พิมพ์หน้านี้ - ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนพิเศษ3+แทรกตอนที่21ที่ลืมลงค่ะ 13-06-20 P.6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: RiRi ที่ 09-10-2018 16:28:15

หัวข้อ: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนพิเศษ3+แทรกตอนที่21ที่ลืมลงค่ะ 13-06-20 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 09-10-2018 16:28:15
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


========================
*คลิกรูป*


(https://www.picz.in.th/images/2018/10/09/kon1yD.jpg)






FOLLOW ME CLICK

(https://www.picz.in.th/images/2018/10/09/klVmqS.png) (https://www.facebook.com/RiRiWorld143/?ref=bookmarks)

☀☁☀☁☀☁☀☁☀☁☀☁☀☁☀☁☀☁☀☁☀☁☀☁☀☁☀☁☀☁☀☁☀
สารบัญ
บทนำ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68614.msg3898472#msg3898472)
ตอนที่1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68614.msg3898472#msg3898472)
ตอนที่2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68614.msg3898812#msg3898812)
ตอนที่3 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68614.msg3899214#msg3899214)
ตอนที่4 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68614.msg3900113#msg3900113)
ตอนที่5 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68614.msg3901389#msg3901389)

ตอนที่6 (http://)
ตอนที่7 (http://)
ตอนที่8 (http://)
ตอนที่9 (http://)
ตอนที่10 (http://)
ตอนที่11 (http://)
ตอนที่12 (http://)
ตอนที่13 (http://)
ตอนที่14 (http://)
ตอนที่15 (http://)
ตอนที่16 (http://)
ตอนที่17 (http://)
ตอนที่18 (http://)
ตอนที่19 (http://)
ตอนที่20 (http://)
ตอนที่21 (http://)
ตอนที่22 (http://)
ตอนที่23 (http://)
ตอนที่24 (http://)
ตอนที่25 (http://)
ตอนที่26 (http://)
ตอนที่27 (http://)
ตอนที่28 (http://)
ตอนที่29 (http://)
ตอนที่30 (http://)
ตอนที่31 บทส่งท้าย (http://)
ตอนพิเศษ 1 (http://)
ตอนพิเศษ 2 (http://)
ตอนพิเศษ 3 (http://)

หัวข้อ: Re: ・✿.。.CATER TO YOU ปรนเปรอรัก .:。✿*゚
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 09-10-2018 16:29:13
CATER TO YOU
สารบัญ
หัวข้อ: Re: ・✿.。.CATER TO YOU ปรนเปรอรัก .:。✿*゚บทนำ 10/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 10-10-2018 21:25:25
CATER TO YOU ปรนเปรอรัก
บทนำ

ชีวิตของเขาเหมือนถูกสาปให้อยู่เพียงลำพัง
ไม่ว่าใครก็ไม่เคยอยู่กับเด็กชายได้นาน
เขาภาวนาให้ชีวิตมีใครสักคนอยู่เคียงข้าง
และสาบานว่าจะดูแลคนๆนั้นให้ดีที่สุด
ตราบเท่าที่คนๆหนึ่งจะทำเพื่อคนที่รักได้

‘แม่ แม่’
‘ตั้งแต่อ้าปากพูดได้เนี่ย เอ็งก็เรียกหาแต่แม่นะไอ้ฟ้าน้อยเอ้ย แม่มึงทิ้งไว้ที่ข้างถังขยะ เรียกมันเข้าไป สักวันเดี๋ยวมันก็คงกลับมาหามึงนั่นล่ะ’
‘แม่ แม่’
‘เออ นั่นแหละ เรียกเข้า เรียกจนกว่าแม่มึงจะได้ยิน แล้วมาหามึงก่อนที่กูจะตายแล้วเลี้ยงมึงต่อไม่ได้’


แต่ลุงขี้เมาที่เก็บเด็กน้อยมาเลี้ยงไม่เคยบอกว่าเสียงเล็กๆนั้น ไม่มีทางดังไปถึงคนที่ทิ้งกัน

‘ลุงจ๋า อดทนไว้นะ ฟ้าจะไปทำงาน หาเงินมารักษา’
‘จะรักษาทำไม เอ็งเก็บเงินไว้เรียนเถอะ ข้าเหนื่อยแล้ว อยากพัก’
‘ไม่เอา รักษาลุงให้หายแล้วลุงค่อยพัก’
‘เอ้า ไอ้นี่นิ คนจะตายก็ไม่ให้ตาย’
‘ฮึก ลุงอย่าทิ้งฟ้าไป ลุงตายฟ้าจะอยู่กับใคร'
'ฟ้าเอ้ย'
'ลุงจ๋า อยู่กับฟ้านะ ลุงอย่าตายนะ'
'...'
'ฟ้าไม่ยอม ลุงห้ามตาย สัญญามาเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นฟ้าจะไม่กินข้าว ไม่กินจริงๆด้วย'
‘เออๆ ข้าจะไม่ตาย พอใจยัง’
‘จริงนะ ฮึก’
‘ก็จริงสิ ข้าเคยหลอกเอ็งหรือไง’


ที่ผ่านมาลุงแก่ๆที่ขี้เหล้าแต่ใจดีคนนี้ไม่เคยหลอก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ทำ
เพราะสุดท้ายลุงก็จากไปและไม่กลับมาอีกเลย
ความสูญเสียดูจะเป็นสิ่งที่เคียงคู่กับเด็กชาย สิ่งใดที่ยึดถือไว้เป็นความสุข สิ่งนั้นมักอยู่ไม่นาน ไม่เว้นแม้แต่แมวจรจัดที่ตายจากไป เหลือทิ้งไว้แค่ชามอาหารที่ยังคงว่างเปล่านับตั้งแต่นั้น
และตอนนี้การสูญเสียอีกครั้งกำลังจะเริ่มต้นขึ้น

‘คุณตรีเรียกผมมามีอะไรเหรอครับ’
‘ฉันจะต้องไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ’
‘ไปอยู่กับพ่อแม่เหรอครับ’
‘ประมาณนั้น’
‘ครับ’
‘หลังสิ้นเดือนนี้ ก็ไม่ต้องมาทำงานที่นี่แล้วนะ ขอโทษทีที่บอกกะทันหัน’
‘ไม่เป็นไรครับ’


และตอนนี้คนที่ให้ชีวิตแก่เด็กชายคนล่าสุดก็กำลังจะจากไป และไม่ว่าใครก็ตามที่ได้เดินออกไปจากชีวิตเขาแล้ว ไม่เคยมีใครสักคนหนึ่งหวนกลับคืนมา
และคงไม่มีกรณียกเว้นกับคนๆนี้ คนที่เขาแอบรัก
คนที่เปรียบเสมือนเพราะอาทิตย์ที่ดอกทานตะวันอย่างเขาไม่เคยคู่ควร และไม่มีวันคู่ควร
สายฟ้าคิดเช่นนั้น เขาไม่เสียใจ เพราะตั้งแต่โตพอที่จะมีความคิด เขาก็บอกกับตัวเองว่าเขาจะไม่คาดหวังกับอะไร แค่ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ยอมรับความเป็นไปของสิ่งที่เข้ามาและสิ่งที่จากไป
โลกก็เป็นเช่นนี้
แต่ว่า...สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
เป็นครั้งแรกที่คนที่เคยจากไป โคจรกลับเข้ามาในชีวิตของสายฟ้าอีกครั้ง
เขาไม่เคยคาดหวัง แต่ก็แอบบอกกับตัวเองในใจว่า เขาจะทำดีกับคนๆนี้ให้มาก ตอบแทนที่ทำให้ชีวิตของเขาได้มีคนสำคัญ



CATER TO YOU ปรนเปรอรัก
ตอนที่1 เขากลับมาให้ผมได้ดูแล

เช้าอีกแล้ว ผมว่าผมเพิ่งจะหลับไปไม่นานนี้เอง สามชั่วโมงสั้นราวสามสิบนาที แต่ต่อให้อยากนอนแค่ไหนก็นอนต่อไม่ได้ เพราะมีสิ่งที่รอให้ต้องไปทำ

สิ่งที่ทำเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องให้ยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไป

ผมมองดูนาฬิกาอีกครั้ง ตีสี่สามสิบห้านาที เอาล่ะ ผมเอ้อระเหยไปห้านาทีสมควรลุกจากเตียงแล้วไปล้างหน้าแปรงฟันเพื่อออกไปทำงาน

ผมยังไม่ได้แนะนำตัวใช่ไหม ผมชื่อฟ้า ชื่อจริงชื่อสายฟ้า อายุ21 ปี คนที่ตั้งชื่อนี้ให้ผมเป็นลุงขี้เมาคนหนึ่ง ที่เล่าให้ผมฟังว่า ในคืนวันที่ฝนตกหนัก สายฟ้าก็ผ่าเหนือหน้าบ้านมุงสังกะสีเก่าๆของลุงจนสะเทือนไปหมด แล้วหลังจากนั้นลุงชัยก็ได้ยินเสียงเด็กทารกร้อง ออกมาดูก็เจอกับผมที่นอนตากฝนอยู่ข้างถังขยะในซอยของสลัม

ลุงไม่รู้จะทำยังไงกับผม เที่ยวเร่หาคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ แต่ก็หาไม่เจอ และผมในตอนนั้น ไม่ยอมให้ใครอุ้มเลยยกเว้นลุงคนเดียว แกเลยต้องจำใจเจียดเงินค่าเหล้ามาซื้อนมให้ผม และเลี้ยงผมมาอย่างตามมีตามเกิด

จนกระทั่งผมอายุได้สิบสองขวบ ลุงก็จากไปด้วยโรงมะเร็งตับ ที่ไม่ต้องถามหาสาเหตุว่าเพราะอะไร ตั้งแต่นั้นมา ผมก็ต้องดิ้นรนด้วยตัวเอง รับจ้างทำงานตั้งแต่เด็กยันโต เพื่อให้ชีวิตตัวเองอยู่รอด ให้สมกับที่ลุงชัยมีเมตตาเก็บผมขึ้นมาจากความตาย

นึกถึงลุงแล้ว ผมก็อดไม่ได้ที่จะหยิบของเล่นเพียงชิ้นเดียวที่ผมมีในชีวิต หุ่นยนต์ตัวเก่าๆ ที่ลุงเก็บได้ในถังขยะ ตอนที่ไปคุ้ยหาของเก่าไปขาย

ในตอนนั้นมันดูสมประกอบมากเสียจนเกือบจะเป็นของใหม่ ผมดีใจคิดว่าลุงซื้อมาให้ แต่ลุงไม่เคยโกหก ลุงบอกว่าลุงเก็บมา แต่ผมไม่เชื่อแก จะมีก็แค่สัญญาครั้งสุดท้ายที่ลุงบอกว่าจะไม่ตาย สุดท้าย...ลุงก็จากไป

“ฟ้าคิดถึงลุงนะ ลุงล่ะ คิดถึงฟ้าไหม”

ผมยิ้มให้กับหุ่นยนต์ที่เริ่มจะเก่า แล้ววางมันลงที่หัวเตียงตามเดิม จากนั้นก็รีบเข้าห้องน้ำเพื่อเตรียมตัวไปทำงานในตอนเช้าตรู่

ทุกเช้า ผมรับจ้างส่งอาหารกล่องให้ตามบ้านในซอยที่ผมเช่าอพาร์ทเม้นท์อยู่ ภายในซอยนี้มีหมู่บ้านอยู่หลายหมู่บ้าน ราคาก็หลายล้านบาทไปจนถึงหลักห้าสิบล้านก็มี

ร้านอาหารที่ผมไปทำงาน จะเปิดขายอาหารปกติตอนแปดโมงเช้า แต่จะมีจัดส่งอาหารกล่องเพื่อสุขภาพก่อนในตอนตีห้าถึงเจ็ดโมง และผมก็เป็นคนที่จะต้องไปส่งอาหารตามบ้านต่างๆที่สั่งเข้ามา

“สวัสดีครับพี่นุช” ผมยกมือไหว้และยิ้มให้พี่เจ้าของร้านอาหารเพื่อสุขภาพ ที่รับผมเข้าทำงานตั้งแต่ผมตกงานจากการเป็นคนทำความสะอาดบ้านของคนๆหนึ่ง

“สวัสดีจ้า ทำไมวันนี้หน้าตาดูไม่ค่อยสดชื่นเลยล่ะ” พี่นุชสอดสายตาสังเกตไปทั่วใบหน้าของผม ที่คงจะออกอาการฟ้องว่าช่วงนี้ผมนอนน้อยมากถึงมากที่สุด

“ช่วงนี้ใกล้สอบน่ะครับ ผมต้องอ่านหนังสือหนัก เลยนอนน้อย”

“ก็เราทำงานหนักตั้งแต่เช้ายันดึก” พี่นุชพูดคล้ายจะบ่น

“ทำไงได้ล่ะครับ ผมต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง” ผมพูดยิ้มๆ หยิบรายชื่อและรายการอาหารที่ต้องไปจัดส่งมาดู พร้อมกับจัดกล่องข้าวใส่ถุงตามออเดอร์ที่ต้องนำไปจัดส่งก่อนในรอบหกโมงเช้า

“เอ๋?” ผมครางเสียงเบาด้วยความแปลกใจ

“มีอะไรเหรอ” พี่นุชที่กำลังจัดอาหารลงกล่องอยู่ใกล้ๆเงยหน้าขึ้นมามอง

“มีไปส่งที่บ้านเลขที่88ด้วยเหรอครับ” ผมยื่นใบออเดอร์ให้พี่นุชดู

“อ่อ ใช่จ้า เป็นวันแรกเลยนะที่มีสั่งอาหารมาจากบ้านหลังนี้”

ไม่แปลกที่จะเป็นวันแรก เพราะบ้านหลังนั้นไม่มีใครอยู่นับตั้งแต่เมื่อสี่ปีที่แล้ว

‘คุณตรี’

แค่คิดถึงผู้ชายคนนั้น ผมก็รู้สึกใจเต้นแรง ความเคลื่อนไหวของบ้านหลังนั้น จะหมายความว่าคุณตรีกลับมาแล้วหรือเปล่า

ผู้มีพระคุณของผม



ย้อนไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว

หลังจากที่ลุงจากไปแล้วผมต้องดิ้นรนด้วยตัวเอง ผมก็ยังใช้ชีวิตอยู่ในสลัม ลักลอบทำงานเล็กๆน้อยๆเท่าที่จะทำได้ด้วยอายุไม่อำนวย เก็บขยะขายบ้าง รับจ้างล้างจานที่ร้านก๋วยเตี๋ยวบ้าง รับจ้างเข็นผักในตลาดสดผมก็ทำ ว่างๆก็ไปเก็บยอดกระถินส่งแผงขายหอยนางรม ผมทำทุกงานที่สุจริตเพื่อหาเงินเลี้ยงดูตัวเอง

จนกระทั่งอายุ17 ผมก็ย้ายออกจากสลัมแห่งนั้น เพราะใครไม่รู้ที่บอกว่าเป็นญาติของลุงอยู่ๆก็มาที่บ้าน และมาอาศัยอยู่แบบถาวร เขาดูน่ากลัว และแน่นอนว่าเขาเหมือนลุงเรื่องกินเหล้า ผมไม่กล้าอยู่ที่นั่น เพราะเคยเห็นเขาเตะต่อยชาวบ้านยามเมาจัด สุดท้ายก็ตัดสินใจแอบย้ายออกมา

ผมเลือกหอพักที่ผมอยู่ในปัจจุบัน สภาพเก่าถึงเก่ามาก แต่ก็ราคาถูกมากเหมือนกัน เป็นอะไรที่น่าแปลกว่าห้องเช่านี้อยู่ในซอยที่มีหมู่บ้านเป็นสิบโครงการ และแต่ละโครงการก็ราคาแพงหูฉี่ ส่งผลให้ในซอยนี้ครึกครื้นไปด้วยร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ และตลาดสด

ตอนนั้นผมยังไม่รู้เลยว่าจะต้องใช้ชีวิตยังไง เงินที่มีติดตัวก็พอแค่เช่าห้องอยู่ ผมเดินเตร็ดเตร่หางานอยู่ในซอยอยู่หลายวัน เพราะส่วนมากร้านอาหารก็พนักงานเต็มหมดแล้ว ส่วนร้านสะดวกซื้อต้องใช้วุฒิการศึกษาในการสมัครงาน ซึ่งผมจบแค่ประถมศึกษาปีที่หก จึงไม่สามารถไปสมัครได้

ผมร่อนเร่อยู่เกือบเดือนสุดท้ายผมก็ได้งาน งานแรกที่ผมได้ทำก็คือการรับจ้างทำความสะอาดบ้านให้คนๆหนึ่ง คนที่อายุมากกว่าผมแค่ปีเดียว แต่เขาต้องอาศัยอยู่ในบ้านหลังโตแค่เพียงลำพัง

คนๆนั้นก็คือคุณตรี

‘สวัสดีครับ เอ่อ ผม...ผมมาสมัครทำความสะอาดบ้านครับ’ นั่นเป็นประโยคแรกที่ผมพูดเมื่อกดกริ่งหน้าบ้าน แล้วเขาเดินออกมาเปิดประตูด้วยตัวเอง

เขามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า สายตาสงบนิ่งนั้นเจือแววสงสัยเล็กน้อย ผมเลยยื่นใบประกาศที่ผมได้มาจากหน้าร้านสะดวกซื้อให้เขาดู

‘คุณได้เอาไปติดไว้ที่ร้านสะดวกซื้อหรือเปล่าครับ’ ผมถามอย่างไม่แน่ใจ กลัวว่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดและผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้น เพราะว่าผมอยากได้งานทำมากๆ ไม่อย่างนั้นผมจะต้องอดตายแน่นอน

‘ใช่’ เขาตอบแค่นั้น สั้นๆคำเดียว ที่จริงเขาดูเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่ไม่น่าจะอายุเยอะกว่าผมมากนัก แต่ที่มากกว่าก็คือรูปร่างและส่วนสูง เพราะเขาไม่ผอมแห้งแรงน้อยแบบผม

'เอ่อ แล้ว...' เป็นผมที่ไปต่อไม่ได้ เพราะใบหน้าของเขานิ่งเกินไป จนไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่

ทั้งผมและเขาต่างเงียบด้วยกันทั้งคู่ ผมมองเขาในระดับที่ไม่ตรงสายตา ไม่กล้าจ้องหน้าเขาตรงๆ ส่วนเขาก็คงจะกำลังจ้องหน้าผมอยู่

‘อายุเท่าไหร่’ หลังจากที่เงียบไปชั่วครู่ เขาก็ถามผมกลับมา

‘ผมอายุสิบเจ็ดปีครับ’ ผมรีบตอบ

‘ฉันรับสมัครคนทำงานบ้าน รวมทั้งทำกับข้าว ดูแลทุกอย่างภายในบ้าน’ เขาอธิบาย

‘ครับ’ ผมตอบรับ

‘แน่ใจว่านายทำเป็น’

นี่สินะ ที่เขาดูจะลังเลในตัวผม

‘ถึงผมจะดูผอม ไม่ค่อยแข็งแรง แต่เรื่องงานบ้าน ผมทำมาตลอดตั้งแต่เด็ก ส่วนเรื่องทำอาหาร ผมพอทำได้ครับ’

ก็ถ้าเป็นอาหารง่ายๆน่ะนะ ผมต่อประโยคนี้ในใจ

ผมอยากได้งานนี้ ไม่รู้สิ ผมรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้น่าอยู่ใกล้ เขาดูใจดี แม้ภายนอกจะดูนิ่งเฉย แต่ผมว่าเขาใจดีแน่นอน

‘ถ้านายบอกว่าทำได้’

‘ครับ ผมทำได้ ทำได้แน่นอน’

‘หึหึ รีบตอบอะไรขนาดนั้น’ เขาหลุดหัวเราะเบาๆ

‘ขอโทษทีครับ ผมกลัวคุณจะไม่เชื่อ’

‘ฉันไม่เคยเชื่ออะไรง่ายๆ’

‘...’ หมายความว่ายังไงนะ เขาไม่เชื่อคำพูดของผมหรือเปล่า เขายกยิ้มมุมปากแค่จางๆ จางจนเกือบจะมองไม่เห็น ดีที่ผมเป็นคนช่างสังเกตก็เลยพอจะมองออก

‘ถ้าอยากให้ฉันเชื่อว่านายทำได้ ลองพิสูจน์ให้เห็นหน่อยเป็นไง’ ผู้ชายตรงหน้าเปิดประตูรั้วไม้ที่สูงเลยหัวไปประมาณหนึ่งออกกว้างกว่าเดิม พร้อมขยับเปิดทางคล้ายจะให้ผมเดินเข้าไป

‘ครับ?’ ผมที่ยังงงๆ

‘ถ้าอยากได้งาน วันนี้นายก็ลองทำงานให้ฉันดู ถ้านายทำได้ดี ฉันจะรับนายทันที’ เขาพูดในท่าทางแสนสบาย เอนตัวยืนไขว้ขาพิงประตู สองมือยกกอดอก ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น แต่ดูเท่สุดๆในสายตาผม

‘ได้เลยครับ ผมจะทำให้เต็มที่’ และผมจะต้องได้งานนี้ เพื่อปากท้อง เพื่ออนาคต

‘นายชื่ออะไร’ เขาถามหลังจากที่เดินนำผมเข้ามาในบ้าน ผมถึงได้นึกได้ว่าผมลืมแนะนำตัวกับเจ้าของบ้าน ทั้งๆที่มาของานเขาทำแท้ๆ ทำไมผมถึงได้เอ๋อแบบนี้นะ

‘ผมชื่อสายฟ้าครับ เรียกฟ้าเฉยๆก็ได้ครับ’

‘อืม ฉันชื่อตรี’ เขาตอบกลับมา

‘ครับ คุณตรี’ เป็นครั้งแรกที่ผมได้เรียกชื่อเขา นับแต่วินาทีนั้น ผมรู้สึกอยากเรียกชื่อของเขาไปตลอด

คุณตรี

วันนั้นผมเริ่มต้นการทดลองงานด้วยการเก็บกวาดถูบ้าน ซักผ้า ทำอาหารเที่ยงง่ายๆอย่างราดหน้าทะเล และจบท้ายด้วยการรดน้ำต้นไม้ในสวน

ความจริงแล้วบ้านคุณตรีแทบจะไม่สกปรกอะไรเลย ทุกอย่างอยู่เป็นระเบียบเรียบร้อยดี ไม่เหมือนกับบ้านผู้ชายทั่วไป ที่ส่วนมากก็จะต้องมีของกองสุม มีรกมีสกปรกบ้าง แต่คุณตรีดูจะเป็นคนรักสะอาดและเจ้าระเบียบ ผมลอบสังเกตหลายครั้ง เวลาคุณตรีหยิบจับใช้อะไรในบ้าน เขาจะเอาไปเก็บที่อย่างเรียบร้อยทุกครั้ง ช่างเป็นผู้ชายที่ดูสมบูรณ์แบบอย่างบอกไม่ถูก

จบวันผมก็มายืนรอลุ้นคำตอบอยู่ตรงหน้าคุณตรี เขานั่งไขว่ห้างกอดอกมองหน้าผมอยู่ที่โซฟา เขาพยักหน้าให้ผมนั่งลงที่โซฟาอีกตัว แต่ผมส่ายหน้าปฏิเสธอย่างนอบน้อม ขอผมยืนแบบนี้จะดีกว่า ผมไม่กล้านั่งเทียบเท่าเขาหรอกครับ

‘นายว่างทำงานได้วันไหนบ้าง’

‘ผมเหรอครับ’ ผมสะดุ้ง เพราะมัวแต่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย

‘ก็นายน่ะสิ หรือมีใครคนอื่นจะมาทำงานนี้’

‘ไม่มีครับไม่มี ผมว่างทุกวันเลยครับ’

‘ว่างทุกวัน?’ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเล็กน้อย

‘ครับ ว่างทุกวัน’

‘ทำไมว่างทุกวัน ไม่มีเรียนหรือยังไง’

‘อ่อ ผมไม่ได้เรียนหนังสือหรอกครับ ผมต้องทำงานหาเลี้ยงตัวเอง ทำให้ไม่มีเวลาไปเรียนครับ’

คุณตรีเงียบไป แล้วก็เอาแต่จ้องผมนิ่งราวสองนาทีได้ ก่อนจะพูดเรื่องที่ทำให้ผมดีใจจนเกือบจะกระโดดร้องเย้สุดตัว

‘ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ก็มาเริ่มงานได้ นายมาตั้งแต่ตีห้าทุกวัน นี่กุญแจบ้าน ไขเข้ามาได้เลย แล้วก็นี่ ลิสต์รายการงานที่นายจะต้องทำทุกวัน ทำได้ใช่ไหม’

‘ทำได้ครับ ผมทำได้ และจะทำให้ดีที่สุดเลยครับ’ ผมเอื้อมมือไปรับกุญแจและสมุดจดรายการงานที่ผมต้องทำมาถือไว้แน่นด้วยความดีใจ

‘ก็ดี วันนี้ก็กลับไปพักผ่อนเถอะ’

‘ครับ ขอบคุณคุณตรีมากเลยนะครับที่รับผมเข้าทำงาน ขอบคุณครับ’

‘อืม’

ผมกลับห้องพักไปด้วยความดีใจ แล้วรีบตื่นเช้าไปทำงาน งานหลักๆที่คุณตรีจดมาให้ ก็คือการเตรียมอาหารเช้าให้คุณตรีก่อนที่คุณตรีจะไปโรงเรียน เตรียมหนังสือพิมพ์ รดน้ำต้นไม้ในตอนเช้า เก็บกวาดบ้านไม่ให้มีไรฝุ่น โดยเฉพาะในห้องนอนที่จะต้องเปลี่ยนผ้าปูเตียงทุกอาทิตย์ ผ้าขนหนูจะต้องมีผืนใหม่ไว้ใช้วันต่อวัน เสื้อผ้าซักรีดทุกวัน เพราะคุณตรีไม่ชอบให้หมักหมม อย่างที่บอกความสะอาดเป็นสิ่งสำคัญกับคุณตรีมากๆ

ตกเย็นก็แค่รอให้คุณตรีกลับบ้าน บางวันเขาก็กินข้าวเย็นมาแล้ว บางวันก็กลับมากินที่บ้าน ผมทำเป็นแต่อาหารง่ายๆ แต่เพราะเป็นคุณตรี ผมเลยต้องลองหัดทำอะไรที่มันดูพิเศษกว่าพวกผัดผัก ต้มจืด ของทอดๆดูบ้าง ความรู้ก็ดูเอาจากทีวีที่คุณตรีอนุญาตให้เปิดดูได้

ผ่านไปได้สักหนึ่งอาทิตย์ คุณพ่อคุณแม่ของคุณตรีก็มาที่บ้านในวันหยุด วันนั้นผมถึงได้รู้ว่า จริงๆแล้วคุณตรีมีแม่บ้านเป็นผู้หญิงก่อนที่จะรับผมมาทำแทน ผมได้ยินคุณแม่ของคุณตรีบ่นเรื่องที่คุณตรีเปลี่ยนแม่บ้านบ่อยมากๆ และล่าสุดก็ไล่แม่บ้านที่แม่เขาหามาให้โดยไม่บอกแม่เขาก่อน

เหตุผลที่เขาบอกกับแม่เขาก็คือ แม่บ้านที่แม่หามาทำตัวไม่เหมาะสมและเขาไม่ชอบ คุณพ่อคุณแม่ของคุณตรีก็ทำได้แค่ถอนหายใจ แล้วบอกกับผมว่าให้ตั้งใจทำงานแค่นั้น ก่อนที่ทั้งคู่จะบินกลับอังกฤษ

แต่ผมก็ทำงานอยู่กับเขาได้แค่หกเดือนเท่านั้น คุณตรีก็ต้องไปเรียนต่อปริญญาตรีที่ต่างประเทศ เขาดูไม่อยากไป เพราะผมเคยได้ยินเขาทะเลาะกับพ่อแม่เขาผ่านทางโทรศัพท์ แต่สุดท้ายเขาก็ต้องไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

‘นายหางานใหม่ได้หรือยัง’ เขาถามผมขณะที่ผมช่วยเขาเก็บของเตรียมตัวไปต่างประเทศ ข้าวของเครื่องใช้ในบ้านก็ต้องหาผ้ามาคลุมไม่ให้มีฝุ่นจับ

‘ยังเลยครับ แต่ผมว่าพรุ่งนี้ผมคงไปเดินหางานทำดู’

‘อืม มีอะไรให้ฉันช่วยไหม’ เขาถามอย่างคนมีน้ำใจ เพราะว่าคุณตรีใจดี

‘ไม่เป็นไรครับ แค่คุณให้โอกาสผมทำงานที่นี่ ก็มากพอแล้วครับ’

‘นายดูเป็นคนหวังน้อยดีนะ’

ผมแค่ยิ้มให้เขา เพราะผมรู้ดีว่าชีวิตนี้เราหวังอะไรไม่ได้มาก แค่ที่เป็นอยู่นี่ก็ดีแล้ว ผมมีความสุขดี อีกอย่างคุณตรีให้เงินเดือนผมค่อนข้างเยอะ ผมเลยมีเงินเก็บมากกว่าที่เคยมีมาด้วยซ้ำ

‘ตามปกติแล้ว ถ้าพนักงานโดนไล่ออกหรือขอให้ออกจากงาน พนักงานจะได้เงินชดเชย’

อยู่ๆคุณตรีก็พูดขึ้นมา ซึ่งผมชินเสียแล้ว ทำงานให้เขามาหลายเดือน ผมรู้ว่าคุณตรีเป็นคนเงียบๆ เพราะเขามีเรื่องให้คิดมากมาย ทั้งๆที่อายุมากกว่าผมแค่ปีเดียว คุณตรีเป็นคนที่ทำให้ผมเห็นว่าคนรวยก็ไม่ได้มีความสุขเสมอไป อย่างน้อยเขาก็ถูกกดดันจากครอบครัวในหลายๆเรื่อง ซึ่งผมไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเท่าไหร่ เรื่องของเจ้านาย ถ้าเขาไม่พูดผมก็ไม่จำเป็นต้องรู้

‘นายจะเรียกเงินชดเชยเท่าไหร่ ที่นายต้องตกงานแบบกะทันหัน’

บอกตามตรงว่า ผู้ชายตรงหน้าไม่เหมือนผู้ชายที่แก่กว่าผมแค่ปีเดียว เพราะเขาชอบพูดอะไรที่มันเข้าใจยากและดูเป็นผู้ใหญ่แบบสุดโต่ง

‘คุณตรีพูดอะไร ผมไม่เห็นเข้าใจ’

‘หึ เด็กหัวช้า’ เขาบ่นผม แล้วลุกเดินหายขึ้นไปบนชั้นสอง ครู่เดียวก็เดินลงมา พร้อมกับยื่นซองสีน้ำเงินสีที่คุณตรีชอบให้ผม

‘อะไรครับ’

‘ของขวัญ’

‘ของขวัญ? ในโอกาสอะไรครับ’ ผมถามด้วยความสงสัย

‘ของขวัญส่งท้าย ไว้ฉันไปแล้วนายค่อยเปิดดู เข้าใจไหม’

‘ครับ ผมเข้าใจ’ ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจก็ต้องบอกว่าเข้าใจ ผมไม่อยากให้คุณตรีรู้สึกรำคาญในความหัวช้าของผม

และแล้วงานเลี้ยงก็ย่อมมีวันเลิกรา เช้าวันต่อมาก่อนที่คุณตรีจะต้องไปสนามบิน ผมรีบตื่นมาทำแซนวิชแบบหรูๆให้คุณตรีเป็นการส่งท้าย ผมปั่นจักรยานที่ซื้อมาได้ด้วยเงินเดือนที่คุณตรีให้ไปที่บ้านของเขา

‘แฮกๆ’ ผมเหนื่อยหอบอยู่หน้าบ้าน ยังไม่ทันได้กดออด คุณตรีก็เปิดประตูออกมาพอดี พร้อมกับเสียงรถยนต์ดังขึ้นที่ด้านหลัง ผมหันไปมองรถยนต์คันหรูที่ขับมารับคุณตรีไปสนามบิน ก่อนจะหันกลับมาพูดกับเขา

‘คุณตรีครับ’

‘ว่าไง’

‘ผมทำแซนวิชมาให้ครับ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมานะครับ’ ผมยื่นถุงกระดาษที่มีกล่องแซนวิชอยู่ข้างในให้คุณตรี เขามองก่อนจะยกยิ้มแล้วรับไป ผมดีใจที่เขาไม่รังเกียจน้ำใจเล็กๆน้อยๆจากผม

‘เดินทางปลอดภัยนะครับ คุณตรีคงต้องไปแล้ว งั้นผมลานะครับ’

‘ฟ้า...’ คุณตรีเรียกผมเอาไว้ก่อนที่ผมจะออกตัวถีบจักรยาน ผมหันไปมองเขา คุณตรีเหมือนมีอะไรอยากจะพูด แต่เขาก็ไม่ได้พูดออกมา

‘โชคดีนะครับ’ ผมยิ้มให้เขา รู้สึกใจหายหดหู่จนอยากจะร้องไห้ เพราะหลังจากนี้ผมจะไม่เจอเขาอีกแล้ว

‘นายด้วย โชคดีนะ’

ผมรู้ว่าคุณตรีเก่ง เขาจะต้องเรียนที่ต่างประเทศได้ดีแน่นอน ผมดีใจกับเขาด้วย และรู้สึกเสียใจเล็กๆที่คิดว่าชาตินี้ทั้งชาติอาจจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้ว

แล้วถ้าผมอยากจะลองฝันดูล่ะ ถ้าปาฏิหาริย์มีจริงแล้วเราได้เจอกันอีกครั้ง ถึงตอนนั้นเขาจะยังจำผมได้หรือเปล่า ส่วนตัวผมนั้นไม่มีทางที่จะลืมเขาได้

ผู้มีพระคุณและคนที่ผมแอบรัก




นานแล้วที่ผมไม่ได้มาที่บ้านหลังนี้ ช่วงแรกๆที่คุณตรีไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ผมก็แวะเวียนมาอยู่สองถึงสามครั้ง คงเพราะรู้สึกคิดถึงคนที่เคยให้โอกาส แต่เพราะผมต้องหางานใหม่และหาเงินเพื่อเรียนต่อ ทำให้ผมไม่มีเวลาเหลือพอให้มามองหลังคาบ้านเขา

ของขวัญในซองสีน้ำเงิน สีประจำตัวของคุณตรีที่ให้ผมไว้ บรรจุเงินสดจำนวนห้าหมื่นบาท ตอนนั้นผมเสียใจที่ไม่เปิดซองดูให้เร็วกว่านี้ ถ้าผมรู้ก่อนที่คุณตรีจะจากไป ผมคงคืนเงินทั้งหมดให้เขา

ผมไม่ได้ต้องการเงินชดเชย ที่ผ่านมาคุณตรีให้ผมมามากพอแล้ว สำหรับผมที่หาเงินได้จากการรับจ้างทำทุกอย่างทั้งเดือนรวมๆกันแล้วไม่เคยเกินแปดพันบาท เทียบกับการทำความสะอาดบ้านและทำกับข้าวง่ายๆให้คุณตรีแล้วได้เงินเดือนหนึ่งหมื่นบาท ก็ถือว่าผมโชคดีที่สุดแล้ว

วันนี้จึงนับเป็นครั้งแรกในรอบสี่ปีที่ผ่านมาที่ผมมาที่นี่ หน้าประตูไม้บานเก่าที่สูงชะลูดเลยหัวผมไป ถ้ายืนชิดก็จะมองเห็นแค่แผ่นไม้ แต่ถ้าถอยไปไกลสักหน่อยก็จะเห็นหลังคาบ้านที่ดูจะแปลกตาไปอย่างบอกไม่ถูก

ผมก้มมองถุงกระดาษที่บรรจุกล่องข้าวจำนวนสามกล่องเอาไว้ในมือ ก่อนที่จะเสียเวลามากไปกว่านี้ ผมกดกริ่งหน้าประตู แล้วยืนรอด้วยใจที่เต้นค่อนข้างจะแรง

“ฟู่ว” ผมเป่าลมออกจากปาก ระงับความตื่นเต้นที่อัดแน่นอยู่เต็มอก

ผมจับจ้องไปที่ประตู จนกระทั่งบานไม้ใหญ่ค่อยๆเปิดออก จังหวะนั้นผมเผลอกลั้นหายใจ ร่างกายเกร็งขึงเหยียดตัวยืนตรงโดยอัตโนมัติ มือที่ถือถุงกำแน่นขึ้นเล็กน้อย

ผมจะได้เจอคุณตรีแล้วใช่ไหม

ความกว้างของประตูที่เพิ่มมากขึ้นเผยให้เห็นผู้ชายตัวสูงในชุดออกกำลังกาย กล้ามเนื้อตามท่อนแขนดูเป็นมัดสวยอย่างสมบูรณ์แบบ เขาใช้ผ้าขนหนูที่พาดอยู่บนคอซับเหงื่อบนใบหน้า ก่อนจะขยับสายตามองมายังผมที่ยืนนิ่งค้าง

และเมื่อเขาเห็นผม เขาดูชะงักไปเล็กน้อย นั่นหมายความว่าเขาจำผมได้ใช่ไหม

จากที่เคยรู้สึก มาวันนี้ที่ได้เห็นหน้าเขาอีกครั้ง ผมจึงได้รู้ว่า...ผมคิดถึงเขามากเหลือเกิน

ดีจัง...ดีจนอยากจะร้องไห้

คุณตรีนับเป็นคนแรกที่เดินออกจากชีวิตผมไป แล้วหวนกลับคืนมาอีกครั้ง

“ไง” เขาทักผมก่อน ทำให้ผมได้สตินึกขึ้นได้ว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่ ผมยิ้มกว้างให้เขาเท่าที่ริมฝีปากจะขยายออกได้

“สวัสดีครับคุณตรี ผมเอาข้าวที่คุณสั่งไว้มาส่งครับ” ผมยื่นถุงอาหารให้เขา

เหมือนตอนนั้นเลย ที่ผมต้องมาทำอาหารเช้าให้เขาทานก่อนไปโรงเรียน ต่างกันตรงที่ว่าตอนนี้ผมมาส่งอาหารเช้าให้เขาแทน

“อืม เข้ามาก่อนสิ ฉันจะเข้าไปเอาเงินให้” เขาเปิดประตูออกให้ผมเดินตามเขาเข้าไปในบ้าน

เพราะผมไม่ได้มาที่บ้านหลังนี้นานแล้ว เลยไม่รู้ว่าข้างในเปลี่ยนไปทั้งหมด บ้านหลังเก่าได้อันตรธานหายไป แล้วมีบ้านหลังใหม่มาตั้งไว้แทน บ้านหลังใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมและดูสวยทันสมัยกว่าเดิมมาก

พอเดินเข้ามาในตัวบ้าน ผมก็แทบจะต้องห่อตัวเพราะความหนาวจากเครื่องปรับอากาศ แต่ก่อนเขาไม่เคยเปิดแอร์หนาวขนาดนี้ จะเป็นเพราะไปอยู่ต่างประเทศมาหรือเปล่า เลยทำให้เขาติดอากาศเย็น

คุณตรีเดินหายขึ้นไปข้างบน ผมไม่กล้าถือวิสาสะเดินไปไหนในบ้านของเขา ก็เลยยืนรออย่างเก้อเขินอยู่ที่หน้าประตู

“เท่าไหร่นะ” คุณตรีถาม เขาลงมาพร้อมกระเป๋าสตางค์สีน้ำเงินเข้มในมือ

สีน้ำเงินยังคงเป็นสีโปรดของคุณตรีสินะ

“สามกล่อง หนึ่งร้อยแปดสิบบาทครับ” ผมบอกและรับเงินมาจากคุณตรี คลี่แบงก์ร้อยออกดูก็นับจำนวนได้สามใบ ผมคิดว่าคุณตรีน่าจะให้เงินมาเกิน ก็เลยเตรียมจะคืนเงินพร้อมเงินทอน แต่คุณตรีกลับโบกมือปฏิเสธไม่ยอมรับ

“ไม่ต้องทอน”

“แต่...”

“ไม่มีแต่ ฉันให้ทิป”

“ไม่ได้หรอกครับ”

“ต้องได้สิ รับไว้เถอะนะ”

“เอ่อ ครับ ขอบคุณครับ” ผมยกมือไหว้เขา

“นายทำเองเหรอ” เขาถามต่อ

“เปล่าครับ ผมเป็นแค่เด็กส่งของเฉยๆ” ผมตอบ เขาพยักหน้าขึ้นลงช้าๆ

“ยังทำงานรับจ้างทั่วไปอยู่เหรอ”

“ครับ ผมยังต้องหาเงินนี่นะ” ผมตอบยิ้มๆ

“ก็คงจะต้องอย่างนั้น”

เสียงกริ่งหน้าประตูบ้านดังขึ้น บทสนทนาของเราสองคนเลยจบลงแต่เพียงเท่านี้ ผมอยากจะคุยกับเขาต่อ แต่ว่าผมก็ยังมีงานให้ต้องกลับไปทำ

วันนี้ก็คงจะได้เพียงเท่านี้ การได้เจอคุณตรีอีกครั้ง ต่อให้ไม่มีโอกาสได้พูดคุยกัน ขอเพียงได้เห็นหน้า สำหรับผมมันก็ดีมากเกินพอ

“ถ้างั้น ผมขอตัวกลับไปทำงานต่อนะครับ” ผมเอ่ยลาเขา

“อืม ออกไปพร้อมกันสิ”

“ครับ”

ผมเดินออกมาหน้าบ้านพร้อมกับคุณตรี ได้เดินเคียงกันแบบนี้ ทำให้เห็นชัดเลยว่าเขาโตขึ้นกว่าเดิมมาก จากเด็กหนุ่มกลายเป็นผู้ชายเต็มตัวเต็มวัย ต่างจากผมที่ยังคงเหมือนเดิม

เขาเปิดประตูรั้วออก มีผู้หญิงใส่ชุดสูทดูดียืนอยู่ข้างรถยนต์สีดำ เธอส่งยิ้มให้คุณตรีก่อนจะเบนสายตามามองผมด้วยความแปลกใจ ผมเพียงยิ้มบางๆให้เธอ พลางขยับเดินเลี่ยงไปที่รถมอเตอร์ไซค์ที่ใช้ส่งอาหาร

“สวัสดีค่ะคุณตรี พอดีท่านประธานให้ดิฉันเอารายชื่อคนที่มาสมัครเป็นแม่บ้านมาให้คุณค่ะ”

แม่บ้านเหรอ?

ผมไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังนะ แต่ผมกำลังถอยรถมอเตอร์ไซค์แล้วบังเอิญได้ยินพอดี

ก่อนจะสตาร์ทเครื่องยนต์ ผมตัดสินใจหันไปมองคุณตรีอีกครั้งและเขาเองก็มองผมอยู่ก่อนแล้วเช่นกัน

“ขอบใจนะ แต่จริงๆส่งอีเมลมาก็ได้” คุณตรีพูด

“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันผ่านมาทางนี้พอดี เลยถือโอกาสเอาเข้ามาให้ด้วยตัวเองเลยจะดีกว่า”

“ครับ”

ผมไม่มีเหตุผลให้ยื้ออยู่ตรงนี้อีกต่อไป จึงตัดสินใจออกรถเพื่อไปส่งอาหารตามออเดอร์ที่เหลืออยู่

เรื่องที่คุณตรีเหมือนจะต้องการรับสมัครแม่บ้าน วนเวียนอยู่ในหัวผมหลายต่อหลายครั้ง ผมแอบคิดเล่นๆว่า ถ้าผมได้มีโอกาสกลับไปเป็นคนดูแลเรื่องงานบ้านงานสวนให้เขาเหมือนเมื่อก่อนก็คงจะดี

และถ้าผมได้รับโอกาสนั้นอีกครั้ง ผมสัญญาเลยว่าครั้งนี้ผมจะดูแลเขาให้ดีกว่าครั้งก่อน

และบางทีผมคงจะเพ้อเจ้อเกินไป ถึงได้คิดอะไรบ้าๆแบบนั้น

 :L1:

ติดแท็ก #ปรนเปรอรัก
Facebook : RiRiWorld (https://www.facebook.com/RiRiWorld143/)
Twitter : @NovelsRiri (https://twitter.com/NovelsRiri)

หัวข้อ: Re: ・✿.。.CATER TO YOU ปรนเปรอรัก .:。✿*゚บทนำ 10/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 11-10-2018 15:42:40
ฟ้าน่าสงสารจัง
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*゚ตอนที่1:เขากลับมาให้ผมได้ดูแล 11/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 11-10-2018 21:08:32
CATER TO YOU
ตอนที่ 2
คุณตรีอย่าฟุ่มเฟือยสิครับ

เสร็จจากการช่วยพี่นุชเตรียมส่งอาหารรอบกลางวัน ผมก็ไปทำงานต่อที่ ร้านอาหารไทยบรรยากาศดีในซอย ร้านจะเปิดตั้งแต่บ่ายสามโมงยันเที่ยงคืน รายได้ก็ถือว่าดีมากสำหรับผม แต่ก็ต้องแลกมากับการที่ต้องเลิกงานดึกๆดื่นๆ เพราะอย่างนั้น ช่วงนี้ที่ผมต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบด้วย เลยทำให้ร่างกายอ่อนเพลียไปบ้าง

งานที่ร้านอาหารจะทำงานแปดชั่วโมงมีพักหนึ่งชั่วโมงและมีวันหยุดสองวัน ผมหยุดวันจันทร์กับวันพฤหัสบดี ก็จะเป็นสองวันที่ผมจะได้พักผ่อน

วันนี้เป็นวันศุกร์ หลังเลิกงานผู้คนก็จะมากินดื่มเลี้ยงฉลองกันที่ร้านอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ดังนั้นตั้งแต่เข้าร้านมาผมก็แทบไม่ได้หยุดพักเลย ปกติจะได้พักทานข้าวทานน้ำหนึ่งชั่วโมง แต่วันนี้พอทุกคนกินข้าวเสร็จก็รีบมาช่วยงานกันต่อ เพราะลูกค้าเยอะมากจริงๆ และแต่ละโต๊ะก็สั่งอาหารกันแบบล้นโต๊ะเลยทีเดียว

“เอ้า ช่วยๆกันหน่อย เดี๋ยววันนี้เฮียแกให้พิเศษ” พี่ไม้พี่ผู้จัดการร้านตะโกนให้กำลังใจลูกน้องที่หลังร้าน พอได้ยินแบบนั้นทุกคนก็เฮกันใหญ่ มีเรี่ยวมีแรงทำงานขึ้นมาทันที

“ฟ้าๆ เอาอาหารไปเสิร์ฟลูกค้าชั้นสองโซนวีไอพีที” พี่ไม้เดินมาเรียกผมที่กำลังจะออกไปเก็บโต๊ะ แล้วหาคนอื่นไปทำแทนผม

“ได้ครับพี่” ผมตอบรับแล้วเดินไปดูที่รายการอาหาร ก่อนจะยกถาดอาหารเดินขึ้นไปเสิร์ฟที่ชั้นสอง ซึ่งเป็นชั้นที่จะรับรองเฉพาะแขกวีไอพีเท่านั้น รายการอาหารก็จะเป็นแบบแพงที่สุดดีที่สุด

ผมวางถาดอาหารไว้ที่โต๊ะหน้าประตู ก่อนจะเคาะประตูพร้อมเอ่ยขออนุญาตแขกข้างใน แล้วจึงยกอาหารเข้าไปเสิร์ฟ

“ไงวะ กลับมาทั้งทีมึงจะพักหรือว่าลุยงานเลย”

“คงทำงานเลย”

“มันจะไม่โหดไปหน่อยเหรอวะ”

“หึหึ มึงก็รู้นิสัยพ่อกู อีกอย่างกูมีเป้าหมายที่ต้องทำให้สำเร็จ”

ผมค่อยๆวางจานอาหารลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวังทีละจานจนครบ แต่ตอนที่จะหมุนตัวกลับผมรู้สึกว่าตัวเองถูกจ้อง ก็เลยค่อยๆหันกลับไปมอง

...คุณตรี...

ผมได้แค่ครางชื่อเขาในใจก่อนจะรีบปลีกตัวออกมา เพราะยังมีงานที่ต้องทำ และมันก็เป็นมารยาทที่ไม่ดีด้วย

ผมยังต้องยกอาหารขึ้นไปเสิร์ฟให้โต๊ะคุณตรีอีกสามสี่รอบ และทุกครั้งคุณตรีจะจดจ้องมาที่ผมตลอด ทำให้ผมรู้สึกประหม่าแบบแปลกๆ แต่พอโต๊ะคุณตรีไม่ได้สั่งอะไรเพิ่มให้ผมต้องขึ้นไปเสิร์ฟ ผมก็ลงมาหัวหมุนที่ข้างล่างเหมือนเดิมจนกระทั่งร้านปิด

“เฮ้อ เหนื่อยวะ” แจ็ค เพื่อนที่ทำงานของผมทิ้งตัวลงนั่งอย่างหมดแรง

“ยังไม่ชินหรือไง” ผมหัวเราะขำๆ วันนี้มันวุ่นวายก็จริง แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น ทุกๆวันศุกร์หรือทุกสิ้นเดือน ลูกค้าจะมีเยอะมากกว่าปกติอยู่แล้ว

“มันก็ชิน แต่ก็ยังเหนื่อยอยู่ดี”

“ทิปก็ดีด้วย” ผมยิ้มกว้าง ผมชอบเวลาที่ร้านยุ่งๆลูกค้าเยอะๆ เพราะจะเป็นวันที่เราได้ทิปหนัก แล้วก็จะได้พิเศษเพิ่มอีกส่วนหนึ่งด้วย

งานเหนื่อยผมไม่เคยกลัวนะ นอนพักเดี๋ยวก็หายเหนื่อย ถึงผมจะเป็นคนง่ายๆไม่เรื่องมากในการใช้ชีวิต เพราะเกิดมาก็ยากจนแล้ว แต่ผมก็ไม่ปฏิเสธหรอกนะว่าเงินน่ะมันสำคัญมากสำหรับการใช้ชีวิต ไม่มีเงินจะทำอะไรก็ลำบาก

“กูไม่เถียงเลยเรื่องเงิน เฮ้อ ไปดีกว่า กูกลับบ้านล่ะ”

“อืม” ผมโบกมือลาแจ็ค แล้วหันมาเก็บของในล็อคเกอร์เตรียมกลับห้องพัก

“ฟ้า เฮียเรียก”

“ครับ?” ผมที่กำลังจะเดินออกจากห้องพักพนักงานหันไปตามเสียงเรียกของพี่ไม้

“เฮียชาร์ปแกเรียกน่ะ”

“เอ่อ เรื่องอะไรพี่ไม้พอจะรู้ไหมครับ” ผมถามอย่างกล้าๆกลัวๆ แอบคิดไปว่าวันนี้ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่า

“ฮ่าๆๆ ดูทำหน้าเข้า ไม่มีอะไรหรอก ไปเถอะ”

“ครับ” ผมยิ้มแห้งให้พี่ไม้ ก่อนจะเดินไปหาเฮียชาร์ปเจ้าของร้านที่ห้องทำงานด้านใน

ผมเคาะประตูอยู่สองที พอได้ยินเสียงอนุญาตก็เปิดประตูเข้าไป เฮียชาร์ปวัยสามสิบปลายๆเงยหน้าขึ้นจากสมุดบัญชีของร้านแล้วยิ้มให้ผม ผมเดินเข้าไปใกล้โต๊ะทำงานของเฮีย ยืนเอามือประสานไว้ด้านหน้า รอฟังสาเหตุที่เฮียเรียกผมมาพบหลังจบงาน

“เป็นอะไร ทำไมทำหน้าเหมือนกลัว”

“เปล่าครับ ผมไม่ได้เป็นอะไร” ผมส่ายหน้า ใครจะไปกล้าบอกล่ะว่ากลัว กลัวว่าจะไปเผลอทำอะไรผิดแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว

“หึหึ ไม่ได้จะดุอะไรหรอกน่า ที่เรียกมาหาเนี่ย เพราะมีลูกค้าฝากนี่ไว้ให้” เฮียชาร์ปยื่นซองจดหมายสีน้ำเงินมาตรงหน้าผม

ซองสีน้ำเงินอย่างนั้นเหรอ

ผมมองซองตรงหน้ากับหน้าเจ้าของร้านสลับกันอยู่สองถึงสามรอบ เฮียชาร์ปก็พยักหน้าให้ผมหยิบไป ผมลังเลใจเล็กน้อยก่อนจะหยิบซองสีน้ำเงินมาเปิดออก

“นี่มัน” เงินสดสองพันบาท

“ลูกค้าที่โซนวีไอพีเขาให้ไว้ บอกว่าให้ฟ้าโดยเฉพาะ เพราะว่าคนทำงานดีก็ต้องได้รับผลตอบแทน” เฮียพูดยิ้มๆ

“เอ่อ คือที่จริง ทิปต้องเข้ากองกลาง” ผมพูดเสียงเบา พลางนึกไปถึงเจ้าของซองเงิน ที่จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคุณตรี ถึงซองสีน้ำเงินซองนี้จะต่างไปจากแต่ก่อนมาก เพราะดูหรูขึ้นด้วยขลิบสีทอง แต่นอกจากคุณตรีแล้วผมไม่คิดว่าจะมีใครใช้ซองสีน้ำเงินแบบนี้อีก

“ทิปกองกลางน่ะลูกค้าให้มาแล้ว อันนี้ฟ้าก็คงต้องรับไป”

“มันจะดีเหรอครับ” ผมถามเฮียชาร์ปอย่างไม่ค่อยมั่นใจ เงินน่ะผมก็อยากได้ แต่ว่าปกติไม่ว่าลูกค้าจะให้ทิปกับใครก็ต้องใส่กองกลาง จากนั้นค่อยนำมาหารเท่าๆกัน จะไม่มีการแยกทิปเพื่อคนใดคนหนึ่ง

“มันก็ต้องดี เพราะอันนี้ลูกค้าเขากำชับมา เอาเถอะน่า ฟ้าทำงานดี ทำให้แขกวีไอพีพอใจ เฮียก็ดีใจแล้ว ส่วนนี่เป็นความประสงค์ของลูกค้าเขา ซึ่งเฮียก็รับปากไปแล้วว่าจะให้ถึงมือเรา ฟ้าก็รับไปเถอะ อย่าไปคิดมาก”

ผมยิ้มนิดๆ ก่อนจะยกมือไหว้เฮียชาร์ป

“ขอบคุณนะครับ แต่เฮียไม่บอกใครได้ไหม” ผมกลัวว่าถ้าคนอื่นรู้จะทำให้เขารู้สึกไม่พอใจที่ผมได้ทิปแยกต่างหาก

“อืม ก็ต้องอย่างนั้นแหละ วางใจเถอะ ไม่มีใครรู้เรื่องนี้แม้แต่ไอ้ไม้”

“ครับ ขอบคุณอีกครั้งนะครับ”

“ไม่เป็นไร ไปเถอะ ดึกมากแล้ว กลับห้องดีๆล่ะเรา”

“ครับ สวัสดีครับ”

ผมยกมือไหว้ลาผู้ใหญ่อีกครั้ง ก่อนจะออกจากห้องทำงานของเจ้าของร้าน ผมก็รีบยัดซองเงินจำนวนสองพันบาทใส่กระเป๋าเพื่อไม่ให้ใครรู้ ถึงผมจะไม่ฉลาดมากนัก แต่ก็ไม่ได้โง่ถึงขนาดไม่รู้ว่าการได้ทิปนอกรอบ มันอาจจะทำให้ใครบางคนไม่พอใจก็ได้

ทำยังไงได้ ในสังคมชั้นล่างที่ทุกคนต้องดิ้นรนปากกัดตีนถีบเพื่อหาเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เรื่องพวกนี้มันเป็นเรื่องอ่อนไหว ดีไม่ดีจะเกิดการแย่งลูกค้ากันเพราะอยากได้ทิปนอกรอบหนักๆ ถ้าเป็นแบบนั้นคงวุ่นวายไม่น้อย

ผมกลับมาถึงห้องพักก็ตีหนึ่งได้แล้ว วันนี้เป็นวันที่เหนื่อยและล้ามากๆวันหนึ่ง แต่ก็เป็นวันดีๆที่ผมอิ่มเอมใจมากเช่นกัน

ผมนั่งลงบนขอบเตียงนอน หยิบซองสีน้ำเงินซองที่สองที่ผมได้มาจากคุณตรีออกจากกระเป๋า ซองใบนี้ยังมีเงินสดอยู่ข้างใน แต่ซองใบเก่าไม่มีเงินสดหลงเหลืออยู่แล้ว นั่นเพราะผมได้เอามันไปเข้าธนาคารเป็นที่เรียบร้อย เก็บไว้เป็นเงินสำรองไว้ใช้ในยามจำเป็น

เงินก้อนแรกผมเต็มใจรับเอาไว้ เพราะไม่สามารถคืนให้กับเจ้าของที่จากไปไกลถึงต่างประเทศ รวมถึงตอนนั้นผมก็จำเป็นต้องใช้เงินจริงๆ ผมอยากเรียนต่อเพื่อให้ตัวเองมีความรู้เอาไปสมัครงานดีๆ

แต่ครั้งนี้ผมรู้สึกว่ามันมากเกินไปหน่อย ผมไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ได้ตีลังกาไปเสิร์ฟด้วย ทำไมผมจะต้องได้ทิปพิเศษส่วนตัวเยอะขนาดนี้

แต่ก็นั่นละนะ ผมจะทำอะไรได้ นอกจากเปิดลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือที่วางติดกับหัวเตียง  วางซองเงินไว้ในนั้น ทิ้งสายตามองมันอีกเสี้ยววินาที ก่อนจะยกยิ้มแล้วเลื่อนปิดลิ้นชัก พลางคิดขอบคุณน้ำใจที่อีกคนมีให้กันเสมอมา

ทว่าถ้ามีโอกาสได้เจอคุณตรีอีกครั้งผมก็อยากจะคืนเงินในซองนี้ให้เขา ก็ไม่รู้ว่าเขาจะรับคืนไหม คงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคต

“เฮ้อ เหนื่อยจัง”

ผมอยากทิ้งตัวลงนอนพักให้หายเหนื่อย แต่ผมก็ยังต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบ ผมเรียนมหาวิทยาลัยเปิดแบบที่ไม่ต้องเข้าเรียนก็ได้ แต่ถ้าไม่ติดงานหรือธุระอะไร ผมก็จะไปเข้าเรียนเท่าที่เวลาจะอำนวย

ผมเลือกเรียนคณะมนุษยศาสตร์ เพราะถ้าในชีวิตนี้จะมีงานอะไรที่ผมอยากทำ ก็คงจะเป็นงานเกี่ยวกับหนังสือนิตยสาร เพราะสายงานอื่นบางงานต้องใช้ต้นทุนที่สูงเกินไป ดังนั้นการเรียนคณะนี้เลยดูจะเหมาะกับผมที่สุด

ตั้งแต่ผมไปสมัครเรียน กศน.แล้วอ่านหนังสือออก ผมชอบอ่านหนังสือมาโดยตลอด เพราะผมตามโลกใบนี้ไม่ทัน หนังสือจึงช่วยผมได้เยอะ ส่วนมากหนังสือที่อ่านก็ยืมมาจากห้องสมุดทั้งนั้น ให้ซื้อเองก็จะได้แค่เดือนละเล่มถึงสองเล่ม เพราะราคาหนังสือก็แอบแพงอยู่เหมือนกัน บางเล่มราคาเทียบเท่ากับค่าข้าวผมทั้งอาทิตย์เลยทีเดียว

ผมตั้งใจที่จะอ่านหนังสือให้จบบท แต่งานในวันนี้ดูดพลังงานผมไปมากพอตัว อ่านไปได้ไม่เท่าไหร่ผมก็ต้านทานต่อความง่วงไม่ไหว เผลอหลับคาโต๊ะหนังสือแบบไม่รู้ตัว ตกใจตื่นอีกทีก็ตอนที่นาฬิกาปลุกดังขึ้นตอนตีสี่ครึ่ง

ต้องตื่นอีกแล้วเหรอ

“อื้อ ขี้เกียจโว้ย” ผมร้องโวยวายในลำคอ ง่วงจนจะไม่ไหวอยู่แล้ว บางทีนะผมก็อยากจะงอแงไม่ไปทำงาน แต่เพราะว่าเกิดมาจนและไม่มีที่พึ่ง ดังนั้นจะเกเรมากไม่ได้

ถึงผมจะชินกับความจน ไม่ฟุ้งเฟ้อกับการอยากได้อยากมีเหมือนคนอื่น แต่การต้องหิ้วท้องหิวเป็นวันๆเพราะไม่มีเงินซื้อข้าวกินก็เป็นอะไรที่ทรมานมาก จนผมไม่อยากกลับไปมีชีวิตแบบนั้นอีก

“เฮ้อ” ผมถอนหายใจยาวเหยียด หลังจากที่ทำใจได้ก็ลุกขึ้นไปล้างหน้าอาบน้ำให้ร่างกายและสติตื่น ก่อนจะออกไปทำงาน

“มาแล้วเหรอฟ้า วันนี้ออเดอร์เยอะเลย มาช่วยพี่จัดกล่องหน่อยสิ” พี่นุชเรียกผมอย่างดีใจเมื่อผมก้าวเข้าไปในครัว

“รอบเช้าส่งกี่กล่องเหรอพี่” ผมถาม พลางหยิบเอารายการอาหารที่ต้องจัดส่งรอบหกโมงเช้ามาดู

“หกสิบกล่อง พี่เลยจัดไม่ทัน ช่วยทีนะ”

“ได้ครับ”

เหลือเวลาอีกแค่ยี่สิบนาทีในการจัดอาหารลงกล่อง ผมเร่งมือช่วยทำ แม้จะงงๆเบลอๆใส่ผิดใส่ถูกไปบ้าง แต่พี่นุชก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะต่างคนต่างลนด้วยกันทั้งคู่

“บ้านคุณตรี” ผมหลุดพูดชื่อเจ้าของบ้านตามเลขที่บ้านในกระดาษ

“ฟ้าๆ เดี๋ยวเอาครึ่งหนึ่งไปส่งก่อนนะ แล้วค่อยวนรถกลับมาเอาออเดอร์ที่เหลือ”

“ได้ครับพี่ งั้นผมเอารอบแรกไปส่งก่อนนะครับ”

“จ้า ขับรถระวังๆด้วยนะ”

“ครับผม” ผมฉีกยิ้มให้พี่นุช แล้วรีบออกไปส่งข้าวตามบ้าน

เพราะวันนี้ต้องส่งข้าวกล่องเยอะกว่าทุกวัน และทุกคนที่สั่งเขาก็ต้องออกจากบ้านตรงเวลาเพื่อไปทำงาน ปกติผมจะขับมอเตอร์ไซค์ช้าๆเพื่อความปลอดภัย แต่วันนี้ต้องขับเร็วและซิกแซกกว่าเดิม ไม่อย่างนั้นจะไปส่งข้าวไม่ทันเวลา

หลายครั้งที่ผมเกือบจะชนกับรถคันใหญ่เข้า แต่ก็รอดมาได้ด้วยดี จนกลับมาที่ร้านพี่นุชอีกครั้งเพื่อไปส่งข้าวเช้ารอบสอง

“ทำเวลาดีนี่เรา ขับซิ่งเลยล่ะสิ”

“นิดหนึ่งครับพี่” จากง่วงๆ เจอเรื่องหวาดเสียวแต่เช้าเข้าไป หัวใจผมเต้นแรงเป็นเท่าตัว

“ส่งรอบนี้เสร็จก็กลับไปพักได้เลยนะ รอบเที่ยงเดี๋ยวพี่ให้คนอื่นทำแทน เราจะได้พัก”

“ขอบคุณครับ” ผมน้อมใจรับเอาไว้ เพราะร่างกายผมต้องการการพักผ่อนจริงๆ

ผมเลือกไปส่งข้าวที่บ้านหลังอื่นก่อน แล้วค่อยไปส่งข้าวกล่องให้คุณตรีเป็นหลังสุดท้าย ก่อนไปผมแวะไปที่ห้องเพื่อเอาซองเงินสีน้ำเงินไปคืนเจ้าของ

แต่พอมาถึงหน้าประตูรั้ว เจ้าของบ้านก็ออกมายืนรออยู่แล้ว เขาดูเหมือนเพิ่งจะออกกำลังกายเสร็จ แต่ยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า

ผมมองคนตัวโตที่ยืนสูงเด่นท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆ ผิวของคุณตรีขาว พอโดนแสงสีเหลืองอ่อนก็เหมือนจะเปล่งออร่าออกมาจากตัว เขาเหมือนเทพบุตรที่ลงมาจากสรวงสวรรค์

คนอะไรมีออร่าจนตาพร่าได้ขนาดนั้น

“เป็นอะไร จะมาส่งข้าวไม่ใช่เหรอ”

“อ่า” ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงของคุณตรี เพราะเผลอมองอีกคนจนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

คุณตรีก้าวเท้าเข้ามาใกล้ผมที่ยังคงนั่งคร่อมรถมอเตอร์ไซค์ ผมรีบร้อนลงจากรถจนลืมเอาขาตั้งยันพื้น เกือบจะโดนมอเตอร์ไซค์ล้มทับ โชคดีที่คุณตรีช่วยจับรถไว้ได้ทัน ทำให้ผมยังคงอยู่รอดปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน

“ระวังหน่อยสิ เดี๋ยวก็บาดเจ็บ”

“ขอโทษครับ” ผมพูดเสียงเบา

“ไม่ต้องมาขอโทษฉันหรอก ขอโทษตัวเองเถอะ”

“ครับ” เหมือนผมจะถูกดุ หรือเปล่านะ?

“ไม่สบายหรือเปล่า หน้าซีดๆ”

“เอ่อ”

ผมเผลอขยับถอยหลัง เมื่อฝ่ามือของคุณตรีแตะเข้าที่หน้าผาก แต่เขาไม่ปล่อยให้ผมหนีไปไกล ใช้อีกมือหนึ่งดึงผมเข้าหาตัวแล้วแตะสัมผัสไปทั่วใบหน้า

“ตัวร้อน” เขาพูดเสียงดุไม่พอ ยังทำหน้าดุอีกด้วย

“คือ เดี๋ยวผมส่งข้าวให้คุณตรีเสร็จก็จะไปพักแล้วครับ” ผมบอกเขา ไม่ให้เขาเป็นห่วง ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าเขาจะรู้สึกแบบนั้นหรือเปล่า

“งั้นก็เอาข้าวมา” เขาแบมือมาตรงหน้า ผมรีบเดินไปหยิบถุงใส่กล่องข้าวในตู้เก็บความร้อนที่ท้ายรถมาส่งให้คุณตรี คุณตรีรับถุงไปถือไว้ก่อนจะยื่นเงินให้ผมห้าร้อยบาท ผมกำลังจะหยิบเงินทอน ทว่า...

“ไม่ต้องทอน” เขาพูดขัดขึ้น ผมรีบเงยหน้ามองเขาแล้วส่ายหน้าทันที

“ไม่ได้นะครับ ผมต้องทอน”

“ฉันไม่รับเงินทอน” เขาปฏิเสธอย่างดื้อดึง

“คุณตรี อย่าใช้เงินฟุ่มเฟือยสิครับ” ผมบอกเขาเสียงอ่อย เผลอกำเงินทอนในมือแน่นจนมันยับย่นไปหมด

“ฉันไม่ชอบใช้เงินที่ยับแล้ว นายก็รู้” เขาพูด ทำให้ผมนึกถึงความหลังว่าเขาชอบให้เงินเรียบๆไม่มีรอยพับ ดังนั้นเงินที่เขาจะใช้จะต้องเป็นเงินที่ออกมาจากธนาคารสดๆร้อนๆเท่านั้น

“งั้นคราวหลังคุณตรีก็จ่ายให้พอดีสิครับ”

“อืม ไว้คราวหลังละกัน”

“พรุ่งนี้คุณตรีจะสั่งข้าวอีกไหมครับ”

“สั่ง”

“ถ้าอย่างนั้นเงินนี่ ผมจะเก็บไว้หักวันพรุ่งนี้นะครับ พรุ่งนี้คุณตรีก็ไม่ต้องจ่ายอีก”

“...” เขาเงียบ เอาแต่จ้องหน้าผมนิ่ง ดวงตาของเขาดูอบอุ่น แต่ก็ดูดุดันอยู่ในที ทำให้ผมไม่กล้าที่จะสบตาเขานานเกินไปนัก

“ถ้าให้ทิปผมอีก วันหลังผมจะไม่มาส่งข้าวแล้วนะครับ จะให้คนอื่นมาส่งแทน”

“ฟ้า”

“ตกลงตามนี้นะครับ” ผมย้ำอีกครั้ง ให้เขาเห็นถึงความจริงจัง

“ก็แล้วแต่นาย” เขาพูดแบบขอไปที ท่าทางดูจะไม่สนใจที่ผมพูดสักเท่าไหร่

“อ่อ ผมลืมไปเลย”

ผมนึกขึ้นได้ว่ามีของที่อยากจะคืนเขา ซองสีน้ำเงินที่ผมได้มาเมื่อคืน ผมหยิบออกจากกระเป๋าสะพายข้าง แล้วส่งคืนให้คนร่างสูง

“อะไร” เสียงของเขาดุขึ้นกว่าเดิม

“เมื่อคืนที่คุณฝากไว้ให้ผม ผมรับไว้ไม่ได้หรอกครับ มันมากเกินไป”

“ฉันอยากให้”

“แต่ผมรับไว้ไม่ได้”

“ทำไมถึงรับไว้ไม่ได้”

“คุณตรีเอาคืนไปเถอะนะครับ ยังไงคุณตรีก็ให้ทิปรวมแล้ว ส่วนนั้นผมก็ได้เหมือนกัน”

“แต่ส่วนนี้ฉันให้นายคนเดียว ถ้าไม่อยากรับก็เอาไปทิ้งซะ นั่นน่ะ ถังขยะ” เขาเหลือบตามองไปที่ถังขยะตรงหน้าประตูรั้ว

ทำไมเขาดื้อแบบนี้นะ

“อย่าทำแบบนี้สิครับ ถึงคุณตรีจะรวย แต่ก็ไม่ควรใช้เงินแบบนี้นะ” ผมพูดเสียงอ่อน มือที่ยื่นซองเงินค้างเติ่งจนเริ่มจะเมื่อย

“ฉันอยากให้นาย ก็เหมือนให้ของขวัญไง ฉันผิดตรงไหน”

“มันก็...” ไม่ผิด แต่มันเกินไปไหมที่เขาให้ผม

“นายก็อย่าดื้อกับฉัน ฉันให้นายต้องรับ”

ผมดื้อตรงไหน เขาต่างหากที่ดื้อ

“ฉันจะเข้าบ้านแล้ว เงินนั่นถ้าไม่อยากรับ ก็โยนทิ้งไปซะ ฉันพูดจริง” เขาพูดจบก็เดินเข้าบ้านไปเลย ไม่สนใจผมที่ยืนเครียดอยู่ตรงนี้

จะว่าอะไรไหม ถ้าผมจะบอกว่าผมเกลียดเจ้าซองสีน้ำเงินนี่นัก หวังว่าชีวิตนี้ผมจะไม่ต้องรับมันมาเพิ่มอีกแล้วนะ

“คนอะไร ใช้เงินฟุ่มเฟือย” ผมบ่นกับตัวเอง ได้แต่มองบานประตูไม้ที่ปิดสนิทด้วยความอ่อนใจ ผมจะเอาอะไรไปขัดใจเขาได้ ในเมื่อผมแพ้เขาทุกทาง


:L1:

ติดแท็ก #ปรนเปรอรัก
Facebook : RiRiWorld (https://www.facebook.com/RiRiWorld143/)
Twitter : @NovelsRiri (https://twitter.com/NovelsRiri)

หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*゚ตอนที่1:เขากลับมาให้ผมได้ดูแล 11/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 11-10-2018 22:29:28
น้องฟ้าสู้ๆ
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*゚ตอนที่1:เขากลับมาให้ผมได้ดูแล 11/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 11-10-2018 23:24:32
น้องฟ้า สู้สู้  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*゚ตอนที่1:เขากลับมาให้ผมได้ดูแล 11/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: КίmY ที่ 11-10-2018 23:31:25
น้องฟ้าหนูนี่แม่ศรีเรือนจริงๆเลยลูก  :m13:
รอออ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*゚ตอนที่1:เขากลับมาให้ผมได้ดูแล 11/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 12-10-2018 10:24:22
น้องฟ้าสู้ ๆ นะ
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*゚ตอนที่2: คุณตรีอย่าฟุ่มเฟือยสิครับ 12/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 12-10-2018 21:03:30
CATER TO YOU
ตอนที่ 3
ดื่มเยอะแบบนี้ ไม่ดีเลยนะครับ


วันนี้เป็นอีกวันที่มีลูกค้าหนาแน่นเต็มร้านอาหารจนโต๊ะเต็มทุกโต๊ะ คืนวันเสาร์ก็แบบนี้แหละนะ ผมเดินส่งออเดอร์ เดินเสิร์ฟอาหารไม่หยุดตั้งแต่เปิดร้านมา จนตอนนี้ก็หนึ่งทุ่มแล้ว เป็นเวลาที่ผมจะได้พักกินข้าว

“ฟ้า กินข้าวอยู่เหรอ” พี่ร่วมงานเดินเข้ามาหาผมที่นั่งกินข้าวอยู่หลังร้าน

“ครับพี่” ผมตักข้าวคำสุดท้ายเข้าปากแล้วรีบเคี้ยวรีบดื่มน้ำตาม

“พอดีพี่ไม้แกให้มาเรียกน่ะ บอกว่าลูกค้าวีไอพีเรียกหา”

“หาผมเหรอ” ผมถามกลับอย่างแปลกใจ เพราะว่าปกติผมไม่มีลูกค้าวีไอพีเจ้าประจำ

“อืม กินข้าวเสร็จแล้วก็ไปหาพี่ไม้ละกัน”

“ครับพี่ ขอบคุณครับ”

ผมยกน้ำขึ้นดื่มอีกรอบ ก่อนจะเข้าห้องน้ำไปแปรงฟัน กับข้าวที่พ่อครัวทำในวันนี้เป็นกับข้าวที่มีกลิ่นแรง ถ้าต้องไปดูแลลูกค้าวีไอพี จะพูดจะคุยกับลูกค้าแล้วมีกลิ่นปากคงไม่ดี

ปกติผมก็แปรงฟันหลังกินข้าวอยู่แล้ว เหตุผลก็เพราะผมยอมเสียเวลาดูแลมันซะหน่อย ดีกว่าให้มันมีปัญหาแล้วต้องไปหาหมอเสียเงินเสียทองทีหลัง

แปรงฟันเสร็จผมก็รีบเดินไปหาพี่ไม้ที่ยืนรับแขกอยู่หน้าร้าน ผมยืนรออยู่ใกล้ๆจนกระทั่งพี่เขาจัดแจงหาโต๊ะให้ลูกค้ากลุ่มใหญ่เสร็จ

“กินข้าวเสร็จแล้วเหรอเรา ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงดีเลย” พี่ไม้ถาม ขณะที่เดินนำผมไปยังห้องอาหารวีไอพี

“ครับ ปกติผมกินข้าวไวอยู่แล้ว” ผมบอก

“พอดีลูกค้าเขารีเควสมาอ่ะ พี่เลยต้องให้คนไปตาม”

“ไม่เป็นไรครับ”

“ยังไงก็ฝากด้วยนะ” พี่ไม้บอกผม ก่อนจะเปิดประตูห้องอาหาร

พี่ไม้เดินนำเข้าไปในห้อง ทำให้จังหวะแรกผมไม่เห็นว่าลูกค้าคือใคร จนกระทั่งพี่ไม้ขยับตัวเบี่ยงไปทางซ้าย ผมถึงได้เห็นว่าใครคือลูกค้าวีไอพีที่เรียกหาผม

คุณตรี

“ผมพาเด็กมาส่งแล้วครับลูกค้า ต้องการอะไรก็บอกกับน้องเขาได้เลยนะครับ”

“ครับ” คุณตรีตอบรับพี่ไม้สั้นๆ ก่อนจะหันมาสบตาผม

“ตั้งใจทำงานนะฟ้า”

“ครับพี่”

พี่ไม้เดินออกจากห้องไปแล้ว ผมยืนมองคุณตรีด้วยความประหม่า ก่อนจะรีบตั้งสติแล้วเข้าไปจดออเดอร์อาหาร เพราะเท่าที่สังเกตคือบนโต๊ะยังโล่งไม่มีแม้แต่แก้วน้ำด้วยซ้ำ

“รับเป็นเครื่องดื่มอะไรดีครับ” ผมถามในสิ่งที่คิดว่าพวกเขาน่าจะให้คำตอบได้ก่อน

“เอาเหล้าไหมเจ้าภาพ” ผู้ชายคนหนึ่งหันไปพูดกับคุณตรี

“อืม อยากกินก็สั่ง”

“งั้นพวกกูเต็มที่นะ มึงกลับมาอยู่ไทยทั้งที มันก็ต้องฉลองกันสักหน่อย”

“ตามสบาย”

“ไหนๆก็มีคนเลี้ยงละ คืนนี้จัดเต็ม”

“ดีๆ เอาให้เต็มที่ ฮ่าๆๆ”

พวกเขาดูเฮฮาสนุกสนาน ขนาดคุณตรีเองที่มักจะมีสีหน้าเคร่งเครียดก็ยังหลุดยิ้มและขำขันไปกับเพื่อนของเขา ผมเผลอยิ้มให้กับรอยยิ้มที่ดูผ่อนคลายของคุณตรี ถ้าคุณตรียิ้มแบบนี้บ่อยๆก็คงจะดี ผมชอบที่เขายิ้มมากกว่าตอนที่เขาทำหน้านิ่ง

ตอนสั่งอาหารก็เป็นเพื่อนๆเขาที่สั่งกันเสียมากกว่า ผมมองคุณตรีที่เอาแต่นั่งมองเมนู ไม่เห็นจะสั่งอะไรสักที ผมจึงขยับเข้าไปใกล้เขาแล้วสอบถาม

“คุณตรีไม่สั่งเหรอครับ”

“ไม่รู้สิ มีอะไรแนะนำไหมล่ะ” คุณตรีเงยหน้าจากเมนูมาถามผมกลับ

“เต้าหู้หมูสับนึ่งขิงไหมครับ กลมกล่อม ไม่เผ็ดด้วย” ผมเสนอ เพราะรู้ว่าคุณตรีไม่กินเผ็ด เขาเหมือนจะกินง่าย แต่ความจริงค่อนข้างเลือกกินมากๆ และแต่ละเมนูที่เพื่อนๆเขาสั่งมาก็เป็นอาหารรสจัดทั้งนั้น

“อืม เอาอันนั้นก็ได้ แล้วมีอะไรอร่อยอีกไหม” คุณตรีพยักหน้ารับเมนูที่ผมเสนอ

“ที่จริงก็อร่อยทุกอย่างแหละครับ ผมรับประกัน” ผมรีบขายของ คุณตรีเหลือบมองผมแล้วยกยิ้มมุมปาก

“เอาที่ฉันกินได้สิ”

“ปลากะพงทอดน้ำปลาโอเคไหมครับ เค็มนิดๆอมหวานหน่อยๆ”

“เอา”

“อีกอย่างเอาเป็นพวกต้มดีไหมครับ ที่สั่งมามีแต่ต้มยำกับแกงส้ม ที่ร้านทำค่อนข้างเผ็ดเลย คุณตรีน่าจะไม่ชอบ”

“อืม”

“งั้นเอาเป็นต้มจืดฟักเส้นใส่ไก่สับไหมครับ คุณตรีชอบกินไก่นี่”

เขาดูแลสุขภาพตัวเองตั้งแต่เขายังเป็นนักเรียนมัธยมปลาย ออกกำลังกายแล้วก็สร้างกล้ามเนื้อตลอด แต่ก็ไม่ถึงกับควบคุมอาหารไปเลยขนาดนั้น ตอนนั้นเขาก็ยังกินทุกอย่าง ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับอารมณ์ แต่ปัจจุบันนี้ผมยังไม่ค่อยรู้เรื่องของเขาเท่าไหร่ อาศัยก็แค่ข้อมูลครั้งเก่าที่ผมยังจำได้ไม่เคยลืม

“เดี๋ยวนะ สองคนนั้นซุบซิบๆอะไรกัน” เพื่อนของคุณตรีที่ตัดผมทรงสกินเฮด เจาะหูแต่งตัวดูเท่เอ่ยทักขึ้น

“นั่นสิ ทำไมน้องไม่มาแนะนำอาหารให้พี่บ้างล่ะ พี่ก็อยากได้คนดูแลนะ” ส่วนคนนี้ดูเป็นผู้ชายแบบไทยแท้ ทั้งรูปหน้าและผิวสีแทน

“เงียบไปไอ้ทิศ” คุณตรีแหวขึ้นเสียงเบา

“หวงเหรอ นี่เพื่อนไง” คนที่คุณตรีเรียกว่าทิศยักคิ้วถามกวนๆ

“เรื่องของกู”

“น้องชื่ออะไรครับ” พี่คนหัวสกินเฮดถามผม

“ผมชื่อสายฟ้าครับ” ผมตอบเพื่อนคุณตรีด้วยเสียงที่นอบน้อม

“งั้นเรียกน้องฟ้าได้ไหม ง่ายดี”

“ได้ครับ”

“น้องฟ้ามีอาหารแนะนำให้พวกพี่บ้างไหม ขอรสจัดๆ”

“ครับ ก็มี...”

“ที่สั่งไปยังรสจัดไม่พอหรือยังไง”

เสียงของผมถูกขัดจากคุณตรี แล้วยังดึงแขนผมให้ขยับเข้าหาเขาใกล้กว่าเดิม เพียงเท่านั้นเพื่อนทั้งสองคนของคุณตรีก็โห่แซวพร้อมผิวปาก

“หวงจริงๆด้วยว่ะ กับพนักงานเสิร์ฟก็ยังจะหวงกับเพื่อน นิสัยเด็กไม่หายเลยนะคุณชายตรี”

“อย่ายุ่งน่า” คุณตรีชักสีหน้าแบบว่าเริ่มรำคาญเต็มทน

“โอเคๆ ไม่แซวแล้ว กูยังไม่อยากเห็นคนตัวโตเท่าควายเขิน ถ้าเป็นอย่างน้องฟ้าก็ว่าไปอย่าง”

“จิ๊”

ดูท่าว่าคุณตรีเริ่มจะอารมณ์ไม่ดีแล้วจริงๆ

“จะสั่งอะไรเพิ่มไหมครับ ผมจะได้เอาออเดอร์ไปส่งทีเดียว เดี๋ยวคนมาเยอะกว่านี้จะรอนาน” ผมยิ้มนิดๆแล้วเบี่ยงประเด็นออกจากเรื่องที่พวกเขาแซวเล่นอย่างสนุกสนาน ถ้ามากไปกว่านี้ผมคงจะทำหน้าไม่ถูก และคุณตรีอาจจะคว่ำโต๊ะใส่เพื่อนเขาก็เป็นได้

“เอาแค่นี้ก่อนก็ได้ครับน้องฟ้า” เพื่อนคุณตรีหันมายิ้มให้ผม

“งั้นผมทวนรายการอาหารนะครับ” ผมบอก

หลังจากที่ทวนรายการอาหารว่าไม่มีเมนูไหนตกหล่นจดไม่ทัน ผมก็เดินเอากระดาษจดออเดอร์อาหารไปส่งที่ห้องครัว พร้อมจัดเครื่องดื่มตามที่สั่ง ทั้งเหล้า โซดาและน้ำเปล่า ก่อนจะเอาขึ้นไปเสิร์ฟให้ที่ห้องอาหารของคุณตรีเป็นอันดับแรก

พอขึ้นไปถึงผมก็จัดแจงชงเหล้าใส่แก้วให้กับทุกคน ก่อนจะหลบมายืนอยู่ที่มุมห้อง รอเวลาที่พวกเขาจะเรียกให้ผมไปบริการ

คุณตรีและเพื่อนๆของเขากำลังนั่งคุยกันอย่างสนุกสนาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องสถานที่ท่องเที่ยวที่พวกเขาไปมา และแน่นอนที่สุดว่าพวกเขาจะต้องซักถามถึงเรื่องที่คุณตรีไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ

ต่อให้ผมจะรู้ว่ามารยาทที่ดีคืออะไร ทว่าพื้นที่ในห้องสำหรับแขกไม่เกินหกท่าน มันก็ทำให้ผมได้ยินเรื่องที่แอบอยากรู้ได้ไม่ยาก เพียงแต่ว่าคุณตรีไม่ค่อยจะเล่าอะไรเท่าไหร่ เพื่อนๆของคุณตรีก็ร้องบ่นกันว่าคุณตรีชอบกั๊กเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผู้หญิงที่นู่นหรือเรื่องครอบครัว ที่ดูจะพูดได้คล่องก็คงเป็นเรื่องงาน

ผมกะดูเวลาว่าอาหารน่าจะได้แล้ว ก็ปลีกตัวออกมาจากห้องอาหารไปที่ห้องครัว แล้วก็เป็นไปตามคาด อาหารทยอยเสร็จเรื่อยๆ ผมเอากับข้าวสามอย่างกับข้าวสวยหนึ่งโถขึ้นไปเสิร์ฟเป็นอันดับแรก

“น้องฟ้าครับ ชงเหล้าให้พี่หน่อยสิ น้องชงรสชาติดีมาก ไม่เหมือนเพื่อนพี่ ชงได้ห่วยแตก” พี่คนหัวสกินเฮดบอกพร้อมกับชูแก้วเหล้าให้ผม

“แล้วทำไมมึงไม่ชงเองล่ะ ใช้กูแล้วยังจะบ่นอีกเหรอ” พี่ที่ชื่อทิศบ่นใส่เพื่อนที่นั่งยิ้มเยาะ

ผมตักข้าวใส่จานให้พวกเขาเสร็จ ก็หยิบแก้วของพี่เขามาชงเหล้าเติมให้ แถมเติมให้แก้วของคุณตรีด้วย พวกเขาดื่มกันไวน่าดู เวลาผ่านไปราวๆครึ่งชั่วโมงเหล้าในขวดก็พร่องไปกว่าเศษหนึ่งส่วนสาม

เหล้าที่คุณตรีสั่งเป็นเหล้าที่แพงที่สุดในร้าน ผมก็ไม่เคยกินหรอกนะ เขาว่ากันว่ารสชาติดี แต่สำหรับผมเหล้าอะไรก็ขมทั้งนั้น กินแล้วก็เมาเหมือนกัน

อาหารที่คุณตรีสั่งค่อยๆทยอยเสร็จและนำขึ้นมาเสิร์ฟ ผมยังคงคอยชงเหล้าอยู่เรื่อยๆ พร้อมกับรอรับออเดอร์อาหารจำพวกกับแกล้ม

“เฮ้ตรี เหล้ามึงหมดแล้ว เติมดิเติม น้องๆ มาเติมเหล้าให้เพื่อนพี่หน่อย”

“ครับ” ผมรับคำ แล้วเดินไปหยิบแก้วเหล้าของคุณตรี

ใบหน้าของเขาตรงแก้มและจมูกเริ่มขึ้นสีแดงนิดๆ คุณตรีเป็นคนขาว พอเริ่มเมาก็จะเห็นได้ชัด

เขาจะไม่เมาได้ยังไง เหล้าขวดแรกหมดไปแล้ว ตอนนี้เข้าสู่เหล้าขวดที่สอง มากันแค่สามคน แต่ดื่มเหมือนมากันสักสิบคน งานนี้เพื่อนๆของคุณตรีคงกะมอมให้เมาเละเทะ

“ไหวไหมครับ” ผมก้มถามเขาเสียงเบา

“อืม” เขาพยักหน้าเล็กน้อย

ผมมองเขาอีกแวบ ก่อนจะเดินไปชงเหล้า ผมลดปริมาณเหล้าลงครึ่งหนึ่ง ผสมกับโซดาและน้ำเปล่าอย่างละครึ่ง แล้วจึงเดินเอาไปเสิร์ฟ

คุณตรีมองหน้าผมสลับกับแก้วที่วาง ก่อนจะยกยิ้มบางๆแล้วยกแก้วเหล้าขึ้นจิบ

เขาไม่ได้พูดอะไร ยังคงนั่งฟังเพื่อนๆพูดคุย บางครั้งคุณตรีก็มองมาที่ผม ผมสังเกตเห็นว่า เขายกแก้วเหล้าดื่มช้าลง กว่าแก้วนี้จะหมด เพื่อนๆของเขาก็ร้องว่าไม่ไหวซะแล้ว

“เก็บบิลเลยละกัน เดี๋ยวกูไปเข้าห้องน้ำแปบ”

“ไปด้วยๆ”

พวกเพื่อนของคุณตรีเดินออกไปเข้าห้องน้ำ ส่วนผมก็เดินไปเอาบิลค่าอาหารที่ห้องการเงิน ปล่อยคุณตรีไว้ในห้องนั้นเพียงลำพัง

ก่อนจะกลับขึ้นไปแจ้งค่าอาหาร ผมแวะหยิบผ้าสะอาดผืนใหม่ชุบน้ำสะอาดเย็นจัดขึ้นไปให้คนทั้งสามคนข้างบนด้วย ในส่วนนี้จะไม่ได้มีบริการทุกโต๊ะ จะเตรียมไว้บริการแขกวีไอพีเท่านั้น เพราะผ้าสะอาดจะใช้เพียงครั้งเดียว ไม่นำกลับมาใช้กับแขกคนอื่นอีกรอบ

ผมกลับมาที่ห้องอาหาร คุณตรีนั่งหลับตาพิงเก้าอี้ มือขาวเรียวยกนวดระหว่างหัวคิ้วทั้งสองข้าง เขาดูเมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ระหว่างมื้ออาหารก็ไม่ยอมหยุดดื่ม ขนาดผมชงแบบเบาที่สุดให้แล้วก็ยังไม่ค่อยช่วย

“คุณตรี ผ้าเย็นสักหน่อยไหมครับ จะได้สดชื่น” ผมเรียกเขา คุณตรีลืมตาขึ้นมองผม แล้วไล่สายตาลงมามองผ้าเย็นในถาดเล็กที่ผมยื่นไปตรงหน้าเขา

“ผ้าเย็นผืนใหม่ สะอาดแล้วก็หอมแน่นอนครับ” ผมยิ้มรับประกัน

“ขอบใจนะ” เขาหยิบผ้าเย็นไปเช็ดตามใบหน้าและลำคอ

“นี่บิลค่าอาหารครับ”

ผมวางถาดผ้าเย็นอีกสองผืนไว้บนโต๊ะ ที่ทำการเคลียร์จานเปล่าไปเป็นที่เรียบร้อย ก่อนจะยื่นบิลให้คุณตรีดู เขาหยิบไปเช็คก่อนจะส่งคืนพร้อมกับบัตรเครดิตและเงินสดอีกหนึ่งพันบาท

“ค่าอาหารรูดบัตร ส่วนเงินสดฉันให้เป็นทิป” เขาบอก

“ครับผม คุณตรีครับ”

“หืม”

ผมไม่รู้ว่าควรพูดสิ่งที่คิดดีไหม แต่ถ้าไม่พูดแล้วเกิดเหตุการณ์เดิมซ้ำรอย ก็จะกลายเป็นผมเองที่รู้สึกลำบากใจมากขึ้นไปอีก ถ้าต้องเป็นแบบนั้น ผมว่าผมพูดดีกว่า

“วันนี้คุณตรีไม่ต้องให้ทิปผมส่วนตัวแล้วนะครับ”

“ทำไม” คำถามของเขาไม่ได้ทำให้ผมแปลกใจ

“แค่นี้ก็พอแล้วครับ วันก่อนที่คุณตรีให้มาก็เยอะแล้ว ไม่ต้องให้ผมแล้วนะครับ”

“อืม”

“คุณตรีรับปากแล้วนะ” ผมกลัวเหลือเกินว่าเขาจะรับคำไปอย่างนั้น

“ฉันรู้แล้ว”

“ขอบคุณครับ”

ผมรีบลงไปเคลียร์บิลให้คุณตรี ก่อนจะเอาบัตรและใบเสร็จมาส่งคืน ผมอยู่ให้บริการจนกระทั่งพวกเขาลุกเดินออกจากห้องอาหารลงไปที่หน้าร้าน พวกเขาเอ่ยลากันก่อนจะแยกย้าย คุณตรียืนมองเพื่อนขึ้นรถแล้วขับออกไป

“คุณตรีกลับไหวเหรอครับ” ผมถามด้วยความเป็นห่วง ดูท่าว่าเขาคงขับรถมา

“ไม่ไหว”

“อ้าว”

“หึหึ ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันโทรเรียกคนขับรถแล้ว”

“อ่อ นั่นสินะครับ” แต่ไหนแต่ไรมาคุณตรีก็มีคนขับรถส่วนตัวอยู่แล้ว แม้ว่าเขาจะชอบขับรถเองก็เถอะ

“เลิกงานกี่โมง” คุณตรีถามขึ้น ผมที่กำลังจะขอตัวกลับไปทำงานก็ต้องชะงักคำพูด

“เที่ยงคืนครับ”

“เลิกดึก แล้วก็ตื่นแต่เช้าไปส่งอาหาร วันๆหนึ่งได้นอนกี่ชั่วโมงกันฟ้า” เขาพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าคล้ายจะตำหนิมากกว่าถาม

“แต่ผมก็มีเวลานอนกลางวันอยู่ครับ” ผมรู้ว่าคำตอบของผมมันไม่ตรงกับคำถามของเขา

“ฉันถามว่าวันละกี่ชั่วโมง ตอบให้ตรงคำถามหน่อย”

“เอ่อ ก็ สองสามชั่วโมงครับ พอดีช่วงนี้ติดอ่านหนังสือสอบ”

เขาจ้องผมนิ่งเลยทีนี้ ทำไมผมต้องรู้สึกเหมือนว่าตัวเองทำผิดมหันต์ ในเมื่อผมต้องทำงานหาเลี้ยงตัวเอง ถ้าไม่ใช่ช่วงสอบก็สบายอยู่ กลับถึงห้องก็อาบน้ำแล้วเข้านอนเลย ตื่นมาส่งข้าวรอบเช้าก็มีเวลากลับไปนอนก่อนจะส่งข้าวรอบเที่ยง ผมเกิดมาตัวคนเดียว ไม่มีใครหาเลี้ยง จะมามัวทำตัวขี้เกียจมันก็ไม่ได้

“เมื่อเช้าตัวร้อน ไปหาหมอมาหรือยัง”

“แค่นั้นเอง ไม่ต้องไปหาหมอหรอกครับ กินยาผมก็ดีขึ้นแล้ว”

ผมไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น โตมาแบบตามมีตามเกิด แทบจะเรียกได้ว่านอนกลางดินกินกลางทราย แค่ทำงานหนักนอนน้อยแค่นี้ ไม่ทำให้ร่างกายผมถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อหรอกครับ

“แต่ก็ควรจะไปหาหมอให้เขาตรวจ”

“เปลืองเงินนี่ครับ ผมซื้อยาแก้ไข้เองแผงละสิบกว่าบาท ไปหาหมอเสียเป็นร้อย”

“ช่างเถอะ ดูแลตัวเองให้ดี ฉันไปละ”

คุณตรีคงอยากจะดุผมมากกว่านี้ แต่ว่าคนขับรถของคุณตรีขับมาเทียบท่าที่หน้าร้านซะก่อน

“กลับดีๆนะครับ” ผมเอ่ยลา

“นายก็ด้วย ดูแลตัวเอง อย่าให้ป่วย”

“ครับ ผมจะไม่ป่วยครับ”

ผมส่งคุณตรีขึ้นรถกลับบ้าน ยืนมองจนรถของเขาลับสายตา ผมถึงได้กลับเข้าไปทำงานต่อ

การทำงานวันนี้ไม่เหนื่อยอย่างที่ควรจะเป็น เพราะการรับรองแขกวีไอพีอย่างคุณตรีทำให้ผมไม่ต้องไปวิ่งหัวหมุนอยู่ที่โซนธรรมดา ติดอยู่อย่างเดียวก็คือซองสีน้ำเงินเข้มที่ชายคนนั้นฝากเอาไว้กับเจ้าของร้าน

ทำไมคุณตรีถึงได้ดื้อขนาดนี้นะ เขาให้ทิปส่วนตัวกับผมอีกแล้ว!

อย่าคิดว่าผมไม่อยากได้เงิน คนจนๆแบบผมก็อยากจะมีเงินไว้กินไว้ใช้ แต่ที่เขาให้ผมมันมากเกินไป ตั้งแต่เขากลับมาได้ไม่กี่วัน ผมก็ได้รับเงินแทบจะเท่ากับส่งอาหารทั้งเดือนอยู่แล้ว

ผมอยากจะขุ่นเคืองใจให้ได้มากกว่านี้ ถ้าไม่ติดว่ามีกระดาษแผ่นเล็กแอบแทรกตัวอยู่ในซองสีน้ำเงินเจ้าปัญหา


‘เอาเงินนี้ไปหาหมอ ถ้าป่วยหนักทำงานไม่ได้
คงเสียเงินมากกว่าหลักร้อย
หาหมอแล้ว เอาใบแพทย์มาให้ดูด้วยล่ะ’


ผมละอ่อนอกอ่อนใจกับคนหน้านิ่งที่ใจดีเหลือเกิน ไหนเขาพูดว่าเขารู้แล้วไง แต่ก็ไม่ยอมทำตามความต้องการของผม

“เฮ้อ ไว้พรุ่งนี้ ผมจะไปหาหมอก็แล้วกัน”

แน่นอนว่าผมไม่ได้ดื้ออย่างที่คุณตรีเคยพูด แต่ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ เพราะเขากลัวผมไม่รับเงิน ถึงได้ใช้เล่ห์อุบายให้ผมไปหาหมอแทน ซึ่งผมก็ทำตามที่เขาต้องการ

เช้าวันถัดมาผมไปส่งอาหารที่บ้านเขาในตอนเช้า สิ่งที่ผมยื่นให้เขาเป็นสิ่งแรกไม่ใช่ถุงใส่กล่องอาหาร แต่เป็นใบแพทย์และเงินทอน

“ก็ยังดี ที่ไปหาหมอ” คุณตรีพูด ก่อนจะรับใบแพทย์กับเงินทอนไปอย่างไม่เต็มใจนัก

“แล้วก็อาหารเช้าครับ คุณตรียังไม่ได้แม่บ้านเหรอถึงได้สั่งอาหารทุกวัน”

ผมใช้ความกล้าในการถามคำถามนี้ เพราะไม่รู้ว่ามันจะดูละลาบละล้วงเกินไปไหม แต่ผมก็สงสัยจริงๆ คุณตรีกินค่อนข้างยากและไม่ชอบกินอะไรซ้ำๆ การที่เขาสามารถกินข้าวกล่องได้ติดกันเกินสองวันจึงทำให้ผมค่อนข้างแปลกใจพอสมควร

“ยังหาคนใหม่ไม่ได้” เขาตอบ รับถุงกระดาษไปถือไว้พร้อมกับควักเงินจ่าย ทำให้ผมไม่ทันได้สงสัยในความหมายของแม่บ้านคนใหม่ที่เขาพูด

“คุณตรีไม่ต้องจ่ายแล้วไงครับ ลืมไปแล้วเหรอ เมื่อวานผมยังไม่ได้ทอนเงินให้”

“หึ ความจำดีจริงนะ” เขาบ่นพึมพำ ผมไม่เข้าใจจริงๆ จะมีใครที่ไหนที่อยากจ่ายเงินซ้ำซ้อน คาดว่าคงจะมีคนอย่างคุณตรีคนเดียวในโลก

“ผมความจำดีอยู่แล้ว แต่คุณตรีอาจจะขี้ลืม ขนาดบอกกับผมว่ารู้แล้ว แต่ก็ยังลืม ฝากทิปส่วนตัวมาให้ผมอีก”

“ฉันไม่ได้ลืม ฉันบอกว่ารู้แล้ว แต่ไม่ได้บอกว่าจะทำตามสักหน่อย”

พอเขาพูดมาแบบนี้ ผมก็ไม่รู้จะตอบอะไรกลับไปดี ทั้งยังไม่มีเวลาเหลือให้ผมได้ถกเถียงเรื่องทิปกับเขาต่อ ยังเหลือออเดอร์ที่ผมยังต้องไปส่งอีกหลายบ้าน ถ้าไม่รีบไปตอนนี้ผมจะต้องไปส่งข้าวสายแน่ๆ

“ผมเข้าใจคุณตรีแล้วครับ ถ้ายังไงผมขอตัวก่อนนะครับ ต้องไปส่งอาหารที่อื่นต่อ”

“อืม”

“แล้วก็ ถ้าวันนี้คุณตรีจะไปทานข้าวเย็นที่ร้าน ผมหยุดนะครับ ยังไงคุณตรีก็เรียกใช้งานพี่ๆคนอื่นที่ร้านได้เลย” ผมบอกไว้ก่อน เขาจะได้ไม่ต้องให้พี่ไม้ไปตามผม

“วันนี้ตอนเย็นฉันไม่ไปกินที่นั่นหรอก”

“ครับ”

“ฟ้า”

“ครับคุณตรี”

“ถ้าช่วงบ่ายวันนี้หยุด ติดธุระที่ไหนหรือเปล่า”

“ไม่ครับ” ผมตอบไปอย่างไม่คิดอะไร ที่จริงก็มีต้องอ่านหนังสือ แต่ก็เหลือที่ต้องอ่านไม่เยอะมากแล้ว

“ช่วงบ่ายมาช่วยหน่อยได้ไหม ฉันจะจัดห้องทำงานใหม่ มีชั้นหนังสือที่ต้องจัดเรียง”

“ได้สิครับ ผมมาช่วยได้”

ไม่รู้ว่าผมออกอาการมากไปหรือเปล่า เพียงแค่เขาถามหาความช่วยเหลือจากผม ประโยคต่อจากนั้นผมก็แทบฟังไม่ได้ศัพท์แล้วว่าเขาจะให้ผมทำอะไร รู้แค่ว่าไม่ว่างานอะไรผมก็เต็มใจช่วย

“งั้นเจอกันบ่ายสองโมงที่บ้าน”

“ครับคุณตรี แล้วเจอกันครับ”

“ไปทำงานดีๆ ขี่รถระวังตัวด้วย” คุณตรีพยักพเยิดหน้าไปทางมอเตอร์ไซค์ที่ผมขี่

“ครับ ผมจะขี่รถอย่างระมัดระวัง” ผมรับคำเขาอย่างหนักแน่น

เพราะเชื่อในคำสั่งของคุณตรี วันนี้ผมจะยอมขับรถช้าเป็นเต่าคลาน แต่คาดว่าจะส่งข้าวกล่องทันเวลาทุกหลังคาเรือนแน่นอน เอาหัวไอ้ฟ้าเป็นประกันเลย!


:L1:

ติดแท็ก #ปรนเปรอรัก
Facebook : RiRiWorld (https://www.facebook.com/RiRiWorld143/)
Twitter : @NovelsRiri (https://twitter.com/NovelsRiri)

หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*゚ตอนที่2: คุณตรีอย่าฟุ่มเฟือยสิครับ 12/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Fasai25448 ที่ 12-10-2018 22:38:36
สนุกกกก น้องฟ้าน่ารักน่าเอ็นดูจังเลยค่ะ ฮืออยากกอดน้องไว้แน่นๆ
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*゚ตอนที่2: คุณตรีอย่าฟุ่มเฟือยสิครับ 12/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 13-10-2018 00:21:44
รับไว้นัองฟ้าเผื่อเป็นค่าสินสอด  :hao3:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*゚ตอนที่2: คุณตรีอย่าฟุ่มเฟือยสิครับ 12/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 13-10-2018 01:49:33
สนุกดีค่ะ และยังอยากอ่านต่อเรื่อยๆนะ
แต่กลัวเรื่องจะปลิวมากๆเลยค่ะเพราะคุณไม่ลงกฎของเล้าเลย ฉะนั้น แก้ไขให้เรียบร้อยก่อนนะคะ
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*゚ตอนที่2: คุณตรีอย่าฟุ่มเฟือยสิครับ 12/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 13-10-2018 01:54:44
สนุกดีค่ะ และยังอยากอ่านต่อเรื่อยๆนะ
แต่กลัวเรื่องจะปลิวมากๆเลยค่ะเพราะคุณไม่ลงกฎของเล้าเลย ฉะนั้น แก้ไขให้เรียบร้อยก่อนนะคะ

ขอบคุณที่เตือนค่า ลืมไปเลย ไม่ได้ลงนิยายนาน งื้อออ เกือบไปแล้ววว  :mew5:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*゚ตอนที่2: คุณตรีอย่าฟุ่มเฟือยสิครับ 12/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 13-10-2018 14:35:35
น้องฟ้าปล่อยพี่เขาเปย์ไปเถอะค่ะ พี่เขาอยากให้เราเหนื่อยน้อยลงไงค่ะ
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*゚ตอนที่2: คุณตรีอย่าฟุ่มเฟือยสิครับ 12/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 13-10-2018 21:57:28
คุณตรีสายเปย์
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*゚ตอนที่2: คุณตรีอย่าฟุ่มเฟือยสิครับ 12/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 14-10-2018 02:01:28
ฟ้าน่ารัก
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*゚ตอนที่2: คุณตรีอย่าฟุ่มเฟือยสิครับ 12/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: donut4top ที่ 14-10-2018 13:55:29
เอ็นดูปนสงสารน้อง
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*゚ตอนที่2: คุณตรีอย่าฟุ่มเฟือยสิครับ 12/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 14-10-2018 16:47:36
หน่องฟ้าาาาาาาา น่าเอ็นดูมากๆ
งี้พี่ตรีต้องดูแลน้องนะะะะ
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*゚ตอนที่3: ดื่มเยอะแบบนี้ไม่ดีเลยนะครับ 14/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 14-10-2018 17:09:19
CATER TO YOU
ตอนที่ 4
คุณตรีอยากได้พ่อบ้านเหรอครับ

เวลาบ่ายสองโมงตรงแบบไม่ขาดไม่เกิน ผมมายืนอยู่ที่หน้าบ้านคุณตรีตามที่นัดกันไว้ ถือเป็นครั้งที่สองนับตั้งแต่คุณตรีกลับมาจากอังกฤษ ที่ผมจะได้เข้าไปในบ้านของเขา

ความจริงแล้วผมว่าผมก็แอบเป็นคนเกเรอยู่เหมือนกัน ทั้งที่อีกสองวันผมจะสอบ แทนที่จะไปอ่านหนังสือ แต่กลับเลือกที่จะมาช่วยคุณตรีจัดบ้าน

ไม่รู้สิ คงเพราะไม่รู้ว่าจะมีโอกาสแบบนี้อีกไหมในชีวิต ที่จะได้ใช้เวลาร่วมกับเขา ผมตระหนักถึงความไม่แน่นอนในชีวิตอยู่เสมอ ผมไม่คาดหวังให้ได้ใกล้ชิดเขาบ่อยๆ แต่ถ้ามีโอกาสลอยมาอยู่ตรงหน้า ก็คงไม่ผิดอะไรที่ผมจะคว้าเอาไว้

ผมกดกริ่งหน้าประตูรั้ว และยืนรอคนข้างในด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ ผมว่าผมชอบประตูไม้บานใหญ่ตรงหน้า เพราะผมมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน ไม่รู้ว่าตอนนี้คุณตรีจะเดินออกมาหรือยัง ไม่รู้ว่าวินาทีไหนเขาถึงจะเปิดประตูออกมา

ผมช่างบ้าบอเนอะ แต่ว่าทุกวินาทีที่เคลื่อนตัวไปข้างหน้า หัวใจผมจะเต้นเร็วขึ้น ก่อนหน้านี้มันเคยราบเรียบเพราะชีวิตผมไม่มีอะไรหวือหวา พอมีคนมาทำให้หัวใจได้ทำงานบ้างก็เป็นความรู้สึกที่ดีไม่น้อย

“ฟ้า เป็นอะไร ยืนเหม่ออยู่ได้”

“ห๊ะ อะไรนะครับ” ผมสะดุ้งตกใจที่โดนเขย่าตัว

“ฉันเรียกสองสามรอบแล้ว ยืนเหม่ออะไร” คุณตรีขมวดคิ้วถาม ผมรีบดึงสติกลับแล้วพิจารณาคนตรงหน้า

เขามาตั้งแต่เมื่อไหร่

บอกผมที ว่าผมไม่ได้แสดงสีหน้าน่าเกลียดออกไปตอนที่มัวแต่มโนบ้าบอ

“ผมขอโทษทีครับ พอดีคิดอะไรเพลินๆนิดหน่อย” ผมยกมือขึ้นเกาท้ายทอยอย่างเก้ๆกังๆ

ขายหน้าชะมัดเลยเรา

“คิดว่ายืนตากแดดจนสติหายออกจากร่างไปแล้ว ไป เข้าไปในบ้านเถอะ” นอกจากความนิ่งแล้ว คุณตรีก็แอบมีมุมกวนๆเหมือนกันนะ

ผมเดินตามคุณตรีเข้าไปในบ้านและครั้งนี้ผมได้เห็นว่ามีคนอื่นอยู่ในบ้านของคุณตรีด้วย เป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างมีอายุ แต่ว่าก็ยังดูมีสง่า มีออร่าของผู้ใหญ่ใจดี

“สวัสดีครับ” ผมไม่รู้ว่าคุณน้าท่านนี้เป็นใคร แต่เพราะเขาอายุมากกว่าผมเยอะ ผมจึงรีบยกมือไหว้ไว้ก่อน

“สวัสดีจ้ะ เพื่อนของคุณตรีเหรอคะ” คุณน้าพูดกับผมอย่างใจดี แล้วหันไปถามคุณตรี

“ชะ...”

“ผมเคยทำงานกับคุณตรีน่ะครับ วันนี้เห็นคุณตรีจะจัดห้องทำงาน ผมเลยมาช่วย”  ผมรีบตอบ เลยดันไปพูดสวนกับคุณตรี แต่เขาก็เลือกที่จะเงียบไปแทน ไม่พูดอะไรต่อ

“งั้นเหรอจ้ะ ใช่ก่อนที่คุณตรีจะไปเรียนต่อหรือเปล่าคะ” คุณน้าหันไปถามคุณตรี

“ใช่ครับ เขาชื่อฟ้า ฟ้านี่น้ากุ้ง”

“อย่างนี้นี่เอง”

“น้ากุ้งครับ ยังไงผมขอของว่างแล้วก็เครื่องดื่มที่ห้องทำงานด้วยนะครับ”

“ได้ค่ะคุณตรี น้าจะเอาขึ้นไปให้นะคะ”

“อยากได้อะไรเพิ่มไหม” คุณตรีก้มหน้าถามผมที่ยืนมองน้ากุ้งหยิบจับงานในบ้าน

“ไม่ครับ ไม่เป็นไร”

“ตามใจ แต่ถ้าอยากกินอยากดื่มอะไรก็บอกได้ น้ากุ้งเขาจะได้จัดเตรียมให้”

“ไม่ต้องลำบากหรอกครับ”

“อืม” คุณตรีพยักหน้า แล้วออกเดินนำไปที่ห้องทำงานชั้นสอง

ผมเดินตามคุณตรีไปพลางสำรวจบ้านไปพลาง นอกจากภายนอกจะไม่เหมือนเก่าแล้ว ภายในก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง หลังเก่าจะเป็นสไตล์แบบดั้งเดิม แต่บ้านหลังนี้ดูทันสมัยแบบหรูหราแต่ยังคงเรียบง่ายสไตล์คุณตรี

ขึ้นมาที่ชั้นสองก็เจอกับห้องทำงานเป็นห้องแรก บ้านคุณตรีค่อนข้างใหญ่และกว้างขวาง แต่พื้นที่ทางเดินบนชั้นสองไม่ได้กว้างมากนัก ส่วนใหญ่คือพื้นที่ของห้องต่างๆ

ห้องทำงานของคุณตรียังคงเป็นโทนสีที่เขาชอบ ผนังห้องด้านหลังโต๊ะทำงานทาสีน้ำเงิน มีดีเทลของการตีแผ่นไม้ขึ้นนูนเป็นตารางกว้างๆ ประดับด้วยกรอบรูปสีขาวขนาดกลาง แม้ว่ารูปข้างในกรอบจะขนาดเล็กก็ตาม แต่ดูลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ

ส่วนผนังฝั่งประตูก็มีกรอบรูปเล็กๆอยู่สามรูป ผมหยุดยืนดูรูปของคุณตรี เป็นเขาตอนเด็กๆ ที่ยังคงคอนเซ็ปต์หน้านิ่งแม้ว่าเพื่อนๆในชุดฟุตบอลรอบข้างจะยิ้มแย้มเฮฮา ในมือของคุณตรีถือถ้วยรางวัลชนะเลิศเอาไว้ด้วย

“ยืนดูอะไร”

“อ๊ะ” ผมผงะถอยหลัง แล้วก็ชนเข้ากับคนที่ยืนซ้อนแบบไม่บอกไม่กล่าว มือของเขาจับประคองเอวผมเอาไว้ เหมือนจะตกใจเช่นกัน

“คุณตรี ผมตกใจหมด” ผมบอกเขา พลางขยับตัวออกห่าง รู้สึกได้ว่ารอยมือของเขายังร้อนวาบอยู่ที่เอว

“ตกใจอะไร ขวัญอ่อนหรือไงเล่า”

คงเพราะผมมัวแต่ดูรูปเขา พอถูกขัดจังหวะเข้าก็เลยตกใจ ใครใช้ให้เขาอยู่ๆก็มาส่งเสียงที่ข้างหูกัน ก่อนหน้านี้ห้องมันเงียบ เจอแบบนั้นเข้าไปผมก็สะดุ้งสิครับ

“คุณตรีจะให้ผมทำอะไรเหรอครับ”

“นู่นน่ะ ฉันให้ช่างเขาทำตู้หนังสือเป็นล็อกๆแล้ว ตามชื่อหมวดหมู่ นายช่วยเอาหนังสือในลังจัดวางเข้าชั้นให้เรียบร้อยที ทำได้ใช่ไหม”

“ทำได้สิครับ แค่จัดเรียงหนังสือแค่นี้เอง”

“ถ้าเล่มไหนไม่รู้จะเอาไปวางตรงไหน ก็ถามฉัน ไม่ก็วางแยกเอาไว้ เดี๋ยวฉันทำเอง”

“ครับ”

คุณตรีจ้องตาผมอยู่ราวห้าวินาทีได้ ไม่รู้ว่าเขาอยากให้แน่ใจหรือเปล่าว่าผมจะไม่ทำให้เขายุ่งยากมากกว่าเดิม จากนั้นเขาก็หมุนตัวเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานแล้วทิ้งความสนใจเอาไว้กับโน๊ตบุ๊คตรงหน้า

ผมเริ่มลงมือทำงานของตัวเอง กล่องลังจำนวนหกใบวางชิดผนังกับชั้นหนังสือที่สูงจนติดเพดานห้อง ผมสูงแค่ครึ่งเดียวของชั้นหนังสือเท่านั้นเองนะ คุณตรีแกล้งผมหรือเปล่าเนี่ย

“คุณตรีครับ” ผมหันไปเพื่อที่จะถามเขา

“หืม” เขารับคำโดยที่ไม่ได้เงยหน้ามองผม ยังคงจดจ้องอยู่หน้าโน๊ตบุ๊คอย่างเคร่งเครียด

“ให้เริ่มวางจากชั้นไหนครับ ถ้าชั้นบนสุดผมวางไม่ถึงนะ” ยิ่งพูดก็ยิ่งกระดากอายในความเตี้ยของตัวเอง

เด็กจนๆที่เติบโตมากับนมข้นหวานชงน้ำร้อนที่ลุงป้อนใส่ปาก ผมสูงถึงร้อยเจ็ดสิบก็ถือว่าเป็นบุญแล้ว ยังดีที่ไม่โตมาเป็นคนแคระให้ชีวิตดูน่ารันทดไปมากกว่านี้

“ชั้นกลางๆก็ได้ เอาที่นายวางถึง”เขาเงยหน้าขึ้นมาตอบผมแวบหนึ่ง ก่อนจะกลับไปตั้งใจทำงานต่อ คุณตรีในโหมดจริงจังแบบนี้ ดูดีจัง

เฮ้อ...ผมรู้สึกชอบเขามากขึ้นอีกแล้ว

ผมนี่มันชอบคนที่รูปลักษณ์ภายนอกจริงๆ 

ผมควรจะเลิกบ้าคุณตรี แล้วหันมาตั้งใจทำงานที่คุณตรีมอบหมายให้ แม้ว่ากล่องหกกล่องใหญ่ตรงหน้าจะทำเอาผมหมดแรงไปแล้วสิบเปอร์เซ็นต์ก็ตาม

เขาอ่านหนังสือเยอะขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย หนอนหนังสือเหมือนกันนะครับคุณตรี หึหึ

ผมเริ่มลงมือแกะกล่องที่หนึ่ง ข้างในมีหนังสืออัดแน่นอยู่เต็มกล่อง ผมตื่นเต้นตาลุกวาวเมื่อได้เห็น ผมชอบหนังสือ ทั้งชีวิตมีหนังสืออยู่ไม่ถึงสิบเล่ม ผมละเมียดละไมอ่านแต่ละเล่มอย่างคุ้มค่าที่สุดกับเงินหลักร้อยที่เสียไป

การได้มาเห็นหนังสือกองใหญ่วางตั้งอยู่ตรงหน้า เลือดในกายผมสูบฉีดยิ่งกว่าการได้เห็นคุณตรีในโหมดมุ่งมั่นตั้งใจทำงานเสียอีก

ผมหยิบเล่มแรกขึ้นมาอ่านหน้าปกแล้วแบ่งแยกไว้ตามล็อกแนวตั้ง ส่วนมากในกล่องนี้จะเป็นหนังสือเกี่ยวกับการแต่งบ้านและการจัดสวน และยังมีหนังสือเกี่ยวกับปรัชญาบ้าง วรรณกรรมบ้างประปราย

ผมหยิบหนังสือดูทีละเล่มด้วยความตั้งใจ บางเล่มผมก็เปิดอ่านจนเกือบจะลืมเวลา รู้ตัวทีก็รีบเอาไปเข้าชั้นที กว่าจะเสร็จกล่องแรกก็กินเวลาไปเกือบๆชั่วโมง

ก๊อกๆๆ

“ขออนุญาตนะคะ น้าเอาของว่างมาเสิร์ฟค่ะ” น้ากุ้งเคาะประตู ก่อนจะเปิดแง้มแล้วส่งเสียง

“เชิญครับ” คุณตรีเอ่ย

“คุณน้า ฟ้าช่วยนะครับ” ผมรีบลุกขึ้นไปช่วยคุณน้าถือถาด

“ขอบใจนะจ๊ะ”

ผมวางถาดของว่างไว้ที่โต๊ะหน้าโซฟาที่ตั้งอยู่กลางห้อง ซึ่งหันหน้าไปทางโต๊ะทำงานของคุณตรี ตัวโซฟาเองก็เป็นสีน้ำเงินเข้มเช่นกัน โต๊ะกลางเป็นหินอ่อน ระดับคุณตรีแล้ว ผมว่าน่าจะเป็นหินอ่อนของจริง

“คุณตรี น้าขอลากลับไปดูสามีหน่อยนะคะ จะให้น้าเตรียมอาหารเย็นทิ้งไว้ให้เลยไหมคะ”

“ไม่เป็นไรครับ แล้วอาการเขาเป็นยังไงบ้างครับ”

“ก็ยังไม่ดีขึ้นเลยค่ะ วันนี้ทุกคนทำงาน ไม่มีใครไปเฝ้า”

“คุณน้าไปเถอะครับ ผมโตแล้ว ดูแลตัวเองได้”

“พรุ่งนี้เช้า...”

“ถ้าน้าไม่ว่างก็ไม่เป็นไรครับ ไปทำในสิ่งที่คุณน้าต้องทำเถอะ ยังไงเรื่องของคนในครอบครัวต้องมาก่อน ตอนนี้ฟ้าก็อยู่ เขาช่วยผมได้”

“น้าขอบคุณมากนะคะคุณตรีที่เข้าใจน้า”

ผมยืนอยู่ข้างโซฟาเงียบๆ ไม่ได้นั่งลงกินของว่างก่อนเจ้าของบ้าน รอจนกระทั่งคุณตรีกับน้ากุ้งคุยกันเสร็จ น้ากุ้งก็หันมายิ้มให้ผม เดินเข้ามาใกล้แล้วจับมือผมทั้งสองข้าง

“น้าฝากดูแลคุณตรีด้วยนะลูก คุณเขาชอบทำงานจนลืมกินข้าวตลอดเลย” สีหน้าตอนที่น้ากุ้งพูดถึงคุณตรีเต็มไปด้วยความรักและความห่วงใย

“ครับ” ผมตอบรับสั้นๆแบบที่คิดว่าเหมาะสมที่สุด

น้ากุ้งยิ้มให้ผมทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกไป ผมหันกลับไปมองคุณตรี คิดว่าเขาจะกลับไปสนใจงาน แต่ทันทีที่สายตาสบกัน ผมถึงได้รู้ว่าเขามองผมอยู่ก่อนแล้ว

“ทานของว่างเลยไหมครับ” ผมถามเขา มือผายไปทางของว่างตรงโต๊ะโซฟา

“ของนายนั่นแหละ กินซะ แล้วค่อยไปจัดหนังสือต่อ”

“ให้ผมทานคนเดียวเหรอครับ”

“ใช่”

“แต่...”

“ทำไม อยากให้ฉันไปนั่งกินเป็นเพื่อนหรือไง”

มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น

“ยกน้ำมาให้ฉันแก้วหนึ่งก็พอ ส่วนขนมนั่นนายกินเถอะ”

“ครับ”

ผมยกน้ำผลไม้สีออกแดงๆม่วงๆไปเสิร์ฟให้คุณตรี พร้อมกับยืนมองจนกระทั่งเขายกแก้วขึ้นจิบ ผมจึงเดินกลับมาจัดการของหวานตรงหน้า เพราะเขาเองก็นั่งจ้องผมเช่นกัน คาดว่าถ้าผมไม่กิน เขาจะมองกดดันจนร่างกายผมเป็นรูพรุน

จัดการของหวานเสร็จด้วยความรวดเร็ว ผมก็กลับมานั่งคัดแยกหนังสือต่อ ผมจัดหนังสือที่ตัวเองพอจะอ่านหน้าปกออกใส่เข้าชั้น ส่วนมากก็เป็นภาษาไทย แต่เล่มที่เป็นภาษาอังกฤษผมจะแยกเอาไว้ เว้นแต่ว่าผมพอจะดูออกและคำศัพท์ไม่ยากเกินเข้าใจ ก็จะเอาไปจัดเข้าหมวด

ถึงไม่ได้อ่าน แต่ได้เปิดดูบ้างและได้ใช้เวลาอยู่กับมัน ผมก็แทบลืมเลือนเวลา รู้ตัวอีกทีฟ้าก็มืดแล้ว ผมจัดการหนังสือไปได้เยอะพอสมควร แต่ก็ยังเหลืออีกสองกล่องเต็มๆ กับส่วนที่เป็นหนังสือต่างประเทศ

“วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็ได้ ที่เหลือเดี๋ยวฉันทำเอง” คุณตรีลุกออกจากโต๊ะทำงานมายืนอยู่ใกล้ๆ

“ถ้าคุณตรีไม่รีบ วันหลังผมมาทำให้ก็ได้นะครับ” ผมอาสา

“อย่างนั้นก็ได้”

“เย็นแล้ว คุณตรีจะทานอะไรไหมครับ หรือว่าคุณตรีจะออกไปทานข้างนอก” อีกเรื่องที่น้ากุ้งฝากฝังไว้ ผมควรจะทำให้ได้ก่อนกลับ

“ทำกับข้าวให้ฉันกินได้ไหมล่ะ” เขาถาม สองมือล้วงกระเป๋ากางเกง ขนาดอยู่บ้านก็ยังแต่งตัวดูดี ถ้าเป็นผมเหรอ บนร่างกายก็คงจะเป็นเสื้อยืดตัวเก่งที่ทั้งเปื่อยและมีจุดขาดเป็นรู แต่จุดเด่นของมันคือความนุ่มลื่นของผ้าที่สบายผิว กางเกงก็กางเกงบอลผ้านิ่มใส่สบายคล่องตัว

“ได้ครับ ถ้าคุณตรีไม่กินของยากๆน่ะนะ” ผมแกล้งพูดเล่นกับเขา

“แล้วปกติฉันเคยให้นายทำอาหารยากๆหรือไง ข้าวไข่เจียวเฉยๆฉันก็ยังกินมาแล้ว”

“ฮ่าๆๆ” ผมหลุดขำเลย เพราะที่เขาพูดมันเป็นเรื่องจริง ตอนนั้นผมทำเป็นแค่อาหารง่ายๆกันตาย แต่ตอนนี้ทำเป็นมากขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย

“ไปเถอะ” คุณตรีเดินไปที่หน้าประตู

“คุณตรีครับ” ผมเรียกเขาไว้เพราะมีเรื่องอยากจะขอ

“หืม” เขาหันกลับมา มือจับลูกบิดประตูค้างไว้

“ผมขอยืมหนังสือเล่มนี้หน่อยได้ไหมครับ” ผมชูหนังสือเล่มหนึ่งที่อยากอ่านให้เขาดู

‘แมงมุมเพื่อนรัก’

ผมมีหนังสือที่อยากอ่านเยอะมาก เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมแวะเวียนไปดูที่ร้านหนังสือบ่อยๆ แต่ก็อย่างที่บอกว่าผมมีเงินน้อย ซื้อได้นานๆครั้งเท่านั้น

“อืม จะอ่านอะไรก็หยิบไป เรื่องนั้นมีเป็นภาษาอังกฤษด้วยนะ” คุณตรีเดินมาที่ชั้นหนังสือ เขามองอยู่ปราดหนึ่งก็หยิบออกมา

“ผมอ่านภาษาอังกฤษไม่ออกหรอกครับ อ่านภาษาไทยเนี่ยแหละ ว่าแต่ทำไมคุณตรีถึงมีแบบภาษาไทยละครับ”

“ซื้อมาให้หลานน่ะ แต่ดันซื้อมาชนกับแม่เด็ก ก็เลยเก็บไว้เอง”

“งั้นเหรอครับ”

“ความจริงนายเอาไปเลยก็ได้นะ”

“ไม่เอาหรอกครับ ผมยืมอ่านก็พอ สัญญาเลยว่าจะดูแลอย่างดี ไม่ให้ยับไม่ให้พัง”

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ได้ใส่ใจอะไรแบบนั้นอยู่แล้ว”

“ยังไงก็ขอบคุณนะครับ” ผมบอกกับเขาด้วยใจจริง

“ลงไปข้างล่างเถอะ ฉันหิวแล้ว”

“ครับ”



ในตู้เย็นของคุณตรีอัดแน่นไปด้วยของสดมากมาย อาจเป็นเพราะมีน้ากุ้งเป็นแม่บ้าน ถ้าอย่างนั้นทำไมทุกเช้าคุณตรีจะต้องสั่งอาหารกล่องจากร้านพี่นุชด้วย ผมได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจแล้วลงมือรื้อตู้เย็น หาวัตถุดิบมาทำอาหารให้เจ้าของบ้าน

พอเข้ามาสิงอยู่ในครัวของคุณตรี ผมก็เกิดรู้สึกชอบใจ ครัวของเขาเป็นหินอ่อนสีดำลายขาวทอง ดูหรูหราแล้วก็สวยงาม เหมือนทำมาประดับบ้านมากกว่าเพื่อการใช้งาน แต่เพราะว่ามันสวยเลยทำให้ดูน่าใช้น่าเข้าครัวทำกับข้าว

“คุณตรีทานเป็นอาหารจานเดียวไหมครับ” ผมเดินมาถามคุณตรีที่นั่งเล่นแท็บเล็ตที่โซฟา

“อืม อะไรก็ได้”

“ครับ คุณตรีรอสักครู่นะ ผมจะรีบทำ”

“ไม่ต้องรีบก็ได้ ฉันยังไม่หิวเท่าไหร่”

“ครับ” ผมก็รับคำไปอย่างนั้น หนึ่งทุ่มแล้วจะไม่หิวจริงๆน่ะเหรอ แต่ผมน่ะหิวแล้ว รีบทำจะได้รีบออกไปหาอะไรกินก่อนกลับห้องพัก

“ฟ้า”

“ครับ” ผมรีบขานรับ เพราะคิดว่าคุณตรีอาจจะอยากได้อะไรเพิ่ม

“ทำเผื่อตัวเองด้วย”

“เผื่อผม?” ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง

“ผมไปซื้อก๋วยเตี๋ยวทานก็ได้ครับ” ผมเกรงใจเขา

“จะไปซื้อทำไม ก็กินด้วยกันเนี่ยแหละ แต่ถ้านายไม่กิน ฉันจะจ่ายเงินค่าจ้างจัดหนังสือให้แทน เอาแบบนั้นดีไหม” ฟังดูก็รู้ว่าเขากำลังข่มขู่ผมด้วยเงิน แล้วคิดว่าผมจะทำอะไรได้นอกจากยอม

“ก็ได้ครับ ผมจะทำเผื่อตัวเองจานโตๆเลย”

“หึหึ ดี กินได้เยอะเท่าไหร่ยิ่งดี ตัวผอมชะมัด”

“ฮะ คุณตรีว่าอะไรนะครับ” ผมฟังไม่ถนัด เพราะเขาบ่นเสียงเบามาก

“ไม่มีอะไร รีบไปทำอาหารสิ ฉันเริ่มจะหิวแล้ว”

อะไรกัน เดี๋ยวก็หิวเดี๋ยวก็ไม่หิว เอาใจคนหล่อนี่มันลำบากเหมือนกันนะครับท่านผู้ชม

เมนูที่ผมเลือกทำให้เขาทานก็คือสุกี้รวมมิตร อาหารทานง่ายย่อยง่าย และผมสามารถทำได้โดยไม่ต้องห่วงว่าจะกินได้หรือไม่ เพราะความอร่อยนั้นพึ่งน้ำจิ้มสำเร็จรูปล้วนๆ ถ้าไม่อร่อยก็ต้องให้คุณตรีโทษตัวเอง เพราะเขาเป็นคนเลือกน้ำจิ้มยี่ห้อนี้มา ผมแค่หยิบมาทำให้เฉยๆตามที่มีของ

ผมต้มน้ำซุปกับผักรวมกัน ก่อนจะตักผักแยก แล้วลวกของสดขึ้นมาพักแยกไว้ ต่อด้วยวุ้นเส้นกับไข่ลงไปลวกกับน้ำซุปจนได้ที่ ก็ตักใส่ถ้วยทรงสวย จากนั้นก็เอาผักที่ต้มแล้วมาจัดตกแต่งในชาม เทน้ำจิ้มสุกี้ใส่ถ้วยเล็กเสิร์ฟข้างกัน วิธีนี้ผมก็จำมาจากครัวที่ร้าน ไม่คิดว่าจะได้มีโอกาสเอามาใช้จริง

“ถ้าเราไปเปิดร้านอาหารก็อาจจะรุ่งน่ะเนี่ย” ผมพึมพำกับตัวเอง แต่ดันมีคนมาแอบฟังด้วย

“กิจการจะรุ่งหรือจะร่วง เอาให้แน่” ผมบอกแล้วไงว่าคนหล่อก็กวนประสาทเป็น

“ถ้ากินแล้วติดใจ จะขอเพิ่มชามที่สองไม่ได้นะครับ”

“หึหึ เสร็จหรือยังล่ะ” เขาเปลี่ยนเรื่อง สงสัยกลัวไม่ได้กินชามที่สอง

“เสร็จแล้วครับ คุณตรีไปนั่งที่โต๊ะได้เลย เดี๋ยวผมเอาไปเสิร์ฟให้ถึงที่”

“อืม นายก็มานั่งกินกับฉันที่โต๊ะ ห้ามนั่งกินในครัว” เขาพูดดักคอ เหมือนจะรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่

คุณตรีเดินไปนั่งที่โต๊ะทานข้าว ที่ถึงเขาจะอยู่ที่บ้านหลังนี้คนเดียว แต่โต๊ะกินข้าวก็มีที่นั่งถึงสิบที่ ผมอยากรู้ว่าโต๊ะใหญ่ขนาดนี้ ตอนกินข้าวคนเดียวคุณตรีจะรู้สึกเหงาบ้างไหมนะ

ผมยกชามสุกี้ของคุณตรีไปเสิร์ฟก่อน พร้อมกับน้ำดื่มและน้ำผลไม้รวมที่ผมเห็นอยู่ในตู้เย็น จำได้ว่าคุณตรีชอบดื่มน้ำที่มีรสชาติมากกว่าน้ำเปล่า

ตอนผมยกชามของตัวเองมาวางพร้อมกับน้ำดื่มหนึ่งแก้ว คุณตรีก็ยังไม่ลงมือกิน เขามองดูชามของเขากับของผมสลับกันอย่างสงสัย

“ทำไมไม่เหมือนกัน” เขาถาม

“ของผมไม่จำเป็นต้องจัดให้สวยงามหรอกครับ ผมกินง่ายๆ” ผมตอบเขา เพราะสุกี้ของผมต้มทุกอย่างรวมกันจนเละ น้ำจิ้มก็ราดลงไปเลยก่อนจะยกมาที่โต๊ะ

“แล้วทำไมของฉันต้องจัด”

“ก็คุณตรีเป็นเหมือนเจ้านายนี่น่า ผมก็อยากทำให้แบบดูน่ารับประทาน คุณตรีไม่ชอบเหรอครับ” ผมก็แอบกังวลนะ หรือว่าเขาอยากได้แบบเละๆเทะๆของผมมากกว่า

“ชอบ แต่ถ้าเหมือนกันจะดีกว่า” เขาพูดเบาๆแล้วก็เลิกสนใจสุกี้ของผม ก้มหน้าก้มตากินมื้อเย็น ผมยิ้มกับตัวเอง เห็นเขากินอาหารที่ผมทำได้ก็โล่งใจ

จะว่าไปแล้ว ผมต้องเตรียมยาแก้ท้องเสียไว้ไหมนะ

“ฟ้า” คุณตรีเรียกผมอีกครั้งหลังจากทานสุกี้จนหมดชาม แม้แต่น้ำซุปก็ยังไม่เหลือ

“อยากได้เพิ่มเหรอครับ อร่อยใช่ไหมล่ะ” ผมถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นเต็มที่ แม้แต่ตัวเองยังรู้สึกว่ามันฟังดูกระดี๊กระด๊าเกินไป

“ไม่ใช่” เขาตอบสั้นๆ แต่สีหน้าแอบดูเหนื่อยใจที่ผมขายอาหารของตัวเองจนออกนอกหน้านอกตา

“อ้าว”

ไม่ใช่นี่คือ ไม่เอาเพิ่มหรือไม่อร่อยกันนะ

“ทำงานที่ร้านอาหารเหนื่อยไหม” อยู่ๆคุณตรีก็ถามเรื่องงานของผม

“ก็เหนื่อยแหละครับ ยิ่งวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ที่ลูกค้าเยอะยิ่งเหนื่อย แต่ก็ได้รายได้ดี”

“ก็เพราะว่าต้องเสิร์ฟต้องดูแลคนเยอะๆ” เขาพูดนิ่งๆ

“แน่นอนสิครับ บางครั้งต้องจำให้ได้ว่าลูกค้าประจำชอบอะไรไม่ชอบอะไร”

“อืม”

“แต่ผมน่ะได้รับคำชมบ่อยเลยว่าความจำดี แต่จริงๆเพราะพวกเขาเรื่องมาก ผมได้ยินเวลาเขาบ่นบ่อยๆก็จำได้เอง”

“แล้วถ้าบริการแค่คนๆเดียวแต่ได้รายได้เท่าเดิมล่ะ สนใจไหม”

“เอ๋? มันมีด้วยเหรอครับ ทำงานร้านอาหารแล้วบริการลูกค้าแค่คนเดียว”

“มาทำงานกับฉันไง ดูแลฉันแค่คนเดียว ฉันจ่ายให้เท่ากับที่นายได้จากร้านอาหารเลย”

เดี๋ยวนะ เขาพูดว่าอะไรนะ

ผมหูฟาดไปหรือเปล่า ได้ยินไม่ผิดใช่ไหมว่าเขาอยากให้ผมกลับมาทำงานกับเขา แต่ดูจากสีหน้าของเขาที่ไม่มีแววล้อเล่น ก็พอบอกได้ว่าคุณตรีพูดจริง

“คุณตรีพูดใหม่ได้ไหมครับ” เพื่อความชัวร์ผมจึงอยากได้ยินอีกรอบ

“ฉันรับสมัครแม่บ้านอยู่ แต่ตอนนี้ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ อย่างน้อยนายก็เคยทำกับฉัน น่าจะพอรู้ว่าฉันชอบอะไรไม่ชอบอะไร”

มันก็ถูกที่ผมรู้เรื่องของเขาพอสมควรจากที่เคยทำงานให้เขา

“แล้วน้ากุ้งล่ะครับ” ไม่ใช่ผมไม่อยากทำนะ ผมถามเพราะความสงสัย

“สามีน้ากุ้งแกป่วยหนัก ทางครอบครัวก็เลยอยากให้ย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านที่ต่างจังหวัด สิ้นเดือนนี้น้ากุ้งก็จะลาออกแล้ว”

“อ่อ” อย่างนี้นี่เอง

“สรุปว่าไง จะทำไหม”

ผมแอบอมยิ้มนิดๆก่อนจะตอบคุณตรี

“ทำครับ ผมรับงานนี้”

ผมฝันอยู่หรือเปล่า ทำไมมันดีขนาดนี้

ขอเถอะนะ ขอให้มันเป็นความจริง

“ก็ดี ฉันจะได้ไม่ต้องสัมภาษณ์ใครละ” เสียงทุ้มนุ่มของเขาเป็นเครื่องยืนยันว่าผมไม่ได้ฝันไป

ความโชคดีเกิดขึ้นจริงกับผมคนนี้ สายฟ้าผู้ที่อาภัพมาตั้งแต่กำเนิด

“คุณตรีครับ ผมขออะไรอย่างได้ไหม”

“ว่ามาสิ”

“คุณตรีห้ามเปลี่ยนใจไล่ผมออกตอนที่ผมลาออกจากงานแล้วนะ ไม่งั้นผมแย่แน่ๆ” ผมพูดดักทางเอาไว้ กลัวเขาเปลี่ยนใจทีหลัง ทีนี้ล่ะได้ตกงานยาวๆ

“ไม่เปลี่ยนใจหรอกน่า ว่าแต่นายเถอะ มาเริ่มงานพรุ่งนี้เลยละกัน”

“อะไรนะครับ” คราวนี้ไม่ใช่ว่าผมได้ยินไม่ชัดเจนนะ แต่ผมตกใจในความเร่งรีบของคนตรงหน้า

“พรุ่งนี้มาเริ่มงาน ไม่อย่างนั้นฉันไล่ออก”

พรุ่งนี้!

ไล่ออก!

โอ๊ย! จะใจร้อนไปไหนเนี่ยคุณผู้ชาย


:L1:

ติดแท็ก #ปรนเปรอรัก
Facebook : RiRiWorld (https://www.facebook.com/RiRiWorld143/)
Twitter : @NovelsRiri (https://twitter.com/NovelsRiri)

หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*゚ตอนที่3: ดื่มเยอะแบบนี้ไม่ดีเลยนะครับ 14/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 14-10-2018 17:25:05
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*゚ตอนที่3: ดื่มเยอะแบบนี้ไม่ดีเลยนะครับ 14/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 14-10-2018 21:55:05
น่ารักดีค่ะ คุณตรีมีความสนใจฟ้าไม่มากไม่น้อยเลยนะ
แล้วกลับมาเจอกันแบบนี้อีก เหมือนคนคุ้นเคย

ฟ้าเป็นเด็กดีมากเลยค่ะ ชอบความคิด ความพยายาม
อยู่ให้คุ้มกับที่ลุงเลี้ยงมาด้วยความลำบาก

คุณตรีรอพ่อบ้านใหม่ใช่ไหมล่ะ
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*゚ตอนที่3: ดื่มเยอะแบบนี้ไม่ดีเลยนะครับ 14/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 14-10-2018 21:59:55
น้องฟ้าเอ็นดูเหลือเกินนนนนนน
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*゚ตอนที่3: ดื่มเยอะแบบนี้ไม่ดีเลยนะครับ 14/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 14-10-2018 22:11:25
น้องฟ้ายังไม่ทันเป็นแฟนก็เชื่อคุณตรีทุกคำเลย  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*゚ตอนที่3: ดื่มเยอะแบบนี้ไม่ดีเลยนะครับ 14/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 15-10-2018 03:11:19
น้องฟัาคือ เป็นเด็กดีมากเลยอ่ะ น่ารัก สดใส อ่านแล้วเหมือนได้รับพลังบวกมาจากน้องไปด้วย
ตอนนี้คือคุณพี่นังเริ่มจะหลอกล่อน้องให้เข้ามาติดกับตัวเองแล้วใช่มั้ย55555555 :laugh:

แฮปปี้เบิร์ดเดย์นะคะริริ :mc4: มีความสุขมากๆนะ ขอให้ประสบความสำเร็จในชีวิตทุกๆด้านเลยนะคะ แต่งนิยายดีๆแบบนี้ไปเรื่อยๆเลย เรารออ่านเสมอค่ะ กอดๆ :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*゚ตอนที่3: ดื่มเยอะแบบนี้ไม่ดีเลยนะครับ 14/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 15-10-2018 06:28:52
คุณตรีไม่ต้องท่ามากหรอกค่ะ อยากให้ฟ้าเป็นแม่บ้านให้ก็บอกซิค่ะ พูดชวนนิดเดียวฟ้าก็ตอบตกลงแน่นอนค่ะ
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*゚ตอนที่3: ดื่มเยอะแบบนี้ไม่ดีเลยนะครับ 14/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 15-10-2018 16:05:57
คุณตรีอายุมากกว่าน้องฟ้าปีเดียวเองเหรอ ดูแล้วเหมือนคนอายุซักสามสิบ เป็นป๋าสายเปย์
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*゚ตอนที่3: ดื่มเยอะแบบนี้ไม่ดีเลยนะครับ 14/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 16-10-2018 09:51:20
ไม่อยากรับเงินก็ต้องเอาเงินไปหาหมอ เจ้าเล่ห์จริงๆ
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*゚ตอนที่3: ดื่มเยอะแบบนี้ไม่ดีเลยนะครับ 14/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 17-10-2018 02:18:01
คุณตรีนี่ใจป๋าจริงๆ เปย์เก่งเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*゚ตอนที่4: คุณตรีอยากได้พ่อบ้านเหรอครับ 14/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 17-10-2018 21:07:55
 
CATER TO YOU
ตอนที่5
ผมว่าคุณรู้ ว่าผมขัดใจคุณไม่เคยได้





คุณตรีพูดเอาแต่ใจและถึงแม้ว่าผมอยากจะตามใจเขา แต่ความจริงคือทำไม่ได้ ถึงงานที่ผมทำจะไม่ใช่งานประจำตามโรงงานหรือบริษัท แต่การจะลาออกมันก็ไม่ใช่นึกจะทำก็ทำได้เลย

ผมยังคงนอนดึกและตื่นเช้า ด้วยกิจวัตรประจำวันอย่างการอ่านหนังสือเตรียมสอบก่อนนอนและตื่นแต่เช้าไปทำงาน เพียงแค่วันนี้ผมตื่นเช้ากว่าทุกครั้ง ไปถึงร้านพี่นุชก่อนเวลาปกติครึ่งชั่วโมง

ผมอยากมีเวลาคุยกับพี่นุชว่าจะลาออกก่อนเลิกงาน ถ้าไปเวลาปกติก็คือเข้าไปช่วยงานนิดหน่อยแล้วเอาอาหารไปส่งเลย ไม่ได้มีเวลามากพอที่จะคุยในเรื่องที่จริงจัง

“พี่นุช สวัสดีครับ” ผมเดินเข้ามาในครัว พี่นุชยังคงง่วนอยู่กับการทำอาหาร

“อ้าวฟ้า ทำไมวันนี้มาเร็ว”

“พอดีผมมีเรื่องจะคุยกับพี่นุชน่ะครับ” ผมเดินเข้าไปใกล้ มองดูว่ามีอะไรที่จะช่วยหยิบจับได้บ้าง

“เรื่องอะไรล่ะ สำคัญเหรอ” พี่นุชทำหน้าสงสัย หยุดทำอาหารแล้วหันมาตั้งใจฟังผม

“ก็สำคัญครับ”

“เรื่องอะไรไหนว่ามาสิ”

“คือ พี่นุชจะว่าอะไรไหม ถ้าผมจะขอลาออก” ผมค่อยๆพูด ใช้โทนเสียงเบาจังหวะเนิบนาบ พลางสังเกตสีหน้าของพี่นุชไปด้วย

“พี่จะไปว่าอะไรล่ะ แต่เราหางานอื่นได้แล้วเหรอ หรือว่ามีแพลนอะไรในชีวิต” พี่นุชตอบกลับด้วยท่าทีสบายๆ ทั้งยังถามผมด้วยความห่วงใย

“พี่นุชจำได้ไหมครับที่ผมเคยเล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้ผมเคยรับจ้างทำงานบ้านให้กับบ้านหลังหนึ่งในซอยนี้” ผมเกริ่นนำ

“อ่อ จำได้ๆ”

“คือคุณตรีเขากลับมาแล้วน่ะครับ แล้วเขาขอให้ผมไปช่วยงาน”

“งานทำความสะอาดบ้านน่ะนะ”

“ครับ”

“แน่ใจใช่ไหมว่างานจะยั่งยืน อยู่กับพี่ พี่ไม่ไล่ออกหรอกนะ ไม่มีแพลนจะปิดร้านไปไหนด้วย” พี่นุชพูดแหย่กึ่งแซว

“ไม่รู้สิครับ แต่ผมอยากลองไปทำกับคุณเขาดู”

“พี่รู้ แล้วเขาให้เงินดีไหม”

“ยังไม่แน่ใจครับ”

เรื่องนี้ผมก็ยังไม่ได้ถามคุณตรี แต่เขาจะให้เงินเท่าไหร่ผมก็เอา เมื่อก่อนเขาก็ไม่ได้ให้เงินผมน้อย ติดจะมากไปด้วยซ้ำ นอกเหนือจากเรื่องเงินแล้ว การได้อยู่ใกล้ๆเขา ดูจะเป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่า

ไม่ว่าใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับชีวิตผม ผมไม่รู้วิธีที่จะเก็บรักษาพวกเขาไว้ให้อยู่กับผมตลอดไป ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ที่ผมไม่เคยรู้จักหรือลุงชัยที่เก็บผมมาเลี้ยง สุดท้ายพวกเขาก็จากไปและไม่หวนกลับมา

แต่คุณตรีต่างออกไป เขาไม่ได้ไปแล้วไปลับ ทันทีที่เขากลับมา ผมบอกกับตัวเองเลยว่า ถ้าผมทำได้ ผมจะรักษาเขาไว้ให้นานที่สุด

ผมไม่หวังคำว่าตลอดไป ไม่เคยหวังให้ได้ครอบครอง ขออยู่ในฐานะอะไรก็ได้ แค่ให้ผมยังเห็นเขาอยู่ในสายตาหรือวนเวียนอยู่ในชีวิตกันและกันบ้างก็พอ

“เอาเป็นว่า พี่เคารพการตัดสินใจของฟ้านะ แต่ยังไงก็อยู่ทำงานกับพี่จนกว่าพี่จะได้คนส่งของคนใหม่ได้ไหม เพราะไม่มีใครรู้จักบ้านลูกค้าและรู้ใจพวกเขาได้ดีกว่าฟ้าแล้ว” พี่นุชทำหน้าแบบน่าเห็นใจ ผมเองก็ใจหายที่จะต้องออกจากงานนี้ พี่นุชคือผู้มีพระคุณของผมอีกคน ไม่มีทางที่ผมจะทำให้พี่นุชลำบากเพราะผม

“ได้สิครับ ผมจะอยู่ช่วยจนกว่าคนส่งข้าวคนใหม่จะจำบ้านของลูกค้าได้”

“ขอบใจนะฟ้า แต่แค่ช่วยสอนช่วยไกด์เส้นทางก็พอ”

“ขอบคุณครับ” ผมยกมือไหว้ และยิ้มกว้างที่คิดว่าออกมาจากใจที่สุดให้พี่นุช

คุยเรื่องลาออกจากงานกับพี่นุชไม่ยากอย่างที่คิดเอาไว้ แต่คนที่คุยยากน่าจะเป็นคุณชายเจ้าของบ้านหลังใหญ่มากกว่า

ผมหยุดยืนอยู่หน้าบ้านเขามาร่วมห้านาทีได้แล้ว ขณะนี้เป็นเวลาหกโมงตรง ผมมาพร้อมกับอาหารกล่องสำหรับสองมื้อ จากเมื่อวานที่น้ากุ้งบอกว่าวันนี้อาจจะไม่ได้แวะเข้ามา ผมก็เลยกลัวว่าคุณตรีจะไม่มีอะไรทาน

ถึงเขาจะไม่ได้สั่งอาหารไว้ แต่ผมก็จัดมาส่งเขาอยู่ดี อย่าลืมว่าเงินค่าข้าวเขายังอยู่กับผมอีกเป็นร้อย ยังพอให้หักค่าอาหารของวันนี้

หลังจากยืนทำใจได้ ผมก็กดกริ่งเรียกให้เจ้าของบ้านออกมาเปิดประตู ซึ่งหลังจากที่กดกริ่งไปได้ไม่นาน คุณตรีก็เปิดประตูออกมายืนทำหน้านิ่งใส่ผม

“ทำไมมาช้าล่ะ ต้องมาตอนตีห้าไม่ใช่เหรอ” คุณตรีพูดเสียงนิ่งๆ เขาไม่ได้ดูโกรธอะไร ดูเป็นปกติมากกว่า

“คุณตรีครับ ผมลาออกจากงานแบบปุบปับไม่ได้หรอกนะครับ ขอเวลาผมหน่อย” ผมบอกกับเขาเสียงอ่อน หวังให้เขาเห็นใจ

“ให้ฉันไปพูดให้ไหม” เขารีบเสนอทางออกให้ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ

“ไม่ต้องหรอกครับ ผมบอกกับพี่เจ้าของร้านข้าวแล้ว เขาก็ให้ลาออก แต่จะต้องรอให้เขาหาคนมาแทนได้ก่อน คนส่งมีแค่สองคนเองก็คือผมกับพี่อีกคนซึ่งมีเวรสลับกัน”

“...” คุณตรีเงียบ

“ส่วนร้านอาหารตอนเย็น เย็นนี้ผมขอไปทำงานก่อน จะได้เข้าไปแจ้งเจ้าของร้านเขาด้วย ส่วนจะลาออกได้เลยไหม ผมต้องลองถามเขาดูอีกที” ผมรีบพูดรีบอธิบาย

“นานไหม ไอ้งานส่งข้าวตอนเช้าเนี่ย” เขาถาม

“หมายถึงกว่าผมจะลาออกได้น่ะเหรอครับ”

“อืม”

“ผมก็ไม่แน่ใจ แต่ว่าเมื่อเช้าพี่นุชเขาติดป้ายรับสมัครพนักงานแล้ว ผมว่าไม่น่าจะเกินสองอาทิตย์นะครับ”

“นานไป” เขาว่าอย่างนั้น

“แต่คุณตรีไม่ต้องห่วงนะครับ ผมส่งอาหารเสร็จ ผมจะรีบมาช่วยงานที่บ้านถ้าหากว่าน้ากุ้งไม่อยู่” ผมเสนอทางออกที่คิดว่าผมพอจะทำให้คุณตรีได้

“ไม่ต้องหรอก” เขาส่ายหน้า “จัดการลาออกได้เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น แต่อย่านานนัก ต้องจัดการให้ได้ก่อนสิ้นเดือนนี้ เข้าใจไหมฟ้า”

ทุกครั้งที่เขาเอ่ยชื่อผม หัวใจก็เต้นแรงขึ้นทุกที

“ครับ ผมเข้าใจแล้ว”

“ก็ดี”

“คุณตรีครับ”

“ว่า”

“อาหารเช้าครับ” ผมส่งถุงกระดาษแบบเดิมให้เขา คุณตรีมองถุงในมือผม เขาขมวดคิ้วอย่างสงสัย

“ฉันไม่ได้สั่ง” เขาพูด

“ครับ ผมรู้ แต่น้ากุ้งไม่มาไม่ใช่เหรอครับ แล้วช่วงเช้ากับช่วงเที่ยงคุณตรีจะกินอะไร”

“ก็เพราะฉันรอให้นายมาเริ่มงานแล้วทำอาหารเช้าให้ฉันกินไง”

“อะไรนะครับ” เขารอให้ผมมาทำให้กินอย่างนั้นเหรอ

“ช่างเถอะ เอามานี่มา” คุณตรีทำท่าจะดึงถุงข้าวไป แต่ผมรีบชักกลับแล้วเอามันหลบไว้ข้างหลัง

“ให้ผมทำให้ก็ได้นะครับ แต่ขอผมไปส่งข้าวเสร็จก่อนได้ไหม เจ็ดโมงก็เสร็จแล้วครับ” ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากทำให้เขาทานมากกว่า ไม่ใช่ว่าผมทำอร่อยหรอกนะ แต่อยากทำให้เขาทานด้วยตัวเอง

“ก็แล้วแต่” คุณตรีเอามือขึ้นกอดอก ผมเพิ่งสังเกต วันนี้เขาไม่ได้อยู่ในชุดออกกำลังกาย แต่เป็นชุดลำลองใส่อยู่บ้าน

“อย่างนั้นคุณตรีรอผมสักครู่นะครับ ผมจะรีบไปส่งข้าวแล้วจะรีบกลับมา”

“อืม แต่ไม่ต้องขับรถเร็ว เดี๋ยวรถจะล้ม” คุณตรีพูดแล้วก็จ้องเขม็งมาที่มอเตอร์ไซค์คันเก่งของผม ที่เพิ่งจะผ่อนหมดเมื่อไม่นานมานี้

“รับทราบครับผม”

“ส่งถุงข้าวมาสิ ไหนๆก็เอามาแล้ว”

“แต่...”

