พิมพ์หน้านี้ - S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทพิเศษ : 4/4/2019 ] หน้า 10

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: chaleeisis ที่ 24-09-2017 20:49:19

หัวข้อ: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทพิเศษ : 4/4/2019 ] หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 24-09-2017 20:49:19
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0)

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0)
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


******************************************************************************************
 

Interest

ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรที่ทำให้ผมรู้สึกสนใจในชื่อเชยๆ ของน้องมัน
ตอนแรกผมก็สนใจมันแค่ชื่อนะ แต่พอได้รู้จักมากขึ้น ระดับความสนใจมันก็ยิ่งมากขึ้น
จนถึงตอนนี้ สิ่งเดียวที่ผมรู้สึกคือ ผมปล่อยน้องมันไปไม่ได้
มันต้องเป็นของผม
 
--------------------------------

 


ไดอารี่....มันเป็นข้อตกลงระหว่างผมกับพ่อ​

ผมจะต้องเขียนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตมหาลัยให้พ่อได้รับรู้ว่าสิ่งที่ผมเลือกเองมันดีหรือว่าไม่ดี ถ้าชีวิตมันดีผมก็จะได้เรียนที่นี่ต่อ เรียนในคณะวิศวะที่ผมตั้งใจไว้ตั้งแต่เด็ก ในมหาลัยที่ตัวเองตั้งใจสอบเข้ามาด้วยความยากลำบากชิบหาย แต่ถ้าชีวิตมันไม่ดีผมจะต้องไปเรียนในคณะและมหาลัยที่พ่อต้องการ

ผมไม่รู้หรอกว่าในหนึ่งปีที่จะมาถึงนี่ผมจะเจออะไรบ้าง

ตื่นเต้นว่ะ

​​สู้ๆนะตัวกู



สมปอง : 31 / 7 / 20xx


---------------------------------------

LoveWriteProject : S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง
ติดต่อข่าวสาร - Twitter : Chaleeisis
#ไดอารี่ของสมปอง #หยัมปอง
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 1 : 24/9/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 24-09-2017 20:59:58
บทที่ 1 : คนชื่อโบราณ


มหาลัย P

ตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์.....กับผมที่หลงทาง

น่าเศร้าว่ะ

ผมยืนเด๋ออยู่หน้าตึกแบบว่าไร้หนทางที่จะไปต่อ ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนหอประชุมเพื่อปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ได้มีรุ่นพี่ปีสองมาบอกกับพวกผมปีหนึ่งว่าหลังเสร็จการปฐมนิเทศให้มาพบกันที่ลานเกียร์ของคณะวิศวะ

ว่าแต่ลานเกียร์มันอยู่ที่ไหนครับ

​“ เห้ยมึง ” ผมตามแรงสะกิดจากด้านหลังก็พบผู้ชายหน้าหวานคนนึง

“ อะไร ”

“ มึงปี 1 หรอ ”

“ อือ ทำไมอ่ะ ”

“ กูก็ปี 1 เหมือนกัน มึงหลงทางอยู่อ๋อ ”

“ อืม ” ผมพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะมองคนตรงหน้าอย่างพิจารณา

ใบหน้าใสเนียน จมูกโด่งเป็นสัน คิ้วเรียวกำลังดี ริมฝีปากสีออกจะแดงหน่อยๆ แถมยังตาโตอีก ตัวก็ยังเล็กอีกต่างหาก โดยรวมแล้วคนตรงหน้านี่เรียกได้ว่าน่ารักมากเลยล่ะครับ

แต่สายตาดูกวนตีนยังไงชอบกล

“ งั้นไปกับกูดิ่ กูกำลังจะไปลานเกียร์ ” คนตรงหน้าพูดเองเออเองและก็ลากผมให้เดินตามไปเองโดยที่ผมยังไม่ได้ตอบรับอะไรสักคำ มึงเป็นคนเผด็จการสินะ

“ มึงชื่อไรหรอ ”

“ สมปอง ”

“ เห้ยถามจริง ฮ่าๆๆๆ คนอะไรชื่อสมปองวะ ” เอ้าไอ้สัส คนอย่างกูนี่ไงชื่อสมปอง

“ มึงจะขำอะไรขนาดนั้นวะ ”

“ ฮ่าๆๆๆ ก็มันตลกหนิมึง เออกูชื่อลันตานะ เรียนโยธา แล้วมึงอ่ะ ” ลันตามันถามแต่ก็ยังไม่วายหัวเราะต่อ น่าทุบชิบหาย ไอ้ที่กูชมมึงว่าน่ารักนั่นกูขอถอนคำพูด

“ กูก็เรียนโยธา ”

“ เออดี งั้นกูกับมึงเป็นเพื่อนกันเริ่มจากวันนี้แหละ ” เออจ่ะ ตามใจมึงเลย

ผมชื่อ “ สมปอง ” ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรดลใจพ่อให้ตั้งชื่อผมแบบนี้ ผมไม่ได้รู้สึกว่าชื่อตัวเองมันแย่มันเห่ยหรือว่ามันเชยอะไรหรอกนะครับ แต่คนอื่นๆที่ได้ยินชื่อผมมันก็มักจะขำออกมา ทำไมวะ ชื่อสมปองมันแปลกตรงไหน

ผมว่ามันก็เท่ออก.....เท่แบบเก่าๆ

นับจากนี้ชีวิตในมหาลัยของผมกำลังจะเริ่มแล้วครับ ปฐมนิเทศวันนี้แล้วก็เปิดเทอมซัมเมอร์อีกสองอาทิตย์ที่กำลังจะถึง  ผมตื่นเต้นกับชีวิตมหาลัยมากนะครับเพราะว่ามันเป็นก้าวแรกของการใช้ชีวิตแบบอิสระ ตั้งแต่มัธยมมาผมก็อยู่ในกฎระเบียบของที่บ้านตลอด อยู่บ้านมันก็มีอิสระนะครับ

อิสระแค่ในบ้าน

ผมตั้งใจสอบเข้ามหาลัยนี้เพื่อที่ออกมาอยู่ข้างนอกออกมาใช้ชีวิต อยากสัมผัสกับความเป็นเด็กหอ อยากลงไปซื้อมาม่าที่เซ่เว่นกินตอนตีสามอะไรอย่างเงี้ยะ ชีวิตมหาลัยมันมีครั้งเดียวผมต้องใช้ให้คุ้ม แถมการใช้ในปีแรกมันแลกกับปีต่อๆไปด้วย

แลกยังไงน่ะหรอ

ผมได้ตกลงกับพ่อไว้ครับ เรื่องที่ผมจะเรียนวิศวะที่นี่มันเป็นเรื่องที่ครอบครัวผมไม่สนับสนุน พ่ออยากให้ผมเรียนบริหารเพื่อที่จะได้ไปช่วยงานของที่บ้าน แต่ผมไม่อยากเรียนไง มีโอกาสได้เรียนทั้งทีก็อยากจะเรียนในคณะที่ตัวเองชอบ พอเป็นแบบนั้นพ่อก็เลยบอกให้ผมเขียนไดอารี่ช่วงระยะเวลาที่ผมเรียนที่นี่ 1 ปี ถ้าพ่อได้อ่านไดอารี่ที่ผมเขียน พ่อจะตัดสินใจเองว่าจะให้ผมเรียนที่นี่ต่อหรือว่าให้ย้ายไปตามที่พ่อต้องการ

หวั่นใจอยู่ครับแต่ไม่เป็นไรผมมีเวลา 1 ปี

ผมจะตักตวงมันให้เต็มที่

“ นั่นไงมึงที่ลงทะเบียน ” ผมมองตามมือลันตาที่มันชี้ไปยังโต๊ะที่มือรุ่นพี่วิศวะนั่งกันอยู่ ตอนนี้ผมมาถึงที่ลานเกียร์แล้วครับ มีเด็กปีหนึ่งนั่งเข้าแถวอยู่กันอย่างเป็นระเบียบโดยแยกเป็นสาขาไว้

ไอ้สองคนนั้นปี 1 รึเปล่า ” เสียงโทรโข่งดังมาทางพวกผม

“ วิ่งเร็วมึง ” ลันตามันลากผมและรีบวิ่งไปที่โต๊ะลงทะเบียน มาถึงก็พบกับเจ้าของเสียงโทรโข่งพร้อมกับการเลิกคิ้วมองอย่างกวนตีน

ทำไมถึงมาช้า ” พี่มันพูดผ่านโทรโข่ง คือพวกกูอยู่ตรงหน้ามึงอ่ะ มึงจะพูดใส่โทรโข่งเพื่ออะไรวะพี่

“ หลงทาง ” ผมเอ่ยตอบเสียงเรียบก่อนจะเซ็นชื่อลงบนกระดาษ

ไอ้ขุนเอาป้ายชื่อมาให้กูดิ้ ” ผมมองรุ่นพี่ตรงหน้าที่หันไปบอกกับเพื่อนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ คนตรงหน้าผมนี่ ผมไม่รู้จะบรรยายยังไงดีนอกจากดูกวนส้นตีนมาก หน้าแบบนี้โดนกระทืบบ่อยแน่เลยว่ะ

“ ลันตาครับ ” ลันตามันบอกชื่อกับพี่หัวแดง หัวพี่แกแดงมากครับ แดงแบบแดงเข้มเลย ผมมองป้ายชื่อที่ห้อยคอพี่เขาอยู่ก็พบว่าพี่เขาชื่อแกงป่า หน้าพี่แม่งก็หล่อสีผมก็โคตรเท่ชื่อยังจะเท่อีก

ชีวิตดีชิบหาย

มึงชื่ออะไร ” ไอ้พี่โทรโข่งมันเอ่ยถามผม

“ สมปอง ”

ห้ะ ” มึงจะห้ะใส่โทรโข่งทำไมวะกูตกใจไอ้สัส

“ ชื่อ สมปอง ” ผมบอกมันอีกครั้ง รู้สึกหมั่นไส้ว่ะ พี่มันมองหน้าผมนิ่งๆก่อนจะหัวเราะลั่นออกมา

หัวเราะส้นตีนอะไรของมึง

“ เด็กบ้าอะไรชื่อสมปองวะ ชื่อเชยชิบหายแถมยังโบราณอีก ” ผมกำหมัดแน่นอย่างข่มอารมณ์ ก่อนจะหลุบตาลงมาพบกับป้ายชื่อของคนตรงหน้า

สยาม

หึ ไอ้สัส

“ ชื่อมึงไม่โบราณเลยนะไอ้พี่เชี่ยยยย ” ผมเอ่ยเรียบๆก่อนจะลากเสียงยาวๆอย่างยียวนกวนประสาทมัน ใบหน้าเข้มของคนตรงหน้าบึ้งตึงขึ้นมาทันที

มึงเรียกใครไอ้พี่เชี่ยห้ะ ไอ้เด็กเปรต ” แม่งแหกปากใส่ผมผ่านโทรโข่ง ไอ้สัสหูจะแตก ด้วยความที่โทรโข่งมันดังมากจึงทำให้ทุกๆคนที่อยู่รอบๆหันมองกันอย่างสนใจ

“ เห้ยไอ้สยามใจเย็นๆ ”

เด็กมันด่ากูเนี่ยมึงไม่เห็นหรอ

“ ก็มึงกวนตีนอ่ะ แถมมาว่าชื่อกูก่อน ” ผมเถียงใส่มันไฟแลบ มาสิมึงเรื่องให้เถียงมึงสู้กูไม่ได้หรอก มึงมาๆ

“ ใจเย็นก่อนปอง ” ลันตามันรั้งแขนผมไว้พลางปรามผมไปด้วย

“ เออใจเย็นก่อนทั้งคู่เลย พวกมึงไปนั่งที่แถวไป ” พี่ที่ใส่แว่นบอกกับพวกผมก่อนจะเอาถุงมาครอบหัวไอ้พี่สยาม

มึงจะทำอะไรกันเนี่ยะพี่

“ ไอ้สัสปล่อยกูนะ เอาโทรโข่งกูมาด้วย ปล่อยกู!!! ” ไอ้พี่สยามมันดิ้นเพื่อที่จะให้หลุดออกจากการจับกุมของเพื่อนๆ

“ มึงเอามันไปปล่อยไว้ตึกเกษตรเลย มันเป็นบ้าเนี่ยะ ไปๆ ” พี่ที่หน้าหล่อมากๆสั่ง ผมมองไอ้พี่สยามที่ถูกเพื่อนๆมันพากันแบกไปโดยที่มันก็ยังดิ้นและแหกปากโวยวายไม่หยุด

“ ไอ้เพื่อนเชี่ย ไอ้พวกทรยศ มึงด้วยไอ้เด็กเปรตเดี๋ยวก่อน กูจะกลับมากระทืบมึง ” เสียงแหกปากครั้งสุดท้ายก่อนที่มันจะหายลับไปจากสายตาผม

“ มึงอย่าไปถือสาไอ้สยามมันเลยนะ ” พี่แว่นตบไหลผมเบาๆเหมือนปลอบใจ

“ เออมันปัญญาอ่อน ” พี่หล่อเอ่ยขึ้นพลางยิ้มหวาน ทำไมมึงหล่อจังเลยวะพี่ ป้ายชื่อเขียนไว้ว่าขุนศึก เนี่ยะชื่อเท่อีกละ ทั้งหล่อทั้งเท่ไม่น่ามีเพื่อนปัญญาอ่อนแบบไอ้พี่สยามเลย

“ ผมขอโทษนะครับที่วุ่นวายแล้วก็ด่าเพื่อนพี่ แต่มันก็น่าด่าจริงๆอ่ะ ” ผมบอกไปตามที่ผมคิด สิ่งที่ผมทำนั่นมันคือการปีนเกลียวรุ่นพี่เลยล่ะครับ มันเป็นสิ่งที่ไม่ดีและก็ไม่สมควร

แต่มันอดไม่ได้จริงๆนี่หว่า

“ อย่าไปคิดมาก เพื่อนกูก็กวนตีนมึงจริงๆอ่ะ ไปนั่งได้แล้วไป เดี๋ยวพี่ปีสามจะมาละ ” ผมพยักหน้ารับคำก่อนจะเดินมานั่งอยู่ท้ายแถวสาขากับลันตา มีคนไม่น้อยที่หันมองพวกผมแล้วก็ซุบซิบกัน เออ เชิญตามสบายจ่ะ ไม่มีอะไรบัดซบไปกว่าไอ้พี่สยามแล้วตอนนี้น่ะ

“ เห้ยมึง เมื่อกี้เท่ว่ะ ” ผมเงยหน้ามองคนที่พูด ทำไมวันนี้เจอแต่คนหน้าตาดี ปกติเด็กวิศวะมันจะดูเหมือนโจรเถื่อนๆไม่ใช่หรอวะ หรือว่าไม่ใช่

“ เออเท่จริง กูไม่คิดว่ามึงจะกล้าเถียงพี่เค้าด้วย ” ไอ้คนที่นั่งข้างกันก็หันมาพูดกับผม วันนี้มีคนคุยกับผมเยอะจังว่ะ เนี่ยยยเห็นไหมพ่อ แค่มาปฐมนิเทศวันเดียวก็มีคนคุยกับผมหลายคนแล้วเนี่ย

“ มึงชื่อสมปองสินะ กูได้ยินพี่สยามเค้าพูดอยู่ ”

“ อืม กูชื่อสมปอง ”

“ กูชื่อลันตา ” ลันตามันยิ้มแฉ่งให้เพื่อนใหม่ ได้ข่าวว่ามันถามชื่อกูป่ะ

“ กูแยม ”

“ กูสีเทียน ”

ชื่อคนนึงก็น่าแดก ชื่ออีกคนก็น่าเอาไปถูกระดาษจริงๆ ผมมองเพื่อนใหม่ทั้งสามคนคุยกันอย่างสนุกปาก อยากคุยกับพวกมันนะแต่ดูจากสภาพแล้วคงพูดไม่ทัน โดยเฉพาะลันตา มันพูดเร็วมากเหมือนอยู่อยู่บ้านแล้วไม่มีใครพูดด้วยอ่ะ

“ เห้ยมึงนั่นพี่ปีสาม ” สีเทียนมันชี้ให้ดูกลุ่มพี่ที่เดินมหยุดอยู่ด้านหน้าแถวที่พวกผมนั่ง

นั่นคงเป็นพวกพี่ว้ากสินะ

“ สวัสดีปี 1 ผมชื่อขัน เป็นรุ่นพี่ของพวกคุณ ผมมีหน้าที่ดูแลพวกคุณนับจากนี้เป็นต้นไป ก่อนอื่นก็ต้องขอแสดงความยินดีกับพวกคุณด้วยที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของคณะวิศวกรรมศาสตร์ของพวกเราได้ พวกคุณเก่งมาก ” พอพี่ขันพูดจบพวกรุ่นพี่ก็พากันปรบมือ

“ พี่ขันเท่ว่ะ ” พี่ขันเท่จริงตามที่แยมพูดครับ เขาเป็นคนที่ดูน่าเกรงขามมาก บุคคลแบบนี้ยกเป็นไอดอลได้เลยนะ

“ ผมจะมาทักทายพวกคุณแค่นี้ เราจะได้เจอกันอีกตอนเข้าประชุมเชียร์ ขอให้พวกคุณมีความสุขกับการเรียนที่นี่ ปี 2 จะพูดอะไรกับน้องก็เชิญ ” พูดจบพี่ขันกับเดอะแก๊งค์ก็พากันเดินออกไป แล้วก็มีพวกพี่ขุนศึกเดินเข้ามาแทนที่ ยังไม่เห็นไอ้พี่สยามนะครับ สงสัยมันยังดิ้นจากถุงไม่หลุด

“ สวัสดีครับน้องๆ ”

“ สวัสดีครับ / สวัสดีค่ะ ”

“ พวกพี่เป็นกลุ่มสันทนาการจะรับหน้าที่ดูแลกิจกรรมทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการรับน้อง กีฬาสีและก็อื่นๆด้วยนะครับ ” พี่ขุนศึกเอ่ยแล้วยิ้มหวาน นั่นก็ทำให้เรียกเสียงกรี๊ดจากสาวๆได้ไม่น้อย

“ วันนี้ไม่มีอะไรมากนะ มีเรื่องที่พี่อยากจะชี้แจงนิดหน่อยก็คือวันที่น้องเปิดเทอมกันวันแรก พี่ไปเช็คตารางเรียนของทุกสาขามาแล้ว ก็พบว่าพวกเราทั้งหมดว่างตั้งแต่บ่ายโมง เพราะฉะนั้นพี่ขอให้พวกเรามารวมตัวกันที่นี่ เพื่อที่จะได้จับสายรหัสกัน หากใครมาสาย พี่จะลงโทษนะครับ ” พี่ใส่แว่นที่ชื่อข้าวก้องเอ่ยอย่างจริงจังในตอนท้าย อยากรู้เหมือนกันนะว่าไอ้ที่พี่เขาบอกจะลงโทษเนี่ยมันลงโทษยังไง

“ แล้วอย่าลืมป้ายชื่อนะน้อง พวกมึง....”

“ พวกน้อง!!! ” พี่คนอื่นๆพูดดักทางพี่คนที่ชื่อชาเย็น

“ เออ พวกน้องต้องใส่ไปจนจบงานกีฬาสีของเทอมหน้าเลยนะ ถ้าใครทำหายหรือว่าชำรุดก็จะโดนลงโทษ มันเป็นสิ่งสำคัญให้รักษามันเท่าชีวิต ” พี่ชาเย็นบอกพร้อมกับหน้ามึนๆ

“ วันนี้ก็ไว้เท่านี้ก่อนนะ เจอกันวันเปิดเทอมนะครับ กลับบ้านได้ ” สิ้นเสียงของพี่ขุนศึกพวกปี 1 ก็ยกมือไหว้และเอ่ยสวัสดีก่อนพากันเดินออกไปจากลานเกียร์ เหลือเพียงแค่ผม 4 คนที่ยังนั่งกันอยู่

“ มึงอยู่บ้านหรือหอวะ ”

“ กูอยู่หอ K2 ” ลันตามันตอบแยม หอK2 มันก็หอผมนี่หว่า

“ กูก็อยู่ K2 เหมือนกัน ” สีเทียนมันบอกอีกคน

“ กูก็อยู่ เห้ยนี่เราอยู่หอเดียวกันเลยหรอวะ แล้วมึงอ่ะปอง ” ลันตาหันมาถามผม พร้อมส่งสายตาปริบๆมาให้

“ K2 ”

“ เนี่ยยยย เราสี่คนมันเกิดมาเพื่อเป็นเพื่อนกันมึงเชื่อกู กูว่านะวันนี้เราไปฉลองให้กับมิตรภาพของเรากันเถอะ ” ลันตามันยิ้มปากกว้างอย่างน่ารัก สีเทียนกับแยมก็ดูจะเห็นดีเห็นงามด้วย

“ เอาดิ่ มึงเอาเบอร์มาแลกกันดีกว่า ” ผมได้ยืนแบบนั้นก็ส่งโทรศัพท์ของตัวเองให้สีเทียนมันจัดการ ปฐมนิเทศวันแรกนี่ก็ดีนะ ได้เพื่อนมาสาม นิสัยเป็นยังไงยังไม่รู้เรื่องนั้นก็ต้องดูกันไปก่อน วันนี้มีเรื่องเดียวก็คือเรื่องไอ้พี่สยามนี่แหละที่เป็นเรื่องไม่ดี

แค่นึกถึงก็หงุดหงิดแล้วว่ะ

อย่าให้เจอหน้านะมึง






TBC.

เป็นยังไงบ้างคะสำหรับตอนแรก การแต่งนิยายแบบนี้นี่ยากจริงๆเลย เพราะปกติไรท์จะถนัดแต่งแนวฟิกชั่นบทสนทนามากกว่า ถ้าภาษามันบรรยายมึนงงไปหน่อยก็ขอโทษนะคะ ขอเกริ่นเลยว่านิยายของไรท์จะมีตัวละครค่อนข้างเยอะนะเพราะไรท์คิดว่ามันเป็นคือการสร้างสีสันของเรื่อง ตรงที่เป็นตัวหนานั้นขอให้รู้กันว่าเป็นเสียงผ่านโทรโข่งค่ะ ไว้เจอกันเนอะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้าา
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 2 : 24/9/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 24-09-2017 21:48:11
บทที่ 2 บัดซบ


“ ชนๆ ไม่เมาไม่กลับ ”

“ ถ้ามึงเมาใครจะแบกมึงกลับวะ ”

“ ไอ้ปองไง ฮ่าๆ ” กูอีกแล้วหรอ

ผมนั่งมองเพื่อนทั้งสามนั่งชงนั่งดื่มและก็คุยโน่นคุยนี่อย่างเงียบๆ ตอนนี้ผมอยู่กันที่ร้านนั่งชิว มันเป็นร้านข้าวและร้านเหล้า ร้านนี้ไม่ค่อยใหญ่เท่าไหร่และตอนนี้คนก็ยังน้อยอยู่ ดีแล้วแหละไม่อึดอัดไม่วุ่นวายดี

“ อ่ะปองแก้วนี้ของมึง ” ลันตายื่นแก้วเหล้าช็อตมาให้ผม ใจคอจะให้กูน็อคภายในแก้วเดียวเลยงี้

“ กูไม่อยากกินเพียว ” ผมไม่ใช่คนคอแข็งนะครับ ขืนซัดเพียวไปอาจจะจอดในทันทีเลยก็ได้

“ งั้นกูกินให้แทน ” มือปริศนาคว้าแก้วเหล้านั้นไปก่อนจะซดขึ้นจนหมดในรวดเดียว ผมเงยหน้ามองคนที่อยู่ตรงหน้าโต๊ะพวกเราก็ไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที เพราะมันคือคนที่ผมเพิ่งทะเลาะกับมันไปเมื่อบ่าย

ไอ้พี่สยาม

“ อ้าวพี่สยาม มากินเหล้ากันหรอครับ ” แยมมันถาม ไอ้พี่สยามมันก็พยักหน้ารับก่อนจะวางแก้วช็อตไว้ตรงหน้าผมห่อนจะยกยิ้มมุมปาก

“ มึงกับกูยังไม่เคลียร์นะไอ้เด็กเปรต ”

“ รำคาญว่ะ ไปไกลๆไป ” ผมเอ่ยขึ้นอย่างรำคาญ รำคาญจริงครับไม่อยากเห็นขี้หน้า

“ ไอ้ปอง ” ลันตามันหยิกแขนปรามผมเบาๆ

“ ปากดีจริงๆนะ ” พี่มันกดเสียงต่ำเหมือนกำลังอดทนอยู่ ผมก็เบ้ปากใส่มันก่อนจะเบือนหน้าหนี อยากมากินเหล้ากับเพื่อนสงบๆแท้ๆไม่น่ามาเจอแม่งเลย โชคร้ายชิบหาย

“ ไอ้สยามมึงมาทำอะไรตรงนี้ อ้าวน้องๆมากินเหล้ากันหรอ ” ผมหันมองไปตามเสียงก็พบกับพี่ขุนศึกและเดอะแก๊งค์ มากันครบแบบองค์เต็มเลยแถมแต่ละคนยังดูดีบาดตาบาดใจด้วย

ยกเว้นไอ้พี่สยาม

“ ใช่ครับ มากินฉลองที่ได้เพื่อนใหม่ ” สีเทียนตอบแล้วยิ้มกว้าง จะว่าไปสีเทียนมันก็ดูน่ารักคล้ายๆลันตานะครับ ผมสงสัยนะว่าผู้ชายที่หน้าหวานขนาดนี้จะหาแฟนเป็นผู้หญิงได้รึเปล่า เพราะตัวเองหน้าเหมือนผู้หญิงซะเอง แถมยังตัวบางน่าทะนุถนอม ลันตากับสีเทียนนี่ให้ฟีลเหมือนมีเพื่อนผู้หญิงอยู่ในกลุ่มเลย

นับแค่หน้านะไม่รวมการพูดของพวกมัน

ก่อนที่จะมาที่นี่พวกผมไปสุมหัวกันอยู่ที่ห้องของลันตา ก็นั่งคุยอะไรไร้สาระไปเรื่อยจนได้รู้นิสัยคร่าวๆของแต่ละคน ลันตามันเป็นคนที่ปากจัดมากแถมยังกวนตีนด้วย คือถ้ามองหน้ามันแค่ภายนอกก็จะไม่รู้เลยนะครับว่ามันเป็นคนแบบนั้น สีเทียนก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ ส่วนแยมนี่ก็คงหวานแค่ชื่อน่ะครับ แยมมันแมนมาก แมนๆเตะบอลเลย แถมยังสูงมากกว่าผมด้วย ผมสูง 175 เซนแต่แยมมันน่าจะสัก 180 เซนกว่าๆ เวลาลันตาจะคุยกับแยมมันต้องเงยหน้าอ่ะคิดดู

“ เออ ดีแล้วๆ มีไรอยากถามก็ถามได้นะ พวกพี่นั่งกันอยู่โต๊ะโน่น ” พี่แกงป่าชี้ไปทางโต๊ะที่อยู่ด้านในสุดของร้านก่อนจะพากันเดินไป เหลือเพียงไอ้พี่สยามที่ยังยืนอยู่ตรงโต๊ะผม

ยืนทำหน้ากวนตีนด้วย

“ พี่สยามไม่ไปกับเพื่อนหรอครับ ”

“ กูมีเรื่องต้องเคลียร์กับเพื่อนมึงนิดหน่อย ” พูดจบมันก็ล็อกคอผมแล้วลากให้เดินตามมันไปทันทีโดยไม่สนคำทักท้วงอะไรของเพื่อนๆผมเลย พี่แม่งแรงควายชิบหาย ผมพยายามดิ้นยังไงก็ไม่หลุด

“ ปล่อยกูนะ ” ผมจิกข้อมือมัน

“ โอ้ยไอ้เด็กเชี่ยนี่ ” พี่มันยอมปล่อยผมออก

“ มึงลากกูมาทำไมเนี่ยะ ” ผมมองไปรอบๆลานจอดรถที่ไม่มีคนเลย นี่ถ้ามันจะกระทืบผมผมคงต้องหาทางช่วยตัวเองสินะ

“ เมื่อบ่ายมึงด่ากู ”

“ ก็มึงมาว่ากูก่อนอ่ะ ”

“ ยังจะเถียงอีกไอ้เด็กเปรตนี่ ”

“ มึงก็เหมือนกันนั่นแหละ เรื่องเมื่อบ่ายมึงเริ่มก่อนนะ ” ก็จริงอ่ะมันมาว่าชื่อผมก่อน ผมจะด่ามันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหนิ แก่กว่าแล้วไงเป็นรุ่นพี่แล้วไงผมไม่สนใจหรอก ใครบัดซบใส่ผมก่อนผมพร้อมจะบัดซบกลับ

ไม่เกรงกลัวใครหน้าไหนทั้งนั้นแหละโว้ย

“ ก็ชื่อมึงโบราณจริงอ่ะๆ ” อะไรคือพูดแล้วทำท่าแคะหูวะไอ้สัส หมั่นไส้จริง

“ ชื่อมึงก็ไม่ต่างจากกูเท่าไหร่หรอก ” ทำไมผมต้องมาทะเลาะกับมันเพราะเรื่องชื่ออีกรอบด้วยวะ แทนที่จะได้นั่งกินเหล้ากับเพื่อนๆเพื่อฉลองมิตรภาพ ต้องมาเสียเวลากับไอ้บ้านี่

“ มึงนี่ปากดีว่ะ ” มือมันกระชากคอเสื้อผมเข้าไปใกล้ จนตอนนี้ระยะห่างของหน้าผมกับหน้ามันห่างกันอยูไม่ถึงคืบ ลมหายใจอุ่นๆปนกับกลิ่นเหล้าที่มันเพิ่งกินไปรดหน้าผมอยู่หน่อยๆ

พอมองหน้ามันใกล้ๆแบบนี้ก็ต้องยอมรับนะครับว่ามันก็เป็นคนที่หน้าตาดีมาก ถึงผมจะไม่ชอบขี้หน้ามันก็ตาม ใบหน้าเรียวแถมผิวก็ขาวจัด เรือนผมสีดำสนิทที่ปรกหน้านั่นมันก็ทำให้ดูมีเสน่ห์ ดวงตาคมๆนั่นมันเหมือนสะกดให้อยากมองอยู่อย่างนั้น จมูกโด่งที่รับกับคิ้วเข้มๆ ริมฝีปากบางสีออกจะคล้ำๆ น่าจะเพราะเป็นคนที่สูบบุหรี่จัดในระดับนึง องค์ประกอบโดยรวมนี้มันไม่ยากเลยที่จะทำให้คนที่ได้เห็นตกหลุมรักมันได้ง่ายๆ

ตึกตัก

ทำไมผมใจเต้นแรงวะ

“ มึงหน้าแดงทำไม ” มันเลิกคิ้วมองผมก่อนจะยกยิ้มแล้วก้มหน้าลงมาใกล้ “ กูหล่อสินะ ”

“ พูดเชี่ยอะไรของมึง เอาหน้าออกไปไกลๆเลย ” ผมโวยวายใส่มันก่อนจะดันอกมันออก แต่ไอ้พี่สยามมันกลับรั้งเอวเข้ามาจนชิดตัวมันแล้วกอดไว้แน่น ไอ้สัสนี่มึงจะทำอะไรกูเนี่ย

“ ถ้ามึงยังดิ้นอีก อะไรๆที่มันสงบอยู่มันอาจจะไม่สงบก็ได้นะ ” คำพูดทีเล่นทีจริงของมันทำให้ผมหยุดดิ้นในทันที ผมรู้ครับว่ามันหมายถึงอะไร ไอ้พี่นี่มันร้ายกาจชะมัด อย่าให้กูหลุดออกไปได้นะมึง

“ งั้นมึงก็ปล่อยกูสิ ”

“ กูเป็นพี่มึงนะ เรียกกูให้มันดีดีหน่อย ”

“ มึงมันไม่น่าเคารพทำไมกูต้องเรียกมึงว่าพี่โอ้ยยยยยย ไอ้สัส ” ผมยกมือลูบหน้าผากเบาๆ เมื่อกี้ไอ้พี่สยามมันดีดหน้าผากผม ขนาดพ่อกูยังไม่เคยดีดหน้าผากกูเลย มึงเป็นใครเนี่ย

“ ถ้าพูดไม่เพราะกูก็จะดีดมึงอยู่อย่างนี้แหละ ”

“ ไอ้....โอ้ยกูยังไม่ทันพูดเลยไอ้สัสโอ้ยยยยยยยยยย ไอ้เชี่ยสยาม ” กูเจ็บนะ หน้าผากแตกแล้วมั้งเนี่ย คนบ้าอะไรดีดแรงชิบหาย

“ ถ้ามึงไม่เรียกกูดีดีก็อยู่มันอย่างนี้แหละคืนนี้อ่ะ ” มันมองผมอย่างกวนๆ แล้วทำไมผมถึงเอาตัวเองออกมาจากมันไม่ได้ก็ไม่รู้เนี่ย ขนาดมันใช้แขนแค่ข้างเดียวกอดเอวผมไว้นะผมยังดิ้นไม่หลุดเลย จะดิ้นแรงมากก็ไม่ได้

ทำไมชีวิตปองต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย

“ ไอ้....”

“ ยังอีก ”

“ ปล่อยสักที ”

“ จะให้ปล่อยก็พูดให้มันดีดี ” ผมมองหน้าของพี่มันที่พูดออกมาอย่างจริงจังแถมยังมองผมนิ่งๆ ไม่ชอบใจเลยเวลาต้องมารองใครแบบนี้น่ะ

“ ปล่อยผม ” ผมพูดใส่มันห้วนๆ

“ เอาใหม่ ”

“ อะไรอีกเล่า ”

“ บอกให้พูดใหม่ เรียกกูว่าพี่สยามด้วย ”

จิ๊....ทำไมผมต้องยอมทำตามที่มันสั่งด้วยวะเนี่ย โอ้ยหงุดหงิดว่ะ แต่ถ้าไม่ทำผมก็คงหลุดไปจากที่นี่ไม่ได้แน่ๆ ป่านนี้เพื่อนๆคงเป็นห่วงผม ห่วงรึเปล่าวะ ถ้าห่วงแม่งก็คงตามแล้วแหละพวกห่า กลับโต๊ะไปจะโบกเรียงตัวเลย

“ เร็วๆ ” เชี่ยนี่ก็เร่งจัง

“ พี่สยามปล่อยผมสักทีเถอะครับ ” ผมเอ่ยเสียงอ่อนเพื่อหวังให้มันปล่อยผม

ผมมองพี่มันที่ส่งสายตานิ่งๆมาให้ อ่านไม่ออกเลยครับว่าตอนนี้คนตรงหน้าคิดอะไรอยู่ พอเป็นแบบนี้แล้วผมรู้สึกประหม่าชะมัด คิดดูสิว่าผู้ชายสองคนตัวก็ไม่ใช่เล็กๆมายืนโอบเอวแถมยังมองหน้ากันอยู่เงียบๆ มันใช่เรื่องไหมวะเนี่ย

“ หึ....พูดเพราะก็เป็นหนิ ” พี่มันยกยิ้มก่อนจะก้มหน้าเอาปากมาประกบกับปากผม ประกบแนบแน่นอยู่แบบนั้นไม่ได้มีการล่วงล้ำเข้ามาสักนิด ความอุ่นจากปากนั่นผมรับรู้ได้รวมถึงรสเหล้าขมๆที่แล่นเข้ามาด้วย

ขมปนกับหวานๆ

เห้ยเดี๋ยว

ผมผลักมันออกทันทีก่อนจะยกมือเช็ดปากแรงๆ ไอ้สัสกูโดนจูบนี่หว่า เคลิ้มเชี่ยอะไรของมึงเนี่ยปอง กว่าจะคิดได้ก็เสือกปล่อยให้มันจูบอยู่ตั้งนาน ไอ้คนตรงหน้าก็ยิ้มอย่างอารมณ์ดีที่เห็นท่าทีของผม ขอสักทีเถอะสัส

พลั่ก

“ โอ้ย ไอ้เด็กเชี่ยนี่ ” ไอ้พี่สยามมันเซเล็กน้อยเพราะโดนผมต่อย มุมปากบางๆมีเลือดออกน้อยๆ ก็สมควรแล้วแหละอยู่ดีดีมาจูบกูหนิไอ้บ้า

“ มึงมันบัดซบที่สุดเลย ไอ้เลว!!! ” ผมแหกปากด่ามันลั่นก่อนจะรีบวิ่งหนีกลับเข้ามาในร้านทันที ใจจึงอยากจะด่าให้มากกว่านี้นะครับ อยากกระทืบมันด้วยซ้ำ มันทำแบบนี้กับคนที่เพิ่งเจอได้ไงวะ เกลียดผมมากรึไงถึงต้องแกล้งขนาดนี้ เชี่ยเอ้ย

“ เป็นไรวะปอง ”

“ มึงไหวไหมวะ ”

“ พี่สยามเขาทำไรมึง ” ทันทีที่ผมถึงโต๊ะก็มีคำถามออกมาจากปากเพื่อนๆ ผมบอกพวกมันไม่ได้แน่ๆแหละว่าตัวเองโดนอะไรมา

“ เปล่า ไม่มีอะไร ” ผมนั่งลงก่อนจะยกแก้วเหล้าซดรวดเดียวจนหมด อย่างน้อยรสขมๆของเหล้ามันก็ทำให้ผมรู้สึกเย็นขึ้นมาหน่อย

“ ไว้มึงอยากเล่ามึงค่อยเล่าเนอะ ” ลันตามันแตะไหล่ผมเบาๆ ผมก็พยักหน้ารับมันไปก่อนจะชงเหล้าอีกแก้วแล้วซดลงไปรวดเดียวเหมือนกับแก้วที่แล้ว

“ เย็นไว้ไอ้หนุ่ม แดกพรวดพราดขนาดนั้นเดี๋ยวก็เมาหัวทิ่มหรอก ” สีเทียนมันปรามผม เออเมาสิดีพอเมาก็จะได้ลืมๆไอ้เรื่องเมื่อกี้ไป ถึงจะลืมแค่ตอนเมาอย่างน้อยก็ได้ลืมแหละวะ

ผมยกมือแตะริมฝีปากตัวเอง ความรู้สึกอุ่นๆเมื่อกี้เหมือนมันยังอยู่เลย ใจผมก็เต้นแรงมากด้วยมันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนด้วยซ้ำ ไอ้พี่สยามมันทำแบบนี้ทำไมวะ ผมไม่เข้าใจมันเลย ให้มันกระทืบผมมันยังดีซะกว่า

จูบเมื่อกี้มันเป็นจูบแรกในชีวิตผมเลยนะ

ทำไมต้องมาเสียให้ผู้ชายด้วยวะ

หึ้ยยย ไอ้เชี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยย



[ บันทึกพิเศษ : สยาม ]



น่าสนใจจริงๆแหละเด็กบ้านั่นน่ะ

ชอบว่ะ

อยากได้ชะมัด

ผมนั่งอมยิ้มให้กับแก้วเหล้าตรงหน้าพลางนึกถึงหน้าใสๆของเด็กที่ผมเพิ่งไปขโมยจูบมา ตอนแรกผมก็แค่รู้สึกตลกกับชื่อของน้องมันเฉยๆ สมัยนี้ยังมีคนชื่อสมปองด้วยหรอวะ ผมแค่แกล้งแหย่เล่นนิดเดียวน้องมันก็ด่าผมซะ ปากคอเราะร้ายชิบหายนี่ขนาดผมเป็นรุ่นพี่มันยังกล้าด่าเลย

“ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลยนะมึง ” ผมหันมองไอ้ขุนที่นั่งอยู่ข้างๆ

“ ก็ต้องยิ้มสิวะ กูกำลังมีความสุข ”

“ เออ อย่ายิ้มมากให้แผลที่ปากฉีกละกัน ” เสียงไอ้แกงมันแขวะ ผมยกมือขึ้นแตะที่มุมปากเพราะโดนสมปองต่อย เห็นตัวเล็กแบบนั้นไม่คิดเหมือนกันนะว่าจะมือหนักขนาดนี้ ร้ายเหมือนกันที่ทำให้คนอย่างผมปากแตกได้

แต่ก็ดี ชอบนักนะเด็กร้ายๆเนี่ย

มันน่าทำให้เชื่อง

“ มึงจะไม่บอกกูจริงๆหรอว่าปากไปโดนอะไรมา ” ไอ้หอมมันจ้องเหมือนจับผิด

“ ไม่บอก ” ผมยกแก้วเหล้าตรงหน้าขึ้นซดจนหมด

“ มีความลับกับเพื่อนด้วยว่ะ ”

“ เออกับเพื่อนกับฝูงอ่ะมีความลับ ”

ผมมองพวกมันที่ดราม่าใส่ผมอย่างเอือมๆ พวกมึงนี่มันปัญญาอ่อนจริงๆ เออยังไม่ได้เอาเรื่องที่พวกมันเอาถุงคลุมหัวผมแล้วไปปล่อยไว้ที่ลานดินของตึกเกษตรเลย เด็กแม่งก็เต็มลานเลยเพราะคณะเกษตรเขาก็เรียกพบตัวน้องปีหนึ่งเหมือนคณะผม วันนี้แม่งโคตรอับอาย สายตากี่ร้อยคู่ไม่รู้ที่มองมาทางผมคนเดียว วิ่งกลับคณะแทบไม่ทันอ่ะบอกเลย

หมดสภาพสัสๆ

“ พวกมึงอ่ะ ทำไรกูไว้ยังไม่เคลียร์นะ ” ผมเอ่ยเสียงเย็นพร้อมกับส่งสายตาอำมหิตไปให้ ไอ้ก้องนี่ตัวดีเลยเพราะมันเป็นเจ้าของถุงที่ครอบหัวผม

“ ก็มึงกวนตีนน้องอ่ะ ”

“ กูยังไม่ทันทำไรเลย ”

“ มึงชอบสินะ น้องนั่นน่ะ ” ผมมองไอ้ชาทันทีที่มันพูดจบ รู้มากนักนะมึงน่ะ เอาจริงๆใครเห็นก็น่าจะชอบป้ะวะ

น่ารักขนาดนั้น

ใบหน้าขาวใส รูปร่างก็กำลังดีไม่หนาไม่บางผมพิสูจน์มาจากการกอดด้วยตัวเองเมื่อกี้ น้องมันสูงอยู่นะครับแต่ก็ยังเตี้ยกว่าผมมาก แน่ล่ะผมสูงเกือบ 190 แน่ะ เวลามองหน้าน้องมันผมยังต้องก้ม ดวงตาสีน้ำตาลเข้มนั่นก็ฉายแววดื้อรั้นสุดๆ จมูกเป็นสันสวยรับเข้ากับทุกอย่างบนหน้า

แถมริมฝีปากชมพูอมแดงนั่นก็น่าจูบ

จูบไปแล้วด้วย ฮ่าๆๆ

“ ทำหน้าหื่นขนาดนั้นแปลว่าชัวร์ ” หื่นอะไรของมึงวะไอ้ขุน ก็เด็กมันน่ารัก ถ้ากูจะหลงรักมันก็ไม่แปลก

ผมว่าสมปองมันต้องไม่รู้ตัวเองแน่เลยว่ามันหน้าตาโดดเด่นออกมาจากสามัญชนขนาดไหน เพื่อนๆมันแต่ละคนก็หน้าตาไม่ใช่ธรรมดานะครับ ไอ้ลันตาก็หน้าสวยชิบหายเห็นครั้งแรกก็นึกว่าผู้หญิงไม่ก็กระเทย ไอ้สีเทียนก็หน้าหวานเหลือเกิน ส่วนไอ้แยมนี่ก็ออกหล่อแบบหล่อเลยนะครับ น่าเอาไปประกวดเดือนชิบ เออน่าจะเวิร์คว่ะเดี๋ยวผมต้องเสนอชื่อมัน

เดี๋ยวต้องวางแผนเพื่อเข้าไปป้วนเปี้ยนในชีวิตพวกมันบ่อยๆ

“ ไม่ตอบด้วยว่ะ ”

“ เออชอบ พวกมึงห้ามยุ่ง ” ผมสั่งเป็นคำขาด เอาดิ่ใครมายุ่งกับมันกูไล่กระทืบเรียงตัวเลยอ่ะเพื่อนกูก็ไม่เว้น

“ เอาว่ะๆ ”

“ กูว่าแล้ว ”

“ น้องสมปองนี่ไม่ทำดา ”

“ เงียบน่าพวกมึงอ่ะ ชงเหล้าให้กูด้วย ” ผมบอกพวกมันก่อนจะส่งแก้วเหล้าของตัวเองไปให้

วันนี้มีความสุขจังว่ะ

นึกถึงหน้าตอนที่ผลักผมออกก็ตลกดี ทั้งหน้าทั้งหูนี่แดงไปหมด แถมท่าทางลนลานนั้นอีก โคตรน่าดึงมาจูบอีกรอบ เสียดายว่าโดนต่อยซะก่อน ไม่เป็นไรเดี๋ยวค่อยหาโอกาสเอา ยังไงน้องมันก็หนีผมไม่พ้นอยู่แล้ว

มึงมันบัดซบที่สุดเลย

พี่บัดซบได้มากกว่านี้อีกครับ......รอดูความบัดซบของพี่ได้เลยน้องสมปอง

รอบหน้าจะจูบแม่งให้ปากเปื่อย



[ จบบันทึกพิเศษ : สยาม ]






TBC.

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 24-09-2017 22:56:02
โอ๊ยๆๆๆ...........สนุกกกกกกก ชอบบบบบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

นึกแล้วว่าพี่สยาม ต้องคิดไรกับสมปอง
ขำ ที่เพื่อนเอาถุงคลุมหัวพี่เขา
แล้วพาไปปล่อยที่คณะเกษตร เหมือนปล่อยหมา ปล่อยแมวเลย  o22
ทำไมถึงทำกับสยามด้ายยยยยย......♫ ♬ ♪ ♩ ♭ ♪ 

เพื่อนพี่สยามดูออกอีก ว่าพี่เขาชอบสมปอง เจ๋งจริงๆ

ดูท่าแยม คงถูกคัดให้เป็นเดือนแน่เลย
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 3 : 25/9/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 25-09-2017 18:30:29
บทที่ 3 เมื่อสมปองดื้อ

ปวดหัว

ปวดหัวชิบหายเลย

ผมค่อยๆชันตัวลุกขึ้นมา ความรู้สึกแรกเลยคือมึนหัวมากครับเพราะเมื่อคืนดื่มไปเยอะมากพอสมควร ผมมองไปรอบๆก็พบว่าอยู่ที่ห้องของตัวเอง นี่นึกว่าจะนอนอยู่ข้างทางแล้วนะเอาจริงๆเหมือนเมื่อคืนจำได้คร่าวๆว่าตัวเองไปทำอะไรไว้สักอย่าง แต่นึกเท่าไหร่ก็จำไม่ได้ว่ะ ช่างแม่งละกัน

ผมเข้าไปจัดการกับตัวเองในห้องน้ำ เห็นตัวเองในกระจกก็รู้สึกอนาถขึ้นมาทันที เมื่อคืนผมดื่มเกินลิมิตตัวเองเพราะอยากจะลืมเรื่องที่ตัวเองโดนขโมยจูบ นึกถึงก็หงุดหงิดว่ะ แม่งจะเป็นตราบาปของผมไปจนชั่วชีวิตสินะ

“ มึนหัวชิบ ” ผมเดินออกมาจากห้องน้ำแบบเซๆ โลกหมุนสัสๆกว่าจะประคองตัวเองให้มานั่งเก้าอี้ได้นี่หน้าแทบทิ่มพื้นหลายครั้งละ บนโต๊ะมีสมุดไดอารี่สีขาววางอยู่ ผมจะต้องเขียนเหตุการณ์วันปฐมนิเทศให้พ่อได้อ่าน ผมอยากให้พ่อรู้นะว่าผมไม่เจอกับเรื่องอะไรมาบ้าง

เอาล่ะส่ายหัวสามทีเพื่อตั้งสติ



วันปฐมนิเทศของสมปอง

ชีวิตมหาลัยของผมมันกำลังจะเริ่มแล้วพ่อ ผมตื่นเต้นมากอ่ะบอกเลย วันนี้มีปฐมนิเทศตอนเช้า ผมได้เจอคนเยอะแยะเลยนะ สาวแจ่มๆก็โคตรเยอะอ่ะบอกเลย พอปฐมนิเทศเสร็จรุ่นพี่ก็นัดให้ไปเจอที่ลานเกียร์ แล้วผมก็หาลานเกียร์ไม่เจอ ฮ่าๆๆ แน่ล่ะมหาลัยแม่งใหญ่หนิก็ต้องหลงทางบ้างเป็นธรรมดา แต่เพราะการหลงทางของผมมันทำให้ผมได้มีเพื่อนคนแรกเลยนะพ่อ ชื่อว่า ลันตา มันหน้าตาน่ารักมากแต่มันเป็นคนกวนตีนอ่ะ ไว้ผมจะพาไปให้รู้จัก พอลันตามันพาผมมาถึงลานเกียร์ก็มาเจอรุ่นพี่คนนึง แม่งโคตรปากเสียเลย มันว่าชื่อผมโบราณด้วยนะพ่อ ทั้งๆที่มันก็ชื่อโบราณไม่ต่างจากผมอ่ะ

มันชื่อ สยาม

มันเป็นคนบ้าอ่ะจริงแม่งถือโทรโข่งทะเลาะกับผมแล้วดังลั่นได้ยินกันทั้งคณะเลยนะพ่อ แล้วเพื่อนๆมันก็แบกมันไปทิ้งไว้ที่อื่นเพื่อที่มันจะไม่ได้ทะเลาะกับผม แม่งบ้าจริงไว้ผมจะถ่ายรูปมันไปให้พ่อดูหน้าว่ามันหน้าตากวนตีนขนาดไหน พอผ่านเรื่องวุ่นๆไปผมก็มาได้รู้จักกับเพื่อนอีกสองคน ชื่อ สีเทียนกับแยม เห็นไหมพ่อมาปฐมนิเทศวันเดียวผมมีเพื่อนตั้ง 3 คน สุดยอดเลยดิ่ เนี่ยแปลว่าลูกพ่อมีเสน่ห์และเป็นที่รักนะใครๆถึงอยากจะรู้จักไง

พอค่ำผมกับเพื่อนๆก็เลยไปฉลองมิตรภาพกันที่ร้านเหล้า ทุกอย่างมันก็โอเคนะจนเมื่อไอ้พี่สยามมันมา มันกวนประสาทผมด้วย ผมกับมันทะเลาะกันเรื่องชื่อซ้ำอีกรอบ โดนมันดีดหน้าผากด้วยโคตรเจ็บเลยอ่ะ ที่บัดซบสุดก็คือโดนมันขโมยจูบเว้ย จูบ*!!!!* มันจูบผมเฉยเลยอ่ะ ผมเลยต่อยมันไปทีนึง แม่งแย่มากอ่ะที่มาทำกับผมแบบนี้ ไว้มันเผลอผมจะไปกระทืบมัน พอเกิดเรื่องบัดซบแบบนี้ขึ้นผมก็กินเหล้าเมาหัวทิ่มเลยอ่ะ ตื่นมานี่อย่างมึน ไว้ผมเขียนอีกทีวันหลังนะพ่อวันนี้พอก่อน ปวดมือแล้ว

1 / 8 / 20**xx : สมปอง




เขียนเสร็จแล้วครับ

ลายมือส้นตีนมากอ่ะเพราะยังไม่ค่อยสร่างแหงๆ

ผมปิดสมุดไดอารี่ก่อนจะหยิบกระเป๋าตังค์แล้วเดินออกจากห้อง หิวครับว่าจะลงไปกินโจ๊กใกล้ๆหอ ตอนนี้ท้องมันมวนแปลกๆ ไม่ชอบเลยเอาจริงๆ คล้ายๆคลื่นไส้เหมือนจะอ้วกแต่ก็ไม่อ้วก

ร้านโจ๊กก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากหอผมเท่าไหร่นะครับ กว่าจะเดินมาถึงร้านได้นี่ก็หวิดลงข้างทางไปหลายรอบเหมือนกัน พอผมเข้ามาในร้านก็สังเกตได้ว่ามีคนหันมามองทางผมพร้อมกับส่งเสียงซุบซิบบ้างหัวเราะบ้าง หัวเราะไรกันวะ ผมก้มมองสภาพตัวเอง ก็ไม่ได้ลืมใส่กางเกงมานี่หว่า อะไรของคนพวกนี้วะแต่ช่างเถอะ

“ เอาโจ๊กหมูธรรมดาใส่ไก่เพิ่มไข่พิเศษ ” กูพูดอะไรของกูวะย้อนแย้งชิบหาย ผมส่ายหัวตั้งสติอีกครั้งก่อนจะสั่งใหม่ “ เอาโจ๊กพิเศษใส่ทุกอย่างครับ ”

ป้าแม่ค้ายิ้มน้อยๆก่อนจะพยักหน้ารับคำของผม ผมเดินมานั่งรอที่โต๊ะ ก็ยังมีคนมองผมอยู่ตลอดนะครับ เอาล่ะชักสงสัยละ มีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตผมป้ะวะ แต่ผมก็ไม่เห็นจะจำอะไรได้เลยนะว่าผมไปทำอะไรมา

“ อ้าวไอ้เด็กเปรต ” เสียงกวนประสาทแบบนี้มีคนเดียวในโลกครับ ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเป็นเสียงใคร

ทำไมผมต้องมาเจอมันสองวันติดด้วยวะ

โคตรโชคร้ายเดี๋ยวต้องไปทำบุญ

“ กูชื่อสมปอง ไม่ใช่เด็กเปรต ” ผมกรอกตามองไอ้พี่สยามที่มันเดินมานั่งฝั่งตรงข้ามผม กูไม่ได้เชิญให้มึงมานั่งกับกูป้ะวะ เสร่อชิบหาย

“ กูจะเรียกอะไรก็เรื่องของกู ”

“ งั้นถ้ากูเรียกมึงว่าไอ้พี่เชี่ยก็เป็นเรื่องของกูสินะ ”

“ ไม่ได้ กูเป็นรุ่นพี่มึงนะ ”

“ กูก็เป็นรุ่นน้องมึงนะ พูดกับกูดีดีมันจะตายรึไง ”

“ ไอ้สมปองมึง!!! ” มันถลึงตาใส่ผมใหญ่เลย ผมก็แลบลิ้นใส่มันอย่างกวนประสาท คนอย่างมึงต้องเจอกูนี่แหละถึงจะสมน้ำสมเนื้อ กวนตีนมากูสวนกลับแน่

ในขณะที่ผมกำลังเถียงกับมัน ป้าแกก็เดินเอาโจ๊กมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะ ไอ้พี่สยามมันก็สั่งโจ๊กแบบผมถ้วยนึง จะแดกตามกูไมวะ แถมยังจะมานั่งโต๊ะเดียวกับกูอีกโต๊ะว่างในร้านก็ตั้งเยอะ โวะ เห็นหน้ามึงนี่โจ๊กกูไม่อร่อยพอดี

“ มึงมานั่งนี่ทำไม โต๊ะว่างก็ตั้งเยอะ ” ผมถามมันพลางตักโจ๊กเข้าปาก โจ๊กอุ่นๆนี่ให้ความรู้สึกดีจริงๆเลย

“ กูก็อยากจะนั่งกับคนดังบ้างอะไรบ้าง ” มันเท้าคางมองผมแล้วยิ้มกริ่ม รู้สึกเสียวสันหลังแปลกๆ

“ คนดังอะไรของมึงวะ ”

“ นี่มึงยังไม่เห็นหรอ ”

“ เห็นอะไรวะ ” พอมันเห็นผมกลับไปแบบงงๆมันก็หยิบโทรศัพท์มันออกมาก่อนจะเปิดอะไรบางอย่างให้ผมดู ก็พบว่ามันเป็นคลิปๆนึงที่มันแชร์อยู่หน้าไทม์ไลน์เฟสบุ๊คของมัน

จุดจบของสมปองสายแข็ง

“ เชี่ยยยยย ” ผมมองคนในคลิปที่มีสภาพเมาเละเหมือนหมาโหวกเหวกโวยห่าอะไรก็ไม่รู้ แถมยังคลานออกมานอนกองอยู่หน้าร้านอีกต่างหาก แล้วไอ้คนๆนั้นมันก็คือผมเอง ยอดแชร์หลายพันนี่มันคืออะไรวะ เพราะงี้สินะคนถึงได้มองผมแล้วก็หัวเราะกัน

พ่อจะเห็นคลิปไหมเนี่ย

โอ้มายก๊อด

“ ช็อคเลยดิ่มึง ” ช็อคดิ่สัส ช็อคแรงมากด้วย ใครมันจะไปคิดว่าตัวเองจะเมาเรื้อนแล้วยังโดนถ่ายคลิปเอาไปลงวะ

ผมได้แต่นั่งนิ่งพลางคิดทบทวนสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไปเมื่อคืน ผมจำไม่ได้จริงๆรู้แค่ว่าเมื่อคืนผมเมามาก แล้วใครมันเป็นคนถ่ายคลิปผมวะ ผมดูคนปล่อยคลิปเจ้าของเฟสใช้ชื่อว่า ลันตา อาอี้ยา

หึ มึงมันงูพิษจริงๆ

“ เห้ย ได้ยินกูพูดป้ะเนี่ยะ ”

“ ได้ยิน แดกๆไปโจ๊กอ่ะอย่ามายุ่งกับกู ” ผมบอกมันอย่างหัวเสีย ลันตานะลันตาทำแบบนี้กับกูได้ งานนี้มีเอาคืนแน่นอน ผมไม่ปล่อยมันไว้แน่

“ แหนะมีฉุนเฉียว เอาน่าๆ กูว่ามึงในคลิปมันก็น่ารักดีอ่ะ ” มันว่าพลางคนโจ๊กในที่ถ้วยที่เพิ่งมาเสิร์ฟให้หายร้อน

“ น่ารักก็เชี่ยละ มึงใช้คำว่าน่ารักกับกูเนี่ยะนะ ประสาทละ ” น่ารักมันต้องไว้ใช้กับผู้หญิงไม่ก็เด็กโว้ย

“ เออลืมว่ะ งั้นเอาใหม่ๆ กูว่ามึงในคลิปมันดูหน้าโง่ดีอ่ะ ” ว่าแล้วก็ส่งยิ้มแบบยียวนกวนประสาทตามสไตล์มัน หมั่นหน้าชิบหาย ถ้าเอาโจ๊กสาดใส่หน้ามันจะมีใครว่าผมไหม

“ โง่หน้ามึงอ่ะ อยากหน้าทิ่มโจ๊กไหมสัส ”

“ ทำโหดๆ กูต้องกลัวมึงไหมเนี่ย ” เกลียดการทำตาโตของมันมาก

“ รำคาญ ” ผมเอ่ยอย่างรำคาญ ผมว่าผมรีบกินโจ๊กให้หมดดีกว่าจะได้รีบไปจากจุดๆนี้สักที ขืนเห็นหน้ามันนานกว่านี้ไอ้ความรู้สึกอุ่นๆที่ปากมันต้องกลับมาอยู่ในหัวสมองของผมอีกแหงๆ

“ มึงต้องรำคาญกูไปอีกนานกูบอกเลย ”

ผมมองมันที่นั่งกินโจ๊กอย่างจริงๆจังๆ ดีนะที่มันไม่พูดถึงเรื่องจูบเมื่อวานออกมาเลย แถมยังทำตัวแบบว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่มันก็ดีแล้วล่ะ ผมเองก็อยากจะลืมๆมันไปซะ

เนี่ยะ ว่าจะลืมก็นึกถึงจัง

“ ป้าครับเก็บตังค์ ” ตอนนี้ผมซัดโจ๊กหมดถ้วยแล้วครับ โคตรอิ่มอ่ะ ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย ไอ้อาการมวลๆตอนแรกก็หายไปแล้ว แต่ไอ้อาการมึนหัวนี่ยังคงอยู่ไม่เป็นไรเดี๋ยวขึ้นไปนอนสักพักเดี๋ยวก็คงดีขึ้น

“ เดี๋ยวดิ่กูยังแดกไม่เสร็จเลย ”

“ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับมึง ”

“ เออน่า รอกูก่อนดิ่ ”

“ รอมึงเพื่อ กูมึนหัวกูจะขึ้นไปนอน ” ผมควักตังค์จ่ายค่าโจ๊กก่อนที่จะเดินออกจากร้านทันทีโดยไม่สนใจไอ้พี่สยามที่โวยวายอะไรของแม่งอยู่

ทำไมโลกมันสว่างจ้าวิ้งๆแบบนี้วะ

ผมส่ายหัวไล่ความมึนและตั้งสติอีกรอบเตรียมที่จะเดินกลับหอแต่ก็ต้องหยุดเพราะมีคนจับข้อมือผมไว้ หันไปก็พบกับไอ้พี่สยามคนเดิมนั่นแหละครับ จะอะไรกับกูอีกวะเนี่ย

“ เดี๋ยวกูไปส่ง ”

“ ไม่ต้อง กูเดินกลับเองได้ ”

“ สภาพอย่างนี้เนี่ยนะจะกลับเอง เดินให้ตรงยังทำไม่ได้เลย เดี๋ยวกูไปส่ง ”

“ มึงจะมายุ่งอะไรกับกูวะ ตอนมากูยังเดินมาได้เลย ตอนกลับกูก็ต้องกลับได้อยู่แล้วแหละ ” ถึงแม้ว่าตอนมาเกือบจะหัวทิ่มอยู่ข้างทางก็เถอะ

“ จิ๊....มึงอย่ามาดื้อได้ไหม ” มันจิ๊ปากอย่างหงุดหงิด

“ กูไม่ได้ดื้อ มึงนั่นแหละที่ดื้อ กูบอกว่าจะกลับเองไง ” ผมโวยวายใส่มันอย่างไม่ยอม ชีวิตกูกูรับผิดชอบได้ยูโน้ว

“ มึงจะไปดีดีไหม ”

“ ไม่ไป ” ผมจ้องหน้ามันที่จ้องผมอยู่ เอาสิมึง ดูดิ้ใครจะชนะ

ผมยักคิ้วท้าทายมัน ไอ้พี่สยามมันนิ่งไปแปปนึงก่อนจะรวบแขนผมเข้ามาก่อนจะย่อตัวอุ้มผมขึ้นมาพาดบ่า เดี๋ยวไอ้สัสมึงจะทำอะไรกูเนี่ยไอ้บ้า

“ มึงปล่อยกูเดี๋ยวนี้เลยนะไอ้เชี่ย ” ผมดิ้นไม่หยุด สองมือก็ทุบหลังมันเพื่อให้มันปล่อย แต่มันดูไม่ค่อยสะทกสะท้านกับแรงทุบของผมเลย มึงเป็นมนุษย์เหล็กหรอไอ้สัส

ป้าบบบบ

“ ไอ้สัสสสสสสสสไอ้สยามไอ้เชี่ย ” มันตีก้นผมอย่างแรง โอ้ยเจ็บชิบแม่งต้องเป็นรอยมือมันแน่ๆ

“ มึงอยากดื้อดีนัก ” มันตีก้นผมอีกที ผมก็ทุบหลังมันสวน แต่ยิ่งผมทุบหลังมันมันก็ยิ่งตีผมแถมยังตีแรงขึ้นเรื่อยๆ ไอ้สัสกูเจ็บ มีคนไม่น้อยเลยนะครับที่เห็นผมสองคนแล้วก็มีไม่น้อยที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูป เออให้กูดังแค่คลิปเดียวไม่พอใจไง เออเอาให้เต็มที่เลย

ชีวิตกูไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ววววว

ไอ้พี่สยามมันพาผมเดินมาจนถึงรถมินิคูเปอร์สีดำคันนึง มันปลดล็อคกุญแจก่อนจะเปิดประตูแล้วยัดผมเข้าไป แล้วมันก็ขึ้นมานั่งฝั่งคนขับ ไอ้สัสมึงนี่เผด็จการชิบหาย

“ มึงนี่มัน....” ผมกำลังจะอ้าปากด่ามันแต่มันชี้นิ้วแล้วส่งสายตาเหี้ยมมาทางผมซะก่อน

“ จะบอกกูดีดีไหมว่าหออยู่ที่ไหน ”

“ ไม่บอก ” ผมหันหน้าหนีมันแต่มันก็ดึงแก้มผมให้หันกลับมามองมันเหมือนเดิม นี่กูเจ็บที่ก้นไม่พอยังต้องมาเจ็บที่แก้มอีกหรอวะ

“ ถ้ามึงไม่บอกดีดี กูจูบนะ ” มันเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง สายตาคู่นั่นก็บ่งบอกว่ามันไม่ได้พูดเล่นๆ

ผมกลืนน้ำลายลงคอดังอัก ไม่เอานะชีวิตผมควรโดนผู้ชายจูบแค่ครั้งเดียวอะจริงๆ แต่ใจนึงก็ไม่อยากให้มันไปส่ง เพราะถ้ามันไปส่งมันก็ต้องรู้ว่าผมอยู่ที่ไหน เดี๋ยวแม่งก็ตามระรานผมที่หออีก ไม่ต้องพบกับความสงบแล้วแหละชีวิตนี้ แต่ถ้าไม่บอกก็โดนจูบอีกไอ้สัสเอ้ยไม่มีทางเลือกดีดีบ้างรึไงวะ

เอาไงดีวะปอง

“ มึงช้าเองนะ ” สิ้นเสียงมันก็กระชากคอเสื้อผมเข้าไปจนใกล้ก่อนจะประกบริมฝีปากลงมาทาบทับ เหมือนกับภาพเหตุการณ์เมื่อวานมันย้อนกลับเข้ามาในหัว แต่วันนี้มันมากกว่าเมื่อไอ้บ้านั่นมันบีบแก้มให้ผมเปิดปากเพื่อให้มันได้สอดลิ้นเข้ามาด้านใน ผมพยายามที่จะผลักมันออกไปแต่เหมือนมือไม้มันอ่อนแรงลงดื้อๆ

มือเรียวยาวของพี่มันล็อคคอผมไว้ตามองศาที่มันจะจูบผมได้ถนัดๆ สัมผัสได้ถึงลิ้นร้อนๆที่ไล่ต้อนลิ้นของผมอยู่ มันให้ความรู้สึกแปลกๆ มันไม่ใช่แค่ความรู้สึกอุ่นๆที่ริมฝีปากเหมือนครั้งที่แล้ว ผมรู้จะอธิบายความรู้สึกนี้ออกมายังไง

ผมไม่เคยทำแบบนี้กับใครนี่หว่ามันจะไปรู้ได้ยังไง

เวลาผ่านไปสักแปปนึงพี่มันก็ถอนริมฝีปากออกช้าๆก่อนจะใช้ปลายนิ้วของมันเช็ดคราบน้ำลายใสๆที่ริมฝีปากของผม “ มึงมันดื้อ ”

ตึกตัก

ผมรับรู้ได้ถึงอัตราการเต้นของหัวใจที่มันเร็วขึ้น ตอนนี้หน้าของผมกับมันห่างกันแค่ไม่ถึงคืบ ลมหายใจร้อนๆกับสายตาจริงจังนั่นมันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ

เหมือนกับต่อต้านไม่ได้ยังไงยังงั้น

“ จะบอกกูได้รึยังว่าหออยู่ที่ไหน ถ้ามึงยังดื้ออีก กูจะไม่หยุดแค่จูบนะ ” ผมกระพริบตามองมันช้าๆ เออยอมแล้วไอ้สัส เลิกหน้าแบบนั้นใส่กูสักที ใจมันสั่นโว้ย

“ หอK2 ”

“ ก็เท่าเนี้ยะ ” มันผละออกไปก่อนจะออกรถเพื่อที่จะไปส่งผม

ผมได้นั่งเงียบๆมองข้างทาง รู้สึกประหม่าชิบหาย ไม่เคยแพ้ทางและก็เสียท่าใครเท่ามันเลย เจอมันแค่สองวันมันกลับขโมยจูบของผมไปได้ทั้งสองวัน เมื่อวานยังได้ต่อยมันกลับแต่วันนี้เหมือนรู้สึกว่าตัวเองสวนอะไรกลับไปไม่ได้เลยได้แต่นั่งเงียบๆ แม่งโคตรไม่ใช่ตัวผมเลยว่ะ

“ ถึงละ ” ผมสะดุ้งกับเสียงมันนิดๆ พอมองด้านหน้าก็พบว่าเป็นหอตัวเอง ผมเปิดประตูหวังจะลงจากรถแต่ก็โดนดึงแขนไว้อีกรอบ มึงจะอะไรกับกูอีกวะ

“ อะไรอีกอ่ะ ” ผมถามโดยที่ไม่ได้หันไปมองหน้ามัน

“ มึนหัวก็แดกยาซะด้วย ” เสียงเข้มนั่นเจือความเป็นห่วงหน่อยๆ ใจนึงก็อยากหันไปมองมันนะว่ามันทำหน้ายังไงอยู่ แต่ถ้าหันไปแล้วโดนจูบอีกนี่ก็ไม่เอาอ่ะ จิตใจไม่ไหวแล้วครับ ณ จุดๆนี้

“ เออ รู้แล้ว กูไม่ขอบใจมึงที่มาส่งหรอกนะ มึงบังคับกู ” ก็จริงอ่ะ แม่งบังคับผม ทั้งมาส่งทั้งจูบ เนี่ยะในหัวมีแต่คำว่าจูบลอยล่องเต็มไปหมด

“ ไอ้ดื้อเอ้ย ” มันเอ็ดก่อนจะยอมปล่อยมือผม ผมนี่ก็รีบลงมาจากรถมันแล้ววิ่งขึ้นหออย่างไว ไอ้อาการมึนๆนี่หายไปเป็นปลิดทิ้งเลย

ผมรีบเข้าห้องตัวเอง ล็อคประตูและกระโจนขึ้นเตียงทันที มือก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงอีกต่างหาก อยากจะระเบิดตัวเองทิ้งจริงๆ ที่ยอมปล่อยให้เรื่องแบบนั้นมันเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง แถมมันยังให้ความรู้สึกมากกว่าครั้งแรกมากด้วย

“ บ้าชิบ ” ผมสบถก่อนจะกัดริมฝีปากตัวเองเบาๆ เหมือนปากจะเจ่อหน่อยๆด้วยว่ะ บ้าว่ะบ้าไม่อยากคิดแล้วอ่ะ ผมคว้าโทรศัพท์ที่อยู่ใกล้ๆก่อนจะโทรไปหาสีเทียน ไม่นานนักมันก็รับสาย

( ว่าไงสายแข็ง )

“ เดี๋ยวจะโดนนะพวกมึงอ่ะ เดี๋ยวเจอกูแน่ๆ ” ไอ้สัสยังจะมาเล่นเพื่อนมึงกำลังเครียดนะไอ้บ้า

( โอ๋เอ๋ ขำๆน่ะ ว่าแต่โทรมามีไร )

“ กูไปเจอเรื่องไม่ดีมากูอยากลืมอ่ะ ทำไงดีวะ ”

( ทำไงงั้นหรอ )

“ เออ ” ผมรอคำตอบจากมันอย่างเงียบๆ สีเทียนมันก็ดูเป็นคนทีมีความคิดดีดีเยอะ ผมก็หวังว่าสีเทียนมันจะให้คำแนะนำที่ดีกับผมได้

( แดกเหล้า )

แต่ผมคิดผิดว่ะ

“ ไอ้สัสสสสสสสสเทียน ” ไม่ได้ช่วยอะไรกูเล้ยไอ้เพื่อนเลว

ผมกดวางสายก่อนจะวางโทรศัพท์ไว้ใกล้ๆ ทำไงให้ลืมดีวะ ลืมโดยที่ไม่ต้องกินเหล้า นอนไง นอน การนอนหลับมันจะทำให้ผมลืมไปได้แปปนึง ความฝันมันเป็นพื้นที่ของผมไอ้พี่สยามนั่นมันต้องเข้ามาไม่ได้อย่างแน่นอน พอคิดได้แบบนั้นผมก็จัดการชัทดาวน์ตัวเอง

คร่อกกกก ZZZ….





TBC.

#หยัมปอง ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้า
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 4 : 26/9/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 26-09-2017 20:04:46
บทที่ 4 ความทรงจำใหม่


เวลาสองอาทิตย์นี่ผ่านไปไวเหมือนโกหกเลยว่ะ

ผมนั่งหน้ามึนอยู่ในห้องเรียนที่แอร์เย็นฉ่ำ บรรยายกาศมันน่านอนมากครับ ยากมากที่จะดึงสติเอาไว้ ผมอยากจะฟุบหลับหลายรอบละ แต่ลันตามันก็ตบเรียกสติผมทุกรอบ พูดถึงลันตา ผมยังไม่ได้ล้างแค้นที่มันเอาคลิปผมไปลงเลย ผมไม่ได้คิดจะใจดีปล่อยมันไปนะครับแต่ผมยังคิดไม่ออกว่าจะเอาคืนมันยังไงดี ไว้คิดออกก่อนค่อยจัดการ

มันจะต้องเป็นการล้างแค้นที่น่าจดจำ

หึ

“ กูง่วงอ่ะ ” สีเทียนบอกพลางยกมือขึ้นปิดปากตัวเองที่กำลังหาว ไม่ใช่แค่มึงหรอกเทียน กูก็ง่วงเหมือนกัน

“ ง่วงอะไรของพวกมึงกันวะ เปิดเทอมวันแรกนะทำตัวให้มันตื่นเต้นหน่อยสิ ” กูก็อยากจะตื่นเต้นอ่ะนะลันตาแต่ว่ามันก็ง่วงป้ะวะ มึงดูอากาศ มึงดูการบ่นอะไรไม่รู้งุ้งงิ้งๆของอาจารย์ รวมๆทั้งหมดนี่เป็นปัจจัยที่ดีต่อการนอนมากเลยนะ

“ ปล่อยมันเถอะลันตา วันแรกมันไม่มีอะไรหรอก ” เออใช่ แยมมันพูดถูก

วันแรกมันไม่ค่อยมีอะไรหรอก

วันนี้เป็นวันเปิดเรียนวันแรกครับ มันเป็นวันที่จะได้พบกับเพื่อนๆ ได้พบกับอาจารย์เพื่อที่จะชี้แจงบทเรียนที่จะเรียนไปตลอดทั้งเทอม เริ่มเรียนจริงๆจังๆคงจะเป็นคลาสหน้า วันนี้ไม่ต้องมาก็ได้นะครับเอาจริงๆ แต่ที่มากันนี่ก็เป็นเพราะพวกพี่ปี 2 เขานัดจับสายรหัสกัน ถ้าไม่มีนัดผมเองก็อาจจะนอนกลิ้งอยู่ที่หอก็เป็นได้

“ อย่าลืมนะคะนักศึกษา แล้วเจอกันคลาสหน้า ” สิ้นเสียงอาจารย์สยมพร เหล่านักศึกษาก็พากันเก็บของรวมถึงผมด้วย วันนี้หมดคลาสแล้วครับ ตอนนี้ก็ประมาณเที่ยง เหลือเวลาก่อนที่พวกพี่ปี 2 นัดก็เกือบสองชั่วโมง

“ ไปกินข้าวกันเหอะมึง ”

“ ไปดิ่ กูก็หิวอยู่ยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า ”

“ กูก็เหมือนกัน มึงเก็บของเร็วๆดิ้ปองกูหิว ” ลันตามันเร่งผม ใจเย็นๆได้ไหมล่ะ นี่กูก็รีบสุดแล้ว

หลังจากที่ผมเก็บของเสร็จ ลันตามันก็นำทางเรามายังที่โรงอาหารของคณะครับ มีแต่ของน่ากินทั้งนั้นเลยว่ะ ไม่ใช่แค่ของที่น่ากินนะครับ คนก็น่ากินเหมือนกัน เวลาประมาณเที่ยงแบบนี้นี่เด็กวิศวะก็มาพักกินข้าวกัน สาววิศวะนี่สวยบาดตาบาดใจผมจริงๆเลย

“ สีหน้ามึงแสดงออกมาชัดมากเลยนะปอง ”

“ แสดงอะไรวะ ”

“ แสดงความแรด เอาของวางละไปซื้อข้าวแดกได้ละ ” ลันตามันวางของไว้บนโต๊ะก่อนจะเดินไปซื้อข้าว ผมก็ได้แต่เบ้ปากมองมันตามหลัง ปากคอเราะร้ายชิบหาย อย่าให้ถึงวันของกูนะลันตานะ

“ เอาหน่า ไปซื้อข้าวดีกว่าเนอะ ” สีเทียนมันตบหลังผมเบาๆคล้ายๆจะปลอบใจ มึงนี่คนดีจังเลยเทียน มีแต่มึงนี่แหละที่คอยให้กำลังใจกูอยู่เสมอ

ซาบซึ้งว่ะซาบซึ้ง

พอผมซาบซึ้งกับมิตรภาพของสีเทียนเสร็จ ผมก็หยิบกระเป๋าตังค์ก่อนจะเดินมาต่อคิวซื้อก๋วยเตี๋ยวครับ รู้สึกอยากกินเย็นตาโฟมาก พอผมต่อคิวก็สังเกตได้ถึงสายตารอบข้างที่มองมา มองมาแล้วหัวเราะคิกคักกัน ภาพเหตุการณ์ที่ร้านโจ๊กเมื่อสองอาทิตย์ก่อนมันแล่นเข้ามาในหัวเลยว่ะ ผมไปทำอะไรไว้อีกวะ แต่เท่าที่จำได้ก็ไม่ได้ทำอะไรนี่หว่า

เอ๊ะ หรือทำ

ผมยืนนิ่งเพื่อนึกเหตุการณ์ในสองอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมก็ไม่ได้ทำอะไรนะนอกจากนอนอยู่ในห้อง มีไปเล่นเกมส์ที่ห้องแยมบ้าง ไปเล่นไพ่ที่ห้องสีเทียนบ้าง ส่วนห้องลันตานี่ไปนอนค้างกับมันตอนที่มันประสาทแดก ไอ้ที่ไปนอกหอก็คือไปเซเว่นกับไปร้านโจ๊ก ก็ไม่น่าไปทำอะไรแปลกๆได้ป้ะวะ จะว่าเป็นเพราะคลิปจุดจบสายแข็งก็ไม่น่าจะใช่เพราะมันก็ผ่านไปสองอาทิตย์ กระแสคลิปผมก็เงียบไปมันก็เป็นปกติสำหรับโลกโซเชียล

แต่ถ้าไม่ใช่เพราะคลิปมันเป็นเพราะอะไรวะ

ซิปกางเกงก็รูดนี่หว่า

“ เด็กเปรต ” ผมหันตามเสียงที่ดังมาจากด้านหลัง ก่อนพบกับใบหน้าหล่อเข้มที่ผมไม่ได้เห็นมาสองอาทิตย์ ไอ้พี่สยามที่สวมเสื้อช้อปสีน้ำเงินเข้มมันเดินเข้ามาใกล้ผมก่อนจะ....

ฟอด

“ แก้มมึงนิ่มจังวะ ”

ฟอด

ฟอดด

ฟอดดด

“ เห้ย!!! มึงทำเชี่ยไรของมึงเนี่ยะ ” ผมโวยวายพร้อมกับผลักไอ้พี่สยามมันออก ก่อนจะยกมือขึ้นมาเช็ดแก้มแรงๆ ใบหน้าหล่อของมันยิ้มออกมาเมื่อโดนผมโวยวายใส่

ยิ้มเชี่ยอะไรของมึง

“ อะไรกันล่ะ ท่าทางแบบนั้น ” มันเลิกคิ้วมองผมอย่างกวนๆ น่าถีบหน้าชิบหาย

“ มึงอ่ะเป็นห่าอะไร มาหอมแก้มคนอื่นแบบนี้ได้ยังไง ” ผมโวยใส่มันดังลั่นโดยที่ไม่สนใจคนที่กำลังมองอยู่ ไอ้ตอนที่มันหอมแก้มผมไปนั้นก็คงมีคนไม่น้อยที่เห็น แล้วมันไม่ได้หอมแก้มแค่ทีเดียวนะ มันหอมแก้มผมไปตั้ง 4 ครั้ง

ตั้ง 4 ครั้ง!!!

ไม่คิดจะให้กูเก็บไว้ให้ว่าที่เมียในอนาคตกูหอมบ้างเลยรึไงไอ้สัส

“ ก็กูชอบของฟรีอ่ะ ”

“ ของฟรีอะไรของมึง ”

ไอ้พี่สยามมันยกยิ้มพร้อมกับก้มหน้าลงมาใกล้ๆ “ ก็ของฟรี อย่างแก้มมึงไง ”

“ ไอ้สัส ” ผมผลักมันให้ออกห่างจากหน้าผม “ แก้มกูไปเป็นของฟรีตอนไหน ”

ผมมองหน้ามันอย่างเอาเรื่อง ตอนนี้ผมรู้สึกหงุดหงิดมากครับ คนแม่งก็มองกันให้ตรึมแถมยังมีเอาโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายคลิปอีก หิวก็โคตรจะหิว แล้วยังจะมาโดนไอ้พี่สยามขโมยหอมแก้มด้วย ช่วงเวลาสองอาทิตย์ที่ผมไม่เจอมันนั้นผมรู้สึกว่าชีวิตผมสงบมากเลยนะ แถมการที่ไม่เจอมันก็พอจะทำให้ผมไม่นึกถึงเรื่องที่โดนมันจูบ โอ้ยแม่ง ห่าเอ้ย กว่าจะพยายามลืมได้มันยากนะ

วันนี้ก็เสือกป้อนความทรงจำใหม่ให้กูอีกอีเลว

“ กูพูดจริงๆอ่ะ ถามคนอื่นก็ได้ น้องๆแก้มมันเป็นของฟรีป้ะ ” ไอ้พี่สยามมันหันไปถามสาวน้อยน่ารักที่ยืนอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ นางก็พยักหน้ารับพี่มันเบาๆ พยักหน้าไมวะแก้มกูไม่ใช่ของฟรีนะโว้ย

“ มันเป็นของฟรีตรงไหนห้ะ ”

“ มึงไม่รู้ตัวจริงๆสินะ ” รู้ตัวอะไรของมึงวะ

ผมหมุนตัวมองคนรอบๆที่พากันหัวเราะแบบจริงจังหลังจากที่ไอ้พี่สยามมันพูดจบ พวกมึงหัวเราะอะไรกันเห็นกูเป็นตัวตลกหรอ สายตาผมเหลือบไปมองเห็นเพื่อนๆที่นั่งกันอยู่โต๊ะ พวกมันเองก็นั่งมองผมแล้วหัวเราะอยู่ โดยเฉพาะสีเทียนกับลันตาที่หัวเราะกันจนตัวโยน

ชักจะทะแม่งๆ

ผมหันกลับมาหาไอ้พี่สยามมันช้าๆ “ เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตกู ”

“ ข้างหลังมึงอ่ะ ” ผมหันหลังมองทันทีที่ไอ้พี่สยามมันพูดจบ มันก็ไม่มีอะไรนี่หว่า มีแต่คนหัวเราะกูเนี่ยะ

“ ไม่เห็นมีอะไรเลย มึงหลอกกูหรอ ”

“ มึงนี่มันปัญญาอ่อนจริงๆเลยสมปอง ” ไอ้พี่สยามมันทำหน้าเอือมใส่ผม “ มึงจับหลังตัวเองดิ้ ”

พอได้ยินแบบนั้นผมก็ยกมือจับหลังของตัวเองก็ได้ยินเสียงอะไรกรอบแกรบ เท่าที่มือสัมผัสได้มันคือผิวกระดาษ ผมจึงดึงมันจนหลุดออกมาจากด้านหลัง กระดาษอะไรของแม่งวะ แล้วมันมาติดหลังตอนไหนวะเนี่ย พอได้ก้มอ่านข้อความที่อยู่บนกระดาษก็ได้เข้าใจว่าทำไมไอ้พี่สยามมันถึงได้มาหอมแก้มผม

แก้มฟรีไม่มีเจ้าของ จะฟัดจะหอมก็ทำตามใจ

หึ แม่งเล่นกูอีกแล้ว

“ ชัดไหมว่ากูหอมแก้มมึงทำไม ” ผมเงยหน้ามองไอ้พี่สยามที่มันยิ้มปากบาน

“ มึงก็รู้ว่ามันคือการแกล้ง มึงจะบ้าจี้ทำตามเพื่ออะไรวะ ” คนเห็นกระดาษห่านี่ก็เยอะแต่มันก็ไม่มีใครกล้ามาหอมแก้มกูสักคน มีแต่มึงนี่แหละไอ้บ้าที่กล้าทำอะไรบ้าๆแบบนี้

“ ก็กูอยากทำอ่ะ ได้หอมแก้มมึงนี่คือกำไรชัดๆนะ ”

“ กำไรอะไรของมึงวะ ”

ไอ้พี่สยามมันก้มลงมาใกล้ๆข้างหูผม “ กำไรที่คล้ายๆกับจูบบนรถอ่ะ ”

ตึกตัก

แค่คำว่าจูบเอง ไม่ต้องใจเต้นขนาดนี้ก็ได้มั้งสมปอง

ผมมองหน้ามันก่อนจะกระพริบตาปริบๆ ไอ้พี่สยามมันก็ยิ้มหวานจนตาหยี เออเอาเข้าไป คิดว่าเล่นงานกูได้ก็เอาใหญ่เลยนะ ผมค่อยๆทำมึนกลับมาต่อแถวซื้อก๋วยเตี๋ยวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไอ้พี่สยามมันก็ตามมาต่อแถว มันก็ยังไม่มีคนไม่น้อยนะที่ยังมองอยู่ ไม่คิดจะแยกย้ายไปแดกข้าวกันหรอครับ ชีวิตกูมีอะไรให้น่าสนใจนักหนา

กูพาลหมดอ่ะนาทีนี้

“ สมปอง ”

“ อะไรมึงอีกวะ ”

“ วันนี้ห้ามสายนะ ”

“ ถ้าสายแล้วมึงจะทำไมวะ ” ผมเหลือบมองมัน

“ ถ้าสายมึงโดนลงโทษแน่ ” มันยกยิ้มให้ผม เกลียดการยกยิ้มของมึงมากอ่ะกูบอกจากใจเลย อยากจะเอามีดมากรีดให้มุมปากมันหายไปซะจริงๆ

“ ไม่กลัวหรอก อย่างมึงจะทำอะไรกูได้ ป้าครับเอาเส้นเล็กเย็นตาโฟพิเศษน้ำใส ” เย็นตาโฟมีน้ำใสด้วยหรอวะ บ้าบอชิบหาย ผมส่ายหัวตั้งสติก่อนจะสั่งใหม่อีกครั้ง “ เส้นเล็กเย็นตาโฟพิเศษครับ ”

“ จะใช่เร้อที่ว่ากูทำอะไรมึงไม่ได้ ”

“ น้ำหน้าอย่างมึงจะทำอะไรกูได้วะ ” ผมยื่นเงินไปจ่ายให้ป้าก่อนจะรับชามเย็นตาโฟมาปรุง ผมชอบกินหวานครับเพราะงั้นใส่น้ำตาลแม่งสักสามช้อน

“ ก็ทำได้หลายอย่างนะ ทั้งหอมแก้มเอย ทั้งจูบเอย ”

แค่กก..ก....

ห่าเอ้ย

“ ใช่เรื่องมาพูดไหมเนี่ย ” ผมถลึงตาใส่มันเพราะสิ่งที่มันพูดทำให้ผมสำลักเย็นตาโฟ ความหวานนี่แม่งลามไปยันจมูกกูแล้วเนี่ย

“ ก็กูพูดจริงๆหนิ ป้าครับเอาหมี่เหลืองต้มยำ เดี๋ยวก่อนสิ ” มันดึงข้อมือผมที่กำลังจะเดินหนี กูจะได้แดกไหมเย็นตาโฟเนี่ยะ

“ อะไรมึงอีกวะ ”

“ ห้ามสายนะ ” มันย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจัง จะสายไม่สายก็เรื่องของกู มึงนี่ยุ่งจริงๆ

“ เออรู้แล้ว ” ผมดึงมือออกมาจากมือมันก่อนจะเดินมาถึงโต๊ะก็พบกับเจ้าของกระดาษที่ยิ้มเอียงคออย่างน่ารักให้ผมอยู่

“ ไปซื้อนานจังอ่ะ ” สีเทียนมันเอ่ยถามตาใส ทำแบ๊วเชียวนะมึง

“ หึ ” ผมเค้นเสียงใส่มันก่อนจะวางกระดาษที่มันแปะหลังผมไว้กลางโต๊ะ “ มึงกับกูจะได้เห็นดีกันสีเทียน ”

“ กลัวแล้ว ” มันทำเป็นยกมือจับแก้มแล้วทำตาโต เหมือนกับว่ามันกลัวผมมาก

น่าหมั่นไส้จริงๆว่ะ

ผมส่งสายตาเหี้ยมไปให้มันอีกครั้งก่อนจะนั่งกินเย็นตาโฟเงียบๆ ไอ้พวกที่เหลือก็นั่งฝอยอะไรของมันกันก็ไม่รู้ ทำไมชีวิตมหาลัยนี่ผมมีแต่เรื่องวะ โดยเฉพาะเรื่องอับอายกับเรื่องเปลืองเนื้อเปลืองตัวเนี่ยะ แม่งแย่ว่ะ สงสัยต้องไปทำบุญ

“ คิดอะไรอยู่วะปอง หน้ามึงดูเครียดๆนะ ” ผมเงยหน้าขึ้นมามองแยมที่แสดงสีหน้าเป็นห่วงออกมาอย่างชัดเจน

“ กูก็คิดอะไรเรื่อยเปื่อยอ่ะ ไม่มีไรหรอก ” ผมบอกปัดไป เรื่องทั้งหมดมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ด้วย มันแค่น่ารำคาญเท่านั้นเอง ผมไม่จำเป็นจะต้องทำให้เพื่อนมาเป็นห่วงผมด้วยเรื่องเล็กน้อยแค่นี้

“ ถ้ามีไรก็บอกกูได้นะ ” แยมมันแตะไหล่ผมเบาๆ ไม่ใช่มึงเอาอะไรมาแปะไหล่กูอีกนะ

“ เออ ขอบใจนะมึง ” พอเห็นว่าไม่มีอะไรแปะไหล่ผมก็ขอบใจมันเบาๆ ก่อนจะตั้งใจกินเย็นตาโฟตรงหน้าต่อ

ตอนนี้ในหัวผมกำลังคิดถึงแผนเอาคืนลันตากับสีเทียนอยู่ พวกแม่งร้ายกาจชะมัดเพราะงั้นผมต้องเอาคืนให้เจ็บแสบและสาสมกับที่มันทำไว้กับผม ส่วนไอ้พี่สยามนั่นผมว่าผมไม่ควรไปยุ่งกับมัน แต่ดูจากเรื่องที่ผ่านๆมาผมก็ไม่ได้เป็นฝ่ายไปยุ่งกับมันนะ มีแต่มันนั่นแหละที่มายุ่งกับผมก่อน

ทั้งเรื่องจูบทั้งเรื่องหอมแก้ม

“ จิ๊....บ้าชะมัด ” ผมสบถเบาๆก่อนจะยกมือขึ้นกุมแก้มที่พี่มันขโมยหอมไป ปกติมีแค่คนในบ้านเท่านั้นที่ได้หอมแก้มผม ขนาดเมื่อก่อนที่ผมมีแฟน เธอยังไม่ได้หอมแก้มผมเลย แล้วพี่มันเป็นใครวะ

แก้มมึงนิ่มจังวะ

นิ่มพ่องอ่ะ

กูไม่ตลกกับมึงเลยนะไอ้พี่สยาม.....ไอ้ห่าหัวใจนี่ก็เต้นแรงพร่ำเพื่อชะมัด

บ้าบอว่ะ






TBC.

#หยัมปอง ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้าาา
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 5 : 27/9/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 27-09-2017 20:16:49
บทที่ 5 คำใบ้ของพี่รหัส

ลานเกียร์ตอนบ่าย

กับการรอจับสายรหัสที่แสนน่าตื่นเต้น

หรอวะ

ผมนั่งเท้าคางมองพวกรุ่นพี่ปีสองที่เดินไปเดินมาอยู่ด้านหน้าด้วยความสงสัยว่าเขาจะเดินวนไปวนมาทำไมนักหนา นั่งเป็นไหมนั่ง คนนั่งมองมันตาลายนะ แล้วเมื่อไหร่จะเริ่มกิจกรรมสักทีครับ มันร้อนโว้ย พวกพี่ไม่เข้าใจอากาศตอนบ่ายหรอว่ามันร้อนรุนแรงขนาดไหน ถึงจะอยู่ในร่มก็อาจจะไหม้ตายได้น่ะ

ขอพื้นที่ให้ปองบ่นเถอะ

“ เป็นไรวะมึง ทำหน้าเหมือนอมขี้ไว้เลย ”

“ ถ้ากูอมขี้ไว้กูพ่นใส่หน้ามึงละลันตา ” อย่าเพิ่งมายุ่งกับกูนะครับเพื่อนครับ กูยิ่งร้อนๆอยู่

“ ปากร้ายนักนะมึง เดี๋ยวจะโดน ” ลันตามันชี้นิ้วคาดโทษผม กูไม่กลัวมึงหรอกไอ้เตี้ย มาเหอะมา

ตอนนี้ผมรู้สึกเปื่อยๆ พลางมองไปรอบๆลาน เมื่อไหร่พวกพี่สันทนาการจะมาวะ จะได้รีบจับสายรหัสให้มันเสร็จๆไป ผมต้องการกลับหออาบน้ำนอนมาก ยิ่งวันนี้มีเรื่องหงุดหงิดเกิดขึ้นที่โรงอาหารก็ยิ่งทำให้ผมยิ่งอยากกลับให้ไวขึ้นไปอีก แค่นึกถึงก็ชักจะหัวร้อนแล้วว่ะ

“ พี่ๆเค้ามาแล้วมึง ” ผมเงยหน้าขึ้นมองไปดานหน้าหลังจากที่แยมพูดจบ

หน้าแถวของพวกผมมีรุ่นพี่วิศวะทั้งหกคนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า หนึ่งในหกคนก็คือคนที่ผมอยากจะกระทืบหน้าสักครั้งถ้าผมมีโอกาส ไอ้พี่สยามไงจะใครล่ะ มือแม่งถือโทรโข่งอันที่พูดอัดหน้าผมเมื่อวันปฐมนิเทศด้วย

มึงเผลอเมื่อไหร่กูจะเอาไปซ่อน

หึ

สวัสดีน้องๆปี 1 อย่างเป็นทางการนะครับ พี่ชื่อสยาม เป็นประธานสันทนาการของคณะวิศกรรมศาสตร์ เมื่อวันปฐมนิเทศมีเหตุสุดวิสัยนิดหน่อยพี่เลยไม่ได้มาพบน้องๆ

“ เหตุสุดวิสัยที่มึงโดนถุงคลุมหัวน่ะสินะ ”

“ มึงพูดไรนะปอง ” ลันตามันหันมาถาม แหม่ กูพึมพำยังจะได้ยินอีกเนาะ

“ เปล่าๆ หันไป ” ผมดันหัวให้มันหันกลับไปทางเดิมก่อนจะนั่งฟังไอ้พี่สยามมันพูดต่อ เพิ่งรู้เหมือนกันนะเนี่ยว่ามันเป็นประธานสันทนาการ ยิ่งใหญ่เหมือนกันแฮะตอนแรกนึกว่าแม่งเป็นแค่พวกกิ๊กก๊อก

พี่จะเป็นคนรับผิดชอบเรื่องของกิจกรรมสันทนาการทุกอย่าง ซึ่งวันนี้ที่พี่เรียกน้องๆมาก็เพื่อที่จะให้จับสายรหัสนะครับ ” ไอ้พี่สยามมันหันไปหยิบโหลใส่กระดาษจากพี่ขุนศึก “ การจับสายรหัสถือว่าเป็นกิจกรรมสายสัมพันธ์ที่สืบทอดกันมานาน น้องๆทุกคนจำเป็นที่จะต้องมีพี่รหัสเพื่อให้ช่วยเหลือในเรื่องการเรียนหรือว่าการใช้ชีวิตในรั้วมหาลัย ถึงแม้ว่าพี่ๆบางคนอาจจะช่วยน้องได้ไม่มากเท่าไหร่ ก็ให้คิดว่ามีมันไว้เลี้ยงเหล้าหรือเลี้ยงหมูกระทะน้องก็แล้วกัน ” พอพี่มันพูดจบพวกปีหนึ่งก็ส่งเสียงเฮกันอย่างชอบใจ

ผมว่าก็จริงของมันอยู่นะที่ว่ารุ่นพี่บางคนอาจจะช่วยรุ่นน้องไม่ได้สักเท่าไหร่ โดยเฉพาะไอ้พี่สยามเนี่ยะดูจากสภาพแล้วถ้าใครได้มันเป็นพี่รหัสนี่คงจะปวดจิตปวดใจน่าดู

“ กูอยากได้พี่แกงป่าเป็นพี่รหัสอ่ะ ” สีเทียนมันบอกพลางกับยิ้มเพ้อฝัน มึงคิดว่าตัวเองจะโชคดีจนจับได้พี่แกงป่าหรอวะ

“ ของกูใครก็ได้ที่ไม่ใช่พี่ขุนศึก ” ลันตามันบอกบ้าง

“ ทำไมวะ กูว่าพี่ขุนศึกก็ดีนะ ” ใช่แยมกูเห็นด้วย พี่ขุนศึกนี่จะต้องเป็นรุ่นพี่ที่ดีมากๆ ใครได้ไปเป็นพี่รหัสผมก็ว่าคงจะโชคดี

ต้องโชคดีมากกว่าได้ไอ้พี่สยามแน่นอน

“ พี่แม่งหล่อเกินไป กูเบื่อคนหล่อ ” ลันตามันว่าอย่างเบื่อหน่าย

“ แล้วมึงจะเบื่อกูไหมเนี่ย กูหล่อขนาดนี้ ” ผมหันมองสีเทียนที่มันถามลันตา แหม่ มึงก็กล้าถามเนอะ อย่างมึงเขาเรียกว่าสวยโว้ยไม่ได้เรียกว่าหล่อ

“ มึงไปเอาความมั่นหน้ามาจากไหนวะเทียน ” ลันตามันดึงแก้มสีเทียนอย่างหมั่นเขี้ยว

“ เออมั่นหน้าจริง ” ผมย้ำประโยคลันตาไปทำให้คนโดนว่าเบ้ปากใส่ เบ้ปากใส่กูไมเดี๋ยวก็โบกปากเบี้ยว

ข้างหลังนั่นคุยอะไรกันครับ ” เสียงโทรโข่งดังแว่วมาทำให้พวกผมที่กำลังนั่งคุยกันต้องนิ่งเงียบ ไอ้พี่สยามมันส่งสายตานิ่งๆมาให้เหมือนไม่ชอบใจเท่าไหร่ “ เวลาพี่พูด พี่ก็อยากให้เงียบฟังนะครับ เพื่อที่น้องจะได้เข้าใจ แต่ถ้าน้องคิดว่าน้องยังไม่พร้อมที่จะเงียบแล้วก็ร่วมกิจกรรม ก็เชิญลุกออกไปได้เลยครับ พี่ไม่ห้าม

อูยยย....

แอบโหดเหมือนกันนะเนี่ย

พอพี่มันพูดแบบนั้นพวกผมก็นั่งเงียบอย่างสลด ต้องสลดครับเพราะว่ามันพูดจริง พวกผมผิดที่นั่งคุยกันทั้งๆที่มันกำลังอธิบายเรื่องจับสายรหัสอยู่ สายตานิ่งๆนั่นน่ากลัวชิบหาย ยิ่งเวลาที่มันมองมาทางผมนี่เหมือนจะแดกหัวผมยังไงยังงั้น

เอาล่ะครับ พี่จะให้น้องจับกระดาษที่อยู่ในโหลนะครับ โดยที่กระดาษของน้องเนี่ยจะมีเลขสายกับคำใบ้พี่รหัสอยู่ น้องๆต้องหาพี่รหัสของตัวเองให้เจอภายในเวลา 2 อาทิตย์

“ โห ” พอได้ยินคำว่าสองอาทิตย์พวกปี 1 ก็พากันโห่ใหญ่ เวลาสองอาทิตย์นี่แม่งสั้นมากเลยนะให้หาพี่รหัสเนี่ย แถมพี่ปีสองของวิศวะก็ไม่ใช่น้อยๆด้วย

เอาหน่าพี่เชื่อว่าน้องๆจะหาพี่รหัสของตัวเองเจอ วันที่เฉลยสายถ้าน้องคนไหนหาพี่รหัสตัวเองเจอน้องจะได้ทำโทษพี่ แต่ถ้าน้องคนไหนที่หาพี่ตัวเองไม่เจอ น้องจะเป็นคนโดนทำโทษ โอเคตามนี้นะครับ เริ่มจับสายได้เลย ” พอไอ้พี่สยามพูดจบ เดอะแก๊งค์ของพี่มันก็เดินถือโหลมาเริ่มให้พวกปี 1 จับ

พวกผมนั่งกันอยู่ท้ายๆแถวก็จะรอนานหน่อย แต่ก็ดีแล้วครับผมเชื่อนะว่าเลขท้ายๆมันจะต้องดีแน่ๆเลย ถ้าขอได้นี่ผมอยากได้พี่รหัสผู้หญิงครับ ขอสวยๆ หน้าอกบึ้มๆ ขาว ตัวเล็ก น่ารัก ขอให้พี่เขาโสดด้วย แอร้ย แค่คิดว่าถ้ามีพี่รหัสแบบนี้นะผมต้องรักตายแน่เลย

ไม่ต้องเปย์ผมด้วยเดี๋ยวผมเปย์เอง

ง่อวววววว ป๋าไปอีก

“ อ่ะ สมปอง ” พี่ขุนศึกยื่นโหลใสให้ผมพร้อมกับยิ้มหวาน ถ้าไม่ได้พี่รหัสเป็นผู้หญิงสวยๆแล้วมาได้พี่แทนผมก็ยินดีนะครับ รอยยิ้มพี่แม่งดีต่อใจเหลือเกิน

“ เอาล่ะถ้าครบแล้วก็แกะอ่านได้เลยครับ ” ได้ยินแบบนั้นผมค่อยแกะกระดาษตามที่ไอ้พี่สยามมันบอก ขอผู้หญิงเถอะครับ ขอผู้หญิงสวยๆ ขอหน้าอกบึ้มๆ ขอผู้หญิง ขอผู้หญิง ขอผู้หญิง

0003 พี่เป็นผู้ชายหล่อล่ำปล้ำง่าย

เชี่ย

เชี่ยมาก

ผมนั่งกระพริบตาถี่ๆให้กับกระดาษคำใบ้ ในใจก็หวังไว้ลึกๆว่าไอ้ที่เขียนอยู่นั่นมันไม่ใช่คำใบ้จริงๆ ผมแค่ตาลายอ่านผิด แต่สุดท้ายก็ดูจะเหมือนจะหนีความจริงไม่พ้นว่ะ ความจริงของคำใบ้ที่บ่งบอกว่าพี่รหัสของผมเป็นผู้ชายแน่ๆ

เป็นผู้ชายที่ปล้ำง่ายด้วย

โอ้ยยยยย สมปองอยากงอแง

“ ทำไมมึงกุมขมับแบบนั้นวะปอง ” ลันตามันถามผม ผมก็ส่งกระดาษคำใบ้ไปให้ พอได้อ่านไอ้ตัวแสบมันหัวเราะลั่นออกมาก่อนจะส่งกระดาษของผมให้เพื่อนๆดูต่อ

มันน่าขำตรงไหนไอ้สัส....กูไม่เห็นจะขำ

“ คำใบ้มึงเจ๋งว่ะ ” สีเทียนมันหัวเราะจนน้ำตาเล็ด มึงจะหัวเราะอะไรขนาดนั้นวะไอ้บ้า

“ มึงรีบหาให้เจอนะกูอยากเห็นพี่รหัสมึง ” ลันตามันมันบอกก่อนจะส่งกระดาษคืนให้ผม หาบ้าหาบออะไรวะ คำใบ้แค่นี้ใครมันจะไปหาเจอ

ผมถอนใจเบาๆให้กับความอาภัพของชีวิต หนทางในการหาพี่รหัสนั้นมันดูมืดมนแปลกๆ ผมไม่คิดว่าตัวเองจะหาพี่รหัสเจอจริงๆครับ คำใบ้มันน้อยมาก และเวลาในการหามันก็สั้นมาก ผมอยากรู้นะครับว่าใครเป็นพี่รหัสผม อยากดูหน้าคนที่ตั้งคำใบ้นี้ขึ้นมา เดาจากนิสัยคร่าวๆนี่แม่งต้องไม่ใช่คนปกติแน่นอน เพราะคนปกติเขาไม่ตั้งคำใบ้แบบนี้แน่ๆ

แม่งคือใครกันวะ

คงเห็นคำใบ้กันหมดแล้วนะครับ ก็วันนี้ไว้เท่านี้ละกัน พี่จะนัดรวมเพื่อทำกิจกรรมวันไหนพี่จะบอกอีกที ขอให้น้องๆโชคดีกับการตามหาพี่รหัสนะครับ วันนี้ก็กลับบ้านได้ ” พอไอ้พี่สยามมันพูดจบเด็กปีหนึ่งก็ยกมือไหว้แล้วพากันเดินออกไปจากลาน ก็เหลือพวกผมเหมือนเดิมที่ยังนั่งกันอยู่เหมือนอย่างกับวันปฐมนิเทศไม่มีผิด

จะผิดก็ตรง....ไอ้พี่สยามที่มันเดินมาหยุดตรงที่พวกผมนั่ง

ทำไมพวกมึงไม่กลับกัน ” พี่มันพูดผ่านโทรโข่ง

“ มึงจะพูดผ่านโทรโข่งเพื่อไรวะ ” ผมมองมันอย่างไม่สบอารมณ์ มันเสียงดังมึงรู้ไหมไอ้พี่บ้า

ความสุขกูอีกอ่ะ ” มันว่าพร้อมกับส่งสายตากวนตีนมาให้ “ แล้วทำไมมึงยังไม่กลับกัน

“ ความสุขกูอีกอ่ะ ” ผมพูดย้อนคำมัน กูยิ่งหงุดหงิดอยู่ยังจะมาเซ้าซี้ถามมากอีก

ไอ้เด็กเปรตนี่ ” พี่มันโวยใส่ผมอย่างเอาเรื่องจนเดอะแก๊งค์มันต้องมาจับกันเอาไว้

“ ไอ้ปองมึงใจเย็นสิวะ จะไปกวนตีนพี่สยามทำไม ” ลันตามันหยิกแขนผมเหมือนเชิงห้าม หยิกไมมันเจ็บนะไอ้สัส

“ มันก็กวนตีนกูอ่ะทำไมมึงไม่หยิกมันบ้าง โอ้ยกูเจ็บนะลันตา ” ผมตีไหล่ลันตาที่มันหยิกผมซ้ำ พรุ่งนี้เป็นต้องเป็นรอยเขียวแน่เลย

ปล่อยกูนะไอ้เพื่อนเลว ” ไอ้พี่สยามมันพยายามดิ้นเพื่อให้หลุดจากแรงดึงของเพื่อนๆ จนถึงตอนนี้มันก็ยังพูดผ่านโทรโข่งอยู่ คือถ้ามึงวางโทรโข่งมึงจะดิ้นหลุดง่ายกว่านี้เยอะอ่ะกูบอกเลย

“ อย่าไปทำน้องมันเลย ” พี่ขุนศึกปราม

“ เออ พวกมึงก็รีบกลับไปได้แล้วไอ้สยามมันเป็นบ้าแล้วเนี่ย ” พี่ชาเย็นบอกก่อนจะแย่งโทรโข่งออกไปจากมือไอ้พี่สยามแล้วก็วิ่งหนีไปอีกทาง พี่แม่งเล่นอะไรกันแปลกๆอีกแล้วว่ะ

“ เอาโทรโข่งกูคืนมานะ ” ไอ้พี่สยามมันแหกปากก่อนจะหันมาชี้นิ้วใส่ผม “ ให้กูได้โทรโข่งคืนก่อน กูจะจัดการมึงทีหลัง ” พอมันพูดจบมันก็วิ่งตามพี่ชาเย็นไปไหนของแม่งก็ไม่รู้ ไม่ใช่แค่มันคนเดียวหรอกครับพวกพี่ที่เหลือก็วิ่งตามกันไปเป็นพรวน เออ เอาเข้าไป

“ ปัญญาอ่อนชะมัด ” ผมเบ้ปากให้กับความติงต๊องของไอ้พี่สยาม ก่อนหน้านี้มันยังดูมีความเป็นผู้ใหญ่ มีความเป็นผู้นำ มีความน่ากลัวและอีกหลายๆความอยู่แท้ๆ อยู่ดีดีก็กลายเป็นคนบ้าเพราะโดนแย่งโทรโข่งซะได้

บทจะเท่ก็เสือกเท่ไม่สุด

แม่งบ้ามากจริงๆ

“ กูว่าเรากลับหอกันเถอะว่ะ ก่อนที่พี่สยามจะกลับมาเชือดมึง ” สีเทียนมันบอกพร้อมกับทำท่าปาดคอไปด้วย

“ เดี๋ยวกูจะเชือดมึงก่อน ” ผมจ้องสีเทียนนิ่งๆ มึงกับลันตาน่ะโดนกูเชือดแน่ๆ เตรียมตัวเตรียมใจไว้เถอะ

สีเทียนมันก็ไหวไหล่ใส่ผมก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วดึงให้ลันตากับแยมลุกตาม ผมก็ลุกขึ้นแล้วเดินตามหลังพวกมันมาเงียบๆ วันนี้ก็มีแต่เรื่องวุ่นวายว่ะ นี่แค่เปิดเรียนวันแรกยังเจอเรื่องขนาดนี้เลย ผมไม่อยากคิดถึงวันต่อๆไปเลยจริงๆ

เพราะงั้น Skip ไปสัก 2 ปีได้ไหมครับ

เฮ้อ

.

.

.

ตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มแล้วครับ

ผมอยู่ที่ห้องของตัวเองแล้วหลังจากที่ไปกินข้าวกับเพื่อนๆมา ถึงเวลาอันสมควรดีที่จะเขียนไดอารี่เล่าให้พ่อฟังถึงวันเปิดเรียนวันแรกแล้วครับ พอคิดได้แบบนั้นผมก็หยิบไดอารี่สีขาวขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะก่อนจะถือปากกาไว้ในมือ

เอาล่ะ



วันเปิดเทอมวันแรกของสมปอง

วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรกของผมครับ วันแรกๆมันก็ไม่มีอะไรเท่าไหร่นะพ่อ วันนี้ก็ได้เจอเพื่อนๆเยอะเลย ได้เจออาจารย์ด้วย ทุกอย่างมันก็ดูโอเคนะเหมือนจะเป็นไปได้ด้วยดี จนมาถึงตอนกลางวัน ผมโดนสีเทียนแกล้งอ่ะ มันเป็นการแกล้งที่ทำให้ผมโดนขโมยหอมแก้มไป 4 ครั้งแน่ะพ่อ แล้วคนที่หอมแก้มผมมันก็ดันเป็นคนที่ผมไม่ชอบขี้หน้าอีก

ไอ้พี่สยาม

ไอ้พี่สยามอีกแล้วพ่อที่มันแกล้งผมอ่ะ แล้วพ่อคิดดูตอนที่มันหอมแก้มผมคนแม่งเห็นกันโคตรเยอะอ่ะ นี่ถือว่าเป็นเรื่องบัดซบในวันเปิดเทอมของผมเลย เออ แต่เย็นตาโฟที่โรงอาหารโคตรอร่อย เดี๋ยวพรุ่งนี้จะกินอีก พอหลังจากที่ผมกินข้าวแล้วก็มาตามนัดที่รุ่นพี่ได้นัดจับสายรหัส ผมหวังไว้นะพ่อว่าจะจับได้พี่รหัสผู้หญิงสวยๆ แต่โชคไม่เข้าข้างผมเลยอ่ะ ผมจับพี่รหัสได้ผู้ชาย คำใบ้คืออะไรรู้ไหม

พี่เป็นผู้ชายหล่อล่ำปล้ำง่าย

พ่อดูคำใบ้พี่รหัสผมดิ่ เสียใจอ่ะ เฟลด้วยแต่ช่างแม่ง ไว้ถ้าผมหาพี่รหัสตัวเองเจอผมจะบอกพ่ออีกทีว่าแม่งเป็นคนยังไง แต่ผมคิดว่ามันต้องเป็นคนที่ร้ายกาจพอควรเลยถึงได้ตั้งคำใบ้แบบนั้นได้ วันนี้ก็พอก่อนะเนอะพ่อ จะไปดูการ์ตูนละเดี๋ยวไว้เขียนใหม่

คิดถึงพ่อครับ อิอิ

15 / 8 / 20**XX : สมปอง



เรียบร้อยครับ

หวังว่าพ่อจะเข้าใจในสิ่งที่ผมเขียน

ผมปิดสมุดไดอารี่ก่อนจะกระโจนขึ้นไปนอนบนเตียง ชีวิตมหาลัยมันวุ่นวายและเกิดเรื่องบ้าบอมากกว่าที่ผมคิดไว้เยอะเลยนะเนี่ย แต่ก็เอาเถอะผมเป็นคนเลือกเส้นทางนี้เอง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมก็ต้องยอมรับมันให้ได้ล่ะนะ และผมก็จะต้องดูแลตัวเองให้มันดีกว่านี้ เพราะมันมีคนจ้องจะหาเศษหาเลยกับผมอยู่

ไม่ต้องพูดก็รู้สินะครับว่าใคร

ผมไม่รู้ว่ามันทำทุกอย่างนั่นไปทำไม แต่ผมจะไม่ยอมให้มันได้ทำแบบนั้นอีก

มันจะไม่มีครั้งที่สองแน่ๆ เชื่อปองได้เบย หึ




TBC.

#หยัมปอง ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้า
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 27-09-2017 21:17:33
สมปอง น่ารัก ซื่อๆ แต่ไม่ยอมคน
แบบดีมาดีไป ร้ายมา ก็ร้ายกลับ

เพื่อนๆสมปอง เกรียน มาก
ลันตา ถ่ายคลิปสมปองเมาเหล้า  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
สีเทียน ร้ายมาก แกล้งให้สมปองถูกหอมแก้ม  :z3: :z3: :z3:
ตกลงเพื่อนดี หรือเพื่อนร้ายกันเนี่ย

ดูเหมือน พี่รหัสของปองถูกจัดเฉพาะเจาะจงและ
ตกลงคำใบ้ พี่หล่อล่ำปล้ำง่าย  จะอ่อย หรือจะใบ้อะไรเนี่ย
แล้วพี่ๆปีสองจะมีคนปล้ำยากด้วยเรอะ
      :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
ไรท์ ช่วยลงวันที่  เวลาลงตอนใหม่ จะได้รู้ว่าเป็นตอนเก่าหรือใหม่
แบบ   ไดอารี่ของสมปอง ►►►►p.1►►►►27/9/2560
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 27-09-2017 22:37:41
ใครหนอ...หล่อล่ำปล้ำง่ายเนี่ย
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 6 : 28/9/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 28-09-2017 14:11:33
บทที่ 6 เด็กน้อยงอแง


ตึกวิศวกรรมกับห้องเรียน E2002

กับสมปองที่นั่งมึนอย่างอนาถใจ

“ อาจารย์พูดอะไรวะ ” ผมนั่งเกาหัวมึนๆอยู่ข้างๆลันตา ด้านหน้าผมบนสไลด์ที่อาจารย์เปิดมันเป็นภาษาต่างดาวครับ แถมมันยังเป็นภาษาที่ถ้าใครได้เห็นก็จะเสียสติแล้วก็เอ๋อแดกไปหลายวัน ตอนนี้เรียนฟิสิกส์อยู่ครับ มันเป็นวิชาที่ผมไม่ชอบมาตั้งแต่สมัยมัธยมแล้ว ผมรู้สึกเหมือนบางครั้งตัวเองก็เข้าใจแต่บางครั้งก็ไม่เข้าใจ มันยากอ่ะ งื้อออ สมองไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้นตอนนี้

ปิดหูแม่ง

“ มึงจะยกมือปิดหูทำไม ” ลันตามันหันมามอง มือมันก็จดอะไรไม่รู้ยุกยิกๆ

“ กูไม่อยากฟังแล้ว กูกลัวเป็นโรคประสาท ”

“ กูว่าถ้ามึงไม่ฟังมึงอาจจะเป็นโรคประสาทตอบสอบก็ได้นะ ”

“ เออช่างแม่ง แต่ตอนนี้ไม่ฟังโว้ย ”

ผมฟุบหน้าลงกับโต๊ะเพื่อหนีคำบ่นของลันตา นี่ก็เปิดเทอมมาได้ 3 วันแล้วครับ พอเริ่มเรียนจริงจังนี่ก็จริงจังเหลือเกิน จริงจังจนสมองจะพังแล้ว ผมว่าช่วงมัธยมนี่เรียนหนักแล้วนะ แต่พอมาเริ่มเรียนมหาลัยนี่แม่งหนักเป็นเท่าตัว

เข้าใจแล้วครับว่าชีวิตมหาลัยมันไม่ง่าย

“ เป็นไรอ่ะปอง ไม่สบายหรอ ” ผมผงกหัวขึ้นมามองแยมที่มันถามด้วยความเป็นห่วง

“ เปล่าอ่ะ กูแค่เบื่อ อาจารย์พูดอะไรไม่รู้กูไม่เข้าใจเลย ”

“ เอาหน่าปอง ไม่ใช่มึงที่ไม่เข้าใจหรอกเพราะกูก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ” สีเทียนมันแตะไหล่ผมเหมือนเชิงปลอบใจ ดีว่ะ อย่างน้อยก็มีคนร่วมชะตากรรมเดียวกับผมแล้ว

“ พวกมึงไม่เข้าใจก็ฟุบไปเงียบๆ กูจะตั้งใจเรียน ” ลันตามันบอกทั้งๆที่ตามันยังไม่ละมาจากสไลด์

ผมนั่งมองลันตาเพื่อนรักแบบจริงๆจังๆ ความจริงผมไม่คิดว่าไอ้ตัวแสบนี่จะเป็นพวกตั้งใจเรียนนะ แต่มันดันเป็นคนที่ตั้งใจเรียนมาก แถมยังจดอะไรเต็มสมุดเลคเชอร์ไปหมด ในชีทก็ไม่ต่างกัน มีการวาดรูปประกอบให้เข้าใจง่ายด้วยผมเห็นอยู่ตอนที่เรียนอิ้งแกรมม่าพื้นฐาน แม่งโคตรตั้งใจ ผมอยากจะมีความตั้งใจให้ได้ครึ่งของลันตาบ้าง

“ ปอง....เลิกเรียนแล้วไปกินไอติมกันป้ะ ” สีเทียนมันกระซิบเบาๆข้างหูผม

“ ไปๆ ” ผมรับคำแบบแทบไม่ต้องคิดเลยครับเพราะว่าผมชอบกิน ไม่ใช่แค่ไอติมนะครับที่ผมชอบ อะไรที่หวานและเย็นนี่ผมชอบหมดทุกอย่าง ปังเย็นเอย บิงซูเอย น้ำแข็งไสเอย จัดมาเถอะสมปองคนนี้กินหมดทุกอย่าง ผมคิดว่าความหวานมันจะทำให้สมองแล่น แถมมันยังทำให้มีความสุขอีกต่างหาก

โอ้ยแค่คิดก็อยากกิน

นี่เป็นคลาสสุดท้ายครับผมไม่มีเรียนต่อแล้ว ผมมองนาฬิกาเหลือเวลาอีกชั่วโมงกว่าๆ โอเค เวลาประมาณนี้ผมสามารถหลับได้ เพราะงั้นหลับสักงีบ ตื่นมาก็จะได้ไปกินไอติมอย่างเป็นสุขใจ

ไอติมจ๋ารอปองก่อนนะ

ตอนนี้ขอหลับแปป

ZZZZzzzzzz





ร้านไอติมหลังมอ

“ น่ากินไปหมดเลยว่ะ ” ผมยืนเอาหน้าแนบตู้ไอติมอย่างตื่นเต้น น่ากินขนาดนี้ปองจะกินให้หมดเลย

“ มึงอย่าไปสิงตู้เค้าได้ไหม พนักงานเค้ากลัวมึงแล้วน่ะ แล้วก็เอาของไปวางที่โต๊ะก่อนแล้วค่อยมาดู ” ลันตามันรั้งคอเสื้อผมให้ออกห่างจากตู้ไอติม มึงนี่มันตัวขัดขวางความสุขกูจริงๆเลยไอ้เตี้ยเอ้ย

ผมเบ้ปากใส่มันก่อนจะยอมเดินตามเอาของมาวางที่โต๊ะว่าง ช่วงนี้ประมาณ 5 โมงกว่าๆ คนในร้านก็เยอะพอสมควรเลยครับเพราะเป็นช่วงเลิกเรียน แต่ผมไม่สนใจคนหรอกที่ผมสนน่ะคือไอติมต่างหาก พอวางของเสร็จผมก็กลับรีบมาที่หน้าตู้ไอติมอีกครั้ง

กินอะไรดีนะ

สมปอง!!!!

“ เชี่ยๆๆ ” ผมสะดุ้งโหยงก่อนจะรีบหันกลับไปมองไอ้คนที่มันตะโกนเสียงดังอยู่ด้านหลัง

ไอ้พี่สยาม

มึงอีกแล้วหรอ

ผมหรี่ตามองมันด้วยความหงุดหงิด พี่มันก็ยืนถือโทรโข่งทำหน้าตากวนตีนมองผม ไม่เข้าใจว่าเมื่อกี้มันจะแหกปากเรียกผมผ่านโทรโข่งทำไม พอแม่งเสียงดังคนก็เลยหันมามองกันทั้งร้าน กลายเป็นจุดสนใจอีกละเนี่ย ชีวิตผมจะอยู่สงบๆบ้างไม่ได้เลยสินะ

มีเชือกไหมครับ

จะเอามาผูกคอตาย จะได้หมดเวรหมดกรรมกับไอ้พี่สยามมันสักที

ขี้ตกใจนะมึงน่ะ

“ ไม่ตกใจก็เชี่ยละมึงพูดผ่านโทรโข่งหนิ ” ผมโวยใส่มันอย่างหัวเสีย ไม่น่ามาเจอมันที่นี่เลยว่ะ ผมจะกินไอติมอร่อยไหมเนี่ย

“ มีเรื่องอะไรกัน ” ผมหันมองตามเสียงก็พบผู้ชายคนนึงเดินออกมาจากเคาท์เตอร์ ร่างสูงโปร่งใส่ผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาล น่าจะเป็นพนักงานของร้านนะครับ แต่หน้าหล่อล้ำจากคนอื่นมาก แถมบุคลิกภายนอกก็ยังดูอบอุ่น เชื่อได้เลยว่าเขาคงเป็นพนักงานที่ดึงดูดลูกค้าให้เข้าร้านแน่ๆ

พี่เขาเดินมาคั่นกลางระหว่างผมกับไอ้พี่สยาม ผมมองเขาจากด้านหลัง ทำไมพี่สูงจังครับ ชาติที่แล้วทำบุญด้วยยีราฟไปกี่ตัวอ่ะถึงได้สูงขนาดนี้

ไม่มีอะไรหรอก พอดีเจอรุ่นน้องที่คณะก็เลยเรียกชื่อเฉยๆ ” ยังจะพูดผ่านโทรโข่งอีกนะไอ้สัส

“ พี่บอกแล้วไงว่าอย่าพูดผ่านโทรโข่ง ” พี่พนักงานเอ่ยเรียบๆก่อนจะแย่งโทรโข่งมาจากมือไอ้พี่สยาม “ แล้วนี่มาช้านะ ไหนบอกพี่ว่าเลิกเรียนบ่ายไง ”

“ ก็มีประชุมสันทนาการน้องนิดหน่อย นี่น้องก็รีบกลับมาแล้วนะครับ ” ไอ้พี่สยามมันพูดกับพี่เขาซะเพราะเลยว่ะ ฟังจากการสนทนาแล้วนี่สองคนตรงหน้าคงรู้จักกันแน่ๆ

“ งั้นก็รีบเอาของไปเก็บ ได้มาช่วยพี่ ” พอจบเสียงพี่พนักงานพูด ไอ้พี่สยามมันก็เดินผ่านไปด้านหลังเคาท์เตอร์แต่ไม่วายส่งสายตายียวนมาใส่ผม น่าหมั่นไส้จริงๆเลยไอ้บ้านี่

พี่พนักงานหันกลับมาหาผมก่อนจะส่งยิ้มบางๆมาให้ “ พี่ต้องขอโทษด้วยนะครับที่สยามทำให้เราตกใจ ”

“ มะ....ไม่เป็นไรครับ ”

“ เป็นรุ่นน้องของสยามหรอ ”

ผมพยักหน้ารับพี่เขาเบาๆ “ ใช่ครับ ”

“ ใช่ที่ชื่อ สมปองรึเปล่า ”

“ ใช่ครับ พี่รู้ได้ยังไง ” จะว่าไปก่อนหน้านี้ไอ้พี่สยามมันก็พูดชื่อผมผ่านโทรโข่งนี่หว่า เสียงมันดังมากพอที่คนทั้งร้านจะได้ยินแน่นอน

“ สยามพูดชอบถึงเราให้พี่ฟังน่ะ ” พูดถึงผมงั้นหรอ

พูดถึงทำไมวะ

ในหัวผมมีแต่ความสงสัยครับตอนนี้ ทำไมพี่สยามมันต้องเอาผมไปพูดให้พี่พนักงานฟังด้วย แล้วมันเอาเรื่องอะไรไปพูดบ้างวะเนี่ย คิดได้เลยว่าเรื่องที่มันเอาไปเล่านี่ต้องบัดซบมากแน่ๆ เพราะแต่ละครั้งที่ผมเจอมันก็จะมีแต่เรื่องแถมก็มีปัญหาให้ด่ากันอยู่ตลอด

ไม่ใช่ด่าด้วย....ทำอย่างอื่นก็เคย

โถ่เอ้ย นึกถึงอีกจนได้

“ มันเอาเรื่องอะไรของผมไปพูดหรอครับ ” ถ้ามันเอาผมไปพูดเสียๆหายๆนะ ผมจะได้ไปด่ามันได้ถูก

“ ไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไรหรอก ไม่ต้องห่วงไป เอ้อลืมแนะนำเลย พี่ชื่อถิ่นไทนะครับ เป็นเจ้าของร้านนี้ ” พี่เขาแนะนำตัวแล้วก็ยิ้มหวาน เขาเป็นเจ้าของร้านเลยว่ะ ฮ่าๆๆ ตลกตัวเองชะมัดที่ไปมองว่าเขาเป็นแค่พนักงาน

“ ยินดีที่ได้รู้จักครับพี่ถิ่นไท ” ผมยิ้มบางก่อนจะก้มหัวเล็กน้อยให้เขาเหมือนนอบน้อม

“ เรียกว่าพี่ไทก็ได้ครับ....แล้วนี่เราจะทานอะไรดีหืม ร้านพี่มีของอร่อยๆเยอะเลยนะ ”

“ ผมยังไม่รู้เลยอ่ะครับว่ามีอะไรบ้าง กะเดินมาดูไอติมก่อนเฉยๆ ”

“ เรานั่งโต๊ะไหนล่ะ เดี๋ยวพี่ให้คนไปรับออเดอร์ ”

“ โต๊ะด้านหลังนั่นน่ะครับ ” ผมชี้ไปทางโต๊ะที่มีเพื่อนๆนั่งกันอยู่

“ ข้างๆโต๊ะมีเมนูวางไว้อยู่แล้วนะ เราลองไปดูก่อนว่าอยากกินอะไร ”

“ ได้ครับ ” ผมพยักหน้ารับเบาๆก่อนจะเดินกลับที่โต๊ะตัวเอง ทำไมพี่เขายิ้มได้อบอุ่นและดูเป็นมิตรได้ขนาดนั้นวะ หายากนะครับคนที่เวลายิ้มแล้วจะมีออร่าสีส้มวิ้งๆรายล้อมอยู่รอบๆน่ะ

“ เมื่อกี้มีเรื่องอะไรวะกูได้ยินเสียงอยู่ ” ลันตามันละจากโทรศัพท์มันขึ้นมาถาม

“ พี่สยามหรอวะ ถ้ากูจำเสียงไม่ผิด ” ผมพยักหน้ารับคำที่สีเทียนถามก่อนจะนั่งลงข้างๆ

“ มีปัญหาอะไรกัน ” ก็ไม่มีอะไรมากหรอกเพื่อนแยม เพื่อนปองแค่โดนกวนประสาทเฉยๆ

“ พี่มันทำกูตกใจนิดหน่อยอ่ะไม่มีอะไรหรอก ” ผมบอกก่อนจะหยิบเมนูข้างโต๊ะขึ้นมาดู

ร้านนี้นี่มีแต่ของน่ากินทั้งนั้นเลยครับ ราคาก็ถือว่าเป็นราคามิตรภาพสำหรับนักศึกษาทั่วไป หลายๆเมนูมันดูน่ารักมากเหมาะกับการถ่ายรูป ในร้านเองก็อยู่ในโทนหวานๆ พวกผู้หญิงคงจะชอบ ขนาดผมที่ไม่ใช่ผู้หญิงยังชอบเลย

“ รับอะไรดีครับ ” ผมเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงที่คุ้นหู มันคือไอ้พี่สยามที่สวมผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลเหมือนกับพี่ถิ่นไท มันทำงานพิเศษอยู่ที่ร้านนี้หรอวะ

“ สวัสดีครับพี่สยาม ทำงานพิเศษหรอพี่ ” ลันตามันยกมือไหว้ ไอ้พวกที่เหลือก็ไหว้เหมือนกัน มันก็เป็นปกติของรุ่นพี่รุ่นน้องนะครับสำหรับการไหว้ แต่ผมไม่ไหว้อ่ะผมไม่นับถือมัน มันชอบกวนตีนผม

“ ก็ประมาณนั้นแหละ ว่าแต่นี่หาพี่รหัสกันเจอบ้างรึยัง ”

“ ยังเลยพี่ คำใบ้มันยากอ่ะ ” ลันตามันตอบพร้อมกับทำหน้ามุ่ย

“ มึงได้คำใบ้อะไรกันล่ะ ”

“ ของผมคือ 0021พี่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเสมอไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืน ” ลันตาพูดก่อน

“ ส่วนของผมก็ 0035พี่มีแฟนเป็นเดือนมหาลัย ผมคิดว่าพี่รหัสผมเขาน่าจะเป็นผู้หญิงนะครับ ” ตามมาด้วยสีเทียน

“ ของผมก็ 0056พี่มีคนเดียวในโลก แต่หน้าแบบพี่ไม่ได้มีอยู่คนเดียว ” แล้วก็จบที่แยม เอาจริงๆผมว่าคำใบ้ของพวกมันทั้งสามคนก็ยากนะ มันต้องตีความอะไรซับซ้อนไปหมด คนตั้งก็ช่างคิดเนอะ

“ แล้วมึงอ่ะสมปองคำใบ้อะไร ” พี่มันถามผม

“ รู้ไปแล้วมึงจะทำอะไรได้วะ ”

“ เออหน่าบอกกูมา ”

“ 0003พี่เป็นผู้ชายหล่อล่ำปล้ำง่าย ” ทันทีที่ผมพูดจบไอ้พี่สยามมันก็ทำหน้าอึ้งไปแปปนึงก่อนจะหัวเราะออกมา

หัวเราะไรมึงวะ

“ มึงหัวเราะอะไรของมึง ” ผมถามมันเสียงขุ่น

“ ตลกว่ะ งั้นอยากกินอะไรก็สั่งเลย เดี๋ยววันนี้กูเลี้ยงพวกมึงเอง ” พี่มันบอกก่อนจะยิ้มหวานอย่างอารมณ์ดี อยู่ดีๆมาเลี้ยงทำไมวะ แม่งต้องมีอะไรแน่ๆ

สมปองสัมผัสได้

“ จะดีหรอพี่สยาม ” ลันตามันถามเหมือนเกรงใจแต่ตามันนี่มองไอ้พี่สยามปริบๆ แหม่ ไม่เก็บอาการเลยนะมึงนะ

“ เออหน่า สั่งมาเลยเอาไรมั่ง ” พอพี่มันบอกแบบนั้นไอ้พวกเพื่อนๆผมมันก็สั่งกันใหญ่ ส่วนผมก็ได้แต่นั่งมองมันที่จดเมนูด้วยความสงสัย ผมว่ามันแปลกนะครับเพราะหลังจากที่มันรู้คำใบ้ของพี่รหัสพวกผมมันก็หัวเราะออกมาแล้วบอกทันทีว่าเลี้ยง

เรื่องนี้มันมีเลศนัย

“ แล้วมึงอ่ะเด็กเปรต จะกินอะไร ” เรียกกูว่าเด็กเปรตอีกละ เดี๋ยวกูจะแดกหัวมึงก่อน เดี๋ยวเถอะ

“ กูเอาอันนี้ๆๆๆ ” ผมชี้ไปสามเมนูแนะนำที่เขียนอยู่ เลี้ยงกูใช่ไหมล่ะ กูจะแดกให้เงินมึงหมดเลยคอยดู

“ กินเยอะเหมือนกันนะเนี่ย ” มันก้มจดเมนูใส่กระดาษ “ มึงอ้วนแน่ ”

“ ปากดีนะมึง อ้วนก็เรื่องของกูอีกอ่ะ ”

“ อย่าไปพูดแบบนั้นใส่พี่สยามสิปอง ” สีเทียนมันปรามผม ทำไมเวลาผมด่าไอ้พี่สยามจะต้องมีคนดุผมด้วยนะ ผมไม่เข้าใจเลย

“ ช่างเถอะสีเทียน ” พี่มันว่าก่อนจะเอามือมาดึงแก้มผม “ สมปองมันเป็นเด็กดื้อ มันไม่ฟังที่เราพูดหรอก ”

“ มันเจ็บนะ ” ผมจับมือมันออกจากแก้ม “ ไปสักทีสิ กูจะได้แดกไหมล่ะไอติมอ่ะ ”

“ เด็กน้อยงอแงใหญ่เลย ”

“ กูไม่ใช่เด็กน้อยนะ ” กูโตแล้ว อายุตั้ง 19 ปี อย่ามาเรียกว่าเด็กน้อยนะมึง

“ ฮ่าๆๆ มึงนี่จริงๆเลย....รอกูแปปนึงละกันเดี๋ยวรีบเอามาเสิร์ฟ ” พี่มันยิ้มหวานก่อนจะเดินไป ยิ้มพ่องอ่ะ กูขอให้มึงกรามค้างสักวัน

“ มึงนี่ก็กล้าพูดจาแบบนั้นกับพี่สยามเนอะ ” ลันตามันเท้าคางมองผม

“ ดีว่าพี่สยามเขาไม่ถือ ถ้าเป็นคนอื่นเค้าอาจจะกระทืบมึงแล้วนะปอง ” กระทืบกูกูก็สู้สิแยม กูไม่ใช่คนยอมคนนะครับบอกไว้ก่อน บวกมาบวกกลับแน่นอนไม่วิ่งหนีด้วย

ถ้าสู้ไม่ได้เรื่องวิ่งหนีก็ค่อยว่ากัน

“ พวกมึงช่างกูเหอะ เอาเป็นว่ากูไม่สร้างความเดือดร้อนให้พวกมึงแน่ๆ ”

“ กูไม่ได้กลัวว่าจะเดือดร้อนหรอก พวกกูเป็นห่วงมึง ” สีเทียนมันพูดอย่างจริงจัง ผมทำให้เพื่อนเป็นห่วงอีกแล้วว่ะ มันก็รู้สึกดีนะครับที่มีเพื่อนเป็นห่วง แต่มันก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกันที่ต้องทำให้คนอื่นมาเป็นห่วงเรา

“ ขอบใจพวกมึงที่เป็นห่วงกูนะ เอาไปคนละจุ๊บ ” ผมส่งจุ๊บให้พวกมันทีละคน “ ทำไมทำหน้าหยีวะลันตา ”

“ ขนลุกอ่ะมึง ” ไม่ว่าเปล่ามันทำท่าเป็นลูบแขนด้วย

“ สัส ” ผมเบ้ปากก่อนจะชูนิ้วกลางใส่มัน กูจะไม่ให้จุ๊บมึงแล้วไอ้เตี้ย

ผมนั่งเท้าคางมองออกไปนอกร้านพลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อย แต่ดูเหมือนว่าไอ้เรื่อยเปื่อยนั่นจะมีไอ้พี่สยามเป็นส่วนประกอบซะส่วนใหญ่ ผมไม่ได้อยากจะนึกถึงอะไรที่มันเกี่ยวกับพี่มันนะครับแต่สมองผมมันนึกถึงเองอ่ะ ผมมีหลายอย่างที่สงสัยในตัวมันเหมือนกันนะ สงสัยว่าทำไมมันต้องแกล้งผมทุกครั้งที่เจอ แถมไอ้วิธีการแกล้งของมันก็ไม่ใช่วิธีแบบคนปกติเขาทำกัน ใครมันจะแกล้งด้วยการจูบกับหอมแก้มวะ แล้วนอกจากผมแล้วมันแกล้งใครแบบนี้อีกรึเปล่า

เรื่องนี้พอนึกถึงทีไรไอ้สัมผัสอุ่นๆนั่นมันก็ชอบกลับมา กลับมาแบบไม่มีสาเหตุ

บ้าว่ะสมปอง

บ้ามากจริงๆ





TBC.

#หยัมปอง ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 7 : 29/9/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 29-09-2017 19:28:25
บทที่ 7 สมปองผู้ถูกทิ้ง

ร้านโจ๊ก กับ สมปองที่โดนเพื่อนทิ้ง

เสียใจอ่ะ

อยากสิ่ฮ้องไฮ้

ตอนนี้ผมพาตัวเองมากินโจ๊กคนเดียวอย่างสงบ คือเพื่อนผมพากันกลับบ้านครับแล้วผมก็อยู่หอคนเดียวไง เออ จะกลับบ้านก็ไม่มีบอกสักคำ พอแม่งคิดกันว่าจะไปแม่งก็ไปเลย ทิ้งผมเลย แล้วทิ้งไปพร้อมกันทั้ง 3 คนเลยด้วย กว่าผมจะรู้ว่าพวกมันกลับบ้านกันไปแล้วก็เลยมาบ่ายละ คือตอนนั้นผมเพิ่งตื่นไง เราก็คิดไว้ว่าเออวันหยุดนะกะชวนพวกมันไปดูหนังผี หนังผีมันเข้าใหม่

แต่หนีกลับบ้านกันหมดเลย

อีเลววววว

“ เซงชะมัด ”

ผมนั่งเขี่ยโจ๊กแบบหมดอาลัยตายอยาก อยากไปดูหนังอ่ะ แต่ไม่อยากดูคนเดียว คือมันเป็นหนังผีไงครับ ผมไม่ได้กลัวผีนะแต่ถ้าไปดูคนเดียวมันก็จะเหงาเกินไป แต่ว่าตัวเองใช้ชีวิตแบบวิถีคนเหงามามากเกินพอแล้ว ผมไม่จำเป็นต้องตอกย้ำความเหงาด้วยการไปดูหนังคนเดียวอีก

ชวนใครไปดูดิ่วะ

ไม่รู้จักใครสักคน

“ มาแดกโจ๊กหรอเด็กเปรต ” เสียงเดิมที่คุ้นหูกับเจ้าของเสียงคนเดิมที่ยังทำหน้ากวนตีนเหมือนเดิมนั่งลงฝั่งตรงข้ามเหมือนอย่างเดิมที่เคยทำ

เบื่อแม่งอ่ะ

“ ร้านโจ๊ก กูมาแดกก๋วยเตี๋ยวมั้ง ”

“ กวนตีนนะมึงน่ะ ”

“ ก็มึงถามในสิ่งที่มึงก็เห็นอ่ะ ”

“ เออ กูผิดเองก็ได้ พอใจยัง ”

“ เออ พอใจ ” ผมก้มตักโจ๊กกินต่อ ส่วนพี่มันก็นั่งมองผมกิน มองไมวะ มองไปกูก็ไม่ให้แดกหรอก แบร่ๆๆๆ

“ ทำไมมึงมานั่งกินโจ๊กคนเดียวอ่ะ ”

“ เพื่อนๆกูกลับบ้านหมด ”

“ อ๋อมึงโดนทิ้ง ” อย่ามาตอกย้ำสิวะไอ้สัส

“ กูไม่ได้โดนทิ้งสักหน่อย ” ผมทำปากบู้บี้ใส่มัน ส่วนมันก็ทำหน้าเหลอหลาใส่ผม เป็นเชี่ยไรมึงไอ้สัส

ผมตักโจ๊กกินต่อพลางมองไอ้พี่สยามมันไปด้วย วันนี้พี่มันใส่เสื้อช้อปว่ะเสื้อยืดข้างในเป็นสีดำสงสัยจะไปมหาลัยมา มันไม่ได้สั่งโจ๊กมากินแต่อย่างใดนะครับมันมานั่งเฉยๆ สงสัยอยู่นะว่ามันจะมานั่งทำไมวะ หรือจะมานั่งเพื่อกวนประสาทผม น่าจะใช่ เวลาที่ผมเจอมันผมก็ประสาทแดกทุกครั้งอ่ะ

“ มีเบอร์ป้ะ ”

“ ถามกู ”

“ ถามโจ๊กมึงมั้ง ก็ต้องถามมึงสิ ”

“ แล้วถามกูทำไม ” ผมหรี่ตามองมัน อยู่ดีดีมาถามเบอร์ผมนี่มันต้องมีอะไรแน่ๆ

“ กูขอเบอร์มึงหน่อย ”

“ มึงจะเอาเบอร์กูไปทำอะไร ”

“ ก็เอาไว้โทรหาไง ”

“ โทรหาทำไมวะ ”

“ มึงนี่ถามเยอะจังเลยวะ ก็แค่ให้กูมาก็จบแล้ว ”

“ เอ้าไอ้สัส เบอร์ก็เบอร์กู จะให้ไม่ให้ก็เรื่องของกูป้ะวะ แล้วยิ่งปากมึงเป็นแบบนี้กูคงจะให้หรอกนะ ” ผมเบ้ปากใส่มันไปที

คิดดูดิ่ว่าถ้ามันมีเบอร์ผมชีวิตผมจะเป็นยังไงบ้าง ปกติแค่มันไม่มีเบอร์ผมชีวิตผมก็บัดซบจากการแกล้งของมันมาหลายครั้งละ เชื่อได้เลยว่าถ้ามันได้เบอร์ผมไปไอ้ชีวิตสงบๆที่มีอันน้อยนิดของผมมันจะหายไปในทันที

แบบนั้นไม่เอานะว้อย

“ กูจะเอาไว้คุยนัดงาน ”

“ นัดงานอะไรวะ ”

“ มึงไม่ได้อยู่ในไลน์กลุ่มคณะหรอ ” ไลน์กลุ่มคณะมันมีด้วยหรอวะ

ผมส่ายหน้าช้าๆ พอไอ้พี่สยามมันเห็นผมส่ายหน้าแบบนั้นมันก็หลุดยิ้มออกมา อะไรวะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตกูอีกเนี่ยะ ไอ้ที่เกิดๆมายังไม่พอใจใช่ไหม อยู่กันดีดีน่ะเป็นไหม แล้วทำไมต้องเป็นกูตลอดที่ต้องมาเจออะไรแบบนี้

ต้องทำบุญจริงๆว่ะ ทำแบบจริงจังด้วย

“ เอ้านี่มึงอ่านดู ” ไอ้พี่สยามมันเปิดไลน์ในโทรศัพท์ก่อนจะยื่นมาให้ผมดู ในจอมันเป็นภาพประวัติการสนทนาของกลุ่มไลน์คณะครับ นี่เพิ่งรู้วันนี้เลยนะว่ามีกลุ่มไลน์คณะด้วย โห กูไปอยู่ไหนในโลกมาวะ

“ ประธานนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ ”

ผมอ่านบทสนทนาที่เขาพูดกันถึงการคัดเลือกประธานนักศึกษาของคณะครับ ทุกชั้นปีจะต้องเลือกประธานนักศึกษาไว้ตั้งแต่ปี 1 และประธานก็จะต้องอยู่ในตำแหน่งนั้นไปจนจบปี 4 ไอ้หน้าที่หลักๆที่ประธานนักศึกษาต้องทำก็เป็นพวกงานของคณะ และก็การประสานงานกับประธานกิจกรรมอื่นๆ ผมไล่อ่านๆมาเรื่อยจนถึงการเสนอชื่อนักศึกษา

สยาม : ตกลงพวกเราจะเอาใครเป็นประธาน มันสำคัญมากนะครับ พี่อยากให้เลือกคนที่มีความรับผิดชอบมากๆ

ลันตา อิ อิ : ถ้าคนมีความรับผิดชอบ ผมขอเสนอสมปองครับ

สีเทียนเอียนเอียน : ใช่แล้วครับพี่ สมปองนี่ล่ะเหมาะสมที่สุดแล้ว มันมีความรับผิดชอบสูง แถมยังอดทนเก่งด้วยนะครับ

สยาม : ใครเห็นด้วยว่าสมปองควรจะเป็นประธานคณะ

เหล่านักศึกษา : เห็นด้วย.... ... . . .

เห็นด้วยแบบไม่ถงไม่ถามกูสักคำ

ผมวางโทรศัพท์ก่อนที่จะยกมือกุมขมับอย่างปวดจิต ลันตาเพื่อนรักมันเล่นผมอีกแล้ว โดยมีสีเทียนเพื่อนรักเห็นดีเห็นงามด้วย ทำไมผมจะต้องโดนเพื่อนๆแกล้งแบบนี้ด้วยวะ ละก็ไม่มีใครบอกผมเรื่องไลน์กลุ่มคณะเลยไม่มีใครลากเข้า ลันตามันคงเห็นว่าผมไม่อยู่มันก็เลยได้โอกาสส่งชื่อผมซะ ถ้าผมอยู่ในไลน์กลุ่มด้วยนะผมคงเถียงใจขาดดิ้นแน่ๆ

เฮ้อ

มีเชือกไหมครับ ผมต้องการเชือก

“ เอาหน่า มันไม่ได้หนักหนาหรอก เพราะเพื่อนกูก็เป็น การเป็นประธานคณะอ่ะมันทำให้มีอำนาจสั่งคนอื่นได้ง่ายๆเลยนะ คำว่าประธานมันมีไว้รับหน้ากับรับงานแทนเท่านั้นแหละ ” ไอ้พี่สยามมันพูดเชิงปลอบใจผม ถึงมันพูดแบบนั้นผมก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลยว่ะ ไม่ชอบเลยเวลาที่ต้องมาแบกหน้าที่อันยิ่งใหญ่เอาไว้บนบ่า

ผมเป็นแค่สมปองเองนะ

สมปองควรแค่นอนและก็กินและก็นั่งหายใจทิ้งให้มันผ่านพ้นไปวันๆ

“ กูปฏิเสธไม่ทันแล้วสินะ ”

“ ไม่ทันแล้วเพราะชื่อมึงถูกยื่นส่งให้อาจารย์ของคณะเรียบร้อย ”

ผมฟุบหน้าลงกับโต๊ะทันทีที่พี่มันพูดจบ พร้อมกับนึกน้อยเนื้อต่ำใจในชีวิตที่มีแต่เรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น ตำแหน่งประธานมันอยู่กับผมแล้ว ต่อจากนี้ชีวิตผมจะเป็นยังไงต่อนะ ผมจะทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายได้ดีรึเปล่า โอ้ย แค่คิดก็ปวดหัวจะแย่แล้ว

“ ผมมึงจุ่มโจ๊กแล้วไอ้เด็กบ๊อง ” พี่มันจับหัวผมขึ้นมาก่อนจะหยิบทิชู่มาเช็ดผมให้ “ มึงอย่าเพิ่งไปคิดมากเลยว่ะ ถ้ามีปัญหาอะไรเดี๋ยวกูจะช่วยมึงเอง ”

“ มึงพูดแล้วนะ ”

“ เออสิ เห็นกูบ้าๆแบบนี้กูเก่งนะ ” พี่มันบอกพร้อมกับยักคิ้วให้ผม

ผมมองหน้าไอ้คนที่บอกว่าตัวเองเก่งนิ่งๆพลางคิดในใจว่ามันเก่งจริงรึเปล่า แต่ก็อาจจะจริงแบบที่มันพูดก็ได้เพราะตัวมันเองก็เป็นถึงประธานสันทนาการของคณะ ผมว่าประธานสันทนาการอ่ะเหนื่อยเพราะกิจกรรมทุกอย่างที่คณะต้องทำมันต้องเป็นคนจัดการ

“ แล้วกูต้องทำไงบ้างอ่ะ ”

“ อย่างแรกก็ให้เบอร์กูซะ มีงานกูจะได้โทรหาได้ ” มันว่าก่อนจะยื่นโทรศัพท์มาให้ผม ผมก็รับมาก่อนจะกดเบอร์ตัวเองให้มัน

“ ไม่มีงานไม่ต้องโทรนะ ” พูดกันไว้ครับ น้ำหน้าอย่างแม่งต้องโทรมาแกล้งผมแน่ๆ

“ กลัวกูโทรไปแกล้งรึไง ” ทำเป็นรู้ในสิ่งที่กูคิดอีก

“ เออ ”

“ กูไม่โทรไปแกล้งมึงหรอก ” มันยกมือเท้าคางมองผมก่อนจะยิ้มหวาน “ เพราะถ้าแกล้งกูแกล้งมึงตัวตัวดีกว่า ”

“ ไอ้โรคจิต ”

“ หึ....แล้วนี่มึงไปไหนต่ออ่ะ กลับหอเลยไหมเดี๋ยวกูไปส่ง ”

“ คงจะอย่างงั้น.....มึงจะส่งกูทำไมกูกลับเองได้ ”

“ มันมืดแล้วเนี่ย แถวนี้เปลี่ยวด้วยแถมยังไม่มีไฟข้างทาง มึงไม่กลัวรึไง ”

“ ไม่กลัวหรอก กูเอาไฟฉายมา ” ผมหยิบไฟฉายอันเล็กที่เหน็บไว้หลังกางเกงมาให้มันดู

ผมเป็นคนที่ค่อนข้างจะกลัวที่มืดครับ เลยจะต้องมีไฟฉายติดกระเป๋าไว้ตลอด เวลานอนผมจะนอนมืดๆเลยก็ไม่ได้ผมต้องเปิดโคมไฟไว้ผมถึงจะนอนหลับ เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้วครับ แก้ไม่หายแล้วก็ไม่คิดจะแก้ด้วย

“ ใครเขาพกไฟฉายกันวะ ”

“ กูไงพก ”

“ ถึงมึงจะมีไฟฉายแต่เดินกลับมันก็อันตรายอยู่ดีแหละว่ะ ”

“ กูเป็นผู้ชายนะแมนๆดูแลตัวเองได้ ”

“ ถึงมึงจะบอกว่าดูแลตัวเองได้แต่กูก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี ”

ตึกตัก

ทำไมใจต้องมาเต้นกับไอ้คำว่าเป็นห่วงด้วยวะ

ผมยกมือทาบหน้าอกตัวเอง สัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงผิดปกติ ปกติผมไม่เคยเป็นแบบนี้เลย ผมมีอาการบ้าๆหลายอย่างที่เกิดขึ้นเพราะมัน ทั้งใจเต้นแรงเอย ใจสั่นเอย แก้มแดงเองเอย ไอ้พวกอาการพวกนี้มันคืออะไรกันแน่วะ ไม่ชอบเลยจริงๆมันเหมือนสูญเสียการควบคุมตัวเองไป

“ เป็นอะไรของมึง ” พี่มันมองผมที่เอามือทาบอก เป็นอะไรก็เรื่องของกูโว้ยมึงไม่ต้องมายุ่ง

“ เปล่า ”

“ งั้นหรอ....เออมึง ไปดูหนังกันป้ะ หนังผีที่เพิ่งเข้าอ่ะ ”

ผมมองหน้ามันทันทีที่มันพูดจบ อยู่ดีดีก็ชวนไปดูหนัง อารมณ์ไหนของมึงวะ รู้รึเปล่าเนี่ยะว่ากูกำลังอยากดู บ้าน่ะมันจะมารู้ได้ยังไงวะ เอาจริงๆใจผมตอนนี้ก็ยังอยากไปดูหนังอยู่นะครับ เพราะว่าผมรอเรื่องนี้เข้าโรงมาตั้งนาน แล้วนี่มันก็เข้ามาเป็นสัปดาห์แล้ว ผมกลัวว่าถ้าไม่ไปดูวันนี้มันจะออกโรงซะก่อน แล้วหลังจากวันนี้ก็ไม่มีวันว่างแล้วด้วย

เอายังไงดีวะ

“ ไปไหม กูเลี้ยงเอง ”





โรงหนังตอนดึกๆนี่วังเวงใช้ได้เลยว่ะ

ตอนนี้ผมกับไอ้พี่สยามอยู่กันที่โรงหนังครับ ตอนแรกก็คิดอยู่หรอกว่าจะมาดีไหม พอมันบอกว่าเลี้ยงเท่านั้นแหละผมก็ตอบตกลงทันที ไม่ได้เห็นว่ามันของฟรีหรอกนะครับ ผมก็แค่ไม่อยากให้มันเสียน้ำใจที่ชวนผมมาก็เท่านั้นเอง

ไงเล่า คนดีป้ะล่ะ

“ กินอะไรรึเปล่า ” พี่มันถามผมก่อนจะยื่นเงินมาให้ “ กินอะไรก็ไปซื้อไป อีกแปปนึงหนังก็เข้าละ ”

ป๋าจังเลยค้าบพี่สยามมมม

ผมเดินมาซื้อขนมกับน้ำก่อนจะเดินกลับมาหามันที่นั่งรออยู่ วันนี้รู้สึกเหมือนกับว่าพี่มันใจดีกับผมเป็นพิเศษ เลี้ยงหนังเลี้ยงขนม แถมวันนี้มันยังไม่ได้แกล้งอะไรผมด้วย มีกวนตีนกันเล็กน้อยตอนที่เจอกันเท่านั้นเอง ที่มันทำอะไรแบบนี้นี่มันมีจุดประสงค์อะไรรึเปล่าวะ

ชักจะน่าสงสัย

“ ชอบกินหรอไอ้นี่น่ะ ” มันชี้มานี่เอ็มแอนด์เอ็มที่ผมซื้อมาหลายถุง

“ เออชอบ กูชอบพวกช็อกโกแลตมากเลยอ่ะ ของหวานอ่ะโคตรชอบ ” ชอบจริงๆนะครับแล้วก็กินเยอะแบบไม่กลัวอ้วนเลยด้วย

“ มึงไม่กลัวอ้วนหรอ ”

“ กูก็ออกกำลังกายเอา ตอนมอปลายกูก็เล่นฟิตเนสอยู่นะแต่พอเข้ามหาลัยมาก็ต้องย้ายมาอยู่หอ ถ้ากูจะไปเล่นฟิตเนสเก่ามันก็ไกลอ่ะ กูไม่รู้ว่าฟิตเนสแถวนี้มันมีไหม ” พอพูดถึงฟิตเนสก็อยากออกกำลังกายจัง เห็นผมเซื่องๆแบบนี้ผมชอบออกกำลังกายนะครับ แต่พอเข้ามหาลัยมาแทบไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากนอนเน่าอยู่หอ

“ กูรู้จักนะเพราะกูก็เล่นฟิตเนสที่นั่นอยู่เหมือนกัน ไว้ว่างๆกูพาไปไหมล่ะ ”

“ เออ เอาดิ่ ขอบใจมึงนะ ” ผมยิ้มหวานให้มันไปทีนึง เออ นั่งคุยกันดีดีแบบนี้ก็ได้เหมือนกันว่ะ

ถ้าเป็นแบบนี้ไปได้ตลอดก็ดีเหมือนกันนะ

“ ไม่เป็นไร ไปเหอะได้เวลาละ ” มันบอกผมก่อนจะลุกเดินไปเอาตั๋วให้พนักงานตรวจ

ผมก็เดินตามพี่มันมาต้อยๆ มือก็จกเอ็มแอนด์เอ็มกินไปด้วย ผมไม่รู้นะครับว่าพี่มันจองที่นั่งตรงไหน ผมนั่งได้ทุกที่แหละครับไม่ว่าจะใกล้จะไกล แค่ได้ดูหนังที่ตัวเองเฝ้ารอผมก็พอใจละ

“ ทางนี้ ” พี่มันจับข้อมือผมให้เดินตามมาหลังจากที่เราเดินเข้ามาในโรง และผมก็พบกับที่นั่งของตัวเอง

เอิ่ม....มันเป็นโซฟาสวีทครับ

ไอ้พี่สยามมันนั่งลงก่อนจะดึงผมให้นั่งลงไปข้างๆมันด้วย ทำไมมันต้องซื้อที่นั่งแบบนี้ด้วยวะ แน่นอนว่ามันต้องราคาแพงกว่าที่นั่งปกติอยู่แล้ว แถมอันนี้มันก็เลี้ยงผมด้วย เออ งง ไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้นอ่ะตอนนี้

“ ทำไมมึงซื้อที่นั่งนี้วะ ”

“ มึงจะได้นั่งสบายๆไง แล้วก็นะมันเป็นหนังผีอ่ะ เวลามึงกลัว ถ้านั่งโซฟามันจะเอาขาขึ้นมากอดง่ายกว่า” นี่คือเหตุผลของมันนี่เอง ไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่าคนอย่างไอ้พี่สยามมันจะคิดอะไรละเอียดอ่อนแบบนี้ได้ด้วย นี่เหมือนเปิดโลกของมันให้ผมได้รู้จักเหมือนกันนะ

“ อย่างนี้นี่เอง ” ผมมองไปรอบๆโรงที่มีไม่กี่คนที่เข้ามานั่งดูรอบเดียวกัน “ คนน้อยจังเลยเนอะมึง ”

“ มันรอบดึกละไง แถมยังเป็นหนังผีอีก ” ผมพยักหน้ารับคำมันก่อนจะหันหน้ามองจอหนังที่กำลังจะฉาย มือก็พลางลูบแขนตัวเองไปด้วย

หนาวว่ะ รู้งี้ให้พี่มันแวะหอเอาเสื้อคลุมมาด้วยก็ดีอ่ะ

“ มึงหนาวหรอ ”

“ อืม....ขนลุกหมดละเนี่ย ”

“ งั้นแปปนะ ” พี่มันถอดเสื้อช้อปออกมาก่อนจะส่งให้ผม “ ใส่ซะจะได้อุ่น ”

“ มึงไม่หนาวหรอ ” ผมมองเสื้อช้อปในมือมัน

“ อากาศหนาวแค่นี้ทำอะไรกูไม่ได้หรอก ” พี่มันบอกก่อนจะเอาเสื้อช้อปมาคลุมตัวผมไว้

“ ขอบใจ ” ผมบอกมันก่อนจะจับเสื้อช้อปไว้ ได้กลิ่นจากเสื้อมันด้วยว่ะ มันไม่ใช่กลิ่นเหม็นเหงื่อหรืออะไรนะครับ มันเป็นหอมอ่อนๆ กลิ่นน้ำหอมหรอวะ ช่างแม่ง

แต่ที่แน่ๆ เสื้อมันทำให้ผมอุ่นขึ้นเยอะ

“ ครับ....หนังมาละน่ะ ดูๆ ” ผมหันมองจอหนังทันทีที่มันพูดจบ

ตลอดเวลาที่หนังมันเล่นมาเรื่อยๆก็ทำผมอกสั่นขวัญแขวนไม่น้อยเลยครับ มึงจะจัมพ์สแกร์เชี่ยไรนักหนาวะไอ้บ้า และทุกครั้งที่ผมตกใจผมก็จะจับแขนไอ้พี่สยามมันไว้ตลอด พี่มันก็เหลือบมองผมเป็นระยะแถมยังหัวเราะเบาๆให้กับการสะดุ้งของผม ทำไมมึงไม่ตกใจกลัวบ้างวะ มีความรู้สึกบ้างไหมเนี่ยะไอ้สัส

นั่นไงเอาแล้วๆ

ผมมองจอที่หนังกำลังจะเข้าสู่เหตุการณ์อะไรสักอย่าง บรรยายมันดูเงียบไปหมด แถมแสงสว่างก็มีแค่นิดเดียว น่ากลัวว่ะ ทำไมรู้สึกถึงแรงกดดันได้ขนาดนี้วะ

เหมือนจะมีอะไรออกมาเลย

แฮร่*!!!!!!!!*

“ เชี่ยๆๆๆๆๆ ” ไม่เอาแล้วววว

กูกลัวแล้ววววววววว

ผมสะดุ้งกับไอ้ฉากเมื่อกี้จนกระโจนเข้าไปกอดไอ้พี่สยามมันแน่น หน้าก็ซุกอยู่กับไหล่มัน ไม่ไหวแล้วครับช็อตนี้ตาย ตายจริง จิตใจผมไม่อยู่กับผมแล้วโอ้ย มันน่ากลัวมากอ่า ตอนที่ดูทีเซอร์ไม่คิดว่ามันจะน่ากลัวขนาดนี้ป้ะวะ

“ มึงเป็นอะไรเนี่ยะสมปอง ” พี่มันคงตกใจที่อยู่ดีดีผมก็มากอดมัน แต่กูคงขอกอดมึงหน่อยเถอะตอนนี้กูต้องการที่พึ่งทางใจ

“ กูกลัวอ่ะมึง ขอยืมตัวมึงแปปนึงนะ ” ไม่ไหวๆ คนแข็งแกร่งอย่างสมปองก็มีช่วงเวลาที่อ่อนแอได้สินะ

“ หึ....มึงนี่มันจริงๆเลยนะ ” พี่มันลูบหัวผมเบาๆคล้ายปลอบประโลม “ กลับกันไหม ”

“ ไม่เอา มึงเสียเงินตั้งเยอะพากูมาดู ” ผมซบไหล่มันอยู่อย่างนั้น หัวก็ปล่อยให้มันลูบปลอบผมไป หัวใจต้องการการปลอบครับ ไม่งั้นอาจจะตายห่าอยู่ตรงนี้ก็ได้

“ แล้วมึงจะเอายังไงล่ะ ”

“ ก็มึงก็ดูต่อไป กูก็จะอยู่แบบนี้ ถ้าหนังมันจบมึงค่อยเล่าให้กูฟัง ”

“ เอางั้นหรอ ”

“ เอาอย่างงั้นแหละ....แล้วก็นะ ”

“ แล้วก็อะไร ”

“ ลูบหัวกูไปแบบนี้แหละ ” รู้สึกได้ว่ามือพี่มันชะงักไปแปปนึงก่อนจะลูบหัวผมต่อแบบเดิม

“ มึงนี่มันน่า......” น่าอะไรวะ ไม่รู้ไม่ชี้อะไรทั้งนั้นโว้ยตอนนี้อ่ะ

ผมหลับตาลงพร้อมกับกอดพี่มันไว้นิ่งๆ สัมผัสอุ่นๆจากฝ่ามือของไอ้พี่สยามก็ส่งผ่านจากด้านบนอยู่ไม่ห่าง รู้สึกดีเหมือนกันนะ ความรู้สึกเหมือนตอนที่พ่อลูบหัวผมตอนที่ผมเป็นเด็กๆเลย

รู้สึกอบอุ่น และก็รู้สึกปลอดภัย

มึงก็มีดีเหมือนกันนะไอ้พี่สยาม

ไว้กูจะมองมึงในแง่ดีขึ้นก็แล้วกัน







TBC.


ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 7 : 29/9/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 29-09-2017 20:16:04
ถ้าพ่อได้อ่านไดอารี่ คงให้สมปองลาออกแทบไม่ทัน
มีอย่างที่ไหน ถูกผู้ชายจีบแล้วยังไม่รู้ตัวอีก 55
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 8 : 30/9/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 30-09-2017 21:08:30
บทที่ 8 คนเลว 2017


ตึกวิศวกรรมศาสตร์

กับสมปองที่กำลังเผชิญหน้ากับปีศาจที่ถือโทรโข่ง

หึ.....หึๆ

จะเอาตัวรอดไปจากตรงนี้ยังไงดีวะเนี่ยยยยย

ผมยืนมองไอ้พี่สยามมันนิ่งๆ ตอนนี้ผมอยู่ที่หน้าตึกครับคือวันนี้คลาสสุดท้ายอาจารย์ไม่อยู่ก็เลยได้ยกคลาสไป ผมก็เลยกะว่าจะเนียนๆรีบกลับหอ เพราะว่าวันนี้ผมลืมเอาบางสิ่งบางอย่างติดมาด้วย ซึ่งการลืมเอาไอ้สิ่งๆนี้มานี่ถือว่าเป็นความชิบหายของชีวิตมากๆ

ชิบหายสุดก็คือการมาเจอไอ้พี่สยามนี่แหละ

มึงจะตอบกูได้รึยัง ” มึงจะพูดผ่านโทรโข่งทำไมวะคนเค้าก็ได้ยินกันหมดน่ะสิ

คือช่วงนี้มันเป็นช่วงบ่ายสามกว่าๆครับ เด็กวิศวะที่เลิกคลาสกันช่วงนี้ก็พากันทยอยออกมาจากตึกนั่นก็รวมผมด้วย ผมเนี่ยะรีบออกมาก่อนเพื่อนๆเลยเพราะจะหนีกลับหอไง แต่ก็ดันมาโชคร้ายเจอไอ้พี่สยามมันซะก่อน แถมพอจะวิ่งหนีมันก็ยังเรียกชื่อผมผ่านโทรโข่งอีก เออห่า คนแม่งมองกันทั้งคณะ

เด็กวิศวะถ้าใครไม่รู้ชื่อกูนี่เชยมากอ่ะบอกเลย

“ คือว่า....”

ป้ายชื่อมึงอยู่ไหน

“ กูลืมเอามา ” ผมตอบมันเบาๆ ตอนนี้กำลังพยายามจะสลดอยู่ครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะลืมนะเอาจริงๆแต่เมื่อเช้ามันรีบมากอ่ะก็เลยลืมหยิบออกมา

เคยบอกไหมว่าป้ายชื่อมันสำคัญมากแค่ไหน

“ รู้น่าว่ามันสำคัญ แต่คนเรามันก็ต้องมีลืมกันบ้างป้ะวะ ” รู้ตัวแหละว่าผมผิดที่ลืมเอามา แต่ขอเถียงหน่อยเถอะว่ะอดไม่ได้จริงๆ

ของที่ขึ้นชื่อว่าสำคัญ ไม่มีใครเค้าลืมกันง่ายๆหรอกนะ

จุก

จุกเลยดิ่กู

ผมมองมันตาค้างเลยค้าง ปากเองก็อาจจะอ้าหน่อยๆเพราะอึ้งกับสิ่งที่พี่มันพูดออกมา เถียงไม่ออกด้วยเพราะมันพูดถูกทุกอย่าง น้ำเสียงที่มันพูดกับผมเมื่อกี้มันทำให้รู้สึกแปลกๆว่ะ รู้สึกผิด รู้สึกว่าตัวเองแม่งบัดซบสัสๆที่ไม่ได้เอาป้ายชื่อมา รู้สึกเหมือนไม่ได้ให้ความสำคัญแบบที่พูด

รู้สึกแย่แปลกๆอีกต่างหาก

ที่ต้องโดนคนอย่างไอ้พี่สยามมันมาดุแบบนี้

“ กูขอโทษ วันหลังจะไม่ลืมแล้ว ” ผมพูดขอโทษมันเสียงอ่อน

ไปวิ่งรอบตึก 5 รอบซะ

เดี๋ยวนะมึง

วิ่ง 5 รอบนี่กูอาจจะตายได้เลยนะ

“ มึงเอาจริงดิ่ ” ตึกวิศวะมันไม่ใช่เล็กๆนะพี่เอ้ย เรียนมาทั้งวันสมองกูก็จะพังอยู่แล้ว สมองพังไม่พอกูต้องมาร่างพังอีกหรอเนี่ย โอ้ววว เอามีดมาแทงให้กูตายๆไปเลยดีกว่า

เออ ลงโทษที่มึงลืมเอาป้ายชื่อมา

“ โง้ยยยยย มึงแกล้งกูป้ะเนี่ย ”

กูลงโทษแบบนี้เหมือนกันทุกคน ไปวิ่งได้แล้ว ” เออ ก็ได้ จำไว้เลยนะไอ้พี่บ้า

ผมเอาของไปวางไว้ที่ม้านั่งก่อนจะเบะปากใส่ไอ้พี่สยามมันไปทึนึง ไอ้คนที่มันปลอบผมตอนดูหนังผีมันหายไหนแล้ววะ ไอ้คนที่ผมรู้สึกว่ามันปกป้องผมจากผีได้มันหายไปไหนล้าววว

เสียใจอ่ะ

ความรู้สึกแบบคุณหลอกดาว

รีบๆวิ่งซะ เสร็จช้าก็กลับบ้านช้านะ ” เออรู้แล้วไอ้สัสไม่ต้องมาย้ำเลย

ผมเริ่มออกวิ่งจากหน้าตึก เวลาประมาณนี้แดดมันก็ยังแรงอยู่ แถมวันนี้อากาศก็ร้อนด้วย ผมจะเป็นลมตายก่อนจะวิ่งครบป้ะวะ จริงอยู่นะครับว่าผมชอบออกกำลังกาย แต่ชอบออกในร่มไง วิ่งก็วิ่งบนลู่วิ่งไงไม่ใช่วิ่งตากแดดแบบนี้

เดี๋ยวต้องเขียนไดอารี่ฟ้องพ่อ

ผมเขียนไดอารี่ไปได้หลายหน้าแล้วนะครับ ผมไม่ได้เขียนทุกวันหรอก ผมเขียนเฉพาะวันที่เกิดเรื่องพีคๆ อย่างวันนี้ที่โดนพี่มันสั่งลงโทษผมก็ต้องไปเขียน เขียนยังไงให้พ่อรู้สึกสงสารวะ เดี๋ยวจะต้องใส่ความมารยาสาไถลงไปด้วยมันจะได้มีอรรถรส แล้วเวลาที่พ่ออ่าน พ่อจะได้สาบแช่งไอ้พี่สยามมันอยู่ในใจ

แม่งเป็นความคิดที่สุดยอดมากอ่ะ

“ แฮ่ก....” เหนื่อยโว้ย ยังไม่ถึงรอบก็เหนื่อยแล้วก็เหงื่อออกเป็นน้ำไหลแล้วเนี่ย

ไอ้พี่สยามไอ้บ้า

ไอ้ที่กูบอกว่าจะมองมึงในแง่ดีนั่นกูขอถอนคำพูด

หึ้ยยย...อะ ไอ้คนเลวววว!!!!



[ บันทึกพิเศษ : สยาม ]



วิ่งให้ไวไวสิ

“ มึงมาวิ่งเองไหมไอ้สัส ” พูดไม่พอยังจะส่งนิ้วกลางมาด้วย

ไอ้เด็กเปรตนี่มันน่าเตะจริงๆเลย

ผมมองตามหลังของสมปองที่วิ่งผ่านรอบตึกไปได้ 3 รอบแล้วครับ นี่ขึ้นรอบที่ 4 เสื้อนักศึกษาสีขาวนั่นชุ่มไปด้วยเหงื่อ แถมสภาพก็ยังดูเหนื่อยมากด้วย แต่ก็ดีแล้ววันหลังมันจะได้ไม่ลืมเอาป้ายชื่อมา ใครอาจจะมองว่า เห้ย ลืมเอาป้ายชื่อมาแค่นี้ถึงกับลงโทษขนาดนี้เลยหรอ เอาจริงๆป้ายชื่อมันเป็นสิ่งที่สำคัญมากนะครับ มันเป็นการระบุตัวตนและระบุคณะ แถมยังทำให้รู้จักกันได้ง่ายมากขึ้นเพราะชื่อก็แขวนอยู่ที่คอ

แล้วที่สำคัญสุดคือ....

ป้ายชื่อนั่นพวกผมทำมันมากับมือ

ยังจำคืนที่นั่งตัดกระดาษกันหลังขดหลังแข็งได้เลย แล้วทำตั้งหลายร้อยอันนะครับ ทำก่อนวันที่น้องปฐมนิเทศด้วย โอ้โหโคตรงานเผา ในเมื่อพวกพี่ตั้งใจทำเพื่อน้องๆแล้ว น้องๆก็ต้องเก็บรักษาให้ดีแล้วห้อยคอมาทุกวัน ถ้าใครไมทำตามนี้ก็วิ่งรอบตึกโลด

ไม่มีการปราณีใดใดทั้งนั้น

รอบสุดท้ายแล้วเร็วๆ ” สมปองมันวิ่งเข้ารอบที่ 5 แล้วครับ สปีดลดลงไปมาก ผมคิดว่าถ้ามันเลือกคลานได้มันก็อยากจะคงอยากจะคลานไป

วันนี้รู้สึกเหมือนตัวเองดุน้องไปเยอะ ไม่ได้ดุทางคำพูดนะครับแต่ดุทางสายตา ตอนแรกที่ผมเดินออกจากตึกผมเห็นน้องมันเดินอยู่ด้านหน้าดูท่าทางวอกแวกแล้วก็มีพิรุธมากก็เลยเรียกไว้แต่ไอ้ตัวดีดันวิ่งหนี ผมเลยต้องเรียกน้องมันผ่านโทรโข่งมันถึงจะหยุด พอเดินเข้าไปใกล้ก็พบว่าป้ายชื่อที่คอหายไป เลยคิดได้เองว่ามันกำลังจะหนีกลับเพราะกลัวโดนพวกผมเจอ

สมปองนี่มันสมปองจริงๆ

ผมยังจำเมื่อวันหยุดที่ผมเจอน้องมันที่ร้านโจ๊กอยู่เลย สีหน้ามันวันนั้นดูน่าสงสารนะครับเพราะโดนเพื่อนทิ้ง พอเห็นแบบนั้นผมก็เลยชวนน้องมันไปดูหนัง ดูหนังผีแถมยังรอบดึกด้วย ตอนแรกที่นั่งดูด้วยกันมันก็ยังไม่เท่าไหร่หรอก แต่ไอ้ตอนที่น้องมันกลัวแล้วกระโจนเข้ามากอดผมนี่ ขอบอกจากใจเลย

แฮปปี้มาก

มีความสุขสุดๆ

โมเม้นต์ตอนนั้นมันดีมากเลยนะครับ สมปองมันกลัวผีได้น่ารักมาก น่ารักจนผมอยากจะลากลับหอแล้วก็ปู้ยี่ปู้ยำแม่งสักทีสองที แต่ก็ได้แค่คิดไงยังทำแบบนั้นไม่ได้ แต่คิดว่าสักวันนึงในอนาคตจะได้มีโอกาสทำแบบนั้นนะครับ ไม่ดิ่ มันต้องไม่สักวัน มันต้องมีวันที่ได้ทำแน่นอน

พี่จะทำหลายๆอย่างเลย

หึ

“ แฮ่ก....ครบแล้ว....โอ้ย จะตาย ” เจ้าตัวหอบหนักๆก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงกับพื้นแบบหมดสภาพ

ผมนั่งมองน้องนิ่งๆ แต่ใจจริงก็อดสงสารไม่ได้ไม่ได้นะครับ แต่จะให้ทำไงวะ ลืมเอามาเองก็ต้องรับผิดชอบความผิดตัวเอง ต่อให้น้องมันจะเป็นคนที่ผมชอบผมก็ไม่เว้นหรอก

เขินปากว่ะ

คนที่ชอบ

แอร้ยยยย

ดีมาก แล้วก็ห้ามลืมเอามาอีก ถ้ามีครั้งหน้ามึงโดนมากกว่านี้สองเท่าแน่ ” เข้าใจไหมน้องสมปอง

“ เผด็จการ ” น้องมันว่าก่อนจะตีขาผมอย่างแรง ไอ้เด็กนี่หนิ เดี๋ยวก็จูบปราบพยศซะให้หรอก

เดี๋ยวมึงจะโดน

“ เลิกพูดผ่านโทรโข่งได้ไหมวะ รำคาญ ” ว่าเครื่องมือทำมาหากินของกูเฉย มึงนี่มันจริงๆเลยน้า

ผมกดปิดโทรโข่งตามที่น้องมันขอ ยอมมันหน่อยละกันมันวิ่งมาเหนื่อยๆ ตอนนี้ก็ประมาณสี่โมงเย็นกว่าๆแล้วครับ ผมต้องไปช่วยพี่ถิ่นไทที่ร้านไอติม แต่ใจนึงก็อยากจะอยู่กับสมปองว่ะ ถึงแม้ว่าน้องมันจะไม่อยากอยู่กับผมก็เถอะ

ทำไงให้น้องอยู่กับผมดีวะ

อา....คิดออกละ

“ กูเลี้ยงไอติม กินไหม ”

“ กิน ” น้องมันเงยหน้าตอบแบบไม่คิดเลยครับ ไอติมก็คงชอบแล้วก็คงชอบที่มันฟรีด้วย

“ งั้นก็ไปกัน....ถ้าช้าเดี๋ยวพี่ถิ่นไทดุ ” ผมบอกก่อนจะรั้งแขนสมปองขึ้นมา น้องมันไม่ได้สะบัดออกนะครับสงสัยคงจะเหนื่อยนั่นแหละ

“ ทำไมมึงถึงทำงานที่นั่นอ่ะ ”

“ คือพี่ถิ่นไทเป็นพี่ชายกูเองอ่ะ ”

“ เห้ย....จริงอ่ะ ” ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่ายังไงวะ

“ เออสิ ทำไม ไม่เหมือนรึไง ”

“ ไม่เหมือนสักนิด พี่ถิ่นไทเค้าออกจะดูอบอุ่น....แต่มึง ” น้องมันเว้นวรรคไปก่อนจะไล่ดูผมตั้งแต่หัวจรดเท้า มองด้วยสายตาแบบนี้นี่คืออะไรห้ะ

“ กูทำไม ”

“ มึงมันโฉดชั่วอ่ะ ” น้องมันว่าแล้วทำตาแป๋วใส่ “ คนเลว 2017 ชัดๆ ”

“ เดี๋ยวมึงจะโดนคนเลว 2017 เตะ ” เบ้ปากใส่ไปทีนึง “ ขึ้นรถ!! ” ผมยัดน้องมันเข้ามาในรถก่อนที่ผมจะขึ้นมานั่งฝั่งคนขับ

“ ทำโหดหรอ นี่แน่ะ ” ไอ้ตัวดีมันตีแขนผมทีนึง เดี๋ยวนี้ชักจะเอาใหญ่ พอไม่ได้กำราบก็ชักจะดื้อหนัก

“ เดี๋ยวจะโดนนะมึงน่ะ ” ผมจ้องหน้ามันนิ่งๆ

“ แบร่ๆๆๆๆๆ ”

แบร่ใช่ไหม

ได้.....

ผมรั้งคอสมปองเข้ามาใกล้โดยที่มันยังไม่ได้ตั้งตัวก่อนจะประกบปากลงไปแนบชิดกับปากเล็กๆนั่น ไอ้คนโดนจูบมันก็อึ้งจนตาค้าง ผมเห็นแบบนั้นก็เลยอาศัยจังหวะเผลอนี้สอดลิ้นเข้าไปควานหาความหวานจากโพรงปากเล็ก มือเรียวของผมก็ล็อคคอน้องให้มันอยู่ในองศาที่ผมจูบถนัด ลิ้นเล็กที่พยายามหนีจากการรุกรานของผมมันน่าเอ็นดูชะมัด เหมือนพวกไม่ประสีประสากับเรื่องทำนองนี้

พี่สยามชอบนักล่ะ เด็กใสใสเนี่ย

ผมตักตวงความหวานจนพอใจก่อนจะถอนจูบอย่างอ้อยอิ่ง น้องมันก็มองผมนิ่งๆเหมือนกับว่าตัวเองยังไม่ได้สติ สังเกตได้ว่าแก้มใสๆนั่นขึ้นสีแดงระเรื่อ น่าฟัดชิบ น้องมันจะรู้ตัวมันป้ะวะว่ามันน่ารักขนาดไหน

ยังอีกยัง สติยังไม่กลับมา

ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่เรียกสติให้

ฟอดดด

“ มะ....มึง ” ดูท่าสติสมปองจะกลับมาแล้วครับ น้องมันยกมือปิดปากข้างนึงแล้วก็ปิดแก้มตัวเองข้างนึงแถมยังทำหน้าตาตื่นอีก

โอ้ยยยยน่ารักโว้ยยยยย

กูขออีกสักที

ฟอดดดดดด

“ ไอ้พี่เชี่ย มึงจะมันจะมากเกินไปแล้ว ” น้องมันโวยวายใส่ผมก่อนจะยกขาขึ้นมานั่งกอดเข่าก่อนเอาหน้าตัวเองมุดไว้ เป็นวิธีการป้องกันตัวเองที่คิ้วท์มากครับคนดี พี่ยอมใจเลย

“ เป็นอะไรเนี่ยะ นั่งซะกลมเชียว ”

“ ก็มึงอ่ะ มึงจูบกูทำไมเนี่ยะ ”

“ ก็เห็นแลบลิ้นใส่ กูก็นึกว่าอยากให้กูดูด ” ฮ่าๆๆ จัดไปดอก งานนี้สยามวินครับ จะว่าไปกูนี่ก็พูดจาได้หื่นกามชิบ

“ ดูดพ่องอ่ะ แล้วยังมาหอมแก้มกูอีก ” เชื่อได้เลยว่าไอ้หน้าที่มุดอยู่นั่นมันต้องแดงมากๆแน่เลย เพราะขนาดหูน้องมันยังแดง

“ ก็เห็นไม่มีสติ กูก็เลยเรียกสติให้ ”

“ สติหน้ามึงดิ่ มึงหอมแก้มกูอีกครั้งด้วย ” ยังไม่เลิกโวยวาย จัดอีกสักทีดีไหมเนี่ย

“ กูรำคาญมึงอ่ะ ”

“ กูทำไรให้มึงป้ะ กูก็อยู่ของกูดีดี ”

“ ก็มึงเริ่มน่ารักขึ้นทุกวันๆอ่ะ ขัดหูขัดตา ”

ผมอมยิ้มมองสมปองที่เงียบไป น้องมันค่อยๆโผล่ตาขึ้นมามองผม ที่ไม่เอาขึ้นมาทั้งหน้าสงสัยว่ายังกลัวจะโดนหอมโดนจูบอีก ไอ้เด็กบ๊องเอ๊ย ไว้เดี๋ยวกูจะทำให้มึงขาดการหอมกับการจูบกูไม่ได้เลย

เตรียมใจไว้เถอะครับ

“ อะไร มองทำไม ” พอผมเห็นน้องมันมองผมเงียบๆก็อดสงสัยไม่ได้ที่จะถามอ่ะ สมปองคนเก่งที่ชอบเถียงมันตายไปแล้วสินะ

“ กูไม่ได้น่ารัก น่ารักไว้ใช้กับผู้หญิง ”

“ ไว้ใช้กับมึงก็ได้ไอ้เด็กบ้า ” ผมว่าพลางเอื้อมมือไปขยี้หัวมันด้วยความหมั่นเขี้ยว

“ อื้อออ.อ....หัวกู ขับรถสักทีสิ กูจะได้กินไหมไอติมน่ะ ” น้องมันจับมือผมออกจากหัวก่อนจะนั่งกอดเข่าตัวเองไว้อย่างเดิม

“ ครับๆ ไปแล้วๆ ”

ผมขับรถออกมาจากตึกคณะอย่างอารมณ์ดี พลางเหลือบมองคนข้างๆอยู่เป็นระยะ สมปองก็ยังอยู่ในโหมดกอดเข่าป้องกันตัวเองอยู่ครับ น่ารักเชียวไม่ติดว่าขับรถนี่จะเอาโทรศัพท์มาถ่ายรูปเก็บไว้ละจริงๆ วันนี้ถือว่าเป็นวันดีของผมนะ ได้ทั้งจูบได้ทั้งหอมแก้ม แล้วพอยิ่งได้ทำก็ยิ่งรู้สึกเสพติดน้องมันเข้าไปอีก

ชักอยากจะทำให้มันมากกว่านี้

ความรักนี่ทำให้เราหื่นกามขึ้นเยอะเลยนะครับ



[ จบบันทึกพิเศษ : สยาม ]





TBC.

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 8 : 30/9/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 30-09-2017 21:34:23
จีบอย่างนี้จะติดเหรอสยาม
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 7 : 29/9/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 30-09-2017 21:37:11
ถ้าพ่อได้อ่านไดอารี่ คงให้สมปองลาออกแทบไม่ทัน
มีอย่างที่ไหน ถูกผู้ชายจีบแล้วยังไม่รู้ตัวอีก 55

ตลกความคิดเห็นนี้ แต่แอบพยักหน้าเบา ๆ ฮา
ถ้านับจำนวนครั้งของชื่อที่ปรากฎในไดอารี่ ชื่อพี่สยามนอนมาแน่ หึหึ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 9 : 1/10/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 01-10-2017 20:01:56
บทที่ 9 สมปองเป็นนกฟินิกซ์




โรงอาหารตึกวิศวะ

กับสมปองที่ยืนต่อแถวซื้อเย็นตาโฟ

แถมยังต่อหลังผู้หญิงที่สวยมากด้วย คริคริ

ผมมองสาวงามที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างพิจารณา เธอผิวขาวมาก และก็ยังตัวเล็กอ้อนแอ้น ผมสีน้ำตาลเป็นลอนยาวสลวยนั่นก็ถูกมัดเป็นทรงหางม้า หน้าตาจิ้มลิ้มนี่ไม่ว่าใครก็ต้องอยากได้เป็นเจ้าของ คิ้วโก่งจมูกโด่งเป็นสันสวย แก้มก็ใสแถมอมชมพูดูเป็นธรรมชาติ ยิ่งบวกกับริมฝีปากแดงอมส้มนั่น

สเป็คเลยอ่ะ นี่แหละแม่ของลูกผม

“ เอาเย็นตาโฟค่ะ ” อุ้ย เธอสั่งเย็นตาโฟด้วยครับ ผมว่าเราต้องเป็นเนื้อคู่กันแน่ๆเลย ขนาดของที่จะกินยังเหมือนกันอ่ะ

“ เจ้าขา ” ผมมองตามเสียงของผู้หญิงอีกคนที่เดินเข้ามาหาแม่ของลูกผม เจ้าขานี่คงจะเป็นชื่อของคนตรงหน้าผมแบบแน่นอนอย่างไม่ต้องสืบ โหย น่ารักก็น่ารัก ชื่อยังจะเพราะอีก

งื้อออ สมปองอยากได้

จะเอาอ่ะจะเอา

“ มีอะไรหรอเตย ” เสียงหวานอีกต่างหาก พ่อครับผมสัญญาเลยว่าจะพาลูกสะใภ้กลับไปไหว้พ่อให้ได้

“ เอาเย็นตาโฟครับป้า ” ผมสั่งเย็นตาโฟพร้อมกับเหลือบมองเจ้าขาเป็นระยะๆ เธอคุยกับเพื่อนอยู่ใกล้ๆโต๊ะวางเครื่องปรุงนี่แหละครับ หูผมก็เงี่ยฟังสิ่งที่พวกเธอคุยกัน ไม่ได้เสือกนะครับ ผมก็แค่อยากรู้เฉยๆ

“ ก็พี่สยามอ่ะ เค้าตามหาแกอยู่ ”

เดี๋ยวก่อนนะ.....สยามงั้นหรอ

ไอ้พี่สยามน่ะนะ!!!

ผมยืนฟังหูผึ่งเลยครับหลังจากได้ยินชื่อของคนบัดซบออกมา เห้ยปองแต่คิดในแง่ดีก่อน คนชื่อสยามอาจจะไม่ได้มีคนเดียวในมหาลัยก็ได้ เออใช่ มันต้องใช่แน่ๆ เป็นไปไม่ได้ที่ไอ้พี่เถื่อนนั่นจะมารู้จักกับเจ้าขาคนงามได้หรอก

ไม่มีทาง

“ เจ้าขา ” เสียงคุ้นจากด้านหลังที่ผมไม่ต้องหันไปมองผมก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร

ม่ายยยยยยยยยยยยยย

ม่ายอาวแบบเน้

ผมหันไปมองด้านหลังก็พบกับร่างสูงที่สวมเสื้อช้อปกับกางเกงยีนส์ขาดๆ วันนี้พี่มันไม่ได้ถือโทรโข่งมาว่ะ แต่ก็ดีละมันจะได้ไม่ต้องเอามาพูดอัดหน้าผม เห็นมันแล้วยังนึกแค้นตอนวันที่มันสั่งผมวิ่งรอบตึกได้เลย ผมไม่ได้แค้นที่มันให้ผมวิ่งนะครับผมแค้นที่มันขโมยจูบกับหอมแก้มผมบนรถต่างหาก แม่งเอ้ย ถ้ารู้ว่าไปกินไอติมฟรีแล้วจะเปลืองเนื้อเปลืองตัวขนาดนั้นนะผมไม่ไปหรอก หึ้ยยยยย....

