายังอยู่ครบ32ประการรึป่าว หรือว่าโดนควายเผือกมันแทะเล่นจนเหลือแต่กระดูกไปแล้วกันแน่
..ครบ
เสื้อผ้า หน้า ผม แขนขา ยังอยู่ดี ชื้นใจขึ้นมาหน่อยที่อีพี่เบิ้มนอนอยู่บนเตียงไม่ได้ลงมานอนเบียดผมที่ฟูกด้านล่างเหมือนที่เคยทำ
และแล้วก็แคล้วคลาดปลอดภัยจากควายเผือก..ขอบคุณพระเจ้า
..ซะที่ไหนล่ะ!!
เมื่อยืนเปลือยอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำก็ต้องตกใจเมื่อเห็นรอยแดงเป็นจ้ำๆอยู่ทั่วบริเวนหน้าอก กูเป็นโรคอะไรล่ะเนี่ย!
มดกัด? เห็บหมากัด? หรือว่า..เห็บควายเผือกกัด ต้องใช่ ต้องใช่มันแน่ๆ
Damn !!
“Jeremy!” ผมออกจากห้องน้ำโดยไวแล้วตะโกนเรียกอีพี่เบิ้มสุดเสียง
“ว่าไง..ที่รัก” อีพี่เบิ้มตกใจตื่นพูดด้วยน้ำเสียงสลึมสลือ
“คุณทำอะไรกับหน้าอกผม” ด้วยความโมโหทำให้ผมออกจากห้องน้ำด้วยการนุ่งผ้าขนหนูเพียงผืนเดียว และกำลังยืนชี้หน้าอกตัวเองต่อหน้าไอ้ควายเผือกที่ตอนนี้ดวงตาคู่สีเทาแทบถลนออกจากเบ้า
“ผม ผมเปล๊า เอ่อ คุณเป็นภูมิแพ้รึป่าว” มีเสียงสูงซะด้วย ถ้าจะแพ้ก็คงแพ้ควายเผือกอย่างมึงนี่แหละ
“แน่ใจนะว่าคุณไม่ได้ทำอะไรผม” ผมคาดคั้นพี่เบิ้มด้วยใบหน้าที่คิดว่าบึ้งตึงสุดขีด เผื่อไอ้ควายเผือกมันจะยอมรับสารภาพ ..แต่ก็ไม่เป็นผล
“แน่ใจ๊” เกลียดคีย์เสียงของมึงจริงๆ
ในเมื่อไม่ยอมรับและไม่มีหลักฐาน จึงทำได้เพียงแค่หรี่ตามองผู้ต้องสงสัยอย่างจับผิดที่ตอนนี้กำลังทำหน้าตาหื่นกระหายสุดๆ
“ที่รัก..ผิวคุณสวยเป็นบ้าเลย ผมน่าจะคิสมาร์กมากให้ทั่วทั้งตัวไปเลย” อีพี่เบิ้มพูดพึมพำพร้อมกับจ้องหน้าอกผมไม่วางตา
เดี๋ยวก่อนๆ เมื่อกี้มึงพึมพำว่าอะไรนะ?!
“คิสมาร์ก!” ผมตะโกนเสียงดังลั่นด้วยความตกใจปนโมโห
ให้ตาย! อีพี่เบิ้มมึงลักหลับกู โอ้ววว ลมแทบจับ
“ผมขออนุญาตคุณแล้วนะครับ แต่คุณไม่ตอบ ผมก็เลยคิดว่าคุณคงตกลง” มึงแก้ตัวแบบนี้ก็ได้เหรอแถมยังหน้าตายอีกต่างหาก
อยากจะเอาฟันเฉาะหน้ามึงสักแผล แน่สิกูไม่ตอบเพราะกูหลับไง แถมยังหลับลึกขนาดมึงแทะอกกูยังไม่รู้เรื่องรู้ราว จะบ้าตายนี่กูแดกยานอนหลับเข้าไปรึไง!
“คุณกลับห้องของคุณไปก่อนเหอะ ผมยังไม่อยากคุยกับคุณตอนนี้” ผมพูดพร้อมกับเดินเข้าห้องน้ำ ไม่สนว่าไอ้คนที่นั่งบนเตียงมันพร่ำอะไรออกมา บอกได้คำเดียว ว่ากู โกรธ!
อะไรคือการอย่าถึงเนื้อถึงตัว อะไรคือการขออนุญาต มึงเล่นแทะอกกูซะพรุนขนาดนี้ กูควรจะเปิดใจให้มึงต่อดีมั้ย ฮึ
ยืนสำรวจตัวเองที่หน้ากระจกอีกครั้ง ลมก็แทบจับอีกหน ไอ้ควายนี่มึงล่อทั้งหน้าเอหน้าบีเลยเรอะ
มันไม่ใช่แค่หน้าอกเท่านั้นที่แผ่นหลังก็เต็มไปด้วยรอยแดงเต็มไปหมด ฮืออออ พระเจ้าไม่ได้ช่วยอะไรกูเลย
อีพี่เบิ้มมันต้องวางแผนไว้แล้วแน่ๆ มันหลอกให้ผมฟังเรื่องราวชีวิตที่แสนจะดีฉิบหายแต่ก็มาพร้อมกับหน้าที่อันใหญ่หลวง แม่งเล่นเล่าตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวินาทีที่กำลังนอนเล่าให้ผมฟังอยู่บนเตียง
เล่าน้ำไหลไฟดับก็ไม่ยอมหยุดเล่าสักที ซึ่งสุดท้ายผมก็เผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ พอง่วงจัดมันก็หลับลึกไงจนไม่รู้สึกตัวว่ากำลังโดนควายเผือกจ้องเล่นงานอยู่ สุดท้ายกูก็เป็นเหยื่อดีๆนี่เอง ..แผนมึงช่างสูงยิ่งนักไอ้ควายเผือก
อาบน้ำให้จิตใจได้สงบลงอยู่นานโข พอออกมาจากห้องน้ำก็เจอควายเผือกนั่งคุกเข่าทำหน้าตาสำนึกผิดพร้อมกับเอ่ยขอโทษอยู่หน้าห้องน้ำ
แต่ชั่วโมงนี้กูไม่สนหรอก เมื่อจัดการตัวเองเรียบร้อยผมก็ตรงดิ่งมาที่เกสท์เฮ้าส์ทำหน้าที่ประจำวันที่แสนจะจำเจโดยไม่สนใจฝรั่งตัวโตที่นั่งคุกเข่าทำตาละห้อยอยู่ในห้อง
ดี! นั่งอยู่แบบนั้นแหละให้ตะคริวแดกไปทั้งตัวเลย แมร่ง
ด้วยความรีบร้อนออกจากห้องทำให้ลืมโทรศัพท์มือถือไว้ในห้องแต่กว่าจะนึกออกก็ปาไปสามชั่วโมง
เมื่อกลับมาที่ห้องก็ต้องตกใจเมื่อพี่เบิ้มยังนั่งอยู่หน้าห้องน้ำในท่าเดิม ..มึงมันบ้า
“ที่รัก ผมขอโทษ” ทั้งใบหน้าและน้ำเสียงช่างละห้อยซะจริง แต่ผมรู้สึกว่าครั้งนี้พี่เบิ้มมันรู้สึกผิดจริงๆแฮะ
“ถ้าผมไม่กลับเข้ามาคุณก็จะนั่งแบบนี้ไปถึงเย็นเลยรึไง”
“ครับ” มึงมันโง่
‘โครกกก’ ใครกดชักโครก หืม
“หิวใช่มั้ยคุณ”
“มากกก” แหงล่ะ นี่มันใกล้เที่ยงแล้วแถมข้าวเช้าก็ยังไม่ได้แดก พอเห็นควายเผือกลูบท้องตัวเองป้อยๆด้วยหน้าตาละห้อย ใจก็อ่อนยวบไม่เป็นท่าทั้งที่ตั้งใจจะใจแข็งแล้วแท้ๆ
“ลุกขึ้นมาครับ”
“คุณหายโกรธผมรึยังครับ” พี่เบิ้มยังไม่ยอมลุกถามผมด้วยสายตาละห้อยเช่นเดิม
“คุณต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก”
“ครับ ผมสัญญา” น้ำเสียงนั้นจริงจัง แต่ก็ไม่อยากจะเชื่อใจมากซะเท่าไหร่ แต่ก็เอาเหอะ
“ครับ ผมไม่โกรธแล้ว ทีนี้คุณก็ลุกได้แล้ว”
แล้วรอยยิ้มก็ค่อยๆปรากฏบนหน้าตาที่แสนจะเศร้าสร้อยในทันที จากนั้นควายเผือกที่กำลังลุกขึ้นก็ล้มตึงลงกับพื้นไม่เป็นท่า
..ไม่รู้จะสงสารหรือสมน้ำหน้าดี หึ เหน็บแดก
เส้นเล็กน้ำตกพิเศษสองถ้วย เกาเหลาพิเศษอีกหนึ่งเพิ่มเติมคือขนมจีบอีกสิบลูก นี่มึงตายอดตายอยากมาจากไหน อดข้าวแค่มื้อเดียวมึงฟาดเรียบขนาดนี้เลยเรอะ ถ้าอดทั้งวันมึงจะไม่ฟาดเรียบทั้งเชียงใหม่เลยเหรอวะ หืม
เมื่ออิ่มแปล้..หมายถึงพี่เบิ้มอ่ะนะ ก็กลับมาเฝ้าร้านกาแฟต่อ ส่วนอีพี่เบิ้มหนังท้องตึงหนังตาก็หย่อนขอตัวขึ้นไปนอนที่ห้อง สบายจริงชีวิตพี่มึงเนี่ย
เผลอแป๊บเดียวก็เกือบหกโมงเย็นและตอนนี้ผมก็กำลังเหงื่อท่วมตัวอยู่ที่ยิมของอีซูซี่ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันหายหัวไปไหน
ทั้งที่ตั้งใจว่าจะเริ่มพรุ่งนี้แท้ๆ แต่อีควายเผือกที่หายไปนอนหลับจนอิ่มเอมจนหน้าบานเป็นกระด้งก็ลากผมมาจนได้ด้วยเหตุผลที่ว่า ‘หน้าท้องของคุณเริ่มนิ่มแล้วนะครับ’ เหอะ อยากจะเอาไขมันฟาดปากแม่ง แล้วรู้ได้ยังไงว่าท้องกูนิ่ม!
..แต่ก็นั่นแหละ สุดท้ายก็โดนลากมาจนได้
อีพี่เบิ้มก็ยังคงเป็นอีพี่เบิ้ม เรียกสายตาจากสาวๆและเก้งกวางทั้งหลายให้หันมามองคอแทบเคล็ด ส่วนพี่มันก็โปรยยิ้มให้เขาไปทั่ว
หึ เรี่ยราดชะมัด!
ไม่เห็นจะน่ามองตรงไหนก็แค่กล้ามเนื้อที่เด่นชัดขึ้นเวลายกดัมเบล หน้าตาที่มุ่งมั่นและจดจ่อบวกกับเหงื่อที่ฉาบอยู่บนร่างกายที่แข็งแรงสมส่วน มันก็แค่..แค่ เซ็กซี่ก็เท่านั้นเอง
เซ็กซี่! ให้ตายเหอะไอ้ณต นี่กูคิดอะไรอยู่เนี่ย!!
อ่า ไอ้ควายเผือกมันหันมายิ้มให้ครับ เท้าที่กำลังวิ่งอยู่บนลู่วิ่งถึงกับสะดุด บ้าเอ้ย!!
ไม่ได้ๆ อย่าหันไปมองมีสมาธิกับตัวเองหน่อย
เหอะ อนาถตัวเองดีแท้ มีสมาธิได้แค่สองนาทีเท่านั้นสายตาผมก็สอดส่องหาอีควายเผือกอีกครั้ง
อ้าวหายไปไหนหว่า..
เมื่อสอดส่องสายตาหาจนทั่วก็เจออีพี่เบิ้มนั่งอยู่กับซันนี่ที่บาร์น้ำ มาตั้งแต่เมื่อไหร่น้อ แต่ทำไมฝรั่งน้อยถึงทำหน้าหงอยเหงาไม่สดใสสมกับชื่อของเจ้าตัวและคนที่กำลังอินเลิฟเลยน้า
ใช่แล้วครับ..ฝรั่งน้อยกำลังมีความรัก ความสัมพันธ์ระหว่างซันนี่กับไอ้ดอยกำลังพัฒนาไปในทิศทางที่ดี
หลังทั้งคู่รับรู้ถึงความรู้สึกของอีกฝ่าย ด้วยความหึงขึ้นหน้าของไอ้ดอยหลังจากที่กลับจากกินข้าวที่บ้านผมเมื่อครั้งก่อนทำให้ไอ้ดอยสารภาพออกไปว่าชอบซันนี่ของเรามานานแล้ว ไอ้ดอยจึงได้รับรู้ความรู้สึกของซันนี่ที่มีให้กับไอ้ดอยเช่นกันว่าทั้งคู่นั้นใจตรงกันมานานแล้ว
ทำไมผมถึงรู้น่ะเหรอ ก็ฝรั่งน้อยของเราเล่าบรรยายเป็นฉากๆในไลน์กลุ่ม ’ขบวนการสมคบคิด’ ด้วยความดีใจที่แผนของพี่เบิ้มนั้นสัมฤทธิ์ผล อืม ต้องยกความดีความชอบให้ฝรั่งหัวโจกเขาล่ะงานนี้
แต่สถานะที่แน่ชัดของทั้งคู่ตอนนี้คืออะไรนั้น ก็คงต้องรอให้ทั้งคู่แถลงการณ์ให้ฟังอีกครั้ง..
อ้าวเห้ย! ร้องไห้ซะแล้วจากนั้นซันนี่ก็โผเข้ากอดพี่เบิ้ม อืมมม เห็นแล้วก็รู้สึกแปลกๆแฮะ
ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นกับซันนี่กันแน่ ไม่ได้การล่ะ งานนี้ต้องเผือก!
กำลังจ้ำอ้าวไปยังบาร์น้ำอย่างเร่งรีบ แต่แล้วก็มีสิ่งมีชีวิตอะไรสักอย่างปาดหน้าผมไปด้วยความเร็วแสงพร้อมกับหันมาพูดด้วยใบหน้าทะมึน ไอ้ดอย!
“ให้คนของมึงมากอดคนของกูได้ยังไง” น้ำเสียงทุ้มต่ำฟังแล้วช่างขนลุกขนพอง แม่งมึงจะหึงโหดไปมั้ย แล้วใครคนของกู?
แล้วมันก็ปรี่เข้าไปกระชากซันนี่ออกจากอ้อมกอดของพี่เบิ้ม
“เรามีเรื่องต้องคุณกัน ตามพี่มา” จากนั้นมันก็ลากซันนี่ตัวปลิวออกไปข้างนอกยิม โอ๊ย สงสารฝรั่งน้อย
ส่วนผมจะยืนเซ่อทำไมล่ะ ตามเผือกสิครับรอไร
ผมซุ่มอยู่ที่ท้ายรถกระบะคันหนึ่งตรงลานจอดรถ เพราะซันนี่ยื้อหยุดไม่ยอมไปต่อทั้งคู่เลยหยุดอยู่ที่กลางลานจอดรถ
แต่ให้ตายเถอะ มันไกลไป ผมไม่ได้ยินว่าทั้งคู่กำลังคุยอะไรกัน
แต่ภาพที่เห็นคือ ซันนี่กำลังโวยวาย ทั้งทุบทั้งตีไอ้ดอยไม่หยุด แต่แล้วไอ้ดอยก็หยุดการกระทำทุกอย่างของซันนี่ด้วยการ..จูบ!
..โอ้วว นี่กูกำลังดูจำเลยรัก?!
“พูดกันดังๆสิวะ กูไม่ได้ยิน”
“ชู่ววว”
“เห้ย!” ตาเถร ไอ้ควายเผือกมันมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
“อย่าเสียงดังสิคุณ” อีพี่เบิ้มกระซิบบอกพร้อมกับเอามือปิดปากผมไว้
ใกล้..ใกล้เกินไป
อุณหภูมิที่ฝ่ามือหนาที่แนบชิดอยู่ที่ริมฝีปากของผมและเสียงกระซิบที่ข้างหูทำให้ใจของผมเต้นรัวแทบทะลุออกจากอก หัวใจผมนิ่งเฉยกับสถานการณ์แบบนี้ไม่ได้เลยจริงๆ
รวมถึงกลิ่นเหงื่อผสมกับกลิ่นอาฟเตอร์เชฟจางๆกำลังทำให้ผมหายใจลำบาก..เพราะอะไร?