“เอามา” คุณตรีทำเสียงเข้มขึ้นเล็กน้อย ใช้สายตากดดันให้ผมทำตามที่เขาต้องการ ผมก็เลยต้องยอมส่งถุงข้าวกล่องให้เขาแต่โดยดี

“คุณตรีไม่ต้องจ่ายค่าอาหารนะครับ ผมหักจากเงินที่ยังเหลือ”

“เอาที่สบายใจเถอะฟ้า” คุณตรีดูเหนื่อยใจกับผมจริงๆ ผมก็ได้แต่ยิ้มอย่างอารมณ์ดีที่ทำให้คุณตรียอมแพ้ได้

ผมรีบไปส่งอาหารตามบ้านเพราะไม่อยากให้คุณตรีรอนาน แต่กว่าจะส่งหมดก็เป็นไปตามเวลาที่ควรเป็น ตอนมาถึงบ้านคุณตรีก็คือเลยเวลาที่นัดมาครึ่งชั่วโมง

“คุณตรีอยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมครับ” ผมถามขณะที่เข้ามาอยู่ในครัวและกำลังเปิดตู้เย็นดูว่าจะทำอะไรให้เขาทานดี

“นายกินอะไรมาหรือยัง” เขาไม่ตอบคำถามของผม แต่ตั้งคำถามกลับมาแทน

“กินนมกับขนมปังรองท้องไปนิดหน่อยแล้วครับ พี่เจ้าของร้านเขาทำเตรียมไว้ให้ทุกเช้า บางวันก็ให้เป็นอาหารกล่องเอากลับไปกินที่ห้อง”

“ไม่ต้องทำอาหารก็ได้ เอาอาหารเมื่อเช้าที่วางอยู่บนโต๊ะไปใส่จาน อุ่นร้อนแล้วก็ยกมานั่งกินด้วยกัน” เขาพูดแล้วก็เดินออกไปนั่งรอที่โต๊ะทานข้าว ผมเอียงคอมองตามคุณตรีด้วยความสงสัย

“คุณตรียังไม่ได้ทานข้าวกล่องเหรอครับ”

“ยัง ฉันรอกินพร้อมนาย”

“อ่อครับ งั้นผมอุ่นข้าวให้นะครับ”

ผมเอาอาหารในกล่องมาจัดใส่จาน ผมเลือกข้าวหน้าปลาแซลมอนอบมัสตาร์ดมาให้เขาหนึ่งกล่อง อีกกล่องเป็นข้าวผัดธัญพืชกับกุ้งย่างซอสสับปะรด

“คุณตรีทานอันไหนดีครับ” ผมวางอาหารทั้งสองจานลงตรงหน้าเขา ผมกินอะไรก็ได้ จึงให้เขาเลือกก่อน

“นายเลือกก่อน” แต่เขาก็ไม่ยอมเลือก

“ไม่ครับ คุณตรีเลือกเลย” จะให้ผมเลือกก่อนเขาได้ยังไง ในเมื่อเขาเป็นเจ้านาย

“ถ้านายไม่เลือก ก็ไม่ต้องกินกันทั้งคู่นั่นแหละ”

“คุณตรีครับ” ผมเรียกเขาเสียงอ่อย เขาทำแบบนี้ผมก็ลำบากใจนะ

“เลือกเถอะ ฉันก็กินได้ทั้งสองอย่างนั่นแหละ”

“...”

“ฟ้า เลือกสิ”

ต้องมีใครแอบเอาความลับของผมไปบอกเขาแน่ๆ ได้โปรดอย่าเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงแบบนั้น เพราะผมจะขัดใจเขาไม่ได้

“เอากุ้งย่างก็ได้ครับ” และสุดท้ายผมก็ต้องเป็นคนเลือก

“โอเค งั้นฉันกินปลาเอง”

คุณตรียกจานที่เป็นปลาแซลมอนไปวางตรงหน้าแล้วเริ่มลงมือทาน ผมที่นั่งฝั่งตรงข้ามเขาก็เริ่มทานมื้อเช้าเงียบๆ

อุณหภูมิภายในบ้านเย็นสบายจากเครื่องปรับอากาศ มีภาพกิ่งไม้ปลิวไสวด้านนอกเป็นฉากประกอบให้บรรยากาศในตอนนี้ดีต่อใจเสมือนเป็นความฝัน

ทานมื้อเช้าเสร็จแล้ว ผมก็ขึ้นไปจัดหนังสือที่เหลือให้คุณตรี ส่วนเขาก็ไปนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะทำงานเช่นเดิม จนกระทั่งเป็นเวลาเที่ยง คราวนี้ไม่มีข้าวกล่อง มีเพียงผมเท่านั้นที่จะทำอาหารให้คุณตรีทาน

และสุดท้ายผมก็ต้องมาคิดหนักอีกทีว่าจะทำอะไรให้เขาทานดี ผมทำกับข้าวได้ไม่กี่เมนู ที่ทำได้ก็เป็นอาหารง่ายๆ กลัวจะทำไม่ถูกใจเขา

“เป็นอะไร ยืนนิ่งอยู่หน้าตู้เย็นนานแล้วนะ” คุณตรีโผล่เข้ามาในครัวแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง ผมตกใจเงียบๆไม่ได้ออกอาการ

“คุณตรีอยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมครับ” ผมถาม แม้จะรู้ว่าถ้าเขาอยากกินอะไรยากๆ ผมก็คงทำให้กินไม่ได้

“ทำมาเถอะ ง่ายๆนั่นแหละ”

แล้วไอ้ง่ายๆเนี่ย มันคืออะไรล่ะ

“ฟ้า” คุณตรีมายืนข้างๆผม เขาเปิดตู้ข้างบนหัว แล้วหยิบของบางอย่างมาวางไว้ตรงหน้าผม

บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสต้มยำ

ผมเงยหน้ามองคุณตรีทันที

“อยากกินแบบแต่ก่อน ใส่ผักแล้วก็ใส่ไข่ ทำให้หน่อยละกัน ทำเผื่อตัวเองด้วย แล้วมานั่งกินด้วยกัน” คุณตรีพูดนิ่งๆ แล้วก็เดินออกไป

คุณตรีอยากกินมาม่า

“หึหึ” ผมไม่หัวเราะไม่ได้เลย แต่ก็ต้องแอบหัวเราะไม่ให้เขาได้ยิน

คุณตรีเขาน่ารักนะผมว่า

ผมต้องบอกไหมว่าผมขัดใจเขาไม่ได้ ต่อให้จะรู้ว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมันไม่ดีต่อสุขภาพ ถ้าไม่นับรวมผมที่ไม่ได้มีทางเลือกให้หากินมากนัก

แต่กับคุณตรีมันไม่ใช่ เขามีสิทธิ์ที่จะเลือกทานของดีๆที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ถ้าเขาอยากทาน ผมก็เต็มใจที่จะทำให้

เพราะสีหน้าเขาตอนที่บอกว่าอยากกิน มันน่าเอ็นดูเหมือนเด็กตัวเล็กๆที่ร้องขอขนมเลยละครับ



ตกเย็นผมไปทำงานที่ร้านอาหาร ผมไปก่อนเวลาแล้วเข้าไปคุยกับเฮียชาร์ปเจ้าของร้านเรื่องขอลาออก เฮียชาร์ปก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่บ่นๆว่าเสียดายผมและยังเอ่ยชมอีกว่าผมทำงานดี นอบน้อมต่อลูกค้า ไม่เคยมีลูกค้าคอมเพลนผมเลยสักคนเดียวตั้งแต่ผมเข้าทำงานที่นี่

แน่นอนว่าเฮียชาร์ปต้องถามว่าผมจะออกไปทำอะไร ผมก็ตอบไปตามความจริงเหมือนที่บอกกับพี่นุช แค่บอกเพิ่มไปว่าคนคนนั้นก็คือคุณตรีเพราะเฮียแกถาม แกกลัวว่าผมจะโดนหลอก มีใครที่ไหนอยากจะได้แม่บ้านเป็นผู้ชาย แต่พอบอกว่าคนจ้างคือคุณตรีลูกค้าวีไอพีของร้าน เฮียชาร์ปแกก็ดูเบาใจลง

เฮียขอให้ผมทำงานที่ร้านจนถึงสิ้นเดือน การหาพนักงานไม่ใช่เรื่องยาก สมัยนี้คนตกงานเยอะ ใบสมัครงานถูกส่งมาถึงเฮียชาร์ปทุกวัน แต่เพราะผมทำงานมาครึ่งเดือนแล้ว ไหนจะส่วนของทิปรวมที่จะต้องไปหารกันตอนจ่ายเงินเดือนอีก เฮียไม่อยากให้ผมเสียประโยชน์ตรงนี้ เลยขอให้ผมอยู่จนถึงสิ้นเดือน ซึ่งผมก็ตอบตกลง

ดังนั้นจนกว่าจะถึงสิ้นเดือน ผมก็ยังคงใช้ชีวิตแบบเดิมเหมือนที่ผ่านมา ตอนเช้าไปทำงานที่ร้านพี่นุชพร้อมสอนงานเด็กใหม่ไปด้วย ต่อด้วยไปส่งข้าวที่บ้านคุณตรี ก่อนจะกลับมาอ่านหนังสือจนกระทั่งช่วงสอบของผมผ่านพ้นไป

ช่วงเวลาสองอาทิตย์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เผลอแป๊บเดียวก็สิ้นเดือน วันสุดท้ายของเดือนผมไปหาพี่นุชที่ร้านเพื่อเอ่ยลาอย่างเป็นทางการ แม้ว่าผมจะหยุดงานส่งอาหารมาแล้วสามวัน เนื่องจากพนักงานใหม่สามารถไปส่งข้าวได้โดยไม่ต้องมีผมเป็นพี่เลี้ยง

“ฟ้าขอบคุณพี่นุชมากๆเลยนะครับ ที่วันนั้นพี่นุชรับฟ้าเข้าทำงาน”

“ไม่เป็นไรจ้า ฟ้าเป็นเด็กดี ทำงานกับพี่พี่ไม่เคยปวดหัวเลย ลูกค้าก็ชมว่าพนักงานส่งข้าวน่ารัก แล้วก็ถ้าหากวันไหนบ้านนั้นเขาไม่จ้างฟ้าต่อแล้ว กลับมาทำงานกับพี่ได้ตลอดนะ”

“ขอบคุณครับ ถือว่าผมยื่นใบสมัครไว้ล่วงหน้าเลยนะครับ ถ้าวันนั้นมาถึง”

“ฮ่าๆๆ ได้เลยจ้า”

คนไม่มีวุฒิการศึกษาสูงๆอย่างผม ขอแค่มีคนให้โอกาสทำงาน ผมก็รู้สึกซาบซึ้งและขอขอบคุณจากใจจริง เขาคือผู้มีพระคุณของผม ของเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ต้องต่อสู้อยู่บนโลกใบนี้เพียงลำพัง หากไม่ได้ผู้มีพระคุณเหล่านี้ ผมคงอดตายเพราะไม่มีเงินซื้อข้าวกิน

ยังมีเฮียชาร์ปอีกคนที่ผมต้องไปเอ่ยลาและขอบคุณด้วยตัวเองแม้ว่าวันสุดท้ายของเดือนจะไม่ใช่วันที่ผมต้องไปทำงาน และก่อนหน้านี้ทุกคนก็รับรู้แล้วว่าสิ้นเดือนผมจะลาออก แต่เมื่อวานงานยุ่งมากและเฮียชาร์ปก็ติดธุระเรื่องที่บ้านเลยไม่ได้เข้าร้าน

ผมอยากเดินออกมาให้เหมือนความรู้สึกครั้งแรกที่เดินเข้าไปของานเขาทำ อยากเก็บไว้ให้เป็นความทรงจำดีๆในชีวิต

“ว่าไงฟ้า” เฮียชาร์ปทัก พี่ไม้เองก็อยู่ในห้องทำงาน

“สวัสดีครับเฮียชาร์ป พี่ไม้ ฟ้ามาลาน่ะครับ”

“โถ่เอ้ย ดูเจ้าเด็กนี่มันทำสิไอ้ไม้ ทำให้เป็นทางการไปได้ เราคนกันเองทั้งนั้น” เฮียชาร์ปหันไปพูดกับพี่ไม้แล้วหัวเราะ

“เฮียไม่ชินหรือไง ฟ้ามันก็เป็นอย่างนี้”

ผมได้แต่ยิ้ม ไม่มีสิ่งของอะไรตอบแทนเป็นพิเศษให้กับพวกเขาที่ดีกับผม ที่มีก็คือความจริงใจเท่านั้น

“อ่ะ อยากพูดลาอะไรก็ว่ามาเลย เฮียรอฟังอยู่” เฮียชาร์ปเอนหลังพิงเก้าอี้บุนวมด้วยท่าทางสบายอกสบายใจ

พอทั้งสองคนจ้องมาที่ผมเป็นตาเดียว ผมก็รู้สึกเขินจนพูดไม่ออก อะไรที่เตรียมมาว่าจะพูดมันเหมือนจะระเหยหายไปในอากาศเสียแล้ว

“ยืนนิ่งเลย ไม่ต้องเขินแล้วมาถึงขนาดนี้” พี่ไม้แซว

“ฟ้าก็แค่อยากมาขอบคุณเฮียชาร์ปที่ให้งานทำครับ และฟ้าก็อยากจะขอโทษถ้าหากว่าที่ผ่านมาฟ้าเผลอทำอะไรที่ไม่ดีไม่สมควร พี่ไม้ด้วยนะครับ ฟ้าขอบคุณที่สอนงานฟ้าและคอยแนะนำตักเตือน ถ้าฟ้าเคยทำอะไรให้เฮียรู้สึกไม่ดี ฟ้าก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ”

ผมยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองคน พวกเขามองผมแล้วก็ยิ้ม พี่ไม้เดินมาหาผมแล้วเอามือตบบ่า

“อย่าคิดมากฟ้า เอ็งเป็นเด็กดี ไม่เคยทำให้พี่รู้สึกไม่ดีเลย”

“ใช่ แต่ทำแบบนี้ก็ถือว่าถูกต้องและดีกับตัวเองแล้วฟ้าเอ้ย จำเอาไว้นะ ถ้าวันไหนลำบากก็มาหาเฮียได้เสมอ ฟ้าเป็นเด็กดี เฮียแก่แล้วเฮียมองคนออก ใครจะพูดอะไรก็ช่างหัวมัน เรื่องนั้นเฮียไม่รู้สึกอะไร เราเองก็เหมือนกัน ถ้าไม่ได้ทำผิดก็อย่าไปแคร์คำพูดของคนอื่นให้มากนัก ชีวิตนี้มันสั้นเกินกว่าจะมานั่งใส่ใจคำพูดติดลบ”

เฮียชาร์ปยังคงเป็นผู้ใหญ่ที่คอยสั่งสอนให้ผมเป็นคนดี แทนพ่อแม่และลุงชัยเสมอมานับตั้งแต่วันแรกที่ผมเข้าทำงานจนวันนี้ และผมคิดว่าตัวเองโชคดีที่มีเจ้านายที่ดีทุกคน

“เรื่องนั้นฟ้าไม่คิดมากหรอกครับ ฟ้ารู้ตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่” ผมบอกให้เฮียทั้งสองคนสบายใจ

“ดีแล้ว เฮียก็ขออวยพรให้งานใหม่ของฟ้าราบรื่นเป็นไปได้ด้วยดี มีอะไรก็อดทนเอา อยู่ให้เป็นที่รักและจากให้เป็นที่นึกถึง ยังจำคำสอนของเฮียได้ใช่ไหม”

“ฟ้าจำได้ครับ”

“อืม ดีแล้ว กลับไปพักผ่อนเถอะ ไปทำงานใหม่จะได้มีเรี่ยวมีแรง”

“ขอบคุณนะครับ ฟ้าลานะครับ” ผมยกมือไหว้เฮียชาร์ปและพี่ไม้อีกครั้ง

“โชคดีๆ ว่างๆก็แวะมาหาเฮียบ้าง”

“ครับเฮีย ผมจะแวะมาแน่นอน”

ผมเดินออกมาจากร้านอาหารที่ทำงานมาได้ร่วมสามปีพร้อมกับรอยยิ้ม มีทั้งเสียงเอ่ยทักด้วยความรักและความเกลียด

ผมรู้ว่าไม่มีใครในโลกนี้จะเป็นที่รักของคนทุกคนบนโลกได้ และการที่ผมออกจากงานไปเป็นพ่อบ้านให้คุณตรี อาจจะทำให้ใครบางคนมองว่าผมขายตัวหรือเฮียส่งผมไปรับใช้ลูกค้าวีไอพี ผมไม่สนใจหรอก เพราะผมรู้ว่าผมไปทำงานกับคุณตรีในฐานะอะไร ไม่มีใครจะทำให้ผมสกปรกได้ ยกเว้นความคิดของผมเอง

และนี่จะเป็นการเดินทางครั้งใหม่ของผมกับเส้นทางที่ผมได้เลือกแล้ว

ผมยืนอยู่ต่อหน้าเขา ในเวลาเช้าตรู่ของวันแรกในเดือนใหม่

คนสำคัญที่ยังมีชีวิตอยู่ของผม

“สวัสดีครับคุณตรี หลังจากวันนี้ผมขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ ผมสัญญาว่าจะตั้งใจทำงานให้ดีที่สุดครับ!”


 :mew1:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*゚ตอนที่4: คุณตรีอยากได้พ่อบ้านเหรอครับ 14/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 17-10-2018 22:08:34
คือมีความเปย์
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*゚ตอนที่4: คุณตรีอยากได้พ่อบ้านเหรอครับ 14/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 17-10-2018 22:37:08
งู้ยยยยยคุณตรี ♥
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*゚ตอนที่4: คุณตรีอยากได้พ่อบ้านเหรอครับ 14/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-10-2018 22:37:37
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*゚ตอนที่4: คุณตรีอยากได้พ่อบ้านเหรอครับ 14/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 17-10-2018 23:06:38
คุณตรี พ่อบุญทุ่มของน้องงง
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*゚ตอนที่4: คุณตรีอยากได้พ่อบ้านเหรอครับ 14/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 17-10-2018 23:33:30
คุณชายใจร้อนจังเลย

สุขสันต์วันเกิดนะคะ ขอให้มีความสุขมากๆ ค่ะ.  :L2:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*゚ตอนที่4: คุณตรีอยากได้พ่อบ้านเหรอครับ 14/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 18-10-2018 04:36:35
แหม คุณตรี เข้าทางเลยสิ  :-[
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*゚ตอนที่4: คุณตรีอยากได้พ่อบ้านเหรอครับ 14/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 18-10-2018 10:52:32
เริ่มงานไวจังเลยน้าาา
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*゚ตอนที่4: คุณตรีอยากได้พ่อบ้านเหรอครับ 14/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 18-10-2018 11:43:50
ได้ข่าวว่าอีก 2 วันสอบนะน้องฟ้า
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*゚ตอนที่4: คุณตรีอยากได้พ่อบ้านเหรอครับ 14/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 18-10-2018 11:50:34
เป็นคุณชายสายเปย์ที่แท้ทรูจริง ๆ
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*゚ตอนที่4: คุณตรีอยากได้พ่อบ้านเหรอครับ 14/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 18-10-2018 12:29:00
จะรับเลี้ยงเลยก้อได้นะคะคุณตรีสายเปย์  เอ็นดูน้องฟ้าจังเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*゚ตอนที่4: คุณตรีอยากได้พ่อบ้านเหรอครับ 14/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 18-10-2018 16:45:39
คุณตรีหลอกเอาน้องมาไว้ข้างตัวละสิ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*゚ตอนที่4: คุณตรีอยากได้พ่อบ้านเหรอครับ 14/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 18-10-2018 18:23:39
แหมมมมมมมม หมั่นไส้เหลือเกิน
คุณชายของเรานี่แปนสูง ค่อยๆตะล่อมๆอ่ะเน้อ 5555555
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*゚ตอนที่4: คุณตรีอยากได้พ่อบ้านเหรอครับ 14/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: kungverrycool ที่ 18-10-2018 19:44:30
อยากอ่านพาร์ทของคุณตรีมั่งอ้ะ อยากรู้ความรู้สึกพี่แก
ติดตามคร่า  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*゚ตอนที่4: คุณตรีอยากได้พ่อบ้านเหรอครับ 14/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 18-10-2018 20:20:32
ดูละมุนดีค่ะ แบบอยู่ด้วยกันแบบสบายๆ ไม่อึดอัดมากมาย
ฟ้าอาจมีเกร็งบ้าง แต่ฟ้าก็ดูชิลดี และตรีก็ดูสบายใจ

แหมมม ตรีทำเนียนนะ จับเอวเค้า แล้วรู้อีกว่าผอมไป
ฟ้าได้งานใหม่แล้ว จะได้อยู่ใกล้กันด้วย
รอดูว่าคุณตรีจะเฉยแบบนี้อีกนานไหม

หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*゚ตอนที่4: คุณตรีอยากได้พ่อบ้านเหรอครับ 14/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 18-10-2018 20:27:51
คุณตรีนี่ชักจะยังไงๆ ล่ะน้า

แอบคิดอะไรกับหนูฟ้าหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*゚ตอนที่4: คุณตรีอยากได้พ่อบ้านเหรอครับ 14/10/2018
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 18-10-2018 21:56:22
คุณตรีนี่สายเปย์ที่แท้ทรู 55555
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่5:ผมว่าคุณรู้ว่าผมขัดใจคุณไม่ได้ 14-10-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 21-10-2018 20:22:14
 :L2:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่5:ผมว่าคุณรู้ว่าผมขัดใจคุณไม่ได้ 14-10-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-10-2018 21:07:28
 :mew4:  เหมือนส่งลูกไปออกเรือน
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่5:ผมว่าคุณรู้ว่าผมขัดใจคุณไม่ได้ 14-10-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 21-10-2018 22:58:09
ฟ้าเป็นคนที่น่ารักมาก ๆ เลย

หวังว่าคุณตรีจะเอ็นดูฟ้ามาก ๆ นะ
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่5:ผมว่าคุณรู้ว่าผมขัดใจคุณไม่ได้ 14-10-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 21-10-2018 23:02:56
ฟ้าเป็นเด็กดีสุดๆ เลย  :-[
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่5:ผมว่าคุณรู้ว่าผมขัดใจคุณไม่ได้ 14-10-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 22-10-2018 02:41:56
อ่านแล้วก็ได้แต่อุทานก้วยความเอ็นดูตลอดทั้งตอนเลย หนูลูกกกกกก
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่5:ผมว่าคุณรู้ว่าผมขัดใจคุณไม่ได้ 14-10-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 22-10-2018 07:05:33
 ใคร ๆ ก็รักน้องฟ้าเนอะดีจัง
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่5:ผมว่าคุณรู้ว่าผมขัดใจคุณไม่ได้ 14-10-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 22-10-2018 07:11:08
เอ็นดูน้องฟ้ามากๆเลยลูกกกกกก
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่5:ผมว่าคุณรู้ว่าผมขัดใจคุณไม่ได้ 14-10-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 22-10-2018 10:10:48
ฟ้าเป็นเด็กดีจังเลยคับ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่5:ผมว่าคุณรู้ว่าผมขัดใจคุณไม่ได้ 14-10-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 23-10-2018 00:42:09
ฟ้าโชคดี เจอแต่คนดีๆ คอยช่วยเหลือ
ถึงแม้จะอยู่ในวังวนของคนไม่ดีบ้าง

เด็กดี ตั้งใจ ยังไงก็มีแต่คนรักเนาะฟ้า

ตรีนี่ยังไง เนียนนะ ให้น้องมาอยู่ด้วยน่ะ
กะจะกักไว้ใกล้ตัวเลยล่ะสิ
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่5:ผมว่าคุณรู้ว่าผมขัดใจคุณไม่ได้ 14-10-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 23-10-2018 09:28:14
เจ้านายเอาแต่ใจ แต่น้องฟ้าก็รู้ใจล่ะนะ
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่6 : ผมอยากรู้จักคุณให้มากกว่านี้ 2-11-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 02-11-2018 15:37:53
CATER TO YOU
ตอนที่6
ผมอยากรู้จักคุณให้มากกว่านี้


ความรู้สึกของวันแรกที่จะได้เริ่มงานเป็น ‘พ่อบ้าน’ ให้คุณตรีอีกครั้ง น่าตื่นเต้นไม่ต่างจากครั้งแรก ผมยังคงประหม่าและหัวใจเต้นแรงเมื่อยืนอยู่หน้าบ้านหลังใหญ่ และตรงหน้าคือเจ้านายคนใหม่เพียงคนเดียวของผมนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

ขอบคุณอะไรก็ตาม ที่ทำให้ชีวิตของผมยังมีคนคนนี้

คนที่เป็นทั้งเพื่อน พี่ ผู้มีพระคุณ และบุคคลในครอบครัว

ไม่สำคัญเลยว่าเขาจะคิดกับผมเช่นไร และความคิดของผมอาจจะไม่ถูกไม่ควรนัก ทว่าในโลกที่กว้างใหญ่ใบนี้ ผมขอแค่ใครสักคนให้ได้รู้สึกว่าเป็นครอบครัวของผม เพราะต่อให้ผมจะสั่งสอนตัวเองให้เป็นคนมองโลกในแง่ดีขนาดไหน ท้ายที่สุดแล้ว การอยู่เพียงลำพังก็อ้างว้างไม่น้อย

“พร้อมแล้วใช่ไหม”

ผมยิ้มกว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนจะตอบ “พร้อมที่สุดเลยครับ”

“ถ้าพร้อมจะทำงานแล้ว ก็เข้ามา” คุณตรีเบี่ยงตัวให้ผมเดินผ่านประตูรั้วเข้าไปในบ้านของเขา

บ้านที่ไม่ใช่บ้านของผม แต่เป็นบ้านที่ทำให้ผมอุ่นใจทุกครั้งที่มา ที่นี่คือต้นใหม่ใหญ่ที่ให้ชีวิต ให้ที่พักพิงแก่ผมมาโดยตลอด

ผมยังคงยิ้มให้คุณตรีและ บอกกับตัวเองในใจว่า ผมจะตั้งใจทำงานให้เต็มที่ จะพยายามให้ดีที่สุด

“คุณตรีตื่นแต่เช้าทุกวันเลยเหรอครับ” ผมถามระหว่างที่เดินเข้าไปในตัวบ้าน แต่ก่อนผมจะมาก่อนเขาตื่น

“ก็เหมือนนายไง ที่ต้องตื่นเช้าทุกวัน”

“ก็ผมต้องไปทำงานนี่ครับ”

“ฉันก็ต้องทำงานเหมือนกัน”

“ผมเห็นคุณตรีทำอยู่ที่บ้าน จะต้องตื่นเช้าขนาดนี้เลยเหรอครับ”

ผมไม่รู้จริงๆนะ คือถ้าเป็นผมแล้วทำงานที่บ้าน ผมขอตื่นสักเจ็ดโมงเช้าละกัน ไม่ใช่ตื่นตั้งแต่ตีห้าหกโมงเช้าแบบเขา

“แค่ช่วงนี้เท่านั้นแหละ วันจันทร์นี้ก็ต้องเข้าบริษัทแล้ว” คุณตรีพูดนิ่งๆ

“ครับ” ผมไม่ได้ถามอะไรต่อ รับรู้แค่ในสิ่งที่เขาเล่าเท่านั้น

อากาศช่วงเช้าๆแบบนี้เป็นอะไรที่สดชื่นมากๆ โดยเฉพาะที่บ้านของคุณตรี ที่มีพื้นที่สวนกว้างขวางกับต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา บ้านของเขาไม่เหมือนบ้านที่อยู่กลางกรุง อาจเป็นเพราะว่าบ้านของคุณตรีมีพื้นที่กว้างขวาง จะทำสวนปลูกต้นไม้ใหญ่ยังไงก็ได้ไม่จำกัดพื้นที่

ผมไม่ได้จะอวยบ้านคุณตรีนะ แต่ว่าที่นี่อากาศดีมากจริงๆ ดีจนผมอยากจะนอนต่ออีกสักตื่น

“น้องฟ้า มาแล้วเหรอลูก”

“อ้าว น้ากุ้ง สวัสดีครับ” ผมแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นน้ากุ้งกำลังทำกับข้าวอยู่ในห้องครัว เพราะวันนี้เป็นวันแรกที่ผมจะมาทำงานแทนน้ากุ้ง ที่ขอลาออกไปอยู่กับสามีที่ป่วยหนัก

“สวัสดีจ้า หิวหรือยัง มาแต่เช้าเชียว”

“คุณตรีให้ผมเริ่มงานเวลานี้น่ะครับ น้ากุ้งสบายดีนะครับ”

“ก็สบายดีจ๊ะ”

“ฉันขอให้น้ากุ้งอยู่สอนงานนายอีกวัน พรุ่งนี้น้ากุ้งก็จะกลับบ้านที่ต่างจังหวัดแล้ว” คุณตรีเฉลยในสิ่งที่ผมสงสัยอยู่ในใจ

“ขอบคุณนะครับ” ผมยกมือไหว้น้ากุ้ง คิดว่าวันนี้ จะต้องเรียนรู้งานที่จะต้องทำหน้าที่ต่อจากน้ากุ้งให้ได้มากที่สุด

“ผมฝากฟ้ากับน้ากุ้งด้วยนะครับ วันนี้ผมคงอยู่ในห้องทำงานทั้งวันนะครับ มีอะไรก็ไปเรียกผมได้”

“ได้ค่ะคุณตรี ไม่ต้องเป็นห่วงเลย น้าจะดูแลน้องฟ้าให้ค่ะ รับรองว่าหลังจากที่น้าไม่อยู่ น้องฟ้าจะต้องดูแลคุณตรีได้เหมือนน้าแน่นอน”

“ผมก็จะตั้งใจเรียนรู้งานจากน้ากุ้งครับ” ผมให้คำมั่นทั้งกับน้ากุ้ง แล้วก็คุณตรี

“อืมดี” คุณตรีดูจะพอใจในคำพูดของผม จากสีหน้าของเขาที่ยกยิ้มบางๆ

“แต่ยังไงก็ตามแต่ ทั้งคู่นั่งรอน้าทำอาหารเช้าก่อน ห้ามปลีกตัวไปทำอะไรเด็ดขาด โดยเฉพาะคุณตรีนะคะ ตอนนี้ยังเช้าอยู่ ยังไม่ต้องรีบเข้าห้องทำงานนะคะ”

น้ากุ้งคล้ายจะรู้ทันคุณตรี ผมแอบเห็นเขาถอนหายใจแล้วพยักหน้าคล้ายรับรู้ แล้วก็เดินไปนั่งดูข่าวเช้าที่โซฟา แต่ถึงอย่างนั้นในมือของเขาก็ยังมีแท็บเล็ตถือไว้ในมือ และสิ่งที่เขากำลังสนใจอยู่ คงไม่ใช่สิ่งบันเทิงแน่นอน สังเกตได้จากใบหน้าที่เริ่มจะเคร่งเครียด และหัวคิ้วดกดำที่ค่อยๆขมวดเข้าหากัน

ผมเชื่อแล้วว่าคุณตรีคงเป็นคนที่บ้างานมากจริงๆ

ผมหันไปมองคุณตรีที มองน้ากุ้งที่กำลังเดินกลับไปที่ครัวที ก่อนจะตัดสินใจว่าผมไปช่วยน้ากุ้งจะดีกว่า ผมไม่ใช่แขกของบ้าน จะมานั่งรอกินอย่างสบายใจมันก็ไม่ใช่

ดังนั้น ผมจึงเลือกที่จะเดินไปทางห้องครัว แทนห้องนั่งเล่น

“จะไปไหนฟ้า”

ยังไม่ทันจะเดินไปถึงครัว ก็โดนเรียกถามโดยเจ้าของบ้านเสียก่อน

“ไปช่วยน้ากุ้งในครัวครับ” ตอบผม คุณตรีเงียบไปก่อนจะพยักหน้า แล้วกลับไปสนใจงานของตัวเองตามเดิม

ในเมื่อคุณตรีไม่ได้ว่าอะไร ผมก็จะเริ่มทำในสิ่งที่คิดว่าตัวเองควรจะทำ นั่นคือเรียนรู้งานจากน้ากุ้งให้ได้มากที่สุด เวลาแค่หนึ่งวันมันไม่เยอะให้เรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเขา แต่ก็คงจะพอให้ผมทำงานถูกใจเขาได้บ้าง

“น้ากุ้งครับ มีอะไรให้ฟ้าช่วยไหม” ผมถาม ลอบมองอาหารเช้าที่น้ากุ้งกำลังทำ เหมือนจะเป็นแบบอเมริกันเบรคฟาสต์ แต่ไม่เหมือนแบบที่ผมเคยเห็น ดูน่ากินมากกว่า

“ไม่นั่งรอล่ะลูก เดี๋ยวตรงนี้น้าทำเอง” น้ากุ้งหันมาบอก

“ได้ยังไงล่ะครับน้ากุ้ง ฟ้ามาทำงานนะครับ วันนี้เริ่มงานวันแรก ฟ้าไม่กล้าอู้งานหรอกครับ เดี๋ยวถูกตัดเงินเดือนขึ้นมาล่ะยุ่งเลย” ผมยิ้มตอบ น้ากุ้งถึงกับหัวเราะกับคำพูดติดตลกของผม

“งั้นช่วยน้าคั้นน้ำส้มหน่อยนะ ส้มอยู่ในตู้เย็นนะจ๊ะ”

“ได้เลยครับ” ผมตอบรับ แล้วไปหยิบส้มในตู้เย็นตามที่น้ากุ้งบอก

น้ากุ้งเตรียมอุปกรณ์คั้นน้ำส้มไว้ให้ผม พร้อมกับขวดแก้วที่มีฝาปิดเป็นไม้ไว้ใส่น้ำส้มที่คั้นแล้ว ผมก็คั้นจนกระทั่งเต็มขวด เจือรสด้วยเกลือนิดหน่อย ชิมจนได้รสชาติที่สดชื่น ก็นำขวดน้ำส้มไปแชร์ไว้ในตู้เย็น

“ตั้งแต่คุณเขาเข้ามาอยู่ที่บ้านหลังนี้หลังจากตกแต่งภายในเสร็จ คุณตรีไม่ได้ให้น้าทำอาหารเช้าเลย สั่งกินเอาจากข้างนอก วันนี้พอคุณเขาบอกให้น้าทำ น้าก็อดแปลกใจไม่ได้” น้ากุ้งทำอาหารเช้าไปและเริ่มชวนผมคุย แถมยังเล่าเรื่องของคุณตรีให้ฟัง

“คุณตรีสั่งข้าวกล่องเพื่อสุขภาพจากร้านที่ฟ้าทำงานอยู่น่ะครับ”

“งั้นเหรอ ปกติคุณตรีไม่ค่อยทานอาหารกล่องเลยนะ ถ้าไม่ใช่พวกร้านอาหารดีๆทำเสร็จใหม่ๆ” น้ากุ้งทำหน้าแปลกใจใส่ผม พาลเอาผมเองก็เริ่มแปลกใจด้วย

“ฟ้าก็ไม่รู้นะครับ แต่คุณตรีสั่งทุกวัน ฟ้าเป็นคนมาส่งเอง”

“คุณเขาคงเห็นน้าเหนื่อยจากการเลิกงานแล้วก็ต้องวิ่งวุ่นไปเฝ้าสามีที่โรงพยาบาล ทำให้น้าไม่ต้องมาเตรียมอาหารเช้าให้คุณเขาแต่เช้า”

“คุณตรีเขาใจดีนะครับ”

“ใช่ลูก คุณเขาใจดีได้คุณปู่กับคุณย่าของเขามา”

ใจดีได้คุณปู่กับคุณย่าอย่างนั้นเหรอ? แล้วคุณพ่อกับคุณแม่คุณตรีเขาไม่ใจดีเหรอ

ผมก็ได้แต่สงสัย แต่ไม่คิดถามออกไป

“แล้วปกติ คุณตรีเขาชอบทานอะไรเป็นพิเศษเหรอครับ” ผมถามเพราะรู้แค่ว่าคุณตรีไม่ชอบทานอาหารรสจัด ยิ่งอาหารรสเผ็ดยิ่งไม่ชอบทาน แต่ถึงอย่างนั้น ก็ต้องมีอะไรที่ชอบเป็นพิเศษที่ผมไม่รู้ อาหารจานโปรดที่เขารักจริงๆ อย่างผมจะชอบกินผัดไทมาก กินได้ทุกวันแทบจะไม่เบื่อเลย

“คุณเขาชอบทานอาหารญี่ปุ่นเป็นพิเศษ เพราะรสไม่จัด แต่ที่ชอบจริงๆก็คงเป็นพวกซุป บะหมี่น้ำ จะชอบเป็นพิเศษ”

“บะหมี่เหรอครับ” ผมทวนคำ

“ใช่จ้า แต่ก็ไม่ใช่ทุกบะหมี่ที่เขาจะชอบหรอกนะ จะต้องคุณภาพดี อร่อย เครื่องและน้ำซุปต้องกลมกล่อม คุณเขาถึงจะถูกใจ”

บะหมี่ไม่ใช่เมนูที่ยาก แต่จะทำให้อร่อยก็ไม่ใช่เรื่องง่าย สงสัย ผมต้องลองหัดทำบะหมี่น้ำดูเป็นอย่างแรกๆ

“แล้วมีอะไรอีกไหมครับ ที่คุณตรีชอบทาน”

ผมพกสมุดมาด้วยหนึ่งเล่ม หน้าแรกๆจะติดรายการงานเก่าที่คุณตรีเคยเขียนให้ไว้ แต่เมื่อเขาโตขึ้น กิจวัตรประจำวันก็น่าจะเปลี่ยนไป ถ้าใช้ความจำอย่างเดียวผมคงจำได้ไม่หมด ผมไม่อยากพลาดลืมเรื่องเกี่ยวกับคุณตรี ดังนั้นแล้วการจดเก็บไว้ จะเป็นการช่วยผมได้มาก

“พวกอาหารก็จะเป็นพวกปลา คุณตรีจะมีปัญหาเรื่องระบบย่อยอาหารอยู่หน่อยๆ เพราะทานข้าวไม่เป็นเวลา ถ้าทานของหนักๆพวกเนื้อแดง ก็มักจะปวดท้อง แต่คุณเขาก็ยังคงชอบกินอยู่ ตรงนี้ต้องระวังนะน้องฟ้า ถ้าคุณเขาไปทานของหนักท้องมา ต้องเตรียมยาช่วยย่อยช่วยลดกรดเอาไว้”

“ได้ครับน้ากุ้ง” ผมจดอาหารที่คุณตรีชอบ และกาดอกจันทร์แดงเอาไว้ตัวโตๆเลยว่า



‘ห้ามคุณตรี ทานเนื้อแดงเกินกว่าที่ผมจะกำหนด!’
[/b][/i]



แต่ถึงตอนนั้น ห้ามได้ไม่ได้ก็อีกเรื่อง ถ้าคุณตรีเขาอยากทาน ผมจะไปห้ามได้เหรอ

“พวกเครื่องดื่ม เวลามื้ออาหาร เตรียมพวกน้ำผลไม้คั้นสดเอาไว้ก็ดี คุณเขาติดเครื่องดื่มมีรส ไม่ค่อยชอบกินน้ำเปล่า”

“แปลกจังเลยนะครับ ดูไม่เข้ากับลุคคุณตรีเลย” ผมพึมพำ พลางนึกถึงพวกน้ำหวานที่พวกผู้หญิงมักชอบกินมากกว่าผู้ชาย ส่วนผมชอบกินน้ำอัดลมมากกว่า 

“คุณเขาติดมาตั้งแต่เด็กๆแล้วแหละลูก คุณย่าของคุณตรีทำน้ำผลไม้น้ำหวานให้กินทุกมื้ออาหาร ตอนนั้นฝันคุณตรีผุด้วยนะ แต่ถึงจะปวดฟันจนร้องไห้ แต่ก็ไม่ยอมหยุดดื่มน้ำหวาน”

“จริงเหรอครับ” ผมหัวเราะเบาๆ ให้กับเรื่องเล่าเกี่ยวกับคุณตรีในวัยเด็ก เขาในตอนนั้น จะต้องน่ารักมากแน่ๆ เด็กน้อยงอแงที่ร้องอยากกินน้ำหวาน

“จริงสิ แต่เดี๋ยวนี้ดีหน่อย สมัยก่อนจะกินน้ำผลไม้ ก็ต้องเติมน้ำเชื่อม แต่เดี๋ยวนี้ ขอเป็นน้ำผมไม้ปั่น น้ำผลไม้สกัดสด ชา กาแฟ น้ำที่มีรสชาติคุณเขาก็โอเค ไม่จำเป็นต้องเติมน้ำตาล แต่น้าก็จะเลือกผลไม้ที่รสหวานสักหน่อย ต้องเลือกซื้อของดีๆแพงๆนั่นแหละ ถึงจะหวาน”

ผมจดทุกรายละเอียด ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ผมมีเวลาแค่วันนี้วันเดียวเท่านั้นที่จะเรียนรู้งานทั้งหมดจากน้ากุ้งเท่าที่จะทำได้

การเป็นพ่อบ้านดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องยาก แต่ความจริงแล้วมันไม่เข้าใกล้คำว่าง่ายเลยสักนิด ต้องรู้ว่าเจ้าของบ้านชอบอะไร ไม่ชอบอะไรของทุกๆเรื่อง ทั้งเรื่องอาหารการกิน เรื่องความสะอาด เรื่องแสงสีเสียง มันยิบย่อยแตกแขนงเป็นสิบยี่สิบจุด และผมอยากทำมันออกมาให้ดีในทุกๆจุด

ความพึงพอใจของเขา คือความปรารถนาที่สูงที่สุดของผมในขณะนี้

“ส่วนขนมคุณตรีเขาก็พอกินได้ แต่ที่ไม่กินเลยคือขนมห่อ จะกินพวกขนมไทย ขนมเบเกอรี่อบใหม่แบบนั้นมากกว่า ส่วนของกินเล่น ก็พวกผลไม้สด ถ้าเป็นเบบี้แครอทจะชอบมาก จะต้องปลอกเปลือกออก แล้วก็เอาแช่ในน้ำแข็งก่อนเสิร์ฟ คุณเขาจะชอบกินเวลาอ่านหนังสือ ตรงไหนจดไม่ทันก็ไม่เป็นไร น้าจะให้เบอร์โทรไว้ โทรมาถามน้าได้ตลอด”

“ได้เหรอครับน้ากุ้ง ขอบคุณนะครับ” ผมยกมือไหว้น้ากุ้งที่มีเมตตากับผม

“อ่อ อีกอย่างเลยที่คุณตรีชอบมาก และต้องกินคู่กับกาแฟทุกเช้า อันนี้สำคัญมากๆ ขาดไม่ได้เลยแม้แต่วันเดียว”

“อะไรเหรอครับ”

“อะโวคาโด คุณตรีชอบทานมาก แต่จะต้องเป็นพันธ์แฮสเท่านั้นนะ นี่เลย ลูกเล็กๆ ผิวขรุขระแบบนี้ เวลาซื้อก็ซื้อมาเยอะหน่อย เลือกลูกที่นิ่มแล้วกับไม่นิ่มมาผสมกัน แล้วกินแบบนิ่มๆก่อน ตอนอยู่ที่อังกฤษ ช่วงสองปีหลังแม่บ้านที่นู่นลาออก แล้วหาคนใหม่ไม่ได้ คุณเขาไม่ถูกใจก็ไม่เอา คุณผู้หญิงก็เลยต้องให้น้าไปดูคุณตรีที่นู่น น้าก็ถึงได้รู้ว่าของฝรั่งอะไรบ้างที่คุณตรีเขาชอบทาน และก็หัดเอาที่นู่น อะโวคาโดเนี่ย อย่างต่ำคุณตรีจะทานวันละสองลูก คือเช้ากับหลังมื้อเย็น มื้อเช้าก็จะกินกับกาแฟ หลังมื้อเย็นก็จะทานกับชาร้อน”

ผมรับฟังคำบอกเล่าของน้ากุ้งด้วยความตั้งใจ แค่เรื่องของกินของคุณตรี ก็ทำเอาผมหัวหมุนเหมือนกัน ทำให้ผมไม่ค่อยได้ช่วยทำมื้อเช้าในวันนี้มากนัก แค่ฟัง แค่จดและจำอาหารที่คุณตรีจะต้องทาน หน่วยความจำในสมองของผมก็ดูเหมือนจะเริ่มเต็มเสียแล้ว

ถ้าเงินสามารถซื้อหน่วยความจำในสมองได้ ผมไม่ลังเลเลยที่จะเอาเงินเก็บออกมาจ่าย เพราะเชื่อว่ารายละเอียดของคุณตรีที่ผมรับรู้มาแล้ว ยังไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์ของความเป็นคุณตรีทั้งหมด

ก็ว่าไม่ได้นะครับ คุณตรีเขาผู้ชายระดับห้าดาว จะมีรายละเอียดในชีวิตเยอะก็เป็นเรื่องธรรมดา




มื้อเช้าของวันนี้ คุณตรีได้ทานในแบบที่เขาชอบ มีกาแฟดำร้อนๆ เสิร์ฟพร้อมกับมันบดที่เอามาปั้นเป็นแผ่นเท่าขนมปังแล้วนำไปย่างกับเนยบนกระทะ วางด้านบนด้วยอะโวคาโดสไลด์ ปิดท้ายด้วยไข่ดาวที่เอาไปทอดในน้ำ ใช่ครับ ฟังไม่ผิดหรอก เรียกว่าอะไรสักอย่างที่ผมฟังไม่ถนัด แต่ว่าน้ากุ้งเอาไปทอดในน้ำจริงๆ วิธีทำดูแล้วไม่ยาก แต่ให้ทำจริงๆผมว่ามันไม่คงไม่ง่ายแบบที่ตาเห็น

นอกจากอาหารจานหลักของคุณตรีที่ผมว่ามา ก็จะมีผลไม้สดอีกหนึ่งจาน และมะเขือเทศลูกเล็กย่างไฟอีกหนึ่งพวง

ส่วนของผมเป็นข้าวต้มหมูสับธรรมดา ทีแรกน้ากุ้งจะจัดให้ผมแบบคุณตรี แต่ผมห้ามเอาไว้ ผมขอกินง่ายๆดีกว่า ไม่อยากทำให้คนอื่นต้องลำบากยุ่งยาก ดังนั้นผมกับน้ากุ้งจึงทานกันสองคนที่โต๊ะหลังบ้าน ปล่อยให้คุณตรีทานคนเดียวเงียบๆ

ตอนที่เห็นเขานั่งทานมื้อเช้าคนเดียวในบรรยากาศที่เงียบสงบ ทำไมผมถึงรู้สึกว่า เขาดูเหงาและโดดเดี่ยว แต่จะให้ผมไปนั่งทานเป็นเพื่อนของเขา ก็คงจะไม่เหมาะ

มันคงจะดี ถ้าวันหนึ่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของเขาได้รับการเติมเต็มจากคนสำคัญ ให้ช่วงเวลามื้ออาหารของเขาในทุกๆมื้อเป็นมื้อที่พิเศษและอร่อยกว่าเดิม

ทานอาหารเสร็จ ผมก็เข้าไปเก็บจานชามของคุณตรี รวมทั้งของตัวเองกับน้ากุ้งไปล้าง อ่างล้างจานที่บ้านคุณตรีมีซิงก์ถึงสองช่อง ความใหญ่ของมันทำให้ผมล้างจานได้อย่างสะดวกสบาย

“ฟ้า ทำอะไรอยู่” เสียงทุ้มดังขึ้นจากด้านหลัง ผมหันไปหาคุณตรี โดยที่มือทั้งสองข้างยังคงจุ่มอยู่ในซิงก์ล้างจาน

“ผมล้างจานอยู่ครับ คุณตรีอยากได้อะไรหรือเปล่าครับ”

“ไม่มี ล้างจานเสร็จแล้วก็ขึ้นไปคุยกับฉันที่ห้องทำงานหน่อย”

“ได้ครับคุณตรี ผมล้างจานเสร็จจะรีบไปหานะครับ”

“อืม” คุณตรีมองผมทิ้งท้าย ก่อนจะเดินไป

ผมรีบล้างจาน และวางไว้ในที่พักจานเพื่อรอเช็ดให้แห้งก่อนจะนำเก็บเข้าตู้ เครื่องครัวในบ้านคุณตรีน่าใช้ทั้งนั้น ขนาดผมทำอาหารไม่ค่อยจะเป็น ยังรู้สึกอยากทำอาหารดีๆให้เป็น จะได้หยิบจานชามช้อนส้อมสวยๆออกมาใช้

ผมล้างจานเสร็จก็รีบขึ้นไปหาคุณตรีที่ห้องทำงาน น้ากุ้งบอกว่าจะเช็ดจานที่ล้างแล้วให้ บอกให้ผมรีบขึ้นไปหาคุณตรี ผมยกมือไหว้ขอบคุณน้ากุ้งอีกครั้งที่ช่วยเหลือผม

ผมเดินขึ้นไปชั้นสอง เคาะประตูห้องทำงานของคุณตรี จากนั้นก็เปิดประตูเมื่อได้ยินเสียงอนุญาต คุณตรีเงยหน้าจากกองกระดาษมองผม เขาวางปากกาในมือลงกับโต๊ะ แล้วเปลี่ยนอิริยาบถเป็นนั่งพิงเก้าอี้บุนวม

“มานั่งตรงนี้สิ” เขาเรียกให้ผมไปนั่งตรงหน้าเขา

“ครับ” ผมเดินเข้าห้อง ปิดประตูอย่างเบามือ

“วันนี้วันเริ่มงานวันแรกของนาย อันนี้เป็นสัญญาจ้างงาน ฉบับหนึ่งจะอยู่กับฉัน อีกฉบับหนึ่งจะอยู่กับนาย ลองเอาไปอ่านดูแล้วค่อยเซ็น” คุณตรีหยิบกระดาษเอสี่สีขาวสองฉบับมาให้ผม

“คุณตรีครับ ผมแค่มาทำงานบ้านนะครับ ไม่เห็นต้องมีสัญญาว่าจ้างเลย” ผมหยิบเอกสารจ้างงานมาถือไว้ก็จริง แต่ยังไม่ได้อ่าน และผมไม่คิดว่างานพวกนี้จะต้องทำอะไรแบบนี้

“ถ้าไม่ทำไว้ให้เป็นกิจจะลักษณะ เกิดฉันเอาเปรียบนายขึ้นมาจะว่ายังไง” เขาพูดเหมือนว่างานนี้มันมีอะไรให้เขาเอาเปรียบผมได้ และทำเหมือนที่ผ่านมาผมไม่รู้จักเขา

“โถ่ คุณตรีครับ ผมแค่มาทำอาหาร ทำความสะอาดบ้าน และทำสวน ไม่เห็นจะต้องยุ่งยากเลย” ก่อนหน้านี้เขาก็ไม่เคยเอาเปรียบผมเลยสักครั้ง มีแต่ให้มากกว่าที่ผมทำเสียอีก

“มันไม่มีอะไรยุ่งยากเลยฟ้า อ่านซะ ถ้ารับข้อเสนอได้ ก็เซ็น แล้วหลังจากนั้น นายจะถือเป็นคนของฉันโดยสมบูรณ์” เขาพูดด้วยความจริงจังจนผมขนลุก

‘คนของเขา’ อย่างนั้นเหรอ

ถ้าบอกว่า...ขอเป็นคนของคุณตรีได้ไหม ในฐานะคนรับใช้ก็ได้

โอ๊ย ฮ่าๆๆ จั๊กจี้หัวใจสุดๆ

ปึก!

“โอ๊ะ!” ผมสะดุ้งตกใจเมื่อถูกกระดาษปึกหนาเคาะหัว

“เป็นอะไร เรียกตั้งนานก็เอาแต่เหม่อ” คุณตรีดุอีกแล้ว ผมแค่เหม่อลอยคิดเรื่องตลกแค่นิดเดียวเอง

“เปล่าครับ” ผมอมยิ้ม ส่ายหน้าไม่บอก ใครจะไปกล้าบอกในสิ่งที่ผมคิด ยังไม่อยากตกงานตั้งแต่วันแรกหรอกนะ

“เด็กหัดโกหก”

เขาพูดอะไรแบบนี้ก็เป็นด้วยเหรอ

“คุณตรี” ผมเรียกเขา ก้มมองสัญญาในมือก่อนจะพูด “ผมต้องอ่านและทำสัญญาจริงๆเหรอ”

ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยทำสัญญาจ้างงานนะ แต่กับคุณตรี ผมมองว่ามันไม่จำเป็น พูดอย่างง่ายๆก็คือผมมาเป็นคนรับใช้ งานแบบนี้ต้องมีสัญญาว่าจ้างด้วยเหรอ ถ้าเป็นบริษัทใหญ่ๆผมก็เข้าใจนะ แม่บ้านในบริษัทก็คือพนักงานคนหนึ่ง แต่ผมเป็นคนรับใช้ประจำบ้าน ผมไม่รู้จริงๆว่าที่อื่นเขาทำกันแบบนี้เป็นปกติหรือเปล่า

ใครรู้ คอมเมนต์บอกผมทีนะครับ ฮ่าๆๆ

“ถ้านายไม่เซ็น แล้วอยู่ๆนายก็ลาออก ฉันจะทำยังไง หาคนมาช่วยงานในบ้านมันไม่ใช่เรื่องงานนะฟ้า อย่างน้อยสัญญาฉบับนี้ก็จะทำให้นายผิดสัญญางานไม่ได้ นายจะออกจากงานก่อนกำหนดไม่ได้ เข้าใจหรือยัง”

อ่อ เขากลัวผมลาออก แล้วตัวเองจะลำบากกับการหาพ่อบ้านคนใหม่นี่เอง โอเค เหตุผลนี้ก็พอเข้าใจ

“งั้นผมอ่านก็ได้” ผมยอมแต่โดยดี

“ดี ค่อยๆอ่าน ตรงไหนไม่ชอบใจก็บอกได้”

“ครับ”

ผมเริ่มต้นอ่านหนังสือสัญญาจ้างงาน ผมอ่านมันช้าๆเพราะอยากจะทำความเข้าใจรายละเอียด แต่ยิ่งอ่านลงไปบรรทัดแล้วบรรทัดเล่า ผมยิ่งรู้สึกว่ามันไม่ใช่ สัญญาฉบับนี้มันไม่ถูกต้อง ผมว่าคุณตรีต้องเข้าใจอะไรผิดแน่ๆ

“คุณตรีครับ”

“ว่าไง”

“สัญญานี่ ผิดหรือเปล่าครับ” ผมเงยหน้าขึ้นจากเอกสาร มองตาเขาเพื่อหาคำตอบ

“ไหน มีอะไรผิดตรงไหน” เขาหยิบเอกสารอีกฉบับที่ผมวางไว้มาเปิดดูจนหมดทั้งสองแผ่น ก็ไม่เห็นเขาจะทำหน้าแปลกใจอะไร

“ไม่เห็นมีอะไรผิดนี่” เขาบอก

“ผมว่ามีนะครับ คุณตรีดูตรงนี้สิครับ เงินเดือนเดือนละสองหมื่นบาท เวลาหลังจากหกโมงเย็น จะได้เงินค่าล่วงเวลาชั่วโมงละสองพันบาท คุณตรีใส่ตัวเลขผิดหรือเปล่าครับ”

มันน่าจะเป็นสักสองร้อยนะผมว่า

“ไม่ผิด” เขาตอบสั้นๆ เหมือนมั่นใจในสิ่งที่ปรากฏบนกระดาษ

“ชั่วโมงล่ะสองพันเลยเหรอครับ” ผมทวนถามเขาอีกครั้ง

“ใช่” และเขาก็ยังคงว่าเช่นนั้น

“งั้น ตรงนี้ล่ะครับ ระยะจ้างงานทั้งหมดสิบปี คุณตรีจะให้ผมทำงานกับคุณตรีนานขนาดนั้นเลยเหรอครับ” เขากลัวจะไม่มีคนทำงานบ้านให้มากๆเลยนะ จ้างผมนานถึงสิบปี ตั้งแต่อ่านมา สัญญาข้อนี้น่ากลัวที่สุดละ

“ทำไมล่ะ นานไปเหรอ ไม่อยากทำงานกับฉันนานๆเหรอ” ความเร็วในการถามกลับดูจะมากกว่าปกติ น้ำเสียงของเขาก็ดูร้อนรนนิดๆ ถ้าผมไม่ได้คิดไปเอง

“โธ่ คุณตรีครับ เผื่อในอนาคต ผมเรียนจบและงานทำที่ตรงกับสายที่ผมเรียนไงครับ” ผมอธิบายในสิ่งที่ผมคิด แต่จะทำแบบที่พูดหรือไม่ก็อีกเรื่อง

“ก็ให้ถึงตอนนั้นก่อน ฉันจะพิจารณาอีกที” เขาตีหน้านิ่งพูดเสียงเบา

“แต่ในนี้บอกว่า ถ้าผมออกจากงานก่อนกำหนด ผมจะต้องจ่ายค่าเสียหายให้คุณตรีหนึ่งแสนบาท” ผมไม่อยากเสียเงินนี่น่า

“ถ้านายจะไปแบบมีเหตุผลที่ดี ฉันก็ไม่เก็บเงินหรอก”

แล้วเหตุผลที่ดี มันต้องเป็นแบบไหน

“ถ้าคุณตรีทารุณผม แล้วผมไม่อยากทนอยู่ นั่นเป็นเหตุผลที่ดีหรือเปล่าครับ” ผมลองสมมุติให้เขาเห็นภาพ แต่คุณตรีกลับทำหน้าดุ

“ฉันเคยทารุณนายหรือไงถามจริง” เขาถามอย่างจริงจัง

“ใจเย็นสิครับคุณตรี ผมแค่สมมุติเฉยๆ”

“ถ้าฉันทำอะไรแล้วนายไม่พอใจ ก็บอกได้นะ”

ผมว่าเขาคิดไปไกลแล้วนะ

“ไม่มีหรอกครับ ผมพูดเล่นเฉยๆ”

ผมว่าผมรีบไปข้ออื่นดีกว่า สิบปีก็สิบปี มีงานทำระยะยาวขนาดนี้ มันจะไม่ดีได้ยังไง แถมเงินยังดีอีกต่างหาก

“คุณตรีครับ ข้อนี้ ผมว่าไม่ต้องใส่มาก็ได้นะครับ” ผมชี้ให้เขาดูอีกจุด ที่ผมว่าเขาให้ผมมากเกินไป

“ตรงไหน” เขาทำหน้าเหมือนจะเริ่มรำคาญในความเรื่องมากของผม

“เรื่องค่าเล่าเรียน ผมเรียนมหาวิทยาลัยเปิด ค่าเทอมมันก็ไม่ได้แพงอะไร หรือต่อให้แพง มันก็เป็นหน้าที่ของผมเอง คุณตรีไม่ต้องออกให้หรอกครับ”

เพราะในหนังสือสัญญาจ้างงาน คุณตรีระบุไว้ว่า ในขณะที่ผมกำลังศึกษาไม่ว่าระดับใด นายจ้างจะเป็นผู้จ่ายค่าเล่าเรียนทั้งหมดให้

ข้อนี้ผมมั่นใจว่าไม่มีที่ไหนทำแน่ๆ เขาต้องคิดของเขาเอาเอง

“แล้วถ้าฉันยืนยันจะออกค่าศึกษาให้ นายจะทำยังไง” คำถามของคุณตรี ยากเกินกว่าที่ผมจะตอบได้

ผมจะทำอะไรได้ ตอนนี้ก็ลาออกจากงานทั้งสองที่มาแล้ว ถ้ายังจะปฏิเสธงานนี้ เพียงเพราะนายจ้างขู่เข็ญจะจ่ายค่าเทอมให้ มันจะไม่ดูเป็นการตัดอนาคตตัวเองเกินไปหรอกเหรอ แต่จะให้ผมยิ้มรับค่าเทอมจากเขาอย่างหน้าชื่นตาบาน ผมก็ทำไม่ลง

ผมเงียบและใช้ความคิดในการปฏิเสธเงินค่าเล่าเรียน แต่หัวสมองผมกลับว่างเปล่า ถ้าต้องเลือกระหว่างยอมเพื่อให้ได้ทำงานกันเขา กับปฏิเสธงานนี้เพื่อที่คุณตรีจะได้ไม่ต้องมารับผิดชอบผมมากนัก

ไม่ว่าทางไหน ก็ยากสำหรับผม

“ไว้คิดได้เมื่อไหร่ ค่อยบอกฉันแล้วกัน ถ้าเป็นความคิดที่ดี ฉันจะแก้ไขข้อนี้ให้”

และดูเหมือนว่าผมจะใช้เวลาคิดนานเกินไป เขาจึงไม่รอ

“คือ...”

“มีตรงไหนอีกไหม ที่อยากจะท้วง”

ผมเม้มปาก แล้วปล่อยให้ข้อถกเถียงเรื่องค่าเล่าเรียนจบไว้แต่เพียงเท่านั้น

ไม่เป็นไรหรอก เทอมนี้ผมจ่ายค่าเรียนไปแล้ว ครั้งต่อไปก็อีกตั้งหลายเดือน ถึงตอนนั้นผมค่อยปฏิเสธเขาอีกที

คิดได้ดังนั้น ผมจึงสลัดความคิดเรื่องค่าเทอมออก แล้วมุ่งหน้าไปที่ข้อต่อไป ที่ผมรู้สึกไม่สะดวกเท่าไหร่

“คุณตรีครับ คือผมต้องมาอยู่ที่นี่เหรอครับ ผมขอพักที่หอพักอย่างเดิมได้ไหมครับ แล้วผมจะมาทำงานให้ตรงเวลา” เพราะในเอกสารระบุไว้ว่า ผมจะต้องย้ายมาอยู่ที่บ้านของเขา ขณะที่ผมยังทำงานที่นี่ตามสัญญา

“แล้วทำไมถึงไม่อยากมาอยู่ที่นี่” คุณตรีก็ยังเป็นคุณตรี ที่ไม่ว่ายังไง เขาก็ต้องรู้เหตุผลก่อนจะให้คำตอบ

“มันก็หลายๆอย่างอ่ะครับ เรื่องข้าวของ เรื่องความเป็นส่วนตัว ก็หลายๆอย่าง ผมเลยอยากอยู่ที่หอมากกว่า” ผมไม่รู้ว่าเขาจะให้ไหม จากข้อบนๆก่อนหน้านี้ เขาไม่ยอมให้ผมสักข้อ

“ตามใจแล้วกัน แต่ห้ามมาทำงานสายเด็ดขาด”

แต่รอบนี้เขาทำให้ผมคิดผิด เขายอมให้ผมทำตามที่ผมต้องการอย่างง่ายดาย จนผมคิดว่าผมอาจจะฟังผิดไป

“จริงเหรอครับ”

“อืม” เขาพยักหน้า

“ขอบคุณครับคุณตรี” ผมยกมือไหว้เขา

“มีอะไรอีกไหม”

“ไม่มีแล้วครับ”

ผมฉีกยิ้มให้เขา ทั้งที่จริงๆแล้วยังมีอีกเยอะแยะ แต่ประสบการณ์เมื่อสิบนาทีก่อนหน้า สอนให้ผมรู้ว่า ปล่อยเลยตามเลยไปจะดีกว่า เพราะผมไม่มีทางทำให้คุณตรีเขียนสัญญาจ้างงานฉบับใหม่ขึ้นมาได้ เท่าที่ดูแล้วผมไม่ได้เสียเปรียบอะไร ไม่เข้าข่ายสัญญาทาสด้วยซ้ำ ปล่อยผ่านไปก็คงไม่เป็นอะไร

“ถ้าไม่มีก็เซ็นชื่อซะ ทั้งสองฉบับ จากนั้นนายก็จะได้เริ่มงานกับฉันอย่างเต็มตัว”

“ครับ”

นี่คงเป็นสัญญาจ้างงานฉบับเดียวในโลก ที่ลูกจ้างดูจะได้กำไรมากกว่าเจ้านาย ยกเว้นระยะเวลาของสัญญาสิบปี ที่ถ้าออกก่อนผมจะต้องจ่ายหนึ่งแสนบาท

ถึงตอนนั้น ผมว่า...ผมอาจจะมีเงินจ่ายเขาก็ได้นะ ใครจะไปรู้





.....................................

ขอโทษที่มาช้านะคะ เราผิดไปแล้ว ยกโทษให้เราด้วย

หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่6 : ผมอยากรู้จักคุณให้มากกว่านี้ 2-11-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 02-11-2018 17:01:48
โธ่..คุณตรีอยากให้น้องมาอยู่ด้วยบอกกันดีๆก็ได้  :mew4:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่6 : ผมอยากรู้จักคุณให้มากกว่านี้ 2-11-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 02-11-2018 17:37:26
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่6 : ผมอยากรู้จักคุณให้มากกว่านี้ 2-11-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 02-11-2018 18:44:07
ไม่ธรรมดานะเนี่ยคุณตรี

สัญญาจ้างน้องฟ้าตั้งสิบปีเชียว

แบบนี้กลัวน้องฟ้าหนีใช่มั้ย
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่6 : ผมอยากรู้จักคุณให้มากกว่านี้ 2-11-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 02-11-2018 22:25:46
คุณ​ตรียินดี​เปย์​มากค่ะ
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่6 : ผมอยากรู้จักคุณให้มากกว่านี้ 2-11-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 02-11-2018 23:52:33
คุณตรีดักน้องไว้ทุกทางเลยน้อ.  :hao3:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่6 : ผมอยากรู้จักคุณให้มากกว่านี้ 2-11-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 03-11-2018 00:51:06
สัญญาจ้างสิบปีนี่เพิ่งเคยเห็นเลยนะคะเนี่ยคุณตรี
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่6 : ผมอยากรู้จักคุณให้มากกว่านี้ 2-11-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ppnplg ที่ 03-11-2018 16:21:57
สัญญาจ้างสิบปีนี่กะไม่ให้น้องไปไหนเลยใช่ไหมคะ
ตอนนี้น้องยังไม่อยู่ด้วย เดี๋ยวคุณเค้าก็หาทางให้น้องมาอยู่ด้วยให้ได้อะ
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่6 : ผมอยากรู้จักคุณให้มากกว่านี้ 2-11-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 04-11-2018 01:55:49
ปล่อยให้เขาอยู่หอแล้วให้ทำล่วงเวลาบ่อยๆรึเปล่านะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่6 : ผมอยากรู้จักคุณให้มากกว่านี้ 2-11-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 04-11-2018 03:24:53
 :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่6 : ผมอยากรู้จักคุณให้มากกว่านี้ 2-11-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 04-11-2018 10:18:56
แงงงคุณตรีมีแผนในหัวแน่นอนนนน :hao7:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่6 : ผมอยากรู้จักคุณให้มากกว่านี้ 2-11-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 04-11-2018 12:26:28
ต่อไปจากสัญญาจ้างสิบปีจะเปลี่ยนเป็นสัญญาใจอยู่ด้วยกันตลอดชีวิตรึเปล่าคะคุณตรี  :o8:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่6 : ผมอยากรู้จักคุณให้มากกว่านี้ 2-11-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 06-11-2018 00:20:34
 :a5:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่7:ดูแลคุณตรี ไม่ง่ายอย่างที่คิด 10-11-18 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 10-11-2018 22:04:50
CATER TO YOU ตอนที่7
ดูแลคุณตรี ไม่ง่ายอย่างที่คิด



วันแรกกับงานพ่อบ้าน ไม่ใช่การไปทำงาน แต่เป็นการไปเรียนรู้งานมากกว่า ผมแทบไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากล้างจานรอบเช้า ช่วงสายเอาของว่างที่น้ากุ้งทำไปเสิร์ฟให้คุณตรีที่ห้องทำงาน ช่วงเวลาก่อนเที่ยงวัน น้ากุ้งอธิบายงานที่ผมต้องทำทีละอย่างด้วยความใจเย็น เพราะเอาเข้าจริง ผมเป็นคนหัวช้า ไม่ได้เป็นคนละเอียดอ่อนในการใช้ชีวิต ทำความเข้าใจความเป็นคุณตรีได้ช้า

ช่วงเที่ยงผมช่วยน้ากุ้งทำอาหารกลางวัน เพราะคุณตรีชอบกินบะหมี่ น้ากุ้งเลยสาธิตวิธีทำให้ผมดู ผมคอยช่วยหยิบจับและจดวิธีทำลงในสมุด

“บะหมี่สูตรนี้ น้าได้รับถ่ายทอดมาจากคุณย่าของคุณตรี เป็นบะหมี่ที่คุณเขาชอบทานมากที่สุด แต่ของพิเศษจะต้องนานๆครั้งทำที”

“จะได้เป็นของพิเศษใช่ไหมครับ” ผมลองทายความหมายของประโยคที่ว่านานๆครั้งค่อยทำที

“ใช่จ้า ส่วนมากน้าจะดูว่าวันไหนคุณตรีเขาอารมณ์ไม่ดี พอเขาได้กินบะหมี่ชามนี้เขาก็จะอารมณ์ดีขึ้นทุกครั้ง”

“แต่ถ้าน้ากุ้งไม่อยู่ ฟ้าก็ไม่รู้ว่าจะทำเป็นไหม”

“น้าจะให้สูตรไว้ ของแบบนี้ต้องลองทำหลายๆครั้ง จดจำรสชาติของครั้งแรกไว้ให้แม่นก็พอ ตอนทำเองจะได้รู้ว่าเหมือนหรือไม่เหมือน”

“ยากจังเลยนะครับ”

“ไม่มีอะไรยากเกินพยายามลองลูก”

นั่นสินะ ถ้าผมมีความพยายาม ผมจะต้องทำได้อย่างแน่นอน ไม่ลองดูก่อน จะรู้ได้อย่างไรว่าทำได้หรือไม่

“ฟ้าจะพยายามครับน้ากุ้ง”

“เก่งมากจ้ะ”

กลิ่นหอมของน้ำซุปกระดูกหมูที่ต้มพร้อมกับปลาแห้งและเห็ดหอม ส่งกลิ่นชวนน้ำลายสอตลบอบอวลไปทั่วบ้าน ผมยังแอบท้องร้องขณะที่ยืนช่วยน้ากุ้งจนกระทั่งเสร็จ ตอนตักบะหมี่และเครื่องลงใส่ถ้วย น้ากุ้งให้ผมเป็นคนทำตามคำบอก วางเส้นบะหมี่อย่างดีที่ลวกกำลังเหนียวนุ่มลงในถ้วย ต่อด้วยถั่วงอกลวก ก้านคะน้าอ่อนลวก มีสันในหมูที่หมักและเคี่ยวจนเนื้อนุ่มละลายในปาก และที่ขาดไม่ได้คือไข่ต้มเป็นยางมะตูม  ปิดท้ายด้วยต้นหอมซอยละเอียดก็เป็นอันเสร็จ

บะหมี่ชามนี้ที่ถ่ายทอดมาจากความรักของคุณย่าของคุณตรี ดูภายนอกเหมือนจะทำง่ายและหากินได้ทั่วไป แต่รสชาติที่ผมได้ลองชิม ไม่ว่าจะเป็นตัวเส้น น้ำซุป และหมูตุ๋น ทุกอย่างอร่อยและพิเศษกว่าที่อื่น จนผมนึกไม่ออกว่าผมจะหากินแบบนี้ได้ที่ไหน

ไม่รู้ว่าเพราะผมฐานะยากจน กินแต่บะหมี่เกี๊ยวหน้าร้านสะดวกซื้อหรือเปล่า เลยทำให้ผมไม่เคยลองลิ้มชิมรสอาหารชั้นเลิศ คนรวยเขาคงเคยกินจนเป็นปกติ แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังเชื่อว่าบะหมี่ชามนี้เป็นบะหมี่ที่พิเศษที่สุด เพราะมันไม่ใช่แค่อาหารที่ทำให้สบายท้อง แต่เป็นอาหารที่จะช่วยให้คุณตรีสบายใจ

“คุณตรีครับ อาหารเที่ยงเสร็จแล้วนะครับ” ผมขึ้นมาเรียกเขาที่ห้องทำงาน

“อืม” เขาตอบรับ แต่ยังคงก้มหน้าก้มตาทำงานไม่หยุดมือ น้ากุ้งบอกกับผมไว้แล้วก่อนจะขึ้นมา ว่าการลากคุณตรีให้ออกจากเก้าอี้ทำงานเป็นเรื่องยากมาก ดูท่าว่าจะจริง

“คุณตรีครับ วันนี้มีบะหมี่แสนอร่อยให้ทานนะครับ” ผมลองเอ่ยถึงของโปรดของเขา และดูเหมือนว่าจะได้ผล เขายอมละสายตาจากเอกสารมามองหน้าผม

“รอเดี๋ยวนะฟ้า ขอฉันอ่านตรงนี้อีกนิด” แต่เขากลับทำให้ผมแห้วอีกครั้ง

“ถ้ารออีกครู่ บะหมี่ก็จะไม่ร้อนแล้วนะครับ” ผมขยับก้าวเข้าไปใกล้เขา พร้อมกับพูดโน้มน้าว

“อืม” แต่เขาก็ทำเพียงตอบรับสั้นๆ

ผมควรต้องทำยังไง เขาถึงจะเลิกสนใจงานตรงหน้า แล้วรีบลุกออกจากเก้าอี้ไปทานมื้อเที่ยงที่แสนอร่อย

“คุณตรีครับ” ผมเรียกเขาอีกรอบ คราวนี้ใช้น้ำเสียงที่ติดจะขอร้อง เขายอมเงยหน้ามองผม และวางปากกาในมือลง

“หิวข้าวเหรอฟ้า” เขาถาม ผมแอบถอนหายใจได้ไหม

“มันก็เที่ยงแล้วครับ ก็ต้องหิวเป็นธรรมดา คุณตรีก็ควรจะต้องหิว แล้วลงไปทานข้าวก่อนนะครับ ทานเสร็จค่อยขึ้นมาทำงานก็ได้”

“ก็ได้ เพราะถ้าฉันไม่ไปกิน นายก็คงจะต้องทนหิว” เขาพูดเหมือนกับว่าเขาต้องจำใจลงไปกินข้าวเพราะผมอย่างนั้นแหละ แต่ไม่ว่าเขาจะคิดจะทำอะไร ขอแค่เขายอมละมือจากงานแล้วลงไปกินข้าว ก็ถือว่าผมบรรลุเป้าหมายที่ได้ตั้งใจไว้

“ถ้าอย่างนั้นคุณตรีรีบไปกินข้าวนะครับ”

ผมเปิดประตูอ้ากว้างให้เขา คุณตรีส่ายหน้าน้อยๆ ผมเห็นริมฝีปากเขาขยับยิ้ม ก่อนที่เจ้าตัวจะลุกออกจากเก้าอี้ดูดวิญญาณ ผมขอเรียกมันว่าอย่างนั้นก็แล้วกัน เพราะดูเหมือนว่าคุณตรีหน่อยตัวนั่งลงไปแล้ว จะไม่สามารถลุกออกจากมันได้

“บริการดีเชียวนะ” เขาเขกหัวผมเบาๆหนึ่งที ผมสะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจ เขาไม่ได้ทำแรงจนเจ็บ ผมแค่ไม่ทันได้ตั้งตัว

ผมเดินตามหลังคุณตรีลงไปชั้นล่าง ชามบะหมี่ถูกวางตั้งไว้บนโต๊ะทานอาหารสำหรับคุณตรี เขาหยุดยืนแล้วหันมาหาผม

“ไม่มานั่งกินกับฉันเหรอ” เขาถาม

ผมส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะตอบ “ไม่ครับ เดี๋ยวผมไปกินกับน้ากุ้ง

เขาไม่พูดอะไร แต่เดินไปที่ห้องครัวแทน ผมก็ต้องเดินตาม

“คุณตรีอยากได้อะไรเพิ่มบอกผมได้นะครับ เดี๋ยวผมไปเอามาให้” ผมรีบเสนอ

“น้ากุ้งครับ เดี๋ยวไปนั่งทานกับผมที่โต๊ะอาหารนะครับ พาฟ้าไปด้วย”

“จะดีเหรอคะ”

“ดีครับ เอาตามนี้นะครับ”

เขาพูดเสร็จ ก็หันมาเจอผมที่ยืนอยู่ข้างหลัง ยักคิ้วให้ผมหนึ่งทีก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะทานข้าว ผมมองตามหลังเขาพลางคิดว่า ที่เขาต้องกินข้าวคนเดียวเมื่อเช้าคงทำให้เหงามาก มื้อเที่ยงเลยอยากให้มีคนไปนั่งกินเป็นเพื่อน

ผมรีบไปช่วยน้ากุ้งยกอาหารของเราสองคนไปที่โต๊ะกินข้าว คุณตรียังคงนั่งรอไม่ได้ทานก่อน ทันทีที่ผมกับน้ากุ้งนั่งลง คุณตรีก็เริ่มขยับตัว และลงมือทานมื้อเที่ยง

เขานั่งทานเงียบๆ ไม่พูดอะไร แต่ความเร็วในการทานดูต่างจากเมื่อเช้า เขาดูเจริญอาหาร ความไวในการคีบเส้นเข้าปากบ่งบอกให้รู้ว่าเขาเองก็หิวมากเช่นกัน แต่ทำไมตอนไปเรียกถึงได้อิดออดไม่ยอมลงมากิน

ไม่นาน บะหมี่ในชามของคุณตรีก็หมดจนแทบเกลี้ยง เหลือน้ำซุปแค่เพียงก้นถ้วย

“เอาเพิ่มไหมครับคุณตรี” ผมถาม เขากินเร็วมาก และผมกลัวว่าเขาจะยังไม่อิ่ม

“ไม่เป็นไร กินอิ่มมากๆ ตอนทำงานจะง่วง”

เรื่องงานอีกแล้ว เขาอายุมากกว่าผมแค่ปีเดียว แต่ทำตัวเหมือนคนที่แก่กว่าผมสักสิบปี

ผมอยากถามว่าเขาเหนื่อยไหม อยากพักบ้างหรือเปล่า แต่ก็ไม่กล้าที่จะถาม ปล่อยให้เขาเดินกลับขึ้นไปทำงานโดยไม่พูดอะไร

เขาดูเหมือนจะชอบทำงาน แต่ว่าใบหน้าของเขาดูไม่ค่อยผ่อนคลายเท่าที่ควร ผมเคยทำงานรับจ้างทั่วไปไปวันๆ ไม่สามารถรับรู้ถึงภาระที่เขาต้องแบกไว้ และคิดว่าผมคงไม่มีทางเข้าถึงจุดที่เขายืน

สิ่งที่ผมต้องทำในตอนนี้ก็คืองานของผม พวกงานปัดกวาดเช็ดถูไม่ใช่เรื่องยากอะไร ผมพอจะรู้ว่าต้องทำอะไรยังไงบ้าง แต่สิ่งที่สำคัญอีกเรื่องนอกจากอาหารการกินของคุณตรีแล้ว ก็คือเรื่องเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย น้ากุ้งพาผมขึ้นไปที่ห้องนอนของคุณตรี ซึ่งอยู่ติดกับห้องทำงาน

เปิดประตูเข้าไป จะเห็นประตูอีกหนึ่งบานทางฝั่งซ้ายมือ น้ากุ้งบอกว่านี่เป็นห้องแต่งตัวและห้องอาบน้ำของคุณตรีที่อยู่ภายในห้องนอน

“ห้องน้ำจะต้องล้างและทำความสะอาดทุกวัน ผ้าขนหนูสำหรับเช็ดตัว เช็ดหน้า และเช็ดผม จะแยกตามขนาดนี้นะจ๊ะ ก็ต้องซักเปลี่ยนทุกวันเช่นกัน”

“คุณตรีดูจะชอบสีน้ำเงินนะครับ” ผมพูด เพราะขนาดผ้าขนหนูก็ยังเป็นสีน้ำเงินเข้มทุกผืน

“ใช้จ๊ะ คุณตรีเขาชอบสีน้ำเงิน แต่ความจริงแล้ว มีอีกสีที่คุณตรีชอบนะ แต่เขาจะไม่บอกใคร” น้ากุ้งก้มลงมากระซิบกระซาบบอกผม

“สีอะไรเหรอครับ” ผมก็พลอยอยากรู้ไปด้วย

“เป็นเพราะว่าเดี๋ยวฟ้าจะต้องทำงานกับคุณตรี น้าถึงได้บอกนะ สีอีกสีที่คุณตรีชอบมากก็คือสีแดง น้ารู้เพราะว่าตอนเด็กๆคุณตรีเคยบอก แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ความชื่นชอบในสีแดงกลับถูกกลบซ่อนเอาไว้ คนที่รู้ก็จะมีแต่คนใกล้ตัว เวลาที่คุณตรีเห็นสีแดง แววตาของเขาจะส่องประกาย ฟ้าลองสังเกตดูนะลูก”

“ครับ แต่มันก็แปลกนะครับ ชอบสีแดง แต่ผมไม่เห็นข้าวของเครื่องใช้ในบ้านจะเป็นสีแดงเลย ชอบแล้วทำไมต้องปิดบังด้วย”

“น้าก็ไม่รู้นะ แต่บางครั้งเวลาน้าซื้อดอกไม้สีแดงมาใส่แจกันไว้ในบ้าน คุณเขาจะชอบไปหยุดยืนมอง แต่น้าไม่เคยถามเขาหรอกว่าเพราะอะไร”

เป็นผมก็ไม่กล้าถามเช่นกัน

“ห้องทุกห้องในบ้าน จะต้องให้แห้งตลอดเวลา คุณตรีเขาจะไม่ชอบให้พื้นเปียก”

“ก็คือต้องคอยเช็ดตลอดเหรอครับ” ผมถามด้วยความสงสัย ว่าเราจะรู้ได้ยังไงว่าห้องน้ำจะเปียกหรือไม่เปียก หรือว่าต้องเช็ดตลอดเวลาหรือเปล่า

“ถ้าคุณตรีอยู่บ้าน เราก็จะเข้าไปทำหลังจากที่คุณตรีอาบน้ำตอนเช้า ส่วนระหว่างวันคุณตรีเขาใช้ห้องน้ำสะอาด ซึ่งเราไม่ต้องทำอะไรหรอกจ้ะ อีกทีหนึ่งก็คือตอนกลางคืน แต่ว่าพอข้ามคืนไป ห้องน้ำก็จะแห้งเองอยู่แล้ว เพียงแต่เราต้องไปทำความสะอาดพวกคราบเล็กๆน้อยๆ ฟ้าไม่ต้องเครียดนะ มันไม่ยากขนาดนั้น ที่จะต้องดูหน่อยก็คือตอนที่มีเพื่อนหรือแขกของคุณตรีมาที่บ้านก็เท่านั้นเองจ๊ะ”

“อ่อครับ”

เท่าที่ฟังดูก็เหมือนจะไม่ยาก ห้องน้ำที่ทำความสะอาดอยู่ทุกวัน มันก็คงสะอาดอยู่ตลอดเวลาจนไม่น่าจะต้องทำอะไรมากมาย ถึงเวลาเดี๋ยวผมก็คงรู้อยู่ดีว่าควรจะต้องทำอย่างไร ให้นึกตอนนี้ก็ยังมองไม่เห็นภาพ

น้ากุ้งใช้เวลาอธิบายในอย่างที่อยู่ในห้องนอนคุณตรี ข้าวของเครื่องใช้ แหล่งซื้อหา เสื้อผ้า ต้องซักต้องรีดยังไง อะไรเก็บตรงไหนบ้าง โดยเฉพาะเครื่องแต่งกายของคุณตรี ที่จะแบ่งเป็นโซนๆชัดเจน เสื้อผ้าก็ต้องจัดแขวนแบบเรียงสี ผ้าปูที่นอนก็ต้องเปลี่ยนทุกอาทิตย์ ที่เก็บชุดเครื่องนอนจะมีห้องหนึ่งห้องเอาไว้เก็บ น้ากุ้งพาผมไปดู ผมถึงกับต้องยืนอึ้ง คนเราจำเป็นต้องมีชุดเครื่องนอนเยอะเป็นสิบๆชุดจริงๆน่ะเหรอ

“ของพวกนี้คุณเขาจะสั่งให้ทางร้านส่งมา จะต้องเป็นของอย่างดี ราคาสูงใช้ได้” น้ากุ้งเล่า

ผมใช้เวลาทั้งวันอย่างคุ้มค่าในการเรียนรู้งาน บางจุดน้ากุ้งก็ทำได้แค่บอกคร่าวๆ ไม่ได้ลงรายละเอียดลึกมากนัก เนื่องจากเวลามีจำกัด แต่หากผมสงสัยอะไร ก็สามารถโทรไปหาน้ากุ้งได้ตลอด

การทำงานวันแรกของผม  จึงผ่านไปแต่เพียงเท่านี้ ผมอยู่ทานข้าวเย็นร่วมกับทุกคน และเอ่ยลาน้ากุ้งเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่น้ากุ้งจะขอตัวกลับ เพราะต้องรีบไปขึ้นรถกลับบ้านที่ต่างจังหวัด

“ยังไงก็กลับบ้านดีๆ” คุณตรีเดินมาส่งผมที่หน้าบ้าน หลังจากที่ผมทำงานทุกอย่างที่คิดว่าน่าจะต้องทำเสร็จหมด

“ครับ มีมื้อดึกที่น้ากุ้งทำไว้อยู่ในตู้เย็นนะครับ ถ้าหิวคุณตรีก็เอาออกมาอุ่นทานนะครับ”

“อืม ไปเถอะ เดี๋ยวมันจะดึกกว่านี้”

“ครับผม เจอกันพรุ่งนี้นะครับคุณตรี” ผมเอ่ยลา และยิ้มส่งท้ายให้คุณตรี ก่อนจะขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์คันเก่งขับกลับหอ

 เป็นครั้งแรกในรอบสองสามปีมานี้ ที่ผมได้เลิกงานเร็วกว่าเที่ยงคืน ช่วงหกโมงเย็นเป็นช่วงที่ในซอยค่อนข้างจะคึกคัก ผมแวะซื้อของกินเล่นกลับไปกินที่ห้อง ช่วงสอบที่หฤโหดผ่านพ้นไปแล้ว เวลานี้ก็เป็นเวลาที่ผมจะได้ผ่อนคลายอย่างเต็มที่ คืนนี้ผมจะนอนอ่านหนังสือที่เพิ่งซื้อมาให้เต็มอิ่มไปเลย







ผมตื่นนอนตั้งแต่ตีสี่ อาบน้ำล้างหน้า ใช้เวลาทั้งหมดจนมาถึงหน้าบ้านคุณตรีก็สี่สิบนาที ผมมาถึงก่อนเวลาเข้างาน ซึ่งก็คือตอนตีห้า เพราะผมอยากรู้ว่าถ้าผมมาเวลานี้ คุณตรีจะตื่นแล้วหรือยัง

ผมไขกุญแจรั้วเข้าไปในบ้าน ขณะนี้ท้องฟ้ายังมืดแต่ไม่สนิท สามารถมองเห็นดาวประกายพรึกในยามรุ่งเช้า ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าที่แสนจะกว้างใหญ่ อีกไม่นานพระอาทิตย์ก็จะโผล่ขึ้นจากขอบฟ้า มอบแสงสว่างให้กับทุกคน รวมทั้งให้กับตัวผมเอง

ภายในบ้านยังคงเงียบสงัด ไฟทุกดวงถูกปิดอยู่อย่างที่ควรจะเป็น ผมก้มมองนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง

“ตีสี่ห้าสิบห้า” ผมพึมพำ

ผมตั้งสติแล้วคิดว่าตัวเองควรจะทำอะไรเป็นอย่างแรก หยิบสมุดจนงานที่ผมจดรายละเอียดต่างๆเอาไว้ขึ้นมาดู ก่อนจะเดินขึ้นไปชั้นสอง

ห้องนอนของคุณตรี นอกจากเจ้าของห้องแล้ว ก็จะมีแม่บ้านเป็นคนถือเอาไว้ ไว้ทำความสะอาด ผมไขกุญแจเข้าห้องคุณตรีอย่างเบามือ สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือความเย็นของเครื่องปรับอากาศ และความมืดภายในห้องนอน

ผมเดินย่องด้วยฝีเท้าที่คิดว่าเบาที่สุด มองไปด้านในที่เป็นที่ตั้งของเตียงนอน แทบจะไม่เห็นอะไรข้างใน แต่คิดว่าคุณตรีน่าจะยังนอนกลับสบายอยู่

งานแรกที่ผมต้องทำก็คือการเช็คความเรียบร้อยในห้องน้ำ แต่ทุกอย่างก็แทบจะเรียบร้อยดี มีต้องเติมผ้าขนหนู และนำผ้าขนหนูที่ใช้แล้วลงไปซัก

“ทำไมมาเร็ว”

“เห้ย” ผมผงะถอยหลังด้วยความตกใจ เพราะกำลังจะหมุนตัวออกจากห้องน้ำ แต่ถูกเสียงและร่างกายที่ค่อนข้างจะใหญ่โตขว้างหน้า ตะกร้าผ้าในมือก็พลอยหลุดออกจากมือลงพื้น

“ตกใจอะไรขนาดนั้น” เขาตีหน้านิ่งถาม สีหน้ายังคงงัวเงีย แต่สิ่งที่ตรึงสายตาของผมไว้ก็คือหน้าอกแน่ๆและซิกแพคของเขา

ทำไม...ถึงไม่ใส่เสื้อ

“ฟ้า เป็นอะไร ตกใจจนสติหลุดหรือไง” คุณตรียื่นมือมาตบแก้มผมเบาๆ ผมจึงได้สติ

“คุณตรี...ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” นับเวลาคร่าวๆตั้งแต่ที่ผมเปิดประตูห้องนอนของเขาเข้ามา ก็ไม่น่าจะเกิดห้านาทีด้วยซ้ำ

“ตั้งแต่นายเข้าห้องมา” เขาตอบ พลางใช้สองมือลูบใบหน้าไปยันผมที่ถูกเสยขึ้นจนเห็นกรอบหน้าชัดเจน

“ผมทำให้ตื่นเหรอครับ” ผมว่าผมก็ย่องเบาแล้วนะ อีกนิดก็น่าจะไปเป็นขโมยได้ละ

แซวเล่นครับแซวเล่น

“เรื่องปกติ ฉันความรู้สึกไว แต่ก็เป็นเวลาที่ควรจะต้องตื่นอยู่แล้ว”

“งั้น วันหลังผมจะยังไม่เข้ามาในห้องจนกว่าคุณตรีจะตื่น ดีไหมครับ”

ผมอยากให้เขาได้นอนพักผ่อนอย่างเต็มที่ ขนาดยังไม่เข้าไปบริหารงานในบริษัทอย่างจริงจัง คุณตรีก็ดูจะมีงานที่ล้นมือ ขอบตาของเขาติดจะคล้ำอยู่หน่อยๆ คล้ายกับว่าเมื่อคืนเขานอนดึกพอสมควร

“ไม่ดีหรอก” แต่เขากลับปฏิเสธ

“ทำไมล่ะครับ ถ้าคุณตรีกลัวว่าห้องน้ำจะไม่พร้อมใช้งาน คุณตรีเรียกผมก่อนก็ได้นะครับ ผมจะรีบขึ้นมาทำให้”

“เปล่า ไม่ใช่อย่างนั้น นายขึ้นมาทำอย่างที่ควรทำเถอะ หลังจากที่ฉันเข้าไปทำงานที่บริษัทแล้ว ฉันก็ต้องตื่นเวลาทุกวันอยู่แล้ว ไม่ได้จะมีเวลาให้นอนพักไปจนสายหรอก”

“ครับ” ผมเข้าใจในสิ่งที่คุณตรีบอกได้โดยง่าย

“ไปทำงานอื่นต่อเถอะ ฉันจะใช้ห้องน้ำ”

“อ่อ ครับๆ ขอโทษครับ” ผมก้มลงเก็บตะกร้าผ้าที่อยู่บนพื้นขึ้นมาโอบเอาไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง แล้วรีบออกจากห้องน้ำ ปล่อยให้คุณตรีใช้เวลาของเขาในห้องน้ำ

ผมเอาผ้าขนหนูของคุณตรีไปเข้าเครื่องซักผ้า จากนั้นเก็บทำความสะอาดบ้านในส่วนที่ดูจะไม่ค่อยเรียบร้อย ซึ่งก็แทบจะไม่มีตรงไหนที่รกไม่เป็นระเบียบ ก่อนที่คุณตรีจะลงมา ผมเปิดเครื่องปรับอากาศด้านล่างทิ้งไว้ให้อากาศภายในบ้านเย็น และอีกหนึ่งสถานที่ที่ผมจะต้องไปจัดเตรียมก็คือห้องออกกำลังกาย

น้ากุ้งแนะนำว่าคุณตรีจะเปิดแอร์ในห้องออกกำลังกายไม่เท่ากับห้องอื่นๆในบ้าน ที่จะปรับเท่ากันที่ 22 องศา แต่ในห้องออกกำลังกายจะปรับเป็น 25 องศา ผมก็ไม่เข้าใจเหตุผลว่าทำไม แต่ก็ทำตามคำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์ไว้ก่อน

“ฟ้า” เสียงเรียกชื่อผมดังขึ้น ผมลดรีโมตที่กำลังปรับแอร์จนได้อุณหภูมิที่ถูกต้องลง แล้วหันไปหาคนที่ขานเรียก

คุณตรีในชุดพร้อมออกกำลังกายยืนอยู่หน้าห้องออกกำลังกาย เขาขยับแขนขยับขาเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ แต่ว่าผมยังเตรียมห้องและเตรียมของที่เขาต้องใช้ไม่เสร็จเลยสักอย่างเดียว

แค่งานแรกก็พลาดซะแล้ว

“ครับคุณตรี ผมเพิ่งเปิดแอร์เอง” น้ำเสียงของผมค่อนไปทางรู้สึกผิด ที่จริงมันควรจะต้องพร้อมก่อนที่คุณตรีจะลงมา

“ไม่เป็นไร แต่พรุ่งนี้ก็เตรียมไว้ให้พร้อม”

“ครับคุณตรี ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมไปเตรียมน้ำดื่มไว้ให้นะครับ”

“เอาน้ำแอปเปิลนะ”

“ได้เลยครับคุณตรี”

ผมเชื่อแล้วครับว่า เขาเป็นคนที่ติดน้ำที่มีรสชาติมากจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นหุ่นของเขาก็ยังดูดีมากๆ พิสูจน์ได้จากในห้องน้ำก่อนหน้านี้ ทั้งมัดกล้ามและซิกแพค ถ้าไม่บอก คนภายนอกจะต้องคิดว่าคุณตรีต้องดูแลและควบคุมอาหารอย่างหนักแน่นอน ซึ่งความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้นสักเท่าไหร่ เขาก็กินทุกอย่าง เพียงแต่เลือกกินของดีคุณภาพสูงเท่านั้น

น้ำแอปเปิลที่คุณตรีทาน จะต้องเป็นน้ำแอปเปิลแบบสกัดแยกกากเอง ในตู้เย็นเครื่องใหญ่บรรจุเอาไว้ด้วยสองสดมากมาย ผลไม้หลายชนิดที่น้ากุ้งได้ซื้อเตรียมไว้ให้ผม น้ากุ้งว่าช่วงแรกๆผมอาจจะยุ่งๆกับการปรับตัว จึงช่วยเตรียมงานบางอย่างเอาไว้

มาถึงตอนนี้ผมยิ่งรู้สึกขอบคุณน้ากุ้ง ไม่อย่างนั้นผมคงหัวหมุนพอตัวเลยทีเดียว

“ผมเอาวางไว้บนโต๊ะนะครับคุณตรี” ผมบอกเขา แล้วนำแก้วเก็บความเย็นที่บรรจุน้ำแอปเปิลจนเต็มวางไว้

“ขอบใจมาก” คุณตรียังคงมุ่นมั่นกับการออกกำลังกาย

“งั้นผมไปทำอาหารเช้ารอนะครับ ทานเป็นข้าวต้มไหมครับ” ผมถามความเห็น แต่ความจริงคือผมก็ทำเป็นแค่อย่างเดียว

“อืม ทำมาเถอะ”

“ครับ”

ผมรีบเดินกลับไปทำอาหารเช้าในครัว คุณตรีจะออกกำลังกายประมาณหนึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงครึ่งตามที่ได้จดมา ดังนั้นผมมีเวลาเยอะอยู่พอสมควร

ผมเลือกที่จะทำอาหารง่ายๆอย่างข้าวต้มสำหรับวันแรก ป้องกันการผิดพลาด เมื่อคืนผมลองหาข้อมูลเกี่ยวกับอาหารเช้าดูแล้วว่ามีอะไรบ้างที่ผมสามารถทำให้คุณตรีทานได้ ก็มีหลายอย่างเหมือนกัน เพียงแต่หลายอย่างที่ว่านั้น ผมทำเป็นไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์เลย ดังนั้นผมว่าผมต้องหาเวลาว่างในการฝึกทำอาหารมากขึ้น

ไม่อย่างนั้นคุณตรีจะได้กินอาหารเช้าแค่ไม่กี่อย่าง และอาจจะทำให้เขาเบื่อขึ้นมาได้ง่าย

การอาหารเช้าสำหรับคุณตรีผ่านไปได้อย่างราบรื่นดี มีติดขัดบ้างตรงที่ผมหาของไม่เจอ แต่ก่อนหน้านี้ก็เคยเข้าครัวของคุณมาแล้วสามสี่ครั้ง บางอย่างที่เคยเห็นเคยผ่านตาก็หาไม่อยาก อย่างไหนที่ไม่เคยเห็นก็ต้องใช้เวลาในการควานหาอยู่ประมาณหนึ่ง

ข้าวต้มก็เสร็จแล้ว หนังสือพิมพ์ก็รับมาแล้ว ผมเพิ่งจะรู้ว่าทุกเช้า คนขับรถของคุณตรีจะเป็นคนเอาหนังสือพิมพ์หลายฉบับมาส่ง ผมวางเตรียมไว้ที่โต๊ะในห้องนั่งเล่น

ผมโฉบไปดูคุณตรีที่ห้องออกกำลังกาย เขายังออกกำลังกายไม่เสร็จ คงเพราะว่ายังไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ผมจึงใช้เวลาตอนนี้ออกไปรดน้ำต้นไม้รอบๆบ้าน ซึ่งกินเวลาไปมากพอสมควร เพราะบริเวณรอบบ้านคุณตรีค่อนข้างใหญ่แต่จุดที่อยู่ไกลตัวบ้านจะมีสปริงเกอร์ติดไว้เป็นจุดๆ แต่รอบตัวบ้านที่เป็นพวกไม้ดอกไม้ประดับ จะต้องรดน้ำเองทุกวัน

กลับเข้าไปในบ้านอีกที คุณตรีก็ไม่อยู่ในห้องออกกำลังกายแล้ว ผมจึงเตรียมตัวจัดโต๊ะสำหรับอาหารเช้า

ตอนนี้ก็เป็นเวลาเกือบเจ็ดโมงเช้า อีกไม่นานคุณตรีก็น่าจะลงมา ผมจัดเตรียมข้าวต้มร้อนๆ น้ำผลไม้ส้มคั้นสด และกาแฟ ที่ไม่มั่นใจก็คงจะเป็นกาแฟ เพราะผมกินแต่กาแฟกระป๋องกับกาแฟสำเร็จรูปซองละห้าบาท แต่กาแฟที่ต้องใช้เครื่องบทกาแฟ และเครื่องทำกาแฟ ผมเคยกินแต่ไม่เคยทำ และผมก็ไม่สามารถแยกแยะได้ว่ามันดีกว่ากันยังไง ขอแค่กินแล้วตาสว่างไม่ง่วงก็เป็นอันว่าดีหมด

แต่กับคุณตรี ที่ต้องมีเครื่องทำกาแฟไว้ที่บ้าน ผมว่าเขาน่าจะรู้และแยกแยะเรื่องกาแฟได้เป็นอย่างดี ผมก็ไม่รู้ว่ารสชาติกาแฟที่ผมทำจะพอให้คุณตรีกลืนลงคอไปได้ไหม แต่ว่าผมก็ทำตามสูตรที่น้ากุ้งสองทุกขั้นตอน ไม่มีส่วนไหนขาดส่วนไหนเกิน ก็รอดูผลเอาละกัน

“ฟ้า อาหารเช้าเสร็จหรือยัง”

“ครับคุณตรี เสร็จแล้วครับ” ผมรีบวิ่งออกไปหาคุณตรี ที่เดินลงบันไดมาช้าๆ กลิ่นหอมของแชมพูและครีมอาบน้ำลอยฟุ้งอยู่รอบๆตัวเขาหอมสดชื่นจนผมอยากจะไปยืนดมใกล้ๆ แต่ก็ไม่กล้าทำเพราะมันคงจะดูโรคจิตเกินไป

เป็นความหอมสดชื่นที่ชวนให้ผ่อนคลาย

“เสร็จแล้วก็ตั้งโต๊ะเลย หยิบหนังสือพิมพ์มาให้ด้วยนะฟ้า”

“คุณตรีจะอ่านตอนทานข้าวเช้าเหรอครับ” ผมถามอย่างสงสัย

“ใช่ อ่อ แล้วก็ ตักอาหารเช้าของตัวเองมาด้วย มานั่งกินกับฉัน” เขาสั่งงานเสร็จก็เดินไปนั่งรอที่โต๊ะทานข้าว ไม่เปิดอากาศให้ผมตั้งคำถาม

ผมเลือกที่จะเอาอาหารเช้าของคุณตรีจัดใส่ถาด แล้วเอาไปเสิร์ฟให้คุณตรีก่อน จากนั้นก็เดินไปหยิบหนังสือพิมพ์มาให้เขา คุณตรีมองผมจัดวางอาหารไว้ตรงหน้า มือของเขาที่ถือหนังสือพิมพ์เปิดค้าง แต่ตามองผมแล้วขมวดคิ้วใส่

ผมถอยออกมายืนห่างจากโต๊ะทานอาหารไม่ไกลนัก เผื่อคุณตรีอยากได้อะไรเพิ่มผมจะได้คอยรับใช้ได้ทัน

“ฟ้า ไม่ได้ยินที่สั่งก่อนหน้านี้เหรอ” คุณตรีพูดเสียงเรียบ สีหน้าของเขาดูเข้มกว่าปกติ

“สั่งอะไรเหรอครับ” ผมถามกลับ อย่างระมัดระวัง

“ฉันบอกให้นายจัดอาหารของนายมานั่งกินกับฉันไง”

อ่อ เรื่องนี้นี่เอง ผมได้ยินแต่ผมไม่เข้าใจ มันคงไม่เหมาะที่เจ้าของบ้านกับคนงานในบ้านจะนั่งกินข้าวร่วมกัน

“ไม่ดีหรอกครับคุณตรี คุณตรีทานเลยเถอะครับ อยากได้อะไรเดี๋ยวผมจะยืนตรงนี้คอยรับใช้” ผมบอกแล้วยิ้มบางๆให้เขา

“อะไรที่ว่าไม่ดี” คุณตรีพับหนังสือพิมพ์เก็บ เหมือนว่าเขาจะหมดอารมณ์ที่จะสนใจมัน

“ก็คุณตรีเป็นนายจ้าง” ผมตอบ

“ฟ้า ถ้าฉันเป็นนายจ้าง ทำไมนายไม่ฟังคำสั่ง”

แล้วทำไม เขาต้องทำท่าดุขนาดนี้ด้วย

“ไม่ขัดใจฉันสิฟ้า”

“...” เหมือนผมจะลบจุดอ่อนของตัวเองได้ ที่ว่าผมไม่กล้าขัดใจเขา

“ไปตักข้าวต้มของตัวเอง แล้วมานั่งกินด้วยกัน”

“ครับ” ผมยอมเขาแต่โดยดี ไม่อยากให้เขาอารมณ์เสียตั้งแต่เช้า การเริ่มงานจริงวันแรก ผมไม่อยากให้เป็นความทรงจำที่แย่สำหรับเรา

เอาเป็นว่า ที่นั่งตรงข้ามของคุณตรี ใครก็ตามที่เป็นเจ้าของในอนาคต ผมขออนุญาตนั่งก่อนแล้วกันนะครับ








.....................................................
แหมคุณตรี ดุขนาดนี้ก็ได้เหรอ ใจเย็นๆกับน้องหน่อยไหมล่ะ ฮ่าๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่7:ดูแลคุณตรี ไม่ง่ายอย่างที่คิด 10-11-18 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 10-11-2018 22:27:34
คุณตรีไม่ค่อยแสดงออกเบยยย  ค่อยๆรุกคืบ
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่7:ดูแลคุณตรี ไม่ง่ายอย่างที่คิด 10-11-18 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 11-11-2018 00:03:17
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่7:ดูแลคุณตรี ไม่ง่ายอย่างที่คิด 10-11-18 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 11-11-2018 00:44:54
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่7:ดูแลคุณตรี ไม่ง่ายอย่างที่คิด 10-11-18 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: คุณซี ที่ 11-11-2018 01:17:15
คุณตรีดีจังงงงง ชอบผู้ชายสายเปย์แบบนี้ ฮื้ออออ
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่7:ดูแลคุณตรี ไม่ง่ายอย่างที่คิด 10-11-18 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 11-11-2018 10:30:07
คุณตรีค่อยๆต้อนฟ้าไป
เดี๋ยวฟ้าก็เข้าทาง (ก็ฟ้ามีใจอยู่)
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่7:ดูแลคุณตรี ไม่ง่ายอย่างที่คิด 10-11-18 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 11-11-2018 17:35:34
ตอนนี้คุณตรีน่าตีมากเลย

หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่7:ดูแลคุณตรี ไม่ง่ายอย่างที่คิด 10-11-18 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 12-11-2018 02:02:03
คุณตรีนี่เตรียมรุกน้องเต็มที่เลยใช่ไหมคะ อิอิ
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่7:ดูแลคุณตรี ไม่ง่ายอย่างที่คิด 10-11-18 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 12-11-2018 06:48:25
คุณตรีดุน้องใหญ่เลย ทำเป็นเข้มนะคะ 555555555
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่7:ดูแลคุณตรี ไม่ง่ายอย่างที่คิด 10-11-18 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 12-11-2018 07:25:34
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่7:ดูแลคุณตรี ไม่ง่ายอย่างที่คิด 10-11-18 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 12-11-2018 10:21:08
คุณตรีไม่ดุน้องนะคะ
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่7:ดูแลคุณตรี ไม่ง่ายอย่างที่คิด 10-11-18 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 12-11-2018 13:45:23
อยากอ่านพาทคุณตรี
อยากรู้คุณตรีคิดอะไรอยู่

 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่7:ดูแลคุณตรี ไม่ง่ายอย่างที่คิด 10-11-18 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: porjj ที่ 13-11-2018 11:36:14
น้องฟ้าน่ารักมากเลย
คุณตรีสายเปย์
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่7:ดูแลคุณตรี ไม่ง่ายอย่างที่คิด 10-11-18 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 16-11-2018 16:00:23
ชอบค่ะ ค่อยเป็นค่อยไป

แสดงออกไม่เยอะ แต่ใส่ใจเห็นๆเลยละ


หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่7:ดูแลคุณตรี ไม่ง่ายอย่างที่คิด 10-11-18 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 17-11-2018 19:46:53
แหมมมม เตรียมฟ้าให้มาเป็นคนของตรีหรอคะ
อะไรจะเนียนขนาดนั้น แล้วดูทำน้องกลัวทำไม

ฟ้าเป็นคนน่ารักดี ออกแนวระแวงตรีนิดๆ 55555

หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่7:ดูแลคุณตรี ไม่ง่ายอย่างที่คิด 10-11-18 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Jthida ที่ 17-11-2018 21:32:48
น่าร้ากกก น้องฟ้าน่ารักคุณตรีนี่ก็ หลงน้องอยู่พอตัว
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่7:ดูแลคุณตรี ไม่ง่ายอย่างที่คิด 10-11-18 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 17-11-2018 21:40:48
คุณตรีอย่าดุน้องงงงง
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่7:ดูแลคุณตรี ไม่ง่ายอย่างที่คิด 10-11-18 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 18-11-2018 18:17:56
คุณตรีนี่ทำตัวแก่เกินวัยไปมากโขเลย น้องทำตัวไม่ถูกแล้ว
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่7:ดูแลคุณตรี ไม่ง่ายอย่างที่คิด 10-11-18 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 19-11-2018 09:37:41
น้องฟ้าน่ารัก แต่คุณตรีน่ะนะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่7:ดูแลคุณตรี ไม่ง่ายอย่างที่คิด 10-11-18 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 19-11-2018 23:01:27
คุณตรีทำเป็นขรึมนะ ในใจนี่แอบหวีดความน่ารักของฟ้าอยุ่รึป่าว สายเปย์พ่อบุญทุ่มที่แท้ทรู
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่7:ดูแลคุณตรี ไม่ง่ายอย่างที่คิด 10-11-18 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 12-12-2018 11:30:37
 :L2:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่7:ดูแลคุณตรี ไม่ง่ายอย่างที่คิด 10-11-18 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 12-12-2018 23:19:41
งานหนักเลย
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่7:ดูแลคุณตรี ไม่ง่ายอย่างที่คิด 10-11-18 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 13-12-2018 16:19:50
ละมุมนุ่มลิ้นมาก  :-[
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่8:ให้ผมช่วยบรรเทาความเครียดนะคร 10-07-19 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 10-07-2019 21:49:46
CATER TO YOU
ตอนที่8
ให้ผมช่วยบรรเทาความเครียดนะครับ



“ฟ้า ทำอะไรเสร็จแล้ว ขึ้นมาเตรียมเสื้อผ้าให้ทีนะ” คุณตรีบอกกับผมด้วยเสียงงัวเงีย พลางลุกออกจากเตียงเดินเข้าไปในห้องน้ำ เพื่อธุระในยามเช้า

“ได้ครับ” ผมตอบรับด้วยความไม่ค่อยมั่นใจ

อีกหนึ่งหน้าที่หลังจากที่ผมกลายมาเป็นพ่อบ้านให้คุณตรีก็คือการปลุกเขาในตอนเช้า ผมไม่เคยเห็นคุณตรีตื่นก่อนผมมาอีกเลย นับตั้งแต่ที่ผมมาทำงานกับเขา คงเพราะไม่ต้องลงไปรออาหารเช้าจากผมเหมือนเมื่อก่อน

วันนี้เป็นวันที่สองที่คุณตรีออกไปทำงานอย่างจริงจัง เมื่อวานเขาไปทำงานเป็นวันแรก ผมค่อนข้างประหม่าเพราะไม่รู้ว่าผมจะต้องทำอะไรเพิ่มเติมบ้าง ก็ต้องรอให้คุณตรีเรียกให้มาช่วยเรื่องเครื่องแต่งกายของเขา มันก็ไม่ใช่งานที่ผมจำเป็นต้องทำโดยตรง แต่คุณตรีก็เรียกมาบอกว่าของแต่ละชิ้นอยู่ตรงไหน ใช้งานยังไง เก็บรักษายังไงแบบคร่าวๆ เผื่อในวันที่เร่งรีบ ผมจะได้ช่วยคุณตรีหาของเตรียมของได้ถูก

เอาเข้าจริงๆ ผมยังคงไม่เข้าใจและยังคงงงกับอุปกรณ์เครื่องแต่งกายของคุณตรีที่มีเยอะชิ้น ในชีวิตผมรู้จักแค่ เสื้อ กางเกง กางเกงชั้นใน เข็มขัด หมวก กระเป๋า รองเท้า ผมรู้แค่นี้ เรื่องเบสิกพื้นฐาน แต่กับคุณตรีแล้วไม่ใช่ มันมีแยกย่อยไปมากกว่านั้น เครื่องประดับของผู้ชายที่ผมไม่เคยคิดว่ามันมี มันก็มี บอกเลยว่าความเป็นคุณตรีในเรื่องแฟชั่นทำเอาผมมึนตึบ

ปลุกคุณตรีในตอนเช้าแล้ว ผมก็ลงไปเตรียมเครื่องดื่มและผ้าขนหนูสำหรับใช้ออกกำลังกายให้คุณตรี หลังจากครั้งก่อนที่ทำพลาด ตอนนี้ถ้าเข้าบ้านมาแล้วผมจะจัดการเปิดเครื่องปรับอากาศภายในห้องนั่งเล่นและห้องออกกำลังกายไว้ก่อนเลย จากนั้นค่อยขึ้นไปปลุกคุณตรี

ทำงานด้านล่างเสร็จ ผมก็ขึ้นไปจัดชุดให้คุณตรี ซึ่งผมไม่รู้ว่าผมจะทำมันได้ดีไหม ผมไม่มีความสามารถในเรื่องแฟชั่นสักเท่าไหร่ ไม่ต้องพูดถึงชุดสูททำงานเต็มยศ ผมยิ่งไม่มีความรู้เลยแม้แต่นิดเดียว

ห้องแต่งตัวของคุณตรี จะอยู่ด้านหน้าห้องน้ำ ผมยืนหมุนรอบตัวสามร้อยหกสิบองศา ก็ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน

“ลองเปิดหาดูในอินเตอร์เน็ตก็คงได้มั้ง” ผมพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะหยิบแทบเลตที่คุณตรีให้มาไว้ใช้ทำงานขึ้นมาเสิร์ชหาดูชุดทำงาน

อย่างแรก ก็คงต้องเลือกชุดสูทกับกางเกงให้เข้ากับเสื้อเชิ้ตตัวในสินะ

“เอาสีอะไรดีอ่ะ” แล้วก็ต้องมาคิดหนักกับเรื่องสีอีก

เมื่อวานคุณตรีใส่สีเทาไปแล้ว และวันนี้วันอังคาร จะให้สีชมพูตามวันก็คงไม่ใช่ แถมในตู้เสื้อผ้าของคุณตรีก็ไม่มีเสื้อผ้าที่เป็นสีชมพูสักชิ้น ถ้ามีก็คงน่าแปลกยิ่งกว่า

ผมลองไล่แบบชุดสูทของคุณตรีในตู้ดู ผมว่าสีน้ำแบบที่คุณตรีชอบสวย สีแดงเลือดหมูเข้มก็สวยดี แต่ผมคิดว่าวันนี้เอาเป็นสีน้ำเงินก่อนแล้วกัน ถ้าเขาซื้อมาไว้ในตู้ขนาดนี้ ก็คงต้องชอบมันนั่นแหละ

“ต่อมาก็เสื้อข้างใน”

ผมเอาชุดสูทออกมาแขวนไว้ที่ราวเตรียมชุด จากนั้นก็เดินไล่ไปดูเสื้อด้านใน ทันทีที่ปลายนิ้วได้สัมผัสกับเนื้อผ้า ความนุ่มลื่นชวนให้สบายผิว ถ้ามันไปอยู่บนตัวของคุณตรี ผิวของเขาคงจะรู้สึกสบายไปทั้งวัน แค่คิดผมก็รู้สึกดีแทนคุณตรีแล้ว

ดังนั้นผมจะเลือกเสื้อตัวนี้ แม้ว่าเสื้อทุกตัวของคุณตรีจะเป็นของชั้นดี ผ้านิ่มลื่นทุกตัว แต่ว่าสีฟ้าอ่อนแบบนี้เหมาะกับสีน้ำเงินเข้มที่สุดในสายตาของผม ต่อมาก็ในส่วนขอเนคไท

“อันนี้ยากแหะ”

ผมเลื่อนลิ้นชักเก็บเนคไทของคุณตรีออกมาดู เนคไทแต่ละเส้นจะถูกม้วนเก็บอย่างดีเป็นช่องๆ ผมไล่นิ้วดูเนคไททีละเส้นด้วยความตั้งใจ พลางมองไปที่ชุดเพื่อเปรียบเทียบ

“นี่ เส้นนี้” ผมคิดว่าผมเจอเส้นที่น่าจะเข้ากับชุดของคุณตรีได้ หากดูตัวอย่างจากในอินเตอร์เน็ตแล้ว ผมว่าเนคไทสีฟ้าอ่อนโทนเดียวกับเสื้อด้านในนี้น่าจะเหมาะ มีลูกเล่นเป็นจุดสีน้ำเงินเข้ม เข้ากับชุดสูทด้านนอก พอลองเอาไปทาบกับชุดทั้งหมดที่เตรียมไว้ ก็ดูไม่แย่

“ผ้าเช็ดหน้า สีขาวก็น่าจะง่ายดี” ผมเดินไปหยิบผ้าเช็ดหน้ามาพับแล้วเสียบไว้ที่กระเป๋าเสื้อสูทด้านหน้า

“ฟ้า ทำอะไรอยู่” เสียงของคุณดังเข้ามาในห้องแต่งตัว ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู

“ตายห่า ใช้เวลานานเกือบชั่วโมงเลยเหรอวะเนี่ย” ผมบ่นกับตัวเอง แล้วพาดเนคไทเข้ากับชุด ก่อนจะรีบออกไปหาคุณตรี

“ครับคุณตรี ผมจัดชุดให้อยู่ครับ แต่ว่ายังจัดไม่เสร็จเลยครับ เหลือที่ติดกระดุมข้อแขน เข็มขัด แล้วก็ถุงเท้า” ผมบอกเขา ตัวเองก็ถึงได้รู้ว่ายังเหลืออีกหลายอย่างที่ยังไม่เสร็จ

“อืม ไม่เป็นไร ที่เหลือฉันทำเอง ค่อยๆหัดทำไป อีกหน่อยนายจะคล่องขึ้น”

“ครับ”

“ลงไปเตรียมอาหารเถอะ เดี๋ยวฉันจะอาบน้ำและแต่งตัว ถ้ามีอะไรให้ช่วยจะเรียก”

“ครับ แล้ววันนี้อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมครับ” ผมลองสอบถามเขาดู ผมทำเป็นหลายเมนูมากขึ้น อย่างน้อยๆตอนนี้ก็สามารถทำโจ๊กอร่อยๆแบบในตลาดที่ผมชอบไปกินได้ ก็แอบไปถามสูตรแม่ค้าเขามา ดีที่ป้าแกเอ็นดูผม เลยไม่หวงสูตร ผมก็เลยได้เอามาทำให้คุณตรีทาน ซึ่งคุณตรีก็ดูจะชอบด้วย

“อะไรก็ได้ ทำมาเถอะ ของ่ายๆก็พอ วันนี้ฉันมีประชุมแต่เช้า”

“ได้ครับ”

เพิ่งจะไปทำงานได้วันเดียว คุณตรีก็มีประชุมแล้วเหรอ คนที่เขาทำงานระดับสูงๆ ชีวิตดูเคร่งเครียดอย่างบอกไม่ถูก เทียบกับผมแล้ว คุณตรีดูแก่กว่าผมไปสิบปี ไม่ใช่ที่หน้าตา แต่เป็นการใช้ชีวิต ผมอยากให้เขาใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลาย แต่ก็รู้ว่าคงเป็นแบบนั้นได้ยาก ด้วยภาระที่เขาต้องแบกรับไว้ ซึ่งผมประเมินไม่ได้ว่ามันมากขนาดไหน

ผมลงมาทำอาหารเช้าให้คุณตรี วันนี้ทำของง่ายๆ ที่ผมก็เคยทำเป็นอยู่แล้วอย่างแซนวิช จะพิเศษกว่าเดิมก็ตรงที่วัตถุดิบ เพราะเป็นของดีและเป็นของที่คุณตรีชอบ อย่างอกไก่ อะโวคาโด แครอท และมะเขือเทศ

อาหารเช้าอีกอย่างที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับคุณตรีก็คือกาแฟ อาทิตย์แรกผมโดนคุณตรีบ่นเรื่องทำกาแฟรสชาติไม่ได้อย่างที่เขาต้องการ เพราะผมยังกะปริมาณและอุณหภูมิความร้อนของน้ำไม่ได้ แต่สองวันที่แล้ว คุณตรีดื่มกาแฟก็ไม่ได้ว่าอะไร ผมคิดว่าตอนนี้ฝีมือการทำกาแฟของผมพอจะเข้าขั้นที่เขาพอใจ

“ฟ้า เสร็จหรือยัง” ผมได้ยินเสียงฝีเท้าของคุณตรีวิ่งลงมาจากบ้าน ผมชะโงกหน้าไปดู เห็นคุณตรีรีบร้อน เนคไทของเขายังผูกไม่เรียบร้อยเลย

“เสร็จแล้วครับ คุณตรีนั่งรอที่โต๊ะได้เลย เดี๋ยวผมเอายกไปเสิร์ฟให้ครับ” ผมตะโกนบอกกับคุณตรี ก่อนจะเร่งมือจัดอาหารใส่ถาดแล้วยกไปให้คนที่ดูเหมือนว่าจะไปทำงานสาย

“คุณตรีทานไปก่อนเลยนะครับ ไม่ต้องรอผม ขอผมยังทำไม่เสร็จ” ทุกวันคุณตรีบังคับให้ผมทานข้าวเช้าและข้าวเย็นเป็นเพื่อน แต่วันนี้ถ้าต้องให้เขารอผม เขาจะต้องไปทำงานสายอย่างแน่นอน

“อืม ไม่เป็นไร” คุณตรีลงมือทานมื้อเช้า ผมยืนมองเขา พิจารณาคุณตรีตั้งแต่ใบหน้าไปตามลำคอ ลงไปยังร่างกายของเขา ชุดที่เขาใส่เป็นชุดที่ผมเตรียมไว้ให้ เขาไม่เคยบอกว่าผมทำได้ดีหรือแย่ เขาแค่หยิบไปใส่เองทุกวัน แต่วันนี้ที่แสนจะเร่งรีบ เสื้อผ้าหน้าผมของเขาเลยดูไม่เนี๊ยบอย่างเคย แต่ถ้าคนไม่เคยเห็นความเนี๊ยบแบบฉบับปกติของคุณตรี ก็ยังต้องบอกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ก็ดูสมบูรณ์แบบสุดๆแล้ว

“ฟ้า”

“อ่ะ ครับ”

“ยืนทำอะไร ไปทำอาหารเช้ามากินสิ”

“อ่อ ครับๆ”

ผมมัวแต่ยืนเหม่อจ้องมองคุณตรีจนลืมไปเลยว่าตัวเองต้องไปทำอะไร

ผมรีบไปทำอาหารของตัวเอง ซึ่งก็ใช้เวลาแค่นิดเดียว เพราะส่วนผสมต่างๆก็เตรียมไว้ตั้งแต่ทำของคุณตรีแล้ว อาหารที่ผมกินก็เป็นอย่างเดียวกับที่ทำให้เขา จะได้ไม่ได้สิ้นเปลืองเวลาในการทำ

ผมทำอาหารเสร็จก็เดินไปนั่งทานกับคุณตรีที่โต๊ะ เขาทานเสร็จพอดี คุณตรีดื่มน้ำส้มจนหมดแก้ว แล้วรินน้ำส้มในเหยือกดื่มต่อเป็นแก้วที่สอง

“ฉันไปทำงานก่อนนะ มีอะไรก็โทรหาได้ตลอด” คุณตรีพูด เป็นประโยคที่เขาบอกกับผมเวลาที่เขาจะออกไปไหนมาไหน

“คุณตรีครับ เนคไทยังไม่เรียบร้อยเลยครับ” ผมเตือนก่อนที่เขาจะออกจากบ้าน คุณตรีกำลังสาละวนอยู่กับโทรศัพท์มือถือ

“มาช่วยจัดให้หน่อย” เขาบอก ยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูก่อนจะพูดสั่งงานกับใครสักคน คาดว่าน่าจะเป็นเลขาของเขา ตามที่ดูละครในโทรทัศน์ ผมว่ามันจะต้องเป็นแบบนั้น

ผมขยับไปยืนตรงหน้าคุณตรี แล้วช่วยจับปกคอเสื้อ แล้วจัดการปลดเนคไทออกก่อนจะผูกให้ใหม่ โชคยังดีที่ผมมีพรสวรรค์ในด้านนี้ เวลาที่ผมผูกเนคไทไปสอบ อาจารย์ชอบชมว่าผมผูกสวยเป็นระเบียบดี คงเป็นงานอย่างแรกที่ผมสามารถทำได้ดีตั้งแต่ครั้งแรกเพื่อเขา

ระหว่างที่ผมผูกเนคไท ผมรู้สึกว่าโดนจ้อง ก็เลยชอนสายตามองด้านบน สายตาคมของเขากำลังจ้องผมอยู่ เสียงแววจากปลายสายดังเล็ดลอดออกมาจากโทรศัพท์ ผมไม่รู้ว่าเขากำลังต้องใจฟังคนที่เขาโทรหา หรือกำลังจดจ้องอยู่กับการผูกเนคไทของผมกันแน่

แต่จ้องกันแบบนี้ผมประหม่านะ แถมยังใจเต้นแรงอีกด้วย

“อืมๆ แค่นี้แหละ ผมกำลังจะออกจากบ้าน ไปถึงก็เตรียมเอกสารไว้ให้พร้อมด้วย” ขนาดตอนเขาพูด เขายังไม่เลิกจ้องผมเลย

“เสร็จแล้วครับ” ผมบอกเขาเสียงเบา ก่อนจะถอยออกห่าง คุณตรีก้มมองเนคไทของตัวเอง แล้วริมฝีปากของเขาก็คลี่ยิ้มเล็กน้อย

“ผูกสวยดีนิ งั้นตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป หน้าที่ของนายคือผูกเนคไทให้ฉันทุกวัน ตานนี้นะ ฉันไปทำงานก่อนละ อยู่บ้านดีๆ” เขาขยี้หัวผมจนขึ้นฟู แล้วก็เดินออกไป ทิ้งให้ผมยืนนิ่งค้างเติ่งกับความอารมณ์ดีของเขาที่เปลี่ยนไวจนตั้งตัวไม่ถูก ตอนคุยเรื่องงานยังเครียดอยู่เลย

“ผูกเนคไททุกวันอย่างนั้นเหรอ” ผมพึมพำ

ก็ไม่ยากหรอก แต่ไม่ง่ายต่อใจเลยจริงๆ




ผมใช้เวลาไม่นาน ก็ทำงานที่ทำเสร็จจนหมด เป็นแบบนี้ทุกวัน ช่วงบ่ายสามเป็นต้นไป ผมจะว่างมากถึงมากที่สุด แต่ผมก็ไม่ได้อู้งานนะ ผมใช้เวลาว่างในการหาข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวกับการดูแลคุณตรี ก็ได้แทปเลตที่เขาให้มาช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย แถมบ้านคุณตรียังมีอินเตอร์เน็ตฟรี หาข้อมูลอะไรก็เจออย่างรวดเร็ว

เวลาว่างช่วงนี้ ผมก็เอาไปลองทำอาหารบ้าง ฝึกมือไปเรื่อยๆ เพราะที่ยากที่สุดสำหรับผมก็คือการทำอาหาร ผมอยากทำให้ได้หลายๆอย่าง แต่ว่าหลายๆอย่างที่ว่าก็ต้องทำออกมาอร่อยด้วย ไม่งั้นก็เปล่าประโยชน์

จนกระทั่งตกเย็น ผมทำกับข้าวเย็นรอไว้ ถ้าวันไหนคุณตรีมีนัดออกไปกินข้าวข้างนอกเขาจะบอกก่อนล่วงหน้า แต่ถ้าไม่ ก็คือเขาจะกลับมากินข้าวที่บ้าน ซึ่งผมก็มีหน้าที่ที่จะต้องนั่งกินเป็นเพื่อน

ตั้งแต่มาทำงานกับคุณตรี ผมประหยัดค่ากับข้าวไปเลย เพราะทั้งสามมื้อผมกินที่บ้านคุณตรี ไม่กินก็ไม่ได้ เจ้าของบ้านเขาบังคับ

เย็นนี้ผมทำกับข้าวรอไว้แล้วสามอย่าง รอเวลาแค่คุณตรีกลับมา ผมใช้เวลาช่วงห้าโมงเย็นออกไปยืนรถน้ำต้นไม้ บรรยากาศในสวยของคุณตรีร่มรื่นน่ามาผูกเปลนอน ไว้ว่างๆผมจะขอต้นไม้ต้นใหญ่ของคุณตรีสักต้นมาผูกเปล

เสียงรถยนต์แล่นเข้ามาเรื่อยๆ ผมได้ยินแล้วก็รีบไปปิดน้ำ เอามือที่เปียกเช็ดกับกางเกง ก่อนจะออกเปิดประตูรอให้รถของคุณตรีขับเข้ามาในบ้าน

“สวัสดีครับน้าภาพ” ผมยกมือไหว้น้าคนขับรถของคุณตรี

“สวัสดีๆ” น้าเขายิ้มกว้าง เป็นคนที่อารมณ์ดีตลอดเวลา วันไหนที่ลุงเขามาล้างรถ ผมชอบได้ยินน้าเขาร้องเพลงลูกทุ่งคลอไปด้วย เสียงเพราะด้วยนะ
“ผมถือให้นะครับคุณตรี” ผมรีบเข้าไปรับเสื้อสูทของเขากับกระเป๋าใส่เอกสารมาถือ

“ขอบใจ วันนี้ผมคงไม่ออกไปไหนแล้วนะครับน้า น้ากลับไปพักผ่อนได้เลย”

“ขอบคุณครับคุณตรี”

“เข้าบ้านกับฟ้า” คุณตรีพูดกับผม แล้วเดินนำเข้าไปในบ้าน เขาเริ่มปลดเนคไทแล้วก็ปลดกระดุมแขนเสื้อ ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา

ผมรีบเอาของไปเก็บไว้ในห้องคุณตรี แล้วลงมาเอาเครื่องดื่มเย็นๆที่ผมเตรียมเอาไว้มาเสิร์ฟให้คุณตรีดื่มแก้กระหาย จะได้รู้สึกสดชื่นขึ้น

“น้ำครับคุณตรี วันนี้เป็นน้ำทับทิมนะครับ” ผมบอก

“ขอบใจนะ ฟ้า ขอยาแก้ปวดหน่อยสิ” คุณตรีใช้นิ้วนวดที่ขมับ ผมมองใบหน้าที่ค่อนข้างตึงเครียดของเขาด้วยความสงสัย

“คุณตรีป่วยเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ผมลองสอบถามดู พอมาสังเกตดูดีๆ หน้าของเขาค่อนข้างจะซีด

“เครียดเรื่องงานนิดหน่อย เลยปวดหัว กินยาแก้ปวดแล้วก็คงหาย”

“แน่ใจนะครับว่าไม่ได้มีอาการอย่างอื่นเพิ่ม”

“นายก็ตรวจให้ฉันสิ” เขายักคิ้วใส่ผม ไม่สบายแล้วยังจะทำเล่น

“ผมขออนุญาตนะครับ” ผมเอ่ยขอ ก่อนจะใช้ฝ่ามือแตะที่หน้าผากของเขา ตัวไม่ร้อน แสดงว่าไม่มีไข้

“มือเย็น” คุณตรีพูด

“ครับ ผมเป็นคนมือเย็น”

“ถ้าฉันเป็นไข้ จะใช้ฝ่ามือนายแทนผ้าชุบน้ำเย็นได้ไหม” เขาถามด้วยสีหน้าที่เหมือนจะจริงจัง

“มันจะใช้แทนกันได้ยังไงล่ะครับ มือผมไม่ได้เย็นเป็นน้ำแข็งสักหน่อย รอตรงนี้นะครับ เดี๋ยวผมจะไปหยิบยาแก้ปวดหัวมาให้”

“มันก็เย็นสบายเหมือนกันแหละน่า” เขาบ่นเบาๆ ผมส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปหยิบยาแก้ปวดหัวมาให้เขากิน

จากนั้นเขาก็ขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนผมก็เตรียมตั้งโต๊ะอาหารเย็น คุณตรีจะกินข้าวเย็นตอนหกโมงโดยประมาณ ซึ่งพอกินข้าวและเก็บล้างเสร็จ งานของผมในวันนั้นก็เป็นอันเสร็จสิ้น ผมก็กลับหอไปพักได้

“ฟ้า คืนนี้อยู่ล่วงเวลาหน่อยได้ไหม” คุณตรีที่อาบน้ำจนหอมฉุยเดินมานั่งที่โต๊ะทานข้าว

“คุณตรีมีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ” ผมถาม

“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก คืนนี้ฉันยังต้องทำงานอีกนาน เลยว่าจะให้อยู่ช่วยเวลาที่ต้องการอะไร”

“ได้ครับ ผมไม่มีอะไรต้องทำ การบ้านก็กับรายงานก็ทำเสร็จหมดแล้ว” ผมตอบ

“อืม ขอบใจ”

“ยินดีครับ”

นอกจากความสุขในการอยู่รับใช้เขาแล้ว อย่าลืมนะครับว่าเงินค่าจ้างล่วงเวลาก็เยอะมากๆเลย หากสามารถหาเงินเก็บเอาไว้ใช้ในยามจำเป็นได้เยอะเท่าไหร่ มันก็จะเป็นผลดีสำหรับคนตัวคนเดียวอย่างผมมากเท่านั้น

“อันนี้อร่อย” เขาใช้ช้อนชี้ที่จานผัดหมูสับถั่วฝักยาวใส่ใบโหระพา

“อร่อยก็ทานเยอะๆนะครับ” ผมใช้ช้อนกลางตักกับข้าวให้เขา เขามองแล้วก็ตักข้าวพร้อมกับที่ผมตักให้เข้าปากกินไปเงียบๆ

“นายเองก็กินเยอะๆฟ้า ช่วงเวลาว่างๆไม่มีอะไรทำ ก็ไปใช้ห้องออกกำลังกายได้ สุขภาพร่างกายจะได้แข็งแรง” คุณตรีพูด แล้วก็เป็นฝ่ายตักกับข้าวมาให้ผมบ้าง

“ผมใช้ไม่เป็นหรอกครับ” เครื่องใหญ่ๆ ปุ่มกดเยอะแยะ ผมกลัวจะไปทำพัง

“ของแบบนี้มันต้องมีครั้งแรกทั้งนั้น ไม่มีใครทำเป็นมาตั้งแต่เกิดหรอกนะ”

“ครับ” มันก็จริงของเขา

“ไว้วันหยุด ฉันจะสอนก็แล้วกัน นายก็เตรียมชุดออกกำลังกายมาด้วย”

“ได้ครับ”

“นายใส่รองเท้าเบอร์อะไร”

“สี่สิบสองครับ”

“อืม เดี๋ยวฉันไปหยิบรองเท้าของฉันมาให้ ฝากเขาซื้อแต่เขาส่งไซส์มาให้ผิด นายก็เอาไปใช้แล้วกัน”

“จะดีเหรอครับคุณตรี ถ้าสั่งมาผิด ก็ส่งไปคืนเขาได้ไม่ใช่เหรอครับ”

“ส่งไปไม่ได้แล้วล่ะ ฉันก็ซื้อคู่ใหม่มาแล้วคู่นั้นเก็บไว้ก็ไม่ได้ใช้ ถ้านายไม่เอา ก็คงต้องทิ้ง”

ทิ้ง! ทิ้งอีกแล้วเหรอ

“คุณตรีครับ จะทิ้งได้ยังไง ของใหม่ขนาดนั้น” ผมพูดเสียงอ่อย ยอมใจกับความสุรุ่ยสุร่ายของเขาจริงๆ

“ก็มันไม่มีคนใช้นี่”

“...”

“ฉันก็ไม่ได้อยากจะบังคับให้นายรับไปนะ แต่ของมันไม่ได้ใช้ เก็บไว้มันก็น่าเสียดาย เห็นเป็นไซส์นาย ฉันก็เลยยกให้”

“งั้นผมขอซื้อต่อได้ไหมครับ ถ้าให้ฟรีๆเลย ผมเกรงใจ”

“แน่ใจ” เขาเลิกคิ้วถาม รวบช้อนทานข้าวไว้กลางจาน หยิบผ้าสะอาดขึ้นมาเช็ดริมฝีปากก่อนจะดื่มน้ำตาม

“แน่ใจครับ ผมชอซื้อดีกว่าที่จะรับของๆเขาฟรี”

“สามหมื่นนะฟ้า”

“ห๊า”

อะไรนะ สามหมื่น!

“ทำไมมันแพงอย่างนี้อ่ะ รองเท้าผ้าใบของผมที่ใช้ก็ว่าแพงแล้วนะ ห้าร้อยเก้าสิบเก้า ผมซื้อมือสองมาจากตลาดนัด ตอนซื้อก็คิดแล้วคิดอีก แล้วรองเท้าที่คุณตรีซื้อมานี่อะไร สามหมื่น!

“คนละครึ่งทางแล้วกัน ฉันจะขายต่อให้ ในราคาคืนนี้ ที่นายจะอยู่ล่วงเวลาให้ฉัน” เขาเสนอทางออกให้ผม ที่ผมคิดว่า...มันก็โอเคสำหรับผมอยู่ ไม่ต้องได้ค่าล่วงเวลาก็ได้ แต่ไม่ใช่ต้องเสียเงินเดือนทั้งเดือนเพื่อรองเท้าหนึ่งคู่

“เอาแบบนั้นก็ได้ครับ” ผมตอบรับข้อเสนอ แล้วก็ลุกขึ้นเก็บจานชามไปล้างในครัว คุณตรีเดินตามมายืนมองผมทำงาน ผมหันไปมองเขาด้วยความสงสัย

“คุณตรีอยากได้อะไรไหมครับ” ผมถาม

“ฟ้า ไม่สบายใจเรื่องรองเท้าหรือเปล่า ฉันไม่ได้บังคับนะ ถ้านายไม่อยากได้ ก็ไม่เป็นไร”

ทำไมเขาถึงถามแบบนั้น ผมเผลอทำสีหน้าที่ไม่โอเคออกไปโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า

“ทำไมคุณตรีถึงคิดอย่างนั้นล่ะครับ ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”

“ฉันรู้ว่าสำหรับนาย เงินทองมันหายาก ถ้าจะต้องมาเสียเงินหลักหมื่นเพราะรองเท้าหนึ่งคู่ มันก็คงมากเกินไป”

“แต่คุณตรีก็บอกว่าจะหักจากค่าล่วงเวลานิครับ ผมก็แค่ต้องอยู่ดึกกว่าเดิมแค่นั้นเอง ไม่ได้เสียอะไรสักหน่อย”

“...” เขาเงียบ เอาแต่จ้องหน้าผม ทำเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่พูด ผมจ้องเข้าไปในดวงตาของเขา อยากลองค้นหาสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ในใจ

“คุณตรีอย่าคิดมากเลยครับ ผมไม่ได้รู้สึกว่าโดนบังคับอะไร กลับกัน ถ้าคุณตรีให้ผมฟรีๆ ผมจะรู้สึกแย่ยิ่งกว่า”

ผมคิดอย่างที่ตัวเองพูดจริงๆ ถ้าพูดถึงจำนวนเงินที่จะต้องหายไปจากการทำงานล่วงเวลา มันก็น่าเสียดายอยู่ แต่ค่าล่วงเวลาที่คุณตรีให้ก็เป็นจำนวนที่มากเกินกว่าที่ผมเคยได้หลายเท่า อีกอย่างถ้าไม่รวมค่าล่วงเวลา เงินเดือนและความสบายในการทำงานที่คุณตรีให้ผม ก็มากกว่าที่ผมทำงานรับส่งอาหารกับทำงานที่ร้านอาหารทั้งเดือนรวมกันเสียอีก ดังนั้นผมไม่คิดว่าการเสียเวลาแค่สามสี่ชั่วโมงของคืนนี้แลกกับรองเท้าผ้าใบดีๆสักคู่ก็ไม่ได้เสียหายอะไร

“อย่าฝืนใจนะฟ้า ฉันไม่อยากให้เป็นคนที่ทำให้นายเดือดร้อน” เขาดูกังวลมากจริงๆ จนผมต้องแอบอมยิ้มในใจ

“ผมไม่เดือดร้อนหรอกครับ จริงๆนะ คุณตรีไม่ต้องกังวลเลยครับ ผมเองก็ไม่ค่อยได้ซื้ออะไรดีๆให้ตัวเอง จ่ายค่าความสุขให้ตัวเองบ้างก็คงดี”

“มันจะดีกว่านี้ถ้านายรับไปเลย ยังไงฉันก็ไม่ได้ใช้ เก็บไว้ก็เสียของ”

“แบบนั้นไม่ดีหรอกครับ เพราะผมจะไม่สบายใจ”

“ก็ได้ แต่อย่าลืมนะ ถ้าอะไรที่ฉันทำให้นายไม่สบายใจก็บอกได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ”

ไม่ต้องเกรงใจได้ยังไง ถึงคุณตรีจะทำให้ผมไม่สบายใจ ผมก็ไม่บอกเขาหรอก ใครจะไปกล้า

“ครับ” แต่ก็ต้องรับคำไปเพื่อให้เขาสบายใจ คุณตรีมีเรื่องที่ต้องคิดต้องเครียดอีกเยอะ เขาไม่ควรที่จะต้องมาคิดมากเรื่องของผมอีกเรื่อง มันไม่สมควรเลยแม้แต่นิดเดียว

“ฉันขึ้นไปทำงานนะ ถ้าทำอะไรเสร็จแล้ว ฉันขอชาร้อนสักกาก็แล้วกัน”

“คุณตรีจะรับชาอะไรดีครับ”

ชาที่บ้านคุณตรีมีหลายแบบมาก ทั้งชาไทย ชาจีน และพวกชาต่างประเทศต่างๆ ผมยังไม่มีเวลาพอที่จะศึกษาเรื่องนี้ ปกติที่จะชงไปเสิร์ฟเขาก็พวกชาง่ายๆที่ตัวเองรู้อย่างชาเขียว ชามะลิพวกนี้

“เอาเป็นชาผลไม้ก็ได้ เลือกมาเลย”

“ได้ครับ เสร็จแล้วผมจะเอาขึ้นไปเสิร์ฟนะครับ”

“อืม ฝากด้วย”

หลังคุณตรีขึ้นไปทำงาน ผมก็เก็บล้างทำความสะอาดในครัว แล้วต้มน้ำเตรียมชงชาร้อนให้คุณตรี

“เอาชาอะไรดีนะ คุณตรีบอกว่าอยากดื่มชาผลไม้ แล้วจะเอารสอะไรดีล่ะ มีหลายรสซะด้วย” ผมหยิบกล่องชาออกมาดูทีละกล่อง แล้วก็เอามาดม ผมไม่เคยดื่มชาพวกนี้มาก่อน ก็เลยไม่รู้ว่ารสชาติมันจะเป็นยังไง เลยเลือกกลิ่นที่ตัวเองคิดว่าน่าจะผ่อนคลายอย่างชาผลไม้รวม ผมคิดว่านะ มันเขียนว่า Mix fruits มันก็น่าจะรวมๆกัน กลิ่นก็หอมหวานอมเปรี้ยวดี ผมคิดว่าดื่มแล้วน่าจะสดชื่น

พอน้ำร้อนในกาต้มน้ำเดือดได้ที่ ผมก็ยกกาน้ำร้อนมารินใส่กาต้มชาอย่างช้าๆ เพื่อให้ความร้อนค่อยๆไหลผ่านซองชา น้ากุ้งบอกว่าทำแบบนี้จะได้กลิ่นหอมและรสชาติพอดี ไม่อ่อนและไม่เข้มจนเกินไป ผมไม่ใช่คนดื่มชาเป็น ก็แยกไม่ออกว่ามันจะดีกว่ากันยังไง แต่ขอแค่คุณตรีพอใจ ต่อให้มันดูเป็นงานที่ยากสำหรับผม ผมก็พร้อมที่จะศึกษา

“ขออนุญาตครับคุณตรี” ผมเคาะประตูหองทำงาน แล้วเปิดประตูเข้าไป คุณตรีที่กำลังหลับตานั่งเอนหลังพิงเก้าอี้ทำงานลืมตาขึ้น คิ้วของเขายังขมวดเป็นปมอยู่เลย

“มาแล้วเหรอ” เขาถาม

“เครียดเหรอครับ” ผมอยากรู้ว่างานเขามันมีปัญหาที่ตรงไหน ถึงทำให้เขาเครียดได้ขนาดนี้

“อืม งานมันวุ่นวายนิดหน่อย”

ผมว่าไม่น่าจะนิดหน่อยแล้วนะแบบนี้ ถ้ามองดีๆจะเห็นเลยว่าเส้นเลือดตรงขมับของคุณตรีปูดนูนขึ้นมาจนเห็นชัดเป็นเส้น

“จิบชาร้อนๆนะครับ จะได้สดชื่น” ผมรินน้ำชาใส่ถ้วยให้คุณตรี ก่อนจะออกไปเอาผ้าชุบน้ำเย็นมาให้คุณตรีเช็ดหน้า

“ฟ้า มานวดขมับให้หน่อยสิ”

“ครับ?” ผมถามย้ำถึงความต้องการของเขาอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจ

“นวดขมับให้หน่อย ปวดหัว”

คุณตรีอายุมากกว่าผมแค่นิดเดียว แต่เขาต้องเจอกับอะไรที่ผมไม่สามารถคาดเดาได้ ความเครียดและความกดดันเหล่านี้น่ากลัวมากสำหรับผม

ผมเดินอ้อมไปด้านหลังเก้าอี้ของเขา คุณตรีทิ้งตัวเอนกับพนักเก้าอี้อีกครั้ง ผมเอ่ยขออนุญาตแล้วใช้ผ้าเย็นเช็ดไปตามใบหน้าของเขา จากนั้นก็เริ่มต้นนวดที่ขมับให้เขาอย่างเบามือ

ตอนเด็กๆผมเคยนวดให้ลุงชัย ลุงบอกว่าผมนวดเก่งนวดดีเหมือนไปเรียนมา ไม่รู้ว่าลุงแกล้งชมหรือเปล่า แต่ผมจะลองทำให้คุณตรีดู

ผมนวดให้เขาอยู่สักพัก เห็นสีหน้าเขาผ่อนคลายลงผมก็ระบายยิ้มบางๆด้วยความพอใจ

“สบายไหมครับ” ผมถาม

“อืม สบาย”

สบายก็ดีแล้ว

“ฟ้า”

“ครับ”

คุณตรีจับมือผมเหมือนให้หยุด แต่เขาไม่ยอมปล่อยมือ ดวงตาของเขาค่อยๆเปิดขึ้นแล้วจ้องตาผมทั้งๆที่ยังกลับหัวกลับหาง

มือของเขาที่กุมมือผมไว้ บีบกระชับให้แน่นขึ้นเล็กน้อย

“ขอบใจนะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนฟังระรื่นหูจนผมแทบเคลิ้ม

ผมยิ้มให้เขา แล้วลองบีบมือเขากลับดูบ้าง

“ด้วยความยินดีครับ”

ผมบอกแล้วไง เพื่อเขา ผมเต็มใจทำให้ทุกอย่าง




........................................
สวัสดีค่ะ
ริริกลับมาแล้วนะคะ จะกลับมาลงนิยายต่อให้จนจบแล้ว
ขอโทษที่หายไปนาน แต่เราจะไม่หนีหายไปไหนอีกแล้ว
>_<







หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่8:ให้ผมช่วยบรรเทาความเครียดนะคร 10-07-19 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 10-07-2019 23:54:44
น้องฟ้าพัฒนาทักษะพ่อบ้านขึ้นเรื่อยๆ เก่งมากครับ :กอด1:
แหนะ คุณตรี เห็นนะคะว่าแอบหยอดน้องฟ้าเนียนๆ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่8:ให้ผมช่วยบรรเทาความเครียดนะคร 10-07-19 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 11-07-2019 01:11:09
ดูแลคุณตรีเก่งขึ้นเรื่อยๆแน่นอนค้าบ
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่8:ให้ผมช่วยบรรเทาความเครียดนะคร 10-07-19 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 11-07-2019 07:49:45
น้องฟ้ากลับมาแล้ว.  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่9:ผมไม่ชอบออกกำลังกาย 10-07-19 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 11-07-2019 19:47:49
CATER TO YOU
ตอนที่9
ผมไม่ชอบออกกำลังกาย แต่ผมชอบที่จะได้ใช้เวลาร่วมกับคุณ



ถ้าผมบอกว่าคุณตรีก็เอาแต่ใจเก่งมาก และผมเองก็เป็นคนที่ดื้อเงียบ แบบที่ใครๆก็คงไม่รู้ แต่กับเขา ผมต้องยอมไปเสียทุกเรื่อง แต่บางทีก็มีความรู้สึกที่ไม่เข้าใจและงุนงงกับสิ่งที่เขาทำ

“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสิ” คุณตรียืนกอดอกสั่งผมทันทีที่ผมเข้ามาปลุกเขาในห้องนอน วันนี้เขาตื่นก่อนที่ผมจะมา และเขาก็อยู่ในชุดพร้อมออกกำลังกายเรียบร้อย

“จะให้ผมเปลี่ยนตอนนี้เลยเหรอครับ” ผมถามเพื่อความแน่ใจ ผมมาบ้านเขายังไม่ทันได้ทำงานอะไรเลยสักอย่างเดียว เขาก็จะให้ผมไปออกกำลังกายกับเขาแล้ว

“ใช่ ฉันบอกนายไปเมื่อวานแล้วนะ”

ใช่ เขาบอก แต่ผมลืม และก็ไม่คิดว่าเขาจะจริงจังขนาดนี้

“ผมลืมครับ ก็เลยไม่ได้เตรียมอะไรมา เอาไว้เป็นครั้ง...”

“ไม่ได้” คุณตรีพูดแทรกผมทันควัน

“อะไรครับ”

“เดี๋ยวฉันหาเสื้อผ้าให้” เขาพูด แล้วก็เดินเข้าไปในห้องแต่งตัว ผมยืนงงๆอยู่ข้างเตียงนอนของเขา

“ฟ้า มานี่สิ” แล้วเขาก็เรียกผมให้ไปหา

ผมเดินไปหาเขาในห้องแต่งตัว คุณตรีกำลังเปิดลิ้นชักเสื้อผ้าที่ผมไม่ค่อยได้เข้าไปยุ่ง เพราะเสื้อผ้าส่วนมากของคุณตรีจะแขวนไว้ในตู้แขวน ไม่ค่อยเก็บในลิ้นชัก เพราะเสื้อผ้าทุกตัวจะต้องถูกรีดเอาไว้ เตรียมพร้อมให้ใช้งาน

“นี่เสื้อผ้าออกกำลังกาย ไปเปลี่ยน แล้วลงไปเจอฉันที่ห้องออกกำลังกาย เข้าใจไหม”

ผมรับเสื้อผ้าที่เขาส่งมาให้ด้วยความงุนงง พร้อมกับคลี่ชุดออกกำลังกายออกดู ก่อนจะหันไปมองตามหลังคุณตรีที่เดินออกไป ชุดที่เขาให้ผมเป็นไซส์ของผม ไม่ใช่ไซส์ของเขา หรือว่าจะเป็นชุดเก่าของคุณตรี แต่มันก็ยังดูใหม่อยู่ แต่ก็ไม่ได้ใหม่ขนาดนั้น

ช่างเถอะ มันก็คงไม่ได้สำคัญอะไร อาจจะเป็นของเก่าของคุณตรีก็ได้ เขาเป็นคนที่ใช้ของแล้วค่อนข้างดูแลอย่างดี ของก็เลยดูเหมือนใหม่อยู่เสมอ

ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว แล้วรีบลงไปเตรียมเครื่องดื่มให้คุณตรี ไปถึงห้องออกกำลังกาย คุณตรีก็นำไปก่อนหน้าผมแล้ว เขากำลังวิ่งอยู่บนลู่วิ่ง พอหันมาเห็นผมก็กวักมือเรียก เขาหยุดเครื่องลู่วิ่ง แล้วเดินลงมาหาผม

“พร้อมแล้วใช่ไหม”

“ครับ นี่น้ำดื่มครับคุณตรี” ผมส่งแก้วน้ำเก็บความเย็นส่งให้เขา

“แล้วของนายอยู่ไหน”

“ครับ?”