พอๆ กลับมาสถานการณ์ตรงหน้าก่อนครับ

“ พี่สยาม ” เจ้าขาเรียกพี่มันพร้อมกับยิ้มหวาน โง้ย ยิ้มแบบนั้นให้ปองบ้างสิครับ ปองก็อยากได้

“ พี่ตามหาเราตั้งนานแน่ะ โทรไปก็ไม่รับ ” พี่มันเดินเข้ามาใกล้เจ้าขาก่อนจะยกมือมาบีบจมูกคนตัวเล็กเบาๆเหมือนกับหมั่นเขี้ยว เห้ย มึงทำแบบนั้นกับว่าที่แม่ของลูกกูได้ไง

“ ก็โทรศัพท์น้องอยู่ในกระเป๋านี่คะ พี่สยามกินอะไรมารึยัง ” เจ้าขาไม่พูดเปล่านะครับ มือเรียวเล็กนั่นก็ยกขึ้นไปกอดเอวไอ้พี่สยามไว้

สองคนนี้เป็นอะไรกันวะเนี่ย

“ ยังเลยค่ะ พี่ว่าพี่จะมากินหัวเราเนี่ยแหละ ” พี่มันว่าก่อนจะทำท่าเหมือนจะงับหัวเจ้าขาด้วย

พี่สยามมันพูด ค่ะ ด้วยว่ะ

วัทเดอะฟัคคคคค

นี่มันอะไรกันเนี่ย

ผมแอบยืนมองสองคนที่กุ๊กกิ๊กกันอยู่ตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจ แถมคำถามยังเต็มหัวด้วยว่าทำไมสองคนนี้ถึงดูสนิทกันขนาดนี้ เจ้าขาก็เป็นผู้หญิงที่ผมเพิ่งปิ๊งตะกี้ ไอ้พี่สยามก็เป็นผู้ชายโฉดชั่วที่ชอบแกล้งผม ทำไมสองคนนี้ถึงรู้จักกัน แล้วไอ้ความใกล้ชิดสนิทสนมนั่นมันคืออะไรวะ

เป็นแฟนกันหรอ

“ หัวน้องกินไม่ได้นะคะ ”

“ ว้าแย่จัง อย่างนี้พี่ก็หิวแย่เลยสิคะ ”

“ พี่ก็ว่าไปนั่นอ่ะ ”

“ ฮ่าๆๆ ไปโต๊ะกันไหมคะ เดี๋ยวพี่ถือให้ ” เจ้าขาพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ไอ้พี่สยามมันหยิบชามเย็นตาโฟขึ้นมาถือก่อนจะโอบรอบเอวของคนตัวเล็กแล้วก็เดินไป

เหลือแค่ผมกับชามเย็นตาโฟที่ยังอยู่ตรงนี้

เกิดอะไรขึ้นวะ

ผมถือชามมาตรงโต๊ะเครื่องปรุงก่อนจะปรุงตามปกติ ในใจก็พลางคิดถึงไอ้สิ่งที่เห็นเมื่อกี้ทั้งหมด ผมไม่เข้าใจนะครับไม่เข้าใจอะไรเลย และก็สงสัยมากด้วยว่าไอ้พี่สยามกับเจ้าขาเป็นอะไรกัน แต่ดูท่าก็คงไม่ใช่ความสัมพันธ์ธรรมดาหรอกว่ะเล่นโอบเอวเดินไปกันซะขนาดนั้น แถมยังคุยกันกุ๊กกิ๊ก มีจะแดกหัวกันด้วย

ที่พีคสุดคือไอ้พี่สยามมันพูดเพราะมาก

เพราะแบบใช้ คะ ใช้ ค่ะ ตัดภาพมาเวลาที่มันคุยกับผมดิ่มีแต่ไอ้เชี่ยไอ้สัส โคตรคนละฟีลเลยอ่ะ ห่าเอ้ย คิดแล้วน่าหงุดหงิดชิบ สวยๆแบบเจ้าขาไม่น่าไปเสร็จคนโฉดแบบไอ้พี่สยามมันเลย

เสียใจว่ะ

เสียดายด้วย

ฮืออออออออออ

แล้วคิดดูนะครับ ปกติแล้วไอ้พี่สยามมันมักจะเป็นคนเจอผมก่อนเสมอไม่ว่าผมจะอยู่ที่ไหนก็ตาม แต่วันนี้ผมยืนอยู่ในร้านนั่น ห่างจากมันมาไม่ถึง 3 เมตรด้วยซ้ำแต่มันไม่ได้มองมาตรงที่ผมยืนอยู่เลย เหมือนผมไม่มีตัวตนอ่ะ สายตาคมนั่นมองแต่เจ้าขาคนเดียว ทำเอาสมปองคนนี้เป็นอากาศธาตุ ใจนึงผมก็คิดว่ามันก็ดีแล้วนะที่มันไม่เห็นผม มันจะได้ไม่ต้องเข้ามาวุ่นวายหรือแกล้งอะไรผมไง

แต่พอเป็นแบบนั้นในใจมันก็หน่วงแปลกๆว่ะ

ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร

“ ทำไมทำหน้าแบบนั้นอ่ะสมปอง บอกสมลันมาซิ ” ทันทีที่ผมเดินกลับมาถึงโต๊ะ ลันตาเพื่อนรักก็เอ่ยถามผมเป็นคนแรก ตอนนี้รู้สึกหมดอาลัยตายอยากยังไงก็ไม่รู้อ่ะ แบบใจมันเฟลอ่ะมันเฟล

“ เล่าให้สมเทียนฟังก็ได้นะ ”

“ ใช่ สมแยมก็พร้อมฟังนะ ” ผมมองเจ้าพวกสมก่อนจะถอนใจแล้วนั่งลงประจำที่ตัวเอง พวกมึงคิดได้ไงเนี่ยะที่เอาสมไปไว้หน้าชื่อน่ะ ไม่อยากให้กูรู้สึกโดดเดี่ยวสินะ

“ คืองี้มึง เมื่อกี้กูไปเจอผู้หญิงคนนึง เธอสวยมากแบบกูเห็นครั้งแรกกูก็ปิ๊งเลยอ่ะ เธอชื่อเจ้าขา ”

“ อาหะ มึงปิ๊งแล้วยังไงต่อ ”

“ แต่แบบเจ้าขาอ่ะดันเป็นเด็กไอ้พี่สยามอ่ะดิ่ ”

ลันตามันเท้าคางมองผม “ อ๋อ คือมึงนกใช่ป้ะ ”

“ ถึงกูจะนก กูก็นกฟินิกซ์แหละวะ ”

“ ฮ่าๆๆ นกฟินิกซ์ก็มาว่ะ แล้วมึงไปรู้ได้ยังไงว่าเจ้าขาอะไรนั่นเป็นเด็กพี่สยาม ” สีเทียนมันถาม

“ ก็เดินโอบเอวกันออกไปจากร้านก๋วยเตี๋ยวอ่ะ คุยกันกระหนุงกระหนิงแถมพี่สยามมันยังพูดคะพูดขาด้วยนะมึง ทีกับกูแม่งยังไม่เคยพูดเพราะขนาดนั้นเลย ” แค่คิดก็แค้นใจแปลกๆแล้ว เผลอเมื่อไหร่กูจะเอาโทรโข่งมึงไปซ่อนเป็นการล้างแค้น

“ เหมือนมึงอิจฉาที่พี่สยามเค้าพูดเพราะกับเจ้าขาเลยว่ะ ” กูจะไปอิจฉาทำไมวะลันตา ไม่เห็นมีอะไรจะต้องอิจฉาเลย

ก็แค่พูดคะพูดค่ะอ่ะ น่าอิจฉาตรงไหน

“ กูเปล่าสักหน่อย ”

“ จะใช่เร้อสมปอง สมเทียนดูออกนะว่าสมปองคิดอะไร ” ไม่ต้องมาชี้หน้ากูแล้วทำหน้าทำตาแบบนั้นเลย

“ ไม่ต้องทำมาเป็นรู้ดีเลยนะมึง ”

“ แล้วแบบนี้มึงจะทำไงต่ออ่ะปอง ” แยมมันถามผมต่อ ทำไงดีงั้นหรอ นั่นสินะ ผมขอบอกจากใจเลยนะครับว่าปิ๊งเจ้าขามาก ตั้งปณิธานไว้ตั้งแต่แรกเห็นด้วยว่านี่แหละแม่ของลูกแถมยังคิดว่าจะพาไปไหว้พ่อด้วย เพราะงั้น....

“ กูจะแย่ง ”

“ มึงจะแย่งเจ้าขามาจากพี่สยามหรือว่าแย่งพี่สยามมาจากเจ้าขา ”

“ กูก็ต้องแย่งเจ้าขามาจากไอ้พี่สยามสิวะ ” กูจะแย่งพี่มันมาทำไม ลันตาเพื่อนรักนี่ทำไมถามอะไรแปลกๆ

“ แต่กูว่ามึงแย่งพี่สยามมาจากเจ้าขาน่าจะง่ายกว่านะ ” ทำไมมันเป็นอย่างงั้นล่ะสีเทียน

แล้วคือเพื่อนกูนี่จะไม่ช่วยอวยกูกันสักนิดเลยหรอ

โหยเสียใจ

“ ปอง กูคิดว่ามึงไม่น่าจะแย่งเจ้าขามาจากพี่สยามได้อ่ะ ”

“ ทำไมวะลันตา ”

“ คือถ้ากูเป็นผู้หญิง แล้วเอามึงกับพี่สยามมายืนข้างๆกัน กูก็เลือกพี่สยามอย่างไม่ต้องคิดอ่ะ ” ลันตามันว่าพลางมองผมตั้งแต่หัวลงไปทั้งตัว ทำไมอ่ะลันตากูไม่ดีตรงไหน กูออกจะแสนดี มาดแมนและแฮนด์ซั่มมาก หุ่นดีมีซิกแพคด้วยนะ ถึงแม้ว่าตอนนี้มันจะเลือนลางกว่าแต่ก่อนเพราะแดกเยอะและนอนบ่อยก็เหอะแต่กูก็มีนะ

“ กูว่านะปอง การไปแย่งผู้หญิงของรุ่นพี่มันไม่ใช่ความคิดที่ดีเลยว่ะ ” แยมมันบอกผมอย่างจริงจัง ไม่รู้โว้ยกูชอบกูจะเอาอ่ะ จะแย่งมาให้ได้ด้วย ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแหละ

ขนาดเสือมันยังสู้กันเพื่อแย่งเหยื่อเลย

ผมก็ต้องสู้กับไอ้พี่สยามเพื่อแย่งแม่ของลูกในอนาคตเหมือนกัน

“ เออเอาน่า กูคิดว่ากูมีวิธีที่ดี ” ผมยักคิ้วให้เหล่าเพื่อนรัก วิธีนี้แหละเวิร์คสุด

“ วิธีอะไรวะ ”

“ ไม่บอก ” ผมแลบลิ้นใส่สีเทียน มันก็ทำหน้ามุ่ยใส่ผม ขืนบอกมึงแล้วมึงเอาไปบอกไอ้พี่สยามกูจะทำยังไง

จากเหตุการณ์บัดซบหลายๆอย่างในชีวิตของผมที่เพิ่งผ่านมาไม่นานนั้น มันทำให้ผมรู้ว่าเราไม่สามารถไว้ใจใครได้แม้กระทั่งเพื่อนของเราเอง ในกลุ่มนี่มีสมแยมคนเดียวครับที่ยังพอพึ่งพาและไว้ใจได้ และสมแยมมันก็เป็นคนที่เป็นห่วงผมมากกว่าชาวบ้านที่สุดแล้ว ต่างจากสมลันกับสมเทียนโดยสิ้นเชิง ไอ้สองแสบนี่มีแต่จะคอยแกล้งผม จะว่าไปยังไม่ได้คุยกับพวกแม่งเรื่องประธานนักศึกษาเลย

ไหนๆก็คิดออกแล้วก็เอาหน่อยละกัน

โป๊กกก

โป๊กกก

“ โอ้ยยยย / โอ้ยยยย ” ไอ้สองแสบมันโอดโอยพร้อมกับยกมือกุมหัวตัวเอง แถมยังส่งหน้ามึนๆมาให้ คงสงสัยสินะว่ากูโขกหัวมึงทำไม

“ โทษฐานที่มึงส่งชื่อกูไปเป็นประธานนักศึกษา ”

“ ไม่เห็นต้องโขกเลย มันเจ็บนะ ” ลันตามันตีแขนผมกลับ เดี๋ยวก็โดนอีกทีหรอกมึง

“ ใช่ หัวแตกแล้วมั้งเนี่ย ” มึงก็เว่อร์อ่ะสีเทียน กูไม่ได้โขกแรงอะไรขนาดนั้นเลย

“ ไม่ต้องมาบ่นเลยนะพวกมึง กูอยู่ของกูดีดีเสือกส่งชื่อกูไปเฉย ละพวกมึงก็เตรียมตัวเป็นเบ้ประธานได้เลย ” ผมส่งยิ้มเหี้ยมไปให้ไอ้สองแสบ “ มึงไม่รอดหรอก ”

“ โหดร้าย / โหดร้าย ” พวกมึงมันสมควรโดนแล้วไอ้บ้า

ผมนั่งกินเย็นตาโฟต่อ มัวแต่คุยเส้นแม่งอืดหมดละ ขอโทษนะเย็นตาโฟ ถึงแม้นายจะอืดแต่เราจะกินนายให้หมดแน่นอนเราสัญญา โอเคผมตกลงกับเย็นตาโฟเสร็จแล้ว กลับมาคิดเรื่องไอ้พี่สยามกับเจ้าขาต่อ ตอนนี้ผมต้องคิดไว้ก่อนว่าสองคนนั้นเป็นแฟนกัน เป็นจริงรึเปล่าไม่รู้แหละแต่คิดไว้แบบนี้แหละ ผมว่าผมจะค่อยๆเข้าไปมีตัวตนในชีวิตของเจ้าขา จากนั้นก็ค่อยๆทำให้เจ้าขาประทับใจในตัวผมแล้วก็ใส่ไฟเรื่องความเลวที่ไอ้พี่สยามมันทำไว้

ผมจะบอกว่ามันนอกใจเจ้าขา

นอกใจโดยการไปหอมแก้มกับไปจูบคนอื่น

ไอ้คนอื่นนั่นก็ผมไง

จะว่าไปพอนั่งคิดถึงเรื่องหอมแก้มกับเรื่องจูบนี่ก็ยังสงสัยไม่หายเลยนะว่าพี่มันทำแบบนั้นกับผมทำไม ถึงพูดว่าจะแกล้งแต่มันไม่มีใครเขาแกล้งกันแบบนี้ป้ะวะ อีกอย่างมันเองก็มีแฟนที่สวยมากขนาดนั้น ไอ้เรื่องแบบนี้มันต้องไว้ทำกับแฟนไม่ก็คนที่รักสิวะ

ไว้ทำกับแฟนไม่ก็คนที่รัก

แต่มาทำกับผม

อ่าว งง กูคิดอะไรของกูเนี่ย

“ สัสเอ้ย ” ผมสบถเบาๆก่อนจะส่ายหัวไล่ไอ้ความคิดทั้งหมดออกไป ทำไมชีวิตสมปองต้องมาคิดอะไรยุ่งยากแบบนี้ด้วยว่ะ ขืนยังคิดเยอะอยู่แบบนี้สมองอาจจะตายก็ได้เอาจริงๆ

เพราะงั้นเลิกคิด เลิกๆๆๆๆ

“ เออมึง จันทร์หน้าจะเฉลยพี่รหัสแล้วนะ พวกมึงหาเจอกันรึยัง ” ผมเงยหน้าขึ้นมาจากชามก๋วยเตี๋ยวทันทีที่ลันตามันถาม เออว่ะ พูดถึงพี่รหัสนี่ผมก็ยังหาไม่เจอเลยครับ

เรียกว่าไม่หาเลยจะดีกว่า

“ กูว่าหาไม่ทันแล่ว ใครจะมันจะหาเจอวะ ” ลันตามันบ่นอย่างเซ็งๆ

“ กูก็รอวันเฉลยทีเดียวอ่ะ โดนลงโทษก็ไม่เป็นไร ” แยมมันดูไม่ค่อยซีเรียสกับเรื่องนี้เท่าไหร่

“ นั่นสินะ แต่ก็ตื่นเต้นเหมือนกันนะมึง ว่าพี่รหัสเราจะเป็นใคร ” เออตื่นเต้นมากอ่ะ

0003พี่เป็นผู้ชายหล่อล่ำปล้ำง่าย

ตื่นเต้นสุดๆ เหอะๆ

“ พี่รหัสมึงอ่ะปอง หาเจอยัง ” ถ้ากูหาเจอกูก็ต้องบอกมึงแล้วสิเพื่อนรัก

“ ยังอ่ะ ช่างแม่ง ” ผมไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ พี่รหัสผมจะเป็นใครก็เอาเถอะ ผมไม่ได้เป็นพวกอินกับสายรหัสอะไรขนาดนั้นอยู่แล้วด้วย

ผมนั่งกินเย็นตาโฟต่อจนหมด เหล่าเพื่อนรักก็พากันคุยอะไรของพวกแม่งไม่รู้ เดี๋ยวตอนบ่ายนี้มีเรียนต่อด้วยครับ เป็นวิชาคณิตพื้นฐานที่ผมชอบ เลยตั้งใจว่าจะตั้งใจเรียนสักหน่อย เรียนเสร็จไปกินไอติมดีไหมวะ สภาพจิตใจเฟลๆแบบนี้ควรได้ของหวานมาชะโลมให้ดีขึ้น

แต่ถ้าไปกินไอติมก็อาจจะเจอไอ้พี่สยามมันก็ได้

เอาไงดีวะ

“ เออปอง กูได้คูปองลด 50 % ของร้านไอติมมาด้วย มึงไปเปล่าวันนี้ ”

“ ไป....กูไป ”

เอาเป็นว่าถ้าผมเจอไอ้พี่สยามผมจะทำเป็นมองไม่เห็นมันละกันนะครับ

ยังไงไอติมก็สำคัญกับสมปองที่สุด

แฮะๆ






TBC.

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 9 : 1/10/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ares ที่ 01-10-2017 20:02:42
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 9 : 1/10/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 01-10-2017 20:52:46
เขาเป็นพี่น้องกันหรือเปล่า
ไปเล็งคนอื่นเดี๋ยวก็โดนพี่สยามจับกินหรอกสมปอง
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 10 : 2/10/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 02-10-2017 20:44:41
​บทที่ 10 พี่รหัสของสมปอง


ลานเกียร์ตอนบ่ายสาม

รู้ไหมว่าอากาศมันร้อนอ่ะ

บัดซบจริงๆ

ผมนั่งปาดเหงื่ออยู่หลังลันตาครับ ตอนนี้กำลังนั่งต่อแถวเพื่อทำกิจกรรมของคณะอยู่นั่นก็คือการเฉลยสายรหัส แน่นอนว่าผมและเพื่อนๆเนี่ยะไม่มีใครหาพี่รหัสตัวเองเจอสักคน แม่งแค่ให้เวลาแค่ 2 อาทิตย์ ใครมันจะไปหาเจอวะบ้าไปแล้ว ผมเชื่อนะครับว่าไอ้เด็กวิศวะปี 1 เป็นร้อยคนนี่มันต้องมีเยอะมากแน่ๆที่ยังหาพี่รหัสตัวเองไม่เจอ

อย่างน้อยก็น่าจะเกินครึ่งแหละวะ

“ มึงดูของลงโทษดิ่ ” ลันตาชี้ให้ผมดูของลงโทษที่อยู่บนโต๊ะ มันมีถังใส่แป้งวางไว้หลายสิบใบ นี่กะจะเอาพวกกูชุบแป้งแล้วเอาไปทอดเลยว่างั้นเถอะ นอกจากถังแป้งก็มีตะกร้าลิปสติกมั้งครับถ้ามองไม่ผิดนะ

“ กะยำเราให้เละเลยนะนั่นน่ะ ” สีเทียนมันมองแล้วเบะปาก

“ กูว่ามันก็น่าสนุกดีนะ ” สนุกดิ่แยม พวกพี่มันอ่ะสนุกแน่ๆ

“ เออมึง เสร็จนี่แล้วไปกินเหล้ากันป้ะ ”

“ กูไม่ไป ” ผมตอบลันตาทันทีแบบไม่ต้องคิด ส่วนมันก็มองแรงมาทางผม มองทำไมเดี๋ยวกูก็ตบตาหลุด

“ ทำไมล่ะสมปองสายแข็ง ”

“ มึงไม่ต้องมาทำไมเลยเทียน มึงดูดิ้ว่าครั้งก่อนลันตาเพื่อนรักทำอะไรกูไว้บ้าง ”

“ ก็มึงเมาเองอ่ะกูก็แค่ถ่ายคลิป ”

“ มึงถ่ายแล้วมึงเสือกเอาไปลงไงไอ้สัส ”

“ ดีจะตาย ดังข้ามคืนเลยนะมึงอ่ะ ” มึงนี่มัน....

โป๊กกกกก

“ โอ้ยยยย โขกหัวกูทำไมเนี่ย ” ลันตามันโวยวาย

“ ยังไม่สำนึกอีกนะมึง ” ผมดึงแก้มมันแรงๆ หมั่นเขี้ยวนักไอ้แก้มย้วยๆนี่

“ เจ็บนะไอ้สัส ” ลันตามันจับมือผมออกก่อนจะตีขาผมอย่างแรง เดี๋ยวก่อนเถอะมึง เดี๋ยวให้กูคิดแผนแบบสำเร็จแยบยลก่อนกูเอาคืนมึงแน่

ผมคิดแผนในการเอาคืนลันตากับสีเทียนไว้หลายอย่างมากครับ แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเอายังไง แต่ผมก็ไม่ได้รีบมากนะที่จะล้างแค้นน่ะ เพราะผมอยากให้แผนของผมออกมาสมบูรณ์แบบมากที่สุด ไอ้สองแสบมันจะต้องจำวันที่ผมเอาคืนมันได้จนไม่มีวันลืม ฮ่าๆๆๆๆๆๆ

แลดูชั่ว

ช่างเถอะ ก็แม่งแกล้งผมก่อนนี่หว่า

“ เห้ยมึงพี่ๆเค้ามาแล้วว่ะ ” ผมเงยหันมองไปด้านหน้าทันทีที่แยมบอก พวกรุ่นพี่เขามากันแล้วครับ ไอ้พี่สยามนี่เดินนำมาก่อนชาวบ้านเลย ในมือมันก็มีโทรโข่งกับใบอะไรไม่รู้อยู่ อาจจะเป็นใบรายชื่อก็ได้

นึกถึงเมื่อหลายวันก่อนที่เจอมันที่โรงอาหารผมก็รู้สึกหงุดหงิดแปลกๆว่ะ และความสงสัยก็ยังคงสุมกันอยู่เต็มหัวว่ามันเป็นอะไรกับเจ้าขา ครั้นจะไปถามมันก็ไม่ใช่เรื่องป้ะ แล้วพอตอนเย็นผมก็ไปกินไอติมกับสีเทียนที่ร้านของพี่ถิ่นไทผมก็ไม่เจอมันนะครับ วันนั้นมันไม่ได้อยู่ร้าน ทีนี้ก็สงสัยหนักเลยว่ามันไปไหน ไปกับเจ้าขารึเปล่าวะ

แล้วไปไหนกัน

โอ้ยอยากรู้โว้ยยยยย

“ เป็นไรวะปอง มึงจะขยี้หัวตัวเองจนฟูทำไม ” ลันตามันมองผม

“ กู....กูคันหัวนิดหน่อย ไม่มีอะไร ”

“ ไม่ได้สระหัวสินะมึง โสโครก ”

“ ช่างกูเถอะน่า ”

“ เลิกเถียงกันได้แล่ว ” สีเทียนมันดุผมกับลันตาเบาๆ “ กูลุ้นอยู่ว่าจะได้ใครเป็นพี่รหัส ”

“ ไม่เห็นจะน่าลุ้นตรงไหนเลย ” ผมบอกสีเทียนพลางนึกถึงกับคำใบ้ตัวเอง

“ มึงนี่มัน....” ลันตามันหยิกผมก่อนจะหันกลับไปทางเดิม หยิกทำพ่องอ่ะ เนื้อตัวกูเขียวเป็นจ้ำก็เพราะมึงเนี่ยะอีเพื่อนเลว

เมื่อไหร่กิจกรรมมันจะเริ่มวะ ผมร้อนครับไม่ใช่อะไร ผมชอบนะไอ้พวกกิจกรรมของคณะเนี่ย เพราะแบบเออทั้งชีวิตเรื่องแบบนี้มันจะเกิดขึ้นกับเราแค่ครั้งเดียวและมันจะเป็นความทรงจำที่ติดอยู่กับตัวเราตลอดไป ถึงผมจะไม่ค่อยอินกับสายรหัสผมก็โอเคนะที่เข้าร่วมกิจกรรมอ่ะ

แต่ไม่โอเคกับอากาศว่ะ

ประเทศไทยไทยมันร้อนไงยูโน้วว

สวัสดีน้องๆชาววิศวกรรมศาสตร์ทุกคนนะครับ

“ สวัสดีครับ / สวัสดีค่ะ ”

วันนี้ก็เป็นวันที่เรานัดเฉลยสายรหัสกันแล้วนะครับ ตื่นเต้นกันรึเปล่า

“ ตื่นเต้นค่า ”

นั่นเสียงกระเทยครับ

ผมมองไอ้พี่สยามที่มันถามอะไรรุ่นน้องพอเป็นพิธี บางทีก็รู้สึกรำคาญเสียงกรี๊ดกร๊าดของผู้หญิงกับกระเทยอยู่เหมือนกันนะ อะไรมันจะดี๊ด๊าขนาดนั้นครับคุณ ผมได้ยินเสียงพุูดมาว่าอยากไอ้พี่สยามมันไปเป็นพี่รหัสด้วย อยากจะเดินไปบอกคนพูดมากอ่ะว่ามึงคิดผิดแล้ว เพราะไอ้พี่สยามมันโฉดชั่ว ใครได้มันไปเป็นพี่รหัสนะโชคร้ายตายห่าแน่

แย่ๆ แค่คิดก็แย่

เงียบก่อนนะครับ พี่ขอชี้แจงเรื่องกิจกรรมก่อน ” พอพี่มันพูดทั้งลานเกียร์ก็เงียบในทันที “ ขอบคุณครับ....ก็พี่จะแบ่งน้องๆออกเป็น 2 ฝั่งนะ ฝั่งนึงคือน้องที่หาพี่รหัสตัวเองเจอ และอีกฝั่งคือคนที่หาพี่รหัสตัวเองไม่เจอ.....

ผมนั่งฟังที่พี่มันอธิบายไปเรื่อยๆ ตอนนี้ด้านหน้ามีพี่ขุนศึกกับพี่แกงป่าเอาป้ายมาตั้งแบ่งเป็นสองฝั่งแล้วครับ อยากรู้จังว่าใครได้พวกพี่เขาเป็นพี่รหัส รู้สึกอิจฉาในใจลึกๆด้วยที่ได้พี่รหัสที่โคตรคูลแบบนั้น เห้ยแต่ไม่แน่นะพี่คนใดคนนึงอาจจะเป็นพี่รหัสของผมก็ได้ แต่พวกพี่เขาจะตั้งคำใบ้แบบนั้นหรอวะ

ไม่น่าใช่

เอาล่ะ....น้องที่หาพี่รหัสของตัวเองไม่เจอยืนขึ้นเลยครับ

ผมกับเพื่อนๆมองหน้ากันก่อนจะค่อยๆลุกยืนขึ้น ในใจนี่คิดว่ายังไงแม่งก็ต้องครึ่งร้อยชัวร์สำหรับคนที่หาพี่รหัสไม่เจอ แต่หลังจากที่กลุ่มพวกผมลุกก็มีเด็กวิศวะอีกแค่ประมาณสักสิบกว่าคนหน่อยๆลุกตาม

เห้ยเดี๋ยวนะ

มีแค่นี้จริงอ่ะ

“ มีแค่นี้เองหรอวะที่หาไม่เจอ ” ลันตามันมองไปรอบๆด้วยสีหน้าอึ้งๆ เออนั่นดิ่มีแค่นี้ได้ไงวะมันน่าจะมีมากกว่านี้ดิ่

“ มันเอาเวลาที่ไหนไปหากันวะ ” เออจริงสีเทียน เวลาแม่งแค่สองอาทิตย์แม่งไปหาเจอได้ไง

“ พวกเรานี่เด่นเลยเนอะ ” กูว่ามึงมาผิดประเด็นว่ะเพื่อนแยม

ผมมองผู้ร่วมชะตากรรมเดียวสิบกว่าคนผมก็ต้องไปสะดุดตาอยู่ที่ร่างเล็กที่ยืนอยู่ไม่ได้ไกลจากผมเท่าไหร่นัก ถึงแม้ว่าจะมองจากด้านหลังผมก็รู้ได้ในทันทีว่านั่นคือเจ้าขา นี่เจ้าขาก็หาพี่รหัสไม่เจอเหมือนกันหรอเนี่ย โหยโคตรเนื้อคู่เลยอ่ะ วันนั้นเย็นตาโฟก็กินเหมือนกัน วันนี้ยังจะหาพี่รหัสไม่เจอเหมือนกันอีก เนี่ยะพระเจ้าสร้างเรามาคู่กันชัดๆ

โง้ยยยยยเขิน

ให้น้องๆที่หาพี่รหัสไปเจอเดินมาเข้าแถวหน้ากระดานตรงนี้เลยครับ ส่วนน้องที่เจอพี่รหัสแล้วก็เข้าแถวอีกฝั่งนึงเลย พี่รหัสก็ไปเข้าร่วมกับน้องได้เลยนะรอโดนน้องลงโทษซะ

พอพี่มันพูดจบผมก็รีบเสนอหน้าเดินมาเข้าแถวทันที ได้ยืนอยู่ข้างเจ้าขาด้วยครับ ไอ้พวกเพื่อนๆผมก็มองกันอย่างสงสัยพลางส่งสายตากรุ้มกริ่มมาให้ อย่ามามองได้ไหมวะเดี๋ยวเจ้าขาเขาสงสัย พอได้มองคนตัวเล็กใกล้ๆจากด้านข้างนี่ก็นะ ละมุนใจมากอ่ะ คนอะไรจะน่ารักได้ขนาดนี้

ชวนคุยๆโอกาสมาแล้ว

“ ชื่อเจ้าขาหรอ ”

เจ้าขาหันมามองผมก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ “ ใช่แล้ว ”

งื้ออออ.อ....เสียงหวาน

ใจจะละลายแล้ววว

“ ชื่อเพราะจัง ” ง่อวววว จัดไปหนึ่งดอก หยอดเองก็เขินเองว่ะ

“ ชื่อเธอก็น่ารักดีนะ....สมปองน่ะ ” เจ้าขาบอกพร้อมกับยิ้มหวาน โอ้ยยยพ่อ!! เจ้าขายิ้มให้ผมด้วยพ่อเห็นไหม เจ้าขาต้องมีใจให้ผมแน่ๆเลยอ่ะพ่อ แน่ล่ะลูกพ่อหล่อซะขนาดนี้

โอ้ย มีความสุข

“ เรียนสาขาอะไรหรอ เราเรียนโยธานะ ”

“ เราเรียนอุตสาหการ....ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ” นะคะก็มา สวย น่ารักแถมยังพูดเพราะอีก เจ้าขานี่ต้องเป็นแม่ที่ดีของลูกผมได้แน่ๆ

“ ยินดีเช่นกันครับ ” ผมยิ้มหวานให้เจ้าขาตาหยีก่อนจะสะดุ้งเพราะโดนใครสักคนหยิกแขน พอหันไปมองก็พบลันตาที่จ้องผมอยู่ “ อะไรของมึง แล้วหยิกกูทำไมวะ ”

“ แรดเชียวนะมึง ”

“ เออแรด เดี๋ยวจะขวิดหน้ามึงด้วย ”

“ หัดสนใจสถานการณ์อย่างอื่นบ้าง ”

“ สถานการณ์อะไรวะ ”

“ โน่น ” ลันตามันจับหัวผมให้หันไปมองแถวอีกฝั่ง

โอ้โหหหหหห

ย่อยยับเลยนะนั่นน่ะ

ผมมองแถวอีกแถวนึงที่ตอนนี้ขาวฟุ้งเต็มไปด้วยแป้ง บรรดารุ่นพี่นี่หน้าขาวผ่องไปตามๆกัน บางคนนี่ก็โดนวาดหนวดแมวด้วยลิปสติก เออตลกดีว่ะ ละคือรุ่นพี่วิศวะแม่งแบบผู้ชายเยอะมาก พอโดนวาดอะไรแบบนั้นก็ดูสวนทางกับลุคดีนะ แปลว่าแถวผมจะลงโทษทีหลังแน่เลย มัวคุยแต่กับเจ้าขาเพลินเลยไม่รู้ เอาจริงๆใช้คำว่าเพลินก็ไม่ได้หรอกเพราะคุยกันไม่ถึง 4 ประโยคด้วยซ้ำ แต่เพราะผมให้ความสนใจกับเจ้าขามากเลยไงผมถึงไม่สนใจรอบข้าง

ลงโทษพี่รหัสกันเสร็จแล้วก็กลับไปนั่งแถวได้เลยครับ ” พี่มันบอกก่อนจะหยุดมาเดินที่แถวผม “ ถึงเวลาของพวกเราละนะ

“ ฮิ้วววววววววววววววววววววววววววววว ” พวกวิศวะปี 1 ที่เข้าไปนั่งเป็นแถวเสร็จแล้วก็พากันส่งเสียงโห่ดังๆ โห่ไมวะ อยากเห็นพวกกูโดนลงโทษมากเลยสิไอ้พวกบ้า

บรรดาพี่รหัสของน้องพวกนี้เดินเข้ามาเฉลยกับน้องได้เลยครับ ” พอสิ้นเสียงของไอ้พี่สยามก็มีรุ่นพี่วิศวะเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้ากันทีละคน

เจ้าขานี่ได้พี่ชาเย็นเป็นพี่รหัสว่ะ โหยยยยพี่ชาเย็นแม่งโคตรโชคดีเลย ผมหันมองเหล่าเพื่อนรักที่มีรุ่นพี่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า ลันตานี่มันอ้าปากค้างเลยครับที่พี่ขุนศึกเดินมาหยุดอยู่ตรงนั้น มันเคยบอกไว้นี่นะว่ามันขอให้พี่รหัสเป็นใครก็ได้ที่ไม่ใช่พี่ขุนศึก ฮ่าๆๆ สมน้ำหน้ามัน เป็นไงล่ะมึง ไม่อยากได้อะไรก็ได้เฉย ส่วนสีเทียนนี่ก็ยืนอึ้งหนักเลยเพราะที่หยุดอยู่ตรงหน้ามันคือพี่แกงป่า อิจฉาว่ะทำไมถึงได้แต่คนที่กูอยากได้ไปกันวะ แยมนี่ก็เป็นพี่ข้าวก้องครับ

และด้านหน้าของผมนั้น....

ว่างเปล่า

“ พี่รหัสกูไม่มาหรอวะ ” ผมพึมพำพลางชะเง้อคอมองไปทั่ว เห้ย ไม่มาจริงอ่ะ แบบนี้ผมก็ไม่โดนลงโทษดิ่

เย่เย่เย่

ให้พี่รหัสลงโทษน้องรหัสได้เลยครับ ” ผมมองไอ้พี่สยามที่มันส่งโทรโข่งไปให้พี่ข้าวหอมก่อนที่ตัวมันจะหยิบถังใส่แป้งถังใหญ่กับลิปสติกอีกหลายแท่งเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม

เดินมาหยุดทำไมวะ

หรือว่า....

“ เด็กเปรต ” พี่มันยกถังแป้งเทใส่หัวผมจนหมดถังทันที ผมก็ได้แต่สำลักแป้งที่มันฟุ้งเข้าจมูก กูเห็นพี่น้องคู่อื่นเขาเอาแป้งทาหน้ากันดีดีแล้วทำไมมึงต้องเอาแป้งมาเทใส่กูทั้งถังแบบนี้วะ กะจะฆ่ากูให้ตายเลยใช่ไหมไอ้พี่เชี่ย

“ แค่กก.ก.ก.....แค่ก.ก.ก....กูสำลักแป้งไอ้สัส ”

“ นี่แหละบทลงโทษของมึง ” พี่มันหยิบลิปสติกออกมาก่อนจะบรรจงวาดลวดลายลงบนหน้าผม “ ไม่ยอมตามหากูดีนัก ”

“ ใครมันจะไปรู้ว่าเป็นมึงวะไอ้บ้า ”

“ กูออกจะหล่อ ล่ำ แถมปล้ำง่ายจะตาย มันหายากตรงไหนวะ ”

“ ยากทั้งหมดนั่นแหละไอ้พี่เชี่ย แค่กก.ก.....พอแล้ว ” ผมปัดมือพี่มันออก หน้ากูย่อยยับไม่มีชิ้นดีแล้วมั้งเนี่ย

“ กูอยู่ใกล้ๆมึงแท้ๆ แต่มึงดันไม่รู้ตัวซะได้ ”

“ ก็มึงอ่ะ รู้ว่ากูเป็นน้องรหัสแล้วทำไมไม่ใบ้ให้บ้างวะ ”

“ ก็ทั้งตัวกูนี่ไงคือคำใบ้ มึงมันเอ๋อเลยไม่รู้เอง ”

“ ไอ้....”

“ เงียบเลย....จบนี่รอกูก่อนด้วยนะมีเรื่องจะคุย ” พี่มันสั่งก่อนจะเดินกลับไปเอาโทรโข่งมาพูดเพื่อจะเริ่มกิจกรรมต่อ ผมก็ได้แต่เบ้ปากใส่มันอย่าหมั่นไส้ เผด็จการชิบ อยู่ดีดีก็มาสั่ง

กลับไปนั่งเป็นแถวได้เลยครับน้องๆพี่มีเรื่องจะชี้แจงต่อ

ผมกลับมานั่งที่เดิมด้วยความหงุดหงิดในใจลึกๆ โคตรเข้าใจฟีลลันตาเลยอ่ะว่าได้คนที่ไม่อยากได้เป็นพี่รหัสมันเป็นยังไง ผมเคยพูดไว้ตั้งแต่วันจับสายรหัสด้วยว่าถ้าใครได้ไอ้พี่สยามเป็นพี่รหัสนี่โชคร้ายชิบหาย และสุดท้ายไอ้คนที่โชคร้ายชิบหายนั่นก็คือผมเอง สมปองเอ้ย สลากมีตั้งเยอะทำไมต้องจับได้พี่มันด้วยวะ

อยากผูกคอตายจังเลยโว้ยยยยย





พอหลังจากที่กิจกรรมจบไอ้พี่สยามก็ลากผมออกมาทันทีท่ามกลางสายตามึนงงของเพื่อนฝูง ก่อนที่มึงจะลากกูไปไหนมาไหนมึงช่วยดูสภาพกูด้วย ตัวนี่ขาวโพลนตั้งแต่หัวจรดยันปลายตีน หน้านี่ก็คงเละบัดซบเลยอ่ะ ละมันก็ลากผมมาเรื่อยๆจนมาหยุดที่รถมัน

“...........” เงียบไมวะ

“ มีอะไรจะคุยกับกู ”

“ วันนี้สนุกไหม ”

“ สนุกก็เชี่ยละ ให้กูเอาแป้งเทใส่มึงบ้างป้ะล่ะ ”

“ ช่วยไม่ได้ มึงหากูไม่เจอเองหนิ ”

“ มึงนี่มัน...หึ้ยย..ย....ถ้าจะลากกูมาเพื่อกวนประสาทล่ะก็ กูกลับละ ” ผมทำท่าจะเดินหนีพี่มันก็คว้าแขนผมไว้ อะไรของมึงอีกเนี่ย

“ อย่างอแงสิ ”

“ มึง...”

“ กูจะบอกมึงว่าลุงรหัสของมึงคือพี่ทะเล เค้าเป็นหนึ่งในพี่ว้ากของรุ่นนี้ ”

“ มึงลากกูมาคุยยันนี่เพราะเรื่องแค่นี้อ่ะนะ ” มึงบอกกูที่ลานก็ได้ไหมวะ จะลากกูมาเพื่อ แม่งโคตรเสียเวลาและเสียพลังงานชีวิตเลย

“ ที่กูลากมึงมาจนถึงที่นี่ก็เพื่อสิ่งนี้ ” ไอ้พี่สยามมันหยิบกุญแจรถขึ้นมาปลดล็อคก่อนจะเปิดประตูด้านหลัง

เห้ยยยยยย

เห้ยยยยยยยยยยยยยยยยย

“ ขนมมมมมมมม ” ผมแหกปากลั่นทันทีที่ได้เห็นสิ่งที่อยู่หลังรถ

พื้นที่ว่างด้านหลังถูกเติมเต็มด้วยขนมหวานที่ผมชอบทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นคุ้กกี้ มาร์ชเมโล่ หรือว่าช็อกโกแลต โดยเฉพาะเอ็มแอนด์เอ็มที่มีเยอะมาก เยอะมากๆจนไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะกินหมด ผมว่าไอ้พี่สยามมันต้องหมดเงินไปเยอะมากแน่ๆกับขนมพวกนี้ เพราะมันรู้ว่าผมชอบสินะมันเลยซื้อมาให้น่ะ

ดีใจว่ะ

ดีใจมากจริงๆ

“ ยินดีต้อนรับสู่สายรหัสนะครับ ” ผมหันมามองตามเสียงก็พบกับใบหน้าคมที่อยู่ใกล้เกือบคืบ “ ชอบของขวัญไหม ”

ผมพยักหน้ารัวๆทันที “ ชอบ....ชอบมาก ”

“ กูดีใจที่มึงชอบ ” พี่มันยิ้มหวานก่อนจะยกมือขึ้นมาขยี้หัวผม

ผมได้แต่ยืนมองพี่มันนิ่งๆ ไอ้ความรู้สึกนี้มันคล้ายกับที่ผมเคยเจอในโรงหนังนั่นเลยว่ะ ทั้งรอยยิ้มทั้งความอุ่นจากมือหนาที่วางอยู่บนหัวผมแม่งโคตรใช่เลย ทำไมบางครั้งพี่มันก็ใจดีกับผม ทำไมบางครั้งมันก็ชอบแกล้งผมวะ และทุกครั้งที่มันแกล้งผม ผมก็จะเคียดแค้นมันอยู่ตลอดแต่พอมันมาใจดีด้วยหน่อยผมก็เหมือนจะลืมไอ้ความแค้นนั่นไปเลย

ทำไมมันเป็นแบบนี้วะ

“ พอแล้ว แป้งมันร่วง ” ผมจับมือพี่มันออก ใจก็อยากให้ขยี้ต่ออยู่หรอกแต่ผงแป้งมันเข้าตานี่สิ

“ หลังจากนี้ถ้ามึงมีปัญหากับการเรียนมึงบอกกูได้เลย ไม่สิไม่ว่าจะปัญหาอะไรกูพร้อมที่จะช่วยมึงเสมอ ”

“ มึงจะช่วยกูแน่หรอ ”

“ ช่วยสิ มึงเป็นน้องรหัสกูนะ ” พี่มันยิ้มหวาน “ ไปเถอะเดี๋ยวกูไปส่ง ”

“ เดี๋ยว ” ผมดึงชายเสื้อพี่มันไว้ก่อนที่มันจะเดินไป

“ มีอะไรหืม ”

“ ขอบคุณครับ....พี่สยาม ”

ผมมองแผ่นหลังคนตรงหน้านิ่งๆ พี่มันเองก็นิ่ง สงสัยคงจะช็อคที่ผมเรียกมันว่าพี่มั้ง เพราะปกติผมไม่เคยเรียกมันดีดีแบบนี้เลย ผมรู้สึกอยากจะขอบคุณมันจริงๆนั่นแหละครับถึงได้เรียกแบบนี้ และในขณะที่ผมมองมันอยู่นั้น เจ้าตัวก็หันหน้ามาหาผมก่อนจะ....

จุ๊บ

เห้ยยยยยยยย

“ มึงทำห่าอะไรของมึงเนี่ย ” ผมยกมือเช็ดปากทันที ไอ้พี่สยามมันก็ส่งยิ้มอย่างกวนตีนมาให้ สีหน้าของคนตรงหน้าดูมีความสุขสุดๆ

“ ก็มึงอยากมาน่ารักใส่กูทำไมล่ะ ”

“ กูยังไม่ได้ทำเชี่ยไรเลย ”

“ ก็มึงเรียกกูว่าพี่สยามอ่ะ มันคิ้วท์มากเลยนะกูเลยอดใจไม่ไหว ”

“ อดใจไม่ไหวบ้าไรวะ กูจะไม่พูดดีกับมึงอีกแล้ว อะ....ไอ้เลวววววว ” ผมโวยวายใส่มันก่อนจะรีบเดินหนีขึ้นมาบนรถทันที บ้าชิบ แม่งจะดีอยู่แล้วเชียวเมื่อกี้อ่ะ

ผมนั่งกอดเข่าแล้วเอาหน้าซุกไว้แบบที่ตัวเองเคยทำ รู้สึกหน้าร้อนยังไงก็ไม่รู้ว่ะ นี่ผมแค่โดนมันจุ๊บนะผมยังเป็นถึงขนาดนี้ ผมโดนพี่มันจุ๊บไปกี่ครั้งแล้ววะเนี่ย ชักจะสูญเสียความเป็นตัวเองไปเรื่อยๆละว่ะ แพ้ทางพี่มันชิบหาย แถมยังควบคุมอะไรไม่ได้สักอย่าง

กากว่ะสมปอง

“ นั่งท่าคิ้วท์อีกละนะมึงน่ะ ”

คิ้วท์พ่องอ่ะ

เงียบปากแล้วขับรถไปเลยไอ้สัส

กูโป้งมึงแล้วไอ้บ้าสยาม





TBC.

ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน้าาา
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 10 : 2/10/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 03-10-2017 18:31:05
เราก็สมปอง. ทำไมคาเรกเตอไม่เหมือนกัน. เราออกจะออนหวานน่ารัก. 55
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 11 : 3/10/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 03-10-2017 21:10:49
บทที่ 11 วันหยุดของสมปอง



วันหยุดนี่มันดีจริงๆเลย

สมปองรักวันหยุดดดดดดดดดดดด

ตอนนี้ผมนั่งกินนอนกินเอ็มแอนด์เอ็มอย่างสงบอยู่ที่หอผมคนเดียวครับ วันนี้มันจะเป็นวันที่ใครๆก็ติดต่อผมไม่ได้เพราะผมปิดโทรศัพท์ ปิดแม่งทุกอย่างอ่ะ ฟีลนี้คือแบบอยากตัดขาดจากโลกภายนอกสุดๆ วันหยุดเราก็ควรทำตัวให้มันเหมือนหยุดจริงๆสิ ถูกไหม การบ้านไม่ต้องทำ ชีทไม่ต้องอ่านจะมีควิซหรือมีอะไรก็ช่างแม่ง

ฮ่าๆๆๆๆๆ

“ นี่สิชีวิตที่แสนสุข ” ผมเอื้อมมือไปหยิบเอ็มแอนด์เอ็นถุงใหม่มาแกะกิน ผมว่าน้ำหนักผมต้องขึ้นเยอะแน่ๆเลยเพราะช่วงนี้กินแต่ของหวาน

ตั้งแต่วันเฉลยสายรหัสมันก็ผ่านมาอาทิตย์นึงแล้วครับ ขนมที่ไอ้พี่สยามมันให้มายังหมดไปไม่ถึงครึ่ง ผมก็ได้ขนมเพิ่มมาจากพี่ทะเลซึ่งเป็นลุงรหัสของผมเอง โคตรโชคดีอ่ะที่ได้สายรหัสใจป๋า อยากกินอะไรขอแล้วก็ยิ้มหวานๆหน่อยก็ได้กิน ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาไอ้พี่สยามมันเสียเงินให้ผมไปเยอะมากเลยล่ะครับ แต่ก็พอๆกับผมที่เสียเนื้อเสียตัวให้มันเหมือนกัน

บัดซบ

ผมเจอหน้าพี่มันทุกวันอ่ะ แล้วก็โดนมันแกล้งประจำ ผมสงสัยมาตลอดเลยนะว่าไม่แกล้งผมสักวันมันจะตายไหม จะนอนไม่หลับหรอหรือจะเป็นอะไร ผมรู้สึกว่ามันจะได้หอมแก้มผมบ่อยเกินไปแล้ว คือบางสถานการณ์มันก็ไม่น่าจะเป็นโอกาสให้มันได้ทำแต่มันก็หาช่องทางทำจนได้อ่ะ และบางครั้งก็เป็นต่อหน้าคนหมู่มาก

คนครึ่งคณะเขาเข้าใจว่าผมเป็นเมียพี่มันไปละ

ไม่คิดว่าจะเป็นผัวบ้างหรอ

ช่างแม่งเถอะ ผมรู้ตัวเองดีว่าผมไม่ได้เป็นเมียไอ้พี่สยาม ข่าวลือมันก็เป็นได้แค่ข่าวลือ อีกอย่างผมไม่ค่อยสนใจชาวบ้านชาวช่องเท่าไหร่ด้วย คนที่ผมสนใจมีคนเดียวคือเจ้าขา อยากจะบอกว่าความสัมพันธ์ของผมกับเจ้าขาในตอนนี้นี่ได้พัฒนาไปในระดับนึงแล้ว

ผมมีเฟซบุ๊กของเจ้าขาแล้วครับ

แอร้ย เขินจัง

ผมเดินไปขอเฟซคนงามด้วยตัวของผมเองเลยนะ มันเป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่มากอ่ะครับ เจ้าขานี่โคตรน่ารักเลยอ่ะ ผมนี่ส่องเฟซเธอเช้ากลางวันเย็นและก่อนนอนเลยนะ ในเฟซบุ๊กของเจ้าขาขึ้นสเตตัสไว้ว่าโสดด้วยครับ ที่ผมคิดว่าเธอเป็นแฟนกับไอ้พี่สยามนั่นก็อาจจะไม่ได้เป็นแล้ว เจ้าขาอาจจะไปบอกเลิกพี่มันหลังจากวันที่มาเจอผมก็ได้

ใช่ มันต้องใช่แน่ๆ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“ ใครมาวะ ” วันนี้กูไม่ต้อนรับคนโว้ย

ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก

รัวห่าไรจะขนาดนั้นอ่ะ

ผมลุกขึ้นมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตู ใครวะเคาะรัวขนาดนี้ บรรดาเพื่อนๆหรอ ก็อาจจะใช่ชีวิตผมมีแค่พวกมันนี่นะ ขอดูก่อนว่าเป็นเพื่อนคนไหน จะได้เลือกสกิลการด่าถูก เคาะดังลั่นแบบนี้ไม่กลัวข้างห้องออกมาด่าพ่อรึไงนะ

แอ๊ดดดด

ชิบหายแล้ว

ไม่ใช่เพื่อน

“ กว่าจะเปิดนะไอ้เด็กเปรต ” ร่างสูงที่อยู่ตรงหน้าบ่นเนือยๆ

“ มึงรู้จักห้องกูได้ยังไง ”

“ กูเก่ง หลบไปซิหนักเว้ย ” ไอ้พี่สยามมันแทรกตัวผ่านผมเข้าห้องไปทันที เดี๋ยวนะเดี๋ยวกูยังไม่ได้บอกให้มึงเข้าห้องกูเลยป้ะวะ

ผมปิดประตูแบบงงๆก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงถุงกระดาษใบใหญ่ที่พี่มันถือมาด้วย ดูเหมือนจะใส่กระดาษอะไรมาไม่รู้ครับ ไอ้พี่สยามมันนั่งลงกับพื้นก่อนจะหยิบกระดาษเป็นปึกๆนั่นออกมา

“ นี่เป็นชีทที่กูใช้เมื่อปีก่อน มีเลคเชอร์ไว้หมดละ ”

ผมพยักหน้ารับคำ “ มึงเอามาให้กูหรอ ”

“ เออสิวะ แล้วโทรศัพท์มึงเป็นห่าไรติดต่อไม่ได้ ไลน์ก็ไม่อ่าน ”

“ กูปิดเครื่องไว้อ่ะ ”

“ มึงจะปิดเครื่องเพื่อ ”

“ ก็วันนี้มันเป็นวันหยุด กูก็แค่อยากจะหยุดทุกอย่าง แค่นั้นเอง ” ผมบอกมันก่อนจะเดินไปหยิบเอ็มแอนด์เอ็มที่แกะไว้มากินต่อ

“ หยุดทุกอย่างแต่ไม่หยุดแดกเลยนะไอ้สัส ”

“ แน่นอน เสร็จแล้วใช่ป้ะ กลับไปดิ่ ”

“ ไล่กูเชียวนะ ไม่กลับเว้ย ” หน้าด้านจริงไอ้เลว เจ้าของไล่ก็ไม่ยอมไป

“ มึงจะอยู่ทำซากอะไรวะ ” ผมวางถุงขนมก่อนจะเอาชีทที่กองอยู่ไปเก็บไว้ที่โซนโต๊ะเรียน

ผมไม่ชอบอะไรที่รกและไม่เป็นระเบียบครับ ถ้าได้ของมานี่ต้องเอาไปเก็บที่ก่อน เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว และผมก็ชอบเห็นห้องตัวเองสะอาดด้วย มันรู้สึกสบายตานะถ้าห้องสะอาดและเป็นระเบียบน่ะ

“ อยู่เฉยๆ ว่าไปห้องมึงนี่ก็สะอาดดีนะ สวนทางกับหน้าตามึงมากเลย ”

“ นี่ด่าหรือชมกูเนี่ย ” ผมมองค้อนมันไปที กวนตีนนะมึงเดี๋ยวกูเอาน้ำมาสาดไล่หรอก เดี๋ยวมึงเจอๆ

“ ชมดิ่ แล้วเรื่องเรียนมึงเป็นไงบ้าง ”

“ กูมีปัญหากับการเรียนฟิสิกส์มาก อย่างอื่นกูเรียนรู้เรื่องหมดเลยนะยกเว้นฟิสิกส์ ” แค่นึกถึงสูตรก็อยากจะอ้วกออกมาแล้ว คิดว่าจะต้องเรียนนี่ก็ขนลุกขนชัน

“ มึงเรียนคณิตรู้เรื่องไหม ”

“ รู้ดิ่ กูโคตรเซียนคณิต ”

“ มันก็ไม่น่ายากป้ะ ”

“ ยาก ยังไงแม่งก็ยาก ช่างแม่งไว้สอบค่อยไล่ติวทีเดียว ” ผมมานั่งลงตรงหน้าพี่มันหลังจากที่เก็บชีทเสร็จ ไอ้พี่สยามมันก็ล้วงเอ็มแอนด์เอ็นของผมไปกินด้วย ปกติผมจะเป็นคนหวงขนมมากนะครับ แต่ไหนๆก็เงินมันทั้งนั้นที่ซื้อมา จะแบ่งให้มันกินด้วยจึ๋งนึงละกัน

“ งั้นไว้ช่วงใกล้สอบกูจะติวให้ละกัน เอาไหม ”

“ เอา มึงเก่งฟิสิกส์หรอ ”

“ ไม่เชิงเก่งอ่ะ ก็แค่เรียนรู้เรื่อง ”

“ ไม่คิดว่าคนอย่างมึงจะเรียนรู้เรื่องด้วยนะเนี่ย ” คือหน้าอย่างไอ้พี่สยามควรจะพกโทรโข่งและก็เดินหล่อๆทำหน้าตากวนตีนไปวันๆอ่ะ ท่าทางไม่น่าจะเป็นพวกเรียนรู้เรื่อง

“ นี่ด่ากูป่ะ ” พี่มันหรี่ตามองผม

“ ชมอยู่ กูจะด่ามึงทำไม ” ผมมองมันด้วยสายตาใสซื่อในแนวที่ผมถนัด พี่มันก็เบ้ปากให้ผม เบ้ปากไมวะเดี๊ยะก็ตบปากซะหนิ

ผมนั่งมองไอ้หล่อที่นั่งอยู่ตรงหน้า ในใจนี่คิดอยู่ครับว่าวันนี้มันจะมาไม้ไหน มันจะมาแบบพี่สยามโหมดอบอุ่นหรือพี่สยามโหมดหื่นกาม ผมจะได้รับมือทันไงไม่ใช่อะไร ผมชอบเวลาพี่มันอยู่ในโหมดอบอุ่นมากเลยนะ มันดูใจดี พึ่งพาได้ และก็พร้อมจะปกป้องผมต่างจากพี่มันในโหมดหื่นกาม พี่สยามในโหมดหื่นกามมันอันตรายต่อจิตใจผมมากอ่ะ ไหนจะเปลืองเนื้อเปลืองตัวอีก

ผมไม่ควรเปลืองเนื้อเปลืองตัวให้ผู้ชายอ่ะเอาจริงๆ

“ มองหน้ากูทำไมนักหนา เดี๋ยวก็ท้องหรอก ”

“ ตลกละมึง คนนะไม่ใช่ปลากัด อีกอย่างกูเป็นผู้ชายด้วยถ้าเปรียบเป็นปลากัดกูก็เป็นตัวผู้กูจะท้องได้ไง ปลากัดตัวเมียเท่านั้นแหละที่จะท้องอ่ะ และมันก็ไม่ได้จ้องตากันจนท้องด้วย มันต้องอะจึ๋ยๆกันด้วยมันถึงจะท้องได้ ” ผมมานั่งคิดถึงสิ่งที่ตัวเองพูดไปเมื่อกี้ “ กูพูดอะไรวะ ”

“ เออมึงพูดอะไรวะ ”

“ ไม่รู้....เพราะมึงอ่ะแหละ ทำกูงงเลยเนี่ยะไอ้บ้า ”

“ กูเนี่ยะงง ไอ้เด็กบ๊อง ” พี่มันดึงแก้มผม โง้ย แก้มกูย้วยพอดี

“ แก้มกู แล้วเมื่อไหร่มึงจะกลับเนี่ยะ ”

“ ขออยู่ด้วยอีกพักนึงไม่ได้หรอวะ ”

“ ไม่ได้ มึงจะอยู่ทำไม ” ไม่มีหอหรือบ้านอยู่รึไงวะ หรือจะอยู่กวนตีนกู ถ้าจะกวนตีนมึงกลับไปเลย

“ เออน่า ขอยืมตักหน่อย ” ยังไม่ทันที่ผมจะอนุญาติพี่มันก็ทิ้งตัวลงนอนก่อนจะหนุนตักผมไว้ เห้ยยยย ตักนี้เก็บไว้ให้เมียในอนาคตหนุนเท่านั้นนะเว้ยมึงลุกขึ้นมาเลย

“ ลุกเลย ห้ามหนุน ” ผมจะจับหัวพี่มันออกแต่พี่มันก็แย่งมือผมไปจับไว้ทั้งสองมือ ผมพยายามจะดึงมือออกมาจากมือมันก็ดึงไม่ออก แรงเยอะชิบ เออสัส อยากจับจับไปเลย อยากหนุนก็หนุนไปเลย อยากทำไรทำเลยไอ้เชี่ย

เผด็จการจริงว่ะ

“ กูกำลังเหนื่อยอ่ะ ขอยืมมึงเป็นที่พักหน่อย ” พี่มันเอ่ยออกมาด้วยเสียงล้าๆ สีหน้าก็บ่งบอกว่าเหนื่อยเหมือนกับที่มันพูดจริงๆ ไม่เคยเห็นมันทำหน้าแบบนี้เลยว่ะ

“ ไปทำอะไรมาถึงเหนื่อย ”

“ ก็เรื่องงานของคณะนั่นแหละ มันมีหลายอย่างที่เร่งเข้ามาและกูก็ต้องทำ ไหนจะเรื่องค่ายโยธาของเทอมหน้าอีกเรื่องแผนรับน้องอีก หลายวันมานี้กูโคตรหัวหมุนอ่ะ ”

“ ประธานสันฯมันเหนื่อยถึงขนาดนี้เลยหรอ ” ประธานสันฯยังเหนื่อยขนาดนี้แล้วประธานนักศึกษาจะเหนื่อยขนาดไหนวะ

“ เหนื่อยดิ่ เป็นประธานอ่ะเหนื่อยหมดแหละ เหนื่อยสุดก็คือเป็นเฮดว้าก เพราะต้องรับผิดชอบแม่งทุกอย่าง ก่อนที่งานจะมาถึงมือเราก็ต้องผ่านพี่ขันมาแล้ว ”

“ พี่ขันเท่เนอะ ”

“ เออเท่จริง กูก็อยากจะเท่ให้ได้ครึ่งของพี่ขันเหมือนกันนะ ”

“ มึงก็เท่นะแต่มึงปัญญาอ่อนอ่ะ ” พี่มันมองผมนิ่งๆก่อนจะงับนิ้วผมแรงๆ “ โอ้ยยยย เจ็บนะ เป็นหมารึไงไอ้สัส น้ำลายติดนิ้วกูเลยเนี่ย ” ผมเอานิ้วที่เปื้อนน้ำลายไปเช็ดเสื้อพี่มัน งับมาได้แม่งเป็นรอยฟันเลยเนี่ยะ

“ อย่าบ่นไปหน่อยเลยน่ะ ” พี่มันเอามือผมไปจับไว้เหมือนเดิม “ น้ำลายกูเคยติดปากมึงมาแล้ว ”

ฉ่า

มึงไม่ต้องพูดก็ได้ไหมวะ

ผมกระพริบตามองมันอย่างสตั้นท์ รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาเลย ที่มันพูดก็จริงนั่นแหละครับ แต่มึงก็ไม่ต้องพูดก็ได้ พูดทีนี่ฉากนั้นกลับเข้ามาในหัวเลย แหม่ กว่าจะลืมๆไปนี่ใช้เวลานานชิบ พอนึกถึงหน่อยก็ย้อนกลับเข้ามาได้ภายในเสี้ยววิ

ห่า

“ แก้มแดงเชียวนะ น่ารัก ” พี่มันมองผมพร้อมกับอมยิ้ม ยิ้มไมวะไม่เคยแก้มแดงรึไงไอ้เชี่ย

“ ช่างแก้มกูเถอะหน่า....เออมึงกูว่าจะให้มึงช่วยคิดอะไรหน่อยอ่ะ ”

“ อะไรอ่ะ ”

“ คือกูอยากจะวางแผนเอาคืนลันตากับสีเทียนที่มันชอบแกล้งกู แต่กูคิดไม่ออกอ่ะ ”

“ ก็เลยจะให้กูช่วยคิดงั้นหรอ ”

“ เออ ” มึงอ่ะเหมาะที่สุดที่จะช่วยกูคิดละ

คือตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไอ้พี่สยามมันแกล้งผมบ่อย ลันตากับสีเทียนก็แกล้งผมบ่อย ผมควรจะให้คนที่ชอบแกล้งมาคิดแผนแกล้งคืน งงว่ะ เอาเป็นว่าให้พี่มันช่วยคิดผมว่าน่าจะเวิร์ค ไอ้พี่สยามมันน่าจะมีประสบการณ์ในการแกล้งชาวบ้านที่ดี ผมน่าจะพึ่งมันในเรื่องนี้ได้

“ มึงอยากจะเอาคืนยังไงล่ะ ”

“ เอาคืนยังไงก็ได้ ขอแค่ความสะใจก็พอ ”

“ มึงจะเอาคืนใครก่อนล่ะ ลันตาไหม ”

“ เออเอาลันตาก่อน มันนี่ตัวแสบมันคืออสรพิษ ”

“ แลดูมึงแค้นๆนะ ” แค้นสิไอ้สัส ทำให้กูดังในข้ามคืนเนี่ยะ

“ ทำไงดีวะมึง อยากให้ลันตามันเมาเหมือนที่กูเมาอ่ะ ” จากการที่ผมไปกินเหล้าและสังเกตลันตา มันเป็นคนที่คอแข็งมากครับ เหล้าหมดไปเป็นขวดแม่งยังชิวอยู่เลย ผมนี่หัวแทบทิ่มโต๊ะ

“ ลันตามันกินเหล้าและไม่เมาหนิ ”

“ ใช่ไง ”

“ แต่มันกินเบียร์แล้วน็อคเลยนะ ” ผมหูผึ่งทันทีที่ได้ยินพี่มันพูด เพราะงี้นี่เองเวลาที่ไปกินเหล้ากันมันไม่สั่งเบียร์มากินเลย

เจ้าลันตา ข้ารู้จุดอ่อนของเจ้าแล้ว

ฮ่าๆๆๆๆ

“ แล้วเราจะทำยังไงให้มันกินเบียร์ดีอ่ะมึง ”

“ ไม่ยากนะ มึงไปอ้อนพี่ทะเลให้เป็นคนสั่งลันตาอ่ะ ลันตามันยอมกินแน่ๆ ”

“ ทำไมพี่ทะเลสั่งแล้วลันตามันถึงจะยอมทำตามอ่ะ ” แล้วพี่ทะเลกับลันตานี่รู้จักกันด้วยหรอวะ

“ อ่าว นี่มึงไม่รู้เรื่องหรอ ”

“ เรื่องไรวะ ”

“ เอองั้นช่างมันเถอะ เดี๋ยวกูบอกพี่ทะเลแทนเองละกัน พร้อมเอาคืนวันไหนก็บอก ” กูพร้อมทุกวันอ่ะเอาจริงๆ แต่ไว้รอให้ลันตามันตายใจก่อนละกัน มันจะต้องเป็นการเอาคืนที่สาสมแน่ๆ

จะว่าไปผมก็สงสัยไอ้สิ่งที่พี่มันหลุดออกมาว่ะเรื่องพี่ทะเลกับลันตาเนี่ยะ มันรู้เรื่องอะไรแล้วทำไมผมไม่รู้ แต่ก็ไม่แปลกอ่ะนะเพราะผมดูจะเป็นคนที่รู้เรื่องทุกอย่างช้ากว่าชาวบ้านอยู่แล้ว อย่าว่าแต่เรื่องของชาวบ้านเลยเรื่องของตัวเองยังรู้ทีหลังคนอื่นเลย ชีวิตน่าสงสารแค่ไหนถามใจดู

“ งั้นเดี๋ยวกูบอกมึงอีกทีละกัน เห้ยอย่าทำตาสะลึมสะลือสิวะ ” ผมมองพี่มันที่หาวแล้วทำหน้าเหมือนง่วงมาก มึงจะมาหลับทั้งๆที่ยังหนุนตักกูอยู่ไม่ได้นะ

กูเมื่อย

“ ง่วงอ่ะ ขอนอนแปปนึงได้ไหม ” ไอ้พี่สยามมันบอกเสียงอ่อน

“ ไม่ได้ เพราะกูเมื่อย จะนอนก็ขึ้นไปนอนบนเตียงดีดีโน่นไป ”

“ มึงชวนกูขึ้นเตียงหรอ ” พี่มันมองผมก่อนจะยิ้มกรุ้มกริ่ม “ ร้ายเหมือนกันนะเราอ่ะ ”

“ ร้ายพ่องอ่ะ ไม่งั้นก็กลับไปนอนที่หอตัวเองเลยไป้ ” ผมไล่มันอย่างหมั่นไส้ พอใจดีด้วยหน่อยแล้วชอบเป็นแบบนี้อยู่เรื่อย มีจังหวะหน่อยนี่เผลอไม่ได้เลยนะไอ้สัส

“ งื้ออ.อ....ไม่เอา ขอนอนนี่ ”

“ ก็ไปนอนสักทีสิ ขากูชาไปหมดแล้วเนี่ย ”

“ โอ๋ๆยอมแล้ว อย่าทำเสียงขุ่นสิ ” พี่มันยอมลุกไปแต่โดยดี ขาผมไม่ได้ชาหรอกครับแต่ถ้าไม่บอกแบบนั้นมันก็ไม่ยอมลุกสักที

“ แล้วตอนเย็นมึงต้องไปไหนรึเปล่า ต้องให้กูปลุกไหมเนี่ย ”

“ ไม่ต้องปลุกครับเดี๋ยวพี่ตื่นเอง ” ว่าแล้วมันก็เอนตัวนอนลงบนเตียงผม เมื่อกี้มันแทนตัวเองว่าพี่ป้ะวะหรือว่าผมหูฝาดไปเอง

“ มึงว่าอะไรนะตะกี้ ” ผมแคะหูก่อนจะถามมันอีกรอบ

“ เดี๋ยวตื่นเองครับ นอนนะ ” ว่าแล้วมันก็หลับตาลง หลับง่ายดีแท้นะพ่อหนุ่ม

ผมขยับเข้ามานั่งเอาคางเท้ากับเตียงไว้แล้วมองพี่มันหลับ บทจะว่านอนสอนง่ายก็ทำได้เหมือนกันนะ ถ้าเป็นแบบนี้ได้ทุกวันก็คงจะดี ผมก็ยังแปลกใจตัวเองอยู่นะว่าทำไมยอมให้มันมานอนอยู่ในห้อง ยอมให้มันมานอนบนเตียงผมด้วย ตอนแรกก็ว่าจะไล่มัน พอมันบอกว่ามันเหนื่อยแล้วก็ขอผมเป็นที่พักไอ้ความคิดที่ว่าจะไล่มันก็หายไปทันที

ผมเป็นอะไรไปวะเนี่ย

“ มึงกำลังทำกูเป็นบ้าอยู่นะรู้ตัวไหม ” ผมหยิบผ้าห่มมาห่มให้มันครับ ผมเปิดแอร์ค่อนข้างที่จะเย็นมาก อยากได้ฟีลขั้วโลกไงไม่ใช่ไร ห่มผ้าให้มันสักหน่อยเดี๋ยวจะไม่สบายเอา คนพักผ่อนน้อยมักจะป่วยง่ายอ่ะนะ

เสียงหายใจเข้าออกที่ดังสม่ำเสมอนี่บ่งบอกว่าคนตรงหน้านั้นหลับสนิทไปแล้วนะครับ คงจะเหนื่อยมากเหมือนกับที่พูดจริงๆ ผมชอบหน้ามันตอนหลับชะมัดเลยว่ะ อธิบายไม่ถูกอ่ะรู้แค่ว่าชอบ ชอบเฉยๆนะครับไม่ได้มีอะไรลึกซึ้ง ชอบในความหมายเดียวกับที่ชอบกินเอ็มแอนด์เอ็มอ่ะ เดี๋ยวผมต้องเขียนไดอารี่บอกพ่อแล้วล่ะวันนี้ผมได้เห็นพี่มันในโหมดเหนื่อยกับโหมดหลับ ฮ่าๆ เป็นโหมดใหม่ที่น่าประทับใจจริงๆ

เวลามึงหลับนี่มึงดูไร้พิษสงมากอ่ะมึงรู้ตัวไหมพี่สยาม

“ ฝันดีนะไอ้บ้า ”

ตื่นมาก็พากูไปเลี้ยงไอติมด้วย





TBC.

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้าาา
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 11 : 3/10/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 03-10-2017 21:27:34
คนชื่อสมปองนี้น่ารักเนาะ. 5ำ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 11 : 3/10/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 03-10-2017 21:49:23
แหม น้องไม่รับโทรศัพท์นี่ตามมาจีบน้องถึงห้องเลยเหรอ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 11 : 3/10/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-10-2017 21:54:59
กลุ่มสมปอง โดนเล็งกันถ้วนหน้า 
ว่าจะได้ใครเป็นพี่รหัส  :m20: :m20: :m20:
คนเล็งก็พี่ๆกลุ่มพี่สยามนั่นแหล่ะ

สมปอง น่ารักมากกกกกก  :mew1: :mew1: :mew1:
เข้าใจเลยที่พี่สยามถูกใจ

ไดอารี่ของสมปอง มีแต่เรื่องพี่สยามล้วนๆ
แล้วถ้าพ่ออ่านไดอารี่ของสมปองจะเป็นยังไงเนี่ย
ก็ลูกชายตัวเองถูกหอม ถูกกอด ถูกจูบ ตลอด
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 12 : 4/10/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 04-10-2017 20:49:50
บทที่ 12 ศิลปะบนเตียง


ตึกวิศวะกรรมศาสตร์

ณ ห้องประชุมคณะกรรมการ

และสมปองที่กำลังจะหลับ

ผมนั่งตาปรือมองบรรดารุ่นพี่คณะประธานชั้นปีอื่นที่นั่งกันอยู่เต็มไปหมด มีพี่ขันนั่งอยู่หัวโต๊ะพร้อมกับเดอะแก๊งค์ของพี่เขา  ในห้องนี้มีแค่ผมเท่านั้นที่อยู่ปี 1 คือว่าวันนี้เขานัดประชุมงานเรื่องเข้าค่ายอบรมเฉพาะของสาขาโยธาครับ แต่มันก็เป็นการเข้าค่ายของเทอมหน้าเลยนะ ไม่รู้ว่าจะรีบประชุมกันไปไหน มันเหลือเวลาอีกตั้งหลายเดือน

โคตรเสียเวลานอนเลยอ่ะ

คิดดูสิครับ วันนี้มันเป็นวันที่ผมเรียนฟิสิกส์ เรียนฟิสิกส์สามชั่วโมง เรียนอังกฤษอีกสามชั่วโมง ผมโอเคกับการเรียนอังกฤษผมเฉยๆแต่ฟิสิกส์มันทำลายสมองผมไปแล้ว ผมต้องการกลับไปนอนเพื่อซ่อมแซมสมอง เออไอ้ผมก็คิดว่าพอเรียนเสร็จตอนบ่ายสามก็จะแวะซื้อข้าวเข้าหอ นอนสักตื่นนึงแล้วก็ตื่นมากินข้าวอะไรแบบนี้ แต่ทุกอย่างที่ผมคิดนั่นก็พังทลายลงไปเพราะไอ้พี่สยามมันโทรมาบอกว่าผมต้องมาประชุมในฐานะประธานนักศึกษา

ตอนนี้ไอ้คนที่โทรตามผมแม่งยังไม่มาเลย

ไปอยู่ไหนของแม่งวะ

“ ขอโทษที่มาช้าครับ ”

ผมหันไปมองบุคคลที่มีหน้าตากวนตีนเป็นเอกลักษณ์เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับเหล่าสหาย พวกพี่แม่งอย่างกับบอยแบรนด์ ไอ้พี่สยามมันยกมือไหว้ขอโทษขอโพยก่อนจะเดินมานั่งลงข้างๆผมและวางโทรโข่งไว้บนโต๊ะ ผมหันมองมันนิ่งๆ พี่มันหยิบสมุดกับปากกาขึ้นมาเตรียม จะทำอะไรวะ วาดรูปหรอ เออเดี๋ยวกูวาดบ้าง

“ ครบละนะ ” พี่ขันมองไปรอบๆด้วยสายตานิ่งๆ

“ ครบละครับพี่ ” พี่ข้าวหอมเป็นคนตอบ

“ คบแล้วห้ามเลิกนะครับ ” พี่แช่มมองทางพี่ข้าวหอมพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม

เอ่อ

มุกแม่งเก่าสัส

พี่แช่มแม่งโคตรใจเลยว่ะ กล้าเล่นมุกตั้งแต่สมัยผมละอ่อนด้วย พี่ข้าวหอมนี่พอโดนหยอดไปแบบนั้นก็เอ๋อแดกนั่งแก้มแดงไปเลยครับ นี่พี่สองเขามีซัมติงกันหรอวะไม่เห็นจะเคยได้ยิน แต่ก็ไม่แปลกหรอกนะถ้าผมจะไม่รู้ คนอย่างสมปองเคยรู้อะไรบ้างเล่า ไม่เคยหรอก

เสียใจว่ะ

อิทโซแซด

“ มันใช่เวลาไหมเนี่ยะไอ้สัสแช่ม ” พี่ขันเอาปึกกระดาษที่วางอยู่ตรงหน้าตีหัวพี่แช่มอย่างแรง

“ โอ้ยยยยย หัวแตกแล้วมั้งเนี่ยะ ” พี่แช่มก็ลูบหัวตัวเองที่ถูกตี “ โหดเหี้ยมมาจากไหนวะ ”

“ ยังจะมาบ่นกูอีก ” พี่ขันถลึงตาใส่ทีนึงก่อนจะหันมามองทางพวกผม “ เอาล่ะ เริ่มประชุมได้ละ ” พี่ขันเปิดกระดาษปึกนั้นดูก่อนจะเขียนอะไรลงไปคร่าวๆ ทุกคนก็รอฟังอย่างตั้งใจรวมถึงผมด้วย ผมก็ตั้งใจกับการวาดรูปอุลตร้าแมนในกระดาษอยู่

เดี๋ยววาดลำแสงก็เป็นอันเสร็จแล้วครับ

“ มึงทำอะไรเนี่ยะสมปอง ” ไอ้พี่สยามมันกระซิบถามผมเบาๆ

“ ก็วาดรูปอุลตร้าแมนไง มึงเห็นกูทำกับข้าวอยู่หรอ ” ถามไรแปลกๆว่ะคนเรา

“ กูรู้แล้วว่ามึงวาดรูป แต่ไม่ใช่เวลาวาดรูปมึงเข้าใจไหม ”

“ เห้ย เราสามารถสร้างศิลปะตอนไหนก็ได้ถ้าใจเราอยากจะทำ ”

“ งั้นหรอ....ละถ้ากูอยากสร้างศิลปะบนเตียงกับมึงอ่ะ ”

สร้างศิลปะบนเตียง

คือไรวะ

ผมนั่งมองหน้ามันนิ่งๆ พลางตีความหมายในสิ่งที่มันพูด สร้างศิลปะบนเตียงนี่หมายถึงนอนวาดรูปบนเตียงใช่ป้ะวะ ละที่ว่าสร้างกับมึงก็คงจะหมายความว่ามันอยากวาดรูปแข่งกับผมแน่ๆเลย โถ่ไอ้พี่สยามเอ้ย เรื่องวาดรูปนี่มาเถอะมึงกูไม่เป็นสองรองใครอ่ะบอกเลย

กล้าท้ามาผมก็กล้ารับคำ

“ เออ เอาดิ่ ไว้กลับห้องก่อนละกัน ”

“ ได้หรอ ” มึงจะทำตาโตทำไมวะ กะอีแค่รับคำท้าแข่งวาดรูปมันจะอึ้งอะไรขนาดนั้น

“ เออสิ กูอ่ะคำไหนคำนั้น ” ผมยักคิ้วให้ หน้าหล่อๆของพี่มันก็ค่อยคลายยิ้มออกมา ยิ้มทำไมวะไอ้บ้า ละยิ้มทีนี่ก็ยิ้มซะหล่อเชียว ขัดหูขัดตา

“ เอาล่ะ เรื่องที่กูจะคุยวันนี้คือเรื่องค่ายอบรมของสาขาโยธา คือกำหนดการที่เป็นงานพิธีทุกคนคงจะได้ใบแจ้งไปแล้ว แต่ที่ยังไม่ได้ทำคืองานกิจกรรม ” พี่ขันเอ่ยออกมาพลางมองไปรอบๆ “ มีใครจะเสนองานกิจกรรมไหม ”

“ กี่กิจกรรมครับพี่ ” พี่ขุนศึกถาม

“ ก็เราไปค่าย 10 วัน ตัดวันเดินทางออกไป 2 วันก็เหลือ 8 วัน มันจะมีวันที่อบรมแบบน่าเบื่อชิบหายก็ 3 วัน อีก 2 วันคือการดูงานและการปฏิบัติ มันก็จะเหลือ 3 วัน มึงคิดว่าใน 3 วันนี้เราควรมีกิจกรรมสักเท่าไหร่ถึงจะกำลังดี ”

“ ผมว่า 3 ครับ วันละกิจกรรมไปเลย วันแรกเนี่ยะน่าจะเป็นกิจกรรมที่เป็นการผูกสัมพันธ์ระหว่างพี่กับน้อง ”

“ ผมเห็นด้วยกับไอ้แกงนะพี่กิจกรรมในวันแรกน่ะ ส่วนวันที่สองก็น่าจะเป็นกิจกรรมแบบจับกลุ่มแล้วก็หาของ แบบนี้ก็น่าทำอยู่นะ ”

“ งั้นมึงไอ้แกงไอ้ก้อง มึงเขียนแผนงานกิจกรรมสองอันนี้มา ส่งกูอาทิตย์หน้า ”

“ ได้ครับ / ได้ครับ ”

ผมนั่งฟังพวกพี่เขาคุยงานกันก็ได้แต่สงสัยอยู่ในใจลึกๆว่าตัวเองมานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้วะ นอกจากฟังแล้วผมก็ไม่ได้พูดอะไรเลยนะครับ คือไม่รู้ว่าจะเสนออะไรออกไปดีอ่ะ พวกพี่เขาดูเป็นงานแต่ผมดูกิ๊กก๊อกยังไงก็ไม่รู้ ก็รู้อยู่หรอกนะครับว่าปีต่อๆไปผมจะต้องเป็นคนจัดการอะไรพวกนี้แต่แบบ.....

เฮ้อ

ไม่รู้จะอธิบายยังไง

“ แล้วกิจกรรมวันสุดท้ายล่ะ ให้ทำอะไรดี ”

“ กิจกรรมวันสุดท้ายน่าจะเป็นอะไรที่บันเทิงหน่อยและก็แสดงถึงความสามัคคีนะครับ ”

บันเทิงและสามัคคีงั้นหรอ

ผมชูมือจนสุดแขนทันที “ ผมขอเสนอครับ ” ความคิดนี้แหละแม่งต้องแจ่มมากๆ

“ ว่ามาซิสมปอง ”

“ ให้แสดงละครเวทีครับ ” ทันทีที่ผมพูดจบทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ ทำไมอ่ะ ไม่ดีหรอ

ผมคิดว่าการแสดงละครเวทีนี่มันเป็นอะไรที่บันเทิงมากเลยนะครับ ผมเคยทำมาแล้วด้วยตอนอยู่ม.6 การที่เราจะแสดงละครเวลาร่วมกับเพื่อนๆนั้นมันก็ต้องสามัคคีกันมากๆเพื่อให้ละครมันออกมาดี ผมค่อนข้างจะแค้นใจเล็กน้อย เน้นว่าแค่เล็กน้อยนะครับ เมื่อสมัยม.6 กลุ่มของผมเลือกที่จะแสดงเรื่องสโนว์ไวท์ แล้วด้วยความโชคร้ายจากส้มตำปูปลาร้าก็ทำให้นางเอกของพวกผมท้องเสียจนขึ้นแสดงไม่ได้ และก็ต้องหาตัวนักแสดงฉุกเฉิน

เวรกรรมนั้นมันมาตกอยู่ที่ผมไง

พวกเพื่อนๆมันจับผมคนนี้ไปแต่งตัวด้วยชุดเจ้าหญิงและให้ผมเล่นเป็นสโนว์ไวท์ แม่งเป็นควาทรงจำที่ผมจะไม่มีวันลืมเลยอ่ะ คิดได้ไงวะให้ผู้ชายแมนๆไปแสดงเป็นเจ้าหญิงที่กินแอปเปิ้ลแล้วหลับไป รอเจ้าชายมาจูบปากก็ฟื้นเงี้ยะ

โอ้ย ปวดใจ

“ อืม ความคิดนี้ก็ดีนะ ” พี่ขันเห็นด้วยกับผมว่ะ เห็นไหม ไอเดียนี้แหละบรรเจิดสุดแล้ว

“ เออ จะได้ดูแปลกแล้วก็แตกต่างจากปีก่อนๆด้วย ”

“ งั้นเอาตามนี้เลย ” พี่ขันมองผมพร้อมกับยิ้มหวาน “ งั้นงานนี้มึงก็รับผิดชอบไปละกัน เขียนแผนงานมาให้กูอาทิตย์หน้า ”

ผมพยักหน้ารับรัวๆ “ ได้เลยครับพี่ ”

“ กูหวังว่างานแรกที่มึงรับผิดชอบมันจะออกมาดีนะสมปอง ” จากรอยยิ้มหวานๆเปลี่ยนไปเป็นแสยะยิ้ม พี่ขันแม่งโคตรน่ากลัวเลย

“ มึงจะยิ้มขู่หลานกูทำไม ” พี่ทะเลหยิกแขนพี่ขันเมื่อเห็นสีหน้าหวาดกลัวของผม ขอบคุณที่ช่วยปกป้องหลานรหัสคนนี้ครับ

“ สัสเล กูเจ็บ ” พี่ขันหยิกแขนพี่ทะเลคืน “ เรื่องค่ายเคลียร์แล้ว ต่อไปก็เรื่องรับน้อง เรื่องรับน้องเราก็จะ......”

ผมนั่งฟังงานไปเรื่อยๆ ที่คุยกันนี่คือคุยคร่าวๆนะครับ คร่าวๆมาสองถึงสามชั่วโมง ผมก็วาดรูปเล่นไปเรื่อย หูก็ฟังอยู่นะ มีเสนอความเห็นบ้างยิบย่อยไป เท่าที่ผมฟังนี่คนที่จะเหนื่อยกว่าชาวบ้านคือไอ้พี่สยามครับ พี่มันต้องเป็นคนประสานงานทุกอย่างและคอยตามงาน และคนที่ทำรายงานส่งคณะก็คือมันนี่แหละ

แม่งตายห่าแน่ๆ

“ วันนี้ก็เอาไว้แค่นี้ก่อนละกัน ไม่ไหวละปวดหัวชิบหาย อย่าลืมงานที่สั่งนะพวกมึง ” พี่ขันเอ่ยพลางยกมือขึ้นมานวดขมับ

“ ครับ ” บรรดาเด็กๆก็รับคำกันอย่างพร้อมเพรียง พากันยกมือไหว้พวกพี่ๆและก็เดินกันออกไป

“ มึงกลับเลยป้ะสยาม ” พี่ขุนศึกถาม

“ เออ เจอกันนะพวกมึงมีอะไรก็โทรหา ” พี่มันบอกกับเพื่อนๆก่อนจะหันมาหาผม “ ไปเด็กเปรต กลับกัน ”

“ กลับไหน ”

“ กลับหอมึงไง ” พี่มันพูดจบมันก็ลากผมออกจากห้องทันที จะรีบอะไรขนาดนั้นวะ

ผมโดนลากมาจนถึงที่จอดรถก่อนจะถูกยัดเข้าไปในรถมินิคูเปอร์สีดำคันเดิม รู้สึกเหมือนตัวเองจะนั่งบ่อยมาก ผมเปิดเก๊ะหน้ารถเพื่อหยิบเอ็มแอนด์เอ็มออกมา ผมเป็นคนเอามาใส่ไว้เองแหละครับ พี่มันก็ไม่ได้ว่าอะไร ลองว่าสิจะเอาเอ็มแอนด์เอ็มปาใส่หน้าแม่ง

“ หิวป้ะ ” พี่มันถามผมก่อนจะออกรถ

“ ไม่อ่ะ นี่จะไปไหนเนี่ยะหอกูไม่ได้ไปทางนี้ ”

“ ไปรับเจ้าขา ”

ผมมองมันตาปริบๆทันทีที่มันบอกว่ามันจะไปรับเจ้าขา นี่เป็นโอกาสดีในการเนียนถามเรื่องมันกับเจ้าขาสินะ ผมอยากรู้นะว่าความสัมพันธ์ของสองคนนี้มันเป็นยังไงกันแน่ ถ้าวันนี้ผมไม่รู้ผมคงจะอกแตกตาย

“ กูมีอะไรอยากจะถามมึงอ่ะ ”

“ อะไรอ่ะ ”

“ มึงกับเจ้าขาเป็นอะไรกันวะ ”

พี่มันเหลือบมามองผม “ ถามทำไมวะ ”

“ ก็อยากรู้เฉยๆ มึงกับเจ้าขาดูสนิทกันมาก ” สนิทกันเกินมากกว่าคนทั่วไปจะสนิทกันอ่ะ

ผมนั่งมองหน้าพี่มันหวังว่ามันจะตอบ แต่มันก็เงียบไม่ยอมพูดอะไรออกมาเลยครับ กวนตีนว่ะ ไม่มีใครเคยบอกหรอวะว่าเวลามีคนถามก็ต้องตอบกลับอ่ะ น่าหมั่นไส้ชะมัด ในขณะที่ผมกำลังก่นด่ามันอยู่ในใจลึกๆ พี่มันก็จอดรถครับ ตรงหน้านี้คือร้านไอติมของพี่ถิ่นไท ไอ้พี่สยามมันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดอะไรยุกยิกไม่รู้ เพียงไม่นานก็มีร่างเล็กอ้อนแอ้นเดินมาขึ้นรถ เจ้าของร่างนั้นก็คือว่าที่แม่ของลูกผมเอง

เจ้าขาไงครับโผมมมมม

ผมมองเจ้าขาผ่านกระจกมองหลัง วันนี้เจ้าขาน่ารักมากกว่าปกติครับ ร่างบางอยู่ในชุดเอี๊ยมกางเกงขาสั้น ผมลอนที่ชอบมัดเป็นหางม้านั่นวันนี้ถูกถักเป็นเปียสองข้าง โอ้ยโคตรน่ารัก

อยากเอากลับบ้านง่า

“ มาช้าจังเลยค่ะพี่สยาม ” เจ้าขาเอ็ดพี่มันก่อนจะยิ้มหวานให้ผม “ สวัสดีสมปอง ”

“ สวัสดีครับเจ้าขา ” เขินอ่ะ เจ้าขาทักผมก่อนด้วย

“ เสียงหวานเชียวนะไอ้เด็กเปรต ” พี่มันเบ้ปากใส่ผมก่อนจะออกรถ

“ เรื่องของกูอีกอ่ะ ”

“ ทำไมมาด้วยกันได้ล่ะคะ ”

“ พี่มีประชุมด้วยกันน่ะค่ะ พี่ขอโทษที่มาช้านะ เรารอพี่นานไหมหืม ”

“ รอนานมากเลย นี่ถ้าพี่มาช้าอีกนิดนึงน้องคงหลับไปแล้ว ” เจ้าขาขยับหัวมาซบไหล่ไอ้พี่สยามครับ คนที่นั่งมองอย่างผมก็อิจฉาตาร้อนขึ้นมาทันที ทำไมคนที่เจ้าขาซบไหล่ไม่เป็นผมวะ

“ โอ๋ๆๆๆ ” มือเรียวของพี่มันเลื่อนมาลูบหัวเจ้าขาเบาๆ “ ครั้งหน้าพี่จะไม่ให้เรารอนานแล้วค่ะ ”

ผมมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกแปลกๆ พี่มันพูดเพราะมากเลยว่ะ ต้องเป็นคนพิเศษแค่ไหนกันถึงจะได้ยินคำพูดเพราะๆแบบนี้ ตอนนี้เจ้าขาต้องรู้สึกดีมากแน่ๆเพราะมือที่ลูบหัวอยู่นั่น ขนาดผมเองเวลาที่โดนมือนั้นสัมผัสผมยังรู้สึกดีเลย ไม่ชอบเลยนะครับไอ้ความรู้สึกย้อนแย้งที่เป็นอยู่เนี่ย ผมรู้สึกอิจฉามากๆ ไม่รู้ว่าอิจฉาพี่มันที่ได้แตะต้องเจ้าขาหรือว่าอิจฉาเจ้าขาที่ได้รับการกระทำที่พิเศษแบบนั้น

เป็นความอิจฉาที่สับสนชิบ

ไม่ชอบใจเลย

“ สมปองเป็นอะไรคะ หน้าซีดเซียวแปลกๆนะ ” เสียงใสเอ่ยถามผมอย่างเป็นห่วง

“ เปล่าหรอกครับ แค่ง่วงๆน่ะ ” ผมยิ้มบางๆให้กับเจ้าขา ก็อยากจะแหกปากยิ้มกว้างๆอยู่หรอกตอนนี้จิตใจมันเปล่าแปลกๆ

ระหว่างการเดินทางที่ผมไม่รู้จุดหมาย ผมก็ทำได้แค่นั่งเงียบๆให้คนสองคนเขาคุยกันงุ้งงิ้งๆ บรรยากาศโคตรอึดอัด น่าจะเป็นผมคนเดียวด้วยที่อึดอัด และในใจก็ยังคงความสงสัยในความสัมพันธ์ของสองคนนี้อยู่เหมือนเดิม ตกลงเป็นแฟนหรือเป็นผัวเมียกันแน่วะ พอคิดแบบนี้ทีไรไอ้ความคิดที่พี่มันชอบลวนลามผมก็กลับเข้ามาในหัวตลอด กลับเข้ามาพร้อมกับว่าทำไม

มีส้อมไหมครับ

จะเอาไปจิ้มปลั๊กไฟให้มันตายๆไปจะได้ไม่ต้องมาคิดมากแบบนี้

“ แล้ววันนี้เจ้าขาจะนอนที่ไหนคะ ”

“ ยังไม่รู้เลยค่ะ ไม่แน่ก็อาจจะค้างที่คอนโดของพี่เขมเลยแต่ถ้าน้องจะกลับบ้านเดี๋ยวให้พี่เขมไปส่งค่ะ ”

“ ยังไงก็ไลน์บอกพี่ด้วยละกันนะคะ ” พี่มันจอดรถที่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่งก่อนจะหันไปยิ้มหวานให้ร่างบาง “ ทานข้าวให้อร่อยนะคะเจ้าขา ”

“ ค่ะพี่สยาม ” เจ้าขายื่นหน้าไปหอมแก้มพี่มันดังฟอด “ ขับรถดีดีนะ น้องไปแล้วนะคะ บ๊ายบายนะสมปอง ” เจ้าขายิ้มหวานก่อนจะเดินลงจากรถไปทิ้งไว้แค่ความปวดใจให้ผม

ปวดใจจริงๆ

แก้มพี่มันผมยังไม่เคยหอมเลย

เห้ยเดี๋ยวนะ

“ ชิบหายละ ” ผมสบถออกมาพลางส่ายหัวไล่ความคิดกับความรู้สึกแปลกๆออกไป นี่มันไม่ใช่ธรรมดาแล้วนะเนี่ยไอ้ความสับสนนี้น่ะ

“ มึงจะส่ายหัวทำไมวะ ”

“ ปะ เปล่า ไม่มีอะไร ” เสียงจะสั่นไปไหนเนี่ยะตัวกู เดี๋ยวพี่มันก็จับได้หรอกว่าสติแตกอยู่

“ งั้นหรอ....กลับหอเลยเนอะ ต้องไปทำศิลปะบนเตียงอีก ” กลัวไม่ได้แข่งกับกูสินะมึง เออได้ เตรียมตัวรับความพ่ายแพ้ได้เลยมึง

พี่มันออกรถขับไปหอผมอย่างอารมณ์ดีผิดปกติ อย่างว่าล่ะนะได้คุยกันจิ๊จ๊ะกับเจ้าขาหนิ สรุปแล้วพี่มันจะไม่บอกผมจริงๆหรอวะว่ามันเป็นอะไรกับเจ้าขา นี่กะจะให้กูตามสืบจนรู้เองเลยไรงี้

ใจร้ายว่ะไอ้สัส

“ มึงจะไม่บอกกูจริงๆหรอว่าเป็นอะไรกับเจ้าขา ”

“ ทำไม มึงชอบเจ้าขารึไง ”

“ เออชอบ ”

“ งั้นมึงก็ตัดใจซะเถอะ เจ้าขามีแฟนแล้ว ”

“ มึงเป็นแฟนเจ้าขาหรอ ”

“ ถ้าใช่แล้วจะยังไง ” พี่มันเหลือบมองผมนิ่งๆ ไม่ชอบใจกับสายตานี้เลยว่ะ

ตอนนี้ในใจผมมันเจ็บแปล๊บๆยังไงก็ไม่รู้ เหมือนอกหัก เออความรู้สึกนี้มันอกหักชัดๆ นี่ยังไม่ทันเริ่มต้นก็อกหักแล้วหรอวะ มันน่าแปลกนะครับที่ผมมีความรู้สึกแบบนี้น่ะ ผมรู้สึกชอบเจ้าขามากก็จริงแต่มันก็ไม่น่าทำให้ผมรู้สึกเฟลขนาดนี้ป้ะวะ ถ้าคิดในอีกแง่ ถ้าเจ้าขาเป็นแฟนของคนอื่นผมคงจะโอเคกว่านี้ แต่นี่เจ้าขาเป็นแฟนกับไอ้พี่สยาม

ไม่อยากคิดแล้วว่ะ

รู้สึกแย่สัส

“ มึงจะทำหน้าซึมทำไมวะ จริงจังขนาดนั้นเชียว ”

“ มึงไม่เข้าใจกูหรอก ”

“ ฮ่าๆๆๆๆ ” ขำอะไรของมึงวะไอ้สัส ให้เกียรติสีหน้าและอารมณ์กูหน่อยเถอะ

“ อะไรของมึงวะ ”

“ มึงนี่หลอกง่ายจริงๆ ” พี่มันเอื้อมมือมาขยี้หัวผม “ เจ้าขามีแฟนจริงๆแต่ว่าไม่ใช่กูหรอก ”

“ จริงอ่ะ ” ผมยกมือขยี้หู เมื่อกี้หูฝาดไปเองรึเปล่าวะ

“ จริงสิ เจ้าขาเป็นน้องสาวแท้ๆของกูเอง ” มือเรียวที่ขยี้หัวผมเลื่อนมาดึงแก้มผมแทน “ กูยังไม่มีแฟน ”

เจ้าขาเป็นน้องสาวของพี่มัน

เย่

พี่มันยังไม่มีแฟน

พี่มันยังเป็นของผม

เห้ยเดี๋ยว

“ ไม่ กูว่าไม่ใช่ละ ”

“ ไม่ใช่อะไรวะ ละจะส่ายหัวทำไมเนี่ยะ วันนี้กูเห็นมึงส่ายหัวแบบไร้เหตุผล 2 รอบละนะ ” พี่มันถามพลางจอดรถเมื่อถึงหอผม อ่าวนี่ถึงแล้วหรอวะ ไวเหมือนกันนะเนี่ย

“ ไม่มีอะไรหรอก ” ผมรีบเดินลงจากรถแล้วขึ้นห้องทันที พี่มันก็เดินตามมาพร้อมกับกระเป๋าผ้าอะไรของแม่งไม่รู้ ตอนนี้ก็ประมาณสองทุ่มแล้วครับ เด็กในหอนี่เจี๊ยวจ๊าวพอควรเลย

ผมเปิดประตูเข้ามาในห้องก่อนจะรีบเปิดไฟและเปิดแอร์ ไม่ได้ครับไม่โอเคกับห้องที่มืดและร้อน ผมรีบปลดเนคไทออกก่อนจะไปนอนแผ่อยู่บนเตียง สบายจัง นี่แหละสวรรค์ของสมปอง

“ รีบหรอ ” ไอ้พี่สยามมันยืนมองผม

“ รีบอะไรวะ ”

“ ไม่ไปอาบน้ำก่อนอ่ะ ”

“ ไม่อาบเว้ย ขี้เกียจ ”

“ อืม....กูเข้าใจละ ” พี่มันวางถุงผ้าของมันไว้ที่โต๊ะใกล้ๆหัวเตียง ส่วนผมก็นอนมองมันอยู่บนเตียง ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองรึเปล่าว่าสีหน้าของพี่มันดูแปลกๆ

ดูเหมือนอยากได้อะไรอยู่ก็ไม่รู้

“ มึงเป็นอะไรป้ะ หน้าแดงๆไงไม่รู้ว่ะ ร้อนหรอ ” ใจเย็นก่อนนะมึงเดี๋ยวแอร์มันก็เย็น พอแอร์เย็นเดี๋ยวเรามาแข่งวาดรูปกัน

“ ก็ร้อนนะ และก็ตื่นเต้นว่ะ ” พี่มันถอดเสื้อช้อปของตัวเองออกก่อนจะพาดไว้บนเก้าอี้

ผมมองพี่มันที่เดินมาหาผมที่เตียง “ ตื่นเต้นอะไรอื้ออ.อ.อ..อ.....” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ ริมฝีปากบางก็ประกบลงมาทาบทับกับปากผมพอดี

เชี่ยไรเนี่ย

ผมพยายามที่จะผลักพี่มันออกแต่มันก็ไม่เป็นผล มือเรียวคู่นั้นเลื่อนขึ้นมาจับข้อมือผมกดไว้กับเตียงแน่น ความร้อนจากริมฝีปากนั่นมันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ จูบของพี่มันครั้งนี้มันต่างจากครั้งก่อนๆมากจริงๆ มันร้อนและก็ทำให้ผมเหมือนจะขาดใจตายยังไงก็ไม่รู้

จะขาดใจจริงๆ

“ อืมมมม.ม....” ไอ้พี่สยามมันถอนจูบออกไปเบาๆก่อนจะมองผมด้วยสายตาที่อ่านยาก ทำไมอยู่ดีดีก็มาจูบผมวะ นี่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย

“ มึงเป็นอะไรเนี่ยะ จะ จูบกูทำไม ” โวยวายใส่แม่ง มือนี่ก็ดิ้นไม่หลุดเลยว่ะ แรงจะเยอะไปไหนวะพี่เอ้ย

“ ก็กำลังจะทำศิลปะบนเตียงไง ”

“ ศิลปะบนเตียงอะไรของมึงถึงมีจูบด้วยวะ ”

“ ก็เซ็กซ์ไง ”

ชิบหายละ

ผมดิ้นอย่างเอาเป็นเอาตายทันทีที่ได้ยินคำว่าก็เซ็กซ์ไง “ ไม่นะมึง ที่กูเข้าใจมันไม่ใช่เซ็กซ์ กูเข้าใจว่ามึงจะแข่งวาดรูปกับกูอ่ะ ”

“ ไม่รู้ไม่ชี้อ่ะ มึงบอกเองนะว่าคำไหนคำนั้น ” พี่มันเอ่ยออกมาอย่างจริงจัง แววตาคู่นั้นแสดงออกมาว่าวันนี้ยังกูก็แดกมึงให้ได้ งื้ออออ ไม่เอาแบบนี้สิวะ

“ ก็กูเข้าใจว่าจะแข่งวาดรูปไง ” ผมบอกมันเสียงอ่อนพลางมองตาปริบๆหวังว่าจะให้พี่มันใจอ่อนปล่อยผมไป แต่เหมือนผมจะคิดผิดเลยว่ะ คนตรงหน้ามันยกยิ้มขึ้นก่อนจะรวบมือผมไว้ด้วยมือข้างเดียว มือข้างที่มันปล่อยผมก็เอามาเกลี่ยแก้มผมเบาๆ

“ ยิ่งมึงทำหน้าแบบนี้ยิ่งรอดยาก ” มันบอกก่อนจะก้มลงมาซุกไซร้ที่ซอกคอของผม มือเรียวก็เลื่อนเข้ามาในเสื้อ ผมก็ทำแค่ดิ้นเท่าที่ตัวเองจะมีแรงให้ดิ้นได้ แต่ดูเหมือนแรงของผมมันจะแพ้ต่อสัมผัสพี่มันว่ะ

หมดแรงขัดขืนเลยเอาจริงๆ

“ อย่าทำแบบนี้เลยนะมึง ” ผมเอียงคอหลบสัมผัสจากพี่มัน “ มาวาดรูปแข่งกันดีกว่าเนอะ ”

ทันทีที่ผมพูดจบใบหน้าหล่อนั่นก็ผละขึ้นมาจากซอกคอผมก่อนจะมองหน้าผมนิ่งๆ มึงใจอ่อนให้กูแล้วสินะ มึงกำลังจะปล่อยกูไปจริงๆใช่ไหม เราจะมาแข่งวาดรูปกันเท่านั้นจริงๆใช่ไหม บอกกูสิพี่บอกกูมา

“ สมปอง ”

“ หืม ”

“ นอนนิ่งๆ ”

ม่ายยยย

ไม่เอาแบบเน้

ไม่อาววววววววววววววว





TBC.

จะยังไงก็รอติดตามเนอะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 12 : 4/10/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 04-10-2017 21:07:25
แล้วปะป๊าของสมปองก็ถีบประตูเข้ามา ฮา เพราะความคิดเองเออเองบวกกับความซื่อแท้ ๆ เลยนะสมปอง จะรอดไหมนี่
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 12 : 4/10/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 04-10-2017 21:28:07
ศิลปะบนเตียงนอน  คือการวาดรูปบนเตียงนอน  :hao3:

ก็ถูกของสมปองนะ ตรงตัวเป๊ะๆเลย  :mew2:

พี่สยามเอาเซ็กส์มาเกี่ยวด้วยทำไม  :z3:

เดี๋ยวสมปองก็ไปคิดว่าเป็นการวาดรูปคนมีเซ็กส์บนเตียงหร้อก   :laugh: :laugh: :laugh:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
     
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 13 : 5/10/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 05-10-2017 20:49:37
บทที่ 13 เรื่องที่ต้องทำกับคนที่รัก


ช่วยด้วยครับ

จะเสียตัวแล้ว

ช่วยด้วยยยยยยย

“ จะตัวสั่นไปถึงไหนเนี่ยะหืม ” พี่มันถามทั้งๆที่มันยังง่วนอยู่กับการแดกคอผมอยู่ มึงจะไม่ให้กูสั่นได้ไงวะพี่ กูกำลังจะโดนปู้ยี่ปู้ยำนะ ให้มึงมาเป็นฝ่ายถูกกระทำบ้างป้ะล่ะ

“ กูกลัวอ่ะมึงหยุดเถอะ ”

“ ไม่เอา มึงเป็นคนอนุญาติกูเองนะ ”

“ ก็กูเข้าใจผิดหนิ ”

“ กูไม่สนใจหรอก ” พี่มันขบเม้มที่ซอกคอผม มึงอย่าทำแบบนั้นสิไอ้สัสเดี๋ยวมันเป็นรอย

ผมนอนหอบแฮ่กอยู่ใต้ร่างพี่มันมาสักพักละครับ หมดแรงจะดิ้นแล้วจริงๆ มีแต่ปากนี่แหละที่ยังพอพูดเถียงมันได้ ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมามีวันที่โดนผู้ชายทำอะไรแบบนี้ ผมชอบผู้หญิงมาตลอดและผมควรจะทำเรื่องแบบนี้กับผู้หญิงสิ ไม่ชอบใจตัวเองที่ทำได้แค่นอนหายใจแรงอยู่แบบนี้เลยว่ะ มือเรียวของพี่มันไล่ปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาของผมจนหมด ผิวขาวๆที่ผมฟูมฟักหวังว่าจะให้เมียในอนาคตได้เชยชมตอนนี้มันประจักษ์แก่สายตาของพี่มันแล้ว

อย่ามองแล้วเลียริมฝีปากแบบนั้นสิวะ

ใจกูสั่นหมดแล้วเนี่ยะ

“ พี่....”

“ อะไรหืม ”

“ เรื่องแบบนี้มันน่าจะไว้ทำกับคนที่รักป้ะวะ ”

“ แล้วมึงรู้ได้ไงว่ากูไม่ได้.....”

ไม่ได้ ไม่ได้อะไรวะมึงอย่ามาเงียบไปสิโว้ย

ผมมองพี่มันที่มองผมด้วยสายตาแปลกๆ เหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง ผมคิดจริงๆแบบที่พูดนะครับเรื่องแบบนี้มันต้องไว้ทำกับคนที่เรารักสิ พี่มันไม่ได้รักผมหนิที่มันทำนี่ก็แค่อาจจะเพราะกำลังอยากมากและก็อยากแกล้งผม ส่วนผมจะบอกว่ารักพี่ก็ไม่ใช่อีกอ่ะ ถ้าเราทำเรื่องแบบนี้โดยไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความรักมันก็ไม่ต่างจาก....

ที่ระบายความใคร่

รับไม่ได้จริงๆว่ะ

“ มึงมีอะไรมึงไม่พูดวะพี่ ไม่พูดกูก็ไม่รู้นะ บางอย่างที่มึงพูดกูยังตีความเป็นอย่างอื่นเลยดูสิ ”

“ ถ้ากูพูดไปมึงก็ไม่เชื่ออีกอ่ะ ”

“ มึงยังไม่ทันพูดเลย มึงจะรู้ได้ไงว่ากูจะไม่เชื่อ ”

“ กูรักมึง ” น้ำเสียงเข้มเอ่ยออกมาอย่างจริงจัง “ เชื่อไหมล่ะ ”

ตึกตัก

ระ รักงั้นหรอ

ผมมองเข้าไปในดวงตาสีดำสนิทที่แสดงความจริงจังออกมาเหมือนกับคำที่พูด พี่มันรักผมตอนไหนวะ ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยมีแต่ด่ามันไปวันๆเนี่ยะ นี่เป็นเหตุผลที่มันชอบมายุ่มย่ามและก็ลวนลามผมป้ะวะ แม่งต้องใช่แน่ๆ

เพราะมันรักผมนี่เอง

“ ทำไมมึงถึงรักกูวะ ”

“ เพราะมึงเป็นมึงมั้ง ” พี่มันยกมือขึ้นมากุมข้างแก้มผมไว้ “ ความเป็นมึงมันทำให้กูมีความสุขเสมอเวลาที่กูอยู่ใกล้ๆ ”

ฉ่า

เย็นไว้ตัวกู เย็นไว้

“ แต่กูเป็นผู้ชายนะ มึงเป็นเกย์รึไง ”

“ ใช่กูเป็นเกย์ แต่กูไม่ได้ชอบหรือรักใครง่ายขนาดนั้น ถ้ากูเจอคนๆนั้นกูก็จะไม่สนใจคนอื่นอีกและกูจะทำทุกอย่างเพื่อให้เค้ามาเป็นของกู ”

“ แล้วถ้าคนๆนั้นเค้าไม่อยากเป็นของมึงล่ะ ”

“ กูก็คง....ปล้ำมั้ง ”

เดี๋ยวไอ้สัส

ปูเรื่องมาอย่างดีมาเสียตรงปล้ำเนี่ยะไอ้บ้า

“ กูล้อเล่นน่ะ ไม่เห็นต้องทำหน้าแบบนั้นเลย ” พี่มันดึงแก้มผมก่อนจะเลื่อนหน้าขึ้นมาเอาหน้าผากชนกับหน้าผากผมไว้ “ มึงลองคิดดูนะ ตอนนี้มึงอยู่บนเตียงกับกู เวลาที่กูหอมแก้มมึง เวลาที่กูจูบมึง ถ้าเป็นคนอื่นมาทำแบบนี้มึงจะยอมไหม กูว่าแค่นี้มันก็น่าจะชัดเจนแล้วนะว่ามึงรู้สึกยังไงกับกูอ่ะ ”

เออ ก็จริงของมึงแหละ

ไอ้เรื่องที่พี่มันทำกับผมทั้งหมดถ้าเป็นคนอื่นผมคงไล่กระทืบแม่งจนตายอ่ะ แค่คิดก็ขนลุกแล้วเอาจริงๆ แต่กับไอ้พี่สยามนั่นแม่งเป็นข้อยกเว้นแบบไร้เหตุผลสุดๆ ผมมักจะใจเต้นแรงเวลาที่ถูกมันสัมผัส เขินแก้มแดงประจำเวลาเห็นหน้าหล่อๆนั่นยิ้มในโหมดอบอุ่น ไม่เข้าใจตัวเองด้วยว่าทำไมต้องดีใจตอนที่รู้ว่าพี่มันยังไม่มีแฟน

อาการหนักเหมือนกันนะผมเนี่ยะ

“ ยังไง....กูก็ไม่รอดสินะวันนี้อ่ะ ”

“ กูทนไม่ไหวแล้วอ่ะ ” มือเรียวจับมือผมให้เลื่อนไปสัมผัสที่ตรงกลางของกางเกงตัวเอง “ ไม่ไหวจริงๆ ”

ทำเสียงอ้อนแบบนั้นมันขี้โกงนี่หว่า

“ กูยังไม่รู้หรอกนะว่าความรู้สึกของกูมันคืออะไรกันแน่ ”

“ สมปอง....”

“ แต่แค่ครั้งนี้...” ผมยกมือไปโอบรอบคอพี่มันไว้ “ กูจะยอมมึงก็ได้....อย่ารุนแรงนักล่ะ ”

“ มึงนี่จริงๆเลย ” พี่มันกดจูบลงมาทันที ผมเองก็รับจูบนั้นอย่างเต็มใจไม่ได้ขัดขืนเหมือนกับตอนแรก

ถ้าพ่อรู้พ่อต้องด่าแน่เลยว่ะ

มือเรียวของพี่มันก็ลูบไล้ไปทั่ว มือพี่มันร้อนมากเลยว่ะหรือตัวผมมันเย็นเกินไปก็ไม่รู้ ริมฝีปากร้อนก็แลกจูบกับผมอยู่สักพัก เดี๋ยวขบเดี๋ยวงับ เชี่ยอะไรของแม่งก็ไม่รู้ปากกูเจ่อแน่ๆอ่ะงานนี้

“ อืม....มึงนี่น่าแดกจริงๆ ” เรื่องนั้นมึงไม่ต้องพูดก็ได้ไอ้สัส

ไอ้พี่สยามมันไล่จูบไปตามซอกคอก่อนจะลามไปยันแผ่นอกแบนๆราบเรียบของผม สีหน้ามันดูตื่นตาตื่นใจมาก พี่มันใช้ลิ้นเลียเล่นวนไปรอบๆก่อนจะขบเม้มจนเป็นรอยแดง ที่พี่มันทำมันก็รู้สึกเสียวแปลกๆอยู่หรอกแต่มันเจ็บว่ะ

“ ซี๊ดด.ด....มึงจะขบทำไมหนักหนาวะ ” ผมยกมือปิดยอดอกตัวเอง แต่พี่มันก็จับมือผมออก “ เลียก็เลียดิ่ เวลามึงขบมันเจ็บเนี่ยะ ”

“ หมั่นเขี้ยวนี่หว่า ” อย่ามองกูด้วยสายตาร้อนแรงกูขอร้อง

ใจกูจะละลาย

พี่มันไล่จูบต่ำไปเรื่อยๆจนถึงขอบกางเกงยีนส์ของผม มือเรียวก็ปลดซิปกางเกงผมออกก่อนจะรั้งลงไปจนถึงข้อเท้า โอ้ย เหลือแค่บ๊อกเซอร์กับกางในแล้วเนี่ยะ พี่มันเลื่อนมือมาจับตรงปองน้อยผ่านเนื้อผ้า นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตผมเลยนะที่ยอมให้คนอื่นมาแตะปองน้อยสุดที่รักอ่ะ

ผู้ชายด้วยนะที่ได้แตะ

“ มึงก็มีอารมณ์อยู่หนิ ” พี่มันมองหน้าผมพลางยิ้มกรุ้มกริ้ม มันก็ต้องมีอารมณ์สิวะ มึงกอดจูบลูบคลำกูซะขนาดนั้น

“ กูไม่ได้ตายด้านสักหน่อย มีอารมณ์จะแปลกตรงไหน ”

“ กับผู้ชายเนี่ยะนะ ”

“ แค่กับมึงเท่านั้นแหละไอ้บ้า ” ผมหยิบหมอนที่อยู่ใกล้ๆปาใส่มัน “ จะทำอะไรก็รีบๆดิ้ ”

กูเขินจะขาดใจตายอยู่ละ

“ ได้ดิ่ ชอบอยู่แล้วรีบๆ ” พี่มันถอดบ๊อกเซอร์กับกางเกงในของผมออกไปทันที ปองน้อยออกมาสูดอากาศโลกภายนอกแล้วครับ รู้สึกแปลกๆว่ะตอนนี้ผมนี่แก้ผ้าจนหมดตัว แต่พี่แม่งยังอยู่ครบทั้งเสื้อทั้งกางเกงเลย

แม่งไม่แฟร์อ่ะที่โป๊อยู่คนเดียว

“ ทำไมกูโดนถอดอยู่คนเดียววะ มึงก็ถอดด้วยดิ่ ”

“ ถอดให้หน่อยสิ ” ถอดเองไม่เป็นหรอไอ้สัส

ผมบ่นอุบอิบอยู่ในใจลึกๆ พี่มันขยับตัวขึ้นมาให้ผมถอดเสื้อให้ ทันทีที่เสื้อยืดสีเทามันหลุดออกไปจากตัวพี่มันหุ่นแน่นก็เผยแก่สายตาผมทันที พี่แม่งหุ่นดีสัส ซิกแพ็คนี่ก็อื้อหือ ต้องเป็นคนที่ดูแลตัวเองดีมากเลยนะครับถึงมีหุ่นแบบนี้ได้

อิจฉาผมไหมทูลหัว

ว่าที่ผัวผมหุ่นดีมาก

พูดเองแม่งสะเทือนใจเองชิบหาย

“ ชอบดิ่หุ่นแบบเนี้ยะ ”

“ ก็งั้นๆอ่ะ ” ผมเลื่อนมือขึ้นไปลูบกล้ามท้องของพี่มันเบาๆ แม่งแน่นจริงว่ะ ผมฟิตหุ่นแค่ไหนมันก็ไม่เคยแน่นให้แบบนี้เลย น่าอิจฉาพี่มันเหมือนกันนะเนี่ย วันหลังผมจะพาแม่งแดกหมูกระทะเยอะๆให้แม่งอ้วนลงพุงเลย

“ งั้นๆแต่ลูบใหญ่เลยนะ ” พี่มันกดจูบผมลงมาอีกครั้ง ผมก็จูบตอบกลับไปเท่าที่ตัวเองจะทำได้ รู้สึกถึงความเงอะงะเลยว่ะ

จูบของไอ้พี่สยามมันทำลายล้างสติสัมปชัญญะได้ดีเลยนะครับ และการจูบของพี่มันก็ให้ความรู้สึกที่มันหลากหลายด้วย มันทั้งร้อนแรงมันทั้งอ่อนโยน มันเป็นความรู้สึกดีอ่ะ ดีจนพาลให้ใจเต้นเร็วและแรงมาก

เขินมากด้วย

พี่มันผละจูบออกไปอย่างอ้อยอิ่ง “ กูประทับใจกับตรงนี้ของมึงมากเลยนะ ”

“ ซี๊ดด....ประทับใจอะไรวะ ”

“ มึงโกนอ่ะ ”

“ เมกันสไตล์ไง โอ้ยอย่าบีบแรงสิวะ ” ผมตีไหล่พี่มันอย่างแรงทีนึง มึงนี่บีบไม่ดูตาม้าตาเรือเลย

มือเรียวของไอ้พี่สยามมันกำลังจับปองน้อยปู้ยี่ปู้ยำอยู่ครับ ผมก็เกร็งท้องหน่อยๆด้วยความเสียว ตลกที่พี่มันบอกว่าประทับใจว่ะ แค่กูโกนเองมึงจะตื่นตาตื่นใจอะไรขนาดนั้น พี่มันขยับมือมันเร็วขึ้นไปเรื่อย ส่วนผมก็ทำได้แค่กัดปากซี๊ดเบาๆ เวลาทำตัวเองกับมีคนอื่นทำให้นี่มันรู้สึกต่างกันจริงๆเลยว่ะ

มือพี่มันแม่งคือดีอ่ะ

“ ซี๊ดด.ด...อื้อ.อ....”

“ ใกล้ยัง ”

ใกล้ละ

“ ซี๊ด.ด.ด...มึง ” กูไม่ไหวแล้ว

“ ปล่อยเลย ” พี่มันพรมจูบไปทั่วปากผม มือมันก็ขยับถี่กว่าเดิม

ผมไม่ไหวแล้วว่ะ

“ อ๊ะ....อื้อ.อ.อ....อ๊า ”

โอ่ยยยยย โล่งไปดิ่

ผมผงกหัวขึ้นมาดูน้ำสีขาวขุ่นที่เปื้อนอยู่บนมือพี่มันก่อนจะเอนตัวหัวพิงหมอนหอบเบาๆ ไอ้พี่สยามมันยิ้มออกมาอย่างพอใจ ก่อนที่มันจะเลื่อนมือที่เปื้อนน้ำรักไปที่ช่องทางด้านหลัง ผมรู้สึกได้ถึงสัมผัสเบาๆจากตรงนั้น รู้สึกแปลกๆว่ะ ถ้ามีของที่คล้ายกับปองน้อยเข้าไปอยู่ในนั้นมันจะทำให้ผมรู้สึกยังไงวะ

“ โอ้ย กูเจ็บ ” สัมผัสได้ถึงอะไรที่ล้ำเข้ามาด้านในช้าๆ

“ อดทนหน่อยนะ นี่แค่นิ้วเอง ” พี่มันก้มมาจูบปลอบผมเบาๆก่อนจะดันนิ้วเข้ามาเรื่อยๆ

“ อื้อ...เบาๆ ” ผมจิกไหล่พี่มันระบายความเจ็บ นี่แค่นิ้วเองนะแค่นิ้ว นี่ถ้าพี่มันเอาของมันเข้ามานี่จะเจ็บขนาดไหนวะ

ผมยังไม่เห็นด้วยของๆพี่มันอ่ะ

“ ผ่อนคลายหน่อยสิ มึงเกร็งอยู่นะ ”

ผมนอนผ่อนลมหายใจให้ตัวเองผ่อนคลายตามที่พี่มันบอก หน้าร้อนมากเลยว่ะ ตอนนี้หน้าผมคงจะแดงมาก ดูสภาพจากนี่อาจจะแดงไปทั้งตัว ไอ้พี่สยามมันเห็นสีหน้าของผมที่ดูเจ็บมากมันก็ถอนนิ้วออกก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าผ้าข้างหัวเตียง มือเรียวคุ้ยหาของบางอย่างในนั้น

“ หาไรวะ ”

“ เจลกับถุงยาง ” พี่มันหยิบของสองอย่างออกมาชูให้ผมดูก่อนจะโยนกระเป๋าทิ้งไป

“ ทำไมไม่ใช้เจลตั้งแต่แรกวะไอ้สัส ” ผมตีขาพี่มันแรงๆ แม่งให้กูทนเจ็บอยู่ได้

ผมรู้อยู่หรอกว่ามันต้องเจ็บแน่ๆ แต่ถ้าพี่มันใช้เจลตั้งแต่แรกผมก็ไม่ต้องเจ็บขนาดนั้นป้ะวะ มือเรียวหยิบเจลมาบีบใส่มือก่อนจะทาไปรอบๆช่องทางรักของผมอีกครั้งแล้วค่อยๆสอดนิ้วเข้ามาใหม่ มันก็ยังเจ็บอยู่แต่ไม่เท่ากับตอนแรก นิ้วยาวของพี่มันขยับเข้าออกในตัวผม

รู้สึกเสียววาบๆยังไงไม่รู้ว่ะ

“ มึง ”

“ ว่าไงครับ ”

“ ทำไมมันเสียวอ่ะ ”

“ ไม่รู้สิ ไม่เคยเสียวแบบเนี้ยะ ”

“ ซี๊ดด.ด....ลองเสียวแบบกูบ้างไหม เดี๋ยวทำให้ ”

“ ไม่ต้อง ”

แหม่ ตอบไวเชียวนะไอ้สัส

นิ้วของพี่มันถูกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆครับ ผมรู้สึกได้เลย นิ้วที่เพิ่มแล้วขยับเข้าออกนั่นสร้างทั้งความเจ็บกับความเสียวให้ผมไม่น้อยเลย กัดปากกลั้นเสียงจนปากจะแตกแล้วเนี่ยะ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยนะว่าข้างหลังนี่ก็ทำให้รู้สึกดีได้เหมือนกัน

เปิดโลกใหม่มาก

“ เท่านี้ก็คงจะพอไหวแล้วล่ะมั้ง ” พี่มันถอนนิ้วออกไปก่อนจะจับขาของผมให้อ้ามากกว่าเดิม ดวงตาคมนั่นไล่มองผมช้าๆอย่างโลมเลีย ไอ้พี่สยามมันหยิบซองถุงยางมาคาบไว้ในปากก่อนจะเลื่อนมือมาปลดกางเกงยีนส์ของมันออก ทำให้ไอ้สิ่งที่ซ่อนอยู่นั้นโผล่ออกมาให้ผมเห็นทันที

เชี่ยยยยยยยยย

มึงมันเกินไปแล้ว

“ แม่งเข้าไปไม่ได้แน่ๆ ” เกือบเท่าแขนกูเลยนะน่ะ

ผมมองไอ้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างอึ้งๆ ผมเข้าใจนะว่าพี่มันตัวใหญ่แต่ไอ้นั่นไม่ต้องใหญ่ขนาดนั้นก็ได้ไหม ปองน้อยของผมนี่เทียบไม่ติดเลยอ่ะ ของผมมันก็ไม่ได้อันติ๊วเดียวนะครับ มันก็มาตรฐานของชายไทย แต่ไอ้พี่สยามมันเกินมาตรฐานไปไกลเลยว่ะ

โอ้ยตาย กูตายแน่

พี่มันฉีกซองถุงยางก่อนจะสวมเข้าที่ลูกรักของมัน “ เข้าได้น่ะ มันไม่ได้ใหญ่อะไรขนาดนั้นซะหน่อย ”

ไม่ใหญ่พ่องอ่ะ มือกูกำรอบไหมยังไม่รู้เลยเนี่ย

“ มึงใส่ถุงยางไซส์อะไร ”

“ 56 ไง ”

“ โหหหหหหห ”

“ โหอะไรมานี่ ” พี่มันรั้งเอวผมให้เข้าไปชิด นี่กูกำลังจะโดนเชือดแล้วสินะ

“ เราเลิกตอนนี้ไม่ได้แล้วใช่ป้ะ ”

“ เออ มาถึงขนาดนี้ละ ให้กูเลิกมึงไปหยิบมีดมาแทงกูเลยดีกว่า ”

“ เออได้ งั้นรอกูแปปนึง ”

“ สมปอง ”

“ ฮ่าๆๆๆ ” พี่มันทำหน้าบูดเลยว่ะ

ผมมองหน้าพี่มันที่อยู่ไม่ห่าง ใบหน้าหล่อนั่นก็ดูกังวลอยู่หน่อยๆเหมือนกัน มันเองก็คงกลัวผมจะเจ็บเพราะนี่เป็นครั้งแรกของผมด้วย ในใจผมตอนนี้ก็ไม่ได้คิดจะเลิกหรอกนะครับ มันมาไกลถึงขนาดนี้แล้วอ่ะ และในใจนี่ก็ตื่นเต้นมากเลยนะที่จะได้ทำอะไรแปลกๆที่ตัวเองไม่เคยทำ ผมยกมือไปรั้งคอพี่มันลงมาจูบ ปลอบกูด้วยจูบของมึงหน่อยนะพี่ กูจะได้ใจมาหน่อย

“ อืม...ม....” ริมฝีปากของพี่มันละออกไปก่อนจะเลื่อนมากระซิบข้างๆหูผม “ เจ็บนิดเดียวอ่ะ เหมือนมดกัด ”

“ มึงอย่ามาหลอกกูซะให้ยาก กูไม่เชื่อมึงหรอก ”

มดเชี่ยอะไรรูปร่างแบบนั้นวะ หลอกเป็นหมอเลยไอ้บ้า

“ หึ....” พี่มันหอมแก้มผมดังฟอด “ เอาเลยนะ ”

“ อึก....”

“ อย่าเกร็งสิครับ ”

“ อ๊ะ....โอ้ยยยยยยยยยยยยยย ”

“ ซี๊ดด.ด....อีกนิดเดียวนะ ”

“ อื้อ.อ....กูเจ็บ ”

“ โอ๋ๆ ไม่เป็นไรแล้วนะ ” พี่มันจูบซับน้ำตาที่คลอเบ้าให้ผม

แม่งเจ็บจริงๆอ่ะ

เหมือนร่างจะแตก

ผมยังคงจิกไหล่พี่มันแน่นเพื่อระบายความเจ็บ ช่วงล่างตอนนี้ก็ปวดหนึบไปหมดเลยว่ะ ไม่คิดว่าตัวเองจะรับอะไรที่ใหญ่ชิบหายแบบนั้นเข้ามาได้จนหมดด้วย โห แม่งโคตรอัศจรรย์ใจ ผมนี่น้ำตาเล็ดเลย พี่มันก็ยังคาลูกรักมันไว้นิ่งให้ผมได้ปรับตัว ปากก็พรมจูบปลอบไปทั่ว

ทำดีมากพี่มึง กูชอบๆ

“ มึง....”

“ ว่าไง ”

“ กูอึดอัดไปหมดแล้วอ่ะ ”

“ ให้กูขยับเลยไหม กูก็นิ่งไม่ไหวแล้วเนี่ย ” พี่มันกดจูบผมแรงๆ “ มึงตอดกูอ่ะ ”

ตอดก็เชี่ยละ

“ พูดบ้าอะไรของมึง ” ผมตีไหล่แก้เขินไปทีนึง เข้าใจอยู่หรอกว่ากำลังทำเรื่องลามกแต่มึงไม่ต้องพูดจาลามกได้ไหม

กูเขินเนี่ยะ

“ ก็มันจริงนี่นา ” พี่มันสอดแขนไว้ใต้ขาพับของผมก่อนจะเริ่มขยับเข้าออกช้าๆ

“ อ๊ะ....อื้อ.อ.อ...”

“ อื้ม.ม.ม....”

“ ซี๊ด..ด...อ๊ะ...พี่...อ๊ะ ”

ความรู้สึกเสียวมันแล่นเข้ามาที่ท้องน้อยเมื่อพี่มันเริ่มเร่งจังหวะขยับให้เร็วขึ้น ผมยอมรับนะครับว่าตอนแรกผมเจ็บและก็จุกมาก แต่ตอนนี้แม่งโคตรเสียวเลย เสียงก็กลั้นไว้ไม่อยู่แล้วอ่ะมันรู้สึกดีมากเกินไปจริงๆ

“ อ๊ะ....ข้างหน้าด้วย....อื้อ.อ.อ...”

“ อื้อ.อ....” พี่มันเลื่อนมือมาจับปองน้อยขยับไปด้วย ช่วงล่างก็ยังทำงานของมันอยู่แบบนั้น

โอ้ย ไม่ไหวแล้วอ่ะ

เสียวแม่งทั้งข้างหน้าทั้งข้างหลัง

ผมมองใบหน้าที่ลอยอยู่ด้านบน ผมสีดำเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ริมฝีปากบางนั่นขึ้นสีแดงหน่อยๆ มองดูแบบนี้แล้วพี่แม่งเซ็กซี่ชะมัด ผมผงกหัวขึ้นไปจูบพี่มัน รู้สึกเหมือนตัวเองโชคดีและเป็นคนพิเศษเลยว่ะที่ได้เห็นหน้าเซ็กซี่แบบนั้น

ห้ามไปทำหน้าแบบนี้ให้คนอื่นเห็นเชียวนะมึง

“ อ๊ะ....กูไม่ไหวแล้วอ่ะพี่ โอ้ย ” แรงกระแทกที่หนักหน่วงนั่นแม่งจะทำให้ผมเป็นบ้าแล้ว

มันเสียวเกินไป

“ กูก็เหมือนกัน....อา ” พี่มันโถมเข้ามาเต็มแรง “ พร้อมกันนะ ”

“ อื้อ.อ....อ๊ะ....พี่สยาม...”

ไม่ไหวแล้ว

“ ซี๊ดด.ด....อา...ปอง ”

“ อึกก....อ๊ะ...อื้ออ.อ.....อ๊าาาาาาาาาา ”

“ ซี๊ดด.ด.....อื้มมมมม.ม.ม....”

แฮ่ก

โอ้ยเชี่ยแม่ง

เหมือนจะขาดใจ

หายใจไม่ทันเลยว่ะเอาจริงๆ ตอนนี้ในหัวนี่ขาวโพลน ประสบการณ์ครั้งแรกนี่ก็จบแบบก็โอเคนะ รู้สึกดีเลย ดีมากๆด้วย การเสียตัวครั้งแรกของผมนี่ก็สำเร็จลุล่วงไปได้ดีนะครับ เสร็จเพราะผู้ชายได้ด้วยว่ะตัวกู

โคตรยอมใจ

“ รู้สึกดีสุดๆเลยว่ะ ” พี่มันจูบหน้าผากผมหนักๆก่อนจะเอาหน้าผากมันมาชนไว้เหมือนตอนแรก “ ดีจริงๆ ”

“ กูก็เหมือนกัน ”

“ กูรักมึงนะสมปอง ”

ตึกตัก

“ เออ กูรู้แล้ว ”

ผมยกมือปัดผมที่ปรกหน้ามันเบาๆ ผมไม่รู้เลยครับว่าหลังจากนี้ความสัมพันธ์ของผมกับมันจะเป็นยังไงต่อ ไม่รู้ว่ามันจะพัฒนาไปในทิศทางไหน หรือว่ามันจะจบแค่ในคืนนี้แล้ววันต่อๆไปเราก็กลับไปเป็นแค่รุ่นพี่รุ่นน้องกันเหมือนเดิม

คิดแบบนั้นแล้วปวดใจแปลกๆว่ะ

เสียตัวไม่พอนี่กูต้องดราม่าด้วยหรอ

“ คิดอะไรอยู่ ”

“ เปล่าหรอก เอาออกไปได้แล้ว ” ทันที่ผมพูดจบพี่มันก็ถอนกายมันออกไป ผมนอนมองพี่มันถอดถุงยางออกก่อนจะหยิบอันใหม่เข้ามาสวม

เดี๋ยวนะ นั่นมึงจะทำอะไร

“ สวมใหม่ทำโอ้ยยยยยย ” ยังไม่ทันที่จะพูดจบพี่มันก็กระแทกลูกรักของมันกลับเข้ามาอีกครั้ง ไอ้สัสเอ้ย ใจคอมึงจะไม่ให้กูพักเลยใช่ไหม

“ ถุงยางกล่องนึงมันมีตั้งหลายอัน ” พี่มันจุ๊บปากผมก่อนจะยิ้มหวาน “ มันต้องใช้ให้หมดรู้ป้ะ ”

รู้หน้ามึงอ่ะไอ้สัสสสสสส

ไอ้บัดซบบบบ



[ บันทึกพิเศษ : สยาม ]



โคตรฟิน

มีความสุขโคตรๆ

“ ขอบคุณนะครับ ” ผมก้มจูบแผ่นหลังเนียนของคนที่เพิ่งเป็นเมียไปหมาดๆ สมปองสลบไปแล้วครับหลังจากที่โดนผมฟาดไป 3 รอบ ตอนนี้ประมาณตี 3 แล้วครับ เอาจริงๆนี่ใช้เวลาบนเตียงกันไปนานเหมือนกันนะเนี่ย กว่าจะต้อนให้น้องมันสมยอมได้นั่นก็กินเวลาเป็นชั่วโมง

นึกว่าจะอดแล้วจริงๆ

ผมไม่คิดว่าน้องจะยอมให้ผมทำด้วย พอน้องบอกว่าครั้งนี้น้องจะยอมในใจผมนี่คึกคักสุดๆอ่ะ เลยใส่แม่งเต็มที่เลยให้มันสมกับที่อดทนมาเนิ่นนาน ตอนนี้ตามเนื้อตัวของน้องมีแต่รอยจูบของผม ไม่รู้ว่าถ้าเจ้าตัวตื่นมาเห็นนี่จะเอามีดมาไล่แทงผมรึเปล่า คงไม่หรอก ถ้าผมตายน้องก็เป็นหม้ายสิ

มีความสุขอ่ะ

ได้เชยชมน้องสมอารมณ์หมาย

ใช้คำโคตรโบราณ

ผมลงมาจากเตียงก่อนจะหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาสวม กะว่าจะไปซื้อข้าวกับยาแก้ปวดมาให้คุณเมียเขาหน่อย เขาคงหมดแรง ผมเองก็หิวด้วยแหละ ยังไม่ได้กินอะไรเลยอ่ะตั้งแต่เมื่อวาน

“ เดี๋ยวพี่มานะครับ ” ผมจุ๊บคนที่หลับอยู่เบาๆก่อนจะหยิบกุญแจรถแล้วเดินออกจากห้อง

จากนี้ผมจะต้องเปิดเผยต่อสาธารณะชนแบบจริงจังแล้วครับว่าน้องเป็นของผม คนอื่นเขาก็เข้าใจว่าน้องเป็นเมียผมมาสักพักแล้วนะ แต่วันนี้น้องก็กลายเป็นเมียของผมขึ้นมาจริงๆ เดี๋ยวผมจะต้องขอน้องเป็นแฟน แต่น้องจะตอบตกลงหรอวะ น้องกำลังสับสนในตัวเองอยู่ แต่ถ้าน้องยังไม่อยากเป็นแฟนผมก็ไม่เป็นไรนะ

ยังไงผมก็รักน้องคนเดียว

ยังไงน้องก็เป็นของผมอยู่ดี

ใครมายุ่งจะกระทืบให้

“ รอพี่ก่อนนะทูลหัว ”

พี่จะซื้อขนมมาเปย์เยอะๆเลยค้าบ





TBC.

ก็เสร็จพี่หยัมไปตามระเบียบ55555555555555

ไรท์ไม่เคยแต่งNcแนวนี้มาก่อนเลย มันใหม่มากและไรท์ก็หวั่นใจมากว่ามันจะออกมาฟินไหม

ถ้ามันยังแปร่งๆอยู่ก็ขออภัยนะคะ ถ้ามีโอกาสค่อยไว้แก้ตัวในNcหน้า

เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อก็รอติดตามนะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้า
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 13 : 5/10/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 05-10-2017 21:35:56
ดูท่าจะหลงเมียนะพี่สยาม ฮา
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 13 : 5/10/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 05-10-2017 22:13:26
 :pig4:  ว้ายสมปองใจง่ายๆๆๆๆ. ไม่จริงๆๆๆ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 14 : 6/10/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 06-10-2017 21:06:11
บทที่ 14 เมียเป็นคนพิเศษ



หิวเมื่อไหร่ก็แวะมา

เซเว่นอีเลฟเว่น

ผ่างงงง

ผมอยู่ที่เซเว่นใกล้ๆหอเมียครับ เขินปากอยู่เหมือนกันนะที่เรียกสมปองว่าเมียเนี่ยะ แต่ก็นะได้กันแล้วนี่จะเรียกแบบนี้ก็ไม่แปลกหรอก ตั้งแต่ที่ผมเดินเข้ามาในเซเว่นนี่พนักงานสองคนตรงเคาท์เตอร์ก็มองผมตาพราวเลยว่ะ ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเอาพนักงานผู้หญิงที่น่ารักแบบนี้มาเข้ากะดึกแบบนี้วะ

ช่างเขาเถอะเนอะสยาม

อย่าไปอยากรู้เลย

ผมหยิบตะกร้าก่อนจะเดินไปหยิบยาแก้ปวดแล้วก็เดินต่อไปที่หน้าตู้ข้าว จัดแจงหยิบสารพัดข้าวออกมาหลายกล่อง กินไม่หมดวันนี้แน่นอนแต่ว่าที่ห้องน้องมันมีไมโครเวฟครับ มีตู้เย็นด้วย เดี๋ยวก็แช่ไว้แล้วค่อยเอาออกมาอุ่นกิน นอกจากข้าวแล้วผมก็หยิบไข่ลวกใส่ตระกร้าอีกหลายอัน ใช้พลังงานไปเยอะก็ต้องโด๊ปกันหน่อย พอผมได้ของคาวแล้วก็เดินมาที่โซนของหวาน ไอ้ช่วงเวลาที่ผมเดินผ่านเคาท์เตอร์นั่นก็ได้ยินเสียงสาวเจ้าเขาคุยกันงุ้งงิ้ง

หัวข้อสนทนาของพวกนางก็คือผมเอง

เกิดมาหล่อนี่ลำบากใจจังครับ

ผมเดินมาหยุดอยู่โซนของหวานพวกช็อกโกแลตพลางเหลือบตาไปมองพวกนาง สองคนนั้นก็อมยิ้มก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดหน้า อะไรวะเขินหรอ เขินทำไมกูแค่มองเอง อีพวกนี้นี่เป็นเอามากนะเนี่ย

“ ไอ้สยาม ” ผมสะดุ้งทันทีที่มีคนเรียกชื่อผม พอหันไปดูตามเสียงก็พบกับหน้ามึนๆของชาเย็นเพื่อนรัก โดยร่างสูงนั่นอยู่ในชุดนอนลายคิตตี้สีชมพู

มึงจะหวานไปไหนวะ

“ ดึกขนาดนี้ยังไม่นอนอีกหรอวะ ”

“ ยัง ว่าแต่มึงมาทำอะไรที่นี่วะ ”

“ กูหิวก็เลยมาซื้อข้าว ”

“ มาแถวนี้เนี่ยนะ ” ไอ้ชามันยกโทรศัพท์ขึ้นมากดดูเวลา “ ตอนตีสามกว่าๆ ”

“ แปลกตรงไหนวะ ”

“ แปลกดิ่วะ คอนโดมึงอยู่ตั้งไหน แม่งเป็นไปไม่ได้อ่ะที่มึงจะติสท์แตกขับรถมาเซเว่นนี้ในเวลานี้ ”

มึงนี่ถามกูเยอะยิ่งกว่าป่ะป๊ากูอีกนะ

ผมยืนมองเพื่อนรักตาปริบๆ หน้าหล่อปนมึนของไอ้ชานี่ก็ให้อารมณ์ประมาณว่าจงบอกกูมาซะ เอาไงดีวะผมจะบอกมันดีไหมว่ามานอนค้างที่หอสมปอง เดี๋ยวแม่งก็จะถามต่ออีกว่ามาค้างทำไม สุดท้ายแล้วมันต้องเค้นจนรู้แน่เลยว่ะ

เอาไงดี

“ มึงมาเอากับใคร ”

“ เห้ยมึงรู้ได้ไง ”

“ ก็เนี่ยะ ” มันยกมือจิ้มที่คอผม “ คอมึงเนี่ยะเป็นปื้นเลย บอกยุงกัดกูจะตบให้หัวทิ่ม ”

ผมยกมือลูบคอตัวเองเบาๆ “ มันเป็นรอยชัดเลยหรอวะ ”

“ เออไง สงสัยจะหวงมึงเหมือนกันนะเนี่ย แสดงความเป็นเจ้าของซะเต็มคอ ”

หวงงั้นหรอ

ตลกดีว่ะ

ตอนที่ผมงั่มน้องเนี่ยะผมไม่รู้ตัวเลยนะครับว่าตัวเองจะโดนทิ้งรอยไว้ทั่วคอแบบนี้ ไม่ว่าจะนอนกับใครผมก็ไม่เคยยอมให้ใครทิ้งคิสมาร์กไว้เลยนะครับ มีแค่แฟนคนแรกอ่ะที่ผมเคยยอมให้ทำ ผมไม่คิดว่าสมปองมันจะทิ้งรอยไว้เลยนะเอาจริงๆ

ร้ายเหมือนกันนะเนี่ยอีเมีย

“ ตกลงจะบอกกูได้รึยึง ”

“ บอกไรวะ ”

“ มึงไปเอากับใครมา ”

“ มึงนี่เค้นกูเป็นเมียกูเลยนะ ” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้เพื่อนรักพลางส่งยิ้มกรุ้มกริ่ม “ อยากเป็นเมียกูอีกคนไหม ”

“ ขนลุกว่ะ ” ว่าแล้วมันก็ดันหน้าผมออก “ กูจะฟ้องแฟนกู ”

“ อย่าเชียวนะมึง ”

“ มึงตายแน่ ” มันแลบลิ้นใส่ผมก่อนจะเดินไปซื้อของอีกด้าน ผมก็ได้แต่เบ้ปากใส่มันตามหลัง

ทำเป็นมีอำนาจน่าหมั่นไส้นักนะ

หลังจากที่ผมเบ้ปากใส่เพื่อนรักจนพอใจ ผมก็จัดการกวาดช็อคโกแลตลงตะกร้าโดยเฉพาะเอ็มแอนด์เอ็มนี่เอาไปจนหมดอ่ะ คนอื่นไม่ต้องแดกอยากแดกไปซื้อที่อื่น ฮ่าๆๆ โคตรเลว ไม่เป็นไรครับทุกอย่างนี้ทำเพื่อเมีย หลังจากที่ผมได้ของที่ต้องการครบผมก็เดินไปที่เคาท์เตอร์เพื่อจะจ่ายเงิน พนักงานก็ยิ้มหวานจนแก้มปริ เป็นรอยยิ้มที่น่ารักนะครับน่ารักมาก

แต่โทษทีเถอะ พี่ไม่สนใจผู้หญิง

มีเมียแล้วด้วยตะกี้เลย

“ รับขนมปังช็อคโกแลตเพิ่มไหมคะ ”

“ ไม่ล่ะครับ ”

“ คือตอนนี้มันกำลังซื้อ 1 แถม 1 เลยนะคะ ”

กูบอกว่าไม่ซื้อไงอีนี่

“ ไม่เอาดีกว่าครับ ”

“ เอาหน่อยนะคะ น้า นะคะ ” มีการออดอ้อนด้วยว่ะ เอาไงดีๆ

อา....คิดออกแล้ว

ผมฉีกยิ้มหวานให้นาง “ เอาก็ได้ครับ ”

“ ดีจังเลย จะรับกี่ชิ้นดีคะ ”

“ 4 ชิ้นเลยครับ เผื่อเมียจะชอบ ” ทันทีที่ผมพูดคำว่าเมียออกไปใบหน้าสวยๆนั่นก็หุบยิ้มทันที

เงิบสิมึงเงิบ

น้องพนักงานคนงามรีบคิดเงินให้ผมอย่างไวเลยครับ เมื่อกี้ยังจ้องจะแดกกูอยู่เลยอีห่า เปลี่ยนความคิดเร็วจังนะอีสัส ว่าแต่ทำไมกูปากคอเราะร้ายแบบนี้วะเนี่ย นั่นผู้หญิงนะสยาม พูดจาให้มันดีดีหน่อย

เห้ยแต่พูดในใจไม่เป็นไรหรอก

“ ไอ้สยาม ” ผมสะดุ้งกับเสียงตะโกนใกล้ๆหู มึงจะเสียงดังทำไมวะไอ้สัสชา

“ อะไรของมึง ”

“ เอารถมาป้ะ มึงต้องเอามาดิ่ กูกลับด้วย ”

“ ไม่กลัวโดนกูงั่มหรอ ” ใครตัวเล็กกว่ากูกูงั่มได้หมดนะจะบอกให้

“ ขนลุกว่ะสยาม ” ไอ้ชามันเทขนมในตะกร้าลงบนเคาท์เตอร์เดียวกับผม “ คิดรวมไปเลยนะครับแต่แยกถุง ” มันว่าแล้วก็เดินออกไปนอกเซเว่น

เอ้าไอ้สัส แบบนี้ก็ได้หรอ

ผมมองเพื่อนรักที่ยืนหน้ามึนอยู่ข้างรถผมด้านนอก แดกตังค์กูอีกแล้วไอ้เวรนี้ เดี๋ยวกูจะฟ้องแฟนมึงบ้างเดี๋ยวก่อน เดี๋ยวกูจะฟ้องเมียกูด้วย ฟ้องเจ้าขาด้วย กูจะฟ้องแม่งให้หมดเลยไอ้สัส

มึงไม่รอดแน่ไอ้มึน

“ ทั้งหมด 1859 บาทค่ะ ”

โหแพงชิบหาย ขนมทองคำป้ะวะเนี่ย

ผมหยิบแบงค์สีเทาส่งไปให้พนักงานครับ นี่แหละสายเปย์ที่แท้ทรู เปย์เมียไม่พอต้องมาเปย์เพื่อนอีก ชีวิตกูจะน่าสงสารไปไหนวะ ดูจากการใช้เงินเปย์ชาวบ้านของผมแล้วผมจะต้องรับจ๊อบพิเศษเพิ่มจากการเป็นลูกจ้างร้านขายไอติมแล้วล่ะครับ กลัวเงินจะไม่พอใช้เดี๋ยวเมียผมอยู่ไม่สุขสบาย

คำก็เมียสองคำก็เมีย

เขินปากว่ะเขินปาก

“ นี่เงินทอนค่ะ ” ผมรับเงินทอนมาก่อนจะใส่กลับกระเป๋าตังค์และก็ถือของทั้งหมดเดินออกมาจากเซเว่น

“ ไหนของกู ”

“ เอาไป เดี๋ยวกูจะไปเก็บตังค์กับแฟนมึง ”

“ กล้าก็เอาสิ ” ไอ้ชามันยกยิ้มก่อนจะขึ้นรถผมทันที มีท้าด้วยนะ รู้จักกูน้อยเกินไปแล้วชาเย็นนนนนนน

ผมขึ้นมานั่งฝั่งคนขับ “ มีคนหนุนดีนี่ห้าวหาญนักนะไอ้สัส  ”

“ ทำดา รีบขับดิ้แฟนกูรอกินข้าวอยู่ที่หอ ”

เดี๋ยวนะ

“ พี่ไทอยู่ที่หอมึงหรอ ” ไหนไลน์บอกกูเมื่อค่ำว่าอยู่บ้านไงวะ พี่ไทหลอกเด็ก

“ เออ นึกครึ้มอะไรไม่รู้หิวข้าวตอนนี้ สั่งให้กูมาซื้อเนี่ยะ ” มันบ่นก่อนจะหาว มือก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่น

“ เดี๋ยวกูจะฟ้องพี่ไทว่ามึงบ่นเค้า ” มึงโดนสวดยับแน่

“ กูไม่ได้บ่น กูแค่พูดให้มึงฟัง ” ไม่รู้แหละไอ้สัสกูฟ้องแน่

หมั่นไส้

ผมเบ้ปากใส่เพื่อนรักก่อนจะรีบขับรถกลับหอ ไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ถิ่นไทถึงไปตกลงปลงใจคบกับไอ้มึนนี่ได้ คบกันมาตั้งแต่ตอนที่อยู่ปี 1 แล้วครับ และแบบแอบไปจีบกันตอนไหนไม่รู้ผมมารู้อีกทีคือคบกันเรียบร้อย ถึงว่าเมื่อก่อนไอ้ชาแม่งชอบไปที่ร้านไอติมบ่อยๆ ที่แท้มันจ้องจะแดกพี่ผมนี่เอง

ร้ายกาจ

“ เออสยาม พี่ไทบอกว่าให้แวะไปหา ” มันละจากโทรศัพท์ขึ้นมามองผม “ เค้าบอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย ”

“ เรื่องไรวะ ”

“ เดี๋ยวมึงก็รู้เองแหละ รีบๆขับไป ” สั่งกูจังเลยนะไอ้พื่อนเวร

ผมก็ขับรถไปทำหน้ามุ่ยไป ใจนี่ก็อยากจะรีบกลับไปหาสมปอง กลัวน้องมันตื่นในช่วงที่ผมไม่อยู่แล้วคิดว่าผมฟันแล้วทิ้งอ่ะ เด็กบ๊องๆแบบนั้นต้องคิดอะไรแบบนี้แน่ๆ พี่ไทไม่น่าจะอยากมาเจอน้องตอนนี้เลย เฮ้อ เวรกรรมอะไรของสยามวะเนี่ย

 รอก่อนนะครับเมีย

ไม่ต้องตื่นมาตอนนี้ล่ะ



[ จบบันทึกพิเศษ : สยาม ]



เจ็บ

เหมือนร่างจะแตก

“ อื้ออ.อ.อ...” ผมพยายามจะดันตัวให้ลุกขึ้นแต่ก็ต้องซบลงกับหมอนเหมือนอย่างเดิม ฟีลนี้เหมือนตอนที่เคยโดนกระทืบเมื่อตอนมอปลายเลยว่ะ

ปวดร้าวไปทั้งตัว

ในขณะที่หน้าผมยังซุกหมอน ผมก็เลื่อนมือจะไปปลุกไอ้คนข้างๆ เพื่อที่จะหวังให้มันช่วยประคองผมหน่อย แต่สิ่งที่ผมสัมผัสได้ก็คือความว่างเปล่า พอเป็นแบบนั้นผมจึงรีบหันไปมองข้างๆ เตียงของผมไม่มีใครอยู่เลยครับ จะบอกว่ามันไปเข้าห้องน้ำก็ไม่ใช่เพราะไฟห้องน้ำไม่ได้เปิด

นี่ผมโดนฟันแล้วทิ้งหรอวะ

ไอ้พี่สยามไอ้คนเลว!!!!

ผมนอนมองเตียงที่ว่างเปล่าด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ ทำไมมันถึงรู้สึกแบบนี้ได้วะ นี่หรอวะที่มันบอกว่ารักผมอ่ะ พอมันได้ผมแล้วมันก็หายไปเลยเนี่ยนะ จะบอกว่ามีธุระมันก็ไม่ใช่ป้ะ นาฬิกานั่นบ่งบอกเวลาว่าประมาณตีสามกว่าๆ ใครมันจะมามีธุระตีสามกว่าๆวะ แล้วแม่งก็ไม่ทิ้งโน้ตไว้บอกผมเลยว่ามันไปไหน

เสียใจว่ะ ไม่น่าเลยตัวกู

“ มึงมันใจร้ายไอ้สยามบ้า ” ผมนอนเบะปาก ตาร้อนๆเหมือนจะร้องไห้เลยว่ะ ฟีลตอนนี้แบบปวดใจมาก่อนเลย โกรธด้วย แถมยังน้อยใจชิบ คิดดูสิผมโดนพี่มันป๊ามไปตั้ง 3 ครั้ง ตอนนี้ผมปวดไปทั้งตัว หิวก็หิว พี่มันควรจะดูแลผมสิมันทำให้ผมเป็นแบบนี้อ่ะ

นี่เสียตัวไม่พอ ยังต้องมาดูแลตัวเองอีกหรอวะ

ปวดใจอ่ะ ฟ้องพ่อแน่

“ กูจะให้พ่อเอาปืนมายิงมึง ”

แอ๊ดดดด

เสียงประตูเปิดทำให้ผมเอี้ยวตัวหันไปดู พอเห็นคนที่เดินเข้ามาผมก็ค่อยๆชันตัวลุกขึ้นมานั่ง ช่วงล่างนี่พังไปแล้วมั้งเนี่ยไอ้สัส ร่างสูงในสภาพที่ใส่เสื้อยืดสีเทากับกางเกงบ๊อกเซอร์เดินเข้ามาพร้อมกับถุงเซเว่นถุงใหญ่สองถุง พี่มันมองก่อนจะยิ้มแฉ่งออกมา ส่วนผมก็ได้แต่ทำหน้าบึ้งใส่มันอยู่แบบนั้น

ไปเซเว่นทำไมไม่บอกก่อนห้ะไอ้สัส

กูเกือบให้พ่อเอาปืนมายิงมึงแล้วเนี่ย

“ ตื่นแล้วหรอครับ ” ไม่ต้องมาพูดเพราะเลยนะ ยังไงกูก็งอนมึง

“ ไปไหนทำไมไม่บอกก่อน รู้ไหมว่าตื่นมาแล้วไม่เจอมึงแล้วกูรู้สึกยังไงบ้าง ” โวยใส่แม่ง ถึงเสียงจะแหบแห้งแค่ไหนก็จะโวยใส่

พี่มันรีบวางถุงเซเว่นก่อนจะรีบถลาเข้ามาหาผมบนเตียง “ กูขอโทษนะครับที่ไม่ได้บอกก่อน เห็นมึงหลับปุ๋ยก็เลยไม่อยากปลุก ”

“ ก็เขียนกระดาษทิ้งไว้ก็ได้หนิ ไม่ใช่มาหายไปแบบนี้ ” ผมตีไหล่พี่มันแรงๆ “ ถ้ากลับกันเป็นกูที่หายไปบ้างมึงจะคิดยังไงห้ะ ”

“ โอ๋ๆ กูขอโทษที่คิดไม่ทัน ” ไอ้พี่สยามมันรั้งผมเข้าไปกอด “ ขอโทษครับจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว ” มือเรียวลูบหัวผมเบาๆเชิงปลอบ

เออทำแบบนั้นแหละกูถึงจะหาย

จะว่าไปก็ใจชื้นเหมือนกันนะครับที่เห็นมันกลับมาพร้อมกับถุงเซเว่นน่ะ อย่างน้อยมันก็ไม่ได้ทิ้งผมไปแบบที่ผมคิด ผมน้อยใจมากจริงๆแหละที่มันไปข้างนอกแล้วไม่บอกผม รู้สึกเหมือนตัวเองงี่เง่าเลยว่ะ เมื่อก่อนก็ไม่ได้เป็นแบบนี้นะ เพิ่งจะมาเป็นตอนที่มีผัวแล้วนี่แหละ

คำว่าผัวนี่พูดเองก็ปวดใจเอง

มือเรียวของพี่มันเลื่อนมากุมแก้มผมไว้ “ ยกโทษให้พี่นะครับ ”

ไม่ต้องมาใช้พี่นะครับเลยนะ

ใจมันสั่นเนี่ยะ

“ ห้ามทำแบบนี้อีกนะ ” ผมมองหน้ามันอย่างจริงจัง “ ถ้ามีครั้งหน้ากูจะโกรธมึงมากๆ และก็จะไม่ยกโทษให้ ”

“ ไม่มีครั้งหน้าอีกแล้วครับ ” พี่มันบอกก่อนจะยิ้มหวาน “ หิวไหมกูของกินมาให้เยอะเลยนะ มีขนมด้วย ”

“ หิว ปวดเอวด้วยเนี่ยะ ซื้อยามารึเปล่า ”

“ ซื้อครับ ” พี่มันลงจากเตียงไปหยิบถุงเซเว่นทั้งสองถุงมาให้ผมดู

ขนมอย่างเยอะ

ผมมองข้าวหลายกล่องกับขนมหลากหลายประเภทที่อยู่ในถุง มันเยอะมากครับโดยเฉพาะเอ็มแอนด์เอ็ม นี่มึงเหมาเซเว่นมาป้ะเนี่ยพี่ ผมว่าของที่มันซื้อมารอบนี้นี่คงจะหมดเงินเยอะน่าดูเลยว่ะ นอกจากขนมแล้วมันยังมีกล่องอะไรบางอย่างที่วิบวับๆสะดุดตาผมอยู่ในถุง พอหยิบออกมาดูก็พบว่ามันคือ....

ถุงยาง

ถุงยางกลิ่นวนิลาไซส์ 56 มีเส้นรอบวงเป็นออพชั่นเสริม

เชี่ยสุดคือซื้อมา 3 กล่อง

“ นี่อะไร ”

“ ถุงยางไงที่รัก ”

“ ที่รักหน้ามึงอ่ะ แล้วมึงจะซื้อถุงยางมาทำไมเนี่ยะ ” ซื้อมาเยอะด้วยนะอีเลว

“ ถ้าไม่ชอบใส่ถุง ก็สดได้นะ ” พูดไม่พอพี่มันยังยิ้มกรุ้มกริ่มใส่ผมด้วย มึงนี่มันหื่นกามจริงๆ

“ กูไม่ได้หมายความแบบนั้นมึงนี่มันจริงๆเลย ” ผมหยิบหมอนใกล้มาตีมัน

“ โอ้ย....อย่าเพิ่งตี ” พี่มันแย่งหมอนออกไปจากมือผม “ มีเรื่องต้องคุยกันนะ ”

“ เรื่องอะไร ”

“ คบกันไหม ”

คบงั้นหรอ

“ คบอะไรวะ ” ผมพึมพำกับตัวเองเบาๆ ตาก็มองพี่มันนิ่งๆ “ คบเป็นแฟนอ่ะนะ ”

“ อืม เอาไหม พร้อมเปย์นะ ” มันบอกก่อนจะยิ้มหวาน

ตึกตัก

ไอ้บ้านี่

ผมนั่งอมยิ้มมองพี่มัน พี่มันรักผมมันก็ไม่แปลกที่จะอยากได้ผมเป็นแฟนแต่ผมก็ยังคิดว่าตัวเองยังไม่ได้รักมันนะครับ อาจจะแค่ชอบเฉยๆ ผมคิดว่าความรักกับเซ็กซ์มันไม่เกี่ยวกัน เซ็กซ์น่ะมีกับใครก็ได้เอาจริงๆ แต่เราก็แค่ควรมีเซ็กซ์กับคนที่เรารักเท่านั้นแหละ ยอมรับนะว่าตอนที่ได้ป๊ามกับพี่มันผมก็รู้สึกดีมากจริงๆ ตอนนี้ผมอาจจะยังไม่รักพี่มันแต่ว่า...

ในอนาคตก็อาจจะไม่แน่ก็ได้นะครับ

ไว้รักเมื่อไหร่ค่อยเป็นแฟนละกันเนอะ

“ ว่าไงหืม ”

“ ไม่คบอ่ะ ”

“ งั้นก็ตามใจมึงนะ ” พี่มันยกมือผมขึ้นมาจุ๊บเบาๆ “ ถึงเราจะไม่ได้เป็นแฟนกันกูก็ยังเป็นผัวมึงอยู่ดี ” คนพูดยิ้มหวานจนแก้มปริ

“ แล้วมึงจะมาขอกูคบทำไมวะไอ้บ้า ”

“ ก็อยากทำให้มันเป็นทางการ ถึงตอนนี้ยังไม่ได้คบกันแต่สักวันยังไงเราก็ต้องได้คบกัน ”

“ มึงดูมั่นใจจังเลยนะ ”

“ มั่นใจสิ กูรักมึงไปแล้วนะไม่มีใครมาทำให้กูเปลี่ยนใจจากมึงได้แน่ๆ แล้วก็แน่นอนว่ากูคงไม่ปล่อยให้ใครมายุ่งกับมึงแน่ๆ ”

“ แล้วถ้ากูไปยุ่งกับคนอื่นเองอ่ะ ”

“ ก็จะปล้ำจนกว่าจะขาดใจตายอ่ะ ” ทันทีที่มันพูดจบผมก็ตีไหล่มันไปแรงๆอีกครั้ง “ ตีกูทำไมเนี่ยะ ”

“ ความคิดมึงมันบ้ากามมาก ”

“ ทำดา เป็นแค่กับเมียนะเพราะว่าเมียเป็นคนพิเศษ ” คนพูดก้มหน้าลงมาจุ๊บลงบนปากผมเบาๆ “ ถ้ามึงไปยุ่งกับคนอื่นกูก็คงจะงอแง ดราม่า ทำตัวบัดซบไปกินเหล้าจนเมาแล้วก็ไม่ไปเรียน มันอาจจะเป็นอะไรแบบนั้น ”

“ จะขนาดนั้นเลยหรอวะ ”

“ ใช่น่ะสิเพราะงั้นไม่ต้องไปสนใจคนอื่นหรอก ” มือเรียวยกขึ้นมาดึงแก้มผม “ สนใจแค่กูก็พอแล้ว ”

ฉ่า

โอเคยอม

ยอมแล้วครับ

“ เออ รู้แล้ว ” ผมจับมือมันที่ดึงแก้มผมอยู่ออกก่อนจะขยับตัวเข้าไปกอดพี่มันไว้ “ ขอบคุณที่ซื้อของกินมาให้นะ ”

“ หอมแก้มกูสักฟอดสิ ”

ฟอด

ผมกดจมูกลงบนแก้มขาวก่อนจะซุกหน้าไว้ที่ไหล่พี่มันเหมือนเดิม “ อย่าหายไปไหนอีกนะ ” ผมย้ำกับพี่มันอีกครั้ง

“ จะไม่หายแล้วครับ ” สัมผัสอุ่นจากฝ่ามือที่ลูบหัวผมเบาๆทำให้ผมหลับตาพริ้ม

ไม่คิดว่าโมเม้นต์นี้จะเกิดในชีวิตจริงๆครับ ไม่คิดว่าจะเกิดกับพี่มันด้วย อยากรู้เหมือนกันนะว่าชีวิตหลังจากนี้จะเป็นยังไง ความสัมพันธ์ที่ไม่ได้คบกันแต่เป็นของกันและกันมันจะเป็นยังไง แล้วก็อยากรู้ว่าจนกว่าจะถึงวันที่ผมรักพี่มันขึ้นมาจริงๆมันจะยังคงรักผมอยู่เหมือนเดิมไหม เรื่องนี้ก็ต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ต่อไป

โครกคราก

“ เอิ่ม....ท้องร้องดังขนาดนี้กินข้าวก่อนไหมครับเมีย ”

เออกูว่าก็ดีเหมือนกัน

“ เอากะเพราไก่นะ ”

ไว้กินข้าวเสร็จค่อยมานอนกอดกัน

เนอะ








TBC.

#หยัมปอง

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้า
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 14 : 6/10/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 06-10-2017 21:25:09
อื้อหือ สายเปย์ สายเกรงใจเมีย สินะ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 14 : 6/10/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 07-10-2017 07:57:37
หุ้ยๆๆๆๆๆ.  น่ารักน่าชังจังเลยๆๆๆ.
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 14 : 6/10/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 07-10-2017 10:22:17
ถ้าพ่อได้อ่านไดอารี่พ่อจะเป็นยังไงล่ะสมปองงงงงงง
มาเรียนแล้วยังได้ลูกเขยฝากพ่อด้วย

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 15 : 7/10/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 07-10-2017 22:21:33
บทที่ 15 ไม่ง้อโดนงั่ม


เชื่อป้ะ

ผ่านไป 3 วันแล้วผมยังเดินแบบคนปกติไม่ได้

น่าเศร้าใจว่ะ

ตอนนี้ผมนั่งมึนอยู่ที่ม้านั่งหน้าตึกวิศวะครับ เพื่อนๆยังไม่มาเลยสักคนนั่นก็เพราะว่าผมมาไวกว่าชาวบ้าน ที่มาไวกว่าชาวบ้านก็เพราะพี่สยามมันลากมาไง ความจริงผมมีเรียนตอนเที่ยงครึ่งแต่พี่มันเรียนตอนเก้าโมงครึ่ง ไม่เข้าใจว่าจะรีบพาผมมาที่มอทำไม มาเองก็ได้นะความจริงอ่ะ ถึงจะเดินขาถ่างๆอยู่แต่ก็มาเองได้

บอกอะไรไม่เคยจะเชื่อกูหรอก

ผมหยิบไดอารี่สีขาวขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะก่อนจะหยิบปากกาตามออกมา ตั้งแต่เสียตัวมายังไม่ได้เขียนไดอารี่เล่าเรื่องราวชีวิตให้พ่อฟังเลยครับ คือไม่ได้จะเขียนไปตรงๆว่าเสียตัวหรือมีผัวแล้วนะเดี๋ยวพ่อจะช็อคเอา

เอาล่ะตั้งสตินะสมปอง



อะไรที่มันเป็นครั้งแรกที่มันเจ็บจังเลยนะพ่อ

ชีวิตของผมตอนนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไปเยอะเลยครับ แต่ผมยังบอกพ่อไม่ได้ผมยังไม่พร้อม ไว้กลับไปบ้านก่อนละกัน ตอนนั้นผมคงจะพร้อมเล่าทุกอย่าง คืออยากจะบอกว่าตอนนี้ลูกพ่ออยู่ดีกินดีและอุดมสมบูรณ์มากเลยนะ ช่วงนี้พี่สยามมันเลี้ยงผมดีมากเลย เงินที่พ่อส่งมาให้ใช้นี่เหลือเก็บอ่ะบอกเลย เพราะผมพาผลาญแต่เงินพี่มัน

ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ

ตอนนี้ผมก็เริ่มยุ่งๆอ่ะพ่อเพราะว่าผมเป็นประธานคณะกรรมการนักศึกษา นี่เมื่อหลายวันก่อนก็เพิ่งไปประชุมเรื่องค่ายอบรมพิเศษของสาขามา เป็นไง ซึ้งใจไหมครับที่ลูกพ่อมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เออเขาให้เสนอกิจกรรมที่ทำในค่ายด้วยนะ ผมเสนอไปให้แสดงละครเวทีแบบที่ผมเคยทำตอนม.6 พ่อจำได้ไหมที่ผมต้องไปเล่นเป็นสโนว์ไวท์อ่ะ นั่นแหละแบบนั้นเลย เชื่อไหมพ่อว่าสิ่งที่ผมเสนอมันผ่านด้วยนะ เดี๋ยวผมก็จะต้องเขียนข้อมูลและส่งให้พี่เขา งานของผมมันจะต้องออกมาดีแน่ๆ

เป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ

รักพ่อเด้อ คิดถึงมากๆ

21 / 9 / 20**XX : สมปอง



เสร็จเรียบร้อย

ลายมือนี่ต่อให้ไม่เมาก็เขียนไม่รู้เรื่องว่ะ

ผมเก็บไดอารี่เข้ากระเป๋าก่อนที่เพื่อนๆจะมาเจอมันก่อนครับ ไดอารี่นี่นอกจากผมกับพ่อแล้วใครก็ห้ามเห็นเด็ดขาดเพราะว่ามันเป็นความลับระดับชาติ และโดยเฉพาะพี่สยาม ถ้ามันเห็นไดอารี่เล่มนี้แม่งต้องฆ่าผมทิ้งแน่ๆแม้ว่าผมจะเป็นเมียมันก็เถอะ

แน่ล่ะเขียนด่ามันไว้เต็ม

“ ปอง ” ผมหันไปตามเสียงเรียบก็พบกับสมแยมครับ มันวางกระเป๋าก่อนจะนั่งลงข้างผม “ ทำไมมาไวจังวะ ”

“ กูเบื่อๆอ่ะเลยว่าจะมานั่งส่องสาว ” บอกปัดมันไปครับจะบอกพี่สยามมันลากมาก็ไม่ได้เดี๋ยวสมแยมจะสงสัยเอา

“ แล้วเจ้าขาอ่ะ ”

“ เจ้าขาเค้ามีแฟนแล้วว่ะ ”

“ พี่สยามหรอ ”

“ ไม่ใช่ พี่มันเป็นพี่ชายของเจ้าขาอ่ะ ส่วนแฟนของเจ้าขาเป็นใครกูก็ไม่รู้ว่ะ ” พูดถึงก็อยากรู้เหมือนกันเนี่ยะ ไว้ถามพี่สยามมันดีกว่า

“ แล้วมึงยังจะแย่งเจ้าขามาจากแฟนเค้าอีกไหมวะ ”

ผมส่ายหน้าทันที “ ไม่ดีกว่าว่ะ ไว้กูหาสาวคนใหม่ ”

ถ้าหาได้อ่ะนะ

แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าไม่มีสาวเจ้าคนไหนเข้าตาผมเลยสักคน อาจเพราะนึกถึงคำพูดดราม่าของพี่สยามมันนั่นแหละที่บอกว่าอย่าให้ผมไปสนใจคนอื่น สิ่งที่พี่มันบอกกับผมนั่นมันไม่ใช่คำสั่งนะครับแต่มันคือคำขอร้อง แล้วถ้าผมไปสนใจคนอื่นนี่ก็เหมือนผมใจร้ายกับมันมากอ่ะ

“ ละนี่มึงเป็นไงบ้าง หายไปหลายวันเลย ” สมแยมมันหยิบชีทออกมาให้ผม

“ ก็ดีขึ้นแล้วแหละ ขอบใจมากที่เก็บชีทมาให้กู ” ผมมองชีทปึกใหญ่ที่อยู่ในมือ คือไม่ได้มาเรียนสามวันนี่ชีทเยอะชิบหายขนาดนี้เลยหรอ นี่จะให้เอาไปอ่านหรือเอาไปถมที่กันแน่วะ

“ ไม่เป็นไร กูยินดีช่วยมึงเสมออ่ะ ”

“ เออแล้วนี่ทำไมมึงมาไวจังวะ ”

“ คือกูมา....คือ ” สายตามึงลอกแลกมาเพื่อนรัก เออไม่เป็นไรไม่อยากบอกกูก็ไม่ต้องบอก

“ เออช่างแม่งเหอะกูไม่อยากรู้ละ ” ผมมองไปพบร่างบางที่กำลังเดินหาวมาตั้งแต่ไกล ใบหน้าบ่งบอกถึงความง่วงสุดขีด

อดหลับอดนอนมาจากไหนวะน่ะ

“ ไม่ได้นอนหรอลันตา ” สมแยมมันเอ่ยถามสมลันด้วยความเป็นห่วงทันที

“ อืม มามอแล้วหรอมึง กูนึกว่าจะตายห่าไปละ ”

ผมเบ้ปากใส่อีงูพิษทันที “ ถ้ากูตายกูจะไปหลอกมึงคนแรก ”

“ มาเถอะ กูจะจับมึงถ่วงน้ำซะ ” อีงูพิษมันมองค้อนใส่ผมก่อนจะเอนตัวลงนอนหนุนตักสมแยมทันที “ ยืมตักหน่อย ”

“ ทำไมไม่นอนล่ะเมื่อคืน ” สมแยมถามพลางลูบหัวคนที่นอนอยู่ไปด้วย ฟีลมึงสองคนนี่โคตรผัวเมียเลยว่ะ

นี่แอบไปได้กันตอนกูไม่อยู่ป้ะเนี่ยะ

“ กูนั่งทำเลคเชอร์ฟิสิกส์อ่ะดิ่ เสร็จเมื่อกี้นี้เอง ”

ผมนั่งเท้าคางมอง “ ขยันเนอะ ”

“ กูไม่ใช่มึงหนิ ”

จุก

จุกเลยดิ่ปอง

ผมทำหน้ามุ่ยใส่มันก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่น ไม่คุยกับมึงแล้วเชอะ ตอนนี้มันประมาณ 11 โมงแล้วครับ มีไลน์เข้ามาด้วยว่ะชื่อที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าจอนั่นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน

พี่สยามนั่นเอง

สยาม : อยู่ไหน

สยาม : ตอบสิครับ

สยาม : มึงจะตอบกูไหมห้ะอีเมียยยยยยยยย * สติ้กเกอร์หมีไฟลุก *


อารมณ์มึงขึ้นภายใน 3 นาทีเลยเนอะ

สมปอง : เพิ่งเห็น ไลน์มันไม่เด้ง

สยาม : มึงอยู่ไหนเนี่ยะ

สมปอง : ม้านั่งหน้าตึก แล้วทำไมไม่ตั้งใจเรียนห้ะ เล่นโทรศัพท์ทำไม

สยาม : เลิกแล้ว เดี๋ยวอาจารย์ของวิศวะเค้ามีประชุมกัน คลาสบ่ายยกคลาสหมดเลยนะ

ยกคลาสหมดเลย

“ เย่!!!!!! ” ผมลุกขึ้นชูมือแล้วแหกปากลั่นหน้าตึกคณะ

“ มึงจะแหกปากทำซากอะไรวะ ” สมลันที่นอนอยู่ถีบเข้าที่สีข้างจนผมเซ มึงนี่แรงเยอะจังวะอีเตี้ย

“ มีอะไรหรอปอง ”

“ ยกคลาส คาบบ่ายอาจารย์เค้าไปประชุมกันพี่สยามมันบอกมา ”

อีงูพิษมันลุกขึ้นมานั่ง “ ดูมึงสนิทกับพี่สยามจังเลยนะ ” อย่าจ้องอย่างจับผิดแบบนั้นได้ไหมลันตาเพื่อนรัก

“ มันเป็นพี่รหัสกูหนิ จะสนิทกันก็ไม่เห็นแปลกป้ะวะ ”

“ มันจะใช่หรอ ”

ผมยืนมองสมลันมันนิ่งๆ มึงนี่นอกจากจะเป็นงูพิษแล้วยังเป็นงูที่จ้องจับผิดเก่งด้วยสินะ นี่ดีนะครับว่าสมเทียนมันยังไม่มาอ่ะ ไม่งั้นผมคงโดนจับผิดหนักเข้าไปใหญ่ ผมไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าจะปิดเรื่องของผมกับพี่สยามมันไปได้อีกนานแค่ไหน ผมคิดว่ายังไงพวกเพื่อนๆก็ต้องรู้กันสักวันแหละ

แต่ว่าเอาเป็นวันหลังก็แล้วกัน

ไอ้เด็กเปรต**!!!!** ” ผมสะดุ้งทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น พอหันกลับไปด้านหลังก็พบร่างสูงถือโทรโข่งทำหน้าบึ้งอยู่หน้าตึก

ไปแดกรังแตนที่ไหนมาอ่ะ

“ เสียงดังทำไมวะไอ้สัสสสส ” ผมแหกปากตอบกลับมันไป

พี่มันเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม “ อ่านไลน์แล้วทำไมไม่ตอบ

“ กูคุยกับเพื่อนอยู่ มึงก็แปปนึงสิกูอ่านไม่ถึงสามนาทีเลยมั้ง ”

มึงนี่มัน.....

“ พี่สยามสวัสดีครับ ” เสียงสมแยมมันเอ่ยทักพี่มัน ดีมากเพื่อนแยมที่ช่วยห้ามศึกในครั้งนี้

“ พี่สยามเห็นพี่ขุนไหม พี่ขุนบอกว่าให้ผมไปเอาชีทอ่ะ ”

ไอ้ขุนอยู่บนตึกมั้งมึงลองขึ้นไปดูนะลันตา ส่วนมึงไอ้เด็กเปรต ” พี่มันล็อคคอผมไว้ “ ไปกับกู ” ว่าแล้วแม่งก็ลากผมไป

ลากกูเหมือนกูเป็นตุ๊กตาตัวน้อยๆ

เฮ้อ

พี่มันลากผมมาจนถึงลานจอดรถครับ จากนั้นมันก็จัดแจงยัดผมขึ้นรถมินิคูเปอร์ของมัน ผมก็ได้แต่มองนิ่งๆปล่อยให้มันทำตามใจชอบไป อยากทำไรทำเลยพี่มึง เอาที่สบายใจนะ

ผมยังปวดเอวอยู่ไงเลยไม่อยากสู้

ไว้หายดีก่อนเถอะไอ้สัสมึงเจอกูแน่

วันนี้มึงแปลกๆนะ ” ไอ้คนที่นั่งอยู่ข้างๆผมเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ

“ มึงอ่ะแปลก ”

กูแปลกตรงไหน

“ แปลกตรงที่อยู่บนรถแล้วยังพูดผ่านโทรโข่งอยู่ไงไอ้ฟายยยยย!!!! ” ผมแย่งโทรโข่งมาจากมือพี่มันก่อนจะโยนไปไว้เบาะหลัง “ หูกูจะแตกอยู่แล้วเนี่ยะ ”

“ เออแบบนี้ค่อยดูเป็นมึงหน่อย ” พี่มันยิ้มหวานก่อนจะยกมือขึ้นมาขยี้หัวผม

“ มึงเป็นบ้าป้ะเนี่ยะ เมื่อกี้กูด่ามึงนะ ” คนไรวะโดนด่าแล้วก็ยิ้ม ประสาทแดกไปแล้ว

พี่สยามมันทำหน้ามุ่ยใส่ผม “ มึงก็ด่ากูอยู่ตลอดนั่นแหละอีเมีย ”

ผมนั่งมองมันพลางอมยิ้ม อารมณ์มึงนี่เปลี่ยนไว้ชิบหายอ่ะพี่ ถ้ามึงเป็นผู้หญิงกูคงคิดว่ามึงเป็นเมนส์อ่ะ ตลกว่ะ ด่าแม่งเมื่อกี้แม่งก็ยิ้มออกมาเฉย นี่คิดว่าจะโดนกระชากเข้าไปปู้ยี่ปู้ยำแล้วนะเอาจริงๆ ผิดคาดเหมือนกันนะเนี่ย เมื่อตอนกลางวันพี่มันไปกินอะไรผิดสำแดงมาป้ะวะ

“ ไม่ง้อกูหน่อยหรอ ”

ห้ะ

“ ง้ออะไรมึงวะ ”

“ กูงอนมึงอยู่นะ ”

“ งอนทำไม กูยังไม่ได้ทำอะไรเลย ” วันนี้พี่มันเดาอารมณ์ยากจริงๆแหละ เมื่อกี้เพิ่งบ้าตอนนี้แม่งงอนไปละ

แล้วงอนอะไรของแม่งก็ไม่รู้

“ ไม่รู้แหละ ง้อกูเลยนะ ” พี่สยามมันยกมือขึ้นกอดอกพร้อมกับเหลือบมองผมแล้วยกยิ้ม “ ไม่ง้อกูงั่มนะ ”

หวังแบบนี้ไว้ตั้งแต่แรกสินะอีเลว

ผมนั่งมองพี่มันเอือมๆ มันเองก็มองผมเหมือนกัน ทำไมคนข้างหน้าผมมันถึงได้เจ้าเล่ห์ขนาดนี้วะ อยู่ดีดีมันก็งอนให้ผมง้อ ถ้าไม่ง้อมันจะแดกผม เนี่ยะจ้องแต่จะแดก ใช่ซี้มึงเป็นคนกระทำนี่ มึงไม่เข้าใจหัวอกคนถูกกระทำหรอก มึงไม่รู้หรอกว่าเจออะไรที่ใหญ่พอๆกับแขนตัวเองมันเจ็บปวดขนาดไหน

โหภาพกลับเข้ามาในหัวเลยว่ะ

“ จะไม่ง้อใช่ไหม ”

“ มึงมันร้ายอ่ะพี่ ”

“ ถ้าไม่ร้ายแล้วจะเอาเด็กดื้ออย่างมึงอยู่หรอ ”

“ มึงมันขี้โกงด้วย ”

“ ถ้าไม่โกงแล้วกูจะได้สิ่งที่ต้องการมารึไง ” พี่มันเลื่อนมือมากุมแก้มผม “ ง้อเร็วๆ เดี๋ยวพาไปกินชาบู ”

“ ชอบเอาของกินมาล่อกู ” ผมรั้งใบหน้าคมนั่นเข้ามาจนใกล้ “ เลวววว ” พอด่ามันจบผมก็เลื่อนริมฝีปากเข้าไปทาบทับ เจ้าของริมฝีปากบางนั่นก็รอรับสัมผัสจากผมอยู่แล้ว

เชื่อไหมครับว่าถึงจะจูบกับพี่มันหลายครั้งผมก็ยังไม่เคยรู้สึกชินกับมันสักที ลิ้นร้อนๆที่ไล่ต้อนลิ้นผมอย่างละเมียดละไมนั่นทำให้รู้สึกดีจริงๆ ผมชอบจูบที่อ่อนโยนแบบนี้นะครับเพราะมันให้ความรู้สึกว่าพี่มันอยากจะทะนุถนอมผม หลายคนคงจะสงสัยอยู่ในใจลึกๆนะครับว่าทำไมผมถึงยอมจูบพี่มันง่ายๆ

ไม่ได้จะง้อมันนะครับ

จะแดกชาบู!!!

ผมค่อยๆถอนริมฝีปากออกมาช้าๆ “ พอใจมึงยัง ”

พี่สยามมันยิ้มหวานให้ผม “ พอใจมากครับที่รัก ”

ที่รักก็มาว่ะ

“ อย่าพูดอะไรเลี่ยนๆได้ป้ะวะ ขนลุก ” ผมขยับกลับมานั่งเหมือนเดิมก่อนจะเบ้ปากใส่พี่มัน

“ ไม่ชอบรึไงพูดดีดีด้วยเนี่ยะ ”

“ ก็ชอบ แต่มันแปลกๆว่ะ ” ผมหยิบเอ็มแอนด์เอ็มในเก๊ะหน้ารถออกมา “ ไปสักทีสิ หิวเนี่ยะ ” มัวแต่ลีลาอยู่ได้กูจะได้แดกชาตินี้หรือชาติไหนวะ

“ ครับ ” พี่มันออกรถทันทีหลังจากผมบ่นเสร็จ ต้องให้สั่งก่อนสินะไอ้บ้านี่

ผมนั่งมองข้างทางพลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ตั้งแต่วันที่มีอะไรกันความสัมพันธ์ของผมกับพี่มันเปลี่ยนไปเยอะจริงๆเลยว่ะ สามวันที่ผมไม่ได้ไปเรียนพี่มันก็คอยดูแลผมอยู่ตลอดทั้งๆที่มันก็เรียนเยอะ ไหนจะงานของคณะที่มันต้องรับผิดชอบอีก ช่วงสามวันผมคือนอนตายอ่ะแบบร่างกายอ่อนล้า มีเป็นไข้ด้วยนะแต่ว่าไม่ได้หนักหนาอะไร เดี๋ยวจะต้องออกกำลังกายบ้างละจะได้แข็งแรงสู้พี่มันได้บ้าง อยู่กับแม่งนี่รู้สึกเหมือนตัวเองอ่อนแอลงทุกวันๆ

คนอ่อนแอมักจะโดนรังแกได้ง่ายๆ

“ พี่สยาม ”

“ หืม ”

“ ถ้าเลยช่วงส่งรายงานกิจกรรมค่ายอ่ะพาไปฟิตเนสหน่อยดิ่ ”

“ ได้สิ อยากออกกำลังกายหรอ ” พี่มันเหลือบมอง

ผมพยักหน้ารับ “ ใช่ จะได้ป่วยยากๆ ”

“ นี่ไงออกด้วยกันบนเตียง ”

ผมตีไหล่พี่มันแรงๆ “ มึงแม่งก็คิดแต่เรื่องแบบเนี้ยะ ” ไม่เคยจะว่างเว้นเลยนะไอ้สัส

“ อะไร กูหมายถึงแบบซิทอัพ วิดพื้น แพลง อะไรแบบเนี้ยะมันทำบนเตียงได้ ” พี่มันเลื่อนมือมาดึงแก้มผมแรงๆ “ คนที่คิดแต่เรื่องแบบเนี้ยะกูว่ามึงว่ามากกว่าอีเมีย ”

“ มึงไม่ต้องมาแถเลย ” ผมงับมือพี่มันที่ดึงแก้มผมแรงๆ “ รีบขับสิกูหิว จะแดกมึงแทนแล้วนะ ”

“ แดกเลย ยอม ” ไม่ต้องมายิ้มหวานเลยนะไอ้สัส

เดี๋ยวถ้ากินชาบูเสร็จแล้วกลับไปที่หอผมอาจจะเขียนไดอารี่เพิ่ม อยากจะบอกพ่อครับว่าวันนี้พี่สยามมันเป็นเมนส์ อาการมันแปลกๆ อารมณ์มันแปรปรวนคาดเดาอะไรไม่ได้สักอย่าง มันอยากด่ามันก็ด่า มันอยากพูดเพราะมันก็พูด จะอ้อนจะหื่นจะอะไรแม่งทำตามใจตัวเองชิบ

นิสัยไม่ดีเลยว่ะ

พี่มันเลื่อนมือมากุมมือผมไว้ “ วันนี้กูไปนอนด้วยนะ ”

“ หอตัวเองไม่มีนอนหรอ ”

“ หอตัวเองน่ะมี ” มือเรียวยกมือผมขึ้นไปจุ๊บเบาๆ “ แต่ที่หอกูมันไม่มึงให้นอนกอดนี่สิ ”

ตึกตัก

ใจสั่นเลยตัวกู

“ มึงนี่มันจริงๆเลยนะไอ้พี่บ้า ” ผมหันหนีมองข้างทาง เขินครับไม่ไหวๆ ใจบางไปหมดแล้ว

ชีวิตมาถึงจุดนี้ได้ยังไงก็ไม่รู้นะครับงงมาก

มหาลัยนี่สุดยอดเลยจริงๆว่ะ เรื่องที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นก็เกิดขึ้น มันมีทั้งดีและไม่ดีแต่ทุกอย่างผมก็มองว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ดีเพื่อให้เราดำเนินชีวิตได้ต่อไป พูดเองก็ซึ้งเอง รู้สึกเหมือนตัวเองโตขึ้นเยอะมากๆหลังจากที่....

นั่นแหละ

ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้อีกบ้าง

แต่ก็สู้ๆนะตัวกู

“ ยิ้มทำไม เป็นบ้าหรอวะเมีย ”

เหนื่อยใจกับมึงจริงๆว่ะพี่เอ้ย

คิดถูกหรือคิดผิดที่ยอมเป็นเมียมึงเนี่ย

บัดซบจริงๆ






TBC.

#หยังปอง

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 15 : 7/10/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 08-10-2017 00:05:38
อยากเจอสยามแบบนี้ในชีวิตจริงมั่ง
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 15 : 7/10/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 08-10-2017 12:13:15
ว่าแต่พี่สยามทำไมชอบพูดใส่โทรโข่ง
อะไรคือสมลัน สมเทียน สมแยม ห๊ะ สมปอง :laugh3: :laugh3: :laugh3:


 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 15 : 7/10/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 08-10-2017 19:18:44
พี่สยาม ดูล้นๆแปลกๆนะ เรื่องใช้ลำโพงพูดใส่คน ใส่สมปอง

แต่สมปองนี่อยู่ๆก็เป็นประธานชั้นปีหนึ่ง ง่ายจริงๆ
เพราะเพื่อนหักหลังสินะ

พอมีอะไรกับสมปอง พี่สยามยิ่งตัวติดสมปองซะ   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 16 : 8/10/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 08-10-2017 22:20:57
บทที่ 16 สมปองคนบาป


สมปองและงานชิ้นแรกในตำแหน่งประธานนักศึกษาของเขานั้น

ปวดประสาทมาก

อยากผูกคอตายอ่ะ

หลังจากที่เลิกเรียนแล้วผมก็กลับมาใช้ชีวิตอันแสนรันทดอยู่ที่หอผมเพียงคนเดียว ตอนนี้กำลังเร่งทำแบบกิจกรรมที่ใช้ในค่ายอยู่ มันยากตรงที่มันต้องเขียนให้เป็นกิจกรรมแบบทางการนี่แหละ มันต้องมีจุดประสงค์ วิธีการดำเนินงาน เป้าหมายของกิจกรรม ความคาดหวังในกิจกรรมนี้ บลาๆๆๆ

เฮ้อ

“ ปวดใจ ” ผมบ่นก่อนจะเริ่มพิมพ์งานกิจกรรมอีกครั้ง แม่งจะออกมารู้เรื่องไหมวะนี่หวั่นใจมาก มันเป็นงานแรกของผมเป็นไปได้ก็อยากจะให้มันออกมาดีที่สุดให้มันสมกับฐานะของประธานนักศึกษา

เอาว่ะๆ ใจมาละ

ผมต้องรีบพิมพ์ให้เสร็จด้วยครับเพราะว่าต้องให้พี่สยามมันดูก่อนที่จะถึงมือพี่ขัน แล้วก็พรุ่งนี้แล้วด้วยที่ต้องทำงานนี้ให้เสร็จ ป่านนี้ผมว่าพี่มันคงเลิกเรียนแล้ว อีกไม่นานมันต้องเสนอหน้ามาที่นี่แน่นอน โทรไปบอกให้ซื้อข้าวมาให้ด้วยไม่รู้ว่าจะซื้อมาให้รึเปล่า เพราะฟังจากน้ำเสียงนี่ดูเหมือนคนไม่มีสติอ่ะ ตอนกลางคืนบอกให้นอนแม่งไม่เคยจะเชื่อหรอก มัวแต่เล่นเกมอยู่นั่น แม่งสนใจเกมมากกว่าผมที่นอนอยู่ข้างๆอีกคิดดู

น่าหมั่นไส้ชิบ

อยากจะบอกว่าทุกวันที่ไปมอนี้ต้องคอยหลบสายตาจับผิดจากงูพิษอย่างลันตากับสีเทียนอยู่ครับ พวกมันสงสัยในความสัมพันธ์ของผมกับพี่สยามไง อีพี่เองก็นะ คิดจะทำอะไรก็ทำโนแคร์โนสนโนแม่งทุกอย่าง ทุกครั้งที่มันลวมลามผมข้างนอกนี่ผมอยากจะจับหัวมันโขกพื้นให้ตายๆไปซะ ไม่รู้ว่ามันจะตายอดตายอยากมาจากไหน ไม่ใช่ว่าอยู่ห้องกับผมมันไม่ทำนะ มันก็ทำ เดี๋ยวกอดเดี๋ยวหอมอะไรของแม่งนักหนาไม่รู้

ช้ำไปหมดทั้งตัวแล้วผมเนี่ยะ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เคาะรัวแบบนี้มีอยู่คนเดียวเท่านั้นแหละครับ

ตายยากชิบหาย

“ เปิดเข้ามาเลยกูไม่ได้ล็อค ” สิ้นเสียงผมตะโกนบอกประตูก็เปิดออก ปรากฏร่างสูงที่สวมเสื้อช้อปสีน้ำเงินเข้มเดินเข้ามาในสภาพโซเซสุดๆ

ไหนข้าวกูอ่ะ

“ เมียยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ” พี่มันแหกปากก่อนจะกระโจนเข้ามากอดผมจนตัวเอน

“ เป็นอะไรของมึงเนี่ย ”

“ จะตายแล้ว ”

“ ทำไมจะตาย ไหนข้าวกูอ่ะ ”

“ เหนื่อยอ่ะ งานเยอะมากเลย ” พี่มันเอ่ยออกมาเสียงอ่อน หน้าก็ซุกอยู่ที่ซอกคอผม

ผมยกมือลูบหัวพี่มัน “ อดทนหน่า เมื่อก่อนมึงก็ผ่านมาได้ไม่ใช่รึไง แล้วไหนข้าวกูเนี่ย ”

“ เมื่อก่อนกับตอนนี้มันไม่เหมือนกัน ” มันกอดผมแน่นขึ้น “ กูเหนื่อยมากเลย ”

คงจะเหนื่อยมากจริงๆสินะ

ผมลูบหัวปลอบมันไปเงียบๆ พร้อมกับปล่อยให้มันนั่งกอดอยู่แบบนั้น พี่มันก็บ่นว่าเหนื่อยให้ผมฟังบ่อยๆนะครับแต่วันนี้นี่คงจะหนักจริงๆ ช่วงหลายวันมานี้พี่มันมีทั้งงานของคณะที่ต้องทำ แล้วก็ต้องอ่านหนังสือเพราะมีควิซย่อยอีก แต่มันก็น่าตบตรงที่กลางคืนมันไม่ยอมนอนนี่ล่ะนะ ถ้ามันพักผ่อนบ้างผมว่าร่างกายมันก็คงไม่น่าจะเหนื่อยขนาดนี้

มันน่าดุจริงๆ

เออว่าแต่ ไหนข้าววะ

“ มึงได้ซื้อข้าวมาให้กูป้ะเนี่ยพี่ ”

“ ข้าวอะไรอ่ะ ”

นั่นไง

“ ก็กูโทรไปหามึงให้ซื้อข้าวเข้ามาให้ไง ”

พี่มันผละขึ้นมามองผมตาแป๋ว “ มึงโทรหากูด้วยหรอวันนี้ ”

“ โทรสิวะ มึงมีสติไหมเนี่ย นี่กี่นิ้ว ” ผมชูนิ้วขึ้นสองนิ้วให้มันดู

“ สองนิ้วไง ”

“ ห้า กูไม่ได้ถามสักหน่อยว่ากูชูกี่นิ้ว เนี่ยะมึงไม่สติ ”

“ แหม่ไอ้สัส ถ้าไปถามคนอื่นเค้าก็ต้องตอบสองนิ้วแบบกูแหละ ” มันบอกก่อนจะมองค้อนใส่ผม เดี๊ยะก็ตบตาหลุดเลยหนิไอ้สัส

“ ไม่รู้แหละ ไปซื้อข้าวมาให้กูเลยนะ ”

“ อื้ออ.อ.อ.อ.....” พี่มันซุกเข้าที่ซอกคอผมเหมือนเดิม “ ยังไม่หายเหนื่อยเลย ”

“ ค่อยกลับมากอดไป ไปซื้อข้าวมาก่อนกูหิวเนี่ย วันนี้ยังไม่ได้กินอะไรเลย ” ตอนนี้หิวจนจะแดกหัวมึงได้เลยนะ

ที่วันนี้ไม่ได้กินอะไรก็เพราะว่าเมื่อเช้าพี่สยามมันตื่นสาย ผมก็เลยพาลสายไปด้วย ละวันนี้มันเป็นวันที่ผมเรียนยาวติดกันหลายชั่วโมงไม่เว้นคลาสไงครับ ก็เลยแบบจะรอกินข้าวตอนเลิกทีเดียว และด้วยความไว้ใจที่ผมมีต่อพี่มันผมก็เลยฝากมันซื้อข้าวไง แต่วันนี้แม่งเกิดเอ๋อแดกไงเลยไม่ได้ซื้อมา

“ ไม่มีแรงจะไปเลย ” พี่ผละขึ้นมาก่อนจะทำแก้มป่องยื่นมาทางผม

เอาอีกละ

“ ไม่เล่นนะ รีบไปซะก่อนที่กูจะโมโหหิวไปมากกว่านี้ ”

“ ไม่มีแรงไป ” ไม่มีแรงหน้ามึงอ่ะ ข้ออ้างเยอะชิบหาย

“ พี่สยาม ”

“ ไม่มีแรงไป ” มึงนี่มัน...