นิ่งไว้ๆ เลิกสนใจตัวเองแล้วหันมาสนใจสองคนข้างหน้าก่อนดีกว่า
อ้าวเห้ย! ไปซะแล้ว แม่งเกิดอะไรขึ้นวะแต่ก็พอจะเดาได้ว่าสถานการณ์คงคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีแล้ว เพราะก่อนที่ทั้งคู่จะขึ้นรถของไอ้ดอยต่างก็หันมายิ้มให้แก่กัน ดีกันแล้วก็โล่งอก..
ไม่โล่งสิเพราะตอนนี้ในอกผมกำลังเต้นระรัว
“ความรักนี่ดีจังน้า” ขณะที่พูดช่วยปล่อยมือออกจากปากกูด้วยครับ
“อืออ”
“อะไรครับ” มึงจะเนียนไปถึงไหน กัดแม่ม
“โอ๊ย เจ็บนะคุณ จับจูบเหมือนคุณดอยทำกับซันนี่ดีมั้ยน้า” ยังจะเล่นอีก
“เมื่อเช้ายังไม่เข็ดใช่มั้ยคุณ” ผมช้อนตามองด้วยความฉุน อา..แต่ท่านี้มันล่อแหลมยังไงชอบกล
พี่เบิ้มนั้งชันเข่าท่ายองซ้อนทับผมอยู่ด้านหลังเท่ากับว่าผมกำลังอยู่ในหว่างขาของพี่เบิ้ม ..อันตรายเกินไปแล้ว!
“แหะๆ ล้อเล่นครับ”
“ปะ..ไปกันได้แล้วครับ” แล้วกูจะตื่นเต้นทำไมเนี่ย
“เดี๋ยวสิครับ”
“...” พี่เบิ้มรั้งข้อมือผมไว้ไม่ยอมให้ลุกขึ้น
“ที่รัก ผมขอจูบคุณได้มั้ยครับ”
“ไม่ได้ครับ!” จูบเจิบอะไรล่ะ เมื่อคืนแทะกูทั้งตัวยังไม่พอใจอีกรึไง
“ตัวคุณหอม อนุญาตนะครับ” หอมอะไรเล่ามีแต่เหงื่อ จมูกมึงเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ
“...”
“Plesae” น้ำเสียงนั้นช่างเว้าวอน
แล้วผมก็ถูกดึงดูดด้วยดวงตาคู่สีเทานี้อีกครั้ง..ไม่รู้แม่งด้วยแล้ว อยากจะจูบนักก็เชิญ ผมจึงหลับตาแทนคำตอบ
“ผมรักคุณ” สิ้นสุดคำบอกรัก ริมฝีปากของพี่เบิ้มก็แนบชิดกับเรียวปากของผม มันเป็นจูบที่ไม่ได้รุกล้ำแต่อย่างใดแต่ทว่ามันหนักแน่นและจริงใจ ทำให้ผมรู้สึกอุ่นวาบในหัวใจอย่างน่าประหลาด..
คำบอกรักเพียงเบาๆแค่เอ่ยกระซิบแต่มันกลับดังก้องภายในหัวผมไม่หยุด ทั้งสถานที่และบรรยากาศมันไม่ได้เป็นใจสำหรับการบอกรักเลยสักนิด แต่ผมขอสารภาพตามตรงว่าผมรู้สึกดีกับคำสามคำนี้จัง
มันคงจะเป็นเพราะ ..เพราะคนที่พูดประโยคนี้ล่ะมั้ง
TBC.
……………………………………………..............................
กราบตักคุณผู้อ่านงามๆ ขออภัยที่หายไปนาน ช่วงนี้ชีพจรลงเท้าเดินทางเหนือจรดใต้เวลาที่มีให้พี่เบิ้มกับป้านดก็ช่างน้อยนิดT_T
บทนี้มาสั้นๆให้หายคิดถึงและขอบคุณที่ยังไม่ลืมพี่เบิ้มกับป้านดกันนะคะ
และก็ขอถือโอกาสนี้ Merry Christmas ค่ะ และHappy New Yearล่วงหน้า ขอให้ผู้อ่านทุกท่านมีความสุขกายสุขใจตลอดปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้ค่ะ^^
บทที่15 เพราะรัก..จึงคิดถึง
พี่เบิ้มหายหัวไปเข้าห้องน้ำพร้อมกับเสียงน้ำจากฝักบัวที่ดังกระทบพื้นไม่ขาดสาย ส่วนผมนั้นนอนสงบแน่นิ่งอยู่บนเตียงแต่ไอ้ที่ไม่นิ่งก็ส่วนกึ่งกลางตรงหว่างขานี่แหละที่มันโป่งพองแทบระเบิด ยุบหนอ..พองหนอ..
ยี่สิบกว่านาทีผ่านไปพี่เบิ้มถึงได้ฤกษ์ออกจากห้องน้ำ..สบายตัวแล้วสินะมึง
“ที่รัก..เอ่อเข้าห้องน้ำมั้ยครับ” พอเห็นหน้าอีพี่เบิ้มตรงๆก็เขินวุ้ย..ก็เมื่อกี้เกือบได้กันนะ!
“อ่า..ไม่ครับ ผมโอเค” แต่กว่าจะโอเคได้ต้องอ่านหนังสือธรรมะที่วางอยู่บนหัวเตียงไปหลายบท..
เมื่อล้มตัวลงนอนอีพี่เบิ้มก็คว้าผมเข้าอ้อมกอดทันที นัวเนีย คลอเคลียที่หน้าและคอผมไม่ห่าง..เดี๋ยวก็ของขึ้นอีกหรอกมึง
“ตัวคุณหอม ผมชอบจัง”
“ยะ เยอะไปแล้วคุณ” พี่เบิ้มซุกไซร้ที่คอผมไม่หยุด
“คุณไม่ชอบสัมผัสของผมเหรอครับ” อย่ามามุกนี้ดิ ไม่ใช่ไม่ชอบ..ยอมรับตรงๆว่าชอบจะตายห่าอยู่แล้ว!
“ไม่ใช่อย่างนั้น เดี๋ยวมันจะเลยเถิดต่างหากล่ะครับ” เหมือนเมื้อกี้ไงไอ้บ้า แค่จูบซะที่ไหนเกือบเตลิดเปิดเปิง
“ก็ตัวคุณหอมนี่ครับ”
“ผมไม่ได้ใส่น้ำหอมสักหน่อย” งงกับพี่มันเหมือนกันบอกว่าหอมอยู่ได้ คนไม่ใช้น้ำหอมแท้ๆ
“ครับผมรู้ มันไม่ใช่กลิ่นน้ำหอมแต่มันคือกลิ่นกายของคุณต่างหากล่ะครับ” ไม่พูดเปล่าหอมแก้มผมฟอดใหญ่ ช้ำแก้มกูช้ำ
“กลิ่นกาย?”
“ครับ มันหอมอ่อนๆได้กลิ่นแล้วอยากจะหอมอยากจะอยู่ใกล้ทั้งวัน บางครั้งมันก็ยั่วยวนทำให้ผมแทบคลั่ง”
“ยั่วยวน? คลั่ง?” นอนนิ่งเป็นสากกะเบือขนาดนี้ กูไปยั่วมึงตอนไหนฮึ
“ครับ คุณไม่รู้ตัวเหรอที่รักว่าคุณยั่วยวนแค่ไหนและมันทำให้ผมคลั่งซะจนอยากจะกลืนกินคุณลงท้องให้รู้แล้วรู้รอด”
“...” เอิ่ม..
“เหมือนเมื้อกี้ไงครับ ผมเกือบจะกินคุณซะแล้ว” เสียงกระซิบและลมหายใจอุ่นๆที่ข้างหูทำให้ร้อนวาบไปทั้งตัว
“ถะ ถ้างั้นก็อย่านอนเบียดแบบนี้สิครับ” ผมขืนตัวออกจากอ้อมกอดแต่ก็ถูกรั้งเอาไว้แล้วอ้อมกอดนั้นยิ่งแนบแน่นกว่าเดิม
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมสัญญากับคุณไว้แล้ว ยังไม่กินคุณตอนนี้หรอก”
“กะ..กินอะไรกันเล่า ผมไม่ใช่ของกินสักหน่อย”
“คุณเหมือนของหวาน โดยเฉพาะตรงนี้..” จูบเบาๆที่ริมฝีปากทำให้ใจเต้นไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง เก่งจริงเรื่องทำให้เขินเนี่ย..
ให้ตาย! ถ้าพูดถึงกลิ่น กลิ่นของพี่เบิ้มผมก็โคตรชอบ
“ผมก็ชอบนะ”
“หืม?”
“กลิ่นกายของคุณ เอ่อมัน ซะ เซ็กซี่” บ้าเอ้ย! พูดเองก็เขินเอง ผมว่าเราทั้งคู่คงจะเสพติดกลิ่นกายของกันและกันไปแล้วล่ะ..
“ที่รัก~” จากนั้นอีพี่เบิ้มก็รั้งผมเข้าไปนัวเนียอีกครั้งอย่างบ้าคลั่ง..กูจะรอดมั้ยเนี่ย!
เมื่อนัวเนียจนหนำใจแล้วก็ปล่อยผมให้เป็นอิสระพร้อมกับสียงหอบ แฮ่กๆกันทั้งคู่ มึงเป็นมาโซแน่ๆชอบทรมานตัวเอง
“งานของคุณมีช่วงลาพักร้อนมั้ยครับ” พี่เบิ้มพูดพร้อมกับกอดผมไว้หลวมๆ
“ก็ไม่เชิงครับ คือถ้าผมจะลาเมื่อไหร่ก็ลาได้ แม่ผมก็จะมาช่วยดูให้” เมื่อพูดถึงแม่ก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ ถ้าแม่รู้ว่าแฟนคนแรกของลูกเป็นผู้ชายแม่จะว่ายังไงนะ..
“ครอบครัวของคุณมีรีสอร์ทอยู่บนภูเขาใช่มั้ยที่รัก”
“...” ลืมคิดเรื่องนี้ไปเสียสนิท ถึงแม้พ่อกับแม่ของผมจะค่อนข้างหัวสมัยใหม่เพราะงานที่ต้องคลุกคลีกับชาวต่างชาติเสมอๆ แต่ก็อดกลัวไม่ได้ถ้ารู้ว่าลูกชายตัวเองคบกับผู้ชายจะรับได้จริงๆรึป่าว
“ที่รัก”
“...”
“ป้านด”
“ครับ!”
“คิดอะไรอยู่ครับ”
“เอ่อ ผมยังไม่ได้บอกเรื่องของเราให้ที่บ้านรู้ ถ้าพ่อแม่รู้ว่าผมคบกับคุณ เออ..คบกับผู้ชาย..”
“อย่าเพิ่งกังวลไปที่รัก พวกเราไม่ได้ทำอะไรผิดผมเชื่อว่าพ่อกับแม่คุณจะต้องเข้าใจ เชื่อผมว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดีเราจะผ่านไปด้วยกัน..เชื่อผมนะที่รัก” มือสองข้างของพี่เบิ้มประคองหน้าของผมไว้พร้อมกับน้ำเสียงที่จริงจังและแววตาที่มุ่งมั่นคู่นั้นมันทำให้ผมเชื่อว่าเราจะผ่านมันไปได้
ใช่! มันต้องผ่านไปได้สิ..ผ่านไปด้วยกัน
“แล้ว..ครอบครัวของคุณล่ะครับ” มันเป็นเรื่องของคนสองคนฉะนั้นมันคงไม่ใช่แค่เรื่องครอบครัวของผมเพียงครอบครัวเดียว..อดคิดไม่ได้เลยว่าพวกเขาจะรับผมได้รึป่าว
“ไม่มีปัญหาที่รัก พวกเขารู้จักคุณดีแล้วก็อยากพบคุณไวๆ”
“ฮะ!” รู้จักตอนไหนวะ?
“เอาเป็นว่าครอบครัวของผมยินดีที่เรารักกัน”
“คุณบอกแล้ว?”
“ครับ ครอบครัวของผมทราบดีว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมาผมมาทำอะไรที่เชียงใหม่” น้ำเสียงสบายๆที่เอ่ยออกมาแสดงถึงความไร้กังวล มันทำให้ผมคลายความกังวลลงไปได้บ้าง แต่ก็นะ..
“อ่า..” เหลือแค่ที่บ้านผมสินะ
“แล้วผมจะพาคุณไปเปิดตัว ไปรู้จักครอบครัวของผมกันนะครับ” เปิดตัว? อ่า..เริ่มประหม่าซะแล้วสิ
“กะ..ไกลนะคุณ”
“ไม่เกินสิบสามชั่วโมง ถือว่าไปนอนเล่นบนฟ้านะครับ” เหอะ กูไม่อยากนอน
“ตะ..ตั๋วแพง” ที่จริงก็มีปัญญาอยู่หรอก แต่ไม่พร้อมไง
“คุณไม่ต้องออกเงินแม้แต่เพ็นซ์เดียวที่รัก..แฟนคุณรวยนะเผื่อคุณลืม” จ๊ะ รวย แต่ไม่ต้องกระซิบข้างหูขนาดนี้ก็ได้มะ
“ผม เกรงใจ”
“ผมเต็มใจ มีที่ที่ผมอยากพาคุณไปเยอะเลย ที่ในความทรงจำของผม” อืม..อันนี้น่าสน
“โอเค ผมจะไป” ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าที่ที่เด็กชายเจเรมี่เติบโตมาเป็นแบบไหน เพราะจริงๆแล้วเรารู้เรื่องของกันและกันน้อยมาก มันคงถึงเวลาที่เราจะเรียนรู้และรู้จักกันให้มากขึ้น..
“ขอบคุณครับ”
“นี่คุณ”
“ว่าไงครับ”
“เรื่องคอนโดของคุณ คุณอยากได้แบบไหนช่วยบอกผมสักนิด” คือจะให้แล้วแต่ผมหมดทุกอย่างมันก็ไม่ใช่ป่ะ
“ตามใจคุณที่รัก” อีกล่ะ
“ได้ยังไงล่ะครับ คอนโดของคุณนะ”
“ไม่ใช่คอนโดของผมแต่เป็นคอนโดของเรา ฉะนั้นผมให้คุณออกแบบได้ตามใจชอบ”
“ของเราได้ยังไงครับ”
“ได้สิครับ ก็เราคบกันมันก็ต้องเป็นของเรา ผมอยากให้คุณออกแบบ อยากให้ห้องนั้นเป็นฝีมือของคุณทั้งหมด” ถ้ามันเป็นของเราก็ต้องช่วยกันดิ
“มันต้องช่วยกันคิดต่างหากล่ะครับ ถึงจะเรียกว่าเป็นของเรา”
“โอเคที่รัก เราจะช่วยกัน” รอยยิ้มกว้างที่แสนอ่อนโยนทำให้ในอกอุ่นไม่น้อย..
“ถ้าอย่างงั้นผมจะออกแบบใหม่แล้วส่งไปให้คุณดูคุณอยากได้ตรงไหนเพิ่มหรือแก้ส่วนไหนก็บอกผม โอเคนะครับ”
“ครับ”
“งั้นนอนกันนะครับ”
“คุณง่วงแล้วเหรอที่รัก”
“ครับ ผมง่วงแล้ว” เอาจริงๆมะ ไม่ได้ง่วงหรอกตานี่สว่างโร่ก็บรรยากาศแบบนี้ใครมันจะไปหลับลง แต่อยากให้พี่เบิ้มได้พักไง พรุ่งนี้ต้องเดินทางแต่เช้าแถมยังไกลอีกต่างหาก ให้ร่างกายไม่เพลียพร้อมสำหรับการเดินทางนั้นแหละดีที่สุด..ไม่รักไม่ห่วงหรอกนะ เขินวุ้ยยย
“ฝันดีนะที่รัก ผมรักคุณ” คำบอกรักเบาๆพร้อมกับริมฝีปากที่แนบลงมาที่หน้าผากทำให้ผมยิ้มรับสัมผัสนั้นอย่างเต็มใจ และไม่ลืมเอ่ยตอบกลับไปเช่นกัน..