“น้ำดื่มนายอยู่ไหน ไปเตรียมมา เวลาออกกำลังกายแล้วกระหายน้ำจะทำยังไง”

“อ่อ ครับ ผมจะไปเอาเดี๋ยวนี้ครับ”

ผมเดินกลับไปหยิบขวดน้ำเปล่าในตู้เย็นมาหนึ่งขวด คุณตรีจะดื่มน้ำแร่ถ้าเป็นน้ำเปล่า ส่วนน้ำที่ใช้ทำกับข้าวจะเป็นน้ำกรองแล้วเท่านั้น ผมว่าจริงๆแล้วคุณตรีจะต้องไม่ใช่คนที่ร่างกายแข็งแรง เขาว่ากันว่าคนที่ดูแลตัวเองดีเกินไป ภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรคจะต่ำแล้วทำให้ป่วยง่าย

กลับมาที่ห้องออกกำลังกายคุณตรีก็สอนให้ผมวอร์มร่างกายให้พร้อม จะได้ไม่บาดเจ็บหรือระบมหลังจากที่ออกกำลังกายเสร็จ

“อยากเล่นเครื่องไหนก็เล่นเลย” คุณตรีบอกเมื่อเห็นว่าผมวอร์มร่างกายเสร็จแล้ว

“ผมเล่นไม่เป็นสักอันเลยครับ” ผมบอกเขาเสียงเบา รู้สึกเขินเล็กน้อยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว

“งั้นก็มาเริ่มจากลู่วิ่งดู” เขาจับข้อมือผมลากไปที่ลู่วิ่งที่เขาเพิ่งจะใช้งานไป

ผมมองมือของเขาที่กุมข้อมือของผมเอาไว้ มือเขาใหญ่มากจนสามารถกุมมือผมได้เกือบมิด และมือเขาก็นุ่มมากจนรู้สึกดี ต่างจากมือของผมที่ค่อนข้างจะสากกระด้างเพราะว่าทำงานมาตั้งแต่เล็ก

อะไรๆบนตัวเขาก็ดีไปหมด ช่างเป็นคนที่สมบูรณ์แบบเสียจริง

“กดเปิดเครื่องตรงนี้ อันนี้ปรับระดับความชัน เหมือนวิ่งขึ้นเขา ส่วนปุ่มนี้ปรับระดับความเร็ว แรกๆก็เดินไปก่อน แล้วค่อยๆปรับให้มันเร็วขึ้นจนกระทั่งวิ่งได้ ปุ่มนี้เป็นตัวตั้งเวลา บนหน้าจอจะมีบอกว่าอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่เท่าไหร่ ใช้พลังงานไปแล้วกี่แคลอรี่ พอจะเข้าใจไหม”

“เอ่อ ครับ” คุณตรีอธิบายไม่ช้าไม่เร็ว แต่ว่าหัวสมองผมค่อนข้างช้ากับเรื่องที่ตัวเองไม่เคยทำ

“ลองดู มีอะไรก็เรียกฉัน เข้าใจไหม”

ทุกครั้งที่เขาอธิบายอะไรให้ผมฟัง เขาจะชอบทิ้งท้ายประโยคว่าเข้าใจไหม ฟังแล้วไม่ได้ทำให้รู้สึกแย่ แต่เหมือนเขาปฏิบัติต่อผมเป็นเด็กตัวเล็กๆที่กำลังหัดเรียนรู้โลก ไม่รู้ทำไมผมถึงชอบฟัง ทั้งๆที่ผมก็ไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว และความเป็นจริงผมก็กร้านโลกพอควร เพียงแต่ผมไม่แสดงออกว่าผมรู้เรื่องคาวโลกีย์อะไรในโลกนี้มาบ้าง

ในสลัมที่ผมเติบโตมา เรื่องต่ำตมโสมมผมเห็นมาหมด สิ่งเหล่านี้ก็คือส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ชีวิต ส่วนเราจะทำตัวให้เป็นคนแบบไหนมันก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ตัวเราเลือกที่จะเป็น

“ขอบคุณครับคุณตรี” ผมถ่ายทอดความรู้สึกผ่านดวงตา มองเขาด้วยความซาบซึ้งใจ ขอบคุณที่เขามักใส่ใจและห่วงใยคนนอกอย่างผม

“นายน่ะผอมเกินไป ทำงานหนักก็ต้องดูแลสุขภาพบ้าง เข้าใจไหม”

“เข้าใจแล้วครับ”

“เข้าใจก็ดี ไม่ครบหนึ่งชั่วโมง ห้ามเลิก”

“ห๊า หนึ่งชั่วโมงเลยเหรอครับ” ผมไม่เคยออกกำลังกายแบบนี้นานๆ มันจะไม่โหดไปหน่อยเหรอ

“หนึ่งชั่วโมง เกินได้ แต่ห้ามขาด ไม่อย่างนั้นฉันจะหักเงินเดือนนาย”

“หักไปเลยก็ได้ครับ” ผมว่า ยังไงเงินเดือนผมก็เยอะกว่าที่ผมใช้อยู่แล้ว แต่คุณตรีเหมือนจะไม่พอใจ เขาถลึงตาใส่ผมพร้อมกับเม้มปากเหมือนอยากจะเข้ามาจับผมเขย่าหัว

“งั้นฉันเปลี่ยนใจ ถ้านายไม่ออกกำลังกายให้ครบหนึ่งชั่วโมง ฉันจะเพิ่มเงินเดือนให้นายอีกเท่าหนึ่ง”

“คุณตรี!” ผมเรียกเขาเสียงหลง ดูเหมือนว่าการทำให้ผมจนมุมได้จะเป็นความชอบใจอย่างหนึ่งของเขา

“ลองดูก็ได้ ฉันทำจริงอยู่แล้ว นายก็รู้” เขาเดินเข้ามาหยิกปลายจมูกผมหนึ่งทีแล้วก็เดินผิวปากไปที่เครื่องออกกำลังกายเครื่องอื่น

“จิ๊” ผมต้องดูเป็นคนไม่อยากได้เงินขนาดไหน เขาถึงคิดจะใช้วิธีนี้กับผม

แต่เขาก็คิดถูก ผมต้องทนออกกำลังกายให้ครบหนึ่งชั่วโมง ทั้งๆที่เหนื่อยแทบขาดใจ แต่คุณตรีก็คอยมาสอนวิธีที่ถูกต้องให้ผมตลอด ในที่สุดผมก็สามารถทำได้ครบเวลาตามคำสั่งของคุณตรี

“ไปอาบน้ำไป แล้วค่อยลงมาทำกับข้าว ห้องน้ำด้านนอกชั้นสองไปใช้ได้เลย”

“ครับ” ผมตอบรับด้วยเสียงที่ติดจะเหนื่อยหอบอย่างชัดเจน ต่างจากคุณตรีที่ดูสบายตัวไม่เหนื่อยไม่อะไร

“จะผ้าเช็ดตัวหรือข้าวของเครื่องใช้อะไร ก็ใช้ของฉันได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ”

“ขอบคุณครับ”

“วันนี้อยากกินข้าวผัดกับน้ำซุปร้อนๆ ทำไว้ให้หน่อยนะ”

“ได้ครับคุณตรี ผมจะทำให้นะครับ” ผมรับคำในสภาพที่มึนๆเล็กน้อย

ผมและคุณตรีแยกย้ายกันไปอาบน้ำ ผมใช้เวลาไม่นานก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับมาใส่ชุดเดิม แล้วลงไปเตรียมอาหารเช้าให้คุณตรีในแบบที่เขาต้องการ

“ฟ้า”

“ครับคุณตรี หิวแล้วเหรอครับ ผมยังเตรียมอาหารเช้าไม่เสร็จเลย”

“ใกล้เสร็จหรือยัง” เขาเดินมายืนอยู่ข้างๆผมหน้าเตา

“ใกล้แล้วครับ คุณตรีจะเอาอะไรเพิ่มไหมครับ” ผมถาม มือก็ผัดข้าวผัดรวมมิตรแบบที่เขาอยากกินให้ไปด้วย และดูเหมือนว่าหม้อน้ำซุปจะเดือดได้ที่ ผมวางตะหลิวในมือลง แล้วเบี่ยงไปเปิดหม้อน้ำซุปดู

 “ชิมหน่อย” เสียงคุณตรีดังขึ้นข้างหู ผมหันไปมองอย่างช้าๆ เขาอยู่ใกล้ผมมากจนรู้สึกใจสั่น

ตำแหน่งที่ผมยืน หน้าเคาน์เตอร์เตาไฟฟ้า ข้างหลังก็คุณตรี ขยับไปไหนก็ไม่ได้ กลัวว่าความใกล้ชิดในตอนนี้จะทำให้ผมเผลอแสดงอาการอะไรออกไป

ใจเย็นๆไว้สายฟ้า ห้ามออกอาการโดยเด็ดขาด

“คุณตรีถอยออกไปหน่อยสิครับ” ผมบอกเสียงเบา

“อะไร รังเกียจฉันหรือไง”

“เปล่านะครับ ก็คุณตรีจะชิมน้ำซุปไม่ใช่เหรอครับ มายืนติดมันก็ไม่สะดวกไงครับ” ผมบอกเหตุผลที่เพิ่งคิดได้กับเขา ไม่อยากให้เขาสงสัยหรือคิดว่าผมรังเกียจแบบที่เขาพูด คนแบบคุณตรีใครจะไปรังเกียจได้ลง

“อืม” คุณตรียอมก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว

ผมสบตาเขาได้แค่แปบเดียวก็ต้องหลบดวงตาสีดำสนิทที่เอาแต่มองจ้องมาที่ผม เพื่อหันเหความสนใจ ผมหันไปตักน้ำซุปใส่ถ้วยเล็ก แล้วเอาไปให้เขาชิม

“ลองชิมดูนะครับ ว่ารสชาติถูกใจหรือเปล่า”

ผมส่งถ้วยน้ำซุปให้เขา ผมต้มน้ำซุปตามสูตรที่ร้านข้าวมันไก่ในตลาดต้ม เอามาดัดแปลงนิดหน่อย ให้ผักเพิ่มใส่เห็ดหอมให้กลิ่นและรสชาติกลมกล่อมขึ้น คุณตรีรับถ้วยน้ำซุปไปชิม ผมก็รอลุ้นคำตอบจากเขา

“อร่อยไหมครับ” ผมถาม เพราะเขาตักชิมคำที่สองแล้วก็ไม่พูดอะไร

“อร่อย ทำทิ้งไว้ในตู้เย็นได้ไหม”

“ได้สิครับ แต่ให้ผมทำให้กินร้อนๆไม่ดีกว่าเหรอครับ”

“ก็ถ้านายจะอยู่กับฉันทั้งคืนน่ะนะ”

“...” ผมไม่เข้าใจในคำพูดของเขา

“ก็เวลากลางคืนที่ฉันหิว ฉันจะได้เอาออกมากินไง ที่จริงถ้านายยอมมาอยู่กับฉันที่นี่ตั้งแต่แรก ฉันก็คงไม่ต้องกินของอุ่นไมโครเวฟหรอก ยังไงของที่ทำเสร็จใหม่ๆมันก็อร่อยกว่าอยู่แล้ว”

เขาพูดซะผมรู้สึกผิดแทบไม่ทันเลย

“ก็ถ้าคุณตรีอยากกินของปรุงสุกใหม่ ก็โทรเรียกผมได้ตลอดเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงเลยนะครับ ผมจะรีบบึ่งรถมอเตอร์ไซค์มาทำให้ทานเลย”

“พูดดีนะฟ้า ฉันทำจริงแล้วจะหนาว” คุณตรีเขกหัวผมที

“ผมก็จะมาจริงๆไงครับ”

“เฮ้อ ย้ายมาอยู่ที่นี่ก็สิ้นเรื่อง ช่างเถอะ ตั้งโต๊ะได้แล้ว ฉันหิว”

“ได้ครับ คุณตรีไปนั่งรอที่โต๊ะได้เลยครับ เดี๋ยวผมยกไปให้”

“อืม เอาน้ำองุ่นนะฟ้า”

“ครับ ผมทำไว้ให้แล้ว”

ไม่รู้ว่าแก่ตัวไป คุณตรีจะเป็นโรคเบาหวานไหม เขากินหวานเก่งพอตัวเลย





เพราะวันนี้เป็นวันหยุด คุณตรีเลยไม่ต้องไปทำงานที่บริษัท แต่เขาก็ยังนั่งทำงานที่บ้าน วันนี้เขาใช้พื้นที่ในห้องนั่งเล่นแทนที่จะเป็นห้องทำงานด้านบน

ระหว่างที่เขานั่งทำงานของเขา ผมก็ทำงานของผม ผมคอยลอบมองคุณตรีอยู่เรื่อยๆ วันนี้เขาดูไม่เครียดเหมือนที่ผ่านมา คิดว่างานของเขาคงเป็นไปได้ด้วยดี เห็นแบบนี้ผมก็สบายใจ

แต่บางครั้งที่ผมหันไปมองเขา ก็สบตากับเขาเข้าอย่างจัง ผมต้องรีบเบนสายตาหลบ เพราะกลัวเขารู้ว่าผมแอบมอง

ผมทำอะไรเสร็จก็ตอนบ่ายสอง คุณตรีนั่งดูฟังเพลงพักผ่อนสายตาอยู่ที่โซฟา ปกติเวลานี้ผมจะหาอะไรทำไปเรื่อย หัดทำอาหารบ้าง ปลูกต้นไม้บ้าง แต่พอมีเขาอยู่ตรงนี้ ผมก็ไม่กล้าทำอะไร

“ฟ้าๆ มานี่หน่อย”

เสียงคุณตรีเรียกดังขึ้น ผมกำลังนั่งว่างๆก็เดินไปหาเขาทันที

“คุณตรีอยากได้อะไรไหมครับ” ผมพร้อมที่จะทำให้เขา

“นายไง มานั่งตรงนี้มา”

ผมเหรอ? กับที่นั่งข้างเขา

“ครับ?” ผมทวนถาม

“มานั่งนี่หน่อย” เขาตบโซฟาข้างๆให้ผมไปนั่ง

“เอ่อ ครับ” ผมเอามือตัวเองถูกับกางเกง แล้วทิ้งตัวนั่งลงข้างๆคุณตรี เขาลดเสียงเพลงที่เปิดลงจนเหลือแค่เสียงที่คลอเบาๆ

“คุณตรีมีอะไรเหรอเปล่าครับ” ผมถาม คุณตรีขยับนั่งเอียงตัวหันหน้าเข้าหาผม

“ฉันอยากคุยกับนาย”

“คุยกับผม เรื่องอะไรเหรอครับ”

“ใช่ ตั้งแต่เราเจอกันรอบนี้ ฉันยังไม่ได้คุยกับนายอย่างจริงจัง”

“อ่อ”

นั่นสินะ ส่วนมากก็แค่พูดคุยเรื่องในวันนั้นๆ เรื่องส่วนตัวอย่างอื่นก็แทบไม่เคยคุยกันเลย ผมเองก็ยุ่งอยู่กับการทำงานในส่วนของผม ยุ่งอยู่กับการดูแลเขาให้เต็มที่ อยากทำให้เหมือนที่น้ากุ้งดูแลคุณตรี ทุกวันนี้ผมยังทำได้ดีไม่ถึงครึ่งของน้ากุ้งเลยมั้ง แต่คุณตรีก็ไม่ได้บ่นอะไร มันทำให้ผมยิ่งเกรงใจ รับเงินมาก็เยอะ แต่ทำงานให้เขาได้ไม่ดีพออย่างที่ควรจะเป็น

“คุณตรีอยากคุยอะไรเหรอครับ”

“เรื่องของนาย” คุณตรีเปลี่ยนท่านั่งไขว่ห้าง เขาเป็นผู้ชายที่นั่งไขว่ห้างแล้วดูคุณชายสุดๆ แต่ความจริงเขาก็เป็นคุณชายอยู่แล้ว

“เรื่องของผมเหรอครับ ชีวิตผมไม่มีอะไรน่าสนใจหรอกครับ” ผมเป็นแค่คนจืดๆจางๆ ชีวิตไม่ได้มีสีสันอะไรให้น่าตื่นเต้นถึงขนาดที่จะต้องพูดถึง

“น่าสนใจหรือไม่ มันขึ้นอยู่กับคนฟังไม่ใช่เหรอ”

“ครับ?” ผมไม่เข้าใจความหมายที่เขาพูด

“หึ เด็กโง่”

อ้าว ทำไมว่าผมโง่ละเนี่ย

“ผมไม่ได้โง่สักหน่อย”

“เอาเถอะ ฉันจำได้ว่านายเคยเล่าให้ฉันฟังว่านายอยู่ตัวคนเดียว ลุงที่เก็บนายมาเลี้ยงตายไปแล้ว ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ยังเสียใจอยู่ไหม”

ผมเคยเล่าให้เขาฟังครั้งแรกเมื่อผมมาทำงานกับเขา ตอนนั้นเขาเหมือนจะเศร้าเสียใจที่เขาต้องอยู่ตัวคนเดียวในบ้านหลังใหญ่หลังโต เพราะพ่อกับแม่เขาต้องไปทำงานอยู่ที่ต่างประเทศ ทำให้เขารู้สึกแย่ ผมก็เลยเล่าเรื่องของผมคร่าวๆให้เขาฟังว่าคุณตรียังดีที่ยังมีพ่อแม่ แม้ว่าจะอยู่ห่างกัน แต่ผมไม่มีทั้งพ่อและแม่ ไม่มีใครเลย ผมยังอยู่มาได้ คุณตรีก็ต้องเข้มแข็งและใช้ชีวิตต่อได้เช่นกัน

“ไม่เสียใจแล้วแหละครับ ในโลกนี้มีใครเกิดมาแล้วไม่ตายบ้าง บางเวลาผมก็แค่คิดถึงลุงเท่านั้น” เพราะส่วนมากผมจะยุ่งจนไม่ได้คิดเรื่องอื่น

“เหงาไหมฟ้า”

เหงาไหมน่ะเหรอ

“เหงาสิครับ แต่ผมชินแล้ว” ผมตอบยิ้มๆ คุณตรีเงียบไป แล้วเอาแต่จ้องหน้าผมนิ่งๆ ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ถึงได้เอาแต่จ้องผมอยู่นานสองนา ก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นมาลูบหัวผมช้าๆสองสามที

“คุณตรี”

สัมผัสนี้ อบอุ่นจัง ถ้าผมเป็นแมวคงอยากจะเอาหัวไปคลอเคลียที่มือให้เขาลูบหัวผมต่ออีกสักรอบสองรอบ

“นายเก่งมากรู้ตัวไหม” แล้วอยู่ๆเขาก็เอ่ยชมผม

“ผมไม่เก่งหรอกครับ แต่จะให้ทำยังไงได้ ถึงมีตัวคนเดียว ก็ยังต้องเดินหน้าต่อไป”

“นายเข้มแข็งกว่าฉันตอนเด็กๆอีกนะ ฉันที่ต้องอยู่บ้านคนเดียว ใช้ชีวิตคนเดียว มันทำให้ฉันรู้สึกแย่มาก”

“คุณตรีเหงาหรือครับ”

“แล้วมีใครบ้างที่อยู่คนเดียวแล้วไม่เหงา นายเองก็ยังบอกว่าเหงาเลยถูกไหม”

นั่นสินะ ก็คงเป็นเรื่องปกติ ที่ไม่มีใครชอบอยู่คนเดียว

“ผมก็เหงาครับ เวลาที่เหนื่อยมากๆ แต่ส่วนมากผมจะยุ่งจนไม่มีเวลาให้เหงา พอล้มตัวลงนอน หัวถึงหมอนก็หลับเหมือนตาย”

“แล้วตอนนี้ยังเหนื่อยไหม”

“ไม่แล้วครับ ผมไม่ต้องทำงานหลายๆงานจนดึกจนดื่นเหมือนเมื่อก่อน”

“ดีแล้ว”

“แล้วคุณตรีเหนื่อยไหมครับ”

“เหนื่อยกายไม่เท่าไหร่ เหนื่อยใจมากกว่า” คุณตรีถอนหายใจแล้วตอบผม

ผมเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง ไม่รู้ว่าควรออกความคิดเห็นในเรื่องนี้อย่างไรดี จะว่าไป...ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องของคุณตรีจริงๆนั่นแหละ ผมแทบไม่รู้อะไรเลย หากได้รู้เรื่องของเขาบ้าง อาจจะทำให้ผมทำงานรับใช้เขาได้ดีขึ้น

“ผมอาจจะไม่ฉลาด การศึกษาน้อย แต่ถ้าคุณตรีมีอะไรให้ผมช่วย ที่ผมสามารถช่วยแบ่งเบาภาระได้ ก็บอกผมได้เลยนะครับ”

คุณตรีจ้องเข้ามาในดวงตาของผม แล้วค่อยๆเผยยิ้มบางๆ “ขอบคุณ”

“ผมพูดจริงๆนะ”

“ฉันรู้ ไว้ฉันจะบอกแล้วกัน แต่นายสัญญาแล้วนะ ว่าถ้าช่วยได้นายจะช่วย”

“ครับ ลูกผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำครับ”

“ก็ดี อืม...แล้วหลังจากที่ฉันไปต่างประเทศ นายทำอะไร”

“ผมเหรอครับ ก็พอคุณตรีไป ผมก็ได้งานส่งข้าวตอนเช้ากับงานที่ร้านอาหารนั่นแหละครับ พอมีเงินผมก็ไปลงทะเบียนที่มหาวิทยาลัยเปิด ก็ทำงานแล้วก็เรียนไปด้วยจนตอนนี้อ่ะครับ”

“เรียนคณะอะไร ปีอะไรแล้ว”

“คณะมนุษยศาสตร์ปีสองครับ ตอนนี้ปิดเทอมอยู่”

“เคยคิดไหมว่าจบมาแล้วจะไปทำงานอะไร”

“ก็มีคิดๆไว้บ้างครับ พวกงานเกี่ยวกับสำนักพิมพ์ หรือไม่งานบริการ แต่ผมก็ยังไม่ว่าสุดท้ายแล้วตัวเองจะได้ทำงานอะไร”

“อืม ค่อยๆดูไป อย่าลืมว่านายยังมีสัญญางานกับฉันอยู่”

ใช่สินะ สัญญาจ้างงานหฤโหด ที่บังคับให้ผมอยู่ที่งานด้วยสิบปี ผมเคยลองไปหาข้อมูลนะ เห็นว่าบางที่ก็สัญญาจ้างงานสองปีบ้าง สามปีบ้าง หรือที่ดูเยอะๆก็ห้าปี แต่สัญญาจ้างงานนานถึงสิบปีผมยังไม่เคยเห็นข้อมูล แต่ถึงจะรู้แบบนี้ ผมกลับรู้สึกสบายใจ อย่างน้อยๆในอีกสิบปีข้างหน้า ผมก็ยังมีงานทำ

แต่มีบางเรื่อง ที่ผมอยากจะถามเขา อยากรู้ว่าคำตอบของเขาจะเป็นยังไง

“คุณตรีครับ แล้วถ้าหากว่าผมเรียนจบ แล้วได้งานที่อยากทำ คุณตรีจะให้ผมไปทำไหมครับ”

ผมแค่ลองๆคิดไว้ แต่ไม่ได้จริงจัง ตอนนี้นอกจากทำงานให้เขา ดูแลเขาให้ดีที่สุด ผมก็ไม่ได้คิดจะไปทำอะไร แต่อนาคตมันไม่แน่ไม่นอน อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น คิดหาทางออกไว้บ้างก็ไม่เสียหาย

“ถ้าเป็นงานที่ดีแล้วนายอยากทำตามความฝันของตัวเอง ฉันจะไม่รั้งนายไว้”

ผมยิ้มกว้างในทันที ผมรู้ว่าเขาไม่ใจร้ายกับผมหรอก

“ขอบคุณนะครับ”

“แล้วเพื่อนล่ะ ฉันไม่เคยเห็นนายไปไหนมาไหนกับเพื่อนเลย”

“เพื่อนเหรอครับ ผมก็มีนะ เพื่อนที่ทำงานที่ร้านอาหารอ่ะครับชื่อแจ็ค แต่เขาก็ยุ่งๆ ก็มีส่งข้อความคุยกันบ้าง ว่างๆผมก็แวะไปหาเพื่อนที่ร้านน่ะครับ”

“ตอนที่ทำงานที่บ้านฉันเสร็จแล้วน่ะเหรอ”

“ครับ แต่ก็นานๆไปทีครับ”

“อืม ดีแล้ว เพื่อนไว้ใจได้ใช่ไหม”

ผมไม่รู้ว่าเขามองภาพของคนระดับล่างๆอย่างผมไว้ว่ายังไง แต่มันก็ไม่แปลกเพราะภาพลักษณ์ของคนระดับล่าง มักไม่ใช่ภาพลักษณ์ที่ดี

“เพื่อนคนนี้เป็นคนดีครับคุณตรี มีกินเหล้าสูบบุหรี่บ้าง แต่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดหรืออะไรที่ผิดกฎหมาย และแจ็คก็เป็นเพื่อนที่ดีครับ”

“อืม ถ้าอย่างนั้นฉันจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงมากนัก”

“ห่วงเหรอครับ”

คุณตรีเขาเป็นห่วงผมเหรอ

เอาอีกแล้ว หัวใจผมมันค่อยๆพองโตจนกลัวว่ามันจะกลายเป็นลูกโป่งแล้วแตกตัวออกเป็นเสี่ยงๆ

“ก็ใช่นะสิ ฉันเป็นห่วง”

เขาเป็นห่วงผมล่ะทุกคน

ผมดีใจ

“ผมเติบโตมาในสลัมครับ เจอเรื่องไม่ดีมาเยอะ เห็นเรื่องผิดกฎหมายมาหลายแบบ ทั้งเรื่องเหล้ายา มั่วสุม ลักขโมยของกันเป็นว่าเล่น ผู้หญิงก็ขายตัวแลกเงินแลกยาเสพติด ผมเห็นมาทุกอย่าง แต่ผมเลือกว่าจะไม่ทำแบบนั้น ผมถึงได้ออกมาจากตรงนั้นหลังจากที่ลุงชัยตาย หากวันไหนผมตัดสินใจที่จะเดินทางผิด นั่นคือผมคงคิดดีแล้วว่าผมต้องการสิ่งนั้น”

“ฟ้า อย่าทำแบบนั้น ห้ามคิดแบบนั้น” คุณตรีดุผมเสียงเข้ม ผมอมยิ้ม แต่เขาก็ดุอีก

“ยังจะมายิ้มอีก ทำไมถึงคิดแบบนั้น”

“คุณตรีครับ อย่าเพิ่งดุสิครับ”

“ก็ดูนายพูด”

“ก็เพราะว่าผมรู้ไงครับว่าสิ่งไหนดีสิ่งไหนไม่ดี ถ้าผมจะเสเพลผมก็เสเพลไปตั้งนานแล้วครับคุณตรี ผมถึงได้บอกว่าถ้าวันหนึ่งผมจะกลายเป็นคนไม่ดี นั่นคงเป็นเพราะผมเลือกเอง ไม่มีใครมาหลอกหรือชักจูงผมได้หรอกครับ”

ผมคิดแบบนั้นจริงๆ ชีวิตของเรา เราเป็นคนเลือกทุกอย่างให้ตัวเอง ถ้าผมไม่เคยอยู่ในสภาพแวดล้อมของคนชนชั้นล่างมาก่อน ผมคงไม่รู้จักความมืดดำของโลกใบนี้ และสามารถแยกแยะได้ว่าอะไรดีไม่ดี

“แต่ฟ้า นายลืมอะไรไปหรือเปล่า ต่อให้เก่งแค่ไหน หากวันไหนที่ใจนายหมดหวัง หรือเจอปัญหาจนท้อ คนเราก็ตัดสินใจพลาดกันได้ทั้งนั้น”

ผมคิดตามที่เขาพูด มันก็จริงที่ว่าถ้าคนเราไม่มีสติ การตัดสินใจก็จะบกพร่องตามไปด้วย

“ผมไม่รู้สิครับ ผมยังไม่เคยเจอปัญหาที่คิดว่าตัวเองไปต่อไม่ได้มั้ง ผมใช้ชีวิตเรียบง่าย หิวก็หาอาหารเข้าท้อง ไม่มีเงินก็ไปของานเขาทำ ตอนเด็กๆผมเก็บขยะเก็บขวดพลาสติกขาย หาเงินไปแลกอาหารแลกยาไปให้ลุงชัยกิน ถ้าคนเราไม่อายทำกิน ผมเชื่อว่าเราจะไม่มีวันอดตาย”

“ฟ้า” ชื่อของผมหลุดออกจากปากของเขาด้วยน้ำเสียงที่เบาโหวง ผมรู้ว่าถ้าคนอื่นได้ยิน ก็คงจะต้องรู้สึกสงสารผม ผมชินแล้วที่คนจะรู้สึกกับผมเช่นนี้

“ผมไม่เป็นอะไรหรอกครับคุณตรี อย่าสงสารผมเลย ผมไม่เคยรู้สึกแย่ที่ตัวเองมีชีวิตแบบนี้ แม้บางครั้งจะคิดว่าถ้าหากผมมีพ่อมีแม่ ชีวิตผมจะดีกว่านี้ไหม แต่มันก็ไม่มีประโยชน์ที่จะคิดเลย”

เพราะสุดท้ายผมก็เกิดมาและมีชีวิตแบบนี้ ดีที่สุดคือการก้าวเดินต่อไปข้างหน้าด้วยขาของตัวเองทั้งสองข้าง

“เคยอยากอ่อนแอไหม” เขาถาม

“อ่อนแอเหรอครับ จริงๆถ้าลุงยังอยู่ ผมก็คงจะงอแงใส่ลุงเหมือนตอนเด็กๆ แล้วก็จะโดนลุงเขกหัวกลับมา แล้วบ่นว่า ลูกผู้ชายห้ามอ่อนแอ ห้ามร้องไห้ ต้องเข้มแข็ง อะไรแบบนั้นน่ะครับ”

คิดถึงลุงแล้ว ผมก็รู้สึกเสียดายไม่ได้ ถ้าลุงยังอยู่ ผมจะดูแลลุงไม่ให้ลำบาก

“แต่อยู่กับฉัน นายไม่ต้องเข้มแข็งตลอดก็ได้ มีปัญหาอะไร ไม่สบายใจก็บอกฉันได้ทุกเรื่อง”

“เหมือนกันนะครับ ถ้าคุณตรีมีเรื่องไม่สบายใจ ก็มาระบายกับผมได้ ผมอาจจะให้คำปรึกษาไม่ได้ แต่ว่า...ผมเป็นผู้ฟังที่ดีนะครับ”

“ขอบใจนะ”

เหมือนกับว่า ผมได้ขยับเข้าใกล้คุณตรีเพิ่มอีกนิด





 :katai3:

 
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่9:ผมไม่ชอบออกกำลังกาย 11-07-19 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 11-07-2019 20:53:24
น้องฟ้าเข้มแข็งมากที่เดินคนเดียวมาได้ถึงจุดนี้ อย่างน้อยตอนนี้ก็มีคุณตรีเป็นที่พึ่งพิงได้ ถึงจะดูเหมือนว่ามีเจตนาแอบแฝงนิดๆ ก็เถอะ แบบว่าน่าจะเหงา เลยอยากมีเพื่อนน่ะ
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่9:ผมไม่ชอบออกกำลังกาย 11-07-19 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 11-07-2019 21:13:35
เอ็นดูน้องฟ้าเด็กดี น้องมีความคิดที่ดีมากเลย
ถ้าเหนื่อยมากๆลองไปงอแงกับคุณตรีหน่อยไหม  :impress2:

 :pig4:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่9:ผมไม่ชอบออกกำลังกาย 11-07-19 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 12-07-2019 18:41:40
ชีวิตของฟ้าผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มาเยอะเหมือนกันนะ เรชื่นชมความคิดของฟ้ามากเลย คนเราจะดีหรือเลวมันก็อยู่ที่ตัวของเราเอง คนอื่นหรือสภาพแวดล้อมที่เราอยู่มันก็แค่องค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้เราตัดสินใจเป็นคนดีหรือคนเลวแค่นั้น
ต่อไปฟ้าก็จะมีคุณตรีคอยให้งอแงใส่แล้วหรือเปล่านะ

ปล.ตอนรับการกลับมานะคะ ริริ  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่9:ผมไม่ชอบออกกำลังกาย 11-07-19 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 18-07-2019 15:58:42
หายไปนานเลย
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่10:ขอโทษครับที่ผมทำคุณป่วย 27-07-19 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 27-07-2019 18:54:08
CATER TO YOU
ตอนที่10
ขอโทษครับที่ผมทำคุณป่วย


เช้าวันจันทร์ผมตื่นแต่เช้าด้วยความสดชื่น รู้สึกอยากกินน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ ผมเลยแวะซื้อก่อนไปหาคุณตรี ไม่ลืมที่จะซื้อไปเผื่อเขาด้วย เผื่อว่าเขาสนใจอยากจะดื่ม

ผมชอบอากาศยามเช้า ชอบการขี่มอเตอร์ไซค์ช่วงหกโมงที่มีแสงแดดอ่อนๆ ลมพัดเย็นสบาย ที่ดีไปกว่านั้นคือ ระยะทางช่วงหมู่บ้านสุดท้ายของซอยตรงไปยังบ้านคุณตรี ไม่มีบ้านคนและต้นไม้ขึ้นร่มรื่นทั้งสองฝั่ง เวลาขับผ่านจะได้รับลมเย็นอ่อนๆและอากาศที่สดชื่นกว่าอากาศในถนนใหญ่ ทำให้รู้สึกเหมือนได้ชาร์ตพลังงานก่อนไปทำงาน

“คุณตรีครับ วันนี้ผมซื้อน้ำเต้าหู้มาฝากด้วยนะครับ” ผมบอกกับเขา หลังจากที่ปลุกเขาที่กำลังหลับใหล

“คิดว่าปลุกฉันได้ของกินได้?”

“ผมต้องใช้ของกินปลุกคุณตรีเหรอครับ ยังไงคุณตรีก็ตื่นเวลานี้เองเป็นปกติอยู่แล้ว”

ก็ไม่รู้ว่าจะต้องให้ผมมาปลุกทำไม

“เฮ้อ ฉันอยากนอนต่อ”

“อย่าบอกนะครับว่าคุณตรีรู้สึกขี้เกียจตื่น” ผมเดินไปเปิดม่าน รับแสงยามเช้า แล้วหันไปถามเขาแบบรู้ทัน ว่าคนอยากคุณตรีไม่มีทางขี้เกียจตื่นนอน

เขาเป็นคนตรงต่อเวลาขนาดไหนทำไมผมจะไม่รู้ จะมาทำเป็นไม่อยากลุกออกจากเตียง สีหน้าเขาตอนนี้ไม่มีความง่วงงุนแม้แต่นิดเดียว

“ฉันขี้เกียจไม่ได้หรือยังไง” เขาลุกขึ้นจากเตียงยืนบิดขี้เกียจโชว์หน้าของหกแพคขาวเนียน

“งั้นผมขี้เกียจออกกำลังกายด้วยได้ไหมครับ”

“ไม่ได้” เสียงเข้มเชียว ผมแอบเบ้หน้าใส่เขา

“ฉันจะไปล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้า เจอกันที่ห้องออกกำลังกาย เข้าใจไหมฟ้า”

“เข้าใจครับ”

ผมค้อมตัวให้เขา แล้วเดินเข้าไปเตรียมข้าวของเครื่องใช้ในห้องน้ำให้คุณตรี ก่อนจะเดินลงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าออกกำลังที่ห้องน้ำด้านล่าง เพื่อโดนคุณตรีทรมาทรกรรม ก่อนจะส่งเขาไปทำงานเหมือนทุกที




ช่วงสายของวันในขณะที่ผมกำลัง สาละวนอยู่กับการเก็บทำงานบ้านและงานสวน เสียงโทรศัพท์บ้านที่ไม่เคยดังก็ดังขึ้น ทีแรกผมคิดว่าตัวเองหูแว่ว แต่พอตั้งใจฟังว่าเสียงมาจากไหน ก็ต้องรีบวิ่งเข้ามาในบ้านเพื่อรับโทรศัพท์

“สวัสดีครับ บ้านคุณตรีครับ”

“ฟ้า”

หืม...เสียงนี้มัน

“ครับ คุณตรีเหรอครับ” ผมเหล่สายตาไปมองโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะรับรองที่ห้องนั่งเล่น

“ฟ้า เป็นอะไรหรือเปล่า ฉันโทรเข้ามือถือนายตั้งหลายรอบทำไมไม่รับสาย!” เสียงของคุณตรีโต้ตอบกลับมาอย่างร้อนรนและเจือไปด้วยความโมโห เพราะน้ำเสียงของเขาติดจะแข็งและห้วน

“ขอโทษครับคุณตรี พอดีผมออกไปทำความสะอาดสวนหลังบ้านแล้ววางมือถือไว้ในบ้าน ผมต้องขอโทษจริงๆนะครับ ขอโทษจริงๆ” ผมกลัวว่าเขาจะโกรธ

“ฟ้า” คุณตรีเงียบไปชั่วขณะก่อนที่เขาจะเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงที่ดูจะสงบลงกว่าเดิม

“ครับคุณตรี มีอะไรให้ผมทำไหมครับ งานเร่งด่วนหรือเปล่า”

“ไม่เป็นไรใช่ไหม”

“ห๊ะ เอ่อ ผมไม่เป็นอะไรครับ สบายดี”

“เห้อ” เสียงเขาถอนหายใจยาว นี่ผม...ทำอะไรให้เขาเหนื่อยใจหรือเปล่า

“ขอ...”

“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ทีหลังพกโทรศัพท์ติดตัวไว้ตลอดเวลา เกิดอะไรขึ้นจะได้ติดต่อได้”

“ครับ ครับคุณตรี” ผมตอบรับแม้ว่าจะไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่คุณตรีพูดก็ตาม

ผมและเขา เราต่างคนต่างเงียบ ไม่รู้ว่าเขาโมโหที่ผมไม่รับสายจนลืมไปแล้วหรือยังว่าโทรมาหาผมเรื่องอะไร

“ไม่ทราบว่าคุณตรี มีอะไรให้ผมรับใช้ไหมครับ” ผมก็เลยต้องถามอีกรอบ

“อืม ฉันจะวานให้นายช่วยอะไรหน่อย”

“ว่ามาเลยครับคุณตรี”

“พอดีฉันลืมหยิบเอกสารการประชุมช่วงบ่ายมา รบกวนหยิบมาให้ที ให้น้าภาพพามาก็แล้วกัน”

“คุณตรีค่ะ คุณกรกตจะขอคุยเรื่องโปรเจคกลางปีน่ะค่ะ”

“แปบนะครับ ผมกำลังจะให้คนที่บ้านเอาเอกสารมาให้ รบกวนไปรับรองเขาแทนผมก่อนล่ะกัน”

“ได้ค่ะ”

“ฟ้า...รีบเอามาให้ทีนะ รบกวนหน่อย”

“ได้ครับคุณตรี ผมจะรีบเอาไปให้นะครับ”

“ฝากทีนะ”

ผมวางสายแล้วรีบเดินไปที่ห้องทำงานของคุณตรี บนโต๊ะทำงานของเขามีเอกสารวางอยู่หลายใบ ผมลองหยิบขึ้นมาดู ว่าจะใช่เอกสารที่คุณตรีต้องการหรือไม่ แต่เท่าที่หยิบดูแต่ละแผ่น บนกระดาษจะมีรูปวาดของเฟอร์นิเจอร์ในแบบต่างๆ นอกจากกระดาษกองนี้ก็ไม่มีอะไรอีก ดังนั้นผมจึงรวบรวมเอกสารทั้งหมดใส่เข้าแฟ้มเอกสารที่วางอยู่รวมกัน แล้วรีบลงไปหาน้าภาพ ให้เขาไปส่งผมที่บริษัทของคุณตรี

โชคดีที่ไม่ใช่ช่วงเช้าหรือช่วงเย็น ทำให้รถไม่ติดระหว่างเดินทางไป ราวๆสี่สิบนาทีก็มาถึงออฟฟิศของคุณตรี ที่ดูแตกต่างจากจินตนาการของผมเอาไว้มากพอตัว

“ฟ้าเอาเอกสารเข้าไปให้คุณตรีนะ น้าจะจอดรถรอที่ลานจอดรถตรงนั้น” น้าภาพชี้ไปที่จุดจอดรถในร่มที่วางที่กั้นเอาไว้อย่างดีว่าเป็นที่จอดรถของท่านประธาน

เคยเห็นแต่ในละครทีวี ไม่คิดว่าชีวิตจริงก็มีอะไรแบบนี้ด้วย

“ครับน้า”

ผมลงจากรถแล้วก็เดินเข้าไปในอาคาร ที่ดูเหมือนจะเป็นร้านขายเฟอร์นิเจอร์มากกว่าเป็นออฟฟิศทำงาน

ท่อนแขนของผมกอดแฟ้มเอกสารของคุณตรีเอาไว้แน่น มองซ้ายมองขวาสอดส่องดูว่าผมจะสามารถหาคุณตรีได้ที่ไหน

“มีอะไรให้ช่วยไหมคะน้อง” พี่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นพนักงานขายเดินเข้ามาสอบถามผมพร้อมกับยิ้มให้

“เอ่อ คือผมมาหาคุณตรีน่ะครับ เอาเอกสารมาให้คุณเขา” ผมบอกแล้วพี่เขาก็ทำหน้างงๆ

“ฟ้า...”

แต่ก็ยังไม่ทันให้พี่เขาได้สงสัยอะไรในตัวผมมากไปกว่านี้ เสียงเรียกชื่อผมก็ดังขึ้น ผมหันไปมองก็พบกับคุณตรีที่กำลังเดินสาวเท้ายาวๆตรงมายังผม

ภาพลักษณ์ของคุณตรีในขณะนี้ดูเป็นผู้ชายทำงานที่ดูทั้งเท่และจริงจัง

ผมมองหน้าพี่ผู้หญิงที่มองผมกับคุณตรีสลับกันเหมือนสงสัย ก่อนจะเอ่ยขอบคุณเขาเบาๆแล้วเดินเข้าไปหาคุณตรี พร้อมกับยื่นเอกสารให้เขา

“คุณตรี รอนานไหมครับ ผมไม่รู้ว่าหยิบมาถูกหรือเปล่า แต่มันมีเอกสารพวกนี้อยู่บนโต๊ะ” ผมส่งเอกสารให้คุณตรี เขารับไปดูแล้วก็พยักหน้ายิ้ม

“ใช่ ขอบใจนะฟ้า”

“ไม่เป็นไรครับ เป็นหน้าที่ผมอยู่แล้วครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมกลับเลยนะครับ”

“เดี๋ยวฟ้า”

“ครับ?”

“รออยู่ที่นี่ก่อนสิ ไว้ค่อยกลับบ้านพร้อมกัน”

“แต่ผมยังทำงานบ้านบางอย่างไม่เสร็จเลยนะครับ” ผมบอก อีกอย่างผมดูไม่เหมาะกับที่นี่ มีแต่คนดูเก่งดูดีเต็มไปหมด ผมไม่รู้จะเอาตัวเองไปอยู่ตรงไหน

“บ้านฉันไม่ได้สกปรกไม่ใช่เหรอ นายทำความสะอาดทุกวัน ไม่น่ามีอะไรเร่งด่วนหรือเปล่า” เขาแย้ง และก้มมองเวลาเหมือนว่าเขากำลังรีบ

“ครับ ถ้าคุณตรีอยากให้ผมอยู่ช่วยที่นี่ก็ได้ครับ” ผมไม่รู้ว่าเขาต้องการให้ผมอยู่รอที่นี่ทำไม แต่ถ้าเขาต้องการผมก็ขัดไม่ได้

“โอเค ตอนนี้ฉันต้องรีบไปคุยงานกับลูกค้า น่าจะเสร็จประมาณเที่ยง นายเดินเล่นแถวๆนี้ไปก่อน จะได้เปิดหูเปิดตาบ้าง ถ้าหิวหรืออยากกินน้ำกินขนม ก็สั่งได้เลย เดี๋ยวฉันให้คนมาคอยดูแลนาย”

“ไม่ต้องให้ใครมาดูแลผมหรอกครับ เดี๋ยวผมออกไปอยู่กับน้าภาพก็ได้”

“ฉันให้น้าภาพนั่งแท็กซี่กลับไปแล้ว”

“ห๊ะ” ผมร้องอุทานเสียงไม่ดังมากนัก แต่ก็รู้สึกตกใจไม่น้อย

“ตามนี้นะฟ้า ฉันต้องรีบไปคุยงานกับลูกค้าแล้ว ระหว่างนี้ก็เดินเล่นแถวนี้ไปก่อนนะ”

“เอ่อะ...”

“เดี๋ยวจะมีคนมาหา ยืนรอตรงนี้” เขาชี้ที่ตรงที่ผมยืน ก่อนจะรีบสาวเท้าเดินกลับไปยังทางที่เขาเดินมา

ผมเหมือนเด็กถูกทิ้งในที่ที่ตัวเองไม่คุ้นเคย มองไปมีแต่พนักงาน และลูกค้าที่มาเลือกซื้อเลือกชมเฟอร์นิเจอร์เข้าบ้าน แล้วผมล่ะมาทำอะไร

คุณตรีจะหลอกผมหรือเปล่า ที่บอกว่าน้าภาพกลับไปแล้ว ผมไม่เชื่อหรอก ไม่ถึงสิบนาทีเลยด้วยซ้ำ จะกลับไปไว้ขนาดนั้นได้ยังไง
 
ผมเดินออกจากตึกไปที่จอดรถ รถยนต์คันหรูที่ผมเพิ่งจะนั่งโดยสารมามันยังจอดอยู่ที่เดิม แต่ไม่มีวี่แววของน้าภาพเลย

“กลับไปแล้วจริงๆเหรอ” ผมยืนเกาหัวแกรกๆด้วยความสงสัย

“ฟ้า น้องฟ้าหรือเปล่าคะ” มีเสียงคนเรียกผมดังขึ้น ผมจึงหันไปมอง

ผู้หญิงคนนี้ หน้าคุ้นๆแหะ

“มาทำอะไรตรงนี้ค่ะ”

“ครับ?”

“อ่อ ลืมไป พี่ชื่อเอิงนะคะ เป็นเลขาของคุณตรี คุณเขาส่งพี่มาดูแลน้องฟ้าน่ะค่ะ”

“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ เพราะเท่าที่ดู พี่เขาดูอายุมากกว่าผม
 
“โอย ไม่ต้องยกมือไหว้หรอกจ๊ะ ไปเถอะเข้าข้างในกัน ข้างนอกนี้มันร้อน” พี่เอิงเข้ามาดึงแขนผมให้เดินตามเข้าไปในตัวอาคารอีกครั้ง

ผมอยากดึงมือออกแต่ก็ไม่กล้า เพราะกลัวเสียมารยาท แต่ก็ไม่ชินที่มีคนมาจูงมือเดิน ทำเหมือนผมเป็นเด็กที่เสี่ยงต่อการพลัดหลงเลยต้องระวังเอาไว้

“หิวไหมคะ อยากทานอะไรไหม ตรงนั้นจะมีร้านอาหารแล้วก็ร้านคาเฟ่นะจ๊ะ” พี่เอิงชี้ให้ผมดูร้านอาหารแล้วก็ร้านกาแฟที่ว่า แต่สายตาผมกลับจับจ้องไปที่เฟอร์นิเจอร์ต่างๆที่วางเรียงราย

เราทุกคนมีความเพ้อฟัน และไม่ใช่ข้อยกเว้นสำหรับผม ผมอยากมีบ้านหลังเล็กๆชั้นเดียว และในบ้านก็ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่เรียบง่ายสบายตา แบบมองไปทางไหนก็น่าอยู่ ผมอยากมีบ้านแบบนั้นเป็นของตัวเองสักหลัง ไม่รู้ว่าชาตินี้ทั้งชาติฝันของผมจะเป็นจริงไหม

“น้องฟ้าคะ อยากไปเดินดูเหรอคะ” พี่เอิงคงจะเห็นว่าผมไม่ได้สนใจร้านอาหารที่เขาพยายามชี้ชวนให้ดู

“ครับ ฟ้าอยากเดินเล่นสักหน่อย พี่เอิงกลับไปทำงานก็ได้นะครับ เดี๋ยวฟ้าเดินดูรอคุณตรีเอง”

“ไม่เป็นไรค่ะ คุณตรีให้พี่มาอยู่เป็นเพื่อนน้องฟ้า”

“แต่ผมอาจจะเดินนาน ผมเกรงใจ” และผมเป็นคนพูดไม่เก่ง กลัวว่าพี่เอิงเขาจะเบื่อเอาเปล่าๆ

“งั้นเอาอย่างนี้นะคะ พี่จะเดินไปคุยงานกับหัวหน้าฝ่ายขายทางด้านนู้น ถ้าน้องฟ้ามีอะไรให้พี่ช่วย เดินไปหาพี่ตรงนั้นนะคะ”

“ได้ครับ” ผมรีบตอบรับแล้วส่งยิ้มให้พี่เอิง เธอยิ้มตอบก่อนจะเดินไปทางเคาน์เตอร์ที่อยู่ทางด้านซ้าย

ผมเริ่มเดินสำรวจชั้นแรกอย่างช้าๆ เหมือนชั้นนี้จะเป็นชั้นเกี่ยงกับห้องนั่งเล่น และจะมีจุดที่วางโชว์สินค้าลดราคาหรือสินค้าที่มีการจัดโปรโมชั่น ผมลองเดินไปดูโซฟาแต่ละตัวแล้วลองนั่ง บางตัวก็นุ่มมากๆ บางตัวก็แน่นแต่ยังนั่งสบาย จนมาเจอตัวที่ผมรู้สึกว่าถูกใจ ถ้ามีเงินผมอยากจะได้ตัวนี้ไปตั้งไว้ในห้อง

“สวยจัง” ผมเอามือลูบที่เก้าอี้อาร์มแชร์ไม้ที่บุด้วยผ้าสีฟ้าอ่อนบริเวณตัวเก้าอี้และที่วางแขน ดูมีดีเทลระหว่างไม้สีอ่อนและตัวผ้าที่นุ่ม ผมลองหยิบป้ายราคาขึ้นมาดู แล้วก็ต้องอุทานเบาๆด้วยความตกใจ

“โคตรแพงเลย เก้าอี้ตัวเดียวเนี่ยนะ” ผมมองตัวเลขนั้นอีกครั้ง

‘29,000’

 แถมราคานี้คือลดลงมาจากราคาเต็ม 34,000 บาทแล้วด้วย ตัวแค่นี้เองนะ ถ้าเป็นโซฟายาวก็ว่าไปนั่ง ทำไมเก้าอี้ที่นั่งได้คนเดียวต้องราคาแพงถึงขนาดนี้

หลังจากที่ผมเห็นราคาของเก้าอี้ที่ถูกใจแล้ว ผมเลิกเดินดูเฟอร์นิเจอร์ต่างๆด้วยความสวยงามแล้วหันมาดูที่ราคาว่าจะมีตัวไหนที่แพงจนน่าสะพรึงกลัวอีกไหม

แล้วผมก็ได้คำตอบว่าอีกมาก!

สินค้ามากกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของคุณตรี เป็นสินค้าที่มีราคาสูงมากถึงมากที่สุด ผมไม่เถียงเลยว่าสินค้าแต่ละตัวแต่ละชนิดมีความสวยที่เป็นเอกลักษณ์แล้วก็น่าซื้อไปตัวไว้ที่บ้าน แต่ทว่าด้วยราคาที่แพงขนาดนี้ กลุ่มคนที่ซื้อก็จะต้องเป็นกลุ่มคนที่มีเงินเหลือกินเหลือใช้มากเช่นกัน ไม่อย่างนั้นกว่าจะเก็บเงินซื้อสินค้าในนี้ได้สักชิ้น ก็คงต้องใช้เวลาเป็นปี

ผมเดินเล่นตั้งแต่ชั้นหนึ่งไปจนถึงชั้นสาม ก่อนจะรู้สึกเมื่อยขาและหิวน้ำ เลยต้องเดินกลับลงไปที่ชั้นหนึ่งเพื่อไปหาซื้อน้ำดื่มแก้กระหาย ผมเดินหาร้านที่จะขายน้ำเปล่าขวดละสิบกว่าบาทอยู่นานก็หาไม่เจอ ผมไม่อยากเข้าไปกินร้านคาเฟ่เพราะมันแพง

ผมเลยเดินไปหาที่นั่งรอคุณตรีอย่างคนที่ไม่มีอะไรทำ ก็นั่งมองผู้คนที่มาเดินเลือกชมของไปเรื่อยๆ เบื่อๆก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นจนเวลาเกือบจะเที่ยงครึ่ง ผมก็เห็นคุณตรีเดินหน้านิ่งมาแต่ไกล

ดูเหมือนว่าคุณตรีจะเครียดอีกแล้ว

“หิวข้าว” เขาเดินมาแล้วก็พูดกับผมสองคำสั้นๆ

“คุณตรีอยากทานอะไรครับ แล้วปกติคุณตรีทานข้าวที่ไหน” ผมอยากรู้ว่าที่นี่จะมีโรงอาหารไหม แล้วพวกพนักงานเขาจะไปทานข้าวกลางวันกันที่ไหน ต้องแบบราคาถูกและอร่อย อย่างพวกร้านอาหารตามสั่ง ร้านก๋วยเตี๋ยว หรือไม่ก็ร้านส้มตำ ถ้ากินตามร้านอาหารในนี้คงมีชีวิตอยู่ไม่พ้นเดือนแน่ๆ

“ก็กินร้านอาหารในนี้บ้าง ออกไปกินกับลูกค้าบ้าง ไม่ก็ให้คุณเอิงเขาสั่งจากข้างนอกมาส่งให้”

แต่ที่ผมคิดนั้น คุณตรีถือเป็นข้อยกเว้น เพราะว่าคุณตรีเป็นถึงผู้บริหารบริษัทผลิตเฟอร์นิเจอร์ ถึงจะไม่ใช่เจ้าใหญ่แบบที่เห็นโฆษณาในโทรทัศน์ แต่ก็ไม่ได้ดูน้อยหน้าเลย อย่างน้อยๆก็เรื่องของราคาสินค้า

“ฟ้า นายอยากกินอะไร” คุณตรีมองซ้ายมองขวาแล้วก็หันมาถามผม

“ครับ? ผมเหรอ ผมยังไม่ค่อยหิวหรอกครับ” ผมตอบ

“เที่ยงกว่าแล้วจะไม่หิวได้ยังไง ฉันหิว นายก็ต้องหิว”

“ห๊า”

นี่มันตรรกะอะไรกัน

“จะกินที่นี่หรือออกไปกินข้างนอก บ่ายนี้ฉันไม่ค่อยมีงานอะไรแล้ว”

“อืม กินข้างนอกก็ได้มั้งครับ”

“โอเค งั้นออกไปหาอะไรกินข้างนอกกัน ระหว่างนี้นายก็คิดว่าอยากกินอะไร” คุณตรีตัดสินใจแล้วก็สะบัดมือเล็กน้อยให้ผมเดินตามเขาออกไปที่ลานจอดรถ

“คือผมไม่รู้ว่าแถวนี้มันมีอะไรให้กิน คุณตรีเลือกเถอะครับ”

“ฉันคิดไม่ออก”

“อ้าว”

“นายคิด ฉันกินอะไรก็ได้”

เหรอออออออ

ผมละอยากจะพูดลากเสียงให้ยาวพอๆกับระยะทางจากเชียงใหม่ไปยะลาเลยทีเดียว ถ้าคนอย่างคุณตรีกินง่าย ผมก็คงกินเนื้อควายได้แล้วล่ะครับ

“ระหว่างทางที่ฉันขับรถ นายก็คิดมาแล้วก็ว่าอยากกินอะไร”

ยากมาก เป็นโจทย์ที่ยากมากจริงๆสำหรับผม

แต่...ไม่มีอะไรที่ผมทำไม่ได้ ถ้าคุณตรีอยากให้ผมเลือก ผมก็จะเลือก

“คิดออกหรือยังฟ้า ว่าอยากกินอะไร” คุณตรีถามในขณะที่รถติดไฟแดง

“ก๋วยเตี๋ยวครับ” ผมตอบ สายตามองจ้องไปยังสิ่งที่ตัวเองพูด

“...”

“ผมอยากกินก๋วยเตี๋ยว ร้านข้างหน้านั้นก็น่าจะอร่อยดีนะครับ ผมมาต่อแถวกินเยอะเลย” ผมชี้ชวนให้คุณตรีดี พลางลอบมองสีหน้าของเขาไปด้วย

“อืม เอาสิ” เขามองไปที่ร้านนิ่งๆ แล้วก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร

“งั้นเที่ยงนี้เรากินที่นี่กันนะครับ”

“ตามใจนาย”

เขาไม่ทักท้วง และยอมตามใจผม แม้ว่าสุดท้ายแล้ว เขาจะกลับบ้านมาแล้วท้องเสียก็ตาม

ขอโทษนะครับคุณตรี คราวหน้าผมจะไม่ชวนกินอาหารข้างทางอีกแล้ว

“ไปหาหมอไหมครับคุณตรี” ผมยกแก้วน้ำเกลือแร่ให้คุณตรีดื่ม หลังจากที่เขาเดินวนเข้าห้องน้ำแล้วสี่รอบ

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันก็หายแล้ว”

“ผมขอโทษ”

“จะขอโทษทำไม ฉันแค่ท้องเสีย” เขาดื่มเกลือแร่เสร็จก็ส่งแก้วคืนให้ผม ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนโซฟา

“ผมขอโทษ” ผมพูดย้ำอีกครั้ง

“พูดอีกทีฉันจะตีนาย”

“...”

“ไม่ต้องทำหน้าสำนึกผิดหรอกน่า ไปเตรียมอาหารเย็นไป ของเมื่อกลางวันออกไปหมดตัวแล้ว หิว” เขาพูดด้วยเสียงที่ค่อนข้างอ่อนระโหยอย่างคนไม่มีแรง

“ข้าวต้มนะครับ คุณตรีน่าจะต้องทานอาหารอ่อนๆในตอนนี้”

“อืม นายทำอะไรฉันก็กินทั้งนั้นแหละ ทำมาเถอะ”

“ครับ” ผมลุกขึ้นยืน เตรียมเข้าไปทำอาหารเย็นในครัว

“ฟ้า”

“ครับคุณตรี” ผมหันไปหาเขา

“ฉันไม่ต้องไปหาหมอหรอก แต่ถ้านายอยากรับผิดชอบ คืนนี้ค้างที่นี่แล้วกัน เผื่ออาการฉันไม่ดีตอนดึก”

ค้างที่นี่งั้นเหรอ

ผมเป็นลูกผู้ชายพอ ผมทำให้คุณตรีต้องป่วย ผมก็พร้อมที่จะรับผิดชอบเขาให้ดีที่สุด

“ครับ คืนนี้ผมจะอยู่เฝ้าคุณเอง”












 :katai5:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่10:ขอโทษครับที่ผมทำคุณป่วย 27-07-19 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 27-07-2019 19:06:27
เอะอะก็จะให้น้องฟ้าค้างด้วยอย่างเดียวเลยนะคะคุณตรี

 :pig4:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่10:ขอโทษครับที่ผมทำคุณป่วย 27-07-19 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 28-07-2019 02:11:53
มีข้ออ้างให้ค้างตลอด อยากรู้ว่าจะทำยังไงให้น้องมาอยู่ถาวรได้ 5555555555555
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่10:ขอโทษครับที่ผมทำคุณป่วย 27-07-19 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 28-07-2019 09:20:35
อยากจะคิดว่านี่เป็นแผนการที่จะให้น้องฟ้ามานอนค้างที่บ้านจัง 555
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่10:ขอโทษครับที่ผมทำคุณป่วย 27-07-19 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 29-07-2019 12:27:05
คุณตรีแผนสูงนะ 555
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่10:ขอโทษครับที่ผมทำคุณป่วย 27-07-19 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 12-08-2019 15:17:17
แหมมมมมมมม แผนสูงงงงงงงงงงง
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่10:ขอโทษครับที่ผมทำคุณป่วย 27-07-19 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: itsgonnabeme ที่ 16-09-2019 23:04:34
คุณริริ~~~~
เป็นไงบ้างค้า

วันนี้มีโอกาสเลยแวะเวียนมาทักทายค่า
คิดถึงความละมุนของเรื่องนี้
คุณตรียังสบายดีไหมน้าาา

เป็นกำลังใจให้เสมอนะคะ
ยังรออยู่น้าาาา
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่10:ขอโทษครับที่ผมทำคุณป่วย 27-07-19 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 07-11-2019 09:38:03
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่11:ผมทำคุณป่วยผมจะดูแลคุณให้ดี 23-03-20 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 23-03-2020 20:45:14
CATER TO YOU
ตอนที่11
ผมทำคุณป่วยผมจะดูแลคุณให้ดี
[/b][/color]


   ความเย็นของเครื่องปรับอากาศในห้องนอนของชายร่างโตเหมือนจะเย็นมากกว่าทุกครั้งที่ผมเคยสัมผัส ผมมองไปยังตัวเลขบนเครื่องปรับอากาศแล้วก็ได้แต่กอดตัวเอง ห้องพักที่ผมอยู่เป็นห้องพัดลม ยกเว้นแอร์ในห้างกับในร้านอาหารที่ผมทำ ชีวิตผมก็ไม่ค่อยได้สัมผัสกับความเย็นสุดขั้วแบบนี้ คุณตรีเขาอยู่ได้ยังไง

   “ยืนงงอะไรฟ้า”

   “ห๊ะ อ่อ เปล่าครับ” ผมส่ายหน้าปฏิเสธ คุณตรีออกไปคุยงานที่ห้องทำงานหลังจากที่เขากินมื้อเย็นที่ผมทำให้ และอาบน้ำเรียบร้อยพร้อมเข้านอนตั้งแต่สามทุ่ม ผมเองก็เช่นกัน

เสื้อผ้าชุดนอนที่ผมใส่อยู่ก็เป็นของผมเอง ที่กลับไปเอาที่ห้องพัก ทีแรกคุณตรีจะให้ผมใส่เสื้อผ้าของเขา แต่ว่าผมรู้สึกไม่ค่อยสะดวก ไหนจะเรื่องของกางเกงชั้นในที่ผมอยากจะเปลี่ยนตัวใหม่มากกว่าใส่ตัวเก่าหรือปล่อยให้เจ้าฟ้าน้อยมันโล่งโจ้ง

“คุณตรีจะนอนเลยไหมครับ” ผมถาม ก่อนจะเดินถอยห่างออกจากเตียงมาประมาณสองก้าว เพื่อหลีกทางให้เจ้าของห้องขึ้นไปนอน

“จริงๆฉันไม่เคยนอนเร็วขนาดนี้” เขาเหลือบมองดูนาฬิกาเรือนใหญ่บนฝาผนังห้อง ที่บอกเวลาสามทุ่มสี่สิบห้านาทีในขณะนี้

ผมเข้าใจที่เขาพูด เพราะปกติผมเองก็นอนดึกดื่นเช่นกัน การจะนอนหัวค่ำได้ ถ้าไม่เหนื่อยเพลียมากจริงๆ ก็ต้องป่วยหรือไม่สบาย

“คุณตรียังปวดท้องอยู่ไหมครับ” ผมสอบถามอาการ คุณตรีทานยาไปแล้ว หลังจากช่วงบ่ายที่คุณตรีต้องเข้าห้องน้ำไปประมาณหกถึงเจ็ดรอบได้ ก็ดูเหมือนว่าอาการของเขาจะดีขึ้น แต่สีหน้ายังดูอ่อนแรง

“นิดหน่อย แต่ไม่มากเท่าเมื่อบ่าย”

“อยากได้เกลือแร่ไหมเพิ่มไหมครับ”

“ก็ดี”

“งั้นคุณตรีรอสักครู่นะครับ” ผมรีบลงไปชงเกลือแร่มาให้คุณตรี เพื่อทดแทนน้ำในร่างกายที่สูญเสียไป
 
ผมกลับขึ้นมาที่ห้องนอนของคุณตรีอีกครั้งพร้อมกับเกลือแร่ในน้ำเย็น ความรู้สึกแรกที่เปิดประตูคือผมไม่อยากก้าวขาเข้าไปข้างในเลย มันหนาวมากๆ กลายเป็นว่าผมโหยหาความอบอุ่นที่ด้านนอกมากกว่า

“หนาวเหรอ” คุณตรีพูดขึ้นพลางใช้สายตาสำรวจร่างกายผมที่ห่อตัวด้วยความหนาว

“ครับ ที่ห้องผมมีแต่พัดลม มันไม่เย็นเท่านี้” ผมตอบเขา

“งั้นหรอ” เขารับแก้วเกลือแร่ไปดื่มช้าๆจนหมด

ริมฝีปากของเขาในขณะที่จรดกับปากแก้วดูชุ่มช่ำแวววาว ท่ามกลางความเงียบ แม้แต่เครื่องปรับอากาศก็ไม่ส่งเสียงใดๆให้ได้ยิน ทำให้ผมสามารถได้ยินเสียงดื่มน้ำของคุณตรีได้อย่างชัดเจน ฟังดูเซ็กซี่อย่างบอกไม่ถูก ไหนจะภาพลูกกระเดือกที่ขยับขึ้นลงนั่นอีก พอเป็นคุณตรีมันช่างดูดีเสียจริง

“จ้องขนาดนั้น จะกินฉันลงท้องเลยไหมฟ้า หิวเหรอ”

“ห๊า” เมื่อกี้เขาพูดอะไรนะ

“หึหึ”

“ผมไม่ได้หิวนะครับ แต่...”

เขาจ้องหน้าผมนิ่ง ใช้สายตากดดันประมาณว่าให้พูดต่อ

“ปกติเวลาสักห้าทุ่มผมจะกินบะหมี่ทุกคืน แล้วค่อยเริ่มอ่านหนังสือ ตอนนี้ยังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ครับ” ผมบอกเขา ผมว่าทุกคนก็รู้ใช่ไหม ว่าการกินบะหมี่ร้อนๆตอนกลางคืนมันเป็นอะไรมีความสุขที่สุดและดีที่สุด

“เฮ้อ คนละหิวไหม” เขาบ่นอะไรสักอย่างพึมพำ

“อะไรนะครับ ผมไม่ได้ยิน”

“ดึกป่านนั้นยังจะกินอะไรอีก”

“ผมชินแล้วครับ ถ้าไม่ได้กินมันจะหิว หิวแล้วก็ต้องกิน”

“แล้วคืนนี้จะต้องกินไหม” เขาถาม ยื่นส่งแก้วเกลือแร่ที่ดื่มจนหมดแล้วให้ผม

“คงไม่อ่ะครับ”

“เสียงอ่อยเชียวนะ”

ผมไม่เถียงเพราะผมตอบเสียงเบาจริงๆ คืนนี้อาจจะเป็นคืนที่ทรมานสำหรับผมก็เป็นได้

ผมลงเอาแก้วไปเก็บล้างที่ข้างล่าง และตรวจสองว่างปิดไฟปิดสวิตช์ไฟเรียบร้อยดีแล้ว ก่อนที่จะขึ้นไปหาคุณตรีที่ห้องผมหยุดยืนอยู่ที่ประตูกระจกด้านข้างของตัวบ้าน ที่ติดกับสวนขนาดใหญ่ บรรยากาศบ้านคุณตรีตอนกลางคืนเหมือนไม่ได้อยู่ในเมืองกรุง ดูเงียบสงบอย่างไม่น่าเชื่อ ถ้าสามารถเห็นดาวบนท้องฟ้าได้ชัดเจนเหมือนที่ผมยืนมองพระจันทร์ดวงโต บ้านหลังนี้คงเป็นสวรรค์เล็กๆบนดินนั่นเอง

หลังจากยืนดูบรรยากาศท้องฟ้าด้านนอกจนพอใจ ผมก็เดินกลับไปหาคุณตรีที่ห้องอีกครั้ง เขานั่งอ่านหนังสือเงียบๆบนเตียง

“คุณตรีจะให้ผมนอนที่ไหนครับ” ผมเอ่ยถามเขา

“นอนในห้องนี้ไง”

ผมกวาดสายตามองทั่วห้อง โซฟาที่อยู่ติดกับหน้าต่างบานใหญ่น่าจะเป็นที่นอนของผมได้อย่างสบาย เพราะมันตัวใหญ่มาก หมอนอิงก็มี ขาดก็แต่ผ้าห่ม ถ้าผมต้องนอนในห้องนี้โดยไม่มีผ้าห่ม ผมจะต้องหนาวตายแน่ๆ

“คุณตรีครับ ผมขออนุญาตไปหยิบผ้าห่มอีกผืนได้ไหมครับ” หวังว่าคุณตรีคงไม่ใจร้ายกับผม ให้ผมนอนหนาวหรอกนะ

“ผ้าห่ม?” เขาขมวดหัวคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย แล้วเบนสายตาลงต่ำมองที่ผ้าห่มบนเตียงที่เขากึ่งนั่งกึ่งเอนทับอยู่

ผมว่าผมรู้ว่าคุณตรีกำลังคิดอะไรอยู่

“ผมจะไปนอนที่โซฟาครับ ห้องคุณตรีหนาวมาก ผมคงนอนไม่ได้ถ้าไม่มีผ้าห่ม”

“ทำไมต้องไปนอนที่โซฟา ก็มานอนบนเตียงกับฉันก็ได้นี่”

นอนกับคุณตรีบนเตียงเดียวกันเนี่ยนะ

“ได้ยังไงละครับ” ผมพูดเสียงอ่อย

“นายก็ไม่ใช่ผู้หญิงนี่ นอนเตียงเดียวกับฉันมีอะไรเสียหายหรือยังไง”

“มันไม่เหมาะสมนะครับ คุณตรีเป็นเจ้านาย ผมเป็นลูกจ้าง”

พอผมพูดจบ เขาก็มองหน้าผมนิ่งแล้วก็เงียบ สีหน้าเขาไม่แสดงอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น ผมเลยไม่สามารถเดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ สิ่งที่คุณตรีทำคือการนั่งจ้องผมตาไม่กะพริบ ทำให้ผมรู้สึกประหม่า คล้ายกับว่าร่างกายทั้งร่างดูเกะกะอยู่ไม่ถูกที่ถูกทางซะแบบนั้น

“ฉันไม่เคยมองนายเป็นลูกจ้าง” แล้วอยู่ๆเขาก็พูดขึ้น

ถ้าเขาไม่เคยมองผมเป็นลูกจ้าง แล้วเขามองผมเป็นอะไร

“นายอายุน้อยกว่าฉันแค่ปีเดียว นายสามารถเป็นเพื่อนเป็นน้องชายฉันได้”

“แต่ว่า...” ผมไม่กล้าเอาตัวไปทัดเทียมคุณตรีขนาดนั้นหรอกนะครับ

“เอาเถอะ ถ้าอยากนอนโซฟาก็ตามใจ เดี๋ยวฉันไปเอาผ้าห่มมาให้” คุณตรีวางหนังสือไว้ที่โต๊ะหัวเตียง แล้วค่อยๆก้าวลงจากเตียง ปกติเขาจะดูกระฉับกระเฉง แต่วันนี้เขาไม่ค่อยมีแรงเนื่องจากถ่ายหนักไปหลายรอบ

“ผมไปหยิบเองก็ได้ครับ คุณตรีนอนพักเถอะ” ผมรีบบอก ไม่อยากให้เขาใช้แรงขยับเขยื้อนร่างกาย

คุณตรีที่กำลังจะลุกออกจากเตียงทิ้งตัวเอนบนที่นอนอีกครั้ง แล้วก้มหน้าลงไปอ่านหนังสือต่อโดยไม่พูดอะไร ผมปลีกตัวไปที่ห้องเก็บเครื่องนอน เป็นห้องเล็กๆที่อยู่ติดกับห้องนอนของคุณตรี หรือจะเรียกว่าตู้เก็บของก็ได้ แต่มันฝังอยู่ในผนัง บ้านหลังนี้ออกแบบมาอย่างนี้มากๆ แบบสัดส่วนการใช้งานได้ละเอียดยิบ

ผมเลือกผ้าห่มผืนกลางที่ไม่ได้เข้าเซตกับเครื่องนอนชิ้นอื่นๆมาใช้งานแทน คาดว่าน่าจะไว้ใช้สำรองอยู่แล้ว

คืนนี้ผมเดินเข้าๆออกห้องคุณตรีกี่รอบแล้วนะ เดินบ่อยจนผมลืมที่จะเคาะประตูห้องก่อนเข้าไปเลย แล้วคุณตรีเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร

ผมเดินไปนั่งที่โซฟาเงียบๆ หยิบหมอนมาวางไว้ที่หัวนอน สายตาจับจ้องไปที่คุณตรี แล้วก็กอดผ้าห่มไว้อย่างไม่รู้จะทำอะไร

“ถ้าจ้องนานกว่านี้อีกนิด ฉันจะเก็บเงินแล้วนะฟ้า”

“เออะ คือผม...” ถ้าไม่ให้ผมมองเขา แล้วจะเรียกว่าผมมานั่งเฝ้าได้ยังไง

“ถ้าจะมานอนเฝ้าฉัน แต่ก็ไม่ต้องมองจ้องฉันขนาดนั้นก็ได้”

“ขอโทษครับ” ผมก้มหัวลงน้อยๆ

“ถ้าไม่มีอะไรทำ ก็มานวดไหล่ให้หน่อย ฉันรู้สึกเมื่อยแถวๆต้นคอ”

“ครับ” ผมรับคำอย่างกระตือรือร้น มีอะไรทำก็ดีกว่าให้นั่งอยู่เฉยๆ

คุณตรีขยับเบี่ยงตัวออกจากหัวเตียงเล็กน้อย ผมเอ่ยขออนุญาตขึ้นไปบนเตียงของเขา แล้วค่อยๆคลานเข่าเข้าไปซ้อนด้านหลัง

มือที่ผมกำลังจะจับลงบนกล้ามเนื้อบ่าถูกแรงกระแทกเบาๆจากการที่เขายกแขนทั้งสองข้างขึ้นถอดเสื้อนอนออก  ผมมองแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของคุณตรี ผิวของเขาขาวเนียนแบบไร้ที่ติ

“นวดสิ คงไม่ใช่เอาแต่จ้องแผ่นหลังของฉันใช่ไหม”

“เปล่านะครับ!” ผมรีบแก้ตัว

“หึหึ เสียงสูงเชียวนะ” เขาหันมายิ้มล้อผม รอยยิ้มบางๆของเขาทำผมใจสั่นยิ่งกว่าแผ่นหลังของเขาเสียอีก

ไม่นะ ผมไม่ได้เป็นคนโรคจิตขนาดนั้น

“ผมจะนวดแล้วนะครับ” ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แบบไม่ให้มีเสียง จากนั้นก็เริ่มลงมือบีบนวด กล้ามเนื้อหัวไหล่ของคุณตรีค่อนข้างแข็งและเกร็งแน่น ผมคลึงนิ้วโป้งลงน้ำหนักเพื่อรีดให้กล้ามเนื้อคลายตัว

ผมไม่ได้มีฝีมือการนวดที่เก่งกาจ แต่ก็พอที่จะนวดได้ เคยนวดให้ลุงตอนเด็กๆแล้วก็โดนบ่นว่าไม่มีแรง นวดเหมือนแมวเกา พอไปทำงานที่ร้านอาหาร จะมีพนักงานที่เป็นมือนวดของร้าน ผมเคยลองไปถามไปคุยกับป้าแกมา ป้าแกก็สอนทริกการนวดพวกคอ ไหล่ ฝ่ามือ แล้วก็เท้ามาเล็กน้อย

“นวดเก่งนี่”

“สบายไหมครับ”

“อืม”

“ผมเคยนวดให้คนเมาเหล้าที่ร้านด้วย ได้ทิปมาตั้งหลายบาท” อะไรที่ใช้เป็นเครื่องมือทำมาหากินได้ ผมก็พยายามเรียนรู้มาหมด เล็กๆน้อยๆก็ยังดี

“แล้ววันนี้อยากได้ทิปกี่บาท” คุณตรีเอามือขวาเอื้อมขึ้นมาจับมือซ้ายของผมที่กำลังนวดอยู่บนต้นคอ ผมหยุดมือ แล้วปล่อยให้คุณตรีกุมมือของผมเอาไว้

“ไม่เอาหรอกครับ มันเป็นหน้าที่ผม อีกอย่างวันนี้ผมต้องชดใช้ที่ทำคุณตรีท้องเสีย”

“เป็นเด็กดีจังนะ”

ใช่แบบนั้นซะที่ไหนละครับ

“พอแล้วล่ะ ขอบใจมาก” คุณตรีขยับตัวหันหน้าเข้าไปผม แต่เขายังไม่ยอมปล่อยมือที่จับมือผมอยู่  เขาจับมือผมแบบหงายดูที่ฝ่ามือ แล้วใช้นิ้วโป้งลูบไล้บนฝ่ามือผม

“มือของผมไม่นิ่มเหมือนมือคุณตรีหรอกครับ” ผมบอกเขา เมื่อเขาเอาแต่มองก้อนเนื้อด้านๆตรงโคนนิ้วแต่ละนิ้ว

เขาใช้มือที่ว่างอีกมือ เอื้อมไปเปิดลิ้นชักที่หัวเตียง แล้วหยิบหลอดยาอะไรสักอย่างออกมา จากนั้นเขาก็บีบเนื้อครีมสีขาวลงบนฝ่ามือผมก่อนจะเริ่มลูบไล้ กลิ่นหอมเย็นๆทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ในอีกทางคืออ่อนโยนบนฝ่ามือที่คุณตรีสัมผัสอยู่

ผมรู้สึกอุ่นวาบอยู่ในอก เหมือนร่างทั้งร่างมีน้ำหนักเบาจนแทบจะลอยได้

“ต่อไปนี้ นายใช้มือคู่นี้ทำงาน นายก็ต้องดูแลมันด้วย เข้าใจไหม”

“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณตรี ผู้ชายเขาก็มือสากมือด้านด้วยกันทั้งนั้น เพื่อนผมที่เป็นผู้ชายก็มือด้านกันทุกคน” ถ้าเป็นผู้หญิงก็ว่าไปอย่างที่ควรจะดูแลมือให้นุ่ม ผมเป็นผู้ชายไม่คิดอะไรมากอยู่แล้ว

“ถ้านายขี้เกียจดูแล เดี๋ยวฉันดูแลให้ก็ได้” เขาพูดหลังจากที่ทาครีมที่มือของผมเสร็จ

ผมอยากถามว่าเขาจะดูแลมือให้ผมยังไง แต่ก็ไม่กล้าพูด ได้แต่กุมมือตัวเองแล้วถูไปมา ลื่นๆนุ่มๆดีเหมือนกันแหะ

“ไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าอีก”

“อ่อ ครับ งั้นผมไปปิดไฟเลยนะครับ”

“อืม”

คุณตรีเปิดโคมไฟที่หัวเตียง แล้วทิ้งตัวลงนอน ผมช่วยคุณตรีจับผ้าห่มผืนหน้าขึ้นมาคลุมถึงช่วงอก แล้วเดินไปปิดไฟที่หน้าห้อง ก่อนจะเดินกลับมานอนที่โซฟา

โซฟาตัวนี้ไม่ได้นอนลำบากเลย สบายกว่าเตียงแข็งๆในห้องของผมเสียอีก ผมดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมปิดจนถึงปลายจมูก เหลือไว้เพียงดวงตาเพื่อที่จะเงยหน้ามองคุณตรีที่นอนอยู่บนเตียง

ทันใดนั้นสายตาของผมก็สบเขากับดวงตาสีดำอันน่าหลงใหล ผมและเขามองจ้องตากันเงียบๆผ่านความมืดสลัว คุณตรีเพียงทำหน้านิ่งในขณะที่ผมฉีกยิ้มอยู่ใต้ผ้าห่ม ค่ำคืนนี้จะเป็นคืนที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยมีมา

“ฝันดีนะครับคุณตรี”

“ฝันดี นอนซะ”

“ครับ”

ผมยังคงมองเขา จนกระทั่งโคมไฟที่หัวเตียงดับลง และเปลือกตาของเขาค่อยๆปิดลงจนสนิท ผมนอนมองอยู่อย่างนั้นผ่านความมืด ให้สมกับการมาเฝ้าดูอาการของเขา จนผ่านไปได้สักสิบนาที ความเย็นของเครื่องปรับอากาศและความนุ่มของโซฟากับผ้าห่ม ก็ค่อยๆกล่อมให้ผมหลับไปในที่สุด




ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ

“ฟ้า”

“...”

“หลับสบายขนาดนั้นเลยหรือไง หรือปกติขี้เซาอย่างนี้อยู่แล้ว”

อืม...เหมือนมีเสียงอะไรดังอยู่ข้างหู ผมขยับร่างกายที่อยู่ภายใต้ผ้าห่มอุ่นๆ รู้สึกดีจัง การนอนในห้องแอร์แล้วมีผ้าห่มหนาๆห่อตัวมันดีอย่างนี้นี่เอง

“...”

อากาศเย็น...แอร์

“ฮึก!”

ผมสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจเล็กน้อย กำลังจะควานหาโทรศัพท์เพื่อมากดดูเวลาว่ากี่โมงแล้ว แต่ทันทีที่ผมลืมตา จากที่ตัวกระเด้งขึ้นเพราะตกใจตื่น ก็ต้องทิ้งตัวลงนอนอย่างแรงเพราะมีเงาดำสูงใหญ่ทาบทับตัวอยู่

“ตกใจอะไรฟ้า เป็นอะไรหรือเปล่า”

“คะ คุณตรี” ผมรู้สึกได้ถึงเหงื่อที่ซึมออกมาตามไรผม

ตกใจ ผมก็นึกว่าผีอำ เรื่องแบบนี้ใครจะเชื่อก็เชื่อ ไม่เชื่อก็แล้วแต่บุคคล แต่ว่าผมเคยโดนมาแล้ว ขยับร่างกายไม่ได้เลย ผมไม่รู้ว่าใช้หรือไม่ใช่ แต่เคยไปได้ยินป้าในตลาดเขาพูดว่ามันคือผีอำ ที่เรานอนแล้วพี่จะมาทับร่าง ทำให้เราขยับร่างกายไม่ได้

“ไม่สบายหรือเปล่า ทำไมเหงื่อออก” คุณตรีลดตัวนั่งลงข้างโซฟา ยื่นมือมาสัมผัสที่แก้มและหน้าผากของผม    

ผมตั้งตัวไม่ถูก ทั้งความตกใจและความมึนงง

“ตัวก็ไม่ร้อนนี่”

“ไม่ครับ ผมไม่ได้เป็นอะไร”

“แน่ใจนะ”

“ครับ ผมแค่ตกใจตื่นเฉยๆ” ผมตอบ ก่อนจะค่อยๆ ขยับลุกขึ้นนั่ง พยายามปรับสายตาให้ชินกับความมืดในห้องนอนคุณตรี ห้องของเขามืดมากๆจนทุกอย่างแทบจะเป็นสีดำสนิท

“หลับสบายไหม”

“ครับ ผมรับไม่รู้เรื่องเลย”

“ก็น่าจะอย่างนั้น ปกติแล้ว เวลานี้นายจะต้องมาปลุกฉัน แต่วันนี้ฉันเป็นคนปลุกนาย”

“ขอโทษครับ”

“ขอโทษทำไม เรื่องแค่นี้ ให้ฉันปลุกนายทุกวันยังได้”

“คุณตรีจะมาปลุกผมทำไมละครับ”

ทำไมเขาถึงพูดแบบนั้น อ่า หัวใจผมเต้นแรงชะมัด สลับกับรู้สึกหวิวๆในอก

“เอาเถอะ นายไปล้างหน้าอาบน้ำไป วันนี้ไม่ต้องเตรียมของในห้องน้ำให้ฉัน เสร็จแล้วไปเจอกันที่ห้องออกกำลังกายเวลาเดิม”

“แต่ผมเตรียมให้คุณตรีก่อนได้นะครับ ผมอาบน้ำแต่งตัวไม่นานอยู่แล้ว ยังไงก็ทันครับ”

“นายจะบอกว่าฉันอาบน้ำแต่งตัวช้า”

“ผมไม่ได้ว่าแบบนั้นนะครับ แต่ว่าผมอาบน้ำไวกว่าคุณตรีจริงๆ”

เขาเดินไปเปิดม่านให้แสงสว่างสาดเข้ามาในห้อง ไม่ว่าจะเวลาไหน ใบหน้าของเขาก็ดูดีไร้ที่ติ ทั้งดูเย็นชา แต่ก็ดูอบอุ่นในเวลาเดียวกัน

“เพราะนายอาบน้ำไม่สะอาดหรือเปล่า” เขาหันมาหลิ่วตาใส่ผม โปรยเสน่ห์ไปอีก

“เขาว่ากันว่า ถ้าจิตใจสะอาด น้ำไม่ต้องอาบก็ได้ครับ” ผมพูดประโยคที่เพื่อนผมมันชอบบอกกับผม เวลาที่มันกินเหล้าเมาแล้วชอบไม่อาบน้ำ พวกมันก็เอาประโยคนี้มาอ้างตลอด

 “งั้นเหรอ”

“ฮ่าๆๆ ใช่สิครับ”

“ถ้าอย่างนั้น ฉันต้องอาบน้ำให้นานกว่าเดิมสินะ”

“...”

เขาเดินเข้ามาประชิดตัวผม ก้มหน้าลงจนใบหน้าของเราเสมอกัน สายตาของเขามองสบตาผม แล้วค่อยๆเลื่อนลงต่ำเล็กน้อย สำรวจส่วนอื่นบนใบหน้าผม จนมาหยุดที่ริมฝีปาก แล้วผมก็รู้สึกประหม่าจนเม้มริมฝีปากเข้าหากันอย่างควบคุมไม่ได้

“เพราะว่าฉันจิตใจสกปรก หึหึ” เขาพูดเสียงแหบพร่าในลำคอ ก่อนจะหัวเราะเบาๆ แล้วเดินผ่านผมไป

หมายความว่ายังไงที่ว่าจิตใจเขาสกปรก เขาก็ดู เป็นคนดีไม่ใช่เหรอ



หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่11:ผมทำคุณป่วยผมจะดูแลคุณให้ดี 23-03-20 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 23-03-2020 23:41:55
คุณตรีกำลังอ้อยน้องอยู่เหรอค้า.  :hao3:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่12:ในเรื่องแย่ก็ยังมีคุณตรี... 24-03-20 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 24-03-2020 19:05:01
CATER TO YOU
ตอนที่12
ในเรื่องแย่ก็ยังมีคุณตรีเป็นเรื่องดีๆของผม




เกือบจะหกโมงเย็นแล้ว แต่คุณตรียังไม่ถึงบ้าน อาหารที่ผมทำเตรียมไว้เป็นกับข้าวเย็นเริ่มจะเย็นชืด ปกติแล้วถ้าติดธุระ คุณตรีจะโทรมาบอก แต่วันนี้ไม่มีสายตรงจากคุณตรี ผมก็ไม่กล้าโทรไปรบกวน แม้ว่าคุณตรีจะให้เบอร์ติดต่อไว้ก็ตาม

ผมเดินออกไปดูที่หน้าประตูบ้าน บรรยากาศยังคงเงียบเชียบ ไร้วี่แววเสียงรถยนต์ที่คุ้นหูดังขึ้นในบริเวณ ผมจึงเดินกลับมานั่งที่โซฟาเดี่ยวอีกครั้ง

ผมเป็นคนรับใช้แบบที่ไม่เหมือนคนรับใช้สักเท่าไหร่ ที่อื่นเขาคงไม่นั่งบนโซฟาของเจ้านาย แต่กับคุณตรีเขาไม่ยอมให้ผมนั่งพื้น เวลาผมนั่งพื้นทีไรเขารู้ทุกที แม้ว่าตัวเขาจะอยู่ที่ทำงานก็ตาม เรื่องนี้ทำให้ผมแปลกใจอยู่ไม่น้อย

หรือว่า...เขาจะแอบติดกล้องวงจรปิดไว้ในบ้าน

ผมมองซ้ายมองขวารอบตัวอย่างระแวดระวัง

ระหว่างที่ผมกำลังคิดอะไรเพ้อเจ้อ เสียงรถยนต์ก็ดังขึ้น ต้องเป็นรถของคุณตรีแน่ๆ ผมรีบวิ่งเข้าไปอุ่นอาหารเย็น เตรียมน้ำดื่มเอาไว้ รอจนกระทั่งเสียงเครื่องยนต์ดับลง ผมก็รีบวิ่งไปรับคุณตรีที่หน้าประตู

“อ้าว น้าภาพ คุณตรีละครับ” ผมถามเมื่อไม่เห็นคุณตรีในรถ มีแค่หน้าภาพที่ลงมา

“คุณเขาให้น้ากลับมาบอกเราก่อนว่าให้กินข้าวเลย ไม่ต้องรอ พอดีคุณตรีไปคุยเรื่องงานกับลูกค้าแล้วโทรศัพท์แบตหมด เลยให้หน้าขับรถกลับมาบอกเราก่อน”

“อ่อครับ” ผมพยักหน้าเป็นการเข้าใจ พร้อมกับรู้สึกอุ่นวาบในอกเมื่อคิดว่าคุณตรีอาจจะเป็นห่วงผมเลยให้น้าภาพมาแจ้งเรื่อง

“งั้นน้าไปก่อนนะ เดี๋ยวต้องไปรอรับคุณเขากลับ”

“ครับ ขอบคุณนะครับ”

“อืม น้าไปละ”

ผมกลับเข้าไปในครับอีกครั้ง มองอาหารเย็นที่วางอยู่บนโต๊ะกินข้าว ผมตักอาหารส่วนหนึ่งในกล่องเก็บอาหารแล้วนำเข้าตู้เย็น เผื่อคุณตรีจะหิวตอนดึกเวลาที่ผมไม่อยู่ ส่วนที่เหลือผมนั่งกินเงียบๆคนเดียวจนหมด ก่อนจะเก็บล้างให้เรียบร้อย แล้วออกมานั่งรอคุณตรีที่โซฟา

ผมนั่งรอจนกระทั่งสี่ทุ่มคุณตรีก็ยังไม่กลับมาบ้าน ผมคิดว่าผมควรกลับห้องพักของผมได้แล้ว จึงได้ออกจากบ้านของคุณตรีขี่รถกลับห้องพัก

กลับมาถึงห้อง ก็อาบน้ำแล้วนอนอ่านหนังสือวรรณกรรมที่เดือนนี้ผมเพิ่งซื้อมาใหม่บนเตียง ผมนอนอ่านจนกระทั่งเที่ยงคืนท้องก็ร้องโหยหวนด้วยความหิวโหย

“เอาอีกแล้ว” ผมติดนิสัยกินตอนกลางคืนจนแก้ไม่ได้

ผมอดทนข่มความหิวของตัวเองต่ออีกหน่อย แต่ไม่พ้นสิบนาทีผมก็ทนไม่ไหว ต้องลุกออกจากเตียงไปที่มุมห้อง ที่มีชั้นวางของพวกของกิน จานข้าว หม้อหุงข้าววางอยู่ ผมรื้อตะกร้าหาบะหมี่ซอง แต่ผมกลับเจอแต่ถุงขนมห่อละห้าบาทแทน

“หมดเหรอวะ” ผมก็ลืมดูเลย ปกติผมจะซื้อบะหมี่ซองติดห้องไว้ไม่ให้ขาดตลอด สงสัยกินข้าวบ้านคุณตรีจนชิน จนลืมไปซื้อของกินมาติดห้องไว้

ผมเดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์ แล้วออกจากห้องไปหาซื้อของกินมาเลี้ยงพยาธิในท้อง มาถึงร้านสะดวกซื้อผมก็หยิบบะหมี่ซองหลากหลายรสลงตะกร้า ก่อนจะเดินไปหยิบไส้กรอกและน้ำอัดลมไปจ่ายเงิน

“ทั้งหมด 86 บาทค่ะ”

ผมหยิบเงินในกระเป๋าสตางค์ที่เหลือแบงก์ร้อยแบงก์เดียวจ่าย แล้วก็รับเงินทอนและถุงใส่ของมาถือเดินออกจากร้าน

ผมว่าผมต้องเดินไปกดเงินสักหน่อย เพราะตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวผมเหลือเงินแค่สิบสี่บาท เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินแล้วจะไม่มีเงินใช้

ผมเดินข้ามถนนไปหาตู้กดเงิน ธนาคารที่ผมใช้ไม่มีตู้กดเงินที่ร้านสะดวกซื้อ ผมเลยต้องเดินเลยไปอีกสองช่วงตึกถึงจะมีตู้ที่ผมกดเงินได้

แต่ระหว่างที่ผมยืนกดเงินอยู่ ผมรู้สึกเหมือนมีคนมายืนอยู่ข้างหลัง ผมหันไปมอง ก็เจอผู้ชายผู้ชายสามคนยืนล้อมผมไว้ ผมรู้สึกว่ามันไม่น่าจะโอเค ใจของผมเริ่มเต้นแรง เวลาเที่ยงคืนกว่าค่อนข้างมืดและเงียบสนิท และจุดที่ผมอยู่ก็ไม่ใช่บริเวณที่จะใกล้ร้านอาหารที่จะมีคนเดินผ่านไปมาจนเป็นที่สังเกต

ผมยืนนิ่งแทบไม่กล้าหายใจขณะยืนรอเงิน ผมปลอบตัวเองว่าคงไม่มีอะไร พวกเขาอาจจะมายืนรอกดเงินก็ได้ แต่ทันทีที่ช่องถอนเงินส่งเงินออกมา ผมรีบคว้าเงินแล้วเตรียมจะเดินหนี แต่ผมกลับทำไม่ได้อย่างที่คิด เมื่อหนึ่งในนั้นกระชากแขนผมไว้

“ถ้าไม่อยากเจ็บตัว มึงก็ส่งเงินมาให้กูซะ” คนที่จับแขนผมกดเสียงต่ำข่มขู่ ผมตัวสั่นอย่างช่วยไม่ได้ มือที่กำเงินอยู่กำแน่น

ผมกดเงินออกมาห้าพันบาท กะไว้ว่ากดครั้งเดียวแล้วจะใช้ไปทั้งเดือน เงินห้าพันไม่ใช่เงินจำนวนน้อย ผมไม่อยากส่งให้มันไป

ไวเท่าความคิด ผมใช้มือข้างที่ไม่ได้โดนจับกำหมัดต่อยไปที่จมูกของมัน แล้วบิดแขนที่ถูกจับไว้ให้หลุดออก ก่อนจะรีบวิ่งหนี แต่วิ่งหนีได้ไม่ทันเกินครึ่งถนน ผมก็ถูกกระชากคอเสื้อจนกระเด็นไปข้างหลัง ร่างผมกระแทกลงกับพื้นจนรู้สึกเจ็บไปทั้งแผ่นหลัง ก่อนจะตามมาด้วยความเจ็บเสียดที่ช่องท้อง แล้วมือของผมถูกง้างออกและพวกมันได้เงินไปก่อนที่จะวิ่งหายไปในความมืด

ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาก

ผมควรให้เงินมันไปแต่แรกใช่ไหม จะได้ไม่ต้องมาเจ็บตัวอย่างนี้ ถ้าผมรู้ว่ามันมีมีด ผมคงไม่ทำอะไรโง่ๆ

ก่อนที่สติของผมจะดับลง ผมเห็นแสงสว่างสาดจ้าอยู่เบื้องหน้า คงไม่ใช่ว่า...เทวดามารับผมขึ้นสวรรค์ใช่ไหม






“ผมบอกว่าวันนี้ผมไม่เข้าออฟฟิศไง”

“...”

“คุณเลื่อนประชุมออกไปก่อน ผมติดธุระ”

“...”

“ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเรื่องที่ผมต้องจัดการ คุณเป็นเลขาของผมคุณเอิง ผมรู้ว่าผมควรทำอะไร และคุณก็ควรทำตามที่ผมบอก เรื่องครอบครัวผม ผมจัดการเอง คุณแค่ทำในสิ่งที่ผมบอกก็พอ เลื่อนการประชุมและนัดลูกค้าออกไปก่อน”

เสียงใคร ทำไมคุ้นหูจัง

“เอกสารทั้งหมด ผมจะให้คนของผมเข้าไปเอาที่ออฟฟิศ คุณก็ฝากเขามาแค่นี้”

เสียงคุณตรีเหรอ หรือว่าเสียงเทวดาที่มาพาผมไปขึ้นสวรรค์

ถึงผมจะไม่ใช่คนดีมาก แต่ผมคิดว่าต่อให้ผมตายผมก็ไม่มีทางตกนรกหรอก อย่างน้อยๆในนรกก็น่าจะมีไฟที่ร้อนระอุ ไม่ใช่เย็นเยือกขนาดนี้

ไม่มีเสียงคนพูดแล้ว ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมอง อยากรู้ว่าสวรรค์จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร

อืม...สีขาวแบบนี้มันคุ้นตาจัง อันนั้นมันหลอดไฟหรือเปล่า ผมรู้สึกแปลกใจ เลยกวาดตามองรอบๆ แล้วก็เจอกับเทวดายืนหน้าเครียดมองโทรศัพท์อยู่

“คุณตรี” ผมเอ่ยเรียกเขาเสียงเบา เขาหันฉับมามองผม ก่อนจะรีบถลาเข้ามาใกล้

“ฟ้า ฟื้นแล้วเหรอ เป็นไงบ้าง”

“คุณตรี”

นี่ผมยังไม่ตายหรอกเหรอ?

ผมมองสำรวจตัวเองอีกครั้ง แต่พอผงกหัวขยับตัว ก็ต้องร้องซี๊ดเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวดที่ช่องท้อง จนต้องหยุดขยับตัวชั่วคราวเพื่อบรรเทาความเจ็บ

“เจ็บแผลเหรอ นอนนิ่งๆ อย่าขยับตัว” เขาพูด แล้วก็จับชายเสื้อชุดคนไข้ทำท่าจะเลิกขึ้น ผมตกใจจับมือเขาเอาไว้ แต่พอขยับตัวก็เจ็บเสียดที่ช่องท้องอีกรอบ

“ก็บอกว่าอย่าขยับไง” เขาดุหน้านิ่ง แล้วก็จับมือผมออก แล้วเลิกชายเสื้อขึ้นจนเห็นผ้าก๊อซสีขาวพันปิดแผลรอบเอว ผมผงกหัวขึ้นมอง จุดเลือดสีแดงแต้มบนผ้าก๊อซจางๆ

คุณตรีจ้องแผลของผมหน้าเข้ม เขาไม่พูดอะไร เอื้อมมือไปกดปุ่มเรียกพยาบาล ไม่นานนักพยาบาลก็เข้ามา พอเห็นว่าผมฟื้นแล้ว ก็ออกไปตามคุณหมอเข้ามาดูอาการของผม

“รบกวนญาตินั่งรอด้านนอกนะคะ” พยาบาลเลื่อนม่านปิดแล้วกันคุณตรีที่ทำท่าเหมือนจะเข้ามาดูการตรวจบาดแผลของหมอ

ผมนอนสะดุ้งเป็นพักๆระหว่างที่คุณหมอตรวจบาดแผล ผมผงกหัวขึ้นดูแผลที่หน้าท้อง หลังจากที่คุณหมอทำความสะอาดแผลเสร็จและเตรียมปิดผ้าปิดแผลแผ่นใหม่

“หมอเย็นสวยไหมล่ะ โชคดีนะที่มีดค่อนข้างคมเลยดีเดียว ปากแผลก็เลยไม่ช้ำมาก แถมมีดเล็กสั้น ไม่โดนจุดสำคัญอะไร ปากแผลไม่ฉีกขาดทำให้เย็บง่าย” คุณหมอพูดพลางยิ้ม ก่อนจะลงมือปิดแผลจนเรียบร้อย

สรุปแล้วผมโชคดีที่โจรใช้มีดที่คมพอ อย่างนั้นเหรอ?

“แต่ทางที่ดี การไม่เจ็บตัวดีที่สุด เพราะฉะนั้น ช่วงนี้จะขยับตัวก็ระมัดระวังนะครับ จนกว่าแผลจะหายดี ยังไงนอนดูอาการที่นี่สักสองสามคืน ให้แน่ใจว่าแผลไม่ได้อักเสบติดเชื้อ”

“นอนสองสามคืนเลยเหรอครับ” ผมถามเสียงพร่า ผมไม่เคยต้องนอนโรงพยาบาล ยิ่งเป็นโรงพยาบาลที่ดูท่าจะแพงด้วยแล้ว นอนคืนหนึ่งต้องใช้เงินกี่บาท

“ไม่ได้เป็นอะไรมากใช่ไหมครับหมอ” คุณตรีถามทันทีที่นางพยาบาลเปิดม่านออก

“ไม่ครับ ตอนนี้เหลือแค่ดูแลบาดแผล ถ้าไม่มีเลือดออกข้างในเพิ่ม แผลไม่ฉีกขาด ไม่นานแผลก็หายครับ”

“หมอแน่ใจนะครับ” ผมมองดูคุณตรีที่ยืนทำหน้ากดดันหมอ พูดเหมือนหมอจะไปโกหกเขา

“หมอแน่ใจสิครับ คุณเป็นพี่ชาย คงจะห่วงน้องชายมาก แต่หมอยืนยันเลย ถ้าคนไข้นอนนิ่งๆอยู่ที่โรงพยาบาลสักสามวัน แผลหายเร็วแน่นอนครับ”

“ขอบคุณครับ”

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว หมอจะมาใหม่วันพรุ่งนี้นะครับ”

“ขอบคุณครับคุณหมอ” ผมยกมือไหว้คุณหมอ แต่กลับถูกคุณตรีเอ็ด เพราะผมผงกหัวขึ้นมาจนรู้สึกเจ็บแผล

“ขยับตัวทำไม หมอก็บอกอยู่ว่าให้อยู่เฉยๆ”

“อ่า” มันเจ็บแผลก็จริง แต่ก็ไม่ได้เจ็บมากขนาดนั้น

คุณหมอออกไปแล้ว เหลือคุณตรีที่ยังคงยืนทำหน้ายักษ์อยู่ข้างเตียง เขาจ้องหน้าผมนิ่ง นิ่งแล้วก็นิ่ง จนผมต้องหลบสายตา ก้มมองปมเสื้อที่ผูกอยู่ตรงหน้าอกแทน

ผมลองเหลือบตาขึ้นมอง แต่ก็ยังเจอกับสายตาของคุณตรีที่จ้องผมอย่างไม่ลดละ

“คุณตรีไม่ทำงานเหรอครับ” ผมเลือกที่จะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบชวนเขาคุย

“นั่นใช่สิ่งที่นายควรถามฉันงั้นเหรอ”

“...” ทำไมเขาถึงดุขนาดนี้ ผมทำอะไรผิด

“ผมขอโทษ” ผมก้มหน้าลงอีกรอบ รู้สึกน้อยใจอย่างบอกไม่ถูก ได้แต่บอกตัวเองว่าไม่ควรรู้สึกเช่นนั้น ผมกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกัน เราเป็นแค่นายจ้างกับลูกจ้าง ผมไม่มีสิทธิ์ไปน้อยใจ

“สนใจแต่ตัวเองก็พอ เรื่องของฉันนายไม่ต้องกังวล เอาเรื่องที่นายถูกแทงมาดีกว่า เกิดอะไรขึ้น เล่ามาให้หมด”

วินาทีนี้ ความน้อยใจวิ่งหายไปไหนก็ไม่รู้ เหลือไว้แค่ความรู้สึกที่ว่าผมกำลังจะซวย อยู่ๆก็เหมือนจะมีความผิดติดตัว

“ว่าไงฟ้า” พอเห็นผมเอาแต่เงียบ คุณตรีก็ขยับเข้ามาใกล้ เขากางสองแขนท้าวกับเตียงคร่อมร่างผมไว้ ใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติโน้มเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจถี่กระชั้น

“ผม...คุณตรีถอยไปหน่อยสิครับ”

เขาเข้ามาใกล้แบบนี้ ผมจะกล้าพูดได้ยังไง

“ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ออกไปทำอะไรข้างนอกดึกๆดื่นๆ จนถูกทำร้ายจนเจ็บเนื้อเจ็บตัว”

“ผมหิว ผมก็เลยออกไปหาซื้ออะไรกิน แต่เงินหมดผมก็เลยไปกดเงินที่ตู้ATM ผมไม่รู้ว่าพวกมันจะเข้ามาจี้ แล้วก็เอาเงินไป” ผมเล่าแบบย่อๆ ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นมันก็มีเท่านี้จริงๆ เหตุการณ์มันเกิดขึ้นไวมาก จนผมเองก็ตั้งตัวไม่ทัน

“รู้ไหม ถ้าฉันไม่กำลังขับรถเข้าไปในซอยบ้านตอนนั้น จะเกิดอะไรขึ้น” คิ้วของคุณตรีขมวดแน่น แววตาของเขาที่จ้องผมอยู่สั่นไหวเหมือนเขากำลังเจ็บปวด เหมือนเขาเป็นคนที่เจ็บ

“ผมขอโทษ” ปากมันพูดออกไปเอง

“ขอโทษตัวเองเถอะฟ้า ไม่ต้องมาขอโทษฉัน”

“คุณตรี...”

“ที่นี้จะย้ายมาอยู่กับฉันที่บ้านได้หรือยัง นายเคยพูดไว้ว่านายจะช่วยฉันแบ่งเบาภาระถ้านายทำได้ จำได้ไหม”

ผมฟังเขาแล้วพยักหน้า ผมจำได้


‘ผมอาจจะไม่ฉลาด การศึกษาน้อย แต่ถ้าคุณตรีมีอะไรให้ผมช่วย ที่ผมสามารถช่วยแบ่งเบาภาระได้ ก็บอกผมได้เลยนะครับ’
‘ขอบคุณ’
‘ผมพูดจริงๆนะ’
‘ฉันรู้ ไว้ฉันจะบอกแล้วกัน แต่นายสัญญาแล้วนะ ว่าถ้าช่วยได้นายจะช่วย’
‘ครับ ลูกผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำครับ’
 


“ย้ายมาอยู่กับฉันที่บ้าน อย่าให้ฉันต้องคอยเป็นห่วงคอยพะวงอีก”

“...” ไม่ใช่ว่าจะลำบากใจอะไรหนักหนา แต่ว่า ผมแค่ไม่อยากหลงระเริงไปกับการได้ใกล้ชิดคนที่ตัวเองแอบรัก

“การอยู่กับฉันทำให้นายลำบากใจมากเหรอ”

ผมส่ายหน้าว่าไม่ใช่

“แล้วทำไมถึงต้องคิดมาก”

“ผมแค่กลัว”

“กลัวอะไร”

“ตอนที่ลุงตาย กว่าผมจะอยู่คนเดียวได้โดยไม่รู้สึกทรมานก็ใช้เวลาเป็นปีๆ ผมแค่ไม่อยากเคยชิน ถ้าวันหนึ่งผมต้องกลับมาอยู่คนเดียวอีก...”

“ฉันจะไม่ทิ้งนายไปไหน ลืมสัญญางานไปแล้วเหรอ นายยังต้องทำงานกับฉันอีกตั้งสิบปีเชียวนะฟ้า”

“เอ่อ...” นั่นสิ

“ย้ายมาเถอะ นายจะได้ทำงานสะดวกด้วย ฉันจะได้ไม่ต้องกังวลว่านายจะโดนทำร้ายแบบครั้งนี้อีก”

“ผมเป็นภาระให้คุณตรีหรือเปล่าครับ” เขาดูเหนื่อยล้าจากการทำงานทุกวัน ผมไม่อยากเป็นตัวยุ่งยากในชีวิตของเขา

“นายไม่เคยเป็นภาระ แต่ที่ทำเพราะฉันเป็นห่วง ย้ายมาอยู่ด้วยกันนะ”

“ครับ”

“เด็กดี” เขาลูบแก้มผม ใช้ฝ่ามือใหญ่ที่อุ่นร้อนแนบชิดแก้มผมไว้

เขาทำให้ใจผมสั่นและแอบหวั่นไหวกับความอ่อนโยนนี้





สามวันถัดจากนั้น ผมก็ได้ออกจากโรงพยาบาล ค่าใช้จ่ายทั้งหมดคุณตรีเป็นคนออก ส่วนเรื่องคนร้าย ได้ข่าวจากน้าภาพว่าถูกตำรวจจับเข้าคุก รอให้ผมไปชี้ตัวคนร้ายแล้วจากนั้นก็ดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งก็ถือว่าคนทำผิดได้รับผลกรรมที่ตัวเองก่อไปเป็นที่เรียบร้อย

กลับจากโรงพัก คุณตรีก็ขับรถมาจอดที่หน้าหอพักของผม เขาไม่ยอมให้ผมบิดพลิ้ว ยังไงวันนี้ผมก็ต้องขนของย้ายไปอยู่ที่บ้านหลังใหญ่

“คุณตรีกลับไปรอที่บ้านก่อนก็ได้ครับ ผมคงใช้เวลาเก็บของราวๆครึ่งวันได้” เพราะไม่ได้เตรียมตัว ก็ต้องใช้ระยะเวลาในการแพ็คของ

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันช่วย แผลนายยังไม่หายดี จะเก็บของคนเดียวได้ยังไง” เขาลงจากรถตามมา

“แต่ห้องผมร้อนนะครับ คุณตรีไม่สบายตัวหรอก” ผมบอก เชื่อเถอะว่าเขาอยู่ในห้องผมได้ไม่เกินสิบนาทีหรอก

“ฉันทนได้ ช่วยกันเก็บจะได้เสร็จเร็ว”

“คุณตรีครับ” เขาดื้อเหลือเกิน

“ไม่ต้องมาเรียกชื่อ เดินนำขึ้นไปที่ห้องเร็ว จะได้รีบเก็บของ” เขาสั่ง ผมเลยต้องจำใจ รับกล่องกระดาษเปล่ามาจากน้าภาพส่วนหนึ่ง แล้วเดินนำขึ้นห้องพัก คุณตรีทำท่าเหมือนจะขยับตัวมาแย่งของที่อยู่ในมือผม แต่ผมรีบเดินห่างออกมา

“ฟ้า ระวังแผลปริ”

ผมว่าเขาเป็นกังวลมากเกินไป

“เก็บเฉพาะของที่จำเป็นก็พอ อะไรที่ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องเอาไป”

ทรัพย์สินที่ผมไม่ในห้องไม่ได้เยอะมากขนาดนั้น ส่วนมากที่มีก็คือของที่ถือว่าจำเป็นในชีวิต บางอย่างจะให้ตัดใจทิ้ง ก็ทำใจยากพอควร

ผมหมุนซ้ายหมุนขวา ไม่รู้จะเริ่มเก็บจากตรงไหนดี ยิ่งมีสายตากดดันของคุณตรีคอยจ้อง ผมยิ่งประหม่า

“ไปนั่งพักไป เดี๋ยวฉันเก็บให้ จะเอาอะไรบ้าง” คุณตรีคว้ากล่องกระดาษใส่ของเตรียมจะทำอย่างที่พูด

“ไม่ได้ครับคุณตรี คุณตรีนั่นแหละที่ต้องนั่ง ของๆผม เดี๋ยวผมเก็บเอง”

“นายบาดเจ็บอยู่” เขาขมวดคิ้วอีกแล้ว

“แค่นิดหน่อยเองครับ ผมก็ไม่ได้ออกแรงอะไร”

“เฮ้อ งั้นก็อย่าก้ม เจ็บก็อย่าฝืน ถ้าฉันเห็นนายแสดงอาการเจ็บแม้แต่นิดเดียว ก็ไม่ต้องเก็บของต่อ ทิ้งให้หมดแล้วฉันจะซื้อให้ใหม่ทุกอย่าง”

“อย่าทำแบบนั้นสิครับคุณตรี”    

“นายเลือกแบบนี้เองนะฟ้า”

“ครับๆ ผมจะเก็บของแบบไม่ให้ตัวเองเจ็บแผลแม้แต่นิดเดียว”

ผมลอบถอนหายใจ มันจะเป็นอย่างที่ผมพูดได้ยังไง ในเมื่อแค่ขยับนิดหน่อยก็เจ็บแล้ว แต่เพราะแผลมันยังไม่แห้งสนิทดี ต่อให้เป็นแค่แผลถลอก ถ้าขยับนิดขยับหน่อยยังเจ็บเลย

แต่คุณเขาสั่งมายังไงก็ต้องทำอย่างนั้น ผมขัดใจเขาไม่ได้หรอก

“แพ็คลงกล่องแล้วก็ให้น้าภาพยกลงไปใส่รถกระบะ ไม่ต้องยกเอง”

“ครับ” ผมยอมรับคำสั่งแต่โดยดี

“แล้วจะเก็บอะไรก่อน” คุณตรีถาม

“พวกหนังสือเรียนครับ” ผมชี้ไปที่โต๊ะหนังสือ

“นายไปเก็บเสื้อผ้าไป ตรงนี้ฉันเก็บให้”

“แต่...”

“เดี๋ยวนี้ฟ้า ไม่งั้นแม้แต่เสื้อผ้าฉันก็จะไปเก็บให้”

“คร้าบ...” (พ่อ)

ผมได้แต่ต่อท้ายอีกคำแค่ในใจ

ผมเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า แล้วก็ขนเอาเสื้อผ้าใส่กระเป๋า เสื้อผ้าผมก็มีไม่เยอะ ใช้เวลาเก็บไม่นานก็เสร็จ กล่องหนังสือกับเสื้อผ้าที่แพ็คเรียบร้อย น้าภาพช่วยยกลงไปไว้ที่รถ จะเหลือก็ตรงตู้สองชั้นเล็กๆที่ผมไว้วางกาต้มน้ำ หม้อหุงข้าว

“จะเอาไปทำไม ที่บ้านฉันก็มี” เขาบอก แล้วดึงของในมือผมออก

“แต่ถึงไม่เอาไป เราก็ต้องเอาของออกจากห้องอยู่ดี อีกอย่างผมเสียดาย มันอยู่กับผมมาตั้งนาน” จะให้ผมตัดใจทิ้งของที่ผมหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงได้ลงเหรอ

“แต่มันไม่จำเป็นแล้ว”

“จะให้เอาไปทิ้งเหรอครับ”

“ที่บ้านไม่มีที่เก็บของขนาดนั้น”

ผมรู้ คุณตรีชอบให้บ้านเรียบร้อย ไม่ชอบให้มีของเยอะจนรก

ผมยืนคิดหาทางออก ก่อนจะคิดถึงเพื่อนไม่กี่คนที่ผมมี ผมหยิบโทรศัพท์ต่อสายหาแจ็ค บอกให้มันมาหาผมที่ห้อง พอมันรับสายผมก็รีบถามไถ่เรื่องที่ผมโดนแทง ดูท่าว่าคนจะรู้กันทั่วทั้งซอยแล้วมั้ง ต้องตัดบทให้มันรีบวางสายแล้วรีบมา

“ของในห้องน้ำไม่ต้องขนไปหรอก เดี๋ยวไปซื้อเอาใหม่”

“แต่มันเปลืองนะครับ”

“แค่สบู่กับยาสระผม จะเปลืองสักแค่ไหนกันเชียว”

“ครับๆ” ผมยอมแต่โดยดี เถียงไปก็ไม่ชนะ เวลาคุณตรีดื้อเขาก็ดื้อจนถึงที่สุด

ก๊อกๆๆ

ผมเดินไปเปิดประตูห้อง คนที่มาก็คือคนที่ผมโทรไปตาม แจ็คเข้าห้องผมมาได้ก็จับตัวผมหมุนไปหมุนมา

“มึงเป็นไงบ้างวะฟ้า หายดีแล้วเหรอ มึงโดนแทงตรงไหนมาให้กูดูสิ” มันทำท่าจะถลกเสื้อผมขึ้น แต่ผมรีบตะครุบเสื้อตัวเองเอาไว้

“มึงจะเปิดทำไมเนี่ย เดี๋ยวโดนแผลกู” ผมบอกมัน แผลยังไม่หายสนิทดี หมอแค่อนุญาตให้กลับบ้านได้แค่นั้น

“เออๆๆ กูลืมไป โทษที เจ็บมากใช่ป่ะวะ กูโดนมีดบาดกูยังร้องไห้เลย” แจ็คทำหน้าเหยเก

“เจ็บดิ แจ็ค นี่คุณตรี เจ้านายกู” ผมแนะนำให้แจ๊ครู้จัก เพื่อนผมเหมือนจะเพิ่งนึกได้ว่าในห้องไม่ได้มีแค่ผมกับมัน มันรีบยกมือไหว้

“สวัสดีครับ ผมแจ็คนะครับ เป็นเพื่อนของไอ้ฟ้ามัน ตอนที่ทำงานที่ร้านอาหาร”

“สวัสดี” คุณตรีเอ่ยทักตอบนิ่งๆ

“ว่าแต่มึงโทรเรียกกูมาทำไมวะ จะพากูมาแนะนำตัวกับเจ้านายมึงเหรอ”

“เปล่า กูจะให้มึงมาดูว่า ของในห้องกู พวกโต๊ะเก้าอี้พวกนี้มึงจะเอาไปใช้ไหม ไม่ใช่ของใหม่อะไร แต่ก็ยังพอใช้ได้ กูจะย้ายไปอยู่ที่บ้านเจ้านายอ่ะ ของพวกนี้เลยต้องทิ้ง”

“อ่อ ได้ๆ กูเอาๆ อะไรที่มึงไม่เอาอ่ะ มึงก็ทิ้งไว้ให้กู มึงใช้ของถนอมจะตาย แต่หม้อหุงข้าวนี่อย่างแจ่มเลย ของที่ห้องกูพังพอดีเลย อย่างน้อยก็ไม่ต้องซื้อใหม่” มันรีบเดินไปสำรวจว่ามีอะไรที่มันสนใจบ้าง

“อืม วานมึงยกลงไปข้างล่างทีนะ”

“ขนขึ้นรถไปทีเดียว เดี๋ยวให้น้าภาพเอาไปส่งให้” คุณตรีบอก

“ขอบคุณครับ”

“ขอบคุณครับเจ้านายไอ้ฟ้า”

พวกเราใช้เวลาร่วมสามชั่วโมงได้ ในการเคลียร์ของ ส่วนที่เหลือที่ไม่เอาจริงๆ คุณตรีเขาใช้วิธีที่เขาถนัด แม้ว่ามันจะขัดใจผมอยู่ก็ตาม ด้วยการเอาเงินจ้างเจ้าของห้องมาเคลียร์ขยะที่เหลือออก ผมละเสียดายเงิน นอกจากค่ามัดจำจะไม่ได้คืนแล้ว ยังต้องจ่ายเพิ่มอีกตั้งสองพันบาทค่าทำความสะอาดห้อง

แต่ผมจะทำอะไรได้ แค่เห็นคุณตรีเหงื่อออกทั้งตัว ใบหน้าขาวใสก็เห่อแดงเพราะความห้อง ผมก็ไม่กล้าที่จะรั้งให้เขาอยู่ในห้องเช่าของผมนานมากไปกว่านี้

ผมนั่งรถกลับบ้านมากับคุณตรี ส่วนน้าภาพขับรถกระบะไปส่งแจ็คที่หอเพื่อเอาของลง จากนั้นถึงจะค่อยเอาของๆผมกลับมาที่บ้านคุณตรี

“นับแต่นี้ต่อไป นายก็นอนที่ห้องนี้ ฉันยกให้เป็นห้องของนายนับแต่นี้เป็นต้นไป”

ยกให้เป็นห้องของผมเหรอ

คุณตรีเปิดประตูห้องรับแขกที่อยู่ตรงข้ามกับห้องของคุณตรี เชื้อเชิญให้ผมเดินเข้าไปดูห้องใหม่ ผมเคยเข้ามาทำความสะอาดห้องนี้ครั้งหนึ่ง ทว่าทุกอย่างดูเปลี่ยนไปจากเดิม เฟอร์นิเจอร์เปลี่ยนใหม่หมดทุกอย่าง ดูสวยจนผมไม่คิดว่าจะมีวันที่ผมได้อยู่ห้องดีๆแบบนี้

“ฉันให้แผนกตกแต่งภายในที่บริษัทมาช่วยตกแต่งห้องให้ใหม่ ชอบไหม”

“ชอบครับ ห้องสวยมาก น่าอยู่มากๆครับ”

“ถ้าน่าอยู่ก็อยู่ที่นี่ ไม่ต้องไปอยู่ที่อื่นอีกแล้ว”

ผมยิ้มรับ ขอบคุณนะครับ เจ้านายของผม



 






หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่13:คุณตรีอย่าดูแลผมดีสิครับ... 25-03-20 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 25-03-2020 20:09:35
CATER TO YOU
ตอนที่13
คุณตรีอย่าดูแลผมดีสิครับ เดี๋ยวผมเคยตัว



คุณตรีบอกให้ผมพักผ่อน ไม่ให้ผมลงไปทำความสะอาดบ้านเพราะกลัวว่าจะทำให้แผลผมหายช้า ก็เถียงกันไปรอบหนึ่ง ผลจบลงที่ผมแพ้ให้กับคำขู่ของคุณตรีด้วยประโยคเดิมๆ

‘ถ้าลงไปทำงานบ้าน เดือนนี้ฉันจะจ่ายเงินเดือนเป็นสองเท่า’

บางทีผมน่าจะลองลงไปทำงานดูให้รู้แล้วรู้รอด แต่ติดที่ผมไม่อยากรับเงินคุณตรีมามากเกินความจำเป็น ผมไม่อยากดูเป็นคนหน้าเงิน

ผมมองสำรวจห้องนอนใหม่ของตัวเอง เตียงนอนห้าฟุตสีขาว มีหมอนใบใหญ่และใบเล็กในโทนสีเทาฟ้าวางประดับเตียงสวยงามจนไม่กล้าจะทิ้งตัวลงนอน

ตรงพื้นปลายเตียงมีพรมขนาดเท่ากับความกว้างของเตียงวางอยู่ใต้เท้าผมในขณะนี้ เป็นลายถักทอพื้นเมืองดูสวยสะดุดตา ทำให้ห้องโทนขาวฟ้ามีสีสันลงตัว

เฟอร์นิเจอร์ใหญ่ๆอย่างพวกตู้เสื้อผ้า โต๊ะหนังสือ ตู้ลิ้นชักใส่ของล้วนเป็นสีขาว มีต้นไม้ปลอมสีเขียวมาตัดความเรียบให้ดูสบายตา ห้องสวยมากจนผมไม่กล้าจะหยิบจับใช้งาน

ผมวางหุ่นยนต์ตัวเก่งของผมไว้ที่หัวเตียง ที่ระลึกเพียงชิ้นเดียวจากลุง ไม่พลาดที่จะนำของชิ้นนี้ติดตัวมาด้วย

“ลุงครับ ตอนนี้ฟ้าไม่ลำบากแล้วนะ” ผมพูดกับของเล่นเหมือนมันเป็นตัวแทนของลุง ที่ทำให้ผมไม่รู้สึกเดียวดายมากนักในช่วงที่ผ่านมา

ผมนั่งเล่นอยู่ในห้องนอนที่สวยสะอาดตา พร้อมกับแอร์เย็นฉ่ำ ไม่นานตัวของผมก็ค่อยๆเอนลงนอนแล้วเผลอหลับตอนกลางวันโดยไม่ได้ตั้งใจ




ตกเย็น คุณตรีพาผมออกมาซื้อของใช้ส่วนตัวของผมที่ห้างสุดหรูย่านใจกลางเมือง ทีแรกผมบอกว่าซื้อในร้านสะดวกซื้อก็ได้ แต่คุณเขาว่าจะมาซื้อของใช้ของเขาด้วย ผมก็เลยไม่มีสิทธิ์ออกความเห็น

เคยเห็นแต่เขาพูดๆกันว่าเด็กสยามนั้นโก้ เกิดมาจนอายุยี่สิบเอ็ดปี เพิ่งเคยเห็นเด็กสยามแบบที่เขาพูดๆกัน เด็กวัยรุ่นแถวนี้ เขาแต่งตัวดูดีกันจังเลย เหมือนหลุดออกมาจากในนิตยสารที่ผมเคยเห็นในร้านสะดวกซื้อ

“คุณตรีมาเดินที่นี่บ่อยเหรอครับ” ผมถามพลางมองซ้ายมองขวา ขาก็ก้าวตามคุณตรีติดๆ ผมไม่เคยมาเดินห้างที่ใหญ่ขนาดนี้ ถ้าไม่เดินตามคุณตรีให้ดีๆ คาดว่าผมอาจจะกลายเป็นเด็กพลัดหลง

“เปล่า จะมาเวลามาซื้อของ หรือไม่ก็มีนัดกับเพื่อนตอนเรียนมัธยม”

“ผมเพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก มีแต่คนรวยๆเต็มไปหมดเลยครับ”

“นายคิดอย่างนั้นเหรอ” คุณตรีหันมาถาม ก่อนจะขวามือผมไปจับจูงให้เดิน

“เดินช้า เดี๋ยวก็หลง”

ผมมองมือคุณตรีที่จับมือผมไว้แน่น สายตาของคนรอบข้างเริ่มจับจ้องมาที่ผมกับคุณตรี ผมขืนมือออก แต่นอกจากจะไม่หลุดแล้ว คุณตรียังกระตุกมือผมให้เดินไปเสมอเทียบกับตัว

“คุณตรี ผมโตแล้ว ไม่ต้องจูงมือผมก็ได้”

“เดี๋ยวหลง”

“แต่คนเขามอง” ร่างกายของผมห่อเข้าหากันโดยอัตโนมัติ บางคนก็มองพวกผมด้วยความสนใจแล้วก็ซุบซิบอะไรกันสักอย่าง

“จะไปสนใจทำไม”

“ก็เขา...คุณตรีจะดูไม่ดีนะครับ”

“ยังไง” คุณตรีเดินช้าลงเพื่อให้ผมเดินตามทัน แต่เขาก็ยังไม่ปล่อยมือ

“พวกเขาจะเข้าใจผิดนะครับ ว่าคุณตรีเป็นเกย์” ไม่มีผู้ชายปกติที่ไหนเขาเดินจับมือผู้ชายด้วยกันหรอก หากไม่ใช่ผู้ชายที่มีรสนิยมชอบเพศเดียวกัน

“แล้วยังไง เขาจะมองฉันเป็นยังไง มันสำคัญเหรอ”

“แต่มันทำให้คุณตรีดูไม่ดี”

“เป็นห่วงฉัน?” เขาหันมาจ้องหน้าผม

“เป็นห่วงสิครับ อีกอย่าง คุณตรีจับมือผมแบบนี้มันก็แปลกๆนิครับ ปกติผู้ชายเขาไม่เดินจับมือกันแบบนี้”

“แล้วถ้านายเป็นน้องชายฉัน ฉันจะจับมือน้องชายตัวเองเพราะกลัวเด็กหลงไม่ได้หรือไง”

พี่ชายน้องชายเนี่ยนะ...ผมได้แต่อึ้งกับคำพูดของคุณตรี

“แต่ผมไม่ใช่น้องสักหน่อย”

“ก็แค่พูด ไม่ได้บอกว่าจะให้เป็นจริงๆ”

นั่นสิ คนงานอย่างผม จะขึ้นไปเทียบชั้นเจ้านายได้ยังไง

“เป็นอย่างอื่นถึงจะเหมาะสมกว่า”

คุณตรีพูดถูกแล้ว ผมเลยพยายามที่จะดึงมือออก แต่แล้วก็เหมือนเดิม

“ถ้ายังจะดึงมือกลับ ฉันจะเปลี่ยนเป็นโอบแทน”

“อย่านะครับ” ผมรีบร้องห้าม เพราะกลัวว่าเขาจะทำจริง

“ทำเป็นรังเกียจกันไปได้”

“ผมไม่ได้รังเกียจสักหน่อย”

ใครจะไปกล้ารังเกียจคนที่ตัวเองชอบกัน

“ไม่รังเกียจก็เลิกดื้อดึงได้แล้ว”

ตลอดทางที่เดินไปยังโซนซูเปอร์มาร์เก็ต ก็มีแต่คนมองเราสองคน ผมเลยได้แต่ก้มหน้าดูพื้นมองแค่ทาง จะให้กระชากมือออกมาก็ไม่กล้าพอ และผมไม่กล้าปฏิเสธตัวเองว่าผมชอบที่เขาจับมือผมแบบนี้

เดินมาจนถึงโซนซูเปอร์มาร์เก็ตสุดหรู คุณตรีถึงได้ปล่อยมือ แล้วเปลี่ยนไปจับรถเข็นแทน

“เดี๋ยวผมเข็นให้ครับ” ผมกระแซะเข้าไปเบียดเขาเพื่อนที่จะยึดรถเข็นมาเจ็บเอง แต่คุณเอาแขนกันผมออก

“เดินเฉยๆ ไม่เจ็บแผลหรือไง ถึงจะมาออกแรงเข็นรถเข็น” เขาทำหน้าดุ

“แต่ผมเป็นคนใช้นิครับ คุณตรีเป็นเจ้านาย”

“นายไม่ใช่คนใช้”

“อ้าว”

“นายเป็นผู้ช่วยของฉัน เป็นพ่อบ้านของฉัน”

อ่า เหมือนจะดูดีกว่าคนใช้ขึ้นมาหน่อยหนึ่ง แต่ผมว่ามันก็เหมือนกันนั่นแหละ ไม่ว่าจะคนใช้ พ่อบ้านหรือว่าผู้ช่วย ยังไงผมก็เป็นลูกน้องทำงานกินเงินเดือนของคุณตรีอยู่ดี

“รู้ไหม คำว่า butler ต่างกับคำว่า slave ยังไง” คุณตรีปรายตาตั้งคำถามกับผม แต่ทำเอาผมมึนตึ๊บ

อะไรเล่อๆแลฟๆนะ

“ฉันให้การบ้าน ไปหาความหมายมาว่า butler กับ slave ต่างกันยังไง”

ผมเอ๋อหนัก รีบหยิบโทรศัพท์ออกมาพิมพ์การบ้านที่คุณตรีให้ไว้

บัดเล่อ...กับ...สะลาฟ

เอ๋? สลาฟนี่ใช่ไพ่หรือเปล่า ผมเคยเล่นกับเพื่อนอยู่นะ

“คุณตรีหมายถึงไพ่สลาฟเหรอครับ?” ผมถามทันทีที่คิดว่าตัวเองน่าจะคิดถูก

คุณตรีปรายตามองผม ก่อนจะถอนหายใจยาว แล้วเขกหัวผมหนึ่งที

“ใช่ที่ไหนล่ะ พรุ่งนี้ค่อยเอาคำตอบมาส่งฉัน ตอนนี้มาเลือกของใช้ของนายก่อน”

“อ่อ ครับ” ผมรีบเก็บโทรศัพท์มือถือหลังจากที่พิมพ์คำสองคำที่กลายมาเป็นการบ้านของผมเสร็จ จากนั้นก็กวาดสายตามองสิ่งรอบตัว

ตอนนี้ผมกับคุณตรีอยู่ที่ช่องที่มีพวกสบู่ยาสระผม ข้าวของที่นี่มีเยอะหลายยี่ห้อมากกว่าพวกห้างสรรพสินค้าธรรมดาอย่างพวกบิ๊กซีแล้วก็โลตัส ละลานตาจนผมตาลายเลือกไม่ถูก

ผมเดินหายี่ห้อที่ผมใช้ปกติ แต่มันไม่มีไซส์เล็กเลย มีแต่ไซส์ใหญ่

“หาอะไร”

“หาที่เป็นแบบไซส์เล็ก”

“แล้วทำไมต้องเอาเป็นไซส์เล็ก”

“ก็...” ไซส์ใหญ่มันแพงกว่า

“ของยังไงมันก็ต้องใช้ ซื้อไซส์เล็กใช้ไม่นานก็หมดไว เดี๋ยวก็ต้องมาซื้อใหม่ แถมยังทำให้เป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรที่เอามาผลิตเป็นขวดพวกนี้อีก รู้ไหมว่าขยะมีมากขนาดไหนในตอนนี้”

คุณตรีทำผมอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก

“ปกตินายใช้ยี่ห้อนี่เหรอฟ้า”

“ครับ” ผมยังคงนิ่งอึ้งมองจ้องหน้าคุณตรี จนเขารู้ตัว

“มองอะไร”

“คุณตรีเท่จังครับ” ผมพูดด้วยความปลาบปลื้ม

“อะไรที่ว่าเท่ เอายี่ห้อนี่นะ” เขาชูยาสระผมแล้วก็ครีมนวดผมให้ดูแวบหนึ่งก่อนจะวางมันลงในรถเข็น

“ผมไม่ใช่ครีมนวดครับ”

ผมหยิบออกแล้วก็เอาไปวางไว้ที่ชั้นตามเดิม คุณตรีไม่ได้ว่าอะไร แต่เข็นรถเข็นเดินไปตรงครีมอาบน้ำแทน ผมพยายามที่จะแทรกตัวเข้าไปเข็นรถเข็นเอง แต่ก็โดนแขนคุณตรีดันออกตลอด

ผมเดินนำหน้าไปหยิบสบู่ก้อนมาหนึ่งแพ็คที่มีทั้งหมดสี่ก้อน แล้ววางลงในรถเข็น

“ปกติไม่ได้ใช้ครีมอาบน้ำเหรอ”

“ครีมอาบน้ำมันแพงกว่านี้ครับ ปกติผมใช้แต่สบู่ก้อน ก้อนหนึ่งสิบกว่าบาทเอง”

“ฉันซื้อให้ นายเลือกเถอะ”

ผมส่ายหน้า “ผมไม่เคยใช้เลือกไม่เป็นหรอกครับ”

“งั้นฉันเลือกให้” คุณตรีหยิบขวดครีมอาบน้ำแล้วเปิดดมดูทีละขวด

“ไม่เอาหรอกครับ ผมใช้สบู่ก้อนแบบเดิมดีกว่า”

“กลิ่นนี้น่าจะเหมาะกับนายดี” คุณตรีพูดเองเออเองแล้วก็วางครีมอาบน้ำขวดใหญ่ลงในรถเข็น ผมไม่รู้จะห้ามยังไง แค่ครีมอาบน้ำขวดเดียวคงไม่เป็นอะไร เพราะถึงห้ามไปคุณตรีก็ไม่เคยฟัง

“อย่าคิดมากคิดว่าเป็นสวัสดิการจากนายจ้างก็แล้วกัน” อยู่ๆคุณตรีก็พูด หลังจากที่เลือกของใช้ของผมมาได้หลายอย่าง

“ขอบคุณนะครับแต่คุณตรีอย่าให้อะไรแบบนี้ผมบ่อยเลยนะครับ ผมไม่อยากเคยตัว”

“ทำไม”

“ถ้าไม่เคยมี มันไม่แย่เท่าเคยมีแต่วันนี้ต้องไม่มีหรอกนะครับ”

“อย่าห่วงเลยตอนนี้นายมีฉันแล้ว ไม่มีอะไรต้องกังวล”

อะไรคือไม่ต้องกังวล ผมไม่รู้ว่าคุณตรีต้องการสื่อถึงอะไร แต่ว่า...ไม่มีอะไรที่คงอยู่ถาวร วันหนึ่งถ้าคุณตรีมีคนรักมีครอบครัว ผมเองก็ต้องมีเส้นทางชีวิตเป็นของตัวเอง ถึงตอนนั้นต่อให้ผมจะสูญเสียสิ่งที่รักไปอีกครั้ง ผมก็ต้องอยู่ให้ได้ด้วยตัวคนเดียว





ไม่น่าเชื่อว่า แค่ไปเดินเลือกของจะทำให้ผมรู้สึกระบมที่แผล แต่ผมก็ไม่ได้บอกคุณตรีเพราะไม่อยากให้เขาเป็นกังวล พอกลับมาถึงบ้านคุณตรีก็ให้ผมเข้าห้องมานอนพัก ผมกินยาแก้ปวดแก้อักเสบที่หมอให้ ก็จัดการตัวเองด้วยการเช็ดตัว ใจจริงผมอยากอาบน้ำ แต่ว่าหมอสั่งห้ามไม่ให้แผลโดนน้ำโดยเด็กขาด จนกว่าจะถึงกำหนดตัดไหม อีกอย่างพอเป็นแผลที่ท้อง จะให้อาบน้ำโดยแผลไม่เปียกน้ำก็คงทำได้ยาก และวันนี้ผมก็เหนื่อยเกินกว่าจะคิดหาวิธี

ก๊อกๆๆ

ผมเหลือบตามองประตู แต่ขาก็ลุกเดินไปเปิดประตูให้ใครอีกคนที่เป็นเจ้าของบ้าน

“คุณตรีมีอะไรให้ผมทำหรือเปล่าครับ” ผมรีบถาม เผื่อว่าคุณตรีอยากจะได้อะไร วันนี้เหมือนคุณตรีต้องมาดูแลผมทั้งวัน ทั้งๆที่ผมเป็นคนรับใช้แท้ๆ

“ล้างแผลหรือยัง” คุณตรีดันประตูห้องผมให้เปิดออกกว้างจนพอที่ตัวโตๆของเขาจะลอดเข้ามา คุณตรีเดินไปหยิบถุงยาของผมที่วางไว้ที่โต๊ะเขียนหนังสือแล้วเดินไปนั่งที่ปลายเตียง

“มาตรงนี้สิ” เขาเรียกผมให้เดินไปหา

“เดี๋ยวผมทำเองก็ได้ครับ” ไม่รู้เพราะอะไรถึงทำให้ผมพูดให้แบบนั้น อาจเป็นเพราะผมรู้ในสิ่งที่เขาต้องการ

“ฉันจะช่วย”

เขารื้อถุงยาออกดูว่าหมอจ่ายอะไรให้บ้าง พอเห็นว่าผมยังนิ่ง เขาก็พยักพเยิดหน้าให้ผมถลกเสื้อขึ้น ผมเก็บความกระดากอายเอาไว้ แล้วค่อยๆดึงเสื้อขึ้น จนเห็นบริเวณแผลที่มีผ้าก๊อซ

คุณตรีก้มหน้าลงจะใบหน้าหล่อเหลาห่างจากหน้าท้องผมไม่สองคืบด้วยซ้ำ สัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนๆที่พ่นออกมาจากจมูกโด่งแล้วกระทบเข้ากับผิวใต้ร่มผ้า

“โอ๊ะ” ผมสะดุ้ง เพราะรู้สึกเจ็บปนจั๊กจี้ตอนที่คุณตรีดึงเทปใสออกจากผิว

“เจ็บเหรอ” คุณตรีช้อนตาขึ้นมองด้วยความเป็นห่วง

แววตาของเขา...อัดแน่นไปด้วยความห่วงใยจนผมสะท้าน

“เปล่าครับ แค่จั๊กจี้” มันก็ไม่ได้เจ็บอะไรขนาดนั้น

“นอนลงได้ไหม ทำไมถนัด”

“ครับ?”

“นอนลง”

“อ่อ ครับ” ผมเอนตัวนอนลง เวลาทิ้งตัวนอน หรือเกร็งตัวลุกขึ้น จะเป็นช่วงที่เจ็บที่สุด เพราะต้องเกร็งหน้าท้อง แต่ผมพยายามเก็บอาการ ไม่แสดงอาการเจ็บให้คุณตรีเห็น ไม่อยากให้เขาเป็นห่วงมากไปกว่านี้

ผมนอนนิ่งๆให้คุณตรีล้างแผลและใส่ยาให้ เพราะโรงพยาบาลที่คุณตรีพาผมไปรักษาเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่แพงแสนแพง อุปกรณ์ในการทำแผลก็เลยล้ำหน้าทันสมัยไปมากกว่าที่ผมเคยได้สัมผัส จากปกติที่ต้องเจ็บเพราะผ้าก็อซแห้งติดกับแผล ทำให้เวลาดึงแผลถูกดึงรั้งไปด้วย แต่คราวนี้กลับไม่มีอาการแบบนั้นตั้งแต่อยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว

“เจ็บไหม” คุณตรีคอยถามผมเป็นระยะ

“ไม่ครับ ผ้าก็อซไม่ติดแผลก็เลยไม่เจ็บครับ”

“อืม เพราะใช้แผ่นตาข่ายรองผ้าก็อซติดแผลเอาไว้”

“ดีจังเลยนะครับ สมัยนี้การแพทย์ก้าวหน้าไปมาก”

“พูดเหมือนนายเกิดมานานสักสี่สิบห้าสิบปี”

“ฮ่าๆๆๆ ก็ผมเพิ่งเคยรู้จักของแบบนี้นี่ครับ ปกติรู้จักแค่แอลกอฮอล์ล้างแผลกับเบตาดีน ผมไม่เคยใช้อุปกรณ์ทำแผลเยอะขนาดนี้หรอก”

“มันจะเหมือนเดิมอีกได้ยังไง นายอยู่กับฉันแล้ว ฉันจะดูแลนายเอง”

อีกแล้ว เขาพูดอีกแล้วว่าจะดูแลผม มันใช่ที่ไหน ผมต่างหากที่ต้องเป็นคนดูแลเขา

แต่ตอนนี้ ผมควรรีบรักษาบาดแผลให้หายก่อน ไม่อย่างนั้นคุณตรีต้องห้ามไม่ให้ผมทำงานแน่ๆ

“แบมือมา” คุณตรีบอก เขาล้วงอะไรสักอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง

“ครับ” ผมสงสัย แต่ก็แบมือตามที่เขาบอก จากนั้นคุณตรีก็บีบของเหลวจากหลอดนั้นใส่มือผม แล้วคว้ามือผมไปนวดคลึงจนกระทั่งเนื้อครีมหอมละมึนซึมซาบหายไปบนผิวหนัง

“เก็บเอาไว้ทา ต้องทาบ่อยๆ ยิ่งอยู่ห้องแอร์มือยิ่งแห้งง่าย”

“ครับ ขอบคุณนะครับ” ที่แท้ก็เป็นครีมทามือ ครั้งก่อนเขาก็ทาให้ผมเพราะว่าผมมือแข็งและด้านจากการทำงานหนักมาตั้งแต่เด็ก ผมรับหลอดครีมเอาไว้ และคิดว่าคงต้องใช้มันบ่อยๆอย่างที่คุณตรีบอก เวลานวดให้เขาผิวของคุณตรีจะได้ไม่ระคายเคืองเพราะมือของผม

หลังจากทำแผลให้ผม คุณตรีก็ออกจากห้องนอนผมในช่วงเวลาสามทุ่ม เวลานี้ผมไม่รู้ว่าคุณตรีทำอะไร เพราะผมกลับห้องพักไปแล้ว และผมอยากหายเร็วๆก็เลยเลือกที่จะนอนพักผ่อนเพื่อให้ร่างกายฝืนตัวได้เร็ว

แต่ตกกลางดึกราวๆตีหนึ่งผมรู้สึกคอแห้งหิวน้ำจนทนไม่ไหว ผมเลยต้องจำใจผืนลุกขึ้นจากเตียงแล้วลงไปหาน้ำกินที่ด้านล่าง

ทั้งที่เวลานี้ทั้งบ้านควรมืดสนิท แต่ที่ชั้นหนึ่งกลับมีแสงไฟสว่างตรงห้องนั่งเล่น ผมทิ้งน้ำหนักเท้าให้เบาที่สุดไม่ให้เกิดเสียง เพราะนอกจากแสงไฟแล้ว ผมยังได้ยินเสียงใครบางคนพูดอีกด้วย

“ฉันก็กำลังคิดหาวิธีอยู่ ยังไงนี่มันก็ชีวิตฉัน ใช่ว่าคนที่บ้านจะบงการอะไรได้”

คุณตรีกำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่หน้าประตูกระจก มองออกไปที่สวนด้านนอกของบ้าน ทำไมเวลานี้คุณตรีถึงยังไม่นอน แถมดูเหมือนว่าจะดื่มไวน์อยู่ด้วย

“ฉันไม่ใช่หมาจนตรอก ฉันจะแสดงให้พวกเขาเห็นว่าสิ่งที่ฉันเป็นและสิ่งที่ฉันเลือก มันไม่ได้แย่เหมือนอย่างที่เขาว่า”

สิ่งที่คุณตรีพูดคืออะไร คล้ายกับว่าจะไม่ใช่ความนัยที่ดีนัก

“หึ จะส่งใครมาก็ได้ ฉันจะทำให้ผู้หญิงพวกนั้นไม่กล้าเข้ามาในชีวิตฉันเป็นครั้งที่สอง”

และทำไมถึงดูเหมือนว่า คุณตรีไม่ใช่คนที่ใจดีอย่างที่เป็นอยู่ คุณตรีจะทำอะไรกับผู้หญิง คงไม่ใช่ทำเรื่องไม่ดีใช่ไหม

นี่มันเรื่องอะไรกัน?

ผมกลืนน้ำลายลงคอ จากที่คิดว่าจะดื่มน้ำ ผมตัดสินใจว่าจะอดทนคอแห้งไปจนถึงเช้า ดีกว่าเดินพ้นบันไดออกไปให้คุณตรีรู้ว่า ผมได้ยินอะไรที่ไม่ควรจะได้ยินเข้าเสียแล้ว






..........................
อะแฮ่ม สวัสดีค่ะ กลับมาต่อให้แล้วนะคะ ผ่านไปสองวัน วันนี้มาทักทายหน่อย
รอบนี้จะต่อให้ทุกวันจนจบเลยนะคะ รออ่านได้เลยค่ะ จะไม่ปล่อยให้ค้างอีกแล้ว
และก็ย้ำอีกครั้งนะคะ เรื่องนี้ฟีลกู้ด ถ้าจะมีดราม่าก็แค่2% เท่านั้นค่ะ
ความจริงก็ไม่รู้จะชอบกันไหม เรื่องมันไม่ได้หวือหวา แต่อยากแต่งอะไรที่อ่านแล้วรู้สึกเย็นสบาย
ตอนนี้เรื่องเครียดๆก็เยอะนะคะ อยากให้ได้คลายเครียดกับนิยายเรื่องนี้กัน
ขอบคุณคนที่ยังรออ่านนะคะ เรามาต่อกันให้จบเลยนะคะรอบนี้
ด้วยรัก
ริริ



หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่13:คุณตรีอย่าดูแลผมดีสิครับ... 25-03-20 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 25-03-2020 23:10:39
คุณตรีเต๊าะเก่งมาก แต่เต๊าะอ้อมๆแบบนี้เมื่อไหร่น้องฟ้าจะรู้ตัวละคะ

 :pig4:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่14:คุณตรีขอเล่า 26-03-20 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 26-03-2020 20:42:42
CATER TO YOU
ตอนที่14
คุณตรีขอเล่า



[ THREE ]

“ยังไงก็ขอบใจที่โทรมาถามไถ่ ไว้นายมาเมืองไทยเมื่อไหร่ ก็มาพักที่บ้านฉันได้ จะยอมสละเวลาพาไปเที่ยวก็แล้วกัน” ผมพูดกับคนปลายสาย เพื่อนของผม ‘วิล’ รู้จักและสนิทกันตอนที่ผมต้องไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่อังกฤษ เป็นคนที่รู้เรื่องของผมดีอีกคน หากไม่นับรวมเพื่อนสนิทคนไทยที่ผมมี

 “นายกล้าพูดคำว่าสละเวลางั้นเหรอ อย่าพูดเหมือนเวลาของนายมีค่ามากกว่าเพื่อนอย่างฉันเซ่”

“หึหึ”

“ไว้ว่างๆฉันจะไปเที่ยวที่บ้านของนายก็แล้วกัน ถึงเวลานั้นก็อย่าลืมแนะนำให้ฉันรู้จักคนรักของนาย”

“ไม่ใช่คนรัก”

“ฮ่าๆๆ อ่อ ลืมไปนายยังไม่จีบเขา”

“ไม่ใช่จะทำได้ง่ายๆ”

“ไม่ลองแล้วจะรู้หรือไง”

“ช่างเถอะ”

“กล้าๆหน่อยเพื่อน เดี๋ยวก็โดนคาบไปกินก่อนหรอก”

“ไม่มีทาง” ผมละสายตาจากท้องฟ้าในยามค่ำคืน หมุนตัวมองไปทางบันไดบ้าน ตีหนึ่งกว่าแล้ว ป่านนี้ฟ้าคงจะนอนหลับสบาย

“แค่นี้ก่อนละกัน ฉันต้องทำงานต่อแล้ว”

“อืม ไว้เจอกันตอนฉันไปเมืองไทย โชคดี”

“โชคดี”

ผมวางสายของวิล ยกแก้วไวน์แดงในมือขึ้นดื่มจนหมด ผมนั่งทำงานจนเลยเข้าวันใหม่ เพื่อนผมก็โทรมาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ ผมก็เลยคิดว่าควรถึงเวลาที่ต้องพักสำหรับวันนี้ เพราะมีแต่เรื่องเครียดๆ พอได้ระบายกับเพื่อน บวกกับได้ดื่มไวน์ดีๆก่อนนอน คืนนี้ผมน่าจะนอนหลับสนิทได้ไม่ยาก

ผมกลับขึ้นมาบนห้องเพื่อที่จะพัก ก่อนจะเข้าห้องตัวเอง ผมถือวิสาสะเปิดประตูห้องของฟ้า เด็กผู้ชายที่อายุน้อยกว่าผมแค่ปีเดียว แต่ดูเด็กกว่าผมราวสักสี่ห้าปี ไม่รู้ว่าผมหน้าแก่เกินวัย หรือการเจริญเติบโตของฟ้ามันช้ากว่าที่ควรจะเป็นกันแน่

คนเจ็บนอนขดตัวอยู่ในผ้าห่ม เหมือนจะหนาวถึงได้ห่มเกือบจะมิดหัว ผมไม่ได้เดินเข้าไปดูใกล้ๆ ทำเพียงแค่มองดูจากหน้าประตู จะได้ไม่เป็นการรบกวนคนป่วย

ผมยิ้มให้กับภาพตรงหน้า ยืนดูจนพอใจแล้วจึงปิดประตูให้เบาเสียงที่สุด ก่อนจะเดินกลับห้องของตัวเอง

‘ฟ้า’ คือคนที่ทำให้ผมรู้สึกดีและสบายใจที่สุดที่จะอยู่ด้วย ผมรู้จักฟ้าเพราะเขามาสมัครเป็นพ่อบ้านให้ผมเมื่อสี่ปีที่แล้ว

เขาคือคนที่ทำให้ผมรู้ว่าชีวิตมีความหมาย ทำให้ผมรู้ว่าผมต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างมีความหวัง


เด็กผู้ชายตัวคนเดียว ที่ดิ้นรนทุกอย่างที่จะมีชีวิตรอดในทุกๆวัน ทั้งๆที่ฟ้าไม่มีอะไรแต่ก็ยังต่อสู้ ส่วนผมคือคนที่เหมือนจะมีมากกว่าเขาทุกอย่าง แต่ความจริงแล้วมีก็เหมือนไม่มี ผมไม่มีอะไรที่ต่างจากฟ้าหากไม่นับเรื่องเงิน ดังนั้น เขาจึงทำให้ผมคิดได้ว่าทำไมผมถึงไม่ต่อสู้เพื่อชีวิตของตัวเองบ้าง เพราะอย่างนั้นผมจึงเลือกที่จะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ซึ่งเป็นคำขาดจากที่บ้าน ไม่อย่างนั้นผมคงโดนตัดออกจากตระกูลตั้งแต่ยังเรียนไม่จบมัธยมศึกษาปีที่หกด้วยซ้ำ

หลังจากที่ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ผมก็ใช้ฟ้าเป็นเหมือนแรงบันดาลใจจนกระทั่งเรียนจบ เอาจริงผมก็ไม่คิดว่าผมจะได้เจอฟ้าอีกครั้ง สี่ปีที่ผมไม่อยู่ที่ไทย ไม่เคยกลับมาและไม่ได้มีการติดต่อกับฟ้า ผมคิดว่าเขาอาจจะไปอยู่ที่อื่น เมืองไทยไม่ได้ใหญ่แต่ก็ไม่ได้เล็กถึงขนาดที่จะเดินสวนกับคนที่เราไม่ได้เจอกันถึงสี่ปี

แต่ใครจะรู้...แค่ผมกลับมาอยู่บ้านได้หนึ่งวัน เช้าวันต่อมาเบื้องบนก็ประทานเขากลับมาหาผมแบบไม่ทันได้ตั้งตัว

นับแต่วินาทีแรกที่เจอเขาอีกครั้ง ผมก็สัญญากับตัวเองไว้แล้วว่า ผมจะไม่ปล่อยเขาไปอีก ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอะไร ฟ้าจะต้องอยู่ในที่ที่ผมมองเห็นและเป็นที่พึ่งให้เขาได้




แก๊ก!