ฟอด

“ ไปได้แล้ว ”

“ ก็ยังไม่มีแรงอยู่อ่ะ ”

ฟอดดดดดด

ฟอดดดดดด

ฟอดดดดดด

“ แรงมารึยังห้ะ ” ผมฟัดแก้มพี่มันอย่างเอาเป็นเอาตาย จะได้แดกไหมเนี่ยข้าวเนี่ย

“ โอ้ย แรงมาแล้วครับ พอแล้ว ” พี่มันดึงแก้มผมออกพร้อมกับยิ้มหวาน “ เขินจัง ”

“ เขินเชี่ยไรไปได้แล้ว กูหิว ” ผมส่งสายตาอำมหิตไปให้มัน “ เดี๋ยวกูก็ให้นอนนอกห้องหรอกคืนนี้ ”

“ งื้ออ.อ...ไม่เอานะ จะไปเดี๋ยวนี้แหละ ” พี่มันรีบหยิบกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ผมแล้ววิ่งออกไปจากห้องทันที

เออ ให้มันรู้เรื่องซะบ้าง

ผมลงมือพิมพ์งานต่อ นี่ไม่รู้ว่าอะไรมันดลใจให้พี่มันเปลี่ยนไปเป็นเด็กปัญญาอ่อนได้ขนาดนี้ นี่หรอที่บรรดาเหล่ากระเทยเขายกย่องให้มันเป็นผู้ชายสุดคูล ผมว่ามันออกจะติงต๊อง เวลาอยู่ที่ห้องด้วยกันนี่ไม่เหมือนอยู่กับผัวนะครับเหมือนอยู่กับลูก นี่ก็ต้องทำให้โน่นก็ต้องทำให้ ไม่ได้ดั่งใจก็งอแงเป็นเด็กๆ

ไม่ได้ใส่ไฟนะครับนี่คือความจริง

ครืดด.ด.ด.....ครืดด.ด.ด.....

ใครโทรมาวะ

ผมเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ก่อนจะกดรับสาย “ ฮัลโหล ”

( มึงจะกินข้าวอะไรครับเมีย )

“ เอากะเพราไก่ ”

( เผ็ดไหม )

“ เผ็ดน้อย ”

( เอากะเพราไก่เผ็ดน้อยครับ ใส่ถั่วฝักยาวด้วยมะ )

“ ใส่มาก็ได้ ”

( ละใส่เห็ดไหม ) กะเพราไก่ห่าไรใส่เห็ดวะ

“ ไม่ใส่ ”

( ข้าวโพดอ่ะใส่ไหม เอาแครอทด้วยรึเปล่า )

“ มึงกวนตีนกูป้ะเนี่ย ”

( ไม่ได้กวนตีนนี่ถามจริงนะ )

“ เออใส่ๆมาเดี๋ยวถ้าไม่แดกเดี๋ยวเขี่ยออกเอง แค่นี้แหละ ” ผมกดวางสายก่อนจะพิมพ์งานต่อ ทำไมผมต้องมาหัวร้อนเพราะกะเพราไก่กล่องเดียววะไม่เข้าใจเลย

ตอนนี้งานกิจกรรมของผมมาจนถึงสิ่งที่คาดหวังแล้วครับ พอใส่สิ่งที่คาดหวังนี่ก็จะเสร็จละ ต่อไปคือให้พี่สยามมันอ่าน ถ้ามันยังไม่เวิร์คก็เดี๋ยวค่อยแก้ ผมว่ายังไงมันก็ต้องเสร็จทันวันนี้นี่แหละ

ครืดด..ด....ครืดด.ด.ด....

โทรมาทำไมอีกวะ

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสายอีกรอบ “ ก็ให้ใส่มาทุกอย่างไง ไม่เข้าใจที่พูดหรอไอ้สัส ”

( ใจเย็นก่อนนะพ่อหนุ่ม )

ชิบหายละ เสียงนี้มัน....

“ พ่อ ”

( ใช่ พ่อไง )

“ ลูกขอโทษครับ นึกว่าเป็นเพื่อนอ่ะ ไม่ได้ตั้งใจจะไอ้สัสใส่พ่อจริงๆนะ ” ตายไปจะตกนรกไหมเนี่ยะปองเอ้ย

( ไม่เป็นไร เป็นไงเรา ไม่โทรมาหาบ้างเลยนะ )

“ ลูกก็สบายดีครับ แต่ช่วงนี้เหนื่อยหน่อย ”

( ถ้าเรียนวิศวะแล้วมันเหนื่อยก็ย้ายไปเรียนบริหารซะไป )

“ โน้วๆๆๆ ไม่ย้ายครับพ่อ ลูกตั้งใจไว้ว่าจะเรียน ลูกก็ต้องเรียนได้สิ อีกอย่างนะลูกเขียนไดอารี่ไว้ให้พ่ออ่านเยอะเลยนะครับ ”

( อยากอ่านไวไวจัง จะได้สั่งให้ย้ายไปเรียนตามใจพ่อสักที )

“ นี่ก็จะให้ย้ายอย่างเดียวเลย ”

( จบปีเดี๋ยวก็รู้ )

“ โอ้ยไม่เอาแล้วไม่พูดเรื่องนี้สิ ว่าแต่พ่อสบายดีไหมครับ ไว้หยุดยาวเดี๋ยวลูกจะกลับบ้านนะ ”

( จะมาก็บอกด้วยล่ะ แล้วก็โทรหาแม่เค้าบ้าง บ่นว่าคิดถึงใหญ่แล้ว )

“ ครับ ไว้ลูกว่างลูกจะโทรหาแม่นะครับ ”

( ดีมาก....เดี๋ยวพ่อไปโรงบ่มไวน์ก่อนนะ ไว้จะโทรหาใหม่ ดูแลตัวเองดีดีล่ะสมปอง )

“ ครับพ่อ ลูกรักพ่อนะครับ ” ผมบอกก่อนจะกดวางสาย

โอ่ยยยย ใจสั่นไปหมดอ่ะ

ผมก็นึกว่าพี่สยามมันโทรมาก็เลยด่าไปซะ โถ่ที่ไหนได้ พ่อโทรมา จะว่าไปผมก็ไม่ได้คุยกับพ่อเป็นเดือนแล้วนะเนี่ย กับแม่ก็ด้วย ป่านนี้น้อยใจผมแย่แล้วมั้งเนี่ย ไม่เป็นไรเดี๋ยวค่อยโทรไปอ้อนๆ แม่ผมก็คงหายงอน แล้วก็นะเดี๋ยวจะต้องเตือนสติตัวเองให้ดูชื่อคนที่โทรมาแล้วล่ะครับ จะได้ไม่ไปไอ้สัสใส่ใครอีก

โคตรคนบาปเลยว่ะ

สมปองคนบาป

แอ๊ดดดดดด

“ มาแล้วครับ ” พี่สยามมันเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับชูกล่องข้าวให้ผมดู “ ข้าวของน้องปอง ”

อึ๊ยยย.ย....ขนลุก

“ อย่าเรียกน้องปองได้ไหม ”

“ ให้เรียกไร ตัวเองไหม หรือว่าที่รักดี ”

“ เรียกเด็กเปรตยังจะดีกว่าอีก ”

“ มึงนี่น้า ” พี่มันก้มลงมาดึงแก้มผมอย่างหมั่นเขี้ยว “ กูก็อยากพูดจาเพราะๆกับคนที่กูรักนะ ”

ตึกตัก

เชี่ยยยยยยย

ดาเมจห่านี่มัน...

ผมมองร่างสูงที่เดินไปหยิบจาน มือนี่ยกขึ้นมาทาบอกตัวเอง รับรู้ได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงขึ้น ทำไมวะกับอีแค่คำพูดแค่นี้ถึงทำให้ใจเต้นแรงได้ โคตรบ้าบอเลยว่ะ ผมส่ายหัวเพื่อตั้งสติก่อนจะพิมพ์งานต่อ อีกนิดเดียวก็จะเสร็จแล้วปองอย่าเพิ่งวอกแวก

“ นี่มึงทำงานไรอ่ะ ” พี่มันเทข้าวใส่จานให้ก่อนจะชะเง้อมองงานที่ผมพิมพ์อยู่

“ แบบงานกิจกรรมที่จะไปค่ายอ่ะ เนี่ยะจะเสร็จละ ”

“ อ๋อ ดีๆรีบทำเดี๋ยวกูจะได้ตรวจก่อนส่งพี่ขัน ” พี่มันตักข้าวมาจ่อปากผม

“ อะไรวะ ”

“ กินดิ่ รีบทำงานอยู่ไม่ใช่รึไงเดี๋ยวกูป้อน ”

“ เอางั้นอ๋อ ” เกิดมานี่นอกจากพ่อกับแม่แล้วไม่เคยมีใครป้อนข้าวอ่ะ

เขินแปลกๆไงไม่รู้ว่ะ

“ เออสิ อ้ามมมมมม ” ผมอ้าปากกินข้าวที่พี่มันป้อน เจ้าตัวเห็นผมยอมกินมันก็ยิ้มหวานออกมา “ อร่อยไหม ”

“ ก็งั้นๆอ่ะ ”

พี่มันทำหน้ามุ่ย “ มันต้องอร่อยสิ กูเป็นคนป้อนเลยนะ ”

“ ไม่เห็นจะเกี่ยว ” ผมเหลือบมองพี่มันพลางอมยิ้ม

คนที่นั่งอยู่ข้างๆก็คอยป้อนข้าวผมอยู่เรื่อยๆ กินเองบ้าง แกล้งผมบ้าง ไม่มีใครบอกหรอวะว่าตอนแดกห้ามเนี่ยะเขาห้ามแกล้งกัน อยากจะแช่งให้สำลักข้าวตายซะจริง แต่ก็ไม่ได้อีกถ้ามันตายไปใครจะรับผิดชอบชีวิตผมล่ะ จริงไหม และยิ่งตอนนี้ผมกำลังมีความสุขกับชีวิตที่มีพี่มันมาเป็นส่วนประกอบซะด้วย

มีคนดูแลเทคแคร์อ่ะใครมันจะไม่ชอบวะ

“ เสร็จแล้ว ” ผมบิดขี้เกียจไล่ความเมื่อยล้าออกไปทันทีหลังจากที่พิมพ์กิจกรรมเสร็จ

“ ไหน ” พี่มันส่งจานข้าวให้ผมก่อนจะหันโน้ตบุ๊คไปดู “ ทีนี้มึงก็ป้อนกูบ้าง กูจะไล่แก้ให้ ”

“ โอเค ” ผมตักข้าวก่อนจะจ่อที่ปากพี่มัน เจ้าตัวมองข้าวที่ช้อนแต่ดันมางับมือผมแทน “ อะไรของมึงเนี่ย ” ผมตีไหล่มันแรงๆ

“ มึงมันน่ากินกว่าข้าวอ่ะ ” พี่มันบอกพร้อมกับยิ้มหวาน

“ งั้นก็ไม่ต้องแดกข้าว ” ผมหันหนีมัน นิดๆหน่อยๆก็ยังจะเอาอ่ะนะไอ้บ้ากามนี่

“ งั้นแดกมึงแทนละกัน ”

“ โอ้ยยยยยยยย ไอ้พี่เชี่ยกูเจ็บนะ ” ผมตีมันแรงๆอีกครั้งก่อนจะยกมือลูบไหล่ตัวเอง เมื่อกี้มันกัดไหล่ผม กัดเต็มแรงเลยด้วย แม่งเป็นรอยฟันแน่เลยเนี่ย

“ ฮ่าๆๆๆๆๆ โอ๋ๆๆๆไม่แกล้งแล้ว ” พี่มันยิ้มหวานก่อนจะขยี้หัวผม “ จะกินดีดีละป้อนหน่อย ”

ผมจ้องมัน “ แกล้งอีกกูตบด้วยจานเลยอ่ะ ” เอาจริงนะไอ้สัสไม่ได้พูดเล่นๆ

“ โหดจัง ” พี่มันเริ่มไล่อ่านกิจกรรม “ ป้อนเร็ว หิว ”

ผมตักข้าวป้อนพี่มัน ทำไมคนตรงหน้านี่ต้องนิสัยไม่ดีแบบนี้ด้วยนะ มันเจ้าเล่ห์ มันหื่นกาม บางทีมันก็บ้า บางเวลามันก็ติงต๊อง โหมดอบอุ่นนี่จะมาก็มา โหมดขี้อ้อนนี่ก็ไม่ต่างกันเลย นี่คนหรือสภาพอากาศวะเนี่ยแปรปรวนชิบหาย ที่สำคัญคือผมทนอยู่กับมันมาได้ยังไงวะ

งงใจตัวเองสุดๆ

“ ปอง ”

“ หืม ”

จุ๊บ

“ รักนะ ”

โอ้ย

ยอมแล้วทูลหัว

ยอมล้าววววววววว





TBC.
หลังจากนี้ไรท์จะลงทุกวันพฤหัสบดีนะคะเพราะว่ามาถึงตอนที่เป็นปัจจุบันแล้ว
นอกจากเรื่องนี้แล้วไรท์ยังแต่งเรื่อง LoveWrite เขียนสื่อรัก ซึ่งเป็นเรื่องของขุนศึกอ่ะค่ะที่เป็นเพื่อนของพี่หยัมและเป็นพี่รหัสของลันตา ความจริงแล้วเรื่องนั้นน่ะเป็นเรื่องหลักของโปรเจ็กต์นี้ ไรท์คิดว่าอาจจะนำมาลงที่นี่ด้วย รออ่านกันได้นะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้า
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 16 : 8/10/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 09-10-2017 12:37:18
ทำไมไม่รู้อ่านแล้วรู้สึกรักตัวเองไงไม่รู้ๆๆ. 55
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 17 : 12/10/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 12-10-2017 21:26:10
บทที่ 17 สมปองไปฟิตเนส


ทำไมชีวิตของสมปองตัวน้อยๆจะต้องมาเจอกับแรงกดดันมหาศาลแบบนี้ด้วย

อื้ออ..อ....ปวดใจ

ผมนั่งมองพี่ขันที่กำลังนั่งอ่านรายงานที่พี่สยามมันเขียนเรื่องงานกิจกรรม หน้าพี่ขันแบบบึ้งมากๆอ่ะ เหมือนไม่พอใจอะไรสักอย่าง พอท่านเฮดว้ากแสดงสีหน้าแบบนั้นออกมา พวกรุ่นน้องอย่างผมก็ได้แต่นั่งเกร็งสิครับ นี่เกร็งจนขาชาสลับกับตะคริวกินละเนี่ยะ คนที่เกร็งกว่าผมนี่น่าจะเป็นพี่สยามครับเพราะมันเป็นคนแก้ไขและเรียบเรียงรายงานเล่มนั้นไง บรรยากาศในห้องนี่โคตรเงียบอ่ะ มีแค่เสียงเปิดหน้ากระดาษรายงานเท่านั้น

ปึง

“ เชี่ยยยยยยยยยยยยย ” เสียงตกใจของพี่เฌอดังลั่นขึ้นมา เจ้าตัวยกมือขึ้นแนบอกก่อนจะตีไหล่พี่ขัน “ มึงจะทุบโต๊ะทำไมเนี่ยะ กูตกใจนะไอ้ชิบหาย ”

พี่เฌอแม่งโคตรคูลเลยยืนด่าเฮดว้าก

“ ก็กูเห็นมึงเงียบกัน ”

“ ที่เค้าเงียบกันก็เพราะไอ้รังสีดำๆที่แผ่ออกมาจากตัวมึงนั่นแหละ ” พี่แช่มโวยใส่

“ รังสีอะไรของพวกมึง เพ้อเจ้อ ”

“ เอ่อ....รายงานเป็นยังไงบ้างครับพี่ ” พี่สยามมันเป็นหน่วยกล้าตายถามถึงรายงานให้พวกรุ่นน้องได้ฟัง เออนี่ลุ้นเหมือนกันนะว่าจะได้แก้งานไหม แต่ผมว่าผมก็ทำมันออกมาดีที่สุดแล้วนะ ถ้าให้แก้นี่ก็ไม่รู้จะแก้ตรงไหนละอ่ะ

“ รายงานเล่มนี้ ” พี่ขันชูรายงานในมือขึ้นมา “ ยอดเยี่ยมมาก ”

“ เย่!!!!!!!!!!!!!!!!! ” ผมสะดุ้งทันทีที่พวกแก๊งค์สันฯปีสองเขาพากันเย่ออกมา กูรู้ว่าดีใจแต่กูตกใจไง รีแอคชั่นพวกพี่แม่งโคตรเว่อร์ เย่ไม่พอแถมยังมากอดกันกลมอีก มีทำเป็นปาดน้ำตาด้วยความซาบซึ้งด้วยนะที่รายงานผ่าน

มีแค่ผมนะครับที่จะได้เห็นความติงต๊องนี้

น่าอิจฉาไหมล่ะ

“ พวกมึงเลิกซึ้งได้ละ รายงานผ่านแค่นี้ก็ทำท่าซะเว่อร์ ” พี่ทะเลบอกทั้งๆที่ยังนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่

“ เออ เดี๋ยวกูก็บอกว่าไม่ผ่านเลย ” พี่จันทร์ฉายหรี่ตามองก่อนจะแสยะยิ้ม เชื่อไหมหลังจากที่พี่เขาบอกแบบนั้นเหล่าแก๊งค์สันฯก็พากันนั่งสงบเสงี่ยมเจียมตัว

ฮ่าๆๆๆ ตลกว่ะ หน้าแต่ละคนนี่ซีดเลย

“ พวกมึงอย่าไปแกล้งน้องมันสิ ดูซิน้องหอมกูกลัวหมดละเนี่ย ” พี่แช่มโวยวายใส่เพื่อนๆเขา แหม่ อะไรที่เป็นพี่หอมนี่ออกหน้ารับแทนตลอด

“ ไปตายไปมึงอ่ะ ” พี่ทะเลเอ่ยเสียงเรียบใส่

พี่แช่มเบะปากก่อนจะหันไปดึงเสื้อช้อปพี่ขัน “ มันด่ากูอ่ะขัน กูไม่ยอมนะ ”

“ โว้ยยยยยยย พวกมึงนี่อย่ามาทำตัวปัญญาอ่อนให้น้องเห็นได้ไหม หมดกันคณะว้ากเกอร์ ไอ้สัส ” พี่ขันบ่นอย่างหัวเสีย บรรดาว้ากเกอร์ที่เห็นเฮดว้ากเริ่มจะหงุดหงิดก็พากันนั่งสงบเสงี่ยมเจียมตัวเหมือนกับพวกแก๊งค์สันฯ

ผมนั่งมั่งดีกว่า

เป็นปีหนึ่งคนเดียวนี่ก็ต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัวเหมือนกันครับ

จะได้อยู่รอดปลอดภัย

“ สมปอง ” ผมสะดุ้งทันทีที่พี่ขันเรียก “ ตกใจอะไรขนาดนั้น ”

“ ปะ...เปล่าครับพี่ ”

“ จะบอกว่ากิจกรรมที่เราทำมาอ่ะ เขียนดีมากเลยนะ แบบนี้ค่อยวางใจให้ทำงานอื่นต่อไปได้หน่อย ”

“ ขอบคุณครับ ” ผมฉีกยิ้มหวานให้พี่ขัน โดยที่ในใจนี่ได้แต่กรีดร้องอย่างโหยหวน ไม่ชอบใจคำว่าค่อยวางใจให้ทำงานอื่นต่อไปได้หน่อยเลย

อยากลาออกจากการเป็นตัวเองจริงๆ

“ งั้นวันนี้ก็เท่านี้แหละ แยกย้ายไปได้ละไป ” พี่ขันโบกมือไล่ ผมกับแก๊งค์สันฯจึงพากันยกมือไหว้ก่อนจะเดินออกมาจากห้องประชุม

ตอนนี้เป็นเวลาประมาณห้าโมงกว่าๆแล้วครับ แม่งประชุมตั้งแต่บ่ายสอง อย่าเรียกว่าประชุมเรียกว่านั่งอยู่ภายใต้ความกดดันและความเงียบจะดีกว่า เดี๋ยวกลับไปนี่ต้องอ่านหนังสืออีกพรุ่งนี้ผมมีสอบย่อยฟิสิกส์ ไม่มีใจจะสอบเลยอ่ะบอกเลย แน่ล่ะใครมันอยากมาสอบในวิชาที่ตัวเองไม่ชอบด้วยวะ

หึ้ยยย.ย...หงุดหงิด

“ กลับหอกัน ” พี่สยามมันมาเดินข้างๆละเอาแขนพาดหัวผม เดินดีดีก็ไม่ได้นะจะต้องหาเรื่องเบียดเบียนกู

“ มึงไม่ไปช่วยพี่ถิ่นไทหรอ ”

“ วันนี้ร้านปิด ”

ผมพยักหน้ารับเบาๆ “ เออเมื่อไหร่จะพากูไปฟิตเนส ” ไม่ไหวละนะมึงกูรู้สึกว่ากางเกงตัวเองคับขึ้นทุกวันๆ

“ งั้นไปวันนี้เลยป้ะล่ะ ”

“ ก็ดีนะ แต่เอ้ย กูต้องอ่านหนังสืออ่ะดิ่พรุ่งนี้มีสอบฟิสิกส์ ”

“ ค่อยกลับมาอ่านไหมล่ะ ไม่ได้เล่นนานเป็นชาติอยู่ละ อีกอย่างเดี๋ยวกูติวให้ ”

“ เออ เอางั้นก็ได้ ” ผมก็คิดอยู่แล้วแหละว่าตอนที่อ่านหนังสือเนี่ยะผมคงได้ปาหนังสือทิ้งสักสามรอบแน่ๆอ่ะ เดี๋ยวค่อยให้พี่มันติวให้ดีกว่า ผมว่ามันน่าจะโอเคกว่าอ่านหนังสือเอง

“ กูเก็บค่าติวนะ ” พี่มันบอกก่อนจะยิ้มหวาน

“ มึงแม่ง กูไม่รู้จะเอาคำไหนมาด่า ” ผมบ่นมันอย่างเอือมๆก่อนจะเดินขึ้นมานั่งบนรถ พี่มันก็มาประจำอยู่ฝั่งคนขับ

“ ก็ไม่ต้องด่าไง ”

“ ขับรถไปเลยไอ้สัสไม่ต้องมาพูดมาก ” พี่มันทำหน้ามุ่ยใส่ผมก่อนจะขับรถกลับหอ

โล่งเหมือนกันนะครับที่งานคณะที่ผมทำมันผ่านไปได้ด้วยดี แถมยังได้รับคำชมจากพี่ขันอีก แงะ เป็นไงล่ะพ่อ ภูมิใจในตัวลูกคนนี้มากสินะ เดี๋ยวต้องเขียนไดอารี่อวดพ่อและก็อวยตัวเองมากๆ ผมว่าวันหยุดยาวช่วงหลังสอบมิดเทอมนี่จะกลับไปที่บ้านครับ ถ้ากลับไปหลังสอบนี่ที่บ้านก็คงจะหนาวพอดี

บ้านผมอยู่เชียงใหม่

นี่เป็นหนุ่มเหนือนะฮู้ก่อ

ผมเป็นคนเหนือจริงแต่ผมจะไม่ค่อยพูดกำเมืองอ่ะครับ คนที่บ้านก็ไม่ค่อยพูดเพราะว่าพ่อบอกไว้ว่าถ้าเราอู้กำเมืองมากๆแล้วเดี๋ยวจะติด และมันก็อาจจะทำให้พูดภาษากลางไม่คล่อง มันจะลำบากได้เวลาเจรจาธุรกิจ ส่วนมากผมจะพูดก็ต่อเมื่อไปเรียน หรือว่าคุยกับเพื่อนนะครับ มาอยู่ที่นี่ผมไม่ได้บอกใครเลยนะว่าเป็นคนเชียงใหม่อ่ะ เพื่อนๆก็ยังไม่รู้ อีพี่สยามนี่ไม่รู้แน่นอน

ไม่คิดจะบอกแม่งด้วย

ฮ่าๆๆๆๆ

“ รอนี่แหละเดี๋ยวกูเอาพวกเสื้อผ้าลงมาให้เอง ” มันบอกก่อนจะเดินลงไปจากรถ

ตอนนี้ถึงหอแล้วครับ ผมนั่งมองพี่มันที่ขึ้นหอผมไปก่อนจะเก๊ะหยิบเอ็มแอนด์เอ็มมากิน เดี๋ยวจะไปออกกำลังกายละเพราะงั้นขอกินหน่อยเถอะ พักนี้พี่มันชอบมาบ่นว่าผมอ้วน แต่มันนั่นแหละที่เป็นคนซื้อขนมมาให้ผมกิน แถมยังพาไปกินโน่นกินนี่ นี่สงสัยมากนะครับว่าทำไมพี่มันดูไม่อ้วนขึ้นเลยทั้งๆที่เราไปกินด้วยกัน เอาจริงๆแม่งกินเยอะกว่าผมอีกพี่สยามอ่ะ

โลกแม่งไม่แฟร์เลย

หลังจากผ่านไปแปปนึงพี่มันก็เดินลงมาจากหอพร้อมกับกระเป๋าก่อนที่จะเดินขึ้นรถมา มันเห็นนั่งกินเอ็มแอนด์เอ็มรออยู่มันก็ทำหน้าบึ้งใส่ “ กินอีกละ ”

“ ก็อยากกินอ่ะ ”

“ มึงถึงได้อ้วนไงอีอ้วน ”

ผมตีไหล่พี่มันแรงๆทันที “ อย่ามาเรียกอีอ้วนนะ เดี๋ยวกูก็ทุบหน้าให้หรอก ” ผมทำเป็นง้างมือจะทุบมัน

“ ทำโหด ”พี่มันทำตาโตใส่ผมก่อนจะออกรถ กวนตีนชิบ นับวันยิ่งกวนตีน

อึ้ยย..ย....หงุดหงิด

ผมหันหนีพี่มันออกไปมองวิวนอกหน้าต่างแทนพลางคิดโน่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย เรื่อยเปื่อยส่วนมากนี่ก็เรื่องของไอ้คนข้างๆนี่แหละครับ ตอนนี้ผมว่าพี่มันคงย้ายถิ่นฐานมาอยู่หอผมแล้วล่ะครับ เสื้อผ้าก็เริ่มเยอะขึ้นๆ ของใช้พี่มันก็ซื้อเข้ามาใหม่ หนังสือเอยชีทเอย ตอนที่ผมอยู่คนเดียวผมก็ว่าห้องผมกว้างอยู่หรอก แต่พอมีมันมาอยู่ด้วยห้องแม่งดูแคบไปเลยอ่ะ

แคบไม่พอรกขึ้นเยอะด้วย

ผมเบื่อเวลามันทำห้องผมรกมาก บอกให้เก็บก็ไม่ยอมเก็บจนสุดท้ายผมต้องตัดรำคาญด้วยการมาไล่เก็บเอง แม่งน่าทุบชิบ เดี๋ยวผมจะนั่งคุยกับมันแบบจริงจังละเรื่องทำห้องรกเนี่ยะ ถ้ามันไม่ทำไม่เก็บผมก็จะให้มันไปนอนห้องน้ำไม่ก็นอนตรงระเบียง นอนแม่งกับต้นไม้อ่ะ เออละแม่งไปเอาต้นไม้ที่ไหนไม่รู้มาไว้เต็มระเบียงผมไปหมด คือระเบียงไว้ตากผ้าไงมึง ผมจะด่ามันหลายรอบละแต่แบบเห็นมันเหนื่อยกลับมาก็เลยไม่อยากจะด่าเพิ่ม

รอวันหยุดก่อน

เจอกูแน่พี่สยาม

“ เลิกแดกสักทีอีอ้วน ”

ไอ้สัสนี่วอนซะแล้ว





ฟิตเนส DD

ผมเดินตามหลังพี่มันเข้ามาในฟิตเนส ตอนนี้คนก็มีมากพอสมควรเลยนะครับ แต่ว่าที่นี่มันค่อนข้างกว้างมาก ก็คงจะรองรับคนได้เยอะและก็มีเครื่องออกกำลังกายเยอะแน่เลยว่ะ ดีละจะได้ไม่ต้องไปรอใครเขาเล่น พี่สยามมันพาผมมาสมัครสมาชิกครับ สมัครไปเดือนนึงราคาก็ไม่ได้แพงเกินกว่าที่คิดครับ อาจจะแพงกว่าฟิตเนสเก่าผม ผมเคยบอกไปว่าที่ไม่ได้ไปเล่นฟิตเนสเก่าเพราะว่ามันอยู่ไกลมาก ไกลมากที่ว่าก็....

เชียงใหม่ไงครับ

ให้ขึ้นเครื่องบินไปมาก็ไม่ไหวอ่ะ

“ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากัน ”

“ นำไปดิ่ เออพี่ปกติที่มึงมานี่มึงเล่นอะไรบ้างอ่ะ ”

“ ก็ยกเวทบ้าง วิ่งบ้าง แล้วแต่ว่ะ ”

ผมพยักหน้ารับ “ หูยยยยมีแต่คนหุ่นดีๆ ” ผมมองเข้าไปในห้องเครื่องออกกำลังกายที่มีคนกำลังออกกำลังกายกันอยู่ อูยยยย ผู้หญิงนี่สวยๆเต็มเลยครับ ผมว่าผู้หญิงที่สวมสปอร์ตบราออกกำลังกายนี่เซ็กซี่ชะมัด

ปริ่มใจจริงๆ

“ นี่ ” พี่มันดึงแก้มผมแรงเพื่อให้หันมา “ เดี๋ยวกูก็ทุบเลย ”

“ อะไรของมึงวะ ”

“ มองตาเป็นมันเลยนะ ”

“ ก็มันน่ามองนี่หว่า ” ผมบ่นอุบอิบ

“ กลับหอดีไหม ไม่ต้องออกละกำลังกาย ค่อยไปออกกับกูบนเตียงเอามะ ”

ผมตีไหล่พี่มันแรงๆ “ มึงนี่ก็เข้าเรื่องพรรค์นี้ได้ตลอดเลยนะ ”

“ แน่นอน อย่าเผลอละกันมึงโดนกูแน่ ”

“ มึงนี่แม่ง....หึ้ยย.ย....” ผมเดินสะบัดหนีมันเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องแต่งตัว พี่แม่งไม่รู้จะหื่นกามมาจากไหน

ผมหยิบเสื้อผ้าเสื้อผ้าออกที่พี่สยามมันเตรียมมาให้ออกมาจากกระเป๋า ชุดออกกำลังกายที่พี่มันเอามาให้ผมนั้นคือกางเกงวอร์มขายาวสีดำกับเสื้อฮู้ดแขนยาวสีดำ เอาจริงๆแค่ใส่ชุดนี้ละไปนั่งนิ่งๆก็คงจะเผาผลาญอยู่ไม่น้อยอ่ะครับ ผมคิดว่ามันจะต้องร้อนมากแน่ๆเลยว่ะ ครั้งหน้าถ้ามาเล่นฟิตเนสอีกเดี๋ยวผมจะเตรียมเสื้อผ้าเอง ไว้ใจผัวเฮงซวยนี่ไม่ได้ละ

แม่งไม่เคยได้ดั่งใจสักอย่าง

หลังจากที่ผมเปลี่ยนชุดเสร็จผมก็เดินออกมา เจอพี่สยามมันยืนรออยู่แล้ว พี่มันเสื้อกล้ามสีดำกับกางเกงบอลขาสั้นครับ ทีผมนี่ให้แต่งตัวซะมิดชิด ทีของตัวเองนี่แต่งตัวโชว์เนื้อหนังมังสาชิบ มันน่าตบกระโหลกนัก

“ ทำไมกูใส่ชุดนี้ ละมึงใส่ชุดนี้ ”

“ กูหวงมึงอ่ะ กูไม่อยากให้ใครเห็น ”

แล้วไม่คิดว่ากูจะหวงมึงบ้างหรอวะ

“ วันหลังห้ามใส่เสื้อกล้าม ”

“ ทำไมไม่ให้ใส่ ” พี่มันก้มหน้าลงมาใกล้ “ หวงพี่หรอน้อง ”

ผมผลักหน้ามันออก “ ใครเขาจะหวงมึงกันวะไอ้บ้า เลอะเทอะ ” ผมเบ้ปากใส่มันก่อนจะเดินหนีเข้ามาในห้องเครื่องออกกำลังกาย

ผมมองไปรอบๆห้อง มีให้เล่นหลายอย่างเลยว่ะ แต่วันนี้นี่ตั้งใจจะมาวิ่งครับ ผมว่าการวิ่งเนี่ยะเป็นการออกกำลังกายที่ดีนะ แบบมันช่วยได้ทั้งกล้ามเนื้อและก็ระบบการไหลเวียนของโลหิตด้วย เพราะงั้นไปวิ่งครับ วิ่งสัก 20 นาทีแล้วเดี๋ยวค่อยไปเล่นเวทต่อ พอคิดได้แบบนั้นผมก็เดินมาตรงลู่วิ่งก่อนจะเซ็ทค่าและเริ่มออกวิ่ง พี่สยามมันก็มายืนมองอยู่ข้างๆพร้อมกับทำหน้าบึ้งไปด้วย

เป็นอะไรของมัน

“ ไม่ชอบใจเลย ”

“ ไม่ชอบใจอะไร ”

“ มีแต่คนมองมึง ”

“ กูหล่อไง ทำใจนะ ” ผมยิ้มหวานให้มัน เหงื่อเริ่มออกละ นี่ผมเหงื่ออกง่ายไปป้ะวะ

“ มีแต่ผู้ชายทั้งนั้นอ่ะที่มองมึงอ่ะ ” พี่มันเบ้ปากใส่ผม “ นี่แน่ะหล่อนักหรอ ” พี่มันกดเร่งความเร็วของลู่ เดี๋ยววววววว อย่าทำกับกูแบบนี้

“ มึงทำอะไรเนี่ยะไอ้สัสสสส มึงลดความเร็วเดี๋ยวนี้นะ ” ผมโวยใส่มัน ขาก็วิ่งไม่หยุด โอ้ยห่าแม่งวิ่งเร็วเป็นสปีดสี่คูณร้อยเลยเนี่ยะ

“ ไม่ ” พี่มันแลบลิ้นใส่ผม “ วิ่งจนตายไปเลยมึงอ่ะ ”

“ ไอ้สัสสสสสสสสสส ” ผมแหกปากลั่นก่อนจะวิ่งจนสะดุดขาตัวเองจนล้มแล้วไหลลงมากองอยู่หลังลู่วิ่ง โอ้ยยยยยยเจ็บตัวไม่พอนะอายคนอื่นเขาอีก

ไอ้ผัวเชี่ยนี่

“ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ทำอะไรอ่ะน้องปอง ” พี่มันหัวเราะลั่น ไม่ใช่แค่พี่มันหรอกครับที่หัวเราะ คนอื่นก็หัวเราะเหมือนกัน ทำไมเกิดเป็นผมนี่มันน่าสงสารแบบนี้วะ

“ กูโกรธมึงแล้ว ” ผมทำหน้าบึ้งใส่มันทันที ตอนนี้ลุกไม่ขึ้นเลยครับเพราะที่ล้มเมื่อกี้สะโพกลงพื้นไง แม่งเอ้ย นี่มาออกกำลังกายหรือมาหาเรื่องเจ็บตัววะ

“ โอ๋เอ๋นะ ” พี่มันขยี้หัวผมเบาๆก่อนจะมาพยุงผมให้ลุกขึ้น “ เดี๋ยวเลี้ยงหนม ”

“ กูก็ไม่หายโกรธมึงหรอก ” ผมตีพี่มันแรงๆหลายทีก่อนจะเดินมานั่งนวดสะโพกตัวเองเบาๆที่เก้าอี้

เหตุการณ์น่าอับอายที่เกิดขึ้นในชีวิตผมเมื่อกี้พ่อผมจะต้องได้รับรู้ ผมจะเขียนฟ้องพ่อ ผมจะบอกว่าด้วยว่าพี่สยามมันเป็นคนทำ และก็จะใส่ไฟมันไปเยอะๆด้วย พ่อต้องสาบแช่งมันที่มันทำให้ผมเจ็บสะโพกแบบนี้ งื้ออ.อ.อ....ผมรู้สึกโกรธจริงๆนะ แม่งเป็นความโกรธที่ทำอะไรไม่ได้ด้วยนอกจากนั่งงอแงอยู่ในใจคนเดียวแบบนี้ ละไอ้คนที่ทำให้ผมโกรธแม่งก็ไปนั่งยกเวทเรียบร้อย ไม่คิดจะสนใจกูให้มากกว่านี้หน่อยหรอ เออ ใช่สิ ได้กูไปแล้วนี่ ไม่จำเป็นต้องทะนุถนอมแบบตอนแรกใช่ไหมล่ะ

เอาจริงๆตอนแรกก็ไม่ได้ถนอมเท่าไหร่

โว้ย ช่างแม่ง

“ อีเลว ” ผมนั่งมองพี่มันอย่างอาฆาต “ กูจะให้มึงนอนในห้องน้ำ ”

นอนกอดชักโครกไปเถอะไอ้สัส





หอ K2

หลังจากที่กลับมาจากฟิตเนสด้วยสภาพที่ปางตายผมก็ต้องมานั่งติวฟิสิกส์ต่อโดยมีพี่สยามมันติวให้ ผมกลับมาจากฟิตเนสเมื่อ 1 ทุ่มครับ จนไปอาบน้ำทำโน่นทำนี่ก่อนมานั่งติว และตอนนี้ก็ติวมาจนถึง 4 ทุ่มละ ผมว่าถึงเวลาที่ผมควรจะพอได้แล้ว สมองมันกระซิบบอกผมมาว่ามันกำลังจะตาย มันต้องตายแน่ๆถ้าผมยังรับภาษาต่างดาวนี่เข้าไปในหัว

เพราะงั้นพอ

“ พอละ กูเข้าใจทุกอย่างแล้ว ” ผมวางปากกาก่อนจะเก็บชีท

พี่มันหรี่ตามองผม “ แน่ใจว่าเข้าใจ ”

“ แน่ใจดิ่ ” ผมแย่งชีทมาจากพี่มันก่อนจะชิงเอาไปเก็บที่ชั้น อา....เดินละยังปวดๆเอวอยู่เลยอ่ะ พรุ่งนี้แม่งต้องระบมแน่ๆ

“ ทำไมเดินแบบนั้นอ่ะ ”

“ ใครมันทำให้กูวิ่งจนล้มล่ะ ” ผมเดินกลับมานั่งลงบนเตียง พี่มันก็คลานตามขึ้นมานั่งใกล้ๆ

“ เจ็บมากขนาดนั้นเลยหรอ ”

“ เออสิ มึงลองบ้างไหมล่ะ ” ผมเอาหมอนส่งให้มัน “ วันนี้มึงไปนอนในห้องน้ำเลยนะ ”

พี่มันเบะปากใส่ผมทันที “ ทำไมให้กูไปนอนในห้องน้ำล่ะ ”

“ มึงทำให้กูโกรธ ทำให้กูอาย และทำให้ทำให้กูเจ็บตัวด้วย นี่คือบทลงโทษไปนอนในห้องน้ำซะ ”

“ ไม่เอา ในห้องน้ำไม่มีมึง ” พี่มันบอกผมเสียงอ่อนก่อนจะมองด้วยตาละห้อย

“ นั่นมันเรื่องของมึง ” ผมยกเท้าถีบมันจนตกเตียงไป “ โอ้ยยย....ไปนอนในห้องน้ำ ” อูยยยย ใช้แรงถีบเยอะไปหน่อย สะโพกนี่จี๊ดเลย

ผมเอนตัวนอนลงบนเตียงโดยที่หันหลังให้ไอ้คนที่เพิ่งโดนถีบไป ไม่ไหวว่ะ มันจะปวดอะไรขนาดนี้วะเนี่ย ไอ้ตอนที่ผมล้มอ่ะมันก็ไม่ได้ปวดขนาดนี้นะ พอล้มแล้วผมก็ไม่ได้ออกกำลังกายต่อด้วยได้แต่นั่งรอพี่มัน อาจจะเป็นเพราะว่ากลับมานั่งติวนานแน่เลย แม่งก็เลยปวดมาก กลัวว่าพรุ่งนี้มันจะปวดจนไปสอบไม่ได้นี่สิ ถึงผมจะไม่ชอบฟิสิกส์แต่ยังไงก็ต้องไปสอบอ่ะเพราะมันส่งผลต่อคะแนน ถ้าได้ยามานวดหน่อยก็อาจจะดีกว่านี้ก็ได้นะครับแต่สภาพตอนนี้นี่ลุกไม่ไหวแล้วอ่ะ

ทำไมชีวิตสมปองน่าสงสารขนาดนี้วะ

“ เชี่ยยย ” ผมสะดุ้งเมื่อมีคนมาถกเสื้อผมขึ้น หันไปก็เห็นพี่สยามมันนั่งอยู่บนเตียงข้างๆ ในมือนั่นมีหลอดยาแก้ปวดอยู่ พี่มันบีบยาใส่มือก่อนจะค่อยๆทาให้ผมเบาๆ

ผมนอนมองพี่มันที่บรรจงทายาให้อย่างเบามือพลางกดนวดไปให้ด้วย สีหน้าพี่มันตอนนี้นี่รู้สึกผิดมากครับที่ทำให้ผมเจ็บสะโพก ผมคิดว่าพี่มันคงไม่คิดว่าผมจะเจ็บขนาดนี้ไง พี่มันนั่งนวดให้ผมอยู่แบบนั้น ระหว่างเราไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลยครับ ผมก็ได้แต่นอนมองพี่มันอยู่อย่างนั้น พอผ่านไปสักพักนึงพี่สยามมันก็ดึงเสื้อผมลงปิดไว้เหมือนเดิม

“ กูขอโทษนะ ” พี่มันเอ่ยเสียงอ่อนก่อนจะก้มลงจุ๊บหัวผม “ ฝันดีนะ ” มันยิ้มบางๆให้ก่อนจะถอยลงจากเตียงแล้วเดินตรงไปที่ห้องน้ำ

มันจะนอนที่ห้องน้ำจริงว่ะ

ผมอมยิ้มทันทีที่เห็นพี่มันถือหมอนเดินเข้าไปในนั้น นึกว่าจะไม่ได้ยินคำว่าขอโทษซะแล้ว ที่พี่มันนวดให้เมื่อกี้นี่ผมรู้สึกโอเคขึ้นมาหน่อยนึงเลยนะครับ อย่างน้อยมันก็ดีกว่าตอนแรก ดูจากสภาพพี่มันคงจะสำนึกผิดแล้วจริงๆแหละ แถมยังยอมเดินไปนอนในห้องน้ำแต่โดยดีโดยไม่อิดออดต่อรองอะไรเพิ่มเติมเลยด้วย รู้สึกดีจริงๆเลยนะที่มันยอมผมแบบนี้น่ะ

น่ารัก

“ พี่สยาม ”

“.....ครับ ”

“ มานอนเตียงมา ”

ไม่ได้อยากจะพูดแบบนี้หรอกนะครับแต่ก็นะ....

ผมใจอ่อนง่ายนี่หว่า





TBC.

#หยัมปอง
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้า
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 17 : 12/10/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 12-10-2017 22:21:10
ทำเป็นเข้มนะ.  นายสองป่ม. สมปอง.
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 17 : 12/10/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 12-10-2017 22:50:09
พี่สยามเล่นแบบนี้แย่มาก ไม่สมกับเป็นพี่ เป็นคนรักเลย
ถึงว่าแกล้งก็เฮอะ มันอันตราย มีสิทธิ์บาดเจ็บ ลุกไม่ขึ้น
หึงบ้า หึงบออะไร ทำกับคนรักขนาดนี้ มันเกินไป
เป็นสมปอง เลิกเลย
ทำให้บาดเจ็บ อับอายขายหน้า
อีกอย่าง ต้องเอาคืน ตอนที่พี่สยามวิ่งบนลู่บ้าง แบบไม่ให้รู้ตัว
จะได้รับรู้บ้างว่าโดนแล้วเป็นอย่างไร

ถถถถถถถถ นี่นะบทลงโทษ ของสมปอง
ดุมากกกกกกกกกกกกกก

พี่สยาม........ไปนอนที่ห้องน้ำ สั่งแค่ระยะพี่สยามนวดเสร็จ

พี่สยาม........มานอนบนเตียง  :z3: :z3: :z3:
ื       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 17 : 12/10/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Soda.wine ที่ 14-10-2017 05:08:02
มาต่อเร็วๆนะ กำลังสนุกเลย
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 17 : 12/10/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 14-10-2017 10:45:27
น่อวววสสว :mew3:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 18 : 19/10/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 19-10-2017 21:56:45
​บทที่ 18 สมปองถูกเสมอ

เซงผัวมากเลยครับ

อยากจะทุบๆๆๆๆ

ผมนั่งมองข้าวมันไก่ที่พี่สยามซื้อมาให้ด้วยความหงุดหงิด คือผมบอกมันว่าผมอยากกินโจ๊กแต่เจ้าตัวมันซื้อข้าวมันไก่มาให้แทน ไม่รู้ว่าผมสั่งไม่รู้เรื่องหรือมันไม่เข้าใจก็ไม่รู้ ไม่ใช่มีแต่เรื่องข้าวนะครับที่ทำให้ผมหงุดหงิด เรื่องน้ำก็เหมือนกัน บอกว่าให้ซื้อกาแฟมามันก็ซื้อชานมมาแทน

อยากจะพ่นชานมใส่หน้าจริงๆ

วันนี้เป็นวันหยุดก่อนที่จะสอบมิดเทอมครับ ตั้งแต่วันที่ผมไปฟิตเนสนี่ก็ผ่านมาอาทิตย์กว่าๆ ช่วงเวลาระหว่างนั้นชีวิตก็วนอยู่ลูปเรียนกับติวหนังสือสอบนี่ล่ะครับ ส่วนพี่สยามมันก็ยุ่งกับงานคณะมาก ไหนจะต้องไปทำงานที่ร้านไอติมอีกกว่าจะกลับหอมานี่ก็ดึกละ ผมว่ามันคงนอนไม่พอมั้งครับสมองมันเลยเบลอๆ

สั่งอีกอย่างได้อีกอย่างตลอด

ตอนนี้พี่สยามมันยืนตากผ้าอยู่ที่ระเบียงครับ มีเสียงโหวกเหวกโวยวายดังมาเป็นระยะ มันตากผ้าไปแล้วก็ทะเลาะกับต้นไม้ไป ผมนี่อยากจะเดินออกไปกระชากคอเสื้อมันแล้วก็เขย่าๆๆๆ พร้อมกับว้ากใส่หน้าว่ามึงเป็นคนซื้อมาเองนะไอ้สัสสสสสสส

หึ้ยยย.ย.....หงุดหงิด

พอครับพอเลิกคิดถึงเรื่องพี่สยาม คิดเรื่องมันละหงุดหงิด ผมเทข้าวใส่จานก่อนจะเริ่มกิน หลังสอบมิดเทอมผมนัดเพื่อนๆไปกินเหล้ากันครับ เดี๋ยวจะเอาคืนลันตามันด้วย ผมว่ามันถึงเวลาเอาคืนแล้วหลังจากที่ปล่อยให้มันอยู่สุขสบายหาเรื่องแกล้งผมไม่เว้นแต่ละวัน

มึงโดนกูแน่อีงูพิษ

“ เมียครับ ”

“ อะไร ” ผมหันมองพี่สยามที่มันเดินมานั่งลงข้างๆ

“ ข้าวมันไก่อร่อยไหม ”

“ ก็ดี ” แต่ถ้าได้กินโจ๊กจะดีกว่านี้เยอะ

“ เนี่ยะ ลูกชายเจ้าของร้านน่ารักมากเลยนะ ”

“ นี่!!!! ” ผมหยิกแขนมันก่อนถือส้อมขึ้นมาขู่ “ อยากโดนแทงด้วยส้อมจนตายไหม ”

“ อะไรของมึงเนี่ยะ ลูกชายเค้าเพิ่งจะสามขวบเอง ”

ผมลดส้อมลงก่อนจะนั่งกินเงียบๆเหมือนกับหนีความผิด มึงไม่บอกก่อนล่ะว่าลูกชายเขาสามขวบน่ะไอ้บ้า ดีนะที่ไม่มือไวใจเร็วเอาส้อมทิ่มมันจนพรุน ตอนที่ได้ยินเมื่อกี้นี่เหมือนมีผีเมียเข้าสิงเลยอ่ะครับ เป็นผีเมียที่เฮี้ยนมากๆด้วย แต่ไม่รู้อ่ะเรื่องเมื่อกี้คนผิดคือพี่สยาม มันผิดตั้งแต่ซื้อข้าวมันไก่มาละ

ผมเป็นเมียครับ

เมียต้องถูกเสมอ

“ ทำเงียบเชียวนะ ” พี่มันเท้าคางมองผม “ หึงกูล่ะสิ ”

“ ใครเขาหึงมึงกัน ”

“ จะว่าไปพ่อเค้าก็น่ารักเหมือนกันนะ ”

ผมหันขวับไปมองมันตาค้อน “ เค้ามีลูกมีเมียละไอ้สัส อย่าไปคิดจะยุ่งเชียว ”

“ ไหนบอกว่าไม่หึง ”

“ ก็ไม่ได้หึงไง ให้กูเป็นคนที่โชคร้ายมีมึงเป็นผัวคนเดียวเถอะ อย่าเอาความโชคร้ายไปแผ่ให้ชาวบ้านชาวช่องเค้าเลย ” ผมบอกมันก่อนจะลุกเดินเอาจานไปล้าง ตัวพี่มันก็เดินตามผมมาก่อนจะกอดผมจากด้านหลังไว้แน่น

เชี่ยไรของมึงเนี่ยะ

“ พูดแบบนี้คือไม่อยากให้กูไปเป็นของคนอื่นน่ะสิ ”

“ กูเปล่าซะหน่อย จะมากอดทำไมกูจะล้างจาน ” เกะกะชิบหาย บีบน้ำยาล้างจานใส่หน้าแม่ง

“ มึงนี่ไม่โรแมนติกเลยว่ะอีเมีย ” พี่มันบ่นก่อนจะคลายกอดผมแล้วเดินไปนั่งที่เตียง

หน้าซิงค์ล้างจานนี่โรแมนติกมากมั้ง

ผมถอนหายใจอย่างเอือมๆ ก่อนจะคว่ำจานที่ล้างเสร็จแล้วเดินออกมาหาพี่มัน เจ้าตัวมองก่อนจะรั้งเอวผมไปกอด กอดอีกละ พี่สยามมันเป็นพวกเสพติดการกอดนะครับ อย่างน้อยกลับมาถึงห้องจะต้องกระโจนเข้ามากอดผมก่อน ละสมปองตัวน้อยๆคนนี้จะไปสู้แรงหมีควายแบบมันได้ยังไง กระโจนใส่ทีนี่ก็แทบล้มลงไปกองอ่ะ

“ กอดทำไมนักหนา ไม่ร้อนหรอ ”

มันส่ายหน้าก่อนจะซุกอยู่กับพุงผม “ หลังสอบมิดเทอมอ่ะ ”

“ อะไรนะ ” พึมพำอยู่กับพุงใครมันจะไปได้ยินวะ

พี่สยามเงยหน้าขึ้นมองผม “ หลังสอบมิดเทอมอ่ะ ไปเที่ยวกัน ”

“ ไม่ ”

“ ทำไมล่ะ ” พี่มันเบะปากทันที “ ทำไมไม่ไป ”

“ กูต้องกลับไปบ้าน บอกพ่อไว้แล้วด้วย ”

“ บ้านที่ไหน ไปด้วยสิ กูจะได้ไปไหว้พ่อตาไง ”

“ ไหว้ก็เชี่ยละ ” ผมดีดหน้าผากมันทีนึงเพื่อไล่ความคิดบ๊องๆออกไป

ถ้ากลับบ้านแล้วผมพาพี่มันไปด้วยนะพ่อผมคงได้เอาปืนไล่ยิงมันชัวร์ แน่ล่ะมาปู้ยี่ปู้ยำลูกเขาหนิ แล้ววันนั้นลูกชายก็หน้ามืดสมยอมไปด้วยนะ ดีไม่ดีไม่ใช่แค่มันหรอกที่จะโดนพ่อยิงผมก็อาจจะโดนยิงด้วยก็ได้ พอตายทั้งคู่พ่อก็เอาผมกับพี่สยามไปทำปุ๋ยใส่ต้นองุ่นแน่ๆ โอ้ยยยย แค่คิดก็จะร้องไห้

จะมาตายตอนอายุแค่นี้ไม่ได้นะ

“ ทำไมมึงทำหน้าแบบนั้นล่ะ ” พี่มันดึงให้ผมนั่งลงไปบนตักมือก็จิ้มแก้มผมเบาๆ “ ที่บ้านดุอย่างงั้นหรอ ”

“ ก็นิดหน่อย เอาเป็นว่ามึงไปไม่ได้อ่ะ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้ ”

“ แบบนี้ช่วงหยุดก็ไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกันเลยน่ะสิ ”

ผมยกมือขึ้นไปดึงแก้มมันแรงๆ “ จะดราม่าทำไมวะ นี่กูอยู่กับมึงทุกวันเลยนะ แต่คนที่บ้านอ่ะนี่จะครึ่งเทอมละเค้ายังไม่เห็นหน้ากูเลย อีกอย่างเรายังมีวันหยุดอีกตั้งเยอะแยะค่อยไปเที่ยวด้วยกันก็ได้ ”

“ สัญญาแล้วนะ ” พี่มันชูนิ้วก้อยมาทางผม

“ กูสัญญา ” ผมก็ยกนิ้วก้อยไปเกี่ยวไว้ “ ถ้าผิดสัญญาขอให้มึงเป็นเมียกูเลยเอ้า ”

“ ตลกละตลก ” มือเรียวบีบจมูกผมอย่างหมั่นเขี้ยว “ มึงอ่ะสมควรเป็นเมียกู ”

ผมยักคิ้วให้มันพลางยิ้มกริ่ม “ มึงอย่าเผลอละกัน ”

“ เดี๋ยวมึงจะโดนกำราบ ”

ไม่กลัวหรอก แบร่ๆๆๆๆ

ผมแลบลิ้นใส่พี่มันแล้วชิงลุกออกมาจากตักก่อนที่จะโดนฟัด เริ่มอยู่เป็นแล้วนะครับบอกเลย ตอนนี้สกิลหลบหลีกการถูกลวนลามผมอัพไปไกลละครับ พักหลังมาพี่มันไม่ค่อยจะได้แดกผมหรอก เต็มที่ก็ได้แค่กอดอ่ะไอ้เรื่องจูบกับหอมแก้มนี่ไม่ได้เลย ตั้งแต่ที่มันทำให้ผมปวดสะโพกผมก็สั่งห้ามมันทำเด็ดขาดถ้าผมไม่ยินยอม พี่สยามมันก็ยอมอ่อนให้นะครับแต่ผมก็คิดว่าเดี๋ยวมันก็ต้องแข็งข้อขึ้นละไล่ปล้ำผมเข้าสักวัน

คิดแล้วปวดใจจัง

ผมเดินไปหยิบชีทก่อนจะมานั่งพิงบนหัวเตียง ร่างสูงก็ค่อยๆกระดึ๊บๆมานั่งใกล้ๆ เออผมยังไม่ได้บอกเรื่องข้อตกลงของการอยู่หอด้วยกันเลย ผมต้องเด็ดขาดในเรื่องนี้และก็จะยอมมันไม่ได้ ถ้าอยากจะอยู่ด้วยกันไปนานๆก็ต้องทำแบบนี้แหละ คือที่ผมพูดนั่นไม่ได้หมายความว่าผมอยากจะอยู่กับมันหรืออะไรนะครับ มันนั่นแหละที่อยากอยู่กับผม ไล่ก็ไล่ไม่ไป อีกอย่างมีพี่มันอยู่ด้วยก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่

ไม่นับที่มันห้องรกนะ

“ พี่สยาม กูมีเรื่องจะคุยกับมึง ”

“ เรื่องอะไร ”

“ เป็นข้อตกลงที่เราจะอยู่หอด้วยกัน ”

“ อะไรอ่ะ ”

“ ถ้ามึงจะอยากอยู่ที่นี่มึงห้ามทำหอกูรก ของใช้มึงเอามาใช้มึงก็ต้องเอาไปเก็บด้วย วันก่อนกูนี่เดินสะดุดกรรไกรถ้ามันทิ่มเท้ากูทะลุไปจะทำยังไง ”

“ ขอโทษครับ ” มันเอ่ยเสียงอ่อนพร้อมกับทำหน้ารู้สึกผิด “ กูจะไม่เอาของมาวางเกลื่อนพื้นอีกแล้ว ”

“ ดี....ละก็เรื่องซักผ้า มันมี 4 ตะกร้ามึงเห็นไหม มันไว้แยกใส่ผ้าขาว ผ้าดำ กางเกงใน แล้วก็ผ้ายีนส์ มึงมาอยู่อ่ะมึงแม่งใส่ปนกันมั่วเลย เวลากูจะเอาผ้าไปซักให้กูก็ต้องมานั่งแยก มันเสียเวลามึงเข้าใจไหม ”

“ เข้าใจละครับ ” มันพยักหน้ารับ “ หลังจากนี้กูจะแยกเสื้อผ้าทุกครั้ง ”

“ เออ....อีกเรื่องคือหนังสือ หนังสือของมึงห้ามเอามาปนกับของกูเด็ดขาด เราเรียนคนละปีมึงเข้าใจไหม ละบางทีกูรีบๆหยิบไปไม่ได้ดู ไปๆมาๆคือหยิบไปผิด เดี๋ยวไปนั่งแยกเลยเอามาไว้อีกชั้นนึง เดี๋ยวกูจะเขียนโพสอิทแปะไว้ให้ โอเคไหม ”

“ โอเคครับ ” พี่มันขยับไปนั่งคุกเข่าอย่างเจียมตัว

สงสัยจะสำนึกผิด

ผมนั่งมองคนตรงหน้าพลางอมยิ้ม พี่สยามโหมดสำนึกผิดก็น่ารักดีนะครับ ละแบบนั่งคุกเข่าแถมมือยังประสานกันไว้ด้านหน้าด้วย สีหน้าก็แสดงความรู้สึกผิดออกมาเต็มที่ เป็นแบบนี้ก็ดีละมันจะได้ไม่ทำอีกไง ไอ้ที่ผมบ่นมันนั่นยังไม่หมดนะครับมันยังมีเรื่องอื่นที่ต้องบอกมันอีก เดี๋ยวต้องเขียนใส่กระดาษแล้วแปะไว้ข้างฝาเพื่อเตือนสติ

“ มีอะไรอีกไหมครับ ” พี่สยามเหลือบมองผมแวบนึงก่อนจะหลบตาไป

โอ้ยยย ตลก

“ มีอีกเยอะมาก แต่เดี๋ยวกูจะเขียนแปะไว้ข้างฝาแล้วมึงก็ไปอ่านเอา รู้เรื่องไหม ”

“ รู้เรื่องครับ โอ้ย ตะคริวกิน ” ร่างสูงที่นั่งคุกเข่าอยู่ตอนแรกหน้าทิ่มลงกับหมอน “ โอ้ยปอง ตะคริวกิน ”

“ ฮ่าๆๆๆ มึงนี่มันจริงๆเลยนะ ” ผมขยับมาจับขามันบีบๆนวดๆเพื่อให้กล้ามเนื้อคลาย

“ ซี๊ดด.ดด....ขอบคุณเมียที่เมตตามานวดขาให้ผัวครับ ”

“ ตลกว่ะพี่สยาม ” เวลามันพูดจาแบบนี้ผมว่ามันฮาว่ะ “ ตลกจริง ฮ่าๆๆๆๆ ”

“ ชอบคนตลกป้ะล่ะ ” พี่มันยิ้มหวานให้ผมจนแก้มปริ ก่อนจะลุกขึ้นมานั่งหลังจากที่ตะคริวหาย

“ ไม่ ” ผมกลับไปนั่งพิงหัวเตียงเหมือนเดิม พี่สยามมันก็ตามมานั่งข้างๆก่อนจะเอียงหัวมาพิงไหล่ผม

“ แต่คนตลกคนนี้ชอบมึงนะ ไม่สิ ” มือเรียวจับมือผมขึ้นไปจุ๊บเบาๆ “ รักต่างหาก ”

ตึกตัก

อา....

ยอมเลยยอม

ผมยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองเบาๆเพื่อไล่ความร้อน ก่อนจะหยิบชีทขึ้นมาอ่านต่อ ทำเนียนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไปครับ หัวใจนี่ก็เต้นแรงเชียว พี่สยามบอกรักผมบ่อยนะครับแล้วผมก็มักจะใจสั่นทุกครั้งที่ได้ยินด้วย ในใจมันละมุนยังไงก็ไม่รู้ว่ะ ตอนที่ผมเคยมีแฟนสมัยมัธยม ผมก็ไม่เคยเป็นหนักขนาดนี้เลยนะครับ อาจจะเป็นเพราะความผูกพันธ์ก็ได้มั้ง ก็นะผมกับพี่สยามมันไปถึงไหนกันละ กับแฟนเก่าผมนี่ได้แค่จับมือ พอนึกถึงแฟนเก่าแล้วก็....

ปวดใจแปลกๆว่ะ

ตั้งแต่เกิดมาผมเคยมีแฟนแค่คนเดียวครับ เธอชื่อ ส้ม เป็นคนที่สวยมากๆเลยครับคล้ายๆกับเจ้าขาด้วย เราคบกันสมัยที่ผมอยู่ม.6 คบกันตั้งครึ่งปีแน่ะครับแต่ว่าก็ต้องเลิกกันไปเพราะเรื่องครอบครัว พ่อแม่ของส้มไม่ชอบผม ถึงขั้นเคยส่งคนมากระทืบด้วยซ้ำ ส้มไม่อยากให้ผมต้องเจ็บตัวอีกก็เลยบอกเลิกผมแล้วก็บอกว่าถ้าความรักของเรามันใช่เดี๋ยวเราก็จะกลับมาเจอกันอีก นี่คิดแบบขำๆนะว่าถ้าส้มกลับมา....

ผมจะทำยังไงกับพี่สยามดี

ช่างแม่งเลิกคิดเถอะ วันนั้นมันยังไม่มาถึงสักหน่อย เพราะงั้นอย่าไปคิดถึงมันเลย ปวดประสาทเปล่าๆ จะว่าไปผมสงสัยหลายครั้งละว่าพี่สยามมันเคยมีแฟนรึเปล่า น่าจะมีแหละดูจากสภาพ อยากรู้จังว่าใคร

อยากรู้ต้องถามครับ

“ พี่สยาม ”

“ ว่าไง ไม่เข้าใจตรงไหนหรอ ” พี่มันชะเง้อมองชีทในมือผม

“ ไม่ใช่เรื่องชีท กูมีอะไรอยากจะถามมึงหน่อยอ่ะ ”

“ อยากถามอะไร ”

“ มึงเคยมีแฟนป้ะวะ ”

พี่มันพยักหน้ารับเบาๆ “ มีอยู่คนนึง ”

“ ผู้ชายหรอ ”

“ ใช่ คบกันเมื่อตอนม.ปลาย เป็นแฟนกัน 3 ปีก่อนจะเลิกกัน ”

“ คบกันนานชิบ ละทำไมถึงเลิกกันวะ ”

“ ก็แฟนเก่ากูเค้าได้ทุนไปเรียนหมอที่ต่างประเทศอ่ะ ครอบครัวทางนั้นมาขอให้กูเลิก ตอนแรกเค้าจะไม่ไปเพราะว่าจะมาเรียนที่เดียวกับกู แต่แบบกูก็เห็นว่าอนาคตเค้าสำคัญกว่ากูก็เลยบอกเลิกเค้าเอง ” ผมพยักหน้ารับรู้เบาๆ

ผมว่าตอนที่พี่สยามกับแฟนมันเลิกกันนี่มันต้องเจ็บปวดมากๆแน่เลยว่ะ คบกันมาตั้ง 3 ปี แต่ก็ต้องมาเลิกกันเพราะครอบครัวฝ่ายนั้นขอ พี่มันก็ยอมเลิกให้เพื่ออนาคตของแฟนตัวเอง โหยยยยโคตรหน่วงเลยว่ะ นี่ก็ไม่ค่อยต่างจากผมกับส้มเท่าไหร่นะ แปลว่าตอนนี้แฟนเก่าพี่สยามต้องกำลังเรียนอยู่ต่างประเทศแน่เลย เท่าที่ฟังตอนที่บอกเลิกนั่นก็คงจะไม่ได้เลิกรักกันสินะ

แล้วถ้าแฟนเก่ามันกลับมาอ่ะ

ความหน่วงในใจนี้มันคืออะไรวะ

“ ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ ” มือเรียวดึงแก้มผม “ คิดมากงั้นหรอ ”

“ เปล่า....เออแล้วตอนนี้มึงยังรักแฟนเก่าอยู่ไหม ”

พี่สยามส่ายหน้าทันที “ ตอนนี้กูก็รักมึงไง จำไว้เลยนะเมีย มึงไม่ใช่ตัวแทนของใคร ไม่ใช่คนที่กูใช้เพื่อคั่นเวลาเพื่อรอแฟนเก่ากลับมาด้วย อีกอย่างกูกับเค้าอ่ะตกลงที่จะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เข้าใจไหม ”

“ เข้าใจแล้ว ”

“ เลิกพูดเรื่องเก่าๆดีกว่า ดูซิคิ้วนี่ขมวดเป็นปมแล้ว ”

“ เปล่าสักหน่อย ”

“ เห็นอยู่ยังจะมาเถียง ”

“ เออน่า ” ผมขยับเข้าไปกอดพี่มันไว้

พี่สยามนิ่งไปแปปนึงมันคงจะงงอ่ะครับที่อยู่ดีดีผมก็ไปกอดมัน ผมซุกหน้าอยู่กับไหล่หนา สัมผัสได้ถึงฝ่ามืออุ่นๆที่ลูบหัวผมเบาๆ ชอบว่ะ ชอบความรู้สึกนี้ ถ้าผมรู้ว่าจะถามเรื่องแฟนเก่ามันแล้วจะทำให้ตัวเองหน่วงใจขนาดนี้ผมจะไม่ถามเลย ละสมองก็ชอบพาลไปคิดถึงว่าถ้าแฟนเก่ากลับมาแล้วมันจะทิ้งผมไป โอ่ย ปองเอ้ยทำไมต้องมาคิดอะไรแบบนี้ด้วยวะเนี่ย

เอาออกไปจากสมองเดี๋ยวนี้นะ

“ เป็นอะไรหืม ”

“ ห้ามทิ้งกู ” ได้แล้วห้ามทิ้ง ไม่ให้ทิ้ง ถ้ามันทิ้งผมไปนะผมจะให้พ่อเอาปืนมาไล่ยิงมัน

“ น่ารักขนาดนี้ใครจะทิ้งลง ไหนเอาหน้ามาดูซิ ”

ผมผละออกมาจากไหล่ ก่อนจะมองหน้าพี่มันนิ่งๆ “ ถึงกูจะชอบบ่น มึงก็ห้ามทิ้งกูนะ ”

“ ไม่ทิ้งก็ไม่ทิ้งสิ ” พี่สยามเลื่อนมือมากุมมือผมไว้ “ ไม่มีใครเขาทิ้งหัวใจตัวเองหรอกนะ ”

ตึกตัก

อา....

ยอมแล้วครับ สมปองยอมแล้วพี่สยาม

ใจบางเกินจะคณานับ

“ กูเขินอ่ะ เดี๋ยวแปปนะ ” ผมยกมือปิดหน้าตัวเองทันทีก่อนจะข่มจิตข่มใจให้สงบ

“ หอมแก้มได้ไหม มึงน่ารักอ่ะ ”

ผมเอามือออกก่อนจะทำแก้มป่องยื่นให้ “ ทีเดียวนะ ”

“ ครับ ” จมูกโด่งกดลงที่แก้มผมค้างไว้อยู่อย่างนั้น “ อื้มมม...ม...ม....”

เดี๋ยวๆนี่มันฟัดละ

“ พอแล้วพี่สยาม ” แก้มกูช้ำหมดแล้วโว้ยยยยย

“ หมั่นเขี้ยว ” พี่มันบอกก่อนจะฟัดแก้มผมต่ออย่างเอาเป็นเอาตาย มึงนี่มันขี้โกงจริงๆเลยนะไอ้บ้า พอใจอ่อนเข้าหน่อยก็ชอบเหิมเกริม

“ พอได้แล้ววววววววว กูจะได้อ่านชีทไหมเนี่ย ” ตอนนี้ผมโดนหมีควายทับร่างให้ราบไปกับเตียง

พี่สยามนี่แม่ง

มันฟัดแก้มผมไม่พอนะครับ มือยังไล่จี้เอวผมด้วย มันรู้ว่าผมบ้าจี้ไงมันก็เลยแกล้ง ส่วนผมก็ได้แต่นอนขำดิ้นไปดิ้นมาอยู่ใต้ร่างสูง โอ้ย ไม่ไหวแล้ว ในเมื่อดิ้นไปไม่หยุดก็ต้องหาทางสู้กลับ ผมผงกหัวขึ้นไปงับหูตอนที่พี่มันเผลอ เจ้าตัวก็แหกปากร้องลั่นห้องก่อนจะจี้เอวผมหนักขึ้น

โอ้ย ขำจนตายแน่กูอ่ะ

“ โอ้ยย ฮ่าๆๆๆ พอแล้วพี่สยาม ฮ่าๆๆๆๆ ”

พี่สยามมันละขึ้นจากแก้มผมก่อนจะลูบหูตัวเอง “ หูเป็นรอยกัดเลยมั้งเนี่ย ”

“ ก็มึงอยากแกล้งกูก่อนทำไมล่ะ ”

“ ก็มึงน่ารักอ่ะ ” มือเรียวเสยผมที่ปรกหน้าผมขึ้นไปด้านบน ก่อนจะก้มลงมาจุ๊บหน้าผาก “ น่าฟัด ”

“ ก็ฟัดไปแล้วนี่ ลุกไปเลยนะจะอ่านชีทต่อ ”

“ ยังไม่หนำใจเลย ” พี่มันบอกเสียงอ่อนก่อนจะทำหน้าอ้อนๆ “ อยากทำ ”

“ ไว้รอหลังสอบโน่น ”

พี่สยามมันมองผมตาปริบๆ “ พูดแล้วนะ ”

“ เออ ทำตัวดีดีละกัน ถ้าทำตัวไม่ดีก็อด ”

“ จะทำตัวดีที่สุดเลยครับ ” เจ้าตัวยิ้มหวานก่อนจะซุกหน้าลงกับไหล่ผม

ทำมาเป็นดี๊ด๊าจนน่าหมั่นไส้

ความจริงก็ไม่ได้อยากจะยอมให้อะไรที่มันใหญ่พอๆกับแขนตัวเองทะลวงเข้ามาหรอกนะครับ แต่ว่าพี่สยามมันก็พยายามอดทนมาได้สักพักละ ให้รางวัลมันหน่อย ละก็หลังสอบจะไม่ได้เจอกันตั้งหลายวันเดี๋ยวมันจะงอแงแล้วไม่ยอมให้ผมกลับบ้านเอา ถือว่าตอบแทนที่มันจะช่วยแกล้งลันตาด้วย อีกอย่างก็คือ....ผัวเมียจะเอากันมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกน่ะนะครับ

พูดเองก็ช้ำเองว่ะ

อา....ปวดใจ





TBC.

มาส่งหยัมปองค่ะ ได้กลิ่นความม่าไหม มันโชยมาแล้วนะ เอาจริงๆพล๊อตเรื่องนี้ก็ค่อนข้างดราม่าอยู่นะแค่ว่ายังมาไม่ถึงเท่านั้นเอง ก็จินตนาการรอกันไปละกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ไรท์จะงดการลงนิยายจนกว่าจะผ่านพระราชพิธีขององค์ร.9 นะคะ ระหว่างนั้นก็จะไล่แก้คำผิดให้นะ #หยัมปอง
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้า
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 18 : 19/10/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 20-10-2017 07:24:18
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 18 : 19/10/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 20-10-2017 20:24:03
ร้ายๆๆๆจริง
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 18 : 19/10/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 21-10-2017 21:57:13
เพราะว่า..เธอและเขา
ถ่านไฟเก่ายังร้อน รอวันรื้อฟื้น

.กาซิก..
ซบคอสมปอง ร้องไห้เป็นเพื่อน

ชอบอ่านนิยายแนวนี้ หนุกดี
drama ...so good
อิอิ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 18 : 19/10/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 22-10-2017 06:49:16
งื้ออออ...อยากใให้เรื่องนี้ไม่มีดราม่า  แต่หากว่ามีและกำลังจะมาคงได้แต่เตรียมใจ เตรียมใบบัวบก หึหึ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 18 : 19/10/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ooomukooo ที่ 24-10-2017 02:41:40
ยิ่งอ่านยิ่งชอบ  :hao7:
นี้เตรียมต้มน้ำร้อนแล้วใช่ไหมเนี้ย  :m15:
ไม่เอามาม่าได้ไหม ไม่อยากกินเลย  :serius2:
แต่ถ้าจะต้องกินจริงๆ ขอมาม่ารสหมูสับน๊าาา  :call:
แบบซอฟๆ ไม่เอาต้มยำกุ้ง  :hao5:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 18 : 19/10/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 28-10-2017 14:38:29
เค้าเข้ามารอ
หยัมปอง

ที่หน้าเล้าทุกวันเลยนะ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 19 : 2/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 02-11-2017 18:24:18
บทที่ 19 การเอาคืนของสมปอง


การสอบมิดเทอมนี่....

ทำให้ผมอยากจะดรอปแล้วกลับไปปลูกองุ่นที่บ้านเลย

โคตรปวดใจ

ผมนั่งมองข้างทางอย่างหมดอาลัยตายอยาก ผมสอบมิดเทอมเสร็จแล้วครับ วันนี้เป็นวันสุดท้ายเลย แล้ววิชาสุดท้ายที่สอบก็คือวิชาฟิสิกส์ไง ผมนี่แบบแทบจะคลานออกจากห้องสอบ ต่างจากลันตาเพื่อนรักมากครับ รายนั้นน่ะยิ้มกว้างออกจากห้องแล้วยังยิ้มเยาะใส่ผมด้วยนะเชิงว่ามันได้ท็อปแน่นอน แม่งโคตรน่าหมั่นไส้อ่ะ ผมนี่เก็บความเคียดแค้นมารอชำระกับมันที่ร้านเหล้าอยู่

วันนี้มึงไม่รอดแน่อีงูพิษ

“ ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ ”

ผมหันมามองคนที่ขับรถอยู่ “ สอบฟิสิกส์วันนี้ยากมาก ”

“ ที่ติวให้นั่นไม่เข้าใจหรอ ”

“ ก็เข้าใจ แต่แบบห้องสอบมันมีอาถรรพ์น่ะมึง พอเราเข้าไปปุ๊บไอ้ที่จำมาทั้งหมดมันก็หายปั๊บ มึงไม่เคยเป็นหรอ ”

“ ไม่เคย ” พี่สยามมันเลื่อนมือมาขยี้หัวผมเบาๆ “ เอาน่ะ มันผ่านไปแล้วอย่าไปคิดมากเลย อีกครึ่งเทอมก็ตั้งใจเรียนให้มากๆเท่านั้นเอง ”

“ รู้แล้วน่า มึงนี่ก็เก่งเนอะพี่ ฟังจากที่ติวกูนี่ก็ไม่ธรรมดาเลย ”

“ ไม่ขนาดนั้นหรอก ที่เก่งจริงๆนั่นคือไอ้ขุนต่างหาก ไอ้บ้านั่นท็อปตลอด ไม่รู้ว่าสมองมันทำมาจากอะไร ”

“ เออ ลันตามันก็ท็อปเหมือนกัน ทำไมสายรหัสนั่นเค้าดูเก่งกาจจังวะ ”

เก่งจริงนะครับสายรหัส 0021 อ่ะ ผมรู้มาจากลันตาว่าพี่ขันเป็นพี่รหัสของพี่ขุนอีกทีนึง ลันตามันสืบเชื้อสายเฮดว้ากมาครับ แล้วแบบที่เขารู้กันทั่วคือ ที่ 1 ของปี 3 ก็คือพี่ขัน ส่วนปี 2 ก็คือพี่ขุน แน่นอนว่าปี 1 ก็คือลันตา เป็นสายรหัสตัวท็อปสุด พี่ขันเป็นเฮดว้าก พี่ขุนเป็นเดือนวิศวะ ส่วนลันตามันก็ยังเป็นแค่งูพิษอยู่ครับ แบบนี้ถ้ามันขึ้นปี 3 เมื่อไหร่ตำแหน่งเฮดว้ากก็จะตกเป็นของมันสินะ จะว่าไปก็อยากเห็นไอ้เตี้ยนั่นว้ากน้องเหมือนกันนะ

อยากรู้มันจะเอาน้องๆอยู่ไหม

“ กูว่าสายรหัสเราก็ยอดเยี่ยมนะ ”

ผมหรี่ตามองพี่มัน “ หรอวะ กูว่าสายเรามันกิ๊กก๊อกจะตายไป ”

“ ไม่เห็นจะกิ๊กก๊อกเลย พี่ทะเลก็เป็นหนึ่งในคณะว้ากเกอร์นะ แถมเมื่อปีก่อนยังเป็นดรัมเมเยอร์ไม้หนึ่งของวิศวะด้วย ”

“ เป็นดรัมฯก็ต้องเท่มากเลยสิ ”

“ เท่สิ มึงลองคิดดูว่า พี่ทะเลเป็นพี่ว้าก กูเป็นประธานสันฯ มึงเป็นประธานคณะฯ กูว่าสายเราก็ไม่ธรรมดาหรอก ” เจ้าตัวเหลือบมองผมก่อนจะถอนหายใจออกมา “ แถมยังเหนื่อยกว่าชาวบ้านชาวช่องอีกต่างหาก ”

อันนี้เห็นด้วยจากใจเลย

“ นั่นสินะ พอเถอะเลิกคิดเรื่องนี้ดีกว่า ปวดหัว ” ผมจับมือเรียวที่วางอยู่บนหัวมากุมไว้ที่ตักตัวเองเบาๆก่อนจะนั่งมองข้างทางต่อ

ตอนนี้ผมกับพี่สยามกำลังจะไปที่ร้านนั่งชิวครับ เนื่องจากสอบเสร็จแล้วก็ควรค่าแก่การฉลองและก็เอาคืนลันตาเพื่อนรักด้วย ผมกับพี่สยามวางแผนกันมาแล้วว่าจะให้พี่ทะเลช่วยต้อนให้ลันตามันกินเบียร์ครับ พอมันกินเบียร์แล้วเมาผมก็จะถ่ายคลิปมันเอาไปประจาน ไม่ใช่สิ เอาไปเผยแพร่ให้คนอื่นได้เห็นถึงความเป็นลันตาเท่านั้นเอง เออพูดถึงเรื่องลันตากับพี่ทะเลผมก็ยังสงสัยอยู่เลยว่าสองนี้มันยังไง

แอบไปมีซัมติงกันตอนไหน

เวลาที่ลันตาอยู่กับพวกผมเนี่ยะ นอกจากตั้งใจเรียนกับกวนตีนกับแกล้งเพื่อนก็ไม่มีอะไรละนะ เจ้าตัวก็ไม่เคยพูดถึงพี่ทะเลให้เพื่อนๆฟังด้วย ผมเชื่อว่าสีเทียนกับแยมก็ไม่น่าจะรู้เรื่องนี้นะครับ ถ้ามันรู้แล้วมันจะไม่บอกผมเลยก็จะใจร้ายไปหน่อยมั้ง สีเทียนอาจจะไม่บอกแต่แยมอ่ะต้องบอกผมแน่ๆ เพราะว่าแยมมันเป็นเพื่อนที่แสนดีไง ผมว่าเรื่องของพี่ทะเลกับลันตาคงจะมีแค่พวกแก๊งค์สันฯกับแก๊งค์พี่ว้ากแน่เลยที่รู้

เดี๋ยวค่อยสืบเอาละกัน

“ สมปอง ”

“ หืม ”

“ ที่บอกว่าจะกลับบ้านอ่ะ บ้านมึงอยู่ที่ไหน ” เจ้าตัวถามผมก่อนละเลี้ยวรถเข้าร้านนั่งชิว

“ ถามทำไมวะ ”

“ ผัวก็ต้องอยากรู้บ้านเกิดเมียไหมล่ะ ” พี่สยามจอดรถก่อนจะหันมองผม “ ตกลงบ้านมึงอยู่ไหน ”

“ เชียงใหม่ ”

“ เอ้า นี่คิงเป๋นคนเหนือก่ะ ”

ผมมองตาโตทันทีหลังจากที่พี่สยามพูดภาษากำเมืองออกมา “ ใช่ หยังคิงมาอู้กำเมืองได้ ”

“ ก่อฮาเกิดตี้ลำปาง นี่เฮาเป๋นคนเหนือเหมือนกันก่ะ ”

“ กะลังฮู้เหมือนกันเนี่ยะ ”

“ นี่ละเนื้อคู่ ” พี่สยามมันยิ้มหวานจนแก้มปริก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาหอมแก้มผมฟอดใหญ่ โว้ยยย ไอ้บ้านี่อยู่ดีดีก็หอม

“ พอแล้ว อย่าอู้กำเมืองมากเดี๋ยวติด ”

“ ก็ได้ครับ ไปกันดีกว่า ” พี่สยามบอกก่อนจะเดินลงจากรถ ผมก็เดินตามพี่มันลงไป

ไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่าพี่มันจะเป็นคนเหนืออ่ะ สำเนียงการพูดดีด้วย ผมไม่แปลกใจละว่าไอ้ผิวขาวจัดนั่นพี่มันได้มายังไง คือคนเหนือขาวนะครับแต่ก็ไม่ได้ขาวทุกคน ผมเองยังขาวไม่เท่ากับพี่สยามเลย มันก็คงจะดูแลตัวเองดีด้วยแหละมั้ง เอออีกอย่างคือพี่มันไม่ถูกกับแดดเลยครับ เพราะงี้เวลาไปไหนมาไหนถึงชอบขับรถยนต์ หอผมอยู่ใกล้มอจะตายแม่งก็ยังขับรถยนต์ไปมอทุกวัน

ค่าน้ำมันเดือนนึงนี่หมดเป็นล้านซะมั้ง

ก็เว่อร์ไป

ผมเดินตามหลังคนตัวสูงเข้ามาในร้าน พวกเด็กปี 1 วิศวะที่นั่งดื่มกันก็ยกมือไหว้พี่สยามไปตามมารยาท ตอนนี้คนในร้านค่อนข้างเยอะพอสมควรเลยครับ มาฉลองสอบเสร็จกันแน่ๆ ผมไม่ได้มาที่นี่เลยหลังจากที่สร้างวีรกรรมด้วยการคลานไปรอบๆแล้วมานอนกองอยู่ตรงหน้าร้าน คลิปนั้นทำให้ผมเป็นที่จดจำต่อชาวโลกมากเลยนะ แบบพี่เจ้าของร้านแกยิ้มให้ผมตั้งแต่ที่ผมเดินเข้าร้านมาแล้วอ่ะ

อายแปลกๆจังครับ

กลับหอดีไหมเนี่ย

“ มาช้านะมึง ”

“ พาเด็กมาด้วยว่ะ ”

“ ตกลงนี่เสร็จไอ้หยัมมันแล้วใช่ไหม ”

“ ไม่ต้องเขินไปนะสมปอง คนกันเอง ”

“ ชงเหล้ารับขวัญน้องมันหน่อยเร็ว ”

เออ เอาเข้าไปนะพวกพี่

ผมยืนเด๋ออย่างไปไม่เป็นหลังจากที่โดนคำทักทายจากบรรดาแก๊งค์สันฯ พี่สยามมันก็ยิ้มแป้นเหมือนชอบใจกับสิ่งที่บรรดาเพื่อนๆมันพูด ไม่มีแก้ตัวให้ผมเลยครับ งั้นก็ช่างแม่ง สิ่งที่พี่ๆพูดออกมามันก็จริงนั่นแหละ ผมเองก็ไม่รู้จะเถียงสู้ยังไง งั้นเดินหนีไปเลยดีกว่า เพื่อนๆผมมากันครบแล้วครับและก็นั่งกันอยู่โต๊ะถัดไป 3 โต๊ะ สีเทียนกับลันตานี่ยิ้มกริ่มมาให้แต่ไกล เชื่อได้เลยว่าถ้าเดินไปถึงโต๊ะนี่จะต้องโดนพวกแม่งจับผิดแน่นอน

“ พี่สยาม กูไปที่โต๊ะก่อนนะ ”

“ เออ เดี๋ยวอีกแปปนึงพี่ทะเลก็มา ”

“ โอเค ตามแผนนะ ” ผมบอกพี่มันก่อนจะเดินมาที่โต๊ะของตัวเอง

“ ทำไมมากับพี่สยามได้วะ ” ลันตามันถามพร้อมกับจ้องอย่างจับผิด “ ใต้ร่มผ้ามีความลับสินะ ”

“ ใต้ร่มผ้าอะไรของมึง เลอะเทอะ ” ผมนั่งลงข้างแยม “ ว่าแต่ทำไมพวกมึงมากันไวจัง ”

ลันตามันเบ้ปากใส่ผม “ ไวห่าไรล่ะ นัดกันสองทุ่ม นี่จะสามทุ่มอยู่ละ มึงอ่ะมาเลทไอ้ชิบหาย ”

“ มีฉุนเฉียว เออกูขอโทษได้ไหมล่ะ ”

“ อ่ะ บทลงโทษของมึง ” สีเทียนรินเหล้าใส่แก้วน้ำแข็งเปล่าแล้วยื่นมาให้ผม “ ออนเดอะร็อค ”

“ พวกมึงนี่มันงูพิษจริงๆ ” ผมคว้าแก้วเหล้าตรงหน้าขึ้นมากระดกลงคอในรวดเดียว

ความขมชะโลมไปยันตับเลยครับ โคตรบาดคอ เพื่อนรักสองคนตรงหน้ายกยิ้มอย่างพอใจก่อนจะชงเหล้ายื่นมาให้ผมกับแยม แยมนี่นั่งนิ่งๆเงียบๆเลยครับ มันเล่นเกมไงไม่ใช่อะไร ไม่รู้ว่าแม่งจะรู้ตัวไหมว่าผมมานั่งอยู่ข้างๆ เจ้าตัวใส่หูฟังด้วยครับอารมณ์แบบตั้งใจจะตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง อยากจะสะกิดแล้วถามมันว่ากลับไปเล่นเงียบๆที่หอไหม แต่กลัวโดนมันเตะเอาที่ไปกวนตอนเล่นเกม

พูดถึงเกมผมมีเรื่องอยากบ่น

พี่สยามมันเอาโทรศัพท์ผมไปโหลดเกมที่มันเล่นมาไว้เต็มเลยครับ ละแบบเวลาที่มันเล่นโทรศัพท์ของมันจนแบตฯหมดมันก็จะมาเอาของผมไปเล่นแทน ละแบบเวลาที่มันเล่นเกมมันจะไม่ค่อยสนใจอะไรรอบข้างเลยครับ ขนาดผมมันก็ไม่สนใจ เกมนี่สำคัญมาก ทีมนี่ต้องมาก่อน แม่งโคตรน่าทุบอ่ะ ละนอกจากมันจะเอาโทรศัพท์ผมไปโหลดเกมมาเล่นมันยังเปลี่ยนโน่นเปลี่ยนนี่ในโทรศัพท์ไปหมด รูปหน้าจอก็เป็นหน้ามัน ชื่อมันที่ผมเมมไว้ว่าไอ้พี่เชี่ยก็กลายผัวของน้องสมปอง

ดูแม่งทำสิ

พอพี่มันจัดการกับโทรศัพท์ผมเสร็จก็มีการมาบังคับผมด้วยนะว่าห้ามเปลี่ยน ถ้าผมเปลี่ยนมีปัญหากับมันแน่ ดูความเผด็จการนี้สิครับ ผมจะทำไงได้นอกจากปล่อยให้มันทำตามใจชอบ เออหลังจากที่ผมตกลงเรื่องระเบียบของการอยู่หอ พี่สยามมันก็ทำตัวดีขึ้นนะครับ ของเอามาใช้ก็เก็บเข้าที่ เสื้อผ้าก็แยก หนังสือก็แยก คือมันทำตามระเบียบที่ผมเขียนทุกอย่างเลย แน่ล่ะถ้ามันไม่ทำไอ้ที่อยากจะแดกผมมันก็จะอดน่ะสิ

ทำดีหวังผลชัดๆ

“ เด็กเปรต ”

ผมหันมองตามเสียงเรียก “ อะไรมึง ”

“ เหล้าปั่น ” เจ้าตัวบอกก่อนจะส่งแก้วเหล้าปั่นในมือมาให้ “ สตรอว์เบอร์รี่ ”

ผมมองเหล้าสีหวานในแก้วอย่างชั่งใจ “ ใส่เชี่ยไรมาป้ะเนี่ยะ ”

“ กูจะอะไรลงไปล่ะ มึงนี่ก็ระแวงจริง ”

“ มึงอ่ะมันไว้ใจไม่ได้ ”

“ งั้นให้กูแดกเองละกัน ” มือเรียวของคนที่เดินเข้ามาคว้าเหล้าในมือของพี่สยามก่อนจะยกซดจนหมด

“ พะ....พี่ทะเล ”

ผมมองลันตาเพื่อนรักที่ตอนนี้แก้มขึ้นสีแดงอย่างเห็นได้ชัด คนที่กินเหล้าปั่นที่พี่สยามถือมาคือพี่ทะเลครับ เจ้าตัวยังอยู่ในชุดนักศึกษาอยู่เลย พวกผมยกมือไหว้พี่ทะเล ในมือพี่เขาก็ถือแก้วเบียร์มาด้วย แปลว่านี่กำลังจะทำตามแผนใช่ไหมวะ โอ้ย ตื่นเต้น อยากเห็นลันตามันเมาใจจะขาดแล้ว เดี๋ยวผมต้องคอยปั่นให้อีงูพิษมันยอมกินเบียร์ให้ได้

มึงไม่รอดแน่ลันตา

“ ว่าไงเด็กๆ แล้วทำไมนี่แก้มแดงจังล่ะ ” พี่ทะเลมองลันตาก่อนจะเลื่อนมือไปดึงแก้มมัน

“ คะ...คือ...คือ...”

มันพูดติดอ่างไปแล้วครับ

“ มึงพูดอะไรของมึงวะ ” สีเทียนมันบ่นก่อนจะส่งแก้วเหล้าไปให้พี่ทะเล “ เหล้าไหมครับพี่ทะเล ”

“ อยากกินอยู่หรอกนะ แต่มีเบียร์มาด้วยนี่สิ ”

“ ให้ลันตามันกินเบียร์สิครับ ” ผมนั่งเท้าคางมองเพื่อนรัก “ มันจะได้หายหน้าแดงสักที ”

คนหน้าแดงหันขวับมามองผมทันที “ กูไม่กินเบียร์ ”

“ กินให้กูหน่อยไม่ได้หรอ ” พี่ทะเลทำเสียงอ่อน ก่อนจะยื่นแก้วเบียร์ให้ “ นะครับ ”

ลันตามันถอนหายใจออกมาก่อนจะรับแก้วเบียร์จากพี่ทะเล “ นี่เค้าเห็นว่าเป็นพี่หรอกนะ ”

เค้า!!!

ใช้เรียกแทนตัวเองว่าเค้า

ผมนั่งมองเพื่อนรักตาปริบๆหลังจากที่ได้ยินคำว่าเค้าออกมาจากมัน สองคนนี้นี่อาจจะไปไกลถึงขั้นได้กันแล้วมั้งครับ คำพูดคำจาถึงไปได้ไกลขนาดนั้น ไม่คิดว่าลันตาจะใช้คำว่าเค้าแทนตัวเองเลยอ่ะจริงๆ คิดดูว่าเวลามันอยู่กับพวกผมสิ แม่งโคตรหยาบคาบ แต่พอพูดกับพี่ทะเลนี่พูดจาอ่อนหวาน สองมาตรฐานชะมัดเลยว่ะ

น่าทุบชิบ

“ มองอะไรวะ ทำไมไม่แดกๆเข้าไป ” ผมบ่นลันตาก่อนจะหันมองพี่สยาม “ มึงจะนั่งก็นั่ง เขี่ยแขนกูอยู่ได้ เป็นอะไรเนี่ย ”

“ ปากคอเราะร้ายจริงๆนะเด็กเปรต ” พี่มันหน้ามุ่ยใส่ผมก่อนจะนั่งลงข้างๆ

“ อ้าวปอง มาตั้งแต่เมื่อไหร่ พี่ทะเลพี่สยามสวัสดีครับ ”

มาตั้งชาตินึงละไอ้สัส

“ มานานละ เป็นไงแพ้หรือชนะล่ะเกมมึง ”

“ ชนะสิ ” เจ้าตัวยิ้มหวานก่อนจะหันหน้าจอโทรศัพท์ให้ดู “ อยู่ทีมกูไม่มีแพ้หรอก ”

“ เก่งมากแยมอ่ะเอาเหล้าไป ” ผมส่งแก้วเหล้าให้แยมก่อนจะหันมองลันตา “ ยังไม่แดกอีก ”

“ เออ รู้แล้วน่า ” มือบางยกแก้วเบียร์ขึ้นซดช้าๆ

ผมนั่งมองภาพตรงหน้าอย่างพอใจ อีงูพิษตกลงไปในกับดักของพวกผมแล้วครับ เบียร์ค่อยๆถูกดื่มจนหมดแก้ว ลันตามันวางแก้วเบียร์ไว้บนโต๊ะก่อนจะสะบัดหัวสองสามที พี่ทะเลก็ยิ้มหวานอย่างพอใจก่อนจะยกมือขึ้นขยี้หัวลันตา เจ้าตัวเองก็เงยหน้ามองพี่ทะเลนิ่งๆ แก้มแดงๆนั่นก็ยังคงแดงอยู่อย่างนั้น

มองแบบนี้ก็น่ารักเหมือนกันนะเนี่ย

“ สมปอง ” พี่สยามมันดึงแก้มผมให้หันมามองตัวเอง “ กูรู้นะว่ามึงคิดอะไรอยู่อ่ะ ”

“ อะไรของมึง ยังไม่ทันคิดอะไรเลย ”

“ เดี๋ยวจะโดน ” พี่มันชี้นิ้วคาดโทษผม อะไรของมึงวะกูยังไม่ทันทำอะไรเลย

“ งั้นกูไปละนะ ” พี่ทะเลยกเหล้าที่สีเทียนชงให้ขึ้นมาซดจนหมด “ ขอบใจสำหรับเหล้า ” เจ้าตัวยิ้มหวานก่อนจะเดินไป ลันตาก็ได้แต่มองตามไล่หลัง

“ เดินตามเลยไหมล่ะมึง ”

“ มึง....” ลันตาหันขวับมามองสีเทียนทันที “ ใครวะเนี่ย...อ๋อ สีเทียน ”

“ มึงเป็นอะไรเนี่ยะ ตาลอยๆนะ ”

“ ม่ายเป็น สบายดี ” ลันตามันยิ้มพลางชูนิ้วขึ้นสองนิ้ว

“ มึงแน่ใจนะ ”

“ เอ้อ....นี่ลันตาไง ”

ผมนั่งมองเพื่อนรักที่เริ่มจะพูดจาไม่รู้เรื่อง ไม่อยากเชื่อเลยว่าแค่เบียร์แก้วเดียวก็ทำให้มันเมาได้ แถมยังเมาไวมากอีกต่างหาก ทีนี้ก็รอดูวีรกรรมที่มันจะสร้างตอนเมาครับ ผมนี่เตรียมโทรศัพท์รอถ่ายอยู่ตลอดเวลา สีเทียนกับแยมก็ได้แต่นั่งมองอาการของลันตาอย่างสงสัย คือปกติอ่ะลันตามันไม่กินเบียร์เลยไงเพื่อนก็ไม่เอะใจด้วยนะเรื่องนี้อ่ะ นี่อาจจะเป็นครั้งแรกด้วยที่สีเทียนกับแยมมาเห็นลันตากินเบียร์ เพราะถ้ามันรู้ว่าลันตากินเบียร์แล้วจะเมามันคงช่วยห้ามไปแล้ว

“ เทียน ”

“ ว่าไง เอาเหล้าไหม ”

“ อาววว มึงแทนได้ไหม ”

เดี๋ยวนะไอ้หนุ่ม ทำไมพูดจาแบบนั้น

“ มึงนี่พูดจาสองแง่สองง่ามนะลันตา ” ผมแอบกดถ่ายวีดิโอแล้วยัดใส่มือพี่สยาม “ จับไว้นิ่งๆ ”

พี่มันพยักหน้ารับก่อนจะหยิบแก้วเหล้าขึ้นมาซด “ ขอค่าใช้แรงงานกูเพิ่มด้วยนะ ”

“ มึงนี่แม่ง....” ผมหยิกแขนพี่มันก่อนจะหันไปมองลันตาที่ทำตาหวานใส่สีเทียน

“ เป็นอะไรอ่ะลันตา ” แยมมันถามก่อนจะยื่นมือไปอังหน้าผากเจ้าตัว “ ไม่สบายหรอ ”

ลันตาจับมือแยมที่อังหน้าผากมาจุ๊บเบาๆ “ ช่าย...กำลังป่วยใจ ”

“ มึงน่ากลัวนะเนี่ยลันตา ” สีเทียนมันถอยไปสุดขอบโต๊ะ ลันตามันก็ยิ้มกรุ้มกริ่มใส่

คือตอนนี้ลันตามันเมาแล้วล่ะครับ ผมลืมนึกเรื่องอาการของคนเมาไปเลย ทุกคนเมาได้ใช่ไหมล่ะครับแต่อาการที่แสดงออกมามันจะไม่เหมือนกัน บางคนแล้วจะนิ่งๆเงียบๆ บางคนเมาแล้วจะหลับไป ส่วนผมเมาแล้วก็จะเรื้อนมาก ชอบแหกปากชอบโวยวาย แต่ลันตาเมาแล้วมันดูหื่นๆยังไงไม่รู้ว่ะ สีหน้าท่าทางนี่ไปหมดเลยแถมไอ้ตาเยิ้มนั่นๆแล้วก็สิ่งที่มันพูดออกมานั่นอีก

ชิบหายละ

“ ทำมาย...ขยับไปไกลจังล่ะ ” เสียงอ้อแอ้พึมพำออกมาจากลำคอก่อนที่เจ้าตัวจะขยับเข้าไปใกล้สีเทียน

“ กูขยับหนีมึงก็อย่าตามมาเซ่ ”

“ ขยับหนีทำมาย อยู่ใกล้ๆกานสิ โอบบบบบอุ่น ” ลันตามันพุ่งไปกอดสีเทียนไว้

“ ฮ่าๆๆๆๆๆ มึงทำอะไรน่ะ ” ผมหัวเราะลั่นออกมา ตอนนี้ลันตามันพยายามจะกอดสีเทียนแบบแนบชิด แต่สีเทียนก็พยายามที่จะดันออกเหมือนกัน ไม่ใช่ผมที่ขำนะครับ โต๊ะข้างๆเขาเห็นเขาก็ขำเหมือนกัน

มึงได้เป็นคนดังแน่ลันตา

“ กู...ขาดความโอบอุ่น ” ลันตายิ้มแฉ่งให้ผมก่อนจะหันไปมองสีเทียน “ มึงนี่น่ารักเหมือนกานนะเทียน ขอจุ๊บโหน่ย ” คนเมาทำปากจู๋ใส่สีเทียน

“ โว้ยยยยยยยยยลันตา!!!!!! กูขนลุก เอาหน้ามึงออกไปเดี๋ยวนี้นะ ” สีเทียนแหกปากโวยวายลั่นร้าน “ ช่วยกูด้วยแยม เอามันออกไป ”

ฮ่าๆๆๆๆ

โอ้ยอีเชี่ยย

ผมนั่งขำกับภาพเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย พี่สยามมันก็ไม่ต่างจากผมเท่าไหร่ ลันตามันจะปลุกปล้ำสีเทียนแล้วครับ ส่วนแยมก็ได้แต่นั่งเหวอไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อ ผมว่ามันคงคิดว่าถ้ามันไปห้ามคนที่จะโดนลันตาปล้ำคือตัวมันเองแน่ๆ แต่ใจนึงก็คงอยากจะไปช่วยสีเทียนอยู่เหมือนกัน ผมควรช่วยไหมหรือควรนั่งมองแล้วหัวเราะเฉยๆ

ผมว่านั่งหัวเราะเฉยๆดีกว่า

“ มึงดูสะใจมากเลยนะ ”

“ เออสิ แม่งแกล้งกูไว้เยอะ แค่นี้กูก็พอใจแล้วเนี่ยะ ”

“ ถ้าพอใจมากๆต้องให้รางวัลกูเพิ่มนะ ”

ผมหันขวับมองพี่สยามทันที “ มึงนี่คิดเรื่องอื่นเป็นไหม ”

“ คิดเป็นสิ ” พี่มันยิ้มหวานก่อนจะเลื่อนหัวมาใกล้ๆหัวผม “ คิดถึงมึงไง ”

ตึกตัก

เอ่อ....เอ่อ อยู่ดีดีอย่ามาหยอดสิวะ

ไปไม่เป็นโว้ยยยยยยยย

“ โสมปองงงง ”

เสียงเรียกของลันตาทำให้ผมหันไปมองก็พบว่ามันพาดอยู่บนโต๊ะ ปากแดงๆนั่นยื่นมาจะถูกปากผมอีกแค่ไม่กี่เซน แต่พี่สยามมันยกมือขึ้นมากลั้นไว้ทัน ผมก็ผงะออกห่างทันที มึงมาตอนไหนเนี่ยะไอ้สัส โหเกือบเสียจูบไปละ ผมเห็นสีเทียนยกมือขึ้นเช็ดปากตัวเองอยู่อย่างนั้น มึงโดนมันแดกปากไปแล้วสินะ ส่วนแยมมันก็ยังคงนั่งเหวออยู่เหมือนเดิม ไอ้บ้านี่ก็ไม่เรียกเลย เกือบเสียจูบแล้วไหมล่ะ

ผมนี่อยากจะกราบผัวงามๆที่ยกมือมากลั้นทัน

“ อื้ออ.อ.อ....พี่ซัน...หยัม....แน่ะ อยาก...จูบลันตาแทนหรอ....มาๆ ”

ผมดันหน้าลันตามันออกไปทันที “ เดี๋ยวกูจะกระทืบมึงเดี๋ยวก่อน ” ผมกดบันทึกวิดีโอเมื่อเหตุการณ์เริ่มบานปลาย ในวิดีโอมันต้องมีตอนที่ลันตาจูบสีเทียนแน่ๆ เดี๋ยวค่อยเอาไปลง

แม่งโดนแน่

“ ทามมายหวงของล่า ”

“ หวงสิก็นี่ผะ....” ผมยกมือปิดปากตัวเองทันที เกือบหลุดปากออกไปละ โถ่ปองเอ้ย ความปากไวนี่มันจริงๆเลยว่ะ

“ พูดอะไรนะกูฟังไม่ทัน มึงพูดอีกรอบดิ้ ” สีเทียนมันถาม มือมันก็ยังคงยกเช็ดปากตัวเองอยู่อย่างนั้น

“ ไม่มีอะไร พี่สยามมึงเอาลันตาไปให้พี่ทะเลดิ้ เค้าคงรับมือมันได้ ”

“ ไม่กลัวกูโดนเพื่อนมึงจูบอ๋อ ”

ผมเข้าไปกระซิบข้างหูมันเบาๆ “ ถ้ามึงปล่อยให้มันจูบมึงได้นะ กูจะตบมึง ”

“ อึ้ยยย.ย...ทำโหด หึงหรอ ” พี่มันยิ้มบางๆ “ เขินเลยนะเนี่ย ”

“ รีบไป มัวแต่พูดมาก ” ผมเดินไปพยุงลันตาขึ้นมา “ ไปหาพี่ทะเลไหม ”

มันพยักหน้ารัวๆทันที “ ไปๆๆๆๆ ไปหาพี่ทะเล ไป ”

ผมส่งมันให้พี่สยามก่อนจะประคองหน้าลันตาขึ้นมา “ กว่าจะถึงโต๊ะพี่ทะเลห้ามจูบใครเด็ดขาดเข้าใจไหม พี่ทะเลจะไม่ชอบนะ ”

“ เข้าใจๆๆๆ ม่าย...จูบ ”

“ เออ พาไปได้แล้ว ” สิ้นคำสั่งผมพี่สยามมันก็หิ้วลันตาเดินไปอย่างทุลักทุเล

จะไหวไหมวะเนี่ย

ผมนั่งลงที่เดิมก่อนจะยกเหล้าขึ้นซดจนหมด โอ่ย นึกถึงเหตการณ์เมื่อกี้ก็ขนลุกอยู่เหมือนกันนะเนี่ย สีเทียนมันยังนั่งเช็ดปากตัวเองอยู่เลย อะไรมันจะขนาดนั้นวะน่ะ จะเช็ดให้ปากถลอกเลยไหมเพื่อนรัก ส่วนแยมมันก็ยังคงเหวอเหมือนเดิม โดยเกมล้างสมองไปแล้วรึไงวะ ดูไม่ค่อยมีสติเลย ป่านนี้ไม่รู้ว่าพี่สยามมันไปส่งลันตาถึงโต๊ะพี่ทะเลรึยัง หวังว่าคงไม่ปลุกปล้ำกันอยู่กลางทางหรอกนะ

ไม่งั้นแม่งโดนแน่

ผมหยิบโทรศัพท์มาเปิดดูวิดีโอที่เพิ่งอัดเมื่อกี้ เห็นตอนที่มันจูบสีเทียนจริงๆด้วย ที่สีเทียนมันนั่งเช็ดปากอยู่อย่างนั้นเพราะไม่ใช่การจุ๊บธรรมดาๆนี่เอง ลันตามันดูดปากเลยมั้งน่ะ อึ้ย.ย.ย....ละนี่ถ้าผมโดนมันจูบเมื่อกี้นี่คงขนลุกจนตายอ่ะ โอ้ยแค่คิดยังขนลุกเลย พอเลิกคิด อัพวีดิโอดีกว่า ทั่วโลกต้องรู้จักลันตาครับ ผมกดเข้าไปที่เฟซบุ๊กก่อนจะอัพโหลดวีดิโอโดยใช้ชื่อแคปชั่นเดียวกันกับที่มันเคยใช้กับผม

จุดจบของลันตาสายแข็ง

“ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ ”

“ อะไรวะอยู่ดีดีก็ขำ เมาอีกคนรึไงมึงอ่ะ ” สีเทียนบ่นอย่างหงุดหงิด เดี๋ยวมึงก็จะโดนอีกคนเจ้าสีเทียน ไว้รอโอกาสก่อนเถอะ

เจ้าไม่รอดแน่เจ้าสีเทียน

“ ยังจะมาทำหน้าชั่วใส่กูอีก ”

มึงนี่มัน....






TBC.

มาส่งหยัมปองแล้วค่ะหลังจากที่งดระยะการลงไปอย่างยาวนาน ถ้ารอกันนานมากๆก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ

#หยัมปอง
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 19 : 2/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 02-11-2017 18:54:13
เง้ออออ..........ลันตาเมาเบียร์ แล้วหื่น  o22 o22 o22
ลมใจสมปองแล้วสินะ ได้เอาคืนงูพิษ แล้ว  o18

อั๋ยยะ พี่สยาม กะเป้นคนเหนีย เหมือนสมปอง
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 19 : 2/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 05-11-2017 23:20:28
สมปองไม่น่ารัก
ไปแกล้งลันตา

พี่หยัมลงโทษสมปองเลย
อิอิ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 19 : 2/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 06-11-2017 01:07:47
เจ้าช่างราง้านกาจนักนะ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 20 : 9/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 09-11-2017 20:41:16
บทที่ 20  โลกมันเอียง



โลกมันเอียงนะครับ

เอียงไม่มากแต่ก็เอียง

ผมพูดอะไรวะ

เหม่อมองท้องฟ้ายามค่ำคืนนี่สวยเอาเรื่องเลยนะครับ ตอนนี้เวลาประมาณตีหนึ่งกว่าๆและผมก็นั่งอยู่บนรถ กำลังกลับจากร้านนั่งชิวครับ หลังจากที่ได้ล้างแค้นเจ้าลันตาเพื่อนรักเป็นอันที่เรียบร้อย อยากจะบอกว่าตอนนี้คลิปของลันตามียอดแชร์เป็นร้อยละครับภายในไม่กี่ชั่วโมง ยอดวิวนี่ไม่ต้องพูดถึง พอเห็นแบบนี้ก็ทำให้รู้ว่าเพื่อนรักของตัวเองที่ก็เป็นที่รู้จักในวงกว้างเหมือนกันนะ

รู้สึกสะใจจริงๆ

ผมว่าตอนนี้ผมไม่ได้เมานะครับมันแค่มึนๆ แต่เวลาเดินจะไม่ค่อยตรงเท่าไหร่ ผมไม่ได้ดื่มเยอะเหมือนวันปฐมนิเทศนะครับเพราะว่าผัวห้าม มันกลัวผมหลับก่อนซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่ามันจะกลัวผมหลับทำไม ถ้าผมหลับจริงๆก็ปล่อยให้หลับไปสิวะ ไม่ใช่ว่าหลับแล้วจะไม่ตื่นสักหน่อย

พี่สยามนี่มันบ้าจริงๆ

“ พี่....สยาม ”

“ อะไร จะอ้วกหรอ ”

“ เปล่า ” ผมหันมองหน้าเจ้าตัว “ ทำไมห้ามไม่ให้กูหลับ ”

“ เราตกลงอะไรกันไว้ล่ะ มึงลืมไปแล้วรึไง ”

ตกลงอะไรวะ

อ๋ออ.ออ....

“ กูเข้าใจละ มึงนี่มันบ้ากามจริงๆเลยไอ้สัส ”

มือเรียวเอื้อมมาหยิกแก้มผมแรงๆ “ เดี๋ยวมึงจะโดน ”

“ ไม่กลัวหรอก ” ผมบอกก่อนจะแลบลิ้นใส่มัน

แบร่ๆๆๆๆ

ใบหน้าหล่อทำหน้ามุ่ยเลยครับ แถมดวงตาคมฉายแววดุด้วย สายตาของพี่มันกำลังจะสื่อว่ามึงไม่รอดแน่อีเมีย ตลกว่ะ เดี๋ยวจะไม่เจอหน้าพี่มันเกือบอาทิตย์เลยนะเนี่ย หวั่นใจว่ามันจะคิดถึงผมจนทนไม่ไหวแล้วไปโดดตึกตายเหมือนกันนะ ช่วงที่ผมไม่เจอพี่มันชีวิตผมคงจะสงบน่าดูเลย อยากรู้เหมือนกันว่าผมจะเป็นยังไงถ้าไม่มีไอ้บ้านี่อยู่ข้างๆ ลองคิดดูนะครับคนอยู่ด้วยกันมาเกือบเดือน นอนก็นอนด้วยกันทุกวัน แถมยังนอนกอดกันอีก ข้าวก็กินด้วยกัน ทำโน่นทำนี่ด้วยกัน มันอาจจะไม่ได้นานมากก็จริงแต่ว่า....

มันก็ติดอ่ะ

แต่ช่างเถอะ แค่แปปเดียวเองที่จะไม่เจอกัน หวังว่าช่วงที่ผมกลับบ้านพี่สยามมันคงไม่ไปกกเด็กที่ไหนหรอก เราไม่ได้เป็นแฟนกันก็จริงแต่ว่ายังไงผมก็เป็นเมียมัน ถ้ามันแอบไปเจ๊าะแจ๊ะกับใครล่ะก็ ผมจะให้พ่อเอาปืนมาไล่ยิง ถ้ามันตายก็จะเอาไปทำเป็นปุ๋ยใส่ต้นองุ่นครับ ตัวผมเนี่ยะตั้งแต่ที่พี่สยามมันปู้ยี่ปู้ยำผม ผมก็ไม่ได้สนใจใครอีกเลย กับผู้หญิงสวยๆน่ารักๆก็มีมองบ้างตามประสา แต่ก็แค่นั้นแหละครับ เพราะถ้ามากกว่านั้นนี่

ผัวคงจะเตะ

“ ไม่ลงอ่ะ ”

ผมสะดุ้งทันทีที่ได้ยินเสียงพี่สยาม “ ถึงแล้วหรอวะ ”

“ ถึงแล้ว ต้องให้กูไปอุ้มไหม ”

“ ไม่ต้อง กูเดินเองได้ ” ผมเปิดประตูก่อนจะเดินลงมาจากรถ ตอนนั่งนี่ก็ว่าโลกเอียงละนะ ทำไมตอนยืนมันเอียงหนักกว่าเดิมอีกวะ

พี่สยามมันลงจากรถก่อนจะเดินมาประคองผม “ เดินนี่เซเลยนะ ”

“ โลกมันเอียงอ่ะ ”

“ โลกเอียงอะไรของมึงอีเมีย มึงอ่ะเมา บ๊องจริงๆ ”

“ อื้อออ....พาขึ้นห้องสักที ” ผมรั้งคอร่างสูงไว้เป็นที่ยึด

พี่สยามประคองผมเดินขึ้นหอ คือแบบตอนนี้ตาลายมากเลยครับ อยากล้างหน้าสุดๆ อยากอาบน้ำด้วย ดูทรงแล้วผมคงไม่รอดจากพี่สยามแน่ๆใช่ไหมล่ะครับ ตอนที่ทำกันครั้งแรกน่ะผมไม่ได้อาบน้ำด้วย เพราะงั้นครั้งนี้ขออาบให้รู้สึกว่าตัวเองสะอาดหน่อยเถอะ อีกย่างตอนนี้ตัวผมก็เหม็นกลิ่นเหล้ามาก

ยังไงก็ต้องอาบน้ำ

ผมเปิดประตูห้องก่อนจะเปิดไฟแล้วเปิดแอร์ “ พี่สยาม ”

“ หืม...”

“ กูไปอาบน้ำก่อนนะ ”

“ กูอาบด้วย ”

ผมหันขวับมองมันทันที “ ทำไมต้องมาอาบกับกูล่ะ ”

“ เดี๋ยวมึงเซล้มในห้องน้ำไปจะทำยังไง ”

“ กูว่าไม่ใช่ละ ” ผมเดินเข้าไปหอมแก้มคนตัวสูง “ อดทนหน่อยสิวะเดี๋ยวก็ได้ทำละ มึงจะว้อนท์อะไรขนาดนั้น ”

ร่างสูงโอบเอวผมเข้าไปชิด “ ผิดรึไงล่ะ เดี๋ยวจะไม่ได้เจอตั้งหลายวัน ”

“ ก็เข้าใจแต่แค่แปปเดียวเองป้ะวะ ”

“ งั้นก็รีบไปอาบเร็วๆ ” พี่มันบอกเสียงอ่อนก่อนจะคลายมือที่กอดเอวผมไว้

ผมหยิบผ้าเช็ดตัวก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำ ตื่นเต้นแปลกๆเหมือนกันนะเนี่ย ถึงจะเคยทำเรื่องแบบนี้ไปแล้วก็เถอะ แต่ก็นะใครมันจะชินง่ายๆวะ ผมว่าเลิกคิดแล้วรีบอาบน้ำดีกว่า เดี๋ยวพี่สยามมันจะตบะแตกแล้วพังห้องน้ำเข้ามาซะก่อน ผมบีบสบู่เหลวมาถูเต็มตัวพลางมองรูปร่างตัวเองในกระจก กล้ามท้องของผมนับวันก็ยิ่งเลือนลาง ปล่อยไปแบบนี้ไม่ได้ละ เดี๋ยวกางเกงยีนส์ใส่ไม่ได้ ไว้กลับมาค่อยไปเล่นฟิตเนสละกัน

หวังว่ามันคงจะไม่วุ่นวายเหมือนที่ไปเล่นมาครั้งแรก

พอพี่สยามมันทำผมเจ็บตัวครั้งนั้นมันก็พยายามทะนุถนอมผมมากขึ้นนิดนึงนะครับ แน่นอนว่าแค่นิดเดียวจริงๆ ผมเบื่อเวลามันกระโจนใส่มากเลย คือตัวมันไม่ใช่เล็กๆไงแถมแรงก็เยอะชิบหายอีกต่างหาก นี่ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ผมอาจจะตัวหักตายไปแล้วก็ได้ ผมบ่นมันเรื่องนี้บ่อยอยู่ครับแต่เจ้าตัวก็ดูจะไม่สนใจเท่าไหร่ ตอนเตือนก็รับปากว่าจะไม่กระโจนใส่แล้วแต่พออีกวันก็ทำเหมือนเดิม

อะไรของแม่งก็ไม่รู้

ผ่านไปสิบกว่านาทีผมก็อาบน้ำเสร็จ สะอาดแน่นอนครับ ณ จุดๆนี้ ผมหยิบผ้ามาพันไว้รอบเอวก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำ รับรู้ถึงสายตาคมที่มองเหมือนอยากจะแดกไปทั้งตัวเลยว่ะ พี่สยามมันนั่งอยู่ปลายเตียงครับ บนบ่ามีผ้าขนหนูพาดไว้ด้วย เจ้าตัวเห็นผมเดินออกมาจากห้องน้ำก็ลุกเดินเข้ามาใกล้

“ หอมรึเปล่า ” พี่มันถามพลางก้มหน้ามาดมฟุดฟิดๆ “ หอมจัง ” ว่าแล้วก็หอมแก้มผม

“ นี่....ไปอาบน้ำเลยไป ” ผมดันให้พี่มันเข้าไปในห้องน้ำ

“ ห้ามหลับหนีล่ะ ”

“ กูรู้แล้วน่ะ ”

“ ให้มันจริงเถอะ ” เจ้าตัวโผล่หน้าออกมา “ ถ้ามึงหลับนะกูจะทำทั้งๆอย่างนั้นอ่ะ ”

อีเลวววว

ผมเบ้ปากใส่มัน “ ไม่หลับก็ไม่หลับสิวะ มัวแต่ลีลาอยู่นั่น จะเอากูไหมห้ะ ”

“ มึงนี่มัน...” พี่สยามมันกลับเข้าไปในห้องน้ำแล้วครับ

แค่นี้นี่ทำเป็นเรื่องเยอะ

ผมเดินมานั่งรอพี่มันอยู่ปลายเตียง ไอ้ที่มึนๆตอนแรกนี่ค่อยดีขึ้นหน่อย สร่างขึ้นอยู่แต่ว่าก็ยังไม่สุด ไม่คิดว่าครั้งที่ 2 ระหว่างผมกับพี่มันจะเกิดขึ้นไวเหมือนกันนะ ทิ้งช่วงนี่ไม่กี่อาทิตย์เอง ตอนที่มีอะไรกันครั้งแรกน่ะกว่าจะหายปวดนี่นานมากเลยนะครับ แบบต้องบังคับให้ตัวเองเดินให้ขาตรงมากที่สุด ไหนจะรอยที่พี่สยามมันทำไว้อีก ครั้งก่อนอ่ะผมเห็นมันดูดคอผม ผมก็เลยทำคืน พี่มันไม่บ่นนะครับที่ผมทำรอยแบบนั้น เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ....

วันนี้กูจะทำแม่งทั้งคอเลย

ผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีพี่สยามก็เดินออกมาจากห้องน้ำครับ เรือนผมสีดำถูกเสยขึ้นไปด้านบน หยดน้ำที่เกาะตัวพี่มันอยู่นั่นทำไมกร้าวใจแบบนี้วะ แล้วผ้าเช็ดตัวถ้าจะนุ่งแบบหลุดแหล่ไม่หลุดแหล่แบบนั้นมึงไม่ต้องนุ่งออกมาก็ได้ เดินโทงๆออกมาเลยเถอะ กูชินละที่จะเห็นลูกรักมึงอ่ะ

สะดุดตากูอยู่ทุกเช้าเนี่ยะ

คือแบบผู้ชายเนี่ยะมันเป็นปกติที่จะคึกคักตอนเช้าๆ แล้วแบบว่าบางทีผมพลิกตัวเงี้ยะมือมันไปโดนแบบไม่ได้ตั้งใจไง ทุกครั้งที่มือไปโดนนี่ผมสะดุ้งตื่นตลอดเลย โคตรหลอนอ่ะ แบบตกใจนึกว่าตัวเองมีแขนงอกออกมา เห็นของพี่มันแล้วหันมาดูของตัวเองก็รู้สึกว่าเราโตมาต่างกันจริงๆนั่นแหละ ผมว่าคนที่ไซส์เล็กกว่าควรจะเป็นคนได้เสียบสิ เพราะถ้าเล็กกว่ามันจะทำให้เจ็บน้อยกว่าถูกไหม

พี่สยามมันควรโดนผมเสียบอ่ะ

ก็ได้แค่คิดล่ะนะครับ น้ำหน้าอย่างแม่งไม่มีทางยอมผมหรอก

“ พร้อมรึยัง ”

“ ถ้าบอกว่าไม่พร้อมมึงจะยอมให้กูนอนไหม ”

“ ไม่ ” ร่างสูงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม “ ถ้ามึงหลับกูจะทำจนกว่ามึงจะตื่นอ่ะ ”

“ โหดร้ายชิบ ”

“ จริงจังนะ ” เออ กูรู้แล้วว่าจริงจัง ไม่ต้องมาย้ำน่ะ

“ เบาๆนะไอ้สัส ”

“ รู้แล้วครับ ” ใบหน้าหล่อก้มลงมาใกล้ก่อนจะจูบเบาๆ

มือเรียวดันไหล่ผมให้นอนราบไปกับเตียง ใจเต้นไม่เป็นส่ำเลยครับ ลิ้นร้อนของพี่สยามนี่ทำลายล้างได้ทุกอย่างจริงๆ ผมยกมือโอบรอบคอแกร่งไว้ก่อนจะให้พี่มันทำตามใจตัวเองอย่างเต็มที่ เรื่องนี้จะเขียนลงไดอารี่ยังไงดีล่ะเนี่ย เอาเป็นว่าเขียนแบบอ้อมๆละกัน ถ้าพ่อรู้ว่าลูกชายต้องมาเสียตัวให้ผู้ชายเป็นครั้งที่ 2 เนี่ยะพอผมคงจะเอาผมไปบ่มในถังพร้อมกับองุ่นแน่ๆ และผมก็จะกลายเป็นไวน์สมปอง สินค้าตัวใหม่ที่รสชาติอาจจะไม่อร่อยนัก

ผมคิดอะไรของผมอยู่วะ

เอออีกอย่างคือผมกับพี่สยามกำลังจะป่ามป๊ามกันเพราะงั้น....ขอแพลนกล้องไปโคมไฟก่อนนะครับ

เขินน่ะ

“ อื้ออ.อ.อ....”



[ บันทึกพิเศษ : สยาม ]



เด็กอะไรทำไมน่าแดกไปทั้งตัวขนาดนี้วะ

ใจบางสุดๆ

ผมมองคนใต้ร่างที่นอนหายใจแรงๆ ผิวขาวเนียนน่ากัด ผมยังไม่ได้ทำอะไรน้องมันเลยนะครับ แค่จูบเองอ่ะ แก้มใสนี่แดงจัด แดงลามไปยันหูด้วยซ้ำ อาจเพราะฤทธิ์เหล้าด้วยมั้งที่ทำให้สมปองดูแดงไปหมดแบบนี้ โคตรน่าฟัดเลย วันนี้ผมจะต้องตักตวงจากน้องมันให้เต็มที่ก่อนที่จะไม่ได้เจอกันหลายวัน

คิดถึงแย่แน่เลยว่ะ

“ ทำไมตัวถึงได้แดงไปหมดแบบนี้ล่ะ ”

“ ไม่รู้เหมือนกัน ”

“ เขินหรอ ” ผมพรมจูบแก้มใสลงมาจนถึงซอกคอขาวก่อนจะขบเม้มแรงๆเพื่อให้เกิดรอย

สมปองจับหัวผมออก “ อย่าทำรอย ”

“ ทำไมล่ะ ”

“ เดี๋ยวพ่อเห็น ”

ผมพยักหน้ารับรู้ก่อนจะยกยิ้ม “ งั้นถ้าต่ำลงไปหน่อยก็ได้สินะ มึงคงไม่ถอดเสื้อให้ใครดูใช่ไหมล่ะ ”

“ เออ แต่ตรงคอห้าม ” เจ้าตัวผงกหัวขึ้นมาก่อนจะงับที่คอผมแรงๆ “ เป็นรอยเลยแฮะ ”

ก็ต้องเป็นสิไอ้สัสมึงดูดแรงขนาดนั้น

ผมมองหน้าน้องนิ่งๆ สมปองดูพอใจมากที่ทำให้คอผมเป็นรอยได้ แต่ดูเหมือนว่ารอยเดียวจะไม่สาใจสักเท่าไหร่ น้องไล่ดูดเต็มคอผมไปเรื่อย ผมก็นิ่งให้น้องได้ทำตามใจ อยากทำไรทำเลยครับเมีย เดี๋ยวถึงทีของผัวบ้างเมียก็ห้ามอิดออดนะครับ

มีทุบแน่อ่ะบอกเลย

“ พอใจยังครับ ”

มือเรียวไล่นับรอยดูดที่คอผมก่อนจะยิ้มแป้นออกมา “ พอใจละ ”

“ งั้นตากูละนะ ” ผมไล่จูบจากซอกคอน้อง เลื่อนต่ำมาจนถึงยอดอกสีหวานก่อนจะใช้ลิ้นเลียวนไปรอบๆ มืออีกข้างก็เลื่อนขึ้นมาลูบวนที่ยอดอกอีกข้าง

“ อื้ออ.อ.อ....” น้องจิกหัวผมเบาๆ เสียวสินะคนดี พี่จะทำให้เราเสียวกว่านี้อีก

“ ตรงนี้รู้สึกไวขึ้นนะ ”

“ พูดอะไรของมึง...อ๊ะ....”

ผมช้อนตาขึ้นไปมองสมปองที่แก้มแดงจัดมากกว่าเดิม หลังนี่อยู่ไม่ติดเตียงแล้วครับ ปากผมยังไล่เล่นอยู่กับยอดอกน้องพลางทิ้งรอยรักไว้เต็มไปหมด หมั่นเขี้ยวจริงๆอยากจะกัดแรงๆนะแต่กลัวโดนตบซะก่อน ผมเลื่อนมือลงไปกระตุกผ้าเช็ดตัวน้องออกก่อนจะลูบเบาๆที่ปองน้อย คึกคักสู้มือผมมากครับ ผมเคยคิดหวั่นใจด้วยนะว่าน้องจะมีอารมณ์ร่วมกับผู้ชายรึเปล่า และมันก็ดีจริงๆนะครับที่น้องรู้สึกแค่กับผมน่ะ

เนี่ยะ เกิดมาเพื่อเป็นเมียผมจริงๆแหละ

“ อ๊ะ....พี่สยาม ”

หืมม...เสียงหวานเชียว

“ อะไรครับ ”

“ หยุดเลียสักที...อ๊ะ ”

“ ทำไมหรอ ” พอได้ยินเสียงน้องห้ามผมก็ยิ่งรัวลิ้นหนักกว่าเดิม มือก็จับปองน้อยขยับขึ้นลงตามไปด้วย

“ อ๊ะ....กูเสียว...อื้ออ.อ...”

“ เสียวก็ดีแล้วไม่ใช่หรอ ”

“ อ๊ะ...ไม่....อ๊า....อื้ออออ..ออ.อ.ออ.....” สิ้นเสียงงึมงำในลำคอ น้องก็ปล่อยน้ำรักสีขาวขุ่นออกมาเต็มมือผม เสร็จไวเหมือนกันนะเนี่ย แต่ก็ดีละ

ผมจะได้ทำบ้างสักที

สมปองนอนหอบนิ่งๆ เหงื่อเริ่มซึมออกมา ริมฝีปากก็แดงๆนั่นทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปจูบ น้องเองก็จูบตอบอย่างรู้งาน ผมอาศัยจังหวะที่แลกลิ้นกับน้องอยู่นั้นจับขาเรียวให้แยกออกจากกัน ก่อนจะเลื่อนมือที่เปื้อนน้ำรักไปลูบไล้เบาๆที่ช่องทางด้านหลังเบาๆ คนใต้ร่างสะดุ้งเบาๆ ผมก็กดจูบหนักๆแล้วค่อยๆละออกมา มือเอื้อมไปหยิบเจลมาบีบใส่มือก่อนจะลูบเบาๆที่ปากทางเข้า

“ อย่าเกร็งนะ ” ผมเอ่ยบอกคนใต้ร่างเบาๆก่อนจะสอดนิ้วเข้าไปด้านในช้าๆ

“ อื้ออ.อ.อ.....”

“ นั่นแหละดีละ ” ผมจุ๊บปากน้องเบาๆก่อนจะขยับนิ้วเข้าออก

“ อ๊ะ....”

“ ไม่ค่อยเจ็บแล้วใช่ไหม ”

เจ้าตัวส่ายหน้าเบาๆ “ ไม่ ”

“ โอเค ” ผมดูท่าทีของน้องก่อนจะเริ่มสอดนิ้วเข้าไปเพิ่ม จากหนึ่งเป็นสองและจากสองเป็นสาม

โคตรรัดเลยว่ะ

“ อื้ออ.อ....พอแล้ว ” สมปองบอกด้วยสีหน้าที่แดงก่ำ “ กูไหวน่ะ ”

“ แน่ใจนะ ”

“ เออ เข้าๆมาเหอะ ”

จัดให้ตามคำขอเลยครับที่รัก

ผมถอนนิ้วออกมาก่อนจะฉีกถุงยางสวมเข้าที่ลูกรักของตัวเอง พร้อมกับบีบเจลใส่มือมาชะโลมไว้รอบ สมปองจะได้เจ็บน้อยลงครับ ผมรู้ว่าไซส์ 56 เนี่ยะไม่ใช่เล่นๆ ตอนที่ทำกันครั้งแรกผมก็กลัวว่าต้องจะเป็นแผลด้วยซ้ำ แต่ดีว่าที่น้องไม่เป็นอะไรมากแค่ช้ำนิดหน่อย ผมจับขาเรียวแยกออกจากกันให้กว้างมากขึ้น ก่อนจะจับลูกรักตัวเองถูวนไปรอบๆปากทางเข้า สมปองผงกหัวขึ้นมามองแวบนึงก่อนจะหนุนหมอนอย่างเดิม

มือนี่เตรียมจิกไหล่ผมละ

“ สมปอง ” ผมเรียกน้องก่อนจะดันส่วนปลายเข้าไปช้าๆ ข้างในนี่บีบรัดมากเลยครับ บีบจนผมเจ็บเลย

“ อื้ออ.อ.อ....อะไร ”

ผมก้มหน้าลงไปจูบปากน้องหนักๆ “ เจ็บหน่อยนะ ”

“ ห้ะ....โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยย ” น้องแหกปากลั่น มือก็จิกไลห่ผมสุดแรง “ กระแทกเข้ามาทำซากอะไรห้ะ กูเจ็บ ”

“ ซี๊ดด..ด.....ก็ถึงบอกว่าเจ็บหน่อยนะไง ” ผมยิ้มหวานพลางจูบปลอบน้อง

“ อื้ออ.อ....อีเลว....มึงมันเลว ”

“ โอ๋เอ๋นะ อา....อย่ารัดแน่นขนาดนั้นสิมันจะขยับไม่ได้นะ ”

“ ไม่ต้องพูดออกมาก็ได้ป้ะวะ ” สมปองบอกก่อนจะยกมือขึ้นมาบังหน้าตัวเอง ท่าทางแบบนี้นี่เขินสินะ

ผมยกมือน้องขึ้นมาจุ๊บเบาๆ “ กูขยับเลยนะ ”

“ เดี๋ยว...อ๊ะ....” ไม่เดี๋ยวแล้วครับทูลหัว ตอดขนาดนี้ถ้าไม่ขยับนี่แตกก่อนแน่นอน

ผมเริ่มขยับเอวช้าๆ มือก็ลูบไล้ไปตามสะโพกเนียน เนียนน่าแดกจริงๆเลยนะ ข้างในที่บีบรัดผมอยู่นี่ก็จะให้ผมเป็นบ้าเหมือนกัน ครั้งนี้มันดูต่างจากครั้งที่แล้วนะครับเพราะว่าคนใต้ร่างเนี่ยะดูจะเป็นงานขึ้นเยอะเลย ทั้งจูบเอยทั้งการโยกสะโพกรับเอย มันดีจริงๆอ่ะ

ยิ่งเสียงครางหวานๆนี่ยิ่งทำให้รู้สึกดีเข้าไปใหญ่

“ อ๊ะ....อื้อออ..อ....เร็วหน่อย ”

“ ซี๊ดด.ด....ได้สิครับ ” ผมเร่งขยับเอวให้เร็วขึ้นตามที่น้องขอ

“ อื้ออ.อ....พี่...ตรงนั้นมัน...อ๊ะ ”

ผมกระแทกเข้าที่จุดเดิมซ้ำๆ “ ตรงนี้ทำไมหรอหืม ”

“ อ๊า....ตรงนั้นมันเสียว...อ๊ะ ”

“ อา....ชอบสินะ ”

“ อื้อ.อ.อ.อ....ชอบ...”

ทำไมวันนี้รู้สึกว่าเมียเอ็กซ์แปลกๆ

เพราะเหล้าแน่ๆ

ผมขยับเอวเร็วขึ้นอีก มือก็เลื่อนไปจับปองน้อยขยับตามไปด้วย เวลาที่สมปองกัดริมฝีปากตัวเองนี่โคตรเซ็กซี่เลย แก้มแดงๆนั่นก็น่ากัด เพราะน้องเป็นแบบนี้แหละผมถึงได้รักได้หลงไง เจ้าตัวคงจะไม่รู้หรอกว่าตัวเองมีอิทธิพลกับผมมากแค่ไหน เสียงครางเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆผมว่าน้องคงใกล้จะถึงแล้ว ผมเองก็ไม่ต่างจากน้องเท่าไหร่

“...ไม่ไหวแล้ว...อ๊ะ ”

“ กูก็จะไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ” ผมเร่งขยับเอวถี่ยิบเมื่อใกล้จะถึง มือก็ขยับตามไม่หยุด “ พร้อมกันนะ ”

“ อ๊ะ....พี่....อ๊ะ....”

“ อื้มม.ม....”

“ อ๊ะ...พี่สยาม....อ๊าง....อ๊าาาาาาาาา ”

“ ซี๊ดดด.ด..ด....ปอง....อื้ม.ม.ม.....”

สุดยอดไปเลย

รู้สึกดีจริงๆ

ผมถอนกายออกมาก่อนจะก้มหน้าลงไปจูบปากน้อง แอร์ในห้องเย็นมากนะครับแต่ผมกับน้องนี่เหงื่อท่วมตัวเลย ผมเลื่อนไปหอมแก้มน้องก่อนจะยิ้มหวาน สมปองมองผมนิ่งๆ ดูท่าคงจะสร่างเมาแล้วล่ะ การงั่มน้องโดยที่น้องเมาเหล้านิดๆนี่ก็ดีเหมือนกันนะ ถ้ามีโอกาสได้งั่มน้องอีกผมก็อยากจะลองให้น้องเป็นคนเริ่มว่ะ

อยากเห็นน้องออนท็อปแฮะ

“ มึงคิดอะไรชั่วๆอยู่สินะ ”

“ เปล่านะ ”

อ่านใจกูออกอีกนะอีเมีย

“ ลุกออกไปได้แล้วไปกูหนัก ”

“ อะไรเล่า เพิ่งรอบเดียวเองนะ ”

น้องทำหน้าบึ้งใส่ผมทันที “ มักมาก ”

“ ก็เพราะรักมากไง ” ผมจุ๊บปากสมปองแล้วยิ้มหวาน “ รักมากก็เลยอยากทำมากๆ ”

ผมยกนิ้วเกลี่ยแก้มแดงๆของน้อง เจ้าตัวคงจะเขินอยู่น่ะครับ มองผมตาโตเลยตอนที่บอกรัก อยากได้ยินสมปองบอกรักผมเหมือนกันนะ ปกติผมไม่ใช่คนที่ใส่ใจกับคำพูดมากนักหรอก ผมคิดว่าการกระทำมันสำคัญกว่า ที่ผมบอกรักน้องบ่อยๆนี่เพราะว่าอยากจะให้น้องยิ้มน่ะครับ สมปองมักจะยิ้มออกมาทุกครั้งที่ผมบอกว่ารัก

ยิ้มเหมือนอย่างตอนนี้

“ มึงนี่มันบ้าจริงๆเลยนะพี่สยาม ”

ก็บ้าตั้งแต่หลงรักเรานั่นแหละ

ไอ้เด็กบ๊องเอ้ย



[ จบบันทึกพิเศษ : สยาม ]






TBC.

มาส่งหยัมปองค่ะ ตอนหน้านี่น้องปองเราจะปิ๊กบ้านนะคะ จะเกิดอะไรขึ้นรอติดตาม
ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เป็นกำลังใจให้กันได้น้า
#หยัมปอง
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 20 : 9/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-11-2017 21:31:31
 :hao6: :pighaun: :haun4:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 20 : 9/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 09-11-2017 22:05:20
สำรองเลือดด่วน
ไหลหมดตัวเลย

พี่หยัมนัมเบอร์ 56 จริงดิ
มันกร้าวตรูดดดด
ฮ่าฮ่า
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 20 : 9/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Zetnezz ที่ 10-11-2017 00:08:29
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 20 : 9/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 10-11-2017 06:53:30
 :katai3:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 20 : 9/11/2017 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 14-11-2017 12:40:54
 :L2: :L1: :pig4:]]

สนุก เพิ่งได้เข้ามาอ่าน

รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 21 : 16/11/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 16-11-2017 21:52:08
บทที่ 21 สมปองกลับบ้าน



เชียงใหม่ที่รัก

ปิ๊กบ้านกำนี้ฮาจะกิ๋นองุ่นหื้อหมดไร่เลย

ป้อกิ๋นหม้ดก็โดนป๋อเอาปื๋นไล่ยิง......ละผมก็ตายคาไร่องุ่นนั่นแหละ

ทำไมคิดแล้วมันปวดใจจังวะ

ผมลากกระเป๋าออกมาหยุดอยู่ตรงทางออกของสนามบิน พ่อบอกว่าใกล้จะถึงแล้วครับให้ผมรอแปปนึง อากาศที่เชียงใหม่นี่เย็นได้ใจผมจริงๆเลย ตอนที่อยู่กรุงเทพฯนี่มันหนาวอยู่แค่วันเดียวเองครับ อยากจะบอกว่ากว่าจะลากตัวเองขึ้นเครื่องมาได้นี่เสียเวลากับพี่สยามไปเยอะชิบหาย

ผมเกือบตกเครื่องอ่ะ

คือผมบินไฟท์ประมาณบ่ายสอง พี่สยามมันดราม่าตั้งแต่อยู่หอยันถึงสนามบินอ่ะ แล้วก็กอดผมกลางสนามบินเลยครับ กอดค้างอยู่อย่างนั้น แล้วก็พูดในสิ่งที่ตัวเองพูดไปแล้ว ดูแลตัวเองดีดี คิดถึงกูบ้างล่ะ กินข้าวด้วยนะ ถึงแล้วโทรหาด้วย อะไรเถือกๆนี้อ่ะครับ คือผมจำได้ตั้งแต่ที่มันบอกครั้งแรกที่หอละ เข้าใจว่าพี่สยามมันคงจะแซดมากนะครับที่ไม่ได้ใช้วันหยุดร่วมกับผม เพราะงั้นผมจะยืนไว้อาลัยให้มันสามวิละกัน

สาม

สอง

หนึ่ง

โอเคพอ....ผมว่าจะโทรหาพี่มันตอนที่ถึงบ้านแล้วน่ะครับ ก็คงจะสักสี่โมงกว่าๆ ไม่รู้ว่าป่านนี้พี่สยามมันจะทำอะไรอยู่ เออมันอาจจะไปช่วยพี่ถิ่นไทขายไอติมก็ได้ มันบอกว่าตอนแรกมันลางานพี่ถิ่นไทไว้ครับเพราะตั้งใจว่าจะไปเที่ยวกับผม แต่ว่าผมดันกลับบ้าน ผมว่าดีเหมือนกันนะถ้าพี่สยามไปทำงาน มันจะได้ไม่ต้องง้องแง้งมาก

“ สมปอง ”

เสียงเรียกอันคุ้นเคยทำให้ผมหันมายิ้มหวานทันที “ พ่อออออออออออออ ” ผมโผเข้ากอดพ่อทันที

“ โอ่ยๆ ใจเย็นนะไอ้หนุ่ม นี่อ้วนขึ้นรึไงหืม ”

“ โถ่พ่อ เค้าเรียกว่าโตขึ้นต่างหาก ” ผมคลายกอดก่อนจะยกมือไหว้ “ สวัสดีครับ ลูกปิ๊กบ้านละเน้อ ”

“ แม่ลูกน่ะคิดถึงใจจะขาดละ พ่อว่าเรารีบกลับบ้านกันเถอะ ”

“ ได้เลยครับ รถเราล่ะพ่อ ”

“ พ่อจอดไว้ตรงนั้นไง ตามมา ” พ่อบอกก่อนจะเดินนำ ผมก็ลากกระเป๋าเดินตามมา

“ แม่ล่ะครับ ”

“ ทำกับข้าวรอลูกอยู่ที่บ้านน่ะ ”

ผมพยักหน้ารับเบาๆก่อนจะยกกระเป๋าขึ้นไว้ที่เบาะด้านหลัง “ แม่ทำของโปรดของลูกไหมครับ ”

“ ไม่รู้สิ ถึงบ้านเดี๋ยวก็เห็นเอง ” พ่อบอกก่อนจะขึ้นรถ ผมเองก็ขึ้นตามมา

ไม่ได้กลับบ้านตั้งหลายเดือนเลยนะครับผมน่ะ ไม่รู้ว่าที่บ้านจะมีอะไรเปลี่ยนไปไหม ตอนที่ผมจะมาเรียนที่กรุงเทพฯ แม่บอกว่าจะยกห้องผมให้เป็นห้องของมาลีกับมานี มันเป็นแมวน่ะครับ มันเป็นแมวที่ดื้อมากและก็เลี้ยงไม่เชื่องด้วย พวกมันอิจฉาผมมาก มันก็เลยจ้องจะฆ่าผม แต่ด้วยความที่สมปองเป็นคนเก่งไงก็เลยเอาชีวิตรอดมาได้ทุกครั้ง

จะเล่นพี่มันไม่ง่ายหรอกไอ้หนู

เดี๋ยวถ้าถึงบ้านแล้วผมเจอมันอยู่ในห้องผม ผมจะทำการยึดห้องคืนแล้วไล่มันไปนอนในไร่องุ่นซะ บ้านของผมอยู่ไกลจากตัวเมืองเชียงใหม่พอสมควรเลยนะครับ มันเป็นแถบชานเมือง แถมยังต้องขึ้นเขาด้วย แต่ว่าถนนหนทางมันก็ไม่ได้ลำบากอะไรขนาดนั้น ด้วยความที่บ้านอยู่บนเขาเนี่ยะ อากาศก็จะเย็นมาก ยิ่งช่วงปีใหม่นะจะหนาวจัดเลย เวลาพูดทีนี่มีไอออกจากปากอ่ะ

คิดถึงฟีลนั้นจริงๆ

ไม่รู้ว่าตอนเช้าหมอกจะลงไหมนะ ถ้าหมอกลงผมก็จะถ่ายไปอวดพี่สยาม เดี๋ยวผมจะถ่ายไร่องุ่นไปอวดมันด้วย ผลไม้อะไรในไร่ผมจะถ่ายอวดให้หมดเลย พี่สยามมันจะต้องอิจฉาผม เออผมถามพี่มันด้วยว่าหยุดยาวทำไมมันไม่กลับบ้านที่ลำปาง มันบอกว่าที่บ้านมันตอนนี้ไม่มีใครอยู่เพราะเขาไปเที่ยวญี่ปุ่นกันหมด มันก็บอกผมนะครับว่าถ้ามีโอกาสก็อยากจะพาผมไปที่บ้าน พาไปไหว้พ่อกับแม่มันและก็ฝากตัวเป็นลูกสะใภ้

ปวดใจกับคำว่าสะใภ้จริงๆ

“ ได้เอาไดอารี่มารึเปล่า ”

“ เปล่าครับ....ก็มันยังไม่ครบปีเลยลูกจะเอามาทำไม ”

“ ก็เผื่อลูกจะเปลี่ยนใจไวขึ้น ” พ่อเหลือบผมพร้อมกับยกยิ้ม “ เรียนบริหารมันก็ไม่แย่นะ ”

ผมทำหน้ามุ่ยใส่ “ เรียนวิศวะก็สนุกดีนะครับ อีกอย่างถ้าจะให้ลูกเรียนบริหาร ให้ลูกไปเรียนเกษตรไม่ดีกว่าหรอ ”

“ เอาสิ เกษตรพ่อก็สนับสนุนนะ จะได้มาช่วยพ่อพัฒนาสายพันธุ์องุ่น ”

“ ถ้าลูกเป็นผู้พัฒนาสายพันธุ์องุ่นนะ รับรองเลยว่าไร่เราจะพินาศไปในทันที ”

“ ไม่ไว้ใจฝีมือตัวเองเลยรึไงเรา ”

ผมส่ายหน้ารัวๆทันที “ พ่อก็รู้ว่าลูกชอบทำลายมากกว่าสร้าง ”

“ นั่นสินะ ” พ่อยิ้มบางๆรับกับสิ่งที่ผมพูด

หลายอย่างเลยครับที่พังลงไปเพราะมือผม บ้านก็เคยเกือบไหม้เพราะผมเหมือนกัน ตอนนั้นผมอยู่ประมาณม.4 ครับ คือที่บ้านเนี่ยะมีมดเยอะมากก็เลยกะว่าจะจุดไฟไล่เผามด แต่มันดันไปติดผ้าม่านอ่ะ ผ้าม่านนั้นเป็นผ้าม่านที่แม่ซื้อมาจากต่างจังหวัดแล้วมันก็ไม่มีขายแล้ว แม่งอนผมไปหลายวันเลยครับ ส่วนพ่อก็ดุใหญ่เลยว่าทำไมไม่ใช้ยาฉีดมดมาฉีด จะเผามันทำไม นอกจะจะบ่นกันพักใหญ่ยังลงโทษด้วยการให้ผมนอนหน้าบ้านด้วย

โหดไหมล่ะ

นี่คือแค่เรื่องเบาๆนะครับ ผมมีเรื่องหนักกว่านั้น ช่วงที่ผมอยู่ม.6 เนี่ย พ่อของผมจะส่งไวน์เข้าประกวด มันเป็นไวน์ที่บ่มเป็น 10 ปีเลยครับ มันเป็นไวน์ที่เยี่ยมที่สุดที่พ่อทำ ด้วยความที่ผมเห็นว่าขวดมันเปื้อนอะไรไม่รู้ผมก็ไปเอาผ้ามาเช็ดให้ แต่ว่าขวดมันดันหลุดมือร่วงลงพื้นจนแตกน่ะครับ สิ่งที่สั่งสมมา 10 ปี กระจายเต็มพื้นไปหมด พอพ่อมาเห็นพ่อก็โกรธมากเลยครับ ผมก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆให้

และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่โดนพ่อเอาไม้ไล่ตี

วิ่งหนีแทบไม่ทัน

คือไอ้ไวน์ 10 ปีของพ่อน่ะ มันก็ยังเหลืออยู่ในถังไม้ไงครับ แต่ว่าไอ้ที่อยู่ในขวดมันพร้อมสำหรับการประกวดแล้ว ผมก็เลยบอกพ่อว่ารอเอามาประกวดปีนี้แทน แถมยังบอกไปด้วยว่าไวน์ยิ่งบ่มนานมันถึงจะยิ่งเป็นของดี ไวน์ 10 ปี หรือจะสู้ไวน์ 11 ปี จริงไหม พอผมบอกแบบนั้นพ่อก็ค่อยอารมณ์เย็นขึ้น

นี่แหละวาทะศิลป์ของแท้

หลังจากที่นั่งรถมาได้สักพักใหญ่ก็ถึงทางเข้าไร่อนันต์แล้วครับ อนันต์เนี่ยะคือชื่อของพ่อผมเอง คนงานในไร่จะเรียกกันว่าพ่อใหญ่ครับ ส่วนคุณแม่สุดที่รักเนี่ยะ ท่านชื่อว่านภาครับ คนก็จะเรียกว่าแม่ใหญ่ ที่บ้านผมก็มีจะมีป้าแม่บ้านแล้วก็เด็กรับใช้อยู่หลายคน ผมไม่รู้ว่าลูกพี่ลูกน้องของผมจะอยู่ที่บ้านรึเปล่า เอาจริงๆที่บ้านผมค่อนข้างจะคึกครื้นนะครับ คนก็เยอะพอสมควรเลย

ช่วงเทศกาลเนี่ยะจะเยอะจนน่ารำคาญเลยล่ะครับ

“ ถึงแล้ว ” พ่อจอดรถที่หน้าบ้านก่อนจะลงจากรถไป ผมก็เดินตามลงมาพร้อมกับสูดอากาศเข้าไปจนเต็มปอด

อา....สดชื่นมากๆ

นี่สิบ้าน

“ อ่าวคุณหนู ”

“ สวัสดีครับป้าชื่น ” ผมยกมือไหว้ก่อนจะเดินเข้าไปกอด “ คิดถึงจังเลยครับ ”

“ ป้าก็คิดถึงคุณหนูค่ะ คุณหนูของป้าอ้วนขึ้นใช่ไหมคะเนี่ย ”

ผมคลายกอดออกก่อนจะทำหน้ามุ่ยใส่ “ ไม่ได้อ้วนนะครับ เมื่อก่อนปองผอมไปต่างหาก ”

“ แบบนี้นี่เอง มีอะไรให้ป้ายกไหมคะ ”

“ ไม่ต้องหรอกครับเดี๋ยวปองยกเอง ” ผมหยิบกระเป๋าลงมาจากรถ “ ห้องปองยังเป็นของปองใช่ไหมครับ ”

“ ใช่ค่ะ ที่แม่ใหญ่ท่านบอกว่าจะยกให้เจ้ามาลีกับมานีนั่นท่านก็แค่หยอกคุณหนูเล่นเท่านั้นแหละ ”

“ ค่อยโล่งใจไปที ” ผมยิ้มหวานก่อนจะหันไปมองพ่อที่กำลังจะเดินไร่ “ พ่อไปไหนครับ ”

“ พ่อไปโรงบ่มไวน์ก่อน ฝากบอกแม่เค้าด้วยละกัน ”

ผมพยักหน้ารับก่อนจะหันมองป้าชื่น “ แม่อยู่ในครัวใช่ไหมครับ ” ผมถามก่อนจะเดินนำเข้าบ้าน

“ ใช่ค่ะ แม่ใหญ่น่ะเข้าครัวทำกับข้าวรอคุณหนูมาเลยนะคะ เอาของขึ้นไปเก็บก่อนก็ได้ค่ะแล้วค่อยไปหาท่านที่ครัว  ”

“ โอเคครับ ” ผมรับคำก่อนจะแบกกระเป๋าขึ้นไปชั้นสองของบ้าน

ห้องของผมเป็นห้องที่มองเห็นวิวของไร่องุ่นไกลสุดลูกหูลูกตาเลย ผมเปิดประตูเข้ามาในห้อง ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยครับ ชอบจริงๆเลยไอ้ห้องโทนน้ำตาลสบายแบบนี้น่ะ ผนังที่หอผมมันเป็นสีขาวอ่ะ ผมว่ามันสว่างไปหน่อย จะเปลี่ยนสีผนังก็ทำไม่ได้เจ้าของหอคงไล่ผมออกให้ไปอยู่ที่อื่นอ่ะ ผมลากกระเป๋ามาไว้ที่หน้าตู้เสื้อผ้า ก่อนจะเดินไปเปิดผ้าม่านที่ริมระเบียงออก บรรยากาศเดิมๆนี่ดีจริงๆ

อยู่ที่ไหนก็ไม่สุขใจเท่าที่บ้านละครับ

หลังจากที่ดื่มด่ำกับห้องตัวเองเสร็จ ผมก็เดินลงด้านล่างก่อนจะมุ่งหน้าเข้าไปในครัว กลิ่นหอมของกับข้าวนี่ชวนน้ำลายสอมากครับ แม่ของผมกำลังง่วนกับการคนแกงอะไรสักอย่างในหม้อ ผมก็ค่อยๆย่องเข้ามากอดท่านจากด้านหลัง

“ สวัสดีครับแม่....ลูกคิดถึงจังเลยครับ ”

“ คุณพระ ” ขุ่นแม่สะดุ้งก่อนจะหยิกแขนผม “ เข้ามาไม่ให้สุ้มให้เสียงนะเจ้าลูกคนนี้ ”

“ ก็คนมันคิดถึงนี่ครับ ” ผมบอกก่อนจะหอมแก้มนวล

“ อื้ออ.อ.อ....แม่จะทำกับข้าว ลูกไปนั่งรอที่โต๊ะไปแกงจะเสร็จแล้ว ”

“ ก็ได้ครับ ” ผมคลายกอดก่อนจะเดินมารอที่โต๊ะกินข้าว

“ ไอ้ปอง ”

ผมหันตามเสียงเรียกทันที “ อ้าว ไอ้....มึงชื่ออะไรนะ ”

“ ณนนท์ไงไอ้สัส มึงลืมชื่อพี่ตัวเองได้ไงห้ะ ”

“ ใครเค้านับญาติมึง ” ผมทำเป็นเบ้ปากใส่มัน “ ไปตายซะไป ”

“ ไอ้เด็กเวรนี่ ” มันเดินมานั่งลงตรงข้ามผมพร้อมกับทำหน้าเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ “ ปากหมาไม่เปลี่ยนเลยนะ ”

แน่นอนสิ

ปากหมาจนหมาตัวจริงยังอายอ่ะบอกเลย

ผมทำหน้ากวนประสาทใส่มัน ไอ้หล่อน้อยกว่าผมนี่มันชื่อว่า ณนนท์ ครับ มันเป็นลูกของลุงผม เจ้าตัวแก่กว่าผม 3 ปี เรียนจบด้านเกษตรมา ตอนนี้ก็ทำงานช่วยพ่ออยู่ที่ไร่นี่แหละ สภาพแม่งตอนนี้อย่างกับโจรป่าก็ไม่ปาน ผมเผ้าก็ไม่ตัด หนวดก็ปล่อยให้ยาวเฟิ้ม เดี๋ยวถ้ามันเผลอผมจะดึงหนวดมันให้หลุดเลย ผมไม่รู้ว่านอกจากณนนท์แล้วจะมีคนอื่นอยู่ด้วยรึเปล่า

“ ไอ้สมปองงงงงงงงง ”

มีสินะ

ผมหันมองไปตามเสียงก็พบร่างสูงของลูกพี่ลูกน้องอีกคนเดินเข้ามา “ เสียงดังทำไมวะพะนาย ”

“ ก็น้องรักกลับบ้านทั้งทีนี่นา ” มันยิ้มหวานก่อนจะนั่งลงข้างๆ “ พี่ชายที่แสนดีคนนี้ก็ต้องดีใจเป็นธรรมดา ”

“ แหวะ กูอ้วกใส่หน้ามึงได้ไหม ”

“ ไม่ได้ หน้ากูหล่อเกินที่มึงจะมาอ้วกใส่ ”

“ ไปหล่อไกลๆไป ” ผมโบกมือไล่

ป้าชื่นยกกับข้าวมาวางบนโต๊ะ “ คุณณนนท์กับคุณพะนายจะทานข้าวด้วยเลยไหมคะ ”

“ ทานเลยครับป้าชื่น นนท์ยังไม่ได้กินอะไรแต่เช้าเลย ”

“ นายก็เหมือนกันครับ ”

ผมนั่งมองณนนท์กับพะนายสลับกัน ทำไมไอ้สองคนนี้มันถึงดูต่างกันคนละขั้วแบบนี้วะ ณนนท์มันเหมือนโจรแต่พะนายมันเหมือนเทพบุตรเลยอ่ะ นี่สงสัยอยู่ว่าทำงานอยู่ในไร่จะต้องทำให้หน้าหล่อใสตลอดเวลาเลยหรอวะ หล่อขนาดนี้ไปเป็นพระเอกโฆษณาไวน์ให้พ่อกูเลยไหม ผมอิจฉาเบ้าหน้ามันมากเลยอ่ะ พะนายมันยิ่งโตมันยิ่งหล่อ พะนายมันก็อายุเท่าณนนท์ครับ เรียนจบเกษตรมาเหมือนกัน พะนายมันเป็นลูกของอาผมเอง อาผมเนี่ยะเวลาที่เขามาเยี่ยมพ่อก็จะหอบขนมมาฝากผมเต็มเลยครับ

ผมรักอามากๆ

“ มากันพร้อมหน้าเชียวนะหนุ่มๆ ” แม่เดินออกมาจากครัวก่อนจะนั่งลงที่หัวโต๊ะ “ พ่อของลูกล่ะปอง ”

“ พ่อไปโรงบ่มไวน์น่ะครับ บอกว่าให้กินกันได้เลย ”

“ โอเคงั้นเรากินข้าวกันเถอะ ตักข้าวเลยจ่ะชื่น ”

“ ค่ะแม่ใหญ่ ” ป้าชื่นรับคำก่อนจะตักข้าวใส่จานให้ทีละคน กับข้าวที่วางอยู่ตรงหน้าผมนี่น่ากินมากครับ มีแต่ของโปรดผมทั้งนั้นเลย แกงฮังเล น้ำพริกหนุ่ม มีไส้อั่วด้วยครับ คือกับข้าวมันเยอะมากเลยอ่ะ

สงสัยต้องกินสักครึ่งหม้อ

“ กับข้าวน่ากินจังเลยครับแม่ ” ผมยิ้มหวานก่อนจะตักแกงฮังเลมาใส่จานตัวเอง

“ น่ากินก็กินเยอะๆ นี่ลูกอ้วนขึ้นรึเปล่า ”

ผมทำหน้ามุ่ยใส่ทันทีที่ได้ยินคำว่าอ้วน “ ไม่ได้อ้วนนะครับ ก็แค่....”

“ มึงอ้วนขึ้น ไม่ต้องแก้ตัวหรอก ” ณนนท์มันบอกก่อนจะตักไส้อั่วมาใส่จานผม “ หน้านี่บานเป็นกระด้งเลย ”

“ มึงก็พูดเว่อร์ไปณนนท์ ” พะนายหยิบแคปหมูมาใส่จานผม “ แต่มึงก็อ้วนขึ้นจริงๆนะสมปอง ”

“ เอออ้วนก็อ้วนพอใจพวกมึงยัง....แม่ครับ ลูกโดนแกล้งอ่ะ ”

แม่ผมตีมือณนนท์กับพะนายเบาๆ “ แม่ตีให้แล้วนะลูก ”

“ ตีแรงๆสิครับ แม่ตีเบาอ่ะ ”

“ ลูกนี่ยังงอแงไม่เปลี่ยนเลยนะ ”

“ ลูกเปล่างอแง ” จริงจังนะครับแม่ อีกอย่างคือลูกไม่ได้อ้วนสักหน่อย

ก็แค่ตัวบวมขึ้นเท่านั้นแหละ

ผมนั่งกินข้าวต่อด้วยความช้ำใจ แม่ผมก็ถามถึงโน่นนี่ ผมก็ตอบตามปกติ เพิ่มเติมคือต้องต่อกรกับความกวนประสาทของณนนท์กับพะนาย นี่แบบถ้าไม่เสียดายข้าวก็อยากจะพ้นใส่หน้ามันสองคนอยู่ เมื่อก่อนตอนที่ผมอยู่ที่นี่ผมก็โดนไอ้สองบ้านี่แกล้งประจำ เพราะผมเป็นน้องเล็กไงครับ ไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าทำไมต้องแกล้งเด็กน่ารักๆอย่างผมด้วย ก่อนกลับนี่เดี๋ยวผมต้องหาทางแกล้งพวกมันกลับซะหน่อย

โดนแน่ไอ้พวกบ้า

“ เติมอีกจานนี่ตัวจะแตกเอานะปอง ”

ก็กูหิวอ่ะ....กูผิดหรอพะนาย

“ เออ ไอ้อ้วน ”

ณนนท์แม่งปากดีชิบ

“ กูไม่ได้อ้วนบนหัวพวกมึงสักหน่อยไอ้ชิบหายยยยยยยยยย ”





ผมนั่งโกรกลมอยู่ที่ระเบียงห้องหลังจากที่กินข้าวเสร็จ ตอนนี้ประมาณ 5 โมงกว่าๆแล้วครับ มันเป็นการกินข้าวที่ชุลมุนวุ่นวายมากเลย พอกินข้าวเสร็จผมก็รีบหนีขึ้นมาบนห้องตัวเองเลย ไว้พ่อกลับมาค่อยลงไป ไม่รู้ว่าณนนท์กับพะนายมันจะไปทำงานต่อรึเปล่า ช่างแม่ง จะไปไหนก็ช่างแม่ง ผมมีเรื่องต้องทำด้วยครับนั่นก็คือ....

โทรหาพี่สยามไงล่ะ

เชื่อเลยว่าโทรไปหานี่มีดราม่าแน่นอน เพราะว่าผมลงเครื่องตั้งนานละแต่ก็ไม่ได้โทรหาในทันที ป่านนี้คงนั่งจับโทรศัพท์ไว้แน่นเลยมั้ง และก็คงอาจจะคิดถึงผมจนจะขาดใจตาย พอคิดได้ว่าผัวกำลังจะตายผมก็หยิบโทรศัพท์มากดโทรไปหามันทันที

( ฮัลโหลทำไมโทรมาช้า ลงเครื่องตั้งแต่กี่โมงแล้วห้ะ นี่นึกว่าไปตายอยู่ที่ไหนแล้วนะ )

ใจเย็นนะพ่อหนุ่ม

“ ก็ยังไม่ตายนะ ตอนนี้ก็อยู่สบายดี ”

( ไม่ต้องมาเล่นลิ้นเลยนะ ลิ้นมึงไว้เล่นในปากกูก็พอ )

“ คำพูดคำจามึงนี่นะพี่สยาม ” ผมยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองเบาๆ “ แล้วนี่อยู่ไหนเนี่ยะ ”

( อยู่ร้านไอติม )

“ ทำงานหรอ ”

( ใช่ แล้วนี่ถึงบ้านแล้วใช่ไหม ปลอดภัยดีนะ )

“ ถึงแล้ว ปลอดภัยดี อากาศที่บ้านกูดีมากเลยอ่ะ ”

( เก็บใส่โหลมาฝากกูด้วยละกัน ละนี่เอวหายเจ็บรึยัง อย่าไปเดินขาถ่างให้พ่อเห็นล่ะ เดี๋ยวพ่อจะรู้เอาว่าลูกชายมีผัวแล้ว )

“ มึงนี่มันไอ้สัสจริงๆ ”

ผมเบ้ปากใส่โทรศัพท์ ถึงแม้มันไม่เห็นหน้าผมก็เถอะ ไอ้วันที่ไปกินเหล้ากันแล้วกลับมาป่ามป๊ามกันน่ะ ผมก็โดนไปไม่น้อยหรอกครับ แต่อาจจะเพราะเคยโดนมาแล้วและก็ฤทธิ์ของเหล้ามันก็เลยไม่ค่อยปวดเท่าไหร่ ไอ้เรื่องจะเดินขาถ่างนี่ไม่มีแน่นอน ตอนนี้ผมนี่เดินขาไขว้อย่างกับนางแบบวิคตอเรียซีเคร็ท

เว่อร์ไปป้ะวะ

( เมียครับ )

“ หืม ”

( คิดถึงนะ )

“ เพิ่งห่างกับกูไม่กี่ชั่วโมงเอง ”

( ก็คนมันคิดถึงนี่ เคยกอดเคยหอมอยู่ทุกวัน คืนนี้นี่ขาดใจตายซะมั้งกูเนี่ย )

“ เว่อร์มาก กอดหมอนกูแทนไปก่อนละกัน ”

( กูต้องทำอย่างนั้นอยู่แล้วป้ะวะ คืนนี้ก่อนนอนวิดีโอคอลมาหาด้วยนะอยากเห็นหน้า )

“ เออได้ มึงก็ไปทำงานได้แล้ว ”

( ครับ ดูแลตัวเองดีดีนะ กูรักมึงมากเลยนะรู้ไหม )

ผมคลี่ยิ้มออกมาทันทีที่ได้ยินมันบอกรัก “ รู้แล้วน่า มึงก็ดูแลตัวเองดีดีเหมือนกัน ”

( ครับผม งั้นแค่นี้นะ คืนนี้เจอกัน )

“ โอเค ” ผมรับคำก่อนจะกดวางสาย

ทำไมใจมันเต้นแรงจังวะ

ผมวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ ปากนี่ก็ยิ้มไม่หุบเลยครับ ขนาดตัวมันอยู่กรุงเทพฯแท้ๆยังทำให้ผมเขินได้ให้ตายสิ เห็นบรรยากาศสวยๆตรงหน้าผมก็อยากจะให้พี่สยามมันมาอยู่ด้วยกันตรงนี้เหมือนกันนะ แต่อย่างว่าล่ะมันยังไม่ใช่ตอนนี้ แต่ผมคิดว่าสักวันนึงผมจะพามันมาอยู่ตรงนี้ให้ได้ มายืนดูวิวของไร่องุ่นด้วยกัน

มันต้องมีความสุขมากแน่ๆเลยว่ะ

ตอนนี้ในหัวของผมมันมีแต่พี่สยามเต็มไปหมดเลย และก็เหมือนว่าจะไม่มีใครเข้ามาแทนที่ได้ด้วย ความรู้สึกนี้มันคงหมายความว่าผมกำลังจะรักมัน พี่สยามมันเก่งนะครับที่ทำให้ผมมีความรู้สึกนี้ได้ พี่มันคงดีใจมากแน่ๆถ้าได้รู้ว่าผมรู้สึกยังไงในตอนนี้ แต่ผมก็คิดว่าจะยังไม่บอกมันหรอกครับ จะคอยดูไปสักระยะนึงก่อน ถ้าความรักมันยิ่งมีมากขึ้น ไว้ถึงตอนนั้น....

ผมกับพี่มันค่อยเป็นแฟนกัน

แค่คิดก็....เขินว่ะ











TBC.

ภาษากำเมืองที่โผล่มานั้นไรท์ใช้การช่วยแปลของเพื่อนไรท์ที่เป็นคนเชียงรายนะคะ ถ้าบางคำมันอ่านแล้วแปร่งๆต้องขออภัยไว้ด้วยนะ เรื่องราวของคู่นี้จะเป็นยังไงต่อรอติดตาม
ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ #หยัมปอง
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้า
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 21 : 16/11/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 16-11-2017 22:02:30
 :L2: :L1: :pig4:

ดีใจตอนใหม่มาแล้ว
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 21 : 16/11/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 16-11-2017 22:16:05
รักกันจ๋าเลย  :mew1:
พี่สยาม สมปอง  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

คิดถึงอากาศหนาวๆเย็นๆของเชียงใหม่เลย
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 21 : 16/11/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 16-11-2017 22:51:42
ญาติสมปองแต่ละคน มีชื่อดูหะรูหะรา
พะนายงี้ ณนนท์งี้

แต่สมปองชื่อสมปอง
ไทยมากกกกกกกก
ฮ่าฮ่า

+1 ยังรอมาม่าอยู่นะ
ดูดิ๊ มาม่ารสต้มยำจะสู้ได้หรือเปล่า
หุหุ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 21 : 16/11/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 17-11-2017 22:37:40
บ่เป็นอยังเน้อๆๆๆ.
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 22 : 27/11/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 27-11-2017 19:51:29
บทที่ 22 สมหยัม


อากาศที่ไร่ยามเช้านี่มันดีจริงๆ แถมยังโคตรหนาวเลย

ผมยืนปากสั่นรับลมหนาวอยู่หน้าระเบียงห้อง ตอนนี้ประมาณเกือบหกโมงเช้าแล้วครับ นี่ตั้งใจแหกขี้ตาตื่นมาเพื่อจะดูพระอาทิตย์ขึ้นอ่ะ ผมจะถ่ายรูปไปอวดผัวไงไม่ใช่อะไร พี่สยามมันต้องอิจฉาผมมากที่ได้เห็นวิวสวยๆ แบบนี้ แต่ก่อนจะปลื้มปริ่มกับพระอาทิตย์ ผมควรจะไปเอาผ้าห่มมาคลุมตัวก่อน

แม่งหนาวจะตายห่าอยู่แล้ว

ผมเดินเข้ามาหยิบผ้าห่มในห้องแล้วเอามาห่อตัวก่อนจะเดินกลับมาที่เดิม ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจะใส่บ๊อกเซอร์ตัวเดียวออกมายืนรับลมเพื่อ คิดว่าตัวเองเป็นเอลซ่าหรอวะปอง

เอลซ่า

เลทอิทโก

เลทอิทโกววววววววววววว

“ ไปกันใหญ่แล้วตัวกู ”

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปวิวไปเรื่อย ถ่ายรูปไม่พอนะครับ ปากนี่เป่าให้มือตัวเองอุ่นไปด้วย อากาศตอนนี้ 15 องศาอ่ะ หนาวแค่ไหนถามใจดู มองรูปที่ถ่ายให้พี่สยามมันดูก็รู้สึกว่ามันยังไม่สวยเท่ากับของจริงเลยว่ะ ผมอยากให้มันเห็นภาพบรรยากาศตอนนี้จัง ผมควรจะทำยังไงดี

อา....คิดออกละ

ผมกดเข้าไปในในไลน์ก่อนจะกดวิดีโอคอลไปหาพี่สยามครับ ผมจะคอลไปจนกว่ามันจะรับอ่ะ ถ้ามันปิดเครื่องหนีผม ผมก็จะงอนมันมากๆ แล้วก็จะเลื่อนวันกลับกรุงเทพฯ ออกไป เอาให้มันขาดใจตายไปเลย ในขณะที่ผมกำลังวางแผนร้ายอยู่ในใจนั้น ปลายสายก็กดรับ ใบหน้าคมนั่นบ่งบอกถึงความง่วงมาก หัวก็ฟูฟ่อง สิ่งที่ผมเห็นคือมันกอดหมอนผมไว้แน่นเลยครับ

มันคงคิดถึงผมมากแน่ๆ เลยว่ะ

( อื้อ...ออ....เมียยยยยย )

" ยังไม่ตื่นอีกหรอพี่สยาม "

( มึงดูด้วยว่ามันกี่โมง )

" หกโมงกว่าไง....ทำไมถึงมาทำตัวขี้เซาแบบนี้ล่ะ กูตั้งใจคอลหาเพื่อให้มึงได้เห็นหมอกเลยนะ " ผมเอ่ยเสียงอ่อนพลางเบะปากน้อย ทำเป็นดราม่าไปครับ เดี๋ยวพี่สยามมันก็ตาสว่าง

( กูไม่เห็นหมอกเลย....เห็นแต่หน้ามึงเต็มไปหมด )

ผมหรี่ตามองทัน " แน่ะ...มีกูอยู่ในสายตาตลอดเลยหรอเขินจรุม "

( เปล่า....มึงมันอ้วนไงหน้าเลยบังจอไปหมด )

" ปากดีนะมึง กลับไปกูจะเตะมึงเดี๋ยวก่อน " ผมเบ้ปากใส่ก่อนจะสลับกล้องไปใช้กล้องหลัง " มึงดูวิวบ้านกูซะ สวยไหมล่ะ "

( สวยสิ เห็นแบบนี้ละก็คิดถึงลำปาง )

ผมสลับกล้องกลับมา " ละคิดถึงกูไหม "

( คิดถึงสิ...คิดถึงใจจะขาดอยู่แล้ว )

" เดี๋ยวก็กลับละอีกสองวัน "

( กูจะฟัดมึงให้หนำใจ )

" ใครเค้าจะให้มึงฟัดกันไอ้บ้า " ผมอมยิ้มมองมัน " เอาหมอนกูไปกอดแบบนั้นกูคิดค่ากอดนะ "

( เดี๋ยวกูจ่ายสามน้ำเลย )

" เดี๋ยวๆ กูว่ามันไม่ใช่ละ " ผมบอกก่อนจะทำหน้าบึ้งใส่

ขนาดอยู่ไกลกูขนาดนี้มึงยังคิดเรื่องแบบนี้ได้อีกหรออีเลว

พอมันเห็นผมทำหน้าบึ้งใส่มันก็ยิ้มหวานใส่ น่าหมั่นไส้ชะมัด นี่ถ้ามันอยู่ใกล้ผมนะมันโดนผมทุบไปละ สีหน้าพี่มันดูเหนื่อยๆ ด้วยนะครับอาจเพราะว่าเมื่อวานไปทำงานมา วันนี้ก็ต้องมาตื่นเช้าเพราะผมคอลหา ใจนึงก็อยากให้มันนอนนั่นแหละแต่อีกใจก็อยากให้เห็นวิวสวยๆ ด้วยกันนี่หว่า

เห็นไหมว่าผมนึกถึงมันแค่ไหน

( ปอง...ที่โน่นหนาวมากไหม )

" หนาวดิ่ กูปากสั่นเลยอ่ะ "

( มาให้กูกอดมา )

" ไม่ กูมีผ้าห่มแล้ว มึงกอดตัวเองไปเถอะ " ผมแลบลิ้นใส่มันพร้อมกับทำหน้าตากวนตีนไปด้วย

( มันน่ากัดให้ลิ้นขาดจริงๆ เดี๋ยวเถอะ )

" หว่ายยยยย น่ากลัวจัง "

( กวนตีนจริงๆ )

" ทำไม...กวนตีนละจะทำไม "

( กวนตีนยังไงกูก็รักมึงอยู่ดี )

ตึกตัก

ผมมองพี่สยามที่ยิ้มหวานตาปริบๆ ก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบแก้มตัวเองๆ เจ้าตัวดูชอบใจไม่น้อยเลยครับที่ทำให้ผมเขินได้ นี่ถ้ามันยิ้มจนปากฉีกถึงหูได้ก็คงฉีกไปจนถึงนั่นละอ่ะ ไม่น่าไปสวนคำมันเลยว่ะ โดนเข้าตัวเองเลยเนี่ยะ ผมนี่ก็บ้าบอจริงๆ กับอีแค่มันบอกรักแค่นี้ทำมาเป็นหัวใจเต้นแรง หน้าแดงทุกที ใช่เธอรึนี่ ที่คอยตลอดมา

พี่ป้างก็มาว่ะ

ผมส่ายหัวไล่ความเพี้ยนของตัวเองออกไป “ มึงไปนอนได้แล้วไป ”

( มึงจะไปไหน อยู่กับกูก่อนสิ กูตื่นแล้วเนี่ย ) ตื่นหน้ามึงอ่ะ ตาจะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่

“ กูมีเรื่องต้องไปทำกับพ่อกู ไว้เดี๋ยวคืนนี้กูค่อยคอลหามึงใหม่โอเคไหม ”

( ต้องรอตอนกลางคืนเลยหรอ )

“ ใช่...แดกข้าวด้วยล่ะ อาบน้ำด้วย ห้ามทำห้องเละนะ อย่าไปเจ๊าะแจ๊ะกับใครที่ไหนนะมึง ถ้ากูรู้กูตบหัวโยกเลยอ่ะ ”

( ฮ่าๆๆๆๆ น่ารักจัง....มึงหึงกูหรอครับเมีย )

“ เปล่า ใครเขาหึงมึงกันวะไอ้บ้า ” ผมโวยวายใส่มันก่อนจะโบกมือบ๊ายบาย “ แค่นี้แหละ ”

( บายครับ )

ผมกดวางสายก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แค่คอลหากันเองนะ ทำไมต้องเขินตัวบิดขนาดนี้ด้วยวะปอง เมื่อก่อนก็ไม่ได้เป็นถึงขนาดนี้หรอก นี่รู้สึกเหมือนตัวเองเริ่มอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ เดี๋ยวผมจะต้องหาทางเอาสมปองผู้แข็งแกร่งคนเดิมกลับมาให้ได้ครับ จะปล่อยให้พี่สยามมันมามีอำนาจเหนือผมต่อไปอีกไม่ได้

ปกติแล้วเมียต้องเป็นใหญ่สิถูกไหม

เก็บความคิดล้มล้างพี่สยามไว้ก่อน กลับกรุงเทพฯ ไปค่อยจัดการเรื่องนี้ครับ สิ่งที่ผมควรทำตอนนี้คือกลับเข้าไปในห้องและก็ใส่เสื้อผ้าซะ จะปอดบวมตายละ ผมกะว่าจะไปช่วยพ่อในไร่ครับ ตอนนี้พวกคนงานก็เริ่มทำงานกันแล้วแหละ เมื่อก่อนผมไม่ค่อยได้เข้าไปยุ่งในไร่นะครับเพราะพ่อสั่งไว้ว่าห้าม ผมมันเป็นพวกทำลายล้างไง ในไร่เนี่ยะ ส่วนที่ผมจะไปบ่อยที่สุดก็คือโรงบ่มไวน์กับคอกม้าครับ

ม้าที่ไร่นี้เป็นลูกน้องผมเอง

พ่อมีม้าอยู่ 4 ตัวครับ ผมเห็นพวกมันตั้งแต่ผมจำความได้ละ เดี๋ยวต้องแวะไปหาพวกมันสักหน่อย ไม่ได้เจอกันตั้งหลายเดือน ผมหวังว่ามันจะจำผมได้นะ หลังจากที่ผมแต่งตัวเสร็จก็เดินออกมาจากห้อง สิ่งที่เจอคือปีศาจสองตัวที่กำลังนั่งขวางอยู่ตรงบันไดลงบ้าน ดวงตาสีอำพันทั้งสองคู่จ้องผมเขม็ง ผมเองก็จ้องพวกมันไม่ต่างกัน ความรู้สึกนี้เหมือนกับเจอศัตรูที่ไม่ได้เจอกันนานเลยครับ ศัตรูทั้งสองตัวนั้นก็คือ....มาลีกับมานี

แมวของแม่ผมเอง

“ หลบไปกูจะลงบันได ” ผมสั่งมันเสียงเข้ม ไอ้สองตัวก็ยังนั่งนิ่ง “ ไม่หลบนี่มึงอยากกลายเป็นแมวบินใช่ไหมห้ะ ”

“ เสียงดังอะไรแต่เช้าวะ ” พะนายเดินออกมาจากห้องก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงข้างผม

ผมไล่มองมันตั้งแต่หัวจรดเท้า “ ทำไร่นี่ต้องแต่งตัวหล่อเต็มยศแบบนี้เลยหรอวะ ”

“ ใช่ เวลาที่องุ่นเห็นหน้ากูก็จะได้ออกผลเยอะๆ ”

“ ปัญญาอ่อน องุ่นมันไม่มีตามันจะมาเห็นหน้ามึงได้ยังไง ”

“ มึงนี่มันปากคอเราะร้ายจริงๆ นะปอง ” พะนายมันยิ้มหวานให้ผมก่อนจะก้มลงไปอุ้มมาลีกับมานีขึ้นมา “ คิดเหมือนกันไหมมานีมาลี ”

“ เหมียวววว ”

ไอ้แมวบ้านี่มันสองมาตรฐานจริงๆ

“ เดี๋ยวกูก็ซัดทั้งคนทั้งแมวเลยหนิ พวกมึงนี่น่าหงุดหงิดชะมัด ” ผมเบ้ปากใส่พะนายก่อนจะเดินลงมาข้างล่าง เจอณนนท์มันกำลังนั่งกินกาแฟอยู่ “ มึงยังไม่ไปทำงานอีกหรอ ”

“ หมดกาแฟแก้วนี้เดี๋ยวกูก็ไป ว่าแต่มึงอ่ะจะไปไหน ”

“ ว่าจะลงไปในไร่ แล้วค่อยไปโรงบ่มไวน์ ”

มันวางแก้วกาแฟก่อนจะยกยิ้ม “ อย่าไปเลย เดี๋ยวองุ่นในไร่ตายหมด ”

“ ปากดีนักนะมึง เดี๋ยวก็แช่งให้ไม่มีเมียหรอก ” ผมตีไหล่มันแรงๆ ทีนึง พอจะเดินหนีมันก็รั้งแขนผมไว้ “ อะไรของมึงเนี่ย ”

“ ไปคอกม้ากับกูดีกว่า ”

ผมหรี่ตามองมัน “ ทำไมกูต้องไปกับมึงด้วยวะ ”

“ ก็เมื่อคืนสีเงินเพิ่งคลอดลูก มึงอยากเห็นลูกม้าไหมล่ะ ”

ลูกม้าาาาาาาาาาาา

ผมพยักหน้ารัวๆ ทันที “ ไป กูไป ไปเร็วณนนท์ ลุกสิวะ ” ผมรั้งแขนมันก่อนจะฉุดกระชากด้วยแรงทั้งหมดที่ผมมี แต่ณนนท์มันก็ดูไม่สะเทือนเลยสักนิดอ่ะ

นี่มึงเป็นพี่สยาม 2 หรอวะ

“ รอกูกินกาแฟเสร็จก่อนละเดี๋ยวค่อยไป ” ว่าแล้วมันก็ยกกาแฟนขึ้นมาจิบอย่างละเมียดละไม “ อร่อยจัง ”

กินแบบมึงละอีกกี่ชาติจะเสร็จล่ะไอ้เชี่ยยยยย



คอกม้า

ผมรีบวิ่งถลาเข้ามาในคอกทันทีที่มาถึง อยากจะโบกณนนท์แรงๆ สักสามที กว่าจะกินกาแฟเสร็จเสียเวลาไปเป็นชั่วโมง ผมจะมาก่อนมันก็ไม่ให้มา แม่งล็อคคอผมไว้ พะนายมันเห็นมันก็ไม่ช่วยนะครับ แถมยังมาจี้เอวผมอีก ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองต้องมาโดนแกล้งแต่เช้าแบบนี้ด้วย เดี๋ยวผมฟ้องพ่อครับ ผมไม่ยอมโดนแกล้งอยู่ฝ่ายเดียวแบบนี้แน่

พวกมันต้องโดนบ้าง

“ สีหมอก สีเงิน สีทอง สีเทา จำปองได้ไหม ” ผมถามพวกมันก่อนจะยิ้มแฉ่งให้ สีหมอกมันเดินเข้ามาหาผมก่อนจะยื่นหน้ามันมาใกล้ๆ “ เป็นไงบ้างหืม ”

“ มันบอกมึงว่ามันสบายดี ”

“ มึงเป็นม้าหรอถึงรู้ว่าพูดอะไร ” ผมหันไปทำหน้าบึ้งใส่ “ กูว่ามึงอยู่กับพะนายมากเกินไปละนะ นิสัยบ้าๆ นี่ติดกันมาเชียว ”

“ กูเหมือนพะนายตรงไหน ”

“ ก็พะนายมันสื่อสารกับองุ่นรู้เรื่อง มึงก็สื่อสารกับม้ารู้เรื่องไง เนี่ยะคนบ้าชัดๆ ”

ณนนท์มันเดินมาโขกหัวผม “ มึงนี่มันเป็นเด็กที่น่าหมั่นไส้จริงๆ นะ ”

“ กูเจ็บนะไอ้บ้า ” ผมตีไหล่มันคืน “ แล้วไหนล่ะลูกม้า ”

“ นอนอยู่กับสีเงินนั่นไง ”

“ ลูกม้า ” ผมหันมองไปทางนิ้วที่ณนนท์มันชี้ให้ดู

ลูกม้าตัวสีขาวกำลังนอนอยู่ใกล้กับสีเงิน ผมค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ก่อนจะลูบที่หัวของสีเงินก่อน มันคงจำผมได้นั่นแหละครับ ในบรรดา 4 ตัวนี้ ผมสนิทกับสีเงินที่สุดแล้ว ปกติมันไม่ค่อยให้ใครขี่ด้วยนะ มีผมนี่แหละที่ขี่ได้ ดีใจกับมันที่ได้เป็นแม่คนแล้วน่ะ ไม่สิ ต้องแม่ม้าต่างหาก ผมเลื่อนมือลงมาลูบหัวเจ้าตัวเล็กที่หลับปุ๋ยเบาๆ

น่ารักจัง

ผมอยากให้พี่สยามันเห็นเจ้าตัวเล็กนี่จริงๆ เลย เดี๋ยวต้องถ่ายรูปไปอวดอีกละครับ ดีใจนะที่กลับมาบ้านครั้งนี้แล้วได้เจอสมาชิกใหม่พอดีน่ะ เหมือนสีเงินมันรู้เลยนะว่าผมกลับมาบ้าน มันถึงได้คลอดลูกออกมาเมื่อคืน ว่าแต่ไอ้ตัวเล็กนี่มีชื่อรึยังนะ ถ้ายังไม่มีผมอยากตั้งให้มันจัง

“ ลูกม้านี่มีชื่อรึยังณนนท์ ”

“ ยังเลย ตอนนี้เรียกกันว่าไอ้เปี๊ยกอยู่ มึงอยากตั้งชื่อให้มันไหมล่ะ ”

ผมพยักหน้ารับทันที “ กูจะตั้งชื่อให้มันเอง ”

“ งั้นเอาชื่ออะไรดีล่ะ ”

“ เอาชื่อ....” ผมนึกถึงชื่อที่จะเหมาะกับเจ้าตัวเล็ก อา....ชื่อนี้ละกัน “ ให้มันชื่อว่า.....สมหยัม ”

“ เดี๋ยวนะมึง ทำไมถึงชื่อว่าสมหยัมวะ ”

" เรื่องของกูหน่า เอาเป็นว่าหลังจากนี้เรียกมันว่าสมหยัมละกัน " ผมยิ้มหวานพลางลูบหัวสมหยัมไปด้วย

" ชื่อแปลกจริงๆ เลยนะสมหยัม ถ้าพะนายรู้มันต้องหัวเราะลั่นแน่ " ณนนท์มันส่ายหัวอย่างเอือมๆ

" ฝากมึงดูแลมันให้ดีด้วยนะ "

" มันเป็นเรื่องที่กูต้องทำอยู่ละ "

ผมยิ้มหวานให้ณนนท์ก่อนจะนั่งลูบหัวเจ้าสมหยัมต่อ ชื่อมันก็มาจากชื่อของผมกับพี่สยามรวมกัน ผมว่ามันเท่อยู่นะ ไม่มีใครเขาตั้งชื่อม้าว่าสมหยัมหรอกจริง ตอนแรกกะว่าจะให้ชื่อหยัมปองครับ แต่ว่าชื่อผมมันจะตามพี่สยามน่ะสิ ผมจะไม่ยอมเป็นผู้ตามอีกแล้ว อย่างน้อยก็เอาชนะมันด้วยชื่อม้านี่แหละ

นี่ถือว่าแค่เริ่มต้นนะครับ

พี่สยามมันคงดีใจไม่น้อยที่ผมเอาชื่อมันมาผสมกับผมเพื่อตั้งชื่อมันน่ะ เหมือนสมหยัมเป็นลูกของผมกับมันเลยแฮะ เจ้าสมหยัมนี่สวยมากเลยนะครับ สีขาวสะอาดทั้งตัว ลักษณะก็ดูดีอีก ม้าแบบนี้นี่ปั้นเพื่อประกวดได้สบายเลยนะครับ แต่ว่ากว่าจะประกวดได้ก็คงต้องรอหลายปี อย่างน้อยคือให้มันโตกว่านี้ก่อน

เอ๊ะ....รึผมจะลาออกมาเลี้ยงม้าดีวะ

" ทำอะไรกันอยู่ " พะนายมันเดินเข้าคอกม้ามา " ลูกม้าตื่นรึยัง "

ณนนท์มันหยิบหญ้าแห้งให้สีทอง " ยัง....ว่าแต่มึงมาทำไรที่นี่วะ "

" ก็แวะมาดูลูกม้า แล้วก็ว่าจะชวนปองไปตลาดด้วยกัน "

" เออดีเลย กูว่าอยากจะไปหาอะไรกินอยู่ "

" งั้นก็ไปกันเถอะ รีบไปได้รีบกลับ "

" ได้ " ผมหันมองณนนท์ " มึงเอาอะไรรึเปล่า "

" ฝากซื้อกล้วยทอดร้านหน้ากาดหน่อยละกัน "

" เออได้....เดี๋ยวปองกลับมาเล่นด้วยนะสมหยัมนะ "

พะนายมันมองอย่างสงสัย " สมหยัมงั้นหรอ "

" ใช่ กูเป็นคนตั้งชื่อให้มันเอง " ผมบอกก่อนจะเดินไปล้างมือ " ไปกัน...หิว "

" เด็กอ้วนเอ้ย " มันยิ้มหวานก่อนจะล็อคคอผมเดินมาที่รถ

เดินดีดีก็ได้โว้ย

ล็อคคอลากไม่พอ มันยังยัดผมขึ้นรถด้วย ทำไมชอบใช้ความรุนแรงกับน้องจังวะ ถ้าผมมีโอกาสได้เกิดเป็นพี่มันบ้างนะ เดี๋ยวผมจะเอาคืนทั้งคู่เลยคอยดู จะใช้งานแม่งเยี่ยงทาส

โดนกูแน่

" วางแผนชั่วอยู่รึไงหืม " พะนายมันเหลือบมองผม มือมันก็ขับรถไป

" ใช่ กูวางแผนจะฆ่ามึงอยู่น่ะ "

" กูต้องกลัวตายไหมเนี่ย "

" ไม่ต้องทำมาเป็นยิ้มเลยนะ " ผมเบ้ปากใส่มัน ร้อยยิ้มมึงนี่น่าหมั่นไส้ชิบ ผมนี่รู้สึกว่าตัวเองเบ้ปากบ่อยมากเลย ปากนี่จะเหมือนเป็ดละ จากสมปองก็จะกลายเป็นสมเป็ด

สมเป็ด

ฮ่าๆๆๆๆๆ

" ละเป็นบ้าอะไรถึงหัวเราะคนเดียวล่ะน่ะ "

ยุ่งกับชีวิตกูอีก





ตลาด

ผมเดินนำเข้ามาในตลาดในเมืองอย่างคุ้นเคย ถึงจะไม่ได้มาหลายเดือนแต่ทุกอย่างที่นี่ก็ดูยังเหมือนเดิมเลยนะ ร้านประจำของผมก็ยังอยู่เหมือนเดิม คือตลาดนี้ผมมาเดินบ่อย ตรงท้ายตลาดมันจะมีร้านไอติมอร่อยมากอยู่ร้านนึง ผมกับส้มมากินไอติมด้วยกันบ่อยมากเลย ผมจะกินรสนมส่วนส้มนี่ก็จะกินรสวนิลาตลอด แถมยังชอบแย่งเชอร์รี่กันด้วยนะ

แล้วทำไมผมมาคิดถึงส้มได้วะ

บ้าบอจริงๆ

" เดี๋ยวกูไปซื้อของใช้แปบนึงละกัน มึงก็เดินหาไรกินไปก่อนเดี๋ยวกูมา " พะนายบอกก่อนจะเดินไปอีกทาง ส่วนผมก็เดินมาหยุดตรงหน้าร้านขายลูกชิ้น

" เอาลูกชิ้นเนื้อห้าไม้ครับ ลูกชิ้นปลาสอง ปูอัดสาม " ผมจัดแจงสั่งลูกชิ้น ร้านนี้นี่น้ำจิ้มเด็ดมากเลยนะครับ อย่างน้อยต้องซื้อกินอาทิตย์ละครั้งอ่ะ

ตอนนี้ประมาณเกือบสิบโมงละครับ คนออกมาซื้อของสดกันเยอะพอสมควรเลย ตลาดนี้จะมีตั้งแต่เช้ายันเย็นเลยนะ มันเหมาะกับพวกสายแดกมาก ช่วงที่ผมทีกิจกรรมสีฬาสีละเลิกค่ำๆ อ่ะ ก็มีที่นี่ไว้ฝากท้องนี่แหละ เป็นตลาดที่มีพระคุณกับชีวิตของสมปองตัวน้อยๆ ซะจริง

โคตรซาบซึ้ง

" ปอง "

เสียงคุ้นๆ หูนี่มัน....