“ฝันดีครับ ผม..ผมก็รักคุณ” ไม่บอกก็รู้ว่าเจ้าของอ้อมกอดที่เอาคางเกยบนหัวผมเนี่ยทำหน้ายังไง..ยิ้มร่าเลยล่ะสิท่า
..คืนนี้เราคงฝันดีกันทั้งคู่
08.15น. ท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่
“คุณส่งผมแค่นี้ก็ได้ครับที่รัก” เมื่อเลี้ยวรถเข้ามาในสนามบินพี่เบิ้มก็เอ่ยปากทันที
“ได้ไงล่ะครับ ผมจะรอส่งคุณเข้าเกต” เอาให้มันถึงวินาทีสุดท้ายกันไปเลย
“แค่นี้คุณก็คิดถึงผมซะแล้ว” ไอ้อาการยิ้มยิงฟันแบบนี้หมายความว่าไง ฮึ
“ว่าแต่คุณเหอะ ไม่อยากให้ผมอยู่ส่งรึไง ไหนบอกว่าจะโทรหาทุกชั่วโมงนี่ยังไม่ทันขึ้นเครื่องก็ไล่ผมกลับซะแล้ว” ชิ คนโกหก
“ผมแค่กลัวใจตัวเองต่างหากล่ะครับ ขืนอยู่กับคุณนานกว่านี้ผมอาจจะเปลี่ยนใจไม่กลับแล้วก็ได้” บ้าบอ
“ไม่กลับไปทำงานรึไงคุณ”
“ผมยอมขายหุ้น”
“คุณมันบ้า”
“ใช่ผมมันบ้า บ้าก็เพราะคุณ” อย่ามาโทษกันนะ
“โอ้ยย เดี๋ยวคุณนี่มันในรถนะ” เมื่อรถจอดสนิทอีพี่เบิ้มก็จู่โจมโน้มผมเข้าไปนัวเนียทันที
“จูบเดียวนะที่รัก เดี๋ยวเข้าไปข้างในคุณต้องไม่ยอมให้ผมจูบแน่ๆ”
“...” แหงล่ะ
“อีกตั้งหนึ่งเดือนที่ผมจะได้จูบคุณอีก นะที่รักไม่งั้นผมขาดใจแน่ๆ” ให้ตาย! มึงมันงอแงสิ้นดี
ยอมก็ได้! กูกลัวมึงขาดใจหรอกนะ
“โอเคๆ จูบเดียวนะครับ” ผมหลับตาลงเพื่อเป็นสัญญาณ ไม่ต้องรอนานริมฝีปากหนาก็สัมผัสลงมาที่เรียวปากของผมทันที
..อ่อนโยน
..เนิบช้า
..อยากให้เวลาหยุดหมุน อืมมม แต่หมุนเหอะ! เพราะกำลังจะขาดใจตายเมื่อรสจูบแปรเปลี่ยนเร่าร้อน
“อือออ ไม่เอาลิ้น!”
“ก็คุณหวานอ่ะ”
“พอเลยคุณ ลงรถได้แล้วเดี๋ยวก็ตกเครื่องหรอก”
“ก็ดี จะได้อยู่ต่ออีกสักหน่อย” มึงมันบ้า เสียเวลาคุยชะมัด มึงไม่ลงก็ตามใจกูลงก่อนล่ะ
ผมเดินมาเปิดท้ายรถรอให้อีควายเผือกมาหยิบกระเป๋า..มึงจะอ้อยอิ่งไปถึงไหน พอหยิบกระเป๋าสะพายบ่าได้ ก็หันมาเร่งผมซะอย่างงั้น
“ไปกันคุณ เดี๋ยวจะไม่ทัน” นี่มึงเพิ่งจะรู้ตัวเหรอ? แล้วพี่มันก็เดินนำผมไปเฉยเลยครับ เชื่อเขาเลย..
เมื่อเช็คอินและโหลดกระเป๋าเสร็จเรียบร้อย ยังพอมีเวลาเหลือให้เราได้ร่ำลากันอีกนิดหน่อยก่อนที่พี่เบิ้มจะเข้าไปยังเกต
“เฮ้อ เมื่อกี้ผมน่าจะจับคุณยัดกระเป๋า” นี่คนนะไม่ใช่กางเกงใน
“เดือนเดียวเองครับ อดทนหน่อย” ผมเข้าใจความรู้สึกของพี่เบิ้มดีเพราะเราต้องอดทนไปด้วยกัน..
“ถึงแล้วผมจะรีบโทรหานะที่รัก”
“ครับ”
“ทานข้าวให้ตรงเวลาแล้วก็อย่าลืมไปยิมด้วยนะครับ”
“ฮ่าๆ ครับๆ คุณก็ด้วยนะอย่าทำงานหนักจนลืมกินข้าวล่ะ”
“รอผมนะที่รัก”
“ครับ เข้าไปข้างในเหอะคุณใกล้ได้เวลาแล้ว”
“โอเค แล้วเจอกันที่รัก”
“แล้วเจอกันครับ” พี่เบิ้มสวมกอดผมแนบแน่นก่อนจะผละออกอย่างตัดใจ
ผมยังยืนอยู่ที่เดิมมองคนตัวสูงเดินไปยังเจ้าหน้าที่เพื่อตรวจตั๋วและพาสปอร์ต จากนั้นก็นำของทุกอย่างที่ติดตัวมาวางลงบนสายพานเอกซเรย์ก่อนจะหันมามองผมพร้อมกับพูดโดยไม่เปล่งเสียง "I miss you"
ผมยิ้มให้กับประโยคนั้นพร้อมกับพยักหน้ารับรู้ เมื่อผ่านเข้าไปข้างในเรียบร้อยแล้ว พี่เบิ้มก็หันกลับมาที่ผมอีกครั้งและเอ่ยคำบางคำถึงแม้ผมจะไม่ได้ยินแต่คำๆนั้นกลับดังก้องอยู่ในหัวใจ "I love you"
ผมโบกมือลาให้กับคนตัวสูงพร้อมกับเอ่ยประโยคเดิมนั้นอีกครั้งเบาๆ "I love you too"
เมื่อกลับมาถึงเกสท์เฮาส์ความรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปสักอย่างก็จู่โจมขึ้นอย่างฉับพลัน..หรือนี่จะเรียกว่าความเหงา ยังไม่ทันพ้นหนึ่งชั่วโมงผมก็คิดถึงพี่เบิ้มซะแล้ว..
เริ่มทำงานแล้วสินะ..ความคิดถึง
มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงสั่นครืนเรียกสติที่กำลังเหม่อลอยให้กลับมาอีกครั้ง หืมมม...ไอ้ฟาง
“หวัดดีมึง” เสียงหญิงสาวหนึ่งเดียวในกลุ่มเอ่ยทักทายมาตามสาย
“หวัดดีเพื่อน ไม่หลับไม่นอนรึไงมึงโทรมาเวลานี้มีไรป่ะเนี่ย” ที่อังกฤษตอนนี้น่าจะตีสามแล้ว
“กูแค่จะโทรมาถามว่าส่งคุณบอส ไม่สิส่งคุณแฟนของมึงขึ้นเครื่องเรียบร้อยแล้วใช่มะ”
“อื่อ เรียบร้อยแล้ว” ไม่แปลกที่ไอ้ฟางจะรู้ก็เพื่อนสนิทในกลุ่มจะไม่รู้ได้ยังไงล่ะ แต่ตอนที่มันรู้ว่าผมคบกับพี่เบิ้มดูเหมือนว่ามันจะไม่ตกใจเท่าไหร่ ที่จริงมันก็ทุกคนในกลุ่มนั้นแหละไม่มีใครแปลกใจเลยที่ผมตกลงคบกับพี่เบิ้ม เหมือนรู้กันอยู่แล้วว่ายังไงผมก็ไม่รอดแน่ๆ
“คราวนี้มึงจะได้มีข้ออ้างมาหากูที่อังกฤษสักที”
“ทำไมต้องมีข้ออ้าง”
“อ้าวก็ผัวมึงอยู่นี่ ใจคอไม่คิดจะมาหาเขาที่นี่เลยรึไง”
“ยังไม่ใช่ผัวโว้ยยย”
“ฮิฮิ อีกหน่อยก็เป็น” หัวเราะได้น่าดีดปากแตกมาก
“นี่ กูถามไรหน่อยดิ”
“ว่ามา แต่บอกไว้ก่อนนะถ้าถามเรื่องอย่างว่าทำยังไงนี่กูไม่รู้นะเว้ยต้องถามอีซูซี่มัน ฮิฮิ” กูเกลียดเสียงหัวเราะมึง
“ไม่ใช่โว้ย มึงไม่ตกใจเหรอวะที่กูคบกับผู้ชาย” ผมถามมันด้วยน้ำเสียงจริงจัง ไอ้ฟางคือคนเดียวในกลุ่มที่คบกับเพศตรงข้ามผมจึงอยากรู้ว่าจริงๆแล้วมันคิดยังไงกับเพื่อนสนิทที่มีแฟนเป็นเพศเดียวกัน
“ตอนแรกก็แปลกใจนิดหน่อยทั้งมึงทั้งไอ้ดอยต่างก็คบกับผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ทั้งที่เมื่อก่อนก็ไม่ได้มีรสนิยมออกไปแนวนั้น แต่กูก็ยินดีที่พวกมึงมีความรักและก็มีความสุขไม่ว่าพวกมึงจะคบใครพวงมึงก็เป็นเพื่อนรักกูไม่เปลี่ยนแปลง ความรักมันไม่ใช่เรื่องของเพศแต่มันคือเรื่องของความรู้สึกต่างหากล่ะที่สำคัญ” ซึ้งเลย
“กูรักมึง”
“บอกผัวมึงนู้น”
“โว๊ะ คนกำลังซึ้ง”
“นี่กูดีใจจริงๆนะที่มึงมีแฟนเป็นตัวเป็นตนสักที”
“ขอบใจ”
“คุณบอสเป็นคนดีแล้วเขาก็รักมึงมาก กูจำแววตามีความสุขของเขาในวันนั้นได้ดี”
“วันไหนวะ?” จะว่าไปแล้วไอ้ฟางเป็นคนที่น่าจะรู้จักพี่เบิ้มมากที่สุด แต่ก่อนหน้านี้มันไม่เคยเล่าอะไรให้ผมฟังเลย
“หลังจากวันที่เขากลับมาจากเชียงใหม่วันที่มึงกับเขาเจอกันครั้งแรกน่ะ เขานัดกูกับพอลกินข้าว แล้วเขาก็เล่าเรื่องมึงให้กูฟัง เขาบอกดีใจมากที่ไกด์ที่กูแนะนำให้เป็นคนในโชคชะตาของเขา” ไอ้ฟางเว้นวรรคหายใจครู่หนึ่งก่อนจะเล่าต่อด้วยน้ำเสียงที่ดูตื่นเต้นนิดๆ
“แต่ตอนแรกกูก็งงๆว่าอะไรคือคนในโชคชะตา จากนั้นเขาก็ปลดล็อคมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วหน้ามึงก็ยิ้มร่าออกมาเชียว เขาเล่าให้ฟังว่าเห็นรูปนี้เมื่อปีที่แล้วเป็นรูปที่กูแชร์ความทรงจำในเฟส วันนั้นเป็นวันที่เขารู้สึกท้อพอดี แต่พอเห็นรอยยิ้มมึงกลับมีแรงฮึดขึ้นมาและตกหลุมรักมึงในทันที”
“...” อืมมม พอได้ยินเรื่องจากปากคนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าตัวแล้วก็เขินแปลกๆแฮะ แต่อีพี่เบิ้มไม่เห็นเคยเล่าให้ฟังเลยว่าไปเจอไอ้ฟาง ส่วนไอ้ฟางกว่าจะเล่าให้ฟังก็รอจนป่านนี้ แต่ก็ช่างเหอะ ก็ตอนนี้คบกันแล้วนี่เนอะ ฮ่า
“แต่ที่กูสงสัย รู้ทั้งรู้ว่ามึงเป็นเพื่อนกูก็น่าจะมาถามกูตั้งแต่แรกจะได้เจอกันให้สิ้นเรื่องสิ้นราว แต่สิ่งที่เขาตอบกลับมาทำให้กูขนลุกซู่”
“มึงปวดขี้?”
“ใช่ เพิ่งแดกตำซั่วไป ถุยไม่ใช่สิ กำลังจะซึ้งเลยนะมึง”
“...” ผมจึงเงียบเพื่อรอบทซึ้ง
“เขาบอกว่าเขาเชื่อในพรหมลิขิตถ้ามึงคือคู่ของเขาสักวันหนึ่งต้องได้พบกัน”
“...” ถ้าผมจำไม่ผิดตอนที่พี่เบิ้มเล่าเรื่องชายหนุ่มผ้าพันคอสีฟ้าซึ่งตอนนั่นผมยังไม่รู้ว่าเป็นผม ผมก็ถามออกไปเหมือนกันว่าทำไมไม่จีบชายคนนั้นล่ะถ้ารู้สึกตกหลุมรักขนาดนั้น แต่พี่แกกลับบอกว่ามันเป็นความรักที่เป็นไปไม่ได้ และก็ถามกลับมาอีกว่าถ้าได้เจอคนนั้นตรงหน้าจะทำยัง ผมตอบไปว่ายังไงน้า..รู้สึกจะตอบว่า 'ผมก็คงรีบคว้าเขาไว้ เพราะนี่มันคือพรหมลิขิตชัดๆที่ทำให้พบกัน'
อ่า..จู่ๆขอบตาก็ร้อนผ่้าว เขาต้องอดทนขนาดไหนกันนะกับการรอโดยที่ไม่รู้จุดหมาย ผมเข้าใจความรู้สึกของพี่เบิ้มแล้วว่าทำไมเขาถึงไม่ยอมปล่อยให้ผมหลุดมือ..
“แล้วมึงก็คือคู่ของเขาจริงๆเว้ย สุดท้ายก็ได้พบกัน แมร่งพูดแล้วก็ขนลุก”
“ขอบคุณนะ”
“ขอบคุณอะไรกู”
“ก็ที่มึงเป็นคิวปิดไง ถ้ามึงไม่ให้กูเป็นไกด์ในวันนั้นเราก็คงไม่ได้พบกัน”
“อืมนั่นสินะ แต่ถึงวันนั้นพวกมึงไม่ได้เจอกันแต่กูเชื่อว่าสักวันคงได้พบกันเพราะพวกมึงเป็นคู่กันไง”
“แต่มึงทำให้พวกกูหากันเจอไวขึ้นไง” ถ้าไม่มีไอ้ฟางป่านนี้ผมกับพี่เบิ้มอาจจะคงยังไม่รู้จักกันก็ได้
“เออว่ะ งั้นดี คิวปิดคนนี้ขอตั๋วเครื่องบินไป-กลับด้วยนะจ๊ะ อยากจะกลับไปดูหนังหน้าคนมีผัว เอ้ย!คนมีความรักสักหน่อย ฮิฮิ”ขอซื้อทิ้งเหอะ เสียงหัวเรามึงอ่ะ
“ได้! จองเลยเดี๋ยวกูโอนเงินให้” เพื่อคิวปิดแล้วกูยอม
“จริงอ่ะ กราบแทบท้าวงามๆเจ้าค่ะ”
“เออ”
“งั้นกูไปนอนต่อก่อนนะง่วงมากกกก” ใครใช้ให้โทรมาเวลานี้กันเล่า
“ไปๆ ฝันดีมึง”
“จ้า คิดถึงมึงเน้อ”
...
..
.
..คิดถึงพี่เบิ้มมมม ยิ่งได้ฟังที่ไอ้ฟางเล่าผมก็ยิ่งคิดถึงพี่เบิ้มมมมม
ให้ตาย! ความคิดถึงนี่มันทรมานใช่เล่น แต่คนที่ทรมานมากกว่าก็น่าจะเป็นพี่เบิ้มเพราะแม่งรอผมมาสองปี..อีพี่เบิ้มมึงนี่มันมาโซคิสม์ชัดๆ
02.30น. ล่วงเลยเข้าวันใหม่ไปแล้วแต่ผมยังนอนไม่หลับได้แต่พลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงอยู่ พี่เบิ้มน่าจะถึงตั้งแต่เที่ยงคืนกว่าแล้ว ทำไมยังไม่โทรมานะ ..ก็พี่แกบอกเองนี่นาว่าถ้าถึงแล้วจะรีบโทรหา..
แต่ก็นะพี่แกคงจะเหนื่อยเดินทางตั้งสิบสองชั่วโมงและก็คงจะเจ็ทแลคแน่ๆ ไว้ตอนสายๆค่อยโทรไปหาก่อนก็ได้ คืนนี้ให้พี่แกได้พักก่อนดีกว่า
กำลังข่มตาให้หลับแต่แล้วแรงสั่นและแสงสว่างจากหน้าจอมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียงทำให้ผมต้องลืมตา และยิ้มออกทันทีเมื่อเห็นเบอร์โทรศัพท์ที่ยาวเหยียดและไม่คุ้นตา..ยังไม่หมดแรงสินะ
“Hello” ผมกรอกเสียงลงไปตามสายที่อยู่ห่างออกไปห้าพักว่าไมล์โดยที่รอยยิ้มยังไม่เลือนหายไปจากใบหน้า
[“ที่รัก ผมเองนะครับ”] พอได้เสียงเสียงทุ้มที่คุ้นเคยก็ทำให้รู้สึกเต็มตื้นอย่างบอกไม่ถูก
“ครับ เดินทางปลอดภัยดีนะครับ”
[“ครับ ถึงฮีทโทรลตอนเกือบๆหนึ่งทุ่ม ส่วนตอนนี้สองทุ่มครึ่งเดินทางถึงบ้านเรียบร้อยแล้วครับ”]
“เหนื่อยมั้ยคุณ”
[“เจ็ทแลคนิดหน่อยครับ แต่คิดถึงคุณมากกว่าที่รัก นี่ผมโทรมาปลุกคุณรึเปล่าที่เมืองไทยน่าจะตีสองกว่าแล้ว”] ไม่อยากจะบอกว่าผมก็ง่วงแต่ก็นอนไม่หลับเพราะคิดถึงคุณเหมือนกัน..
“ไม่ครับ ผมลุกมาเข้าห้องน้ำพอดี” เขิน ใครจะกล้าบอกตรงๆกันล่ะ
[“จริงเหรอครับ ผมนึกว่าคุณนอนไม่หลับเพราะว่ารอโทรศัพท์จากผมอยู่ซะอีก”] ชิ ฉลาดนัก
“ก็ใครบอกถึงแล้วจะโทรหากันเล่า!”
[“ฮ่าๆ คุณน่ารักที่สุด..ผมอยากจูบคุณจัง”] บ้าบอ
“คุณพักผ่อนเถอะครับ ไว้เราค่อยคุยกันใหม่” ไม่ใช่ไม่อยากคุยนะ แต่ผมเป็นห่วงอยากให้พี่เบิ้มได้พัก
[“ได้ครับ ฝันดีนะที่รัก ผมรักคุณ”]
“ครับ ฝันดีเช่นกัน”
“แค่นั้นเองเหรอครับ” งอแงตลอด
“...” ตอนไปส่งที่สนามบินก็บอกไปแล้วไง บอกไรเยอะแยะเล่า
[“...”] พี่เบิ้มยังคงรอคำตอบอย่างใจเย็น แต่ที่แน่ๆหน้ามึงกำลังยิ้มแน่ๆ
ก็ได้! จะให้พูดสักพันรอบจนปากเป็นตะคริวกูก็ยอม
“ผมรักคุณ” นั้นไงยิ้มจริงๆด้วย
..กูนี่แหละที่ยิ้ม
..บ้า ไอ้ณตมึงบ้าไปแล้ว
..ความคิดถึงมันก็ทำให้มีความสุขได้เหมือนกันเนอะ
TBC.
…………………………………..........................
อิป้านางบ้าไปแล้วจ้า #พี่เบิ้มป้านด
บทที่16 เพราะคิดถึง..จึงมาหา
ห้าวันแล้วที่พี่เบิ้มกลับอังกฤษ..ทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามปกติ..เพิ่มเติมคือความคิดถึง
การโทรหากันวันละสามเวลาช่วยให้ความคิดถึงเบาบางลงได้บ้าง ตีห้าครึ่งคือเวลาตื่นของผมซึ่งที่อังกฤษคือเวลาห้าทุ่มครึ่งเป็นเวลาเข้านอนของพี่เบิ้ม การโทรหาผมก่อนนอนกลายเป็นการโทรปลุกผมไปโดยปริยายห้าวันแล้วที่นาฬิกาปลุกไม่จำเป็นสำหรับผมอีกต่อไปเพราะมีคนโทรปลุกส่งตรงมาจากUK..
ส่วนเวลาตื่นของคนที่อยู่อีกซีกโลกก็คือยามบ่ายอันแสนง่วงงันการโทรไปปลุกฝรั่งขี้เซาก็เป็นการช่วยให้หายง่วงได้เป็นอย่างดี เอ๊ะ!หรือให้หายคิดถึงกันแน่นะ.. และเมื่อถึงเวลาเข้านอนของผมก็ตรงกับเวลาเลิกงานของพี่เบิ้มเราคุยกันตั้งแต่พี่เบิ้มออกจากออฟฟิศจนถึงบ้านหรือบางวันก็คุยจนผมหลับคาโทรศัพท์ไปเลย
รักทางไกลมันก็ไม่ก็ไม่แย่อย่างที่คิดสักเท่าไหร่สำหรับคนที่มีความรักครั้งแรกอย่างผม..เป็นอะไรที่แปลกใหม่ดี
กรุ๊งกริ๊ง กรุ๊งกริ๊ง เสียงกระดิ่งที่แขวนอยู่ตรงประตูร้านบ่งบอกถึงผู้มาใหม่..และการกวนประสาท
“กูกลัวมึงเหงาเลยพาเด็กมาฝาก”
“พี่ดอย ผมไม่ใช่เด็กอนุบาลสักหน่อย” ฝรั่งน้อยซันนี่มองค้อน แต่มันช่างน่ามอง
“ยังไงเราก็เป็นเด็กน่ารักของพี่น่า” ผมได้แต่กลอกตากับความเลี่ยนของเพื่อนคำพูดช่างไม่เข้ากับสารร่างของมันสักนิด
“กลับไปหยอกกันที่บ้านไป๊ เหม็น”
“ฝนจะตกเหรอวะ มืดครึ้มเชียว”
“ตามึงบอด?” แดดสว่างจ้าขนาดนี้
“บนหัวมึงอ่ะ”
“โว๊ะ จะกินมั้ยกาแฟ กินก็สั่ง”
“ฉุนเฉียวๆ กูเอาออเรนจ์แบล็คคอฟฟี่”
“มาแปลกนะวันนี้”
“คนมีความรักก็งี้แหละ อยากกินอะไรที่มันหวานๆ”
“กาแฟดำผสมน้ำส้มมันไม่ได้หวานขนาดนั้น อยากแดกหวานก็แดกน้ำเชื่อม”
“ผัวไม่อยู่อารมณ์ไม่สุนทรีเลยนะมึง”
“แฟนสิ ผัวห่าไรของมึง”
“หึหึ” หัวเราะได้น่าถีบ แต่ก็กลัวมันเอาคืนเพราะตัวมันไม่ใช่น้อยๆเล็กกว่าพี่เบิ้มแค่คืบ
“ซันนี่กินไรดี”
“ผมขอมอคค่าเย็นครับ”
“หวานๆเหมือนเดิมเนาะ”
“ครับ” เด็กอะไรไม่รู้น่ารักน่าชัง ไอ้ดอยมันขุดหลุมยังไงวะถึงตกฝรั่งน้อยได้วะ..แต่ก็ยินดีกับเพื่อนกับน้องล่ะน้า
“มึงอย่ามามองที่รักของกูด้วยสายตาแบบนี้นะ กูหวง” มันดึงน้องเข้าไปกอดพร้อมกับดึงปีกหมวกสีขาวที่น้องสวมให้ปิดหน้าของน้องเอาไว้..บ้าบอความรัก
“ประสาท” ผมได้แต่ส่ายหน้ากับความขี้หวงของเพื่อน
“เออมึง เย็นนี้ไปแดกซูชิกันชวนอีซูซี่มันไปด้วย”
“วันนี้มันไม่ว่างพาผัวไปกินข้าวกับที่บ้าน”
“อ้าวเหรอ”
“มึงไปกินกับซันนี่สองคนเหอะกูไม่อยากเป็นก้าง วันนี้กูตั้งใจจะเข้ายิมด้วย” ต้องถ่ายรูปส่งการบ้านให้คนทางไกลว่าผมเข้ายิมจริงๆไม่ได้รับปากเฉยๆ
“โอเคมึง งั้นพวกเราค่อยนัดกันคราวหน้า”
“ตามนั้นมึง”
“เออจะว่าไปลุงสมชายพ่ออีซูซี่แม่งโคตรใจเลยเนอะ”
“ยังไงวะ”
“ก็รับได้ที่อีซูซี่เป็นเกย์ไงแถมพาผัวเข้าบ้านอีก ตอนแรกที่กูเจอพ่อมันกูคิดเลยว่าอีซูซี่ไม่กล้าบอกพ่อมันแน่ๆ ก็แม่งเป็นทหารโหดซะขนาดนั้น” ก็จริงเพราะพ่อของอีซูซี่เป็นทหารยศนายพลมีระเบียบและวินัยที่เคร่งครัดมาก ชื่ออจริงของมัน ชาติชาย มีที่มาก็เพราะพ่อของมันอยากให้ลูกชายคนโตของบ้านเจริญรอยตามเป็นชายชาติทหารเหมือนกับตนเอง..แต่ก็นะหัวใจดันเป็นสีรุ้งฟรุ้งฟริ้งซะอย่างนั้น
พวกผมเคยถามอีซูซี่ว่าคิดจะบอกที่บ้านของมันหรือเปล่าเรื่องที่มันเป็นเกย์ มันเลยเล่าให้ฟังว่าแม่ของมันรู้อยู่แล้วเพราะมันกับแม่สนิทกันมากและด้วยความเป็นแม่ทำไมจะดูไม่ออกว่าลูกของตัวเองนั้นเพศสภาพไหน แม่ของมันไม่เคยบอกเรื่องนี้กับพ่อเพราะรอวันที่อีซูซี่พร้อมให้เป็นฝ่ายบอกด้วยตัวเอง
ตอนที่มันอยู่ม.5พ่อมันบังเอิญไปเจอหนังโป๊เกย์ที่มันโหลดเก็บไว้ในคอมเท่านั้นแหละโป๊ะแตก มันคิดว่าวันนั้นมันต้องตายแน่ๆแต่สุดท้ายพ่อของมันกลับเข้าใจและรับได้ เพียงแต่มีข้อแม้ว่ามันต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดมีวินัยในการใช้ชีวิตไม่ออกนอกลู่นอกทาง ส่วนจะรักใครชอบใครเพศไหนนั้นก็แล้วแต่เพียงแต่ว่าเวลาคบใครที่บ้านต้องรับรู้..และนั้นเป็นเหตุผลของการเรียนจบปริญญาตรีด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ถึงแม้อีซูซี่จะเป็นเกย์ควีนหัวใจสีบานเย็นแต่การใช้ชีวิตของมันมีระเบียบวินัยตามแบบฉบับของลูกนายพลไม่ได้ไร้สาระวี๊ดว๊ายไปวันๆ และเมื่อมันคบใครก็อยู่ในสายตาของพ่อและแม่มันเสมอ..และดูเหมือนว่าลูกเขยต่างชาติคนนี้จะเป็นที่ถูกใจท่านายพลซะด้วยสิ
“จริงๆพ่อของมันใจดีนะแล้วก็ไม่ได้หัวโบราณ อีซูซี่มันโชคดีจริงๆนั้นแหละ ว่าแต่ที่บ้านมึงเหอะรู้รึเปล่าเรื่องซันนี่” จะว่าไปผู้ชายทั้งสามคนในก๊วนแก๊งมีแฟนเป็นผู้ชายกันหมดอีซูซี่น่ะไม่น่าแปลกใจหรอกแต่ผมกับไอ้ดอยนี่สิมีแฟนเป็นผู้ชายเฉยเลย
..แต่ก็นะในเมื่อมันคือความรักก็ไม่อยากปล่อยให้หลุดมือ
“รู้ดิ ดีใจกันยกใหญ่ที่กูคบกับน้อง นี่กูก็แปลกใจกับแม่กูเหมือนกัน”
“เออดีว่ะ” ทำไมมันง่ายดายดีจังวะ
“แต่แม่ของซันนี่ยังกังวลอยู่นิดหน่อยว่าลูกชายของตัวเองมาเปลี่ยนกูให้เป็นเกย์”
“หืมมม?”
“คือ..ผมเป็นเกย์ครับ”
“อ่า..” แบบนี้นี่เอง ก็พอจะมองออกอยู่หรอกว่าฝรั่งน้อยไม่ได้ชอบผู้หญิง
“ก็พี่ดอยเป็นผู้ชายที่ชอบผู้หญิงแม่ก็เลยกังวลว่าเป็นเพราะผมหรือเปล่าที่เป็นคนเปลี่ยนให้พี่ดอยชอบผู้ชาย แล้วก็พี่ดอยจะรักผู้ชายอย่างผมได้จริงๆไหม”
“อย่างหลังนี่แม่หรือว่าเราที่กังวล ฮึ ยอมรับครับว่าพี่ชอบผู้หญิงไม่ได้ชอบผู้ชายแต่ตอนนี้คนที่พี่รักคือซันนี่ พี่ไม่สนหรอกนะว่าใครจะมองพี่เป็นไบหรือเป็นเกย์ พี่สนแค่หัวใจของพี่และหัวใจของตะวัน เชื่อมั่นในตัวพี่ก็พอนะครับ”
“ครับ” ฝรั่งน้อยน้ำตาคลอก่อนที่ไอ้ดอยจะดึงน้องเข้าไปกอดโยกตัวเบาๆเป็นการปลอบ..ผมก็ไม่คิดเหมือนกันว่าคนเนื้อหอมในหมู่สาวๆอย่างไอ้ดอยจะลงเอยกับผู้ชายอย่างซันนี่ แต่ผมเชื่อมันนะว่ามันรักน้องจริงๆ
“แล้วมึงล่ะ ที่บ้านรู้ยัง”
“ยัง” ผมตอบเสียงเบา นี่แหละปัญหาของกู
“กูรู้ว่ามึงกังวล แต่เชื่อกูว่ามันจะผ่านไปได้ด้วยดี” มันตบบ่าผมเบาๆเพื่อให้กำลังใจ คำพูดของมันเหมือนของพี่เบิ้มเลยแฮะ มันจะผ่านไปได้ด้วยดี ก็ขอให้เป็นแบบนั้น..
“เดี๋ยวกูจะไปหาลูกค้าไม่เกินสองชั่วโมงเดี๋ยวกลับมา อย่าทำอะไรตะวันของกูล่ะ” มันก้มลงมองนาฬิกาข้อมือก่อนจะเงยหน้ามองผมตาขวาง
“หึ ไม่รับปาก”
“ปากดี เคะกับเคะเหมือนกันจะทำกันยังไงวะ” อะไรของแม่ง เคะ? ภาษาต่างดาวเร๊อะ
“เคะอะไรของมึง”
“ให้ซันนี่อธิบายละกันกูไปล่ะ เดี๋ยวพี่มานะครับ” มันพูดกับผมก่อนจะหันไปบอกน้องเท่านั้นไม่พอดึงน้องเข้ามาหอมแก้มฟอดใหญ่จนคนโดยหอมแก้มอายม้วนหน้าแดงเป็นตูดลิง..บ้าบอความรัก อะเกน
“เคะคืออะไร?” เมื่อไอ้ดอยก้าวขาออกจากร้านผมก็ถามฝรั่งน้อยด้วยความสงสัยทันที
“มันเป็นศัพท์มาจากอะนิเมะของญี่ปุ่นที่ใช้เรียกลักษณะตัวละครน่ะครับ เคะย่อมาจากอุเคะรุคู่กับเมะที่ย่อมากจากเซเมะรุ”
“?” หน้าผมงงมากบอกเลย ซันนี่ขำน้อยๆก่อนจะอธิบายง่ายๆเห็นภาพชัดเจนแจ่มแจ้ง
“เคะก็คือฝ่ายรับ ส่วนเมะก็คือฝ่ารุกครับ”
“อ่า..” ตกลงว่าผมคือเคะก็คือฝ่ายรับงั้นสิ ก็รู้อยู่แล้วล่ะว่ากูต้องรับน่ะ แม่งภาพงูหลามเผือกของอีพี่เบิ้มลอยมาเลย ผวาเลยกู!
“พี่ณตกลัวใช่ไหมครับ” สีหน้าของผมคงแสดงออกชัดเจน
“ก็นะ..พอนึกว่าต้องมีอะไรมาเสียบข้างหลังแล้วมัน...” มันเป็นทางออกนะโว้ยไม่ใช่ทางเข้า แค่คิดก็เสียวสันหลังวาบ
“มันเจ็บครับ”
“ใช่มั้ยล่ะ! มากไหมอ่ะ”
“เจ็บแต่ทนไหว จากนั้นพี่ณตก็จะมีความสุข”
“จริงอ่ะ?” มันเจ็บแล้วจะสุขได้ไงวะ
“เพราะเรากำลังเชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกันกับคนที่เรารัก..ถ้าถึงวันนั้นพี่ณตจะเข้าใจครับ” คนพูดก็เขินส่วนคนฟังก็เขิน
ิิ ...เชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกัน..เชื่อมต่อด้วยร่างกาย อ่าาา
ห้าทุ่มครึ่งแล้วผมยังคงนั่งไถนอนไถหน้าจอมือถือจนนิ้วแทบล็อกจึงต้องวางมันไว้ข้างเตียงก่อน เปลี่ยนมาเปิดทีวีแต่ช่องรายการทีวีในเวลาเกือบเที่ยงคืนแบบนี้ก็ไม่ค่อยมีอะไรน่าดูสักเท่าไหร่..น่าเบื่อชะมัด เมื่อชั่วโมงที่แล้วพี่เบิ้มไล์น์มาบอกว่าวันนี้เลิกงานช้าเพราะมีประชุมด่วนให้นอนก่อนได้เลยไม่ต้องรอ แต่คำตอบของผมคือ ผมจะรอ ใครจะไปหลับลงกันเล่า!
นอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียงไม่รู้ว่าเพราะความคิดถึงหรืออะไรกันแน่ กลิ่นกายจางๆของพี่เบิ้มที่ยังคงหลงเหลืออยู่บนเตียงทำให้ผมเผลอสูดกลิ่นนั้นของพี่เบิ้มเข้าเต็มปอด นี่ผมถึงขั้นไม่ยอมเปลี่ยนผ้าปูที่นอนเลยนะเครื่องนอนทุกชิ้นที่พี่เบิ้มใช้ยังอยู่ครบบนเตียง
แต่ช้าแต่..ให้ตาย! ไอ้ลูกชายของผมมันดันโป่งพองขึ้นมาซะงั้น นี่กูมีอารมณ์เพราะกลิ่นของอีพี่เบิ้มเหรอเนี่ย..ไอ้ณตมึงอาการหนักแล้วล่ะ
อ่า แล้วคำพูดของซันนี่เมื่อตอนบ่ายก็ดังขึ้นมาในห้วงความคิดอีกครั้ง เชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกันกับคนที่เรารัก บ้าเอ้ย ยิ่งคิดตรงหว่างขาของผมมันก็ยิ่งปวดหนึบ..ไม่ไหวแล้ว!!
..แฮ่ก แฮ่ก เกิดมายี่สิบหกปีกูไม่เคยต้องมาช่วยตัวเองเพราะกลิ่นแม่งโรคจิตไปอีก แล้วพี่มึงก็อย่าเสือกโทรมาตอนนี้ล่ะ รอแป๊บ รอกูแตกก่อน!!
กลิ่นที่ติดตรงหมอนชัดเจนที่สุดผมจึงคว่ำหน้าสูดกลิ่นที่ยังคงลงเหลืออยู่บนหมอนพร้อมกับขยับมือขึ้นลงถี่รัวเพื่อให้ถึงฝั่งฝันให้เร็วที่สุด
ครืด ครืด นั่นไงให้มันได้แบบนี้เซ่ มือที่กำลังรูดรั้งแกนกายจำเป็นต้องชะงักก่อนจะเร่งสปีดอีกครั้ง..รอก่อนใกล้จะแตกแล้ว
สายตัดไปแล้วแต่ไม่ถึงห้าวินาทีอีพี่เบิ้มก็กระหน่ำโทรมาไม่หยุด..เอาล่ะ กูยอมแพ้ ไม่แตกก็ไม่แตก แม่ม!
Ok! Calm Down..สงบสติอารมณ์พยายามผ่อนคลายปรับลมหายใจให้เป็นปกติที่สุดก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะข้างหัวเตียง..แม่ม วิดิโอคอลไปอิ๊ก รีบนอนจัดท่าทางให้เรียบร้อยห่มผ้าถึงคอก่อนจะกดรับสายที่กระหน่ำโทรมาไม่หยุดประหนึ่งว่ามีใครกำลังจะตาย..แต่กูนี่แหละที่กำลังจะตาย บ้าเอ้ย! หรรมกูยังโด่อยู่เลย
[นอนแล้วเหรอครับที่รัก ผมโทรมาปลุกคุณรึเปล่า] หึ นอนที่ไหนกันล่ะตั้งโด่อยู่เนี่ย
“สงสัยผมเผลอหลับไปน่ะครับ” แถได้โล่ก็กูนี่แหละ
[ขอโทษนะครับที่โทรมาช้า พอดีมีประชุมด่วน]
“ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่คุณถึงบ้านแล้วเหรอครับถึงได้วิดิโอคอล” ปกติแล้วถ้าอยู่บนรถพี่เบิ้มจะแค่โทรแต่พอถึงบ้านแล้วจะเปลี่ยนเป็นวิดิโอคอล
[ใช่แล้วครับ พอดีตอนที่อยู่บนรถผมคุยเรื่องงานกับพอลอยู่น่ะครับเลยไม่ได้โทรหาคุณ]
“งานคุณคงยุ่งหน้าดู”
[ผมอยากกลับไปหาคุณไวๆเลยต้องรีบเคลียร์งานทั้งงานเก่างานใหม่ให้รีบสร็จ]
“อย่าหักโหมมากนะครับผมอยู่ที่เดิมไม่หนีไปไหนหรอก”
[ก็ผมคิดถึงคุณ คิดถึงๆๆๆ]
“ฮ่าๆ รู้แล้วครับ ผมก็คิดถึงคุณเหมือนกัน” ให้ตาย! ยิ่งเห็นหน้ากลิ่นของอีพี่เบิ้มก็ยิ่งชัดเจนขึ้น ถ้าผมคุยไปด้วยว่าวไปด้วยจะผิดไหมวะ..ใจเย็นๆไอ้ณต
[มะรืนนี้ผมต้องไปประชุมที่ฮ่องกง ถ้าเวลาเหลือผมจะไปหาคุณนะที่รัก]
“ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ครับ คุณทำงานให้เต็มที่เถอะแล้วก็พักผ่อนเยอะๆด้วย” เชียงใหม่-ฮ่องกงนะไม่ใช่แค่นั่งรถสองแถวก็ถึงน่ะ ถึงจะบินไม่กี่ชั่วโมงก็เหอะ
[ไม่รู้ล่ะถ้าไปได้ผมก็จะไป] น้ำเสียงดื้อดึงไม่เคยเปลี่ยน
“ตามใจคุณครับ” ห้ามได้ซะที่ไหนล่ะ แต่ลึกๆก็ดีใจนะที่จะได้เจอกัน
เราคุยกันสัพเพเหระไปเรื่อยจนลูกชายของผมมันสงบลงและผมก็เผลอหลับคาโทรศัพท์ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้..รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ตกใจตื่นเพราะฝัน
...ฝันว่าผมกับพี่เบิ้มกำลังเมคเลิฟกัน อ่า ฝันเปียก และแล้วก็แตกจนได้!!
วันนี้ผมตั้งใจจะไปหาพ่อกับแม่ที่รีสอร์ทเพื่อบอกเรื่องสำคัญผมไม่อยากให้มันค้างคาเพราะยังไงสักวันหนึ่งที่บ้านผมก็ต้องรู้อยู่ดีแล้วก็รู้จากปากผมนี่แหละดีที่สุด..
ดุจดาวรีสอร์ท ตั้งอยู่ในอำเภอแม่ริม เป็นรีสอร์ทเล็กๆที่มีบ้านพักเพียงสามหลังที่ล้อมรอบไปด้วยภูเขา พื้นที่หลังรีสอร์ทจะมีสวนผักออร์แกนนิคและแปลงสตรอเบอรี่เล็กๆให้แขกที่เข้าพักได้เด็ดชิมเมื่อถึงช่วงฤดูหนาวส่วนชื่อทำไมต้องดุจดาว อ๋อนั่นชื่อแม่ผมเองครับแถมกลางคืนที่นี่ก็มองเห็นดาวได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง..
ที่นี่อากาศดีกว่าในตัวเมืองมากและบรรยากาศก็ดีสุดๆหน้าหนาวผมชอบมานอนที่นี่บ่อยๆ ถ้าพี่เบิ้มได้มาคงจะชอบน่าดู แต่จะได้มาในฐานะอะไรนั้นมาลุ้นกันอีกที ผมไม่ได้บอกใครว่าผมมาหาพ่อกับแม่โดยเฉพาะพี่เบิ้มผมไม่อยากให้พี่แกเป็นกังวลแค่งานเยอะก็น่าปวดหัวจะแย่แล้ว
จากดอกแก้วเกสท์เฮ้าส์ผมใช้เวลาเดินทางเกือบๆสองชั่วโมงก็มาถึงดุจดาวรีสอร์ท ผมเดินเข้ามายังตัวบ้านที่อยู่ด้านหน้ารีสอร์ทเป็นบ้านไม้สองชั้นสไตล์คันทรี่ชั้นล่างเป็นส่วนรับรองแขกเและแบ่งเป็นห้องอาหารสำหรับบริการแขกที่มาเข้าพัก ส่วนอาหารของที่รีสอร์ทจะเน้นอาหารท้องถิ่นและแน่นอนว่าวัตถุดิบส่วนใหญ่มาจากสวนที่พ่อกับแม่ปลูกเอง ส่วนชั้นสองก็เป็นบ้านของครอบครัวเรา
“แม่ สวัสดีครับ”
“ณต! จะขึ้นมาทำไมไม่โทรมาบอกก่อนล่ะลูก” แม่ที่นั่งอยู่ด้านในเคาน์เตอร์สำหรับให้แขกมาติดต่อเอ่ยอย่างตกใจเมื่อเห็นผม
“เซอร์ไพรส์ครับ” เดี๋ยวจะมีเรื่องเซอร์ไพรส์กว่านี้อีกนะแม่
“วันนี้ร้านกาแฟไม่เปิดเหรอลูก”
“ให้บีดูน่ะแม่ ช่วงนี้ลูกค้าน้อย”
“แล้วนี่จะค้างไหมแม่จะได้เตรียมห้องให้”
“ไม่ค้างครับแม่ ณตขึ้นมาเยี่ยมพ่อกับแม่เฉยๆคิดถึง” ผมหอมแก้มแม่ฟอดใหญ่ด้วยความคิดถึง คิดถึงจริงๆนะเพราะตั้งแต่อีพี่เบิ้มเข้ามาในชีวิตผมยังไม่ได้มาหาพ่อกับแม่เลย
“หืม อ้อนแม่แบบนี้ต้องมีอะไรแน่ๆ”
“โอ๊ะ ไอ้ลูกชาย” พ่อที่เดินลงมาจากชั้นสองเอ่ยทักด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“สวัสดีครับพ่อ”
“หายหน้าหายตานะช่วงนี้ หรือว่าจะติดหญิง” ผู้ชายตัวเบ้อเร่อต่างหากล่ะครับพ่อ
“จริงเหรอลูก นี่แม่จะได้มีลูกสาวแล้วใช่ไหม” สีหน้าแม่ดูตื่นเต้นแต่เกรงว่าแม่จะได้ลูกชายเพิ่ม โอ้ยยย อยากจะร้องไห้
“เอ่อ..จริงๆแล้ววันนี้ณตตั้งใจจะมาบอกเรื่องนี้แหละครับ” ไหนๆก็พูดเรื่องแฟนแล้วก็เข้าประเด็นเลยละกัน
“ลูกมีแฟนแล้ว?!”
“ครับ”
“โอ้ว ขายออกสักทีลูกพ่อ”
“แล้วทำไม่ไม่พามาด้วยล่ะลูก”
“ตอนนี้เขาอยู่อังกฤษครับแม่”
“หืม?”
“เขาเป็นคนอังกฤษไม่ใช่คนไทยครับ”
“ลูกพ่อไม่ธรรมดา มันล่อสาวฝรั่งเลยเว้ย” ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆกับคำว่าสาวฝรั่งของพ่อ
“เขาชื่ออะไรลูก” หายใจเข้าลึกๆไอ้ณต
“เออ..เจเรมี่ครับ”
“ชื่อเหมือนผู้ชายน้อ”
“...”
“...” เมื่อผมเงียบ ทั้งพ่อและแม่ต่างก็มองหน้ากันก่อนที่แม่จะทำลายความเงียบ
“แฟนลูกเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย” แม่ถามด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยปราศจากรอยยิ้มเหมือนเมื่อครู่ ผมเตรียมใจมาแล้วนะแต่ไม่คิดว่าพอถึงเวลาจริงมันไม่ง่ายเลยที่จะพูด บอกตามตรงตอนนี้ผมโคตรกลัว กลัวพ่อแม่จะเสียใจ แต่เอาวะมาถึงขั้นนี้แล้ว..
“ผู้..ผู้ชายครับ” ผมก้มหน้าตอบด้วยน้ำเสียงที่เบาหวิว
“ลูกเป็นเกย์?” แม่อุทานด้วยความตกใจ
“ไม่รู้ครับคือ..” น้ำเสียงผมเริ่มสั่นและฝ่ามือก็เริ่มชื้นไปด้วยเหงื่อ
“ค่อยๆอธิบายมาลูก” พ่อที่เห็นผมท่าทางผิดปกติค่อยๆลูบหลังให้ใจเย็นใจผมก็ใจชื่นขึ้นมาจึงค่อยๆอธิบาย
“ถึงณตจะไม่เคยมีแฟนมาก่อนแต่ณตก็ชอบผู้หญิงมาตลอด แต่ตอนนี้คนที่ณตรักเขาดันเป็นผู้ชาย..ณตก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแบบนี้เรียกว่าเกย์หรือเปล่า”
“...” เมื่อทั้งพ่อและแม่เงียบผมก็เริ่มใจเสีย มันต้องผ่านพ้นไปได้ด้วยดีๆๆ ผมได้แต่ท่องคำนี้อยู่ในใจก่อนจะถามคำถามที่ผมกลัวที่สุดออกไป
“พ่อกับแม่จะรังเกียจณตหรือเปล่าที่ณตมีแฟนเป็นผู้ชาย” ผมถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือและดวงตาที่พร่ามัวเพราะน้ำตามันกำลังจะไหล..กลัว กลัวคำตอบเหลือเกิน
“พ่อแม่ที่ไหนเขารังเกียจลูกกันล่ะ” แม่จับมือผมที่กำไว้แน่นให้คลายออกพร้อมกับลูบหลังมือเบาๆพร้อมกับน้ำตาของผมที่ไหลรินด้วยความซาบซึ้ง
“หมายความว่า..”
“ลูกรักเขาไหม”
“ครับ”
“แล้วเขาล่ะรักลูกของแม่ไหม”
“เขารักลูกครับ” สิ่งที่พี่เบิ้มทำและแสดงออกคงไม่ใช่การโกหกแน่ๆ
“ถ้าอย่างนั้นแม่ก็ไม่มีสิทธิ์ห้าม พ่อล่ะว่าไง” แม่หันไปถามพ่อที่นั่งนิ่งไม่แสดงท่าทีใดๆจนผมชักหวั่นใจ
“ถ้าลูกมีความสุข พ่อก็ยินดีด้วย ถ้าครอบครัวไม่ยินดีแล้วลูกจะมีความสุขได้ยังไงล่ะ จริงไหม” สิ้นสุดคำพูดของพ่อเท่านั้นแหละน้ำตาของผมก็ไหลอย่างกับเขื่อนแตกพร้อมกับโผลกอดทั้งสองท่าน
“ขอบคุณครับ ณตรักพ่อกับแม่ที่สุด ฮือออ” ผมโชคดี โชคดีจริงๆที่ได้เกิดเป็นลูกพ่อกับแม่
“โอ๋ๆไม่เอาลูกไม่ร้อง พ่อกับแม่ก็รักลูกที่สุดเหมือนกัน” แม่กอดผมพร้อมกับโยกตัวไปมาเหมือนกำลังปลอบเด็กชายปณตเมื่อสมัยยังเด็ก
“ณตกลัวว่าพ่อกับแม่จะรับไม่ได้”
“ก็ต้องรับได้สิลูกแม่มีแฟนทั้งที คิดว่าลูกชายแม่จะต้องขึ้นคานซะอีกแต่ผิดคาดนิดหน่อยนึกว่าจะได้ลูกสาวแต่ไม่เป็นไรได้ลูกชายเพิ่มอีกคนก็ดีเหมือนกัน”
“ฮือออ ณตรักแม่”
“พอแล้วๆไม่ร้อง ขี้แยจริงเด็กคนนี้ ว่าแต่ไปรู้จักกันได้ยังไงไหนเล่าให้แม่กับพ่อฟังสิ”
“เขาเป็นหัวหน้าของพอลแฟนไอ้ฟางน่ะครับ เมื่อหลายเดือนก่อนไอ้ฟางให้ผมเป็นไกด์ตอนที่เขามาเชียงใหม่”
“โอ้วว หัวหน้าเลยเหรอแล้วเขาคิดยังไงมาชอบลูกชายแม่เนี่ย” ถ้าจะให้ถูกต้องบอกว่าเป็นเจ้าของบริษัทแต่บอกแบบนี้แหละดีแล้วจะได้ไม่ตกใจไปมากกว่านี้
“แม่อ่ะ”
“อ๊ะ สงสัยเขาจะติดใจในความงามของลูกแม่”
“งามอะไรล่ะแม่ ลูกออกจะหล่อ”
“หึ ถ้าลูกใส่วิกผมยาวนะเหมือนแม่ตอนเป็นสาวเด๊ะ เนอะพ่อ”
“ถ้าเดินด้วยกันเขาคงไม่คิดว่าเป็นแม่กับลูกคงคิดว่าเป็นฝาแฝด”
“พ่อก็พูดเกินไปแม่แก่แล้วจะเป็นแฝดกับลูกได้ยังไง”
“ใครบอกแม่แก่ แม่ยังสาวยังสวยเหมือนเดิมเหมือนสมัยที่ได้ตำแหน่งดาวมหา'ลัย” อะไรจะอวยเมียขนาดนี้ และใช่ครับแม่ผมเป็นอดีตดาวมหา'ลัย เอิ่ม..เมื่อประมาณสามสิบกว่าปีที่แล้ว
“พ่อก็~ ปากหวาน” ส่วนคนถูกอวยก็เขินซะจริงจัง
“ปากแม่ก็หวาน” เดี๋ยวๆชักจะติดเรทล่ะ จะจูบต่อหน้าลูกไม่ได้นะ..ลูกเขิน
“อะแฮ่ม ลูกยังนั่งอยู่ตรงนี้ครับ”
“โอ๊ะ ซอรี่ๆ” พ่อหันมายิ้มล้อๆก่อนจะโดนแม่ฟาดเข้าที่ต้นแขน
“พอเลยพ่อ ไปเก็บผักที่สวนเลยนะแม่จะได้เอามาทำกับข้าวตอนเที่ยง”
“ครับๆคุณดุจดาว ไปไอ้ลูกชายไปเก็บผักกับพ่อ”
ผมช่วยพ่อเก็บผักและอยู่กินข้าวต่อกับที่บ้านสักพักก็ขอตัวกลับและแน่นอนว่าบทสนทนาบนโต๊ะอาหารก็หนีไม่พ้นเรื่องของ Mr.Jeremy..
ผมรู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอกและดีใจจนบอกไม่ถูก เมื่อมาถึงเกสท์เฮาส์ก็ได้เวลาโทรไปปลุกพี่เบิ้มพอดิบพอดี ใจจริงแล้วอยากจะโทรไปตั้งแต่ตอนขับรถแต่ต้องอดทนรอไว้ก่อน ต่อสายไม่นานคนที่อยู่ไกลออกไปอีกทวีปหนึ่งก็กดรับสาย
[ที่รัก] น้ำเสียงนั้นช่างงัวเงีย
“คุณผมมีข่าวดีจะบอก” มันดีใจจนไม่อยากเวิ่นเว้อ
[อ่า ถูกหวยเหรอครับ] บ้าบอ
“ยิ่งกว่าถูกหวยซะอีกครับ”
[…]
“คือ..ผมไปหาพ่อกับแม่มาแล้วก็บอกเรื่องของเรา..”
[หมายความว่าท่านโอเคใช่ไหมครับ!] น้ำเสียงนั้นช่างตื่นเต้น ตื่นเต็มตาแล้วสินะมึง
“ครับ ท่านยินดีที่เราคบกัน”
[วิเศษ ว่าแต่คุณพูดจริงๆใช่ไหมครับ ไม่ได้อำผมนะ]
“ใครจะอำเรื่องแบบนี้กันล่ะครับ” ตอนบอกน่ะกลัวแทบตาย
[ดีใจจัง แต่คุณน่าจะบอกผมสักหน่อยว่าคุณไปหาพ่อกับแม่]
“ไม่เป็นไรครับผมไม่อยากให้คุณกังวลไปด้วยแค่งานของคุณก็เยอะพอแล้ว”
[โธ่ที่รัก คุณคงกังวลน่าดู ไม่แฟร์เลยที่คุณต้องกังวลอยู่ฝ่ายเดียว]
“ผมไม่เป็นไรจริงๆแล้วผลมันก็ออกมาอย่างที่คุณบอกไงครับว่ามันจะผ่านไปได้ด้วยดี พ่อกับแม่ยังบอกอีกนะว่าให้พาคุณไปหาเมื่อคุณกลับมาที่เชียงใหม่” พ่อกับแม่ย้ำเรื่องนี้ไม่หยุดขนาดผมขึ้นรถแล้วก็ยังเคาะกระจกเพื่อเตือนผมอีกครั้ง
[ครับแน่นอนเราจะไปด้วยกัน ที่รักผมรักคุณจัง]
“ผม..ก็รักคุณครับ”
[ให้ตาย! ทำยังไงดีผมอยากเจอคุณแทบบ้า]
“อีกสามอาทิตย์ แป๊บเดียวเอง”
[ตั้งสามอาทิตย์ต่างหากครับ]
“คุณก็คิดให้เป็นแค่สามอาทิตย์สิครับ”
[ไม่รู้ละ ผมคิดถึงคุณแค่วันเดียวก็เหมือนหนึ่งปีแล้ว] เว่อร์ตลอด
“แล้วจะให้ผมทำยังไงล่ะครับ”
[เจอกันแล้วคุณต้องให้ผมจูบจนกว่าผมจะพอใจ] แล้วทำไมต้องเรียกร้องเหมือนว่ากูผิดด้วยวะ มึงนั้นแหละที่ผิดทำไมไม่เกิดเป็นคนไทยเล่า
“ครับๆ” เถียงไปก็เปล่าประโยชน์ ไอ้การจูบยังไงก็หนีไม่พ้นอยู่แล้วอีกอย่างผมก็ชอบมันไม่น้อย ฮ่า
...............
..........
.......
...
.
[ที่รัก]
“ถึงแล้วเหรอครับ”
[ครับตอนนี้อยู่โรงแรมแล้วเดี๋ยวต้องออกไปประชุมต่อ]
“เหนื่อยแย่เลย”
[นิดหน่อยครับ อ่อวันนี้ผมคงโทรหาคุณช้าหน่อยเพราะตอนเย็นต้องไปงานเลี้ยงลูกค้าต่อคุณนอนก่อนได้เลยนะที่รัก ถ้าผมกลับโรงแรมแล้วจะโทรหานะครับ]
“ได้ครับ”
[อ่า ผมต้องวางแล้ว คิดถึงนะที่รัก]
“ครับ ตั้งใจทำงานนะครับ”
[ครับ]
ตอนนี้พี่เบิ้มอยู่ฮ่องกงแล้วครับซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าพี่เบิ้มมาฮ่องกงกี่วันรู้เพียงว่าเป็นการเดินทางที่ฉุกละหุกและดูเหมือนว่าเสร็จธุระที่ฮ่องกงก็ต้องเดินทางไปญี่ปุ่นต่อเป็นชีวิตนักธุระกิจที่โคตรจะวุ่นวายดีแท้แล้วเมื่อเดือนก่อนมาขลุกอยู่กับผมทั้งเดือนไม่รู้ว่าลูกน้องจะยุ่งวุ่นวายกันแค่ไหน..
วันนี้ทั้งวันผมได้คุยกับพี่เบิ้มแค่ตอนบ่ายก็ตอนที่พี่แกโทรมาบอกว่าถึงแล้วนั้นแหละจนถึงตอนนี้ก็ปาเข้าไปเกือบห้าทุ่มผมก็ยังรอสายจากพี่เบิ้มอยู่ มันหลับไม่ลงจริงๆนะ แล้วไอ้งานเลี้ยงเนี่ยปกติเขาเลิกกันกี่โมงวะ
ก๊อก ก๊อก
ใครมา? อีซูซี่เหรอ ทำไมมาดึกป่านนี้ แต่พอเปิดประตูก็ทำเอาผมยืนอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
“เซอร์ไพรส์!” พี่เบิ้มในชุดสูทสีน้ำตาลในร่างของบอสที่ผมไม่คุ้นตามาพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบเล็กสีดำและรอยยิ้มแป้นแล้นประจำตัว
“คุณมา..อื้ม” ไม่รอให้ผมได้ถามอีพี่เบิ้มก็คว้าผมไปกอดพร้อมกับแนบริมฝีปากลงมาทันที
จูบแห่งความคิดถึง นุ่มนวลและอ่อนโยน..
และจูบแห่งความโหยหา เร่าร้อนแทบหลอมละลาย..
“อื่อ คุณยะ หยุดก่อน” ผมดันพี่เบิ้มออกพร้อมกับเสียงหอบหายใจที่ถี่กระชั้นซึ่งที่เบิ้มก็ไม่ต่างกัน..
“ที่รักผมคิดถึงคุณแทบบ้า” พี่เบิ้มกำลังจะทาบริมฝีปากลงมาอีกผมจึงต้องดันอกหนาเอาไว้ก่อน..ขอหายใจแป๊บ
“ใจเย็นก่อน ผมหายใจไม่ทัน”
“ผมคิดถึงคุณ บอกแล้วไงครับว่าถ้าเจอกันผมจะจูบคุณจนกว่าจะพอใจ ซึ่งมันยังไม่พอ”
อ่า..ริมฝีปากที่บดคลึงช้าๆค่อยๆไล่ระดับจนกลายเป็นดุดัน เรียวลิ้นสอดแทรกเข้ามาดูดกลื่นทุกอย่างในโพรงปากทำเอาร่างของผมอ่อนระทวยโชคดีที่มีสองมือหนาประคองไว้และแผ่นหลังที่ชิดติดกับประตูไม่อย่างนั้นผมคงล้มไม่เป็นท่า
ผมจูบตอบและดูดดึงปลายลิ้นที่สอดแทรกเข้ามาอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน แค่พี่เบิ้มคนเดียวซะที่ไหนละที่โหยหา..
จูบ..จูบแห่งความคิดถึง รสชาติมันเป็นแบบนี้นี่เอง
ขมในตอนแรกแต่สุดท้ายหวานแทบขาดใจ..
TBC.
..........................................................................
ขอสารภาพตามตรงว่าตั้งใจจะไม่เขียนนิยายเรื่องนี้ต่อด้วยปัญหาหลายๆอย่างของมาลีเองที่ทำให้มาต่อนิยายเรื่อง
นี้ไม่สม่ำเสมอ..แต่เพราะคิดถึงพี่เบิ้มกับป้านดและนักอ่านที่ยังรอจึงต้องกลับมา
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่อดทนอ่านนิยายเรื่องนี้ที่นานๆโผล่มาที..สัญญาว่าจะมีตอนจบของพี่เบิ้มกับป้านดค่ะ^^
ตอนพิเศษ
Happy New Year ผมจะรักคุณไปทุกๆปี
***ตอนพิเศษนี้ไม่เกี่ยวกับเนื้อหาหลักนะคะ..มาเฉพาะกิจให้หายคิดถึงค่ะ^^
*****คำเตือนตอนพิเศษนี้มันสั้นมาก สั้นมากจริงๆค่อยๆอ่านกันน๊า^^
ปีใหม่ปีนี้กลุ่มเพื่อนของผมต่างติดภารกิจ อีซูซี่อยู่สิงคโปร์กับโจเซฟ ส่วนไอ้ดอยกับซันนี่ก็ฉลองปีใหม่ข้ามปีก่อนใครที่ออสเตรเลียบ้านพ่อของซันนี่ ส่วนไอ้ฟางไม่ต้องพูดถึงอยู่อังกฤษเหมือนเดิมยังไม่มีแพลนว่าจะกลับเชียงใหม่เมื่อไหร่ ส่วนผมก็ติดแหง็กอยู่ที่เกสท์เฮาส์เพราะลูกค้าช่วงสิ้นปีแน่นขนัดเหลือเกินทำให้ไปเที่ยวที่ไหนกับเขาไม่ได้ จึงเกิดความงอแงขึ้นเล็กน้อยเมื่อผมไปฉลองคริสต์มาสที่อังกฤษกับพี่เบิ้มไม่ได้
ก็นะ..อังกฤษนะเว้ยไม่ใช่ลำพูนที่อยู่ห่างเชียงใหม่แค่ยี่สิบเอ็ดกิโล ฝรั่งขี้งอนจึงต้องบินลัดฟ้ามาเค้าดาวน์กับผมที่เชียงใหม่..คืนพิเศษก็อยากอยู่กับคนพิเศษพี่แกว่างั้น
ช่วงเทศกาลปีใหม่ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็เนืองแน่นไปด้วยผู้คน สำหรับผมอยู่บ้านดีที่สุด และหมูกระทะก็คือที่สุดในหน้าหนาวแบบนี้ เราเลือกกินที่เฉลียงหน้าบ้านด้วยไม่อยากให้ควันมันคละคลุ้งในบ้านและข้างนอกบรรยากาศมันก็ดีกว่าด้วย..ไฟสีส้มสลัวๆ เสียงแมลงที่ส่งเสียงร้องในพุ่มไม้ซึ่งไม่รู้ว่ามันคือตัวอะไรพร้อมกับเสียงฉู่ฉ่าของหมูย่างบนเตาย่างไฟฟ้าที่เพิ่งซื้อมาสดๆร้อนๆกับเบียร์กระป๋องที่แช่จนเย็นเจี๊ยบแค่นี้ก็วิเศษสุดๆแล้ว..แต่มันวิเศษคูณสองเมื่อกินกับคนที่เรารัก อิอ๊ะ
“คุณมัดผมหน่อยมั้ยครับ” ผมยาวปรกหน้าทำให้ผมรำคาญลูกกะตาเลยอดไม่ได้ที่จะถามออกไป
“อ่า ที่รักคุณช่วยมัดให้ผมหน่อยสิครับ” อีพี่เบิ้มยกมือที่เลอะเนื้อหมูให้ผมดูก่อนจะพลิกหมูบนเตาด้วยความทุลักทุเล..ตะเกียบเป็นงานยากสำหรับพี่เบิ้มมันจริงๆ
“ยางรัดผมล่ะครับ”
“อยู่ในกระเป๋ากางเกงผมที่รัก” พี่แกตอบด้วยหน้าตาใสซื้อ นี่กูต้องล้วง?
ผมลุกจากเก้าอี้ไปยังคนตัวโตที่นั่งฝั่งตรงข้ามก่อนจะล้วงมือลงไปในกระเป๋าข้างของกางเกงยีนส์ซึ่งมันแน่นมาก มากซะจนยัดมือลงไปได้แต่ครึ่งเดียว ก่อนที่อีฝรั่งตัวโตจะหลุดหัวเราะออกมา
“อยู่ข้างนี้ต่างหากล่ะครับ” ควาย แล้วไม่บอกกูแต่แรก
“ยืนขึ้นเลยนะคุณ มันล้วงยาก” อีพี่เบิ้มยอมยืนขึ้นแต่โดยดีให้ผมล้วงกระเป๋ากางเกงอีกข้างเพื่อจกอีหนังยางเส้นสีดำออกมา ก่อนจะนั่งลงอีกครั้งปล่อยให้ผมมัดผมยาวสีน้ำตาลเข้มด้วยท่าทางเก้ๆกังๆ ก็แม่งเกิดมาไม่เคยมัดผมให้ใครนี่หว่า
“เจ็บมั้ยคุณ” บอกตรงๆว่าโคตรเกร็ง กลัวหนังหัวพี่แกจะหลุดติดมือมาด้วย
“ไม่ครับ ขอบคุณ” ไม่ได้มีเพียงคำขอบคุณขณะที่ผมโน้มตัวลงไปถามพี่เบิ้มก็เอี้ยวตัวแล้วสบตากับผมนิ่งด้วยสายตาที่อ่อนโยนก่อนจะแนบริมฝีปากหนาลงมาที่เรียวปากของผมแผ่วเบาก่อนผละออก แต่เหมือนมีแรงดึงดูดทำให้เราโน้มหน้าเข้าหากันอีกครั้งกลายเป็นจูบที่เร่าร้อนแข่งกับความร้อนบนเตา กระทั่งกลิ่นไหม้จากเตาทำให้เราผละออกจากกัน ..ให้ตายความโหยหานี่มันน่ากลัวชะมัด
อีกไม่กี่นาทีก็ใกล้จะบอกลาปีเก่าแล้วล่วงเลยเข้าสู่ปีใหม่ ปีที่ทุกคนล้วนอยากให้เป็นปีที่ดีและมีภูมิคุ้มกันชีวิตที่แข็งแรง ผมเชื่อว่าความผิดพลาดในปีเก่าเป็นภูมิคุ้มกันที่ดีให้เราเรียนรู้และเติบโต
สำหรับผมแล้วภูมิคุ้มกันที่ดีของผมก็คือพี่เบิ้ม คนที่มาเติมเต็มช่องว่างเล็กๆในหัวใจให้สมบูรณ์และเราก็พร้อมจะเรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน
“ปีใหม่คุณมีแพลนอะไรที่อยากทำบ้างมั้ยครับ” พี่เบิ้มยกกระป๋องเบียร์ขึ้นจิบก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“อืมมม ผมไม่มีแผนอะไรนะแค่ทำหน้าที่ในแต่ละวันให้ที่สุด ไม่ได้วางเป้าหมายหรือมีสิ่งที่อยากทำเป็นพิเศษ แล้วคุณล่ะครับ”
“ผมก็คล้ายๆกับคุณนะ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดและทำทุกอย่างไปทีละสเต็ปตามจังหวะของมัน แต่ปีนี้มีอะไรที่พิเศษต่างออกไปจากทุกปีนี้” นัยน์ตาสีเทาของพี่เบิ้มจ้องมองมาอย่างหวานเชื่อม
“อะไรเหรอครับ”
“ผมจะรักคุณไปทุกๆปี และผมก็อยากจูบคุณข้ามปีแบบนี้ไปทุกๆปีเช่นกัน”
5 4 3 2 1...เข็มนาฬิกาบรรจบกันที่เลขสิบสองบ่งบอกว่าล่วงเลยเข้าสู่ปีใหม่จากนั้นริมฝีปากของเราก็ประกบกันหวานเชื่อม ดูดดื่ม อืมมม จูบข้ามปีรสมันเป็นอย่างนี้นี่เอง..มันโคตรดีอ่ะ
..ผมก็อยากบอกกับพี่เบิ้มว่าผมก็อยากจูบข้ามปีกับพี่เบิ้มแบบนี้ไปทุกๆปีเช่นกัน
.................................................................................
•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*♥: 。◕‿◕。
::: (\_(\ …*…*…*…*…*…*…*…*…::::::::::::::
*: (=’ :’) :: ҢάÞρ ¥ ηέ ω Ỳξαѓ :::::::::::::::::::::
•.. (,(”)(”)¤…*…*…*…*…*…*…*…*…:::::::::::
¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸❀❁
สวัสดีปีใหม่ค่ะขอให้ใน365วันของปี2563เป็นวันที่ดีสำหรับทุกๆคนนะคะ ♥
บทที่21
Husband and Husband and Happy [The End]
เช้านี้ผมตื่นเพราะกลิ่น มันคือกลิ่นหอมของอาหารที่ได้กลิ่นแล้วท้องก็ร้องโดยอัตโนมัติ ที่นอนข้างๆ ว่างเปล่าผมจึงเดินตามกลิ่นเพื่อตามหาเจ้าของที่นอนข้างๆ พี่เบิ้มกำลังทำกับข้าวอยู่หน้าเตาสวมผ้ากันเปื้อนสีครีมที่สวมทับเสื้อกล้ามสีขาวตัวย้วยผมยาวที่รวบไว้หลวมๆ มีหลุดลุ่ยลงมาบ้างทำให้คนที่แอบยืนมองอย่างผมรู้สึกละมุนตาไม่น้อย..หายใจติดขัดแต่เช้าเลยกู
“โอ๊ะ มอร์นิ่งครับที่รัก”
“มะ มอร์นิ่งครับ” ให้ตาย! รอยยิ้มทั้งปากทั้งตามันเล่นงานผมเข้าอีกแล้ว ใจหนอใจ
“Full English Breakfast ที่คุณอยากทานเรียบร้อยแล้วครับเจ้าหญิง” เจ้าหญิงก็ยังคงตามมาหลอกหลอนไม่เลิก
“ทำไมไม่ปลุกผมให้มาช่วยคุณล่ะครับ”
“หน้าที่ของคุณคือทานให้อร่อยครับที่รัก”
“ขอบคุณครับ น่าอร่อยจัง” มื้อเช้าแบบจุกๆ อาหารเช้าตามแบบฉบับอังกฤษที่มีของคาวหลากหลายในจานเดียว
“เชิญทานครับ รับรองอร่อยแต่น้อยกว่าผมนะ”
“...” บ้าบอ อีพี่เบิ้มไม่พูดเปล่าขยิบตาให้อีกต่างหาก ทำใจกูเหลวแต่เช้าเลย
“เย็นนี้เราไปดินเนอร์ที่โรงแรมของผมกันนะครับ ส่วนกลางวันผมให้คุณเลือกว่าคุณอยากไปที่ไหน”
“ฟางพาผมไปจนทั่วแล้วล่ะครับ ผมว่าคุณพักผ่อนอยู่ที่บ้านดีมั้ยครับเมื่อคืนคุณก็นอนดึกแถมยังตื่นเช้ามาทำอาหารให้ผมทานอีก”
“แต่ผมอยากใช้เวลาอยู่กับคุณนะที่รัก” ฝรั่งตัวโตเริ่มทำหน้ามุ่ย
“Duvet Dayไงครับ วันนี้เราหาหนังหนุกๆ ดูสั่งอาหารอร่อยๆ มาทานขลุกอยู่ด้วยกันทั้งวันที่บ้านแค่นี้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากพอมั้ยครับ ”
“คร้าบเจ้าหญิง” จากหน้ามุ่ยก็ยิ้มหน้าบานทันที
วันนี้ทั้งวันเรานอนก่ายกันดูหนังไปหลายเรื่องสั่งอาหารจากโรงแรมพี่เบิ้มมาทานเป็นมื้อกลางวัน จิบชาอุ่นๆ พร้อมกับสโคนและเค้กแสนอร่อยที่ระบียงพร้อมกับมองวิวแม่น้ำที่ไหลเอื่อยๆ พักผ่อนอยู่บ้านนี่แหละดีที่สุดจะสุขมากสุขน้อยขึ้นอยู่กับคนที่อยู่ข้างๆ เราต่างหากล่ะว่าเป็นใคร..สุขของผมน่ะเหรอมากมายจนล้น
แต่ที่น่าแปลกวันนี้พี่เบิ้มจับโทรศัพท์บ่อยมากทั้งที่ปกติเวลาอยู่กับผมถ้าไม่มีงานด่วนจริงๆ พี่เบิ้มแทบจะลืมโทรศัพท์ไปเลย..สงสัยงานจะยุ่งจริงๆ
ดินเนอร์ระดับพรีเมียมพร้อมกับวิวสุดหรู ณ โรงแรมใจกลางกรุงลอนดอน ผมไม่ได้อยู่ในส่วนของห้องอาหารแต่ผมอยู่ในห้องลับที่ซ่อนอยู่ในห้องทำงานของพี่เบิ้มบนชั้นหนังสือในห้องทำงานมีปุ่มเล็กๆ ซ่อนอยู่เมื่อกดมันชั้นหนังสือก็จะเลื่อนออกเผยให้เห็นห้องสูทสุดหรูที่มีกระจกบานใหญ่มองเห็นวิวลอนดอนที่อยู่เบื้องล่างและทาวเวอร์บริดจ์สะพานข้ามแม่น้ำเทมป์ได้อย่างชัดเจน
“คืนนี้เราค้างที่นี่ดีมั้ยครับ คุณจะได้เปลี่ยนบรรยากาศ” หลังจากอิ่มแปล้จนตัวแทบแตกกับมื้อค่ำแสนอร่อยพี่เบิ้มก็ชวนมานั่งเอกขเนกชมวิวลอนดอนยามค่ำคืนที่หน้ากระจกบานใหญ่
“เสื้อผ้าผมล่ะครับ” ไม่บอกล่วงหน้าเล่า
“ไม่มีปัญหาที่รัก เสื้อผ้าของผมในตู้คุณเลือกใส่ได้ตามสบายครับ”
“...” ดูขนาดตัวกูด้วยครับ
“ตกลงนะครับ”
“ครับ” แล้วผมจะตอบอะไรได้เล่า
“โอ๊ะ ผมขอออกไปคุยธุระกับพอลสักครู่นะครับ ถ้าคุณอยากได้อะไรเพิ่มเรียกรูมเซอร์วิสได้เลยนะที่รัก”
พี่เบิ้มรีบบอกผมก่อนจะกดรับโทรศัพท์ปลายสายจากพอลที่สั่นไม่หยุดพร้อมกับท่าทางร้อนรนออกจากห้อง..ทำตัวน่าแปลกจริงๆ แหละวันนี้
หนึ่งชั่วโมงผ่านไปพี่เบิ้มยังไม่กลับมาไหนบอกแป๊บเดียวไงวะ ขณะที่กำลังลังเลอยู่ว่าจะส่งข้อความไปหาดีมั้ยข้อความจากพี่เบิ้มก็ส่งมาพอดี
‘ที่รักตอนนี้ผมอยู่บนชั้นดาดฟ้า คุณขึ้นมาหาผมหน่อยสิครับ’
ดาดฟ้า? แม้จะงงๆ แต่ผมก็ออกไปยังชั้นดาดฟ้าตามที่พี่เบิ้มบอกอย่างว่าง่าย เมื่อลิฟต์หยุดยังชั้นบนสุดผมเดินตรงไปตามทางเดินก่อนจะหยุดที่ประตูบานใหญ่ก่อนจะผลักมันด้วยสองมือแรงลมปะทะใบหน้าแต่ไม่เท่าภาพที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้ามันทำให้ผมอึ้งแทบก้าวขาไม่ออก..
เทียนเล่มเล็กสีขาวจุดไปตามทางเดินยาวไปจนถึงซุ้มกุหลาบเล็กๆ ที่พี่เบิ้มยืนอยู่ในมือถือช่อดอกไม้สีขาวและผ้าพันคอสีฟ้า..อย่าบอกนะว่าที่วันนี้ทำตัวแปลกๆ และหายไปเกือบชั่วโมงเพื่อมาเตรียมอะไรพวกนี้ ความตื่นเต้นแผ่ช่านไปทั่วร่างก่อนที่ผมจะก้าวเดินไปตามทางเดินช้าๆ และหยุดอยู่ตรงหน้าผู้ชายตัวโตที่ยืนยิ้มให้ผมทั้งปากทั้งตาแต่นัยน์ตาคู่สีเทานั้นแฝงไปด้วยความประหม่าไม่น้อย
“สวมนี่ก่อนครับ” ผ้าพันคอสีฟ้าถูกสวมลงมาที่คอของผมอย่างอ่อนโยน มันคือผ้าผืนใหม่ไม่ใช่ของอีซูซี่แต่อย่างใดและถ้าผมตาไม่ฝาดที่ปลายของผ้าพันคอมีชื้อของผมปักไว้
“ขอบคุณครับ”
“แล้วนี่ครับ ดอกไม้สำหรับคุณ”
“ขอบคุณครับ” คำขอบคุณเป็นเพียงคำเดียวที่ผมนึกออกในตอนนี้
“ที่รัก..”
“...” อ่า เหตุการณ์แบบนี้มันคล้ายกับ..ฝัน?!
พี่เบิ้มคุกเข่าลงกับพื้นก่อนจะกุมมือของผมไว้และเอื้อนเอ่ยประโยคที่ทำให้ผมน้ำตาคลออย่างง่ายดาย
“ช่วงเวลาที่เราได้อยู่ด้วยกันผมมีความสุขมาก การลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้าแล้วเห็นใบหน้าของคุณเป็นคนแรกมันทำให้ผมมีพลังที่จะต่อสู้กับงานได้ทั้งวันได้อย่างน่าอัศจรรย์ ผมเคยสัญญากับคุณว่าจะทำให้คุณมีความสุขที่สุดได้โปรดให้ผมได้ทำตามสัญญา ผมอยากดูแลคุณให้คุณมีความสุขมาเป็นครอบครัวเดียวกันนะที่รัก ให้ผมได้ดูแลคุณไปตลอดชีวิตของผม ตลอดชีวิตของคุณ..ตลอดชีวิตของเรา แต่งงานกับผมนะครับ”
ฝัน..ผมยังไม่ตื่นจากฝัน?
“...” เจ็บ! ผมแอบจิกมือตัวเองเพื่อให้ตื่นจากฝัน แต่นี่มันคือความจริง..คำพูดและการกระทำของพี่เบิ้มในตอนนี้มันคือเรื่องจริง..พี่เบิ้มกำลังคุกเข่าขอผมแต่งงาน!!
“ที่รัก..”
“ตกลง!..ผมตกลงครับ” ไม่มีเหตุเลยที่ผมต้องปฏิเสธเพราะผมก็มีความสุขที่ได้อยู่กับพี่เบิ้มเช่นกัน
“ขอบคุณ ขอบคุณที่รัก ผมรักคุณ” น้ำเสียงพี่เบิ้มสั่นเครือพร้อมกับน้ำตาที่เอ่อคลอส่วนน้ำตาของผมน่ะเหรอไหลออกมาเป็นที่เรียบร้อย..
นิ้วนางข้างซ้ายของผมถูกสวมด้วยแหวนเงินด้วยมือที่สั่นเทาของพี่เบิ้มซึ่งมือของผมก็สั่นไม่ต่างกัน จากนั้นพี่เบิ้มก็ลุกขึ้นก่อนจะสวมกอดผมด้วยความแนบแน่นพร้อมคำบอกรักที่พรั่งพรูออกมาไม่หยุด
ให้ตาย ความรู้สึกถูกขอแต่งงานมันเป็นอย่างนี่นี่เอง..อกแทบระเบิด
“ยินดีด้วยจ้า”
“ดีใจด้วยนะมึง”
“ดีใจด้วยนะมึงเป็นฝั่งเป็นฝาสักที”
“ยินดีด้วนนะครับพี่ณต เจเรมี่”
“เฮ้ย! มากันได้ไง” แก๊งเพื่อนของผมเดินออกมาจากหลังประตูอย่างพร้อมหน้ารวมถึงซันนี่ โจเซฟและพอล ในมือต่างก็ถือดอกกุหลาบสีขาวกันคนละดอกก่อนจะมอบให้ผมและสวมกอดด้วยความยินดี
“เพื่อนกูจะมีผัวอย่างเป็นทางการแล้วจ้าาาาา” อีซูซี่ตะโกนออกมาด้วยความดีใจพร้อมกับน้ำตาที่เอ่อคลอ ส่วนไอ้ฟางร้องไห้สะอึกสะอื้นตั้งแต่เดินออกมาจากประตู บ้าเอ้ย น้ำตากูหยุดไหลไปแล้วนะต้องมาเขื่อนแตกกับพวกมึงอีกรอบ ฮือออออ
..มีผัวอย่างเป็นทางการเหรอ เออ ผัวก็ผัว ยังไงมันก็คือความจริงถ้าแต่งงานกันแล้วเราก็ต่างเป็นสามีของกันและกันซึ่งมันแน่นอนอยู่แล้ว
หลังจากเหตุการณ์เซอร์ไพรส์ถูกขอแต่งงานท่ามกลางลมหนาวก็มีอาฟเตอร์ปาร์ตี้เล็กๆ กับผองเพื่อนผู้น่ารักและน่ารำคาญในบางเวลาที่อุตส่าห์เดินทางไกลข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อร่วมแสดงความยินดีโดยมีอีพี่เบิ้มเป็นเจ้าภาพอาสาจัดการค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้ทั้งหมดพร้อมกับที่พักสุดหรูใจกลางกรุงลอนดอน..ไม่อยากจะคิดถ้ากูเซย์โนคงจะหน้าแหกมิใช่น้อยแต่กระเป๋าน่ะไม่แหกหรอกแค่นี้ขนหน้าแข่งแม่งไม่ร่วงหรอก
เมื่อเวลาล่วงเลยใกล้เที่ยงคืนทุกคนก็แยกย้ายเข้าห้องพักส่วนผมและพี่เบิ้มคืนนี้เราพักกันที่ห้องลับที่ซ่อนอยู่ในห้องทำงานของพี่เบิ้ม
“อื่อ เดี๋ยวก่อนสิครับ” ประตูห้องยังปิดไม่สนิทอีพี่เบิ้มก็จู่โจมผมด้วยจูบทันที
“ก็ผมดีใจ อยากจูบคุณแทบแย่ผมอดทนมาตั้งสามชั่วโมงให้รางวัลผมหน่อยนะครับ” รางวัลอะไรมิทราบ
‘จุ๊บ’ ผมจุ๊บเบาๆ ที่ริมฝีปากได้รูปของว่าที่เจ้าบ่าวเพื่อเป็นรางวัล..ว่าที่เจ้าบ่าวเหรอ เขินแฮะ
“ดีพคิสต่างละครับ” ได้คืบจะเอาศอกนะมึง
“ไปอาบน้ำก่อนครับ”
“อาบน้ำแล้วเราจะดีพคิสกันใช่มั้ยครับ” กูเกลียดดวงตาเป็นประกายของมึงจริงๆ
“ครับ” เอาน่า แค่จูบน่ะพอไหว
“อยากแต่งงานกับคุณไวๆ จัง ผมจะดีพคิสคุณทั้งเช้าทั้งเย็นเลย ” เห็นอนาคตมาแต่ไกล ปากเปื่อยแน่ๆ กู
“เรื่องแต่งงานเราต้องไปคุณกับพ่อแม่ของผมก่อนนะครับ” คนมีพ่อมีแม่นะเว้ย จะรีบร้อนไปไหนไม่หนีหายไปไหนหรอกน่า
“คุยเรียบร้อยแล้วครับ ท่านอนุมัติครับ”
“ฮะ! ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“เมื่อสองวันที่แล้วครับ เผื่อคุณไม่รู้ตอนนี้พ่อกับแม่ของผมพักอยู่ที่รีสอร์ทของครอบครัวคุณ”
“ฮะ!” เออสิ กูไม่รู้ เมื่อวานก็โทรไปหาแม่ไม่เห็นแม่จะบอกอะไรผมสักคำ
“เซอร์ไพรส์ไงที่รัก”
“เหอะ ถ้าเกิดวันนี้ผมเซย์โนคุณจะทำยังไง”
“ผมมั่นใจว่าคุณจะเซย์เยส คุณรักผมที่รักแล้วผมก็รักคุณ”
“...” อืม ไม่เถียงเพราะมันคือเรื่องจริง
อ่า จูบ จูบกูอีกแล้วไม่ต้องรอแต่งงานหรอกแค่นี่ปากกูก็เปื่อยแล้วล่ะ
“อื่อ หยุดก่อนครับ ไปอาบน้ำก่อน” ผมรีบดันอกหนาให้ผละออกก่อนที่ดีพคิสมันจะเลยเถิด
“ถ้าอย่างนั้นคุณอาบก่อนเลยที่รักเดี๋ยวผมขอคุยกับแม่ผมก่อนนะครับ ทางนั้นก็ลุ้นจะแย่แล้ว” นี่มันครอบครัวนักเซอร์ไพรส์หรือไง ไม่อยากจะเชื่อว่าครอบครัวคาร์สันไปคุยกับครอบครัวของผมเรียบร้อยแล้ว
“โอเคครับ” คุณนายดุจดาวนะคุณนายดุจดาวตกลงง่ายๆ ได้ยังไง ไม่ถงไม่ถามอะไรผมสักคำ พรุ่งนี้ต้องโทรไปบ่นสักหน่อยแล้ว ฮึม
“ดะ เดี๋ยวคุณ!” นี่มันมากกว่าดีพคิสแล้วนะเมื่อมือหนาล้วงเข้ามาในเสื้อลูบไล้อย่างจาบจ้วง
“ที่รัก คุณกำลังยั่วผม”
ให้ตาย ถ้าถามว่าเกิดอะไรขึ้นล่ะก็..หลังจากผมอาบน้ำเสร็จพี่เบิ้มก็มองผมด้วยสายตาหื่นกระหายก่อนจะเข้าไปอาบน้ำและออกมาจากห้องน้ำโดยสวมบ๊อกเซอร์เพียงตัวเดียวถือว่าเป็นโชคดีของผมที่พี่มันไม่ล่อนจ้อนออกมาเหมือนครั้งก่อนและตอนนี้ผมกำลังโดนควายเผือกขย้ำเพราะเสื้อเชิ้ตสีขาวเป็นเหตุ!
“ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะ คุณ..อื้อออ” ไม่ฟังกูเลยแถมยังหุบปากของผมด้วยจูบอย่างเร่าร้อน
“อ่า ที่รักแค่ดีพคิสมันไม่พอคุณรู้อะไรมั้ยแค่เห็นคุณสวมเสื้อเชิ้ตของผมความอดทนของผมก็แทบจะขาดแล้วที่รัก”
ทุกคนคงจะงงว่าเสื้อเชิ้ตของอีพี่เบิ้มมันทำไม จำคำพูดของอีพี่เบิ้มได้มั้ยครับที่ชวนผมค้างที่โรงแรมแล้วบอกว่าเสื้อในตู้เลือกใส่ได้ตามสบาย เหอะแต่ขอโทษ ทั้งตู้มีแต่เสื้อเชิ้ตสีขาวและเสื้อกล้ามตัวย้วยที่อีพี่เบิ้มมันชอบใส่ นี่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันทำไมชอบใส่เสื้อย้วยๆ ระดับพี่มันจะซื้อเสื้อใหม่สักกี่ตัวหรือซื้อโรงงานผลิตเสื้อแม่งไปเลยก็ยังได้! เมื่อมีเพียงสองตัวเลือกแน่นอนผมเลือกที่จะใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวฝันไปเหอะว่าผมจะใส่ไอ้เสื้อกล้ามตัวย้วยนั่นก็แขนแม่งเว้าลึกจนเห็นหัวนมน่ะสิ ปัดโธ่
แล้วใครจะไปคิดว่าอีพี่เบิ้มแม่งจะหื่นเพียงแค่เห็นผมใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวตัวโคล่งเพียงตัวเดียว อ่อแต่ข้างในยังสวมบ๊อกเซอร์ไว้อยู่นะแม้ชายเสื้อจะบังมิดจนมองไม่เห็นก็เหอะ
“ก็คุณมีแค่เสื้อเชิ้ต หรือจะให้ผมเปลี่ยนไปใส่เสื้อตัวเดิมครับ”
“No! ใส่แบบนี้ดีแล้วผมชอบ คุณเซ็กซี่เป็นบ้า” พูดจบอีพี่เบิ้มก็ประกบจูบลงมาที่เรียวปากของผมอีกครั้ง..กูเชื่อละว่าแม่งหื่นจริง จูบที่เร่าร้อนพร้อมกับปลายลิ้นที่ดูดกลื่นทุกสิ่งในโพรงปากของผมเล่นเอาหายใจติดขัด
“อื่อ หยุดก่อนครับ ผมหายใจไม่ทัน!” หอบแฮกๆ แล้วเนี่ย
“อ่า ที่รักขอให้ผมนะครับ ผมรอจนถึงงานแต่งงานไม่ไหวแน่ๆ ตรงนี้มันทรมานมากเลยที่รัก” พี่เบิ้มกุมมือของผมก่อนจะแนบไปที่หน้าอกของตัวเองที่หัวใจกำลังเต้นรัวก่อนจะเคลื่อนมือของผมไปยังแกนกายของตัวเองที่กำลังขยายตัวถึงขีดสุดจนผมอดรู้สึกอึดอัดแทนไม่ได้..ผมเข้าใจเพราะผมก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน
“ไหนบอกแค่ดีพคิสไงครับ”
“มันไม่พอที่รัก ได้โปรด”
“ผม..กลัว”
“แค่เชื่อใจผมที่รัก” พี่เบิ้มจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของผมอย่างมาดมั่น
“มะ มันต้องเจ็บมากแน่ๆ” อีซูซี่บอกว่าเจ็บเท่ามดกัดแต่ผมไม่อยากจะเชื่อมันสักเท่าไหร่ก็ครั้งก่อนโดนแค่นิ้วยังเกือบตายไข้แดกไปสามวันนี่ถ้าโดนงูหลามเผือกของอีพี่เบิ้มมันทั้งดุ้นผมจะไม่ตายจริงๆ เหรอวะ แค่คิดก็จะร้องไห้แล้ว ฮือออ
“ผมจะอ่อนโยนอย่างที่สุดครับ”
“...”
“เรามาเป็นของกันและกันนะที่รัก”
‘เจ็บแต่ทนไหว จากนั้นพี่ณตก็จะมีความสุข เพราะเรากำลังเชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกันกับคนที่เรารัก’
คำพูดของซันนี่ที่เคยพูดไว้กับผมดังก้องขึ้นมารวมทั้งสายตาของพี่เบิ้มที่อ่อนโยนแต่ก็เว้าวอนอยู่ในทีทำให้ผมไม่อยากจะปฏิเสธอีกแล้ว
“มะ ไม่เอาเจ็บมากนะครับ”
“ผมจะพยายามอย่างที่สุดที่รัก” พี่เบิ้มพูดด้วยรอยยิ้มกว้างก่อนจะจูบหน้าผากของผมอย่างอ่อนโยน
จากนั้นพี่เบิ้มก็หยิบอุปกรณ์ที่ใช้ในการร่วมรักออกมาจากลิ้นชักแล้วกองมันไว้บนเตียง..นี่มึงเตรียมการตั้งแต่เมื่อไหร่?!
การเล้าโลมผ่านไปอย่างเนิบช้าและใจเย็นของพี่เบิ้มเมื่อร่างกายของผมตื่นตัวกับสัมผัสวาบหวามที่พี่เบิ้มปรนนิบัติให้ก็ถึงขั้นตอนต่อไปที่ผมนึกกลัว
“ผมจะใส่นิ้วเข้าไปนะที่รัก ผ่อนคลายนะครับ”
“...” เกร็ง กูเกร็งบอกเลยเมื่อสัมผัสถึงความเย็นของเจลหล่อลื่นที่พี่เบิ้มชโลมทั่วช่องทางด้านหลังของผม
“เจ็บมั้ยครับ” นิ้วเรียวยาวของที่เบิ้มสอดเข้ามาอย่างช้าๆ
“มันแปลกๆ”
“โอเคเด็กดี ผมจะขยับเข้าออกช้าๆ นะ”
“อะ”
“เจ็บเหรอครับ”
“มันอึดอัด” รู้สึกแบบเดียวกันเหมือนครั้งก่อนมันแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก
“โอเค เรามาเพิ่มอีกนิ้วกันดีกว่า” พี่เบิ้มคอยบอกผมทุกขั้นตอนอย่างอดทนและค่อยๆ ทำให้ผมอย่างใจเย็นทั้งๆ ที่สายตานั่นอยากจะขย่ำผมเต็มแก่
นิ้วที่สองผ่านไปและจบที่สามนิ้วในการเบิกทางให้ร่างกายของผมคุ้นชินทั้งสามนิ้วยังคงขยับเข้าออกในจังหวะที่สม่ำเสมอก่อนที่ความรู้สึกเสียวซ่านจะแผ่ไปทั่วร่างเมื่อมืออีกข้างของพี่เบิ้มรูดรั้งแกนกายขึ้นลงตามจังหวะของนิ้วที่ขยับเข้าออกทางช่องทางด้านหลังของผม
“อะ อ๊ะ”
“เด็กดี คุณน่าจะพร้อมแล้วผมจะค่อยๆ ใส่ของผมเข้าไปนะครับ” เจลหล่อลื่นถูกชโลมลงมาที่ช่องทางด้านหลังของผมอีกครั้งและแกนกายของพี่เบิ้มที่สวมเครื่องป้องกันเรียบร้อยแล้วก่อนจะจ่อมาที่ช่องทางด้านหลังของผมทำเอาผมกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว
“ผ่อนคลายที่รัก เชื่อใจผม เราจะมีความสุขไปด้วยกัน” สองมือหนาสอดประสานกับมือของผมพร้อมกับจูบซับหน้าผากอย่างอ่อนโยน
“อึก” เจ็บ! ผมบีบมือของพี่เบิ้มแน่นพร้อมกับกัดริมฝีปากของตัวเองเพื่อระบายความเจ็บจนได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วโพรงปากก่อนที่พี่เบิ้มจะประกบจูบลงมาเพื่อหยุดการกระทำของผม
“กัดผมที่รัก ถ้าคุณเจ็บระบายความเจ็บมาที่ผม” ผมส่ายหน้าอยู่บนหมอนพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกจากทางหางตา
‘งับ’ แต่แล้วก็ทนไม่ไหวเมื่อพี่เบิ้มกระแทกตัวเข้ามาจนสุดผมจึงกัดหัวไหล่ของพี่เบิ้มอย่างเต็มแรง
“เจ็บ! มันเจ็บ ฮือออ” ไม่ไหวของพี่เบิ้มมันใหญ่เกินไป ฮือออ
“เด็กดี มันเข้าไปแล้วเข้าไปหมดแล้วที่รักคุณเก่งมาก” คำปลอบประโลมพร้อมกับการจูบซับน้ำตาให้อย่างอ่อนโยนทำให้ผมผ่อนคลายลง
“ผมจะเริ่มขยับช้าๆ นะครับ”
“...”
“รัดแน่นเกินไปแล้วที่รัก ผ่อนคลายหน่อยครับ ยิ่งคุณรัดแน่นมากขึ้นผมกลัวจะไม่อ่อนโยนกับคุณนะที่รัก” แล้วจะให้ทำยังไงเล่า!
“ฮือออ” ร้องไห้อีกรอบแม่ง
“ขอโทษที่รัก ผมสัญญาผมจะอ่อนโยนให้มากที่สุดไม่เอาไม่ร้องนะเจ้าหญิงของผม” ในระหว่างที่ปลอบประโลมสะโพกของพี่เบิ้มก็ขยับเข้าออกช้าๆ พร้อมกับจูบที่ดูดดื่่มเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ..น่าแปลกไม่นานความเจ็บปวดทั้งหลายก็หลงเหลือเพียงน้อยนิดก่อนที่ความเสียวซ่านจะแทรกซึมเข้ามาแทนที่
“อ่าาา” เมื่อปากถูกปล่อยให้เป็นอิสระเสียงร้องน่าอายก็ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่
“ชอบมันมั้ยที่รัก อ่า”
“อ๊ะ”
“เด็กดี คุณเก่งมากที่รัก”
“อะ อ่า” เสียงร้องที่อดกลั้นไม่ได้ของผมเสียงหอบหายใจอันหนักหน่วงของพี่เบิ้มและเสียงหยาบโลนเมื่อเนื้อกระทบกันดังปนกันไปทั่วห้อง
“ผมรักคุณที่รัก ได้โปรดดูดกลืนผมเข้าไปให้ลึกที่สุด” พี่เบิ้มกระซิบเสียงแหบพล่าก่อนจะกดสะโพกเข้ามาจนสุดและขยับเข้าออกอย่างถี่รัว
“อ่า ลึกไป!”
“I just want you to feel me baby”
“อ่า”
“Do you feel me?”
“Ahh too big” มันใหญ่กว่าเดิมให้ตาย!
“อา อ๊ะ”
“You like it?”
“Yeah I like it!” แต่ผมก็ไม่สามารถปฏิเสธมันได้เลยว่ามันรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
“Good boy I feel so good”
“อะ อ๊ะ ไม่ไหว จะ.จะถึงแล้ว แฮก”
“Ahh Cum with me baby” มือหนารูดรั้งแกนกายของผมถี่รัวไม่ต่างกับสะโพกหนาที่ขยับเข้าออกอย่างหนักหน่วง
“อ๊ะ อ่าาาาา” ร่างของผมกระตุกเกร็งพร้อมกับของเหลวสีขาวพวยพุ่งเลอะเปรอะเปื้อนไปทั่วหน้าท้องสมองนั้นขาวโพลนไร้สติไปชั่วขณะ
“เก่งมากที่รัก รอผมอีกนิดนะครับ” เสียงทุ้มกระเส่ากระซิบบอกก่อนจะจูบซับลงมาที่เรียวปากแนบแน่นจากนั้นสองมือหนาก็ประคองสะโพกของผมไว้มั่นและเริ่มขยับแกนขายเข้าออกอีกครั้งอย่างถี่รัวจนหัวของผมสั่นคลอนไปตามแรงกระแทกแห่งอารมณ์ปรารถนาจากนั้นการปลอดปล่อยที่มาพร้อมกับแรงกระตุกก็ทำให้ร่างของผมสั่นเกร็งตามไปทั้งร่างเสียงหอบหายใจของพี่เบิ้มนั้นหนักหน่วงก่อนที่คนตัวโตจะซบลงมาที่อกของผมจนร่างของเราแนบชิดแทบจะกลายเป็นร่างเดียวกัน..
“ที่รักผมรักคุณ” พี่เบิ้มจูบซับที่หน้าผากอย่างอ่อนโยนก่อนจะถอนแกนกายออกช้าๆ และถอดเครื่องป้องกันที่เต็มไปด้วยของเหลวสีขาวขุ่นจากนั้นก็โยนลงถังขยะที่อยู่ตรงมุมห้องได้อย่างแม่นยำผมมองทุกการกระทำของพี่เบิ้มด้วยสายตาเลื่อนลอยเพราะตอนนี้วิญญาณเหมือนได้หลุดออกไปจากร่างเรียบร้อยแล้ว..
พี่เบิ้มเช็ดตัวให้ผมอย่างอ่อนโยนพร้อมกับเอ่ยคำขอโทษและคำบอกรักไม่ขาดปากก่อนจะป้อนยาเม็ดสีขาวให้ไม่รู้ว่ามันคือยาอะไรแต่ผมก็ยอมกลืนยาเม็ดเล็กลงไปโดยไม่มีงอแงเพราะเรี่ยวแรงหมดสิ้นรับรู้เพียงความร้าวระบมตรงสะโพกก่อนจะหลับไปในที่สุด
อ่านต่อด้านล่างค่ะ