ผมสะดุ้งตื่นหลังจากที่ได้ยินเสียงเปิดประตู ไฟจากหน้าประตูห้องสาดเข้ามาเล็กน้อย ผมลืมตามองความเคลื่อนไหวในห้องด้วยความมึนงง เพราะเพิ่งจะหลับไปได้ไม่กี่ชั่วโมง มีคนเดียวเท่านั้นที่จะเข้าห้องผมในเวลานี้

...ฟ้า...

แต่เด็กคนนี้บาดเจ็บเพราะถูกแทง พอตั้งสติได้เท่านั้น ผมก็ดีดตัวลุกขึ้นทันที ก้าวลงจากเตียงเดินไปที่ห้องน้ำ ที่ๆฟ้าจะเริ่มทำงานเป็นจุดแรก

“ทำอะไร”

“อ๊ะ คุณตรี ตื่นแล้วเหรอครับ”

ผมมองหน้าฟ้า ก่อนจะชะโงกหน้าออกไปดูนาฬิกาดิจิตอลภายในห้องที่บอกเวลาตีห้าครึ่ง ถ้าเป็นช่วงเวลาปกติ ฟ้าจะมาปลุกผมตอนตีห้า วันนี้ช้ากว่าเดิมครึ่งชั่วโมง ผมไม่ได้คิดจะว่าอะไร เพราะใจจริงผมไม่ได้อยากให้ฟ้าลุกขึ้นมาทำหน้าที่อะไรทั้งๆที่บาดแผลยังไม่ทันหายดี

“ทำไมไม่นอนพัก” ผมยืนเท้าเอวถาม ฟ้าไม่ยอมมองผมเต็มสายตา ผมสังเกตดูหลายครั้ง ฟ้ามักจะหลบสายตาทุกครั้งเวลาที่ผมไม่ได้ใส่เสื้อ ผู้หญิงก็ไม่ใช่ ทำไมต้องทำเหมือนอายไม่กล้ามอง ผมว่าร่างกายผมก็ดูดีไม่น้อยนะ ผมเต็มใจโชว์ ทำไมเขาไม่เต็มใจมอง

“ผมนอนมาทั้งคืนแล้ว อีกอย่างผมก็ไม่ได้ทำงานมาสี่วันแล้วนะครับ ยังไงวันนี้ก็ต้องทำ”

“ฉันอยากให้นายพักจนกว่าจะถึงวันไปตัดไหม” ผมบอกอย่างที่ใจคิด แต่ฟ้ากลับส่ายหน้า แล้วคว้าเอาตะกร้าผ้าขนหนูที่ผมใช้แล้วไปถือไว้

“ผมทำแบบนั้นไม่ได้หรอกครับ ผมไม่สบายใจแต่คุณตรีไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมจะทำเท่าที่ตัวเองไหว”

ผมยืนชั่งใจ ถึงอยากจะค้าน แต่ฟ้าก็คงไม่ยอม เด็กคนนี้ดื้อ ดื้อจนบางทีอยากจะจับมาตีสักทีสองที แต่ก็ทำได้แค่คิด ผมไม่กล้าพอที่จะตีเขาหรอก

“อืม”

“คุณตรีใช้ห้องน้ำได้เลยนะครับ ผมจะลงไปเตรียมห้องฟิตเนสให้ อ่อ วันนี้คุณตรีจะไปทำงานที่บริษัทไหมครับ”

ฟ้าทำหน้าเหมือนลำบากใจ ก็แน่ล่ะ ช่วงที่ฟ้านอนโรงพยาบาลจนกระทั่งเมื่อวานที่ผมพาเขาไปขนของที่หอพักเพื่อย้ายมาอยู่ที่บ้านของผมเต็มตัว ผมก็ยังไม่ได้เข้าบริษัทเลย พวกงานเอกสารที่ต้องเซ็นผมก็ให้คนขับรถขับเอาจากที่บริษัทมา เอกสารอะไรที่แค่ต้องอ่านก็ให้เลขาสแกนส่งมาให้ทางอีเมล

“อย่าหยุดงานเลยนะครับ”

“ฉันก็ไม่ได้จะหยุด”

“แต่คุณตรีไม่ยอมไปประชุมเพราะผม คือ ผมไม่ได้อยากจะแอบฟังตอนที่คุณตรีคุยกับน้าภาพเมื่อวานนะครับ แต่ผมอยู่ได้ หมอให้กลับบ้านแล้วก็หมายความว่าผมไม่เป็นอะไรแล้ว”

“...” ผมกำลังคิดว่า จะเอายังไงดี มันก็จริงอย่างที่ฟ้าว่า ผมอาจจะเป็นห่วงฟ้าเกินไป แต่จะมีใครรู้ความรู้สึกของผมในวินาทีที่เห็นฟ้านอนจมกองเลือดอยู่กลางถนนต่อหน้าต่อตาบ้าง เหมือนกับว่าผมถูกกระชากลมหายใจออกไป มันหายใจไม่ออก มันตื้อไปหมด

ถ้าฟ้าจากไป...สิ่งที่ผมทำมาและกำลังจะทำต่อจากนี้มันจะมีความหมายอะไร

ว่ากันว่าคนเราจะรู้ใจตัวเองเมื่อสิ่งนั้นกำลังจะหายไปจากชีวิตเรา ตอนนั้นผมถึงได้รู้ว่าฟ้าเป็นคนที่พิเศษในชีวิตผม และผมไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบวันนั้นอีก

“โอเค ฉันจะไปทำงาน แต่นายก็ต้องสัญญาว่าจะไม่ทำงานหนักจนเกินไป ถ้าหากว่าแผลนายอักเสบขึ้นมาก่อนที่จะถึงวันนัดตัดไหม นายโดนฉันทำโทษแน่”

“สัญญาเลยครับ” ฟ้ายิ้มกว้างอย่างสดใส ผมชอบรอยยิ้มของฟ้า เหมือนยารักษาให้ผมไม่ต้องเจ็บปวด

“เย็นนี้ฉันจะกลับมาล้างแผลให้ ฉันดูออกแน่ๆว่านายทำตามสัญญาหรือเปล่า” ผมมองอย่างคาดโทษ

“รับทราบครับผม” ฟ้าทำหน้าและเสียงขึงขัง

ผมยกยิ้มมุมปาก แล้วเริ่มจัดการตัวเองหลังจากที่ฟ้าออกไปจากห้องนอน ไหนๆวันนี้ก็ต้องกลับไปใช้ชีวิตแบบปกติจริงๆ ผมเลยเร่งรัดเวลาแล้วออกจากบ้านเร็วกว่าเดิมเกือบครึ่งชั่วโมง

ตอนที่ผมมาถึงที่ทำงานซึ่งเป็นทั้งออฟฟิศและเป็นทั้งร้านขายเฟอร์นิเจอร์อยู่ในตึกเดียวกัน เลขาของผมยังมาไม่ถึง ผมเริ่มเคลียร์งานในช่วงที่ผมไม่ได้เข้ามาที่ออฟฟิศแล้วก็เตรียมอ่านเอกสารสำหรับการประชุมในช่วงเช้า

“อ้าวคุณตรี วันนี้มาไวจังเลยนะคะ” คุณเอิงทักราวกับตกใจ

“ครับ ถ้าวันนี้ผมไม่มา คุณก็คงตามไปบ่นผมถึงที่บ้าน”

“ก็เอิงเป็นห่วง เดธไลน์ใกล้เข้ามาทุกทีแล้วนะคะ คุณท่านก็ถามความคืบหน้ากับเอิงตลอด” คุณเอิงทำหน้าหนักใจ ซึ่งผมก็เข้าใจถึงเหตุผลนั้นดี

“เฮ้อ” ผมได้แต่ถอนหายใจ

“วันนี้น่าจะมีโปรเจคดีๆให้คุณตรีลองพิจารณานะคะ”

“เท่าที่ผมดู ยังไม่เห็นจะมีอันไหนเข้าท่า” ผมเปิดดูแฟ้มรายงานของแต่ละทีมที่นำเสนอโปรเจคกลางปี แต่มันก็เหมือนๆเดิม ที่ผมต้องการคืออะไรที่มันสะดุดตา

“แต่ยังไงภายในอาทิตย์หน้าคุณตรีก็ต้องเลือกแล้วนะคะ ว่าจะเอาโปรเจคไหน”

“ผมรู้ แต่คุณคิดว่าโปรเจคแต่ละอันที่จะนำเสนอในวันนี้ จะสามารถทำกำไรให้ผมได้จนหักลบกลบหนี้ที่ขาดทุนอย่างนั้นเหรอ คุณรู้ไหมว่ามันเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่”

“เอิงรู้ค่ะ คุณตรีคะ อันนี้ท่านประธานฝากมาให้ค่ะ” คุณเอิงส่งซองจดหมายให้ผม ไม่ต้องเปิดดูก็รู้ว่ามันคืออะไร

“ยังไงผมก็ต้องไปใช่ไหม”

“ค่ะ”

ผมเปิดซองงานเลี้ยงดู งานจะจัดขึ้นในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า งานเลี้ยงวันเกิดของเพื่อนรักของคุณแม่ มากกว่างานเลี้ยงวันเกิด เรื่องที่น้ำเน่าที่สุดก็คือพ่อแม่ผมอยากให้ผมคบหากับลูกสาวของเพื่อนตัวเอง เพราะครอบครัวนี้ทำธุรกิจเกี่ยวกับหินอ่อนและหินชนิดต่างๆ ขยายตลาดใหญ่โตครอบคลุมทั่วทั้งเอเชีย ถ้าได้ดองกับครอบครัวนี้ เอาธุรกิจสองธุรกิจมารวมกัน ก็จะมีแต่ได้กับได้ เพราะยังไงก็เป็นธุรกิจสองธุรกิจที่เอื้อประโยชน์ต่อกันโดยตรง

พ่อผมกดดันผมทุกทาง

“อืม เรื่องนั้นผมจัดการเอง คุณไปเตรียมตัวเถอะ อีกยี่สิบนาทีเจอกันที่ห้องประชุม” ผมบอก

“ได้ค่ะ”

แล้วก็เป็นอย่างที่ผมคิด หกโปรเจคที่นำเสนอในวันนี้ ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเลยสักนิดเดียว แนวคิดซ้ำๆซากๆจำเจซะจนผมมองไม่ออกเลยว่า มันจะเป็นที่สนใจได้ยังไงหากนำออกมาวางขาย

และสุดท้ายก็เกิดการเถียงในที่ประชุมระหว่างผมกับกรรมการคนอื่น ผมได้แต่เดินหน้าตึงออกจากห้องประชุม เพราะผมเป็นแค่เด็กจบใหม่ เป็นลูกเจ้าของบริษัทแล้วยังไงไม่มีใครเห็นหัวคุณอยู่แล้ว

“คุณตรีคะ ใจเย็นๆก่อนนะคะ”

ผมไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่กลับไปที่ห้องทำงานของตัวเอง คุณเอิงไม่ได้ตามเข้ามาพูดอะไร เพราะในเวลานี้เขาคงรู้ว่าผมอยากอยู่คนเดียว

ผมนั่งทำงานไปเงียบๆสักพักเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ผมหยิบขึ้นมาดูชื่อคนที่โทรมาก่อนจะกดรับ

“ว่าไง”

“ไม่ว่าไงเพื่อน”

“จะโทรมากวนฉันเหรอไงเจมส์ ถ้าไม่มีงานมีการทำก็อย่ามากวนคนอื่น” ผมว่าวันนี้ผมหงุดหงิดสุดๆเลยล่ะ

“ไม่ได้จะกวนสักหน่อย เย็นนี้ว่างไหม ไปหาอะไรกินกัน”

“ไม่ว่าง” ผมตอบโดยไม่ต้องคิด

“เห้ย ได้ยังไง เลิกงานแล้วทำไมจะไม่ว่าง เมียก็ไม่มี บ้านก็อยู่คนเดียว”

“ไม่ได้อยู่คนเดียว” พูดไปแล้วก็นึกถึงใครอีกคน ไม่รู้ว่าป่านนี้ทำอะไรอยู่ ไม่ใช่ว่าแอบทำงานบ้านโดยไม่พักล่ะ

“ห๊ะ อะไรคือไม่ได้อยู่คนเดียว”

“เห้อ ฟ้าไม่สบายอยู่ที่บ้าน” ผมตอบ เพราะถ้าไม่อย่างนั้นเจมส์มันก็ถามไม่หยุด ที่ไทยผมมีเพื่อนสนิทอยู่สองคน คือทิศกับเจมส์ และคนที่พูดมากที่สุดก็คือเจมส์

“ใครคือฟ้า”

“จะรู้ให้ได้?”

“มันเป็นความลับมากหรือไง โรคชอบกั๊กนี่เลิกสักทีเถอะน่า นี่เพื่อนนะเว้ย”

“เด็กที่เคยเจอที่ร้านอาหาร” ผมตอบไปสั้นๆ แต่คำตอบของผมไม่เคยเพียงพอสำหรับเพื่อนที่ชอบสอดรู้สอดเห็น

“ไม่เคลียร์เลย แต่ไม่เป็นไร เด็กนายอยู่ที่บ้านใช่ไหม เจอกันตอนเย็นแล้วกัน”

“เจมส์ เฮ้ กูยังไม่ได้...”

สายถูกตัดไปแล้ว

ทำไมผมรู้สึกว่าชีวิตของผมมันวุ่นวายเหลือเกิน อยากกลับบ้านมันให้รู้แล้วรู้รอด อย่างน้อยที่นั่นก็มีรอยยิ้มที่ทำให้ผมหายเหนื่อย

หลังเลิกงานผมรีบตรงกลับบ้าน รู้สึกปวดหัวทุกวันจนต้องนอนหลับตาตลอดทาง ผมเป็นคนชอบความเป็นส่วนตัว แต่เพราะความเครียดทำให้ผมเลือกที่จะให้น้าภาพมาขับรถให้ เพื่อให้ชีวิตเหนื่อยน้อยลง

ทันทีที่ผมก้าวเท้าลงจากรถก็ได้ยินเสียงหัวเราะโวยวายกันอย่างสนุกสนาน ผมหลับตาแล้วสูดลมหายใจลึกเข้าปอด

ผมคิดไว้ว่าเจมส์กับทิศคงจะไม่ทำอย่างที่พูด และมันก็เป็นแค่สิ่งที่ผมคิดไปเองคนเดียว

“พวกมึงมาทำอะไรที่บ้านของกู บอกแล้วไงว่าไม่อนุญาต”

ผมรีบเดินเข้าไปหาฟ้า ที่กำลังยืนย่างอาหารทะเลแล้วของอย่างอื่น ผมมองสำรวจทั่วไปหน้า บนแก้มใสมีรอยดำเปื้อน ผมควักผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดออกให้ด้วยความไม่ชอบใจ

“ไอ้ทิศ ดูให้หน่อยสิว่ามีอะไรติดแก้มกูหรือเปล่า”

“เอ่อ คุณตรีครับ เดี๋ยวผมทำเอง”

“มายืนทำอะไรตรงนี้ พวกมันอยากกินก็ให้มันทำกินกันเอง” ผมบอกแล้วคว้าที่คีบอาหารมาถือ แต่ฟ้าก็แย่งกลับไป

“แต่มันเป็นหน้าที่ผม อีกอย่างแค่ยืนย่างเฉยๆเองครับ ไม่ได้ออกแรงอะไรเลย” ทำตาใสเข้าไปอีก ผมกราดมองเพื่อนตัวดีทั้งสองคนที่ยืนทำหน้าล้อเลียน

“แล้วเตาย่างใครเป็นคนยกมา”

“กูเองๆ รู้แล้วว่าน้องฟ้าโดนแทงมา ไม่ได้ใช้ให้ทำอะไรหนักๆหรอกน่า เลิกทำหน้ายักษ์ได้แล้วครับคุณตรี”

“ก็ดี คิดว่ามาวุ่นวายบ้านคนอื่นแล้วยังจะให้คนของเขาทำนู่นทำนี่ให้อีก”

“มึงนี่มันจริงๆเลยนะ” เจมส์ส่ายหน้าขำๆ

“ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าไปคุณชาย จะได้ลงมากินข้าว” ทิศบอกกับผม

“นั่นสิครับคุณตรี ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าล้างหน้าล้างตาหน่อยนะครับ จะได้สดชื่น”

“มาช่วยฉันสิ” ผมดึงแขนฟ้าเข้าบ้าน ไม่สนใจเสียงผิวปากแซวของเพื่อนทั้งสองคน

ผมจับข้อมือของฟ้าแล้วพาเดินเข้าบ้าน ด้านนอกก็ปล่อยให้คนอื่นจัดการไป ผมพาฟ้าขึ้นมาที่ห้องนอนของผม วันนี้ผมเหนื่อยจริงๆจนอยากจะนอนพักมันซะเดี๋ยวนี้

“ให้ผมช่วยอะไรเหรอครับ”

ผมนั่งลงที่โซฟาภายในห้องนอน รู้สึกปวดหัวและกระบอกตามาก

“สีหน้าไม่ดีเลย ไม่สบายหรือเปล่าครับ”

“ปวดหัว” ผมบอก ปรือตาขึ้นมองเด็กตรงหน้า ฟ้าผละไปที่ห้องน้ำก่อนจะออกมาพร้อมกับผ้าเช็ดหน้าชุดน้ำ

“เช็ดหน้าหน่อยนะครับ เดี๋ยวลงไปทานข้าวและจะได้ทานยา”

“เช็ดให้หน่อย” ผมบอก พลางปลดเนคไทกับกระดุมคอเสื้อ ผมปลดยาวลงมาจบเกือบถึงช่วงหน้าท้อง เอนตัวพิงโซฟา ฟ้าเหมือนจะลังเล แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธที่จะทำ ผมยกยิ้มมุมปาก ผมรู้ว่าฟ้ากำลังเขิน

ถ้าจะถามผมว่าความรู้สึกของผมที่มีต่อฟ้าเป็นแบบไหน ผมก็บอกเลยว่าผมชอบผมชอบคนๆนี้ ชอบรอยยิ้ม ชอบความสดใส ชอบการมองโลกในแง่ดีของฟ้า เขาดีที่เป็นแบบนี้ แต่มันก็น่าเป็นห่วงอยู่ไม่น้อยว่าจะถูกคนอื่นเอารัดเอาเปรียบ

“วันนี้ผมทำชามะนาวเอาไว้ให้ ดื่มแล้วน่าจะช่วยให้รู้สึกสดชื่นนะครับ” ฟ้าใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดซับที่ตามใบหน้าให้ผมอย่างเบามือ

“ขอบใจนะ” ผมลืมตาแล้วก็จับมือฟ้าเอามาวางไว้ที่หน้าผากของผม

“ปวดหัวมากเหรอครับ”

“อืม ปวดมาก”

“ผมไม่รู้ว่าคุณตรีเครียดเรื่องอะไร แต่ขอให้แก้ปัญหาได้โดยเร็วนะครับ”

“ขอบใจนะ”

“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าไหมครับ จะได้ลงไปทานข้าวแล้วก็ทานยา”

“อืม ไปเลือกเสื้อผ้ามาให้หน่อยสิ ฉันว่าจะไปอาบน้ำเลย” ผมบอก รู้สึกตึงเครียดไปทั้งร่างกาย ผมอยากจะไปนวดผ่อนคลาย แต่ก็ยังไม่มีเวลา

ผมเข้าไปอาบน้ำไม่นาน ใช้เวลาเร็วกว่าทุกวันเพราะมีฟ้าและเพื่อนรออยู่ที่ด้านล่าง ออกมาก็พบกับชุดที่ฟ้าเลือกไว้ให้ เป็นกางเกงขาสั้นเหนือเข่าสีน้ำตาลอ่อน กับเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวเนื้อบางเบาใส่สบายตัว ผมยิ้มแล้วลงมือแต่งตัวก่อนจะลงไปข้างล่าง

เพลงจังหวะสนุกสนานถูกเปิดคลอไปกับช่วงบรรยากาศแดดร่มลมตก ฟ้าที่กำลังยืนหัวเราะกับเพื่อนของผมหันมาเห็นผมเข้าพอดี เขารีบวางที่คีบลงแล้ววิ่งเข้ามาในบ้าน ตรงไปทางห้องครัวก่อนจะเดินออกมาพร้อมกับแก้วน้ำที่ใส่ชามะนาว

“ดื่มน้ำเย็นๆนะครับ จะได้สดชื่น”

“ขอบใจ”

ผมรับชามะนาวมาดื่ม รสชาติหอมหวานเย็นชื่นใจทำให้สดชื่นได้จริงๆ ผมชอบดื่มน้ำมีรสชาติ เพราะว่าเสพติดมาเป็นเวลานาน ความจริงจะเลิกก็ได้ แต่ผมก็ไม่ได้คิดจะทำมันเท่าไหร่ เพียงแต่ก็จะเลือกกินที่เป็นน้ำผลไม้คั้นสด หรือไม่ก็พวกที่ใช้ความหวานจากน้ำผึ้งหรือหญ้าหวานแทน แต่ถ้าเลือกไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร ผมเสพติดไปแล้วยังไงก็ทำใจเลิกยาก

“คุณตรีออกไปนั่งทานข้าวกับเพื่อนๆเถอะครับ เดี๋ยวผมเตรียมยาให้”

“แล้วนายจะไม่กินข้าวหรือไง”

“ผมกินในครัวก็ได้ครับ”

“ไม่ได้” ผมพูดเน้นเสียงดุ แล้วใช้มือข้างที่ยังว่างคว้าแขนฟ้าให้เดินตามออกมา

“มาเร็วๆเลยเจ้าของบ้าน พวกกูหิวจะตายอยู่แล้ว”

“ก็กินกันไปสิ จะรอทำไม นั่งลงข้างฉัน บอกกี่รอบแล้วว่านายต้องนั่งร่วมโต๊ะกับฉัน”

“ครับๆๆ” ยังจะยิ้มหน้าทะเล้นอีก

ผมมองอาหารตรงหน้า ส่วนใหญ่จะเป็นพวกอาหารทะเลย่าง ไก่บาร์บีคิว จำพวกของกินเล่น แต่ก็ยังมีจานข้าวผัดจานใหญ่วางอยู่ แค่มองดูก็รู้แล้วว่าฟ้าเป็นคนทำ

ฟ้าหยิบทัพพีตักข้าวผัดใส่จานให้ผมสองทัพพี เขาเลื่อนถ้วยน้ำจิ้มมาให้ผมตรงหน้า เป็นน้ำจิ้มที่แตกต่างจากถ้วยอื่น

“ผมทำแยกให้ อันนี้ไม่เผ็ดมากครับ”

“ขอบใจ”

“ฟ้า อย่าไปเอาใจมันมากนัก เดี๋ยวก็เคยตัว” เจมส์พูด

“ไม่ได้หรอกครับ มันเป็นหน้าที่ผม” ฟ้าวางกุ้งเผาที่แกะเปลือกออกแล้วลงบนจานของผม

“ไม่ต้องดูแลฉันหรอก นายกินเถอะ”

แต่ถึงผมจะบอกอย่างนั้น แต่ฟ้าก็ยังคอยแกะกุ้งแกะปูวางให้ผมอย่างเนียนๆ เขาจะเว้นแกะให้ผมแล้วก็แกะกินเอง ผมถึงไม่ว่าอะไร เขาอยากทำผมก็ให้ทำ ในใจเต็มไปด้วยความอิ่มเอมที่มีดูแลเอาใจใส่แบบที่ผมไม่เคยได้รับจากใคร แม้แต่คนในครอบครัว

“สรุปว่ายังไง กินอิ่มอารมณ์ดีแล้ว ก็ตอบคำถามเพื่อนได้แล้วนะครับคุณตรี”

พอทุกคนเริ่มอิ่ม การรับประทานอาหารก็เริ่มเชื่องช้าลง เหลือเพียงแค่นั่งจิบไวน์ขาวแก้มกับอาหารทะเลที่ยังเหลืออยู่ ฟ้าที่กินอิ่มก็ทยอยเอาจานเข้าไปล้าง โดยมีลูกมือเป็นทิศที่ผมสั่งให้ยกจานเข้าไปให้ เพราะไม่อยากให้ฟ้าออกแรงยกของ

“คำถามอะไร” ผมทำเป็นไม่รู้ว่าเพื่อนอยากรู้เรื่องอะไร

“ทำไมเด็กคนนั้นถึงมาอยู่กับมึงที่บ้านหลังนี้ได้ จำได้ว่าเจอกันที่ร้านอาหาร ทำไมวะ ติดใจถึงขนาดไปเอามาทำงานที่บ้านด้วยเลยเหรอ”

“...” ผมนั่งฟังเจมส์ตั้งคำถามใส่ผมเงียบๆ เบนสายตามองเข้าไปในบ้าน ผมสร้างบ้านให้เป็นกระจกโปร่งรอบตัวบ้าน แต่สามารถกดปิดเพื่อให้มันเป็นกระจกทึบได้หากต้องการความเป็นส่วนตัว

“หรือว่ามึงกับเด็กคนนั้นมีอะไรกัน”

“บ้าหรือไง คิดได้ยังไง” ผมถลึงตาใส่เพื่อนที่พูดเรื่องไม่เป็นเรื่อง เกิดฟ้ามาได้ยินจะทำยังไง ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากจะทำหรอกนะ แต่ตอนนี้มันยังทำไม่ได้ต่างหาก

บ้าจริง เห้อ

“กูรู้รสนิยมทางเพศของมึงดีวะตรี อย่ามาเล่นลิ้น”

ดูมันพูด ถ้าผมจะเล่นลิ้นผมไม่เล่นกับมันหรอก จะอ้วก กับคนในบ้านก็ว่าไปอย่าง

“ยังไม่ได้มีอะไรกัน” ผมตอบอ้อมแอ้ม

“อ่อ ยังไม่ถึงขั้นนั้นสินะ” เจมส์ยิ้มมุมปากล้อเลียน

“อืม”

“แล้วยังไง คือเด็กเขาก็มีใจให้หรือเปล่า” เจมส์โน้มตัวเข้ามากระซิบกระซาบ สายตาก็เหล่มองเข้าไปในบ้านเป็นระยะๆ ผมเองก็เผลอมองตาม

“ไม่รู้ ไม่ได้คาดหวังอะไร แค่อยากช่วยเหลือ กูรู้จักฟ้าตั้งแต่เรียนมัธยมปีที่หก ฟ้ามาสมัครงานเป็นพ่อบ้านที่บ้าน อยู่ตัวคนเดียวไม่มีครอบครัว หางานทำส่งตัวเองเรียน พอกลับมาอีกครั้งกูก็เลยให้ฟ้ากลับมาช่วยงาน” ผมเล่าคร่าวๆ เลือกที่จะไม่บอกความจริงบางอย่าง
ความจริงที่ว่าผมรู้ว่าฟ้าก็อาจจะรู้สึกดีกับผม แต่ไม่บอกพวกมันหรอกครับ เดี๋ยวมันเอาไปแกล้งเด็ก แล้วคนที่จะซวยก็คือผม
“พรหมลิขิตเหรอวะ ห่างกันไปตั้งสี่ปีเนี่ยนะ”

“บ้านกูอยู่ในซอยนี้ ฟ้าก็อาศัยอยู่ในซอยนี้ มันมีอะไรที่เรียกว่าพรหมลิขิต”

“ก็พูดไปอย่างนั้น แล้วสรุปคือชอบไหม”

“จะถามไปทำไม”

“ก็อยากรู้”

“มึงคิดว่าไงล่ะ” ผมไม่ตอบ โยนกลับไปหันคนตั้งคำถามตอบเอง ซึ่งเพื่อนกันก็ดูกันออกครับ มันถึงได้ยิ้มกริ่มว่ารู้ทันผม

“คุยเรื่องอะไรกันอยู่วะ” เสียงของทิศดังขัดบทสนทนาของผมกับเจมส์ ทำให้ต้องรีบหันไปดูว่าฟ้าตามมาด้วยหรือเปล่า แต่ไม่มี จึงทำให้ผมโล่งใจได้ว่าความลับยังไม่ได้ถูกเปิดเผย

“ไม่มีอะไร” ผมบอกปัด คนยิ่งรู้เยอะก็ยิ่งมากเรื่องมากความ

“ขนมหวานมาแล้วครับ” เสียงใสดังมาตามสายลม ผมรีบลุกขึ้นแล้วเดินไปแย่งถาดขนมหวานมาถือเอง พร้อมทั้งส่งสายตาดุดันไปให้เพื่อนที่เดินออกมาตัวเปล่า แทนที่จะช่วยคนบาดเจ็บถือถาดออกมา

“ไม่ต้องมองหน้ากูด้วยสายตาแบบนั้น น้องฟ้าเขาไม่ยอม บอกไม่หนักจะยกเอง”

“ไม่หนักจริงๆนะครับคุณตรี”

มันไม่หนักจริงๆนั่นแหละ แต่ผมไม่วางใจเท่าไหร่

ขนมที่ฟ้ายกมาเป็นสละลอยแก้ว ผมมองขนมสลับกับฟ้า ไม่คิดว่าเขาจะทำอะไรแบบนี้เป็น แต่เหมือนฟ้าจะเข้าใจความคิดของผม เขาหัวเราะเบาๆพลางส่ายหน้า

“ผมไม่ได้เป็นคนทำหรอกครับ เพื่อนคุณตรีเขาซื้อมา ผมแค่แกะใส่ถ้วยเท่านั้น”

“อืม”

“คุณตรีครับ ทานของหวานเสร็จแล้วก็ทานยาด้วยนะครับ” ฟ้าส่งถ้วยยาถ้วยเล็กให้ผม เป็นยาแก้ปวดหัวที่ผมทานเป็นประจำ

“ขอบใจ”

“ปวดหัวอีกแล้วเหรอไง”

“ก็น่าจะชินได้แล้ว ชีวิตคุณชายเขามีวันไหนที่ไม่ปวดหัวด้วยเหรอ”

“แล้วเรื่องงานเป็นไงบ้าง ได้ตามเป้าของท่านคุณพ่อหรือยัง”

พอเพื่อนๆของผมถามเรื่องงาน ผมก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ยังไม่มีโปรเจคไหนได้เรื่องสักอัน”

“ปกติสินค้าใหม่กลางปีจะออกช่วงมิถุนายนไม่ใช่เหรอ นี่มีนาคมแล้วนะกูคิดว่ามึงเลือกโปรเจคสำหรับกลางปีนี้ได้แล้วซะอีก”

“คิดว่าที่กูเข้าไปทำมันราบรื่นหรือยังไง คนเก่าของพ่ออยู่เต็มบริษัทไปหมด คอยแต่จะแย้งและตรวจสอบว่ากูทำงานได้ไหม”

“เอาน่า นี่เป็นหนทางพิสูจน์ตัวเอง ยังไงรางวัลที่ได้มันก็คุ้มไม่ใช่หรือยังไง”

มันก็จริงอย่างที่ทิศว่า เดิมพันระหว่างผมกับพ่อ ถ้าผมชนะ ชีวิตของผมหลังจากนี้จะได้เป็นอิสระเสียที เพราะว่าผมไม่ชอบผู้หญิง และผมไม่เคยคิดจะปิดบัง เพราะความดื้อรั้นที่ผมมีทำให้ผมกล้าที่จะบอกกับที่บ้าน สุดท้ายผมก็โดนต่อต้าน และถูกลงโทษในหลายๆอย่าง การไปเรียนต่อต่างประเทศก็ส่วนหนึ่ง และการที่ผมได้รับคำสั่งให้กลับมาบริหารบริษัทขายเฟอร์นิเจอร์ที่กำลังขาดทุนอย่างหนักก็อีกส่วนหนึ่ง




‘แกจะไม่ใช้ชีวิตตามแบบที่ฉันขีดไว้ให้ แกก็ต้องพิสูจน์ให้ฉันเห็นว่าแกมีความสามารถที่จะปีกกล้าขาแข็ง เข้าไปบริหารงานที่ King’s Luxury’

‘แต่ที่นั่นกำลังจะเจ๊ง’

‘ใช่ ในเมื่อแกบอกว่าแกโตพอที่จะคิดตัดสินใจดูแลชีวิตของตัวเองโดยไม่ฟังคำพูดของพ่อแม่ ก็แสดงให้เห็นสิว่าเป็นอย่างที่พูด เพราะถ้าทำไม่ได้ นั่นหมายความว่าแกยังไม่เก่งพอที่จะเรียกร้อง’

‘แล้วถ้าผมทำได้’

‘พวกฉันจะไม่ยุ่งวุ่นวายกับการตัดสินใจในการใช้ชีวิตของแกอีก’

‘ตกลง ผมจะทำให้พ่อเห็นว่าผมดูแลตัวเองได้’



“ทำหน้าสนใจขนาดนั้นเลยหรือไงน้องฟ้า”

ผมหลุดออกจากภวังค์เพราะเสียงของเจมส์

“แหะๆ ผมแค่งงน่ะครับ ฟังไม่ค่อยเข้าใจ” ฟ้ายิ้มแหะๆเหมือนเด็กทำความผิดแล้วโดนจับได้ ผมไม่เคยพูดถึงปัญหาของผมให้ฟ้าฟัง ผมเป็นคนก่อ ผมไม่อยากให้เข้าต้องมารับรู้ไปด้วย อีกอย่างเรายังไม่ได้เป็นอะไรกัน ผมไม่อยากเอาความมืดมนเข้าไปในชีวิตของฟ้า

“ฟ้าต้องดูแลเพื่อนพี่ดีๆล่ะ ช่วงนี้มันจะเครียดมากหน่อย ต้องออกไลน์สินค้าให้ได้กำไรเยอะ ไม่งั้นบริษัทมันเจ๊งแน่” ยังคงเป็นเจมส์ที่พูดเหมือนปากไม่มีหูรูด

“ฮึ่ม อย่าพูดมาก”

“ทำไมเจ๊งละครับ ผมว่าเฟอร์นิเจอร์ก็สวยดีน่าใช้ น่าจะขายได้อยู่แล้ว”

“หลายๆปัจจัยน่ะ” ผมตอบอ้อมแอ้ม หลบดวงตากลมใสที่มองผมด้วยความเป็นห่วง

“คุณตรีเก่งอยู่แล้วครับ ผมเชื่อว่ายังไงคุณตรีก็ต้องทำได้” แต่ครู่เดียวฟ้าก็กลับมายิ้มแย้มแล้วพูดให้กำลังใจผม

เป็นเด็กคนนี้อีกแล้ว ที่ไม่ว่ายังไงก็ชมว่าผมเก่งเสมอ ทั้งๆที่ความจริงแล้วผมไม่ได้เก่งอย่างที่เขาคิด แต่ผมจะทำให้ตัวเองเก่งอย่างที่คิดให้ได้


 :L2: :bye2:




หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่15:อะไรที่ทำให้คุณมีความสุข...27-03-20 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 27-03-2020 21:07:42
CATER TO YOU
ตอนที่15
อะไรที่ทำให้คุณมีความสุข ผมจะทำให้ทั้งหมด



‘ฟ้าต้องดูแลเพื่อนพี่ดีๆล่ะ ช่วงนี้มันจะเครียดมากหน่อย ต้องออกไลน์สินค้าให้ได้กำไรเยอะ ไม่งั้นบริษัทมันเจ๊งแน่’



ผมได้แต่คิดไม่ตกกับคำพูดของเพื่อนคุณตรี หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาสองวัน คุณตรีดูเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด แถมยังทำงานจนหามรุ่งหามค่ำ เมื่อคืนก็นอนเกือบตีสามได้ ที่ผมรู้เพราะว่าลงไปดื่มน้ำแล้วเห็นคุณตรีออกมาจากห้องทำงาน

ผมอยากช่วยแบ่งเบาภาระคุณตรีได้มากกว่านี้ ผมพยายามดูแลทุกอย่าง เรื่องงานในบ้านผมทำให้สะอาดและหอมอยู่เสมอ ผมส่งข้อความคุยกับน้ากุ้งก็ได้เคล็ดลับเกี่ยวกับงานบ้านมากมายที่จะทำให้คุณตรีชอบใจ

เรื่องค่าใช้จ่ายภายในบ้านต่างๆคุณตรีให้เป็นเงินสดเอาไว้อาทิตย์ละสามพันบาท อาทิตย์หนึ่งผมใช้ไม่เคยหมดเพราะค่ากับข้าวของคุณตรีที่พ่วงผมเข้าไปอีกคนมันไม่ได้ต้องใช้ปริมาณข้าวของอะไรมากมาย ผมเคยคืนเงินคุณตรีแต่คุณตรีก็ไม่รับคืน ผมก็ได้แต่เก็บหยอดกระปุกเอาไว้ ซึ่งมันไม่ใช่กระปุกหรอก มันเป็นขวดโหลใส่คุกกี้ที่คุณตรีแวะซื้อมาก่อนเข้าบ้าน พอขนมหมดผมก็เลยเก็บขวดโหลไว้ใช้ประโยชน์อย่างอื่นต่อ

ทั้งหมดทั้งมวลที่ผมกล่าวมานั้น สองวันมานี้ผมพยายามคิดว่าจะทำยังไงที่จะช่วยให้คุณตรีอารมณ์ดีและมีความสุขมากขึ้น ผมพยายามที่จะฝึกทำอาหารให้ได้หลายอย่างมากยิ่งขึ้น จดรายการเมนูอาหารที่คุณตรีชอบทานจากข้อมูลที่น้ากุ้งได้ให้มา

นอกจากบะหมี่แล้วก็ยังมีผัดไทยที่คุณตรีชอบกิน ในตลาดมีเจ้าเด็ดเจ้าดังอยู่ รสชาติอร่อยมาก แต่ผมไปกินไม่บ่อยนักเพราะราคาค่อนข้างสูง ห่อหนึ่งหกสิบบาท ถ้าเป็นผัดไทยทะเลรวมก็แปดสิบ ราคาแพงกว่าเจ้าอื่นแต่รสชาติก็อร่อยกว่าเจ้าอื่น ต้องเป็นช่วงที่พิเศษจริงๆผมถึงจะซื้อมากินเพื่อเป็นการให้กำลังใจตัวเอง

วันนี้ผมก็เลยออกมาซื้อผัดไทยให้คุณตรีกินเป็นมื้อเย็น ตอนออกมาจากซอยเจอไอ้แจ๊คกำลังเดินสะลึมสะลือออกมาหาข้าวกินเช่นกัน ก็เลยเดินคุยเล่นกันมาจนถึงตลาด

 “มึงดูอิ่มเอิบขึ้นนะฟ้า ไปทำงานกับพี่คนนั้นมีความสุขดีจนกูอิจฉา”

“กินให้หมดก่อนแล้วค่อยพูดไหม” ผมว่าอย่างไม่จริงจังนัก แจ็ครีบกลืนลูกชิ้นทอด ของผมก็มีหนึ่งถุงในมือ เพราะร้านขายผัดไทยยังตั้งร้านไม่เสร็จ ก็เลยหาอะไรกินเล่นระหว่างรอ

“แหมะ พอไปทำงานได้ดิบได้ดี ก็ทำตัวเป็นผู้ดีเลยนะ”

“มึงโดนบ่นเรื่องนี้ตั้งแต่กูยังไม่เป็นผู้ดีนะ”

“ฮ่าๆๆ เออ มึงนี่นิสัยไม่เหมือนเด็กที่โตมาจากสลัม มีมารยาทผิดปกติ”

“กูแค่รับแต่สิ่งดีๆให้ชีวิต เวลาไปทำงานผู้ใหญ่เขาก็จะได้รักได้เอ็นดู”

“กูถึงได้โดนเฮียชาร์ปแกด่าทุกวันไง แกยังบ่นคิดถึงมึงเลยนะฟ้า ว่าขาดคนทำงานดีๆไปทั้งคน”

พูดถึงเฮียชาร์ปแล้ว ช่วงนี้ผมไม่ได้แวะเข้าไปหาแกเลย สงสัยต้องหาเวลาไปหาแกบ้าง ที่ผ่านเฮียแกดีกับผมจนพนักงานบางคนเอาผมไปว่าว่าเป็นลูกรัก

“ว่าแต่ เป็นไงมาไงมึงถึงไปทำงานกับพี่เขาได้ว่ะ เขาดูไม่ได้อายุเยอะ น่าจะห่างจากเราแค่ไม่กี่ปี”

“หนึ่งปี”

“ห๊ะ อายุแค่ยี่สิบสองเองเหรอวะ” แจ๊คมันทำหน้าตกใจ

“อืม”

“แต่มีเงินมาจ้างมึงเดือนเป็นหมื่นๆเนี่ยนะ เขาทำงานอะไรวะ หรือว่าบ้านรวยแต่กำเนิด ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ” แจ็คคิดไปต่างๆนานา

“คุณตรีเขามีธุรกิจเป็นของตัวเอง ที่บ้านก็น่าจะรวยด้วยแหละ แต่เห็นว่าช่วงนี้ธุรกิจคุณตรีมีปัญหา”

“เรื่องธรรมดาแหละ ช่วงนี้เศรษฐกิจก็ไม่ค่อยจะดี มันก็ต้องมีปัญหาบ้าง แล้วมึงจะทำหน้าหนักอกหนักใจไปทำไม”

“กูอยากช่วยเขาได้บ้าง แต่เรื่องงานเขากูไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่”

“เขาทำธุรกิจอะไร”

“ขายเฟอร์นิเจอร์”

“อ่อ อืม” แจ๊คมันทำหน้าครุ่นคิด แต่ผมคิดว่าสมองอย่างมันคิดอะไรไม่ได้ออกหรอก ทำอือๆออๆไปอย่างนั้น

พอดีกับที่ร้านผัดไทยตั้งร้านเสร็จ ผมก็ได้เป็นคิวแรก ผมสั่งผัดไทยสามห่อ เอาไปเผื่อไว้ถ้าคุณตรีกินห่อหนึ่งแล้วไม่อิ่ม ผมเคยมีบทเรียนครั้งหนึ่งที่ซื้อราดหน้าไปสองถุงแต่ดันไม่พอ คุณตรีอยากกินแล้วผมทำไม่เป็น เลยต้องไปซื้อ ใครจะรู้ว่าคุณตรีชอบกินถุงเดียวไม่อิ่ม วันนั้นผมก็อาสาจะออกไปซื้อให้อีก แต่คุณตรีก็ไม่ยอม ครั้งนี้ผมเลยจะไม่ให้พลาดเหมือนครั้งก่อน

“แจ็ค กูจ่ายให้นะ” ผมบอกตอนที่กำลังจะจ่ายเงินทั้งของผมและของแจ็ค

“เห้ย ได้ไง เอาเงินเจ้านายมึงจ่ายเดี๋ยวเขาก็ว่าเอา” ดูมันคิดสิ ผมจะไปทำแบบนั้นได้ยังไง

“กูใช้เงินกูสิ ค่าเช่าห้องก็ไม่ต้องจ่ายแล้ว กินกูกินกับคุณตรีเขา เดือนๆหนึ่งกูแทบไม่ต้องใช้จ่ายอะไร ถือว่ากูเลี้ยงแล้วกัน”

“เป็นมึงนี่ดีจริงๆ เออๆ ขอบใจนะ”

“อืม ช่วยๆกัน มึงก็ต้องเลี้ยงแม่เลี้ยงน้อง กูบอกให้เรียนต่อมึงก็ไม่เอา”

“กูจะเอาเงินเอาเวลาไหนไปเรียน บางทีกูก็แอบคิดนะ ว่าถ้ากูตัวคนเดียวก็คงใช้ชีวิตง่ายๆเหมือนมึง”

“ไอ้แจ๊ค!” ผมตวาดที่มันพูดแบบนั้น ทำไมถึงคิดเหมือนกับว่าคนที่บ้านเป็นภาระ ผมเตรียมจะด่ามัน แต่ว่ามันรีบเอามือมาปิดปากผม

“เออ ไม่ต้องด่ากู กูรู้เลยว่ามึงจะด่ากูว่าอะไร กูเลว แต่มันก็เป็นความคิดที่แวบเข้ามาตอนกูเหนื่อยกูท้อมากๆ แต่กูรักแม่และน้องของกูมาก กูไม่ทิ้งคนในครอบครัวกูหรอก” มันพูดจบก็ปล่อยมือออกจากปากผม

“มึงโชคดีที่ยังมีคนในครอบครัวมีบ้านให้กลับ อย่าเป็นอย่างกูเลย ที่หันไปข้างหลังแล้วไม่มีใครสักคน”

“มึงอย่าเศร้าดิ กูขอโทษ” มันทำหน้าสำนึกผิด

“ขอโทษกูทำไมกูโอเค” ผมทำใจได้นานแล้วที่จะต้องอยู่คนเดียว ถึงลุงจะไม่ได้อยู่กับผม แต่ผมก็เชื่อว่าลุงกำลังมองดูผมอยู่ เพราะอย่างนั้นผมจึงไม่กล้าจะทำตัวไม่ดีเลย กลัวลุงมองลงมาแล้วจะเสียใจ

“ถ้ามึงมีปัญหาอะไรก็บอกกูนะแจ๊ค กูไปก่อน คุณตรีน่าจะใกล้ถึงบ้านแล้ว” ผมตัดบท เมื่อดูเวลาแล้วพบว่าจะห้าโมงครึ่งแล้ว

“เดี๋ยวๆวันอาทิตย์ว่างป่ะ ว่าจะชวนไปเดินตลาดเปิดท้ายตอนเย็น”

“อืม น่าจะได้มั้ง ไม่ใจ กูต้องขออนุญาตคุณตรีก่อน”

“ขอให้ได้นะ กูอยากไปเดินแต่ไม่มีเพื่อนไป”

“อืมๆ จะพยายาม ไงจะโทรบอก”

“ได้เลย ไว้เจอกัน”

ผมแยกกับแจ๊คที่ตลาด ขี่มอเตอร์ไซค์คันเก่ากลับบ้านของคุณตรี ผมขอคุณตรีเก็บรบคันนี้ไว้ คุณตรีเลยให้น้าภาพไปเอามาให้จากที่หอ ผมว่ามันสะดวกดีเวลาที่ออกมาซื้อของข้างนอก ก่อนจะเอามาส่งให้ที่บ้านคุณตรี น้าภาพเอามันไปเข้าร้านซ่อมทำนู่นทำนี้ โดยมีคุณตรีจ่ายให้ ผมโดนบ่นด้วยว่าไม่รู้จักระวังตรวจเช็กสภาพรถที่ขี่ เพราะเจอปัญหาหลายอย่าง ผมก็ได้แต่ก้มหน้ารับคำดุไปอย่างไม่มีอะไรโต้เถียง

กลับมาถึงบ้านคุณตรีได้ไม่ถึงห้านาที เสียงรถยนต์ก็แล่นดังเข้ามาในรั้วบ้าน ผมรีบเดินไปจัดเตรียมน้ำส้มคั้นสดรินใส่แก้วแล้วเดินเอาไปเสิร์ฟให้คุณตรีที่เดินหน้าเครียดเข้ามาในบ้าน

เขาเครียดอีกแล้ว ดูท่าว่าวันนี้งานก็คงจะไม่ราบรื่น

“วันนี้ทำอะไรกิน หิวมากเลย” คุณตรีทิ้งตัวนั่งลงกับโซฟา เขารับน้ำส้มไปดื่มจนหมดแก้วรวดเดียว ก่อนจะเริ่มปลดกระดุมแขนเสื้อและเนคไท

“มีผัดไทยครับ เจ้าอร่อยในตลาด”

“ออกไปข้างนอกมาเหรอ” เขาหรี่ตามองผม

“ครับ แผลที่ท้องดีขึ้นมาแล้ว ผมขี่มอเตอร์ไซค์ไปแปบเดียวก็ถึง ในซอยนี้เองครับ ไม่ได้ไกลเลย” ผมสงสัยอยู่ตลอดว่าทำไมคุณตรีถึงได้ดูเป็นห่วงผมนัก แต่ผมก็รู้สึกดีมากกับความรู้สึกที่เขามีให้

“ดูแลตัวเองให้ดี”

“ครับ คุณตรีจะกินมื้อเย็นก่อนหรือจะขึ้นไปอาบน้ำก่อนครับ” วันนี้ถือเป็นวันแรกที่คุณตรีกลับมาแล้วบอกว่าหิว

“กินก่อนแล้วกัน”

“ครับ”

ผมเข้าครัวไปจัดมื้อเย็นใส่จากให้คุณตรี และเป็นไปตามคาด คุณตรีทานถึงสองห่อ ถือว่าครั้งนี้ผมทำการบ้านมาดี ไม่ปล่อยให้คุณตรีทานไม่อิ่มท้อง

จากนั้นคุณตรีก็แยกเข้าห้องนอนไปทำธุระส่วนตัว บอกว่าวันนี้จะทำงานต่อในห้องทำงาน พอผมย้ายมาอยู่กับคุณตรี ตารางการทำงานผมก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากที่ผมเลิกงานช่วงหกโมงหนึ่งทุ่ม ตอนนี้ผมก็เหมือนกับทำงานตลอดเวลา ไม่ใช่เพราะคุณตรีสั่งให้ทำ แต่ผมทำของผมเอง แม้ว่าคุณตรีจะย้ำว่าหลังหนึ่งทุ่ม ผมสามารถใช้เวลาส่วนตัวได้เลยโดยไม่ต้องมาดูแลงานบ้าน แต่ใครจะไปทำแบบนั้นได้ ผมมาอาศัยบ้านคุณตรีอยู่ กินอยู่ดีกว่าที่คนรับใช้ควรจะเป็น ถ้าไม่ได้หนักหนาทำได้ผมก็อยากจะทำ

สองทุ่มแล้วคุณตรียังคงอยู่ในห้องทำงาน ผมอาบน้ำเรียบร้อยแล้วก็ว่างจนรู้สึกเหงา ผมว่าชีวิตผมตอนนี้สบายจนเกินไป กลัวว่าจะเคยตัวเข้าสักวัน นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้บอกคุณตรีเรื่องที่แจ็คช่วยผมไปเดินเที่ยวตลาดวันอาทิตย์ ถ้าไปบอกตอนนี้จะเป็นการรบกวนไหมนะ

ผมออกจากห้องนอนตัวเอง เดินไปที่ห้องทำงานของคุณตรีที่อยู่ติดกับห้องนอนของผม ผมเคาะประตูสองทีก่อนจะได้ยินเสียงคุณตรีเอ่ยอนุญาต

“ขอโทษที่รบกวนนะครับ” ผมบอกพลางสังเกตคุณตรีไปด้วย บนโต๊ะทำงานเต็มไปด้วยแฟ้มงานมากมาย ไหนจะเศษกระดาษที่กระจัดกระจายเต็มโต๊ะ คุณตรีทำงานยุ่งทั้งกลางวันและกลางคืนจนผมคิดว่ามันมากเกินไปสำหรับเขาหรือเปล่า ยังไงพวกเราก็ถือว่าเป็นวัยรุ่นที่ควรได้ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน ไม่ใช่ต้องมาใช้ชีวิตเหมือนคนอายุสามสิบสี่สิบที่จมจ่ออยู่กับงาน

แต่ผมก็ได้แค่คิดละนะ ชีวิตคนเรามีภาระหน้าที่ที่ไม่เท่ากัน

“มีอะไรหรือเปล่าฟ้า” คุณตรีถาม เขาวางกระดาษในมือลง หมุนคอบิดซ้ายขวา เดาว่านาจะเมื่อยพอสมควร

“คุณตรีอยากได้ชาร้อนกับของว่างสักหน่อยไหมครับ” เดิมทีผมจะมาบอกเรื่องขอลาหยุดวันอาทิตย์ เป็นอันต้องละเอาไว้ก่อน แล้วเลือกที่จะดูแลเจ้านายของผมที่ตอนนี้ดูอ่อนล้าเต็มที

“อืม ก็ดีนะ ฉันรบกวนหรือเปล่า”

“ไม่ได้รบกวนเลยครับ ผมว่างมาก คุณตรีรอสักครู่นะครับ เดี๋ยวผมไปทำมาให้”

“เดี๋ยวก่อน เอาถ้วยชามาสองถ้วยนะ ขอขนมเยอะหน่อย”

“ได้เลยครับ” ผมไม่ได้คิดอะไรมากกับคำขอ คิดว่าคุณตรีใช้พลังงานสมองไปค่อนข้างมาก น่าจะทำให้หิวบ่อยกว่าปกติ เพราะผมก็เป็นเวลาโหมอ่านหนังสือสอบ

ผมรีบลงไปจัดเตรียมชาร้อนและของว่างเป็นคุกกี้ธัญพืชที่ดีต่อสุขภาพ ผมจดจำเอาจากยี่ห้อที่คุณตรีเคยซื้อมา แล้วก็เวลาไปซื้อของเขาบ้านผมก็พยายามเดินหาให้ได้ตามแบบที่คุณตรีชอบ งงบ้างหลงทิศหลงทางบ้าง แต่ผมว่ามันก็สนุกดี

เตรียมของไม่นานผมก็เอามาเสิร์ฟให้คุณตรี ถือว่าคิดไม่ผิดที่เข้ามาหาคุณตรีที่ห้องทำงาน ตอนนี้คุณตรีลุกออกจากกองเอกสารที่สูงเป็นภูเขา มานั่งจิบชาร้อนอยู่ตรงโต๊ะนั่งเล่น

“ฟ้า จุดเทียนหอมให้หน่อยสิ เลือกมากลิ่นหนึ่งตรงนั้น” คุณตรีชี้ไปที่ตู้ลิ้นชักสองชั้น ด้านบนมีถาดเหล็กเงาที่บรรจุแก้วเทียนหอมอยู่สี่แก้ว

“ให้ผมเลือกเหรอครับ” ผมไม่สันทัดเรื่องนี้ซะด้วย ชีวิตรู้จักแต่เทียนไขไหว้พระกับเทียนวันเกิด เทียนหอมพวกนี้เป็นพวกสิ่งของฟุ่มเฟือยสำหรับผม แต่สำหรับคุณตรีที่มีเงินมากพอ พวกกับความเครียดจากการทำงานที่มากตามไปด้วย ผมว่ามีของพวกนี้ไว้บรรเทาความเครียดก็ดูจะเข้าท่าอยู่ไม่น้อย

“ลองเปิดฝาแล้วดมดู”

ผมค่อยๆเดินไปดมเทียนหอมแต่ละอัน ชำเลืองตามองคุณตรีที่จ้องผมไม่วางตา จนผมทำหน้าไม่ถูก ดมจนครบสี่อันแล้วก็เลือกอันที่มีกลิ่นเย็นสบายคล้ายหมากฝรั่งรสมิ้นท์ ในถาดยังมีไม้ขีดกล่องสีดำ ชีวิตผมเคยเห็นแต่ไม้ขีดไฟตราพญานาค ไม่เคยเห็นไม้ขีดไฟที่กล่องสวยดูดีขนาดนี้

คุณตรีช่างเลือกใช้ของจริงๆ

“จุดเสร็จแล้วก็รบกวนหยิบแฟ้มสีน้ำตาลมาให้หน่อย แล้วนายมานั่งข้างๆฉันตรงนี้” ไม่พูดเปล่านะครับ มีการตบเบาะโซฟาข้างๆเข้าด้วย

ผมหยิบแฟ้มที่คุณตรีต้องการมาให้คุณตรี พร้อมกับนั่งลงข้างๆอย่างที่เขาบอก ผมนั่งเกร็งเล็กน้อยด้วยความเคยชิน กับคุณตรีไม่ว่าจะใกล้ชิดยังไงก็ไม่เคยชิน

คุณตรีรินชาใส่แก้วอีกใบที่ว่างแล้วยื่นมาตรงหน้าผม

“ดื่มด้วยกันสิ”

“ไม่ดีกว่าครับคุณตรี ผมไม่เคยดื่มอะไรแบบนี้” ผมรีบบอก แต่คุณตรีก็ไม่ยอมชักมือกลับ ทั้งยังจับมือผมให้ถือด้วยไว้อีก

“ไม่มีอะไรยากหรอกน่า อยู่กับฉันนายต้องพยายามปรับตัว นายเป็นผู้ช่วยฉันเรื่องแบบนี้ต้องเรียนรู้ไว้บ้าง เวลาใครไปใครมาจะได้ไม่เงอะงะ”

“อ่อ” ผมรับคำแบบงงๆ พลางคิดไปว่า ต่อให้มีแขกไปใครมาที่บ้านคุณตรี ผมก็ไม่คิดจะทำตัวเสมอเจ้านายอยู่แล้ว

“ดื่มสิ เดี๋ยวมันจะเย็น จะดื่มชาก็ต้องดื่มตอนร้อนๆ”

“ครับ” ผมลองจิบชาดู มีกลิ่นหอมหวานละมุน ดื่มแล้วรู้สึกชุ่มคอดี

ผมเลือกชาอะไรสักอย่างมา เป็นกล่องสีม่วง บนหน้ากล่องมีเป็นภาษาจีน ของพวกนี้ไม่ใช่หน้าที่ผมเลือกซื้อ เป็นคุณตรีที่ซื้อมา ผมก็สลับลงให้ไม่ได้ศึกษาอะไรมากนัก ถ้าเป็นของที่คุณตรีซื้อมา เลือกอันไหนคุณตรีก็ต้องชอบอยู่แล้ว

คุณตรีเริ่มเปิดแฟ้มดูอีกครั้ง มือขวาขายกถ้วยชาขึ้นจิบ ศีรษะของคุณตรีขยับหมุนซ้ายหมุนขวา ถ้าวันทั้งวันก้มหน้าอ่านเอกสารแบบนี้ตลอด เป็นผมผมก็คงปวดคอ

“ผมนวดให้ไหมครับ ที่ห้องผมมียานวดอยู่ แต่กลิ่นมันดูเป็นคุณตาไปสักหน่อย คุณตรีอยากลองไหมครับ แต่ว่าแก้ปวดกล้ามเนื้อดีเลยนะครับ” ผมลองเสนอดู

“เอาสิ”

ผมยิ้มให้ตัวเอง ผมดูแลคุณตรีแบบนี้ทุกวัน รู้สึกมีประโยชน์ที่ช่วยได้บ้างไม่มากก็น้อย

ผมนวดยาหม่องสมุนไพรให้คุณตรีในบริเวณช่วงบ่าและลำคอด้านหลัง ขนาดผมนวดไม่เป็นผมยังรู้สึกเลยว่ากล้ามเนื้อคุณตรีช่วงบ่าแข็งมาก ผมนวดไปเรื่อยๆ สายตาที่ไม่รู้จะจับจ้องที่ไหนเผลอมองแฟ้มงานในมือคุณตรีไปด้วย

บนกระดาษแต่ละแผ่นที่คุณตรีเปิดดูเป็นภาพออกแบบเฟอร์นิเจอร์แบบต่างๆ บางแผ่นเป็นภาพวาดดินสอระบายสี บางแผ่นเป็นภาพออกแบบเหมือนปริ้นออกมาจากคอมพิวเตอร์ หรือว่าภาพพวกนี้จะเป็นแบบเฟอร์นิเจอร์ที่คุณตรีเคยบ่นว่าไม่มีอะไรเข้าท่า แต่ผมมองว่ามันก็สวดดีนะ เหมือนที่ผมเห็นตามโฆษณาในทีวีหรือไม่ก็ในละครหลังข่าว

ผมนั่งมองคุณตรีดูงานไปด้วย มือก็บีบนวดไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ก่อนจะคิดได้ว่ายังไม่ได้พูดเรื่องที่อยากจะพูด

“คุณตรีครับ วันอาทิตย์นี้ ผมขอออกไปเที่ยวกับแจ็คได้ไหมครับ”

คุณตรีหยุดชะงักร่างกายไปสัมผัสได้ เขาเอียงคอหันมามองหน้าผม ทำให้ตอนนี้ระยะห่างของใบหน้าเราสองคนไม่ถึงคืบ

ใกล้เกินไปแล้ว

“จะไปซนที่ไหนอีก แผลยังไม่หายดีเลย” คุณตรีเอ็ด จากที่หันแค่คอ ตอนนี้หันมาทั้งตัวแล้ว ผมเลยต้องปล่อยมือออกจากบ่าแข็ง ลดตัวที่นั่งยืดบนเข่าลงไม่ให้ใบหน้าผมสูงกว่าคุณตรี

“แค่ไปเดินเล่นตลาดเปิดท้ายตอนเย็นครับ อยู่ใกล้ๆตรงถนนRนี่เอง”

คุณตรีเงียบไป ก่อนจะพยักหน้า

“เดี๋ยวฉันไปเป็นเพื่อน” พูดจบก็หันกลับไปสนใจแฟ้มงานในมือต่อ

“คุณตรีไม่ต้องไปคอยดูแลผมหรอกครับ แผลผมไม่เป็นอะไรมากแล้ว”

“ฉันต้องไปดูแลนายเหรอ  ถ้าฉันอยากไปเดินเล่นตลาดนั้นบ้างไม่ได้หรือยังไง”

เพล้ง!

ได้ยินเสียงของแตกไหมครับ ไม่ใช่แก้วชาแต่เป็นหน้าของผมเอง ก็จริงอย่างที่คุณตรีว่า ผมคิดไปได้ยังไงว่าคุณตรีจะไปดูแล แต่จะว่าไปก็ดีเหมือนกันนะ คุณตรีจะได้ไปเปิดหูเปิดตาบ้าง

“ถ้าคุณตรีอยากไปก็ไปได้เลยครับ ที่ตลาดเปิดท้าย ของขายเยอะมาก ของกินอร่อยๆก็เยอะมาก ผมกับเพื่อนชอบเดินเล่นดูของแล้วก็หาอะไรกิน”

“อืม ช่วยแนะทำทีละกัน ฉันไม่ได้อยู่ที่ไทยมาสี่ปี ไม่ค่อยได้ไปเดินที่แบบนี้เท่าไหร่”

“ได้เลยครับ ผมจะเป็นไกด์ให้เอง”

“นวดต่อสิ กำลังสบาย”

“ครับๆ”

ผมจะบีบจะนวดจนกว่ากล้ามเนื้อของคุณตรีจะอ่อนตัวลงเลยคอยดู


ต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่15:อะไรที่ทำให้คุณมีความสุข...27-03-20 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 27-03-2020 21:08:09





ตลาดเปิดท้ายวันอาทิตย์เริ่มเปิดตั้งแต่ช่วงสี่โมงเย็น แต่จะคึกคักมากช่วงหลังพระอาทิตย์ตกดินหนึ่งทุ่มไปจนถึงเที่ยงคืน

คุณตรีขับรถพาผมและแจ็คมาที่ตลาดตามการบอกทางของผม แจ็คมันดูเกร็งๆเหมือนไม่ค่อยจะกล้าพูดกล้าคุยแบบปกติเพราะคุณตรีมาด้วย แต่ยังไงก็ไม่ได้หยุดความปากมากของมันได้

“ตรงนี้จะเป็นโซนอาหารครับ อยู่ด้านหน้าเลย ถัดไปจะเป็นพวกเสื้อผ้าและด้านในสุดจะเป็นพวกงานแฮนด์เมดมีพวกของตกแต่งบ้าน ผมว่าคุณตรีน่าจะลองเดินเข้าไปดูนะครับ มีของแต่งบ้านสวยๆเยอะเลย เผื่อว่าคุณตรีจะได้ไอเดียวเพิ่ม” ผมพูดแนะนำไปเรื่อยเปื่อย คุณตรีมองจ้องหน้าผมอย่างตั้งใจฟัง

“คุณตรีต้องลองเดินให้ทั่วครับ รับรองจะติดใจ” แจ็คสำทับอีกแรง

“ปกติฉันไม่ค่อยชอบมาเดินที่คนเยอะๆเท่าไหร่” คุณตรีมอง เขามองดูรอบตัวด้วยความสนใจ เรามาถึงตอนห้าโมง ร้านค้าก็เริ่มตั้งร้านมากกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว

“จะเดินดูอะไรกันก่อนดี หรือว่าจะหาอะไรกินก่อน” แจ็คถาม มองผมกับคุณตรีสลับกันอย่างรอคำตอบ

“คุณตรีหิวไหมครับ หาอะไรกินก่อนไหม เดี๋ยวคนเยอะแล้วจะรอนาน”

“เดินไปกินไปก็ได้ ไม่ต้องนั่งหรอก ปกติก็ไม่ได้นั่งกินกันอยู่แล้วป่ะ” แจ็คพูดถึงสิ่งที่ผมและมันทำเป็นประจำเวลามา แต่วันนี้มีคุณตรีมาด้วย ผมก็ต้องดูความคิดเห็นของเขาก่อน

“คุณตรีว่ายังไงครับ ถ้าคุณตรีไม่ชอบเดินกิน ก็หาที่นั่งก็ได้นะครับ ตรงนู้นจะมีโต๊ะเก้าอี้ตั้งเป็นลานกว้างให้คนซื้อของไปนั่งกิน”

“ไม่เป็นไร เอาตามสบายเถอะ ฉันไม่ได้เรื่องมากขนาดนั้น”

เหรอ...ผมอยากจะพูดคำนี้ดังๆ แต่ก็ได้แต่อมยิ้ม คุณตรีน่ะจอมเลือกจะตาย ถึงจะไม่ได้แสดงออกถึงความจุกจิก แต่เท่าที่ผมทำงานกับคุณตรีมาและจากคำบอกเล่าจากน้ากุ้ง คุณตรีนี่เรื่องเยอะใช่ได้ แต่ถ้าทำทุกอย่างถูกใจ คุณตรีก็ไม่ได้ว่าอะไร

ผมและแจ็คสนุกกับการเลือกซื้อของกิน บางอย่างก็ซื้อมาถุงเดียวแล้วก็แบ่งกันกิน คุณตรีก็ทานด้วยบ้างถ้ามีอันไหนที่เขาสนใจ ส่วนมากคุณตรีจะกินแต่ของจืดๆ อะไรที่เผ็ดหน่อยคุณตรีจะไม่กินเลย และมีอย่างหนึ่งที่คุณตรีดูจะชอบมากเป็นพิเศษ เพราะถึงกับเดินกลับไปซื้อเป็นรอบที่สอง ใครจะไปคิดว่าคุณตรีจะชอบกินไข่ปิ้งทรงเครื่อง

“ฟ้าทำแบบนี้เป็นไหม” คุณตรีกัดไข่ใบที่สี่เข้าปาก

“ทำไม่เป็นหรอกครับ ถ้าไข่ปิ้งธรรมดาก็ได้อยู่”

“หรอ แต่จริงๆกินมากมันก็ไม่ดีหรอก โซเดียมสูง แต่มันก็อร่อย”

“อร่อยก็ทานเยอะๆครับ” ผมยิ้มมีความสุขที่เห็นคุณตรีไม่เครียด

“ฉันไม่ใช่เด็ก” คุณตรีเล่ห์ตามองผม พลางแกะไข่อีกใบส่งมาให้ผมกิน

เรากินทั้งลูกชิ้น ทั้งปลาหมึกย่าง ไข่ปิ้งแล้วก็ยำรวมมิตรที่ซื้อใส่ถ้วยกระดาษแล้วเดินกินเอา พอคุณตรีไม่ได้ถือตัว แจ็คมันก็ชวนคุยนู่นนี่ไม่หยุดปาก คุณตรีเป็นฝ่ายฟังซะส่วนมาก

“กินเลอะ” คุณตรีชี้นิ้วมาที่ปากผม ผมแลบลิ้นเลียที่มุมปากเช็ดเอาคราบน้ำจิ้มลูกชิ้นทอดจนสะอาดเพราะมันมันไม่เหนียวที่มุมปากแล้ว แต่อยู่ๆนิ้วของคุณตรีก็เช็ดให้อีกรอบซ้ำตรงจุดเดิมที่ผมใช้ลิ้นเลีย

“คุณตรีครับ” ผมแทบจะร้องเสียงหลง แต่ก็ยังใช้เสียงที่เบา มองซ้ายมองขวาไม่มีใครสังเกต แจ็คเองก็เอาแต่เลือกกางเกงยีนส์มือสองเอาไปไว้ใส่ทำงาน

“ตกใจอะไร”

“ก็คุณตรีทำอะไรล่ะครับ มันสกปรกนะ” ผมใช้ลิ้นเลียมันก็ต้องมีน้ำลายผมติดแถวๆมุมปากนั่นแหละ แล้วคุณตรีใช้มือของเขาเช็ดที่ตรงนั้น เขาทำได้ยังไง

“สกปรกแล้วนายเลียทำไม”

“ก็มันปากผมนิ”

“แล้วปากนายสกปรก?”

“ไม่ใช่แบบนั้นครับ แต่มันมีน้ำลายผมไง คุณตรีไม่น่าเอามือมาเช็ด” ผมบ่นเสียงเบา คนรอบตัวเดินขวักไขว่ไปมา ผมและคุณตรีเลยต้องขยับมายืนชิดกันที่หน้าร้าน

“ฉันไม่ได้รังเกียจหรอกน่า คิดมาก” คุณตรีขยี้หัวผม

“มันไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย”

“หึ” คุณตรีก้มหน้าลงมาหัวเราะเบาๆใส่ผมเหมือนชอบใจ

“อยากได้อะไรไหม” คุณตรีถามผม

“ยังไม่รู้เลยครับ อยากเดินดูเรื่อยๆ คุณตรีเมื่อยหรือยังครับ” ผมถามด้วยความเป็นห่วง คนเริ่มเยอะขึ้น ปากครั้งก็เห็นคุณตรีทำหน้าหงุดหงิดที่คนเดินมาเบียด ผมเห็นแล้วว่าเป็นพวกสาวๆที่ชอบเดินเข้ามาใกล้

“คุณตรีหล่อ สาวๆก็เลยอยากเข้าใกล้” ผมกระซิบบอก ไม่ว่าคุณตรีจะไปยืนหน้าร้านไหน ร้านนั้นจากไม่มีคนก็จะมีลูกค้าสาวๆแวะเวียนกันเข้ามาหยิบจับซื้อ

“แต่ฉันไม่ชอบ น่ารำคาญ”

“คุณตรีก็พูดตรงเกินไปครับ เดี๋ยวเขาได้ยิน”

“ช่างสิ ไปเถอะ เพื่อนนายซื้อของเสร็จแล้ว” คุณตรีทำท่าไม่ยี่หระ เขาโอบแขนรอบคอผมแล้วพาเดินออกจากร้าน ผมห่อตัวเองโดยอัตโนมัติ แจ็คมองมาที่ผมกับคุณตรีด้วยความสงสัย

“คุณตรีกลัวไอ้ฟ้ามันหลงหรือไงครับ” ดูมันพูดนะครับ ผมได้แต่ถลึงตาใส่มัน

“คงงั้น”

“อ้าว ทำไมคุณตรีเออออไปกับแจ๊คมันละครับ” แล้วทั้งสองคนก็หัวเราะ เพียงแต่คุณตรีหัวเราะเบาๆ ส่วนไอ้แจ๊คมันหัวเราะล้อเลียนผม เพราะมันรู้ว่าผมชอบผู้ชายไม่ได้ชอบผู้หญิง แต่ที่ไม่รู้คือผมชอบคุณตรี

“คุณตรีเอาแขนออกเถอะครับ” ผมขอร้องเสียงเบา ใจผมรับไม่ไหว สั่นแรงจนรู้สึกได้

“กอดหน่อยไม่ได้เหรอ”

กอด...กอดหน่อยไม่ได้เหรอ

ให้ตายเถอะ ตอนนี้หูผมอื้อไปหมดแล้ว

“เดี๋ยวคนอื่นเขาเข้าใจผิดนะครับ” ผมอ้อมแอ้มไม่กล้ามองสบตาใครแล้วตอนนี้ ได้แต่ทำหน้านิ่งๆ ปล่อยสายตาแบบไม่โฟกัสสิ่งใด

“เข้าใจผิดว่าอะไร” ตอนเขาพูด ริมฝีปากของเขาอยู่ใกล้กับใบหูของผมมากเสียจนรับรู้ได้ถึงลมหายใจ


‘เข้าใจว่าเราสองคนเป็นคู่เกย์’


“เปล่าครับ” ใครจะไปกล้าพูด

“หึหึ” แล้วทำไมต้องหัวเราะเจ้าเล่ห์แบบนั้น คุณตรีโยกตัวผมเบาๆเป็นการปลอบ แต่ก็ไม่ยอมปล่อย

เราเดินมาจนถึงโซนด้านใน ระหว่างทางผมได้เสื้อยืดลายการ์ตูนมาสองตัว คุณตรีเองก็ซื้อมาเหมือนกัน ผมไม่รู้ว่าคุณตรีเคยใช้ของตลาดนัดไหม เพราะเสื้อผ้าในตู้ของคุณตรีที่ผมสักเองหรือพวกชุดทำงานต้องนำไปส่งที่ร้านสักรีด ก็ล้วนแต่เป็นเสื้อผ้าเนื้อดีมียี่ห้อทั้งนั้น

“เฮ้ๆ ของแวะร้านนี้แปบนึง” แจ๊คกวักมือเรียกผมกับคุณตรีที่เดินตามหลัง

ร้านที่แจ๊คแวะเป็นร้านขายพวกหุ่นยนต์ ฟิกเกอร์ โมเดลตัวการ์ตูนต่างๆ มันชอบของพวกนี้ ชอบดูการ์ตูน ชอบเล่นเกม แต่ของเล่นพวกนี้ราคาค่อนข้างสูง ตัวละเป็นร้อยเป็นพันหรือแพงมากกว่านั้นก็มี เวลามาเดินเล่นที่นี่แจ๊คชอบเดินมาดูร้านนี้ประจำ

“ไปเดินดูอย่างอื่นกันก่อนก็ได้นะ ขออยู่ร้านนี้แปบนึง” แจ๊คมันแวะมาบ่อยจนพี่ที่ร้านจำมันได้ เหมือนกับว่าขอให้ดูได้จับๆลูบๆคลำๆก็พอแล้ว

“โอเค เดี๋ยวเดินกลับมาหา” ผมบอก ก่อนจะชักชวนคุณตรีให้เดินไปดูอย่างอื่น

ช่วงนี้เขารณรงค์ให้ใช้ถุงผ้ากัน ผมเดินเข้าไปดูร้านที่ขายถุงผ้าแล้วเลือกซื้อมาสองใบ ของผมหนึ่งใบและคุณตรีหนึ่งใบ คนออกเงินก็เป็นคุณตรี เพราะเขาไม่ยอมให้ผมออกเงินเลย ถ้าผมไปแอบแวบไปซื้อเอง

“ผมชอบมาเดินโซนนี้ ผมชอบพวกของแฮนด์เมค มันสวยเป็นเอกลักษณ์ดี”

“ก็ดูทำไม่น่ายาก”

ผมส่ายหน้า “ยากครับ ผมเคยลองเพนท์สีรองเท้าผ้าใบเอง ไม่สวยแบบที่เขาทำเลยครับ”

“ทำบ่อยๆเดี๋ยวทำได้”

“ตรงนั้นอะไร” คุณตรีชี้ชวนให้ผมดูร้านๆหนึ่ง ผมเองก็ไม่เคยเห็น น่าจะเป็นร้านมาเปิดใหม่”

“ไปดูกันไหมครับ”

เมื่อเดินเข้าไปใกล้ถึงได้รู้ว่าเป็นร้านที่มาออกเวิร์คช็อปเกี่ยวกับการทำจานถ้วยจากผักตบชวา เหมือนที่ผมเคยเห็นในข่าว

“ถ้วยจากใบผักตบชวาครับคุณตรี เอาไว้ใช้แทนพวกโฟมกับพลาสติก ลดขยะแล้วก็ลดโลกร้อน คุณตรีดูสิครับ คนให้ความสนใจกันเยอะมาก เดี๋ยวนี้หากใครทำอะไรที่เดี๋ยวกับเรื่องช่วยลดขยะ ลดการใช้พลังงาน คนก็จะให้ความสนใจแล้วก็สนับสนุน แบบว่าถ้าทำอะไรเพื่อเป็นการปกป้องโลกก็จะดูเท่ดูดี แต่จริงๆมันก็ดีแหละครับ ผมเคยดูวิดีโอในเฟสบุ๊คด้วยนะครับ ที่เขาไปเก็บขยะชายทะเลแล้วเอามาทำเป็นรองเท้า ดังไปทั่วโซเชียลเลยครับ พอดังคนก็แห่ไปช่วยเหลืออุดหนุน” ผมพูดเล่าไปเรื่อยตามสิ่งที่เคยรู้ได้ดูได้เห็นมา ผมเองก็ช่วยเท่าที่ช่วยได้ ไปไหนมาไหนซื้อของก็ใช้ถุงผ้าเอา

“งั้นเหรอ” คุณตรียืนมองไปยังร้านค้าตรงหน้านิ่งงันเหมือนคนใช้ความคิด

จริงสิ ถ้าหากว่าคุณตรีทำเฟอร์นิเจอร์ที่มาจากของเหลือใช้ล่ะ คนอาจจะสนใจก็ได้ แต่ว่าจะใช้อะไรล่ะ ผมเองมันก็แค่กบในกะลา ความรู้ผมมีแค่หางอึ่ง อยู่ในโลกเล็กๆของตัวเองไม่ได้มีโอกาสออกไปดูโลกภายนอกเท่าไหร่ ผมจะพอช่วยอะไรได้บ้างไหมนะ

“คุณตรีคิดอะไรอยู่เหรอครับ” ผมลองถามดู เรายืนอยู่ตรงนี้มานานร่วมห้านาทีได้แล้ว คุณตรียืนมองด้วยความสนใจแต่ก็ไม่เดินเข้าไปดูใกล้ๆสักที

“กำลังคิดตามที่นายพูด”

“ที่ผมพูดเหรอครับ?”

“ใช่ นายว่าคนจะสนใจเหรอ ถ้าเราออกสินค้าจากสิ่งของพวกนี้ มันจะแค่เห่อไปเป็นพักๆหรือเปล่า” คุณตรีตั้งคำถามกับผม ผมก็คิดตามก่อนจะตอบ

“แต่มันก็ส่งผลดีต่อส่วนรวมนะครับ ถ้ากลายเป็นกระแสแล้วช่วงแรกๆคนก็คงให้ความสนใจเยอะ หลังจากนั้นอาจจะน้อยลงหน่อย อืม แต่ก็ยังถือว่าขายได้ใช่ไหมล่ะครับ”

“นั่นสินะ ฉันว่าฉันได้ไอเดียวแล้วละ แต่นายต้องช่วยฉันนะฟ้า”

“ห๊า ผมน่ะเหรอครับ ผมจะช่วยคุณตรีได้ยังไง ผมไม่มีความรู้เรื่องธุรกิจอะไรเลย” ผมรีบแย้ง

“ช่วยสิ แค่นี้ก็ช่วยฉันได้มากแล้ว นายเป็นผู้ช่วยฉัน ต่อไปนายจะไม่ช่วยฉันหรือไง”

ทำไมผมฟังคุณตรีพูดแล้วผมงง

“สนใจไหม มาเป็นผู้ช่วยฉันทำโปรเจคนี้ ฉันจะเพิ่มเงินเดือนให้” ดูสิ่งที่คุณเขาเสนอมาสิครับ ผมอยากจะกลอกตามองบนเสียให้ได้

“ผมจะช่วยเท่าที่ช่วยได้ แต่เรื่องเงินผมไม่เอานะครับ ถ้าคุณตรีให้ผมไม่ช่วยจริงๆด้วย”

“เดี๋ยวนี้กล้าต่อรองนะ”

“ผมพูดจริงนะครับ” ผมทำหน้านิ่งพูดเสียงเข้มให้ดูว่าผมจริงจัง

“ฮึ ก็ได้ แต่ฝากเอาไว้อย่างนะฟ้า”

ผมตั้งใจฟังในสิ่งที่คุณตรีจะพูด

“คราวหลังอย่าทำหน้าแบบนี้อีก ไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิด”

ผมไม่น่าตั้งใจฟังเลยจริงๆ เดินกลับไปหาไอ้แจ็คดีกว่า ผมเซ็งคนแถวนี้








 :mew1:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿* ตอนที่16:คุณตรีกับครอบครัวของเขา 28-03-20 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 28-03-2020 20:18:12
CATER TO YOU
ตอนที่16
คุณตรีกับครอบครัวของเขา



ฮัลโหลๆ สวัสดีครับ กระผมนายสายฟ้า วันนี้ผมไม่ได้ทำงานอยู่ที่บ้านนะครับ แต่ผมมานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ที่ห้องทำงานของคุณตรี คุณตรีบอกว่าเขามีเวลาไม่มากแล้วสำหรับทำโปรเจคนี้ แต่ช่วงเช้าของวันจันทร์คุณตรีเขามีประชุม ก็เลยให้ผมมานั่งรอในห้องทำงานแทน

ห้องทำงานของคุณตรีจะอยู่ชั้นบนสุด ทั้งตึกจะมีสี่ชั้นครึ่ง ชั้นที่สี่เป็นชั้นสำนักงานแผนกต่างๆ ส่วนชั้นที่สี่ครึ่ง เป็นชั้นลอยด้านบนชั้นที่สี่ ด้านบนนี้จะเป็นห้องทำงานของคุณตรีแล้วก็ห้องประชุมใหญ่

ระหว่างที่นั่งรอ คุณตรีก็ให้การบ้านผมในการทำความรู้จักกับธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ ให้อ่านประวัติของแบรนด์ King’s Luxury แล้วก็ให้ผมดูแฟ้มคอลเลคชั่นเฟอร์นิเจอร์ตั้งแต่รุ่นแรกๆมาจนถึงรุ่นปัจจุบัน และอีกกองหนึ่งเป็นแฟ้มที่พนักงานในทีมออกแบบของบริษัททำขึ้นมาเสนอสำหรับเฟอร์นิเจอร์คอลเลคชั่นหน้าที่กำลังจะเตรียมเปิดตัว

สิ่งที่คุณตรีสั่งเอาไว้ทำเอาผมมึนตึ้บ จับต้นชนปลายไม่ถูกเลยว่าผมควรทำอะไรก่อนดี แต่ในเมื่อคุณตรีให้โอกาสผม อยากให้ผมช่วย ผมก็จะพยายามทำให้เต็มที่ แม้ไม่รู้ว่าคนอย่างผมจะช่วยอะไรได้

ผมนั่งดูแฟ้มต่างๆที่คุณตรีให้มา และผมสังเกตเห็นอย่างหนึ่งก็คือ เฟอร์นิเจอร์ของบริษัทคุณตรีมีความสวยหรูหรา แต่ว่ามันมีแต่แบบเดินซ้ำๆ ยิ่งช่วงสามสี่ปีหลังมานี้ การออกแบบแทบไม่ต่างกันเลย และราคาก็สูงไม่ต่างกันด้วย มันเหมือนกับว่า ขาดความตื่นเต้นไปสักหน่อย

พอมาดูการออกแบบใหม่ที่คุณตรีต้องตัดสินใจเลือกสำหรับคอลเลคชั่นที่จะถึงนี้ ผมก็รู้สึกว่ามันก็ยังไม่หวือหวา แต่ถามว่าสวยไหมมันก็สวยดี แต่ยังไงราคามันก็แพงมากอยู่ดี แพงกว่าเจ้าอื่นที่ขายสินค้าประเภทเดียวกัน รูปแบบคล้ายๆกัน

ผมนั่งดูเอกสารไปเรื่อยๆ พลางใช้คอมพิวเตอร์ของคุณตรีดูข้อมูลของแบรนด์อื่นไปด้วย ก็ทำให้ผมพอจะมีความรู้กับเขาบ้าง จนกระทั่งสิบเอ็ดโมง คุณตรีก็เดินกลับเข้ามาในห้องพร้อมคุณเอิง

“ผมฝากสรุปการประชุมวันนี้ให้ผมที แล้วก็ร่างหัวข้อการประชุมสำหรับอาทิตย์หน้าให้ผมด้วย เรื่องที่ผมบอกให้แต่ละฝ่ายแต่ละแผนกไปทำ”

“ได้ค่ะ”

“แล้วก็ ฝากสั่งมื้อเที่ยงมาให้ผมทีนะ ฟ้าอยากกินอะไร” คุณตรีหันมาถามความเห็นผม

“ผมไม่รู้ว่าที่นี่มีอะไรขาย”

“เอาเป็นชุดเบนโตะมาสองชุดก็ได้ครับ แล้วก็ชาเขียวสองขวดเหมือนเดิม”

“ได้ค่ะ เดี๋ยวเอิงจัดการให้”

“ขอบคุณครับ”

คุณเอิงยิ้มให้ผมทีหนึ่ง ก่อนจะออกไปจัดการเรื่องที่คุณตรีสั่ง คุณตรีเดินมานั่งข้างๆผมตรงโซฟา เขากวาดสายตามองกองเอกสารบนโต๊ะกระจก

“เป็นไงบ้าง ทำการบ้านครบถ้วนไหม” คุณตรีถาม

“ปกติการบ้านต้องทำข้ามคืนนะครับ”

คุณตรีเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งแล้วก็ส่ายหน้ายิ้มๆ

“การบ้านรอบก่อนนายยังไม่ส่งฉันเลย ควรหักคะแนนดีไหม”

เอ๋??? การบ้านรอบก่อนงั้นเหรอ

“อ่า ผมลืมครับ” ผมไม่ลังเลที่จะสารภาพเลย ลืมจริงๆ คือเหมือนไม่ได้เอามาใส่ใจด้วยซ้ำ แต่ผมจำได้นะครับว่าผมจดเอาไว้ในโทรศัพท์

“หึหึ เด็กเกเร” เขามองค้อนผมเล็กน้อย ผมเลยยิ้มแฉ่งไปให้เป็นการขอโทษ

“ช่างเถอะ เอางานตอนนี้ก่อนดีกว่า นายคิดว่ายังไงถ้าดูจากข้อมูลที่ฉันให้อ่านแล้ว พอจะรู้ไหมว่าทำไมบริษัทนี้ถึงขาดทุนหลายปีติดต่อกัน” ท่าทางของตรีคุณตรีแล้วก็คำพูดในขณะนี้ดูเป็นทางการจนผมไม่กล้าล้อเล่น

“จริงๆสินค้าของบริษัทนี้ก็สวยดีนะครับ แต่ผมคิดว่าราคามันแพงไปหน่อย ไม่รู้เป็นเพราะว่าผมไม่ได้รวยหรือเปล่า แต่ผมว่ามันแพงไป ถ้าหากราคาต่ำกว่านี้อีกนิด ก็อาจจะทำให้คนซื้อตัดสินใจได้ง่าย”

“วัสดุที่ทางบริษัทใช้ เป็นวัสดุอย่างที่นำเข้าจากทางยุโรป การผลิตก็เป็นไปตามมาตรฐาน ต้องสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ จะไม่มีทางเห็นจุดมีตำหนิบนงานที่ขายราคาเต็ม เพราะต้องการที่จะขายชนชั้นสูง งานจึงต้องดีและราคามันจึงแพงตามมา นั่นคือคอนเซ็ปของบริษัทนี้” คุณตรีอธิบายให้ผมทราบและทำความเข้าใจ

“ผมขอถามได้ไหมครับ บริษัทนี้เป็นของครอบครัวคุณตรี แล้วมันกำลังจะเจ๊งจริงๆเหรอครับ ถ้าทำกำไรไม่ได้จะทำอย่างไร” ผมเป็นกังวลเรื่องนี้ ลองคิดดูว่าถ้ามันเจ๊ง เท่ากับว่าครอบครัวของคุณตรีก็ต้องได้รับผลกระทบ คนที่เคยรวยแล้ววันหนึ่งไม่มีเท่าเดิม คุณตรีจะต้องทุกข์มากๆแน่

“ทำหน้าแบบนั้น เป็นห่วงฉันเหรอ” คุณตรีขยับตัวเข้ามาใกล้ พร้อมทั้งยื่นหน้าเข้ามา สายตาของเขาสะกดตรึงผมไว้ให้อยู่กับที่

“ต้องเป็นห่วงสิครับ ผมไม่อยากให้คุณตรีสูญเสียอะไร ความจนความลำบากมันไม่ตลกหรอกนะครับ”

เพราะผมผ่านมาก่อน กล้าพูดได้เลยว่าคุณตรีไม่มีทางรู้เรื่องนี้ดีไปกว่าผม บอกเลยว่าผมน่ะระดับโปรเฟสชั่นแนล ผู้เชี่ยวชาญตัวจริง

“ไม่ต้องคิดมากขนาดนั้น ธุรกิจนี้ไม่ใช่ธุรกิจอย่างเดียวที่ที่บ้านฉันทำ ธุรกิจหลักจะเป็นธุรกิจรับสร้างบ้านออกแบบตกแต่ง ช่วงแรกๆก็อยู่ที่เมืองไทยเนี่ยแหละ แต่พอหาลู่ทางไปเปิดบริษัทที่ต่างประเทศได้ พ่อฉันก็เลยอยากจะไปเติบโตที่ต่างประเทศมากกว่า ถึงได้ลงทุนย้ายบ้านไปอยู่ที่อังกฤษ ส่วนธุรกิจย่อยในไทยก็ยังมีอยู่สองสามธุรกิจ ส่วนมากก็เกี่ยวกับพวกอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งพวกญาติพี่น้องคนอื่นก็ดูแลไป ส่วนธุรกิจนี้มันทำผลกำไรไม่ได้มาหลายปีแล้ว และความจริงมีมติให้ปิดตัวธุรกิจภายในปีหน้าหากว่ายังคงสร้างผลกำไรไม่ได้”

“แล้วทำไมคุณตรีถึงมาบริหารที่นี่ล่ะครับ ในเมื่อมีแผนว่าจะปิดตัว”

“เพราะฉันทำข้อตกลงกับที่บ้านเอาไว้ ถ้าฉันทำให้ที่นี่มีกำไร แลกกับชีวิตที่เป็นอิสระ ถ้าฉันทำได้ ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายการใช้ชีวิตของฉัน” สีหน้าของคุณตรีตอนที่พูดถึงเรื่องนี้ดูดุดันจนน่ากลัว ดูเคร่งเครียดกว่าเวลาพูดเรื่องงานเสียอีก มันมีอะไรที่ร้ายแรงหรือเปล่า

ผมได้แต่ตั้งคำถามกับตัวเองในใจ แต่ไม่กล้าที่จะเอ่ยถามออกไปตรงๆ เรื่องครอบครัวเป็นเรื่องอ่อนไหว อีกอย่างผมไม่ได้สนิทไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะไปยุ่มย่ามเรื่องส่วนตัวของคุณตรี

“ไม่ถามอะไรหน่อยเหรอ ไม่อยากรู้อะไรเลยหรือยังไง” แต่พอผมไม่ถาม คุณตรีกลับถามผมแทน แล้วความหมายที่เขาถามผมนี่มันยังไง เขาอยากให้ผมถามเรื่องครอบครัวของเขาอย่างนั้นเหรอ

“ผมไม่รู้ว่าควรถามไหม มันเป็นเรื่องส่วนตัว”

“ช่างเถอะ มาคุยเรื่องงานดีกว่า”

“ครับ” ทำไมเขาถึงนิ่งไปแบบนั้น หรือว่าผมทำอะไรผิด

“ปัญหาของตอนนี้ก็อยู่ที่ว่า เรายังเลือกแบบสินค้าที่จะขายคอลเลคชั่นหน้าไม่ได้ และที่วางกองอยู่ตรงนี้ ที่ทำเสนอไปแล้ว ฉันว่ามันยังใช้ไม่ได้ นายคิดว่ายังไงฟ้า”

“ถามผมเหรอ ผมคิดว่า มันก็ไม่ต่างจากรุ่นก่อนๆ ถ้ายังทำแบบเดิม ราคาเท่าเดิม ผลลัพธ์ก็คงเหมือนเดิม”

“เก่งนี่ ขนาดนายยังดูออกเลยว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน บางทีที่นี่อาจจะล้าหลังเกินไป คนทำงานที่นี่ก็มีแต่พวกความคิดเดิมๆ ไม่พัฒนา ปัญหามันเลยแก้ไม่ได้สักที”

ผมไม่รู้จะออกความเห็นยังไง ผมไม่ใช่พนักงานของที่นี่ ไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบางว่าเรื่องมันเป็นมายังไง ก็ได้แต่รับฟังในสิ่งที่คุณตรีระบายออกมา อย่างน้อยผมก็เป็นผู้ฟังที่ดีคนหนึ่งเลย

“แล้วมีอะไรจะนำเสนอไหม หลังจากที่ได้เห็นข้อมูลพวกนี้แล้ว ลองคิดๆดูสิว่า ถ้านายเป็นนาย นายอยากจะขายสินค้ารูปแบบไหน”

“ให้ผมนำเสนอเหรอครับ” ความจริงผมก็คิดๆมาอยู่บ้างนะ แต่ไม่รู้ว่ามันจะเข้าท่าไหม กลัวพูดออกไปแล้วแล้วมันจะเป็นการขายขำเสียมากกว่า

“ลองดู มันคงไม่มีอะไรแย่ไปกว่าโปรเจคที่อยู่ตรงหน้านี่ละ”

เอาวะ ลองพูดดู ก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร

“ผมคิดว่า เราน่าจะไปสำรวจตลาดดูนะครับ แบบไปดูของคู่แข่งว่าเขาขายของอะไรยังไง แล้วก็ควรสำรวจตลาดลูกค้าด้วย ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดี คนไม่ค่อยซื้อของฟุ่มเฟือย ถ้าจะซื้อของต้องซื้อที่ใช้งานได้ สวยและราคากำลังพอดี แบบนี้ดีไหมครับ เรามาทำเป็นแบบรุ่นพิเศษที่ให้ความหรูหราเหมือนเดิม แต่ราคาย่อมเยา วัสดุเราก็ใช้ของในไทย ต้นทุนจะได้ถูกลง แบบภาพลักษณ์เหมือนของแพง แต่ราคามิตรภาพ แบบนี้ดีไหมครับ” ผมพูดตามที่ได้คิดไว้ก่อนหน้านี้แล้วตั้งแต่รู้เรื่อง เพราะครั้งแรกที่ผมมาที่นี่ ผมเดินดูสินค้าแล้วก็รู้สึกว่าราคามันแพงมากจริงๆ อย่างที่บอกว่าผมมันจน ราคาของเกินหมื่นผมก็ขยาดจนขนลุกแล้วครับ เงินเดือนทั้งเดือนเลยนะครับ

คุณตรีฟังแล้วก็ไม่พูดอะไร เขาเอาแต่จ้องหน้าผมลูกเดียวก่อนจะระบายยิ้มเล็กน้อย

“เอ่อ คือผมพูดอะไรไม่ค่อยเข้าท่าใช่ไหมครับคุณตรี จริงๆผมก็ยังเรียนไม่จบ โลกก็แคบ ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวเป็นธรรมดา คุณตรีอย่าถือสาผมเลยนะครับ” ผมก้มหน้าลงต่ำอย่างรู้สึกอาย

“ฟ้า” คุณตรีเรียกชื่อผม มือของเขาเชยคางผมขึ้นให้เงยหน้า

“รู้ตัวไหมว่าเป็นคนเก่ง” อะไรนะ นี่เขาชมผมเหรอ

“อะไรกันครับ”

“ขอบคุณนะ กลายเป็นว่าฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่เอาไหนมากกว่านายเสียอีก เรื่องแค่นี้ก็คิดเองไม่ได้”

“เดี๋ยวนะครับ ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย ทำไมคุยตรีพูดว่าตัวเองแบบนั้นล่ะครับ” ผมละล่ำละลัก ไม่เข้าใจว่าคุณตรีกำลังพูดเรื่องอะไร

“ฉันว่าฉันเกิดไอเดียแล้วล่ะ หลังจากทานข้าวเที่ยง เรามาแพลนงานกันดีกว่า อย่าลืมว่านายต้องช่วยฉันนะฟ้า” สายตาของคุณตรีในขณะนี้เหมือนเด็กที่มีความสุข สายตาของเขาเต็มไปด้วยความหวัง ผมได้เห็นแบบนี้ก็ไม่มีอะไรจะให้ นอกจากเทหมดหน้าตัก

“ผมจะช่วยครับ จะช่วยคุณตรีทุกอย่างเลย”






เท่าที่รู้จักคุณตรีมา ผมว่าเขาก็เป็นคนที่ทุ่มเทกับงานมากพอตัว แต่ไม่คิดว่าจะถึงกับบ้างานขนาดนี้ พอเขาบอกว่าเกิดไอเดีย เริ่มมีไฟในการทำงาน คุณตรีก็แทบไม่หยุดพักเลยตลอดอาทิตย์ เขาเอาความคิดของผมไปต่อยอดได้อย่างดีเยี่ยมไม่มีที่ติ

สองวันแรกคุณตรีเลือกที่จะเป็นคนไปสำรวจตลาดโดยมีผมพ่วงไปด้วย ส่วนคุณเอิงคุณตรีให้คอยประสานงานอยู่ที่ออฟฟิศ เหมือนว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่จะเป็นความลับ เราต้องออกแบบไลน์สินค้าที่จะเปิดตัวให้ทันเดดไลน์เข้าที่ประชุม ในวันนั้นคุณตรีจะให้คนๆหนึ่งนำเสนอผลงานนี้ร่วมกับทีมเก่าๆอีกครั้ง

หลังจากที่ไปสำรวจตลาดแล้ว ทางด้านการสำรวจความคิดเห็นของลูกค้าคุณเอิงก็เป็นคนจัดการหาคนและรวบรวมข้อมูล รวมไปถึงการสำรวจเทรนด์ที่กำลังเป็นที่นิยมในขณะนี้ คุณตรีสนใจเรื่องของการช่วยลดขยะ คุณตรีศึกษาหาข้อมูลจนเลือกที่จะผลิตผ้าที่จะใช้ในเฟอร์นิเจอร์ต่างๆจากขวดพลาสติก โดยคุณตรีได้ให้คุณเอิงติดต่อกับทางชุมชล วัด โรงเรียน ให้ขายขวดพลาสติกให้เขา และเขาก็เอาไปส่งโรงงานรีไซเคิลเพื่อทอเป็นผืนผ้าไว้ในกับโซฟา หมอนอิง พรม และอื่นๆ

ผมเองก็ร่วมด้วยช่วยคุณตรี ผมไปกระจายข่าวในซอย พอจะรู้จักคนเก็บขยะขาย ผมก็ไปบอกให้เขาเก็บขยะมาขายคุณตรี โดยรวบๆไว้ พอถึงวันที่กำหนดจะทีรถมารับซื้อ ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ผมดีใจเป็นอย่างมากที่ได้ช่วยเหลือคนอื่น และได้ช่วยเหลือโลก

บางทีเรื่องดีๆก็เกิดขึ้นได้จากสองมือของเรา

นอกจากนี้คุณตรีก็ยังให้ผมไปเรียนขับรถ เขาบอกว่าเผื่อวันไหนเราต้องออกนอกสถานที่กันอีกแล้วเขาเหนื่อยจนขับรถไม่ไหว ผมจะได้ช่วยเขาได้ ผมเห็นว่ามันคงจะเป็นประโยชน์ต่อคุณตรีก็เลยยอมไปเรียนตามที่คุณตรีสั่ง

ตอนนี้ก็ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์แล้ว คุณตรีคอยเล่าถึงความคืบหน้าให้ผมฟัง ตอนนี้งานก็เดินไปกว่าครึ่งทาง ผมดูรูปสินค้าแต่ละชิ้นที่ออกแบบแล้วก็ได้แต่ชื่นชม คราวนี้ไม่ได้มาในธีมลักซ์ชัวรี่ แต่มาในธีมรักษ์โลกแทน สีเขียวและสีทองแดงเป็นสีเอก ดูเหมือนสีน้ำตาลของต้นไม้และสีเขียวของใบไม้ ผมชอบไอเดียวนี้ และชอบการออกแบบของทีมงานที่คุณตรีจ้างมา

อ่อ คุณตรีไปเช่าชั้นที่สองของร้านกาแฟของน้องสาวคุณทิศ ทำเป็นออฟฟิศชั่วคราวของทีมนี้ด้วย คุณตรีแวะไปดูงานบ่อยๆ และลงมือทำด้วยตัวเอง ผมไม่ค่อยได้ไปที่นั่น เพราะผมยังมีงานบ้านที่ต้องทำ อีกอย่างคุณตรียังไม่อยากให้ผมใช้ร่างกายมากจนเกินไป เขากลัวแผลของผมปริแตก อาทิตย์หน้าก็ถึงกำหนดไปตัดไหมแล้ว ผมอยากให้ถึงวันนั้นไวๆ คุณตรีจะได้เลิกกังวลกับผมเสียที

ถึงงานจะเหนื่อยจะหนักแต่ก็ถือว่าทั้งอาทิตย์นี้คุณตรีแทบจะไม่เครียดหรือปวดหัวเลย จะมีก็แค่อาการเหนื่อยล้าเท่านั้น ซึ่งโดยรวมก็ถือว่าโอเคดี

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ผมปล่อยให้คุณตรีนอนตื่นสาย ไม่เข้าไปรบกวนการนอนของคุณตรีในตอนตีห้าครึ่งเหมือนวันธรรมดา ก่อนนอนคุณตรีได้สั่งอาหารเช้าไว้

‘ฟ้า ตอนเช้าฉันอยากกินแซนวิช ทำให้กินหน่อยสิ’

ดังนั้นเช้าวันนี้ผมจึงทำแซนวิชให้คุณตรี และเป็นแซนวิชเพื่อสุขภาพ นึกไปถึงตอนนั้นที่ผมทำให้เขา ก่อนที่คุณตรีจะไปเรียนต่างประเทศ เป็นน้ำใจเล็กๆน้อยๆที่ผมจะทำให้ได้ แล้วคุณตรีก็เต็มใจที่จะรับมันไว้

ในขณะที่ผมกำลังจัดเตรียมมื้อเช้า เสียงออดหน้าประตูรั้วก็ดังขึ้น ผมย่นหัวคิ้วด้วยความสงสัย ก่อนจะรีบออกไปเปิดประตูดูว่ามีใครมาหาคุณตรี

พอผมเปิดประตูรั้วไม้ออก ก็เจอรถยนต์คันหรูจอดรอเตรียมขับเข้าไปในบ้าน ทันทีที่กระจกรถตรงที่นั่งด้านหลังลดต่ำลง ผมจึงได้เห็นว่าใครที่มา

‘พ่อ แม่’ ของคุณตรี

ผมรีบเปิดประตูออกกว้าง ให้รถเคลื่อนเข้าไปด้านใน ส่วนผมก็ยืนทำใจนิ่งอยู่กับที่ได้เพียงประเดี๋ยวเดียว ก็ต้องรีบเข้าไปในบ้าน เพื่อหาน้ำหาท่ามาให้พ่อแม่ของคุณตรี

“หนูเป็นใครทำไมถึงมาอยู่ที่บ้านของลูกชายฉัน” คุณแม่ของคุณตรีนั่งที่โซฟารับแขก แล้วก็เอ่ยถามผมทันทีที่ผมก้าวเท้าเข้าบ้าน

“สวัสดีครับ ผมเป็นพ่อบ้านที่นี่ครับ” ผมตอบคำถามแม่ของคุณตรี คุณพ่อของคุณตรียังคงเอาแต่จ้องผมนิ่ง หน้าตาของท่านดูดุจนผมไม่กล้ามอง ได้แต่เลี่ยงเดินไปเอาน้ำมาเสิร์ฟแทน

“แล้วเจ้าตรีไปไหน” คราวนี้คุณพ่อคุณตรีเป็นคนถาม

“อยู่บนห้องครับ รอสักครู่นะครับ ผมจะไปตามให้” ผมรีบบอกแล้วรีบสอยเท้าขึ้นไปปลุกคุณตรีบนห้อง

ผมเคาะประตูแล้วรอสักพัก แต่พอยังไม่มีการตอบรับจากเจ้าของห้อง ผมก็ถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ คุณตรีก็ไม่เคยล็อคห้องนอนอีกเลย เขาอนุญาตให้ผมเข้านอกออกในได้ตามใจชอบ แต่ผมไม่ทำอย่างนั้นหรอกครับ ผมจะเข้ามาก็แค่มาปลุกคุณตรีกับมาทำความสะอาดเท่านั้น

ห้องคุณตรียังคงมืดสนิท มีเพียงแสงไฟจากตัวเลขดิจิตอลบนนาฬิกาหัวเตียง ผมมองดูก้อนกลมๆใหญ่ๆบนเตียง ไม่บ่อยที่คุณตรีจะนอนตื่นสาย คงเพราะทำงานหนักมาทั้งอาทิตย์ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณพ่อคุณแม่ของเขามาหาและรออยู่ข้างล่าง ผมก็ไม่อยากจะปลุกให้ตื่น

“คุณตรีครับ” ผมยืนข้างเตียง แตะมือลงบนผ้าห่ม เพียงเสียงเรียกเบาๆคุณตรีก็ขยับตัว ผมเลยเดินไปเปิดผ้าม่านให้ห้องทั้งสว่าง

“ฟ้า ง่วง” คุณตรีพูดเสียงอู้อี้ น้ำเสียงติดจะอ้อนจนคนฟังอย่างผมตัวลอย

“ผมก็อยากให้คุณตรีนอนนะครับ แต่ว่าคุณพ่อคุณแม่ของคุณตรีมาหา” ผมบอก จากที่ทำหน้างัวเงีย ดวงตาของคุณตรีเบิกโพลง พร้อมกับผุดลุกขึ้นนั่งทันที หัวของเขายุ่งเหยิงแต่ยังคงดูดี ดูสมวัยกับวัยรุ่น และเหมือนเดิมคือคุณตรีไม่ใส่เสื้อนอน ผมควรจะชินกับภาพนี้ แต่ก็ไม่เคยชิน

“คุณตรีรีบไปอาบน้ำเถอะครับ”

“ไม่อยากลงไปเลย” คุณตรีทิ้งตัวนอนลงกับเตียงอีกครั้ง ทำสีหน้ายุ่งยากใจ ผมไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างคุณตรีและครอบครัวเป็นแบบไหน แต่เดาว่าน่าจะไม่ค่อยดี ทั้งเรื่องข้อเสนอที่บีบคั้นคนเป็นลูก และผมจำได้ว่าสี่ปีที่แล้ว คุณตรีก็ต้องอยู่บ้านคนเดียว ทั้งที่มีครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา มันไม่ใช่เรื่องปกติที่ควรจะเป็น

“ยังไงก็ต้องลงไปนะครับ ถ้าคุณตรีไม่ลงไปผมก็ไม่กล้าอยู่ข้างล่างคนเดียว” ผมพูดตามตรง ผมเป็นคนที่เข้าหาผู้ใหญ่เป็น และผู้ใหญ่มักจะเอ็นดู แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่กับพ่อแม่ของคุณตรี แววตาและสีหน้าที่ดูเย่อหญิงทำให้รู้สึกขนลุกอยู่ตลอดเวลา

“โอเค ฉันจะรีบลงไป” คุณตรียอมลุกออกจากเตียงในที่สุด

ผมปล่อยให้คุณตรีทำธุระส่วนตัวข้างบน แล้วลงมารายงานผู้ใหญ่ทั้งสองว่าคุณตรีเพิ่งจะตื่นนอนและกำลังอาบน้ำอยู่

“คุณท่านทั้งสองจะรับอาหารเช้าพร้อมคุณตรีไหมครับ ผมจะได้เตรียมไว้ให้” ผมถามด้วยความนอบน้อม

“ไม่เป็นไรจ้ะ” คุณแม่ของคณตรีตอบสั้นๆ ผมพยักหน้าเล็กน้อยแล้วล่าถอยกลับเข้าไปอยู่ในครัว ผมกลับมาทำงานของผม โดยละเว้นพื้นที่ห้องนั่งเล่นเอาไว้ แล้วไปทำตรงส่วนอื่นแทน

ไม่นานคุณตรีก็ลงมา ผมยืนมองจากในครัว จะเก้าโมงเช้าแล้ว แต่คุณตรียังไม่ได้รับข้าวเช้าเลย คุณตรีมองมาทางผมก่อนจะหันกลับมาคุยกับพ่อแม่ ผมเลยเอาน้ำส้มคั้นสดไปให้คุณตรีดื่มลองท้องก่อน

ในระหว่างที่เดินเข้าไปเสิร์ฟน้ำและเดินออกมา ต่อให้ไม่ได้อยากจะสนใจฟังในสิ่งที่เจ้านายกำลังพูดกัน แต่ยังไงมันก็ได้ยิน ยิ่งคุณพ่อของคุณตรีเป็นคนที่มีน้ำเสียงทรงพลังด้วยแล้ว ยิ่งได้ยินชัดเจนจนรู้สึกไม่อยากอยู่ตรงนี้ มากไปกว่านั้นผมเป็นห่วงความรู้สึกของคุณตรีมากๆ เพราะขนาดผมเป็นคนนอกยังรู้สึกไม่ดี

“แกยังทำงานไม่เสร็จ ดังนั้นแกจะใช้ชีวิตตามอำเภอใจไม่ได้”

“ผมยังไม่ได้ใช้ชีวิตตามอำเภอใจสักหน่อย”

“ให้มันแน่”

“ผมแน่อยู่แล้วครับ คุณพ่อก็เตรียมใจไว้แล้วกัน ถึงเวลานั้นใครก็ห้ามผมไม่ได้”

“ไอ้ตรี!”

“พอๆเถอะค่ะ  มาถึงก็มาทะเลาะกัน วันนี้แม่จะมาพาเราไปเลือกชุดออกงาน”

“ผมโตแล้วนะแม่ ผมเตรียมเองได้”

“ไม่ได้ เพราะว่าแม่จะให้เราพาหนูดิวไปเลือกชุดด้วย”

“ผมไม่...”

“แกไม่มีสิทธ์ปฏิเสธ”

“ผมไม่เข้าใจ โตๆกันแล้วดูแลตัวเองกันไม่ได้หรือยังไง แค่ซื้อเสื้อผ้า ผมว่าผู้หญิงน่าจะมีความเก่งเรื่องนี้อยู่แล้วนะครับ จะต้องให้ผมไปเลือกให้อีกเหรอ”

“คุณดูลูกชายตัวดีของคุณพูดนะคุณหญิง ผมเบื่อระอาเต็มทนแล้ว”

ผมไม่คิดว่าคุณตรีจะหัวรั้นแบบนี้ จริงๆการเถียงพ่อแม่ไม่ใช่สิ่งที่ดี แต่ผมก็เคยเถียงลุงเหมือนกันตอนที่ลุงกินเหล้าเมาแล้วพูดไม่รู้เรื่อง

“แต่แม่อยากให้ลูกไปและนี่คือคำสั่ง ไปแต่งตัวให้ดูดีกว่านี้ เราจะไปรับน้องที่บ้าน แม่กับพ่อเราจะไปคุยเรื่องงานกับคุณนวลเขาที่บ้านโน้นด้วย”

“ยังไงผมก็ต้องไปใช่ไหม”

“ไม่มีสิทธ์ปฏิเสธจ๊ะ”

“โอเค แต่ผมของพาผู้ช่วยผมไปด้วยล่ะกัน จะได้ไปช่วยๆกันเลือก”

คุณตรีพูดจบก็ลุกขึ้น เขาสงสารตาเป็นความหมายให้ผมเดินตามขึ้นไปบนห้อง แต่ผมก็ยังยืนนิ่งเพราะไม่อยากเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดแบบนี้

“ฟ้า มานี่ ขึ้นไปเลือกเสื้อผ้าให้หน่อย หน้าที่ของนายนะอย่าลืม” พอผมไม่ไปคุณตรีก็พูดเสียงดุ และมันก็จริงอย่างที่คุณตรีว่ามันเป็นหน้าที่ผมอยู่แล้วที่จะต้องเลือกเสื้อผ้าให้คุณตรี

“แกจะเอาคนทำงานบ้านไปด้วยทำไม” เสียงพ่อของคุณตรีดังไล่หลังมา

“ทำไมจะเอาไปด้วยไม่ได้ล่ะครับ เขาเป็นผู้ช่วยผม ถ้าผมจะให้เขาไปช่วยดูแลถือของ มันผิดตรงไหน”

โอย ผมอยากหายไปจากตรงนี้เหลือเกิน




ครึ่งชั่วโมงต่อมา ผมก็ถูกคุณตรีจับแต่งตัวแล้วพาขึ้นรถ โดยที่เขาไม่ฟังคำทัดทานจากคุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายแม้แต่น้อย ยังดีที่ผมยังมีเวลาแวบเข้าไปเอาแซนด์วิชใส่กล่อง ตอนที่พ่อแม่ของคุณตรีเดินออกไปรอเราที่หน้าบ้าน

“คุณตรีครับ พาผมไปด้วยจะดีเหรอ” เท่าที่เห็นคุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายไม่พอใจอย่างมาก

“นายไม่อยากไปกับฉันเหรอ” ทำไมคุณตรีชอบตั้งคำถามกลับแทนที่จะตอบคำถามผมนะ

“มันไม่ใช่แบบนั้น คุณตรีทำให้คุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายเขาโกรธนะครับ ยังไงท่านทั้งสองก็เป็นพ่อเป็นแม่ ทำแบบนี้มันบาปนะครับ”

“นั่นสิ หึหึ ตายไปฉันต้องตกนรกแน่ๆ แต่ก่อนตกนรก ขอมีชีวิตที่มีความสุขก่อนละกันนะ” คุณตรียังพูดติดตลกอยู่ได้

ผมทำได้แค่แอบถอนหายใจ ไม่ได้โกรธหรือไม่พอใจคุณตรี ผมไม่มีสิทธิ์ทำแบบนั้นอยู่แล้ว เพียงแค่ผมไม่ชอบอยู่ในบรรยากาศที่มันน่าอึดอัด อยู่ในจุดที่ตัวเราแก้ไขอะไรไม่ได้ เพราะไม่ใช่เรื่องของตัวเอง

แต่มีเรื่องหนึ่งที่เป็นน่าที่ของผม นั่นก็คือการดูแลคุณตรีให้ดีที่สุด

“คุณตรีครับ ทานแซนด์วิชหน่อยนะครับ สายมากแล้วเดี๋ยวจะปวดท้องเอา” ผมเปิดถุงผ้าหยิบกล่องแซนด์วิชออกมาเปิดฝา แล้วส่งให้คุณตรีหยิบ

“ป้อนหน่อย”

“ครับ?” จะให้ผมป้อมเหรอ

“ขับรถอยู่มันไม่ถนัด” เขาพูดหน้าตาเฉย

แม้ว่าจะลังเล แต่ผมก็ยอมหยิบแซนด์วิชแล้วป้อนให้ถึงปาก คุณตรีเหลือบมองแล้วก้มลงมากัดกินไปเรื่อยจนถึงคำสุดท้าย คุณตรีอ้าปากงับแซนด์วิชแล้วก็งับนิ้วผมไปด้วย ผมรีบชักมือกลับ มันคงเป็นเรื่องที่ไม่ได้ตั้งใจแต่ผมก็เขิน พยายามทำเป็นนิ่งแล้วหยิบแซนด์วิชอีกชั้นป้อนคุณตรี แล้วก็เป็นแบบเดิมที่คำสุดท้าย ผมหยิบมาทั้งหมดสี่ชิ้น คุณตรีกินไปอมยิ้มไป สงสัยว่าผมจะทำอะไร กินเสร็จผมก็เปิดขวดกาแฟดำแช่เย็นส่งให้คุณตรีดื่ม ตบท้ายด้วยน้ำส้มคั้นอีกขวดเป็นการล้างปาก

“ขอบใจนะ” คุณตรีเอ่ยกับผมหลังจากทานอาหารเช้าบนรถเสร็จ

“หน้าที่ผมนี่ครับ คุณตรีไม่ต้องขอบใจผมหรอก”

“แล้วก็ขอโทษด้วยที่พานายมา แต่ฉันอยากให้นายมาเป็นเพื่อน” คุณตรีหันพูดกับผม สื่อด้วยทั้งคำพูดแล้วก็สายตาว่าเขาเองก็ไม่ได้สบายใจที่ทำแบบนี้

“ไม่เป็นไรครับ” ถ้าการมีผมไปด้วยแล้วคุณตรีจะรู้สึกดีขึ้น ผมก็ไม่ปฏิเสธหรอกครับ

คฤหาสน์เบื้องหน้าใหญ่โตเหมือนในละครหลังข่าว บ่งบอกว่าเจ้าของบ้านมีฐานะมากขนาดไหน เท่าที่ผมได้ยินแบบไม่ตั้งใจ นี่น่าจะเป็นบ้านของเพื่อนคุณท่านทั้งสอง และที่คุณตรีต้องมาที่นี่เพื่อมารับใครสักคนที่ชื่อดิว

“ผมรอบนรถได้ไหมครับ” ผมบอกแทบจะเป็นการขอร้อง ผมเป็นใครก็ไม่รู้ มีฐานะเป็นแค่คนใช้ ถ้าจะให้เข้าไปข้างในคงไม่เหมาะสม

คุณตรีนิ่งคิดก่อนจะพยักหน้ายินยอม

“ถ้าอย่างนั้นฉันจะไม่ดับรถแล้วกัน นั่งตากแอร์เย็นๆรอ ฉันจะรีบเข้าไปรีบออกมา”

“ครับ”

คุณตรีมองผมอย่างเป็นห่วง แล้วลงจากรถเดินเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ คุณพ่อกับคุณแม่ของคุณตรีมองตรงมาไม่วางตา รอจนคุณตรีเดินเข้าไปใกล้จึงได้พากันหายเข้าไปในบ้าน

ทำไมผมถึงรู้สึกเป็นห่วงคุณตรีก็ไม่รู้ ทั้งๆที่ข้างในนั้นก็มีบุคคลที่เป็นบุพการีของเขาอยู่ด้วย




.........................

เอาน่า พล็อตน้ำเน่าไปหน่อย แต่ก็คลาสสิกดีนะ (หรือเปล่า 55555)



หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่17:คุณตรีเขาแอบพาผู้หญิงเข้าบ้าน 29-03-20 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 29-03-2020 20:58:12
CATER TO YOU
ตอนที่17
คุณตรีเขาแอบพาผู้หญิงเข้าบ้านครับ



ผมนั่งรออยู่ในรถประมาณครึ่งชั่วโมง คุณตรีก็เดินออกมาพร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่ง ผมคิดว่าคนนี้น่าจะคือคุณดิวที่คุณผู้หญิงบอก เธอเป็นผู้หญิงที่สวยสง่ามาก มองจากไกลๆก็ยังดูออก

ฉากแบบนี้ผมว่าผมคุ้นตา ผู้หญิงคนนี้น่าจะเป็นที่คุณพ่อคุณแม่ของคุณตรีอยากให้แต่งงานกับลูกชายของตัวเองชัวร์ร้อยเปอร์เซ็นต์ มองจากมุมนี้ ผมว่าคนทั้งสองก็เหมาะสมกันดี ขนาดคนที่แอบรักอย่างผมยังรู้สึกได้

ผมไม่อยากรู้สึกแบบนี้ ถ้าวันหนึ่งคุณตรีจะมีคนรัก ผมก็คงได้แต่ยินดี แม้ว่าตัวเองคงจะเศร้ามากก็ตาม

ผมนั่งคิดอะไรเพลินเกินไป จนไม่รู้ว่าประตูรถฝั่งที่นั่งข้างคนขับถูกเปิดออก คุณคนสวยชะงักพร้อมทำหน้าตกใจ ก่อนจะรีบปรับสีหน้าเป็นเรียบนิ่ง

“ลุกสิ นี่มันที่ฉัน”

“เอ่อ ครับๆ”

“ไม่ต้อง ฟ้านั่งลง คุณไปนั่งข้างหลังเถอะ ผมจะให้คนของผมช่วยดูทางให้” คุณตรีรีบขัด ผมที่ก้าวขาออกไปแล้วข้างหนึ่งต้องชะงัก ผมทำตัวไม่ถูกว่าควรทำอย่างไรดี คุณคนสวยก็เอาแต่ยืนนิ่งแล้วใช้สายตากดดันผม

“คุณตรีครับ” ผมเรียกชื่อเขาเสียงอ่อย ผมยังไงอยู่ในรถ จึงไม่เห็นว่าคุณตรีทำสีหน้าอะไร เพียงแต่เห็นเขาเดินอ้อมหน้ารถมาทางผม แล้วเปิดประตูที่นั่งด้านหลังออก

“เชิญคุณดิวครับ”

“ตรีจะให้ดิวนั่งข้างหลังได้ยังไง แล้วเด็กคนนี้เป็นคนรับใช้ไม่ใช่เหรอ ให้เขาไปนั่งข้างหลังสิ ข้างหน้ามันที่นั่งเจ้านาย”

ฟังจากคำพูดคำจาแล้ว คงจะเป็นคุณหนูที่แสนเอาแต่ใจใช้ได้เลยครับ

“ถ้าคุณดิวไม่ขึ้น คุณดิวก็ต้องขับรถไปเองแล้วล่ะครับ ฟ้านั่งลง นี่คือคำสั่ง” คุณตรีพูดกับคุณดิวเสียงแข็ง แล้วหันมาดุผมที่ยังคงอยู่ในท่าทางพร้อมสละที่นั่ง ผมเลยจำใจหดเท้ากลับเข้ามาในรถตามเดิม

“ก็ได้ค่ะ” คุณดิวกระแทกเสียงใส่ก่อนจะยอมเข้าไปนั่งที่เบาะหลังแต่โดยดี

เมื่อตกลงกันได้(โดยไม่ค่อยดี) คุณตรีก็เดินอ้อมกลับไปนั่งประจำที่คนขับ เขาหันมามองหน้าผมแล้วยิ้มให้บางๆ

ยิ้มออกแสดงว่าจะไม่ดุผมแล้วใช่หรือไม่

บรรยากาศบนรถถือว่าอึดอัดใช้ได้ เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงบนท้องถนน คุณดิวพยายามชวนคุณตรีคุย ซึ่งคุณตรีก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง จนคุณดิวยอมล่าถอยไปนั่งเงียบๆไม่ถามอะไรต่อ

เรามาถึงห้างกันก็ตอนเกือบจะใกล้เที่ยงแล้ว และเนื่องจากเป็นวันอาทิตย์ ทำให้ห้างสรรพสินค้าใหญ่อันดับต้นๆของประเทศเนืองแน่นไปด้วยผู้คน

“ทานข้าวกันก่อนไหมคะ ดิวหิวแล้ว” คุณดิวเดินเร่งฝีเท้าตีคู่กับคุณตรีทางด้านขวา ส่วนผมเดินตามหลังเล็กน้อย จะได้ไม่ดูว่าเดินเทียบเจ้านาย แต่เหมือนคุณตรีจะไม่เข้าใจในความต้องการของผม เขาหยุดเดินแล้วหันมามอง ก่อนจะคว้าแขนผมให้เดินขึ้นไปยืนเสมอกัน

“เดินตามไม่ทันเหรอ ฉันเดินเร็วไปใช่ไหม” เขาก้มหน้าลงมาถาม

“เปล่าครับ” ผมตอบเลี่ยง

“ว่าไงคะตรี ทานข้าวเที่ยงกันก่อนนะ ดิวอยากทานอาหารญี่ปุ่นค่ะ ไปทานกันนะคะ”

“ก็ได้ ฟ้าอยากทานอะไร” คุณตรีตอบรับคุณดิวสั้นๆ แล้วก็หันมาถามผมต่อ

“ตามใจคุณดิวก็ได้ครับ ผมทานอะไรก็ได้”

“อืม งั้นคุณก็นำทางละกันว่าจะกินร้านไหน”

“ค่ะ แต่ตรีจะให้คนรับใช้...”

“ฟ้าไม่ใช่คนรับใช้ เขาเป็นผู้ช่วยผม” คุณตรีพูดขัดเสียงแข็ง ผมละอยากเอาตัวเองออกไปจากตรงนี้ซะเหลือเกิน

“แต่ยังไงก็คือคนงานนะคะ บ้านดิวเราไม่นั่งร่วมโต๊ะอาหารกับคนงานค่ะ อย่าว่าฉันเลยนะ แต่ฉันว่ามันไม่เหมาะสมน่ะ” ประโยคหลังคุณดิวชะโงกหน้ามาบอกผม คำพูดของคุณดิวทำให้ผมรู้สึกว่าตัวของผมหดเล็กลง ผมยิ้มแห้งๆกลับไปพร้อมตอบรับอ้อมแอ้มในลำคอ

“แต่สำหรับบ้านผม ทุกคนเท่าเทียมกันครับ และถ้าคุณดิวไม่สบายใจ จะนั่งแยกโต๊ะกับเราก็ได้”

“อะไรนะคะ”

“สรุปจะทานร้านไหนครับ”

“ตรี คือ...”

“ถ้าไม่เลือกผมจะเลือกเอง” พูดจบคุณตรีก็ดึงแขนผมพาเดินเข้าร้านข้างหน้า ผมเงยหน้ามองป้ายร้าน เหมือนจะเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นเหมือนกัน เพราะมีรูปเมนูซูชิติดอยู่ด้านหน้า

“ตรีคะ รอดิวด้วยสิ” คุณดินรีบเดินตามเข้ามา คุณตรีแค่ปรายตามองเท่านั้น ผมเม้มปากแน่น บางทีคนเราก็มีข้อเสียเหมือนกัน ไม่มีใครดีร้อยเปอร์เซ็นต์ ตัวผมเองก็เช่นกัน

“จะนั่งแยกโต๊ะไหมครับ” คุณตรีถามเมื่อคุณดิวนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม ส่วนผมนั่งข้างๆคุณตรี ผมอยากจะปรามการพูดของคุณตรีเหมือนกัน แต่ผมไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะทำได้

“ไม่ค่ะ ครั้งนี้ดิวจะไม่ถือสาก็แล้วกัน” 

“หึ มันคงจะไม่มีครั้งหน้าแล้วแหละครับ”

“ถ้าตรีพูดอย่างนั้นดิวก็สบายใจค่ะ” เธอยิ้มอย่างพอใจ แต่ก็แอบตวัดสายตามาจิกผมเป็นระยะ

โอเค มันจะไม่มีครั้งหน้าแล้วจริงๆใช่ไหม ผมทำตัวไม่ถูกแล้ว รู้สึกตัวเองช่างเกะกะขวางหูขวางตาคนอื่นเหลือทน

“ขออนุญาตวางเมนูอาหารนะคะ อีกสักครู่จะมารับออเดอร์นะคะ” พนักงานหญิงส่งยิ้มกว้างให้พวกเรา และดูจะเขินเมื่อมองคุณตรี ผมเกือบหลุดอมยิ้ม เพราะพนักงานเสิร์ฟคนนี้ก็น่ารักดี อย่างว่าแหละครับ ใครๆก็ชอบคนหล่อ

“ตรีชอบทานอะไรคะ เดี๋ยวดิวสั่งให้”

“ไม่ต้องหรอกครับ คุณสั่งของคุณเถอะ  ของผมฟ้าจะเป็นคนสั่งให้”

“ไม่เอาค่ะ ดิวจะดูแลตรีเอง เธออยู่เฉยๆก็พอ วันนี้ฉันจะดูแลตรีเอง” คุณดิวนี่ดื้อรั้นพอสมควร แม้ว่าคุณตรีจะพูดจาไม่ค่อยดีขนาดไหน แต่เธอก็ดูจะไม่ได้ใส่ใจ ถ้าเป็นผม ผมคงร้องไห้กลับบ้านไปแล้ว

“อีกอย่างตรีไม่เห็นต้องเรียกดิวมาคุณเลย มันฟังดูห่างเหินเกินไป เรียกดิวเฉยๆก็พอค่ะ” คุณดิวพูดเสียงออดอ้อน ถ้าไม่ติดว่าผมเห็นเธอมีนิสัยที่ไม่ค่อยน่ารัก เธอคงเป็นผู้หญิงที่น่าคบหาไม่ว่าจะในฐานะเพื่อนหรือในฐานะคนรัก

อย่างที่บอกว่าคนเราก็ไม่ได้มีแค่ด้านดีๆ ถึงผมจะดูเหมือนไม่อะไร แต่ผมก็ไม่ได้พอใจในการเหยียดหยามที่เธอแสดงต่อผม

“คุณตรีไม่พูดอะไร เขาแค่นั่งเงียบๆดูเมนูอาหาร ก่อนจะยื่นมาแล้วพยักหน้าให้ผมเปิดดู”

ผมไม่ถนัดอาหารญี่ปุ่นเลย เคยกินก็แค่ซูชิคำละห้าบาท อย่างหรูก็สิบบาทที่ตลาดนัดเปิดท้าย แล้วก็มีวันนั้นที่คุณตรีสั่งชุดเบนโตะมาให้ผมกินที่ห้องทำงาน อันนั้นก็อร่อย

“อยากกินอันไหนอยากลองอันไหนก็สั่งมา” คุณตรีกระซิบบอกกับผม ผมก็เลยต้องคิดหนัก

โชคดีที่อาหารญี่ปุ่นไม่ใช่อาหารที่เข้าใจอยาก แค่มองภาพก็พอจะรู้ว่าจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นพวกของทอด ปลาย่าง แต่สิ่งที่ทำให้ลังเลที่จะสั่งก็คือเรื่องของราคา

เวลาต่อมาพนักงานก็เดินมารับออเดอร์ คุณดิวสั่งรัวแบบแทบไม่ต้องคิดไปสี่ห้าอย่าง ผมที่กำลังจะสั่งแทบจะต้องหุบปากฉับ คือผมว่าที่สั่งมามันก็เยอะแล้ว แต่พอคุณตรีเห็นว่าผมไม่ยอมสั่ง ก็เคาะนิ้วลงบนเมนู แล้วพูดสั่นๆว่าสั่งสิ ผมก็เลยสั่งเมนูที่คิดไว้แล้วไปเพิ่มอีกสามอย่าง พลางคิดในใจว่าจะกินกันหมดไหมนะ เพราะผู้หญิงไม่น่าจะกินเยอะ ไอ้ที่สั่งๆมาก็คงไม่พ้นผมกับคุณตรีที่ต้องการจัด

แล้วก็เป็นอย่างที่ผมคิด คุณดิวเขากินไปไม่กี่คำก็บอกว่าอิ่ม เมนูที่เขาสั่งก็กินอย่างละคำสองคำเท่านั้น แต่ก็คอยเอาใจด้วยการคีบอาหารให้คุณตรี แล้วคิดว่าคุณตรีจะทำยังไงล่ะครับ เท่าที่เขาแสดงออกก็ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าเขาไม่ชอบคุณดิว ดังนั้นอาหารที่คุณดิวคีบให้คุณตรีไม่แตะเลยสักคำ ผมก็เลยเอามากินแทนเพราะว่าเสียดาย แม้ว่าจะมีสายตาไม่พอใจของคุณดิวคอยมองก็ตาม

กินข้าวเที่ยงเสร็จก็ถึงเวลาไปเดินดูเสื้อผ้า คุณดิวเข้ามาคล้องแขนคุณตรี แต่ก็ถูกคุณตรีจับมือออก ผมเห็นว่าเธอหน้าเสีย แต่ก็ไม่ได้โวยวายอะไร เธอเพียงแค่เดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้

“ตรีว่าชุดนี้สวยไหมคะ” คุณดิวถามคำถามนี้กับคุณตรีน่าจะเกินสิบรอบได้แล้ว และคำตอบของคุณตรีก็เหมือนเดิมทุกรอบ

“ไม่สวย”

“เหรอคะ แต่ดิวว่ามันก็สวยดี”

ผมละเหนื่อยจริงๆ

“ตรีก็ยังไม่เจอชุดที่ถูกใจเหรอคะ”

“ผมมีชุดแล้ว”

“ได้ยังไง คุณแม่ของตรีกับคุณแม่ของดิวอยากให้เราใส่ชุดเข้าคู่กันนะคะ” คุณดิวทำหน้างอ

“งั้นเหรอ” คุณตรีพูดหน้านิ่งไม่สื่ออารมณ์เหมือนจะกวนประสาทอีกฝ่ายมากกว่า ผมไม่เคยเจอมุมนี้ของคุณตรี และบอกตัวเองว่าดีแล้วที่ไม่โดนคุณตรีกวนใส่

“ถ้าตรีไม่ซื้อชุดที่เข้ากับชุดของดิว ดิวจะฟ้องคุณลุงกับคุณป้าแน่นอน” และดูเหมือนคุณดิวจะเริ่มอารมณ์ไม่ดีแล้วจริงๆ

“โอเค งั้นคุณก็เลือกของคุณไป ผมจะไปเลือกชุดของผม”

“เอ๊ะ ก็ดิวเพิ่งจะบอกว่าเราต้องซื้อชุดคู่”

“คุณจะใส่สูทผูกไทเหรอไง”

“ไม่ใช่ แต่อย่างน้อยสีกับเนื้อผ้ามันก็ต้องแบบเดียวกัน ดิวพามาตั้งหลายร้านที่เขามีชุดคู่ ตรีก็ไม่ยอมดูไม่ยอมสนใจ” คุณดิวทั้งบ่นทั้งโวยวายเสียยาวยืด คุณตรีก็เลยตัดบทด้วยการเดินไปหยิบชุดสูทสีเทาเข้ามาหนึ่งชุดแล้วส่งให้พนักงานขาย

“ผมเอาชุดนี้ไซส์แอลชุดหนึ่งครับ” คุณตรีส่งชุดให้พนักงานแล้วหันมาหาคุณดิว

“ผมได้ชุดแล้ว คุณก็เลือกให้มันเข้ากับชุดของผมก็แล้วกัน เสร็จแล้วผมจะได้ไปส่งคุณที่บ้าน ผมก็จะได้กลับพักผ่อน”

พอผมได้ยินแบบนี้ ก็ทำให้นึกได้ว่าคุณตรีคงจะเหนื่อยและเพลียมาก เพราะมัวแต่เดินตามและฟังคนสองคนฟาดฟันกันทางคำพูด ทำให้ผมลืมเรื่องนี้ไปซะสนิทเลย

“ดิวไม่ชอบสีเทา” คุณดิวบ่นเสียงเบา

“คุณอย่าเรื่องมาก ผมไม่มีเวลามาเดินตามคุณเลือกชุดทั้งวัน” คุณตรีบ่นหน้าดุ ทำให้คุณดิวต้องจำใจเดินไปเลือกชุดสีเทามาชุดหนึ่ง แต่ก็ใช้เวลาร่วมครึ่งชั่วโมงในการตัดสินใจ

กว่าจะไปส่งคุณดิวและกว่าจะขับรถกลับมาที่บ้านก็ล่วงเลยเวลาจนเกือบจะหกโมงเย็น เพราะว่าทางที่ย้อนไปย้อนมา แถมวันอาทิตย์ช่วงเย็นเป็นวันเวลาที่รถติดมาก เนื่องจากทุกคนพร้อมใจกันออกมาเดินเที่ยวตามห้างกับครอบครัว

“ชุดนี่ใช้วันไหนครับ ผมจะได้เอาไปส่งซัก” ผมถามเมื่อกลับมาถึงบ้าน

“ใช้วันไหนก็ไม่สำคัญ เพราะฉันจะไม่ใส่ชุดนี้” คุณตรีตอบ เขาทิ้งตัวลงลงกับโซฟาพลางบ่นเบาๆว่าเมื่อยเท้า

“ทำไมล่ะครับ ก็คุณดิวเขาบอกว่าคุณตรีจำเป็นต้องใส่ชุดคู่ไม่ใช่เหรอ” ที่จริงชุดสูทที่คุณตรีเลือกมาก็ดูสวยสง่าเหมาะกับคุณตรีดี คงเพราะคุณตรีรสนิยมดีอยู่แล้ว มองแค่ปราดเดียวก็รู้ว่าชุดไหนดีชุดไหนไม่ดี

“เขาอยากให้ฉันใส่แล้วยังไง แค่ซื้อมาตัดปัญหาเท่านั้น นี่ฟ้า รู้หรือเปล่าว่าชุดคู่มีความหมายว่ายังไง”

“ก็พอทราบครับ หมายถึงว่าคนสองคนรักกันเป็นแฟนกัน”

“ซึ่งฉันกับเขาไม่ใช่ ดังนั้นฉันไม่มีความจำเป็นต้องใส่ชุดคู่”

“ครับ” มันเป็นเรื่องของคุณตรีนี่นา ผมจะไปยุ่งอะไรด้วยได้ ผมควรสนใจในสิ่งที่ตัวเองต้องทำดีกว่า

ผมเอาน้ำเสาวรสผสมน้ำผึ้งเย็นๆมาให้คุณตรีดื่มแก้กระหาย จากนั้นก็เข้าครัวไปต้มน้ำร้อนผสมน้ำธรรมดาให้กลายเป็นน้ำอุ่นใส่กะละมังใบเล็ก และยกไปหาคุณตรีที่นั่งดูทีวีไปเรื่อยเปื่อย พอเห็นของในมือผมคุณตรีก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

“อะไร”

“แช่เท้าในน้ำอุ่นสักหน่อยนะครับ เลือดลมจะได้เดิน น่าจะช่วยให้หายเมื่อยได้” ผมวางกะละมังลงตรงเท้าของคุณตรี

“ขอบใจนะ” คุณตรีถอดสลิปเปอร์ออกแล้วจุ่มเท้าลงไปแช่น้ำ แวบหนึ่งผมสังเกตเห็นคุณตรียิ้มด้วยความพึงพอใจ ผมก็ยิ้มตามที่รู้ว่าเขาชอบในสิ่งที่ผมทำให้

ระหว่างที่ปล่อยให้คุณตรีแช่เท้า ผมก็เข้าครัวไปเตรียมกับข้าวมื้อเย็น ผมจะทำแต่ของโปรดของเขา เวลาทานเขาจะได้มีความสุข




   
ในที่สุดก็มาถึงวันที่คุณตรีจะต้องไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดคุณแม่ของคุณดิว เขาไม่ยอมใส่ชุดที่ซื้อมาจริงๆ และรอบนี้ผมก็ไม่ได้เป็นคนเลือกชุดให้เหมือนกับชุดทำงาน คุณตรีเขาจัดการของเขาเอง รู้อีกทีก็เดินหล่อมีออร่าลงมาจากบนบ้าน

“คุณตรีจะกลับดึกไหมครับ” ผมไม่เคยไปงานเลี้ยงพวกนี้ แต่เวลาทำงานร้านอาหารแล้วคนมากินเลี้ยงฉลองวันเกิด ก็อยู่กันจนดึกดื่นเที่ยงคืน

“ไม่แน่ใจ แต่คิดว่าคงไม่ดึกมาก”

“คุณตรีให้ผมขับรถไปไหมครับ ถ้าดื่มกลับมาขากลับจะกลับยังไง” วันนี้น้าภาพไม่อยู่ เพราะเมียที่บ้านป่วยคุณตรีก็เลยให้น้าภาพเลิกงานกลับบ้านได้เลย

“ฉันกลับได้ ไม่ดื่มเยอะขนาดนั้นหรอก”

“แน่ใจนะครับ” ผมถามด้วยความเป็นห่วง คุณตรียิ้มบางๆแล้วพยักหน้า

“ถ้านายขับรถไปให้ฉัน นายก็ต้องไปนั่งรอในรถหลายชั่วโมง ความจริงแล้วฉันก็อยากพานายไปที่งาน แต่ฉันรู้ว่ามันจะทำให้นายอึดอัด เพราะฉะนั้นอยู่บ้านเถอะ ฉันจะรีบกลับ”

“ก็ได้ครับ คุณตรีอย่าเมามาก ขากลับอย่าขับรถเร็วนะครับ ผมเป็นห่วง”

“อืม”

เย็นนี้ผมก็เลยต้องนั่งทานข้าวคนเดียว ผมพยายามไม่คิดอะไร แม้จะรู้สึกเหงาอยู่บ้างทั้งๆที่แต่ก่อนก็กินคนเดียว บางทีผมเริ่มจะเคยตัวเข้าแล้วจริงๆ

ผมนั่งรอคุณตรีที่โซฟาจนกระทั่งห้าทุ่ม คุณตรีก็ยังไม่กลับบ้าน ผมก็เลยขึ้นห้องไปนอน คุณตรีไม่ให้ผมนอนรอที่ห้องรับแขก เคยโดนดุไปทีผมก็ไม่กล้าอีกเลย เวลาคุณตรีดุมันไม่ได้สนุกหรอกนะครับ

ผมเผลอหลับไปแล้วตกใจตื่นตอนที่ได้ยินเสียงรถ ผมงัวเงียตื่นมาตั้งสติว่าจะลงไปดูดีไหม เพราะผมเองก็ง่วงมากจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้น แต่เพราะความเป็นห่วงที่อยู่ในใจลึกๆคอยปลุกผมให้รู้สึกตัวอยู่ตลอด ผมเลยตัดสินใจลุกขึ้นนั่งปรับสายตาอยู่บนเตียงชั่วครู่ แล้วจึงออกไปดูว่าคุณตรีถึงบ้านปลอดภัยดี

แต่พอผมเปิดประตูออกจากห้อง ก็เจอกับผู้หญิงคนหนึ่งในชุดแปลกๆที่ดูยังไงก็ไม่ใช่ชุดของเธอ เสื้อเชิ้ตผู้ชาย และผู้หญิงตรงหน้าก็คือคุณดิว

ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่เวลานี้ แถมยังอยู่ในเสื้อของคุณตรี

“อ้าว เธอก็อยู่ที่นี่เหรอ”

“ครับ” ผมพูดอะไรไม่ออกเลย ถ้าคุณดิวอยู่ที่นี่แล้วคุณตรีไปไหน

“คืนนี้ฉันจะมานอนกับตรี เธอก็ไปนอนเถอะ ช่วงเวลากลางคืนเราไม่ต้องการคนรับใช้หรอกนะ ยังไงคืนนี้ฉันจะอยู่ปรนนิบัติตรีเองทั้งคืน”

อยู่ปรนนิบัติคุณตรีเหรอ? หมายความว่ายังไง

จากที่กำลังง่วงๆ ตอนนี้แทบจะตื่นเต็มตา

“คุณตรีไม่ได้เมามากใช่ไหมครับ” ผมถาม

“เมามาก แต่ไม่ต้องห่วง มันเป็นหน้าที่คู่หมั้นอย่างฉันอยู่แล้วที่จะต้องดูแลเขา ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น” เธอพูดกระแทกใส่หน้าผม แล้วก็เดินกลับไปที่ห้องของคุณตรี ผมยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น คิดอะไรไม่ออก บอกไม่ถูกว่าผมรู้สึกยังไง

ข้างในห้องนั้นจะเป็นยังไง คุณตรีดูเหมือนจะไม่ชอบคุณดิวไม่ใช่เหรอแล้วทำไมพากลับมานอนค้างที่บ้าน แถมยังให้เธอเข้าไปในห้องนอนด้วย

พวกเขาจะมีอะไรกันหรือเปล่า

นี่ผมคิดอะไรอยู่ ถึงจะมีแล้วยังไง คุณตรีเป็นผู้ชายก็คงมีความต้องการเป็นธรรมดา และผมไม่ได้เป็นอะไรกับเขา ยังไงวันหนึ่งเรื่องแบบนี้ก็ต้องเกิด ยังไงคุณตรีก็ต้องมีคนรักเป็นของตัวเอง ผมควรจะดีใจที่คุณตรีจะมีความรัก เพียงแต่ผู้หญิงคนนี้ดีแล้วจริงๆเหรอ

ใช่...เพราะคุณดิวไม่ค่อยน่ารัก ผมเลยรู้สึกไม่ดีหากคุณตรีจะลงเอยกับเธอ ถ้าเป็นผู้หญิงดีๆสักคน ผมคงไม่รู้สึกเจ็บหน่วงในอกอย่างแน่นอน

ผมรู้สึกคอแห้งจากความตกใจ ก่อนจะกลับไปนอนก็เลยลงมากินน้ำ แล้วอยู่ๆไฟในห้องนั่งเล่นก็สว่างโร่ ผมสะดุ้งแล้วมองซ้ายมองขวาว่าใครเปิด

“คุณตรี” ผมครางเสียงเบาเรียกชื่อผู้ชายที่เดินอยู่กลางบ้าน

“ลงมากินน้ำเหรอ” คุณตรีหันมาถามผม

“ครับ”

แล้วก็เกิดความเงียบระหว่างเรา

สิ่งที่ผมคิดคือทำไมคุณตรีมาอยู่ตรงนี้ ส่วนคุณตรีผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่

“เจอนายก็ดีแล้ว ช่วยหน่อยสิ” คุณตรีพูดแล้วก็เดินกลับขึ้นไปข้างบน ผมก็เลยเดินตาม ไม่รู้ว่าเขาจะให้ผมช่วยอะไร แต่พอคุณตรีเดินมาที่หน้าห้องเขา ผมก็รีบคว้าแขนเขาเอาไว้

“เอ่อ คุณตรีครับ”

“หืม มีอะไร” คุณตรีเลิกคิ้วสงสัย

“คุณตรีจะให้ผมเข้าไปข้างในเหรอครับ คือข้างในนั้น คุณดิว” ผมพูดรัวจนแทบจับใจความคำพูดไม่ได้ รู้สึกลิ้นพันกันไปหมด

“เจอกันแล้วเหรอ” 

“ออครับ พอดีผมจะออกมาดูว่าคุณตรีถึงบ้านปลอดภัยไหม แล้วเจอเธอน่ะครับ”

“งั้นเหรอ”

“ผมคิดว่าคุณตรีจะใช้เวลาอยู่กับเธอซะอีก”

โอย อยากตบปากตัวเอง ผมถามอะไรออกไป

“ในหัวนี่คิดอะไรอยู่”

อย่าว่าแต่คุณตรีสงสัยเลย ตัวผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ากำลังคิดอะไรอยู่

คุณตรีปล่อยมือที่จับลูกบิดออก แล้วหันมามองผมทั้งตัว

“ว่ายังไง” เขายังคงรบเร้าจะเอาคำตอบอะไรสักอย่าง”

“เปล่าครับ” ผมไม่บอกหรอกว่าตัวเองคิดอะไรอยู่

“หึ คิดว่าฉันพายัยนั่นมาเพื่อที่จะมีเซ็กส์กันอย่างนั้นเหรอ” คุณตรีโน้มใบหน้าลงมาพูดกระซิบข้างหูผม ผมผงะถอยหลังแต่ถูกมือหนายึดแขนเอาไว้

ถึงผมจะไม่พูดสิ่งที่ตัวเองคิด เขาก็เป็นคนพูดมันออกมาเอง

“ฉันไม่ได้ทำแบบนั้นหรอก” เขายังคงพูดต่อในระยะห่างเท่าเดิม

“...” ผมได้แต่ยืนนิ่งๆ ลมหายใจร้อนที่เป่ารดอยู่ในใบหูทำเอาผมปั่นป่วนที่ช่วงท้อง

“ไม่ถามหน่อยเหรอว่าทำไม” เขาเชยหน้าผมขึ้นให้เราสบตากัน

“ทำไมครับ” เหมือนโดนมนต์สะกด ให้ถามอย่างทีเขาต้องการ

“ถุงยางหมด”

“...!!!”