ผมหันหลังไปมองเจ้าของเสียงเรียกก็พบร่างบางอ้อนแอ้นยืนอยู่ ใบหน้าสวยยิ้มหวานจนลักยิ้มที่แก้มขึ้นเด่นชัด ดวงตากลมโตกับผมสีดำยาวสลวยนั่นผมจำมันได้อย่างดีเลยล่ะ

" ส้ม "






TBC.

ชาลมาส่งหยัมปองแล้วค่ะ คือตอนนี้ติดฝึกงานอละคอมที่บ้านก็พัง เลยต้องแต่งนิยายในโทรศัพท์ ลำบากมากค่ะ เหนื่อยใจจริงๆ ถ้าใครที่รออ่านอยู่ต้องขอโทษด้วยนะคะที่เลทมาหลายวัน
ถ้าชอบก็คอมเม้นต์ให้กำลังใจกันได้นะคะ
ติดต่อข่าวสารได้ที่ Twitter : Chaleeisis
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 22 : 27/11/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 27-11-2017 21:25:42
เอ๋.......คงไม่มีดราม่านะ

ปอง ดูมีความสุขในไร่นะ
มีม้าที่แสนรู้ เพิ่งคลอดลูกสมหยัมให้ด้วย
พะนาย ณนนท์ ดูรักน้องดี

นี่ถ้าพ่อ พี่ๆ รู้ว่าปองมีพี่สยามจะเป็นยังไงนะ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 22 : 27/11/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 27-11-2017 22:43:27
อ้าวววววว..สมปองเองเหรอ คนแจกซองมาม่า
ไอ่เราก็จิตตกไปล่วงหน้า เดาว่าจะเป็นพี่หยัมที่จับซองมาม่าชิงโชคซะอีก

วู้ววววววว..เดาผิดหมดเลย
ฮือออออออออ

ตีสมปองเลย
เด็กทำตัวไม่น่ารัก

กอดพี่หยัมปลอบใจดีก่า
อิอิ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 22 : 27/11/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 28-11-2017 21:15:54
 :hao5: :hao5: :angry2: :hao5:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 23 : 2/11/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 02-12-2017 21:49:10
บทที่ 23 เพื่อนที่ดีของกันและกัน



ไม่เคยคิดเลยว่าฟ้าจะเล่นตลกกับเราได้มากถึงขนาดนี้

ไม่คิดจริงๆ นะครับ

ผมยืนมองส้มที่ยิ้มหวานให้อยู่ตรงนั้น พูดไม่ออกเลยว่ะ ไม่คิดด้วยว่าจะมาเจอกันได้ง่ายขนาดนี้ เชียงใหม่ก็ตั้งกว้างป้ะวะ แล้วที่สำคัญดันมาเดินตลาดเวลาเดียวกันอีก ความบังเอิญนี้บัดซบจริงๆ ผมไม่เจอส้มมาหลายเดือนเลยนะครับตั้งแต่จบม.6 น่ะ เธอดูสวยขึ้น แถมรอยยิ้มที่เคยมัดใจผมไว้ได้นั่นก็ยังดูมีเสน่ห์ไม่เคยเปลี่ยนเลย ในขณะที่ผมยืนมองส้มเงียบๆ มือบางก็หยิบลูกชิ้นส่งไปให้แม่ค้าก่อนจะหันมามองผม

“ มองอะไรนักหนาล่ะหืม ”

“ ก็...มองไม่ได้รึไงล่ะ ”

“ ฮ่าๆๆ มองได้สิ ส้มแค่ถามเฉยๆ เอง ” เธอเอ่ยพลางยิ้มหวาน “ ไม่เจอกันนานเลยเนอะ ปองเป็นไงบ้าง ”

“ ก็สบายดี แล้วส้มล่ะเป็นไง ดูผอมไปรึเปล่า ”

“ ก็ปองอ้วนขึ้นแทนส้มแล้วนี่ ”

“ เดี๋ยวเถอะ ” ผมยกมือยีหัวส้มเบาๆ “ นี่หุ่นสมส่วนต่างหาก เอ่อ...ขอโทษ ปองลืมตัวน่ะ ” ผมรีบลดมือลงมาทันที ลืมไปว่าไม่มีสิทธิ์ที่จะทำแบบนั้นแล้ว

ผมนี่บ้าชะมัด

“ ขอโทษทำไม ปองไม่ได้ทำอะไรผิดหนิแค่จับหัวส้มเอง ”

“ มันก็....” ผมรับลูกชิ้นมาก่อนจะจ่ายเงินให้แม่ค้า “ ไม่รู้อ่ะ อยู่ดีดีก็อยากขอโทษเอง ”

“ ปองนี่จริงๆ เลยนะ ” เธอยู่ปากใส่ผม

อา....น่ารักอ่ะ

ผมยืนมองส้มตาปริบๆ ในใจก็คิดถึงเรื่องที่ทำให้เราเลิกกัน ถ้าสมมุติว่าพ่อส้มไม่กีดกัน ผมกับส้มอาจจะยังคบกันอยู่ก็ได้นะตอนนี้น่ะ เรื่องระหว่างผมกับพี่สยามคงไม่เกิดขึ้น คิดแบบนี้รู้สึกย้อนแย้งตัวเองชะมัด ช่วงเวลาที่ผมเคยได้ใช้ร่วมกับส้มผมก็มีความสุข ช่วงเวลาที่มีพี่สยามอยู่ในชีวิตผมก็มีความสุข ทำไมหัวใจถึงได้รู้สึกโลภมากแบบนี้วะ ฟีลคล้ายๆ วันทองสองใจเลย แต่อันนี้จะเป็น....สมปองสองใจ

เจ็บปวดจังวะ

“ ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ ” นิ้วเรียวจิ้มกลางระหว่างคิ้วผม “ คิ้วขมวดอีกแล้วนะ ”

“ คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ แล้วนี่ส้มซื้อของเสร็จแล้วจะไปไหนต่อ เดินตลาดหรอ ”

“ ว่าจะไปกินไอติมท้ายตลาดน่ะ ปองไปกินด้วยกันสิเดี๋ยวส้มเป็นเจ้ามือเอง ถือว่าต้อนรับที่ปองปิ๊กบ้าน ”

“ จะดีหรอ ”

“ ดีสิ ไม่ต้องคิดเยอะ ไปเร็วววววว ” ส้มคล้องแขนผมก่อนจะลากให้ตามไป “ เนี่ยะปองอ้วนขึ้นจริงๆ ด้วย ส้มลากไม่ไหวแล้ว ”

“ ที่ลากไม่ไหวเพราะส้มกลายเป็นขี้ก้างแบบนี้ต่างหาก ”

มือบางตีแขนผม “ ไม่ได้เป็นขี้ก้างสักหน่อย ”

“ ขี้ก้างชัดๆ ” ผมอมยิ้มก่อนจะเป็นฝ่ายเดินนำส้มแทน “ เดี๋ยวปองลากส้มเอง ”

“ ช้าหน่อยปอง ส้มเดินตามไม่ทัน ”

“ ไม่ ” ผมยิ้มหวานให้ก่อนจะรีบลากส้มให้เดินตามมาด้วยความเร็วแสง

นี่ก็เว่อร์ไปโน่น

ระหว่างที่ผมลากส้มเดินไปร้านไอติม เราก็แวะร้านโน้นซื้อของร้านนี้ไปเรื่อย มีร้านหลายร้านเลยนะครับที่จำเราสองคนได้ มีป้าร้านบ้าบิ่นถามด้วยครับว่าผมกับส้มแต่งงานกันรึยัง ผมก็เลยได้แต่ยิ้มแห้งๆ ส่วนส้มนี่ก็ได้แต่ยิ้มหวานแล้วก็บอกว่ารอเรียนจบแล้วค่อยแต่งงาน แน่ะ มีการเล่นตามน้ำไปกับป้าเขาอีก พูดแบบนี้นี่จิตใจอ่อนไหวได้เลยนะครับ ถ้าไม่ติดว่าผมมีผัวเป็นตัวเป็นตนแล้วผมคงจะตามตื้อให้ส้มกลับมาเป็นแฟนผมแน่นอนอ่ะ

ส้มน่ารักมากนะครับ

แต่ไอ้ความคิดนั้นก็คงเป็นได้แค่ความคิด จะทำอะไรผมจะต้องนึกถึงใจพี่สยามมันให้มากๆ ถึงแม้ว่าคนอื่นจะไม่รู้ก็เถอะว่าผมสองคนได้กันแล้ว แต่ผมก็รู้ตัวเองไง รู้ความรู้สึกของตัวเองดีด้วย รู้ถึงความหวั่นไหว รู้ถึงความรัก พี่สยามเองก็มั่นคงต่อผมมากเลยนะครับ ยอมรับเลยว่าเวลาที่ผมไปเรียนน่ะ เวลาเจอผู้หญิงที่ตรงสเปคเนี่ยะแน่นอนว่าจะต้องมองตามจนเหลียวหลัง แต่ผมคิดว่าพี่สยามมันคงไม่เป็นแบบผมแน่นอนอ่ะ

ผมโคตรเชื่อใจมันในเรื่องแบบนี้เลย

หลังจากที่มัวแต่คิดเรื่องแฟนเก่ากับผัวใหม่ป่ะปนกันอยู่ในหัว ผมกับส้มก็เดินมาจนถึงร้านไอติมท้ายตลาดแล้วครับ เจ้าของร้านจำผมได้ด้วยถึงแม้ว่าจะไม่ได้เจอผมนาน รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเซเลบเลยว่ะ เดินไปทางไหนก็มีแต่คนจำได้ ร้านไอติมเนี่ยะมีความจำทรงจำดีดีระหว่างเราหลายอย่างเลยนะครับ ผมเจอกับส้มครั้งแรกก็ที่นี่ ขอเป็นแฟนกันก็ที่นี่ เลิกกันยังเลิกที่นี่เลย

ทำไมมันหน่วงแปลกๆ วะ

“ ปองจะกินอะไรหืม ” ส้มถามพร้อมกับหยิบกระดาษมารอจด “ รสนมสามลูกและก็เพิ่มวีปกับเชอร์รี่ไหม ”

“ เอาอันนั้นแหละแล้วก็เพิ่มโอริโอ้ให้ด้วย ”

“ ได้เลย ” มือบางลงมือจดสิ่งที่ผมสั่งก่อนจะเดินเอาไปส่งให้พนักงานแล้วกลับมานั่งที่เดิม “ พนักงานหล่อมากเลยอ่ะ ”

ผมเท้าคางมองพลางอมยิ้ม “ จีบสิ ”

“ ไม่จีบหรอก ก็แค่ชมว่าเค้าหล่อเฉยๆ ”

“ งั้นหรอ....”

“ ช่ายยยย เรียนอยู่กรุงเทพฯ เป็นไงบ้าง ”

“ ก็เหนื่อยดี แต่ว่ามันก็เป็นคณะที่ปองชอบอ่ะนะ ใจมันก็เลยทุ่มให้เต็มที่ ”

เธอพยักหน้ารับเบาๆ “ เป็นแบบนั้นก็ดีแล้ว ”

“ ว่าแต่ส้มเถอะ เรียนเป็นยังไง เอ๊ะ แบบนี้ปองต้องเรียกว่าหมอส้มรึเปล่าหืม ”

“ ยัง ส้มไม่ยังไม่ได้เป็นหมอสักหน่อย เป็นนักศึกษาคณะแพทย์ต่างหาก ไว้ถ้าเป็นหมอเมื่อไหร่ปองค่อยเรียกแบบนั้นละกัน แล้วถ้าปองป่วยมาเดี๋ยวส้มจะรักษาให้เอง ดีไหม ”

“ จะหายป้ะเนี่ยะ ”

ส้มยกมือขึ้นมาเท้าคางมองผมก่อนจะทำแก้มป่อง “ ไม่หายก็ตายอ่ะ มันก็มีสองทางเลือก ”

เดี๋ยวนะ

ว่าที่คุณหมอนี่พูดแบบนี้ได้หรอวะ

ผมหรี่ตามองส้มอย่างชั่งใจ มันมีช่วงนึงที่เราสองคนนั่งคุยกันเรื่องเรียนต่อมหาลัยด้วยนะครับ ตอนแรกส้มไม่ได้คิดจะเรียนหมอหรอก เธอตั้งใจว่าจะเรียนเกษตร ที่บ้านของส้มทำไร่ส้มครับ ผมก็คิดว่าส้มคงจะเรียนเพื่อเอาความรู้มาช่วยงานในไร่นั่นแหละ ส่วนผมน่ะคิดว่าจะเรียนโยธามาตั้งแต่ตอนอยู่มัธยมต้นละ พอถึงเวลาสอบเข้าก็พุ่งไปที่วิศวะอย่างไม่มีลังเลเลย รู้สึกว่าที่ส้มเรียนหมอเนี่ยะน่าจะเป็นเพราะพ่ออยากให้เรียน

ไม่ก็บังคับ

พ่อส้มดุมากเลยครับ ดุแบบหื้มม.ม....คือพ่อผมกับพ่อส้มไม่ถูกกันมาตั้งแต่สมัยวัยรุ่นแล้วล่ะครับ มันก็เลยส่งผลมารุ่นลูกด้วย ตอนที่คบกันน่ะทางบ้านของผมไม่มีปัญหาเลยนะเรื่องที่ผมเป็นแฟนกับส้ม ดูจะต้อนรับด้วยซ้ำ แต่ทางบ้านส้มนี่ไม่เลยครับ พ่อส้มไม่โอเคเลยที่เราคบกัน ก็ถึงขั้นส่งคนมากระทืบผมเพื่อให้เลิกกับส้มอ่ะ สภาพตอนนั้นมันแย่มากจริงๆ นั่นแหละ มันเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวเลยที่ผมถูกกระทืบแบบนั้นอ่ะ

ซี่โครงร้าวอ่ะคิดดู

ตอนนั้นพ่อผมจะเอาเรื่องด้วยนะแต่ว่าผมขอไว้ ส้มเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับผมมาก และเธอก็มีปัญหากับพ่อด้วย ย้อนกลับไปคิดเรื่องนี้ทีไรผมก็รู้สึกถึงความไม่แฟร์ตลอดเลยว่ะ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้วอ่ะนะ มันผ่านไปแล้วด้วย มันดีตรงที่ตอนนี้เรามาเจอหน้ากันแล้วสามารถคุยกันได้แบบปกติ เหมือนที่เพื่อนเขาทำกัน

เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ

หลังจากที่นั่งรอสักพักไอติมของเราก็มาเสิร์ฟแล้วครับ โคตรน่ากินเลยไอติมรสนมทั้งสามลูก มันอร่อยมากเลยนะครับ จริงๆ ผมน่ะอยากกินสักสิบลูกเลยแหละแต่ว่าส้มต้องห้ามแน่ๆ เธอบอกว่ากินไอติมเยอะเกินไปมันไม่ดีครับ อาจจะทำให้ปวดท้องได้ ผมก็ต้องอดใจกินแค่สามลูกพอ แต่ถ้าผมกินหมดก่อนผมก็จะค่อยไปแย่งไอติมส้มกิน แล้วผมก็จะโดนส้มตีทุกครั้งไป

“ อ่ะนี่ ” ผมหยิบเชอร์รี่ในถ้วยตัวเองไปวางในถ้วยส้มลูกนึง

“ อ่ะ ” ส้มเองก็หยิบเชอร์รี่มาวางในถ้วยผมเหมือนกัน “ นี่ส้มคิดว่าเราจะไม่แลกกันแล้วนะ ”

“ ต้องแลกสิ ก็ทำแบบนั้นตลอดเลยนี่ ”

“ พอมานั่งคิดถึงวันเก่าๆ ก็ตลกดีนะ มีหลายอย่างเลยที่เป็นข้อตกลงของเราน่ะ ”

“ มันก็จะเป็นอย่างนั้นเสมอแหละ ” ผมตักไอติมเข้าปาก “ ถึงตอนนี้เราจะเป็นเพื่อนกันเถอะ ”

“ นั่นสินะ ว่าแต่ปองมีแฟนรึยัง สาวเมืองกรุงคงจะสวยถูกใจไม่น้อยเลยสินะ ”

“ ก็สวยอยู่น่ะนะ แต่ว่าไม่มีใครถูกตาต้องใจปองเลยอ่ะ ” ผมบอกพลางยิ้มบางๆ ให้ จะว่าไปคนที่ถูกตาต้องใจมันก็มีอยู่นะ......หนุ่มลำปางไง

รายนั้นน่ะได้ไปทั้งตัวและหัวใจเลย

“ อมยิ้มแบบนี้ คิดถึงใครอยู่น่ะสิ ”

ผมส่ายหน้าน้อยๆ “ เปล่าสักหน่อย ว่าแต่ส้มเถอะ มีหนุ่มใหม่รึยัง ถ้ามีต้องเอามาให้ปองช่วยสแกนด้วยนะ ”

“ ก็....เป็นคู่หมั้นน่ะ ”

คู่หมั้น

ผมมองส้มตาโตทันทีที่ได้ยินว่าคู่หมั้น ไปหมั้นกับใครแล้วหมั้นตอนไหนวะ ผมเดาได้เลยว่าจะต้องเกี่ยวกับเรื่องของธุรกิจที่บ้านแน่ๆ เลย ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ส้มจะมีความสุขไหมวะ ผมว่าการที่เราต้องหมั้นหรือแต่งงานกับใครที่เราไม่ได้เลือกเอง มันน้อยมากเลยนะครับที่จะมีความสุขน่ะ ถ้าสมมุติว่าพ่อผมจับผมหมั้นแบบส้มนะผมคงจะอาละวาดไร่แตกอ่ะครับ นี่มันยุคไหนแล้ว การถุงคลุมชนนี่น่าจะเลิกใช้ไปได้แล้วไหม

เฮ้ออ....

ทำไมมันขัดใจแบบนี้วะ

“ คู่หมั้นส้มเป็นคนแบบไหนอ่ะ ”

“ ก็อายุเยอะกว่าส้มน่ะนะ แล้วก็เรียนหมอปีสุดท้ายแล้ว ”

ผมพยักหน้ารับเบาๆ “ เค้าดีกับส้มใช่ไหม ”

“ อื้อ....ก็เป็นสุภาพบุรุษในระดับนึงเลยแหละ คือส้มกับเค้าหมั้นกันก็เพราะเรื่องธุรกิจที่บ้าน ตอนแรกส้มก็ค้านหัวชนฝาเลยแหละ แต่พอเริ่มได้ทำความรู้จักกับพี่เค้า มันก็ไม่ได้แย่ ”

“ ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีแล้ว ปองกลัวว่าส้มจะไม่มีความสุข ”

“ ก็นะ....ส้มยังรู้จักกับเขาได้ไม่นานเท่าไหร่หรอก ของแบบนี้มันก็ต้องดูกันไปแหละนะ หมั้นกันไว้ก่อนแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะได้แต่งงานกันหนิ จริงไหม ”

“ ก็จริงแหละ แต่ว่าถ้าผู้ชายคนนี้คือคนที่พ่อส้มเลือกให้ มันก็ยากไม่ใช่หรอที่จะขัดท่านน่ะ ”

เธอพยักหน้ารับเบาๆ “ นั่นสินะ ส้มกับเค้าก็ต้องดูกันไปเรื่อยๆ ก่อน พี่เขาคล้ายๆ ปองเลยนะ เรื่องของความเสมอต้นเสมอปลายน่ะ ”

“ ก็ดีแล้วหนิ ” ผมเลื่อนมือไปจับมือส้มก่อนจะบีบเบาๆ “ ถ้ามีปัญหาอะไรบอกปองได้เสมอนะ ปองพร้อมที่จะช่วยเหลือส้มเสมอ ”

ส้มจับมือผมไว้แน่นก่อนจะยิ้มหวาน “ ขอบใจนะ ปองก็เหมือนกัน มีอะไรก็ปรึกษาส้มได้เสมอ เพื่อนเค้าก็มีไว้ทำแบบนี้แหละ ”

ตอนที่เป็นแฟนก็ว่าดีแล้ว.....ตอนเป็นเพื่อนนี่ก็ยิ่งดีเข้าไปอีก

ความส้มนี่มันดีจริงๆ

ผมคลายมือออกก่อนจะกินไอติมต่อ ส้มเองก็มีการแย่งไอติมผมไปกินด้วย ถ้าเพื่อนๆ ผมได้ครึ่งนึงของส้มก็ดีนะครับ แต่ว่ามันก็เป็นไปไม่ได้ไง ไอ้บ้าพวกนั้นมันเป็นผู้ชายด้วยแหละ แต่ส้มเป็นผู้หญิง ทัศนคติกับความคิดมันจะต่างกันก็ไม่แปลกหรอกนะ ที่พูดนี่ไม่ใช่ว่าเพื่อนๆ ผมมันไม่ดีนะครับ มันก็ดีแต่ว่าติดขี้แกล้งมากไปหน่อย โดยเฉพาะลันตาเนี่ยะ ถ้าวันไหนมันไม่ได้แกล้งผมมันจะคงจะเป็นบ้าอ่ะ

นึกถึงลันตานี่มีเรื่องอยากจะอวดครับ

คลิปที่ผมถ่ายเอาคืนลันตาน่ะ ยอดวิวพุ่งทะลุแสนเลยนะครับ ยอดแชร์เป็นพัน คือแบบมันเยอะกว่าผมอีกอ่ะ พอมันหายแฮงค์แล้วมันก็โทรมาด่าผมหูดับ ผมก็หัวเราะอย่างสะใจใส่ไป มันบอกว่าเดี๋ยวเราจะได้เห็นดีกัน คือผมตั้งใจไว้แล้วว่าถ้ามันแกล้งผมอีกผมก็จะเอาคืนอีก มันจะเป็นการล้างแค้นที่ไม่จบไม่สิ้น

จองเวรกันไปชาติหน้าเลยเอ้า

กริ๊งงง กริ๊งงง

“ ใครโทรมานะ ” มือบางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับ “ ฮัลโหล....ว่าไงคะพี่ออม....ตอนนี้อยู่ร้านไอติมท้ายตลาดค่ะ ”

“ ใครวะพี่ออม ” ผมพึมพำอย่างสงสัย

“ อยู่กับปองค่ะ คนที่ส้มเล่าให้ฟังนั่นแหละ หืม...จะมารับหรอคะ ก็ได้ค่ะ ค่ะเจอกัน ” ส้มกดวางสายก่อนจะวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ “ คู่หมั้นจะมารับน่ะ ”

“ อ๋อ ชื่อออมหรอ ”

“ ใช่....ชื่อออมสินน่ะ เค้าอยากเจอปองก็เลยจะมารับ ”

“ ทำไมถึงอยากเจออ่ะ ส้มเคยไปเล่าอะไรให้เขาฟังหรอ ”

“ ก็บอกว่าเคยคบกันช่วงนึง แต่พ่อไม่เห็นด้วย ”

“ แล้วนี่ถ้าพี่เค้ามาจะเป็นปัญหารึเปล่า เค้าอาจจะไม่ชอบก็ได้นะที่คู่หมั้นตัวเองมานั่งกินไอติมกับแฟนเก่าน่ะ ”

“ ไม่รู้สิ เดี๋ยวเค้ามาก็รู้เองแหละ ”

ผมพยักหน้ารับก่อนจะตักไอติมกินต่อ ขอให้ไม่มีปัญหาอะไรก็แล้วกัน ผมไม่อยากส้มลำบากใจ แต่ถ้าเป็นผมนะ ถ้าต้องมาเห็นคู่หมั้นตัวเองมานั่งกินไอติมกับแฟนเก่าก็คงไม่ชอบใจอยู่ อดีตควรเป็นอดีต ถึงจะลดมาเป็นเพื่อนกันก็เถอะ แต่แหม....ถ่านไฟเก่าอ่ะ มันก็ต้องคุบ้างป้ะวะ แต่ไอ้เรื่องไม่ชอบใจนี่ก็ต้องเก็บไว้ในใจนั่นแหละครับ ถ้าแสดงออกออกไปมากๆ มันก็จะเหมือนกับว่าเราไม่เชื่อใจในคนของเรา

เราไม่หนักแน่นพอ

ตื้อดึ่ง

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูหลังจากที่เสียงไลน์ดัง ภาพที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้ผมหลุดยิ้มออกมาทันที มันเป็นภาพแพนเค้กที่เขียนชื่อผมอยู่ตรงกลางครับ แถมมีการวาดเป็นรูปหัวใจอยู่ข้างๆ ด้วย

สยาม : กูจะแดกมึงละนะ

สมปอง : กล้าแดกกูเลยหรอ

สยาม : กล้าสิ มึงอร่อย


อร่อยโพ่ง

ผมถ่ายรูปไอติมที่กำลังกินอยู่ส่งไปให้มันดูบ้าง มันคงจะเอาแพนเค้กมาล่อผมให้อยากกินแน่ๆ แต่เสียใจด้วยเถอะพี่สยาม กูแดกไอติมอยู่พอดี แพนเค้กมึงทำอะไรกูไม่ได้หรอก

สยาม : ไปกินที่ไหนอ่ะ

สมปอง : ตลาดใกล้บ้านอ่ะ ไว้ถ้ามีโอกาสกูพามึงมากินนะ

สยาม : ไอติมอร่อยมากป้ะ

สมปอง : อร่อยดิ่

สยาม : กูอร่อยกว่าไอติมอีก ไม่เชื่อลองแดกได้นะ อิอิ


ฉ่า

มึงนี่มัน...

ผมยกมือขึ้นลูบหน้าเพื่อไล่ความร้อนเบาๆ พี่สยามนี่แม่ง ทำให้กูเขินแค่กรุงเทพฯ ก็พอไหม เสร่อมากูเขินข้ามภาคอีกไอ้บ้านี่ แล้วผมก็เป็นบ้าเป็นบอไรไม่รู้อ่ะ พี่มันพูดแค่นี้ผมก็เขิน

อาการหนักแล้วปองเอ้ย

“ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียวนะ ”

“ เอ่อ...คือ ”

“ คนพิเศษหรอ ” ส้มหรี่ตามองผมพลางอมยิ้ม “ สีหน้าดูมีความสุขที่ได้คุยมากเลยนะ ”

“ หน้าปองมันแสดงออกขนาดนั้นเลยหรอ ”

“ ใช่สิ เค้าเป็นใครหรอ บอกส้มได้รึเปล่า ”

“ คือมันเป็นพี่รหัสปองอ่ะ ”

“ ผู้ชายหรอ ”

ผมพยักหน้ารับเบาๆ “ ใช่ ปองรู้สึกสบายใจที่ได้อยู่กับมันอ่ะ แต่ก็ยังลังเลตัวเองอยู่พอสมควรเลย ส้มไม่ได้รู้สึกแปลกๆ กับปองใช่ไหม ที่ปองเป็นแบบนี้ ”

“ ไม่หนิ ความรักก็คือความรักไม่ใช่หรอ....ส้มว่าถ้าปองอยู่กับเค้าแล้วปองสบายใจก็อยู่ไปเถอะ อะไรที่ทำแล้วมีความสุขเราก็ควรทำไม่ใช่หรอ ” ส้มบอกก่อนจะแย่งโอริโอ้ในถ้วยผมไปชิ้นนึง “ ว่าแต่เค้าเป็นคนแบบไหนอ่ะ ”

“ ก็เป็นคนที่ขี้โวยวายน่ะ คือเจอกันครั้งแรกเนี่ยะ เราก็ทะเลาะกันเป็นเรื่องเป็นราวเลยนะ เพราะว่ามันมาว่าปองว่าชื่อโบราณอ่ะ ”

“ งี้นี่เอง กัดกันไปกันมาก็รักกันอย่างงี้น่ะนะ ”

“ ยังไม่ถึงขั้นนั้นสักหน่อย ” ผมทำแก้มป่องใส่ “ ไว้ถึงแล้วปองจะบอกแล้วกัน ”

“ เดี๋ยวส้มจะรอแสดงความยินดีนะ ถ้าปองแต่งงานเดี๋ยวส้มจะเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้เอง จะเป็นคนถือชายกระโปรงที่ปองใส่ให้ด้วย ”

เดี๋ยวนะ

ทำไมมันแปลกๆ วะ

ผมนั่งประมวลผลในสิ่งที่ส้มพูดอย่างมึนงง ถ้าผมแต่งงานก็คงหมายถึงผมแต่งงานกับพี่สยาม เป็นเพื่อนเจ้าสาว เอ๊ะ มันจะมีเจ้าสาวได้ไงวะ เจ้าสาวคือผู้หญิงสิถูกไหม แล้วถือชายกระโปรงที่ผมใส่มันคืออะไรวะ ผมจะใส่กระโปรงทำไม งานแต่งงานของผมกับพี่สยามก็ต้องมีเจ้าบ่าวสองคนสิ แต่เห้ย เจ้าบ่าวมันแต่งงานกันได้ด้วยหรอวะ เจ้าบ่าวมันต้องคู่กับเจ้าสาว อ่ะกูเริ่มงงละ ในหัวนี่เชี่ยไรวะเนี่ย

มึนงงสับสนมากๆ

“ ทำไมทำหน้าแบบนั้น ” ส้มมองผมก่อนจะเหลือบมองไปด้านหลัง “ พี่ออม ”

ผมหันไปมองตามส้มก็พบกับร่างสูงอยู่อยู่ในชุดนักศึกษาถูกระเบียบเป๊ะเลยครับ เรือนผมสีดำเซ็ตอย่างเป็นระเบียบ ยอมรับเลยว่าพี่ออมของส้มเนี่ยะ ดูดีมากเลยนะครับทั้งรูปร่างและหน้าตา ออร่าคุณหมอก็จับมากด้วย

“ รอนานไหมคะ ” พี่เขาเดินมานั่งลงข้างส้มก่อนจะหันมายิ้มให้ผม “ เราชื่อสมปองสินะ ”

ผมพยักหน้ารับเบาๆ “ ใช่ครับ พี่คงเป็นคู่หมั้นของส้มใช่ไหม ”

“ ใช่....พี่ชื่อออมน่ะ ฟังเรื่องที่ส้มเล่าถึงเราพี่ก็อยากเจอเรามาตอดเลย ”

“ ส้มคงไม่เล่าอะไรแปลกๆ ไปใช่ไหมครับ ”

คนถูกพาดพิงถึงตีมือผมเบาๆ ทันที “ ส้มจะไปเล่าอะไรแปลกๆ ทำไมเล่า....แล้วพี่ออมกินอะไรไหมคะ เดี๋ยวส้มสั่งให้ ”

“ งั้นเอาเหมือนเดิมที่พี่ชอบทานก็ได้ค่ะ ”

“ งั้นรอแปปนึงนะคะ ” ส้มบอกก่อนจะลุกเดินไปสั่ง

“ พี่ออม....ทำไมถึงอยากเจอผมล่ะครับ ”

“ พี่ก็แค่อยากเห็นคนที่ส้มเคยรักน่ะ พี่อยากจะทำให้ได้สักครึ่งของผู้ชายคนนั้น ส้มจะได้รักพี่ไง ”

ผมหลุดยิ้มออกมาทันทีกับเหตุผลของพี่เขา “ ผมว่าพี่โอเคกว่าผมเยอะเลยแหละ ”

“ ไม่หรอก แต่พี่ก็เชื่อนะว่าจะทำให้ส้มรักพี่ได้ในสักวันน่ะมันก็คงต้องใช้เวลา ” พี่ออมเอ่ยพลางยิ้มหวาน “ พี่รู้ว่าเรื่องของเราสองคนมันน่าเศร้า ถึงการหมั้นของพี่กับส้มมันจะมีเรื่องของธุรกิจเข้ามาเกี่ยวแต่พี่ก็อยากจะบอกให้เรารู้ไว้ว่าพี่รักส้มจริงๆ และก็จริงจังมากด้วย ”

“ ถ้าพี่พูดแบบนั้นผมก็ค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย ผมกลัวมากว่าส้มจะไม่มีความสุขที่ต้องโดนบังคับให้หมั้น เห้ยแต่พี่ไม่ต้องคิดเยอะนะว่าผมยังรักส้มในเชิงนั้นอยู่น่ะ ผมรักส้มในฐานะของเพื่อนกันเท่านั้นแหละ ”

“ พี่ก็ขอให้เราเป็นเพื่อนที่ดีของส้มต่อไปนะ อีกอย่างคือพี่ต้องขอบคุณเรามากที่ดูแลส้มในช่วงเวลานึงที่พี่ยังไม่เข้ามา.....หลังจากนี้พี่จะดูแลส้มให้ดี ให้มากเท่ากับที่เราดูแล ”

เชี่ยยยย

หน้าหล่อไม่พอใจยังโคตรหล่อ

ผมฉีกยิ้มแป้นให้พี่ออมอยู่อย่างนั้น รู้สึกว่าส้มโชคดีมากเลยนะครับที่ได้มาเจอคนแบบนี้น่ะ เขาน่าจะดูแลส้มได้ดีตามที่พูดนั่นแหละ แบบนี้ค่อยวางใจได้หน่อย ผมชอบคำพูดของพี่ออมมากเลยครับ มันเท่ มันดี มันละมุนใจมากเลยอ่ะ ถ้าผมเป็นส้มแล้วมาได้ยินในสิ่งที่เขาพูดเมื่อกี้นะผมคงจะหลงรักในคำพูดเหล่านั้นแน่ๆ ลองคิดว่าถ้าพี่สยามมันพูดอะไรแบบนี้ล่ะ

นึกภาพไม่ออกเลยว่ะ

กลับบ้านครั้งนี้ก็ดีเหมือนกันผมว่า มันทำให้ผมรู้ว่าคนที่ผมคอยเป็นห่วงในช่วงหลายเดือนมาเขาก็มีความสุขกับคนที่ดี ทำให้ผมได้กินกับข้าวอร่อยๆ ฝีมือแม่ด้วย ได้ทำโน่นได้ทำนี่ตั้งหลายอย่างแน่ะ ได้ตั้งชื่อลูกม้าว่าสมหยัมด้วยนะ ที่สำคัญคือการกลับบ้านครั้งนี้มันทำให้ผมรู้เลยว่า....

ผมคิดถึงพี่สยามมากแค่ไหน

คิดแล้วก็ตลกดีว่ะ ผมถ่ายรูปเป็นร้อยรูปเลยนะเพื่อที่อยากจะเอาไปให้มันดูน่ะ มีหลายครั้งที่ผมรู้สึกว่ามันจะดีกว่านี้ถ้ามีพี่มันอยู่ข้างๆ ผมด้วย ตอนนอนก็รู้สึกเลยครับว่าเตียงโคตรกว้าง เตียงที่ห้องผมกับที่หอขนาดมันไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่น่ะครับ พอนอนคนเดียวนี่รู้สึกถึงความเปล่าเปลี่ยวเอกาเลยอ่ะ อีกอย่างคือต่อให้ผมห่มผ้าหนาแค่ไหนมันก็อุ่นไม่เหมือนกับเวลาที่โดนพี่สยามกอดอ่ะ

อา....ว่าแล้วก็คิดถึงจัง

พี่สยามมีอิทธิพลต่อชีวิตผมมากจริงๆ นั่นแหละ

ไปไหนไม่รอดแล้วว่ะ











TBC.

ชาลมาส่งหยัมปองแล้วค่ะ เพิ่งเสร็จสดๆเลยยังไม่ได้แก้อะไรทั้งนั้น เดี๋ยวจะไล่แก้ให้นะคะ
ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 23 : 2/11/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 02-12-2017 22:24:55
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 23 : 2/11/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 03-12-2017 22:10:10
ฝั่งปองดูแล้วไม่มีอะไร
งั้นที่เราเดาเอาไว  ก็คง(หึหึ).....ซินะ

ถ้าพี่หยัมวอกแวกไปกิ๊กกับถ่านไฟเก่า
เราจะไปดักงับหัวพี่หยัมเองเลย

จะไม่ชอบใจเลยกับคนใจโลเล
มันเจ็บ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 23 : 2/11/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 03-12-2017 22:16:46
 :L2: :pig4: :L1:

ปอง ชัดเจนขึ้นเลื่อยๆ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 23 : 2/11/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-12-2017 22:38:29
ไม่ดราม่า ก็ดีแล้ว    :mew1: :mew1: :mew1:

พี่สยาม สมปอง  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ปองคิดถึงพี่หยัมแล้ว
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 23 : 2/11/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 03-12-2017 23:05:34
พี่หยัม ชื่อนี่น่ารัก
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 24 : 9/12/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 09-12-2017 20:37:02
บทที่ 24 ในสมองมีแต่สยาม



“ พะนาย ”

“ หืม ”

“ ไปน้ำตกกัน ”

“ หนาวขนาดนี้เนี่ยะนะจะไปน้ำตก มึงไปคนเดียวเถอะ ”

“ ไม่เอา ตอนกูไปคนเดียวกูก็หลงทาง แค่นี้พากูไปหน่อยไม่ได้หรอ ”

“ กูไม่ว่างเนี่ยะมึงเห็นไหม มีการมีงานต้องทำนะ ไปชวนณนนท์ไป ” มันบอกก่อนจะโบกมือไล่ผม

ใจร้ายชิบหาย

ผมทำหน้าบูดใส่ไอ้หล่อที่กำลังดูองุ่นไปเรื่อยพลางจดข้อมูลอะไรไม่รู้ใส่กระดาษ ตอนนี้ผมอยู่ที่แปลงทดลองสายพันธุ์กับพะนายสองคนครับ ผมจะกลับกรุงเทพฯ วันนี้แต่ว่าจะบินไฟท์ค่ำๆ ไง ก็เลยคิดว่าเวลาว่างที่มีเนี่ยะ จะหาเรื่องแกล้งพะนายกับณนนท์ ด้วยการชวนมันไปน้ำตกที่ท้ายไร่แล้วก็ผลักมันสองคนตกน้ำไป คือนี่ก็ฤดูหนาวชิบหายไงครับ แน่นอนว่าน้ำในน้ำตกนี่ต้องเย็นจัดแน่นอน คืออยากให้มันสองคนแข็งตายแล้วจมน้ำไปเลยน่ะครับ จะได้ไม่ต้องอยู่กวนประสาทผมอีก

นี่คิดจริงๆ เลยนะเนี่ย

ตอนม.4 ผมเองก็เคยโดนจับโยนลงน้ำตกเหมือนกันนะ จำได้ว่าตอนนั้นเป็นไข้ไปหลายวันเลยอ่ะ คนที่โยนผมลงไปก็ณนนท์ไง โดยมีพะนายคอยช่วยเชียร์ ยังไงวันนี้ผมต้องลากมันสองคนไปโยนน้ำตกให้ได้

ไม่งั้นไม่กลับกรุงเทพฯ จริงๆ อ่ะ

“ ก็ให้งานมึงเสร็จก่อนก็ได้ อีกอย่างกูไปชวนณนนท์อยู่แล้วแหละ ก็แค่อยากให้มึงไปด้วย ”

พะนายละจากกระดาษขึ้นมามองผม “ แปลกๆ นะมึงน่ะ คิดทำอะไรรึเปล่า ”

“ กูนี่ไม่น่าไว้ใจขนาดนั้นเลย ”

“ ใช่ ”

แหม่ะ ตอบไวไม่คิดเลยนะไอ้สัส

“ เออ ใช้สิ กูไม่ณนนท์หนิ ” ผมเบะปากก่อนจะทำเสียงสะอื้นตัดพ้อใส่

“ ไม่ว่ามึงหรือณนนท์ก็ไม่มีใครน่าไว้ใจทั้งนั้นแหละ ”

“ มึงนี่มองโลกในแง่ร้ายจังเลยนะพะนาย ” ผมเด็ดองุ่นตรงหน้าก่อนจะยัดใส่ปาก “ อื้มม.ม...โคตรเปรี้ยว ”

“ ใครใช้ให้แดกล่ะ ของทดลองเสือกแดกเฉยเลยนะมึง ”

“ ก็นี่ไงกูทดลองรสชาติให้ ” ผมเลื่อนไปเด็ดองุ่นต้นข้างๆ มากิน “ ทำไมต้นนี้หวานเจี๊ยบแบบนี้ล่ะ ”

“ นั่นสิ มันหวานเกินไปรึเปล่า ”

พะนายมันเด็ดองุ่นต้นเดียวกับผมมากิน ก่อนจะจดอะไรใส่กระดาษไม่รู้ ผมว่าพะนายกับณนนท์มันเก่งนะครับที่ทำงานเกี่ยวกับพัฒนาสายพันธุ์องุ่นอะไรเถือกๆ เนี้ยะ พวกนี้ดูสนใจงานในไร่ตั้งแต่สมัยก่อนละ ส่วนผมนี่สนใจแค่เอามากินน่ะครับ แต่ว่าก็ไม่ใช่องุ่นทุกต้นในไร่จะกินได้นะ บางแปลงก็เอาไว้ทำไวน์ บางแปลงก็เอาไว้ขายส่ง ผมจะชอบโผล่ไปแปลงที่เอาไว้ขายส่งน่ะครับ เพราะว่าองุ่นแปลงนั้นจะอร่อย ผมชอบไปขโมยมากิน แล้วพ่อก็จะด่าผมอยู่ร่ำไป

น่าปวดใจเนอะ

พ่อเคยจับผมมานั่งคุยแบบจริงๆ จังๆ ด้วยนะครับ เรื่องที่ผมไปจิ๊กองุ่นที่เขาจะไปส่งน่ะ พ่อบอกว่าถึงผมจะหยิบองุ่นออกมาแค่พวงนึงเนี่ยะ แต่ถ้าน้ำหนักมันไม่ถึงตามที่ลูกค้าสั่งไว้ทางไร่จะเสียหาย อาจจะเสียลูกค้าไปเลยก็ได้ พอพ่อบอกแบบนั้นแหละครับผมนี่สลด สลดหนักเลย แต่แบบองุ่นมันอร่อยอ่ะพ่อ จะให้ลูกทำไง พอพ่อนั่งเทศน์ผมนานสองนาน เขาก็บอกว่าจะเก็บองุ่นส่วนที่ไม่ต้องไปขายเอามาใส่ไว้ในตะกร้าในครัวให้เอง ผมนี่ปลื้มปริ่มกับสิ่งที่พ่อพูดมากครับ

จากนั้นก็กินองุ่นทุกวันจนหน้าจะเปลี่ยนเป็นสีม่วง

ก็เว่อร์เกินไป

“ ปอง ”

“ ห้ะ ว่าไง ”

“ องุ่นรสหวานแบบนี้มึงคิดว่าเอาไปทำอะไรดี ”

“ เอาไปกินไง ”

พะนายมันยกสมุดขึ้นตีหัวผมเบาๆ “ กูรู้ว่ากิน กูหมายถึงจะกินยังไง ”

“ ก็ใส่ปากไง ” พอผมพูดจบมันก็ตีผมอีกที “ โอ้ยยยยมึงนี่ กูพูดผิดตรงไหนห้ะ มึงจะกินองุ่นอ่ะ มึงไม่ใส่ปากแล้วมึงให้ใส่อะไร ใส่ตารึไง ” ผมโวยใส่มันก่อนจะยกมือลูบหัวตัวเองเบาๆ

เซลล์สมองตายไปล้านเซลล์ละมั้ง

“ จิ๊....มึงนี่มันปัญญาอ่อนจริงๆ เลย สิ่งที่กูถามคือควรเอาไปแปรรูปเป็นอะไรดี ”

“ อ๋อ....แล้วไม่บอกวะ ”

“ มึงนี่....” พะนายมันง้างสมุดทำท่าจะตี แต่ผมก็ชิงวิ่งหนีออกมาก่อน

ไม่ได้แดกกูหรอก

แบร่ๆๆๆๆ

ผมยืนแลบลิ้นใส่มันก่อนจะคิดว่าองุ่นรสหวานแบบนี้ควรเอาไปทำอะไรดี มันหวานมากเลยล่ะครับ ความหวานระดับนี้ถ้าเอาไปทำน้ำผลไม้ก็น่าจะเวิร์คนะ เพราะความหวานในตัวมีอยู่แล้ว จะได้ใช้น้ำตาลน้อยด้วย ถ้าเอาไปทำแยม ก็ได้รึเปล่า แต่ว่าปกติทำแยมมันจะต้องใช้น้ำตาลเยอะอยู่นะเพราะว่ามันเป็นถนอมอาหารไง ถ้าใช้น้ำตาลเยอะมันก็จะยิ่งหวานเข้าไปอีก แต่ถ้าเอาองุ่นเปรี้ยวมาผสมด้วยก็น่าจะไม่ทำให้รสชาติมันหวานไปรึเปล่า

ทำไมคนอย่างสมปองต้องมาคิดอะไรแบบนี้ด้วยวะ

ไม่เข้าใจเลย

“ กูว่ามึงถามพ่อดีกว่า เค้าน่าจะให้คำตอบได้ดีกว่ากู ”

“ นั่นสินะ ” พะนายมันปิดสมุดก่อนจะเดินมาคล้องคอผม “ ไปคอกม้ากัน ”

“ ไปทำไมวะ ”

“ ไปหาณนนท์ไง มึงอยากไปน้ำตกไม่ใช่หรอ ”

“ มึงจะพากูไปหรอ ” ผมทำตาปิ๊งๆ ใส่มัน “ ไม่ได้โกหกนะ ”

“ เออสิ คนอย่างพะนาย พูดคำไหนคำนั้นป้ะวะ ”

“ โอเค งั้นไปหาณนนท์กัน ”

แผนที่วางไว้เสร็จไปหนึ่งขั้นแล้วครับ ปลื้มปริ่มใจสุดๆ อ่ะบอกเลย ที่เหลือก็แค่ไปหาณนนท์แล้วก็เกลี่ยกล่อมให้มันไปน้ำตกด้วยกัน จากคอกม้าไปน้ำตกก็ไม่กี่ร้อยเมตรหรอกครับ แต่ผมจำทางไปไม่ได้ มันคดเคี้ยวอ่ะ มันเป็นน้ำตกต้นน้ำ สวยมากเลยนะแถมน้ำก็ใสมากด้วย ที่มันยังสวยมากนี่ ผมว่าน่าจะเป็นเพราะไม่ค่อยมีใครไปเล่น น้ำตกมันอยู่ในพื้นที่ของไร่ผมไง คนนอกจะเข้ามาไม่ได้อยู่แล้ว

เดี๋ยวผมต้องถ่ายรูปน้ำตกสวยๆ ไปให้พี่สยามดูด้วย

อา....นึกถึงมันเฉยเลยว่ะ

เอาอีกแล้วนะปอง





“ ไปเถอะนะ ”

“ มึงก็ไปกับพะนายสิ ”

“ กูอยากให้มึงไปด้วยอ่ะ ”

“ กูไม่ว่าง ทำงานเนี่ยะเห็นไหม ”

“ ทำไมต้องใช้พูดคล้ายๆ พะนายด้วยวะ ” ผมบ่นอุบอิบก่อนจะคล้องแขนณนนท์แล้วเอาหน้าไถๆ “ ไปด้วยกันเถอะ เดี๋ยวกูก็กลับกรุงเทพฯ แล้วนะ อีกนานแน่ะกว่าจะมาอีก ”

“ ก็เรื่องของมึงสิ ”

มึงนี่โคตรไร้เยื่อใยเลยว่ะ

ผมเบะปากมองณนนท์พลางส่งสายตาอ้อนวอนใส่ ตอนนี้ก็เกือบสิบโมงแล้วครับ ความจริงผมควรจะถึงน้ำตกแล้วนะถ้าไม่ต้องมาพยายามต้อนให้ณนนท์ไปน้ำตกด้วยกัน ไม่ว่าผมจะพูดยังไงมันก็ไม่ยอมไปด้วยอ่ะ จะลากก็ลากไม่ไหวเพราะตัวมันใหญ่กว่า จะให้พะนายช่วยลาก ก็ไม่ได้อีกแหละ พะนายมันก็ตัวเล็กกว่า

เอาไงดีวะ

“ ถ้ามึงยอมไปน้ำตกกับกู กูจะล้างคอกม้าให้ ”

ณนนท์มันเลิกคิ้วมองผม “ มึงแน่ใจนะว่าจะล้าง ”

“ เออสิ เมื่อก่อนกูก็ล้างออกจะบ่อย กูไม่ได้เป็นพวกรังเกียจขี้ม้านะเว้ย ”

“ เออเอางั้นก็ได้ ”

“ เย่ งั้นไปเถอะ ” ผมรั้งแขนณนนท์ไว้ข้างนึง ส่วนอีกนึงก็คล้องแขนพะนายไว้

หึ....แผนสำเร็จไปอีกขั้น

พอตกลงกันเสร็จสรรพพวกผมสามคนก็ออกเดินทางมายังน้ำตก แหม่ ใช้คำว่าออกเดินทางกับระยะที่ไม่ถึงห้าร้อยเมตรมันก็แปลกๆ อยู่นะ แต่ไม่เป็นไรช่างแม่ง ผมรู้สึกตื่นเต้นมากเลยครับที่จะได้ล้างแค้นที่สะสมมาแรมปี อากาศตอนนี้ก็ยังเย็นอยู่นะ แถมลมหนาวก็พัดอยู่ตลอดด้วย ดีนะว่าแดดออกน่ะ มันก็เลยไม่ได้หนาวเหมือนตอนเช้าๆ ตอนเช้านี่ปากสั่นเลยล่ะ

กึกๆๆๆๆ

ฟีลนี้เลย

ผมเดินเกาะไหล่ณนนท์ไปตามทางไปน้ำตก พะนายก็เดินตามอยู่ด้านหลัง การที่เดินตรงกลางแบบนี้นี่รู้สึกปลอดภัยมากครับ นึกถึงสมัยก่อนเหมือนกันนะ เราอยู่ 3 คนแบบนี้มาตลอด เวลาไปไหนด้วยกันก็มักจะเดินแบบนี้แหละ ผมจะอยู่ตรงกลางเสมอ ก็เคยคิดอยากจะเดินนำนะแต่ณนนท์มันบอกว่าให้ผมเดินตรงกลางน่ะดีแล้ว เวลาเกิดอะไรขึ้นเนี่ยะ มันจะได้ปกป้องผมได้ พะนายก็ใช้เหตุผลนี้กับผมเหมือนกัน ตอนแรกผมก็ไม่ค่อยเข้าใจนะครับ

จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี

ช่างมันละกัน

“ ทำไมในป่ามันเย็นงี้วะ ” ณนนท์มันยกมือขึ้นมาเป่า “ มือแข็งไปหมดแล้ว ”

“ เพราะต้นไม้มันเยอะไง ”

ผมหันไปมองพะนาย “ เราเผาทิ้งดีไหม ”

“ เผาได้ไงล่ะไอ้บ้า ถึงมันจะเป็นเขตไร่เราแต่เราก็ไม่มีสิทธิ์เผามันนะ ”

“ ใช่ ” ณนนท์มันหันมาโขกหัวผม “ มึงนี่มันตัวทำลายล้างจริงๆ ”

“ กูเจ็บนะ มึงก็เป็นตัวทำลายเซลล์สมองกูเหมือนกันแหละไอ้เลว ” ผมตีไหล่ณนนท์อย่างแรง

“ เดี๋ยวมึงจะโดนนะ ”

ไม่กลัวหรอกโว้ย

เพราะคนที่จะโดนมันคือมึงต่างหาก

หลังจากที่ผมคาดโทษณนนท์ในใจเสร็จ พวกเราก็ใช้เวลาประมาณ 15 นาที เดินมาจนถึงน้ำตก น้ำโคตรใส ใสมาก รอบๆ ข้าง นี่ก็สวยสุดๆ ผมเดินไปใกล้ต้นไม้ใหญ่ที่มีชิงช้าผูกไว้ พ่อเป็นคนมาผูกให้ผมเองล่ะครับ ผมชอบเวลาที่นั่งชิงช้าแล้วพุ่งลงน้ำได้อ่ะ ไว้ถ้าเป็นช่วงหน้าร้อนค่อยกลับมาบ้านอีกทีแล้วกัน เดี๋ยวจะมาเล่นน้องชิงช้าโดยเฉพาะเลย

อดใจรอพี่ปองไปก่อนนะจ๊ะ

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปวิวรอบๆ วิวสวยๆ แบบนี้พี่สยามมันต้องชอบแน่ๆ มันต้องมีสักวันสินะที่ผมกับมันได้มาเล่นน้ำที่นี่ด้วยกัน ถ้ามีวันนั้นจริงๆ ก็แปลว่าผมคงจะจัดการเคลียร์เรื่องที่บ้านเรียบร้อยแล้วมั้ง ผมไม่รู้ว่าพ่อคิดยังไงกับเรื่องการคบเพศเดียวกันนะ ไม่รู้ว่าเขาจะรับได้รึเปล่าถ้าผมกับพี่สยามคบกัน ถ้าพ่อรับไม่ได้นี่ผมต้องทำไงวะ พอเป็นเรื่องครอบครัวนี่มันดูยากไปหมดเลยเนอะ เอาเป็นว่าให้ถึงเวลานั้นก่อนละกัน

ให้คบกันก่อน

ส่วนเรื่องอื่นค่อยว่ากันอีกที

“ ระวังตกน้ำนะปอง ”

“ เออ พวกกูไม่ช่วยมึงนะ ”

ผมหันขวับไปเบ้ปากใส่มันสองคนทันที “ ไอ้พวกใจร้าย ”

“ พวกกูใจดีจะตาย ทิ้งงานเพื่อพามึงมาน้ำตกเลยนะ ” พะนายมันบอกก่อนจะยกมือแตะไหล่ณนนท์ “ ปองมันไม่เห็นความดีของเราเลยว่ะณนนท์ ”

“ เออ เสียใจอ่ะ ” ณนนท์มันตีหน้าเศร้าก่อนจะโอบไหล่พะนายและก็ซบกันอยู่สองคน

ทำไมพวกมึงดู.....

“ อย่าพลอดรักกันได้ไหม อายปลาบ้าง ”

ณนนท์ผละออกมาทำหน้าบึ้งใส่ผม “ พลอดรักหน้ามึงอ่ะ กูปลอบใจกัน”

“ แหม่ๆๆๆๆ มีปกป้อง นี่มึงแอบได้กันป้ะเนี่ย ”

“ เด็กปากมากต้องทำโทษรู้ไหม ” พะนายมันยิ้มหวานให้ผม “ มึงจับมันโยนลงน้ำดิ้ณนนท์ ”

ชิบหายละ

ผมจะวิ่งหนีแต่ก็ไม่ทัน ณนนท์มันล็อคคอผมไว้ก่อนจะลากมาริมโขดหิน ไม่เอาแบบนี้เซ่ กูจะเป็นคนทำพวกมึงตกน้ำนะ ไม่ใช่ให้มึงมาทำกูแบบนี้ ผมพยายามดิ้นเพื่อให้หลุดแต่เหมือนมันจะไม่เป็นผล ผมเลยเลือกที่จะเกาะณนนท์ไว้แน่นแทน เอาสิมึง ถ้ากูเปียกมึงต้องเปียกไปกับกูอ่ะ

ไม่ยอมเปียกคนเดียวหรอกโว้ย

“ ปล่อยกูเลยไอ้เด็กบ้า ”

“ ไม่ปล่อย ถ้ากูจะเปียกมึงต้องเปียกด้วย ” ว่าแล้วผมก็ยึดตัวมันไว้แน่น

“ งั้นก็เปียกไปทั้งคู่เลยละกัน ”

ตู้มมมม

“ อื้ออ.อ.อ....แค่กกก.ก.....” ผมรีบโผล่หัวขึ้นมาเหนือน้ำก่อนจะเกาะโขดหินไว้แน่น “ พะนาย!!!!! ”

ณนนท์มันโผล่หัวขึ้นมาเหนือน้ำ ปากก็สั่นเพราะความหนาว “ มึง....ไอ้คนทรยศ ”

“ ก็เห็นยื้อกันอยู่นั่นแหละ กูเลยสงเคราะห์ให้ ” พะนายมันนั่งลงก่อนจะยื่นหน้ามามอง “ เป็นไง เย็นสดชื่นไหม ”

ผมหรี่ตามองมัน “ มึงมาลองพิสูจน์เองสิ ” ผมถีบโขดหินด้านล่างเพื่อส่งตัวเอง มือก็คว้าเข้าที่เสื้อพะนายก่อนจะดึงมันให้ลงมาในน้ำ

ตู้มมมม

“ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ ” ณนนท์มันหัวเราะลั่น “ โคตรโง่อ่ะกูบอกเลย ”

“ อื้อออ.อ....แค่กก.ก.ก.ก....ห่าปอง ” พะนายมันกวักน้ำใส่ผม

“ ว้ายๆๆๆๆ เปียกเหมือนกันแล้ว ตายห่าซะ ” ผมกระโจนเข้าหาพะนายก่อนจะกดหัวมันลงไปในน้ำ ณนนท์มันก็มาช่วยจัดการด้วยอีกแรง

สนุกว่ะ

ถึงจะหนาวไปหน่อยแต่ก็สนุก

มันจะดีกว่านี้เยอะนะครับถ้าน้ำไม่เย็นจัดแบบนี้น่ะ ไม่คิดเลยว่าตัวเองจะต้องมาตกน้ำแบบนี้ แต่ไม่เป็นไรถึงผมจะเปียกแต่มันสองคนก็เปียกด้วย ถือว่าแผนที่ตั้งใจไว้สำเร็จ เล่นน้ำสักแปปละกัน เดี๋ยวค่อยไปอาบน้ำแล้วไปล้างคอกม้าต่อ กินข้าวเสร็จแล้วค่อยไปสนามบิน ไฟท์บินผมนี่เกือบสองทุ่มอ่ะ ก็ยังมีเวลาเหลือเฟืออยู่ เดี๋ยวต้องหาของไปฝากเพื่อนๆ ด้วย แล้วก็ฝากพี่สยามด้วย

พี่สยามอีกแล้วว่ะ

ในสมองนี่มีแต่สยามหรอปอง

เดี๋ยวถ้ากลับถึงบ้านผมต้องโทรหาพี่สยามด้วย วันนี้ยังไม่ได้โทรหามันเลย ไลน์ไปหาแค่เมื่อเช้า มันยังไม่ตอบไลน์ผมเลยนะ น่าจะยังไม่ตื่น เมื่อคืนวิดีโอคอลมาอ้อนบอกว่าเหนื่อย คนที่ร้านไอติมเยอะมากแทบไม่ได้พักเลย มีการบอกผมด้วยว่าถ้ากลับไปหามันเมื่อไหร่ให้ผมกอดมันเยอะๆ มันจะได้หายเหนื่อยแล้วก็มีกำลังใจหาเงินเพื่อเลี้ยงผม

สามีตัวอย่างไปอีก

ก็คิดไว้แล้วล่ะครับว่าถ้ากลับไปถึงก็คงจะต้องโผเข้ากอดแน่ๆ อ่ะ ผมคิดถึงมันมากจริงๆ นะ ก็เวลาอยู่ด้วยกันเราก็กอดกันทุกวัน เพิ่งมารู้ว่าตัวเองเสพติดการกอดจากพี่สยามก็ตอนที่กลับบ้านมานี่แหละ แต่ก็นะเดี๋ยววันนี้ก็ได้เจอกันแล้ว ผมรู้ว่าพี่สยามมันอดทนมาก อดทนมากกว่าผมด้วยซ้ำ เพราะงั้นผมควรจะให้รางวัลที่มันอดทนดีไหมนะ ให้สัก 3 จูบ เอาแค่จูบพอ ผมจะไม่ยอมเสียตัวครั้งที่ 3 ง่ายๆ หรอก

ไซส์ 56 มันเจ็บนะครับ

ทำไมคิดอะไรลามกแบบนี้ล่ะสมปอง

“ หน้าแดงทำไมวะไอ้เด็กบ้า ”

“ เออ เป็นเชี่ยไรเนี่ยะ ”

พวกมึงนี่มัน.....

“ เสือกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ”










TBC.

ชาลมาส่งหยัมปองแล้วค่ะ จะยังไงต่อรอติดตามนะ
ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ ติดต่อข่าวสารได้ที่ทวิตเตอร์เน้อ Chaleeisis

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 24 : 9/12/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: beedy ที่ 09-12-2017 20:56:07
 สมปองมาแล้ว   คิดถึงสมปอง

จิ้ม  :z13:  นักเขียนครับ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 24 : 9/12/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-12-2017 21:21:56
พี่สยาม คงดีใจ ถ้าว่าสมปอง อยู่บ้านแล้วเป็นอย่างไร
ก็ปองคิดถึงแต่พี่สยามน่ะสิ

น่าสงสัย พะนาย ณนนท์ มีไรกันหือเปล่านะ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 24 : 9/12/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 09-12-2017 21:31:35
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 24 : 9/12/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 09-12-2017 22:02:02
สมปองนี้ก็น่ารักนะ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 24 : 9/12/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 09-12-2017 23:00:02
เที่ยวเพลินแต่ก็ไม่ลืม(ปั๋ว)
ถ้าพี่หยัมรู้..คงให้รางวัลอย่างหนัก

โน๊ะ..ปอง
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 24 : 9/12/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 10-12-2017 08:49:48
สามพี่น้องรักกันดีนะ.

เลยอยากอ่านเรื่องราวของนนท์กับพระนายด้วยเลย

คนนึงเข้ม คนนึงโอปป้า

 :hao6:   :hao7:  :hao6:  :hao7:  :hao7:  :hao6:  :hao7:

....
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 24 : 9/12/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Zetnezz ที่ 10-12-2017 09:29:23
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 25 : 16/12/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 16-12-2017 19:09:54
บทที่ 25 ความคิดถึงของพี่สยาม


กรุงเทพฯ ครับ

ปองกลับมาทำหน้าที่แล้วนะครับ

ผมลากกระเป๋าออกมาจากสนามบิน หลังจากที่ลงเครื่องมาสดๆ ร้อน ๆ ตอนนี้ประมาณ 4 ทุ่มกว่าๆ เมื่อกี้ตอนที่ลงเครื่องมาผมไลน์หาพี่สยาม มันบอกว่ามันกำลังจะถึงแล้วให้ผมรอแปปนึง แถมยังมีการด่าการจราจรในประเทศไทยให้ผมฟังด้วยนะ ใจความมีอยู่ว่า จะติดห่าอะไรนักหนากูจะไปรับเมีย ไม่ได้เจอหน้าสุดที่รักมาตั้งกี่วันแล้วมึงรู้ไหมไอ้ชิบหายยยย

ก็อะไรทำนองนี้แหละครับ

ก่อนที่ผมจะกลับมานี่ก็ร่ำลาพ่อกับแม่ที่สนามบินอยู่นานเลย ได้ค่าขนมสดๆ มาด้วย เดี๋ยวจะชวนเพื่อนๆ ไปกินชาบูครับ แล้วก็จะเอาเงินส่วนนี้ไว้ซื้อของเข้าหอ ทั้งของใช้และของกิน เปย์พี่สยามมันบ้าง ทุกวันนี้นี่มันจะขายไตหาเลี้ยงผมอยู่ละ ช่วงหลังๆ มาผมก็บอกมันนะว่าไม่ต้องเลี้ยงผมทุกอย่างแต่มันก็ไม่ยอม พี่มันบอกผมว่ามันมีความสุขที่ได้ทำแบบนั้น แต่ก็มีบางครั้งที่ผมแอบเอาเงินไปยัดใส่กระเป๋ากางเกงไว้ให้มันด้วยเพราะกลัวว่าเงินมันจะไม่พอใช้

เป็นไงล่ะ....เป็นเมียที่แสนดีไปอีก

หลังจากนั้นไม่นาน รถมินิคูเปอร์สีดำที่ขับมาจอดตรงหน้า ร่างสูงรีบลงมาจากรถก่อนจะโผเข้ากอดผมทันที กอดโดยไม่สนสายตาประชาชีเลยครับ สงสัยมันจะคิดถึงผมมาก มือเรียวก็เลื่อนขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ ชอบสัมผัสนี้จริงๆ ผมยกมือขึ้นกอดมันกลับ หน้าก็ซุกไหล่มันอยู่อย่างนั้น แค่การกอดกันเฉยๆ นี่ทำให้รู้สึกดีถึงขนาดนี้เลยหรอวะ อาจเป็นเพราะคนที่กอดอยู่คือพี่สยามแน่เลย ผมเลยรู้สึกดีมากกว่าปกติ

“ คิดถึง ”

“ ก็กลับมาแล้ว ”

“ คิดถึงมากๆ เลยนะ ”

“ รู้แล้วว่าคิดถึง แต่ปล่อยได้แล้วเดี๋ยวรปภ.มาไล่ ”

เจ้าตัวคลายกอดก่อนจะเลื่อนมือมากุมมือผมไว้ “ คิดถึงอ่ะ ”

“ มึงนี่มันจริงๆ เลยนะพี่สยาม ” ผมยิ้มหวานก่อนจะยกมือขึ้นไปหยิกแก้มมันอย่างหมั่นเขี้ยว “ กูกลับมาแล้วนี่ไง แล้วก็จะไม่ไปไหนอีกสักพัก พอใจรึยังหืม ”

“ พอใจแล้วครับ ”

“ พอใจแล้วก็ดี กลับหอกัน ”

“ โอเค ” พี่มันยิ้มรับก่อนจะลากกระเป๋าผมไปใส่ไว้ท้ายรถ

ผมขึ้นรถมาก่อนจะเปิดเก๊ะด้านหน้าแล้วเอาเอ็มแอนด์เอ็มมาแกะกิน พี่สยามมันก็ขึ้นมานั่งข้างๆ ก่อนจะออกรถ ไม่วายเลื่อนมือมาจับมือผมไปกุมไว้ด้วย ตามใจมันหน่อยครับ ทำตัวเป็นเด็กดีมาหลายวันเพื่อรอผมนี่นะ สีหน้าของพี่สยามนี่ดูหมองๆ เหมือนคนนอนไม่ค่อยเต็มอิ่ม ขอบตานี่คล้ำเชียว พอผมเห็นแบบนั้นก็เลยยกขึ้นไปแตะเบาๆ

“ ขอบตาคล้ำจังวะ ”

“ นอนไม่ค่อยหลับน่ะสิ ”

“ เป็นอะไรทำไมนอนไม่ค่อยหลับ ”

“ คิดถึงมึง ” มันบอกก่อนจะเหลือบมองผม “ คิดถึงมากด้วย ”

“ น่าสงสารจัง ” ผมยกมือมันที่กุมมือผมไว้มาแนบไว้ข้างแก้ม

“ กลับบ้านเป็นไงบ้าง ไหนเล่าให้ฟังซิ ”

 “ ที่บ้านกูหนาวมากเลยนะ กับข้าวแม่ก็อร่อยมากเลยอ่ะ กูถ่ายรูปมาอวดมึงเต็มไปหมดเลย ”

“ กูต้องอิจฉาใช่ไหม ”

“ ใช่ แต่ไม่ต้องเศร้าไปนะ ไว้สักวันนึงเดี๋ยวกูจะพามึงไปดูให้เห็นกับตาเอง ”

พี่สยามมันอมยิ้มทันทีที่ผมบอกแบบนั้น “ สัญญาแล้วนะ ” นิ้วก้อยชูขึ้นมาทางผม

“ สัญญาสิ ” ผมเลื่อนนิ้วก้อยตัวเองไปเกี่ยวไว้ “ กูอ่ะคำไหนคำนั้นอยู่แล้ว ”

พี่สยามมันยิ้มหวานออกมา มือเราสองคนก็กุมกันไปตลอดทาง ไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลยครับ ผมก็คิดว่าจะค่อยคุยที่หอทีเดียว ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงได้รู้สึกเขินแปลกๆ แบบนี้ เหมือนช่วงเวลาที่ห่างกันไม่กี่วันมันมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นอย่างนั้นแหละ เอ๊ะ หรือว่าเพราะความรู้สึกที่ผมมีต่อมันเริ่มชัดขึ้นวะ ผมก็เลยรู้สึกเขินแบบนี้ อันนี้ก็อาจจะใช่ และอีกอย่างก็คือพี่มันดูเงียบๆ ไง แถมยังพูดวนอยู่แค่คำว่าคิดถึงซ้ำๆ อีก คือผมก็อยากจะบอกมันนะว่าผมก็คิดถึงมันเหมือนกัน แต่ว่าไว้ถึงหอก่อนเถอะ

เดี๋ยวจะพูดย้ำๆ ซ้ำๆ บ้าง

ผมนั่งมองข้างทางพลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย วันหยุดยาวกำลังจะหมดไปแล้ว เดี๋ยวก็ต้องกลับไปใช้ชีวิตวนลูปเดิม นี่เรียนอีกไม่กี่อาทิตย์ก็สอบไฟนอลละ ผมค่อนข้างมึนงงสับสนกับระบบการเรียนที่นี่มากเลยนะครับ แปปๆ สอบอีกละอ่ะ เหมือนชีวิตเพิ่งทำตัวบัดซบไปเมื่อวานเองเอาจริงๆ เดี๋ยวหมดเทอมซัมเมอร์ก็จะปิดเทอมเกือบเดือนนึง ผมคิดว่าตัวเองคงจะไม่ว่าง เรื่องค่ายโยธาเทอมหน้าก็ต้องรีบจัดการในช่วงนี้ ไหนจะเตรียมสถานที่ เตรียมกิจกรรม พูดได้เลยว่าพวกคณะกรรมการนี่หัวหมุนแน่นอน

คิดแล้วก็เหนื่อยใจ

แต่ไม่เป็นไร ผมจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด สัญญากับพ่อไว้แล้วว่าจะทำงานให้ดี และก็ตั้งใจเรียนมากๆ ยกเว้นวิชาฟิสิกส์ อันนั้นให้ลันตามันตั้งใจเรียนไปคนเดียวเถอะ พอพูดถึงลันตานี่ก็คิดถึงเหล่าสหายแก๊งค์อสรพิษอยู่เหมือนกันนะ ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นตายร้ายดียังไง ไม่ได้เจอพวกแม่งตั้งหลายวันแน่ะ ผมซื้อของมาฝากเพื่อนๆ เยอะเลยนะ ผลไม้ที่สวนก็แอบจิ๊กมา

เรื่องนี้ห้ามบอกพ่อนะครับ

จุ๊ๆ

“ กินอะไรมารึยัง ”

“ กินแล้ว ” ผมหันมองคนถาม “ มึงอ่ะกินข้าวรึยัง ”

“ ยังเลย กะรอกินพร้อมมึง ” เจ้าตัวเอ่ยเสียงอ่อน งอแงที่กูกินข้าวแล้วสินะ

“ ก็เนี่ยะ เดี๋ยวกูกินพร้อมมึงอีกรอบก็ได้ มีน้ำพริกหนุ่มกับแคปหมูด้วยนะ แม่กูทำเอง ”

“ เอออยากกิน ” พี่สยามมันยกยิ้มพลางเหลือบมองผม “ อยากกินมึงด้วยนะ ”

ฉ่า....

ไอ้บ้านี่มัน

“ ฝันเถอะมึง กูเป็นคนนะไม่ใช่ของกิน ”

“ แต่กูกินได้นะ ” อย่ามาบอกว่าจะกินกูแล้วยิ้มแบบนั้นได้ไหมวะ

ขนลุกไปทั้งตัวแล้วเนี่ยะ

ผมเบ้ปากใส่พี่สยามก่อนจะหันมองข้างทางเหมือนเดิม ไม่คุยกับมึงแล้ว ชอบหาเรื่องสองแง่สองง่ามมาพูดตลอด มันรู้ไงครับว่าถ้าพูดเรื่องพวกนี้ผมจะแพ้ทางมัน เจ้าเล่ห์ชิบหายคนอะไรก็ไม่รู้ ผมเองก็ไม่ชินกับความเจ้าเล่ห์นี้ด้วยนะถึงจะอยู่กับมันมาเป็นเดือนแล้วก็เถอะ เดี๋ยววันนี้กลับถึงหอผมจะต้องแอบเอาไดอารี่ไปเขียนในห้องน้ำด้วย จะฟ้องพ่อว่าพี่สยามมันจะกินผม ต้องเขียนยังไงก็ได้ให้พ่อคิดว่ามันกลายเป็นอสูรกายที่ดุร้าย พร้อมจะขย้ำสมปองตัวน้อยๆ ได้ตลอดเวลา

เชี่ยยยย

เล่นใหญ่ไปอีก

ผมส่ายหัวเบาๆ ไล่ความบ๊องของตัวเองออกไป พี่สยามมันก็เลี้ยวรถมาจอดใต้หอ ดีว่าวันนี้รถไม่ค่อยติดเท่าไหร่ก็เลยมาถึงหอไว แต่ไม่ติดก็ไม่น่าแปลกป้ะวะนี่มันจะ 5 ทุ่มอยู่ละ ชาวบ้านชาวช่องเขาปิดไฟอาบน้ำนอนสบายใจเฉิ่มละเอาจริงๆ ว่าแต่ผมจะเสือกเรื่องของชาวบ้านเขาทำไมวะ บ้าบอจริงๆ เลยปองเอ้ย

“ มึงจะตีหัวตัวเองทำไมอ่ะปอง ” พี่สยามมันถาม มือก็ขนของลงมาจากรถ

“ กู....ไม่มีไร ” ผมบอกปัดมันไปก่อนจะแบ่งของจากพี่มันมาถือ “ กูไม่อยู่นี่ทำห้องรกป้ะเนี่ยะ ”

“ สะอาดเอี่ยม นี่กวาดถูรอมึงกลับมาทุกวัน ”

“ จริงรึเปล่า ”

พี่มันพยักหน้ารัวๆ “ จริงสิ ไปดูกับตาเลยดีกว่า ” ว่าแล้วพี่สยามมันก็รีบลากผมขึ้นมาห้อง

“ ใจเย็นนะ ขากูไม่ได้สั้นแต่มันสั้นกว่าขามึงนิดหน่อย แต่มันไม่สั้นนะ ”

“ มึงพูดอะไรอ่ะเมีย ” มันหันมองผมพร้อมกับทำหน้างงใส่ “ ตกลงกับสมองตัวเองก่อนไหม ”

“ หึ้ย.ย.ย....เอาเป็นว่าเดินช้าๆ หน่อย โอเคไหม ”

“ ให้กูอุ้มป่ะ ”

“ ไม่ต้อง โตแล้วกูเดินเองได้ ” ผมบอกมันก่อนจะเดินสะบัดมาอยู่ที่หน้าห้อง “ รีบมาไขซิ ”

พี่สยามรีบไขประตูห้องให้ ผมเปิดไฟก่อนจะลากของเดินเข้าไปในห้อง อื้ม.ม.ม.....สะอาดจริงๆ แบบที่มันโม้ไว้ด้วยครับ ทุกอย่างดูเป็นระเบียบมาก ทั้งชั้นหนังสือหรือว่าชั้นตู้เสื้อผ้า เออ ให้ทำดีดีก็ทำได้นี่หว่า ผมหันมองพี่สยามที่ยืนยิ้มแฉ่งอยู่ นี่ถ้ามันเป็นหมานะ หูต้องตั้งและหางก็ต้องกระดิกอยู่แน่ๆ เลย

เจ้าของที่ดีอย่างผมควรให้รางวัลหมาถูกไหม

“ มึงมานี่ซิ ” ผมกวักมือเรียก

“ ครับ ” พี่สยามเดินเข้ามาใกล้ มือเรียวรั้งเอวผมไปโอบไว้ “ มีอะไรหืม ”

“ ดีมากที่ไม่ทำห้องรก ”

“ ก็อยากเป็นสามีที่น่ารักบ้างไรบ้าง ”

“ ดูคำพูดคำจา ”

 “ ก็มันจริงนี่นา ” มือเรียวเลื่อนขึ้นมาเกลี่ยแก้มผมเบาๆ “ อยากให้มึงรักกูไง ”

ตอนนี้กูก็.....

“ มึงนี่มัน....” ผมเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้พี่สยามก่อนจะจูบเบาๆ

คนโดนจูบทำตาโตใส่ผมแวบนึง ก่อนจะเปิดปากรับจูบจากผม สัมผัสนุ่มๆ นี่ทำให้รู้สึกดีจริงๆ ผมยกมือโอบรอบคอพี่สยามไว้ ปากก็แลกจูบกับมันอยู่อย่างนั้น จูบหวานๆ ในตอนแรกเริ่มรุนแรงขึ้น เอาสิอ่ะ เอาให้ปากแตกเลยไหมพี่เอ้ย พอมันตักตวงจูบจากผมจนพอใจ ใบหน้าคมก็ถอนจูบออกไปอย่างอ้อยอิ่ง

โมเม้นท์นี้โคตรใจบางอ่ะ

“ ตกใจเลยนะที่มึงเริ่มจูบก่อนแบบนี้น่ะ ”

“ ก็อยากให้รางวัลแห่งความอดทน แต่แค่จูบนะ ร่างกายยังไม่ค่อยโอเค ”

พี่สยามมันเบะปากน้อยๆ “ ไม่เป็นไรครับ แค่จูบก็ยังดี ” แหม่ สีหน้ากับคำพูดมึงนี่สวนทางกันสุดๆ

“ เออมีอีกอย่างด้วยที่กูอยากจะบอก ”

“ อะไรล่ะครับ ”

“ ก็.....” ผมขยับเข้าไปกระซิบข้างหูพี่สยามเบาๆ “ กูคิดถึงมึงมากเลยว่ะพี่ คิดถึงเวลามึงกอดกูด้วย คิดถึงมากๆ ”

พี่สยามมันซบลงที่ไหล่ผม มือก็กอดผมแน่นขึ้น “ อื้มม.ม.ม.....เขินอ่ะ น้ำตาจะไหล ”

" เว่อร์ว่ะ น้ำตาจะไหลอะไรของมึง "

" มันแบบ....มันแปลกๆ อ่ะเมีย " พี่สยามบ่นเสียงอู้อี้ๆ อยู่กับไหล่ผม

" มึงนี่ตลกจริงๆ เลยนะ ไหนดูหน้าซิ "

เจ้าตัวละออกมาจากไหล่ผม หน้านี่แดงจัดจนลามไปยันหู " แพ้ภัยสัสๆ "

" มึงหน้าแดงๆ แบบนี้ก็น่ารักนะเนี่ย " ผมยิ้มหวานก่อนจะยกมือหยิกแก้มมันอย่างหมั่นเขี้ยว " สนใจมาเป็นเมียกูแทนไหมละ "

" เหิมเกริม "

ผมยิ้มแป้นมองคนที่ทำหน้ามุ่ยก่อนจะกอดพี่มันไว้เหมือนเดิม เจ้าตัวก็กอดผมกลับ การกอดนี่มันดีจริงๆ เลยนะ มันเป็นเหมือนการชาร์จพลังให้ชีวิตเลย แถมมันยังช่วยคลายความคิดถึงที่มีด้วย เหมือนช่วงที่ไม่เจอกันพี่สยามมันจะผอมลงด้วยนะ กูไม่อยู่นี่กินข้าวไม่ลงสินะพี่

ช่างน่าสงสาร

" มึงผอมลงด้วยนะ "

" รอกินมึงนี่ไง " ทันทีที่มันตอบแบบนั้น ผมก็ตีเข้าที่สีข้างแรงๆ จนมันร้องออกมา " โอ้ยยยยเจ็บนะ ตีกูทำไมเนี่ยะ "

ผมคลายกอดออกมาก่อนแลบลิ้นใส่ " สมน้ำหน้า อยากหื่มกามดีนัก "

" เดี๋ยวมึงจะโดนคนหื่นกามจัดการ "

" ชี้โบ๊ชี้เบ๊....ไปตักข้าวมาไป " ผมสั่งมันก่อนจะเดินไปหยิบโต๊ะญี่ปุ่นออกมาตั้ง " ของกูเอานิดเดียวนะ "

" ได้ครับเมีย " พี่สยามมันรับคำแล้วเดินไปตักข้าวให้

ผมนั่งเท้าคางมองมันเงียบๆ ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกถึงอะไรแปลกๆ เหมือนพี่สยามมันเป็นพี่สยามแต่มันไม่ใช่พี่สยามอ่ะ มันดูซึมๆ ฟีลหมาหงอยยังไงไม่รู้ นี่ไม่ใช่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นตอนที่ผมไม่อยู่หรอกนะ

" พี่สยาม "

" หืม...."

" มึงเป็นอะไรรึเปล่า "

มือที่ตักข้าวอยู่ชะงักไปแปปนึง " ทำไมถามแบบนั้นอ่ะ "

" กูว่ามึงดูไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ "

" มองออกงั้นหรอ "

" มองออกสิ กูเป็นเมียมึงนะ " ผมมองร่างสูงที่เดินมานั่งลงข้างๆ " มีอะไรไหนเล่าให้ฟังซิ "

" ก็เรื่องที่ร้านไอติมน่ะ "

" ที่ร้านไอติมมีอะไร " ผมถามมัน มือก็แกะถุงแคปหมูกับน้ำพริกหนุ่มไปด้วย

" ช่วงหลายวันมานี้มีคนมาก่อกวนที่ร้าน เอาสีมาพ่นบ้างล่ะ มาพังดอกไม้หน้าร้านบ้างล่ะ กูหงุดหงิดเรื่องนี้มากเลย ยังจับตัวคนทำไม่ได้ด้วย "

" เพราะงี้นี่เอง สีหน้าเลยดูเครียดๆ " ผมตักน้ำพริกหนุ่มไปใส่จานให้มัน " แล้วกล้องวงจรปิดจับอะไรไม่ได้เลยหรอ "

" มันใส่หมวกกันน็อคบังหน้ามาน่ะสิ นี่กูวางแผนกับเพื่อนๆ ไว้ ว่าจะดักจับตอนกลางคืน "

" ก็ดีนะ แต่ว่าพวกมึงก็ต้องระวังตัวด้วย "

พี่สยามมันตักข้าวเข้าปาก " อื้มมม...กูนึกว่ามึงจะขอไปด้วยซะอีก "

" ขอไป มึงก็ไม่ให้กูไปอยู่ดี มึงก็จะบอกว่ามันอันตราย "

" แสนรู้ " ไม่พูดเปล่านะ มีการยกมือขยี้หัวผมด้วย

" กู ไม่ ใช่ หมา "

ผมทำหน้าบึ้งใส่มันก่อนจะกินข้าวต่อ พี่สยามมันยิ้มออกมาได้ละครับ ค่อยยังชั่วหน่อยที่เรื่องกังวลใจของมันคือเรื่องที่ร้าน ตอนแรกผมคิดว่าจะเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ของเราซะอีก ผมหวั่นนะแบบว่าช่วงที่เราห่างกันแล้วมันจะไปถูกตาต้องใจใครน่ะ ผมเพิ่งจะรู้ความรู้สึกตัวเองด้วยก็เลยยิ่งกลัวว่าจะมีคนเอามันไปแดกก่อน

พี่สยามมันฮ็อตในหมู่ผู้ชายมากนะครับ

คือเวลาที่ผมเอาโทรศัพท์มันมาเล่น ผมก็จะเห็นไลน์นับร้อยจากหนุ่มๆ ทักมาหามันอ่ะ แต่เจ้าตัวไม่อ่านไม่ตอบไม่อะไรเลยนะ คือแม่งดองเก็บไว้ แล้วผู้ชายบางคนผมเห็นหน้าแล้วยังรู้สึกว่าเออไอ้ห่านี่มันน่ารักว่ะ คือความน่ารักชนะแดกขาดผมไปหลายโยชน์ คือผมเป็นคนที่ไม่น่ารักหรอกเพราะว่าผมเป็นคนหล่อไง

ไม่ได้มั่นหน้านะแต่พูดความจริง

คนที่ทักพี่สยามมาอ่ะ ลักษณะรูปร่างหน้าตาคือเหมาะกับตำแหน่งเมียมาก เหมาะกว่าผมเยอะ ก็ไม่รู้ว่าอะไรมันดลใจให้มันมาจับผู้ชายตัวบะเอ้กอย่างผมทำเมีย คือผมก็เป็นคนตัวใหญ่นะ ก็มาตรฐานชายไทย สูงก็ตั้ง 175 แน่ะ หุ่นก็ไปวัดไปวาได้ แถมมีซิคแพคบางๆ ถึงตอนนี้มันจะเลือนลางไปแล้วก็เถอะ

เพราะพี่สยามมันนั่นแหละ

หึ้ย...ย...คิดละฉุนเฉียว

" พี่สยาม "

" ว่าไงครับ "

" กูถามอะไรหน่อยสิ "

" ว่ามา "

" มึงไม่ชอบผู้ชายตัวเล็กหรอ น่ารักๆ ไรเงี้ยะ "

คนโดนถามหน้าบึ้งขึ้นมาทันที " ถามแบบนี้หมายความว่าไงอีเมีย "

" กูก็ถามเฉยๆ หน่า ไม่ได้จะไล่ให้ไปมีเมียใหม่หรอก " ผมยกมือดึงแก้มมันเบาๆ " บอกมาสิ เรื่องที่กูถาม "

" ก็....สำหรับกูอ่ะ ความน่ารักมันไม่ได้อยู่ที่หน้าตาหรือว่ารูปร่าง มันเป็นความรู้สึกที่ไม่มีเหตุผลว่ะ อย่างแบบมึงอาจจะไม่ได้น่ารักสำหรับใคร แต่มึงก็น่ารักเสมอสำหรับกู ก็อะไรทำนองเนี้ยะ "

ตึกตัก

เชี่ยยยยย

ใจสั่นไปอีกตัวกู

" เอ่อ...แล้ว เรื่องผู้ชายตัวเล็กๆ ล่ะ "

" กูไม่ค่อยชอบคนตัวเล็กเหมือนผู้หญิงอ่ะ เพราะว่ากูเป็นคนตัวใหญ่ไง กูก็ต้องหาเมียที่ตัวใหญ่มากพอที่จะทนไม้ทนมือกูได้ " พี่สยามมันอมยิ้มแล้วมองผม " ประมาณมึงอ่ะกำลังดีเลย เห็นครั้งแรกก็แบบ สเปค "

ผมพยักหน้ารับเบาๆ " เพราะงี้เองถึงได้ชอบมาวอแวกับกู แต่แบบมันก็มีคนที่รูปร่างประมาณกูป้ะวะ "

" ใช่ คนที่ตรงสเปคกูอ่ะมันก็มีถมไปแหละ แต่ว่าใจมันบอกว่าต้องเป็นมึงมั้ง กูก็เลยตั้งใจตั้งแต่วันแรกว่าจะต้องเอามึงมาเป็นของตัวเองให้ได้ จนวันนี้ก็ได้มาแล้ว "

ผมเบ้ปากใส่มัน " มึงมันเจ้าเล่ห์ไง ใช้เล่ห์เหลี่ยมให้กูยอมจำนน "

" เอาหน่าเมีย " พี่สยามมันจับหัวผมให้พิงไหล่มันไว้ " การที่ได้รับความรักจากใครสักคนมันก็เป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่หรอ ที่เราอยู่ด้วยกันทุกวันนี้มันก็มีความสุขดีนี่นะ "

ใช่....มันก็ดีและมีความสุขจริงๆ นั่นแหละ

ผมอมยิ้มบางๆ ให้กับสิ่งที่มันพูด ก็ค่อยเคลียร์ความสงสัยที่อัดอั้นตันใจมานานเหมือนกันนะ ผมสงสัยมาตลอดตั้งแต่วันที่เจอกันครั้งแรกไง ยังจำวันนั้นได้อยู่เลย คนบ้าอะไรต้องพูดผ่านโทรโข่ง แถมยังเป็นคนขโมยจูบผมไปด้วย จากนั้นเวลาเจอกันมันก็มักจะหาเรื่องลวมลามผมตลอด และผมเองก็เข้าใจว่าสิ่งที่มันทำนั่นมันจะแกล้งผม แต่ความจริงมันไม่ใช่

มันทำแบบนั้นเพราะอยากให้ผมเป็นของมันนี่เอง

ร้ายกาจจริงๆ เลยว่ะ

" เออปอง กูลืมบอกอะไรไปอย่าง "

ผมหันมองมัน " อะไรอ่ะ "

" กูรักมึงนะ " เจ้าตัวเอ่ยเบาๆ ก่อนจะเลื่อนหน้าเข้ามาจุ๊บปากผม " ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะครับ "

ตึกตัก

อา....ยอมแล้วครับพี่สยาม

สมปองยอมแล้ว

" เขินอ่ะพี่สยาม "

" มากอดมา "

" อื้มมม...ม..."






TBC.

ชาลมาส่งหยัมปองแล้วค่ะ น้องปองกลับมาสู่อ้อมอกพี่หยัมแล้วนะคะ มันก็จะออกละมุนหน่อยๆ เรื่องของคู่นี้จะเป็นยังไงรอติดตาม ชาลยังไม่ได้แก้คำผิดนะคะ ถ้าเจอก็คอมเม้นต์บอกไว้ได้เลยเดี๋ยวจะไล่แก้ให้นะ
ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยมาก ดูแลสุขภาพกันด้วย น้องๆ มัธยมที่ใกล้จะสอบมิดเทอมกันก็ตั้งใจอ่านหนังสือนะ
ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ ติดข่าวสารและการสปอยได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis นะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 25 : 16/12/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 16-12-2017 19:56:57
ใครกันมาหาเรื่องที่ร้านไอติมพี่สยาม  :hao3:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 25 : 16/12/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 16-12-2017 21:10:18
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 25 : 16/12/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Zetnezz ที่ 16-12-2017 22:44:30
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 25 : 16/12/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 16-12-2017 23:09:56
น่ารัก +100 เลยๆๆๆ.
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 25 : 16/12/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Soda.wine ที่ 17-12-2017 21:08:48
 :-[
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 25 : 16/12/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 17-12-2017 21:38:29
ใครหน้าไหนก็อย่ามาทำให้สมปองเสียใจ
ตรูไม่ยอม

โดยเฉพาะเมิง..อิผัว
หุหุ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 25 : 16/12/2017 ] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 23-12-2017 18:55:35
วันนี้ไม่มาเหรอ
หยัมปอง
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 26 : 23/12/2017 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 23-12-2017 21:07:18
บทที่ 26 ความหน่วงของสมปอง



“ สันนอกมันของกู ”

“ อยู่ในถ้วยกูเป็นของกู ”

“ ทำไมมึงมันเลวแบบนี้ล่ะอีงูพิษ ”

“ ด่ากูมากเดี๋ยวกูฉกปากให้หรอก ”

“ หยี....ขนลุก ” ผมยกมือขึ้นลูบแขนพลางเบะปาก “ อย่าพูดอะไรชวนสยองแบบนั้นได้ไหมวะ ”

ลันตามันเบ้ปากใส่ผม “ เออใช่สิ กูไม่ใช่พี่สยามหนิ พูดอะไรก็น่าสยองไปหมดแหละ ”

“ มึงนี่!!!! ” พูดถึงผัวกูบ่อยจัง

แอบเป็นเมียน้อยมันป้ะเนี่ยะไอ้สัส

ผมนั่งหรี่ตามองลันตาเพื่อนรักอย่างชั่งใจ มือก็คีบหมูสามชั้นที่เพิ่งลวกเสร็จมาเป่าสองสามทีก่อนจะยัดเข้าปาก ตอนนี้ผมนั่งกินชาบูอยู่ร้านใกล้ๆ มอครับ เปิดเรียนวันแรกหลังจากที่หยุดยาวนี่ก็บันเทิงหูบันเทิงตาดีนะ วันนี้มีอบรมกับพวกเด็กวิศวะคอม โอ่ยยย ขอบอกเลยว่าน่ารัก น่ารักมากๆ ไม่คิดว่าเด็กวิศวะคอมจะหน้าตาน่าฟัดขนาดนี้ ปกติพวกนี้เขาจะไม่โผล่มาให้เราเห็นบ่อยๆ ไง

วันนี้นี่โคตรเป็นบุญตาเลย

มันมีคนนึงที่สวยเข้าตาผมมากๆ ด้วยนะ รู้สึกว่าจะชื่อโปเต้มั้งครับ ตัวเล็กๆ ผิวขาว แก้มป่อง ผมยาวเป็นลอนสวยเชียว ทำไมสาขาผมไม่มีอะไรแบบนี้ให้มองบ้างก็ไม่รู้ ในโยธาคนที่สวยที่สุดก็คงจะเป็นสีเทียนนี่แหละครับ

อันนี้นับได้ป้ะวะ

“ อ่ะปอง ” แยมมันคีบตับมาใส่ชามให้ผมก่อนจะคีบหมูไปให้ลันตา จบด้วยคีบกุ้งไปให้สีเทียน

ผมนั่งเท้าคางมองเพื่อนรัก “ มึงนี่เซอร์วิสเพื่อนๆ ดีจัง ”

“ มึงจะได้ไม่ต้องแย่งกันไง ” มันบอกก่อนจะหยิบกระดาษมาเขียนสั่งเพิ่ม

“ มึง....กูมีไรอยากปรึกษาหน่อยว่ะ ”

“ ว่ามา ”

“ คือว่าตั้งแต่ที่มีคลิปลันตามันเมาแล้วจูบกูออกไปอ่ะ มันก็มีการเปิดว้าปกูหลายที่เลยใช่ไหมล่ะ ”

ผมพยักหน้ารับ “ เออแล้วไงต่อ ”

“ มันมีคนทักกูเยอะมากเลยอ่ะ บางคนนี่โทรมาเลยนะมึง แม่งโคตรน่ากลัว ” สีเทียนมันบอกก่อนจะมองค้อนไปทางลันตา “ เพราะมึงแหละมาจูบกู ”

“ เพราะปองมันอัดคลิปแล้วเอาไปลงต่างหาก ”

“ ก็พวกมึงชอบแกล้งกูอ่ะ เอาคืนบ้างก็ขำๆ เนอะ ” ผมบอกก่อนจะยิ้มหวานจนตาหยี

ลันตากับสีเทียนมันมองแรงใส่ผม มองไรกันเดี๋ยวกูเอาตะเกียบจิ้มตาหรอก พูดถึงคลิปที่เอาคืนนี่ก็ยอดทะลุเป้าไปไกลชิบหายวายวอดแล้วครับ สีเทียนคงจะใช้ชีวิตอยู่ยากตามที่ตัวเองบ่นจริงๆ นั่นแหละ ผมจะเอาคืนมันดีไหมวะเพราะว่าตอนนี้ชีวิตมันก็ดูวุ่นวายแถมยังมีใครต่อใครไม่รู้จ้องจะแดกมันอีก สองจิตสองใจเหมือนกันนะเนี่ย เอาเป็นว่าจะคอยดูพฤติกรรมของสีเทียนไปสักระยะนึง ถ้าก่อนสอบไฟนอลมันไม่แกล้งผม ผมก็จะไม่แกล้งมัน แต่ถ้ามันแกล้งล่ะก็....

เราจะได้เห็นดีกันแน่นอน

หลังจากที่ผมนั่งบ่นคนเดียวในใจ พนักงานก็เอาของที่แยมสั่งมาเสิร์ฟ คือแม่งอย่างเยอะอ่ะนี่มึงสั่งไปกี่ชุดวะ ผมนั่งมองสันนอกหมูก็รู้สึกอิ่มทั้งๆ ที่ยังไม่ได้กิน ในกลุ่มผมคนที่แดกเยอะสุดนี่ลันตาเลยครับ เห็นมันตัวบางๆ แบบนั้นแต่มันกินเยอะมากเลยนะ ให้มันแดกควายทั้งตัวมันก็แดกได้ ผมเคยคิดว่าตัวเองกินเยอะมาตลอดแต่พอมาเจอมันก็ชิดซ้ายอ่ะ

“ ปอง ”

“ หืม....”

“ กูเห็นผู้หญิงโต๊ะหลังมองมึงไม่ละสายตาเลยว่ะ ”

“ หรอวะ ” ผมเหลือบไปมองตามที่สีเทียนบอก “ นั่นมัน.....”

โปเต้นี่หว่า

“ เค้าชอบมึงรึเปล่า น่ารักแบบนั้นนี่สเปคมึงเลยน่ะ ”

“ ก็นะ ” ผมไหวไหล่ก่อนจะคีบตับเข้าปาก “ กูหล่อไง ”

“ เอากระจกไหมมึง ”

“ เอามาทำไรวะ ”

“ ส่องเบ้าหน้าไงไอ่ฟายยยยย ” ลันตามันบอกก่อนจะเอื้อมมือมาแย่งหมูสามชั้นในถ้วยผมไป อีเด็กเลวนี่มันน่าทุบให้ตายจริงๆ

ผมทำหน้าบึ้งใส่ลันตาพลางมองทะลุไปโต๊ะด้านหลังที่มีสาวๆ วิศวะคอมนั่งกันอยู่ เป็นแบบที่สีเทียนพูดจริงๆ ด้วยครับ โปเต้กำลังแอบมองผมอยู่ พอเห็นแบบนั้นผมเลยแกล้งเป็นเหลือบไปมองบ้าง พอเธอเห็นว่าผมมองเธอกลับ ใบหน้าหวานก็หันมองไปทางอื่นแทน แน่ะ เชิงดีว่ะ นี่ถ้าเป็นผมเมื่อเดือนก่อนก็คงจะยิ้มหวานแล้วเดินเข้าไปหาแล้วละ แต่ตอนนี้ทำไม่ได้ไง

ตำแหน่งเมียประธานสันฯ มันค้ำคอยู่

พูดถึงประธานสันฯ ก็รู้สึกหน้าร้อนแปลกๆ ยังไงไม่รู้ว่ะ ตั้งแต่ที่ผมกลับมาจากเชียงใหม่ก็รู้สึกได้ว่าพี่สยามทำตัวดีขึ้นเยอะเลยครับ สลัดคราบคนหื่นกามที่จ้องจะแดกผมอย่างเดียวออกไปเลยอ่ะ อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นคนที่พูดอะไรหวานๆ ดูแลเทคแคร์แบบผู้ชายอ่อนโยน ซึ่งผมไม่ชินกับสิ่งเหล่านี้เลยไง มันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ไม่รู้ว่าแอบไปดูซีรี่ส์แล้วเห็นพระเอกเขาทำแบบนี้รึเปล่าถึงได้อยากทำตาม เวลาอยู่ที่ห้องด้วยกันสองคนนี่ใจโคตรบาง เมื่อเช้ามันจะปลุกผมไปเรียนมันก็ไม่เรียกนะแต่มันใช้วิธีหอมแก้มจนกว่าผมจะตื่น

ดูมันทำสิ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“ ใครเคาะอะไรวะ ” ผมหันซ้ายหันขวามองตามเสียง

“ เสียงโทรศัพท์กูเอง ” ลันตาบอกก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสาย “ ฮัลโหลครับ ”

แยมมันแกะกุ้งก่อนจะส่งมาให้ผม “ เออปอง วันก่อนกูเห็นพี่สยามเดินออกมาจากห้องมึงด้วย พี่เค้ามาทำไรหรอ ”

“ มันเอาชีทมาให้น่ะ ”

“ ใช่รึเปล่า ” สีเทียนมันเลิกคิ้วมองผมอย่างจับผิด “ โกหกมันผิดศีลนะ ”

“ ใช่ก็ใช่สิวะ ”

“ เค้าบอกพี่แล้วไงว่าเค้าซักให้แล้วอ่ะ พี่อ่ะไม่เคยหาอะไรเจอหรอก ” ลันตามันโวยวายใส่โทรศัพท์เสียงดัง ฟังจากสรรพนามในการแทนตัวเองว่าเค้านี่คนที่มันคุยอยู่ด้วยต้องเป็นพี่ทะเลแน่ๆ เลย

เพราะงั้นต้องเงี่ยหูฟัง

“ จุ๊ๆ ก่อนเทียน เสือกเรื่องเพื่อนรักแปป ” ผมกระซิบบอกสีเทียนเบาๆ เจ้าตัวก็พยักหน้ารับก่อนจะทำเนียบคีบโน่นนี่มากินไปเรื่อย

ผมเองก็เนียนไม่ต่างกัน คือทุกคนในวงนี่เงียบหมดยกเว้นลันตาที่โวยวายใส่โทรศัพท์อยู่ ฟังจากเรื่องที่มันพูดเนี่ยะน่าจะเกี่ยวกับเสื้อมั้ง เหมือนมันซักเสื้อให้พี่ทะเลแต่เจ้าตัวคงหาไม่เจอ อารมณ์ลันตาประมาณว่ากูบอกไปเป็นล้านรอบแล้วทำไมมึงไม่ฟังวะ เพื่อนแยมที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็คงอยากจะยกมือแตะไหล่ลันตาแล้วบอกว่าให้ใจเย็นๆ แต่ก็ไม่กล้าทำแบบนั้น คือลันตาดูหัวร้อนและพร้อมเหวี่ยงมากอ่ะครับถ้าไปยุ่งกับมัน

เพราะงั้นนั่งกันเงียบๆ เถอะ

“ ไม่ต้องมาง้อเลยนะ เค้าไม่หายโกรธหรอก ” มือเรียวคีบหมูยัดเข้าปาก “ ไม่ พี่กลับไปนอนห้องตัวเองเลยนะไม่ต้องมานอนกับเค้าเลย ”

“ มึงว่าขั้นไหนวะ ” ผมเอ่ยถามสีเทียนเบาๆ ปากก็เป่ากุ้งไปด้วย

“ ขั้นเดียวกับมึงนั่นแหละ ”

“ อ๋อ ” ผมชะงักไปก่อนจะหันขวับมองมัน “ มึงหมายความว่าไง ”

“ ก็มึงกับพี่สยามขั้นไหน ลันตากับพี่ทะเลก็ขั้นนั้นแหละ ”

“ เลอะเทอะละมึงอ่ะ พี่สยามมันเป็นพี่รหัสกูมั้งเถอะ ที่สนิทก็เพราะอย่างนี้มั้งเถอะ ”

สีเทียนมันคลี่ยิ้มออกมาบางๆ “ กูบอกแล้วว่าโกหกมันผิดศีล ”

“ โว้ยยยยยยยยมึงนี่!!!! ”

“ ชู่วววว เบาๆ ปอง ให้ลันตาเสียงดังคนเดียวก็พอ ” แยมปรามผมเบาๆ เออกูยอมเงียบก็ได้ นี่เห็นแก่เพื่อนแยมนะสีเทียนนะ ไม่งั้นมึงเจอกูด่ายันโคตรแล้ว

“ ไม่ต้องมา ไม่ต้องงงงงง!!!! ” ลันตามันว้ากใส่โทรศัพท์ก่อนจะกดวางสาย

ใบหน้าหวานดูหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด อยากจะถามมันตรงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่กลัวมันด่าว่าเสือกอ่ะ แต่อีกใจก็อยากรู้ไง อยากรู้หลายเรื่องด้วย อะไรคือไม่ต้องไปนอนที่ห้อง นี่อยู่ด้วยกันหรือยังไง ความอยากรู้มีอยู่เต็มสมองไปหมดแล้วตอนนี้ จะส่งใครเป็นหน่วยกล้าตายลองถามมันดีวะ ในกลุ่มคนที่ลันตาสนิทด้วยที่สุดก็คงเป็นอีหน้าสวยที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมนี่แหละ

ผมสะกิดสีเทียนเบาๆ “ มึงถามมันดิ้ว่ามันเป็นไร ”

“ มึงเป็นไรวะลันตา ”

“ ก็พี่ทะเลอ่ะดิ่ หาเสื้อไม่เจอก็มาโวยวายใส่กู ”

“ เสื้อไรวะ ”

“ เสื้อช้อป เมื่อวานกูซักให้แถมรีดให้ด้วย แขวนไว้หน้าตู้เสื้อผ้าเลย แม่งตาบอดมองไม่เห็น โทรมาโวยวายใส่กูใหญ่ ” มันบ่นอย่างฉุนๆ ก่อนจะคีบโน่นคีบนี่ยัดใส่ปากจนเต็ม

ผมเท้าคางมองมันนิ่งๆ “ มึงกับพี่ทะเลอยู่ด้วยกันหรอ ”

“ เปล่า ”

“ เอ้า แล้วไอ้ไม่ให้นอนคือไรวะ ”

“ ก็พี่ทะเลมานอนที่ห้องกูบ่อย ”

“ แล้วทำไมพี่ทะเลถึงมานอนที่ห้องมึงอ่ะ ”

“ ก็มันเป็นแฟนกู ถ้าจะมานอนห้องกูมันจะแปลกตรงไหนวะ ”

แฟน

แฟ้นนนนนนนนน!!!!

ผมมองเพื่อนรักตาปริบๆ นี่ความสัมพันธ์ของมันกับพี่ทะเลพัฒนาไปจนเป็นแฟนกันแล้วหรอวะ แล้วไปคบกันตอนไหนทำไมเพื่อนฝูงไม่เห็นรู้เลย ผมว่านะถ้าไม่ถามมันก็คงไม่บอกหรอก แหม กับเพื่อนกับฝูงนี่ทำเป็นมีความลับนะอีงูพิษนะ คือตอนนี้อยากรู้เรื่องราวตั้งแต่แรกเลยอ่ะแต่ผมคิดว่ามันคงไม่เล่าให้ผมฟังแน่นอน จะสืบเองก็ไม่รู้จะสืบกับใคร เรื่องนี้ถ้าถามพี่ทะเล เขาจะเล่าให้ฟังไหมวะ เอ๊ะ หรือว่าไปถามพี่สยามดีเพราะเหมือนมันรู้เรื่องนี้มาตั้งนานละ

แล้วเป็นห่าไรต้องคุยกับตัวเองเนี่ยะปอง

บ้าบอชะมัด

ผมส่ายหัวไล่ความอยากเสือกของตัวเองออกไป ไม่เอาๆ เลิกคิดเรื่องลันตา เอาเป็นว่ามันคบกับพี่ทะเลแล้ว โอเคแค่นั้นจบ เราควรแสดงความยินดีกับมัน ควรอวยพรให้ความรักมีแต่ความสุขใจอะไรทำนองนี้

แต่ก็ยังอยากรู้อยู่ดีว่ะ

“ สมปอง ”

ผมสะดุ้งก่อนจะหันไปมองตามเสียงเรียก “ คะ....ครับ ”

“ ช่วยออกไปคุยกับเรานอกร้านแปปนึงได้ไหม ” ร่างบางเอ่ยบอกผมเบาๆ

“ ดะ....ได้สิ ” ผมยักหน้ารับก่อนจะหันมองเพื่อนๆ “ เดี๋ยวกูมานะ ”

“ มึงมันร้ายนะไอ้ปอง ” สีเทียนมันบอกพลางยกยิ้ม

ลันตามันหรี่ตามองผม “ กูฟ้องคนที่มึงก็รู้ว่าใครแน่ ”

“ เดี๋ยวกูลวกหมูรอไว้ให้ ” แยมมันยิ้มหวานก่อนจะเทหมูลงไปในหม้อ

เนี่ยะ....ไม่มีใครดีเท่าแยมละเอาจริงๆ

หลังจากที่ผมซึ้งใจกับการลวกหมูของแยมเสร็จผมก็เดินตามร่างบางออกมาหน้าร้าน คนที่มาเรียกผมเธอก็คือคนที่นั่งมองผมอยู่นานสองนานนั่นแหละครับ โปเต้นี่มองจากด้านหลังก็เหมือนส้มอยู่นะ ทำไมใครๆ ก็ดูเหมือนส้มไปหมดเลยวะ ไม่คิดจะเหมือนแอปเปิ้ล มะละกอ กล้วย อะไรพวกนี้บ้างหรอ

มุกเชี่ยไรเนี่ยะปอง

อย่าเอาไปเล่นที่ไหนนะ

“ ปอง ”

“ หะ...หืม ” ผมยิ้มบางๆ ให้คนตรงหน้า “ เรียกเรามามีอะไรหรอ ”

ใบหน้าหวานยิ้มน้อยๆ เหมือนเขินอะไรสักอย่าง แก้มใสก็ขึ้นสีแดงระเรื่อ เห็นแบบนี้แล้วน่ารักชะมัด นี่ถ้าไม่ติดว่าผมมีผัวแล้วนะ โปเต้นี่อาจจะเป็นคนที่ผมตามจีบก็ได้ น่ารักตรงสเปคชิบ ผมยืนมองคนตรงหน้าพลางตั้งใจฟังในสิ่งที่เธอกำลังจะพูด

“ คือว่า....เราชอบพี่สยามน่ะ ”

เราชอบพี่สยาม....งั้นหรอ

ผมยกมือลูบคอตัวเองเบาๆ “ บอกเราทำไมอ่ะ ”

“ ก็เรารู้มาว่าปองเป็นน้องรหัสของพี่สยาม ปองก็น่าจะสนิทกับเค้า ” ใช่แล้วโปเต้ เราสนิทกับพี่สยามมากเลย สนิทในระดับที่.....ถ้าบอกไปนี่โปเต้คงช็อคแน่นอน

“ อื้ม....ก็สนิทนะ ”

“ งั้นปองพอรู้ว่าพี่สยามเค้ามีคนที่ชอบรึเปล่า เราขอไลน์หรือเบอร์เค้าได้ไหม ”

“ ไลน์กับเบอร์เราคงให้ไม่ได้อ่ะเพราะว่า....โทรศัพท์เรามันรวนแล้วข้อมูลหายหมดเลย ” ผมตีหน้าซื่อพลางเอ่ยเสียงอ่อน “ ส่วนเรื่องคนที่พี่สยามชอบก็....มีแล้วแหละ ”

“ ใครหรอ ”

กูไง....แล้วมันไม่ได้แค่ชอบนะ

มันรักกู

“ เราก็ไม่รู้เหมือนกันอ่ะ แต่มันบอกว่ามันมีคนที่ชอบแล้ว ”

ใบหน้าหวานแสดงความผิดหวังออกมาชัดเจน นี่คงชอบพี่สยามมันมากแน่ๆ เลยว่ะ แต่โปเต้ไม่รู้หรอวะว่ามันเป็นเกย์ ผมว่าคนรู้เรื่องนี้ออกจะเยอะนะ อีพวกที่ทักมันมาก็ผู้ชายทั้งนั้น ผู้หญิงก็เป็นส่วนน้อยอ่ะ อารมณ์แบบคิดว่าความสวยกับความนมใหญ่จะดึงมันกลับไปชอบผู้หญิงได้อะไรทำนองนี้ คิดแล้วหมั่นไส้มันอยู่เหมือนกัน ผมนี่ไม่เคยมีหรอกผู้หญิงมาบอกชอบน่ะ เออ ใช่สิผมเป็นแค่สมปองหนิ ผมไม่ใช่พี่สยามไง

หึ้ยยยย...ย....ดราม่าไรวะ

“ แต่ว่านะปอง เค้าก็แค่มีคนที่ชอบใช่ไหมล่ะ เราก็ยังมีหวังใช่ไหม ”

“ เราว่าอย่าไปหวังกับมันเลย ผู้ชายยังมีอีกเยอะเลยนะ ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ได้เหมือนกับพี่สยามก็เถอะ มันก็ต้องมีคนที่พร้อมจะดูแลโปเต้ใช่ไหมล่ะ ” ผมถือวิสาสะยกมือขึ้นแตะไหล่เธอเบาๆ “ อย่าทุ่มเทให้กับคนที่เค้ามีใจให้คนอื่นเลย มันยากที่เราจะเอาชนะคนๆ นั้นได้ ”

โปเต้พยักหน้ารับเบาๆ “ เราเข้าใจแล้ว ขอบใจปองมากนะที่พูดให้เรารู้สึกดีขึ้นน่ะ ”

“ ไม่เป็นไรหรอก ” ผมบอกก่อนจะยิ้มหวานให้

ร่างบางยิ้มให้ผมก่อนจะเดินกลับเข้าไปในร้าน ผมเองก็เดินตามเข้ามาเงียบๆ พอถึงโต๊ะพวกเพื่อนๆ ก็แซวไม่หยุดปาก แต่ผมก็ไม่ได้ตอบโต้พวกมันนะปล่อยให้มันพูดไป ในใจตอนนี้ก็คิดถึงสิ่งที่โปเต้บอกว่าชอบพี่สยาม คนชอบมันเยอะจนบางครั้งผมก็รู้สึกกังวลขึ้นมาเฉยๆ มันหวั่นนะถ้าวันนึงมันเกิดไปรักคนอื่นขึ้นมาล่ะ ถ้ามันทนไม่ไหวที่ผมงี่เง่าใส่บ่อยๆ หรือถ้ามันเจอคนที่ดีต่อใจมากกว่าผม คิดแล้วแม่งหน่วงใจว่ะ

แบบนี้มันไม่สมเป็นผมเลย

บ้าบอจริงๆ





หอ K2

หลังจากที่ไปกินชาบูกับเหล่าเพื่อนฝูงเสร็จผมก็ถึงห้องประมาณทุ่มกว่าๆ พี่สยามยังไม่มาเพราะว่าต้องคุยเรื่องงานกับเพื่อนๆ แต่ผมคิดว่าเดี๋ยวมันก็คงมาแล้วแหละ ก่อนหน้าที่มันจะมาผมมีบางอย่างที่จะต้องทำนั่นก็คือ เขียนไดอารี่ครับ วันนี้มันรู้สึกหน่วงในใจแปลกๆ ผมควรเขียนไว้ให้พ่อได้อ่าน คิดได้แบบนั้นผมก็เดินไปหยิบสมุดไดอารี่สีขาวที่ซ่อนพี่สยามไว้แล้วกลับมานั่งที่เดิม

เอาล่ะ...สะบัดข้อมือสองสามที



พ่อเคยอยู่ดีดีก็หน่วงขึ้นมาเฉยๆ ไหม

วันนี้เป็นวันเปิดเรียนหลังจากที่หยุดยาวใช่ไหมล่ะ ผมก็ไปเรียนแล้วแบบมันมีอบรมร่วมกับเด็กวิศวะคอม คนที่ชื่อโปเต้โคตรน่ารักอ่ะ แต่ผมก็ไม่ได้คิดจะจีบอะไรแบบนี้หรอกนะ ก็จะแค่อวดเฉยๆ ว่าน่ารัก

อิจฉาสิอิจฉา

แล้วพอเลิกเรียนผมก็มากินชาบูกับเพื่อนๆ โปเต้ก็มากินร้านเดียวกับพวกผมด้วยนะ แล้วสีเทียนอ่ะมันบอกว่าโปเต้แอบมองผมอยู่ตลอดเลย นี่ก็แอบเขินนิดๆ ที่สาวมอง จนแบบนั่งกินกันอยู่โปเต้ก็เดินมาบอกว่าให้ออกไปคุยด้วยกันหน่อย ผมก็ออกไปคุยใช่ไหม โปเต้บอกว่าเธอชอบพี่สยาม ถามถึงเบอร์กับไลน์แล้วก็คนที่พี่มันชอบด้วยนะ ผมก็ทำเนียนไปว่าโทรศัพท์มีปัญหาข้อมูลหายจำเบอร์มันไม่ได้อะไรทำนองเนี้ยะ แล้วก็บอกว่าพี่สยามมันมีคนที่ชอบแล้ว โปเต้ผิดหวังผมก็รู้สึกสงสารเธอนะ นี่ก็พูดปลอบใจให้หาคนใหม่ โปเต้ก็โอเคขึ้น คือเหมือนทุกอย่างมันโอเคใช่ไหมพ่อแต่ในใจผมแบบหน่วงอ่ะ หน่วงแบบหน่วงอะไรไม่รู้ คือสับสนมึนงงกับตัวเองมาก ถ้าวันนี้หลับไปแล้วพรุ่งนี้ตื่นมาแล้วจะหายไหม ไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้เลย เดี๋ยวถ้าผมอาการดีขึ้นจะเขียนบอกพ่ออีกทีนะครับ

คิดถึงมากๆ

23/12/20xx : สมปอง




ระบายความหน่วงในใจเสร็จแล้วครับ

เฮ้อ....

ผมถอนหายใจก่อนจะเดินเอาไดอารี่ไปซ่อนไว้ที่เดิม พอกลับมานั่งก็พบว่าประตูห้องถูกเปิดออกโดยพี่สยาม ใบหน้าคมดูเหนื่อยมาก พอผมเห็นแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปกอดมัน เจ้าตัวเองก็กอดกลับทันทีพลางซบหน้าอยู่กับไหล่ผมแบบนั้น คือถ้าไม่เดินมากอดก่อนผมก็อาจจะโดนมันกระโจนใส่ได้ไง แล้วไอ้ชาบูที่เพิ่งกินมาก็คงทะลักออกปากแน่นอนอ่ะ

“ ปอง ”

“ หืม......”

“ เหนื่อย ”

“ รู้แล้วว่าเหนื่อย ” ผมยกมือขึ้นลูบหัวพี่มันเบาๆ “ กูถึงได้เดินมากอดมึงนี่ไง ”

พี่สยามคลายกอดออกก่อนจะดมหัวผม “ กลิ่นอะไร ไปกินอะไรมา ”

“ ไปกินชาบูมาไง กูก็ไลน์บอกมึงแล้ว นี่ไหวไหมเนี่ยะ ”

“ ไหวสิ ก็แค่ลืมน่ะ ” พี่สยามมันยิ้มบางๆ ก่อนจะถอดเสื้อช้อปออก “ เดี๋ยวกูไปอาบน้ำก่อนนะ ”

ผมรั้งข้อมือมันไว้ “ เดี๋ยว ”

“ อะไรครับ ” เจ้าตัวหันมามอง

“ มึงรักกูไหม ”

พี่สยามมันหลุดยิ้มออกมาทันที “ ไม่รัก....”

“ นี่!!! ”

“ ก็บ้าแล้ว ” มือหนากระชากผมเข้าไปกอดไว้ ใบหน้าคมก้มลงมาหอมแก้มผมซ้ำๆ หลายครั้ง “ ไม่รู้หรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้นมึงถึงได้มาถามกูแบบนี้ แต่ว่า....มั่นใจได้เลยว่ากูจะรักมึงแบบนี้เสมอและไม่เปลี่ยนแปลงด้วย ”

ตึกตัก

ความใจสั่นนี้มัน.....

ผมอมยิ้มออกมากับสิ่งที่มันพูด “ มั่นใจจังเลยนะ ”

“ มั่นใจสิ....ก็รักไปแล้วหนิ ” พี่สยามยิ้มหวานให้ผมก่อนจะก้มลงมาจูบปากหนักๆ ทีนึง “ อาบน้ำก่อนนะ เดี๋ยวออกมาเล่นด้วย ”

“ เล่นด้วยบ้าอะไรของมึง ” ผมดันมันออกก่อนจะยกมือลูบแก้มตัวเองเบาๆ พี่มันขยี้หัวผมทีนึงแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป

เขินชิบหาย....เขินเหมือนจนจะเป็นบ้าเลย

ผมล้มตัวนอนลงบนเตียงก่อนจะดึงหมอนพี่สยามมากอดไว้ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่หมอนใบนี้มีกลิ่นมันติดอยู่ ใครมันจะไปคิดวะว่าคนที่เราไม่ชอบขี้หน้าตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอจะกลายมาเป็นคนที่มีอิทธิพลต่อใจเรามากถึงขนาดนี้ ไอ้อาการหน่วงตอนแรกก็โอเคขึ้นมาเยอะเลยนะครับ แค่ได้กอดกับได้ยินคำว่ารัก แค่นี้ก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นมากจริงๆ แล้วว่ะ เดี๋ยวผมจะต้องทำให้เรื่องของเราสองคนมันจริงจังมากกว่านี้ เดี๋ยวผมจะเป็นคนขอมันเป็นแฟนเอง แต่ว่าต้องรอเวลาหน่อย

จะทำให้มันดีใจมากๆ ที่จะมีผมเป็นแฟนเลย

รอกูหน่อยนะพี่สยาม











TBC.

มาส่งหยัมปองแล้วค่ะ ขอโทษด้วยนะคะที่มาช้าเลย คือเพิ่งแต่งเสร็จสดๆ ยังไม่ได้แก้อะไรเลย เดี๋ยวชาลจะไล่แก้ให้นะคะ เรื่องราวของพี่หยัมกับน้องปองจะเป็นอย่างไรก็รอติดตามกันต่อไป

ช่วงนี้ตารางงานแน่นมากเลยค่ะ นี่คิดว่าจะทำตารางงานไปแปะไว้ให้ได้ดูในทวิตเตอร์ แบบมีหลายอย่างมากที่จะต้องรีบทำ คือตอนนี้แต่งนิยายพร้อมกัน 3 เรื่อง แต่ว่าก็ต้องเริ่มแต่งขันหมีด้วยเพราะว่าชาลอยากจะแต่งให้ได้สัก 11 บท แล้วลงติดกันไป 11 วันเหมือนที่เคยทำกับขุนหนม ก่อนจะทิ้งช่วงลงอาทิตย์ละตอน ก็อดใจรอกันไปนะคะ ใครคิดว่าเดือนมีนาอาจจะอีกนาน แต่เวลามันผ่านไปเร็วนะ แปปๆ เดี๋ยวมันก็มาถึงแล้ว อีกอย่างคือตอนนี้ชาลต้องแต่งตอนพิเศษของขุนหนม หารือกับเด็กฝึกงานแล้วค่ะชาลตัดสินใจว่าจะไม่ส่งพิจารณากับสำนักพิมพ์เพราะว่าอยากพรีออร์เดอร์ทำเอง คือต้องเข้าใจว่าโปรเจ็กต์นี้มี 5 เรื่อง ชาลก็อยากให้มันเป็นหนังสือทั้ง 5 เล่ม คือไม่มั่นใจว่าจะผ่านจนครบ เลยตัดใจคิดว่าทำเองดีกว่า อีกอย่างคือชาลจะบรีฟรูปแบบปกได้ มันจะเป็นธีมเดียวกัน หวังในใจลึกๆ นะคะว่าคงจะมีคนที่อยากได้หนังสือไปเก็บ ไว้ชาลจะแจ้งอีกทีนะคะเรื่องนี้

ถ้าชอบก็กดไลค์ คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจกันได้ให้กันได้นะคะ มันช่วยฮีลในช่วงที่ชาลป่วยได้ดีเลย ติดต่อข่าวสาร + สปอย ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis นะคะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้า
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 26 : 23/12/2017 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 23-12-2017 21:42:54
พี่ไม่ได้ชอบผู้หญิง
โปเต้ตัดใจเหอะ..ไม่มีหวังตั้งแต่แรกแล้ว

ถ้าเป็นผู้ชายนี่ดิ..ยังน่ากังวลมากกว่า
แต่ยังไงก็ไม่ได้นะพี่(หยัมปอง) อิอิ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 26 : 23/12/2017 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 24-12-2017 21:59:46
 :L2: :pig4:

ทีมหยัมปอง
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 26 : 23/12/2017 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 24-12-2017 22:26:59
พี่สยาม มีสาวมาชอบ
มาขอไลน์ขอเบอร์จากปองซะด้วย
ก็นะ พี่เขาชอบ เขารักแต่ปอง
คนอื่นอย่ามายุ่ง
พี่สยาม ปอง  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 26 : 23/12/2017 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 24-12-2017 23:02:47
เริ่มมีเค้ารางดาม่า มาแล้ว.
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 27 : 30/12/2017 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 30-12-2017 19:08:42
บทที่ 27 คำขอโทษของพี่สยาม



​เฮ้อ....

ไม่อยากจะถอนใจนะแต่แบบ....เฮ้อ

ปวดใจจัง

ผมนั่งมองกองชีทฟิสิกส์ตรงหน้าด้วยความโศกา นี่เรียนมาแค่ 2 อาทิตย์เองนะ ทำไมชีทมันถึงได้เยอะชิบหายแบบนี้ก็ไม่รู้ แล้วคิดดูว่านี่แค่ของวิชาเดียวนะ จิ๊....ไว้หมดเทอมผมจะเก็บพับจรวดแล้วเอาไปปาเล่นให้หมดเลย

หงุดหงิดชิบ

ตอนนี้ประมาณบ่ายสามกว่าๆ ผมอยู่ที่หอครับ กำลังจัดชั้นหนังสือเรียนเดี๋ยวจะไปช่วยกันทำรายงานอิ้งที่ห้องแยม ส่วนพี่สยามก็ไปทำงานที่ร้านพี่ถิ่นไท ช่วง 2 อาทิตย์นี้มันวุ่นกับเรื่องที่ร้านมากเลยเพราะว่ายังจับตัวคนที่มาก่อกวนไม่ได้ ผมไม่รู้ว่ามันจะวางแผนจับตัวแบบจริงๆ จังๆ เมื่อไหร่ นี่ก็ได้แต่คอยบอกว่าให้มันระวังตัวให้มาก ดูแลตัวเองดีดี ทุกครั้งที่ผมบอกแบบนั้นมันก็จะบิดตัวไปมาแล้วทำท่าทางสะดีดสะดิ้ง พอถามว่าเป็นอะไรมันบอกว่า....

เขินที่เมียเป็นห่วง....เขินอย่างเดียวไม่พอนะมีการจับผมไปฟัดด้วย

ดูมันทำสิ

ช่วง 2 อาทิตย์ที่ผ่านมาผมกับพี่สยามก็อยู่ด้วยกันฉันท์ผัวเมียอย่างปกติ เช้าก็ไปเรียน ตกเย็นใครมีงานก็แยกไปทำ กลับมาถึงห้องก็ต้องกอดกันก่อน ผมอาจจะโดนแทะโลมบ้างพอหอมปากหอมคอ แต่ผมก็ปล่อยให้มันทำนะครับไม่ได้ห้ามอะไรถึงขนาดนั้น แต่ถ้าเป็นอะไรที่มากกว่าการกอดหรือจูบก็ต้องปรามไว้ก่อน

การเสียตัวแต่ละครั้งไม่ใช่เรื่องตลกอ่ะ

มันต้องทำใจก่อน

ผมตกลงกับพี่สยามเรียบร้อยแล้วครับว่าถ้าจะมีอะไรกันเนี่ยะ ก็จะทำแค่เดือนละครั้งเท่านั้น ส่วนกี่รอบนั่นก็แล้วแต่เหนื่อยอ่ะ ที่มีอะไรกันมาสองครั้งก็ไม่เคยจบที่รอบเดียว พี่สยามมันคงอยากให้ผมหมดแรงจนตาย แล้วมันก็จะไปหาเมียใหม่

เลวมาก

ความคิดกูเนี่ยะ

ครื้ดดดด....ครื้ดดดด....

ผมล้วงโทรศัพท์ออกมาก่อนจะกดรับสาย " ฮัลโหล...."

( อยู่ไหนอ่ะ )

" อยู่หอ แล้วนี่มึงไม่ทำงานหรอ "

( ก็ทำอยู่แต่แอบอู้ อย่าไปบอกพี่ไทนะ )

" นิสัยไม่ดีว่ะ " ผมเบ้ปากใส่โทรศัพท์ " โทรมานี่มีอะไร คิดถึงกูล่ะสิ "

( มึงก็มั่นหน้าเนอะ )

เอ้าไอ้สัส

" มึงนอนนอกห้องเลยนะ " ผมเอ่ยบอกมันเสียงเหี้ยม " แล้วก็ไม่ต้องมากอดกูด้วย "

( หยอกเล่นนิดเดียวเองที่รัก )

" ที่รักหน้ามึงสิ ไปไกลๆ เลยป่ะ "

( โอ๋ๆ อย่างอนสิครับ ดีกันนะ )

" ไม่ดีเชี่ยไรทั้งนั้นอ่ะ "

( เดี๋ยวกลับไปง้อนะ เออที่โทรมานี่จะบอกว่าวันนี้จะกลับช้าหน่อยเพราะว่าจะช่วยกันจับตัวไอ้คนที่มาก่อกวน )

" เรื่องของมึงสิ " ดูแลตัวเองดีดีด้วยละกัน

( ไร้เยื่อใยมากจ่ะเมีย งั้นแค่นี้ก่อนนะ จ๊วบๆ นะ )

" เออ " ผมกดวางสายก่อนจะโยนโทรศัพท์ลงไปบนเตียงอย่างหงุดหงิด

พี่สยามแม่งกวนตีนชิบหาย แล้วมึงก็เป็นห่าอะไรเนี่ยะปอง มันพูดแค่นี้ทำไมต้องหงุดหงิดถึงขนาดนี้วะ ถ้ามันกลับมาเดี๋ยวผมจะต้องทุบมันโทษฐานที่พูดจาทำให้ผมฉุนเฉียว หลังจากที่ผมคาดโทษพี่สยามไว้ในใจเสร็จผมก็หยิบกระเป๋าดินสอกับชีทอิ้งมาใส่กระเป๋าผ้า เดี๋ยวต้องเดินทางไปหาเพื่อนแยมแล้วครับ ไปช้าเดี๋ยวลันตามันด่า แต่ถ้าผมไปถึงก่อน....

ผมจะได้ด่ามัน

หึ....





สี่ทุ่มครึ่งกับอาการปวดไหล่อย่างรุนแรง

ใครก็ได้นวดไหล่ให้ปองที

ผมฟุบลงหน้าโน้ตบุ๊คของแยม บรรดาเพื่อนๆ ก็มีสภาพใกล้ตายไม่ต่างกัน นี่นั่งทำรายงานมาตั้งแต่ 4 โมงกว่าๆ แม่งเพิ่งเสร็จเนี่ยะ ไม่เคยทำรายงานนานขนาดนี้เลยเอาจริงๆ เพราะมันเป็นภาษาอังกฤษหรอวะ โอ่ย จะบ้าตาย

" ไปเซเว่นฯ กันไหมปอง "

ผมเงยหน้าขึ้นมามองมัน " เออเอาดิ่ "

" มึงสองคนเอาอะไรไหม "

" กะเพราไก่ "

" กูเอาข้าวผัดหมู "

แยมมันเดินไปหยิบกระเป๋าตังค์ " ไปกันปอง "

" เออ " ผมลุกขึ้นก่อนจะบิดซ้ายบิดขวาไล่ความเมื่อยล้าออกไป " โคตรเมื่อยอ่ะ "

" ก็นั่งทำงานหลายชั่วโมงนี่นะ " แยมมันเดินนำผมออกจากห้อง

ผมหยิบกระเป๋าตังค์กับไฟฉายแล้วเดินตามมันออกมา ไม่รู้ว่าป่านนี้พี่สยามมันจะกลับถึงห้องรึยัง และก็ไม่รู้ด้วยว่ามันจะจับตัวไอ้คนที่มาก่อกวนร้านได้ไหม มันไม่ได้ติดต่อมาเลย ผมเองก็ไม่ได้โทรไปหาเพราะตัวเองก็ทำงานไง ช่างแม่ง ถ้ามันกลับมาเดี๋ยวมันก็คงจะโทรบอกผมเองแหละ

ตอนนี้ไปหาข้าวกินดีกว่า

ผมกดเปิดไฟฉายก่อนจะเดินตามทางที่จะไปเซเว่น แยมมันก็เดินนำอยู่ข้างหน้า คือซอยแถวหอผมเนี่ยะ ไม่มีไฟข้างทางเลยครับ โคตรมืดและก็โคตรวังเวง เวลาที่ผมจะเดินนี่ยังไงก็ต้องเปิดไฟฉาย การเป็นโรคกลัวความมืดนี่ลำบากนะเวลาที่ใช้ชีวิตตอนกลางคืนอ่ะ แล้วยิ่งเวลาออกไปไหนมาไหนก็ยิ่งลำบากหนักเข้าไปอีก

เกิดเป็นสมปองนี่น่าสงสารจัง

ผมกลายเป็นคนที่กลัวความมืดเพราะว่าตัวเองหลงไปป่าท้ายไร่ ไอ้แถวๆ ทางไปน้ำตกนั่นแหละครับ ตอนนั้นผมยังอยู่ประถมอยู่เลย มันน่ากลัวมากเลยนะที่รอบๆ ข้างมืดสนิท มีเสียงสัตว์ร้องและผมก็หาทางกลับบ้านไม่ได้ ผมร้องไห้เดินวนอยู่ในความมืดนั้นหลายชั่วโมง ณนนท์กับพะนายเป็นคนที่ช่วยผมไว้ได้ ช่วงนั้นผมต้องพบจิตแพทย์เพราะเรื่องที่กลัวความมืดเลยล่ะ

กว่าจะหายหลอนก็ต้องใช้เวลานานพอสมควร

แต่พอโตขึ้นก็โอเคขึ้นนะครับ อย่างน้อยก็รู้ว่าตัวเองควรรับมือกับความกลัวเหล่านั้นยังไง การที่ผมพกไฟฉายติดกระเป๋าตลอดอ่ะ เคยมีคนมองว่ามันเป็นเรื่องตลกด้วยนะ แต่ผมก็ไม่สนใจหรอกเพราะพวกแม่งไม่ได้เป็นเหมือนผมไง พี่สยามก็รู้นะว่าผมกลัวความมืด เวลากลับมาถึงห้องพร้อมกันมันจะเป็นคนเข้ามาเปิดไฟก่อน โคมไฟตรงหัวเตียงก็คอยเปิดไว้ให้ตลอด

น่ารักใช่ไหมล่ะ

" เออปอง กูมีอะไรอยากจะปรึกษาหน่อยว่ะ "

" ว่ามา "

" คือกูแอบชอบคนๆ นึงว่ะ "

" มึงก็จีบดิ่ "

" คือเค้ามีแฟนแล้วอ่ะมึง "

" ไม่เป็นไร " ผมยกมือแตะไหล่เพื่อนรักเบาๆ " เดี๋ยวแม่งก็เลิกกัน "

" มึงคิดงั้นหรอ "

" เออสิ ว่าแต่คนที่มึงชอบเนี่ยะ ใครวะ "

" เด็กเรียนการบินฯ น่ะ " ง่อววว ไม่ทำธรรมดาว่ะ คิดจะสอยนางฟ้าเลยนะมึง

ผมหรี่ตามองมันพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม " สวยป้ะวะ "

" ก็หล่ออยู่นะ เป็นเดือนของการบินฯ เมื่อปีก่อน "

หล่อ กับ เป็นเดือน

ผมมองเพื่อนรักตาปริบๆ คนที่มันบอกว่าแอบชอบนี่เป็นผู้ชายสินะ ในกลุ่มผมนี่จะได้กับผู้ชายทั้งกลุ่มเลยหรอ ลันตาก็เป็นแฟนกับพี่ทะเลไปละ หน้าสวยๆ อย่างสีเทียนก็คงมีแต่ผู้ชายเท่านั้นแหละที่มาสนใจ ส่วนผมก็เป็นเมียพี่สยามมันไง ไม่คิดว่าแมนๆ เตะบอลอย่างแยมก็จะมาตกหลุมรักผู้ชายด้วยซะได้ เดี๋ยวนี้โลกมันไปไกลจังวะ

ฉันตามไม่ทันแล้วพี่บัวลอยยยย

" ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะปอง "

ผมยิ้มแฉ่งให้มัน " ไม่มีไรหรอก เออว่าแต่คนที่มึงแอบชอบนี่ชื่อไรวะ "

" ชื่อนมปั่น คือแค่ชื่อก็น่าแดกมากแล้วอ่ะ  "

" ใจเย็นๆ นะ อ๋อเพราะแบบนี้ป้ะกูถึงเห็นมึงซื้อนมปั่นแดกบ่อยๆ "

" เออน่ะสิ "

" มึงมันร้ายเหมือนกันนะไอ้หนุ่ม "

แยมมันยกยิ้มมองผม " มันก็ต้องมีบ้างป้ะวะ "

" เออแยมแล้วแฟนที่เค้ามีนี่ผู้หญิงหรือผู้ชาย "

" ผู้หญิงน่ะสิ " แยมมันบอกก่อนจะทำหน้ามุ่ย " แต่ว่าเป็นผู้หญิงที่เจ้าชู้มากเลยอ่ะ เคยเต๊าะกูด้วย "

" ร้ายนี่หว่า งั้นมึงวางแผนแย่งมาเลย "

" กูก็คิดอยู่ "

" เออคิดมา มีไรบอกกูเดี๋ยวกูช่วยเอง "

" ขอบใจมึงนะปอง " แยมมันยิ้มหวานให้ผม ชอบรอยยิ้มแบบนี้จริงๆ เลยว่ะ โคตรฟีลผู้ชายอบอุ่น พี่สยามมันก็ยิ้มแบบนี้ได้นะแต่มันไม่ค่อยยิ้มให้เห็น

รายนั้นชอบยิ้มแบบหื่นกาม

รู้สึกว่าตัวเองจะนึกถึงพี่สยามมันเยอะเกินไปว่ะ เหมือนไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามก็จะโยงเข้าหามันได้ตลอดเลย นี่ผมเป็นไรวะ รึว่าพอรู้ใจตัวเองแล้วก็เลยทำให้คิดถึงมันได้ตลอดเวลา จิ๊....บ้าบอชะมัด โคตรรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเลย

เพราะพี่สยามนั่นแหละ

หลังจากที่ผมงอแงคนเดียวในใจเสร็จ เราก็เดินมาจนถึงเซเว่นแล้วครับ รถมินิคูเปอร์สีดำที่คุ้นตาจอดอยู่ด้านหน้า อย่าบอกนะว่าพี่สยามมันก็มาเซเว่นฯ น่ะ พอคิดได้แบบนั้นผมก็รีบเดินเข้ามาด้านใน ดวงตาเบิกว้างทันทีเมื่อเห็นร่างสูงของพี่สยามกำลังรอจ่ายเงินอยู่ที่เคาท์เตอร์ มือหนานั่นกุมหัวตัวเองไว้ตลอดเพื่อห้ามเลือดที่ไหลเป็นทาง

" พี่สยาม "

เจ้าของชื่อหันมามองทางผมทันที " ปอง "

" มึงเป็นอะไรทำไมเลือดถึงได้เลอะเต็มไปหมดแบบนี้ " ผมเดินเข้ามาจนชิดตัวมันพลางถามด้วยความเป็นห่วง " มึงหัวแตกด้วยใครทำอะไรมึง "

" เดี๋ยวไปคุยกันข้างนอกนะ อ่ะนี่เงินครับ " พี่สยามจ่ายเงินก่อนจะหยิบของแล้วเดินออกไปรอหน้าเซเว่นฯ

ผมหันมองแยม " มึงซื้อของไปให้พวกมันละกัน กูคงไม่กลับไปห้องมึงแล้วนะแยม "

" เออกูเข้าใจ มึงไปดูแลพี่สยามเถอะ "

" โอเค " ผมรับคำก่อนจะรีบเดินออกมาหาพี่สยาม มันนั่งกุมหัวตัวเองอยู่นิ่งๆ เห็นเลือดที่ไหลเยอะแบบนั้นนี่ใจไม่ดีเลยว่ะ

" ปอง " เจ้าตัวเงยหน้ามองผม " ขอโทษนะ "

" ขอโทษทำไม แล้วนี่เกิดอะไรขึ้นทำไมหัวแตกแบบนี้ล่ะ "

" ก็จับตัวไอ้คนที่มาก่อกวนไงแล้วก็มีสู้กันนิดหน่อยน่ะ ที่หัวแตกนี่เพราะโดนแจกันฟาด โคตรมึนเลยอ่ะ "

" ไหวไหม ไปหาหมอนะ เดี๋ยวกูพาไป เอากุญแจรถมาสิ " ผมไล่จับตามกระเป๋าเสื้อพี่สยามเพื่อจะหากุญแจรถ แต่เจ้าตัวกลับดึงผมไปกอดไว้นิ่งๆ " พี่สยาม "

" ขอโทษนะ "

เสียงอ่อนๆ นั่นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ผมไม่รู้ว่ามันขอโทษผมเรื่องอะไร เรื่องที่คุยโทรศัพท์กันหรือว่าอะไรวะ คือในหัวผมตอนนี้มีแต่ความเป็นห่วงมันเต็มไปหมด เลือดที่ไหลออกมานี่ไม่ใช่น้อยๆ เลยนะ อาบหน้าไปครึ่งนึงเลยอ่ะ ใจนี่อยากจะพาไปโรงพยาบาลมากแต่ก็ติดอยู่ที่มันกอดผมไม่ยอมปล่อยเนี่ยะ

" พี่สยาม "

"..........."

" พี่สยาม " ผมเขย่าตัวมันเบาๆ แต่มันก็นิ่ง " มึงอย่ามานิ่งแบบนี้นะ "

ตุบ

ร่างสูงที่กอดผมอยู่เอนตัวล้มลงไปนอนแทน ม่ายยยยย มึงอย่ามาหลับไปแบบนี้นะพี่สยามกูไม่ตลกกับมึงเลยนะ ผมรีบประคองมันขึ้นมาก่อนจะตบแก้มเบาๆ เพื่อเรียกสติ แต่คนตรงหน้าก็ไม่มีวี่แววจะลืมตาขึ้นมาเลยสักนิด

" พี่สยาม!!! "

แยมมันเดินออกมาจากเซเว่นฯ " ปอง "

" ช่วยพามันขึ้นรถหน่อยกูจะพามันไปโรงพยาบาล " ผมรีบล้วงหากุญแจรถก่อนจะปลดล็อค " เร็วแยม "

" โอเค " แยมมันรีบมาช่วยประคองพี่สยามไปจนถึงรถ

ผมขึ้นมานั่งฝั่งคนขับก่อนจะคาดเบลท์ให้ไอ้คนที่สลบอยู่ " แยมมึงช่วยไปบอกพี่ถิ่นไททีนะว่ากูพาพี่สยามไปโรงพยาบาล ฝากบอกทุกคนด้วย "

" ได้ ขับรถดีดีนะมึง "

" เออ " ผมรับคำก่อนจะออกรถทันที ใจคอไม่ดีเลยว่ะ

ผมเป็นห่วงมันมาก ยิ่งมันสลบไปแบบนี้ผมก็กลัวว่ามันจะเป็นอะไรไป หัวแตกแล้วเลือดไหลเยอะขนาดนี้ทำไมไม่ไปโรงพยาบาลวะจะมาเซเว่นฯ ทำไม ผมเห็นละไอ้ของที่มันซื้อมาน่ะ มีพวกยาที่ไว้ทำแผล มันเองคงคิดว่าตัวเองไหวเลยคิดว่าจะทำแผลเองแน่ๆ มันอาจจะไม่อยากให้ผมรู้ก็ได้เรื่องที่มันเจ็บตัวถึงขนาดนี้

" อย่าเป็นอะไรนะ " ผมเลื่อนมือไปกุมมือคนข้างๆ ไว้แน่น " ต้องอยู่ง้อกูก่อน รู้ใช่ไหม "

อดทนหน่อยนะพี่สยาม





โรงพยาบาล M

ผมนั่งมองคนที่หลับอยู่บนเตียงนิ่งๆ มือก็กุมมือมันไว้ไม่ยอมปล่อย พี่สยามปลอดภัยแล้วครับ ถ้ามาช้ากว่านี้ก็แย่เหมือนกัน หมอบอกว่าที่สลบไปก็เพราะเสียเลือดมาก หัวนี่เย็บไป 5 เข็มแน่ะ แถมเคราะห์ซ้ำกรรมซัดอีกที่โรงพยาบาลไม่มีเลือดกรุ๊ป O เนคกาทีฟของพี่สยาม แต่ก็โชคดีว่าผมก็เป็นคนที่มีเลือดกรุ๊ป O เนคกาทีฟเหมือนกัน

โชคดีมากจริงๆ

ตอนนี้เลือดผมก็อยู่ในตัวพี่สยามแล้วแหละ เกิดมานี่ไม่เคยบริจาคเลือดให้ใครเลยนะ มันเป็นคนแรกเลย ถ้ามันตื่นมาแล้วรู้ว่าผมเป็นคนให้เลือด มันคงจะซึ้งน่าดูเลยว่ะ

ผมยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มมันเบาๆ " รีบตื่นเร็วๆ นะ "

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

" เข้ามาเลยครับ " สิ้นเสียงของผม เจ้าขาก็เดินนำเข้ามาพร้อมกับบรรดาเพื่อนๆ ของพี่สยาม สภาพแต่ละคนทำไมมันดูสะบักสะบอมขนาดนั้นวะ

" สวัสดีครับพวกพี่ๆ "

" สวัสดีครับ " พี่ขุนศึกรับไหว้ก่อนจะมองพี่สยามด้วยความเป็นห่วง " มันเป็นไงบ้าง "

" ก็หัวแตกเย็บไป 5 เข็มน่ะครับ แล้วก็เสียเลือดมาก นี่หมอให้เลือดไปแล้วก็รอแค่มันฟื้น โดยรวมเค้าก็บอกว่าปลอดภัยแล้ว "

" ดีจริงๆ ที่ไม่เป็นไรมาก " เจ้าขายกมือพี่สยามขึ้นมากุมไว้แน่นก่อนจะหันมามองผม " ขอบคุณนะคะปอง ที่พาพี่สยามมาโรงพยาบาล "

" ไม่เป็นไรครับ แล้วนี่เกิดอะไรขึ้น พวกพี่ถึงได้เจ็บตัวกันถึงขนาดนี้ "

พี่ข้าวก้องยกมือขึ้นแตะมุมปากที่เป็นรอยช้ำ " ก็ไอ้พวกที่มาก่อกวนน่ะ วันนี้มันมาเป็นสิบเลยไง อารมณ์เหมือนจะมาพังร้านเลยแหละแต่ก็ดีว่าที่พวกเราคิดจะจับพวกมันวันนี้ "

" แล้วจับได้ครบไหมพี่ "

" ครบ จับได้ทุกคน มันเป็นพวกเด็กบริหารปี 1 เหตุก็เพราะมาเต๊าะพี่ถิ่นไทแล้วพี่เค้าไม่เล่นด้วยนั่นแหละ มันคงแค้นแล้วคิดจะมาพังร้าน "

" โหเหตุผลแม่งแบบ จิ๊....เล่นมันให้หนักเลยนะพี่ คนแบบเนี้ยะปล่อยไว้ไม่ได้เอาจริงๆ ดูมันทำพี่สยามดิ่ "

พี่ข้าวหอมยกมือขยี้หัวผมเบาๆ " เรานี่เป็นห่วงไอ้สยามจริงๆ เลยนะ "

" ก็ต้องเป็นห่วงสิพี่ก็มันเป็น....." ผมชะงักไปแปปนึง " มันเป็นพี่รหัสผมไง "

" นั่นสินะ " พี่ขุนศึกยิ้มหวานให้ผม ผมเองก้ได้แต่ฉีกยิ้มแห้งๆ ส่งไปให้

พวกพี่อย่ามาทำเป็นเหมือนรู้เรื่องของผมกับพี่สยามได้ไหมเนี่ย ผมยังปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับนะ ไว้ถ้าเปิดให้โลกรู้เมื่อไหร่ อยากจะแซวก็เอาให้เต็มที่เลย ผมเดินมานั่งที่โซฟา ตาก็มองคนที่นอนอยู่บนเตียงอยู่อย่างนั้น ถ้ามันตื่นมาผมมีเรื่องต้องบ่นมันหลายเรื่องเลย ทั้งเรื่องที่มันหัวแตกแต่ดื้อไม่ยอมมาโรงพยาบาลตั้งแต่แรก ทั้งเรื่องที่มันกวนตีนผมในโทรศัพท์ เออต้องถามเรื่องที่มันขอโทษผมด้วยว่ามันขอโทษทำไม แต่ก่อนจะถามหรือจะดุเนี่ยะคงต้องกอดมันแน่นๆ ก่อน

เพราะงั้นรีบฟื้นนะพี่สยาม....

กูรอกอดมึงอยู่นะ







TBC.

สวัสดีเหล่ารี้ดที่รักของชาลทุกคน ชาลมาส่งนิยายแล้วค่ะ ชาลพักการลงนิยายไปหลายวันเลยเพราะอาการป่วย ตอนนี้ก็ยังไม่หายดีเท่าไหร่ ยังเป็นไข้อยู่แต่ว่าไม่ได้กินยาต่อแล้วล่ะค่ะเพราะมันเกินวันที่หมอกำหนด แต่ชาลก็ดีขึ้นเยอะแล้วแหละ ปีใหม่ก็คงจะหายพอดี
ยอมรับว่าตอนที่แต่งบทนี้มีน้ำตาซึมหน่อยๆ สงสารพี่สยาม เจ็บตัวจนต้องเข้าโรงพยาบาล เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อก็ต้องรอติดตาม
เหลือขุนหนมที่มีคิวลงวันนี้นะ เจอกันตอนสองทุ่มนะคะ
ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอย ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis  นะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 27 : 30/12/2017 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 30-12-2017 21:14:55
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 27 : 30/12/2017 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 30-12-2017 21:42:51
ร้ายๆๆๆกาจๆๆๆ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 27 : 30/12/2017 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 30-12-2017 21:48:28
หยัมปองงงงงงงงง
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 27 : 30/12/2017 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 30-12-2017 22:27:35
พี่สมปองนี่ยังไง  :katai1: :katai1: :katai1:
หัวแตกเลือดไหล ยังเดินมาซื้อของเซเว่น
หรือจะซื้อยา ผ้าพันแผล ไปทำแผลเอง
แทนที่จะไปหาหมอ แปลกๆนะ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 27 : 30/12/2017 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 01-01-2018 04:38:37
สมปองว่าไง สามีสุดที่่รักโดนทำร้ายอ่ะ จะลุยไหม  :fire:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 27 : 30/12/2017 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 03-01-2018 21:58:14
พี่หยัมขอโทษปองเรื่องอะไรกันแน่
ค้างใจมาก

ขอโทษเรื่องหัวแตก
หรือว่าเรื่องอื่น

รอให้พี่หยัมตื่นฟื้นขึ้นมาบอกให้ชัดเจนอีกที
ไม่ใช่เรื่องมาม่าใช่ไหม..พี่หยัม
หุหุ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 28 : 1/1/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 06-01-2018 20:54:06
บทที่ 28 ความเป็นห่วงของสมปอง



พี่สยามนี่ขี้เซาชะมัด

ผ่านไปจะ 3 วันมันยังไม่ฟื้นเลย

คนรอนี่ก็เป็นห่วงจนจะบ้า

ผมเลื่อนมือไปจับมือคนขี้เซามากุมก่อนจะฟุบหน้าลงกับเตียง ไม่เข้าใจว่าทำไมมันไม่ยอมตื่นสักที ถามหมอเขาก็บอกว่าน่าจะเป็นเพราะร่างกายอ่อนเพลีย แต่โดยรวมมันก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แผลตรงหัวที่แตกก็สมานกันดี ไม่มีอาการอักเสบด้วยซ้ำ พอฟังหมอพูดแบบนั้นผมก็อยากจะทุบๆๆ ให้มันฟื้นขึ้นมาชิบ มันไม่คิดถึงผมบ้างรึไงนะ

ผมนี่คิดถึงมันจะแย่

มันก็จริงอยู่ว่าผมอยู่ข้างๆ มันตลอด แต่ว่าพี่มันก็ได้แค่นอนเป็นผักแบบนี้อ่ะ ผมไม่รู้ว่าเมื่อไหร่พี่มันจะตื่น ไม่รู้ด้วยว่าตัวเองต้องทำยังไง ลันตาบอกว่าให้ผมลองจูบมันสิเหมือนที่เจ้าชายจูบเจ้าหญิงนิทราก็ได้ คือตอนที่ได้ยินก็อยากจะสวนกลับไปว่าจูบจนปากจะแตกอยู่ละ แม่งยอมตื่นที่ไหนล่ะ

น่าทุบชะมัด

ตอนนี้เป็นเวลาประมาณทุ่มกว่าๆ ละครับ พี่ถิ่นไทเขาจะมาก็ตอน 2 ทุ่ม ช่วงหลายวันมานี้พี่เขาก็ยุ่งเรื่องคดีอยู่ ผมก็เลยอาสาเฝ้าพี่สยามให้ อยากให้มันฟื้นขึ้นมาแล้วเจอผมคนแรกนะ มันจะได้รู้ไงว่าผมอยู่ข้างมันตลอด นี่ตอนเรียนก็คอยแต่นั่งเป็นห่วงมัน ไม่เป็นอันจะเรียนจนเพื่อนๆ ด่าอ่ะ เนี่ยะ เดี๋ยวถ้ามันตื่นมาผมต้องด่ามันเรื่องนี้ด้วย

" อืมมม....มม......."

" หืม " ผมเงยหน้าขึ้นมามองตามเสียงทันที " พี่สยาม " เสียงนั่นมันมาจากมึงใช่ไหม

กูไม่ได้หูฝาดใช่ไหม

" อื้มม.ม...." คนที่นอนอยู่ตรงหน้าค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาช้าๆ ดวงตาคมมองผมก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆ ออกมา

" มะ...มึงฟื้นแล้ว " ผมยกมือไปกุมแก้มมันก่อนจะเกลี่ยเบาๆ

" ปอง....."

" เดี๋ยวกูไปบอกหมอก่อน " ผมบอกก่อนจะลุกขึ้นเพื่อจะเดินออกไป

พี่สยามรั้งข้อมือผมไว้ " อยู่ด้วยกันก่อนได้ไหม " มันเอ่ยบอกผมเสียงพร่า

" กูอยู่กับมึงมาตั้งกี่วันแล้วรู้ไหม มึงหลับไปเกือบ 3 วันเลยนะไอ้บ้า " ผมบ่นก่อนจะนั่งลงที่เดิม มือก็จับมือมันไว้แบบนั้น

" ขอโทษนะ "

" ขอโทษอีกละ เออมึงฟื้นมาก็ดี ก่อนที่มึงจะสลบไปมึงพูดขอโทษกูทำไม " เรื่องนี้คาใจกูมาหลายวันเลยนะพี่สยาม ถ้ามึงบอกว่ามึงจำไม่ได้นี่กูจะทุบให้มึงสลบไปอีกรอบเลยคอยดู

" ก็ขอโทษเรื่องที่ผิดสัญญาไง มึงบอกว่าให้กูดูแลตัวเองดีดีแต่กูก็ทำไม่ได้ กูไม่ระวังจริงๆ นั่นแหละถึงได้แผลมาแบบนี้ "

" ถ้าเป็นเรื่องนั้นก็ช่างมันเถอะ ตอนนี้มึงปลอดภัยดีกูก็โอเคแล้วล่ะ แต่ถ้าวันหลังเกิดเรื่องแบบนี้อีกแล้วมึงได้แผลใหญ่แบบนี้มึงต้องมาโรงพยาบาล ไม่ใช่ไปซื้อยาทำแผลที่เซเว่นฯ มึงเกือบตายเลยนะเพราะว่าเสียเลือดมาก เลือดตัวเองก็เป็นเลือดหายากด้วย นี่โชคดีแค่ไหนที่เราเลือดกรุ๊ปเดียวกันน่ะ "

" มึงเป็นคนให้เลือดกูหรอ "

" ใช่สิ กูไม่อยากให้มึงตายหนิ อีกอย่างถ้ามึงตายแล้วกูจะอยู่กับใครล่ะ มึงมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบกูไปทั้งชีวิตนะไม่รู้ตัวรึไง "

พี่สยามมันคลี่ยิ้มออกมาหลังจากที่ผมพล่ามให้ฟัง ที่พูดนั่นจริงจังเลยนะครับ ผมรู้อยู่หรอกว่าไม่มีใครอยู่ด้วยกันได้ตลอดไป วันใดวันนึงมันก็จะต้องมีคนนึงที่จากไปก่อน แต่แบบมึงจะมาจากไปตอนอายุ 20 ก็ไม่ใช่เรื่องไหมล่ะ เป็นไปได้ผมก็อยากอยู่กับมันไปนานๆ อยู่ด้วยกันไปเรื่อยๆ เราสองคนยังมีอะไรอีกตั้งเยอะที่ยังไม่ได้ทำด้วยกัน อย่างน้อยก็ขอให้ได้ทำมันก่อนที่จะจากกันเถอะว่ะ

ไม่ได้อยากดึงให้รู้สึกหน่วงนะ....แต่มันคือความจริงที่ต้องเกิดขึ้นสักวัน

" ขอบคุณนะปอง "

" เออ ตอบแทนด้วยการรักกูมากๆ ละกัน "

" แค่นี้ก็รักจนไม่รู้จะรักยังไงแล้ว " พี่สยามเลื่อนมือมาเกลี่ยแก้มผม " ขึ้นมาให้นอนกอดหน่อย "

" บ้าสิ เดี๋ยวพี่ถิ่นไทก็มาละเนี่ยะ ถ้าเค้าเห็นจะทำยังไง "

" ไม่เป็นไรน่ะ นะ ขอกอดหน่อย " มึงไม่ต้องมาทำเสียงอ้อนกับตาปริบๆ แบบนั้นเลยนะพี่สยาม เดี๋ยวกูใจอ่อน

" ไม่ได้ เผื่อหมอเข้ามา "

" ก็เรื่องของหมอสิ "

" เอ๊ะ มึงนี่ "

" นะครับนะ " พี่สยามยกมือขึ้นไปจุ๊บเบาๆ " นะครับปอง "

เออโอเค

กูยอม....ยอมแล้ว

" ถ้าหมอด่ากูจะด่ามึง " ผมขยับขึ้นไปบนเตียงคนไข้ก่อนจะเอนตัวนอนลงข้างๆ หัวก็หนุนแขนพี่สยามไว้

มันขยับเข้ามาหอมแก้มผมฟอดใหญ่ " ถ้าหมอด่าเดี๋ยวกูเตะหมอให้ "

" ปากดี " ผมบอกมันก่อนจะอ้าปากหาว " ง่วงชิบ "

" นอนสิครับ ให้ร้องเพลงกล่อมไหม " มือเรียวเลื่อนมาลูบหัวผมเบาๆ

" ไม่ต้อง แค่นี้ก็พอ " ผมขยับเข้าซุกพี่สยามก่อนจะเลื่อนมือไปกอดมันไว้

ไม่ได้รับสัมผัสนี้มาหลายวันเลยนะ คิดถึงจริงๆ ว่ะ ดีใจนะครับที่พี่สยามฟื้นน่ะ ผมนอนไม่พอมาหลายวันเพราะมันเนี่ยะ อย่าว่าแต่ไม่ได้นอนเลยขนาดกินยังกินแทบไม่ลง เดี๋ยวถ้าพี่สยามออกจากโรงพยาบาลผมจะพามันไปหาอะไรอร่อยๆ กิน ให้น้ำหนักแม่งขึ้นมาสักสิบโล แต่ก่อนที่จะถึงเวลานั้นผมควรนอนก่อน

ร่างกายมันบอกว่ามันไม่ไหวแล้ว

คร่อกกกก.....



[ บันทึกพิเศษ : สยาม ]



ฟื้นมาแล้วได้เจอคนที่ตัวเองรักนี่มันดีเนอะ

จะดีกว่านี้ถ้าไม่ปวดแผลน่ะอิเวงงง

ผมยกมือข้างที่ว่างแตะหัวตัวเองตรงที่แตกเบาๆ ไม่รู้ว่าเย็บไปกี่เข็ม แม่งโคตรเจ็บเลย ไอ้บ้านั่นแม่งก็ฟาดไม่ยั้งแรงด้วยนะ ที่สำคัญคือแจกันใบนั้นแพงมาก พี่ไทรักแจกันใบนั้นมากด้วย คิดแล้วอยากจะจับไอ้คนที่มันเอามาฟาดหัวผมมากระทืบๆๆๆ ให้แตกเป็นเสี่ยงเหมือนแจกันนั่น

หงุดหงิดชิบ

ไม่รู้ว่าตอนนี้เรื่องจะเป็นยังไง ปองบอกว่าผมสลบไปตั้งเกือบ 3 วัน ชีวิตไม่เคยหลับนานเว่อร์อะไรแบบนี้เลย น้องคงเป็นห่วงผมมากแน่ๆ สีหน้าดูอ่อนเพลียแถมดูซูบด้วย รู้สึกผิดนะที่ตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้น้องเป็นแบบนี้ หลังจากนี้ผมก็ต้องดูแลตัวเองและดูแลน้องให้ดีกว่าเดิม

เหตุการณ์แบบนี้มันต้องไม่เกิดขึ้นอีก

จะว่าไปเรื่องที่เกิดขึ้นเนี่ยะมันก็ทำให้ผมได้รู้นะว่าปองเป็นห่วงและคอยเฝ้าผมอยู่ตลอด เลือดที่ไหลอยู่ในตัวผมตอนนี้มันก็มีของน้องปนอยู่ด้วยสินะ มันโชคดีจริงๆ นั่นแหละที่เรามีเลือดกรุ๊ปเดียว ปกติเลือดกรุ๊ป O เนคกาทีฟมันไม่ได้หาได้ทั่วไปขนาดนั้น เอาจริงๆ คือน้อยคนมาก แล้วยิ่งเลือดกรุ๊ป O เนี่ยะมันจะต้องรับจากคนที่มีเลือดกรุ๊ป O เหมือนกัน

ถ้าผมไม่มีสมปองผมจะเป็นยังไงนะ

อาจจะไม่ได้มาอยู่ตรงนี้ก็ได้

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

สิ้นเสียงเคาะ เจ้าของร่างสูงที่สวมเสื้อกราวน์สีขาวสะอาดตาก็เดินเข้ามาในห้อง ริมฝีปากบางเผยยิ้มให้ผมเบาๆ " ฟื้นแล้วสินะครับ "

" ครับหมอ " ผมยิ้มบางๆ ให้ " คือ....ขอให้น้องเค้านอนตรงนี้นะครับ หมอไม่ว่าใช่ไหม "

" ตามสบายเลยครับ สีหน้าน้องเค้าดูอ่อนเพลียมาหลายวัน ได้พักผ่อนบ้างก็ดีเหมือนกัน " หมอบอกก่อนจะเดินมายืนอีกฝั่ง " ขอหมอดูแผลหน่อยนะครับ " เขาบอกก่อนจะค่อยๆ แกะผ้าที่พันหัวผมออก

ผมมองหน้าหล่อๆ ของหมออย่างพิจารณา คิ้วโก่ง ตาคม จมูกโด่ง ปากนี่บางเชียว ผิวก็ขาวจั๊วะ หมอเขาชื่อว่า ศิรันย์ ครับ ผมเห็นป้ายชื่อไงไม่ใช่อะไร โรงพยาบาลนี้ก็ดีเนอะที่มีหมอหล่อขนาดนี้ ผมว่าคนไข้สาวๆ คงไม่อยากหายป่วยอ่ะ แปลว่าตั้งแต่เข้าโรงพยาบาลเขาคงเป็นเจ้าของไข้ผมสินะ ไหนๆ แล้วก็ขอชมเขาหน่อยละกัน

" หมอนี่....หล่อจังเลยนะครับ "

หมอหลุดยิ้มออกมาทันที " พูดแบบนี้หมอก็เขินนะครับ "

" ผมพูดจริงๆ หนิ แบบนี้คนไข้สาวๆ คงจะหลงหมอไม่น้อยเลยน่ะสิ "

" ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ " เขายิ้มบางๆ ให้ผมก่อนจะจดอะไรยุกยิกๆ ใส่กระดาษ " แผลปิดสนิทดีไม่มีอาการอักเสบนะครับ คนไข้มีอาการอื่นไหมหลังจากที่ฟื้นมา "

" หิวครับ หิวมากๆ "

" ก็ไม่แปลกเท่าไหร่นะเพราะไม่ได้ทานอะไรมาหลายวัน เดี๋ยวหมอจะให้ผู้ช่วยยกอาหารมาให้ เอาเผื่อน้องด้วยไหม "

ผมพยักหน้ารับเบาๆ " งั้นขอรบกวนหมอด้วยนะครับ "

" ไม่เป็นไรครับ....หมอชอบน้องเค้าน่ะ "

"......."

เป็นหมอดีดีไม่ชอบ.....พูดงี้นี่อยากเป็นศพแทนสินะ

" เอ่อ....หมอไม่ได้หมายความว่าชอบน้องในทำนองนั้นนะครับ ที่หมอชอบเนี่ยะคือการกระทำที่น้องมีต่อคุณ "

" อ๋อ...." รอดตัวไปนะหมอนะ

" คือตั้งแต่วันที่น้องพาคุณมาโรงพยาบาลน่ะ สีหน้าเค้าก็แสดงความเป็นห่วง ความกังวล เค้าไม่ใช่คนตัวเล็กนะแต่เมื่อเทียบกับคุณก็ต้องถือว่าตัวเล็กกว่ามาก หมอเห็นตอนที่เค้าพยายามพยุงคุณที่สลบออกมา ปากก็ตะโกนเรียกเรียกชื่อคุณตลอด "

" น้องทำถึงขนาดนั้นเลยหรอครับ "

หมอพยักหน้ารับเบาๆ " ใช่ ตอนที่หมอจะเดินเข้าไปในห้องฉุกเฉิน เค้าก็พูดย้ำกับหมอแค่ว่าให้หมอช่วยคุณให้ได้ เค้าพูดแค่นั้นจริงๆ "

ผมอมยิ้มออกมาหลังจากที่ได้ฟังสิ่งที่หมอพูด มันรู้สึกดีดีจริงๆ นะที่น้องทำแบบนั้นน่ะ ถ้าปองตื่นมาผมคงต้องบอกขอบคุณซ้ำๆ แล้วล่ะ ดีจริงๆ ที่ได้ไอ้เด็กบ๊องนี่มาเป็นเมีย เชื่อคำพูดที่แม่บอกแล้วครับว่ามีเมียดีเป็นศรีต่อชีวิต เดี๋ยวถ้าปิดเทอมใหญ่ ผมพาน้องไปไหว้พ่อกับแม่ดีกว่า เชื่อได้เลยว่าที่บ้านผมต้องชอบลูกสะใภ้คนนี้แน่ๆ

ก็นะ....น่ารักน่าเอ็นดูซะขนาดนี้

" ขอบคุณหมอนะครับที่เล่าเรื่องทั้งหมดนี่ให้ผมฟัง "

" ไม่เป็นไรหรอกครับ น้องเค้าคงรักคุณมากถึงได้ทำถึงขนาดนั้น ดูแลกันและกันให้ดีนะครับ " หมอบอกก่อนจะยิ้มหวาน

" ครับหมอ "

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

" พี่หมอศิ " ร่างบางของเด็กผู้ชายน่าจะช่วงประมาณมัธยมปลายเดินยิ้มหวานเข้ามาในห้อง "  ขออนุญาตนะครับคุณคนไข้ "

" พี่บอกหนูแล้วนะว่าให้รออยู่ที่ห้อง " หมอเอ็ดคนตัวเล็กเบาๆ

ใบหน้าหวานเบะขึ้นน้อยๆ " ก็อยากมาดูพี่ทำงานหนิ วันนึงหนูก็ต้องเป็นหมอเหมือนพี่นะ ถือว่าดูงานเผื่ออนาคตไง "

" หนูนี่มันจริงๆ เลย "

" หนูทำไมเล่า " น้องเดินมาเกาะแขนหมอก่อนจะมองคนที่นอนอยู่ข้างๆ ผม " ทำไมพี่เค้าถึงได้หลับบนเตียงคนไข้ล่ะครับ "

" พี่เค้าพักผ่อนน้อยน่ะ " ผมตอบน้องเขา มือก็ลูบหัวคนที่หลับอยู่เบาๆ

คนตัวเล็กขยับมากระซิบใกล้ๆ ผม " เหมือนพี่หมอศิเลยครับ เค้าก็พักผ่อนน้อยเหมือนกันจนบางครั้งพาลให้ผมพักผ่อนน้อยไปด้วย "

" น้องปราย " หมอรั้งเอวน้องออกให้ห่างจากผม " หนูพูดอะไรน่ะหืม อยากให้พี่ติดคุกรึไง "

" หนูเปล่านะ " น้องยิ้มหวานจนตาหยี

ผมนอนมองสองคนตรงหน้าอย่างขำๆ ไอ้น้องน่ารักๆ นั่นคงเป็นเด็กของหมอสินะ รังสีความรักนี่แผ่กระจายเชียว หมอนี่น่าจะแก่กว่าผมหลายปีอยู่ ส่วนน้องนั่นก็น่าจะอายุน้อยกว่าผมหลายปีเหมือนกัน ก็นะ ชุดนักเรียนยังเป็นกางเกงขาสั้นสีน้ำเงินอยู่เลย แหม่ ไม่คิดเลยว่าหมอจะเป็นพวกเดียวกันกับผม คาดไม่ถึงด้วยว่าจะกินเด็กแบบนี้

ร้ายกาจชะมัด

" งั้นหมอขอตัวก่อนดีกว่า เดี๋ยวสักช่วงตี 3 จะมาวัดความดันให้นะครับ "

" ได้ครับหมอ "

" ไปเร็วน้องปราย "

" ค้าบ " เจ้าตัวขานรับเสียงหวาน " หายไวไวนะครับ " น้องบอกผมก่อนจะเกี่ยวแขนหมอแล้วพากันเดินออกไป

ผมจุ๊บเรือนผมปองเบาๆ " ถ้ามึงพูดจาหวานๆ แบบนั้นกับกูบ้างมันจะเป็นยังไงนะ "

" ก็คงน่าขนลุกน่าดู "

เสียงนี้มัน....

" ขนลุกอะไรกันล่ะพี่ไท " ผมทำหน้ามุ่ยใส่คนที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้อง " น้องเพิ่งฟื้นก็ทักทายด้วยคำแบบนี้น่ะนะ "

" ฮ่าๆๆๆ ดีใจด้วยที่ฟื้นขึ้นมาได้ละกันนะน้องสยามของพี่ " พี่ไทยิ้มหวานก่อนจะก้มจูบหน้าผากผมดังจ๊วบ ถ้าไอ้ชาเห็นมันคงหึงจนเป็นบ้าอ่ะ

ดีไม่ดีกระทืบผมซ้ำ

พี่ไทเดินไปหยิบเก้าอี้มาก่อนจะนั่งลงข้างเตียงพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ คงเหนื่อยกับเรื่องที่ร้านแน่เลย ร้านไอติมน่ะเสียหายพอสมควรเลยนะครับ กระจกนี่แตกเต็มไปหมด กว่าจะซ่อมร้านให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมก็คงใช้เวลาไม่น้อย ช่วงที่ไม่ได้เปิดร้านนี่ก็จะเสียรายได้ด้วย เดี๋ยวต้องเรียกค่าเสียหายไอ้พวกบ้านั่นให้หนักเลย เอาให้พวกแม่งต้องไปขายไตเพื่อเอาเงินมาใช้

จะไม่มีการปรานีใดใดทั้งสิ้น

" แล้วคดีไปถึงไหนละ "

" ไอ้พวกนั้นก็อยู่ในคุกอ่ะ ตำรวจเค้ายังไม่ให้ประกันตัวเพราะว่ามันมีการทำร้ายร่างกายเราไง เดี๋ยวต้องไปสอบปากคำด้วยนะ "

" ได้เลย เล่นพวกแม่งให้หนัก อยู่ดีไม่ว่าดีนัก "

" แล้วนี่ทำไมถึงมานอนกกกันได้น่ะหืม " พี่ไทเท้าคางมองน้อง " ลูกเค้ามีพ่อมีแม่นะ "

" ก็ลูกเค้าน่ารักหนิ ว่าแต่ไอ้ชาไม่ได้มาด้วยหรอ "

" ไม่อ่ะ นี่ไล่ให้กลับไปซักผ้า แต่ว่าถ้าซักเสร็จก็คงจะมา "

ผมพยักหน้ารับ " ไอ้ชามันหัวฟัดหัวเหวี่ยงเลยสิ เรื่องพี่ไทอ่ะ "

" ใช่น่ะสิ นี่ยังกลัวอยู่เลยว่าชาจะไปตามกระทืบไอ้พวกนั้น "

" นั่นสินะ พี่ไทก็ต้องห้ามนั่นแหละ มันฟังพี่คนเดียวนะ กับเพื่อนแม่งก็ไม่ฟัง "

พี่ไทถอนใจออกมา " ดื้อเหมือนเราไม่มีผิด "

" น้องไม่ได้ดื้อน่ะ " ผมเถียงทันที " นี่เป็นเด็กดีมากๆ ด้วย "

" อื้ออ.อ.อ.อ....." เสียงครางจากคนที่หลับอยู่ดังขึ้น ผมเสียงดังเกินไปสินะน้องถึงได้ประท้วงออกมาแบบนี้

" ชู่วววว " พี่ไทยกมือขึ้นลูบหัวปองเบาๆ พลางเหลือบมองผม " เราเงียบให้น้องได้นอนดีกว่า "

เห็นด้วยเลยครับ

ผมกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นไปอีก มือก็ลูบหัวน้องอยู่แบบนั้น ปองเฝ้าผมมาตอนหลับมาเยอะละ ให้เป็นหน้าที่ของผมบ้าง ดูจากทรงแล้วน้องคงจะตื่นอีกทีตอนเช้าเลยล่ะมั้ง เดี๋ยวผมคิดมุกเสี่ยวๆ ไว้เล่นตอนที่น้องตื่นขึ้นมาละกัน อีกอย่างคือต้องบอกรักด้วยเสียงหวานๆ ด้วย ผมอยากเห็นน้องยิ้มครับ ยิ้มกว้างๆ อย่างมีความสุข

ไว้รอน้องตื่นก่อนละกัน

" อืม.ม.ม....อย่าเป็นอะไรนะพี่สยาม.....อยู่กับกูก่อน....อื้ออ.อ..."

" ชู่ววว...จุ๊ๆๆ " ผมจุ๊บเรือนผมน้องซ้ำๆ " พี่อยู่นี่แล้วครับ....นอนเถอะนะ "

" อื้ม.ม.ม...พี่สยาม...."

ขนาดหลับไปแล้วยังละเมอถึงผมเลยอ่ะ

จะไม่ให้รักได้ไงวะ....



[ จบบันทึกพิเศษ : พี่สยาม ]










TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งหยัมปองแล้ว พี่สยามฟื้นแล้วนะคะหลังจากสลบไปหลายวัน ก็บทนี้คงคลายความสงสัยเรื่องที่พี่สยามขอโทษได้แล้วนะ ชาลยังไม่ได้แก้คำผิดเลยนะคะ แต่งเสร็จก็เอามาลงเลย เดี๋ยวจะตามแก้ให้นะคะ เรื่องราวของคู่นี้ยังอีกยาวไกล จะเป็นยังไงต่อรอติดตาม
ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เพื่อเปนกำลังใจให้กันได้นะคะ ช่วงเดือนมกรานี้คือช่วงต้องปั่นโปรเจ็กต์ฝึกงาน มันมีความเป็นไปได้สูงมากว่าชาลอาจจะไม่มีเวลามากพอที่จะแต่งนิยายลงได้ตามตารางเป๊ะๆ มันอาจจะเคลื่อนได้ เพราะงั้นติดตามข่าวสารการอัปเดตนิยายได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis นะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 28 : 6/1/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 06-01-2018 22:36:29
 :L2: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 28 : 6/1/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 06-01-2018 23:04:12
วันข้างหน้าจะเป็นยังไง..ช่างหัวมัน
ขอแค่วันนี้และทุกวันเรารักกัน..เท่านั้นก็พอ

ยิ่งอ่านยิ่งรัก
หยัมปอง
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 28 : 6/1/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 07-01-2018 06:13:40
สยามฟื้นแล้ว งั้นก้ผลัดการดูแลซึ่งกันและกันนะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 28 : 6/1/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 07-01-2018 12:13:32
คนเขียนสู้ๆจ้า
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 28 : 6/1/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 12-01-2018 00:43:06
โอ้ยๆๆๆ. น่ารักทำลายล้างมากๆๆๆ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 29 : 13/1/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 13-01-2018 22:17:20
บทที่ 29 เหตุเกิด ณ ร้านชาบ​ู


ผัวนี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ดื้อมาก

น่าทุบมากๆ ด้วย

" กูบอกให้มึงอยู่นิ่งๆ ไง "

" อื้มมม....มันเจ็บ "

" เพราะมึงอยู่ไม่นิ่งนี่แหละมันถึงเจ็บ " ผมดุมันเสียงขุ่น " ยังอีก....ปล่อยมือกูเดี๋ยวนี้ "

" กูเจ็บอ่ะ มึงทำเบาๆ สิ "

" นี่เบามือสุดละนะ "

" เจ็บ "

" จะเสร็จอยู่ละ " ผมบอกก่อนจะเอาเบตาดีนแตะเบาๆ ที่แผลบนหัวพี่สยาม แล้วเอาพลาสเตอร์กันน้ำแปะทับลงไป

ล้างแผลแค่นี้จะเป็นจะตาย

เกิดมาจะ 20 ปี ไม่เคยล้างแผลให้ใครแล้วใช้เวลานานชิบหายแบบนี้เลย ผมเริ่มล้างแผลให้มันตอน 9 โมงอ่ะ ตอนนี้แม่งจะ 10 โมงครึ่งละ มัวแต่โหวกเหวกโวยวายอะไรก็ไม่รู้ พี่สยามนี่โคตรพี่สยามเลย ตอนนี้มันก็กอดเอวผมไว้แน่นไม่ยอมให้ลุกออก คือผมนั่งคร่อมอยู่บนตักมันไง ความจริงไม่ได้อยากจะนั่งท่านี้หรอก แต่เพราะพี่สยามมันบังคับ

เรื่องมากไปอีก

นี่ก็ 2 วันแล้วครับที่มันออกจากโรงพยาบาล หมอสั่งว่าให้ล้างแผลทุกวันจนกว่าจะถึงวันตัดไหม พี่สยามนี่มันกาปฏิทินรอเลยอ่ะ มันไม่ชอบเวลาล้างแผลไง ฟีลเด็กดื้อขี้งอแงมาก เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ถึงวันหมอนัดแล้วครับ ผมก็ต้องเป็นคนพามันไปโรงพยาบาล เนี่ยะ นอกจากทำหน้าที่เป็นเมียแล้วก็ต้องทำหน้าที่เป็นแม่มันด้วยนะ

เฮ้อ....เกิดเป็นสมปองนี่มันเหนื่อยจริงๆ

" ปล่อยกูได้แล้ว "

" อื้ออ.อ....อยู่แบบนี้ก่อน " มันบอกก่อนจะซุกหน้ากับไหล่ผม " คิดถึง "

" คิดถึงอะไรของมึง กูอยู่กับมึงแทบตลอดเวลาเลยเนี่ย "

" ความคิดถึงมันห้ามกันได้ที่ไหน "

ผมเลื่อนมือขึ้นไปลูบหัวมันเบาๆ " มึงนี่น้า...."

" ไปหาอะไรกินกันไหมครับ " มันละออกมาจากไหล่ก่อนจะมองผม " อยากกินชาบู "

" เอาสิ ลุกไปแต่งตัวเร็ว "

" ขอกอดอีกแปปนึง " มันเอ่ยอย่างอ้อนๆ ถ้ามึงมัวแต่จะกอดกูแบบนี้ล่ะก็นะ ชาบูไม่ต้องแดกแล้วไหมไอ้สัส

" เร็วๆ พี่สยาม กูหิวแล้วนะ "

" ก็ได้ " มันยอมปล่อยแขนแต่โดยดี ผมเลยใช้จังหวะนั้นรีบลุกออกมาก่อนจะไปหยิบเสื้อผ้ามาเปลี่ยน

หลายวันมานี้พี่สยามมันขี้อ้อนผิดปกตินะครับ น่าจะเพราะว่าตัวเองยังไม่ได้กลับมาแข็งแรงเต็มที่ล่ะมั้ง นี่ผมยังคิดอยู่เลยว่าถ้ามันหายดีแล้วมันต้องจ้องจะแดกผมแน่ๆ เดี๋ยวต้องคิดวิธีเอาตัวรอดไว้รอ จะว่าไปอีกไม่กี่อาทิตย์ก็ใกล้สอบไฟนอลแล้วนะ ผมนี่ต้องต่อสู้กับควิซแทบทุกวัน สงสารสมองตัวเองมาก ยิ่งควิซของฟิสิกส์นี่แบบ อื้อหืออ.อ.อ...

เอามีดมาแทงผมเลยดีกว่าอาจารย์

ได้หมดเวรหมดกรรมกันไป

เดี๋ยวผมจะต้องเริ่มตั้งใจอ่านหนังสืออย่างจริงๆ จังๆ พี่สยามเองก็คงจะเหมือนกัน ช่วงใกล้สอบผมว่าจะให้มันติวฟิสิกส์เหมือนที่มันเคยติวให้ ผมค่อนข้างมั่นใจกับเกรดที่จะออกมาเทอมนี้พอสมควรเลยนะ ยกเว้นแค่ของฟิสิกส์ แต่ว่าคิดไว้แล้วว่าน่าจะได้ไม่ต่ำกว่า C+ ไม่เป็นไรช่างแม่ง เทอมหน้าค่อยตั้งใจเรียนละกัน

ไม่รู้ว่าจะทำได้ไหม

" เสร็จยังปอง "

" เสร็จละ " ผมหยิบกระเป๋าตังค์กับโทรศัพท์ใส่กระเป๋าผ้า " อ่ะกุญแจห้อง " ผมส่งกุญแจห้องให้มันก่อนจะเดินนำออกมา

เจ้าตัวล็อคห้องเสร็จก็เดินมาอยู่ข้างผม " กินที่ไหนดี "

" กินในห้างก็ได้นะ ได้ไปซื้อของเข้าหอด้วย ของหมดหลายอย่างละ "

" โอเค มึงขับนะ " มันบอกก่อนจะส่งกุญแจรถมาให้

" ได้ เออพี่สยามเดี๋ยวช่วงใกล้สอบมึงติวฟิสิกส์ให้กูหน่อยนะ "

" คิดค่าติวนะ "

" งั้นเดี๋ยวกูไปให้ลันตาติวให้ก็ได้ "

มันเบะปากใส่ผมทันที " ทำไมทำแบบนั้นล่ะเมีย "

" ก็มึงเรื่องมากอ่ะ "

" อื้ออ.อ....ติวให้ก็ได้ ให้กูติวนะ " พี่สยามมันจับแขนผมไปเขย่าๆ เหมือนเด็ก ผมก็ได้แต่มองมันนิ่งๆ ไม่ได้พูดอะไรตอบไปสักคำ

ปล่อยให้มันติ๊งต๊องไปครับ

ผมปลดล็อคก่อนจะขึ้นรถ พี่สยามมันก็มานั่งทำหน้าเป็นตูดอยู่ข้างๆ ช่างแม่ง อย่าไปสนใจครับ เดี๋ยวมันก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมเอง การที่เราอยู่ด้วยกันเกือบเทอมนี่มันทำให้ผมรู้อะไรหลายๆ อย่างเลยนะ ช่วงที่มันอยู่โรงพยาบาลนี่ก็ได้รู้ว่ามันเองก็มีมุมอ่อนแอเหมือนกัน ตอนที่อยู่ด้วยกันแรกๆ มันไม่เคยแสดงอะไรแบบนี้ออกมาให้ผมเห็นเลยสักครั้ง

เก็บทุกอย่างไว้คนเดียวหมดเลย

ผมคิดว่าที่มันทำแบบนั้นก็คงเป็นเพราะว่าไม่อยากให้ผมเป็นห่วงมันล่ะมั้ง แต่มันไม่รู้เลยว่าสิ่งที่มันแสดงออกมากลับทำให้ผมเป็นห่วงมันมากกว่าเดิม พี่สยามมันต้องมีอะไรหลายๆ อย่างที่ปิดไว้ไม่ให้ผมรู้แน่ๆ เข้าใจอยู่นะว่าทุกคนก็ต้องมีเรื่องที่ต้องการจะเก็บไว้คนเดียว ผมเองก็เป็น มีหลายเรื่องเหมือนกันที่พี่สยามยังไม่รู้เกี่ยวกับตัวผม

แต่ก็นะ....

เรามีเวลาเรียนรู้เรื่องของกันและกันทั้งชีวิตหนิจริงไหม

" ยิ้มอะไรอ่ะปอง " คนนั่งข้างๆ เอ่ยถาม

ผมเหลือบมอง " เปล่า....เออพี่สยามกูขอถามอะไรหน่อยสิ "

" ว่ามา "

" มึงว่าถ้าเราจะขอผู้หญิงสักคนเป็นแฟนเนี่ยะ ควรขอยังไง "

" ถามแบบนี้นี่คือ....." มันเอ่ยเสียงขุ่นมือก็ยกขึ้นมาดึงแก้มผมแรงๆ " จะทิ้งกูไปมีเมียหรอห้ะ "

" กูก็แค่ถามป้ะวะ ยังไม่ได้บอกเลยว่าจะไปมีเมีย ถ้ากูจะมีนะกูไล่มึงออกจากห้องไปนานละ "

" เออ ห้ามมี อย่างมึงอ่ะเป็นเมียกูน่ะดีละ "

" เออๆ ว่าแต่มึงจะบอกกูได้ยังว่าจะขอยังไง "

" กูไม่เคยขอผู้หญิงเป็นแฟนว่ะ เคยแต่ขอผู้ชาย แต่จะว่าไปมันก็ไม่ได้ต่างกันมากป้ะวะ การจะขอใครสักคนเป็นแฟนสิ่งสำคัญมันก็คือความรู้สึกที่เรามีให้เค้า ถ้าเค้าเองก็รู้สึกแบบเดียวกับเรา ก็ถือว่าแฮปปี้ คบกันเป็นแฟน "

" งี้นี่เอง " ผมใช้จังหวะที่รถติดไฟแดงหันไปมองพี่สยาม " งั้นเป็นแฟนกันป้ะ "

" นี่มึง....พูดจริงหรือล้อเล่นเนี่ยะ "

" ล้อเล่น " ว่าแล้วผมก็แลบลิ้นใส่มัน คนโดนหลอกก็ถลึงตาใส่พลางทำหน้าเหมือนอยากจะแดกหัวผม เห็นหน้ามันแล้วตลกว่ะ ฮ่าๆๆๆๆ

เมื่อกี้แอบคิดจริงจังเลยสินะมึง

" มึงนี่มัน....ไว้ให้กูหายก่อน กูจะเอามึงจนหมดแรงตายคาเตียงแน่ๆ " มันชี้นิ้วคาดโทษผม ในใจนั่นเคียดแค้นน่าดูเลยสินะ

" ใจคอจะเอากูจนตายเลยรึไง ใจร้ายชะมัด " ผมบ่นเสียงอ่อน

" กูก็พูดไปงั้นแหละ " มือเรียวเลื่อนมากุมแก้มผมเบาๆ " กูรักมึงมากนะ จะปล่อยให้ตายได้ยังไง " เจ้าตัวเอ่ยก่อนจะยิ้มหวานให้

ยอมเลยว่ะ

เอาใจกูไปเลยพี่สยามเอาไปเล้ยยยยยย

ผมนั่งอมยิ้มให้กับสิ่งที่มันพูด คำว่ารักจากพี่สยามนี่ทำให้ผมยิ้มได้ทุกครั้งที่ได้ยินจริงๆ นั่นแหละว่ะ ตัวมันเองก็คงรอที่จะฟังวันที่ผมบอกรักมันเหมือนกัน ไอ้เมื่อกี้ที่ผมถามเรื่องจะขอเป็นแฟนยังไงดีผมก็จริงจังนะ คิดว่าถ้ามันพูดออกมายังไงก็จะทำตามแบบที่มันพูด ผมอยากให้วันที่เราเป็นคบกันกลายเป็นวันพิเศษ ผมอยากเห็นมันมีความสุข เพราะงั้นก็ต้องคิดเยอะหน่อย

จริงจังกับมันแค่ไหนถามใจดู

ผมนี่โดนพี่สยามทำของใส่แน่เลยว่ะ




ห้างสรรพสินค้า

ผมเดินต้อยๆ อยู่ข้างหลังพี่สยาม ตอนนี้เกือบเที่ยงแล้วครับ หิวมากพร้อมจะแดกทุกอย่างที่ขวางหน้า ร่างสูงเดินนำผมเข้ามาในร้านชาบูก่อนจะเลือกนั่งโต๊ะชิดกระจก พอได้ที่นั่งแล้วผมก็จัดการจดของที่จะกินลงเต็มกระดาษ ร่างกายต้องการสันนอก สันอก สามชั้น หมูสไลด์ ต้องการจุ้งด้วยครับ

รู้จักจุ้งไหม....จุ้ง

" มึงเอาจุ้งไหมพี่สยาม "

" จุ้งอะไรวะ "

" จุ้งไงที่มันตัวส้มๆ " ผมเท้าคางมองมัน ทำไมต้องทำหน้างงแบบนั้นวะ เกิดมาไม่เคยกินจุ้งหรอ

" ไหนจุ้งมึง " พี่มันชะเง้อคอมองกระดาษที่ผมเขียน " ไหนมึงจิ้มให้กูดูซิ "

" นี่ไง "

" นี่มันกุ้ง จุ้งอะไรของมึง " มันบอกก่อนจะทำหน้ามุ่ยใส่ผม ผิดหรอที่เรียกว่าจุ้ง เรียกแบบนี้มาตั้งนานละนะ ไม่คิดจะกลับไปเรียกกุ้งด้วย

แล้วนี่จะซีเรียสอะไรวะ

" เออ นั่นแหละเอาไหม "

มันพยักหน้ารับเบาๆ " เอาแมงกระพรุนให้ด้วย "

" เค้าเขียนไว้ว่าถ้าอยากแดกแมงกระพรุนให้ไปจับเองที่ทะเล "

" ตลกละ เอามานี่เดี๋ยวกูเขียนเอง " พี่สยามมันแย่งกระดาษกับปากกาไปจากมือผม ทำไมเป็นเด็กชอบแย่งแบบนี้วะ เดี๋ยวกูก็เขียนไดอารี่ฟ้องพ่อซะหรอก

มึงโดนแน่

ผมนั่งมองพี่สยามมันจดอะไรยุกยิกๆ ใส่กระดาษก่อนจะยื่นส่งให้พนักงาน พนักงานสาวสวยยิ้มให้พี่มันตาเยิ้มเลยนะ นี่ไม่เห็นหรอว่าเมียเขานั่งอยู่นี่น่ะ จะว่าไปผมกับพี่สยามนี่เหมือนพี่น้องกันมากกว่านะ เวลาอยู่ด้วยกันสองคนข้างนอกผมรู้สึกแบบนี้อ่ะ แต่ก็ไม่รู้ว่าคนอื่นจะมองยังไง ผมรู้สึกได้เลยว่าตัวเองเริ่มจะมีอาการหึงหวงแสดงออกมามากเกินไปหลังจากที่รู้ใจตัวเอง

เดี๋ยวต้องคีพลุคละ

ถ้าพี่สยามมันรู้มันจะได้ใจ

" เมียครับ ดูนี่สิ " มันยื่นจอโทรศัพท์มาให้ผมดู เป็นคลิปวิดีโอลูกแมงกระพรุนกำลังว่ายน้ำครับ

" เมื่อกี้มึงเพิ่งสั่งแมงกระพรุน "

" เออจะแดกให้หมดเลย "

" มึงนี่นะ...." ผมส่ายหัวให้มันเบาๆ ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างได้ " เดี๋ยวกูทำอะไรให้ดู " ผมยกมือขวามากำแล้ววางไว้บนหลังมือซ้ายก่อนจะขยับนิ้วของมือซ้ายให้พริ้วเหมือนแมงกระพรุน

" อะไรอ่ะ "

" แมงกระพรุนไง "

" นี่มันมือ ไม่ใช่แมงกระพรุนสักหน่อย "

ผมทำหน้าบึ้งใส่มันทันที " มึงนี่โคตรขัดขวางจินตนาการเลยว่ะ มันเป็นแมงกระพรุนเนี่ยะมันเป็นแมงกระพรุน " ผมโวยใส่มันก่อนจะทำมือแมงกระพรุนให้ดูอีกรอบ

" น่ารักจัง " พี่สยามมันยิ้มหวานก่อนจะเลื่อนมือมาลูบหัวผมเบาๆ " พี่เชื่อหนูก็ได้ครับว่าเป็นแมงกระพรุน "

ฉ่า

แทนตัวเองว่าพี่ แล้วเรียกกูว่าหนูเนี่ยนะ

อีเชี่ยยยย

" เป็นอะไรหืม....เขินพี่หรอ แก้มนี่แดงเชียว "

ผมยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองเบาๆ " อย่าพูดเพราะได้ป้ะวะ "

" ทำไมล่ะ "

" เขิน " ตัวจะแตกแล้วด้วยไอ้บ้า

พี่สยามมันยิ้มกว้างออกมาทันทีที่เห็นอาการผม น่าหมั่นไส้จริงๆ ผมแม่งก็แพ้ทางซะได้ ชอบนะครับเวลามันพูดเพราะๆ กับผมน่ะ แต่ถ้าได้ยินบ่อยๆ หัวใจคงอาจจะวายได้ มันดีต่อใจเกินไปอ่ะ มันเองก็รู้นะว่าถ้าพูดแบบนี้ใส่แล้วผมจะเขิน

ร้ายกาจชะมัด

ผ่านไปสักพักพนักงานก็เดินเอาของที่สั่งไปมาเสิร์ฟ แม่งโคตรเยอะอ่ะ พี่สยามมันเป็นคนจัดแจงเทลงหม้อ ส่วนผมก็ทีมนั่งรอกินอย่างเดียว ผมชอบชาบูนะ ชอบมากกว่าหมูกระทะอีก เวลากินหมูกระทะเนี่ยะ น้ำมันจะชอบกระเด็นใส่ คือกูจะแดกแบบเป็นสุขนี่ไม่ได้หรอวะ จะต้องกระเด็นมาใส่ให้กูร้อนอีก

หึ้ยยย...ย...หงุดหงิดทำไมวะเนี่ย

พี่สยามตักหมูมาใส่ชามให้ผม " กินเยอะๆ นะ "

" มึงไม่ต้องบอกกูก็กินเยอะอยู่ละ " ผมยักคิ้วให้มันก่อนจะคีบสันนอกใส่ปาก อื้ม...ม...แม่งโคตรอร่อย ค่อยสมกับที่อยากกินมาหลายวันหน่อย

" กินเยอะๆ ก็ดีแล้ว " มันบอกก่อนจะคีบตับเข้าปากแล้วยิ้มกรุ้มกริ่มใส่ " ตูดจะได้แน่นๆ "

" แค่กกก....ก " ผมหยิบน้ำขึ้นมากระดกหลังจากที่สำลัก

" แค่นี้ถึงกับสำลักเลยหรอครับเมีย "

" มึงนี่แม่ง....เดี๋ยวกูก็เอาตะเกียบแทงให้หรอก "

คนตรงข้ามนั่งเท้าคางก่อนจะยกยิ้มให้ " ระวังโดนกูแทงกลับนะ ตะเกียบไซส์ 56 น่ะรู้จักไหม "

" นี่มึง!!! "

" อ้าว พี่สยาม "

ใครเรียกพี่สยามวะ

ผมหันมองตามเสียงก็พบกับร่างบางที่อยูในชุดนักเรียนมัธยม น้องเขาเป็นผู้ชายครับแต่หน้าหวานเหมือนผู้หญิงมาก คือถ้าไม่ได้ใส่เครื่องแบบของผู้ชายผมก็นึกว่าผู้หญิงอ่ะ อาจเพราะทรงผมด้วยล่ะมั้ง มันยาวประบ่าเลยด้วยซ้ำ เรียนเอกชนสินะถึงได้ไว้ผมยาวขนาดนี้ได้ นึกถึงตัวเองตอนสมัยมัธยมเลยแฮะ ผมนี่โดนเพื่อนตบเกรียนแทบทุกวัน

คิดแล้วเจ็บปวดชิบ

พอๆ เลิกนึกถึงตอนตัวเองหัวเกรียนแล้วมาสนใจคนตรงหน้าต่อดีกว่า น้องเขาตัวบางๆ น่าจะเตี้ยกว่าผม ผิวขาวเนียนน่าแดกสุด หน้าตาน่ารักๆ แบบนี้คงมีพวกหื่นกามแบบพี่สยามสนใจอยู่ไม่น้อยเลย ว่าแต่ทำไมน้องเขาถึงรู้จักพี่สยามได้วะ

" อ้าวเซนท์ ไม่ได้เจอนานเลยเป็นยังไงบ้าง "

" ก็สบายดีครับ " น้องเขาบอกก่อนจะยิ้มหวาน " พี่สยามก็สบายดีนะครับ "

" พี่สบายดี แล้วนี่มากินชาบูคนเดียวหรอ "

" เดี๋ยวเพื่อนๆ ตามมาน่ะครับ เออพี่สยาม อีกสักพักพี่แซนด์จะกลับมาเรียนไทยแล้วนะ "

พี่สยามมันเหลือบมองผมก่อนจะน้องมองเขา " งั้นหรอ แล้วทำไมถึงกลับมาเรียนไทยล่ะ "

" ไม่รู้เค้าเหมือนกันอ่ะ พี่สยามก็รู้หนิว่าพี่แซนด์เดาใจยากจะตาย ว่าแต่นี่ใครหรอครับ แฟนใหม่หรอ " น้องหันมองผมแล้วยิ้มหวานให้

" อ๋อ คือนี่เป็นน้องรหัสพี่เองน่ะ " หลังจากที่พี่สยามมันบอก ผมก็ยิ้มบางๆ ให้ ตอนนี้เป็นแค่น้องรหัสแหละ

แต่ในอนาคตจะเป็นแฟนมันแน่นอน

จัมวรั้ยนะน้อง

" งี้นี่เอง พวกพี่กินกันให้อร่อยเถอะ เซนท์ขอตัวก่อนนะครับ "

" บายครับ " พอพี่สยามรับคำ ไอ้น้องน่ารักๆ ก็เดินไปทันที ตอนนี้ผมกำลังสงสัยอยู่ว่าคนที่ชื่อแซนด์คือใคร ทำไมตอนที่พูดถึง พี่สยามต้องเหลือบมามองผม

" กูถามอะไรหน่อยสิพี่สยาม "

" ว่ามา..."

" คนชื่อแซนด์เป็นใคร " สิ้นเสียงของผมมือเรียวที่กำลังจะคีบหมูก็ชะงักไปทันที

ผมคีบโน่นคีบนี่ใส่ปากรอคำตอบจากพี่สยาม คนชื่อแซนด์นี่ไม่ธรรมดาแล้วมั้ง จะต้องเป็นใครสักคนที่ไม่อยากให้ผมรู้จักหรือยังไง ตอนนี้ที่คิดออกก็มีอยู่คนเดียวเลยนะครับ ฟังจากที่น้องคนเมื่อกี้พูด คือคนชื่อแซนด์กำลังจะกลับมาเรียนไทย แปลว่าตอนนี้ต้องอยู่ต่างประเทศ แล้วพอนึกถึงคนที่พี่สยามมันรู้จักแล้วอยู่ต่างประเทศนี่ก็มีแค่คนเดียวน่ะครับ

" แฟนเก่าใช่ไหม "

มันพยักหน้ารับ " ใช่ "

" เออ ก็เท่านั้นแหละ " ผมคีบสามชั้นไปใส่ชามให้มัน " กลัวกูคิดมากรึไง "

" อืม ก็คิดว่าถ้ามึงไม่รู้มันจะดีกว่ารึเปล่า "

" งั้นมึงลองคิดดูนะว่าถ้ากูมารู้ทีหลังกูจะเป็นยังไง กูอาจจะแย่มากๆ เลยก็ได้ จริงไหม "

" ขอโทษนะปอง "

" กูรู้ว่ามึงเป็นห่วงกู แต่ว่ากูโอเค เขาเป็นแค่แฟนเก่ามึงหนิ " ผมเลื่อนมือไปจับมือพี่สยามไว้ " กูเชื่อกับคำที่มึงบอกว่ารักกูนะ เพราะงั้นกูจะพยายามไม่คิดมาก โอเคไหม "

" โอเคครับ " พี่สยามยิ้มหวานก่อนจะคีบสันนอกมาจ่อปากผม ผมก็งับเข้าปากมาก่อนจะยิ้มให้มัน

คือปากบอกว่าไม่คิดนะแต่ในใจนี่คิดไปไกลมาก

ผมค่อนข้างหวั่นใจนะที่แฟนเก่ามันจะกลับมาเรียนที่นี่น่ะ แต่อีกใจก็คิดว่าคงจะไม่มีอะไรก็ได้ ก็จบกันไปนานแล้วป้ะวะ อีกอย่างคือตอนนี้พี่สยามมันรักผมมาก ผมควรจะเชื่อใจมัน ถึงแม้ว่าคนที่ชื่อแซนด์จะเป็นคนที่มันเคยรักและผูกพันในช่วงเวลานึงก็เถอะ

แต่อดีตมันก็คืออดีต

เดี๋ยวผมต้องเริ่มวางแผนขอพี่สยามเป็นแฟนละ อะไรๆ มันก็เกิดขึ้นได้ครับ เพราะงั้นเราต้องรีบคิดหน่อย ผมเองก็ต้องทำตัวเป็นเมียดีดีเพื่อมัดใจมันไว้สินะ แต่คิดแล้วมันก็ยากว่ะ ผมไม่ใช่พวกชอบทำอะไรแบบนั้นด้วย เอาจริงๆ คือผมไม่ต้องทำอะไรมากพี่สยามมันก็หลงผมจะตายห่า นี่แค่แก้ผ้าแล้วไปนอนรอบนเตียงมันก็ปริ่มใจมากแล้วมั้ง

แล้วนี่กูคิดอะไรวะเนี่ย

" คิดอะไรลามกอยู่ล่ะสิ " พี่สยามมันบีบแก้มผมเบาๆ " ร้ายนักนะ "

อย่ามาทำเป็นรู้มากได้ไหมวะ

" คนที่ร้ายมันคือมึงต่างหาก "

ร้ายกาจตลอดกาล













TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งหยัมปองแล้ว คือเพิ่งเสร็จสดๆ ยังไม่ได้แก้อะไรเลย เดี๋ยวจะตามแก้ให้นะคะ

ชาลกำลังไปพิจิตรค่ะ ก็แต่งนิยายในโทรศัพท์ และก็แต่งบนรถที่สั่นตลอด คือรู้ตัวเลยว่านิยายอาจจะมีอะไรแปลกๆ เพราะว่าชาลจะเบลอๆ ตอนนี้ก็ตาลายอยู่ พาร์ทดราม่ายังอีกยาวไกลนะคะไม่ต้องกังวล เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อรอติดตาม

ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังให้กันได้นะคะ สามารถติดต่อข่าวสารได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis นะคะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้า
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 28 : 6/1/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 13-01-2018 23:40:21
แฮร่ ขอเม้นที่ตอนนี้ก่อนละกันนะคะ เดียวไปเม้นย้อนหลังให้ :hao5: ม่ามันยังอีกไกลงั้นเราก็จะอ่านต่อไปก่อน ถึงม่าเมื่อไหร่ค่อยหยุด ม่าจบอ่านต่อ(กลัวค้างมากๆ) สมปองงง ลูกแม่ น่ารักจริงๆเลยยย ใช่เลยลูก จะมัดใจผัวก็ต้องแก้ผ้านอนรอบนเตียงนี้แหละ เด็ด!5555 อิหยัมนะอิหยัมถ้าแฟนเก่าแกกลับมาแล้วแกทิ้งขวางลูกฉันนะ ฉันจะฆ่าแกทิ้งแน่!
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 28 : 6/1/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 14-01-2018 00:31:13
พี่หยัมของปอง
ทำตัวน่ารักได้ทุกตอน
แค่นี้ก็ใจอ่อนไปก่อนปองแล้วง่ะ

พาร์ทดราม่า..ขอแค่ว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันก็พอนะ
ถ้าไปไกลกว่านี้ แง๊ๆๆๆๆๆๆๆ คนอ่านทำใจรับไม่ได้

ขออย่าเป็นเรื่องที่ตั้งใจไปนอกกาย นอกใจกัน
ตรู..คนอ่าน คงได้นั่งบ้า นอนดิ้นกระแด่วๆ แน่

ขอบคุณฮับ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 28 : 13/1/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 15-01-2018 06:09:59
พึ่งรู้นะเนี่ยว่ามีคนเรียกกุ้งว่า "จุ้ง" ด้วย แปลกดี  :mew4:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 30 : 20/1/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 20-01-2018 20:53:21
บทที่ 30 เหตุผลของพี่สยาม


"ปอง"

"หืม"

"ข้างหลัง"

ผมหันไปมองตามที่ลันตาบอกก็พบกับผู้หญิงสวยมากคนนึง "ทำไมวะ"

"มึงไม่ตาลุกวาวหน่อยหรอ"

"กูจะตาลุกวาวทำไม"

"ถ้ามึงไม่ตาลุกวาวก็ทำหน้าหื่นกามหน่อยก็ได้"

"ไม่"

ขืนทำแล้วผัวรู้ขึ้นมากูก็โดนเตะน่ะสิ

ตอนนี้เวลาประมาณบ่ายกว่าๆ ละครับ ผมนั่งทำเลคเชอร์ชีทของวิชาภาษาอังกฤษอยู่ที่หน้าตึกคณะกับลันตา ส่วนเพื่อนรักอีก 2 คนไปซื้อน้ำกับขนม ช่วงนี้เป็นคลาสว่างของพวกผม เดี๋ยวมีเรียนฟิสิกส์อีกทีตอนบ่าย 3 ครึ่ง แค่คิดว่าจะต้องเรียนฟิสิกส์ก็อยากไปกระโดดน้ำตายแล้วอ่ะ

ไม่ตายอีกเพราะว่ายน้ำเป็น

ผ่ามผ้ามมม

ผมควรเลิกติ๊งต๊องแล้วรีบทำเลคเชอร์ให้เสร็จ ช่วงอาทิตย์นี้หัวหมุนมากเลยครับ งานแม่งเยอะชิบหาย อีกอาทิตย์กว่าๆ ก็สอบไฟนอลแล้วด้วย งานคณะก็ต้องทำ นี่ผมอยู่แค่ปี 1 เองนะแต่ดูสิ่งที่ต้องรับผิดชอบสิ แต่คนที่เหนื่อยชิบหายกว่าผมก็คงจะเป็นพี่สยามนั่นแแหละ ตอนนี้แผลที่หัวมันหายดีละ กลับมาแข็งแรงร่าเริงแจ่มใสจ้องจะปู้ยี้ปู้ยำผมอยู่ตลอดเวลา

ไม่เคยจะว่างเว้นจากเรื่องพวกนี้หรอก

เออ เมื่อวันที่ผมพาพี่สยามไปตัดไหม มันเป็นวันที่ปวดประสาทมากเลยครับ ปวดประสาทตั้งแต่ตอนพามันไป ตอนรอหมอ ตอนตัดไหม ยันตอนกลับมาที่หอ มันงอแงมาก เด็กปอสองยังไม่งอแงแบบมันเลยอ่ะเอาจริงๆ ผมยังจำเสียงกรี๊ดที่มันเปร่งออกมาตอนที่โดนตัดไหมได้เลย คือแค่มึงตัดไหมป้ะมันไม่ได้เจ็บขนาดนั้นสักหน่อย

ร้องจะเป็นจะตาย

"ปอง"

"จะให้กูหันไปมองใครอีกล่ะ"

"เปล่า จะถามว่าทำถึงไหนแล้ว"

"เนี่ยะ" ผมบอกก่อนจะยื่นสมุดเลคเชอร์ให้ "เออลันตาเอาเลคเชอร์ของฟิสิกส์ให้ดูหน่อยสิ"

เพื่อนรักมันหยิบสมุดเลคเชอร์ส่งให้ผม "มึงทำละเอียดเหมือนกันนะ เข้าใจง่ายด้วย"

"แน่ล่ะ กูชอบภาษาอังกฤษพอๆ กับคณิตฯ เลยนะ"

"มึงน่าเอาความตั้งใจมาใส่ให้ฟิสิกส์ครึ่งนึงนะ"

"ไม่โว้ย กูต่อต้านฟิสิกส์มาตั้งแต่มอสี่ละ และกูก็จะต่อต้านต่อไป"

"กูขอให้มึงโชกเลือด เอ้ย โชคดี"

ถ้ามึงจะพูดชัดขนาดนั้นมึงก็ไม่ต้องแก้ก็ได้

ผมเบ้ปากใส่อีงูพิษ พอมันเห็นแบบนั้นมันก็แลบลิ้นใส่ผม น่าหมั่นไส้ชิบ สังเกตที่รอบคอลันตานี่มีรอยจูบเป็นจ้ำๆ เต็มไปหมดเลยนะ แถมรอยยังดูใหม่ๆ ด้วย สงสัยเพิ่งโดนป๊ามไปเมื่อคืนชัวร์ พี่ทะเลนี่ต้องเป็นพวกขี้หวงแน่เลยว่ะ ไม่งั้นไม่ทำรอยไว้ขนาดนั้นหรอก ลันตามันก็ยอมให้ทำเนอะ เป็นผมนี่ไม่ได้เลยอ่ะ ถ้าพี่สยามทำรอยล้นคอแบบนั้นนี่มีตบคว่ำแน่นอน

"สมลัน"

"อะไร"

"รอยจูบเต็มคอเลยนะ" ผมหรี่ตามองพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม "หนักเลยสิท่าเมื่อคืน"

"เออ ปวดทั้งตัวเลยกูเนี่ยะ พี่ทะเลแม่งคึกมาจากไหนไม่รู้"

"กูถามอะไรมึงหน่อยสิ"

"ว่ามา"

"มึงกับพี่ทะเลไปเป็นแฟนกันได้ยังไงวะ ไปจีบกันตอนไหน"

"จีบกันครั้งแรกตอนมอสี่มั้ง"

"อ่าว ก็รู้จักกันมานานแล้วงั้นสิ"

"ใช่ กูตามจีบพี่เค้ามาตั้งนานเพิ่งจะยอมคบกับกูเนี่ยะ"

"ดีเนอะ กูยินดีกับมึงด้วยละกัน"

"ขอบใจ" มันยิ้มรับบางๆ ก่อนจะอ่านเลคเชอร์ต่อ

ผมนั่งเท้าคางมองเพื่อนรักพลางคิดเรื่องของตัวเองไปด้วย มันดีเนอะที่ลันตาพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าตัวเองเป็นแฟนของพี่ทะเล ส่วนผมก็ยังพูดไปโต่งๆ ไม่ได้ ก็นะ พี่สยามกับผมยังไม่ได้คบกันหนิ แต่คิดไว้แล้วครับว่าจะไปขอมันเป็นแฟนตอนที่ไปค่ายด้วยกันเทอมหน้า เหมือนจะนานแต่ไม่นานนะ อีกเดือนกว่าๆ

หรือนานวะ

ช่างแม่ง จะนานหรือไม่นานก็ตัดสินใจไปละว่าจะขอมันคบเป็นแฟนช่วงนั้น คือเมื่อไม่กี่วันก่อนผมโดนพี่ขันสั่งให้จัดหาค่ายที่จะพาเด็กวิศวะโยธาไปอบรม แล้วมันมีค่ายนึงที่มีวิวสวยมาก อยู่ที่จังหวัดพิษณุโลกครับ คือค่ายเนี่ยะอยู่บนเขา แล้วช่วงเนี่ยะอากาศจะเย็น ผมว่าที่นี่แหละเหมาะที่สุดแล้ว เมื่อวานผมลองโทรไปถามข้อมูลหลายๆ อย่างมา กะว่าเดี๋ยวจะนำไปเสนอพี่ขันนี่ล่ะครับ

หวังว่าท่านเฮดว้ากจะพึงพอใจ

ผมอยากไปค่ายนี้มากเลยนะ มันมีเนินไว้ดูดาวที่รายล้อมไปด้วยดอกยิปโซอ่ะ คือมันโคตรสวย คงโรแมนติกมากแน่ๆ ถ้าผมขอพี่สยามมันเป็นแฟนที่นั่น เชื่อได้เลยว่ามันจะต้องกลายเป็นความทรงจำดีดีของเรา 2 คน

ขอให้ได้ไปด้วยเถอะ

"สมปอง"

"เชี่ยยย" ผมสะดุ้งทันทีได้ยินเสียงนั่น คือไม่ต้องหันไปดูก็รู้เลยครับว่าเสียงใคร คนบ้าที่ชอบพูดผ่านโทรโข่งก็มีคนเดียวเท่านั้นแหละ

พี่สยามไง

"พี่สยามสวัสดีครับ" ลันตามันยกมือไหว้

"สวัสดี"
มันเดินมาหยุดอยู่ที่โต๊ะผม ในมือก็มีชีทปึกใหญ่ติดมาด้วย "มึงทำอะไร"

"นั่งจดเลคเชอร์ แล้วมึงอ่ะไม่มีเรียนรึไง"

"มีเรียนตอนบ่าย 3 ครึ่ง พร้อมมึงนั่นแหละ"

"รู้ตารางเรียนกันด้วยแฮะ" ลันตามันเท้าคางมองผมกับพี่สยามสลับกัน มองอะไรของมึงวะ ทำอย่างกับไม่เคยกูกับมันงั้นแหละ

ละนี่จะหงุดหงิดทำไมวะปอง

"รู้สิ มันเป็นน้องรหัสหนิ"

"มึงมาทำอะไรตรงนี้เนี่ยะพี่สยาม ไม่มีที่ให้ไปรึไง " เพื่อนไม่คบหรอถึงได้ปลีกตัวเดินร่อนมาหากูเนี่ยะ

"กูจะมาบอกมึงว่าวันนี้มีประชุมคณะกรรมการฯ ตอน 5 โมงครึ่ง"

"แค่นี้อ่ะนะ" ผมเลิกคิ้วมองมัน "ทำไมไม่ไลน์มาบอกวะ"

"ไลน์มาก็ไม่ได้เห็นหน้ามึงน่ะสิ"

ตึกตัก

เชี่ยยย

ผมยกมือทาบอกตัวเองโดยอัตโนมัติพลางมองเจ้าของคำพูดนั้นตาปริบๆ ที่พี่มันพูดก็แค่คำพูดธรรมดาๆ ป้ะวะปอง ไม่เห็นต้องใจเต้นแรงขนาดนี้เลย พี่สยามดูชอบใจนะที่ผมแสดงอาการแบบนี้ออกไปให้มันเห็นน่ะ

จิ๊...แพ้ทางมันเฉยเลยปองเอ้ย

"ถ้าเห็นจนพอใจแล้วก็ไปสักทีไป" ผมโบกมือไล่มัน ต้องไล่ครับ ขืนมันยังอยู่ตรงนี้ผมจะต้องโดนดาเมจจากมันอีกแน่

"แค่นี้ถึงกับไล่กันเลยหรอ" มันเอ่ยเสียงอ่อนก่อนจะเบะปากน้อยๆ "ใจร้ายจัง"

"ไม่เคยใจดีกับมึงอยู่แล้ว จะไปไหนก็ไปไป้ รำคาญจริงๆ พูดผ่านโทรโข่งอยู่ได้" ผมแย่งโทรโข่งมาจากมือมัน แม่งเอ้ย ไอ้ที่พูดว่าไลน์มาก็ไม่ได้เห็นหน้านั่นก็ได้ยินกันไปครึ่งคณะแล้วมั้งน่ะ ดีไม่ดีได้ยินไปยันตึกแพทย์โน่น

โทรโข่งห่าไรไม่รู้เสียงดังชิบหาย

"อีมะ...." พี่สยามมันยกมือปิดปากตัวเองไว้ก่อน

อย่าบอกนะว่าเมื่อกี้มันจะพูดว่า....

"อีเมียหรอพี่สยาม แน่ะ พูดจามีเงื่อนงำนะ " อีงูพิษมันหรี่ตามองอย่างจับผิด

"มันจะพูดว่าอีเชี่ยต่างหาก" ผมแก้ต่างให้ก่อนจะมองตาขวางใส่ลันตา "ไปเช็คหูซะบ้างนะมึง"

มันเบ้ปากใส่ผมทันที "เดี๋ยวกูจะให้มึงไปกับกู จะได้รู้ว่าใครกันที่ฟังผิด"

"มึงนี่มัน...." ผมถลึงตาใส่ก่อนจะหันไปทำหน้าโหดใส่พี่สยาม "ส่วนมึงก็ไปได้ละ"

"เออ ใช่สิ....เพราะกูเป็นสยามไง เจอหน้าแปปๆ ก็ไล่ ใช่ซี้ "

มึงจะดราม่าเพื่อ

"ไปได้ละ เจอกันตอนประชุม"

"เออ งอนละสัส" มันหยิบโทรโข่งไปจากมือผมก่อนจะเดินสะบัดไปทันที เห้อะ งอนงั้นหรอ คิดว่าคนอย่างสมปองจะง้อรึไงวะ

เฮ้อ....

ต้องเปลืองเนื้อเปลืองอีกแล้วว่ะ

ไม่เป็นไร ปกติผมก็เปลืองเนื้อเปลืองตัวอยู่แล้ว จะเปลืองเพื่อง้อมันอีกสักหน่อยก็คงไม่เป็นไรหรอก ที่ผมไม่อยากให้มันอยู่ตรงนี้นานเพราะกลัวว่าลันตาจะแซวมากกว่านี้ครับ รำคาญ ละอีนี่แซวก็แซวเวิ่นเว้อ แซวไม่หยุด ต้องเอาอะไรอุดปากอ่ะถึงจะเงียบ

"ปอง"

"ห้ะ"

"ประชุมได้ความว่าไงเอามาเล่าให้ฟังบ้างนะ"

"มึงก็ให้พี่ทะเลเล่าให้ฟังดิ่ เค้าก็เป็นคณะกรรมการฯ เดี๋ยวเค้าก็ต้องไปประชุม"

"ไม่เอาอ่ะ กูรอฟังมึงเล่าดีกว่า เผื่อมีงานส่วนของมึงที่กูพอช่วยได้กูจะได้ช่วยไง"

ผมมองมันตาโต "มึงพูดจริงป้ะเนี่ยะ"

"จริงสิวะ คนอย่างกูถ้าบอกว่าจะช่วยก็คือช่วยสิวะ รีบทำเลคเชอร์ต่อดีกว่า เดี๋ยวเสร็จไม่ทัน"

"โอเค" ผมรับคำก่อนจะก้มปั่นเลคเชอร์ต่อ

ประชุมของคณะกรรมการฯ วันนี้ก็น่าจะเป็นเรื่องค่ายโยธานี่แหละ คิดแล้วก็เหนื่อยเนอะ เรียนเสร็จก็ต้องไปประชุมต่ออีก แม่งแย่ตรงที่ก่อนประชุมต้องเรียนฟิสิกส์ไง ผมต้องอยู่ในสภาพไร้วิญญาณแน่นอน

คิดแล้วก็ปวดใจ





"มันก็จะประมาณนี้ เข้าใจไหม"

ไม่

ไม่เข้าใจ

ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง

ผมนั่งนิ่งๆ มองกระดานไวท์บอร์ดด้านหน้าอย่างไร้สติ หูได้ยินเสียงพี่ขันพูดอะไรสักอย่างที่มันดังอู้อี้ๆ ตอนนี้ผมกำลังประชุมคณะกรรมการฯ อยู่ครับ ประชุมในสภาพที่ใกล้ตาย การเรียนฟิสิกส์เมื่อก่อนหน้านี้ทำลายพื้นที่สมองส่วนสติผมพังไปหมดแล้ว ความรู้สึกเดียวตอนนี้คืออยากกลับหอแล้วอาบน้ำนอน

นอนกอดพี่สยามด้วยนะ

"มึงเข้าใจที่พี่ขันพูดไหมเนี่ยะปอง"

ผมหันมองคนที่นั่งข้างๆ "คิดว่าเข้าใจประมาณ 0.01 เปอร์เซ็นต์"

"อย่าเรียกว่าเข้าใจเลย" พี่สยามมันเลื่อนมือมาจับมือผมที่อยู่ใต้โต๊ะเบาๆ "เป็นอะไร ไม่สบายหรอ"

"กูเบลอฟิสิกส์นิดหน่อยอ่ะ" ผมบอกเสียงอ่อน อยากจะเอนหัวซบไหล่มันอ่ะแต่ทำไม่ได้

งอแง

"เดี๋ยวก็เสร็จแล้วอดทนก่อน"

ผมพยักหน้ารับเบาๆ "เออ แล้วนี่หายงอนกูแล้วหรอ"

"งอน....อ๋ออออ เรื่องเมื่อบ่ายใช่ไหม"

"ใช่"

"กูก็พูดไปงั้นแหละ ไม่ได้งอนหรอก" มันยิ้มหวานให้พลางใช้ปลายนิ้วลูบมือผมเบาๆ

ชอบความรู้สึกนี้จัง

ผมชอบนะที่มันอัพสกิลความโรแมนติกขึ้นไปเรื่อยๆ คือบางครั้งการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ผมก็มองว่ามันดูโรแมนติกแล้วอ่ะ ไม่รู้นะว่านิยามของคำว่าโรแมนติกแต่ละคนเป็นยังไง แต่ของผมมันก็จะเป็นอะไรประมาณนี้แหละ ยิ่งเวลาก่อนนอนเนี่ยะจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดเลย พี่สยามมันจะถามตลอดว่าวันนี้ผมเหนื่อยไหม มันจะดึงผมไปกอด หอมแก้มผม ยิ้มหวานๆ ให้ แล้วก็บอกให้ผมนอนหลับฝันดี

โมเม้นท์เหล่านี้มันดีจริงๆ

ผมเสพติดรอยยิ้มของพี่สยามอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ชอบเวลามันยิ้มหวานๆ ให้ ยิ่งถ้าพูดเพราะๆ ใส่แล้วยิ้มหวานตามนี่มาดผู้ชายอบอุ่นสัสอ่ะบอกเลย แต่มาดนี้ผมสั่งมันไปละว่าให้ทำกับผมได้คนเดียว

หวงครับ วงเล็บ มากๆ

"สมปอง"

"คะ...ครับ" ผมสะดุ้งก่อนจะมองพี่ขัน "ว่าไงครับพี่"

"เดี๋ยวทำข้อมูลเรื่องค่ายมาส่งกูด้วยนะ เอาก่อนไฟนอลละกัน"

"ได้ครับ"

"โอเค งั้นวันนี้ก็ไว้เท่านี้แหละ แยกย้ายได้" พี่ขันบอกก่อนจะเก็บของใส่กระเป๋าแล้วเดินนำชาวบ้านออกไปทันที

รีบไปไหนวะ

ผมนั่งมองเหล่าคณะกรรมการฯ ที่ทยอยพากันเดินออกไปจนหมด ตอนนี้ในห้องเหลือแค่ผมกับพี่สยาม 2 คน เวลาตอนนี้ก็ประมาณเกือบ 2 ทุ่มละครับ ท้องฟ้าข้างนอกนี่โคตรมืด

"ไปเถอะปอง" พี่สยามมันเก็บของให้ผม "กลับหอกัน"

"อยากกลับนะ แต่ไม่มีแรงจะเดินแล้ว ไม่อยากขยับตัวเลย"

"งั้นเอางี้" มันเดินมาใกล้ก่อนจะหันหลังแล้วย่อตัวลง "ขึ้นมาเร็ว"

"กูหนักนะ มึงจะแบกไหวหรอ"

"ไหวสิ ขนาดมึงตัวเล็กนิดเดียวยังพยุงกูส่งถึงมือหมอได้เลย มาเร็วๆ ได้กลับหอไปนอนไง"

"ก็ได้" ผมขยับตัวมาขี่หลังพี่สยามไว้ แขนก็คล้องคอมันไว้หลวมๆ

พี่สยามถือของแถมยังแบกผมเดินออกมาจากห้อง นี่มันยอดมนุษย์ชัดๆ อย่างที่รู้ๆ กันนะครับว่าผมอ้วนขึ้น มันต้องหนักมากแน่ๆ แต่ว่าจะให้เดินเองก็ไม่ไหวอ่ะ สมองมันดาวน์ ร่างกายก็เลยดาวน์ตาม แต่ผมจะอ่อนแอแค่วันนี้แหละ เดี๋ยวพรุ่งจะกลับไปแข็งแกร่งเหมือนเดิม

เชื่อปองสิ

ผมซุกหน้าลงกับบ่าพี่สยาม กลิ่นหอมๆ จากตัวมันก็ลอยมาแตะจมูกด้วย ผ่านไปทั้งวันนี่เหงื่อไม่ออกบ้างหรอวะ กลิ่นถึงได้ยังหอมอยู่แบบนี้

"ตัวมึงหอมจัง"

"คิดอย่างงั้นหรอ"

"ใช่สิ มึงไม่ได้กลิ่นของตัวเองรึไง"

"ไม่ได้สนใจ" มันบอกก่อนจะเหลือบมองผม "ชอบกลิ่นตัวกูไหม"

"ชอบสิ"

"หรอ....แล้วชอบกูไหม"

ผมเลือกที่จะไม่ตอบ ตาก็เหลือบมองมันซื่อๆ "ไม่บอก"

"แต่กูชอบมึงนะ"

"แค่ชอบหรอ" ผมเอาคางเกยไหล่มันไว้ "ไม่ใช่รักหรอ"

"หึ....มึงนี่มัน"

"กูทำไมล่ะ แล้วๆๆๆ ไม่รักหรอ" ผมถามมันก่อนจะเบะปากน้อยๆ

พี่สยามมันกดจมูกลงบนแก้มผม " ไม่บอก " ว่าแล้วมันก็ยิ้มหวานให้

ยอมแล้วครับ

ยอมทั้งใจเลยเจอแบบนี้

" อื้ออ.อ.อ.อ.....ไม่บอกก็ไม่เป็นไร "

ถึงมึงจะไม่พูดกูก็รู้อยู่ละ....ว่ามึงรักกู

กูเองก็.....









TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งหยัมปองแล้ว ยังไม่ได้ตรวจคำผิดเลยนะคะ เสร็จแล้วก็รีบมาลงให้เลย เดี๋ยวจะตามแก้คำผิดให้นะ ชาลไม่ค่อยมั่นใจกับนิยายตอนนี้เลยค่ะ ไม่รู้ว่าแต่งออกมาดีมากพอไหม ถ้ามันอ่านแล้วให้ความรู้สึกแปลกๆ ก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ

ช่วง 2 อาทิตย์ที่ผ่านมาชาลมีปัญหาด้านสุขภาพค่อนข้างหนัก มันเป็นช่วงที่มีอาการแพนิคค่อนข้างบ่อย บางวันไม่สามารถนอนได้ ซึ่งมันแย่มาก วันนี้ชาลก็เป็นไมเกรน แต่ว่าตอนนี้โอเคขึ้นแล้วค่ะเพราะทานยาไป ถ้ามีวันไหนที่ชาลไม่สามารถลงนิยายได้เพราะกรณีมีอาการป่วยเนี่ยะชาลจะแจ้งนะคะ

ถ้าชอบก็คอมเม้นต์ เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis (https://twitter.com/Taooo97?lang=th) นะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 30 : 20/1/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 20-01-2018 21:22:42
คู่นี้มุ้งมิ้งกระดิ่งแมวมาก
รักกันให้ตลอดนะ..ชิสสส

ตาลุก
อิอิ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 30 : 20/1/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 20-01-2018 21:49:19
ชอบนะ แต่มีกลิ่นดร่าม่า ถ่านไฟเก่ามาทดสอบ เป็นกำลังใจให้นะ คุณผู้เขีนนๆๆๆ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 30 : 20/1/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 20-01-2018 21:55:56
พี่สยามงอแงได้น่ารักดีนะ  o18

หลานคนแต่ง รักษาสุขภาพด้วยนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 30 : 20/1/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 20-01-2018 22:34:35
อื้อออ ม่ายังไม่มาา ยังอ่านได้ ฮืออออ ลูกปองน่ารัก ใครๆก็รักลูกปอง ถ้าอิหยัมไม่รักก็กลับมาหาแม่นะลูก พี่หยัมรักน้องมากมั้ย อย่าทำน้องเจ็บมากนะเว้ย ไม่ยกลูกให้น้าาา! :m16: :m16: :m16:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 31 : 27/1/2018 ] หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 27-01-2018 20:47:38
บทที่ 31 จรวดกระดาษของสมปอง




รู้ไหมครับว่าจรวดปลายแหลมมันจะฟ่างไปได้ไกลกว่าจรวดแบบปีกใหญ่

ถ้าเราพับส่วนท้ายของลำด้วยมันจะร่อนลมได้นานมากขึ้น

รึเปล่าวะ

ผมนั่งมองจรวดที่กองเกลื่อนพื้นห้อง จรวดพวกนี้เกิดขึ้นมาจากชีทวิชาฟิสิกส์ของผมเอง พรุ่งนี้จะเป็นวันสอบไฟนอลวันสุดท้าย แน่นอนว่าวิชาสุดท้ายที่สอบก็คือฟิสิกส์นั่นแหละ พอสอบไฟนอลของเทอมซัมเมอร์เสร็จ มหา'ลัยก็จะปิดประมาณ 2 อาทิตย์กว่าๆ ซึ่งผมคิดไว้ละว่าช่วงปิดเทอมสั้นๆ นั้นต้องไม่ว่างแน่ๆ

มันเป็นวันหยุดที่เราจะไม่ได้หยุดน่ะครับ

เศร้าใจ

แต่ไม่เป็นไร ไม่หยุดก็ไม่หยุด เอาจริงๆ ตั้งแต่ที่ได้รับหน้าที่ประธานคณะฯ ผมก็ไม่ค่อยมีเวลาอยู่ละ เพราะงั้นเราควรรีบทำใจให้ชินๆ ไปซะ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

"เข้ามาเลย ห้องไม่ได้ล็อค" สิ้นเสียงของผม ร่างบางของสมลันเพื่อนรักก็เดินเข้ามาในห้อง

"มึงพับจรวดทำไมวะ" มันถามก่อนจะเดินมานั่งลงบนเตียง

"กูสัญญากับตัวเองไว้ว่าจะเอาชีทฟิสิกส์ทั้งหมดมาพับจรวดแล้วเอาไปปาทิ้งให้หมด"

"มึงนี่มันบ้าจริงๆ แล้วถ้าเทอมหน้ามีฟิสิกส์เรียนอ่ะ"

"มึงคิดว่าอาจารย์เค้าจะไม่ให้ซื้อชีทอีกหรอวะ ยังไงก็ต้องซื้อชีทอยู่ดี อีกอย่างพวกสูตรทั้งหมดกูจดลงเลคเชอร์หมดละ"

มันพยักหน้ารับเบาๆ "แล้วนี่มึงจะเอาไปปาตรงไหน"

"ก็เราสอบชั้น 6 ของตึกใช่ไหมล่ะ กูจะปาตรงนั้นแหละ"

ลันตาหยิบกระดาษไปพับบ้าง "ไม่กลัวอาจารย์ด่าหรอ"

"ไม่อ่ะ....คิดการใหญ่ใจต้องนิ่ง"

"ระวังจะได้นอนแน่นิ่ง" เดี๋ยวมึงจะได้นอนแน่นิ่งข้างกู เดี๋ยวก่อน

ผมเบ้ปากใส่ลันตาก่อนจะพับจรวดไปเรื่อยๆ คือก่อนหน้าที่จะสอบผมไปหาอาจารย์วิชัยมาแล้วครับ ไปถามว่าเราสามารถปาจรวดกระดาษได้ไหม เดี๋ยวผมจะทำความสะอาดให้เอง ตอนแรกอาจารย์ก็ไม่อยากจะอนุญาตหรอกแต่เขาทนความส่งตาปิ๊งๆ ของผมไม่ไหวไง อาจารย์ก็เลยบอกว่าปาได้แต่ต้องเก็บให้เรียบร้อย ถ้ามีจรวดเล็ดลอดแม้แต่ชิ้นเดียว ผมจะโดนตัดคะแนนความประพฤติ 30 คะแนน

คืออีก 10 คะแนนก็โดนทัณฑ์บนแล้วอ่ะ

แม่งเป็นการปาจรวดที่เสี่ยงตายจริงๆ แต่ถ้าคิดจะทำแล้วก็ต้องทำครับ คนอย่างสมปองจะไม่ยอมกลืนน้ำตัวเองเด็ดขาด ผมกะว่าจะลากพี่สยามมาช่วยปา เดี๋ยวจะให้มันเป็นคนแบกจรวดทั้งหมดนี่ไปด้วย ความจริงผมอยากจะให้พี่มันช่วยผมนั่งพับ แต่ว่าเจ้าตัวมีติวหนังสือกับเพื่อน นี่ก็ไม่รู้ว่าจะกลับมากี่โมง

หวังว่าจะไม่กลับมาตอนที่ลันตาอยู่ในห้องหรอกนะ

ผมหยิบชีทอันใหม่มา "มึงหยิบสเต็ปเปอร์ให้กูหน่อยดิ่"

"สเต็ปเปอร์....อ๋อ" พอมันอ๋อเสร็จมันก็หยิบสเต็ปเปอร์มาให้ผม "ไม่เรียกแม็กซ์วะ"

"แม็กซ์มันเป็นชื่อยี่ห้อ กูไม่ได้ใช้ยี่ห้อนั้นซะหน่อยทำไมกูต้องเรียกแม็กซ์"

"มึงก็เรียกเครื่องเย็บกระดาษได้ไหมล่ะ เรียกสเต็ปเปอร์นี่คนไม่รู้คำศัพท์งงตายเลยนะ"

"ก็ใช่แหละ แต่มึงนึกถึงเวลาที่พูดกับชาวต่างชาติดิ่ ถ้ามึงไปบอกเค้าว่า เห้ยยู หยิบแม็กซ์ให้ไอหน่อยดิ่ มึงว่าเค้าจะงงไหม"

"ก็คงเป็นแบบนั้นแหละ อ่าวแล้วถ้าเป็นคนไทยอ่ะ มึงไปพูดสเต็ปเปอร์ใส่แล้วเค้าไม่เข้าใจ มึงจะทำไง"

"ก็บอกเค้าไงว่าสเต็ปเปอร์เนี่ยะมันคือเครื่องเย็บกระดาษ S...T...A...P...L...E...R สเต็ปเปอร์" ผมใช้สเต็ปเปอร์แกะลวดออกจากชีท "คือมันอาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อยนะ แต่กูก็คิดว่ามันคงช่วยใครหลายๆ คนให้ใช้คำนี้ถูก ถ้าสมมุติว่ามันมีข้อสอบที่บังเอิญมีคำนี้ออกก็จะได้รู้ไง"

"มึงนี่ก็เฉียบเหมือนกันนะเนี่ย กูจะนึกว่าจะทำตัวติ๊งต๊องเป็นอย่างเดียว"

"นี่มึงชมกูใช่ป้ะ"

"เออ กูชมมึงอยู่" ลันตาวางจรวดที่เพิ่งพับเสร็จไว้บนเตียงผม "เออ กูลืมไปเลยว่าที่มาหามึงนี่เพื่อจะมาเอาสร้อยที่ฝากมึงซื้ออ่ะ"

"อ๋อ อยู่ในลิ้นชักข้างหัวเตียงอ่ะ มึงไปหยิบได้เลย" พอผมบอกแบบนั้น ลันตามันก็ลุกไปเปิดลิ้นชักหัวเตียง

"โอ้โหหหหหหหหหห"

โอ้โหอะไรของมึงวะ

ผมหันไปมองมันทันทีเพราะเสียงโอ้โหเมื่อกี้ สิ่งที่ลันตาหยิบออกมาจากลิ้นชักไม่ใช่สร้อยที่มันฝากผมซื้อนะ แต่เป็นกล่องถุงยางที่พี่สยามซื้อมา ทำไมกล่องสีนั้นผมไม่เคยเห็นวะ อย่าบอกนะว่ามันไปแอบซื้อมาเพิ่ม แม่งต้องใช่แน่ๆ เลยว่ะ รู้สึกได้ถึงสายตาของเพื่อนรักที่มองมาอย่างจับผิด ผมก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้มัน

ชิบหายละปองเอ้ย

"ถุงยางนี่...."

"ของกูเองอ่ะ"

"น้ำหน้าอย่างมึงเนี่ยนะใส่ไซส์ 56 " ลันตามันเบ้ปากใส่ "ตลกละ"

ทำไมรู้สึกเจ็บปวดแปลกๆ

"ทำไม สวมไซส์ 56 แล้วแปลกตรงไหน"

"ไม่มีใครบ้าใส่ถุงยางที่หลวมกว่าไซส์ของตัวเองหรอกนะ" มันหรี่ตามองผมอย่างคาดคั้น "ของใครกันแน่"

"อยู่ในห้องกูก็ต้องของกูสิ"

"งั้นหรอ เจลหล่อลื่นขวดนี้ก็ด้วยน่ะสิ" มันหยิบขวดเจลสีชมพูขึ้นมา นี่ใจคอมึงจะต้อนให้กูจนมุมจริงๆ สินะ

"เออ ของกูเองอ่ะ" ผมลุกมาหามันก่อนจะแย่งของที่อยู่ในมือใส่กลับลงไปที่เดิมแล้วหยิบกล่องสร้อยส่งให้แทน "กลับห้องไปได้แล้วไป"

"แหม ทีนี้ไล่กูเชียวนะ กลัวเจ้าของถุงกลับมาก่อนรึไง"

"มึงพูดอะไร กูไม่เห็นจะรู้เรื่อง" ตีหน้าซื่อใส่มันไปครับ เวลาเจอเรื่องแบบนี้เราต้องชี้โบ๊ชี้เบ๊เท่านั้น

"หึ....เอ้อ กูไปก็ได้" มันเบ้ปากใส่ผมก่อนจะเดินไปหยุดที่หน้าประตูแแล้วหันกลับมายกยิ้มให้ "ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าพี่สยามจะใส่ไซส์ 56 มึงคงปวดแย่เลยสิ"

"ลันตา!!!"

"ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ " มันหัวเราะลั่นก่อนจะเดินออกไป

อีงูพิษนี่!!!

แม่งเอ่ยชื่อพี่สยามออกมาเฉยเลย นี่แอบได้ยินตอนกูเอากันป้ะเนี่ยะ มหา'ลัยคนมีเป็นร้อย อาจจะไม่ใช่พี่สยามก็ได้ไหมวะ หึ้ยยย....ยยย ละนี่จะหงุดหงิดทำไมเนี่ยะปอง สักวันนึงเรื่องนี้ก็ต้องมีคนรู้อยู่ดีนั่นแหละ แค่ลันตามันรู้ก่อนชาวบ้านเท่านั้นเอง เอ๊ะ หรือว่าชาวบ้านเขาก็รู้กันหมดแล้วเหลือแค่ผมที่ไม่รู้อยู่คนเดียว

นี่กูพูดอะไรวะเนี่ยะ

พูดเองก็งงเอง

ผมส่ายหัวไล่ความมึนก่อนจะเดินไปหยิบไดอารี่สีขาวที่ซ่อนไว้ใต้กองผ้ามา เดี๋ยวเขียนไดอารี่บ่นให้พ่อฟังก่อนครับแล้วค่อยพับจรวดต่อ ผมไม่ได้เขียนไดอารี่มาหลายวันละ เขียนครั้งล่าสุดนี่ช่วงก่อนสอบไฟนอล เรื่องที่เขียนก็คือพี่สยามมันยืนทะเลาะกับต้นไม้ที่ริมระเบียง ถ้าพ่อได้อ่านพ่อต้องขำในความบ๊องของมันแน่ๆ

เอาล่ะ....จับปากกาแล้วตั้งสตินะปองนะ





พรุ่งนี้สอบไฟนอลวันสุดท้ายแล้วนะครับ

เย่ๆ ๆ ๆ

รู้สึกดีใจมากที่จะได้เป็นไทจากมหกรรมการสอบมหาโหดนี้สักที พรุ่งนี้สอบฟิสิกส์เป็นวิชาสุดท้าย ผมก็เลยจะฉลองด้วยการเอาชีทฟิสิกส์ทั้งหมดมาพับเป็นจรวดแล้วเอาไปปาให้ว่อนเต็มตึกเลย แต่ว่าปาเสร็จก็ต้องไปเก็บอ่ะนะ เพราะตกลงกับอาจารย์ไว้ว่าถ้าเก็บไม่หมดจะโดนตัดคะแนนความประพฤติ 30 คะแนน แต่พ่อไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวผมจะเก็บจรวดให้ครบทุกลำเลย

เดี๋ยวจะให้พี่สยามมันช่วยเก็บด้วย

ไม่ใช่แค่ให้ช่วยเก็บหรอก เดี๋ยวจะให้มันแบกถุงจรวดไปมหา'ลัยให้ ให้มันช่วยปาด้วย อะไรที่ใช้แรงงานผมจะสั่งให้มันทำให้หมดเลย เออช่วงนี้พี่สยามมันกลายเป็นผู้ชายวอร์มๆ ด้วยนะพ่อ แบบอยู่ใกล้ๆ แล้วรู้สึกถึงความอบอุ่นเลยอ่ะ นี่ผมคิดว่ามันต้องไปดูซีรี่ส์อะไรสักอย่างมาแล้วมาทำตามแน่ๆ พูดจาก็หวานน้ำตาลเรียกพี่เลยแหละ ใจนึงผมก็คิดนะว่าผีเข้ามันรึเปล่าทำไมอยู่ดีดีก็เปลี่ยนไป มันก็ดีนะพ่อไม่ใช่ว่าไม่ดีแต่แบบ....เวลาที่พี่มันทำแบบนั้นใจผมจะชอบสั่นอ่ะ

สั่นรุนแรงมากด้วย

ก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นวอร์มกายไปอีกนานแค่ไหน แต่เดี่ยวถ้ามันกลับมาเป็นผีบ้าเมื่อไหร่เดี่ยวผมจะเขียนเล่าให้พ่ออีกที สอบวันพรุ่งนี้ก็ส่งกำลังใจมาให้เยอะๆ ด้วยนะครับ

คิดถึงพ่อนะ เยิฟๆ

26/1/20XX : สมปอง





เรียบร้อยแล้วครับ

เอาไปซ่อนไว้ที่เดิมได้

ผมเดินเอาไดอารี่ไปซุกไว้ใต้กองผ้าเหมือนเดิมก่อนจะมานั่งพับจรวดต่อ ตอนนี้ก็เกือบ 3 ทุ่มแล้ว พี่สยามยังไม่โผล่หัวมาเลย เดี๋ยวมันมาผมจะต้องด่าเรื่องที่มันซื้อถุงยางมาเพิ่ม อย่าหวังว่าจะได้ใช้เลยมึง

พึ่งพามือตัวเองไปซะ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

"เข้ามาได้เลย"

ร่างสูงเดินถือชีทเข้ามาในห้อง "กลับมาแล้วครับ แล้วนี่มึงทำอะไรเนี่ยะเมีย"

"พับจรวดไง"

"พับทำไมวะ"

"องค์การนาซ่ามีแผนจะย้ายคนไปอยู่บนดาวอังคารอ่ะ เมื่อวานเค้าโทรมาวานให้กูช่วยพับจรวดให้ พอดีเค้าจะส่งคนไปเยอะมันก็เลยต้องใช้จรวดเยอะ มึงมาก็ดีละมาช่วยกูนั่งพับหน่อย"

"นี่กูต้องเชื่อสิ่งที่มึงพูดไหม"

"ต้องเชื่อสิ นี่คำพูดเมียมึงเลยนะ"

พี่สยามมันยกยิ้มก่อนจะเดินมานั่งลงข้างๆ ผม "มึงนี่มันจริงๆ เลยนะ"

"กูทำไม"

"น่ารัก" ว่าแล้วมันก็หอมแก้มผมฟอดใหญ่

"อื้ออ.อ.อ....อยู่ดีดีก็มาหอม นี่กูมีพ่อมีแม่นะ"

"เดี๋ยวบอกแม่ฮื้อไปขอ"

ผมหันขวับไปมองมันทันที "บ่ต้องมาขอ....คิงอยากโดนป้อฮายิงก่ะ"

"บ่อยาก ฮาอยากอยู่โตยคิงไปเมินๆ " คนพูดยิ้มหวานให้ "ไงล่ะ อู้ดีแม่นก่อ มาจุ๊บกำเลาะ" ว่าแล้วมันก็ทำปากจู๋

ผมดันหน้าหล่อๆ ไว้ "บ่จุ๊บ ไปอาบน้ำป่ะ"

"ก่อได้ครับ เดี๋ยวออกมาจ่วยพับจรวดเน้อ" ว่าแล้วมันก็ลุกไปหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป

พี่สยามนี่แม่งโคตรพี่สยามเลยว่ะ

เขินเหมือนกันนะที่มันบอกว่าเดี๋ยวให้แม่มาขอน่ะ หัวใจเต้นผิดจังหวะเลยเมื่อกี้น่ะ ถ้าสมมุติว่าพี่สยามมันไปขอผมกับแม่จริงๆ ขึ้นมานี่จะเป็นยังไงวะ แม่อาจจะตกใจมาก ระหว่างนั้นพ่อก็ต้องวิ่งไปหาปืนมาไล่ยิงมันแน่ๆ แล้วพอพี่สยามมันตาย พ่อก็จะต้องเอามันไปหมักเป็นปุ๋ยเพื่อปลูกต้นองุ่นต่อไป ส่วนผมก็จะเป็นพ่อหม้ายผัวตาย

มันแปลกๆ นะพ่อหม้ายผัวตายเนี่ยะ

ช่างแม่งเถอะ อย่าเพิ่งไปคิดเรื่องที่มันยังมาไม่ถึงดีกว่า ตอนนี้สิ่งที่ควรคิดคือเมื่อไหร่ไอ้ชีทฟิสิกส์นี่มันจะกลายเป็นจรวดจนครบทุกอันสักที ไม่ไหวจะพับแล้วนะโว้ยยยย

แม่งเยอะชิบหายยยยยยยยยยย





ไฟนอลฟิสิกส์นั้น....ฉันตาย

ตายอย่างอนาถ

เดี๋ยวจะบินไปพร้อมจรวดนี่แหละ

ผมยืนไว้อาลัยให้กับนายสมปองที่กำลังจะกระโดดลงไปตายในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า สอบฟิสิกส์มันเป็นอะไรที่ทำร้ายสมองมาก เดินออกจากห้องสอบด้วยสภาพโหยหาความตายสุดๆ ตอนนี้ผมมายืนอยู่ตรงเยื้องๆ กับห้องสอบ โดยมีถุงที่ใส่จรวดชีทฟิสิกส์ถุงใหญ่วางอยู่ข้างๆ เหล่าสหายของผมก็นั่งมองอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ส่วนพี่สยาม.....

เพิ่งเดินมาพอดี

ที่ผมยังไม่ปาจรวดก็เพราะว่ารอมันมาปาด้วยกันนี่แหละ ผมถามเพื่อนๆ ละว่าจะปาด้วยกันไหม แต่พวกมันบอกว่าไม่ดีกว่า จะนั่งคอยเป็นกำลังใจให้แทน ฟังแล้วรู้สึกซาบซึ้งมากอ่ะ

"รอนานรึเปล่า" คนที่เพิ่งเดินมาถึงเอ่ยปากถาม

"พี่สยาม" ผมเบะปากจนสุด "กูจะตายแล้ว"

เจ้าตัวหลุดยิ้มออกมาก่อนจะยกมือขึ้นขยี้หัวผม "กูไม่ให้ตายหรอกนะ หื้มมม..ม...อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ อยู่ตรงนี้มันดึงมากอดไม่ได้นะ"

ตึกตัก

นั่นนนน

งานดึงมากอดก็มา

"เอ่อ....ไหนๆ มึงก็มาแล้ว เรามาปาจรวดกันเลยดีกว่า" ผมดันถุงจรวดไปให้มัน

"มึงปาก่อนเลยเดี๋ยวกูปาตาม"

"ได้" ผมหยิบจรวดลำแรกขึ้นมาก่อนจะปาออกไปสุดแรง "ลาก่อนเจ้าฟิสิกส์"

"หึ....สอบเป็นไง" พี่สยามมันหยิบจรวดมาปาออกไปบ้าง

"มึงดูจากหน้ากูมึงก็น่าจะรู้นะ"

"แย่ขนาดนั้นเชียว"

"เออน่ะสิ ปาแม่งออกไปให้หมด" ผมหยิบจรวดมาปาออกไปรัวๆ

สังเกตว่ามีเด็กวิศวะฯ ถ่ายคลิปที่ผมกับพี่สยามช่วยกันปาจรวดด้วย เออ ถ่ายเลยตามสบาย เพราะถึงห้ามยังไงแม่งก็ถ่ายอยู่ดี ผมว่าอีพวกที่นั่งข้างล่างนั่นคงจะตกใจกันใหญ่แล้วล่ะมั้ง อยู่ดีดีก็มีจรวดจากไหนตกมาก็ไม่รู้ หวังว่ามันคงจะไม่ไปตกใส่หัวใครหรอกนะ

ก็แค่หวัง

ผมหยิบจรวดปาไปเรื่อยๆ พี่สยามเองก็ไม่ต่าง ขนาดปาไม่หยุดมือแบบนี้ จรวดที่อยู่ในถุงก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลย พอเห็นแบบนั้นผมเลยเรียกให้บรรรดาเพื่อนๆ มาช่วยปาหน่อย แถมยังลากให้เด็กวิศวะฯ ที่ยืนมองอยู่มาช่วยกันปา ไม่ต้องห่วงนะทุกคนถ้าเกิดอะไรขึ้นเดี๋ยวสมปองคนนนี้รับผิดชอบเอง

"ปาเองไม่ไหวแล้วรึไง" พี่สยามมันมองพวกเด็กวิศวะฯ ที่ผมลากมาให้ช่วยปาจรวด

"ปาอ่ะไหว แต่มันเยอะอ่ะดิ่ รอเรา 2 คนปาหมดก็ชาตินึงอ่ะ"

"เดี๋ยวตอนเก็บมึงจะปวดประสาทกว่านี้อีก"

"ไม่ปวดประสาทหรอกเพราะคนเก็บคือมึง" ผมยิ้มแฉ่งให้

เจ้าตัวมองค้อนใส่ทันที "มึงนี่มันเด็กเปรตจริงๆ "

"ทำไม จะไม่เก็บให้รึไง"

"เก็บสิ ยังไม่ได้บอกเลยว่าจะไม่เก็บ" พี่มันดึงแก้มผมแรงๆ "ให้รางวัลกูด้วยนะ"

"เดี๋ยวเลี้ยงหมูปิ้ง 2 ไม้"

"ไม่เอาหมูปิ้ง"

"ไม่เอาหมูปิ้งแล้วจะเอาไร"

มันเลื่อนมากระซิบข้างหูผมเบาๆ "เอามึงอ่ะ"

"ฝันไปเถอะ" ผมเบ้ปากใส่ก่อนจะผลักมันออกห่าง

คิดจะเอากูมันยังเร็วไป 100 ปีโว้ยพี่สยาม

ผมยืนปาจรวดไปเรื่อยๆ ใช้เวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง จรวด 100 กว่าลำก็ทะยานสู่พื้นด้านล่างเรียบร้อยแล้ว ผมเอ่ยขอบคุณพี่น้องชาววิศวะฯ ทุกคนที่มาช่วยผมปล่อยจรวดในครั้งนี้ พอเราปาเสร็จแล้วก็ถึงเวลาที่เราต้องลงไปเก็บ ผมรีบลากพี่สยามเดินลงมาด้านล่าง ภาพที่เห็นนี่ทำให้ผมตาค้างไปชั่วขณะ

จรวดกระดาษแม่งเต็มหน้าตึกเลยครับ

ปักอยู่ในพุ่มไม้บ้างก็มี

"นี่มันงานใหญ่เลยนะอีเมีย" พี่สยามมองผมตาขวาง

ผมทำตาแป๋วใส่ "ก็ไม่เห็นจะเท่าไหร่เลย"

"เดี๋ยวเถอะนะ" พี่สยามมันแย่งถุงในมือไปจากผม "ช่วยกันเก็บเลยเร็วๆ "

"รู้แล้วน่า" ผมก้มลงเก็บจรวดที่ตัวเองปาลงมาไปใส่ถุง

"สมปอง"

"หืม...."

"กูจะนับนะว่าจรวดที่กูต้องเก็บมีทั้งหมดกี่ชิ้น"

ผมหันไปมองมัน "นับทำไมวะ"

"กูจะจูบมึงตามจำนวนจรวดที่กูเป็นคนเก็บ" เจ้าตัวเอ่ยก่อนจะยกยิ้ม "ปากมึงเปื่อยแน่"

"มึงนี่แม่ง...." นอกจากจะเป็นวอร์มกายแล้วยังเป็นลัสท์กายด้วยหรอวะ

น่าทุบให้ตายชะมัด

ผมรีบแย่งเก็บจรวดที่ตกอยู่ อย่างน้อยก็ต้องเก็บให้ได้เยอะกว่ามัน โดนจูบเท่ากับจำนวนจรวดที่มันเก็บได้นี่ก็ไม่ไหวนะ ปากนี่มีแตกแน่นอน แล้วอีกอย่างคนอย่างพี่สยามมันต้องไม่หยุดที่จูบแน่ แม่งต้องต้อนจนได้ป๊ามผมชัวร์เลย ผมจะไม่ยอมเสียตัวง่ายๆ อีกแล้ว

"ชิ้นที่ 57 แล้วนะเมีย....เตรียมล้างปากไว้ให้ดีเลยนะมึง"

มึงโกงกูป้ะเนี่ยยยย

เก็บเยอะอะไรขนาดนั้นล่ะพี่สยามมมมมมมมมมม








TBC.

สวัสดีค่ะ ชาลมาส่งหยัมปองแล้วนะ ก็เพิ่งแต่งเสร็จสดๆ ยังไม่ได้แก้คำผิดอะไรเลย แต่เดี๋ยวจะมาตามแก้ให้นะคะ

ชี้แจงเรื่องวันที่ตรงที่ปองเขียนไดอารี่หน่อยนะคะ เดี๋ยวตอนที่ชาลรีไรท์ชาลจะเปลี่ยนให้มันเรียลนะคะ คือวันที่ของไดอารี่มันไม่สมเหตสมผลกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หน้าแรกของไดอารี่มันเริ่มที่เดือน 7 แต่ตอนล่าสุดนี้มันเป็นเดือน 1 ซึ่งตอนก่อนหน้ามันเป็นเดือน 12 ไง คือชาลอิงเวลาที่ตัวเองเรียนจริงๆ มาใช้นะคะ ปกติเทอมซัมเมอร์ของมหา'ลัยชาลเนี่ยะจะเรียนแค่ 3 เดือน แต่ถ้าสังเกตก็จะเห็นได้ว่าปองเรียนมาครึ่งปีแล้วซึ่งนับว่าผิด อีกอย่างคือเรียกว่าซัมเมอร์แต่ไม่ได้เรียนช่วงซัมเมอร์ คืออย่างมหา'ลัยของชาลเนี่ยะ จะเรียกว่าเทอมพรี น่ะค่ะ ก็เทอมปรับพื้นฐานนั่นแหละ สำหรับของเด็กปี 1 นะ พอระบบการเรียนของตัวเองไม่เหมือนกับของคนอื่นมันก็เลยจะมึนงงสับสนหน่อยเวลาแต่ง แต่เดี๋ยวชาลจะต้องรีไรท์ให้ใหม่ อาจจะเปลี่ยนคำที่ใช้ด้วย ไว้รีไรท์ขุนหนมเสร็จก็จะรีบแก้ส่วนนี้ให้นะคะ ขออภัยด้วยถ้าทำให้คนอ่านงงๆ กับเวลาในเรื่องที่เกิดขึ้น

อาทิตย์หน้าชาลจะลงบท 32 ก่อนจะขออนุญาติพักการลงนิยายอาจจะ 2-3 อาทิตย์นะคะ เนื่องจากเป็นช่วงที่ฝึกงานเสร็จแล้วจะต้องทำรายงานฝึกงาน และเตรียมการพรีเซ้นท์ แต่ช่วงนั้นชาลมีคิว ฟิค PaperHearts : ส่งรักผ่านกระดาษ [HyungWonho] ลงด้วย เป็นเวลา 10 วัน 10 บท ยาวยันวาเลนไทน์ เดี๋ยวชาลจะชี้แจงเวลาที่แน่นอนอีกทีนะคะว่าจะกลับมาลงหยัมปองอีกทีวันไหน แต่คิดไว้แล้วว่าสเปเชี่ยลวาเลนไทน์ก็จะแต่งคู่นี้ลงค่ะ ก็รออ่านได้นะวันที่ 14 กุมภาพันธ์

ถ้าชอบก็คอมเม้นต์ เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ ช่วงนี้ภารกิจเยอะ วุ่นวายและหัวหมุนมาก สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis (https://twitter.com/Chaleeisis) น้า

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ



*ลัสท์กาย มาจาก Lust Guy

Lust = หื่น

ตามนี้นาจาา
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 31 : 27/1/2018 ] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 27-01-2018 21:56:21
ดีต่อใบพี่สยามๆๆ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 31 : 27/1/2018 ] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 27-01-2018 22:28:10
มันจะดราม่าได้ยังไง
ดูไม่ออก

หยัมปองรักกันขนาดนี้
เน๊าะ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 31 : 27/1/2018 ] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 27-01-2018 23:07:59
นอกจากปากจะเปี่อยแล้ว ระวังเป็นแผลกดทับนะ เพราะนอนติดเตียงเป็นเวลานาน ๆ เตรียมหยูกยาให้พร้อมนะ เป็นห่วง  :hao6:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 31 : 27/1/2018 ] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 27-01-2018 23:13:53
สมปอง คิดได้ไงพับจรวด ปาแล้วก็ต้องเก็บ
เอาเวลาทั้งพับ ทั้งเก็บไปอ่านหนังสือ ทำอย่างอื่นดีกว่ามั้ย  :hao3:

ลันตารู้ โลกรู้ แน่ๆ  :serius2: :serius2: :serius2:
พี่สยาม ใจดีนะเนี่ย
คิดค่าเก็บจรวดแค่จูบ แม้ปากอาจจะเปื่อยไปบ้าง
นึ่ถ้าคิดเป็น เอ่อ.......เรื่องอย่างว่าละก็ ไม่อยากจะคิด สมปองต้องร้าวระบมเดินไม่ไหวแน่  :hao6: :hao6: :hao6:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ขอแก้ที่ผิดนะ
จรวดปลายแหลมมันจะฟ่างไปได้ไกลกว่าจรวดแบบปีกใหญ่----- ขว้าง :katai2-1:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 31 : 27/1/2018 ] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 29-01-2018 20:43:01
อ่านเรื่องนี้แล้วเหมือนได้ความรู้เพิ่ม555 พี่สยามแม่งหื่นได้ใจอ่ะ จูบ57ทีนี้คงฟิน โอ๊ยยย! สมปองก็น่ารักมาขว้างเครื่องบินกระดาษ คำว่าน่ารักเต็มหัวไปหมด ฮือออ รอนะคะคูมชาล อยากให้พักผ่อนเยอะๆเรารอได้ นานแค่ไหนก็รอได้ อยากให้คุณชาลดูแลตัวเองด้วยนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่าาา <3 #หยัมปอง
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 32 : 5/2/2018 ] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 05-02-2018 20:41:51
บทที่ 32 สมโป๊ะ



"อื้อออ....อออ พอแล้ว"

"ไม่พอ ยังไม่ครบเลย"

"งื้ออออ....อออ"

"ยังอีก"

"พอแล้วพี่สยาม"

"ไม่ได้ มาเร็วๆ "

"ทำไมใจร้ายอื้ออออออ"

ใจคอไม่คิดจะให้กูพูดให้จบก่อนเหรอ

ข่นเลวววว

ผมนั่งเป็นผักอยู่บนตักพี่สยาม ขยับตัวไม่ได้เลยครับเพราะโดนมันเอาแขนแน่นๆ รัดไว้ ส่วนปากกับลิ้นนี่ก็ทำหน้าที่ดีมาก แม่งดูดปากผมจนเจ่อไปหมดแล้ว ตอนแรกที่โดนจูบก็รู้สึกเคลิ้มอยู่ในใจลึกๆ อยู่หรอก แต่พอโดนจูบซ้ำๆ ย้ำๆ นี่แบบหอบแดกเลยอ่ะ คือผมหายใจไม่ทันแต่พี่สยามก็ยังจะจูบเอาๆ

กะให้กูตายแล้วมึงจะไปหาเมียใหม่ใช่ไหมห้ะ

แผนมึงนี่มันชั่วช้าสามานย์

อื้อออ...อออ ตอนนี้ปากแฉะไปหมดแล้วอ่ะครับ นี่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะไม่ให้มันช่วยเก็บจรวดแม้แต่อันเดียว พี่สยามมันเก็บจรวดได้ทั้งหมด 106 ชิ้น คือแบบมึงมันเกินไปอ่ะ ผมไม่ได้เพิ่งโดนมันจูบวันนี้วันแรกนะ นี่โดนมันจูบมา 3 วันละ แล้ววันละ 30 ครั้งอ่ะคิดดู แล้วจูบของมันนี่ไม่ใช่แค่จุ๊บปากแตะปาก มันจูบแบบจูบเลย

แลกลิ้นนัวเนีย

เลียลามมาคอก็มี

แต่ผมก็ยังโชคดีอยู่นะที่มันยอมหยุดทุกอย่างไว้ที่จูบ พี่สยามมันบอกกับผมว่ามันจะยอมอดทนจนกว่าผมจะเป็นคนไปให้ท่ามันเอง แต่ถ้านานจนถึง 2 เดือนมันก็บอกว่าให้ผมล้างตูดรอได้เลย เพราะมันจะแดกผมแบบแน่ๆ แล้วถ้าผมไม่ยอมมันก็จะปู้ยี้ปู้ยำจนผมหมดแรงและสลบคาอกมัน

ดูมันพูดดดด

"อื้มมม...ม..พอแล้ว" ผมโกยหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เมื่อมันละจูบออกไป "ค่อยต่อพรุ่งนี้นะ" ขืนจูบอีกนี่ตายห่าแน่ๆ

"ถ้าไปต่อพรุ่งนี้ต้องมีดอกเบี้ยนะ"

ผมตีไหล่มันอย่างแรง "มักมาก"

"ก็ถ้าไม่อยากโดนดอกเบี้ยก็ให้จูบให้ครบสิ"

"มึงไม่เบื่อบ้างหรอพี่สยาม จูบกูจนปากเปื่อยแล้วเนี่ยะ"

"ไม่เบื่อครับ" มันยกมือดึงแก้มผมเบาๆ "จำไว้นะเมีย ถ้าวันไหนที่กูเบื่อจะจูบมึงขึ้นมานั่นมันหมายความว่ากูไม่ได้รักมึงแล้ว และกูก็คงไม่ได้ต้องการมึงอีกต่อไป"

เชี่ยยยย

ทำไมมันหน่วงๆ

"งืม....งั้นจูบต่อเลยก็ได้นะ" ว่าแล้วผมก็ทำปากจู๋ใส่ จูบสิจูบกู

คนตรงหน้าหลุดยิ้มออกมา "น่ารักจริงๆ เลยนะ" ว่าแล้วเจ้าตัวก็ฝังจมูกลงที่แก้มผมก่อนจะสูดความหอมหนักๆ

"อื้ออ....อ....ทำไมไม่จูบเล่า"

"วันนี้เอาแค่นี้ละกัน" พี่สยามไล้นิ้วที่ริมฝีปากผมเบาๆ "สงสาร เดี๋ยวมึงขาดใจตายซะก่อน"

เพิ่งคิดได้เหรอครับ

แหม่ มันน่าตบ

ผมเบ้ปากใส่ก่อนจะกอดเจ้าตัวไว้แล้วนั่งนิ่งๆ เวลาบนตักมันแบบนี้ผมดูกลายเป็นเด็กตัวน้อยๆ ไปเลย พี่สยามนี่ไหล่กว้างมากแถมยังหนาอีกต่างหาก โตมายังไงถึงได้ตัวใหญ่ชิบหายแบบนี้วะ มันไม่ได้โตแต่ตัวด้วยนะ ไอ้นั่นก็โตด้วย

อา....พอคิดภาพตามแล้วเขินแปลกๆ

ซบพี่สยามแก้เขินแปป

"ปอง"

"หืม...."

"หิวข้าวรึเปล่า จะ 10 โมงละนะ"

"หิว ไปกินโจ๊กกันไหม"

"ก็ได้นะ แต่เดี๋ยวกูขอไปอาบน้ำก่อน"

"ได้" ผมขยับตัวลงจากตักพี่สยามก่อนจะนั่งมองมันตาแป๋ว "รีบอาบนะ จะอาบบ้าง"

"อาบพร้อมกันไหมครับ"

ผมส่ายหน้ารัวๆ "ไม่เอา ไม่ปลอดภัย"

"มีงนี่นะ" มือเรียวยื่นมาเสยผมที่ปรกหน้าผมให้ขึ้นไปด้านบนก่อนจะเลื่อนหน้าเข้ามาจุ๊บหน้าผากผมเบาๆ "งั้นรอแปปนะครับ" ว่าแล้วมันก็ยิ้มหวานแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป

โดนจุ๊บหน้าผากด้วยอ่ะ

อึ้ยยย....ยยยพี่สยามข่นบ้าาาา

ผมหยิบหมอนมันมากอดก่อนจะกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง หน้าร้อนไปหมดแล้วโว้ยยยย ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ผมจะชินกับพี่สยามเวอร์ชั่นวอร์มกายสักที อยู่ด้วยกันทุกวันนี่ใจบางมาก

สงสัยอยากจะเห็นผมเขินจนตัวแตกตาย

เดี๋ยวพวกเราคณะกรรมการฯ จะต้องส่งคนไปดูค่ายไว้ก่อนล่วงหน้าซึ่งในคนที่จะไปนั้นมีผมกับพี่สยามแน่นอน ไม่แน่ใจว่าพวกพี่ปี 2 จะไปกันครบรึเปล่า แต่พวกว้ากเกอร์ไม่มีใครไป พี่เฌอได้ให้เหตุผลไว้ว่าช่วงปิดเทอมมันเป็นเวลาจำศีลของปลาทอง

ปลาทองงงง!!!

ปลาทองมายังไง

ผมงงในงงมากหลังจากที่เขาพูดแบบนั้นออกมา หันไปถามพี่แช่มต่อเขาก็บอกว่า ถ้าปลาทองจำศีลไม่พอเนี่ยะ ปลาทองจะอ่อนแอและมันจะไม่มีแรงว่ายน้ำ คือคำตอบของพี่เขาก็ทำให้ผมงงขึ้นไปอีก จนสุดท้ายต้องหันไปพึ่งพี่ฉาย หวังว่าเขาพูดเรื่องปลาทองได้เคลียร์ แต่คำตอบที่ผมได้กลับมาคือ....ปลาทองมันเกิดมาเพื่ออร่อย

พี่กินปลาทองเหรอพี่ฉาย!!!!!

โหดร้ายที่สุด

พอๆ เลิกคิดเรื่องปลาทองแล้วกลับมาเรื่องค่าย ผมตื่นเต้นมากนะที่จะได้ไปดูค่ายก่อนน่ะ เพราะว่าจะได้แอบไปดูทุ่งดอกยิปโซไว้ด้วย เวลาที่จะเตรียมโน่นเตรียมนี่จะได้จัดการถูก พวกเรากะว่าจะไปกันสัก 4 วัน ดูค่ายวันนึงส่วนวันที่เหลือไปเที่ยว

เรื่องเที่ยวนี่ต้องมาก่อนสินะ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

"ใครมาวะ" สมลันเหรอ หรือสมเทียน สมแยมนี่ไม่น่าจะโผล่มาเพราะมันน่าจะเล่นเกมอยู่ ด้วยความสงสัยที่ว่าใครเป็นคนเคาะประตูผมจึงเดินไปเปิดประตู

"ว่าไงน้องรัก" ใบหน้าหล่อเอ่ยพลางยกยิ้ม "คิดถึงเลยแวะมาหาน่ะ"

"สภาพแบบนี้นี่พึ่งตื่นหรอวะ แล้วทำไมปากถึงได้เจ่อแบบนั้น"

ผมยืนกระพริบตาปริบๆ มอง 2 คนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา นี่ไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหมวะ หรือผมฝันไป ก็ไม่น่าจะฝันไหมเพราะถ้าเป็นในฝัน การจูบกับพี่สยามคงไม่ทำให้รู้สึกดีถึงขนาดนั้น

ชิบหายละปอง

"มึงมาทำอะไรที่นี่กัน....ณนนท์ พะนาย"

"ก็บอกว่าคิดถึงไงเลยมาหา นี่เอาของฝากมาให้เยอะแยะเลยนะ" พะนายบอกพร้อมกับชูของฝากในมือให้ดู เอามาให้กูถมห้องเหรอวะ เยอะชิบหาย แดก 3 ชาติก็ไม่หมดหรอกน่ะ

เว่อร์ไป

"จะให้พวกกูเข้าห้องได้รึยัง ของมันหนัก"

"เออๆ เข้ามา" ผมหลบทางให้พวกมันถือของเดินเข้ามาในห้อง รู้สึกเหมือนชีวิตกำลังแขวนอยู่ยบนเส้นด้ายเลยว่ะ คือถ้าในห้องตอนนี้มีผมอยู่คนเดียวมันจะไม่หวั่นใจถึงขนาดนี้เลย

"ปอง มึงได้เสื้อช้อปมาแล้วหรอ" พะนายถามก่อนเดินไปหยิบเสื้อช้อปที่แขวนอยู่หน้าตู้มาดู "ปกติเด็กปี 2 หนิที่จะมี"

"คือ....มอกูอ่ะ เค้าให้มาตั้งแต่ปี 1 "

ณนนท์มันเลิกคิ้วมองผม "จะโกหกอะไรคิดให้ดีก่อนนะ เสื้อนั่นมันไซส์ใหญ่กว่าตัวมึง"

"ก็อยากใส่เสื้อตัวใหญ่ๆ อ่ะ เผื่อกูจะโตขึ้นบ้างไง" ผมเดินไปแย่งเสื้อมาจากมือพะนาย "พวกมึงไปนั่งกันให้เป็นระเบียบซิ อย่ามาเดินรื้อโน่นรื้อนี่สิวะ"

ผมบ่นก่อนจะแขวนเสื้อช้อปของพี่สยามไว้อย่างเดิม ควรจะเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ยังไงดีวะ ณนนท์กับพะนายมันต้องรู้แน่เลยว่าผมไม่ได้อยู่คนเดียว คือสายตาพวกมันอ่ะกวาดมองโน่นมองนี่ในห้องทั่วละ แต่คงยังไม่พูดออกมาเท่านั้นแหละ ถ้าบอกพวกมันไปว่าพี่สยามเป็นรูมเมทล่ะ เอออันนี้อาจจะพอฟังขึ้น

"เมียครับบบบ หยิบผ้าเช็ดตัวให้หน่อย กูลืมหยิบเข้ามา"

เชี่ยยยย

เมียครับเต็มๆ หูเลย

ผมหันมายิ้มแห้งๆ ให้กับณนนท์กับพะนายที่ทำหน้าบึ้งอยู่ "กูแถตอนนี้ทันไหม"

"ไม่"

จบแล้ว จบชีวิต

เฮ้ออออ

ผมถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดตัวเดินไปหยุดอยู่หน้าห้องน้ำแล้วเคาะประตู สักแปปนึงก็มีมือเรียวยื่นมาหยิบผ้าเช็ดตัวไป ส่วนผมก็เดินมานั่งคอตกอยู่หน้าลูกพี่ลูกน้องทั้ง 2 คนของผม สายตากดดันทิ่มแทงนี้มันคืออะไรวะ สงสัยต้องบอกไปตามความจริงนั่นแหละเรื่องของผมกับพี่สยาม ก็นะ หลักฐานคาตาหลายอย่างเลย

แม่งโคตรโป๊ะ

เปลี่ยนชื่อจากสมปองเป็นสมโป๊ะดีกว่ามั้งผมเนี่ย

"ไอ้คนที่อยู่ในห้องน้ำน่ะ เป็นเจ้าของเสื้อช้อปนั่นถูกไหม"

"เออ"

"เป็นเจ้าของหนังสือในชั้นพวกนั้นด้วยใช่ไหม"

"เออ"

ณนนท์พยักหน้ารับเบาๆ "มันเป็นผัวมึงงั้นสิ"

"ก็ทำนองนั้น" พวกมึงก็ได้ยินว่ามันเรียกกูว่าเมียหนิ

"มึงกับมันอยู่ด้วยกันมานานแค่ไหน"

"ก็เกือบ 2 เดือนละ"

"พ่อใหญ่รู้เรื่องนี้รึเปล่า"

ผมส่ายหัวทันที "ไม่ อย่าเพิ่งบอกพ่อนะ เดี๋ยวกูจะบอกเค้าเอง"

"หึ...."

มึงอย่ามาหึแล้วหันไปมองหน้ากันได้ไหม

ผมหวั่นใจมากเลยว่ะ คือเรื่องนี้ถ้าพ่อจะรู้ ผมก็อยากให้เขารู้จากปากผมเอง ไม่ได้กลัวว่าณนนท์กับพะนายมันจะเอาเรื่องนี้ไปใส่ไฟเพิ่มนะ แต่ผมยังไม่พร้อมที่จะบอกให้พ่อรู้ตอนนี้อ่ะ อีกอย่างผมกับพี่สยามยังไม่ได้เป็นแฟนกันเลยด้วย ถ้าพ่อมารู้ก่อนนี่มีหวังเอาปืนมายิงพี่มันตายแน่นอน

กกลูกเขามาตั้งเกือบ 2 เดือน

หลังจากผ่านไปได้สักพัก ร่างสูงของก็เดินออกมาจากห้องน้ำในสภาพที่สวมเสื้อยืดกับกางเกงบอล เอาเสื้อผ้าเข้าไปแต่ลืมเอาผ้าเช็ดตัวเข้าไปนี่ก็น่าตบนะ พี่สยามมันเดินเอาผ้าเช็ดตัวไปตาก พอหันมาเจอกับณนนท์กับพะนายมันก็มองแบบงงๆ สักแปป ก่อนจะยกมือไหว้ทั้ง 2 คน

"สวัสดีครับ" มันเอ่ยพลางยิ้งบางๆ ให้ก่อนจะเดินมานั่งลงข้างผมแล้วกระซิบถามเบาๆ "ใครอ่ะปอง"

"ลูกพี่ลูกน้องกูเอง"

มันมองตาโต "ใช่อ๋อ....แล้วเค้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่"

"ตั้งแต่มึงเรียกกูว่าเมียนั่นแหละ" ว่าแล้วผมก็ตีมือมันไปทีนึง "ณนนท์ พะนาย นี่พี่สยาม มันเป็นพี่รหัสกูแล้วมันก็เป็น....นั่นแหละ"

พะนายมันไล่มองคนข้างๆ ผมอย่างพิจารณา "ก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่"

"เออพี่สยาม ไอ้หน้าโจรนั่นชื่อณนนท์ ส่วนอีกคนอ่ะชื่อพะนาย มันเป็นพี่ๆ กูเอง"

"อย่ามาบอกว่ากูหน้าโจรได้ไหม"

"ก็มึงเหมือนโจรอ่ะ แล้วนี่แดกอะไรมากันรึยัง พวกกูว่าจะไปกินโจ๊กกัน"

"กูซื้อกับข้าวเข้ามาให้มึงด้วยอ่ะปอง" พะนายมันลุกไปหยิบถุงกับข้าวหลายถุง "ไม่กินหรอ"

ผมหันมองพี่สยาม "เอาไง"

"ก็กินข้าวที่พวกพี่ๆ เค้าซื้อมาก็ได้"

"เห้ยนนท์ ไหนข้าววะ มึงไม่ได้สั่งข้าวสวยมาหรอ"

"เออ กูลืมมั้ง"

"กูด่ามึงว่าโง่ได้ไหมณนนท์" คนบ้าอะไรซื้อกับข้าวมาแล้วไม่ยอมซื้อมาด้วย เด๋อสัส

ณนนท์มันยกมือขึ้นบีบแก้มผมจนปากจู๋ "อย่าพูดมาก ไปซื้อข้าวซะไป"

"เดี๋ยวผมไปซื้อให้เองครับ" พี่สยามมันอาสา แต่พะนายก็ยกมือห้ามไว้ก่อน

"ให้ปองมันไปซื้อน่ะดีละ มึงเอาเงินให้น้องไปนนท์ จะได้รีบไปแล้วรีบมา กูหิวละ" สิ้นเสียงของพะนาย ณนนท์มันก็ยัดเงินใส่มือผม

นี่ต้องทิ้งให้พี่สยามอยู่กับไอ้ 2 บ้านี่จริงๆ เหรอวะ

ผมหันไปมองพี่สยาม ใบหน้าหล่อๆ ของมันกำลังจะสื่อว่าไม่เป็นไรให้ผมไปเถอะ ถึงจะเป็นแบบนั้นแต่มันก็อดเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ เลยว่ะ เอาเป็นว่ารีบไปรีบกลับละกัน ผมหยิบกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ก่อนจะเดินออกมาจากห้อง หวังว่าณนนท์กับพะนายคงจะไม่แกล้งพี่สยามของผมมากจนเกินไปหรอกนะ

ได้แต่หวังจริงๆ



[บันทึกพิเศษ : สยาม]



ตอนแรกผมนึกว่าพอปองออกไปผมจะโดนกระทืบตายซะอีก

แต่ผิดคาดเหมือนกันแฮะ

ผมกำลังยืนช่วยพี่พะนายแกะกับข้าวใส่จาน ส่วนพี่ณนนท์ก็ไปวุ่นวายอยู่กับต้นไม้ที่ระเบียงด้านนอก คือทั้ง 2 คนเป็นมิตรกับผมมากกว่าที่คิดเยอะเลยครับ พี่ณนนท์นี่ตอนที่เดินผ่านผมไปก็ยกมือแตะไหล่แล้วบอกกับผมด้วยนะว่า ดูแลสมปองคงจะเหนื่อยน่าดู ส่วนพี่พะนายนี่ก็ยิ้มปากฉีกอย่างเป็นกันเองสุดๆ คือไอ้บรรยากาศอึมครึมในตอนแรกมันหายไปหมดเลยอ่ะ

ค่อยโล่งอกหน่อย

"พี่ขอถามอะไรหน่อยได้ไหมสยาม"

"อะไรหรอครับ"

"เราเป็นคนตามจีบปองก่อนใช่ไหม เพราะปกติรายนั้นมันสนใจแต่ผู้หญิง"

ผมพยักหน้ารับเบาๆ "ใช่ครับ ผมจีบน้องก่อน" เอาจริงๆ อย่าเรียกว่าจีบเลย ที่ทำไปทั้งหมดนั่นมันคือการล่วงละเมิดทางเพศสัสๆ จะว่าไปผมนี่ติดคุกได้เลยนะ

"แล้วนี่คบกันมานานเท่าไหร่ละ"

"คือเรา 2 คนยังไม่ได้คบกันน่ะครับ"

พี่พะนายหันขวับมองผมทันที "ยังไม่ได้คบกัน....แต่มาอยู่ด้วยกันเนี่ยะนะ"

"ผมขอสารภาพแบบลูกผู้ชายเลยนะพี่ คือผมกับปองอ่ะ เราเคย....มีอะไรกันแล้วแหละ ผมขอน้องเป็นแฟนแล้ว แต่เจ้าตัวยังไม่อยากคบ ผมก็เลยบอกไปว่าถึงจะไม่มีสถานะแฟนน่ะ เค้าก็เป็นเมียผมอยู่ดี จากนั้นเราก็อยู่ด้วยกันมาตลอด"

"หึ....สมปองมันเล่นตัวสินะ" พี่เขายกมือขึ้นแตะไหล่ผม "ขอบใจนะที่บอกกันมาตรงๆ น่ะ แบบนี้ค่อยวางใจได้หน่อย เวลาที่ปองมันมีปัญหาพี่จะได้มาถามเราตรงๆ เดี๋ยวแลกเบอร์กันไว้หน่อยนะ แต่ว่าต้องไม่ให้ไอ้เด็กบ๊องนั่นรู้"

"ได้เลยครับ"

"หอมจัง" พี่ณนนท์เดินมาหยุดข้างๆ ผมสังเกตข้อมือของเขาก็เห็นกำไลที่มีรูปร่างหมือนกันกับที่พี่พะนายใส่ มันต่างกันแค่สีเท่านั้น พี่ณนนท์ใส่สีดำส่วนพี่พะนายใส่สีขาว

เหมือนกับ....กำไลคู่เลยว่ะ

ช่างแม่ง เรื่องของเขามึงจะไปยุ่งทำไมเนี่ยะสยาม

ผมเดินไปหยิบโต๊ะญี่ปุ่นออกมากางก่อนจะมายกกับข้าวไปตั้งไว้รอ ปองยังไม่กลับมาเลย นี่ไม่รู้ว่าไปซื้อข้าวหรือไปปลูกข้าวเอง เดี๋ยวอีกไม่กี่วันผมจะต้องพาน้องไปดูค่ายที่พิษณุโลก เอาจริงๆ อยากจะไปกันแค่ 2 คนแต่ว่ามันจะดูมีพิรุธมากเกินไป ถึงแม้ว่าตอนนี้พวกเพื่อนๆ ผมมันจะเข้าใจกันว่าเรา 2 คนได้กันแล้วก็เถอะ ทริปไปค่ายนี้มี ไอ้ก้อง ไอ้หอม ไอ้แกง สำหรับไอ้แกงนี่มันน่าจะเอาแฟนไปด้วย ส่วนคนสุดท้ายก็คือขุนศึกเพื่อนรักครับ มันบอกว่าจะไปเพื่อกินสาวพิษณุโลกโดยเฉพาะ

ร้ายกว่าผมก็ไอ้ห่าขุนนี่แหละ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

สิ้นเสียงเคาะ ประตูก็เปิดออกพร้อมกับร่างของสมปองที่เดินถือถุงข้าวเข้ามา เจ้าตัวเดินเอาข้าวไปส่งให้พี่พะนายก่อนจะรีบมาจับตามเนื้อตามตัวผม สีหน้าแสดงความเป็นห่วงออกมาเต็มที่

น่ารักชะมัด

"ไม่เป็นอะไรใช่ไหม โดนทำอะไรรึเปล่า" น้องเอ่ยถามก่อนจะขยับเข้ามากอดผม "เป็นห่วงแทบแย่"

ผมยกมือขึ้นลูบหัวปองเบาๆ "ไม่เป็นอะไรครับ จะเป็นห่วงอะไรขนาดนั้น"

"ก็ณนนท์กับพะนายมันชั่วร้าย" คนพูดไม่ว่าเปล่า มีการหันไปแลบลิ้นใส่พวกพี่ๆ ด้วย

"เดี๋ยวมึงจะโดนไม่ใช่น้อยนะสมปอง มายกจานไปนี่"

"เออ มัวแต่อ้อนผัวอยู่ได้"

"เน่!!! เดี๋ยวก็ไล่ให้ไปคุยกับต้นไม้เลย" น้องโวยใส่ก่อนจะคลายกอดออกแล้วยิ้มหวานให้ผม "กินข้าวกันพี่สยาม"

ซี๊ดดด.ด....น่ากระชากมาจูบชิบ

"น่ารัก...."

"ผัก....จะกินผักหรอ พะนายมึงมีผักรึเปล่า" ว่าแล้วน้องก็เดินไปวอแวกับพี่พะนายเพื่อหาผักให้ผม

เด็กต๊องก็ยังเป็นเด็กต๊องอยู่วันยังค่ำสินะ

ผมเดินไปช่วยพี่พะนายยกข้าวมา พอทุกอย่างเตรียมพร้อมเสร็จ พวกเรา 4 คนก็นั่งล้อมวงกันกินข้าวพลางพูดโน่นคุยนี่กันไปตามประสา ฟีลแบบพี่น้องมากเลยอ่ะ ผมไม่รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนนอกเลยสักนิด พี่พะนายกับพี่ณนนท์นี่เผาเรื่องปองให้ผมฟังเต็มไปหมด คนที่โดนพาดพิงถึงนี่ก็ได้แต่นั่งโวยวายแล้วทำหน้ามุ่ยไปด้วย มันน่ารักจนอยากจะฟัด แต่จะทำแบบนั้นตอนนี้คงจะไม่ได้

รอให้พวกพี่ๆ กลับไปก่อนเถอะ

น้องโดนผมแน่

ปองทำตัวน่ารักตั้งแต่ก่อนจะออกไปซื้อข้าวละ สีหน้าที่บ่งบอกถึงความเป็นห่วงนั่นมันทำให้รู้สึกดีจริงๆ ผมรู้นะว่าเรื่องที่เราอยู่ด้วยกันน้องจะให้ที่บ้านรู้ไม่ได้ การมาแบบปุบปับของลูกพี่ลูกน้องนี่ก็คงทำให้เจ้าตัวตกใอยู่ไม่น้อยเลย มันดีนะที่พวกพี่เขาโอเคน่ะ ทุกวันนี้ผมก็ยังรอวันที่จะได้เป็นแฟนกับน้องอยู่ อยากบอกคนอื่นแบบเต็มปากเต็มคำสักทีว่าเราเป็นแฟนกัน

หวังว่าวันๆ นั้นคงจะมาถึงเร็วๆ นี้

"พี่สยามนี่ปลา กินปลาเยอะๆ จะได้ไม่เหมือนณนนท์อ่ะ"

"ไม่เหมือนมึงมากกว่าปอง"

"เน่!!!!"

เนี่ยะ น่ารักจริงๆ นั่นแหละ

เอ็นดู....



[จบบันทึกพิเศษ : สยาม]








TBC.
สวัสดีค่ะชาลมาส่งหยัมปองแล้วหลังจากที่ให้รอกันนานเลย ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ลงนิยายเลทมา ก็ตอนนี้ยังไม่ได้ตรวจคำผิดเลยนะคะ คือชาลเป็นไมเกรน คือปวดหัวไม่พร้อมที่จะไล่อ่านให้ตอนนี้จริงๆ คือถ้าแก้จะขอแก้ให้ในวันนี้พรุ่งนี้ค่ะ
ชี้แจงเรื่องพักการลงนิยายเรื่องนี้หน่อยนะ ชาลมีหน้าที่เรื่องเรียนที่จะต้องทำซึ่งเป็นการทำรายงานฝึกงานและเตรียมการพรีเซ้นท์ จึงขอพักการลงนิยายเป็นเวลา 18 วัน และจะกลับมาลงนิยายในวันเสาร์ที่ 24 กุมภาฯ อาจจะทำให้รอนานแต่ว่าช่วยอดทนรอกันหน่อยนะคะ ช่วงที่พักจากนิยายไปชาลจะรีบจัดการอะไรหลายๆ อย่างให้เรียบร้อย แล้วจะรีบกลับมานะคะ
ถ้าชอบก็กดไลค์ คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ สามารถติดต่อข่าวสารได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis นะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้า
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 32 : 5/2/2018 ] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 05-02-2018 23:16:11
ถ้าได้พี่เมียดีอย่างงี้ มีเป็นโหล พี่หยามก็ไม่หวั่นใช่ไหม  o18
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 32 : 5/2/2018 ] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 06-02-2018 02:07:35
พะนายกับนน เาก็หน้าจะเป็นแฟนกัน
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 32 : 5/2/2018 ] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 06-02-2018 13:27:31
สมปองมองไม่ออกว่าพะนาย กับณนนท์เป็นแฟนกัน
แต่พี่สยามเห็นกำไลคู่แล้ว

สมปอง เกรียนมาก แต่ก็น่ารักมากกกก
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 32 : 5/2/2018 ] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 06-02-2018 23:21:07
ดีใจอ่ะ ดีใจที่พะนายกับณนนท์เข้าใจสยามกับสมปองและไม่ได้ขัดขว้างหรืออะไร เอาจริงๆคืออยากเห็นแบบนี้ในสังคมเยอะๆนะ อยากให้เข้าใจแบบนี้ ความรักไม่ได้มีแค่ชายหญิงจริงๆ จะเพศไหนถ้ารักกันมันก็คือความรักอ่ะ อาจจะไม่ยืนยาวแต่ครั้งนึงพวกเขาก็ยังรักกัน มันดูสวยไงไม่รู้555 ขอบคุณคุณชาลมากนะคะที่ปค่งให้พะนายกับณนนท์เข้าใจ ขอบคุณจริงๆค่ะ เรายังกลัวดราม่าแต่เรามั่นใจว่าทั้งสมปองและสยามจะจับมือกันผ่านเรื่องราวทั้งหมดไปได้ จริงอย่างที่คุณชาลว่า โลกนี้ไม่ได้สวยงามไปทุกอย่าง มันต้องผ่านความลำบากผ่านอุปสรรคมากมายเพื่อให้ตัวละครได้เติบโต แล้วนักอ่านอย่างเราเองก็ได้เติบโตไปพร้อมกับตัวละครด้วย เราคิดถูกจริงๆที่กดเข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้ มันสอนเราได้หลายๆเรื่องและคิดว่ายังมีเรื่องสอนเราอยู่อีกมากในบทต่อๆไป ขอบคุณจริงๆนะคะ เราจะรอคุณชาลเสมอ อยากให้คุณชาลดูแลสุขภาพด้วย เป็นห่วงนะคะ<3 //มินิฮาร์ท :กอด1:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ Special Chapter:Valentine: 14/2/2018 ] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 14-02-2018 21:12:28
Special Chapter : Valentine's Day


---------- ไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องหลัก ----------



วันวาเลนไทน์อ่ะมันก็เป็นแค่วันที่ดอกไม้แพง

ตุ๊กตาก็โคตรแพง....แต่ถามว่าซื้อไหม

ซื้อไงมึง

"ทั้งหมด 2,870 ค่ะ"

กูนี่เหยื่อการตลาดชัดๆ

ได้ยินราคาแล้วอยากจะไปขายไต

"นี่ครับ...." ผมหยิบเงินส่งให้เจ้าของร้านก่อนจะหยิบตุ๊กตาแมวน้ำตัวใหญ่ยักษ์พร้อมกับช่อดอกกุหลาบสีน้ำตาลช่อใหญ่มาถือไว้ คือแม่งพะรุงพะรังสัส นี่คิดถูกหรือคิดผิดวะที่มาซื้อของพวกนี้เนี่ยะ

เฮ้อ....

บ่นไปก็เท่านั้นแหละปอง

ผมเดินมาจนถึงรถมินิคูเปอร์สีดำที่ยืมพี่สยามมาขับ ตอนแรกกะจะขึ้นรถเมล์มาด้วยแต่เดี๋ยวมันจะสมบุกสมบันเกินไปสำหรับการแบกของกลับ อีกอย่างคือถ้าชาวบ้านชาวช่องเห็นมันก็จะฮือฮาไม่น้อยที่มีหนุ่มหล่อแบกน้องอุ๋งกับช่อกุหลาบช่อใหญ่ ผมว่าคนที่เห็นต้องคิดว่าผมเอาของพวกนี้ไปให้ผู้หญิงน่ารักๆ แน่ๆ

แต่เสียใจด้วยที่พวกคุณคิดผิด

ของพวกนี้เอาไปเซอร์ไพรส์ผัวครับ

หลังจากที่ยัดน้องอุ๋งใส่ไว้ด้านหลังเสร็จผมก็ย้ายตัวมาประจำตำแหน่งคนขับ คาดเบลท์เสร็จก็ออกรถ ตอนนี้ประมาณบ่าย 2 กว่าๆ พี่สยามมันน่าจะเรียนอยู่ ถ้าผมจำไม่ผิดมันเลิกเรียนตอนบ่าย 3 ครึ่ง ส่วนตัวผมนั้นไม่มีเรียนครับ ชีวิตว่างมาก ว่างมากจนมาซื้อของได้เนี่ยะ

ครื้ดดด...ดดด

ผมเลื่อนมือไปหยิบโทรศัพท์มากดรับสาย "ฮัลโหล....ว่าไงจ๊ะลันตาเพื่อนรัก"

(อยู่ไหนวะ)

"ขับรถอยู่เนี่ยะ อยู่แถวใกล้ๆ มอนี่แหละ"

(อ๋อ เออฝากซื้ออะไรหน่อยได้ไหม)

"จะเอาอะไรว่ามาเลย"

(ฝากซื้อช็อกโกแลตในเซเว่นฯ อ่ะ เอามาหลายๆ อย่างเลยนะ เอามาจนเต็มตะกร้าเลย)

"ซื้อให้ใครวะ พี่ทะเลหรอ"

(ซื้อให้พี่สยามล่ะมั้ง)

"หนิ เดี๋ยวก็ตบคว่ำ"

(หึงหวงงงง ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ )

ขำพ่องอ่ะ กวนส้นตีน

"เดี๋ยวมึงจะโดน แค่นี้แหละเดี๋ยวกูซื้อไปให้"

(โอเค รอที่มอนะ)

"เออ" ผมกดวางสายก่อนจะเลี้ยวรถเข้ามาจอดที่หน้าเซเว่นฯ แถวมหา'ลัย

พอเดินลงมาก็เห็นแต่พวกเด็กนักศึกษาถือดอกไม้กับตุ๊กตาให้ว่อนกันเต็มไปหมด บรรยากาศนี่ชมพูเว่อร์มาก ปกติผมก็เป็นพวกเฉยๆ กับวาเลนไทน์นะ คือไม่ได้อินอะไรขนาดนั้น ถ้าเป็นช่วงไม่มีแฟนมันก็เป็นแค่วันธรรมดาวันนึงนี่แหละ แต่พอมีแฟนก็ต้องเซอร์ไพรส์มันสักหน่อย

อยากเห็นพี่สยามมันดีใจครับไม่ใช่อะไร

ผมเดินเข้ามาในเซเว่นฯ พร้อมกับหยิบตะกร้าแล้วเดินร่อนไปอยู่หน้าโซนขนมหวาน เห็นขนมเยอะๆ แบบนี้แล้วนึกถึงเวลาที่พี่สยามซื้อมาให้กินเลยว่ะ เนี่ยะ ผมอ้วนขึ้นเพราะมันคนเดียวเลย พอจะไปฟิตเนสแม่งก็ชอบมาก่อกวน ไม่เคยจะได้ออกกำลังกายอย่างเป็นสุข แล้วพอผมบ่นมากๆ เข้า มันก็จะงั่มผม ดูมันทำสิ

หื่นกามชิบหาย

"แกว่าพี่สยามจะชอบไหม"

หืม....

ผมชะเง้อมองไปอีกฝั่งก็เห็นว่ามีสาวงาม 2 คนยืนคุยกันงุ้งงิ้งๆ ในมือมีตุ๊กตาหมีถือไว้ด้วย ถ้าผมจำไม่ผิดนะ คนที่ถือตุ๊กตาอยู่นั่นเป็นเด็กวิศวะฯ คอมฯ เมื่อกี้เหมือนได้ยินชื่อพี่สยามออกมาจากทางนั้นด้วย อย่าบอกนะว่าสยามที่พวกเธอพูดถึงคือพี่สยามของผมน่ะ

หึ....

"คงชอบแหละแก" ผู้หญิงผมทองบอกพร้อมกับลูบหัวตุ๊กตาหมีเบาๆ "ตุ๊กตาหมีตัวใหญ่เลยนะ"

น้องอุ๋งกูตัวใหญ่กว่าอีก

"ตัวตั้งเกือบ 600 เลยนะแก"

น้องอุ๋งกูตัวเกือบ 1,500 กูยังไม่พูดเลย

"ทุ่มเทนะเนี่ย แล้วแกจะเอาไปให้พี่สยามตอนไหนล่ะ"

"ก็เค้าเลิกเรียนบ่าย 3 ครึ่ง ก็คงรอเอาไปให้ที่หน้าตึกนั่นแหละ"

ชัดเลยครับว่าสยามไหน

"เอาไปให้แล้วแกจะทำไงต่อ"

"เรากะว่าจะลองสารภาพรักอ่ะเปิ้ล" เธอกอดตุ๊กตาหมีแล้วยิ้มหวาน "หวังว่าพี่เค้าจะรับรักเรานะ"

มันจะรับรักมึงได้ยังไง....มันเป็นแฟนกู

ผมยืนซุ่มดูทั้ง 2 คนอยู่ห่างๆ คือที่พวกนางพูดถึงมันคือแฟนผมไง พี่สยามนี่เป็นอะไรกับเด็กคอมฯ มากป้ะวะ เห็นหลงเสน่ห์มันมาหลายคนละ ผมว่าเรื่องที่เป็นแฟนกับพี่มันนี่ก็น่าจะรู้กันทั่วป้ะวะ เด็กโยธาฯ นี่รู้กันแทบทุกคน ข่าวนี้มันไม่เล็ดลอดไปแถวโซนวิศวะฯ คอมฯ บ้างเหรอ หรือว่ารู้ว่ามันมีแฟนอยู่แล้วแต่ก็ยังอยากจะไปสารภาพรัก

วัทททท

"เออนก แต่เราเหมือนเคยได้ยินว่าพี่สยามมีแฟนแล้วนะ ตกลงนั่นข่าวลือหรอ"

"เราว่าน่าจะข่าวลือนะ อย่างพี่สยามหรอจะมีแฟนเป็นผู้ชาย เราว่าไม่ใช่หรอก"

"ไม่ใช่ก็เชี่ยละ" ผมพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนจะโกยช็อกโกแลตใส่จนเต็มตะกร้า

"เราไปกันเถอะเปิ้ล เผื่อพี่สยามลงมาก่อน"

"ป่ะ" ว่าแล้ว 2 นางก็เดินไปจ่ายเงินก่อนจะออกจากเซเว่นฯ ไป

พอเป็นแบบนั้นผมก็รีบเดินไปจ่ายเงินที่เคาท์เตอร์ พวกนางคงไปรอพี่สยามมันที่หน้าตึกสินะ ดีเลยเดี๋ยวผมไปนั่งรอโต๊ะข้างๆ หลังจากที่จ่ายเงินเสร็จผมก็แบกช็อกโกแลตถุงใหญ่เดินออกมาขึ้นรถเพื่อจะขับไปมหา'ลัย ลันตามันน่าจะรออยู่หน้าตึก ส่วนแยมกับสีเทียนนี่ไม่รู้ว่าจะอยู่ด้วยกันไหม ตอนนี้เพื่อนแยมของเรากำลังตามจีบเด็กการบินฯ อยู่ จีบมาตั้งนานก็ยังไม่ติดสักที เนี่ยะ บอกว่าให้ฉุดมาปล้ำก็ไม่เชื่อ

ความคิดเลวจังวะปอง

เดี๋ยวผมจะต้องช่วยเพื่อนรักวางแผนฉุด ไม่ใช่สิ วางแผนทำให้เพื่อนสมหวังในความรัก อยากจะบอกว่าเด็กการบินฯ ที่เพื่อนแยมตามจีบนี่ไม่ธรรมดานะครับ เพราะมีดีกรีเป็นถึงเดือน ผมเคยเห็นหน้าจังๆ หลายรอบละแบบว่าหน้าเด็ดมาก ไม่รู้จะพูดอธิบายความเด็ดนี้ยังไงแต่เด็ด รู้สึกว่าตอนนี้จะเลิกกับแฟนที่เป็นผู้หญิงไปแล้วด้วยนะ เพื่อนรักของผมก็เดินหน้าจีบเต็มที่เลยแต่ก็ยังไม่ติดไง

เนี่ยะ ถึงบอกว่าให้ฉุด

ตื้อดึ่ง

"ใครไลน์มาวะ" ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูก็พบว่าเป็นไลน์ขอลันตาเพื่อนรัก

ลันตาเป็นอสรพิษ : ซื้อช็อกโกแลตหรือไปทำช็อกโอแลตเองห้ะ!!!!! มาสักทีไอ้สัสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสส

"เอ่อ...."

ส.เสือมึงจะเยอะไปไหน



ตึกวิศวกรรมศาสตร์

ผมเดินถือน้องอุ๋งกับช่อกุหลาบรวมถึงช็อกโกแลตเข้ามาหน้าตึก ตอนนี้ก็บ่าย 3 แล้วครับ อีกสักพักพี่สยามก็คงจะเลิกเรียนแล้วล่ะ อากาศตอนนี้ก็กำลังดีมากเลยนะ ลมโชยเย็นๆ กับแดดอ่อนๆ มันเหมาะมากกับการเอาของขวัญไปเซอร์ไพรส์แฟน คือทุกอย่างเป็นใจ ไอ้พวกของที่ผมแบกอยู่นี่ก็เป็นใจจะทำให้ผมสะดุดหน้าทิ่มเหมือนกัน

มองทางไม่เห็นเลยโว้ยยยย

"ปอง!!!"

ผมชะเง้อมองไปตามเสียงก็พบกับลันตาที่กวักมือเรียกอยู่ พอเห็นแบบนั้นผมก็เดินตรงไปที่โต๊ะของเหล่าสหาย เหมือนเห็นแม่นางเด็กคอมฯ ทั้ง 2 คนนั่งอยู่โต๊ะใกล้ๆ ด้วยนะ

"ซื้อของเยอะเลยนะ"

"ของลันตามันด้วยน่ะสิ" ผมบอกสีเทียนก่อนจะส่งถุงช็อกโกแลตไปให้ลันตา "ใบเสร็จอยู่ในถุงนั่นแหละ"

"เออ เดี๋ยวกูเอาเงินให้"

สีเทียนนั่งเท้าคางมอง "คนมีแฟนนี่ดีจังเลยน้า มีเซอร์ไพรส์กันด้วย"

"มึงก็หาสักคนสิเทียน"

"ไม่เอาอ่ะ กูชอบการอยู่เป็นโสดมากกว่า" สีเทียนมันล้วงลูกอมในกระเป๋ามาแกะกิน "มีแฟนมันก็ดีนะ แต่ไม่มี....มันก็ไม่ได้แย่"

ผมยกมือแตะไหล่เพื่อนรักเบาๆ "ก็เลือกทางที่มึงมีความสุขก็แล้วกัน"

"แน่นอน"

"เห้ยพวกมึง เดี๋ยวกูไปหาพี่ทะเลแปปนะ เดี๋ยวมา"

"เออ" พอผมรับคำลันตามันก็ถือช็อกโกแลตแล้วเดินเข้าไปในตัวตึก

ผมมองน้องอุ๋งที่วางอยู่บนโต๊ะ คือแค่ตัวเดียวก็ทำให้ไม่มีที่ว่างให้วางของแล้วอ่ะ ที่ผมซื้อตุ๊กตาแมวน้ำให้พี่สยามเพราะว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนมันส่งคลิปวีดิโอลูกแมวน้ำมาให้ดู มันน่ารักมากเลยครับ ตอนแรกผมก็คิดนะว่าซื้อแมวน้ำตัวเป็นๆ ให้มันเลยดีไหม แต่ก็ต้องเลิกคิดเรื่องนี้เพราะว่าที่นี่เป็นประเทศไทย ผมกลัวว่าถ้าซื้อมาเลี้ยงแล้วน้องจะทนกับสภาพอากาศไม่ไหว วันดีคืนดีน้องระเหยลอยไปรวมกับก้อนเมฆแล้วผมจะทำยังไงล่ะ

รอให้น้องกลั่นตัวเองแล้วตกลงมาเป็นฝนแล้วค่อยเอามาประกอบใหม่งี้

ทำไม่ด้ายยยยยยยยยยย

ครื้ดดดด....ดดด

ผมล้วงโทรศัพท์ในกระเป๋ามากดรับสาย "ฮัลโหล...."

(อยู่ที่ไหนครับเตง)

เตงก็มา

"อยู่หน้าตึก แล้วนี่มึงเรียนเสร็จแล้วหรอ"

(เสร็จแล้ว กำลังเก็บของอยู่ เดี๋ยวอีกแปปนึงจะลงไป)

"โอเค รออยู่หน้าตึกนะ"

(ครับผม)

ผมเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าก่อนจะหันไปมอง 2 สาวโต๊ะใกล้ๆ พวกเธอก็มองน้องอุ๋งที่วางอยู่บนโต๊ะเหมือนกัน ในใจนี่อาจจะคิดว่าผมจะต้องเอามาเซอร์ไพรส์ใครแน่ๆ เนี่ยะ เดี๋ยวได้เห็นคนที่จะเป็นเจ้าของน้องอุ๋งก็ต้องมีหน้าซีดบ้างแหละ ไม่รู้ว่าพี่สยามมันจะมีอะไรให้ผมบ้างรึเปล่าเพราะว่ามันไม่พูดอะไรที่เกี่ยวกับเทศกาลแห่งความรักเลย

เหมือนไม่อินกับวาเลนไทน์สักนิด

แต่ผมก็คิดแล้วนะว่าถ้ามันไม่มีอะไรให้ก็ไม่เป็นไร เพราะตั้งแต่ที่ได้รู้จักกันมามันก็ให้ผมมาเยอะแล้ว ไหนจะดูแลผมอีก คือตัวมันก็เป็นของขวัญที่ดีมากสำหรับชีวิตผมแล้วอ่ะ

ซึ้งเนอะ

อยากอ้วกขึ้นมาเฉยๆ

"เออเทียน แยมมันไปไหนอ่ะ"

"ก็ไปหาเด็กการบินฯ ของมันนั่นแหละ"

ผมพยักหน้ารับเบาๆ "เออมึง อีโต๊ะข้างๆ อ่ะ มันเอาตุ๊กตาหมีมาให้พี่สยามเว้ย"

"มึงรู้ได้ไง" สีเทียนเหลือบไปมอง

"กูได้ยินมันพูดที่เซเว่นฯ มีการจะสารภาพรักกับพี่สยามด้วยนะมึง"

"เห้ยเอาเรื่องอยู่" มันเท้าคางมอง "แล้วมึงจะทำยังไง"

"ไม่รู้ว่ะ ก็เค้าอยากให้ก็ให้เค้าให้"

แต่ไอ้หมีตัวนี้จะไม่ได้อยู่ที่หอกูแน่นอน

"เห้ยนก....พี่สยามเค้าลงมาแล้วแก"

ผมหันไปมองไปตามเสียงก็พบกับร่างสูงของพี่สยามเดินลงมาจากตึกพร้อมกับชาวแก๊งค์ พอผู้หญิงที่เป็นเจ้าของตุ๊กตาหมีเห็นมัน นางก็ลุกเดินเข้าไปเข้าไปหาทันที พวกเพื่อนๆ มันนี่ส่งเสียงแซวกันใหญ่

แซวอะไรกันเกรงใจเมียมันด้วยครับ

ภาพเหตุการณ์ตรงหน้านี่ถือว่าเป็นโมเม้นท์ที่ดีเลยนะ จะดีกว่านี้ถ้าผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ใช่แฟนผม คือตอนนี้พี่สยามมันยืนอยู่ตรงหน้าผู้หญิงคนนั้นโดยมีเพื่อนๆ รายล้อม เจ้าตัวก็คงทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน ทำได้แต่ยิ้มเขินๆ ออกมา ผมเห็นในมือพี่ขุนถือช่อดอกบัวด้วยนะ นั่นจะเอาไปให้ขนมเหรอวะ

ก็เท่ดีนะให้ดอกบัวน่ะ

ผมนั่งมองผู้หญิงคนนั้นพูดอะไรสักอย่างกับร่างสูง ส่วนเพื่อนนางก็ถ่ายคลิปเว้ย แล้วก็มีเสียงโหวกเหวกดังอยู่เป็นระยะๆ คนไม่น้อยเลยนะครับที่สนใจเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ต้องมีคนคิดบ้างแหละว่าอีนี่เป็นใคร เอาตุ๊กตามาให้พี่สยามทำไม ไม่กลัวแฟนเขาที่นั่งอยู่ตรงนี้หึงรึไง

"เอาล่ะ ถึงเวลาของกูละ" ผมอุ้มน้องอุ๋งขึ้นมาพร้อมกับถือช่อกุหลาบรอ ไม่ได้จะเดินเข้าไปหรอกครับ คือค่อนข้างมั่นหน้าว่าพี่สยามมันจะมองเห็นผมเอง

ตุ๊กตากูตัวใหญ่มากนะถ้าสะเหล่อมองไม่เห็นก็จะโกรธมาก

"ไม่เดินไปอีกหน่อยวะ"

"ไม่เอาอ่ะ รอนี่แหละ"

เดี๋ยวมันก็มาละ

ผมยืนมองผู้หญิงที่เดินออกมาด้วยสีหน้าที่ผิดหวัง ตอนที่เธอเดินเข้ามาหาเพื่อนก็เหลือบมองผมด้วยนะ รอให้เธอไปก่อนแล้วค่อยเอาไปให้พี่สยามดีไหมวะ จะได้ไม่เป็นการทำร้ายจิตใจกันเกินไป

"สมปอง"

ไม่ทันแล้วสินะ

"อา...." ผมค่อยๆ เดินเข้าไปหาพี่สยามที่มีชาวแก๊งค์รายล้อมอยู่เหมือนเดิม "หักอกหญิงหรอมึง"

มันลดโทรโข่งลงก่อนจะยกยิ้ม "มึงอยากอกหักแทนผู้หญิงคนนั้นไหมล่ะ"

"นี่!!! เดี๋ยวก็ตบ"

"หึ....แล้วนี่อะไรเนี่ยะ เอามาให้กูหรอ" มันมองน้องอุ๋งในมือผม "เขินเลยนะเนี่ย"

"เขินบ้าอะไรของมึง" ผมยื่นน้องอุ๋งให้พี่สยามก่อนจะส่งช่อดอกกุหลาบสีน้ำตาลให้

เจ้าตัวรับไปพร้อมกับยิ้มหวาน "ขอบคุณนะครับ"

"เออ กูไม่ทำอะไรแบบนี้บ่อยหรอกนะ เต็มที่ก็ปีละครั้ง"

"น่ารัก....เห้ยมึงกูฝากถือแปปนะ" ว่าแล้วมันก็ส่งน้องอุ๋งกับช่อกุหลาบให้เพื่อนๆ ถือก่อนจะหยิบช่อดอกบัวในมือพี่ขุนศึกส่งให้ผม "สุขสันต์วันวาเลนไทน์นะครับที่รักของพี่"

หึ....ไอ้สัส

ดอกบัวนี่ของกูเองเหรอเนี่ย

ผมอมยิ้มก่อนจะรับช่อดอกบัวมาถือไว้ "มึงนี่รักและเทิดทูนบูชากูจริงๆ เลยนะ"

"แน่สิครับ มีแฟนอยู่คนเดียวหนิ"

"ลองมีคนอื่นดูสิ" ผมทำเป็นถลึงตาใส่

เขินเหมือนกันนะเนี่ยะที่มันซื้อดอกไม้มาให้ถึงแม้ว่าจะเป็นดอกบัวก็เถอะ ผมว่ามันต้องไม่อยากให้ซ้ำกับชาวบ้านแน่ๆ ถึงได้ซื้อดอกบัวมา แล้วทำเนียนเป็นให้พี่ขุนถือลงมาด้วยนะ ในขณะที่ผมกำลังปลื้มปริ่มกับช่อดอกบัว พี่สยามก็ถอดเสื้อช็อปออกมาก่อนจะชูให้ผมดู

อะไรของมึง

"ทำไร"

"รู้ไหมว่าเสื้อช้อปเนี่ยะ นอกจากจะกันเปื้อนแล้วมันยังทำอย่างอื่นได้อีก"

"อะไร"

"ก็....." มันเลื่อนเสื้อช้อปขึ้นมาคลุมหัวมันและหัวผมไว้ "ทำให้เรามีพื้นที่ส่วนตัวไง" ว่าแล้วมันก็ประกบริมฝีปากลงมาทาบทับกับปากผมเบาๆ

ตึกตัก

หัวใจเต้นแรงอย่างกับจะหลุดออกมาแน่ะ

ร่างสูงแค่ประกบปากเฉยๆ นะครับ ไม่มีได้การล่วงล้ำเข้ามา แต่แค่นี้มันก็ทำให้ผมรู้สึกดีมากแล้วจริงๆ พี่สยามนี่ร้ายเหมือนกันนะที่ทำเรื่องแบบนี้หน้าตึกวิศวะฯ ถึงแม้ว่าจะใต้เสื้อช้อปก็เถอะ

คนตรงหน้าค่อยๆ ถอนจูบออกไปอย่างอ้อยอิ่ง "พี่รักเรานะครับ....อยู่เป็นความสุขของพี่ไปนานๆ "

งื้ออออ....อออ

ใจบางไปหมดแล้ว

"ปองก็...." ผมยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มขาว "รักพี่สยามเหมือนกันครับ"

"เขินจัง" เจ้าตัวเอ่ยก่อนจะยิ้มหวาน มือก็ลดเสื้อช้อปลง เห็นแก้มมันขึ้นสีแดงๆ ด้วยว่ะ แก้มผมเองก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่

"แน่ะ ใต้เสื้อช้อปเมื่อกี้มีความลับใช่ไหม" เสียงแซวดังมาจากพี่แกง

"ออกมาแล้วแก้มแดงทั้งคู่เลยว่ะ"

"ไม่ทำดา"

"เลิกแซวได้แล้ว" พี่มันบอกเพื่อนๆ ก่อนจะสวมเสื้อช้อปแล้วหยิบน้องอุ๋งกับช่อดอกไม้มา "กลับหอกันดีกว่า"

พี่ขุนหรี่ตามอง "แน่ะ กลับหอแต่หัววันเลยว่ะ"

"เอาเวลาชงกูแยกย้ายไปกกเมียดีไหมครับเพื่อนครับ....เพราะกูจะกลับไปกกเมียเหมือนกัน"

ฉ่า

"พูดบ้าอะไรของมึง" ผมตีแขนมันแก้เขินไปทีนึง

"พูดความจริงนี่นา เราไปกันเถอะ" จากนั้นมันก็ลากผมให้เดินตามไปทันที เหลือบมองสีเทียนมันก็โบกมือบ๊ายบายพลางอมยิ้มให้

อยู่คนเดียวได้สินะ

"ปองครับ"

"หืม...."

"วันนี้พี่ต้องได้งั่มเรานะ"

จิ๊....ทำไมเป็นคนลามกแบบนี้นะพี่สยาม

"ก็....ให้ถึงหอก่อนละกัน"

เอาใจหน่อยครับวาเลนไทน์ทั้งที

"ออนท้อปนะ"

มึงนี่แม่ง....

"เออ....จะตามใจทุกอย่างเลยครับ"

เพราะว่ารักหรอกนะ









---------- FIN ----------



สวัสดีค่ะชาลมาส่งสเปเชี่ยลของหยัมปองแล้วค่ะ ไม่ได้ลงนิยายมาอาทิตย์นึงก็รู้สึกคิดถึงเหมือนกันนะ

2 วันมานี้ก็นั่งฟังเพื่อนพรีเซ้นท์ไปด้วยแต่งนิยายไปด้วย ต้องกราบเพื่อนจริงๆ ที่เอาโน้ตบุ๊คมาให้ยืม พรุ่งนี้จะเป็นวันที่ชาลจะพรีเซ้นท์ฝึกงานแบบแน่ๆ ค่ะ เป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ เดี๋ยวพอพรีเซ้นท์ฝึกงานเสร็จก็จะไปพบจิตแพทย์แล้วจริงๆ ระหว่างนี้ก็ช่วยฮีลกันไปก่อนนะ ได้ข่าวว่าเดี๋ยวเด็กๆ ก็ใกล้สอบแล้วสินะ ตั้งใจอ่านหนังสือกันด้วยล่ะ รีบเคลียร์งานส่งอาจารย์นะรู้ไหม ดูแลสุขภาพกันดีดีด้วยน้า

ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ สามารถติดต่อข่าวสารได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis นะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ สุขสันต์วันแห่งความรักน้าาา....เยิฟๆๆๆ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [Special Chapter Valentine's Day: 14/2/2018 ] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 14-02-2018 23:27:18
เติมพลังนะให้สู้ๆๆนะ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [Special Chapter Valentine's Day: 14/2/2018 ] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 15-02-2018 00:05:30
สงสารอีน้องคนนั้นก็สงสาร แต่ทำไงได้ก็พี่หยามเป็นของปองคนเดียวนิ มันแบ่งกันไม่ได้จริง ๆ อ่ะ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [Special Chapter Valentine's Day: 14/2/2018 ] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 15-02-2018 12:27:57
ลูกปองงงงง โอ๊ยยย! ทุ่มเทเพื่อนังพี่สยามสุดๆไปเลยลูก นังพี่สยามลูกปองฉันไม่ใช่พระนะเว้ยให้ดอกบัวมาได้ไงห้ะ ตอนนี้แม่งโคตรน่ารักเลยอ่ะ ตอนเขาเป็นแฟนกันนี้น่ารักจังเลยคร้ะขุ่นแมะ โอ๊ยยย ใจบางหมดแล้วว งุ้ยยย
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [Special Chapter Valentine's Day: 14/2/2018 ] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 15-02-2018 14:09:25
 :L2: :pig4:

ถ้าจะมีดราม่าขอเบาเบา นะ ฮื่ออ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [Special Chapter Valentine's Day: 14/2/2018 ] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 15-02-2018 15:37:17
พี่สยาม รักสมปองคนเดียว ดีมาก  :mew1: :mew1: :mew1:
ไม่งั้นเหอะ.....ต่อหน้าต่อตา เสร็จปองแน่  :z3: :z3: :z3: :z3:

หยัมปอง  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
        :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [บทที่ 33 : 24/2/2018 ] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 24-02-2018 20:33:22
บทที่ 33 สมปองไปพิษณุโลก



"เมื่อยป่ะครับ"

"ไม่เมื่อย"

"เมื่อยแล้วบอกนะ จะได้เปลี่ยนกัน"

"ก็เนี่ยะ ถ้าถึงนครสวรรค์แล้วค่อยเปลี่ยน"

"เอางั้นก็ได้ กินขนมไหมหืม เดี๋ยวแกะให้"

"กิน เอาเอ็มแอนด์เอ็ม"

"แปปนะครับ" คนนั่งข้างๆ หันไปด้านหลัง "มึงหยิบถุงขนมให้กูซิขุน"

"นี่ครับท่านสยาม"

"ขอบใจ" มือเรียวรับมาก่อนจะคุ้ยหาเอ็มแอนด์เอ็มมาแกะแล้วป้อนให้ผมกิน

"เหม็นความรักจังเลยโว้ยยยย"

ผมก็เหม็นความรักเหมือนกันครับพี่หอม

ตอนนี้พวกเราเหล่าคณะกรรมการของวิศวะฯ กำลังมุ่งหน้าไปค่ายที่พิษณุโลกครับ โดยมีผมเป็นคนขับรถให้ รถที่ขับนี่ก็ใช้เป็นฟอร์จูนเนอร์ของพี่ขุนเพราะว่ายัดคนมาได้เยอะ 7 คนเลยนะที่มากันน่ะ มีผม พี่สยาม พี่ก้อง พี่หอม พี่ขุน พี่แกง แล้วก็พี่เกียร์ที่เป็นแฟนพี่แกง เออแฟนพี่แกงแม่งโคตรหล่ออ่ะ หล่อแบบหล่อชิบหาย ก็นะ มีดีกรีเป็นถึงเดือนมหา'ลัยเลยนี่นา จะหล่อมากก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

เรื่องที่ผมชมพี่เกียร์อย่าบอกพี่สยามนะครับ

จุ๊ จุ๊

ผมว่านะพวกพี่ๆ เขาต้องรู้เรื่องผมกับพี่สยามอย่างแจ่มแจ้งแล้วแน่เลย เพราะตั้งแต่เมื่อเช้าก็ยังแซวไม่หยุดปาก พี่สยามมันก็ไม่แคร์เลยนะแบบใครจะพูดอะไรก็พูดไปกูจะดูแลเมียกู มันหอมแก้มผมต่อหน้าต่อตาพี่หอมกับพี่ก้องด้วย นี่ขนาดยังไม่คบกันยังแสดงออกขนาดนี้ ถ้าคบกันเมื่อไหร่มันไม่จูบปากผมโชว์คนอื่นเลยเหรอวะ

พี่สยามนี่มันข่นบ้าจริงๆ

"แวะหาอะไรกินไหมพวกมึง จะเที่ยงแล้วอ่ะ"

"ก็ดีนะ กูกับเกียร์ยังไม่ได้กินอะไรเลย"

พี่ขุนหันไปมองด้านหลัง "มัวแต่กินกันเองไงพวกมึงอ่ะ"

"รู้มากนักนะไอ้สัส" พี่เกียร์มองแรงใส่ก่อนจะฉีกยิ้มให้ผม "แวะปั๊มหน่อยนะครับน้องปอง"

เชี่ยยยย อย่างหล่อ

"น้องปองเชี่ยไรมึ้งงงง ลงไปต่อยกับกูข้างทางป่ะไอ้ชิบหายยยย" พี่สยามมันหันไปโวยวายใส่

ผมเหลือบมองพี่เกียร์ผ่านกระจกหลังพลางมองไปพี่สยามไปด้วย "ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ"

"ใจเย็นไรล่ะ" พี่สยามเบะปากใส่ผม "มันเรียกมึงว่าน้องปองเลยนะ"

"ก็แค่เรียกว่าน้องปองเอง"

"กูไม่ให้เรียก"

"งอแงอะไรของมึงวะพี่สยาม" ผมเลื่อนมือไปลูบท้ายทอยมันเบาๆ "โอ๋เอ๋นะโอ๋เอ๋"

"อื้อออ.อ.....ปอง" เจ้าตัวส่งเสียงอ่อนก่อนจะจับมือผมที่ลูบท้ายทอยไปกุมแล้วแนบแก้มไว้เบาๆ

น่ารักชะมัด

ผมชอบเวลาที่มันทำเสียงอู้อี้แล้วแสดงท่าทีอ้อนเป็นแมวแบบนี้ แต่อย่างพี่สยามเนี่ยะจะเอาไปเปรียบกับแมวก็คงไม่ได้ จะไปเทียบกับเสือก็ไม่ได้เหมือนกัน เพราะไม่มีเสือที่ไหนเป็นแบบมันหรอก มีสัตว์อยู่แค่ประเภทเดียวเท่านั้นที่จะเป็นตัวแทนพี่สยามของผมได้

หมีควายครับ

พี่สยาม = หมีควาย

"อมยิ้มอะไรอ่ะ" หมีควายมองตาแป๋วมาทางผม "บอกมานะ"

"เปล่า" ผมบอกปัดก่อนจะเลี้ยวรถเข้ามาจอดในปั๊มใหญ่ กินอะไรดีวะเนี่ย มีทั้งร้านข้าวแกง มีเซเว่นฯ มีไก่ทอดผู้พันธ์ด้วยนะครับ

พี่ขุนหันมองเพื่อนๆ "แดกอะไรกันดี"

"กูอยากกินไก่ทอด"

"กูก็เหมือนกัน"

"งั้นเอางี้" พี่แกงชะเง้อหน้ามาจากด้านหลัง "มาทำศึกแห่งศักดิ์ศรี ใครแพ้เลี้ยงไก่ โอเคไหม"

"เออได้ กูไม่มีปัญหา"

"มาๆ มึงมา" พี่สยามมันเอี้ยวตัวเข้าประจันหน้ากับเพื่อนๆ ทำไมต้องฮึกเหิมขนาดนี้ด้วยวะ

ว่าแต่ศึกแห่งศักดิ์ศรีมันคืออะไรอ่ะ

ผมมองพวกพี่ๆ เขาจ้องหน้าจ้องตากันอย่างเอาเป็นเอาตาย ไอ้ศึกแห่งศักดิ์ศรีนี่ต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ เลยว่ะ ไม่งั้นพวกพี่มันคงจะไม่จริงจังกันถึงขนาดนี้

"เอาเลยไหม" พี่ขุนเอ่ยถาม

"มา....3....2....1"

"โอน้อยยยยยยยยยยย....ออก"

อา....กูผิดเองแหละที่หลงตื่นเต้นน่ะ

โอน้อยออกก็บอกโอน้อยออกสิวะ

"ไอ้ก้องออกว่ะ ไปเลยมึง เลี้ยงพวกกู"

คนเลี้ยงทำหน้ามุ่ย "เออ ไปดิ่ ลงกันไปได้แล้ว" สิ้นเสียงพี่ก้องเหล่าสหายก็พากันลงจากรถ ผมเองก็ลงตามมาก่อนจะกดล็อก

คนในปั๊มก็พลุกพล่านพอสมควรเลยนะเพราะว่ามันเป็นปั๊มใหญ่ริมถนนทางหลวง แล้ววันนี้มันเป็นวันอาทิตย์ด้วย คนก็เลยเดินทางกันเยอะหน่อย เอาจริงๆ ผมไม่ค่อยชอบขับรถไกลๆ นะเพราะว่ามันเหนื่อยอ่ะ แต่ที่ขับให้พวกพี่เขานั่งกันเพราะว่าสภาพของแต่ละคนเมื่อเช้าคือตาจะปิดมาก ถ้าให้พวกพี่มันขับ ผมว่ารถน่าจะจูบเสาไฟฟ้าอยู่แถวหอนั่นแหละ

แค่คิดก็อนาถแล้ว

ผมเดินตามพวกพี่ๆ เข้ามาในร้านไก่ทอดผู้พันธ์ พวกพนักงานที่ยืนอยู่ตรงเคาท์เตอร์นี่มองกันให้ตาโตเลย ไงล่ะ ไม่เคยเห็นสมปองคนหล่อล่ะสิ ซึมซับความหล่อบนหนังหน้าผมไว้นะ เพราะว่าจะไม่ผ่านมาแถวนี้บ่อยๆ

หึ้ยยยย....ยยย พูดจาโคตรหลงตัวเอง

พี่สยามลากผมมานั่งที่โต๊ะ ส่วนพี่ๆ ที่เหลือไปสั่งอาหารที่เคาท์เตอร์ ผมนั่งเท้าคางมองหน้าพี่สยาม มันเองก็มองหน้าผมเหมือนกัน มองทำไมวะ หน้าเหมือนเมียมึงเหรอ

"มองหน้าทำไม"

"ก็คุณน่ารักอ่ะ" เจ้าตัวเอ่ยพร้อมกับคลี่ยิ้ม "ผมก็เลยอยากมองบ่อยๆ "

ตึกตัก

พี่สยามนี่แม่ง....

"มองมากๆ เดี๋ยวก็เบื่อหรอก"

"ไม่มีใครเบื่อคนที่ตัวเองรักหรอกนะครับ"

อื้อออ.อ..อ....โดนไปอีกดอก

ผมหลุดยิ้มออกมา "พอแล้วครับคุณ"

"เป็นอะไรหืม" มือเรียวเลื่อนมากุมแก้มผมไว้

"ผม....เขิน"

ตัวจะแตกแล้วด้วยครับ

หลังจากที่ผมพูดออกไปแบบนั้น คนตรงหน้าก็ยิ้มออกมาอย่างชอบใจ ได้ทีเอาใหญ่เลยนะมึงนะ เล่นมาพูดเพราะแล้วก็ยิ้มหวาน แถมยังหยอดด้วยคำพูดแบบนั้นใครมันจะไม่แพ้บ้าง นี่ถ้าอยู่ห้องด้วยกันนี่มีกระโจนเข้าไปซบแล้วเอาจริงๆ พี่สยามเนี่ยะร้ายกาจชิบ ไล่ต้อนเก่งขึ้นมากเลยด้วย กว่าจะทนดาเมจที่มันโจมตีใส่ในแต่ละวันได้นี่โคตรสาหัส

ผมนี่เป็นสมปองที่น่างสานจริงๆ

เฮ้อ....ควรเขียนไดอารี่ฟ้องพ่อ

การมาทริปครั้งนี้ผมไม่ได้พกไดอารี่มานะครับเพราะว่าเดี๋ยวพี่สยามมันจะเห็น แต่เดี๋ยวกลับไปผมจะเขียนเล่าให้พ่อฟังว่าโดนพี่สยามมันหยอดอีกแล้ว หยอดกลางร้านไก่ทอดด้วย และก็ต้องเล่าให้พ่อฟังว่ามาทริปที่พิษณุโลกกัน มาติดต่อเรื่องค่ายโน่นนี่นั่น จะเขียนเยอะๆ ให้พ่ออ่านจนตาแฉะเลย เตรียมน้ำตาเทียมไว้หยอดตาเลยนะพ่อ

เดี๋ยว....ถ้าตาแฉะ ก็ไม่ต้องหยอดน้ำตาเทียมป้ะวะ

ช่างแม่งเถอะ

"ไก่มาแล้ว" พี่ขุนวางถาดไก่ทอดไว้ตรงหน้า "แจกจานเร็วปอง"

"ครับผม" ผมหยิบจานแจกจ่ายให้พวกพี่ๆ กลิ่นไก่ที่เพิ่งทอดใหม่ๆ นี่หอมจริงๆ เลย

"เห้ยขุน กูลืมเลยว่ะ"

"ลืมไรวะแกง"

"ก็ปกติไอ้สยามมันต้องกินไก่ในน้ำไง"

คนโดนแซะหันขวับมองทันที "ปากดีนะมึง เดี๋ยวแช่งให้ผัวมีเมียน้อยหรอก"

"ปากหมา" พี่แกงเบ้ปากใส่พี่สยาม "เดี๋ยวกูก็แช่งให้เมียมึงไปหาผัวใหม่หรอก"

"กูว่านะ เดี๋ยวผัวกับเมียพวกมึงก็มาได้กันเองหรอก" พี่หอมบ่นอย่างเอือมๆ พี่สยามนี่หันมาจ้องผมทันทีเลย พี่แกงเองก็จ้องพี่เกียร์เหมือนกัน

อะไรของพวกมึงเนี่ยะพี่

"กินไก่ดีกว่าเนอะ" ผมยิ้มแห้งๆ ให้พี่สยามก่อนจะจิ้มไก่ไปใส่ในจานไว้ให้

เจ้าตัวหรี่ตามองผม "ห้ามมีผัวใหม่นะ"

"พูดอะไรของมึง" ผมตีแขนมันแรงๆ พูดจาไม่ดูสภาวะรอบข้างเลยนะไอ้สัส พวกพี่ๆ ที่กำลังจกไก่นี่ส่งสายตาล้อเลียนมาที่กูใหญ่แล้วเนี่ย

พี่สยามมันทำหน้าเหลอหลาใส่ผม ไม่ได้สำนึกในสิ่งที่พูดเลยนะ คือถ้าวันไหนที่เราคบกันอย่างเป็นทางการผมจะปล่อยให้มันพูดให้เต็มที่เลย แต่คือนี่ก็ยังไม่ได้คบกันไง มันเขินๆ นะเวลาที่ได้ยินอะไรแบบนั้นอ่ะ

แก้มนี่ให้ร้อนไปหมด

มันน่ะชอบย้ำกับผมว่าอย่าไปมีผัวใหม่นะ คือมันทำเหมือนผมจะไปพ่ายแพ้ให้ผู้ชายอื่นนอกจากมันอ่ะ เอาจริงๆ คนที่ควรกังวลมันน่าจะเป็นผมนะ ทุกวันนี้ก็ยังคิดอยู่เลยว่าถ้าอยู่ดีดีมันไปมีเมียใหม่ผมจะทำยังไง ถึงแม้ว่ามันจะพร่ำบอกว่ารักผมมากก็เถอะ แต่ใจคนเรามันจะเปลี่ยนวันไหนก็ไม่มีใครรู้ ก็อยากบอกมันนะว่าให้อดทนรออีกหน่อย ใกล้ถึงเวลาที่ผมจะผูกมัดมันไว้แล้วล่ะ

อีกแค่แปปเดียวเอง

"ปอง เรื่องค่ายอ่ะติดต่อเค้าไว้ว่ายังไง" พี่หอมเอ่ยถาม

"ผมโทรบอกเค้าว่าเราจะเข้าไปวันพรุ่งนี้น่ะพี่ ทางค่ายก็โอเคนะ เค้าส่งแผนที่การไปค่ายมาให้ด้วย เดี๋ยวผมเป็นคนขับรถพาไปเอง"

พี่ก้องพยักหน้ารับรู้ "แล้วเรื่องที่พักอ่ะ เราจะพักกันที่ไหนเนี่ยะ"

"ผมจัดการไว้ให้แล้วพี่ ก็จองโรงแรม G ได้ 4 ห้องอ่ะ เพราะว่าพี่ขุนจะนอนคนเดียวใช่ไหมล่ะ ที่เหลือก็นอนกันเป็นคู่ไป"

"กูนอนกับมึงนะ" พี่สยามชิงพูดแทรกขึ้นมาก่อน "ตามนี้"

"น้องมันก็ต้องนอนกับมึงอยู่แล้วไหมวะ หวงจริงๆ เลยนะ" พี่ขุนบอกพลางเบ้ปากใส่

"หวงสิวะ ไว้มึงมีเมียเป็นตัวเป็นตนมึงจะเข้าใจ"

ผมหยิกแขนพี่สยามแรงๆ "มึงนี่...." พูดออกมาโต้งๆ แบบนี้อีกแล้วนะ

"นั่นสิน้า" พี่ขุนจิ้มไก่เข้าปากก่อนจะเท้าคางมองพี่สยาม "แต่คนแบบไหน....จะหยุดกูได้วะสยาม"

"คนที่ใจมึงบอกว่า....ใช่"

ไม่เห็นต้องมองมาทางกูเลย

มันเขินนะ

ผมนั่งจกไก่กินเงียบๆ ดีกว่าครับ น่าจะดีกับชีวิตมากกว่านี้ เรื่องรักๆ ใคร่ๆ นี่ พูดถึงทีไรก็ทำใจสั่นตลอดน่ะนะ เดี๋ยวต้องตั้งสติเตรียมตัวขับรถด้วย อีกนิดเดียวก็จะนครสวรรค์ละ ถึงเมื่อไหร่ค่อยเปลี่ยนให้พี่สยามมาขับแทน ส่วนผมก็คงจะต้องงีบสักแปป เผื่อจะหายล้าบ้าง

"ปอง"

ผมเงยหน้ามองคนตรงหน้า "หืม....."

"นี่คือไร" พี่สยามมันจิ้มไก่ชูให้ผมดู

"ไก่ไง"

"ที่คุณเห็นอ่ะมันคือไก่" พี่สยามยกยิ้ม "แต่ถ้าอยากเห็นคนที่รักคุณจนหมดใจ....ให้มองมาทางผมนี่"

อื้อออออ....อ.อ.อ.......

ดาเมจส้นตีนไรเนี่ย

"โว้ยยยยยยยยยยย มุขเชี่ยไรมึงเนี่ยยยย"

"มุขแม่งโคตรได้"

"น้องมันเขินจะตายห่าอยู่แล้วน่ะไอ้หยัมมมม"

"โคตรร้ายเลยว่ะ" เออ แม่งโคตรร้าย

เจอดอกนี้ไป....ต่อให้เก่งมาจากไหนก็ต้องยอมแพ้แหละวะ

"มึงนี่มันจริงๆ เลยนะพี่สยาม...."





โรงแรม G : พิษณุโลก

ตอนนี้เป็นเวลาเกือบ 6 โมงและนายสมปองกำลังเกลือกกลิ้งไปมาอยู่บนเตียง พวกเรามาถึงที่พิษณุโลกประมาณ 4 โมงกว่าๆ พวกพี่ๆ เขานัดกันจะไปเริงราตรีกันครับ ส่วนผมคงอยู่ห้องนี่แหละ เพราะว่ารู้สึกเพลียแปลกๆ พี่สยามเองก็คงไม่ไปหรอก มันน่าจะอยู่กับผม

คิดอย่างนั้นนะ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ผมลุกเดินไปเปิดประตูก็พบกับพี่ขุนที่สวมชุดคลุมอาบน้ำมา "มีอะไรอ่ะพี่"

"ไอ้สยามอ่ะ"

"มันอาบน้ำอยู่ พี่เข้ามาก่อนสิ" ผมหลบทางให้ พี่ขุนก็เดินเข้ามานั่งในห้อง

"เออปอง พี่มีอะไรจะถามหน่อยอ่ะ"

"อะไรอ่ะพี่"

"เพื่อนเราที่ชื่อแยมเนี่ยะ เป็นคนยังไง"

"ไอ้แยม....มันก็เป็นคนที่พึ่งพาได้เลยนะพี่ คือมันนิสัยดีและเป็นมิตรกับชาวบ้านที่สุดแล้วอ่ะ ส่วนนิสัยอย่างอื่น มันชอบเล่นเกมอ่ะพี่ แต่ว่ามันก็รู้เวลานะว่าควรเล่นตอนไหน ว่าแต่พี่ถามทำไม"

"ก็เดี๋ยวเปิดเทอมเนี่ยะ จะมีคัดเลือกดาวเดือน แล้วพวกคณะกรรมการฯ ของสาขาอื่นเค้าก็เล็งแยมไว้เยอะ พี่ก็เลยอยากรู้นิสัยคร่าวๆ "

ผมพยักหนัารับ "เอาดิ่พี่ เดี๋ยวผมจะพยายามช่วยดันมันอย่างเต็มที่"

"ดี แต่ว่าเอาให้รู้แค่พวกเราก่อนนะ ไม่ต้องบอกตัวมันด้วย"

"โอเคเลยครับ"

"เสียงใครวะ" พี่สยามเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยผ้าเช็ดตัวที่พันอยู่รอบเอวแค่ผืนเดียว "มึงมาทำไมเนี่ยะ"

"มาเต๊าะเด็ก"

"ระวังได้ตีนกูไปแทน"

พี่ขุนตีหน้าท้องพี่สยามแรงๆ "โหดจังนะไอ้สัส ที่กูมานี่กะมาถามว่าไม่ไปด้วยกันจริงๆ หรอ"

"เออ อยากพักว่ะ ยังอยู่อีกหลายวัน ค่อยไปวันอื่นดีกว่า"

"งั้นก้แล้วแต่มึงละกัน กูไม่เซ้าซี้ละ พี่ไปก่อนนะปอง" พี่ขุนส่งยิ้มกริ่มให้ผมก่อนจะเดินออกจากห้องไป

พี่สยามหันมองผมพร้อมกับยิ้มเหี้ยม "สมปอง"

"อะไรเล่า" ผมทิ้งตัวนอนลงบนเตียงก่อนจะหันหนี "ไม่เห็นจะรู้เรื่องอะไรเลย"

"อย่ามาไขสือ" พี่สยามมันนั่งลงข้างๆ ก่อนจะเท้าแขนคร่อมตัวผมไว้

รู้สึกไม่ปลอดภัย

ผมช้อนตามองพี่สยามซื่อๆ เพื่อจะบอกมันว่าไม่มีอะไรจริงๆ พี่ขุนก็โคตรพี่ขุนเลยว่ะ ก่อนไปเสือกทิ้งระเบิดลูกใหญ่ให้ผมอีก ไปแบบสงบๆ ก็ไม่ได้นะ ดูหน้าคนที่คร่อมผมตอนนี้สิ พร้อมจะแดกหัวสมปองตัวน้อยๆ มาก

จะเอาตัวรอดยังไง

"ปอง"

"ไม่มีอะไรจริงๆ นะ เค้าเข้ามาหามึง"

มันหรี่ตามองผม "แล้วคุยอะไรกันอีก"

"คุยเรื่องประกวดดาวเดือน แค่นี้เอง"

"แต่ไอ้ขุนมันบอกมาเต๊าะมึง"

ผมยกมือบีบแก้มพี่สยามเข้าหากันจนปากมันจู๋ "มึงเป็นเพื่อนกับพี่ขุนมากี่ปี มึงไม่รู้นิสัยพี่เค้ารึไง"

"มันชอบเต๊าะคนอื่นไปทั่ว"

"นั่นคนอื่นไง กูเป็นเมียมึงนะ มึงคิดว่าคนอย่างเค้าจะแทงข้างหลังเพื่อนหรอ อีกอย่างคือกูเป็นผู้ชายด้วย พี่ขุนเค้าชอบผู้หญิง"

"ก็มึงน่ารัก มันอาจจะเปลี่ยนใจ"

"นอกจากมึงก็ไม่มีใครคิดว่ากูน่ารักหรอกพี่สยามเอ้ย" ผมโน้มคอเจ้าตัวลงมากอดไว้พลางลูบเรือนผมสีดำเบาๆ "กูเป็นของมึงนะ ใครมันจะมาอยากยุ่ง"

"ก็คนมันหวง"

"รู้ว่าหวง แต่กับเพื่อนกับฝูงก็เพลาๆ บ้างเถอะ ไหนเอาหน้ามาดูหน่อยซิ"

พี่สยามผละหน้าออกจากไหล่ผม "ให้ดูแล้วยังไงต่อ...."

"ก็ไม่ยังไง" ผมผงกหัวขึ้นไปจุ๊บปากมันหนักๆ "ไปใส่เสื้อผ้าไป อยากนอนกอดแล้วววว"

"อื้อออออ.อ..อ..." คนโดนจุ๊บซบหน้าลงกับซอกคอผมนิ่งๆ เป็นอะไรวะ

อย่าบอกนะ....

"เขินหรอ"

"เขินสิ มึงทำแบบนั้นน่ะ"

ผมหลุดยิ้มก่อนจะจุ๊บหัวมันเบาๆ "มึงทำแบบนั้นกับกูออกจะบ่อย" กูทำคืนบ้างไม่เห็นจะแปลกเลย

"เดี๋ยวจะโดนนะ" พี่สยามบ่นอุบอิบก่อนจะเลื่อนหน้ามาหอมแก้มผมฟอดใหญ่ "ร้ายกาจจริงๆ "

"ร้ายเหมือนมึงไง เนี่ยะ คนศีลเสมอกัน....จะได้อยู่ด้วยกันได้"

"นั่นสินะ" พี่สยามยิ้มหวานก่อนจะจุ๊บหน้าผากผมเบาๆ "พี่ไปใส่เสื้อก่อนนะครับ จะได้มานอนกอดกัน" ว่าแล้วเจ้าตัวก็เดินไปหาเสื้อผ้าใส่

ผมนอนมองร่างสูงอยู่อย่างนั้น มีความสุขกับโมเม้นท์พวกนี้จริงๆ ถ้าสมมุติว่าผมไม่มีพี่สยาม ผมจะเป็นยังไงวะ คงอาจจะนอนกินเอ็มแอนด์เอ็มจนอ้วนตายอยู่ที่หอก็ได้ คิดไปคิดมาก็ดีแล้วแหละที่ชีวิตมีผู้ชายที่ชื่อว่าสยามอยู่ด้วย

"เร็วๆ สิ อยากกอดแล้วนะ"

"จะเสร็จแล้วครับ รอแปปนะคนดี"

คนดีก็มา....

จะทำกูเขินไปถึงไหนนนนเนี่ยยยย









TBC.

สวัสดีเหล่าเบบี๋ที่รักของชาลลลลล กลับมาทำหน้าที่ลงนิยายแล้วนะคะ ขอโทษด้วยที่ทำให้รอกันนานเลย

ชาลใกล้จะกลับไปเรียนแล้วนะคะ วันอังคารนี้ก็เปิดเทอมใหใม่แล้ว รู้สึกเหมือนไม่ได้หยุดเลยเพราะมีโน่นนี่ให้ทำเต็มไปหมด ตอนนี้ก็กำลังเร่งปั่นตอนพิเศษในเล่มของขุนหนม กับเรื่องของขันหมีอยู่นะคะ ไหนจะรีไรท์อีก จะเป็นบ้าแล้วววว

ถ้าชอบก็กดไลค์ คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้ชาลได้นะคะ คิดถึงกันมากแค่ไหนบอกกันหน่อยน้าา สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis (https://twitter.com/?logged_out=1&lang=th) ​นะคะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้า
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [บทที่ 33 : 24/2/2018 ] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 24-02-2018 22:09:53
พี่หยัมนะพี่หยัม
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [บทที่ 33 : 24/2/2018 ] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 24-02-2018 22:28:43
พี่สยาม หวานกับปอง ไม่แคร์เพื่อนเลย  o22
สยาม  ปอง   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [บทที่ 33 : 24/2/2018 ] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 25-02-2018 02:33:42
สยาม = หมีควาย   :a5:  รับไม่ได้  :a6:
ว่าเอาเขา แล้วตัวเองล่ะปอง เหมือนตัวอะไร  :hao3:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [บทที่ 34 : 3/3/2018 ] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 03-03-2018 20:50:53
บทที่ 34 สยามสายหยอด



อากาศยามเช้าของเมืองสองแควนี่มันดีต่อใจจริงๆ

มันจะดีต่อใจมากกว่านี้ถ้าพี่สยามไม่เอามือผมไปแทะเล่นแบบนนั้น

อร่อยมากไหมล่ะมึง

ผมนั่งเท้าคางมองพี่สยามที่กำลังงับนิ้วผมอยู่ คือพวกเรากำลังจะไปค่ายแต่ว่ามาแวะปั๊มเพื่อหาอะไรกิน พวกพี่ๆ ลงไปซื้อของกินกันเหลือแค่พวกผม 2 คนที่อยู่ในรถ ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคนข้างๆ เนี่ยะจะต้องเอามือผมไปทำแบบนั้นด้วย นั่งรอดีดีแบบสงบเสงี่ยมเจียมตัวไม่เป็นรึยังไง ใจผมก็อยากจะด่านะแต่เห็นสายตาแป๋วๆ นั่นก็ด่าไม่ลง

เฮ้อ....

"อร่อยไหมล่ะ"

"ก็ดีนะ....แต่ถ้าเป็นปากมึงก็จะอร่อยกว่านี้เยอะ"

ฉ่า

อื้ออ.อ.อ.อ....

"มึงพูดอะไรของมึงเนี่ยะพี่สยาม" ผมหันหน้าหนีออกไปทางนอกหน้าต่างแทน รู้สึกได้เลยว่าแก้มโคตรร้อน เก่งจังเลยนะเรื่องพูดแล้วทำให้อุณหภูมิในร่างกายกูสูงขึ้นเนี่ยะ

"ก็พูดจริงๆ นี่นา ก็มึงอร่อยจริงๆ "

"ไม่ต้องมาพูดเลยนะ"

"เขินหรอ"

ผมหันขวับไปมองก็พบว่าใบหน้าหล่อเลื่อนเข้ามาใกล้ไม่ถึงคืบ "เห้ย....เล่นอะไรของมึงเนี่ยะ" เข้ามาใกล้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ

"ตอบที่ถามมาก่อน" พี่สยามหรี่ตามองผม "เขินหรอ"

"ก็....ต้องเขินป้ะวะ ใครมันจะไม่เขินบ้างเล่า" ผมบ่นอุบอิบใส่

"มึงนี่มันน่ารักจริงๆ เลยน้า" ว่าแล้วมันก็กดจมูกลงบนแก้มผมก่อนจะสูดกลิ่นหอมฟอดใหญ่แล้วผละออกไปนั่งยิ้มอย่างอารมณ์ดีอยู่ที่เดิม

น่าทุบชะมัด

ผมยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองเบาๆ เพื่อไล่ความร้อน โคตรเขินเลยอ่ะ ทำไมสมปองจะต้องมาเผชิญกับสถานการณ์ที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วและแรงถึงขนาดนี้ด้วยวะ บางทีก็สงสัยนะว่าพี่สยามมันเบื่อบ้างไหมที่หาประโยคเลี่ยนๆ ห้าบาทสิบบาทมาเล่นกับผมทุกวันเนี่ยะ ตั้งตัวไม่เคยทันด้วยเวลาที่มันจะเล่นอะไรแบบนี้

เกิดเป็นสมปองนี่....ต้องพ่ายแพ้อยู่ร่ำไปสินะ

คิดแล้วช่างโศกา

หลังจากผ่านไปได้แปปนึง พวกพี่ๆ ก็ถือถุงเซเว่นฯ หลายถุงเดินขึ้นรถมา พอผมเห็นว่าสมาชิกครบแล้วก็ทำการออกรถเพื่อไปต่อ เดี๋ยวถ้าติดต่อเรื่องค่ายเสร็จเร็วก็จะได้ไปเที่ยวกันเร็ว ตอนนี้ก็ประมาณเกือบ 8 โมงครึ่งละ เมื่อคืนผมคุยกับพี่สยามเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวที่เราจะไปกันด้วย มีหลายที่เลยที่น่าสนใจ

แต่ก่อนจะไปเที่ยวก็ต้องทำงานก่อนนะปองนะ

"กินไส้กรอกไหมปอง"

"กิน"

"เป่าให้แปป" คนข้างๆ บอกก่อนจะจิ้มไส้กรอกขึ้นมาเป่าให้ไอร้อนหายแล้วยื่นมาทางปากผม "อ้าาาา"

ผมงับไส้กรอกตรงหน้า "อร่อยจัง"

"เพราะกูป้อนไง" คนป้อนเอ่ยพลางยิ้มหวาน

"มโนจริงๆ เลยนะมึง" พี่ขุนเบ้ปากใส่ก่อนจะแย่งไส้กรอกในมือพี่สยามไปกิน "ไม่เห็นจะอร่อยเลย"

"หนิไอ้ขุน ไม่มีอาหารชนิดไหนไม่อร่อยหรอกนะ มันมีแค่ถูกปากกับไม่ถูกปาก....ก็เหมือนกับสมปองอ่ะ ต่อให้ไม่ถูกปากใคร แต่ยังไงก็ถูกปากกู"

อื้ออออ.อ....หือออ.อ.อ....

จะเอาหน้าซุกพวงมาลัยก็กลัวรถคว่ำ

"หยอดน้องเก่งงงง" เสียงแซวดังมาจากด้านหลัง

"เออ ทำไมเดี๋ยวนี้มึงทำคะแนนบ่อยจังวะ"

"ก็...." พี่สยามมันมองผมพร้อมกับยิ้มหวาน "อยากให้เด็กมันรักมันหลง"

แค่นี้กูก็ทั้งรักทั้งหลงมึงจนจะบ้าแล้ว

"พอแล้วพี่สยาม"

"ทำไมล่ะหืม"

"ไม่มีกะจิตกะใจจะขับรถแล้ว....เขิน"

เขินมากๆ ด้วย

พอผมเอ่ยออกไปแบบนั้นพี่มันก็ยิ้มหวานออกมาก่อนจะเลื่อนมือมาขยี้หัวผมเบาๆ ตอนนี้แก้มผมต้องแดงมากแน่ๆ เลยว่ะ เนี่ยะเห็นไหมว่าไอ้บ้านี่มันมีอิทธิพลต่อจิตใจผมมากแค่ไหน อยากจะโทรไปปรึกษาพ่อเหมือนกันนะ ว่าเจอเหตุการณ์แบบนี้ควรจะต้องทำยังไง แต่ก็โทรไปไม่ได้อีก ถ้าพ่อรู้เรื่องของผมกับพี่สยามนะ คงจะมีใครสักคนโดนยิงตายแน่ๆ

ผมต้องบอกพ่อเรื่องของพี่สยามอยู่แล้วล่ะแต่คงไม่ใช่ตอนนี้

ให้ผมกับมันตักตวงความสุขให้เต็มที่ก่อนที่จะโดนยิงตายเถอะ

"ปอง"

"หืม...." ผมเหลือบไปมองปากของคนข้างๆ ที่ขยับแต่ไม่ได้ส่งเสียงออกมา สิ่งที่พี่สยามพูดนั้นผมอ่านปากได้คำว่า....

รักนะ

"หึ...." ผมหลุดยิ้มก่อนจะเลื่อนมือมากุมมือคนพูดไว้ "รู้แล้วน่า"

รู้แล้วววว





ค่ายพารักษ์

"โอเคครับ งั้นตกลงตามนี้ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายเดี๋ยวทางเราจะทำเอกสารมาให้นะครับ"

"ได้เลย ทางค่ายยินดีต้อนรับทางคณะนะครับ"

"ครับ ขอบคุณนะครับที่พาพวกเราเดินชมดูสถานที่"

"ไม่เป็นไรครับ มันเป็นหน้าที่อยู่แล้ว"

"งั้นพวกผมขอตัวก่อนนะครับ ไม่รบกวนเวลาคุณเจ้าหน้าที่ละ" พี่ขุนยิ้มหวานก่อนจะยกมือไหว้ "ขอบคุณอีกครั้งนะครับ"

"ขอบคุณเช่นกันครับ" คุณเจ้าหน้าที่รับไหว้พร้อมกับยิ้มอย่างเป็นมิตร

งานเสร็จแล้วครับ

ไปเที่ยวได้แล้วเย่

หลังจากที่กล่าวลาคุณเจ้าหน้าที่เสร็จเรียบร้อย พวกผมก็เดินมาขึ้นรถกัน ตอนนี้ก็เป็นเวลาประมาณเกือบเที่ยงแล้วครับ พวกเรามาถึงที่ค่ายกันตอนประมาณ 9 โมง ทางเจ้าหน้าที่เขาก็ต้อนรับอย่างดีเลยนะ แล้วก็นั่งพูดคุยถึงเรื่องกิจกรรมที่ทางเราจะจัด นอกจากนั้นเขาก็พาเดินไปดูสถานที่รอบๆ ค่ายด้วย

โคตรตื่นตาตื่นใจ

ผมแอบกระซิบถามเจ้าหน้าที่มาด้วยเรื่องทุ่งดอกยิปโซที่อยู่บนเนินเขาที่ต้องฝ่าป่าเข้าไป เขาบอกว่าช่วงที่พวกผมมาค่ายมันจะเป็นช่วงที่ดอกยิปโซออกดอกสวยมากที่สุด คือมันเป็นช่วงเวลาที่ดีเลยแหละ คิดถูกจริงๆ ที่คิดจะมาค่ายที่นี่ ผมว่าพี่สยามมันต้องชอบใจการเซอร์ไพรสของผมมากแน่ๆ แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว

จะมีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้วปองเอ้ย

"เราจะไปไหนกันดี" พี่ก้องที่เป็นคนขับเอ่ยถาม "เสนอสถานที่มา"

"พิษณุโลกเนี่ยะ ขึ้นชื่อในเรื่องของน้ำตกเว้ย เพราะงั้นเราควรไปน้ำตก" พี่ขุนเสนอ ผมว่าก็ดีนะที่จะไปน้ำตกน่ะ อากาศแบบนี้นี่ควรเอาหัวไปจุ่มน้ำมาก

"ก็ดีเหมือนกันนะ แต่ก่อนที่จะไปน้ำตกอ่ะ ไปวัดก่อนได้ไหมวะ"

"วัดอะไรวะหอม"

"ก็วัดที่มีพระพุทธชินราชไง คือแบบถ้ามึงมาพิษณุโลกแล้วมึงไม่ได้ไปไหว้มันให้อารมณ์เหมือนมึงมาไม่ถึงเลยนะ เพราะว่าวัดนี้ขึ้นชื่อมากในจังหวัดพิษณุโลก"

"โอเค งั้นไปวัดก่อนแล้วค่อยไปน้ำตก"

"ตามนั้น เดี๋ยวกูดูเส้นทางให้แล้วกัน" พี่หอมเอ่ยบอกก่อนจะหยิบโทรศัพท์มาเปิดดูเส้นทาง

ผมขยับหัวมาพิงไหล่พี่สยามไว้ "ขอพิงหน่อย"

"ได้สิครับ" เจ้าตัวยกมือขึ้นมาลูบหัวผม "ง่วงนอนไหมหืม"

"ไม่ค่อยอ่ะ ตื่นเต้นที่จะได้เที่ยวมากกว่า"

"ขนาดนั้นเชียว....เออมึง ก่อนไปน้ำตกแวะซื้อเสื้อผ้าเปลี่ยนก่อนนะ"

"เออโอเค"

ผมหันไปมองวิวข้างทาง ต่างจังหวัดนี่น่าอยู่จริงๆ นั่นแหละ ถ้าให้เลือกผมก็อยากอยู่ต่างจังหวัดมากกว่านะ ในเมืองน่ะรถชอบติดแถมอากาศยังมีมลพิษเยอะ ถึงในเมืองมันจะมีความสะดวกสบายมากกว่าก็เถอะ ในอนาคตหลังจากเรียนจบผมก็คิดไว้คร่าวๆ นะว่าอาจจะกลับไปหางานทำอยู่แถวบ้าน หรือไม่ก็คอยแอบขโมยองุ่นพ่อไปขาย

ความคิดนี่มัน....

ช่างแม่งเถอะ เอาไว้เดี๋ยวเวลาตอนนั้นมาถึงก็คงรู้เองว่าจะไปทำอะไรต่อ หวังว่าในอีกหลายปีข้างหน้าพี่สยามมันจะคงอยู่ข้างๆ ผมแบบนี้นะ เออมันต้องอยู่แบบนี้แหละ มาทำให้รักถึงขนาดนี้แล้วอยู่ดีดีจะมาทิ้งไปง่ายๆ นี่ผมไม่ยอมจริงๆ ด้วย บอกแล้วไงว่าพี่สยามมันต้องอยู่รับผิดชอบผมไปจนวันตาย

จริงจังนะ

หลังจากผ่านไปได้สักพักใหญ่ๆ พักใหญ่แบบใหญ่มากๆ รถพวกของเราก็ขับมาจนถึงวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร วัดนี้เป็นวัดที่ใหญ่มากเลยนะครับ แถมยังสวยมากด้วย ข้างวัดติดกับแม่น้ำน่านด้วยนะ เดี๋ยวลากพี่สยามมันไปถ่ายรูปดีกว่า ผมหยิบหมวกมาสวมก่อนจะลงจากรถ พวกพี่ๆ ก็เดินตามกันลงมา นักท่องเที่ยวก็มีพอสมควรเลยนะ

ร้านของกินก็มีมากพอสมควรเหมือนกัน

เห็นแล้วหิว

"ไปไหว้พระก่อนเดี๋ยวค่อยมากิน"

"รู้มาก"

"แค่มองตาก็รู้ใจแล้วครับ"

อื้อออ..อ...โดนไปอีกดอก

พี่ขุนเดินมาแตะไหล่พี่สยาม "ในวัดในวาก็เพลาๆ หน่อยเถอะนะเพื่อนนะ" ว่าแล้วเขาก็เดินกอดคอพี่ก้องพี่หอมไป

ผมเห็นด้วยกับพี่ขุนเลยครับ

"ไปกันเถอะเกียร์ เหม็นความรัก" พี่แกงเบ้ปากใส่ก่อนจะสูงมือพี่เกียร์ไป แหม่ คู่พี่ก็ไม่ค่อยจะหวานเท่าไหร่หรอกนะครับ

"เราก็ไปกันบ้างเถอะ" พี่สยามบอกก่อนจะเดินนำไป

ผมก็ตามเจ้าตัวมาต้อยๆ พลางมองไปรอบๆ วัดนี้สวยมากเลยนะครับ สวยแบบสวยเลย มีโบราณสถานสวยๆ อยู่ในวัดด้วย ผมไม่ค่อยรู้ประวัติของวัดมากเท่าไหร่เพราะเพิ่งเคยมาครั้งแรก แต่ชื่อเสียงของพระพุทธชินราชก็พอได้ยินอยู่บ้างเหมือนกัน เขาว่ากันว่าเป็นพระพุทธรูปที่สวยที่สุดในประเทศไทยเลยนะ เป็นพระพุทธรูปศิลปะสุโขทัยที่มีอายุเก่าแก่มาก

ผมรู้เท่านี้แหละครับ

พี่สยามเดินนำผมมาจนถึงพระวิหารใหญ่ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธชินราช ด้านในนี่คนค่อนข้างเยอะเลยนะ ผมเห็นมีนักท่องเที่ยวรวมถึงลุงๆ ป้าๆ มากราบไหว้กัน พวกเราก็ค่อยๆ เข้ามาในพระวิหารก่อนจะนั่งลงกันเป็นแถว เดี๋ยวถ่ายรูปส่งไปให้พ่อดูดีกว่า อยากให้พ่อเห็นถึงความงดงามของพระพุทธชินราชจริงๆ ครับ

แต่ขอไหว้พระก่อน

ผมยกมือพนมก่อนจะสวดคาถาบูชาพระพุทธชินราชตามแผ่นหินอ่อนที่สลักไว้แล้วค่อยก้มลงกราบและยกมือลูบหัวเพื่อความเป็นสิริมงคล หันมองพี่ๆ เขาก็ทำแบบเดียวกัน แต่เหมือนกับว่ามีใครบางคนหายไป เพราะที่นั่งเรียงกันอยู่นี่มีแค่ 6 คน

พี่ขุน....ไปไหนวะ

"พี่ขุนอ่ะพี่สยาม" ผมกระซิบถามมันเบาๆ

"มันรออยู่ด้านนอก" พี่สยามจับให้ขยับถอยมาด้านหลังก่อนที่มันจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปองค์พระด้านหน้า

"ทำไมพี่ขุนไม่เข้ามาไหว้กับเราล่ะ"

"ไอ้ขุนเป็นคริสต์ ไหว้พระไม่ได้"

ผมพยักหน้ารับ "เพราะอย่างนี้นี่เอง"

"เดี๋ยวออกไปบริจาคทานกันนะ"

"โอเค" ผมรับคำก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปบ้าง "เดี๋ยวไปถ่ายรูปริมแม่น้ำน่านกัน"

"ได้เลย"

พวกเราใช้เวลาอยู่ในพระวิหารสักแปปก่อนจะเดินออกมาด้านนอก พี่ขุนก็ยืนถ่ายรูปโน่นนี่นั่นคอยอยู่ เพิ่งรู้เลยนะว่าพี่เขาเป็นคริสต์น่ะ ถ้าพี่สยามไม่บอกก็คงไม่รู้หรอก แต่เอาจริงๆ เรื่องของพี่ขุนผมก็ไม่จำเป็นต้องรู้มากอ่ะนะ

ถ้าเป็นเรื่องพี่สยามก็ว่าไปอย่าง

พี่สยามเดินนำผมมาจนถึงตู้บริจาคเงิน เจ้าตัวหยิบเงินไล่หยอดไปเรื่อยๆ ผมก็แอบถ่ายรูปมันเก็บไว้ ตั้งแต่ที่รู้จักกันมาไม่เคยเห็นมันมาทำบุญไหว้พระแบบเป็นกิจลักษณะเลยครับ เพราะงั้นครั้งนี้มันก็เลยดูเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นมาก

"ทำบุญบริจาคทองกันไหม"

"บริจาคทองงั้นหรอ"

"ใช่" พี่สยามจูงผมมาหยุดอยู่ตรงโซนทำบุญบริจาคทองคำแท่ง "ก้อนใหญ่ครับผม"

"นี่ลูก" ลุงมัคนายกส่งทองแท่งใหญ่มาให้ "หยอดเงินที่ตู้บริจาคเลยนะพ่อหนุ่ม"

"ครับ อ่ะปองเอาเงินหยอดตู้"

ผมรับเงินจากพี่สยามมาก่อนจะเอาไปหยอดตู้ "แล้วไงต่อ"

"นี่ไง เราก็เขียนชื่อลงไปแบบนี้ สยามกับสมปอง"

"ทำบุญร่วมกันงี้อ่ะหรอ" ผมมองชื่อตัวเองที่เขียนอยู่ข้างๆ พี่สยาม "เราทำแยกกันไม่ได้หรอ"

"ก็ทำได้ แต่ว่า....อยากทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมกับคุณมากกว่าอ่ะ"

ตึกตัก

คุณมาอีกแล้ว

"เรา....ไม่ได้ตักบาตรด้วยกันสักหน่อย"

"เอาหน่าพูดให้คล้องจอง" พี่สยามยิ้มหวานก่อนจะยกแท่งทองไปวางไว้บนพานรวม ผมก็ยกมือรับพรที่ลุงมัคนายกแกกำลังพูด

ได้ทำบุญก็รู้สึกสบายใจอยู่เหมือนกันนะ ก็หวังว่าจะไม่มีเหตุการณ์วุ่นๆ เกิดขึ้นกับชีวิตผม และก็หวังว่าจะโดนเพื่อนๆ แกล้งน้อยลง เอาจริงๆ ก็ได้แต่หวังล่ะวะ พอพวกเราทำบุญและก็ถ่ายรูปกันจนหนำใจแล้วก็พากันเดินออกมาที่ริมแม่น้ำน่านหน้าวัด อากาศตอนเกือบบ่าย 2 ก็ร้อนเอาเรื่องอยู่ แต่โชคดีว่ามีลมเย็นๆ พัดโชยมาตลอด

"ถ่ายรูปกันปอง" พี่สยามเปิดกล้องหน้าก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้น ผมก็ยิ้มแฉ่งรอ

"ถ่ายด้วยสิวะ" พี่ขุนยื่นหน้าเข้ามาแทรก

พี่ก้องก็ยื่นหน้าเข้ามาด้วย "เออ มาทั้งแก๊งค์จะถ่าย 2 คนได้ยังไง"

"ไอ้พวกเวรนี่ เป็นแก๊งค์นี่เดี๋ยวถ่ายไหมล่ะ กูขอถ่ายกับน้องก่อน"

"ไม่ได้ มาๆ 3...2...1 ชีสสสสส"

แชะ

"พวกมึงนี่มันจริงๆ เลยว่ะ" พี่สยามบ่นอย่างหัวเสียก่อนจะมองเพื่อนๆ อย่างกินเลือดกินเนื้อ

ผมยกมือลูบแขนเจ้าตัวเบาๆ "เอาน่า....มาถ่ายรูปกัน"

"ยิ้มนะ" พี่สยามยกโทรศัพท์ขึ้นอีกครั้งพลางยิ้มหวาน ผมเองก็ไม่ต่างกัน

แชะ

เจ้าของโทรศัพท์ดูรูปพลางยกยิ้มอย่างพอใจ "เมียใครวะ น่ารักจัง"

"พูดแบบนี้อีกแล้วนะ" ผมหยิกแขนมัน "นี่ข้างวัดเลยด้วย"

"งั้น....เดี๋ยวจะเก็บไว้พูดบนเตียงก็แล้วกันนะครับ"

เนี่ยะ

ก็เป็นซะอย่างนั้น

"มึงนี่เอาอีกแล้วนะพี่สยาม"

"หึ...." พี่สยามยกมือขึ้นเกลี่ยแก้มผมเบาๆ "เออปองมึงรู้ไหมว่าแม่น้ำนี่ยาวเท่าไหร่"

ผมส่ายหน้าทันที "ไม่รู้อ่ะ มึงรู้อ๋อ"

"กูก็ไม่รู้หรอกว่าแม่น้ำยาวเท่าไหร่" คนตรงหน้าก้มลงมาใกล้ๆ "แต่ถ้าถามว่ากูรักมึงมากแค่ไหนก็บอกได้เลยว่า....มากๆ"

อา....หยอดเก่งจริงๆ ด้วยนะ

"พี่แม่ง....คนบ้า"






TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งหยัมปองแล้ว ตอนนี้มีอิงข้อมูลของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหารด้วยนะคะ คือชาลเคยไปวัดนี้มาตอนที่เข้าค่ายที่พิษณุโลกแต่มันก็หลายปีแล้วแหละ ก็จำข้อมูลหรือสถานที่จริงๆ มากไม่ค่อยได้ การไหว้พระหรือทำบุญเนี่ยะชาลจำจากที่เห็นเวลาที่เพื่อนๆ ทำนะคะ ตัวชาลเองไม่ได้นับถือศาสนาพุทธก้เลยไม่เคยทำอะไรพวกนี้ หากใครมีข้อเสนอแนะในส่วนนี้สามารถเพิ่มเติมหรือแนะนำได้นะคะ จะนำไปรีไรท์ให้มันเรียลที่สุดค่ะ

ชี้แจงถึงเนื้อเรื่องของหยัมปองนะคะ นิยายเรื่องนี้อาจจะยาวมากจนถึง 40 บท+ แต่จะพยายามไม่ให้เกิน 55 บท มันมีความผิดพลาดของเรื่องพล็อตที่ไม่ค่อยแน่นอนเท่าไหร่ ผ่านไป 30 กว่าบทแล้วเนื้อเรื่องยังดูเหมือนไม่ค่อยมีอะไรมาก คือต้องเข้าใจว่าตัวเรื่องวางไว้ให้ปองเขียนไดอารี่ระยะเวลาที่เรียนอยู่ที่มหาลัย 1 ปี มันก็เลยยืดๆ แต่เดี๋ยวจะมีการปรับพล็อตนะ รอติดตามอย่าเพิ่งเบื่อกันก่อนล่ะ

พรุ่งนี้เด็กม.6 มีสอบโอเน็ตอีกวันใช่ไหม ก็ขอให้ทำกันให้ได้นะคะ ถ้าทำไม่ได้ก็ขอให้สุ่มถูกแล้วกันนะ สู้ๆ

ถ้าชอบก็กดไลค์ คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis นะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [บทที่ 34 : 3/3/2018 ] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 03-03-2018 21:51:04
หวานตลอดเลยยนะ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [บทที่ 34 : 3/3/2018 ] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-03-2018 22:01:25
พิษณุโลก เป็นเมืองที่ทั้งน่าอยู่  ทั้งน่าเที่ยวมากๆ   :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [บทที่ 34 : 3/3/2018 ] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 03-03-2018 22:38:03
หวานซะ ไม่สนเพื่อนฝูงเลย  :m1:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [บทที่ 34 : 3/3/2018 ] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: Zetnezz ที่ 04-03-2018 03:59:40
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [บทที่ 34 : 3/3/2018 ] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 05-03-2018 14:47:50
เหลือสายไหรอีกที่พี่หยัมยังไม่ได้เป็น สายเปย์ สายเทคแคร์ สายวอร์ ล่าสุดสายหยอด อืมมมม พี่หยัมมันได้หลายสายจังวุ้ย (ฮาาา) สมปองว่าเขินแล้วนะ อิแม่นี้เขินตัวบิดยิ่งกว่าสมปองแล้วลูกก (ฮาาา) มีความแบบทำบุญร่วมชาติงี้ โห้ยย หวังถึงชาติหน้าเลยสินะพี่หยัม ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ใกล้แล้วอ่ะ อีกนิดลูกก็จะมีผั-- แฟนแล้วอ่ะ แม่ตื่นเต้นรอวันนั้นไม่ไหวแล้วลูกเอ้ยยย  :mew3:  แต่พออ่านๆก็เริ่มรับรู้ว่าอีกไม่นานดราม่ามันจะมาแล้วสินะ สู้นะสมปองลูกแม่ อย่าให้ใครเอาผั-- แฟนเราไปได้นะ (ช่วงนี้เบลอๆพิมพ์ผิดพิมพ์ถูก :hao6: ) แม่เป็นกองกำลังสนับสนุนหนูเองลูก ใครมันทำหนูแม่จะกราดยิงให้ตายเรียบเอง!
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [บทที่ 35 : 10/3/2018 ] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 10-03-2018 21:15:43
บทที่ 35 เรื่องของความรู้สึก


รู้ป้ะว่าการพนันมันเป็นสิ่งผิดกฎหมายอ่ะ

รู้ทั้งรู้ก็ยังจะเล่นกันอีก

"ป๊อกเก้าสองเด้งครับเจ้า" พี่สยามมันเปิดไพ่ไว้กลางวง "เงินมาๆ "

"โชคมึงเยอะเกินไปละไอ้สัสหยัม ใจคอจะแดกกูทุกตาเลยหรอวะ" พี่ขุนบ่นก่อนจะส่งเงินให้

"เออ เตรียมไปขายตัวเอาเงินมาจ่ายค่าไพ่ได้เลยนะมึง"

"ปากดี"

"เอวก็ดี" คนพูดขยับเข้ามากระซิบข้างหูผมเบาๆ "เนอะเมียเนอะ"

ฉ่า

"มึงนี่...." ผมหันไปทำหน้าบึ้งใส่มัน พี่สยามมันก็ทำหน้าทะเล้นใส่

กวนส้นตีน

ตอนนี้พวกผมกำลังนั่งเล่นไพ่กันอยู่ที่ห้องพี่ขุน คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่เราจะอยู่ที่พิษณุโลกครับ นี่ก็เกือบ 4 ทุ่มละ ผมอยากจะไปนอนนะเพราะพรุ่งนี้ต้องขับรถไง แต่พี่สยามแม่งไม่ยอมให้นอนแถมยังลากให้มานั่งดูมันเล่นไพ่ แล้วที่ๆ มันให้ผมนั่งคือที่ไหนรู้ไหม

บนตักมัน

ไม่คิดว่ากูจะเขินบ้างเหรอ

พวกพี่ๆ นี่แซวผมกันใหญ่ จะทำอะไรก็ไม่ได้ จะลงจากตักพี่สยามก็ไม่ได้เพราะมันรัดเอวไว้ สุดท้ายแล้วก็ต้องปล่อยเลยตามเลย เท่าที่ผมนั่งดูมันเล่นไพ่มาเป็นชั่วโมงนี่ก็เห็นว่าพี่สยามได้ไพ่โคตรบ่อย เดี๋ยวป๊อกแปดเดี๋ยวป๊อกเก้า แม่งกวาดเงินพี่ขุนมาเกือบพันละ ผมแอบจิ๊กมาจากกองสองร้อยด้วย มันก็ไม่ได้ว่า

ลองว่าสิ

ทุบหัวแบะแน่

ผมมองไพ่ในมือพี่สยามที่เป็นเลข 5 ทั้งสองใบ หึ บอดไงมึง พอเห็นแบบนั้นผมก็เลื่อนมือไปหยิบไพ่ขึ้นมาเพิ่มให้มัน เจ้าตัวคลี่ไพ่ใบที่ผมหยิบมาให้ก็พบว่าเป็นเลข 5 เหมือนกัน

เชี่ยยยย

"ตอง 5 ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ มึงหมดตัวแล้วไอ้ขุน"

"โอ้โหหหห ไอ้เชี่ย" เจ้ามือทำหน้ามุ่ยใส่ทันที "พวกมึงจะมากเกินไปละนะ"

"เออจริง ดวงจะหนุนกันไปไหนวะ" พี่ก้องเปิดไพ่ในมือตัวเองบ้าง

"ของกู แกงก็นั่งอยู่ข้างๆ แต่เสียแม่งอย่างเดียวเลย"

พี่แกงหันไปดึงแก้มพี่เกียร์แรงๆ ทันที "หาเมียใหม่ที่หนุนดวงมึงดีไหมล่ะ"

"โถ่ ล้อเล่นน่ะเตง" พี่เกียร์ยิ้มหวานให้ "อย่าซีเรียสสิคะ"

"ไม่ต้องมาพูดเพราะเลยนะมึง"

"ใจเย็นๆ นะครับผัวเมีย" พี่สยามกวาดเงินก่อนจะส่งให้ผม

ผมเลิกคิ้วมอง "ให้กูหรอ"

"ใช่ ไปหาร้านบะหมี่แถวนี้กินกัน ไปไหม"

"ไป....อยากกินเกี๊ยวปู"

"งั้นเราไปกัน เห้ยขุนกูยืมรถหน่อยนะ"

"เออ ไปไหนก็ไปเลยมึงอ่ะ แดกเงินกู เติมน้ำมันมาให้ด้วย" พี่ขุนส่งกุญแจรถมาให้

"เออ ไปกันปอง" พอได้ยินแบบนั้นผมก็ลุกออกจากตักพี่สยามก่อนจะเดินนำมันออกมาจากห้องพี่ขุน

ร่างสูงเดินขนาบอยู่ด้านข้างก่อนจะยกมือขึ้นมาคล้องคอผม คล้องคอไม่พอมีการหันมาจุ๊บหัวผมอีก อะไรของมึงเนี่ยะ จะมาโรแมนติกตรงทางเดินตอนดึกๆ แบบนี้ไม่ได้นะพี่สยาม ชาวบ้านชาวช่องมาเห็นเขาจะตกใจเอาได้ ใจผมอยากจะพูดออกไปแบบนี้นะ แต่แบบพูดไปแม่งก็ไม่ฟังหรอก

เป็นหมีควายที่เอาแต่ใจตัวเอง

เราเดินมากันจนถึงรถของพี่ขุน พี่สยามก็ขึ้นไปนั่งประจำตำแหน่งคนขับ ผมก็ขึ้นมานั่งข้างๆ มัน มือเรียวยื่นมาเอามือผมไปจับไว้ มันต้องเป็นแบบนี้ทุกทีเลยสินะ ไม่เป็นไร มันอยากจับให้มันจับไป ถือว่าเป็นรางวัลที่เล่นไพ่ได้เงินมาเยอะละกัน เนี่ยะ เดี๋ยวถ้าไปถึงร้านบะหมี่นะ ผมจะสั่งกินสัก 3 ชาม เอาให้พุงแตกกันไปข้าง

"ปอง"

"หืม...."

"เมื่อไหร่จะได้เป็นแฟนกันสักทีอ่ะ"

ผมหันมองคนพูด "ทำไมถึงถามแบบนี้"

"ก็อยากรู้" พี่สยามยกมือผมขึ้นไปจุ๊บเบาๆ "พี่อยากเป็นแฟนเราแล้วนะ"

ฉ่า

แก้มร้อนขึ้นมาเฉยๆ เลยแฮะ

"ทำไมถึงอยากเป็นแฟนล่ะ"

"ก็อยากงั่ม"

"จิ๊....มึงนี่แม่ง" ผมตีมือพี่สยามก่อนจะทำหน้ามุ่ยใส่มัน "คิดแต่เรื่องแบบนี้"

"ช่วยไม่ได้นะ อยากทำตัวน่ารักน่างั่มเอง"

"กูยังไม่ได้ทำอะไรเลยมั้งเถอะ กูก็อยู่ของกูดีดี มึงอ่ะหื่นกาม"

พี่สยามเลี้ยวรถมาจอดเยื้องร้านบะหมี่ก่อนจะหันมองผม "แล้วรับได้รึเปล่าที่เป็นแบบนี้"

"ถ้ารับไม่ได้กูจะทนอยู่กับมึงมาทำไมตั้งหลายเดือน ถามอะไรเลอะเทอะจริงๆ เลย ลงไปได้แล้ว กูหิวแล้วนะ" ขืนยังชักช้าถามโน่นถามนี่กูจะแดกมึงแทนเกี๊ยวจริงๆ ด้วย

"เนี่ยะ" เจ้าตัวยกมือขึ้นมากุมแก้มผมแล้วยิ้มหวาน "พูดจาน่างั่ม"

"งั่มหน้ามึงสิ" ผมเบ้ปากใส่ก่อนจะหนีมันลงมาจากรถ ถ้ายังต่อปากต่อคำกันอยู่ผมอาจจะต้องโดนมันงั่มเป็นแน่

เกิดเป็นสมปองนี่มันเหนื่อยใจจริงๆ

ผมเดินมานั่งที่โต๊ะ พี่สยามก็มานั่งลงฝั่งตรงข้าม ร้านบะหมี่นี้เป็นร้านข้างทางเลยครับ ตั้งอยู่ริมฟุตปาธ ได้ฟีลเหมือนอยู่แถวบ้านเลยอ่ะ อากาศก็กำลังดี มีลมโชยอยู่เนืองๆ เมื่อสมัยมัธยมผมชอบชวนณนนท์กับพะนายขี่รถเครื่องแอบมากินบะหมี่กันในเมือง ถ้าพ่อจับได้ก็จะให้พวกเรา 3 คนนอนหน้าบ้าน ละอากาศหนาวแบบไข่สั่นเลยอ่ะ

เป็นวันวานที่ช่างอนาถใจ

พี่สยามหยิบกระดาษมาจดอะไรไม่รู้ยุกยิกๆ พอมันจดเสร็จมันก็ส่งมาให้ ผมจัดการเขียนสั่งเกี๊ยวปูไป 3 ชามก่อนจะลุกเอาไปให้ลุงพ่อค้าแล้วกลับมานั่งที่เดิม คนตรงข้ามนั่งเท้าคางมองผม ไม่ได้มองแบบธรรมดานะครับ เพราะสายตาคมนั่นไล่มองวนตา หู จมูก ปาก ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามองแบบนี้นี่ต้องการอะไร

"มองขนาดนี้....แดกหัวกูเข้าไปเลยไหม"

"เอาจริงๆ อยากแดกทั้งตัวมากกว่า"

"ก็เคยแดกมาแล้วป้ะวะ อยากแดกอะไรบ่อยๆ "

พี่สยามเบ้ปากใส่ทันที "อย่ามาเรียกว่าแดกบ่อย กูเพิ่งเคยได้แดกมึงแค่ 2 ครั้ง"

"แต่ครั้งนึงก็ตั้งหลายรอบป้ะวะ บ่นมากจริงมึงอ่ะ"

"กูจะบ่นให้มึงฟังทุกวันเลยคอยดู"

"กูจะปิดหูเวลามึงพูด แบร่บๆ ๆ ๆ ๆ " ว่าแล้วผมก็แลบลิ้นใส่มัน

คนตรงหน้าหรี่ตามอง "กวนตีนพี่นี่อยากโดนหรอคะหนู"

"คะอะไรของมึง อย่ามาพูดคะนะ มันแปลกๆ "

"ทำไม กูพูดกับเจ้าขาแบบนี้ตลอด" พี่สยามมันเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ "มันแปลกตรงไหนหรอคะ"

ตึกตัก

แปลกตรงใจกูนี่ไง

"เออน่า" ผมดันหน้าพี่มันให้ออกห่าง "กูเป็นสมปองนะ ไม่ใช่เจ้าขาสักหน่อย" ขืนพูดคะพูดขาให้ได้ยินบ่อยๆ หัวใจกูวายตายขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ

"มึงนี่น่ารักจริงๆ เลยน้า" มือเรียวยื่นมาบีบแก้มผมพลางยิ้มหวาน แก้มกูย้วยแบบนี้ก็เพราะมึงนี่แหละ

ผมทำหน้าบู้บี้ใส่พี่สยาม มันก็ทำหน้ากวนส้นตีนใส่ผมก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น แน่ะ เล่นเกมอีกละ ติดจังเลยเกมเนี่ยะ บางทีผมก็รู้สึกอิจฉาเกมเหมือนกันนะ เพราะเวลาที่พี่สยามเล่นเกม ทุกอย่างที่อยู่รอบตัวมันจะกลายเป็นอากาศธาตุไปเลย คิดแล้วก็โซแซด แอบลบเกมมันทิ้งดีไหมวะ มันจะได้สนใจผมมากกว่า

ไม่ได้สิ

ลบออกเดี๋ยวมันก็โหลดใหม่

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปมันก่อนจะกดเข้าไปในไลน์ เราจะมาทำภารกิจก่อกวนพี่สยามครับ ไม่สนใจกูดีนัก ทำลายสมาธิแม่ง ทีมมึงแพ้แน่พี่สยาม

ตื้อดึ่ง

ตื้อดึ่ง

ตื้อดึ่ง

.

.

.

ตื้อดึ่ง

"อื้มมมม...." คนโดนแกล้งละจากจอขึ้นมามองผม "ขอพี่เล่นเกมแปปนึงสิครับที่รัก"

ตึกตัก

พูดแบบนี้นี่

"ตาเดียวแล้วพอนะ" ผมบอกมันก่อนจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะ

ใจอ่อนอีกแล้วนะสมปอง

ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องยอมใจอ่อนให้มันด้วย มีหลายเรื่องเลยนะครับที่ผมใจอ่อนให้กับพี่สยามมันง่ายๆ แค่เพราะมันฉีกยิ้มหวานแบบนี้ เนี่ยะ ทำไมจะต้องมาแพ้อะไรแบบนี้ด้วยวะ ไม่ได้การละ เดี๋ยวผมจะต้องทำให้มันแพ้ผมบ้าง ผมจะไม่ยอมมันอีกต่อไป

ครั้งก่อนก็พูดแบบนี้อ่ะปอง

ฮึก.....

หลังจากที่ผมนั่งดราม่าอยู่ในใจได้แปปนึง บะหมี่ก็มาเสิร์ฟ กลิ่นน้ำซุปหอมๆ นี่ชวนน้ำลายสอมากๆ ผมยื่นบะหมี่ชามของพี่สยามไปไว้ด้านหน้ามัน แล้วก็ขยับเกี๊ยวทั้ง 3 ชามมาไว้ตรงหน้าตัวเอง เอาล่ะน้องเกี๊ยว พี่สมปองพร้อมจะกินน้องเกี๊ยวแล้วนะครับ

"นี่มึงกิน 3 ชามเลยหรอเมีย"

มือที่ตักเกี๊ยวของผมชะงักไปทันที "ทำไม มีปัญหาหรอ"

"แดกเยอะขนาดนี้จะอ้วนนะ"

"กูอ้วนแล้วมันยังไงห้ะ กูอ้วนแล้วมึงจะหาเมียใหม่รึไง"

"ยังไม่ได้พูดอะไรเลยครับ" พี่สยามตักลูกชิ้นในชามมันมาใส่ให้ผม "ถ้าปองอ้วนเดี๋ยวพี่จะเป็นคนพาไปออกกำลังกายเอง"

"เดี๋ยวมึงก็แกล้งกูอีก" ผมตักเกี๊ยวเข้าปาก อื้อออ.อ.อ....หืออ.อ....โคตรอร่อยอ่ะ น้ำซุปกลมกล่อมเข้ากันกับเกี๊ยวสุดๆ

ฟินเว่อร์

"อื้ออ.อ....เห็นกูเป็นคนยังไง"

"เป็นคนเลวที่ขี้แกล้ง"

"เดี๋ยวจะโดนทุบ" มันส่งสายตาเหี้ยมมาให้ก่อนจะแย่งเกี๊ยวในชามผมไปกิน "อืมม.ม....อร่อยจัง"

"เนอะ"

"อื้ม....แต่อร่อยน้อยกว่ามึงนะ"

"แค่กก.กก....แค่กกก.ก.ก...." ผมหยิบน้ำขึ้นมากระดกทันทีที่สำลักเกี๊ยว พี่แม่งพูดอะไรก็ไม่รู้ เกี๊ยวจะติดคอตาย

"เขินจนเกี๊ยวติดคอเลยหรอ"

"ใครเขาเขินมึงกัน เงียบแล้วกินไปเลยนะ" ผมถลึงตาใส่มันก่อนจะก้มหน้าก้มตากินเกี๊ยวต่อ

วันหลังเวลาที่กินข้าวผมจะไม่คุยอะไรกับมันละ แม่งชอบหยอด ละทุกครั้งที่มันหยอดผมก็ชอบสำลัก มีครั้งนึงสำลักมาม่ารสต้มยำกุ้งอ่ะ พริกนี่ขึ้นจมูกเลยจ้า น้ำตานี่นองอาบหน้า ที่น่าตบมากคือพี่สยามมันหัวเราะใหญ่เลยไม่คิดจะช่วยหาน้ำให้ผมกินด้วย โคตรคนเลว เดี๋ยวผมต้องเขียนเรื่องนี้บอกพ่อ

เขาจะต้องได้รู้ความชั่วร้ายของพี่สยาม

การมาพิษณุโลกในครั้งนี้ผมมีเรื่องที่จะเขียนให้พ่อฟังเยอะเลยครับ ทั้งเรื่องสถานที่ ทั้งเรื่องที่โดนพี่สยามแกล้ง ผมว่าถ้าพ่อได้อ่านเขาจะต้องหัวเราะไปแล้วก็สาปแช่งพี่สยามไปแน่ๆ ดีไม่ดีก็อาจจะสาปแช่งผมด้วย ที่ยอมปล่อยให้ตัวเองโดนมันแกล้ง

เฮ้อ

เลิกคิดเรื่องนี้ดีกว่า

ถ้ากลับจากพิษณุโลกผมต้องลากพี่สยามไปซื้อของเข้าหอด้วยเพราะว่าของใช้หลายอย่างหมดแล้ว จะว่าไปก็ใกล้เปิดเทอมแล้วเหมือนกันนะ อีกแค่อาทิตย์เดียวเอง ทำไมรู้สึกเหมือนปิดเทอมมันผ่านไปไวจังวะ ยังไม่ทันได้ทำอะไรมากเลยนอกจากทำงานคณะเนี่ยะ เดี๋ยวกลับไปก็ต้องเตรียมเรื่องเอกสารเรื่องค่ายไปยื่นให้ทางคณะอีก

เนี่ยะ เป็นสมปองมันเหนื่อยจริงๆ นั่นแหละ

"พี่สยาม"

เจ้าตัวละจากชามขึ้นมามองผม "หืม...."

"กลับไปเราต้องทำงานเยอะเลยสิเนี่ยะ"

"ใช่ ก็เปิดไปไม่กี่อาทิตย์ก็มาค่ายแล้วอ่ะ เราก็ต้องรีบทำเอกสารส่งทางคณะ ไหนจะเรื่องเตรียมพร๊อพของกิจกรรมอีก แทบไม่ว่างเลยเอาจริงๆ "

"เหนื่อยเนอะ"

"เหนื่อยจริง" มือเรียวเลื่อนมากุมแก้มผมเบาๆ "สู้ๆ นะครับ เราจะผ่านไปด้วยกันนะ"

"อื้มมมม มึงก็ต้องสู้เหมือนกันนะ"

"ครับผม" พี่มันรับคำก่อนจะยิ้มหวาน เห็นรอยยิ้มนี้แล้วค่อยฮึดสู้หน่อย

ผมก้มลงจัดการเกี๊ยวต่อไปเรื่อยๆ จนหมดทั้ง 3 ชาม โคตรอิ่มอ่ะบอกเลย แน่ล่ะไม่อิ่มก็บ้าแล้ว กินไปตั้งเยอะ พี่สยามลุกขึ้นไปจ่ายเงิน ผมก็เดินมารอมันที่รถ ตอนนี้ก็ 5 ทุ่มกว่าละ ดาวบนฟ้านี่สวยกำลังดีเลย

"เสร็จละ ไปกัน" พี่สยามปลดล็อกรถ ผมก็เดินขึ้นไปนั่งที่ตัวเอง

"พี่สยาม" ผมหันมองมัน "เราไปนั่งตรงริมแม่น้ำหน้าโรงแรมก่อนได้ไหม"

"ได้สิ กูก็คิดว่าจะชวนมึงไปเหมือนกัน"

"โอเคงั้นไปกัน" ผมบอกก่อนจะหันมองวิวข้างทางไปเรื่อย คือจากร้านบะหมี่กลับมาโรงแรมก็ไม่ได้ไกลกันมากน่ะครับ ขับรถ 10 นาทีก็ถึงละ

พี่สยามจอดรถเลียบข้างถนน "ลงสิ"

"รู้แล้ว" ผมลงจากรถก่อนจะไปนั่งลงตรงบันไดที่เป็นขั้นเพื่อลงแม่น้ำ "มานั่งๆ "

พี่สยามเดินมานั่งซ้อนผมจากด้านหลัง "อากาศดีเนอะ"

"ใช่ อยากให้ที่กรุงเทพฯ อากาศเป็นแบบนี้บ้าง"

"เดี๋ยวพวกเราก็ต้องกลับไปเรียนอีกแล้วหรอเนี่ย" พี่สยามวางคางไว้บนไหล่ผม "เวลามันเดินไปเร็วจัง"

"เนอะ เหมือนหยุดแค่แปปๆ เอง" ผมมือลูบหัวคนที่เอาคางเกยไหล่ผมอยู่

ชอบช่วงเวลานี้จริงๆ

มันเป็นปิดเทอมแรกในชีวิตมหา'ลัยที่น่าประทับใจอยู่ไม่น้อยเลยนะ ถึงจะเหนื่อยเพราะต้องทำงานแต่ผมก็ได้ใช้เวลาอยู่กับพี่สยามเป็นส่วนมากเลย ได้มาเที่ยวด้วยกัน ได้ทำบุญด้วยกัน ได้กินโน่นนี่ด้วยกัน มีความสุขจริงๆ ที่ได้ทำอะไรพวกนี้กับผู้ชายคนนี้ ผมหวังนะว่าจะได้ทำเรื่องแบบนี้กับพี่สยามไปเรื่อยๆ

หวังแบบนั้นจริงๆ

"พี่สยาม"

"หืม...."

"กู...." รักมึงนะ มากๆ ด้วย

"จะพูดอะไร" พี่สยามหันมองผม "สมปอง...."

ผมยื่นหน้าเข้าไปจูบปากมันเบาๆ แทนสิ่งที่ผมจะพูด เจ้าตัวดูตกใจอยู่ไม่น้อยที่ผมทำแบบนั้น เพียงไม่กี่วินาทีผมก็ละออกมาก่อนจะเลื่อนไปหอมแก้มมันฟอดใหญ่

"อยู่กับกูไปนานๆ นะ"

"หึ....มันก็ต้องอย่างนั้นอยู่แล้วครับ" พี่สยามจูบหน้าผากผมเบาๆ ก่อนจะเลื่อนมือมาจับมือผมไว้แน่น "ไม่ว่าในอนาคตจะมีอะไรเกิดขึ้น กูจะไม่ปล่อยมึงไปเด็ดขาด"

"สัญญานะพี่สยาม"

"สัญญาครับ"

เสียงนุ่มที่บอกเบาๆ ข้างหูนี่ทำให้รู้สึกอุ่นใจจริงๆ ผมเอนตัวพิงพี่สยามไว้ อ้อมกอดนี้อบอุ่นเสมอ มันไม่เปลี่ยนเลยครับ ยิ่งได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งเสพติด อยากได้มากขึ้นอยู่เรื่อยๆ ไม่เคยคิดว่าชีวิตจะมาถึงจุดที่ไม่สนใจใครเลยนอกจากพี่สยาม ไม่ว่าจะคิดเรื่องอะไรอยู่ก็มักจะวกมาคิดถึงมันอยู่ตลอดด้วย

แทบทุกเวลาที่รู้สึกตัว

พี่สยามมีอิทธิพลต่อชีวิตผมมาก ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรามันยังไม่มีชื่อเรียกแต่ว่าความรู้สึกที่เรา 2 คนมีให้กันมันก็ชัดเจนมากเกินพอละ ผมรักพี่สยาม พี่สยามก็รักผม เราต่างคนต่างรักกัน เหลือแค่เวลาเหมาะเท่านั้นที่ความสัมพันธ์ของเราจะเปลี่ยนชื่อเรียก อีกไม่นานผมจะสามารถบอกคนอื่นได้เต็มปากเต็มคำว่าพี่สยามเป็นแฟนของผม

"รอกูอีกหน่อยนะพี่สยาม"

"หึ....นานแค่ไหนก็จะรอครับ"








TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งหยัมปองแล้วนะ ตอนนี้ก็ยังหวานเลี่ยนกันอยู่ มันก็จะหวานเลี่ยนไปแบบนี้อีกสักพักเลยแหละ แต่เข้าพาร์ทดราม่าเมื่อไหร่ก็ต้องกุมใจกันเอาไว้แน่นๆ เลยนะ นิยายเรื่องนี้ไม่ใช่สายฟีลกู๊ดจ๋าหรือสายละมุนแบบเรื่องของขุนหนมนะ มันกึ่งๆ หวานคือหวาน ขมคือขม อันนี้บอกก่อนเลย แต่ยังไงตอนจบมันต้องแฮปปี้เอนดฺอยู่แล้วนะคะ

เกริ่มเรื่องขันหมีหน่อย ก็อีกแค่อาทิตย์เดียวก็จะได้อ่านแล้วนะคะ สารภาพจากใจเลยว่าแต่งดองไว้อาจจะไม่ได้มากเท่ากับขุนหนมเพราะว่าชาลไม่ค่อยมีเวลาและป่วยบ่อย เพราะงั้นรอนิยายเนี่ยะ ช่วยรอกันอย่างใจเย็นนะคะ

ถ้าชอบก็กลไค์ คอมเม้นต์เพื่อให้กำลังใจกันได้นะ สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis นะคะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้า
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [บทที่ 35 : 10/3/2018 ] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 10-03-2018 22:07:58
ต่อให้ขมแค่ไหนเราก็เชื่อว่าสยามกับสมปองจะจับมือกันฝ่าอุปสรรคไปได้และรักกันมากยิ่งขึ้น เราเชื่อแบบนั้น คนเราจะรักกันถ้าไม่มีอุปสรรคเลยมันก็ไม่ใช่ ความรักไม่ได้สวยงามเสมอไปจริงๆ

ขอบ่นพี่หยัมหน่อยเหอะ สย๊ามมมมมมม! แกนี้มันจริงๆเลยนะ ทั้งให้ลูกฉันนั่งตักท่ามกลางประชาชีทั้งจับมือทัังพูดเพราะคะขา นี้แกกะให้ลูกฉันสำลักความสุขตายแล้วหาเมียใหม่สินะ แกนี้มันร้ายจริงๆ  :katai4:

สมปองลูก หนูน่ารักจังเลยอ่ะ โอ๊ยยย อย่าไปยอมอย่าไปเขินนังหยัมมันมากนะลูก เดียวมันจับหนูงั่ม แม่ช่วยไม่ได้นะแต่แม่จะเชียร์ให้พี่หยัมมันงั่ม(เอ๊ะ!? ยังไง :hao5: ) สมปองเอ๊ย แม่บอกตรงๆว่าแม่กลัวใจหนูเหลือเกินลูก ถ้ามันดราม่ามาแม่กลัวใจหนูจริงๆ(ฮืออ) ยังไงแม่ก็เอาใจช่วยหนูนะลูก //ชูป้ายไฟ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [บทที่ 35 : 10/3/2018 ] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 11-03-2018 00:22:42
พี่หยัมสายหยอด
น้องปองสายอ่อย

ยังรอดราม่าอยู่นะ
อิอิ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [บทที่ 35 : 10/3/2018 ] หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 11-03-2018 02:11:25
อยู่ด้วยกัน แต่ไม่ใช่แฟน ชักสงสารพี่หยามเสียแล้วเรา  :ling1:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [บทที่ 36 : 17/3/2018 ] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 17-03-2018 21:00:46
บทที่ 36 คนแรกและคนสุดท้าย



ทำไมประเทศไทยจะต้องอากาศร้อนด้วยวะ

เหงื่อนี่ไหลจะหมดตัวแล้วนะ

งื้อออ.ออ.....อยากกลับหอ

ผมนั่งงอแงเขี่ยใบไม้เล่นไปมารอเวลาที่พวกพี่ปี 2 จะปล่อยกลับบ้าน ตอนนี้เป็นเวลาบ่าย 2 ซึ่งอากาศกำลังร้อนชิบหายเลย พวกพี่เขานัดเด็กโยธามาคุยเรื่องค่ายอบรมที่เราจะไปกันในอีกไม่กี่อาทิตย์ข้างหน้า จากเมื่อวันที่ผมไปดูค่ายกันที่พิษณุโลกนั้นก็ผ่านมา 3 อาทิตย์แล้วครับ ตอนนี้ชีวิตก็วนลูปกลับมาเรียนอีกครั้ง

วันหยุดช่างผ่านไปเร็วมากเว่อร์

ช่วง 3 อาทิตย์ที่ผ่านมาชีวิตผมกับพี่สยามก็แฮปปี้ดีครับ ไม่มีปัญหาเบาะแว้งอะไรกันเลยเพราะแยกย้ายกันทำแต่งานของคณะ แม่ง ประสาทจะเสียอยู่แล้ว ผมไม่ค่อยได้นั่งคุยหยอกล้อกับพี่สยามเป็นจริงเป็นจังเลยอ่ะ เป็นช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันแต่รู้สึกเหมือนอยู่กันคนละฝั่งโลก พี่มันต้องทำเอกสารเรื่องค่ายส่งทางคณะไง ส่วนผมก็ต้องทำหน้าที่ในตำแหน่งประธานฯ ของผม

เหนื่อยโฮก

ทำแต่งานจนรู้ตัวอีกทีก็เปิดเทอมละ นี่เป็นวีค 2 ของเทอม 1 ซึ่งตารางเทอมนี้มันค่อนข้างที่จะโหดสัสเป็นอย่างมาก แต่ไม่เป็นไร ถึงจะโหดแค่ไหน สมปองคนนี้ก็จะฟันฝ่าไปให้ได้

ก็เลือกเองนี่หว่า

ฮุกก.ก.ก.....

"ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะปอง"

ผมเหลือบมองสมแยมก่อนจะเบะปากหนักขึ้นไปอีก "กูร้อนน่ะ ร้อนมากๆ ด้วย"

"ให้กูเป่าลมให้ไหม"

"ไม่ต้อง ถ้ามึงจะเป่ามึงต้องเป่าแบบไซโคลนเลยนะกูถึงจะหายร้อน"

"ถ้ามึงให้แยมมันเป่าแบบไซโคลนมึงก็ต้องปลิวหายไปกับเมฆสิสมปอง คิดอะไรเลอะเทอะ" สมเทียนเอ่ยขึ้นมาก่อนจะส่งพัดมาให้ผม "ให้ยืม 5 นาที"

"ขอบใจ" พอได้พัดมาผมก็กระหน่ำโบกใส่ตัวเอง ค่อยยังชั่วหน่อย เดี๋ยวผมให้พี่สยามมันไปซื้อพัดมาให้ใช้บ้างดีกว่า

ลันตามันยื่นหน้าเข้ามาใกล้รัศมีของลมพัด "เมื่อไหร่พี่เค้าจะเริ่มคุยวะ"

"รอพี่ปี 3 มั้ง อีก 15 นาทีอ่ะพี่เค้าถึงเลิกเรียน"

"อ๋อ จะว่าไปก็ดีเหมือนกันนะที่มีแต่เด็กโยธาน่ะ ไม่งั้นนั่งเบียดกันแย่"

"จริงมึง แต่วันนี้มันก็ร้อนจริงอ่ะ ขนาดไม่ได้นั่งกลางแดดยังร้อนขนาดนี้เลย"

ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่สมเทียนพูด "ใช่ ดีนะว่าพี่ๆ เค้ายังใจดีให้นั่งในร่ม ขืนได้ไปนั่งตากแดดกูต้องกลายเป็นสมปองตากแห้งแน่ๆ "

นึกภาพตามแล้วโคตรอนาถใจ

ผมมองด้านหน้าที่มีพี่ปี 2 ของโยธายืนเด๋อกันอยู่เป็นกลุ่มๆ พวกแก๊งค์ประธานสันฯ ก็อยู่นะ แต่ตัวประธานสันฯ น่ะไม่อยู่ พี่สยามมันไปคุยอะไรกับอาจารย์วิชัยไม่รู้ มันบอกว่าเดี๋ยวมา ไม่แน่ว่าอาจจะมาพร้อมพวกพี่ขันเลยก็ได้มั้ง วันนี้ถ้าทำกิจกรรมส่วนนี้เสร็จผมอยากชวนมันไปกินไอติมด้วยกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะว่างไหมนะ

 ขอให้มันว่างด้วยเถอะ

ตั้งแต่กลับมาผมก็เขียนไดอารี่ลงไปหลายหน้าเลยครับ แน่นอนว่าเป็นการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับวีรกรรมที่พี่สยามมันทำกับผม นี่เขียนบ่นไปว่าไม่ค่อยได้มีเวลาส่วนตัวใช้กับพี่มันเลย ถ้าพ่ออ่านพ่อต้องสงสารผมมากแน่ๆ ขนาดผมยังสงสารตัวเองเลย

อยากจิ่ครายยยย

"พวกพี่ๆ เค้ามาแล้วปอง"

ผมมองไปตามเสียงที่สมลันพูด ก็พบกับเหล่าพี่ปี 3 ที่เดินกันมาโดยมีพี่ขันเดินนำอยู่ด้านหน้า พี่สยามก็เดินมากับพวกเขาด้วย เห็นสีหน้าเหนื่อยๆ นั่นอยากจะพุ่งเข้าไปกอดซะจริง

พี่ขันไล่มองทางพวกผม "ครบแล้วใช่ไหม"

"ครับพี่" พี่ขุนเป็นคนตอบก่อนจะส่งใบรายชื่อให้พี่ขัน "นี่เป็นรายชื่อเด็กโยธาทั้งหมดครับ"

"โอเค พวกปี 2 ก็ไปนั่งรวมกันเป็นแถวซะไป พวกคณะกรรมการฯ ก็ด้วย" สิ้นเสียงพี่ขันพวกพี่ปี 2 ก็มานั่งตั้งกันเป็นแถวยาวอยู่ข้างแถวผม พี่สยามก็เดินมานั่งลงข้างๆ

"เหนื่อยไหม"

เจ้าตัวพยักหน้ารับ "เหนื่อยมาก จะตายแล้ว"

"ตายไม่ได้นะ กูยังไม่อยากเป็นหม้าย"

"แน่ะ เป็นห่วงล่ะสิ"

"ก็ต้องเป็นห่วงสิ" ผมเอียงตัวเข้าไปกระซิบใกล้ๆ "ขาดมึงไปนี่กูขาดใจเลยนะ"

"สมปองมึง...."

แก้มแดงไมอ่ะพี่สยาม

"เป็นไร เขินหรอ หน้าแดงลามไปยันหู" ผมเท้าคางมองพี่สยามก่อนจะยิ้มออกมา เห็นแบบนี้แล้วน่ารักชะมัด ความรู้สึกนี้มันคงจะคล้ายๆ กับตอนที่มันหยอดแล้วผมเขินแน่เลย

ฮ่าๆ ๆ ๆ นี่แหละช่วงเวลาแห่งการเอาคืน

"เพราะมึงนั่นแหละ เดี๋ยวจะโดนนะ" พี่สยามหรี่ตามองพร้อมกับคาดโทษ คิดว่าคนอย่างสมปองจะกลัวเหรอ

แบร่บๆ ๆ ๆ ๆ

แลบลิ้นใส่แม่ง ผมหันกลับมามองทางพี่ขันแต่ตาก็ยังเหลือบมองพี่สยามเป็นระยะ เจ้าตัวส่งสายตาที่อ่านได้ว่า กลับหอก่อนเถอะ มึงโดนกูแน่อีเมีย นี่ต้องสลดไหม ต้องกลัวรึเปล่า ผมบอกแล้วไงว่าจะไม่ยอมให้มันอยู่เหนืออีกต่อไป สมปองจะต้องเป็นผู้นำบ้างหลังจากเป็นแต่ผู้ตาม

ผมต้องเป็นเมียที่มีอำนาจ

พี่สยามก็พี่สยามเถอะ

"ฟังทางนี้ซิ" พี่ขันเอ่ยบอก เหล่าเด็กๆ ก็เงียบกันทันที "ที่เรียกมาวันนี้คือจะคุยเรื่องที่ไปค่ายอบรมของสาขา เราจะไปกัน 10 วัน ซึ่งค่ายนี้อยู่ที่พิษณุโลก ไอ้แช่มมึงไปแจกเอกสารชี้แจงให้น้องๆ "

"ได้เลยครับ" ว่าแล้วพี่แช่มก็เดินแจกเอกสารให้น้องๆ อย่างทั่วถึง ผมมองตารางกิจกรรมที่ตัวเองเป็นคนพิมพ์เองกับมือ

กิจกรรมอบรม 3 วันแรกนี่จะโคตรน่าเบื่อเพราะเป็นวันที่มีแต่การอบรมแบบอบรม 2 วันต่อมาก็จะเป็นการดูงานและฝึกปฏิบัติ ส่วน 3 วันสุดท้ายก็จะเป็นกิจกรรมที่เคยเสนอกันไป เดี๋ยวจะต้องมีการแบ่งกลุ่มกันเพื่อไว้ทำกิจกรรมครับ ได้ข่าวว่าเขาจะให้สุ่ม ไม่รู้ชะตากรรมตัวเองเลยว่าจะได้อยู่กลุ่มใคร แต่ถ้าถามจากใจแน่นอนว่าผมอยากอยู่กลุ่มเดียวกับพี่สยาม

ขอให้ได้ขอให้โดน

"ในการไปค่ายเนี่ยะ เราจะแบ่งกลุ่มเพื่อทำกิจกรรม 5 กลุ่มนะ โดยจะมีพวกผมเป็นคนดูแลพวกคุณ ผมจะรับผิดชอบกลุ่ม 1 ทะเลกลุ่ม 2 แช่มกลุ่ม 3 จันทร์ฉายกลุ่ม 4 และเฌอคือกลุ่ม 5 "

"ใช่ โดยการจับกลุ่มเราจะทำโดยการสุ่มให้พวกคุณนับเลขไปเรื่อยๆ เริ่มที่หัวแถวได้เลย" พี่แช่มสั่ง พวกหัวแถวก็นับไล่มาเรื่อยๆ นับแบบนี้ผมก็ไม่ได้อยู่กับพวกเพื่อนๆ ผมแน่ๆ

ลาก่อยนะเพื่อนๆ

สมปองจะคิดถึงพวกนาย

"นับสิปอง"

"หืมๆ เลขไรละนะ" มัวแต่ดราม่า แม่งฟังไม่ทันเลยเห็นไหมห่าปอง

"กู 5 ไง มึงก็ 1 สิ" ลันตาบอกก่อนจะหยิกขาผม "หัดมีสติซะบ้าง"

ผมทำหน้ามุ่ยใส่มัน " 1 ครับ" ฝากไว้ก่อนเถอะอีงูพิษ แค้นนี้ต้องชำระแน่

" 1 ครับ" พี่สยามเอ่ยนับก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆ ให้ผม "อยู่กลุ่มเดียวกันเลยนะปอง"

เย่

อยากจะชูมือขึ้นเฮทั้งสองข้างแต่ต้องเก็บอาการไว้

"พูดงี้นี่ดีใจล่ะสิที่ได้อยู่กลุ่มเดียวกับกู"

"นอกจากจะอยู่ในกลุ่มแล้ว...." พี่สยามเลื่อนมากระซิบเบาๆ ที่ข้างหู "ขออยู่ในใจด้วยได้ไหม"

ตึกตัก

เรื่องนั้นมัน....

"ก็อยู่ในใจมา...ตั้งนานแล้วป้ะวะ" ผมบ่นอุบอิบ เจ้าตัวก็เลื่อนมือมาขยี้หัวผมเบาๆ

"น่ารัก"

"ไม่ต้องมาพูดเลย"

เขินนะไอ้บ้า





ร้านไอติม TSJ

ผมนั่งเท้าคางมองพี่สยามที่กำลังทำอะไรสักอย่างอยู่ที่เคาท์เตอร์ ตอนนี้เป็นเวลา 5 โมงกว่าๆ แล้วครับ หลังจากที่จัดการเรื่องกิจกรรมไปค่ายเสร็จผมก็ชวนเจ้าตัวมากินไอติม โชคดีที่มันบอกว่าโอเค มันว่าง พามากินได้ ผมนี่ถึงกลับปลื้มปริ่ม ซึ้งใจสุดๆ น้ำตานี่คลอเบ้าเลย

ก็เว่อร์ไปอ่ะ

ตอนนี้ร้านไอติมของพี่ถิ่นไทซ่อมแซมจนกลับมาสวยน่านั่งเหมือนเดิมแล้วนะครับ เอาจริงๆ ก็ใช้เวลาทำร้านนานอยู่นะ ช่วงที่ร้านปิดนี่เสียรายได้ไปเยอะเลยแหละ ที่ผมรู้ก็เพราะว่าพี่สยามมันมาบ่นให้ฟัง แถมรู้มาด้วยว่าไอ้พวกที่มาพังร้านเนี่ยะโดนเรียกค่าเสียหายไปหนักเอาการ ก็นะ อยู่ดีไม่ว่าดีเองนี่หว่า

สมน้ำหน้าแม่ง

"มาแล้วครับ" พี่สยามเดินถือไอติมชามใหญ่มาวางไว้ตรงหน้าผม หูวววว น่ากินสุดๆ ไอติมรสนมสดที่ท็อปด้วยเอ็มแอนด์เอ็มนี่เป็นอะไรที่เดอะเบสท์มาก

จะกินเข้าไปทั้งจานเลยคอยดู

"ถ้าไม่อิ่มสั่งเพิ่มได้ไหม"

"กินเยอะก็จะอ้วนน่ะนะ"

ผมมองค้อนใส่มันทันที "หนิ อยากตายหรอ"

"อยากใช้ชีวิตอยู่คนเดียวป้ะล่ะ"

หึ....พูดออกมาแบบนี้

"อยากอยู่กับมึง....โอเค้"

"โอเคครับ" พี่สยามมันยิ้มหวานก่อนจะตักไอติมเข้าปาก เห็นรอยยิ้มแบบนี้แล้วน่าหมั่นไส้จริงๆ เก่งจริงเรื่องต้อนกูด้วยคำพูดเนี่ยะเก่งจริง

ผมทำหน้ามุ่ยใส่มันก่อนจะตักไอติมเข้าปาก "อื้มม.ม.ม....อร่อยจัง สมกับที่อยากกินมาหลายวัน"

"อยากกินทำไมไม่บอกอ่ะ"

"ก็เห็นมึงไม่ว่าง กูก็เลยรอวันที่มึงว่างไง"

"วันหลังก็บอกได้นะ" พี่สยามตักเชอร์รี่มาใส่ไว้ในชามผม "สำหรับมึงอ่ะ ต่อให้ไม่ว่างยังไงก็จะพยายามหาเวลาว่างให้"

ผมหลุดยิ้มก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ "เทคแคร์เก่ง"

"ชอบไหมล่ะ"

"ชอบ" พอผมบอกไปแบบนั้นคนตรงหน้าก็ยิ้มหวานออกมาจนตาหยี อยากบีบแก้มขาวๆ นั่นชะมัด เอาไว้กลับหอก่อนเถอะมึง

ผมนั่งกินไอติมของตัวเองพลางแย่งไอติมของพี่สยามมากินด้วย ทุกครั้งที่มากินไอติมด้วยกันพี่มันจะสั่งแต่รสช็อกโกแลตชิพ ก็คงคล้ายๆ กับผมที่กินแต่รสนมสด จะว่าไปผมไม่ค่อยรู้เรื่องของที่มันชอบเท่าไหร่นะ มีที่จำได้แม่นๆ ก็คือไอติมนี่แหละ ส่วนเรื่องอื่นนี่ไม่ค่อยรู้ สงสัยผมจะต้องสังเกตตัวมันให้มากขึ้นแล้วล่ะ

หรือถามเลยดีวะ

"พี่สยาม"

"หืม....จะเอาอีกหรอ"

"เปล่า คือกูมีอะไรอยากจะถามหน่อย"

"ถามอะไรอ่ะ" มือเรียวยื่นมาตักไอติมในถ้วยผมไปใส่ปาก

"คือกูอยากรู้อะไรที่เกี่ยวกับตัวมึงบ้าง กูไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับมึงเลยนะ อะไรที่มึงชอบหรือไม่ชอบ ของกินหรือสิ่งที่ชอบทำอะไรทำนองเนี้ยะ"

"กูไม่มีอะไรที่ชอบมากๆ เป็นพิเศษนะ เรื่องของกินคือกินได้ทุกอย่างไม่มีอะไรที่กินไม่ได้ ไม่มีอะไรที่แพ้ หลายๆ อย่างที่เกี่ยวกับกูมึงก็น่าจะรู้อยู่แล้วนะปอง"

"ก็ไม่ได้รู้เยอะป้ะวะ"

"ตัวกูก็ไม่ได้มีอะไรน่ารู้เยอะหนิ" มือเรียวยื่นมาจับมือผมก่อนจะใช้ปลายนิ้วโป้งเกลี่ยเบาๆ "เรื่องพวกนี้เรามีเวลาทั้งชีวิตที่จะเรียนรู้ซึ่งกันและกัน....ถูกไหม ให้บอกในวันเดียวมันก็ไม่พอหรอก"

"นั่นสินะ"

ก็จริงที่พี่สยามมันพูด เรื่องนี้จะให้บอกวันเดียวก็คงไม่หมดจริงๆ แต่ตัวมันก็รู้เรื่องของผมเยอะอยู่หน่า เนี่ยะ คิดละย้อนแย้งอีกละ งั้นเลิกคิดดีกว่า เอาเป็นว่าผมจะค่อยๆ เรียนรู้ความเป็นพี่สยามไปเรื่อยๆ แล้วกัน เพราะยังไงก็มีเวลาทั้งชีวิตนี่นะ

คิดแล้วก็เขิน

"ปอง"

"หืม...."

"มึงเคยมีแฟนใช่ไหม"

ผมพยักหน้ารับเบาๆ "มีอยู่คนนึง น่ารักมากด้วย สวยมากด้วย ตอนนี้เรียนหมอด้วย" พูดทีนี่หน้าส้มลอยมาเลยว่ะ

"เพอร์เฟ็คเลยงั้นสิ"

"ก็เป็นผู้หญิงที่น่ารักมากรองมาจากแม่กูเลยอ่ะ ว่าแต่มึงถามทำไม"

"ก็อยากรู้ว่าเด็กต๊องแบบมึงเคยมีแฟนกับเค้ารึเปล่า"

"เคยสิ แต่ว่ากับแฟนคนเนี้ยะกูคบได้ไม่นานเท่าไหร่เพราะว่าพ่อกูกับพ่อเค้าไม่ชอบหน้ากัน มันก็เลยลามจนรุ่นลูก เนี่ยะ เมื่อตอนที่กูกลับบ้าน ก็เจอเค้านะ"

"เจอแล้วยังไงต่อ"

"ก็คุยโน่นนี่นั่นแหละ ตอนนี้เค้ามีคู่หมั้นไปแล้วด้วย กูกับเค้าก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน"

พี่สยามพยักหน้ารับรู้ "มึงเคยทำอะไรกับแฟนคนนี้บ้างไหม"

"ทำอะไรคือ...."

"ก็อย่างที่ทำกับกูไง"

"เคยแค่จับมืออย่างเดียว" ผมหยิบเชอร์รี่ลูกสุดท้ายขึ้นมากิน "ถ้าเป็นอย่างอื่นไอ้พวกหอมแก้ม จูบหรือมากกว่านั้น กูก็มีมึงนี่แหละที่เป็นคนแรก"

"จริงดิ่"

"เออสิวะ แต่ของมึง กูคงไม่ใช่คนแรกใช่ไหมล่ะ" เพราะคนแรกของมันคงจะเป็นคนที่ชื่อ....แซนด์

พี่สยามมันพยักหน้ารับเบาๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ผมอยากรู้เรื่องของแฟนเก่ามันคนนี้ให้มากขึ้นเหมือนกันนะ ก็แค่อยากรู้อ่ะ ว่าเออรักกันยังไง ที่รู้นี่คือเคยคบกันมา 3 ปี แถมยังเป็นแฟนคนแรกและเป็นคนเดียวที่มันเคยมีอีกต่างหาก ตอนนี้ในใจนี่อยากจะรู้เรื่องในอดีตของมันมากเลยครับ

เพราะงั้นต้องถาม

"พี่สยาม คนที่ชื่อแซนด์เนี่ยะ เค้าเป็นคนแรกของมึงในทุกเรื่องเลยหรอ"

"ก็....ใช่แหละ เป็นคนแรกของกันและกันน่ะ"

"งี้นี่เอง" ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ "ถามอะไรที่เป็นส่วนตัวมากๆ หน่อยได้ไหม"

"ส่วนตัวขนาดไหน"

"ครั้งแรกที่....ป๊ามกันนี่เมื่อไหร่"

พี่สยามเลื่อนมือมาบีบจมูกผมเบาๆ "เด็กลามก"

"ก็อยากรู้หนิ บอกได้ไหมล่ะ"

"ถ้าจำไม่ผิดคงเป็นตอนม.5 นึกถึงช่วงนั้นแล้วรู้สึกโคตรเอ๋อเลย ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง"

"คนกากก็เงี้ยะ"

"ตอนนี้ไม่ได้กากแบบตอนนั้นแล้วละกัน" ใบหน้าหล่อเลื่อนเข้ามาใกล้ "พิสูจน์ด้วยตัวเองแล้วหนิ"

ฉ่า

หน้าร้อนอีกแล้ว

"พูดบ้าอะไรก็ไม่รู้" ผมยกมือขึ้นมาลูบหน้าตัวเองเบาๆ แม่งแก้มต้องแดงมากแน่ๆ ไม่น่าเลยปองเอ้ย นี่ก็เก่งเรื่องพูดจาให้ตัวเองโดนสวนซะจริง

ผมมองใบหน้าหล่อของพี่สยามที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อะไรของมันไม่รู้ กลับถึงหอแล้วจะทุบให้ตายเลย หมั่นไส้นัก เรื่องแฟนเก่าที่มันเล่าให้ฟังเมื่อกี้ผมก็รู้สึกแปลกๆ ในใจเหมือนกันนะ สำหรับผมอะไรที่มันเป็นครั้งแรกมันก็จะพิเศษเสมอ ใครๆ ก็คงจะคิดแบบนี้ พี่มันเป็นครั้งแรกในหลายเรื่องของผม ลองคิดดูสิว่ามันพิเศษสำหรับผมมากแค่ไหน

แล้วตัวผมล่ะจะพิเศษสำหรับมันเหมือนกัน....รึเปล่า

ดึงดราม่าเฉย

"สมปอง"

ผมสะดุ้งเพราะเสียงเรียกนั่น "หืม....มีอะไร"

"ทำไมทำหน้าแบบนั้น"

"หน้าแบบไหนอ่ะ"

"เหมือนซีเรียสกับเรื่องที่รู้"

"ปะ...เปล่า ไม่ได้มีอะไรสักหน่อย" ผมบอกปัดไป ความคิดเมื่อกี้นี่ทำใจปวดตุ้บๆ เลยว่ะ

"งั้นหรอ" พี่สยามเลื่อนมือมาจับมือผมไว้ทั้งสองข้าง "ไม่รู้หรอกนะว่าเมื่อกี้คิดอะไรแต่กูมีสิ่งที่อยากจะบอกกับมึงไว้"

"ว่ามาสิ"

"สำหรับกูครั้งแรกหรือคนแรกคือสิ่งที่น่าประทับใจ แต่มันไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกดีและพิเศษเท่ากับครั้งสุดท้าย....หรือคนสุดท้าย"

"พี่สยาม...."

"ช่วยอยู่เป็นคนสุดท้ายให้ทีนะ"

ตึกตัก

เชี่ยยยย

ขอกูแต่งงานป้ะเนี้ย

ผมหลุดยิ้มออกมาก่อนจะพยักหน้ารับคำพี่สยาม หัวใจเต้นโครมครามเหมือนกับจะหลุดออกมาข้างนอกยังไงอย่างงั้น วันนี้ก็ตั้งใจแล้วนะว่าจะไม่แพ้ทางมันแต่สุดท้ายแล้วก็แพ้อยู่ดี

ยอมหมดทั้งใจเลยกับคนนี้

"มึงเองก็....ต้องอยู่เหมือนกันนะ"

"มันแน่นอนอยู่แล้วครับ"

งื้ออ.อ.อ...ยิ้มหวานแบบนั้น

เอาใจกูไปเล้ยยยยยยยยยยย

เอาไป๊!!!










TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งหยัมปองแล้ว ยิ่งแต่งเรื่องนี้นับวันก็จะยิ่งเขินบิดไปบิดมา คือถ้าพี่สยามจะมาสายหยอดแบบนี้ทั้งชาลทั้งบี๋ก็จะแก้มแตกตายเอานะ ก็มีการกระโดดข้ามเวลามาหลายอาทิตย์หน่อยนะ คงไม่งงกันเนอะ เนี่ยะเดี๋ยวก็ใกล้ไปค่ายแล้วล่ะค่ะ น่าจะบทที่ 38 ที่ไปค่าย บทหน้าน่าจะเตรียมตัวกัน รอติดตามนะคะ

จะบอกว่าลงขันหมีไปแล้วนะ เผื่อยังมีคนที่อยากอ่านคู่นั้นแล้วไม่รู้ก็ขอบอก เรื่อง I'm not Playboy ผมไม่ได้เจ้าชู้ นะคะ ใครชอบความหม่น ความเทา ความดราม่าก็ไปอ่านกันได้

ถ้าชอบก็กดไลค์ คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ สามารถติดต่อข่าวสารได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis น้า

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [บทที่ 36 : 17/3/2018 ] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 17-03-2018 21:18:52
ชื่อสมปองเหมือนกันใยไม่เจอสามีอย่างพี่สยัมมั่งนะ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [บทที่ 36 : 17/3/2018 ] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 17-03-2018 22:27:26
'อยู่เป็นคนสุดท้ายให้ทีนะ' โอ๊ยยยยยย แผ่นดินไหวแต่น้องไม่ไหวแล้วค่าาา เขินตัวบิดเป็นไส้เดือนแล้ววว พี่สยามมม นังคนเทคแคร์เก่ง นังคนหยอดเก่ง นังคนบ้า! แกทำให้มม.เรือผี#ขันปองของฉันเป็นหมันเพราะความโรแมนติกของแก๊ ฉันหรืออุตส่าดีใจเพราะมม.#ขันปองมา(เขาอยู่กลุ่มเดียวกัน)แม้จะมีแกมาอยู่ด้วยก็เหอะ แต่แกทำให้มันเป็นหมันไง เพราะแกเล่นขอลูกฉันแต่งงานไง เอ๊ะ?! ไม่ใช่สิ เออๆนั้นแหละ ได้หัวใจลูกฉันไปแล้วก็ดูแลดีๆนะเว้ย อย่าทิ้งขว้างนะ ไม่งั้นโกรธ  :m16:  :m31:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [บทที่ 36 : 17/3/2018 ] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 18-03-2018 01:50:23
หวานกันอีกแล้ว หวานกันไปนาน ๆ ละ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [บทที่ 37 : 24/3/2018 ] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 24-03-2018 20:26:42
บทที่ 37 สมปองกับการไปค่าย
[/b]


"มึงตัดกระดาษให้มันตรงๆ สิวะปอง"

นี่ก็ตรงแล้วนะลันตา

"เออ ตัดเบี้ยวไปเบี้ยวมาอยู่ได้ มันจะเสร็จทันไหมห้ะ"

ต้องทันสิ ยังไงก็ต้องทัน

"พวกมึงก็ใจเย็นๆ ก่อนนะ อย่าว่าปองมันเลย"

มีแต่มึงนี่แหละแยมที่เข้าใจกู

ส่วนพวกที่เหลือแม่ง....อสรพิษ

ผมนั่งตัดกระดาษด้วยความชอกช้ำ ทำไมชีวิตของสมปองต้องมานั่งทำอะไรแบบนี้ด้วยวะ ตอนนี้ผมสิงอยู่ที่ห้องลันตาครับ มาทำพร็อพประกอบละครเวทีที่เราจะไปแสดงกันที่ค่าย คือพร็อพของกลุ่มผมน่ะ พวกพี่สยามกำลังทำอยู่ แต่ไอ้พวกกระดาษที่ผมนั่งตัดอยู่เนี่ยะมันเป็นของกลุ่มลันตากับสีเทียน ซึ่งความจริงผมไม่ต้องมานั่งทำอะไรแบบนี้ก็ได้นะ

แต่อีงูพิษมันสั่งไง

แม่งเอาเรื่องมิตรภาพมาพูด ผมนี่ก็อินตามเลย จะไม่ช่วยมันก็ไม่ได้อีกติดตรงคำว่ามิตรภาพ เนี่ยะ แต่พอมาช่วยผมก็โดนด่า หนักๆ หน่อยแม่งเอาหมอนมาฟาด ดูมันทำสิ หน้าตาออกจะน่ารักน่าเอ็นดูแท้ๆ แต่จิตใจนั้นช่างโหดเหี้ยมอำมหิตผิดมนุษย์มนา!!!

โหยยยย โคตรอินอ่ะปอง

ผมหยิบกระดาษแผ่นใหม่มาตัดพลางหันไปมองนาฬิกา ตอนนี้ประมาณเกือบ 1 ทุ่มแล้วครับ ฝั่งของพี่สยามก็น่าจะนั่งทำพร็อพกันอย่างขยันขันแข็งอยู่แน่ๆ ผมบอกมันไปแล้วว่าให้รีบช่วยกันทำก่อนแต่ก็ไม่เอาไง สายงานเผา แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ต้องรีบไปที่มหา'ลัยแต่เช้ามืดเพราะว่าพวกกรรมการฯ ต้องคอยดูแลความเรียบร้อย

ดูจากทรงแล้วไม่น่าจะได้นอนนะคืนนี้

จะว่าไปก็ตื่นเต้นเหมือนกันนะที่จะได้ไปค่ายสักที ผมเตรียมอุปกรณ์ที่จะขอพี่สยามเป็นแฟนไว้เรียบร้อยแล้วครับ คนที่จะแบกไปให้คือแยมเพื่อนรัก เรื่องนี้มีแค่ผมกับมันที่รู้ ส่วนลันตากับสีเทียนผมยังไม่ได้บอกเพราะกลัวว่ามันจะทำแผนแตกก่อน แต่ถ้าไปถึงที่โน่นผมก็อาจจะเล่าเรื่องนี้ให้มันสองคนฟัง ต้องใช้งานพวกมันให้ช่วยจัดไฟไงไม่ใช่อะไร

"ละครเวทีของกลุ่มมึงคืออะไรอ่ะปอง"

"เห็นว่าพี่ๆ เค้าจะเอาเรื่องซินเดอเรลล่ามั้ง"

"ละมึงก็เป็นซินเดอเรลล่างี้"

ผมหันขวับมองลันตาทันที "อย่ามาพูดจาเหมือนรู้ว่ากูต้องเป็นได้ไหม"

"มึงไม่เป็นใครจะเป็นวะ เอาเป็นว่าเดี๋ยวกูจะรอดูสมปองเรลล่า"

สมปองเรลล่าหน้ามึงอ่ะ

"กูจะต้องไม่ได้เป็น เดี๋ยวมึงคอยดูได้เลยลันตา" ผมยักคิ้วให้มันเหมือนกับมั่นใจในสิ่งที่พูดมาก ถึงตอนม.6 เคยเป็นสโนปองมาแล้วรอบนึงแต่ตอนนี้โชคมันก็น่าจะเข้าข้างผมบ้างแหละวะ

ควรเป็นสมปองที่โชคดีบ้าง

ไม่ใช่เอาแต่โชกเลือดอย่างเดียว

"อ่ะปองนี่กระดาษ" แยมมันส่งกระดาษมาให้ผมอีก ทำไมยิ่งตัดแล้วมันยิ่งเยอะวะ นี่ไม่ลดลงบ้างเหรอ เมื่อยมือแล้วนะมึง

ผมสะบัดข้อมือตัวเอง "เมื่อยมือชิบ"

"แน่ะ" สีเทียนหรี่ตามองผมพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม "เมื่อยมือแบบนี้นี่....ไปทำอะไรมาจ๊ะ"

"ก็นั่งตัดกระดาษนี่ไง คิดอะไรของมึง"

"แน่ะ"

"แน่ะหน้ามึงอ่ะ ตัดกระดาษไปเลยนะมึง" ผมโวยใส่มันก่อนจะหยิบกระดาษแผ่นใหม่ขึ้นมาตัด

ผมเข้าใจไอ้สิ่งที่สีเทียนพูดเมื่อกี้นะว่ามันหมายความว่ายังไง คิดว่ากูใช้มือ....ทำแบบนั้นบ่อยน่ะสิ หึ มันไม่เป็นแบบที่มึงคิดหรอกนะเพื่อนรัก ผมเข้าใจนะว่าผู้ชายมันก็ต้องมีบ้างแหละกับไอ้เรื่องพรรค์นี้ มันก็ต้องคึกคักกันบ้าง ช่วงที่ผ่านมาผมก็คึกคักอยู่นะ ไม่ใช่พวกตายด้าน แต่ว่าตอนที่ต้อง....อื้อหื้อออ....เนี่ยะ ผมไม่ได้ใช้มือตัวเองเท่านั้นเอง

มีผัวก็ต้องใช้มือผัวสิ

เอาจริงๆ คนที่ชอบทำผมของขึ้นก็คือมันนั่นแหละ เพราะงั้นก็เป็นเรื่องปกติที่มันต้องรับผิดชอบ แต่จะไปถึงขั้นให้ผมสมยอมนอนให้มันเชยชมนิ่งๆ ก็ไม่ใช่ไง กายและใจยังไม่พร้อมมากพอ บอกละว่าไว้เป็นแฟนกันก่อน เรื่องพวกนี้จะตามใจทุกอย่างเลย

จะนอนนิ่งๆ เป็นผักให้แทะเลยครับ

ครื้ดดด....ครื้ดดด

ผมเลื่อนมือหยิบโทรศัพท์มากดรับสาย "ฮัลโหลลลล"

(เมื่อไหร่จะกลับห้อง)

"ทำไมอ่ะ"

(คิดถึงแล้ว กลับมาสักทีสิครับ)

อย่าทำเสียงอ้อนแบบนี้สิวะ

"หื้ออ..อ.อ....นี่งานเสร็จแล้วหรอ"

(เรียบร้อยแล้ว เนี่ยะ อยู่ห้องแล้วด้วย)

"งั้นเดี๋ยวกูไป รอแปปนึงละกัน"

(ค้าบบบบ)

ผมกดวางสายก่อนจะหันไปทางลันตา "มึง กูต้องไปแล้วว่ะ"

"ผัวโทรตามหรอ" ลันตามันจ้องผมอย่างจับผิด

"ผัวอะไรของมึงวะเพ้อเจ้อ เดี๋ยวกูจะรีบไปจัดของด้วย พวกมึงก็อย่าลืมจัดของกันล่ะ"

"โอเค แล้วเจอกันนะสมปอง" แยมมันยิ้มหวานให้ผม เนี่ยะ มีแต่มึงคนเดียวนี่แยมที่เป็นมิตรกับสัตว์โลก

ผมรีบเผ่นออกมาจากห้องก่อนที่ลันตามันจะทักท้วงอะไรอีก ความจริงผมยอมรับไปเลยก็ได้นะว่าเออ ผัวโทรมาอ้อน แต่แบบ....มันก็เขินๆ อ่ะ ผมกับพี่สยามยังไม่ได้คบกันแบบทางการเลย ถ้าคบกันเมื่อไหร่นี่จะไม่ห้ามอะไรเลยสักนิด แต่ก็อีกไม่นานแล้วล่ะนะ เดี๋ยวก็ได้เป็นแฟนกันแล้ว

อา....ยิ่งคิดก็ยิ่งเขิน

ใช้เวลาประมาณ 5 นาทีผมก็เดินมาถึงห้องของตัวเอง พอเปิดเข้าไปก็พบร่างสูงของเจ้าหมีควายนอนแผ่อยู่บนเตียง ตัวต้องใหญ่ขนาดไหนถึงจะกินพื้นที่บนเตียงได้ขนาดนั้นอ่ะ ผมปิดประตูพร้อมกับล็อกกลอนไว้ก่อนจะเดินมาหาพี่สยาม เจ้าตัวนอนมองผมตาแป๋วไม่ขยับเขยื้อน

เป็นอะไรของมันวะ

"สมปอง"

"หืม...."

"ก้มลงมาให้จูบหน่อย"

ฉ่า

"พะ...พูดบ้าอะไรของมึง" ผมตีขามันก่อนจะนั่งลงบนเตียง "จูบเจิบบ้าอะไร"

พี่สยามรั้งให้ผมนอนราบไปกับเตียงก่อนจะใช้แขนตัวเองคร่อมผมไว้ "ก็คนมันอยากอ่ะ"

"ไม่ต้องมาอยากเลยนะ" ผมหันหน้าหนี ไม่อยากมองดวงตาคมคู่นั้นเลยว่ะ ใจพาลจะละลายเอาได้ง่ายๆ

"ต้องอยากสิ" จมูกโด่งฝังลงที่แก้มผมค้างไว้อยู่แบบนั้นก่อนจะถูแรงๆ "หมั่นเขี้ยวชะมัด" ว่าแล้วมันก็งับแก้มผม

"อื้ออ.อ.อ....พี่สยาม" ผมดันหน้าเจ้าตัวไว้ แต่มันก็จับมือทั้งสองข้างของผมกดไว้กับเตียงก่อนจะฟัดต่อไม่หยุด

มันจั๊กจี้โว้ยยยย

"อยู่นิ่งๆ "

"อยู่นิ่งอะไรเล่า ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ มันจั๊กจี้นะ พอก่อน อื้อ.อ.อ.อ...พี่สยาม"

"หึ...." คนบนร่างยอมหยุดก่อนจะเอาคางเกยอกผมไว้ "เด็กอะไรก็ไม่รู้น่ากินจริงๆ "

"เดี๋ยวมึงจะโดนกูกินก่อน ง้ามมมมมมมมมมม" ผมผงกหัวขึ้นมาทำท่าเป็นจะงับหัวพี่สยาม ตัวมันเองพอเห็นผมทำแบบนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ

น่ารักซะจริง

ผมอมยิ้มมองพี่สยามที่กำลังยิ้มปากบานอยู่ หน้านี้ถ้าคนอื่นได้เห็นคงจะตกหลุมรักมันไปตามๆ กันแน่ๆ ดีละที่มันทำให้ผมเห็นแค่คนเดียว ไอ้ท่าทีอ้อนๆ นี่ก็ด้วย เดี๋ยวนี้พ่อคุณเขาอ้อนเก่งเหลือเกิน ผมนี่ต่อให้แข็งมาจากไหนก็ต้องยอมอ่อนให้ พี่สยามมันรู้ด้วยแหละว่าถ้าทำแบบนี้ผมถึงจะยอม พอเป็นแบบนั้นแม่งก็ทำใหญ่เลย

เดี๋ยวจะทำบ้างคอยดูเถอะ

ทำไมเมื่อก่อนผมถึงได้เบื่อขี้หน้ามันนักนะ แล้วทำไมตอนนี้กลายเป็นว่าชอบมองใบหน้าคมนี้ พอรู้สึกได้รักแล้วก็ไม่เคยเบื่อเลย ความรักนี่มันร้ายกาจเหมือนกันนะ มันชอบทำให้เราแพ้ภัยตัวเอง

ตลอด....

ผมประคองใบหน้าของพี่สยามเข้ามาใกล้ๆ ก่อนผงกหัวขึ้นไปจูบที่ริมฝีปากบางนั่นเบาๆ คนโดนจูบหลับตาลงก่อนจะเปิดปากรับลิ้นของผมให้เข้าไป เราจูบกันบ่อยก็จริง แต่ทุกครั้งมันก็ยังให้ความรู้สึกแปลกใหม่เสมอ ผมจูบแลกลิ้นกับพี่สยามอยู่อย่างนั้นก่อนจะสัมผัสได้ถึงแรงลูบภายใต้เสื้อที่ผมสวมอยู่

ร้ายยยย

"อื้ออ.อ.อ....." ผมถอนจูบออกก่อนจะจับมือเรียวที่ล้วงเข้ามาในเสื้อ "มือไว"

"ใจเร็วด้วยนะ....ใจนี่นึกไปถึงตอนมึงแก้ผ้าแล้ว"

ผมบีบจมูกมันอย่างหมั่นเขี้ยว "ไม่ต้องเลย อยากจูบเฉยๆ ไม่ใช่รึไง"

"โถ่ ถ้ารู้ว่าจะตามใจนี่จะไม่บอกแค่อยากจูบเลย"

"ให้แค่จูบ มากกว่านี้ห้าม"

"อื้ออ.อ..อ....ห่อเหี่ยวหมดแล้ว" พี่สยามบอกเสียงอ่อนก่อนจะซุกที่ซอกคอผม "เป็นมะเขือเผาแล้ว"

"มะเขือเผาอะไรของมึงวะพี่สยาม ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ เพ้อเจ้อจริงๆ "

เจ้าตัวละออกมาจากซอกคอผมก่อนจะทำหน้ามุ่ยใส่ "เพ้อเจ้อแล้ว....รักไหม"

"ไม่บอกหรอก"

"ทำไมไม่บอกล่ะ"

"ไม่บอก"

"สมปอง"

"กูว่า....เราไปจัดของกันดีกว่า" ผมดันตัวพี่สยามออกก่อนจะลุกจากเตียงแล้วมาหยุดอยู่ตรงหน้าตู้เสื้อผ้า ส่วนหมีควายก็ยังนั่งทำหน้ามุ่ยใส่ผมอยู่ "มาจัดของสิ"

"เนียนเปลี่ยนเรื่องเลยนะ" มันบ่นอุบอิบก่อนจะเดินมาอยู่ข้างๆ

"เปล่าสักหน่อย ไหนจะเอาอะไรไปบ้างก็หยิบมา เดี๋ยวกูพับให้" ผมบอกมันก่อนจะหยิบเสื้อผ้าที่จะเอาไปค่ายออกมาจากตู้

ไปตั้ง 10 วัน เสื้อผ้านี่ต้องยังไงเนี่ยะ คงจะต้องใส่ซ้ำๆ สินะ ไม่เคยไปค่ายนานขนาดนี้เลยนะครับ ตอนไปค่ายรด.ก็ไม่ได้ไปนานขนาดนี้ แต่ว่ามันยังดีตรงที่ค่ายที่จะไปมันสะดวกสบายพอตัวเลย ทุกคนจะต้องปลื้มปริ่มกับค่ายนี้แน่นอน

นายสมปองละหนึ่งคน

ผมนั่งพับเสื้อไปเรื่อยๆ พี่สยามก็หยิบโน่นหยิบนี่ส่งมาให้ผม ก่อนจะหยิบกระเป๋าใบใหญ่มาวางไว้ข้างๆ มือเรียวหยิบเสื้อผ้าที่พับแล้วเรียงใส่กระเป๋าอย่างเป็นระเบียบ ที่เป็นระเบียบนั่นเพราะมันรู้ครับว่าถ้ามันยัดๆ ๆ ๆ ผมจะด่ามัน จะว่าไปพี่มันก็เปลี่ยนไปหลายอย่างนะที่เกี่ยวกับการใช้ชีวิตน่ะ โดยเฉพาะเรื่องระเบียบนี่ดีขึ้นมาก

ลองไม่ดีสิมึง

ทุบหัวแบะเลยนะบอกเลย

"ไปหยิบไฟฉายมาให้หน่อย" ผมสั่งพี่สยาม เจ้าตัวก็ลุกไปหยิบไฟฉายมาให้ผมสองกระบอกพร้อมกับถ่านอีกหลายอัน

"เออปอง ถ้าในหอเค้าปิดไฟ มึงจะนอนได้หรอ"

"นอนได้ กูไปถามเค้าเรื่องนี้มาแล้ว เจ้าหน้าที่บอกว่าถ้านอนฝั่งริมประตูทางออกก็จะมีแสงไฟหน้าห้องลอดเข้ามา ก็สว่างอยู่"

"โอเค ตอนแรกกูคิดเรื่องนี้แบบจริงจังด้วยนะ กลัวว่ามึงจะนอนไม่ได้"

ผมเลิกคิ้วมองมัน "ขนาดนั้นเลย"

"ใช่สิ เนี่ยะ เห็นไหมว่าเป็นห่วงขนาดไหน"

"เห็นแล้ว" ผมหันไปหอมแก้มขาวฟอดใหญ่ "ขอบคุณที่เป็นห่วง"

"อื้ออ.ออ.อ.อ....." พี่สยามซบหน้าลงกับไหล่ผมพลางส่งเสียงอู้อี้ อาการนี้มัน....

"เขินอีกแล้วหรอ"

"ไม่ต้องมาพูดเลย"

"ฮ่าๆ ๆ ๆ " น่ารักชะมัด

นี่แหละคนคิ้วท์ที่แท้ทรู





มหา'ลัย P : หน้าตึกคณะวิศวะฯ

ผมยืนหาวไปด้วยพลางเช็คชื่อเพื่อนๆ ไปด้วย ขอบอกเลยว่าง่วงโคตร ง่วงชิบหาย ตอนนี้เป็นเวลาตี 5 แล้วครับ พวกคณะกรรมการฯ นี่แหกขี้ตาตื่นกันมาตั้งแต่ตี 4 แม่งเป็นอะไรที่ยากมากต่อการตั้งสติอ่ะ ผมนี่พร้อมจะโบยบินไปเฝ้าพระอินทร์ได้ตลอดเวลา

ตาจะปิดแล้ว

"ง่วงขนาดนั้นเลยหรอ" แยมมันเดินมายืนข้างๆ ก่อนจะแกะลูกอมส่งให้ผม "อ่ะ จะได้ตาสว่างขึ้นมาหน่อย"

"แต๊งค์นะมึง" ผมรับลูกอมมาก่อนจะใส่เข้าปาก มือก็เช็คชื่อเพื่อนไปเรื่อย

"เออปอง ของที่มึงต้องการ กูขนขึ้นรถให้หมดแล้วนะ"

"ขอบใจมากนะมึง"

"เล็กน้อย เรื่องแค่นี้กูทำได้อยู่แล้ว"

ผมพยักหน้ารับ "แล้วลันตากับสีเทียนอ่ะ"

"ขึ้นรถพวกมันไปแล้วล่ะมั้ง ดูทรงแล้วก็ง่วงน่าดูเลย พี่ๆ เค้านัดเช้าเลยนี่นะ"

"เอาจริงๆ ก็ไม่แปลกหรอก พิษณุโลกมันอยู่ไกลนี่นา มึงไปขึ้นรถได้แล้วแยม อีก 10 นาทีรถออก"

"โอเค งั้นเจอกันนะมึง" เพื่อนแยมบอกลาก่อนจะเดินไปขึ้นรถของตัวเอง ตอนนี้เช็คชื่อเพื่อนๆ ครบหมดแล้วครับ ตัวผมเองก็ควรรีบขึ้นรถเหมือนกัน

จะไปนอน

พอคิดได้แบบนั้นผมจึงเดินขึ้นรถมาก่อนจะไปนั่งโซนด้านหลังซึ่งมีพี่หอมกับพี่ก้องนั่งอยู่แถวนั้น ไม่รู้ว่าทำไมพวกแก๊งค์สันฯ ปี 2 เขาถึงรันได้เลข 1 เหมือนกันหมด ผมว่ามันต้องมีความขี้โกงแอบแฝงแน่ๆ แต่ช่างแม่งเถอะ ผมไม่สนใจหรอกว่าใครจะอยู่กลุ่ม 1 บ้าง

ขอแค่มีพี่สยามก็เป็นพอ

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปตัวเองชูสองนิ้วโดยมีแบล็คกราวน์เป็นท้องฟ้ามืดๆ ด้านหลัง ก่อนจะโพสลงไอจี ไม่ติดแคปชั่นอะไรทั้งนั้น ให้คนที่เห็นไปตีความกันเอง การไปค่ายครั้งนี้อาจารย์วิชัยจะเก็บโทรศัพท์พวกเราทุกคนด้วยนะ อนุญาตให้แค่หัวหน้าของแต่กลุ่มมีไว้ใช้เพื่อติดต่อกันเท่านั้น ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม

แต่ว่าช่างเถอะ

นอนดีกว่า

"นั่งด้วยได้ไหมครับ"

ผมเปิดตามองคนพูดทันที "ถ้าบอกไม่ให้นั่งแล้วจะยังไง"

"ก็จะนั่งอยู่ดี" พี่สยามยิ้มหวานก่อนจะนั่งลงข้างผม "ง่วงหรอ"

"ดูหน้าสิ" หน้าสะลึมสะลือแบบนี้กูคงกำลังอยากกินข้าวอยู่ล่ะมั้ง

"โอ๋เอ๋นะครับ" มือเรียวเลื่อนมาขยี้หัวผมก่อนจะจับให้เอนไปพิงไหล่มัน "ง่วงก็นอนซะ"

"อืม แล้วเมื่อกี้มึงไปไหนมา"

"ไปซื้อขนมมาเพิ่ม กลัวมึงไม่พอกิน"

ผมหลุดยิ้มออกมาพลางเหลือบมองมัน "เห็นกูกินเยอะขนาดนั้นเลยหรอ"

"ใช่"

"พูดแบบนี้นี่อยากตายหรอ" ผมละจากไหล่หนามาส่งสายตาเหี้ยมๆ ไปให้

"โหดจังเลยน้า มานอนกันดีกว่า" พี่สยามกดหัวผมให้พิงไว้ที่เดิมพลางเลื่อนมือมากุมมือผมไว้ "ฝันหวานครับที่รัก...."

อื้ออ.อ.อ....ที่รักก็มา

พี่สยามนี่มันน่านักกกก

ผมกระชับฝ่ามือที่กุมอยู่นั่นให้แน่นขึ้นพร้อมกับหลับตาลง ต้องออมแรงไว้ใช้ที่ค่ายครับ ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างนะ ผมนี่ตั้งตารอวันที่ทำกิจกรรมเลย ไอ้วันที่อบรมกับดูงานเราจะข้ามมันไป เก็บใส่ไว้แค่ในสมองพอ รู้สึกตื่นเต้นเหมือนกันที่วันที่รอมันจะมาถึงแล้ว ผมหวังว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่นั่นมันจะเป็นความทรงจำที่ดีระหว่างผมกับพี่สยามนะ

หวังแบบนั้นจริงๆ

"เห้ยยยย นอนกุมมือกันด้วยว่ะ"

"ถ่ายรูปสิวะ ถ่ายรูปปปป"

"เอาไปลงเฟซเลย เร็วๆ "

"โว้ยยยยยยยยยยย ไอ้พวกเชี่ยนี่ เงียบปากไปเลยนะมึง เมียกูจะนอน!!!"

แม่ง....เมียเต็มปากเต็มคำเลยมึง

"มึงนี่มันจริงๆ เลยนะพี่สยาม"

จริงๆ เล้ยยยยยยยยยยย








TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งหยัมปองแล้ว ขอบอกเลยว่าใกล้ละ ใกล้จะเป็นแฟนแบบเป็นทางการแล้ววววววว เรื่องราวในส่วนนี้จะเป็นยังไงก็ต้องรอติดตามนะคะ รีบกักเก็บความหวานไว้นะเพราะเดี๋ยวความขมก็ใกล้จะมาแล้วเหมือนกัน

ถ้าชอบก็กดไลค์ คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะ สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis นะคะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้า
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [บทที่ 37 : 24/3/2018 ] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 24-03-2018 21:07:50
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [บทที่ 37 : 24/3/2018 ] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 24-03-2018 23:14:01
'เมีย' กูจะนอน ...แหมมมมมมมมมมมมมมมม่ อยากจะแหม่ให้ครบรอบกาแล็คซี่ไปเล้ยย อะไรจะขนาดนั้นค่าาคุณสยาม ไม่แคร์อะไรใดใดเลยน้าา รู้แล้วว่ารักมากอ่ะ ไม่ต้องอวดไม่ต้องโชว์ก็ได้ค่ะ!

ใช่แล้ว ฉันอิจฉา :o12:

ใกล้ล่ะๆ ใกล้จะได้เป็นผัวเมียอย่างเป็นทางการแล้ว เชิญเหล่า#หยัมปอง กักเก็บความหวานกันไว้ให้มั่นนะคะ เตรียมรับแรงกระแทกจากดราม่าที่กำลังจะมาในเร็วๆนี้ (ฮ่าาา)

แต่ไม่เป็นไรค่ะ ต่อให้ดราม่าสักแค่ไหนเรือ#หยัมปอง ก็จะฝ่าไปให้ได้ //เอาผ้าโพกหัว// มาเลยค่ะ พร้อมรับแล้ว! :katai4:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [บทที่ 37 : 24/3/2018 ] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 25-03-2018 00:54:02
ร้ายๆๆๆๆมากพี่สยามๆๆ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [บทที่ 37 : 24/3/2018 ] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 25-03-2018 01:01:16
พี่หยามบอกกับทุก ๆ คนว่าปองเป็น "เมีย" แล้ว เมื่อไหร่ปองจะบอกกับทุก ๆ คนว่าพี่หยามเป็น .......... บ้างล่ะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [บทที่ 37 : 24/3/2018 ] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 25-03-2018 11:52:15
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [บทที่ 38 : 1/4/2018 ] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 01-04-2018 21:34:28
บทที่ 38 สมปองกับการหาของ


ค่ายอบรมของสาขาโยธานี่....

ก็ดีนะครับ

ก็....ดี

ผมกำลังหาของอยู่ในป่า คือตอนนี้กลุ่มผมกำลังช่วยกันหาของอยู่ นี่ก็เป็นวันที่เท่าไหร่แล้ววะที่อยู่ที่ค่ายนี้มา แต่ว่าวันนี้เป็นวันทำกิจกรรมวันแรกครับ คือของที่ต้องหาแม่งมีเยอะมากอ่ะ หากันมาตั้งแต่เช้าละ ตอนนี้เป็นเวลา 5 โมงกว่าๆ พวกผมเพิ่งฐาน 4 เอง เดี๋ยวพอจบฐานนี้ก็ต้องพักกินข้าวก่อนแล้วค่อยไปหาต่อ

ฐาน 5 นี่ตอนกลางคืน

ในป่าแม่งอย่างมืดอ่ะ ละไม่รู้ว่าเขาจะแจกไฟฉายให้เพิ่มไหม ผมนี่อยากจะร้องไห้เลยทีเดียว กลัวเดินๆ อยู่แล้วไฟฉายดับ รับรองว่ากรี๊ดเป็นตายแน่

ทำไมชีวิตสมปองถึงได้น่าสงสารแบบนี้กันนะ

"หาเจอไหมปอง"

"ไม่เจออ่ะ ทางมึงล่ะเจอไหมพี่สยาม"

เจ้าตัวส่ายหน้ารัวๆ "ไม่เลย กูอยากรู้จริงๆ ว่าใครเป็นคนเอามาซ่อน แม่งหายากชิบหาย"

"นั่นดิ่ กูนี่ต้องปีนต้นไม้ขึ้นไปเอางี้" คิดแล้วแม่งโคตรหงุดหงิด นี่เห็นเราเป็นลิงกันเหรอวะถึงเอาของไปแขวนไว้บนต้นไม้ ละแขวนไว้อย่างสูง

เก็บตกลงมาตายแล้ว

"ฐานลำธารเมื่อเช้าก็เอาวางไว้ที่โขดหินกลางน้ำ คนเอาของไปซ่อนก็ทุ่มเทจริงๆ นั่นแหละ"

"เนอะ ไปหากันตรงโน้นไหม" ผมชี้ไปที่หลังต้นไม้ใหญ่

"เอาสิ นี่มึงกำลังหาอะไรอยู่"

"งูเขียวปลอม"

"โคตรกลมกลืนเลย จะหาเจอไหมเนี่ย"

"ไม่รู้ ก็ต้องลองไปหาก่อน" ผมลากพี่สยามให้มาหางูเขียวปลอมแถวๆ ต้นไม้ใหญ่ ยังไงก็ต้องเจอให้ได้ล่ะวะงูเขียวปลอมเนี่ย

ไม่รู้ว่าใครมันเป็นคนคิดเรื่องของที่เอาซ่อน คือแต่ละอย่างมันก็ดูแปลกประหลาดมาก เอาทัพพีตักข้าวมาซ่อนเงี้ยะ เอาฟองน้ำมาซ่อนเงี้ยะ ไอ้งูเขียวนี่ก็ด้วย แม่งเป็นอะไรที่หาสาระแทบไม่ได้เลย ตอนที่ผมเห็นรายชื่อของที่ต้องหาก้รู้สึกหงุดหงิดชิบ อย่าให้รู้นะว่าใครมันเป็นคนคิด

จะเอางูเขียวปลอมไปโยนใส่สักกำมือนึง

หึ้ยย.ย.ย....หมั่นไส้นัก

ผมกับพี่สยามช่วยกันหางูเขียวปลอม นี่ไม่ใช่ว่ามีนกบินมาเห็นแล้วโฉบมาเอาไปแดกแล้วเหรอวะ แต่เอาจริงๆ ผมว่านกก็ไม่น่าโง่ขนาดนั้นหรอก เพราะถ้ามันรู้ว่าเป็นงูปลอมมันก็ควรคายออก หรือถ้ามันรู้แต่ก็ยังจะทนกินต่อ อันนี้ก็เรื่องของแม่ง

แล้วทำไมต้องคิดเรื่องนี้วะปอง

"นี่ไงปองงูเขียว" พี่สยามมันหยิบงูเขียวขึ้นมาให้ผมดู แต่ถ้ามันเป็นของปลอมมันจะไม่แลบลิ้นแผล่บๆ แบบนั้นไหมวะ

ชิบหายละ

"พี่สยามนั่นมันงูของจริง"

เจ้าตัวมองงูในมือ "อ่าวหรอ แล้วตัวปลอมอยู่ไหนเนี่ยะ" มันบ่นพึมพำก่อนจะปล่อยงูในมือลงกับพื้น เดี๋ยวววว มึงปาไปไกลๆ ได้ไหมล่ะ คิดจะปล่อยก็ปล่อยงี้เหรอ

กระโดดเกาะหลังแม่ง

"อื้ออ.อ.อ...แทนที่จะปาไปไกลๆ " ผมบ่นมันพลางมองงูที่ยังวนเวียนอยู่ตรงเท้าพี่สยาม "พี่สยามเดี๋ยวมันกัด"

"มันไม่กัดหรอก ว่าแต่มึงกลัวงูหรอ ถึงได้มาขี่หลังกูเนี่ยะ"

"ไม่ได้กลัวแต่ไม่อยากโดนกัด กูไม่ชอบให้ตัวเองเจ็บ มึงเดินไปตรงอื่นสักทีซิ"

"ครับๆ " ว่าแล้วมันก็แบกผมเดินมาจากไอ้งูเขียวนั่น แม่ง อย่าให้กูกลับมาเจออีกนะมึง ทำมาเป็นเลื่อยออดอ้อนอยู่ตรงปลายตีนสุดที่รักกู เดี๋ยวเถอะมึง

เดี๋ยวเป็นงูสับ

ในขณะที่ผมกำลังคิดจะสับงู สายตาก็ไปสะดุดตากับอะไรบางอย่าง "ตรงนั้นพี่สยาม บนต้นไม้" ผมชี้งูเขียวปลอมที่ห้อยอยู่บนต้นไม้ให้มันดู

"ทำไมถึงเอาไปไว้บนต้นไม้วะ"

นั่นน่ะสิ

พี่สยามพาผมเดินมาหยุดที่ต้นไม้ต้นที่มีงูปลอมห้อยอยู่ มันห้อยอยู่ค่อนข้างที่จะสูงเลยครับ คือยังไงก็ต้องปืนขึ้นไปเอา จิ๊....เมื่อเช้าก็หวิดตกต้นไม้มาแล้วรอบนึง นี่ก็ยังจะต้องมาเสี่ยงตายอีกรอบเหรอวะ ผมลงจากหลังพี่สยามก่อนจะเงยหน้ามองเป้าหมายที่ต้องปีนขึ้นไปหยิบ

สูงชิบ

"เดี๋ยวกูปีนเอง" พี่สยามบอกก่อนจะทำท่าจะปีน

"ไม่เอา" ผมดึงเสื้อมันไว้ "เดี๋ยวกูปีนเอง"

"อันตราย"

"ถ้ามึงปีนสิจะอันตราย มึงตัวใหญ่ขนาดนี้ ปีนขึ้นไปกิ่งไม้ได้หักลงมาพอดี เพราะงั้นให้กูปีน"

"แล้วถ้ามึงพลัดตกลงมาล่ะ"

"มึงจะรับกูทัน....ใช่ไหม"

มันพยักหน้ารับเบาๆ "ใช่ ระวังด้วยละกัน"

"ระดับนี้แล้ว" ผมยักคิ้วให้มันก่อนจะเริ่มปีนขึ้นไปบนต้นไม้ กิ่งนี่จะใหญ่กว่านี้ก็ไม่ได้อ่ะนะ เหยียบทีแม่งจะหักอยู่รอมร่อ

"จับดีดีนะปอง"

"รู้แล้วค้าบบบบ"

ผมปีนสูงขึ้นมาเรื่อยๆ นี่ดีนะที่มีสกิลปีนเก็บมะม่วงติดตัวมาด้วยน่ะ มันก็เลยไม่ได้หนักหนาสาหัสเท่าไหร่ เมื่อกี้ตอนก้มลงไปมองพี่สยาม มันทำหน้ากังวลมากเลยนะครับ สงสัยจะเป็นห่วงผมนั่นแหละ แต่จะให้มันเป็นคนปีนขึ้นมาเก็บก็ไม่ได้อ่ะ เพราะอย่างที่ผมบอกว่ามันตัวใหญ่ แล้วถ้ากิ่งไม้ดันหักแล้วตัวมันร่วงลงมาผมก็คงรับมันไม่ไหว

ผมไม่ได้ตัวเล็กแต่มันอ่ะตัวใหญ่เกินมนุษย์

พอปีนขึ้นมาจนถึงงูเขียวปลอมแล้ว ผมก็จัดการหยิบมันแล้วปาลงไปให้พี่สยาม เอาล่ะมิสชั่นคอมพลีทแล้วนะ ภารกิจต่อไปคือการพาตัวเองลง ผมว่าการปีนขึ้นมามันไม่ยากเท่ากับการลงไปนะ นี่อยากจะกลายร่างเป็นสไปเดอร์แมนมาก แต่ถ้าผมเป็นสไปเดอร์แมนตั้งแต่แรกผมคงไม่ต้องปีนขึ้นมาแบบนี้หรอก เนี่ยะ เพราะเป็นสปองเดอร์แมนไงก็เลยต้องลำบากแบบนี้

คิดได้ไงวะสปองเดอร์แมน

ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ

"ปองระวัง!!!"

พรื้ดดดด

"เชี่ยๆ ๆ ๆ " ผมเกาะกิ่งไม้ไว้แน่นเพราะเสียหลัก ขานี่ลอยอยู่กลางอากาศแล้ว "พี่สยามมมม"

ถ้าไม่ช่วยรับกูก็ช่วยเอาปืนไปไล่นยิงไอ้นกตัวเมื่อกี้ที

จะบินตัดหน้าทำโพ่งงงง

"ปองงงง"

ผมมองลงไปด้านล่าง มือก้ยังเกาะกิ่งไม้ไว้แน่น "แม่งสูงอยู่นะเนี่ย"

"กูรอรับมึงเอง ปล่อยมือเลยปอง" คนด้านล่างบอกก่อนจะเตรียมท่า

"รับให้ได้นะมึง" ผมขยับตัวให้เหลือแค่มือที่จับกิ่งไม้ " 3....2....1...."

ตุบบบบ

"โอ๊ยยยยยยยยยยย"

อื้มม.ม.ม....เจ็บจัง

ผมรีบขยับตัวออกจากพี่สยาม "เป็นไงพี่สยาม"

"หนัก"

"หนิ....รู้งี้กูน่าจะกระโจนลงมาทับมึงให้แบนซะจริงๆ " ผมทำหน้ามุ่ยใส่มัน ไอ้ที่บอกว่าหนักนั่นคือจะด่ากูว่าอ้วนแบบอ้อมๆ สินะ

ผัวเวร

"อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ" พี่สยามรั้งตัวผมไปกอดไว้ "ดีจริงๆ ที่ไม่เป็นไร เมื่อกี้ที่มึงลื่นกูใจหายใจคว่ำเลยนะ บอกแล้วให้ระวัง"

"ห้ามดุกู เรื่องนี้นกผิด" ผมซุกไหล่หนาๆ นั่นก่อนจะบอกเสียงอ่อน

"เด็กบ๊องเอ๊ย"

สัมผัสเบาๆ ที่หัวผมนั้นทำให้รู้สึกว่าตัวเองปลอดภัยจริงๆ ถ้าพี่สยามมันไม่อยู่ตรงนี้ผมจะเป็นยังไงวะ อาจจะยังห้อยโต่งเต่งแล้วรอเวลาร่วงลงมาก็ได้ แต่จะว่าไปถ้าไอ้งูบ้านี่ไม่ขึ้นมาอยู่บนต้นไม้เรื่องทั้งหมดก็คงจะไม่เกิดขึ้น เพราะงั้นต้องโทษคนเอามาวาง

หึ....กลับไปจะเผาพริกเผาเกลือสาปแช่ง

ตายแน่มึงงงง

"อะแฮ่มมมม....ในป่าก็เพลาๆ บ้างนะเพื่อนนะ"

พี่สยามคลายกอดจากผมก่อนจะหันไปทำหน้าเหี้ยมใส่เพื่อนรัก "มึงเงียบปากไปเลยไอ้ขุน"

"ฉุนเฉียวววว หมดเวลาหาของแล้ว พี่ขันเรียกรวมให้ไปกินข้าวละ"

"อ๋อเออ" พี่สยามลุกขึ้นก่อนจะดึงผมให้ลุกตาม "ไปกินข้าวกัน"

"อื้อ" ผมหยิบงูปลอมมาถือไว้ก่อนจะเดินตามหลังพี่สยามไป ตอนนี้ในป่าเริ่มจะมืดละ ก็นะ แม่งเกือบ 6 โมงแล้วหนิ

"เห้ยขุน ของเราฐานต่อไปนี่ที่ไหนนะ"

"แถวๆ เนินยิปโซ"

"เออ"

ปั้กกกก

"โอ๊ยยยย" ผมยกมือขึ้นกุมมูกตัวเองเพราะไปชนหลังพี่สยามเมื่อกี้ ใครมันเอาท่อนไม้มาวางไว้วะ สะดุดเลยเนี่ย

แล้วหลังไอ้พี่บ้านี่ก็แข็งวะจริง

"เดินให้มันดีดีสิปอง" พี่สยามเลื่อนมือมาจูงมือผมก่อนจะเดินนำออกมาเรื่อยๆ พอพี่ขุนเขาเห็นแบบนั้นก็มีการส่งสายตากรุ้มกริ่มมาให้

ผมขอหลบสายตานั่นแปป

เราสามคนเดินออกมาจากป่าก่อนจะรวมเข้ากับสมาชิกกลุ่มที่ 1 แล้วก็พากันเดินกลับค่าย เออเมื่อกลางวันมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นด้วยนะ คือพี่แช่มเขาหลงป่าครับ พวกคณะว้ากเกอร์กับคุณเจ้าหน้าที่ก็ไปช่วยกันหา ใช้เวลานานเลยนะกว่าจะเจอตัวพี่แช่ม การมาอยู่ค่ายที่เป็นป่ามันค่อนข้างยากด้านการติดต่อสื่อสารอยู่แล้ว ยิ่งพวกผมไม่มีโทรศัพท์ใช้ด้วยมันก็ยิ่งหนัก แต่เหตุการณ์ที่พี่แช่มหลงป่านี่ผมคิดแผนปฏิวัติไว้เรียบร้อยแล้ว

ทุกคนต้องพึงพอใจ

ผมจะเสนออาจารย์วิชัยว่าให้นักศึกษาสามารถพกโทรศัพท์ในค่ายได้ครับ เผื่อติดต่อเป็นกรณีฉุกเฉินแบบนี้ เคสของพี่แช่มถ้ายกไปใช้เป็นเหตุผลก็ฟังขึ้นอยู่นะ เดี๋ยวผมจะต้องใช้วาทะศิลป์กับสมองอันชาญฉลาดพูดต้อนอาจารย์วิชัยให้เขาคล้อยตามให้ได้ ผมว่ามันคงจะดีกับน้องๆ รุ่นต่อๆ ไป

ถ้าผมได้อยู่จนถึงตอนนั้นนะ

ไม่รู้ว่าถ้าได้อ่านไดอารี่ของผมแล้วเขาจะมีความเห็นยังไง หวังนะครับว่าจะได้เรียนที่นี่ต่อ ผมไม่ได้คิดเลยว่าถ้าต้องย้ายไปเรียนตามใจพ่อผมจะทำยังไง จะบอกกับพี่สยามยังไง แล้วมันจะมีความเห็นยังไงบ้าง อีกไม่สองวันข้างหน้าผมก็จะขอมันเป็นแฟนแล้ว แน่นอนว่าเรื่องนี้ต้องเขียนไว้ในไดอารี่ของผม

ถ้าพ่ออ่านแล้วรับรู้....มันจะเป็นยังไงนะ

"ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ คิดอะไรอยู่หืม"

ผมส่ายหน้าเบาๆ "ไม่มีอะไร"

"ไม่สบายใจที่จะบอกก็ไม่เป็นไร" มือเรียวเลื่อนขึ้นมาลูบหัวผม "แต่ถ้าอยากบอกเมื่อไหร่....กูก็พร้อมรับฟังเสมอนะ"

"ได้ ถ้าถึงตอนนั้นกูพูดมากก็ห้ามบ่นนะ"

"กูก็ไม่เคยบ่นมึงเรื่องอะไรเลยนะนอกจากมึงอ้วนน่ะ"

"พี่สยามมมม!!!" ผมตีไหล่มันแรงๆ "กูอ้วนก็เพราะมึงนั่นแหละ มีปัญหามากนักหรอ กูอ้วนแล้วมันยังไงวะ"

ใบหน้าคมเลื่อนมากระซิบข้างหูเบาๆ "อ้วนยังไงก็รักครับ"

ตึกตัก

พี่สยามนี่แม่ง....

"อยู่เป็นจริงๆ เลยนะมึงน่ะ"





กลางป่าตอนกลางคืนนี่

อันตรายต่อชีวิตของสมปองสุดๆ

วอนไฟฉายอย่าถ่านหมดเลยนะ

ผมส่องไฟหาของไปเรื่อยๆ ตอนนี้พวกเรากลุ่ม 1 มาอยู่ฐานหาของกันแถวเนินยิปโซครับ ขอบอกเลยว่าบรรยากาสแม่งน่ากลัวชิบหาย มืดไปหมด วังเวงด้วย นี่ขนาดพยายามทำเสียงโหวกเหวกแล้วนะ ตอนนี้ประมาณเกือบ 2 ทุ่มแล้ว อีกไม่นานกิจกรรมของวันนี้ก็จะจบแล้วล่ะ

ดีใจมากเว่อร์

ช่วงวันที่มีการอบรมแบบหนักหน่วงขอบอกเลยว่าสมองฝ่อมาก ฟังเข้าสองหูแล้วทะลุออกปากมาแบบในรูปแบบเสียงกรน ผมนี่โดนพี่สยามดุเป็นว่าเล่นเลย กว่าจะผ่านช่วงอบรมกับช่วงดูงานไปได้นี่ก็เปื่อยอยู่เหมือนกัน เอาจริงๆ ผมอยากจะข้ามไปวันกลับบ้านเลยอ่ะครับ รู้สึกคิดถึงน้องเตียงนอนที่หอมากๆ

น้องเตียงเองก็คงคิดถึงผมเหมือนกัน

การนอนที่ค่ายนี่ก็ค่อนข้างลำบากอยู่พอสมควร ปกติแล้วผมกับพี่สยามจะต้องนอนกอดกันแบบแนบแน่นไง แต่พอมาค่ายก็ทำได้แค่นอนจับชายเสื้อมัน เพื่อนๆ แม่งแหละชอบแซว พอแซวแล้วก็ไม่เป็นอันนอนอีก เนี่ยะ ถ้ากลับไปหอนะผมจะนอนกอดพี่สยามทั้งวันเลย

เอาให้ชุ่มปอด

"สมปอง"

ผมหันไปมองตามเสียงเรียกหวานๆ "มีอะไรหรอนิว"

"คือเราอยากให้ปองช่วยหาชามตราไก่หน่อยอ่ะ"

ชามตราไก่

เอาชามตราไก่มาซ่อน....เพื่อ!!!!

"เอ่อ...ได้สินิว ว่าแต่พอได้คำใบ้มาบ้างไหม"

"อ๋อ พี่เค้าบอกมาว่าเดินลึกเข้าไปอีกหน่อยจนเกือบถึงลานกว้างอ่ะ คือตอนแรกนิวจะไปเองแหละแต่นิว...."

ผมพยักหน้ารับก่อนที่นิวจะพูดจบ "ไม่เป็นไรปองเข้าใจ นิวเป็นผู้หญิงเดี๋ยวมันอันตรายด้วยแหละ งั้นเดี๋ยวปองไปหาเอง เออถ้าพี่สยามมันถามหาปองก็บอกมันไปว่าปองไปหาชามตราไก่นะ"

"โอเค ขอบใจะปอง"

"ไม่เป็นไรครับผม" ผมยิ้มบางๆ ให้นิวก่อนจะรีบเดินส่องไปเข้าไปในป่าลึกอีกหน่อย

เอาจริงๆ ไม่อยากมาคนเดียวนะครับแต่ว่ามันก็จำเป็นน่ะนะ ตอนนี้พี่สยามมันโดนพี่ขันเรียกไปทำอะไรสักอย่างไม่รู้ แต่เดี๋ยวมันก็คงมาหาผมแหละ ลานกว้างของเนินยิปโซก็ค่อนข้างไกลจากจุดที่ชาวบ้านเขาหาของกันพอสมควร ถ้าคิดในแง่ดีคือผมจะได้ดูวิวเนินยิปโซตอนกลางคืน เดี๋ยววันที่จะขอพี่สยามเป็นแฟนก็จะต้องวิ่งวุ่นหน่อย

ตื่นเต้นเหมือนกันแฮะ

ผมเดินลัดเลาะจนมาถึงลานกว้างของเนินยิปโซ มันมืดจนมองไม่ค่อยเห็นดอกไม้เลยอ่ะ แต่ว่าดวงดาวบนฟ้านี่เห็นชัดเลยนะครับ หวังว่าอีกสองวันข้างหน้าดาวจะสวยเหมือนกับคืนนี้นะ

พรึ่บบบบ

ฟะ....ไฟฉายดับ

"อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก"



[บันทึกพิเศษ : สยาม]



หืมมมม....

เสียงนั่นมัน

"ใครมันร้องวะ" พี่ขันเอ่ยขึ้นมาอย่างสงสัย "เสียงอะไรช่วยกันไปดูดิ้"

"เสียง....สมปอง" ผมรีบวิ่งไปตามทิศทางของเสียงที่ดังลั่นนั้นทันที เกิดอะไรขึ้นกับน้องวะ ลื่นล้ม เจองู หรือว่าเป็นอะไร

แล้วอยู่ไหนก็ไม่รู้เนี่ย

ผมวิ่งเลยเข้ามาในจุดที่เด็กปี 1 กำลังหาของ ทุกคนดูตกใจกับเสียงร้องเมื่อกี้มาก ผมส่องไฟหาตัวน้องแต่ก็ไม่เจอ ไปหาของอยู่ตรงไหนกัน นี่ก็บอกแล้วแท้ๆ ว่าให้อยู่รวมกลุ่มกับคนอื่นไว้จะได้ไม่หลงทาง อีกอย่างที่ผมเป็นห่วงมากคือกลัวไฟฉายน้องจะดับ เพราะถ้ามันดับจริงคงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับคนที่กลัวความมืดอย่างสมปองแน่ๆ

"น้องๆ มีใครเห็นปองไหม"

"คืองี้ค่ะพี่สยาม ปองไปหาชามตราไก่แถวลานกว้างของเนินค่ะ"

"ขอบใจนะ เออพี่ขอยืมไฟฉายหลายๆ อันหน่อยได้ไหม"

"นี่ค่ะพี่" น้องๆ ส่งไฟฉายมาให้ผม

"โอเค พวกน้องไปรวมกับพี่ขันตรงทางโน้นก่อนนะ พี่จะไปตามหาสมปอง ฝากบอกพี่ขันด้วย" ผมบอกน้องๆ ก่อนจะรีบวิ่งไปตามทางทันที ลานกว้างของเนินยิปโซค่อนข้างไกลจากตรงนี้อยู่นะ เสียงที่ได้ยินเมื่อกี้ฟังยังไงก็เสียงสมปอง ถ้าร้องดังออกมาแบบนั้นผมว่ามันคงไม่ดีแน่

รอพี่แปปนึงนะปอง

"สมปองงงง!!!!" ผมตะโกนเรียกน้องพร้อมกับส่องไฟหาไปด้วย "สมปองงงงมึงอยู่ที่ไหน!!!!"

"ฮืออ.อ.อ...พี่สยาม!!!! ช่วยด้วย....ฮึกก.ก.ก...ฮืออ.อ.อ......"

เสียงมาจากทางนั้น

ผมรีบวิ่งตามเสียงเรียกมาทันทีจนออกมาถึงลานกว้าง "สมปองงงง!!!!"

"ฮึกกก.ก....ฮืออ.อ.อ....พี่สยามมมม"

"ปอง" ผมส่องไฟฉายไปตามทางก็พบกับร่างของน้องที่นั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่กับพื้น "สมปอง"

น้องโผเข้ากอดผมทันที "ฮืออ.อ.อ....พี่สยามมมม.....ฮึกก.ก.ก....พี่สยาม"

"ไม่เป็นไรแล้วนะ พี่มาแล้วนะครับ" ผมลูบหัวน้องเบาๆ สมปองตัวสั่นมากเลยครับ เหตุการณ์เมื่อกี้ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงสั้นๆ แต่มันคงทำให้น้องรู้สึกแย่มากๆ

"ฮึกก.ก...มันน่ากลัว....ฮึกก....กก"

"ไม่ต้องกลัวแล้วนะ" ผมคลายกอดก่อนจะยกมือเช็ดน้ำตาให้น้อง "พี่อยู่ตรงนี้แล้ว เอาไฟฉายมาให้แล้วด้วย หยุดร้องเถอะนะครับ"

"ฮึกกก..ก...พากลับหน่อย....ไม่หาชามตราไก่แล้ว...ฮืออ.อ....ไม่หาแล้ว"

"ครับ ช่างชามตราไก่มัน เดี๋ยวขี่หลังแล้วก็ส่องไฟให้พี่ละกันนะ" ผมหันหลังให้ สมปองก็ขยับขึ้นมาขี่หลังผมก่อนจะถือไฟฉายทุกกระบอกไว้

"ฮึกก.ก.ก....ขอบคุณที่มาช่วยนะ....ขอบคุณจริงๆ "

"มันเป็นเรื่องที่พี่ต้องทำอยู่แล้ว" ผมเหลือบไปยิ้มให้น้อง "รีบกลับค่ายกันดีกว่า"

"อื้มมมม" น้องซุกหน้าไว้กับไหล่ผม มือก็ส่องไฟไปตามทาง

ไม่คิดเลยนะครับว่าอาการของน้องมันจะรุนแรงขนาดนี้ นี่แค่ไม่กี่นาทีที่อยู่ในความมืดเองนะ รับรู้ได้เลยว่าน้องกลัวมาก จนถึงตอนนี้ตัวก็ยังสั่นไม่หยุด ยังหยุดร้องไห้ไม่ได้ด้วย ใครจะคิดว่าคนที่ดูร่าเริงอยู่เสมอก็มีมุมแบบนี้กับเขาเหมือนกัน คราวหน้าผมจะต้องระวังเรื่องนี้ให้มากกว่านี้ จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก เห็นน้ำตาสมปองแล้วมันปวดใจจริงๆ

ผมจะดูแลน้องให้ดีกว่าเดิม

สัญญากับไฟฉายหลายกระบอกในมือสมปองเลยอ่ะ



[จบบันทึกพิเศษ : สยาม]









TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งหยัมปองแล้ว ขอโทษด้วยที่เลทมา 1 วัน เมื่อวานมีธุระก็เลยย้ายมาลงเฉพาะกิจวันนี้แทน บทนี้ยังไม่ได้แก้คำผิดนะคะ เดี๋ยวชาลจะตามแก้ให้นะ ก็บทนี้ก็จะสื่อถึงความกลัวที่ค่อนข้างรุนแรงนะคะ คือคนที่กลัวอะไรบางอย่างจนมีอาการแบบนี้มันมีอยู่จริงๆ นะ

ขอชี้แจงเรื่องการพักการลงนิยายตั้งแต่วันที่ 2-6 เมษายนนะคะ มีเรื่องที่ต้องจัดการให้ทันค่ะเพราะฉะนั้นช่วยรอนิยายกันอย่างใจเย็นน้า

ถ้าชอบก็กดไลค์ คอมเม้นต์ เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis นะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [บทที่ 38 : 1/4/2018 ] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 01-04-2018 22:40:45
โอ๊ยยยยย สงสารลูกอ่าา ปองลูกไม่เป็นไรแล้วนะพี่หยัมเขาอยู่กับหนูแล้วนะลูก ไม่ร้องไห้นะคะเด็กดี ฮือออ เข้าใจลูกเลยอ่ะ เราเองก็กลัวพวกสัตว์เลื้อยคลาน(แม้จะไม่ได้กลัวความมืดก็เถอะ แต่มันกลังเหมือนกันอ่ะ :monkeysad: ) เข้าใจเลยว่าเวลาที่เรากลัวสุดขีดมันเป็นยังไง

พี่หยัมดูแลน้องดีดีนะเว้ย อย่าให้น้องต้องเจอสิ่งที่กลัวอีกนะ เวลาน้องร้องไห้แล้วรู้สึกเหมือนจะร้องไห้ตามT^T แต่อีกไม่นานก็จะได้ขอพี่หยัมเป็นแฟนแล้วนะปอง ยิ้มสู้ไว้ลูก นึกถึงวันที่จะขอพี่หยัมเป็นแฟนไว้ (ฮ่าาาา)

ปล.ทำไมพี่หยัมไม่กลัวงูเขียวอ่ะ ถ้ามันกัดนี้ถึงตายเลยนะ คือแบบพวกนี้มันพิษร้ายแรงมากถึงยังไงก็ต้องระวังไม่ควรทำแบบนี้นะคะพี่หยัม มันอันตรายจริงๆ สัตว์พวกนี้เขาเองก็มีการป้องกันตัวเองด้วยการฉกกัด อยากให้ระวังอย่าทำสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้ แม่ไม่ปลื้มเลยค่ะ :m15: :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [บทที่ 38 : 1/4/2018 ] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 02-04-2018 02:11:08
ตกลงปองกลัวอะไรอ่ะ ความมืด  หรือ ผี  :ling3:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [บทที่ 38 : 1/4/2018 ] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 02-04-2018 02:18:04
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [บทที่ 38 : 1/4/2018 ] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 02-04-2018 06:53:35
กิจกรรม ซ่อนของในป่าแล้วให้หาของตอนกลางคืนไม่น่าคิดได้นะ
มันทั้งอันตรายจากสัตว์มีพิษ จากสภาพป่าตอนกลางคืน
ขนาดหาของในบ้านตอนไฟดับยังลำบากเลย

พี่สยาม ห่วงใยปองดีมาก
ดูแล้วปองติดพี่หยัมสุดๆ
พี่สยาม สมปอง   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ชี้แจง : 7/4/2018 ] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 07-04-2018 20:59:38
สวัสดีค่ะบี๋ ชาลมีเรื่องจะมาชี้แจงเกี่ยวกับการลงนิยายหน่อยนะคะ

เมื่อวานมีเหตุบัคลงโน้ตบุ๊คจนทำให้ไม่สามารถใช้โน้ตบุ๊คแต่งนิยายได้ ชาลขออนุญาตลงนิยายช้ากว่าตารางปกติสักระยะนึง เพราะจากนี้ต้องเปลี่ยนไปใช้โทรศัพท์พิมพ์แทนซึ่งคงใช้เวลานานมากกว่า หยัมปองที่ต้องลงวันนี้ชาลขอเลื่อนนะคะ ยอมรับเลยว่ายังไม่เสร็จ เพิ่งเสร็จไปได้ 30% มันช้ามากเพราะชาลใช้โทรศัพท์

ขอโทษทุกคนด้วยที่ทำให้รอนาน แต่ช่วยอดทนรอหน่อยนะคะเพราะตัวชาลเองก็พยายามอดทนอยู่เหมือนกัน

 เพราะงั้นรอกันอย่างใจเย็นๆ นะ สามารถติดต่อข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis น้า  ขอบคุณนะคะ

หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ชี้แจง : 7/4/2018 ] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 07-04-2018 21:34:04
รอได้ต่ะ  :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ชี้แจง : 7/4/2018 ] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 08-04-2018 00:18:25
รอได้จ้า พร้อมเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น  :กอด1:

ปล. นังบัคมันเป็นใครฟ่ะ จับได้ ตบให้คว่ำ  :fcuk:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 39 : 8/4/2018 ] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 08-04-2018 22:56:45
บทที่ 39 เนินยิปโซ


ครั้งนึง....สมปองคนนี้เคยเป็นสโนไวท์มาก่อน

ไม่นึกเลยว่าจะได้มาเป็นซินเดอเรลล่าด้วย

คิดแล้วปวดใจชะมัด

ผมนั่งนิ่งๆ ให้พี่ขุนกับพี่ชาแปลงโฉมตัวเอง คือตอนนี้กำลังเตรียมตัวเพื่อทำกิจกรรมสุดท้ายของการมาค่ายครั้งนี้นั่นก็คือการแสดงละครเวทีครับ กลุ่มผมเนี่ยะเล่นเรื่องซินเดอเรลล่า แล้วมันก็เป็นโชคร้ายของผมอีกครั้งที่ต้องได้มารับเล่นบทที่ผู้หญิงควรจะเล่น ไม่ใช่ว่าในกลุ่มผมไม่มีผู้หญิงนะ แต่ว่าพี่ขันสั่งมาว่าในฐานะที่ผมเป็นคนคิ้วท์แห่งโยธา ผมก็ต้องเป็นคนรับบทนี้

ตรรกะอะไรของพี่อ่ะ

อยากจะปฏิเสธไปแต่แบบคนสั่งคือพี่ขันไง ใครจะค้านได้วะ ดูรัศมีความมีอำนาจนั่นสิ ผมคิดนะว่าสักวันอยากจะมีอำนาจแบบนั้นบ้าง สั่งอะไรคนก็ทำตามเงี้ยะ แม่งโคตรคูลอ่ะ ตัดภาพมาทุกวันนี้มีคนที่ทำตามผมสั่งคนเดียวก็คือพี่สยาม เนี่ยะ ถือว่าเป็นหมีควายที่ทำตัวน่ารัก

เชื่อฟังเจ้าของ

พูดถึงพี่สยามแล้วตอนนี้มันงอนผมอยู่ครับ คือเมื่อวานมันมีกิจกรรมที่สานสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนกับพี่น้องไง ความจริงกิจกรรมนี้ต้องไปอยู่วันแรกด้วยนะแต่ไม่รู้ทำไมพี่ขันถึงสลับวันกัน ถ้าอยากรู้เหตุผลต้องไปถามพี่ขันเอาเอง กิจกรรมเมื่อวานมันเป็นการซุ่มจับคู่แล้วก็ให้ทำภารกิจต่างๆ ด้วยกัน ผมได้คู่กับรุ่นพี่ปี 3 คนนึง แล้วพอจบกิจกรรมอ่ะไอ้พี่นั่นมันบอกว่ามันแอบชอบผมมานานแล้ว

แม่ง ผู้ชายบอกชอบเว้ยยยย

เชี่ยสุดคือบอกต่อหน้าพี่สยาม

ทันทีที่มันได้ยินหน้าก็หงิกเป็นหมีอดอาหารเลย ส่วนผมนี่ก็เหวอมากไม่รู้จะยังไง รู้ตัวอีกทีพี่สยามเดินสะบัดตูดหนีไปละ มันไม่ได้คุยกับผมเลยนะตั้งแต่เมื่อวาน คงงอนที่ผมไม่ได้ปฏิเสธไอ้พี่นั่นไปในทันทีล่ะมั้ง แหม่ คนมันตกใจนี่หว่าก็ต้องมีอึกอักบ้างไหมวะ แต่ผมก็บอกไอ้พี่นั่นไปแล้วนะว่ามีคนที่ชอบแล้ว

เอาจริงๆ ต้องเรียกว่าคนที่รักต่างหาก

รักมากเลยด้วย

หลังจากที่กิจกรรมแสดงละครเวทีผมเตี๊ยมกับเหล่าสหายไว้แล้วเรื่องจะขอพี่สยามเป็นแฟน ตอนลันตากับสีเทียนรู้เรื่องนี่แซวผมกันใหญ่ พวกมันบอกว่าจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ได้ยินแบบนั้นก็ค่อยรู้สึกดีหน่อย ผมเตรียมคำพูดซึ้งๆ ไว้บอกพี่มันแล้วนะ หวังว่าจนถึงตอนนั้นปากคงไม่สั่นจนพูดจาไม่รู้เรื่อง

ขอให้ฟ้าเป็นใจให้สมปองด้วยเถอะครับ

"เสร็จละ ไหนลองลุกยืนซิปอง" สิ้นเสียงพี่ขุนผมก็ลุกขึ้นยืน นี่เป็นซินเดอเรลล่าที่ไทยมากนะครับ สวมผ้าถุงแล้วห่มสะไบด้วย

ฟีลนางตานีมากกว่านางซินฯ อีก

"เออ ใช้ได้" พี่ชาเดินวนรอบตัวผม "ว่าแต่ตัวเจ้าชายไปไหนเนี่ยะ"

"ไอ้ก้องไอ้หอมจัดการอยู่ เดี๋ยวกูไปช่วยไอ้แกงดูพร็อพก่อนนะ"

"เค เดี๋ยวกูอยู่เป็นเพื่อนสมปองเรลล่าเอง"

ผมทำหน้ามุ่ยใส่ "สมปองเรลล่าอะไรล่ะพี่"

"ออกจะคิ้วท์น่า" พี่ชาเลื่อนมือมาขยี้หัวผม "ว่าแต่แผนมึงนี่ยังไง"

"ก็ตามที่เตี๊ยมกันเลยพี่ เดี๋ยวผมจะรีบวิ่งไปที่เนินเลย"

"อย่าลืมไฟฉาย"

"ไม่ลืมแน่นอน มีสำรองรวม 5 กระบอกอ่ะเอาดิ่" ไม่มีพลาดแบบตอนไปหาชามตราไก่แน่ คิดถึงวันนั้นแล้วยังผวาอยู่เลย

แม่งโคตรน่ากลัวเลยอ่ะ

คิดดูดิ่ว่าอยู่ดีดีไฟก็ดับไปต่อหน้าต่อตาผมเลย จังหวะนั้นเหมือนเกิดสภาวะช็อกเลยอ่ะ ผมร้องออกมาดังมาก ขามันหมดแรงแถมน้ำตาก็ไหลออกมาไม่หยุด มันน่ากลัวมากเลยนะ แต่นับว่ายังโชคดีอยู่ที่พี่สยามมาช่วยผมไว้ ถ้ามันไม่โผล่ช่วย ผมคิดไม่ออกเลยว่าตัวเองจะเป็นยังไง

โชคดีจริงๆ ที่มันหาผมเจอ

ตอนที่พี่สยามแบกผมออกจากป่ามันเป็นอะไรที่รู้สึกอบอุ่นหัวใจมาก รู้สึกปลอดภัยมากๆ ด้วย นาทีนั้นคิดเลยนะว่าชีวิตผมขาดผู้ชายคนนี้ไปไม่ได้ ถ้ามีสมปองก็ต้องมีสยามอ่ะบอกเลย

ของมันต้องคู่กันจริงๆ

"ได้เวลาละปอง" พี่ชามองนาฬิกาบนผนัง ตอนนี้เกือบจะทุ่มนึงแล้วครับ กิจกรรมแสดงละครเวทีกำลังจะเริ่มละ

"งั้นไปกันเถอะพี่" ผมยกชายสะไบขึ้นมาถือไว้ "ผมพร้อมแสดงละ"

"ดีมากน้องรัก มีความมุ่งมั่น"

"ทำดาาาา" ผมยิ้มแฉ่งให้พี่ชาไป ความจริงก็ไม่ได้มุ่งมั่นหรอกครับแค่อยากทำให้มันจบๆ เท่านั้นแหละ

มีเรื่องสำคัญต้องทำต่อนี่นะ

ผมเดินตามพี่ชาออกมาจากห้องที่ใช้แต่งตัว ก่อนหน้านี้ได้มีการจับสลากลำดับคิวกันเรียบร้อยแล้วครับ โดยกลุ่ม 1 ของผมจะแสดงเป็นกลุ่มสุดท้าย แต่ละกลุ่มจะมีเวลาแสดงละครประมาณกลุ่มละ 20 นาที กลุ่มไหนแสดงได้ดีถูกใจคณะอาจารย์ก็จะได้รางวัลไป

ผมหวังว่าจะไม่ใช่ขนมปี๊บ

พี่ชาเดินนำมาจนถึงโซนของกลุ่ม 1 มีคนไม่น้อยเลยนะที่มองผมน่ะ ก็นะ ใครไม่มองก็แปลกแล้ว ดูสภาพเสื้อผ้ากับสภาพหน้าผมด้วย ก่อนแสดงนี่ต้องใส่วิกด้วยนะ สรรหากันมาจริงๆ ถึงบ่นไปมันก็เท่านั้นแหละว่ะปอง โชคชะตามันถูกกำหนดมาแบบนี้ คนต๊อกต๋อยแบบเรามันจะไปทำอะไรได้ ฮึกกกก..ก....

แม่งดราม่าโคตรๆ

ผมเดินไปนั่งลงข้างๆ ที่สยามที่แต่งตัวเป็นเจ้าชายเสร็จแล้ว แหม่ ดูดีใช่ย่อย จะดูดีมากกว่านี้ถ้าไม่ติดหนวดสะเหล่อๆ นั่น เจ้าชายประเทศไหนเขาไว้หนวดเฟิ้มเป็นซานตาคอสแบบนั้นวะ

เห็นละอยากจับมาถักเปียซะจริง

"พี่สยาม"

"....."

ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมีควายที่ท่านเรียก

"จะไม่คุยกับกูจริงๆ หรอ" ผมทำตาละห้อยใส่ก่อนจะทำแก้มป่องหน่อยๆ "มันเหงานะ"

"....."

ยัง....ยังเงียบอยู่

ผมแสร้งทำเป็นถอนหายใจ "งั้นไม่เป็นไร....กูไปคุยกับคนที่เค้าอยากคุยกับกูก็ได้" ว่าแล้วผมก็ทำท่าจะลุกแต่พี่สยามรั้งแขนไว้ก่อน

"หนิ....นั่งนิ่งๆ เลยนะมึง" เจ้าตัวเอ่ยเสียงฉุนพลางมองตาขวางปั๊ด หวงละมาทำเก๊ก น่าหมั่นไส้ซะจริง

"พูดได้แล้วหรอ"

"หึ...."

ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้พี่สยาม "หึ...อะไร"

"หึ...."

"หึ....ทำไม"

"หึ...."

"นี่มึงกวนส้นตีนกูอยู่หรอพี่สยาม" ผมทำตาโตใส่มัน ชักจะโมโหแล้วนะไอ้บ้านี่ มัวแต่หึหึหึอยู่นั่นแหละ มันน่าทุบนักนะ

"หึ...." มือเรียวเลื่อนมาขยี้หัวผมเบาๆ พี่สยามยิ้มหวานจนตาหนี มันคงพอใจที่ปั่นผมได้แน่ๆ ถึงได้ยิ้มซะขนาดนั้น ใจนึงผมอยากจะบีบคอมันแล้วเขย่าๆ ๆ ๆ นะ แต่อีกใจก็ทำไม่ได้อ่ะ

ดูมันยิ้มเซ่

ผมทำหน้าบูดเป็นตูดลิงใส่ พี่มันก็ลูบหัวผมอยู่อย่างนั้น แปลว่าไอ้ที่เงียบๆ มาตั้งแต่เมื่อวานนี่อาจจะรอผมมาง้อแบบนี้ก็ได้นะ ร้ายกาจชะมัด ผมว่าใจจริงมันอาจจะไม่ได้งอนอะไรหนักหนาหรอก แต่ที่ทำมาดเยอะก็น่าจะเป็นเพราะอยากแกล้งผม

นิสัยไม่ดีเลยอ่ะ

"เลิกลูบได้แล้ว" ผมจับมือมันออก หัวนี่ฟูเป็นรังนกแล้วเนี่ยะ

"สมปอง"

"หืม..."

ใบหน้าคมเลื่อนมากระซิบข้างหูผมเบาๆ "ใครก็ตามที่ไม่ใช่กู....มึงห้ามไปหลงรักเค้าเด็ดขาด"

ตึกตัก

พูดอะไรเนี่ยยยย

"ทำตัวเป็นคนขี้หวงไปได้" ผมอมยิ้มมองมัน สีหน้าที่พี่สยามพูดให้ฟังเมื่อกี้มันจริงจังมากเลยนะ

"ไม่ใช่คนขี้หวงธรรมดา กูเป็นคนขี้หวงมากๆ มากในมาก"

"มึงนี่....รักกูมากเลยนะเนี่ย"

"ก็รู้ตัวหนิ"

งื้อออ.อ.อ....ไม่ไหวแล้วโว้ย

ผมยกมือปิดหน้าตัวเองก่อนจะนั่งบิดไปบิดมา เขินมากอ่ะ ทำไมเขินแบบนี้ก็ไม่รู้ ผมว่าต้องเป็นเพราะหน้ามันแน่ๆ ที่ทำให้ผมเขิน หัวใจนี่เต้นรัวๆ เลย นี่ถ้าไม่ได้อยู่ที่ค่ายผมคงกอดมันตัวกลมไปแล้ว แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวจะเก็บความอยากทุกอย่างไว้กลับไปทำที่หอทีเดียว

จะเอาให้หนำใจเลยคอยดู!!!



"งานเต้นรำคืนนี้แกต้องเฝ้าบ้าน เข้าใจไหม"

ผมพยักหน้ารับเบาๆ "เข้าใจค่ะคุณแม่เลี้ยง"

"ดีมาก งานบ้านน่ะทำเข้าไป ฉันกับลูกๆ จะไปก่อน เฝ้าบ้านให้ดีล่ะ" ว่าแล้วคุณแม่เลี้ยงก็เดินนำพี่ก้องพี่หอมออกไป เหลือเพียงสมปองเรลล่าที่นั่งจุมปลุ๊กอยู่ตรงนี้

เศร้าใจจัง

ผมทำทีดราม่าก่อนจะหยิบผ้ามาถูพื้น ตอนนี้กลุ่ม 1 ของผมกำลังแสดงละครเวทีอยู่ครับ ขอบอกเลยว่าทุกคนตั้งใจดูมาก ตอนนี้แสดงถึงตอนที่จะไปงานเต้นรำที่ปราสาทของเจ้าชายหมีควายละ นับถอนหลังประมาณ 5 วิ นางฟ้าแม่ทูนหัวก็จะโผล่ออกมาเสกโน่นนี่ให้ คนที่เป็นนางฟ้านี่คือคนที่ทุกคนคาดไม่ถีงอย่างแน่นอน

"ซินนนนเดออออเรลลลลล่าาาาาา"

เสียงนำมาละ

ผมทำเป็นหันมองซ้ายมองขวา "เสียงใครน่ะ"

"นางฟ้าแม่ทูนหัวของเธอไงจ๊ะ" สิ้นเสียงพูด ร่างสูงก็เดินออกมาจากฉากด้านหลัง ในมือถือไม้กวาดทางมะพร้าว

อันนั้นเอามาแทนคฑาถูกไหม

ผมมองพี่ขุนตั้งแต่หัวจรดเท้า คือพี่จะเป็นนางฟ้าที่หล่อมากขนาดนี้ไม่ได้นะ การแต่งตัวของเขาดูดีมากเลย ยกเว้นไอ้คฑาไม้กวาดนั่นน่ะ นี่เวลาร่ายมนตร์มันจะหวดหน้าผมไหมเนี่ยะ

"ทำไมนางฟ้าแม่ทูนหัวถึงมาหาฉันล่ะ"

"ก็จะมาเป็นพี่เลี้ยงส่งเธอไปงานเต้นรำน่ะสิ"

ผมส่ายหน้ารัวๆ "ไม่ได้หรอก แม่เลี้ยงสั่งให้ฉันเฝ้าบ้าน แถมพวกนั้นก็ไปงานเต้นรำ ถ้าฉันไปเจอล่ะก็ มันต้องเป็นเรื่องแน่"

"พวกแม่เลี้ยงใจร้ายจะจำเธอไม่ได้แน่นอน เชื่อฉันสิ" พี่ขุนบอกก่อนดึงผมให้ลุกขึ้น "เราไปแปลงโฉมกัน" ว่าแล้วเขาก็ลากผมเข้ามาหลังต้นไม้ใหญ่ซึ่งมีพี่แกงสแตนด์บายรอเปลี่ยนชุดให้

ระหว่างนี้พี่ขันก็บรรยายเนื้อเรื่องไปเรื่อย นี่อีกแค่แปปเดียวละครเวทีก็ใกล้จบแล้วนะครับเพราะว่าจังหวะที่ผมต้องทำรองเท้าหลุดแล้ววิ่งหนีไปนั้น ผมจะวิ่งไปที่เนินยิปโซเลย เรื่องนี้เตี๊ยมกันกับทีมงานเรียบร้อย ป่านนี้พวกเพื่อนๆ ผมน่าจะกำลังจัดไฟกันอยู่ เออ เรื่องเซอร์ไพรสนี้ผมขออนุญาตทางเจ้าหน้าที่และอาจารย์วิชัยเรียบร้อย

ตอนขอนี่โดนแซวจนเขินตัวบิดเลยอ่ะ

"เสร็จละ ป่ะ" พี่ขุนลากผมออกมาหลังจากที่แต่งตัวเสร็จ ตอนนี้สภาพผมก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากกว่าเดิมเท่าไหร่แค่ผ้าถุงกับสะไบกลายเป็นสีฟ้า

"ชุดของฉัน"

"ยัง ยังไม่เสร็จ เธอต้องสวมสิ่งนี้ด้วย" มือเรียวของพี่ขุนล้วงไปหยิบรองเท้าแก้วในกล่องที่วางอยู่ใกล้ๆ ออกมาให้ รองเท้าแก้วนี่มันรองเท้าแก้วจริงๆ นะ

รองเท้าแตะที่มีแก้วโง่ๆ แปะอยู่ด้านบน

เอาคะแนนควาทครีเอทไปเลย 100 คะแนน

"รองเท้าแก้ว"

"ใช่ รองเท้าแก้ว" พี่ขุนนั่งลงไปสวมรองเท้าให้ผม "จงจำไว้อย่างนึงนะซินเดอเรลล่า เวทมนตร์ของฉันจะหมดฤทธิ์ตอนเที่ยงคืน เพราะงั้นจงรีบกลับมา"

"ได้....ขอบคุณนะนางฟ้าแม่ทูนหัว" ผมยิ้มหวานให้ก่อนจะเดินไปหลังฉาก คือปกติจะต้องมีรถฟักทองใช่ไหมล่ะแต่ว่าพี่ๆ มันขี้เกียจทำพร็อพก็เลยเป็นอย่างที่เห็น

ผมยืนมองพวกสต๊าฟที่กำลังวิ่งวุ่นเปลี่ยนฉาก พวกคนดูก็ฮือฮาอยู่นะ ดีละดี จังหวะที่ผมวิ่งหนีไปคงงงแดกกันบ้างแหละ ไม่เป็นไรช่างแม่งละกัน เดี๋ยวเรื่องที่จะเกิดขึ้นวันนี้ก็คงเป็นที่กล่าวขานไปอีกนาน

คิดแล้วก็เขินนนน

ผมมองทางเวทีที่พี่สยามเดินขึ้นไปแล้ว เสียงกรี๊ดดังมากเลยว่ะ แค่เปิดตัวเจ้าชายหมีควายแค่นี้มาทำเป็นกรี๊ดกัน ผมว่านะ คนไม่ได้กรี้ดที่มันหล่อหรอก เขาคงกรี๊ดหนวดที่มันติดอ่ะ ก่อนผมจะขอมันเป็นแฟนผมจะให้มันแกะหนวดออกก่อน

แม่ง....ไม่โอเคจริงๆ

หลังจากที่ยืนฟังเจ้าชายแพล่มอะไรอยู่คนเดียวสักพัก ผมก็เดินขึ้นไปบนเวทีก่อนจะทำเป็นชำเลืองตามองเจ้าชาย คือฉากนี้มีหน้าม้าที่มาเต้นรำกันด้วยนะ รวมถึงพวกแม่เลี้ยงด้วย ทันทีที่เจ้าชายเห็นผมก็ทำเป็นมองตาค้าง เห็นหน้ามันแล้วตลกอ่ะ จะขำก็ขำไม่ได้

เกิดเป็นสมปองต้องอดทนอะไรแบบนี้ด้วยเหรอวะ

พี่สยามเดินมาทางผมก่อนจะโค้งหัวให้ "จะเป็นเกียรติมาก....หากคุณเต้นรำกับผม" มือเรียวยื่นมาด้านหน้า

"ค่ะ" ผมวางมือลงบนมือพี่สยาม ทันใดนั้นเพลงเต้นรำของเราก็ดังขึ้นมาทันที

อะกู๋ ปิลุม มานดี ตะตุงตวง ตะตุงตวง....

 เดี๋ยวววว

ปราสาทมึงเปิดเพลงนี้เต้นรำเหรอ

พอเพลงนี้ดังขึ้นบนเวทีก็เปิดสเต็ปโหดกันเลยมีเดียว ผมยังคงยืนเด๋อไม่รู้จะยังไงต่อ เสียงหัวเราะชอบใจดังมาจากเหล่าคนที่นั่งอยู่ด้านล่าง เพลงยังคงดังต่อไปเรื่อยๆ พี่แกงที่โผล่หน้าออกมาบอกให้ผมกับพี่สยามเต้น คือต้องเต้นยังไงวะเนี่ย ส่ายตูดได้ไหม

ส่ายได้ละกัน

ผมเต้นส่ายตูดไปเรื่อย พี่สยามก็โยกไปตามเพลง แม่งเป็นงานเต้นรำที่เกินความคาดหมายมากๆ จะทำให้ซึ้งหน่อยก็ไม่ได้เลยนะ ใจคอจะเอาฮาอย่างเดียว แถมยังไม่ได้บอกให้นักแสดงเตรียมใจเลยด้วย

หึ้ยยยย...ย....อย่าให้รู้นะว่าใครเขียนบทน่ะ

เต้นส่ายตูดไปได้สักแปปเสียงระฆังก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าให้ผมต้องไปจากเจ้าชายได้แล้ว พอเป็นแบบนั้นผมหันไปหาพี่สยาม "ฉันต้องไปก่อน...."

"เธอชื่ออะไร"

"ฉัน....ไม่ทันแล้ว ขอโทษนะเจ้าชาย" ผมหันหลังก่อนจะแสร้งทำเป็นรองเท้าหลุดไปข้างนึงแล้วรีบวิ่งลงมาจากทางด้านหน้าเวที มือก็คว้าไฟฉายที่พี่ชาเตรียมไว้ให้แล้วมุ่งไปทางเนินยิปโซ

คนคงมึนงงว่าผมทำอะไรวะ

เดี๋ยวพวกพี่ๆ มันก็เสี้ยมพี่สยามต่อกันเองแหละ ผมวิ่งมาจนถึงทางเข้าป่าก่อนจะสวมรองเท้าที่ลันตาเตรียมไว้ให้ มือก็เปิดไฟฉายอีก 4 กระบอกแล้วเอาคล้องแขนไว้ ตอนนี้น่าจะ 3 ทุ่มกว่าๆ เหล่าสหายคงจัดไฟกันเสร็จแล้ว ผมวิ่งเข้ามาเรื่อยๆ ตอนนี้ไม่กลัวอะไรทั้งนั้นครับเพราะไฟฉายนี่ส่องสว่างไปหมด

"ปอง!!!!"

ผมส่องไฟตามเสียงก็เห็นร่างสูงของเพื่อนรัก "แยมมมม"

"มาแล้วหรอ" สีเทียนโผล่หน้าออกมา "แต่งตัวอะไรของมึงฮ่าๆ ๆ ๆ "

"เป็นสมปองเรลล่าไง ว่าแต่มึงจัดไฟกันเสร็จยัง"

"เรียบร้อย แผงวงจรอยู่กับลันตา มันจะเป็นคนเปิดเอง อ่ะนี่ช่อดอกไม้ กูหาได้ดีสุดเท่านี้แหละ" แยมส่งช่อดอกไม้ทำมือมาให้ผม มันเป็นช่อดอกไม้นานาชนิดเลยครับถูกห่อด้วยกระดาษสีน้ำตาล

หวังว่าพี่สยามจะชอบนะ

"ขอบใจพวกมึงจริงๆ ว่ะที่ช่วยทำทุกอย่างนี่"

สีเทียนยกมือแตะไหล่ผม "เล็กน้อยน่ะ เห็นมึงจะมีความสุขกูก็ดีใจละ"

"กูก็เหมือนกัน มึงไปยืนรอพี่เค้าตรงกลางเนินได้แล้ว"

"โอเค" ผมรับคำก่อนจะเดินมาตรงกลางของเนินยิปโซ

บนท้องฟ้าคืนนี้ดาวสวยมากครับ สวยกว่าคืนก่อนอีก สงสัยจะตื่นเต้นที่ผมจะขอพี่สยามเป็นแฟนแน่ๆ ทำดีมากเจ้าดาว มาเป็นพยานรักกันเยอะๆ เหตุการณ์แบบนี้ไม่เกิดขึ้นให้เห็นบ่อยหรอกนะ ตอนนี้ใจผมก็เต้นแรงอยู่พอตัวเลย เรื่องนี้ก็ต้องเขียนไดอารี่บอกพ่อสินะ ตอนพ่ออ่านพ่อจะตกใจไหม จะอ้าปากค้างรึเปล่าที่ลูกชายกำลังจะมีแฟนเป็นผู้ชาย

ช่างมัน ไว้ถึงตอนนั้นค่อยคิดละกัน

"สมปอง!!!!!"

มาละ

ผมหันมองตามเสียงก็พบกับพี่สยามที่ถอดหนวดออกไปแล้ว เจ้าตัววิ่งมาหยุดอยู่ทางเข้าเนิน "พี่สยาม...."

"แฮ่ก.ก....มาทำอะไรที่นี่" เจ้าตัวเดินมาหยุดตรงหน้าผม "เดี๋ยวก็เป็นเหมือนคืนนั้นหรอก"

"ไม่เป็นหรอกเพราะมีไฟฉายตั้งนี่" ผมโชว์ไฟฉาย 5 กระบอกที่คล้องอยู่กับแขนให้มันดู

"ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ ว่าแต่มึงวิ่งมาทำไมตั้งนี่ ละครเรายังไม่จบเลยนะ"

"ก็....เห็นดาวมันสวย ก็เลยอยากให้มาดูด้วยกัน"

"โถ่ปอง...." พี่สยามมันทำหน้ามุ่ยทันที พอเห็นแบบนั้นผมเลยตีหน้าซื่อใส่

"งืมม..ม....พรุ่งนี้เราก็กลับกันแล้วอ่ะ นี่เป็นวันสุดท้ายที่จะได้ดูดาวสวยๆ นะ"

คนตรงหน้าถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะเงยหน้ามองดาวบนฟ้า "ดาวมัน...ก็สวยจริงแหละ แต่ถ้ามันมีเยอะกว่านี้มันน่าจะสวยมากกว่านี้"

"หึ....นั่นสินะ งั้นกูจะเป็นคนเสกดาวมาให้เอง" ผมยกมือขึ้นดีดนิ้วดังเปราะทันทีที่พี่สยามพูดจบ แสงไฟดวงเล็กๆ ก็สว่างขึ้นลามไปทั่วทั้งเนินรวมถึงบนต้นไม้ก็มีหลอดไฟแบบดาวตกห้อยอยู่

สวยจริงๆ

ร่างสูงตรงหน้าผมหันมองไปรอบๆ ทั้งเนิน ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มออกมา มันคงชอบในสิ่งที่ผมทำให้สินะ เห็นแบบนี้ก็รู้สึกดีใจว่ะ ผมอาศัยจังหวะที่พี่สยามมองไฟอยู่นั้นหยิบช่อดอกไม้ขึ้นมาถือไว้ตรงหน้า เอาล่ะ ตั้งสติแล้วหายใจเข้าลึกๆ นะปอง

ถึงเวลาแล้ว

"พี่สยาม...."

"หืม ดอกไม้งั้นหรอ"

"ของมึงอ่ะ" ผมยื่นช่อดอกไม้ให้ "ชอบ....สิ่งที่ทำให้ไหม"

"ชอบสิ ชอบมากๆ ขอบคุณนะครับ" เจ้าตัวยิ้มหวานก่อนจะรับดอกไม้ไปจากมือผม งื้ออ.อ.อ...ใจบางกับรอยยิ้มนี้อีกละ

โอ่ยตาย สมปองตายแน่ๆ

"กูเห็นมึงชอบ กูก็ดีใจละ" ผมผ่อนลมหายใจออกเบาๆ "คือ....กูมีเรื่องจะบอกมึงอ่ะ"

"เรื่องอะไรหืม...."

"ก็....ตอนแรกที่เจอมึง กูไม่ชอบขี้หน้ามึงมากเลยนะ คนบ้าอะไรก็ไม่รู้กวนประสาท แถมยังยังบอกว่ากูชื่อโบราณทั้งๆ ที่ตัวเองก็ชื่อสยามแท้ๆ "

"ถ้าไม่ทำแบบนั้นมึงก็จะจำกูไม่ได้น่ะสิ"

"นั่นแหละ....แล้วมึงก็เป็นคนที่เอาครั้งแรกของกูไปหมดเลยด้วย ทั้งหอมแก้ม ทั้งจูบ ทั้ง....ไอ้นั่นด้วย"

พูดเองนี่แก้มร้อนผ่าวเลยว่ะ

"แก้มแดงจังเลยนะ" มือเรียวยกขึ้นมากุมแก้มผม "มีอะไรจะพูดอีกหืม"

"ก็....จะบอกว่าไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่ที่ความรู้สึกไม่ชอบขี้หน้ามึงมันเปลี่ยนไป มึงคอยวนเวียนอยู่รอบตัวกูมาตลอด คอยช่วยเหลืออะไรหลายๆ อย่าง จนวันที่เรามาอยู่ด้วยกัน มึงก็คอยดูแลกู เป็นคนที่รู้ใจกูทุกเรื่อง ช่วงเวลาเหล่านี้มันดีมากเลย ขอบคุณนะพี่สยาม"

"กูก็ต้องขอบคุณมึงเหมือนกันที่กลายมาเป็นความสุขในชีวิตกู"

ผมพยักหน้ารับเบาๆ "ตอนที่กูกลับบ้านแล้วเราต้องห่างกัน กูก็คิดถึงมึงมาก มากจนคิดได้เลยว่าการอยู่ห่างกับมึงนานๆ มันคงไม่ดีแน่ เหมือนกูขาดมึงไม่ได้เลยพี่สยาม ขอโทษนะที่ทำให้รอซะนาน แต่ว่ากูจะไม่ให้มึงรออีกแล้ว" ว่าแล้วผมก็เลื่อนมือไปจับมือมันไว้

"สมปอง...."

"เป็น....แฟนกันเถอะนะ" ผมเอ่ยออกมาเบาๆ พลางสบดวงตาคมนั่น "กูจะเป็นเด็กดี ว่านอนสอนง่าย มึงต้องรักกูมากกว่าตอนนี้แน่ๆ "

"มึงนี่มันจริงๆ เลยนะปอง" พี่สยามหลุดหัวเราะออกมา ทำไมอ่ะ ผมพูดอะไรผิดไปงั้นเหรอ

"อย่าเพิ่งหัวเราะสิ....บอกคำตอบมา จะเป็นแฟนกูไหม ต้องเป็นนะ ขนาดนี้แล้วก็ต้องเป็นสิ"

"เป็นครับเป็น ต้องเป็นอยู่แล้ว" มือเรียวดึงผมเข้าไปกอดแน่น "ขอบคุณนะปอง....ขอบคุณ"

"อื้มม.ม.ม....กูรักมึงนะพี่สยาม รักมากๆ "

เจ้าตัวคลายกอดออกก่อนจะก้มจูบหน้าผากผมเบาๆ "กูก็รักมึงเหมือนกันนะ"

"มีความสุขจัง" ผมยิ้มหวานให้พี่สยาม มันเองก็ยิ้มหวานให้ผมเหมือนกัน

เสียงปรบมืออย่างยินดีดังออกมาจากรอบๆ เนิน นี่ตามมาดูกันเกือบหมดเลยไหมเนี่ย ถ้าเดินออกไปจากตรงนี้จะต้องโดนแซวแบบย่อยยับแน่ๆ แต่ไม่เป็นไร วันนี้เป็นวันดีผมจะยอมให้ละกัน ในที่สุดก็มีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้ว ทีนี้ผมจะพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำละครับว่าผมกับพี่สยามเป็นแฟนกัน

รักกันมากๆ ด้วยยยย

"ปอง" พี่สยามเลื่อนมากระซิบเบาๆ ข้างหูผม "กลับหอ....ต้องได้แง่มนะ"

มึงนี่มันจริงๆ เลยว่ะ

"กูรู้แล้วน่า...."

จะตามใจทุกอย่างเลย







TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งหยัมปองแล้ว ขอโทษด้วยที่มาเลทนะคะเพราะว่าโน้ตบุ๊คชาลพังไปแล้วก็เลยต้องแต่งในโทรศัพท์มันก็เลยช้ามากๆ ก็ต่อจากนี้ขอให้บี๋รอนิยายกันอย่างใจเย็นนะ

ก็เขาคบกันแล้วนะคะ ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง เดี๋ยวเรื่องจะเริ่มเจ้มจ้นขึ้นเรื่อยๆ ก็ต้องรอติดตามนะคะ ชาลเองก็ใกล้จะสอบไฟนอลละเหลือเวลาอีกเดือนเดียว โปรเจ็กต์ก็ถาโถมเข้ามาใส่ เพราะงั้นช่วยปากำลังใจมาให้เยอะๆ ด้วยนะคะ

ถ้าชอบก็กดไลค์ คอมเม้นต์ให้กันได้นะ สามารถติดต่อข่าวสารได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis นะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้าาา

หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 39 : 8/4/2018 ] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 09-04-2018 00:33:26
ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง! รอมา38ตอนที่จะส่งลูกให้ลูกเขย มาวันนี้ ความปราถนาของอิแม่สมหวังแล้วววว จุดพลุ! เย้! :mc4:

ตอนนี้คือน่ารักมากๆ ในมากๆ จริงๆ อ่ะ ทุกคนดูแบบเป็นงานกันหมด (ฮ่าาาา) ชอบในความช่วยเหลือสมปองกันทุกคน น่ารักจริงๆ อิแม่ตายตาหลับแล้วลูกเอ๊ยย :heaven

ต่อจากนี้แล้วสินะที่เรื่องมันจะเข้มข้นขึ้น รอติดตามจริงๆ ว่าจะมีดราม่าอะไรมาขัดขวาง เชื่อว่ายังไงซะ ทั้งคู่จะจับมือผ่านกันไปได้ (ใจจริงคือคิดอยู่นะว่า เห้ยย จะมีดราม่าจริงๆ เหรอ ก็ในเมื่อมันหวานขนาดนี้ จะดราม่ายังไงให้ดูเรียล) รอติดตามดราม่าว่าจะเข้มข้น สาดน้ำตากันขนาดไหน :monkeysad:  :m15:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 39 : 8/4/2018 ] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 09-04-2018 01:19:19
ตาม ๆ ตามไปถึงห้องหอในตอนหน้าด้วยคน   :m7:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 40 : 18/4/2018 ] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 18-04-2018 01:10:18
บทที่ 40 คำขอของพี่สยาม [ Nc ]



การมีแฟนนี่ดีนะ

เปลืองเนื้อเปลืองตัวดี

ผมนั่งเป็นก้อนหินให้พี่สยามแทะโลมโน่นนี่ไปตามประสา มีงับหูบ้างล่ะ งับคอบ้างล่ะ งับแก้มบ้างล่ะ ถ้าจะหมั่นเขี้ยวกูขนาดนี้ก็แดกหัวกูไปเลยไหม ตอนนี้บ่ายโมงกว่าๆ แล้วครับ เดี๋ยวเจ้าหมีควายต้องออกไปเคลียร์เอกสารที่มหา'ลัยส่งให้ทางคณะ กว่าจะกลับก็คงจะค่ำ มันบอกว่ามันจะกลับมาช้าเพราะงั้นขอหาเศษหาเลยกับผมก่อนจะได้มีกำลังใจทำงานเยอะๆ

โคตรข้ออ้าง

"อื้ออออ.อ..อ..พอแล้ว" ผมเบี่ยงหัวหลบ "เดี๋ยวก็ไปสาย"

"ยังไม่พอเลย"

"มักมากจริง"

พี่สยามกดจมูกลงบนแก้มผมแรงๆ "ก็คนมันรักอ่ะ"

"มึงรักกูเกินไปละบางที" ผมบอกก่อนจะลุกออกจากตักมัน พี่สยามก็ทำหน้ามุ่ยใส่ "เป็นอะไรของมึง ดูทำหน้าเข้า"

"งอแงแล้ว"

"ทำเป็นเด็กไปได้" ผมเดินไปหยิบเสื้อช็อปมาสวมให้มันก่อนจะก้มลงไปจุ๊บที่หน้าผากขาวนั่นเบาๆ "ตั้งใจทำงานนะ กลับมาถ้าอยากทำอะไรก็จะตามใจเลย"

มือเรียวรั้งเอวผมเข้าไปกอดก่อนจะเงยหน้ามองตาปริบ "จริงนะ"

"จริงสิ ตอนนี้อ่ะไปทำงานก่อน เข้าใจไหม"

"เข้าใจแล้วครับ" พี่สยามคลายกอดแล้วเดินไปหยิบกระเป๋ากับกุญแจรถก่อนจะแวะมาหอมแก้มผมอีกรอบ "พี่ไปละนะ"

"อื้มมมม....ขับรถดีดี"

"ค้าบบบบ" เจ้าตัวยิ้มหวานก่อนจะเดินออกจากห้องไป ส่วนผมก็กระโจนลงเตียงแล้วเอาหน้าฟัดหมอนพี่มันอย่างเอาเป็นเอาตาย

เขินจังเลยโว้ยยยย

การมีแฟนนี่มันเปลี่ยนโลกจริงๆ เลยนะ ก่อนหน้านี้ผมกับพี่สยามก็อยู่ด้วยกันมาตลอดนี่หว่าแต่ทำไมความรู้สึกหวานๆ พวกนี้มันเพิ่งเกิดขึ้นหลังจากที่คบกันก็ไม่รู้ คงเพราะว่าสถานะของเรามันเปลี่ยนไป พอทุกอย่างชัดเจนขึ้นมันก็เลยรู้สึกดีขึ้นล่ะมั้ง ตอนนี้ก็พูดได้เต็มปากเต็มคำแล้วนะครับว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน

งื้ออ.อ.อ...แก้มร้อนไปหมดแล้ว

นี่ก็สามวันแล้วนะที่กลับมาจากค่าย พี่สยามมันยังไม่ได้ทำอะไรผมทั้งนั้นเพราะว่าติดเรื่องทำเอกสารส่งทางคณะนี่แหละ แต่ว่าวันนี้น่าจะเสร็จหมดทุกอย่างแล้วล่ะ ผมเตรียมใจไว้แล้วว่าจะตามใจมัน อยากทำอะไรก็ทำเพราะว่าตัวมันเองก็อดทนมาตั้งเดือนกว่า นี่ถือว่ามากแล้วล่ะสำหรับคนหื่นกามอย่างพี่สยามน่ะเพราะงั้นก็ต้องเอาใจมันสักหน่อย

แต่ก่อนจะเอาใจมัน....ผมมีเรื่องต้องทำซะก่อน

พอคิดได้แบบนั้นผมก็ลุกเดินไปหยิบไดอารี่สีขาวที่ซ่อนพี่สยามเอาไว้ ต้องเขียนรายงานความคืบหน้าของชีวิตให้พ่อได้อ่านครับ เรื่องที่ผมมีแฟนพ่อก็ต้องรู้เหมือนกัน อยากเห็นหน้าพ่อตอนที่ได้อ่านจังว่าจะเป็นยังไง ผมเปิดหน้ากระดาษก่อนจะหยิบปากกามาแล้วสะบัดข้อมือสองสามที

พร้อมนะปอง


ลูกพ่อไม่โสดแล้วนะครับ

ปรบมือเร็วววว

คือที่ผมเคยเขียนบอกพ่อว่าผมจะไปค่ายอบรมของโยธาน่ะ ไปมาแล้วกลับมาแล้วนะ และก็มีแฟนแล้วเรียบร้อย ผมกับพี่สยามเป็นแฟนกันแล้วนะพ่อ ตอนที่ขอมันเป็นแฟนนี่เขินตัวแตกอ่ะบอกเลย มีคนถ่ายรูปตอนนั้นไว้ด้วย เดี๋ยวจะเอาให้ดูนะ อยากให้พ่อได้เห็นจริงๆ ว่าเนินยิปโซสวยขนาดไหน ผมไม่รู้ว่าตอนที่พ่อรู้เรื่องทั้งหมดนี่พ่อจะทำหน้ายังไงออกมา ไม่รู้เลยว่าพ่อจะรับได้ไหมที่ผมมีแฟนเป็นผู้ชาย แต่อยากให้พ่อรับได้นะครับเพราะยังไงก็มีแฟนไปแล้วอ่ะ

ผมรักมันมากด้วยอ่ะ

ถึงตอนแรกการพบกันของเราสองคนมันจะไม่ค่อยน่าประทับใจสักเท่าไหร่แต่ว่าตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว อยากให้พ่อได้เจอพี่สยามจริงๆ ผมจะพามันไปให้พ่อรู้จักนะถ้ามีโอกาส หลังจากนี้ไม่รู้เลยครับว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง มันเป็นเรื่องของอนาคตน่ะเนอะพ่อ ผมจะพยายามทำทุกอย่างให้ดี ไม่ว่าจะเรื่องเรียน เรื่องงาน หรือว่าเรื่องของผมกับพี่สยาม เป็นกำลังใจช่วยให้ผมด้วยนะครับ

คิดถึงพ่อนะ

17/04/20XX : สมปอง




เรียบร้อยแล้วครับ

หวังว่าพ่อจะอ่านรู้เรื่องนะ

ผมเอาไดอารี่ไปซ่อนไว้ที่เดิมก่อนจะกลับมานอนแผ่อยู่บนเตียง เรื่องที่ผมกับพี่สยามเป็นแฟนกันก็รู้กันเป็นวงกว้างเลยนะ เพราะว่าลันตาเอาโทรศัพท์ของพี่ทะเลถ่ายไว้ให้ ยอดแชร์ก็เยอะพอๆ กับคลิปจุดจบของสมปองอ่ะ มีคอมเม้นต์ถาโถมเข้ามามากมายทั้งดีและไม่ดี แน่นอนว่าคอมเม้นต์ดีๆ ผมก็จำไว้ส่วนคอมเม้นต์ไม่ดีผมก็ปล่อยผ่านแม่ง

ไม่แคร์โว้ยบอกเลย

คนเขารักกันทำไมต้องชอบแซะ ผมไม่เข้าใจคนพวกนี้เลยจริงๆ ว่าจะพูดแบบนั้นทำไม ไม่ยินดีก็อยู่เฉยๆ สิวะ มาแซะนี่ก็ไม่ได้ทำให้ผมกับพี่สยามรักกันน้อยลงหรอกจะบอกให้

เจอหน้าจะเบ้ปากใส่แม่ง

หมั่นไส้

ครื้ดดดด....ครื้ดดดด

ผมเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มากดรับสาย "ว่าไงลันตาเพื่อนรัก"

(อยู่ไหนวะ)

"อยู่ห้อง มีไรวะ"

(ขอยืมเลคเชอร์อิ้งหน่อย)

"มาเอาดิ่"

(โอเค งั้นรอกูแปป)

"เออ" ผมรับคำก่อนจะกดวางสาย เดี๋ยวถ้าลันตามันมาเอาของเสร็จแล้วผมกะว่าจะนอน นอนรอเวลาและก็ออมแรงไว้ใช้คืนนี้

แค่คิดก็แก้มร้อมแล้วว่ะ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

"เข้ามาเลยกูไม่ได้ล็อก" พอผมตะโกนออกไปแบบนั้นร่างเล็กของเพื่อนรักก็โผล่เข้ามาในห้อง

"ผัวมึงอ่ะ"

ดูคำแรกที่มันทัก

"ไปมอ ส่วนเลคเชอร์อยู่ที่ชั้นโน่น" ผมชี้ให้มันดู ลันตาก็เดินไปหยิบเลคเชอร์

"เออปอง เดี๋ยวมีควิซฟิสิกส์อ่ะ มึงจะให้กูติวให้ไหม"

ผมพยักหน้ารับทันที "ติววันไหนบอก กูไปละ เดี๋ยวพี่ทะเลงอแง" เพื่อนรักบอกก่อนจะเดินออกไปจากห้อง พี่ทะเลเขาไปทำงานเหรอวะ ผมนึกว่าพวกว้ากเกอร์ก็ไปทำงานด้วยซะอีก

ช่างเขาเถอะ

ผมดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวก่อนจะคว้าหมอนพี่สยามมากอดไว้แน่น หอมจัง แต่ถึงหอมแค่ไหนก็สู้กับตัวจริงไม่ได้ ผมชักจะหลงมันมากเกินไปละ ถ้าเจ้าของหมอนใบนี้รู้มันคงจะดีใจจนตัวแตกซะละมั้ง ตอนนี้ผมควรนอนพักเอาแรงก่อนที่จะโดนหมีควายกิน

ฝันดีนะปอง

คร่อกก.ก.ก....



"อื้ออออ.อ.อ....."

รู้สึกแปลกๆ

"ตื่นได้แล้วนะปอง"

เสียงนี้มัน....

"อื้มม.มม....พี่สยาม" ผมลืมตาขึ้นมาก็พบกับร่างสูงที่คร่อมอยู่ตัวเองกับความรู้สึกโล่งๆ ของท่อนบน

เสื้อหายไปไหนวะ

"น่างับ" ว่าแล้วเจ้าตัวก็ก้มลงจูบเบาๆ ที่ไหปลาร้าผมก่อนจะไล่ต่ำลงมาที่ยอดอก

"เดี๋ยวววว" ผมจับหน้ามันไว้ก่อนจะผงกหัวขึ้นมาดูสภาพตัวเอง เสื้อยืดที่ผมใส่ถูกถอดออกไปแล้ว ตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวเหลือแค่บ็อกเซอร์ตัวเดียว แน่นอนว่าคนที่เปลื้องผ้าผมต้องเป็นพี่สยาม

นี่คิดจะลักหลับกันป้ะเนี่ยะ

"เดี๋ยวอะไรล่ะ ก็บอกเองไม่ใช่หรอว่าจะตามใจ"

"ก็ใช่ แล้วมึงมาตั้งแต่เมื่อไหร่อ่ะ"

"สักพักละ อีกแปปนึงก็เสียบมึงได้แล้ว"

ผมตีไหล่มันแรงๆ "แทนที่จะปลุกกันก่อน"

"ก็ปลุกไปบ้างแล้วนะ" มือเรียวลูบเบาๆ ที่เป้ากางเกงผมก่อนจะเลื่อนหน้าเข้ามาจูบ มึงจะมาชิงจูบตอนที่กูยังด่ามึงไม่เสร็จแบบนี้ไม่ได้นะ

เดี๋ยวโดนแน่พี่สยาม

ผมเปิดปากให้มันสอดลิ้นเข้ามา มือก็ยกไปโอบรอบคอแกร่งไว้ ลิ้นร้อนไล่เกี่ยวรัดกับลิ้นผมอย่างหยอกเย้า สัมผัสนี้ทำให้รู้สึกวาบหวามได้เสมอเลยนะ ทำให้รู้สึกดีมากด้วย พี่สยามขบที่ปากล่างผมเบาๆ ก่อนจะจูบย้ำๆ วนอยู่แบบนั้น

อื้มม.ม.ม....ทำไมมันดีแบบนี้

มือเรียวเลื่อนขึ้นมาลูบวนที่ยอดอกผม อีกข้างก็บีบเค้นแถวสะโพกหนักๆ ลิ้นก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดี คนบนร่างเริ่มจูบผมแรงขึ้นเรื่อยๆ ตามอารมณ์ที่เพิ่มมากขึ้น ผมก็พยายามจูบตอบเท่าที่ตัวเองจะทำได้แต่ก็รู้สึกได้ถึงความเด๋อด๋ายังไงก็ไม่รู้ แต่ไม่เป็นไรหรอก....

ของแบบนี้มันฝึกกันได้

"อื้ออ...อ....จูบได้....." พี่สยามมองหน้าผมก่อนจะหัวเราะออกมา

"อะไรของมึงวะ" ผมบีบแก้มมันแรงๆ "ขำอะไร"

"น่ารักไง....จูบได้น่ารักมากเลยครับ" คนบนร่างยิ้มหวานก่อนจะไล่จูบมาที่ซอกคอผมแล้วขบเม้มแรงๆ แรงขบระดับนี้คอผมต้องเป็นรอยแน่ๆ เลยว่ะ

ไม่ยอมอยู่ฝ่ายเดียวหรอก

ผมผงกหัวขึ้นไปขบที่ซอกคอพี่สยามแรงๆ จนถึงเป็นรอยจ้ำ "อื้มม.ม.ม....ใช้ได้"

"แสดงความเป็นเจ้าของหรอหืม"

"ทำไม่ได้รึไง"

"ทำไมจะทำไม่ได้ล่ะ" ริมฝีปากบางไล่จูบมาเรื่อยๆ จนถึงยอดอก ลิ้นล้อนไล่เลียวนรอบๆ ก่อนจะขบเม้มแรงๆ จนผมสะดุ้ง

เชี่ยยยย

โคตรเสียว

"ซี๊ดด.ด.ด....พี่สยาม....อ๊ะ" ผมแอ่นรับสัมผัสนั้น อื้ออ.อ.อ....ถ้าจะรัวลิ้นใส่กันขนาดนี้นะที่รัก

ใครมันจะทนไหววะ

"เด็กอะไรทำไมน่ากิน" พี่สยามทิ้งรอยรักไปทั่วทั้งหน้าอกผม มือก็เค้นคลึงอยู่กางเป้ากางเกง รู้สึกได้เลยว่าปองน้อยกำลังคึกคักสู้มือพี่มัน

ผมนอนกัดปากงึมงำปล่อยให้คนด้านบนทำตามใจอย่างเต็มที่ กางเกงบ๊อกเซอร์ถูกรั้งออกไป ตอนนี้ผมไม่เหลืออะไรที่จะปกปิดร่างกายแล้ว พอเห็นแบบนั้นผมก็ขยับมือไปถอดเสื้อยืดพี่สยามออกไปก่อนจะเลื่อนมาปลดกางเกงยีนส์ให้ ดวงตาคมมองผมนิ่งๆ ริมฝีปากบางยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย มีเสน่ห์ชะมัด

มือนี่สั่นไปหมดแล้ว

"อย่ามองแบบนั้นสิ"

"ทำไมล่ะ"

"มัน....เขิน"

"หึ...." พี่สยามจูบปากผมหนักๆ "เดี๋ยวได้เขินกว่านี้อีก" ว่าแล้วมือเรียวก็จับเข้นที่ปองน้อยก่อนจะรูดขึ้นรูดลง

"ซี๊ด.ด.ด....อื้อ.อ....อย่าลูบอย่างนั้นสิ"

"ก็ชอบไม่ใช่หรอ" มันเอ่ยเสียงพร่าพลางพร่ำจูบอยู่แถวปลายคางผม "ดูสู้มือดีออก"

อย่าพูดแบบนั้นเซ่!!!

"อ๊ะ....เปล่านะ"

"ก็เห็นๆ อยู่" มือเรียวเค้นปองน้อยหนักขึ้น อื้ม...ม....รู้สึกดีมากเลยว่ะ เพราะไม่ได้ทำนานด้วยรึเปล่าถึงได้เป็นแบบนี้

ก็อาจจะใช่

"อื้อ.อ.อ....พอก่อน" ผมจับมือมันเอาไว้ "อยากเสร็จพร้อมกัน"

"พูดแบบนี้ก็ได้เลยครับ" พี่สยามเอื้อมมือไปหยิบเจลสีหวานกับถุงยางในลิ้นชักมา มือเรียวบีบเจลใส่มือก่อนจะเลื่อนมาลูบเบาๆ ที่ช่องทางด้านหลัง

อื้มมม...ม...ความรู้สึกนี้มัน

ผมกัดปากตัวเองเบาๆ เพื่อข่มความเสียว นิ้วเรียวของพี่สยามลูบไล้เบาๆ ก่อนจะกดเข้าไปด้านในช้าๆ อื้อ.อ.อ....มันไม่ค่อยเจ็บเท่าไหร่ น่าจะเป็นเพราะเจลหล่อลื่น ผมพยายามกลั้นเสียงครางเอาไว้แต่ดูเหมือนว่ามันจะทำได้ยากซะเหลือเกิน

"อื้ออ.อ.อ...ตรงนั้น...อ๊ะ....พี่สยาม"

เจ้าตัวยกยิ้มก่อนจะกดย้ำๆ ที่จุดเดิม "ตรงนี้เสียวสินะ"

"อ๊ะ....อย่าแกล้ง....อื้อ.อ.อ...."

จะขาดใจแล้ว

"ปองครับ" เสียงพร่ากระซิบเบาๆ อยู่ข้างหู "พี่กินปองเลยได้ไหม"

ถ้าจะพูดแบบนั้น....

"ก็ไม่ได้ห้ามหนิ"

"คิ้วววท์" พี่สยามละออกไปก่อนจะถอดกางเกงตัวออกไป ลูกรักของพี่มันนี่ผมเห็นกี่ครั้งก็ไม่ชินตาสักที มือเรียวหยิบซองถุงยางมาแกะออกช้าๆ "อยากสวมให้พี่ไหม"

"สวมเองสิ" ตอนนี้ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้นนอกจากนอนพะงาบๆ

"สวมเองก็ได้" มันทำแก้มป่องใส่ผมก่อนจะสวมถุงยางเข้าที่ลูกรัก สองมือก็จับขาผมแยกออกจากกันให้มากกว่าเติมแล้วจ่อส่วนปลายไว้ที่ปากทางเข้า

"เบาๆ นะ....โอ๊ยยยย กูบอกให้เบาๆ ไง" ผมตีไหล่พี่สยามแรงๆ ดันเข้ามานี่ดูตัวกูหน่อยได้ไหมเนี่ยะ ใช่ซี้....มึงไม่ใช่คนโดนเสียบนี่ มึงจะรู้สึกอะไร

ทำอย่างกับของตัวเองไซส์ 49 ไปได้

"ซี๊ดดดด..ด....อย่ารัดแน่นแบบนั้นสิปอง" มันพูดเสียงอ่อนพลางลูบเอวให้ผมผมเบาๆ "มันเจ็บนะ"

กูเจ็บกว่ามึงอีก

"อื้อ.อ.อ....เบาๆ อ๊ะ...." ผมจิกไหล่มันเพื่อระบายความเจ็บ พี่สยามดันลูกรักเข้ามาเรื่อยๆ ก่อนจะแช่คาไว้เพื่อให้ผมปรับตัว

"พร้อมแล้วบอกนะ"

"จูบหน่อย" สิ้นเสียงพูดพี่มันก็ก้มลงมาจูบ ผมยกมือขึ้นโอบรอบคอเจ้าตัวไว้ก่อนจะยกขาขึ้นเกี่ยวเอวสอบไว้

เราแลกจูบกันไปเรื่อยๆ รับรู้ได้ถึงความร้อนที่อยู่ในตัวเลยว่ะ ผมว่าพี่สยามคงอยากขยับเต็มที่แล้วล่ะ ในจังหวะนั้นคนที่จูบผมอยู่ก็รั้งให้ผมขึ้นมานั่งบนตัก สิ่งที่อยู่ในตัวก็ยิ่งดันเข้าไปลึกมากกว่าเดิม ท่านี้มันแปลกๆ นะ ผมไม่เคยทำมาก่อนด้วยแต่ก็พอรู้ดีว่าต้องทำยังไง

พี่สยามถอนจูบก่อนเลื่อนมากระซิบข้างหู "ออนท็อปให้หน่อยนะครับ"

"ออนท็อป...."

ขย่มน่ะเหรอ

"นะครับ ทำให้หน่อยนะ" พี่มันเอ่ยอย่างอ้อนๆ ถ้าจะทำแบบนี้ใครจะไปปฏิเสธได้วะ

"ทำไม่เก่งหรอกนะ" ผมขยับตัวก่อนจะจับไหล่พี่สยามไว้ "แต่จะพยายาม" ว่าแล้วผมก็เริ่มขยับเอวขึ้นลงช้าๆ

หูยยยย...ย....โคตรลึก

"ซี๊ดด.ด.ด...นั่นแหละ แบบนั้นแหละ" พี่สยามชันมือไว้ด้านหลังข้างนึงส่วนอีกข้างก็ลูบเอวผม

"อ๊ะ....อื้อ..อ...."

ผมเร่งจังหวะขยับขึ้นลง ท่านี้มันลึกมากอ่ะ แถมยังตรงจุดกระสันเน้นๆ เลยด้วย พี่สยามดูชอบใจไม่น้อยเลยที่ผมเป็นฝ่ายขยับแบบนี้ เสียงงึมงำในลำคอนั่นบ่งบอกว่ามันเองก็รู้สึกดีไม่ต่างจากผมสักเท่าไหร่

"ซี๊ด.ด.ด...อื้อ.อ....นั่นแหละคนเก่ง"

อย่าพูดแบบนั้นสิพี่สยามมมม

"อ๊ะ....โอ๊ยสวนเบาๆ สิ....อ๊ะ...พี่สยาม" ผมครางเสียงหลงออกมาทันทีเมื่อพี่มันยึดเอวผมไว้แล้วเด้งสวนขึ้นมา อื้มมม...ม....นอกจากเสียวไม่รู้สึกอะไรเลยโว้ย

ผมนั่งขยับเอวอยู่อย่างนั้น พี่สยามเองก็เด้งสวนขึ้นมาเรื่อยๆ เหมือนกัน ความรู้สึกนี้มันสุดจริงๆ มันดี....ดีไปหมด ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมันถึงอยากให้ผมออนท็อปให้

ตอนนี้ชักจะไม่ไหวแล้ว

ผมเลื่อนมือมาสาวปองน้อยเมื่อตัวเองใกล้จะถึง "อ๊ะ....ไม่ไหวแล้วพี่สยาม...อื้อ.อ.อ..."

"งั้นพร้อมกันนะ" เจ้าตัวยึดเอวผมไว้ก่อนจะขยับสวนเข้ามาสุดแรง

"อ๊ะ....อื้อ.อ...."

"ซี๊ดดด.ด.ด....."

"อ๊ะ...พี่สยาม...อ๊าา...อ๊าาาาาาา"

"ซี๊ดด.ด.ด.....ปอง...."

"แฮ่กกกก....อื้อ.อ...." ผมหายใจแรงๆ อยู่กับบ่าพี่สยาม เหนื่อยครับ เหนื่อยมาก ท่านี้ดีงามเลยนะแต่เหนื่อยเพราะผมเป็นคนขยับไง

รู้สึกหมดแรง

"เป็นไงหืม" พี่มันเอ่ยถามก่อนจะจับให้ผมนอนราบไปกับเตียง "เหนื่อยขนาดนั้นเลยหรอ"

ผมพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเช็ดคราบน้ำรักออกจากมือ "ลองนั่งขย่มบนตักกูบ้างไหมล่ะ"

"มึงขย่มน่ะดีแล้ว" พี่มันถอนกายออกก่อนจะเปลี่ยนถุงยางใหม่ บ่งบอกเลยว่ามันไม่จบแค่นี้แน่ แต่เอาเถอะ ผมบอกมันไปแล้วนี่นะว่าจะตามใจทุกอย่างเพราะงั้นอยากทำอะไรก็ทำเลยจ้า

เอาให้ฟ้าเหลืองไปเลยจ้า

"ก่อนทำต่อมาจูบกันก่อน"

"หึ...." เจ้าตัวก้มมาจูบผมอีกครั้ง ดูทรงแล้วคืนนี้เราคงจูบกันอีกนับไม่ถ้วนแน่ๆ ผมชอบการจูบนะ มันทำให้รู้สึกดีจริงๆ

จูบจากคนที่เรารักยังไงมันก็ต้องดีล่ะนะ

"อื้อออ.อ.อ...." ผมละจูบออกมาก่อนจะรั้งคอให้พี่มันก้มลงมาใกล้ "....ต่อสิ"

"ได้เลยครับที่รัก"

จากนี้แพลนกล้องไปโคมไฟก่อนนะครับ

เขินน่ะ

"อ๊ะ....พี่สยาม"













TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งหยัมปองแล้วนะคะ ขอโทษด้วยที่เลทนิยายมาหลายวัน บทนี้ชาลยังไม่ได้แก้คำผิดนะคะเดี๋ยวจะไล่แก้ให้นะ

ก็ Nc ก็เป็นอะไรที่ยากมากๆ ถ้ามันแปร่งๆ ต้องขออภัยด้วย เรื่องจะเป็นยังไงต่อรอติดตามนะคะ ช่วยรอนิยายกันอย่างใจเย็นหน่อยนะ อยากให้เข้าใจว่าช่วงหลังจากนี้ชาลจะไม่ค่อยว่างเพราะต้องเริ่มจัดการงานที่มอแล้ว ถ้างดลงนิยายสักพักก็จะชี้แจงนะคะ

ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis นะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 40 : 18/4/2018 ] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 18-04-2018 01:38:30
ในที่สุดก็เสร็จสมอารมณ์ปองหยามจนได้  :m25:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 40 : 18/4/2018 ] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 18-04-2018 10:43:02
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 40 : 18/4/2018 ] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 18-04-2018 18:59:42
โอ้โห้วววววววววววววววววว โห้ให้ถึงกาแล็คซี่หน้าไปเลยจ้าาา ใครจะรู้ว่าลูกจะแซ่บเด็ดดวงขนาดนี้ เอาเลยลูกแม่ เอาให้พี่หยัมมันขาดใจตายไปเลยลูกกก  :hao6:

เป็นไงล่ะพี่หยัม เจอปองออนท็อปเข้าไป เหอะ! ดีไหมล่ะ (ฮ่าาาา)

สยามสมปองนี่เข้าเกิดมาเป็นของกันและกันจริงๆนะ ใครก็ไม่สามารถแยกเขาออกจากกัรได้อ่ะ ดูดิ ดูฉากนี้สิ เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลอออ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 40 : 18/4/2018 ] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 21-04-2018 00:00:08
 :pighaun:

ตอนหน้าเอาแบบนี้อีกซักตอนได้ไหม
อิอิ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 41 : 7/5/2018 ] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 07-05-2018 20:53:28
บทที่ 41 : ความทรงจำเก่าๆ

อากาศมันร้อนจนผมอยากจะระเหยลอยไปบนท้องฟ้ามาก

ไม่ไหวแล้วครับ

ผมนั่งปาดเหงื่ออยู่หน้าตึกคณะกับบรรดาเหล่าสหาย ทำไมประเทศไทยมันถึงได้ร้อนขนาดนี้วะ เสื้อนี่ชุ่มเหงื่อไปหมด ขนาดนั่งอยู่ในร่มก็ไม่ได้รู้สึกเย็นขึ้นเลย ตอนนี้ประมาณเที่ยงกว่าๆ แดดมันเลยเปรี้ยงมากๆ นี่ถ้าผมเดินออกแดดแค่ 3 นาทีผมก็เป็นสมปองย่างแล้วอ่ะ

คิดภาพตามแล้วอยากจิ่ครายยยย

ไลน์ไปอ้อนแฟนดีกว่า

พอคิดได้แบบนั้นผมก็หยิบโทรศัพท์มากดเข้าไปในไลน์ ก่อนจะส่งข้อความไปหาพี่สยาม ตอนนี้มันพักอยู่เหมือนกันครับ น่าจะอยู่ที่โรงอาหารกับเพื่อนๆ

สมปอง : ร้อนอ่ะพี่สยามมมม

สยาม : อยากให้แก้ผ้าให้ไหมล่ะ ได้นะ *สติ๊กเกอร์ยิ้มกริ่ม*

สมปอง : คิดแต่เรื่องแบบนี้

สยาม : คิดแต่เรื่องแบบนี้....ตลอดเวลา

สมปอง : คนลามก *สติ๊กเกอร์หมีโกรธ*

สยาม : ลามกแล้วรักพี่ไหม

ผมหลุดยิ้มออกมากับคำถาม ความจริงก็น่าจะรู้อยู่แล้วไหมล่ะ ว่ารักหรือไม่รัก ตั้งแต่เป็นแฟนกันก็ชอบให้ผมพูดให้ฟังตลอดว่ารักมันหรือเปล่า พี่สยามบอกว่าเวลาได้ยินคำว่ารักจากผมมันรู้สึกมีความสุขมาก ถ้าลอยได้ก็คงลอยไปแล้ว

นี่คิดว่าตัวเองเป็นบอลลูนยักษ์เหรอวะ

สมปอง : งืมมม....ไม่บอก

สยาม : ต้องบอกสิ

สมปอง : เอาไอติมมาแลก

สยาม : อีอ้วนนนนนน *สติ๊กเกอร์หมีไฟลุก*

บังอาจเรียกสมปองคนคิ้วท์ว่าอีอ้วนได้ยังไงหยาบคายที่สุด

สมปอง : อยากไปนอนห้องน้ำมะ

สยาม : เอากี่อันดีจ๊ะคนดี

สมปอง : เอา 3 อัน มาไวไวด้วยนะ

สยาม : ครับผม

เท่านี้ก็เรื่องจบ

ผมเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าพลางชะเง้อหน้าไปมองลันตาที่กำลังนั่งเขียนอะไรสักอย่างอยู่ พอไล่อ่านดูมันคือสูตรฟิสิกส์กับทริคในการจำครับ เก่งว่ะ ผมนี่แค่คิดถึงสูตรก็จะเป็นบ้าแล้ว ไม่รู้ว่าอีงูพิษมันเอาสมองส่วนไหนไปจำไอ้สูตรพวกนี้ ผมเคยสงสัยเหมือนกันนะว่ามันมีเรื่องไหนที่ไม่เก่งบ้าง คนเรามันจะเพอร์เฟ็คไปซะหมดก็จะดูแปลกๆ ป้ะวะ

มันต้องมีความไม่เพอร์เฟ็คสักอย่างแหละ

"ลันตา"

"อะไร"

"มีอะไรที่มึงทำไม่ได้บ้างไหม"

เจ้าตัวเหลือบมองผม "หมายถึงอะไร"

"ก็แบบ....กูว่ามึงทำอะไรก็เก่งอ่ะ เรื่องเรียน กิจกรรม แกล้งกูก็แกล้งเก่ง มันน่าจะมีสักเรื่องไหมที่มึงทำไม่ได้อ่ะ"

"ก็มีนะ เรื่องที่กูทำไม่ได้"

"อะไร" ผมรีบถามกลับทันที เก็บข้อมูลไว้ครับ ลันตามันจะยอมบอกจุดอ่อนมันเองเลยนะ เผื่อผมจะแกล้งคืนมันในเรื่องพวกนี้ได้

"ก็ล้างบ่อจระเข้ ให้อาหารฉลาม ขัดตู้ปลาปิรันย่าอะไรเทือกๆ เนี้ยะ"

หึ....พูดแบบนี้

ผมกระชากคอเสื้อมันพร้อมกับทำหน้าเหี้ยมใส่ "กวนส้นตีนหรอห้ะ"

"เอ้า นี่พูดจริงๆ นะ นี่แหละสิ่งที่กูทำไม่ได้" อีงูพิษมันยักคิ้วให้ผม น่าหมั่นหน้ามากคนบ้าอะไรวะเนี่ย พอเห็นมันเป็นแบบนี้ผมก็นึกภาพเวลาที่พี่ทะเลอยู่กับมันไม่ออกจริงๆ เลยนะ

อ๋อลืมไป....เพื่อนกับผัวมันต่างกัน

ไม่ยุติธรรมเลย

ผมว่าเวลาที่ตัวเองอยู่กับเพื่อนผมก็เป็นสมปองคนคิ้วท์นะครับ เวลาอยู่กับผัวก็เป็นคนคิ้วท์เหมือนกัน เห็นไหม นี่ยุติธรรมขนาดไหน ทำไมลันตาเพื่อนรักถึงไม่เป็นแบบผมวะ ไม่เข้าใจเลย เรื่องนี้เอาไปฟ้องใครบ้างเนี่ยะ

เขียนไดอารี่ฟ้องพ่อละกัน

พ่อต้องเข้าใจผมแน่ๆ

ผมคลายมือออกจากเสื้อของอีงูพิษเพื่อให้มันจดสูตรต่อ เรื่องสืบหาสิ่งที่ลันตาทำไม่ได้นี่เดี๋ยวค่อยให้พี่สยามมันจัดการ รายนั้นรู้เรื่องชาวบ้านเยอะอยู่ละ รู้เรื่องของผมทั้งๆ ที่ตัวผมยังไม่รู้ด้วยนะ คือแม่งเกินคนจริงๆ ตำแหน่งนักเสือกประจำคณะวิศวะฯ นี่ยกให้มันได้เลยอ่ะ

อย่าไปบอกมันนะว่าผมพูดแบบนี้

จุ๊ จุ๊ ไว้

"เมียยยยยยยยยยย"

ผมสะดุ้งกับเสียงนั้นก่อนจะหันไปทำหน้าบึ้งใส่ "จะพูดผ่านโทรโข่งทำไมวะเนี่ยพี่สยาม"

"กลัวไม่ได้ยิน" เจ้าตัวเอ่ยก่อนจะเดินถือถุงไอติมมานั่งลงข้างๆ ผม "นี่ไอติมของเมียครับ"

"หยุดพูดผ่านโทรโข่งได้แล้ว" ผมแย่งโทรโข่งมาจากมือมัน ต่อให้ไม่พูดผ่านโทรโข่งคนเขาก็รู้กันทั่วละว่าผมเป็นเมียมัน

เรื่องขิงนี่เก่งงงง

"พี่สยามสวัสดีครับ" พวกเพื่อนๆ ผมยกมือไหว้พี่สยาม ตัวมันก็รับไหว้ก่อนจะหยิบไอติมในถุงส่งไปแจกเรียงคนแล้วค่อยยื่นมาให้ผมทั้งถุง

"ที่เหลือของมึง"

"มึงไม่กินหรอ"

"กินแล้ว" มันยิ้มหวานก่อนจะเอนหัวลงมาพิงไหล่ผม "เหนื่อยจังเลยเมีย บ่ายมีควิซคณิตฯ ด้วย"

"ขออวยพรให้โชกเลือด"

"หนิ เดี๋ยวก็ไม่ได้แดกหรอกไอติมน่ะ"

"จะกิน แบร่บๆ ๆ ๆ ๆ ๆ " ผมแลบลิ้นใส่มันก่อนจะงับไอติมที่เพิ่งแกะเสร็จ อื้มม.ม..ม....โคตรอร่อย อากาศร้อนๆ แบบนี้ก็มีแค่ไอติมเนี่ยแหละที่เยียวยาได้

ผมนั่งกินไอติมไปเรื่อย พี่สยามก็นั่งมองพลางอมยิ้มอยู่อย่างนั้น อะไรของมันวะ มองขนาดนี้ก็แดกหัวกูเข้าไปเลยไหม ผมว่ามันต้องกำลังเรื่องอกุศลอยู่แน่ๆ ดูจากสายตาเยิ้มๆ รอยยิ้มมีเลศนัยกับหน้าตาที่แสดงความหื่นกามออกมาอย่างชัดเจนนั่นแล้ว ผมว่ามันต้องไม่คิดว่าสิ่งที่ผมกำลังกินคือไอติมแน่ๆ เลยว่ะ

คนลามก

"อย่ามองแล้วทำหน้าแบบนั้นสิ"

"ไม่ให้มองคุณแล้วจะให้ผมไปมองใคร" ว่าแล้วใบหน้าหล่อก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ "คุณเป็นแฟนผมนะ"

ตึกตัก

หัวใจเต้นแรงท่ามกลางอากาศร้อนแบบมันจะตายเอาได้นะสมปอง

"อื้มม.ม....ก็ไม่ได้ห้ามว่าไม่ให้มอง" ผมทำแก้มป่องใส่ "แต่อย่ามองแล้วทำหน้าแบบนั้นสิ"

พี่สยามเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้อีก "หน้าแบบไหนครับ"

"หน้าหื่นกามแบบนี้เนี่ยะ" ผมดันหน้ามันออกก่อนจะหันไปอีกทาง ไม่ไหวครับ สายตานั้นมันแผดเผารุนแรงมากกว่าแสงแดดอีก ขืนมองมากๆ ผมต้องละลายแบบไอติมนี่แน่ๆ

จริงจังเลยนะ

"หื่นแค่กับแฟนนะ"

ผมหันขวับไปมองมันทันที "ก็ลองหื่นกับคนอื่นดูสิ ตายนะขอบอก"

"ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ กลัวแล้วววว" มือเรียวเลื่อนมาขยี้หัวผมอย่างเอ็นดู ปากก็ยิ้มแฉ่ง เห็นแล้วน่าหยิกแก้มจริงๆ เอาไว้กลับหอก่อนเถอะ

โดนแน่พี่สยาม

"แล้วนี่จะไปเรียนกี่โมง" ผมถามเจ้าตัวพลางหยิบไอติมแท่งใหม่มาแกะ

"เนี่ยะ เดี๋ยวไปละ เออปอง ตอนเย็นเดี๋ยวไปคอนโดฯ นะ"

ผมเลิกคิ้วมองอย่างสงสัย "คอนโดฯ อะไรวะ"

"คอนโดฯ กูไง เออ มึงไม่เคยไปนี่หว่า ไม่เป็นไรเดี๋ยวพาไปวันนี้แหละ" มันบอกก่อนจะหยิบโทรโข่งแล้วก้มลงจุ๊บหัวผมเบาๆ "กูไปเรียนละ มึงก็ตั้งใจเรียนนะ"

"รู้แล้วน่า" หลังจากที่ผมรับคำพี่สยามมันก็เดินไปทันที ในใจนี่ข้องเรื่องคอนโดฯ อยู่เหมือนกันนะ ผมเข้าใจมาตลอดว่ามันอยู่หอแต่ความจริงมันกลับไม่ใช่

รู้ช้าจริงๆ เลยปองเอ๊ย

ตั้งแต่วันที่ได้กันครั้งแรกพี่สยามก็อยู่กับผมที่หอมาตลอดเลยไง ขนาดช่วงที่ผมกลับบ้านที่เชียงใหม่มันก็นอนที่หอผม ไม่ได้กลับไปคอนโดฯ ตัวเองเลยด้วย วันนี้นับว่าแปลก เพราะอยู่ดีดีก็ชวนไป เอาเป็นว่าค่อยรอดูตอนเย็นละกัน เพราะว่าตอนนี้เราต้องโฟกัสที่ไอติมก่อน

จะละลายหมดละเนี่ยยยย

"ปอง"

"หืม....ว่าไงสีเทียน"

"ตั้งแต่เป็นแฟนกับพี่สยาม ชีวิตเป็นไงบ้าง"

"ก็....ดีนะมึง ความรู้สึกเหมือนหวานมากขึ้น พูดเพราะขึ้น ทำตัวน่ารัก แต่ก็หื่นเหมือนเดิมนะมึง ชอบแทะโลมกู" เดินเข้าใกล้รัศมีเตียงแต่ 5 เซ็นฯ ก็โดนกระโจนใส่ละ

เป็นสมปองนี่เหนื่อยมากนะครับ

"คนเป็นแฟนกันก็ไม่แปลกป้ะวะ" ลันตามันเหลือบไปมองสีเทียนกับแยม "ว่าแต่มึงสองคนอ่ะ ไม่คิดจะมีแฟนบ้างหรอ"

สีเทียนส่ายหน้ารัวๆ "อยู่คนเดียวมันดีที่สุดแล้วว่ะสำหรับกู การที่ได้นอนบนเตียงกว้างๆ ไม่มีคนมานอนเบียดมันเป็นสุขมากเลยนะมึง"

"แต่การได้นอนกอดใครสักคนมันก็เป็นสุขเหมือนกันนะมึง"

"กูชอบนอนแผ่มากกว่านอนกอดใคร" สีเทียนมันยิ้มหวาน "จบนะ"

"เออจบ" อีงูพิษมันยอมแพ้ก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายไปหาเพื่อนแยมแทน "ละมึงล่ะยังไง พี่นมปั่นของมึงน่ะยังไง"

"ไม่มีอะไรคืบหน้า" เจ้าตัวบอกก่อนจะถอนหายใจออกมา เห็นแบบนี้น่าสงสารเหมือนกันแฮะ ชอบเขามาสักพักแล้วแต่ก็ยังทำอะไรมากไม่ได้

อีกฝ่ายเขาคบผู้หญิงอยู่นี่นะ

ผมเท้าคางมองเพื่อนรัก "แล้วคิดไว้ไหมว่าจะทำไงต่อ"

"ก็คิด แต่ตอนนี้ก็รอเวลาอยู่ ถึงตอนนั้นอาจจะต้องให้พวกมึงช่วย"

"ไม่มีปัญหา" ลันตามันยกมือแตะไหล่แยม "เพื่อเพื่อนอ่ะ....ขอแค่บอก"

"ขอบใจนะมึง....เห็นนั่นใครวะ" พอแยมพูดนั้นผมก็หันไปมองทันที

เชี่ยยยย

เชี่ยยยยยยยยยยย

ผมมองร่างสูงเจ้าของผมสีน้ำตาลอ่อนที่กำลังยืนมองไปรอบๆ ใบหน้าหล่อนั่นติดหวานอยู่ไม่น้อยเลย ดวงตาคม ริมฝีปากบางเป็นสีชมพูระเรื่อ ผิวขาวใสมีออร่าสีส้มวิ้งค์ๆ ลอยอยู่รอบตัวเลยอ่ะ รูปร่างก็ไม่ได้บางไป ไม่ได้หนาไป ต้องยอมรับเลยนะครับว่าคนตรงหน้าเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์มาก

ดึงดูดสายตาสุดๆ

เขามาทำอะไรที่นี่วะ

"มองขนาดนั้น ถ้าผัวเห็นผัวคงตบนะครับ" เสียงกระซิบเบาๆ ออกมาจากปากลันตาเพื่อนรัก แหม่ นานๆ จะมีคนน่ามองแบบนี้หลงมา เราก็ต้องมองให้พรุนกันไปข้างสิวะ

ไม่ได้เหรอ

"กูก็แค่สงสัยป้ะวะว่าเค้ามาทำไมที่ตึกเรา นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นเลยนะมึง" ปกติแล้วคนที่ดูดีระดับนี้ไม่น่าจะหลงมาแถวนี้ได้ นี่ยังสงสัยอยู่เลยนะเขามาทำไม

ต่อมเสือกทำงานหนักมากอ่ะบอกเลย

"มึงเดินไปถามเค้าเลยไหมล่ะ" สีเทียนกระซิบบอกอยู่ข้างหู "ขอไลน์เค้ามาเผื่อด้วยนะ"

ผมหรี่ตามองมัน "ไหนบอกว่าไม่สนใจใครไง"

"กูน่ะไม่ได้สน แต่มึงนั่นแหละที่ดูสนใจเค้ามาก เผื่อจะเอาเก็บไว้เป็นกิ๊กไง"

"ไม่เอาโว้ย กูจะไม่ทำแบบนั้นเด็ดขาด เห็นด่าพี่สยามมันบ่อยมากแต่ก็รักมันมากเหมือนกันนะ"

"แหวะ" เหล่าสหายทั้งสามแหวะออกมาพร้อมกัน ทำไมวะ พูดแค่นี้ถึงกับพากันอ้วกเลยเหรอ

นี่กูผิดไรเนี่ยะ

"พวกมึงนี่มัน....เค้าไปละ" ผมมองร่างสูงที่เดินขึ้นตึกไป ความคาใจว่าเขาเป็นใครก็คงต้องติดอยู่ในใจต่อไปสินะ

เฮ้อ....ช่างแม่งละกัน

ผมเก็บของใส่กระเป๋าเพื่อเตรียมขึ้นไปเรียน ดีเหมือนกันนะที่วันนี้ไม่มีงานคณะต่อตอนเย็น แต่ผมว่ามันก็แค่ช่วงนี้แหละที่ยังลอยชายกันได้อยู่ เดี๋ยวก็ต้องประชุมเตรียมงานประกวดดาวเดือนอีก ก่อนหน้านั้นมันจะมีงานรับน้องครับ แต่ว่ามันจะเป็นหน้าที่ของรุ่นพี่ ซึ่งนั่นก็ดีแล้ว ท่านประธานคนนี้จะได้เหนื่อยน้อยลงหน่อย

คิดแล้วก็ปริ่มใจ

"ปองมันเป็นไรวะ"

"อากาศร้อนก็งี้แหละมึง....เป็นบ้า"

มึงสิบ้าอีงูพิษ





คอนโดฯ B

ผมเดินตามหลังพี่สยามเข้ามาเรื่อยๆ ตอนนี้ก็เป็นเวลาเกือบ 1 ทุ่มแล้วครับ ก่อนจะมาที่นี่เราแวะไปกินข้าวกันมาเรียบร้อย คอนโดฯ ของพี่มันค่อนข้างที่จะอยู่ไกลจากมหา'ลัยนะ ถ้ามีเรียนตอนเช้านี่คงหงุดหงิดกับรถติดน่าดูเลย ไม่รู้ว่าก่อนที่พี่สยามมันจะไปอยู่หอผมมันทนได้ยังไง

เป็นผมคงบ้าตาย

"ทำไมทำหน้าแบบนั้นหืม" นิ้วเรียวจิ้มที่กลางระหว่างคิ้วผม "คิ้วขมวดเชียว"

"กำลังคิดอยู่ว่ามึงไม่หงุดหงิดบ้างหรอ เวลาเช้าๆ ไปมอแล้วรถติดอ่ะ"

"ก็หงุดหงิดบ้างเป็นบางวัน แต่ตอนนี้ก็ไม่หงุดหงิดละนะ"

"ใช่สิ ก็อยู่หอกูหนิ" ผมทำหน้ามุ่ยใส่

"ทำไมหืม อยู่ไม่ได้หรอ"

"ไม่ได้บอกซะหน่อยว่าอยู่ไม่ได้" อีกอย่าง....ถึงจะบอกไปว่าอยู่ไม่ได้ แต่คนดื้อแบบมันก็ต้องไม่ฟังที่ผมพูดอยู่ละ

"ไปอยู่ด้วยตลอดชีวิตเลยได้ป้ะ"

ผมเหลือบไปมองเจ้าตัว "ก็แล้วแต่มึงสิ ชีวิตมึง"

"พูดแล้วนะ" มือเรียวเลื่อนมาจับมือผมก่อนจะจูงเดินไปจนถึงหน้าห้องๆ นึง พี่มันหยิบกุญแจไปไขประตูแล้วเปิดออกพร้อมกับเปิดไฟให้เรียบร้อย

ทำดีมากที่รัก

ผมเดินเข้ามาในห้องก่อนจะมองไปรอบๆ มันดูเป็นระเบียบมากเลยนะครับซึ่งมันไม่น่าจะมีระเบียบขนาดนี้อ่ะ หรือเพราะว่ามีแม่บ้านเข้ามาทำให้วะ เออ อาจจะใช่ ผมเดินมานั่งลงที่โซฟากลางห้อง พี่สยามก็ถอดเสื้อช็อปก่อนจะเดินมาทิ้งตัวนอนลงบนโซฟาโดยเอาหัวหนุนตักผมไว้ มือก็จับมือผมไปกุมไว้พลางยกขึ้นไปจุ๊บเบาๆ

อ้อนนี่จะเอาอะไรเนี่ยะ

"เป็นอะไรหืม"

"ก็....ไม่มีอะไร" มันบอกอปัดก่อนจะหันหน้าเข้าซุกท้องผม "พุงออกแล้วนะเมีย"

"เพราะใครล่ะ" ผมทำหน้ามุ่ยใส่ก่อนจะตีไหล่มันไปทีนึงอย่างหมั่นไส้ คนที่ทำกูอ้วนก็มึงนั่นแหละพี่สยาม

มึงคนเดียวเลย

"โอ๋นะครับ ถึงมึงจะตัวเป็นโอ่งยังไงก็รักนะ"

ผมบีบแก้มมันแรงๆ "ลองไม่รักดูสิ"

"ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ คิ้วท์" มือเรียวโน้มคอผมให้ลงไปใกล้ "ขอแลกลิ้นหน่อย"

"ไม่ อย่ามากาม"

"จริงจังนะ ขอจูบหน่อย"

"ม่ายยยย"

"เมียที่ดีต้องอยู่ในโอวาทรู้ไหม"

"ผัวที่ดีก็ห้ามอื้ออ.อ.อ....." ยังไม่ทันที่ผมพูดจบคนข้างล่างก็ขยับปากเข้ามาทาบทับซะก่อน

ให้มันได้อย่างนี้สิวะ

พี่สยามขบเม้มเบาๆ ที่ปากล่างจนผมต้องยอมเปิดปากรับลิ้นร้อนนั่นเข้ามา ทุกครั้งที่จูบกันมันยังคงทำให้ใจเต้นแรงได้เสมอ มันไม่เปลี่ยนเลยจากครั้งแรก ผมว่าไม่ใช่แค่จูบหรอกที่ทำให้ใจเราเต้นตึกตัก แต่มันเป็นทุกอย่างเลยต่างหาก ทุกๆ อย่างที่เกี่ยวกับผู้ชายคนนี้ มันทำให้ผมพ่ายแพ้ได้เสมอ

แพ้ราบคาบ

หลังจากที่คนเอาแต่ใจตักตวงสิ่งที่ตัวเองต้องการจนพอใจแล้วมันก็ถอนจูบออกไม่วายหอมแก้มผมหนักๆ ไปอีกหนึ่งที เห็นสีหน้ามีความสุขมากๆ นี่แล้วรู้สึกหมั่นไส้เหมือนกันนะ

งับแม่ง

"โอ๊ยยยย เจ็บนะเมีย นี่เป็นหมาหรอ" พี่มันบ่นอุบอิบพลางลูบจมูกตัวเองที่ผมเพิ่งงับไป

"หมั่นเขี้ยว"

เจ้าตัวยิ้มกริ่มใส่ "อยากได้อะไรยาวๆ ไปแทะไหมจ๊ะ"

"ไม่โว้ย ไปอาบน้ำได้ละไป จะนอนก็ค่อยมานอน"

"สนใจอยากอาบกับพี่ไหม"

"ไม่ ไปอาบเลย เรื่องเยอะมากเดี๋ยวก็ให้นอนในห้องน้ำนั่นแหละ"

"ใจร้ายจังวะ" พี่มันลุกออกมาจากตักผมก่อนจะทำแก้มป่องแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ "หอมก่อน"

"พี่สยาม"

"ฟอดเดียวละเดี๋ยวไปเลย"

"มึงนี่แม่ง...." ผมหอมแก้มพี่สยามฟอดใหญ่ "พอใจยัง"

"พอใจแล้วครับ" ว่าแล้วมันก็ลุกเดินเข้าห้องไป ไม่รู้ว่ากามมาจากไหนนักหนา อะไรที่จับได้อะไรที่ทัชได้นี่ก็ทำทุกอย่าง

ร้ายกาจ

ผมลุกเดินไปดูวิวที่ระเบียงของห้องนั่งเล่น มองจากชั้น 8 นี่ก็ใช้ได้อยู่นะ ผมเดินสำรวจห้องพี่มันไปเรื่อย เห็นสีห้องโทนน้ำตาลออ่อนๆ แบบนี้มันทำให้นึกถึงห้องผมที่เชียงใหม่เลย ถ้าพี่สยามมันได้ไปเห็นมันต้องตกใจแน่ๆ ที่ห้องเราสีเดียวกัน

"หืม....นั่นกล่องอะไรวะ" ผมเดินมาหยุดออยู่หน้าตู้ที่ด้านในมีกล่องมีน้ำตาลลายจุดอยู่ นี่เอาออกมาดูได้ไหมวะ พี่สยามมันจะดุผมไหม

ถ้ามันดุก็ค่อยง้อละกัน

พอคิดได้แบบนั้นผมก็เปิดตู้แล้วหยิบกล่องใบนั้นอออกมา หนักพอสมควรเลยครับ นี่เก็บอะไรไว้วะ หม้อหรือกระทะเหรอ แต่ถ้าเก็บพวกเครื่องครัวก็ไ่มต้องใช้กล่องที่คิ้วท์ขนาดนี้ก็ได้ป้ะวะ....รึได้

ช่างแม่งละกัน

ผมค่อยๆ เปิดฝากล่องออก สิ่งที่ผมเห็นออย่างแรกเลยคือตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลกับช่ออดอกไม้ที่แห้งไปแล้ว มีอยู่ 3 ช่อเลยนะครับ แล้วก็มีของจุกจิกอะไรเยอะแยะเต็มไปหมด ใต้ล่างมีอัลบั้มรูปด้วย ผมหยิบมันมาเปิดดูก็พบภาพของพี่สยามที่ยังใส่ชุดนัดเรียนเป็นเด็กมัธยมอยู่เลย แต่ละรูปมันมีแต่รอยยิ้มทั้งนั้น ส่วนสายตาก็ไม่ได้มองกล้องแม้แต่น้อย

ดูทรงแล้วคงมองคนหลังกล้องแน่นอน

ผมหยิบอัลบั้มรูปมาเปิดไล่ดูไปเรื่อยๆ จนมาสะดุดตากับภาพนึง มันเป็นภาพที่พี่สยามถ่ายรูปคู่กับผู้ชายคนนึง รอยยิ้มของทั้งคู่บ่งบอกถึงความสุข ส่วนผู้ชายในรูปนั้น....ผมเจอเขาแล้วที่ตึกคณะวิศวะฯ ในวันนี้

ผู้ชายที่ชื่อแซนด์

แฟนเก่าของพี่สยาม

"เออพี่สยาม อีกสักพักพี่แซนด์จะกลับมาเรียนไทยแล้วนะ"

เขากลับมาจริงๆ ด้วยว่ะ

ผมเก็บทุกอย่างที่เป็นความทรงจำของเขาทั้งสองคนไว้ที่เดิมก่อนจะพาตัวเองกลับมานั่งที่โซฟาเหมือนเดิม ตอนนี้ในใจมีความรู้สึกหลากหลายมากครับ เรื่องที่ผมข้องใจว่าทำไมผู้ชายคนนั้นถึงมาที่ตึกวิศวะฯ ก็เคลียร์แล้วล่ะว่าเขามาทำไม ไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมจะต้องรู้สึกหน่วงใจแบบนี้ อยู่ดีดีมันก็เป็นความรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังจะเสียพี่สยามไป

บ้าชิบ

พี่สยามยังเก็บของทุกอย่างไว้ เก็บไว้อย่างดีด้วย นึกถึงคำพูดที่มันเคยบอกอผมว่ากับแฟนเก่าก็จบกันไปด้วยดี ตอนนี้ก็เป็นเพื่อนกัน ผมไม่อยากคิดมากนะ อยากจะเชื่อใจในตัวพี่มันมากๆ แต่ว่ามันก็อดคิดไม่ได้จริงๆ ว่ะ

งี่เง่าชะมัด

ตื้อดึ่ง

ผมหันไปตามเสียงก็เห็นไลน์โทรศัพท์พี่สยามดังขึ้น พอเห็นแบบนั้นผมก็เลื่อนไปหยิบมาดู ข้อความที่แสดงอยู่ด้านหน้านั่นทำให้ความหน่วงใจของผมทวีคูณขึ้นไปอีก

.

SAND : ขอบใจนะสยาม....อย่าลืมนัดของเราล่ะ

.

ผมจะอธิบายความรู้สึกนี้....ยังไงดีล่ะ













TBC.

                   สวัสดีค่ะชาลมาส่งหยัมปองแล้ว ขอโทษที่ทำให้รอนานมากๆ นะคะ

วันพุธนี้ชาลจะสอบไฟนอลแล้ว งานที่ทำก็ยังไม่เสร็จดี ตอนนี้กำลังหัวหมุนอยู่เพราะงั้นช่วยรอนิยายกันอย่างใจเย็นนะคะ

ชี้แจงเรื่องการหยุดพักลงนิยายช่วงหลังสอบไฟนอลเสร็จ ชาลต้องเร่งปิดต้นฉบับขุนหนมเพราะงั้นอาจจะพักการลงนิยายทุกเรื่องไป 1 สัปดาห์ค่ะ ขอให้อดใจรอกันหน่อยนะ​

ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis นะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ

หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 41 : 7/5/2018 ] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 07-05-2018 23:30:57
ดาม่าไหมๆๆๆ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 41 : 7/5/2018 ] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 08-05-2018 01:00:51
ถ้าจะไป คบหากัน ฉันไม่ว่า
หรือจะพา กันไปเที่ยว เลี้ยวถึงไหน
ขอแค่บอก กันตรงตรง ตกลงใคร
และไม่ใช่ คนสองใจ ใช้ปนกัน

เรื่องพรรค์นี้ มีแค่หนึ่ง ไม่พึ่งสอง
เรื่องพรรค์นี้ แบ่งใครครอง ต้องพลิกผัน
เรื่องพรรค์นี้ ถ้าไม่ชัด เนิ่นนานวัน
เราคงเลิก กันซักวัน ไม่มั่นใจ

ดราม่ามันกำลังจะมาแล้ว
..อยากกอดปลอบใจน้องปอง...
และกระทืบหัวสมองของ(ไอ่)พี่หยัม

ขอประนาม(ถ้ามี)คนสองใจในเรื่องนี้
เช๊ดดดดดดดดเข้
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 41 : 7/5/2018 ] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 08-05-2018 04:29:11
หยามทำไรอ่ะ ไม่บอกปอง เดี๋ยวนี้ไม่เกรงใจปองแล้วหรอ  :katai1:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 41 : 7/5/2018 ] หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 08-05-2018 10:27:21
หน่วงตามเลยอ่ะ เห้ยๆ เรายังเชื่อใจพี่หยัมอยู่นะ คนอย่างพี่หยัมเราเชื่อว่าเขาจะไม่ทำให้ลูกเราเสียใจแน่ๆ สมปองอย่าคิดมากนะลูก มีแม่อยู่ตรงนี้ แม่จะอยู่ข้างหนูเอง ไฟต์ติ้งนะคะคนดี :mc4:

คุณชาลเองก็ด้วยน้าา ไฟต์ติ้งๆ เรารอได้เสมอ พักผ่อนเยอะๆ ดูแลสุขภาพตัวเองด้วยนะคะ รักเสมอ :mew1:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 42 : 25/5/2018 ] หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 26-05-2018 00:07:41
บทที่ 42 : สมปองคนคิดมาก

รู้สึกเหมือนตัวเองมีประจำเดือนเหมือนผู้หญิงก็วันนี้นี่แหละ

น่าหงุดหงิดไปทุกอย่างเลยโว้ย

ผมนั่งทำตัวบัดซบอยู่ที่หน้าตึกคณะคนเดียว ส่วนเพื่อนๆ มันพากันไปซื้อขนมครับ ช่วงหลายวันมานี้รู้สึกได้เลยว่าตัวเองกลายเป็นสมปองขี้เหวี่ยง เป็นสมปองที่งี่เง่า เป็นสมปองที่น่าเอาไปลอยทะเลทิ้งมากๆ คือไอ้อาการทั้งหมดนี่ผมก็พยายามที่จะคีพลุคนะ เก็บมันไว้ข้างในแต่แบบบางทีมันก็ไม่ทนไม่ไหวอะ

เผลอด่าพี่สยามไปเมื่อเช้าด้วย

โคตรบัดซบ

คนที่โดนผมด่าก็เอ๋อแดกไปเลย มันก็คงไม่เข้าอะนะว่าผมด่ามันทำไม พี่สยามมันก็ไม่ได้อะไรนะ มันเข้าใจว่าผมหงุดหงิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ และผมเองก็ไม่คิดที่จะบอกมันด้วยว่าสาเหตุที่หงุดหงิดนั้นมันมาจากอะไร เพราะคิดว่าถ้าบอกไปอาจจะพาลให้ทะเลาะกันเปล่าๆ แต่เก็บไว้ในใจแบบนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องดีน่ะนะ

จะทางไหนก็ปวดประสาทไปหมดเลยว่ะ

เหตุผลที่ผมหงุดหงิดก็คือเรื่องไลน์ที่แฟนเก่าพี่สยามส่งมาหามันนั่นแหละ ผมไม่รู้เลยนะว่าพวกเขานัดกันไปไหนและจะไปวันไหน หลายวันมานี้พี่สยามอยู่กับผมตลอด มาเรียนก็มาพร้อมกันเลิกก็กลับด้วยกัน กลางคืนมันก็อยู่กับผม คิดเหมือนกันนะว่ามันแอบโดดเรียนแล้วไปหารึเปล่าแต่คนอย่างพี่สยามเนี่ยะยังไงเรื่องเรียนก็สำคัญอยู่ละ

ไม่รู้เลยว่าจะไปหากันวันไหน

ครั้นจะถามมันไปตรงๆ เดี๋ยวถ้ามันสวนกลับมาว่าผมรู้ได้ยังไงก็จะชิบหายเลย แม่งรู้แน่ว่าผมดูโทรศัพท์มัน ไม่รู้ว่าพี่สยามจะปิดเรื่องนี้ไปอีกนานแค่ไหน อยากรู้เหมือนกันนะว่ามันจะเล่าเรื่องที่แฟนเก่าทักมาให้ผมฟังไหม ถ้าเล่านี่จะเล่าให้ฟังตอนไหน บางทีผมก็เบื่อตัวเองนะที่เก็บเรื่องทุกอย่างมาคิดมากแบบนี้ทั้งๆ ที่มันอาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้

แต่ขึ้นชื่อว่าถ่านไฟเก่าป้ะวะ

เติมเชื้อหน่อยก็พร้อมปะทุ

เฮ้อ....งี่เง่าจังวะปอง

มึงควรเชื่อใจพี่สยามให้มากกว่านี้รึเปล่า

"ปอง"

ผมหันไปตามเสียงก็พบกับสมแยมเพื่อนรัก "ว่าไงมึง แล้วลันตากับสีเทียนล่ะ"

"พวกพี่ขุนยืมตัวไปช่วยยกของน่ะ แต่กูเจ็บแขนไงก็เลยไม่ได้ไปช่วย" แยมบอกก่อนจะนั่งลงข้างผม "ว่าแต่มึงเถอะเป็นอะไร กูเห็นสีหน้าไม่ดีมาหลายวันแล้วนะ"

"มีเรื่องให้คิดนิดหน่อยว่ะ"

"เกี่ยวกับพี่สยามหรอ"

"มึงรู้ได้ไง" เดาแม่นขนาดนี้ไปเป็นหมอดูได้เลยนะ บางทีเอาดีทางด้านนี้น่าจะเวิร์คก็ได้ ไม่ต้องเรียนละ ลาออกไปเลย

นี่ก็คิดอะไรเป็นตุเป็นตะ

"อย่างมึงอะ จะมีเรื่องให้ไม่สบายใจสักกี่เรื่องกันเชียว ตกลงเป็นเรื่องพี่สยามจริงๆ สินะ"

ผมพยักหน้ารับเบาๆ "ก็ใช่แหละ คือตอนนี้กูกำลังงี่เง่ามากๆ เลยว่ะแยม กูไม่อยากเป็นแบบนี้เลย"

"เห้ยเอาหน่า คนเรามันก็ต้องมีฟีลงี่เง่าให้กับความรักทั้งนั้นแหละ" มือเรียวยกขึ้นแตะที่ไหบ่ผมเบาๆ "แต่ว่านะ บางอย่างถ้ามันทำให้รู้สึกเป็นทุกข์มากๆ ลองหยุดคิดถึงมันสักพักไหม อย่างน้อยก็จะได้รู้สึกดีขึ้น"

"กูก็ไม่ได้อยากจะนึกถึงหรอกแต่มันก็ห้ามไม่ได้ว่ะ" ไม่มีใครห้ามสมองตัวเองไม่ให้คิดได้ง่ายๆ หรอก ต่อให้สั่งตัวเองยังไงมันก็ทำไม่ได้อยู่ดี

บ้าบอชิบ

"เอาหน่ามึง....ความรักก็งี้แหละ"

นั่นสินะ

ความรักก็งี้แหละ

ผมไม่ได้มีแฟนมาสักพักมั้งมันก็เลยเป็นแบบนี้และก็คงเป็นเพราะผมรักพี่สยามมาก มากจนไม่รู้เลยว่าถ้าเสียมันไปตัวเองจะเป็นยังไง ผมเชื่อในทุกคำที่มันบอกนะ ทุกกระทำมันก็ชัดเจนมากอยู่แล้วแหละว่ามันรักผม แต่บางเรื่องมันก็อดกังวลไม่ได้ หรือช่วงนี้มันเป็นช่วงโปรฯ วะ

ก็ไม่น่าเกี่ยว

ช่างแม่ง เอาเป็นว่าผมจะไม่พยายามคิดโน่นคิดนี่ละกัน มันก็จริงอย่างที่แยมพูดน่ะนะ คิดไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย เอาเวลาไปทำโน่นทำนี่ยังจะดีกว่า นี่ใกล้จะสอบมิดเทอมแล้วครับ ไม่รู้ว่าทำไมเวลามันผ่านไปเร็วแบบนี้ เหมือนเพิ่งเปิดเทอมแล้วเพิ่งกลับมาจากค่าย แปปเดียวจะสอบละ หลังจากหยุดยาวช่วงสอบก็จะต่อด้วยรับน้องและก็ประกวดดาวเดือนเลย

วันหยุดคืออะไรไม่รู้จัก

จริงอยู่ที่กิจกรรมมันก็อีก 2 เดือนแน่ะกว่าจะถึง แต่ว่าเราก็ต้องเตรียมโน่นนี่ก่อน อีกอย่างงานประกวดดาวเดือนเนี่ยะต้องทำงานร่วมกับคณะอื่นด้วย แม่งต้องเป็นอะไรที่ปวดหัวมากแน่ๆ แค่คิดก็เหนื่อยแล้วอะ ผมยิ่งพูดกับชาวบ้านไม่ค่อยรู้เรื่องอยู่ ทุกวันนี้ก็มีแค่เพื่อนกับพี่สยามนี่แหละที่ฟังรู้เรื่อง

พูดถึงพี่สยามก็อยากเจอมันจัง

ได้เห็นหน้าสักแวบนึงก็ยังดี

"เออแยม ที่มึงบอกว่าพวกพี่ขุนเค้ามาให้ไปช่วยขนของนั่นมึงเจอพี่สยามป้ะ"

"ไม่นะ เห็นว่าอาจารย์ยกคลาสของพี่เค้ามั้ง ก็เลยจะไปทำงานอะไรสักอย่างนี่แหละ"

"ยกคลาสงั้นหรอ"

ทำไมพี่สยามไม่ไลน์มาบอกวะ

"เออปอง กูลืมไปเลยว่าต้องไปเอาตุ๊กตาที่สั่งทำไว้อะ มึงไปเป็นเพื่อนกูหน่อยได้ป้ะ"

"ได้ดิ่ ที่ไหนอะ"

"แถวอารักษ์ศึกษาอะ ก็ไกลจากนี่อยู่แหละ แต่ว่าก็น่าจะกลับมาทัน"

"เออเอางั้นก็ได้ ไปยังไง"

"กูเอารถมา ไปเหอะ ได้รีบไปรีบมา" ว่าแล้วสมแยมก็เดินนำไปเลย ส่วนผมก็เดินตามหลังมันมาต้อยๆ ก่อนจะส่งไลน์ไปบอกลันตาว่าไปเอาของก่อนเดี๋ยวกลับมา

ถ้าไม่บอกมันก่อนเดี๋ยวมันด่าครับ

นี่เพิ่งรู้เลยนะว่าแยมมันมีรถด้วย สงสัยว่ากลับบ้านครั้งก่อนไปเอามามั้ง แหม่ แล้วไม่บอกใครเลยนะมึง น่าตบจริง แต่ว่ามันก็ไม่น่าแปลกหรอกถ้าเอารถมาแล้วไม่ได้มาใช้ ก็หอพวกผมแม่งใกล้แค่นี้เอง ที่มันเอารถมาใช้วันนี้ก็น่าจะเป็นเพราะว่าจะไปเอาของนี่แหละมั้ง เนี่ยะ มีการสั่งทำตุ๊กตาซะด้วย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันต้องเอาไปให้พี่นมปั่น

อยากจะแหมๆ ๆ ๆ ๆ ให้ยาวไปถึงดาวอังคารซะจริง

ผมขึ้นรถของเพื่อนรักก่อนจะคาดเบลท์เรียบร้อย แยมมันก็ขับรถของมันไปเรื่อย เป็นทางที่ผมไม่รู้จักเลยอะ เอาจริงๆ ผมไม่ค่อยรู้นะว่าทางไหนมันไปไหนเพราะว่าผมไม่ค่อยได้ไปไหน

งงไหม

ช่างมันละกัน

ผมนั่งมองข้างทางพลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ทำไมอยู่ดีดีก็รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาเฉยๆ วะ งานมันก็หนักแหละแต่ก็ไม่ได้หนักขนาดที่ทำให้รู้สึกเหนื่อย สงสัยเหนื่อยใจมั้ง ช่วงหลายวันมานี้ผมคิดด้วยนะว่าเมื่อก่อนตอนที่ยังไม่ได้คบกับพี่สยามผมรู้สึกสบายใจกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้อีก ไม่รู้ว่าความคิดนี้มันมาได้ยังไง อาจเพราะมีแฟนเก่าพี่มันเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยล่ะมั้ง

เนี่ยะ คิดถึงเรื่องนี้อีกละ

บัดซบเอ๊ย

"เห้ยเดี๋ยววววแยม"

"หืม....อะไร"

"ชะลอรถแปปนึงได้ไหม แอบจอดตรงนี้ก่อนก็ได้" ผมบอกพลางมองเข้าไปในร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งถ้าผมมองไม่ผิดมันคือ....พี่สยาม

พี่สยามกับแฟนเก่า

"เจอใครวะ" แยมมันแวะจอดรถไว้เยื้องๆ ต้นไม้ใหญ่ "ปอง...."

"แปปนึง" ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกไปหาพี่สยามทันที ตอนนี้ในใจมันเต้นตึกตักๆ มากเลยอะ ความรู้สึกแปลกๆ นี่มันคืออะไรวะ

(ฮัลโหล)

"อยู่ไหนอะ ยกคลาสหนิ" ผมถามพลางมองคนที่กำลังถือโทรศัพท์อยู่ในร้าน

(ใช่ยกคลาส คือกูมาซื้อของให้พี่ไทอะ เดี๋ยวกลับไปทำงานที่มอต่อ)

โกหกชัดๆ

"หรอ...."

(ครับ....เดี๋ยวงานเสร็จแล้วไปหานะ แล้วนี่มีเรียนใช่ไหม)

"อืม"

(ตั้งใจเรียนนะครับ แค่นี้ก่อนนะ)

"......" ผมกดวางสายก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาหนักๆ ตอนนี้กำลังโมโหครับ โกรธด้วยที่พี่สยามโกหกผม มาซื้อของให้พี่ไทอะไรล่ะ

นั่งกินข้าวอยู่กับแฟนเก่าชัดๆ

ไอ้ที่บอกว่านัดกันก็คงนี่แหละมั้ง จังหวะดีเลยนี่ยกคลาสพอดี หายไปผมก็ไม่สงสัยเพราะผมไม่รู้ ตัวมันเองก็ไม่คิดจะบอก ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรวะ แล้วมาโกหกกันอีก นี่ถ้าไม่มาเห็นกับตาผมก็จะโง่แบบนี้ไปเรื่อยๆ เนี่ยนะ

เสียใจว่ะ

ทำยังไงกับความรู้สึกนี้ดี

"โอเคไหมปอง" แยมเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง

ผมส่ายหน้าทันที "มันโกหกกู มันบอกว่ามันมาซื้อของแต่มึงเห็นไหมว่ามันนั่งกินข้าวกับแฟนเก่าอยู่ตรงนั้น"

"ใจเย็นๆ ก่อนนะมึง มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้"

"มันมีตั้งแต่โกหกกูแล้วอะ ถ้าบริสุทธิ์ใจก็น่าจะบอกกันดีดีป้ะวะ แล้วนั่นน่ะแฟนเก่าเลยนะมึง คนมันเคยรักกันมาก่อนป้ะวะ"

"แต่ตอนนี้พี่สยามเค้าก็รักมึงป้ะวะปอง" แยมมันยกมือขึ้นแตะไหล่ผม "ที่เค้าไม่บอกมึงเค้าอาจจะมีเหตุผลของเค้าก็ได้ มึงไม่เคยโกหกใครเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจหรอวะ คือบางอย่างอะมันต้องเล่าให้ฟังแน่ๆ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ยังไงกูก็อยากให้มึงใจเย็นๆ ก่อน"

"แต่....."

"ถ้าเค้าจะกลับไปหาแฟนเก่าจริงๆ ถ้าเค้าไม่จริงจังกับมึงจริงๆ ไอ้ที่เค้าทำมาทั้งหมดนั่นเค้าจะทำเพื่อมึงทำไม แค่หลอกฟันก็ไม่ต้องทำเยอะขนาดนั้นก็ได้ ถ้าแค่จะเอาชนะเค้าก็ทิ้งมึงไปแล้วก็ได้ ความรักอะปอง....ใจเย็นๆ ก่อนอย่าเพิ่งใช้อารมณ์กับมัน กูอยากให้มึงอดทนรอคุยกับเขาด้วยเหตุผลนะ"

ผมเงียบทันทีหลังจากที่แยมเตือนสติ เอาจริงๆ ก็จริงแบบที่มันพูดนั่นแหละนะ แต่มันก็ยังไม่รู้สึกไม่ชอบใจอยู่ดี โกหกมันก็คือโกหกป้ะวะ ถึงจะมีเหตุผลยังไงมันก็คือการโกหกอยู่ดี ผมว่าตัวเองคงต้องคุยกับพี่สยามไปตรงๆ ว่าอะไรมันเป็นยังไง หรือไม่ก็ต้องอดทนรอดูไปก่อนแบบที่แยมว่า

จิ๊....ปวดหัวชะมัด

"ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น กูจะอยู่ข้างๆ มึงเองปอง ตอนนี้อย่าเพิ่งไปคิดมาก มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้"

ผมพยักหน้ารับคำ "เออ กูจะพยายามไม่คิดแล้วกัน ไปเอาตุ๊กตากันเถอะ ได้กลับไปเรียน"

"โอเค" ว่าแล้วแยมมันก็ออกรถส่วนผมก้ได้แต่นั่งสงบสติอารมณ์เงียบๆ

ถ้าพี่สยามมันมาหาผมตอนเย็นผมต้องทำหน้ายังไงอะ คิดไม่ออกจริงๆ ว่ะ แต่สิ่งที่รู้สึกตอนนี้คือมันแย่มาก มันแย่ไปหมด ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีวันที่คิดมากถึงขนาดนี้ด้วยนะ แม่ง....โคตรไม่เป็นตัวของตัวเองเลย

ความรักมันน่ากลัวขนาดนี้เลยเหรอวะ

ผม....ไม่รู้จะทำยังไงเลยจริงๆ



[บันทึกพิเศษ : สยาม]



"โกหกไปแบบนั้นจะดีหรอ ถ้าน้องมารู้ทีหลังจะแย่นะ"

"บางทีถ้าน้องรู้ตอนนี้ก็อาจจะแย่เหมือนกัน"

"สยามก็เป็นแบบนี้ตลอด น่าตบ"

ผมยกยิ้มให้คนตรงหน้า "เอาน่ะ เดี๋ยวเราจัดการเองละกัน ว่าแต่แซนด์เถอะ เรื่องราวมันยังไงไหนเล่ามาซิ"

"ก็เล่าให้ฟังไปหมดแล้วหนิ ไม่รู้จะเล่าอะไรแล้ว"

"ไม่ ที่เล่าให้ฟังวันนั้นคือคร่าวๆ ครั้งนี้ขอแบบละเอียดหน่อย"

"เฮ้อ...." ยังจะมาถอนหายใจอีก

น่าตบพอกันแหละว่ะ

ผมนั่งเท้าคางมองคนที่เคยเป็นทั้งเพื่อนสนิท เคยเป็นแฟน และตอนนี้เหมือนจะมาเป็นเรื่องชิบหายในชีวิตผมด้วย ผู้ชายตรงหน้านี้ชื่อแซนด์ครับ เป็นนักศึกษาแพทย์ที่ตอนนี้ควรจะอ่านหนังสือตาเหลือกอยู่ที่เมกาฯ ไม่ใช่มานั่งเขี่ยข้าวไปมาอยู่ตรงหน้าผม ไม่เจอกันมา 2 ปีกว่ามันดูเป็นไปเยอะเหมือนกันนะ

ดูกิ๊กก๊อกขึ้นเยอะด้วย

"เร็วแซนด์ เล่ามา....ทำไมอยู่ดีดีก็คิดจะย้ายกลับมาเรียนไทย"

"ก็....เบื่อแล้ว"

"นั่นไม่ใช่เหตุผลป้ะ" ผมหรี่ตามองมัน "บอกเรามาเร็วๆ แล้วนี่หนีมาไทยแบบนี้ พี่เยียร์ไม่ว่าหรอ ป่านนี้ตามหาพลิกแผ่นดินแล้วมั้ง"

"เค้าไม่สนใจเราหรอก" แซนด์เอ่ยเสียงเศร้าออกมาพลางยิ้มบางๆ "ถ้าเค้าสนใจเรา เค้าคงตามเรามาตั้งแต่วันที่เรามานี่แล้วแหละ"

ดราม่าอีก

ไม่ปลอบนะมีแต่จะตบซ้ำ

ผมนั่งมองแซนด์ทำหน้าเศร้า คือพี่เยียร์ที่พูดถึงเป็นแฟนของแซนด์ครับ ช่วงนึงหลังจากที่เราเลิกกันไปได้สักพักเนี่ยะแซนด์ก็ไปเจอรุ่นพี่ในมหา'ลัยคนนึง แล้วเขาก็ตามจีบมัน และก็รักกันคบกันอะไรทำนองนี้แหละ ตอนนั้นผมก็ยินดีกับมันนะ คือตอนที่เลิกกันก็เข้าใจดีว่ามันเป็นเพราะอะไรแล้วก็คิดว่ายังเป็นเพื่อนกันได้ ไม่มีเหตุผลอะไรที่ทำให้เราต้องตัดกันและกันออกจากชีวิต

ใครทำไม่ได้ผมทำได้

"เรื่องคิดไปเองนี่เก่ง" ผมเบ้ปากใส่ "รู้ได้ไงว่าเค้าไม่หาแซนด์"

"เค้าจะมาหาทำไม เค้ายุ่งเรื่องงานหมั้นโน่น"

"ตกลงพ่อแม่เค้าไม่ยอมจริงๆ ดิ"

"อืม....นึกถึงเคสของเราสองเลยว่ะ เหมือนกันเป๊ะ" เจ้าตัวเอ่ยก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ "มันเป็นเวรกรรมป้ะวะสยาม"

"เวรกรรมชัวร์ๆ แต่ว่านะแซนด์ คือพี่เยียร์เค้าก็ดูรักแซนด์มากเลยนะ ก็ไม่น่าจะยอมหมั้นง่ายๆ ป้ะ"

"เค้าอาจจะรักเราก็จริง แต่ว่าเค้าก็ต้องรักครอบครัวเค้าด้วยใช่ไหมล่ะ คนเป็นลูกอะ....จะขัดพ่อแม่ได้ยังไง"

"แล้วแซนด์จะยอมแพ้หรอ ปล่อยให้ผู้หญิงที่ไหนไม่รู้ได้พี่เยียร์ไปเนี่ยนะ"

"ไม่ได้อยากยอมแพ้นะสยามแต่แบบ....เราจะเอาอะไรไปสู้วะ แพ้ตั้งแต่ท้องไม่ได้ละ"

เจอประโยคนี้ไปนี่จุกเลย

"มันต้องมีสักทางแหละ เอาเป็นว่าเดี๋ยวเราช่วยเอง ส่วนพี่เยียร์เราว่ายังไงเค้าก็ต้องเลือกแซนด์แหละ มั่นใจในความรักของตัวเองหน่อย"

คนตรงหน้าคลี่ยิ้มออกมา "แค่ความรัก....มันไม่พอหรอกสยาม รักกันอย่างเดียวมันม่ได้จริงๆ "

"อย่าเศร้าสิวะ"

"อยากเมาขึ้นมาทันทีเลย" ว่าแล้วคนตรงหน้าก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะไป เชี่ย อาการแบบหนักมากอะ

สงสารเลยว่ะ

ผมตกใจเหมือนกันนะที่เมื่ออาทิตย์ก่อนแซนด์มาหาที่ตึก มันบอกผมว่าจะย้ายกลับมาเรียนไทย บอกว่าตัวเองอกหัก แฟนจะทิ้งไปหมั้นกับผู้หญิง แต่วันนั้นอะยังไม่ทันได้คุยกันดีแต่ผมต้องเข้าเรียนก่อนไงก็เลยนัดกันไว้ว่าเดี๋ยวค่อยมานั่งคุยกัน แล้ววันนี้ก็เป็นวันที่ผมเพิ่งจะเจียดเวลามาหามันได้ ส่วนไอ้วันก่อนๆ หน้าคือกกอยู่แต่กับเมีย

คนมันติดเมียนี่หว่า

พูดถึงเมีย....ผมทำเรื่องแย่ลงไปด้วยนะวันนี้ ผมโกหกน้องไปว่าตัวเองมาซื้อของให้พี่ไทเพราะไม่อยากให้น้องรู้ว่าผมอยู่กับแฟนเก่า สมปองน่ะมักทำหน้าไม่โอเคออกมาตลอดเลยเวลาที่ผมพูดถึงแฟนเก่าน่ะ คือคิดว่าต้องบอกน้องนั่นแหละแต่อยากนั่งอธิบายดีดีมากกว่า น้องจะได้เข้าใจ เรื่องวันนี้ผมต้องขอโทษน้องด้วยที่โกหกเขา

แต่ไว้จัดการทุกอย่างก่อนแล้วค่อยเคลียร์ทีเดียว

จะได้ไม่วุ่นวาย

"ไหวไหมเนี่ยะแซนด์"

"ไม่" แซนด์เงยหน้าขึ้นมามองผม "อย่าทำให้น้องปองเสียใจเหมือนที่เรากำลังเป็นอยู่ตอนนี้นะสยาม"

"รู้แล้วน่า ตกลงวันนี้ก็ยังจะไม่เล่าใช่ไหมว่าเรื่องทั้งหมดมันยังไง"

"ยังไม่อยากพูดถึงอะ"

"งั้นช่างมัน รีบๆ กินข้าวซะ เดี๋ยวไปส่ง จะรีบกลับไปทำงาน เดี๋ยวจะไปหาปองต่อด้วย"

"น่าอิจฉาจริงๆ เลยน้าคนมีแฟน"

"แซนด์ก็มีป้ะวะ"

"อย่าพูดถึงพี่เยียร์ได้ไหม" มันเบะปากจนสุด "จะร้องไห้"

เฮ้อ....ประสาทจะแดก

"รีบๆ กินไปเลย"

จะได้กลับไปหาปองสักที



[จบบันทึกพิเศษ : สยาม]













TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งหยัมปองแล้วหลังจากที่หายไปนานเลย ขอโทษด้วยที่มาดึกมากๆ นี่เพิ่งแต่งเสร็จสดๆ เลยนะคะ ยังไม่ได้ตรวจคำผิดอะไรเลยแต่เดี๋ยวจะไล่แก้ให้นะ

ก็อ่านแล้วก็อาจจะจับเรื่องชนปลายได้ถูกนะว่าอะไรมันเป็นยังไง แซนด์มาดีหรือมาร้าย พี่สยามกับสมปองควรจะทำยังไง เรื่องจะเป็นยังไงต่อรอติดตามน้า

ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ ติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis นะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 42 : 25/5/2018 ] หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 26-05-2018 01:12:13
ปองโกรธแน่ ๆ นังพี่หยาม ไปบอกความจริงกับปองซะ แล้วก็พาปองไปคุยกับแฟนเก่าด้วย จะได้เคลียร์ให้มันจบ ๆ  :katai1:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 42 : 25/5/2018 ] หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 26-05-2018 06:46:28
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 42 : 25/5/2018 ] หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 26-05-2018 08:01:29
ดีนะที่ปองมีเพื่อนดี คอยให้คำปรึกษา
ให้ปองใจเย็นๆตอนที่เห็นพี่สยามอยู่กับแฟนเก่าแล้วโกหกปอง
เพราะปองเก็บตวามไม่พอใจ ความระแวงไว้กับตัว
ไม่พูดออกมา แต่ก็เผลอหลุดด่าพี่สยามไปแล้ว
พี่สยามก็ดูรู้ เลยเลือกที่จะโกหกตอนที่ปองถาม
ความรักมันยากจริงๆด้วย ถ้าเราไม่เชื่อใจกัน
ขอให้ปองผ่านมันไปด้วยดีนะ

พี่สยาม  ปอง   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 42 : 25/5/2018 ] หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 26-05-2018 17:16:36
คนรู้ กับ คนไม่รู้
ความรู้สึกมันแตกต่างกันลิบลับ

ยิ่งเก็บงำให้เป็นความลับมากขึ้นเท่าไร
คนไม่รู้ก็ยิ่งเพิ่มความระแวงและไม่ไว้ใจ มากขึ้นเช่นกัน

คุยกันดีดีนะ..เคลียร์ให้มันจบ
เพราะถ้าไม่เคลียร์ อาจจะจบกันไปเลย

ส่งแรงใจช่วย พี่หยัมกะน้องปอง
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 42 : 25/5/2018 ] หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 26-05-2018 18:51:25
ไม่ว่าจะมรเหตุผลมากแค่ไหนก็อย่าโกหก
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 42 : 25/5/2018 ] หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 26-05-2018 19:51:12
ตามอ่าน .
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 42 : 25/5/2018 ] หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 27-05-2018 17:45:54
ตามต่อ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 42 : 25/5/2018 ] หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 27-05-2018 21:25:02
ขอบคุณที่แซนด์ไม่ได้มาร้าย ตอนนี้โล่งใจนิดๆ ล่ะ คิดว่าลูกอาจงี่เง่าเอง เข้าใจทั้งลูกทั้งพี่สยามนะ แต่ก็เนอะ ความรู้สึกมันต่างกันไง ยังไงก็เอาใจช่วยทั้งสองคนนะ เอาใจช่วยคุณชาลด้วย สู้ๆ นะคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 42 : 25/5/2018 ] หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 02-06-2018 18:14:12
ตามต่อ.
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 43 : 3/6/2018 ] หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 03-06-2018 21:06:11
ปองหายไปไหนไม่มาต่อ นี้ 1 อาทิตกว่าแล้วนะ 55
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 43 : 3/6/2018 ] หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 03-06-2018 21:07:25
บทที่ 43 ความอ่อนแอของสมปอง



ขอ How to เอาหัวหนุนชีทยังไงให้ความรู้เข้าสมอง

ไม่ก็....ต้มกินยังไงให้ฉลาดที่สุดก็ได้

ไม่ไหวแล้วววว

ผมยกชีทขึ้นมาคลุมหัวตัวเองไว้อย่างหมดอาลัยตายอยาก ครั้นจะไม่อ่านก็ไม่ได้อีก อาทิตย์หน้าผมจะสอบมิดเทอมแล้วครับ สอบเสร็จจะหยุดยาว 5 วันก่อนจะกลับมามีกิจกรรมรับน้องและประกวดดาวเดือนต่อๆ กันเลย แค่คิดก็เหนื่อยแล้วอะ จะเลิกคิดก็ไม่ได้อีกเพราะมันเป็นหน้าที่ที่ท่านประธานสมปองคนนี้ต้องรับผิดชอบ

เฮ้อ....มีตะเกียบไหมครับ

ผมจะเอามาแทงคอตัวเองให้ตายๆ ไป

ช่วงนี้ผมหงุเหงิดง่ายด้วย ตั้งแต่วันที่ไปเจอพี่สยามไปกินข้าวกับแฟนเก่านั่นก็ผ่านมาหลายวันแล้ว เป็นหลายวันที่อึมครึมมากระหว่างเราสองคน ผมแทบไม่พูดกับพี่สยามเลย กลัวใจตัวเองจะไประเบิดลงใส่มันไง ตัวมันเองก็อาจจะสงสัยกับอาการผมอยู่แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร คงคิดว่าถ้าผมอยากพูดผมก็จะพูดเองล่ะมั้ง

สรุปแล้วจากวันนั้นจนวันนี้ก็ยังไม่ได้เคลียร์กัน

ความสัมพันธ์แลดูย่ำแย่แปลกๆ

มันไม่เชิงว่าย่ำแย่หรอกแต่มันก็ไม่ควรจะเป็นแบบนี้ไง คนเป็นแฟนกัน คุยกันนับคำได้ เนื้อตัวก็แทบจะไม่โดนกันเลยด้วยซ้ำ อยู่ด้วยกันก็จริงแต่มันก็ไม่ต่างจากเวลาที่อยู่คนเดียวสักนิด มันอึดอัดนะครับ ผมไม่อยากอยู่ในสภาพแบบนี้ อยากกลับไปเป็นเมื่อก่อนเหมือนตอนที่แฟนเก่ามันยังไม่กลับมา

ตอนนั้นมีความสุขมากเลยนะ

คิดแล้วเศร้าว่ะ

วันนี้ผมไม่มีเรียนแต่พี่สยามมี แต่ป่านนี้คงเลิกแล้วแหละ ไม่รู้ว่ามันจะไปประชุมเรื่องรับน้องต่อรึเปล่า หรือจะไหนต่อไหนต่อก็ไม่รู้ หลายวันมานี้มันก็ไม่บอกผมนะเวลาที่จะไปไหนมาไหนน่ะ คือตอนแรกก็บอกแหละแต่พอผมอ่านแล้วไม่ตอบมันก็ไม่บอกอะไรเลย ปกติถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมอ่านไม่ตอบแบบนี้มันต้องโทรมาแล้ว

เนี่ยะ มันเปลี่ยนไป

ฮือออ.อ.อ...ทำไมเศร้า

พอๆ ๆ ๆ ๆ ผมจะเลิกคิดถึงพี่สยามแล้วมาโฟกัสกับความรู้ในชีทนี่แทน คิดถึงมันไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย อีกอย่างคือการคิดถึงใครข้างเดียวมันคือความเจ็บช้ำในชีวิตเปล่าๆ ทำไมเราจะต้องมานั่งรู้สึก มานั่งคิดมากให้กับคนที่เขาไม่ได้รู้สึกเหมือนเราด้วย มันโคตรไม่แฟร์อะ คนเรารักกันมันก็ควรมีความรู้สึกเท่าๆ กันป้ะวะ ทำไมเป็นผมที่รู้สึกมากกว่าอยู่คนเดียวด้วย

แม่ง....ดราม่าหนักกว่าเดิมอีก

บัดซบว่ะ

ผมเดินไปหยิบไดอารี่สีขาวในตู้ก่อนจะกลับมานั่งที่เดิม ช่วงนี้เขียนไดอารี่ทุกวันเลยครับ ฟ้องพ่อเต็มไปหมด คือตอนที่พ่อได้อ่านนี่ต้องมีวิ่งไปหยิบปืนบ้างอะ ผมโซแซดมากเลยนะ คือไม่คิดว่าการที่ตัวเองมีความรักอีกครั้งจะต้องมาเจอกับสถานการณ์แบบนี้ไง ใจนึงก็อยากโทรไปปรึกษาพ่อแต่ว่าพ่อไม่รู้เรื่องของผมกับพี่สยามไง ถ้าพ่อรู้ตอนนี้นะคนที่จะโดนยิงตายก็คือผม

แบบนั้นนี่แย่เลยนะ

ผมเป็นลูกชายคนเดียวครับ ถ้าผมตายไปใครจะเป็นคนสืบทอดไวน์ของพ่อล่ะ ใครจะคอยดูแลไร่ทั้งหมด ไหนจะคนงานอีก ไหนพวกม้าของผมอีก คือภาระที่ต้องรับผิดชอบมันยิ่งใหญ่มากอะ เพราะฉะนั้นผมจะมาตายตอนนี้ไม่ได้ อีกอย่างคือถ้าพ่อยิงผมตายมันก็เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย คิดแล้วมันไม่ได้จริงๆ ว่ะ เอาเป็นว่าผมเขียนไว้ในไดอารี่รอให้พ่ออ่านทีเดียวละกัน ถึงตอนนั้นจะอยู่หรือจะตายก็ค่อยว่ากันอีกที

เอาล่ะนะ



คนเราจำเป็นต้องรู้สึกทุกข์ใจให้กับความรักถึงขนาดนี้ไหมพ่อ

ลูกบ่ไหวแล้วเน้อ

จากที่ผมเขียนไดอารี่บ่นให้พ่อติดๆ กันทุกวันนั่น วันนี้ก็จะเป็นอีกวันที่บ่นเหมือนเดิม ความสัมพันธ์ของผมกับพี่สยามมันไม่ดีขึ้นเลยอะ ก็ยังไม่มีใครเริ่มเปิดใจคุยกันอย่างจริงจัง ผมควรจะทำยังไง เป็นฝ่ายเริ่มหรอ แต่ว่าคนผิดคือมันป้ะวะ มันควรจะพูดออกมาก่อนดิ มันควรขอโทษผมตั้งแต่วันแรกที่มันโกหกด้วยซ้ำ ไม่รู้เหตุผลเลยนะว่ามันทำแบบนี้ทำไม

แค่คิดก็รู้สึกแย่แล้วอะ

ปกติคนเรารักกันก็ไม่ควรมีความลับต่อกันไหม จนตอนนี้ผมก็ยังหวังอยู่ในใจเลยนะพ่อว่าให้มันยังคงรู้สึกรักผมเหมือนเดิมแบบที่มันเคยรัก ไม่อยากคิดอะไรแบบนี้หรอกแต่ขนาดเวลามันยังเปลี่ยนเลยหนิ นับประสาอะไรกับหัวใจและความรู้สึกของคนเรา ผมไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้เลย อยากกลับไปทำตัวไร้สาระและยิ้มได้แบบเมื่อก่อนมากกว่า แล้วเนี่ยะ อาทิตย์หน้าผมก็จะสอบมิดเทอมแล้วแต่สภาพจิตใจยังไม่โอเคเลย อ่านหนังสือก็ไม่เข้าหัว เดี๋ยวผมจะต้องรีบเคลียร์ทุกอย่างก่อนที่มันจะแย่ไปกว่านี้

เป็นกำลังใจให้กันด้วยนะครับ

คิดถึงพ่อนะ

03/06/20xx : สมปอง




เรียบร้อยแล้วครับ

เขียนเสร็จนี่น้ำตาจะไหล

ผมเดินเอาไดอารี่ไปเก็บไว้ที่เดิมก่อนจะมานั่งอ่านชีทต่อ จะว่าไปก็หิวเหมือนกันนะ วันนี้ผมยังไม่ได้กินอะไรเลย เอาจริงๆ หลายวันมานี้ผมกินข้าวไม่ค่อยลงอะ เรียกอาการนี้ได้ว่าอาการตรอมใจครับ เนี่ยะ ใครอยากลดน้ำหนักแบบฮวบฮาบก็ลองใช้วิธีนี้ก็ได้นะ อาจจะดีต่อร่างกายแต่สำหรับหัวใจนั้นยับเยิน

แม่งแซดอีกละ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ผมลุกไปเปิดปลดล็อกประตูให้ ร่างสูงที่สวมเสื้อช็อปก็เดินเบี่ยงตัวเข้ามาในห้องทันที ปกติแล้วมันควรจะทักกันก่อนรึเปล่า เมื่อก่อนต้องดึงผมเข้าไปกอดด้วยซ้ำ แต่ช่างถอะ ตอนนี้มันไม่ใช่เมื่อก่อนหนิ

เวลามันผ่านมาแล้วนี่นะ

ผมหันไปมองใบหน้าคมที่มีรอยช้ำที่มุมปาก ไปโดนอะไรมาวะน่ะ รอยช้ำคล้ายๆ กับโดนต่อยมาเลย นี่ไปมีเรื่องกับใครมารึไง ปกติมันไม่ใช่คนที่จะไปทะเลาะกับใครพร่ำเพรื่อนี่หว่า

รอยนี้มันมาได้ยังไง

"เป็นอะไร" เสียงเรียบเอ่ยถามพลางมองผมนิ่งๆ สีหน้าดูหงุดหงิดอะไรสักอย่างอยู่ "หลายวันมานี้มึงแปลกๆ นะ"

"....เปล่า"

"มีอะไรทำไมไม่พูดวะ"

"แล้วทีมึงอะ มึงมีอะไรมึงยังไม่พูดเลย" ผมโวยใส่ทันทีที่มันมาหงุดหงิดใส่ ไอ้เราก็พยายามจะใจเย็นมาตลอดป้ะวะ อยู่ดีดีมาทำเสียงแข็งใส่อีก

"จิ๊...." มือเรียวถอดเสื้อช็อปก่อนจะเดินเอาไปแขวนไว้หน้าตู้ "มึงโกรธอะไรกู"

"มึงทำอะไรไว้ให้กูโกรธล่ะ"

"ปอง"

"ถ้ามึงคิดไม่ออกมันก็เรื่องของมึง" ผมหมุนตัวจะเดินออกจากห้องแต่โดนพี่สยามดึงแขนไว้ก่อน "ปล่อยกู"

"ไม่ปล่อย....ปอง บางอย่างถ้ามึงไม่พูดออกมากูก็ไม่รู้หรอกนะ"

"มึงทำผิดอะ มึงไม่รู้อยู่แก่ใจเลยรึไงห้ะ!!!!" ผมตวาดใส่ก่อนจะผลักมันออก "เมื่อวันที่มึงยกคลาส มึงไปไหนมาล่ะ มึงบอกกูว่าอะไร นั่นน่ะมันผิดรึเปล่า"

พี่สยามเลิกคิ้วมองผม "....เรื่องแซนด์"

"อร่อยไหมล่ะ....ที่ไปกินกันมาน่ะ" ผมเบือนหน้าหนีมัน ในใจก็พยายามข่มอารมณ์ไว้ ตั้งใจว่าจะไม่ระเบิดแล้วแท้ๆ แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้

มันไม่น่ามาหงุดหงิดใส่ผมเลย เราควรจะคุยกันดีดีแท้ๆ อดทนที่จะใจเย็นให้กันมาตั้งหลายวันแต่มันก็สูญเปล่าไปแล้ววันนี้ ผมไม่รู้หรอกว่ามันหงุดหงิดอะไรมา แต่มันก็ไม่ควรจะเอามาลงที่ผมรึเปล่าวะ ปกติพี่สยามจะเป็นคนที่ใจเย็นกว่านี้มาก อย่างน้อยมันก็ไม่เคยทำเสียงแข็งใส่ผมเลยสักครั้ง ไหนจะแววตาโมโหร้ายแบบนั้นอีก

ผมไม่โอเคเลยเอาจริงๆ

"มันไม่ใช่แบบที่มึงคิดนะปอง"

"มึงไม่ต้องสนใจหรอกว่ากูจะคิดยังไง มึงคิดว่าห้ามความคิดกูได้หรอ" ผมหันกลับมาประจันหน้ากับมัน "กูไม่รู้หรอกนะว่าเหตุผลที่มึงไปเจอกับเค้าคืออะไร แต่สิ่งที่มึงทำผิดต่อกูคือมึงโกหก ทำไมมึงไม่บอกตรงๆ วะว่าไปหาเค้า มึงคิดว่ากูใจแคบมากจนไม่ยอมให้มึงไปเจอกับแฟนเก่าตัวเองหรอ"

"....."

"พูดสิวะ"

"มึงน่าจะรู้ตัวนะปองว่าทุกครั้งที่พูดถึงแซนด์มึงรู้สึกยังไง ตัวมึงเองน่าจะรู้ดีที่สุด กูเห็นสีหน้ามึงไม่ดีทุกครั้งที่กูพูดถึงเขา กูเลยเลี่ยงไม่อยากให้มึงรู้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนที่กำลังมีปัญหานี่ กูกับแซนด์...."

"แล้วมันใช่เรื่องที่มึงโกหกกูหรอ ให้กูรู้เองมันดีกว่าที่มึงจะบอกกูก่อนใช่ไหม" ผมกำมือแน่น "ถ้ามึงจะบอกว่ามันเป็นการโกหกเพื่อที่อยากให้กูสบายใจ แต่กูขอบอกเลยนะพี่สยามว่ากูไม่ได้รู้สึกดีกับมันเลยสักนิด อยากให้มึงลองมาเป็นกูนะ เผื่อเราจะได้รู้สึกเหมือนกันแค่นิดเดียว....ก็ยังดี"

ผมยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่คลอเบ้าตัวเองออก มันทั้งโมโห ทั้งรู้สึกแย่ ผมไม่ได้อยากร้องไห้ ไม่ได้อยากแสดงออกมาว่าตัวเองกำลังอ่อนแอ สิ่งที่ผมพูดทั้งหมดนั่นคือสิ่งที่ผมรู้สึกจริงๆ หลายวันมานี้มันแย่มาก ผมพยายามเข้มแข็งทุกอย่างแล้วแต่มันก็อย่างที่เห็นอะ

เจ็บปวดหัวใจชะมัด

"ถ้ากูบอกมึงไปว่าแซนด์กลับมาแล้วนะ กูมีเรื่องสำคัญต้องไปทำกับแซนด์ อาจจะไม่มีเวลาให้มึงสักระยะเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องรีบจัดการแต่กูไม่สามารถบอกมึงได้ว่าเรื่องที่จะทำกันมันคือเรื่องอะไร เป็นแบบนี้มึงโอเคหรอ"

"....."

"ถ้ากูบอกทั้งหมดนี่ไปตั้งแต่แรกมึงจะไม่คิดมาก ไม่โกรธ ไม่เป็นอะไรเลยใช่ไหม อยู่คนเดียวได้ใช่ไหมถ้าคืนไหนที่กูไม่ได้กลับมานอนด้วย ถ้ากูต้องทำอะไรบางอย่างกับแซนด์มึงจะเข้าใจใช่ไหม"

".....เค้าสำคัญกับมึงมากขนาดนั้นเลยหรอ"

"สำคัญ" มือเรียวเลื่อนขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้ผมเบาๆ "แต่ไม่เท่ามึงหรอก"

"ฮือออ..อ....พี่สยาม"

ร่างสูงดึงผมเข้าไปกอด มือเรียวเลื่อนขึ้นมาลูบหัวเบาๆ "....ขอโทษนะ"

"ฮึกก.ก.ก.....มึง....ฮืออ.อ.อ....."

"มันจำเป็นจริงๆ อะปอง ยังไม่ต้องเข้าใจ ยังไม่ต้องหายโกรธก็ได้ แต่ที่อยากให้รู้ไว้แน่ๆ คือไม่มีทางที่คนอื่นจะมาสำคัญมากกว่ามึงได้ กูกับแซนด์เป็นแค่เพื่อนกัน....มันแค่เท่านั้นจริงๆ "

"ฮืออ.อ.อ.....พี่สยาม....ฮึกกกก...."

ครืดดดด....ดดด

ผมรับรู้ได้ถึงโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ในกระเป๋า พี่สยามล้วงขึ้นมาก่อนจะกดรับสาย "ขอเวลาอีกแปปนึงได้ไหมแซนด์.....ไม่ไหวแล้วงั้นหรอ"

แซนด์อีกแล้ว

พอได้ยินแบบนั้นผมก็ลดมือที่กอดพี่สยามลงก่อนจะพยายามข่มน้ำตา ฟังจากบทสนทนาที่ทั้งคู่คุยกันคือพี่สยามมันต้องไปแล้ว ผมไม่รู้ว่ามันจะไปไหน กลัวว่าถามไปมันจะไม่บอกเพราะมันเป็นคนพูดเองว่ามันคือสิ่งที่ไม่สามารถบอกได้ว่ามันคือเรื่องอะไร สิ่งเดียวที่รับรู้ในตอนนี้ก็คือ....

ต้องปล่อยให้มันไป

"ไปเถอะ.....ไม่เป็นไร"

"ปอง...."

"เค้ารอมึงอยู่....ไปสิ"

"โอเคแซนด์ เดี๋ยวเรารีบไป" มือเรียวกดวางสายก่อนจะเกลี่ยแก้มผมเบาๆ "เดี๋ยวกูไลน์หา"

"อืม...." พอผมรับคำ พี่สยามก็เดินออกไปจากห้องทันที น้ำตาที่ถูกเช็ดจนแห้งไปในตอนแรกมันก็ไหลออกมาอีกครั้ง

ฮึกก.ก.ก...ไม่อยากเป็นแบบนี้เลย

ผมนั่งลงกับพื้นก่อนจะกอดเข่าตัวเองเอาไว้แล้วปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาอยู่อย่างนั้น ความรู้สึกเจ็บปวดนี่มันคืออะไรกัน ผมไม่ได้อยากให้พี่สยามมันไปหรอกแต่ไม่รู้ว่าถ้าขอให้มันอยู่มันจะอยู่ไหม ไม่กล้าเอาตัวเองไปเทียบกับแฟนเก่ามันเลยสักนิด ถึงมันจะพูดออกมาเองว่าผมคือคนที่สำคัญสำหรับที่สุด แต่ดูจากการกระทำมันก็ชัดเจนแล้วป้ะวะ

ผมร้องไห้อยู่ตรงหน้ามันแท้ๆ

ยังสู้โทรศัพท์สายเดียวที่โทรเข้ามาไม่ได้เลย

ถ้าพี่สยามยืนยันว่าจะไม่ไป อีกฝ่ายจะทำอะไรได้จริงไหม แต่มันเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ ผมรู้ว่าเดี๋ยวตัวเองก็จะต้องผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้ แต่มันก็คงไม่ได้ง่ายขนาดนั้น แค่จะห้ามน้ำตาตัวเองไม่ให้ไหลผมยังทำไม่ได้เลย

อ่อนแอไม่สมเป็นสมปองสักนิด

"ฮึกกก.ก.....ความรักมันเจ็บปวดจังเลยพ่อ"

ผมควรทำยังไงต่อไปดี





เกือบเที่ยงคืนแล้วครับ

พี่สยามยังไม่กลับมา

มีแค่ผมที่อยู่คนเดียวในห้อง

หลายชั่วโมงแล้วที่พี่สยามออกไป หลายชั่วโมงที่ผมนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงนิ่งๆ เพื่อรอให้ใครอีกคนกลับมา เจ้าตัวบอกว่าจะไลน์มาหาแต่จนถึงป่านนี้ก็ยังไม่มีแม้แต่การแจ้งเตือนเดียว ผมทำได้แค่นั่งจับโทรศัพท์ไว้แบบนี้ เปิดเข้าไปดูซ้ำๆ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีข้อความส่งมาหา

ตลกตัวเองที่เป็นแบบนี้จริงๆ

ตื้อดึ่ง

ผมรีบกดเข้าไปดูไลน์ทันทีที่เสียงแจ้งเตือนดัง ประโยคที่ถูกส่งมาจากพี่สยามมันทำให้น้ำตาที่แห้งไปแล้วไหลออกมาอีกรอบอย่างควบคุมไม่ได้

สยาม : คืนนี้กูคงไม่ได้กลับไปที่หอนะ ดูแลตัวเองดีดีด้วย ฝันดีครับ

"ฮืออ.อ.อ....เห็นไหมปอง ว่าที่รออยู่มันเสียเวลาน่ะ" ผมปล่อยโฮออกมาอย่างหมดสภาพ ทำไมจะต้องมาเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับชีวิตผมด้วย

ไม่เห็นจะเข้าใจเลย

ผมกดเข้าไปตอบไลน์พี่สยามทั้งน้ำตา มันเป็นความรู้สึกที่ไม่อยากจะยอมแต่ก็ต้องยอมเพราะมันทำอะไรไม่ได้ ฮึกก.ก.ก....คืนนี้ผมต้องอยู่คนเดียวสินะ ส่วนพี่สยามก็อยู่กับแซนด์

"ฮืออออ.อ..อ.อ....พี่สยาม....ฮือออ.อ.อ......"



สมปอง : ฝันดีครับ :)




[บันทึกพิเศษ : สยาม]



ความรู้สึกนี้มันคืออะไรวะ

แย่จริงๆ

ผมมองไลน์ที่น้องส่งมาให้ อีโมจิแบบนี้สมปองไม่เคยใช้ บ่งบอกได้เลยว่าน้องกำลังไม่โอเค เอาจริงๆ ก็ไม่โอเคตั้งแต่เมื่อบ่ายที่คุยกันแล้ว ตอนนี้ผมควรจะอยู่ข้างน้องด้วยซ้ำแต่ว่ามันก็เป็นเหตุจำเป็นที่ทำให้ทิ้งแซนด์ไปไม่ได้เหมือนกัน จะให้ไปอยู่กันก็ไม่ได้อีก

บัดซบชะมัด

คำพูดที่แซนด์บอกผมเรื่องโกหกน้องแล่นเข้ามาในหัวเลยอะ ปองรู้ความจริงทุกอย่างเพียงแต่ไม่ยอมพูดออกมา ผมเองก็ไม่นึกว่าน้องจะรู้ หลายวันมานี้สังเกตได้เลยแหละว่าอาการของน้องเปลี่ยนไป แต่ผมไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องนี้ไง ความจริงผมกะไม่ถามน้องด้วยนะว่าทำไมน้องถึงแปลกๆ ไป ถ้าผมไม่ไปได้ยินว่ามีเด็กอุตสาหการจะแย่งน้องไปจากผม

แม่ง....มีเรื่องกันเลยวันนี้

ผมโมโหมากอะตอนที่ได้ยินแล้วแบบช่วงนี้น้องทำตัวแปลกๆ ด้วยไง ก็เลยหึงมาก แล้วก็ดันมีเรื่องแซนด์เข้ามาโถมอีก ผมเลยหงุดหงิดมากจนไปทำตัวบัดซบใส่ปองซะได้ ตัวน้องเองก็คงทนไม่ไหวจนระเบิดใส่ผมเหมือนกัน ตั้งแต่รู้จักกันมาเหมือนว่าวันนี้จะเป็นวันที่ทะเลาะกันหนักที่สุดเลยครับ

ผมทำให้คนที่รักผมเสียใจมากๆ ด้วย

แย่จริงๆ เลยว่ะสยาม

ผมวางโทรศัพท์ก่อนจะหันมองคนที่นั่งเหม่ออยู่บนเตียงคนไข้ ตอนนี้ผมอยู่โรงพยาบาลครับ  คือเมื่อตอนที่ผมกำลังมีเรื่องกับพวกเด็กอุตสาหการ แซนด์มันโทรมาบอกว่าแล้วบอกว่าถูกใครก็ไม่รู้ไล่กระทืบ อยู่แถวๆ มอนี่แหละ พอได้ยินแบบนั้นผมก็เลยรีบไปช่วย แต่มันช้าไป แซนด์โดนกระทืบยับเลย หัวแตกปากแตก มีรอยช้ำไปทั้งตัว

เกือบตายแล้วแหละเอาจริงๆ

ผมไปช่วยแซนด์แล้วก็ได้รอยช้ำที่หน้ามานิดหน่อย ไอ้พวกที่มากระทืบนั่นผมมารู้ที่หลังว่าเป็นคนที่ถูกทางบ้านพี่เยียร์จ้างมา ผมว่าตัวพี่เขาอะไม่รู้เรื่องหรอก คนบงการน่าจะเป็นพ่อเขามากกว่า สภาพแซนด์มันแย่ทั้งร่างกายทั้งจิตใจ ตอนที่ผมเข้าไปหาปองที่หอ แซนด์ก็รออย่างหมดสภาพอยู่ที่รถนะ จนถึงตอนที่ผมเคลียร์กับน้องอยู่มันก็โทรมาบอกว่าไม่ไหวแล้ว

ลงมาอีกทีคือกระอักเลือดแล้ว

คืออาการมันหนักมากจริงๆ

ครอบครัวของแซนด์ไม่มีใครอยู่ที่ประเทศไทยด้วย มีแค่เซนท์ที่เป็นน้องชาย ผมโทรไปบอกแล้วแหละแต่มันดันเป็นช่วงที่น้องไปค่ายอาสากับที่โรงเรียน จะกลับมาก็วันมะรืน เพื่อนๆ เองก็ไม่มีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เหมือนกับชีวิตมันมีแค่ผมนี่แหละ ไม่รู้ว่าพี่เยียร์เขาจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับแฟนตัวเองไหม ผมคงต้องทำอะไรสักอย่าง อย่างน้อยพี่เยียร์เขาควรจะได้รับรู้ในสิ่งที่คนตรงหน้ากำลังเจอ ผมอยากอธิบายเรื่องพวกนี้ให้ปองฟังนะแต่ว่าอาจจะต้องรอให้แซนด์หายก่อน อย่างน้อยจะได้เข้าไปหาน้องด้วยกัน สงสัยอะไรยังไงก็จะได้ถามเลย

แบบนั้นก็น่าเคลียร์ดี

"ไม่กลับไปหาน้องหรอ"

"คงไม่ เดี๋ยวแซนด์หน้ามืดกระโดดตึกโรง'บาลเราจะทำยังไงล่ะ"

"ก็ไปงานศพเราไง ตั้งโลงศพไว้ในโบสถ์ ขอกุหลาบขาวรอบๆ ก็จะดีมาก"

"ถ้าเป็นแบบนั้นพี่เยียร์คงเสียใจแย่"

ริมฝีปากบางยกยิ้ม "เค้าอาจจะดีใจก็ได้"

"อย่าคิดแบบนั้นสิ"

"สยามคิดดูสิ เรายอมกลับมาไทยเพื่อยอมรับในการตัดสินใจทุกอย่างของเค้า ของครอบครัวเค้า เราไม่ได้เรียกร้องอะไรเลยสักอย่างเพราะเรารู้ว่าเราไม่มีทางสู้กับคนที่ครอบครัวของเค้าเลือกได้เลย เรายอมกลับมาอยู่คนเดียว กลับมาซ่อมใจตัวเองที่นี่ ทิ้งอนาคตดีดี แต่...." แซนด์หันมายิ้มบางๆ ให้ผมทั้งน้ำตา "เรากลับมาโดนทำร้ายแบบนี้ ฮึก....ใจเราพังไม่พอหรอสยาม เราต้องตายเลยรึเปล่าพวกเค้าถึงจะพอใจ ฮึกกก.ก...เค้าต้องการอะไรจากเราอีก "

"ใจเย็นๆ ก่อนนะแซนด์" ผมยกมือแตะไหล่เจ้าตัว "ทุกอย่างมันต้องดีขึ้น เชื่อเราสิ"

"ฮึกก.ก....เราไม่ได้อยากเป็นภาระให้ใคร ทำไมเราต้องโดนทำร้ายด้วย....ฮึก...คนพวกนั้นใจร้ายมาก ใจร้ายเกินไปแล้ว"

"ใจเย็นๆ นะ พักก่อนแซนด์" ผมจับผ้าห่มขึ้นห่มให้คนที่นอนร้องไห้อยู่ เห็นแบบนี้ก็สงสารเหมือนกันว่ะ แล้วก็ปวดหัวที่ตัวเองต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย

เรื่องของแซนด์ก็ปวดจิตเรื่องของตัวเองก็ปวดใจ แล้วปัญหานี่ถาโถมเข้ามาตอนก่อนจะสอบมิดเทอมด้วยนะ ไหนจะเรื่องงานคณะอีก แม่งโคตรเหนื่อยเลย ตอนนี้ในใจได้แต่หวังให้เรื่องทุกอย่างมันผ่านไปได้ด้วยดี พรุ่งนี้ผมต้องรีบกลับไปหาน้องด้วย ไปเรียนอีก แค่คิดต้องทำโน่นทำนี่ก็ประสาทจะแดก

ป่านนี้ปองจะหลับรึยังนะ

แต่ผมคงนอนไม่หลับแน่ๆ

จิ๊....ผ่านช่วงนี้ไปสักทีเถอะว่ะ



[จบบันทึกพิเศษ : สยาม]













TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งหยัมปองพร้อมกับแจ้งข่าวร้าย ข่าวร้ายที่ว่าก็คือน้องโน้ตบุ๊คได้จากชาลไปอีกรอบแล้วค่ะ คือกำลังแต่งนิยายอยู่นี่แหละแต่ว่าอยู่ดีดีก็ค้างแล้วก็ขึ้นเป็นภาพสั่นแล้วก็ดับไปเลย ปิดเปิดแล้วก็เป็นเหมือนเดิม ที่มาส่งนิยายช้าก็เพราะว่าโน้ตบุ๊คมีปัญหาแล้วชาลต้องแต่งในโทรศัพท์ต่อนี่ล่ะ ชีวิตจะเข้าสู่ช่วงลำบากอีกรอบแล้ว บี๋ก็ทำใจไปพร้อมกับชาลนะคะ

บทนี้ก็เจ็บปวดไปตามๆ กันนะ เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อต้องรอติดตาม จะหน่วงจะดราม่าจะหนึบหนับแค่ไหนก็ต้องรออ่าน ทีมใครก็กอดกันไว้ให้แน่นๆ นะ

ถ้าชอบก็กดไลค์ คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ ติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis นะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 43 : 3/6/2018 ] หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 03-06-2018 21:33:32
……


เช้ากลับมาที่ห้องพี่สยามจะยังเจอน้องปองอยู่ไหม

น้องปองจะอยู่รอต่อไปอีกหรือเปล่า

สงสารแซนต์นะ ก้อให้บอกหยำปองไปตรงๆก้อแล้ว

พี่สยามก้อเก็บอมพะนำไม่พูดไม่บอก

น้องปองเราใจดีออก  ถ้ารู้เรื่องทั้งหมด คงไม่หึง ไม่หวง ไม่หงิก ไม่งอ อย่างที่พี่สยามว่ามาหรอกนะ

เป็นแบบนี้ ต่างก้อกินมาม่าเป็นอาหารหลักกันไป

……


 :z10:  :z10:  :z10:  :z10:  :z10:  :z10:



หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 43 : 3/6/2018 ] หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 03-06-2018 22:14:06
โหดร้ายมากกก สงสารหยัมปองงง  สงสารสยามมม. สยามต้องแยกแยะนะจ๊ะ ที่จริงเรื่องนี้ต้องให้หยัมปิงรับรู้ๆๆตด้วยแล้วแอปปี้ เชื่อพี่ พี่เรียนมา 555
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 43 : 3/6/2018 ] หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-06-2018 22:22:48
 :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 43 : 3/6/2018 ] หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 03-06-2018 22:29:50
หน่วงหน่อยๆ ยังไม่ตาย (ฮ่าาาา) คุณชาลยังใจดีให้เราได้รู้ว่าทางฝั่งพี่สยามมีปัญหาอะไร ขอบคุณในความเมตตานี้ของคุณชาลนะคะ (กราบแนบอก)

เอาใจช่วยทั้งสามคนเลยนะ ทั้งลูก พี่สยามแล้วก็แซนด์ด้วย ขอให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี เราเชื่อว่าทุกอย่างจะกลับมาดีแน่นอน ส่วนตอนนี้ก็กอดคอกันไว้ เตรียมผ้าเช็ดหน้าไว้เยอะๆ คอยซับน้ำตาให้ลูกและตัวเอง (ฮืออออ)

พักผ่อนเยอะๆ นะคะคุณชาล ดูแลสุขภาพตัวเองด้วย อย่าโหมงานหนัก นิยายเรารอได้เสมอ เป็นห่วงเด้อออออออ :กอด1:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 43 : 3/6/2018 ] หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 03-06-2018 23:21:05
ไม่เอ่ยปาก บอกกรู จะรู้ไหม
ไม่สงสาร หัวใจ คนร้องหา
ไม่เป็นห่วง คนนี้ ลืมเวลา
ไม่รักแล้ว บอกมา อย่าฆ่ากัน

การกระทำ กับคำพูด ไม่สอดคล้อง
ปากบอกว่า รักแค่น้อง ไม่เปลี่ยนผัน
แต่กลับเลือก ทิ้งกันไป ในเร็วพลัน
จะให้เชื่อ อะไรกัน มันความจริง

สงสารปอง
แล้วที่หยัมเล่าอะไรมาตอนท้ายอ่ะ..น้องจะรู้เรื่องด้วยไหม
ก็รู้อยู่คนเดียว แหมๆๆๆๆ ทำเป็นเครียด..จริงดิ

คนรักกัน..เค้าไม่ทำกันอย่างนี้หรอกนะพี่หยัม
ปกติแค่พยายามจะไม่ให้คนรักไม่ไว้ใจกัน ก็เหนื่อยจะแย่แล้ว
แต่นี่พี่หยัมกลับสร้างความระแวงขึ้นซะเอง
แล้วที่จะให้น้องปองไม่คิดมาก ต้องเข้าใจอ่ะ ต้องเข้าใจอะไรเหรอ

หึหึ..รู้ไว้ซะ พี่หยัมเมิงอ่ะเป็นคนรักที่ห่วยแตก
ห่วยแตก มากกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 43 : 3/6/2018 ] หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 04-06-2018 00:44:24
พี่หยามบอกน้องปองไปเลย แลวพาน้องไปรู้จักกับแซนด์ด้วยจะดีมาก ๆ เลยนะ จะได้เคลียร์เรื่องนี้ให้จบ ๆ ไป  :hao3:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 43 : 3/6/2018 ] หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 04-06-2018 11:21:11
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 43 : 3/6/2018 ] หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 07-06-2018 15:53:03
ตามต่อ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 44 : 9/6/2018 ] หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 09-06-2018 01:38:07
บทที่ 44 ความจริงที่ได้รับรู้


เคยตื่นมาแล้วเห็นโลกเป็นสีเทาไหมครับ

นั่นแปลว่าคุณกำลังจะตาบอดสีแล้วล่ะ

ผิดประเด็น

เชื่อไหมว่า 3 วันมานี้โลกของผมมันหม่นไปหมดเลย มันเทา มันอึมครึม ขนาดต้นไม้ที่เป็นสีเขียวผมยังมองว่ามันเป็นสีเขียวหม่นเลย ขนาดผู้หญิงสวยๆ หน้าขาวๆ ผมยังมองว่าเขาหน้าเทาเลยอะ บัดซบป้ะล่ะ ไม่รู้เลยครับว่าเมื่อไหร่โลกของผมจะกลับมาสีสันสดใสเหมือนเดิม เฮ้อ….เกิดเป็นสมปองนี่ชีวิตมันต้องขนาดนี้ไหมอะ

เศร้าว่ะ

น้ำตาจะไหล

ผมนั่งเป็นซากอยู่หน้าตึกวิศวะฯ สภาวะจิตใจห่อเหี่ยวมาก รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเลยว่ะ คือปกติแล้วผมไม่ใช่คนที่จะมานั่งซึมแบบนี้ไง ผมต้องเป็นสมปองคนคิ้วท์ที่ติ๊งต๊องแห่งโยธา แต่ตอนนี้ผมกลายเป็นสมปองที่โศกา เพื่อนฝูงนี่พากันเป็นห่วงกลัวผมจะกระโดดตึกตายเพราะช้ำรักจากพี่สยาม อา….พูดถึงพี่สยาม

ผมไม่เจอมันมา 3 วันละ

ไม่รู้ว่าอยู่ไหน

วันที่มันไปหาแซนด์แล้วไม่กลับมานอนที่หอ ยอมรับเลยว่าคืนนั้นมันแย่มาก ผมร้องไห้จนหลับไปเลยแหละ รู้สึกตัวอีกทีคือพี่สยามกลับมาที่หอตอนเช้า เราสองคนก็คุยกันนิดหน่อยก่อนที่มันจะบอกผมว่ามีเรื่องต้องจัดการเกี่ยวกับแซนด์นั่นแหละ มันจะไม่กลับหอสัก 3 วัน ซึ่งผมปวดใจมากตอนที่ได้ยินแบบนั้น อยากจะกระชากคอเสื้อมันมาถามว่าทำไมต้องทำถึงขนาดนั้นด้วยวะ แต่สุดท้ายแล้วผมก็ทำได้แค่....พยักหน้ารับรู้

ดูกระจอกอะ

ผมโกรธมันนะ น้อยใจ ไม่เข้าใจ คือความรู้สึกทุกอย่างมันสุมอยู่ในอก ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่พี่สยามจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้ผมฟัง ไม่รู้ว่ามันจะปล่อยให้ผมจมกับความทรมานนี้ไปอีกนานแค่ไหน มันรู้สึกแย่นะแต่แบบก็ต้องอดทนอยู่ดี  ผมคิดนะว่าเออนี่แหละอุปสรรคความรัก ถ้าผ่านช่วงนี้ไปได้ก็จะแข็งแกร่งขึ้นนะ

ไม่ก็ตายไปเลย

หลายวันมานี้ผมมีเพื่อนๆ คอยปลอบใจอยู่นะ มันก็บอกว่าให้อดทนแหละ ถ้าถึงจุดที่มันทนไม่ไหวจริงๆ ก็ให้เดินออกมา ผมเสียใจกับสิ่งที่พี่สยามทำแต่ผมก็รักมันอะ ตอนที่มันดาวน์สุดผมคิดด้วยนะว่าเลิกดีไหม แต่เหมือนความรู้สึกดีดีที่มีให้กันมาตลอดมันก็ดีมากเกินจนผมไม่อยากเสียมันไป อาจจะดูโง่ๆ นะแต่ว่า....

คนเราก็ต้องโง่เพราะความรักกันสักครั้งแหละ

ขึ้นอยู่กับว่าจะโง่นานมากแค่ไหน

"เฮ้อ...." พอผมถอนหายใจออกไป เพื่อนแยมที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็เงยหน้าขึ้นมามองทันที คือตอนนี้อยู่กับแยมสองคนครับ ส่วนลันตากับสีเทียนกลับหอไปก่อนแบ้วเพราะมีงานต้องทำ

"เป็นไรปอง"

"มันรู้สึกเหนื่อยๆ แย่ๆ กูไม่รู้เลยว่ะแยมว่าต้องเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน"

มือเรียวยกขึ้นมาแตะไหล่ผมเบาๆ "นี่ก็ 3 วันแล้วหนิ เดี๋ยวพี่สยามก็กลับมาแล้วแหละ"

"นี่ยังดีนะว่ามันไลน์มาหากูบ้าง ยังบอกว่าอยู่ที่ไหน แต่แบบมึงเข้าใจฟีลว่ามันเชื่อได้ไม่เต็มร้อยป้ะวะ มันเคยโกหกกูอะ กูไม่รู้เลยว่าสิ่งที่มันพูดนั่นจริงหรือไม่จริง"

บางครั้งอะ....การโกหกกันแค่ครั้งเดียวมันอาจจะสร้างความระแวงให้กันตลอดไปเลยก็ได้นะ คืออยากจะเชื่อใจแต่แม่งก็ไม่สุดอะ คือถ้าพี่สยามมันจะเอาความเชื่อใจทั้งหมดกลับคืนมาผมขอบอกได้เลยว่ายากมาก ความรู้สึกคนเราก็เหมือนกระดาษแหละ ถ้าทำมันยับแล้ว ต่อให้พยายามรีดให้เรียบเท่าไหร่มันก็ไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนตอนแรกหรอก

อันนี้จริงจังเลยนะครับ

"มึงใจเย็นก่อนนะ"

"กูใจเย็นจะตาย ถ้ากูใจร้อนนะ....กูเลิกกับมันละ" ถ้าผมไม่รักมันผมจะอดทนแบบนี้ทำไมจริงไหม พี่สยามมันน่าจะได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่ผมเผชิญอยู่ตอนนี้บ้างนะ

จะได้เข้าใจว่าความเจ็บปวดมันเป็นยังไง

แม่งโซแซดเลยว่ะ

ครืดดด....ครืดดด

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูรายชื่อของคนที่โทรมา เจ้าของเบอร์คือคนที่ผมนั่งคิดถึงอยู่ตลอดเวลา นึกว่าวันนี้มันจะไม่โทรมาแล้วซะอีก สงสัยเจียดเวลามาได้แล้วมั้ง เนี่ยะ คิดอะไรที่เสียดแทงใจตัวเองเก่ง

"ฮัลโหล...."

(ทำไรอยู่)

"ไม่ได้ทำอะไร นั่งนิ่งๆ อยู่กับแยม"

(อยู่ที่มอหรอ)

"อืม"

(ไม่กลับห้องอะ)

ห้องที่ไม่มีมึงอยู่มันคงน่าอยู่มากมั้ง

"เดี๋ยวกลับ มึงเถอะเมื่อไหร่จะกลับ นี่ 3 วันแล้วนะ หรือจะผิดคำพูดที่ให้ไว้กับกู" ผมเอ่ยอย่างตัดพ้อ นี่ถ้าวันนี้ผมไม่ได้เห็นหน้ามันนะ

ผมจะจัดการขั้นเด็ดขาด

(เนี่ยะ เดี๋ยวเย็นนี้ก็กลับแล้ว ไม่ผิดคำพูดหรอก)

"แล้วนี่อยู่ไหน"

(อยู่กับแซนด์)

"กูถามว่าอยู่ไหน" ไม่ได้ถามว่าอยู่กับใครสักหน่อย สมองมึงเข้าใจการสื่อสารไหมเนี่ยะ

(อยู่....ครับๆ ทางนี้เลยครับคุณพยาบาล เออปองแค่นี้ก่อนนะ)

"พี่สยาม....จิ๊ อะไรของแม่งวะ" ผมสบถออกมาอย่างฉุนเฉียว แบบนี้ก็ไม่ต้องโทรมาหากูหรอก แม่ง....

หงุดหงิดชิบหาย

"พี่สยามโทรมาหรอ"

"เออ แม่งกูถามยังไม่ทันจบ ตัดสายไปอีกละ"

"ไม่โทรกลับอะ"

"มึงคิดว่ามันจะรับสายกูหรอ มึงเชื่อป้ะแยมว่ากูแฟนมันใช่ป้ะ แต่กูสู้อะไรแซนด์ไม่ได้เลย" ใช่สิ ผมมาทีหลังไง มันจะไปสู้คนที่มาก่อนได้ยังไง

มันจะไปสู้กับคนที่เป็นครั้งแรกของทุกอย่างในชีวิตพี่สยามได้ยังไง

หึ้ยย.ย....ขยี้เก่งจริง

เก่งกว่าอะไรทั้งหมดเลยยยยย

ผมมองหน้าจอโทรศัพท์ที่เป็นรูปของพี่สยามก็รู้สึกแย่ยังไงไม่รู้ว่ะ เข้าใจความรู้สึกของคนที่ไม่รู้อะไรเลยไหมครับ ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ต้องทนอยู่กับความสงสัย ต้องคิดมาก คิดไปเอง เป็นบ้าเป็นบอกับสิ่งที่ตัวเองไม่รู้ ผมอยากเลิกคิดนะ พยายามหาอย่างอื่นทำก็แล้ว อ่านหนังสือก็แล้วแต่มันก็ยังคิดอยู่ดี พรุ่งนี้ผมจะสอบมิดเทอมแล้วด้วยแล้วดูสภาพผมตอนนี้สิ

ถ้าพ่อรู้....พ่อต้องโกรธผมแน่เลยว่ะ

ลูกขอโต๊ดเน้อครับป้อ

ขอโต๊ดที่แย้ะตั๋วขนาดนี้....ขอโต๊ดเน้อ

"กูรู้นะว่ามึงหงุดหงิด แต่กูก็คงบอกได้แค่ว่าให้มึงใจเย็นๆ ไว้ ยังไงวันนี้ก็คงได้คุยกัน"

"กลัวจะทะเลาะกันอีกน่ะสิ" ถ้าหนักๆ เข้าเดี๋ยวแม่งก็หายไปอีก แต่ถ้าเป็นแบบนั้นนี่ผมคงเลิกเลยอะ คนเป็นแฟนกันมันไม่ควรจะเป็นแบบนั้นไง

จริงไหมล่ะ

"ก็พยายามใช้เหตุผลคุยกันดีดีก่อน ถ้าคุยแล้วไม่โอเคก็โทรมาหากูได้"

ผมพยักหน้ารับเบาๆ "ขอบใจนะแยม"

"ไม่เป็นไร เออจะว่าไป....มึงยังไม่อยากกลับห้องใช่ไหม งั้นไปที่ๆ นึงเป็นเพื่อนกูหน่อย"

"ที่ไหนวะ"

"โรง'บาลอะ คือพี่นมปั่นเค้าป่วยแล้วนอนอยู่โรง'บาล กูเลยกะว่าจะไปเยี่ยมเค้าสักหน่อย"

"เออ เอาดิ ไปเลยป้ะล่ะ"

"เค งั้นไปกัน" ว่าแล้วเพื่อนแยมก็ลุกขึ้นก่อนจะเดินนำผมไปทันที จะว่าไปก็ดีเหมือนกันนะถ้ากลับไปที่ห้องตอนนี้ ผมอาจจะต้องเป็นสมปองคนดราม่าอีกแน่ๆ

ผมกลายเป็นคนที่นอนน้อยมากๆ กินน้อยมากๆ มันเป็น 3 วันที่โทรมเป็นซากเลยแหละ เรื่องนี้พี่สยามต้องรับผิดชอบ แต่ว่ามันคงจะมารับผิดชอบตอนนี้ไม่ได้เพราะมันติดรับผิดชอบชีวิตแซนด์อยู่

โว้ยยยย....ขยี้เก่งอีกแล้ว

บัดซบ!!!!





โรงพยาบาล H

ผมเดินตามแยมเข้ามาในบริเวณโรงพยาบาล ตอนนี้เกือบ 4 โมงเย็นแล้วครับ ก่อนจะมานี่ก็แวะไปซื้อขนมนมเนยมาฝากพี่เขาด้วย แยมเล่าให้ผมฟังว่าความสัมพันธ์ระหว่างมันกับพี่นมปั่นนั้นพัฒนาขึ้นมานิดนึง นิดนึงที่ว่านี่คือมันได้เข้าไปนอนที่หอเขาแล้วอะ คือแบบมึงใช้วิชามารป้ะเนี่ย ได้ข่าวจากมัว่าพี่เขาเลิกกับแฟนที่เป็นผู้หญิงแล้วด้วย

พี่แม่งเสร็จเพื่อนผมแน่นอน

แยมเดินนำผมขึ้นมายั่งชั้น 3 ของตึก สายตาผมไปสะดุดกับร่างสูงของใครบางคนที่เดินออกมาจากห้องคนไข้ห้องนึง เจ้าตัวสวมเสื้อช็อปสีน้ำเงินเข้ม ที่ข้อมือมีผ้าพันแผลพันเอาไว้ ผมมองได้แค่ด้านหลังเพราะมันเดินไปอีกทาง คนที่เดินออกมาจากห้องนั้นคือพี่สยามครับ ทำไมมันมาอยู่ที่นี่ได้ ไหนบอกว่าอยู่กับแซนด์

แซนด์อยู่โรง'บาลเหรอวะ

"นั่นพี่สยามหนิปอง"

"อืม....เดี๋ยวมึงไปเยี่ยมพี่นมปั่นก่อนนะ ขอกูทำอะไรสักอย่างก่อน"

"เอางั้นก็ได้ แล้วรีบตามมานะ" ว่าแล้วแยมมันก็เดินไป ส่วนผมก็เดินมาหยุดอยู่หน้าห้องที่พี่สยามเดินออกมา ความจริงก้ไม่อยากทำอะไรแบบนี้หรอกนะ

แต่มันคาใจว่ะ

ผมถือวิสาสะเปิดประตูห้องก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน สิ่งที่ผมเห็นคือร่างบางของคนที่ผมเคยเจอที่ตึกคณะแต่สภาพในตอนนี้มันกลับต่างจากตอนนั้นโดยสิ้นเชิง ใบหน้าหวานมีแต่รอยช้ำ หัวถูกพันด้วยผ้าพันแผล ตาก็ถูกปิดไว้ข้างนึง ริมฝีปากบางมีรอยช้ำน่ากลัว แขนข้างซ้ายใส่เฝือกไว้ คือไม่รู้ว่าโดนอะไรมาแต่มันคงหนักมาก

พี่สยามกลับไปหาผมไม่ได้เพราะแบบนี้เองสินะ

ผมเดินเข้ามาใกล้ๆ คนที่นอนหลับตาอยู่ ตอนนี้สิ่งที่ผมรู้แล้วแน่นอนคือพี่สยามกับแซนด์คงไม่ได้เอาเวลาไปกกกันหรอก จากสภาพแล้วก็คงทำอะไรแบบนั้นไม่ได้ ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกสงสารคนที่นอนอยู่ตรงหน้าก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่เขาคือสาเหตุที่ทำให้ผมกับพี่สยามมีปัญหากัน ไม่สิ ปัญหามันมาจากที่พี่สยามโกหกผมต่างหาก ถ้ามันบอกเรื่องราวทุกอย่างตั้งแต่แรกผมคงจะไม่คิดมากขนาดนี้

อาจจะงี่เง่าใส่บ้างแต่ทุกอย่างคงไม่แย่อะเอาจริงๆ

"สยามหรอ" เสียงอ่อนเอ่ยถามก่อนจะลืมตามอง "หืม....น้องปอง"

น้องปองงั้นเหรอ

"ระ....รู้จักผมหรอครับ"

"รู้สิ เราเป็นแฟนสยามหนิ สยามเล่าเรื่องเราให้พี่ฟังตลอดเลยนะ" คนที่นอนอยู่ยิ้มบางๆ ให้ ตอนนี้สมองผมกำลังประมวลสิ่งที่เพิ่งได้ยินเมื่อกี้อยู่

นี่ผมต้องเรียกเขาว่าพี่แซนด์สินะ

พี่แซนด์บอกว่าพี่สยามเล่าเรื่องผมให้ฟังตลอด ตลอดนี่หมายความว่าเวลาที่ผ่านมาสองคนนี้ก็ยังติดต่อกันอยู่น่ะสิ แต่เวลาที่ผมดูโทรศัพท์พี่สยามมันไม่เคยมีข้อความอะไรแบบนี้เหลือไว้ให้เห็นเลยนะ คอยตามลบเหรอวะ

"คือ....พี่คุยกับพี่สยามตลอดเลยหรอ"

"ไม่ได้คุยบ่อยขนาดนั้นหรอก ก็เดือนละครั้งได้ ตอนที่สยามเจอเรา เขาเล่าแต่เรื่องของเราทั้งนั้นเลยนะ แถมยังบอกพี่ด้วยว่าจะทำยังไงให้เรากลายไปเป็นของเขา....ยังเจ้าเล่ห์ไม่เคยเปลี่ยน" ร่างบางพยายามชันตัวจะลุกขึ้นมานั่ง พอเห็นแบบนั้นผมจึ้งเข้าไปช่วยประคอง

"ตอนนี้พี่สยามมันไปไหนหรอครับ ผมเห็นมันเดินออกไป"

"บอกว่าจะไปเก็บของที่คอนโดฯ น่ะ อีกสักพักก็คงกลับมา" เขาตอบก่อนจะคลี่ยิ้มให้ผม "นั่งก่อนสิ พี่มีเรื่องอยากคุยกับเรา....รีบไปไหนรึเปล่า"

ผมส่ายหัวทันที "ไม่รีบครับ" ผมหยิบเก้าอี้มานั่งลงข้างๆ เตียงคนไข้ จะว่าไปก้ดีเหมือนกันนะที่เขาชวนผมคุย นี่มีเรื่องสงสัยหลายอย่างที่อยากจะรู้ ผมเชื่อนะว่าเขาจะบอกทุกอย่างน่ะ

"ตอนนี้กำลังทะเลาะกับสยามอยู่สินะ"

"พี่รู้...."

"รู้สิ ดูหน้าสยามก็รู้แล้ว สาเหตุที่ทั้งสองคนทะเลาะกันมันเป็นเพราะพี่สินะ"

"คือ....มันเริ่มมาจากที่ผมเห็นว่าพี่ไปกินข้าวกัน แล้วผมไปถามพี่สยาม"

"แล้วสยามก็โกหกใช่ไหม" ร่างบางถอนหายใจออกมา "พี่ก็ถามเขาไปแล้วนะว่าโกหกไปน่ะจะดีหรอ เป็นไงล่ะ ผลก็ออกมาเป็นอย่างที่เห็น"

"ผมพูดตรงๆ เลยนะพี่ ผมโกรธมากที่มันโกหกผม หลายวันมานี้ผมคิดมากเรื่องพี่กับพี่สยามมากๆ คิดจนไม่เป็นอันทำอะไร พี่สยามไม่บอกอะไรผมเลยสักอย่าง ไม่บอกว่าจะมาหาพี่ทำไม คือทุกอย่างมัน....ผมจะอธิบายออกมายังไงดี"

มือเรียวยกมือแตะไหล่ผม "พี่เข้าใจเรานะ เป็นพี่....พี่ก็คงโกรธ พี่ว่าสยามอาจจะไม่อยากให้เราคิดมากก็เลยเลือกที่จะไม่บอก แต่เจ้าตัวคงไม่รู้ว่าได้เลือกวิธีที่ผิด เป็นแฟนกันแต่ว่าไม่รู้ในสิ่งที่แฟนตัวเองกำลังทำมันก็นะ แล้วก็ดันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับแฟนเก่ามันก็คงจะอดกังวลไม่ได้ แต่เราไม่ต้องห่วงนะ พี่กับสยามเป็นแค่เพื่อนกันจริงๆ "

"ผมอะพยายามจะไม่คิดมากหรอก ใจนึงก็อยากเชื่อใจพี่สยามแต่แบบบางการกระทำมันก็นะ" ผมยิ้มบางๆ ให้ "แต่พอได้ฟังพี่พูดก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยผมก็ไม่รับรู้ในสิ่งที่ผมสงสัยอยู่ แต่....ขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ"

"ว่ามาเลย"

"ทำไมพี่ถึงเป็นแบบนี้ล่ะ" อุบัติเหตุเหรอ หรือว่าอะไร ผมว่าเขาคงเจอมาหนักมาก ไม่งั้นสภาพคงไม่เป็นแบบนี้หรอก

"พี่โดนกระทืบน่ะ คือวันที่สยามไม่ได้กลับไปหาเรานั่นคือครั้งแรกที่พี่โดนรุมกระทืบ พี่ก็รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลแล้วคืนนั้นสยามเฝ้าพี่ใช่ไหม แต่ตอนเช้าเขาก็รีบกลับไปหาเรา ตอนที่พี่อยู่คนเดียวพวกที่มันกระทืบพี่ มันก็มาซ้ำจนแบบสภาพพี่ก็อย่างที่เห็นนี่แหละ"

เชี่ยยยย

กระทืบซ้ำในโรง'บาลเลยเนี่ยนะ

"ทำไมเค้าถึงต้องมาทำร้ายพี่อะ นี่มันหนักมากเลยนะ"

"พี่มีปัญหากับคนที่บ้านแฟนน่ะ คือว่าแฟนพี่เค้าโดนจับถุงคลุมชน แล้วเค้าก็ต้องยอมที่บ้านแต่เค้าก็มีพี่ไง" พี่แซนด์เอ่ยออกมาเสียงแผ่ว ดวงตาฉายแววเศร้าชัดเจน "ตอนแรกที่พี่ไปเรียนหมออยู่ต่างประเทศน่ะ พี่ก็ไปเจอผู้ชายคนนึง เค้าเป็นรุ่นพี่ในคณะแพทย์ฯ นั่นแหละ แล้วเราสองก็ศึกษาดูใจจนได้คบกัน คบกันเป็นปีเลยนะ แต่ว่าอยู่ดีดีเค้าก็ต้องไปแต่งงาน"

ผมยกมือแตะไหล่เจ้าตัวเบาๆ "ไม่เป็นไรนะพี่"

"พี่....เสียใจมากเลยน้องปอง พี่รักเค้าแต่แบบพี่ทำอะไรไม่ได้เลย พี่กลับมาไทยเพราะแบบนี้ สยามรู้เรื่องทุกอย่าง เป็นที่ปรึกษาพี่มาตลอดแถมยังช่วยกันวางแผนว่าจะทำยังไงให้แฟนพี่ไม่ต้องแต่งงาน แต่เหมือนโชคไม่เข้าข้างเลย จนตอนนี้พี่จนปัญญาที่เอาเค้าคืนมาแล้ว สภาพพี่ตอนนี้ขนาดเดินเองยังทำไมไม่ได้ มันแย่มากจริงๆ ครอบครัวของพี่ก็อยู่ต่างประเทศ เพื่อนๆ พี่ก็มีแค่สยามคนเดียว พี่ขอโทษนะปองที่ทำให้ปองไม่สบายใจในเรื่องของพี่....พี่ขอโทษ" มือเรียวยกขึ้นปาดน้ำตาที่คลอเบ้าอยู่ ผมว่าเขากำลังพยายามที่จะเข้มแข็งทั้งๆ ที่เจอเรื่องแย่ๆ มาแน่เลยว่ะ

เข้าใจความรู้สึกนี้เลย

ตอนนี้ผมเข้าใจทุกอย่างแล้ว เข้าใจว่าพี่แซนด์กลับมาประเทศไทยทำไม เข้าใจความรู้สึกแย่ๆ ที่เขาต้องเผชิญด้วย ไหนจะความรู้สึกผิดนั่นอีก คำขอโทษที่เขาบอกมานั่นทำให้ผมรับรู้ได้เลยว่าเจ้าตัวรู้สึกผิดจริงๆ ตัวผมเองตอนนี้ก็ไม่ถือโทษโกรธอะไรแล้วล่ะ ในเมื่อความจริงมันเป็นแบบนี้ผมก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องเก็บคิดเล็กคิดน้อยอีกแล้ว

แต่กับพี่สยามนี่ยังไงก็ต้องบ้องหูมัน

เนี่ยะ ถ้ามันเล่าให้ฟังตั้งแต่แรกเป็นฉากๆ แบบนี้ก็จบละ จะมามีความลับทำไมก็ไม่รู้ แถมยังโกหกด้วย เดี๋ยวผมจะเอาคืนบ้าง เอาให้ประสาทแดกกันไปข้าง คือความโกรธพี่สยามในตอนแรกมันลดลงมาเหลือเป็นความงอนแล้วครับ ผมต้องวางแผนอะไรสักอย่างเพื่อทำให้มันรู้สึกถึงความทุกข์ใจแบบที่ผมเจอบ้าง

มึงโดนแน่พี่สยาม

"ไม่เป็นไรนะพี่แซนด์ ผมเข้าใจทุกอย่าง เข้าใจทุกเหตุผล" ผมยิ้มบางๆ ให้เขา "พี่ต้องเข็มแข็งนะ"

"พี่จะพยายาม....เออ เราอาจจะสงสัยว่าทำไมสยามถึงไม่กลับไปเรา 3 วัน คืองี้นะ พี่มีน้องชายแต่ตอนนี้เค้าไปค่ายที่ต่างจังหวัด แล้วมันดันเกิดข้อผิดพลาดบางอย่างเลยทำให้ต้องเดินทางกลับช้ากว่าปกติ สยามกลัวว่าพี่จะโดนกระทืบอีกก็เลยคอยอยู่เฝ้าตลอดสลับกับพยาบาลที่จ้างมาบ้าง"

ผมพยักหน้ารับ "งี้นี่เอง....ผมเข้าใจละ ผมมีเรื่องอยากให้พี่แซนด์ช่วยหน่อย พี่ช่วยผมได้ไหม"

"ถ้าพี่ทำได้ล่ะก็นะ...."

"พี่ทำได้แน่ๆ " ผมยิ้มหวานให้เขาพลางนึกถึงแผนที่เพิ่งคิดได้แบบสดๆ ร้อนๆ

ในหัวผมตอนนี้มีแต่คำว่าเอาคืนพี่สยามไปหมดเลย คือมันต้องโดนจริงๆ อะถึงจะได้รู้และเข้าใจว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันไม่ดีขนาดไหน พอได้รู้เรื่องนี่ก็โล่งใจเหมือนกันนะ เดี๋ยวถ้าเยี่ยมพี่นมปั่นเสร็จผมกลับหอไปอ่านหนังสือดีกว่า ถ้าเจอพี่สยามผมจะทำนิ่งๆ ไปก่อน ดูซิว่ามันจะทำยังไง

ถึงทีของกูแล้วพี่สยาม

เตรียมใจไว้เลยนะมึง









TBC.

สวัสดีค่ะบี๋ที่รัก ชาลมาส่งหยัมปองแล้วนะ ฮือออ.อ.อ....โคตรง่วง TT คือแบบเพิ่งแต่งเสร็จสดๆ ยังไม่ได้แก้คำผิดหรืออะไรเลยนะ ไม่ไหวจริงๆ ตาพร่าตั้งแต่หน้า 3 แล้ว นี่ถือว่าหักดิบมาก ขอโทษด้วยที่มาช้านะคะ เดี๋ยวชาลจะไล่แก้ให้วันพรุ่งนี้นะ

คือสมองตอนนี้ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เดี๋ยวค่อยใส่ให้อ่านพรุ่งนี้นะ

ถ้าชอบก็กดไลค์ คอมเม้นต์ เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis นะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 44 : 9/6/2018 ] หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 09-06-2018 02:09:30
พี่หยัมงี่เง่าคนเดียว
งั้นก็สมควรจะโดนเอาคืน

น้องปองเอาคืนให้หนักๆเลย
อิพี่หยัมจะได้เข็ด เลิกงี่เง่าซะที
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 44 : 9/6/2018 ] หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 09-06-2018 02:48:57
เข้าสู่ช่วงเอาคืนจากสมปอง แค่คิดก็.....................  :haun5:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 44 : 9/6/2018 ] หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 09-06-2018 06:10:51
ฮือออ คุณชาล นุ้ยขอโทษที่เมื่อคืนบอกจะรอ ถึง01.40นุ้ยง่วงมากเลยหลับ (ฮ่าาาา)

เอาเลยๆ ลูก เอาคืนพี่สยามมัน เอาให้หนักๆ อย่าไปใจอ่อน ให้เขารู้ว่าเราก็เจ็บเพราะความไม่พูดของเขานะ ต้องให้พี่มันมาลองบ้าง

ตื่นเต้นอ่ะ อยากให้บทต่อไปมาไวไว อยากเห็นลูกเอาคืน อยากให้เอาคืนแบบเจ็บแสบ เอาให้สาสม(ไม่ได้แค้นพี่สยามเท่าไหร่แล้วก็ไม่ได้เข้าข้างลูกด้วย นี่กลางสุดแล้ว ฮ่าาาา)

ขอให้ลูกเอาคืนพี่สยามนานๆ นะ สักห้าวันเลย  :laugh:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 44 : 9/6/2018 ] หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-06-2018 10:59:23
พี่หยัม โดนปองเอาคืนแน่ ฮึ่ยยยย   :z6: :z6: :z6:

หยัม  ปอง   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 44 : 9/6/2018 ] หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 10-06-2018 01:14:58
จัดไปสมปอง ... :mc4:
ให้หยัมหึงงุ่นง่าน  แต่อย่าดราม่านะ  :-[
เอาแค่หงุดหงิดพอนะ แล้วรีบ ๆ ดีกันละ :mew1:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 44 : 9/6/2018 ] หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 10-06-2018 18:53:55
แอบร้ายนะ เธอออ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 44 : 9/6/2018 ] หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 12-06-2018 17:22:08
ถึงเวลาโดนทำโทษ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 45 : 15/6/2018 ] หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 15-06-2018 23:56:53
บทที่ 45 คำขอของสมปอง


การสอบมิดเทอมของนายสมปองนั้น

ผ่านไปด้วยดีครับ

หมายถึงเกรดเทอมนี้อะ D แน่นอน

ฮืออออออ..อ.อ....

ผมนั่งแซดอยู่บนเตียงคนเดียว ตอนนี้บ่าย 3 กว่าๆ ละ ขอบอกเลยว่าหลายวันมานี้ผมมีพรรคพวกใหม่ที่แทบจะมองตาก็รู้ใจแล้วครับ ซึ่งคนนั้นก็ไม่ใช่คนอื่นไกล พี่แซนด์ไง ตั้งแต่วันที่ผมบังเอิญไปเจอเขาที่โรงพยาบาลแล้วเราได้พูดคุยทำความรู้จักกันลับหลังพี่สยาม มันก็เกิดความสัมพันธ์อันดีงามระหว่างเราสองคนนะ เมื่อวานนี่ผมเอาปีโป้ไปเป็นของร่วมสาบานความเป็นพี่น้องกับพี่แซนด์เรียบร้อยแล้ว

ไงล่ะ

พี่สยามรู้นี่ช็อกตายแน่นอน

คือวางแผนสั่งสอนไอ้ผัวบ้าไว้แล้วด้วย แผนก็จะเริ่มวันนี้แหละครับ คือผมน่ะอยากดัดนิสัยและทดสอบอะไรบางอย่างกับพี่สยาม ผมคิดว่าสิ่งที่ผมกำลังจะทำนั้นมันอาจจะส่งผลดีในความสัมพันธ์ของผมกับพี่สยามในอนาคตด้วย ถ้ามันผ่านจุดนี้ไปได้นะ พี่แซนด์เองก็เป็นคนช่วยคิดแผนนี้ครึ่งนึง เจ้าตัวบอกมาว่าเวิร์คแน่นอน ซึ่ง.....

ผมเชื่อครับ

คือก็เป็นคนเชื่อคนง่ายอยู่แล้วอะนะ อีกอย่างคือถ้ามันไม่เป็นไปตามที่คิดก็เดี๋ยวด้นแผนหาทางแก้กันสดๆ ตอนนั้น ช่วงนี้พี่สยามก็ไปหาพี่แซนด์เหมือนเดิมนะ ผมก็ไปหาเหมือนกันแต่จะไปช่วงที่มันไม่อยู่อะ พี่แซนด์จะไลน์มาบอกผมตลอดว่าพี่สยามมันอยู่ด้วยไหม ผมจะไปได้ตอนไหนอะไรอย่างงี้ นี่คิดเหมือนกันนะว่าถ้ามันรู้ว่าผมแอบไปหาพี่แซนด์มันจะทำยังไง

จะโกรธรึเปล่า

แต่คิดไปคิดมามันไม่กล้าโกรธผมหรอกเพราะมันมีคดีติดตัวอยู่ หลายวันที่ผ่านมามันก็พยายามจะคุยกับผมนะ แต่เป็นผมเองที่เงียบใส่ซะมาก ทำเนียนอ่านหนังสือบ้างล่ะ หาโน่นนี่ทำบ้างล่ะ ผมว่าพี่สยามมันต้องรู้สึกอึดอัดใจบ้างแหละแต่ก็ไม่กล้าถามไม่กล้าพูด เชื่อไหมว่ามันเอาเรื่องที่ผมเงียบใส่ไปปรึกษาพี่แซนด์ด้วยนะว่าควรทำยังไง พอเป็นแบบนั้นพี่แซนด์ก็ปั่นให้น่ะสิ

ประสาทแดกแน่นอนอะบอกเลย

ใจนึงก็สงสารนะครับแต่ผมก็นึกถึงวันที่ตัวเองนอนร้องไห้อยู่ห้องคนเดียว มันก็คงแฟร์แล้วแหละ อีกอย่าง...ถ้ามันไม่เจอเรื่องแบบนี้กับตัวเองบ้าง มันก็ไม่รู้น่ะสิว่าผมต้องรู้สึกยังไง มันแย่มากนะช่วงเวลานั้นน่ะ ย้อนกลับไปคิดแล้วยังปวดใจอยู่เลย

มันต้องไม่เกิดขึ้นกับผมอีกสิ....เรื่องแบบนั้น

แค่ครั้งเดียวก็เกินพอ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ผมหันไปมองตามเสียงเคาะประตูก็พบกับร่างสูงที่เดินเข้ามาในห้อง สีหน้าดูอ่อนเพลีย นี่ถือว่าปกตินะเพราะหน้าแบบนี้ทุกวันตั้งแต่ที่มีปัญหากัน ผมรู้ว่าพี่สยามมันนอนไม่ค่อยหลับ เมื่อคืนก่อนผมทำเป็นแกล้งหลับ รู้สึกได้ถึงแรงหอมที่ข้างแก้ม รับรู้ถึงอ้อมแขนอุ่นๆ ที่แอบขยับเข้ามากอดผมด้วย ได้ยินมันบ่นอะไรงึมงำๆ สักอย่างด้วยนะแต่ว่าฟังไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่

แน่ล่ะ แม่งพึมพำอยู่กับซอกคอ

ใครมันจะไปได้ยิน

พี่สยามถอดเสื้อช็อปออกก่อนจะเหลือบมองผม "สอบเป็นยังไงบ้าง"

"....."

".....สมปอง"

"ก็ดี....." ผมบอกเสียงแผ่วก่อนจะทำเป็นเบือนหน้าหนีไปอีกทาง เดี๋ยวขอบิ๊วท์อารมณ์แปปนึงนะ ผมต้องทำให้เนียนที่สุดเพื่อไม่ให้พี่สยามจับได้

"งั้นหรอ" เจ้าตัวรับเสียงอ่อน "ของกูก็...."

"พี่สยาม"

"หืม....."

"กูว่า....เราห่างกันสักพักดีกว่า"

".....ปอง"

ผมหันไปมองมันนิ่งๆ "กูไม่สามารถทนรับสภาพที่เป็นอยู่แบบนี้ได้อีกแล้ว พอแล้ว"

"เรื่องทั้งหมดกู...."

"ไม่ต้องอธิบายเพราะกูไม่อยากฟัง....มึงมีเวลาอธิบายตั้งเท่าไหร่ แต่กูไม่เคยได้รับรู้อะไรสักอย่าง มึงไม่เข้าใจหรอกว่ากูต้องอดทนมากแค่ไหน" ผมปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาช้าๆ "กูรักมึงนะ....แต่กูทนไม่ไหวแล้วจริงๆ "

ผมยกมือปาดน้ำตาก่อนจะมองคนตรงหน้า สีหน้าของพี่สยามแสดงความเจ็บปวดออกมาชัดเจน ริมฝีปากบางก็เม้มเอาไว้เชิงว่าจะพูดออกมาไม่ได้ ผมว่าความรู้สึกข้างในมันคงย่ำแย่พอตัวเลยล่ะ แต่ก็นะ....

มันเป็นบทเรียนหนิ

"กู....รักมึงนะปอง"

ผมยกยิ้มให้ "กูรู้ แต่มึงต้องรู้ด้วยนะว่าแค่ความรักอย่างเดียวมันไม่มากพอที่จะทำให้ความสัมพันธ์ของคนสองคนมันไปต่อได้หรอก มึงเป็นคนทำให้ความเชื่อใจที่กูมีให้มันเสียไปหมดแค่เพราะมึงโกหกกูแค่ครั้งเดียว"

"....ขอโทษ"

"มึงพูดคำๆ นี้บ่อยเกิินไปแล้วพี่สยาม พูดจนกูรู้สึกว่ามันกลายเป็นคำธรรมดาๆ " ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ "กูว่ามึงเก็บคำพูดนี้ไว้ทำเป็นการกระทำเพื่อให้กูเห็นจะดีกว่า"

ร่างสูงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม มือเรียวยื่นมาจับมือผมไว้ "เราต้องห่างกันจริงๆ หรอ....ไม่ห่างได้ไหม"

"หึ....มึงเป็นคนที่ห่างออกไปจากกูเองนะ ตั้งแต่ที่แฟนเก่ามึงกลับมา"

"ปะ....ปอง" น้ำเสียงสั่นๆ นั่นพาลให้ใจยวบยาบเหมือนกันนะ แต่ไม่ได้โว้ย แผนต้องเป็นไปตามแผน จะมาใจอ่อนไม่ได้นะ

ใจแข็งเข้าไว้ปอง....ใจแข็งเข้าไว้

"ไว้เคลียร์คึวามรู้สึกของตัวเองได้เมื่อไหร่ค่อยว่ากัน หรือถ้ามันยังเคลียร์ไม่ได้...." ผมดึงมือตัวเองออกมา "ก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม"

"ไม่เอา"

"เคารพในการตัดสินใจของกูด้วย" ผมเอ่ยบอกอย่างจริงจัง "ตัวมึงเองก็น่าจะรู้ว่าเหตุผลมันเพราะอะไร"

"ครับ....เข้าใจแล้ว"

คนตรงหน้ายิ้มบางๆ ก่อนจะยกมือลูบหัวผมเบาๆ สัมผัสได้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังสั่นอยู่ เอาน่ะพี่สยาม อดทนหน่อยเถอะวะกูยังต้องอดทนเลย อีกอย่างถ้ามึงรักกูจริงอย่างที่มึงบอก เดี๋ยวเราก็ได้กลับมาอยู่ด้วยกันป้ะวะ ขอเวลาจัดการอะไรสักหน่อยเถอะ

"....พี่สยาม"

"ช่วงห่างกันก็ดูแลตัวเองดีดีนะ"

ทำเสียงเศร้าแบบนี้มัน....ขี้โกงหนิ

"มึงก็เหมือนกัน" ดูแลตัวเองดีดีและก็....ตามง้อกูด้วย

.....จะกลับไปรออยู่ที่บ้าน



[บันทึกพิเศษ : สยาม]



ความรู้สึกแย่ๆ พวกนี้คือสิ่งที่น้องทนรับมาตลอดเลยสินะ

ตอนนี้ผมเข้าใจละ....เข้าใจแจ่มแจ้งเลย

ผมนั่งทำหน้าสลดอยู่ข้างเตียงคนไข้ ใจมันโหวงไปหมดเลยอะ ครั้งที่เลิกกับแซนด์ผมไม่ได้รู้แบบนี้เลยนะ คงเพราะตอนนั้นเราจบกันไปได้ด้วยดีมั้ง แต่นี่แบบ....ผมกับปองไม่ได้เลิกกัน น้องไม่ได้บอกเลิกผม เจ้าตัวบอกว่ารักผมแต่แค่ขอให้เราห่างกันสักพัก

นึกถึงเพลงของหวายเลยว่ะ

ห่างกันสักพัก ห่างกันสักพักมันคงจะดีซะกว่า ไม่ได้ถือสา ไม่ได้ถือสากับคำที่เธอนั้นบอก ก็ฉันไม่เคยจะรู้หรอก ก็ฉันไม่เคยจะรู้หรอก ที่เธอบอกอย่างนั้น ที่เธอบอกอย่างนี้ที่จริงมันแปลว่าไง

โว้ยยยยย จะร้องไห้

"ไหวไหมเนีี่ยะ"

ผมส่ายหน้าทันที "ไม่ไหว ปวดใจไปหมด"

"เห็นไหมล่ะ ถ้าไม่เลือกที่จะโกหกตั้งแต่แรกก็ไม่เป็นแบบนี้หรอก" แซนด์บอกก่อนจะยื่นส้มที่ปอกเปลือกเสร็จแล้วมาให้ คือตอนนี้กินอะไรไม่ลงอะเอาจริงๆ

ตรอมใจไปหมด

"ไม่เอาอะ" ผมบอกปัดไป

"เอาน่ะสยาม" มือเรียวแตะไหล่ผมเบาๆ "แค่ห่างกันไม่ใช่หรอ ไม่ได้เลิกกันสักหน่อย"

"ถึงจะพูดอย่างนั้น....แต่ห่างมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับเลิกเลยนะ"

"อย่าคิดแบบนั้นสิ แล้วนี่สยามไม่ตื๊อน้องหน่อยหรอ"

"ตอนแรกก็จะไม่ยอมหรอกแต่น้องบอกว่าให้เคารพในการตัดสินใจของน้อง....เราก็เลย" เฮ้อ....คิดแล้วเจ็บช้ำชะมัด แต่จะดึงดันต่อไปมันก็คงไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น

"งี้นี่เอง ไม่เป็นไรนะสยาม....เดี๋ยวทุกอย่างมันก็ดีขึ้น"

"ก็หวังว่ามันจะเป็นแบบนั้น"

ได้แต่หวังเลย

สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้มันทำให้ผมรู้สึกผิดกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไปมากๆ เลย สมปองต้องเสียใจมากแค่ไหน ต้องร้องไห้มากเท่าไหร่ ผมก็มองข้ามส่วนนั้นมา คิดตื้นไปมากเลยว่ะ ผมไม่คิดว่าเรื่องทุกอย่างจะเป็นแบบนี้ไง จิ๊....ปวดหัวชะมัด

จะเอายังไงต่อดีวะเนี่ย

ผมจัดการเรื่องของแซนด์จะจบแล้วนะ ติดต่อพี่เยียร์ได้แล้วด้วยซึ่งเรื่องนี้ผมไม่ได้บอกแซนด์ พี่เขาบอกว่าเขาจัดการเรื่องครอบครัวเสร็จแล้วแต่ก็ไม่รู้ว่าจะจบสวยไหมนะ แต่ตัวเขาเองกำลังมาหาแซนด์นี่แหละ ไม่รู้ว่าจะโผล่มาเมื่อไหร่ แต่ใจผมอะอยากจะให้เขารีบมาไวไว มันจะได้จบๆ สักที

ผมจะได้ไปสารภาพบาปกับสมปอง

จะสารภาพจนหมดเปลือกเลย

หลายสิ่งที่น้องพูดให้ผมฟังมันก็จริงตามที่เขาว่าแหละ ผมเลือกวิธีที่จะทำให้น้องสบายใจผิดวิธีเอง เนี่ยะ เลือกผิดชีวิตเปลี่ยนไง เป็นไงล่ะสยาม มันโคตรใช่เลยนะที่สมปองบอกว่าการโกหกแค่ครั้งเดียวมันสามารถทำลายความเชื่อใจที่มีให้กันไปได้จนหมด คือมันแย่ ผมยอมรับเลยแหละว่าตัวเองแย่มากที่เลือกจะทำแบบนั้น

บางที....เป็นแบบนี้ก็อาจจะสมควรแล้ว

ผมทำร้ายความรู้สึกของน้องก่อน ถ้าจะโดนทำคืน....มันก็ไม่แปลกอะไร

ทำใจซะสยาม

"เราเอาใจช่วยสยามละกันนะ" แซนด์บอกก่อนจะยิ้มหวาน ตอนนี้พวกรอยช้ำที่หน้าจางลงไปเยอะแล้ว เดี๋ยวรอดูผลเอ็กซ์เรย์แขน ถ้าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงก็น่าจะได้กลับบ้านแล้วล่ะ

"ขอบใจนะ เออแซนด์ ถ้าเราง้อสมปองไม่สำเร็จอะ แบบ....น้องไม่ยอมคืนดีด้วย"

"ก็เลิกไง หาใหม่"

ผมทำหน้ามุ่ยใส่คนที่อยู่บนเตียงทันที "ไม่ได้ไหมล่ะ นี่รักปองมากอะ ยังไงก็ต้องทำให้น้องมาอยู่จุดเดิมที่เคยอยู่ด้วยกันให้ได้"

"ดี....มีความมุ่งมั่นดี สมแล้วที่เป็นเพื่อนของเรา"

"เอาใจช่วยด้วยละกัน"

"เอาใจช่วยเสมอ"

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ผมหันไปมองตามเสียงเคาะประตู ก็พบกับใครคนนึงที่เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนยืนมองคนที่อยู่บนเตียงคนไข้นิ่งๆ แววตาแฝงด้วยความรู้สึกหลายอย่าง คนโดนมองเองก็ไมมองอีกฝ่ายด้วยวายตาที่ไม่ต่างกัน

มาจนได้นะพี่เยียร์

.....มาช้าเลย

"พะ....พี่เยียร์" แซนด์มองร่างสูงอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง "พี่มาอยู่ตรงหน้าแซนด์แล้ว"

"ใช่ค่ะ พี่มาอยู่ตรงหน้าแซนด์แล้ว" ว่าแล้วพี่เขาก็เดินเข้าไปกอดคนรักของตัวเอง เห็นภาพแบบนี้แล้วผมนึกถึงวันที่ตัวเองเหนื่อยๆ แล้วไปอ้อนขอกอดสมปองได้เลย

แต่โมเม้นท์นั้นคงไม่มีไปสักพักนะ

เศร้าอีกละ

"พี่มาได้ยังไง แล้วครอบครัวพี่ล่ะ ไหนจะคู่หมั้น" แซนด์คลายกอดพลางรัวคำถามใส่พี่เยียร์เป็นชุด

มือเรียวของพี่เขาลูบหัวคนถามเบาๆ "พี่เหลือแค่แซนด์แล้วนะ"

"พี่เยียร์...."

"เดี๋ยวผมขอตัวก่อนนะครับ อีกสักพักเดี๋ยวมา" ว่าแล้วผมก็เดินออกมาจากห้อง ปล่อยให้ผัวเมียเขาคุยกันไปครับ ดูทรงแล้วเรื่องน่าจะยาว

จะว่าไปนี่ พี่เยียร์เขาก็ตายยากเหมือนกันนะ นึกถึงหน่อยก็โผล่มาละ นี่เป็นสัญญาณดีที่บอกว่าเรื่องของแซนด์ได้จบลงแล้วครับ พี่เขามาง้อขนาดนี้ก็ควรจบแหละ เดี๋ยวถ้าแซนด์มันดื้อไม่ยอมคืนดีกับเขานะ ผมจะทุบหัวมันเองกับมือเลย

เอาให้เดี้ยงเลยคอยดู

พอเห็นว่าพี่เยียร์มาตามง้อแซนด์แบบนี้ผมก็อยากไปสมปองบ้างอะ ห่างกันสักพักของน้องนี่ประมาณ 5 ชั่วโมงถือว่าห่างไหม ใจนึงผมก็อยากจะเคารพการตัดสินใจของน้อง แต่อีกใจนึงก็ไม่อยากห่างอะ แถมเรื่องทุกอย่างมันก็น่าจะจัดการเรียบร้อยวันนี้แล้วด้วย ใช่สิ น้องเป็นคนบอกเองว่าเคลียร์ให้จบทุกอย่างก่อนค่อยว่ากัน

นี่ไงเคลียร์แล้ว....แซนด์กลับสู่อ้อมอกพี่เยียร์แล้ว

เพราะงั้นสมปองก็ต้องกลัสู่อ้อมอกผม

โอเคงั้นจะคิดว่า 5 ชั่วโมงคือห่างแล้ว เพราะงั้น....

กลับหอไปง้อเมียดีกว่า





K2


ผมเดินขึ้นหอมาอย่างใจเย็น ในหัวก็คิดว่าควรจะใช้คำพูดยังไงดี จะเล่าเรื่องไหนให้ฟังก่อน แต่ก่อนจะเล่านี่ผมควรจะภาวนาให้เจ้าตัวยอมฟังในสิ่งที่จะเล่าเถอะ ถ้าขืนบอกว่าเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังแล้วน้องบอกกลับมาว่า ไม่อยากรู้ นี่ก็จะจบเลย

คิดแล้วโคตรแซด

ผมเดินมาหยุดที่หน้าห้องสมปองก่อนจะเอากุญแจไขเข้าไป คือในห้องมืดมาก ความมืดนี้บ่งบอกว่าเจ้าตัวไม่ได้อยู่ด้านในแน่นอน

หายไปไหนของเขา

"กระดาษอะไรวะ"

ผมเดินมาหยิบกระดาษที่ถูกวางทับไว้ที่ปลายเตียงดู ข้อความสั้นๆ นี่เป็นลายมือของสมปองครับผมจำได้ เนื้อความบนกระดาษเขียนไวเแค่ว่า....



'กลับบ้าน....'



บ้านนี่....บ้านที่เชียงใหม่งั้นเหรอ

แล้วจะกลับมาวันไหนวะเนี่ย

ผมทิ้งตัวลงนอนแผ่กลางเตียงก่อนจะคิดอะไรบางอย่างในหัว ผมอยากคุยกับสมปองวันนี้เลยอะ แต่น้องดันไปเชียงใหม่ ดูจากสภาวะอารมณ์ของน้องแล้ว ต่อให้ผมโทรไปเขาก็คงไม่รับสาย ครั้นจะรอจนวันที่เขากลับมาเองมันก็ไม่ทันใจอีก

อา....ผมรู้แล้วว่าตัวเองควรทำยังไง

ผมหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าก่อนจะโทรไปหาไอ้ขุน ".....ฮัลโหลขุน คือวันพรุ่งนี้ที่นัดประชุมกันน่ะ กูคงไม่เข้าประชุมนะยังไงก็สรุปไว้ให้หน่อยว่าต้องทำอะไรบ้าง คือกู....จะไปเชียงใหม่ เออน่า ฝากด้วยละกัน แค่นี้แหละ" ผมกดวางสายก่อนจะดึงหมอนของสมปองเข้ามากอดไว้แน่น

รอพี่ก่อนนะปอง

เดี๋ยวจะหายันที่บ้านเลย



[จบบันทึกพิเศษ : สยาม]











TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งหยัมปองแล้ว ขอโทษที่มาซะดึกเลย ตอนนี้ยังไม่ได้แก้คำผิดนะคะ เดี๋ยวชาลจะไล่แก้ให้

วันนี้ไม่ขอพูดอะไรเยอะนะคะ เจ็บคอจริงๆ ชาลควรพัก

ถ้าชอบก็กดไลค์ คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis น้า

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 45 : 15/6/2018 ] หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 16-06-2018 00:20:13
โอ๊ยยยย เนียนมากๆ ทั้งสมปองทั้งแซนด์เลย จริงอย่างที่นังลูกบอกอ่ะ การโกหกแค่หนึ่งครั้งมันก็ทำลายความเชื่อใจคนเราได้เลยนะ ถึงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมก็เหมือนมีความระแวงอยู่อ่ะ

พี่สยามรีบไปง้อลูกให้ไว ไม่งั้นจะไม่ยกให้จริงๆ ด้วย แต่โปรดระวังพ่อตาไว้สักนิด ไปเหยียบถึงถิ่นเขา พ่อเขาเอาลูกซองมาไล่ยิง พี่สยามจะตายก่อนที่จะได้ง้อนังลูกนะ (ฮ่าาา)

เป็นกำลังใจให้ทั้งลูกปองกับพี่สยาม อ้อ! พี่แซนด์กับพี่เยียร์ด้วยนะ  :L2:  :กอด1:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 45 : 15/6/2018 ] หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 16-06-2018 00:56:28
เอ้าเมื่อไหรจะถึงตอนหน้านิ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 45 : 15/6/2018 ] หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 16-06-2018 01:55:22
ตามไปเร็ว ๆ ล่ะ ขึ้นเครื่องไปเลยไป  :hao3:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 45 : 15/6/2018 ] หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 16-06-2018 09:18:53
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 45 : 15/6/2018 ] หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 16-06-2018 12:08:10
มีกำลังใจให้กันเสมอ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 45 : 15/6/2018 ] หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 20-06-2018 01:25:52
มีความน่ารัก มุ้งมิ้งกระดิ่งแมว
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 45 : 15/6/2018 ] หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 20-06-2018 12:01:08
รีบไปปรับความเข้าใจกับน้องด่วนไอ่พี่หยัม
ที่ทำๆไปอ่ะ แต่ละอย่างไม่ได้เรื่องเลย
ไอ่คนห่วย

น้องปอง..นอนรอสวยๆให้ไอ่พี่มันมาง้อนะ
ใจเย็นๆ ให้มาสยบเราที่ปลายเตียง ฮ่าฮ่า
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 46 : 23/6/2018 ] หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 23-06-2018 21:25:22
บทที่ 46 แฟนของสมปอง


การนอนซุกตัวอยู่ในผ้าห่มนุ่มๆ นั้นคือดี

ต่อให้ใครจะบุกขึ้นมาด่าบนห้องเราก็ไม่ต้องไปสนใจ

"ลุกได้แล้วไอ้เด็กเวรนี่ ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้!!!!"

ว้ากเก่ง....เก่งกว่าอะไรทั้งหมด

ผมโผล่หน้าออกมาทำหน้าบึ้งใส่ณนนท์ "สมัยเรียนเป็นพี่ว้ากหรอวะ แหกปากเก่งจริงจัง"

"สมัยเรียนเป็นนักเลงด้วยกูอะ กระทืบเก่ง" มือหนาแย่งผ้าห่มไปจากผม "ไม่เชื่อนี่ลองแดกตีนกูได้"

"ตีนไม่ใช่ของกิน แดกทำไมบ้าบอ" ผมเบ้ปากใส่มันก่อนจะดึงผ้าห่มคืนมา ทำไมวันพักผ่อนของสมปองจะต้องมาโดนมารร้ายอย่างณนนท์ทำลายด้วยวะ

หึ้ย.ย.ย...ฉุนเฉียวจริง

"มึงนี่นะ....ลุกเดี๋ยวนี้เลยปอง"

"ฮาจะนอน ฮาจะซุกอยู่ตี้นี่ จะบ่ขยับ ไคมาก็จะบ่ขยับ เข้าใจก่อ"

"คิงจะนอนทั้งวันจะอี้บ่ได้ ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้"

เชี่ยยยย นานๆ จะได้ยินมันสวนกำเมืองกลับ

"บ่ลุก"

"บ่ลุกแม่นก่อ....ได๋" ว่าแล้วณนนท์ก็หยิบหมอนข้างมากระหน่ำฟาดผมอย่างเอาเป็นตาย โว้ยยยย ความเถื่อนนี้คิงได้แต่ใดมา

ผมเอาผ้าห่มคลุมโปงซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ได้ช่วยทำให้รู้สึกเจ็บน้อยลงแต่อย่างใด ณนนท์แม่งโคตรป่าเถื่อนอะ ผมต้องเอาเรื่องนี้ไปฟ้องแม่ แม่จะได้ไม่ต้องให้มันกินข้าว จนถึงตอนนั้นผมจะแลบลิ้นใส่มันแล้วทำเสียงแบร่บๆ ๆ ๆ ๆ ด้วย เพื่อความสะใจ ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ

คิดอะไรโคตรจริงจัง

กับเรื่องเรียนนี่จริงจังขนาดนี้ไหมปอง

"พอแล้วววว" ผมแหกปากลั่นก่อนจะกลิ้งลงมาซุ่มอยู่ด้านข้างเตียง "กูยอมลุกแล้วเพราะงั้นห้ามตี"

"เออ ลุกแล้วก็ดี ไปอาบน้ำซะ แล้วตามกูไปที่คอกม้า"

"จะเอากูไปใช้งานงี้"

"ก็รู้ตัวหนิ กูให้เวลา 1 ชั่วโมง รีบจัดการตัวเองซะ"

ผมเบ้ปากใส่มัน "สั่งเก่ง เก่งกว่าอะไรทั้งหมด"

"หนิ เดี๋ยวจะโดนนะมึงน่ะ"

"ไม่กลัวหรอก" ว่าแล้วผมก็ทำหน้าเหลอหลาใส่มัน ทันใดนั้นหมอนข้างก็ลอยมาเข้าหน้าผมทันที "โอ๊ยยยย มึงนี่มัน...."

"กวนส้นตีนดีนัก รีบๆ จัดการตัวเองซะ" ว่าแล้วเจ้าตัวก็เดินออกไปจากห้อง หึ....เดี๋ยวถ้าไปถึงคอกม้านะ กูจะเสี้ยมสีเงินให้เตะมึง

ตัวหักแน่ณนนท์

หลังจากที่คาดโทษนังลูกพี่ลูกน้องแสนโฉดไว้ในใจ ผมก็ลากสังขารตัวเองเดินเข้ามาในห้องน้ำก่อนจะจัดการชำระร่างกาย ผมกลับมาบ้านตั้งแต่เมื่อวานครับ เรียกได้ว่าหนีกลับมาเลยก็ได้ ไม่รู้ว่าป่านนี้พี่สยามมันจะเป็นยังไงบ้าง จะมาตามง้อผมไหม คือถ้าไม่มาง้อนี่จะโกรธซ้ำซ้อนและโกรธซ้ำซากมาก เซ้นท์คนเราอะ ถ้าทิ้งกระดาษไว้ให้แล้วบอกว่ากลับบ้านคือมันต้องตามมาถูกไหม

รึไม่ถูก

ช่างแม่งละกัน จะตามไม่ตามก็ต้องดูต่อไป ผมว่าวันนี้อาจจะมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นก็ได้นะ เพราะว่าตั้งแต่เมื่อวานที่ผมกลับมาที่นี่ ผมก็เอาไดอารี่ที่เขียนมาตลอดหลายเดือนไปให้พ่อเรียบร้อยแล้วครับ ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะอ่านรึยัง ตื่นเต้นอยู่เหมือนกันนะ ผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไงมันก็น่าลุ้นอยู่ แต่ผมเตรียมใจกับเรื่องนี้ไว้แล้วแหละ

อะไรจะเกิดก็ปล่อยให้มันเกิด

เมื่อคืนพี่แซนด์โทรมาหาผมแล้วบอกว่าเขากับแฟนคืนดีกันเรียบร้อยแล้วนะครับ ถึงแม้ว่าฝั่งบ้านของฝ่ายแฟนเขาจะจบไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ ผมก็ให้กำลังใจเขาไป พี่แซนด์เองก็ให้กำลังใจผมมาเหมือนกัน รู้สึกดีนะ มันเป็นเหมือนกำลังใจของคนที่เข้าใจกันสองคนอะ ผมดีใจกับพี่แซนด์ที่เรื่องของเขาเคลียร์กันโอเคและมีความสุข

ทีนี้ก็เหลือผมกับพี่สยามนี่แหละ

ความจริง....ที่ต้องการให้พี่สยามมันมาง้อโดยการให้มาที่บ้านนั่นก็เพราะอยากจะให้ครอบครัวได้รับรู้เรื่องของเราสองคน ผมไม่อยากแอบคบกันเป็นความลับโดยที่พ่อกับแม่ไม่รู้ ผมไม่รู้หรอกว่าพวกเขาจะรับได้ไหมที่ผมมีแฟนเป็นผู้ชาย แต่อย่าลืมไปครับว่านี่คือสมปอง อะไรที่เป็นไปไม่ได้ ผมจะทำให้มันเป็นไปได้ทุกอย่าง

เด็กเอาแต่ใจก็ต้องประมาณนี้แหละ

อยากรู้นะว่าถ้าพี่สยามมันมาเจอพ่อผมมันจะทำยังไง สมมุติว่าพ่อให้ผมกับมันเลิกขาดกันมันจะยอมไหม อยากรู้จริงๆ ว่ามันจะเลือกที่จะเดินไปต่อหรือว่ามันจะตัดใจ ไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นยังไงเรื่องนั้นก็คงต้องรอดูกันต่อไป

อา....เหมือนใจรักในการลงท้ายด้วยสระไอนะครับปอง

"อะไรของกูว้า...." ผมพึมพำออกมาก่อนจะเดินโทงๆ ออกมาจากห้องน้ำ เห็นนาฬิกาที่ตอนนี้แสดงเวลาว่าบ่าย 2 ละ ผมก็นอนนานมากแบบที่ณนนท์มันว่าจริงๆ นั่นแหละ

ก็นะ....มันเป็นมายฮอลลิเดย์นี่หว่า

คนเรามันก็อยากพักผ่อนบ้าง

ผมใช้เวลาแต่งตัวสักพักก่อนจะเดินออกมาจากห้องของตัวเอง ได้ยินเสียงดังออกมาจากห้องข้างๆ ด้วย ห้องข้างผมนี่เป็นห้องของพะนายครับ ด้วยความที่สมปองเป็นคนที่อยากรู้อยากเห็น ผมก็เลยแง้มประตู เนี่ยะ พะนายคนไม่ล็อกประตูห้อง เป็นแบบนี้มาตั้งแต่สามร้อยล้านปีก่อนแล้วล่ะเอาจริงๆ ถ้าขโมยขึ้นบ้านแล้วจะเข้าไปปล้นห้องใคร ห้องพะนายนี่แหละจะเข้าง่ายที่สุด

แล้วผมจะชี้นำทางโจรทำไม

บ้าบอ

ผมเพ่งสายตาดูที่มาของเสียง ภาพที่ผมที่ปรากฏอยู่ตรงหน้ามันทำให้ผมตาค้างทันที ร่างสูงของลูกพี่ลูกน้องผมทั้งสองคนกำลังยืนจูบกันอย่างถึงพริกถึงขิง

เชี่ยยยย

เชี่ยๆ ๆ ๆ ๆ

ผมรีบย่องหนีมาอยู่ตรงบันไดทันที มือก็ยกขึ้นมากุมอกตัวเองไว้ หัวใจนี่เต้นรัวตึกตักๆ เลยว่ะ ทำไมพะนายกับณนนท์ถึงไปจูบกันแบบนั้นวะ ดูสกิลการจูบแล้วก็ไม่ใช่เล่นๆ แน่นอนอะ นี่แอบมีซัมติงกันเหรอ ว่าแต่ซัมติงนี่เกิดขึ้นระหว่างลูกพี่ลูกน้องได้ด้วยเหรอ หืม....คิดแล้วมึนหัวเลยนะเนี่ย

เรื่องนี้มันไม่ธรรมดาจริงๆ

สองคนนั้นจะต้องมีอะไรมากกว่าที่ผมคิดแน่เลย ไปถามตรงๆ หรือว่าเนียนถาม หรือว่าจะปล่อยไปดีวะ แต่มันคาใจอะ คนอื่นไม่น่าจะรู้เรื่องนี้ด้วยมั้ง จิ๊....เอาเป็นว่าช่างแม่งไปก่อนละกัน เรื่องของผมก็ไม่ใช่เพราะงั้นอย่าไปอยากรู้มากเลย

โดนด่าว่าเสือกนี่จะแย่มากๆ

ผมลงมาข้างล่างก็พบกับเจ้าของบ้านที่นั่งทำหน้านิ่งอยู่ พ่อผมเองครับไม่ใช่ใคร ทำไมทำหน้าเหี้ยมอย่างนั้นล่ะพ่อ มานีกับมาลีมันไปป่วนในไร่ใช่ไหมล่ะ หน้าถึงไม่สบอารมณ์ขนาดนั้นน่ะ

"ไม่ไปทำงานหรอครับ"

"พ่อมีเรื่องต้องคุยด้วยน่ะ นั่งลงสิ" พ่อบอกเสียงเรียบ รู้สึกขนลุกยังไงแปลกๆ แน่ะ อย่าบอกนะว่าสิ่งที่ผมคิดมันกำลังจะเป็นจริง

ผมนั่งลงตรงข้ามกับพ่อ ทำไมบรรยากาศรอบตัวมันเป็นแบบนี้วะ รู้สึกได้ถึงความกดดันบางอย่าง สายตาที่พ่อมองมา....ผมไม่เห็นมานานแล้วนะ ครั้งล่าสุดที่เห็นสายตาแบบนี้คือตอนที่ทำขวดไวน์ที่พ่อจะเอาไปประกวดแตกนั่นแหละ

ใจคอไม่ค่อยดีเลยว่ะ

"มีอะไรจะคุยกับลูกหรอครับ"

คนตรงหน้าหยิบไดอารี่สีขาวมาวางไว้ด้านหน้าผม "พ่ออ่านไดอารี่ที่ลูกเขียนหมดแล้วนะ"

"ครับ....แล้วพ่อคิดยังไง"

"พ่อคิดว่า จะให้ลูกลาออกแล้วกลับมาเรียนที่นี่ซะ"

ผมส่ายหน้ารัวๆ ทันที "ขอปฏิเสธครับ"

"หนิ"

"ยังไม่ครบ 1 ปีเลยนะครับ อีกอย่าง....ที่ลูกเอาไดอารี่มาให้พ่ออ่านนี่ก็เพราะว่าอยากให้พ่อได้รู้ว่าชีวิตลูกเมื่อเทอมที่ผ่านๆ มามันบันเทิงมากแค่ไหน"

"รวมถึงเรื่องที่มีแฟนด้วยงั้นหรอ"

"ใช่ครับ"

"มีแฟนเป็นผู้ชายน่ะนะ"

"ครับ"

"ทะเลาะกันอยู่ด้วยตอนนี้"

"ครับ"

"ที่กลับมาบ้านโดยไม่ได้บอกพ่อก่อน มันก็เป็นเพราะแบบนี้สินะ"

"ใช่ครับ" ผมยิ้มแฉ่งให้พ่ออย่างจริงใจ "แต่พ่อไม่ต้องห่วงนะครับ เดี๋ยวมันก็มาง้อลูก"

คิดว่างั้นนะ

ผมกำลังใจดีสู้เสือแบบหน้าตายอยู่ครับ ตอนนี้หน้าพ่อนี่บึ้งกว่าเดิมมาก บ่งบอกว่าไม่พอใจสุดๆ นั่นแหละ แบบนี้แปลว่าพ่อไม่โอเคที่ผมมีแฟนเป็นผู้ชายสินะ ชิบหายละพี่สยาม นี่ถ้ามันมา มันจะโดนพ่อผมเอาปืนไล่ยิงไหมวะ แต่ไม่เป็นไร ถ้ามันโดนพ่อผมยิงตาย ผมจะจัดงานศพให้มันอย่างสมเกียรติ จะเป็นเจ้าภาพให้ด้วย เดี๋ยวจะร้องไห้หน้าโลงศพไปสามวันสามคืนเลย

แล้วทำไมผมถึงแช่งผัวตัวเองวะ

ถ้ามันรู้....ผมโดนเตะแน่เลยว่ะ

"ปอง"

ผมเงยหน้าสบตาพ่อ "ครับ"

"ถ้าแฟนลูกไม่มาง้อลูกจะทำยังไง"

"ก็ไม่ทำยังไงครับเพราะว่า....มันต้องมาง้อลูกแน่นอน"

"ทำไมถึงได้มั่นใจถึงขนาดนั้น เท่าที่อ่าน เรื่องที่ทะเลาะกันก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ไว้ใจได้ขนาดนั้นเลยหรอผู้ชายคนนี้น่ะ"

"ก็....ครึ่งๆ นะครับสำหรับความมั่นใจ แต่สิ่งนึงที่ลูกรู้สึกได้และรับรู้ก็คือแฟนลูกมันรักลูกมาก ถึงมันจะทำผิดไปบ้างแต่ยังไงมันก็คงรักลูก ยืนยันครับว่าเดี๋ยวมันก็มาง้อ"

"แล้วถ้าพ่อไม่ยอมให้มันมาเหยียบในไร่ของพ่อล่ะ"

"พ่อต้องยอมครับ"

"ทำไมพ่อต้องยอม"

ผมยิ้มหวานให้ "เพราะว่าแม่น่ะ ตามใจลูกครับ ถ้าลูกไปบอกแม่ว่าพ่อไม่ยอมให้แฟนลูกมาง้อ แม่ก็จะมาสั่งพ่อว่าให้ปล่อยลูกทำตามใจไป เรื่องของความรักมันบังคับกันไม่ได้ แล้วถ้าพ่อไม่ยอม แม่ก็จะงอนพ่อ พ่อก็ต้องตามง้อแม่ พ่อจะเอาแบบนั้นไหมครับ"

"พูดจาเอาแต่ใจ"

"ก็ลูกพ่อนี่ครับ" ว่าแล้วผมก็ยิ้มยิงฟันขาว พ่อก็ผ่อนลมหายใจออกมาหนักๆ อารมณ์แบบเบื่อที่จะเถียงกับผมต่อแล้วแน่นอน

งานนี้สมปองวินไป 50% แล้วนะ

ส่วนอีก 50% ต้องให้พี่สยามมาจัดการ

ผมก็คิดอยู่นะว่าพี่สยามมันจะมาบ้านผมถูกไหม คือมันรู้แหละว่าผมอยู่เชียงใหม่ แต่มันไม่รู้ไงว่าผมอยู่ตรงไหน อีกอย่างผมไม่เคยแชร์โลเคชั่นใดใดให้ใครได้รู้เลยนะ นี่ก็คิดอยู่นะว่าถ้ามันตามหาผมเจอนี่แม่งเป็นอะไรที่สุดยอดจริงๆ แต่ถ้ามันหาผมไม่เจอ....ก็ช่างแม่งครับ

 ปล่อยให้วนอยู่ในเชียงใหม่นั่นแหละ

ครืดดดด....ดดด

ผมมองโทรศัพท์ของพ่อที่สั่นอยู่บนโต๊ะ "สายเข้าครับพ่อ" พอผมบอกแบบนั้น พ่อก็หยิบโทรศัพท์ก่อนจะกดรับสาย

"ว่าไง....หืมมมม งั้นหรอ ก็ให้เข้ามาสิ....ณนนท์อยู่ที่นี่....อืม....แค่นี้" ว่าแล้วเขาก็กดวางสาย เท่าที่ฟังนี่น่าจะเป็นเพื่อนของณนนท์ล่ะมั้ง

"เพื่อนณนนท์หรอครับ"

"อืม....เรื่องของลูกน่ะ เตรียมตัวไว้นะ จบปี 1 เมื่อไหร่เตรียมย้าย" พ่อบอกพลางจ้องผม

"บ่ครับ บ่ย้าย จะเรียนตี้โน่น โอเคก่อ"

"ไม่ อย่ามาขัดใจพ่อ"

"เอาหน่า" ผมทำแก้มป่องใส่ "ลูกขัดใจพ่อมาตั้งหลายเรื่องแล้ว เพราะงั้นให้ลูกขัดใจพ่ออีกสักเรื่องเถอะครับ"

"สมปอง"

"สมปองเองครับผม" ผมยิ้มรับชื่อตัวเองตาหยี นาทีนี้ต้องเอาความคิ้วท์เข้าสู้ครับ ห้ามอ่อนยวบยาบใส่เด็ดขาด ไม่งั้นพ่อก็จะยิ่งเหี้ยมใส่แล้วผมก็จะขัดเขาไม่ได้

"กวนตีน"

"แหะๆ พ่อครับ ลูกขอถามอะไรหน่อยได้ไหม"

"ว่ามา"

"พ่อเสียใจไหมครับ ที่ลูกมีแฟนเป็นผู้ชาย แต่คือลูกไม่ได้รู้สึกแบบนี้กับผู้ชายทุกคนนะ ก็เป็นแค่กับมันเฉยๆ ลูกเป็นลูกชายคนเดียวของบ้าน พ่อกับแม่คงอยากอุ้มหลาน ลูกรู้สึกเสียใจแต่เรื่องความรักมันห้ามกันไม่ได้จริงๆ อย่างที่พ่อเห็นในไดอารี่นั่น มันก็มีทั้งช่วงเวลาที่มีความสุขถึงแม้ว่าตอนนี้จะทะเลาะกันอยู่ก็เถอะ ถ้าลูกทำให้พ่อผิดหวังในเรื่องนี้ ลูกขอโทษนะครับ"

คนตรงหน้าลุกเดินมาอยู่ข้างๆ ก่อนจะเลื่อนมือมาลูบหัวผมเบาๆ "ตราบใดที่ลูกของพ่อไม่ได้ไปสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น พ่อไม่มีทางผิดหวังในตัวลูกหรอก ลูกเข้าใจถูกแล้วเรื่องที่ว่าความรักมันห้ามกันไม่ได้จริงๆ แต่พ่อก็อยากให้ลูกได้รู้ไว้ว่าพ่อมีเหตุผลของพ่อ ลูกเองคงอยากขอเวลาแก้ไขอะไรหลายๆ อย่าง พ่อเองก็ต้องการเวลาที่จะเข้าใจทุกอย่างเหมือนกัน"

"ขอบคุณนะครับพ่อ" ผมเลื่อนมือไปกอดเอวพ่อไว้ ตอนนี้ในใจโล่งขึ้นเยอะเลยอะ อย่างน้อยสิ่งที่พ่อบอกมันก็ไม่ได้หมายความว่าพ่อจะยอมรับในเรื่องนี้ไม่ได้

มันก็แค่ต้องใช้เวลาเท่านั้นเอง

ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับพี่สยามแล้วล่ะว่ามันจะทำให้พ่อยอมรับในตัวมันได้ไหม ยิ่งตอนนี้เป็นช่วงทะเลาะกัน พ่อเห็นสิ่งที่ผมเขียน เขาก็คงฉุนอยู่ไม่น้อยที่มันทำให้ผมเสียใจน่ะนะ แต่ว่าเราก็ไม่รู้อนาคตว่ะ อะไรจะเกิดก็คงต้องปล่อยให้เกิด สิ่งที่ผมทำได้ก็คือเนียนไปตามแผนที่ตัวเองตั้งใจไว้

ขอให้มันผ่านไปได้ด้วยดีเถอะ

"พ่อใหญ่ครับ" ผมหันไปตามเสียงก็พบกับลุงมิ่งที่เดินเข้ามาในบ้าน

"ไหนล่ะ....แขกของเจ้าณนนท์น่ะ" พ่อเอ่ยถาม

"นี่ครับ" สิ้นเสียงของลุงมิ่ง ร่างสูงของใครบางคนที่คุ้นตาก็เดินเข้ามาในบ้าน มือเรียวยกมือไหว้พ่อ ดวงตาคมเหลือบมองผมพลางคลี่ยิ้มออกมาบางๆ

พี่สยาม

มาถูกด้วยเหรอวะ

"ณนนท์บอกทางสินะ" ผมพึมพำเบาๆ ร้ายกาจจริงๆ เดี๋ยวผมจะไปจัดการณนนท์

"สวัสดีครับ ผมชื่อสยาม" เจ้าตัวยิ้มให้พ่อผม "เป็นแฟนสมปองครับ"

พูดอะไรของมึงเนี่ยะพี่สยามมมมมมมมมมม

ผมเดินไปตีอกมันแรงๆ สองที "มึงอยากตายงั้นหรอ"

"เปล่า แต่กูเป็นแฟนมึงจริงๆ หนิ ถึงเราจะห่างกันแต่เราไม่ได้เลิกกันสักหน่อย อีกอย่าง....เราห่างกันเกินพอแล้ว" มือเรียวคว้ามือผมไปกุมไว้ "ตอนนี้กูพร้อมจะเล่าทุกอย่างให้มึงฟังแล้วนะ"

"มันไม่ใช่เวลาไหม มึงดูหน้าพ่อกูโน่น" หน้าเหี้ยมแบบมึงตายแน่นอนอะวันนี้

"นี่น่ะเหรอ แฟนของลูก" พ่อยิ้มเหี้ยมก่อนจะหันไปมองลุงมิ่ง "ไอ้มิ่ง...."

"ครับพ่อใหญ่"

"ไปเอาปืนมา"

ชิบบบบ

หายยยย

แล้ววววววววววว

"ไปก่อน!!!! หนีพี่สยามหนี" ผมรีบลากมันออกมาจากบ้านทันที ช้ากว่านี้พ่อต้องยิงมันแน่ๆ แม่งโว้ย ตอนแรกนึกว่าพ่อจะไม่อะไรแล้วนะ ไม่คิดว่าจะให้ลุงมิ่งไปหยิบปืนมาเลย

โซแบดเว่อร์

"เราจะหนีไปไหน" คนที่โดนลากเอ่ยถาม "....ปอง"

"เออน่า เรื่องอื่นค่อยว่ากัน" ถ้ามึงตายก่อน มึงก็จะไม่ได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้กูฟังนะพี่สยาม เพราะงั้นอย่าถามมากแล้ววิ่งตามมาก็พอ หึ้ยย.ย.ย.ย....ณนนท์มึงงงง ไม่บอกอะไรกูสักคำ ถ้าผัวกูถูกยิงตายนะ กูจะยิงมึงตายตามไปเลย

ฮื้ออ.อ.อ....วันอะไรวะเนี่ยยยย











TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งหยัมปองแล้วนะ ขอโทษด้วยที่เลทมา 1 วันและก็ไม่ได้ชี้แจงอะไรเลย เมื่อวานชาลไม่ค่อยสบายค่ะ ตามันพร่าแล้วปวดหัวช่วงหลังหูมาก อีกอย่างคือมีสภาวะเครียดเพราะมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น เรื่องวุ่นวายที่น่าหงุดหงิดนี้จะชี้แจงในทอล์คของขันหมีนะคะ ชาลต้องขอโทษที่ทำให้รอกันเก้อเลยนะเมื่อวาน จะพยายามไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก ขอโทษจริงๆ ค่ะ

พี่สยามก็ไปตามง้อน้องแล้วเนอะ เรื่องจะเป็นยังไงต้องรอติดตามนะคะ อีกไม่ถึง 10 บทก็คงจบแล้วนะสำหรับเรื่องนี้ ส่วนเรื่องของการทำหนังสือ คิดว่าทำแน่นะคะแต่ว่าไม่รู้ว่าจะได้ภายในปีนี้ไหมเพราะหยัมปองต้องรีไรท์เยอะมาก มันจะใช้เวลาส่วนนี้เยอะ ซึ้งถ้าทำหนังสือจริงคงจะเป็นปีหน้านะคะ คิวของปลายปีเป็นของขันหมีไปแล้ว ชาลไม่อยากทำหลายอย่างเกินเพราะว่าตัวเองไม่ค่อยมีเวลาแล้วมันจะพาลให้ทุกอย่างช้าไปหมด ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมชาลจะชี้แจงนะคะ

ถ้าชอบก็กดไลค์ คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะ สามารถติดต่อข่าวสารได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis นะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 46 : 23/6/2018 ] หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 23-06-2018 21:43:36
ก็บอกอยู่ว่าให้ระวังตัวววว ไปถิ่นเขาแถมยังเอาลูกเขามาเป็นแฟนอีก เขาก็ยิงกบาลให้สิ (ฮ่าา) ดีใจที่คุณพ่อไม่ว่าลูกปองเรื่องชอบผู้ชาย รักขุ่นพ่อมั่กๆ เรยส์ข่าาา  :hao5:

สรุปที่คิดไว้เป็นจริงสินะ พะนายกับณนนท์มีซัมติงกันจริงๆ แหม่.. ตั้งแต่ใส่ข้อมือเหมือนกันแล้ววว แต่ก็แบบลูกพี่ลูกน้องกันอ่ะ กร๊าวใจมากๆ จริงๆ แอบอยากอ่านคู่นี้ด้วย (ฮ่าาาาา) //โดนคุณชาลตบ

พี่สยามทำดีมาก มาตามง้อน้องถึงเชียงใหม่ เิาจริงๆ แอบคิดเหมือนสมปองว่าแล้วพี่มันจะมาถูกเหรอ ก็มันไม่รู้ว่าบ้านน้องอยู่ไหนรู้แต่อยู่เชียงใหม่เอง แต่ปัญหานั้นก็คลายได้เพราะณนนท์คนดี เอ้า! กราบณนนท์สามทีด้วยนะพี่สยาม (ฮ่าาาาา)
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 46 : 23/6/2018 ] หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 23-06-2018 23:48:31
ดีงามมากพี่หยัม
ตามมาง้อน้องปองได้เร็วทันใจ

แต่ตอนนี้วิ่งหนีกระสุนของพ่อตาไปก่อนนะ
เดี๋ยวน้องปองจะเป็นม่ายปั๋วตาย ฮ่าฮ่า
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 46 : 23/6/2018 ] หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 24-06-2018 03:06:35
ถามได้วิ่งไปไหน ก็วิ่งไปหาแม่ปองซิ  :mew4:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 46 : 23/6/2018 ] หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 24-06-2018 09:24:59
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 46 : 23/6/2018 ] หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 24-06-2018 14:21:02
พะนายกับณนนท์ Side Stoires
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 46 : 23/6/2018 ] หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 24-06-2018 17:35:06
พ่อปอง ปอง น่ารักมาก
ว่าแล้ว ณนนท์  พะนาย   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
รักกันใต้จมูกปองแท้ๆ   :z3:

สยาม  สมปอง   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 46 : 23/6/2018 ] หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 25-06-2018 22:12:44
ยิงเลยพ่อ ยิงเลย 5555 :really2:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 46 : 23/6/2018 ] หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 06-07-2018 11:27:33
เมื่อไหร่จะมาอัพต่อน้อออ  คิดถึงน้องปองกับพี่สยามแล้ว
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 47 : 07/7/2018 ] หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 07-07-2018 22:17:37
​บทที่ 47 ปรับความเข้าใจ



ชีวิตของผมเคยแค่วิ่งหนีหมาที่วิ่งไล่อะนะ

ไม่คิดว่าจะมาวิ่งหนีลูกปืนพ่อแบบนี้เลย

วิ่งกับผัวด้วยนะประเด็น

ผมลากพี่สยามมาจนถึงคอกม้าที่อยู่ท้ายไร่ แฮ่กก.ก....เหนื่อยแบบ โหยยยย เพราะไม่ได้ออกแรงอะไรพวกนี้นานป้ะวะถึงได้เหนื่อยแบบนี้ พี่สยามเองก็ยืนหอบแดกไม่แพ้ผมหรอก นี่วิ่งกันมาเกือบกิโลฯ เลยนะ คือรู้แหละว่ายังไงพ่อก็ตามมาได้แต่แบบขอมาตั้งหลักคุยกันก่อนละกัน แล้วจะมาตามยิงก็ค่อยว่ากันทีหลัง

ปวดจิตเลย

ผมนั่งลงที่ม้านั่งหน้าคอกม้า ร่างสูงก็ยืนหอบมองผมนิ่งๆ เดี๋ยวนะ เดี๋ยวค่อยคุย ตอนนี้สิ่งที่ควรทำก็คือนั่งหายใจก่อน ผมจะทำยังไงให้พ่อไม่ยิงพี่สยามวะ หรือผมต้องโดนยิงแทนงี้เหรอ แล้วทำไมผมต้องโดนยิงแทนด้วยอะ มันเจ็บนะโดนยิงน่ะ ลูกกระสุนไม่ใช่หนังยางที่ยิงใส่แล้วจะแสบๆ หรือผมจะพาพี่สยามออกไปจากไร่ดีวะ

หนีไปด้วยอะไรทำนองนี้

ก็ไม่ได้อีกอะ

"ทำไมถึงปวดหัวแบบนี้วะ" ผมขยี้หัวตัวเองจนฟูก่อนจะไปสะดุดตากับรอยยิ้มบางๆ ของคนที่ยืนอยู่ "ยิ้มอะไรของมึงวะ เกือบตายนะน่ะ"

"....เป็นห่วงหรอ"

 ผมเบ้ปากใส่ "ใครเค้าเป็นห่วงมึง กูแค่ไม่อยากให้มีใครตายในไร่ แล้วไม่อยากให้พ่อกูติดคุกเพราะยิงคนตายต่างหาก"

"อย่างนี้นี่เอง ไอ้เราก็นึกว่าเป็นห่วง"

"ไม่ได้ห่วงเว้ย ว่าแต่มึงมาที่นี่ทำไม กูบอกแล้วไงว่าห่างกันสักพัก" ผมเอ่ยบอกอย่างจริงจังพลางทำหน้านิ่งใส่

"นี่ไง ห่างแล้ว"

"มึงมโนอยู่หรอ กูเพิ่งบอกไปเมื่อวานเองพี่สยาม" ผมทำเป็นเหี้ยมใส่ ความจริง....ในใจนี่กระโดดโลดเต้นมากอะ ไงล่ะ ยังไม่ทันสองวันแฟนก็มาง้อแล้วครับ

เขินมากเว่อร์

"มึงรู้ไหมว่าจากเมื่อวานมาวันนี้มันกี่ชั่วโมง" พี่สยามบอกเสียงอ่อนก่อนจะนั่งยองๆ ลงด้านหน้าผม "แค่นี้....ก็คิดถึงจะแย่แล้ว"

"เรื่องของมึงสิ" ผมหันหน้าหนีก่อนจะอมยิ้มแวบนึง การที่ได้เห็นมันหงอแบบนี้ก็ทำให้รู้สึกดีแปลกๆ เหมือนกันนะ

แบบ....มึงทำกูไว้เยอะไงพี่สยาม

"ปอง...." มือเรียวเลื่อนมาจับมือผม "ตอนนี้กูพร้อมจะอธิบายเรื่องทุกอย่างให้มึงฟังแล้วนะ เรื่องของแซนด์น่ะ มัน....จบแล้วล่ะ"

ผมดึงมือออกมาจากการจับ "จะเล่าก็เล่า ไม่ต้องมาจับ" จังหวะนี้ต้องเล่นตัวหน่อย โอกาสที่จะได้แกล้งมันแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ

"โอเค....คือว่าที่แซนด์จะกลับมาเรียนไทยมันเป็นเพราะว่าครอบครัวของพี่เยียร์ที่เป็นแผนของแซนด์เค้าบังคับให้หมั้นกับผู้หญิงคนอื่น แล้วฝั่งพี่เยียร์เค้าขัดครอบครัวไม่ได้ อารมณ์แซนด์ก็แบบน้อยใจนั่นแหละแล้วก็ยอมปล่อยให้พี่เยียร์ไปทำตามที่ครอบครัวต้องการ ส่วนตัวเองก็บินกลับมาไทยประมาณนั้น"

"แล้วไงต่อ...."

"คือครอบครัวของแซนด์ที่เมืองไทยเนี่ยะมีแค่น้องชายคนเดียวไง พ่อแม่ไม่ได้อยู่ประเทศไทย ช่วงที่แซนด์กลับมามันเป็นช่วงที่เซนท์ เด็กที่เราเคยเจอที่ร้านชาบูอะ มึงน่าจะจำได้ นั่นแหละ....ช่วงนั้นเซนท์ดันไปค่ายอาสาพอดี แล้วปกติแซนด์ไม่มีเพื่อนที่ไหนเลยนอกจากกู แล้วมึงเข้าใจฟีลคนที่ความรักพังป้ะล่ะ ยิ่งอยู่คนเดียวก็ยิ่งฟุ้งซ่าน"

"อืม....มึงนั่งกับพื้นได้นะ เห็นนั่งยองๆ แล้วเมื่อยแทนว่ะ"

เจ้าตัวยกยิ้ม "เนี่ยะ เป็นห่วงอีกละ"

"ถ้ามึงไม่เมื่อยก็เรื่องของมึง" ไอ้บ้านี่มันน่าทุบนัก รู้งี้ผมไม่ทักแล้วปล่อยให้มันนั่งจนตะคริวแดกขาตายไปซะก็ดี

"ทำไมไม่อ่อนโยนเลยล่ะครับ" พี่สยามนั่งลงกับพื้น พอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกถึงความเหนือกว่ามากเลยนะ นี่แหละคือการล้มล้างอำนาจของพี่สยาม ต่อจากนี้ผมจะขึ้นเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดแทน

ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

จริงจังอะไรขนาดนั้นอะปอง

"ไม่อ่อนโยนก็เรื่องของกูน่ะ" ผมบอกปัด "....แล้วเรื่องมันยังไงต่อ"

"ก็แซนด์เศร้ามากเลยแหละแต่ก็แสร้งทำเป็นทนไหวอะ ชอบพูดตัดพ้อด้วย คือมันก็ผิดที่กูไม่ยอมบอกอะไรมึงเลยเกี่ยวกับเรื่องแซนด์เพราะคิดว่ามึงจะไม่โอเคที่ได้รับรู้ว่ากูมีเรื่องยุ่งเกี่ยวกับแฟนเก่า"

"อืม....รู้ผลแล้วใช่ไหมล่ะว่าไม่บอกแล้วเป็นยังไง"

"ครับ....รู้แล้ว รู้สึกผิดและก็จะไม่ทำให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก และเรื่องที่กูไม่เล่าให้มึงฟังว่ากูหายไปไหนกับแซนด์ก็เพราะกลัวว่ามันจะวุ่นวาย แล้วก็เป็นกูอีกแหละที่คิดว่าเดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟังทีเดียวหลังจากจบเรื่อง จนสุดท้ายแล้วทุกอย่างมันก็ออกมาเป็นแบบนี้ เรื่องนี้กูผิดเต็มๆ เลย"

"ใช่ มึงผิด ยื่นมือมานี่"

พี่สยามยื่นมือมาตรงหน้าผม "จะทำอะโอ๊ยยยย เจ็บนะ"

"โดนตีแค่นี้มาทำเป็นโอดโอย มึงไม่รู้หรอกว่าตอนที่กูเจ็บ ตอนที่กูเสียใจอะ กูเจ็บกว่านี้ประมาณร้อยเท่าได้"

"....ขอโทษนะครับ" เจ้าตัวเอ่ยเสียงอ่อนพลางทำหน้าสลด ฮ่าๆ ๆ ๆ  เหมือนหมาหงอยๆ เลยอะ น่ารักนะแต่แบบ....ผมต้องใจแข็งใส่ไปก่อน

ยังไม่สะใจพอ

"เล่าต่อสิ"

"ก็ช่วงที่กูหายไปอยู่กับแซนด์บ่อยๆ แล้วไม่ได้บอกมึงน่ะ ช่วงนั้นแซนด์โดนลอบทำร้าย คนที่เป็นคนสั่งก็ครอบครัวของฝั่งพี่เยียร์นั่นแหละ มึงจำวันที่กูหน้าช้ำได้ไหมล่ะ วันนั้นแหละเป็นวันที่แซนด์โดนรุมกระทืบ ที่กูออกไปเพราะแซนด์โทรมาก็เพราะว่าทนไม่ไหวแล้ว กูก็พาแซนด์ไปโรงพยาบาลและก็อยู่เฝ้าถึงไม่ได้กลับไปนอนที่หอไง"

ผมพยักหน้ารับเบาๆ "แล้วมึงก็มาหากูตอนเช้าแทน แล้วช่วงเวลานั้นพี่แซนด์ที่นอนอยู่ที่โรงพยาบาลก็โดนกระทืบซ้ำอีกรอบจนแขนหัก จนสุดท้ายก็เลยต้องย้ายไปรักษาตัวอีกโรงพยาบาลและมึงก็ต้องเฝ้าเค้าเกือบตลอดเวลาเพราะน้องชายเค้ายังไม่กลับมาจากค่ายอาสา....ถูกไหม"

"มึงรู้ได้ไง"

"ก็....รู้ทุกอย่างอะ รู้นานละ แค่ให้อยากให้เล่าให้ฟัง"

"ปองงงง"

"มึงไม่ต้องมาปองใส่กูเลยนะ" ผมหยิกแก้มพี่สยามแรงๆ "กูขอไม่บอกหรอกนะว่ากูไปรู้มาได้ยังไง แต่ขอให้มึงรู้ไว้ว่ากูรู้จักพี่แซนด์แล้ว และตอนนี้กูก็รู้ด้วยว่าเค้าคืนดีกับแฟนเค้าเรียบร้อย คือกูรู้ทุกอย่างว่าช่วงที่มึงหายนั่นมึงหายไปไหน"

"แล้วที่บอกว่าให้ห่างกันสักพักนี่คือ...."

"หมั่นไส้อะ" ผมเบ้ปากใส่มันน้อยๆ พี่สยามนี่ทำหน้าเหวอเลยอะ ทำไม เรื่องแค่นี้ต้องทำหน้าเหวอขนาดนี้เลยเหรอ

งงใจ

ผมนั่งมองคนตรงหน้าที่มองผมปริบๆ เหมือนกำลังเรียบเรียงเรื่องทุกอย่างในหัว ตอนนี้มันคงยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่อะนะผมว่า แต่ช่างมัน ปล่อยให้งงจนประสาทแดกไปเลย การที่ผมบอกกับมันว่าห่างกันสักพักนี่ก็เพราะอยากทำให้มันปวดใจนั่นแหละ มันจะได้รู้ไงว่าสิ่งที่มันทำเนี่ยะ ทำให้ผมรู้สึกเสียใจและมันส่งผลย่ำแย่ต่อการอยู่ร่วมกันมากแค่ไหน

มันเป็นบทเรียนน่ะครับ

อีกอย่างคือผมอยากบอกที่บ้านไงว่าคบกับพี่สยาม ถ้ามันมาง้อผม พ่อก็จะได้เห็นว่าเออมันรักผมจริงๆ นะ แต่เรื่องนี้ก็เกินคาดไปหน่อย ไม่คิดว่าพ่อจะถือปืนต้อนรับว่าที่ลูกเขยแบบนี้ ช่วงที่ผ่านมาคือเสียใจจริงๆ แหละ แต่ก็คิดว่าเออนี่มันความรักอะนะ ถ้าจะสุขอย่างเดียวก็คงเป็นไปไม่ได้ แล้วอีกอย่างคือทุกคนมันก็ต้องผิดพลาดกันได้

พี่สยามมันคงสำนึกจากเหตุการณ์ครั้งนี้แล้วล่ะ

คงจะไม่กล้าโกหกผมอีกแล้ว

ผมคิดไว้แล้วนะว่าถ้าเราจะเลิกกันจริงๆ ให้เราเลิกกันเพราะไม่ได้รักกันแล้วดีกว่า หรืออีกอย่างคือถ้ามันนอกใจผมเมื่อไหร่ เมื่อนั้นความรักก็จบเหมือนกัน ผมคงรับไม่ได้ที่มันจะมีคนอื่นทั้งๆ ที่ยังมีผมด้วย แต่เรื่องการโกหกมันก็ทำลายความเชื่อใจน่ะนะ แล้วกว่าจะทำให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าพี่สยามทำตัวดีมากแค่ไหน

ต้องใช้เวลาอีกต่างหากสำหรับเรื่องนี้

"สมปอง" พี่สยามเลื่อนมือมากุมมือผมไว้ "ขอโทษนะ สำหรับทุกอย่าง กูจะไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกแล้ว จะไม่โกหก จะไม่ปิดบัง จะแคร์ความรู้สึกของมึงให้มากกว่านี้ จะทำทุกอย่างเพื่อเอาความเชื่อใจที่มึงมีให้กูกลับมา กูรู้แล้วว่าช่วงที่เราแทบไม่ได้คุยกันมันทรมานแค่ไหน....กลับมาเป็นเหมือนเดิมเถอะนะ กลับอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม"

"กูรักมึงมากเลยนะพี่สยาม" ผมยกมือขึ้นไปกุมแก้มมัน "มันคงจะดีไม่น้อยถ้าเราสองคนไม่มีความลับต่อกัน มันคงจะดีมากๆ ถ้าเราปรับตัวเข้าหากันคนละครึ่งทาง กูไม่ได้ต้องการให้มึงเปลี่ยนตัวเองทั้งหมดเพื่อกู เพราะถ้าเป็นแบบนั้น ตัวมึงก็คงจะไม่มีความสุข กูเองก็คงเหมือนกัน ไม่มีใครอยากเห็นคนที่ตัวเองรักสูญเสียความเป็นตัวเองไป....เข้าใจใช่ไหม"

คนตรงหน้าพยักหน้ารับเบาๆ "เข้าใจครับ"

"คนที่เค้ารักกันน่ะ จะอยู่ด้วยกันได้นานๆ ก็ต้องมีความเข้าใจกันใช่ไหมล่ะ ความผิดบางอย่างมันก็พอให้อภัยกันได้อยู่แล้วล่ะ แต่ก็ไม่มีใครรับไหวกับความผิดที่จะเกิดขึ้นได้บ่อยๆ หรอกนะ กูเห็นว่านี่เป็นความผิดครั้งแรก แต่กูก็หวังว่าจะไม่ให้มีครั้งต่อไปนะ เราต่างฝ่ายต่างรู้ว่ามันแย่มากแค่ไหน....ถ้าเลือกที่จะมาใช้ชีวิตด้วยกันแล้วก็ทำให้มันมีแต่ความสุขเถอะ"

ผมยิ้มบางๆ ให้คนตรงหน้า ไม่รู้เลยนะครับว่าเราจะมีชีวิจได้อีกนานแค่ไหน ถ้าเลือกได้ก็ขอให้มีแต่ความสุขเถอะว่ะ ก็รู้แหละว่าความทุกข์มันต้องมีบ้างเป็นสีสันแต่การมีความสุขมันก็ดีกว่า

....จริงไหมล่ะ

"ขอบคุณนะปอง....กูจะทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้นกว่าเดิม" พี่สยามขยับเข้ามากอดผม "กูจะทำให้คำว่าเรา....มีแต่ความสุข"

ผมลูบหัวเจ้าตัวเบาๆ "พูดแล้วต้องทำให้ได้นะ"

"ทำได้สิครับ"

ปังงงง

"เชี่ยๆ ๆ ๆ ๆ " ผมสะดุ้งทันทีที่ได้ยินเสียงปืน มองไปทางด้านหลังก็เห็นรถของพ่อจอดอยู่โดยที่เจ้าของรถก็ยืนอยู่ข้างๆ เยื้องไปนั่นมีณนนท์กับพะนายยืนอยู่ ทำไมมึงไม่ห้ามพ่อวะ มายิงปืนใกล้คอกม้าแบบนี้ ม้าตกใจตายพอดี

ไม่ใช่แค่ม้านะที่จะช็อกตาย

ผมก็ด้วยเนี่ยะ

"กอดกันกลมเชียวนะ กล้าดีจริงๆ " พ่อทำเสียงเหี้ยมใส่พลางหรี่ตามองพี่สยาม "ไอ้หนุ่ม ข้ามีเรื่องจะคุยกับเอ็ง"

"คุยกันตรงนี้สิพ่อ"

"เงียบไปเลยนะสมปอง ลูกน่ะมีคดีกับพ่ออยู่นะ คิดว่าพากันวิ่งหนีมาแล้วพ่อจะตามไม่เจอรึไง สิ้นคิดจริงๆ "

จึกไหมปองจึกม้ายยยย

"ครับ ผมจะคุยกับคุณลุง" ร่างสูงรับคำก่อนจะหันมองผม "ไม่คุยตอนนี้ วันหลังก็ต้องคุยอยู่ดี จริงไหม"

"วันหลังพ่ออาจจะไม่มีปืนไง"

มือเรียวยกขึ้นขยี้หัวผม "ไม่เป็นอะไรหรอกหน่า" พี่สยามลุกขึ้นก่อนจะเดินไปหยุดอยู่หน้าพ่อ

"ตามมานี่" ว่าแล้วพ่อก็เดินนำพี่มันไปอีกฝั่งของคอกม้า ผมกำลังจะแอบย่องตามไปแต่โดนณนนท์กับพะนายจับตัวไว้ก่อน จับไว้ทำไมวะไอ้พวกบ้า

"ปล่อยนะ เดี๋ยวพ่อยิงพี่สยามตายจะทำไงล่ะ"

"ก็จัดงานศพไง ถามอะไรแปลกๆ " ณนนท์บอกก่อนล็อกแขนผมไว้

"เนี่ยะปอง ถ้ามึงเสนอหน้าไปตอนนี้นะ คนที่โดนยิงอาจจะไม่ใช่แค่สยามก็ได้ มึงอาจจะโดนไปด้วย"

"โว้ยยยย ทำไมพวกมึงพูดแบบนี้ได้แบบหน้าตาเฉยวะ พี่สยามตายห่าขึ้นมานี่ทำไง" ผมโวยใส่คนที่ล็อกตัวผมอยู่ คือแบบ....มึงงงงง พี่สยามไม่ได้มีหลายคนในโลกนะ ถ้ามันตายไปกูจะไปหาคนแบบนี้ได้ที่ไหน

เพราะงั้นจะปล่อยให้พี่สยามตายไปไม่ได้นะมึงงงง

ปังงงง

เชี่ยยยย

"พี่สยามมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม"













TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งหยัมปองแล้ว ยังไม่ได้แก้คำผิดนะคะแต่เดี๋ยวจะไล่แก้ให้นะ ก็คู่นี้เขาก็เคลียร์กันเรียบร้อยแล้วนะ เหลือแค่พี่สยามกับฝั่งพ่อของสมปอง จะเป็นยังไงต่อก็ต้องรอติดตามกันไปนะคะ

ขอโทษด้วยที่ทำให้รอกันมาหลายวัน ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาชาลเห็นมีบี๋บอกว่ามีวันเกิดด้วยก็มีทั้งวันที่ 5 แล้วก็มีคนที่เกิดวันนี้นะ ส่วนคนอื่นชาลไม่รู้ เอาเป็นว่าขออวยพรให้สุขภาพแข็งแรงนะคะ มีความสุขและความทุกข์ปะปนกันไป ชีวิตจะได้มีสีสันเหมือนอย่างที่บอกพูดไง

ถ้าชอบก็กดไลค์ คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ สามารถติดต่อชาลได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis นะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 47 : 07/7/2018 ] หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 07-07-2018 23:11:28
แงงงงง เขาคืนดีกันแล้ววว ใจอิแม่คอมพลีทมากกกก ต่อไปมีอะไรก็พูดกันนะ อย่ามีความลับกันอีกล่ะ

เอาใจช่วยพี่หยัมให้รอดพ้นปลอดภัยจากลูกตะกั่วนะคะ555555 เคยเตือนแล้วว่ามาเหยียบถิ่นเขาแถมยังงั่มลูกเขาอีก ไม่มีพ่อแม่ที่ไหนจะใจดีขนาดนั้นน้าาา

ขอบคุณสำหรับของขวัญวันเกิดและคำอวยพรย้อนหลังนะคะคุณชาล เราเองก็อยากจะขอให้คุณชาลมีสุขภาพแข็งแรง หายจากแพนิคสักที จะพยายามเป็นบี๋ที่ดีที่น่ารัก เราอยากเป็นบี๋ที่คุณชาลคุยด้วยหรืออะไรก็ตามแล้วสบายใจ รักและเทคแคร์นะคะ :กอด1:  :L2:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 47 : 07/7/2018 ] หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 07-07-2018 23:59:53
มมาพร้อมปืนนนน 555
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 47 : 07/7/2018 ] หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 08-07-2018 00:55:53
แหมมมมม สมปอง ! แค่พี่หยามนั่งลงก้นแตะพื้นก็ทำให้ตัวเองดูมีอำนาจเพิ่มขึ้นหนึ่งระดับสินะ ภูมิใจสิท่า  o13 o13 o13 o13
..
...
....
ไอ้เสียงปัง!!สุดท้าย ไม่ใช่พ่อเอ็งปืนลั่นใส่ตัวเองหรอกรึสมปอง 55555  :call: :call:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 47 : 07/7/2018 ] หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 08-07-2018 01:48:18
ทำไมอ่านตอนนี้แล้วมีซาวด์ ใครมีปืนเถื่อน~
ขึ้นมาในหัวอ่ะ 555
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 47 : 07/7/2018 ] หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 08-07-2018 03:33:37
เสียงปืนนัดสุดท้าย นี่มัน.......  :heaven
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 47 : 07/7/2018 ] หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 08-07-2018 05:10:53
 :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 47 : 07/7/2018 ] หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 08-07-2018 09:30:51
ถึงเวลา สารภาพ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 48 : 14/7/2018 ] หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 14-07-2018 20:50:54
บทที่ 48 ไดอารี่ของสมปอง



[บันทึกพิเศษ : สยาม]



ชีวิตผมเคยรู้สึกว่าตัวเองใกล้ตายอยู่ 3 ครั้ง

ครั้งแรกคือขับรถเครื่องตกคลองที่ลำปาง

ครั้งที่สองคือตกบันไดที่ตึกคณะ

ครั้งที่สาม....คือตอนนี้นี่แหละ

ผมกลืนน้ำลายมองปืนในมือของพ่อสมปองอย่างหวั่นใจ เมื่อกี้ีมีการยิงไล่นกโชว์ด้วย สิ่งที่ผมได้ยินตามหลังมาจากที่เขายิงเสร็จก็คือเสียงของน้องที่แหกปากเรียกชื่อผมดังลั่น เจ้าตัวคงคิดว่าผมอาจจะโดนพ่อตัวเองยิงสินะ เอาจริงๆ ตอนนี้ผมก็ทำตัวใจดีสู้เสืออยู่ ใจก็คิดนะว่าถ้าโดนยิงตายที่นี่แล้วจะเป็นยังไงต่อ

ก็คงตาย

ปองคงเสียใจน่าดูเลยถ้าผมตาย ไหนจะครอบครัวผมอีก บรรดาเพื่อนๆ อีก ทุกคนต้องโซแซดกับการจากไปของสยามแน่นอนอะ ผมเพิ่งอายุ 20 เองนะ นี่ต้องมาจบชีวิตลงเพราะโดนพ่อแฟนยิงตายจริงๆ เหรอวะ

อา....คิดแล้วสงสารตัวเองจัง

"คุณลุง....มีอะไรจะคุยกับผมหรอครับ"

"ดูแลสมปองน่ะเหนื่อยไหม"

"มันก็.....เหนื่อยครับ" ผมยอมรับไปตามตรงก่อนจะยิ้มบางๆ "แต่มันไม่ใช่เรื่องที่ผมจะทำไม่ได้"

"งั้นหรอ" พ่อปองยกยิ้มมองผม "แล้วถ้าข้าบอกเอ็งว่าข้าไม่ยกลูกชายให้ล่ะ"

"ยกให้เถอะครับ"

"ทำไมข้าต้องยกสมปองให้เอ็งด้วย"

"เพราะผมรักสมปองครับ" ผมเอ่ยบอกอย่างจริงจัง "ช่วงที่ผ่านมาผมมีเรื่องที่ต้องทำให้น้องเสียใจ แต่ว่าผมจะไม่ทำให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีกแล้ว"

"ถึงเอ็งจะพูดอย่างนั้น แต่ถ้าข้าไม่ยอมยกลูกข้าให้ เอ็งจะทำยังไงต่อ"

"ผมจะทำทุกอย่างเพื่อให้คุณลุงใจอ่อนยอมยกปองให้ ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ผมก็จะอดทนรอครับ"

"แล้วถ้าข้าไม่มีวันใจอ่อนล่ะ"

"ผมคิดว่ามันต้องมีวันที่คุณลุงใจอ่อนแน่นอนครับ"

"มั่นใจจังเลยนะ อา....ยิ่งเห็นแล้วยิ่งรกหูรกตา" พ่อปองยกปีนขึ้นมาจ่อผม "ยิงทิ้งเลยดีไหม"

ผมมองปากกระบอกปืนที่อยู่ตรงหน้านิ่งๆ "......"

"คิดว่าข้ากล้ายิงเอ็งไหมไอ้หนุ่ม"

"คิดว่ากล้าครับ"

"คิดถูก"

ปังงงง

ผมเซทันทีที่เสียงนั้นสงบ รู้สึกได้ถึงหยาดเลือดที่ไหลออกมาจากต้นแขนซ้าย ผมยกมือขึ้นกดแผลตัวเอง ความรู้สึกชาๆ นี้มันคืออะไร การที่เลือดไหลแบบนี้มันหมายความชัดเจนว่ากระสุนถูกแขนผมแน่นอน ไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงไม่รู้สึกเจ็บแบบที่ควรจะรู้สึก ผมไม่เคยโดนยิงหรอก แต่ที่เคยเห็นคือมันน่าจะต้องเจ็บบ้างไหมวะ อย่างน้อยมันก็ต้อง....

อึกก.ก.ก....เชี่ยยยย

มันเจ็บครับ

มันเจ็บมากโว้ยยยยยยยยยยย

"อื้ออ.อ.อ....." ผมกัดฟันเพื่อข่มความเจ็บที่โถมเข้ามาที่ต้นแขนซ้าย เซลล์ประสาทดีเลย์เหรอวะถึงได้เพิ่งเจ็บ โหยยยย โดนยิงนี่ต้องเจ็บขนาดนี้เลย

โหหหห

"สีหน้าดูเจ็บปวดดีนะ" คนตรงหน้าลดปืนลงก่อนจะหยิบสมุดสีขาวที่เหน็บอยู่ข้างตัวขึ้นมา "รู้ไหมว่านี่คืออะไร"

ผมส่ายหัวเบาๆ "ไม่รู้ครับ"

"มันเป็นข้อตกลงที่ข้าทำไว้กับสมปอง นั่นก็คือการให้เค้าได้เขียนไดอารี่เพื่อเล่าเรื่องราวช่วงเวลาที่เรียนวิศวะฯ ซึ่งเป็นคณะที่ตัวเองเลือกที่จะเรียน เหตุผลมันก็เยอะกว่านี้ล่ะนะ ค่อยลองไปถามสมปองเอาเองละกัน" พ่อปองบอกก่อนจะเปิดสมุดเล่มนั้นแบบผ่านๆ "เอ็งบอกว่าเอ็งไม่รู้ ก็แปลว่าไม่เคยเห็นมันเลยสินะ"

"ไม่เคยครับ ปองไม่เคยเล่าอะไรให้ผมฟัง"

"หึ....ก็ไม่แปลกหรอกนะ เล่นด่าเอ็งเต็มสมุดเลยหนิ สิ่งที่ข้าจะบอกเอ็งก็คือ....ทุกหน้าในสมุดเล่มนี้เป็นเรื่องของชีวิตสมปองที่มีเอ็งอยู่ด้วยเต็มไปหมด ตั้งแต่หน้าแรก จนถึงหน้าปัจจุบัน ทุกเหตุการณ์ไม่ว่าจะเป็นวันปฐมนิเทศฯ ที่เอ็งไปล้อชื่อสมปอง วันที่เอ็งหลอกหอมแก้มในโรงอาหาร วันที่ไปดูหนังด้วยกัน วันที่เป็นแฟนกัน วันที่ไปค่าย หรือจะเป็นช่วงเวลาที่ทะเลาะกัน"

"สมปอง....เขียนไว้ทั้งหมดเลยหรอครับ"

"ใช่ ราวกับว่าเอ็งเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต"

....ส่วนหนึ่งในชีวิตงั้นเหรอ

ผมหลุดยิ้มออกมาทันทีที่พ่อปองพูดจบ ไม่น่าเชื่อเลยว่าสิ่งที่ได้ยินนี่มันจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดที่กำลังเผชิญอยู่ได้ ผมรู้สึกดีนะที่ได้รับรู้เรื่องสมุดไดอารี่เล่มนั้นน่ะ ไม่เคยรู้เลยครับว่าน้องเขียนมันมาตลอดตั้งแต่วันที่เราเจอกัน เขาต้องแอบผมเขียนแน่เลย ผมถึงไม่เคยเห็น ก็อาจจะใช่ ตอนนี้ถ้ามีบางสิ่งบางอย่างที่อยากจะทำคงจะเป็นการพุ่งไปกอดน้องแน่นๆ

อีกอย่างคง....ทำแผลที่แขน

เลือดมันอาบไปหมดแล้วครับ

พ่อปองเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะยกมือขึ้นแตะไหล่ผมเบาๆ "ที่ข้ายิงเอ็งนั่นเพราะข้าโกรธที่เอ็งทำให้ลูกข้าเสียใจ ทำให้เค้าร้องไห้ และถ้ามีเรื่องแบบนั้นอีก ครั้งหน้าข้าจะไม่ยิงเอ็งที่แขน"

"....ผมจะไม่ให้ปองเสียใจอีกแล้วครับคุณลุง"

"เอ็งจำคำพูดของเอ็งไว้ให้ดีก็แล้วกัน" เขายกยิ้มก่อนจะหันหลังให้ผม "ไปให้สมปองทำแผลให้ซะไป"

"แล้วเรื่องของผมกับปอง...."

"ถ้าเอ็งเลือดหมดตัวตายไปตอนนี้ เอ็งก็ไม่ได้ลูกข้าหรอกนะ....ข้าไม่ได้เป็นคนใจร้ายที่เห็นลูกมีความสุขแล้วจะคอยขัดขวาง แต่สำหรับบางอย่างมันต้องใช้เวลาที่จะยอมรับ ไปจัดการตัวเองซะ แล้วค่อยว่ากันอีกที...." พ่อปองเหลือบมามองผม "ข้าชอบแววตาและน้ำเสียงที่จริงจังของเอ็งนะ....มันทำให้ข้ารู้สึกได้ว่า ถ้าจะฝากเด็กซื่อบื้ออย่างสมปองไว้กับเอ็งล่ะก็ ข้าคงไม่ผิดหวัง"

ผมยกมือไหว้เขา "ขอบคุณนะครับ....ขอบคุณ"

"เออ ไปหาปองได้แล้ว"

"ครับ" ผมรับคำก่อนจะหันหลังเดินมาจากตรงนั้นทันที ซี๊ด.ด.ด.ด....ทั้งรู้สึกเจ็บทั้งรู้สึกดี แม่งเป็นอะไรที่ปะปนกันไปหมดเลยว่ะ

คำที่คุณลุงพูดนั่นทำให้ใจชื้นขึ้นเยอะเลยนะครับ ผมคิดว่าเขาน่าจะยอมรับในความรักของผมกับสมปองนะ แต่ก็ขอแค่เวลาเท่านั้นแหละ ผมเข้าใจเรื่องนี้ดี มันไม่ใช่ทุกบ้านที่จะรับได้กับเรื่องแบบนี้ เอาจริงๆ โดนยิงแค่ถากๆ นี่ก็เป็นบุญหัวผมมากแค่ไหน ถ้าเป็นลูกชายบ้านอื่นแล้วพ่อโหดๆ แบบสายโหดจริงๆ นี่ผมกลายเป็นปุ๋ยไปละ

แต้มบุญยังพอเหลืออยู่สินะสยามเอ๊ย

"พี่สยามมมม"

ผมมองตามเสียงก็เห็นสมปองที่ถูกพี่ณนนท์กับพี่พะนายรั้งเอวไว้อยู่ สายตาของน้องมองผมอย่างตกใจ คงเป็นเพราะว่าเห็นเลือดอาบแขนแบบนี้ล่ะมั้ง

"ปอง"

"พวกมึงปล่อยกูนะ กูจะไปหาพี่สยาม" น้องดิ้นจนหลุดก่อนจะรีบวิ่งเข้ามาหาผม "เลือดดดด เลือดเต็มเลย เสียงปืนนั่น....พ่อยิงมึงหรอ"

ผมพยักหน้ารับเบาๆ "นิดหน่อยน่ะครับ"

"นิดหน่อยอะไรเล่า เลือดออกเยอะขนาดนี้ แล้วทำไมมึงถึงไม่วิ่งหนีไปห้ะ มึงยอมปล่อยให้ตัวเองโดนพ่อยิงทำไม" คนตรงหน้าโวยใส่พลางเบะปากจนสุด น้องหน้าเสียมากเลยครับ คงเป็นห่วงผมมากนั่นแหละถึงได้แสดงทีท่าแบบนี้ออกมา

น่ารักจัง

"ก็....." ผมรั้งสมปองเข้ามากอด "อยากได้ลูกชายเค้าหนิ จะวิ่งหนีได้ยังไง"

"แต่เค้าจะยิง มึงก็ต้องหนีไหมล่ะ ถ้ามึงตายขึ้นมามึงก็ไม่ได้ลูกชายเค้าหรอก" น้องกอดผมแน่นพลางพึมพำเบาๆ

"ไม่ตายง่ายๆ หรอกน่ะ" ผมลูบหัวเจ้าตัวเบาๆ "ถ้ากูตายใครจะดูแลมึงล่ะ....จริงไหม"

"จริง มึงต้องอยู่ดูแลกูไปตลอดทั้งชีวิต....เข้าใจไหมพี่สยาม"

เข้าใจสิ....เข้าใจดีเลย

"ตลอดชีวิตครับปอง"

"สัญญาก่อน...."

"ครับ....สัญญา"



[จบบันทึกพิเศษ : สยาม]



ผมงอนพ่อมาก

งอนมากในมากด้วย

ผมนั่งทำหน้ายู่ยี่อยู่บนเตียงในห้องนอนของตัวเอง ตอนนี้พี่สยามมันหลับอยู่ครับ เนี่ยะ ผมบอกแล้วว่าให้นอนที่โรงพยาบาลสักวันก็ไม่เชื่อ ห้าวไง ไม่เป็นไรครับปอง พี่ขอนอนที่บ้าน เป็นไงล่ะมึง ไข้แดกเลยไง ไม่ได้ไข้แดกธรรมดานะ ไข้แดกหนักมาก ผมว่ามันน่าจะเพราะแผลที่โดนยิงนั่นแหละ กลัวมันจะอักเสบหนักแล้วลามไปเป็นโน่นเป็นนี่จนต้องตัดแขนทิ้งจริงๆ

ลองนึกภาพพี่สยามไม่มีแขนข้างนึงสิ

รู้สึกแปลกๆ เลยเนอะว่าไหม

ผมหันไปหยิบผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้คนที่หลับอยู่เบาๆ กินยาไปแล้วนะก่อนที่จะนอนน่ะ แต่ตัวยังร้อนอยู่เลย ผมได้แต่หวังว่าพรุ่งนี้มันจะดีขึ้น เสียงปืนที่ได้ยิงสองนัดนั่นทำเอาผมใจหายมากเลย กลัวพี่สยามตายอะ นี่ดีแค่ไหนที่มันโดนยิงแค่ถากๆ แต่พ่อก็นะ....ผมไม่คิดว่าเขาจะยิงพี่สยามจริงๆ อะ

จะโหดไปไหนก็ไม่รู้

พ่อผมน่ะยิงปืนแม่นมากเลยนะ ผมรู้ว่าพ่อตั้งใจให้ยิงโดนแค่ถากๆ ส่วนเหตุผลนั้นก็ไม่รู้ว่าทำไมแต่คิดได้ว่าคงมีแน่นอน ผมว่าการที่พ่อปล่อยให้พี่สยามมาหาผม ปล่อยให้ผมพามันไปโรงพยาบาล ปล่อยให้กลับมานอนที่บ้าน ปล่อยให้นอนในห้องผมด้วย มันก็พอทำให้คิดได้ว่าพ่ออาจจะยอมรับเรื่องของเราก็ได้นะ

หรือไม่ยอมรับวะ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก


ผมหันมองไปตามเสียงเคาะ "ไม่ได้ล็อกครับ" สิ้นเสียงที่ผมบอก ร่างสูงของคุณพ่อสุุดที่รักก็เดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

หึ.....

"อาการไอ้หนุ่มเป็นไงบ้างล่ะ"

"ก็อย่างที่พ่อเห็น" ผมหันไปทำหน้ามุ่ยใส่ "ทำไมถึงยิงแฟนลูกแบบนี้ล่ะครับ"

"พ่อมีเหตุผลของพ่อ"

นั่นไง....เป็นแบบที่คิดไว้เป๊ะ

"ลูกไม่รู้หรอกนะครับว่าพ่อยิงพี่มันทำไม แต่ต้องขอบคุณพ่อเหมือนกันที่ไม่ยิงมันจนตาย แถมยังใจดีให้อยู่ที่นี่ต่ออีก" ผมเดินเอาผ้าขนหนูไปตาก

"ให้อยู่แค่ไม่กี่วันหรอกนะ"

ผมหันไปเบะปากใส่พ่อทันที "ทำไมล่ะครับพ่อ"

"อีกไม่กี่วันก็ต้องกลับไปเรียนแล้วไม่ใช่หรอ หรือจะเลิกเรียนแล้ว ก็ได้นะ กลับมาช่วยพ่อปลูกองุ่น"

"โนวๆ ๆ ๆ ๆ " ผมส่ายหน้ารัวๆ ก่อนจะเดินกลับมานั่งพี่สยามเหมือนเดิม "ยังอยากเป็นนักศึกษาอยู่ครับ ไว้พร้อมจะเป็นชาวไร่เมื่อไหร่ เดี๋ยวจะกลับมาเอง"

"กวนประสาทนักนะ" พ่อยื่นสมุดไดอารี่มาให้ผม "ถ้าไอ้หนุ่มมันฟื้นก็ยกข้าวขึ้นมาให้มันกินด้วยล่ะ พ่อไม่อยากให้ใครมาตายในไร่พ่อ"

"นี่ขนาดไม่อยากให้ใครตายนะ"

"ใช่สิ เพราะถ้าอยากให้มีคนตายจริงๆ ร่างที่นอนอยู่ตรงหน้าลูกต้องไร้ลมหายใจแล้วล่ะ"

อา....ความขนลุกนี้มันคืออะไรกัน

"อย่าพูดจาน่ากลัวแบบนั้นสิครับ" ผมเลื่อนมือไปจับมือพ่อไว้ "ว่าแต่เรื่องของลูกนี่...."

"พ่อไปทำงานต่อละ" ว่าแล้วพ่อก็เดินหนีออกไปจากห้องทันที

แบบนี้ก็ได้เหรอ

เฮ้อ...

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเลื่อนมือไปกุมมือพี่สยามไว้ จะฟื้นกี่โมงก็ไม่รู้เนี่ย แต่จะว่าไปมันก็หลับมาหลายชั่วโมงละนะ ผมนี่นั่งเล่นนอนเล่นอยู่ข้างมัน มันก็ยังไม่ตื่นเลย นี่ก็จะ 5 โมงละ ผมควรปลุกพี่สยามก่อนไหมแล้วค่อยให้มันนอนต่อตอนกลางคืน

"อืม.มม.....ปอง"

คงไม่ต้องปลุกแล้วล่ะ

"พี่สยาม" ผมมองคนตรงหน้าที่เพิ่งลืมตาขึ้นมา สีหน้าซีดๆ ของเจ้าตัวเปื้อนยิ้มทันทีที่เห็นผม ไงล่ะ ดีใจล่ะซี้ที่ตื่นมาแล้วได้เจอสมปองคนคิ้วท์น่ะ

นี่เป็นสิทธิพิเศษเฉพาะคนได้เป็นแฟนเท่านะครับ

คนอื่นนี่ไม่มีสิทธิ์อะบอกเลย

"สมปอง"

"ใช่ ไอแอมสมปอง" ผมเลื่อนมือขึ้นไปอังหน้าผากพี่มัน "ไข้มึงไม่ลดเลยนะพี่สยาม ดื้อยาหรอ"

มือเรียวคว้ามือผมไปจุ๊บเบาๆ "กูรักมึงนะ"

"เดี๋ยวๆ อะไรของมึงเนี่ยะ" อยู่ดีดีก็มาบอกรักเฉยเลย นี่ต้องเขินจนตัวบิดไหมเนี่ยะ

"กูพูดจริงๆ หนิ พ่อมึงเล่าให้กูฟังแล้วนะเรื่องไดอารี่ที่มึงเขียนน่ะ"

ผมมองมันตาโตทันที "จริงอะ แล้วพ่อกูบอกอะไรบ้าง"

"เค้าบอกว่ามึงเขียนด่ากูไว้เต็มเลย"

ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ชิบหายละ

"เอ่อ....ไม่จริ้งงงง พ่อกูอำมึงแล้ว" ผมเอื้อมมือจะไปคว้าสมุดไดอารี่แต่พี่สยามมันชิงหยิบไปก่อน เฮ้ยูวววว ทำแบบนี้ไม่ได้น่ะ

"อื้ออ.อ.อ...หืม.มม....ด่ากูจริงๆ ด้วย" เจ้าตัวเอ่ยก่อนจะเหลือบมองผม "ไว้กูหายก่อน มึงโดนลงโทษแน่เมีย"

"ไม่โว้ยยยย" ผมเบ้ปากใส่ก่อนจะคิดหาทางแย่งสมุดไดอารี่มา คือจะไปยื้อยุดฉุดกระฉากมาก็ไม่ได้ไง กลัวมันขาดเอา อีกอย่างคือเดี๋ยวแผลพี่สยามมันจะระบมหนักกว่าเดิม

อา....ผมคิดออกละว่าจะแย่งมายังไง

"....วันนี้ก็ด่ากูด้วย"

"พี่สยาม"

".....หืม" ทันทีที่พี่มันรับคำผมก็ก้มหน้าลงไปจูบปากมันเบาๆ คนโดนจูบมองผมตาโต มันคงจะตกใจล่ะมั้ง ผมอาศัยจังหวะนั้นดึงสมุดไดอารี่ออกมาจากมือพี่สยามแล้วผละออกมา

เสร็จปอง

"เป็นคนเจ็บก็อยู่ให้มันนิ่งๆ รู้ไหม" ผมเก็บสมุดไดอารี่ใส่ตู้เสื้อผ้าก่อนจะล็อกไว้ "ไว้หายก่อนแล้วค่อยมาอ่าน"

"อยากอ่านตอนนี้อะ"

"ไม่ได้ อย่ามาดื้อ" ผมบอกก่อนจะเดินมาเอนตัวนอนลงข้างๆ มัน "ยังไง....มึงก็ต้องได้อ่านมันอยู่แล้วล่ะสมุดเล่มนั้น"

จะว่าไป....ไดอารี่ของผมเนี่ยะ มีแต่เรื่องของมันทั้งนั้นเลยนะ คือเวลาที่เขียนมันก็คนละวันไง ตอนที่เขียนก็ไม่ได้คิดหรอกว่าทุกเรื่องจะมีพี่สยามเข้ามาเกี่ยวข้องน่ะ ผมไม่เคยย้อนกลับไปอ่านสิ่งที่ตัวเองเคยเขียนเลยนะ ถ้าพ่อไม่บอกผมก็ไม่รู้เหมือนกัน คิดๆ แล้วก็ตลกดีนะ ตอนที่เจอหน้ามันครั้งแรกก็ไม่ได้ถูกชะตาเลยสักนิด แล้วสุดท้ายเป็นไง

ก็ได้กัน

บ้าบอชะมัด

"สมปอง" พี่สยามหันมองมาผม "ขอบคุณนะครับ....สำหรับทุกๆ อย่าง"

ผมหลุดยิ้มก่อนจะเลื่อนมือไปกุมแก้มเจ้าตัวไว้ "กูก็ต้องขอบคุณมึงเหมือนกันในหลายๆ อย่าง มึงต้องรีบๆ หายนะ กูมีหลายที่ในไร่ที่อยากจะพามึงไปดู อยากพามึงไปดูสมหยัมด้วย"

"สมหยัม"

"ลูกของกูกับมึงไง" ผมซุกหน้าลงกับไหล่พี่สยาม "กูเป็นคนตั้งให้เอง"

"ลูก....นี่มึงท้องตอนไหนเนี่ยะ"

"โถ่พี่สยามไอ้ติ๊งต๊อง ลูกนี่คือลูกม้าโว้ย กูตั้งชื่อให้มันเหมือนมีชื่อมึงกับกูผสมกันอยู่ กูเลยโมเมว่าเป็นลูกของเรา ทำไม มึงไม่อยากมีลูกกับกูล่ะสิ เอ้ออออ งั้นสมหยัมเป็นลูกกู มึงไม่ต้องมาเกี่ยว" ผมทำท่าจะทันหนีแต่พี่สยามมันดึงไว้ก่อน

"โอ๋นะครับเมีย ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย แค่ถามเฉยๆ ไหมเนี่ยะ " เจ้าตัวเอ่ยเสียงอ่อนก่อนจะยิ้มบางๆ ให้ผม "เดี๋ยวจะรีบหายนะครับ จะได้ไปดูลูกกัน"

"ดีมาก" ว่าแล้วผมก็ยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มขาวเบาๆ เอาใจมันหน่อยครับมันจะได้รีบหาย

ผมว่าอีกสองสามวันมันน่าจะอาการดีขึ้น แล้วพอมันหายเนี่ยะ ผมก็จะพามันไปน้ำตกที่ท้ายไร่ พาไปหาสมหยัม พาไปขโมยผลไม้ในไร่ของพ่อกิน ไม่ดีกว่า เพราะถ้ามันทำแบบนั้นมันอาจจะโดนพ่อยิงอีกรอบก็ได้ ดีไม่ดี ผมก็อาจจะโดนพ่อยิงด้วย งั้นเอางี้ เรื่องผลไม้เดี๋ยวให้พะนายไปขโมยมาให้ แจ่มมมม แผนการนี้โคตรผ่าน

จะให้ขโมยมาสักสามกระบุง

"อย่าทำหน้าชั่วแบบนั้นสิปอง ใจคอไม่ดีเลย"

"มึงนี่มัน...."

น่าจับคอมาเขย่าๆ ๆ ๆ ๆ

หึ้ย.ย.ย....










TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งหยัมปองแล้วนะคะ ขอโทษด้วยที่เลทมาวันนึงมันเป็นเพราะว่าอาการป่วยเดิมๆ ที่ยังไม่หาย มันก็เลยรู้สึกแย่มาก ช่วงนี้เหนื่อยมากกว่าปกติด้วย สภาพร่างกายจะไม่โอเคเลย บี๋ก็ดูแลสุขภาพตัวเองด้วยนะคะ อากาศมันเปลี่ยนแปลงบ่อยเนอะ

อีกไม่กี่ตอนก็จะจบแล้วนะคะสำหรับนิยายเรื่องนี้ ยังมีคำพูดแะก็ประโยคหลายๆ อย่างที่ยังไม่ได้ใส่ลงไปนะ ก็ต้องรอติดตามกันต่อไป ช่วงนี้มันเป็นช่วงเดือนสุดท้ายที่ชาลจะฝึกงานเสร็จ มันก็มีงานเยอะมากๆ และชาลต้องรีบทำ บางทีอาจจะไม่ว่างและก็ไม่สามารถที่จะแต่งนิยายลงตามตารางได้นะคะ แต่ว่าต่อให้ไม่ลงตามวัน แต่ชาลจะลงอาทิตย์ละ 1 บทแน่นอนนะ ก็อดใจรอกันหน่อยนะคะ

ถ้าชอบก็กดไลค์ คอมเม้นต์ เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis นะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 48 : 14/7/2018 ] หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 14-07-2018 21:55:33
เราคิดว่าเราเข้าใจความหมายของชื่อเรื่องแล้วล่ะในตอนนี้ มันบอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไงแต่มันอุ่นๆในใจมาก แบบเหมือนตอนนี้ทำให้เรารู้แล้วว่าตลอดมานิยายเรื่องนี้คือไม่ได้มีแต่ความสนุก ความฮาของตัวละครแต่มันคือการเล่าให้ฟังว่าชีวิตของคนๆนึงตั้งแต่วันแรกที่ได้เข้าไปเหยียบในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยแต่กลับได้รู้จักมิตรภาพและได้ใครอีกคนเข้ามาในชีวิต แม้จะไม่ชอบหน้ากันในครั้งแรกที่ได้พบแต่กลับอยู่ด้วยกันตลอดมาจนถึงปัจจุบัน เขาคือ 'ส่วนหนึ่งในชีวิต' ของเรา

ไม่รู้จะบอกว่าสมปองโชคดีหรือพี่สยามโชคดีกันแน่ เอาเป็นว่าทั้งคู่โชคดีที่ได้มีกันและกันเนอะ

เรื่องนี้ให้อะไรกับเราหลายอย่างมาก ช่วยสอนให้ใช้ชีวิตด้วย(ไม่ได้เว่อร์นะ แต่มันคือความจริง หลายอย่างในเรื่อง เช่น ตอนที่ทั้งคู่เงียบใส่กันแล้ววันนึงพี่สยามดันหลุดตะคอกน้อง ทั้งๆที่น้องพยายามใจเย็นแล้ว คือเอามาใช้ในชีวิตได้เลยอ่ะ ส่วนตัวเป็นคนแบบหงุดหงิดนิดหน่อยก็ขึ้นเสียงแล้ว แต่พอได้อ่านก็เข้าใจว่าเออ อีกฝ่ายเขาก็เสียใจเนอะที่อยู่ๆเราจะไปขึ้นเสียงใส่เขา)

ขอบคุณคุณชาลมากๆนะคะ ที่แต่งนิยายเรื่องนี้ ไม่รู้จะตอบแทนยังไงอ่ะ เวลาเห็นคุณทวิตว่าป่วยหรืออย่างเมื่อเช้า เราก็อยากจะช่วยคุณ อยากทักไปคุยกับคุณแต่ก็กลัวจะรบกวน ยังไงถ้าไม่สบายใจทักมาหาเราได้นะคะ จะตอบทันทีเลย555555 หายป่วยไวไว ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ อย่าโหมงานหนักน้าาา รักและเทคแคร์นะคะ :กอด1: :L1: :L2:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 48 : 14/7/2018 ] หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 14-07-2018 23:43:10
เรื่องนี้จริงๆแล้ว พี่หยัมเป็นคนที่มั่นคงหนักแน่นในความรักสมปองมากนะ
ไม่เคยแม้แต่จะเหลียวมองใคร ไม่มีการนอกกายนอกใจไปกับคนอื่นเลย
ส่วนความผิดครั้งล่าสุด พอจะเข้าใจในเหตุผลอยู่ ที่โกหกเพราะไม่อยากให้คนรักไม่สบายใจ
ก็สมควรแล้วที่สมปองจะยอมยกโทษให้ได้ไม่ยากเมื่อรู้และเข้าใจในเหตุผลที่แท้จริง

ในชีิวิตจริงของคนเราก็คงจะไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า..ไม่เคยจะพูดโกหก ใช่ไหม
เพราะบางครั้งเราก็ยอมจะพูดโกหกออกไป..แต่มันเพียงเพื่อเจตนาดี บริสุทธิ์ใจ
เป็นคำโกหกสีขาว ไม่มีเจตนาร้ายแอบแฝงชั่วร้ายตามมาทีหลัง

ดีใจที่ทั้งพี่หยัมและน้องปองสมหวังกับความรักครั้งนี้
เพราะทั้งคู่เป็นคนรักที่ดีต่อกัน ความรักจึงงอกเงยอย่างสวยงาม

ขอบคุณคนแต่งฮับ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 48 : 14/7/2018 ] หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 15-07-2018 00:48:59
อยากเจอหลานสมหยัมแล้ว  :o8:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 48 : 14/7/2018 ] หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 15-07-2018 01:00:44
น้องปองน่าร้ากกก
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 48 : 14/7/2018 ] หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 15-07-2018 12:43:16
น้องปองงงง พี่หยามมมมม :mew1:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 48 : 14/7/2018 ] หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 15-07-2018 13:21:37
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 48 : 14/7/2018 ] หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 15-07-2018 17:32:40
สมหยัม
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 48 : 14/7/2018 ] หน้า 8
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 16-07-2018 00:32:29
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 49 : 21/7/2018 ] หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 21-07-2018 21:03:43
บทที่ 49 ช่วงเวลาพิเศษ



"อื้อออ.อ....อย่ายุ่ง"

สมปองจะนอน

"ตื่นได้แล้ว"

ตื่นหน้ามึงอะ

"อื้อ.อ.อ....." ผมพลิกตัวหนีก่อนจะซุกเข้ากับหมอนข้าง "จะนอน"

"เช้าแล้วนะ ตื่นได้แล้ว"

ผมลืมตามองท้องฟ้าด้านนอกที่ยังมืดสนิทก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มากดดูเวลา "เพิ่งตี 5 พี่สยาม มึงอย่ามามโนว่ะ"

ตบให้หลับลืมโลกเลยหนิ

"ตื่นเร็วววว" พี่สยามขยับขึ้นมาก่ายตัวผม ก่อนจะกดจมูกลงคลอเคลียอยู่ข้างแก้ม ".....ที่รักครับ"

หึ....ไอ้นี่มันร้าย

"อื้อออ.อ....หนัก มึงต้องให้กูนอนต่อนะที่รัก กูง่วง" ผมบ่นอู้อี้ ตาก็ยังปิดอยู่ ทำไมจะต้องมาโดนก่อกวนตอนตี 5 ของวันที่อากาศดีแบบนี้ด้วยวะ

นี่ไม่ติดว่ามึงเป็นแฟนกูนะพี่สยาม....มึงโดนเนรเทศไปคอกม้าแล้ว

ผมนอนนิ่งๆ บ่อยให้คนหื่นกามทำตามอำเภอใจ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมจะยุ่มย่ามกับผมตั้งแต่เช้ามืดแบบนี้ คึกอะไรวะ ผมว่าที่มันร่าเริงแต่เช้าแบบนี้น่าจะเป็นเพราะว่ามันกำลังจะหายดีแน่ๆ พี่สยามกบดานอยู่ในห้องผมตั้ง 2 วันแบบไม่ได้ออกไปไหนเลยเพื่อพักรอแผลหาย เอาจริงๆ ผมเป็นคนสั่งมันเองแหละ ใจก็อยากให้มันหายดีก่อนไงจะได้พาไปทัวร์ไร่แบบไม่ต้องเป็นห่วง

ไงล่ะ....โคตรแฟนที่ดี

2 วันมานี้ไม่มีใครมาวอแวผมเลยนะซึ่งมันก็เป็นเรื่องดี มีแต่ผมเนี่ยะไปวอแวชาวบ้านโดยเฉพาะพ่อกับณนนท์ เมื่อวานไปป่วนในไร่มาครับ แอบขโมยองุ่นมาให้พี่สยามได้พวงนึงด้วย พี่มันก็ดูชอบใจกับองุ่นนั่นมากเลยนะ กินหมดพวงเหมือนเด็กที่ไม่เคยกินองุ่นมาก่อนยังไงอย่างงั้น แถมหน้าตอนกินแม่งโคตรคิ้วท์เลย

ผมถ่ายรูปไว้เต็มโทรศัพท์เลยอะ

เดี๋ยวเอาไว้ไปลงเฟซบุ๊ก

จะว่าไป....วันนี้ผมมีนัดกินข้าวเช้ากับพ่อแม่ด้วยนะตอน 7 โมง ที่พี่สยามมันตื่นเร็วก็อาจจะเป็นเพราะเรื่องนี้ก็ได้มั้ง แต่แหม่ มันจะตื่นไวไปไหมล่ะโว้ย เหลือเวลานอนอีกตั้งพักนึงแน่ะ สัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่รดหน้าอยู่ผมจึงลืมตาขึ้นมามองก็พบกับหน้าของพี่สยามที่มองผมอยู่นิ่งๆ มือเรียวเลื่อนขึ้นมาเขี่ยผมที่ปรกหน้าผมออกก่อนจะยิ้มบางๆ ให้

ตึกตัก

อา....ใจเต้นแรงเฉยเลยว่ะ

ผมยกมือขึ้นไปกุมแก้มขาวของพี่สยามไว้พลางไล่มองหน้ามันอยู่แบบนั้น เหมือนห่างช่วงเวลานี้มานานเลยนะ ช่วงเวลาที่ตื่นมาแล้วได้เจอหน้ากัน ได้มองหน้ากันแบบนี้น่ะ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ผมก็คงจะปล่อยให้เรื่องพวกนั้นเกิดขึ้นอยู่ดีแหละ เพราะว่าหลายๆ บทเรียนที่เราได้รับจากตรงนั้นมันก็คุ้มค่าที่จะเอามาสอนเราให้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในวันข้างหน้าได้อะ

ในอนาคตไม่ว่าจะเกิดอะไร

ผมคงไม่ต้องหวั่นใจแล้วล่ะ

"สมปอง"

"....หืม"

"หน้ามึงดูบวมๆ ขึ้นนะ"

ผมบีบแก้มมันจนปากจู๋ "มึงอยากตายหรอห้ะ พูดแบบนี้"

"ก็พูดจริงนี่นา" พี่สยามยิ้มหวานก่อนจะจูบขมับผม "อยู่บ้านนี่กินเยอะน่าดูเลยสิ"

"กับข้าวแม่อร่อยนี่หว่า" ผมบ่นอุบอิบก่อนจะเลิกคิ้วมองพี่สยาม "ทำไม ถ้ากูอ้วนขึ้นแล้วมึงจะไม่รักกูรึไง"

"ไม่เคยพูดแบบนั้นเลย กูนี่รักใครก็ดูหน้าตาก่อนนะ ไม่ได้ดูที่เค้าอ้วนไม่อ้วน"

เดี๋ยวนะ....มันน่าจะดูที่จิตใจป้ะวะ

"พี่สยาม มึงรักกูที่หน้าตาหรอ"

"ก็....ใช่ มันก็ต้องใช่สิ เจอมึงครั้งแรกก็เห็นหน้าก่อน พอรู้ตัวว่าสนใจก็ตามยุ่งไง ทำไมอะ"

"กูนึกว่ามึงจะพูดทำซึ้งแบบ รักกูที่จิตใจอะไรงี้"

"โถ่เมีย ใครมันจะรู้ว่าจิตใจของคนอื่นเป็นไงถ้าไม่รู้จักกันก่อนจริงไหม อีกอย่างคือกูเห็นหน้ามึงก่อนจริงๆ อะ กูพูดไม่เข้าใจหรอ"

ผมส่ายหัวเบาๆ "ไม่อะ"

"งั้นช่างมันเถอะ กูพูดไม่ค่อยเก่งไง" ว่าแล้วมันก็จูบปากผมหนักๆ ทีนึงก่อนจะยิ้มหวาน "แต่รักหมดใจนะครับ"

"ไม่ต้องเลยไอ้บ้า คิดว่าตัวเองเป็นพี่กวาง เอบีนอมอลหรอวะ" ผมพลิกตัวหันหนีมัน ได้ยินเสียงหัวเราะของพี่สยามดังอยู่ข้างหู มันน่าทุบซะจริง

พรุ่งนี้ผมกับพี่สยามต้องกลับกรุงเทพฯ แล้วครับเพราะว่าวันมะรืนนี้ก็เปิดเรียนแล้ว อีกไม่กี่อาทิตย์ก็จะรับน้องแล้วด้วย แก๊งค์ประธานสันฯ คงหัวปั่นน่าดูเลยล่ะ ผมรู้มาว่าการรับน้องของวิศวะฯ เนี่ยะจะมีประเพณีวิ่งเกียร์ คือต้องวิ่งรอบมหา'ลัย 2 รอบ แล้วมหา'ลัยผมโคตรใหญ่ วิ่ง 2 รอบนี่ก็คงหนักเอาการเลยล่ะ

ต้องสู้นะปองนะ

พวกรุ่นพี่เขายังผ่านไปได้เลย ทำไมรุ่นพวกผมจะทำไม่ได้ล่ะจริงไหม ช่วงก่อนรับน้องผมไม่มีงานคณะต้องรับผิดชอบอะไรมากมายด้วย เนี่ยะ เดี๋ยวซ้อมวิ่งทุกวันเลย ถือว่าออกกำลังและก็ซ้อมความฟิตไปในตัว วันที่วิ่งจริงผมจะได้แข็งแกร่ง รู้สึกว่าพอวิ่งเสร็จเนี่ยะ ตอนเย็นก็จะเป็นพิธีบายศรีฯ แล้วก็มอบเกียร์

เกียร์ของคณะวิศวะฯ

"พี่สยาม" ผมพลิกตัวหันมามองมัน "กูถามอะไรหน่อยสิ"

"....ว่ามา"

"เกียร์มึงอยู่ไหนอะ"

"อ๋อ ไม่รู้ดิ"

ผมมองมันตาโต "ไม่รู้ได้ด้วยหรอวะ"

"กูจำไม่ได้แล้วว่าเอาไปเก็บไว้ไหน มึงถามทำไมอะ"

"ก็แค่อยากรู้เฉยๆ " เหมือนจะได้ยินมาว่าเด็กวิศวะฯ ส่วนมากจะดูแลรักษาเกียร์ของตัวอย่างดีเพราะว่ามันเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้เป็นของแทนใจ สงสัยผมจะเข้าใจผิดไปเอง หรือไม่ก็....

แค่พี่สยามนี่แหละที่ไม่เป็นแบบคนอื่น

ผมเห็นลันตาสวมสร้อยที่มีจี้เกียร์อยู่ติดคอตลอดเวลาเลยนะ ดูก็รู้แหละว่ามันเป็นของพี่ทะเล เด็กวิศวะฯ ส่วนมากนี่จะให้เกียร์กับคนที่ตัวเองรักเพราะมันเปรียบเสมือนหัวใจนี่นะ แล้วนี่ถ้าผมได้เกียร์มาผมต้องให้มันกับพี่สยามไหม แต่ตัวมันก็ยังไม่รู้เลยนะว่าเกียร์ตัวเองอยู่ไหน แล้วดูทรงแล้วก็ไม่ได้คิดที่จะให้ผมด้วย เพราะถ้าจะให้....ก็คงไปหามาให้นานแล้ว

นี่ต้องเศร้าไหม

เอาจริงๆ อะไรที่มันเป็นสิ่งของเนี่ยะ สำหรับผมมันไม่สำคัญเท่าการกระทำกับความรู้สึกที่มีให้กันหรอก ตราบใดที่มันยังทำตัวเป็นแฟนที่ดี เกียร์ไม่ต้องมีให้ผมก็ได้ ส่วนเกียร์ที่ผมจะได้มานั้นเดี๋ยวขอคิดดูก่อนว่าจะยังไงดี ผมกลัวว่าให้ไปแล้วมันจะเอาไปวางไว้ตรงไหนก็ไม่รู้ ถ้าเป็นแบบนั้นนี่ผมจะทุบมันให้ตายกันไปข้างนึงเลยคอยดู

"อย่ามาวางแผนฆ่ากูในใจ"

อย่ามาทำเป็นรู้ได้ไหมล่ะโว้ยยยย



[บันทึกพิเศษ : สยาม]



"ทำไมทำหน้าบูดแบบนั้นล่ะ"

"มึงไม่ต้องงงง"

"กูยังไม่ทันทำอะไรเลย"

"มึงไม่ต้องพี่สยาม มึงมีความลับกับกูอีกแล้ว กูโป้ง"

"ก็พ่อมึงสั่งว่าไม่ให้บอก" ผมขยี้หัวคนที่ตัวเล็กกว่าอย่างหมั่นเขี้ยว "อยากรู้ก็ไปถามพ่อเอาสิ"

"เค้าไม่บอกกูหรอก หื้ออ.ออ....อย่าเผลอนะ กูจะง้างปากมึงให้พูดออกมาให้ได้เลยคอยดู" สมปองทำมุ่ยใส่ผมก่อนจะเดินสะบัดไปอีกทาง

น่ารักชะมัด

ผมเดินตามน้องต้อยๆ พลางมองไร่องุ่นที่อยู่รายล้อม ตอนนี้เกือบ 10 โมงแล้วครับ ผมกับสมปองมาเที่ยวเล่นในไร่กัน วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่จะได้อยู่ที่นี่ แผลจากการยิงของผมก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บแล้วล่ะ เมื่อเช้าก่อนที่จะมาที่นี่ผมก็กินข้าวร่วมกับครอบครัวน้องมา ขอบอกเลยว่าโคตรบันเทิง แม่ปองใจดีกับผมมาก ส่วนฝ่ายพ่อก็ยังคงทำเก๊กใส่ผมอยู่ แต่เอาจริงๆ ที่เขาทำแบบนั้นเพราะอยากแกล้งลูกชายตัวเองมากกว่า

แถมแกล้งได้สำเร็จด้วยนะ

ก่อนที่จะออกมาที่ไร่นี่พ่อปองเรียกผมไปเพื่อบอกว่าหลังจากนี้ให้ดูแลน้องให้ดี ให้อดทนกับเขามากๆ ไม่ว่าจะกับเรื่องอะไร ถ้าปองดื้อใส่มากไปก็มาฟ้องได้เลย เดี๋ยวเขาจัดการให้เอง อีกอย่างคือกำชับกับผมเลยว่าห้ามทำให้สมปองเสียใจหรือร้องไห้อีกเด็ดขาด ไม่งั้นเขาจะเชือดผมทิ้งแล้วจับมาทำปุ๋ยใส่องุ่นในไร่ซะ

มันก็ประมาณนี้แหละครับ

เนี่ยะ ถ้าผมบอกเรื่องนี้กับสมปองนะ เจ้าตัวต้องไปโวยวายใส่พ่อแน่ๆ ก็นะ เขาเป็นคนแบบนั้นหนิ สิ่งที่พ่อปองพูดออกมาผมก็ให้สัญญากับเขาไปแล้วนะว่าจะทำให้ได้ตามนั้น ผมคิดว่าตัวเองทำได้อยู่แล้วแหละ ไม่ได้รู้อนาคตหรอกนะแต่ว่ารู้ตัวเองไง เรื่องของแซนด์น่ะ มันเป็นสิ่งเตือนความจำผมเลยว่าจะให้เป็นแบบนั้นอีกไม่ได้

ผมจะทำให้สมปองเสียใจอีกไม่ได้จริงๆ

"มึงเด็ดองุ่นมากินแบบนั้นเลยได้หรอปอง"

"ก็ไม่ได้หรอก แต่จะกิน" เจ้าตัวเอ่ยก่อนจะส่งองุ่นมาให้ผม "เอาไป ของดีเลยนะน่ะ"

"มึงนี่มันจริงๆ เลยนะ"

"กูมันทำไมห้ะ" มือเรียวดึงเสื้อผมอย่างเรื่อง

ผมเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ก่อนจะยิ้มหวานให้ "....น่ารัก"

"เรื่องนั้นกูรู้ตัวเองมั้งเถอะ นี่คนคิ้วท์แห่งโยธานะ ตำแหน่งนี้ได้มายังไงกูยังงงใจตัวเองเลย" น้องบ่นก่อนจะลากผมให้เดินตามไปเรื่อยๆ

"คนเค้าเห็นมึงน่ารักไง เค้าก็เลยยกตำแหน่งคนคิ้วท์แห่งโยธาให้ มันไม่ได้ได้มาง่ายๆ นะปอง"

"คนตั้งก็ไม่ได้ถามกูเลยสักคำอะนะ" เจ้าตัวยัดองุ่นใส่ปากก่อนจะหันมองผม "ไปดูสมหยัมกัน"

"ลูกม้าน่ะนะ"

"ใช่ ตามกูมา" สิ้นเสียงสมปองก็เดินนำไปทางคอกม้า ทางเดียวกับวันที่พาผมวิ่งหนีพ่อตัวเองนั่นแหละ

ผมชอบบ้านของปองนะ ชอบบรรยากาศที่นี่ ชอบแทบทุกอย่าง เห็นที่นี่แล้วนึกถึงบ้านตัวเองที่ลำปางเลย บ้านผมเองก็เป็นบ้านสวนเหมือนกัน สภาพแวดล้อมก็จะไม่ได้ต่างจากที่นี่เท่าไหร่ ที่บ้านผมเนี่ยะจะทำสวนมะม่วงน้ำดอกไม้ครับ มะม่วงที่บ้านนี่โคตรอร่อยอะ หวานฉ่ำ นึกแล้วก็อยากให้ถึงหน้ามะม่วงออกเร็วๆ ผมว่าจะพาน้องไปบ้านผมช่วงนั้นแหละ

เจ้าตัวคงชอบใจน่าดู

สมปองเดินนำผมมาจนถึงคอกม้าก่อนจะเข้าไปทักทายกับเจ้าม้าทั้งหลายในคอกอย่างสนิทชิดเชื้อ ผมเห็นมีม้าตัวใหญ่อยู่ 4 ตัวแล้วก็มีเจ้าตัวเปี๊ยกอีกตัวนึง นั่นคงจะเป็นสมหยัมที่น้องพูดถึงสินะ ถือว่าเป็นม้าที่สวยเลยนะครับ ลักษณะก็ดูดีแถมขนยังขาวสะอาดไปทั้งตัว

สมปองจูงลูกม้าตัวนั้นเข้ามาใกล้ผม "นี่ไงพ่อมึง ดูหน้ามันไว้ซะสมหยัม"

"หน้าเหมือนมึงเลยนะเนี่ย" ผมลูบหัวสมหยัมเบาๆ มันดูเชื่องมากเลยนะ ตอนแรกผมหวั่นๆ ด้วยว่าจะโดนมันทำอะไรรึเปล่า เอาจริงๆ ผมเป็นคนที่กลัวม้าในระดับนึงเลยนะ แต่แบบนี้คงจะไม่เป็นไร

"มึงว่ากูหน้าเหมือนม้าหรอพี่สยาม ไอ้บ้า" เจ้าตัวทำหน้ามุ่ยใส่ผม พอเห็นแบบนั้นก็อดไม่ที่จะหยิกแก้มขาวๆ นั่น

"มึงพูดเองทั้งนั้น"

"อื้ออ.อ.อ....ลูบหัวม้าแล้วยังมาบีบแก้มกูอีก"

"ทำไมวันนี้มึงขี้บ่นจังหืม" ผมรั้งเอวสมปองมาใกล้ "โน่นก็บ่น นี่ก็บ่น"

"ทำไม กูบ่นไม่ได้รึไง"

"ขี้บ่นไม่พอ ยังคิดเองเออเองอีก มึงนี่นะ" ผมงับหัวน้องเบาๆ เพื่อเป็นการลงโทษ ไม่รู้ทำไมเดี๋ยวนี้ถึงได้เถียงเก่งนัก ไม่สิ ก็เถียงเก่งมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่หว่า

แค่ช่วงนี้เก่งเป็นพิเศษ

"อย่างับหัวสิ" มือเรียวตีผมแรงๆ "เหมือนสมหยัมจะชอบมึงนะ"

"หึงไหม"

น้องหันขวับมองผมทันที "นี่มันม้า กูจะหึงทำไมล่ะ มึงก็ติ๊งต๊อง"

"แล้วถ้าเป็นคนอะ"

"ไม่รู้คำตอบหรอว่าจะหึงหรือไม่หึง"

"ไม่รู้สิ" ผมเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้จนจมูกชนกับคนตรงหน้า "ช่วยตอบให้ชื่นใจหน่อยสิครับ"

ริมฝีปากบางเลื่อนเข้ามาจูบปากผมเบาๆ ก่อนจะละออกไปแล้วยกยิ้มให้ "....นั่นแหละคำตอบ" ว่าแล้วเจ้าตัวก็เดินหนีไปทันที

นี่มัน....ร้ายจริงๆ เลยนะ

ผมอมยิ้มให้กับการกระทำของน้องก่อนจะเดินตามหลังมาเงียบๆ เมื่อกี้นี่ใจเต้นตึกตักๆ เลยว่ะ ไม่คิดว่าปองจะทำอะไรแบบนั้นไง เดี๋ยวนี้ชักพัฒนาใหญ่แล้ว พอเป็นแบบนี้แล้วย้อนกลับไปนึกถึงสมัยก่อนที่ดูไม่ประสีประสากับเรื่องพรรค์นี้เลยมันก็ดูตลกเหมือนกันนะ แถมตอนนั้นยังตามผมไม่ทันเลยสักนิด แต่เดี๋ยวนี้นี่เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว

ติดจากผมไปเยอะก็เงี้ยะ

ผมเดินตามน้องมาสักพักใหญ่ๆ จนมาถึงน้ำตก ตอนแรกผมนึกว่าจะพาหลงป่าซะละ ไม่นึกเลยว่าจะมีน้ำตกอยู่ในไร่ด้วย น้ำตกนี่สวยมากเลยนะครับ น้ำโคตรใสอะ ผมว่าที่น้ำมันใสมากแบบนี้อาจเพราะไม่มีคนเข้ามาเล่นด้วยละมั้ง สมปองนั่งลงที่โขดหินใหญ่ พอเห็นแบบนั้นผมก็เดินไปนั่งซ้อนด้านหลังเขา คนตัวเล็กกว่าเอนตัวพิงผมไว้

"ตั้งแต่กลับมาบ้านครั้งก่อน กูก็อยากจะพามึงมาที่นี่ตลอดเลย" น้องเหลือบมองผมก่อนจะยิ้มบางๆ ให้ "มันสวยแบบที่กูบอกมึงไว้ เห็นไหม"

"เห็นแล้ว เชื่อแล้วว่ามันสวยจริงๆ "

"ครั้งก่อนที่กูมาอะ กูคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้เต็มไปหมดเลยนะพี่สยาม ตอนแรกกูกลัวว่าครอบครัวกูจะไม่ยอมรับมึง กูกลัวพวกเค้ารับไม่ได้ แต่ตอนนี้กูก็ได้รู้แล้วล่ะนะว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องร้ายๆ แบบที่กูคิดขนาดนั้น นับว่าโชคดีจริงๆ "

"ไม่ต้องกังวลอะไรแล้วนะ หลังจากนี้กูจะมานั่งดูน้ำตกกับมึงบ่อยๆ โดยที่มึงไม่ต้องหวั่นใจอะไรอีกแล้ว"

"ขอบคุณนะพี่สยาม" น้องหันมาหอมแก้มผมดังฟอด แหม่ ทำตัวน่าฟัดอีกละ ไว้แขนหายก่อนเถอะนะปองนะ

ไม่รอดแน่

"กูมีความสุขนะปองที่ได้อยู่กับมึงตรงนี้น่ะ" ผมเลื่อนมือไปกุมมือเรียวไว้ "อยู่ด้วยกันไปนานๆ นะ"

น้องยกมือผมขึ้นไปจุ๊บเบาๆ "เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว รักมึงขนาดนี้ เรื่องที่กูจะหายไปจากชีวิตก็เลิกคิดไปได้เลยพี่สยาม"

ตึกตัก

คำพูดคำจานี่มันน่า....

"ทำไมพูดอะไรแบบนี้เก่ง"

"อะไรที่ว่าเก่ง"

"พูดจาให้กูใจสั่น"

"นี่กูยังเก่งไม่ได้ครึ่งมึงเลยนะพี่สยาม" สมปองบีบจมูกผมอย่างหมั่นเขี้ยว "เรื่องพูดจาให้ใจสั่นน่ะ ไม่มีใครเก่งกว่ามึงอีกแล้ว.....แค่มึงจริงๆ "

งั้นเหรอ....

ผมกระซิบข้างหูน้องเบาๆ "พี่รักปองนะ"

"อื้ออ.อ.อ.อ.....พี่สยามมมม มึงขี้โกง" เจ้าตัวโวยวายก่อนจะซุกหน้าลงกับไหล่ผม ฮ่าๆ ๆ ๆ น่ารักว่ะ เนี่ยะ ทำตัวแบบเนี้ยะผมจะไปไหนรอดวะ

ยอมแล้ว....ยอมทั้งชีวิตเลย

ผมจุ๊บหัวน้องเบาๆ พลางลูบไปด้วย ความรู้สึกนี้ใช้คำอื่นมาอธิบายไม่ได้หรอกนอกจากคำว่าความสุข มันเป็นช่วงเวลาที่ดี และหลังจากนี้ผมก็จะพยายามให้มันมีแต่ช่วงเวลาแบบนี้ เดี๋ยวพอกลับไปเรียนผมต้องวุ่นเรื่องงานรับน้องอีก ประเพณีวิ่งเกียร์ที่จะถึงนี่ก็ต้องเตรียมอะไรหลายๆ อย่าง ที่สำคัญคือผมต้องเตรียมเกียร์เพื่อจะให้กับคนที่ผมรักด้วย

ใกล้จะได้แลกเกียร์กันสักที.....รอเวลานี้มาตั้งนาน

หวังว่าวันนั้นผมจะได้เห็นรอยยิ้มของสมปองนะ

.....รอยยิ้มกว้างๆ



[จบบันทึกพิเศษ : สยาม]












TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งหยัมปองแล้วนะ ความจริงมันต้องลงตั้งแต่เมื่อวานแต่ว่าสภาพไม่ไหวจริงๆ มันเหนื่อยมาก ชาลเลยไม่ฝืนตัวเองเพราะว่ากลัวจะป่วย พวกบี๋ก็ดูแลตัวเองด้วยนะ

ชาลเหลือเวลาฝึกงานอีก 2 อาทิตย์ค่ะ ช่วงนี้แม่งเป็นช่วงที่โคตรเหนื่อยอะเพราะว่าต้องรีบเคลียร์งาน ทำโปรเจ็กต์ให้มันเป็นชิ้นเป็นอันซึ่งอันค่อนข้างยาก แล้วพอฝึกงานเสร็จชาลก็ต้องทำรายงานส่งและเตรียมพรีเซ้นต์ อาจจะหายไปช่วงนึงนะ ถ้าจะหายเดี๋ยวจะชี้แจงนะคะ

ถ้าชอบก็กดไลค์ คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ สามารถติดต่อชาลได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis นะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 49 : 21/7/2018 ] หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 21-07-2018 22:06:01
ครอบครัวสุขสันต์ แฮปปี้เอนดิ้งงง ฮือออ เป็นตอนที่น่ารักมากๆเลย เขินตัวบิด พี่สยามนี้โคตรพระเอก ส่วนสมปองลูกแม่ก็น่ารักทุกตอนอยู่แล้ว ไม่มีตอนไหนไม่น่ารักเลยยย

สมปองอยู่กับพี่สยามเกือบจะ24ชม.อ่ะ น้องเลยติดนิสัยพี่ไปด้วยเลย เป็นไงล่ะ น้องเริ่มแพรวพราวเจ้าเล่ห์แสนกลแล้วนะ โทษใครไม่ได้เลยนอกจากตัวพี่เองนะพี่สยามมม อีกอย่าง มาทำเป็นจำไม่ได้ว่าเกียร์อยู่ไหน ตอนแรกกะจะบ้องหูโบกกบาลพี่แล้วนะ ของสำคัญแบบนั้นมาทำไม่รู้ได้ไง ทีตอนน้องลืมป้ายชื่อพี่ยังลงโทษน้องแล้วบอกไม่มีใครลืมของสำคัญหรอก เกือบแล้วๆ นี่ถ้าไม่บอกจะแลกเกียร์ทีหลังนะ ฉันจะบ้องหูพี่ให้ดับจริงๆด้วย

สมปองงงง ทำไมหนูน่ารักขึ้นทุกตอนเลยล่ะลูกกกกก สงสารใจแม่นิดนึงนะ รับความน่ารักของหนูทุกตอนแล้วเลือดลมมันวิ่งวุ่น หอบหื่นจะขึ้นตามมม //หอบหืดไหมล่ะ!// ตลกน้องอ่ะ ทำไมมันคิ้วท์ได้ขนาดนี้ หนูคือความน่ารักสดใสของโลกใบนี้ไม่น่ามาถูกนังพี่สยามคนหื่นกามล่อลวงเลย แม่จะร้องเรียนที่ไหนได้บ้าง ศาลไคฟงได้ไหม หรือศาลเจ้าแม่ชาลดี //โดนตบ// อ่ะ พอล่ะๆ 555555555

คุณชาลล ดูแลตัวเองด้วยน้าาา พักผ่อนเยอะๆ อย่าหักโหมกับงานมาก คนเราต้องรีเฟรชบ้าง อะไรเครียดๆเห็นแล้วป่วยจิตขำแห้งก็อย่าไปสนใจเลยเนอะ ยังมีบี๋อีกเยอะที่รักคุณชาลลล อย่างน้อยก็เราคนนึง อิอิ รักและเทคแคร์นะคะ :กอด1: :L2: :L1:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 49 : 21/7/2018 ] หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 21-07-2018 22:38:49
แหมมมมมม นึกว่าเกียร์พี่หยามหายซะอีก :katai3:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 49 : 21/7/2018 ] หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 21-07-2018 23:19:56
น่าร้ากกก :o8:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 49 : 21/7/2018 ] หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 22-07-2018 00:06:05
อิคนพี่นี่มันแผนเยอะ
ส่วนคนน้องอ่ะใส๊ใส
ฮ่าฮ่า

+1 ให้หยัมปอง
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 49 : 21/7/2018 ] หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 22-07-2018 03:14:56
ทำเอาอีน้องใจแป๋วเลยนะเรื่องเกียร์เนี่ย  :hao3:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 49 : 21/7/2018 ] หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 22-07-2018 05:39:14
พี่สยาม  แกล้งสมปองอีกแล้ว  :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 49 : 21/7/2018 ] หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 25-07-2018 17:22:03
น่ายัก น่าใคร่
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 50 : 27/7/2018 ] หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 27-07-2018 21:22:45
บทที่ 50 สมปองคนหลงผัว


มหา'ลัยนี้ใหญ่มากนะครับ

การวิ่งรอบมหา'ลัยมันเป็นอะไรที่.....โอ่ยยยย

จะตายแล้วโว้ยยยย

ผมวิ่งหอบแดกมาทรุดตัวลงที่หน้าตึกคณะแพทย์ฯ โอ๊ยแม่เจ้าาาา ตอนแรกคิดว่าแค่การวิ่งรอบมหา'ลัยมันอาจจะไม่ได้นักหนามาก แต่ที่ไหนล่ะ แม่งหนักหนาจนกว่าคนอย่างผมจะรับไหว นี่เพราะว่าไม่ได้ออกกำลังแถมยังอ้วนขึ้นด้วยรึเปล่าวะมันถึงได้หมดสภาพแบบนี้ ใช่ มันต้องใช่แน่ๆ เรื่องนี้ต้องโทษพี่สยามที่มันชวนผมไปกินโน่นกินนี่บ่อย และเวลาที่ผมกินเยอะมันก็ไม่เคยห้าม

ความผิดมันนนน

จากที่ผมกลบับบ้านนี่ก็ผ่านมาอาทิตย์กว่าๆ แล้วที่กลับมาเรียน แต่ละวันที่ผ่านมาช่างเรียบง่ายจนมาถึงวันนี้ ความที่ผมตั้งใจไว้ว่าจะเริ่มซ้อมวิ่งเพื่อเตรียมร่างกายไว้เพื่อประเพณีวิ่งเกียร์นั้นก็เริ่มวันนี้ไง แล้วก็จะตายวันนี้นี่แหละ พวกพี่ๆ เขาวิ่งกันได้ยังไงวะตั้ง 2 รอบมหา'ลัย ตอนแรกที่คิดว่าจะวิ่งมันเหมือนง่ายนะแต่พอมาวิ่งจริงมันไม่เป็นแบบที่คิดเลยอะ

ปวดจิตปวดใจสุด

"ไหวไหมปอง" เพื่อนแยมเอ่ยถามก่อนโบกมือเพื่อพัดให้ผม "เหนื่อยขนาดนั้นเลยหรอ"

ผมพยักหน้ารับ "มากกกก ทำไมพวกมึงยังดูสบายๆ กันอยู่เลยนะ นี่รอบมหา'ลัยนะมึง"

"กูวิ่งทุกวันอยู่แล้วไงที่ฟิตเนส แค่นี้มันก็ไม่เท่าไหร่" สีเทียนบอกก่อนจะส่งขวดน้ำให้

"ของกูก็เหมือนกัน พี่ทะเลบอกไว้ก่อนละไงว่ามันต้องวิ่งเกียร์ กูเลยเริ่มออกกำลังกาย" อีงูพิษบอกก่อนจะนั่งลงข้างๆ ผม "ไม่เป็นไรน่ะปอง วันแรกที่กูวิ่งก็สภาพไม่ต่างจากมึงหรอก เดี๋ยวมันก็จะดีขึ้นแหละ"

"จริงที่ลันตาพูดนะ งั้นวันนี้เราไว้แค่นี้ก่อนไหม พรุ่งนี้ค่อยมาวิ่งเพิ่มระยะขึ้นอีกนิดนึง"

"ตามนั้นเลยสมแยม เพราะสมปองไม่ไหวแล้ว" ผมทิ้งตัวนอนแผ่ลงบนพื้นโดยไม่สนว่ามันจะเปื้อนหรืออะไรทั้งสิ้น คือเหนื่อยอะ ขอให้คนคิ้วท์ได้นอนเถอะ

"มึงนี่นะ....งั้นเดี๋ยวกูไปหาพี่ทะเลก่อน เจอกัน 2 ทุ่มห้องแยมนะ"

"เออ กูว่าจะกลับไปนอนเหมือนกัน แล้วเจอกันนะพวกมึง" สีเทียนบอกก่อนจะเดินตามลันตาไปติดๆ ส่วนแยมก็ยังคงนั่งอยู่ข้างผม

ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้โทรศัพท์อีกต่างหาก

"แน่ะ มึงคุยกับใคร"

"พี่นมปั่น"

"ร้ายว่ะ แล้วความสัมพันธ์เป็นไงบ้างล่ะตอนนี้"

"ก็ตามจีบนั่นแหละ พี่เค้าเองก็เปิดใจรับกูนะ ก็ต้องรอเวลาอีกหน่อย ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็มีความสุขนะ คุยกัน ไปกินข้าวด้วยกันบ้าง ใช้เวลาอยู่ด้วยกันบ้าง มันก็ดีอะ"

"เป็นแบบนั้นก็ดีแล้ว กูก็ดีใจที่เห็นมึงมีความสุข" ผมยิ้มแฉ่งให้เพื่อนรักพลางนอนมองท้องฟ้าช่วง 5 โมงกว่าๆ อยู่แบบนั้น

อากาศประมาณนี้มันเป็นอะไรที่ดีจริงๆ ลมเย็นๆ ที่กระทบผิวนี่อีก ถึงที่นี่มันจะไม่ได้บรรยากาศดีเท่าที่บ้านผมแต่มันก็ไม่ได้แย่น่ะนะ ช่วงหลายวันมานี้ผมชอบย้อนกลับไปนึกถึงช่วงที่เข้ามาเรียนที่นี่ตั้งแต่วันแรก ไม่รู้ว่าทำไม แต่ก็นึกตลกในหลายๆ เหตุการณ์ที่เจอนะ ช่วงเวลาแค่ไม่กี่เดือนเองแต่เหมือนเจอเรื่องวุ่นวายเป็นล้านเรื่องได้

แถมได้อะไรมาจากเรื่องวุ่นวายพวกนั้นเยอะเลย

ข้อตกลงระหว่างผมกับพ่อยังไม่ได้หายไปนะ ผมอาจจะเหลือเวลาที่จะได้เรียนที่นี่แค่เทอมหน้าก็ได้ ครบปีเมื่อไหร่ก็ต้องไปรอลุ้นเอา ส่วนเรื่องเขียนไดอารี่ผมก็ต้องเขียนไปเรื่อยๆ ยังไงก็ต้องบอกเล่าเรื่องราวของชีวิตให้พ่อได้รับรู้ให้ได้มากที่สุด อย่างน้อยพ่ออาจจะเห็นความบันเทิงในชีวิตของผมแล้วยอมให้ผมเรียนที่นี่ต่อก็ได้

ถึงเวลานั้นเมื่อไหร่ต้องมารอดูอีกที

ผมก็คิดนะว่าถ้าไม่ได้เรียนที่นี่ต่อมันจะเป็นยังไง พี่สยามมันจะยอมไหมถ้าผมต้องอยู่ไกลมัน ต้องเรียนคนละที่กับมัน หลายๆ อย่างมันคือสิ่งที่คาดเดาไม่ได้อะนะ ผมรู้ทั้งรู้แหละว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเราไม่สามารถรับรู้ได้แต่มันก็อดคิดไปก่อนไม่ได้อยู่ดี งืม....ช่างมันดีกว่า ไว้ถึงตอนนั้นก็ค่อยว่ากัน เรามีเวลาอีกตั้งหลายเดือน

ตักตวงมันให้คุ้มดีกว่า

พูดถึงพี่สยาม....ตอนนี้มันไปประชุมกับคณะว้ากเกอร์ครับ เรื่องงานรับน้องนี่แหละ ช่วงนี้มีการเข้าสันทนาการบ่อยมาก พรุ่งนี้ผมก็ต้องเข้ากิจกรรม ไม่รู้ว่าร่างจะเดี้ยงมากแค่ไหนแต่ก็คงหนักเอาการ ผมนี่ได้แต่หวังว่าประธานสันฯ คงจะไม่แกล้งผมมากจนเกินไป เอาจริงๆ ผมก็ลั่นวาจาไปแล้วนะว่าถ้ามันแกล้งผมเยอะๆ ผมจะไล่มันไปนอนห้องน้ำ

อันนี้จริงจังเลย

ครืดดดด....ครืดดดด

ผมล้วงโทรศัพท์ในกระเป๋ามากดรับสาย "....ฮัลโหล"

(มึงเอาโทรโข่งกูไปซ่อนไว้ไหนห้ะเมีย)

"อะไร พูดอะไรไม่เห็นรู้เรื่องเลย" ผมชี้โบ๊ชี้เบ๊ใส่มันทันที ใครมันจะบอกวะ ถ้าเอาไปซ่อนแล้วต้องมาบอกนี่กูจะเอาไปซ่อนเพื่อ

หาให้ตาแหกไปซะเถอะมึง

(มึงไม่ต้องเลยสมปอง เมื่อวานมึงถือโทรโข่งกูอยู่กูเห็นนะ)

"มึงตาฝาดเปล่า กูไม่ได้ถืออะไรเลย"

(อีเมียนับหนึ่ง)

"กูต้องนับสองตามป่ะ"

(กวนส้นตีน เอาดีดีเร็ว เอาไปไว้ไหนหืม....)

"ไม่ต้องมาทำเสียงนุ่มแล้วหืม....ใส่กูเลย กูไม่รู้กูจะบอกได้ยังไง"

(กูให้โอกาสมึงแล้วนะอีเมีย)

"เอามาเวลาเค้นกูไปตามหาโทรโข่งไป"

(หึ....มึงโดนแน่)

"ไม่กลัวหรอกโว้ย แบร่บๆ ๆ ๆ ๆ " ผมแลบลิ้นใส่รัวๆ ก่อนจะกดวางสาย เชื่อเลยว่ามันจะต้องทำหน้าเป็นยักษ์แน่ๆ

นึกภาพตามก็ตลกละอะ

"พี่สยามหรอ"

"อืม มันโทรมาตามหาโทรโข่ง"

"ที่มึงเอาไปไว้ในพุ่มไม้หน้าตึกอะนะ"

"ใช่ มึงอย่าไปบอกมันนะ ปล่อยให้มันหาไม่เจอไปเลย เชื่อไหมแยมว่าทุกวันนี้มันแทบจะเอาโทรโข่งมานอนกอดด้วย นั่นเมียพี่สยามสองเลยนะ" คิดแล้วก็หมั่นไส้จริง เป็นแค่โทรโข่งแท้ๆ แต่ได้รับความรักพอๆ กับผมที่เป็นแฟนมันเลย

น่าทุบทั้งคนทั้งโทรโข่งนั่นแหละ

"แล้วมันจะไม่มีปัญหาหรอปอง"

"ไม่มีหรอก"

....น้ำหน้าอย่างพี่สยามจะกล้าทำอะไรกู





"โว้ยยยยยยยยยยย กูบอกว่าไม่รู้ไงพี่สยาม ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ๆ อื้ออ.อ.อ....ไอ้เชี่ย"

"จะบอกดีดีหรือจะบอกด้วยน้ำตาหืม...."

"อือ.อ.อ....อย่ามาหืม ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ พี่สยามมมม" ผมหัวเราะลั่นพลางดิ้นไปมาอย่างบ้าคลั่ง ฮืออ.อ.อ...อย่าจี้เอวสิโว้ยยยย

มึงนี่มันขี้โกง

"หืมมมม.....หืม.....หืม....." ใบหน้าคมเลื่อนลงมาใกล้ก่อนจะใช้ปลายจมูกถูแก้มผมอย่างเอาเป็นเอาตาย

ฮือออ.อ.อ....ทำไมร้ายกาจแบบนี้

ร้ายกาจเกินใครเทียบ

มือเรียวที่ตรึงแขนผมไว้ตอนแรกก็ปล่อยออก จมูกโด่งก็ไล่ฟัดแก้มผมอยู่อย่างนั้น หัวใจเต้นแรงไปหมดแล้วเนี่ยะ ทำไมต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วยวะ รู้ทั้งรู้ว่าถ้าทำแบบนี้แล้วสมปองจะแพ้ก็ทำอยู่ได้ มันน่านักนะ

"อื้ออ.อ.อ...พอแล้ว แก้มกู" ผมดันหน้าพี่สยามออก คนเจ้าเล่ห์ยกยิ้มก่อนจะงับนิ้วผม "มันเจ็บนะ" ผมผงกหัวขึ้นไปงับแก้มมันคืนแรงๆ

"โอ๊ยยยย....ทำไมซาดิสท์งี้ล่ะตัว"

"ใครทำใครก่อน" ผมดึงแก้มมันก่อนจะออกแรงพลิกให้คนที่ตัวใหญ่กว่าไปอยู่ด้านล่าง ส่วนผมก็นอนทับมันไว้

มือเรียวกอดเอวผมไว้แน่น "มึงไงทำกูก่อน"

"กูไปทำมึงตอนไหน"

"ตั้งแต่เอาโทรโข่งกูไปซ่อน"

"ใครเค้าเอาของมึงไปซ่อน เลอะเทอะใหญ่แล้ว" ผมก้มเอาหน้าซุกอกพี่สยามเพื่อหนีความผิด อย่าไปยอมรับครับถึงแม้ว่าเราจะเป็นคนทำก็ตาม

"มึงมันร้ายสมปอง"

"มึงร้ายกว่ากูตั้งเยอะ ไม่ต้องมาพูด" ผมถกเสื้อยืดของคนด้านล่างขึ้นมาก่อนจะมุดหัวเข้าไป อย่า....อย่ามายุ่ง ปลีกวิเวกขนาดนี้แล้วห้ามยุ่งเด็ดขาด

"ทำอะไรของมึงเนี่ยะปอง"

"อื้ออ.อ.อ....จะนอน"

"แล้วมานอนอะไรในเสื้อกู"

"อย่ายุ่ง" ผมงับผิวขาวๆ มันไปทีนึงก่อนจะแนบแก้มเอาไว้ สัมผัสได้ถึงแรงลูบเบาๆ ที่หัวด้วย ทำดีมากพี่สยาม นี่แหละ....สามีที่ดีมันต้องแบบนี้

เมื่อเย็นที่ผมคิดว่าพี่สยามมันทำอะไรผมไม่ได้นี่คือคิดผิดมาก ตั้งแต่ที่มันกลับมา มันก็จับผมทุ่มลงกับเตียงแล้วก็จี้เอวไม่หยุด นี่ขำจนเหงือกแห้งอะคิดดู แม่งรู้ว่าผมบ้าจี้ไงถึงได้ทำแบบนี้ เดี๋ยวไว้ผมหาวิธีเอาคืนมัน เรื่องนี้สมปองจะไม่ยอม

โดนแน่พี่สยาม

ตอนนี้เกือบทุ่มครึ่งแล้วนะครับ เดี๋ยวผมจะต้องไปทำงานกลุ่มที่ห้องแยม พี่สยามเองก็ต้องไปห้องพี่ชาเพื่อทำงานเหมือนกัน ผมเห็นสีหน้ามันผมก็รู้แล้วว่าเหนื่อยมาก ใกล้งานรับน้องก็ต้องยุ่งหัวปั่นแบบนี้แหละ ของผมนี่จะหัวปั่นอีกทีตอนงานกีฬาสีเดือนหน้าโน่น เมื่อสมัยมัธยมฯ ผมเคยเป็นคฑากรไม้หนึ่งของคณะสีด้วยนะ

เหลือเชื่อไหมล่ะ

จำได้ว่าช่วงซ้อมนี่โยนคฑาโขกหัวตัวเองไปหลายรอบมาก ผมจะไม่ให้ประวัติศาสตร์มันซ้ำรอยอีกแล้ว ผมยังไม่รู้ว่าปีไหนเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องขบวนพาเหรด อาจจะเป็นปี 2 ก็ได้มั้ง เดี๋ยวต้องรอดูแผนงานของเทอมหน้าอีกที

"ปอง"

"หืม...."

"มึงเขียนไดอารี่ละเอียดขนาดนี้เลย"

ผมโผล่หัวออกมาดู "เห้ยยยย มึงเอามาตอนไหน"

"มันอยู่ใต้หมอน"

อา....ลืมเอาไปเก็บ

"อื้ออ.อ....เอามา"

"ไม่ มึงดูเคียดแค้นกูหลายอย่างเหมือนกันนะ แต่ละอย่างที่เขียนนี่แฝงไปด้วยความหมั่นไส้" พี่สยามมองผมสลับกับไดอารี่

"ก็มึงมันน่าหมั่นไส้" ผมย้ายลงมานอนข้างๆ ก่อนจะเอาหัวหนุนแขนมัน "อันนี้คือช่วงที่มึงเข้าโรง'บาล"

"เป็นห่วงกูขนาดนั้นเชียว"

"ก็ต้องห่วงสิ....กูรักมึงหนิ"


พี่สยามหันมาจุ๊บหัวผมเบาๆ "พูดจาน่ารักแบบนี้กูก็รักแย่เลยสิ"

"มันต้องเป็นอย่างนั้นแหละ" ผมเลื่อนมือไปจับมือพี่สยาม ตาก็อ่านในสิ่งตัวเองเขียนเอาไว้

ลายมืออ่านยากพอสมควรเลยแต่พี่สยามมันก็ตั้งใจอ่านนะ ผมเหลือบมองรีแอคชั่นที่เจ้าตัวแสดงออกมาเป็นระยะๆ ตลกว่ะ บางทีมันก็ทำหน้าเหี้ยมใส่ บางทีมันก็อมยิ้มออกมา พอเห็นแบบนั้นมันก็อดไม่ได้ที่จะยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มขาวๆ นั่น มือเรียวยกขึ้นมาขยี้หัวผมเบาๆ งื้ออ.อ.อ...ชอบโมเม้นท์นี้มากเลยอะ

ความอบอุ่นนี่ของจริงเลย

ผ่านไปได้สักพักนึงพี่สยามก็ปิดสมุดไดอารี่ก่อนจะหันมองผมนิ่งๆ ใบหน้าคมเลื่อนเข้ามาใกล้จนริมฝีปากของเราชนกัน มือเรียวเกลี่ยแก้มผมเบาๆ คนตัวใหญ่กว่ากดจูบหนักกว่าเดิมก่อนจะสอดลิ้นเข้ามาทักทาย ผมจูบตอบเจ้าตัวพลางยกมือขึ้นไปโอบรอบคอมันไว้ อื้ม.มม.ม.....รู้สึกดีจริงๆ เลย อะไรที่เป็นผู้ชายคนนี้ผมชอบมันไปหมดทุกอย่างเลยสิน่า

สมปองคนหลงผัว 2018

คือโคตรใช่

"อืม.ม.ม...." พี่สยามละจูบออกไปอย่างอ้อยอิ่งก่อนจะยิ้มบางๆ "พี่รักปองมากเลยนะรู้ไหม"

"รู้แล้ว"

"ขอโทษนะ"

ผมส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะยิ้มบางๆ ให้ "มันผ่านไปแล้วก็ช่างมันเถอะ....เรื่องของวันต่อๆ ไปต่างหากที่สำคัญกว่า ทำมันให้ดี"

"จะทำให้ดีที่สุด" เจ้าตัวยิ้มหวานให้ผมก่อนจะผละออกไป "ไปทำงานกันดีกว่า ขืนอยู่ตรงนี้น่าจะได้ทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่งานมากกว่า"

"หื่นกาม"

"ยังไม่ทันพูดอะไรเลย ใครหื่นกันแน่"

ผมเบ้ปากใส่มัน "หน้ามึงมันบอกทุกอย่างแล้วพี่สยาม"

"เดี๋ยวเถอะ ไว้รองานเรียบร้อยก่อน มึงไม่รอดแน่ปอง"

"คิดว่ากลัวหรอ"

"พูดแล้วนะที่รัก" มือเรียวหยิบผ้าเช็ดตัวก่อนยิ้มกริ่มมองผม "ถึงตอนนั้นอย่าร้อง....ไม่สิ อย่าครางให้พี่หยุดนะ" ว่าแล้วมันก็เดินเข้าห้องน้ำไป ทิ้งให้ผมนั่งหน้าร้อนผ่าวอยู่คนเดียว

โว้ยยยย ร้ายกาจอีกแล้ว

ผมลูบหน้าตัวเองเบาๆ เพื่อระบายความร้อน คำพูดคำจานี่มันจริงๆ เลยนะพี่สยาม เอาจริงๆ ผมว่าอีกสักพักนึงมันก็ไม่น่าจะทนไหวแล้วล่ะมั้งสำหรับเรื่องอย่างว่า ติดว่าช่วงนี้มีงานเยอะเท่านั้นแหละก็เลยยังไม่วอแวผมไปมากกว่ากอด หอมแก้มหรือว่าจูบ มันก็เป็นเรื่องดีแหละนะที่มันยังยั้งตัวเองได้ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะยั้งใจตัวเองไปได้อีกนานเท่าไหร่

อา....ผมต้องเตรียมกายเตรียมใจไว้รอสินะ

แค่คิดมันก็....อื้ออ.อ.อ.อ.อ.อ..อ........










TBC.

สวัสดีค่ะบี๋ชาลมาส่งหยัมปองแล้วค่ะ ชาลคิดว่าอีก 3 บทก็จะจบแล้วนะคะสำหรับนิยายเรื่องนี้ ใกล้จะครบรอบ 1 ปีด้วยที่แต่งมา ชาลจำได้ว่าเปิดเรื่องวันที่ 2 สิงหาคม 2017 ช่วงนั้นฝึกงานครั้งแรกจนมาตอนนี้ฝึกงานครั้งที่ 3 แล้ว รู้สึกโหวงๆ อยู่นะที่จะจบแต่ว่าก็ถึงเวลาแล้วจริงๆ

เดี๋ยวช่วงที่ชาลพักลงนิยายยาวๆ หลายเดือนชาลจะจัดการเรื่องรีไรท์นิยายและจัดการเรื่องของหนังสือที่จะทำให้นะคะ ถ้ามีความคืบหน้าก็จะแจ้งให้ทราบเป็นระยะๆ นะ

ถ้าชอบก็กดไลค์ คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ สามารถติดต่อข่าวสารได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis นะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 50 : 27/7/2018 ] หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 27-07-2018 23:08:23
โอ๊ยยยยยย หวานชื่นรื่นรมณ์ประหนึ่งน้ำแดงเฮลบลูบอยยย หวานมากกกก เลี่ยนจังเลยยย ขออะไรแซ่บๆมาตัดความหวานนี่หน่อยเถอะ อยากเห็นพี่สยามดุอ่ะ อะไรดุ เยดุ-- แค่กๆๆ //โดนตบ//

ถ้าเรื่องนี่จบมันคงโหวงๆน่าดูเลยอ่ะ ไม่ได้ติดตามมาตัังแต่แรกแต่จะอยู่ด้วยจนจบเลย ไม่สิๆ จะอยู่ด้วยทุกเรื่องเลยย อยู่ด้วยกันไปนานๆ อิอิ :กอด1:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 50 : 27/7/2018 ] หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 28-07-2018 04:18:13
ปองนี่หึงแรงไปไหม กับโทรโข่งก็ไม่เว้น  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 50 : 27/7/2018 ] หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 28-07-2018 11:06:01
พี่สยาม มีความบ้ากับโทรโข่งจริงๆ เป็นพวกโทรโข่งลิสึ่ม   :laugh: :m20: :laugh:
ขนาดพูดกับคนใกล้ๆ ห่างกับแค่ฟุต สองฟุตยังใช้โทรโข่งเลย  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

สยาม สมปอง   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 50 : 27/7/2018 ] หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 28-07-2018 13:21:29
โดนแน่ๆ ..
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 50 : 27/7/2018 ] หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 30-07-2018 12:23:13
สมปองต้องทำใจนะ โทรโข่งเขามาก่อนสมปอง555
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 51 : 10/8/2018 ] หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 10-08-2018 22:59:46
​บทที่ 51 สยามคนกาม [Nc]

เคยอยู่ดีดีก็รู้สึกแปลกๆ ป้ะ

แปลกแบบ....แปลกๆ อะ

ความรู้สึกนี้มันคืออะไรวะ

ผมกระดกน้ำลงคอก่อนจะมองไปรอบๆ ตึกแพทย์ฯ ที่ตอนนี้มีเหล่าคุณหมอในอนาคตเดินกันให้ว่อน ตอนนี้เกือบ 5 โมงแล้วครับ ผมกับเหล่าสหายก็มาซ้อมวิ่งกัน ตอนนี้ร่างกายผมโอเคแล้วนะสำหรับการวิ่งระยะรอบมหา'ลัยน่ะ ถ้าเทียบกับวันแรกก็ดีขึ้นเยอะมากเลยแหละ ซึ่งผมคิดว่าการวิ่งเกียร์ในอาทิตย์หน้ามันคงไม่เป็นปัญหาสำหรับผมเท่าไหร่แล้ว

คิดแบบนั้นนะครับ

"โอเคแล้วใช่ไหมปอง" เพื่อนแยมเอ่ยปากถามพลางเช็ดเหงื่อที่หน้า

"โอเคขึ้นเยอะเลย กูคิดว่าวันจริงคงไม่น่าจะเป็นอะไร"

"ไม่เป็นไรหรอกมึง ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาเค้ามีแพทย์ฯ สนามอยู่แล้ว พี่ทะเลเค้าบอกมาว่าทุกอย่างมันก็ต้องเซฟที่จุด มันก็ไม่ได้วิ่งต่อเนื่องตลอดด้วยน่ะนะ เขาคงให้สลับเดินในบางจังหวะ" ลันตาบอกก่อนจะหยิบพัดขึ้นมานั่งพัดข้างผม

"เออแล้วเรื่องรูปขบวนนี่ยังไง พี่ๆ เค้าได้บอกอะไรมึงบ้างไหมปอง"

ผมส่ายหัวเบาๆ "ยังเลยว่ะ เหมือนจะยังตกลงกันไม่ได้มั้งว่าจะเอายังไงกันแน่ รู้สึกว่ามันอาจจะไม่เหมือนกับประเพณีปีที่แล้ว สำหรับเรื่องรูปขบวนนะ"

"ถ้าเขาตกลงกันเสร็จ เดี๋ยวก็คงจะบอกเองล่ะมั้ง เออมึงกูไปก่อนนะนัดกับพี่ทะเลไว้ว่ะ แล้วเจอกันพรุ่งนี้" สิ้นเสียงพูด อีงูพิษก็รีบเดินไปทันที แหมๆ ๆ ๆ ติดนัดผัวอีกแล้ว ติดนัดผัวตลอดแหละ

ที่พูดนี่ไม่ได้อิจฉานะครับ

"งั้นเดี๋ยวกูก็ไปบ้างดีกว่า เหนื่อยว่ะ อยากกลับไปนอน ตื่นมาว่าจะไปดูหนังด้วย"

"แน่ะ ดูกับใครจ๊ะสมเทียน" ผมส่งยิ้มกรุ้มกริ่มให้เพื่อนรัก

"ดูกับตัวเองนี่แหละ กูไปแล้วนะ ละเจอกัน" ว่าแล้วสีเทียนก็เดินไปอีกคน เหลือแค่สมแยมที่ยังอยู่กับผมตรงนี้ แต่คงอยู่อีกแปปนึงล่ะมั้งประมาณ....ชั่วอึดใจ

"แยม" เสียงเรียกดังมาจากด้านหลัง เจ้าของเสียงนั่นคือร่างโปร่งของผู้ชายหน้าตาคนนึงที่สวมยูนิฟอร์มของเด็กที่เรียนการบินฯ

พี่นมปั่นนั่นเองครับ

"กูขอตัวก่อนนะปอง เจอกันพรุ่งนี้"

"เออ เจอกันพรุ่งนี้" ผมรับคำเสร็จ สมแยมก็วิ่งไปหาพี่นมปั่นทันทีก่อนจะพากันไปไหนต่อไหนก็ไม่รู้ เออ ไปกันให้หมดเลยนะ สมปองคนคิ้วท์สามารถอยู่คนเดียวตรงนี้ได้ เพราะงั้น....ไปกันให้เลยไป้!!!!

อ๊ากกกกกกกกกกก

ผมทำเป็นส่งเสียงอ๊ากในลำคอ กลัวว่าถ้าแหกปากแล้วชาวบ้านจะตกใจ เอาจริงๆ นี่ถ้าผมเป็นก็อตสิล่าแล้วผมอ๊ากไปนี่ลำแสงออกแล้วนะ แล้วคนที่จะปราบปองสิล่าได้ก็คืออุลตร้าสยามเท่านั้น ซึ่งตอนนี้ผมไม่รู้ว่าอุลตร้าสยามทำอะไรอยู่ ก็คงทำงานคณะอยู่เหมือนกับทุกวัน ไม่ก็นั่งเล่นเกมกับเพื่อนๆ ที่ไหนสักที่

ติดเกมยิ่งกว่าเมียอีกเอาจริงๆ

ใช่สิ ผมมันไม่ได้สกิลเยอะเหมือนตัวละครเกมที่มันเล่นหนิ เนี่ยะ วางแผนไว้ว่าจะแอบเอาโทรศัพท์มันไปจุ่มน้ำ ไม่ก็ทำร่วงหน้าต่างแบบเนียนๆ มันน่าหมั่นไส้นะกับการที่เราเนี่ยะเป็นแฟนใช่ไหม นอนอยู่ข้างๆ กันแต่มันสนใจเกมมากกว่า ที่พูดนี่ไม่ได้อิจฉาเกมหรืออะไรนะครับแต่ว่าผมควรได้รับความสนใจจากแฟนตัวเองมากกว่านี้

มากกว่านี้มากๆ

ครืดดดด....ครืดดดด


ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสาย ".....ฮัลโหล"

(อยู่ไหนอะ)

"อยู่ไหนก็ได้ โตแล้ว"

(กวนส้นตีน เรายังติดคดีโทรโข่งกันอยู่นะเมียนะ)

"พูดอะไรไม่เห็นจะรู้เรื่องเลยสักนิด"

(สมปอง)

"แบร่บๆ ๆ ๆ ๆ " ผมชืงแลบลิ้นก่อนจะกดวางสาย ฮ่าๆ ๆ ๆ เชื่อได้เลยว่ามันต้องประสาทเสียแน่ที่ผมทำแบบนี้ใส่

โป๊กกกก

"โอ๊ยยยย" ผมยกมือกุมหัวก่อนจะหันไปมองคนที่ทำการหยาบช้าทันที "พะ....พี่สยาม"

ชิบหายละ

"เออ กูเอง นี่แน่ะ กวนส้นตีนเก่งนัก" มือเรียวโขกหัวผมอีกทีนึง โอ๊ยยยย โขกขนาดนี้สมองตายพอดี นี่กะให้กูกลายเป็นสมปองคนเอ๋อแล้วจะทิ้งกูเพื่อไปหาเมียใหม่สินะ

ไอ้คนเลว

ผมเบะปากใส่มัน "กูเจ็บนะ มึงทำอย่างนี้กับกูได้ไงอะพี่สยาม รักกูจริงป้ะเนี่ย"

"ไมรักแล้ว" ร่างสูงเบ้ปากใส่ผมก่อนจะหันหนี "มึงดื้อ"

"หื้อออ.อ....อย่ามาพูดว่าไม่รักกันนะ" ผมสอดแขนเข้าไปคล้องแขนมันไว้ก่อนจะเอาหน้าไถไหล่กว้างนั่นอย่างอ้อนๆ ใบหน้าคมเหลือบมองผมก่อนจะยิ้มบางๆ ให้

แน่ะ เอ็นดูกูล่ะสิ

ธรรมดาอะนะ....คนคิ้วท์ก็งี้แหละ

ผมนั่งเอาหน้าแนบไหล่พี่สยามอยู่อย่างนั้นก่อนจะเนียนเช็ดเหงื่อกับเสื้อมันด้วย จะว่าไป....มันรู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่นี่วะ ตอนแรกผมบอกมันไปว่าจะไปนั่งทำงานที่ห้องสมุด ไม่ได้บอกว่าจะมาวิ่ง ไม่แน่ว่ามันอาจจะไปหาผมที่ห้องสมุดมาแล้วแต่ไม่เจอก็เลยมาหาที่นี่แทน เอออาจจะใช่ นี่คงแปลว่างานมันเสร็จแล้วสินะถึงได้มาหาผมไวแบบนี้

"ปอง"

"หืม...."

ใบหน้าคมเลื่อนมากระซิบข้างหูผมเบาๆ "....พี่อยากอะ"

ตึกตัก

อยาก....อยากอะไร

"อยาก....กินหมูกระทะใช่ป้ะ เออนี่ก็อยากกินเหมือนกัน" ผมยิ้มแฉ่งให้พี่สยามทันที เอาจริงๆ ผมก็รู้แหละว่าสิ่งที่มันพูดนั่นหมายความว่ายังไงแต่ก็นะ....

ขอค่าตอบแทนที่จะเสียพลังกายหน่อยได้ไหมล่ะ

"มึงนี่มันร้ายจริงๆ เลยนะเมีย"

"ร้ายอะไรเล่า" ผมทำแก้มป่องใส่ "ว่าไง จะพาไปกินไหม"

"ถ้าพาไปกินแล้วจะได้อะไร"

ผมเลื่อนไปกระซิบข้างหูมันบ้าง "ได้....กู"

"งั้นไปกันเถอะ"

ทีนี้ล่ะรีบเชียวไอ้คนกาม





"อื้ออ.อ.อ....ขออาบน้ำก่อน"

"ไม่ต้อง หอมแล้ว"

หอมหน้ามึงอะ หัวกูมีแต่กลิ่นหมูกระทะเนี่ยะ

"ไม่เอาจะอาบน้ำ" ผมพยายามดิ้นให้หลุดจากอ้อมกอดของพี่สยาม "มึงอย่าใจร้อนสิวะ"

"ก็กูอยาก"

"กูก็อยากเหมือนกันแต่ขอกูอาบน้ำก่อนได้ไหมล่ะ" ผมแกะมือพี่สยามออกก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มมันเบาๆ "นะครับนะ" อ้อนถึงขนาดนี้ก็ต้องใจอ่อนแล้วนะ

"เร็วๆ นะ"

"รอบนเตียงเลยจ่ะที่รัก" ผมขยิบตาให้มันทีนึงก่อนจะรีบชิ่งเข้าห้องน้ำ ถ้ายังลีลาเยอะอยู่ผมคงโดนพี่สยามมันขย้ำหน้าห้องน้ำนั่นแหละ

ผมถอดเสื้อผ้าตัวเองออกก่อนจะเริ่มชำระร่างกาย ต้องสระหัวด้วยเพราะว่ากลิ่นควันหมูนี่ติดหัวผมเลย เอาจริงๆ พี่สยามก็ควรต้องมาอาบน้ำด้วยป้ะวะ มันก็มีกลิ่นควันติดมาเหมือนผมอะ พอคิดได้แบบนั้นผมก็เปิดประตูห้องน้ำก่อนจะชะเง้อหน้าไปมองคนที่นั่งอยู่บนเตียง

นั่งอย่างเดียวไม่พอ ทำหน้าหื่นกระหายอีกต่างหาก

"พี่สยาม"

"หืม...."

"อาบน้ำด้วยกันไหม"

"อาบ" ร่างสูงกระโจนมาด้วยความเร็วแสง แต่ก็ต้องชะงักไปเพราะผมยกมือปรามมันไว้ก่อน

"กูมีข้อแม้นะ"

คนโดนเบรกทำหน้ามุ่ยทันที "ข้อแม้อะไรอีกล่ะเมีย"

"อาบน้ำคืออาบน้ำ มึงห้ามทำอะไรกูเด็ดขาด กูไม่อยากโดนเอาในห้องน้ำโอเค้ พื้นที่มันไม่เอื้ออำนวย เข้าใจที่พูดไหม"

"เข้าใจ"

"ดี ถ้ามึงเจ๊าะแจ๊ะกูคือมึงอดเลยนะ"

"ได้ ไม่มีปัญหา" พี่สยามถอดเสื้อผ้าตัวเองออกก่อนจะเดินมาในห้องน้ำ ร่างสูงที่เปลือยอยู่ตรงหน้านี่มันทำให้รู้สึกเขินๆ ยังไงก็ไม่รู้ว่ะถึงแม้ว่าจะเห็นกันมาบ่อยแล้วก็เถอะ

หน้าก็ร้อนอยู่ทุกครั้งอะนะ

พี่สยามเดินไปใต้ฝักบัวก่อนจะจัดการตัวเอง ผมก็ยืนถูสบู่อยู่ข้างๆ ทำเป็นเหม่อมองฝ้าเพดานไปเรื่อย จะได้ไม่ต้องไปเห็นอะไรที่มันตำตา อา....วันนี้สมปองต้องเจ็บปวดอีกแล้วสินะ แต่ไม่เป็นไรนะปอง มันเป็นความเจ็บปวดที่สุขสม เจ็บหน่อยแต่ก็มีความสุข ไม่รู้เลยนะครับว่าเมื่อไหร่ที่ร่างกายนี้จะชินเวลาที่ถูกพี่สยามกอด สำหรับผมแล้วทุกอย่างยังคงเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นเสมอ

ใจสั่นไปหมด

"หนิ....ไม่ให้เจ๊าะแจ๊ะไม่ใช่หรอ"

"กูห้ามมึงแต่กูไม่ได้ห้ามตัวเอง" ผมลูบสบู่ทั่วแผ่นหลังกว้าง คนบ้าอะไรหลังขาวชะมัดแต่ว่าเสียใจด้วยนะ อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้ามันก็จะมีแต่รอยข่วนยาวๆ แดงเถือกเต็มไปหมด

"ขี้โกงหนิ"

"ไม่ได้โกง แหมๆ ๆ ๆ กูแค่ถูสบู่ให้ไหม ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านี้ซะหน่อย"

พี่สยามหันมาหาก่อนจะรั้งเอวผมให้เข้าไปชิด "แต่กูอยากให้มึงทำมากกว่านี้นะ"

"คนกาม" กามเก่งกว่าอะไรทั้งหมด

"กามแล้วทำไมหืม" ใบหน้าคมเลื่อนเข้ามาใกล้จนจมูกชนกับจมูกผม "ถ้าพี่กามแล้วปองจะยังไง"

"ก็...." ผมเลื่อนเข้าไปจูบปิดปากพี่สยามก่อนจะยกมือโอบรอบคอแกร่งไว้ คนตัวใหญ่กว่าเปิดปากรับลิ้นผม มือเรียวก็เลื่อนมาลูบเบาๆ ที่สะโพก

อื้ออ.อ...ไปกันใหญ่แล้ว

รู้ครับว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นี่คือการกลืนน้ำลายตัวเองแต่ลองคิดดูสิว่าแฟนตัวเองที่หุ่นแซ่บมากยืนอาบน้ำอยู่ตรงหน้า ผมสีดำที่ลู่ไปกับน้ำนั่นก็ดูเซ็กซี่ไม่หยอก ใครไม่อยากดีปคิสด้วยก็บ้าแล้ว อีกอย่างตัวผมเองก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูน เรื่องแบบนี้ก็ห่างมาตั้งพักใหญ่ มันก็ต้องมีของขึ้นกันบ้างแหละน่ะ

"อื้ออออ.....อ...." ผมแลกลิ้นอยู่กับพี่สยามไม่ห่าง มือเรียวยกตัวผมให้ลอยขึ้น เชี่ยยยย ตัวนี่ก็ไม่ได้เล็กๆ นะพี่สยาม มึงอุ้มลอยแบบนี้ได้เลยเหรอ

"อืมม.ม...." ริมฝีปากร้อนไล่จูบมาที่ซอกคอผมก่อนจะขบเม้มแรงๆ ตามแบบที่มันชอบทำ รับรู้ได้ถึงอะไรร้อนๆ ที่อยู่ตรงร่องก้นเลยว่ะ ฮันแน่ะ อยากเข้ามาในตัวเราล่ะสิ แต่เสียใจด้วยนะ ตอนนี้ยังไม่ได้

เข้ามาตอนนี้ก็มีแต่ตายกับตายน่ะสิ

"อื้ออ.อ....พี่สยาม อ๊ะ....มึงผิดคำพูดอะ"

"พี่ไม่ได้เป็นคนเริ่มนะครับ" ลิ้นร้อนละเลงลงที่ยอดอกผมรัว อื้ออ.อ.อ....ความรู้สึกนี้มัน

"อ๊า....อื้ออ..อ...อย่า" ผมประคองใบหน้าคมขึ้นมา "ไปทำที่เตียงสิ"

"....ได้สิ" ว่าแล้วร่างสูงก็เดินออกมาจากห้องน้ำโดยที่มีผมห้อยเป็นลูกลิงอยู่ด้านหน้า พี่สยามแม่งตัวใหญ่และแรงเยอะมากจริงๆ นั่นแหละ อุ้มผมเดินแบบนี้ไม่มีอิดออดเลยสักนิด

"หนักมากไหม"

"หนัก"

ผมถลึงตาใส่มัน "หนิ"

"ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ก็มันหนักจริงๆ อะ" เจ้าตัววางผมลงบนเตียงก่อนจะคร่อมไว้ ดวงตาคมไล่มองผมอย่างพิจารณา สายแบบนี้เนี่ย นอกจากกูแล้วห้ามเอาไปมองใครเลยนะพี่สยาม

กูหึงหน้ามืดแน่นอน

"มึงอย่าทำแรงมากนะพี่สยาม เดี๋ยวก็วิ่งเกียร์แล้ว กลัวมันล้าจนไม่ไหว"

นิ้วเรียวลูบที่ริมฝีปากผมเบาๆ "แล้วถ้าปากบางๆ นี่บอกให้กูกระแทกแรงๆ ล่ะ กูต้องทำยังไง"

"ก็กระแทกแรงๆ ไง"

"มึงจะเอายังไงกันแน่เมีย จะให้แรงหรือไม่ให้แรง"

"ก็ไม่ต้องแรงมาก"

"แต่ถ้ามึงบอกให้กระแทกแรงๆ ก็กระแทกแรงๆ แบบนี้น่ะหรอ"

ผมพยักหน้ารัวๆ "ใช่ ทำไมอะ"

"ฮ่าๆ ๆ ๆ มึงนี่มันจริงๆ เลยนะสมปอง" พี่สยามก้มมาจูบที่ขมับผมแรงๆ "จะทำให้หลงรักไปถึงไหนกัน" สิ้นเสียงพูด ริมฝีปากบางก็เข้ามาทาบทับกับปากผม

ลิ้นร้อนไล่เกี่ยวรัดกับลิ้นผมอยู่ไม่ห่าง สัมผัสนี้มันดีจริงๆ เลย ผมเลื่อนมือไปลูบเบาๆ ที่ลูกรักของพี่สยามก่อนจะเอามาประกบกับของผมแล้วขยับไปพร้อมกันเบาๆ แม้เจ้าโว้ยยยย เคยคิดแค่ว่าอยากทำแบบนี้แต่ไม่คิดว่าพอทำแล้วมันจะดีแบบนี้ อื้ออ.อ.อ...มันดีไปหมดเลยอะ

ฮืออ.อ.อ...จะขาดใจตายแล้วนะ

"อื้ออ.อ.อ..."

ผมนอนหอบหายใจแรงๆ ปล่อยให้พี่สยามทำตามใจชอบ เอาเลยพี่มึง อยากทำอะไรทำไปเลยกูยอมแล้วทุกอย่าง ถือว่าตอบแทนค่าหมูกระทะและก็ความรักที่มีให้กัน ตอนนี้ความรู้สึกหลายอย่างถาโถมเข้ามามากมายเหลือเกิน นึกแล้วก็เขินอยู่ไม่น้อยเลยถ้าใครจะต้องมาเห็นเราสองคนทำอะไรแบบนี้ เพราะงั้น....

ขอแพลนกล้องไปที่ต้นไม้ตรงริมระเบียงก่อนนะครับ

"อ๊ะ....พี่สยาม"



[บันทึกพิเศษ : สยาม]



ซี๊ดด.ด.ด....สมปองจะรู้ไหมว่าตัวเองทำหน้ายังไงอยู่

น้องจะรู้ไหมว่าตัวเองน่าเอามากแค่ไหน

ใช้คำว่าน่าเอาเนี่ยนะสยาม

"กามจริงๆ แหละว่ะ" ผมพึมพำเบาๆ ก่อนจะลูบต้นขาขาวของคนที่นั่งขย่มอยู่บนร่าง นี่เป็นครั้งที่สองที่สมปองยอมออนท็อปให้ ส่วนตัวผมคิดว่ามันเป็นอะไรที่ดีมากเลยนะกับการที่ได้เห็นอะไรแบบนี้น่ะ

มันน่าไปหมด

"อ๊ะ....อื้ออ.อ.อ....อย่าเด้งสวนขึ้นมาแบบนั้นสิ"

"ทำไมล่ะหืม...."

"มันเสียว....อ๊าาาา พี่สยาม"

ก็พูดจาแบบนี้....ใครมันจะไปห้ามใจอยู่

"ซี๊ดดด.ด....นั่นแหละครับ โยกแบบนั้นแหละที่รัก" ผมผงกหัวขึ้นไปแลกจูบกับน้อง สมปองในตอนนี้ถือว่ารู้งานขึ้นเยอะเลยนะถ้าเทียบกับช่วงแรกๆ

รู้ว่าควรจะใช้คำพูดยังไง ใช้สายตา ใช้ลิ้น หรือใช้เอวยังไงเพื่อให้ผมชอบ เขาเป็นที่คนยั่วเก่งมากเลยนะ แต่น้องอาจจะไม่รู้ตัวเอง ความจริงแล้วคนที่กำลังควบอยู่บนตัวผมนี่ก็ฮอตใช่เล่นเลยนะในหมู่ของเด็กวิศวะฯ น่ะ

มีแต่คนหมายปองเต็มไปหมด

แต่เสียใจด้วยเถอะว่ะ นี่อะ แฟนผม

"อื้อออ.อ...." ผมยึดเอวน้องไว้ก่อนจะกระแทกสวนขึ้นไปถี่ๆ ใบหน้าขาวเต็มไปด้วยเหงื่อ ตามซอกคอและหน้าอกก็มีแต่รอยจูบที่ผมทำทิ้งเอาไว้ ที่คอผมเองก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก

สมปองทิ้งรอยกัดไว้เต็ม

ซี๊ด.ด.ด....น้องเป็นคนที่ชอบแสดงความเป็นเจ้าของในระดับนึงเลยนะ ขี้หึงพอสมควรเลยด้วย แล้วหึงแต่ละอย่างนี่โคตรคิ้วท์ หึงเกมที่ผมเล่น หึงต้นไม้ที่ผมปลูก วันดีคืนดีหึงหมอนตัวเองที่ผมเอามากอดด้วย ดูเขาสิ ไม่มีใครบอกรึไงว่าทำตัวแบบนั้นมันน่าฟัดแค่ไหน

หึ้ย.ย.ย...หมั่นเขี้ยวจริงๆ

"อ๊ะ....พี่สยาม....อื้ออ.อ.อ....เสียว....อ๊ะ" น้องเชิดหน้าขึ้นพลางกัดปากตัวเองเพื่อข่มความเสียว เชี่ยยยย ถ้าข้างในจะตอบสนองกันแบบนี้ก็ไม่ไหวนะที่รัก

ใจคอไม่ดีเลย

"อื้ออ.อ...ชอบไหมครับ" ผมสวนเอวขึ้นไปเน้นๆ

"อ๊า....ชอบ....อื้ออ.อ....จะไม่ไหวแล้ว....อ๊ะ..."

ผมจับเอวน้องไว้แล้วสวนเข้าไปเต็มแรง "ซี๊ดดด..ด...งั้นพร้อมกันนะ"

"อื้ออ.อ.อ....อ๊ะ....."

"อื้ม.ม.ม...."

"อ๊ะ...พี่สยาม....อื้ออ.อ...อ๊ะ....อ๊าาาาาาา" สิ้นเสียงครางอันสุขสม น้ำรักสีขาวขุ่นก็ถูกปล่อยออกมาเลอะหน้าท้องผม ตัวผมเองก็ไม่ต่างกัน

คนบนร่างซุกหน้าลงกับไหล่ผมอย่างเหนื่อยอ่อน ผมถอนกายออกก่อนจะพลิกให้น้องลงมานอนข้างๆ ใบหน้าขาวดูเพลียอย่างเห็นได้ชัด แน่ล่ะ ผมกินเขามาจะ 4 ชั่วโมงแล้วหนิ มันนับว่าเป็นเวลาที่นานพอสมควรเลยนะครับสำหรับการมีเซ็กซ์น่ะ สมปองคงไปต่อไม่ไหวแล้วล่ะ แต่แค่ที่ผมได้มาจาก 4 ชั่วโมงนี้มันก็คุ้มค่านมากแล้วนะ

ทั้งออรัลเอย ทั้งออนท็อปเอย

ปลิ้มปริ่มใจไปหมด

"ปองครับ"

"อื้ออ.อ.อ...." เจ้าตัวส่งเสียงอู้อี้ หน้าก็ซุกอยู่กับไหล่ผม "ไม่ไหวแล้ว"

เสียงเป็นเป็ดเชียว

"นี่สมปองหรือสมเป็ดเนี่ยะ"

"มึงแหละทำให้กูเป็นสมเป็ด" น้องโผล่หน้ามามองผม "มึงรับผิดชอบเลยนะ"

ผมเลื่อนเข้าไปจุ๊บปากน้อง "ให้รับผิดชอบทั้งชีวิตก็ยังได้"

"ให้มันจริง"

"พูดจริงทำจริงอยู่แล้ว"

"หึ...." น้องขยับเข้ามาซุกอกผม มือเรียวเลื่อนมากุมมือผมไว้นิ่งๆ "ใกล้วิ่งเกียร์แล้วเนอะพี่ รู้สึกตื่นเต้นยังไงก็ไม่รู้"

"วันจริงจะตื่นเต้นกว่านี้อีก ใกล้ถึงวันที่จะได้เกียร์แล้วนะปอง"

"อื้มม.ม...ใกล้จะ...ได้เกียร์แล้ว" สิ้นเสียงแผ่วๆ คนที่นอนกอดผมก็หลับไปทันที คงเพลียจัดเลยนั่นแหละที่ได้สลบไปแบบนี้

ผมลูบหัวน้องเบาๆ พลางมองไฟสลัวๆ จากโคมไฟที่หัวเตียง ผมกลายเป็นคนที่นอนไม่หลับไปแล้วนะถ้าไม่ได้เปิดไฟทิ้งไว้ มันคงเป็เพราะความเคยชินล่ะมั้ง ผมใช้ชีวิตอยู่กับน้องมาหลายเดือน ผ่านอะไรด้วยกันมามากเลยแหละ นึกถึงตัวเองสมัยก่อนที่ไม่ยอมใครเลยแต่ก็ต้องมายอมเด็กนี่ ความเป็นสมปองมันทำให้สยามคนนี้แพ้ไปหมดทุกอย่างเลย

ชีวิตของผมคงรักใครไม่ได้อีกแล้วล่ะ

"พี่รักปองนะครับ"

วิ่งเกียร์นี้เรามาแลกใจกัน....เนอะ



[จบบันทึกพิเศษ : สยาม]













TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งหยัมปองแล้ว ขอโทษที่มาซะดึกเลย นี่เก่งมากนะที่ไม่ชิงหลับไปกลางคัน555555 ชาลยังไม่ได้นอนเลยตั้งแต่เมื่อคืน สมองนี่อ๊องมาก ยังไม่ได้แก้คำผิดนะคะ เดี๋ยวจะตามแก้ให้

ด้วยความเบลอจะไม่ขอทอล์คใดใดเพราะเบลอจริงๆ

ถ้าชอบก็กดไลค์ คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ สามารถติดต่อชาลได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis นะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 51 : 10/8/2018 ] หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 10-08-2018 23:10:30
สมเป็ดมาแล้วว :z2:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 51 : 10/8/2018 ] หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 10-08-2018 23:35:43
สมปองคนคิ้วท์กับนังพี่สยามคนหื่นกาม ทำไมสองคนนี้เหมือนเกิดมาเพื่อกันและกันเลยอ่ะ แต่สมปองคือเด็กคิ้วท์จริงๆ นะ ไม่แปลกใจทำไมพี่สยามถึงได้รักถึงได้หลง นี่ก็รักก็หลงน้องเหมือนกัน อยากแย่งมาจากพี่สยามอ่ะ ขอได้ไหมอ่ะพี่ เดี๋ยวน้องหาคนใหม่ให้พี่สยามเอง ฮือออ

สงสัยอย่างนึงทำไมเวลาncทีไรต้องเป็นพาร์ทพี่สยามทุกทีเลยอ่ะ มันมีนัยยะอะไรหรือเปล่า แบบเพราะพี่สยามเป็นคนหื่นกามเลยต้องเป็นพาร์ทพี่สยาม555555
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 51 : 10/8/2018 ] หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 11-08-2018 01:31:12
ใกล้ได้เกียร์ ได้เวลาฝากเกียร์ฝากใจไว้กับอีกคนแล้ว วุ้ยๆ 5555 สองคนนี้มันเคมีกันดีจริงๆ พูดคุยกันรู้เรื่องดี สมปองมันก็สมปองจริงๆ สมปองคนคิ้วท์ บ้าๆฮาๆแต่น่ารักตามสไตล์สมปองละ 55555 พี่สยามหลงน้องปองโงหัวไม่ขึ้นแล้ววววว ยิ่งพ่อไฟเขียว จัดไปๆ อยากทำแล้วก็ยอมให้ คือncดีค่ะ 555 เก่งขึ้นมากเลยสมปองสมกับคนหื่นๆอย่างพี่สยามอะนะ ชอบละสิชอบมากละสิพี่หยัม แหมมมมม 5555 สนุกๆค่ะ เป็นอะไรที่อ่านได้เรื่อยๆอยากรู้เรื่องราวของสองคนนี้ไปเรื่อยๆ เป็นไดอารี่จริงๆ ชอบอ่ะ รอตอนต่อไปเลย ขอบคุณที่มาอัพค่ะ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 51 : 10/8/2018 ] หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 11-08-2018 02:28:40
รอดูปองวิ่งเกียร์  o18
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 51 : 10/8/2018 ] หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 11-08-2018 06:03:09
สมปองคนคิ้วท์กับนังพี่สยามคนหื่นกาม ทำไมสองคนนี้เหมือนเกิดมาเพื่อกันและกันเลยอ่ะ แต่สมปองคือเด็กคิ้วท์จริงๆ นะ ไม่แปลกใจทำไมพี่สยามถึงได้รักถึงได้หลง นี่ก็รักก็หลงน้องเหมือนกัน อยากแย่งมาจากพี่สยามอ่ะ ขอได้ไหมอ่ะพี่ เดี๋ยวน้องหาคนใหม่ให้พี่สยามเอง ฮือออ

สงสัยอย่างนึงทำไมเวลาncทีไรต้องเป็นพาร์ทพี่สยามทุกทีเลยอ่ะ มันมีนัยยะอะไรหรือเปล่า แบบเพราะพี่สยามเป็นคนหื่นกามเลยต้องเป็นพาร์ทพี่สยาม555555

ใกล้ได้เกียร์ ได้เวลาฝากเกียร์ฝากใจไว้กับอีกคนแล้ว วุ้ยๆ 5555 สองคนนี้มันเคมีกันดีจริงๆ พูดคุยกันรู้เรื่องดี สมปองมันก็สมปองจริงๆ สมปองคนคิ้วท์ บ้าๆฮาๆแต่น่ารักตามสไตล์สมปองละ 55555 พี่สยามหลงน้องปองโงหัวไม่ขึ้นแล้ววววว ยิ่งพ่อไฟเขียว จัดไปๆ อยากทำแล้วก็ยอมให้ คือncดีค่ะ 555 เก่งขึ้นมากเลยสมปองสมกับคนหื่นๆอย่างพี่สยามอะนะ ชอบละสิชอบมากละสิพี่หยัม แหมมมมม 5555 สนุกๆค่ะ เป็นอะไรที่อ่านได้เรื่อยๆอยากรู้เรื่องราวของสองคนนี้ไปเรื่อยๆ เป็นไดอารี่จริงๆ ชอบอ่ะ รอตอนต่อไปเลย ขอบคุณที่มาอัพค่ะ

คิดเหมือน
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 51 : 10/8/2018 ] หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 11-08-2018 07:41:57
ทำไมเราเขิลฉาก NC ของหยามปองอ่ะะะ
เขิลแบบขำๆ ฮาๆ ชอบจริงๆ เล้ยยยยยย
อยากจับน้องปองคนคิวส์มาฟัดว้อย !! ยึ๋ยยย

:really2: :really2:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 51 : 10/8/2018 ] หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 11-08-2018 13:16:20
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 52 : 25/8/2018 ] หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 25-08-2018 23:36:19
บทที่ 52 : เกียร์แลกเกียร์


ในที่สุด....วันแห่งเกียรติยศก็มาถึง

มันดูยิ่งใหญ่ไปป้ะวะ

ช่างเถอะ

ผมนั่งดูคลิปปลาคาร์ฟอยู่หน้าตึกคณะวิศวะฯ ตอนนี้เกือบบ่ายโมงครึ่งแล้วครับ ซึ่งเป็นช่วงเบรกจากกิจกรรมสันทนาการของการรับน้องใหญ่ วันนี้เป็นวันรับน้องใหญ่ของวิศวะฯ ซึ่งผมตื่นเต้นมากๆ จะได้วิ่งรอบมหา'ลัยแล้ว ทีนี้ก็จะได้เห็นความพยายามซ้อมวิ่งในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาว่ามันจะเป็นยังไง วิ่งเสร็จแล้วผมจะตายหรือว่ารอด

ต้องรอดสิวะปอง

ถ้าตายไปนี่พี่สยามเป็นหม้ายเลยนะ

ช่วงที่ผ่านมาผมกับพี่สยามก็ไม่ค่อยได้กุ๊กกิ๊กอะไรกันมากนะเพราะว่าพี่มันต้องจัดการเรื่องงานรับน้องไง ซึ่งมันก็ทั้งดีและก็ไม่ดีนั่นแหละ มันดีตรงที่ผมไม่ต้องเปลืองเนื้อเปลืองตัวแต่มันก็ไม่ดีตรงที่มันจะเหงาใจเหงากายหน่อยๆ แต่เชื่อได้เลยว่าถ้าผ่านรับน้องไป พี่สยามมันต้องมาทำตัวหื่นกามใส่สมปองคนนี้อย่างแน่นอน

คิดแล้วก็แบบ....

"ทำอะไรอะหืม"

"นั่งดูคลิป" ผมหันมองคนที่มานั่งลงข้างๆ "มึงรู้ป้ะพี่สยามว่าปลาคาร์ฟอะเป็นตัวผู้"

"ทำไมอะ"

"เพราะถ้าเป็นตัวเมียจะเรียกว่าปลาค่ะ ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ " ว่าแล้วผมก็หัวเราะลั่น

พี่มันทำหน้านิ่งใส่ "มุขนี้ซื้อทิ้งกี่บาทอะ"

"ไม่ให้ซื้อทิ้งโว้ย" ผมบอกก่อนจะทำตาโตใส่ "ว่าแต่มึงอะ ทำไมมาอยู่ตรงนี้ได้ ไม่ต้องไปช่วยชาวบ้านชาวช่องหรอ"

"กูเป็นประธานสันฯ นะ กูอู้ได้"

ผมตีไหล่พี่สยามทันที "ทำไมมึงเป็นคนแบบนี้วะ"

"ทำไมล่ะ ก็อยากมาวอแวแฟน" เจ้าตัวยิ้มหวานก่อนจะยื่นมือมาบีบแก้มผม "มึงอ้วนขึ้นป้ะเนี่ยะปอง"

"หนิ ทักว่ากูหล่อขึ้น กูจะรู้สึกดีกว่านี้มากๆ แล้วมือมึงเปื้อนอะไรมาป้ะเนี่ยะ จับแก้มกูนี่สิวขึ้นพอดี" ผมจับมือเรียวออกก่อนจะทำหน้ามุ่ยใส่มัน

ทำไมพี่สยามถึงชอบทักว่าผมอ้วนขึ้นวะ ไม่เข้าใจเลย รู้อยู่หรอกว่าอ้วนขึ้นนิดหน่อย บางทีผมก็สงสัยตัวเองว่าทำไมไปซ้อมวิ่งถึงขนาดนั้นแต่ไม่ได้รู้สึกว่าผอมลงเลย เนี่ยะ พอพี่สยามมันมาทักแบบนี้อีก ยิ่งรู้สึกแปลกๆ

นี่ผมอ้วนขึ้นจริงเหรอวะ

"ทำไมทำหน้างั้นล่ะ"

"กูอ้วนขึ้นจริงหรอ" ผมถามพลางเบะปากใส่ ไม่นะ อย่าบอกว่าอ้วน ต้องบอกว่าไม่อ้วนแต่ที่พูดแบบนั้นคือแกล้งเล่น

ตอบแบบนี้สิพี่สยาม

"ใช่"

.....จบแล้ว

"อึก" ผมเบะปากจนสุด ไม่สนใจด้วยว่ามันจะน่าเกลียดขนาดไหน ไอ้คนหื่นกามมันต้องได้รับรู้ความชอกช้ำระกำใจของผม

"โอ๋ๆ ล่อเล่น" มือเรียวลูบหัวผม "ไม่ได้อ้วนขึ้นหรอก แต่เวลาที่ทักแบบนี้มึงชอบทำหน้าตลกอะ มันน่ารัก กูชอบ"

"แต่กูไม่ชอบ ปกติกูก็คิ้วท์อยู่แล้ว ไม่เห็นต้องบอกว่าอ้วนเลย ถ้ามึงพูดอะไรแบบนี้อีกนะกูจะโกรธมึงมาก กูจะให้มึงไปนอนห้องน้ำ ไม่ก็นอนกับต้นไม้ริมระเบียงนั่นแหละ กูจะไม่ให้มึงหอมแก้มกู กอดก็ไม่ให้กอด แล้วกูก็จะไม่ให้มึงเอากูด้วย ใช้มือไปเลยนะมึงงงง" ผมโวยสั่งมันก่อนจะลุกหนีมาจากตรงนั้นทันทีโดยปล่อขยพี่สยามเอาไว้ตรงนั้น

นั่งเหวอแดกไปซะเถอะมึง

คอยดูนะผมจะโป้งมัน โป้งยันวันพรุ่งนี้เลยด้วย เดี๋ยวผมกลับหอเมื่อไหร่ผมจะเขียนไดอารี่ฟ้องพ่อ อันนี้คือจริงจัง พอวันพรุ่งนี้ผมจะไปฟิตเนสเพื่อออกกำลังกายอย่างจริงจัง ผมจะงดของหวานหลายๆ อย่าง ผมจะไม่กินพวกบุฟเฟ่ต์หรือหมูกระทะ ชาบูก็จะไม่กิน อะไรที่ทำให้อ้วนก็จะไม่กินเด็ดขาดเลยคอยดู

"ปอง ถ้าวันนี้รับน้องเสร็จ เราไปกินชาบูกันป้ะ"

"ไปๆ กูไป" ผมตอบรับทันที คือไม่ได้จะกลืนน้ำลายตัวเองนะแต่ผมบอกว่าจะเริ่มตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปเพราะงั้นวันนี้ไม่นับ

"โอเคงั้นตามนี้เลย" ลันตารับคำ "เค้าจะเริ่มวิ่งกี่โมงวะ"

"บ่าย 2 เป๊ะ กูว่าอีกแปปนึงก็น่าจะเตรียมตั้งแถวแล้วล่ะ" ผมบอกก่อนจะมองคนที่เพิ่งเดินเข้ามา "พี่ขันมาแล้วว่ะ"

ร่างสูงเดินมาหยุดอยู่หน้าพวกผมก่อนจะยกมือขึ้นจับคอตัวเอง "ปี 1 ทั้งหมด!!!! จัดแถว" สิ้นเสียงสั่งเหล่าเด็กปี 1 ก็รีบเข้ามาจัดแถวทันทีรวมถึงพวกผมด้วย

กิจกรรมใกล้จะเริ่มแล้วสินะ

"เริ่มแล้วใช่ป้ะประเพณี" สีเทียนเอ่ยถามจากด้านหลัง

"ใช่แหละ เดี๋ยวพี่ขันจะเป็นคนเดินนำขบวนพวกเราไปส่งต่อให้พวกพี่ปี 2 พี่สยามมันบอกกูมาแบบนี้"

"เรียบร้อยรึยัง!!!!" เฮดว้ากเอ่ยถาม

"เรียบร้อยแล้วครับ / ค่ะ"

"ดี....ต่อจากนี้คือประเพณีวิ่งเกียร์ ผมจะเป็นคนนำขบวนพวกคุณไปส่งยังรุ่นพี่ของพวกคุณ แล้วพวกเขาจะวิ่งนำคุณไป" มือเรียวยกธงสีเลือดหมูของคณะวิศวะฯ ขึ้นพาดบ่า พี่ทะเลกับพี่จันทร์ฉายก็ถือธงสีขาวขนาบข้าง

โคตรเท่เลยว่ะ

วันนึงผมก็จะได้อยู่ในจุดนั้นเหมือนกันสินะ

"เริ่มขบวน" สิ้นเสียงของเหล่าพี่ว้าก ขบวนของเด็กวิศวะฯ ปี 1 ก็เดินกันมาอย่างเป็นระเบียบตามหลังของพี่ขัน ขนาดแค่เดินตามยังรู้สึกขนลุกยังไงไม่รู้

ขบวนของพวกเราเดินมาเรื่อยๆ จนถึงบริเวณที่มีพวกพี่ปี 2 ที่จะวิ่งนำขบวนรออยู่ ด้านหน้าสุดคือพี่ขุนศึก ข้างๆ นั่นก็คือพี่สยามกับพี่ข้าวก้อง เด็กมากมายจากหลายคณะก็พากันมาดูประเพณีวิ่งเกียร์ เยอะมากเลยนะครับ ถ้าวิ่งแล้วล้มนี่มีเขินแน่นอนอะ ซึ่งผมจะไม่เป็นคนๆ นั้นแน่นอน อีกอย่างถ้าผมล้มนี่น่าจะโดนเหยียบตาย

ก็นะ....เป็นหัวแถวเลยนี่

พี่ขันเดินไปส่งธงคณะต่อให้พี่ขุนก่อนจะเดินไปยืนไพล่หลังอยู่หน้าขบวนพร้อมกับพี่ว้ากคนอื่นๆ ดวงตาคมไล่มองไปทั่วทั้งขบวน วันนี้นับได้ว่าเป็นวันสุดท้ายของการทำหน้าที่เป็นเฮดว้ากของพี่ขันด้วยนะ พอบายศรีฯ ตอนเย็นเสร็จเขาก็เป็นไทแล้ว ทีนี้หน้าที่นี้ก็จะเป็นพี่ขุนศึกที่ต้องรับผิดชอบต่อไป แล้วก็ตามด้วยอีงูพิษเพื่อนรักของผม

"ผมขอบอกพวกคุณไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นคุณห้ามทิ้งเพื่อนที่อยู่ข้างๆ คุณเด็ดขาด ระยะทางมันอาจจะไกลหน่อยแต่มันก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าคุณจะจับมือกันแล้วก้าวผ่านมันไปได้ไหม ประเพณีวิ่งเกียร์นั้นคุณจะทำสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อคุณสามัคคีกัน ผมหวังว่าผมจะเห็นพวกคุณวิ่งเข้ามาถึงเส้นชัยด้วยกัน....ขอให้โชคดี" สิ้นเสียงพี่ขันกล่าว เสียงปรบมือก็ดังขึ้น

โคตรรู้สึกหึกเหิมเลยว่ะ

ผมมองแผ่นหลังของพี่สยามที่อยู่ตรงหน้า ผมต้องวิ่งตามไอ้บ้านี่สินะ หลังจากงานนี้เชื่อได้เลยว่าผู้ชายตรงหน้าจะต้องดูเท่ขึ้นประมาณล้านเท่าในสายตาของคนอื่น มันเป็นเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นแต่ว่ามันก็พอเดาได้น่ะนะ จะต้องมีคนมายุ่มย่ามกับมันแน่นอนซึ่งผมก็จะไม่ทำอะไรมากหรอกครับเพราะว่าต่อให้คนนับแสนมาอ่อย

คนที่อร่อยที่สุดก็คือผมไง

อา....พูดเองก็เขินเองเลยนะเนี่ย

"พร้อมไหมปอง" สมแยมเอ่ยถาม

"พร้อมสิ" ผมยิ้มให้เหล่าเพื่อนๆ "เรามาวิ่งไปด้วยกันนะ"

"ห้ามล้มเลยนะพวกมึง"

พี่ขุนยกธงขึ้นสะบัดสามครั้งก่อนจะจับตั้งพาดไว้บนบ่า "ข้าพเจ้า นายขุนศึก สุธานันสวัสดิ์ คณะวิศวกรรมศาสาตร์ชั้นปีที่ 2 เป็นผู้รับผิดชอบการวิ่งนำขบวนของรุ่นน้องชั้นปีที่ 1 ในประเพณีวิ่งเกียร์ครั้งที่ 21 "

ปัง....ปัง....ปัง

สิ้นเสียงปืนให้สัญญาณทั้งขบวนก็เริ่มออกวิ่ง บรรดาแก๊งค์สันทนาการที่วิ่งนำพวกผมอยู่นั้นก็กำลังทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ ปี 1 อย่างพวกผมก็ต้องทำให้เต็มที่เหมือนกัน การวิ่งนี้มันแลกเกียร์เลยนะ เกียร์ที่เป็นสัญลักษณ์ของคณะวิศวะฯ เกียร์ที่เป็นเหมือนของแทนใจของเด็กวิศวะฯ และการวิ่งเกียร์ครั้งนี้....ก็เพื่อนำมันไปให้คนที่เป็นเจ้าของหัวใจของผม

คนที่วิ่งนำผมอยู่ด้านหน้านี่ไง

รอก่อนนะพี่สยาม





"แด่วันรับน้องงงง"

"แด่วันรับน้อง"

"แดวันรับน้อง"

"แด่วันรับน้อง" กับสมปองที่ยังไม่ได้เกียร์

อา....ชักหงุดหงิดใจ

หลังจากที่คีบหมูชนสามชั้นไปขนกับของเพื่อนๆ เสร็จผมก็จัดการยัดเจ้าความอร่ยนั้นเข้าปากทันที ตอนนี้เกือบ 1 ทุ่มแล้วครับและกิจกรรมรับน้องของวิศวะฯ ก็ผ่านไปแล้วด้วยดี ทั้งประเพณีวิ่งเกียร์หรือการบายศรีฯ ผมนี่ได้เชือกผูกคอมือมาเต็มเลย อีกนิดนึงก็ลามมาจนจะถึงข้อศอกละ เป็นน้องรักของเหล่าพี่ๆ ก็แบบนี้แหละ แต่บางทีก็รัดแน่นเกินไปนะ

เลือดจะไม่เดินอยู่แล้ว

กลับถึงหอเมื่อไหร่ผมจะให้พี่สยามแกะออกให้แล้วค่อยใส่ถุงเก็บไว้ พี่สยามมันต้องเคลียร์อะไรที่มอไม่รู้ครับ มันบอกว่าให้มากินชาบูกับเพื่อนๆ ก่อนแล้วเดี๋ยวมันจะมารับ พร้อมกับเอาเกียร์ของผมมาให้ คือว่าเหล่าพี่รหัสเนี่ยะจะเป็นผู้มอบเกียร์ให้น้อง ตอนที่เขาบายศรีฯ กันเขาก็ให้เกียร์กันเรียบร้อยยกเว้นพี่สยาม

มันหายไปไหนไม่รู้

เป็นรุ่นพี่คนเดียวเลยมั้งที่ไม่อยู่ตอนที่เขาผูกข้อมือกันน่ะ เพราะแบบนี้แหละผมเลยยังไม่ได้เกียร์แถมข้อมือนี่ก็ไม่มีเชือกของพี่สยามผูกอยู่ด้วย คิดแล้วมันก็น่าน้อยใจอยู่แต่ก็ไม่รู้ว่าจะน้อยใจไปทำไมเหมือนกัน เอาเป็นว่าถ้ามันมาผมจะบ่นมันสักหน่อยละกัน เผื่อมันจะง้อผมด้วยการพาไปกินของหวานปิดท้ายจากชาบูอะไรทำนองนี้

วันสุดท้ายแล้วครับเพราะงั้นต้องกินให้มันสุด

"กูว่านะ พรุ่งนี้ขาพวกเราหมดแรงแน่เลยว่ะ" ลันตาบอกก่อนจะแย่งตับในชามผมไป

"กูก็ว่างั้น เราวิ่งระยะไกลเลยน่ะนะ แต่ถือว่าดีนะที่ไม่มีคนล้มหรือว่าเป็นลมน่ะ" สีเทียนบอกก่อนจะคีบโน่นนี่มาใส่ถ้วยให้ผม

"ฟ้าเป็นใจน่ะตอนที่พวกเราวิ่ง แดดล่มแถมลมก็พัดเย็นๆ โคตรโชคดีเลย" แยมบอกก่อนจะหยิบถ้วยน้ำจิ้มถ้วยใหม่ให้ผม "ร่างกายโอเคใช่ไหมปอง"

"โอเคนะ นี่ถ้าไม่ซ้อมวิ่งไว้ก่อนก็น่าจะหนักอยู่เหมือนกัน"

"ทีนี้ก็เหลือแค่เรียนกับเรียนแล้วสินะ"

"เหลือประกวดดาวเดือนอีกงาน ก็จะหมดกิจกรรมของเทอมนี้แล้ว" ผมคีบสันนอกใส่ปาก "มีอีกทีก็คือกีฬาสีของเทอมหน้า"

สีเทียนนั่งเท้าคางมองเพื่อนแยม "สู้ๆ นะมึง เดี๋ยวกูไปทำป้ายไฟมาเชียร์เลย"

"กูไม่มั่นใจเท่าไหร่เลยว่ะ แต่ก็จะพยายามทำให้เต็มที่"

"มึงทำได้อยู่แล้ว" ผมฉีกยิ้มแฉ่งให้เพื่อนรักก่อนจะคีบหมูไปใส่ไว้ในถ้วยให้ จะว่าไปงานประกวดดาวเดือนที่จะถึงนี่ก็น่าเหนื่อยเหมือนกันนะ

ถึงหน้าที่การรับผิดชอบมันจะเป็นของคณะนิเทศฯ ก็เถอะ แต่ว่าพวกคณะกรรมการก็ต้องช่วยประสานงานหลายอย่างอยู่ดี ไหนจะเรื่องที่ต้องคอยซัพพอร์ตดาวเดือนของคณะอีก ต่อให้รู้สึกเหนื่อยก็ต้องอดทนน่ะนะ อีกอย่างนี่ก็เป็นงานสุดท้ายของเทอมนี้แล้วด้วย อดทนอีกหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก

สู้เขานะสมปองคนคิ้วท์

ผมนั่งสังสรรค์กับเพื่อนอีกพักใหญ่จนเวลาล่วงเลยมา 2 ทุ่มกว่าๆ ขอบอกเลยว่าตอนนี้รู้สึกอิ่มและสามารถอ้วกใส่หน้าลันตาเพื่อนรักได้ทันที แน่นมากอะ กินแบบลืมโลก ท้องผมต้องป่องมากแน่ๆ แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยววันนี้พรุ่งนี้ก็จะกลับไปฟิตแอนด์เฟิร์มแล้ว เพราะงั้นเราจะปล่อยตัวปล่อยใจเป็นรวัยสุดท้ายครับ

ผมต้องทำแบบที่พูดได้สิน่า

ครืดดดด....ครืดดดด

ผมหยิบโทรศัพท์มากดรับสาย "ว่าไง"

(อยู่หน้าร้านแล้ว ออกมาเลย)

"เคแปป" ผมรับคำก่อนจะกดวางสาย มือก็หยิบเงินส่งให้เพื่อนๆ "อะนี่ส่วนของกู พี่สยามมันมาละ เดี๋ยวกูขอตัวก่อน"

"เออ โชคดีนะ"

"แล้วเจอกัน" ว่าแล้วผมก็เดินออกมานอกร้าน รถของพี่สยามจอดรออยู่แล้ว พอเห็นแบบนั้นผมก็ลากสังขารของตัวเองขึ้นไปนั่งที่เบาะข้างคนขับที่ประจำ

หันไปยกยิ้มให้เจ้าของรถทีนึง

"อร่อยเลยสิ"

"อร่อยมากๆ ห้ามว่ากูอ้วนนะ เพราะกูจะไล่มึงไปนอนที่อื่นเลยคอยดู" ผมบอกก่อนจะคาดเบลท์

"ทำไมโหดจังล่ะหืม...." มือเรียวเลื่อนมาจับมือผมไปกุมไว้ "ไปนั่งรถเล่นกันเนอะ"

"อารมณ์ไหนเนี่ยะ"

"ก็แค่อยากพาไปเฉยๆ อะ หัดโรแมนติกบ้างสิวะ" พี่สยามทำหน้ามุ่ยใส่ผม

"เออๆ จะพาไปไหนก็ไป"

ถือซะว่า....นั่งรถย่อยก็ได้วะ





รู้ไหมครับว่าการนั่งรถเล่นของเราสองคนมันมาไกลขนาดไหน

บางแสนชลบุรีเลยล่ะ

จิ๊....หมดคำพูดเลยจริงๆ

ผมนั่งให้ลมทะเลตีหน้าอยู่ข้างพี่สยามที่นั่งดูดน้ำผักอยู่ มันควรจะเป็นการนั่งจิบเบียร์อะไรทำนองนั้นมากกว่าแต่ว่าพี่มันต้องขับรถกลับไง ก็เลยงดแอลกอฮอลล์จะดีกว่า พอเป็นนั้นพ่อคุณเขาเลยไปซื้อน้ำผักมากินแทน กลายเป็นรักสุขภาพขึ้นมาเฉยๆ เลยอะนะ

เพลียใจเลย

"ทำไมทำหน้าแบบนั้นอะ ไม่ชอบอ๋อพามาทะเล"

"มึงพามาตอนกลางคืนเนี่ยะนะ"

"อืม....ดาวที่ทะเลสวยออก" เจ้าตัวเอ่ยเบาๆ ก่อนจะหันมองผม "ไม่ชอบหรอ"

"ชอบสิ แฟนพามาทั้งที่จะไม่ชอบได้ยังไง" ผมยิ้มหวานให้พี่สยามแวบนึงก่อนจะแบมือตรงหน้ามัน "ไหนของๆ กูล่ะ"

มือเรียวหยิบของในกระเป๋าเสื้อก่อนจะวางไว้บนมือผม "ยินดีต้อนรับสู่คณะวิศวกรรมศาสตร์อย่างสมบูรณ์นะครับน้องปี 1 "

"ขอบคุณนะครับพี่ปี 2 " ผมมองเกียร์ที่อยู่ในมือแต่ว่ามันไม่ได้มีแค่อันเดียว "พี่สยาม"

"พี่ขันเคยบอกว่าการที่เราจะให้เกียร์กับใครสักคน เราก็ต้องมั่นใจแล้วว่าเขาคนนั้นจะเป็นเจ้าของหัวใจของเราไปตลอดทั้งชีวิต ซึ่งตอนนี้....กูว่ากูเจอแล้วล่ะ"

ตึกตัก

"พี่สยาม" ผมมองคนที่หยิบสร้อยเกียร์ของตัวเองมาคล้องคอ ตอนนี้หัวใจเต้นแรงมากเลยอะ ความรู้สึกนี้มันคืออะไรกัน

"หัวใจ....ให้ไปแล้วก็ดูแลให้มันดีดีนะ" ว่าแล้วมันก็ยื่นหน้าเข้ามาจูบผมเบาๆ ก่อนจะละออกไปแล้วยิ้มหวานให้

เชี่ยยยย

อยากจะละลายเป็นฟองไปรวมกับกองคลื่น

"ทำไมอ่อนโยนแบบนี้วะ ไม่สมเป็นมึงเลยอะ" ผมยกมือลูบแก้มตัวเองเพื่อคลายความร้อน

"ความจริงก็เป็นคนอ่อนโยนนะ จะแข็งก็ตอนที่มีอารมณ์"

"เดี๋ยวววว" ผมตีไหล่มันทันทีที่มันพูดออกมาแบบนั้น "มึงนี่มันจริงๆ เลยนะ"

"ชอบล่ะสิ"

"ไม่ชอบหรอก" ผมเอาเกียร์ของตัวเองห้อยที่คอของพี่สยามก่อนจะยิ้มบางๆ ให้ "เพราะว่ารักต่างหาก"

มือเรียวรั้งผมเข้าไปกอดไว้ "พูดจาน่ารักนะเราน่ะ แบบนี้พี่จะไปไหนได้"

"ก็ไม่ต้องไปไหนไง อยู่ด้วยกันตรงนี้นี่แหละ" ผมกุมมือพี่สยามไว้แน่น "ตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน กูไม่เคยคิดเลยว่ามันจะมีวันนี้ กูจำความรู้สึกแรกที่เจอมึงได้เลยนะ กูไม่ชอบขี้หน้ามึงเอามากๆ แต่ตอนนี้คนที่กูเคยไม่ชอบมากๆ กูกลับรักมาก จนแทบไม่อยากห่างไปไหน มึงทำของใส่กูแน่ๆ เลยพี่สยาม"

"ก็ใช่ไง เอาให้หัวปักหัวปรำ" จมูกโด่งกดลงที่แก้มของผมหนักๆ

"อื้ม.ม.ม....."

"กูดีใจนะปองที่วันนี้เราได้มาอยู่ด้วยกันตรงนี้ ดีใจที่เราได้แลกเกียร์กัน กูมีความสุขมากที่ได้เจอมึงนะ"

"กูก็เหมือนกัน" ผมหอมแก้มพี่สยามดังฟอด "หัวใจของกู....กูให้ไปแล้ว มึงก็ต้องรักษามันอย่างดีเหมือนกันนะ"

"กูจะรักษามันให้ดีที่สุด" พี่สยามยิ้มหวานให้ผม ชอบจริงๆ รอยยิ้มนี้น่ะ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนมันดูกวนประสาทมากแท้ๆ

ไปไหนไม่รอดแล้วล่ะสมปอง

ผมกอดพี่สยามอยู่อย่างนั้น ช่วงเวลานี้มันดีและมีความสุขจริงๆ เรื่องที่เราแลกเกียร์กันมันก็ต้องถูกบันทึกลงไดอารี่ของผมเหมือนกัน ตอนที่พ่อได้อ่าน เขาจะต้องยิ้มออกมาแน่ๆ ผมจะถ่ายทอดความสุขนี้ให้พ่อได้อ่าน หวังว่าเรื่องราวทั้งหมดนั้นมันจะทำให้พ่อยอมปล่อยให้ผมได้เรียนที่นี่ต่อในปีต่อๆ ไป ผมหวังแบบนั้นจริงๆ

ถ้าผมได้เรียนต่อที่นี่....ผมก็จะได้อยู่กับคนที่ผมรักไงล่ะ

"พี่สยาม....ปองรักพี่สยามนะ"

"พี่ก็รักเราเหมือนนะ....สมปอง"


มันคือ....ความสุขจริงๆ นั่นแหละว่ะ















TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งหยัมปองแล้วหลังจากที่หายไป 2 อาทิตย์ ต้องขอโทษด้วยที่ให้รอกันนานเลย ชาลต้องจัดการเรื่องต้นฉบับขันหมีซึ่งตอนนี้ก็เสร็จไปแล้ว ต้องเคีลยร์เรื่องค่าเทอมก็จัดการแล้ว ตอนนนี้ก็เหลือแค่เปิดเทอมวันจันทร์นี้เท่านั้นเองค่ะ

ยังไม่ได้แก้คำผิดนะคะ แต่เดี๋ยวจะตามแก้ให้นะ ก็ตอนหน้าก็จะเป็นตอนจบของนิยายเรื่องนี้แล้วนะ ก็อยู่ด้วยกันมาปีกว่าแล้วสำหรับเรื่องนี้ ก็ถึงเวลาที่น้องต้องจบลงแล้วนะคะ ตอนสุดท้ายจะเป็นยังไงรอติดตามนะ

ถ้าชอบก็คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ สามารถติดต่อข่าวสาร + ทวิตเตอร์ Chaleeisis นะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 52 : 25/8/2018 ] หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 26-08-2018 00:34:30
บอกรักก็แล้ว ให้เกียร์ก็แล้ว ตอนหน้าจะจบแล้ว  :heaven
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทที่ 52 : 25/8/2018 ] หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 26-08-2018 01:24:37
หวานเว่อร์555
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทส่งท้าย : 29/8/2018 ] หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 29-08-2018 21:30:33
บทส่งท้าย


ครึ่งปีผ่านไป

.

.

ความรู้สึกใจเต้นตึกตักๆ นี้มันจริงๆ เลยนะ

ลุ้นกับคำตอบของพ่อจัง

ผมนั่งมองคนที่นั่งอ่านไดอารี่อยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยใจที่สั่นระรัว ไม่รู้เลยครับว่าคำตอบของพ่อจะออกมาเป็นยังไง นี่ก็ได้แต่หวังว่าพ่อจะเซย์เยสให้ผมได้เรียนต่อที่เดิม แต่ถ้าพ่อเซย์โน ผมอาจจะต้องไปเข้าทางแม่ก่อน แล้วถ้าแม่ไฟท์จนหมดหนทางจริงๆ ผมก็จะหนีแม่งเลย

เราทำแบบนั้นไม่ได้ป้ะวะ

โอ๊ย กดดันจังโว้ย

คนคิ้วท์จะบ้าแล้วน้า

ผมทำหน้ายับพลางเหลือบไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ไม่ใช่ใครไหนไกลครับ พี่สยามนั่นแหละ สีหน้าเจ้าตัวก็ดูลุ้นกับคำตอบของพ่ออยู่นะ เพราะว่ามันก็เป็นตัวตัดสินในอะไรหลายๆ อย่างเลยแหละ ทั้งเรื่องในอนาคต ไหนจะเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเราอีก มันมีหลายอย่างที่ทำให้คิดมากน่ะ ผมก็ได้แค่หวังให้มันเป็นไปตามแบบที่คิด อยากเรียนที่เดิมนะถึงแม้ว่าจะสาหัสมากเลยก็เถอะ

แต่ผมก็เป็นคนเลือกสิ่งเหล่านั้นเองไง

ตั้งช่วงมัธยมฯ ที่ต้องอ่านหนังสือแล้วไปสอบ ต้องทำโนนี่นั่นเองทุกอย่าง ตอนนั้นผมพยายามมากเลยนะเพราะมันตั้งใจจริงๆ ที่จะเรียนวิศวะฯ และก็ต้องเป็นของมหา’ลัยนี้อะ ผมรู้ว่ามันจะหนักแต่ก็เตรียมใจรอเอาไว้แล้วไง พอได้เข้าไปเรียนก็เออแม่งหนักจริงแบบที่คิดไว้ บ่อยครั้งนะที่คิดแบบมันเหนื่อยว่ะ แล้วยิ่งได้รับหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการนักศึกษาแล้วด้วย

ไม่คิดเลยว่าจะผ่านช่วงปี 1 มาได้โดยไม่ตาย

ผมว่ามันอาจจะเป็นเพราะปัจจัยหลายๆ อย่างก็ได้ ช่วงปีที่ผ่านมาชีวิตผมเปลี่ยนไปเยอะเลย มีทั้งเพื่อนที่ขี้แกล้งชิบหาย มีแฟนเป็นผู้ชายทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่เคยคิดว่าจะมี เรื่องวุ่นวายต่างๆ ที่เกิดขึ้นตลอดช่วงที่ผ่านมามันก็สนุกดีและก็สอนอะไรหลายๆ อย่างให้ผมตั้งเยอะ สมปองในตอนนี้กับสมปองเมื่อปีก่อนต่างกันเยอะมากเลย ที่แน่ๆ คือ....อ้วนขึ้นเยอะเลยครับ   

พูดเองก็รู้สึกเจ็บเอง

คำว่าอ้วนนี่ พูดในใจก็เจ็บสินะ

“จบละ” พ่อปิดสมุดไดอารี่ก่อนจะวางมันไว้ตรงด้านหน้า “มีอะไรอยากจะพูดกับพ่อไหมสมปอง”

“อยากเรียนต่อที่เดิมครับ หวังว่าพ่อจะเมตตาลูก”

“ขอเหตุผล”

“เหตุผลมีหลายข้อมากครับ อย่างแรกเลย....ลูกพยายามที่จะเข้าไปเรียนที่นั่นมากและลูกก็ทำได้ ลูกไม่อยากสูญเสียสิ่งสำคัญที่ตัวเองได้พยายามลงไปน่ะครับ”

“แล้วยังไงต่อ”

“ลูกมีความสุขที่ได้อยู่ตรงนั้นมากถึงแม้ว่าจะโดนเพื่อนแกล้งบ่อย งานที่รับผิดชอบหนัก เวลามีควิซของฟิสิกส์จะรู้สึกใกล้ตายแต่ว่าทั้งหมดนั่นก็เป็นสิ่งที่ลูกเลือกเอง ลูกรับมือกับมันได้ การไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นทำให้ลูกได้รู้ว่าคนเราไม่มีอะไรได้ดั่งใจเสมอไป มีเรื่องดีเกิดขึ้นได้ เรื่องไม่ดีก็ต้องเกิดขึ้นได้มันเป็นธรรมดา”

“ปรัชญาดี แล้วยังไงอีก”

“ลูกเปลี่ยนไปเยอะจากเมื่อก่อนอย่างน้อยก็เรื่องการใช้ชีวิตมั้งครับ อีกอย่างนึงที่ลูกได้รับมาจากตรงนั้นคือลูกได้รู้จักกับคนๆ นึง คนที่เข้ามาเปลี่ยนชีวิตลูก ซึ่งพ่อคงได้รับรู้เรื่องของเราทั้งหมดแล้วตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้” ผมหันมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ “ลูกเขียนลงไดอารี่ไปหมดแล้ว”

“ปอง” พี่สยามหลุดยิ้มออกมาก่อนจะเลื่อนมือมากุมมือผมไว้ สัมผัสนี้มันอบอุ่นเสมอนั่นแหละ

ไม่เคยเปลี่ยนเลย

ผมไม่รู้ว่าพ่อจะตัดสินใจในเรื่องนี้ยังไง ช่วงที่เรียนจบปี 1 มันเป็นช่วงที่ผมหวั่นใจมากเพราะว่ามันถึงเวลาตามข้อตกลงแล้ว ยอมรับครับว่ากลัวการที่พ่อจะบอกว่าพ่อยังยืนยันคำเดิมว่าจะให้ผมย้ายมาเรียนบริหารฯ ใกล้ๆ บ้านแทน ความน่ากลัวของมันไม่ใช่เรื่องการเรียนนะแต่เป็นระยะห่างของความสัมพันธ์หลายๆ อย่างต่างหาก มิตรภาพที่ผมได้รับมาตลอดช่วงปี 1 ไม่ว่าจะกับใครก็ตามมันเป็นสิ่งที่ดีที่ผมไม่อยากเสียไป

ที่สำคัญก็คงเป็นพี่สยาม

เราอยู่กันมาตลอดเลยนะครับ มันเกือบจะปีแล้วด้วยอีกไม่กี่เดือนเอง เรื่องราวระหว่างเรามันมากมายจนผมยังอยากให้มันคงเป็นเหมือนเดิม ลองคิดว่าคนที่ตื่นมาเจอหน้ากันทุกวัน พูดคุยกัน ระบายปัญหาแสนแปดให้กันฟัง กินข้าวด้วยกัน นอนกอดกัน แล้วถ้าวันนึงมันไม่เหมือนเดิม ถ้าวันนึงเราต้องอยู่ห่างกันจริงๆ มันคงจะไม่ใช่การปรับตัวที่ใช้เวลาแปปๆ แล้วจะชินแน่นอน

ใครสักคนต้องประสาทแดกก่อนแน่ๆ

อาจจะเป็นผม

ถ้าเราต้องห่างกันจริงๆ ผมคงจะกังวลหลายอย่างมากและก็คงคิดถึงมันน่าดูเลย ผมได้ยินบ่อยนะเรื่องความสัมพันธ์ของความรักกับระยะทางน่ะ บางคนเขาต้องอยู่ห่างกันเป็นซีกโลกแต่ด้วยความรักและไว้ใจกันมันก็ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ยังคงอยู่ได้ แต่ถามจริงๆ นะ มันเป็นความสุขที่พูดได้ว่าสุดจริงๆ เหรอ การได้ฟังแค่เสียง การได้เห็นหน้าเขาผ่านแค่หน้าจอโทรศัพท์มันจะสุขไปเท่ากับการได้เจอเขาตัวเป็นๆ ได้ยังไง

จริงไหมล่ะ

ความสัมพันธ์ที่อยู่กันมันเป็นเรื่องของข้อจำกัดมากกว่า คนเราย่อมอยากอยู่ใกล้ๆ คนที่ตัวเองรักอยู่แล้วซึ่งผมก็เป็นประเภทนั้นแหละ ผมจะต้องพยายามทำทุกทางเพื่อที่จะได้อยู่กับพี่สยาม ถึงมันจะชอบบีบแก้มผมแล้วพูดว่าอ้วนแล้วนะปองก็เถอะ แต่ผมก็ยังอยากให้มันทำแบบนั้นอยู่ดี ทั้งหมดนั่นมันคือความรักของเราอะ

อา....ทำไมเพ้อเจ้อเก่งแบบนี้วะ

“ปองรู้ไหมว่าทำไมพ่อถึงให้ลูกเขียนไดอารี่เพื่อเอามาให้พ่ออ่าน”

“มันคือข้อตกลงที่จะทำให้ลูกได้เรียนต่อหรือไม่ได้เรียนต่อไงครับ”

พ่อส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา “ความจริง พ่อให้ลูกเขียนไดอารี่เพราะอยากจะรู้ว่าการที่ลูกต้องไปอยู่คนเดียวไกลๆ การไปอยู่ในที่ๆ ตัวเองชอบมันเป็นยังไงต่างหาก ที่สำคัญคือช่วงที่ผ่านมาพ่ออยากรู้ว่าลูกโตขึ้นมากแค่ไหนซึ่งตอนนี้พ่อก็ได้เห็นมันทั้งหมดแล้ว”

“.....พ่อ”

“ความคิดที่ย้ายให้ลูกไปเรียนบริหารฯ หรือเกษตรฯ นั่นมันไม่มีอยู่ตั้งแต่แรกหรอกนะ แต่สิ่งที่พ่อพูดมันคือจิตวิทยาที่ทำให้ลูกต้องพยายามมากขึ้นเพื่อที่จะอยู่ในจุดที่ลูกต้องการซึ่งพ่อก็คิดว่ามันดีแล้ว ที่สำคัญคือ....ตอนที่ได้แกล้งแบบนั้น แล้วลูกทำหน้าตลกๆ ออกมามันคือความสุขของคนเป็นพ่อจริงๆ ”

ผมเบะปากสุดใส่เขาทันที “ทำไมทำแบบนี้ล่ะครับ” ทุกคนดูพ่อทำกับผมสิ ทุกคนดู้ววววววววววว

แล้วที่เครียดมาเกือบเดือนนี่มันคืออะไรวะเนี่ย

“พ่อก็บอกไปแล้วไงว่าทำไม” เขาลุกมาหยุดอยู่ข้างๆ ก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวผมเบาๆ “มีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองเลือกเถอะสมปอง ครอบครัว....จะคอยสนับสนุนทุกอย่าง”

“ขอบคุณครับ” ผมยกมือไหว้ก่อนจะยกขึ้นกอดเอวพ่อไว้แล้วเอาหน้าจุมปุ๊กอยู่ตรงนั้น

“สยาม”

“ครับ”

“ฝากน้องด้วยนะ ดื้อไปหน่อยแต่เราก็คงรับมือได้ใช่ไหมล่ะ”

“รับมือได้ครับ....ผมจะดูแลน้องอย่างดี”

ผมหันขวับไปมองเจ้าตัว “ตลอดทั้งชีวิตด้วย”

“ตลอดทั้งชีวิตครับ”





“โล่งใจเนอะที่พ่อให้เรียนต่อที่เดิมน่ะ เหมือนสิ่งที่คิดมากมาตลอดมันเป็นแค่ความฝันเลยว่ะ”

“กูก็บอกแล้วว่าอย่าคิดมาก มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้ เป็นไงล่ะ”

“ก็คนมันคิดมากไปแล้วป้ะวะ” ผมทำหน้ามุ่ยใส่ก่อนจะตักไอติมรสนมที่ตัวเองชอบเข้าปาก

อื้ออ.อ.อ....นี่แหละความสุข

หลังจากที่ฟังการตัดสินเรื่องอนาคตจากพ่อเสร็จเรียบร้อย ได้ผลว่าทั้งหมดนั่นพ่ออยากแกล้งผมเฉยๆ มันก็รู้สึกอยากจะเบะปากแล้วงอแงเป็นเด็กๆ อะนะ แต่อีกใจก็ดีใจนั่นแหละที่เขาไม่ได้คิดจะให้ผมย้ายที่เรียนจริงๆ ทุกอย่างที่มันอึดอัดในใจผมก็ถูกยกออกไปหมดแล้วครับ โล่งมากๆ นี่คิดไว้ว่าถ้าเปิดเทอมเมื่อไหร่ผมก็จะตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเอง ให้สมกับที่ได้เรียนต่อที่นั่นน่ะนะ

อาจจะมีอิดออดบ้างแต่ว่าจะตั้งใจจริงๆ

ขึ้นปี 2 นี่ผมก็ต้องรับผิดชอบงานหลายอย่างเลยเพราะว่าเป็นประธานกรรมการนักศึกษาไง เดี๋ยวต้องคอยช่วยน้องรุ่นต่อไปด้วย ไหนจะเรื่องกิจกรรมต่างๆ ที่ต้องจัดการอีก คิดแล้วก็ตื่นเต้นอยู่นะ เดี๋ยวต้องหาคนไปเป็นประธานสันทนาการด้วยซึ่งคนที่ผมเล็งไว้นั่นก็คือสีเทียนเพื่อนรักนั่นเอง ผมว่าเพื่อนเทียนฮามากพอที่จะเป็นพี่สันฯ และดึงดูดพวกเด็กๆ ได้ เอาจริงๆ แค่หน้าสวยๆ นั่นโผล่ไปให้น้องๆ เห็นก็มากพอละ

ของแรร์เลยนะนั่นน่ะ

ผมปิดเทอมมาประมาณเดือนกว่าๆ แล้วครับ แต่ว่าเพิ่งจะว่างกลับมาบ้านก็ช่วงนี้นี่แหละ ก่อนหน้านี้ก็ทำงานให้คณะหลายอย่าง ขอบอกเลยว่าหนักหนาสาหัสมากพอสมควร ไหนจะต้องร่วมกิจกรรมของโครงการประกวดคลิปสั้นที่คณะนิเทศฯ จัดขึ้นมาอีก คือท่านเฮดว้ากเขาสั่งมาไง ประธานคณะกรรมการต๊อกต๋อยอย่างผมก็ต้องทำตามอย่างขัดไม่ได้อยู่แล้ว

ย้อนไปนึกทีไรก็รู้สึกอยากกอดตัวเองแล้วบอกว่าโอ๋นะปองนะ

“เอาอีกไหม” พี่สยามเอ่ยถามก่อนจะตักเชอร์รี่มาใส่ถ้วยผมให้ วันนี้มาแปลก ไม่ห้ามแถมยังถามด้วยว่าเอาอีกไหม

“ปกติจะห้ามไม่ใช่หรอ”

“เห็นมึงกินแล้วมีความสุข เลยอยากให้กินเยอะๆ ” เจ้าตัวเอ่ยก่อนจะยิ้มหวานให้ผม

ผมทำหน้ามุ่ยใส่ “กูกินอะไรก็อร่อยมั้งเถอะ”

“รวมถึงกูด้วยป้ะ”

“ไม่ มึงไม่อร่อย เอ้า อะไรเล่า เอาถ้วยคืนมานะ” ผมโวยใส่คนที่แย่งถ้วยไอติมไปทันที ทำไมถึงชอบแกล้งสมปองคนคิ้วท์แบบนี้วะห้ะ แกล้งแล้วมันสนุกนักรึไง

“ถอนคำพูดเลย”

“ถอนคำพูดอะไร”

“ถอนคำพูดที่บอกว่ากูไม่อร่อย ถ้ามึงไม่พูดก็ไม่ต้องกิน”

“หื้อออ.อ.อ.....พี่สยามมมม” ผมเบะปากใส่มัน คือกำลังจะกินหมดอยู่แล้วอีกสามคำเองนะนั่นน่ะ

“เร็วๆ ”

ผมทำเป็นตาใสใส่ “กูถอนคำพูดก็ได้ มึงอร่อยที่สุดในโลกเลย โอเคแล้วใช่ไหม”

“เออ ให้มันรู้เรื่องซะบ้าง” มือเรียวส่งถ้วยไอติมคืนให้ผมพร้อมกับทำหน้าที่เหนือกว่า แหม่ มันน่าตบนัก อย่าเผลอเชียวนะ เดี๋ยวจะแอบหยิกให้เนื้อเขียวเลย

ผมตักไอติมที่เหลือเข้าปาก ตอนนี้เรามานั่งกินไอติมกันอยู่ที่ตลาดในเมืองครับ ถือว่าย้อนวัยพาพี่สยามมาเจอสภาพแวดล้อมที่ผมเคยอยู่ เดี๋ยวอาทิตย์หน้าผมก็ต้องไปบ้านพี่สยามที่ลำปางเหมือนกัน ถึงเวลาที่ต้องเอาตัวเองไปฝากเนื้อฝากตัวไว้กับครอบครัวนั้นแล้ว หวั่นใจอยู่เหมือนกัน แต่ว่าผมจะทำตัวน่ารักน่าเอ็นดูเพื่อทำให้พวกท่านหลงผมให้ได้ ผมคิดว่าตัวเองจะทำได้น่ะ

ขนาดลูกเขาผมยังทำให้หลงได้เลย

พูดจามั่นหน้ามากเว่อร์

“ปอง”

“หืม....”

“ดีใจด้วยนะที่ได้เรียนที่เดิมน่ะ”

ผมคลี่ยิ้มให้มันบางๆ “กูก็ดีใจกับสมปองเหมือนกัน ทีนี้เราก็ยังจะได้อยู่ด้วยกันนะพี่สยาม อย่าเพิ่งเบื่อกูไปซะก่อนล่ะ”

“มันไม่มีวันนั้นหรอก” มือเรียวเลื่อนมาแตะที่มุมปากของผมเบาๆ ก่อนจะเอาไปเลีย “มันเลอะอะ”

ฉ่าาาา

นี่คือวิธีเช็ดปากของมึงงั้นเหรอ

ผมยกมือขึ้นทาบอกตัวเอง “มึงนี่....ร้ายนะพี่สยาม”

“กูยังไม่ทันทำอะไรเลย มึงเถอะ หน้าแดงทำไม”

“ยังจะมาถามอีกไอ้บ้า ไปจ่ายเงินไป อิ่มแล้ว”

“หึ....” ร่างสูงยกยิ้มให้ก่อนจะเดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ ส่วนผมก็หยิบไดอารี่สีขาวของตัวเองไปรอที่หน้าร้าน ชอบบรรยายกาศแบบนี้จริงๆ ช่วง 5 โมงที่แดดอ่อนลงแล้วนี่มันเยี่ยมไปเลย

อยากเห็นอะไรแบบนี้ทุกๆ วัน

พี่สยามเดินออกมาจากร้าน ผมก็จูงให้มันเดินตามมา ร่างสูงไม่เอ่ยถามอะไรกับผม เออดีละ เดินตามมาเรื่อยๆ แบบนั้นแหละ ผมมีที่นึงที่อยากจะพามันไป มันเป็นสถานที่ที่ผมชอบและก็อยู่ไม่ไกลจากตลาดเท่าไหร่ ไม่ได้ตรงนี้ก็ปีกว่าแล้ว ไม่รู้มันจะเปลี่ยนไปขนาดไหน

สวนสาธารณะที่ผมวิ่งหนีหมาเป็นครั้งแรกน่ะ

หมาตัวใหญ่มากด้วยนะ

ผมลากพี่สยามเดินเข้ามาในตัวสวนเรื่อยๆ จนมาถึงม้านั่งที่ผมนั่งเป็นประจำในสมัยก่อน ผมตบที่นั่งข้างๆ พี่มันก็นั่งลงอย่างรู้งาน มือเรียวหยิบไดอารี่ของผมไปเปิดอ่านช้าๆ เอาจริงๆ ผมตกลงกับพี่สยามเอาไว้ว่าจะไม่ให้มันอ่านจนกว่าจะถึงวันนี้ซึ่งมันเองก็โอเคกับข้อตกลงนะ ตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วล่ะที่มันจะได้รับรู้เรื่องทุกอย่างที่ผมเขียน

ช่วงเทอม 2 ที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมันบันเทิงมากจริงๆ

เทอม 2 เนี่ยะ มันจะมีกิจกรรมกีฬาสีเป็นกิจกรรมใหญ่ ผมก็ขึ้นสแตนด์แล้วก็คอยทำโน่นนี่ ส่วนพี่สยามมันเป็นคฑากรไม้ 2 ครับ ขอบอกเลยว่าโคตรเท่ แต่เพราะเท่แบบนั้นนั่นแหละมันก็เลยเป็นที่หมายปองของชาวบ้านเต็มไปหมด แน่นอนว่าผมหึงแบบชิบหายวายวอดเลย เข้าใจฟีลพี่สยามไหมอะ ฟีลประธานสันฯ ที่ต้องเป็นมิตรกับชาวบ้านในระดับนึง รู้สึกได้เลยว่าช่วงนั้นผมทำหน้าเหี้ยมตลอดเวลาที่เดินอยู่ข้างมัน

เหมือนประสาทแดกไปช่วงนึง

ผมเกรี้ยวกราดในระดับที่ใครมองแฟนผมมากๆ แล้วอยากจะเอาหนังยางไปยิงให้ตาแตก นี่เขียนเรื่องนี้ลงไดอารี่เยอะมากและผมคิดว่าพี่สยามมันกำลังอ่านตรงนี้อยู่แน่ๆ มันถึงได้มองหน้าผมแล้วขำถึงขนาดนั้น

มีปัญหาเหรอวะ

“ขำอะไรวะ”

“ขำมึงหึง”

“ก็หึงจริงๆ แต่ช่วงนี้ดีละ มึงไม่ฮอตแล้ว”

“แล้วยังหึงอยู่ไหม” พี่สยามเอ่ยถามผม “ไหนพูดให้ชื่นใจซิ”

“ไม่”

“สมปอง”

“เออหึง” ไม่เห็นต้องกดเสียงต่ำขนาดนั้นเลย ผมเอียงหัวไปใกล้มัน “แล้วมึงอะ หึงกูป้ะ”

“ไม่”

“พี่สยาม”

“ไม่หึงก็บ้าแล้ว” จมูกโด่งกดลงที่แก้มผมฟอดใหญ่ มึงนี่ทำอะไรโจ่งแจ้งชะมัด ถึงตรงนี้จะมีแค่นกเขาตัวเดียวมึงก็ควรอายนกบ้างนะ

“อื้ออ.อ.อ....อย่าหอมสิ นี่มันข้างนอกนะ” ผมตีแขนมัน

“ไว้ถึงบ้านก่อน กูจะฟัดให้ตาย” เจ้าตัวบอกก่อนจะไล่เปิดไดอารี่อ่านไปเรื่อย ผมก็มองตามอยู่แบบนั้น เห็นสีหน้าของพี่สยามที่แสดงออกมานี่ก็เพลินตาดีเหมือนกัน

น่ารักเชียว

รู้สึกดีใจนะครับที่ผ่านไปครึ่งปีกว่าๆ แล้วเรายังคงอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม มีงอแงใส่กันบ้างแต่มันก็ผ่านกันมาได้ ตอนนี้ผมกับพี่สยามก็เรียกได้ว่าปรับตัวเพื่อเข้าหากันได้อย่างดีเยี่ยมเลยล่ะ ในอนาคตมันก็คงจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ นั่นแหละ เมื่อก่อนผมเคยคิดด้วยนะว่าความสัมพันธ์ของผู้ชายกับผู้ชายมันจะยั่งยืนสักแค่ไหนกันเชียว ตอนนั้นยังไม่ได้สัมผัสกับตัวเองไง พอมาอยู่จุดนี้แล้วมันก็เลยทำให้ได้รู้ว่ามันไม่เกี่ยวกับเรื่องเพศแต่ว่ามันเป็นความรู้สึกของคนสองคนต่างหาก

มันโคตรใช่เลย

ผมไม่สนใจสายตาของใครที่มองว่าผมมีแฟนเป็นผู้ชายหรอกนะเพราะผมไม่รู้จักคนพวกนั้น ครอบครัวของผม เพื่อนๆ และคนรอบๆ ข้างเขายอมรับในความรักของเราสองคนนั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว เราไม่จำเป็นต้องแคร์คำพูดของคนที่เราไม่รู้จักขนาดนั้นหรอกนะครับ เนี่ยะ เพราะคิดแบบนี้มาตลอดก็เลยเป็นคนปลงๆ กับโลกได้มากถึงขนาดนี้ไง ซึ่งมันก็ดีแล้วแหละ   

ก็สะดวกจะคิดแบบนี้อะ

“จบละ” พี่สยามส่งไดอารี่ให้ผม “นี่มันไดอารี่ที่เขียนไว้เพื่อด่ากูชัดๆ ”

“ด่าอะไรไม่ใช่แล้ว มึงอะมองไม่เห็นความรักของกูเองมั้งเถอะ สะเหล่อ” ผมเบ้ปากใส่มันก่อนจะเปิดไปที่หน้าสุดท้าย ความจริง....ไดอารี่เล่มนี้มันเดินทางมาถึงหน้าสุดท้ายแล้วครับ

วันนี้ผมจะเขียนมันเป็นครั้งสุดท้าย

“ปอง”

“หืม....” ผมหันมองพี่สยาม จังหวะนั้นใบหน้าคมก็เลื่อนเข้ามาใกล้ก่อนจะประทับจูบลงมาอย่างแผ่วเบา

ตึกตัก

นี่มัน....

ริมผีปากอุ่นละออกไป “ทั้งหมดนี่มันสนุกมากเลย ถ้าวันนั้นกูไม่บอกว่ามึงชื่อโบราณมันจะเป็นยังไงนะ”

“เรื่องราวในไดอารี่มันก็อาจจะไม่เป็นแบบนี้ก็ได้มั้ง เอาจริงๆ กูไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตจะมีวันนี้น่ะ”

“ไม่เคยมีใครคิดหรอก” มือเรียวดันหัวผมให้พิงไหล่ตัวเองไว้ก่อนจะลูบเบาๆ “แต่มันก็ดีใช่ไหมล่ะ”

“ใช่มันดีที่สุด กูมีความสุขมากเลยที่มีมึงอยู่กับกูตรงนี้” ผมยิ้มหวานให้พี่สยาม “ช่วยอยู่เป็นความรักของกูไปเรื่อยๆ นะเลยนะพี่สยาม กูก็จะเป็นความรักเรื่อยๆ ของมึงเหมือนกัน”

“จะพูดจาให้หลงไปถึงไหนอะปอง” พี่สยามจุ๊บหัวผมเบาๆ “แค่นี้ก็จะเป็นบ้าแล้ว”

“ก็เป็นบ้าไปด้วยนี่แหละ” ผมหยิบปากกาขึ้นมาก่อนจะเริ่มเขียนสิ่งที่อยากจะบอกเล่าในหน้าสุดท้าย แต่หน้านี้พ่อคงไม่ได้อ่านแล้วล่ะ ก็จะเป็นแค่ผมกับพี่สยามเท่านั้นที่จะอ่านมัน

เอาล่ะนะ



เดินทางมาถึงหน้าสุดท้ายของไดอารี่แล้ว

ไม่เชื่อเลยว่าตัวเองจะเขียนจนจบเล่มน่ะ

วันนี้เป็นวันที่รู้สึกดีใจมากๆ เลยเพราะว่าพ่อให้เรียนที่เดิมแล้วนะ อนาคตที่ลองวาดเอาไว้คร่าวๆ ก็อาจจะได้ทำตามนั้น ขอสัญญากับหน้ากระดาษนี้เลยว่าจะทำทุกอย่างออกมาให้ดีที่สุด จะทำให้ดีที่สุดไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม วันนี้ตอนที่พ่ออ่านไดอารี่จบพ่อก็พูดในสิ่งที่เขาเคยพูดไปแล้วด้วยนะว่านี่มันเป็นไดอารี่ที่เขียนถึงพี่สยามชัดๆ พอมาได้นั่งอ่านก็จริงแบบที่เขาว่านั่นแหละ

พี่สยามมีอยู่ในหน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้ายเลย

ก็นะ มันเป็นส่วนสำคัญของเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตเลยหนิ ไม่เคยคิดเลยว่าจากที่เกลียดขี้หน้ามากๆ จะกลายมาเป็นคนที่รู้สึกรักมากซะได้ ฟังแล้วบ้าบอแต่มันก็จริงอะ ทุกช่วงเวลาที่ถูกบันทึกเอาไว้ ทุกเหตุการณ์มันล้วนสำคัญไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายมันก็ถือว่าเป็นบทเรียนให้กับชีวิตทั้งนั้น นี่ยังเชื่อตลอดว่าประสบการณ์ที่ไม่ดีจะสอนให้เราไม่ทำมันอีก ส่วนสิ่งที่ดีดีเราก็จะทำให้มันดีไปยิ่งขึ้น ไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นยังไงแต่ว่าขอให้มีคนที่ตัวเองรักอยู่ข้างๆ ก็พอ

ผมอยากขอบคุณพี่สยามนะที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวต่างๆ ขอบคุณที่เข้ามาสอนอะไรให้เยอะแยะ ขอบคุณที่รักผม.....อยากขอบคุณจริงๆ ทุกสิ่งที่มันคือช่วงเวลาแห่งความทรงจำที่ดีที่สุดแล้ว

ความจริงผมเรียกไดอารี่เล่มนี้ว่า ‘ไดอารี่ของสมปอง’ มาตลอด แต่มันน่าจะต้องชื่อว่า ‘ไดอารี่ของเรา’ มากกว่า

…..ไดอารี่ความรักของเรา

สมปองรักพี่สยามนะครับ

ขอบคุณนะ :)



29/08/20XX : สมปอง










---------- END ----------



สวัสดีค่ะชาลมาส่งหยัมปองแล้วนะ ก็บทจบแล้วนะคะ รู้สึกดีใจมากๆ ที่พาน้องมาจนถึงตอนจบได้ มันเป็นเรื่องที่ใช้เวลาแต่งยาวนานเป็นปีเลย จำได้ว่าบทแรกที่ลงคือวันที่ 2 สิงหาคม 2017 ซึ่งตอนนี้ก็ 29 สิงหาคม 2018 แล้วน่ะเนอะ มันนานมากจริงๆ

ไดอารี่ของสมปองเป็นนิยายที่พล็อตไม่แน่นเลยค่ะถ้าเทียบกับเรื่องอื่นๆ เป็นนิยายที่ชาลบอกว่าเป็นลูกเมียน้อยเพราะว่าเป็นพล็อตไฟไหม้อยากแต่งก็แต่งเลยด้วยเหตุผลที่ว่าอยากให้นิยายของตัวเองมีนายเอกที่ชื่อ สมปอง เท่านั้นเอง แต่มันก็ดีที่บี๋เอ็นดูน้องนะ อยากจะขอบคุณจริงๆ ที่ตามอ่านกันมาถึงแม้ว่าคำผิดจะเยอะมากๆ เลยก็เถอะ ชาลกำลังไล่รีไรท์ให้อยู่นะคะ เดี๋ยวจะทยอยเอาลงให้นะ

ขอบคุณที่เดินทางตั้งแต่ไดอารี่หน้าแรกมาจนถึงหน้าสุดท้ายนะคะ....ขอบคุณจริงๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทส่งท้าย : 29/8/2018 ] หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 30-08-2018 01:41:26
ฉลองการเขียนไดอารี่หน้าสุดท้าย จับมือกันเดินไปด้วยกันตลอดไปนะ สุขี ๆ จ้า  :n1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทส่งท้าย : 29/8/2018 ] หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 31-08-2018 13:19:38
 :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทส่งท้าย : 29/8/2018 ] หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 31-08-2018 23:32:21
สมปองคนคิ้วท์น่ารักมากเลย ชอบความงอแงของนาง เป็นคนที่แกล้งแล้วสนุก :กอด1: ขอบคุณค่ะนี่ไล่อ่านตั้งแต่เรื่องของ ขุนหนม ขันหมี จนถึงหยัมปอง สนุกทุกเรื่อง รอเรื่องต่อไปนะคะ :pig4:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทส่งท้าย : 29/8/2018 ] หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 01-09-2018 23:52:20
น่ารัก...ตามคู่อื่นต่อ  :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทส่งท้าย : 29/8/2018 ] หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 05-09-2018 01:40:46
เอ็นดูวววว สมปอง
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทส่งท้าย : 29/8/2018 ] หน้า 9
เริ่มหัวข้อโดย: meyj4ever ที่ 12-09-2018 20:06:42
น่ารักดีค่ะเรื่องนี้ชอบๆ
ตัวละครน่ารักทุกตัว
น้องสมปองโซคิ้วท์ส่วนพี่สยามก็เท่มาก
ถึงแม้จะแอบมีขัดใจตอนโกหกน้องก็เหอะ
แต่ก็เข้าใจอะนะ แต่มันตะหงิดๆในใจนิดนึง
ถ้านี่เป็นเพื่อนพี่หยัมก็อยากจะฟาดเหม่งมันสักที 555
ขอบคุณสำหรับเรื่องน่ารักๆที่มีมาให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทพิเศษ : 4/4/2019 ] หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 04-04-2019 18:20:13
​ไดอารี่พิเศษ : สมปองบุกลำปาง
[/b]



วันนี้เป็นวันที่จะได้ไปบ้านพี่สยามครั้งแรก

ตื่นเต้นสุดๆ ไปเลย

ไม่รู้ว่าครอบครัวของพี่สยามจะต้อนรับผมไหม หวั่นใจมากกลัวพวกเขาไม่ชอบ ไม่คิดแผนสำรองไว้ด้วยนะว่าถ้าเขาไม่ชอบผมขึ้นมาจริงๆ แล้วจะทำยังไงต่อ มันเป็นความกังวลใจที่สะสมมาหลายอาทิตย์แล้วด้วยนะ พี่สยามไม่รู้รื่องนี้เพราะว่าผมไม่ได้บอก แต่เอาจริงๆ ก็มีแสดงออกไปให้เห็นบ้างแหละ

เป็นสมปองนี่น่าสงสารจริงๆ

ไม่รู้ว่าการไปลำปางครั้งนี้จะเป็นยังไงแต่สิ่งที่ทำได้ก็น่าจะเป็นการทำตัวคิ้วท์ๆ เพื่อให้ครอบครัวฝั่งนั้นรักและเอ็นดูให้ได้ ผมคิดว่าตัวเองคงทำได้....ไหมวะ เอาเป็นว่าถ้าทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่ผมคิด ไว้ถึงตอนนั้นก็ค่อยคิดแล้วกัน ถ้าพ่อได้มีโอกาสอ่านไดอารี่เล่มนี้อีกครั้ง ผมก็อยากให้พ่อเป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะ แต่ถึงเวลาที่พ่อได้อ่าน เหตุการณ์นี้มันคงผ่านไปแล้ว ไม่เป็นไร ผมจะคิดว่าพ่อให้กำลังใจผมอยู่เสมอแล้วกันนะครับ

ขอให้การเข้าบ้านพี่สยามครั้งนี้ผ่านไปได้ด้วยดีเถอะนะ

เพี้ยงงงง



5/9/20XX : สมปอง






“พี่สยาม”

“หืม....”

“มึงว่าพ่อแม่มึงจะชอบกูไหม”

“ชอบแหละ”

“แล้วถ้าเขาไม่ชอบอะ”

“กูว่าน่าจะชอบนะ”

“แล้วถ้า....เขาไม่ชอบอะ”

“กูก็หาเมียใหม่”

ทำไมมึงเป็นคนแบบนี้วะ

ผมเบะปากใส่มันจนสุดก่อนจะหันหน้าหนีไปมองข้างทางแทน ใช่ซี้ อยู่ด้วยกันมาเกือบปีความรักมันก็เริ่มจืดจางแล้วนี่ วางแผนจะหาเมียใหม่อยู่ตลอดเวลาเลยสิท่า อย่าคิดว่ากูไม่รู้นะพี่สยาม เดี๋ยวผมจะโทรไปฟ้องพ่อว่ามันจะหาเมียใหม่ แล้วพ่อก็จะเอาปืนมาไล่ยิงมัน ถ้ามันตายตรงหน้าผมก็จะปล่อยให้มันตายไปเลยแถมยังจะแลบลิ้นใส่แบร่บ ๆ ๆ ๆ ๆ แบบนี้ด้วย

หึ้ยย...ย...มึงโดนแน่ไอ้หมีควาย

ตอนนี้เกือบบ่าย 2 แล้วครับ ผมกับพี่สยามกำลังเดินทางไปที่จังหวัดลำปางซึ่งเป็นบ้านเกิดของไอ้คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมนี่ ตอนนี้อยู่ในช่วงปิดเทอมใหญ่ หลายวันก่อนหน้านี้เราอยู่กันที่เชียงใหม่ เอาไดอารี่ไปให้พ่ออ่านมาและก็ได้รู้ว่าการที่พ่อให้เขียนไดอารี่นี่มันคือการแกล้งผมเล่น ไม่มีการจะให้ย้ายไปเรียนใดใดทั้งสิ้น พ่อผมคือเก่งสุดแล้วในการแกล้งอะ แกล้งลูกได้ทั้งปีแล้วเนียนกริบด้วยนะ

ถ้ามีรางวัลโนเบลสาขาแกล้งยอดเยี่ยมก็ยกให้พ่อผมไปเลยครับ

ปรบมือ

แปะๆ ๆ ๆ ๆ

ช่วงที่อยู่เชียงใหม่ผมก็คิดมากเรื่องครอบครัวพี่สยามอยู่เอาการเลยนะ กลัวว่าบ้านฝั่งนั้นจะไม่ชอบ เคยพูดกับตัวเองไว้นั่นแหละว่าขนาดทำให้พี่สยามหลง ผมยังทำได้ กับพ่อแม่มันผมก็น่าจะทำได้เหมือนกัน แต่แบบ.....นั่นมันก็แค่ความคิดไง ความจริงมันอาจจะโหดร้ายกว่านั้นก็ได้ ผมคิดไม่ออกเลยอะว่าถ้าพ่อแม่มันไม่ชอบผมจริงๆ ผมควรทำยังไง หน้าด้านหน้าทนคบกับลูกชายเขาต่อไปหรือว่าต้องปล่อยให้เรื่องของเรามันจบ

เจ็บเจียนตายเลยนะแบบนั้นน่ะ

“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ”

“ก็มึงอะ”

“กูยังไม่ได้ทำอะไรเลย”

“มึงบอกว่าจะหาเมียใหม่ถ้าพ่อกับแม่มึงไม่ชอบกู”

“กูล้อเล่นเถอะ” มือเรียวเลื่อนมาดึงแก้มผม “มึงคิดมากเกินไปแล้วนะที่รัก”

“มันก็ต้องคิดสิวะ นี่มันเรื่องของเราอะ”

“กูเข้าใจนะแต่ว่ามันยังไม่ทันมีอะไรเกิดขึ้นเลย เนี่ยะ มึงตอนนี้เหมือนมึงตอนที่จะเอาไดอารี่ไปให้พ่ออ่านเป๊ะ กังวลไปซะทุกอย่าง พอเอาให้เขาอ่านแล้วยังไงต่อ ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เคสของพ่อแม่กูก็เหมือนกัน ขอบอกเลยนะปองว่าพ่อกูใจดีกว่าพ่อมึงประมาณสามแสนเจ็ดเท่าได้อะ”

“สามแสนเจ็ดเท่าเลยเหรอ เยอะจัง”

“เออ อีกอย่างนะ....ถ้าสมมุติว่าที่บ้านกูเขาไม่ชอบมึง แต่ยังไงกูก็รักมึงอยู่ดีอะ”

“แต่มึงรู้ใช่ไหมว่าเรื่องของความสัมพันธ์ แค่ความรักมันไม่พอ”

“รู้ แต่จะทำไมอะ กูไม่สนใจเรื่องอื่นหรอก ถ้าเขาไม่โอเคที่เราคบกัน กูจะเผาสวนมะม่วงประชดให้หมดเลย”

“เดี๋ยวววว ไม่ได้” ทำไมมึงโหดจังเลยอะ น้องมะม่วงไม่ได้รู้เห็นด้วยเลยนะ อย่าไปเผาน้อง

ผมขโมยมือพี่สยามมาข้างนึงก่อนจะยกมาแนบแก้มของตัวเองเอาไว้ ใจผมอยากจะนั่งกอดมันมากกว่าแต่ทำแบบนั้นไม่ได้ไง หมีควายขับรถอยู่ ถ้าผมดื้อจะกอดมันก็คือรถต้องคว่ำแน่ๆ สิ่งที่มันพูดเมื่อกี๊ทำให้ผมสบายใจขึ้นนิดหน่อย แต่ก็แค่นิดหน่อยจริงๆ อะ ยังไงซะผมก็กลัวว่าสิ่งที่ตัวเองคิดมันจะเป็นไปตามนั้นจริงๆ เลย ถ้าครอบครัวมันชอบผมก็นับว่าดี แต่ถ้าไม่ก็ต้องมาคิดหาทางออกอีกทีว่าจะเอายังไงต่อไป

ทางไหนก็ได้ที่ไม่ใช่การเลิกกัน

ฮืออ.อ.อ....ผมรักมันอะ ผมไม่เลิกหรอก

ถ้าสมมุติว่าพ่อแม่พี่สยามไม่ชอบผม แล้วอยากให้เราเลิกกัน มันจะเผาสวนมะม่วงประชดจริงๆ เหรอวะ ถ้ามันจะทำแบบนั้น งั้นเราต้องวางแผนจิ๊กมะม่วงออกมาให้ได้มากที่สุดก่อนแล้วค่อยเผา พี่สยามขิงกับผมไว้ว่ามะม่วงน้ำดอกไม้ของสวนมันอร่อยมาก ถ้าผมได้กินแล้วก็จะตัวลอยไปจนถึงดาวอังคารเลย เว่อร์อะ บอกเด็กอนุบาลยังรู้เลยว่ามันโม้

ที่น่าขำคือตอนแรกผมเชื่อด้วย

มีการคิดในใจอย่างจริงจังด้วยว่าถ้ากินมะม่วงแล้วไปดาววอังคารได้ โลกเราจะมียานอวกาศไปทำไม องค์การนาซ่าเนี่ยะจะมีเพื่ออะไร คือคิดจริงจังจนพี่สยามบอกว่ามันแค่เปรียบเปรย ผมถึงได้อ๋ออออ.....มึงหลอกกู แล้วผมก็ทุบๆ ๆ ๆ มันไป ไอ้บ้านั่นก็หัวเราะใหญ่เลยที่ปั่นประสาทผมได้ ไม่เข้าใจเลยอะ เวลาสมปองโดนแกล้งคือมันขำมากเลยเหรอ ถ้าเป็นผมนะ.....ก็น่าจะขำแหละ

ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ

“ขำอะไรของมึง อารมณ์ดีขึ้นแล้วรึไง”

“ก็นิดหน่อย” ผมเหลือบมองร่างสูง “พี่สยาม”

“หืม....”

“เราจะผ่านเรื่องนี้ไปได้เหมือนกับทุกๆ ครั้งไหม”

“แน่นอนสิ” พี่สยามยกมือผมขึ้นไปจุ๊บเบาๆ “ทุกอย่างมันจะดีเองแหละ เชื่อกู”

“....ห้ามทิ้งกูนะ”

“ใครจะทิ้งเด็กน่ารักอย่างสมปองลงน้า” พี่สยามยื่นหน้าเข้ามาจุ๊บหัวผมในจังหวะที่รถกำลังติดไฟแดง “ใครทิ้งมึงไปก็โง่แล้ว”

“ใช่ ถ้าไม่อยากเป็นคนโง่ก็ห้ามทิ้งกู” ผมบอกก่อนจะหอมแก้มมันฟอดใหญ่ รู้สึกใจชื้นขึ้นมาหน่อย เอาวะ เป็นไงเป็นกัน พี่สยามยังผ่านด่านบ้านผมมาได้ ผมก็ต้องผ่านด่านบ้านมันไปได้เหมือนกัน

ไม่มีอะไรที่สมปองคนคิ้วท์ทำไม่ได้หรอก

คิดว่างั้นนะ



***



“ลงมาเร็วปอง”

“งื้อออ.อ.อ....ขอกูทำใจก่อน”

“มึงทำใจมาจะครึ่งชั่วโมงแล้วนะ พ่อแม่กูงงแย่แล้วมั้งว่าทำไมมาถึงตั้งนานแล้วยังไม่ลงไปหาสักที”

“แป๊ปนะ” ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะผ่อนมันออกมาช้าๆ “เอาล่ะ กูพร้อมแล้วพี่สยาม”

“งั้นก็ไปกัน” ร่างสูงเดินนำลงไป ผมก็ลากสังขารของสมปองตามลงมา เอาน่ะ มาถึงหน้าบ้านมันละ จะยอมแพ้ถอดใจไปตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องป้ะวะ

สู้ๆ นะคนคิ้วท์

นายทำได้อยู่แล้วแหละ

ผมหยิบกระเป๋าก่อนจะเดินตามพี่สยามเข้ามา บ้านที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าสวยมาก เป็นบ้านทรงไทยที่ใหญ่มากเลยด้วย หน้าบ้านตรงบันไดทางขึ้นเขียนเอาไว้ว่า ‘พนารัตนะ’ ซึ่งเป็นนามสกุลของพี่สยามครับ ผมไม่คิดเลยว่าบ้านมันจะเป็นบ้านทรงไทย มันไม่เคยเล่าให้ผมฟังเลยอะ ผมเคยคิดอยากอยู่บ้านแบบนี้ด้วยนะ ไปเล่าให้พ่อฟังเขาก็บอกว่าปกติบ้านทรงไทยจะราคาสูงมาก

ไม่อยากคิดเลยว่าหลังตรงหน้านี้ราคาเท่าไหร่

แฟนผมนี่ลูกเศรษฐีป้ะวะ

“บ้านมึงนี่....กี่บาทอะ”

“ไม่รู้ว่ะ มันตั้งแต่สมัยไหนแล้วก็ไม่รู้อะ กูเองก็อยู่ที่บ้านนี้ตั้งแต่เกิด ไม่เคยถามแม่เหมือนกันว่ากี่บาท แต่ไว้เดี๋ยวจะถามให้”

“ไม่ต้อง ช่างเถอะ แล้วนี่กูต้องไหว้อะไรก่อนรึเปล่า แบบ....ต้องบอกกล่าวอะไรไหม”

“ไหว้แค่พ่อกับแม่กูบนบ้านก็พอ” พี่สยามบอกก่อนจะลากผมขึ้นมาบนบ้าน “ป้อครับ แม่ครับ ลูกปิ๊กบ้านแล้วเน้อ”

เห้ยยยย ตะโกนเสียงดังขนาดนี้เลยก็ได้เหรอ

เกินไปอะ

“สยาม” เสียงหวานเอ่ยรับก่อนจะเดินออกมาจากห้องๆ นึง ผู้หญิงตรงหน้าน่าจะเป็นแม่พี่สยามครับ ท่านดูเหมือนกับนางพญาเลยว่ะ อายุน่าจะไล่ๆ กับแม่ของผม

“คิดถึงจังเลยครับ” ร่างสูงเดินเข้าไปสวมกอด

“ไม่ได้เจอลูกตั้งนาน แล้วนั่นใครน่ะ” แม่พี่สยามมองมาทางผมพลางเอ่ยถาม

ผมยกมือไหว้ก่อนจะยิ้มแฉ่งให้ “สวัสดีครับ ผมชื่อสมปอง เป็น....เป็นแฟนพี่สยามครับ”

“แฟนของสยาม” ดวงตาสวยมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะยกยิ้มที่มุมปาก อา....คุณแม่ครับ สายตาแบบนี้ทำให้น้องปองอกสั่นขวัญแขวนยังไงก็ไม่รู้

ฮืออ.อ.อ...อย่ามองป๋มด้วยสายตาแบบนั้น

ผมยิ้มให้ท่านอยู่อย่างนั้น ไม่กล้าทำหน้าอื่นเลยครับ ยอมรับเลยว่าตอนนี้ใจสั่นมาก ผมจะอธิบายความรู้สึกที่กำลังเจออยู่ตอนนี้ยังไงดีอะ สายตาแม่พี่สยามทำเหมือนไม่ชอบผมเลย จะว่าเพราะผมเป็นผู้ชายก็ไม่น่าใช่ป้ะ เพราะพี่แซนด์ก็เป็นผู้ชาย จะบอกว่าพี่สยามไม่เคยพาพี่แซนด์มาแนะนำกับพ่อแม่ก็ไม่ใช่อีกอะ เจ้าตัวเล่าให้ผมฟังว่ามันเคยพาพี่แซนด์มาเปิดตัวกับที่บ้านแล้วครอบครัวก็ไม่มีปัญหาอะไร

แต่ปัญหามันน่าจะมาอยู่ที่รอบผมเนี่ยแหละ

“แล้วพ่อล่ะครับ” พี่สยามเอ่ยถาม

“อยู่ที่สวนหย่อมน่ะ ว่าแล้วลูกก็ตามเขามาหน่อยไป”

“ได้ครับ” ร่างสูงยิ้มรับก่อนจะหันมองผม “เดี๋ยวกูมานะ” สิ้นเสียงพูด พี่สยามก็เดินออกไปเหลือเพียงแค่ผมกับแม่ของมันเท่านั้นที่อยู่ตรงนี้

อื้อออ.อ....อดทนไว้นะปอง

“คบกับลูกชายของฉัน เธอได้หวังอะไรจากเขารึเปล่า”

“....หมายถึงอะไรเหรอครับ”

“เงินทอง” ท่านปรายตามองผมก่อนจะเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตัวยาว “ทุกๆ อย่างที่จะทำให้เธอสบายขึ้น”

ผมดูเหมือนคนประเภทนั้นมากเลยสินะ แม่มันถึงได้พูดแบบบนี้

“ไม่ครับ ผมไม่ได้ต้องการอะไรทั้งนั้น”

“ถ้าฉันให้เธอเลิกกับสยาม” คนตรงหน้ายกยิ้ม “เธอจะเอาเท่าไหร่”

“ 10 ล้านครับ”

“นี่เธอ....”

“คุณน้าอยากได้ยินแบบนั้นใช่ไหมครับ” ผมยิ้มบางๆ ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าท่าน “ผมไม่ได้อยากได้เงินของพี่สยามแม้แต่แดงเดียว ผมไม่ได้ต้องการอะไรจากมันทั้งนั้น ผมไม่ได้ขัดสนเรื่องเงินจนต้องมาเกาะลูกชายของคุณน้า ในทางกลับกันคือถ้าให้ผมเป็นฝ่ายเลี้ยงพี่สยามไปทั้งชีวิต ผมก็ทำได้”

เพราะบ้านผมรวยมาก

ถึงตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นของพ่อก็เถอะ แต่ถ้าในอนาคตผมทำงาน ผมก็ต้องมีเงิน เอาจริงๆ แค่ทรัพย์สินที่ติดตัวผมมาตั้งแต่เกิดมันก็ไม่ได้น้อยหรอก ไม่ได้อยากจะขิงแต่ขอหน่อยเถอะ บ้านผมถือว่ารวยเป็นอันดับต้นๆ ของจังหวัด  ผมไม่ได้เล่าให้ใครฟังเพราะคิดว่ามันก็ไม่ได้สำคัญอะไรนักเรื่องที่บ้านมีเงิน อีกอย่างคือถึงจะมีเงินเยอะแต่ผมก็ใช้เงินตามพอดีนะ ไม่ได้ฟุ้งเฟ้อหรือฟุ้มเฟือยเลยด้วย

ฟุ้มเฟือยก็เสียให้ของกินแหละวะ

เรื่องเลี้ยงพี่สยามได้ทั้งชีวิตนี่ผมก็พูดจริงๆ นะ คิดถึงในอนาคตวันที่เราเรียนจบ ทำงานแล้วมีเงินสิ ถึงตอนนั้นเราอาจจะอยากทำธุรกิจเล็กๆ ด้วยกัน แล้วลงเงินทุนด้วยกันสักก้อน ประคับประคองมันไปด้วยกัน เรื่องแบบนั้นมันทำได้อยู่แล้ว เนี่ยะ แม่พี่สยามคือสุดยอดจริงๆ แค่ประโยคเดียวที่พูดออกมาก็ทำให้ผมวางแผนเผื่ออนาคตได้มากถึงขนาดนี้

ดูซะก่อนว่าจริงจังกับลูกชายเขาแค่ไหน

“ถ้าแบบนั้น....เธอต้องการอะไร”

“ต้องการลูกชายคุณน้าครับ ผมรักพี่สยามมาก มันไม่มีอะไรไปมากกว่านี้เลยเพราะงั้นยกเขาให้ผมนะครับ ผมจะดูแลเขาเอง”

“ฉันจะยกให้เธอได้ยังไงในเมื่อ....” ท่านยิ้มหวานให้ผม “เธอยังเรียกฉันว่าคุณน้าอยู่เลย”

“.....หมายความว่า”

“เรียกแม่สิลูก”

ผมยกมือกุมหน้าอกตัวเองทันที “อย่าบอกนะครับว่า.....แกล้งผมน่ะ”

“ก็สยามบอกแม่ว่าแกล้งได้ แม่ก็เลย....”

พี่สยามมมมมมมมมมม!!!!

ไอ้เวรตะไล

ผมฉีกยิ้มให้แม่พี่สยามก่อนจะนึกเคียดแค้นลูกชายเขาอยู่ในใจ มันใช่เรื่องที่บอกให้แม่มึงมาแกล้งกูไหมเนี่ยะห้ะ เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวมึงเจอกูแน่ แหม่ ร้ายนัก ผมว่าเรื่องนี้มันต้องรู้เห็นเป็นใจด้วยแน่ๆ ถึงว่า....ไปตามพ่อนานเหลือเกิน เดี๋ยวผมจะทำเป็นงอนมัน แล้วก็จะไม่หายงอนง่ายๆ ด้วย ต่อให้เอาของกินมาง้อ สมปองคนนี้ก็จะไม่ยอมหายงอน

ยังไงก็จะไม่หาย

“นี่น่ะเหรอ แฟนลูกที่ว่า” เสียงเข้มดังมาจากด้านหลัง ผมหันไปมองก็พบผู้ชายร่างสูงใหญ่ ท่านคงเป็นพ่อของพี่สยามสินะ ตัวพอๆ กันเลยนะเนี่ย

ผมยกมือไหว้ก่อนจะยิ้มให้ “สวัสดีครับ”

“ไหว้พระเถอะลูก” พ่อพี่สยามเอ่ยก่อนจะเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ ท่านดูใจดีเหมือนที่เจ้าหมีควายบอกจริงๆ ด้วย จากการที่ท่านรับไหว้ผมแบบนั้นก็คงหมายความว่าเรื่องทุกอย่างมันน่าจะผ่านไปได้ด้วยดีสินะ

รู้สึกโล่งใจจัง

“พี่สยาม” ผมหันไปจ้องร่างสูงที่นั่งลงข้างๆ ก่อนจะหยิกขามัน

“เจ็บนะ หยิกกูทำไมเนี่ยะ” เจ้าตัวบีบแก้มผมคืน โอ๊ยยยย ยังไม่รู้ตัวอีกว่าทำอะไรไว้ เดี๋ยวคืนนี้ผมจะไล่ตัวเองมานอนข้างนอก มันจะได้นอนกอดผมไม่ได้แล้วพอเป็นแบบนั้นมันก็จะทรมานใจจนตาย

อยากเป็นฝ่ายไล่มันออกมานอนข้างนอกอยู่หรอกแต่ติดอยู่ว่านี่บ้านมัน

“เราสองคนไปรักกันได้ยังไงหืม.....”

“เอาจริงๆ พี่สยามล่อลวงผมครับ”

“ใช่ครับแม่ ผมเป็นคนล่อลวงน้องเอง แล้วน้องก็ติดกับจนได้มาเป็นลูกสะใภ้แม่นี่แหละครับ” ร่างสูงหันมายิ้มหวานให้ผม มันน่าหมั่นไส้นัก

“เอาจริงๆ ผมเป็นลูกเขยครับ ไม่ใช่ลูกสะใภ้”

พี่สยามเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ผม “มันจะใช่เหรอครับ”

“อย่าแกล้งน้องสิสยาม” เสียงของพ่อพี่สยามเอ็ดขึ้นมา “ชื่อสมปองสินะ เป็นลูกเต้าเหล่าใครล่ะ”

“พ่อกับแม่ผมเป็นเจ้าของไร่องุ่นที่เชียงใหม่น่ะครับ ชื่อว่าไร่อนันต์ ไม่รู้ว่าคุณพ่อคุณแม่เคยได้ยินชื่อบ้างรึเปล่า”

“ลูกชายคุณอนันต์เองเหรอเนี่ย” แม่พี่สยามมองผมตาโต “นึกว่าคนอื่นคนไกลกัน”

“รู้จักพ่อด้วยเหรอครับ”

พ่อพี่สยามพยักหน้ารับ “รู้จักเพราะไวน์ของที่นั่นขึ้นชื่อน่ะ พ่อชอบไวน์ของคุณอนันต์มากเลยนะ ที่บ้านนี่ก็มีเหมือนกัน”

“ขอบคุณนะครับที่ชอบไวน์ของพ่อ ไว้เดี๋ยวผมจะบอกเขาเอง” ผมยิ้มหวานให้พวกท่าน ทุกอย่างมันเป็นเรื่องบังเอิญที่ดีมากจริงๆ แบบนี้ก็สบายใจหายห่วงแล้วนะปอง ดูทรงแล้วน่าจะได้คบกับลูกชายบ้านนี้ยาวแล้วล่ะ

“ฝากชื่นชมเขาด้วยละกันนะ เดี๋ยวไปกินข้าวกันเนอะ แม่ให้คนเตรียมสำรับไว้ให้แล้วล่ะ” แม่พี่สยามเดินเข้ามาประคองผมให้ลุกขึ้น “เรามีเรื่องต้องคุยกันเยอะเลยนะลูก”

“ได้เลยครับ”

“เอวแฟนลูก ลูกต้องโอบได้คนเดียวสิครับ” เสียงงอแงดังออกมาจากปากพี่สยาม ซึ่งแม่มันก็ไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้นแถมยังรีบพาผมเดินหนีอีก

หึ....สมน้ำหน้า

เดี๋ยวเรื่องของผมกับมันค่อยเคลียร์กันทีหลัง ตอนนี้ความกังวลใจทั้งหมดของผมมันได้หายไปหมดแล้ว ดีจังที่ครอบครัวพี่สยามไม่ได้กีดกันความรักของเรา ยอมรับนะครับว่าตอนแรกก็ใจเสียอยู่ที่แม่พี่มันพูดออกมาแบบนั้น นี่ดีนะที่ท่านแค่อยากแกล้งผมเท่านั้นน่ะ จากนี้เจ้าสมปองคนคิ้วท์ก็จะต้องทำตัวน่ารักน่าเอ็นดูเพื่อให้ครอบครัวฝั่งนี้หลงให้ได้ แล้วพอเขาหลงผมแล้วเนี่ยะ มะม่วงทั้งสวนมันก็จะเป็นของผม

จะกินให้หมดเลยคอยดู

ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

“หัวเราะอะไรเหรอลูก”

เอ่อ....

“ไม่มีอะไรครับ”



***



ตอนนี้เป็นเวลาเกือบ 5 ทุ่มแล้วครับ

ผมกับพี่สยามกำลังเล่นสงครามประสาทอยู่

ร่างสูงนั่งจ้องผมไม่ละสายตา ตัวผมเองก็ไม่ต่างกัน จ้องกันมาสักพักโดยไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ คือถ้าเป็นปลากัดก็ก่อหวอดแล้วรอผสมพันธุ์พร้อมกับวางไข่ได้เลย โอเค มันอาจจะเป็นการเปรียบเปรยแปลกๆ แต่มันเป็นแบบนั้นจริงๆ นะ ผมไม่รู้เลยว่าต้องนั่งจ้องตากับพี่สยามไปอีกนานแค่ไหน แต่ถ้าให้จ้องทั้งคืนก็คงไม่ไหวนะเพราะตอนนี้หนังท้องอิ่ม หนังตาก็จะตึงมาก

เหตุผลจริงๆ คือง่วงนอนแล้ว

“หลังจากกลับมาจากสวน พ่อกูพูดอะไรกับมึง”

ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “ไม่บอก”

“ปอง”

“ทีพ่อกูพูดอะไรกับมึง มึงยังไม่บอกกูเลย ถึงทีกูมั่ง” ผมยักคิ้วให้มันเหมือนเหนือกว่า เอาสิ มันไม่ยอมบอกผมก่อน เรื่องอะไรที่ผมจะต้องบอกมัน

สมปองจะไม่ยอมเสียเปรียบ

“เดี๋ยวมึงจะโดนนะ”

“มึงนั่นแหละที่จะโดน” ผมหยิบหมอนมาตีพี่สยาม “บอกแม่ไว้ใช่ไหมว่าให้แกล้งกูน่ะหืม....” ว่าแล้วผมก็ฟาดมันไปอีกที

“กูยังไม่ทันบอกอะไรเลย” มันทำหน้าชี้โบ๊ชี้เบ๊ น้ำหน้าอย่างนี้กูคงเชื่อหรอก แค่สายตามึงก็ส่อแววพิรุธอยู่เห็นๆ

“มึงไม่ต้อง แม่มึงเป็นคนบอกกูเองเลย”

“แล้วทำไม....โดนแม่แกล้งหนักเลยเหรอ”

“....มึงไม่เป็นกู มึงไม่เข้าใจหรอก” ผมทิ้งตัวลงนอนก่อนจะหันหนีมัน พี่สยามไม่รู้หรอกว่าใจผมป้อแป้ขนาดไหนตอนที่โดนแกล้งน่ะ

อย่างที่รู้ว่าผมกังวลเรื่องนี้มาตลอด แล้วพอเจอคำถามแบบนั้นเข้าไปมันก็นะ เหมือนอนาคตที่เคยคิดเคยฝันมันพังลงมาดื้อๆ แต่ก็ดีที่มันเป็นแค่เรื่องอำเล่น หวังว่าในอนาคตจะไม่โดนอำในเรื่องอะไรแบบนี้อีก แค่ครั้งเดียวมันก็เกินพอแล้ว ถึงสมปองจะเป็นคนแกร่งแต่กับเรื่องแบบนี้ก็ต้องมีอ่อนแอได้บ้างนั่นแหละ ผมอยากให้พี่สยามโอ๋ผมอะ ตอนนี้สมปองกำลังทำเป็นตัวเล็กตัวน้อยอยู่นะ

ถึงแม้ว่าความจริงจะตัวบะเอ๊กก็เถอะ

ร่างสูงเลื่อนเอาคางมาเกยตรงไหล่ผม “ปองครับ”

“หื้ออ.อ.อ....” ผมเอาหน้ามุดหมอน สัมผัสได้ถึงแรงกดที่ข้างแก้ม แหม มาทำเป็นหอมแก้ม แค่นี้ยังไม่พอหรอกนะ

“เป็นอะไรหืม....งอนเหรอ”

“ก็น่าจะรู้อยู่แล้วหนิ” ผมหันมาเบ้ปากใส่มัน “ให้กูตีมึงเลยนะ”

“โอ๋ๆ ๆ ๆ ” มือเรียวเกลี่ยแก้มผมเบาๆ “....ขอโทษนะครับ”

ผมบีบแก้มพี่สยามแรงๆ “ถ้าไม่ติดว่ารักมึงนะพี่สยาม กูจะหื้มมม.ม.....”

“ฮ่าๆ ๆ ๆ งั้นก็คงเป็นโชคดีของกูแล้วล่ะที่มึงรักกู” เจ้าตัวยิ้มบางๆ ก่อนจะจุ๊บหน้าผากผม “หิวจัง ปอกมะม่วงให้กินหน่อย”

“มึงยังไม่อิ่มอีกเหรอพี่สยาม”

“กูจะอิ่มได้ไงล่ะเมีย คนที่แย่งกูกินก็มึงทั้งนั้นอะ มะม่วงที่แม่ปอก กูไม่ได้กินสักชิ้น” มันบอกก่อนจะจ้องผมนิ่งๆ ไม่เห็นต้องทำหน้าอย่างนั้นเลยป้ะวะ

“เออ ก็ได้ ลุกออกไปสิ” สิ้นเสียงผมสั่ง ร่างสูงก็ลุกออกไปก่อนจะดึงให้ผมลุกขึ้นตาม

อากาศตอนกลางคืนนี่เย็นเอาเรื่องอยู่ อาจเพราะว่ารอบบ้านมีต้นไม้เยอะแล้วก็เป็นบ้านไม้ด้วยล่ะมั้ง พี่สยามหยิบตะกร้ามะม่วงสุก ผมก็หยิบมีดกับจานเดินตามมันมาที่ระเบียงหน้าบ้าน ชอบจริงๆ เลยเวลามีลมอ่อนๆ พัดเนี่ยะ ได้กลิ่นหอมของดอกไม้ด้วย อยากเก็บบรรยากาศแบบนี้กลับกรุงเทพฯ ซะจริง อากาศบริสุทธิ์แบบนี้หาได้แค่ตามบ้านเราเท่านั้นนะครับ

ว่าแล้วก็คิดถึงเชียงใหม่

ผมหยิบมะม่วงลูกสวยมาปอก เมื่อเย็นพี่สยามพาผมเข้าไปปั่นจักรยานเล่นในสวนด้วย สวนมะม่วงที่นี่ใหญ่มาก ดูจากลักษณะแล้วน่าจะขายแค่มะม่วงสดอย่างเดียว สายพันธุ์ที่ขึ้นชื่อก็น้ำดอกไม้เลยครับ มะม่วงบ้านพี่สยามอร่อยมากกกก หวานแล้วก็ฉ่ำสุดๆ ไปเลย ผมกะว่าจะเอาไปฝากเหล่าสหายสักหน่อย จะว่าไป....ตั้งแต่ปิดเทอมใหญ่มาก็ไม่ค่อยได้คุยกับเพื่อนๆ เลยว่ะ

ทุกคนต้องคิดถึงผมมากแน่ๆ

เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยไลน์ไปถามสารทุกข์สุกดิบละกัน ส่วนวันนี้ผมก็ต้องทุ่มเทเวลาที่มีปอกมะม่วงให้เจ้าหมีควายก่อน พี่สยามหยิบมะม่วงใส่ปากพลางมองผมแล้วยิ้มหวาน มีความสุขล่ะสิ เมียปอกมะม่วงให้กิน ใจนึงผมก็อยากจะกินอีกนะแต่มันแน่นไปหมดแล้วอะ ถ้ายัดลงท้องไปอีกชิ้นก็อาจจะตัวแตกตายได้ เป็นแบบนั้นล่ะแย่เลย ผมจะไม่ตายตอนนี้เด็ดขาดเพราะถ้าผมตาย พี่สยามก็จะไปมีเมียใหม่

ผมไม่ยอมหรอก

“จ้องหน้ากูขนาดนั้น”

“มีปัญหาเหรอ”

ใบหน้าคมยื่นเข้ามาใกล้ “ถ้าบอกว่ามีล่ะ”

“ก็เรื่องของมึงสิ” ผมหยิบมะม่วงจ่อที่ปากพี่สยาม มันก็อ้าปากงับไป “เหมือนน้องหมาเลยอะ ไหนทำหูตั้งซิ”

“เดี๋ยวก็ได้เป็นอาหารหมาหรอก”

“มึงนี่มัน....” เดี๋ยวก็เอามีดแทงเลยหนิ ชอบพูดจาแบบนี้อยู่เรื่อย ไม่รู้รึไงว่าคนฟังมันใจสั่นน่ะ

“สมปอง”

“หืม....”

“มึงว่าบ้านกูเป็นไง”

“บ้านมึงสวย อบอุ่น แล้วก็ทำให้กูมีความสุข” ผมยิ้มบางๆ ให้เจ้าตัว “ถ้าตัดเรื่องโดนแกล้งออกไปมันก็ดีเลยแหละ พ่อกับแม่มึงก็ใจดี กับข้าวที่แม่มึงทำก็อร่อยมาก พ่อมึงท่านก็คุยสนุก มะม่วงที่สวนนี่ก็อร่อย แต่ถ้าถามว่าอะไรพิเศษสำหรับกูที่สุดก็น่าจะเป็น.....”

“เป็น....”

ผมยื่นหน้าเข้าไปจุ๊บริมฝีปากบาง “พี่สยามไง”

“มึงนี่น้า” คนตรงหน้าหลุดยิ้มออกมาก่อนจะยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเอง ไงล่ะมึง เขินตัวจะแตกเลยล่ะสิ

“เขินสินะ”

“เขินสิครับ” พี่สยามย้ายมานั่งซ้อนด้านหลังก่อนจะเอาคางไว้กับไหล่ผม “ขอบคุณนะที่บอกว่ากูพิเศษ”

“ก็มึงพิเศษจริงๆ อะ กูดีใจนะที่ได้มาอยู่ตรงนี้ และมันคงจะดีถ้ากูได้อยู่ตรงนี้ไปเรื่อยๆ ”

“ไม่มีใครเอามึงไปไหนได้หรอกเพราะกูไม่ให้”

ผมหันมายิ้มหวานให้ “กูก็ไม่ไปด้วย”

“น่ารักมากเลยเจ้าแฟน” ใบหน้าคมเลื่อนเข้ามาใกล้ก่อนจะจูบเบาๆ

ผมเปิดปากรับลิ้นร้อนที่แทรกเข้ามา รสหวานของมะม่วงที่ผมสัมผัสได้มันนุ่มลิ้นดีจริงๆ พี่สยามเลื่อนมือเข้ามาลูบใต้เสื้อผมเบาๆ อื้มม.ม....รู้สึกดีจริงๆ เลย ผมแลกจูบกับร่างสูงอยู่พักใหญ่ก่อนจะละริมฝีปากออกมา หน้าต้องแดงมากแน่ๆ เลยว่ะ ผมมองใบหน้าคมที่อยู่ตรงหน้าก่อนจะยิ้มหวานออกมา ตัวมันเองก็ไม่ต่างกัน ชอบจริงๆ เลยนะ โมเม้นท์จูบเสร็จแล้วมายิ้มให้กันเขินๆ เนี่ยะ

ตึกตัก

หัวใจเต้นแรงชะมัด

“สุดที่รักของกู” พี่สยามเอ่ยก่อนจะยกมือกุมแก้มผม “ช่วยอยู่ด้วยกันไปนานๆ นะครับ”

ผมเลื่อนเอาหน้าผากไปแตะหน้าผากเจ้าตัว “ก็บอกแล้วไงว่าจะไม่ไปไหน จะอยู่กวนประสาทมึงไปเรื่อยๆ นี่แหละ”   

“รู้ป้ะว่าถ้ากวนประสาทมากๆ จะถูกทำโทษอะ”

“ไม่รู้”

“เดี๋ยวได้รู้” ร่างสูงอุ้มผมขึ้นมาก่อนจะพาเข้าห้อง ใจคอไม่คิดจะเก็บมะม่วงที่อยู่ตรงนั้นก่อนเหรอ

พรุ่งนี้มึงโดนแม่ดุแน่

พี่สยามวางผมลงบนเตียงก่อนจะขยับตัวเองมาคร่อมผมไว้ ลมหายใจร้อนๆ ที่รดหน้าอยู่นั้นบ่งบอกได้เลยว่าคนบนร่างกำลังคุกรุ่นมากแค่ไหน สายตาที่แสดงออกมาว่าอยากกินผมเข้าไปทั้งตัวนั่นอีก ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ ผู้ชายคนนี้ไม่เคยคิดจะปรานีผมเลย มันชอบทำให้ผมพ่ายแพ้อยู่เรื่อย

สมปองคนนี้จะไม่มีวันชนะพี่สยามเลยรึไงนะ

“พี่รักปองนะครับ”

แพ้หนักกว่าเดิมอีก

“.....ปองก็รักพี่สยามเหมือนกันครับ”

รัก....ที่สุด













TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งตอนพิเศษของคนคิ้วท์ให้ได้อ่านกันหลังจากที่เงียบหายไปนานเลย ก็บทนี้จะเป็น 1 ในตอนพิเศษแต่งใหม่ที่จะอยู่ในเล่มของนิยายนะคะ

สำหรับไดอารี่ของสมปองชาลตัดสินใจที่จะส่งน้องไปพิจารณากับสำนักพิมพ์ก่อนนะคะ ไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง แต่ขอให้บี๋เอาใจช่วยน้องด้วย ถ้าสมมุติว่าไม่มีที่ไหนรับน้องจริงๆ ชาลก็คงทำเองเหมือนกับขุนหนม ก็รอการแจ้งข่าวสารนะคะ มันอาจจะต้องใช้เวลารอนานสักหน่อยแต่ช่วยรอกันอย่างใจเย็นเนอะ

ถ้าชอบก็กดไลค์ คอมเม้นต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กันได้นะคะ สามารถติดต่อชาลได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th น้า

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่า

หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทพิเศษ : 4/4/2019 ] หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์บิน ที่ 05-04-2019 00:36:26
 :impress2: เอ็นดูสมปองลูกกกกกกกกก พี่สยามคือแบบหลัวมากกกกกกกก ดีไปหมดเหมือนโตไปพร้อมหับการเติบโตความรักทั้งคู่มากตอนแรกนี่ตกใจมากได้กันเร็วมากลูก 55555555 แต่แม่ชอบบบบบ จนตอนสุดท้ายจนตอนพิเศษดีไปหมดดดด
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทพิเศษ : 4/4/2019 ] หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 07-04-2019 20:19:32
ฮามาก ขำตอนที่ถามเรื่ององุ่น ทั้งๆที่มุขไม่น่าขำกับขำหนักมาก 555
หัวข้อ: Re: S'Diary : ไดอารี่ของสมปอง [ บทพิเศษ : 4/4/2019 ] หน้า 10
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 30-06-2021 14:23:27
 :-[