เปลือกตาของผมขยายกว้างด้วยความอึ้ง คุณตรีเขา...พูดบ้าอะไรเนี่ย

“รู้ไหม ไม่มีถุงยางก็มีเซ็กส์ไม่ได้หรอกนะ” เขายังไม่คงหยุดพูดให้ผมได้อาย ถึงเราจะเป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่ผมคือผู้ชายที่คิดไม่ซื่อ ได้ยินไหมว่าผมคิดไม่ซื่อกันเขา

“คุณตรีรีบใช้ไหมครับ เดี๋ยวผมไปซื้อให้” และผมคิดว่าผมคงจะเป็นบ้าไปแล้ว ขาดสติจนพูดอะไรไม่ทันคิด

“อะไรนะ”

ผมควรตบปากตัวเองสักร้อยรอบจริงๆ

“เปล่าครับ” ผมส่ายหน้ากลับคำแบบหน้าด้านๆเลยล่ะ

“จะไปซื้อให้ฉันน่ะ รู้เหรอว่าฉันใส่ไซส์อะไร หรือจะลองจับดูก่อนไหมล่ะ จะได้ไปซื้อถูก” ไม่ทำเพียงแค่พูด คุณตรีดึงมือผมไปเหมือนจะให้จับส่วนนั้นของเขาจริงๆ

“ไม่ ไม่ครับ ไม่!” ใครจะไปรู้ ผมอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว

จากที่ทำหน้าล้อเลียนผม พริบตาเดียวคุณตรีก็ทำหน้าบึ้งตึงเหมือนโกรธ

“จำเอาไว้นะฟ้า ฉันไม่ใช่คนสำส่อน ฉันไม่นอนกับคนที่ไม่ใช่แฟน แล้วเรื่องถุงยาง ถ้าฉันจะทำฉันจะเป็นคนเตรียมเอง ถ้าฉันไม่ทำคนที่ถูกกอดจะต้องเป็นคนเตรียม ถ้านายไม่อยากเป็นคนนั้น อย่าพูดอะไรแบบนั้นอีก”

“ครับ ขอโทษครับ” ผมตั้งตัวไม่ถูกเลยที่อยู่ๆก็ถูกดุ ผมยอมให้เขาหยอกล้อผมแรงๆก็ได้ ดีกว่าต้องโดนคุณตรีโกรธแบบนี้

“ถ้าเข้าใจก็ดี ทีนี้ก็เข้าไปช่วยฉันจัดการตัวปัญหาได้แล้ว ผู้หญิงนี่มันวุ่นวายจริงๆ”











หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่17:คุณตรีเขาแอบพาผู้หญิงเข้าบ้าน 29-03-20 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 30-03-2020 14:31:38
ป้ะออกไปเซเว่นกันค่ะทั้งสองคน เตรียมพร้อม
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่18:เห็นคุณเศร้าผมก็ทรมานที่หัวใจ 30-03-20 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 30-03-2020 19:39:43
CATER TO YOU
ตอนที่18
เห็นคุณเศร้า ผมก็ทรมานที่หัวใจ





เรื่องเมื่อคืนเป็นผมที่เข้าใจผิดไปเอง แต่เพราะคุณดิวเธอพูดแบบนั้น ก็เลยคิดว่าตอนคุณตรีไปงานเลี้ยงอาจจะได้เห็นด้านดีๆของเธอ เลยพาเธอกลับมาที่บ้าน ให้เธอได้ดูแล แต่ที่ไหนได้

ผมนี่มันทั้งโง่ทั้งบื้อจนเกินคำบรรยาย

หลังจากที่คุณตรีเปิดประตูห้องนอน ผมถึงได้เห็นว่าความจริงมันคืออะไร ร่างของผู้หญิงนอนสลบอยู่บนพื้น คุณตรีให้ผมช่วยพยุงเธอลงไปข้างล่าง ให้เธอนอนที่โซฟา ผมแอบเห็นรอยแดงช้ำที่หลังคอจึงถามคุณตรีว่าเกิดอะไรขึ้น คุณตรีก็เลยยอมเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟัง สรุปง่ายก็คือว่า

คุณตรีไปที่งานเลี้ยง ตอนจะกลับคุณดิวก็ขอกลับด้วย ไม่รู้ว่าไปพูดอะไรกับคุณพ่อคุณแม่ของคุณตรี ท่านทั้งสองคนก็เลยมาบังคับให้คุณตรีพาคุณดิวกลับมานอนที่บ้านด้วย เนื่องจากเป็นวันสำคัญคุณพ่อคุณแม่ของคุณดิวก็เลยจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันที่โรงแรมที่จัดงาน ที่บ้านไม่มีคนอยู่ และคุณดิวรู้สึกเมานิดหน่อยไม่อยากกลับไปอยู่บ้านคนเดียว เขาไม่มีทางเลือกเพราะก็ทะเลาะกับบุพการีทั้งสองไปหนึ่งรอบก่อนจะกลับมาที่บ้าน อันนี้เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคุณดิวถึงได้มานอนที่บ้านคุณตรี

ต่อมาคือคุณตรีกลับมาบ้าน ก็บอกให้คุณดิวนอนที่โซฟา ให้อาบน้ำที่ห้องอาบน้ำด้านนอกบนชั้นสอง ซึ่งเป็นห้องน้ำที่ผมใช้ประจำในขณะนี้ และตอนที่ผมเห็นเธออยู่แถวๆหน้าห้องนอน ก็เพราะว่าเธอเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ เสื้อผ้าไม่ได้เตรียมมาคุณตรีก็เลยสละเสื้อผ้าให้ ซึ่งตอนนี้เสื้อผ้าชุดนั้นลงไปอยู่ในถังขยะเรียบร้อยด้วยฝีมือของเจ้าของ

แต่เพราะคุณตรีเคยชินที่จะไม่นอนล็อกห้องตั้งแต่ที่ผมมาทำงานที่นี่ ทำให้คุณดิวสามารถเข้าไปในห้องนอนของคุณตรีในขณะที่คุณตรีกำลังอาบน้ำอยู่ในห้องน้ำ พอออกมาแล้วเจอกับคุณดิวเข้าก็เลยมีการยื้อยุดกันนิดหน่อย พอผมถามว่าทำไมคุณดิวถึงมีรอยช้ำที่คอ คุณตรีก็แค่ตอบหน้าตาเฉยว่า


‘ช่วยไม่ได้ที่จะต้องลงไม้ลงมือให้หยุด ในเมื่อยัยนั่นอยากมาลวนลามฉัน’


ผมเพิ่งจะรู้ว่าคุณตรีช่างรักนวลสงวนตัวเหลือเกิน กับผู้ชายตัวโตๆอย่างคุณตรี ยังสามารถใช้คำว่าลวนลามได้เหรอ

ตื่นเช้ามาคุณตรีก็ให้น้าภาพขับรถไปส่งคุณดิวที่บ้านแต่เช้า ชนิดที่ว่าต้องจับยัดขึ้นรถกันเลยทีเดียว เพราะเธอไม่ยอมกลับ แล้วก็โวยวายร้องห่มร้องไห้ว่าคุณตรีลงไม้ลงมือกับเธอ เธอว่าจะไปฟ้องคุณพ่อคุณแม่ของคุณตรีด้วย

ถึงผมจะเป็นคนนอก ก็ยังมองออกเลยว่าเรื่องนี้คงยุ่งยากกว่าที่คิด

ดีนะที่ผมไม่ได้เกิดมารูปหล่อพ่อรวย เลยไม่ต้องปวดหัวแบบคุณตรี ฮ่าๆๆๆ
   
“ยืนยิ้มอะไร เลือกเนคไทได้หรือยัง”

“อ่ะ ขอโทษครับ ผมเหม่อไปหน่อย” ผมหันไปยิ้มแห้ง ก่อนจะมองสำรวจเสื้อผ้าคุณตรีอีกที แล้วหันมาเลือกเนคไทให้เข้ากับชุดสูท พอเลือกได้ผมก็เดินเข้าไปช่วยคุณตรีผูกเนคไท หน้าที่ที่คุณตรียกมาให้วันตั้งแต่วันแรกๆที่ผมมาทำงาน

แม้ว่าจะทำทุกวัน แต่ผมก็ยังคงเขินเวลาที่สายตาของเขาก้มลงมองการกระทำของผมแบบไม่วางตา

“นายก็ไปเตรียมตัวเถอะ วันนี้เราไปกินอาหารเช้ากันที่ร้านก็ได้”

“ครับ”

ร้านที่ว่าก็คือร้านกาแฟของน้องสาวคุณทิศ ชื่อคุณทิวา แถมร้านกาแฟก็ไม่ได้ไกลจากตึกบริษัทของคุณตรีด้วย ทำให้คุณตรีสามารถแวบเข้ามาคุยงานและปรึกษาหารือกับทีมที่ตั้งขึ้นมาเป็นพิเศษได้อย่างสะดวกสบาย

ผมแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่คุณตรีซื้อให้ เขาบอกให้คิดซะว่าเป็นชุดยูนิฟอร์มสำหรับทำงาน แต่จริงๆมันก็คือกางเกงยีนส์ขายาวแล้วก็เสื้อเชิ้ตสีต่างๆ ก็ไปเดินเลือกซื้อนานพอดูเพราะต้องหาร้านที่ราคาถูก เพราะผมไม่อยากซื้อพวกร้านประจำของคุณตรี มันแพงเกินตัวผมไปหน่อย

เราออกจากบ้านขับรถมาถึงร้านก็เจ็ดโมงครึ่ง คุณตรีโทรมาสั่งอาหารเอาไว้ มาถึงก็สามารถนั่งทานได้เลย ทานข้าวเช้าเสร็จคุณตรีก็เข้าบริษัทไปประชุมในตอนเช้า พาทีมออกแบบไปด้วยสองคน เห็นว่าวันนี้จะมีการนำเสนองานอีกรอบ ส่วนผมก็อยู่ที่ร้านผมก็ช่วยหยิบจับแล้วก็ออกความเห็นบ้างเล็กน้อย เวลาพี่เขาถามว่าอันนี้ส่วนกว่าหรืออันนี้สวยกว่า หรือบางทีก็โทรสอบถามเรื่องราคาวัสดุตามแต่ที่พี่เขาจะบอกว่าให้ผมทำอะไร

เหมือนผมได้มาทำงานจริงๆ ได้ประสบการณ์แล้วก็ได้ความรู้ใหม่ๆ ผมจึงชอบที่จะออกมากับคุณตรี

จนเวลาเที่ยงครึ่งพี่สองคนที่ไปกับคุณตรีก็กลับมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ผมมองหาคุณตรี แต่ก็ไม่เห็นว่าเขาจะเดินตามมา

“คุณตรีล่ะครับพี่ไก่” ผมถาม

“ยังอยู่ที่บริษัทน่ะ มีเรื่องนิดหน่อย” พี่ไก่พูดหน้าเครียด แล้วก็เดินกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานร่วมกับคนอื่น

“นำเสนองานเป็นไงบ้างวะ” พี่จิ๋วที่ตัวไม่จิ๋วถามด้วยความตื่นเต้น ผมเองก็อยากรู้

“ทำไมทำหน้ากันอย่างนั้นวะ เหมือนไม่ดีใจ ยังไงงานเรามันก็ต้องผ่านป่ะ เพราะคุณตรีเป็นคิดงานนี้ และเขาคือคนตัดสินใจเลือกงาน” พี่แม็กพูดขึ้น คนอื่นๆที่เหลือก็พยักหน้าว่าเห็นด้วย

“มันก็ควรต้องเป็นอย่างนั้น แต่วันนี้ท่านประธานใหญ่มานั่งฟังด้วย และเขาจับผิดเราได้ว่าคุณตรีไม่ได้ใช้ทีมในบริษัท” พี่อาร์ม คนที่ไปนำเสนองานกับพี่ไก่แล้วก็คุณตรีพูดไขข้อข้องใจให้ทุกคนรู้ และมันก็พลอยทำให้ทุกคนมองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้น

“แล้วยังไงต่อวะ งานเราจะไม่ผ่านเหรอ”

“ก็ไม่เชิง คุณตรีให้พวกกูกลับมาก่อน เขาบอกเขาจะคุยกับพ่อเขาเอง”

“แต่พวกเราก็มีชื่อในบริษัทแล้วหรือเปล่าวะ”

“ก็เพราะชื่อพวกเราเข้าพร้อมกันเป็นพนักงานใหม่หมดเลยไง แถมเข้าไปแบบเด็กเส้น มันเลยกลายเป็นข้อครหา”

“แล้วยังไงวะ พวกเราก็ไม่ใช่ว่าไม่มีฝีมือ อีกอย่างคนคิดคอนเซ็ป คนตัดสินใจเลือกแบบ มันก็ประธานบริษัทไม่ใช่หรือไง”

“มันก็ใช่ แต่คนถือหุ้นสูงสุด แล้วก็มีอำนาจหลังม่านจริงๆมันคือพ่อเขาไง”

“คืออะไรวะ ครอบครัวตีกันเองงั้นเหรอ”

“ไม่รู้วะ กูภาวนาขอให้คุณตรีเขาคุยกับพ่อเขาได้ งานมันจะได้ผ่านไปราบรื่น”

ผมฟังพวกพี่เขาคุยถกเถียงกันด้วยในที่หนักอึ้ง คิดถึงคนที่ต้องแบกรับทุกอย่างเอาไว้ด้วยตัวคนเดียว ผมพอจะรู้ว่าคุณตรีและคุณพ่อของเขาไม่ลงรอยกัน จากการปะทะคารมกันตั้งแต่เขายังเป็นนักเรียนมัธยมปลาย แต่รอยร้าวที่มากกว่านั้นผมไม่รู้ แต่ยังไงคุณตรีก็เป็นลูกชายไม่ใช่เหรอ จำเป็นต้องใจร้ายกับเขามากขนาดนี้ด้วยเหรอ


‘คิดยังไงผมก็ไม่เข้าใจ’
‘แกยังทำงานไม่เสร็จ ดังนั้นแกจะใช้ชีวิตตามอำเภอใจไม่ได้’
‘ผมยังไม่ได้ใช้ชีวิตตามอำเภอใจสักหน่อย’
‘ให้มันแน่’
‘ผมแน่อยู่แล้วครับ คุณพ่อก็เตรียมใจไว้แล้วกัน ถึงเวลานั้นใครก็ห้ามผมไม่ได้’



ผมนึกไปถึงบทสนทนาระหว่างครอบครัวเจ้านายของผมในวันที่ต้องไปรับคุณดิวออกไปซื้อเสื้อผ้าใส่ไปงาน ผมชักอยากจะรู้แล้วว่าความขัดแย้งของพวกเราคืออะไร แล้วทำไมคุณตรีถึงอยากได้ชีวิตอิสระ แล้วถ้างานนี้ไม่สำเร็จ ชีวิตของคุณตรีจะเป็นแบบไหน แน่นอนว่ามันต้องไม่ใช่ชีวิตที่มีความสุข

ผมอยากให้คุณตรีมีความสุข ผมเชียร์อยากให้เขาทำงานนี้สำเร็จ ไม่รู้ว่าเลือกข้างถูกหรือไม่ แต่ผมไม่อยากให้คุณตรีต้องเป็นทุกข์เลย

ถึงผมจะไม่เคยเจอพ่อแม่ของตัวเอง แต่ผมมีลุงชัย ลุงขี้เมาที่เก็บผมมาเลี้ยง ลุงเป็นคนห่ามๆ พูดจากระโชกโฮกฮาก ติดจะหยาบคายเสียด้วยซ้ำ แต่ถึงลุงจะดุจะด่าผม แต่ก็พูดไปด้วยความเอ็นดูไม่คิดอะไร เหมือนด่าไปเพราะติดปาก เพราะแววตาของลุงยังคงเต็มไปด้วยความรักและความห่วงใย ต่อให้ผมไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของลุง แต่สายตาของลุงก็ยังอ่อนโยน

ไม่เหมือนกับแววตาของคุณผู้หญิงกับคุณผู้ชาย โดยเฉพาะคุณพ่อของคุณตรี แววตาของเขามีแต่ความโกรธและความไม่พอใจ ไม่ยอมรับ ผมไม่เคยเห็นแววตาของความรักที่จะใช้มองคนเป็นลูก

ผมเปล่าอคติเพียงเพราะผมรักคุณตรี แต่ผมเห็นแบบนั้นจริงๆ ผมรู้สึกได้ถึงช่องว่างระหว่างพวกเขาทั้งสามคน พ่อ แม่ และลูกชาย

กลายเป็นว่าช่วงบ่ายเราแทบจะหยุดทำงาน ทุกคนไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร ได้แต่รอคอยการกลับมาของคุณตรี ผมส่งข้อความไปหาเขาทางไลน์ แต่ว่าคุณตรียังไม่อ่านและไม่ตอบ

ยังไงเขาก็ต้องมา เพราะผมต้องกลับบ้านพร้อมกับคุณตรี เพียงแต่ทุกนาทีที่รอมันช่างทรมาน

สี่โมงเย็นกว่าคุณตรีถึงได้กลับเข้ามาในร้านกาแฟ ทุกคนที่กำลังรอลุกขึ้นยืนพร้อมกันอัตโนมัติ

ผมสำรวจคุณตรีทางสายตาคร่าวๆ เขายังคงดูดี แต่ทุกครั้งเขาจะมีสีหน้าที่สบายใจกว่านี้นับตั้งแต่ที่คิดออกว่าจะออกสินค้ารูปแบบไหน

“คุณตรีครับ” พี่อาร์มเป็นคนถามคำถามที่ทุกคนในที่นี้อยากรู้

คุณตรีมองทุกคนก่อนจะพยักหน้าแล้วตอบเสียงหนักแน่น

“เราจะใช้ทีมของเราและรูปแบบสินค้าที่เราออกแบบสำหรับคอลเลคชั่นนี้ นี่คือการตัดสินใจสูงสุด และเราจะเริ่มงานจริงตั้งแต่วันพรุ่งนี้เลย”

หมายความว่า...ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดีใช่ไหม?

“เย้ จริงเหรอครับคุณตรี”

“คุณตรีอย่าหลอกพวกผมนะครับ ผมเครียดมากเลยตอนออกมาก่อน”

“อืม ฉันไม่โกหกหรอก วันนี้กลับไปพักผ่อนกันได้ พรุ่งนี้เราจะย้ายเข้าไปทำในบริษัทเต็มตัวแล้ว เตรียมตัวกันให้พร้อม เรากำลังทำงานแข่งกับเวลาอยู่”

“ได้ครับ งานนี้พวกผมจะทำให้เต็มที่เลย”

“อืม ขอบใจ”

ดีจังเลย เห็นทุกคนยิ้มได้แบบนี้ผมก็มีความสุข แต่ว่า...ทั้งๆที่ก็เป็นข่าวดี ทำไมคุณตรีถึงทำเหมือนไม่ดีใจ

ผมเดินตามคุณตรีกลับมาที่รถ ยังไม่ทันได้ออกเดินทางกลับบ้าน โทรศัพท์ของคุณตรีก็ดังขึ้น ผมเหลือบมองอย่างไม่ทันระวัง ก็เลยเห็นชื่อคนที่โทรเข้ามา

‘พ่อ’

คุณตรีมองสายเรียกเข้าอย่างชั่งใจ แต่ในที่สุดเขาก็กดรับก่อนที่สายจะตัด

“ผมไม่อยากไป ผมอยากกลับบ้านไปพักผ่อน ผมทำอะไร ผู้หญิงแบบนั้นพ่อว่าดีแล้วเหรอ ผมไม่ได้ตกลงเรื่องนั้นด้วย”

ทะเลาะกับบ้านอีกแล้วเหรอ

“โอเค ผมจะไป แต่ผมขอพาฟ้ากลับไปส่งที่บ้านก่อน ถ้ารอไม่ได้ พ่อจะให้ผู้ช่วยผมร่วมโต๊ะอาหารด้วยไหมล่ะ หึ ครับ ได้ครับ”

คุณตรีหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด ผมไม่รู้ว่าคุณผู้ชายเรียกให้คุณตรีไปหาที่ไหน แต่ผมว่าดื้อรั้นไปก็คงไม่มีประโยชน์ ถึงอย่างไรท่านก็เป็นพ่อ

ผมแตะที่แขนของคุณตรีเบาๆอยากให้เขาใจเย็นลง เขาหันมามอง ผมส่งยิ้มให้พลางขยับปากพูดว่าให้ใจเย็น ผมไปรอได้ ผมรู้ว่าคุณตรีไม่อยากยอม แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เขาจึงยอมตกลงที่จะไป แล้วออกรถด้วยความเร็ว ราวกับว่าต้องการระบายอารมณ์ไปกับคันเร่ง

สถานที่ที่คุณตรีขับรถเข้ามา เป็นร้านอาหารร้านหนึ่ง รถจอดสนิทแต่ยังไม่ดับเครื่องยนต์ คุณตรีนั่งมองตรงไปข้างหน้า ซึ่งเป็นประตูทางเข้าร้านอาหาร นิ้วชี้เคาะบนพวงมาลัยเป็นจังหวะคล้ายกำลังใช้ความคิด ราวห้านาทีเขาถึงได้หันมาพูดกับผม

“ฉันจะเข้าไปข้างใน แต่จะรีบเคลียร์แล้วรีบออกมา นายนั่งรอฉันในรถละกัน”

“ได้ครับ คุณตรีไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวผมนั่งเล่นเกมในโทรศัพท์รอ” ผมบอกให้เขาสบายใจ

“ฉันไม่อยากเข้าไป” เขาพูดเสียงเบาแล้วก้มหน้าลง เห็นเขาเป็นแบบนี้ผมก็ไม่สบายใจ

“แค่ทานข้าวกับที่บ้านเองนะครับ ไม่มีอะไรหรอก ผมจะรอตรงนี้”

คุณตรีถอนหายใจยาว และเขาไม่สามารถยื้อไปมากกว่านี้ได้ เพราะว่าสายเรียกเข้าดังขึ้นอีกครั้ง และคนที่โทรมาก็คือครอบครัวของคุณตรีที่กำลังรอให้เขาเข้าไปในร้าน

“เดี๋ยวผมเข้าไป” คุณตรีกดรับสายแล้วตอบสั้นๆ

“ไปเถอะครับ ไม่ว่าเรื่องอะไร คุณตรีจะผ่านมันไปได้” ผมพยายามที่จะให้กำลังใจเขา ไม่รู้ว่าจะช่วยได้มากน้อยแค่ไหน

“ขอบใจ” คุณตรีใช้สายตาสื่อความหมายของคำที่พูด

“สู้ๆนะครับ” ผมทำท่ากำมือขึ้นทั้งสองข้างให้กำลังใจ และมันก็ทำให้คุณตรีหลุดยิ้มออกมาได้แม้เพียงเล็กน้อย

“ฉันจะรีบกลับมา” คุณตรีลูบหัวผมแล้วเปิดประตูลงจากรถ แต่เดี๋ยวนะ เขาลืมอะไรไปหรือเปล่า

“เดี๋ยวครับคุณตรี ไม่ดับเครื่องเหรอครับ” ผมถามเพราะเขายังสตาร์ทเครื่องไว้อยู่

“ถ้าดับเครื่องนายจะอยู่ยังไง เดี๋ยวก็หายใจไม่ออก”

อ่อ อย่างนี้นี่เอง ผมยิ้มให้คุณตรีก่อนจะตอบ

“เปิดกระจกเอาก็ได้ครับ ตรงนี้ร่มมากเพราะจอดใต้ต้นไม้ แถมมีลมด้วย ไม่ร้อนหรอกครับ แต่สตาร์ทรถทิ้งไว้มันเปลืองน้ำมัน เปลืองทรัพยากรนะครับคุณตรี แถมยังทำให้โลกร้อนด้วย”

“โอเคๆ ถ้าจะร่ายยาวขนาดนี้” คุณตรียอมกลับมาดับเครื่องยนต์ แล้วส่งกุญแจรถมาให้ผมถือ

ผมจัดการลดกระจกฝั่งผมลง แล้วก็นั่งเล่นโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ แต่สายตาก็คอยจะมองที่ประตูทางเข้าร้าน ผมไม่ได้หวังให้คุณตรีออกมาเร็ว มาทานข้าวกับครอบครัวก็ต้องใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้มากๆ แต่ที่ผมมองเพราะผมเป็นห่วงคุณตรี ถ้าความสัมพันธ์ระหว่างคุณตรีกับคุณพ่อคุณแม่ราบรื่น ผมก็คงจะวางใจ

อีกอย่างวันนี้ยังมีปัญหาเรื่องงานเข้ามาเป็นความขัดแย้งเพิ่มขึ้น ผมไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าบรรยากาศบนโต๊ะอาหารจะหวานชื่นรื่นรมย์

ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ก็มีพนักงานในร้านเดินมาที่รถ ตอนนี้ผมเปิดกระจกรถฝั่งคนขับด้วย เพื่อที่จะได้มองหน้าร้านได้ถนัด

“ขอโทษนะคะ พอดีลูกค้าในร้านเขาให้เอามาส่งที่รถคันนี้ค่ะ แล้วฝากบอกว่าให้ทานรองท้อง” พนักงานของร้านส่งถุงกระดาษมาให้ ผมขยับตัวเอื้อมไปรับมาดู

“ขอบคุณนะครับ”

“ยินดีค่ะ” แล้วเธอก็เดินกลับเข้าไปในร้าน

ผมหยิบกล่องกระดาษออกมาจากถุงแล้วเปิดดูสิ่งที่อยู่ข้างใน พอเห็นของก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างแล้วมองไปที่ประตูหน้าร้านอีกครั้ง

มีทั้งขนมจีบ ฮะเก๋า ซาลาเปา มีก้อนหมูที่มีไข่แดงเค็มอยู่ด้านบน ซื้อมาให้ขนาดนี้แล้วบอกว่าให้กินลองท้อง ผมว่ากินหมดนี่ท้องผมต้องป่องและอิ่มไปยันเช้า

ผมเปิดประตูรถออกไปนั่งทานอาหารที่ม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ คุณตรีช่างเป็นคนรอบคอบ นอกจากอาหารแล้วยังสั่งเครื่องดื่มมาให้ผมด้วย ผมกินไปได้ครึ่งกล่องก็รู้สึกอิ่มมากจนกินต่อไม่ไหว คงต้องเอากลับไปแช่ตู้เย็นแล้วพรุ่งนี้ค่อยเอามาอุ่นร้อนกินอีกที

พอได้ออกมานั่งด้านนอก ก็รู้สึกสบายกว่านั่งในรถ ผมนั่งมองผู้คนไปเพลินๆจนกระทั่งได้ยินเสียงคนตะโกนโวยวาย เสียงนั้นช่างคุ้นหูจะขนลุกด้วยความสยอง

“ไอ้ตรี แกหยุดเดี๋ยวนี้!” เสียงของคุณผู้ชายดังคำรามอยู่ที่หน้าร้าน คุณตรีที่กำลังเดินมุ่งหน้ามาที่ลดหยุดชะงัก คุณท่านเลยสาวเท้าเข้าหาด้วยความเร็ว และต่อจากนั้นทุกอย่างก็เกิดขึ้นเร็วมาก

เพี๊ยะ!!!

“คุณพี่! ตรี!”

“คุณตรี!” เสียงนี้เป็นเสียงผม ผมลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจที่เห็นคุณตรีถูกคุณท่านตบเข้าที่หน้า ผมอยากเดินเข้าไปใกล้ แต่มีบางอย่างดึงขาของผมไว้ คำว่าคนนอกคือคำที่ทำให้ผมได้แต่ยืนมองจากตรงนี้ หัวใจของผมเต้นเร็วและบีบตัวแน่นด้วยความกลัว

ทำไมคุณท่านต้องตบคุณตรี เขาต้องเจ็บมากแน่ๆ

“พ่อตบผมเหรอ ทำไมครับพ่อยอมรับผมไม่ได้ รังเกียจมากนักหรือไง”

“ใช่ ฉันรังเกียจ ทำไมแกต้องทำตัวผิดปกติด้วยห๊ะ”

“คุณพี่คะ พอแล้ว”

“หึ ผมไม่ได้ผิดปกติ และผมจะบอกพ่ออีกครั้ง ว่าผมจะไม่หมั้นไม่แต่งงานอะไรกับผู้หญิงคนนี้หรือคนไหนๆ ไม่ต้องเอามาประเคนให้ผมถึงเตียง เพราะต่อให้ผู้หญิงพวกนั้นแก้ผ้าต่อหน้าผม ไอ้นั่นของผมมันก็ไม่ตั้ง รู้ไว้ด้วย ผมไม่มีทางรู้สึกกับผู้หญิงเพราะว่าผมชอบผู้ชาย พ่อได้ยินไหม ว่าผมชอบผู้ชายและรังเกียจผู้หญิง และไม่ว่าพ่อจะส่งผมให้ไปรักษากับหมอที่ไหน พ่อก็จะไม่มีวันได้ในสิ่งที่พ่อต้องการ”

“ไอ้ตรี มันจะมากเกินไปแล้วนะ ฉันเป็นพ่อแก แกต้องฟังคำสั่งฉัน”

“พ่อก็รู้ว่าพ่อบังคับผมไม่ได้”

คุณตรีพูดจบก็เดินกลับมาที่รถ เขาเหมือนจะชะงักตอนเห็นผมยืนมองอยู่ แต่แล้วเขาก็ทำหน้านิ่งแล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ ผมได้สติก็รีบวิ่งไปขึ้นรถทันทีก่อนที่รถคุณตรีจะออกตัว

เสียงทะเลาะของคุณตรีกับคุณท่านยังคงดังก้องอยู่ในหัวของผมทุกคำ ยิ่งภายในรถเงียบมากขนาดนั้น เสียงนั้นก็เหมือนจะดังขึ้นเรื่อยๆ


‘ผมจะไม่หมั้นไม่แต่งงานอะไรกับผู้หญิงคนนี้ หรือคนไหนๆ ไม่ต้องเอามาประเคนให้ผมถึงเตียง เพราะต่อให้ผู้หญิงพวกนั้นแก้ผ้าต่อหน้าผม ไอ้นั่นของผมมันก็ไม่ตั้ง รู้ไว้ด้วย ผมไม่มีทางรู้สึกกลับผู้หญิง เพราะว่าผมชอบผู้ชาย พ่อได้ยินไหม ว่าผมชอบผู้ชายและรังเกียจผู้หญิง’


คุณตรีชอบผู้ชายเหรอ?

ผมแอบลอบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคุณตรี มุมปากของเขาแตะและมีรอยเลือดซึม แสดงว่าคุณท่านมือหนักไม่ใช่ย่อย ตบแค่ทีเดียวสามารถทำให้เลือดออกปากได้ และนอกจากบาดแผลภายนอกแล้ว บาดแผลภายในของเขาคงจะเหวอะหวะพอตัว

คุณตรีนิ่งเงียบเกินไปจนน่ากลัว มือทั้งของข้างของเขากำพวงมาลัยแน่นจนเส้นเลือดบนมือปูดโปน ผมไม่กล้าขยับตัวหรือหายใจแรง เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการทำให้คุณตรีสติแตกไปมากกว่าเดิม

เมื่อขับรถมาถึงบ้านคุณตรีก็เดินเข้าบ้านแล้วเดินขึ้นห้องไปเลย ผมได้แต่มองตามด้วยความเป็นห่วง โดยที่ไม่กล้าร้องเรียกก็หรือรั้งเอาไว้ ก็ได้แต่ปล่อยให้คุณตรีใช้เวลาอยู่กับตัวเอง

เวลาผ่านไปจนสองทุ่มคุณตรีก็ยังไม่ออกมาจากห้อง ผมอดทนเก็บความเป็นห่วงไว้ไม่ไหว ก็เลยหยิบกล่องยาแล้วเดินขึ้นไปเคาะประตูหน้าห้องนอนของคุณตรี

“คุณตรีครับ ผมเข้าไปได้ไหมครับ ผมจะไปทำแผลให้”

“...”

ผมลองเอาหูแนบประตูเพื่อฟังเสียงภายใน แต่ทุกอย่างเงียบเชียบ ผมเคาะประตูห้องอีกครั้ง แต่ก็ยังเหมือนเดิม ผมเลยลองบิดลูกบิดประตูดู และเหมือนเช่นทุกครั้งที่คุณตรีจะไม่ล็อกห้อง

ห้องนอนของคุณตรีมืดสนิท ผมเปิดไฟให้ห้องทั้งห้องสว่าง แล้วกวาดสายตามองหาเจ้าของห้องแต่ก็ไม่เจอ ผมจึงเดินลึกเข้าไปจนถึงประตูบานเลื่อนตรงระเบียง

คนร่างสูงยืนหันหลังอยู่ตรงหน้า เบื้องหน้าคือแสงไฟจากพวกตึกสูง วันนี้ท้องฟ้าเปิดทำให้เห็นพระจันทร์ดวงกลมโต ผมวางกล่องยาไว้ที่โต๊ะกระจก แล้วเดินไปหาคุณตรีที่ระเบียง

“คุณตรีครับ”

เขาหันมาตามเสียงเรียกของผม สีหน้าของคุณตรียังคงดูเคร่งเครียดและดูอ่อนล้า

“มานี่สิ” เขาเรียกผมให้เดินเข้าไปใกล้

“ผมขอโทษนะครับที่เข้ามาโดยพลการ แต่เพราะผมเป็นห่วง แล้วก็จะมาทำแผลให้ด้วย” ผมช้อนสายตาขึ้นมองแผลที่มุมปากของคุณตรี เหมือนเขาจะยังไม่ได้จัดการอะไรกับตัวเองสักอย่าง เสื้อผ้าชุดเดิม และแผลก็ยังมีรอยคราบเลือดอยู่เหมือนเดิม

“ผิดหวังไหม แล้วก็รังเกียจฉันหรือเปล่า คิดว่านายคงได้ยินในสิ่งที่พ่อฉันพูดหมดแล้ว” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ซึ่งผมไม่เข้าใจว่ามันเพราะอะไร

“ครับผมได้ยิน แต่ผมไม่ได้รังเกียจนะครับ ไม่เคยคิดแบบนั้นเลย”

เพราะผมเองก็ชอบผู้ชายเหมือนกัน แถมผู้ชายคนนั้นยังเป็นคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า

“พูดหลอกให้ฉันไม่คิดมากหรือเปล่า ถ้านายไม่โอเคก็บอกฉันได้นะ ฉันไม่อยากทำให้นายอึดอัด” คุณตรีมองผมด้วยความเห็นใจ

“ผมไม่ได้หลอกคุณตรีนะครับ ผมไม่ได้รังเกียจจริงๆ ไม่ว่าคุณตรีจะเป็นยังไง จะชอบผู้หญิงหรือผู้ชาย คุณตรีก็คือคุณตรี เป็นเจ้านายและเป็นผู้มีพระคุณสำหรับผม” ผมบอกไปตามที่คิดที่รู้สึก

“งั้นเหรอ”

“คุณตรีอย่าคิดมากนะครับ” คำปลอบโยนของผมคงเป็นแค่คำปลอบโยนโง่ๆ แต่ผมก็อยากพูดอะไรสักอย่างเพื่อให้เขารู้สึกดีขึ้น

“ฟ้า” คุณตรีเรียกชื่อผม

“ครับ”

“ขออะไรอย่างได้ไหม” เสียงพูดของเขาเบาลงจนเหมือนคนไม่มั่นใจ ผมขยับเข้าไปใกล้มากขึ้นแล้วยิ้มให้เขา

“ได้สิครับ คุณตรีอยากได้อะไร ผมให้ได้ผมจะให้”

“ขอกอดหน่อยได้ไหม”

“...!”

ขอกอดอย่างนั้นเหรอ

“ได้ไหมฟ้า”

ผมพูดไปแล้ว ว่าถ้าผมให้ได้ผมจะให้ ให้เขาทุกอย่างแม้กระทั่งหัวใจ

“ได้สิครับ”

ผมอ้าแขนออก แล้วให้คุณตรีขยับตัวเข้ามากอดผม เขากอดผมแน่นมาก ใบหน้าของเขาซบลงที่ไหล่ผม ซุกหน้ากับซอกคอผมนิ่ง แขนทั้งสองข้างของเขากว้างมากจนโอบกอดผมได้ทั้งตัว ร่างกายของเขาสั่นเล็กน้อยและผมสัมผัสได้ถึงความชื้นที่บ่า

เขาร้องไห้

ปัญหาที่แย่ที่สุดสำหรับใครหลายๆคนคงเป็นปัญหาครอบครัว การที่ครอบครัวไม่ยอมรับในสิ่งที่เป็น การที่ครอบครัวรังเกียจในตัวตนของคุณ ต่อให้คนที่โดนกระทำไม่ใช่ผม แต่ผมก็ยังรู้ว่ามันสามารถสร้างความเจ็บปวดได้มากมายขนาดไหน

“ผมจะอยู่ข้างคุณตรี ไม่ว่าคุณตรีจะเป็นยังไง คุณตรีก็คือคนสำคัญของผมนะครับ คุณตรีมีค่าสำหรับผมเสมอ” เพราะเป็นกังวลมาก เลยทำให้ผมพูดความในใจบางอย่างออกไป แต่ไม่ใช่ทั้งหมดของความรู้สึกที่ผมมีต่อเขา

คืนนี้ผมจะใช้สองแขนเล็กๆของผมโอบกอดแล้วก็ปกป้องผู้ชายตัวโตคนนี้ไว้เอง



...........

มาร่วมด้วยช่วยกันกอดปลอบคุณตรีไปด้วยกันค่ะ
 :o12:

หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่19:นี่ผมกำลังฝันอยู่หรือเปล่า 31-03-20 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 31-03-2020 21:12:19
CATER TO YOU
ตอนที่19
นี่ผมกำลังฝันอยู่หรือเปล่า




หลังจากปล่อยให้คุณตรีมีช่วงเวลาที่อ่อนแอไม่นาน เขาก็ปล่อยตัวผมแล้วเอ่ยขอบคุณ จากนั้นผมก็บอกให้เขาไปอาบน้ำผมจะได้ทำแผลให้

“แสบไหมครับ” ผมถามเมื่อเห็นเขายังคงนิ่งเมื่อผมเอาแอลกอฮอล์เช็ดรอบบาดแผล

“นิดหน่อย”

“คุณพ่อคุณตรีคงมือหนักมากใช่ไหมครับ” ลองคิดว่าถ้าผมเป็นคนโดนตบ คงไม่ได้แค่ปากแตก แต่คงจะหน้าเบี้ยวไปเลย

“หนักมาก ความจริงนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันโดนหรอกนะ แต่จะกี่ครั้งก็ไม่ชิน”

มือที่กำลังทำแผลให้คนเจ็บนิ่งค้างเพราะใจของผมที่กระตุกวูบ ผมรู้สึกเห็นใจไม่รู้ว่าคุณตรีทำได้ยัง พูดสิ่งที่ชวนให้เจ็บปวดทั้งที่สีหน้าและแววตายังคงนิ่งเฉย

“ทำไมครับ ทำไมคุณท่านต้องตีคุณตรีด้วย”

ผมรู้สึกเจ็บแทนจนรู้สึกอยากจะร้องไห้ ผมไม่เคยถูกลุงตีแบบนี้ ตีที่เหมือนกับระบายอารมณ์ ลุงจะตีแค่ตอนที่ผมซน ก้านมะยมคืออาวุธที่ลุงใช้ลงโทษผม แต่ก็แค่เจ็บแบบแสบๆคันๆเท่านั้น ไม่เคยต้องเลือดตกยางออกแบบที่คุณตรีโดน

“ทำโทษแหละมั้ง”

“แต่ผมว่ามันเกินไป” ผมอยากจะโกรธแทน โกรธมากๆ โกรธที่สุด

“ฉันไม่เป็นอะไรหรอก” คุณตรียกมือลูบแก้มผม แต่ไม่นานก็ชักมือกลับอย่างรวดเร็ว

“ขอโทษนะ”

ผมส่ายหน้า “ไม่เป็นไรครับ ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่ได้รังเกียจ”

ถ้ารังเกียจก็คงไม่พาตัวเองมาอยู่ใกล้ๆแบบนี้

“ทำแผลเสร็จหรือยัง” คุณตรีถาม เขามือเอาแตะๆที่แผลที่ผมเพิ่งทายาลงไป

“อย่าไปโดนสิครับ ขอผมติดปลาสเตอร์ยาก่อน” ผมดุเล็กน้อย ดึงมือเขาออกห่างจากใบหน้า แล้วใช้ปลาสเตอร์ยาแผ่นเล็กสี่เหลี่ยมจัตุรัสแปะทับลงไป

“เสร็จแล้วครับ วันสองวันก็น่าจะหาย” ผมเก็บอุปกรณ์ทำแผลลงกล่อง พรุ่งนี้น่าจะยังต้องใช้อีก ผมเลยเอาไปวางบนตู้ลิ้นชักภายในห้อง

“ฟ้า ฉันหิว ทำอะไรง่ายๆให้กินหน่อยสิ”

“หิวเหรอครับ” เมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี้คุณตรีก็เพิ่งทานข้าวเย็นไปไม่ใช่เหรอ

“เมื่อเย็นฉันไม่ค่อยได้กินอะไรน่ะ กินไม่ลง แต่ตอนนี้หิวแล้ว”

“อ่อ ครับ แล้วคุณตรีอยากทานอะไร ผมจะได้ลงไปทำให้”

“ปกติดึกๆแบบนี้นายกินอะไร”

“ผมเหรอ ถ้าเป็นตอนที่ยังอยู่ที่หอ ผมก็กินบะหมี่ซองครับ อร่อยแถมประหยัด ไม่มีช่วงเวลาไหนที่จะกินบะหมี่ซองอร่อยเท่าตอนกลางคืนอีกแล้ว”

“แค่บะหมี่ซองเนี่ยนะ งั้นก็ลงไปทำให้กินหน่อยสิ อยากรู้ว่าจะอร่อยสักแค่ไหน”

“รับรองเลยครับว่าคุณตรีจะต้องติดใจ”

ผมไม่รู้ว่าเขาจะชอบไหม แต่ก็รีบลงไปเข้าครัวเพื่อทำอาหารญี่ปุ่นแบบราคาย่อมเยาให้คุณตรีได้ลอง โดยมีผู้ชมอย่างคุณตรีคอยมองผมตลอดเวลาที่หยิบจับงานครัว

“คุณตรีอยากทานรสอะไร”

“ต้มยำกุ้งก็ได้”

“ทานได้เหรอครับ มันเผ็ดนะ” ผมถามย้ำ

“อยากลองดู นายชอบกินรสนี้ไม่ใช่เหรอ”

“ก็ผมชอบทานเผ็ด”

“ทำมาเถอะ ฉันทานได้ นายก็ทำเผื่อตัวเองด้วย กินด้วยกันนะ”

“ได้ครับ” ผมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว สำหรับผมการได้กินบะหมี่ซองคือสวรรค์เลย ยิ่งถ้าได้ใส่ไข่ใส่ผักสักหน่อยยิ่งอร่อยขึ้นเป็นเท่าตัว สำหรับผมแล้วถึงอยากจะเบื่อก็เบื่อไม่ได้ เพราะมันก็เป็นอาหารที่ทำให้อยู่รอดมาได้ ก็ต้องขอบคุณมันละนะที่บนโลกใบนี้ยังมีอาหารราคาถูกให้คนยากคนจนแบบผมกินประทังชีวิต

ผมใช้บะหมี่สามซอง ใส่กุ้ง ใส่ปลาหมึกแล้วก็ใส่เนื้อปูแกะเป็นชิ้น มีไข่และผักเพื่อเพิ่มสารอาหาร ทั้งหมดนี่ก็เพื่อให้คุณตรีได้กินอาหารที่มีประโยชน์

ผมตักแบ่งใส่ถ้วยสองถ้วย แล้วยกไปเสิร์ฟให้คุณตรีที่โต๊ะอาหารตอนกำลังร้อนๆ เขามองอาหารตรงหน้าด้วยแววตาเป็นประกาย ทั้งๆที่มันก็แค่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

หลุดภาพหนุ่มนักธุรกิจ กลายเป็นแค่ผู้ชายวัยรุ่นคนหนึ่ง

“ผมลดเครื่องปรุงลงหน่อย จะได้ไม่เผ็ดมาก”

คุณตรีใช้ตะเกียบคีบเส้นขึ้นมาเป่าแล้วก็เอาเข้าปากคำโต คุณตรีเป็นคนชอบกินบะหมี่น้ำที่เป็นเส้นบะหมี่สด อาหารตรงหน้าก็คงถือเป็นประเภทเดียวกัน ใช้แทนกันได้ เขาก็เลยกินอย่างเอร็ดอร่อยไม่พูดไม่จา

“อิ่มไหมครับ” ผมถามเมื่อเขาทานเสร็จ จนแม้แต่น้ำซุปก็แทบไม่เหลือ

“อิ่มมาก ปกติฉันไม่ค่อยกินของหนักเวลานี้ คงต้องนั่งย่อยสักพัก”

“ออกไปนั่งเล่นข้างนอกกันไหมครับ อากาศดี”

“เอาสิ นายไปนั่งรอข้างนอกก่อน เดี๋ยวฉันตามไป”

ด้านนอกที่ว่าคือชานระเบียงตรงประตูด้านข้างของบ้าน ซึ่งติดกับสวนที่เรานั่งทานอาหารกันข้างนอกวันที่เพื่อนคุณตรีมา ตรงนั้นจะมีเก้าอี้นั่งเอนหลังแบบเก้าอี้ชายหาด ทั่วทุกมุมบ้านของคุณตรี จะมีจุดให้นั่งพักผ่อนอยู่ทั่วไปหมด เหมือนไว้เปลี่ยนบรรยากาศในการนั่งพักผ่อน

คุณตรีเดินกลับมานั่งเก้าอี้ตัวข้างๆพร้อมกับกระป๋องเบียร์สี่กระป๋อง เขาส่งมาให้ผมหนึ่งกระป๋อง ยักคิ้วเป็นการเชื้อเชิญให้ผมดื่มเมื่อเห็นว่าผมนิ่งไม่ยอมรับไปสักที

“ทำไมวันนี้ถึงดื่มเบียร์ละครับ” ผมถามด้วยความสงสัย ถึงจะมีเบียร์ติดตู้เย็น แต่ผมไม่ค่อยจะเห็นคุณตรีหยิบออกมาดื่ม

“อยากดื่ม จะได้นอนหลับสบาย” เขาตอบ นิ้วมือเรียวเปิดฝากระป๋องเบียร์เสียงดังแกร๊ก ตามมาด้วยเสียงซ่าจากสิ่งที่อยู่ด้านใน ผมก็เลยเปิดของตัวเองบ้าง

“ที่ฉันไม่ค่อยดื่ม เพราะมันทำให้มีพุง”

“เพราะต้องรักษาหุ่นเหรอครับ คุณตรีหล่ออยู่แล้ว ดื่มนิดดื่มหน่อยก็ไม่น่าจะเป็นอะไร”

“แล้วนายล่ะ ปกติดื่มไหม”

“ผมเหรอครับ ไม่ค่อยหรอก มันเปลืองเงิน อีกอย่างผมไม่อยากเป็นเหมือนลุงที่ตายเพราะเหล้า”

ความทรงจำของน้ำเมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ผมดื่มบ้างเป็นครั้งคราวเมื่อต้องเข้าสังคม อย่างเช่นเวลาที่เฮียชาร์ปแกเลี้ยงลูกจ้างในร้าน หรือกินเลี้ยงวันเกิดของไอ้แจ็คมันก็จะชวนผมไปกินด้วย ผมก็กินแก้วสองแก้วพอเป็นพิธี

คุณตรีดื่มเบียร์หมดกระป๋องแรกก็ต่อกระป๋องที่สอง เขาดื่มเงียบๆ ทอดสายตามองพระจันทร์เบื้องหน้า เขาคงมีเรื่องที่ต้องคิดมากมายเต็มไปหมด ส่วนผมก็เกิดคำถามที่ว่า ผมจะสามารถช่วยอะไรเขาได้มากกว่านี้ไหม

“คุณตรี ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหม ไม่รู้ว่ามันจะเป็นการก้าวก่ายเกินไปหรือเปล่า แต่หากคุณตรีอยากระบาย ผมก็พร้อมจะเป็นผู้ฟังที่ดี”

เรื่องที่ผมอยากถามก็คือเรื่องครอบครัวของคุณตรี ยิ่งรับรู้ผมยิ่งรู้สึกว่าไม่อาจปล่อยผ่าน

“เรื่องครอบครัวของฉันเหรอ” คุณตรีเดาใจผมถูก หรือว่าเขาจับสีหน้าอยากรู้อยากเห็นของผมได้

“ครับ แต่ถ้าคุณตรีไม่สะดวกใจ...”

“เล่าได้”

ไม่เป็นไรนะครับ

ผมยิ้มเขินเล็กน้อย เพราะตัวเองยังพูดไม่ทันจบประโยค ปากก็เลยกลายเป็นอ้าพะงาบๆ ผมรอให้คุณตรีเล่า มองจดจ้องเขาอย่างรอคอย คุณตรีเห็นดังนั้นก็เลยใช้กระป๋องเบียร์เย็นๆกระป๋องที่สามแตะเข้าที่แก้มของผม

“ครอบครัวของฉันเป็นครอบครัวนักธุรกิจตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่า หายใจเข้าออกเป็นธุรกิจ ทุกอย่างคือเงิน ทุกอย่างคือหน้าตาและเกียรติยศ ทุกคนจะต้องเดินตามเส้นทางที่พ่อแม่เป็นคนขีดเส้นไว้ พ่อฉันทำตามที่ปู่บอกทุกอย่าง ไม่ว่าจะสั่งให้ทำอะไร เรื่องเรียน เรื่องงาน แม้กระทั่งเรื่องคู่ครอง”

เล่ามาถึงตรงนี้ คุณตรีก็กระดกเบียร์กระป๋องที่สามอึกใหญ่ ผมไม่อยากห้ามเขา แม้ว่าจะไม่อยากให้เขาดื่มเยอะ แต่ผมว่าวันนี้ผมควรต้องปล่อยให้เขาได้ระบาย ไม่ว่าเขาจะมีอาการยังไง คืนนี้ผมจะอยู่ดูแลเขาเอง

“คุณแม่ของคุณตรีคือผู้ใหญ่หาให้เหรอครับ”

“ใช่ คำว่าอยู่ๆกันไปก็รักกันเอง พ่อกับแม่ฉันเป็นแบบนั้น”

“มันเกิดขึ้นได้จริงเหรอครับ”

“ฉันไม่รู้ แต่พวกเขาก็อยู่กันมาได้ เพราะพ่อฉันเป็นลูกที่ดีเยี่ยม ไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง ส่วนแม่ของฉันก็ไม่กล้าที่จะขัดอากงกับอาม่า เพราะเป็นลูกคนจีน”

ถ้าว่ามาแบบนี้ก็เข้าใจได้ สมัยก่อนนี่เนาะ ผู้ใหญ่ก็ไม่กล้าทำอะไรที่มันนอกลู่นอกทาง

“พอมีลูก พ่อและแม่ของฉันก็อยากให้ลูกๆทำตามที่ตัวเองต้องการ เพราะมองว่าการที่ตัวเองทำตามพ่อแม่แล้วสามารถเจริญรุ่งเรืองได้ ดังนั้นลูกที่ดีที่อยากเจริญรุ่งเรืองต้องใช้ชีวิตแบบที่พ่อแม่ต้องการ”

“แต่คุณตรีไม่ได้เป็นแบบที่คุณพ่อคุณแม่ต้องการเหรอครับ พวกท่านถึงได้โมโห” พอพูดมาถึงตรงนี้ผมว่าผมพอจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้ไม่ยาก

“ถูกต้อง ฉันไม่ได้อยากเรียนบริหาร และพี่ชายของฉันก็ดูจะเป็นลูกที่ดี ไม่ว่าพ่อจะให้ทำอะไรพี่ชายของฉันก็ไม่เคยขัด ซึ่งต่างกับฉันที่เกเรมาตั้งแต่เด็ก ทั้งบ้านมีแค่คุณย่าเท่านั้นที่เข้าใจฉัน แต่เสียงเสียงเดียวจะสู้เสียงคนหมู่มากได้ยังไง ทุกคนหาว่าคุณย่าให้ท้ายฉันให้ฉันเกเร แต่ฉันแค่มีความฝันเป็นของตัวเอง” ตอนคุณตรีพูดถึงคุณย่า คุณตรีดูมีความสุข

“คุณตรีมีความฝันอะไรเหรอครับ”

“พูดไปแล้วอาจจะฟังดูตลก ฉันอยากเป็นเชฟ”

“เชฟ?” ผมเบนหน้ามองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ มันใช่เหรอ ผมไม่ค่อยเห็นคุณตรีเข้าครัวเลยนะ ผมคิดว่าเขาแค่เป็นคนเลือกกินมากๆก็เท่านั้น ไม่คิดว่าจะถึงกับอยากเป็นคนทำอาหาร

“แปลกใจใช่ไหม”

“ผมไม่เคยเห็นคุณตรีทำอาหารเท่าไหร่”

“เพราะฉันกลัว กลัวว่าถ้าทำจะกักเก็บความอยากของตัวเองเอาไว้ไม่ไหว ฉันก็เลยเลือกที่จะหันหลังให้กับมัน”

ผมไม่ได้มีความฝันที่ยิ่งใหญ่ ไม่เคยคิดฝันว่าตัวเองโตขึ้นมาจะเป็นอะไร ผมแค่ฝันว่าผมจะมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย ไม่ต้องอดมื้อกินมื้อ และขอให้มีใครสักคนที่จะอยู่กับผมโดยไม่ทิ้งกันไปไหนไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม

“ฉันเกเรหนักขึ้นตอนอยู่มัธยมปลาย ยิ่งพ่อมารู้ว่าฉันชอบผู้ชายไม่ได้ชอบผู้หญิง ฉันก็ถูกพ่อตีและด่าว่า เขาพาฉันไปรักษากับจิตแพทย์ มันน่าขำ ฉันไม่ใช่ลูกที่ดีหรอกนะฟ้า ฉันทำให้พ่อแม่เสียใจ ยิ่งถูกสั่งฉันก็ยิ่งต่อต้านและแข็งข้อ ฉันแค่อยากใช้ชีวิตของฉัน ฉันควรมีสิทธิ์ได้เลือกว่าตัวเองจะมีชีวิตแบบไหน”

“...” ผมเงียบให้เขาได้พูดความอึดอัดออกมา ผมไม่เคยต้องเจอความกดดันอย่างที่เขาเจอ จึงไม่สามารถตัดสินว่าเขาเป็นคนดีหรือไม่ดี

“บ้านหลังนี้คือที่ดินของย่า ตอนมัธยมปลายปีที่ห้าคือปีที่ฉันทะเลาะกับที่บ้านหนักสุด ฉันทำให้พ่อโมโหแม้ว่าตัวเองจะต้องขึ้นโรงพัก และย่าทนเห็นบ้านลุกเป็นไฟไม่ได้ ย่าก็เลยให้ฉันมาอยู่ที่นี่ รู้ไหมฟ้า  ถึงมันจะเหงา ถึงจะโดดเดี่ยว แต่มันก็ดีกว่าที่จะต้องได้รับสายตารังเกียจจากคนที่ทำให้เราเกิดมา” คุณตรีเสียงสั่น ผมมองออกว่าเขาพยายามข่มน้ำตาเอาไว้

“รู้อะไรไหม ฉันโตมาด้วยพี่เลี้ยง นานๆครั้งจะได้เห็นหน้าพ่อแม่ เจอกันที่ก็มีแต่คำสั่งว่าต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ ยิ่งพอรู้ว่าฉันไม่ชอบผู้ชาย พ่อฉันก็สรรหาพี่เลี้ยงเป็นผู้หญิง ไม่สนว่ามันจะดูน่าเกลียดแค่ไหนที่ทำเหมือนอยากให้ลูกตัวเองได้กับพี่เลี้ยงทั้งๆที่ฉันเพิ่งจะอายุแค่สิบหกสิบเจ็ด”

ผมฟังแล้วก็ได้แต่ตกใจ พวกท่านต้องทำกับคุณตรีขนาดนี้เลยเหรอ

“ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าฉันเป็นลูกอกตัญญู แต่ฉันไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้ ในเมื่อฉันเป็นแบบที่พวกเขายอมรับไม่ได้ เขาก็ควรปล่อยฉันไป”

“คุณตรี”

“และต่อให้ฉันทำเลวมากกว่านี้ ฉันก็ยังคงเป็นคนของตระกูลโอฬารทวีสินอยู่ดี ในเมื่อไม่มีทางเลือก ก็ต้องหาหนทางให้ตัวเองมีอิสรภาพมากที่สุด”

“เรื่องงานที่บริษัทเหรอครับ” ผมจำได้ถึงข้อตกลงเรื่องอิสรภาพของคุณตรีที่เคยพูด

“ใช่ เริ่มตั้งแต่ที่ฉันต้องไปเรียนที่อังกฤษ แล้วก็กลับมาบริหารงานที่ King’s Luxury ที่กำลังจะเจ๊งให้ฟื้นคืนกลับมา เพราะฉันมีบางสิ่งบางอย่างที่อยากดูแลและรับผิดชอบ และชีวิตอิสระคือสิ่งที่ฉันต้องการ ดังนั้นการเดิมพันครั้งนี้มันคือทั้งหมดของชีวิตฉัน”

คุณตรีหันกลับมามองสบตาผม ทุกคำพูดของเขาหนักแน่นและทรงพลัง จนทำให้ผมรู้สึกได้เลยว่าเขาเอาจริง และเขาจะต้องทำมันให้ได้อย่างที่ใจเขาต้องการ

“ถ้าคุณตรีทำได้ มันจะเป็นยังไง คือ ผมหมายถึงว่า คุณตรีจะถูกตัดออกจากครอบครัวเลยเหรอครับ” ผมแค่สงสัยว่ามันจะเหมือนประโยคทำนองว่าตัดพ่อตัดลูกอะไรแบบนี้หรือเปล่า

“คงจะอย่างนั้นมั้ง ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ถึงวันนั้นคนที่ตัดสินใจก็คือพ่อ ว่าจะตัดฉันออกจากตระกูล หรือยอมรับในสิ่งที่ฉันเป็นให้ได้”

“คุณตรี ผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเลย ผมอยากให้คุณตรีมีครอบครัวอยู่กับพ่อแม่”

การต้องอยู่โดยไม่มีครอบครัวให้หันหลังกลับไปมอง มันเป็นความโดดเดี่ยวที่ทรมาน ในทุกๆวันเราจะใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมาย

“ฉันยังมีนายไง” คุณตรีวางมือลงบนศีรษะของผม แยกเบาๆเหมือนเขาเอ็นดู

“แต่ผมไม่ใช่...” ครอบครัวคุณ

“ถ้าฉันถูกพ่อแม่ทิ้งแล้ว นายก็ไม่อยากให้ฉันเป็นครอบครัวของนายเหรอ” คุณตรีทำหน้าเหมือนเสียใจ

“ไม่ใช่นะครับ แต่มีพ่อแม่มันก็ดีกว่าอยู่แล้ว ผมไม่อยากให้แตกหักกันไปเลย”

“ฟ้า”

“เรื่องนี้อาจจะต้องใช้เวลา วันหนึ่งครอบครัวของคุณตรีจะต้องยอมรับคุณตรีได้แน่นอน”

“แต่ถ้าไม่มีวันนั้น นายต้องอยู่เป็นเพื่อนฉันเข้าใจไหม”

“ครับ ผมจะอยู่เป็นเพื่อนคุณตรีเอง”





หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาสองวันแล้ว เมื่อวานคุณตรีไม่ได้ไปทำงาน เพราะเขาดื่มเบียร์เข้าไปเพิ่มจนทำให้ตอนเช้าตื่นไม่ไหว บวกกับพักผ่อนน้อยมาหลายวันเลยทำให้หลับลึก ผมทำได้แค่รับสายจากคุณเอิงแล้วบอกว่าคุณตรีไม่สบาย น่าจะต้องหยุดพักหนึ่งวัน ทางคุณเอิงก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่บอกว่านัดต่างๆจะเลื่อนออกไปให้

พอมาวันนี้คุณตรีก็กลับไปทำงานตามปกติ วันนี้ผมไม่ได้ออกไปด้วย เพราะต้องอยู่ทำความสะอาดบ้านและออกไปซื้อของเข้าบ้าน แต่ตอนกลับมาถึงบ้านผมเห็นมีรถคันหนึ่งจอดอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าบ้าน

ผมลงจากรถแท็กซี่ แล้วขนของออกจากรถวางกองไว้แถวๆริมรั้วก่อนเนื่องจากรถคันที่ว่าขวางทางจนผมไม่สามารถเปิดประตูแล้วขนของเอาเข้าไปไว้ในบ้าน ไม่อย่างนั้นอาจจะทำให้คนขับรถแท็กซี่เสียเวลา

ผมจ่ายเงินค่ารถแล้วคนขับก็ถอยรถออกไป ผมเดินอ้อมมาทางประตูฝั่งคนขับ เห็นเงาคนที่อยู่ในรถรางๆเหมือนจะเป็นผู้หญิง พอผมก้มมองกระจกรถก็เลื่อนลง

“คุณดิว”

“เปิดประตูรั้วสิ ยืนบื้ออยู่ได้” เธอออกคำสั่ง ผมได้แต่ยืนงงเพราะไม่รู้ว่าเธอมาทำไม คุณดิวไม่ใช่เพื่อนของคุณตรีจะมาหาที่บ้านได้โดยไม่ต้องขออนุญาต และคุณตรีก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าชื่นชอบให้คุณดิวเข้ามายุ่งวุ่นวายกับชีวิตของเขา

“คือ...คุณตรีไม่อยู่บ้านนะครับคุณดิว คุณตรีอยู่ที่บริษัท”

ผมยังคงยืนบื้ออย่างที่เขาด่า แต่ผมคิดว่าไม่ควรให้เขาเข้าไป แม้จะรู้ว่าถ้าเขาอยากเข้าผมก็ห้ามไม่ได้ด้วยฐานะของผม อีกทั้งคุณดิวคือคนที่คุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายอยากได้เป็นลูกสะใภ้

“ฉันรู้ ฉันไม่ได้มาหาเขาหรอก ฉันมาหานาย ทีนี้จะเปิดประตูได้หรือยัง”

มาหาผมเนี่ยนะ มาทำอะไร ผมอดไม่ได้เลยที่จะคิดถึงเรื่องไม่ดี  ผมไม่รู้จะทำยังไง สุดท้ายก็ต้องเปิดประตูให้เขาเข้ามาในบ้านของคุณตรี ผมแค่ขนของเข้ามาในบ้านแล้วก็กองเอาไว้ในครัวทั้งอย่างนั้น รีบออกมารับแขกให้มันจบๆ เขาจะได้รีบกลับไปเร็วๆ แต่ก่อนที่ผมจะไปคุย ผมได้ส่งข้อความไปบอกคุณตรีแล้วว่าคุณดิวมาพบผมที่บ้าน คุณตรียังไม่ตอบคงเพราะติดงาน ตอนนี้ผมก็ต้องรับมือด้วยตัวเองไปก่อน

“น้ำครับ” ผมวางแก้วน้ำเปล่ามาเสิร์ฟ

“ใช่น้ำแร่หรือเปล่า ฉันไม่ดื่มน้ำกรองหรือน้ำธรรมดานะ” น้ำเสียงของเธอช่างเย้ยหยิ่งรับกับใบหน้าเชิดๆได้เป็นอย่างดี

“น้ำแร่ครับ คุณตรีก็ดื่มน้ำแร่เหมือนกัน”

“ก็ดี”

“ครับ”

ผมไม่ได้โต้ตอบอะไร เพราะพวกเขามีเงินจะเลือกกินยังไงก็ได้ และเท่าที่ผมหาข้อมูลมา น้ำแร่ก็ดีกว่าน้ำธรรมดาในเรื่องของแร่ธาตุจากธรรมชาติ คือถ้ามีเงินแล้วกินน้ำแร่มันก็ดี แต่ถ้าไม่มีเงินแล้วกินน้ำธรรมดาก็ไม่ได้ต่างอะไร

“แล้วที่คุณดิวมาหาผมมีเรื่องอะไรเหรอครับ” ผมนั่งลงที่โซฟาเดี่ยวตามความเคยชิน คนที่ไม่ชินด้วยก็คือแขกที่ทำหน้าตาตกใจ

“นายมานั่งเสมอฉันได้ยังไง เป็นแค่คนรับใช้” เธอแว๊ดเสียงใส่ผมทันที

“เอ่อ คือคุณตรีไม่ให้ผมนั่งพื้นครับ เป็นคำสั่งของคุณตรี ต้องขอโทษด้วยนะครับ” ผมบอกเหตุผล ซึ่งมันทำให้เธอฟึดฟัดไม่พอใจเป็นอย่างมาก

“เหอะ ออกจะเกินไปหน่อยนะ ที่เจ้านายอย่างเขาให้ความสนใจนายมากเป็นพิเศษ มากเกินความจำเป็น นายไม่คิดว่ามันแปลกบ้างเหรอ”

“คุณตรีเป็นคนใจดีครับ” ผมตอบตามที่คิด สำหรับผมคุณตรีเป็นคนดี ถึงเขาจะรวยแต่ก็ไม่ได้แบ่งแยกชนชั้นวรรณะ

“นายแน่ใจเหรอว่าเขาแค่เป็นคนใจดี แต่จริงๆแล้วทำไปเพื่อหวังผลประโยชน์บางอย่าง” เธอหรี่ตามองผมหน้าเจ้าเล่ห์เหมือนรู้อะไรบางอย่างที่ผมไม่รู้

“ไม่มีอะไรแบบนั้นหรอกครับ ตัวผมเป็นแค่เด็กจนๆ ไม่มีผลประโยชน์อะไรหรอกครับ”

“โนวๆ มีสิ มีแน่ๆ” เธอส่ายนิ้วชี้ไปมาตรงหน้าผม

“ฉันว่านายน่าจะรู้ว่าฉันอยู่ในฐานะไหน และมันน่าโมโหมากๆที่คนที่ฉันจะต้องแต่งงานด้วยเป็นพวกผู้ชายผิดเพศ รู้ไว้ซะด้วย ว่าเจ้านายของนายน่ะ กำลังจะเป็นสมภารกินไก่วัด! น่าขยะแขยงที่สุด”

ผมนั่งตกตะลึงเมื่อเธอสาดอารมณ์ใส่มาอย่างไม่ทันตั้งตัว สมองผมประมวลผลอย่างเชื่องช้ากับสิ่งที่เธอพูด

อะไรคือสมภารกินไก่วัด

“ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ แต่ผมบอกได้เลยว่าผมรู้เรื่องที่คุณตรีมีรสนิยมชอบเพศเดียวกัน และผมก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดีอะไร ยังไงเขาก็เป็นเจ้านายของผมครับ ส่วนเรื่องของคุณผมขอไม่ยุ่งเกี่ยวนะครับ ผมเป็นแค่คนนอก” ผมไม่ชอบเลยที่เขาพูดถึงคุณตรีเหมือนดูถูก ผิดเพศแล้วยังไง คุณตรีของผมมีค่ามากกว่าเรื่องรสนิยมทางเพศ

ใครจะว่าว่าผมเข้าข้างเขาเพราะผมชอบเขาก็ได้ แต่ตอนนี้มีแค่ผมเท่านั้นที่จะปกป้องความรู้สึกของคุณตรีได้ และผมต้องทำให้เต็มที่

“เธอพูดได้เพราะว่าเธอยังไม่รู้ว่า เจ้านายที่ชอบพวกไม้ป่าเดียวกันนั่น กำลังเล็งจะงาบเธออยู่ อ่ะๆๆ เธออย่าคิดจะปฏิเสธว่าไม่ใช่ ฉันสังเกตมาตั้งแต่ครั้งที่แล้ว ต่อให้ไม่ชอบฉันไม่สนใจฉัน ก็ไม่จำเป็นต้องสนใจคนใช้อย่างนายดีเกินความจำเป็น ถ้าไม่บอกว่าเป็นแค่ลูกน้อง ใครก็คิดว่านายสองคนเป็นแฟนกัน เจ้านายลูกน้องเนี่ยต้องจับมือถือแขนกันเหรอ ต้องทำตัวติดกันขนาดนั้น หรือแม้แต่เป็นห่วงว่านายจะหิวข้าว ทั้งๆที่จริงแล้วนายก็แค่คนงาน ใช่ไหม เมื่อวันที่เขาไปทานข้าวกับครอบครัว เขาสั่งอาหารให้ไปส่งนายที่รออยู่ที่รถไม่ใช่เหรอ ลองคิดว่าถ้าวันนั้นไม่ใช่นาย แต่เป็นคนขับรถของเขา ตรีจะดูแลคนขับรถเหมือนที่ดูแลนายหรือเปล่า ว่ายังไง มันแปลกใช่ไหม นายไม่คิดอย่างนั้นเหรอ ต่อให้เป็นเพื่อนผู้ชายที่สนิทกันมากๆ ก็คงไม่จำเป็นต้องดูแลเอาอกเอาใจกันดีจนน่าสะอิดสะเอียนนะว่าไหม”

“...”

ไม่รู้ว่าคุณดิวเถอะพูดยาวไปหรือสมองผมทำงานช้า ผมว่าผมไม่เข้าใจเรื่องที่เข้าพูด มันจะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง

“พูดไม่ออกเลยเหรอ ฉันน่ะต่อให้สนใจผู้ชายคนนั้น ทั้งฐานะและรูปร่างหน้าตา แต่ฉันก็ไม่คิดที่จะมีสามีที่สามารถนอนกับผู้ชายด้วยกันได้ และผู้ชายคนนั้นก็อาจจะเป็นแค่คนใช้ในบ้าน”

“ผมกับคุณตรีเราไม่ได้มีอะไรกัน!” ผมเผลอตัวเสียงดังใส่ เธอแววตาลุกวาวแต่ก็ไม่ได้โมโหอะไรมากนัก

“อ่อเหรอ เพราะว่านายยังไม่รู้ไง นายควรขอบคุณที่ฉันมาบอก ลองคิดดูนะ นายจะต้องอยู่กับเจ้านายที่คิดจะงาบนายอยู่ตลอดเวลาเหรอ”

“คุณตรีไม่ชอบผมหรอก”

มันเป็นไปไม่ได้

“เธอมองสายตาเขาไม่ออกเหรอ โง่เหมือนกันนะ ฉันว่าสายตาที่เขามองนายมันไม่ธรรมดานะ คิดว่าคุณลุงกับคุณป้าก็คงดูออก”

เดี๋ยวนะ แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับพ่อแม่ของคุณตรี

“คุณหมายความว่ายังไง”

“ที่ฉันจะพูดก็คือ ถ้าคุณลุงคุณป้ารู้เรื่องที่ตรีชอบเด็กรับใช้ในบ้านตัวเอง มันจะเป็นยังไง ลองคิดดูสิ” เธอแสยะยิ้มอย่างร้ายกาจ

“คุณต้องการอะไร คุณใส่ร้ายคุณตรีทำไม” ผมแทบเก็บอาการโกรธไว้ไม่ไหว ที่เขามาพูดเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่มันเป็นการใส่ร้ายผู้มีพระคุณของผมอย่างร้ายแรง

“ฉันน่ะเหรอใส่ร้าย คนอย่างฉันไม่จำเป็นต้องใส่ร้ายใคร ฉันเป็นคนตรงๆ รักก็บอกรัก เกลียดก็บอกเกลียด ที่ฉันพูดก็เพราะฉันแค่สงสารนายเท่านั้น คิดดีๆนะ ถ้านายยังทำงานอยู่กับเขา ใครจะรู้ว่าวันหนึ่งนายจะตกอยู่ในกำมือของเขา ต้องโดนผู้ชายด้วยกันข่มเหงทางเพศ นายคงเหมือนตกนรกทั้งเป็น อีกด้าน ถ้าพ่อแม่ตรีรู้เรื่องนาย นายจะได้อยู่ทำงานที่นี่อยากสุขสบายเหรอ นายคิดว่าคุณลุงคุณป้าจะปล่อยให้นายลอยนวลโดยไม่คิดจะทำอะไรกับนายเลยหรือยังไง ฉันบอกได้เลยว่าพวกท่านทำได้มากกว่าที่นายคิด ครอบครัวนี้ไม่ชอบเรื่องการเสียหน้าเป็นที่สุด และนายไม่ใช่ข้อยกเว้นแน่นอน ถ้าความลับแตกนายและตรีเดือดร้อนกันทั้งคู่แน่นอน”

ที่พูดมานี่สงสารผมจริงๆเหรอ ผมไม่คิดว่าเธอจะหวังดีกับผมอย่างที่เธอพูด มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น เพียงแต่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร

“ขอบคุณที่เป็นห่วงผมนะครับ แต่มันไม่มีเรื่องอย่างที่คุณดิวพูดหรอกครับ ผมกับคุณตรีเราไม่ได้เป็นอะไรกันนอกจากเจ้านายและลูกน้อง และคุณตรีก็ไม่ได้ชอบผม”

“เธอจะบอกว่าเธอไม่เชื่อฉัน?”

“ผมไม่เชื่อครับ” แม้ว่าผมจะใจเต้นกับเรื่องหลอกลวงที่คุณดิวว่ามา แต่ผมก็มีสติรู้ว่ามันไม่มีทางเป็นเรื่องจริงไปได้

“ก็ตามใจ ฉันถือว่าฉันมาเตือน เพราะไม่อยากให้เธอเดือดร้อนเพราะผู้ชายเห็นแก่ตัวคนหนึ่ง และบอกเอาไว้เลยว่าฉันจะเอาคืนให้สาสมที่กับการที่เขากล้าแหกหน้าฉัน แต่ถ้าเธอจะยอมโง่จนวันหนึ่งต่อให้กลับตัวกลับใจก็คงไม่ทัน สมัยนี้งานมันหายากนะ ถ้าหากว่าประวัติเธอถูกขึ้นบัญชีดำขึ้นมาล่ะก็มันก็ช่วยไม่ได้”

เธอคว้ากระเป๋าสะพายขึ้นคล้องบนบ่าแล้วลุกขึ้นยืนช้าๆ สีหน้าและแววตาของเธอดูมั่นอกมั่นใจในสิ่งที่พูดจนผมนึกกลัวว่าเธอจะทำให้คุณตรีเดือดร้อน

คุณดิวเธอไปแล้ว เหลือแค่ผมที่ยังนั่งอยู่ที่เดิมกับจิตใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สมองก็คอยแต่จะคิดว่าเธอเอาอะไรมามั่นใจว่าคุณตรีชอบผม แล้วถ้าเรื่องนี้รู้ถึงหูคุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงเรื่องมันจะยิ่งยุ่งยากไปมากกว่านี้ไหม

จริงๆผมไม่ควรคิดมากเพราะผมไม่อยากเชื่อว่าคุณตรีจะคิดแบบนั้นกับผม คนอย่างคุณตรีหาผู้ชายชาติตระกูลดีๆ หน้าตาดีๆที่ชอบผู้ชายเหมือนกันได้ไม่ยาก มันจะเป็นไปได้ยังไงที่เขาจะมาชอบเด็กปอนๆอย่างผม

แต่ถ้ามันเป็นเรื่องจริงล่ะ มันจะเป็นได้เหรอ คุณตรีเนี่ยนะชอบผม คำพูดทิ้งท้ายของคุณดิวยังคงดังก้องอยู่ในหัวผมไม่หยุด


‘ถอยตอนนี้ยังทันนะ ก่อนที่นายจะกลายเป็นเมียเจ้านาย แล้วก็จบอนาคตตัวเองไปพร้อมๆกัน’


ไม่จริงหรอก มันจะต้องไม่เกิดขึ้น คุณดิวคิดมากไปเอง ใช่ ต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ

คุณดิวคิดไปเองทั้งนั้น คุณตรีไม่มีทางชอบคนอย่างผม

ไม่มีทาง...มั้ง




...................
เราขอโทษที่ทำให้ทุกคนผิดหวัง อยากได้ฉาก18+ เหรอจ๊ะ รอไปก่อนนะ ช้าหน่อยแต่เดี๋ยวก็มี...มั้ง 555555

หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่20:ผมขอโทษที่ทำให้คุณรู้สึกไม่ดี 1-04-20 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 01-04-2020 21:06:35
CATER TO YOU
ตอนที่20
ผมขอโทษที่ทำให้คุณรู้สึกไม่ดี


ผมเพิ่งรู้ตัวว่าทำพลาดครั้งใหญ่กับการส่งข้อความไปหาคุณตรีว่าคุณดิวมาที่บ้านเพื่อพบผม ถ้าผมรู้ว่าคุณดิวจะพูดเรื่องอะไร ผมคงจะไม่ส่งข้อความไปหาคุณตรี แล้วปล่อยเรื่องนี้ให้หายเข้ากลีบเมฆไปแทน เหมือนสายลมที่พัดผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่เมื่อคุณตรีรู้เรื่องแล้ว สิ่งที่เขาต้องการมากๆในตอนนี้ก็คือคำตอบ

“ว่ายังไงฟ้า ดิวมาที่นี่ทำไม” เขาถามน้ำเสียงเครียดและจริงจังตั้งแต่เข้ากลับมาบ้าน

เพราะผมมัวแต่คิดเวิ่นเว้อ จนลืมไปเสียสนิทว่าตัวเองส่งข้อความไปหาคุณตรี และเมื่อเขากลับมาผมควรจะเตรียมคำตอบเอาไว้แล้ว จะเรียกว่าเป็นคำโกหกก็ได้ อย่างน้อยมันน่าจะดีกว่าพูดความจริงออกไป

แต่แล้วยังไง ผมไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้นเพราะมัวแต่จมจ่ออยู่กับความคิดอันแสนจะไร้สาระ มารู้ตัวอีกทีคุณตรีก็เข้าประชิดตัวแล้ว

“คือ ไม่มีอะไรหรอกครับ” ผมคิดไม่ออกจริงๆว่าจะบอกความจริงยังไง จะให้บอกเหรอคุณดิวพูดว่าเขาชอบผม รู้สึกกระด้างที่จะพูดชะมัด

คุณตรีจ้องผมเขม็ง เขาค่อยๆก้าวเข้ามาใกล้ ทำให้ผมต้องเดินถอยหลัง ถ้าเขายังไล่ต้อนอยู่แบบนี้ อีกไม่นานผมต้องจนมุม เพราะด้านหลังของผมเป็นเคาน์เตอร์บาร์หน้าครัว

“เดี๋ยวนี้หัดโกหกเหรอฟ้า หืม”

ทำไมเขาดูออก ผมไม่เนียนขนาดนั้นเลยเหรอ

“ผมเปล่านะ” เราต้องยืนหยัดไว้ครับ แต่ขาของเราก็ต้องก้าวถอยหลังหนี จนในที่สุดก็มาถึงทางตัน คุณตรีใช้แขนทั้งสองข้างวางท้าวกับเคาน์เตอร์บาร์กักตัวผมไว้

“เปล่าอะไร” เขาก้มหน้าลงมาใกล้ ใช้น้ำเสียงกระซิบที่น่ากลัว

“คุณตรี ถอยไปหน่อยครับ” ใกล้ขนาดนี้ ผมหัวใจวายขึ้นมาทำไง

‘ถ้าไม่บอกว่าเป็นแค่ลูกน้อง ใครก็คิดว่านายสองคนเป็นแฟนกัน เจ้านายลูกน้องเนี่ยต้องจับมือถือแขนกันเหรอ ต้องทำตัวติดกันขนาดนั้น’

หรือมันจะเป็นความจริง

ผมแทบจะกลั้นลมหายใจ ไม่กล้าสบตาเขา รู้อยู่ว่าเขากำลังจ้องปฏิกิริยาของผม มันทำให้ผมเกร็งไปหมดจนคิดอะไรไม่ออก

“บอกฉันมาว่าดิวมาทำอะไร คงไม่ได้แค่มาเฉยๆแน่นอน นายเองก็ส่งข้อความไปบอกฉันว่าเขามาหานาย มันต้องมีจุดประสงค์นะว่าไหม”

คิดสิฟ้า คิดสิว่าจะอ้างอะไรดี ถึงเหตุผลว่าคุณดิวมาทำไมแล้วทำให้คุณตรีเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัย

แต่ผมมันก็แค่คนโง่ๆคนหนึ่ง ที่คิดไม่ออกว่าจะโกหกว่าอะไรดี ยิ่งในช่วงที่กำลังถูกกดดันยิ่งคิดไม่ออก

“เม้มปากทำไม ไม่อยากบอกขนาดนั้นเลยเหรอ”

ผมสะดุ้งเมื่อนิ้วโป้งของเขาลูบริมฝีปากของผม เขาลูบเบาๆให้ผมคลายริมฝีปากออกจากกัน เป็นสัมผัสที่นุ่มนวลมากกว่าจะบังคับ

“มันไม่มีอะไรหรอกครับ คุณเขาก็แค่โมโหที่รู้ว่าคุณตรีชอบผู้ชาย ก็เลย...มาบ่น”

ใช่ อันนี้ผมไม่ได้โกหกนะครับ คุณดิวเธอบ่นจริงๆ บ่นยาวเหยียดด้วย

“เพิ่งรู้ว่านายสนิทกับดิวจนถึงขนาดมาบ่นให้ฟังได้”

“ไม่ได้สนิทนะครับ” ผมรีบพูดเกินไป และเผลอขยับสายตาขึ้นไปมองตาเข้าด้วย เหมือนทำผิดพลาดอีกครั้งที่สบตาเขา สายตาที่จับจ้องมามันทะลุทะลวงจนผมตัวสั่น

“บอกมาเถอะฟ้า นายไม่บอกฉันก็รู้ ฉันแค่อยากฟังจากปากนาย” เขาพูดอย่างเป็นต่อ นอกจากจะต้อนผมทางร่างกายแล้ว ก็ยังต้อนผมให้เผยความลับทางคำพูดและสายตาอีก

“คุณตรีครับ” ผมไม่อยากพูด

“นายคิดว่าสิ่งที่ดิวพูดเป็นเรื่องจริงไหม”

ผมตาโตเมื่อได้ยินคำถามของผู้ชายตรงหน้า เขารู้จริงๆเหรอ รู้ได้ยังไง ผมกวาดสายตามองไปรอบบ้าน แอบคิดว่าในบ้านหลังนี้มีเครื่องดักฟังหรือเปล่า

“ดูทำท่าเข้า ระแวงว่าฉันจะทำอะไรแปลกๆหรือยังไง”

“คุณตรีรู้จริงเหรอครับ” ไม่น่ามั้ง ทำไมเขาทำท่ามั่นใจเหมือนว่าตัวเองรู้

“คิดว่ายังไงล่ะ”

ผมส่ายหน้า คิดไม่ออกจริงๆ และเริ่มไม่อยากคิดแล้วด้วย

“เห้อ เอาเถอะ ถ้านายไม่อยากพูด ฉันจะเป็นคนพูดเอง เธอมาบอกนายใช่ไหมว่าฉันชอบนาย ฉันพูดถูกไหม”

สรุปคือเขารู้ เป็นไปได้ยังไง

“คะ คุณตรี...รู้ได้ยังไงครับ”

“ฉันต้องบอกเหรอว่ารู้ได้ยังไง ในเมื่อฉันถามอะไรนาย นายยังไม่บอกฉันเลย” แล้วทำไมเขาต้องทำน้ำเสียงแข็งเหมือนไม่พอใจด้วย แต่ไม่ถึงขนาดโกรธ ไม่อยากคิดหรอกว่าเขากำลังงอน มันออกจะเกินไปสักหน่อย

“ก็ผม...”

“ก็ผมอะไร”

“ก็ผมไม่กล้าพูดนิครับ” ในเมื่อเขารู้ความจริง ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องปิดบัง

“ทำไมจะต้องไม่กล้าพูด”

“ก็มัน...”

เขิน

“ฉันเพิ่งรู้ว่านายเป็นโรคพูดติดอ่าง” เขายิ้มล้อเลียน ผมว่าคุณตรีต้องไม่สบายแน่ๆ ทำไมเขาถึงอารมณ์เปลี่ยนไปเปลี่ยนมารวดเร็วอย่างนี้

“ไม่ใช่นะครับ”

“ไม่ใช่ได้ยังไง นายเอาแต่พูด ก็ผม ก็มัน อึกๆอักๆอยู่อย่างเดียว”

ผมได้แต่ถอนหายใจแล้วอยากจะร้องไห้งอแงเป็นเด็กๆ ผมกำลังโดนเขาแกล้ง รู้เลยว่าเขาแกล้งแน่ๆ ทั้งน้ำเสียง สีหน้า และแววตาที่พราวระยิบระยับ แถมยังขยับเข้ามาใกล้จนตัวเราจะติดกันอยู่แล้ว

“คุณตรีอย่าเข้ามาใกล้ขนาดนี้สิครับ” ผมพูดเสียงเบา

“ทำไม รังเกียจเหรอ” เอาอีกแล้ว เขาถามคำถามนี้อีกแล้ว

“เปล่าครับ” แล้วผมก็พูดไปหลายครั้งแล้วด้วยว่าผมไม่เคยรังเกียจ

“แล้วสรุปนายคิดยังไงกับสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นบอก” เขายังไงคงลืมเรื่องนี้

“ผมว่ามันไม่จริงหรอกครับ คุณตรีเหรอจะชอบผม ผมว่าคุณดิวคิดมากไป ฮ่าๆๆ” ผมหัวเราะกลบเกลื่อน แต่คนฟังไม่ขำด้วย

“เอ่อ คุณตรี ไม่ได้ชอบผมใช่ไหมครับ” พูดเองก็บีบหัวใจเอง ผมไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองแอบคาดหวังให้มันเป็นความจริง พอเห็นเขานิ่งก็อาจจะเป็นไปได้ว่าผมก็คิดถูกที่ว่าเขาคงไม่มีทางชอบผมหรอก

คุณตรีเขาอยู่สูงเกินกว่าที่จะมาชอบคนอย่างผม

“แล้วถ้าฉันบอกว่าชอบล่ะ นายจะไปจากฉันไหม จะทิ้งฉันไปหรือเปล่า” เขาใช้น้ำเสียงตัดพ้อถาม ซึ่งผมหูอื้อไปหมดแล้ว ประโยคเมื่อกี้มันหมายความว่าเขาชอบผมอย่างนั้นเหรอ

“คุณตรี”

“ถ้าฉันชอบนาย นายจะรังเกียจฉันใช่ไหม”

“ไม่!” ผมมีปฏิกิริยาเร็วเสมอกับคำถามนี้ของเขา

“แต่นายก็คงไม่ชอบให้ผู้ชายด้วยกันมาชอบใช่ไหม”

“คือ ผม...” ไม่ใช่ผมไม่ชอบ แต่ผมไม่เคยคาดหวังให้มันเป็นอย่างนั้น เพราะคุณตรีอยู่สูงเกินเอื้อม

“โอเค ฉันเข้าใจ ขอโทษทีที่ทำให้อึดอัด” คุณตรีพูดเสียงแหบแห้ง แล้วปล่อยตัวผมให้เป็นอิสระอย่างรวดเร็ว

ผมได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อมองคุณตรีเดินห่างออกไปแล้วหายขึ้นไปบนบ้าน ผมยกมือลูบหน้าตัวเองแล้วเอามาจับที่หน้าอก หัวใจผมเต้นแรงมาก แรงจนคิดว่ามันจะกระเด็นออกมาด้านนอก ผมสูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ เพื่อปรับสภาพจิตใจให้คงที่

คุณตรีชอบผม...อย่างนั้นเหรอ

มันเป็นเรื่องจริงเหรอเนี่ย

ผมมองไปทางบันได น้ำเสียงสุดท้ายที่เขาพูดยังติดอยู่ที่หู มันอ่อนระโหยเหมือนคนไม่มีแรง เหมือนเขากำลังเสียใจ แล้วมันเพราะอะไรล่ะ หรือเขาจะคิดว่าผมรังเกียจเขาจริงๆ ทั้งๆที่ผมก็ตอบไปหลายครั้งแล้วว่าผมไม่ได้รังเกียจ แต่เขาก็ถามมันหลายครั้งมากคล้ายคนที่ไร้ความมั่นใจ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เหมือนไม่ใช่คุณตรี เขาออกจะเป็นคนมั่นใจในตัวเองด้วยซ้ำ ผมคิดว่าเขาเป็นแบบนั้น

ผมไม่ได้ขึ้นไปตาม แต่เลือกที่จะเข้าครัวเตรียมอาหารเย็นให้คุณตรีแทน ผมทำต้มจืดเต้าหู้ไข่ใส่สาหร่าย แล้วก็มีปลานิลแดดเดียวทอด อาหารรสชาติอ่อนๆแต่อร่อยแบบที่คุณตรีโปรดปราน สองเมนูนี้ถ้าผมทำทีไรคุณตรีต้องขอเบิ้ลถึงสามจานเลยทีเดียว ผมทำเพื่อเอาใจเขาโดยเฉพาะ เพราะไม่อยากให้เขาคิดมาก

แต่ผมนั่งรอด้านล่างจนเลยเวลาอาหารเย็น คุณตรีขึ้นไปบนห้องแล้วก็หายไปเลย ทุกทีที่เขากลับมาจากที่ทำงาน คุณตรีจะขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงมานั่งเล่นด้านล่างเพื่อรอทานอาหารเย็น
 
ตอนนี้ก็ทุ่มหนึ่งแล้ว เขาก็ยังไม่ลงมา ผมตัดสินใจขึ้นไปตาม ผมเคาะประตูห้องทำงานเผื่อว่าเขาจะนั่งทำงานอยู่ในนั้น แต่ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ พอเปิดประตูเข้าไปก็เจอแต่ความว่างเปล่า

ถ้าไม่ใช่ห้องทำงาน ก็เหลือแค่ห้องนอน

ผมเดินไปเคาะประตูห้องนอน แต่ก็เหมือนเดิม คนที่อยู่ข้างในไม่ตอบรับอะไร ผมจึงบิดลูกบิดประตูเพราะคิดว่ามันจะเปิดออกได้เหมือนทุกที แต่ผมคิดผิด คุณตรีล็อกห้อง ทั้งๆที่เขาไม่เคยล็อกเลยตั้งแต่ผมย้ายเข้ามาอยู่

“คุณตรีครับ ได้เวลาทานข้าวเย็นแล้วนะครับ” ผมเคาะประตูแล้วส่งเสียงเรียกเขาอีกรอบ แล้วก็มีแต่ความเงียบตามเคย

เขาเป็นอะไรหรือเปล่า นั่นคือสิ่งที่ผมเป็นกังวล

“คุณตรีครับ เปิดประตูให้ผมหน่อย”

แกร๊ก

“คุณตรี” ผมเรียกชื่อเขาทันทีด้วยความดีใจ ที่เขายอมเปิดประตูให้ผม แต่ทุกคำพูดต้องชะงักลง เมื่อเห็นว่าคุณตรีอยู่ในชุดหล่อที่เหมือนพร้อมจะออกไปข้างนอก

คุณตรีไม่พูดอะไร แต่เดินผ่านผมไป จังหวะนั้นคล้ายมีลมที่เย็นยะเยือกพัดผ่านร่างผมไป สร้างความหนาวเหน็บเสียดร่างอย่างบอกไม่ถูก

เขาโกรธผมเหรอ

“คุณตรีจะไปไหนครับ ผมทำกับข้าวเย็นไว้แล้ว”

“ฉันจะออกไปข้างนอก นายกินเลย” คุณตรีพูดโดยไม่มองหน้าผม มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะมองไม่ออกว่ามันไม่ปกติ

ความห่างเหินนี้มันคืออะไร

“คุณตรีจะกลับดึกไหมครับ”

เขาชะงักฝีเท่าที่กำลังจะก้าวออกจากบ้าน แล้วเอียงตัวหันมามองผมแวบหนึ่ง ผมอ่านสายตาเขาไม่ออก แต่มันว่างเปล่าเสียใจจนหาย

“อาจจะไม่กลับ นอนเลยก็ได้ไม่ต้องรอ”

อะไรคือไม่กลับ ถ้าไม่กลับบ้านแล้วคุณตรีจะไปนอนที่ไหน

ผมไม่ได้ถามอะไรอีก ยืนเป็นใบ้บื้ออยู่ที่เดิมจนแสงไฟท้ายรถคุณตรีเคลื่อนออกจากรั้วหน้าบ้านไป คุณตรีโกรธผมอย่างนั้นเหรอ

ผมควรทำยังไงดี ตอนนี้ผมเครียดไปหมดแล้ว

‘แล้วถ้าฉันบอกว่าชอบล่ะ นายจะไปจากฉันไหม จะทิ้งฉันไปหรือเปล่า’

ผมไม่ได้จะทิ้งเขา แต่เขาต่างหากที่ทิ้งผม

ผมไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย ความรู้สึกโลภละโมบอยากได้บางสิ่งบางอย่างจนแทบควบคุมตัวเองไม่ได้ ถ้าเราเกิดความคาดหวังแล้วสิ่งนั้นมันไม่เป็นไปตามที่หวังผมจะต้องเสียใจแล้วก็ทุกข์ทรมาน

ตอนนี้ผมกำลังเป็นแบบนั้น ผมดันไปหลงระเริงกับสิ่งที่คุณดิวบอก จนส่วนลึกในจิตใจเกิดความคาดหวังขึ้นมา ใครบ้างที่รักใครแล้วไม่อยากให้เขารักตอบ

ที่ผมทำเหมือนไม่อยากให้เรื่องที่คุณตรีชอบผมเป็นเรื่องจริง เพราะผมกลัวการสูญเสีย ผมกลัวว่าวันหนึ่งผมจะเสียเขาไป แล้วผมไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น ผมบอกแล้วว่าผมอยู่ในฐานะไหนก็ได้ ต่อให้เป็นแค่คนรับใช้เขาไปจนตาย แต่นั่นก็หมายความว่าผมได้มีเขาอยู่ข้างกาย ได้เห็น ได้ดูแลเขาอย่างที่ผมต้องการ

ขอแค่ยังมีเขาในชีวิตแค่นั้น ผมไม่ได้ต้องการอะไรไปมากกว่านี้
ผมเครียดจนต้องโทรไปหาแจ็ค เพราะไม่รู้จะหันหน้าไปปรึกษาใคร มีแค่แจ็คคนเดียวที่รู้จักคุณตรี แล้วรู้ว่าผมชอบผู้ชาย

“ว่าไงมึง กูทำงานอยู่” แจ็คมันดูรีบเร่งคงเพราะทำงานอยู่ ผมก็ลืมไปเสียสนิท

“โทษที มึงทำงานเถอะ ขอโทษที่โทรมารบกวน”

“มึงมีอะไรหรือเปล่า น้ำเสียงมึงดูไม่ดีเลย”

“อืม มีเรื่องนิดหน่อย แต่เดี๋ยวรอมึงเลิกงานก็ได้” ช่วงหัวค่ำที่ร้านคนเยอะ เพราะลูกค้าเลิกงานมาก็มาหาอาหารเย็นทานกัน ไม่แปลกที่แจ็คมันจะมีน้ำเสียงที่ดูรีบร้อน

“เรื่องใหญ่ไหม รอได้ใช่ไหมมึง”

“อืม ไม่ใช่เรื่องใหญ่มากหรอก” มั้ง...ก็แค่ปัญหาหัวใจ

“เออๆ ถ้ามีช่วงพักเดี๋ยวกูโทรหา”

“อืม ขอบใจนะ”

ผมวางแล้วแล้วก็เดินออกไปดูที่นอกรั้วบ้าน ไม่รู้ว่าทำไปทำไม ด้านนอกก็ว่างเปล่าไม่มีรถของคุณตรี เขาคงออกไปข้างนอกแล้วจริงๆ เวลากลางคืนแบบนี้ผมก็ไม่รู้ว่าเขาจะออกไปที่ไหน

ถึงเขาจะพูดว่าคืนนี้อาจจะกลับไม่กลับ แต่ผมก็ยังรอ ออกไปเดินดูแถวหน้ารั้วบ้านบ้าง เผื่อว่าผมจะเห็นรถเขาขับเข้ามา จนแล้วจนรอดก็ไม่มีรถสักคันขับเข้ามา ผมนั่งรอจนสี่ทุ่มกว่า และก่อนที่ผมจะว้าวุ่นใจไปมากกว่านี้ แจ็คก็โทรกลับมา

“ขอโทษทีนะมึง วันนี้ที่ร้านยุ่งมาก กูเพิ่งจะได้พัก”

“แล้วมึงกินข้าวแล้วเหรอ”

“กินแล้ว แล้วมึงมีเรื่องอะไร”

“คือกูมีเรื่องอยากจะปรึกษา” ผมก็ไม่รู้ว่าควรเล่าดีไหม แต่มันอึดอัดไปหมด

“เรื่องอะไร”

“เรื่องคุณตรี คือ แบบว่า คือ”

“จะคืออีกนานไหม กูมีเวลาพักแปบเดียว ไม่อย่างนั้นมึงไปคิดมาให้ดีว่าจะพูดอะไร สักตีหนึ่งกูจะโทรไปใหม่”

“เห้ย เดี๋ยว” ผมรีบเรียกมันไว้ ใครจะไปทนรอจนถึงตอนนั้นได้ แต่ผมไม่รู้จะเริ่มเล่ายังไง

“สรุปมึงจะเอายังไงฟ้า”

“เออๆ กูเล่าแล้ว กูแค่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน”

“ตรงไหนก็ได้ สั้นๆ ตรงเข้าประเด็นมาเลย”

“คุณตรีเขาบอกว่าชอบกู”

“อ่อ คุณตรีเขาชอบมึง แค่นี้”

“...”

“...”

แล้วมันก็เงียบไป ผมได้แต่เม้มปากแน่น

“มึงพูดว่ายังไงนะ” แจ๊คเหมือนจะตั้งสติได้แล้ว มันจึงถามกลับมา

“กูบอกว่าคุณตรีเขาพูดว่าเขาชอบกู มึงคิดว่าไง”

“เอาจริงๆกูก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ แต่ก็ตกใจนิดหน่อย”

“ทำไมมึงถึงไม่แปลกใจ” ผมถามด้วยความสงสัย แจ็คมันเจอคุณตรีแค่สองครั้งเท่านั้น ทำไมมันถึงพูดเหมือนรู้อะไรมา

“กูจะแปลกใจทำไม กูก็แอบคิดเล่นๆว่าเขาชอบมึง ก็ตอนไปตลาดเปิดท้ายอ่ะ เดินตัวติดมึงไม่ห่าง สายตาที่มองมึงก็โคตรจะหวานโคตรจะเอ็นดู มันเกินกว่าเจ้านายลูกน้อง เฮียชาร์ปเอ็นดูมึงขนาดไหนก็ยังไม่โอ๋มึงเท่านี้เลย จะกินอะไร อยากได้อะไร ระวังนะเดี๋ยวเดินชน แถมยังเดินกอดคอมึงอีก มึงคิดว่าผู้ชายปกติดีๆเขาทำกับเหรอ คิดสิไอ้หนู คิดสิคิด”

ผมถึงกับพูดไม่ออก ผมไม่เคยสังเกต และแม้ว่าคุณตรีจะทำแบบนั้นจริงๆ ช่วงเวลานั้นผมคงมีความสุขจนไม่ทันได้คิดอะไร

“แล้วกูควรทำยังไงดี” ผมคงต้องยอมรับแล้วว่าคุณตรีเขาชอบผม แต่ชอบเมื่อไหร่ ชอบได้ยังไงอันนี้ผมไม่รู้

“มึงต้องทำอะไร มึงก็ชอบผู้ชายไม่เหรอ มึงชอบเขาไหมล่ะ ชอบเขาก็คบ ไม่ชอบก็บอกเขาไปว่ามึงไม่ได้ชอบเขาแบบที่เขาชอบมึง”

“แจ็ค”

“อะไร”

“กูชอบคุณตรี” ผมสารภาพออกไปตรงๆ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ผมต้องการที่ปรึกษามาช่วยแก้ไขปัญหาหนักอก

“เอ้า มึงก็ชอบเขาแล้วมันเป็นปัญหาที่ตรงไหนวะกูงง” แจ๊คมันพูดเสียงเหวี่ยง

“มึงไม่เข้าใจหรอกไอ้แจ๊ค”

“มึงพูดมา กูไม่เข้าใจตรงไหน”

“ก็คุณตรีเขาสูงเกินกว่ากู เหมือนดอกฟ้ากับหมาวัดอ่ะ มึงเข้าใจกูไหม กูไม่อาจเอื้อมหรอก” ผมพูดเสียงเบาแผ่ว

“แม้ว่าดอกฟ้าจะโน้มตัวลงมาหามึงทั้งตัวแล้วเนี่ยนะ มึงบ้าเปล่าเนี่ยฟ้า โอยกูละปวดหัวกับมึง”

“กูรู้สึกว่ากูไม่คู่ควร”

“มึงจะคิดมากทำไม คนที่เขาควรคิดมากว่ามึงเหมาะสมกับเขาไหมเขายังไม่คิดเลย มึงเล่นตัวเหรอ ยังจะกล้าเล่นตัวอีกนะ หน้าตาก็ไม่ดีแถมยังจนอีก มึงยังกล้าไปหักอกเขาเหรอ”

“ก็เปล่า” ไม่ได้จะไปหักอกคุณตรีสักหน่อย ใครจะไปกล้า

“เชื่อว่ามึงปฏิเสธเขา ถึงได้มานั่งเครียด”

“ก็บอกว่าเปล่าไง คือกูไม่ได้พูดอะไร ก็กูไม่รู้จะทำตัวยังไงเนี่ย กูไม่กล้าบอกเขาว่ากูก็ชอบเขา จริงๆกูรักเขาด้วยซ้ำ”

ก็คือว่า...ตอนนั้นผมไม่กล้าพูดไง แบบ เอ่อ ผมคงจะติดอ่างอย่างที่คุณตรีบอก แต่ถ้าเขายืนรอให้ผม เออๆ อาๆ อีกนิดหนึ่ง เขาอาจจะได้ฟังผมบอกความในใจ จะได้ไม่เข้าใจผมผิด

โอย ยิ่งคิดยิ่งเครียด อยากตบปากตัวเองจริงๆ ติดอ่างเก่ง

“กูปวดหัวจริงๆนะเนี่ย เดี๋ยวกูต้องกลับไปทำงานละ มึงฟังกูให้ดีนะไอ้ฟ้า ชีวิตคนเรามันสั้น จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ อะไรที่เป็นความสุขก็รีบคว้าเอาไว้ ถ้าเขาชอบมึงแล้วมึงไม่เอาเขา เขาก็ต้องเสียใจ มึงอยากให้คนที่มึงรักเสียใจเหรอ ต่อให้คบกันไปแล้วไปกันไม่รอด ก็ยังดีกว่ายังไม่ได้ลอง ลองให้รู้ว่าไม่รอด จะได้ไม่ต้องนึกเสียใจภายหลัง มึงคิดดูดีๆ กูวางล่ะ มีไรโทรมา เฮียจะแดกหัวกูแล้ว”

ปิ๊บ!

แจ็คร่ายผมเสียยาวแล้วก็ตัดสายไปเสียดื้อๆ ทิ้งไว้แค่คำพูดของมันที่ดังวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาในหัวของผม

แล้วผมต้องทำยังไง บอกคุณตรีไปเลยเหรอว่าผมเองก็ชอบเขา เรามาคบกันเหรอ อย่างนี้อ่ะนะ ไหนจะเรื่องที่บ้านคุณตรีอีก ถ้าพ่อแม่ของคุณตรีรู้มันต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ โอย ผมเครียด!




CATER TO YOU
ตอนที่21
เด็กดื้อต้องถูกต้อนให้จนมุม


[THREE]

“แล้วมึงก็ไปแกล้งน้องมันเนี่ยนะ” ไอ้ทิศมันมองผมเหมือนเป็นผู้ร้ายหลังจากที่ผมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้มันฟัง ก่อนจะออกมาหาพวกมันตามที่นัดกันเอาไว้ตั้งแต่ตอนเที่ยง

“ก็เด็กมันดื้อ” ผมยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม

“น้องมันดื้อหรือมึงร้าย เอาดีๆ” เจมส์มันว่า

“มึงจะรู้อะไร ฟ้าน่ะดื้อเงียบสุดๆ”

นึกไปถึงตอนที่ดื้อแพ่งไม่ยอมปริปากบอกว่าดิวมาพูดอะไร ปกติค่อนข้างจะเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่ายด้วยซ้ำ แต่ครั้งนี้ไม่ว่าจะถามจะขู่ยังไงก็ไม่ยอมปริปากบอก กลายเป็นคนที่ต้องเป็นคนพูดมันออกมาเอง

ถ้าถามว่าผมรู้ได้ยังไงว่าดิวพูดว่าอะไร นั่นก็เพราะผมบึ่งรถกลับมาที่บ้านทันทีหลังจากที่ฟ้าส่งข้อความมาบอก ผมจอดไว้ด้านนอกแล้วเดินเข้ามาในบ้านเพื่อไม่ให้คนข้างในรู้ว่าผมกลับมา ผมมาไม่ทันฟังช่วงแรกๆ แต่ช่วงหลังผมได้ยินชัดเจน ผมรอจนกระทั่งดิวกลับไป เห็นฟ้าเอาแต่นั่งเหม่อลอย บ้างก็ทำหน้าเหมือนจะยิ้ม บ้างก็ทำหน้าเหมือนคนเครียด ผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่เลยให้เวลาเขาสักหน่อย ก่อนที่จะเดินออกไปเอารถแล้วขับกลับเข้ามาในบ้าน

ที่ผ่านมาผมพอจะรู้ว่าฟ้าก็อาจจะมีใจให้ผม เขาอาจจะไม่รู้ว่าตัวเองหลุดแสดงอาการออกมาบ่อยครั้ง เขาจะเขินและไม่กล้าสบตาเวลาที่ผมเข้าไปใกล้ ใจเขาเต้นแรงเสมอเวลาที่ผมสัมผัสโดนตัวเขา และฟ้าก็ไม่เคยปฏิเสธ เวลาเผลอเขามักจะทอดสายตามองมาที่ผม สายตาของเขาบอกผมอย่างโจ่งแจ้งว่าเจ้าตัวคิดอะไร จะมีเพียงตัวฟ้าเองที่ไม่รู้ แล้วคิดว่าตัวเองเก็บอาการได้อย่างแนบเนียน

และถึงผมจะรู้ความรู้สึกของฟ้า และผมเองก็ชอบเขา แต่ผมไม่ได้คิดจะเร่งรีบในความสัมพันธ์ของเขา เพราะผมยังมีงานที่ผมต้องรับผิดชอบ ผมไม่รู้ว่าผมจะทำสำเร็จไหม ผมจึงไม่อยากดึงฟ้าเข้ามาเจอเรื่องยุ่งยากวุ่นวายเกี่ยวกับครอบครัวของผม กะไว้ว่ารอให้ทุกอย่างเรียบร้อย ผมค่อยลงมือจีบฟ้าเต็มตัว ใครจะคิดว่าผู้หญิงที่ทางบ้านผมหามาให้จะก่อเรื่อง

แต่มันก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้น ออกจะดีด้วยซ้ำ ถือว่าช่วยร่นระยะเวลาในการสานความสัมพันธ์ระหว่างผมกับฟ้า ไว้จะส่งของขวัญไปขอบคุณทีหลัง

ทุกคนอาจจะคิดว่าผมเก่งและเฟอร์เฟค แต่จริงๆมันก็ไม่ใช่ ผมก็แค่ผู้ชายคนหนึ่งที่มีแค่สองมือหนึ่งสมอง จะให้ผมจัดการปัญหาทุกอย่าง ความรัก ครอบครัว งานในเวลาเดียวกันผมทำไม่ได้ และคิดว่าถ้าเร่งรัดทำทั้งสามอย่างพร้อมกัน ผลลัพธ์มันจะออกมาไม่ดีเท่าที่ควร เพราะผมอยากให้ทุกอย่างมันออกมาดีที่สุด ผมจึงอยากค่อยๆแก้ไปทีละเรื่อง เริ่มจากเรื่องงาน เรื่องฟ้า และค่อยเป็นเรื่องครอบครัว

“แต่กูว่ามึงอย่าเพิ่งดีใจไปดีกว่านะไอ้ตรี เท่าที่มึงเล่ามาเนี่ย ฟ้าเลี่ยงมึงไม่ใช่เหรอ ไม่แน่ว่าน้องเขาอาจจะไม่ได้คิดอะไรกับมึงก็ได้นะ เป็นมึงที่มโนไปเอง”

“นั่นปากคนหรือปากหมาที่พูด

“เอาวะๆ ของขึ้นซะด้วย ฮ่าๆๆ” แล้วพวกมันก็รุมกับหัวเราะเยาะผม

“กูมั่นใจว่าฟ้าก็ชอบกู” ผมไม่คิดเข้าข้างตัวเองแน่ๆผมมั่นใจ

“อ้าว ถ้าน้องชอบมึง น้องก็ต้องดีใจดิวะที่มึงก็ชอบน้อง แต่มึงบอกว่าฟ้าไม่ยอมเล่า แถมยังทำเหมือนไม่เชื่อว่ามึงชอบอีก ไม่คิดว่ามันเป็นการเลี่ยงที่จะยอมรับเหรอวะ แบบถ้าไม่รู้ว่ามึงชอบ น้องก็ไม่ต้องแบกรับความรู้สึกของมึงไง” ทิศมันพูดจริงจังจนทำเอาผมหวั่นใจไปด้วยว่าจะเป็นอย่างที่มันคิดหรือเปล่า

“แต่กูมั่นใจว่าฟ้าก็ชอบกู” ผมยังคงย้ำในสิ่งที่ผมสัมผัสได้ เหมือนไม่อยากให้ตัวเองเขวไปกับคำพูดของเพื่อน

“หรือไม่ก็มีอีกอย่างนะ ฟ้าไม่กล้าไม่คิดว่ามึงชอบ เพราะน้องมันกลัวหรือเปล่า แบบถ้าลองคิดในมุมน้อง คงคิดว่าไม่มีอะไรคู่ควรกับไอตรีมันไง ก็รู้ๆกันอยู่ว่าครอบครัวมึงร้ายกาจขนาดไหน น้องมันก็คงกลัวแหละ” เจมส์พูดตรงกับสิ่งที่ผมคิด ซึ่งผมก็ไม่ได้แปลกใจที่ฟ้าจะมีอาการตอบโต้แบบนี้ เพราะฟ้าเป็นเด็กดี ไม่เคยโลภอยากได้อยากมีเหมือนใครเขา เพราะความน่ารักตรงนี้ถึงทำให้ผมชอบ

ฟ้าบริสุทธิ์จนน่าทำให้แปดเปื้อน คุณคิดว่างั้นไหม หึหึ

แต่อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าผมเป็นคนโรคจิตนะ ผมแค่ชื่นชอบการกลั่นแกล้งเด็กคนนี้ก็แค่นั้นเอง พอเห็นเขามีอารมณ์โกรธ โมโห สับสน เขินอาย ผมก็มีความสุขจนล้นอก

“แล้วมึงคิดไง ถึงแกล้งทำเป็นงอนเด็กแล้วหนีออกมา” ไอ้ทิศทำหน้าสงสัย มันคงไม่เคยเห็นผมทำอะไรแบบนี้ ปกติผมจะนิ่งขรึมเหมือนคนจริงจังในชีวิตอยู่ตลอดเวลา

“ก็หมั่นไส้เด็ก ทำเหมือนจะตีตัวออกห่าง”

“แล้วน้องทำหน้ายังไงวะ”

“ก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้” ผมบอกตามที่เห็นก่อนจะเดินออกมาจากบ้าน ตอนนั้นผมเกือบหันกลับไปแล้วบอกว่าผมแค่แกล้งเล่นแล้ว  ถ้าฟ้าจะยอมให้ผมสักก้าวด้วยการเข้ามารั้ง แต่เขาก็ไม่ยอมทำ ดื้อจริงๆ

“เห้ย จริงเหรอวะ แกล้งแรงไปหรือเปล่า”

“เดี๋ยวกลับไปโอ๋ทีเดียว”

“มึงเปลี่ยนไปนะ ตอนกลับมาใหม่ๆมึงขรึมเกินจนพวกกูเกร็ง คิดว่ามึงไม่คิดว่าพวกกูเป็นเพื่อนแล้วซะอีก”

“ขอโทษที กูเครียดมากไปหน่อย แต่ตอนนี้โอเคขึ้นละ”

ผมยอมรับว่าเคยเป็นแบบนั้น ตั้งแต่ผมกลับมาผมก็ไม่ค่อยได้ออกมาเที่ยวเล่นกับเพื่อน ผมคิดเสมอว่าตัวเองไม่มีเวลาให้มานั่งไร้สาระ ยิ่งผมเอ้อระเหยมากเท่าไหร่ อิสรภาพของผมก็จะยิ่งห่างออกไปไกลมากกว่านั้น แต่คนที่ทำให้ผมรู้ว่าผมสามารถแบ่งเวลาให้งานและคนรอบตัวได้ก็คือฟ้า

ตั้งแต่จรดค่ำเขาหัวหมุนอยู่กับการดูแลผม แต่เขาก็มีเวลาที่จะติดต่อกับเพื่อน แวะไปพูดคุยทักทายกับคนนู้นคนนี้ในซอย ส่วนมากก็เป็นคนที่ฟ้าเคยไปทำงานด้วยหรือรู้จักคุ้นหน้าคุ้นตากัน

ชีวิตของเขาดูสมบูรณ์และมีความสุขทั้งๆที่เขาไม่ได้มีมากเท่าผม

เขาสอนผมโดยไม่ต้องพูดว่า ความสุขสามารถหาได้ง่ายๆจากสิ่งรอบตัวเพียงเขาคว้ามันเอาไว้ ผมจะไม่รู้สึกโดดเดี่ยวถ้าผมไม่คิดจะทิ้งคนที่หวังดีกับผมไว้ข้างหลัง ซึ่งตอนนี้ก็มีฟ้าและเพื่อนของผม วันนี้พอมันโทรมาบอกว่าอยากสังสรรค์กับระหว่างเพื่อน ผมก็เลยไม่ปฏิเสธ

“กลับไปก็อย่าไปแกล้งน้องมันอีกล่ะ”

“เออน่า” ผมชักจะหงุดหงิดแล้วที่พวกมันทำเหมือนเป็นห่วงคนของผมเกินหน้าเกินตา
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่22:ผมจะใช้ร่างกายของผมเยียวยาคุณ 3-04-20 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 03-04-2020 19:40:55
หลังจากนั้นผมก็นั่งคุยเรื่องงานกับทั้งสองคนต่อ เพราะผมเริ่มดำเนินการสั่งผลิตสินค้าและกำลังเตรียมแผนโปรโมท และการขายของง่ายๆอย่างหนึ่งก็คือขายคนใกล้ตัว ทั้งเจมส์และทิศอยู่ไทยตลอด ดังนั้นพวกมันมีคอนเนคชั่นในหลายสายงาน เลยตกลงว่าจะช่วยผมหาลูกค้า

ผมนั่งกินดื่มกับเพื่อนจนเที่ยงคืนก็ขอตัวกลับ ร้านที่ผมมานั่งกับเพื่อนเป็นร้านที่ไม่ได้อยู่ในถนนใหญ่ ขับลัดเลาะจากซอยบ้านผมมาได้ เลยไม่ต้องกลัวกับด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์ เพราะผมเองก็ดื่มมาประมาณหนึ่ง

ไม่รู้ป่านนี้เด็กที่บ้านจะหลับไปหรือยัง

ผมขับรถเข้ามาในบ้าน ภาพที่เห็นทำให้ผมแทบจะอยากจะถลาเข้าไปดึงเด็กที่นั่งก้มหน้าอยู่หน้าประตูในบ้านมากอด
พอเขาเห็นแสงไฟและเสียงรถยนต์ของผม ฟ้าก็ลุกขึ้นยืนแทบจะทันที

“คุณตรี” เสียงฟ้าสั่นเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเขานั่งอยู่ตรงนี้นานขนาดไหนแล้ว ผิวนอกร่มผ้าไม่โดนยุงดูดกัดไปหมดแล้วเหรอ

“ทำไมไม่นอน” ผมดัดน้ำเสียงให้นิ่ง ไม่ให้ดูอ่อนยวบจนเกินไปเพราะความสงสารปนเอ็นดู

“ผมรอคุณตรี ดื่มมาเหรอครับ แล้วขับรถกลับมายังไง” ฟ้าเดินเข้ามาใกล้ มองสำรวจผมทั่วทั้งตัว แววตาและน้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นห่วง

ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้จะทำให้ผมสุขใจไปถึงไหน

ทั้งชีวิตของผม นอกจากคุณย่าแล้ว ก็มีแค่ฟ้าเท่านั้นที่เป็นห่วงผมจากใจจริง มีแค่สองคนนี้ที่ใส่ใจดูแลผม รู้ว่าผมต้องการอะไร รู้ว่าผมชอบหรือไม่ชอบอะไร พ่อกับแม่ผมยังไม่ใส่ผมเท่านี้เลย คงไม่แปลกใจไหมที่ผมจะตกหลุมรักเด็กผู้ชายตรงหน้า

“ฉันไม่เป็นไร ไปนอนเถอะ” ผมบอกเขา ทำเหมือนไม่ใส่ใจ แล้วเดินผ่านตัวเขาเข้าประตูมา

หมับ!

เพียงก้าวเดียวที่ก้าวข้ามผ่านประตูมา แขนของผมก็ถูกสองมือเล็กที่ไม่ได้นุ่มนิ่มเหมือนมือผู้หญิงจับเอาไว้แน่น เขาลงแรงบีบจนรู้สึกเจ็บเล็กน้อย แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึก เหมือนฟ้ากำลังกลัวว่าผมจะเดินหนีไป เลยต้องจับไว้ให้แน่น

หึหึ จะด่าว่าผมเลวก็ได้ แต่ผมชอบฟ้าตอนนี้จริงๆ ฟ้าตอนที่โดนผมแกล้งน่ารักที่สุดแล้ว

“มีอะไร” ผมกลั้นยิ้มถามออกไป ฟ้ายังจับมือผมไว้ เขากระเถิบเท้าเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น แต่ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา
ผมควรหยุดแกล้งแต่ตรงนี้ดีไหม สงสารเหลือเกิน เดี๋ยวเด็กร้องไห้

“ผมขอโทษ” ฟ้าพูดเสียงอู้อี้ ดูเหมือนว่าจะไม่ทันแล้ว ผมทำเด็กร้องไห้เสียแล้ว

“ขอโทษเรื่องอะไร” ผมปรับน้ำเสียงให้กลับมาเป็นปกติ แต่คนที่กำลังก้มหน้าก้มตาหลบซ่อนน้ำตาคงไม่ทันสังเกตว่าผมไม่ได้ทำเสียงเย็นชาใส่

“ผมขอโทษที่ผมปิดบัง”

“เรื่องนั้นฉันก็ได้คำตอบแล้วไง”

ซื้ด

เสียงสูดน้ำมูกดังขึ้น ร่างกายของฟ้าสั่นสะท้านเล็กน้อย ผมถอนหายใจแล้วใช้มือข้างที่ช้อนจับที่ข้างแก้มบังคับให้ฟ้าเงยหน้าขึ้น
เม็ดน้ำตาไหลกลิ้งลงบนแก้มเนียน ผิวเนื้อรอๆดวงตาแดงก่ำจากการร้องไห้ จมูกก็แดง ริมฝีปากก็แดง เห็นแล้วก็ต้องยิ้มออก คนอะไรร้องไห้ก็ยังน่ารัก

“ร้องไห้ทำไม” ผมถาม ใช้มือที่ยังจับที่แก้มเช็ดน้ำตาให้

“ผมขอโทษ” ฟ้าสะอื้นพูดคำเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“ไม่มีคำอื่นจะพูดแล้วเหรอ” ผมคาดหวังอะไรที่มากกว่าคำว่าขอโทษจากปากจิ้มลิ้มนี่ ผมจับจ้องมองจุดที่น่าสนใจ ริมฝีปากของฟ้าในขณะนี้ดูบวมอิ่มมากกว่าปกติ คงเพราะเขาเม้มและกัดมันตลอดเวลาที่ตัวเองร้องไห้

“ผมไม่อยากให้คุณตรีโกรธผม” ฟ้าสะอึกเล็กน้อยตอนที่พูด

“ฉันไม่โกรธนายหรอก” ใครจะไปโกรธคนที่ดีกับผมขนาดนี้ได้ลงคอ

“แต่คุณตรี...ไม่พูดกับผม”

“...”

“คุณตรีไม่กินข้าวด้วย”

ผมปล่อยให้เขาพูด อยากรู้ว่าเขาจะพูดอะไรออกมาบ้างโดยที่ผมไม่ต้องตั้งคำถามหรือบังคับ

“ผมไม่ได้รังเกียจคุณตรีด้วยนะครับ ที่คุณตรีว่าชอบผม ผมไม่ได้อึดอัด ผมแค่ไม่อยากเชื่อเท่านั้นว่าคุณตรีจะชอบผม”

“อืม” ผมส่งเสียงตอบรับให้เขารู้ว่าผมยังฟังอยู่

“แล้วที่ผมไม่กล้าเล่าเรื่องที่คุณดิวเล่าก็เพราะผมคิดว่ามันไม่น่าจะใช่เรื่องจริง ถ้าพูดไปแล้วคุณตรีรู้สึกไม่ดี ผมกลัวคุณตรีจะ...” ท้ายประโยคฟ้าพูดเสียงเบาจนผมไม่ได้ยิน

“อะไรนะ ฉันไม่ได้ยิน”

“ผมกลัวคุณตรีจะถอยห่างจากผม” พูดประโยคนี้จบฟ้าก็เหมือนร้องไห้ขึ้นมาอีกรอบ ตั้งแต่ผมรู้จักฟ้ามา ครั้งนี้เขาร้องไห้ให้เป็นครั้งแรก ผมก็สำนึกผิดที่ทำฟ้าร้องไห้ แต่เดี๋ยวค่อยปลอบทีเดียว ยังไงคืนนี้ก็ต้องเคลียร์เรื่องความรู้สึกระหว่างเราสองคนให้รู้เรื่อง

“นายกลัวว่าถ้าเล่าให้ฟังแล้วฉันไม่ได้ชอบนาย จะทำให้ฉันอึดอัดใจกับเรื่องนี้เหรอ” ผมตีความในสิ่งที่ฟ้าบอก แล้วเขาก็พยักหน้า

เห้อ อยากรู้จริงๆว่าในสมองเล็กๆนี่คิดอะไรบ้าง

“ฟ้าเอ้ยฟ้า ถ้ามันไม่ใช่เรื่องจริง ฉันจะเอาอารมณ์ไปลงกับนายทำไม คนที่ฉันควรโกรธคือคนที่มาโกหกทำให้เราสองคนผิดใจกันไม่ใช่เหรอ” ผมล่ะอยากจะเขย่าหัวเด็กตรงหน้าจริงเชียว แต่ก็ไม่กล้าทำหรอกครับ แค่คิดเท่านั้น

“ผมขอโทษ พอเป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณตรีทีไร ผมก็กังวลไปหมด ผมไม่อยากให้คุณตรีรู้สึกไม่ดีกับผม”

“แต่นายก็ทำมันไปแล้ว” ผมยอมให้ด่าว่าเลวอีกรอบ แต่ขอสักหน่อยเถอะ เด็กคนนี้ทำผมใจเสียมาก่อนหน้านี้ ไหนๆก็ร้องไห้แล้วขอเอาคืนสักหน่อย

“ผมขอโทษ” ฟ้าเบะปากใส่ผม ผมส่ายหน้ายิ้มๆแล้วลูบแก้มปาดน้ำตาออกจากแก้มเนียน

“ฉันชอบนาย มันคือเรื่องจริง ควรจะเป็นฉันไม่ใช่เหรอที่กลัวนายจะรู้สึกไม่ดีด้วย” ผมปรับเสียงให้ทุ้มขึ้นเพื่อเป็นการปลอบคนตรงหน้าไปในตัว

“ผมไม่มีทางรู้สึกไม่ดีหรอก ขอแค่ไม่เกลียดผมก็พอ”

“หมายความว่า ต่อให้นายไม่ชอบฉัน นายก็จะไม่ถอยห่างแม้ฉันจะชอบนายใช่ไหม”

“คือ...”

“...”

“คือผม...ไม่ใช่ว่าไม่ชอบ”

ผมเลิกคิ้วใส่ ฟ้าเม้มปากจนมันสั่นระริก

“ไม่ใช่ไม่ชอบอะไร ไม่ใช่ว่าไม่ชอบที่ฉันชอบนาย หรือไม่ใช่ว่าไม่ชอบฉัน ไหนลองบอกฉันสิว่ามันคืออันไหน”

“....” ดวงตาแสนเศร้าหลุบต่ำ

“พูดสิ ฉันอยากฟัง”

“อันหลังครับ”

“อันหลัง? หมายถึงไม่ใช่ว่าไม่ชอบฉัน ใช่ไหม”

ฟ้าไม่พูดตอบ แต่พยักหน้าตอบแทน ผมหลุดยิ้มกว้างทันที ผมปลดมือฟ้าออกจากแขนของผมแล้วดึงเขาเข้ามากอดเอาไว้แน่น กดจูบที่ผมหอมและขมับบางเบา

ผมบอกแล้วไงว่าผมมั่นใจว่าฟ้าก็ชอบผมเหมือนกัน แต่คนที่ไม่มั่นใจก็คือคนที่ผมกอดอยู่ ฟ้าไม่ใช่เด็กขี้อายขนาดนั้น แต่ค่อนข้างเป็นเด็กเก็บเนื้อเก็บตัว เวลาอยู่กับเพื่อนก็ดูห้าวพอตัว เวลาอยู่กับคนอื่นก็เฮฮาตามประสาเด็กผู้ชาย แต่พออยู่กับผมทีไร เขามันเขินอายเสมอและไม่กล้าเสมอ มันเลยทำให้ผมดูออก

“แน่ใจเหรอว่านายชอบฉัน ไม่ใช่พูดเพราะกลัวว่าฉันจะโกรธ” ผมถามให้แน่ใจอีกครั้ง เพราะต่อให้ผมเองว่าจะมั่นใจว่าฟ้าเองก็รู้สึกเหมือนผม แต่ถ้ามันไม่เป็นอย่างที่ผมคิด ผมก็ไม่อยากให้ฟ้าต้องเสียสละทำเพื่อความสุขของผมแต่เพียงฝ่ายเดียว

“ผมแน่ใจ”

“จริงอ่ะ”

“ครับ”

“แน่ใจเหรอ พูดใหม่สิ ดังๆ ชัดๆ ไม่อย่างนั้นฉันก็ไม่มั่นใจนะ”

“ผมชอบคุณตรีครับ” เหมือนจะกลัวผมไม่เชื่อ พูดชัดถ้อยชัดคำขึ้นมาเชียว

ผมปล่อยตัวฟ้า เปลี่ยนที่วางมือไปจับไว้ที่ไหล่บางทั้งสองข้างแทน ผมมองสำรวจทั่วไปหน้าของฟ้า และที่ใช้เวลามองนานที่สุดก็คือดวงตากลมที่แดงช้ำ

“ถ้าอย่างนั้นเราสองคนก็ชอบกัน”

“ครับ”

“ขอบคุณนะ”

หากคิดถึงสิ่งที่ฟ้าทำให้ผมตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาทำมันเพราะชอบผม ไม่ได้ทำเพราะมันเป็นหน้าที่ การถูกรักมันรู้สึกดีแบบนี้นี่เอง

“คุณตรีครับ”

ผมเผลอจ้องเขานายเกินไป ถ้าฟ้าไม่เรียกผม ผมก็ยังคงยืนมองเขาอยู่อย่างนั้น

“ว่าไง”

“แล้วมันจะเป็นยังไงต่อเหรอครับ” ทั้งที่ฟ้าควรจะดีใจที่เราสองคนใจตรงกัน เขากลับทำหน้าวิตกกังวลแทน

ไม่รู้ว่าหัวสมองน้อยๆนี่ต้องทำงานหนักขนาดไหนในแต่ละวัน ถ้าเขาคอยแต่จะเป็นกังวลเรื่องของผม

“ทำไมทำหน้าอย่างนั้น ไม่ดีใจเหรอ”

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ แต่ว่าคุณดิวเธอรู้เรื่อง เธอบอกด้วยว่า คุณพ่อคุณแม่ของคุณตรีก็อาจจะรู้ ถึงตอนนั้นคุณตรีจะต้องเดือดร้อน คุณดิวเธอดูโกรธมาก ผมกลัวว่ามันจะเป็นปัญหา”

ผมเข้าใจในสิ่งที่ฟ้าบอก เพราะผมก็ได้ยินทุกคำที่ดิวพูด แต่ผมไม่กลัว ผมเผชิญปัญหาอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่โตมา จะมีเข้ามาอีกสักสองสามเรื่องจะเป็นอะไรไป

แต่เมื่อฟ้าพูดมาแบบนี้ ผมก็รู้สึกกังวลขึ้นมา ถ้าเรื่องมันเกิดกับผมคนเดียวผมรับมือได้ แต่ถ้าฟ้าต้องโดนร่างแหไปด้วย ผมยอมไม่ได้แน่นอน

“อะไรที่มันยังไม่เกิดก็ไม่ต้องไปเครียด ถ้ามันจะเกิดอะไรขึ้น เราจะแก้ไขไปด้วยกัน”

“มันจะโอเคใช่ไหมครับ”

“ไม่ลองดูจะรู้เหรอ” ผมยักไหล่ จับข้อมือฟ้าให้เดินเข้ามาในบ้าน เพราะตลอดเวลาที่เราปรับความเข้าใจกัน เรายืนอยู่หน้าประตู
ผมดึงฟ้าให้นั่งลงข้างๆกันบนโซฟา แล้วหยิบกระดาษทิชชูให้เขาเช็ดหน้าเช็ดตาและสั่งน้ำมูก ฟ้ากระแอมไอเบาๆ ผมจึงลุกไปหยิบเหยือกน้ำและแก้วในครัว

“ดื่มน้ำหน่อย” ผมส่งแก้วน้ำที่เทแล้วให้เขา ทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ ก่อนจะรับแก้วคืนมาแล้วเทดื่มมาก ผมดื่มเหล้าไปประมาณหนึ่ง ทำให้รู้สึกคอแห้งอยู่ตลอด

“คุณตรี...ไม่เอาแก้วใหม่ล่ะครับ”

“ทำไม” ผมขยับแก้วในมือมองว่ามันมีอะไรผิดปกติตรงไหน

“ก็...ผมเพิ่งใช้แก้วนั้นไป”

อ่อ หึหึ เด็กน้อยเอ้ย

“ฉันไม่ถือหรอกน่า ที่จะกินน้ำแก้วเดียวกับคนที่ตัวเองชอบ”

“...” คิดไว้แล้วว่าต้องมีคนเขิน

ผมสังเกตตั้งแต่ฟ้ายอมรับออกมาว่าชอบผมเหมือนกัน เขาดูเก้ๆกังๆทำตัวไม่ถูก มันคงยากที่จะปรับตัวในเวลาอันรวดเร็ว ฟ้าเป็นคนยังไงผมเองก็รู้ ดังนั้นผมจะไม่เร่งรัดเขา

“อย่าคิดมาก ต่อให้เราสองคนใจตรงกัน ฉันก็ไม่ได้คิดจะเร่งรัดอะไรนายหรอกนะฟ้า”

“ครับ คือผมแค่ทำตัวไม่ถูก เหมือนกำลังฝันอยู่เลย โอ๊ย”

ผมบีบแก้มใสเข้าให้ มาขนาดนี้ยังจะทำเหมือนเรื่องของเราไม่ใช่เรื่องจริง

“เป็นตัวของตัวเองก็พอ เรื่องอนาคตของเรา ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉัน”

“อนาคตของเรา?” ฟ้าทำหน้างุนงง

ก่อนจะแยกย้ายกันไปนอน ผมว่าผมควรทิ้งระเบิดลูกย่อมๆเอาไว้สักหน่อย ด้วยการโน้มตัวเข้าไปใกล้ ฟ้าเอนหลังหนีเพื่อไม่ให้เราใกล้กันจนเกินไป เวลากระต่ายตื่นตกใจมันน่ารักแบบนี้นี่เอง

“อนาคตของเรา ก็คือสถานะแฟนไง ฉันจะหามาให้หลังจากที่ฉันประสบความสำเร็จ ตกลงไหม”

“ครับ”


เด็กอะไร ว่านอนสอนง่ายจริงๆ หวังว่าในอนาคตตอนที่เรานอนแล้วผมสอนอะไรบางอย่างให้จะยังว่าง่ายแบบนี้นะ





CATER TO YOU
ตอนที่22
ผมจะใช้ร่างกายของผมเยียวยาคุณ



พูดไปก็เหมือนโอเวอร์ แต่ผมใจเต้นแรงจนนอนไม่หลับทั้งคืน สมองเอาแต่คิดถึงคำพูดของคุณตรีซ้ำไปซ้ำมา ถึงขนาดเก็บเอาไปฝันจนหลับๆตื่นๆทั้งคืน


‘ถ้าอย่างนั้นเราสองคนก็ชอบกัน’
‘ฉันไม่ถือหรอกน่า ที่จะกินน้ำแก้วเดียวกับคนที่ตัวเองชอบ’
‘อนาคตของเรา ก็คือสถานะแฟนไง ฉันจะหามาให้หลังจากที่ฉันจีบนายติด ตกลงไหม’



แล้วสิ่งที่แย่กว่าการนอนไม่หลับทั้งคืนก็คือ ผมตื่นสาย!

เพราะนอนไม่หลับทั้งคืนเพราะสมองไม่ยอมหยุดทำงาน มันมายกมือยอมแพ้ตอนที่ร่างกายอ่อนล้าเต็มทนก็ช่วงเช้ามืด ทำให้ผมหลับสนิท ตกใจตื่นอีกทีก็เกือบจะเจ็ดโมงเช้าเข้าไปแล้ว

ผมตาลีตาเหลือกลุกจากเตียง เรียกว่ากระโดดเลยก็ว่าได้ ไม่ต้องพูดถึงจัดการตัวเองด้วยการล้างหน้าล้างตา ผมวิ่งไปยังห้องคุณตรีเป็นอย่างแรก เปิดประตูเข้าไปก็เจอแสงสว่าง และเจ้าของห้องก็ไม่อยู่ในห้องแล้ว แม้แต่ห้องอาบน้ำหรือห้องแต่งตัวก็ไม่มี

เวลานี้คุณตรีจะต้องกำลังแต่งตัวอยู่ไม่ใช่เหรอ เพราะเขาจะออกกำลังกายเสร็จประมาณหกโมงครึ่ง แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน

ผมไม่มีเวลาให้คิดมาก รีบวิ่งลงไปชั้นล่าง กำลังจะเลี้ยวไปยังห้องฟิตเนส แต่ก็ต้องชะงักฝีเท้าเบรกตัวโก่งเมื่อเกือบจะชนเข้ากับร่างสูงที่กำลังจะเดินขึ้นบันไดมา

“เป็นอะไรทำไมวิ่งหน้าตาตื่นลงมา” คุณตรีถามพลางมองสำรวจอาการของผมตั้งแต่หัวจรดเท้า

“คุณตรี...ผมขอโทษครับ ผมตื่นสาย” ผมยอมรับผิดแต่โดยดี ในตอนเช้าผมต้องไปเตรียมห้องน้ำให้คุณตรี ก่อนจะลงมาเตรียมห้องฟิตเนสและเครื่องดื่มแก้กระหายระหว่างออกกำลังกาย จากนั้นผมก็ต้องออกกำลังกายกับเขาด้วย ก่อนจะปลีกตัวไปเตรียมชุดทำงานแล้วลงมาทำอาหารเช้า

แล้วดูวันนี้สิ ผมได้ทำอะไรบ้าง คุณตรีอยู่ในชุดพร้อมออกไปทำงาน ยังเหลืออาหารเช้าใช่ไหมที่ผมพอจะทำให้ได้

“ผมจะรีบไปเตรียมอาหารเช้าให้นะครับ แต่ขอผมขึ้นไปล้างหน้าแปบหนึ่ง” ผมรีบพูดแล้วรีบวิ่งกลับขึ้นห้อง

ผมทำธุระส่วนตัวภายในห้านาทีแล้วรีบลงมา แต่ก็ต้องเบรกขาทั้งสองข้างแบบกะทันหัน ถ้าเป็นรถป่านนี้แหกโค้งไปแล้ว

“คุณตรี...ผม...”

จากความตั้งใจที่จะรีบลงมาทำอาหารเช้า ทุกอย่างล่มไม่เป็นท่าเมื่ออาหารเช้าที่ว่าเจ้านายของผมจัดการทำมันด้วยตัวเองจนเสร็จสรรพเรียบร้อยพร้อมทาน

“มากินข้าวเช้า วันนี้ต้องออกไปทำงานด้วยกัน ลืมเหรอไงถึงได้แต่งตัวแบบนั้น”

ใครก็ได้มาจับผมลงไปอยู่ในโหลปลาทองแทน ที่ตรงนั้นมันควรเป็นที่สำหรับผม นอกจากจะตื่นสายจนไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองแล้ว ผมยังลืมอีกว่าวันนี้จะต้องออกไปทำงานข้างนอกกับคุณตรี

“ผมขอโทษครับ” อยากจะทุบหัวตัวเองสักทีสองที

“ช่างเถอะ รีบมากินข้าวเช้า” คุณตรีพูดเสียงเรียบ เขาเดินนำผมไปนั่งประจำที่ของตัวเอง ส่วนผมก็ได้แต่เดินตัวลีบไปนั่งฝั่งตรงข้าม กลิ่นของอาหารเช้าง่ายๆอย่างขนมปังโฮลวีทปิ้ง ไข่ดาวน้ำ ไส้กรอกอกไก่ยั่วยวนให้ท้องของคนตื่นสายอย่างผมส่งเสียงประท้วง

เพราะมัวแต่หัวหมุนตั้งแต่ตื่นนอน ผมจึงลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไปชั่วขณะถ้าเขาไม่พูดขึ้น

“เมื่อนอนไม่หลับเหรอ คิดถึงฉันทั้งคืนหรือไง”

ถ้าหน้าผมร้อนกว่านี้อีกนิดก็คงจะใช้ต้มกาแฟให้คุณตรีได้

“ปะ เปล่านะครับ” ผมปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด ไม่ใช่ว่าที่เขาพูดมันไม่จริง แต่มันเป็นเรื่องจริงจนน่าอายต่างหาก

“เดี๋ยวนี้หัดโกหกบ่อยนะ สงสัยฉันต้องลงโทษนายสักหน่อย วันนี้ก็ตื่นสายด้วยนี่นา”

“...” ผมมองหน้าคุณตรีทันที เขายิ้มล้อผมเหมือนกำลังสนุกที่ได้แกล้ง ผมบุ้ยปากใส่เขาทันที คาดว่าการลงโทษของเขามันต้องเป็นอะไรที่ผมคิดไว้แน่ๆ

เขาจะต้องเพิ่มเงินเดือนให้ผม

“ฉันจะลงโทษนาย...ด้วยการเพิ่มเงินเดือน”

นั่นไง ทำไมผมซื้อหวยไม่ถูก

“คุณตรีอย่าแกล้งผมสิครับ”

“หึหึ” เขาหัวเราะอย่างร้ายกาจ ผมได้แต่ก้มหน้าก้มตากินอาหารเช้าฝีมือคุณตรี ไม่คิดจะต่อล้อต่อเถียงกับเขาต่อ ไม่อย่างนั้นเราจะยิ่งไปทำงานสาย





เสียงแจ้งเตือนในโทรศัพท์ดังขึ้นดึงความสนใจจากภาพตรงหน้า ผมหยิบมันขึ้นมาดูก่อนจะวางลงแล้วคว้ากระเป๋าสตางค์ของคุณตรีแล้ววิ่งลงไปจ่ายเงินค่าอาหาร

“ทั้งหมด2,345บาท”

“นี่ครับ” ผมหยิบเงินสดจ่ายแล้วรอรับเงินทอน ก่อนจะหอบหิ้วถุงอาหารถุงใหญ่เดินเข้าไปในออฟฟิศของคุณตรี

ผมเดินเข้าไปจัดของกินใส่จาน เตรียมตั้งโต๊ะอาหารเย็นให้คุณตรีและพี่ๆในทีมของเขา เพราะทำงานหามรุ่งหามค่ำมาทั้งอาทิตย์ ถ้าไม่เพราะว่าคุณตรีติดนอนที่บ้าน เขาคงจะกินนอนที่นี่ไปแล้ว

“คุณตรีครับ ผมว่าเราเพิ่มสินค้าดีไหม ผมมาคิดๆดูแล ตอนนี้คอลเลคชั่นนี้มีสินค้าจำนวนสิบห้าชิ้น รวมทั้งชิ้นใหญ่แล้วก็ชิ้นเล็ก”

“เพิ่มสินค้างั้นเหรอ แต่เราจะมีเวลาในการผลิตไม่ทัน”

“แต่ถ้าเราปรับลดจำนวนของแต่ละอย่างลง ก็อาจจะทำให้ไปผลิตสินค้าเพิ่มได้นะครับ”

“นายมีไอเดียของสินค้าชิ้นอื่นเหรอ”

“ครับ คือพอดีพวกผมเกิดไอเดีย...”

ผมยืนค้างเติ่งอยู่หน้าประตู ไม่รู้ว่าควรเข้าไปกวนดีไหมในขณะที่พวกเขากำลังจริงจังกับการทำงาน เกรงว่าถ้าผมเข้าไปขัดจะทำให้งานของคุณตรีเสียหาย

ผ่านจากวันนั้นที่เราต่างสารภาพความในใจ คุณตรีก็ยังเหมือนเดิม เขาปฏิบัติต่อผมเหมือนเดิม อ่ะ ไม่สิ ดีกว่าเดิมหน่อย แต่ไม่ได้หมายความว่าแต่ก่อนเขาไม่ดีนะครับ  เขาดีมากๆ และยิ่งดีมากขึ้นไปอีกเพราะเขามักตามใจผม และก็ดูแลผมเพราะเขาบอกว่าจะจีบ

ผมรู้สึกดีเพราะว่าคุณตรีทำให้ผมไม่รู้สึกอึดอัด ผมชอบเขารักเขาก็จริง แต่ผมก็ยังมีความกลัวเยอะแยะมากมาย ไหนจะเรื่องคุณดิว และเรื่องพ่อแม่ของคุณดิวอีก ทำให้ผมไม่กล้าทำอะไรตามใจตัวเองมากนัก เพราะกลัวทำให้คุณตรีต้องทุกข์นัก แค่เรื่องงานเขาก็แทบไม่ได้พักผ่อน

แป๊ะ!

“โอ๊ะ” ผมยกมือกุมหน้าผากที่โดนดีด เจ็บเหมือนมดกัด แต่ตกใจมากกว่า

“ยืนเหม่ออะไร” คุณตรีเขามายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

“อาหารมาส่งแล้วครับ”

“ฉันรู้ตั้งแต่นายเดินออกมาแล้ว”

“อ่อ ครับ ผมเตรียมอาหารเสร็จแล้ว ไปทานกันเถอะครับ”

“อืม”

“พี่ๆครับ อาหารมาแล้วครับ”

“โอเค”

“เย้ หิวสุดๆไปเลย”

ผมเปิดประตูออกกว้าง ให้พี่ๆทยอยเดินกันออกไปกิน ผมและคุณตรีเดินรั้งท้ายไปคนสุดท้าย บนพื้นที่ชั้นลอยที่เป็นชั้นส่วนตัวของคุณตรี เขาให้ช่างมากั้นห้องเพิ่มสองห้อง คือห้องทำงานรวมและห้องอาหาร อาจจะดูคับแคบไปสักหน่อยที่จะยัดผู้ชายเกือบสิบคนให้อยู่ในพื้นที่เล็กๆ แต่มันก็สะดวกในช่วงที่ต้องทำงานแข่งกับเวลา และผมก็คือคนที่คอยดูแลคุณตรีนอกสถานที่ เพราะอย่างนั้นผมถึงเห็นว่าเวลาเขาทำงานเขาต้องเหน็ดเหนื่อยมากขนาดไหน ยิ่งตอกย้ำว่าผมต้องดูแลเขาให้ดีกว่าเดิม

“คุณตรีทานอันนี้สิครับ อันนี้ไก่ทอดรสไม่เผ็ด มีทั้งเนื้อแบบไม่มีกระดูกแล้วก็ปีกไก่บนปีกไก่ล่าง”

“อันนั้นอะไร” เขาถามของที่อยู่ในถ้วยพลาสติก

“เขาว่าหัวไชเท้าดองนะครับ” ผมหยิบมาเปิดแล้วดมดู

อาหารเย็นของเราในวันนี้เป็นไก่ทอดเกาหลีจากร้านชื่อดัง คุณตรีให้พี่ๆในทีมเป็นคนเลือกอาหารเย็น พวกเขาก็เลยลงมติกันว่าจะสั่งไก่ทอดเกาหลีเจ้านี้มาทาน ผมเองก็ไม่เคยกินแต่เคยเห็นในโฆษณาอยู่ นี่จะเป็นครั้งแรกที่ผมจะได้ลองชิมว่าของแพงที่เขาฮิตๆกินกันมันอร่อยสักแค่ไหน

“นายเคยกินไหม” คุณตรีใช้ตะเกียบคีบไก่ทอดขึ้นมาพิจารณา

“ไม่เคยครับ”

“แล้วของนายรสอะไร” คุณตรีมองไก่ทอดในมือผม ผมไม่ใช้ตะเกียบแต่ใช้มือหยิบเลย ล้างมือสะอาดก่อนทานอาหาร ดังนั้นไม่ต้องห่วงเรื่องสุขอนามัยเลย

“น่าจะรสเผ็ดนะครับ” ผมบอกแล้วก็เริ่มกิน คุณตรีมองผมกิน พอเห็นเห็นว่าผมพยักหน้าส่งความหมายว่าอร่อย เขาก็ก้มกัดไก่ทอดของตัวเอง

มันอร่อยจริงๆครับ เป็นรสเผ็ดหวานแบบที่ผมไม่เคยกิน แต่ผมว่าไก่ทอดชิ้นละสิบห้าบาทในตลาดก็อร่อยดีนะครับ ยิ่งหนักกรอบๆน้ำมันที่ทอดดำๆล่ะก็ แบบนั้นยิ่งอร่อย เวลาเงินเดือนออก ผมชอบไปซื้อกินที่สามน่องใหญ่ๆเลยล่ะ

“อร่อยไหมครับ” ผมถามคุณตรี

“อร่อยดี”

“ปกติคุณตรีทานแต่อาหารสุขภาพ นานๆทีทานแบบนี้ผมก็ว่าก็ดีนะครับ”

“ที่ว่าดีเพราะนายชอบกินสินะ” เขารู้ทันผมตลอด ผมย่นจมูกใส่เขา แล้วก็กัดไก่คำโตโชว์ไปอีกทีว่าผมชอบกินอาหารแบบนี้มาก

“ครับ ผมชอบ แบบนี้มีรสชาติดี” เพราะคุณตรีกินคลีน อาหารของเขาก็เลยจะรสชาติไม่จัดจ้าน บวกกับที่เขาทานเผ็ดไม่ได้ ทำให้อาหารการกินของผมเปลี่ยนไปด้วย

“มีแต่โซเดียมละสิไม่ว่า”

“แหะๆ”

“ชอบก็กินเยอะๆ” คุณตรีหยิบไก่ในจานของตัวเองส่งให้ผมที่เพิ่งกินชิ้นในมือหมดไป

“ขอบคุณครับ”

พวกพี่ๆใช้เวลานั่งกินอาหารเย็นเกือบชั่วโมง ก็แยกย้ายกันกลับบ้านในเวลาเกือบจะสามทุ่ม ตอนนี้ทั้งตึกก็คงเหลือแค่ผมกับคุณตรี และพนักงานรักษาความปลอดภัยกะกลางคืน

คุณตรีหอบเอกสารบางอย่างกลับบ้าน เขาเหมือนมีอะไรให้คิดอยู่ตลอดเวลา และคาดว่าตอนถึงบ้านเขาก็คงจะนั่งทำงานจนดึกดื่นอีกตามเคย

“อยากแวะซื้ออะไรก่อนกลับบ้านไหม” คุณตรีถามเมื่อรถติดไฟแดง ขับเลยไปอีกนิดก็จะถึงปากซอยบ้าน ตอนกลางคืนในซอยจะมีร้านอาหารและพวกพ่อค้าแม่ค้ามาตั้งร้านขายของ เพราะเป็นซอยที่มีหมู่บ้านและห้องเช่าอยู่เป็นจำนวนมาก มีทั้งวัดและโรงเรียนอยู่ภายในซอยด้วย จึงทำให้ครึกครื้นไปจนถึงช่วงตีหนึ่งตีสองนู่น

“ผมอิ่มมากเลยครับ แต่ถ้าได้น้ำเต้าหู้ร้อนๆก่อนนอนก็ดี”

“สั่งมาเผื่อฉันด้วยถุงหนึ่ง”

“หวานปกตินะครับ”

“อืม”

และต่อให้คุณตรีจะกินเพื่อสุขภาพยังไง จะมีสิ่งหนึ่งที่คุณตรีจะตามใจปากท้องตัวเองเสมอก็คือเครื่องดื่มรสหวาน

กลับถึงบ้านเราก็แยกย้ายกันไปจัดการธุระของตัวเอง ทุกวันนี้ผมไม่มีเวลาเลิกงานตายตัว แต่มีเวลาเริ่มงานทุกวันตอนตีห้า หลังจากลืมตาตื่นผมก็ทำหน้าที่ของตัวเองจนกระทั่งทานมื้อเย็นและเก็บล้างเสร็จ หน้าที่ผมควรจะสุดอยู่ที่ตรงนั้น แต่ว่าผมยังไม่เปิดเทอม ดังนั้นหลังหนึ่งทุ่มผมก็ไม่รู้จะทำอะไร คุณตรีก็ไม่ได้เรียกใช้อะไรผมมาก แต่เป็นผมเองที่คอยดูว่าเขาต้องการอะไรเพิ่มเติมหรือเปล่าอย่างเช่นพวกเครื่องดื่มชาร้อน หรือของว่างเวลาที่เขาทำงานล่วงเวลาดึกดื่น

ผมอาบน้ำเสร็จก็ลงไปเตรียมของสำหรับทำมื้อเช้า ช่วงนี้ไม่ค่อยอยู่บ้านเลยไม่ได้มีเวลาเตรียมนัก เช้ามาก็ต้องรีบออกจากบ้าน ผมเลยต้องเตรียมของไว้ตั้งแต่ก่อนนอน เช้ามาจะได้ไม่วุ่นวายนัก จากนั้นผมก็ อุ่นน้ำเต้าหู้แล้วเอาไปเสิร์ฟให้คุณตรีที่ห้องทำงาน

“น้ำเต้าหู้ครับคุณตรี ดื่มอุ่นๆจะได้สบายท้อง” 

“นั่งลงสิ ดื่มด้วยกัน” เขาพเยิดหน้าให้ผมนั่งลงที่เก้าอี้ตรงหน้าเขา

“คุณตรีทำอะไรอยู่เหรอครับ” ผมมองกระดาษบนโต๊ะทำงานของคุณตรี เขาจิบน้ำเต้าหู้แล้วพยักหน้าให้ผมหยิบขึ้นไปดู

“นี่มันแบบสินค้านี่ครับ คุณตรีเอามาดูทำไมเหรอ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า” ผมหยิบขึ้นมาดูทีละแผ่น ภาพสินค้าพวกนี้ถูกส่งไปยังโรงผลิตแล้ว แต่ทำไมคุณตรียังเอามาดูเหมือนมีปัญหาอะไร

“ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ฉันกำลังคิดเรื่องที่คนในทีมเสนอ ว่าอยากให้เพิ่มสินค้า” คุณตรีผ่อนลมหายใจ

“เพิ่มเหรอครับ ตอนนี้เรามีสินค้าสิบห้าชิ้น ถ้าจะเพิ่มจะเพิ่มอะไรเหรอครับ”

“เรื่องเพิ่มไม่ใช่ปัญหา แต่ของจะผลิตทันกำหนดวันเปิดขายหรือเปล่า เราต้องมีของในสต๊อกของแต่ละชนิดเพียงพอ และตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกแค่สองเดือน ฉันกลัวว่าจะไม่ทัน”
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่22:ผมจะใช้ร่างกายของผมเยียวยาคุณ 3-04-20 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 04-04-2020 15:21:12
ชอบที่คุณตรีจัดการกับผู้หญิงคนนั้นจังเลยค่ะ ชัดเจน ตรงไปตรงมามาก
เขินตรงคุณตรีอธิบายความสำคัญของมือน้องฟ้า ปากหวานมากพ่อคุณ เขินๆๆ

ปล.งงนิดหน่อยว่าคุณตรีรู้ว่าน้องฟ้าชอบตัวเองตอนไหนคะ คืนนั้นคุณตรีเข้าใจผิดเลยออกไปข้างนอก แล้วน้องฟ้าก็โทรหาเพื่อนแล้วก็เข้านอนไม่ใช่เหรอคะ

 :pig4:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่23:สงครามย่อมๆบนโต๊ะอาหาร 4-04-20 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 04-04-2020 20:53:14
ผมนั่งมองคุณตรีอย่างไม่รู้จะออกความเห็นอะไร ส่วนเขาก็เอาแต่จ้องแผ่นกระดาษ ผมนั่งจิบน้ำเต้าหู้ไปเรื่อยๆจนหมดแก้ว

คิดสิฟ้า ว่าปัญหานี้ของคุณตรีจะแก้ไขยังไงได้บ้าง

คุณตรีกลัวว่าจะผลิตสินค้าไม่ทัน แล้วตอนนี้วันหนึ่งผลิตได้เท่าไหร่ ผมไม่เคยไปที่โรงผลิตสินค้า ก็เลยไม่รู้ว่าที่นั่นมีคนทำงานกี่คนและมีพวกเครื่องจักรอะไรแบบนั้นไหม แต่ถ้าจะให้จ้างคนมาทำเพิ่มก็คงเป็นไปได้ยาก คุณตรีต้องจำกัดทุน เพราะเท่าที่เป็นอยู่การเงินบริษัทก็ติดลบมากพออยู่แล้ว

แย่จัง ผมคิดอะไรไม่ออกเลย ผมอยากช่วยเขาเรื่องงานได้บ้าง แต่ผมไม่มีความรู้ทางด้านนี้เท่าที่ควร

“เป็นอะไร ทำไมทำหน้ายุ่งอย่างนั้น” คุณตรีโน้มตัวมาจับที่ข้างแก้มของผม เขาเลื่อนนิ้วโป้งมานวดที่ตรงหว่างคิ้ว

“ผมอยากช่วย แต่คิดวิธีที่จะช่วยไม่ออก”

“นายช่วยฉันได้เยอะแยะ เรื่องงานมันเป็นหน้าที่ของฉันกับพนักงานที่ต้องคิด นายแค่ดูแลฉันก็พอ”

“ผมรู้ แต่ผมก็อยากทำได้มากกว่านั้น” ผมบีบมือตัวเองอย่างคนคิดไม่ตก

“ลุกมาตรงนี้หน่อยสิ”

คุณตรีหมุนเก้าอี้ออกด้านข้าง แล้วเรียกให้ผมไปหาเขาตรงนั้น ผมจึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินอ้อมโต๊ะทำงานมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าคุณตรี เขาคว้ามือทั้งสองข้างของผมไปจับเอาไว้ สอดนิ้วมือทั้งสิบนิ้วประสานกับนิ้วของผม แรงบีบกระชับผ่อนหนักผ่อนเบาทำให้ผมหน้าร้อนแต่ก็รู้สึกดี

“ขอแค่กำลังใจก็พอ อยู่กับฉันอย่าไปไหน แค่นี้ฉันก็มีแรงทำงานแล้ว”

เขาต้องการแค่นี้จริงเหรอ เพียงพอแล้วจริงๆเหรอ

“แค่จับมือก็ได้กำลังใจแล้วเหรอครับ” ผมยิ้มถาม

“จริงๆก็อยากโลภมากกว่านี้นิดหน่อย” เขาทำหน้าเจ้าเล่ห์ตอบกลับมา

“อะไรครับ”

“อยากกอด”

ผมสตั้น...เขาว่าอะไรนะ อยากกอดผมเหรอ เหมือนตอนนั้นที่เขาทะเลาะกับคุณผู้ชายแล้วโดนตบหน้า เขาก็ขอกอดผมเหมือนกัน

“ได้ไหม” เขาทำหน้าอ้อน ที่นานๆจะมีโอกาสได้เห็นสักที ผู้ชายตรงหน้าคือคนที่บอกว่าชอบผม แต่ก็ใจเย็นในความสัมพันธ์ของเรา ผมรู้ว่าเขาแคร์ความรู้สึกของผม แต่บางครั้งก็ชอบแหย่ให้ผมไอ้อายแบบตั้งตัวไม่ทัน เหมือนอย่างตอนนี้ไง

“จะกอดตรงนี้เหรอครับ” ผมถามเพราะเขายังนั่งอยู่แล้วผมยืน

“อืม ขยับเข้ามาใกล้ๆสิ” เขากระตุกแขนผมให้ขยับเข้าไปหา จากนั้นก็ใช้สองแขนโอบกอดรอบเอวผมเอาไว้ ผมสะดุ้งเพราะจั๊กจี้ตอนที่ใบหน้าของเขาซุกเข้ากับช่วงอก

อยู่ใกล้กับจนแนบชิดแบบนี้ ผมรับรู้ได้ถึงความแข็งของปลายจมูกที่โด่งเป็นสัน เขาลากมันช้าๆบนเนื้อผ้าที่ผมใส่ ผมยืนนิ่งค้างเพียงไม่กี่นาทีก่อนที่จะวาดวงแขนของตัวเองโอบรอบไหล่ของเขาเอาไว้เมื่อเขากระซิบเบาๆอยู่กับอกว่า...

“กอดฉันหน่อยสิ ขอเติมพลังนิดหนึ่ง”

“แค่นี้ ก็ช่วยได้แล้วเหรอครับ”

“แค่นี้ก็พอ ขอแค่นี้นายทำให้ฉันได้ไหม”

แค่ฟังเสียงเว้าวอนของเขา ผมก็แพ้หมดรูป

“ผมทำให้ได้ ถ้าคุณตรีต้องการ”

สมองของผมคงไม่สามารถช่วยเขาทำงานได้ แต่ถ้าร่างกายของผมจะช่วยเยียวยาความเหนื่อยล้าของเขาได้บ้างผมก็ยินดี



ผมไม่รู้ว่าปัญหาที่คุณตรีหนักใจในคืนนั้นถูกแก้ไขด้วยวิธีใด ผมก็ได้ยินคุณตรีกับคุณเอิงและพี่ๆในทีมคุยกันอยู่นะ แต่บอกแล้วไงว่าผมน่ะโง่เกินกว่าจะเข้าใจโลกของธุรกิจ จับใจความก็ได้แค่บางประโยค อาทิเช่น

‘เดี๋ยวส่งคนลงไปดูว่าวันหนึ่งทำได้เท่าไหร่ จดบันทึกมาด้วย’
‘ผมว่าเราเปิดแบบพรีออเดอร์ไหม่คุณตรี แบบก่อนเปิดตัวจริงสักหนึ่งเดือนให้สั่งจองล่วงหน้าพร้อมสิทธิพิเศษอย่างอื่น แบบโปรโมชั่น’
‘เอิงเอาแฟ้มยอดขายของล็อตเก่าๆมาให้ดูนะคะ คิดว่าน่าจะพอเปรียบเทียบได้ว่าแต่ละช่วงมียอดขายวันเปิดตัวเท่าไหร่’
‘ผมว่าบางอย่างเราจ้างบริษัทอื่นทำก็ได้นะครับ เอาที่ต้นทุนใกล้เคียงกับของเรา แต่เราไม่ต้องจ่ายค่าพนักงาน ยังไงเราก็ขายไอเดียวของเราอยู่แล้ว แค่เรื่องสถานที่ผลิตผมว่าไม่น่ามีปัญหา’


แล้วอะไรอีกนะ จำไม่ได้ละ

นั่นแหละครับ ผมน่ะได้ยินเพราะติดสอยห้อยตามมาดูแลคุณตรีที่ทำงานด้วย จากที่มาวันเว้นวัน ตอนนี้ก็มาเกือบทุกวัน จะมีวันหยุดของคุณตรีที่ไม่ต้องมา กับวันที่คุณตรีต้องออกไปคุยกับลูกค้าหรือไปที่โรงผลิต ผมเคยขอไปด้วย แต่เขาอ้างว่ามันไม่ใช่ที่เด็กเล่น ดูเขาพูดนะครับ ดูถูกผมเหลือทน

แต่ไม่ไปก็ดีครับ เพราะผมใช้เวลาว่างสองวันสามวันนั่นแหละ ทำงานบ้าน ซักผ้า ทำความสะอาดทุกพื้นที่ บ้านคุณตรีเขาก็ไม่เล็กนะครับ ไหนจะพื้นที่สวนนอกบ้านอีก ตอนนี้หญ้าเริ่มยาวแล้วด้วย เดี๋ยวต้องหาเวลาตัด

อ่อ ผมยังพูดเรื่องงานของคุณตรีไม่จบเลย ก็อย่างที่ผมยกตัวอย่างบทสนทนาที่คุณเขาคุยกับพี่ที่ทำงาน จากนั้นคุณตรีก็เลือกแบบสินค้าที่จะเอาใส่เพิ่ม เห็นแบบนี้ผมก็ว่าคุณตรีน่าจะหาทางแก้ปัญหาที่เขากำลังหนักอกหนักใจได้แล้ว

ผมเห็นสินค้าแต่ละชิ้น แล้วก็แบบออกแบบสามมิติเป็นตัวอย่างของสินค้าที่ถูกจัดตกแต่งไว้ในบ้าน ขอบอกเลยว่ามันสวยมากๆ สวยจนหน้าเอามาใช้ในบ้านของคุณตรี มันจะต้องทำให้บ้านดูน่าอยู่ขึ้นอีกเป็นเท่าตัว

วันนี้ผมอยู่บ้านไม่ได้ออกไปทำงานกับคุณตรี หลังจากเก็บทำความสะอาดในบ้านแล้ว เวลาเหลือช่วงบ่ายแก่ๆผมก็เลยออกมาทำแปลงผักหลังบ้านคุณตรีฆ่าเวลา อย่างพวกผักสวนครัวเนี่ย บางทีซื้อมาเผื่อไว้แล้วก็ไม่ได้ใช้ สุดท้ายก็เน่าคาตู้เย็นต้องเก็บทิ้งบ่อยๆ ผมเลยคิดว่าปลูกเอาไว้กินเองดีกว่า แถมพื้นที่รอบบ้านคุณตรีก็เยอะและกว้าง อย่าว่าแต่ปลูกกินเลย ผมว่าทำเป็นโรงเพาะปลูกแล้วปลูกผักขายก็ยังได้

วันนี้ผมปลูกผักหลายชนิด มีพริก กะเพรา โหระพา ตะไคร้ แล้วก็ใบมะกรูด มะกรูดเนี่ยผมไม่ได้เพาะจากเมล็ดนะครับ ผมลักไก่เพราะว่าลุงเจ้าของร้านซ่อมรถมอเตอร์ไซค์ที่ผมรู้จักแกให้มา แกชอบเพาะปลูกเหมือนกัน เลยยกต้นมะกรูดต้นเล็กให้ผมตอนที่ผมไปถามแกเรื่องสูตรปรุงดิน

ก็อย่างนี้แหละครับ ผมมันคนดังประจำซอย ยิ่งโดนแทงเพราะโจรยิ่งดัง เขาบอกว่าพอโจรโดนจับได้ คนในซอยก็อยู่กันอย่างมีความสุขมากขึ้น แสดงว่าก็มีหลายคนที่โดนแบบผม

“มาเล่นเป็นเด็กอะไรตรงนี้”

“อ่ะ คุณตรี กลับมาแล้วเหรอครับ”

ผมใจลอยมัวแต่สนใจขุดดินตรงหน้า ยังมีเสียงเพลงจากโทรศัพท์ดังคลอไม่ให้เหงา เลยทำให้ไม่ทันสนใจเสียงรถของคุณตรีที่ขับเข้ามาในบ้าน

“เล่นอะไรอยู่” คุณตรีเอียงตัวมองสิ่งที่อยู่ด้านหลังผม ผมเลยขยับตัวเบี่ยงออกเพื่อนำเสนอผลงานชิ้นโบว์แดง

“ผมปลูกผักสวนครัว ผมจะทำแบบปลอดสารด้วยนะครับ คุณตรีจะได้กินผักดีๆ” ผมพูดอย่างภูมิใจสุดอะไรสุด

“ทำให้เหนื่อยทำไม ซื้อกินเอาก็ได้”

แต่ดูเขาสิครับ แทนที่จะชมแล้วดีใจ สีหน้าของเขาดูไม่ตื่นเต้นสักนิด

“ผมปลูกกินเองมันก็ดีนะครับ ของพวกนี้ซื้อมาแล้วก็เก็บทิ้งหลายครั้งเพราะใช้ไม่หมดหรือไม่ก็กินไม่ทัน ปลูกเอาไว้ อยากกินเมื่อไหร่ก็มาเก็บ ไม่เสียของด้วย” ผมอธิบายให้คุณตรีฟังถึงข้อดีของการปลูกผักสวนครัว 

“ฉันรู้ว่ามันดี แต่ดูนี่สิ มือแดงไปหมดแล้ว แล้วทำไมใส่ถุงมือ” คุณตรีคว้ามือผมไปสำรวจ เขาแบฝ่ามือผมทั้งสองข้าง ทำหน้าไม่ชอบใจเมื่อเห็นรอยแดงและตุ่มพองเล็กๆในผิวหนัง

“ผมหาถุงมือไม่เจอน่ะครับ แต่ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวมันก็หาย” ผมพูดให้เขาสบายใจ แต่ดูท่าจะไม่ได้ผล เพราะเขายังคงจ้องมือผมแล้วทำคิ้วขมวด สิ่งที่ไม่คาดคิดคือ เขาปัดฝุ่นที่มือผมออกแล้วก้มหน้าลงมาจูบที่มือ

“คุณตรี มือผมสกปรกนะครับ” ผมร้องแล้วจะชักมือกลับ แต่เขาไม่ยอมปลอบ กลับจับมือผมแล้วลากผมกลับเข้าบ้าน

“วันหลังก็อย่าทำให้เลอะสิ มือของนายสำคัญกับฉันมากนะ ไม่มีมือของนาย นายจะดูแลฉันได้ยังไง”

ที่เขาพูดมันก็จริง

“เวลาฉันปวด ฉันจะเอามือเย็นๆที่ไหนมานาบที่หน้าผาก เวลาฉันอ่อนแรงฉันต้องใช้มือนายชาร์ตพลังนะ อีกอย่างมือของนายต้องผูกเนคไทให้ฉันก่อนไปทำงานด้วย รู้หรือยังว่ามือตัวเองสำคัญแค่ไหน นายควรต้องดูแลมันให้ดีๆสิ”

ใช่ ที่เขาพูดมามันจริงทุกอย่าง แต่ก็ไม่คุยพูดให้คนอื่นเขินขนาดนี้เลยนี่น่า นี่มันกลั่นแกล้งกันชัดๆ

พูดมาขนาดนี้แล้ว ไม่ตัดมือผมไปเลี่ยมทองซะเลยเล่า หุ้ย

“หึหึ เขินแรงนะ”

“คุณตรีอ่ะ ผมจะไปล้างมือแล้วก็ทาครีม พอใจไหมครับ” ผมพูดให้เขาสบายใจ เขาก็พยักหน้าเห็นด้วย

“ดีมากเด็กดี ล้างมือทาครีมเสร็จแล้วก็เตรียมอาหารเย็นได้เลยนะ วันนี้ทำอาหารเพิ่มอีกสองที่ด้วย”

“ใครจะมาทานข้าวที่บ้านเหรอครับ คุณทิศกับคุณเจมส์เหรอ”

คุณตรีส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ

“ไม่ใช่พวกมันสองคนหรอก”

ถ้าไม่ใช่แล้วสองคนที่จะมาคือใคร มาสองคนเหรอ สองคน เดี๋ยวนะ คงไม่ใช่...

“พ่อกับแม่ฉันเอง ดูท่าว่า ยัยผู้หญิงคนนั้น จะก่อเรื่องให้เราสองคนแล้วล่ะ”

อะไรนะ อย่าบอกนะว่าคุณผู้หญิงกับคุณชายรู้เรื่องที่คุณตรีชอบผมและผมก็ชอบคุณตรี ตายแน่ๆ โอย จะมีอะไรแย่ไปกว่านี้อีกไหมเนี่ย ผมต้องโดนสับเป็นชิ้น โทษฐานที่เป็นหมาวัดแล้วอยากจะเด็ดดอกฟ้าแบบคุณตรี คุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงน่ากลัวจะตาย แค่คิดก็อยากวิ่งหนีแล้วครับ


................................
ฮั่นแน่ เรารู้นะพวกเธอคิดอะไรอยู่ ทะลึ่งกันจริงๆเลยน้านักอ่านเนี่ย 55555
 :o8:




CATER TO YOU
ตอนที่23
สงครามย่อมๆบนโต๊ะอาหาร




เห็นคุณดิวเงียบไปผมก็คิดว่าเรื่องมันจะจบ ที่ไหนได้ เป็นอย่างที่เขาว่าจริงๆ ท้องฟ้าจะสงบก่อนที่พายุจะเริ่ม

“สั่งจากข้างนอกว่าดีไหมครับ ผมกลัวทำไม่ถูกปาก” ถึงแม้ว่าผมจะทำอาหารให้คุณตรีทานทุกวัน แต่มันก็เป็นอาหารรสชาติที่คุณตรีชอบ อาหารแบบคลีนๆ ดังนั้นจะให้มาทำอาหารธรรมดาแล้วรสชาติระดับภัตตาคารผมทำไม่ได้หรอก

“นายก็ทำอาหารใช้ได้นะ” คุณตรีกดเปลี่ยนช่องในโทรทัศน์ไปเรื่อย เพราะหาช่องที่เขาสนใจจะดูไม่ได้สักที

“ใช้ได้กับคุณตรีคนเดียวน่ะสิครับ” ทำไมผมจะไม่รู้ว่าบางครั้งคุณตรีก็กล้ำกลืนฝืนทนกินอาหารที่รสชาติไม่ค่อยจะคงที่ คือผมก็ไม่ได้ทำออกมาแย่หรอกครับ เพราะผมก็ชิมฝีมือตัวเองตลอด แต่มันก็แค่พอกินได้ บางวันฟลุ๊คหน่อยก็คืออร่อยจนน่าทึ่ง บางวันก็ได้แต่ถามตัวเองว่าขาดอะไร...สุดท้ายก็สรุปได้ว่ามื้อนั้นขาดความอร่อย

ถ้าไม่ใช่เพราะคุณตรีใจดี เขาคงไม่ทน

“มั่นใจในตัวเองหน่อย ทำไปเถอะ ต่อให้นายซื้อมาพ่อแม่ฉันก็ไม่กินอะไรขนาดนั้นหรอก” คุณตรีตบที่นั่งด้านข้างเรียกให้ผมไปนั่ง

“ทำไมอ่ะครับ” ผมนั่งลงข้างๆเขา

“เพราะเขาไม่ได้จะมากินข้าว แต่มาจับผิดฉัน”

“จับผิดเรื่องผมเหรอ” ยิ่งคิดยิ่งเครียด ไม่รู้ว่าคุณดิวรู้เรื่องผมกับคุณตรีมากแค่ไหน แล้วพูดอะไรออกไปบ้าง

“ใช่ เพราะฉะนั้นต่อให้นายทำอาหารอร่อย พวกเขาก็ไม่สนใจหรอก”

“แล้วเราต้องทำยังไงล่ะครับ” ผมทั้งประหม่าทั้งกลัวอย่างไม่ต้องสงสัย

คุณตรีท้าวศอกลงกับหน้าขาที่เขานั่งไขว่ห้าง วางสันกรามลงกับฝ่ามือตัวเองแล้วเอียงหน้ามองจ้องผมอย่างใช้ความคิด

“แสดงละครเป็นไหม”

“ห๊ะ”

“สิ่งที่นายต้องทำก็คือแสดงบทพ่อบ้านให้แนบเนียน ทำเหมือนว่านายไม่รู้ว่าฉันชอบนาย ถ้าเขาจับสังเกตอะไรไม่ได้ เดี๋ยวเขาก็ล่าถอยไปเอง”

ฟังดูก็เหมือนจะไม่ยาก ปกติผมก็ทำหน้าที่พ่อบ้านอยู่แล้ว ส่วนเรื่องที่คุณตรีชอบผม ถ้าคุณท่านไม่ถาม มันก็คงจะไม่มีอะไร ผมว่าผมแสดงละครได้นะ แต่คนที่จะทำไม่ได้มันน่าจะเป็นคนที่กำลังเอามือผมไปเล่นหรือเปล่า

ตั้งแต่ครั้งก่อนที่เขาบอกว่าผมสามารถช่วยให้เขาหายเหนื่อยได้ คุณตรีก็ชอบเอามือผมไปจับ ตอนเช้าก่อนไปทำงานเขาจะขอกอดเพิ่มพลัง วันไหนถ้าไปทำงานกับเขาที่บริษัทตอนเที่ยงเขาก็จะขอกอดเพราะบอกว่าแรงใกล้จะหมด ส่วนตอนเย็นเขาก็จะบอกว่าเขาหมดแรง ไม่มีแรงจะไปอาบน้ำหรือทำอะไรถ้าผมไม่ได้กอด

ถึงจะเขินแต่ผมก็ไม่เคยปฏิเสธเขา ทำยังไงได้ ก็รับปากไปแล้วนี่ครับ ว่าผมให้ได้ถ้าเขาต้องการ

“งั้นเราต้องมาซ้อมบทกันหน่อยนะครับ” ผมพูดคิดอยากจะแกล้งคิดคุณตรีสักหน่อย

“ต้องซ้อมด้วยเหรอ” เขาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“ต้องสิครับ ถ้าพลาดมาก็โดนจับได้” มันคงเป็นทางออกที่ดีที่สุดในตอนนี้แล้ว ทำเหมือนว่ามันไม่จริง ทำเหมือนว่าระหว่างผมกับคุณตรีไม่มีอะไรเกิดขึ้น คุณท่านทั้งสองคนจะได้สบายใจ

“ซ้อมก็ซ้อม”

“ถ้าอย่างนั้นคุณตรีก็ปล่อยมือผมสิครับ” ผมใช้สายตานำทางให้เขาดูว่าเขากำลังจับมือผมไม่ปล่อย และคุณตรีก็คงจะรู้ว่าผมกำลังจะทำอะไร มุมปากรูปกระจับถึงได้ยกโค้ง

“โอเค ถ้านายแสดงเนียน ฉันจะมีรางวัลให้” คุณตรียอมง่ายๆ เขายิ้มกริ่มจนผมหวั่นใจว่าเขาจะทำอะไรแปลกๆหรือเปล่า

เรื่องซ้อมบทหรือแสดงละครตบตาก็เป็นแค่คำบรรยายสำหรับสิ่งที่เราจะทำตอนที่คุณพ่อคุณแม่คุณตรีมาถึง ซึ่งมันก็ไม่มีอะไรมาก แค่เว้นระยะห่าง แล้วตีกรอบหน้าที่ของตัวเอง

ผมทำอาหารทั้งหมดสี่อย่าง เลือกทำของง่ายๆที่ไม่ต้องใช้ความพยายามเกินไปที่จะทำให้มันอร่อยอย่าง ไข่เจียวปู ต้มยำกุ้ง ผัดผัก แล้วก็ปลาทับทิมทอด อาหารเบสิกสิ้นคิดแต่ทำให้อร่อยได้ไม่ยาก

ผมเตรียมใจตลอดเวลาที่ทำอาหาร จนกระทั่งได้ยินเสียงรถยนต์และเสียงกริ่งหน้าประตูรั้ว ผมรีบวิ่งออกไปเปิดให้รถของคุณท่านขับเข้ามาในตัวบ้าน

เมื่อท่านทั้งสองลงจากรถ ผมก็รับรู้ได้ถึงสายตาพิฆาตของคุณผู้ชายยามมองมาที่ผม ผมพยายามปกปิดอาการหวั่นเกรงเอาไว้ ทำตัวให้ปกติที่สุด แต่การถูกจับจ้องด้วยดวงตาทั้งสี่ทำให้ผมแทบเดินสะดุดเศษฝุ่น

ผมรู้ว่าคุณท่านทั้งสองระแคะระคายถึงความสัมพันธ์ของผมกับคุณตรี แต่จ้องกันขนาดนี้มันไม่เกินไปหน่อยเหรอครับ

“ทานข้าวเลยไหมครับ ผมจะได้ให้ฟ้าไปตั้งโต๊ะเลย” คุณตรีลุกขึ้นจากโซฟาเมื่อเห็นว่าคุณพ่อคุณแม่ของเขาก้าวเข้ามาในบ้าน

คุณตรีนิ่งสงบทั้งสีหน้าและน้ำเสียง เหตุการณ์ครั้งล่าสุดยังติดตาผมอยู่เลย แล้วคนที่เผชิญอย่างคุณตรีจะลืมมันได้เหรอ เรื่องที่กลัวว่าความลับจะแตกแทบจะหายไปจากความคิด ตอนนี้ผมกังวลความรู้สึกของคุณตรีมากกว่า

ในตอนนี้ใจของเขากำลังเจ็บปวดอยู่ใช่ไหม

ผมไม่ชอบความรู้สึกนี้เลย

“ผมจะไปตั้งโต๊ะให้นะครับ” ผมเดินเลี่ยงออกไปจัดการอุ่นอาหารแล้วจัดขึ้นโต๊ะอาหาร วันนี้ผมตกลงกับคุณตรีแล้วว่าผมจะไม่ร่วมโต๊ะอาหารด้วย เขาก็เข้าใจดีถึงเหตุผลที่เราต้องทำแบบนี้

ตั้งแต่คุณท่านทั้งสองมา คุณตรีดูเงียบขรึม เขาพูดน้อย ตอบคำถามพ่อแม่แค่สั้นๆ เขาแทบไม่มองมาทางผม ผมก็แค่ยืนนิ่งรอรับใช้หากมีใครต้องการอะไร

“อาหารพวกนี้เธอทำเองเหรอ” คุณแม่ของคุณตรีถามเมื่อมองสำรวจอาหารทั้งสี่จานที่ผมอย่างถี่ถ้วนราวกับจะสแกนหาอะไรบางอย่าง

“ครับ ผมทำเป็นแต่อาหารง่ายๆ” ผมตอบ

“ปกติแกเลือกกินกว่านี้นิ” คุณพ่อของคุณตรีพูดเหน็บ ที่ถ้าไม่คิดในแง่ร้ายมากเกินไป ความหมายของมันกว้างมากกว่าจะพูดถึงอาหาร

“ทุกวันนี้ผมก็ยังเลือกกินครับ กินของที่ตัวเองชอบและพอใจ ถ้าเราได้กินของที่เราชอบ ไม่ว่าจะถูกจะแพง มันก็ทำให้เรามีความสุขได้ จริงไหมครับ” คุณตรีเองก็ตอบกลับไปอย่างดุเดือดไม่แพ้กัน

ผมได้แต่ยืนถอนหายใจเงียบๆให้กับบรรยากาศคุกรุ่น

“ปกติเธอกับตรีทานข้าวแยกกันเหรอ” คุณผู้หญิงยิงคำถามใส่ผม ทั้งสามคนไม่มีใครแตะอาหารบนโต๊ะ ไม่รู้ว่าพวกเขามากินข้าวกันจริงหรือเปล่า

“ครับ ผมเป็นแค่คนงาน คุณตรีเป็นเจ้านาย รอคุณตรีทานเสร็จผมถึงค่อยทานครับ” ผมโกหกออกไปคำโต ไม่ได้อยากทำแบบนี้ แต่ผมทำเพื่อให้เราทุกคนผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้ ถ้าไม่ทำสถานการณ์ทุกอย่างมันจะยิ่งแย่ คุณตรียังมีความเหนื่อยยากเรื่องงานที่เขาต้องผ่านไปให้ได้ และเรื่องของเราคุณท่านทั้งสองไม่มีทางยอมรับถ้าหากว่าคุณตรียังทำไม่สำเร็จ ส่วนผมก็ยังไม่พร้อมที่จะหายไปจากชีวิตเขา

ผมคงต้องขอเห็นแก่ตัว เพราะคนที่ผมแคร์ที่สุดคือคุณตรี

ผมไม่ใช่คนดีอะไรที่จะบอกให้คุณตรีกลับไปเป็นลูกกตัญญูแล้วทำตามที่คุณพ่อคุณแม่ต้องการ แต่ผมเชื่อว่าคุณตรีสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ โดยที่สามารถทดแทนพระคุณของบุพการีได้ด้วยวิธีอื่น ที่ไม่ใช่การกักขังตัวตนและความต้องการของตัวเอง

ซึ่งการแสดงละครฉากใหญ่ของเราก็คือการทำให้หัวอกของคนเป็นพ่อเป็นแม่ไม่ร้อนรุ่มไปมากกว่านี้ จนกว่าพวกท่านจะยอมรับในสิ่งที่ลูกชายท่านเป็น เมื่อถึงตอนนั้นอะไรๆก็จะดีขึ้น

“ได้ข่าวว่าแกพาเด็กคนนี้ไปที่บริษัทด้วย” คุณผู้ชายถามคุณตรี

“ครับ”

“ทำไมต้องพาไป ในเมื่อเป็นแค่พ่อบ้านทำความสะอาดงานบ้าน”

“ฟ้าต้องไปดูแลผม ผมไม่ได้ทำงานสบายๆนะครับพ่อ ทุกคนก็ทำงานกันยุ่ง อะไรที่มันเป็นธุระของผม เรื่องอาหารการกิน เรื่องยิบย่อย ผมก็ไม่อยากไปลำบากคุณเอิงเขา ยังไงผมก็จ่ายเงินเดือนฟ้าอยู่แล้ว จะเอาไปใช้งานนอกสถานที่มันจะแปลกอะไรล่ะครับ”

“รู้ไหมว่าฉันรู้อะไรมา อย่าให้ฉันต้องพูดมันออกมาเลย ฉันกระดากปาก”

“งั้นคุณพ่อก็ไม่ต้องพูดมันออกมาหรอกครับ ผมว่าคุณพ่อรู้จักนิสัยผม ต่อให้มันเป็นจริงพ่อก็คงห้ามผมไม่ได้ แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ ก่อนที่ผลของข้อตกลงระหว่างเราจะแน่ชัด ผมไม่ทำให้คุณพ่อต้องขายหน้าหรอกครับ”


คุณตรีตอบได้อย่างฉะฉาน เขาแทบไม่ใส่อารมณ์ใดๆในประโยคที่เขาพูด ฟังดูผิวเผินเหมือนจะไม่ใส่ใจในรายละเอียดด้วยซ้ำ ความเย็นชาของเขาที่ไม่ได้แสดงออกว่าสนใจผมเป็นพิเศษทำให้คุณท่านถอนหายใจ

อย่าว่าแต่คุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายเลยครับที่โล่งอก ผมเองก็โล่งอกเหมือนกัน

“ฉันจะเตือนแกอีกครั้ง แกยังทำงานที่ฉันมอบหมายให้ไม่สำเร็จ ตอนนี้ชีวิตแกยังเป็นของฉัน แกยังไม่มีสิทธิ์จะทำอะไรตามใจตัวเอง คนของฉันจะจับตาดูแกทุกฝีก้าว ถ้าฉันเห็นแกออกนอกลู่นอกจากเมื่อไหร่ ข้อตกลงถือว่าเป็นโมฆะ”

“พ่อจะทำกับผมแบบนี้ไม่ได้ อย่าส่งคนมาตามดูผมเหมือนผมเป็นนักโทษ”

แต่โล่งใจได้แปบเดียวก็ต้องกลับมาหนักใจอีกรอบ คุณท่านเป็นคนที่มีฝีมือในการจุดประกายความบาดหมางภายในครอบครัวได้เก่งมากๆเลยครับ ผมไม่แปลกใจเลยถ้าคุณตรีจะเป็นคนเลือดร้อนหัวรั้น ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นหรอกครับ พ่อแม่เป็นยังไงลูกก็เป็นอย่างนั้น

“ตรี อย่าขึ้นเสียงใส่คุณพ่อ” คุณผู้หญิงปรามลูกชาย

“ผมขอโทษ” คุณตรีก็ไม่ได้ดื้อแพ่งจนถอยไม่เป็น ผมลอบยิ้มเมื่อเห็นว่าเขาควบคุมตัวเองได้ดี แม้จะมีหลุดอาการไปบ้างก็ตาม

“แกจะต้องกลัวทำไมว่าจะถูกจับตาดูไหม ถ้าแกมั่นใจว่าไม่ได้ทำอะไรที่ฉันจะจับผิดได้”

ประโยคนี้ของคุณท่านทำเอาวัวสันหลังหวะอย่างผมสะดุ้งโหยงในความคิดเลยครับ ทำได้แค่ในความคิดนะครับ ถ้าแสดงออกภายนอกเดี๋ยวโดนจับได้ว่าผมคิดไม่ซื่อกับลูกชายท่าน

“เอาเถอะครับ พ่ออยากทำอะไรก็ทำ อีกไม่นานพ่อก็ตามควบคุมผมไม่ได้แล้ว”

“ดูแกจะมั่นใจเหลือเกินนะว่าจะทำกำไรให้บริษัทได้”

“ผมมั่นใจ”

“ก็ดี ฉันจะรอดู”

ถ้าโยนดาบสองเล่มให้คุณท่านกับคุณตรี ทั้งสองคนคงใช้มันฟาดฟันกันอย่างไม่มีใครยอมใคร เหมือนสายตาที่จับจ้องกันอย่างไม่ลดละ

“แล้วก็ เรื่องหนูดิวกับคุณครัวของคุณนวลประภา ตรีต้องหาเวลาไปขอโทษฝ่ายหญิงเขาด้วยนะ” คุณผู้หญิงเป็นฝ่ายพูดบ้าง สรุปก็เขาแค่มาคุยกันจริงๆสินะ ดีที่ผมไม่ได้ตื่นตูมจนโทรสั่งอาหารที่ร้านอาหารแล้วทำของง่ายๆแทน ไม่อย่างนั้นเสียดายแน่ถ้าจะต้องมีของดีๆเหลือทิ้งโดยไม่มีใครคิดจะแตะต้องมัน

ไม่สิ ไม่เหลือทิ้งหรอก ทิ้งไปก็เสียดายแย่ บนโลกนี้ยังมีคนอดยากอีกมาก ถ้าผมสั่งมาจริงๆ ผมก็ต้องฟาดให้เรียบไม่ให้เหลือแม้แต่นิดเดียว

“ไว้ถ้าผมว่างผมจะไปขอโทษท่านทั้งสองเอง”

“แต่เรื่องหนูดิว แม่อยากให้ตรี...”

“ผมไม่ชอบผู้หญิง ผมชอบผู้ชายผมว่าผมพูดเรื่องนี้ชัดแล้วนะครับ”

“แกอย่ามาพูดโต้งๆแบบนี้ให้ฉันได้ยินนะไอ้ตรี” คุณผู้ชายตวาดเสียงเข้ม คงไม่พอใจที่คุณตรีพูดออกมาว่าชอบผู้ชาย ยังไงหัวอกคนเป็นพ่อก็คงอยากให้ลูกชายมีคู่ชีวิตเป็นผู้หญิงแบบถูกต้องตามครรลองครองธรรม เพราะนั่นหมายความว่าจะได้มีลูกหลานตามสายเลือดไว้สืบสกุล

“แค่คำพูดเองครับ พ่อควรจะต้องยอมรับมันให้ได้ จับหมอผีมาไล่ผมก็ยังชอบผู้ชายอยู่ดี”

“เหอะ แกนี่มัน ฉันล่ะระอากับลูกอย่างแกจริงๆ ไม่ได้เรื่อง” คุณพ่อของคุณตรีพูดเสร็จก็ลุกออกจากโต๊ะไป

“รอด้วยค่ะคุณพี่ อย่ารีบเดินเดี๋ยวล้ม แม่กลับก่อนนะลูก แล้วก็อย่าก่อเรื่อง หนูด้วย ทำงานของตัวเองให้ดี อย่าทำอะไรให้มันออกนอกหน้านอกตามากนัก” คุณผู้หญิงทำสีหน้าลำบากใจ เธอจ้องผมกับคุณตรีแล้วก็ถอนหายใจ

“ครับคุณผู้หญิง” ผมตอบรับ

และหน้าที่ของผมก็คือการดูแลคุณตรีและทำให้คุณตรีมีความสุข มันคงไม่ผิดใช่ไหมครับ

“ก็ดี ฉันหวังว่าหนูจะไม่ทำให้ลูกชายฉันออกนอกลู่นอกทาง”

คุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายกลับไปแล้ว เหลือไว้แค่เพียงคนร้อนตัวสองอัตราตรงนี้




หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่23:สงครามย่อมๆบนโต๊ะอาหาร 4-04-20 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 04-04-2020 21:50:54
เอ็นดูความห่วงของกินของน้องฟ้า
คุณตรีสู้ๆ :ped149:

 :pig4:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่23:สงครามย่อมๆบนโต๊ะอาหาร 4-04-20 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 05-04-2020 00:10:27
สู้ๆ นะทั้งคู่.
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่24:คุณตรีผู้ชื่นชอบสุภาษิตไทย 5-04-20 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 05-04-2020 20:58:04

“จ้องอะไร” คุณตรีที่กำลังจะลงมือทานข้าวเอ่ยถาม

“ผมกำลังคิดว่า...ผมจะล่อลวงคุณตรีให้ออกนอกลู่นอกทางได้ยังไงน่ะครับ” จะมองมุมไหนผมก็ไม่สามารถทำอย่างที่คุณผู้หญิงพูดไว้ได้เลยสักนิด

คุณตรีน่ะเป็นคนมั่นใจในตัวเอง และความคิดของเขาไม่ใช่ใครจะไปชักจูงหรือปรับเปลี่ยนได้ง่ายๆ และผมว่าผมก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

“คิดอะไรเพ้อเจ้ออยู่หรือไง” ดูเขาพูดนะครับ

“ก็คุณผู้หญิงบอกว่า ห้ามผมล่อลวงลูกชายท่าน”

“อ่อ ใช่สิ นายน่ะไม่มีความสามารถล่อลวงฉันได้หรอก”

“เห็นไหมล่ะครับ ผมจะไปทำแบบนั้นกับคุณตรีได้ยังไง”

“นายทำไม่ได้หรอก ถ้าเป็นฉันก็ว่าไปอย่าง”

“...!”

“ระวังตัวไว้ ฉันจะล่อลวงนายให้ออกนอกลู่นอกทาง”

เขาทำให้ผมหน้าร้อนอีกแล้ว

พอตั้งสติได้หลังจากได้ยินเสียงหัวเราะของคุณตรี ผมก็ทำหน้ายู่ใส่เขา พลางมองซ้ายมองขวา ระแวงว่าคุณท่านจะอยู่แถวนี้

บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนจากหลังมือเป็นหน้ามือหลังจากที่คุณท่านทั้งสองกลับไป ความตึงเครียดที่ปกคลุมคล้ายก้อนเมฆสลายหายเข้ากลีบเมฆ ผมชอบบรรยากาศสบายๆแบบนี้ ความคิดแบบนี้ยิ่งทำให้ผมดูเป็นคนไม่ดี

“ผมคิดว่าคุณท่านจะถามเรื่องที่ได้รู้มาจากคุณดิวตรงๆ” 

“ไม่ถามหรอก” คุณตรีตอบอย่างมั่นใจ

“ทำไมละครับ” ก็ในเมื่อคุณท่านมาที่นี่เพราะความสงสัย ผมก็อุตส่าห์เตรียมคำพูดเอาไว้เยอะแยะมากมาย

“นิสัยกลัวเสียหน้า นิสัยที่ไม่ยอมรับความจริง เพราะพ่อฉันรู้คำตอบแต่ไม่อยากที่จะได้ยินมัน เขาจึงไม่ถาม”

“เพราะกลัวที่จะรู้คำตอบเหรอครับ”

“อืม ฉันกับพ่อไม่เคยพูดถึงปัญหานี้ได้นานจนมันเคลียร์หรือกระจ่าง พูดได้สองสามประโยคเขาก็เลือกที่จะไม่รับรู้แล้วเดินหนี”

“ท่านคงยังทำใจยอมรับไม่ได้”

“ก็ถ้าไม่เปิดใจก็ไม่มีวันยอมรับได้หรอก แต่ช่างเถอะ ฉันเลิกแคร์ไปนานแล้ว”

ผมว่าไม่จริง คุณตรียังแคร์มากๆ แต่คุณตรีแคร์คนรอบตัวมากกว่าที่ตัวเขาคิด เขากลัวคุณพ่อคุณแม่จะไม่สบายใจจึงต้องแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรระหว่างเรา เขาแคร์ว่าผมจะเดือดร้อนจึงต้องหาทางออกให้กับปัญหานี้ นั่นเพราะเขายังแคร์


“เลิกคิดได้แล้ว กินข้าวซะ” คุณตรีตักกุ้งแม่น้ำตัวใหญ่ในต้มยำให้ผม

“ขอบคุณครับ” ผมกลับมาสนใจกับข้าวสี่อย่างตรงหน้า “คุณท่านไม่กินจริงๆอย่างที่คุณตรีพูดเลย”

“ทำไม อยากให้พ่อแม่ว่าที่สามีชิมฝีมือเหรอ”

“คุณตรี!” เขาพูดอะไรของเขา เขาจะทำให้อายไปถึงไหนกัน

“แก้มแดงแล้ว”

“ทำไมชอบแกล้งผมล่ะครับ” ผมแห้วใส่

“ไม่ให้แกล้งคนที่ชอบแล้วจะให้แกล้งใครล่ะ หืม”

“ไม่ต้องมาหืมเลยครับ”

ผมอยากจะโทรเรียกคุณท่านกลับมาจริงๆ เขาจะได้เลิกหยอดผมให้เขินอายเสียที พอไม่มีผู้ใหญ่อยู่แล้วก็เอาใหญ่เลย ทำอะไรเขาไม่ได้ ก็เอามาลงกับกุ้งที่ผมกำลังเคี้ยวอยู่ในปากแทน

“ฉันไม่ได้ร่วมโต๊ะกับพ่อแม่โดยไม่มีเรื่องธุรกิจมาเกี่ยวข้องนานมากแล้ว จะให้นั่งกินข้าวร่วมกันพร้อมหน้าพร้อมตาน่ะเหรอ ไม่มีหรอก”

อยู่ๆก็รู้สึกกลืนข้าวลงคอลำบาก ภาพของเด็กผู้ชายในชุดนักเรียนมัธยมปลายนั่งกินข้าวคนเดียวในบ้านหลังก่อนฉายชัดขึ้นมาในความคิด ความอ้างว้าง ความโดดเดี่ยว ทำเอาจุกจนกินอะไรไม่ลง

เพราะอย่างนี้ใช่ไหม เขาถึงขอให้ผมทานข้าวร่วมโต๊ะกับเขาทุกมื้อทุกวัน

ผมนึกถึงตัวเองตอนที่ลุงยังอยู่ ต่อให้จะยากดีมีจนขนาดไหน ต่อให้อาหารมื้อนั้นเป็นแค่ข้าวคลุกน้ำปลา แต่ผมก็มีลุงนั่งกินเป็นเพื่อน ลุงที่คอยบอกว่าพรุ่งนี้จะลดดื่มเหล้าแล้วเอาเงินไปซื้อไข่มาทอดให้ผมกินกับข้าว ถึงลุงจะขี้เมา แต่ลุงก็กินข้าวกับผมทุกมื้อที่เรามีให้กิน

ผมใช้ช้อนกลางแงะเนื้อปลาชิ้นโตออกจากก้าง ตักวางใส่จานข้าวของคุณตรีพร้อมกับยิ้มให้เขา

“ต่อไปนี้ผมจะกินข้าวกับคุณตรีทุกมื้อ จะไม่ดื้อแล้วครับ” แต่ก่อนผมคำนึงถึงความเหมาะสม คิดแค่ว่าลูกน้องไม่ควรร่วมโต๊ะกับเจ้านาย จึงได้อิดออดเกือบทุกครั้งที่ต้องร่วมโต๊ะด้วยกัน แต่หลังจากวันนี้ผมจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว

“ขอบใจนะ”

“ด้วยความยินดีครับ”



 :mew1:





CATER TO YOU
ตอนที่24
คุณตรีผู้ชื่นชอบสุภาษิตไทย




ยิ่งใกล้วันเปิดตัวสินค้า คุณตรีก็ยิ่งยุ่งจนหัวหมุน เขาแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอนของจริงเพราะต้องคอยตามงานเคลียร์งาน ระหว่างที่ทำโปรเจคเฟอร์นิเจอร์รักโลก คุณตรีก็เจอปัญหาหลากหลายให้คอยตามแก้ตามปรับ

ผมเองก็ลงมาช่วยในส่วนที่ผมดูแลและสามารถทำได้เต็มตัว ทำคนเดียวไม่พอผมต้องลากแจ็คมาช่วยด้วย เพราะว่าขวดพลาสติกที่จะนำมาทอเป็นผ้าใช้สำหรับทำปลอกหมอนอิง พรม ผ้าคลุมโซฟาและหลากหลายผ้าที่ใช้ในการตกแต่งผ้ามันไม่เพียงพอ ไม่ใช่ว่าขวดพลาสติกมีน้อย ทั้งๆที่เป็นขยะที่มีจนล้นโลก แต่ขวดที่จะนำมาทอเป็นเส้นใยไปทำผ้าเป็นผืนๆได้ ต้องเป็นขวดเพชรใสไม่มีสีจำพวกขวดน้ำเปล่าหลากหลายยี่ห้อที่เราเห็น และนอกจากจะเป็นขวดสีใสแล้ว ต้องสะอาดไม่สกปรก พอได้ลงมาเห็นปัญหา มันทำให้ผมตระหนักเลยว่าพวกเราขาดการใส่ใจถึงการแยกขยะอย่างจริงจัง

พอขวดไม่พอ ทำให้การผลิตหยุดชะงัก คุณตรีเลยให้ผมอยู่จัดการเครื่องเปิดรับซื้อขวดพลาสติกใสภายในซอยหมู่บ้าน ผมก็เลยไม่ได้ไปที่ออฟฟิศกับคุณตรี ทั้งผมและคุณตรีเลยต่างยุ่งในหน้าที่ของตัวเองจนไม่มีเวลาออกนอกลู่นอกทางอย่างที่คุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายกังวล ทำให้หนึ่งอาทิตย์หลังจากที่มาทานข้าวที่บ้านคุณตรี หรือจะเรียกว่ามานั่งให้กับข้าวจ้องจะถูกกว่า นั่นแหละครับ ผมเชื่อว่าคุณผู้ชายส่งคนมาตามดูคุณตรีจริงว่ามีอะไรเกินเลยกับผมไหม แต่พอไม่ได้ข้อมูลอะไรก็เลยล่าถอยกลับอังกฤษไปแล้ว เห็นคุณตรีบ่นๆว่าคุณท่านทั้งสองจะมาอีกทีก็วันเปิดตัวสินค้าเลย

ผมจะบอกให้เลยนะครับ ความลับตอนอยู่นอกบ้านไม่มีหรอก แต่ถ้ามาแอบติดกล้องหรือเครื่องดักฟังในบ้าน ผมบอกเลยว่าได้หลักฐานเพียบ ก็คุณตรีน่ะชอบหยอดผมให้เขิน แล้วเขาก็บอกว่าเขากำลังจีบอยู่ บางครั้งผมก็เลยเอาคืนบ้าง จีบมาจีบกลับไม่โกง แต่ส่วนมากจะเป็นผมเสียมากกว่าที่พ่ายแพ้

เช้าวันนั้นตอนที่ผมออกกำลังกับเขาในตอนเช้า

‘ฟ้า ออกกำลังกายเสร็จแล้วใช่ไหม มานี่หน่อย’

คุณตรีเล่นเวทเทรนนิ่งบนเสื่อ ผมเดินเร็วบนลู่วิ่งเสร็จคุณตรีก็เรียกใช้

‘ครับ’

‘กดหัวเข่าให้หน่อย ฉันจะซิทอัพ’ เขานอนหงายชันขาทั้งสองข้างขึ้น

‘ไม่ไปเล่นบนนั้นเหรอครับ’ ผมมองไปทางเบาะนั่งซิทอัพ

‘เล่นตรงนี้แหละ ขี้เกียจย้ายเสียเวลา’

งั้นเหรอ แต่ปกติก็เห็นไปเล่นตรงนั้นนี่นา

ผมเดินไปนั่งขัดสมาธิตรงปลายเท้า สอดขาทั้งสองข้างของตัวเองไว้ตรงช่องว่างด้านใต้ขาที่ตั้งขึ้นของเขา แล้วใช้แขนทั้งสองข้างกดหัวเข่าของเขาไว้ไม่ให้ขยับตอนที่เขายกตัวช่วงบนขึ้นมา

‘ฮึบ’

คุณตรีแรงเยอะจัง เขาสามารถซิทอัพขึ้นมาได้จนใบหน้าราวกับเทพเจ้าสรรค์สร้างเกือบจะชนกับหน้าของผม ถ้าเป็นผมยกได้สักสี่สิบห้าองศาก็ถือว่าหรูแล้ว

‘ฮึบ’


เอาอีกแล้ว ผมนั่งชิดเขาเกินไปเหรอ ทำไมเขาถึงยกตัวขึ้นมาได้ใกล้หน้าผมขนาดนี้ ใกล้อีกนิดเขาก็จูบหน้าผมได้เลยนะ

‘ฮึบ’


ผมเอียงหน้าไปด้านข้าง นอกจากความใกล้ของใบหน้ายามที่เขายกตัวแล้ว ก็มีสายตาคมแต่หวานล้ำของเขาเนี่ยแหละครับที่กำลังทำให้ผมขาดอากาศหายใจ

‘ฮึบ’


รอบนี้ถึงกลับพ่นลมหายใจใส่หน้าผมเลยเหรอ

‘ฮึบ ฟู่’


‘คุณตรี อย่าแกล้งผมสิ


‘ทำไม ใจเต้นแรงหรอ หน้าก็แดงด้วยนะ’

‘ฮึบ ฟู่’

‘ไม่ได้ใจเต้นแรงสักหน่อยครับ ผมไม่ทำแล้ว จะไปทำกับข้าว’

ผมรีบวิ่งหนีออกมาจากห้องฟิตเนส ปล่อยให้คนขี้แกล้งหัวเราะหัวร่าไปคนเดียว เขาคงชอบใจที่แกล้งผมได้ ส่วนผม ถ้าแกล้งผมแล้วเขาหัวเราะได้อย่างมีความสุขก็ทำไปเถอะครับ ผมแค่หวังเอาไว้ว่าอีกหน่อยผมอาจจะชิน

นอกจากเหตุการณ์ในห้องฟิตเนสวันนั้นแล้วยังมีตอนที่ผมทำกับข้าวเย็นให้เขา ผมเห็นคลิปสอนทำราเมนคลิปหนึ่งที่น่ากินมากๆ เห็นแล้วผมก็อยากลองทำให้คุณตรีทาน

พอมีเวลาว่างผมก็ออกไปซื้อวัตถุดิบมาลองทำ ก็ทำผิดทำถูกไปสองสามรอบ ก่อนจะได้ราเมงที่รูปร่างหน้าตาเหมือนกับต้นฉบับ แต่รสชาติผมก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นแบบที่ผมทำหรือเปล่า เพราะผมไม่เคยลองชิมของที่อยู่ในวิดีโอ แต่รสชาติที่ผมทำก็ถือว่าอร่อยเหมือนกัน ดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการคิดเองเออเอง ผมก็ถามคุณตรีว่าผมทำออกมาเป็นยังไง แต่สิ่งที่เขาตอบทำให้ผมรู้สึกคิดผิดที่ไปถามความเห็นจากคนขี้แกล้งอย่างเขา

‘รสชาติเป็นยังไงบ้างครับ’

ผมคาดหวังในคำตอบที่จะได้รับ

‘อืม’

เขาตักน้ำซุปขึ้นชิม แล้วหลับตาเหมือนกำลังวิเคราะห์รสชาติ

‘อร่อย...ไหมครับ’

ไม่อร่อยเหรอ ทำไมเขาทำหน้าเหมือนคิดหนัก

‘มัน...ก็’

ผมเริ่มใจไม่ดีแล้วนะ ผมว่าผมก็ชิมแล้วนะ ไหนขอลองชิมอีกรอบสิ

ผมใช้ช้อนตัดน้ำซุปขึ้นมาชิม มันก็อร่อยดีนี่

‘หึหึ’

เสียงหัวเราะเบาๆดึงสายตาจากผมให้สนใจ คุณตรีกำลังยิ้มขำ

‘อร่อยดีนะว่าไหม’

‘คุณตรีแกล้งผมอีกแล้ว’

‘คงจะจริงอย่างที่คุณย่าฉันเคยพูดเอาไว้ ว่าให้หาคู่ชีวิตที่มีเสน่ห์ปลายจวัก’

‘…’

‘ที่สามารถทำให้ผัวรักผัวหลง ตอนนี้ฉันว่าฉันเริ่มหลงแล้วแหละ’

ตอนนั้น ถ้าผมสามารถระเบิดตัวตายได้ ผมจะไม่รีรอแม้เพียงเสี้ยววินาที

คิดแล้วก็...หัวใจเต้นแรง

โป๊ก!

“โอ๊ะ!”

“เป็นอะไรของมึง ร้อนหรือไงถึงหน้าแดง”

“ห๊ะ อ่อ เออ ร้อน” ผมหลุดออกจากภวังค์เพราะโดนไอ้แจ๊คเอาขวดพลาสติกตีหัว

“แต่กูว่าไม่ใช่ มึงต้องคิดอะไรไม่ดีอยู่แน่ๆ ทำไม คิดถึงว่าที่สามีมึงเหรอ” มันหลิ่วตาล้อผม เห็นละอยากจะเตะมันสักป้าบ ข้อหารู้ดี

“ว่าที่สามีอะไรของมึง ต่อไปกูจะไม่เล่าอะไรให้มึงฟังแล้ว รู้แล้วก็เอามาล้อกู” เพราะผมมีเพื่อนที่สนิทที่สุดคือมัน ผมไม่เคยมีปัญหาที่ตัวเองแก้ไม่ได้ เพราะวันๆผมก็มีแค่กิน นอน เรียน ทำงาน คือชีวิตผมเรียบง่ายจนจืดชืด เพิ่งมารู้ว่าการมีเพื่อนที่คอยระบายได้ ปรึกษาได้มันดีก็ตอนนี้

เวลาที่ผมจัดการความรู้สึกของตัวเองเรื่องคุณตรีไม่ได้ ผมชอบโทรไปปรึกษามัน ซึ่งความจริงมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ เพียงแค่ผมชอบรู้สึกกลัวเวลาที่ผมรู้สึกรักคุณตรีมากขึ้น ยิ่งเวลาที่คุณตรีแสดงความรู้สึกต่อผม ผมยิ่งกลัว กลัวว่ามันจะไม่สมหวัง กลัวว่าจะมีปัญหาโดยเฉพาะเรื่องครอบครัวของคุณตรี ในเมื่อผมจัดการความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ ผมก็เลยต้องโทรไประบายให้แจ๊คฟัง และทุกครั้งมันจะต้องด่าผมกลับเสมอ และทุกครั้งมันจะบอกให้ผมสู้อย่ายอมแพ้ในความรักของตัวเอง ในเมื่อคุณตรีดีพร้อมกว่าผมทุกอย่าง เขายังไม่เคยยอมแพ้ต่อสิ่งที่ตัวเองต้องการเลยแม้แต่วันเดียว ดังนั้นผมที่ทั้งด้อยและกากกว่าเขาไม่ควรมีหน้าไปยอมแพ้

“ไม่เล่าก็ไม่ต้องเล่า อย่ามาง้อกูทีหลัง แต่ก่อนจะถึงตรงนั้น มาช่วยกูก่อน”

“เออๆ” ผมไปช่วยมันยกถุงขวดพลาสติกที่ชั่งกิโลแล้วจ่ายเงินค่าขวดเรียบแล้วร้อยขึ้นหลังรถกระบะ

จากตอนแรกที่ประกาศเรื่องการรับซื้อขวดพลาสติกแล้วจะมีรถมารับซื้อตามวันที่กำหนด ปรากฏว่าขวดที่ได้มีการปะปนมากมาย ทำให้ต้องเสียเวลาคัดแยกเองและปริมาณขวดเพชรใสไม่เพียงพอ ผมก็เลยระดมมันสมองอันน้อยนิดของผมเพื่อคิดหาวิธี

ดั่งสุภาษิตที่เขาว่าสองหัวดีกว่าหัวเดียว ผมก็เลยโทรไปคุยกับแจ็ค เราก็เลยลงมติกันว่า ผมกับแจ็คจะไปโฆษณาพร้อมแจกใบปลิวตามบ้าน ว่าหากสนใจร่วมกันลดขยะลดภาวะโลกร้อน ก็สามารถเก็บขวดตามรูปในใบปลิว และเราจะมารับซื้อตามบ้าน

หลังจากที่ผมตระเวนทำตามแผนอยู่ห้าวันก็สามารถกระจายข่าวได้ทั่วซอย มีจุดใหญ่ๆอย่างวัดและโรงเรียนที่สนับสนุนเต็มที่

ส่วนตามบ้านก็จะโทรมาบอกให้ไปรับเมื่อเก็บขวดไว้ได้ในปริมาณที่มากพอสมควร สถานที่หนึ่งที่ต้องขอบพระคุณอย่างมากนั่นก็คือร้านอาหารของเฮียชาร์ป ที่จะมีทั้งน้ำเปล่าแบบขวดแก้วแล้วก็แบบขวดพลาสติก แบบขวดใสที่ผมต้องการเฮียชาร์ปแกให้ฟรีโดยไม่คิดเงิน แกบอกอยากช่วย ทีแรกคุณตรีรู้แกก็ไม่ยอมครับ บอกไม่อยากเอาเปรียบใคร ผมก็เลยให้ไปคุยกันเองเลย ไม่รู้คุยกันยังไงสุดท้ายคุณตรีก็ยอม

อาทิตย์หน้าก็ถึงวันเปิดตัวสินค้าแล้วครับ ตอนนี้สินค้าก็ผลิตออกมาได้จำนวนหนึ่งเท่าที่ผมถามคุณตรี เพราะทุกคนทำงานกันอย่างหนัก คาดว่าเมื่อถึงวันนั้นทุกอย่างจะเรียบร้อย

นอกจากสินค้าจะเปิดตัวอาทิตย์หน้า ผมเองก็เปิดเทอมอาทิตย์หน้าเหมือนกัน ผมกำลังจะเป็นนักศึกษาชั้นปีที่สาม ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมก็คงเข้าเรียนบ้านไม่เข้าบ้างเพราะติดทำงาน แต่ตอนนี้คุณตรีบอกว่าผมต้องไปเรียนทุกวัน ห้ามขาด ยังไงการเข้าคลาสเรียนก็ดีกว่าการอ่านหนังสือเอาเอง เพราะถ้าสงสัยก็สามารถถามอาจารย์ได้เลย ผมเองก็เห็นด้วยเลยไม่ได้ค้าน แม้ว่ามันจะกินเวลาการทำงานก็ตาม

ที่สุดท้ายที่ผมจะมาเก็บก็คือร้านอาหารของเฮียชาร์ปเนี่ยแหละ ดองไว้สามวันแล้ว น่าจะได้ขวดเยอะพอดู

♪♪♪~

“มีบ้านไหนโทรมาให้ไปรับซื้อขวดอีกเหรอ” แจ็คที่กำลังขับรถกระบะของที่บ้านคุณตรีหันมาถาม

“ไม่ใช่ คุณตรีโทรมา” ผมบอกมันก่อนจะรีบกดรับสายพร้อมกับดูนาฬิกาข้อมือไปด้วย ห้าโมงสิบนาทีแล้วนี่นา อย่างนี้คุณตรีก็ใกล้จะถึงบ้านแล้วสิ

“ฮัลโหลครับคุณตรี”

“ทำอะไรอยู่” เสียงของเขาอบอุ่นจัง

“ผมออกมาเอาขวดกับแจ็คครับ กำลังจะแวะร้านเฮียชาร์ปเป็นที่สุดท้าย”

“เย็นนี้ฉันมีนัดทานข้าวกับเจ้าของห้างที่เราจะเอาสินค้าไปวางโปรโมท ทานข้าวเย็นกับแจ็คได้ไหม กินที่ร้านเฮียนั่นแหละ ทานแล้วก็ลงบิลไว้ เดี๋ยวฉันโอนเงินจ่ายเฮียเอง” 

“คุณตรีไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก ผมกินข้าวกับแจ็คได้ครับ ส่วนเรื่องค่าอาหาร ผมออกเองก็ได้นะ ตอนนี้ผมมีเงินเยอะแล้ว” ผมบอกอย่างเกรงใจ ผมได้เงินเดือน ได้ค่าพิเศษที่ถูกยัดเยียดให้ แถมยังได้เงินบางส่วนจากการโดนลงโทษข้อหาที่ผมดื้อกับคุณตรี เขากำลังสปอยผมในทางผิดๆ เขากำลังจะทำให้ผมเคยตัว

“ฉันจะจ่ายให้ ถือเป็นค่าอาหารพนักงานนอกสถานที่ไง แจ็คมันจะได้มีกำลังใจทำงานด้วย เจ้านายเลี้ยงข้าวสักมื้อสองมื้อคงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง” แล้วคนอย่างคุณตรีก็หาเหตุผลในการจ่ายเงินให้ผมได้ตลอด ยกนิ้วโป้งให้เลยครับ

“งั้นผมจะสั่งจนอาหารล้นโต๊ะเลย คุณตรีเตรียมตัวโดนปล้นได้เลยครับ” ผมพูดอย่างถือดีติดตลกเล็กน้อย เพราะผมอยากได้ยินเสียงเขาหัวเราะ

“ฮ่าๆๆ อย่าลืมให้เฮียชาร์ปต่อโต๊ะเพิ่มให้ละ  เดี๋ยวฉันไม่หมดตัว”

“คุณตรีครับ” ผมเอ็ดเขาเสียงดุ ดูพูดเข้า ผมทำจริงขึ้นมาแล้วจะหนาว

“เอาน่า นายก็ไม่ได้ตัวใหญ่อะไร แค่นี้ฉันเลี้ยงได้ เพราะฉันก็คือจะเลี้ยงนายทั้งชีวิตอยู่แล้ว”

ฉ่า~

หยอดเก่ง จีบเก่ง โปรยเสน่ห์ แค่นี้ผมก็หลงเขาจนแทบจะโงหัวไม่ขึ้นอยู่แล้ว

“ผมไม่คุยด้วยแล้ว แค่นี้นะครับ”

“อืม ฉันจะรีบกลับนะ อย่าเพิ่งแอบไปนอนก่อน”

“ครับ” ผมกดวางสาย แล้วหันไปพูดกับแจ็คที่ก็คงรอให้ผมเล่า

“คุณตรีบอกว่าเก็บขวดที่ร้านเฮียชาร์ปแล้วก็ให้กินข้าวที่ร้านเฮียเลย เย็นนี้คุณตรีมีนัดทานข้าวกับลูกค้า”

“คุณตรีเลี้ยงเปล่าวะ” มันทำตาโต

“อืม กินได้เต็มที่ เดี๋ยวคุณตรีเคลียร์ค่าอาหารกับเฮียเอง”

“โอ้ เยส! บุญของกูจริงๆเลยว่าที่ได้เป็นเพื่อนมึง ดูดิ กูได้งานทำได้เงินดี แถมยังได้กินของดีๆด้วย” แจ็คมันพูดอย่างดีใจ ผมเข้าใจมัน และทุกวันนี้ก็ยังเข้าใจ ผมกับมันเราโตมาในสภาพแวดล้อมเหมือนกัน เราลำบากมาเหมือนกัน พอมีอะไรดีๆเข้ามาในชีวิตเราก็จะดีใจเป็นพิเศษ

“มึงต้องไปขอบคุณคุณตรีเขา” เรื่องที่มันมาช่วยทำงาน คุณตรีเขาเป็นคนคิด ผมไม่ได้เสนออะไรเลย

“อืม กูต้องขอบคุณเขาอยู่แล้ว คุณตรีของมึงเขาใจดีจริงๆเลยวะ ไม่รังเกียจคนจนด้วย”

ผมยิ้มเห็นด้วยกับที่แจ๊คมันพูด คุณตรีเขาใจดีจริงๆ ถึงแม้เขาจะไม่ได้แสดงผ่านทางสีหน้าและท่าทาง เพราะเขาค่อนข้างวางตัว แต่คุณตรีไม่เคยทำท่ารังเกียจคนที่ด้อยกว่า แม้ตอนที่เด็กน้อยเนื้อตัวสกปรกที่กำลังขายพวงมาลัยเดินมาชนเขา เขาก็จับตัวเด็กให้ลุกขึ้นแถมยังช่วยปัดเศษฝุ่นบนตัวให้ตัว เขาทำแบบนั้นโดยที่สีหน้ายังเรียบเฉย เขานิ่งมากแม้ตอนนี้หยิบเงินมาจ่ายค่าพวงมาลัยหมดตะกร้าแล้วลูบหัวเด็กด้วยความเอ็นดู

เมื่อเขามีมากกว่าคนอื่นเขาแบ่งปัน

เฮ้อ ความจริงคุณตรีน่าจะลดเสน่ห์ของเขาลงสักนิดนึง หัวใจของผมจะได้เหนื่อยน้อยลงสักนิด

พอๆ เลิกเพ้อเจ้อ งานกำลังรอผมอยู่เบื้องหน้า ถ้าผมยังไม่ลงจากรถไปช่วยไอ้แจ็คมันขนกระสอบขวดขึ้นรถ มันได้กินหัวผมแทนอาหารเย็นแน่ๆอย่างไม่ต้องสงสัย

ขนกระสอบขวดเพชรใสใส่ท้ายกระบะพร้อมใช้ผ้าใบคลุมปิดกันปลิวเรียบร้อย ผมกับแจ็คก็ขับรถกระบะกลับไปที่บ้านของคุณ แล้วค่อยขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกมาอีกรอบเพื่อกินข้าวเย็น

“เฮียชาร์ปสวัสดีครับ” ผมเดินเข้าไปหาเฮียในห้องทำงาน แจ็คมันก็เดินตามมาด้วย

“ว่าไงฟ้า มาเอาขวดใช่ไหม” เฮียยิ้มต้อนรับ ชี้ชวนให้ผมนั่งลง

“ฟ้าขนไปแล้วครับเฮีย แต่มาอีกรอบเพราะมากินข้าวเย็นกับแจ็ค คุณตรีบอกว่าให้ลงบิลไว้ เดี๋ยวคุณตรีมาจ่ายครับ”

“ได้ๆ เดี๋ยวเฮียจัดการให้ แล้วไงเอ็ง จะหนีข้าไปอีกคนไหมเนี่ยไอ้แจ็ค”

“ก็ไม่แน่นะเฮีย ถ้าคุณตรีเขาอยากได้คนไปช่วยขัดหลังคาบ้านขัดกำแพงรั้วผมก็ไปนะ”

“งั้นเหรอ ฮ่าๆๆ เออดีๆ หนักให้เอาเบาให้สู้ ไม่เลือกงานก็ไม่ยากจน”

“ใช่ไหมเฮีย ไม่รู้ชาติที่แล้วไอ้ฟ้ามันทำบุญมาด้วยอะไรถึงได้วาสนาดี” ไอ้แจ็คมันจับปลายคางผมบิดไปมาเหมือนมองสำรวจว่าบุญที่ผมทำไว้แต่ชาติที่แล้วมันอยู่ตรงไหน

“เขาถึงได้พูดกันไง ว่าแข่งเรือแข่งพายน่ะแข่งกันได้ แต่แข่งบุญแข่งวาสนาอ่ะมันแข่งกันไม่ได้ ความลำบากบางอย่างก็มาจากกรรมเก่า ส่วนเรื่องดีๆในชีวิตก็มาจากบุญที่เคยสร้าง สองส่วนนี้ไม่หักล้างกัน ดังนั้นชาตินี้พวกเอ็งก็อย่าลืมต่อบุญกันเอาไว้บ้าง ชาติหน้าจะได้ไม่ลำบากมากนัก” เฮียชาร์ปเอ่ยสอยอย่างผู้ใหญ่ที่มีใจเมตตา

“โหยเฮีย เหมือนอยู่ในวัดเลยอ่ะ สาธุ” ไอ้แจ็คมันยกมือขั้นไหว้ทูนหัวเลยครับ

“ฟ้าจะจำไว้ครับ” ว่าแล้วผมก็ได้ไอเดียวอะไรบางอย่าง เผื่อมันจะช่วยเป็นการเอาฤกษ์เอาชัยให้กับธุรกิจของคุณตรี




เพราะคำสอนของเฮียชาร์ป ผมเลยคิดขึ้นมาได้ว่าผมไม่ได้ใส่บาตรมานานแล้ว บ้านคุณตรีก็อยู่ลึกสุดท้ายซอย บริเวณบ้านของคุณตรีจึงเหมือนเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล ไม่มีใครแวะเวียนผ่านไปมาจนพลุกพล่าน ซึ่งนั่นรวมถึงไม่มีพระสงฆ์เดินผ่านมาด้วย

เช้านี้ผมเลยตื่นเร็วกว่าเดิมเพื่อที่จะทำอาหารให้คุณตรีไปใส่บาตร เมื่อคืนผมได้ชวนคุณตรีแล้ว เขาก็ดูจะสนใจไม่น้อย เขาเลยถามว่าผมพอจะทำกับข้าวที่เขาต้องการเป็นหรือเปล่า เขาบอกว่าอยากใส่บาตรด้วยอาหารที่คุณย่าของคุณตรีชอบทาน

ผมเลือกกับข้าวสองชนิดในหกเจ็ดอย่างที่คุณตรีรีเควสมาเพราะอันอื่นที่ว่ามานั้นผมจนปัญญาที่จะทำจริงๆ สองอย่างนั้นก็คือเต้าเจี้ยวหลนทรงเครื่องกับพะแนงเนื้อ อาหารทั้งสองอย่างก็เป็นอาหารที่ผมเคยกินและรู้รสชาติ ผมศึกษาสูตรจากในอินเทอร์เน็ตพร้อมจดรายการวัตถุดิบที่ต้องซื้อในตอนเช้ามืด

ตอนทำผมเผื่อของเอาไว้เพื่อรอบแรกทำพลาดจะได้มีของทำรอบสอง ผมพยายามทำตามสูตรในคลิปวิดีโอแบบไม่ขาดตกบกพร่อง ถ้าเราเริ่มมีความรู้พื้นฐานในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง การต่อยอดไปในทางอื่นก็ไม่ใช่เรื่องยาก

กว่าจะได้รสชาติที่ชิมแล้วว่ายังไงก็อร่อย ผมก็ปาดเหงื่อปรุงแล้วปรุงอีกไปหลายรอบ แต่ก็ถือว่าไม่เสียแรงเปล่า ทั้งเต้าเจี้ยวหลนทรงเครื่องและแกงพะแนงที่ผมทำรสชาติดีไม่ใช่เล่นเลย

“หอมจัง” คุณตรีที่แต่งตัวพร้อมออกไปใส่บาตรเดินทำจมูกฟุดฟิดเข้ามาในครัว

“คุณตรีลองชิมดูครับ” ผมชักชวนเขาอย่างกระตือรือร้น ผมเองก็รู้สึกภูมิใจในตัวเองมากๆเหมือนกันที่สามารถทำอาหารยากๆได้แม้ว่าจะทำเป็นครั้งแรก

“อร่อย แบ่งไว้หน่อยได้ไหม ฉันอยากกิน” ผมคงจะทำอร่อยจริงๆนั่นแหละเขาถึงได้ทำตาละห้อยแบบว่าอยากกินมากจริงๆ

“ได้สิครับ ผมทำตั้งเยอะ”

“แล้วให้ฉันช่วยอะไรไหม”

“อืม คุณตรีตักใส่ถุงได้ไหมครับ อย่างละสามชุด ผมอยากขึ้นไปอาบน้ำหน่อย” ผมออกไปจ่ายตลาดแล้วก็กลับเข้ามาทำกับข้าวในครัว นอกจากล้างหน้าแปรงฟันผมก็ยังไม่ได้อาบน้ำ

“ได้ๆ นายไปอาบน้ำเถอะ ที่เหลือฉันจัดการเอง”

ไม่รู้ว่าคุณตรีจะทำได้ไหม แต่คิดว่าไม่มีอะไรที่คุณตรีทำไมได้ ผมจึงวางใจปล่อยให้เขารับหน้าที่ต่อ ส่วนผมก็รีบวิ่งขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนจะลงมาเตรียมของต่อเพื่อไปรอใส่บาตรที่หน้าวัด

เราสองคนที่ถึงหน้าวัดตอนหกโมงครึ่ง เรายืนรอใส่บาตรอยู่ที่หน้าวัดเพราะวันนี้ไม่ใช่วันพระ ที่วัดจะไม่ได้มีการตั้งบาตร หลังจากจบข้าวแล้วไม่นานก็มีพระที่ออกไปบิณฑบาตเดินกลับมาที่วัด คุณตรีเป็นคนเอาข้าว แกง น้ำ ผลไม้และดอกไม้ใส่ลงในบาตรพระ ส่วนผมอาศัยจับที่แขนของคุณตรีแทน จากนั้นค่อยรับพร

‘…อะภิวาทะนะสีลิสสะ   นิจจัง   วุฒาปะจายิโน
จัตตาโร   ธัมมาวัฑฒันติ  อายุ   วัณโณ   สุขัง   พลัง…’
[/i]

“สาธุ” ผมเอ่ยรับพรเบาๆ แล้วเอามือลูบสามที

พอได้ใส่บาตรก็รู้สึกสบายใจ

“กลับบ้านไปต้องไปกรวดน้ำด้วยใช่ไหม ฉันจำได้ตอนเด็กๆที่คุณย่าพามาใส่บาตรที่วัดแล้วต้องกรวดน้ำ” คุณตรีถามพลางช่วยผมเก็บของใส่ถุงผ้าเตรียมกลับบ้าน

“ครับ เพื่ออุทิศบุญให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว”

“กลับไปบ้านสอนฉันด้วยนะ”

“ครับ” เรื่องนี้ผมพอจะรู้อยู่ เพราะตอนเด็กๆก็วนเวียนเข้าวัดบ่อย ลุงชอบพาผมไปขอข้าววัดกิน ก็เลยพอจะรู้เรื่องพวกนี้บ้าง

“จะว่าไปแล้ว ที่นายชวนฉันมาใส่บาตรเพราะมีแผนหรือเปล่า” คุณตรีที่นั่งประจำที่คนขับหันมาคุยกับผม เขาสตาร์ทรถไว้แต่ยังไม่ได้ออกรถ

“แผนอะไรครับ” ผมกำลังงงว่าคุณตรีหมายถึงอะไร ถ้าจะถามถึงเหตุผลก็เพราะว่าผมอยากให้บุญช่วยให้งานของคุณตรีราบรื่น ซึ่งผมก็บอกเขาไปตั้งแต่เมื่อคืน

“ก็แผนที่ว่าทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขัน ชาติหน้าเราจะได้เกิดมาคู่กันอีกไง”

เอาอีกแล้ว หน้าวัดคุณตรีก็ไม่เว้น

“ไม่คิดว่าคุณตรีจะรู้คำศัพท์โบราณพวกนี้นะครับ” ผมแสร้งทำเป็นไม่รู้สึกรู้สา ยิ่งเผยอาการเขาก็ยิ่งชอบใจ

“คุณย่าฉันสอนมาน่ะ หึหึ”

“คุณตรีนี่เป็นเด็กดีจังเลยนะครับ จำคำที่คุณย่าคุณสอนได้ทุกคำ” ผมแอบเหน็บ

“อ่อ ฉันยังรู้จักอีกคำนะ” เขาทำเสียงตื่นเต้น

ผมมองคุณตรีอย่างไม่ไว้ใจ คิดว่าไอ้อีกคำของเขาคงไม่ใช่อะไรที่ดีต่อใจผม จวบจนเขาเลื่อนหน้าเขามาใกล้แล้วกระซิบใกล้หูผมด้วยเสียงกระเส่า ตอกย้ำว่าผมคิดไม่ผิดเลยสักนิด

“ชิงสุกก่อนห่าม เคยได้ยินคำนี้แต่ยังไม่เคยลองทำเลย ที่จริงก็บ่มไว้นานแล้วนะใกล้จะสุกหรือยัง หรือว่ายังห่ามอยู่”

“คนบ้า”

ยังจะมีหน้ามาถามผมอีก ผมไม่คุยกับเขาแล้ว!




หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่25:ผมภูมิใจในตัวคุณตรีที่สุด... 6-04-20 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 06-04-2020 20:58:43
CATER TO YOU
ตอนที่25
ผมภูมิใจในตัวคุณตรีที่สุดเลยครับ




วันนี้เป็นวันสำคัญที่สุดของคุณตรี ผมว่ามันต้องเป็นวันที่สำคัญมากๆสำหรับเขา ตลอดเวลาเกือบห้าปีที่เขาพยายามลงทุนลงแรงอย่างหนัก ก็เพื่อแสดงให้คุณพ่อของเขาเห็นว่า แม้เขาจะมีใจชื่นชอบเพศเดียวกัน แต่เขาก็สามารถทำงานและประสบความสำเร็จเหมือนคนปกติได้

ถ้าถามผม ผมขออวยเจ้านายของผมนิดหนึ่งว่า เขาทำได้ดีกว่าคนอื่นเสียอีก ไม่สิ คุณตรีทำได้ดีที่สุด

“คุณตรีหล่อจังครับ” ผมจัดเนคไทของคุณตรีให้เข้าที และเช็คความเรียบร้อยของเสื้อผ้า

“ทำไมถึงเลือกสีนี้”

ชุดสูทสีที่ผมเลือกให้เขาวันนี้เป็นสีแดงเลือดหมู

“ก็คุณตรีชอบสีแดงไม่ใช่เหรอครับ” ผมจำได้ที่น้ากุ้งเคยบอก คุณตรีชอบสีอยู่สองสี แต่สีแดงคือสีที่เป็นความลับ

“สมกับที่เป็นคนรู้ใจของฉัน” เขายื่นหน้าเข้ามาให้อยู่ในระดับสายตาของผม

ผมไม่รู้จะตอบโต้อะไร เขาพูดแหย่ผมพร้อมกับสีหน้าเจ้าชู้ ผมน่ะมีบทเรียนมาหลายครั้งแล้ว ไม่ตอบโต้ให้ตัวเองเขินกว่าเดิมหรอก พอเห็นมาผมไม่เล่นด้วย เขาก็กลับไปยืนตัวตรงให้ผมจัดการแต่งตัวให้เขาต่อ

“เลือกชุดอลังการขนาดนี้ จะให้ฉันไปเดินแบบหรือยังไง”

“ก็ได้นะครับ คุณตรีเป็นนายแบบได้เลย คุณตรีทั้งหล่อ ทั้งสูง หุ่นก็ดี ใส่อะไรก็หล่อครับ” 

“ชมแบบนี้ฉันก็เขินแย่น่ะสิ”

“เขินบ้างเถอะครับ” อย่าปล่อยให้ผมต้องเขินคนเดียวเลย

“หึหึ จะบอกว่าฉันหน้าหนา?”

“ผมเปล่าพูดนะ เรียบร้อยแล้วครับ” ไม่น่าเชื่อว่าจากวันนั้นจนถึงวันนี้ ผมมีความรู้เรื่องเสื้อผ้ามากขึ้น จนสามารถจัดชุดให้คุณตรีได้อย่างคล่องแคล่ว

“นายเลือกชุดให้ฉันแล้ว ฉันเลือกให้นายบ้างดีไหม”

“ไม่เป็นไรครับ”

“ไม่ได้สิ ฉันจะเลือกให้เอง”

คุณตรีเดินพรวดออกจากห้องไปยังห้องผม เขาเปิดตู้เสื้อผ้าของผมแล้วยืนพิจารณา กว่าหกสิบเปอร์เซ็นต์ของเสื้อผ้าในตู้เป็นเขาซื้อให้ ผมแย้งเขาเรื่องซื้อของให้ผมจนเหนื่อยใจ สุดท้ายก็กลายเป็นผมที่ต้องยอม ยังดีที่เขาแค่ซื้อเสื้อผ้าภายนอกให้ ยังไม่ถึงขั้นกับซื้อกางเกงชั้นในให้ผม

“ไปอาบน้ำสิ” คุณตรีมองผมประมาณว่า จะยืนอยู่ทำไม

“ผมเลือกเองก็ได้” ผมละกลัวใจเขาจริงๆ

“ทำไม กลัวอะไรเหรอ”

“ผมไม่ได้กลัวสักหน่อย” ใครจะไปยอมรับ ยิ่งผมแสดงว่ากลัวเขาก็ยิ่งแกล้ง

“ไม่กลัวก็ไปอาบน้ำ” เขาคว้าเสื้อคลุมอาบน้ำส่งให้ผม ใช้สายตากดดันให้ผมรีบไปอาบน้ำ เพราะเรามีเวลาโอ้เอ้ไม่มากนัก ก็เลยต้องทำตามที่เขาบอก แต่ก่อนจะออกจากห้อง ผมก็หมุนตัวกลับไปดูเขาอีกรอบว่าเขาจะเผลอแกล้งอะไรผมไหม แต่พอหันไปก็สะดุ้งกับสายตาที่จับจ้องเหมือนเหยี่ยว

ไปก็ได้

ผมปลอบใจตัวเองตลอดการอาบน้ำว่ามันคงไม่มีอะไร แต่การปลอบใจของผมไม่เป็นผลเมื่อผมเดินกลับเข้ามาในห้องแล้วพบกับเสื้อผ้าที่คุณตรีเลือกไว้วางไว้บนเตียง

“คุณตรี หยิบไอ้นี่ออกมาทำไมเนี่ย ฮึ้ย!” ผมคว้ากางเกงชั้นในของตัวเองมากำเอาไว้แน่น ผมว่าแล้วว่าเขาต้องแกล้งผม ดีนะที่ผมซื้อของใหม่มาเปลี่ยนยกเซตเพราะให้เป็นรางวัลตัวเองและผมก็มีเงินมากพอที่จะเปลี่ยนของใหม่ ถ้ายังเป็นของเก่าที่ย้วยๆละก็ ผมคงอายมากกว่านี้อีก

จะมีทางไหนที่ผมจะแกล้งเขาคืนได้บ้างเนี่ย ใครคิดออกคอมเม้นท์บอกผมทีนะครับ ผมอยากจะเอาคืนคุณตรีจริงๆ





“งอนอะไร หืม” เขาถามผมเสียงนุ่ม แกล้งกันแล้วก็มาทำตัวอ่อนโยนให้ผมหลงกล

“ผมจะไม่ให้คุณตรีเข้าห้องผมแล้ว” ผมบอกเขาเสียงขุ่น

“อืม ไม่เป็นไร ยังไงนายก็ย่องเข้าห้องฉันทุกเช้าอยู่แล้ว”

เดี๋ยวนะ แล้วมันเกี่ยวกันตรงไหน

“ผมไม่ได้ย่องสักหน่อย ผมเข้าไปปลุกคุณตรีต่างหาก” อะไรเนี่ย มาใส่ร้ายผมเฉยเลย

“หึหึ ดุจังคนนี้” เขาเอานิ้วมาจิ้มแก้มผม

“ขี้แกล้ง” ถึงจะทำเหมือนบ่นแต่ผมก็แอบอมยิ้มอย่างมีความสุข

ความสัมพันธ์ของผมกับคุณตรีดำเนินไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ผมไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมสามารถพูดเล่นกับเขาได้อย่างสบายใจ ผมไม่เกร็งเวลาเขาเข้าใกล้ ไม่นับรวมเวลาที่ผมเขิน ผมกล้าที่จะทิ้งตัวนั่งชิดเขาอย่างไม่ลังเล กล้าที่จะต่อปากต่อคำกับเขาโดยลืมเรื่องของฐานะ ผมเปลี่ยนไปโดยที่เขาไม่ได้พูด แต่ผมการสนิทกับเขามากขึ้นเพราะความสบายใจ

เขาทำให้ผมรู้สึกสบายใจและไม่กลัวที่จะแสดงความรู้สึกที่มีต่อเขา เหมือนกับที่เขาก็แสดงความรู้สึกของเขาต่อผมโดยไม่หวง

ผมมีความสุขจัง และวันนี้คงจะมีความสุขมากขึ้นทั้งผมและคุณตรี เพราะวันนี้เป็นวันแรกที่จะเอาสินค้าคอลเลคชั่นใหม่มาวางขาย

สินค้าจะถูกจัดวางที่ชั้นแรกตรงพื้นที่ตรงกลาง คือเดินเข้ามาในตึกก็จะเห็นได้อย่างเด่นชัด เมื่อวานคุณตรีก็อยู่คุมงานในการจัดวางสินค้าที่วางโชว์ มีการกั้นเป็นห้องต่างๆให้มองเห็นภาพว่าเฟอร์นิเจอร์คอลเลคชั่นนี้ของเขาสามารถจัดตกแต่งออกมาได้แบบไหนบ้าง นอกจากสินค้าใหม่แล้ว ก็ยังมีการเอาสินค้าเก่าเข้ามาตกแต่งผสมผสานเข้ากันได้อย่างลงตัว วิธีนี้อาจจะทำให้เราขายสินค้าเก่าได้ด้วย ซึ่งสินค้าเก่าจะขายลดราคา ไม่อย่างนั้นราคามันจะโดดกับสินค้าคอลเลคชั่นใหม่ที่มาในคอนเซ็ปรักษ์โลก ในเมื่อดีต่อโลกแล้วก็ต้องดีต่อเงินในกระเป๋าด้วยนะครับ

วันนี้จะเป็นการเปิดขายสินค้าวันแรก มีนักข่าวมาร่วมทำข่าวด้วย เพราะครอบครัวของคุณตรีมีชื่อเสียงในวงการไฮโซ ทำให้สื่อจำนวนหนึ่งให้ความสนใจต่อคุณตรี ยิ่งเพราะคุณตรีเป็นลูกชายสุดหล่อของนักธุรกิจรุ่นใหญ่ติดอันดับของประเทศ จึงได้รับความสนใจ ทุกคนก็พูดว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะถือว่าเป็นการโปรโมทสินค้าไปในตัวโดยที่ไม่ต้องเสียเงิน

“ตอนนี้นักข่าวมารอกันหลายเจ้า หลังจากถึงเวลาเปิดขาย เราได้นัดให้นักข่าวมาทำการสัมภาษณ์พร้อมกันช่วงประมาณ 11 โมงนะคะ แล้วก็วันนี้ช่วงบ่ายคุณตรีจะมีให้สัมภาษณ์กับนิตยสารชื่อดังของเหล่าวัยรุ่นด้วยค่ะ” คุณเอิงรายงานเกี่ยวกับตารางงานคร่าวๆของคุณตรีภายในวันนี้

“อืม ยังไงผมฝากดูแลด้วย อย่าให้มีปัญหาอะไรในวันนี้”

“ได้ค่ะ วันนี้คุณตรีจะดูงานข้างล่างใช่ไหมคะ”

“ครับ ผมอยากลงไปดูแลลูกค้าด้วยตัวเอง”

“น้องฟ้าอยากได้อะไรไหมคะ” คุณเอิงหันมาถามผม พี่เอิงชอบหาขนมมาให้ผมทานถ้าผมมาช่วยงานคุณตรีที่นี่

“ไม่เอาครับพี่เอิง ขอบคุณครับ” แต่ก่อนผมเรียกว่าคุณเอิง แต่พี่เขาไม่ยอม บอกว่าฟังดูแก่ไป ขอให้ผมเรียกแค่พี่ก็พอ อะไรที่ทำให้คนสวยพอใจผมก็ยอมครับ

พอได้เวลาเปิดร้าน คุณตรีก็ชวนผมลงไปเดินดูข้างล่าง ตรงโซนที่จัดโชว์สินค้าใหม่มีคนเข้ามาเดินดูให้ความสนใจเป็นอย่างมาก พอได้เวลาที่นัดนักข่าวสัมภาษณ์ คุณตรีก็ไปยืนอยู่ด้านหน้าตรงที่มีป้ายโฆษณาสินค้าตั้ง

คุณตรีตอบสัมภาษณ์ได้อย่างลื่นไหล คำถามที่นักข่าวถามส่วนมากก็จะเป็นคำถามเกี่ยวกับตัวสินค้า ว่าแตกต่างไปจากเดิมที่เน้นแต่ความหรูหรา แต่ทำไมครั้งนี้ถึงเปลี่ยนสไตล์ ร่วมไปคำถามเกี่ยวกับธุรกิจในครอบครัว

คุณตรียืนอยู่ตรงกลางที่รอบล้อมไปด้วยผู้คนที่ให้สนใจแก่เขา เขาโดดเด่นแล้วก็เจิดจรัส ถ้าผมไม่ได้รู้จักเขา เขาก็คือคนที่ผมไม่อาจจะเอื้อมถึง เขาดูสุภาพแต่ก็เข้าถึงได้ยากหากเขาไม่ต้องการให้ใครเข้าไปในชีวิตของเขา

ช่วงเสี้ยววินาทีที่เราสบตากัน เขายิ้มให้ผม และผมก็ยิ้มตอบด้วยความภาคภูมิใจ ผมเชื่อว่าถ้าคุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงได้มาเห็นภาพนี้ พวกท่านทั้งสองต้องรู้สึกภูมิใจในคุณตรีเหมือนที่ผมกำลังรู้สึก

การสัมภาษณ์เป็นไปได้ด้วยดี จนกระทั่งมาถึงคำถามสุดท้ายก่อนจะหมดเวลา

“ผมขอถามหน่อยครับ ได้ข่าวว่าคุณมีรสนิยมรักชอบเพศเดียวกัน เป็นเรื่องจริงไหมครับ” สิ้นเสียงคำถามของนักข่าวชายคนนั้น ทุกคนก็ดูจะตกใจแล้วให้ความสนใจอยากมากในทันที

“เรื่องจริงเหรอครับ”

“เรื่องมันเป็นยังไงคะ”

จากนักข่าวแค่คนเดียว ตอนนี้นักข่าวดูจะไม่สนใจเรื่องสินค้าแล้วครับ มาสนใจเรื่องส่วนตัวของเขาเอง

ผมได้แต่ยืนตกใจมองดูคุณตรีด้วยความเป็นกังวล เขามองมาทางผมด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ไม่มีร่องรอยของความกลัว กังวล หรือไม่พอใจ เขากวาดตามองนักข่าวทุกคนก่อนจะตอบคำถาม

“ผมคิดว่ามันไม่น่าจะสำคัญว่าผมจะชอบเพศไหน ความรักก็คือความรัก ผมมองว่าทุกความรักของคนทุกเพศทุกวัยเป็นสิ่งที่สวยงาม และถ้าจะถามว่าผมชอบเพศเดียวกันไหม ผมก็ตอบว่าใช่ครับ แต่ความรักของผมคงไม่ทำให้โลกนี้เดือดร้อน เท่ากับปัญหาขยะล้นโลกในขณะนี้หรอกนะครับ ดังนั้นผมอยากขอให้ทุกคนดูในสิ่งที่ผมจะทำเพื่อส่วนรวมดีกว่า ขอให้ดูที่ผลงานที่ผมจะสร้างสรรค์ออกมาให้ลูกค้าของผมพอใจและมีความสุข หวังว่าเมื่อทุกคนได้คำตอบที่อยากได้ไปแล้ว ทุกคนจะให้ความสนับสนุนผมต่อนะครับ ขอบคุณครับ”

คุณตรีปิดท้ายการสัมภาษณ์ด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ ทำเอาผู้หญิงในบริเวณนั้นเคลิ้มไปตามๆกัน เขาตอบคำถามได้อย่างลื่นไหล แววตาของเขามุ่งมั่น คำพูดของเขาหนักแน่น จนไม่มีใครกล้าที่จะถามอะไรต่อ ได้แต่หลีกทางให้เขาเดินมาหาผมและคุณเอิงที่ยืนให้กำลังใจอยู่ไม่ไกล

“คุณตรีแมนแล้วก็เท่มากๆเลยเนอะน้องฟ้า” คุณเอิงกระซิบกับผม

“ครับ เท่มากๆเลย” ผมชื่นชอบเขาจนไม่รู้จะชื่นชอบยังไง

“แต่ว่าเรื่องนี้รู้ไปถึงหูนักข่าวได้ยังไงนะ พี่ว่าพี่กำชับแล้วนะว่าไม่ให้สัมภาษณ์เรื่องส่วนตัว ทำไมยังกล้าทำ”

“เรื่องพวกนี้คนชอบเสพครับ”

“นั่นสิ คงอยากจะขายข่าวจนไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร แต่น้องฟ้าอย่าคิดมากนะ” คุณเอิงตบแขนผมเบาๆ มองมาด้วยความเป็นห่วง ผมส่ายหน้าแล้วพูดว่าผมไม่เป็นไร

ผมว่าเรื่องนี้มันไม่ธรรมดา คุณตรีไม่ได้เปิดเผยขนาดนั้นแต่ทำไมนักข่าวถึงรู้ ผมนึกไปถึงคุณดิว เรื่องนี้จะเป็นฝีมือเธอหรือเปล่า ผมยังจำสีหน้าแววตาและความโกรธเคืองของเธอได้ เธอพูดประโยคแบบนั้นทิ้งท้ายเอาไว้ด้วย

‘บอกเอาไว้เลยว่าฉันจะเอาคืนให้สาสมที่กับการที่เขากล้าแหกหน้าฉัน’

คงไม่ใช่วิธีนี้ใช่ไหม

“คุณตรีจะให้เอิงจัดการนักข่าวสำนักนั้นไหมคะ”

ผมหลุดออกจากความคิด เงยหน้ามองคุณตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าผม เขาดูสบายใจจนผมสงสัย เขาไม่คิดมากเลยหรือ ในขณะที่ผมรู้สึกเป็นห่วง

“ไม่เป็นไร ปล่อยไปเถอะ”

“แต่ถ้าคุณท่านเห็น”

นั่นสิ ผมลืมเรื่องนี้ไปเลย ถ้าคุณพ่อคุณแม่คุณตรีรู้เรื่องเข้า จะต้องเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอนผมมั่นใจ

“ยังไงวันหนึ่งทุกคนก็ต้องรู้ ถามมาแล้วปฏิเสธไปก่อนแล้ววันหลังมากลับคำ ไม่แย่ยิ่งกว่าหรือครับ”

“แต่ว่า...คุณท่านจะโมโหเอานะคะ”

“ยังไงเขาก็โมโหอยู่แล้วล่ะครับ อีกอย่างผมอยากซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง” เขามองมาที่ผม สื่อผ่านสายตาให้ผมรู้ว่าเขาจะซื่อสัตย์ต่อผม เขาทำเพื่อผมขนาดนี้เลยเหรอ แล้วผมทำอะไรเพื่อเขาได้บ้าง

ตึก ตึก ตึก ตึก

เสียงส้นรองเท้าดังก้องทั่วบริเวณเรียกความสนใจ ผมหันไปทางต้นเสียงเห็นร่างเพรียวระหงในชุดเดรสสุดหรูหรา มาพร้อมกับช่อดอกไม้ช่อโต

คุณดิว เธอมางานนี้ด้วยเหรอ ไม่ใช่ว่าจะมาป่วนงานหรอกนะ

“สวัสดีค่ะตรี ดิวเอาของขวัญอีกชิ้นมาให้” คุณดิวยื่นช่อดอกไม้ให้คุณตรี สีหน้าของเธอยิ้มแย้มเกินปกติจนน่ากลัว ยิ้มแบบนางมารร้ายที่ผมดูในหนังเรื่องมาเลฟิเซนต์

คุณตรีถอนหายใจแต่ก็ยอมรับดอกไม้แล้วก็ส่งต่อไปให้คุณเอิงแบบไม่ใส่ใจ

“พอใจแล้วใช่ไหม นักข่าวนั่นก็น่าจะเป็นคุณส่งมานิ” คุณตรีพูดเสียงเย็นกับคุณดิว

“พอใจไหมน่ะเหรอ ก็พอใจนะ ช่วยไม่ได้ ตรีทำให้ดิวเสียหน้าก่อน ก็แฟร์ดีแล้วนี่” เธอพูดอย่างไม่ยี่หระ

“งั้นก็ถือว่าหายกัน”

“เหอะ ฉันจะรอดูวันที่ความรักของคุณลุกเป็นไฟก็แล้วกัน” เธอว่าอย่างเข่นเขี้ยว พร้อมตวัดสายตามองผม

“ต้องขอแสดงความเสียใจล่วงหน้าด้วยที่คุณอาจจะไม่ได้เห็นวันนั้น”

“แต่พ่อแม่คุณไม่ปล่อยไว้แน่ หึหึ” เธอยักไหล่แล้วก็หมุนตัวเดินออกไปอย่างนางพญา มันจะจบแค่นี้ใช่ไหม ถือว่าคุณดิวได้เอาคืนคุณตรีแล้ว และเป็นการเอาคืนที่ทิ้งระเบิดลูกใหญ่เอาไว้ซะด้วย

สงสัยผมต้องไปเตรียมชุดกอบกู้ระเบิดมาให้คุณตรีกับผมคนละชุดซะแล้ว ปลอดภัยไว้ก่อนครับ

ช่วงเช้าหลังจากสัมภาษณ์คุณตรีก็เดินดูความเรียบร้อยที่ชั้นล่าง และคอยให้ความรู้เกี่ยวกับสินค้า และแนะนำสินค้าให้ลูกค้า ไม่อยากจะบอกเลยว่าคุณตรีก็เจ้าเล่ห์เหมือนกัน เขารู้ว่าตัวเองมีเสน่ห์ ก็เลยใช้เสน่ห์ของตัวเองในการหลอกล่อให้ลูกค้าผู้หญิง เวลาที่เขายิ้มที ไม่ว่าจะสาวน้อยสาวใหญ่ก็ต้องหลงใหลแล้วก็ยื่นบัตรเครดิตให้เขาโดยไม่ลังเล

จริงๆแล้วผมว่าไม่ต้องคิดเรื่องการออกแบบสินค้าหรอกครับ หาคนขายหล่อๆมาขายผมว่าแค่นี้ก็ได้กำไรเยอะแล้ว ไม่ยุ่งยากด้วย

ช่วงบ่ายคุณตรีมีนัดสัมภาษณ์ให้กับนิตยสารฉบับหนึ่ง เป็นนิตยสารสำหรับวัยรุ่นที่เริ่มทำงาน ดังนั้นเนื้อหาในเล่มจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคนรุ่นใหม่ คนที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย เห็นว่ามีคนที่คุณตรีรู้จักตอนไปเรียนที่อังกฤษทำงานอยู่ที่นี่ คุณตรีก็เลยได้รับเลือกให้ถูกสัมภาษณ์ในเนื้อหาเกี่ยวกับนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรงที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม

“คุณตรีคะ คนจากนิตยสาร DOUBLE มาแล้วค่ะ เอิงเตรียมจุดสัมภาษณ์ไว้ให้แล้วค่ะ” คุณเอิงเข้ามาแจ้งคุณตรีที่กำลังนั่งพักอยู่ในห้องทำงาน

“งั้นไปกันเลยครับ ฟ้าไป” คุณตรีลุกขึ้นแล้วหันมาเรียกผม

“ผมต้องไปด้วยเหรอครับ” ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง

“ต้องไป ไปให้กำลังใจฉันไง” คุณตรีดึงมือผมให้เดินตามไป ผมอยากจะดึงออกเพราะว่ากลัวคนอื่นมาเห็น แต่ผมไม่กล้าทำเพราะผมกลัวคุณตรีรู้สึกไม่ดีมากกว่า ถ้าอะไรที่เขาทำแล้วสบายใจผมก็จะไม่ขัด

เราเดินตามคุณเอิงมาที่ห้องประชุมที่ดูเปลี่ยนให้เป็นห้องนั่งเล่นแนวธรรมชาติโดยใช้เฟอร์นิเจอร์คอลเลคชั่นใหม่มาทำฉาก ยิ่งมองผลงานของคุณตรีผมก็ยิ่งมีความสุขที่เขาสามารถทำมันออกมาได้ดี ผมเชื่อว่าต้องขายดีแน่นอน

“คุณตรีคะ นี่คุณหญิงค่ะ เป็นคนที่สัมภาษณ์คุณตรี คุณหญิงคะนี่คุณตรีรักษ์ประธานบริษัทของ King’s Luxuryค่ะ”

“สวัสดีค่ะคุณตรีรักษ์ ดิฉันชื่อหญิงเป็นคอลัมน์นิสต์ คุณตรีรักษ์ตัวจริงหล่อมากเลยค่ะ” คุณหญิงทำหน้าชื่นชอบอย่างเห็นได้ชัด

“ขอบคุณครับ เรียกผมตรีก็ได้ครับสั้นๆง่ายๆ” คุณตรียิ้มตอบ รอยยิ้มของเขาเป็นมิตรกับผู้หญิงและสิ่งแวดล้อมจริงๆ

“ได้ค่ะคุณตรี คุณตรีพร้อมไหมคะ  เราจะได้เริ่มสัมภาษณ์กันเลย”

“ได้ครับ ผมพร้อม” คุณตรีเดินไปนั่งที่โซฟาตัวยาว ส่วนคุณหญิงนั่งที่โซฟาเดี่ยว ผมยืนหลังตากล้องข้างๆคุณเอิง

“หญิงจะใช้เวลาในการสัมภาษณ์ไม่นานนะคะ ประมาณหกเจ็ดคำถาม และหลังจากนั้นก็จะขอถ่ายรูปไปลงในหนังสือค่ะ”

“ครับ”

“มาที่คำถามแรกเลยนะคะ รู้สึกยังไงบ้างคะที่เข้ามาเป็นผู้บริหารของ King’s Luxury ต่อจากคุณพ่อ” คุณหญิงยิงคำถามแรกใส่คุณตรี เห็นคุณเอิงบอกว่าตรวจเช็คคำถามแล้ว การสัมภาษณ์ครั้งนี้ไว้ใจได้

“รู้สึกท้าทายครับ ผมเรียบจบก็มาบริหารงานที่นี่เลย การลงสนามจริงมันยากกว่าที่เราคิดไว้นะครับ แต่ผมก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะทำให้งานออกมาดีที่สุด”

“รู้สึกกดดันไหมคะ เพราะว่าคุณตรีไม่มีประสบการณ์ในการทำงานเลย แต่ต้องมารับหน้าที่สูงขนาดนี้”

“แน่นอนว่าต้องกดดันครับ เพราะเราใหม่มากๆ คนรุ่นเก่าหรือผู้อาวุโสก็จะมองว่าเราทำไม่ได้หรอก แต่ว่าผมก็เปลี่ยนความกดดันเป็นแรงขับเคลื่อนครับ แล้วบอกกับพวกเขาว่า คอยดูครับ ผมจะทำให้เห็นเองว่าผมทำได้”

ว้าว คำตอบของคุณตรีอย่างเท่เลยครับ แถมเขายังแจกรอยยิ้มกระชากใจด้วย วันนี้เขายิ้มเยอะจริงๆ

“อยากทราบว่าคุณตรีได้ไอเดียในการออกแบบเฟอร์นิเจอร์คอลเลคชั่นนี้มาจากอะไรคะ  เพราะถือว่าค่อนข้างต่างจากรูปแบบเดิมๆของแบรนด์เลยก็ว่าได้”

มาถึงคำถามนี้ คุณตรีก็เบนสายตามองตรงมายังผม เขายิ้มแล้วหันไปตอบคำถาม

“ผมได้ไอเดียนี้มาจากผู้ช่วยคนสำคัญของผมครับ ผมเรียนจบกลับมาไทยทำให้ไม่ค่อยรู้อะไรเท่าไหร่เกี่ยวกับสภาพสังคม เขาทำให้ผมเห็นและจุดประกายเรื่องของการใช้ทรัพยากรในโลกให้คุ้มค่า ก็เลยออกมาเป็นไอเดียของผลงานที่เปิดตัวในวันนี้ครับ”

“แสดงว่าผู้ช่วยคนสำคัญคนนั้นต้องเป็นคนที่เก่งมากๆเลยนะคะ”

“ครับ  เขาเก่งมาก ทีมงานของผมมีความสามารถทุกคนครับ ผลงานในวันนี้จึงออกมาดี” เขาตอบคำถามไปด้วยแล้วก็คอยเหล่มองผมไปด้วย สายตาของเขาทำให้ผมเขินจนต้องยืนบีบมือตัวเอง

“คิดว่าผลตอบรับจะดีไหมคะ”

“ผมทำงานของผมเต็มที่ครับ มากกว่าเรื่องของธุรกิจ ผมอยากให้ผลงานคอลเลคชั่นนี้ของผมจุดประกายให้ทุกคนหันมาใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อม ช่วยกันลดการใช้ทรัพยากร ลดขยะ เรายังต้องอยู่ในโลกใบนี้อีกนานนะครับ มากกว่าตัวเราก็คือลูกหลานในอนาคต หากพวกเราช่วยกันก็จะสามารถช่วยยืดอายุให้โลกได้ครับ”

“แหม หน้าหล่อแล้วยังใจหล่อด้วยนะคะเนี่ย แบบนี้สาวๆคงติดกันตรึม”

“ไม่หรอกครับ ผมไม่มีสาวๆสักคน” แล้วทำไมตอนบอกว่าไม่มีสาวๆสักคนต้องหันมาขยิบตาใส่ผมด้วย ถ้าไม่มีกล้องตั้งอยู่ใกล้ๆผม คนอื่นคงรู้ว่าเขาขยิบตาให้ใคร แต่เพราะว่ามีกล้อง คนอื่นก็เลยคิดว่าเขาขยิบตาให้กล้อง

“พูดแบบนี้หมายความว่าโสดสนิท”

“ไม่สนิทครับ ผมมีคนที่ชอบอยู่แล้ว”

ผมหน้าร้อนฉ่า...คุณตรีตรงเกินไปแล้ว โอยใจ หยุดเต้นแรงสักทีเถอะ

“ว้า อกหักเลยนะคะเนี่ย คำถามสุดท้ายนะคะ อยากให้คุณตรีฝากข้อคิดหรือแนวทางการทำงานในยุคนี้หน่อยว่า ว่าทำอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ”

“สำหรับผมนะครับ ต้องหาให้เจอก่อนว่าความสำเร็จของตัวเองคืออะไร ความสำเร็จของแต่ละคนไม่เท่ากันนะครับ เราไม่สามารถทำตามๆกันจนเป็นบล็อกเดียวกันได้ แต่สิ่งที่สำคัญหลังจากคุณวางเป้าหมายแล้วคือคุณพยายามกับมันมากแค่ไหน ทุ่มเทกับมันมากแค่ไหน ผมเองก็ยังไม่ได้เป็นคนที่ประสบความสำเร็จที่สุด เพราะนี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ถ้าคุณมุ่งมั่นทุ่มเท ยังไงวันหนึ่งก็ต้องประสบความสำเร็จแน่นอนครับ”

“คุณตรีเป็นคนรุ่นใหม่ที่ไฟแรงจริงๆ ยังไงวันนี้ก็ขอบคุณมากนะคะที่สละเวลาให้นิตยสารของเราสัมภาษณ์”

“ผมก็ต้องขอบคุณเช่นกันครับที่ให้ความสนใจในงานของผม”

“เดี๋ยวขอถ่ายรูปสักหน่อยนะคะ”

“ครับ”

ตากล้องเดินเข้าไปถ่ายรูปคุณตรีในมุมต่างๆ ทั้งตอนนั่ง ตอนยืน ตอนเหม่อ ผมไม่เห็นว่าในกล้องคุณตรีเป็นอย่างไร แต่ตัวจริงของเขาที่ยืนอยู่เบื้องหน้าดูดีจนบรรยายไม่ถูก

ใครจะเชื่อว่าเด็กบ้านๆอย่างผมจะได้ใกล้ชิดคนที่ฟ้าสร้าง

ผมมีความสุขจนตัวแทบจะลอยได้เลยครับ


หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่25:ผมภูมิใจในตัวคุณตรีที่สุด... 6-04-20 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 06-04-2020 20:59:32


“ฟ้า เสร็จหรือยัง”

“เสร็จแล้วครับๆ” ผมรีบหยิบขวดน้ำผลไม้รวม น้ำเปล่า และกาแฟดำของคุณตรีออกมาจากตู้เย็นแล้วใส่ลงในถุงผ้า ก่อนจะรีบวิ่งออกไปขึ้นรถ

“ยังทันไหมครับ” ผมถามเมื่อรถเคลื่อนตัวออกจากบ้าน เมื่อวานทำงานจนเหนื่อยทั้งวัน คุณตรีก็เลยตื่นสายรวมทั้งผม วันนี้ต้องไปเปิดบูธที่ห้างด้วย ค่อนข้างพิเศษเพราะเห็นว่ามีการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับการนำขยะหรือวัสดุธรรมชาติมาแปรรูปเพื่อลดภาวะโลกร้อน ดังนั้นภายในงานนี้ จะมีการจัดแสดงโชว์สินค้าและก็มีเวทีให้พูดคุยกับแขกรับเชิญ คุณตรีก็เป็นแขกรับเชิญที่ได้รับเชิญให้ขึ้นไปโชว์ตัวบนเวที

ห้างเปิดสิบโมง แต่เราต้องไปเตรียมตัว เตรียมซ้อมก่อนขึ้นเวทีจริง เพราะว่าจะมีคิวการแสดงโชว์อะไรอื่นๆอีกมากมาย อ่อ ที่สำคัญไปกว่านั้น สำคัญมากๆ สำคัญที่สุดก็คือ คุณพ่อคุณแม่ของคุณตรีก็ไปร่วมงานนี้ด้วย ไม่รู้เพราะว่ามาดูความคืบหน้าของงานที่ให้คุณตรีทำ หรือมาเพราะดูความสำเร็จของลูกชาย ท่านทั้งสองถึงได้เดินทางกลับมา เห็นว่ามาถึงเมื่อวานตอนเย็น

“ทานข้าวเช้าก่อนนะครับ” ผมเปิดกล่องข้าวที่ห่อมา วันนี้ผมทำอาหารง่ายๆอย่างหมูหมักทอด ข้าวเหนียวดำที่ผมหุงไว้ตั้งแต่เมื่อคืน แล้วก็มีไข่ต้มกับซอสด้วย

“ป้อนหน่อย”

ผมใช้ผ้าเปียกเช็ดมือให้สะอาด แล้วปั้นข้าวเหนียวเป็นก้อน โปะทับด้วยชิ้นหมู ก่อนจะส่งป้อนถึงปากคุณตรี

“อร่อยไหมครับ” ผมถาม ผมหมักหมูแช่ตู้เย็นไว้ ตอนเช้ามาก็รีบทอดแล้วเอาใส่กล่องมาเลย ไม่ได้ชิมว่ามันจะเค็มไปหรือเปล่า

“อร่อย หมูอร่อย นุ่มด้วย” เฮ้อ ค่อยยังชั่ว

“อร่อยก็ทานเยอะๆนะครับ  จะได้มีแรงทำงาน” ผมป้อนคุณตรีคำ แล้วก็กินเองคำสลับกันไป

“ฟ้า ถ้าเสร็จงานนี้แล้ว ไปเที่ยวกันไหม” หลังจากทานอาหารเช้าบนรถเสร็จ คุณตรีก็รับขวดกาแฟดำไปดื่มแล้วก็หันมาคุยกับผม

“คุณตรีอยากไปเที่ยวเหรอครับ” ผมถามด้วยความสนใจ จะว่าไปแล้ว ถ้าคุณตรีกลับมาหลังจากเรียนจบทันที เท่ากับว่าเขายังไม่ได้ไปไหนเลยนอกจากบ้านแล้วก็ที่ทำงาน

“อืม อยากไปพักผ่อน ไปทำการบ้านมานะ ว่าอยากไปเที่ยวที่ไหน”

“ครับ” ผมยังไม่รู้หรอกว่าตัวเองอยากไปเที่ยวที่ไหน มันมีหลายที่เกินไปจนเลือกไม่ถูก ผมเองก็โตมาแล้วก็ใช้ชีวิตอยู่กับที่ สถานที่ที่เขาว่าสิ้นคิดอย่างทะเลผมก็ยังไม่เคยไปเลย

เรามาถึงห้างสรรพสินค้าชื่อดังใจกลางเมืองก็เก้าโมงหน่อยๆ คุณตรีเดินนำไปยังลานกว้างกลางห้างที่ใช้เป็นสถานที่จัดงาน เขาจะมีที่กั้นเอาไว้ และผู้ที่เกี่ยวข้องกับงานจะมีแผ่นป้ายให้คอว่าเป็น STAFF

“นั่งรอตรงนี้ก่อนนะฟ้า อย่าไปซนที่ไหน” คุณตรีหาที่นั่งให้ผมในโซนของบริษัทเราพร้อมกำชับเหมือนผมเป็นเด็ก

“ผมโตแล้วนะครับ คุณตรีไปทำงานเถอะ ผมจะนั่งรอตรงนี้” ผมบอกให้เขาสบายใจ

“อืม เสร็จงานวันนี้แล้วเราจะได้กลับไปพักกัน”

“คืนนี้เรากินบะหมี่กันอีกไหมครับ แล้วก็นอนดูหนังด้วย”

“อืม เอาสิ ฉันตามใจนาย”

ผมปล่อยให้คุณตรีไปทำงาน เขาไปคุยกับทางผู้จัดงานเกี่ยวกับคิวการขึ้นโชว์ตัวบนเวที ไม่นานคุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายก็มา ถ้าใครไม่รู้ตื้นลึกหนาบางภายในครอบครัวของนักธุรกิจใหญ่ มองจากมุมนี้พวกเขาก็คือครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ แต่ใครจะรู้ว่าการเกิดมาในครอบครัวที่มีพร้อม ก็ไม่ได้มีชีวิตที่สวยหรูโรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป จะพูดให้ถูกก็คือภายใต้กลีบกุหลาบเหล่านั้นก็คือหนามแหลมที่โผล่ออกมาตามลำต้น

ผมนั่งมองคุณตรีอยู่ในมุมเล็กๆของตัวเอง ยิ้มเมื่อเขายิ้ม หัวเราะเมื่อเขาหัวเราะ ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปคุณตรีเก็บเอาไว้ดู แต่ในขณะที่ผมกำลังกดถ่ายรูป สายตาของผมก็สบเข้ากับดวงตาคม

ว๊า โดนจับได้ซะแล้วว่าแอบถ่าย

ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี หลังจากที่คุณตรีและคุณพ่อคุณแม่ของเขาขึ้นไปบนเวทีแล้วร่วมพูดคุยกับพิธีกรชื่อดังของประเทศทั้งสองคน ก็มีคนเข้ามาให้ความสนใจกับบูธของเรา มีลูกค้าหลายท่านที่ทำการสั่งซื้อสินค้าในทันที การมาออกบูธในครั้งนี้ จะเอาสินค้ามาจำนวนหนึ่งเพื่อเป็นตัวอย่าง แต่จะมีแท็บเล็ตเอาไว้โชว์ภาพสินค้า ในนั้นจะระบุรายละเอียดทั้งหมด ขนาด ความกว้าง ความยาว ทำให้มองเห็นภาพและตัดสินใจง่าย

“สวัสดีครับท่านประธาน” ผู้จัดการฝ่ายขายยกมือขึ้นไหว้บุคคลที่เดินมาถึงบูธหลังจากที่หมดกิจกรรมบนเวที

“เป็นยังไงบ้าง” คุณท่านถามแล้วกวาดตามองไปทั่วบูธจนมาเจอผม

“ดีเลยครับ ผู้คนให้ความสนใจกันเยอะมากเลยทีเดียว”

“งั้นเหรอ แต่จะขายได้กำไรหรือขาดทุน มันก็ต้องดูหลังจากนี้” น้ำเสียงของคุณท่าน ทำให้พนักงานในบริเวณยืนห่อตัวกันเป็นแถว คุณตรีทำหน้าเรียบเฉย เขาหันมามองผม แต่ก็เก็บอาการ ไม่งั้นความลับแตกละก็เป็นเรื่องแน่

“ไฮ สวัสดีครับคุณทรงคุณแล้วก็คุณมณีเพชรมากเลยนะครับที่บินมาจากอังกฤษเพื่อมาร่วมงาน” มีผู้ชายคนหนึ่งที่ดูดีรูปร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาสวัสดีทักทายคุณพ่อกับคุณของคุณตรี เขาหันไปยิ้มให้คุณตรีอย่างเป็นมิตร เขาดูจะมีอายุมากกว่าคุณตรีนิดหน่อย

“ผมก็ต้องขอบคุณคุณมากนะครับที่ให้เกียรติเชิญบริษัทลูกบริษัทเล็กๆของเรามาร่วมงาน”

“อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ ทุกธุรกิจจะโตขึ้นมาได้ก็ต้องเริ่มจากจุดเล็กๆด้วยกันทั้งนั้น อีกอย่างตรีเขาก็เหมือนผม จับธุรกิจตั้งแต่เรียนจบ ผมเข้าใจเขาถึงได้สนับสนุนน่ะครับ ผมเองก็เข้าบริหารกิจการห้างสรรพสินค้าต่อจากคุณพ่อทันทีที่เรียนจบเหมือนกัน”

“นั่นทำผมแปลกใจไม่น้อยเลยที่คุณพ่อของคุณยกตำแหน่งให้คุณเข้ามาบริหารแม้ว่าคุณจะ...เป็นแบบนี้”

“คุณพ่อ”

โอ้ คุณพ่อของคุณตรีนี่ไม่ใช่เล่นเลยครับ ทำเอาผมต้องกลืนน้ำลาย ถ้าผมเป็นคนโดนพูดแบบนั้นใส่คงหน้าชาไปแล้ว แต่ผู้ชายคนนั้นเขากลับยิ้มแล้วก็หัวเราะเหมือนไม่คิดอะไรและคงมองว่ามันเป็นเรื่องตลก

“คุณพ่อผมเขาใจกว้างนะครับ ท่านไม่สนใจเรื่องรสนิยมบนเตียงของผมหรอก ท่านสนใจสิ่งที่เรียกว่าสมองมากกว่าหนอนน้อยในกางเกงนะครับ ถึงผมจะเป็นเกย์ แต่ผมก็สามารถทำงานได้อย่างดีเยี่ยม อยากให้คุณได้เห็นนะครับว่าผลประกอบการของห้างเราตลอดสามปีมานี้มีแต่กำไรเพิ่มขึ้นๆ เพราะคนที่ชอบเพศเดียวกันอย่างผมเนี่ยแหละครับ”

คนๆนี้ก็ไม่ใช่เล่นๆเหมือนกัน ทำเอาคุณผู้ชายพูดไม่ออก

“ผมต้องขอประทานโทษนะครับถ้าพูดอะไรไม่สมควรออกไป คุณก็อายุราวๆกับคุณพ่อของผม ว่างๆให้ผมนัดคุณพ่อผมให้ได้นะครับ จะไปลองไปนั่งคุณกันแล้วปรับทัศนคติดู เรื่องใต้สะดือก็ให้เป็นเรื่องบนเตียงเถอะครับ แต่เรื่องงานน่ะให้เป็นเรื่องของสติปัญญาและสมอง”

“คนอย่างผมไม่ต้องให้คุณมาสอนหรอก คุณคิดว่าคนแบบคุณจะได้รับการยอมรับจริงเหรอ”

“คุณพ่อ พอเถอะครับ”

“คุณพี่คะ”

“ไม่เป็นครับตรี ไม่เป็นไรครับคุณผู้หญิง ผมใจกว้าง คุยแลกเปลี่ยนความคิดกันได้ โลกนี้เสรีครับ อิสระทางความคิด ผมไม่สนหรอกนะครับว่าจะมีใครยอมรับผมมากแค่ไหน ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน พ่อผมสอนมาแบบนี้ คุณทรงคุณก็ลองกลับไปคิดดูนะครับ ว่าถ้าค่าของคนมันอยู่ที่รสนิยมทางเพศน่ะ ทำไมก่อนหน้านี้ King’s Luxury ถึงจะเจ๊งเอาล่ะครับ พวกคณะกรรมการในบริษัทของคุณก็ไม่ได้ผิดเพศกันใช่ไหม แต่ทำไมถึงเกือบทำบริษัทเจ๊งละครับ โลกเราไปไกลมาแล้วนะครับ เปิดตาให้กว้าง ผมเชื่อนะครับว่าลูกชายคุณ จะทำให้บริษัทของคุณเติบโตได้ อืม ภายในสองปี King’s Luxury ขยายสาขาได้ทั่วประเทศแน่นอน”

“คุณเอาอะไรมามั่นใจ” คุณพ่อคุณตรีกัดฟัน ดูก็รู้ว่าโมโหมาก แต่ก็ยังคงเก็บอาการได้ดี

“เพราะว่าเขาเป็นแบบผมไงครับ เขาต้องประสบความสำเร็จแน่นอน เพราะฉะนั้นควรยอมรับในตัวลูกชายของตัวเองนะครับ คุณน่ะมีลูกชายที่ดีพร้อมและเก่งมากๆอยู่แล้ว ถ้าเขาเป็นลูกของพ่อผมนะครับ บอกได้เลยว่าตระกูลของผมคงมีแต่เจริญและเจริญ หึหึ” ผู้ชายที่ดูดีคนนั้น พูดจบแล้วก็ยกมือไหว้ เขาตบไหล่คุณตรีแล้วเดินจากไปทั้งที่ในชุดสูทสีขาวทั้งตัวกับใบหน้ายังเปื้อนรอยยิ้ม

เป็นคนที่สุดยอดจริงๆ ทำเอาคุณท่านถึงกับพูดไม่ออก ถ้าเป็นมวยก็คือโดนน็อกมืดเข้าอย่างจัง

บางทีเขาอาจจะเป็นเทวดาที่ลงมาโปรดคุณตรีก็เป็นได้



……………………
จริงๆก็ใกล้จะจบแล้วนะคะ ถือว่าเป็นเรื่องที่ริริดองไว้นาน แล้วก็ใช้เวลาแต่งนาน เนื่องจากอยากให้เป็นนิยายฟีลกู้ด แต่ด้วยปีที่แล้วจนถึงปัจจุบันนี้เจอปัญหาถาโถมเข้ามามากมาย เลยแต่งเรื่องนี้ต่อไม่ออกจริงๆ  กว่าจะพยายามพาตัวเองออกจากความทุกข์ได้ก็ใช้เวลาพอสมควร เหมือนให้น้องฟ้ากับคุณตรีช่วยเยียวยาจิตใจ จนไม่น่าเชื่อว่านิยายเรื่องนี้ใกล้จะจบแล้ว อ่อๆ ฉากเลิฟซีนมีแน่นอนนะคะ ตอนใกล้ๆจะจบ ฮ่าๆๆๆ อยากให้คนอ่านกระชุ่มกระชวยหัวใจนิดนึง
ยังไงก็ขอบคุณอีกครั้งสำหรับนักอ่านที่ยังอยู่ตรงนี้ รออ่านนิยายของริรินะคะ ริริอ่านทุกข้อความทุกคอมเม้นท์เลย ดีใจที่ทำให้ทุกคนยิ้มได้และมีความสุขค่ะ
ด้วยรัก
ริริ

หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่26:ช่วงเวลาแห่งการผ่อนคลาย 7-04-20 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 07-04-2020 21:15:24
CATER TO YOU
ตอนที่26
ช่วงเวลาแห่งการผ่อนคลาย



แผนการกลับไปนั่งกินบะหมี่แล้วก็นอนดูหนังเป็นอันต้องพับเก็บ เพราะคุณตรีโดนคำสั่งให้กลับไปกินข้าวที่บ้านใหญ่ เห็นว่าเป็นวันรวมญาติ คนในตระกูลทุกคนจะมาร่วมกันทานข้าว คุณตรีดูจะไม่อยากไปแต่ว่าก็ขัดไม่ได้ เขาเลยบอกว่าจะชดเชยให้ผมทีหลัง คืนนั้นคุณตรีก็เลยไม่ได้กลับบ้าน กลับมาอีกทีก็คือเย็นอีกวัน เขาต้องนอนค้างที่บ้าน ตื่นมาก็ไปที่บริษัทพร้อมกับคุณท่านและอยู่ทำงานจนถึงตอนเย็น

ผมเปิดเทอมมาได้สามวันแล้วครับ วันแรกๆก็ยังไม่มีอะไร มีไปรับหนังสือรับชีทแล้วก็นั่งฟังอาจารย์อธิบายเกี่ยวกับเนื้อหาที่จะเรียนในชั้นปีที่สาม หลังจากนี้ผมคงไม่ได้ไปช่วยงานคุณตรีนอกบ้าน เขากำชับให้ผมไปเรียนเป็นงานหลัก แล้วทำงานบ้านเขาเป็นงานรอง

เขาคอยส่งข้อความหาผมว่าเขากำลังทำอะไร กำลังจะไปที่ไหน ถึงมหาวิทยาลัยหรือยัง พร้อมทั้งถามไถ่ว่าผมกำลังทำอะไร กินข้าวหรือยัง และเน้นย้ำให้ผมใส่ถุงมือหากผมอยากเข้าไปทำสวน

ผมเพิ่งรู้สึกว่าบ้านมันใหญ่มากเกินไปเวลาที่คุณตรีไม่อยู่ มองไปทางไหนก็รู้สึกโดดเดี่ยวและเคว้งคว้าง ขนาดผมอยู่แบบนี้แค่วันเดียวผมยังจิตตกได้ง่ายๆ กับคุณตรีเขาก็คงรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน ก่อนหน้านี้ผมไม่น่าปฏิเสธตอนที่เขาขอให้ผมมาอยู่เป็นเพื่อนเลย ที่ผ่านมาคุณตรีคงเหงามาก

ตอนนี้มีคนให้คนสนใจกับโปรเจคของคุณตรีเป็นอย่างมาก เพราะว่าได้คุณ ‘เหนือ’ ผู้ชายในชุดสูทสีขาวในวันออกบูธช่วยโปรโมทสินค้าผ่านทางสื่อโซเชียลมีเดีย มากกว่านั้นยังช่วยเชิญคนรู้จักและเหล่าคนดังในวงการบันเทิงให้มาช่วยกันสนับสนุนโครงการนี้ เลยกลายเป็นว่า นอกจากขายสินค้าแล้ว ตอนนี้คุณตรีมีการเปิดรับขวดเพื่อนำมาทอเป็นผ้าแล้วเอาไปทำเป็นข้าวของเครื่องใช้เพื่อบริจาคให้แก่ผู้ยากไร้

ตอนนี้ผู้คนหันมาสนใจแยกขยะมากขึ้น เห็นว่าตอนนี้คุณตรีให้ทีมช่วยกันคิดโปรเจคใหม่จากพวกขวดพลาสติกสีขุ่นว่าสามารถเอามาแปรรูปทำอะไรได้บ้าง จากที่คิดว่าจบงานนี้แล้วเขาคงจะได้พัก ก็คงเว้นไปอีกสักระยะ

พูดถึงคุณเหนือ คุณตรีเล่าให้ฟังว่า วันที่ไปคุยงานคุณเหนือก็แหย่แซวเพราะเห็นว่าคุณตรีหน้าตาดี คุณตรีก็เลยรู้ว่าคุณเหนือเป็นเกย์ ด้วยความอัธยาศัยดีของคุณเหนือ ทำให้คุณตรีกล้าที่จะขอความช่วยเหลือเรื่องการออกบูธ และตัดสินใจเล่าว่ากำลังเจอบททดสอบจากครอบครัวเพราะว่าตัวเองเป็นเกย์ คุณเหนือเลยเต็มใจและพร้อมที่จะช่วยเหลือเต็มที่
คุณตรีบอกว่าคุณเหนือทำให้เขารู้สึกเหมือนมีพี่ชาย มีคนที่เขาสามารถขอคำปรึกษาได้ และเพราะเป็นคนประเภทเดียวกันคุณตรีจึงเปิดใจที่จะรับเพื่อนใหม่คนนี้

คุณเหนือนี่เป็นคนดีมากๆเลยนะครับ ผมได้แต่ขอบคุณเขาในใจที่เขาช่วยให้คุณตรีก้าวเข้าใกล้ความสำเร็จมากขึ้น

“จ๊ะเอ๋ น้องฟ้ากำลังทำอะไร”

“คุณเจมส์” ผมตกใจปล่อยสายยางรดน้ำต้นไม้จนมันดีดตัวสะบัดไปมา ส่งผลให้คนที่อยู่ใกล้ๆโดนสายน้ำกระเซ็นใส่จนเปียก

“ปิดน้ำก่อน” คุณทิศตั้งสติได้ไวกว่าเพื่อน รีบวิ่งไปปิดก๊อกน้ำ

“ขวัญอ่อนจังเลยนะ” คุณเจมส์ยิ้มขำ เขาดูไม่อะไรที่จะต้องตัวเปียก

“ก็คุณเจมส์มาไม่ให้สุ้มให้เสียงนี่ครับ” ผมกำลังรดน้ำแล้วคิดอะไรเพลินๆ เจอคนเข้ามาทักแบบไม่ทันตั้งตัวมันก็ตกใจกันบ้าง

“พี่นี่นะไม่ให้เสียง อย่างน้อยก็ต้องได้ยินเสียงรถนะ” คุณเจมส์ชี้ไปที่รถของเขาที่ถอยจอดในที่จอดรถเรียบร้อย

นี่ผมยืนเหม่อจนไม่ได้ยินเสียงรอบข้างขนาดนี้เลยเหรอ

“ขอโทษครับ” มันก็คงเป็นความผิดของผมเอง

“ไม่ต้องขอโทษหรอก เรื่องเล็กน้อยเอง”

“ไอ้ตรียังไม่กลับใช่ไหมฟ้า” คุณทิศถาม

“ครับ เพิ่งจะบ่ายสามคุณตรียังไม่เลิกงานครับ”

“ดีเลย พรุ่งนี้วันหยุด พี่เลยกะว่าจะมาทำอะไรกินกันที่บ้านฉลองเรื่องงานของตรีมันน่ะ ฟ้าว่าดีไหม”

“ดีครับ”

ความจริงผมคิดอยู่ว่าอยากใช้เวลาร่วมกันคุณตรี แต่สองคนอาจจะเหงาเกินไป พอคุณเจมส์เสนอมาแบบนี้ผมก็เห็นด้วย

“แล้วเราจะทำอะไรกินกันดีครับ” ผมถามความเห็นของคุณทั้งสอง

“อยากกินอะไรแซ่บๆ ฟ้าทำอะไรเป็นบ้าง”

“ถ้าอาหารไทยก็ได้หลายอย่างครับ”

“ทำส้มตำเป็นไหม”

“ไม่เคยทำนะครับ แต่ก็พอรู้ขั้นตอน” ผมจำเอาจากตอนที่เห็นแม่ครัวในร้านอาหารทำ กับตอนไปซื้อเขากิน เวลามองแม่ค้าเขาตำส้มตำมันเพลินดีครับ ผมเองก็ชอบกินส้มตำ แต่ไม่เคยทำกินเองเพราะที่หอไม่มีครก หรือต่อให้มีก็คงไม่กล้าตำหรอกครับ เดี๋ยวคนทั้งตึกจะได้มาด่าเอา

“งั้นก็ลองดู ถ้าไม่ได้จริงๆค่อยสั่งผ่านแอพให้เขามาส่ง แต่พวกต้มยำ ไก่ย่าง เราน่าจะทำกินกันเองเป็นเนาะ”

“งั้นมึงก็ไปซื้อของกับน้องนะไอ้ทิศ มึงรู้เรื่องในครัวมากกว่ากู เดี๋ยวกูรออยู่ที่นี่เตรียมสถานที่”

“เออ เอาเบียร์หรือเหล้า” คุณทิศถาม

“ฟ้ากินอะไร” แล้วคุณเจมส์ก็ถามผมต่อ

“ผมไม่ค่อยดื่มหรอกครับ คุณเจมส์กับคุณทิศเลือกกันเลยครับ”

“โอเค งั้นเราไปซื้อของสดกัน อย่าทำบ้านไอ้ตรีมันเละนะมึง กูไม่ช่วยนะบอกเลย”

“เออน่า ไปๆ รีบกลับมากูหิวแล้ว”

ผมนั่งรถออกมาเดินซื้อของที่ซูเปอร์กับคุณทิศ เห็นว่าอยากได้เมนูแซ่บๆแบบอีสาน ผมก็เลยเสนอพวกของที่ผมพอจะทำได้ ซึ่งมันก็ไม่มีอะไร มีพวกลาบ น้ำตก จะทำจิ้มจุ่มด้วย และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือเมนูของคุณตรี ผมจะทำปลาเผา ไก่ทอดเกลือ ไก่ย่าง คอหมูย่าง ของพวกนี้คุณตรีน่าจะทานได้ พวกต้มก็ปรุงรสอ่อนๆให้เขา

ส่วนเครื่องดื่มคุณทิศเลือกเป็นเบียร์แทนเพราะซื้ออย่างเดียวจบ ไม่ต้องซื้อมิกเซอร์ไปเพิ่ม นอกจากนั้นก็มีน้ำอัดลมอีกนิดหน่อย

ได้ของครบก็จ่ายเงินกลับบ้าน คุณทิศเป็นคนจ่าย ผมก็มีหน้าที่แค่ช่วยเลือกซื้อและช่วยถือของมาที่รถ ก่อนจะตรงกลับมาที่บ้าน

ยังไม่ทันได้ลงมือเตรียมของคุณตรีก็โทรมา ผมไม่ได้โทรไปบอกเพราะคุณทิศบอกว่าบอกว่าส่งข้อความไปบอกคุณตรีแล้วว่าจะเข้ามาทำอะไรกินที่บ้าน

“ฮัลโหลครับคุณตรี” ผมรับซ้าย ใช้แก้มกับไหล่หนีบโทรศัพท์เอาไว้ มือก็สาละวนกับการเอาของสดออกจากถุงแล้ววางลงในซิงค์ล้างจาน

“ทำอะไรอยู่ ไอ้ทิศส่งข้อความมาบอกว่าจะไปทำอะไรกินที่บ้าน”

“ครับ ผมเพิ่งออกไปซื้อของทำกับข้าวกับคุณทิศมา”

“วุ่นวายหรือเปล่า สั่งเอาไหม” ขนาดไม่เห็นหน้า แค่ฟังจากน้ำเสียงก็รู้เลยว่าเขาเป็นห่วงกลัวผมเหนื่อย แต่ผมจะเหนื่อยอะไรละ ผมว่าน่าสนุกดีออก ผมชอบบรรยากาศที่เราได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันหลายๆคน มันอบอุ่นไม่เงียบเหงาดี

“ไม่วุ่นวายหรอกครับ ผมชอบ เพื่อนๆมาทานข้าวกับคุณตรีก็ดีนะครับ ผมว่าเฮฮาดี”

“สนุกเราล่ะสิ”

“คุณตรีไม่ชอบเหรอครับ”

“ชอบสิ”

“เห็นไหมล่ะ”

“ชอบนายนะ”

ฉ่า เกือบเผลอตัวผ่อนแรงที่หนีบโทรศัพท์ไว้กับแก้ม ดีที่หนีบเอาไว้ทัน ไม่อย่างนั้นโทรศัพท์ตกพื้นมาละก็ได้มีหน้าจอร้าวกันบ้าง แต่หน้าผมร้อนอย่างเดียวก็เสียอาการพอแล้วครับ อย่าให้ต้องเสียเงินค่าซ่อมโทรศัพท์เพิ่มอีกเรื่องเลย

“เงียบเลย เขินหรือไง”

“เปล่าสักหน่อย” กลบเกลื่อนไปครับ เขาไม่เห็น เขาไม่มีทางจับได้

“หึหึ ไม่เขินก็ดี ชวนแจ็คมันมากินด้วยสิ ช่วยเพื่อนมาด้วย นายจะได้ไม่เหงา”

“ได้เหรอครับ” ผมถามด้วยความดีใจ เพราะบางทีผมก็ไม่รู้จะคุยเล่นอะไรกับเพื่อนของคุณตรี ถ้ามีแจ็คมาด้วยต้องสนุกแน่ๆ

“ได้สิ เพื่อนนายก็เหมือนเพื่อนฉันแหละน่า ชวนมาเถอะ”

“ครับ ขอบคุณนะครับ” ผมบอกด้วยความดีใจ

“อยากได้อะไรไหม จะได้ซื้อเข้าไปให้เพิ่ม”

“อืม ผมอยากให้คุณตรีกลับมาไวๆครับ” ผมพูดแล้วก็ได้แต่ก้มหน้าเขินอยู่กับกะละมังล้างปลา แกอย่ามองหน้าฉันอย่างนั้นสิเจ้าปลาทับทิม คนมันเขินนะเว้ย

“หึหึ ทำไงดี อยากโดดงานแล้วบึ่งรถกลับบ้านเลยล่ะ”

“อย่าเลยครับ เดี๋ยวโดนหักเงินเดือนนะครับ” ผมขำกับความคิดเป็นเด็กๆของเขา

“เฮ้อ ทำไม่ได้สินะ ถ้าโดนหักเงินเดือนเดี๋ยวไม่มีเงินไปเลี้ยงเมียในอนาคตละแย่เลย ว่าไหม”

“แค่นี้นะครับ” ผมรีบกดวางสาย ขืนยังคุยต่ออีกนิดเราคงไม่ต้องจุดเตาย่างปลาแล้วละครับ เอามันขึ้นมานาบบนหน้าผมได้เลย ร้อนกว่านี้ก็พระอาทิตย์แล้ว

ผมโทรไปชวนไอ้แจ๊คมากินข้าวที่บ้านคุณตรี พอรู้ว่าจะได้กินฟรีมันก็บอกว่าจะรีบมาเลย โชคดีครับที่วันนี้หยุดเหมือนกัน มันบอกผมไว้ตั้งแต่วันก่อนแล้วครับ บ่นเร้าๆว่าอยากไปเดินตลาดเปิดท้าย แต่ช่วงนี้ผมยังยุ่งๆเลยยังไม่ได้ตกลงว่าจะไป

“ใครมาน่ะ” คุณเจมส์ที่กำลังช่วยผมหั่นผักถาม ชะโงกหน้าดูว่าใครมาที่หน้าบ้าน แต่ผมรู้อยู่แล้วว่าคนที่มาคือใคร

“เพื่อนผมเองครับ” ผมบอก ก่อนจะออกไปรับมันเข้ามาในบ้าน มันจอดมอเตอร์ไซค์ไว้ข้างๆกับรถผม

“มึง มีใครบ้างวะ คนเยอะไหม กูแบบเกร็งอ่ะ” มันทำย่อตัวมองสอดส่องไปทั่วบริเวณเหมือนโจรไม่มีผิด

“เป็นอะไรของมึงเนี่ย มีเพื่อนคุณตรีสองคน คุณตรีแล้วก็กู เพื่อนคุณตรีใจดีมึง ไม่ต้องกลัว”

“เหรอวะ”

“เออ ไปๆ เข้าบ้านไปช่วยกูทำกับข้าว”

“ได้ๆ”

ผมพาไอ้แจ็คเข้าไปในบ้าน มันดูเงอะๆงะๆยามเปลี่ยนไปใส่รองเท้าสลิปเปอร์ เราจะเตรียมอาหารทั้งจุดคือที่สวนด้านนอกที่เรากินกันประจำกับในครัว พวกของต้มของทอดก็ทำในครัว ส่วนพวกที่ต้องย่างเตาถ่านก็เอาออกไปทำข้างนอกครับ

“คุณทิศคุณเจมส์ครับ นี่เพื่อนผมชื่อแจ็ค” ผมแนะนำให้ทั้งสองฝ่ายรู้จักกัน

“สวัสดีครับ” ไอ้แจ็คมันยกมือไหว้แล้วก็ยิ้มแฉ่ง ดูแลตลกดี

“อืม สวัสดี ตามสบายไม่ต้องเกร็ง”

“ครับ”

“มึงย่างไก่ให้กูทีนะแจ็ค”

“เออได้”

ผมยกถาดใส่ไก่ที่หมักไว้แล้วให้แจ็คเอาไปนั่งย่างในสวน ส่วนผมก็เตรียมของในบ้าน ทำพวกต้มแซ่บต้มยำตั้งเตาทิ้งไว้ แล้วก็ทอดไก่กับเอ็นข้อไก่ อาหารวงเหล้าโดยแท้ เมื่อผมเตรียมของที่ต้องใช้ครัวในบ้านเสร็จก็ออกไปนั่งเล่นที่สวนกับคนอื่นๆ

“แล้วตอนนั้นมึงทำไงวะ”

“ทำไงอ่ะพี่ ปัดล้อฟรีแทบไม่ทัน คือถ้าผมไม่หูไวตาไวนะพี่วันนั้นซวยไปแล้ว ไหนจะไม่ใส่หมวกกันน็อค ไม่มีใบขับขี่อีก แถมพรบ.รถก็ไม่ได้ต่อ”

“มึงก็กล้าขี่ออกถนนใหญ่เนอะ”

“ใครจะไปรู้ว่าจะมีตั้งด่านล่ะพี่ ร้อยวันพันปีไม่มี”

ผมมองกลุ่มคนสามคนตรงหน้าด้วยความแปลกใจ ไอ้แจ็คดูจะเข้ากันได้ดีกับคุณเจมส์และคุณทิศ ตอนเข้าบ้านมาทีแรกยังทำตัวสั่นตัวเกร็งอยู่เลย

“ตรีมันใกล้ถึงยังฟ้า” คุณทิศเงยหน้าจากเตาย่างมาเจอผมก็เอ่ยถาม

“เข้ามาในซอยบ้านแล้วครับ” ผมนั่งลงตรงที่ว่าง ของกินก็เกือบเสร็จหมดแล้วครับ แต่เห็นว่าจะค่อยๆทำไปกินไปไม่ต้องรีบ คืนนี้จะอยู่ยาวทั้งคืน

ไม่นานคุณตรีก็กลับมา ผมขอตัวกับคนอื่นๆแล้วออกมารับคุณตรี ผมยกมือไหว้น้าภาพแล้วรับของๆคุณตรีมาถือไว้

“ทุ่มหนึ่งผมฝากน้าไปรับเพื่อนผมที่สนามบินด้วยนะครับ”

“ได้ครับคุณตรี”

ผมฟังคุณตรีพูดกับน้าภาพด้วยความสนใจ เขาจะมีเพื่อนมาจากต่างประเทศงั้นเหรอ ผมไม่เคยรู้ว่านอกจากคุณทิศกับคุณเจมส์แล้ว คุณตรียังมีเพื่อนคนอื่น

“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าล้างหน้าก่อนนะครับ ยังไม่ต้องอาบน้ำก็ได้ ออกไปนั่งกินกลิ่นอาหารกลิ่นควันมันจะติด” ผมแนะนำ

“อืม เดี๋ยวฉันจัดการเอง” คุณตรีรับผ้าขนหนูที่ผมส่งให้แล้วเดินเข้าห้องน้ำ ผมเตรียมเสื้อผ้าให้เขาแล้วก็ลงมาเตรียมอาหารให้คุณตรี ไม่นานเขาก็ตามลงมา ผมทำเหมือนที่ทำทุกวัน ให้เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สบายตัว หาน้ำหาท่าให้ดื่มเพิ่มความสดชื่น

“อันนี้น้ำอะไร หอมแปลกๆ” คุณตรีมองแก้วน้ำในมืออย่างสนใจ เขาดื่มอีกอึกใหญ่เกือบหมดแก้ว

“น้ำใบเตยครับใส่น้ำผึ้งครับ” คาดว่าเขาคงไม่เคยกิน แต่ผมชอบเพราะว่ามันหอมดี วันนี้เลยลองทำให้เขาชิมดู

“หอมเหมือนวุ้น”

“ชอบไหมครับ”

“ชอบ ทำบ่อยๆนะ”

“ไปตรงนั้นกันครับ” ผมชวนเขาออกไปนั่งรวมกับคนอื่นๆ คุณตรีเดินสองมือล้วงกระเป๋ากางเกงไปนั่งลงข้างๆเพื่อน พอเห็นคุณตรีมาคุณทิศก็ส่งแก้วเบียร์ให้คุณตรีทันที

“ทานข้าวก่อนสิครับ” ผมบอก

“ไม่ต้องเป็นห่วงมันมากหรอกน้องฟ้า ตัวโตเท่าควาย มันไม่เป็นอะไรเพียงเพราะกินเบียร์ก่อนกินข้าวหรอก” คุณเจมส์เหมือนจะพูดแหย่เพื่อนรัก

“มึงอิจฉาก็พูด หึหึ ไม่มีคนดูแลก็งี้” คุณตรีเองก็ตอกกลับได้รุนแรงไม่แพ้กัน

ผมน่ะ ชอบคุณตรีในเวอร์ชันนี้เหมือนกันนะครับ มาดชายหนุ่มกวนๆ แบบที่แตกต่างออกไปจากมาดนักธุรกิจที่แสนอบอุ่น

“มึงจะเอางี้ใช่ไหม แจ็ค เอ็งหาข้าวให้พี่กินหน่อยสิ พี่อยากได้คนดูแล”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมเล่า”

“อะไรวะ ดูแลหน่อยดิ อย่างน้อยก็ตอบแทนค่าเบียร์หน่อยน้อง”

“ได้ข่าวว่ากูเป็นคนจ่าย” พี่ทิศโพล่งขึ้นกลางปล้องด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ

“อ้าวเหรอ เงินมึงเหรอ” พี่เจมส์ทำหน้าเขินอาย ดูแลตลกดี

“อะไรของพี่เนี่ย ฮ่าๆๆ” ไอ้แจ็คมันหัวเราะเหมือนคนเส้นตื้น ไม่รู้ว่ามันเริ่มเมาเบียร์หรือว่าเมาควันไฟย่างไก่

“พวกมึงนี่ปัญญาอ่อนกันจริงๆ” คุณทิศส่ายหน้าเอือมระอา

ผมส่ายหน้าให้คุณตรี ห้ามไม่ให้เขาดื่มเบียร์ก่อนกินข้าว เขาก็ยอมเชื่อฟัง วางแก้วเบียร์ลงแล้วหันไปจิบน้ำใบเตยที่เหลืออยู่แทน

ผมตักข้าวเหนียวแจกจ่ายทุกคน ลุกไปอุ่นต้มยำและต้มแซ่บในครัว ปรุงแยกเป็นสองชุด รสชาติเผ็ดแซ่บกับเผ็ดน้อย

“มึงยกอันนี้ไป”

“ทำไมต้องแบ่งเป็นถ้วยเล็กด้วยวะ”

“คุณตรีไม่ทานเผ็ด”

“อ่อ ของว่าที่ผัว”

“เออ ทำไม” ถ้าทำเป็นยอมรับไปหน้าด้านๆ มันก็จะไม่ล้อผม เพราะตอนนี้มันเบ้ปากใส่ผมแทนแล้วเดินฉับๆกลับไปที่วงเหล้า

วันนี้เรานั่งกินกับเสื่อครับ แต่มีหมอนแข็งให้เอนหลังกันเมื่อย

“ฟ้า ตำส้มตำเลยไหม” คุณทิศเหมือนจะอยากกินแล้ว ตอนนี้อาหารอย่างอื่นก็พร้อม ไก่ก็ทยอยย่างไปเรื่อยๆ ส่วนปลาเผาย่างเสร็จได้สักพัก น่าจะคลายร้อนพร้อมกิน

“ตำเป็นด้วยเหรอ” คุณตรีมองผมที่ประจำตำแหน่งอยู่หน้าครกด้วยความสนใจ ถึงกับขยับเข้ามาดูใกล้ๆ

“ไม่เป็นครับ แต่จะลองดู”

“กินแล้วจะตายไหมวะ” ปากไม่เป็นมงคลแบบนี้ก็ต้องเพื่อนผมแล้วครับ

“อย่ากินนะมึง” ผมเข่นเขี้ยวใส่มัน

“โอ๋ๆน้องฟ้า อย่าใจร้ายนักสิ” มันเข้ามากระแซะออดอ้อนเหมือนน่ารัก แต่ความจริงคือตรงกันข้ามจนทุกคนหัวเราะ

ผมเปลี่ยนอาชีพมาเป็นพ่อค้าส้มตำ ใส่พริกกระเทียมตำ จากนั้นก็ใส่มะเขือเทศมะเขือเปราะ ถั่วฝักยาว เครื่องปรุง แน่นอนว่าสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือผงชูรส ถ้าไม่ใส่ก็เททิ้งได้เลยครับ มันไม่อร่อยหรอกผมเคยลองสั่งแม่ค้าแล้ว แม่ค้าส้มตำแทบจะเอาสากเขวี้ยงใส่หัวผม เพราะถ้าส้มตำไม่อร่อยนั่นหมายถึงร้านเขาอาจจะเสียชื่อได้ ผมชิมรสชาติ แล้วก็ให้คนอื่นๆช่วยชิมด้วย กลายเป็นว่าตอนนี้ทุกคนมาช่วยกันตำช่วยกันปรุงแล้วครับ แม้แต่คุณทิศที่ดูนิ่งๆโหดๆยังร่วมวงไปกับเขาด้วยเลย

“ครกนี้ของกูดิเจมส์ มึงอย่ามาแย่งกูปรุง”

“เอ้า กูก็อยากช่วยไง กูว่ามันยังไม่เปรี้ยว”

“ไอ้เหี้ย มึงใส่น้ำมะขามเปียกเยอะไป กูไม่ชอบกินเปรี้ยว”

“พี่เจมส์ พี่ลืมใส่ปูดองหรือเปล่า ใส่ปลาร้าด้วยไหม เอาเป็นต่อนๆเลยนะ”

“กูบอกว่าอย่ามายุ่ง ครกนี้กูจะตำ”

“เหมือนเด็กๆเลยว่าไหมครับ” ผมหันไปถามความเห็นคุณตรี มือก็ปั้นข้าวเหนียวป้อนใส่ปากคนตัวใหญ่

“พวกมันบ้า” คุณตรีพูดขำๆ

“เดี๋ยวรอพวกเขาเล่นเสร็จผมจะตำไทยให้นะครับ” ผมตำส้มตำปูปลาร้าเสร็จไปครก แต่ยังไม่ได้ตำไทยให้คุณตรีก็โดนแย่งครกไปซะแล้ว

“อร่อยไหม” คุณตรีถามผมที่กำลังจกส้มตำเข้าปาก

“อร่อยครับ ลองไหม” ผมถามไปอย่างนั้น ไม่คิดว่าคุณตรีจะพยักหน้า “เผ็ดนะครับ”

“อยากลอง”

ผมลังเลที่จะให้เขากิน คือมันค่อนข้างรสจัดใช้ได้เลย ปกติคุณตรีไม่ทานอะไรที่มันเค็มเกินไป เปรี้ยวเกินไป ยิ่งเผ็ดนี่ต้องให้น้อยที่สุด

แต่พอยืนยันว่ายากลอง ผมก็ตักเส้นมะละกอที่คิดว่าโดนน้ำส้มตำน้อยที่สุดใส่จานเล็กแล้วส่งให้เขา ตอนคุณตรีเอาส้มตำเข้าปากผมออกอาการลุ้นยิ่งกว่าป้าขายไก่ทอดตอนลุ้นหวยออกเสียอีก

“เป็นไงบ้างครับ” ผมถามไถ่อาการหลังจากที่เข้ากินส้มตำเข้าไป

“เผ็ด” พอเขากลืนเขาก็รีบกระดกเบียร์อึกใหญ่

“ผมบอกแล้ว”

“แต่ก็ไม่แย่ แต่เผ็ดมาก” ดูสิครับ กินไปคำเดียวปากแดงแจ๋เลย

“กินไก่ย่างแก้เผ็ดครับ”

ผมใช้มือฉีกเนื้อไก่ป้อนเขา จะเล่าให้ฟังว่าเวลาผมกินพวกไก่ทอดไก่ย่างผมมักใช้มือหยิบกิน ตอนเขาขอให้ป้อนแรกๆผมก็ไม่ได้ใช้มือนะครับ ผมใช้ช้อนกับส้อม แต่เขาบอกว่าผมกินแบบไหนเขาก็กินแบบนั้น ถ้าผมกล้าเอามือหยิบอาหารเข้าปาก ผมก็ต้องทำแบบนั้นกับเขาด้วย หลังๆมานี้ผมต้องทำความสะอาดมืออยู่ตลอด ยิ่งก่อนจะกินข้าวคือไม่เคยลืมที่จะล้างมือเลยสักครั้ง

ประมาณสองทุ่มเสียงรถยนต์ก็ดังก้องอีกครั้งในบริเวณบ้าน เราทุกคนหันไปมองที่หน้าบ้านเป็นทางเดียว คุณตรีคือคนที่มีปฏิกิริยาไวที่สุด เขาลุกเดินออกไปหน้าบ้าน ผมนึกไปถึงสิ่งที่คุณตรีบอกกับน้าภาพตอนกลับมาว่าให้ไปรับเพื่อน

“ใครวะ ที่เดินมากับไอ้ตรีอ่ะ” คุณทิศเพ่งตามอง

“มึงไม่รู้แล้วกูจะรู้ไหม”

“ฟ้ารู้ไหม” คุณทิศหันมาถามผม

ผมส่ายหน้า “ไม่รู้จักครับ” 

คุณตรีกับผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่พอๆกับคุณตรีเดินตรงเข้ามา ระยะที่ใกล้มากขึ้นทำให้เห็นว่าคนที่มาคือคนต่างชาติแบบฝรั่งจ๋าเลย

“ทุกคน นี่เพื่อนฉันจากอังกฤษ ชื่อวิล”

“Hi/Hi” คุณทิศกับคุณเจมส์ยกแก้วเบียร์ทักทาย

“Wil that two guys are my friends James and Thit. And He is my boy ‘SaiFah’. And that one is fah’s friend He’s called Jack.”

คุณตรีเหมือนจะแนะนำทุกคนในที่นี้ให้เพื่อนของเขารู้จัก ฟังจากชื่อของทุกคนที่นั่งอยู่ นอกนั้นฟังไม่ออกครับ บอกเลยว่าโง่ภาษาอังกฤษของแท้

“Hi ซาหวะดีคับ”

“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้เขาตามความเคยชิน ส่วนไอ้แจ็กก็ยกมือไหว้พร้อมโบกไม้โบกมือ ในกลุ่มนี้ก็คงมีผมกับไอ้แจ็คนี่แหละครับที่ไม่น่าจะคุยกับเพื่อนคุณตรีคนนี้รู้เรื่อง

“Is He your little boy, so cute, damn it. Why are you so lucky” เพื่อนของคุณตรีพูดอะไรสักอย่างด้วยเสียงตื่นเต้น เขานั่งลงข้างคุณตรีด้านที่ยังว่าง พร้อมกับชะโงกหน้ามาจ้องหน้าผม แต่คุณตรีก็ดันหน้าเขาออก

“Don’t come near him”
[อย่าเข้าใกล้เขา]

“Oh oh okay”
[โอ้ โอ้ ได้]

“He is possessive” คุณทิศพูดกับคุณวิลแล้วก็ยักคิ้วใส่คุณตรี
[มันหวงน่ะ]

“Yeah I see” คุณวิวหัวเราะเหมือนชอบใจอะไรสักอย่าง
[อืม ผมรู้]

ผมเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองโง่จริงๆก็ตอนนี้ ผมอยากเข้าใจว่าเขาพูดอะไร แต่ก็ไม่สามารถเข้าใจได้ เขาหันมาพูดกับผมด้วย แต่ผมไม่เข้าใจแล้วก็ได้แต่ทำหน้าตกใจใส่เขาจนคุณตรีหลุดขำแล้วแปลให้ผมฟัง

“มันถามว่า ฉันจีบนายหรือยัง นายเป็นแฟนฉันเหรอ”

“อ่อ อ่า” ผมเข้าใจคำถามผมก็ไม่รู้จะตอบกลับไปยังไง คุณตรียิ้มให้ผมแล้วลูบหัวผมเบาๆไม่ให้ผมคิดมากเรื่องที่ตอบเพื่อนเขาไม่ได้

ผ่านไปสักพักทุกคนก็ดูเหมือนจะเข้ากันได้ดี ประมาณสี่ทุ่มก็ย้ายเข้ามาในบ้าน ผมและแจ็คช่วยกันเก็บของไปล้างในครัว ปล่อยให้ผู้ชายตัวโตทั้งสี่คนนั่งคุยเล่นจิบเบียร์อยู่ที่โซฟาห้องนั่งเล่น




[Three]

ผมมองดูฟ้าที่กำลังล้างจานอยู่ในครัว ผมและเพื่อนย้ายมานั่งกันในบ้านแทนเพราะข้างนอกยุงเริ่มเยอะ ผมดีใจที่วิลมาหา แม้จะกะทันหันไปหน่อยแต่ก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร

“ฉันมาทำงานที่นี่ พอดีเขาหาคนมาสัมภาษณ์พนักงานที่สาขาที่ไทย ฉันก็เลยอาสามาเพราะว่าจะได้มาหานายด้วย” วิลตอบเมื่อผมถามว่าทำไมถึงมากะทันหัน

“อืมดี แล้วมีวันว่างไหมละ ฉันจะได้พานายเที่ยว”

“พรุ่งนี้ฉันว่าง เพราะวันอาทิตย์เป็นวันหยุดใช่ไหมล่ะ” วิวครุ่นคิด

“ใช่ นายอยากไปเที่ยวที่ไหนล่ะ”

“นี่ๆ ฉันดูในไอจี ฉันเห็นมีคนลงรูปวัดสวยๆที่อยู่ริมน้ำ อยากไปที่นี่ ไกลไหม”

“วัดอะไรไหนเอามาดูสิ” เจมส์ถาม วิลเลยเปิดรูปในโทรศัพท์ให้ดู

“อ่อ วัดอรุณไง กูเคยไปอยู่นะ สวยดี” ทิศที่ดูรูปด้วยเป็นคนตอบ

“ยูเคยไปเหรอทิศ” วิลดูจะตื่นเต้นที่มีคนรู้จักสถานที่ที่ตัวเองอยากไป

“ใช่ บรรยากาศตอนเย็นริมน้ำก็ดี เหมาะแก่การพาคนรักไปเดท โรมแมนติกมาก นั่งดูวิวริมแม่น้ำเจ้าพระยา มองเห็นวิววัดอรุณแล้วก็พระอาทิตย์ตกดิน”

“ดีเหรอวะ” จากที่ไม่ได้สนใจผมก็หูผึ่ง มันดีจริงเหรอวะ

“ดีสิไอ้ตรี ทำไม ทำท่าสนใจนี่อยากจะพาน้องฟ้าไปขอเป็นแฟนเหรอไง” ไอ้ทิศมันหลิ่วตาใส่ผม

“อ้าว นี่นายยังไม่ขอเด็กนั่นเป็นแฟนอีกเหรอ แล้วเขารู้ไหมว่านายชอบ” วิลมันดูจะตกใจไม่น้อยที่รู้ว่าผมยังไม่ได้ขอฟ้าเป็นแฟน

“ฟ้ารู้แล้ว แต่ยังไม่ได้ขอเป็นแฟน จีบอยู่”

“เออ มันบ้า ทั้งๆที่ฟ้าก็ชอบมัน แต่มันบอกจะจีบก่อน” ไอ้เจมส์มันผลักหัวผม

“กูเป็นผู้ชายนะ รักเขาก็ต้องจีบก่อน จีบแล้วค่อยขอเป็นแฟน เป็นแฟนแล้วค่อยเป็นเมีย กูไม่ทำอะไรข้ามขั้น”

“ถุย พ่อเทพบุตร สุภาพบุรุษสุดๆ”

“แล้วยังไง จะขอเขาเป็นแฟนเมื่อไหร่” วิลยังคงตามติดเรื่องนี้

“ทีแรกก็คิดว่าหลังเสร็จงานนี้เนี่ยแหละ จริงๆนี่ก็ถือว่าเสร็จงานแล้ว กำลังหาโอกาสอยู่”

“แล้วเป็นไงบ้าง พ่อนายพอใจกับผลงานไหม”

“ไม่รู้นะ แต่ต่อให้ผลงานมันดีฉันก็ไม่ได้คิดว่าจะได้รับคำชมหรอก ดีไม่ดีดูเอาที่ตัวเลขยอดขาย รู้ไหมว่าแค่อาทิตย์เดียว ยอดขายสินค้าคอลเลคชั่นนี้ของฉันทำเงินได้มากกว่าคอลเลคชั่นที่แล้วไปแล้วเท่าตัว ถ้าหักจากต้นทุนตอนนี้ก็คืนทุนแล้ว”

“เฮ้ย ก็เท่ากับว่ามึงทำสำเร็จแล้วดิ” ไอ้เจมส์กระโดดเข้ามานั่งใกล้ผมจนแทบจะขึ้นขี่ ผมดันตัวมันออกห่าง บ้าบอหรือไงวะ

“เออไง เดี๋ยววันจันทร์มีประชุมเรื่องยอดขายเนี่ยแหละ พ่อฉันจะเข้าประชุมด้วย งานนี้ไม่น่ามีอะไรพลาด”

“ดีใจด้วยวะ ในที่สุดมึงก็ทำได้” ทิศตบไหล่ผม

“อืม กูก็ดีใจ ชีวิตกูจะเป็นอิสระแล้ว”

ผมยิ้มกว้าง อดไม่ได้ที่จะมองคนที่เดินเก็บข้าวของในบ้าน ผมไม่มีทางมาถึงจุดนี้ได้ถ้าไม่มีเขา คนที่เป็นทุกอย่างให้กับผม

ฟ้าเป็นกำลังใจของผม

ฟ้าเป็นความสุขของผม

ฟ้าเป็นแรงผลักดันให้ผมมีแรงสู้

และฟ้าเป็นความรักของผม ความรักที่มีแต่การให้ เขาให้ผมทุกอย่างเท่าที่เขามี ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการมีเขาอยู่ในชีวิตอีกแล้ว

และมันคงถึงเวลาที่ผมจะให้ทุกอย่างของผมกับเขาบ้าง

“พวกมึง พรุ่งนี้ช่วยกูหน่อย”

ผมขยับตัวนั่งหันหน้าเข้าหาเพื่อนทั้งสามคนด้วยสีหน้าจริงจัง พวกมันมองหน้าผมแล้วยกยิ้มกันเป็นแถวด้วยเข้าใจว่าผมต้องการให้ช่วยอะไร

พรุ่งนี้ผมจะได้แฟนแล้วล่ะทุกคน เป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ




หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่27:ผมกับเขา เราเป็นแฟนกัน 8-04-20 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 08-04-2020 20:53:18
CATER TO YOU
ตอนที่27
ผมกับเขา เราเป็นแฟนกัน



เช้าวันใหม่หลังจากที่เราสังสรรค์กันเกือบข้ามคืน ทำให้ทุกคนต้องนอนกันที่บ้านคุณตรียกเว้นแจ็คที่ขี่มอเตอร์ไซค์กลับไปตั้งแต่เมื่อคืนตอนห้าทุ่ม บอกให้มันนอนกับผมมันไม่ยอมนอน ก็เลยต้องปล่อยให้มันกลับหอ ทันทีที่ถึงห้องมันก็ส่งข้อความมาว่าถึงห้องอย่างปลอดภัย ผมถึงได้รู้สึกสบายใจ

“กลิ่นหอมจังเลย” เสียงคุณเจมส์ดังมาก่อนตัว เขาเดินหลับตาทำจมูกฟุดฟิดตามหากลิ่น คุณทิศกับคุณตรีก็เดินตามหลังมาด้วย ผมยิ้มให้คุณตรีที่ก็ยิ้มให้ผมเช่นกัน

“เช้านี้ผมทำข้าวต้มหมูเด้ง จะได้หายแฮงค์ครับ”

“โอย ดีอะไรแบบนี้ มีคนคอยดูแลเอาอกเอาใจ” คุณทิศยืดแขนบิดขี้เกียจแล้วนั่งลงที่โต๊ะกินข้าว

คุณตรีเดินเข้ามาหาผม เขาช่วยผมหยิบชามออกมาสี่ใบ ผมจึงตักข้าวต้มในหม้อใส่ถ้วย โรยหน้าด้วยขึ้นฉ่าย กระเทียมเจียว แล้วก็พริกไทย

“วิลยังไม่ตื่นนะ น่าจะเจ็ทแลคอยู่ ปล่อยให้นอนไปอีกสักพัก” คุณตรีชะโงกหน้าดูหม้อข้าวต้ม

“อ่อ ถ้าเขาตื่นก็ค่อยอุ่นใหม่ก็ได้ครับ” ผมวางชามข้าวต้มลงบนถาด จะได้ไม่ร้อนมือและไม่ต้องเดินหลายรอบ

“อืม”

“คุณตรีปวดหัวไหมครับ”

“ไม่หรอก เมื่อคืนไม่ได้ดื่มเยอะ แค่นั่งคุยกันเฉย”

เมื่อคืนผมขึ้นไปนอนก่อนตั้งแต่ส่งแจ็คกลับห้อง น่าจะสักเกือบจะเที่ยงคืน ตอนนั้นคุณตรีกับเพื่อนๆของเขายังคงนั่งดื่มนั่งคุยกันอยู่

“ไม่ต้องยกไปให้พวกมัน ให้พวกมันมาหยิบเอง ฟ้าหยิบน้ำของเรามาก็พอ” คุณตรียกถาดที่ใส่ข้าวต้มสองชามเดินไปที่โต๊ะ เหลืออีกถาดที่ผมกำลังจะยกแต่เขาห้ามเอาไว้

“พวกมึงไปยกข้าวมากินเอง ฟ้าทำให้แล้วยังจะต้องให้ยกมาประเคนถึงที่อีกเหรอ” คุณตรีเตะเก้าอี้ที่คุณเจมส์นั่ง เรียกให้เพื่อนของเขาที่กำลังนอนหมอบไปกับโต๊ะกินข้าวลุกขึ้น

“ครับๆ พ่อครับ รู้แล้วครับ” คุณเจมส์ยกมือขึ้นห้ามให้คุณตรีเลิกบ่น ก่อนจะลุกขึ้นมายกถาดข้าวต้มอีกถาดไป

“แล้ววันนี้เราจะไปวัดกันกี่โมง” คุณทิศถามคุณตรี

“บ่ายโมงแล้วกัน ไปถึงราวๆบ่ายสอง ไปหาอะไรกินแถวโน้นแล้วก็ค่อยเข้าไปไหว้พระ เดี๋ยววันนี้เราจะไปวัดอรุณกันนะ พาวิลไปเที่ยว” คุณตรีพูดกับเพื่อนก่อนจะหันมาบอกผม

“ให้ผมไปด้วยเหรอครับ”

“นายต้องไปกับฉันสิ เราจะไปเดทกัน”

“เดี๋ยวๆนะไอ้ตรี เดทเขาต้องไปกันสองคนไม่ใช่เหรอ” คุณเจมส์ทำหน้าเหมือนแบบมันใช่เหรออะไรประมาณนี้

“ทำไมจะไม่ได้ กูเดินกับฟ้าสองคน พวกมึงก็เดินห่างๆกู แค่นั้น”

ผมหลุดขำให้กับความคิดของคุณตรี

“อย่างนี้ก็ได้เหรอวะ” คุณเจมส์เหมือนจะยังไม่เข้าใจ หันไปตั้งคำถามผ่านสีหน้ากับคุณทิศ

“มึงว่าได้ไหมล่ะ ไอ้ตรีมันพูดขนาดนี้แล้ว”

“เหรอวะ”

“ฮ่าๆๆ” พวกเขาตลกกันแต่เช้าเลย ช่างเป็นคนอารมณ์ดีกันจริงๆ

ทานข้าวเช้าเสร็จทุกคนก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนต่อ เมื่อคืนพวกเขานอนที่ห้องคุณตรีกันทั้งหมด ผมไม่รู้ว่านอนกันยังไง แต่ก็อัดผู้ชายเข้าไปได้หมดสี่คน

จนกระทั่งได้เวลาที่นัดเอาไว้ว่าจะพาคุณวิลไปเที่ยวที่วัดอรุณ ยอมรับเลยครับว่าพวกเขาเป็นคนตรงต่อเวลากันมากๆ บอกว่าจะออกจากบ้านตอนบ่ายโมง เที่ยงห้าสิบทุกคนก็ลงมาพร้อมกันที่ชั้นล่าง รถก็เลยเคลื่อนตัวออกจากบ้านตอนบ่ายโมงตรงเวลาเป๊ะ

ไม่ถึงชั่วโมงเราก็มาถึงที่วัด อาจเพราะเป็นวันอาทิตย์ทำให้มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาเที่ยวกันเยอะมาก แต่โชคดีที่ได้ที่จอด ทำให้ไม่เสียเวลาในการหาที่จอดรถ

ก่อนออกมาจากบ้านผมทำแค่อาหารรองท้องง่ายๆให้พวกเขาทาน  พอมาถึงที่หมายเราก็เลยหาอะไรกินง่ายๆแถวนั้น ไม่พ้นพวกก๋วยเตี๋ยวผัดไทย คุณตรีเขาก็สั่งของที่ชอบ เพื่อนคุณตรีที่เป็นฝรั่งดูจะชอบใจกับอาหารไทยไม่น้อย เวลาเห็นอะไรน่าสนใจเขาก็จะยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูป พอทานอาหารเที่ยงตอนบ่ายกว่าๆเสร็จก็ถึงเวลาไปเดินเที่ยวในวัด

“เคยมาไหม” คุณตรีก้มลงมาถาม เขาหมุนพัดลมไฟฟ้าในมือให้เป่ามาทางผม อากาศช่วงบ่ายสามยังร้อนไม่ใช่เล่น พอเห็นว่ามีแม่ค้ายืนขายพวกพัดเขาก็เดินเข้าไปซื้ออย่างไม่ลังเล พอผู้ชายตัวใหญ่ๆมาถือพัดลมไฟฟ้าอันเล็กก็ดูน่ารักน่าเอ็นดูดี

“ไม่เคยครับ นี่เป็นครั้งแรกของผม”

“ครั้งแรกของฉันเหมือนกัน”

“จริงเหรอครับ” ไม่น่าเชื่อว่าคุณตรีก็ไม่เคยมา

“เฮ้ นี่สรุปยูจะทำเหมือนที่บอกจริงๆเหรอ มาเดทกันทั้งๆที่พวกฉันมาด้วยเนี่ยนะ” คุณวิลเดินตีเสมอมาพูดกับคุณตรี

“ก็เห็นอยู่นี่ นายอยากรู้อะไรก็ไปถามทิศสิ หมอนั่นเคยมาแล้วน่าจะรู้ข้อมูลมากกว่าฉัน” คุณตรีหันไปตอบคุณวิล

“นายนี่มัน ไหนบอกว่าจะเป็นคนพาฉันเที่ยวไงเล่า”

“แล้วนี่ฉันไม่ได้พามาเที่ยวตรงไหน อย่ากวนน่า ฉันไม่ค่อยมีเวลาจีบเด็ก วันนี้จะทำเรื่องสำคัญด้วย ช่วยให้ความร่วมมือหน่อยเพื่อน”

ไม่มีเวลาที่ไหน เขาหยอดผมตลอดตั้งแต่ตื่นนอนยันเวลาเข้านอน

“โอเค ฉันขอโทษ เข้าใจแล้วแหละ ฉันจะทำตัวเป็นกามเทพสื่อรักให้กับพวกนายอย่างเต็มที่ ไม่ต้องห่วง”

“ขอบใจ”

จากบทสนทนาด้านบนทั้งหมด ผมฟังออกตั้งสามคำแหนะครับ มีคำว่า Okay, Sorry, และก็ Thank you

เฮ้อ ยิ่งกว่างูๆปลาๆซะอีก

วัดอรุณหรือเรียกอีกชื่อว่าวัดแจ้งเป็นวัดที่สวยงามมากๆ ไม่เหมือนวัดอื่นๆที่ผมเคยเห็น โดดเด่นที่สุดก็คือพระปรางค์ที่ถูกตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบและเครื่องถ้วยชามเบญจรงค์ที่มาจากจีน ความรู้พวกนี้ผมไม่ได้รู้เองนะครับ ผมได้ยินจากไกด์นำเที่ยวแถวๆนี้เขาบรรยาย ผมก็เลยทำเนียนหยุดยืนฟังไปด้วย

ในขณะที่เราเดินชมวัดก็จะเห็นกลุ่มนักท่องเที่ยวยืนฟังไกด์นำเที่ยวบอกเล่าถึงที่มาและประวัติศาสตร์ นอกจากกลุ่มนักท่องเที่ยวก็ยังมีกลุ่มนักเรียนด้วย เหมือนมาทัศนศึกษากันเลย ผมยืนอยู่ใกล้ๆกลุ่มนั้นแล้วก็ยืนฟังคนที่น่าจะเป็นอาจารย์พูดบรรยายเกี่ยวกับพระปรางค์เบื้องหน้า

“สนใจเหรอ” คุณตรีถาม

“ผมไม่เคยออกมาแบบนี้เลย” ผมชี้ให้เขาดูกลุ่มนักศึกษา

“ฉันก็ไม่เคย”

“เรียนที่ต่างประเทศไม่เหมือนที่ไทยเหรอครับ” ผมกับคุณตรีเริ่มออกเดินอีกครั้ง เพราะพวกคุณทิศเดินนำออกไปไกลแล้ว

“ไม่เหมือนหรอก ไม่ได้มีกิจกรรมรับน้อง ไม่ต้องใส่ชุดนักศึกษา ฉันก็ไม่เคยเรียนมหาวิทยาลัยที่ไทย บอกไม่ได้ว่าอันไหนดีกว่ากัน แต่ที่ไปเรียนที่อังกฤษก็ไม่ได้แย่ การสอนน่าสนใจและเฉพาะทางมากกว่าเท่าที่เห็น สื่อการเรียนการสอนก็ทันสมัย”

“น่าเสียดายนะครับ ผมก็เสียดาย มันจะต้องสนุกมากแน่ถ้าได้มีชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย”

ผมไม่รู้ว่ารสชาติของชีวิตนักศึกษาที่แท้จริงมันเป็นยังไง ต้องนับตั้งแต่เรียนมัธยมสิ ผมไม่เคยได้ไปโรงเรียน เคยคิดว่ามันจะเป็นยังไงถ้าผมได้มีโอกาสไปนั่งเรียน มีเพื่อนเล่นพูดคุยกัน มีช่วงเวลาที่ได้ทำอะไรหลายๆอย่างกับเพื่อน ผ่านช่วงเวลาที่จะต้องเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย ได้เลือกคณะกับมหาวิทยาลัยที่เราอยากเข้าเรียน ได้เข้ากิจกรรมรับน้อง เขาว่าเป็นช่วงเวลาที่เพื่อนจะผ่านความยากลำบากไปด้วยกัน มีทั้งมิตรภาพและความสนุกสนาน มีกิจกรรมในมหาวิทยาลัยให้ทำด้วยกัน ได้เรียนได้เล่นกับเพื่อน มันคงเป็นช่วงเวลาที่แสนวิเศษ แต่ผมก็ได้แค่เสียดายแหละครับ  ชีวิตคนเราเลือกเกิดไม่ได้ ผมที่เป็นผมในทุกวันนี้ก็ดีเกินกว่าที่จะคาดคิดแล้วล่ะ

“ไม่เป็นไรนะ นายมีฉันเป็นเพื่อน เพราะเราก็ไม่ได้มีช่วงเวลาในรั้วมหาวิทยาลัยแบบเด็กไทยทั่วไป แต่มันก็แค่ช่วงเวลาหนึ่ง เรายังมีเวลาให้สร้างความทรงจำดีๆในชีวิตได้อีกเยอะ” คุณตรีบีบกระชับมือผมเพื่อเติมกำลังใจ

“ครับ ผมจะใช้ชีวิตให้ดี ผมอยากมีความสุขในทุกๆวัน”

“หลังจากวันนี้นายจะมีความสุขมากแน่นอน ฉันสัญญา”

เราเดินชมรอบวัดและถ่ายรูปจนหนำใจ นอกจากการเดินชมศิลปะที่สวยงามภายในวัด พลาดไม่ได้ที่เข้าไปสักการะพระประธานในพระอุโบสถ ผมรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ที่เขาบอกว่าวัดเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจผมรู้สึกว่าเป็นแบบนั้นจริง

ผมไหว้พระพระและขอพร ขอให้ชีวิตของผมมีแต่ความสุข ขอให้ไม่ว่าเจอปัญหาอะไรผมก็สามารถหาทางออกได้ และข้อสุดท้ายผมขอให้คุณตรีได้รับการยอมรับจากคุณพ่อคุณแม่ของเขา อาจจะไม่ใช่เร็วๆนี้ แต่ผมขอให้มีสักวัน สักวันที่คุณตรีจะมีความสุขกับเรื่องครอบครัว

“ที่นี่เย็นสบายจัง แต่ข้างนอกร้อนมาก” คุณวิลที่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆพูดขึ้น และเหมือนเดิมก็คือผมฟังไม่ออกว่าเขาพูดว่าอะไร

เรายังคงนั่งเล่นในพระอุโบสถ ไม่รู้ว่าเพราะเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่า ข้างในนี้ถึงได้มีลมพัดเย็นสบายจนแทบอยากจะทิ้งตัวนอนหลับ

“ดีแล้วที่นายรู้สึกเย็นสบายน่ะวิล ไม่เหมือนไอ้ทิศที่มันร้อนเหมือนตกนรก เห็นไหมเหงื่อออกอย่างเยอะ”

“อ้าว ทำไมถึงร้อนล่ะ ลมก็แรงดีออก” คุณวิลมองคุณทิศเหมือนสงสัยอะไรสักอย่าง ซึ่งผมก็สงสัยเช่นกัน

“เพราะมันบาปหนาไง คนบาปหนาเข้าวัดแล้วจะร้อนเหมือนตกนรกเลยล่ะ” คุณเจมส์ป้องปากพูดเสียงไม่ดังนัก

“จริงเหรอ นายร้อนมากเลยเหรอทิศ ออกไปข้างนอกไหม” คุณวิลทำหน้าเหมือนตกใจอะไรสักอย่าง หันไปพูดกับคุณทิศอย่างร้อนรน แต่คุณตรีกับคุณเจมส์กลับหัวเราะลั่น

“ไอ้พวกเหี้ย” คุณทิศกัดฟันพูด มองค้อนทุกคนที่หัวเราะเขา ประโยคนี้เขาพูดเป็นภาษาไทย แต่คุณวิลเหมือนจะเข้าใจ ทำไมถึงเข้าใจคำนี้ล่ะ

“วิลมันบอกว่าในนี้เย็น แต่ไอ้เจมส์บอกว่าไอ้ทิศอยู่ในนี้แล้วร้อนเหมือนตกนรกเพราะเป็นคนบาปหนา วิลมันเลยตกใจจะพาไอ้ทิศออกจากวัด ฮ่าๆๆ” ผมคงเผลอทำหน้าอยากรู้อยากเห็นมากเกินไป คุณตรีก็เลยใจดีแปลให้ผมฟัง แต่ก็แปลไปหัวเราะไป

เขายิ้มกว้างจนตาผมพร่าไปเลย





เสร็จจากวัดอรุณ เราก็นั่งเรือข้ามฟากมาลงที่ท่าเตียน คุณวิลดูจะชื่นชอบและตื่นเต้นเป็นพิเศษ ผมสังเกตเห็นอย่างหนึ่ง เวลาที่ชาวต่างชาติเขาตื่นเต้นหรือชื่นชอบอะไรสักอย่าง เขาจะแสดงสีหน้าท่าทางอย่างเปิดเผย ดูร่าเริงเหมือนเด็กตัวเล็กๆดีใจที่ได้เที่ยว

ยังพอมีเวลาเหลือก็เลยพาคุณวิลไปที่วัดพระแก้วอีกวัดหนึ่ง ถือเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของคนไทย ผมเองก็เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก แต่คนอื่นเคยมากันแล้วแม้แต่คุณตรี ผมอดที่จะตื่นตาตื่นใจไม่ได้เลย เกิดเป็นคนไทยเพิ่งได้มีโอกาสมาไหว้พระแก้วมรกต ผมให้วันนี้เป็นวันที่ดีที่สุดวันหนึ่งในชีวิตผมเลย

“ฟ้า ขอพรอะไรตั้งนาน” คุณตรีกระซิบถามหลังจากที่ไหว้พระเสร็จ

“ผมเหรอ ผมก็ขอให้ผมมีความสุข ขอให้เวลามีปัญหาก็ผ่านไปได้ แล้วก็...” ผมไม่รู้ว่าคำขอสุดท้ายผมควรบอกเขาดีไหม

“แล้วก็อะไร” เขาทำหน้าเหมือนลุ้นอะไรสักอย่าง เห็นอย่างนั้นแล้วก็ไม่กล้าทำให้เขาผิดหวัง

“แล้วก็ขอให้คุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายยอมรับคุณตรีได้ทุกเรื่อง”

เขาดูอึ้งกับคำขอสุดท้ายของผมก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง

“แล้วคุณตรีขออะไรครับ” ผมถามบ้าง แต่เขากลับอมยิ้มไม่ตอบ เดินหนีผมไปเลย อะไรอ่ะ แบบนี้มันขี้โกงนี่

“คุณตรี อย่าโกงสิครับ ผมบอกของผมแล้วคุณตรีต้องบอกของคุณตรีด้วยสิ” ผมวิ่งตามเขาให้ทัน ใช้มือดึงเสื้อเขาเอาไว้ แต่เขาเบี่ยงตัวออกแล้วก็หัวเราะใส่ผม

“เขาบอกว่า...ถ้าบอกคำอธิษฐานแล้วมันจะไม่เป็นจริง”

“จริงเหรอครับ!”

“ไม่จริง”

“ห๊ะ?”

“ฮ่าๆๆ ตกใจขนาดนั้น” เขาหัวเราะสนุกสนานที่ได้แกล้งผม

“คุณตรีแกล้งผมเหรอ” ผมเผลอยกมือฟาดเข้าที่ต้นแขนของคุณตรี แต่แทบทันทีที่ผมรู้ตัวว่าเผลอทำอะไรไม่ควรเกินไป เขาเป็นเจ้านายผมไม่ควรทำร้ายร่างกายเขา

“คุณตรี ผมขอโทษ” ผมกำมือตัวเองแน่น ทำไมผมถึงเผลอตัวทำอะไรที่มันไร้มารยาทแบบนั้น

คุณตรีหยุดหัวเราะแล้วมองหน้าผมเหมือนสงสัย ผมก้มหน้าลงต่ำเตรียมรับคำตำหนิ เขาต้องกำลังคิดว่าผมกล้าดียังไงไปตีเขา

ในขณะที่ผมคิดว่าเขาต้องดุแน่ๆ เขากลับจับมือที่กำแน่นของผมให้แบออก อย่าบอกนะว่าเขาจะตีมือผม มือข้างที่ทำร้ายเขา

“ผมขอโทษครับ ผมจะไม่...”

เพี๊ยะ!

“โอ๊ะ!”

เพี๊ยะ!

“คุณตรี ทำอะไรครับ อย่าตี”  ผมอุทานเสียงหลงพยายามจะชักมือกลับ แต่คุณตรีจับไว้แน่นมาก

เพี๊ยะ!

“ไม่เอา คุณตรีอย่า!” ผมกระชากมือตัวเองออกมา มองเขาด้วยความไม่เข้าใจ

“เป็นอะไร ฉันแกล้งนายนี่น่า ก็ต้องโดนลงโทษ”

“ไม่เอาครับ มันไม่ควร” ผมรีบเก็บแขนเมื่อเขาทำท่าจะเข้ามาดึงมือผมไปตีตัวเองอีกรอบ เมื่อกี้เขาจับมือผมไปแขนเขาตั้งสามที

“ฟ้า วันนี้นายไม่ใช่ลูกน้อง นายคือฟ้าคนที่ฉันชอบ และวันนี้เรามาเดทกัน ดังนั้นวันนี้ก็เป็นตัวเองได้เต็มที่ ไม่ต้องคิดถึงฐานะอะไรทั้งนั้น เข้าใจไหม”

“ผม...”

“นะ ถ้านายไม่ปรับ เราก็ห่างกัน ความสัมพันธ์ของคนสองคน ถ้าอยู่ด้วยกันแล้วเกร็ง แล้วไม่กล้าเป็นตัวของตัวเอง รู้สึกเกรงใจกันตลอดเวลา นายว่ามันไม่น่าอึดอัดเหรอ” เขาค่อยๆพูดให้ผมได้คิด มันก็จริงอย่างที่เข้าว่า

แต่สำหรับผมมันก็ยังคงอยากอยู่ดี ที่อยู่ๆจะให้เล่นหัวเล่นหางเขาเหมือนเพื่อนที่สนิทกัน แต่ถ้าเขาต้องการ ผมก็จะลองเปลี่ยนตัวเองดู

“ผมจะพยายามนะครับ”

“เวลานายอยู่กับแจ็ค นายสดใสและเป็นตัวของตัวเอง เป็นแบบนั้นนะฉันชอบ”

“ครับ”

ผมคงต้องพยายามปรับตัวเองให้มากขึ้นสินะ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจ แม้ว่าจะทำตัวไม่ถูก แต่ผมจะค่อยๆเรียนรู้ว่าเวลาที่คนรักอยู่ด้วยกัน ต้องทำยังไงบ้าง

ความจริงผมก็แค่กลัว กลัวที่จะเสียเขาไป ผมอยากทำให้เขาพอใจทุกอย่าง ถ้าเขาพอใจก็จะไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะเลิกจ้างผม แค่คิดว่าถ้าผมทำให้เขาโกรธทำให้รู้สึกไม่ดีกลับผมแล้วผมจะไม่ได้อยู่ตรงนี้ ผมก็รู้สึกเจ็บปวดจนแทบหายใจไม่ออก

นี่ผมกลายเป็นคนโลภมากไปแล้วใช่ไหม

แต่ว่า ผมถอยหลังกลับไม่ได้แล้วด้วยสิ สิ่งที่ทำได้ตอนนี้ก็คือกระโจนลงไปทั้งตัว ถ้าความกลัวจะทำให้เรามีความสุขด้วยกันน้อยลง ผมก็จะเลิกกลัวแล้วเป็นตัวของตัวเองในแบบที่เขาต้องการ

“คุณตรี ถ้าต่อไปคุณตรีต้องปวดหัวเพราะผม ก็ช่วยไม่ได้แล้วนะครับ”

“กลัวจะไม่ปวดหัวมากกว่า”

หึ เขากล้าสบประมาทผมแบบนี้ได้ยังไง แต่เดาว่า มันคงจะเป็นเรื่องจริง ฮ่าๆๆๆ


หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่27:ผมกับเขา เราเป็นแฟนกัน 8-04-20 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 08-04-2020 20:53:42


ตลอดเวลาช่วงบ่ายเราเดินดูรอบวัดพระแก้ว พระบรมมหาราชวัง พระที่นั่งวิมานเมฆ และพระที่นั่งอนันตสมาคม พยายามจะเดินให้ครบทุกที่เท่าที่ทำได้ แต่ก็ได้เท่านี้จริงๆ ตอนนี้เย็นแล้วด้วย ทุกคนก็เลยลงมติกันว่าจะไปหาอะไรกินที่ร้านอาหารริมแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ว่าคุณทิศ คุณเจมส์ แล้วก็คุณวิลบอกว่าจะตามไปทีหลัง บอกว่ามีของที่ต้องซื้อเลยตกลงแยกกันไปที่ร้าย

เดินลัดเลาะตามซอยมาเรื่อยๆ เราก็มาถึงร้านอาหารริมฝั่งแม่น้ำ ผมเดินตามคุณตรีที่จับมือผมไว้ไม่ปล่อย ภาพตรงหน้าทำให้ผมละสายตาไปไม่ได้เลย แสงสีทองที่สะท้อนผิวน้ำระยิบระยับเหมือนเพชรน้ำงาม พระอาทิตย์ดวงโตลอยต่ำอยู่เบื้องหลังพระปรางค์วัดอรุณ สายลมเย็นๆพัดพาเอากลิ่นหอมของดอกไม้ที่จัดตกแต่งในร้านลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณ

คุณตรีพาผมไปนั่งที่โต๊ะริมระเบียงที่สามารถมองเห็นวิวแบบที่ไม่มีอะไรมาบดบัง โต๊ะสำหรับหกที่นั่ง คุณตรีนั่งตรงกลางที่ฝั่งหนึ่ง ผมก็เลยนั่งที่เก้าอี้ตรงกลางฝั่งตรงข้ามเขา

“สั่งอาหารสิ” คุณตรีส่งเมนูอาหารให้ผม

“สั่งเลยเหรอครับ ไม่รอคนอื่นเหรอ”

“ไม่ต้องรอหรอก เราสั่งอะไรพวกนั้นก็กินทั้งนั้นแหละ”

“ครับ”

ผมเปิดเมนูอาหารดู เหมือนเป็นความเคยชินที่ผมจะต้องดูราคาก่อนดูอาหาร ผมจะรู้สึกไม่อยากสั่งของแพงเพราะว่าเกรงใจคุณตรี แต่ครั้งนี้คงไม่เป็นไร เพราะว่าเพื่อนคุณตรีก็ทานด้วย แต่ถึงจะเลิกสนใจเรื่องราคาอาหาร ก็ยังมีปัญหาเรื่องเมนูอาหารที่ผมไม่เคยกินเยอะแยะ

“คุณตรีช่วยผมเลือกสิครับ ผมเลือกไม่ถูกเลย บ้างอันผมไม่เคยกินด้วย”

“โอเค เดี๋ยวฉันช่วยเลือก”

ตกลงกันได้ผมก็เริ่มสั่งอาหาร ผมสั่งไปหลายอย่างอยู่เหมือนกัน เพราะคิดว่าผู้ชายตัวโตๆทั้งสี่คนน่าจะกินกันเยอะ วันนี้ก็ใช้แรงเดินเที่ยวตลอดช่วงบ่าย ผมเองก็ทั้งเหนื่อยทั้งหิวมากเช่นกัน แต่มากกว่านั้นคือรู้สึกเต็มที่และมีความสุขที่ได้ออกมาเที่ยวเปิดหูเปิดตา

ระหว่างที่รออาหารผมก็นั่งดูบรรยากาศไปด้วย ไม่ใช่ว่าจะได้มาเห็นวิวสวยจับตาแบบนี้ได้บ่อยๆเสียเมื่อไหร่ มีโอกาสก็อยากมองให้เต็มอิ่ม

“น่าอิจฉาคนแถวนี้นะครับ ได้มองเห็นภาพสวยๆแบบนี้ทุกวันเลย” ผมหันไปพูดกับคุณตรี และผมก็ถึงได้รู้ว่าเขาเอาแต่มองจ้องผม

“ชอบเหรอ” เขาถาม แต่สายตาก็ยังไม่ละไปไหน มองกันขนาดนี้ผมก็เขินสิ

“เอ่อ ชอบครับ ที่นี่บรรยากาศดีมาก โรแมนติกมากเลยครับ”

“ฉันก็คิดแบบนั้น” แล้วทำไมเขาต้องทำเสียงละมุนขนาดนั้น ผมไม่ได้ตาบอดถึงสามารถบอกได้ว่าตัวเองรับรู้ความรู้ทั้งหมดของเขาผ่านทางแววตาและรอยยิ้มอ่อนโยน

“แต่ไม่เห็นมีคนอื่นในร้านเลย ทำไมมีแค่โต๊ะเราล่ะครับ” มัวแต่มองบรรยากาศริมแม่น้ำเพลินก็เลยไม่ทันสังเกตว่านอกจากพนักงานและพวกเราแล้วก็ไม่มีคนอื่นเลย

“ฉันเหมาร้านนี้ตั้งแต่หกโมงจนถึงร้านปิด” คุณตรียกแก้วน้ำขึ้นจิบด้วยท่าทีสบายๆ ต่างจากผมที่เริ่มนั่งไม่ติด

“เหมา เหมาร้านเหรอครับ คุณตรีเหมาทำไม”

“ดูทำหน้าเข้า ไม่มีอะไร แค่อยากได้ความเป็นส่วนตัว”

แค่นั้นน่ะนะ จริงดิ

“แต่เหมาร้านมันแพงไม่ใช่เหรอครับ จริงๆเราก็น่าจะกินร่วมกันคนอื่นได้” ผมไม่รู้หรอกว่าต้องใช้เงินเท่าไหร่ แต่น่าจะมากพอดู

“เอาน่า อย่าคิดมากสิ เนื่องในโอกาสสำคัญทั้งที”

“คุณตรีชอบใช้เงินฟุ่มเฟือย” ผมบ่นเขาเสียงเบา เขาก็แค่ยิ้มใส่

“ถ้าเป็นสมัยก่อน สามีหาเงินได้จะต้องให้ภรรยาเป็นคนเก็บเป็นคนจัดสรรปันส่วน เห็นนายเป็นแบบนี้แล้วฉันก็สบายใจ ในอนาคตฉันไม่ต้องห่วงเรื่องเงินทองแล้ว”

“อะไรกันครับ” ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจ แต่ไม่อยากเข้าใจให้ตัวเองใจสั่นต่างหาก

“หึหึ ก่อนจะถึงเวลานั้นก็ขอฟุ่มเฟือยก่อนนะ ไว้นายเป็นภรรยาฉันเมื่อไหร่จะให้ดูแลเรื่องเงินทั้งหมดเลย”

แล้วคนอย่างคุณตรีก็ไม่เคยพลาดโอกาสที่จะแกล้งผมให้อาย

“ผมไม่ทำหรอก เงินใครก็ดูแลเอาเองสิครับ”

“จะดื้อเหรอไง”

“ใช่ครับ คุณตรีก็อยากได้แบบนี้ไม่ใช่เหรอ”

“หึหึ เป็นเด็กดีจริงเลยนะ ว่านอนสอนง่าย” เขายื่นมือมาแตะคางผม ทำท่าเกาเหมือนผมเป็นแมว ผมปัดมือเขาออกแล้วเบ้ปากใส่

“คุณตรีอ่ะ!”

“ฮ่าๆๆ”

ผมคุยเล่นกับคุณตรีจนกระทั่งอาหารเริ่มมาเสิร์ฟ ตอนนี้พระอาทิตย์ก็เกือบจะลับขอบฟ้า เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืด บ้านเรือนต่างๆก็เริ่มเปิดไฟเพื่อชดเชยแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ที่กำลังจะหมดไป แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความสวยงามของบรรยากาศลดน้อยลงเลย

อาหารทยอยมาเสิร์ฟที่โต๊ะ ผมมองอาหารแต่ละจากตรงหน้าด้วยความตื่นตาตื่นใจ แต่ละอย่างน่ากินทั้งนั้น แล้วจู่ๆเสียงเพลงก็ดังขึ้น ผมหันไปมองทางต้นเสียง

“มีวงดนตรีมาเล่นด้วยเหรอครับ” ผมถามคุณตรีด้วยความสงสัย ทีแรกยังไม่มีเลย หรือว่าจะมีเฉพาะตอนกลางคืน

“อืม สำหรับโอกาสพิเศษน่ะ เพราะฉันเหมาร้าน เจ้าของเขาก็เลยจัดวงดนตรีมาให้ด้วย”

“ดีจังเลยครับ” ผมหันกลับไปมองยังกลุ่มคนที่กำลังสีไวโอลินแล้วก็เป่าเครื่องเป่าอะไรสักอย่างที่ผมไม่รู้จัก ไม่ต้องมีเสียงร้อง ไม่ต้องรู้จักชื่อเพลง แต่ก็สามารถเพลิดเพลินไปกับเสียงดนตรีได้อย่างง่ายดาย

“ทำไมเพื่อนคุณตรียังไม่มาอีกละครับ เขาหาร้านไม่เจอหรือเปล่า” นี่ก็เกือบจะชั่วโมงหนึ่งแล้ว อาหารก็มาเสิร์ฟจะครบแล้วด้วย”

“พวกนั้นบอกว่าใกล้ถึงแล้วแหละ”

“อ่อครับ”

ผมนับดูแล้วอาหารบนโต๊ะมาเสิร์ฟครบตามที่สั่ง แต่พนักงานกลับเอาอาหารอีกจานมาเสิร์ฟ เขามีฝาครอบสีเงินปิดไว้ผมเลยไม่รู้ว่าข้างในมันคืออะไร จะบอกว่ามาเสิร์ฟผิดโต๊ะก็ไม่ได้ในเมื่อทั้งร้านมีแค่โต๊ะผมโต๊ะเดียว

“ฉันสั่งมาเอง” คุณตรีพูดแล้วขยับจานอาหารจานอื่น จนเว้นที่เหลือไว้ตรงกลางให้พนักงานวางอาหารจานนั้นลงตรงกลาง

ทันทีที่พนักงานล่าถอยออกไป คุณตรีก็ลุกขึ้นแล้วเดินอ้อมมาหาผม ผมมองการกระทำของเขา ก่อนจะสะดุ้งเมื่อคุณตรีใช้มือทั้งสองข้างของเขาปิดตาของผมเอาไว้ ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างรอบตัว ผมนั่งเฉยๆแล้วหลับตา เสียงดนตรีเปลี่ยนท่วงทำนองเป็นทำนองที่ช้าลงแต่ฟังแล้วหวานละมุนจับใจ

“หวังว่านายจะชอบ ในสิ่งที่ฉันทำให้” คุณตรีกระซิบชิดใบหู แรงกดของฝ่ามือค่อยๆคลายตัวจนดวงตาทั้งสองข้างของผมเป็นอิสระ

แสงเทียนเป็นแสงแรกที่สาดเข้ามาในดวงตา เมื่อเริ่มปรับจุดโฟกัสได้สิ่งแรกที่ผมเห็นคือแหวนสองวงบนจานที่วางอยู่ตรงกลาง จานที่คุณตรีบอกว่าเขาเป็นคนสั่งมาเอง ผมมองไปรอบๆร้าน จากตอนแรกมีแค่แสงไฟ ตอนนี้มีเทียนจุดกระจายเต็มร้านไปหมด

คุณตรีเดินกลับไปนั่งที่เดิม เขามองจ้องหน้าผมด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม หางตาผมเห็นบางสิ่งเคลื่อนไหวจึงหันไปมอง พวกพี่เขายืนอยู่ใกล้ๆทั้งสามคน ทุกคนส่งยิ้มให้ผมเหมือนให้กำลังใจ

“ฉันเคยบอกกับนายไว้ ว่าหลังจากที่งานของฉันเสร็จ ฉันจะหาสถานะมาให้ ตอนนี้งานของฉันก็เสร็จแล้ว ไม่ต้องบอกใช่ไหมว่ามันสำเร็จได้เพราะว่านาย ขอบคุณที่คอยอยู่ดูแลฉัน และให้กำลังใจฉันตลอด ขอบคุณที่ชอบคนอย่างฉันและอยู่เคียงข้างในทุกๆวัน เพราะนายฉันถึงมีวันนี้”

“คุณตรี...” ผมพูดอะไรไม่ออก ทั้งน้ำเสียง สีหน้า และแววตาของเขา รวมถึงเซอร์ไพรส์ในวันนี้ ความรู้สึกตื้นตันมันตีขึ้นมาจนจุกอยู่ที่ลำคอ ดวงตาร้อนผ่าวเพราะน้ำตาที่รื้อคลอเต็มทั้งสองดวง

“นายคือคนที่เข้ามาในชีวิตฉันเมื่อสี่ปีที่แล้ว นายเข้ามาในช่วงเวลาที่ฉันหมดหวังกับชีวิต นายเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆที่พยายามจะใช้ชีวิตอยู่บนโลกที่โหดร้ายแม้ว่านายจะไม่เหลือใครในครอบครัวก็ตาม นายทำให้ฉันเห็นว่าตัวเองมันน่าสมเพชแค่ไหนที่คิดจะยอมแพ้ให้กับปัญหา เพราะนายถึงได้มีฉันในวันนี้นะฟ้า”

ผมส่ายหน้าทั้งน้ำตา “เพราะคุณตรีเก่งต่างหาก”

“มีแต่นายที่บอกว่าฉันเก่งเสมอมา”

“คุณตรีเก่งจริงๆนะครับ” ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ

“ไม่รู้เมื่อไหร่เหมือนกันที่ฉันมีนายอยู่ในหัวใจ แต่รู้ตัวอีกทีก็คิดว่าปล่อยไปไม่ได้แล้ว ฉันรักนายนะฟ้า” น้ำตาของคุณไหลลงมาหนึ่งหยด เขาปาดมันทิ้งก่อนจะยิ้ม

“ผมก็รักคุณตรี” เป็นครั้งแรกที่ผมกล้าที่จะบอกความรู้สึกกับเขา ตอนนี้มันคงไม่มีเหตุผลอะไรให้ผมต้องขี้ขลาดอีกต่อไป

“หึหึ ไม่รู้ว่านายจะสังเกตเห็นไหมว่าฉันชอบนายตั้งแต่ตอนนั้น ตอนที่ฉันยังเป็นนักเรียนมัธยมปลาย การตัดใจไปเรียนต่อต่างประเทศทำให้ฉันร้องไห้ข้ามคืนเลยล่ะ ตอนนั้นฉันบอกกับตัวเองว่า ไม่อยากไป ไม่ไปได้ไหม ฉันอยากอยู่กับนาย ไม่ต้องมีอะไรก็ได้ มีแค่นายก็พอคนที่เข้ามาทำให้ฉันรู้ว่ายังมีคนที่ห่วงใย แต่ฉันก็ทำไม่ได้ ชีวิตที่มีแค่ความรักมันไม่มั่นคง ฉันอยากแข็งแกร่งและมั่นคงพอที่จะเป็นเสาหลักให้ครอบครัวของฉันในอนาคต ต่อให้เจ็บที่ต้องจากแต่ก็ต้องทำ”

คุณตรีทำให้ผมประหลาดใจครั้งแล้วครั้งเล่า ผมไม่เคยรู้ แต่วันนี้ก็ได้รู้แล้วว่าเราใจตรงกันมาตั้งนานแล้ว

“ผมเองก็ชอบคุณตรีตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ไม่น่าเชื่อเลยนะครับ ดีจังที่คุณตรีก็ชอบผม” ผมบังคับไม่ให้เสียงสั่นจนฟังไม่รู้เรื่อง คุณตรีพยักหน้าว่าเขารู้เขาเข้าใจ

“นับแต่นี้ขอให้ฉันดูแลนายนะฟ้า ถ้าฉันจะขอยกเลิกให้นายไม่ต้องมาเป็นผู้ช่วยฉันแล้ว แต่ช่วยมาเป็นคนรักของฉันได้ไหม จะได้ไหม”

ผมเม้มปากกลั้นเสียงสะอื้นแล้วพยักหน้าโดยที่ไม่ต้องคิด

“ได้ครับ ผมตกลง”

คุณตรียิ้มทั้งน้ำตาไม่ต่างจากผม เขาหยิบแหวนวงหนึ่งขึ้นมาแล้วแบมือมาตรงหน้า ผมพยายามบังคับมือตัวเองไม่ให้สั่นยามที่วางมันลงบนฝ่ามือของเขา

“ต่อไปนี้นายคือคนรักของฉัน เป็นแฟนฉันแล้วนะฟ้า”คุณตรีสวมแหวนให้ผมที่นิ้วนางข้างซ้าย มันพอดีกับนิ้วผม วงที่เขาเลือกมาเป็นแหวงเงินมีพลอยหรือเพชรสีน้ำเงินประดับรอบวง ด้านข้างของตัวแหวนเป็นลักษณะลอนคล้ายโซ่ สวยจนไม่อาจละสายตา

“ใส่ให้ฉันบ้างสิ” คุณตรียื่นมือข้างซ้ายมาหาผมเมื่อเห็นว่าผมนั่งนิ่งเอาแต่พิจารณาแหวน

“ขอโทษครับ” ผมยิ้มเขิน หยิบแหวนอีกวงขึ้นมาสวมให้คุณตรี มันพอดีกับนิ้วคุณตรีเช่นกัน

“เราเป็นแฟนกันแล้วนะ”

“ครับ”

“เย้”

“วิ้ว”

คุณเจมส์และคุณวิลดึงพลุกระดาษจนเศษกระดาษแผ่นเล็กๆปลิวว่อนไปทั่วร้าน ดนตรีก็เปลี่ยนทำนองเป็นเพลงเร็วให้ความรู้สึกสนุกสนานเบิกบาน

“นี่ๆดอกไม้” คุณทิศเดินช่อดอกไม้มาให้คุณตรี คุณตรีรับมาถือไว้แล้วส่งมาให้ผม

“ขอบคุณครับ” ผมรับช่อดอกไม้มาถือไว้ ไม่คิดว่าจะมีวันนี้ เคยเห็นแค่คนได้รับเป็นผู้หญิง ผมก็เป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่งแต่กลับได้รับสิ่งที่วิเศษที่สุดจากคนที่ตัวเองรัก

“อย่างนี้ต้องฉลอง เฮ้”

เพื่อนของคุณตรีเดินมานั่งร่วมโต๊ะทานอาหาร ทุกคนต่างหัวเราะและเอ่ยคำยินดีให้ผมกับคุณตรี ผมจะจดจำวันนี้เอาไว้ จะไม่มีวันลืมเลยว่าช่วงเวลาที่ผมมีความสุขที่สุดในชีวิตมันเกิดขึ้นมาได้เพราะเขา

ขอบคุณนะครับคุณตรี...คนรักของผม


 :mew1:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่28:ค่ำคืนและเช้าวันแรก... 10-04-20 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 10-04-2020 19:39:49
CATER TO YOU
ตอนที่28
ค่ำคืนและเช้าวันแรกของการเป็นแฟนกัน


เหมือนฝันเหลือเกินมีความสุขจนไม่อยากจะตื่นเลย

ผมลอบมองเสี้ยวหน้าของคนข้างกายที่กำลังขับรถพาเรากลับบ้าน เขายึดมือข้างขวาของผมไปตั้งแต่ขึ้นรถ คอยจับคอยบีบ กุมมือผมไว้บ้างหรือไม่ก็เปลี่ยนเป็นประสานนิ้วทั้งห้าของเราเข้าหากัน ภายในรถมีเพียงเสียงเพลงดังคลอเบาๆ ไร้ซึ่งการพูดคุยแต่กลับสบายใจอย่างบอกไม่ถูก จะพูดว่าไม่ได้พูดคุยกันก็ไม่ถูกซะทีเดียว เพราะคุณตรีเขากำลังพูดผ่านมือของเขา ส่งต่อความรู้สึกของเราด้วยวิธีการจับมือ

เขาจะบีบมือผมเป็นจังหวะถ้าเขารู้สึกสบายใจ

ถ้าเขาบีบมือผมแน่นๆแล้วปล่อยแสดงว่าเขากำลังมันเขี้ยวผม ผมคิดว่าอันนี้ผมมั่นใจในความหมาย เพราะเขาจะทำพร้อมกับคำรามเบาๆในคอไปด้วย

แต่เมื่อเขาเปลี่ยนอิริยาบถของมือเป็นสอดประสาน ยามที่นิ้วทั้งห้านิ้วเกี่ยวคล้องกันมันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่น เหมือนเราได้เข้าใกล้ๆกันมากกว่าเดิมเพียงแค่จับมือ

และตอนนี้เขาก็ยกมือผมขึ้นไปจูบ เหมือนเราจะใกล้กันขึ้นไปอีก ใกล้มากรู้จนรู้สึกร้อนวูบวาบ ผมแน่ใจว่าในอาหารเย็นไม่มีสัตว์ปีกแม้แต่ไก่ แต่ทำไมในท้องเหมือนมีตัวอะไรสักอย่างบินโฉบไปโฉบมา ทำเอาหายใจไม่ทั่วท้อง

“คืนนี้นอนด้วยกันนะ”

ผมที่กำลังดื่มด่ำอยู่กับสัมผัสที่มือตวัดสายตามองคุณตรีที่หันมาเอ่ยชวนให้ผมไปนอนด้วย จากที่หัวใจเต้นแรงอยู่แล้ว ตอนนี้มันเต้นหนักขึ้นจนรู้สึกแน่นหน้าอก

“นอนเฉยๆ ฉันยังไม่รังแกนายคืนนี้หรอก”

ผมคงแสดงอาการตกใจมากเกินไป เขาถึงรีบอธิบายสิ่งที่ผมเข้าใจผิด ก็ช่วยได้นิดหน่อยแต่ก็ยังหวิวในอกอยู่ แต่หายใจหายคอคล่องได้ไม่ถึงครึ่งนาทีเขาก็ทำให้ผมสั่นขึ้นมาอีกครั้ง

“แต่ว่าก็เตรียมตัวไว้หน่อยแล้วกัน ฉันอดทนมามากพอแล้ว และคิดว่าต่อจากนี้จะไม่ทน คงไม่ว่าใช่ไหม”

เดี๋ยวนะ นี่ไม่เรียกว่ารุกเกินไปเหรอ เท่าที่นับดูเราเพิ่งเป็นแฟนกันยังไม่ถึงหกชั่วโมงเลยนะครับ อย่าว่าแต่ข้ามวันเลย

“คุณตรีใจเย็นสิครับ” ประโยคนี้ผมบอกทั้งเขาและบอกตัวเอง

รู้ไหมว่าที่เขาพูดมาแบบนั้นตัวผมเองก็คิดดีไม่ได้เลย ผมไม่ได้ใสซื่อนะ หนังโป๊ผมก็เคยดูมาแล้ว หนังโป๊ชายกับชาย

เนี่ยแหละ คงเพราะอยากรู้อยากลองว่ามันจะเป็นยังไง บางครั้งเวลาเราถูกจิตเบื้องต่ำครอบงำน่ะ เราก็มักคิดอะไรเพ้อเจ้อ เพราะตอนนั้นที่ผมดูผมเผลอคิดว่าถ้าผมกับคุณตรีมีอะไรกันมันจะรู้สึกดีไหม แต่มันก็เป็นแค่ความคิดชั่ววูบ วูบเดียวจริงๆ เพราะคิดว่ามันเป็นแค่ความฝันที่คงไม่มีวันเป็นจริง

“ใจเย็นอยู่นะ” เขาจูบมือผมจนมีเสียงดังจุ๊บ 

“นี่เรียกว่าใจเย็นแล้วหรือครับ ผมว่ามันเร็วเกินไป” ผมตอบอ้อมแอ้ม

“งั้นเหรอ แต่เรารู้จักกันมาห้าปีแล้วนะ ถึงเราจะห่างกันไปสี่ปีก็เถอะ แต่ฉันน่ะชอบนายตั้งแต่ตอนนั้น สำหรับฉันห้าปีมันนานพอแล้วนะ ไม่ได้คิดว่ามันเร็วไป”

ถ้าจะพูดแบบนั้นมันก็ใช่ แต่ก็อดที่จะตื่นตระหนกไม่ได้ พอเราเป็นแฟนกัน ช่องว่างของความห่างเหินก็แทบไม่มีเหลืออยู่ คุณตรีดูจะชิลกับความสัมพันธ์ของเราในขณะที่ผมกำลังปรับตัว

“แต่เราเพิ่งเป็นแฟนกันวันนี้นะครับ ผมคงดูเป็นคนใจง่ายนะถ้าทำแบบนั้นตั้งแต่วันแรก”

“นี่ รู้ไหมว่าบางคู่เขาได้กันก่อนจะเป็นแฟนอีก” บางทีคุณตรีก็พูดตรงเกินไปนะผมว่า

“ถ้าผมไม่พร้อมคุณตรีจะบังคับผมหรือเปล่า” ผมอยากรู้ถึงได้ถาม ผมเคยฟังพวกทอล์คโชว์ตามวิทยุนะ มีคนโทรไประบายว่าแฟนขอเลิกเพราะไม่ยอมมีอะไรด้วยหรือไม่ให้มีบ่อย

“ถ้าถามแบบนี้ก็คงตอบว่าไม่บังคับหรอก” เขาหันมาตอบเอาใจผม

“ผมรู้ว่าคุณตรีใจดี” ผมยิ้มประจบ พยายามเอาใจเขา เขาจะได้เมตตาไว้ชีวิตผม

“แน่ใจ?” เขาเลิกคิ้วสูง ก่อนจะแสยะยิ้มร้าย เขาดูเหมือนตัวร้ายในละครแต่เป็นลุคที่ทำใจละลายสุดๆ

“ทำไมคุณตรีเป็นคนแบบนี้ครับ” ผมมองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา เขาหลุดหัวเราะชอบใจ

“ฉันเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ที่ไม่แสดงออกก่อนหน้านี้ก็เพราะว่ากังวลว่านายจะกลัว เวลาเราอยู่ใกล้คนที่ชอบเราก็ต้องอยากสัมผัสอยากแสดงความรักอยู่แล้ว ฉันคิดแบบนั้นกับนายมาตั้งแต่สี่ปีที่แล้ว รู้ไหมว่าฉันต้องอดทนมากแค่ไหนเพราะกลัวนายจะหายไปถ้าฉันเผลอไปล่วงเกินนายแล้วทำให้นายไม่พอใจ”

“...”

“นายอาจจะมองว่ามันเร็วนะฟ้า แต่ว่าลองมองย้อนไปว่าถ้าฉันไม่ต้องไปเรียนที่อังกฤษ ถ้าเราไม่ต้องห่างกันและนายก็อยู่กับฉันตั้งแต่ตอนนั้น เราคงเป็นแฟนกันตั้งแต่สองสามปีที่แล้ว และเราก็คงจะมีอะไรกันตั้งแต่ตอนนั้น ดังนั้นสำหรับฉันแล้ว ต่อให้คืนนี้เราจะมีเซ็กส์กันฉันก็ไม่คิดว่ามันเร็วตรงไหน” เขาพูดอย่างเอาแต่ใจ

“...” ผมไม่รู้จะแสดงความคิดเห็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ จะว่าเขินมันก็เขินแหละ แต่ที่เขาพูดมาก็พอจะเข้าใจได้

พอคิดว่าต้องทำเรื่องอย่างว่าแบบนั้นกับเขาจริงๆ ผมก็ปั่นป่วนไปหมด

“อย่าคิดมากนะฟ้า ให้มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ เวลาไม่ใช่ตัวกำหนด ที่ฉันต้องพูดกับนายตรงๆก็เพราะว่าฉันรู้ตัวเองดีว่าฉันอาจจะควบคุมตัวเองไม่ได้อีกต่อไป สถานะของเราไม่เหมือนเดิม ในเมื่อฉันเป็นแฟนนาย ฉันก็มีสิทธิ์ที่จะกอดจูบหรือทำอะไรก็ได้กับแฟนตัวเอง แต่ถ้าถึงตอนนั้นฉันทำให้นายคล้อยตามไม่ได้ ถ้านายไม่ยินยอมจริงๆฉันก็ไม่ขืนใจนายหรอกนะ สบายใจได้”

“ผมไม่ได้คิดว่าคุณตรีจะทำแบบนั้นหรอกครับ ถ้าถึงตอนนั้นผมก็คง...ยอม” ผมรู้ตัวเองดีว่าไม่ว่ายังไงผมก็ตามใจเขาเสมอ

“หืม จะยอมจริงเหรอ” น้ำเสียงของเขาติดทะเล้นเล็กน้อย

“ก็ ผมก็ชอบคุณตรีเหมือนกัน แต่ผมไม่เคยทำแบบนั้นกับใคร ผมไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ผมกลัว”

กลัวทำไม่ถูก กลัวคุณตรีจะไม่ถูกใจ

“อย่ากลัว ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติก็พอ” เขากดจูบที่ฝ่ามืออีกครั้ง ไออุ่นร้อนจากริมฝีปากและลมหายใจของเขารินรดอยู่ที่มือของผม ส่งต่อมาถึงหัวใจก่อให้เกิดความอุ่นซ่านขึ้นในอก

กลับมาถึงบ้านคุณตรีก็ให้ผมไปอาบน้ำ พร้อมกำชับว่าคืนนี้ผมต้องไปนอนกับเขาที่ห้องของเขา ผมไม่รู้จะปฏิเสธยังไง ถ้าไม่นับว่าเขาอยากจะมีอะไรกับผมจริงๆ ผมก็ไม่ได้คิดมากเรื่องที่จะร่วมเตียงกับเขา กลับกันคือผมอยากอยู่ใกล้ๆเขาตลอดเวลาด้วยซ้ำ แต่ว่าผมเขินไง ทุกคนเข้าใจไหม สมองของผมมันคอยแต่จะจินตนาการว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง คิดแค่นั้นผมก็ใจสั่นไปหมดแล้ว

ผมใช้เวลาอาบน้ำนานกว่าปกติ ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งต้องมาพิถีพิถันทำความสะอาดร่างกาย แต่คุณก็รู้ใช่ไหม เวลาที่เขากอดเขาหอมหรือตอนที่เขาสัมผัสร่างกาย ผมไม่อยากให้ร่างกายผมเหม็นหรือว่ามีขี้ไคลให้ดูสกปรก แต่ผมก็ไม่ใช่คนสกปรกนะครับ ผมมั่นใจว่าผมอาบน้ำสะอาดทุกครั้ง เพียงแต่วันนี้คิดว่าต้องทำให้มันสะอาดยิ่งขึ้นกว่าเดิม

คืนนี้ผมใส่ชุดนอนเต็มยศ เป็นชุดนอนแขนยาวขายาวผ้านุ่มที่คุณตรีเอาเป็นคนซื้อให้ แต่ถ้าผมนอนคนเดียวผมจะใส่แค่เสื้อกล้ามกับกางเกงบ๊อกเซอร์ ใส่ง่ายสบายตัวเวลานอน

จะเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว แต่ผมยังไม่ง่วงเลยแม้แต่นิดเดียว มันตื่นเต้นไปหมด ร่างกายตื่นตัวเสียยิ่งกว่ากินกาแฟเข้าไปสักสิบแก้ว

“เฮ้อ เอาวะ” ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ยังไงก็ยื้อได้ไม่นานหรอก อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด อย่างน้อยคืนนี้คุณตรีก็บอกแล้วว่าจะยังไม่ทำอะไรผม

ผมหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องของคุณตรี สองมือจับชายเสื้อตัวเองแน่นเพราะความประหม่า นับหนึ่งถึงสามในใจแล้วเคาะประตูเพื่อเป็นสัญญาณบอกคนข้างในว่าผมกำลังจะเข้าไป ผมสามารถเปิดประตูเข้าไปได้เลยโดยไม่ต้องรอคุณตรีอนุญาตเพราะเขาเป็นคนสั่งเอาไว้ก่อนผมจะไปอาบน้ำ

ห้องนอนคุณตรียังเย็นอยู่เหมือนเดิม และเขากำลังเดินไปเดินมาในห้อง เขาหยุดมือที่กำลังเลื่อนผ้าม่านปิดให้สนิทแล้วหันมาจ้องผม

“คิดว่าจะไม่มาซะแล้ว” คุณตรีเดินเข้ามาหาผม เขาดึงผมเข้าไปกอดหลวมๆ วางมือทั้งสองข้างตรงช่วงบริเวณเอว

“ผมไม่มาได้ด้วยเหรอ” 

“ไม่ได้ คิดไว้ว่าถ้าอีกสิบนาทีนายไม่มา จะไปอุ้มถึงห้อง”

“เกินไปแล้วครับ” ผมโขกหัวกับหน้าอกแข็งแรง

“ฟ้า” คุณตรีกระซิบข้างหู

“ครับ”

“จูบนะ” เขาพูด น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกและค่อนข้างที่จะเว้าวอน

ผมพยักหน้าแล้วยืนนิ่งให้เขากอดแน่นขึ้น เขาเปลี่ยนเป็นใช้แขนซ้ายรัดรอบตัวผมไว้ให้ร่างกายของเราแนบชิดกัน  มือขวาประคองใบหน้าของผมเชิดขึ้น จมูกโด่งเป็นสันคลอเคลียไปตามแก้มผมช้าๆ ผมได้ยินเสียงสูดลมหายใจอย่างแผ่วเบา ราวกับว่าเขากำลังสูดดมกลิ่นจากผิวแก้มของผม

ผมร้อนวูบวาบไปหมด ตัวสั่นเพราะความวาบวามที่เขาก่อมันขึ้น ที่ยึดเหนี่ยวเดียวของผมคือร่างกายของเขา ผมเผลอกอดตอบเขาแน่นเพื่อเกร็งร่างกายไม่ให้สั่นสะท้าน

จากที่เขากำลังสูดดมแก้มของผม เขาก็ค่อยๆเคลื่อนปลายจมูกมาคลอเคลียเล่นกับจมูกของผม ยิ่งเวลาที่เราหายใจรินรดกันร่างกายก็ยิ่งร้อนวูบวาบ และวินาทีต่อมาที่เขาแนบริมฝีปากลงมาจูบ โลกทั้งใบก็หยุดเคลื่อนไหว

มันเกิดขึ้นจริงๆ จูบแรกของผม จูบแรกของเรา

วินาทีแรกที่เขาแนบริมฝีปากบนปากของผมมันบางเบาและสั่นไหว วินาทีต่อมาจูบของเขาก็หนักหน่วงขึ้น ผมไม่เคยจูบมาก่อน อย่างมากก็แค่เคยเห็นในซีรีส์หรือในหนัง พอต้องมาเจอของจริงกับตัวเองผมก็ทำตัวไม่ถูก ได้แต่ยืนนิ่งๆให้คุณตรีจูบไปเรื่อยๆจนสมองเริ่มพร่าเบลอ

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมขยับริมฝีปากและปรับเอียงองศาของใบหน้าให้รับกับริมฝีปากเขามากขึ้น มีเสียงจ๊วบจ๊าบน่าอายดังคลอไปกับการแสดงความรักของเราสองคน คุณตรีกดจูบแล้วดูดริมฝีปากผมเน้นๆ เขาพาตัวของผมเคลื่อนที่ช้าๆ และเมื่อเขานั่งลงบนเตียง ร่างของผมก็นั่งลงบนตักของเขาโดยที่ริมฝีปากของเราไม่ห่างออกจากกันเลย

“ฟ้า ฟ้าครับ” คุณตรีเรียกชื่อผมเสียงคล้ายคนละเมอ เขาพูดชิดติดริมฝีปากให้ผมได้หายใจ แล้วก็บดเบียดริมฝีปากอีกครั้ง ลิ้นของเขาสร้างความชื้นแฉะไปทั่วกลีบปาก ก่อนจะค่อยๆสอดแทรกความนุ่มหยุ่นแต่เร่าร้อนเข้ามาในปากของผม ผมหดลิ้นหนีแต่ลิ้นของคุณตรีก็ควานหาจนเจอ เขาไล่ต้อนและล่าถอย เรื่องน่าอายคือลิ้นของผมตามติดลิ้นของเขาเหมือนไม่อยากห่าง เลยกลายเป็นว่าลิ้นของผมเข้าไปอยู่ในปากของเขาให้เขาดูดเล่น

จ๊วบ!

“อื้ม” ผมครางเสียงแผ่ว ไม่คิดเลยว่าจูบกันมันจะดีขนาดนี้

มือของคุณตรีเริ่มซุกซน เขาลูบไล้แผ่นหลังของผม สอดมือเข้ามาในเสื้อนอน บีบเคล้นเนื้อตรงเอวเป็นจังหวะ คอยผ่อนหนักผ่อนเบา ในขณะที่ริมฝีปากของเขาก็ยังไม่หยุดขยับดูดกลืน

คุณตรีเหมือนไม่ใช่คุณตรีคนเมื่อวานและวันก่อนๆ เขาเปิดเผยความรู้สึกที่มีต่อผมมากจนผมทนรับดาเมทนั้นไว้ไม่ไหว

กว่าพายุจูบจะจบหลงก็เป็นตอนที่ตัวผมถูกจับให้นอนหงายโดยมีคุณตรีคร่อมทับอยู่ด้านบน เขาหยุดจูบแต่ไม่หยุดสร้างความปั่นป่วนให้กับร่างกายและจิตใจของผม ใบหน้าหล่อเหลาซุกอยู่ที่ซอกคอ เขากดจูบไปตามผิวเนื้อ ผมได้แต่นอนตาปรือหอบหายใจถี่

“หอมจังเลย ฟ้าครับ” เขาพึมพำ

“อ๊ะ คุณตรีครับ” ผมร้องเสียงหลง แขม่วท้องหนีโดยอัตโนมัติเมื่อความร้อนจากฝ่ามือของคนบนร่างลูบหน้าท้องของผมเป็นวงกลม ผมเป็นคนบ้าจี้อยู่แล้ว โดนเขาสัมผัสแบบนี้มันทำให้ขนอ่อนลุกชันตั้งแต่ปลายเท้าไปจนถึงหนังหัว โดยเฉพาะยามที่ปลายนิ้วของเขาแตะโดนรอยแผลเป็นที่หน้าท้อง ผมเกร็งแขม่วท้องหนี ไม่ได้เจ็บแต่มันเสียวแปร๊บเหมือนโดนไฟช็อต

เสียว...ผมเสียวไปทั้งร่าง

เป็นอารมณ์ความรู้สึกที่ผมไม่เคยมี แต่เมื่อเขานำพามาให้ผมรู้จัก แม้จะเขิน แม้จะอาย แต่ก็พูดได้เลยว่ามันดีมากจริงๆ

“รู้ไหมว่าฉันต้องการนายขนาดไหน” คุณตรียกใบหน้าออกจากซอกคอของผม เขามองจ้องเข้ามาในดวงตา ผมไม่เคยเห็นเข้าใช้สายตาแบบนี้มองผม สายตาที่ร้อนแรงเหมือนอยากจะกลืนกินผมไปทั้งตัว และร้อนมากขึ้นไปกว่าเดิมเมื่อเขาทิ้งน้ำหนักตัวช่วงล่างมาทับผม หน้าของผมร้อนไปหมด ความแข็งขึงที่ดุนดันอยู่ตรงเป้ากางเกงเป็นคำตอบของคำถามเมื่อครู่

“คุณตรีจะไม่ทำใช่ไหมครับ” ผมถามเสียงพร่าไม่ต่างจากเขา ผมรู้ว่าเขามีความต้องการ ผมเองก็เริ่มรู้สึกไม่ต่าง แต่ทว่าผมยังไม่พร้อม การร่วมรักระหว่างชายกับชายมันต้องเตรียมพร้อมมากกว่าผู้หญิง ผมอยากได้เวลาที่จะเตรียมตัวเองให้พร้อมสำหรับเขามากกว่านี้

“แม้จะทรมาน แต่คืนนี้ฉันจะทำตามสัญญา” สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความอดทนอดกลั้น

“ขอเวลาให้ผมหน่อยนะครับ” ผมกอดแขนรอบลำคอของคุณตรี ปล่อยให้เขาซุกไซ้ไล้จูบไปทั่วบริเวณหน้าและลำคอ จวบจนเขาเคลื่อนตัวลงต่ำแล้วพร่ำจูบไปทั่วหน้าอกของผม

คุณตรีเป็นพวกมือไวใจเร็วไม่ใช่เล่น กระดุมเสื้อของผมหลุดออกจากรังดุมยกแผง

ผมยกหัวขึ้นมองคนตัวโตที่กำลังพรมจูบบนหน้าอก เพราะยังไม่ได้ปิดไฟจึงเห็นทุกอย่าง ภาพตรงหน้ามันน่าอาย แต่ก็น่าตื่นเต้น เขาจูบเกือบทุกพื้นที่ยกเว้นหัวนมของผมที่มันแข็งชูชัน

ไม่คิดว่าเลยตัวผมจะเป็นคนที่ลามกเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นผมคงไม่มีความคิดที่ว่าอยากให้เขาดูดมันเข้าปากแล้วเลียให้

บ้า มันบ้ามากๆ เขาทำอะไรกับร่างกายผม ทำไมผมถึงกลายเป็นคนหื่นกามไปได้เนี่ย

“อือ อ๊า” ผมโหยงตัวขึ้นเมื่อถูกจู่โจมในจุดที่ผมเพิ่งจะคิดไม่ดีไปเมื่อสักครู่ เขาทำอย่างที่ผมคิดจริงๆ ความเสียวแล่นไปทั่วสันหลังและช่องท้อง ยามเขาดูดมันแรงๆทีตัวผมก็กระตุกเกร็งที ยังไม่นับนิ้วมือของเขาที่บีบเขี่ยหัวนมอีกข้าง ราวกับว่าไม่อยากให้มันน้อยเนื้อต่ำใจยามที่ดูดเลียหัวนมอีกข้างหนึ่ง

“คุณตรีครับ ดะ เดี๋ยว ก็หยุดตัวเองไม่ได้นะครับ” ผมเอ่ยเตือนเมื่อเห็นว่าอารมณ์ของเขาเริ่มพุ่งสูงขึ้นจากแรงที่เขาเสียดสีร่างกายกำยำกับร่างกายของผม

“อืม พยายามอยู่” เขาพูดว่าพยายาม แต่ไม่หยุดที่จะใช้ริมฝีปากและฝ่ามือร้อนๆปั่นป่วนผม

“อึก พอแล้วครับ” ผมหดท้องเมื่อโดนเล่นงานที่แอ่งสะดือ

“เจ็บไหม” เขาผงกหัวจ้องรอยแผลเป็นที่โดนแทง

“ไม่เจ็บแล้วครับ” ผมตอบ มองเขาใช้นิ้วแตะที่แผล ใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาเคลื่อนตัวต่ำจนริมฝีปากเขาแตะบนรอยนูน สัมผัสบางเบาราวปีกผีเสื้อคลอเคลียปลอบประโลม

“เฮ้อ อา” คุณตรีผ่อนลมหายใจแล้วทิ้งตัวแผ่นอนหงายข้างๆผมกะทันหัน

เสียงหอบหายใจของเราสองคนดังก้องไปทั่วห้อง ผมมองดวงไฟบนเพดาน กำหนดลมหายใจเข้าออกให้เป็นปกติ สภาพผมตอนนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ สาบเสื้อนอนแหวกไปถึงไหนต่อไหน ยังดีที่กางเกงยังอยู่ แต่ดูเหมือนมันจะอยู่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ผมไม่มีเรี่ยวแรงเลยเหมือนโดนสูบพลังงานออกไปจนหมด

แต่อาการผมไม่น่าแย่เท่าคุณตรี ผมเหลือบมองเขา คุณตรีหายใจแรงแต่ก็ช้าเป็นจังหวะ เขานอนหลับตานิ่งๆ มือทั้งสองข้างกำแน่นอย่างข่มอารมณ์ ผมมองแล้วก็ได้แต่รู้สึกสงสาร แต่ว่ามันยังไม่ใช่วันนี้ ถ้ามันจะต้องเกิดขึ้นผมก็อย่างเตรียมตัวให้พร้อม เราจะได้รู้สึกดีด้วยกันทั้งคู่

“ไหวไหมครับ” ผมแตะที่แขนถามเขา คุณตรีสะดุ้งลืมตา เขาเบี่ยงแขนหนีเล็กน้อยเหมือนผมเป็นของร้อน

“โทษที เดี๋ยวฉันมานะ ถ้าง่วงก็นอนก่อนเลย” คุณตรีลุกออกจากที่นอนแล้วเดินตรงดิ่งเข้าห้องน้ำ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเข้าไปทำอะไร

ผมก้มมองฟ้าน้อยในกางเกง มันเองก็กรึ่มๆเหมือนกัน แต่ผมยังพอควบคุมมันได้ ผมลุกขึ้นนั่งติดกระดุมเสื้อให้เรียบร้อย ก่อนจะมองดูที่ทางบนเตียงนอนขนาดคิงไซส์ หมอนสองใบ ผ้านวมผืนใหญ่ ห้องคุณตรีไม่มีหมอนข้าง ผมไม่ใช่คนติดหมอนข้าง แต่ผมไม่เป็นคนเอาผ้าห่อตัวแล้วนอนก่าย

“เอาไงดี” ผมหันซ้ายหันขวา ถ้าออกไปเอาผ้าห่มที่ห้องมามันจะเกะกะเกินไปหรือเปล่า อืม ถ้าใช้ผ้าห่มสำรองที่บางลงมาหน่อยก็น่าจะไม่เป็นอะไร คุณตรีคงจะไม่ว่าผมหรอก ผมเป็นแฟนแล้วนะ ว่าไม่ได้แล้วล่ะ

ผมกระโดดลงจากเตียงแล้ววิ่งไปที่ไปที่ตู้เก็บอุปกรณ์เครื่องนอนสำรอง ผมหยิบผ้าห่มขนาดกลางมาหนึ่งผืน ไม่หนามากแต่มีความนุ่มฟู แบบนี้ตอนนอนน่าจะกอดสบาย

ผมเดินกลับเข้ามาในห้อง แต่ดันชนกับคุณตรี เขามองผมด้วยสายตาที่เป็นกังวลก่อนจะถอนหายใจออกมา ผมเห็นหยดน้ำที่ปลายผมของเขา คงเข้าไปจัดการตัวเองแล้วก็ล้างหน้าระงับอารมณ์ละมั้ง

“คิดว่ากลัวจนหนีกลับห้องไปแล้ว” คุณตรีว่าก่อนจะจับแขนผมที่โอบผ้านวมไว้เข้าห้องพร้อมปิดประตูตามหลัง

“ผมไปเอาผ้าห่มมา ผมติดนอนก่ายผ้าห่ม”

“มาก่ายฉันแทนสิ” เขาพูดแล้วดึงผ้าห่มออกจากมือผมโยนลงบนที่นอน

“มันไม่เหมือนกันนี่ครับ”

“แล้วใช้ของฉันไม่ได้หรือไง ผืนมันใหญ่นะ”

“ผมกลัวตอนนอนผมจะดึงมาก่ายทั้งผืนน่ะสิครับ ถึงตอนนั้นคุณตรีจะนอนโดยไม่มีผ้าห่มห่มนะ”

“งั้นก็ห่มผืนเดียวกับฉัน ส่วนที่เอามาก็เอาไว้ก่าย โอเคไหม” เขาลูบแก้มผม

“ครับ”

“นอนเถอะ ตีหนึ่งกว่าแล้ว” คุณตรีดึงตัวผมให้ขึ้นไปนอนบนเตียง ก่อนจะเดินไปปิดไฟ ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความมืดผมได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาเดินกลับมาที่เตียงนอน ก่อนจะรับรู้แรงยวบ ผมสอดตัวเข้าไปในผ้าห่มของคุณตรี จัดแจงเอาผ้าห่มอีกผืนขยุ้มเป็นก้อนวางไว้ชิดกับขอบเตียง

“ฟ้า เขยิบมานี้” คุณตรีดึงผมให้ขยับเข้าไปนอนใกล้ๆ ให้แผ่นหลังของผมชนกับแผ่นอกของเขาพร้อมทั้งสอดแขนให้ผมหนุนนอน มืออีกข้างก็พาดไว้บนเอวเป็นการกอดผมกลายๆ ผมดึงผ้าห่มเข้าหาตัวแล้วเอาขาซ้ายก่ายทับ ขยับจนได้มุมที่พอดี

“ฝันดีนะครับคุณตรี” ผมกระซิบบอกเขาผ่านความมืด

“จุ๊บ ฝันดีครับ” เขากดจูบที่ข้างแก้มแล้วพูดกับข้างหู แรงกอดรัดจากคนข้างหลังแน่นขึ้นจนอึดอัดเล็กน้อย แต่ความรู้สึกดีมีมากกว่าผมเลยไม่เอ่ยขัด ผมหลับตาลงแล้วยิ้มอย่างมีความสุขในความมืด

ค่ำคืนแรกหลังจากที่เราเป็นแฟน ผมนอนในอ้อมกอดของเขา อ้อมกอดของคุณตรีอุ่นจนแอร์ในห้องทำอะไรผมไม่ได้เลยสักนิด






เมื่อคืนก่อนที่ผมจะเข้ามาในห้องนอนของคุณตรี ผมคิดว่าตัวเองจะตื่นเต้นจนนอนไม่หลับทั้งคืน แต่ไหงผมนอนหลับสนิทจนไม่ตื่นละเนี่ย

“เด็กดี ตื่นได้แล้ว” เสียงรบกวนดังขึ้นข้างหู

“อื้อ” ผมครางรับในลำคอ เรียกสติตัวเองให้ตื่น การเปิดเปลือกตาไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ผมยืดตัวบิดขี้เกียจด้วยความเคยชิน แต่ก็ทำได้ไม่สุดเพราะมีคนกอดรัดผมเอาไว้ทั้งตัว

“คุณตรี กี่โมงแล้วครับ” ผมถามทั้งที่ตายังไม่ลืม นิ้วของเขาเขี่ยแก้มผมเล่น  ผมใช้เวลาชั่วครู่ในการปรับสายตาให้คุ้นเคยกับแสงไฟในห้องหลังตื่นนอน

“จะตีห้าครึ่งแล้ว”

“ง่วง” ผมพูดอย่างที่คิด นอกจากง่วงแล้วยังขี้เกียจด้วย จะผิดไหมถ้าผมจะพูดว่าผมขี้เกียจลุกออกจากเตียง ไม่รู้สิ เพราะผมกลายเป็นแฟนคุณตรีไปแล้วหรือเปล่า สถานะพิเศษนี้ทำให้ผมนิสัยเสียไม่ยอมลุกไปทำการทำงานของตัวเอง

“หึหึ ถ้าง่วงก็นอนต่อ” แต่เขากลับไม่ว่า แถมยังตามใจอีก

“ไม่เอา ผมไม่ทิ้งหน้าที่ตัวเองหรอกครับ” ผมบอกเขาเสียงแหบ นอนในห้องแอร์เย็นจัดทั้งคืน รู้สึกคอแห้งผิวแห้งแปลกๆ

“บอกแล้วไงว่าไม่ให้เป็นพ่อบ้านแล้ว จะให้เป็น...”

ผมเอามือปิดปากคุณตรี ยังไม่อยากได้ยินอะไรที่ทำให้ใจสั่นตั้งแต่เช้า แต่ใช่ว่าเขาจะไม่มีหนทางอื่นในการแกล้งผม เขามองผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ก่อนจะจูบที่ฝ่ามือและใช้ลิ้นเลีย

“คุณตรีเลียมือผมทำไมเนี่ย ถอยเลยครับผมจะลุกแล้ว” ผมชักมือกลับแล้วดันตัวเขาให้ถอยห่าง

“โอเค ลุกก็ลุก” คุณตรียอมล่าถอย แต่ไม่วายขโมยหอมแก้มผมไปอีกที

“ชื่นใจ” เสียงหัวเราะในลำคอแบบนั้นคืออะไร เขากระตุกยิ้มมุมปากแล้วก็เดินเข้าห้องน้ำไป ผมไม่มีเวลามามัวโอ้เอ้ รีบลุกจากเตียง เก็บที่นอนให้เรียบร้อย

ผมรีบไปล้างหน้าแล้วลงไปเตรียมห้องฟิตเนสให้คุณตรี และเหมือนเดิมคือเขายังคงลากผมให้ไปออกกำลังกายทุกวันหนึ่งชั่วโมงโดยการเดินเร็วบนลู่วิ่ง จากที่ไม่ชอบทำทุกวันมันก็ชิน แต่ผมก็ยังไม่ชอบอยู่ดี แบบเราไม่ได้ชอบออกกำลังกาย แต่ถ้าทำมันก็ดีกับร่างกาย อีกอย่างผมขัดใจเขาไม่ได้อยู่แล้ว เพราะที่เขาสั่งก็เพราะเขาเป็นห่วงอยากให้ผมแข็งแรง

ผมจะใช้เวลาอยู่ในห้องฟิตเนสน้อยกว่าคุณตรี เพื่อไปอาบน้ำแล้วไปเตรียมเสื้อผ้าให้เขา จากนั้นก็ลงมาเตรียมอาหารเช้า เมื่อเขาอาบน้ำเสร็จเขาจะเรียกผมให้ขึ้นไปช่วยแต่งตัว ซึ่งทุกวันที่ผมขึ้นมาหาเขา เขาจะสวมเสื้อเชิ้ตและกางเกงแล้วเรียบร้อย แต่ทว่าวันนี้ผมกลับเจอเขายืนนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียวกลางห้องแต่งตัว แถมตามลำตัวยังมีหยดน้ำเกาะอยู่ทั่วทุกตารางผิว

เขาดูเซ็กซี่จนผมไม่กล้ามองจ้องนานๆ

“ผมออกไปรอข้างนอกนะครับ” ผมบอก ชี้นิ้วโป้งออกไปทางประตูแล้วหมุนตัวหันหลัง แต่แขนของผมถูกคว้าเอาไว้ไม่ให้ไปไหน

“จะไปไหน ไม่แต่งตัวให้ฉันหรือไง” เขาลากผมกลับไปยืนหน้าชุดที่แขวนเตรียมไว้แล้ว

“ก็คุณตรียังไม่ใส่เสื้อกับกางเกงเลยนิครับ”

“ก็จะให้นายใส่ให้”

“แล้วทำไมผมต้องใส่ให้ ปกติคุณตรีก็ใส่เอง”

“เพราะก่อนหน้านี้นายยังไม่ได้เป็นแฟนฉันไง ฉันก็เลยต้องหวงเนื้อหวงตัวไว้ก่อน” เขาพูดเหมือนผมอยากจะลวนลามหุ่นของเขาอย่างนั้น เขาน่ะร้าย อย่างคิดว่าผมไม่รู้ว่าเขากำลังยั่วผมอยู่

แต่หุ่นของเขามันก็ดูดีจนมองแล้วเคลิ้มจริงๆนั่นแหละครับ ถ้าใครมาเห็นแบบผมแล้วไม่รู้สึกว่าอยากจะลูบคลำดูสักหน่อยละก็ คงตายด้านหรือไม่ก็ละทางโลกไปแล้ว

“ตอนนี้ก็หวงได้ครับ ผมไม่ได้อยากดูหรอก”

“หึหึ ไม่อยากหวงหรอก ฉันจะออกกำลังกายจนมีกล้ามมีซิคแพคไปทำไม ถ้าไม่ใช่เพราะอยากให้แฟนชอบ อยากให้แฟนภูมิใจน่ะห๊ะ คิดสิ”

“ครับๆ ผมก็ชอบแหละ” แต่มันก็เขินไง กลัวแสดงอาการแปลกๆออกไปตอนมองสำรวจร่างกายเขา กลัวเขาจับได้ว่าผมคิดไม่ดี

“งั้นก็แต่งตัวให้หน่อย” เขากางแขนสองข้างออก ออกอาการเชิญชวนเต็มที่

ผมหยิบเสื้อเชิ้ตสวมให้เขา แล้วติดกระดุมให้ทีละเม็ด พอมายืนอยู่ตรงหน้าเขา คุณตรีก็โอบเอวผมดึงตัวเข้าหาให้เราใกล้กันจนเกือบจะแนบชิด

“ผมติดไม่ถนัดนะครับ” เพราะใกล้เกินไปทำให้ต้องงอแขนจนเกร็ง เขาเห็นว่าผมไม่สะดวกจริงๆก็เลยยอมปล่อย

ใส่เสื้อให้เขาเสร็จแล้ว ผมก็หันมามองกางเกงเจ้าปัญหา นี่ผมต้องเป็นคนใส่มันให้เขาจริงๆเหรอ ทำยังกับเด็กอนุบาลที่ให้ผู้ปกครองแต่งตัวให้ก่อนไปโรงเรียน

ผมไม่อยากทำตัวเหมือนเป็นผู้หญิงที่อ่อนต่อโลกอะไรขนาดนั้น ก็เลยหยิบกางเกงของเขามาปลดกระดุม แล้วใช้มือกางเอวกางเกงออกกว้าง พร้อมหันกลับไปนั่งย่อตัวลงเพื่อให้เขาใส่กางเกง

ใครจะไปคิดว่าเขาจะปลดผ้าขนหนูออก ตอนนี้ใบหน้าของผมก็เลยอยู่ตรงกลางลำตัวเขาพอดี ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจ หยุดนิ่งมองสิ่งตรงหน้าราวกับว่ามีหมุดตรึงเอาไว้ไม่ให้ละสายตา

ต้องขอบคุณชายเสื้อเชิ้ตใช่ไหมที่มันยาวพอจะปกปิดอะไรๆบางอย่างของเขา

เสียงหัวเราะในลำคอฟังดูเหมือนชอบใจ ผมได้สติรีบหันหน้าหนีแล้วหลับตา แรงขยับของกางเกงที่ผมถือทำให้รู้ได้โดยไม่ต้องมองว่าเขาเอาขาสอดเข้ามาในกางเกงแล้ว

“นี่ ไม่มองแล้วจะเห็นได้ยังไง” น้ำเสียงของคุณตรีเต็มไปด้วยความเย้าแหย่

ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึก แล้วหันไปเผชิญหน้ากับเขา ผมทำหน้านิ่งแล้วพยายามไม่โฟกัสอะไรก็ตามแต่ที่อยู่ภายใต้กางเกงชั้นในสีแดงเข้ม

ผมไม่เคยก้าวก่ายของส่วนนี้ของเขา เขาจะซักทำความสะอาดเองเสมอ เพิ่งได้เห็นวันนี้เองว่าเขาชื่นชอบสีแดงมากขนาดไหน

“จ้องมากๆระวังมันตื่น อึก!”

ผมกระชากกางเกงขึ้นอย่างเร็วและแรง คุณตรีสะดุ้งเพราะเป้ากางเกงคงกระแทกโดนน้องชายของเขา ผมรู้สึกผิดแทบจะทันทีแต่ก็ต้องเก็บอาการไว้ ช่วยไม่ได้เขาอยากแกล้งผมก่อน และก็เป็นเขาเนี่ยแหละที่บอกว่าอยากให้ผมเป็นตัวของตัวเอง ผมก็จะไม่เกรงใจ

“เรียบร้อยแล้วครับ” ผมรูดซิปติดตะขอกางเกงให้เขา ก่อนจะเงยหน้าฉีกยิ้มที่คิดว่าหวานที่สุดให้หนี่งที





หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่29 ชีวิตของผมไม่อาจมีความสุข...11-04-20 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 11-04-2020 21:40:11
CATER TO YOU
ตอนที่29
ชีวิตของผมไม่อาจมีความสุขไปได้มากกว่านี้แล้ว


[THREE]

ผมมองตามหลังคนที่เดินออกไปหลังจากแต่งตัวให้ผมเสร็จ ก็ได้แต่ยืนยิ้มเป็นคนบ้าอยู่คนเดียว ฟ้าน่ารัก ยิ่งตอนเขาแก้มแดงหูแดงเวลาผมแกล้งยิ่งน่ารัก ที่ผ่านมาเขามักปล่อยให้ผมแกล้งตามอำเภอใจโดยไม่โต้ตอบ นั่นเลยทำให้ผมเดาใจเขาไม่ถูกว่าเขาชอบใจในการกระทำของผมหรือไม่

เขาเป็นแบบนั้นเพราะฟ้าขี้เกรงใจ และวางตัวเองไว้ต่ำกว่าผมเสมอ เหมือนเจ้านายกับลูกน้องจริงๆ ซึ่งผมไม่ต้องการความสัมพันธ์แบบนั้น ผมอยากให้เราสนิทกันจนสามารถแสดงความรู้สึกรัก โกรธ โมโห เอาแต่ใจ ทุกๆอย่าง ผมอยากให้เขาแสดงความรู้สึกทุกอย่างเวลาอยู่กับผม อยากให้รู้สึกสบายใจเวลาที่อยู่ด้วยกัน

ก็ถือว่าเขาปรับตัวได้ค่อนข้างดี คาดว่าถ้าเขินแรงกว่านี้อีกนิด โมโหผมกว่านี้อีกหน่อยน้องชายผมคงแดดิ้นคามือ

เฮ้อ ว่าแล้วก็ยังเสียวแปลบอยู่เลยครับ มือหนักเอาเรื่อง

แต่งตัวเสร็จผมก็ลงไปข้างล่าง ฟ้าที่อยู่ในชุดนักศึกษาเสื้อแขนยาวสีขาวกับกางเกงสแลคที่พอดีตัว อืม ผมเห็นฟ้าในชุดนี้มาสองวันแล้วนะ รู้สึกหวงขึ้นมายังไงก็ไม่รู้ ผมพิจารณาแล้วพิจารณาอีกก็รู้สึกว่าเสื้อมันบางไป คงเพราะใส่มาสองปีแล้ว คงต้องพาไปซื้อใหม่

“วันนี้ทำอะไรกิน” ผมเดินมายืนซ้อนที่ด้านหลังของเขา มองสิ่งที่อยู่ในกระทะแล้วก็ต้องยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ ฟ้าเรียนรู้ได้ดีว่าผมชอบอะไรไม่ชอบอะไร เป็นเด็กใฝ่รู้ใฝ่เรียน ไม่รู้เป็นเพราะว่ามันเป็นนิสัยของเขาอยู่แล้วหรือว่าเป็นเพราะเขาชอบผม ถึงได้ดูแลผมดีในทุกๆด้าน

ผมก็ให้คะแนนเยอะเพราะพิศวาสนั่นแหละ ถ้าให้ประเมินกันอย่างตรงไปตรงมา ก็ยังต้องแก้อีกเยอะในเรื่องของการเป็นพ่อบ้าน แต่เพราะผมไม่ได้ต้องการให้เขามาเป็นพ่อบ้านจริงๆ ผมก็เลยไม่ได้อะไร ต่อให้เขาทำออกมาได้แย่กว่านี้ผมก็ไม่ว่าอะไรหรอกครับ

“ผมลองทำมันบดดู ว่าจะทำหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่ได้ทำสักที แล้วก็แซลมอนรวมควันกับผักย่าง คุณตรีอยากได้อะไรเพิ่มไหมครับ” เขาหันมาถามความเห็น ผมส่ายหน้า แล้วเดินไปชงกาแฟของตัวเอง

และเพราะฟ้าไม่ใช่คนใช้ และผมไม่ต้องการแม่บ้านพ่อบ้านที่ไหนมาเพิ่ม ผมก็ต้องเริ่มดูแลตัวเองบ้างเพื่อไม่ให้ภาระทุกอย่างไปตกอยู่ที่ฟ้าคนเดียว

เริ่มต้นด้วยการชงกาแฟกินเอง และรินนมกับน้ำส้มคั้นใส่แก้วสำหรับผมและเขา

“คุณตรีไปนั่งเถอะครับ เดี๋ยวผมทำให้” เขาหันมาเห็นตอนที่ผมกำลังจัดโต๊ะอาหารเช้า

“ไม่เป็นไร ช่วยๆกัน”

“แต่มันเป็นหน้าที่ผม”

“มันก็ใช่ มันเป็นหน้าที่...ของว่าที่ภรรยา แต่ว่าที่สามีคนนี้ก็อยากจะช่วย ไม่ได้เหรอ”

ผมส่งยิ้มพิฆาตไปให้ รู้อยู่แล้วว่าถ้าเล่นมุกนี้ยังไงฟ้าก็ต้องยอม เขาไม่เถียงไม่อะไร บ่นอุบอิบคนเดียวแล้วเดินถือจานอาหารสำหรับเราสองคนมาที่โต๊ะ

เรานั่งทานอาหารเช้าด้วยกันเงียบๆ ผมนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ไปด้วยจนกระทั่งทานเสร็จก็ไปส่งฟ้าที่มหาวิทยาลัย เห็นว่าวันนี้มีเรียนแค่ครึ่งวันเช้า

“เลิกเรียนแล้วรอตรงนี้ ฉันจะให้น้าภาพมารับ”

“ครับผม คุณตรีย้ำผมทุกวันเลย ผมไม่ใช่เด็กๆแล้วนะครับ” เขาทำหน้างอ ผมก็เลยลูบหัวเขาไปที

“ฉันกลัวนายแอบไปเถลไถลที่อื่น” ผมก็พูดไปอย่างนั้น ที่ต้องย้ำบ่อยๆเพราะป้องกันไม่ให้ฟ้าปฏิเสธแล้วแอบกลับบ้านเอง เขาขี้เกรงใจจะตายใครบ้างไม่รู้

“ผมไม่หนีไปเที่ยวที่ไหนหรอกครับ คุณตรีรีบไปทำงานเถอะเดี๋ยวจะสาย”

“อืม ตั้งใจเรียน ถ้าเทอมนี้ได้เกรดดีจะมีรางวัลให้”

“อะไรเหรอครับ” ฟ้าทำตาลุกวาว ขอให้เป็นแบบนี้ตอนที่ผมให้ของรางวัลแล้วกัน ไม่ใช่ทำหน้าลำบากใจเวลาที่ผมซื้อของให้

“ยังไม่บอก ของรางวัลจะใหญ่ตามเกรด ห้ามต่ำกว่า3.00”

“สบายครับ ผมไม่เคยได้น้อยกว่านั้นเลย” เจ้าตัวทำท่าภูมิใจ

“ก็ดี ฉันไปละ"

“บ๊ายบายครับ” ฟ้าโบกมือลา เขาไม่ยอมเดินไปไหนจนกระทั่งรถของผมเคลื่อนตัวออกมา

“คุณตรียิ้มบ่อยขึ้นนะครับ” น้าภาพพูดกับผมพลางมองผ่านกระจกมองหลัง

“ผมมีความสุขครับ” ผมพูดสิ่งที่อยู่ในใจ ช่วงนี้ผมยิ้มบ่อย หมดภาพลักษณ์ผู้ชายสุขุมแสนเย็นชา ทำยังไงได้ ผมมีความสุขมากเสียจนกักเก็บเอาไว้ไม่อยู่ มันชอบแสดงตัวออกมาผ่านรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่แม้แต่ตัวผมเองก็ยังทึ่ง

ฟ้า ผมเรียกเขาว่าฟ้า สายฟ้าอาจจะดูเกรี้ยวกราดไปสำหรับเขา ความอ่อนโยน ความใจเย็น เวลาอยู่ใกล้เขาแล้วก็มีความสุข ฟ้าเปรียบเสมือนท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง สวยงามและสบายตา เขาเป็นท้องฟ้าของผม




เช้านี้มีประชุมสำคัญ ตอนผมมาถึงออฟฟิศ พ่อกับแม่ก็มารออยู่ก่อนแล้ว ผมเข้าไปทักทายตามมารยาท ไม่ว่าอย่างไรพวกท่านก็คือพ่อแม่ ครึ่งหนึ่งของความโกรธความน้อยใจมันก็มีความรักซ่อนอยู่

“สวัสดีครับพ่อ สวัสดีครับแม่” ผมยกมือไหว้ท่านทั้งสอง

“สวัสดีจ้ะลูก” แม่ตอบรับ ส่วนพ่อก็นิ่งเฉย ท่านหยิบป้ายชื่อของผมที่ระบุตำแหน่งประธานกรรมการ หรือ CEO ขึ้นมาพิจารณาก่อนจะวางลงที่เดิม

“คิดว่าวันนี้ป้ายชื่อของแกจะยังอยู่ตรงนี้ไหม” พ่อหันมาถามผมเสียงเรียบ นิ่งสงบจนเดาอารมณ์ไม่ถูก ผมไม่สนิทกับพ่อจนถึงขั้นที่ว่าเดาอารมณ์ได้ ครอบครัวเราห่างเหินเกินจนหาจุดเริ่มต้นไม่ถูก

“ป้ายชื่อนั่นมันไม่สำคัญสำหรับผมหรอก พ่อไล่ผมออกได้ทุกเมื่อที่พ่อต้องการ แต่ความจริงก็คือความจริง ถ้าผมทำงานได้ดีและมีประสิทธิภาพ นั่นเท่ากับว่าผมทำสำเร็จ หวังแค่ว่าพ่อจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับผม”

ผมไม่ได้ต้องการอะไรจากเขา จะหน้าที่การงาน บริษัท เงินทอง ผมไม่ได้ต้องการ ของพวกนั้นไม่มีความหมายสำหรับผมเท่ากับชีวิตที่เป็นอิสระ

“ดูแกจะมั่นใจเหลือเกินนะ”

“ผมมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองทำเสมอ” ผมมองพ่อตอบด้วยแววตาแน่วแน่

“แม้ว่าแกอาจจะคิดผิด” พ่อเลิกคิ้วสูง

“ถึงมันจะผิดแต่มันก็เพราะผมเลือกด้วยตัวเอง มันไม่น่าเสียใจเท่าผิดเพราะเชื่อคนอื่นมากกว่าเสียงหัวใจตัวเองหรอกนะครับ”

“ฉันแค่ไม่อยากให้แกล้มเหลว”

“ผมเคยล้มเหลวมาแล้ว และจะไม่มีครั้งที่สอง”

พ่อทำหน้าสงสัยในความหมายที่ผมเพิ่งจะพูดไป แต่เขาก็ไม่เอ่ยถาม เขาไม่เคยถาม และผมก็ไม่อยากจะเล่า คุณรู้ใช่ไหมลูกผู้ชายบางทีก็อีโก้สูงด้วยกันทั้งนั้น

ไม่มีเวลาให้เราสองคนพ่อลูกถกเถียงเรื่องส่วนตัวกันมากนัก คุณเอิงก็เคาะประตูขออนุญาตเข้ามา

“ได้เวลาแล้วค่ะท่านประธาน”

“โอเค ถ้าอย่างนั้นก็ไปที่ห้องประชุม” พ่อผมพยักหน้ารับแล้วเดินออกไป ผมมองหน้าคุณเอิงที่มองมายังผมด้วยความเป็นห่วง

“ผมโอเคครับ ทุกอย่างเรียบร้อยดีนะครับ” ผมสอบถามอีกครั้งให้มั่นใจว่าทุกเรื่องทุกหัวข้อที่จะโชว์ในที่ประชุมเรียบร้อยดีตามที่คาดหวัง พลางเปิดดูเนื้อหาการประชุมในแท็บเล็ตอีกรอบ

“ทุกอย่างเรียบร้อยค่ะ คุณตรีไม่ต้องเป็นห่วง ทีมทนายของเราก็มารอพร้อมแล้วค่ะ เอิงเชื่อว่ามันจะต้องผ่านไปได้ด้วยดี”

“ขอบคุณครับ ไว้งานนี้ผ่าน ผมจะอนุญาตให้ลางานแบบฟรีๆสามวัน”

“แค่สามวันเองเหรอคะ”

“มากกว่านั้นก็ได้ครับ ถ้าผมโดนไล่ออกก่อน แต่ถ้าไม่ เรายังมีโปรเจคต่อไปที่จะต้องทำนะครับ” ผมพูดกลั้วเสียงหัวเราะเบาๆ เลขาของผมก็หัวเราะตามก่อนจะทำหน้ากระเง้ากระงอด

“โหย ไม่เอาอย่างนั้นสิคุณตรี เอิงไม่อยากหางานใหม่นะคะ สามวันก็ได้ค่ะ เอิงจะไปนอนดูซีรีส์ให้หนำใจเลย” เธอพูดอย่างมาดมั่น

“ตามนั้นครับ”

ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึก จัดระเบียบเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อยเพื่อเตรียมเข้าประชุม ขณะที่ผมกำลังเดินออกจากห้องทำงานเสียงข้อความจากโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดดูแล้วก็ต้องยิ้มอีกครั้งเมื่อเห็นชื่อคนส่งกับข้อความของเขา

‘สู้ๆนะครับคุณตรีของผม ขอให้การประชุมผ่านไปได้ด้วยดี ผมเป็นกำลังใจให้จากห้องเรียนนะครับ’

ให้ตายเถอะ ต้องทำให้รู้สึกหลงรักอีกแค่ไหนฟ้าถึงจะพอใจ ถ้าอยู่ใกล้ๆผมจะจับมาจูบให้หายอยาก

เวลาเหลือไม่มาก ผมรีบพิมพ์ตอบกลับไปพลางคิดในใจไปด้วยว่า แก้มนุ่มๆนั่นจะต้องฉาบไปด้วยสีแดงหลังจากที่ได้อ่านข้อความของผม

‘ถ้าการประชุมผ่านไปด้วยดี ขอตัวนายเป็นรางวัลหน่อยได้ไหมครับ’

ผมว่าผมพร้อมสำหรับทุกปัญหาและอุปสรรค ในเมื่อผมรู้ว่าต่อให้จะเหนื่อยยากสักแค่ไหนก็มีคนที่รอผมอยู่ที่บ้าน ด้วยรอยยิ้มและความรักของเขา





เบื้องหน้าของผมคือพ่อและแม่ ที่ถึงแม้จะไม่มีตำแหน่งที่นี่เพราะตำแหน่งประธานถูกยกมาให้ผม แต่ใช่ว่าทุกคนจะไม่รู้ว่าอำนาจเบ็ดเสร็จมันอยู่ที่ใคร และเหล่าคณะกรรมการผู้บริหาร ผู้อำนวยการและหัวหน้าแผนกต่างๆ ผมปราดมองไปทั่วห้อง มีทั้งพวกที่หลบสายตาและพวกที่จ้องอย่างไม่ไว้หน้ากัน

ถ้าผมไม่ถูกไล่ออก คนพวกนั้นคือคนที่จะต้องออกไปแทน

“เอาละครับ เราจะเริ่มการประชุมประจำสัปดาห์กันเลย หัวข้อการประชุมในวันนี้มีไม่กี่เรื่อง รายละเอียดอยู่ในเอกสารไม่กี่แผ่นตรงหน้าทุกท่าน สามารถหยิบขึ้นมาอ่านและทำความเข้าใจได้นะครับ จะได้รู้เรื่องเวลาที่ประชุม” ผมแอบพูดแดกดันเล็กน้อย คนที่นี่ทำงานขาดความกระตือรือร้นเกินไป เพราะคิดว่าไม่ว่ายังไงบริษัทเล็กๆนี่ก็มีบริษัทพ่อคอยโอบอุ้มแบบไม่มีวันล้ม

“ในเอกสารแผ่นแรก จะแสดงยอดขายในสินค้าคอลเลคชั่นล่าสุดของเราในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาผ่านทางหน้าร้าน แผ่นที่สองเป็นการขายท่านออนไลน์ที่มีคณะกรรมการหลายท่านในที่นี้มีข้อโต้แย้งไม่เห็นด้วยกับวิธีที่ผมจะใช้กับบริษัทของเรา ในเอกสารทั้งสองแผ่นแจกแจงรายการสินค้าแต่ละชิ้น จำนวนที่ขาย และยอดเงินที่เราได้ มีการสรุปผลกำไรและต้นทุนเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ ผมอยากให้ทุกท่านในที่นี้ดูให้ละเอียด แต่ถ้าหากว่ามีท่านไหนยังไม่พอใจ เปิดดูที่แผ่นที่สามนะครับที่บรรทัดล่างสุดของตาราง ยอดตัวเลขเหล่านั้นจะตอบได้ดี ว่าสิ่งที่ผมคิดและทำไปก่อนหน้านี้ มันทำให้บริษัทของเราที่ขาดทุนมาตลอดมีผลกำไรขึ้นมาได้อย่างไร” ผมกล่าวรวดเดียวพลางใช้สายตาลอบสังเกตสีหน้าและอาการของคนแต่ละคนในห้องประชุมใหญ่ และคนที่ผมสนใจมากเป็นพิเศษก็คือพ่อ

พ่อของผมเปิดเอกสารดูอย่างใจเย็น กับเรื่องงานพ่อทุ่มเทและใส่ใจทุกรายละเอียดเสมอ ชีวิตของพ่อมีแต่เรื่องงาน สิ่งที่ทำให้เขาไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต นอกจากเรื่องงาน ชื่อเสียง และเกียรติยศ พ่อก็ไม่ใส่ใจกับเรื่องใดเป็นพิเศษ แม้ว่าจะเป็นเรื่องของคนในครอบครัว แม้แต่ภรรยาของตัวเอง

“มีใครจะแย้งอะไรอีกไหมครับ” เพราะก่อนหน้านี้ไม่มีใครเห็นด้วยกับคอนเซ็ปต์นี้ เพราะมันขัดแย้งกับชื่อแบรนด์และคอนเซ็ปต์แบรนด์ ที่เน้นสินค้าหรูหรา แต่แบบสินค้ารอบนี้มันดูบ้านๆเรียบง่ายเกินไป แต่ใครจะสน เรื่องค้าขายเป็นเรื่องของการเจาะความต้องการของกลุ่มผู้ซื้อต่างหาก

“มี มันอาจจะขายได้และให้ผมกำไรดีก็จริง แต่ผมก็ยังยืนยันคำเดิมนะว่ามันขัดแย้งกับคอนเซ็ปต์ของแบรนด์” คณะกรรมการบริหารท่านหนึ่งเอ่ยแย้ง ผมไม่คิดจะจำชื่อคนเหล่านี้ อีกไม่นานก็ไม่ต้องทำงานร่วมกันแล้ว บอกแล้วไงว่าไม่ผมก็พวกเขาต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งออกไป

“ก็ถ้าคอนเซ็ปต์เก่ามันขายไม่ได้ ผมว่าเอาคอนเซ็ปต์ใหม่แล้วเปลี่ยนชื่อแบรนด์ใหม่ก็ได้นะครับ อย่างน้อยมันก็ไม่ทำให้บริษัทขาดทุน พนักงานก็ยังมีที่ทำงานมีรายได้” ผมเหน็บเข้าให้อีกชุด จะมายึดติดแต่กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ก็ไม่แปลกใจที่บริษัทนี้ไม่มีความก้าวหน้า

“คุณอย่ามาพูดเป็นเล่นนะคุณตรี คุณจะทำแบบนั้นไม่ได้” คณะกรรมการอีกท่านค้านขึ้น ผมไม่เก็บมาใส่ใจ

“เดี๋ยวท่านก็รู้ว่าผมจะทำได้หรือไม่ได้ แล้วไม่ทราบว่าคุณท่านมีความคิดเห็นยังไงครับ” คราวนี้ผมหันไปถามพ่อ จะไม่ถามเขาได้ยังไง ในเมื่อทุกอย่างที่ผมทำ เพียงเพื่อให้เขายอมรับในตัวผม

พ่อเงยหน้าขึ้นจากเอกสาร ถอดแว่นสายตาออก วางมือประสานกันบนโต๊ะ เกิดความเงียบขึ้นในห้องประชุม ไม่มีกล้าเอ่ยอะไร รวมไปถึงผมที่รอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ

“ที่ท่านดิเรกพูดมามันก็จริง คอนเซ็ปต์นี้มันขัดกับวิสัยทัศน์และจุดประสงค์ของการตั้งบริษัทนี้ขึ้นมา”

“นั่นไงครับท่าน” ตาแก่นั่นรีบยกหางตัวเองแล้วหัวเราะร่า ผมข่มใจให้สงบและยืนรอฟังว่าพ่อของผมจะพูดอะไรต่อ
“แต่ว่า ก็ถือว่าช่วยกอบกู้สถานการณ์ทางการเงินได้ แม้ว่ามันคงไม่มากพอให้ล้างหนี้จากการขาดทุนที่ผ่านมาทั้งหมด แต่ก็ถือว่าเธอทำได้ดีในฐานะผู้บริหาร”

“ท่าน...!” คณะกรรมการหลายท่านที่ไม่ชื่นชอบเพราะผมข้ามหน้าข้ามตาพนักงานเก่าแก่บางคนเข้ามาทำงาน พวกหัวโบราณที่คิดว่าเด็กรุ่นใหม่ต้องลงไปทำงานระดับล่างก่อน

“พวกท่านจะโวยวาย ทั้งๆที่รู้ว่าเขาเป็นลูกชายของผมอย่างนั้นเหรอ” พ่อพูดเสียงเหี้ยมพลางกวาดสายตามองพวกที่ต่อต้าน

ผมขนลุกกับสิ่งที่ได้ยิน ยืนมองพ่อตัวเองแทบไม่กะพริบตา

‘ลูกชายของผม’

อย่างนั้นเหรอ

ผมไม่คาดว่าเขาจะพูดคำนี้ ไม่คิดว่าจะได้ยิน

“ที่ผ่านมาผมก็เอือมระอากับการทำงานของพวกท่านเต็มทน แต่ที่ไม่พูดเพราะผมแค่จะรอให้ถึงวันที่สิ้นสุดแล้วปิดบริษัทนี้ซะ”

เท่านั้นทุกฝ่ายก็ฮือฮากันมา ถึงขั้นพูดแทรกถามคำถามว่าจะปิดตัวบริษัทจริงหรือไม่ ผมได้แต่ส่งเสียงเหอะในลำคอ เพิ่งจะมาคิดได้หรือไง กอบโกยยักยอกเงินทุนจากบริษัทไปตั้งเท่าไหร่ มันจะไม่ขาดทุนขนาดนี้ถ้าคิดจะทำให้มันเติบโตจริงๆ

“เงียบ!” เสียงของพ่อก้องกังวาน แม้ว่าท่านจะแก่แล้ว แต่ก็ยังมีแรงตะเบ็งเสียงได้ดังจนน่าทึ่ง ไม่นับรวมกับสายตาที่เต็มไปด้วยพลังและอำนาจที่ไม่ว่าใครก็ต้องยอมก้มหน้าต่ำ พลันทั้งห้องประชุมก็กลับเข้ามาอยู่ในความสงบ

“ในเมื่อรู้สถานการณ์ของบริษัทกันดีแล้ว ก็ช่วยให้ความร่วมมือกับคนที่ผมแต่งตั้งให้มาบริหารที่นี่ด้วย เข้าใจไหม”

“ครับ” มีบางคนรับคำ บางคนยังแข็งข้อ ก็เพราะผมไปขวางหูขวางตาพวกเขา ไม่ให้ยักยอกเงินได้ยังไงล่ะ ตั้งแต่ที่ผมเข้ามาทำงานที่นี่เม็ดเงินก็คงจะหายไปจากกระเป๋าพวกเขามากโข แต่วันนี้มันจะต้องจบลงแล้วล่ะ

ผมแอบทำเรื่องนี้กับคุณเอิงสองคน ผมไม่ให้ใครรู้เรื่องนี้แม้แต่เพื่อนหรือฟ้า ยิ่งคนน้อยยิ่งทำงานสะดวก ความจริงมันก็ได้ยุ่งยากอะไร ที่ผ่านมาทุกคนที่มีส่วนได้ส่วนเสียร่วมมือกันปกปิดตัวเลขในบัญชี ทำกันเป็นขบวนการ คนทำผิดย่อมทิ้งหลักฐานเอาไว้ แค่เอามาดูก็รู้ได้แล้ว ส่วนหลักฐานที่ว่าก็คือการโอนเงินจากบัญชีบริษัทเข้าบัญชีส่วนตัวของคณะกรรมการและพนักงานอาวุโส

ทุกเรื่องที่เป็นปัญหาในชีวิต ผมจะเคลียร์มันให้จบภายในวันนี้

“กลับมาที่เรื่องยอดขาย ดี ถือว่าทำได้ดี ผลงานในครั้งนี้ฉันคงต้องยอมรับว่ามันผ่าน” แค่คำพูดง่ายๆ กลับยกภูเขาที่ผมแบกไว้ออกจากอก

“ขอบคุณครับ”

พ่อของผมหันมาสบตาผมนิ่งๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาหา ผมขยับเปิดทางให้พ่อยืนอยู่ตรงหัวตรงจุดที่ผมยืนก่อนหน้า

“ผมในฐานะประธานใหญ่ของบริษัท ขอประกาศตรงนี้ให้ทราบโดยทั่วกันว่า ตั้งแต่นี้ต่อไป คุณตรีรักษ์ โอฬารทวีสิน จะดำรงตำแหน่งผู้ประธานบริษัทอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทุกคำสั่งของเขาในบริษัทนี้ถือเป็นสิทธิ์ขาดสูงสุด หวังว่าทุกคนจะให้ความร่วมมือ” สิ้นเสียงประกาศของพ่อ คนในที่ประชุมก็แสดงอาการตกใจอย่างเห็นได้ชัด ไม่เว้นแม้แต่ผม

“พ่อ...” ผมไม่อยากจะเชื่อเลย แม้ใจจะคาดหวังให้พ่อมองเห็นผลงานที่ผมทำ แต่ไม่กล้าที่จะคิดว่าเขาจะยกบริษัทนี้ให้ผมจริงๆ

“ทำไม ไม่อยากได้เหรอ” พ่อหันมาถามผม

“เปล่าครับ ขอบคุณครับ” ผมยกมือไหว้พ่อด้วยความเคารพ พ่อพยักหน้าแล้วเดินกลับไปนั่งประจำที่เดิม ผายมือให้ผมดำเนินการประชุมต่อ

“เอาล่ะครับ ก่อนที่เราจะคุยกันถึงเรื่องแผนการโปรโมทสินค้าในอันดับต่อไป ผมมีเรื่องสำคัญยิ่งที่อยากจะแจ้งให้ทุกท่านทราบ คุณเอิงเชิญครับ” ผมส่งสัญญาณให้คุณเอิงนำเอกสารสำคัญในซองสีน้ำเงินที่ผมสั่งทำพิเศษวางลงตรงหน้าเหล่าคณะกรรมการและพนักงานที่อยู่ในที่ประชุมแห่งนี้

ซองจดหมายสีน้ำเงิน ซองนี้มีทั้งสิ่งที่เป็นรางวัลและเป็นบทลงโทษจากผม

“ไหนๆผมก็ได้รับตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้แล้ว ผมก็คงมีอำนาจมากพอที่จะจัดการสิ่งที่ไม่ดีออกไปจากบริษัท เพื่อทำให้บริษัทของเรายังคงอยู่รอด กำจัดปลาเน่าแล้วเก็บปลาดีเอาไว้ เชิญทุกท่านเปิดเอกสารในซองสีน้ำเงินได้เลยครับ” ผมยิ้มเชื้อเชิญให้ทุกคนเปิดเอกสารออกมาอ่าน

แทบจะนับเวลาได้เลย แค่เพียงไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำ ความวุ่นวายก็เกิดขึ้นอีกครั้งในห้องประชุม ผมกระตุกยิ้มมุมปาก มองจ้องรองประธานกรรมการด้วยสายตาที่เหนือกว่า อ่า เขาชื่ออะไรนะผมจำไม่ได้ ผมไม่คิดจะใส่ใจด้วยสิ แต่หลังจากวันนี้จะไม่มีชื่อของเขาในบริษัทอีกแล้ว
“ฉันก็คิดไว้แล้วว่ามันต้องมีเรื่องแบบนี้ แต่ไม่คิดว่าจะทำกันเป็นขบวนการนะท่าน” พ่อผมว่าหลังจากที่ดูเอกสารแสดงหลักฐานและรายชื่อผู้ที่ยักยอกเงินบริษัท

“ไม่ ไม่นะครับท่าน มันไม่จริง”

“จริงไม่จริง ผมจะให้ทนายของบริษัทเข้ามาชี้แจงนะครับ” ผมกล่าวด้วยความมั่นใจ

“หึ งามหน้าจริงๆ จัดการให้สิ้นซากด้วย ด้วยอำนาจที่ฉันเพิ่งให้ไป ฉันจะไปรอที่ห้องทำงาน” พ่อของผมลุกขึ้นด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องประชุม เหล่าผู้อาวุโสร้อนรนเหมือนถูกไฟลนเก้าอี้ รีบลุกขึ้นหมายจะเรียกให้พ่อของผมอยู่ที่นี่ พวกเขาคงคิดว่าพ่อจะเห็นแก่มิตรภาพหรืออะไรก็ตามแต่เพราะว่าทำงานร่วมกันมานาน แต่ผมจะบอกให้ในฐานะลูกชายของเขาว่า ผู้ชายอย่างพ่อผม ไม่เคยมีคำว่ามิตรภาพอยู่ในหัว ถ้าใช้ประโยชน์ไม่ได้เขาก็ไม่ลังเลที่จะเขี่ยออกจากชีวิต

“ขอให้ทุกท่านนั่งประจำที่ด้วยครับ ไม่ว่ายังไง พวกคุณก็หนีคดีฉ้อโกงเงินบริษัทไปไม่ได้ครับ เพราะฉะนั้นช่วยทำให้เรื่องมันง่ายขึ้นด้วย” ผมฉีกยิ้มเหยียบเย็นด้วยความสะใจ นับจากวันนี้ผมคงมาทำงานด้วยความสุขมากกว่าเดิม


หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่29 ชีวิตของผมไม่อาจมีความสุข...11-04-20 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 11-04-2020 21:40:43


ผมเดินกลับมาที่ห้องทำงานหลังจากที่สะสางจุดผิดพลาดจุดใหญ่ในบริษัทร่วมสามชั่วโมง สุดท้ายบุคคลเหล่านั้นก็ไม่สามารถปฏิเสธข้อกล่าวหาได้เพราะว่าหลักฐานมีพร้อม ก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่พอสมควร และในบริษัทคงจะวุ่นวายไปสักพักเพราะว่าผมต้องการถอนรากถอนโค่นพวกคนเก่าๆที่ไม่น่าไว้วางใจออกให้หมดเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นซ้ำและง่ายต่อผมในการบริหารงาน

พ่อกับแม่ของผมนั่งจิบชาอย่างสบายใจ ไร้ซึ่งความตึงเครียดจากเหตุการณ์โละเซตผู้บริหารเมื่อสักครู่ ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ ก็พ่อผมเป็นคนแบบนี้

“เรียบร้อยดีใช่ไหม” ผมถาม ผมเดินไปนั่งที่โซฟา แม่รินชาให้ผม ผมเอ่ยขอบคุณเบาๆแล้วยกแก้วชาขึ้นจิบ ผมติดการดื่มชาจากแม่ เพราะแม่มาจากครอบครัวคนจีน ตอนเด็กๆผมก็ซึมซับมาโดยไม่รู้ตัว

“ครับ ผมจัดการเรียบร้อย...ในแบบของผม” แบบที่ผมพอใจ แต่พ่ออาจจะไม่พอใจก็ได้

“หึหึ ฉันจะไม่ยุ่ง ในเมื่อฉันยกบริษัทนี้ให้แกแล้ว ไว้จะส่งทนายของตระกูลมาทำเรื่องยกบริษัทนี้ให้เป็นชื่อของแกก็แล้วกัน”

“พ่อครับ แล้วเรื่องสัญญา” ผมทวงถามสิ่งที่ผมต้องการที่สุด

“เฮ้อ ไม่ว่ายังไงแกก็เปลี่ยนไม่ได้ใช่ไหม ไอ้เรื่อง...ชอบผู้ชายน่ะ” ไม่บ่อยที่พ่อจะพูดเรื่องนี้ออกมาจากปากตัวเอง แต่เพราะวันนี้พวกเราได้เดินมาถึงจุดหมายปลายทางที่เราสองคนพ่อลูกกำหนดไว้ ไม่ว่ายังไงเขาก็เลี่ยงไม่ได้ ผมรู้ว่าพ่อเป็นคนรักษาคำพูด เพราะฉะนั้นผมถึงกล้าเดิมพันแล้วลงมาเล่นเกมนี้กับเขา

“แล้วที่ผ่านมาพ่อคิดว่าเปลี่ยนผมได้ไหม”

มันไม่ใช่เวลาแค่ไม่กี่วันไม่กี่สัปดาห์ แต่ผมพิสูจน์มาแล้วหลายปีว่าผมเปลี่ยนรสนิยมของตัวเองไม่ได้ ยังไงผมก็ชอบผู้ชาย และตอนนี้ผู้ชายคนนั้นก็ต้องเป็น...ฟ้า

“บางทีฉันก็ก่นด่าตัวเองที่ทำให้แกเกิดมาแล้วเลี้ยงแกไม่ได้อย่างที่ฉันต้องการ แต่สิ่งหนึ่งที่แกเหมือนฉัน นั่นก็คือความหัวรั้นไม่ฟังใคร” พ่อยิ้มเยาะกับตัวเอง ผมโคลงศีรษะว่าเห็นด้วย

“ผมขอโทษที่ผมเป็นแบบที่พ่อต้องการไม่ได้ แต่ผมยังยืนยันว่าที่ผมเป็นแบบนี้ไม่ใช่เพราะต้องการประชด ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยถามตัวเองว่าทำไมผมถึงเป็นแบบนี้ แต่สุดท้ายคำตอบที่ได้มันก็ง่ายเสียเหลือเกิน ผมแค่ชอบแบบนี้ ชอบก็คือชอบ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ” ผมพูดอย่างเหนื่อยล้ากับปัญหานี้ที่รุมเร้าเกาะกินความสุขของผมมาตลอด

พ่อของผมไม่พูดอะไร เขานั่งมองถ้วยชาในมืออย่างใช้ความคิด ผมเงยหน้ามองสบตากับแม่ เธอยิ้มบางๆให้กำลังใจผม ในแววตาของเธอนั้นเจือไปด้วยคำขอโทษและรู้สึกผิด ผมยิ้มตอบเล็กน้อยให้รู้ว่าผมไม่เป็นอะไร

ผมรู้ว่าแม่รู้สึกผิด แต่เธอเป็นผู้หญิงหัวอ่อน อยู่บ้านเชื่อฟังพ่อแม่ ออกเรือนเชื่อฟังสามี เธอเป็นลูกสาวของตระกูลคนจีนตระกูลใหญ่ ในฐานะลูกและภรรยาเธอทำหน้าที่ของเธอได้ดีเยี่ยม และเธออาจจะเป็นแม่ที่ดีกว่านี้ถ้าเธอมีลูกชายที่ดีที่พร้อมจะเชื่อฟังบิดามารดา เรื่องนี้ผมไม่โทษใคร ในเมื่อความคิดไม่ตรงกัน แยกกันอยู่ก็คงเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพียงแต่ผมก็อยากทำให้มันถูกต้องแล้วก็ประนีประนอมที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่คนที่ผมรักจะได้ไม่ต้องมาเป็นห่วงเป็นกังวลกับครอบครัวผมมากนัก

“ตรี” พ่อเรียกชื่อผมหลังจากที่นั่งเงียบใช้ความคิดมาสักพัก

“ครับ”

“ข้อตกลงที่ฉันเคยพูดไว้ แกได้รับสิทธิ์นั้น ต่อไปนี้แกก็ใช้ชีวิตของแกได้ตามใจชอบ อยากทำอะไร อยากเป็นอะไรก็ตามแต่ใจแก ฉันจะไม่เข้าไปยุ่งอีกแล้ว”

ถ้าพ่อพูดมาแบบนั้น คือมันจบแล้วใช่ไหม

“...” อยู่ๆผมก็รู้สึกโหวง ความเสียใจมันตีตื้นขึ้นมา แต่ในเมื่อผมเลือกทางนี้แล้วผมก็ต้องยอมรับมันให้ได้

เอาเถอะ ไม่มีครอบครัว ไม่มีพ่อมีแม่ก็ไม่เป็นไร ผมยังมีฟ้า เขายังอยู่มาได้ด้วยตัวคนเดียว แต่ตอนนี้เรามีกันและกัน มันจะเป็นอะไรไป ผมควรต้องดีใจกับสิ่งที่ตัวเองต้องการ

“แต่แกจำไว้อย่างนะตรี แกยังเป็นลูกของฉันและฉันก็ยังเป็นพ่อของแก ต่อให้แกจะทำให้ฉันเสียใจมากแค่ไหน แกก็ยังเป็นลูกฉันอยู่ดี เพราะฉะนั้นแกยังกลับบ้านได้ทุกเมื่อที่ต้องการ”

ผมขยับสายตามองพ่ออย่างไม่อยากจะเชื่อ ความเสียใจที่ก่อตัวอยู่เมื่อครู่ถูกสายลมจากคำพูดของพ่อพัดปลิวเลือนหายไปในอากาศและพัดพาความรู้สึกผิดเข้ามาแทนที่

นึกไปถึงสิ่งที่ผมเคยทำกับพ่อ ผมเคยเกเร ผมเคยอาละวาด ผมเคยพูดให้พ่อน้ำตาตกในหลายต่อหลายครั้งเพราะความเลือดร้อนในตัวเองตอนที่ยังเด็กและไม่มีหัวคิด

ต่อให้ที่ผ่านมาผมอยากจะกล่าวโทษพ่อว่าทำไมถึงยอมรับในตัวผมไม่ได้ แต่ผมก็กล่าวโทษท่านได้ไม่เต็มปาก เพราะผมรู้ว่าพ่อไม่ยอมรับผมเพราะความแข็งกร้าวที่ผมเคยมีในวัยเด็ก ผมเองก็ทำผิดต่อพ่อไว้มากจนสามารถเรียกตัวเองได้เต็มปากเต็มคำว่าลูกอกตัญญู

“ขอบคุณครับพ่อ และผมขอโทษกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา ขอโทษที่ทำให้พ่อเสียใจ” ผมยกมือไหว้พ่อ ข่มความขำปร่าในลำคอกลืนมันลงท้อง

“อืม ช่างเถอะ ฉันขี้เกียจจะใส่ใจอะไรแล้ว แต่ว่า เรื่องที่แก...นั่นแหละ ฉันจะเป็นมองไม่เห็น อย่าควงผู้ชายออกหน้าให้มันประเจิดประเจ้อนัก รู้ไหมว่าฉันแทบอยากจะกว้านซื้อหนังสือพิมพ์ทิ้งเพราะว่าแกดันป่าวประกาศไปทั่วว่าชอบ...ผู้ชาย”

พ่อก็ยังคงเป็นพ่อ เขายังคงยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้ ซึ่งผมก็ไม่ได้อะไร ความคิดคนเราเปลี่ยนไม่ได้ง่ายๆ ผมไม่คาดหวังให้rjvอ้าแขนรับแล้วบอกว่าพ่อยินดีที่ลูกชอบผู้ชายด้วยกัน มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่สุด

“คุณค่ะ ลดเสียงลงหน่อย เดี๋ยวความดันก็ขึ้นอีก” แม่เอ่ยปรามพ่อเสียงนุ่ม เคยแบบคิดว่ามีสักครั้งไหมที่แม่ขึ้นเสียงใส่พ่อ

“ขอโทษครับ แต่ผมจะไม่โกหก พ่อคงไม่อยากมีลูกเป็นคนขี้โกหกหรอกมั้ง”

“เหอะ ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งโมโห อย่าลืม ฉันไม่ได้ยอมรับ แค่จะไม่ยุ่ง จำเอาไว้ด้วย”

“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ ยังไงก็ขอบคุณพ่อมาก ผมจะไม่ทำให้พ่อและตระกูลต้องขายหน้าเพราะเรื่องนี้แน่นอน ไว้ผมจะชดเชยให้ด้วยเรื่องอื่น” ผมมีเรื่องเดียวที่ผมจะทำให้พ่อเพื่อเป็นการทดแทนบุญคุณได้

“สิ้นปีนี้ ทำให้บริษัทนี้เติบโต ทำกำไรมาหักล้างหนี้ให้หมดซะ” พ่อสั่งเสียงเข็ม ดึงหน้าตึงอย่างที่ทำอยู่เป็นประจำ

“ผมต้องรับคำสั่งนี้เหรอ บริษัทนี้จะเป็นของผมแล้วนิ ผมจะทำยังไงแบบไหนก็ได้ไม่ใช่เหรอครับ”

“ไอ้ตรี! แกยียวนฉันเหรอห๊ะ!” พ่อชี้นิ้วใส่หน้าผม

“เอาอีกแล้ว คุยกันดีๆไม่ได้เหรอคะ คุยกันไม่เคยเกินครึ่งชั่วโมงก็ทะเลาะกันทุกที”


“คุณก็ดูลูกชายคุณเซ่”

“แม่ก็ดูสามีแม่ด้วย”

แม่ผมได้แต่ส่ายหน้า แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี

แต่สิ่งที่พ่อผมสั่ง ถ้ามันมีผลตอบแทนที่น่าสนใจก็ถือว่าน่าลอง

“ตกลงครับ ผมจะปลดหนี้บริษัทและทำให้บริษัทเติบโตภายในหนึ่งปี ถ้าผมทำได้ พอต้องมีรางวัลให้ผม” ผมเสนอข้อแลกเปลี่ยน พ่อมองผมอย่างหยั่งเชิงแต่ก็ตอบตกลง


“ว่ามา”

“ไปทานข้าวด้วยกันสักครั้งพร้อมกับคนรักของผม...ที่เป็นผู้ชาย”

“ไอ้ตรี!”

“กล้ารับคำท้าไหมพ่อ”

คนอย่างพ่อผม ฆ่าได้หยามไม่ได้ คำตอบเดียวเท่านั้นที่จะออกจากปากเขาก็คือ...

“เออ ฉันตกลง”

ดีลนะครับคุณพ่อ






...................................................................................
ดราม่าครอบครัวจบแค่ตรงนี้นะคะ ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวนี้จะดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว
ไม้อ่อนดัดง่ายไม่แก่ดัดอย่าง ยิ่งกับคนที่มีอีโก้สูงๆเชื่อมั่นในความคิดของตัวเองมากๆจนติดเพดาน ได้แต่นี้ก็ถือว่าดีที่สุดแล้ว ของแบบนี้มันต้องใช้เวลา ถ้าไม่ปิดกั้น เดี๋ยวอีกสักพักก็จะค่อยๆเริ่มเปิดใจ
มาลุ้นให้ตอนหน้ากันดีกว่าค่ะ จะมีคนไปขอรางวัลกับน้องล่ะ ฮึ่ย แค่คิดก็มันเขี้ยวแล้ว

หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่30:เมื่อเราต่างเป็นของกันและกัน 13-04-20 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 13-04-2020 21:19:58
CATER TO YOU
ตอนที่ 30
เมื่อเราต่างเป็นของกันและกัน


ตั้งแต่ช่วงเช้าจนกระทั่งช่วงเย็นฟ้ายังไม่ตอบกลับข้อความที่ผมส่งไปหา มันขึ้นว่าอ่านแล้ว แต่ไม่มีอะไรตอบกลับมา ผมก็ไม่ได้อะไร ให้เวลาเขาได้เตรียมตัวเตรียมใจ นั่งรถกลับบ้านอย่างอารมณ์ดี คงจะออกนอกหน้านอกตาเกินไปหน่อยถึงขนาดที่น้าภาพยังต้องเอ่ยทัก

“วันนี้มีเรื่องดีๆเหรอครับ น้าไม่ได้เห็นคุณตรีมีความสุขมานานแล้ว”

“ครับ งานของผมสำเร็จตามที่ตั้งเป้าไว้ แล้วก็ชีวิตของผมเป็นอิสระแล้ว พ่อจะไม่สร้างกฎเกณฑ์อะไรกับชีวิตผมอีกแล้ว ผมรู้สึกโล่งมากเลยครับ” น้าภาพก็เป็นอีกคนที่ทำงานกับครอบครัวผมมานาน จะมีคนงานไม่กี่คนที่ผมรู้สึกถูกชะตาที่จะอยู่ด้วย นั่นก็คือน้ากุ้ง น้าภาพ และอีกสองคนที่ยังอยู่ที่บ้านใหญ่

“น้าดีใจด้วยนะครับ ถ้านังกุ้งมันรู้ จะต้องดีใจกับคุณตรีมากๆเช่นกันครับ”

พูดถึงน้ากุ้งแล้ว ผมไม่ค่อยได้โทรไปถามไถ่ความเป็นอยู่สักเท่าไหร่ แต่ผมยังโอนเงินให้น้ากุ้งทุกเดือนเป็นเงินค่าจ้าง ยังไงวันหนึ่งผมก็อยากให้น้ากุ้งกลับมาทำงานด้วยหากว่าอะไรลงตัว

“ไว้ผมจะโทรไปเล่าให้น้ากุ้งฟังครับ”

“เฮ้อ ผมอยากเห็นวันนี้มานานแล้วครับ ผมไม่อยากให้คนในครอบครัวเดียวกันต้องมาทะเลาะกันเลย ดีใจด้วยจริงๆนะครับคุณหนู” น้าภาพเรียกผมด้วยคำเรียกเดิมตอนที่ผมยังเป็นเด็ก แต่เพราะผมไม่ชอบเลยไม่อยากให้เรียกแบบนั้น และตอนนี้ผมโตแล้วด้วย

แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้ว่าอะไร แค่ยิ้มรับเท่านั้น

รถยนต์ขับตรงกลับบ้าน ผมเพิ่งจะอายุยี่สิบต้นๆ แต่กลับใช้ชีวิตเหมือนคนสักอายุสามสิบกว่าที่มีครอบครัวแล้ว เช้าไปทำงานเย็นมาก็ตรงกลับบ้านไม่ได้ไปเถลไถลต่อที่ไหน ไม่รู้สิ เพราะผมไม่รู้สึกอยากจะไปไหนเป็นพิเศษเพราะมีหน้าที่ค้ำคอ และ...คนที่รออยู่ที่บ้านก็น่ากลับไปหามากกว่าเป็นไหนๆ

ฟ้าเลิกเรียนตั้งแต่แต่เที่ยง น้าภาพไปรับที่มหาวิทยาลัยแล้วก็พามาส่งที่บ้านก่อนจะรายงานผม ตอนนี้เขาก็คงวุ่นวายอยู่กับงานบ้านงานเรือน คิดแล้วก็หลุดยิ้มอีกครา ไม่ต้องมีเมียเป็นผู้หญิงก็ได้ ผู้ชายก็ทำได้เหมือนกัน หนำซ้ำยังทำได้ดีกว่าบางคนเสียด้วย

ผมลงจากรถ หยิบกระเป๋าเอกสารออกมาถือพร้อมกับเสื้อสูทที่ถอดออกตั้งแต่ขึ้นรถ ผมได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งเข้ามากใกล้ แฟนหมาดๆของผมวิ่งหน้าตาตื่นออกมาต้อนรับเฉกเช่นทุกวัน

แปลกๆนะ ทำไมต้องทำท่าทางลุกลี้ลุกลนขนาดนั้น หรือเพราะว่าข้อความที่ผมทิ้งไว้

“เป็นอะไร” อยากรู้ผมก็ทำ

“เป็น? เป็นอะไรครับ” เจ้าตัวทำหน้าซื่อตาใสว่าไม่รู้เรื่องในสิ่งที่ผมถาม แต่ไม่กล้าสบตา คว้าเอากระเป๋ากับเสื้อสูทผมไปถือไว้แล้วเดินเข้าบ้าน

“น้าภาพกลับไปพักผ่อนได้เลยครับ  วันนี้ผมคงไม่ออกไปไหนแล้ว” ผมหันกลับไปพูดกับน้าภาพที่ยืนรอคำสั่ง

“ครับ มีอะไรก็โทรเรียกหน้าใช้งานได้ตลอดนะครับ”

“ได้ครับน้า”

น้าภาพเดินไปที่รถจักรยานยนต์ของตัวเองแล้วขี่กลับบ้านที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านผมมากนัก วันนี้ผมไม่มีอะไรให้ต้องทำ เรื่องงานไว้ค่อยว่ากันวันพรุ่งนี้ แต่ว่าวันนี้ผมขอไปแกล้งเด็กในบ้านก่อน

ผมทิ้งตัวนั่งลงที่โซฟา สักครู่ฟ้าก็เดินกลับมาพร้อมกับน้ำสีสวยในแก้วทรงสูง สีมันออกม่วงๆฟ้าๆดูแปลกตา ไม่รู้ว่าเป็นน้ำอะไร

“น้ำอะไรอ่ะ” ผมหยิบแก้วจากมือฟ้า ลองดมดู ได้กลิ่นมะนาวชัดที่สุด

“น้ำอัญชันมะนาวโซดาครับ สีสวยใช่ไหม”

“อืม สีสวยดี” ผมยกแก้วขึ้นจิบ ความหวาน ความเปรี้ยว และความซ่าของโซดาทำให้สดชื่นหายเหนื่อย

“แล้วไปเอามาจากไหน” ฟ้าเป็นคนช่างสรรหา ผมเลยได้อานิสงส์ไปด้วย ได้กินของอร่อยที่ไม่เคยกินหลายอย่าง

“ตอนเปลี่ยนคาบผมเดินไปถ่ายเอกสารหน้ามหาลัย เห็นยายแก่ๆแกขายพวกผักอยู่ริมทางเดิน เห็นมีดอกอัญชันผมก็เลยช่วยแกซื้อมา ผมซื้อตำลึงมาด้วย วันนี้ผมจะทำแกงจืดตำลึงใส่หมูสับกับเต้าหู้ไข่ให้ทานนะครับ”

“อืม ทำไมทำตัวน่ารัก” ผมชันศอกกับพนักโซฟา ใช้มือเท้าคางเอียงหน้ามองฟ้าด้วยความลุ่มหลง

“อะไรครับ” ฟ้ากลับมาทำตาเลิกลั่กอีกครั้ง

“เก็บอาการหน่อย กังวลเรื่องข้อความที่ฉันส่งให้เหรอ” ผมอมยิ้มเมื่อเห็นฟ้าตกใจอย่างน่าเอ็นดู

“ผม เปล่านะ ผมจะไปทำอาหารเย็นแล้วนะครับ”

“นี่ เดี๋ยวสิ” ผมคว้าแขนเล็กเอาไว้ ออกแรงกระตุกนิดเดียวตัวของฟ้าก็ถลาเข้ามาชนกับตัวผม

ฟ้าหลุบตาต่ำ ไม่ร้องไม่ห้าม ผมก็เลยกดจูบลงไปที่แก้มเนียนนุ่ม มีกลิ่นหอมอ่อนๆของแป้งเด็ก หอมแก้มทั้งสองข้างจนพอใจ ผมก็ย้ายที่มาที่จุดสำคัญ

จุ๊บ

ผมจุ๊บเบาๆที่ริมฝีปาก แล้วถอยออกมาดูอาการคนที่อยู่ในอ้อมกอด ฟ้ากะพริบตามองผมเหมือนกำลังมึนงง ผมจึงจุ๊บปากเขาอีกที คราวนี้ผมออกแรงดูดเบาๆทำให้ยามที่ถอยห่างออกมา กลีบปากนุ่มถูกดูดติดมาด้วย ผมทำแบบนั้นอยู่สี่ห้าที่ ฟ้าก็เบี่ยงหน้าหนี คงรู้ตัวแล้วว่ากำลังถูกผมแกล้ง

“พอแล้วครับ คุณตรีไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว ผมจะไปทำกับข้าว” ฟ้าดันแขนผมออก แต่เรื่องอะไรจะปล่อย ทำงานเหนื่อยมาทั้งวันก็ขอชื่นใจให้หายอยากสักหน่อย แต่ผมก็มีเวลาชื่นใจทั้งคืนอยู่แล้ว ช่วยไม่ได้ที่ผมเป็นคนโลภแล้วฟ้าต้องมาผูกติดกับผม

“แปบนึง ขออยู่อย่างนี้ก่อน เหนื่อยจัง” ผมขยับกอดฟ้า สูดดมความหอมจากเรือนผมแล้วก็ผิวกาย

“งานวันนี้เป็นไงบ้างครับ” เขายอมให้ผมกอดแต่โดยดี ที่ดีที่สุดคือเขากอดตอบผมด้วย ใช้สองมือที่เริ่มจะนุ่มขึ้นลูบแผ่นหลังผมขึ้นลงช้าๆ

“ฉันทำกำไรให้บริษัทได้หลังจากที่ขาดทุนมานาน และพ่อก็ยกบริษัทนี้ให้ฉันแล้ว”

“จริงเหรอครับ!” น้ำเสียงของเขาตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ไม่ต้องมองหน้าก็รู้ว่าเจ้าตัวคงจะต้องโปรยยิ้มหวานอย่างที่ชอบทำเวลาดีใจ

“จริงสิ”

“แล้วอย่างนี้ คุณท่านก็ยอมรับคุณตรีแล้วใช่ไหมครับ” น้ำเสียงของฟ้าดังกรอกหู เหมือนเขาอยากจะหันมาคุยกับผมเลยพยายามเอียงหน้ามามอง

“อืม จะว่ายังไงดีล่ะ” ผมแกล้งทำเสียงเศร้า

“มีอะไรหรือเปล่าครับ” และเขาก็ออกอาการกระวนกระวายตาม

ด้วยความมันเขี้ยว ผมจึงกอดเขาแน่นขึ้นแล้วฝังหน้าลงที่ซอกคอขาว ขบเม้มผิวเนื้อไปหนึ่งที

แฟนผมน่ารักจริงๆเลยครับ

“คุณผู้ชายยังไม่ยอมรับคุณตรีเหรอครับ ทำไมละครับ ในเมื่อคุณตรีก็ทำงานเสร็จแล้วไม่ใช่เหรอ คุณตรีขายเฟอร์นิเจอร์ได้ตั้งเยอะมันยังไม่พอเหรอครับ” ฟ้าตัดพ้อเสียงเบาหวิว

“อืม พ่อยังไม่ยอมรับ...”

“คุณตรี...”

“แต่พ่อจะไม่เข้ามายุ่งวุ่นวายกับชีวิตฉันอีกแล้ว จะไม่มีการบงการหรือจับคู่ให้ฉันกับพวกผู้หญิงพวกนั้น ตอนนี้ฉันเป็นอิสระแล้ว”

“...”

“ทีนี้จะให้รางวัลฉันได้หรือยัง” ผมกระซิบชิดใบหูขาว กอดแล้วโยกตัวฟ้าเบาๆ เมื่อเขารู้ตัวว่าโดนผมแกล้งก็ออกแรงดันผมออกห่าง ผมยอมปล่อยเพราะกลัวเขางอแง

“คุณตรีหลอกผมเหรอครับ” ฟ้าทำหน้างอ

“ฉันเปล่านะ” ผมไม่ยอมรับ ผมไม่ได้หลอกสักหน่อย

“คุณตรีหลอกผม” ฟ้ายังคงโบ้ยความผิดให้ผม

“เดี๋ยวๆ จะกล่าวหากันแบบนี้ไม่ได้นะ” ผมดีดจมูกฟ้าไปหนึ่งที ไม่แรงมาก เอาแค่ให้คันๆพอ

“ก็คุณตรีทำให้ผมเข้าใจผิด ผมเป็นห่วงไปหมดเลย” ฟ้าถอนหายใจพรืดใหญ่ แล้วก็ตวัดหางตามองผมอย่างไม่พอใจ

ทำหน้าแบบนี้ก็ยังน่ารัก

“เป็นห่วงฉันมากเลยเหรอ” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ พยายามจะเข้าไปยุ่มย่ามด้วยการโอบเขา แต่ฟ้าดันแขนผมออกห่าง ไม่ยอมให้เข้าใกล้

“ไม่ห่วงแล้วครับ”

“หึหึ เป็นห่วงฉันสินะ ฮ้า มีความสุขจัง” ผมเลิกตอแยฟ้า ทิ้งตัวนั่งพิงโซฟาแล้วยิ้มกริ่มใส่เขา

“เหอะ” เขาส่งเสียงในลำคอแล้วลุกเดินหนีผมไปเลย เด็กดื้อเอ้ย


หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่30:เมื่อเราต่างเป็นของกันและกัน 13-04-20 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 13-04-2020 21:20:28


ฟ้าไม่ใช่คนโกรธนาน เข้าครัวไปทำอาหารแปบเดียวก็กลับมาร่าเริงไร้ซึ่งความโกรธที่โดนผมแกล้งเล่น ตลอดเวลาในช่วงมื้ออาหารเย็นเขายังคงดูแลผมดีเหมือนผม ผมเลยไถ่โทษด้วยการเล่าเรื่องที่พ่อพูดกับผมให้ฟัง ฟ้าก็ทำหน้าตื่นเต้นสนใจยามที่ผมพูด เขาเป็นผู้ฟังที่ดีเสมอ

ทานข้าวเสร็จผมก็ปล่อยให้เขาไปทำธุระส่วนตัว อาบน้ำเอย อ่านหนังสือเรียนเอย ส่วนผมอาบน้ำแล้วก็ลงมานั่งดูทีวีที่ห้องนั่งเล่น รอจนกระทั่งฟ้าใช้เวลาของตัวเองเสร็จผมจะได้เริ่มขอของรางวัลของผมสักที

ประมาณสี่ทุ่มฟ้าก็เดินลงมาในชุดนอนผ้าซาตินแขนยาวขายาวสีฟ้าอ่อน เป็นชุดที่ผมเลือกให้ ผมชอบเวลาที่เขาใส่เสื้อผมที่ผมเป็นคนซื้อให้เขา มันเหมือนว่าเขาเป็นของผมทั้งตัว

“อ่านหนังสือเสร็จแล้วเหรอ” ผมถาม เขาพยักหน้าช้าๆ

“ครับ อ่านจบแล้ว”

“ขยันจัง” ผมดึงฟ้าให้ลงมานั่งข้างๆ อ้อมแขนโอบเอวบาง

“ก็...คุณตรีบอกว่าถ้าผมทำคะแนนได้ดีจะให้รางวัลผมนิครับ”

ผมไม่แน่ใจว่าฟ้าอ่านหนังสือจริงไหม เพราะเขาดูเหมือนจะไม่มั่นใจเวลาตอบ ไม่เหมือนเวลาที่เขาทำอะไรดีๆสักอย่าง เขาจะเล่ามันอย่างมีความสุข

แต่เขาจะอ่านหนังสืออย่างที่ว่าจริงหรือไม่ ก็ถือว่าเข้าทางผม

“ฉันให้แน่ๆถ้านายทำได้ แต่รางวัลของฉันล่ะให้ได้หรือยัง”

เขาเปิดโอกาสให้ผมทวงเองนะ ช่วยไม่ได้ หึหึ

“ผมยังไม่ได้รับปากเลยนะครับ” ผมเหล่ตามองผม แล้วรีบเบนกลับไปจ้องหน้าจอโทรทัศน์

“จะไม่ให้รางวัลฉันหน่อยเหรอ ทำงานเหนื่อยมากเลยนะเพื่อเราสองคนน่ะ” ผมแกล้งทำเสียงเศร้า และมันค่อนข้างได้ผลเมื่อฟ้าหันมามองผมทันที

“เอ่อ คุณตรีอยากได้อะไรครับ” ฟ้าถามเสียงเบาหวิว

ผมยกยิ้มมุมปาก ไล่สายตาจากดวงตาดวงกลมลงมาเรื่อยๆตามสันจมูกเล็กสิ่งต่อมาคือริมฝีปากสีชมพูอ่อน ที่พอรู้ตัวว่าถูกจ้องข้าวของมันก็เม้มปากหลบสายตา

“ฉันบอกไปแล้วนี่ว่าอยากได้อะไรเป็นของรางวัล”

ผมมันคนคิดไม่ซื่อ พอรู้ตัวว่าชอบผมก็ไม่เคยคิดดีกับเขาอีกเลย วัยที่ฮอร์โมนกำลังพลุ่งพล่าน อยากแตะอยากต้องแต่ทำไม่ได้ ผมต้องใช้ความสงบเยือกเย็นเข้าข่มความร้อนรุ่มที่อยู่ในตัว

เวลาเขาอยู่ใกล้ผมก็อยากจะดึงมากอดรัดแรงๆ

เวลาเขาขยับริมฝีปากพูด ผมอยากบดเบียดจูบลงไปและใช้ปลายลิ้นเลาะเล็กหาสิ่งที่อ่อนนุ่มชุ่มฉ่ำ

เวลาที่ได้กลิ่นแชมพูจากเส้นผมของเขา ผมอยากเข้าไปดอมดมและซุกไซ้ ถ้าได้กลิ่นใกล้กว่านี้คงชื่นในอก

ผมมั่นใจในเสน่ห์ของตัวเองพอตัวและด้วยแรงดึงดูดของผม ฟ้าไม่มีท่าปฏิเสธ มีแต่จะโอนอ่อนผ่อนตาม อย่างตอนนี้ที่ผมประคองช้อนท้ายทอยของฟ้าเข้ามาใกล้ ค่อยๆหยั่งเชิงรอหากว่าเขาอยากจะปฏิเสธ เมื่อระยะห่างของเราใกล้เกินกว่าที่จะโฟกัส ฟ้าก็หลบตา ขยับปากเปิดเชื่องช้าเมื่อผมแนบริมฝีปากลงไปในที่สุด

ริมฝีปากของฟ้าเย็นชืดในวินาทีแรกที่สัมผัส แต่ไม่นานผมก็หลอมละลายความเย็นให้เร่าร้อน จุดประกายไฟแห่งความปรารถนาด้วยริมฝีปากของเราทั้งคู่

ผมทั้งขบเม้มปากหวานๆด้วยความอ่อนโยนละมุนละไม อยากให้ครั้งแรกของเราเต็มไปด้วยความทรงจำที่ดี อยากให้ฟ้าจดจำความรักที่ผมจะมอบให้ไว้ในใจอย่างละเอียดถี่ถ้วน

ยามชำแรกลิ้นเข้าไปในโพรงปากของฟ้า เขาสะดุ้งเล็กน้อยแต่ยอมให้ผมเชยชมแต่โดยดีไม่มีขัดขืน แม้จะมีเสียงโทรทัศน์ดังไปทั่วบ้าน แต่ผมก็ยังได้ยินเสียงหอบหายใจของเราที่ดังแผ่วสอดประสานเป็นจังหวะ โดยเฉพาะเสียงความชื้นแฉะของลิ้นที่เกี่ยวกระวัดกันอย่างลึกซึ้ง ไม่รู้ว่าเขาเผลอตัวหรือจงใจใช้ปลายลิ้นของเขารุกผมกลับด้วยท่าทีไร้เดียงสา

ผมทั้งจูบ บดคลึง แย่งอากาศของคนตัวเล็กจนเขาสิ้นแรงจึงปล่อยกลีบปากที่เริ่มบวมนิดให้ได้พักหายใจหายคอ มือก็คว้ารีโมทมาปิดทีวี ก่อนจะสอดมือใต้ข้อพับเข่าช้อนก้นของฟ้าขึ้นผม ด้วยความตกใจฟ้าจึงผวากอดคอผมแน่น สองขาก็เกี่ยวเอวผมไว้กันหลุด

อืม ท่านี้นี่แนบชิดดีอะไรอย่างนี้ ถ้าไม่มีเสื้อผ้าผมร่างกายของเราสองคนคงจะดีไม่น้อย แต่เพราะเป็นครั้งแรกของเขา ผมจึงยังไม่คิดจะเมคเลิฟกลางบ้าน เริ่มจากบนเตียงในห้องนอนน่าจะเป็นประสบการณ์ที่ดีที่สุดสำหรับเขา

ผมอุ้มฟ้าด้วยท่านั้น เดินไปปิดไฟทุกดวงด้านล่าง ยิ่งแสงค่อยๆสลัวยิ่งได้บรรยากาศ ผมปัดป่ายริมฝีปากไปทั่วใบหน้าเนียน ฟ้าเดี๋ยวสบตาเดี๋ยวหลุบตา มีกดจูบปากผมบ้างยามที่สูญเสียการควบคุมตัวเอง เหมือนเขาเองก็อยากจะเรียนรู้

ผมอุ้มฟ้ามาจนถึงเตียงนอน ค่อยวางเขาลงนอนหงายบนเตียง ผมปลดกระดุมเสื้อนอนของตัวเองเชื่องช้า แต่สายตาจ้องสะกดคนบนเตียงเอาไว้ไม่ให้เขาขยับหรือลุกหนี

จัดการท่อนบนของตัวเองเสร็จผมก็ก้มตัวทับไปบนตัวของฟ้า จับสองขาเรียวกางออกเพื่อที่จะได้แทรกตัวเองไว้ตรงกลาง ผมท้าวท่อนแขนขนาบคล่องศีรษะเล็กเอาไว้ มองคนที่นอนหน้าแดงด้วยความลุ่มหลง

“ฟ้า รู้ไหมว่าทำไมฉันถึงชอบสีแดงแต่ไม่แสดงออกให้ใครรู้ว่าชอบ” ผมขยับเข้าใกล้ ปัดป่ายปลายจมูกไปทั่วบริเวณกรอบหน้า ค่อยๆละเมียดละไมสูดดมกลิ่นหอมจากเนื้อผิวอ่อน

“ไม่รู้ครับ” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาทั้งสั่นทั้งเบา

“เพราะว่าหมายถึงความรุ่มร้อนที่อยู่ในตัวฉัน มีแค่คนพิเศษเท่านั้นที่ฉันจะให้สัมผัส”

และคนพิเศษคนนั้นก็คือเขา

ผมกดริมฝีปากลงบนผิวคอแล้วเริ่มขบเม้ม บางดูดดุนจนขึ้นรอยช้ำสีแดง

เพราะรู้ดีว่าตัวผมยิ่งกว่ากองเพลิง และฟ้าคือเชื้อเพลิงชั้นดี ผมข่มอารมณ์ไม่เข้าใกล้เขาก่อนหน้านี้ เพราะรู้ตัวดีว่าถ้าลองได้เริ่มแตะต้อง ผมไม่อาจจะหยุดความปรารถนาในตัวเองได้ ผมมีความต้องการสูง และผมกดเก็บมันไว้ได้เสมอมาภายใต้ความนิ่งสงบ ใครเล่าจะรู้ว่าลึกลงไปมันคือสมรภูมิที่แสนดุเดือดดีๆนี่เอง

ผมใช้เวลาละเลียดชิมนานอย่างที่ใจอยากทำมาโดยตลอด

ผมต้องการให้เขารับรู้ของสัมผัสทุกๆตารางนิ้วยามที่ผมขยับเคลื่อนไหวช้าๆอยู่บนตัวเขา

ผมอยากให้เขาดิ้นบิดกายเร้ายามที่ผมขยับเข้าออกอย่างเชื่องช้า

และผมอยากให้เขาร้องขอให้ผมทำให้เร็วขึ้นและหนักหน่วงขึ้น

ผมต้องการให้เขาต้องการผมมากและมากขึ้นไปอีก

ฟ้าหลับตาลงซ่อนความกลัว ผมรู้ว่าเขากลัว ร่างกายผู้ชายไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เป็นที่รองรับ แต่นอกจากความกลัวเขายังมีความกล้าที่จะตอบรับสัมผัสของเขา เขาเกาะเกี่ยวผมแน่น เขาแตะริมฝีปากของเขาที่แก้มของผมหรือบนลาดไหล่เพื่อระบายความอึดอัดที่ผมช่วยก่อ

ยามผมถอดเสื้อผ้าออกจากตัวเขา ผมใช้ปลายนิ้วลากผะแผ่วไปตามทาง สร้างความกระสันให้เขาทีละน้อยๆ ยิ่งเห็นฟ้าบิดกายเร้าๆด้วยน้ำมือผม ยิ่งทำให้รู้สึกอยากกลืนกิน

“ตัวแดงไปหมดเลยนะ” ผมเอยแซว มองสำรวจร่างเปลือยเปล่าใต้ร่างทุกซุกทุกตาราง ฟ้าทำท่าจะหนีบขาปกปิดส่วนอ่อนไว้ของเขาจากสายตาของผม แต่ทว่ายิ่งหนีบก็ยิ่งแนบชินกันมากขึ้น

“คุณตรี ผมอาย” เขาเปิดปากพูด พยายามยื่นมือมาปิดตาผม แต่ผมรวบจับข้อมือทั้งสองข้างไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียวผมตรึงมันไว้เหนือหัว

“ไม่มีอะไรต้องอาย ตัวนายน่ารักมาก ฉันชอบมาก” ผมพูดเสียงลอยๆ ยิ่งมองยิ่งมีอารมณ์ ผมโน้มตัวลงไปจูบตีตราแสดงความเป็นเจ้าของไล่ตั้งแต่หน้าอก ปัดผ่านหัวนมสีสวยที่แข็งเป็นไตท้าทายให้ครอบครอง ผมไม่รอช้าครอบปากลงดูดตุ่มเม็ดเล็กๆขนาดเท่าลูกเกด นอกจากขนาดที่เหมือนแล้วรสชาติยังหอมหวานเหมือนกันอีกด้วย

ดีเกินไปแล้ว ดีจนอยากจะกัดแรงๆให้ร้องครางเพราะความเจ็บปนเสียว

แต่ผมต้องใจเย็นไว้ บทเรียนแรงยังไม่จำเป็นต้องรุนแรงขนาดนั้น วันนี้เอาแค่บทเรียนเบสิกไปก็พอ เดี๋ยวลูกไก่จะเตลิดไปเสียก่อน

“อ๊า” ฟ้าครางระโหย

ผมละเลียดชิมหน้าอกของฟ้าจนพอใจ แล้วจึงเคลื่อนตัวลงต่ำอีกนิดเพื่อเล่นกับหน้าท้องและแอ่งสะดือ ทุกครั้งที่ผมแนบปากจูบ ฟ้าจะแขม่วท้องหนี เดี๋ยวหดเกร็ง เดี๋ยวแอ่นสูง ทุกส่วนในร่างกายของเขาน่าเล่นไปหมด โดนเฉพาะฟ้าน้อยที่บวมเป่งรอการปรนเปรอ

ผมลากฝ่ามือลงสัมผัสกับส่วนที่อ่อนไหวที่สุดในร่าง ฟ้าสะดุ้งโหยงหนีบต้นขาเข้าหากัน ผมปล่อยข้อมือเล็กให้เป็นอิสระ แล้วใช้มือนั้นบีบเคล้นไปตามต้นขาให้คลายความเกร็ง

“คุณตรี ผม...”

“ชู่ว ไม่เป็นไร ฉันจะทำให้นายรู้สึกดีขึ้น” ผมปลอบประโลม ขยับมือที่กอบกุมฟ้าน้อยขึ้นลงช้าๆแต่ลงแรงบีบแรงเคล้น ผมตัวสั่นจนเห็นได้ชัด ผมเลยลองเพิ่มความเร็วดู เสียงครางเสียงหอบก็ยิ่งดังขึ้น ผมยกยิ้มแล้วหยุดมือทันที ร่างเล็กที่กำลังจะแตะขอบฟ้าสะท้านเฮือก เขามองจ้องผมด้วยแววตาที่ฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำ เว้าวอนและร้องขอ

“รอก่อน” ผมกระซิบบอก

“แต่ผม...ไม่ไหว อื้อ” ฟ้าบิดกายไปมา พอเขาจะจับของตัวเองผมก็ปัดมือเขาออก กอบกุมมือของเขาให้มาจับที่กางเกงนอนของผม

“ถอดให้ฉันสิ ฉันจะได้ช่วยนายได้ไง”ผมตะล่อมด้วยเสียงนุ่ม ฟ้าขมวดคิ้วมองแล้วยอมหยัดตัวลุกขึ้น มือทั้งสองข้างสั่นเทายามที่รูดกางเกงผมลง ผมไม่ได้ใส่กางเกงชั้นใน ก็เพราะรู้อยู่แล้วว่าเราจะมาลงเอยกันบนเตียงจึงไม่มีความจำเป็นต้องใส่อะไรให้มันมากชิ้น และผมก็ไม่ใส่ชั้นในนอนอยู่แล้วเป็นเรื่องปกติ

ฟ้าจ้องมองที่ลูกชายผมด้วยความอึ้ง ดวงตากลมโตขยายกว้าง ผมตาไวสังเกตเห็นเขากลืนน้ำลายลงคอ ผมยิ้มออกด้วยความภาคภูมิใจ ผมจับรูดอาวุธของตัวเองเป็นการโชว์ให้ฟ้าต้องการผมมากขึ้น เขามองการกระทำของผมไม่วางตา

“เด็กลามก” ผมเอ่ย ฟ้ารีบหันหน้าหนีทันที

“คุณตรีนั่นแหละลามก” ผมว่าให้เสียงเบา

“หึหึ ไปหยิบถุงยางกับเจลที่ลิ้นชักหัวเตียงให้หน่อย” ผมบอก ฟ้าหันมามองผมก่อนจะยอมขยับคลานไปที่ลิ้นชักหัวเตียง

เดี๋ยวนะ หันหลังคลานโชว์ก้นใส่ผมนี่ไม่ได้จะยั่วกันใช่ไหม

ผมกัดฟันกรอดข่มความดิบเถื่อนในตัวเอง ไม่ให้เผลอดึงฟ้าเข้ามาแล้วแทงพรวดลงไปในความเล็กแคบทั้งในคราเดียว

เย็นไว้ ใจเย็นไว้

“นี่ครับ” ฟ้ายื่นของที่ต้องใช้ให้ผม ผมวางของสองชิ้นบนที่นอนแล้วดันตัวฟ้าให้นอนหงายอีกครั้ง หยิบหมอนมามองใต้บั้นเอว จัดท่าทางให้อยู่ในจุดที่จะกระทำได้สะดวกที่สุด

“คุณตรี...เบาๆนะครับ” ผมแตะมือผมที่กำลังบีบเจลหล่อลื่นใส่นิ้ว

“ฉันจะทำเบาๆ แต่ครั้งแรกยังไงก็เจ็บ อดทนไว้นะ” ผมพูดแล้วยิ้มให้เขาเชื่อมั่นใจตัวผม และเมื่อฟ้าพยักหน้าผมก็หลุบตามองต่ำ

ผมแบะต้นขานุ่มกางออก เปิดเผยจุดที่จะเชื่อมร่างกายของเราสองคน ผมมองรอยจีบที่ผิดสนิท พอรู้ว่าถูกจ้องมันก็บีบตัวโชว์ความแน่น

ผมรู้ว่าฟ้าไม่ได้ตั้งใจจะขมิบยั่ว แต่เขาก็เผลอทำมันไปแล้ว

ผมแตะปลายนิ้วลงไปที่จุดนั้น รอบจีบเล็กๆก็ขมิบต้อนรับสิ่งแปลกปลอม ผมลากไล้ปาดเจลไปทั่วบริเวณ ใช้นิ้วเพียงนิ้วเดียวกดย้ำๆให้ปากทางค่อยๆเปิดออก

“อื้อ อึก” ฟ้าตัวสั่นเกร็ง เขาเหลือบมองผมเป็นระยะ พอผมชำแรกนิ้วข้อแรกเข้าไปฟ้าก็ร้องว่าเจ็บ ผมใจเย็นกับช่องทางเล็กๆของเขา เพิ่มปริมาณเจลแล้วใช้นิ้วนำพาสารหล่อลื่นเข้าไปข้างในตัวที่คอยแต่จะบีบรัด คับแน่นจนแทบขยับนิ้วเข้าออกไม่ได้ จนกระทั่งข้างในมีความชื้นแฉะเพียงพอ ผมจึงค่อยๆเพิ่งจำนวนนิ้วเพื่อขยายช่องทาง

“คุณตรีครับ อ๊า เร็ว....เร็วได้ไหม” เหมือนผมจะขยับไม่ทันใจเพราะมันแต่อ่อนโยนจนเขาต้องเรียกร้อง เมื่อเขาของผมก็จัดให้ ขยับนิ้วเข้าออกเร็วขึ้น คนที่ร้องขอเมื่อตะกี้แอ่นตัวผวา จิกมือกับผ้าห่มแน่น และเพียงแค่ผมเร่งจังหวะไม่กี่ครั้ง ฟ้าก็ไปถึงจุดหมายอย่างที่เขาต้องการ

“แฮกๆ” เสียงหอบหายใจดังถี่ ผมขยับตัวขึ้นจูบเขาด้วยความรักความหลงใหล

“ดีไหม” ผมถาม อยากรู้ว่าเขารู้สึกอย่างไรจากคำพูด เขาเขินอายที่ผมถาม แต่ก็ไม่สงวนคำพูด

“ดีครับ”

“อยากดีมากกว่านี้ไหม อยากรู้สึกถึงฉันไหม” ผมถามอีก คลอเคลียจูบไม่ห่าง

“อยากครับ”

ผมอมยิ้มพึงใจ ดึงตัวขึ้นหยิบกล่องถุงยางอนามัยมาแกะออกแล้วสวมใส่ให้เรียบร้อยเตรียมพร้อมที่จะรบในสมรภูมิรัก

“ใส่ถุงยางเป็นใช่ไหม คราวหน้าต้องเป็นคนใส่ให้ฉันนะ” ผมบอกเขา เขาไม่ตอบอะไร เบือนหน้าหนีแล้วหลับตารอรับลูกชายของผมที่กำลังจะมุดถ้ำ

ผมใช้นิ้วเปิดทางอีกครั้งจนคิดว่าน่าจะเพียงพอให้ผมสอดเจ้าตรีน้อยเข้าไป และเป็นอย่างที่คิด มันไม่ได้เข้าง่ายๆ ร่างกายของฟ้าต่อต้านที่สิ่งลุกล้ำอาณาเขตทันที

“เจ็บครับ คุณตรี...ผมเจ็บ” ผมร้องเสียงหลงเมื่อผมพยายามที่จะดันส่วนหัวเข้าไป

“ฉันรู้ ผ่อนคลายนะ หายใจเข้าลึกๆ ค่อยๆผ่อนแรง อย่าเกร็ง ค่อยๆนะ” ผมพูดปลอบและชี้นำเด็กน้อยที่เพิ่งสำหรับการถูกรักเป็นครั้งแรก นักเรียนหัวไวก็ตั้งใจทำตามที่ผมบอก ผมชโลมเจลลงบนลำกายที่ยังอยู่ด้านนอก ขยับส่วนที่อยู่ข้างในแล้วเข้าออก เพิ่มความยาวของแท่นร้อนให้เข้าลึกขึ้นทุกจังหวะ

“เจ็บครับ พอ...พอก่อน” ฟ้าแตะแขนผมแล้วเอ่ยห้ามปราม หยาดน้ำตาหนึ่งหยดไหลกลิ้งผ่านแก้มลงบนที่นอน

ผมโน้มตัวจูบน้ำตา แตะปลายจมูกกับจมูกของฟ้า ปัดผ่านถูไถแลกลมหายใจของกันและกัน

“พี่รักฟ้านะครับ” ผมเอ่ยบอกเขา ขโมยความรู้สึกนึกคิดของเขาผ่านแววตาที่บอกทุกความรู้สึกอย่างที่ผมพูด ยามเขาเผลอผมก็กดสะโพกเข้าลึกขึ้น เมื่อเขาบีบรัดแน่นจนผมเจ็บตาม ผมก็หยุดตัวเองเพื่อให้เขาปรับตัว

“ฟ้าก็รักคุณตรี” เขาพูดปนเสียงสะอื้นเล็กน้อย

“พี่ต้องการฟ้ามากนะ ต้องการฟ้าเพียงคนเดียว” ผมทรมานจนแทบจะทนไม่ไหว แต่ก็ไม่กล้าหักหาญน้ำใจทำเขาเจ็บด้วยการกระแทกตัวเองเข้าไปทีเดียว ฟ้ายกมือกอดตัวผมแล้วส่ายหน้าไปมากับแผงอกที่แน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ เขาสูดลมหายใจแล้วเคลื่อนสะโพกของเขาเข้าหาผมคล้ายจะช่วยอีกแรง

“น่ารักจริงๆเลยคนนี้” ผมดูดปากนิ่มไปหนึ่งทีแล้วกดตัวเองเรื่อยๆ ฟ้าค่อยเรียนรู้ที่จะผ่อนคลายจนในที่สุดผมก็เข้าไปในจนสุดลำ

ทั้งอุ่นทั้งร้อน ข้างในนุ่มและแน่นจนผมแทบระเบิด

จุ๊บ

ผมจูบปากเขาพัลวัน เริ่มขยับสะโพกเข้าออกช้าๆ ลากออกจนเกือบสุด และยัดใส่เข้าไปใหม่จนสุดทาง ผมมองสีหน้าของฟ้ายามที่ร่างกายของเราสอดประสานกันเป็นจังหวะ อยากมองทุกสีหน้าและแววตายามที่เขาแสดงอารมณ์ความต้องการ ฟ้าน่ารักน่าหลงใหล ผมลูบผมฟ้าด้วยความเอ็นดู

“ยังเจ็บอยู่ไหม” ผมถาม เพราะอยากเร่งเครื่องจะแย่แล้ว

“เจ็บครับ แต่ผมไหว”

“ไหวเหรอหืม” ผมถามให้แน่ใจ เข้าใจในความหมายที่เขาจะสื่อ

“ไหวครับ”

“โอเค” ผมตอบรับ แล้วเร่งจังหวะให้เร็วขึ้นแต่ยังคงไว้ซึ่งความหนักหน่วง ฟ้าจับจ้องทุกความเคลื่อนไหวยามผมโลดแล่นอยู่บนร่างกาย เขาทำให้ผมสุขสม เมื่อก่อนเคยจินตนาการและเก็บไปฝันว่าได้ร่วมรักกับเขา แต่วันนี้ความฝันนั้นเป็นจริง ผมสามารถกอดเข้าเอาไว้ ได้ครางชื่อเขา และได้ฟังเขาครางเรียกชื่อผม

“ฟ้าครับ รัดพี่แน่นจังเลย อืม”

“อ๊า ผมจุก..อื้อ”

ตรงนั้นของเราแนบสนิทกัน เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังก้องไปทั้งห้องนอน ความเย็นของเครื่องปรับอากาศไม่มีผลเมื่อความร้อนของเราสองคนพุ่งทะยานทะลุปรอท

น้ำเสียงของฟ้าแค่ฟังก็สะท้าน ผมพยายามยืดเวลาออกไปเพราะไม่อยากให้บนรักของเราจบลง แพของตาของฟ้าชุ่มฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำตาของความปรารถนา ปลุกให้อวัยวะเบื้องล่างของผมตื่นตัวตอบสนองขยายตัวเพิ่มความคับแน่น

“ฟ้าครับ ฟ้า รัดพี่แรงๆ” ผมกระซิบเสียงพร่า หลับตารับรู้ทุกสัมผัสที่เขาตอบรับ

ใกล้แล้ว อีกนิด

“อืม ผมไม่ไหว คุณตรี ผมจะ...”

“ฉันรู้ ฉันจะทำให้นายมีความสุข”

ร่างกายที่เล็กกว่าผมเคลื่อนไหวไปตามแรงโยก ยิ่งความเสียวซ่านกลืนกินเรามากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งซัดแรงใส่ไม่ยั้ง โจนจ้วงเข้าออกแต่ละทีชนิดที่ว่าถึงแก่น

ดี ดีมากๆ ใกล้แล้ว

“ฟ้าครับ เสียวไหม” ผมถามเสียงครางต่ำ ฟ้าหน้าแดงไปหมด ริมฝีปากของเขาหุบแทบไม่ลงเพราะต้องคอยครางและคอยคว้าอากาศเพื่อหายใจ

“เสียวครับ ผมเสียว ผมไม่ไหวแล้ว” ฟ้าตอบตาลอย สะบัดหน้าไปมาจนเส้นผมปลิวเคล้าเคลียตามใบหน้าและที่นอน

“ถ้างั้นก็ไปพร้อมกันนะ” ถึงผมอยากจะยื้อเวลาบทรักของเราให้นาน แต่ผมก็ยากแตะขอบสวรรค์พร้อมกับเขา

ผมสูดดมกลิ่นกายหอม ยิ่งมีเหงื่อออกจากบทรักที่เร่าร้อนยิ่งกระตุ้นอารมณ์ให้พุ่งสูง ผมกระตุ้นให้เขาเสียวซ่านจนถึงขีดสุด ทะยานกายเข้าออกชนิดที่ไม่ผ่อนจังหวะ เร่งเร้าอย่างเอาแต่ใจ เรียกร้องเอาจากเขาอย่างไม่รู้จักพอ และเมื่อความอดทนได้มาถึงขีดสุด เสียงครางหวานก็เปล่งประกาย ร่างกายที่บิดเร้าๆก็เกร็งกระตุก พ่นความรักออกมาโดนหน้าท้องผมของทุกหยาดหยด ภาพนั้นยั่วยวนจนเกินคำบรรยาย แรงสอดกระแทกครั้งสุดท้ายเสยงัดเข้าไปเต็มแรงแล้วเอื้อมแตะความสุขไปพร้อมกับเขาในวินาทีต่อมา

“จุ๊บ อืม รักฟ้านะครับ รักที่สุด” ผมเสยผมที่ปรกใบหน้าฟ้าออก แล้วพรมจูบไปทั่วไปหน้าอย่างรักใคร่

“ผมก็รักคุณตรี”

“นายเป็นของฉันแล้วนะ เราเป็นคนๆเดียวกันแล้วนะ รู้ไหม”

ฟ้ายิ้มอย่างอ่อนแรงแล้วพยักหน้า เขาเหมือนจะหลับได้ทุกเมื่อ แต่ว่า..ครั้งเดียวมันไม่พอสำหรับผม

“ฟ้าครับ อย่าเพิ่งหลับสิ”

“ผมเหนื่อย”

“เหนื่อยก็นอนไป เดี๋ยวฉันทำเอง” ผมกระซิบเสียงทุ้ม จับฟ้าให้นอนตะแคงแล้วขยับตัวไปนอนซ้อนด้านหลัง

“คุณตรี...จะต่อเหรอครับ” ฟ้าหันหน้ามาถามผมหน้าตาตื่น

“ยังไม่หายอยากเลย ดูสิ มันแข็งอีกแล้ว” ผมจับขาข้างซ้ายของฟ้ายกขึ้น กดเจ้าลูกชายถูไถไปตามร่องหลืบระหว่างแก้มก้นนิ่ม

“รู้สึกถึงมันไหม ฉันต้องการนายนะ”

“คุณตรี...”

“อีกรอบนะครับ” ผมสอดแขนรองต้นคอให้ฟ้าหนุน จับใบหน้าเล็กหันมารับจูบดูดวิญญาณและเริ่มต้นรังแกเขาอีกโดยไม่ให้เขามีโอกาสร้องปฏิเสธ

เอาล่ะ ยังไงคืนนี้ผมก็ไม่หยุดง่ายๆหรอก ต่อให้อีกคนจะสลบไปด้วยความเหนื่อยล้าก็ตาม






หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่30:เมื่อเราต่างเป็นของกันและกัน 13-04-20 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 14-04-2020 01:39:28
 :L2: :pig4: :L2:

ติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่30:เมื่อเราต่างเป็นของกันและกัน 13-04-20 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 15-04-2020 00:30:03
หือออ คุณตรีฮอตจริงๆ น้องฟ้าโดนจัดหนักตั้งแต่ครั้งแรกเลย.  o18
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่31:บทส่งท้าย (จบ) 15-04-20 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 15-04-2020 19:27:26
CATER TO YOU
ตอนที่ 31
บทส่งท้าย
เรามีความรักให้กันอย่างเหลือล้น
มากพอที่จะแบ่งปันให้ผู้คนรอบข้าง




“ฟ้าครับ ขึ้นไปดูข้างบนอีกทีได้ไหมว่าปิดไฟปิดน้ำหมดหรือยัง”

“ได้ครับ” ผมวางกระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเองไว้ที่ท้ายรถ แล้วเดินขึ้นไปสำรวจบนบ้านอีกครั้งให้แน่ใจว่าลืมอะไรหรือเปล่า แต่สรุปว่าผมก็ลืมจริงๆ ไม่ใช่ว่าลืมปิดไฟปิดน้ำ แต่ผมลืมหยิบกระเป๋าโน้ตบุ๊กลงไปด้วย

โน้ตบุ๊กเครื่องนี้คุณตรีให้เป็นของขวัญที่ผมสอบได้คะแนนดี เทอมนี้ผ่านพ้นไปด้วยเกรดเฉลี่ย 3.66 ผมก็เลยได้ของรางวัลตามที่เขาเคยสัญญาไว้ นอกจากโน้ตบุ๊กแล้วเขายังให้ของรางวัลผมอีกอย่าง

‘ครั้งก่อนนายให้ตัวนายเป็นของรางวัล คราวนี้ฉันจะให้ตัวฉันเป็นของรางวัลนายบ้าง’

เขาว่าอย่างนั้น บอกว่าอยากให้เท่าเทียมกัน แต่ไม่ว่าผมจะมองมุมไหนผมก็เสียเปรียบเขาทุกทาง แต่ก็ว่าไม่ได้หรอกครับ เพราะผมเองก็ชอบสัมผัสของเขา แม้ว่าจะเหนื่อยจนสลบไปก่อนก็ตาม

เขาทำให้ผมเคยตัวไปซะทุกอย่าง ต้องโทษคุณตรีคนเดียว

ผมรีบวิ่งลงไปข้างล่าง คุณตรีขนของที่จำเป็นใส่ท้ายรถยนต์คันหรู เรากำลังจะเดินทางไปเชียงใหม่ครับ ไปเปิดสาขาใหม่ที่นั่น ตอนนี้บริษัทของคุณตรีได้ทำการเปลี่ยนชื่อแบรนด์จาก King’s Luxury เป็น WILDWOOD

คอลเลคชั่นที่แล้วดังเปรี้ยงปร้าง จนมีคำร้องขอให้ขยายสาขาไปตามต่างจังหวัดบ้าง และโซนแรกที่คุณตรีเลือกไปก็คือภาคเหนือ เชียงใหม่จึงเป็นจังหวัดที่เหมาะแก่การขยายสาขาที่สุด

ผมปิดเทอมหนึ่งเดือนกว่าๆพอดี คุณตรีก็เลยใช้ช่วงเวลานี้ขึ้นไปจัดการความเรียบร้อยที่นั่นด้วยตัวเอง พ่วงด้วยการหนีบผมไปด้วย

บ้านที่เราจะไปอยู่เป็นบ้านที่คนรู้จักของคุณเจมส์หรือรุ่นพี่ร่วมโรงเรียนของคุณตรีสมัยเรียนมัธยมขายต่อให้ เป็นบ้านเดี่ยวสองชั้นในเมือง ผมเห็นในรูปแล้วคือสวยและน่าอยู่มาก แต่ว่าต้องรีโนเวทใหม่ตามสไตล์ที่คุณตรีชอบ ในตอนแรกคิดว่าจะเสร็จทัน แต่ยังต้องใช้เวลาอีกประมาณสองสามวันในการเก็บงานให้สมบูรณ์แบบ ซึ่งคุณตรีว่าไม่ใช่ปัญหาอะไร เพราะระหว่างรอสามารถไปอยู่ที่บ้านของคนที่ขายบ้านหลังนั้นให้เรา เขาเป็นหมอจิตแพทย์ที่โรงพยาบาลในเชียงใหม่ ชื่อหมอนายน์

“ไม่ลืมอะไรแล้วนะ” คุณตรีคาดเข็มขัดนิรภัยเสร็จเตรียมจะออกรถ

“ไม่น่าลืมแล้วครับ” ผมพยายามนึก แต่คิดว่าน่าจะเอาไปครบ

“ไม่เป็นไร ถ้าลืมก็ไปหาซื้อที่นู่นเอา” คุณตรียักคิ้วประมาณว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แล้วเราก็ออกเดินทาง อย่างน้อยๆผมก็ตุนเสบียงมาพร้อมสำหรับการเดินทาง ทั้งของกินเล่น ทั้งเครื่องดื่ม มีกาแฟของคุณตรี แล้วก็มีชานมของผมด้วย

“เราจะไปถึงนู่นตอนกี่โมงเหรอครับ” ผมถาม เราขับรถออกจากกรุงเทพตอนบ่ายสาม เพราะงานที่รัดตัวและช่วงเวลาที่บีบกระชั้นทำให้ต้องออกเดินทางวันนี้ตอนเย็น โชคดีที่คุณตรีให้ผมเรียนขับรถก่อนหน้านี้ ถ้าคุณตรีล้าผมจะได้ขับแทนได้

“น่าจะไปถึงนู่นราวๆห้าทุ่มเที่ยงคืน ฝากกดจีพีเอสให้หน่อย” คุณตรีทำหน้าคิด แล้วส่งโทรศัพท์ให้ผมเปิดหาเส้นทาง กดตั้งค่าแล้วให้ระบบในโทรศัพท์นำทาง

“แล้วอย่างนี้พี่หมอนายน์เขาจะไม่นอนแล้วเหรอครับ”

“เห็นว่ายังนะ พี่เขาบอกว่าปกตินอนตีหนึ่งตีสองน่ะ แต่ถ้าเหยียบเร็วสักหน่อยก็น่าจะไปถึงประมาณสี่ทุ่ม”

“อย่าขับเร็วเลยครับ อันตราย” ผมบอก

“ไว้ใจฉันเถอะ เหยียบไม่เกินสองร้อยหรอก”

“คุณตรี! ไม่เกินร้อยสี่สิบผมก็จะขอบพระคุณมากครับ” ผมหันไปแหวใส่ที่เขาพูดเล่น แต่ผมกลัวเหลือเกินว่าเขาจะทำจริง ก็รู้อยู่หรอกครับว่ารถยุโรปอย่างBMW ที่คุณตรีขับเครื่องยนต์มันแรง แถมยังยึดเกาะถนนได้เป็นอย่างดี เวลาขับในกรุงเทพถ้าต้องขึ้นทางด่วน คุณตรีขับร้อยยี่สิบร้อยสี่สิบมาตลอด แอบเล่าให้ฟังเลยนะครับว่าเคยได้ใบสั่งมาส่งถึงหน้าบ้านด้วย เนื่องจากขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด

เราขับรถออกจากกรุงเทพก่อนเวลาที่ผู้คนจะเลิกงาน ขับมาเกือบสองชั่วโมงเราก็มาถึงอยุธยา ผมเคยได้ยินว่ากุ้งแม่น้ำเผาที่นี่อร่อย และก่อนหน้านี้ผมก็ดูละครไทยอย่างเรื่องบุพเพสันนิวาส ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าฉากนั้นทำให้ผมอยากกินกุ้งเผาเป็นเท่าตัว พอได้มาถึงถิ่นแบบนี้ก็ต้องจัดสักหน่อย

“เราซื้อกุ้งเผาไปฝากพี่หมอนายน์ด้วยดีไหมครับ” ผมถาม พลางตักเนื้อกุ้งตัวใหญ่ไซส์เบอร์ตองที่ผ่ากลางแบะออกโชว์เนื้อขาวเด้งใส่ในจานของคุณตรี ตามด้วยมันกุ้งราดทับ แค่นี้ก็อร่อยเหาะแบบไม่ต้องจิ้มน้ำจิ้ม แต่สำหรับผมต้องจิ้มครับ ชีวิตต้องการความแซ่บ

ผมไม่รู้หรอกครับว่าเบอร์ตองคืออะไร แล้วทำไมเขาถึงเอามาเรียกกุ้งตัวใหญ่ว่ากุ้งเบอร์ตอง เหมือนจะเคยได้ยินเขาว่าไว้เรียกสาวตัวท็อปในห้องกระจก แต่ที่แบบนั้นผมไม่เคยไป เลยไม่รู้ว่าสาวเบอร์ตองที่เขาเรียกๆกันนั้นเด็ดจริงหรือเปล่า

แล้วเราออกจากกุ้งเผาไปสาวเบอร์ตองได้ยังไง ผมนี่เลอะเทอะจริงๆ

“เอาสิ จะซื้ออะไรไปบ้างก็สั่งเลย เรากินเสร็จเขาจะได้ทำเสร็จพอดี” คุณตรีพยักหน้าเห็นด้วย เขาส่งเมนูอาหารให้ผมเลือก ผมก็เลยเลือกไปหลายอย่างเลยครับ

นี่เป็นอีกเรื่องที่ผมสามารถปรับตัวเข้ากับคุณตรีได้จนกลายเป็นความเคยชิน ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมจะไม่กล้าขอ ไม่กล้าเรียกร้อง เงินคือสิ่งที่ผมเคยขาดแคลนอย่างหนัก พอมีคุณตรีคอยจ่ายนู่นจ่ายนี้ให้ผมก็รู้สึกเกรงใจมากในช่วงแรกๆ ผมไม่อยากทำเหมือนมาเกาะเขากิน แต่เราก็ได้เปิดอกคุยกันและปรับความเข้าใจ จนทุกวันนี้ผมก็ไม่ค้านเวลาที่คุณตรีเป็นคนออกเงิน แต่ก็ยังคงอยู่ในขอบเขตที่ผมเองก็สบายใจว่าตัวเองไม่ได้เอาเปรียบคุณตรีจนเกินไปนัก

กินเสร็จก็ได้เวลาเดินทาง รอบนี้ผมขอขับเพราะว่าฟ้ายังไม่มืด ยังพอมองเห็นทางและถนนก็ค่อนข้างโล่ง สลับเปลี่ยนเป็นคุณตรีมาขับอีกทีหลังจากที่ผมขับมาได้สามชั่วโมง ระหว่างนั้นคุณตรีได้งีบไปหน่อย ทำให้สดชื่นที่จะขับต่อไปจนถึงที่หมาย

ในที่สุดเราก็มาถึงเชียงใหม่ตอนห้าทุ่มครึ่ง เพราะมีทางโค้งตอนขับผ่านเขาหลายโค้งและถนนค่อนข้างมืด ทำให้คุณตรีไม่สามารถขับรถเร็วได้อย่างใจ แต่ผมว่าก็ไม่แย่ครับ ดีเสียด้วยซ้ำ ยังไงเรื่องความปลอดภัยก็มาก่อน ช้ากว่าเดิมชั่วโมงสองชั่วโมงไม่เป็นปัญหาเลย

“อื้อ” ผมลงจากรถมายืดตัวบิดขี้เกียจไล่ความเมื่อยขบ

คุณตรีลงจากรถไปกดกริ่งที่หน้าบ้าน ยืนรอไม่นานก็มีผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งตัวพอๆกับคุณตรีเดินออกมาเปิดประตูรั้วให้คุณตรีขับรถเข้าไปจอดในบ้าน

“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ คิดว่าคนนี้แหละคือพี่หมอนายน์ ภาพลักษณ์ของเขาเข้ากับอาชีพหมอมากๆ หนุ่มตี๋ใส่แว่น ขนาดตอนกลางคืนยังพอมองออกเลยว่าเขาผิวขาว รูปร่างสูงพอๆกับคุณตรีก็จริง แต่ว่าไม่ค่อยมีกล้ามเนื้อสักแบบที่คุณตรีมี

“สวัสดีครับ น้องฟ้าใช่ไหมครับ พี่ชื่อนายน์นะ” พี่หมอยิ้มและแนะนำตัวกับผม

“ครับ ผมชื่อสายฟ้า เรียกสั้นๆว่าฟ้าก็ได้ คุณตรีก็เรียกแค่ฟ้าครับ” 

“อืม คงเพราะชื่อเราไม่เหมาะกับสายฟ้ามั้ง เราดูสดใสมากกว่าจะเป็นคนดุดัน” คุณหมอยิ้มละมุน แล้วเดินนำไปช่วยคุณตรีขนของเข้าไป

“เป็นไงบ้างละตรี เก่งเหมือนกันนะขับรถมาถึงกรุงเทพได้” พี่หมอเอ่ยกับคุณตรี

“ดีที่มีจีพีเอสช่วยครับ แต่ก็มีหลงแยกหลงทางบ้าง ผมแวะซื้อกุ้งเผากับอาหารมาจากอยุธยาด้วย ให้เก็บไว้ที่ไหนครับ” คุณตรีหันหน้ามาทางถุงอาหารที่ผมเป็นคนถือลงมาจากรถ พี่หมอเห็นอย่างนั้นก็เอ่ยขอบคุณและรับถุงอาหารไปเก็บใส่ตู้เย็นในห้องครัว

“พี่เตรียมห้องนอนเอาไว้ให้แล้ว เดี๋ยวพี่พาขึ้นไปดู” พี่หมอเดินนำขึ้นชั้นสอง ของบางส่วนเรายังเอาไว้ในรถ มีแค่กระเป๋าใบเล็กสองใบที่มีข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นสำหรับการอยู่พักที่นี่สองสามวัน

“แล้วพี่หมออยู่กับใครเหรอครับ” คุณตรีถาม

“ความจริงพี่อยู่คนเดียว คนโสดน่ะนะ แต่สองสามวันนี้มีเด็กมาอยู่ด้วยน่ะ พักอยู่ห้องนี้” พี่หมอแตะที่บานประตูไม้บานหนึ่ง ก่อนจะเดินต่อไปยังห้องที่อยู่ข้างๆ

“เด็ก?” ทั้งผมและคุณถามเกิดความสงสัย พี่หมอหันมายิ้มอีกครั้งและเปิดประตูห้อง ผายมือให้คุณตรีกับผมเข้าไปข้างใน ห้องนอนขนาดเล็ก มีเตียงนอนขนาดห้าฟุตวางชิดมุม มีตู้เสื้อผ้าและโต๊ะเก้าอี้เล็กหนึ่งชุด

“เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าก็คงได้เจอ อืม พี่จะเล่าให้ฟังนะ” พี่หมอนายน์ปิดประตูห้องและเดินไปนั่งที่เก้าอี้ ส่วนผมกับคุณตรีก็นั่งบนที่นอน สีหน้าของพี่หมอมีแวววิตกกังวล ต่างจากก่อนหน้านี้ที่ยิ้มตลอดเวลา

“เด็กที่ว่าคือเด็กแบบตัวเล็กๆเหรอครับ” คุณตรีถาม แต่พี่หมอนายน์ส่ายหน้า

“เด็กคนนี้ชื่อสกายอายุสิบเก้า ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า พี่เป็นหมอประจำตัวเขา พอดีเกิดเหตุสุดวิสัยนิดหน่อยเลยต้องให้มาพักที่นี่ก่อน พี่เล่าให้ฟังได้ประมาณนี้ ข้อมูลที่เหลือเป็นข้อมูลของคนไข้ ที่พี่อยากจะบอกและขอความช่วยเหลือก็คือ ช่วงที่ตรีกับฟ้าอยู่ที่นี่ อาจจะต้องมีการระวังเรื่องคำพูดที่จะทำให้สกายรู้สึกไม่ดี แล้วก็ ผู้ป่วยเคสนี้ค่อนข้างหนัก เขากลัวที่คนอื่นจะรู้ว่าเขาป่วยเป็นโรคซึมเศร้า จริงๆน้องเขาเอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ถ้าไม่เรียกก็ไม่ค่อยออกมาเท่าไหร่ แต่เราพักแค่สองสามวันก็คงไม่มีอะไร พี่บอกเผื่อไว้เฉยๆ”

“ได้ครับพี่ ตอนกลางวันผมก็ไม่ค่อยได้อยู่ ต้องออกไปทำธุระเรื่องบ้านกับเรื่องร้าน แต่ผมกับฟ้าจะคอยระวังนะครับ” คุณตรีบอกกับพี่หมอ

“อืม ขอบใจมาก ยังไงวันนี้ก็พักเถอะ แล้วก็อยากได้อะไรบอกพี่ได้เสมอ ของในตู้เย็นหยิบทานได้ทุกอย่าง ห้องครัวห้องนั่งเล่นใช้ได้ตามสบาย ห้องน้ำที่ชั้นสองอยู่ฝั่งซ้ายมือตรงข้ามห้องของสกาย อยู่ที่นี่ไม่ต้องเกรงใจนะ มาถึงเหนื่อยๆก็พักผ่อนกันไปก่อน เดี๋ยวพี่จะแวะเข้าไปดูเด็กที่อยู่ห้องข้างๆหน่อย”

“ครับพี่ ขอบคุณนะครับ”

พี่หมอออกจากห้องไป คุณตรีก็เดินไปปิดประตู ผมเอาเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ออกมาจากกระเป๋า เตรียมชุดนอนและของให้คุณตรีไปอาบน้ำแล้วผมค่อยอาบต่อแล้วกลับเข้าห้องมานอน

“มานอนมา” คุณตรียกผ้านวมให้ผมสอดตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขา

“ฝันดีครับคุณตรี” ผมบอกเสียงเบา แล้วซุกหน้าลงกับอกกว้าง วันนี้คุณตรีใส่เสื้อนอน ทำให้ผมกล้าที่จะถูใบหน้าลงกับหน้าอกของเขา ถ้าเป็นอกเปลือยๆผมไม่ค่อยกล้าเท่าไหร่ มันยังเขินๆที่จะสัมผัสผิวเขาโดยตรง

“ฝันดี อย่าซน เดี๋ยวไม่ได้นอน” เขาดุไม่จริงจังแล้วหอมลงมาบนหัวผมทีหนึ่ง เราต่างขยับตัวจนได้มุมที่คิดว่าสบายพร้อมนอน

ผมคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยระหว่างรอให้ตัวเองหลับ เพราะผมไม่มีผ้าให้ก่ายตอนนอน ถึงจะได้ก่ายคุณตรีแต่ว่ามันก็แทนกันไม่ได้อยู่ดี และเรื่องที่อยู่ในหัวผมตอนนี้ก็คือเรื่องของคนที่ชื่อสกาย

พี่หมอบอกว่าเขาป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ผมไม่รู้ว่ามันคือโรคอะไร แต่เคยได้ยินข่าวคนฆ่าตัวตายเพราะโรคซึมเศร้า ตอนนั้นผมไม่ได้สนใจอะไร เพราะวันๆสนใจแค่เรื่องปากเรื่องท้องของตัวเอง ตอนนี้ผมคงว่างเกินไปจนได้เก็บเรื่องนู้นเรื่องนี้มาคิดเยอะไปหมด

ผมอยากหยิบโทรศัพท์มาเปิดหาความหมายของโรคซึมเศร้า แต่ก็ทำไม่ได้เพราะเกรงใจคุณตรี เขาตื่นแต่เช้าไปทำงานครึ่งวันและก็ขับรถเดินทางกันมาตั้งแต่ช่วงบ่ายจนตอนนี้จะตีหนึ่งเข้าไปแล้ว ผมไม่อยากรบกวนคุณตรีตอนนอน

‘ฮึกฮือ’

หืม เสียงอะไร...!

ผมขยับตัวออกห่างจากคุณตรี ลืมตามองในความมืดรอบห้อง

‘ฮึก ฮือ ฮือออ’

เสียงคนร้องไห้หรือเปล่า เสียงคนใช่ไหม คงไม่ใช่เสียงผีหรอกนะ

‘ฮื้อ ฮึก ฮืออออ!’

ทำไมเขาถึงร้องไห้แบบนั้น ฟังดูเหมือนเขากรีดร้องไห้ในลำคอ มันทรมานปานจะขาดใจ เหมือนเขากำลังทุรนทุรายจากบางสิ่งบางอย่าง

“เป็นอะไร” คุณตรีพูดขึ้นเสียงงัวเงีย เหมือนเขาจะเคลิ้มหลับไปแล้ว แต่เพราะผมผุดลุกขึ้นนั่งเลยทำให้เขาตื่น

“ผมได้ยินเสียงคนร้องไห้” ผมบอก สายตาจ้องไปที่ผนังห้องที่กั้นระหว่างห้องที่ผมนอนกับห้องข้างๆ คุณตรีเอื้อมมือไปเปิดไฟหัวเตียง พอเห็นเขาต้องตื่นทั้งๆที่หลับไปแล้วผมก็รู้สึกผิด แต่เพราะอยู่ๆก็ได้ยินเสียงคนร้องไห้ ผมก็อดตกใจและแปลกใจไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนที่อยู่ห้องข้างๆ

“ขอโทษนะครับ ผมทำคุณตรีตื่นเลย” ผมบอกเขาอย่างรู้สึกผิด

“ไม่เป็นไร คุณตรีลุกขึ้นไปแล้วลองเอาหูแนบกับผนัง ก่อนจะเดินกลับมานั่งเอนหลังพิงหัวเตียงพร้อมดึงผมเข้าไปกอด

“น่าจะเป็นเสียงของเด็กที่ชื่อสกาย เดี๋ยวพี่หมอก็คงเข้าไปดู”

“ทำไมเขาต้องร้องไห้ล่ะ หรือเพราะโรคที่เขาเป็น โรคนี้มันเป็นยังไงเหรอครับ” ผมเงยหน้าถามคุณตรี เขาขมวดคิ้วคิดก่อนจะเรียบเรียงตอบ

“คือ เท่าที่ฉันเคยได้ยินมา ตอนอยู่ที่อังกฤษเคยมีเพื่อนร่วมชั้นป่วยเป็นโรคนี้แล้วฆ่าตัวตาย มันเป็นอาการป่วยทางจิตที่จะรู้สึกว่าเศร้าและไม่มีความสุข แบบไม่อยากมีชีวิตอยู่เลยจบลงด้วยการฆ่าตัวตาย ฉันก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดเท่าไหร่ แต่เป็นโรคที่ค่อนข้างน่ากลัว เพราะคนพวกนี้จะรู้สึกแย่กับตัวเองตลอดเวลา ยิ่งถูกกระตุ้นหรือถูกทำให้รู้สึกไม่ดี จะยิ่งรู้สึกแย่กับตัวเองมากจนทำให้จบลงด้วยการฆ่าตัวตาย”

ผมฟังแล้วก็รู้สึกหดหู่ ยิ่งได้ยินเสียงร้องไห้ที่ดังก้องอยู่ในห้องที่ติดกัน ยิ่งทำให้รู้สึกเป็นห่วง

“แล้วเราจะช่วยอะไรเขาได้ไหมครับ” ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องตลกเลย ยิ่งได้ยินเสียงเขาร้องผมยิ่งใจไม่ดี กลัวเขาคิดสั้น

“เป็นหมอหรือไงหรือเราถึงจะไปช่วยเขาน่ะ หืม เสียงเงียบไปแล้ว” คุณตรีกดจมูกหอมแก้มผมแล้วหันไปมองที่ผนังห้อง เราต่างคนต่างเงียบ เสียงเงียบไปแล้วจริง หรือว่า...เขา

ฆ่าตัวตายไปแล้ว?

ผมกระโดดโหยงลงจากเตียง วิ่งไปเอาหูแนบกำแพง ลองฟังดูว่าเสียงร้องไห้หายไปแล้วจริงไหม

‘ฮึก’

‘ไม่ร้องครับ พี่หมออยู่ตรงนี้ไง’

‘ฮึก’

‘ตาบวมตาช้ำหมดแล้ว หมดหล่อเลยแบบนี้’

ผมเป่าลมหายใจออกจากปาก ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ผมคิดว่าเขาจะทำอะไรบ้าๆลงไปซะแล้ว ดีที่พี่หมออยู่ตรงนั้นกับเขา

“ทำไม” คุณตรีถามด้วยความอยากรู้ ผมเดินกลับไปขึ้นเตียง สอดตัวลงในผ้าห่มอีกครั้งให้คุณตรีกอดเอาไว้

“พี่หมอเข้าไปดูเขาแล้วครับ” ผมบอก หันไปกอดคุณตรี ผมไม่ได้ยินเสียงร้องไห้แล้ว ถ้าเป็นเสียงที่ไม่ดังมากก็ไม่มีทางที่จะได้ยิน แต่เมื่อกี้เขาคงกรีดร้องสุดเสียง

“อย่าคิดมาก ตอนนี้เขาก็อยู่ในมือหมอแล้ว ยิ่งกว่าไปหาหมอรักษาอีกนะ นี่นอนในบ้านหมอเลย คงไม่มีอะไรหรอก”

“เขาจะโอเคขึ้นใช่ไหมครับ” ไม่รู้ทำไมผมถึงเป็นห่วงเขามากขนาดนี้ แต่เสียงร้องไห้ของเข้ายังก้องอยู่ในหัวผมอยู่เลย ยิ่งกว่าคำว่าน่าสงสาร มันเต็มไปด้วยความทรมานอย่างบอกไม่ถูก

“ต้องโอเคแหละ ไม่เป็นไรนะ” คุณตรีปลอบผม ผมพยักหน้าแล้วจึงเลื้อยตัวลงนอน

ทั้งห้องกลับมามืดอีกครั้ง ผมนอนลืมตาในความมืดอยู่เป็นนาน ไม่มีเสียงร้องไห้อีกแล้ว มีแค่เสียงจิ้งหรีดหรือแมลงอะไรสักอย่างร้องแว่วๆ ผมคิดไม่ตกกับเรื่องของคนข้างห้องว่าทำไม เพราะอะไร ทำไมเขาถึงป่วยเป็นโรคนี้ แล้วเขาจะดีขึ้นไหม เขาจะคิดฆ่าตัวตายบ้างหรือเปล่า ผมคิดวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา จนสุดท้ายก็ทนไม่ไหว เผลอหลับไปในที่สุด



หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่31:บทส่งท้าย (จบ) 15-04-20 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 15-04-2020 19:27:52

ผมตกใจตื่นแต่เช้าด้วยความเคยชินแม้ว่าจะเหนื่อยล้าจากการเดินทาง ระหว่างรอคุณตรีตื่นผมก็เลยลองหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าในโทรศัพท์ พอได้อ่านแล้วผมก็รู้สึกว่าโรคนี้มันใกล้ตัวมากแล้วก็เป็นโรคที่น่ากลัวมากๆโรคหนึ่ง ยิ่งอ่านผมยิ่งสนใจ เหมือนอยากรู้อยากเห็นว่ามันเป็นยังไง อยากทำความเข้าใจคนเหล่านี้ อยากรู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะช่วยเข้าได้

แต่เพราะผมไม่ใช่หมอและในอินเทอร์เน็ตก็มีแต่คำแนะนำทั่วไป ถ้ามีโอกาสผมว่าจะลองถามพี่หมอนายน์ดู

หลังจากที่คุณตรีตื่นผมก็ให้เขาไปอาบน้ำ แล้วลงไปข้างล่างผมพร้อมกันในตอนเจ็ดโมงเช้า ผมได้กลิ่นอาหารฟุ้งไปทั่วบ้าน ที่โต๊ะกินข้าวมีผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ พอหันมาเห็นพวกผมสองคนเขาก็ทำหน้าตื่นตระหนก

“อ้าว ตื่นกันแล้วเหรอ นั่งเลย พี่กำลังอุ่นอาหารที่เราซื้อมา จะได้กินข้าวเช้าพร้อมกัน” พี่หมอนายน์เอ่ยทักพวกเราตอนเดินออกมาจากครัว เด็กคนนั้น...สกายเขามองไปทางพี่หมอ ก็ได้รับรอยยิ้มอบอุ่นพร้อมกับฝ่ามือที่ลูบหัวเขาอย่างอ่อนโยน

“ไม่ต้องกลัว นี่คนรู้จักพี่เอง เขาจะมาเปิดร้านทำธุรกิจที่นี่ คนตัวสูงชื่อตรี อีกคนชื่อฟ้า อายุน่าจะไม่ห่างจากเรามากนะสกาย อย่าปิดกั้นตัวเอง พูดคุยกับคนอื่นบ้างนะครับจะได้ไม่เหงา” พี่หมอคุยกับสกายด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มน่าฟัง สกายเหล่มองผมกับคุณตรีที่นั่งลงตรงข้ามเขาแล้วพยักหน้าให้คุณหมอ พร้อมกับยกมือไหว้ผม

“สวัสดีครับ” เขาพูดเสียงเบาและเลี่ยงที่จะสบตา

“สวัสดี ไม่ต้องไหว้ก็ได้ พี่อายุมากกว่าสกายแค่สองปีเอง” ผมบอก พอมีคนมายกมือไหว้มันก็รู้สึกแปลกๆนะครับ

“ครับ ขอโทษครับ” เขาดูเหมือนไม่ค่อยกล้า

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอโทษหรอก เรื่องเล็กน้อย” ผมยิ้มให้เขา เท่าที่สังเกต ผิวของเขาซีด เขาเม้มปากแทบจะตลอดเวลา สีหน้าอมทุกข์ ดวงตาก็บวมช้ำคงเพราะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก

“เดี๋ยวฉันไปช่วยพี่นายน์ยกอาหาร” คุณตรีพูดแล้วลุกขึ้นไปในครัว

ผมมองสกายพลางคิดว่าจะชวนเขาคุยเรื่องอะไรดี เอาจริงๆผมก็ไม่ใช่คนคุยเก่ง แต่รู้สึกว่าบรรยากาศตอนนี้มันเงียบเกินไป

“สกาย”

พี่หมอนายน์และคุณตรีเดินออกมาจากห้องครัว วางอาหารไว้บนโต๊ะ อาหารที่ผมซื้อมาก็มีกุ้งเผาสองกล่องใหญ่ มีปูไข่หลน กุ้งผัดซอสมะขาม แล้วก็ปลากะพงราดน้ำปลา

“ทานข้าวเยอะๆสกาย เมื่อวานตอนเย็นเราทานไปนิดเดียวเอง” พี่หมอนั่งลงข้างสกาย แล้วตักข้าวในโถใส่จานให้เด็กที่นั่งเงียบ

“พอแล้วครับ ผมทานไม่หมด” สกายดันมือพี่หมอที่กำลังจะตักข้าวทัพพีที่สองให้

“โอเค งั้นต้องทานในจานนี้ให้หมดนะครับ จะได้ทานยาได้”

“ครับ”

พวกเราทานข้าวกันไป บทสนทนาบนโต๊ะอาหารผูกขาดโดยพี่หมอ ที่คอยถามคุณตรีและหันไปพูดกับสกาย เห็นว่าเป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยชื่อดังของเชียงใหม่ แต่บ้านอยู่กรุงเทพ ตลอดเวลาที่กินข้าวคุณหมอไม่พูดถึงอาการป่วยของสกายเลย ส่วนมากจะพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวในเชียงใหม่เป็นการแนะนำให้ผมและคุณตรี ก่อนจะวกไปถามสกายว่าเคยไปมาหรือยังเพราะสกายก็เหมือนเป็นเจ้าถิ่นที่นี่เหมือนกัน

“แล้ววันนี้ตรีจะออกไปทำอะไรบ้างล่ะ”

“ผมคงไปดูบ้านครับว่าเหลือเก็บงานตรงไหนก่อนจะเข้าไปดูที่ร้าน ช่างรับเหมาที่ผมจ้างค่อนข้างไว้ใจได้เรื่องเวลา แต่ก็ต้องไปคุมด้วยตัวเอง เพราะผมไม่อยากให้เกิดความล่าช้า ได้ฤกษ์วันเปิดร้านมาแล้วด้วย ยังไงก็ต้องตกแต่งร้านและออฟฟิศให้เสร็จทันเวลา”

“อืม มีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกนะ พี่ก็พอรู้จักคนที่นี่เยอะเหมือนกัน”

“ได้ครับพี่ แล้วพี่จะไปโรงพยาบาลตอนกี่โมง”

“เดี๋ยวอีกสักพักก็ไปแล้วล่ะ พี่มีตรวจคนไข้คนแรกตอนสิบโมง ฟ้ากับตรีกินกุ้งให้หมดเลยนะ สกายเขาแพ้กุ้งกินไม่ได้ ส่วนพี่ก็อิ่มแล้ว”

“อ่อ ครับ” ผมรับคำ มิน่าละผมไม่เห็นสกายแตะกุ้งเลย แต่ผมเห็นเขามองนะ คิดว่าแกะกุ้งไม่เป็นเลยไม่กิน ที่ไหนได้ เขาแพ้กุ้งนี่เอง

ผมกับคุณตรีนั่งกินกุ้งที่เหลือ พี่หมอพาสกายไปนั่งที่โซฟาแล้วกำลังบังคับให้กินยา เหมือนเขาจะเป็นคนกินยายาก กินยาเม็ดหนึ่งกินน้ำแก้วหนึ่ง พอสกายกินยาเสร็จก็เดินขึ้นไปบนบ้าน พี่หมอนายน์เดินกลับมาหาพวกผมที่โต๊ะทานข้าว

“ถ้าทานกุ้งไม่หมด พี่แนะนำให้เอาออกไปทิ้งนอกบ้านเลยนะ พี่กลัวสกายแอบกิน” พี่หมอพูดด้วยสีหน้าเครียด คอยมองไปที่บันได

“หมายความว่า ถ้ามีกุ้งเหลือ เขาอาจจะกินเพื่อ...” คุณตรีเว้นช่วงไม่พูดคำๆนั้น

“อืม เขาไม่ค่อยทานยา ไม่มีใครรู้เลยไม่มีใครคอยเตือน พี่ไม่รู้ว่าจะติดต่อพ่อแม่ญาติของเขายังไงเพราะพวกเขาอยู่กันที่กรุงเทพ พี่เองก็มีงานเยอะคนไข้เยอะ ก็ได้แต่ช่วยเท่าที่ช่วยได้”

“แล้วอย่างนี้เขาก็ต้องอยู่บ้านคนเดียวเหรอครับ” ผมถาม เพราะเดี๋ยวพี่หมอก็จะออกไปทำงาน ผมกับคุณตรีก็ไม่อยู่

“ใช่ แต่พรุ่งนี้เขาก็ต้องกลับไปเรียน ที่จริงพี่อยากให้เขาดรอปเรียน แต่พี่ไม่ใช่ผู้ปกครองพี่บังคับเขาไม่ได้ ทำได้แค่แนะนำและเฝ้าดูอาการ” พี่หมอถอนหายใจ

ดูเหมือนว่าจะร้ายแรงพอตัว

ผมกับคุณตรีช่วยกันจัดการกับกุ้งแสนอร่อยที่อาจจะกลายเป็นอาวุธปลิดชีพของคนข้างบนเสร็จ เราก็ออกไปทำธุระกัน เริ่มต้นจากการไปดูช่างเก็บงานแล้วชี้จุดว่าเหลือตรงไหน ก่อนจะแวะไปที่ร้านที่กำลังอยู่ในระหว่างการตกแต่งภายใน โชคดีที่คุณตรีได้ช่างดีทั้งสองที่ ทำให้งานไม่ค่อยมีปัญหาและค่อนข้างทำได้ตามเวลาที่กำหนด


ประมาณสี่โมงเราก็ว่าง ผมเลยชวนคุณตรีไปไหว้พระที่พระธาตุดอยสุเทพ ผมอยากไปมานานแล้ว คุณตรีก็ไม่ขัด เรามีรถมาเอง อยากไปไหนมาไหนก็สะดวกสบาย

ช่วงเย็นแดดไม่ค่อยร้อน อากาศก็เย็นสบาย แต่การเดินขึ้นบันไดเป็นร้อยๆขั้นก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลย

“แฮกๆ” ผมค้อมตัวเท้ามือกับหัวเข่าหอบหายใจแรง คุณตรีจ่อหลอดดูดน้ำให้ผมถึงปาก

“ที่นี่มีฟิตเนสอยู่ เดี๋ยวฉันจะพานายไปออกกำลังกาย แผลน่าจะหายดีแล้วใช่ไหม น่าจะออกได้มากกว่าการเดินบนลู่วิ่งแล้วนะ” คุณตรีพูดเองเออเองยาวเหยียด ผมถึงกับร้องโหยอีกรอบ

“ผมว่าผมยังเจ็บๆอยู่นะครับ” ผมโกหก เจ็บที่ไหนล่ะ ผมไม่อยากออกกำลังกายต่างหาก

“งั้นเหรอ”

“ครับ”

แปะ!

คุณตรีดีดหน้าผากผมให้เจ็บๆคันๆ

“เด็กคนนี้หัดโกหกอีกแล้ว ห้ามโยกโย้ ยังไงก็ต้องออกกำลังกาย เวลาทำอะไรๆจะได้ไม่เหนื่อยง่าย” คุณตรีโน้มตัวลงมากระซิบให้ได้ยินสองคน ผมช้อนตามองคนตัวสูง

“คุณตรีพูดเรื่องแบบนี้ในวัดได้ยังไงครับ” ผมพูดเสียงลอดไรฟัน

“ฉันพูดอะไร คิดลามกเหรอเราน่ะ ฉันหมายถึงเดินขึ้นบันไดต่างหากล่ะ หึหึ” คุณตรีใช้ขวดน้ำเย็นแตะแก้มผมแล้วก็เดินหัวเราะไปที่โต๊ะจำหน่ายดอกไม้ธูปเทียน

ผมโดนเขาแกล้งอีกแล้ว สาบานเถอะว่าไม่ใช่ผมที่ลามก แต่เขาพูดชวนให้คิดแบบนั้นจริงๆ

“หึย!”

ผมเดินตามเขาไป คุณตรียื่นธูปเทียนและดอกไม้ไหว้พระให้ผม เขายิ้มหล่อท่ามกลางแสงอ่อนๆที่ตกกระทบกับตัวพระธาตุสีเหลืองทองอร่าม ทำเอาผมตาพร่าลืมเรื่องที่เขาแกล้งผมไปเลย

คุณตรีหล่ออะไรอย่างนี้

ผมจุดธูปเทียน แล้วก็เริ่มต้นอธิษฐาน ใครจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่สำหรับผมแล้ว วัดเป็นที่พึ่งทางใจ เป็นที่ยึดเหนี่ยวยามผมรู้สึกท้อ เวลาที่ผมเหนื่อยล้า ผมมักจะไหว้พระขอพร ขอให้ชีวิตผมดีขึ้น ขอให้ผมเจอแต่คนดี ขอให้ผมมีความสุข และทุกสิ่งที่ผมขอวันนี้ก็บังเกิดผลกับตัวผม

ผมเชื่อว่าเมื่อเราทำดีต้องได้ดี เพราะอาจเป็นเพราะชาติที่แล้วผลกรรมชั่วไว้เยอะ ชาตินี้ผมถึงได้ลำบากและโดดเดี่ยวมาตั้งแต่เกิด ในเมื่อวันนี้ชีวิตผมดีขึ้นกว่าในอดีต ผมก็อยากสะสมบุญไว้ให้มากๆ เพื่อที่ชาตินี้และชาติหน้าผมจะได้เจอแต่สิ่งดีๆและคนดีๆ จะมีอะไรที่ดีไปกว่าการที่เรามีชีวิตที่มีความสุขและได้อยู่กับคนที่เรารัก

“คุณตรีต้องตั้งใจขอเรื่องงานนะครับ เขาว่ากันว่าที่นี่ศักดิ์สิทธิ์มาก ถ้าขอด้วยใจจริงเราจะสมหวังทุกประการเลยครับ” ผมกระซิบบอกคุณตรีจากข้อมูลที่ได้ศึกษาก่อนมา

“อืม ถ้าคำอธิษฐานเป็นจริง เรามาไหว้พระที่นี่ด้วยกันอีกนะ” คุณตรีหันมาพูดกับผม

“ครับ เราจะต้องมาไหว้พระด้วยกันที่นี่อีกครั้งแน่นอน”

“ต้นปีหน้า”

“ครับ?”

“ต้นปีหน้า ฉันจะพานายไปกินข้าวกับพ่อ แล้วก็เราจะกลับมาไหว้พระที่นี่กัน”

‘ฉันทำข้อตกลงกับพ่อไว้ ถ้าสิ้นปีนี้ฉันสามารถทำกำไรหักล้างหนี้ทั้งหมดของบริษัทได้ ท่านจะยอมไปทานข้าวกับเรา ฉันและนายในฐานะลูกชายและลูกสะใภ้ของตระกูลโอฬารทวีสิน’

ผมยิ้มด้วยความตื้นตันใจแล้วพยักหน้าให้คุณตรี ต่อให้พ่อคุณตรีจะดุสักแค่ไหน ผมก็พร้อมที่จะยืนเคียงข้างเขา ผมเชื่ออย่างสุดใจว่าพระธาตุมีความศักดิ์สิทธิ์จริง และผมมั่นใจว่าคำอธิษฐานของคุณตรีจะต้องสมหวังอย่างแน่นอน

ชีวิตของผมในตอนนี้ดีมากจนผมสุขล้นอก ผมจ้องมองไปที่พระธาตุแล้วนึกไปถึงเด็กคนนั้น...สกาย ความสุขที่ผมได้รับมันมีมากจนล้นอก มากจนผมอยากจะแบ่งปันให้กับคนที่ยังทุกข์ และคำอธิษฐานนี้ผมอยากขอมันให้แก่เขา เผื่อจะช่วยต่อชีวิตให้เด็กคนหนึ่งได้พบกับความสุขที่แท้จริงของชีวิตเช่นผม

‘ข้าแต่องค์พระธาตุ ลูกขอวิงวอนขอพรให้แก่บุคคลๆหนึ่งที่ชื่อสกาย ขอให้เขาหายจากโรคซึมเศร้า ขอให้เขาพบทางออกพบแสงสว่างของชีวิตด้วยเถิด’

ผมยิ้มให้กับตัวเอง การให้คือความสุขที่แท้จริง ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว

เมื่อเรามีมากพอที่จะแบ่งปัน จงอย่าลังเลที่จะช่วยเหลือ

“เราจะไปไหนกันต่อดี หรือว่าอยากกลับไปพัก” คุณตรีหันมาถามผมหลังจากที่เราไหว้พระเสร็จ ผมมองจ้องเข้าไปในตาของคุณตรี ยิ้มกว้างด้วยความสุขใจ

“ไปไหนก็ได้ครับ ผมไปได้ทุกที่ที่มีคุณตรี”

“งั้นจะพาไปขึ้นสวรรค์” เขาพูดแล้วหัวเราะอารมณ์ดี มือหนายื่นมาตรงหน้าให้ผมวางมือตัวเองลงเพื่อให้เขากุมมือผมเดินไปข้างหน้า

‘ต่อให้ต้องลงนรก ถ้ามีคุณตรีอยู่ด้วยผมก็พร้อมจะไป’

ผมจำไม่ได้แล้วว่ามือของเราจับกันไว้ไม่ปล่อยตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ทุกครั้งที่เราก้าวเดินไปตามเส้นทางด้วยกัน เขาจะกุมมือผมเอาไว้ตลอด เป็นความนัยว่าเขาจะไม่ทิ้งผมไว้เพียงลำพัง ไม่ต้องโดดเดี่ยวอยู่คนเดียวอย่างที่เป็นมา

ผมหวังให้บุญ ทาน และความดีทั้งหลายที่ผมได้สร้าง ส่งผลให้มือของเราสองคนจับกันไว้อย่างนี้ไม่มีวันแยกจาก ผมจะรักและดูแลคุณตรีให้ดีที่สุด เพราะชีวิตของผมนับแต่นี้มีไว้เพื่อดูแลเขาจนกว่าความตายจะแยกเราออกจากกัน





จบบริบูรณ์
[/b][/color]




หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่31:บทส่งท้าย (จบ) 15-04-20 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 16-04-2020 07:48:30
น้องฟ้าต้องเป็นความสุขของคุณตรีแน่อยู่แล้วจ้า ขอให้ทั้งคู่มีความสุขมากๆ จ้า

ขอบคุณไรท์ค่ะ.   :L2:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่31:บทส่งท้าย (จบ) 15-04-20 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: FaX ที่ 16-05-2020 23:32:35
ขอบพระคุณสำหรับนิยายดีๆแบบนี้มากค่ะ แจ่มสาวมาก เอาจริงๆ ตอนเห็นชื่อนิยาย แวบแรกเลย 18+ลอยมาละ ต้องแบบแนวยั่วๆบดๆ แต่เป็นแนวบะมุนไปเสียได้ แต่พออ่านไปได้แค่ตอนเดียวเท่านั้นแหละ อื้อหือหลงรักฟ้ามากก คุณตรีก็ละมุน รักคุณคนเดียว ติดหนึบเลย ♥️♥️♥️
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่31:บทส่งท้าย (จบ) 15-04-20 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: บีเวอร์ ที่ 17-05-2020 10:48:14
 :n1:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่31:บทส่งท้าย (จบ) 15-04-20 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 18-05-2020 00:23:39
เที่ยงวันยันเที่ยงคืนเลยค่ะ
ละมุนกับใจจริงๆ ถึงจะมีบางช่วงแอบจี้ดๆหัวอุ่นๆเพราะพ่อของตรีกับดิวบ้างก็ตาม 5555555
น้องฟ้าน่ารักมาก เป็นเด็กดี และเป็นพลังงานบวกให้กับทุกคนจริงๆ ไม่รู้ลุงเลี้ยงมายังไง สภาพแวดล้อมก็แย่แบบนั้น แต่น้องฟ้าเป็นเด็กดีมากจริงๆ
ขอบคุณที่แต่งนิยายสนุกๆให้อ่านนะคะ♥️
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่31:บทส่งท้าย (จบ) 15-04-20 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 18-05-2020 22:56:33
จบแล้วน่ารักดีค่ะ
ชอบนิสัยฟ้า น่ารักดี
ทำไมเราอยากอ่านสกาย
อยากรู้เรื่องของสกาย
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่31:บทส่งท้าย (จบ) 15-04-20 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 25-05-2020 09:52:38
น่ารักมาก

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่31:บทส่งท้าย (จบ) 15-04-20 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Bebii123 ที่ 26-05-2020 10:35:13
ละมุนสุดดด  :hao7: o13
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่31:บทส่งท้าย (จบ) 15-04-20 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 28-05-2020 09:50:45
ขอบคุณ​เรื่องราวดีๆค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่31:บทส่งท้าย (จบ) 15-04-20 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: chaoyui ที่ 29-05-2020 23:11:13
นุ่มๆ ละมุน สนุกมากค่ะ
ขอบคุณนักเขียนด้วยค่า
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่31:บทส่งท้าย (จบ) 15-04-20 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ตัวยุ่ง ที่ 30-05-2020 20:42:05
 ระหว่างอ่านเรื่องนี้มีหลายอารมณ์มาก อย่างแรกก็คือลุ้นกับการเปย์ของคุณตรี ดูออกแหละว่ามีใจให้ฟ้าแค่ไหน อ่านแรกๆก็สงสารชีวิตฟ้ามากเลย แต่พอมาเจอเรื่องคุณตรี กลายเป็นชีวิตฟ้า บางทีอาจมีความสุขมากกว่า

ขณะที่คุณตรีมีพร้อมทั้งพ่อแม่ เงินทอง แต่ความสุขกลับไม่มี แอบโกรธคุณพ่อกับคุณแม่ของคุณตรีมากเลยตอนยัดเยียดเรื่องผู้หญิง เรื่องรับไม่ได้ที่ลูกชายตัวเองเป็นแบบนี้ สงสารคุณตรีมากๆๆๆ อยากกอดแน่นๆ เลย เหมือนจะหน่วงๆ แต่ระหว่างนั้นก็ยิ้มได้กับเรื่องราวของคุณตรีกับฟ้า ดีใจที่เขาได้กลับมาเจอกัน ดีใจที่เขาสมหวังกัน และก็ดีใจที่สุดท้ายความสัมพันธ์ในครอบครัวคุณตรีมันโอเคขึ้น แอบน้ำตาคลอตอนพ่อคุณตรีบอกว่าจากนี้คุณตรีเป็นอิสระแล้ว แต่ยังไงเขาก็ยังเป็นพ่อเป็นแม่ ให้กลับบ้านได้เสมอ อ่านตอนนี้คือยิ้มกว้างเลย ดีใจกับคุณตรีจริงๆ

ตอนท้ายอารมณ์ที่อ่านก็สบายใจแล้ว หวานชื่นแล้ว แต่ดันมาเจอเรื่องน้องสกาย แงงงงงง เครียดเลย คือเป็นห่วงน้องเลย อยากรู้เลยว่าจะยังไงต่อ แอบเดาว่าน้องสกายกับคุณหมอใช่ไหมนะ แยกมาอีกเรื่องรึเปล่าคะ ท่าทางจะหนักหน่วงน่าดู

แอบสงสัยเนื้อเรื่องอยู่ช่วงนึงค่ะ เหมือนเนื้อหามันขาดหายไป หรือคุณนักเขียนตั้งใจแบบนั้นรึเปล่า ตอนที่ฟ้ารู้ว่าคุณตรีคิดยังไง แล้วฟ้าทำตัวไม่ถูก สุดท้ายคุณตรีออกจากบ้านไป ปล่อยฟ้ากินข้าวคนเดียว ตัดมาอีกทีตอนใหม่ กลายเป็นต่างคนต่างรู้ใจ คุณตรีขอจีบน้อง แอบอยากรู้ช่วงเวลาที่เขาเคลียใจกันว่าเป็นมายังไงจังเลยค่ะ

ขอบคุณคุณนักเขียนมากเลยนะคะที่มาแบ่งปันเรื่องราวดีๆ ของคุณตรีกับฟ้าให้ได้ติดตามจนจบ อ่านเพลินมากเลยค่ะ ชอบความสัมพันธ์ของทั้งคู่มากเลย ชอบนิสัยรวยๆของคุณตรีด้วยค่ะ 5555555 เอ็นดูน้องฟ้ามากกก ขยัน เก่ง น่ารัก ความดูแลเอาใจใส่กัน ปรนนิบัติทุกอย่างให้ ดีต่อใจจริงๆนะ แล้วคุณตรีจะไม่หลงหนักแบบนี้ได้ยังไง น้องทำให้คุณตรีขนาดนี้ ชอบมากๆๆๆเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนพิเศษ 1 1-06-20 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 01-06-2020 17:31:29
แจ้งเนื้อหาที่ขาดหายที่ คุณตัวยุ่ง ทักท้วงมานะคะ ริริไปย้อนดูคือ ไม่ได้ลงจริงๆด้วย ก็เลยเอาเนื้อหาไปแทรกต่อหลังตอนที่20 แล้วนะคะ เนื้อหาจะร่นลงสักหน่อยเพราะต้องเบียดๆกับตอนอื่น ยังไงก็ขอโทษในข้อผิดพลาดด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ


CATER TO YOU
SPECIAL CHAPTER
ย้ายเข้าบ้านหลังใหม่ @ เชียงใหม่

“คุณตรี บ้านน่าอยู่มากเลยครับ” ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปในบ้านที่รีโนเวทใหม่จนไม่เหลือเค้าโครงเดิมเลย สมแล้วกับที่บ้านคุณตรีเป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับการทำบ้านตกแต่งบ้าน นี่ขนาดยังตกแต่งไม่เสร็จดียังสวยขนาดนี้ ถ้าแต่งเสร็จคงเป็นบ้านในฝันของใครหลายๆคนเลยล่ะ
“โครงบ้างของเดิมดีอยู่แล้ว ปรับนิดหน่อยก็ดูดีขึ้น” คุณตรียกข้าวของในรถเข้ามาวางไว้ในบ้าน ผมรีบวิ่งออกไปช่วย เพราะมัวแต่ตื่นเต้นเข้ามาดูข้างใน
พอบ้านทำเสร็จพร้อมอยู่ คุณตรีก็บอกกับพี่หมอนายน์ว่าจะย้ายมาอยู่ที่บ้านวันนี้เลย พี่หมอนายน์บอกด้วยว่าเสียดาย เพราะเขาอยู่บ้านคนเดียวแล้วก็เหงาเหมือนกัน ส่วนสกาย ตั้งแต่วันก่อนที่ผมกลับจากไหว้พระที่วัดพระธาตุดอยสุเทพ เช้าวันถัดมาเขาก็ไม่อยู่แล้ว ผมอดเป็นห่วงไม่ได้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ ก็ได้แต่หวังว่าเขาจะดีขึ้นในเร็ววัน
ผมและคุณตรียกกระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นมาชั้นสอง ข้างบนจะมีสองห้องนอน ผมและคุณตรีนอนห้องนอนใหญ่ อีกห้องเอาไว้เป็นห้องรับรองแขก เผื่อว่าเพื่อนของคุณตรีจะมาพัก
“คุณตรีพักเถอะครับ เดี๋ยวผมเก็บเสื้อผ้าเข้าตู้ให้” ผมรีบบอกเมื่อคุณตรีเปิดกระเป๋าเดินทาง
“ช่วยกันเก็บเนี่ยแหละ จะได้เสร็จไว้ ช่วงบ่ายฉันว่าจะออกไปหาซื้อของเข้าบ้านเพิ่มเติม”
“ที่ไหนเหรอครับ” ผมถามด้วยความสนใจ ผมอยากไปเดินเที่ยวเล่น เชียงใหม่รถติดไม่ต่างจากกรุงเทพ แต่ที่ต่างคือบรรยากาศที่มีความเป็นพื้นเมืองมากกว่า
“ว่าจะไปเดินดูที่วันนิมมานแล้วไปต่อที่ถนนคนเดินท่าแพ อยากไปไหม”
“อยากไปครับ” ผมไม่รู้จักทั้งสองที่ที่คุณตรีบอก แต่ว่าถ้าผมไม่เคยไปผมก็อยากไป ผมอยากไปทุกที่เลย
“พวกเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ๆเราก็มีแล้ว ไปเดินซื้อแค่ของตกแต่งบ้านก็พอ อยากแต่งแบบไหนก็ไม่ช่วยกันเลือก”
“แต่ผมไม่ค่อยมีความรู้เท่าไหร่ กลัวเลือกของแล้วไม่เข้ากัน” ผมพูดพลางแขวนเสื้อผ้าเข้าตู้ ตอนเอามาคุณตรีบอกให้ยัดใส่มาทั้งไม้แขวน ตอนเอาออกก็เลยสะดวกและใช้เวลาเพียงนิดเดียว
“ฟ้า” คุณตรีจัดของตัวเองเสร็จก็เรียกผมให้เดินไปหาเขา คุณตรีนั่งอยู่ที่ปลายเตียงพร้อมกับซองเอกสารสักอย่างในมือ
“ครับ มีอะไรหรือเปล่าครับคุณตรี” ผมเดินเข้าไปหา ผมสังเกตว่าคุณตรีดูกังวลอยู่เล็กน้อย
“ฉันมีอะไรจะให้ แต่สัญญาก่อนได้ไหมว่าจะไม่โกรธ” คุณตรีพูดอย่างไม่มั่นใจ ซึ่งดูไม่ใช่คุณตรีแบบที่ผมรู้จัก ทำผมอดแปลกใจไม่ได้ว่าของที่เขาจะให้ผมมันไม่ดีหรือว่าอย่างไร ทำไมผมถึงต้องโกรธ
“ผมไม่โกรธหรอกครับ” ผมบอกอย่างไม่ต้องคิด ไม่รู้สิ ผมไม่เคยคิดว่าจะมีเรื่องอะไรที่คุณตรีจะทำให้ผมโกรธ ถ้าจะมีก็อาจจะเป็นพวก ทำร้ายร่างกาย คุณตรีนอกใจผมไปมีคนอื่น ซึ่งผมเชื่อว่าคุณตรีไม่มีทางทำแบบนั้นแน่นอน
“แน่ใจนะว่าจะไม่โกรธ” คุณตรีถามย้ำซ้ำอีกครั้ง ผมไหวไหล่แล้วพยักหน้า
“ผมไม่โกรธหรอกครับ คุณตรีจะให้อะไรผมเหรอ”
ผมคุณมองหน้าผมอย่างชั่งใจ ก่อนเขาจะยื่นเอกสารในมือมาตรงหน้า ผมเลิกคิ้วมองแล้วรับเอกสารนั้นมาเปิดอ่านด้วยความงุนงง
“หนังสือสัญญาโอนกรรมสิทธิ์” ผมอ่านเอกสารแล้วเงยหน้ามองคุณตรี เขาเม้มปากอย่างคนขาดความมั่นใจ ผมก้มลงอ่านเอกสารอีกครั้ง ยิ่งอ่านมือผมก็ยิ่งสั่น นอกจากมือจะสั่นแล้ว ผมยังสั่นไปทั้งตัวและหัวใจ
“อย่าโกรธนะ ฉันอยากให้นายเป็นคนดูแลบ้านหลังนี้” คุณตรีขยับเข้ามานั่งใกล้ผม เขาโอบเอวรวบผมให้เข้าไปประชิด
ผมไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไงดี เขาไม่ได้ทำเรื่องร้ายแรงที่ผมคิดผมอาจจะโกรธถ้าเขาทำแบบนั้น มันไม่ได้ใกล้เคียงการทำร้ายร่างกายหรือว่าการนอกใจแม้แต่น้อย
“คุณตรีให้ผมทำไมครับ” ผมถามเสียงลอย ในเอกสารนั้นมีชื่อคุณตรีที่จะยกบ้านหลังนี้ให้ผม ชื่อผมอยู่ตรงนั้น ผมเปิดดูเอกสารทุกแผ่น แม้แต่สำเนาบัตรประชาชนของผมคุณตรีก็ยังมีเลย ดูเอาสิ ลายเซ็นพยานก็ยังมี ที่ไม่มีก็คือลายเซ็นของผม
“อยากให้” เขาตอบสั้นๆ
“แต่มันมากไปนะครับ บ้านหลังหนึ่งไม่ใช่ถูกๆ” ผมบ่นเบาๆพลางถอนหายใจ ไม่ใช่ว่าผมไม่ดีใจ ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากได้ แต่ผมรู้สึกไม่ดีที่จะต้องรับของที่แพงขนาดนี้
“แต่มันก็ไม่แพงเกินไปสำหรับคนที่ฉันรัก”
ทำไมนะ แค่คำว่ารักของเขาคำเดียว สมองของผมก็เหมือนจะหยุดทำงานไปเสียดื้อ
คุณตรีดึงเอกสารออกจากมือผม แล้วออกแรงยกตัวผมขึ้นไปนั่งบนตัก ผมก็ไม่ใช่ตัวเล็กๆ แต่เขาจับยกผมเหมือนอุ้มลูกหมาลูกแมวตัวหนึ่ง
แต่ผมไม่ดิ้นหรอกนะ ผมชอบอยู่ใกล้เขาจะตายไป แค่กังวลนิดหน่อยว่าน้ำหนักตัวของผมจะทำให้คุณตรีหนัก ถ้านั่งนานไปอาจจะขาชาได้
“นายน่ะเป็นเมียฉันแล้วนะ ปกติถ้าเป็นผู้หญิงก็ต้องให้ผู้ใหญ่ไปสู่ขอใช่ไหมล่ะ ต้องจัดเตรียมสินสอดอีก นายคิดว่าถ้าฉันแต่งงาน ตระกูลฉันต้องเตรียมสินสอดให้นายเท่าไหร่” คุณตรีขยับใบหน้าเข้ามาใกล้ ถ้าเอาไม้บรรทัดมาวัดผมว่าระยะห่างของใบหน้าเราน่าจะประมาณสักสิบเซนติเมตร
 เพราะหน้าเราใกล้กันมาก ผมก็เลยไม่รู้ว่าผมหน้าร้อนเพราะคำพูดของเขาหรือระยะความใกล้ของเรากันแน่
“แต่ผมไม่ใช่ผู้หญิงนี่ครับ” ผมก็ตอบอ้อมแอ้มไปเรื่อยเปื่อย
“มันไม่สำคัญว่าจะเป็นเพศอะไร นายคือคนรักของฉัน นั่นคือหน้าที่ที่ฉันต้องดูแลนาย และอยากที่บอกว่านายคือภรรยาคือเมีย เข้าใจไหม” พอได้กันเขาก็พูดคำนี้ออกมาบ่อยเพื่อทำลายหัวใจผม ชอบทำให้ผมใจสั่นครั้งแล้วครั้งเล่า
“ถ้าผมไม่รับล่ะครับ” ผมดึงกลับมาที่ประเด็นเรื่องบ้านหลังนี้ ที่กำลังจะกลายเป็นชื่อของผม
“ก็จะบังคับ”
“คุณตรีครับ”
“รับไว้เถอะ เราเป็นครอบครัวเดียวกัน ยังไงนายก็เป็นฝ่ายเสียหาย ถ้าเป็นผู้หญิงที่จดทะเบียนสมรส ตอนหย่ากันก็จะได้ส่วนแบ่งเป็นสินสมรสครึ่งหนึ่ง ตอนนี้ฉันก็แค่ยกสินสมรสครึ่งหนึ่งนั้นให้นาย มันไม่มีอะไรผิดนี่”
“คุณตรีจะหย่ากับผมเหรอครับ” ผมถามหน้าซื่อ คุณตรีชะงักไปก่อนจะกลอกตามองบนใส่ผม
“อ๊ะ” เขางับปากผมแล้วขบให้รู้สึกเจ็บนิดๆ
“เด็กดื้อ ใครจะหย่าห๊ะ” เขาว่าเสียงดุ ผมยิ้มประจบทันที
“ก็ถ้ายังไม่หย่าทำไมรีบแบ่งสินสมรสล่ะครับ” คำพูดของผมทำให้เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ผมแอบหัวเราะในใจ คุณตรีคงเหนื่อยใจกับผมไม่น้อย
“ถ้าเราจดทะเบียนกันได้จริงๆฉันจะไม่รีบยกให้เลย เด็กโง่เอ้ย”
อ่า ตอนนี้ผมเป็นทั้งเด็กดื้อและก็เด็กโง่ด้วย
“แต่ผมเกรงใจ ไม่รักคุณตรีนะครับ ไม่เคยหวังอยากได้สมบัติอะไรจากคุณตรีเลย ขอแค่ผมได้อยู่ใกล้ๆคุณตรีผมก็มีความสุขแล้ว”
“มักน้อย” คุณตรีงับจมูกผมเล่น เขาทำเหมือนมันเขี้ยวผมอย่างไงอย่างงั้น
“ใครบอกว่าผมมักน้อย ผมมักมากจะตาย สำหรับผมแล้วคุณตรีมีค่ามากกว่าบ้านหลังนี้ซะอีก ผมน่ะ...อยากได้ของที่มีค่าที่สุด อยากครอบครองไว้คนเดียว” ผมทำใจกล้าพูดประโยคนั้นเพื่อเป็นการจีบคุณตรีคืน เขาแกล้งผมมาหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้ผมจะแกล้งเขาบ้าง
“เด็กบ้า” คุณตรีหลบตาผม แก้มและใบหูของเขาแดงเพราะความเขิน ผมหลุดยิ้มกริ่มด้วยอย่างมีความสุข คราวนี้ผมแกล้งเขาได้สำเร็จ ปกติมีแต่เขาทำให้ผมเขิน ครั้งนี้ผมทำให้เขาเขินบ้างจนเสียอาการ
ถึงจะโดนว่าว่าเป็นเด็กบ้าผมก็ยอม ว่ามาเถอะครับ ผมยอมเป็นให้ทุกอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็นเด็กดื้อ เด็กโง่ หรือแม้แต่เด็กบ้า
“ฮึ่ม สรุปจะเอายังไง” ใช้เวลาสักพักคุณตรีก็ปรับสีหน้าได้กลับมาเป็นปกติ แต่หูของเขาก็ยังแดงอยู่
“เอาอะไรครับ” ผมขยับตัวให้นั่งสบายขึ้น พอต้องเอียงหน้าคุยกับเขาก็ทำให้เมื่อยคอ
“นั่งนิ่งๆ เดี๋ยวงูตื่น” คุณตรียื่นหน้ามากระซิบ ผมเข้าใจในความหมาย ข่มความเขินไว้ข้างในแล้วแสร้งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“ก็ผมเมื่อย” ผมว่า คุณตรีกระชับอ้อมแขนกอดผมให้แน่นขึ้น เขาคงอยากเอาคืนที่ผมทำให้เขาเขิน
“รับไว้เถอะ เพื่อวันหนึ่งฉันทำอะไรให้พ่อโมโหแล้วถูกตัดออกจากกองมรดก ฉันจะได้หันมาพึ่งในไง” เขาพูดแล้วก็ทำหน้า
“คุณท่านจะทำแบบนั้นเหรอครับ” 
“อะไรก็ไม่แน่ไม่นอน เพราะฉะนั้นรับบ้านหลังนี้ไว้เถอะ ให้เป็นชื่อนายฉันอุ่นใจว่าเราสองคนยังมีสมบัติซ่อนไว้หากวันหนึ่งต้องตกทุกข์ได้ยาก”
ผมขมวดคิ้วกับสิ่งที่เขาพูด ผมไม่รู้หรอกว่าจะมีวันตกทุกข์ได้ยากแบบที่คุณตรีพูดไหม แต่เหตุผลของเขาผมก็พอเข้าใจได้
“ก็ได้ครับ ผมจะรับไว้ก็ได้ ผมจะดูแลบ้านหลังนี้ให้” ผมบอกเขา สำหรับผมยังไงบ้านหลังนี้ก็เป็นของคุณตรี แค่ผมเอามาดูแลแทนเขาเฉยๆ
“ถ้างั้นก็เซ็นเลย พรุ่งนี้จะได้ไปเดินเรื่องที่กรมที่ดิน”
“ครับ” ผมรับเอกสารมาอีกครั้ง แล้วเซ็นชื่อตัวเองลงไปแต่ละหน้าตามที่คุณตรีบอก
คุณตรีหยิบเอกสารที่ผมเซ็นครบทุกจุดไปดู เขายิ้มอย่างมีความสุข ผมพลอยมีความสุขไปด้วย เขาวางเอกสารนั้นไว้ข้างตัวแล้วรวมตัวผมเข้าไปจูบ ผมชอบจูบของคุณตรี เขาอ่อนโยนยามที่ขบเม้มกลีบปาก แต่ยามที่สอดลิ้นเข้ามาไล่ต้อนลิ้นเล็กๆของผมเขากลับเซ็กซี่จนริมฝีปากของเราแทบลุกเป็นไฟ และก่อนที่อะไรมันจะเลยเถิดมากไม่กว่าปากที่ดูดกลืนกัน หรือฝ่ามืออุ่นร้อนที่กำลังลูบแผ่วเบาหยอกล้อกับหน้าอกของผม ผมต้องหยุดคุณตรีเอาไว้
“พอแล้วครับ คุณตรีจะออกไปซื้อของไม่ใช่เหรอครับ” ผมพูดปนหอบ สองมือประคองจับแก้มคุณตรีเอาไว้ไม่ให้เขาฉกจูบอีกรอบ
“อืม เด็กดี” คุณตรียอมหยุดแล้วดึงผมเข้าไปกอดเอาไว้ ซบหน้าลงกับลาดไหล่ของผมอย่างข่มอารมณ์ ผมปล่อยให้เขาปรับอารมณ์ตัวเองอยู่สักพัก
วันนี้ผมเป็นคนตั้งสี่แบบ เด็กดื้อ เด็กโง่ เด็กบ้า...และสุดท้ายผมก็กลับมาเป็นเด็กดีของเขาแบบที่เขาของเรียกผมทุกวันเป็นประจำ
ผมเป็นเด็กอะไรก็ได้...ขอแค่คุณตรีพอใจ
ผมยอมทุกอย่างเลย


..........
สวัสดีค่ะ ริริขอบคุณนักอ่านที่เข้ามาอ่านและชื่นชอบนิยายเรื่องนี้นะคะ
ในวันที่10 มิถุนายน 63 นี้จะมีการเปิดพรีออร์เดอร์หนังสือคุณตรีกับน้องฟ้านะคะ ข้อมูลหนังสืออยู่ในเพจเฟซบุ๊คกับในทวิตเตอร์ค่ะ
สำหรับเรื่องของน้องสกาย ริริยังไม่ได้เอามาอัพลงในเล้านะคะ ตอนนี้จะมีเนื้อเรื่องอยู่ที่รีดอะไรท์กับธัญวลัยค่ะ
สามารถติดตามข่าวสารนิยายได้ที่ Facebook page : RiRiWorld
Twitter : @NovelsRiri

 :L1:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนที่31:บทส่งท้าย (จบ) 15-04-20 P.5
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 01-06-2020 19:29:54
ระหว่างอ่านเรื่องนี้มีหลายอารมณ์มาก อย่างแรกก็คือลุ้นกับการเปย์ของคุณตรี ดูออกแหละว่ามีใจให้ฟ้าแค่ไหน อ่านแรกๆก็สงสารชีวิตฟ้ามากเลย แต่พอมาเจอเรื่องคุณตรี กลายเป็นชีวิตฟ้า บางทีอาจมีความสุขมากกว่า

ขณะที่คุณตรีมีพร้อมทั้งพ่อแม่ เงินทอง แต่ความสุขกลับไม่มี แอบโกรธคุณพ่อกับคุณแม่ของคุณตรีมากเลยตอนยัดเยียดเรื่องผู้หญิง เรื่องรับไม่ได้ที่ลูกชายตัวเองเป็นแบบนี้ สงสารคุณตรีมากๆๆๆ อยากกอดแน่นๆ เลย เหมือนจะหน่วงๆ แต่ระหว่างนั้นก็ยิ้มได้กับเรื่องราวของคุณตรีกับฟ้า ดีใจที่เขาได้กลับมาเจอกัน ดีใจที่เขาสมหวังกัน และก็ดีใจที่สุดท้ายความสัมพันธ์ในครอบครัวคุณตรีมันโอเคขึ้น แอบน้ำตาคลอตอนพ่อคุณตรีบอกว่าจากนี้คุณตรีเป็นอิสระแล้ว แต่ยังไงเขาก็ยังเป็นพ่อเป็นแม่ ให้กลับบ้านได้เสมอ อ่านตอนนี้คือยิ้มกว้างเลย ดีใจกับคุณตรีจริงๆ

ตอนท้ายอารมณ์ที่อ่านก็สบายใจแล้ว หวานชื่นแล้ว แต่ดันมาเจอเรื่องน้องสกาย แงงงงงง เครียดเลย คือเป็นห่วงน้องเลย อยากรู้เลยว่าจะยังไงต่อ แอบเดาว่าน้องสกายกับคุณหมอใช่ไหมนะ แยกมาอีกเรื่องรึเปล่าคะ ท่าทางจะหนักหน่วงน่าดู

แอบสงสัยเนื้อเรื่องอยู่ช่วงนึงค่ะ เหมือนเนื้อหามันขาดหายไป หรือคุณนักเขียนตั้งใจแบบนั้นรึเปล่า ตอนที่ฟ้ารู้ว่าคุณตรีคิดยังไง แล้วฟ้าทำตัวไม่ถูก สุดท้ายคุณตรีออกจากบ้านไป ปล่อยฟ้ากินข้าวคนเดียว ตัดมาอีกทีตอนใหม่ กลายเป็นต่างคนต่างรู้ใจ คุณตรีขอจีบน้อง แอบอยากรู้ช่วงเวลาที่เขาเคลียใจกันว่าเป็นมายังไงจังเลยค่ะ

ขอบคุณคุณนักเขียนมากเลยนะคะที่มาแบ่งปันเรื่องราวดีๆ ของคุณตรีกับฟ้าให้ได้ติดตามจนจบ อ่านเพลินมากเลยค่ะ ชอบความสัมพันธ์ของทั้งคู่มากเลย ชอบนิสัยรวยๆของคุณตรีด้วยค่ะ 5555555 เอ็นดูน้องฟ้ามากกก ขยัน เก่ง น่ารัก ความดูแลเอาใจใส่กัน ปรนนิบัติทุกอย่างให้ ดีต่อใจจริงๆนะ แล้วคุณตรีจะไม่หลงหนักแบบนี้ได้ยังไง น้องทำให้คุณตรีขนาดนี้ ชอบมากๆๆๆเลยค่ะ

ขอบคุณที่ชอบนิยายนะคะ แล้วที่ท้วงติงตอนที่ขาดหายไป ริริเอามาลงให้แล้วนะคะ เนื้อหาจะต่อจากตอนที่20 เลยค่ะ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนพิเศษ1+แทรกตอนที่21ที่ลืมลงค่ะ 1-06-20 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 02-06-2020 21:41:51
ละมุนไปหมดเลย อ่านไปยิ้มไป  :pig4:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนพิเศษ1+แทรกตอนที่21ที่ลืมลงค่ะ 1-06-20 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 03-06-2020 18:53:18
 :กอด1:
 :L2:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนพิเศษ1+แทรกตอนที่21ที่ลืมลงค่ะ 1-06-20 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: wipor ที่ 04-06-2020 01:42:24
แต่งได้น่ารัก แบบพอดีๆ อ่านเพลินมากๆค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนพิเศษ1+แทรกตอนที่21ที่ลืมลงค่ะ 1-06-20 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: cutelady ที่ 04-06-2020 13:38:25
พี่ตรีคนดีมากๆๆเลย มั่นคง จริงใจ รักจริง อดทนเพื่อความตั้งใจมี่แน่วแน่ เป็นปลื้ม..มากกกกกก
น้องฟ้า คนดี ดั่งทองแท้ น่ารัก มักน้อย สมกันมากกก
ทั้งคู่ ดีต่อใจ ขอขอบคุณนักเขียน ส่งกำลังใจให้น้าาา
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนพิเศษ2+แทรกตอนที่21ที่ลืมลงค่ะ 8-06-20 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 08-06-2020 23:10:33
CATER TO YOU
SPECIAL CHAPTER
แอ่วเหนือแบบหวานๆ @ เชียงใหม่



“ผมพร้อมจะไปแอ่วเหนือแล้วครับ” ผมกระโดดออกมาจากห้องน้ำหลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมตัวออกไปเดินซื้อของเข้าบ้าน
คุณตรีมองสำรวจผมแล้วยิ้มที่มุมปาก ผมแอบเขินเพราะวันนี้เราใส่เสื้อคู่ที่ซื้อมาตอนอยู่ที่กรุงเทพ ของผมเป็นเสื้อยืดโอเวอร์ไซส์สีขาว ตรงกลางเป็นรูปสกรีนรูปหัวใจดวงเล็กๆ เรียบง่ายแต่มีความหมาย และคนที่เลือกก็ไม่ใช่ผมหรอกครับ เป็นคนที่นั่งยิ้มอยู่ปลายเตียงนู่น
“เอาหมวกไปใส่ด้วย ตอนบ่ายแดดแรง” คุณตรีส่งหมวกผ้าปีกรอบสีขาวมาให้ ผมรับมาถือแล้วเดินนำออกจากบ้าน
“แล้วก็...วันนี้หน้าที่นายจ่ายเงิน” คุณตรีส่งกระเป๋าสตางค์ของเขามาให้ผมถือ
“ให้ผมถือเหรอครับ” ผมรับกระเป๋าสตางค์มาเปิดออกดู มีแบงก์พันอยู่ปึกบะเร่อ
“ใช่...หน้าที่นายนี่นา ดูแลเงินในกระเป๋าฉันน่ะ”
“ระวังนะครับ ผมจะแอบจิ๊ก” ผมยักคิ้วหลิ่วตาแกล้งคุณตรี
“เชิญเลยครับ เอารหัสบัตรเอทีเอ็มด้วยไหม เผื่อเงินในกระเป๋ามีไม่พอให้จิ๊ก”
“ฮ่าๆๆ ผมแค่ล้อเล่น ไม่เอาหรอกครับ” ใครจะไปกล้า แค่เงินเดือนที่เขาให้ผมทุกวันนี้ผมก็แทบจะไม่ได้ใช้อยู่แล้ว
อ่อ...ผมยังได้เงินเดือนอยู่นะครับ เพราะถ้าผมไม่รับ ผมก็ห้ามแตะงานบ้านแม้แต่นิดเดียวแล้วคุณตรีจะไปจ่ายแม่บ้านคนใหม่มาแทน ผมคงห้ามไม่ให้ตัวเองทำนู่นทำนี่ไม่ได้ ก็เลยต้องยอมรับเงินเดือน...แต่เป็นเงินเดือนในฐานะแฟน คุณเขาว่างั้นอ่ะครับ
สถานที่แรกที่เราจะไปเดินดูของกันก็คือวันนิมมาน สองสามวันมานี้คุณตรีขับรถผ่านอยู่หลายครั้ง แต่วันนี้เป็นครั้งแรกที่จะได้เข้าไปเดินเล่นข้างใน
ในนี้มีร้านค้าที่น่าสนใจเยอะมาก ร้านอาหารก็น่ากิน ร้านกาแฟก็น่านั่ง ผมเดินดูของคู่กับคุณตรีอย่างมีความสุข เมื่อก่อนผมได้แต่มองร้านค้าพวกนี้แล้วก็เดินผ่านไป เพราะไม่มีปัญญาที่จะเข้าไปเลือกดูเลือกซื้อ ผิดจากตอนนี้ที่ผมเดินเข้าไปดูแทบทุกร้าน คุณตรีก็ไม่เอ่ยขัด ผมเดินเข้าร้านไหนเขาก็เดินตามเข้ามา
“คุณตรีลองดมดูสิครับ กลิ่นนี้หอมดี” ผมหยิบเทียนหอมขึ้นมาดมแล้วรู้สึกชอบ ก่อนจะส่งให้คุณตรีดมถึงจมูก
“หอม สดชื่นดี”
“ใช่ไหมครับ”
“เลือกเอามาหลายๆกลิ่นหน่อย ฉันชอบให้บ้านหอมๆ”
“แต่ราคามันแพงเอาเรื่องเหมือนกันนะครับ” ผมหยิบตะกร้าใส่ของมาถือ แต่คุณตรีแย่งไปถือไว้เอง ผมเลยหยิบเทียนหอมกระปุกใหม่ใส่ตะกร้า
ราคาเทียนหอมกระปุกละ 990 บาทสำหรับไซส์ใหญ่ ส่วนไซส์กลางราคา 690 บาท แต่บรรจุภัณฑ์และกลิ่นหอมๆของเทียนไขถือว่าตรึงตาตรึงใจมาก แม้จะคิดว่ามันแพงเกินไปแต่ผมก็ตัดใจวางไม่ลง ดมแล้วดมอีก
“ราคานี้ถือว่าไม่แพงหรอก เทียนที่ฉันใช้ที่กรุงเทพแพงกว่านี้อีก” คุณตรีเลือกดมเทียนหอมดูบ้าง เขาเองก็คงจะรู้สึกเพลิดเพลินไม่น้อย
“แล้วของที่บ้านเท่าไหร่เหรอครับ”
“กระปุกหนึ่งก็สองพันกว่าบาท บางกระปุกก็เกือบสี่พัน ฉันซื้อตอนไปเรียนที่อังกฤษ”
“เกือบสี่พันเลยเหรอครับ!”
“ใช่ ไซส์เท่านี้” คุณตรีหยิบเทียนหอมไซส์กลางโชว์ให้ดู ผมย่นจมูกด้วยความไม่ชอบใจ
“สี่พันของอันนั้น ซื้ออันนี้ได้ สี่กระปุกเลยนะครับ ถ้าซื้อไซส์กลางก็ได้ตั้ง...อืม...ห้ากระปุก เกือบหกกระปุกเลยนะครับ” ผมตาโตหลังจากคำนวณ
“งั้นก็ซื้อไปเลยหกกระปุก คุ้มใช่ไหมล่ะ”
“ใช่ครับ คุ้มมากๆ”
“นี่ ดูตรงนี้สิ มีติดว่าเป็นสินค้า ECO ด้วยนะ สินค้ารักษ์โลก เห็นว่าใช้บรรจุภัณฑ์จากขวดแก้วเก่านำมารีไซเคิล” คุณตรีชี้ให้ผมดูตัวอักษรภาษาอังกฤษบนฉลาก
“งั้นก็ดีเลยครับ เหมือนสินค้าของคุณตรีเลย”
“ใช่ไหมล่ะ”
“อย่างนี้ต้องช่วยอุดหนุนครับ สนับสนุนๆ” ผมยิ่งตื่นตาตื่นใจเข้าไปใหญ่ หันกลับมาเลือกเทียนหอมต่อ ได้ยินเสียงคุณตรีหัวเราะเบาๆ แต่ผมไม่ได้สนใจ ดมไปดมมาก็เริ่มจะงงกลิ่น อีกนิดก็คือจะเวียนหัวแล้ว
“เดี๋ยวก็มึน อย่าดมติดๆกันแบบนั้น คุณครับ มีเมล็ดกาแฟไหมครับ” คุณตรีดุ เขาดึงกระปุกเทียนหอมไปจากมือผม แล้วหันไปพูดกับพนักงานในร้าน
“นี่ค่ะกาแฟ”
“อ่ะ ดมนี่ซะ จะได้ล้างจมูก” คุณตรียื่นขวดแก้วที่ใส่เมล็ดกาแฟเอาไว้ข้างในให้ผมดม กลิ่นหอมของเมล็ดกาแฟคั่วทำให้รู้สึกสดชื่นและตื่นตัว ช่วยล้างกลิ่นเทียนหอมที่ผมสูดดมไปหลายกลิ่นได้อย่างดี เหมือนได้ล้างจมูก
“ตอนนี้มีโปรโมชั่นพิเศษนะคะ ซื้อครบทุกๆ2500บาท จะได้รับกระเป๋าผ้าแบบนี้หนึ่งใบค่ะ” พนักงานขายผู้หญิงหยิบถุงผ้าสีครีม มีหูหิ้วเป็นเชือกถักสีเขียวเข้ม บนตัวกระเป๋ามีการเพ้นท์รูปดอกไม้และใบไม้บนผ้า
“ขอบคุณครับ ยังไงผมขอเลือกดูก่อน”
ได้ค่ะ ตามสบายเลยนะคะ”
“ครับ”
“เลือกได้หรือยังว่าจะเอากลิ่นไหนบ้าง” คุณตรีหันมาคุยกับผมต่อหลังจากที่พนักงานเดินห่างออกไป
“เลือกไม่ถูกเลยครับ หอมทุกกลิ่นเลย” ผมยิ้มเผล่
“เหมาเลยไหม” คุณตรีเลิกคิ้วสูง ผมรีบขยับตัวเอามือดันหน้าอกคุณตรีไว้
“ใจเย็นสิครับ แบ่งกันคนละครึ่งนะ คุณตรีเลือกสามกลิ่นผมเลือกสามกลิ่น โอเคไหมครับ” ผมเสนอ เขาก็พยักหน้า
พอช่วยกันเลือก แปบเดียวเราก็ได้เทียนหอมไซส์กลางมาถึงหกกระปุก ผมเอียงคอมองของในตะกร้า แบบนี้มันไม่มากไปหน่อยเหรอ แต่ไม่เป็นไรหรอก ขอมันต้องใช้ทุกวัน ซื้อครั้งหนึ่งก็ใช้ได้นาน
“ฟ้า...มาเลือกสบู่ไหม” คุณตรีหันมาเรียกผมให้เดินไปหา
“สบู่อะไรเหรอครับ” ผมเดินมายืนข้างคุณตรี ก้มหน้าดมสบู่ที่คุณตรีส่งมาให้ดู “หอมจังครับ ก้อนเท่าไหร่อ่ะ”
“ก้อนละร้อย”
“โห แพงอ่ะ ไม่เอาหรอกคุณตรี สบู่ลักส์ในเซเว่นก้อนละสิบกว่าบาทเอง” ผมส่ายหน้า พูดเสียงเบาให้ได้ยินกับคุณตรีแค่สองคน กลัวพนักงานเขาได้ยินแล้วเอาอะไรมาขว้างหัว
“มันไม่เหมือนกัน”
“ไม่เหมือนยังไงล่ะครับ”
“สบู่พวกนี้ทำจากไขมันดีหลายชนิด มีคุณภาพก็ดีกว่า เพราะของที่นำมาผลิตและกรรมวิธีที่พิถีพิถันมากกว่าทำให้ได้สบู่ที่ทำความสะอาดได้ดีและบำรุงผิวไปด้วย แถมกลิ่นก็ไม่ใช่กลิ่นสังเคราะห์” คุณตรีอธิบายเชิงวิชาการให้ผมเข้าใจ แต่ผมว่ายังไงมันก็แพงอยู่ดี
“คุณตรีอยากได้เหรอครับ” ยังไงเขาก็เป็นคนจ่าย เงินก็เงินของเขาผมจะไปห้ามอะไรได้
“อืม อยากได้...เอาไปอาบน้ำให้เด็กแถวนี้ ถ้ามีกลิ่นนี้ติดบนตัวน่าจะหอม...น่ากิน” คุณตรีวาดสบู่ก้อนที่อยู่ในมือเฉียดจมูกของผมไป แต่กลิ่นที่หอมหวานมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวก็ทำให้ผมเดาได้ว่ากลิ่นนั้นมันคือกลิ่นลูกพีช
“แล้วแต่คุณตรีเลยครับ” ผมไหวไหล่ทำเป็นไม่สนใจ ถ้าผมหลุดอาการเขาก็จะแกล้งผมหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ
“เอาไปลองกลิ่นละก้อนละกัน”
“เอาหมดเลยเหรอครับ” มองๆดูแล้วก็เป็นสิบกลิ่นเลยนะ แต่ผมปล่อยให้คุณตรีเลือกซื้อของไป อยากลองดูเหมือนกันว่าสบู่ก้อนละร้อยนี่จะหอมติดทนนานข้ามวันแบบไม่ต้องอาบน้ำได้หรือเปล่า
“อืม ถ้าใช้ดีตอนกลับกรุงเทพว่าจะซื้อไปฝากคุณเอิงกับพี่เหนือสักหน่อย”
“อ่อ...ครับ”
เราสองคนใช้เวลาเลือกซื้อของในร้านนี้อยู่นานพอสมควร แต่ของที่ได้ก็มีแค่เทียนหอมกับสบู่ที่คุณตรีอยากได้ คิดว่าจะไม่เอาอะไรแล้วก็เดินไปที่เคาน์เตอร์จ่ายเงิน กระเป๋าสตางค์คุณตรีอยู่ที่ผม ดังนั้นผมต้องเป็นคนจ่ายค่าของทั้งหมดนี่
 “ทั้งหมด 5140 บาทค่ะ”
“จ่ายบัตรไปก็ได้ ที่นี่รับบัตรใช่ไหมครับ” คุณตรีบอก คงเห็นว่ายอดเงินมันค่อนข้างเยอะอยู่
“รับค่ะ”
“เวลาจ่ายบัตรก็เอาใบนี้จ่ายไปเลย” คุณตรีหยิบบัตรเครดิตใบหนึ่งออกมาจากช่องเก็บบัตร ก่อนจะพลิกด้านหลังแล้วส่งปากกามาให้ผม
“เซ็นชื่อตัวเองลงไปที่หลังบัตร”
“ครับ?” ผมมองคุณตรีด้วยความแปลกใจ ให้ผมเซ็นชื่อตัวเองลงไปบนหลังบัตรใบนี้เนี่ยนะ
“ก็เวลานายจ่ายบัตรมันต้องเซ็นชื่อลงในใบเสร็จ ถ้าลายเซ็นไม่ตรงกับหลังบัตรมันจะเป็นปัญหาเอา” คุณตรีว่าอย่างนั้น ผมก็เลยยอมเซ็นชื่อตัวเองลงไปบนหลังบัตรเครดิตแบบงงๆ
“อ่ะ ลองจ่ายเงินดู”
คุณตรีทำเหมือนสอนผมใช้จ่ายเงินอย่างไงอย่างงั้น ผมก็เลยยื่นบัตรใบนั้นให้พนักงานเอาไปคิดเงิน สักพักเขาก็เอาใบเสร็จมาให้ผมสองใบพร้อมชี้นิ้วตรงตำแหน่งที่ผมต้องเซ็น จ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยผมก็รับบัตรคืนพร้อมกับใบเสร็จอีกใบ
“สะดวกไหม”
“สะดวกครับ แต่แบบนี้อาจจะใช้เงินแบบไม่ระวังได้เลยนะครับ”
“ก็อยู่ที่ตัวบุคคลว่าบริหารการใช้เงินได้ดีแค่ไหน”
“ก็จริงครับ แต่คุณตรีไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะดูแลเงินของคุณตรีอย่างดีไม่ให้รั่วไหลเลยครับ” ผมเอามือตบกระเป๋าเงินดังปุๆ
“ขอบคุณมากครับคุณภรรยาที่ช่วยดูแลเงินให้”
ผมหันไปมองพนักงาน ไม่รู้ว่าเธอได้ยินคำพูดของคุณตรีไหม แต่เธออมยิ้มบางๆแบบนี้ หมายความว่าได้ยินหรือเปล่า
“คุณลูกค้าจะได้ถูกผ้าทั้งหมดสองใบนะคะ” พนักงานหยิบถุงผ้าออกมาวางรวมกับของสองใบ ใกล้ๆผมเห็นแพ็คถุงพลาสติกที่เอาไว้ใส่ของเวลาที่ลูกค้าซื้อ ผมเลยรีบบอกปฏิเสธไม่รับถุงพลาสติก
“ไม่ต้องใส่ถุงนะครับ เอาของใส่กระเป๋าผ้าเลยก็ได้”
“ได้ค่ะคุณลูกค้า”
“ขอบคุณครับ” ผมเอ่ยขอบคุณ ยืนรอรับของที่ซื้อก่อนจะเดินออกจากร้าน เรากำลังเดินกลับไปที่รถเพื่อเอาของไปเก็บเพราะมันค่อนข้างหนัก
“ไม่ชอบใส่ถุงเหรอ” คุณตรีถาม
“ครับ ไม่เปลืองถุงดี” ไหนๆก็ได้กระเป๋าผ้าจากการซื้อของไปตั้งห้าพันบาท ก็ควรใช้มันให้คุ้ม
“งั้นเหรอ”
“ครับ”
“งั้นคืนนี้ฉันจะไม่ใส่ถุงนะ นายจะได้ชอบ”
เขาว่าอะไรนะ ผมหยุดเดินหันไปมองตาเจ้าเล่ห์ของคุณตรีอย่างไม่ไว้วางใจ แล้วคิดตามที่เขาพูดเมื่อตะกี้อีกรอบ
คืนนี้...เขาจะไม่ใส่ถุง ถุงอะไร
เขาคงไม่ได้หมายถึงถุงยางอนามัยใช่ไหม?!
“ผมหมายถึงถึงพลาสติกใส่ของต่างหากละครับ ไม่ใช่ถุง...ยางสักหน่อย” ท้ายเสียงผมพูดเบาลงเพราะกลัวคนอื่นได้ยิน
“อ้าวเหรอ คิดว่าหมายถึงอันนั้น แต่จริงๆไม่ใช้ก็ดีนะ ลดขยะ ลดโลกร้อน” คุณตรียิ้มกริ่ม
“ครับ ไม่ใช้ก็ดี...”
“เห็นด้วยแล้วใช่ไหม” คุณตรีทำตามพราวระยับเลยครับ
“ผมหมายถึง เราก็ไม่ต้องทำเรื่องแบบนั้น ถ้าไม่ทำก็ไม่ต้องใช้ พอไม่ใช้มันก็ไม่เกิดเป็นขยะให้โลกร้อนไงครับ คุณตรีเห็นด้วยไหม” ผมหลุดขำเมื่อเห็นคุณตรีหน้าเหวอ
“เด็กบ้า เดี๋ยวคืนนี้ก็รู้ว่าจะได้ทำหรือไม่ได้ทำ”
“ฮ่าๆๆ” 



..........................
ยังเหลือตอนพิเศษอีก1ตอนนะคะที่จะลงให้อ่าน
สามารถแวะเข้าไปคุยกับได้ที่เพจกับทวิตเตอร์นะคะ
facebook : RiRiWorld
Twitter : @NovelsRiri
ติดแท็ก #ปรนเปรอรัก

 :mew1:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนพิเศษ2+แทรกตอนที่21ที่ลืมลงค่ะ 8-06-20 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 09-06-2020 23:06:54
สนุกกกมากก เป็นนิยายที่ดีเลย พระนายไม่งี่เง่า ชอบนิสัยฟ้าจริง สู้ชีวิตไม่ย่อท้อ คุณตรีก็สายเปย์ 5555 นี่เรียกว่าโชคชะตาเลย กลับมาเจอกันอีกจนได้เป็นแฟนกัน ยาวนานเลย ดีใจกับทั้งคู่มากๆ พลาดไปได้ไงนิยายเรื่องนี้ ขอบคุณนะคะ  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนพิเศษ2+แทรกตอนที่21ที่ลืมลงค่ะ 8-06-20 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 13-06-2020 11:27:37
น้องฟ้าคิดบวกได้ดีมาก ชอบมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนพิเศษ3+แทรกตอนที่21ที่ลืมลงค่ะ 13-06-20 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: RiRi ที่ 13-06-2020 14:25:45
CATER TO YOU
SPECIAL CHAPTER
ฉลองเรือนหอ @ เชียงใหม่




ผมก็ไม่แน่ใจว่าผมชอบการจ่ายตลาดตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ทุกครั้งที่คุณตรีกินอาหารที่ผมทำอย่างเอร็ดอร่อย ผมก็ยิ่งอยากฝึกฝีมือ อยากทำอาหารเก่งๆ ให้ได้หลายแบบหลายเมนู ความโชคดีของคนสมัยนี้คือ คุณไม่จำเป็นต้องเข้าคลอสเรียนทำอาหารราคาแพงถ้าคุณไม่มีทุนทรัพย์ แต่คุณสามารถศึกษาได้จากในอินเตอร์เน็ต โดยเฉพาะในยูทูบที่มีวิธีทำอาหารที่มาทั้งภาพและเสียง

ฝึกอีกนิดผมน่าจะไปเปิดร้านอาหารได้เลยล่ะครับ 

“คุณตรี ดูสิครับ อโวคาโดลูกใหญ่มากเลย คุณตรีชอบกินนี่ครับ” ผมปรี่เข้าไปที่ซุ้มขายผลไม้ท้องถิ่น หนึ่งในนั้นมีอโวคาโดของโปรดของคุณตรี

“แต่อันนี้มันพันธุ์ไทย”

ผมทำหน้าฉงนว่าคุณตรีหมายถึงอะไร เขาเลยช่วยไขข้อข้องใจให้ผม

“ฉันชอบพันธุ์แฮซจากต่างประเทศมากกว่า ของไทยจะน้ำเยอะ ไม่หวานไม่มันเท่าของต่างประเทศ”

อ่อ แบบนี้นี่เอง ผมก็ไม่ได้สังเกต ตอนอยู่กรุงเทพก็ซื้อเฉพาะตรงโซนตู้แช่ผลไม้แบบที่น้ากุ้งเคยบอกและคุณตรีเคยกินเท่านั้น

“แต่อันนี้มันถูกว่าตั้งเยอะนะครับ แถมยังเป็นของคนไทยด้วย เราช่วยอุดหนุนของไทยไม่ดีกว่าเหรอครับ อีกอย่างที่เชียงใหม่น่าจะหาของต่างประเทศกินยากนะครับ” ผมพูดตามที่คิด แต่คิดถูกหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะผมไม่ใช่คนแถวนี้

“ขายเก่งนะเรา” คุณตรีหลุดยิ้ม

“จริงเหรอครับ ผมเหมาะเป็นพ่อค้าไหม” ผมทำตาโตตื่นเต้น คุณตรีใช้สายตามองอย่างพินิจพิจารณาก่อนจะส่ายหน้า

“ไม่อ่ะ”

“เอ้า ทำไมละครับ”

“เหมาะจะเป็นแฟนฉันมากกว่า” คุณตรียิ้มกริ่มที่มุมปาก

“...”

“เหมาะที่สุดคือเป็น...”

“พอครับ ไม่เอาก็ไม่เอา” ผมรีบเอ่ยแทรกก่อนที่คุณตรีจะพูดอะไรที่ชวนให้อาย ผมหมุนตัวจะเดินออกจากซุ้มขายผลไม้แต่คุณตรีดึงแขนเอาไว้ ผมพาผมกลับไปยืนหน้ากองอโวคาโดลูกโตอีกครั้ง

“หึหึ เอาสิ เลือกไปสักหนึ่งกิโล พรุ่งนี้ฉันอยากกินโทสอโวคาโดกับกาแฟดำ” คุณตรีพูดถึงอาหารเช้าเพื่อสุขภาพของโปรดของเขาที่ผมหัดทำหลายแบบจนรสชาติดีถูกปากคนกิน

“บางทีคุณตรีลองของไทยแล้วอาจจะชอบก็ได้ ผมเห็นอะไรๆคุณตรีก็ใช้แต่ของต่างประเทศ คุณตรีต้องหัดลองใช้ของไทยกินของไทยบ้างนะครับ”

“ขนาดนั้นเลย”

“ใช่ครับ เอาลูกพีชกับลูกพลับด้วยไหม”

“แล้วแต่ ถ้าอยากให้ฉันกินนายก็เลือกเลย” พอคุณตรีว่าแบบนั้นผมก็เลยเลือกผลไม้มาอีกสองสามอย่าง พลางคิดไปด้วยว่าจะเอาไปทำอะไรให้คุณตรีทาน แต่ผมก็เลือกซื้อไปแค่พอกินในช่วงสองสามวันนี้ หมดแล้วก็ค่อยมาซื้อใหม่จะได้ได้กินแต่ผลไม้สด

“นี่ นายน่ะพูดผิดไปนะ” ระหว่างที่เดินเลือกซื้อของ คุณตรีก็เรียกผมแล้วก็พูดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“อะไรครับ ผมพูดอะไรผิด” ผมหันไปถามเขาด้วยความสงสัย

“ก็ที่นายบอกว่าฉันชอบใช้แต่ของต่างประเทศไง”

“ผมพูดผิดเหรอครับ”

“ใช่ เพราะมีอยู่อย่างหนึ่งที่ฉันไม่ได้ใช้ของต่างประเทศ”

ผมช้อนตามองอย่างไม่เชื่อคำคนหล่อ เสื้อผ้าของเขาก็แบรนด์ดังราคาเป็นพันเป็นหมื่น ข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน ต่อให้เป็นของบริษัทตัวเอง แต่วัสดุที่เอามาทำบางอย่างก็นำเข้า อาหารและของกินอย่างพวกผักผลไม้ก็ต้องเป็นของนำเข้านะครับ ผมไม่เห็นว่าจะมีอะไรที่คุณตรีไม่ใช้ของนอกเลย

“ผมว่าไม่น่ามีนะครับ”

“มีสิ”

“อะไรล่ะครับ”

“เมีย” 

“...!” ผมอึ้งกับคำตอบที่เขาพูดออกมาจากปาก

“ว่าแต่เด็กคนนี้เมดอินไทยแลนด์หรือเปล่านะ หรือจริงๆแล้วเป็นลูกครึ่ง”

“...”

“ครึ่งคนครึ่งเทวดา”

“บ้า” ผมเดินหนีเขาทันที ใครจะไปอยู่ให้เขาแทะโลมให้ผมทั้งเขินทั้งอายกันล่ะ คนตัวโตก็หัวเราะเบาๆอย่างชอบอกชอบใจ เขายิ้มอย่างมีความสุข เห็นอย่างนั้นผมก็รู้สึกอิ่มเอมจนท่วมท้นในอก

นับแต่วันแรกที่ผมได้เจอคุณตรีอีกครั้ง ผมก็บอกตัวเองไว้แล้วว่าจะอยู่ดูแลทำให้เขามีความสุขที่สุด ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะไหน นั่นคือหน้าที่ของผม

หน้าที่ที่ผมทำด้วยหัวใจ

“กาแฟดริปสดไหมครับ”

ขาทั้งสองข้างของผมชะงักเมื่อเดินผ่านร้านกาแฟตั้งโต๊ะที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วบริเวณ ผมไม่กินกาแฟแต่ผมชอบกลิ่นของมัน ถ้าถามว่าเริ่มชอบตั้งแต่ตอนไหน ก็คงเป็นตอนที่ฝึกชงกาแฟให้คุณตรีนั่นแหละ

“ลองชิมไหมครับ” คนขายเอ่ยชวนอย่างเป็นมิตร ผมขยับเข้าไปดูด้วยความสนใจ

“ผมไม่ทานกาแฟครับ แต่คนนี้กิน” ผมชี้ไปที่คุณตรี พ่อค้าก็เลยส่งแก้วกระดาษแก้วเล็กที่ใส่กาแฟกลิ่นหอมมาให้คุณตรีลองชิม คุณตรีรับแก้วกาแฟไปจิบ ดวงตาคมหลับลงเพื่อดื่มด่ำกับรสชาติเครื่องดื่มสีเข้ม

“เป็นไงครับ” คนขายถามเมื่อคุณตรีชิมไปได้สักพัก

“อืม รสชาติดีครับ กลิ่นก็หอม เมล็ดกาแฟนี่ขายยังไงครับ” คุณตรีขยับเข้ามาเลือกดูด้วยตัวเอง เขาเป็นคนที่ชื่นชอบกาแฟมากจริงๆ

“ถุงละ180 บาทครับ น้ำหนัก 250 กรัม”

“งั้นผมเอาเมล็ดกาแฟสามถุง ไม่ต้องใส่ถุงนะครับ ผมมีถุงผ้ามา”

“แฟนเหรอครับ” พ่อค้าถามแบบไม่เจาะจงว่าถามใคร เพียงใช้สายตามองผมกับคุณตรีสลับกันขณะที่ส่งถุงเมล็ดกาแฟให้คุณตรี ส่วนผมก็มีหน้าที่ควักเงินจ่าย

“ครับ เขาเป็นแฟนผม” คุณตรีตอบพลางยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ก่อนจะรับถุงกาแฟมาใส่ถุงผ้า

“อ่อ คุณโชคดีจังนะครับ” คนขายพูดและรับเงินจากผม

“ขอบคุณครับ” คุณตรีตอบก่อนจะพาผมเดินออกมา

ดีจังเลยนะครับ โลกสมัยนี้เปิดกว้างมากพอที่จะไม่ดูถูกดูแคลนคนที่รักชอบเพศเดียวกัน อาจจะไม่ทุกคนที่เห็นด้วย แต่ก็ยังมีคนอีกบางกลุ่มที่ให้เกียรติความรักของผู้อื่น

คุณคนขายกาแฟเป็นคนดี...ผมขอให้ขายดิบขายดีนะครับ

“คุณตรี ที่บ้านยังไม่มีเครื่องทำกาแฟนี่ครับ เอาอันนี้ไปลองไหม” ผมเดินมาหยุดที่ร้านขายแก้วมัค ที่น่าสนใจก็คือแก้วทรงปากกว้างที่ใช้กรองกาแฟแบบร้านกาแฟที่เราชิมเมื่อครู่ เขาว่าเป็นการชงแบบดริป ผมว่าน่าสนใจดี และคุณตรีก็ชอบกาแฟที่เขาทำด้วย

“ทำเป็นเหรอ”

“ผมอยากลอง” อะไรที่คุณตรีชอบผมก็อยากลองทำให้เป็นทุกอย่าง

“อยากลองก็ซื้อสิ อยากได้อะไรก็ซื้อ ให้กระเป๋าเงินไปแล้วนิ”

“ครับ” ผมยิ้มกว้างแล้วรีบเข้าไปเลือกดูของด้วยความสนใจ

ตลอดช่วงบ่ายไปจนถึงตอนเย็น ผมเดินเลือกซื้อของกับคุณตรีเพลินมาก นับเป็นครั้งแรกเลยที่ผมมาเดินตลาดแล้วซื้อของติดไม้ติดมือกลับบ้านเยอะขนาดนี้ และมากกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์คือของที่ผมเลือกให้คุณตรี โดยเฉพาะของกินที่มีตั้งแต่ผลไม้ออร์แกนิค ผักปลอดสารพิษที่เห็นแล้วไม่ซื้อก็ไม่ได้ ไหนจะของตกแต่งบ้านสวยๆอีกหลายอย่าง แก้วเอย จานชามเอย ผมได้มาหลายอย่างเลยครับ

มื้อเย็นเราหาทานที่ร้านอาหารเหนือชื่อดังในตัวเมือง กินเสร็จก็ขับรถกลับบ้านพัก ผมทิ้งตัวนั่งเอนบนโซฟา ผมทานมื้อเย็นไปเยอะมาก ตอนนี้ยังรู้สึกแน่นท้องอยู่เลย

“คุณตรีครับ เดี๋ยวผมเก็บเอง” ผมยันแขนขึ้นนั่งตัวตรงเมื่อเห็นว่าคุณตรีหอบข้าวของเข้าไปเก็บในครัว

“ไม่เป็นไร นั่งพักไปเถอะ เดินซื้อของเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”

“ไม่เอาครับ มันหน้าที่ผมนะ เดี๋ยวผมเก็บเอง” ผมเดินเอื่อยๆไปหาคุณตรีที่เคาน์เตอร์ครัว

“ไม่มีหน้าที่ใครทั้งนั้น ฉันกับนายคือครอบครัวเดียวกัน เก็บของแค่นี้ทำไมฉันจะทำให้นายไม่ได้”

“แต่คุณตรีก็เหนื่อยเหมือนกันนี่ครับ” ผมบอก เข้าไปแย่งถุงผักกับผลไม้ในมือคุณตรีแล้วเอาไปแช่ในตู้เย็น

“งั้นเก็บแต่ของสดแล้วกัน ที่เหลือค่อยมาจัดการวันพรุ่งนี้ดีไหม” คุณตรีส่งถุงของสดทั้งผัก ผลไม้และเนื้อสัตว์ให้ผมเอาเข้าตู้เย็น

เก็บของสดเข้าตู้เย็นเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จัดการล็อกบ้านปิดไฟด้านล่าง ก่อนจะพากันขึ้นไปบนห้องนอน พอเห็นเตียงแล้วก็อยากจะทิ้งตัวลงนอนเลยครับ ตอนเดินเที่ยวไม่รู้สึกเหนื่อย จะมาเหนื่อยก็ตอนที่เห็นเตียงกับได้อากาศเย็นๆจากเครื่องปรับอากาศ

“ไปอาบน้ำกันเถอะ” คุณตรีพูดแล้วก็ถอดเสื้อยืดที่ใส่อยู่ออกจากตัว ผมเริ่มจะชินกับการนึกจะถอดเสื้อผ้าก็ถอดของคุณตรี แม้ว่ากล้ามเนื้อหน้าท้องของเขาจะทำให้ผมใจสั่นก็ตาม

“คุณตรีจะทำอะไรครับ” ผมขยับถอยหลังเมื่อคุณตรีหันมาคว้าจับชายเสื้อของผมแล้วทำท่าจะดึงออกจากหัว

“ก็ถอดเสื้อผ้าไง ไม่อาบน้ำเหรอ” เขาทำหน้าฉงน แต่มือไม้ก็ไม่หยุดขโมยเสื้อจากร่างกายของผม และเขาก็ทำมันสำเร็จ เสื้อยืดของผมลอยละลิ่วติดไปกับมือของเขา เหมือนกับว่ามันไม่เคยอยู่บนตัวผมมาก่อน

“คุณตรีก็ไปอาบก่อนสิครับ” ผมรู้สึกหวิวๆยังไงไม่รู้ สงสัยแอร์จะหนาวไป ลูกเกดเม็ดเล็กบนหน้าอกของผมถึงได้รู้สึกเย็นวาบจนแข็งตัว ยิ่งตอนที่คุณตรีมองจ้องมัน มันยิ่งรู้สึก…สยิว

“ฉันไม่ได้บอกเหรอว่า เราจะอาบน้ำด้วยกันน่ะ ฉันอยากลองสบู่ที่ซื้อมาใหม่กับนาย”

คุณตรีขยับเข้ามาใกล้ ไล่ต้อนให้ผมเดินถอยหลังเข้าไปในห้องน้ำ มือของเขาก็อยู่ไม่เป็นสุข คอยจะลูบวนแถวเอวและหน้าท้อง

คุณตรีเกลี่ยปลายจมูกแถวๆโหนกแก้ม พร่ำพรมจูบแผ่วเบาไปทั่วใบหน้าและริมฝีปาก ไม่ใช่การจูบแบบดีพคิส แต่เป็นการจูบเบาๆแต่ทำให้ใจสั่นสะท้าน

ยิ่งสัมผัสของเขาบางเบาเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งคล้อยตามได้ง่ายเท่านั้น

เขาจับจุดถูกว่าผมชอบความอ่อนโยน เพราะเมื่อทำให้ผมเคลิบเคลิ้มได้แล้ว หลังจากนี้เขาจะเอาแต่ใจขนาดไหนก็ได้โดยที่ผมจะไม่ขัดขืน

คุณตรีขยับถอยห่าง เขายกมือลูบแก้มผมพลางกระซิบบอกให้รอเขา ผมที่ยังมึนงงมองคุณตรีเดินออกไปจากห้องน้ำ ประเดี๋ยวเดียวเขาก็กลับมาพร้อมกับถุงที่ได้มาจากร้านขายเทียนหอมและสบู่

คุณตรีจ้องผมไม่วางตา เขาหยิบเทียนหอมที่ผมเลือกขึ้นมาดม แล้วใช้ไม้ขีดไฟจากต่างประเทศจุดไฟ ทันทีที่เปลวไฟดวงเล็กแตะต้องกับไส้เทียน กลิ่นหอมชวนผ่อนคลายก็กำจายฟุ้งไปทั่วห้องน้ำ ขับกล่อมให้บรรยากาศภายในดูโรแมนติกและวาบหวาม

คุณตรีวางแก้วเทียนหอมไว้ที่เคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า ก่อนจะขยับกายเข้ามาประชิดตัวผมอีกครั้ง สายตาคมเต็มไปด้วยความปรารถนาที่หวานล้ำ และยามที่เขาโน้มใบหน้าลงมาประทับจูบ ผมก็ทำได้แค่เชิดหน้ารอรับสัมผัสด้วยความเต็มใจ

เราจูบกันอยู่สักพัก ก่อนที่คุณตรีจะย่อตัวลงเพื่อปลดกระดุมกางเกงยีนที่ผมใส่ เขาเกี่ยวนิ้วสอดเข้าใต้ขอบกางเกงชั้นในแล้วรูดมันลงรวดเดียว เครื่องห่อหุ้มกายทั้งสองชิ้นก็ลงไปกองที่ปลายเท้า ผมยกขาออกทีละข้างเพื่อให้กางเกงทั้งสองชิ้นพ้นจากตัว

“ถอดให้ฉันบ้างสิ” คุณตรีเอ่ยขอ ผมเงยหน้าสบตาเขา เม้มริมฝีปากเล็กน้อยยามที่นิ้วมือแตะลงบนขอบกางเกงของคนตัวโต ผมปลดกระดุมให้คุณตรีด้วยมือที่สั่นเทา ถอดกางเกงขายาวให้เขาก่อนเป็นอันดับแรก แล้ววางมันลงในตะกร้าผ้าใต้อ่างล้างหน้า

“อีกชิ้นละ ไม่ถอดเหรอ” คุณตรีคลอเคลียอยู่ที่ลำคอของผม เขากดจูบสลับขบเม้มไปตามผิวเนื้อ คาดว่าต้องขึ้นรอยสีแดง ถ้าตอนที่ผมไปเรียนเขาจะไม่ค่อยทำ ถ้าจะทำรอยก็มักจะทำในร่มผ้า แต่พอปิดเทอมปุบเขาก็ขยับสร้างรอยคิสมาร์กบนร่างกายของผม ยังดีที่เขาทำในจุดที่เสื้อผ้าหรือปกคอเสื้อปิดได้มิด

ผมมองผ้าผืนน้อยสีน้ำเงินเข้มที่คุณตรีเหลือติดกายพลางลอบกลืนน้ำลายลงคอ

‘คุณตรีน้อย’ ที่ขนาดไม่น้อยพองตัวอยู่ใต้กางเกงชั้นใน ขนาดของเขาใหญ่กว่าของผมอยู่มาก และผมรู้สึกอึ้งกับตัวเองทุกครั้งที่สามารถรองรับคุณตรีน้อยเข้ามาในตัวได้โดยไม่มีเลือดตกยางออก หากไม่นับครั้งแรก

ผมกลั้นใจถอดปราการชิ้นสุดท้ายบนร่างกายที่สุดแสนจะเฟอร์เฟ็คออก วินาทีต่อมามันก็ลงไปอยู่ในตะกร้าผ้าอีกตัว

ลูกชายของคุณตรีดูแข็งขึงอย่างเต็มไปด้วยความรู้สึก ในขณะที่ของผมแค่กรึ่มๆเท่านั้น ทำไมเขาถึง...ได้พร้อมรบขนาดนี้

“รู้ไหม มันแข็งขนาดนี้ก็เพราะนายนะ” คุณตรีกระซิบบอกผม ใบหน้าของเขาเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มและความรัก

“ผมไม่ได้ทำอะไรสักหน่อยครับ”

“แค่เป็นนาย ฉันก็ไม่เคยคิดดีได้สักครั้ง ต้องให้ฉันบอกอีกกี่รอบว่าเวลาอยู่กับนาย ฉันรู้สึกอยากกอดนายตลอดเวลา” ยามที่คุณตรีมีอารมณ์ เขามักจะพูดเรื่องพวกนี้อย่างตรงไปตรงมาเสมอ

คุณตรีโอบผมให้เดินไปที่อ่างอาบน้ำ เขาจัดการเปิดน้ำร้อนและน้ำเย็นเพื่อผสมเป็นน้ำอุ่น จากนั้นก็เดินไปหยิบสบู่กับบาธบอมมาใส่อ่าง คุณตรีเดินเหินไปมาทั้งๆที่โป๊เปลือยทั้งตัวได้อย่างไม่เขินอาย เป็นผมเสียอีกที่เขินจนไม่รู้จะเขินยังไงที่ต้องยืนเปลือยกายล่อนจ้อนรอเขาเตรียมน้ำให้อาบ

ระหว่างที่รอให้น้ำเต็มอ่าง คุณตรีก็นั่งลงที่ขอบอ่างอาบน้ำ โอบรั้งเอวผมให้นั่งลงบนตัก จากนั้นเขาก็เริ่มสัมผัสไปตามร่างกายของผมอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นปลายจมูกโด่ง ริมฝีปากนุ่มร้อนหรือฝ่ามือใหญ่ที่ลูบไล้ไปตามร่างกาย ก็ล้วนแต่สอดประสานทำงานร่วมกันได้อย่างดีเยี่ยม

ร่างกายของผมร้อนจนแทบลุกเป็นไฟ ตัวอ่อนตัวเหลวเสียยิ่งกว่าน้ำตาเทียนในแก้วเทียนหอมเสียอีก ไม่ว่าคุณตรีจะจับผมอยู่ในท่าไหนผมก็อยู่ท่านั้น เขาทำกับผมเหมือนอุ้มตุ๊กตาไม่มีผิด

“อืม น้ำเต็มแล้ว” คุณตรีถอนจูบออก

“ให้ผมลุกไหม โอ๊ะ” ผมยังพูดไม่ทันจบ คุณตรีก็คว้ากอดเอวผมไว้แน่นก่อนจะหย่อนก้นลงไปในอ่างอาบน้ำ โดยที่ผมยังนั่งคร่อมตักหันหน้าเข้าหาเขา

อะไรๆที่แข็งเป็นท่อนเสียดสีแนบไปกับร่องก้น พอผมขยับทรงตัวนั่งกลายเป็นว่ายิ่งทำให้มันเสียดสีแนบแน่นขึ้นไปอีก

“คุณตรีครับ” ผมเรียกชื่อเขาทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะเรียกไปทำไม เขาละสายตาที่กำลังมองสำรวจร่างกายของผมขึ้นมาสบตา จากนั้นมุมปากก็ค่อยๆคลี่ยิ้ม

“อาบน้ำก่อนนะ” คุณตรีว่า แล้วหันไปเปิดฝักบัวให้สายน้ำไหลรินรดที่ร่างกายของเราแม้ว่าจะกำลังนั่งอยู่ในอ่างอาบน้ำ คุณตรีเอื้อมไปหยิบกล่องสบู่ราคาแพงมาแกะ กลิ่นหอมของพีชลอยเตะจมูก ทำให้ผมหวนนึกถึงคำพูดของเขาตอนที่เลือกซื้อ

‘อยากได้...เอาไปอาบน้ำให้เด็กแถวนี้ ถ้ามีกลิ่นนี้ติดบนตัวน่าจะหอม...น่ากิน’

คุณตรีถูสบู่ใส่มือ ดวงตาของเขาจ้องหน้าผมไม่วางตา ผมทนสู้สายตาเจ้าชู้ของเขาไม่ไหวก็เลยหลุบตาต่ำมองแค่ช่วงอกของเขาเท่านั้น

“กลิ่นนี้หอม ถ้าอยู่บนตัวนายน่าจะยิ่งหอม มาลองดูกันหน่อยสิว่ากลิ่นจะติดดีแค่ไหน” คุณตรีปิดน้ำจากฝักบัว แล้ววางมือที่เต็มไปด้วยฟองสบู่ลงบนไหล่ของผม เขาถูวนเชื่องช้าไล่มาตามลำแขน ทำการอาบน้ำให้ผมเหมือนผมเป็นเด็กตัวเล็ก

ถูตามลำแขนแล้วเขาก็เลื่อนมือมาโอบถูที่แผ่นหลังของผม คุณตรีมือใหญ่ทว่านุ่ม เขาถูวนไม่กี่ทีฟองสบู่ก็กระจายอยู่ทั่วแผ่นหลัง ผมไม่กล้าที่จะยอมรับเลยว่า ทุกครั้งที่ฝ่ามืออุ่นร้อนของเขาลูบไล้เชื่องช้าไปตามผิว ผมรู้สึกเสียววาบไปทั่วท้องน้อย ยามมือของเขาลากใกล้กับใต้รักแร้ ผมรู้สึกตื่นเต้นคิดไปว่ามือของเขาจะลากมาที่ด้านหน้าแล้วสัมผัสกับหน้าอกของผมหรือไม่

เขาทำให้ผมตื่นเต้นและตื่นตัวอย่างช้าๆ จนตอนนี้อารมณ์ทางเพศของผมถูกคุณตรีปลุกให้ตื่นจนเกือบจะร้อยเปอร์เซ็นต์

และเหมือนเขาจะแกล้ง ก็เลยไม่ยอมลูบมาด้านหน้าสักที เอาแต่วนเวียนลูบแผ่นหลังกับลำคอ

“คุณตรีครับ อาบอย่างนี้คืนนี้จะได้นอนไหมครับ”

“หึหึ โอเคๆ ไม่แกล้งแล้วครับ ฟอด” เขากดจมูกหอมแก้มผม แล้วละมือออกจากแผ่นหลังมาถูกับสบู่อีกครั้ง ก่อนจะวางสบู่ใส่มือของผม “อาบให้ฉันด้วยสิ”

คุณตรียิ้มกริ่มแล้วก็สอดมือเข้ามาใต้แขนของผมเพื่อทำความสะอาดผิวที่ด้านหน้า เริ่มจากลูบผิวตรงหน้าท้อง ใช้นิ้วเขี่ยฟองสบู่เข้าไปทำความสะอาดที่แอ่งสะดือ ผมแขม่วท้องเกร็งและสะดุ้งเป็นพักๆเนื่องจากความหวามไหวที่ก่อตัวขึ้น เม้มปากกลั้นใจถูสบู่กลิ่นหอมหวานกับฝ่ามือแล้วลงมือลูบไปตามลำตัวของคุณตรีบ้าง

พื้นที่บนตัวผมมีอยู่ไม่มาก แต่คุณตรีก็พร่ำถูจนเนื้อผมเริ่มเปื่อย กว่าจะเลิกอาบน้ำได้ก็ตอนที่ปลายนิ้วมือของผมย่นเป็นริ้ว

อาบน้ำเสร็จคุณตรีก็ก้าวขาออกจากอ่างอาบน้ำ คว้าหยิบผ้าเช็ดตัวมาห่อตัวผมก่อนจะยกผมขึ้นจนตัวลอยเหนือพื้น เขาก้าวขาออกจากห้องน้ำไม่กี่ก้าวก็พาเราทั้งคู่มาถึงเตียงนอน

“หอมกลิ่นพีช นายน่ากินมากๆเลยฟ้า”

คุณตรีสูดดมความหอมของกลิ่นสบู่ที่เคลือบติดบนผิวกาย คุณตรีหลับตาพริ้มพลางพรมจูบไปทั่วใบหน้าก่อนที่ริมฝีปากของเราจะแนบสนิทกันอย่างดูดดื่ม

“วันนี้ขอท่าด็อกกี้นะ” คุณตรีกระซิบบอก ผมหน้าร้อนแต่ก็พยักหน้ายินยอม

ผู้ชายอบอุ่นที่แสนอ่อนโยนไม่มีอีกแล้ว เหลือไว้เพียงผู้ชายร้อนรักที่พร้อมกลายร่างเป็นเสือขย้ำยามที่เราระเริงรักกันบนเตียงนอน

เขาจับผมนอนคว่ำหน้า ยกช่วงล่างให้ลอยเด่น ผมขยับขาแยกหัวเข่าและเท้าแขนทั้งสองข้างให้อยู่ในองศาที่จะไม่เมื่อยมากนักหากต้องร่วมรักกับคุณตรีในท่านี้

“ยกเอวขึ้นหน่อย จะสอดหมอนให้” คุณตรีใช้มือแตะที่ใต้ท้องให้ผมยกเอวสูง ก่อนที่เขาจะหยิบหมอนใบใหญ่สอดเข้ามาข้างใต้ ท่าทางของผมในขณะนี้คือช่วงสะโพกยกสูง ส่วนช่วงบนลาดเอียงลงต่ำ ไม่ต้องมองด้วยสายตาตัวเองก็รู้ว่าเป็นท่วงท่าที่น่าอาย

ท่านี้ผมให้ผมรู้สึกมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัวเพราะมองไม่เห็น จะรู้ได้ว่าร่างกายตัวเองถูกรุกรานอย่างไรก็ต่อเมื่อเขาสัมผัส อย่างเช่นตอนนี้ที่คุณตรีกำลังใช้สองมือของเขานวดเคล้นแก้มก้นของผมอยู่ แค่ฝ่ามือของเขาก็ทำผมใจสั่น แต่ลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดบนผิวและตามมาด้วยริมฝีปากที่กดจูบไปตามก้อนเนื้อที่เขากำลังลูบคลำ ยิ่งทำให้ผมเสียอาการควบคุม ความเสียวแล่นปราบไปทั่วร่าง จากที่โดนปลุกอารมณ์มาตั้งแต่ในห้องน้ำ ตอนนี้ไฟในกายผมกำลังลุกโชนได้ที่

“ก้นของนายเหมือนลูกพีชเลยฟ้า กลมเด้งขาวอมชมพู ขอกินได้ไหมครับ” น้ำเสียงของเขาฟังดูลามกแบบที่ไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนั้น แล้วผมควรต้องตอบว่าอะไร นอกจากฝังหน้าลงกับหมอนนุ่มยามที่เขาใช้ปากเม้มก้อนเนื้อนิ่มสลับในฟันขบกัด แค่ฟันขบเบาๆผมก็ขนลุกเกรียวไปทั่วร่าง คุณตรีไม่ได้สร้างความเจ็บปวดให้กับผม แต่เขาสร้างความเสียวให้ก่อตัวขึ้นจนเจ้าฟ้าน้อยของผมแข็งตัว ไม่ต้องพูดถึงจุดที่สามารถเชื่อมต่อเราให้เขาหากันได้ว่ามันรอคอยการเติมเต็มมากขนาดไหน

“คุณตรีครับ” ผมร้องเรียกเขาด้วยน้ำเสียงแตกพร่า

“ครับ อยากได้อะไรครับ”

“ผม...” อยากรู้สึกมากกว่านี้

“พี่บอกแล้วว่าเวลานี้ ฟ้าพูดสิ่งที่ตัวเองต้องการออกมาได้เต็มที่ เซ็กส์คือการร่วมรักของคนสองคน จะมีใครแค่คนใดคนหนึ่งมีความสุขอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้นะครับ” เขาพูดแนะนำเหมือนที่คอยพร่ำสอนยามเราทำกิจกรรมบนเตียง แต่ผมก็ยังขลาดกลัวเกินกว่าที่จะเอ่ยขอตรงๆ

อีกหนึ่งอย่างนอกจากความร้อนแรงดังเปลวไฟของคุณตรีในยามอยู่บนเตียง บางครั้งเขาก็จะเผลอแทนตัวเองว่าพี่กับผม ทุกครั้งที่ได้ยินทำเอาผมเคลิ้มและถลำลึกไปกับความรักที่เขามอบให้ มันเหมือนเราเข้าใกล้กันอีกขั้น ว่าเราต่างเป็นคนพิเศษของกันและกัน

“ว่ายังไง ฟ้าอยากได้อะไรบอกพี่ตรีสิครับ”

“คุณตรี”

“พี่จะทำให้ทุกอย่างเลย”

“ตรงนั้น...ผมอยากให้คุณตรีสัมผัส” เพราะเขาเอาแต่เล่นที่แก้มก้น ไม่ยอมสัมผัสร่องรักสักที ผมที่มีความต้องการจนท่วมท้นก็ทนต่อไปไม่ไหว บทรักที่แสนหวาน ยามที่ได้เสพติดแล้วก็ยากที่จะถอนตัว

“ตรงนี้เหรอครับ” คุณตรีแตะปลายนิ้วที่ช่องทางคับแน่น กลีบเนื้อขมิบตอบรับสัมผัส เสียงหัวเราะอย่างพึงพอใจดังขึ้นในลำคอ ผมหลุดเสียงร้องครางก่อนจะเม้มปากแน่น ยิ่งพอคุณตรีใช้เจลหล่อลื่นนำทางนิ้วเรียวสอดเข้ามาในร่าง ผมยิ่งสั่นสะท้านแอ่นสะโพกรับอย่างลืมตัว

“เจ็บไหม” คุณตรีถามพลางขยับนิ้วเข้ามาช้าๆ ผมส่ายหน้าแทนคำพูด คุณตรีก็สอดนิ้วเข้ามาเรื่อยๆจนสุดโคน

ร่างกายกำยำที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเลื้อยทาบบนร่างของผม มือข้างที่ว่างจับใบหน้าของผมให้เอียงหน้ารับจูบ ด้านล่างก็ขยับสอดประสานกับนิ้วมือของคุณตรี จนเขาสามารถขยายช่องทางของผมให้พรั่งพร้อมรองรับของจริงที่กำลังสอดใส่เข้ามาเติมเต็มความรักให้กับเราทั้งสองคน

“คุณตรีครับ ไม่เอา!” แต่เพราะผมสัมผัสบางอย่างได้ก่อน ก็เลยปล่อยริมฝีปากที่กำลังจูบอย่างดูดดื่มออกเพื่อร้องห้าม จะลดการใช้ถุงพลาสติกยังไงก็ได้ แต่ลดการใช้ถุงยางไม่ได้

“ล้อเล่นครับ เตรียมมาแล้วนี่ไง ดูทำหน้าเข้า ดุเหลือเกินเด็กคนนี้” คุณตรีโชว์ห่อถุงยางให้ผมดู ผมถึงได้เบาใจ เขากดปากหอมแก้มปลอบโยนผม จากนั้นก็หันกลับไปจัดการครอบถุงยางลงบนแก่นกาย ชักรูดสองสามทีแล้วจับมันสอดใส่เข้ามาอีกครั้ง

“แน่นไปไหม” คุณตรีถาม

“แน่นครับ แต่ผมไหว” ผมบอกเขา พยายามผ่อนลมหายใจและผ่อนคลายความคับแน่นที่ช่วงล่าง คุณตรีค่อยๆแทรกตัวเข้ามาอย่างใจเย็น ทั้งๆที่เขากำลังจะระเบิดเป็นภูเขาไฟ ผมรักคุณตรีก็ตรงนี้ เขามีความต้องการมากแบบที่ใครก็คาดไม่ถึง แต่เขาก็ยังอ่อนโยนกับผมทุกครั้ง บอกให้รู้ว่าเขาแคร์ผมที่สุด

ผมหอบฮักตามจังหวะที่คุณตรีกระแทกกระทั้นร่างกายเข้าออก มือของเขาสะกิดเขี่ยหัวนมของผมเล่นไม่หยุดมือ และแผ่นหลังของผมก็คงเต็มไปด้วยรอยคิสมาร์กที่คุณตรีสร้างเอาไว้ เพื่อเป็นหลักฐานว่าผมเป็นของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตลอดค่ำคืน

“ลูกพีชลูกนี้ ทั้งหอมทั้งหวานล้ำที่สุดเท่าที่ฉันเคยกินมาเลย”
 
 :haun4:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนพิเศษ3+แทรกตอนที่21ที่ลืมลงค่ะ 13-06-20 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 13-06-2020 18:22:59
 :oo1: :jul1: :pighaun: :haun4:  :m25: :impress2:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนพิเศษ3+แทรกตอนที่21ที่ลืมลงค่ะ 13-06-20 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 14-06-2020 20:38:40
ชอบความจีบความเต๊าะน้องของคุณตรีจริงๆ อยู่กันมาตั้งนานก็ยังจีบให้น้องเขินอยู่อีก

ขอบคุณไรท์ค่ะ   :กอด1:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนพิเศษ3+แทรกตอนที่21ที่ลืมลงค่ะ 13-06-20 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: PanGii ที่ 15-06-2020 01:58:18
อ่านรวดเดียวจบเลย คุณตรีร้ายกาจอ่าาา น้องฟ้าน่ารักมากเลยลูก ขอบคุณผลงานดีๆของนักเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนพิเศษ3+แทรกตอนที่21ที่ลืมลงค่ะ 13-06-20 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: b2uty_pang ที่ 17-06-2020 19:43:50
แงง อ่านรวดเดียวจบเลย ชอบมากค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนพิเศษ3+แทรกตอนที่21ที่ลืมลงค่ะ 13-06-20 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 28-06-2020 19:17:05
น่ารักมาก ขอบคุณช่วงเวลาดีๆ ที่ตรีไม่เคยลืมฟ้าเลย
ฟ้าก็น่าเสมอ ไม่ขาดหล่น เป็นกำลังใจที่ดีมาก
ตรีคือร้ายมาก เหมือนคนเก็บกด 55555

ในที่สุดก็ได้รักกันแบบสบายใจ ค่อยๆ เรียนรู้และเติบโตกันไป
และปลื้มใจที่ตรีเอาใจใส่ฟ้าตลอด และฟ้าก็ไม่งอแงเลย

ขอบคุณมากนะคะ นิยายน่ารักมาก อ่านตอนพิเศษแล้วคิดถึงเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนพิเศษ3+แทรกตอนที่21ที่ลืมลงค่ะ 13-06-20 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 20-08-2020 22:01:05
เอาน้องสกายมาหยอดไว้ให้สงสัย จะมีเรื่องของน้องสกายให้อ่านมั้ย ตามนะ
หัวข้อ: Re: ・✿。CATER TO YOU ปรนเปรอรัก。✿*ตอนพิเศษ3+แทรกตอนที่21ที่ลืมลงค่ะ 13-06-20 P.6
เริ่มหัวข้อโดย: BuzZenitH ที่ 25-08-2020 10:46:28
น้องฟ้าเด็กดี~~~
อ่านไปอมยิ้มไปทุกตอนเลย ละมุนนนน
 :hao7: