พิมพ์หน้านี้ - [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Purple_Sky ที่ 14-02-2011 21:43:34

หัวข้อ: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 14-02-2011 21:43:34
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน

ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 
*************************************************************************************

ชี้แจ้งแถลงไข
   นิยายเรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงแต่อย่างใด ทั้งเนื้อเรื่อง ตัวละคร ชื่อ และราชสกุล รวมถึง สถานที่ ทั้งหมดล้วนแต่เป็นสิ่งที่ผู้เขียนสร้างสรรค์ขึ้นจากจินตนาการเท่านั้น หากมีชื่อของตัวละคร หรือบุคลิกของตัวละครบางตัวซ้ำกับคนที่คุณรู้จักที่มีอยู่จริงในสังคม ขอให้รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้น
   คุณชายเป็นนิยายในแนวสมจริง หรือแนวชีวิตที่ผู้เขียน เขียนขึ้นเป็นเรื่องแรกทั้งๆที่ปกติจะถนัดเขียนในแนวลึกลับ สืบสวน หรือแม้แต่แฟนตาซีมาตลอด ด้วยความตั้งใจที่จะสื่อสารแนวความคิดเรื่อง “การตัดสินใจ ระหว่างสิ่งที่เป็นหน้าที่ กับสิ่งที่ตนเองพอใจ” ในความคิดของผู้เขียนเพื่อให้ผู้อ่านได้ย้อนถามตัวเองในชีวิตประจำวันว่า เรากำลังทำสิ่งที่ถูกต้องอยู่หรือเปล่า และสิ่งที่เราคิดว่าถูกต้องนั้นมันถูกจริงๆ หรือสังคมเป็นคนบอกว่าถูกกันแน่ รวมถึงสร้างความสัมพันธ์และความผูกพันระหว่างผู้อ่านและตัวละครในเรื่อง ให้เติบโตไปพร้อมๆกัน และแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นพร้อมๆกัน จึงไม่แปลกเลยถ้าหากผู้อ่านบางกลุ่มจะรู้สึกว่า เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้กับตัวเอง ในชีวิตประจำวันเช่นเดียวกับที่มันเกิดขึ้นกับตัวละครในเรื่องนี้
   หากนิยายเรื่องนี้จะสามารถเป็นแรงบันดาลใจ และสะท้อนภาพของสังคมให้ผู้อ่านได้รับรู้ และซาบซึ้งไปกับมันได้ ผู้เขียนจะยินดีเป็นอย่างยิ่ง แต่หากมีใครเกิดไม่พอใจ หรือไม่ถูกใจในการตัดสินใจของตัวละคร และเหตุการณ์บางอย่างในเรื่อง ผู้เขียนต้องขอน้อมรับความผิดไว้ด้วยแต่เพียงผู้เดียว
ฟ้าม่วง
ปล. นิยายเรื่องนี้มีบางจุดที่ต้องใช้คำราชาศัพท์ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เขียนไม่ถนัด จึงพยายามหลีกเลี่ยง และหากเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็จะพยายามค้นคว้ามาใช้ให้ถูก แต่หากมีข้อผิดพลาดไปบ้างก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ
*************************************************************************************

 
บทนำ
   ท้องฟ้าคืนนี้ มืดสนิทไร้แสงจันทร์ มีเพียงดาวดารดาษไปทั่วฟ้า ราวกับเทวดา หรือนางฟ้าทำเศษเพชรหล่นกระจายอยู่บนผ้ากำมะหยี่สีดำผืนยักษ์บนสวรรค์ก็ไม่ปาน เสียงพูดคุยจอแจแม้จะดังมาเป็นระยะ แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจ เสียงที่ได้ยินชัดเจนที่สุดเป็นเพียงเสียงลมที่พัดกรรโชกรุนแรง และเสียงคลื่นซัดเข้าหาฝั่งเท่านั้น ภาพของทะเลพัทยายามค่ำคืนสำหรับชาวต่างชาติที่เดินคลอเคลียกันมาเป็นคู่ เพียง 2-3 คู่ที่ยังเหลืออยู่บนหาดไม่กลับไปพักในโรงแรมนั้น สวยงามไม่ต่างจากทะเลสีฟ้าอมเขียวที่สวยจับใจในยามกลางวันเท่าใดนัก แต่สำหรับผม ไม่ว่าอะไรจะสวยงามเพียงใด หากมาอยู่ในสายตาที่รื้นไปด้วยน้ำตาแห่งความทุกข์ระทมในตอนนี้ก็ย่อมกลายเป็นไม่สวยไปเสียหมด
    เท้าสองข้างถูกคลื่นทะเลไล้ไปมาราวกับจะชักชวนให้ผมเดินลงไปหาเพื่อผ่อนคลายจากความเศร้า และให้มันชะล้างความทุกข์ และความอัปยศในใจที่มีอยู่ตอนนี้ออกไป ผมก้มมองดูแขนขาของตัวเองที่ เรียวเล็กไร้ซึ่งขนปกคลุมแม้เพียงเส้น แถมยังขาวสะอาดราวขาของสตรีเพศด้วยความขยะแขยง มันไม่ได้สะอาดอีกแล้ว ความสะอาดบริสุทธิ์ไม่มีอยู่ในตัวผมอีก แม้ผมจะเสียมันไปจากการถูกกระทำย่ำยีต่างๆนานา จากผู้ชายรอบข้าง ราวกับผมเป็นเด็กผู้หญิง มานานแล้วก็ตาม แต่ครั้งนี้ คนที่ทำอย่างนั้นกับผมทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกทรยศ รู้สึกเหมือนถูกฆ่าให้ตายทีละช้าๆ รู้สึกถึงความสกปรก โสมมที่แผ่ซ่านอยู่ในทุกอณูผิว จนไม่อยากมีชีวิตต่อไป
    ความเจ็บปวดสะท้อนอยู่ในหัวในรูปของความทรงจำที่เลวร้าย ซ้ำไปซ้ำมา หลอกหลอนอยู่ได้ไม่มีวันสิ้นสุด

   มันคนนั้นทำลายชีวิตผม รวมไปถึงทำลายชีวิตของแม่ผมด้วย แม่ที่พร่ำกล่าวคำปลอบโยน ให้ผมได้มีกำลังใจในการใช้ชีวิตไปวันๆ บัดนี้ได้ จากผมไปแล้ว ไปอย่างไม่มีวันได้กลับมา ... ตอนพ่อเสีย แม่บอกว่า ยังไงเราก็ยังมีกันอยู่สองคนไม่ใช่หรือ...  ทำไมตอนนี้แม่ไม่อยู่กับผมเล่า ทำไมไม่อยู่กับผมอีกหน่อย ให้ชีวิตของผมมีค่าต่อไปอีกหน่อยไม่ได้หรือ ตอนนี้ผมไม่เหลือใครแล้ว ไม่เหลือใครจริงๆ
    สิ่งที่เกิดขึ้นมันเลวร้ายเกินกว่าที่เด็กอายุ 19 อย่างผมจะรับไหว พ่อตาย... แม่ตาย... แล้วยังต้องถูกกระทำอย่างไม่เหลือค่าความเป็นมนุษย์อย่างนี้อีก แล้วผมจะอยู่ไปทำไม...
    แล้วผมจะอยู่ไปทำไม
    ทะเลเบื้องหน้าคำราม ราวกับจะตะโกนเรียกให้ผมเดินไปหามัน  คลื่นสูงที่ก่อขึ้นไกลๆ อ้าแขนรับให้ผมไปอยู่กับมัน ให้ ผม ...นที ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับทะเล หากเพียงแต่ผมจะลุกขึ้นแล้วเดินลงไปเท่านั้น ลมที่แรงขึ้นเรื่อยๆ คลื่นที่สูงขึ้นเรื่อยๆ คงจะรับผมลงไปโดยที่ผมไม่ต้องหยุดคิดอะไรเลยด้วยซ้ำ เพียงแต่นอนนิ่งๆ ให้น้ำไหลเข้ามาท่วมปอด แล้วกลายเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติเท่านั้นเอง
    ผมลุกขึ้น เม็ดทรายหล่นจากใต้กางเกงขาสั้นสีดำ ผมไม่แม้แต่จะปัดมันออกตามนิสัย เท้าทั้งสองสัมผัสน้ำเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ผมจะเดินออกไป... เดินออกไป จากทะเล ไม่ใช่เดินเข้าไปหามัน ความตายเป็นสิ่งที่น่ากลัว แม้ความตายอาจจะพรากผมไปจากชีวิตที่ไม่น่าอยู่ แม้ความตายจะสามารถพาผมไปพบพ่อและแม่ได้อีกครั้งก็ตาม แต่ความตายไม่ใช่ทางออกของผม
     ผมเดินออกจากบริเวณชายทะเล ทิ้งให้มันคำรามเรียกด้วยความโกรธผ่านรถที่จอดเรียงราย สะท้อนเงาของเด็กผู้ชายผอมบาง ผิวขาวสะอาด ตาแดงก่ำไปด้วยน้ำตาที่ออกเดินอย่างไร้จุดหมาย ความตายคงไม่ต่างจากการกลับไปที่บ้านที่มีแต่ความทุกข์หลังนั้น ผมเดินออกมาจากบ้าน เดินออกมาจากความตาย บัดนี้จะไปไหนเล่า...
    แม้ในยามไม่มีใคร ไร้พ่อ แม่ พี่น้อง หรือ คนรักที่ผมจะพึ่งพิงได้แต่ผมก็ยังไม่โชคร้ายพอที่จะถูกทิ้งให้โดดเดี่ยว ผมยังคงมีเพื่อน เพื่อนที่คงจะยินดียื่นมือมาช่วยฉุดผมขึ้นจากความเศร้านี้ได้บ้างกระมัง
    หากช่วยไม่ได้ อย่างน้อยเป็นเพื่อนรับฟังก็พอ
     ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้น กดเบอร์ของเพื่อนผู้หญิงที่สนิทที่สุด ขณะเดินห่างจากถนนเลียบหาดเข้าเมืองไปเรื่อยๆ เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น เสียงแหลมเล็กที่คุ้นหู ก็ดังขึ้นมาโดยไม่กล่าวแม้แต่คำว่าสวัสดี    

    “น้ำ นั่นแกอยู่ไหน โทรมาหาฉันทำซากอะไรตอนสี่ทุ่ม รู้ไหมว่าพ่อเลี้ยงแกเขาหาตัวเสียไปทั่วเมืองนี่เขายังโทรมาหาฉันด้วยนะ ฉันตอบไม่ถูกก็พาลกระแทกโทรศัพท์ใส่หูอีก ถ้าแกไม่มีเหตุผลที่ดีพอมาแก้ตัวว่าแกออกจากบ้านไปที่ไหนนะ ฉันจะไปลากคอแกมานั่งฟังฉันด่าที่แฟลตฉันนี่”
    “งั้นฉันจะไปหา ให้แกด่าที่แฟลต” เสียงของผมคงฟ้องอย่างชัดเจนว่าเจือด้วยความเศร้า จนเพื่อนสาวต้องอุทานอย่างห้ามไว้ไม่อยู่
    “อุ๊ยตาย นี่เสียงอย่างกับชะนีถูกข่มขืน แกเป็นอะไร”
    “เดี๋ยวฉันเล่าให้ฟัง มีเรื่องนิดหน่อยน่ะ ถ้าพ่อเลี้ยงฉันโทรมาอีก อย่าบอกเขานะว่าฉันอยู่ไหน แต่ตอนนี้แกบอกฉันมาซิว่าจะไปแฟลตแกยังไง”
    “แล้วแกจะมาทำไมแฟลตฉัน กลับบ้านไปหาพ่อเลี้ยงโน่น”
    “ฝ้าย! ขอร้องอย่าพูดถึงเขา” ผมร้องออกมาด้วยความเหนื่อยใจ ปุยฝ้ายคงเข้าใจจากน้ำเสียงว่าผมคงกำลังเศร้าเพียงใด จึงรีบลนลานตอบโดยไม่อิดออดอีกต่อไป
    “เออ แกอยู่ตรงไหนล่ะ... อ๋อ งั้นแกก็ใกล้แล้วแหละ เดินตรงมาอีกนิด พอแกเจอ เซเว่นก็ข้ามถนน ขึ้นสะพานลอย นะยะตรงนั้นมันรถน้อยก็จริง แต่ คนขับซิ่ง คนเขาจะเข้ากรุงเทพกัน…”
    เท่านั้น เสียงเพื่อนของผมก็หายไป ผมก้มลงมองโทรศัพท์มือถือขณะเดินข้ามถนน เพราะถึงเซเว่นแล้วตามที่เพื่อนบอก สะพานลอยห่างออกไปเพียงยี่สิบก้าว แต่สภาพอย่างนี้ แค่เดินมาไกลขนาดนี้ผมก็เหนื่อยพอแล้ว ผมตัดสินใจไม่ขึ้นสะพานลอยแต่เดินข้ามถนนไป พร้อมกับเก็บโทรศัพท์ที่พบว่า เงินค่าโทรหมดแล้วไม่เหลือสักบาทเดียว ลงกระเป๋ากางเกง ก่อนจะได้ยินเสียงเบรกรถดัง เอี๊ยด แล้วเมื่อหันไปหาที่มาของเสียง แสงไฟหน้าก็กระทบกับตาเข้าจนพร่าลาย ผมยกมือขึ้นป้อง แต่ก็ทำได้เพียงป้องกันแสงไม่ให้เข้าตามากจนเกินไปเท่านั้น ป้องกันไม่ให้ผมถูกรถคันนั้นชนไม่ได้เลย
    ผมกระเด็นออกไป กระแทกลงกับพื้นโดยมีแขนซ้ายรองรับ ก่อนจะเป็นศีรษะ ที่กระแทกกับพื้นถนน จนสติสัมปชัญญะเลือนรางเต็มทน ความเจ็บปวดที่สะโพกและช่วงตัวที่ถูกชนนั้นมากจน ไม่รู้สึกเจ็บอีกเมื่อหัวฟาดพื้นอย่างจัง ไม่รู้สึกเลยว่ามีของเหลวมากมายไหลทะลักออกมาตามรอยปริของกะโหลก
    ความตายมันเป็นอย่างนี้เอง
    มันเงียบ... เงียบ เสียจนผมไม่ได้ยินเสียงเรียกให้ผมรู้สึกตัว จากชายที่ลงมาจากรถ ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจที่แสดงถึงความตกใจและตื่นเต้นมากจนลนลานทำอะไรไม่ถูก ไม่ได้ยินแม้เพียงเสียงเขาโทรเรียกรถพยาบาล เงียบเสียจนผมไม่ได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจของตัวเอง
    สงบ... มากจนผมไม่รู้ตัวเมื่อใครต่อใครต่างก็รุมล้อมเข้ามาอุ้มผมขึ้นเตียงติดล้อ เข้าไปในห้องฉุกเฉิน ไม่รู้ตัวว่า ใครกำลังทำอะไรกับผมบ้างทั้งหมอและพยาบาลที่พยายามช่วยชีวิตผมเต็มที่ ผมไม่รู้สึกอะไรเลย ราวกับว่าผมอยู่คนเดียวในโลกก็ไม่ปาน
    สุดท้าย คือว่างเปล่า... ผมไม่มีตัวตน แขนขาของผมไม่มีน้ำหนัก แม้แต่จะกระดิกนิ้วเท้าก็ไม่สามารถทำได้...ร่างกายไม่ใช่ของเรา ถ้าเป็นของเรา เราก็ต้องบังคับมันไม่ให้เจ็บ ไม่ให้แก่ ไม่ให้เหี่ยวย่น และเปลี่ยนแปลงไปได้ซี... ใครบางคนเคยบอกผมไว้นานแล้ว เพียงแต่ผมไม่เคยใส่ใจมาคิดเท่านั้น... อนัตตา ความไม่มีตัวตนมันเป็นอย่างนี้เอง
*************************************************************************************

ฝากคุณชายไว้อีกสักเรื่องนะครับ
ส่วนใครที่เพิ่งมาอ่าน”คุณชาย” เป็นเรื่องแรก ผมยังมีผลงานที่ลงจบแล้วเรื่อง ปางบรรพ์ด้วยนะครับ
อ่านปางบรรพ์ได้ที่นี่ครับ: http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=15938.0
หัวข้อ: Re: [PREMIERE] คุณชาย: บทนำ 14/02/11 - 21.35
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 14-02-2011 21:49:59
จิ้มๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :mc4: :mc4: :mc4:

ต้อนรับเรื่องใหม่ของคุณฟ้าม่วง อิอิ จะเครียดมั้ยหนอเรื่องนี้ อิอิ ติดตามต่อไปค่ะ
 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: [PREMIERE] คุณชาย: บทนำ 14/02/11 - 21.35
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 14-02-2011 22:00:01
มาบวกให้ทันทีค่า
อย่าดราม่ามากน๊า เค้าเศร้า >.<
หัวข้อ: Re: [PREMIERE] คุณชาย: บทนำ 14/02/11 - 21.35
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 14-02-2011 22:08:12
อ๊ายยย มาเจิมเรื่องใหม่
เค้ายังโศกกับปางบรรพ์อยู่เลยน๊า
หัวข้อ: Re: [PREMIERE] คุณชาย: บทนำ 14/02/11 - 21.35
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 14-02-2011 22:35:40
มานั่งรออ่านตอนต่อไป

อ่านแล้วเสียจริตกับเพื่อนจัง
หัวข้อ: Re: [PREMIERE] คุณชาย: บทนำ 14/02/11 - 21.35
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 14-02-2011 23:02:56
ต้อนรับเรื่องใหม่คร้าบบบบ
หัวข้อ: Re: [PREMIERE] คุณชาย: บทนำ 14/02/11 - 21.35
เริ่มหัวข้อโดย: noina ที่ 15-02-2011 00:27:42
+1ให้พี่ฟ้าม่วง

 :mc4: :mc4: :mc4:ได้อ่านเรื่องใหม่ของพี่ฟ้าม่วงและ
หัวข้อ: Re: [PREMIERE] คุณชาย: บทนำ 14/02/11 - 21.35
เริ่มหัวข้อโดย: kit ที่ 15-02-2011 00:37:56

๑๕๐ + ๑ = ๑๕๑
ขอบคุณนะคะ คุณ Purple_Sky

หัวข้อ: Re: [PREMIERE] คุณชาย: บทนำ 14/02/11 - 21.35
เริ่มหัวข้อโดย: lovevva ที่ 15-02-2011 11:11:51
 :mc4:ต้อนรับเรื่องใหม่ค่ะ

 :sad4:แค่เริ่มเรื่องก็สงสารน้ำแล้วอ่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: [PREMIERE] คุณชาย: บทนำ 14/02/11 - 21.35
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 15-02-2011 14:11:47
 :mc4:
หัวข้อ: Re: [PREMIERE] คุณชาย: บทนำ 14/02/11 - 21.35
เริ่มหัวข้อโดย: Goodfellas ที่ 15-02-2011 17:16:27
เย้ๆ เรื่องใหม่มาแล้ว :mc4:

+ครับ ยังอ่านปางบรรพ์ไม่จบเลย เหอๆ

แล้วจะรีบตามอ่านให้จบคร้าบ o13
หัวข้อ: Re: [PREMIERE] คุณชาย: บทนำ 14/02/11 - 21.35
เริ่มหัวข้อโดย: Rinze ที่ 15-02-2011 21:51:00
เปิดมาก็ดราม่าล่ะค่ะ
แต่จะติดตามต่อนะ !!

ยังไม่ได้อ่านปางบรรพ์เลย ต้องไปดูซะแล้ว
หัวข้อ: Re: [PREMIERE] คุณชาย: บทนำ 14/02/11 - 21.35
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 16-02-2011 00:13:07
ตอนแรกก็นองเลือดแล้วโอ้น่าตกใจจริงๆๆ


รออ่านตอนต่อไปค้าบบบบบ
หัวข้อ: Re: [PREMIERE] คุณชาย: บทนำ 14/02/11 - 21.35
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 16-02-2011 21:35:38
1


     ตลอดชีวิตของหม่อมราชวงศ์ ภาสกร ไม่เคยมี “เรื่องเลวร้าย” ใดๆ เกิดขึ้นกับเขาเลย
    เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่เคยมีแม้แต่ “เรื่องไม่ค่อยดี” ผ่านเข้ามาให้เขาได้สัมผัสถึงความยุ่งยาก ลำบากใจหรือแม้แต่ ตึงเครียดเลยด้วยซ้ำ ตั้งแต่เกิดจนอายุล่วงเลยมาถึงวัยยี่สิบปลายที่เผลอๆ จะกลายเป็นสามสิบเมื่อไหร่ก็ไม่รู้อย่างนี้แล้ว ครอบครัวของเขาก็ยังคงไม่ละทิ้งความพยายามที่จะมอบความสะดวก สบายและปลอดภัยให้กับเขาอย่างถึงที่สุด ไม่ต้องบอก ใครๆก็ต้องรู้ว่า ครอบครัวที่กำลังพูดถึงนี้ คือครอบครัว รชตานันต์ นั่นเอง นามสกุลที่คุ้นหูนี้ เป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้วในแวดวงไฮโซ อีกทั้งความที่ภาสกรเป็น “คุณชาย” รูปหล่อ พ่อรวย วงศ์ตระกูลสูงส่ง แล้วยังมีข่าวกับดาราสาวที่กำลังมาแรงอยู่ในขณะนี้อีก ทั้งหมดรวมๆกันทำให้เขาเป็นที่รู้จักในแวดวงบันเทิงด้วย เรียกได้ว่า ชื่อเสียง เงินทอง ความสะดวกสบายทั้งหลายแหล่มีอยู่เต็มมือ จนภาสกรแทบไม่เคยได้เผชิญความยากลำบากเลย มาตลอดยี่สิบเก้าปี อย่างที่เกริ่นมาแล้วข้างต้น
    จนกระทั่งคืนที่เขาขับรถชนเด็กหนุ่มหน้าใส คนหนึ่งตอนขากลับจากพัทยา นั้นแหละ ความยากลำบากก็เริ่มเข้ามากล่าวคำทักทาย และฝากเนื้อฝากตัวกับเขาเสียอย่างแนบแน่น
    ภาสกรกำลังนั่งอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลใหญ่ในตัวเมืองพัทยา ใบหน้าหล่อคมเข้มซ่อนอยู่ในมือทั้งสอง ชายหนุ่มกำลังรู้สึกแย่ จนแทบจะ
“เลวร้าย” เป็นครั้งแรกในชีวิต ไม่ใช่เพราะค่าใช้จ่ายที่แพงมหาศาลจากการรักษาเด็กหนุ่มคนนี้ให้ฟื้นคืนสติให้เร็วที่สุด แต่เป็นเพราะความรู้สึกผิด ความกลัวต่อบาป และ ความกังวลใจว่าเมื่อนายแพทย์คนสนิทที่เป็นเพื่อนของพ่อเขากลับออกมาอีกครั้งนั้น คำพูดที่ภาสกรจะได้ยิน คือคำว่า คนไข้เสียชีวิตแล้ว มือทั้งสองข้างปิดตาแน่นราวกับว่ามันจะช่วยทำให้เขาลืมเสียงร้องแห่งความเจ็บปวด ของเด็กหนุ่มโชคร้ายคนนั้นได้ แหวนทองคำขาวที่หม่อมแม่ของเขาสั่งทำให้ กดลงกับเบ้าตาจนเจ็บปวดไปหมด แต่จะเจ็บอย่างไรก็คงไม่แม้แต่จะคิดเทียบได้กับความเจ็บปวดของเด็กหนุ่มที่อยู่ในห้องนั้นรู้สึก
    เขาต้องไปงานเลี้ยงของคุณหญิง เพ็ญแข เพื่อนของหม่อมวิไลวรรณ แม่ของเขา แต่ในเมื่อมันเป็นอย่างนี้ไปเสียแล้วเขาจะไปงานได้อย่างไรเล่า
    แล้วนี่เขาจะบอกคุณแม่ยังไง
    ถ้าใครรู้เข้าแม้แต่คนเดียว ชีวิตเขาจะเป็นอย่างไร ภาสกรได้แต่เพียงภาวนาไม่ให้เด็กคนนั้นตาย ภาวนาไม่ให้บรรดานักข่าวรู้ ไม่อย่างนั้นแล้ว... ภาสกรไม่อยากคิดต่อเลย
    “ขอโทษนะคะ มีญาติของผู้ป่วยประสบอุบัติเหตุรถชนอยู่แถวนี้ไหมคะ”นางพยาบาลคนหนึ่งเดินออกจากห้องฉุกเฉินมาในที่สุด
    ภาสกรเงยหน้าขึ้นจากฝ่ามือ
    “ผมเองครับ”
    “คุณชาย ภาสกร ...” นางพยาบาลสาวหน้าคมอุทานขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตา คุณชายภาสกรมาทำอะไรอยู่ที่นี่ ในเวลาอย่างนี้กัน “เอ่อ ขอโทษนะคะไม่ทราบว่า คุณชาย เป็นญาติทางไหน”
   “ผมเป็นเพื่อนครับ เพื่อน”
    “คือ...ดิฉันต้องแจ้งให้ทราบนะคะว่า ตอนนี้คนไข้ช็อกหมดสติด้วยความตกใจ และเสียเลือดมากจากการที่ศีรษะได้รับความกระทบกระเทือนน่ะค่ะ รวมไปถึงกระดูกต้นขาก็หักจากการถูกกระแทกอย่างแรง แล้วชีพจรก็เต้นต่ำมากเพราะเสียเลือด ทางเราจำเป็นต้องขอรับบริจาคเลือด กรุ๊ปเอบีโดยด่วนค่ะ เพราะทางโรงพยาบาลเหลือน้อยเต็มทีดิฉันเกรงว่า…”
   “ใช้เลือดผมก็ได้ครับ ผมเลือดกรุ๊ปเอบี” ภาสกรตอบอย่างไม่ลังเล หากเลือดของเขาจำนวนไม่มากจะทำให้เด็กคนนี้มีชีวิตต่อไปได้ละก็ เขาเต็มใจ
     “ดีเลยค่ะ ถ้าอย่างนั้นต้องขอเชิญทางนี้นะคะ เดี๋ยวดิฉันต้องขอตัวอย่างเลือดคุณชายไปตรวจดูให้แน่ใจว่าเข้ากันกับเลือดคนไข้ได้ก่อนนะคะ แล้วก็...คุณชาย มีเบอร์โทรศัพท์ติดต่อญาติของคนไข้ไหมคะ”
    ภาสกรอึกอัก เพราะไม่รู้จะตอบอย่างไร ด้วยความจริงเขาไม่รู้จักชายคนนี้เลยแม้เพียงชื่อ จึงโกหกไปว่า “เอ้อ ผมติดต่อไปแล้วครับ”

     นางพยาบาลหน้าคม พาภาสกรไปตรวจเลือดจากนั้นก็ให้นั่งรอให้เลือดผู้ป่วยคนนั้น ระหว่างนั้นเองภาสกรก็หยิบโทรศัพท์มือถือ และกระเป๋าสตางค์ของเด็กหนุ่มขึ้นมาดู บัตรประชาชนที่เสียบไว้ในช่องกระเป๋าด้านหน้าระบุว่าชื่อ นาย นที เสถียรลาภ ภาพที่บัตรประชาชน ยังปรากฏเป็นชายหนุ่มตากลมโตมองหน้าผู้ที่ก้มดูบัตรอย่างเนือยๆ ราวกับว่าการถ่ายภาพบัตรประชาชนเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาอยากทำบนโลกอย่างนั้น ผมที่ตัดสั้นเสมอคอ ไม่รุงรังปิดหน้า ทำให้ นที ดูเป็นชายหนุ่มที่น่ามองไม่หยอก หากแต่สภาพของชายหนุ่มที่นอนจมกองเลือดตอนที่คนจากโรงพยาบาลอุ้มขึ้นรถ กลับเตือนให้ภาสกรรู้ตัวว่า ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ควรจะมานั่งจ้องบัตรประชาชนของใคร ภาสกร เปิดฝาโทรศัพท์มือถือก็พบภาพของชายหนุ่มในเสื้อกล้ามสีขาว ถ่ายริมทะเล คู่กับสาวผิวคล้ำ ตากลม ผมสั้นคนหนึ่งบนหน้าจอ รอยยิ้มของชายหนุ่มแสดงให้เห็นความสุขที่เขามีในเวลานั้น น่าเสียดายหากเด็กคนนี้จะไม่อาจฟื้นขึ้นมายิ้มแบบนี้ได้อีกครั้ง
    ภาสกร กดสมุดโทรศัพท์ขึ้นมาดู ก็พบว่า ในนั้นไม่มีเบอร์”พ่อ” หรือ “บ้าน” อย่างที่เขาคิดไว้ว่าควรจะมี ชายหนุ่มเลื่อนลงไปที่คำว่า “แม่” แล้วกดปุ่มโทรออก ก็พบว่าเงินในมือถือหมดเสียแล้ว เขาจึงกดเบอร์จากเครื่องของตัวเองแล้วกด โทรออกอีกครั้ง... ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก... คุณชายหนุ่มคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างงุนงง เพราะในมือถือไม่มีเบอร์ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า พี่ หรือ ลุง ป้า น้า อา เลยแม้แต่เบอร์เดียว เขาจึงเปลี่ยนใจ เลือกเบอร์ที่โทรออกล่าสุด “ปุยฝ้าย” กดเบอร์เข้าเครื่องของตัวเอง แล้วโทรออกทันที
    ปลายสายเป็นเสียงผู้หญิงที่รับสายอย่างงัวเงีย
    “สวัสดีค่ะ”
    “สวัสดีครับ คุณปุยฝ้ายใช่ไหมครับ ขอโทษที่โทรมารบกวนนะครับ ผมชื่อ ภาสกร รชตานันต์”
    ชื่อและ นามสกุลทำให้ปลายสายร้อง ว๊าย ขึ้นเบาๆ อย่างห้ามไม่ได้ จากนั้นเสียงงัวเงีย ก็กลับแจ่มใสออกไปทางดัดจริตจก้านให้เสียงฟังดูไพเราะขึ้นอย่างขัดหู “เอ่อ คุณชายได้เบอร์ ปุยฝ้ายจากไหนอ่ะคะ ตายแล้ว คือมีอะไรให้ปุยฝ้ายรับใช้หรือคะ ฝ้ายยินดีทำทุกอย่างเลยค่ะ...”
   คุณชายภาสกร ตัดแทรกขึ้นกลางลำ
    “คือผมโทรมาเรื่องคุณ นที เสถียรลาภน่ะครับ” ภาสกรว่าพลางก้มมองบัตรประชาชนใบนั้นว่าชื่อที่ผ่านปากออกไปนั้นถูกต้องหรือไม่
    “ตายจริง นที มันเป็นอะไรคะ”
    “คือเขาประสบอุบัติเหตุรถชนน่ะครับ” เสียงกรี๊ดเบาๆดังขึ้นอีกครั้ง “ตอนนี้เขาอยู่ที่โรงพยาบาล... ถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไปผมขอให้คุณปุยฝ้าย ช่วยรีบมาที่โรงพยาบาล...ด่วนเลยนะครับ เพราะผมไม่ทราบว่าจะติดต่อ ญาติของคุณนทียังไง ผมรบกวนคุณฝ้ายด้วยครับ”
    ปลายสายวางหูไปตั้งแต่ได้ยินชื่อโรงพยาบาลแล้ว ภาสกร ลอบถอนหายใจ ก่อนจะกดใบหน้าอันหล่อเหลา ลงกับฝ่ามืออีกครั้งพลางนวดดวงตาเบาๆ เขายังไม่พร้อมรับมือกับญาติคนใดของนที เขายังไม่พร้อมรับมือกับตำรวจ แม้แต่เพื่อนสาวของชายหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายเลย ยังไม่นับหม่อมแม่ของเขา รวมถึงท่านพ่อ หาก ม.จ. เรืองเดช ทราบเรื่องนี้แม้เพียงไม่ถึงครึ่งเรื่องก็ตามละก็ มีหวังโรคพระทัยกำเริบก่อนที่เขาจะถูกไล่ออกจากบ้านเสียอีก
    “เชิญ คุณ ภาสกร ค่ะ” นางพยาบาลคนเดิมเรียกอีกครั้ง ภาสกร ถอนหายใจเป็นครั้งที่สิบ ก่อนจะเดินตามเข้าห้องเพื่อบริจาคเลือดของเขา ต่อชีวิตให้กับนาย นที ถ้าหากว่าปาฏิหาริย์ จะมีจริง

    ปุยฝ้ายคือผู้หญิงคนเดียวกับคนที่อยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ของนายนที
   ตัวจริงของเธอต่างจากที่เขาคิดไว้มาก  ผู้หญิงที่ชื่อปุยฝ้ายควรเป็นผู้หญิงร่างบาง ผิวขาว หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้ม แต่ปุยฝ้ายที่เขาเห็นนี้ เป็นสาวไทยหน้าคมอย่างสาวใต้ ดวงตากลมโต คิ้วที่กันไว้เป็นอย่างดี โก่งสวยราวกับคันธนูที่ยกแล้ว ริมฝีปากอวบอิ่มเป็นสีชมพูที่ค่อนข้างซีด ใบหน้าที่ไร้เครื่องสำอางใดๆ ปกปิดเป็นสีคล้ำราวกับตากแดด ทำงานหนักมาตลอดชีวิต ร่างอวบค่อนข้างสั้นอยู่ในเสื้อยืดตัวยาวจึงถึงครึ่งต้นขาเป็นสีดำสนิท  ขาเกงขาสั้นสีแดงสดโพล่พ้นขอบเสื้อยืดให้เห็นเพียงนิ้ว เผยท่อนขาสีคล้ำเข้มเช่นเดียวกับใบหน้า ใหญ่พอๆกับขาของภาสกรที่เป็นผู้ชาย ผมบ๊อบหน้าม้า ยาวแค่ต้นคอทำให้ใบหน้าของเธอดูป้านใหญ่กว่าที่ควรเป็น
    ผู้หญิงที่ไม่สวยที่สุดที่ภาสกรเคยเห็น ตาลีตาลานเข้ามาในห้องคีบรองเท้าแตะหนีบสีน้ำตาล ส่งเสียงดังก้องไปทุกจังหวะที่เธอก้าว ขณะนั้นเป็นเวลาเที่ยงคืน ผู้คนเริ่มน้อย และภาสกรก็งัวเงียเกินกว่าจะสนใจรูปลักษณ์ และท่าทางที่ชวนขำของเด็กสาว เมื่อเธอเอ่ยปากถามนางพยาบาล ภาสกรจึงต้องเดินเข้าไปหา ทั้งที่ใจอยาก เอนนอนหน้าห้องไอซียูเสียให้รู้แล้วรู้รอด
    “พี่คะ เพื่อนหนูชื่อนที น่ะค่ะ เขาถูกรถชน... คือ เขาอยู่ห้องไหนคะ หนูจะพบเขาได้ที่ไหน” หญิงสาว ร้องเสียงแหลม ดวงตารื้นไปด้วยน้ำตา
    “คุณปุยฝ้ายหรือเปล่าฮะ”
    “อุ๊ย คุณชาย สวัสดีค่ะ” หญิงสาวน้อมตัวไหว้อย่างงดงาม “ไอ้น้ำอยู่ห้องไหนคะ ฝ้ายอยากพบมันค่ะ”
    “ตอนนี้ อยู่ห้องไอซียูครับ คุณหมอยังไม่อนุญาตให้พบ แต่ไม่เป็นไรนะฮะ เขาแค่กระดูกสะโพกร้าว แล้วก็หัวแตก เสียเลือดมากน่ะครับ แล้วผมก็ได้บริจาคเลือดให้ไปแล้ว คือถ้าไม่ว่าอะไร ผมขอคุยกับคุณฝ้ายเป็นการส่วนตัวสักครู่นะครับ” ชายหนุ่มยิ้มให้พยาบาลสาว ก่อนจะเดินนำปุยฝ้ายไปทางร้านกาแฟที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เมื่อสั่งของมานั่งเรียบร้อยแล้ว ปุยฝ้ายกลับเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน
    “คุณชายคะ อย่าหาว่าอย่างโน้น อย่างนี้เลยนะคะ แต่ว่าฝ้ายสงสัยจริงๆ น่ะค่ะว่า คุณชายไปรู้จักกับ ไอ้ น้ำมันได้ยังไง... แล้วยังเรื่องที่ถูกรถชน”
    “คือผม” คุณชาย ภาสกร ตัดแทรกขึ้นมาทั้งๆที่ปุยฝ้ายยังพูดไปจบประโยค “ผมเป็นคนขับรถชนคุณ นที เองครับ”
    “คุณพระ!” ปุยฝ้ายยกมือขึ้นทาบอก “คุณชายคะ”
    “ผมขอโทษจริงๆครับ” ภาสกร หลบตา เขาไม่อาจซ่อนความเสียใจ ความอับอาย ความรู้สึกผิดต่อบาป “ผมเสียใจ ผมประมาทเอง ตอนนั้นถนนมันมืดมาก ผมก็มัวแต่...” เขากลืนคำว่า ส่งข้อความแบล็กเบอร์รี่ เล่นกับบรรดาเพื่อนๆอยู่ลงคอไป เพราะนอกจากมันจะเป็นเหตุผลที่แย่ที่สุดแล้ว มันยังจะไม่ทำให้อะไรดีขึ้นเลยอีกต่างหาก “... มัวแต่คิดโน่นคิดนี่… แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ นายแพทย์ มิ่งเมือง เป็นสหายของท่านพ่อของผมเอง เคยช่วยคนที่อาการแย่กว่านี้มามากแล้ว เรื่องค่าใช้จ่าย ค่าเรียกขวัญ และ ค่าพยาบาลทั้งหมดผมขอรับผิดชอบเอง”
    “เป็นพระคุณมากค่ะ ดิฉันนึกไม่ออกเลยจริงๆว่า ถ้าหาก นทีมันโดนคนใจร้ายชนแล้วหนีไป จะแย่แค่ไหน ป่านนี้มันคง... ว๊ายไม่ค่ะ เราจะไม่คิดอะไรร้ายๆ”
    “ขอบคุณ คุณฝ้ายมากนะครับที่เข้าใจผม ผมไม่รู้จะสู้หน้าคุณแม่ ท่านพ่อ แล้วก็บรรดาญาติๆยังไง พวกท่านคงจะไม่มีวันให้อภัยผมได้อย่างแน่นอน...”
    “ก็จะให้ใครรู้ทำไมล่ะคะ” ปุยฝ้ายว่า พลางจิบกาแฟ “ก็บอกว่าใครไม่รู้ชน แล้วคุณชายช่วยพาไอ้น้ำมาส่งที่ รพ.ก็ได้นี่คะ”
    ภาสกรเงียบ เขาลังเล แม้จะไม่ชอบการโกหก แต่หากความจริงจะทำให้ชื่อเสียง ของเขาและวงศ์ตระกูลมาเสื่อมเสียละก็ ดูเหมือนภาสกรก็คงไม่มีทางเลือก
    “เชื่อฝ้ายซีคะ ฝ้ายรู้ความจริงอยู่คนเดียว ถ้าคุณชายไม่บอกคนอื่น ฝ้ายก็ไม่บอก ใครจะรู้ล่ะคะ”
    ภาสกรได้แต่ก้มหน้าไม่พูดอะไร
    “คุณชายคงจะเหนื่อย กลับไปพักก่อนดีกว่าไหมคะ เรื่องทางนี้ให้ฝ้ายจัดการเถอะค่ะ”
    
    หญิงสาวเดินมาส่งคุณชายภาสกรที่หน้าโรงพยาบาล หลังจากคุยกันอีก 2-3 คำ ทั้งคู่ไปเฝ้าที่หน้าห้องไอซียูได้อีกพักหนึ่ง นายแพทย์ มิ่งเมืองก็ออกมาบอกว่าหลังจากผ่าตัด เข้าเฝือกที่ต้นขาขวา แขนซ้ายและให้เลือดที่คุณชายภาสกรบริจาคให้เรียบร้อยแล้ว อาการของนที แม้จะยังไม่ฟื้นด้วยฤทธิ์ยาสลบ แต่อัตราการเต้นของหัวใจก็ยังคงทรงตัวอยู่ ภายในไม่กี่วันก็คงจะหายดีเป็นปกติ และให้ภาสกร รวมไปถึงปุยฝ้ายไม่ต้องเป็นห่วง
    ก่อนจะออกจากโรงพยาบาล ปุยฝ้ายกล่าวขอบคุณภาสกรเป็นครั้งสุดท้าย คุณชายหนุ่มยิ้มให้กับเพื่อนสาวของนที ก่อนที่จะเดินกลับไปที่รถ
    “เอ่อ คุณฝ้ายครับ” ภาสกร หันกลับมาพูดเมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ถามคำถามสำคัญ
    “ผมถือวิสาสะดูรายชื่อในสมุดโทรศัพท์ของ คุณนที ก่อนโทรหาคุณ ไม่เห็นเบอร์โทรศัพท์ของญาติเขาเลยสักคน คุณฝ้ายพอจะรู้จักญาติผู้ใหญ่ของเขาสักคนที่ผมจะโทรไปบอกข่าวได้ไหมครับ”
    หญิงสาวนิ่งคิด... พ่อแม่ของนทีเสียไปแล้ว ญาติๆคนอื่นก็อยู่ต่างจังหวัด แถมไม่ไยดีเพื่อนหนุ่มของเขาด้วย คงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปบอก ยิ่งคุณชายรับผิดชอบค่าใช่จ่ายทั้งหมดอย่างนี้อีก เธอยิ่งไม่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากใคร อีกทั้ง นิสัยหยิ่งยโสของเพื่อนหนุ่มที่เธอรู้จักดี นทีคงไม่หันหน้าไปพึ่งญาติคนไหนแน่ จะมีก็แต่ พ่อเลี้ยงของเขาเท่านั้นที่หากจะมีใครที่ควรจะรู้เรื่องคืนนี้ พ่อเลี้ยงคนนี้ก็คงจะเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด
    หากไม่ใช่เพราะเรื่องที่ปุยฝ้ายเองก็รู้ดีว่าพ่อเลี้ยงของ นทีเป็นอย่างไร ที่ทำให้คราวนี้ เพื่อนหนุ่มต้องหนีออกจากบ้านมากลางดึกแบบนี้ละก็ เธอคงโทรหา คุณอดิสรณ์ ตั้งแต่รู้ข่าวว่า นทีประสบอุบัติเหตุแล้ว ... เพื่อนหนุ่มของเธอเกลียดพ่อเลี้ยง และพยายามที่จะหนีออกจากบ้านมานับครั้งไม่ถ้วน หากเธอโทรหาคุณอดิสรณ์ ก็เท่ากับส่ง นทีกลับเข้ามือพ่อเลี้ยง ที่เขาเกลียดแสนเกลียดอีกครั้ง... 
    คำตอบของปุยฝ้ายจึงเป็นเพียง
    “ไม่มีค่ะ นทีมันตัวคนเดียว อยู่แฟลตกับฝ้ายสองคน พ่อแม่ มันเสียหมดแล้วค่ะ” คำตอบที่เป็นเรื่องโกหก ทำให้ภาสกรเสียใจมากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว เด็กผู้ชายที่ไร้ญาติขาดมิตร อยู่แฟลตกับเพื่อนสองคน ไม่ควรมาเจอเรื่องแบบนี้ เพราะความประมาทของเขาเลยจริงๆ

*********************************************************************************
เพิ่งเริ่มเรื่องเองครับ ฝากเรื่องคุณชายด้วยนะครับผมมม
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 1 - 2/16/11 - 21.30
เริ่มหัวข้อโดย: noina ที่ 16-02-2011 21:48:24
จิ้มพี่ฟ้าม่วงก่อนอ่าน  เดี๋ยวมาอีดิทให้ค่า


 :serius2: :serius2: :serius2:เรื่องราวของน้ำน่าจะซับซ้อนน่าดู


ใครทำอะไรน้ะมาก่อนจะโดนชนหนอ


น้ำสู้มันนะ  สู้ๆ  พี่ฟ้าม่วงก็สู้ๆนะคะ :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 1 - 2/16/11 - 21.30
เริ่มหัวข้อโดย: COTton ที่ 16-02-2011 22:00:55
ม่าม่าอร่อยรสนี้อร่อยอ่ะ
เศร้าแต่ก็ชอบครับ


รอตอนต่อไป  :call:   :pig4:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 1 - 2/16/11 - 21.30
เริ่มหัวข้อโดย: Little Devil ที่ 16-02-2011 22:18:56
รับเรื่องใหม่ :mc4:
+1
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 1 - 2/16/11 - 21.30
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 16-02-2011 22:23:44
โธ่น่าสงสารอ่ะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 1 - 2/16/11 - 21.30
เริ่มหัวข้อโดย: shizame ที่ 16-02-2011 22:33:31
มาใหม่ค่ะ

เปิดเรื่องได้น่าติดตามดี อยากรู้จังว่าถ้านทีฟื้นแล้วคุณชายจะรับไปอนุเคราะห์หรือเปล่า ><

ส่วนปางบรรพ์ไว้จะแวะเข้าไปอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 1 - 2/16/11 - 21.30
เริ่มหัวข้อโดย: MeepadA ที่ 16-02-2011 22:52:34
เศร้าแต่แรกเลย  เปิดฉากมาเป็นหาดพัทยาทำให้นึกถึงอดีต อดไม่ได้ต้องอ่านต่อ
ขำตัวเองอยู่ เศร้าซะมากมาย ตอนที่น้ำลุกขึ้น  นึกว่าจะเดินลงทะเล  แต่ดันผิดคาดอ่ะ   :z3:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 1 - 2/16/11 - 21.30
เริ่มหัวข้อโดย: kit ที่ 16-02-2011 22:57:53

วั้ย แล้วอย่างนี้ ปุยฝ้ายจะหาประโยชน์จากภาสกรไหมคะนี่
๑๕๓ + ๑ = ๑๕๔
ขอบคุณนะคะ คุณ Purple_Sky

หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 1 - 2/16/11 - 21.30
เริ่มหัวข้อโดย: THiiCHA ที่ 16-02-2011 22:59:03
มาม่า รส ต้มโคล้งง


เผ็ด แต่ อร่อย  o13 o13
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 1 - 2/16/11 - 21.30
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 16-02-2011 23:03:04
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 1 - 2/16/11 - 21.30
เริ่มหัวข้อโดย: eve2011 ที่ 16-02-2011 23:32:08
 :sad11:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 1 - 2/16/11 - 21.30
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 17-02-2011 00:31:52
กรี๊ดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เริ่ดมาก อยากอ่านอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 1 - 2/16/11 - 21.30
เริ่มหัวข้อโดย: lovevva ที่ 17-02-2011 01:54:03
 :เฮ้อ:ค่อยยังชั่วค่ะที่น้ำไม่เป็นไรมาก
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 1 - 2/16/11 - 21.30
เริ่มหัวข้อโดย: nithiwz ที่ 17-02-2011 03:19:38
ดูท่าจะมาม่านะครับ รอติดตามต่อนะครับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 1 - 2/16/11 - 21.30
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 17-02-2011 07:45:49
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 1 - 2/16/11 - 21.30
เริ่มหัวข้อโดย: hahn ที่ 17-02-2011 10:08:27
ดราม่าแน่ ๆ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 1 - 2/16/11 - 21.30
เริ่มหัวข้อโดย: august_may ที่ 17-02-2011 13:34:06
ชีวิตนทีดราม่ายิ่งกว่าในละคร
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 1 - 2/16/11 - 21.30
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกกุญแจ ที่ 17-02-2011 16:30:41
สนุกดีคับ จะเป็นกำลังใจให้นะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 1 - 2/16/11 - 21.30
เริ่มหัวข้อโดย: kazhiki ที่ 17-02-2011 17:01:16
เศร้าจริงชีวิตตัวคนเดียว เห้อออ แล้วยังจะมาถูกรถชนอีก
แต่น่าจะถือว่าเป็นสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตละนะ จากนี้ไป
ขอบคุณมากค่ะ :L1:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 1 - 2/16/11 - 21.30
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 17-02-2011 17:04:16
เรื่องใหม่มาแล้ว ชีวิตช่างรันทดจริงๆนที

น่าติดตามเช่นเคย เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 1 - 2/16/11 - 21.30
เริ่มหัวข้อโดย: Rhythm ที่ 17-02-2011 18:17:06
รออ่านนะค่ะ
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 1 - 2/16/11 - 21.30
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 17-02-2011 21:59:46
โอย คุณชายต้องรับผิดชอบชีวิตที่เหลือของเจ้าน้ำด้วยนะ
แล้วท่านพ่อท่านแม่ท่านน้าท่านป้าท่านลุงท่านฯลฯ ตายๆๆๆ นทีตายดีกว่า >.<
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 1 - 2/16/11 - 21.30
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 17-02-2011 22:22:48
พ่อเลี้ยงของน้ำนี่ท่าทางจะเลวร้ายมากๆ น้ำเลยอยากหนีออกจากบ้านมาอย่างนี้
แต่ดันโดนรถคุณชายชนซะได้ สงสัยจะเป็นพรหมลิขิต :z1:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 1 - 2/16/11 - 21.30
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกกุญแจ ที่ 20-02-2011 18:10:38
รีบๆมาต่อนะคับ
รออ่านอยู่
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 1 - 2/16/11 - 21.30
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 20-02-2011 20:01:51
เปิดเรื่องมาก็ให้กินมาม่ากันเลยทีเดียว  อย่าบอกนะว่าพ่อเลี้ยงคิดไม่ซื่อน่ะ
.... ว่าแต่  ฟ้าม่วงไม่คิดจะรวมเล่มปางบรรพ์เหรอคะ  พี่รออยู่เน้ออออ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 1 - 2/16/11 - 21.30
เริ่มหัวข้อโดย: naneku ที่ 20-02-2011 20:15:30
แวะมาเจิมๆเรื่องใหม่จ้าาาาา

:]]
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 1 - 2/16/11 - 21.30
เริ่มหัวข้อโดย: LalaBam ที่ 20-02-2011 20:22:01
 :o8:
น้องน้ำน่าสงสาร

หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 1 - 2/16/11 - 21.30
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 21-02-2011 23:10:27
2


    บ้านของ หม่อมราชวงศ์ ภาสกร รชตานันต์ ถูกเรียกว่า วังผกากรอง มาตั้งแต่สมัยที่ หม่อมเจ้า เรืองเดช ยังทรงพระเยาว์แล้ว ที่วังแห่งนี้ มีต้นผกากรอง ปลูกเป็นแนวยาวอยู่ที่ริมรั้ว ชูดอกสีชมพูเข้มเป็นช่อ อวดสายตาของคนที่สัญจรไปมา เหตุผลที่ปลูกต้นผกากรองไว้ก็เพื่อเป็นเกียรติให้กับคุณหญิงแม่ของ ท่านชายเรืองเดช ที่มีนามเดียวกันกับดอกไม้สีสวยนั้น นั่นเอง  ตัวตำหนักหันหน้าให้กับสวนเล็กๆที่ปลูกดอกไม้ในวรรณคดีชนิดต่างๆ ด้านหลังตำหนักเป็นสนามหญ้ากว้างขวางมีพุ่มไม้ปลูกห่างกันไปเป็นหย่อมๆ มีบ่อน้ำพุหินอ่อนอย่างงามจากอาคันตุกะชาวรัสเซียที่มอบไว้ให้ สุดบริเวณวังเคยติดกับคลอง แต่ปัจจุบันถมทำเรือนคนใช้ไปเสียแล้ว  
    คนใช้จากเรือนนั้น เดินออกมากันสองสามคน มือถือบัวรดน้ำ ออกไปรดพุ่มกุหลาบ และ ชบาที่อยู่บริเวณ ศาลาใกล้ๆกับบ่อน้ำพุด้วยรู้ดีว่า เวลาประมาณ สิบโมงแบบนี้ หม่อมวิไลวรรณ และ ท่านชายเรืองเดช จะออกมารับอาหารเช้าที่ศาลาเป็นประจำ โดยปกติจะมีคุณชายนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ หรือ หนังสือนิยายฝรั่งรอตั้งแต่เช้า ทว่าวันนี้กลับไม่มีใครลงมาจากตัววังเลยแม้เวลาจะล่วงเลยเป็นสิบโมงครึ่งแล้วก็ตาม ที่ระเบียงชั้นบน บริเวณที่เป็นห้องนอนของคุณชายก็ยังปิดม่านเสียสนิท ไม่มีทีท่าว่าจะออกมา
    “นี่ นังจิ๋ม แกรู้ใช่ไหมว่าเมื่อคืนน่ะ คุณชาย ภาส ไม่ได้ไปงานกับหม่อม” สาวใช้คนหนึ่งซุบซิบขึ้น ขณะที่ช่วยกัน กวาดลานหญ้า
    “จริงหรือเจ๊ มิน่าเล่าถึงมีแต่รถตาหนู กลับเข้าวังมาเมื่อคืน” ตาหนูที่ว่าคือคนขับรถส่วนตัวของหม่อมวิไลวรรณ นายหญิงของวังนี้
    “นั่นไงล่ะ กว่าคุณชายจะกลับก็เที่ยงคืน ตีหนึ่ง ฉันว่ามันแปลกๆนะนังจิ๋ม หรือคุณชายเธอจะติดผู้หญิง” หัวหน้าคนใช้ร่างใหญ่ออกความเห็น
    “ผู้หญิงอะไรกันคะ” จิ๋ม เด็กสาวร่างบางกระแทกเสียงอย่างหงุดหงิด “ตั้งแต่ทำงานที่นี่มา ยังไม่เห็นคุณชายเธอมีแฟนสักคน ขนาดคุณ ทิฆัมพร อะไรนั่นที่คุณผู้หญิงจะให้ตบให้แต่งด้วย ยังไม่มีทีท่าสนิทอะไรเลย ฉันว่า คุณชายเล่นไปทั่ว ไม่ลงเอย จริงจังกับใครหรอก เจ๊”
    “อ้าวนั่น แม่จิ๋ม แม่เผื่อน แม่จำปี ว่างกันมากหรือ ไม่ทำงานทำการ มายืนจับกลุ่มคุยกันอยู่ตรงนี้” เสียงของหญิงชราผู้หนึ่งดังขึ้น สาวๆ ที่ยืนคุยกันอย่างออกรสเมื่อครู่ก็แยกกันไปทำงานของตัวเอง ด้วยความเกรงใจ หญิงชราคนนี้ชื่อ อุ่น เป็นแม่นมของคุณชายภาสกร นมอุ่น เป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยง เป็นคนโปรดของคุณ วิไลวรรณ มาตลอด ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่บรรดาสาวใช้ในวังจะพากันยำเกรง ถ้าใครบกพร่องในหน้าที่การงานแล้วนมอุ่นรู้เข้าเมื่อไหร่ละก็ ก็เท่ากับคุณผู้หญิงวิไลวรรณ ของพวกมันก็รู้เมื่อนั้น “แม่เผื่อนนี่ จริงๆ เป็นถึงหัวหน้าเขา มาชวนลูกน้องคุย กับข้าวกับปลาเตรียมหรือยัง”
    “เตรียมแล้วจ้ะ นม มีข้าวต้มกุ้งของท่านชาย กับหม่อม ส่วนของคุณชายเป็นขนมปังฝรั่งเศส กินกับเนย และแยม ไข่ลวก แล้วก็กาแฟจ้ะ” แม่เผื่อนก้มหน้าก้มตาตอบ
    “ดีแล้ว วันนี้ ท่านชายประชวร คงเสด็จลงมาเสวยเช้าที่นี่ไม่ได้ เธอยกขึ้นไปถวายท่านถึงบนห้องบรรทมด้วย เอาคนที่รู้เรื่องรู้ราวไปนะยะ ไปทำหกรดท่านขึ้นมา จะโดนไล่ออกกันยก ชุด”
    “จ้ะนม” เผื่อนสะกิด จำปี ให้เดินตามเข้าไปในครัวเพื่อยกสำรับขึ้นไปถวายท่านชายตามที่นมอุ่นสั่ง ส่วนจิ๋มที่เป็นเด็กใหม่พอยืนอยู่ตรงนั้นคนเดียวก็ทำตัวไม่ถูกก็เลยทำท่า จะตามไปอีกคน
    “อ้าวแล้วหล่อนจะไปไหนแม่จิ๋ม ลานนี่กวาดเสร็จแล้วหรือ”
    “เอ่อ จ้ะ” สาวใช้หลบหน้าด้วยความที่ นมอุ่นมีบุคลิกคล่องแคล่ว แม้จะชราลงมากก็ตาม แต่ก็ทำให้บรรดาคนใช้เห็นทีไรก็กลัวกันลนลานทุกคน
    “ตรงศาลายังมีเศษใบไม้อยู่เลย เดี๋ยวคุณชายเธอลงมารับเช้าที่นี่ก็ โดนตำหนิเอาหรอก”
    “แหม เมื่อคืนคุณชายกลับเสียดึกดื่น ป่านนี้ ไม่ตื่นมารับเช้าหรอกจ้ะ”
    “เอ๊ แม่คนนี้ ปากคอหรือเรา ไปนินทาเจ้านายเดี๋ยวเหาจะกินหัว”
    “ใครนินทาใครหรือ นม” คุณชาย ภาสกร เดินลงจากวังมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พอตื่นเช้ามา ภาสกรก็แทบจะลืมเรื่องเมื่อคืนไปเสียสนิท ตามนิสัยของเขา คือต่อให้ไม่สบายใจแค่ไหน แต่หากได้นอนหลับสักงีบแล้ว ความไม่สบายใจจะหายไปเป็นปลิดทิ้งทันที ภาสกรอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ต กางเกงยีนส์สีเข้ม พร้อมออกจากบ้านก็ได้ หรืออยู่บ้านทั้งวันก็ได้อย่างเคย ชายหนุ่มตรงเข้ามากอดแม่นมด้วยความเคยชิน“หิวจัง นมจ๋า”
    “คุณชายละก็ โตเป็นหนุ่มแล้ว ยังกอดนมอีก ดีไม่ดีนักข่าวเห็นจะเป็นเรื่องนะคะ”
    “แหมก็เป็นเรื่องไปซีครับ ก็ผมรักนมนี่”
    นมอุ่นส่ายหน้าอย่างระอาแกมเอ็นดู อย่างที่หล่อนเคยพูดกับใครต่อใครว่า คุณชาย ภาสของหล่อนดูดี ไม่มีที่ติ แถมยังขี้เอาใจ ขี้อ้อนจนพระเอกลิเกแพ้แบบนี้ ถ้าผู้หญิงที่ไหนไม่หลงเสน่ห์เอาละก็ ก็คงเป็นบ้าไปเสียแล้ว เพราะชายภาสของหล่อน หน้าคมราวกับพระเอกในวรรณคดี ใบหน้าเรียวยาวรูปไข่ ผิวเข้ม ตาโตเป็นสีดำสนิทพอๆกับคิ้วเข้ม และ ผมที่ตัดสั้น แนบต้นคอ ริมฝีปากหนาอวบอิ่ม ยิ่งดูยิ่งยากที่จะหลบตา แล้วยิ่งเวลาอ้อนละก็ ตาจะเป็นประกาย จนทำให้คนรอบข้างเขินอายกันอย่างห้ามไม่ได้จริงๆ
    จิ๋มหน้าแดง ก้มมองแต่พื้นไม่กล้ามองหน้าที่ช่างอ้อน ช่างฉอเลาะของคุณชายของมันเลย
    “แหม ค่ะ คุณชายนี่ละจริงๆเชียว ไม่ต้องแกล้งอ้อน บอกนมมาเลยค่ะ ว่าทำไมเมื่อคืนถึงไม่ไปงานกับคุณหม่อมวิไลวรรณ หม่อมเธอบ่นแล้วบ่นอีก ให้นมฟังตั้งแต่เช้า ดีที่เมื่อคืนท่านพ่อของคุณชาย ประชวรอยู่บ้าน แถมบรรทมไปตั้งแต่หัวค่ำ นี่เลยยังไม่ทรงทราบ ถ้าทรงทราบละก็คงจะกริ้วน่าดูละ”
    ภาสกร หย่อนก้นนั่งที่ศาลาที่อยู่ใต้ร่ม ต้นหูกวางตรงกลางลานหญ้า มีนมอุ่น นั่งอยู่ที่พื้นศาลาใกล้ๆด้วยท่าทีนอบน้อม แต่สายตาคมกริบราวกับกำลังจี้คุณชายให้ยอมคายความจริงออกมา
    “เมื่อคืนมีรถชนจ้ะนม” ภาสกรว่า เขาไม่ได้โกหกอะไรเลย เพราะมีรถชนจริงๆ เพียงแต่ไม่ได้บอกว่า เป็นรถของเขา ที่ชน เด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น “แล้วรถก็ติดมากจ้ะ ก็เลยไม่ได้ไปงาน แถมเมื่อคืน ลูกค้าก็เที่ยวจนดึกไปหน่อย กว่าจะเข้าเขตกรุงเทพ ก็ห้าทุ่มกว่าแล้ว ไปงานก็กลัวจะไม่ทันคุณแม่ ก็เลยกลับมาก่อน”
    “ปรากฏว่าถึงสายกว่าคุณหม่อมเสียอีกค่ะ”
    “แหม นม ชายขอโทษแล้วกัน แล้วใจคอจะลงโทษไม่ให้ชายรับเช้าหรือ ชายหิวจะแย่แล้วนะ”
    หญิงชราค้อนขวับ
    “ช่างอ้อนจริงค่ะคุณชาย รอหน่อยนะคะ เดี๋ยวนมให้เด็กไปยกมาให้ค่ะ” นมอุ่นหันไปหาจิ๋ม ที่ยืนปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ใกล้ๆ “เอ้า ได้ยินแล้วก็ไปยกมาซิแม่ คุณชายได้โมโหหิว ด่ากราดพอดี”
    จิ๋มรับคำ แล้วรีบเดินออกไปจากบริเวณนั้น แม่นมหัวเราะกับคุณชายอยู่ได้พักหนึ่ง กระทั่งหม่อมวิไลวรรณ เจ้านายของหญิงชราเดินลงจากวังมา พอดีนั้นแหละ นมอุ่นจึงกลับเข้าโหมดเคร่งขรึมอีกครั้ง
    “อรุณสวัสดิ์ค่ะหม่อม นมไปยก ข้าวต้มกุ้งมาให้รับนะคะ”
    “ขอบใจนมอุ่น แต่ให้เด็กคนอื่นไปยกมาเถอะ แล้วนมช่วยไปจัดดอกไม้ในห้องพระเสียใหม่ด้วยนะเริ่มไม่สวยแล้ว” วิไลวรรณ ไล่หญิงชราไป แบบสุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะความรัก และเคารพเหมือนญาติผู้ใหญ่ นมอุ่นจึงเป็นคนเดียวที่หม่อมวิไลวรรณ พูดดีด้วย และไม่กล้าว่าอะไรแรงๆ แบบที่ทำกับเด็กคนอื่นในบ้าน
    นมอุ่นรับคำ คลานออกไปให้พ้นทาง แล้วค่อยลุกเดินไปสั่งเด็กในวังให้ไปยกสำรับมา โดยไม่ลืมกำชับให้รีบกลับออกมาให้เร็วที่สุด ไม่ให้ไปอยู่ใกล้ๆ สองแม่ลูก นมอุ่นรู้ดีว่า ระเบิดลูกเล็กๆ พร้อมที่จะตกลงที่ศาลานั้นแล้วเป็นแน่
    “ท่านพ่อประชวรหนักมากหรือครับคุณแม่ ไม่เสด็จลงมาเสวยด้วยกัน”
    “ก็หนักอยู่ แต่คงจะหนักกว่านี้ ถ้ารู้ว่าแกฉีกหน้าแม่ และไม่ไว้พักตร์ ท่านพ่อเสียอย่างนี้ ทำไมเมื่อคืนแกไม่ไปงานเลี้ยงคุณหญิงเพ็ญแขฮะตาชาย รู้ทั้งรู้ว่าคุณหญิงป้าเลี้ยงท่านพ่อมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ นี่ถ้าทรงทราบละก็ จะกริ้วแค่ไหน แกคิดบ้างไหมตาชาย”
    “ชายขอโทษคุณแม่ด้วยครับ” ภาสกรน้อมตัวไหว้อย่างนอบน้อม
    “แกจะเอาแต่ขอโทษไม่ได้ รู้ไหมคุณหญิงป้าท่านตัดพ้อว่าอย่างไร... ร้อยวันพันปีไม่มาหาที่วังบ้าง ขนาดจัดงานวันเกิดก็ยังไม่มา แบบนี้จะเจอกันอีกทีก็วันเผาฉันแล้วมั๊ง... ไงล่ะ ได้ยินตรงนี้แกยังอายหูแดง แม่ได้ยินในงาน แทบจะแทรกแผ่นดินเสียตรงนั้นแล้ว” หม่อมวิไลวรรณ หยุดเงียบไปเมื่อ สาวใช้คนหนึ่งของบ้าน ยกข้าวต้มกุ้งมาให้ถึงที่ศาลา
    “คุณเจ้าขา”
    “มีอะไรแม่เฟื่อง นมอุ่นไม่ได้บอกรึว่าฉันไม่ต้องการเด็กรับใช้มาอยู่ใกล้ๆกันตอนนี้”
    “บอกเจ้าค่ะ แต่ว่า คุณทิฆัมพรมาเจ้าค่ะ”
    “อ้อ” หม่อมวิไลวรรณเปลี่ยนจากหน้าตึงเครียดมาเป็น ยิ้มแย้มอย่างไม่น่าเชื่อได้ว่าเป็นคนเดียวกัน “งั้นเดี๋ยวฉันออกไปรับเอง”
    แต่ไม่ทันเสียแล้ว เพราะนมอุ่นเดิน เข้ามาจากทางหน้าวังผ่านตัวตำหนักมาออกด้านหลัง พร้อมๆกับหญิงสาวคนหนึ่งที่ภาสกรไม่นึกที่จะพบเจอในเวลาแบบนี้เลย
    เจ้าหล่อนเป็นผู้หญิงที่ไม่มีใครกล้าพูดได้เต็มปากว่าไม่สวย พอๆกับที่ไม่มีใครเอ่ยปากชมอย่างจริงใจ ว่าสวยเช่นกัน ใบหน้าของหล่อนเป็นแบบผู้หญิงทั่วไปที่พบได้ในประเทศไทย คือผิวขาวเนียนราวกับกลีบกุหลาบขาว แต่งแต้มสีสันด้วยเครื่องสำอางค์นานาชนิดให้ดวงหน้าเป็นสีชมพูระเรื่อ ปากสีชมพูใสถูกทับไว้ด้วยลิปสติกสีแดงทับทิม คิ้ววาดไว้เสียโก่งดูเกินงาม ผมสีน้ำตาลเข้มที่เป็นผมย้อมสีนั้น สั้นเพียงต้นคอ ซอยเอาไว้อย่างโฉบเฉี่ยวทันสมัย และแน่นอน ฉาบไว้ด้วยเจล และ แว๊กซ์จำนวนมากทำให้ดูเป็นเงางามอยู่ทรงตลอดเวลา เพียงหล่อนเดินก้าวลงจากบันใดเตี้ยๆ ที่อยู่ตรงลานหลังตำหนักเท่านั้นกลิ่นน้ำหอมแบบดอกไม้ตะวันออกก็โชยมาต้องจมูกชายหนุ่มเสียจนอดคิดไม่ได้ว่า หล่อนใช้น้ำหอมอาบแทนสบู่หรืออย่างไร กระนั้น จริตกิริยาก็ดูแช่มช้อยนุ่มนวลแบบลูกผู้ดี ขัดกับความเป็นลูกหลานจีนของหล่อนซึ่งเป็นสิ่งที่หม่อมวิไลวรรณชื่นชอบนัก
    “อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณน้าวิไล” หญิงสาวประนมมือไว้อย่างนอบน้อม เรียกว่า ตำราว่าไว้อย่างไร หล่อนก็ทำตามได้ถูกทุกประการอย่างไม่น่าเชื่อ นิ้วหัวแม่มืออยู่ที่ปลายจมูกโด่งแหลม และปลายนิ้วชี้อยู่ระหว่างคิ้วอย่างสวยงาม ที่เรียกหม่อมว่าคุณน้าก็เพราะวิไลวรรณได้เคยขอไว้ เพราะหล่อนไม่ชอบให้คนใกล้ชิดนอกจากคนใช้เรียกหล่อนว่าหม่อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อหล่อนตั้งใจไว้ว่าจะให้ทิฆัมพร แต่งงานกับคุณชายภาสกร ลูกชายของหล่อนอยู่แล้วไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
    “ไหว้พระเถอะลูก นั่งลงก่อนซี”
    ทิฆัมพร นั่งลงข้างชายหนุ่ม ชุดกระโปรงสั้นสีขาวสะอาด เลิกขึ้นมาอยู่กลางต้นขาขาวเนียนอย่างจงใจให้มาถูกตัวภาสกร แบบที่หม่อมวิไลวรรณไม่สามารถสังเกตได้เพราะโต๊ะบนศาลาบังเอาไว้นั่นเอง
    “ขอโทษคุณน้าด้วยค่ะ ที่ถือวิสาสะเดินเข้ามาเองแบบนี้ พอดีฟ้าถามมาจากคุณนมน่ะค่ะว่าคุณน้ารับเช้าหรือยัง พอดีคุณแม่ฟ้าไปต่างจังหวัดมาได้มะม่วงน้ำดอกไม้สุกมาเยอะ เลยเอามาแบ่งที่วังนี้ กะจะให้คุณน้ารับหลังอาหารเช้า ก็พอดีว่าคุณนมเรียนให้ฟ้าทราบว่าคุณน้ากำลังรับอยู่ที่ศาลาหลังตำหนักเลยถือวิสาสะสั่งเด็กในวังให้ปอกมาให้คุณน้ารับสักลูกน่ะค่ะ เกรงว่าถ้าชักช้าคุณน้าจะออกไปรับฟ้าแล้วจะรับประทานอาหารเช้าขาดตอน” หญิงสาวร่ายยาวให้หม่อมวิไลวรรณทราบจนครบถ้วนกระบวนความในย่อหน้าเดียว
    “แหม หนูฟ้าไม่น่าลำบากเลยจ้ะ เดี๋ยวน้าคงต้องโทรไปขอบใจ คุณแม่ของหนูเสียแล้ว”
    “ไม่เป็นไรค่ะคุณน้า ฟ้ายินดีค่ะ ...สวัสดีค่ะพี่ชาย วันนี้ไม่ไปไหนหรือคะ” หญิงสาวหันไปคุยกับภาสกร ด้วยรู้ตัวว่าโจมตีทำคะแนนกับแม่เขามากไปหน่อย โดยยังไม่ได้ทักทายเขาสักคำ
    “ก็คงออกไปบ่ายๆ เย็นๆแหละจ้ะพอดีพี่มีธุระนิดหน่อย”
    “อ๋อ ไปเยี่ยมพ่อหนุ่มที่ถูกรถชนหรือคะ?”
    ภาสกรสะดุ้ง ขมวดคิ้วมองหน้าทิฆัมพรอย่างประหลาดใจ นี่หญิงสาวรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรกัน? จะบังเอิญไปหรือเปล่าถ้า ทิฆัมพรจะรู้จักกับนายนทีพอดี
    “เอ๊ะ รถชนอะไรกันจ๊ะหนูฟ้า ตาชาย เยี่ยมอะไร ใครน่ะ แม่ไม่เห็นรู้เรื่อง”
    “เอ้อ...”
    “เอ้า พี่ชายยังไม่ได้เล่าให้คุณน้าฟังหรอกหรือคะ ว่าทำไมไม่ตามไปงานเลี้ยงกับพวกเราเมื่อคืน” ทิฆัมพรทำหน้าตกใจ หากแต่ภาสกรเพิ่งเข้าใจได้ดีว่า หญิงสาวมาที่นี่ทำไม เรื่องมะม่วงอาจมีส่วนจริง แต่จุดประสงค์หลักละก็ คงเพื่อต้องการมาฟ้องคุณแม่ของเขาเป็นแน่ ว่าแต่ทิฆัมพรรู้เรื่องได้อย่างไร รู้มากน้อยแค่ไหน เขาควรจะบอกแม่เขาไปตอนนั้นเลยหรือไม่ว่าความจริงมันเป็นอย่างไรกันแน่ “คุณน้าคงยังไม่ได้อ่าน ข่าวบันเทิงของเช้าวันนี้ซีนะคะ”
    ทิฆัมพรล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าถือของหล่อน เพื่อหยิบหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับเช้าวันนี้ออกมา หล่อนคลี่หน้าบันเทิง แล้วเริ่มอ่านให้วิไลวรรณฟัง
    “คุณชาย ภาสกรใจเด็ด ส่งหนุ่มรถชนเข้า รพ.
    น.ส. ปุยฝ้าย สิริกุล ได้รายงานให้ผู้สื่อข่าวทราบว่า เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น. ของคืนวานนี้ ม.ร.ว. ภาสกร รชตานันต์ ไฮโซหนุ่มที่เคยเป็นข่าวกับดาราสาว ฟ้า-ทิฆัมพร ได้นำตัว หนุ่มน้อยชาวพัทยาที่ประสบอุบัติเหตุรถชนมาเข้ารักษาตัวที่ รพ. พร้อมทั้งบริจาคเลือดให้อีกด้วย
    คุณชายเป็นคนดีมากค่ะ น้องนึกไม่ถึงเลยว่าเพื่อนน้องจะได้เจอคนใจดีแบบนี้ น.ส. ปุยฝ้าย ให้สัมภาษณ์ นึกไม่ถึงจริงๆ ค่ะว่าจะมีคนชนแล้วหนี แต่ก็ดีที่ได้คุณชายช่วยเอาใว้ คุณชายนี่ใจประเสริฐจริงๆค่ะ ทางการตำรวจ จะดำเนินคดีตามหาคนร้ายต่อไป โดยให้ นส. ปุยฝ้ายไปให้ปากคำไว้แล้วเบื้องต้น ส่วนทาง ม.ร.ว. ภาสกร นั้น ทางตำรวจแจ้งไว้ว่าจะติดต่อไปอีกครั้ง”
    “ตายแล้ว” หม่อมวิไลวรรณ ยกมือขึ้นทาบอก อย่างตกอก ตกใจ “นี่ แกเอาตัวเข้าไปยุ่งกับเรื่องแบบนี้หรือตาชาย นี่ถ้าตำรวจเขามาสอบปากคำ ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ซวยมาจะทำอย่างไรฮะ นี่ถ้าท่านพ่อทรงทราบ ละก็ ตายแล้วแม่ไม่อยากจะคิดเลย”
    “คุณน้าคะ พี่ชายเขาทำถูกแล้วล่ะค่ะ นี่ เขาทำดีเราก็ควรจะยกย่องนะคะ เรื่องดำเนินคดี จะไปกลัวอะไรล่ะคะ พี่ชายไม่ได้เป็นคนชนสักหน่อย จริงไหมคะ”
    ภาสกรนิ่งไปพักหนึ่ง หรือ ทิฆัมพร จะรู้
    “เอ่อ จ้ะ” เขาตัดสินใจตอบในที่สุด เมื่อรู้ว่า สายตาของทั้งมารดา ทั้งทิฆัมพร ต่างกำลังจ้องมองเขาเฟ้นหาความจริงเสียอย่างนั้น
    “แล้วนี่ยังไง ชายต้องไปเยี่ยม นายคนนี้ด้วยไหม”
    “ก็ว่าจะไปครับ แต่ว่ายังไม่ทราบว่าจะไปกี่โมงดี ชายอาจจะเข้าไปดูงานที่บริษัทแล้วค่อยแวะเข้าไปครับคุณแม่”
    “แวะไปทำไมล่ะลูก งานที่บริษัท ให้พี่ ดล เธอทำไปน่ะดีแล้ว เอาอย่างนี้สิ วันนั้น หนูฟ้าบ่นว่าอยากไปไหนนะลูก”
    หญิงสาวหน้าแดง ทำเอาเครื่องสำอางสีแดงที่ทาฉาบไว้บนแก้มเนียนใส ดูแดงมากยิ่งขึ้นไปอีก “ฟ้าอยากไปทำบุญน่ะค่ะคุณน้า ปีนี้ฟ้าอายุ 25 แล้ว ยังไม่มีโอกาสได้ไปทำบุญที่ไหนเลย กะว่าจะไปทำที่วัดอรุณน่ะค่ะ”
    “นี่ไง ตาชาย พาหนูฟ้าเขาไปทำบุญซีจ๊ะ ชายเองก็ไปยุ่งเกี่ยวกับความเป็นความตายมา ไปทำบุญเสียหน่อย แล้ว แวะทานกลางวันมาเลยดีไหมล่ะ แล้วเย็นๆ ลูกค่อยไปเยี่ยม ตาที่ถูกรถชน อ้อ แต่แม่ห้ามเด็ดขาดเลยนะชาย อย่าได้ไปเสียค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลให้เขาล่ะ พวกคนจนเนี่ย เห็นเรามีเงินก็หวังเกาะ ดีไม่ดี เรียกค่าเสียหายจากเราไปจะทำอย่างไร”
    ภาสกรนั่งเงียบอีกไปจนจบบทสนทนา ทิฆัมพรชวนคุยอีกสองสามคำเกี่ยวกับการไปเดินซื้อดอกไม้สวยๆงามๆ มาปลูกเพิ่มที่วัง ผกากรอง เข้าทางหม่อมวิไลวรรณที่ชอบทำบุญและชอบดอกไม้นัก ไม่นานมารดาของเขาก็รับประทานข้าวต้มกุ้งจนหมด ส่วนตัวภาสกรเองนั้น ทานไม่ลงเสียตั้งแต่เห็นหน้าหญิงสาวแล้ว เลยไม่มีอะไรพร่องไปมากนักพอเด็กในบ้านยกมะม่วงน้ำดอกไม้สุกบนจานคริสตัลอย่างดีมาเสิร์ฟที่ศาลา และยกจานอาหารไปเก็บ หม่อมวิไลวรรณก็เอ่ยปากพูดขึ้น
    “หนูฟ้า ตาชาย ไปกันได้แล้วละลูก จะสิบเอ็ดโมงแล้ว อากาศร้อนเดี๋ยวเข้าวัดเข้าวาหนูฟ้าจะทนแดดไม่ไหวเอา”
    “คุณน้าจะอยู่คนเดียวหรือคะ ให้หนูนั่งเป็นเพื่อนก่อนก็ได้นะคะ”
    “ตายจริงหนูฟ้านี่เป็นเด็กมีน้ำใจ ไม่เป็นไรหรอกลูก หนูไปทำบุญกันเถอะจ้ะ เดี๋ยวน้านั่งชมนกชมไม้เงียบๆ หรือไม่ก็เรียกแม่เผื่อน แม่จำปีมานั่งคุยเป็นเพื่อนก็ได้จ้ะ”
    “ถ้าอย่างนั้นหนูลาค่ะ คุณน้า” ทิฆัมพรยกมือไว้อย่างงามอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นยืน มือประสานกันไว้อย่างสำรวม
    “ชายลาคุณแม่ครับ” ภาสกร ยกมือไว้ก่อนจะเดินนำออกไปก่อน ให้หญิงสาวผู้เป็นแขกเดินตามไปอย่างเงียบเชียบ
    หม่อมวิไลวรรณมอง ภาสกร และทิฆัมพรเดินคู่กันไป หล่อนไม่เห็นว่าจะมีใครในประเทศไทยที่เหมาะสมกับลูกชายของหล่อนได้มากเท่านี้อีกแล้ว สักวัน หล่อนคงทูลขอให้ท่ายชาย ไปขอหนูทิฆัมพร มาเป็นสะใภ้วังผกากรองอย่างแน่นอน
 
   ***********************************************************************

บทแรกๆจะพยายามเปิดเผยตัวละครให้รู้จักกันนะครับ อาจจะน่าเบื่อหน่อย แต่รับรองอีก 2-3 บท มันส์แน่ครับ

ปล. อย่าลืมตามไปอ่าน ทางสามสายนะคร้าบบบ ลงตอนพีเมียร์ไปเมื่อวาน ช่วยไปให้กำลังใจด้วยนะคร้าบบ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=22279.0
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 2 - 2/21/11 - 23.05
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 21-02-2011 23:25:46
 :m20: :m20:เวอร์ไปมั้ยหม่อมวิไล
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 2 - 2/21/11 - 23.05
เริ่มหัวข้อโดย: kazhiki ที่ 21-02-2011 23:33:54
ท่าทางคุณหญิงแม่จะน่ากลัวหน่อยๆนะเนี่ย คุณชายก็ดูจะกลัวแม่

ขอบคุณนะคะ  :L1:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 2 - 2/21/11 - 23.05
เริ่มหัวข้อโดย: shizame ที่ 21-02-2011 23:37:09
มาเป็นกำลังใจค่ะ

เขียน2เรื่องพร้อมกัน แถมออกจะคนละฟีลเลยนะเนี่ย

สู้ๆนะคะ จะคอยติดตามผลงาน
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 2 - 2/21/11 - 23.05
เริ่มหัวข้อโดย: fOnfOn :D ที่ 22-02-2011 00:07:52
มีแววดราม่ามาแต่ไกลแหะ สังเกตจากคุณหม่อมแม่  :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 2 - 2/21/11 - 23.05
เริ่มหัวข้อโดย: Little Devil ที่ 22-02-2011 00:18:43
รออ่านตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 2 - 2/21/11 - 23.05
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 22-02-2011 00:20:09
อยากอ่านต่ออีกจัง อิอิ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 2 - 2/21/11 - 23.05
เริ่มหัวข้อโดย: w1234 ที่ 22-02-2011 11:25:51
 :call: :call:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 2 - 2/21/
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 22-02-2011 12:32:06
เรื่องนี้ท่าทางจะบีบคั้นอารมณ์
คุณชายเป็นคนที่อยู่ในโอวาทมาตลอด  และยังมีแม่ที่ทำตัวเป็นผู้จัดการส่วนตัวบวกกับผู้คุมด้วยแบบนี้
คนรอบข้างก็ท่าทางเจ้ากี้เจ้าการพอแรง  แบบท่าทางจะตัดสินใจทำอะไรเองลำบากแน่ ๆ
ส่วนนายเอกเราก็เผชิญกับเรื่องร้าย ๆ มาเยอะแยะ
สองคนนี้ถ้าได้คุยกันจะเป็นยังงัยก็ไม่รู้เหมือนกันทีเดียว  รอลุ้น
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 2 - 2/21/11 - 23.05
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 22-02-2011 12:41:53
กรี๊ดดดดด เรื่องใหม่
ยังไม่ได้อ่านเเต่มากรี๊ดดดก่อน

เมื่อคืนอ่านคุณหลวง เรื่องปางบรรพ์ นอนตีสองกว่า ตื่นหกโมงมาทำงาน
คิดถึงเเต่เรื่องของเส็งกับคุณหลวง

เดี่ยวอ่านเรื่องนั้นจบจะมาต่อคุณชายค่ะ

ชอบผลงานของคุณมากๆๆๆๆๆถึงมากที่สุด ขอบคุณมากค่ะ o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 2 - 2/21/11 - 23.05
เริ่มหัวข้อโดย: kit ที่ 22-02-2011 12:52:11


ขอบคุณนะคะ คุณ Purple_Sky

หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 2 - 2/21/11 - 23.05
เริ่มหัวข้อโดย: MiNiRooM ที่ 22-02-2011 14:01:41
ปูเสื่อ หาหมอนมาอิง รอโซ้ยมาม่า

รอตอนต่อไปนะคะ แว๊บไปอ่านอีกเรื่องด้วย ^ ^

หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 2 - 2/21/11 - 23.05
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 22-02-2011 14:23:59
คำเตือน

รับมาม่าเยอะๆ ไม่ดีต่อสุขภาพนะคะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 2 - 2/21/11 - 23.05
เริ่มหัวข้อโดย: lovevva ที่ 22-02-2011 15:55:16
 o18ชักจะเริ่มเกลียดนังหนูฟ้าซะแล้วสิ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 2 - 2/21/
เริ่มหัวข้อโดย: BaoBao ที่ 22-02-2011 16:21:08
 o13คราวนี้เรื่องของคนมียศมีศักดิ์ เริ่ดคร่า +1

ว่าแต่ลง 2 เรื่องเลยรึคะ
มีกำหนดการลงยังไงไหมคะ?
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 2 - 2/21/11 - 23.05
เริ่มหัวข้อโดย: LalaBam ที่ 22-02-2011 17:19:00
อ่านเรื่องนี้แล้วคิดถึงเจ้าหลวงรังสิธรจากแต่ปางก่อนเลย
มีพระคู่หมั้นด้วย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 2 - 2/21/11 - 23.05
เริ่มหัวข้อโดย: jobi ที่ 22-02-2011 17:33:35
ตามมาอ่าเรื่องใหม่ของคุณPurple_Sky
ยังประทับใจปางบรรพ์อยู่ไม่หาย
แล้วเรื่องนี้จะจบเศร้าเหมือนปางบรรพ์มั๊ยเนี่ย

ขอบคุณค่า รอตอนต่อไป^^
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 2 - 2/21/11 - 23.05
เริ่มหัวข้อโดย: Rhythm ที่ 22-02-2011 17:45:21
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 2 - 2/21/11 - 23.05
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 22-02-2011 22:30:03
 :L1:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 2 - 2/21/11 - 23.05
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกกุญแจ ที่ 23-02-2011 19:59:09
รีบๆมาต่อเร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 2 - 2/21/11 - 23.05
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 23-02-2011 22:19:50
อ๊าพี่คนแต่งค้าบบบ,, มาต่อๆนะค้าบบบบ สู้ๆคับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 2 - 2/21/11 - 23.05
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 23-02-2011 22:36:32
3
     
      ทิฆัมพร เป็นลูกเป็นหลาน เจ้าพระยาเก่า ที่มีเชื้อสายจีนผสมมาด้วย คือทวดเป็นพระยา แต่ปู่ และ ตาแต่งงานกับคนจีน ฉะนั้นทั้งพ่อและแม่ของทิฆัมพร ต่างก็เป็นลูกหลานจีน ที่มีจริตกิริยาเรียบร้อยไม่เหมือนชาวจีนทั่วไป มีนิสัยเรียบร้อยนุ่มนวลรักสงบแบบชาวไทย ในขณะเดียวกันก็ขยันทำมาค้าขายจนร่ำรวยเหมือนคนจีน แม่ของทิฆัมพรเป็นเพื่อนสนิทกับ วิไลวรรณมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะเรียนโรงเรียนฝรั่งมาเหมือนกัน ทางวิไลวรรณเรียนโปรแกรมฝรั่งเศส ส่วน สุชาดา แม่ของทิฆัมพร เรียนภาคอังกฤษ  ทั้งฐานะ และชาติตระกูลก็สมกันดีกับคุณชายภาส ลูกของหล่อนเสียเหลือเกิน
    แม้ว่าทิฆัมพรจะไม่มีเชื้อเจ้าเชื้อหม่อม แต่ก็นับได้ว่าชาติตระกูลดีไม่ได้ขี้ริ้ว ขี้เหร่แบบหญิงสาวสมัยนี้ อีกความประพฤติก็เรียบร้อย หน้าตาสะสวยเป็นดารามีผลงานละครอยู่เสมอๆ แม้จะได้รับแต่บทนางร้ายก็ตาม แต่
    “หนูฟ้าเธอเล่นละครเก่ง เล่นได้ร้ายเสียขนาดนั้น ทั้งที่ตัวจริงเธอออกจะเรียบร้อย” ชาวบ้านในตลาดที่เกลียด ทิฆัมพรถึงขนาดขายของให้แพงๆ เคยได้ยินวิไลวรรณพูดแก้ตัวอย่างนี้เสมอ ก็ทิฆัมพรออกจะใจบุญ ถือศีล กินเจ ชอบเข้าวัดเข้าวา หรือไม่ก็เดินเลือกต้นไม้สวยๆมาช่วยกันปลูกที่วังผกากรองเสมอๆ แต่ในละครทั้งร้าย ทั้งปากจัด ชอบยั่วยวนให้ท่าผู้ชายเสียขนาดนั้น แล้วอย่างนี้ไม่ให้พูดว่าเล่นละครเก่งจะได้อย่างไร
    ที่หม่อมวิไลวรรณไม่รู้ แต่ภาสกรรู้ดีก็คือ... ที่ว่าเล่นละครน่ะคือตอนอยู่ต่อหน้าหม่อมวิไลวรรณ และสื่อมวลชนต่างหาก ส่วนตัวตนที่แท้จริงของหล่อนละก็ ในละครทุกเรื่องที่หล่อนเล่นนั้นแหละ รวมไปถึงเวลาอยู่กับภาสกรกันสองคนด้วย
   “พี่ชายจะต้องอธิบายมาค่ะ ว่าเรื่องที่มันเกิดขึ้นทั้งหมดนี้มันคืออะไร” ทิฆัมพร ตวาดแหวขึ้นทันทีที่ทั้งคู่ขึ้นบนรถเบนซ์สีขาวเงินคันงามของคุณชาย ภาพที่หล่อนเป็นสาวสวย กิริยามารยาทดีนั้น ไม่เคยอยู่ในความคิดของภาสกรเลยแม้เพียงเสี้ยววินาทีเดียว ตั้งแต่ได้รู้จักกับหล่อนมาเขารู้ทันทีว่า ใบหน้าที่แสนสวยภายใต้เครื่องสำอางที่ฉาบไว้หนานั้นเป็นใบหน้าของหญิงสาวผู้เอาแต่ใจ และตั้งตนเป็นใหญ่เหนือใคร... เป็นใบหน้าที่แท้จริงของทิฆัมพร
    จริงๆแล้ว ทิฆัมพรเป็นเพียงสามัญชนคนธรรมดา  จริงอยู่ที่ตระกูลของหล่อนเป็น ตระกูลขุนนางซึ่งทำให้มองจากภายนอก หล่อนเป็นสาวสวยที่ไร้ที่ติจริงๆ แต่ทุกคนย่อมรู้ดีว่า ฐานันดรศักดิ์ของคุณชาย ภาสกร ทำให้ทิฆัมพรต้องทำเป็นนอบน้อมต่อเขาเวลาที่อยู่ต่อหน้าคนอื่นๆ หรือบางครั้งหากหล่อนอารมณ์ดี หล่อนก็จะยอมทำเป็นสาวหวานผู้เรียบร้อยต่อหน้าเขาเพียงสองคนบ้าง แต่แทบจะไม่มีใครรู้เลยว่า ยามทิฆัมพรไม่พอใจกับอะไรขึ้นมาละก็ หล่อนจะเปลี่ยนจากลูกแมวเปอร์เซียขนปุยน่ารัก เป็นเสือดำที่ดุร้ายและอัปลักษณ์ทันที
   “ไม่ต้องเงียบเลยค่ะ บอกฟ้ามาเดี๋ยวนี้ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
    “ที่มันเกิดขึ้นก็เป็นอย่างในข่าวนั่นแหละ ทิฆัมพร” นี่ก็อีกเรื่อง หลังจากครั้งแรกที่คุณชายได้พบกับหญิงสาว และรู้จักตัวตนที่แท้จริงของหล่อนในขณะที่คนอื่นไม่รู้ เขาก็ไม่เคยแสดงความสนิทสนมกับหล่อน หรือแม้แต่เรียกหล่อนด้วยชื่อเล่นให้หล่อนคิดไปเองว่าเขาอยากสนิทสนมด้วยเลย
    “ไม่รู้ซี ฟ้าแค่รู้สึกว่ามันไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น”
    ภาสกรยังคงเงียบ และนิ่งอยู่ไม่ได้ตอบโต้อะไร เขาถือว่าหากไม่ใช่ประโยคคำถามแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากตอบ เขายังคงหน้าตรงมองถนนและขับรถออกไปด้วยความเร็วปกติที่ควบคุมได้ พอๆกับสติของเขาไม่ให้หันไปโวยใส่ทิฆัมพรให้เงียบเสียที
    “ฟ้าอยากรู้ค่ะ ว่าจริงๆแล้วพี่ชายมีอะไรกับนายคนนั้น ถึงทำให้พี่ชายต้องสนใจเขามากมายถึงขนาดต้องพาเขาไปโรงพยาบาล แล้วยังบริจาคเลือดให้ และถ้าฟ้าเดาไม่ผิด ออกเงินค่ารักษาให้ด้วยอีก ถ้าพี่ชายแค่ขับรถผ่านมา แล้วต้องรีบไปงานคุณป้าเพ็ญแขจริงๆละก็ พี่ชายคงไม่แม้แต่จะจอดรถลงไปดูด้วยซ้ำค่ะ ฟ้าว่ามันจะต้องมีอะไรอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แน่ๆ”
    ภาสกร ยังคงนิ่ง แต่คราวนี้ นิ่งเพราะพูดอะไรไม่ถูกมากกว่า เขาไม่รู้ว่าทิฆัมพร รู้เห็นความจริงที่เกิดขึ้นหรือเปล่า ส่วนหนึ่งในหัวใจของเขาบอกว่า ไม่มีทางที่ทิฆัมพรจะรู้เรื่องนี้แน่ๆ เพราะ เวลานั้น ทิฆัมพรคงจะอยู่ในกรุงเทพ อยู่ที่งานกับหม่อมวิไลวรรณแน่นอน ไม่มีทางใดที่ทิฆัมพรจะอยู่ที่พัทยาได้เพื่อจะเห็นว่า เขาเป็นคนขับรถชน นาย นที แน่ๆ
    แต่คิดอีกทาง
    เป็นไปได้มากทีเดียวที่ทิฆัมพรจะบังเอิญมีเพื่อนที่พัทยา ซึ่งอาจจะเห็น หรือไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ดันรู้ความจริงแล้วไปบอกหล่อนก็ได้ แต่คนอย่างภาสกร หากไม่ถูกไล่ จนหมดทางสู้แล้ว ยังไงเสียเขาก็ไม่มีทางยอมแพ้
    “แล้ว คุณคิดว่ามีอะไรอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้เล่า ทิฆัมพร”
    “ฟ้าคิดว่า พี่ชายจะต้องรู้จักกับพ่อหนุ่มคนนี้แน่ๆค่ะ” ทิฆัมพร พูดแบบคนมีชัยชนะทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้วภาสกร อดโล่งอกไม่ได้... หญิงสาวไม่รู้อะไรเลย
    “เหลวไหลน่า พี่จะไปรู้จักเด็กพัทยาได้อย่างไรกัน”
    “ไม่รู้แหละค่ะ แต่อย่าให้ฟ้ารู้ก็แล้วกันว่าพี่ชายไปเกี่ยวข้องอะไรยังไงกับเด็กคนนี้ ... แล้วนี่พี่ชายจะไปไหนคะ”
    “ไปวัดอรุณไง คุณจะทำบุญไม่ใช่หรือ”
    “ทำบง ทำบุญอะไรคะ มันเป็นแค่ข้ออ้างออกมาจากวังพร้อมกับพี่ชายต่างหาก ไปค่ะ ไปพารากอนกัน เดี๋ยวไปทานข้าวที่ Greyhound แล้วก็ดูหนังสักเรื่องดีกว่าค่ะ” บทจะเปลี่ยนท่าที หญิงสาวก็เข้ามากอดแขนพูดคุยด้วยอย่างสนิทสนม ทำอ้อน ฉอเลาะไปอย่างที่คิดว่าภาสกรจะไม่รู้ทัน... แต่เปล่า เขารู้ว่าที่หล่อนทำแบบนี้ ก็เพื่อทำให้เขายอมซื้อโน่นซื้อนี่ จ่ายนั่นให้หล่อนโดยไม่ปริปากบ่นไม่ใช่เพราะเกรงใจหญิงสาว แต่เกรงใจคุณสุชาดาและ หม่อมวิไลวรรณต่างหาก
    วันนั้นทั้งวัน ไม่ว่าจะทำอะไร ภาสกรก็อดนึกถึงใบหน้าอ่อนเยาว์ของเด็กชายที่หลับตาพริ้มอยู่บนเตียงในห้องฉุกเฉินไม่ได้ แม้จะรู้ว่าเขาไม่เป็นอะไรแล้วก็ตาม ภาสกรบอกตัวเองว่า มันเป็นเพียงความรู้สึกผิด และรู้สึกรับผิดชอบต่างหาก
    ไม่มีอะไรอยู่เบื้องหลังอย่างที่ทิฆัมพรว่าเลย

    ห้องพักผู้ป่วยในแบบ เดอลุกซ์ของโรงพยาบาลเอกชนแห่งนั้นอยู่บนชั้น 8 ภายในห้องตกแต่งแบบสบายๆ ดูไม่ใหญ่มากแต่ก็หรูหราพอสมควรสำหรับคนที่รักษาตัวกับโรงพยาบาลของรัฐมาตลอดชีวิต ที่ผนังด้านหนึ่งเป็นบาร์เครื่องดื่ม ถัดมาเป็นชุดรับแขก โดยมีโซฟาที่สามารถปรับให้นอนได้ บนนั้นมีกระเป๋าหนังใบใหญ่สีดำของหญิงสาวผู้อยู่ในห้องนั้นวางไว้ โต๊ะรับประทานอาหารสำหรับแขกมีข้าวต้มสำหรับญาติผู้ป่วย วางคู่กันกับแก้วน้ำส้มที่มีพลาสติกซีล ยังไม่ได้แกะออก ฝั่งตรงข้ามเป็นโทรทัศน์ติดผนัง ขนาด 32 นิ้ว เปิดค้างไว้ที่ช่องเพลง โดยที่ปิดเสียงไว้สนิท เพราะหญิงสาวที่อยู่ในห้องนั้น กำลังคุยธุระทางโทรศัพท์อยู่อย่างตึงเครียด
    ปุยฝ้ายยืนอยู่ที่กระจกขนาดใหญ่ของห้อง แหวกม่านไว้เล็กน้อย สายตาจ้องมองออกไปยังภาพบรรยากาศของเมืองพัทยา ที่เงียบเหงาในตอนเช้า แปลกตาไปจากภาพของความคับคั่งของที่นี่ในตอนกลางคืน หญิงสาวกลอกตาหลังจากฟังเสียงบ่นของคนในสายที่พูดต่อกันไม่หยุด พอมีช่องว่างที่จะสวนได้ หล่อนก็ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป
    “ค่ะ ทราบค่ะว่าเป็นห่วง แต่ฝ้ายยืนยันเลยค่ะว่า นทีไม่ได้มาหาฝ้ายที่แฟลตอย่างแน่นอน” หญิงสาวว่า หล่อนไม่ได้โกหกอะไรนี่ เพราะฝ่ายนั้นไม่ได้มาหาหล่อนที่แฟลตตามที่หล่อนว่าทุกประการ ตอนนี้ชายหนุ่มนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงในห้อง 809 นี้ต่างหาก หญิงสาวผละออกจากม่าน เดินมานั่งลงที่โซฟารับแขก กลอกตาเป็นครั้งที่ 4 เมื่ออีกฝ่ายยิงคำถามสวนกลับมา “ไม่ค่ะ ไม่เห็นเลยตั้งแต่วันที่เขาออกจากบ้านนั่นแหละค่ะ” หญิงสาวหันหน้าหนีจากชายหนุ่มบนเตียง ราวกับจะสร้างความบริสุทธิ์ให้กับตัวเอง ว่าหล่อนไม่เห็นชายหนุ่มอย่างที่หล่อนพูดจริงๆ “คุณอดิสรณ์ก็ลองโทรเข้ามือถือเขาซีคะ ... ไม่ติดหรือคะ ...ไม่อีกนั่นแหละค่ะ ไม่ได้โทรมาเลย ฝ้ายยังไม่ได้คุยกับนทีตั้งแต่วัน อาทิตย์นั่นแหละค่ะ ถ้าคุณอดิสรณ์ติดต่อเขาไม่ได้ ทำไมนทีถึงจะติดต่อฝ้ายได้ล่ะคะ” หญิงสาวมองโทรศัพท์มือถือของเพื่อนหนุ่ม หล่อนจัดแจงถอดแบต ถอดซิมการ์ด ออกจากเครื่องตั้งแต่ได้คืนมาจากภาสกรแล้ว ป้องกันปัญหาเรื่องนายอดิสรณ์ พ่อเลี้ยงของเพื่อนหนุ่มจะโทรมาติดที่หล่อนเข้า
   ปุยฝ้าย แกะพลาสติกที่ซีลแก้วน้ำส้มไว้ออก ก่อนที่จะยกขึ้นจิบ คุยกับตาพ่อเลี้ยงนี่แล้ว น้ำตาลในเลือดต่ำ เวียนหัวจะแย่ หล่อนบ่นในใจก่อนจะหัวเราะเบาๆให้กับชายหนุ่มที่อยู่ในสาย “แล้วคุณอดิสรณ์กับนทีมีปัญหาอะไรกันหรือเปล่าล่ะคะ ถ้าไม่มีเนี่ยก็เป็นไปได้ว่า นทีไปเที่ยว ขออนุญาตแล้วคุณอดิสรณ์จำไม่ได้ หรือไม่ ถ้ามีปัญหาอะไรกันจริงๆ นทีมันก็คงงอนหนีไปแล้วล่ะค่ะ”
    ข้อนี้เป็นสิ่งที่ปุยฝ้ายมั่นใจมาก นทีจะต้องมีปัญหากับนายอดิสรณ์พ่อเลี้ยงเป็นแน่ ตั้งแต่พ่อของนทีตาย เพื่อนหนุ่มก็ซึมเศร้าไม่สรวลเส เฮฮากับเพื่อนเหมือนเก่าพอตัวอยู่แล้ว พอแม่มาตายไปอีกคน นทีก็เริ่มไม่พูดไม่จากับใคร ไม่ไปกินข้าวด้วยกันตอนเที่ยง ไม่ไปสังสรรค์กับเพื่อนๆต่อหลังเลิกเรียน สีหน้า อมทุกข์และไม่มีความสุขตลอดเวลา ปุยฝ้ายยังจำได้ดี เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา นที และตัวหล่อนเองไม่มีเรียนตอนบ่าย หล่อนชวนไปดูหนังกับเพื่อนๆในกลุ่ม ซึ่งเป็นหนังแนวที่ นทีชอบเป็นชีวิตจิตใจ แต่ คำตอบที่ได้กลับกลายเป็นเพียงแค่การส่ายหัวเท่านั้น
    “เฮ้ย ไอ้น้ำ แกเป็นอะไรวะ ระยะนี้แกทำหน้าเซ็งเหมือนได้เรียนกับอาจารย์ วรรยา ตลอดเวลา พวกฉันเป็นห่วงนะเว่ย”
    “ไม่มีอะไรหรอก” ฝ้ายยังจำภาพของ ชายหนุ่มนั่งกอดเข่าตอบหล่อนเบาๆ ไม่ได้หันมามองหน้า แต่มองผิวน้ำในสระบัว ไหลเอื่อยๆ ราวกับว่ามันน่าสนใจเสียเหลือเกินได้ หมดอาลัยตายอยากในชีวิตเหมือนจะกระโดดน้ำตายไปเสียให้ได้
    “แกเป็นอะไรวะ แกรู้ไหม ว่าเพื่อนน่ะมันมีไว้ร่วมทุกข์ร่วมสุข แกแปลออกไหมวะ ... มันแปลว่าเวลาแกมีความสุข แล้วพวกฉันก็จะหัวเราะไปด้วย ยิ้มไปด้วย แล้วเวลาแกมีทุกข์น่ะ พวกฉันก็ควรจะได้รับรู้ไม่ใช่หรือวะว่าแกเป็นอะไร เพื่อนน่ะมีไว้ระบาย มีไว้ปรึกษา มีไว้ให้รับฟังปรับทุกข์เวลามีอะไรในใจ ไม่อย่างนั้น แกก็คบกับสระบัวเป็นเพื่อนไปเลยซียะ ไม่ต้องพูดไม่ต้องคุยอะไรกับมันทั้งนั้นแล้ว” หญิงสาวจำเสียงของตัวเองที่พูดออกไปอย่างนั้นได้ดีพอๆกับคำตอบของชายหนุ่ม
    “ฉันไม่อยากมาเรียนแล้วว่ะ ไม่อยากอยู่บ้านแล้วด้วย อยากไปไหนก็ได้ ไกลๆ ที่ไหนก็ได้ที่จะมีความสุข”
    “เฮ้ย” หญิงสาวสะดุ้ง “ไอ้น้ำ แกพูดเหมือนแกไม่มีความสุขที่มหาลัยแล้วก็ที่บ้าน ทำไมวะพวกฉันไปทำอะไรให้แก”
    “เปล่า”
    “แล้วไง หรือแกแค่คิดถึงพ่อกับแม่ แกคิดว่าพวกท่านจะหลับสบายไหม ถ้าต้องมองลงมาจากสวรรค์แล้วเห็นลูกตัวเองเป็นแบบนี้ ท่านฝากแกไว้กับคุณอดิสรณ์ พ่อเลี้ยงของแกแกก็น่าจะสบาย...เอ๊ะ หรือ เขาร้ายกับแกนักหรือยังไงวะ”
    สายตาของนทีที่เปลี่ยนจากกลางสระมามองหน้าหล่อนนั้น มันแฝงไว้ระหว่างความทุกข์ ความเศร้า และ ความโกรธ เกลียดชัง แบบที่ปุยฝ้ายไม่สามารถตีความออกมาเป็นลักษณะเพื่อบรรยายได้
    “แกอย่าพูดถึงเขาอีกนะ”
    ประโยคเดิม ประโยคเดียวกับที่เขาเพิ่งพูดกับหล่อน เมื่อ สองวันที่แล้ว ปุยฝ้ายขมวดคิ้ว ในขณะที่ฟังเสียงบ่นยาวเป็นนาทีๆ ของผู้ที่อยู่ในสายที่ไม่มีทีท่าเลยว่าจะจบตรงไหน จนหญิงสาวทนไม่ไหวต้องวางมือถือลงบนโซฟา กลอกตาด้วยความหงุดหงิดเป็นครั้งที่ 5 ยกมือขึ้นขยี้ผมตัวเองอย่างเสียนิสัย หล่อนตัดสินใจหยิบโทรศัพท์กลับขึ้นมาคุยต่อ พอฝ่ายนั้นบ่นจบ เรียกหาหล่อน ปุยฝ้ายก็แก้ตัวว่า “สัญญาณไม่ดีเลยค่ะ คุณอดิสรณ์ ขอโทษทีค่ะ ฝ้ายไม่ค่อยได้ยิน”
    ปลายสายกระแทกเสียงบอกว่า หากเจอกับนที หรือ ถ้าชายหนุ่มโทรมาให้โทรรายงานเขาทันที และเขาจะรีบไปหาลูกเลี้ยงให้เจอโดยเร็วที่สุด
    “ค่ะ ถ้าฝ้ายเจอ...” หญิงสาวมองใบหน้าที่นิ่งสนิทไร้อารมณ์ใดๆของเพื่อนหนุ่มบนเตียง อย่างลังเลใจ “...เอ่อ หรือได้คุยกับนที ฝ้ายจะบอกให้ค่ะ ว่าคุณอดิสรณ์เป็นห่วง ให้โทรหาค่ะ”
    ปุยฝ้ายกำลัง จะวางสาย พอดีอีกฝ่ายหนึ่งเรียกชื่อหล่อนไว้ก่อน หญิงสาวขมวดคิ้ว พลางขยับปากบ่นเป็นคำว่า อะไรกันนักกันหนาเนี่ย ก่อนจะกดโทรศัพท์เข้ากับหูของตัวเองอีกครั้ง
    “อะไรนะคะ คุณอดิสรณ์จะไปฮ่องกงเดือนนึงหรือคะ... เอ่อ เปล่าค่ะฝ้ายแค่ตกใจว่านทีหายไปแบบนี้ คุณอดิสรณ์ก็จะไปต่างประเทศด้วย ถ้านทีเอ่อ...” หญิงสาวเหลือบมองเพื่อนหนุ่มอีกครั้ง “ถ้าเกิด นทีเป็นอะไรขึ้นมา ฝ้ายจะบอกคุณอดิสรณ์ยังไงเท่านั้นละค่ะ.. อ๋อค่ะ ถ้าอย่างนั้นฝ้ายจะรีบแจ้งทันทีที่เจอหรือ ได้คุยกับ นทีก็แล้วกันนะคะ ... ค่ะ ค่ะ สวัสดีค่ะคุณอดิสรณ์”
    ปุยฝ้ายวางโทรศัพท์ แล้ว โยนมันลงในกระเป๋าถือสีดำของหล่อน แล้วกรี๊ดออกมาเบาๆ หล่อนหันไปหาชายหนุ่ม
    “ไอ้น้ำ คุณอดิสรณ์เค้าบอกว่าเป็นห่วงแกอ่ะ ฉันบอกให้ตามสัญญาแล้วนะคะคุณอดิสรณ์” หล่อนทำหน้าเซ็งอีกครั้งก่อนที่จะกรี๊ดออกมาเป็นครั้งที่สอง “อ๊าย ฉันจะทำยังไงดี จะทำยังไงดี”
    หล่อนลุกขึ้นจากโซฟาวางแก้ว น้ำส้มที่ดื่มจนหมดแล้ว ลงบนโต๊ะ ก่อนที่จะเดินกลับไปกลับมาในห้องอย่างว้าวุ่นใจ
    “แกว่าฉันควรบอกคุณอดิสรณ์ไหมว่า ไฮ! คุณอดิสรณ์ ฝ้ายเจอนทีแล้วค่ะ มันโดน หม่อมราชวงศ์ ภาสกร รชตานันต์ ขับรถชนเข้าน่ะค่ะ ตอนนี้ กระดูกขาขวาหักเพราะโดนชน แขนซ้ายก็หักเพราะโดนกระแทกตอนกระเด็นไป แล้วหัวก็แตกเพราะเอาหัวลง แถมยังเสียเลือดมากเพราะส่งโรงพยาบาลช้า ตอนนี้อ่อนแอ บวกกับช็อคเลยยังไม่ฟื้นค่ะ โอ๊ย จะบ้าเหรอ ไม่ตลกเลยสักนิด ฉันจะทำยังไงกับแกดี๊
    “ฉันมั่นใจมากว่าแกต้องมีเรื่องกับคุณอดิสรณ์ แต่ฉันก็ยังไม่รู้เรื่องอะไร แกดูเกลียดเขา ตั้งแต่ แม่แกตาย... หรือว่า” ปุยฝ้ายยกมือขึ้นปิดปาก ด้วยความตกใจในความคิดของตัวเอง
 
***********************************************************************
มาต่อตามที่น้อง มุกขอเลยยย 555+
พูดคุยครับ
@คุณ iforgive
พิเคราะห์ได้ตรงเป๊ะ นิยายเรื่องนี้ผมตั้งใจแต่งให้ตัวละครแบนที่สุดเท่าที่ทำได้ ตรงข้ามกับปางบรรพ์ที่พยายามปั้นให้กลมแทบทุกตัว จะเห็นว่าใครดีก็ดีเหลือเกิน ใครร้ายก็ร้ายจนอยากจะฆ่าทิ้ง ทั้งนี้เป็นการทดลองด้านงานเขียนด้วยครับว่า ทฤษฎีว่าตัวละครต้องกลมสมจริงถึงจะดีนั้น ดีจริงไหม ถ้าตัวละครแบนๆแบบนี้ ผู้อ่านจะเข้าถึงสารที่ผมต้องการสื่อได้ง่ายขึ้นหรือเปล่าน่ะครับอิอิ
@คุณ jeaby
ชมซะเขินเลยครับ 555+
@คุณ zombi
มาม่ามี “ผงชูรส” เยอะครับ ทำให้สำหรับผม มองว่ามันอร่อย แต่ผลเสียก็มีเช่นทำให้ผมร่วงบริโภคมากไปไม่ดีจริงๆ 555+ แต่เรื่องนี้ก็ ผงชูรสเยอะจริงๆใครว่าปางบรรพ์เยอะแล้ว เรื่องนี้เยอะกว่าครับ แต่จะพยายามหาน้ำ(หวาน) มาให้ดื่มหลังกินมาม่าเยอะๆ ให้ช่วยขับ MSG ออกจากร่างให้ครับผมม สัญญาครับ555
@คุณ เบาๆ
2 เรื่องนี้ต่างกันมากโดยสิ้นเชิงครับ ตัวละครในคุณชายจะประสบกับconflict ภายนอก หรือความขัดแย้งจากภาวะภายนอกรุมเร้า จะเครียดกว่าหน่อย ในขณะที่ทางสามสายจะเป็นความขัดแย้งในใจของตัวละครเอกเองครับ เรื่องฉาก และภาษาก็ค่อนข้างต่าง คือคุณชายจะออกไทยๆ ภาษาจะประณีตกว่า ส่วนทางสามสายจะสบายๆแล้วก็จะมีเรื่องราว และฉากที่ใช้เกี่ยวข้องกับประเทศ และวัฒนธรรมของอิตาลีด้วย ชอบแบบไหนก็ติดตามแบบนั้นเลยครับ แต่ทางที่ดี ช่วยให้กำลังใจ 2เรื่องเลยก็ดีครับ ผมลง คุณชาย จันทร์ กับ พุธ ทางสามสาย ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์คร้าบ
@คุณ Jobi
ไม่บอกครับว่าจบเศร้ามั๊ย ติดตามดูนะครับผมม อิอิ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 3 - 23/02/11 - 22.30
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 23-02-2011 23:05:03
ตัวละครคุณฟ้า  ทิฆัมพรอะไรนั่น  ทำให้เราอดไม่ได้ที่จะนึกถึงนางเอกช่องหลายสีคนหนึ่ง
แต่ก็อย่างที่เขาว่ากัน  เรื่องจริงอิงนิยาย  ส่วนนิยายก็อิงจากเรื่องจริง
บางครั้งเราก็เป็นเหมือนคุณฟ้าเหมือนกัน หุ หุ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 3 - 23/02/11 - 22.30
เริ่มหัวข้อโดย: Little Devil ที่ 23-02-2011 23:24:11
เรื่องนี้จะเศร้าอีกแล้วเรอะ :monkeysad:
+1
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 3 - 23/02/11 - 22.30
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 24-02-2011 00:34:37
ซะนีแรงมากอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 3 - 23/02/11 - 22.30
เริ่มหัวข้อโดย: kazhiki ที่ 24-02-2011 00:41:14
น้ำมีเพื่อนดีจริงๆ ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 3 - 23/02/11 - 22.30
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 24-02-2011 00:46:56
บคิโภคมาม่าจนท้องอืดอีกแน่เลย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 3 - 23/02/11 - 22.30
เริ่มหัวข้อโดย: w1234 ที่ 24-02-2011 00:53:26
+1 :3123:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 3 - 23/02/11 - 22.30
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 24-02-2011 01:29:29
มารอคร้าบบบบ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 3 - 23/02/11 - 22.30
เริ่มหัวข้อโดย: kit ที่ 24-02-2011 02:13:57

• เพราะชายภาสของหล่อน หน้าคมราวกับพระเอกในวรรณคดี
ใบหน้าเรียวยาวรูปไข่ ผิวเข้ม ตาโตเป็นสีดำสนิทพอๆกับคิ้วเข้ม
และ ผมที่ตัดสั้น.....
ว้าย คุณชายไม่ได้ดื่มกลูต้า..อิอิ
๑๖๖ + ๑ = ๑๖๗
ขอบคุณนะคะ คุณ Purple_Sky

หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 3 - 23/02/11 - 22.30
เริ่มหัวข้อโดย: lovevva ที่ 24-02-2011 03:53:13
 :m16:อิตาพ่อเลี้ยงต้องทำอะไรน้ำแน่ๆเลย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 3 - 23/02/11 - 22.30
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 24-02-2011 04:52:26
ปักหมุดไว้
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 3 - 23/02/11 - 22.30
เริ่มหัวข้อโดย: maew189870 ที่ 24-02-2011 12:07:00
ปางบรรพ์ผมก็ติดตามจนจบ

แล้วเรื่องนี้ก็ไม่พลาดคับ  สนุกดีด้วยคับ

ผมชอบประโยคบางประโยคอ่ะคับ  มันเป็นคำศัพท์ทางพระพุทธศาสนา

ผมเรียนปรัชญามาเลยรู้เรื่องมานิดหน่อย   

สู้ๆนะคับ

หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 3 - 23/02/11 - 22.30
เริ่มหัวข้อโดย: nuewanda ที่ 24-02-2011 19:34:14
ผ่านไป 3 ตอนพึ่งได้มีโอกาสเม้นท์ แหะๆๆ
ตามมาจากปางบรรพ์ เพราะชอบสำนวนการเขียนของคนแต่ง
เรื่องนี้...ดูแล้วก็คงสละสลวยไม่แพ้เรื่องก่อน
ขออ่านแบบติดตามไปเรื่อยๆ แล้วกันนะคะ เพราะจากที่ลองเดาจากปางบรรพ์ ไม่ไหวค่ะ ไม่เคยเดาถูกเลย ฮ่าๆๆๆ

ปล. เดี๋ยวตามไปเม้นท์ทางสามสายค่ะ

หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 3 - 23/02/11 - 22.30
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 24-02-2011 20:25:44
จิ้มทะลวงเม้นท์

^

^

^

^
มาต่อเพื่อมุกจิงๆด้วย
O O//โดนพี่ถีบ
หุๆ แบบว่านทีเมื่อไหร่ฟื้นอ่าฮับ นอนเปนผักมาสามตอนแล้ว  สู้ๆค้าาาพี่เปนกะลังจาย,,
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 3 - 23/02/11 - 22.30
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 27-02-2011 17:41:07
รอครับบบ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 3 - 23/02/11 - 22.30
เริ่มหัวข้อโดย: i-love-you ที่ 28-02-2011 12:56:04
อยากอ่านต่อๆๆ อ่า.......อยากรู้เรื่อง คุณอดิศรณ์จัง ว่า ทำรัย นที เรา บ้าง....... :angry2:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 3 - 23/02/11 - 22.30
เริ่มหัวข้อโดย: noina ที่ 28-02-2011 20:14:32
แอบคิดว่าอีตาอดิสรณ์ขืนใจนทีอ่ะ :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 3 - 23/02/11 - 22.30
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 28-02-2011 21:06:12
4
[/B]

    หล่อนคิดมาตลอด ตั้งแต่งานศพของ แม่ของนทีแล้วว่าเพื่อนของหล่อนคงจะมีเรื่องอะไรไม่พอใจพ่อเลี้ยงของตัวเองเป็นแน่
     ตลอดงานสวด และงานเผา นทีจะนั่งตาแดงและไม่พูดจากับใคร ถ้าไม่จำเป็น จะมีแอบไปร้องไห้บ้างไหม หล่อนก็ไม่รู้ แต่เดาว่าก็คงต้องมีบ้าง เพื่อนหนุ่มของหล่อนรักแม่อย่างกับอะไรดี แต่เขากลับไม่ยอมแสดงออกซึ่งความเสียใจหรืออาลัยอาวรณ์ออกมาเลยแม้แต่นิด เมื่อมีพ่อเลี้ยงอยู่ด้วย เวลามางานหรือกลับจากงาน เพื่อนหนุ่มจะนั่งหน้างอ มองออกนอก หน้าต่างรถ ไม่สนใจคำพูดใดของพ่อเลี้ยง ไม่แม้แต่จะตอบคำถามของเขา นอกจากพยักหน้าตอบว่าใช่ หรือ ส่ายหน้าว่าไม่เท่านั้น
    ตอนแรก ปุยฝ้ายคิดว่า คงเป็นเรื่องธรรมดาที่ นทีจะรักพ่อมากถึงขนาดไม่ยอมให้ใครมาแทนที่พ่อของเขา แต่ตอนที่พ่อของนทีเสีย แล้วมีคุณอดิสรณ์มาเป็นพ่อเลี้ยงนั้น ชายหนุ่มยังพูดจาดีกับฝ่ายนั้นอยู่เลยไม่ทำท่าทางปั้นปึ่งใส่คุณอดิสรณ์แบบนี้ อาจเพราะตอนนั้น แม่ของนทียังอยู่ก็ได้ แต่พอเสียแม่ไปเท่านั้น จะเป็นเพราะคิดถึงพ่อและแม่ มากหรืออย่างไร นทีก็ไม่เคยพูดจาด้วยดีกับพ่อเลี้ยงของเขาอีกเลย เขากลายมาเป็นชายหนุ่มที่ พูดเท่าที่จำเป็น ทั้งๆที่เคยเป็นคนพูดมากที่สุดของกลุ่มด้วยซ้ำ
    พอมานึกถึงเรื่องนี้ดีๆ ในตอนนี้ มันทำให้ปุยฝ้ายเริ่มคิดว่า
    “หรือว่าอดิสรณ์จะมีส่วนในการตายของคุณ นัยนา แม่ของแก”
    หญิงสาว กัดริมฝีปากอย่างกลุ้มใจ อย่างนี้หรือเปล่าชายหนุ่มถึงหนีออกจากบ้าน ที่ทนอยู่กับพ่อเลี้ยงมา อาจเพราะสงสัย และยังไม่แน่ใจ หรือว่าเขาจะพบความจริงเข้าเมื่อไม่นานมานี้ จนทำให้อยู่บ้านเดียวกันไม่ได้แล้วหนีมาแบบนี้ แล้วชายหนุ่มจะย้ำทำไมว่า
     “แกอย่า พูดถึงเขาอีกนะ”
    
    ปุยฝ้ายจะบอกอดิสรณ์ก็ได้ว่า นทีถูกรถชน เพื่อที่ว่ารายนั้นจะได้มารับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล จะได้ไม่ต้องพึ่งคุณชายแบบนี้ ยิ่งคุณชาย ภาสกร หายไป สองวันแล้วแบบนี้ ปุยฝ้ายยิ่งกังวล หรือเพราะข่าวที่หล่อนให้สัมภาษณ์กับทางหนังสือพิมพ์จะทำให้ คุณชายภาสกรเดือดร้อน จนไม่ย้อนกลับมาช่วยหล่อนและเพื่อนอีก
    หล่อนคงบอกอดิสรณ์ไปตั้งแต่ก่อนวางสายแล้วว่าอะไรเป็นอะไร หากไม่นึกถึงคำพูดของเพื่อนหนุ่มที่โทรมาหาในคืนที่เขาถูกรถชนเข้าว่า     
     “... มีเรื่องนิดหน่อยน่ะ ถ้าพ่อเลี้ยงฉันโทรมาอีก อย่าบอกเขานะว่าฉันอยู่ไหน แต่ตอนนี้แกบอกฉันมาซิว่าจะไปแฟลตแกยังไง”
    “แล้วแกจะมาทำไมแฟลตฉัน กลับบ้านไปหาพ่อเลี้ยงโน่น”
    “ฝ้าย! ขอร้องอย่าพูดถึงเขา”

    
    เรื่องนิดหน่อยนี้ คือเรื่องอะไร หากมันเป็นเรื่องนิดหน่อยแค่ทะเลาะกันตามประสา พ่อเลี้ยง ลูกเลี้ยงละก็ ปุยฝ้ายจะไม่ลังเลเลย แต่ยิ่งหล่อนมีความคิดที่ว่าคุณอดิสรณ์มีส่วนในการตายของคุณน้านัยนา แม่ของนทีแล้ว หล่อนก็ยิ่งมั่นใจว่าจะไม่บอกอดิสรณ์ว่านทีอยู่ที่ไหนและเกิดอะไรขึ้นกับเขาเป็นอันขาด
     ถ้าพ่อเลี้ยงฉันโทรมาอีก อย่าบอกเขานะว่าฉันอยู่ไหน
    หากไม่ใช่เรื่อง คอขาดบาดตาย เพื่อนหนุ่มของหล่อนคงไม่พูดประโยคนี้ออกมาแน่ๆ ถ้าหล่อนโทรบอกพ่อเลี้ยงของนที ก็เท่ากับว่า หล่อนส่งนทีกลับไปหาคนที่เขาไม่อยากอยู่ด้วย
    ถึงหล่อนจะไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ตอนนี้ เอาแบบนี้ไปก่อนดีกว่า
    “ไอ้น้ำเอ๊ย ไม่น่าเป็นแกเลยจริงๆนะ”
    หญิงสาว เพิ่มเสียงในโทรทัศน์ให้กลับมาเป็นปกติ หลังจากต้องเบาเสียงไปตอนที่อดิสรณ์โทรเข้ามา หล่อนฝืนกินข้าวต้มจืดๆนั้นลงคอแม้มันจะไม่ ได้อร่อยอะไร ก็ดีกว่าที่หล่อนจะลงไปซื้อเอง ปุยฝ้ายไม่อาจละสายตาจากเพื่อนหนุ่มไปได้สักนาที หากว่านทีเกิดมีอาการแทรกซ้อนอะไรขึ้นมา หล่อนจะได้สังเกตไว้ได้ตลอด เวลามีอะไรเกิดขึ้นจะได้แจ้งแพทย์ได้ทัน
    ด้วยเหตุนี้ ปุยฝ้ายจึงยังไม่ได้ไปไหนเลยตั้งแต่วันที่นทีเข้าโรงพยาบาลวันแรก เสื้อผ้าที่หล่อนใส่เป็นเสื้อของโรงพยาบาล เพราะไม่มีโอกาสได้ออกไปเอาเสื้อผ้ามาจากบ้าน หล่อนหวังเพียงอย่างเดียวว่า หม่อมราชวงศ์ ภาสกร จะแวะเข้ามาเยี่ยมเยียนเพื่อนของหล่อนบ้าง เพราะที่เพื่อนของหล่อนเป็นอย่างนี้ ...หล่อนไม่อยากจะย้ำ... แต่ก็เป็นเพราะภาสกรเอง
    จากวันแรกนั้น ภาสกรก็ไม่ได้เข้ามาเยี่ยมนทีอีกเลย จนวันนี้เป็นวันที่สามแล้ว ปุยฝ้ายก้มมองนาฬิกา ที่บอกว่าตอนนี้เป็นเวลา 10 โมงกว่าๆแล้ว หล่อนสงสัยว่าป่านนี้พวกคนรวยจะต้องตื่นกันหรือยังนะ ในเมื่อนอนกันบนกองเงินกองทองอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องขยัน รีบตื่นเช้ามาทำมาหากินเพื่อให้ได้เงินมาอีก
    ปุยฝ้าย รับโทรศัพท์ครั้งที่สองจากอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย หล่อนไม่โผล่ไปเรียนพร้อมๆกับนทีมา 3 วันแล้ว ทั้งๆที่ช่วงนี้ก็ใกล้ช่วงสอบเต็มที ปุยฝ้ายบอกอาจารย์ว่านทีเข้าโรงพยาบาลแต่ก็ไม่อยากทำให้อะไรๆมันใหญ่โตมากนัก หล่อนไม่อยากให้มีใครมาเยี่ยมถ้าเผื่อ คุณชายอยู่ในห้องด้วย เรื่องราวมันจะไปกันใหญ่มากกว่าที่มันเป็นอยู่

    เสียงเคาะประตูดังขึ้น ตอนใกล้ๆเที่ยง
    ปุยฝ้ายคิดว่าจะต้องเป็นนางพยาบาลที่นำอาหารของญาติมาเสิร์ฟตามเวลา เป็นแน่ จึงเปิดประตูให้เข้ามาโดยไม่ได้มองลอดช่องตาแมวก่อน พอเห็นว่าเป็นคนที่หล่อนอยากให้มาก็ตกใจ เผลอร้องออกมา
    “คุณชาย”
    ภาสกร ยิ้มให้กับหญิงสาวอย่างเป็นมิตร
    ปุยฝ้ายไม่ได้คาดหวังที่จะเห็นคุณชายอยู่ในสภาพแบบนี้เท่าไรนัก กางเกงขาสั้นเผยให้เห็นน่องเรียวขาวสะอาด หากปกคลุมไปด้วยขนเส้นหนาดูสมชาย เสื้อยืดคอวีสีขาวบางแต่ดูสะอาดตา รับกันกับหุ่นที่แข็งแรงบ่งบอกว่าชายหนุ่มคนนี้ดูแลตัวเองเป็นอย่างดีมาตลอด รองเท้าผ้าใบสีขาว และหมวกยี่ห้อแพง ทำให้คุณชายดูเป็น “ผู้ชาย” ธรรมดา ไม่ใช่ “คุณชาย”ที่หยาดฟ้ามาดินอย่างที่หล่อนคิดว่าเขาเป็น
    คุณชายที่มักจะอยู่ในชุดสูท หรือ อย่างแย่หน่อยก็เสื้อเชิ้ตสีสุภาพราคาหลายพัน กางเกงแสลค และ รองเท้าหนัง ว่าดูดีแล้ว พอมาอยู่ในชุดลำลองแบบสบายๆอย่างนี้บ้างก็ดูดีไปอีกแบบ
    ภาสกรถือกระเช้าผลไม้ และของบำรุงในมือขวามาวางไว้ที่โต๊ะข้างๆ เตียงคนไข้ พลางพิศมองเด็กหนุ่มที่นอนหลับตาพริ้มอย่างไร้ความรู้สึกบนเตียงด้วยความเอ็นดู
    ใบหน้าที่ไม่โชกเลือดของนที ดูดีกว่าที่เขาคิดไว้ เด็กหนุ่มดูใสสะอาดราวกับเด็กน้อย หากพิจารณาเพียงดวงหน้าอย่างเดียวแล้ว ภาสกร คงเผลอเชื่อไปแน่ๆว่าคนที่นอนอยู่ตรงหน้าเป็นเด็กสาว ไม่ใช่ชายหนุ่มอย่างที่ร่างกายของเขาเป็น หน้ารูปไข่เป็นสีขาวนวลราวกับงาช้าง คิ้วเข้มที่ไม่เป็นรูปร่างนักช่วยทำให้ใบหน้าของนทีดูเป็นผู้ชายขึ้นมาได้บ้าง ดวงตากลมเล็กหลับพริ้มอยู่ใต้คิ้วเข้มนั้น เห็นขนตายาวงอนเป็นแผงจมูกโด่งยาวแม้ไม่เป็นสันแบบฝรั่งแต่ก็ดูสวยรับกันกับริมฝีปากบางได้รูปเหนือคางเรียวเล็ก
    ภาสกรอดนึกไม่ได้ว่า หากเด็กหนุ่มคนนี้ยิ้มให้กับเขาแทนที่จะนอนนิ่งราวกับรูปสลักแบบนี้ นายนที คงดูมีเสน่ห์กว่านี้มากนัก คุณชายวางถุงกับข้าวในมือซ้ายลงบนโต๊ะรับแขกแล้วหันมาพูดกับปุยฝ้ายที่เผลอมองเพื่อนหนุ่มด้วยดวงตาที่รื้นไปด้วยน้ำตา
    “ผมคิดว่าคุณฝ้ายคงยังไม่ได้ทานข้าวกลางวัน พอดีผ่านร้านก๋วยเตี๋ยวร้านหนึ่งก่อนถึงโรงพยาบาล จำได้ว่ามีคนบอกว่าอร่อย ก็เลยซื้อมาฝากครับ” คุณชายหนุ่มดึงถ้วยพลาสติกที่แวะซื้อมาด้วยลงบนโต๊ะก่อนจะลงมือแกะก๋วยเตี๋ยวไก่ให้หญิงสาว
    “ว้าย คุณชาย มาค่ะฝ้ายทำเอง ฝ้ายเกรงใจ”
    “ไม่ได้ซีครับ ผมเป็นผู้ชาย แล้วก็ซื้อมาฝากคุณฝ้ายด้วย ถ้าคุณฝ้ายไม่ให้ผมแกะให้ ผมไม่ให้ทานจริงๆนะ” ภาสกรหยอกแบบทีเล่นทีจริง ทำให้หญิงสาวไม่สามารถปฏิเสธได้ ทำได้เพียงนั่งมองชายหนุ่มเทก๋วยเตี๋ยวลงชาม แล้วยื่นให้หล่อนพร้อมกับตะเกียบ และช้อนให้อย่างเป็นกันเอง
    “อาการคุณนทีเป็นอย่างไรบ้างครับ”
    “ก็เป็นอย่างนี้ตั้งแต่วันแรกจนย้ายจากไอซียูมาอยู่ห้องนี้ตามคำสั่งของคุณชายนั่นแหละค่ะ ยังนิ่งยังเงียบ ไม่ขยับ แล้วก็ยังไม่ฟื้นเลยด้วย”
    ชายหนุ่มฝากนายแพทย์มิ่งเมืองสหายของท่านชายเรืองเดชไว้ว่า ถ้าย้ายนทีออกจากไอซียูแล้วให้มาพักที่ห้องเดอลุกซ์เท่านั้น เมื่อรับรู้ว่าได้รับการปฏิบัติไปตามที่เขาขอไว้ทั้งหมด ก็พยักหน้าอย่างพอใจ
    “ต้องขอโทษคุณฝ้ายด้วยนะครับที่ไม่ได้มาเยี่ยมคุณนทีเลย คุณฝ้ายต้องอยู่คนเดียว เหงาแย่”
    “อุ๊ย ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะคุณชาย แค่นี้ ก็กรุณาฝ้าย และไอ้น้ำมามากแล้วล่ะค่ะ”
    “พอดีสองวันมานี้ที่ตำหนักมีแขกของหม่อมแม่น่ะครับ ก็เลยต้องดูแลเสียหน่อยไม่ให้น่าเกลียด” แขกที่ว่าคือทิฆัมพร ที่นอกจากจะหลอกให้เขาพาไปทานกลางวันแพงๆ ดูหนัง และ ซื้อของจนเบื่อไปวันหนึ่งแล้ว ก็หาเรื่องชวนหม่อมแม่ และลากภาสกร ไปดูเพชรในงานที่เมืองทองธานีอีกวันหนึ่งด้วย หากวันนี้ภาสกรไม่รีบหนีออกมาจากวังเสียแต่เช้าแบบนี้ มีหวังต้องถูกทิฆัมพร ลากไปโน่นไปนี่อีกจนได้  
    “อ้อ ฝ้ายต้องขอโทษคุณชายเรื่องข่าวในหนังสือพิมพ์ด้วยนะคะ”
    ภาสกร พยายามรักษาสีหน้าไว้ไม่ให้เปลี่ยน เพราะเขาก็นึกเคืองหญิงสาวอยู่ไม่น้อยที่ให้ข่าวไปอย่างนั้น
    “ฝ้ายต้องทำอย่างนั้น เพราะมีนักข่าวเข้ามาที่ โรงพยาบาล หลังจากที่คุณชายออกไปได้นิดเดียว ฝ้ายว่าคนในโรงพยาบาลนี่แหละค่ะโทรไปบอก เพราะนักข่าวรู้ว่า ไอ้น้ำ อยู่ที่ห้องฉุกเฉิน แล้วยังรู้เรื่องที่คุณชายบริจาคเลือดให้ไอ้น้ำด้วย  ฝ้ายเห็นนางพยาบาลคนหนึ่ง กำลังจะเดินไปให้ข่าวแล้วก็กลัวว่าเขาจะพูดอะไรให้เข้าใจผิดกันก็เลยต้องรีบแย่งซีนพูดเสียก่อน กลัวคุณชายจะเสีย ถ้าคุณชายต้องเดือดร้อนเพราะเรื่องนี้ฝ้ายต้องขอโทษด้วยนะคะ”
    ภาสกรยิ้มเบาๆ
    “ผมว่าคุณฝ้ายไม่มีอะไรที่ต้องขอโทษผมหรอกครับ เพราะแทนที่ผมจะถูกตำหนิกลับมีแต่คนโทรศัพท์มาชมให้หม่อมแม่ฟัง ท่านก็เลยไม่ได้ว่าอะไรนัก”
    “ไม่มีใครตำหนิคุณชายหรอกค่ะ ที่คุณชายทำเนี่ย มันเป็นสิ่งที่คนควรจะชื่นชมอยู่แล้วละค่ะ คุณชายอย่าลืมนะคะว่า คนเราทำผิดกันได้ทุกคน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ยอมรับความผิด แล้วพยายามแก้ไขให้มันถูกอย่างคุณชายนี่คะ จริงไหมคะ” หญิงสาวอยากเอื้อมมือไปแต่มือคุณชายเบาๆ เพื่อปลอบให้สบายใจ แต่ก็ไม่สามารถบังอาจได้ขนาดนั้น

    ภาสกร ยังคงเงียบไปพักใหญ่ๆ สายตายังจับจ้องอยู่ที่ชายหนุ่มที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงข้างๆ
    “คุณหมอบอกไว้บ้างไหมครับว่า คุณนทีจะฟื้นเมื่อไหร่”
    ปุยฝ้ายกลืนก๋วยเตี๋ยวในปากลงคอ ก่อนจะตอบอย่างเศร้าๆ    
    “คุณหมอประเมินไว้ว่าอีกสองสามวันค่ะ แต่นี่เดี๋ยวบ่ายๆ คุณหมอก็จะเข้ามาตรวจอาการของวันนี้แล้วล่ะค่ะ”
    “เรื่องนี้ผมทราบแล้วครับ จริงๆ ก็กะว่าจะมาเพราะเรื่องนี้ด้วย ถ้าหากรักษาที่พัทยาไม่ไหว ผมก็จะขอให้ย้ายไปรักษาต่อในกรุงเทพ เพราะคุณหมอมิ่งเมืองที่ผมขอร้องให้ช่วยรักษาคุณนที ก็เป็นสหายของท่านพ่อ ต้องไปมาหาสู่เป็นที่ปรึกษา โรงพยาบาลโน้น โรงพยาบาลนี้ที่กรุงเทพอยู่แล้วไปรักษากันต่อที่อื่นก็ได้ อย่างวันนี้ก็ต้องไปวินิจฉัยอาการของท่านพ่อ หลังจากตรวจอาการคุณนทีเสร็จ ถ้าย้ายไปรักษาที่กรุงเทพบางทีอาจจะเป็นผลดีต่อคุณนทีมากกว่านะครับ”
    หลังจากที่ปุยฝ้ายกินก๋วยเตี๋ยวที่คุณชายซื้อมาฝากเสร็จเรียบร้อยแล้ว หล่อนก็ยกชามก๋วยเตี๋ยวไปไว้ในอ่างล้างจานที่บาร์ก่อนจะจะย้ายมานั่งที่โซฟารับแขกชุดเดิม
    ภาสกรพยายามสร้างบรรยากาศให้อบอุ่นเป็นกันเองโดยขอให้ปุยฝ้ายเล่าเรื่องของหล่อนเพื่อให้ได้รู้จักหญิงสาวมากขึ้นกว่านี้ ปุยฝ้ายซึ่งเป็นคนอัธยาศัยดีและช่างพูดอยู่แล้วก็ทำให้บรรยากาศของห้องพักผู้ป่วยในห้องนี้ มีแต่เสียงเจื้อยแจ้วของหล่อน และเสียงหัวเราะของภาสกรเป็นระยะๆ
    จากการพูดคุยกันนั้นได้ความว่า นางสาวปุยฝ้ายเป็นคนพัทยาโดยกำเนิด เรียนโรงเรียนในตัวพัทยามาตลอดกระทั่งสอบเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยบูรพา จึงทำให้ต้องไปๆมาๆ ระหว่างมหาวิทยาลัยที่อยู่แถวบางแสน และเมืองพัทยาที่เป็นบ้านเกิดของหล่อนตลอด ไม่นานหล่อนก็ตัดสินใจออกจากบ้านมาอยู่แฟลตเล็กๆ ใกล้กับทางไปมหาวิทยาลัย ปุยฝ้ายเรียนสายภาษามาแต่เด็กเพราะไม่ชำนาญด้านการคำนวณ หล่อนเป็นคนพูดเก่ง และมักจะหาเรื่องมาพูดได้ตลอดเวลา จึงตัดสินใจเรียน ภาควิชานิเทศศาสตร์คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ หล่อนพบกับนทีที่นั่นเป็นครั้งแรก
    หล่อนกับเขานั่งเลกเชอร์ติดกันในวิชาภาษาอังกฤษ ที่เป็นวิชาบังคับของคณะในปีที่หนึ่ง ด้วยความที่หล่อนเป็นคนเก่งภาษาอังกฤษ เพราะสนใจและพยายามฝึกพูดกับชาวต่างชาติในพัทยาบ่อยๆ จึงกลายเป็นคนที่ช่วยติวให้กับนที และทั้งคู่ก็บังเอิญพบกันบนรถระหว่างการเดินทางจากพัทยามามหาวิทยาลัยบ่อยครั้ง จึงยิ่งทำให้ทั้งคู่สนิทกันเร็วมากขึ้น
    มาถึงตอนนี้ ปุยฝ้ายก็เริ่มพูดเรื่องนที
    
    นาย นที เป็นที่รู้จักของใครหลายๆคนด้วยความที่น่าตาดี และ มนุษยสัมพันธ์ดีสามารถคุยได้กับทุกคน ทั้งอาจารย์ เพื่อนร่วมคณะ เพื่อนต่างคณะ หรือแม้แต่ป้าแม่บ้าน มีผู้หญิงมาจีบนทีอยู่มากมาย แต่เขาก็ไม่มีทีท่าสนใจใครมากเป็นพิเศษ ปุยฝ้ายเกือบจะพูดอะไรออกมา แต่ก็หยุดไว้แค่นั้น แล้วเปลี่ยนเรื่องไปเป็นเรื่องที่นที เรียนสาขาวารสารศาตร์ ส่วนหล่อนเรียนสาขาการประชาสัมพันธ์ ทั้งคู่จึงพบกันเฉพาะเวลาเรียนวิชาบังคับและจะเจอกันอีกทีก็ช่วงที่ว่างตรงกันไม่ก็หลังเลิกเรียนเวลากลับพัทยาด้วยกันเท่านั้น
    นทีไม่อยู่หอใกล้ๆมหาวิทยาลัยเพราะติดแม่ แม่ของนทีไม่ทำงาน เพราะเป็นคนขี้โรคสามวันดีสี่วันไข้ ป่วยกระเสาะกระแสะตลอด ส่วนพ่อของนที ก็ทำงานเป็นไกด์พาชาวต่างชาติเที่ยวพัทยาไม่ค่อยได้อยู่บ้านดูแลภรรยานัก นทีจึงไม่สามารถแยกตัวออกจากแม่มาอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยได้ แต่นั่นก็เป็นเพียงเรื่องเดียวเกี่ยวกับครอบครัวของนทีที่หล่อนรู้เพราะชายหนุ่มไม่เคยเปิดปากบอกอะไรมากกว่านั้น ปุยฝ้ายเองด้วยความที่อยู่พัทยามาจนชิน จึงไม่อยากย้ายไปไหน แม้ต้องเดินทางไปกลับนานๆ หล่อนก็ไม่ใส่ใจ ตราบใดที่มีนทีนั่งไปข้างๆ

**********************************************************************

ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดนะครับ สำหรับใครที่รอว่าเมื่อไหร่นทีจะฟื้น แหะๆ ต้องแจ้งว่าคงเป็นอาทิตย์หน้าครับผม มีเรื่องเกี่ยวกับ ภาสกร และปุยฝ้ายที่ต้องเปิดเผยอีก ในฐานะที่ทั้งสองคนนี้ก็เป็นตัวละครสำคัญฉะนั้นผมจึงต้องเสียเวลาปูเรื่องเกี่ยวกับสองคนนี้ก่อน
อย่าเพิ่งเบื่อกันนะคร้าบบบ

ปล. ผมฝากทางสามสายด้วยนะคับ :)
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 4 - 28/02/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: kazhiki ที่ 28-02-2011 21:24:54
รออ่านนะคะ ขอบคุณมาก
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 4 - 28/02/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: Little Devil ที่ 28-02-2011 21:25:27
ลุ้นกันต่อไป
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 4 - 28/02/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 28-02-2011 21:44:00
บวกให้ค่า
อยากให้นทีฟื้นมาเจอคุณชายไวๆ ^^
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 4 - 28/02/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 28-02-2011 21:47:37
รอนทีฟื้น ค่ะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 4 - 28/02/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: i-love-you ที่ 28-02-2011 22:19:04
ฟื้นเร็วๆๆนะจร๊ นที  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 4 - 28/02/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 01-03-2011 02:25:24
รอได้จ้า
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 4 - 28/02/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: naja-kitase ที่ 01-03-2011 02:34:04
แวะมาเป็นกำลังให้จ้า
ทั้งนที แล้วก็คุณฟ้าม่วงเลยนะคะ


นทีฟื้นเร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 4 - 28/02/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: lovevva ที่ 01-03-2011 03:29:10
 :monkeysad:รอนทีฟื้นค่ะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 4 - 28/02/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 01-03-2011 07:33:20
แล้ว จะเป็นอย่างไรต่ออะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 4 - 28/02/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 01-03-2011 09:49:45
รอๆ
ระหว่างรอขอหิ้วคุณชายกับบ้านละกัน~
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 4 - 28/02/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: namngern ที่ 01-03-2011 11:02:15
มารอคะ ^^
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 4 - 28/02/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 01-03-2011 12:26:07
น่าติดตามมากค่ะ เรื่องนี้
แบบตัวเอกมีปม แล้วต้องค่อยๆแก้ไปทีละเรื่อง เป็นพล็อตแบบที่ชอบเลยค่ะ

แถมคุณชายท่านก็น่ารักเหลือเกิน อิอิ

เชียร์คู่ใหม่ นที-คุณชาย

รอนะคะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 4 - 28/02/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: nuewanda ที่ 01-03-2011 22:56:32
อยากให้ถึงอาทิตย์หน้าไวๆ
นทีจะได้ฟื้น
ฮ่าๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 4 - 28/02/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: pp_song ที่ 02-03-2011 14:58:12
รอๆๆ วันที่น้ำจะฟื้น

 :call:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 4 - 28/02/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 03-03-2011 21:24:14
5


     “นทีเป็นคนพูดเก่ง แล้วก็คุยสนุก เราคุยกันได้ทุกเรื่องตั้งแต่เรื่องหนัง ละคร หรือนิยาย นทีชอบเรื่องแบบนี้มาก เขาอยากทำงานนิตยสาร อยากเขียนเรื่องส่งตามสำนักพิมพ์ต่างๆ ฝ้ายยังมีเรื่องสั้นที่นทีเขียนอยู่ที่แฟลตเลยค่ะ” หล่อนว่าเสียงใสไปเรื่อยๆ ภาสกร ไม่เบื่อแม้นิดเดียวเวลาฟังหล่อนเล่าเรื่องอะไรต่างๆ “ส่วนฝ้ายชอบวรรณคดีอังกฤษ ถึงฝ้ายจะไม่เก่งอังกฤษมากก็อาศัยอ่านตรงไหนไม่ออกก็ถามฝรั่งแถวบ้าน ฝ้ายเคยมีแฟนเป็นฝรั่งด้วยนะคะ”
    นางสาวปุยฝ้ายชอบเรื่องของเชคสเปียร์ หล่อนชอบภาษาเก่าๆที่เขาใช้ และมักจะเอามาเล่าให้นทีฟังเสมอ ทั้งเรื่อง โรมิโอ กับจูเลียต แฮมเล็ต แมคเบธ  หล่อนพยายามบังคับให้นทีอ่านเรื่องพวกนี้ แต่ก็ไม่เคยสำเร็จ เพราะความที่อีกฝ่ายไม่ถนัดภาษาอังกฤษเลย
    “ถึงจะไม่ค่อยเก่ง แต่รายนั้นความจำแม่นค่ะ ฝ้ายเล่าอะไรเป็นจำได้หมด แถมออกเสียงคล้ายฝรั่งทีเดียว นทีชอบโรมิโอกับจูเลียต และเขามักจะจำ ข้อความต่างๆได้เช่น เวลาที่พวกเพื่อนๆเรียกชื่อเขา เป็น นะ บ้าง ที บ้าง น้ำ บ้าง เขาก็จะยักไหล่แล้วก็จะบอกว่า เรียกอะไรก็ช่างเถอะ What's in a name? That which we call a rose by any other name would smell as sweet”
    ภาสกรยิ้ม
     “นามนั้นสำคัญไฉน? ที่เราเรียกกุหลาบนั้น
     แม้เรียกว่าอย่างอื่นก็หอมรื่นอยู่เหมือนกัน...”
    “คุณชายชอบเรื่องพวกนี้ด้วยหรือคะ”
    “ผมเคยเรียนงานของเชคสเปียร์ ที่อังกฤษครับ อ่านจนไม่อยากจะอ่านอีก ทั้งต้นฉบับเดิม ทั้งบทพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้ารัชกาลที่ 6” เขายิ้มให้กับปุยฝ้าย “แต่ก็ชอบอยู่หลายเรื่องครับ ที่ชอบมากคือ โคลง ซอนเน็ต มันให้ข้อคิดเรื่องความรัก ความตาย ชีวิต อะไรพวกนี้ดีครับ”
    ภาสกรไม่รู้ว่าหญิงสาวผิวคล้ำตรงหน้าคิดอะไรอยู่ แต่หล่อนหันไปมองเพื่อนหนุ่มด้วยดวงตาที่รื้นไปด้วยน้ำตาแห่งความคิดถึง ห่วงใย และ อาวรณ์
    “ฝ้ายไม่อยากให้นทีเป็นอะไร มันเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฝ้าย อยากให้มันฟื้นเร็วๆ อยากให้มันลุกขึ้นมาคุยมาหัวเราะ มายิ้มให้ฝ้ายเหมือนเดิม”
    “ผมขอโทษครับ” ชายหนุ่มก้มหน้านิ่งด้วยรู้ดีว่าทั้งหมดทั้งสิ้นนี้เป็นความผิดของเขาเอง ด้วยความประมาทเพียงเล็กน้อยเขาทำให้คนอื่นมากมายต้องเดือดร้อนไปด้วย
   แล้วความเงียบก็กลับมาปกคลุมบรรยากาศของห้องอีกครั้ง

    ประมาณบ่ายโมงเศษๆ นายแพทย์มิ่งเมืองก็เข้ามาในห้อง เพื่อตรวจอาการของชายหนุ่ม
    นายแพทย์มิ่งเมืองผู้นี้อายุ ห้าสิบกว่าแล้ว หากยังดูไม่แก่เท่าความเป็นจริงเท่าไร เนื่องจากเป็นคนที่เข้มงวดเรื่องของสุขภาพมาก และดูแลสุขภาพของตนเป็นอย่างดีมาโดยตลอด ทำให้นายแพทย์หนุ่มใหญ่ดูสูงโปร่ง ร่างกายที่เคยกำยำแม้เปลี่ยนสภาพไปมากแล้ว ก็ยังทิ้งโครงร่างที่ดูแข็งแรงไว้ให้เห็น มิ่งเมืองเป็นรุ่นน้องของท่านชายเรืองเดชกว่าห้าปี กระนั้นก็เป็นคนที่ท่านชายทรงสนิทชิดเชื้อและวางหทัยให้รักษาคนในบ้านทุกคนรวมถึงท่านชายเองด้วย
    เสื้อกาวน์สีขาว สวมทับเชื้อเชิ้ตสีฟ้า และกางเกงแสลคสีเข้มที่ตัดมาอย่างประณีต ใบหน้าที่สูงวัยแต่ร่าเริงและกระฉับกระเฉงก้มลง รับไหว้ภาสกรแต่ก็ยื่นมือมาเชคแฮนด์แบบฝรั่งอีกทีหลังจากนั้น
    “คุณชายมานานหรือยังครับ”
    “เพิ่งมาไม่ถึงชั่วโมงครับ อาหมอ” เขาเรียกมิ่งเมืองแบบนี้มาตั้งแต่เล็กๆ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ก็ยังเรียกอยู่ แม้จะเคยลองเปลี่ยนไปเรียกว่า คุณหมอมิ่งเมืองบ้าง แต่เจ้าตัวก็ไม่ยอมเพราะ
    “ยังไงคุณชาย ก็คือคุณชายที่ผมจับฉีดยา ร้องไห้มาแล้วหลายครั้งอยู่ดี”
    “อามีเคสผ่าตัดเข้ามากระทันหัน ไม่อย่างนั้นคงมาดูแลอาการของเด็กคนนี้ตั้งแต่เที่ยงแล้ว หวังว่าคุณชายจะไม่ว่าอะไรนะครับ”
    “ว่าไม่ได้ครับอา ผมรู้ว่าอางานยุ่ง เท่านี้ก็เป็นภาระมากพอแล้วครับ”
    “งานให้ชีวิตคนน่ะ เรียกว่าภาระไม่ได้หรอก” เขาขยิบตาขวาให้ ท่านี้เป็นท่าประจำของนายแพทย์มิ่งเมือง เวลาพูดอะไรเด็ดๆ ออกมา
    “สวัสดีค่ะ คุณหมอ”
    “สวัสดีครับ” นายแพทย์รับไหว้ปุยฝ้าย แล้วซักถามอย่างที่คาดหวังว่าหล่อนได้เฝ้าอาการของเด็กหนุ่มไว้ได้ดีพอสมควร “คนไข้มีอาการเพ้อ หรือกระตุก บ้างไหมครับ”
    “เท่าที่หนูดูอยู่ก็ไม่มีเลยค่ะ ยังคงหลับสนิทแบบนี้มาทั้งวันละค่ะ นอกจากตอนกลางคืนที่หนูหลับเท่านั้นเอง ที่ไม่ทราบว่ามีอาการอะไรหรือเปล่า”
    นายแพทย์พยักหน้า พลางหยิบหูฟังขึ้นมาฟังจังหวะการเต้นของหัวใจ วัดชีพจร และดูการทำงานของกล้ามเนื้อเท่าที่เขาจะสามารถทำได้ ก็หันมาบอก ภาสกร และ ปุยฝ้าย รวมไปถึงนางพยาบาลที่จดอาการตามที่หล่อนได้ยิน
    “ชีพจรคงที่ ไม่มีอะไรผิดปกติ การทำงานของคลื่นสมองปกติ เท่าที่ยังหลับอยู่นี้คงเพราะฤทธิ์ยาสลบที่คนไข้ยังไม่ชิน รวมไปถึงอาการเหนื่อยอ่อนจากบาดแผล และการเสียเลือดเท่านั้น หมอคาดว่าอีกสองถึงสามวันน่าจะฟื้นแล้ว ถึงตอนนั้นเราค่อยทำแบบทดสอบทางจิตวิทยาและแสกนสมองอีกครั้งว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่อีกที” เขายิ้ม “คุณชายและคุณฝ้ายวางใจได้ครับ คุณนทีเพื่อนของคุณจะต้องกลับมาเป็นปกติเร็วๆนี้ละครับ”
    ปุยฝ้าย ยิ้มให้ภาสกรอย่างโล่งอก
    “ถ้าอย่างนั้น หมอขอตัวนะครับ คุณชายภาส หมอมีนัดกับ หม่อมเจ้าเรืองเดช” มิ่งเมืองว่า พลางขยิบตาอีกครั้ง
    “เดี๋ยวผมไปส่งครับ” ภาสกรวิ่งตามนายแพทย์ไป “ผมกะจะกลับบ้านอยู่แล้วครับ ถ้าอาหมอจะกลับมาที่นี่อีกก็ให้ผมไปส่งแล้วกลับมาด้วยกันเถอะครับ”
    มิ่งเมืองรู้ทันว่าชายหนุ่มมีเรื่องจะคุณกับเขาระหว่างทางกลับบ้านเท่านั้น
    “ได้ซี อาแก่แล้วขับรถทีไรปวดเมื่อยไปหมด คุณชายไปส่งอาก็ดี”
   “ถ้าอย่างนั้นผมขอลาคุณฝ้ายแล้วจะตามไปนะครับ”
    “อาจะรอที่ร้านกาแฟ หน้าตึกก็แล้วกัน” นายแพทย์วัยห้าสิบเศษ เดินไปขึ้นลิฟต์ ส่วนภาสกรก็กลับเข้ามาในห้อง ปิดประตูเรียบร้อยแล้วก็ลาหญิงสาว
    “ผมขอกลับบ้านไปเก็บเสื้อผ้ามาอยู่เฝ้าคุณนทีนะครับ ผลัดกัน คุณฝ้ายจะได้ไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก็ จะได้ไปเรียนด้วย ตอนกลางวันให้ผมอยู่เฝ้าแทนน่าจะดีกว่า” ภาสกรไม่รอให้หญิงสาวโต้แย้ง “ผมไปก่อนนะครับ”
    ภาสกรยิ้ม แล้วปิดประตูห้องลงลิฟต์ตาม “อาหมอ” ของเขาไป

    ภาสกรขับรถออกมาจากโรงพยาบาลได้พักหนึ่ง ก็ตัดสินใจพูดขึ้นกับนายแพทย์มิ่งเมือง
    “อาหมอครับ”
    “ว่าอย่างไร คุณชาย”
    “ผมขอร้องอาหมอเรื่องหนึ่งได้ไหมครับ” ภาสกรมองหน้าอาหมอของเขาขณะที่รถยังคงติดไฟแดงอยู่ พอเห็นว่ามิ่งเมืองทำหน้าประหลาดใจ และไม่เข้าใจคำพูดของเขา ภาสกรก็พูดต่อไป “หม่อมแม่ไม่เห็นด้วยที่ผมดูแลรับผิดชอบเด็กคนนั้นครับ ท่านจะต้องไม่พอใจมากที่ผมมาเยี่ยมเขาโดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้ผมหนีหม่อมแม่ และ คุณทิฆัมพรมาตั้งแต่เช้า”
    “ทิฆัมพร ลูกคุณสุชาดา ที่หม่อมแม่ของคุณชายหมายมั่นจะให้แต่งงานด้วยนั่นน่ะหรือ”
    “ครับ ทิฆัมพรพยายามทุกวิถีทางที่จะให้ผม ยุ่งอยู่ทั้งวันให้ได้ ผมเลยไม่ได้มาเยี่ยมนทีตั้งแต่เมื่อสองวันมาแล้วน่ะครับ”
    “แล้วยังไง คุณชายจะไม่ให้อาบอกหม่อมวิไลวรรณ และ ท่านชายใช่ไหม” นายแพทย์พุ่งเข้าสู่ประเด็นอย่างที่ภาสกรไม่ทันตั้งตัว
    “โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านพ่อนะครับอาหมอห้ามบอกท่านพ่อเด็ดขาดเลยนะครับ” นทีว่า พลางขับรถออกจากโรงพยาบาลห่างออกมาเรื่อยๆ
    “เอาเป็นว่า อาจะพยายามเลี่ยงก็แล้วกัน”
    “ถ้าหม่อมแม่ถาม อาหมอช่วยบอกว่านัดผมมาเจอเพราะคิดถึง หรืออะไรทำนองนี้ได้ไหมครับ”
    นายแพทย์มิ่งเมืองยิ้ม
    “คุณชายก็รู้ ว่าหม่อมวิไลวรรณคงไม่เชื่อหรอกว่าอาจะคิดถึงคุณชายแล้วเรียกมาคุย เอาเป็นว่า อาจะบอกว่าคุณชายมาทำธุระ พอดีอาเจอในเมือง ก็เลยนัดมาจิบกาแฟ พูดคุย ทำนองนี้ฟังขึ้นกว่านะ”
    ภาสกรพยักหน้า
    “แต่อาไม่แก้ตัวให้ฟรีๆหรอกนะ คุณชาย” นายแพทย์มิ่งเมืองวางสีหน้าตึงเครียด แบบที่มักจะเป็นเวลารู้ว่าภาสกรไม่ดูแลตัวเองแล้วปล่อยให้เป็นไข้ อย่างเมื่อตอนเด็กๆ “คุณชายต้องบอกอา ว่าคุณชายรู้จักเด็กคนนี้ได้อย่างไรแล้วพาเขามารักษาตัวแถมจ่ายให้ทุกขั้นตอนอย่างนี้เพราะอะไร”
    ชายหนุ่มลังเล ยังไม่ตอบในทันทีพอเลี้ยวเข้าถนนสุขุมวิท บริเวณที่เขาขับชน นที ภาสกรก็ตัดสินใจตอบ
    “ผมขับรถชนเขาครับอา” ทีนี้ เป็นฝ่ายมิ่งเมืองบ้างที่นั่งเงียบไปเสียเฉยๆ “ผมเลยตั้งใจจะรับผิดชอบทุกอย่าง”
    “อย่างนั้นก็ดีละ” เขาเอ่ยขึ้นในที่สุด “อาถือว่า คุณชายทำถูกที่ตั้งใจรับผิดชอบ อย่างไรก็ตาม ถ้าเด็กคนนี้หายดีก็ว่าไป หากเขาเป็นอะไรขึ้นมาคุณชายคิดว่าจะรับมืออย่างไร หืม คุณชายจะบอกพ่อแม่ ญาติพี่น้องของเขาไหม”
    “ผม… ผมจะบอกแต่ทีแรกแล้วครับ แต่นายนทีเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีใคร มีแต่ปุยฝ้ายที่เป็นเพื่อนสนิทเท่านั้นที่นับว่าเป็นญาติได้ครับคุณอา ผมไม่รู้จะทำอย่างไร ...ผมเลยตัดสินใจรับผิดชอบเรื่องนี้เอง”
    มิ่งเมืองนั่งเงียบไปสักพัก
    “อย่างนี้แหละคุณชาย ชีวิตคนเราต้องมีขึ้นมีลง คุณชายสบายมาทั้งชีวิต ได้ลองลำบากดูบ้างจะได้ไม่เสียเปรียบคนที่เขารู้จักทั้งทุกข์และสุข”
    ภาสกรยิ้ม ความลำบากฝากเนื้อฝากตัวอยู่กับเขาตั้งแต่วินาทีที่เข้าก้มลง พิมพ์ตอบเพื่อนในโทรศัพท์แบล็กเบอร์รี่แค่คำว่า
    “จะกลับกรุงเทพแล้ว เจอกันนะโว้ย”
    เท่านั้นเอง ที่ทำให้เด็กหนุ่มที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยต้องมารับเคราะห์ขนาดนี้ เท่าที่ทำอยู่นี้ภาสกรคิดว่าเขายังรับผิดชอบได้ไม่เต็มที่เลยด้วยซ้ำ
     ทั้งคู่มาถึงวังผกากรองในไม่ถึงสองชั่วโมงถัดมา เวลานั้นเย็นมากแล้ว แต่ท้องฟ้ายังไม่เปลี่ยนสีไปเท่าใดนัก ภาสกรจอดรถที่หน้าตำหนัก แล้วอ้อมมาเปิดประตูให้กับนายแพทย์มิ่งเมือง คนขับรถที่ชื่อตาหนูวิ่งมารับรถไปจอดให้ ส่วนนมอุ่น และบรรดาสาวใช้ที่ยืนรอรับอยู่ ก็เดินเข้ามาทักทาย
    “สวัสดีค่ะคุณชาย คุณมิ่งเมือง คุณท่านรออยู่ห้องอังกฤษแล้วค่ะ อุ่นขออนุญาตให้แม่เผื่อนนำทางไปนะคะ อุ่นจะไปยกสำรับมาต้อนรับค่ะ” นมอุ่นยิ้มให้กับนายแพทย์ที่ตามแม่เผื่อน คนใช้ร่างใหญ่ไปยังห้องรับแขกที่ชื่อห้องอังกฤษ
    “คุณชายระวังตัวนะคะ หม่อมยังโกรธทีเดียวค่ะที่คุณชายหายหน้าไปไม่บอกกล่าว” หญิงชราส่งสายตาเห็นใจ แกมตำหนิมาให้
    ภาสกรยิ้มรับ ขอบใจแม่นมของตน แล้วออกเดินตาม อาหมอ ของเขาไปยังห้องอังกฤษ ซึ่งตกแต่งสไตล์วิคตอเรียนไว้สวยหรูเพื่อรับแขกที่สนิทชิดเชื้อกันโดยเฉพาะ พอชายหนุ่มเข้าไปในห้อง นายแพทย์มิ่งเมืองก็นั่งอยู่ที่ชุดรับแขกเรียบร้อยแล้ว บนโต๊ะมีชากุหลาบอย่างดีส่งกลิ่นหอมกรุ่นไปทั่ว วางเคียงคู่กับคุกกี้รสต่างๆที่หม่อมวิไลวรรณมักลงมือทำเองเพื่อมาต้อนรับแขก ภาสกรนั่งลงข้างๆ หม่อมแม่ ขณะที่จ้องมองท่านชายเรืองเดช ที่อยู่บนโซฟาตัวยาวสุดปลายอีกด้านเป็นนายแพทย์มิ่งเมืองที่ยังพูดอยู่ไม่จบประโยค
    “...กระหม่อมจึงชวนแกไปจิบกาแฟคุยกันตามประสาคนคุ้นเคยกระหม่อม.. อ้าวมาพอดี”
    ภาสกรยกมือไหว้บิดา มารดา ก่อนจะพิจารณาพักตร์ของ หม่อมเจ้าเรืองเดช ที่วรกายซูบผอมไปมาก เกศาสีดอกเลาขึ้นแซมสีดำที่ขึ้นบางอยู่แล้วเกือบทั่วเศียรทำให้ดูชราภาพมากกว่าที่ภาสกรเคยสังเกต ถ้าให้เลือกแล้ว ชายหนุ่มจะหลีกเลี่ยงท่านพ่อของเขาให้มากเท่าที่จะทำได้ ไม่ใช่เพราะเขาโกรธหรือเกลียดพ่อบังเกิดเกล้า แต่หากเพราะฐานันดรศักดิ์ของท่านชาย ทำให้เขาดูห่างเหินกับสมาชิกในครอบครัวมากเกินความจำเป็น ไหนจะความเข้มงวด ไหนจะราชาศัพท์อีก ภาสกรไม่เคยนึกอยากเจอพ่อของตนด้วยความรัก ความผูกพันเลย โดยมากจะเป็นไปตามหน้าที่หรือหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆเท่านั้น
    “ชายภาส มาก็ดี ระยะนี้ไม่ค่อยเห็นหน้าลูก เป็นอย่างไรบ้างหน้าที่การงานเป็นอย่างไร” น้ำเสียงที่รับสั่งนั้นไม่เหมือนกับที่พ่อคนอื่นใช้คุยกับลูก ท่านชายเรืองเดชมักทรงใช้เสียงที่มีอำนาจ เป็นการเป็นงาน เด็ดขาดและหนักแน่นกับทุกคนไม่เว้นแม้แต่ โอรส หรือ หม่อมของท่าน
    “ลูกสบายดีกระหม่อม หน้าที่การงานก็อยู่ในเกณฑ์ดีกระหม่อม ทางบังกลาเทศ มาเจรจาเรื่องพลอยแขกให้ขึ้นเรือนแบบฝรั่งอีกตามเคย ลูกเห็นว่าจะได้เงินมากอย่างแน่นอน ท่านพ่อมิต้องวิตกกังวลเลย กระหม่อม”
    “ดีแล้ว เห็นหม่อมแม่เราว่าช่วงนี้ยุ่ง คงเรื่องการงานใช่ไหม”
    “กระหม่อม”
    “ดีแล้ว เราเป็นถึงเจ้าถึงนายอย่าให้มีเรื่องไม่ดีอะไรเกิดขึ้นล่ะ”
    “กระหม่อม”
    “เอ้อ มิ่งเมือง” หม่อมเจ้าเรืองเดช หันไปรับสั่งกับนายแพทย์ ที่นั่งอยู่ที่โซฟารับแขกข้างๆ “ตรวจอาการฉันเถิด จะได้ไปกินข้าวกินปลากันเสียที เดินทางมาไกลคงจะหิวแล้ว”
    “กระหม่อม” นายแพทย์มิ่งเมืองลุกขึ้นไปใกล้ แล้วลงมือวินิจฉัยอาการของท่านชายเรืองเดช ไม่นานก็กล่าวกับท่านชายไปตามความเป็นจริง
    “ด้วยเรื่องที่ประชวรเป็นโรคหทัยนั้น ขณะนี้อัตราการเต้นของหทัยยังเป็นไปตามปกติกระหม่อม แต่สาเหตุที่ประชวรหนักอยู่ในขณะนี้เกิดจากอาการเหนื่อยจากการทรงงานหนักเท่านั้น กระหม่อมทราบมาว่า ฝ่าบาททรงงานหนักมากเรื่องเทศกาลอัญมณีที่ผ่านมา”
    “ฉันออกแบบเรือนแหวนทั้งหมด กะไว้ว่าคงเป็นงานสุดท้าย ก็อยากให้ออกมาดี ฉันเองก็แก่มากแล้ว คงทำงานหนักๆอย่างก่อนไม่ได้อีกเท่าที่ทำได้ตอนนี้ ก็ให้ชายภาสกรทำงานแทนไป”
    “ทำได้ดีเทียวกระหม่อม”
    “ฉันดีใจที่พอจะวางใจได้ ดลนภา ที่ช่วยทำอยู่ก็เก่งเพียงเรื่องธุรกิจ ไม่มีหัวด้านนี้เหมือนชาย คงได้แต่ฝากผีฝากไข้ใว้กับลูกคนนี้แล้ว” หม่อมเจ้าเรืองเดช แย้มโอษฐ์ให้กับเพื่อนรุ่นน้อง แล้วทอดเนตรเลยมาทางโอรสของท่าน “งานกับบังคลาเทศคราวนี้ พ่อยกให้ชายจัดการเต็มตัว จะไปอยู่ที่วังพัทยาก็ไป จะได้ไม่ต้องเดินทางไปกลับกรุงเทพ พัทยาทุกวัน”
   บริษัท รชตานันต์ อัญมณี ของท่านชายและหม่อมวิไลวรรณ มีสองสาขา สาขาหนึ่งอยู่ที่สุขุมวิท อีกสาขาอยู่ที่พัทยาเนื่องจากทางพัทยามีลูกค้าต่างชาติมากกว่า แถมท่านชายยังมีวังตากอากาศอยู่ที่พัทยาดังนั้นจึงไม่แปลกที่ภาสกรจะหาเรื่องบอกว่าไปอยู่วังที่พัทยา แล้วแอบไปเฝ้านทีได้ทุกวันทีนี้จะได้ไม่ต้องหาเรื่องมาอ้างหนีหม่อมแม่ และทิฆัมพรอีกทุกๆเช้า
    “ลูกว่า จะทูลขออนุญาตจากท่านพ่อพอดี กระหม่อม เนื่องจากลูกต้องทำทั้งงานออกแบบ และรับรองแขกแถมจะจัดแฟชั่นโชว์ร่วมกับคุณหญิง ดาริกา ที่พัทยาใต้ให้ทันซัมเมอร์นี้อีก ลูกเห็นว่าจะสมควรกว่าหากท่านพ่อประทานอนุญาตให้ลูกไปอยู่วังที่พัทยาจนกว่างานทางนั้นจะเสร็จกระหม่อม”
   “ไปเถิดพ่ออนุญาต” ท่านชายเรืองเดชรับสั่งตอบ แต่มิ่งเมืองที่นั่งอยู่ข้างๆรีบส่งสายตารู้ทันมาทางคุณชายเพียงแวบหนึ่ง แล้วทำท่าจะหันไปทูลเรื่องอาการประชวรของท่านชายต่อ ก็พอดีท่านชายรับสั่งขึ้นมาอีก “คุณหญิงคนนี้นี่ใครกัน นะพ่อลืมเสียแล้ว”
   “คุณหญิงดาริกา เป็นธิดาของ ท่านหญิงทิพวรรณ สุวรรณฉายกระหม่อม” ท่านหญิงคนนี้ หม่อมเจ้าเรืองเดชรู้จักดี จึงพยักพักตร์รับ มิได้รับสั่งถามอะไรอีก คุณชายจึงพูดต่อไป “ท่านหญิงทิพวรรณ ทรงเปิดห้องเสื้อ “ท่านหญิง” อยู่ที่พัทยาเหนือกระหม่อม ทีนี้พอคุณหญิง ดาริกาที่เป็นรุ่นลูกมารับช่วงต่อก็จะเปิดห้องเสื้อทำเป็นไลน์ใหม่สำหรับวัยที่เด็กกว่าห้องท่านหญิง ให้เป็นแบรนด์ “คุณหญิง” กระหม่อม พอดีเดือน เมษาฯนี้  คุณหญิงจะจัดแฟชั่นโชว์ ซัมเมอร์คอลเลกชั่น 2011 โดยจะใช้เครื่องประดับของเรากระหม่อม ลูกเห็นสมควรที่จะทำเครื่องประดับสำหรับวัยที่เด็กกว่ามานานแล้ว มางานนี้เห็นเป็นจังหวะเหมาะที่จะขยายตลาดจากหญิงวัยกลางคนไปสู่วัยรุ่น และวัยทำงานจึงรับปากไว้ก่อน มิได้ทูลขอประทานอนุญาต จากท่านพ่อกระหม่อม”
   “เอาเถิด พ่อไม่ขัดหรอก สายตาของคนรุ่นใหม่มันกว้างไกลกว่าสายตาคนแก่อย่างพ่ออยู่แล้ว ถือว่าดีแล้วที่เจ้ามองการณ์ไกลแบบนี้” ท่านชายรับสั่ง
    “เรื่องนี้ หนูฟ้ารู้หรือยังลูก ถ้าได้ไปเป็นนางแบบงานนี้ แม่ว่าหนูฟ้าคงจะดีใจแน่ๆ” หม่อมวิไลวรรณแทรกขึ้นมา
    “ยังครับ เรื่องนางแบบเป็นเรื่องทางคุณหญิงเขาจัดการชายมีหน้าที่ทำเครื่องประดับเท่านั้น” ภาสกรเห็นหม่อมแม่ของตนนั่งคิดอะไรอยู่ก็กลัวว่าหล่อนจะพูดอะไรออกมาอีกจึงรีบแทรกขึ้นเปลี่ยนเรื่องไปได้ทันพอดี “อาหมอ ว่าค้างไว้เรื่องอาการท่านพ่อ ว่าอย่างไรนะครับ”
     “อย่างที่ทูลไปแล้วกระหม่อม อาการโรคหทัยยังไม่น่าเป็นห่วง แต่ถ้าเป็นไปได้ กระหม่อมอยากให้ฝ่าบาท ประทับอยู่ที่วังผกากรองเฉยๆ อย่าเพิ่งไปทรงงานด้วย พระชนม์มากแล้ว จะประชวรง่ายกระหม่อม”
   ท่านชายพยักพักตร์อย่างเข้าใจ
    “ฝ่าบาทเสวยยาที่กระหม่อมถวายหมดแล้วหรือยังกระหม่อม”
    “ยัง พอทานต่อไปอีกสักสองสามสัปดาห์”
   “ถ้าอย่างนั้นฝ่าบาทเสวยยาที่มีอยู่ให้หมดเสียก่อนเถิดกระหม่อม หากหมดแล้วกระหม่อมจะสั่งยาถวายอีก ระหว่างนี้ขอให้ฝ่าบาทพักผ่อนอยู่แต่ที่วัง อย่าให้มีเรื่องรบกวนหทัย หรือต้องตึงเครียดเท่านั้น เป็นพอแล้วกระหม่อม” ประโยคสุดท้าย นายแพทย์ไม่ลืมที่จะส่งสายตาเตือนไปยัง ชายภาสกรผู้เป็นโอรส ทำนองว่า อย่าให้ท่านชายต้องมีเรื่องกวนหทัยเลย

***********************************************************************
เมื่อวานนี้เหมือนเว็บจะล่มหรือเปล่าครับ? เข้าไม่ได้เลยไม่ได้มาต่อ วันนี้ต่อให้แล้วอย่าเพิ่งทิ้งกันนะคร้าบบบ

ปล. พรุ่งนี้อัพ “ทางสามสาย” เพิ่มอย่าลืมตามไปให้กำลังใจอีกเรื่องนะค้าบบบบบบบบบบบบ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 5 - 03/03/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: Little Devil ที่ 03-03-2011 21:55:11
 o13
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 5 - 03/03/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 03-03-2011 22:26:51
เฮ่อ กลุ้มใจกับขวากหนามข้างหน้าที่รอนทีอยู๋ >.<
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 5 - 03/03/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 03-03-2011 22:34:09
ยังไม่เหนแสงสว่างเลยแฮะ ^ ^"
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 5 - 03/03/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 03-03-2011 22:41:08
สงสัยต้องรอคณซายมาจมพิตหละมั้งเนี้ยน้ำภงึจะตื่นอ่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 5 - 03/03/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: i-love-you ที่ 04-03-2011 00:01:41
คำราชาศัพท์? นี้ชั่ง อ่านยากเหลือนี่ กะไร   555+ คนแต่งเก่งอ่ะ  o13
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 5 - 03/03/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: DarKLasT ที่ 04-03-2011 01:43:28
เหมือนงานจะยุ่งนะครับแบบนี้

ทั้งแม่ทั้งสาวแถมคนใกล้ตัวไกลตัวอีก

ลุ้นกันต่อไปครับว่าน้องจะฟื้นเมื่อไหร่
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 5 - 03/03/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: naja-kitase ที่ 04-03-2011 01:56:33
เตรียมถ้วยใบใหญ่ๆไว้ใส่มาม่า 55
น้ำยังไม่ฟื้นเลย อุปสรรคตั้งท่ารอไว้ซะเยอะเชียว
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 5 - 03/03/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: kit ที่ 04-03-2011 05:03:28

๑๗๑ + ๑ = ๑๗๒
ขอบคุณนะคะ คุณ Purple_Sky

หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 5 - 03/03/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: lovevva ที่ 04-03-2011 16:32:12
เมื่อไหร่นทีจะฟื้นซะทีล่ะคะ อยากให้นทีเจอกับคุณชายเร็วๆ ใจร้อน 555
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 5 - 03/03/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: lomekung ที่ 04-03-2011 17:25:33


มาลุ้นด้วยคน

 :call: :call:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 5 - 03/03/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 04-03-2011 17:54:46
คุณชายก็มีแอบเจ้าเล่ห์

พอดีเลยได้หาเรื่องหนีหม่อมแม่กะคู่หมั้น เหอๆ

รอนทีฟื้น อยากรู้ว่าเจอหน้ากันจะทำไง แล้วอดีตของนทีเป็นไงกันแน่
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 5 - 03/03/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: maew189870 ที่ 04-03-2011 18:41:53
ท่านชายฉลาดนะ

แต่รู้สึกว่าเนื้อเรื่องจะช้านะคับ

เร็วกว่านี้ก็ดีนะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 5 - 03/03/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: maew189870 ที่ 04-03-2011 18:42:12
ท่านชายฉลาดนะ

แต่รู้สึกว่าเนื้อเรื่องจะช้านะคับ

เร็วกว่านี้ก็ดีนะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 5 - 03/03/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 05-03-2011 09:15:29
อ่านไปเกร็งไป  เหมือนได้เข้าเฝ้าด้วยตัวเอง
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 5 - 03/03/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 06-03-2011 01:00:46
ยอดเยี่ยมอีกเช่นเคยค่ะคุณฟ้าม่วง

คนละเเนวกับปรางบรรพ์ เเต่ภาษายังสวยเหมือนกัน

กำลังตามอ่านทางสามสายด้วย

ก็มาคนละเเนวอีก

คุณเก่งจริงๆค่ะ o13

ชอบเรื่องนี้มากๆๆๆๆนะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 5 - 03/03/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: yunjaejoong ที่ 06-03-2011 11:23:18
ท่านชายเริ่มโกหกแล้วน่ะ แต่ก้อดีมีความรับผิดชอบดีว่าม่ะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 5 - 03/03/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: nuewanda ที่ 06-03-2011 20:54:42
โห้..........ปัจจัยความรักแต่ละอย่าง
ท่านชายพ่อเอย หม่อมแม่เอย นางร้ายเอย
ช่างเป็นเส้นทางรักที่โรยด้วย "หนาม"กุหลาบ ซะจริงๆ ฮ่าๆๆๆ

เริ่มไม่อยากให้น้ำฟื้นแล้วซิ ........ ฮ่าๆๆ ล้อเล่น
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 5 - 03/03/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 07-03-2011 22:32:23
6

    “ถ้าอย่างนั้นหม่อมฉันว่า ท่านพี่เสด็จเสวยกระยาหารเย็นก่อนดีกว่าไหมเพคะ” หม่อมวิไลวรรณกล่าว
   “ดีเหมือนกัน พี่ก็หิวแล้ว มิ่งเมือง อยู่ทานอาหารด้วยกันก่อนนะ”
   “กระหม่อม”
    “ถ้าอย่างนั้นลูกขออนุญาต ขึ้นไปจัดกระเป๋าก่อนนะกระหม่อม” ชายภาสกรว่า ทั้งหม่อมแม่ และ ท่านชายเรืองเดชไม่ได้ว่าอะไร ภาสกรจึงขึ้นไปจัดกระเป๋าเตรียมตัวไปอยู่พัทยาเป็นเวลา เกือบเดือน อยู่ที่ “โรงพยาบาล” ก่อนจนกว่านทีจะฟื้น จากนั้นค่อยไปอยู่ที่ “วังพัทยา”จนกว่าจะเสร็จงาน ของคุณหญิง ซัมเมอร์คอลเลกชั่น 2011
    ที่ภาสกรดีใจที่สุดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เห็นจะเป็นที่เขาไม่ต้องเจอกับทิฆัมพรอีกตลอดเดือนนั้นแหละ
    ถ้าพระเจ้าเข้าข้างเขาละก็

    ภาสกร ลงมารับประทานอาหารเย็นอย่างเอร็ดอร่อย อาหารวันนี้นมอุ่นเตรียมไว้เป็น อาหารไทยต้นตำรับแท้ๆ โดยเลียนแบบอาหารเย็นของคนโบราณที่ต้องมี น้ำพริก ผักลวก ผัดผัก แกงใส และ แกงกะทิ ให้ครบตามแบบแผน โดยมีทั้งน้ำพริกปลาทูผักเคียงต่างๆ ผัดบรอคโคลี่ใส่กุ้งแม่น้ำ แกงจืดฟักที่แกะสลักไว้อย่างดี และแกงเผ็ดเป็ดย่างที่หากินได้ยากอีกด้วย
    คุณชายทานอะไรเสร็จแล้ว นายแพทย์มิ่งเมืองก็ทูลขออนุญาตท่านเรืองเดช ลาจากวังผกากรองกลับพัทยา โดยมีภาสกรขับรถไปส่งที่โรงพยาบาล ขณะนั้น เกือบหกโมงเย็นแล้ว กว่าทั้งสองจะกลับไปถึงก็เกือบๆสองทุ่ม ภาสกรเตรียมกระเป๋าเสื้อผ้าใบหนึ่งขนาดพอดี ไว้อยู่เฝ้านที ที่โรงพยาบาล เพราะที่วังพัทยา มีเสื้อผ้าของเขาเก็บไว้บ้างแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเตรียมอะไรมากเพียงแต่มีของใช้ส่วนตัวอย่างผ้าเช็ดตัว สบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน อะไรพวกนี้เท่านั้น
    ปุยฝ้ายกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่บนชุดโซฟารับแขกตอนที่ภาสกรเข้าไป ชายหนุ่มไม่อยากปลุก แต่ด้วยความที่ทำอะไรเสียงดัง หญิงสาวจึงตื่นอย่างช่วยไม่ได้ คุณชายหนุ่ม อาสาไปส่งหญิงสาวผิวคล้ำที่แฟลตของหล่อนที่พัทยาเหนือ แต่หญิงสาวก็ไม่ยอมให้เพื่อนหนุ่มคลาดสายตา คุณชายจึงต้องยอมอยู่เฝ้านที แล้วให้หล่อนกลับแฟลตไปคนเดียว เพื่ออาบน้ำแต่งตัวเสียใหม่และบังคับให้ไปเรียนในตอนเช้าด้วย ให้มาที่โรงพยาบาลได้ในตอนเย็นเท่านั้น หญิงสาวจึงตัดสินใจ หอบชุดนักศึกษามาไว้ที่นี่เสียเลย ตอนกลางวันภาสกรอยู่เฝ้าไป ตอนกลางคืนหลังจากกลับมาจากมหาวิทยาลัย หล่อนก็มารับช่วงต่อ ภาสกรจึงไม่จำเป็นต้องอยู่กับนทีในตอนกลางคืน นอกจากคืนแรกเท่านั้น
    วันรุ่งขึ้นภาสกรจึงไม่มีอะไรทำ นอกจากนอนอ่านหนังสือที่ปุยฝ้ายทิ้งเอาไว้ เป็นวรรณกรรมอังกฤษที่เขาไม่เคยอ่าน ภาสกรได้แต่อ่านฆ่าเวลาไปอย่างนั้นเท่านั้นเอง พอตอนกลางคืนปุยฝ้ายมาเยี่ยมนที ชายหนุ่มจึงออกไปที่ทำงาน ไปเอาแบบเครื่องประดับที่ต้องส่งให้บังคลาเทศดูภายในอาทิตย์หน้ามาทำให้เสร็จ
    “พลอยแขก ที่ขึ้นเรือนแบบฝรั่ง” เหมือนคำบรรยายที่กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้เคยอธิบายนิทานเวตาลฉบับที่ชาวอังกฤษนำไปแปลไว้ อยู่ตรงหน้าภาสกร เขาจำเป็นต้องตีโจทย์นี้ให้แตกให้ได้ สร้างความลงตัวระหว่าง ตะวันออก และตะวันตกให้เป็นที่พอใจของเจ้าของพลอย และ ถูกใจผู้ซื้อชาวตะวันตกด้วย
    เคยมีคนบอกเขาไว้เมื่อนานมาแล้วที่อังกฤษว่า ภาสกรนั้นเหมือนกับ ทับทิมสยามที่ถูกเจียระไนโดยช่างชาวอังกฤษฝีมือดี เพราะรูปลักษณ์ของชาวตะวันออกมีปรากฏอยู่ที่ใบหน้าเท่านั้น แต่ร่างกายที่สูงใหญ่ราวสุภาพบุรุษชาวอังกฤษ และกิริยา มารยาทที่ถูกหล่อหลอมโดยสังคมเมืองผู้ดีนั้น ทำให้เขาเป็น “ทับทิมสยาม ที่ถูกเจียระไนโดยช่างชาวอังกฤษ” ที่สวยงามถูกใจทั้งคนไทย และ ชาวตะวันตก
    แล้วชายหนุ่มตรงหน้าเล่า
    ภาสกรเหลือบมองเขาหลายครั้ง นทีไม่ต่างอะไรจากมุกที่เกิดเองตามธรรมชาติ มันไม่กลมสวยเป็นเม็ดงามเหมือนมุกที่คนสร้างขึ้น อย่างไรก็ตามมุกธรรมชาติย่อมมีรูปร่างที่แตกต่างเป็นที่สนใจมากกว่ามุกสังเคราะห์ที่อาจมีคนมองว่าเป็นของปลอมได้ ภาสกรเดินตรงไปที่เตียงของชายหนุ่ม เขาสัมผัสผิวกายที่เนียนนุ่มราวไข่มุกที่แขนของชายหนุ่มคนนั้น
    “เมื่อไหร่คุณจะฟื้น” ภาสกรกระซิบถามชายหนุ่มตรงหน้าเบาๆ
    ในคืนที่สาม ภาสกรหลับไปตั้งแต่หัวค่ำ คืนนี้ปุยฝ้ายไม่ได้เข้ามานอนเฝ้าชายหนุ่มเพราะปุยฝ้ายติดทำโปรเจคต์ปลายภาคส่งอาจารย์เขาจึงเป็นฝ่ายต้องนอนที่โซฟาปรับนอนสำหรับญาติตัวนั้นแทน
    ภาสกรพบว่าเขากำลังเดินอยู่บนชายหาด ที่หาดทรายที่สวยที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา ทรายเป็นสีขาวเม็ดละเอียดราวกับผลึกแก้ว แต่กลับนุ่มเท้าเป็นอย่างยิ่งราวกับว่าเขาเดินอยู่บนพรมขนแกะก็ไม่ปาน ใครบางคนนั่งอยู่ตรงนั้น คนที่เขาคุ้นตาเหลือเกิน นั่งอยู่บนบริเวณที่คลื่นสาดเข้าถึงกระทบตัวชายหนุ่มครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เขากลับไม่ได้รำคาญอะไรยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นไม่มีวี่แววที่จะลุก
    “คุณอยู่ที่นี่มานานแล้วหรือครับ” ภาสกรได้ยินเสียงตัวเองถามออกไป
    “ประมาณ 6 วันแล้วครับ” เสียงนุ่มๆ ตอบอย่างเป็นกันเอง มันเป็นเสียงที่ไพเราะ ดุจเสียงของไซเรน สัตว์ในตำนานกรีกที่หลอกล่อให้เขาเข้าไปใกล้ ภาสกรขยับเข้าไปใกล้ชายหนุ่มคนนั้นอีกนิด
     “แล้วทำไมไม่กลับเข้าฝั่งล่ะ”
     “มันน่ากลัวออกครับ แล้วก็อันตรายด้วย” เขาว่า “อยู่ตรงนี้ สบายดีออก ทั้งนุ่ม ทั้งเย็น ผมไม่อยากกลับไปหรอกครับ ผมไม่อยากไปเจอความวุ่นวาย ความยุ่งยากและตึงเครียดทั้งหลายแหล่บนฝั่งนั้นหรอกครับ”
    ภาสกรยิ้มให้เขาอย่างอบอุ่น
   “มันไม่แย่ขนาดนั้นนี่ คุณยังมีพ่อ มีแม่ มีเพื่อนๆ ที่จะคอยฝ่าฟัน ต่อสู้สิ่งต่างๆไปได้นะครับ”
    “ก็ผมไม่มีนี่ครับ” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองหน้าภาสกรด้วยหยาดน้ำตาที่เกาะอยู่ตรงหางตาคู่สวยนั้น ภาสกรมองดวงหน้านั้นแล้วรู้สึกแปลกใจว่า เหตุใดเขาจึงอยากกอด อยากโอบชายหนุ่มคนนี้ไว้นัก อยากปกป้อง อยากดูแล ทำไมกันนะเพียงเพราะแววตาที่น่าสงสารนี่หรือ “ไม่มีใครแล้วทั้งนั้น ทั้งพ่อ แม่ ทั้งเพื่อน ที่จะสู้ไปพร้อมกับผมน่ะครับ โลกนี้มันโหดร้ายนะครับ ถ้าเราต้องอยู่คนเดียว”
    ภาสกรมองไปที่ทะเล คลื่นน้อย และกำลังไหลลงไปในมหาสมุทร ราวกับในอีกไม่กี่นาที คลื่นใหญ่ยักษ์ท่วมหัวจะโผล่มา แล้วลากชายหนุ่มคนนี้กลับลงทะเลไป
    “ถ้าคุณไม่ไปตอนนี้ คุณอาจจะไม่มีโอกาสกลับไปอีกนะครับ” ภาสกรว่า เขามองคลื่นทะเลที่ยกตัวขึ้นสูงพอๆกับความสูงของเขาค่อยๆ ม้วนตัวรอบเขา และ ชายหนุ่มอีกคน มีเพียงช่องว่าง ด้านหลังเท่านั้นที่จะวิ่งหนีไปได้ ก่อนที่คลื่นนี้ จะม้วนตัวเข้ามาปิดล้อมเขาสองคน และกลืนทั้งคู่ลงไปในทะเล “มาเถอะครับ เร็วเข้าก่อนที่มันจะสายเกินไป”
    ชายหนุ่มลังเล ก่อนที่หยาดน้ำตานั้นจะไหลลงมาที่แก้ม เขามองทะเลที่อยู่ไกลออกไปสุดลูกหูลูกตาว่ามีแต่ความกว้าง และเงียบสงบไม่เหมือนกับที่ภาสกรเห็น ส่วนข้างหลังที่เป็นฝั่งนั้นมีแต่ตึกรามบ้านช่องสูงเสียดฟ้า มีเมฆหมอกและควันขมุกขมัว ราวกับว่าหากเขาเดินกลับไปที่ฝั่งแล้วหมอกควันพวกนี้ จะกลืนกินเขาหายไปหมดทั้งตัวได้
    “เร็วเข้า” ภาสกรยื่นมือออกมาที่ชายหนุ่ม พร้อมกับยิ้มให้อย่างอบอุ่น
    ฉับพลัน บนท้องฟ้าเบื้องหลังที่เคยขมุกขมัว สับสน และ เต็มไปด้วยความน่ากลัวนั้น กลับมีแสงสว่างปรากฏขึ้น เป็นลูกไฟขนาดยักษ์สาดแสงลงมา ขจัดเมฆหมอกและฝุ่นควันเหล่านั้นออกไป จนเหลือแต่ความสว่างสดใสเท่านั้น ชายหนุ่มมองไปยังทะเลเบื้องหน้าจึงรู้สึกว่าเขาไม่อยากอยู่ที่นี่อีกแล้ว ไม่อยากรอให้ทะเลที่เงียบสงบและสดใสน่ามองนั้นกลืนเขาไปอีกแล้ว
    “มาเถอะครับ ผมจะช่วยคุณเอง”
    แล้วภาสกรก็ได้ยินเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้น แม้ปากของชายหนุ่มตรงหน้าจะไม่ขยับแต่เขาก็ยินมันชัดเจนเสียงนุ่มๆนั้นถามเขาเบาๆว่า
    “สัญญาได้ไหมล่ะ”
    “เอ๊ะ” เขาร้องขึ้นอย่างงุนงง
    “สัญญาได้ไหม ว่าถ้าผมกลับไปที่ฝั่งคุณจะคอยช่วยเหลือ นำทางผมฝ่าฟันหมอกควันพวกนั้นไปได้ สัญญานะว่าคุณจะคอยดูแลผม ปกป้องผม ไม่ให้เจอกับอันตรายใดๆ”
    ภาสกรยิ้มอย่างอบอุ่นอีกครั้ง มือที่ยื่นอยู่ตรงหน้า ไม่สั่น ไม่กลัว หากแต่หนักแน่นและมั่นคง
    “ผมชื่อภาสกร แปลว่า ผู้ให้แสงสว่าง ผมจะคอยนำทางให้คุณเองครับ”
    “สัญญานะ”
    “สัญญา” ภาสกรยิ้มกว้างและแล้วชายหนุ่มคนนั้นก็จับมือเขา ภาสกรดึงให้เขาลุกขึ้นจากคลื่นที่กำลังจะฉุดเขาลงทะเลไป จากนั้นทั้งคู่ก็ออกวิ่ง วิ่งไปสู่แสงสว่าง หนุ่มน้อยคนนั้นหันกลับมามองทะเล บัดนี้มันไม่สดใส สวยงามอีกแล้ว มันกลายเป็นความปั่นป่วน พายุพัดอย่างน่ากลัว ส่งเสียงคำรามร้องก้อง ราวกับเสียงของพญามัจจุราช ที่โกรธแค้น เพราะไม่สามารถเอาดวงวิญญาณของหนุ่มน้อยดวงนี้ไปอยู่ด้วยได้
    ทั้งคู่วิ่งไปในความอบอุ่น ในทางที่มีแต่แสงสว่าง มีภาสกรเป็นคนจูงมือนำชายหนุ่มคนนั้นไป ไปสู่จุดกำเนิดของความสุขนั้น ไปสู่ลูกไฟลูกใหญ่บนฟ้า
    “คุณสัญญาแล้วนะ”

    ภาสกรลืมตาขึ้นพร้อมๆกับชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ ทันทีที่คุณชายลุกขึ้นจากโซฟาแล้วหันไปยังร่างที่นอนนิ่งสนิทอยู่บนเตียงก็พบว่า บัดนี้ชายคนนั้นไม่ได้นอนหลับตาอยู่บนเตียงอีกแล้ว ตาทั้งสองคู่ประสานกันพร้อมๆกับแสงสว่างแรกของวัน ที่ส่องลอดผ่านม่านที่ปิดไว้ไม่สนิทเข้ามา
   “คุณเป็นใคร ผมมาทำอะไรอยู่ที่นี่” เสียงที่ปกติจะนุ่มน่าฟัง ของหนุ่มน้อยคนนั้น แหบพร่าเพราะไม่ได้พูดมาเป็นเวลานาน หากแต่ภาสกรก็มั่นใจว่าเสียงนี้ เป็นเสียงที่อยู่ในความฝันของภาสกรแน่แล้ว
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 5 - 03/03/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 07-03-2011 22:37:13
7

    เวลาที่เราดูหนัง ละคร หรือแม้แต่อ่านนิยาย หากเป็นฉากที่ตัวละครสักตัวหลับไป หรือ สลบไป หรือ หมดสติ อะไรก็แล้วแต่ แล้วสามารถฟื้นขึ้นมาได้ในภายหลัง ประโยคแรกที่ตัวละคร ตัวนั้นจะพูดคือ “ที่นี่ ที่ไหน” หรือไม่ก็ “เกิดอะไรขึ้นกับผม” แล้วเรา ผู้ชม หรือ ผู้อ่านมักจะเกิดความคิดขึ้นในใจว่า
    “ปัญญาอ่อนหรือไง แค่มองก็รู้แล้วว่าอยู่ที่ โรงพยาบาล จะถามทำไมอีก แล้วถ้าสบายดี จะไปอยู่ที่โรงพยาบาลไหมเล่า”
    แม้แต่นทีก็ยังเคยคิดอย่างนั้น พอมาเจอเข้ากับตัวเอง เขาถึงเข้าใจว่าเหตุใดตัวละครเหล่านั้นถึงถามคำถามงี่เง่าแบบนี้กันทุกคน

    ไม่แปลกที่คำถามที่ว่า เขาอยู่ไหน แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่นี่จึงหลุดผ่านปากเขาออกมา เพราะ เขาจำอะไรไม่ได้เลยในนาทีแรก จำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา และเขาอยู่ที่ไหนจริงๆ สิ่งล่าสุดที่จำได้คือเขาเดินข้ามถนน แล้วแสงสว่างจ้าก็สาดเข้ากระทบตาเขา พอรู้สึกตัวอีกทีก็ตื่นขึ้นมาบนเตียงในโรงพยาบาลเสียแล้ว แถมยังมีชายคนหนึ่งที่เขาไม่เคยเห็นหน้ามาตลอดชีวิตมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเขาอีก นที จับต้นชนปลายไม่ถูก จะถามซ้ำอีกก็ไม่มีแรงแล้ว ความเจ็บปวด ที่แขน ที่ขา และศีรษะ มากเกินกว่าที่เขาจะมีแรงพูดอะไรออกมาอีก
    นางพยาบาลสองคนเดินเข้ามาในห้องอย่างร้อนใจ นาทีต่อจากนั้นเขาแทบจะไม่รู้สึกตัวอีกว่าเกิดอะไรขึ้น นทีหลับไปอีกครั้ง ไม่ลึกเท่าครั้งแรก ทำให้เขาพอจะสัมผัสอาการเคลื่อนไหว และเสียงรอบๆตัวเขาได้ เขารู้เพียงหมอ และพยาบาลเข้ามารุมตรวจร่างกายเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่นานหลังจากนั้น ความสงบก็กลับมาแทนที่
    ครั้งต่อมาที่เขาตื่นขึ้น ก็พบตัวเองในห้องเดิม ต่างไปเพียงแต่ชายหนุ่มแปลกหน้าคนที่จ้องหน้าเขาอยู่ในตอนแรกนั้นกลับไม่ได้อยู่ที่เดิมอีกแล้ว เพราะเจ้าตัวกำลังนั่งอยู่ที่โซฟารับแขกที่ห่างออกไป มือประสานกันไว้บนตัก แล้วก้มหน้านิ่งอยู่อย่างสงบ เปลี่ยนจากชุดนอนมาเป็นเสื้อเชิ้ตสีครีม และกางเกงแสลคสีเข้มเข้ากัน ส่วนคนที่ยืนอยู่ข้างๆเขากลับเป็น
    “ฝ้าย”
    “อ๊าย นที แกฟื้นแล้ว” เพื่อนสาวแตะแขนขวาของเขาเบาๆ เนื่องจากไม่สามารถโผเข้ากอดอย่างที่ทำอยู่เป็นประจำได้ เพราะตอนนี้ชายหนุ่มที่นอนอยู่ตรงหน้าเจ็บไปทั่วทั้งตัวจนหล่อนไม่สามารถทำอะไรได้ กลัวว่าจะทำให้เขาเจ็บมากขึ้นไปอีก
    นทีสำรวจห้องที่เขานอนอยู่อย่างเงียบๆ ห้องเดี่ยว แอร์เย็นฉ่ำแถมมีทีวีเครื่องแพงขนาดนี้ ปุยฝ้ายไม่มีปัญญาจ่ายให้แน่ๆ หรือว่า พ่อเลี้ยงของเขามาพบเข้าแล้วนำเขามารักษาที่นี้... อย่างนี้ก็เท่ากับว่าเขาต้องนอนรอให้ฝ่ายนั้นมารับตัวกลับไปอยู่ในนรกอีกอย่างนั้นหรือ
    “พ่อเลี้ยงฉัน...” ชายหนุ่มถามขึ้น “เขาพาฉันมาที่นี่ใช่ไหม”
    “เปล่า” ปุยฝ้ายเอ่ยขึ้น พอดีกับที่ชายหนุ่มอีกคนหายไปจากโซฟารับแขก มายืนอยู่ข้างๆหญิงสาวเสียแล้ว ดูจากการแต่งตัว นทีไม่ต้องเสียเวลาเดาเลยว่าต้องเป็นคนรวย อย่างแน่นอน ทั้งสร้อยสีเงิน และ นาฬิการวมไปถึงแหวนที่ประดับอยู่บนร่างกาย ร่วมกับเสื้อผ้าราคาแพงอีก ชายหนุ่มที่ไม่ธรรมดาคนนี้ เกี่ยวข้องอะไรกับเขา เขานึกไม่ออกจริงๆ
    “เพื่อนคุณอดิสรณ์หรือ”
    “เปล่าหรอกคนนี้คือ คุณ ช..”
    “ผมชื่อ ภาสกร ครับ” ชายหนุ่มยิ้มให้กับผู้ป่วยที่นอนอยู่ตรงนั้น
    “คุณช..” ปุยฝ้ายเห็นสีหน้าของชายหนุ่มที่หล่อนกำลังพูดถึง ก็รีบเปลี่ยนชื่อเรียกของเขามาเป็นเพียงชื่อเฉยๆแม้หล่อนจะไม่เข้าใจเหตุผลก็ตาม “คุณ ภาสกร เขา.. เอ่อ เป็นคนพบแก น่ะสิ แก ถูกรถชนก่อนที่จะมาหาฉันที่แฟลตไง คนขับชนแล้วหนีไป ผู้ชายคนนี้ก็เลยช่วยแกไว้ ”
    นทีจะยกมือขึ้นไหว้ เพราะเห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะต้องอายุมากกว่าเขาแน่ๆ แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วแขนซ้ายของเขา แม้จะกระดิกก็ยังไม่สามารถบังคับให้เป็นไปตามใจได้เลย
    “ขอบคุณครับ” นทีทำได้เพียงเท่านั้น เพราะเพียงพูดก็เจ็บไปหมดแล้ว ภาสกรรับคำขอบคุณไว้ด้วยรอยยิ้มที่แสนอบอุ่น
    เดี๋ยวก่อนนะ รอยยิ้มแบบนี้ เขาเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
    “ผมเคยรู้จักคุณมาก่อนไหมครับ” เด็กหนุ่มรวบรวมแรงทั้งหมด ถามขึ้น โดยไม่รู้เลยว่าคนที่ต้องตอบนั้น กำลังลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด
    ภาสกรลังเล เขามั่นใจว่านทีคงเห็นเห็นเขาตามข่าวสังคม หรือ นิตยสารปาปารัสซี่ทั้งหลาย เวลาไปไหนมาไหนกับทิฆัมพร แต่ด้วยเห็นผลบางประการ ภาสกรจึงตัดสินใจปิดมันเอาไว้ก่อน เขาไม่อยากให้ นทีรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา เขาคิดว่าอะไรหลายๆอย่างมันคงง่ายกว่า ระหว่างที่เขาต้องอยู่เฝ้านายนทีคนนี้ ถ้าเขาเป็นเพียง คุณ ภาสกร ไม่ใช่ หม่อมราชวงศ์ ภาสกร รชตานันต์  ชายหนุ่มคงไว้ใจเขาและไม่ต้องรู้สึกประดักประเดิด เวลาที่ต้องคุยกับเขา ชายหนุ่มพบมามากแล้ว คนที่เขาอยากพูดคุย อยากผูกมิตรด้วยแต่อีกฝ่ายกลับเคอะเขิน เพราะเกรงใจในฐานันดรศักดิ์ของเขา
    และมีอีกหลายคนที่ไม่กล้าพูดกับเขา เพียงเพราะไม่แน่ใจว่าต้องใช้ราชาศัพท์กับหม่อมราชวงศ์หนุ่มหรือไม่
    ดังนั้น เป็นคุณภาสกรเฉยๆ คงจะดีกว่า
    “ไม่ทราบซีครับ ผมก็เพิ่งรู้จักคุณ” แม้จะตอบไปอย่างนี้ แต่ภาสกรก็รู้สึกคุ้นเคยกับชายหนุ่มอย่างประหลาด พอๆกับคนที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยในขณะนี้ รอยยิ้มแบบนี้ น้ำเสียงแบบนี้ ท่าทีแบบนี้ เขาเคยเห็นมาจากที่ไหนแน่ๆ และมันช่างคุ้นเคยมากเสียจนเขาอดคิดไม่ได้ว่า เป็นเพื่อนคนหนึ่งของพ่อเลี้ยงของเขาหรือเปล่า... เพื่อนคนหนึ่งของพ่อเลี้ยงที่ทำลายเขาหรือเปล่า
    “ฝ้าย... แล้ว คุณอดิสรณ์ล่ะ เล่าให้ฉันฟังซี ว่าตั้งแต่ฉันหลับไป มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ” ภาสกรสะดุดชื่ออดิสรณ์อย่างประหลาดใจ ชื่อนี้เขาเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน และไม่ใช่จากปุยฝ้ายหรือนทีด้วย
   ท่าทีของปุยฝ้ายทำท่าอึกอัก ไม่รู้จะตอบคำถามเพื่อนได้อย่างไร ในเมื่อภาสกรก็ยังอยู่ตรงนั้นด้วยทำให้ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกแปลกๆขึ้น นี่เขาควรมายืนอยู่ตรงนี้หรือ
    ก่อนที่เขาจะทันหาข้ออ้างหลบออกไปให้เพื่อนทั้งสองคุยกันโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้นพอดี ตอนแรก เขาคิดว่า เป็นหม่อมแม่ของเขา หรือแม้กระทั่งทิฆัมพร จึงพร้อมที่จะกดตัดสายตอนนั้น แล้วค่อยไปแก้ตัวทีหลังว่าติดประชุม แต่แล้วกลับไม่ใช่ มันเป็นชื่อของ ดลนภา เลขานุการสาว ของเขานั่นเอง
    “ผมขอตัวรับโทรศัพท์ก่อนนะครับ” ภาสกรยิ้มให้กับทั้งคู่ โดยมีเพียงหญิงสาวผิวเข้มที่เริ่มคุ้นเคยกับเขาแล้ว ยิ้มตอบกลับมา หากนที ที่เพิ่งคุยด้วยเป็นครั้งแรกกลับไม่ได้ยิ้มตอบ แม้ตามมารยาทก็ตาม ชายหนุ่มปักใจเชื่อว่า ผู้ชายคนนี้จะต้องเป็นคนที่ พ่อเลี้ยงของเขา ส่งมาเฝ้า และเมื่อเขาหายดีแล้ว คงต้องส่งกลับไปให้อดิสรณ์เป็นแน่
    แต่นที ไม่มีวันกลับไปอีกแล้ว
    ทันทีที่ชายหนุ่มออกไป นทีก็หลับตาแล้วถอนหายใจยาว
    “ฉันคิดว่า ฉันตายไปแล้วเสียอีก”
    “บ้า พูดอะไรอย่างนั้น” หญิงสาวตวาดแหวขึ้น “ฉันตกใจแทบแย่เลยตอนที่แกโทรมาหาฉันคืนนั้นน่ะ ฉันว่าแกแปลกๆ มีอะไรที่ฉันไม่รู้เกี่ยวกับแกและพ่อเลี้ยงหรือเปล่า แล้วโทรมาว่าจะมาหาดันหายไปเสียอย่างนั้น พอคุณชายโทรมาหาฉันก็แทบเต้นแน่ะ”
    นทีนิ่ง “คุณชาย” หรือ?
    ปุยฝ้ายแทบหยิกตัวเองเมื่อรู้ว่าโพล่งอะไรออกไป แต่ก็เฉไฉทำเป็นพูดต่อไม่ให้มีพิรุธ
    “เอาล่ะ แกเล่ามาซิว่าเกิดอะไรขึ้น ระหว่างคุณอดิสรณ์ กับแก”
    ชายหนุ่มลังเล เขามองหน้าเพื่อนสาวที่รบเร้า แล้วก็หลบตา เรื่องแบบนี้ เขาจะบอกหล่อนดีไหมนะ แต่เท่าที่ผ่านมาปุยฝ้ายก็เป็นคนที่เขาไว้ใจได้ และสนิทด้วยมากที่สุด ถ้าจะบอกใคร ก็ต้องบอกหล่อนคนนี้ ไม่อย่างนั้นก็ปล่อยให้ความลับนี้ คับอกไปจนตายอยู่คนเดียว
    แต่จนแล้วจนรอด ชายหนุ่มก็พูดไม่ออก
    “ไอ้น้ำ ฉันถามแกนะยะ..”
    “คือ... มันพูดยากนะฝ้าย ฉันไม่รู้จะเริ่มยังไง” ชายหนุ่มไม่กล้ามองหน้าเพื่อนสาวอีก ใจจริงแม้อยากจะระบาย แต่เรื่องแบบนี้เขาก็ไม่เคยคิดได้แต่ไหนแต่ไรแล้ว ว่าถ้าจะบอกใครสักคน เขาจะบอกมันออกไปได้อย่างไร
    เพื่อนสาวรบเร้าอีกเป็นครั้งที่สอง
    “เอาน่า สูดหายใจเข้า ตั้งสติ แล้วก็ตอบฉันมา เอาพอให้ได้ใจความ ที่ถามก็เพราะเป็นห่วงไม่อยากให้แบกอะไรไว้คนเดียว”
    ชายหนุ่มลังเล
    “เอ้า ว่าไงล่ะ”
    “คือ แกห้ามบอกใครเด็ดขาดนะ...” ประโยคที่ตามมาเป็นเพียงเสียงกระซิบไม่จำเป็นต้องพูดยาว ไม่จำเป็นต้องบรรยาย เพียงคำแค่ สามสี่คำ มาร้อยกันเป็นหนึ่งประโยคแบบง่ายๆเท่านั้น ปุยฝ้ายก็ตาลุกโพลง มือปิดปากด้วยความช็อก แล้วทรุดตัวลงนั่งบนโซฟารับแขกตัวนั้น
    “ไอ้น้ำ นานหรือยัง”
    “นานแล้ว... แล้วก็เป็นแบบนั้นมาตลอด”
    “เป็นมาตลอด” ปุยฝ้ายเผลอขึ้นเสียงโดยไม่รู้ตัว พอเห็นหน้าที่ตื่นตกใจของเพื่อนหนุ่ม หญิงสาวก็ลดเสียงเป็นเสียงกระซิบ “แล้วทำไมแกไม่บอกฉัน”
    เขาเงียบ
    “ฉันถามว่าทำไมไม่บอกฉัน เรื่องนี้มันใหญ่มากนะ เล่ารายละเอียดมาซิ แล้วฉันจะไปแจ้งตำรวจวันนี้ เดี๋ยวนี้เลย”
    “เดี๋ยวก่อนซี” เพื่อนหนุ่มกระซิบย้ำ “ฉันเพิ่งบอกอยู่ว่าห้ามบอกใคร ตำรวจก็ไม่ได้”
    “แล้วแกจะยอมเขาอย่างนี้ ตลอดไปหรือไง”
    “ฉันไม่ยอมแล้วไงฝ้าย ฉันถึงตั้งใจเด็ดขาดแล้วว่าจะหนี”
    “แกแค่หนีหรือ” หญิงสาวลุกขึ้นอีกครั้ง แล้วเดินกลับไปที่เตียง “แล้วถ้าเขาตามแกพบ แล้วถ้าเขาลากแกกลับไป แกไม่ต้องตกนรกทั้งเป็นหรือ แกต้องแจ้งตำรวจ ต้องทำให้มันถูกต้อง เรื่องนี้ฉันขอไม่ตามใจแกสักเรื่องนะ นที”
    “ไม่ได้ซี ฝ้าย เราไม่มีหลักฐาน พูดลอยๆขึ้นมาเฉยๆ เดี๋ยวเขาก็หาว่าแจ้งความเท็จเรียกค่าเสียหายหรอก คุณอดิสรณ์เขาระดับบิ๊ก มีแต่คนนับหน้าถือตา ฉันไปแจ้งความ มีหวังโดนเก็บเสียอีก”
    ปุยฝ้ายหน้าซีด คล้ายจะเป็นลมเข้าไปทุกที
    “ฉันตัดสินใจแล้วล่ะฝ้าย ถ้าฉันหายไปเฉยๆเขาก็คงตามไม่เจอหรอก ฉันกะจะไปหาแก เรียนจบให้ครบเทอม ค่อยลาออก แล้วอาจจะเข้ากรุงเทพ หางานทำ อะไรพวกนี้” เสียงของเขาดูเศร้าแต่ก็มั่นใจในความคิดและการตัดสินใจของตัวเอง “แต่ก็ดันต้องมาเป็นแบบนี้... ซวยจริงๆว่ะ”
    ปุยฝ้ายเอื้อมมือมาแตะแขนขวาของเพื่อนหนุ่มเบาๆ
    “แกอย่าคิดอย่างนั้นสิ คิดเสียว่าแกได้มีโอกาสได้ใช้ชีวิตต่อไป ต่างจากหลายๆคนนะ ที่เขาใกล้จะตาย แต่ก็ไขว่คว้าหาโอกาสที่จะได้อยู่ แกโชคดีแล้วนะที่ได้คนอย่างคุณ ช... คุณภาสกรเขา คอยดูแล”
    “เออ นั่นสิ” หญิงสาวยิ้มเพราะคิดว่าเพื่อนหนุ่มคงเริ่มจะคล้อยตามตน “พูดขึ้นมาก็นึกออก คุณภาสกร อะไรนี่เขาเป็นใคร ทำไมฉันคุ้นๆหน้า เขาเป็นเพื่อนคนหนึ่งของคุณอดิสรณ์ หรือเปล่า”
    “เอ๊ะ” สาวผิวเข้มหยุดนิ่งไปพักหนึ่ง หล่อนไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้ในข้อนี้มาก่อน คุณอดิสรณ์อยู่ในระดับ แนวหน้าของธุรกิจไทย ส่วนคุณชายก็ต้องเป็นคนแรกที่นึกถึงหากพูดถึงแวดวงไฮโซ จะเป็นไปได้ไหมว่า สองคนนี้จะแอบรู้จักกันโดยบังเอิญ
    จะบ้าหรือ ถ้าอย่างนั้นโลกคงจะกลม และแคบเกินไปแล้วกระมัง
    แล้วอย่าลืมด้วยว่า คุณชาย เป็นคนขับรถชน นทีเองเสียด้วยไม่ใช่มาสวมรอยเอาตอนหลังอย่างที่ นทีคิด
    “ฉันว่า คิดๆ ไปมันก็ไม่น่าใช่นะ เพราะคุณ ภาสกรเขาอยู่กันคนละแวววงกับนายอดิสรณ์ เขาจะบังเอิญรู้จักกันได้ยังไงเล่ายะ”
       
    ภาสกรเปิดประตูห้องเข้ามา ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ชายหนุ่มส่งยิ้มให้กับทั้งสองคนในห้อง อย่างเป็นกันเอง กระนั้น ก็ยังไม่สามารถทำให้ผู้ป่วยที่ยังนอนอยู่บนเตียงนั้นรู้สึกอุ่นใจได้ เขายังมีใบหน้ากังวลปรากฏให้เห็นชัดเจน ภาสกรไม่โทษเขาหรอก เพราะตนก็พอจะเข้าใจว่า การเจ็บป่วยถึงขั้นเข้าโรงพยาบาล แล้วยังต้องตื่นมาพบกับคนแปลกหน้า มันควรจะเป็นอย่างไร
    “ขอโทษ ด้วยครับ เผอิญ คุยเรื่องงานเพลินไปหน่อย” คุณชายพูดพลางยิ้มให้กับคนในห้อง “พอดี บ่ายนี้ พอมีประชุมที่ บริษัท น่ะครับ ผมลืมไปพี่ที่บริษัทก็เลยโทรมาเตือน”
    ไม่มีใครในห้องว่าอะไร ภาสกรจึงเดินไปเก็บแบบ เครื่องประดับ บนโต๊ะทานอาหาร ใส่กระเป๋าเอกสารของเขาตามเดิม
     “ผมขอตัวไปบริษัทก่อนนะครับ” ชายหนุ่มยิ้มให้อีกครั้ง “ขากลับผมจะแวะซื้ออาหารเย็นมาให้ คุณนที ชอบทานอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ จะได้ซื้อมาฝากถูก”
    นที ยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก แม้จะเป็นการฝืนยิ้มตามธรรมชาติก็ตาม แต่ภาสกรก็อดคิดไม่ได้ว่า รอยยิ้มของเด็กหนุ่มคนนี้ ช่างมีเสน่ห์เสียเหลือเกิน สมแล้วที่ปุยฝ้ายเล่าให้เขาฝังว่า พ่อคนนี้ใครเห็นใครก็รัก
    “ไม่ต้องซื้อมาฝากหรอกครับ ผมเกรงใจ”
    “ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ คิดเสียว่าคุณเป็นน้องชายผมก็แล้วกัน อะไรที่ทำให้ได้ผมก็เต็มใจครับ” ภาสกรยิ้มเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหยิบกระเป๋าเอกสารขึ้นจากเก้าอี้ตรงโต๊ะทานข้าว
    “ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ” นทีตอบอย่างหนักแน่น
    เมื่อเห็นว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว คุณชายก็ตัดสินใจลา
    “ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัวนะครับ”
    ชายหนุ่มเดินออกจากห้องไปพอแน่ใจว่าเดินไปไกลพอที่จะไม่ได้ยินแล้ว นทีก็พูดขึ้นอย่างใช้ความคิด
    “แกไม่คิดว่ามันแปลกหรือวะ ทำไมเขาต้องมาดูแลฉันขนาดนี้ ญาติก็ไม่ใช่” หนุ่มน้อยบ่นเบาๆ
    หญิงสาวขมวดคิ้ว หล่อนไม่อาจบอกออกไปตรงๆได้ว่า หม่อมราชวงศ์ ภาสกร เป็นคนขับรถชนเขาเอง ในเมื่อหล่อนก็ตัดสินใจแล้วว่า จะช่วยปกปิดความจริงให้เขา ดังนั้นสาวผิวเข้มจึงต้องนึกหาเหตุผลที่ฟังขึ้นมาตอบคำถามของเพื่อนสนิท
    “แหมก็เขาเจอแก นอนจมกองเลือดอยู่บนถนนอย่างนั้น เขาก็ต้องรู้สึกติดตาบ้าง ไม่มีใครอยากให้ใครตายไปต่อหน้าอย่างนั้นหรอก”
    “ฉันเข้าใจ แต่ทำไมเขาไม่เพียงแค่โทรเรียกรถพยาบาล แล้วก็กลับบ้านไปเสียล่ะ ทำไมยังต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลทุกอย่าง แถมยังมาเลี้ยงดูฉันอย่างนี้อีก รู้จักกันรึก็เปล่า” ชายหนุ่มยังคงพูดต่อไป มีคิ้วที่ขมวดแน่นอยู่บนหน้าผาก เป็นตัวบ่งบอกว่ากำลังใช้ความคิดอย่างหนัก
    ปุยฝ้ายรู้สึกเป็นครั้งแรกว่า บางทีความขี้สงสัย ก็ทำให้คนอื่นเดือดร้อนได้เหมือนกัน โดยเฉพาะคนที่ถูกสงสัย มีความจำเป็นบางอย่างที่ทำให้เปิดเผยความจริงไม่ได้ แล้ว บุคคลที่สามอย่างหล่อนก็ต้องทั้งไขข้อสงสัยให้คนหนึ่ง ทั้งยังต้องปกปิดความผิดให้อีกคนด้วยอย่างนี้ ยิ่งเดือดร้อน ต้องเฟ้นสมองคิดเข้าไปใหญ่
    “ก็เขามีเงินนี่นา ให้เขาใช้เงินรักษาคน ดีกว่าเอาไปเข้าบ่อนหรือซื้อของผิดกฎหมายไม่ใช้หรือ”
    “นั่นแหละ” เขายังคงดื้อต่อไป “ทำไมไม่เอาเงินไปใช้กับอย่างอื่นนะ”
    “ไอ้น้ำเอ๊ย” ปุยฝ้ายเริ่มเสียงแหลมขึ้นเรื่อยๆ “แกก็ถามเขาซียะ ถามฉัน ฉันจะรู้ไหมล่ะ แกรอดมาได้ ไม่ตาย เพราะเขาก็พอแล้วน่า”
    “นั่นแหละ” นั่นแหละของใครจะหมายถึงเห็นด้วยอย่างไร นั่นแหละของนที ไม่เคยหมายความว่าเห็นด้วยสักครั้ง “แปลว่าฉันต้องเป็นหนี้บุญคุณคนไม่รู้จักงั้นหรือ”
     คราวนี้ความเงียบก็เข้ามาปกคลุมบรรยากาศของห้องอีกครั้ง ก่อนที่นางพยาบาลจะเข้ามาแจ้งให้ปุยฝ้ายทราบว่า กว่า นายแพทย์มิ่งเมือง จะเข้ามาตรวจอาการของนทีอีกครั้งก็เกือบสี่โมงเย็น เพราะมีตรวจคนไข้รายพิเศษก่อนเข้ามาเป็นกรณีฉุกเฉิน ทั้งสองคนจึงต้องดูหนังฆ่าเวลาไปก่อนเท่านั้น
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 6-7 - 07/03/11 - 22.30
เริ่มหัวข้อโดย: noina ที่ 07-03-2011 22:52:30
 :z13: :z13: :z13:จ้า
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 6-7 - 07/03/11 - 22.30
เริ่มหัวข้อโดย: kit ที่ 07-03-2011 22:53:50


ขอบคุณนะคะ คุณ Purple_Sky

หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 6-7 - 07/03/11 - 22.30
เริ่มหัวข้อโดย: Little Devil ที่ 07-03-2011 23:22:04
น่าสงสาร
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 6-7 - 07/03/11 - 22.30
เริ่มหัวข้อโดย: yunjaejoong ที่ 08-03-2011 00:07:59
แล้วน้องน้ำจะทำยังงัยต่อไปอีกเนีัย คุณชายจะรับผิดชอบน้องน้ำอีกเปล่าใกล้จะหายแล้วด้วย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 6-7 - 07/03/11 - 22.30
เริ่มหัวข้อโดย: lovevva ที่ 08-03-2011 05:54:09
 :monkeysad:ในที่สุดน้ำก็ฟื้นแล้ว
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 6-7 - 07/03/11 - 22.30
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 08-03-2011 07:03:01
โว้ววววว >.<
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 6-7 - 07/03/11 - 22.30
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 08-03-2011 07:52:13
ขอบคุณที่มาต่อจ้า

ชอบคุณชายจัง ดูสุภาพ สุดๆ งะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 6-7 - 07/03/11 - 22.30
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 08-03-2011 08:30:05
น่าสงสาร น้ำ เนอะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 6-7 - 07/03/11 - 22.30
เริ่มหัวข้อโดย: MiTo™ ที่ 08-03-2011 09:13:33
กระซิบ อะไร กัน

เค้าอยากรู้   :impress2: :impress2:


หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 6-7 - 07/03/11 - 22.30
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 08-03-2011 09:39:28
สงสัยในพฤติกรรมของพ่อเลี้ยงมาก ๆ ถ้าน้ำไม่โดนพ่อเลี้ยงอึ๊บเอง  มันก็ต้องขายน้ำให้เพื่อน ๆ มันแน่
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 6-7 - 07/03/11 - 22.30
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 08-03-2011 10:05:32
ตามลุ้นขอรับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 6-7 - 07/03/11 - 22.30
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 08-03-2011 14:07:02
อยากรู้ว่าอีตาพ่อเลี้ยงทำอะไรนที
ไมต้องเป็นความลับขนาดนั้น คนอ่านอยากรู้ค่ะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 6-7 - 07/03/11 - 22.30
เริ่มหัวข้อโดย: naja-kitase ที่ 08-03-2011 22:31:45
ไอ่หยาาา เจอกันแว้วววววววว
อยากอ่านบทหวานๆแล้วค่ะ (นี่ก็จะรีบไปไหนเนี่ย? ฮ่าๆๆ)
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 6-7 - 07/03/11 - 22.30
เริ่มหัวข้อโดย: nuewanda ที่ 08-03-2011 22:41:44
น้ำพึ่งจะฟื้นขึ้นมา........มาม่าชามใหญ่ก็เตรียมจ่อแล้ว

ฮึก.......................
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 6-7 - 07/
เริ่มหัวข้อโดย: ♠♥♦♣ ที่ 08-03-2011 22:55:56
มาลงชื่อตามอ่านด้วยคนคร่า :3123:
*******edit********
รู้สึกว่าเรื่องนี้จะมีอุปสรรคขวากหนามมากมายแน่ๆ
น้ำโดนพ่อเลี้ยงข่มขืนหรอ มีส่วนกับการตายของแม่ด้วยหรอ โอ้ว สงสัยๆ
ติดตามต่อไปค่ะ +1 เป็นกำลังใจให้
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 6-7 - 07/03/11 - 22.30
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 09-03-2011 07:21:56
พ่อเลี้ยงทำอะไรกับน้ำอ่ะ ขืนใจหรอ

ว่าแต่เรื่องราวดูเหมือนกดดันๆเนอะ บรรยากาสอึมครึมๆยังไงชอบกล
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 6-7 - 07/03/11 - 22.30
เริ่มหัวข้อโดย: from_mars ที่ 09-03-2011 12:27:39
ตกลง คุณพ่อเลี้ยงทำอะไรน้องนทีอ่ะ???? นานแล้วด้วย??? สงสัยใคร่รู้เป็นอย่างมากๆๆๆๆ
รออ่านต่อตอนหน้าจ้า
+1 เพื่อเป็นกำลังใจ....
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 6-7 - 07/03/11 - 22.30
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 09-03-2011 21:25:10
8

     ร้าน รชตานันต์ อัญมณี ตั้งอยู่ในย่านการค้าของเมืองพัทยา ไม่ห่างจากทะเลมาก แต่ก็ไม่ไกลจากบรรดาร้านต่างๆ ผู้ที่สัญจรไปมา สามารถสังเกตเห็นได้ไม่ว่าจะเป็นพวกที่มาจากชายหาด หรือพวกที่เดินซื้อของอยู่ในเมือง หน้าร้านมีภาพถ่ายขนาดใหญ่ของ ทิฆัมพร และ ภาสกร อยู่ในอิริยาบถที่ดูเผินๆ แล้วเหมือนคู่รักถ่ายภาพแต่งงานอย่างไรอย่างนั้น แต่หากพิจารณาดูแล้วจะพบว่า รอยยิ้มบนใบหน้าของภาสกรนั้นเสแสร้งเสียเรียกว่า หากถ่ายแบบหน้าบึ้งได้ เขาก็จะทำ อย่างไรก็ตาม ภาพถ่ายนี้ทำให้ผู้คนหยุดมองได้ด้วยความที่ทิฆัมพรเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงทำให้ร้านของเขามีคนเข้ามาชมสินค้าไม่ขาดสาย
    ร้านของ ท่านชายเรืองเดชเป็นอาคารทันสมัย สูง 3 ชั้น ด้านล่างใช้จัดแสดงสินค้าต่างๆเป็นตู้ เรียงรายตามความยาวของผนัง ตรงกลางมีตู้กระจกใส่เครื่องประดับไว้เช่นกัน ออกแบบให้มีโซฟาล้อมรอบตู้แต่ละใบ สามารถนั่งชมกำไล แหวน หรือ จี้ ได้อย่างสบายใจ
    ชั้นสองของอาคารหลังนี้ เป็นห้องทำงาน ใช้ออกแบบเครื่องประดับต่างๆ รวมไปถึงติดต่อกับลูกค้าทั้งไทย และต่างชาติที่ชอบรูปแบบของเครื่องประดับที่นี่และต้องการให้ทำเป็นพิเศษ โดยมีทั้งแบบเป็นรายเดี่ยว หรือ แบบที่มาเป็นกลุ่มด้วย บางบริษัทก็ขายพลอยให้ และ ขอให้ออกแบบและขึ้นเรือนให้ด้วย ธุรกิจนี้มีมาตั้งแต่รุ่นของท่านชายสมัยที่ยังทำกันเล็กๆน้อยๆกระทั่งใหญ่โตขึ้นมาขนาดนี้ได้
    ชั้นสามเป็นห้องประชุม ซึ่งเป็นที่ที่ภาสกรกำลังขึ้นไปเดี๋ยวนี้
    ดลนภา เลขานุการของเขาเดินลงมาจากชั้นสอง ก็เจอเข้ากับคุณชายของหล่อนพอดี หญิงสาวทำท่าจะยกมือไหว้ แต่คุณชายแย่งไหว้เองเสียก่อน เพราะดลนภาอายุมากกว่าเขาเกือบห้าปี แต่หญิงสาวคิดเสมอว่าหล่อนเป็นเพียงลูกจ้างส่วนคุณชายเป็นนายแถมยังฐานันดรศักดิ์สูงกว่าอีกจึงคิดแย่งทำความเคารพคุณชายอยู่ร่ำไป
    ดลนภา เป็นหญิงสาวหน้าตาเก๋ คือไม่สวยหยาดเยิ้มแบบนางเอกละคร หรือแม้แต่สวยเฉี่ยวอย่างทิฆัมพร แต่เป็นเพียงแค่สาวไทยหน้าตาธรรมดา ตาโต ปากนิด จมูกหน่อย คิ้วสวยตามธรรมชาติมิได้ตกแต่งเสียสวยงามแต่ดูผิดธรรมชาติ แบบของทิฆัมพร ผมสีดำขลับรวมตึงไว้เป็นหางม้าอยู่ที่ท้ายทอยตลอดเวลา ภาสกรไม่เคยเห็นหญิงสาวทำผมเป็นทรงอื่นหรือแม้แต่ปล่อยผมยาวเลยแม้แต่ครั้งเดียว ปากทาสีนู้ด มองเผินๆ เหมือนไม่ได้แต่งหน้าด้วยซ้ำ กระนั้นหล่อนก็ยังดูเก๋ไก๋ราวกับนางแบบนิตยสารฝรั่งอย่างไรอย่างนั้น สูทสีแดงทับอยู่บนเกาะอกสีดำสนิทขับผิวสีน้ำนมให้ดูผุดผาดไม่ซีดเซียวเกินไป เมื่อเอ่ยปากพูดทีไรเสียงก็จะดังฉะฉานแล้วยังเป็นการเป็นงานก็ทำให้ภาสกรรู้สึกราวถูกพี่สาวดุทุกที
    “คุณชายรับอะไรมาหรือยังคะ พี่ได้สั่งเด็กออกไปซื้อให้”
    “รับมาแล้วครับพี่ดล คุณหญิงดาริกา มาแล้วหรือยัง” ชายหนุ่มว่าพร้อมๆกับเดินเคียงข้างเลขานุการขึ้นไปยังห้องประชุมชั้นสาม
    “ยังค่ะ นัดไว้บ่ายโมงถ้าเป็นเวลาคนไทยก็หมายถึงบ่ายโมงสิบห้าแหละค่ะ ถ้าฝรั่งล่ะก็เที่ยงสี่สิบห้าก็มากันแล้ว” หล่อนว่าอย่างคนช่างพูด
    “ดีแล้ว ทางเราจะได้เตรียมตัวอะไรให้เรียบร้อยเสียก่อนคุณหญิงจะได้ประทับใจ งานนี้ผมอยากให้ออกมาดีเพราะเสื้อผ้ากับเครื่องประดับมันต้องไปด้วยกันอยู่แล้วเผื่อจะได้ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน”
    ชายหนุ่มขึ้นมาถึงชั้นสามแล้ว ผลักประตูกระจกเข้าไปข้างในห้องประชุมในนั้นมีคนนั่งอยู่แล้วบ้างก็เป็นฝ่ายการตลาด ฝ่ายศิลป์ บ้างก็เป็นพวกคนคุมช่างฝีมืออีกจำนวนหนึ่ง
    “งานเดือนเมษาฯ แล้วพี่ดลว่าทันไหม” เขานั่งลงที่เก้าอี้ประธาน ส่วนดลนภา นั่งลงข้างๆ ทางซ้ายมือคอยจดรายงานการประชุมต่างๆ
    “พี่ว่าทัน มีเวลาหลายเดือนอยู่นะ เพียงแต่ต้องคอยประสานงานกับทางโน้นดีๆ มันไม่เหมือนเวลาเราจัดงานปกติ เสื้อผ้าเราจัดหามา นางแบบ สถานที่ คอนเซ็ปต์งานเราเลือกเอง นึกอยากทำอะไรก็ทำแต่คราวนี้เรามีหน้าที่ส่งเครื่องประดับเท่านั้น ทุกอย่างขึ้นกับทางโน้นหมดเลย”
    ภาสกร รับเอกสารเรื่องงานของบังคลาเทศมาดู
    “ทางบังคลาเทศล่ะ ทำไปถึงไหนแล้ว”
    “ใกล้แล้วครับคุณชาย” ฝ่ายคุมงานฝีมือตอบ “มีพวกงานยากๆเท่านั้นที่เราต้องใช้ฝีมืออีกมาก แต่ผมประมาณว่าจะเสร็จก่อนสิ้นเดือนกุมภาฯ นี้แล้วครับ”
    “ดีแล้ว พวกแขกนี่เคี่ยวนัก งานเสร็จช้าหรือคุณภาพไม่ดีก็ลดค่าจ้างลูกเดียว” คุณชายว่า “แล้วเขาจะมารับไปเองหรือเราส่งไปล่ะ”
    “เขามารับครับ”
    “อืม”
    “คุณชายขา คุณหญิงมาแล้วค่ะ” แม่บ้านคนหนึ่งเคาะประตูบอก
     หม่อมราชวงศ์ ดาริกา สุวรรณฉาย เดินขึ้นบันไดมาถึง ก็ส่งยิ้มให้กับคนที่อยู่ด้านใน เลขานุการของหล่อนเปิดประตูให้เข้ามาในห้องประชุมโดยไม่ต้องออกแรงผลักเองด้วยซ้ำ ภาพตรงหน้าทำให้ภาสกรเข้าใจว่าสวยหยาดฟ้ามาดินเป็นอย่างไร
    ความงามของหล่อน ไม่ต่างจากนามสกุลของหล่อนนัก ผิวสองสีของหล่อนดูสว่างเรืองรองราวกับแต้มทองคำเปลวเอาไว้ทั่วกาย ดวงหน้าสวยราวกับรูปสลักดวงตาสองคู่นั้นไม่ใช่สีดำขลับหากเป็นสีน้ำตาลแก่ รับกันกับเส้นผมที่ทอดตัวหยักศก กระจายบนบ่า จมูกโด่งยาว ริมฝีปากสีชมพูใส บางได้รูปไม่ต่างจากจากของนายนที ทว่าความงามนี้ ไม่ใช่ความงามแบบบุรุษเพศเพราะอย่างนั้นแม้งามอย่างไรก็งามไม่พอเรียกว่างามได้ แต่คุณหญิงงามจนเกินจะใช้คำว่างามมาบรรยายได้ด้วยซ้ำ คิ้วของหล่อนโก่งเป็นคันศร หากเป็นคันศรของกามเทพที่พร้อมจะยิงทะลุชายที่นั่งอยู่ในห้องนั้นทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ภาสกรเอง
    เสื้อผ้าที่ประดับอยู่บนเรือนร่างสีทองสุกใสนั้นเป็นผ้าอย่างดี ออกแบบและตัดเย็บจากห้องเสื้อ “คุณหญิง” เป็นสีเหลืองสดใสเข้ากันกับสีผิวของหล่อน ดาริกายิ้มให้กับชายหนุ่มก่อนจะยกมือขึ้นประนมไหว้อย่างสวยงาม ราวกับถอดมาจากหนังสือสมบัติผู้ดีทุกขั้นตอน
    “สวัสดีค่ะ คุณชายภาสกร ดิฉัน เพิ่งมาพบวันแรกก็มาสายเสียแล้วต้องขอโทษด้วยค่ะ” แม้เสียงก็ยังหวานซึ้งจับใจ ราวเสียงนกไนติงเกลก็ไม่ปาน
    “ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็เพิ่งมาถึง เชิญคุณหญิงนั่งเถิดครับ” ดาริกานั่งลง จริตกิริยาของหล่อนดูอ่อนช้อยงดงามไปหมด หากย้อนไปในอดีตภาสกรมั่นใจว่าหล่อนคนนี้ต้องเป็นนางรำคนใดคนหนึ่งกลับชาติมาเกิดเป็นแน่
    สาวใช้ เสิร์ฟกาแฟหอมกรุ่นเคียงคู่กับน้ำเปล่าใสเย็นให้คุณหญิง และเลขานุการ ก่อนที่ดลนภาจะลุกขึ้นประกาศเรื่องที่ต้องแจ้งให้ทราบ และชี้แจงเรื่องวาระการประชุม
    การประชุมเริ่มด้วยเรื่องคอนเซ็ปต์ของงาน เนื่องจากเป็นงานซัมเมอร์ จึงจัดใต้คอนเซ็ปต์ Ladies on the Beach โดยคุณหญิงดาริกา จะเนรมิตรันเวย์ขึ้นทอดตัวยาวไปบนหาดทรายมีการเดินแบบของชุดสามสไตล์รับฤดูร้อน โดยมีชุดไปเที่ยวทั่วไปสำหรับเดินเที่ยวตอนกลางวัน ชุดว่ายน้ำหรือชุดชายหาด สำหรับตอนเย็น และ ชุดราตรีสำหรับงานราตรีบนชายหาดในตอนกลางคืน
    “คอนเซ็ปต์ของซัมเมอร์ปีนี้ ดิฉันออกแบบไว้สำหรับเที่ยวทั่วไปตอนกลางวัน ว่ายน้ำตอนเย็น และ งานปาร์ตี้ริมหาดตอนกลางคืนค่ะ เพราะคนที่มาทะเลช่วงหน้าร้อนย่อมจำเป็นต้องแต่งตัวกันตามโอกาสต่างๆอยู่แล้ว ลูกค้าที่มาชมจะได้พบกับเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่หลากหลายไว้ใช้ตลอดวันค่ะ” หญิงสาวพูดด้วยเสียงอ่อนหวาน จังหวะสม่ำเสมอ คล้ายเสียงดนตรี พลางหยิบแบบชุดต่างๆที่ร่างไว้คร่าวๆ ส่งให้ภาสกร
   เข็มนาฬิกาเดินเล่นอ้อยอิ่งไปได้อีกสักพัก ภาสกรก็ยิ้มให้เมื่อหญิงสาวกล่าวจบแล้ว “ฟังแล้วพอจะเห็นภาพครับว่าจะต้องเป็นแฟชั่นโชว์แห่งปีแน่ๆ คอนเซ็ปต์ของงานแปลกไม่เหมือนกับที่ผมเคยดูทั่วไป”
    “ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวรับคำ “ดิฉันขอความเห็นของคุณชายด้วย ถ้าหากว่าแนวความคิดนี้ยังไม่ดีเท่าที่ควร และขอปรึกษาคุณชายเรื่องเครื่องประดับที่จะใช้ในงานทั้งหมดด้วยค่ะ”
    ภาสกร รับภาพร่างของชุดทั้งสามแบบมาดูให้ผ่านตา ก่อนจะตอบไปอย่างที่ใจคิด “ผมไม่เห็นข้อบกพร่องเลยครับคุณหญิง ส่วนเรื่องเครื่องประดับไว้ใจได้เลยนะครับทางเราจะช่วยออกแบบให้เข้ากับชุดของคุณหญิงแน่ๆ...”
    การประชุมผ่านไปค่อนข้างช้า ทว่าไม่มีใครคิดเบื่อหน่ายกับการประชุมครั้งนี้เลย เป็นเพราะคุณหญิงดาริกาพูดเก่งและมีเสน่ห์มากเสียผู้ฟังไม่รู้ตัวว่าเวลาล่วงเลยมาสอง สามชั่วโมงแล้ว พอได้ข้อสรุปและปิดประชุมเรียบร้อยแล้ว ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันไป ทว่าภาสกรกลับรั้งท้าย ให้ทันที่ดาริกากำลังเก็บของจะเดินลงชั้นล่างไปพอดี
    “คุณหญิงครับ”
    ดาริกาหันมา ทันทีที่หล่อนสบตากับภาสกรหล่อนก็ยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง “ว่าอย่างไรคะ คุณชาย”
    เลขานุการสาวของดาริกา หยุดตามมิได้เดินล่วงหน้านายหญิงไปก่อนหากยืนสงบเสงี่ยมอยู่ข้างประตูภาสกรมองหญิงสาว ทำให้ดาริกาพอจะเข้าใจจึงหันไปพูดกับเลขาของหล่อนเบาๆพอได้ยินกันสองคน
    “ลำดวน ฉันฝากเอกสารไปไว้บนรถด้วย เดี๋ยวฉันตามลงไป”
   เลขานุการสาวเดินออกจากห้องไป ก่อนหน้าดลนภาที่มองคุณชายแปลกๆแต่ก็ไม่ได้ตัดสินใจถามอะไร เพียงปล่อยให้ชายหนุ่มยืนอยู่กับหญิงสาวอย่างนั้นตามลำพังเพียงสองคน “เอาล่ะค่ะคุณชายมีอะไรพูดกับดิฉันหรือคะ”
    “ผมอยากถามคุณหญิง” เขาเริ่ม “ว่าพอจะมีเวลาไปนั่งทานอาหารเย็นกับผมไหม จะได้คุยกันเรื่องความร่วมมือของห้องเสื้อคุณหญิง กับ ร้านอัญมณีของผมไปด้วย”
   “คุณเรื่องงานหรือคะ ดิฉันคิดว่าคุณชายมีเรื่องส่วนตัวคุยกับดิฉันเสียอีก” ดาริกาแย้มปากสีชมพูอ่อนนั้นให้ภาสกรก่อนจะตอบอย่างทีเล่นทีจริง “ไปซีคะ ดิฉันไม่ค่อยคุ้นทางในพัทยา ถ้าคุณชายจะกรุณาแนะนำร้านอร่อยให้ละก็ ดิฉันจะยินดีมากค่ะ”
    ภาสกรยิ้มให้กับหญิงสาวก่อนจะเปิดประตูกระจกของห้องประชุม ให้หล่อนเดินออกไปก่อนแล้วจึงตามลงบันไดไป
    
    ร้านที่ภาสกรแนะนำ อยู่ไม่ไกลจาก รชตานันต์ อัญมณีนัก เขาจึงเป็นคนขับรถนำหญิงสาวไปก่อน ให้ดาริกานั่งรถของหล่อนตามกันไปจนถึงร้าน หากไม่รู้จักจริงๆ ร้านนี้ ก็เป็นเหมือนร้านอาหารส่วนใหญ่ที่อยู่ในละแวกนี้ไม่ได้โดดเด่นอะไรมากมาย เป็นเพียงร้านธรรมดาริมชายหาด ตกแต่งแบบบ้านๆ ร้านหนึ่งเท่านั้น ภาสกรติดนิสัยทำอะไรสบายๆ ไม่ชอบพิธีรีตองนัก ดังนั้น เขาจึงเลือกมาร้านแบบนี้ มากกว่าไปร้านอาหารที่มีแต่ของแพงๆ
    “ได้บรรยากาศมากกว่าครับ ทานไป สูดลมทะเลไป”
    ด้วยเหตุนี้ดาริกาจึงไม่ได้บ่นอะไร ชายหนุ่มแอบคิดในใจว่า หากหญิงสาวตรงหน้าเป็นทิฆัมพรละก็หล่อนคงจะกรี๊ดใส่เขาทันทีที่มีโอกาสเห็นหน้าตาของร้านเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงรสชาติ หรือราคาของอาหารเลยด้วยซ้ำ
    ทั้งคู่พูดคุยกันด้วยเรื่องทั่วไปจนบริกรยกอาหารมาเสิร์ฟ ซึ่งก็เป็นอาหารทะเลแบบง่ายๆ แต่ถ้าเป็นรสชาติแล้วทั้งสด ทั้งอร่อย จนดาริกาอดปากชมไม่ได้ตั้งแต่คำแรกที่ได้กิน
    “อร่อยเชียวค่ะคุณชาย” หล่อนป้องปากด้วยอาการอ่อนช้อย หากมีความเป็นกันเองกว่าเมื่อตอนอยู่ในห้องประชุม “ไม่น่าเชื่อว่าคุณชายจะรู้จักร้านแบบนี้ ดูธรรมดา แต่รสชาติดีกว่าร้านอาหารในกรุงเทพมากเทียวค่ะ”
    ภาสกรยิ้ม
    “พี่ดล เลขานุการของผมเคยพาผมมาที่นี่ครับ ผมเห็นว่ารสชาติดี อร่อยไม่แพ้ภัตตาคารหรูๆ ก็เลยถือโอกาสพาคุณหญิงมายืนยัน”
    “งั้นขอยืนยันเลยล่ะค่ะ ว่าอร่อยจริงๆ” หล่อนตักปลาหมึกเข้าปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยพองาม ไม่ได้มูมมาม แต่ก็ไม่เสแสร้งจนดูออกว่าแสร้งทำเป็นผู้ดี อย่างที่ทิฆัมพรมักเป็นบ่อยๆ
    “ท่านหญิงทิพยวรรณยังสบายดีอยู่นะครับ พอดีผมไม่ได้ไปงานเลี้ยงวันเกิดของคุณป้าเพ็ญแข ก็เลยยังไม่ได้เจอท่าน” ภาสกรถามขึ้น
    “ท่านแม่สบายดีค่ะ” หล่อนตอบพลางยิ้มให้ก่อนจะพูดประโยคต่อไป “พอดีหญิงเพิ่งกลับมาจากฝรั่งเศส ก่อนงานวันนั้น ท่านแม่ก็รับสั่งว่าจะแนะนำให้รู้จักกับพี่ชาย ว่าเป็นคนหนุ่มฝีมือดีทำเกี่ยวกับอัญมณีอยู่เป็นโอรสของท่านชายเรืองเดช... แต่ไม่คิดค่ะว่าจะยังหนุ่มขนาดนี้”
    สรรพนามเริ่มเปลี่ยนจาก ดิฉัน มาเป็น หญิง อย่างสนิทปาก ภาสกรเห็นว่าคุณหญิงพยายามทำตัวให้เป็นกันเองก็ใจชื้น ว่าหล่อนไม่ได้เล่นตัวอย่างที่คิดไว้แต่แรก
    “นั่นซีครับ ผมเองก็ไม่คิดว่าคุณหญิงเด็กขนาดนี้เหมือนกัน” เขายิ้ม “หม่อมแม่เล่าให้ฟังว่าธิดาท่านหญิงทิพยวรรณ เรียนด้านแฟชั่น แต่เพิ่งรู้ครับว่า ไปเรียนถึงฝรั่งเศสด้วย มิน่าถึงไม่ค่อยเจอกันตามงานสังคม”
    “ค่ะ หญิงไปตั้งแต่เรียนตรี จนจบก็หาคอร์สใหม่ๆเรียนที่โน่น แต่ก็ไม่ได้โทกลับมาค่ะไม่ไหว” หล่อนทำหน้าทำตาประกอบการพูดการจา ภาสกร อดสังเกตไม่ได้ว่า แม้ยามขมวดคิ้ว หรือ เลิกคิ้วไปตามอารมณ์ หญิงสาวคนนี้ก็ไม่ได้มีริ้วรอยใดๆ ให้เห็นเลย หล่อนคงเป็นประเภทเดียวกับเขาคือสบาย ไม่มีเรื่องให้เครียด หรือ ต้องทำงานอะไรหนักหนานักจึงมีเวลาบำรุงตัวเองจนสวยอยู่ตลอด “แต่ต่อให้อยู่ในไทยหญิงก็ไม่ค่อยได้ไปงานสังคมหรอกค่ะ ไม่ชอบอะไรเป็นพิธีรีตองนัก”
    ภาสกรหัวเราะลงลูกคอเบาๆ
    “ท่าทางคุณหญิงจะเหมือนผมไม่มีผิด ผมเองก็ไม่ชอบอะไรแบบนี้ครับ อย่างงานสังคม หรือ งานเลี้ยงบรรดาเจ้าๆ นายๆทั้งหลาย ผมก็ไม่ชอบทั้งนั้น ต้องทำตัวเกร็งไม่เป็นตัวของตัวเองลำบากน่ะครับ”
    “นั่นซีคะ ดูจากร้านอาหารที่เลือกมานี่ก็นับว่าประทับใจค่ะ หญิงคิดว่าคุณชายจะพาไปพวกภัตตาคารแพงลิบ เหมือนให้กินเงิน กินทอง แล้วต้องนั่งตัวเกร็งทำเป็นรักษามารยาทแบบนั้น” หญิงสาวพูดจบประโยค ก็ยกแขนขวาขึ้นตั้งศอกบนรั้วไม้เล็กๆที่อยู่ข้างโต๊ะ หล่อนแนบใบหน้าลงเท้าคางแล้วมองออกไปยังชายหาดที่อยู่ไม่ไกลนัก
    ลมพัดจากทะเล เข้ามาถึงตรงนั้น ผมสีน้ำตาลไหม้ของหญิงสาวปลิวไสวออกพ้นหน้า ยิ่งทำให้ดวงหน้าของหล่อนเด่นชัดขึ้นมาก จนภาสกรอดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองบ่อยๆ สีหน้าจะว่าเรียบสนิทภาสกรก็ไม่อาจบอกได้ เพราะหล่อนก็ดูเหมือนจะยิ้มที่มุมปากเล็กๆราวนึกอะไรขึ้นมาได้ในหัว หากแต่สีหน้าของหล่อนแบบนี้ แม้ยามที่วางหน้าเรียบเฉยก็ยังดูคล้ายกับอมยิ้มละไมอยู่ในตัวตลอดเวลา... เหมือนรูปสลัก ภาสกรได้แต่คิดแบบนั้น
    “คิดถึงเมืองไทยค่ะ” หล่อนว่า น้ำเสียงที่เจื้อยแจ้วกลับเป็นสงบเงียบทว่าคงความอ่อนหวานเอาไว้ตามแบบของหล่อน “ตอนอยู่ฝรั่งเศส ที่คิดถึงที่สุดคือทะเล แต่ นีส หรือ มาร์เซยล์ ก็เทียบไม่ได้กับ กระบี่ ภูเก็ต หรือแม้แต่พัทยา ตรงที่ไม่มีเตียงผ้าใบแล้วก็เด็กๆ วิ่งขายมะพร้าวน้ำหอมแล้วก็ปูนึ่งนี่ล่ะค่ะ”
    “ฟังคุณหญิงพูด อย่างกับตอนนี้ไม่ได้อยู่ในไทยอย่างนั้นแหละครับ”
    “แหม หญิงเพิ่งกลับมาได้ไม่กี่วันเองนะคะ ยังไม่ทันได้เที่ยวเลย”
    “นี่ไงครับมาพัทยาถือว่ามาเที่ยวแล้ว” ภาสกรพูดไปหัวเราะไป “ต่อไปถ้าคุณหญิงไม่มีเพื่อน มาหาผมที่ร้านก็ได้นะครับ ถ้าผมว่างผมจะอาสาเป็นไกด์พาเที่ยวเองถ้าไม่ว่างให้พี่ดลพาไปครับ เธอรู้ทุกที่”
    “ได้ค่ะ แล้วจะใช้บริการนะคะคุณชายไกด์”
    ทั้งคู่หัวเราะ เหลือบดูนาฬิกาอีกทีก็เกือบห้าโมงเย็นเข้าไปแล้ว คุณชายลืมนึกถึงนทีไปเลย ป่านนี้ชายหนุ่มจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ จะเร่งก็จะดูแย่เพราะเขาเองเป็นคนชวนหญิงสาวมาที่นี่จะกลายเป็นเสียมารยาทไป
    แต่พอดีหญิงสาวเองกลับพูดขึ้นมาก่อน
    “ขอโทษนะคะคุณชาย พอดีหญิงมีธุระต้องรีบกลับกรุงเทพค่ะ เสียดายไม่ทันได้คุยเรื่องธุรกิจ มัวแต่คุยกันเรื่องส่วนตัว”
    “ไม่เป็นไรหรอกครับ ดีเสียอีก คุณหญิงจะได้ไม่เครียด เพิ่งกลับมาไทยแท้ๆ ไว้คราวหน้าค่อยคุยกันก็ได้ครับ ผมว่าคุณหญิงคงไม่รีบร้อน”
    “ไม่รีบเลยค่ะคุณชาย ว่าแต่คราวหน้านี่ คงได้คุยเรื่องงานกันจริงๆนะคะ” หล่อนหัวเราะเบาๆ
    “ครับผม”
    ภาสกรสั่งเก็บเงิน ซึ่งทางร้านก็จัดแจงคิดเงิน เก็บ และทอนอย่างรวดเร็วกว่าตอนบริการอาหาร ซึ่งเป็นแบบนี้กันแทบจะทุกร้านคือ ตอนสั่งอะไรให้ทำอะไรมักจะชักช้า แต่พอเก็บเงินปั๊บรวดเร็วแบบไม่ต้องง้องอนเลยทีเดียว
    “คุณชายให้หญิงช่วยค่าอาหารเถอะค่ะ หารกันคนละครึ่ง”
    “ไม่ได้ครับ ผมเป็นผู้ชายนะชวนคุณมาเองด้วยให้คุณมาออกเงินเดี๋ยวก็ถูกคนเขานินทาเอาแย่”
    “แต่หญิงทานมากกว่าคุณชายอีกนะคะ ไม่รู้แหละถ้าคุณชายไม่ยอมหญิงจะทิ้งเงินไว้บนโต๊ะอย่างนี้ล่ะค่ะ” หล่อน ส่งยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์มาให้ ทำนองว่าถ้าไม่ยอมละก็หล่อนพร้อมจะทำอย่างที่ขู่ไว้จริงๆ
    “งั้นเอาอย่างนี้แล้วกันครับ คราวหน้าคุณหญิงค่อยเลี้ยงผมบ้าง โอเคไหมครับแลกกัน” เขายิ้มให้บ้าง หญิงสาวจึงยอมใจอ่อนเพราะหากเถียงกันไปแบบนี้ ก็ไม่จบไม่สิ้นไม่ได้กลับกรุงเทพกันพอดี
    “ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่คุณชายค่ะ แต่คราวหน้าต้องให้หญิงเลี้ยงจริงๆนะคะ จะเลือกร้านให้ด้วยถ้ามีปฏิเสธอีกหญิงโกรธจริงๆ”
    ภาสกรทำได้เพียงยิ้มเท่านั้นจากนั้นก็เดินมาส่งคุณหญิงที่รถที่จอดรอไว้บริเวณซอยข้างๆร้าน คนขับรถเห็นนายตั้งแต่ลุกจากโต๊ะแล้ว ก็ขับปราดมารับที่หน้าร้านที่เป็นถนนใหญ่ ดาริกายืนคุยกับคุณชายอีกสองสามคำ ก่อนจะก้าวขึ้นรถเมื่อคนขับรถเดินอ้อมมาเปิดให้ หญิงสาวจึงกล่าวอำลาอีกครั้งก่อนที่รถจะขับออกจากพัทยามุ่งตรงกลับเข้ากรุงเทพ
    คุณชายยิ้ม ออกมาอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ อัธยาศัยแบบดาริกานี้ เขาชอบที่สุดเรียกได้ว่าประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอจริงๆ ชายหนุ่มเดินยิ้มไปขึ้นรถที่จอดอยู่ข้างร้านนั้นเช่นกันไม่ทันจะได้ขึ้นรถพนักงานของร้านก็วิ่งเอาอาหารที่คุณชายสั่งห่อกลับไว้ต่างหากมายื่นให้
    เกือบลืมแล้วไหมล่ะ
    ภาสกรขึ้นรถขับออกไปจากบริเวณนั้นตรงไปที่โรงพยาบาลทันทีโดยไม่รู้แม้สักนิดเดียวว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นอยู่ในสายตาของหญิงสาวคนหนึ่งทุกขั้นตอน แม้ว่าหล่อนจะยืนมองมาจากชายหาดก็ตาม    

***********************************************************************

ตัวละครโผล่มาครบแล้วครับ เหลือแต่พ่อเลี้ยงเก็บไว้ทีหลังก่อนถ้าโผล่มาเมื่อไหร่คนอ่านของผมคงพร้อมใจกันเกลียดทั้งเขา ทั้งผมแน่ เลยเอาตัวละครน่ารักๆมาฝากก่อนครับ คุณหญิงดาริกา เป็นตัวละครที่ผมชอบที่สุดในเรื่องนี้ครับ เธอสำคัญมากๆในเนื้อเรื่องตอนต่อๆไปจากนี้ครับ เลยขอยกบทนี้ให้เธอก่อน ใครอยากอ่านเฉพาะโมเมนต์คุณชาย-นที ขอให้รอตอนต่อๆไปนะครับ ขอปูตัวละครให้ครบก่อน

อย่างที่บอกว่าเป็นนิยายแนวชีวิตฉะนั้นตอนนี้อาจจะเรื่อยๆไปบ้างต้องขอโทษนะครับ เห็นด้วยกับที่มาคอมเมนต์ว่าเดินเรื่องช้าไป จะบอกว่าจริงๆคุณชายนี่แต่งก่อนปางบรรพ์อีกครับ(ช่วงที่หาข้อมูลมาเขียนปางบรรพ์) แต่งเรื่องนี้ไป 20 กว่าบทก็ไปแต่งปางบรรพ์แล้วพอแต่งปางบรรพ์เสร็จก็กลับมาเรื่องนี้ ฉะนั้นช่วงต้นๆ สำนวนจะประหลาดๆไม่ลงตัว การเดินเรื่องก็เรื่อยๆไปนิด ขอโทษด้วยครับ พยายามแก้แล้วแล้วก็จะเอาไปพัฒนาในบทหลังๆจากนี้ครับ (แต่อย่างน้อยก็จะเห็นพัฒนาการของท่วงทำนองการเขียนได้บ้างหละ แหะๆ)

ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามครับ อิอิ

หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 8 - 09/03/11 - 19.20
เริ่มหัวข้อโดย: Little Devil ที่ 09-03-2011 21:48:48
คุณชายวางแผนอะไร
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 8 - 09/03/11 - 19.20
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 09-03-2011 22:05:54
ล้างหม้อเตรียมใส่มาม่ายี่ห้อพ่อเลี้ยงไว้รอดีกว่า  ท่าทางจะมากมาย
ตอนนี้สงสัยว่าใครฟระมายืนมองคุณชาย  หรือว่าจะเป็นทิฆัมพร  หรือจะเป็นปุยฝ้าย  หรือใคร
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 8 - 09/03/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: ♠♥♦♣ ที่ 10-03-2011 00:24:24
ใครมายืนมองอ่ะ หรือว่าจะเป็น...เจ้าของร้านอาหาร พอดีคุณชายลืมตังค์ทอน :a5:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 8 - 09/03/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: w1234 ที่ 10-03-2011 01:34:50
ใครมายืนมองอะ :call: :call:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 8 - 09/03/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 10-03-2011 04:02:21
อ่านไปก็อยากจะรู้ต่อไปเร็วๆว่าแต่พ่อเลี้ยงคงชั่วร้ายมากแน่ๆ อิอิ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 8 - 09/03/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: kit ที่ 10-03-2011 05:32:27

๑๗๙ + ๑ = ๑๘๐
ขอบคุณนะคะ คุณ Purple_Sky

หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 8 - 09/03/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 10-03-2011 12:25:33
ขอบคุณมากๆๆค่ะ นั่งรอวันจันทร์กับพุธ
อยากอ่านอีกอะ

ชอบคุณชายมาก
ไม่รู้ว่าสองคนนี้คุณชายกับน้ำจะรักกันยังไง

ติดตามตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 8 - 09/03/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 11-03-2011 00:12:16
หรือดาริกาจะมาเป็นคู่แข่งหัวใจหว่า
ยิ่งสเปคคุณชายท่านอย่างนี้
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 8 - 09/03/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: naja-kitase ที่ 11-03-2011 01:44:00
ใครมาแอบมอง?
แล้วดาริกานี่มาทำไม?
คุณชายคิดอะไรอยู่?
โอ้ววว มีแต่คำส่วน ส่วนพ่อเลี้ยงไม่ต้องเอามันออกมาได้มะ? ไม่อยากเห็น  :serius2:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 8 - 09/03/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: nuewanda ที่ 13-03-2011 22:54:05
อยากอ่านตอนพ่อเลี้ยงแล้วอ่ะ รับรองไม่เกลียดตนแต่งแน่นอน ฮ่าๆๆๆ

พรายกระซิบจากกระทู้ ทางสามสาย ว่าพรุ่งนี้ คุณชายกะนที จะมีโมเม้นท์สองต่อสอง

ปูเสื่อรอ ร๊อ รอ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 8 - 09/03/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 14-03-2011 20:43:18
9
 

     หญิงสาว ผมสีน้ำตาลเข้มซอยสั้นแนบต้นคอขาวระหง เดินกระแทกเท้ากลับมาที่เตียงผ้าใบริมหาดที่หล่อนนั่งเมื่อครู่ ปากเป็นสีแดงจัดเหมือนเดิม แม้ว่าจะนั่งอยู่ชายทะเลก็ตาม ชุดว่ายน้ำตัวเล็กลายทางแบบม้าลายนั้น ปกปิดส่วนที่ไม่ให้อุจาดตาไว้เพียงเล็กน้อย เรียกได้ว่าถ้านั่งไม่ดีละก็เห็นอะไรต่อมิอะไรหมด แว่นตากันแดดสีดำอันใหญ่สวมทับอยู่ทำให้ไม่เห็นดวงตา และคิ้วที่ขมวดแน่นอยู่ข้างใต้ด้วยอารมณ์ฉุนจัด
    “เป็นอะไรครับฟ้า” ชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ พูดทักขึ้นก่อน เขาเป็นชาวไทยลูกครึ่งฝรั่ง หากแต่บอกไม่ได้ว่าเป็นชาติไหน เพราะหน้าตาดูคล้ายคนไทยมากกว่าฝรั่ง มีเพียงการพูดการจา และรูปร่างสูงใหญ่เท่านั้น ที่ทำให้ดูออกว่าไม่ใช่คนไทย
    ชายหนุ่มรูปร่าง หน้าตาคล้ายนายแบบฝรั่งออกไปทาง ละติน นิดๆ ตรงที่จมูกโด่งเป็นสัน ตาคมขนตายาวงอน เสียยิ่งกว่าผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ ผมสีน้ำตาลไหม้ หยักศก ทำให้ใครๆ ที่เดินผ่านไปผ่านมาแถวนั้น ต้องหันมามองสองคนนี้กันให้คอเคล็ด ส่วนที่สวยที่สุดในร่างกายของคนคนนี้ คือตาสีเขียวมรกตที่จับจ้องอยู่ที่หญิงสาวข้างๆ
    “ก็คุณชายภาสกรนะซีคะ” หล่อนพูดเสียงเบา แบบร้อนอกร้อนใจ เพราะถึงอย่างไร หล่อนก็ยังไม่ต้องการให้ใครต่อใครรู้ว่า หล่อนคือทิฆัมพร นางร้ายสาวดาวรุ่งในขณะนี้ และที่สำคัญ หล่อนกำลังอยู่กับผู้ชาย ที่ไม่ใช่ภาสกรเสียด้วย เป็นข่าวขึ้นมาเมื่อไหร่ จบเห่เมื่อนั้น
    “ทำไมหรือ ฟ้าเห็นคุณชายหรือจ๊ะ”
    “ใช่ซี อีริค ละก็ถามได้ ฟ้าเห็นเขาอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง แหมหัวร่อต่อกระซิก ไม่ได้อายฟ้า อายดิน ทีอยู่กะฟ้านะ ยิ้มยังไม่เคยได้เห็นเลย ” หล่อนแทบจะตวาดด้วยเสียงกระซิบ ฟังดูน่าขันในความรู้สึกของ อีริค กอนซาเลซ เพื่อนชายของทิฆัมพร เขาอดขำขึ้นมาไม่ได้ที่หล่อนเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ตอนนี้ เรื่องภาสกรอยู่กับผู้หญิงอื่น ก็ในเมื่อตอนนี้หล่อนก็อยู่กับผู้ชายอื่นเหมือนกันนี่นะ
    “ฟ้าละก็ไปโกรธคุณชายเขา ฟ้าไม่ได้กำลังอยู่กับชายอื่นหรือครับ” เขาทำเสียงยียวน พร้อมยักคิ้วให้ “แล้วเมื่อคืนนี้ฟ้าเองก็หัวร่อต่อกระซิกกับผมเหมือนกัน นะครับ เพียงแต่คุณชายนั่นไม่มีโอกาสได้เห็นเท่านั้นเอง”
    หญิงสาว คลายคิ้วที่ขมวดกันออก แต่ก็ไม่ถึงกับยิ้มด้วยอารมณ์ดี เพียงทุบที่ต้นแขนที่เต็มไปด้วยกล้ามของเพื่อนหนุ่มเบาๆเท่านั้น
    “อีริคละก็ บ้าจริงพูดตรงนี้ เดี๋ยวใครได้ยินเข้า”
    “ถ้าอย่างนั้น ก็ไปคุยกันในโรงแรมก็ได้จ้ะ” ชายหนุ่มโดนเข้าอีก ตุ้บ ใหญ่ๆ ก่อนที่ทิฆัมพรจะพึมพำออกมาด้วยความสงสัย
    “แล้วยังห่ออาหารกลับบ้านอีก... อะไรกันนะ หรือว่ายังมีอีกคนที่บ้าน” ลมเพชรหึงพัดเข้าใส่จนหล่อนหน้ามืดไปหมดเมื่อคิดว่า ภาสกรอาจมีสาวๆ ไว้นอน กกที่บ้านก็ได้ ในขณะที่ฝ่ายนั้นไม่เคยไยดีหล่อนเลยว่าหล่อนจะไปไหนกับใคร หรือนอนกกใครคนอื่น ภาสกรไม่เคยสนใจเลยสักครั้ง
    ถึงอย่างนั้น หล่อนก็ไม่เคยรักภาสกร เพียงแต่คิดว่า ในเมื่อผู้ใหญ่ก็จะจับคู่ให้เขากับหล่อนอยู่แล้ว การแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของนิดๆก็ดูสมเหตุสมผล อย่างไรเสียหล่อนกับเขาก็ต้องได้เป็นสามีภรรยากัน
    ส่วนหนุ่มละตินข้างๆนี่ พอคบฆ่าเวลาไปพลางๆ ก็ดีไม่ใช่น้อย ช่วยคลายเหงาได้บ้างเวลาที่ภาสกรไม่เอาอกเอาใจ ไม่เอาใจใส่หล่อนแบบนี้ ที่หล่อนมาพัทยา ก็เพื่อมาหาหนุ่มนายแบบคนนี้เท่านั้น แล้วจะไปคิดเรื่องภาสกรทำไมเล่า
    แต่คนอย่างทิฆัมพร ลองว่าได้เห็นภาพที่ปวดใจอย่างนี้ หล่อนไม่ทนปวดใจคนเดียวแน่ หญิงสาววาดแผนอยู่ในใจ ขั้นแรกต้องสืบให้ได้ว่าภาสกรแอบมีเมียไว้ที่พัทยาจริงๆหรือเปล่า ขั้นที่สองแบ่งเอาแผลในใจของหล่อนไปให้หม่อมวิไลวรรณ แม่ของภาสกร ได้แบกรับบ้างแล้วขั้นที่สามก็จะสัมฤทธิผล คือภาสกรจะต้องพ่ายแพ้
    ผู้หญิงคนนั้น และ อีกคนที่แอบซุกไว้ที่บ้าน จะไม่มีทางได้ผู้ชายที่หล่อนหมายมั่นจะแต่งงานด้วยเด็ดขาด
    ทำตามแผนขั้นแรกเสียก่อน
    แหล่งข้อมูลหาได้ไม่ไกลนัก เพียงนั่งรถไป สามสี่บล็อกก็ถึง ร้าน รชตานันต์ อัญมณี หล่อนมั่นใจว่าดลนภาจะตอบคำถามทุกข้ออย่างแน่นอน
    แต่ก่อนจะต้องไปเหนื่อยกับแผนการเหล่านั้น ขอเสวยสุขกับพ่อหนุ่มละตินก่อนก็แล้วกัน
    “อีริคว่า เราจะไป ‘คุย’ อะไรกันที่ โรงแรมนะคะ”

    พอ ภาสกรมาถึงโรงพยาบาล นายแพทย์มิ่งเมืองก็ตรวจอาการของนทีเสร็จพอดี คลาดกันไปไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ ดังนั้นในห้องตอนที่ภาสกรเข้ามา จึงมีเพียงนที และ ปุยฝ้ายที่กำลังดูโทรทัศน์กันอยู่เท่านั้น
    “มาแล้วครับ อาหารทะเล ผมซื้อมาฝาก”
    ปุยฝ้าย มองหน้านทีครั้งหนึ่งก่อนจะหัวเราะแก้เก้อ เดินเข้ามาหาชายหนุ่ม ทำเป็นช่วยจัดของยังไม่กล้าที่จะบอกสิ่งที่จำเป็นต้องบอกเขาตอนนั้น
    “ แหม คุณ ช... คุณ ภาสกรก็ เดี๋ยวทางโรงพยาบาลก็จัดของมาให้แล้ว ฝ้ายกับไอ้น้ำ เกรงใจแย่เลยค่ะ” ปุยฝ้ายพูดไป ยิ้มแหยๆไป
    “ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ ผมไปทานมากับลูกค้า ก็เลยสั่งกลับมาฝากคุณฝ้ายกับคุณนทีด้วยเลย ไม่รู้ว่าชอบอะไรกัน เท่าที่ซื้อมาก็มี ข้าวผัดปูกุ้ง โป๊ะแตก แล้วก็ปลาทอด ไม่รู้ว่าจะชอบกันหรือเปล่า”
    “ไอ้น้ำชอบกินข้าวผัดนี่นา”
    ชายหนุ่มบนเตียงส่งยิ้มแหยๆมาให้ ก่อนจะเอ่ยคำขอบคุณ
    “ขอบคุณ คุณภาสกรมากครับ แต่คราวหน้าผมขอแค่อาหารของโรงพยาบาลก็เกรงใจจะแย่แล้วครับ”
    “ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้ลำบาก พอดีแวะไปทานมาอยู่แล้ว ก็เลยซื้อมาฝาก คุณฝ้ายกับคุณนที ตามสบายเลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ” ชายหนุ่มยิ้ม ให้นทีที่มองเหมือนว่าตัวเองทำผิดอะไรไว้ จะลงมาช่วยแกะอาหารใส่จานก็ทำไม่ได้จึงได้แต่มองให้กำลังใจเท่านั้น
    ปุยฝ้ายและภาสกรจึงแกะอาหารใส่จานชามกันอย่างขะมักเขม้น จานชามพวกนี้ ภาสกรเป็นคน ขนมาจากบ้านที่พัทยานี้เอง มันจึงเป็นจานกระเบื้องสีขาวขลิบทอง ที่ขอบมีลายดอกกุหลาบสีทองสวยงาม ไม่ใช่จานชามพลาสติกแบบที่ใช้กันวันแรกๆ จานชามของภาสกรพวกนี้ ในความเห็นของนทีน่าจะเอาไปใส่ตู้โชว์มากกว่ามาใส่ของกิน
    เขาเป็นคนฐานะปานกลางถึงยากจนมาเสมอ เขาจึงไม่ชอบนักที่คนรวยพวกนี้ใช้ของฟุ่มเฟือย กันราวกับผลิตเงินทองใช้เอาเอง เงินซื้อจานหนึ่งใบของภาสกร นทีสามารถซื้อข้าวกินได้เป็นอาทิตย์เลยด้วยซ้ำ
    ปุยฝ้ายตักข้าวผัด และแกะปลาให้เพื่อนหนุ่ม นทีลุกขึ้นนั่งอย่างลำบากเพราะเขาไม่สามารถใช้มือซ้ายยันตัวขึ้นนั่งได้เพราะแขนหักอยู่ ภาสกรจึงเข้าไปช่วยประคองให้ ภาสกรเห็นเด็กหนุ่มหลบตาเขา ไม่กล้าสบตาเขาตรงๆ ก็เห็นว่านที เป็นเด็กขี้เกรงใจเสียเหลือเกิน
    เขาอดคิดไม่ได้ว่า หากเขาสองคนเจอกันในสถานการณ์อื่นๆละก็เด็กหนุ่มก็คงจะเป็นเพื่อนรุ่นน้องที่ดีคนหนึ่งได้
    “ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มกล่าวขอบคุณ ราวกับเป็นคำพูดติดปากของเขาไปแล้ว ภาสกรยิ้มให้ก่อนที่จะเดินออกมานั่งที่ชุดโซฟารับแขก มองปุยฝ้ายและ นทีกินอาหารเย็นไป ก็ชวนคุยอย่างคนที่ทนความเงียบไม่ได้นานนัก
    “แล้ววันนี้ คุณหมอมาตรวจว่าอย่างไรครับ”  
    ปุยฝ้าย และ นทีมองหน้ากันเลิ่กลั่กอีกครั้ง ปุยฝ้ายไม่กล้าจะพูดออกมาก่อน ทำให้ชายหนุ่มที่อยู่บนเตียงตัดสินใจพูดขึ้นมาเอง
    “คุณหมอบอกว่า ตอนนี้อาการของผมดีขึ้นมากแล้ว แต่ว่ายังไม่แน่ใจว่าที่หัวกระแทกจะมีผลอะไรกับสมองหรือเปล่า ก็เลยอยากให้ผมไปนอนที่ห้องแล็บ อะไรสักอย่างผมไม่ค่อยเข้าใจนักหรอกครับ แต่ถ้านอนที่แล็บหนึ่งคืน คุณหมอก็จะตรวจได้ทุกอย่างตั้งแต่สมอง หัวใจ กล้ามเนื้อ อะไรทำนองนั้นแหละครับ จะได้ไม่ต้องรอตรวจไปทีละอย่าง”
    “ก็ดีนี่ครับ แล้วต้องเข้าตรวจวันไหนล่ะครับ ผมจะได้คุpกับคุณหมอเรื่องรายละเอียด แล้วก็ค่าใช้จ่าย”
    “คือ..” นทีมองหน้าปุยฝ้ายอีกครั้ง เหมือนจะเรียกหาความมั่นใจอยู่กลายๆ แล้วก็พูดต่อประโยคจนจบได้ “ผมปฏิเสธไปแล้วครับ ค่าใช้จ่ายมันสูง คืนละหลายหมื่น แล้วผมว่าผมก็ไม่เป็นอะไรแล้วอีกไม่กี่วันผมก็คงออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว ก็เลยคิดว่า...”
    “ไม่ได้นะครับคุณนที คุณต้องเข้ารับการตรวจซีครับ ตอนนี้ดูเหมือนคุณไม่เป็นอะไร แต่ถ้าเกิดสมองคุณมีปัญหาขึ้นมา คุณก็ต้องกลับมารักษาใหม่อยู่ดี สู้ตรวจอาการอะไรให้ละเอียดที่สุดว่า ไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ แล้วก็รักษาตัวให้สบายแน่ๆก่อน แล้วค่อยกลับไปไม่ดีกว่าหรือครับ”
    “ผมไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆครับ อีกอย่าง ค่าใช้จ่ายก็สูงมากผมไม่อยากรบกวนคุณ ถ้าหากว่า..”
    “เรื่องค่าใช้จ่ายผมว่าคุณอย่ากังวลเลยนะครับ” ภาสกรเริ่มพูดไปขมวดคิ้วไป เขาจะยอมให้เด็กคนนี้ออกจากโรงพยาบาลไปก่อนไม่ได้แน่ๆ หากไปเป็นอะไรข้างนอกเข้าจริงๆ เขาก็คงไม่รู้อะไรด้วย แล้วเขาก็จะต้องรู้สึกผิด รู้สึกบาปไปจนตาย “...ถ้าคุณกลัวผมจะลำบาก ผมไม่ลำบากอะไรเลยนะครับผมยินดี....”
    “ผมทราบครับว่าคุณไม่ลำบาก” ชายหนุ่มเริ่มมีอารมณ์หนักใจแบบเด็กถูกบังคับให้ทำอะไรที่ไม่ชอบแต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ จนต้องเถียงคอเป็นเอ็นอยู่นานเผื่อว่าจะได้อย่างที่ตัวเองต้องการบ้าง “แต่ผมหามาคืนคุณไม่ได้ งานผมก็ไม่มี พ่อแม่ผมก็ไม่มี ผมเองก็ยังเรียนไม่จบ เงินเก็บยิ่งไม่ต้องพูดถึง ผมจะหามาคืนคุณยังไง เงินเยอะแบบนี้ คุณเองก็ไม่ใช่ว่าจะเอามาให้ผมฟรีๆได้”
    ชายหนุ่มเกือบหลุดคำว่า คุณเองก็ไม่ใช่พ่อใช่แม่ใช่ญาติพี่น้องผมด้วย จะมาเป็นห่วงเป็นใยผมทำไม แต่ก็ยั้งปากเอาไว้เพราะถือว่าอย่างไร ภาสกรก็เป็นผู้มีพระคุณของเขา
    “ไม่เป็นไร ถ้าคุณไม่สบายใจละก็ คุณมาทำงานกับผมก็ได้ ผมมีบริษัทของผมอยู่ คุณมาทำงานใช้เงินผมก็แล้วกัน” แม้จะรู้สึกแปลกๆ แต่ภาสกรก็พูดคำนี้ออกไปแล้ว อย่างน้อยก็ให้ชายหนุ่มหัวดื้อคนนี้ สบายใจขึ้นบ้าง
    ปุยฝ้ายกินเสร็จแล้ว หล่อนจึงเดินไปล้างจานที่บาร์ไปพลางฟังบทสนทนาของสองหนุ่มไปพลาง ยังไม่กล้าออกความเห็นอะไรทั้งนั้น
    “ถึงคุณจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ...” นทีทำท่าจะบ่น ปุยฝ้ายจึงแทรกขึ้นมา
    “แกก็ได้ยินที่คุณภาสกรเขาพูดแล้วนี่ นที แล้วหมอก็บอกแล้วด้วยว่าถึงจะฟังดูแพง แต่วิธีนี้ก็ประหยัดกว่า แถมยังเร็วกว่าไปเข้าตรวจทีละอย่าง สองสามวันรู้ผล... แล้วก็ไม่ต้องบอกด้วยว่าแกจะไม่ตรวจ เกิดแกออกไปเป็นอะไรข้างนอก ฉันจะส่งแกเข้าโรงพยาบาลทันไหม ตรวจไปทีเดียว รักษาไปทีเดียว แล้วก็ไปทำงานใช้เงินคุณชายที่บริษัท ฉันจะช่วยออกเงินอีกแรง โอเคไหม... จบ”
    เท่านั้น ชายหนุ่มก็ยอมจำนน แม้ว่าจะอยากเถียงแทบตาย แต่ก็ยังดีที่มีคนเป็นห่วงและใส่ใจในตัวเขา ทั้งเพื่อนสนิท และคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนแบบภาสกร... อย่างน้อยมันก็รู้สึกอบอุ่นใจแปลกๆ
    กินอิ่มแล้ว ปุยฝ้ายก็ช่วยเก็บจานชามไปล้าง ส่วนภาสกรก็ยังพูดเรื่องเดิม ไม่เปลี่ยนหัวข้อ
    “ถ้าอย่างนั้น ผมจะคุยกับอาหมอพรุ่งนี้ เขาบอกไว้หรือเปล่าครับว่าถ้าจะเข้าตรวจ จะได้ตรวจวันไหน”
    “เห็นคุณหมอบอกว่าจะเป็นวันอาทิตย์นี้ค่ะ” ปุยฝ้ายเป็นคนตอบ
    วันอาทิตย์ หรือ? ...วันนี้ วันพฤหัส ก็อีกสามวันพอดี ดีละ เดี๋ยววันรุ่งขึ้นเขาก็เพียงแต่โทรคุยกับอาหมอ พอตรวจวันอาทิตย์นี้ ก็เป็นสัญญาณนัยๆว่า นทีกับเขาก็คงจะแยกย้ายกันไปภายในอาทิตย์หน้า ... เรื่องวุ่นๆนี้จะได้จบลงเสียที
    ไม่ใช่ว่าเขารังเกียจชายหนุ่ม หากแต่ทุกครั้งที่จ้องมอง ดวงตากลมสีดำสนิท และคิ้วเข้มที่ดูหนาเฉียงลงคล้ายใบหน้าของคนอมทุกข์ตลอดเวลา ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่ และ เสียใจกับการกระทำของตนทุกครั้งไป
    เสียงของปุยฝ้าย ปลุกเขาขึ้นจากความคิดของตัวเอง
    “คุณภาสกรคะ” หล่อนรียกเขา พอชายหนุ่มหันไป ก็พบว่าหญิงสาวล้างจานชามเสร็จแล้ว ในมือถือเสื้อผ้าสองสามชิ้น พอดูออกว่าเป็นชุดหนึ่งชุด ที่จะเปลี่ยนออกไปข้างนอก “คือเมื่อตอนกลางวัน คุณพ่อโทรมาค่ะ บอกว่ามีธุระเรื่องญาติๆ ทางพังงา คือ ฝ้ายต้องไปด้วยน่ะค่ะ ไป ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ กลับ จันทร์เช้า วันนี้ ฝ้ายต้องไปจัดกระเป๋าที่แฟลต แล้วกลับไปนอนบ้านพ่อน่ะค่ะ ตลอดวีคเอนด์นี้ ฝ้ายรบกวนคุณชายอยู่เป็นเพื่อนไอ้น้ำมันได้ไหมคะ”

    ด้วยเหตุผลที่หล่อนกล่าวมานี้เอง เวลานี้ ภาสกรจึงอยู่กับนทีในห้องเพียงสองคน เขายกเก้าอี้จากโต๊ะทานข้าวมาอยู่ข้างๆเตียงของเด็กหนุ่ม เพื่อไม่ให้รู้สึกห่างเหินกันจนเข้าหน้ากันไม่ติด แต่ อีกคนกลับจ้องโทรทัศน์ราวกับว่าสารคดีชีวิตสัตว์ที่กำลังฉายอยู่น่าสนใจมากเสียเหลือเกิน แม้ว่ามันจะน่าเบื่อมากก็ตาม เขารู้ เด็กคนนี้รู้สึกเกร็งเท่านั้น คง ไม่รู้จะพูดอะไรกับเขา มากกว่าสนใจสิ่งที่อยู่ในโทรทัศน์จริงๆ
    ภาสกรจึงต้องเป็นฝ่ายสร้างบรรยากาศอีกครั้ง
    “นที สนใจเรื่องสัตว์ในแอฟริกามากหรือครับ”
    “หือ” เด็กหนุ่มหันมา ในใจคงนึกแปลกใจอยู่มากที่จู่ๆ นายภาสกรก็พูดโพล่งออกมาแบบนี้ เจ้าของคำถามหน้าแดง เมื่อรู้ตัวว่าคำถามที่ถามออกไปนั้น ฟังดูแย่แค่ไหน
    “ก็ผมเห็น คุณจ้องโทรทัศน์อยู่ได้นานๆ ผมไม่ค่อยชอบดูอะไรพวกนี้ แต่เห็นคุณตั้งใจดู ก็เลยสงสัยว่าจะสนใจมากหรือเปล่า”
    นทีหัวเราะ เป็นเสียงหัวเราะที่เขาไม่ลืม
    มันไม่ใช่หัวเราะเสียงดังๆแบบของปุยฝ้าย ไม่ใช่แม้แต่เสียงแหลมๆ เสแสร้งแบบของทิฆัมพร แต่ก็ไม่ถึงกับเสียงนุ่มๆหัวเราะลงลูกคอแบบไม่เปิดปากของคุณหญิง ดาริกา เสียงหัวเราะของนที จะว่าสดใสก็สดใส จะว่าเศร้าก็เศร้า มันฟังเหมือนคนอมทุกข์ที่พยายามทำตัวให้ร่าเริงอย่างนั้น
    เด็กคนนี้จะทุกข์อะไรหนักหนา ภากรคิด
    เสียงเสียงหนึ่งในใจของเขาตอบกลับมาว่า ก็เพราะนายไม่ใช่หรือ ที่ทำให้เด็กคนนี้ ต้องทุกข์หนักถึงขนาดนี้
    ภาสกรดึงตัวเองกลับมาในความเป็นจริง เมื่อได้ยินเสียงตอบของเด็กหนุ่ม เสียงนุ่มๆ แต่ทุ้มต่ำฟังดูไม่ค่อยเต็มใจตอบ
    “ผมไม่ได้ชอบเรื่องสัตว์อะไรนักหรอกครับ เพียงแต่ผมชอบท่องเที่ยว ชอบเห็นอะไรใหม่ๆ แปลกตา ไม่ชอบอะไรที่ซ้ำซากจำเจ คงเป็นเพราะพ่อละมังครับ” ภาสกรรู้สึกว่าคำว่าพ่อ ฟังดูสั่นเครือแปลกๆ กระนั้น ประโยคที่ตามมาก็เป็นประโยคที่เจือด้วยอารมณ์สุข แบบคนที่นึกถึงเรื่องอดีต แล้วอดเล่าแบบสนุกปากไม่ได้
    “ก่อนที่คุณพ่อมาเป็นมัคคุเทศก์ แกชอบพาผมกับแม่ไปเที่ยว เที่ยวในไทยที่แหละครับไปทะเลบ้าง น้ำตกบ้าง ไม่ก็ขึ้นดอยไปถึงแม่ฮ่องสอน แกมักจะหากิจกรรมสนุกๆมาให้เรา สามคนพ่อแม่ลูก ทำด้วยกันเสมอ บางครั้งเราเอาขนมปังไปนั่งปิกนิกกันกลางป่าบ้าง ไปวาดรูปวิวจากบนดอยบ้าง หรือไม่ก็ไปถ่ายรูปกัน บ้างผมเลยติดนิสัยชอบวาดรูป ชอบถ่ายรูป มาตั้งแต่นั้น พอพ่อเริ่มเป็นมัคคุเทศก์แล้วก็มีเวลาให้เราแม่ลูกน้อยลง
    แต่ผมยังจำได้นะ ผมยังชอบที่สุดเลย เวลาไปเดินป่ากับพ่อ พ่อเก่งนะครับ จำสัตว์ป่า จำนกได้ทุกตัว เจออะไรก็เล่านู่น เล่านี่ให้ฟังได้หมดผมถึงไม่เบื่อเลย เวลาดูสารคดีท่องเที่ยว เวลาคนพากย์สารคดีเขาเล่าเรื่องนก เรื่องสัตว์ ก็จะอดนึกถึงพ่อไม่ได้เลย”
    พอชายหนุ่มพูดจบ ก็หันมามองคนข้างๆ ภาสกรนั่งมองหน้าเขาอยู่อย่างตั้งใจ เมื่อพินิจดีๆ ใกล้ๆแบบนี้ นทีก็รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นที่หน้า ภาสกรเหมือนดารา เหมือนนักร้องที่หน้าตาดี จนหาริ้วรอย สิว ฝ้า หรือตำหนิใดๆบนใบหน้าไม่ได้ นอกจากไรหนวดเครา เขียวครึ้มที่ต่อให้โกนอย่างไร ก็ยังทิ้งรอยไว้แบบนั้น ดวงตากลมโต และคิ้วสวยได้รูป ยามมองมาแบบเพลิดเพลิน ไม่ต่างอะไรกับรูปวาดของพระเอกในวรรณคดี
    จะเป็นขุนแผน หรือ พระลอ ก็ว่าไม่ใช่
    คงเป็นอิเหนาละมัง ที่หล่อเหลาเสียจน จรกาที่เป็นผู้ชายแท้ๆ เห็นหน้าแล้วยังสลบไป… พอรู้ตัวว่านั่งจ้องกันอยู่นานแล้ว นทีก็ดึงตัวเองกลับมาจากภวังค์ รีบพูดแก้เก้อแทบไม่ได้หายใจ
    “เอ่อ ฟังผมพล่ามเสียเบื่อแย่เลย”
    “ไม่หรอกครับ” เขายิ้มที่มุมปาก  ราวกับว่าหากยิ้มเห็นฟันอย่างสดใสจะทำลายบรรยากาศซึ้งๆ ยามลูกนึกถึงพ่อไปได้อย่างนั้น “ผมอิจฉาคุณนะ ที่อย่างน้อยคุณก็ยังได้สนิทกันกับพ่อ”
    เด็กหนุ่มเลิกคิ้วเป็นคำถาม พอรู้ตัวว่าเสียมารยาท ก็เปลี่ยนมาเป็นใช้คำพูดถามออกไปแทน
    “ทำไมล่ะครับ”
    “ก็ ผมน่ะไม่ค่อยสนิทกับพ่อเท่าไหร่ คือ ท่านน่ะเป็น...” ชายหนุ่มเกือบหลุดคำว่า เป็นหม่อมเจ้า ออกไป แต่ก็เปลี่ยนคำพูดได้ทันเสียก่อน “เป็นคนเข้มงวด แล้วก็น่าเกรงขาม ถึงจะไม่เคยดุผมเลยก็เถอะ แต่ก็อดกลัวคุณพ่อไม่ได้”
    “แต่คุณพ่อก็ยังอยู่นี่ครับ”
    “ใช่ครับ ท่านยังอยู่ ถึงจะ ประ.. เอ้อ.. ป่วยมากก็ตาม” เกือบแล้วไหมล่ะ พอพูดถึงพ่อก็ต้องพูดเป็นราชาศัพท์ทุกครั้งจนเป็นนิสัย เพราะถ้าเผลอไม่พูดหรือพูดผิด หม่อมวิไลวรรณก็จะแหวออกมาทันที
    “แต่ก็ยังดีไม่ใช่หรือครับ ที่ยังมีท่านอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร” ดวงตาของเด็กหนุ่มเริ่มจะมีน้ำตาคลอออกมาแล้ว หากเมื่อพูดประโยคต่อไป มันก็เริ่มเอ่อ ไหลช้าๆจากหางตา มาตามแก้มจนเด็กหนุ่มต้องยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาอย่างช่วยไม่ได้ “ดูแลท่านดีๆเถอะครับ อย่าให้ต้องมาร้องไห้เสียใจ คิดถึงท่านเหมือนผม มาเสียดายว่า ตอนอยู่ด้วยกันไม่สนิทกันเท่าที่ควรจะเป็น”
    ภาสกรเอื้อมมือไปบีบไหล่ชายหนุ่มเบาๆเป็นเชิงปลอบ แต่แล้วก็รีบยกมือออกมาทันที เพราะรู้สึกเขินว่ายังไม่รู้จักกันดีพอ
    “ขอโทษนะครับที่พูดอะไรแบบนี้ คุณภาสกรอย่าถือสาเลยนะครับ”
    “ไม่หรอกครับ” เขายิ้มให้หนุ่มน้อยอย่างอ่อนโยน “อยากพูด อยากระบายอะไรก็เอาเถอะ ผมเข้าใจ”
    เด็กหนุ่มบนโต๊ะยิ้มให้ เป็นยิ้มที่เต็มใจ และจริงใจที่สุด เท่าที่ภาสกรได้เห็นจากเขา ชายหนุ่มยิ้มกลับ ก็เห็นว่าอีกฝ่ายหาววอด ขึ้นเหมือนเด็กๆ ก็อดนึกเอ็นดูไม่ได้
    “ง่วงแล้วหรือครับ” ภาสกรถาม
    “ครับ จริงๆ ก็ง่วงทั้งวันเลยละครับ เพราะนอนนานไปหน่อยนอนไปกี่วันไม่รู้ เลยชินเสียแล้วทำอะไรไม่เป็นนอกจากนอน” เขาพูดทีเล่นทีจริง
    “เอาเถอะครับ ถ้าง่วงก็นอนเสีย สักพักผมเองก็จะนอนแล้วแต่คงต้องขอตัวอาบน้ำเสียก่อน เหงื่อออกมาทั้งวัน”
    “เอ้อ...” ชายหนุ่มพูดขึ้นอายๆ “ผมอยากเข้าห้องน้ำเหมือนกัน จะแปรงฟันด้วยเมื่อกี้เพิ่งทานข้าว... เอ่อ คุณ...”
    “ครับเดี๋ยวผมช่วยพยุง”
    กว่าภาสกรจะเอาตัวเด็กหนุ่มลงจากเตียงได้ก็งานหนัก เพราะแขนซ้ายที่หักของนที ทำให้ไม่อาจยันตัวลุกได้เอง ส่วนขาขวาก็ขยับไม่ได้ แทบจะต้องอุ้มกันเลยทีเดียว กว่าภาสกรจะโอบเอวของเด็กหนุ่ม มีมือขวาของนที พาดอยู่บนไหล่ ค่อยๆเดินกันไปถึงห้องน้ำได้ก็เหนื่อยเอาการ
    แม้จะบอกว่าเหนื่อยมาทั้งวันจนเหงื่อโชก แต่ภาสกร ก็มีกลิ่นหอมจางๆของน้ำหอมยี่ห้อดี ขวดละหลายพัน โชยมาให้นทีได้กลิ่นตลอดทางจากเตียงไปห้องน้ำทำเอาหน้าแดงซ่านเพราะไม่เคยมีใครดีกับเขา ใกล้ชิดกับเขามากเท่านี้มาก่อน ภาสกรบีบยาสีฟันใส่แปรงของโรงพยาบาลให้ รองน้ำไว้ให้บ้วนปาก บริการทุกอย่างเสร็จสรรพ ด้วยข้ออ้างว่า “ก็คุณมีมือเดียวจะถนัดหรือ”
    พอกลับไปที่เตียง นทีก็แทบจะหลับไปตรงนั้น ภาสกรปิดทีวี  ปิดไฟให้ เด็กหนุ่มที่อยู่บนเตียงแทบจะไม่ต้องทำอะไรนอกจากนอนมองเพดานทีขาวสะอาด ส่วนชายหนุ่มอีกคนก็เข้าไปอาบน้ำพร้อมจะนอนด้วยเช่นกัน
    “คุณภาสกรครับ” นทีเรียกในนาทีสุดท้ายก่อนที่ภาสกรจะทันได้เดินเข้าห้องอาบน้ำ ชายหนุ่มหันมาก็พบว่า นทียังคงมองเพดานสีขาวอย่างมีความหมายบางอย่าง
    “ว่าอย่างไรครับ”
    “คุณ...”  เขาค่อยๆ หันหน้ามามองชายหนุ่มช้าๆ ราวกับไม่แน่ใจว่าจะพูดประโยคต่อไปอย่างไรไม่ให้น่าเกลียด ภาสกรไม่ทันได้รบเร้า เด็กหนุ่มก็พูดประโยคคำถามที่มีอยู่ในใจ นับตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา ออกไปเสียก่อน “คุณมาช่วยผมไว้ทำไมหรือครับ”
    เงียบ เป็นความเงียบที่นานที่สุด นับตั้งแต่เริ่มคุยกันมา ภาสกรเงียบเพราะตอบไม่ถูก นทีเงียบเพราะลุ้นกับคำตอบ อีกใจหนึ่งก็ไม่รู้ว่าน่าเกลียดหรือเปล่าที่ถามไปอย่างนั้น จึงเป็น นทีที่พูดทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน
    “คือ ผมไม่ได้จะว่าอะไรคุณ ที่คุณช่วยผม ออกค่าใช่จ่ายมากมายขนาดนี้ให้ ผมนับว่าเป็นพระคุณมาก เพราะผมเองคงไม่มีปัญญา จ่ายทั้งหมดนี้ เพื่อรักษาตัวเอง พ่อแม่ ผมก็ไม่มีจะช่วยค่าพยาบาล ที่ผมไม่เข้าใจคือ คุณเองก็ไม่รู้จักผม ผมก็ไม่รู้จักคุณ เราไม่ได้เป็นญาติ เราไม่ได้เป็นอะไรกัน ทำไม...”
    “จำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยหรือ” ภาสกรแทรกขึ้นมา ตัวเขาพิงผนังก่อนถึงประตูห้องน้ำ มองมาที่เด็กหนุ่มที่นอนเจ็บอยู่บนเตียง คำตอบไม่ได้เรียบเรียงมาอย่างดี ไม่แม้แต่คิดก่อนจะพูด แต่มันไหลผ่านปากเขาไปอย่างนั้น อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ทำไมคนถึงช่วยสุนัขจรจัด ทำไมคนถึงบริจาคเงินช่วยเด็กกำพร้า ทำไมต้องมีคนไปดูแลผู้สูงอายุ ที่บ้านบางแค เขาก็ไม่รู้จักกัน เหมือนกับเราสองคน การที่คนช่วยคน การที่คนช่วยสิ่งต่างๆรอบตัว ...มันต้องมีเหตุผลด้วยหรือครับ ก็เราเกิดมาร่วมโลกกันแล้วนี่ครับ ยังไงเสียก็เป็นญาติพี่น้องกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ผมไม่รู้หรอกว่าทำไมผมต้องโทรเรียกรถพยาบาลนำคุณมาส่งที่นี่ ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อรู้จากคุณฝ้ายว่าคุณไม่มีญาติ ไม่เหลือพ่อแม่แล้ว ผมถึงต้องช่วยออกค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดนี่ให้คุณ ... ผมรู้แต่ว่าคืนนั้น ผมต้องช่วยคุณให้ได้ ผมจะปล่อยให้คุณตายไม่ได้เด็ดขาด”
    นทีนิ่ง รับรู้คำตอบอย่างเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก    
    “ราตรีสวัสดิ์ครับ นที” ภาสกรว่าก่อนเดินเข้าห้องน้ำไป แล้ว นทีก็หลับไปก่อนที่เขาจะกลับออกมาอีกครั้ง ภาสกรจึงไม่มีโอกาสเห็นน้ำตาที่ไหลรินช้าๆอาบแก้มด้วยความซึ้งใจของนที... ซึ้งใจที่คนดีๆ ยังไม่หมดไปจากโลกนี้

***********************************************************************  

หวังว่าจะเริ่มๆชอบตอนนี้กันแล้วนะครับ  คุณชายยังไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองชอบนที
แต่นทีก็กำลังจะประทับใจคุณชายแล้วครับ

สำหรับคนที่รอคุณอดิสรณ์ อย่าเพิ่งให้เขามาเลยครับ
เขาจะมาในเวลาที่เหมาะสม อิอิ ซึ่งยังไม่ถึงเวลาคร้าบ

วันพุธผมไม่อยู่ ไปต่างจังหวัดยาว ฮี๊ววว พรุ่งนี้ดึกๆอาจจะมาต่อนะครับผม ไม่งั้นก็อีกทีวันเสาร์เลย
บายครับ : )
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 8 - 14/03
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 14-03-2011 21:01:15
ก็ว่างั้น  พ่อเลี้ยงมาเพิ่งมาเลย  กำลังอารมณ์ดีเชียวตอนนี้
ยังไม่อยากอารมณ์เสีย  ออกงิ้วตั้งแต่ตอนแรก ๆ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 8 - 14/03/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 14-03-2011 21:13:22
บวกให้ชีวิตเศร้าๆ ของนทีค๊า
ถ้านทีรู้ความจริง จะโกรธมั้ย >.<
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 8 - 14/03/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: yunjaejoong ที่ 14-03-2011 21:54:49
สุดยอดเลยง่ะท่านชาย สมแล้วที่เป็นท่านชาย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 8 - 14/03/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 15-03-2011 11:59:09
รอชมต่อนะครับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 8 - 14/03/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 15-03-2011 12:28:02
นางชะนีฟ้านี้เน่าหนอนจริงๆ เกลี้ยดเกลียด
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 8 - 14/03/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 15-03-2011 15:00:57
สนุกมากค่ะ
อ่านตอนนี้เเล้วรู้สึกว่าน้ำหลงเสน่ห์คุณชายเเล้วละซิ
ต้องมีอุปสรรคเเน่ๆ กว่าสองคนนี้จะครองรักกันได้

อยากอ่านวันละสิบตอนค่ะ ห้าๆๆๆๆๆ

ขอบคุณมากๆๆเลย

*อ่านตอนนี้เเล้วเขินเเทนน้องน้ำเลยจ้า*
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 8 - 14/03/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: ♠♥♦♣ ที่ 15-03-2011 16:04:33
คุณฟ้าม่วงลืมเปลี่ยนหัว ตรงชื่อบทอ่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 8 - 14/03/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: Rhythm ที่ 15-03-2011 17:00:14
 :z1:

รอค่ะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 9 - 14/03/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: หัวเเม่มือ ที่ 15-03-2011 18:50:18
ไอ้พ่อเลี้ยงนั้นต้องทำเรื่องผิดกฎหมายแน่ๆเลย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 9 - 14/03/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: nuewanda ที่ 15-03-2011 22:00:02
มารอตอนต่อไปของคืนนี้ รอวันเสาร์ไม่ไหาน๊าาาา  คนอ่านขาดใจก่อน ฮ่าๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 9 - 14/03/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: Little Devil ที่ 15-03-2011 22:26:30
อุปสรรคไหลมาไม่หยุด
+1
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 9 - 14/03/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: kny ที่ 15-03-2011 23:10:08
บรรยากาศของคุณชาย :laugh:
แต่ของน้ำ :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 9 - 14/03/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: j4c9y ที่ 16-03-2011 03:12:37
หลงรักนทีเข้าเต็มเปาเลยครับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 9 - 14/03/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 16-03-2011 16:07:15
 :call:รีบมาต่อนะครับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 9 - 14/03/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 16-03-2011 17:38:23
 o18

เพิ่งมาอ่านจนถึงปัจจุบัน

เนื้อเรื่องดราม่าดีอ่ะ แต่อย่ามาม่างี่เง่าก็พออ่ะ อ่านแล้วอึดอัดๆ 555

คุณชายคงสุภาพน่าดู

แต่เนื้อเรื่องแบบนี้แนวนี้อยากเห้นนายเอกแอบร้ายบ้าง 555

คงมันส์น่าดู
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 9 - 14/03/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: Mio ที่ 16-03-2011 21:28:39
สนุกมากค่ะ

อยากให้รักกันเร็วๆ   คงหวานน่าดู  :-[
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 9 - 14/03/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: Rawint_PK ที่ 17-03-2011 01:41:06
สวัสดีคุณฟ้าม่วงนะครับ
ตามมาอ่านจากปางบรรพ์
.
.
.
.
อย่างที่คุณฟ้าม่วงบอกครับ
ดูเหมือนไม่มีอะไร
แต่ในความไม่มีอะไร
ก็แอบลุ้นอยู่เหมือนกันนะ
อย่างที่นทีถามนั่นแหละ
ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันเลย
ทำไมถึงช่วย
.
.
.
.
.

รอลุ้นต่อไปนะครับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 9 - 14/03/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 19-03-2011 11:58:24
มารอคุณชายค่ะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 9 - 14/03/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: maew189870 ที่ 19-03-2011 13:36:48
คุณชายมาเร็วๆนะคับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 9 - 14/03/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 19-03-2011 22:06:25
10

     นที ตื่นก่อนภาสกร
    เพียงแสงแรกของวันสาดมากระทบดวงหน้าขาวเนียนนั้น เด็กหนุ่มก็รู้สึกตัวตื่นขึ้น ด้วยความเคยชิน เจ้าตัวพลิกตัวไปทางขวาซึ่งเป็นทิศของประตูทางไปห้องน้ำที่บ้านของเขา แต่ไม่ทันจะพลิกไปได้ความเจ็บแปลบที่ขาก็ทำเอาชายหนุ่มตาสว่าง เขาไม่ได้นอนอยู่ที่บ้าน หากแต่อยู่ที่โรงพยาบาลต่างหาก
    ความเจ็บปวด เตือนชายหนุ่มให้รู้ตัวว่า แม้เพียงแต่พลิกตัวยังทำไม่ได้ หากจะให้เดินเหินไปมา ทำอะไรที่ต้องการ ก็คงยิ่งกว่าไม่ได้เสียอีก เพียงเท่านั้น ความจริงที่ว่าเขาถูกรถชน จนบาดเจ็บ ขาขวาหัก แขนซ้ายหัก และศีรษะแตกก็ยิ่งทำให้ชายหนุ่มตระหนักถึงพระคุณของผู้ที่นอนอยู่บนโซฟารับแขก หันหน้ามาทางเขา ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น
    นทีลอบมองดวงหน้าหล่อเหลาคมคายนั้น ก็อดนึกไม่ได้ว่า ใครที่บอกว่าความบังเอิญไม่มีจริงบนโลก คงจะคิดผิดอย่างมหันต์จริงๆ
    ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้ เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่ก็กลับเป็นคนที่มีพระคุณต่อเขา พึ่งพาได้มากกว่าพ่อเลี้ยงที่จ้องแต่จะทำลายเขาตลอดเวลาเสียอีก ถ้าหากไม่เป็นเพราะ คุณอดิสรณ์นี้แค่คนเดียว ชีวิตของเขาก็คงจะดีกว่านี้มาก ตั้งแต่พ่อ แม่เสีย อดิสรณ์ก็ออกลายให้เห็นมาตลอด ก็เป็นเพราะอดิสรณ์นี่แหละที่ทำให้เขาต้องหนีออกมาจากบ้าน จนถูกรถชนมานอนซมอยู่ที่โรงพยาบาลอย่างนี้ และถ้าไม่มีคุณภาสกร ที่นอนอยู่ตรงข้ามเขาคนนี้ ป่านนี้ นทีก็คงเป็นผีอยู่ข้างถนนสุขุมวิทไปเสียแล้ว
     นทียิ้ม
    เพียงชั่วข้ามคืนความรู้สึกของเขาต่อผู้ชายคนนี้ก็เปลี่ยนไปได้มากจนเขาเองก็ตกใจ นทีคิดมาตลอดว่าคนรวย ยังไงเสียก็ยังเป็นแบบที่เขาว่ากัน คือหยิ่ง เอาแต่ใจ ทะนงในเงินทองของตนว่าซื้ออะไรก็ได้ แม้แต่ชีวิตคน พอฟื้นขึ้นมาแล้วรู้ว่า มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่ได้เป็นอะไรกับเขาเลย ไม่ได้มีความผูกพัน เกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย แต่กลับมาช่วยชีวิต เสียเงิน เสียทองให้เขาได้รักษาในโรงพยาบาลแพงๆ แบบนี้ นทีก็คิดไปว่าที่ภาสกรทำไปทั้งหมด ก็เพียงประกาศ ศักดาว่ารวย จะทำอะไรก็ได้ ให้สังคมชั้นสูงยอมรับนับถือ หรือชื่นชมในสปิริต
    แต่พอมาคุยกันแม้เพียงไม่นานนัก นทีก็พอจะรู้ว่าชายหนุ่มคนนี้ มีความอ่อนโยน และห่วงใยเขามากกว่าที่เขาคิดว่าภาสกรจะมี
    …จำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยหรือครับ
    การที่คนช่วยคน การที่คนช่วยสิ่งต่างๆรอบตัว
    มันต้องมีเหตุผลด้วยหรือครับ…
    ชายหนุ่มนึกถึงคำพูดของอีกฝ่ายขึ้นมาได้ ก็ยิ้มขึ้นด้วยความตื้นตันใจ หมดความสงสัยใดๆ ในตัวภาสกรไปหมดสิ้น

    ประมาณแปดโมงกว่า ภาสกรก็ตื่น เพราะแสงที่แยงตาเขามาตั้งแต่ราวๆหกโมง ค่อยๆเพิ่มความจ้า และความร้อนมากขึ้นจนทนไม่ไหวต้องลืมตาแล้ว ยกมือขึ้นขยี้ตาเบาๆ พอหันไปมองก็พบนที ที่กำลังนอนจ้องหน้าเขาอย่างแปลกๆ
    “อรุณสวัสดิ์ครับ หน้าผมมีอะไรติดอยู่เหรอ”
    ภาสกรพูดขึ้นก่อนที่จะยิ้ม ค่อยๆลุกขึ้นนั่งหันมาทางเด็กหนุ่ม ที่นอนยิ้มให้เขาเช่นกัน คนบนเตียงหัวเราะเบาๆก่อนจะพูดขึ้น
    “อรุณสวัสดิ์ครับ เปล่าหรอก ผมแค่นึกไม่ออกจริงๆนะ ว่าเคยเจอคุณที่ไหนมาก่อน”
    ภาสกรเลิกคิ้วเป็นคำถาม จำได้ว่านทีก็ทำแบบนี้เมื่อคืนตอนสงสัยเช่นกัน ก็ขยี้ผมที่ยุ่งอยู่แล้วให้ยุ่งมากขึ้นไปอีกด้วยความอาย ก่อนจะรีบตอบปัดๆแบบขอไปที “แหม จะเห็นที่ไหนล่ะครับ ก็ที่นี่เมื่อวานนี้ไง”
    ทั้งคู่หัวเราะเสียงดัง จนภาสกรต้องบอกว่า หัวเราะยามเช้าจะทำให้ปอดแข็งแรง และสดชื่นอีกด้วย เด็กหนุ่มจึงอดหัวเราะอีกครั้งไม่ได้
    “คุณจะแปรงฟันไหมครับ เดี๋ยวผมช่วย”
    นทีพยักหน้าเบาๆ แล้วภาสกรก็พาเด็กหนุ่มมายืนแปรงฟันที่หน้ากระจกในห้องน้ำ เขายืนกอดอกมองนทีก็พบว่าที่ใบหน้าของเด็กหนุ่มไม่มีหนวดเคราเลยสักเส้นต่างจากเขาที่แม้เพิ่งโกนไปเมื่อวานก็กลับมาเขียวครึ้มได้อีกแล้ว จนต้องบ่นเบาๆ “คุณนี่ดีนะครับ ไม่มีหนวดไม่มีเคราเลยผมละก็ต่อให้โกนตอนเช้า ตอนเย็นก็เขียวครึ้มแล้ว”
    “ไม่ดีหรอกครับ หน้าแบบนี้ คนชอบคิดว่าเป็นผู้หญิง ตอนเด็กๆ ไปไหนมาไหนมีแต่คนเรียก ยายหนูๆ คุณแม่ต้องรีบแก้เสียทุกครั้งว่า เปล่าค่ะ ตาหนู ต่างหาก”
    ภาสกรหัวเราะ เด็กคนนี้ทำเขาหัวเราะเป็นครั้งที่สองของวันแล้ว ทั้งที่เพิ่งตื่นไม่นาน แต่ก็ไม่ได้หัวเราะนานนัก เมื่อต้องพยุง “ตาหนู” กลับไปที่เตียง กลิ่นเปเปอร์มินต์ จากยาสีฟัน หอมสดชื่น เมื่อต้องแนบชิดกัน ประคองเขากลับไปที่เตียง ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ปราศจาก หนวดเคราแม้เพียงเส้นเดียว บวกกับริมฝีปากบางแดงราวกับหญิงสาวแรกรุ่น เพราะเพิ่งแปรงฟันมาเมื่อครู่ ผมยาวลงมาปิดคิ้วหนาที่ดูเป็นผู้ชายเพียงอย่างเดียวบนใบหน้าของเขา ทำให้ชายหนุ่มคนนี้ดูเหมือน ผู้หญิงคนหนึ่งจริงๆ เนื้อตัวก็นุ่มนิ่มไปหมด ไม่ได้มีกล้ามแข็งแกร่งแบบของเขา ภาสกร อดนึกถึงโคลงซอนเน็ต บทหนึ่งของเชคสเปียร์ไม่ได้...


    A woman's face with nature's own hand painted,
    Hast thou, the master mistress of my passion…
    โฉมเฉลาราวสาวนาง ธรรมชาติสร้างบรรจงปั้น
     คือพักตร์ของเจ้านั้น ชายผู้เป็นเจ้าของใจ
    
    นที งามเหมือนหญิงสาวที่ธรรมชาติบรรจงสร้างขึ้นมาจริงๆ เพียงแต่เขาไม่ใช่ “ผู้เป็นเจ้าของใจ” ของภาสกรสักหน่อย แถมยังไม่ใช่ “สาวนาง” ด้วย ชายหนุ่มสลัดความคิดนี้ออกไปจากหัว เขาไม่ได้ชอบผู้ชายนะ ทำไมนึกถึงโคลงที่ชมความงามของหนุ่มน้อยที่งามดุจสตรีด้วยความรัก แบบนี้ขึ้นมาได้เล่า
    ทันทีที่ เขาช่วยประคองนทีให้อยู่ในท่ากึ่งนั่ง กึ่งนอน เอนหลังสบายอยู่บนเตียงแล้ว ภาสกรก็ขอตัวลงไปซื้อที่โกนหนวด โดยเปลี่ยนเสื้อกางเกงเป็นเสื้อตัวบางแขนสั้น และ กางเกงขาสั้นลายสก็อตใส่แบบลำลอง ลากรองเท้าแตะลงไปซื้อของที่ร้าน เซเว่น ข้างล่างโรงพยาบาล
    นี่ก็เป็นอีกข้อที่นทีประหลาดใจ คนรวยก็แต่งตัวสบายๆได้เหมือนกัน
    
    ภาสกรกลับมาอีกที นทีก็เปิดรายงานข่าวทางโทรทัศน์ดูเสียแล้ว ภาสกรกลับมาพร้อม โจ๊กหมู สองถุงใหญ่ เขาโชว์ให้นทีดูก่อนจะจัดแจงแกะใส่ถ้วยให้หนุ่มน้อยทาน เป็นอาหารเช้า
    “เจ้านี้ อร่อยมาก ผมเคยซื้อขึ้นมาฝากคุณฝ้าย คุณฝ้ายชอบเสียอย่างกับอะไร ไม่รู้คุณจะชอบหรือเปล่า แต่รับรองนะว่าต้องถูกใจแน่ๆ” เขาว่าพลางปรุงรสชามของตน “ใส่ขิงกับผักชีไหมครับ”
    “ใส่ครับ ขอบคุณมาก” นทีตอบพลางยิ้มไปพลาง เสร็จเรียบร้อย ภาสกรก็ยื่นชามให้นที
    “ผมแบ่งหมูไปให้คุณ ทานโปรตีนเยอะๆ ร่างกายจะได้แข็งแรงไวๆ”
    “ขอบคุณครับ” เขาว่า พลางชิมโจ๊กไปคำหนึ่ง “อร่อยจริงๆ เนื้อข้าว เนียนเชียวครับ”
    “อื้ม หมูร้านนี้ก็อร่อยนะ ไม่เด้งน่ากลัวเหมือนบางร้าน อย่างกับกินบอแรกซ์มากกว่ากินหมูเสียอีก”  ภาสกรตอบ พลางหัวเราะ หันไปมองนทีก็เห็นว่าฝ่ายนั้น กินเอาๆ อย่างถูกใจ “ชอบหรือครับ”
    “ครับ ชอบ ผมชอบทานข้าวที่สุด ใครจะชอบขนมปัง หรือชอบก๋วยเตี๋ยวก็ชอบไป ผมชอบ ข้าวต้ม โจ๊ก ข้าวผัด อะไรพวกนี้ครับ ถ้ามีกับก็ต้องทานข้าวมากกว่า”
    “อืม เหรอ เห็นไหม เดาใจคุณถูกด้วย วันหลังผมจะซื้อให้ทานอีก ข้าวต้มปลา แถว... แถวบ้านผมงี้ อร่อยมาก ขายตอนดึกๆ ผมชอบออกมาทานตอนสี่ ห้าทุ่ม คนเยอะเชียว แทบจะต้องแย่งเขากินทุกครั้งที่ไป”
    “คุณนี่ ท่าทางจะเก่งเรื่องของกินนะครับ”
    “แหม” เขาว่า หลังจากกลืนโจ๊กคำโตลงคอไปแล้ว “ถ้าไม่ทำธุรกิจต่อจาก พ่อ ผมก็ว่าจะเปิดร้านอาหาร ผมชอบทานอาหารอร่อย จะถูกจะแพง ขออร่อยอย่างเดียว อ้อ แล้วก็สะอาด อีกอย่างนึง ผมไม่เกี่ยงหรอกครับ ร้านข้าวต้มข้างทาง หรือภัตตาคารหรู ถ้าอร่อยเสียอย่าง ผมกินได้ทั้งนั้น”
    นทียิ้ม
    “เนี่ย ถ้าออกจากโรงพยาบาลแล้ว มีโอกาสผมจะพาคุณตระเวน ชิมร้านเด็ดๆ ในกรุงเทพ รับรอง อร่อยทุกร้าน” ภาสกรยังชวนคุยต่อ นทีกินหมดแล้วแต่ดูท่าจะยังไม่อิ่ม เขาเป็นคนกินเยอะแต่กินให้ตายก็ไม่อ้วน “อ้าว กินหมดแล้วหรือ อิ่มหรือเปล่าครับ”
    เด็กหนุ่มยิ้มแหยๆ
    “ก็... อิ่มครับ”
    “ไม่อิ่มแน่เลย” ภาสกรลุก ไปแบ่งโจ๊กของตัวเองให้นทีอีกครึ่งหนึ่ง “เอ้า กินของผมไปก่อน เดี๋ยวผมออกไปข้างนอก จะซื้อของกินมาตุนไว้ให้เยอะๆ”
    “ขอบคุณครับ แหม เกรงใจจัง”
    “ไม่เป็นไรหรอก” เขาว่า คุยกันสัพเพเหระ ก็วนมาเรื่องที่คุยค้างไว้เมื่อวาน อีกจนได้ คราวนี้ ภาสกรถามก่อนเหมือนเดิม “ที่คุณบอกเมื่อคืนว่าคุณชอบวาดรูป วาดพวก สี หรือว่า ดรออิ้ง แบบใช้ดินสอล่ะครับ”
    นทีเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ รายละเอียดยิบย่อยแบบนี้ ภาสกรยังอุตส่าห์จำได้อีกนะ
    “ก็ได้ทั้งสองอย่างแหละครับ ส่วนใหญ่ก็แบบ ดรออิ้ง ถ้าจะเป็นสี ผมชอบสีน้ำ พวกสีโปสเตอร์ สีอะคริลิก ไม่ค่อยถนัด ส่วนใหญ่ถ้าระบายสีน้ำ ก็ต้องวาดภาพธรรมชาติอย่างนั้นล่ะครับ”
    ภาสกรยิ้มให้เด็กหนุ่ม เขาทานโจ๊กหมดแล้ว นทีก็เช่นกันเขาจึงอาสาเก็บชามไปล้างให้อีกตามเคย พอล้างชามเสร็จแล้ว ภาสกรก็เข้าห้องน้ำ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เป็นชุดสบายๆ คล้ายชุดที่ใส่ลงไปซื้อโจ๊ก แม้จะโกนหนวดเสร็จแล้ว แต่ชายหนุ่มก็ยังดูมีไรหนวด เคราเขียวๆ ให้เห็นบ้างอยู่ดี เขาเช็ดผมให้แห้ง แต่ไม่ได้เซ็ทเป็นทรงด้วยเจล หรือแวกซ์ ดูก็รู้ว่าไม่ได้ไปงานแบบเมื่อวาน กว่าจะรู้ตัวนทีก็ถามออกไปเสร็จสรรพแล้ว ว่าภาสกรจะไปไหน
    “อ้อ” เจ้าตัวแปลกใจเล็กน้อยที่นทีถาม เพราะเขาเองก็กำลังจะบอกอยู่พอดี ว่าจะเดินทางไปไหน “ผมจะไปทำธุระนิดหน่อย จะไปเอาอะไรมาให้คุณ รับรองว่าถูกใจแน่นอน”
    “อะไรหรือครับ ไม่ต้องลำบากหรอกครับ...”
    “เอาน่า รับรองว่าคุณต้องชอบ ไม่ชอบผมให้ถีบเลยจริงๆ”
    นทียิ้มให้กับชายหนุ่มที่เปิดประตูออกจากห้องไป ไม่ทันจะได้บอกว่า จะถีบเขาได้อย่างไรเล่า ในเมื่อขาเจ็บอยู่แบบนี้ จะยกขาซ้ายถีบ ขาขวาที่เจ็บอยู่ก็คงรับน้ำหนักไม่ไหว จะยกขาขวาถีบกระดูกคงร้าวมากกว่าเดิม ทีนี้หมดสิทธิ์กลับไปเดินได้อีกครั้งแบบถาวร
 
   ปกติ ร้าน รชตานันต์ อัญมณี ก็เปิดแต่เช้าตั้งแต่ เก้าโมงอย่างนี้ทุกวัน เพียงแต่ไม่ค่อยมีลูกค้าคนไหนมาใช้บริการ ตั้งแต่กลับป้ายร้าน จากปิด เป็น เปิด แบบนี้มาก่อน ดลนภาเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจเมื่อเห็น ร่างระหง เดินลงจากรถเบนซ์สีเทาบรอนซ์ ตรงมายังร้านของท่านชายเรืองเดช ตั้งแต่เช้า
    ปากแดง เข้ากันกับเสื้อตัวนอกที่สวมทับ ชุดเกาะอกสีดำอย่างกับเทียบสีกันก่อนซื้อ หน้าที่แต่งจัดดูสวย หากแต่กับดลนภาที่รู้ไส้รู้พุงสาวที่อยู่ข้างหน้า ก็อดคิดไม่ได้ว่าใบหน้าสวยๆ แบบนี้ เหมาะจะไปอยู่กับคนที่จิตใจดีกว่านี้มากกว่า
    คำแรกที่ทิฆัมพร กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงร้อนใจแทนคำสวัสดี ก็คือ
    “พี่ชายมาที่นี่หรือเปล่า”
    ดลนภา ได้กลิ่นน้ำหอมฉุนกึกมาแต่ไกล จะย่นจมูกแสดงท่าทีรังเกียจก็ทำไม่ได้ จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ก็ฝืนใจตัวเองไม่ไหว หล่อนจึงตอบคำถามของทิฆัมพรด้วยท่าทางที่ก้ำกึ่ง จนดูน่ารำคาญในสายตา หญิงสาว
    “อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณทิฆัมพร” เลขานุการสาวเน้นเสียงที่ต้นประโยค ราวกับจะบอกเป็นนัยๆว่า เวลาคนเขาเจอกันน่ะ เขาต้องทักทายกันอย่างไร “คุณชายภาสกรไม่เข้าค่ะวันนี้”
    “เอ๊” ทิฆัมพรขมวดคิ้ว “ไม่เข้าได้ไงล่ะยะ วันนี้วันศุกร์พี่ชายต้องทำงาน ฉันโทรไปถามหม่อมแม่แล้ว หม่อมบอกว่าพี่ชายมาทำงานอยู่พัทยาตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว ถ้าไม่มาที่นี่ จะให้พี่ชายไปทำงานที่สุขุมวิทหรอยะ”
    ดลนภาจะตอบว่า จะไปรู้เหรอยะ บ้างก็กลัวจะถูกตบตรงนั้น จึงกัดฟันตอบไป ว่า “ไม่ทราบค่ะ คุณชายไม่ชอบทำงานในออฟฟิส สมองจะไม่ปลอดโปร่ง”
    “อ้าว งั้นพี่ชายไปทำที่ไหนล่ะ บอกมาซี หล่อนนี่ บื้อชะมัด”
    “ไม่ทราบค่ะ” ดลนภานับ หนึ่ง ถึง ยี่สิบในใจ ไม่ให้เผลอพูดจาไม่ดีกับทิฆัมพรไป
    “ไม่ทราบได้ไงล่ะยะ ก็หล่อนน่ะเป็นเลขาฯ ของพี่ชายไม่ใช่หรือ”
    “ก็เพราะเป็นเลขาฯนี่ล่ะค่ะ” หญิงสาวเริ่มรู้สึกว่าเสียงของตน จะแข็งขึ้น แข็งขึ้นเรื่อยๆแล้ว “ไม่ใช่พี่เลี้ยงนี่คะ ถึงจะต้องไปตามรู้ว่าคุณชายจะไปอยู่ที่ไหนเวลาไหน”
    ทิฆัมพร เหมือนจะกรี๊ดแต่ก็กรี๊ดไม่ได้ ตอนนั้นเองที่พนักงานต่างก็ออกมาอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์ รวมถึงผู้คนย่อมเดินผ่านไปมาหน้าร้านแล้ว หญิงสาวจึงสงบสติอารมณ์กลับเข้าบทหญิงสาวผู้เรียบร้อย สร้างภาพให้ดูเป็นที่ชื่นชมของผู้อื่นทันที
    “แหม ดลนภาละก็ ฉันถามดีๆ เธอก็ไม่น่าอารมณ์เสียใส่ฉันนะจ๊ะ” หญิงสาวทำเสียงน่าสงสารที่สุดเท่าที่จะทำได้ “เอาล่ะ เธอไม่ทราบก็ไม่เป็นไร แต่ฉันขอถามอีกสองสามคำถามเถอะ จะไม่รบกวนเวลางานของเธอแล้ว”
    ดลนภายืนนิ่ง เบื่อกับการเข้า ออก บทของนักแสดงคนนี้เสียเต็มทน แต่จะทำอย่างไรได้ หม่อมวิไลวรรณ ถึงหางอยู่แบบนี้ เกิดมีเรื่องกันขึ้นมา หล่อนคนเดียวนี่แหละที่จะต้องเสีย
    “คือ เมื่อวาน เพื่อนของฉันเห็นคุณชายซื้อของเยอะแยะ กลับบ้าน ฉันเลยอยากรู้ว่า หม่อมแม่ มาที่วังพัทยานี่ด้วยหรือเปล่าจ๊ะ”
    “ไม่ค่ะ” ดลนภารีบตอบ รีบจบๆ เรื่องไป “หม่อมวิไลวรรณ ไม่ได้มาที่นี่ แต่เอ๊ะ คุณทิฆัมพร บอกว่าโทรหาหม่อมท่านไม่ใช่หรือคะ ถ้าโทรทำไมไม่ถามมาเลยล่ะคะ ว่ามาอยู่วัง หรือเปล่า”
    แหม ฉันถามแล้วย่ะ นังโง่ แต่ฉันอยากจะเมคชัวร์ว่า คุณชายซุกเมียไว้ที่บ้านหรือเปล่าน่ะซียะ
    อยากจะพูดแบบนี้ก็พูดไม่ได้เพราะคนเยอะ หญิงสาวจึงถามใหม่
    “แหมก็ฉันไม่แน่ใจ ถ้าหม่อมไม่มา แล้วคุณชายจะซื้อของไปฝากใครล่ะ ดลนภา พอจะรู้หรือเปล่า”
    “ไม่ค่ะ” เลขานุการสาวตอบ “ไม่ทราบ คุณชายไม่ได้แจ้งไว้ค่ะ”
    “หรือจ๊ะ แหม ถ้าเป็นหม่อมแม่ หรือ ท่านชาย เรืองเดชละก็ จะได้ไปกราบเสียหน่อย เพราะฉันก็เผอิญมาพักผ่อนกับเพื่อนๆที่นี่พอดีน่ะจ้ะ”
    พักผ่อนกับเพื่อน หรือมานอนกกผู้ชายคะ ดลนภาอยากจะสวนกลับไปแบบนี้ ก็ในเมื่อเห็นๆอยู่ว่าในรถที่หล่อนเพิ่งเดินลงมาเมื่อกี้นี้ คนขับเป็นผู้ชาย แถมหล่อนยังนั่งข้างคนขับอีกซะขนาดนั้น เลขานุการสาว นับเลขในใจ ก่อนจะพูดตัดบทขอกลับไปทำงาน แต่ทิฆัมพรก็ชิงถามขึ้นอีกครั้ง
    “คำถามสุดท้ายแล้วล่ะจ้ะ ดลนภา” ทิฆัมพร ปั้นหน้ายิ้มอย่างแสร้งทำเต็มที “คือเมื่อวานเพื่อนฉัน คนเดียวกันนี่แหละจ้ะ เห็นว่าคุณชาย ไปนั่งทานข้าวริมทะเล กับผู้หญิง สวยๆ ใส่ชุดสีเหลืองๆทั้งตัวน่ะ ใครหรือจ๊ะ ลูกค้า หรือเพื่อน ดลนภาพอจะรู้ไหม”
    ด้วยความปากไวใจไว หญิงสาวจึงตอบคำถามของทิฆัมพรไปหน้าตาเฉย ทั้งๆที่ถ้าคิดดีๆก็คงไม่ตอบ แกล้งทำไม่รู้ดีกว่า แต่ก็รู้ดีว่าหากตอบแบบนี้ คำตอบคงสร้างความไม่พอใจให้กับทิฆัมพร ไม่มากก็น้อย ดลนภา ตัดสินใจพูดออกๆไปว่า
    “แหมคนนั้นหรือคะ ก็คุณหญิงดาริกา ธิดาของท่านหญิง ทิพยวรรณไงคะ คนอะไรทั้งสวยทั้งเก่ง ผู้หญิงทำงานนะคะ ดูคล่องทีเดียวมาคุยธุระกับคุณชายเรื่องงานแฟชั่นโชว์ แต่ก็แหม คนเราอัธยาศัยดี เสียอย่างใครๆก็อยากอยู่ด้วยนานๆใช่ไหมคะ คุณชายเธอเลยชวนไปเลี้ยงข้าวเสียเลย แหมดิฉันไม่รู้นะคะว่าไปร้านริมทะเล นึกว่าจะพาไปภัตตาคารหรูๆ เสียอีก ดูคุณชายเธอ ชอบคุณหญิงมากเลยนะคะเนี่ย” จบประโยค ด้วยเสียงหัวเราะ ที่กรีดลึกลงไปในใจของผู้ฟัง
    เป็นถึงคุณหญิงเสียด้วย แถมสวยอีกต่างหาก แล้วยังต้องร่วมงานกันอีก ไม่ไหวละ หากปล่อยไว้อย่างนี้ ตำแหน่งภรรยาคุณชาย ต้องถูกเทคโอเวอร์ไปเป็นของ ยัยคุณหญิงแน่ๆ
    ทิฆัมพร กระฟัดกระเฟียดกลับไปยังรถที่จอดรออยู่ โยนตัวขึ้นนั่ง ไม่กี่นาทีก็แล่นออกไปจากร้านนั้น ด้วยรู้ตัวนี้ว่าหากอยู่ที่นั่นต่อไป หล่อนต้องคุมคุมสติไม่อยู่ หลุดโวยวายจนเสียภาพพจน์แน่ๆ

     ดลนภา ส่ายหน้า นึกอยากจะมาก็มา นึกอยากจะไปก็ไป แถมยังเอาแต่ใจเป็นที่หนึ่งแบบนี้ ทำไมนะ หม่อม วิไลวรรณถึงมองหล่อนไม่ออก ทั้งยังไว้เนื้อเชื่อใจ หมายมั่นปั้นมือ จะตบแต่งให้เป็นภรรยาคุณชายอีก เลขานุการสาวกุมขมับ เดินกลับไปที่หลังเคาน์เตอร์เครื่องประดับของหล่อน ชั่งใจว่าจะโทรหาคุณชาย รายงานให้ทราบเรื่องนี้ดีไหม
    แต่คิดอีกที จะรบกวนสมองคุณชายด้วยเรื่องแค่นี้ทำไมกัน เห็นเมื่อวานคุณชายก็มีความสุขดีนี่นา... ดลนภาอดอมยิ้มไม่ได้ มีความสุขเพราะเจอคนสวย อย่างคุณหญิงดาริกาแน่ๆ
    ถ้าใครสักคนจะแต่งงานกับคุณชายละก็ คุณหญิงดาริกานี่แหละ เป็นคนที่เหมาะสมที่สุด แม้ทิฆัมพรก็เทียบไม่ติด

***********************************************************************

ผมกลับมาจากที่ไปเที่ยวแล้วครับ ดีใจที่หลายๆคนยังรออยู่นะครับเลยรีบมาต่อเลย + ต่อทางสามสายให้ด้วยครับอย่าลืมไปอ่านนะ
ตอนหน้า คุณชายจะมีทำเซอร์ไพรส์นทีด้วย อย่าลืมติดตามวันจันทร์นะครับ : ]

หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 10 ได้ชิดเพียงลมหายใจ - 19/03/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 19-03-2011 23:47:53
เดาว่าเป็นอุปกรณ์วาดรูป  แก้เซ็งระหว่างที่อยู่โรงพยาบาล
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 10 ได้ชิดเพียงลมหายใจ - 19/03/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 19-03-2011 23:58:36
คุณชายอย่าหายไปนานนะครับ คนอ่านคิดถึง
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 10 ได้ชิดเพียงลมหายใจ - 19/03/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: ♠♥♦♣ ที่ 20-03-2011 03:36:20
คิดเหมือนรีบนโน้นนนน ว่าน่าจะซื้ออุปกรณ์มาให้วาดรูป :o8:
คุณชายน่ารักเนอะ แต่ไม่ชอบเวลาโกหกเลยจริงๆ บอกความจริงไปเค้าก็ไม่ว่าอะไรหรอก(มั้ง555)
ถ้าน้ำไปรู้ตอนหลังถึงไม่โกรธ เค้าก็คงจะเสียความรู้สึกมาก :เฮ้อ:
ปล. คุณฟ้าม่วงรักษาสุขภาพด้วยนะคะ ช่วงนี้อากาศย่ำแย่
ปลล. ไปเที่ยวไหนมา ไหนอ่ะของฝาก o11 o11
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 10 ได้ชิดเพียงลมหายใจ - 19/03/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 20-03-2011 04:27:45
 :เฮ้อ: การโกหกนี่ก็เป็นปมให้คนอ่านเหมือนกัน

ดีใจนะที่เริ่มรู้สึกดีๆต่อกัน แต่อยากให้รู้ความจริงก่อนที่จะรัก :o11:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 10 ได้ชิดเพียงลมหายใจ - 19/03/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 20-03-2011 05:30:10
มีคนเข้าข้างคุณหญิงดาริกาอีกคน

ยังไม่เจอน้ำตะหากล่ะ ถึงยังไม่เห็นใครเหมาะสมกะคุณชายเท่า

เหอๆ

แต่เบื่อนางร้ายค่ะ ชีจะแรงไปไหน
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 10 ได้ชิดเพียงลมหายใจ - 19/03/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 20-03-2011 12:15:14
คุณชายน่ารักเนอะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 10 ได้ชิดเพียงลมหายใจ - 19/03/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 20-03-2011 19:46:20
คุณชายเริ่มหลงรักนทีแบบไม่รู้ตัวแล้วนะ 555
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 10 ได้ชิดเพียงลมหายใจ - 19/03/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: Rhythm ที่ 20-03-2011 21:12:01
น่ารักค่ะ รออ่านค่ะ
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 10 ได้ชิดเพียงลมหายใจ - 19/03/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: naja-kitase ที่ 20-03-2011 23:47:05
นทีปลื้มคุณชายแล้ว อยากให้ถึงตาคุณชายปลื้มนทีแบบจริงจังบ้าง

รอ รอ รอ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 10 ได้ชิดเพียงลมหายใจ - 19/03/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 21-03-2011 00:29:15
ชอบคุณหญิงดาริกา!

เรื่องนี้ท่าทางมาม่าหลายห่อ ง่ะ ไมเอาน๊า OTT_TTo
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 10 ได้ชิดเพียงลมหายใจ - 19/03/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: nuewanda ที่ 21-03-2011 11:16:22
คุณชายค่ะ อย่าแสนดี อย่าเพอร์เฟคไปกว่านี้อีกเลย ยิ่งแสนดีเท่าไหร่ ต่อไปนทีก็จะยิ่งเจ็บมากขึ้นเท่านั้น และอีกอย่าง เค้าเริ่มจะสับสนว่าฑิฆัมพรหรือเค้ากันแน่ที่จะเป็นตัวร้ายจ้องแย่งคุณชายจากนที ฮ่าๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 10 ได้ชิดเพียงลมหายใจ - 19/03/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: SuSaya ที่ 21-03-2011 14:24:29
อยากรู้เร็ว ๆ ว่าน้ำโดนพ่อเลี้ยงทำอะไรถึงได้กลัวขนาดนั้น...คิดไว้ในใจแย่มาก ๆ เลยอ่ะ (อย่าถึงขั้นนั้นเลยนะ) :sad4:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 10 ได้ชิดเพียงลมหายใจ - 19/03/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 21-03-2011 21:10:42
11
[/B]

     ทิฆัมพรอารมณ์เสียมาก แม้อีริค จะพยายามเกลี้ยกล่อมชักจูงหล่อนว่าจะพาไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ พาไปเลี้ยงเหล้าตามผับตามบาร์อย่างไร ทิฆัมพรก็ไม่อาจปรับอารมณ์ให้ดีขึ้นได้ หลังจากโยนตัวนั่งลงบนเบาะข้างคนขับแล้วหญิงสาวก็แผดเสียงแหลมใส่ชายหนุ่มที่นั่งไม่รู้อิโหน่ อิเหน่อะไรข้างๆ
    “หน็อย นังดลนภานั่นมันคิดว่ามันเป็นใคร ทำคอแข็งเชิดหน้า ถามคำตอบคำไม่เล่าอะไรให้ฟังบ้างเลย”
    “แหม ก็เขาจะไปพูดอะไรได้ล่ะครับ เขาก็เป็นแค่ลูกจ้างนี่นา ขืนพูดอะไรเกินกว่าที่ควรจะพูด คุณชายก็คงไม่เก็บเขาไว้ในบริษัทอีกหรอกครับ”
    อีริคตอบแบบทีเล่นทีจริงทำเสียงหัวเราะไปอย่างนั้นให้หญิงสาวอารมณ์ดีขึ้น กระนั้นหล่อนก็ยังไม่เลิกทำหน้างอบ่นอะไรไปตลอดทาง หลังจากเล่าเรื่องเหตุการณ์ในร้านอย่างละเอียดราวกับเล่นละครเดี่ยวอยู่อย่างไรอย่างนั้น จนชายหนุ่มรู้สึกเหมือนว่าเขาเองกำลังนั่งอยู่ในร้านนั้นด้วย
    “มาทำเป็นบอกว่าดูคุณชายเธอจะชอบคุณหญิงมากเลยนะคะเนี่ย เชอะพี่ชายนะหรือจะชอบยัยคุณหญิงนั่น ฟ้าเคยเจอตามงานสังคม ทื่อเป็นสากกระเบือ พูดอะไรเรียบร้อยอย่างกับผ้าพับไว้ ทำตัวเป็นสาวหวานเลี่ยนเสียไม่มี”
    “แต่คุณหญิงอะไรนั่นก็สวยไม่ใช่หรือจ๊ะ เท่าที่ฟ้าเล่า”
    ทิฆัมพรมองชายหนุ่มตาขวาง
    “ก็สวยน่ะซีถึงกลัว เกิดพี่ชายไปชอบแม่นั่นขึ้นมาถึงขั้นตบแต่งกัน ฉันก็ซวยซี” เสียงแหลมยังดังไปเรื่อยไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆ ถ้าเป็นภาสกร ชายหนุ่มคงทำหน้างอ ไม่โต้ตอบ ไม่แสดงความคิดเห็น หรืออย่างมากหน่อยก็พูดตัดบททำนองว่า
    ‘พี่ปวดหัวเธอหยุดพูดหน่อยซี ทิฆัมพร’
    แต่นี่เป็นอีริค หนึ่งในบรรดาหนุ่มๆ ที่มาติดพันหล่อน เขาฉลาดพอที่จะทำเป็น ‘นิ่งเสียตำลึงทอง’ อย่างที่รู้ดีว่าทิฆัมพรชอบ เวลาหล่อนจะบ่นหรือเล่าอะไร หากทำหน้าตาสนใจ พูดเข้าข้างบ้างตามโอกาสแล้ว คนอย่างทิฆัมพรย่อมสงบลงได้มากกว่า ไปพูดกล่อมให้หล่อนสงบ ทีนี้สักยี่สิบนาทีหรือน้อยกว่านั้นหญิงสาวก็จะเงียบและเปลี่ยนเรื่องไปเอง
    แต่คราวนี้ต่างออกไปตรงที่ชายหนุ่มไปสะดุดหูคำว่า ฉันก็ซวยละซี เข้า ทิฆัมพรจะซวยเรื่องอะไรในเมื่อหล่อนเองก็มิได้สนใจคุณชายอะไรอยู่แล้ว เพราะตั้งแต่เกาะแกะกันมา คุณชายทำได้อย่างมากก็ซื้อโน่น ซื้อนี่ให้หล่อน จะ  ‘สนอง’ สิ่งที่หล่อนต้องการได้หรือก็หาไม่ ตาคุณชายไก่อ่อนนั่น ต่อให้หล่อนยั่วแล้วยั่วอีกอย่างไร ก็หาทางหลีกเลี่ยงไปได้ทุกครั้ง ก็มีบรรดานายตำรวจ นายทหาร หรือ นายแบบ แบบอีริค หรือหนุ่มอื่นๆที่หล่อนเคยลงไป ‘คั่ว’ ด้วยเท่านั้นที่จะ  ‘สนอง’ หล่อน ‘แบบนันสต็อป’ ได้ แต่ทิฆัมพรก็ฉลาดพอที่จะ ป้องกัน ไม่ให้อะไรเกิดขึ้นมากไปกว่า มีเพื่อนร่วมเตียง เช้าแล้วก็แยกกันไป จะให้มีมารหัวขนมาให้หล่อนกับคุณชายแตกแยกกันไม่ได้อยู่แล้ว
    อีริคเข้าใจตามประสาเขาว่าทิฆัมพร คงคบกับคุณชายเพื่อหวังเงินเท่านั้น ส่วนตัวจริงก็คงเป็นเขาที่อยู่ในข้อยกเว้นของทฤษฎี เช้าแล้วก็แยกกันไป ของทิฆัมพร เพราะหญิงสาวกับเขาก็ยังมาเจอกันได้บ่อยๆแม้จะ เช้าด้วยกันมากี่เช้าแล้วก็ตาม
    แล้วทิฆัมพรจะมาซวยถ้าคุณชายแต่งกับหญิงอื่นได้อย่างไร
    เขาถามหล่อนไปอย่างที่เขาถามตัวเอง คราวนี้ทิฆัมพรไม่มีคำตอบให้อย่างเคยมีแต่ เสียงฮึดฮัดอย่างขัดใจในลำคอเท่านั้น นายแบบเลือดละตินจึงต้องเอาน้ำเย็นเข้าลูบ
    “หรือฟ้าคบผมฆ่าเวลา จริงๆแล้ว ฟ้ารักไอ้คุณชายอะไรนั่นใช่ไหมครับ ผมก็แค่ทางผ่านใช่ไหม”
    “จะบ้าหรือคะ” หญิงสาวหัวเราะคิกคัก หล่อนชอบเวลามีคนพูดเพราะๆ เอาใจหล่อนให้หล่อนเห็นว่าตัวเองมีค่า เท่านี้ทิฆัมพรก็สงบลงได้ อีริคจี้หล่อนเข้าถูกจุดพอดีแบบนี้อีกแล้ว เพราะอย่างนั้น หล่อนจึงโอนอ่อนให้นายแบบหนุ่มคนนี้ เหนือ กิ๊ก คนอื่นๆมากเป็นพิเศษเสมอ “ฟ้าน่ะก็ทำตามคุณพ่อ คุณแม่ ไม่ให้มีเรื่องบาดหมางกันกับบ้านคุณชาย จะให้ฟ้ารักหรือไม่มีทางเสียหรอก คนอย่างนั้น จูบยังจูบไม่เป็นเลย จะทำอย่างอื่นไหวหรือคะ”
    หล่อนพูดอย่างนี้เสมอ ให้บรรดากิ๊กๆ ของหล่อนฟัง เนื่องจากยังแค้นไม่หาย เกี่ยวกับเรื่องในคืนที่หล่อนพยายามโน้มน้าวให้ชายหนุ่มติดกับ รวบหัวรวบหางเขาเร่งฤกษ์แต่งงานให้เร็วขึ้น แต่จูบกันได้เพียงปากประกบปาก ภาสกร ก็ถอนริมฝีปากขึ้นไม่ต่างจากโดนไฟฟ้าช็อต ‘อย่าทำอย่างนี้เลยนะ ทิฆัมพร’
    ดึงตัวเองกลับมาในปัจจุบัน หญิงสาวก็ได้ยินอีริคพูดอะไรสักอย่างข้างหู ทำนองว่ารอให้ถึงโรงแรมก่อน จะทำอย่างอื่นสนองเสียให้ลืมคุณชายไปเลย  เท่านั้นเองทิฆัมพรก็นึกอะไรขึ้นมาได้
    “อีริค พาฟ้าไปส่งที่...”

    บ้านพักตากอากาศ ของคุณชาย หรือจริงๆแล้วก็คือวังของท่านชายเรืองเดชที่พัทยานั้น ขนาดเล็กกว่าวังผกากรองพอสมควร เพราะไม่มีบริเวณบ้านกว้างขวางอย่างวังผกากรอง เป็นเพียงบ้านขนาดสี่ห้องนอน สามห้องน้ำ ธรรมดาๆ เท่านั้น เพราะเป็นเพียงตำหนักที่ท่านชายเรืองเดช ทรงซื้อเอาไว้เพื่อมาพักผ่อนหย่อนใจ นานๆเสด็จมาที ไม่ได้ใช้เป็นที่ประทับถาวร แบบวังผกากรองที่ต้องกว้างขวาง ตกแต่งสวยงามหรูหรา สมกับเป็นวังของท่านชาย บ้านหลังนี้อยู่ติดทะเล เป็นหาดส่วนตัวที่ไม่มีนักท่องเที่ยว เพราะแถวนี้ไม่มีสถานบันเทิงนัก มีแต่หาดทรายขาว กับทะเลเท่านั้น หน้าบ้านหันเข้าถนน หลังบ้านเป็นลาน ปูด้วยไม้เป็นซี่ๆ มีบริเวณกว้างพอๆกับห้องนั่งเล่นมองไปเห็นน้ำทะเลสีครามอยู่ไม่ไกล เดินลงไปก็ถึงแล้ว
    ที่ว่าเดินลงไปเพราะตัวบ้านยกขึ้นจากทะเล เวลาน้ำขึ้น น้ำจะอยู่เกือบชิดกับบริเวณบ้าน ถ้าน้ำลงในตอนเช้า ก็จะเห็นหาดทรายค่อนข้างกว้าง อยู่ติดกัน เดินลงบันไดหินจากตัวบ้านลงไปไม่กี่ขั้นก็ถึงชายหาด ขาวสะอาดแล้ว
    ห้องนอนในบ้านนี้ ชั้นบนมี 3 ห้อง ชั้นล่างมีห้องเดียว เป็นห้องพักของแม่นมของเขา และบรรดาสาวใช้ในกรณีที่ติดตามมาดูแลเวลาท่านชายเสด็จมาประทับที่นี่ ชั้นบนมีห้องบรรทมของท่านชายห้องหนึ่ง ห้องของภาสกรห้องหนึ่ง และห้องพักแขกห้องหนึ่ง ห้องนอนของภาสกรอยู่ฝั่งที่มองไม่เห็นทะเล ด้วยความจำเป็นต้องยกห้องฝั่งติดทะเลให้ท่านพ่อของเขา และเผื่อไว้ให้แขกสำคัญนอนชมทะเลด้วยห้องหนึ่ง แต่วันไหนที่ไม่มีแขก ภาสกรจะไปนอนห้องฝั่งนั้นก็ได้
    ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไปในห้องก็พบว่า ห้องยังอยู่ในสภาพเรียบร้อยดี เหมือนก่อนที่เขาจะไปนอนค้างที่โรงพยาบาล ภาสกร ไม่เสียเวลามากนัก เพียงหยิบของที่เขาต้องการ เป็นของที่เขาซื้อมาไว้นานแล้ว แต่ไม่ได้ใช้เพราะยังไม่มีอารมณ์ นี่ละ ของที่เขาจะเซอร์ไพรส์ นที ชายหนุ่มต้องเดินสองรอบ เพราะของที่ว่านั้น บางชิ้นใหญ่ไป ไม่สามารถขนรวมกันไปทีเดียวได้
    ชายหนุ่มดื่มน้ำแก้วเดียวก็ปิดบ้าน ขึ้นรถขับกลับไปหานที
    ภาสกรออกจากบ้านอย่างรีบร้อน เขาต้องกลับไปถึงโรงพยาบาลให้ทันก่อนเที่ยง เพราะไม่อย่างนั้น แดดจะร้อนเกินไปของที่เขาจะเอาไปให้นี้ก็จะหมดความหมายไปเลย ชายหนุ่มจึงไม่ทันได้สังเกต รถยนต์ที่ไม่คุ้นตา จอดห่างจากบ้านของเขา เยื้องไปทางปากซอยเล็กน้อย พอเห็นชายหนุ่มขับรถผ่านไปแล้ว รถคันนั้นก็ขับตามหลังไป โดยที่ ภาสกรมิได้รู้ตัวเลย
    เพราะชายหนุ่มกำลังคิดถึงแต่เด็กหนุ่มอีกคนที่อยู่ห่างกันไม่กี่สิบกิโลเมตรโดยที่ก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้จนแล้วจนรอดว่า คิดถึงอะไรในตัวเด็กคนนั้นกันแน่

    “คุณจะพาผมไปไหนครับ” เขาถามเป็นครั้งที่สี่ หลังจากภาสกรเข็นเก้าอี้เข็นเข้ามาในลิฟต์แล้ว
    พอกลับมาถึงโรงแรม ภาสกรก็ประสานงานกับพยาบาลที่เขารู้จักและเตรียมสถานที่เอาไว้แล้วอย่างดี เขาเรียกเก้าอี้เข็นสำหรับผู้ป่วยขึ้นมาที่ห้องจัดแจงกึ่งอุ้มกึ่งประคองนทีขึ้นนั่งเก้าอี้เข็น ตอนนั้นเองที่เด็กหนุ่มถามขึ้นครั้งแรกว่าจะพาไปไหน ภาสกรพบว่า ชายหนุ่มตัวเบากว่าที่คิด เมื่อเขาได้ประคองนทีขึ้นเก้าอี้เข็น พอเขากล้าที่จะจับตัวเด็กหนุ่มเต็มที่โดยไม่เคอะเขิน นทีก็ดูเหมือนแทบจะไม่เบี่ยงตัวหนีอย่างเกรงใจอีกต่อไป
    พอภาสกรบอกพยาบาลว่าเขาจะเข็นเก้าอี้ไปเอง นทีก็ถามขึ้นมาอีกอย่างคนขี้สงสัยว่า ‘ตกลงคุณจะพาผมไปไหนเนี่ย’ ภาสกรไม่ตอบได้แต่ยิ้มให้เท่านั้น นทีก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย ภาสกรจึงต้องหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ ให้คำตอบเขาเพียง ‘ผมไม่พาคุณไปฆ่าไปแกงหรอกน่า’ กระทั่งชายหนุ่มพาเขามายืนรอหน้าลิฟต์ เขาก็ถามขึ้นเป็นครั้งที่สาม ภาสกรก็ไม่ตอบอีกตามเคย
    จนกระทั่งอยู่ในลิฟต์กันสองคนแล้ว เขาจึงตอบคำถามครั้งที่สี่ของนทีว่า “ถ้าบอก จะเรียกว่าเซอร์ไพรส์หรือ”
    พอลิฟต์เปิดที่ชั้นที่ภาสกรต้องการแล้วเขาก็กระซิบบอกชายหนุ่มเบาๆ
    “เอาล่ะจากตรงนี้คุณต้องหลับตาแล้ว”
    นทีอยากจะถามสวนไปว่า “นี่คุณเล่นอะไรของคุณ” แต่ก็ไม่ได้ทำลงไป เขาไม่อยากชวนทะเลาะ นานๆทีจะมีคนมาทำดีกับเขา ตามใจเขาบ้าง นทีก็ไม่อยากจะปฏิเสธ จึงตัดสินใจทำตามอย่างว่าง่าย หลับตาลงให้ภาสกรพาเขาออกจากลิฟต์ตัวนั้น
    ภาสกรออกจากลิฟต์ เลี้ยวขวา พานทีผ่านผู้คนมากมาย ที่ส่งเสียงจอแจ ทั้งเป็นภาษาไทย และภาษาต่างประเทศ หลายชาติ หลายภาษา ความเย็นของเครื่องปรับอากาศทำให้ผิวของเด็กหนุ่มลุกขึ้นเป็นตุ่ม แต่ไม่ทันไร เสียงจอแจเหล่านั้นก็หายไป ภาสกรเข็นเขาช้าลง อย่างระแวง ระวัง ไม่นานความเย็นจากเครื่องปรับอากาศก็หายไปด้วย กลายเป็นความอบอุ่นของอากาศภายนอก เท้าซ้ายของนที เรี่ยไปกับพื้นอย่างตั้งใจเพื่อให้รู้ว่า เขาออกมาข้างนอกแล้วจริงๆหรือ ก็พบว่า เท้าของเขากำลังสัมผัสกับยอดหญ้าอย่างแน่นอน
    เขาออกมาข้างนอกแล้ว
    ลมพัดมาตลอดเพราะเป็นเมืองชายฝั่ง หากอยู่ที่กรุงเทพ คงร้อนกว่านี้มาก ภาสกรคิดอย่างสบายใจ แล้วก็กระซิบให้เด็กหนุ่มลืมตาได้เสียที
    นทีสำรวจสถานที่ก่อนสิ่งอื่นใด ตรงนั้นเป็นสวนหย่อมลอยฟ้าเล็กๆของโรงพยาบาล มีการปลูกต้นไม้ไว้สวยงาม ดอกไม้ที่ขึ้นอยู่แต่งแต้มสีสัน ให้กับนทีที่ได้แต่มองเพดานขาวๆมาเป็นเวลานาน ที่นั่งพักมีอยู่ตามจุดต่างๆในสวนหย่อมนั้น ทางเดินทำไว้อย่างดี ทำให้ภาสกรพานทีไปดูจุดต่างๆ ได้อย่างถูกใจ สระน้ำเล็กๆ และน้ำพุ ทำให้นทีรู้สึกสบายใจ ทั้งๆที่มองไปไกลหน่อย เกือบสุดสายตาไปนิด ก็จะเห็นทะเลแล้ว นทีหันไปยิ้มให้กับภาสกร
    “คุณภาสกร ขอบคุณมากนะครับ” เขายิ้มดวงตาใสเป็นประกายราวกับเด็กได้ของเล่นใหม่ “สวนสวยมาก ผมชอบมากครับ ขอบคุณจริงๆ ที่พามา”
    ภาสกรไม่ตอบเพียงแต่ยิ้มให้เท่านั้น เขาเข็นเก้าอี้ พา นทีดูโน่นดูนี่สักพัก ก็เข็นรถไปทางศาลาขนาดใหญ่ที่มีต้นไม้ชนิดต่างๆ และดอกไม้สวยประดับไว้ ตรงกลางศาลา นั้นเองมีกระดาษติดกับ ขาตั้งวางเอาไว้ นทีหันหน้ามามองภาสกร ราวกับต้องการย้ำความเข้าใจว่าเขาเข้าใจถูกตามที่ภาสกรต้องการหรือเปล่า
    “ผมจำได้ว่า คุณพ่อคุณชอบพาคุณไปวาดรูปวิวจากบนดอยคุณก็เลยชอบวาดรูป ผมเลยถามเมื่อเช้า รู้ว่าคุณชอบดรออิ้ง ก็เลยไปเอากระดาษ กับดินสอ EE มาให้เผื่อคุณจะอยากวาดรูป แต่ก็มีสีน้ำถ้าคุณอยากระบายสีวิวเผื่อไว้ด้วย” ภาสกรอธิบายรวดเดียวจบ คนฟังก็เป็นปลื้มที่ได้ยินคนที่จำเรื่องราวเล็กน้อยของตนได้
    “ระบายสีน้ำ ยุ่งยากต้องใช้อุปกรณ์เยอะ ผมวาดดินสอธรรมดาดีกว่า” นึกอะไรได้ นทีก็ยิ้มออกมาก่อนจะพูดต่อไปอีก “คุณเป็นแบบให้หน่อยซี”
    “หา” ภาสกรร้อง “ผมเนี่ยนะเป็นแบบให้คุณ บ้าเหรอไม่เอา”
    “อ้าว ก็ถ้าวาดวิวมันต้องใช้สี ถึงจะสวยกว่า ถ้าวาดดินสอ ผมก็อยากวาดคน จะให้ผมไปขอนายฝรั่งคนนั้น มาเป็นแบบหรือไงล่ะครับ”
    ‘นายฝรั่งคนนั้น’ คือชายหนุ่มร่างสูงราวกับนายแบบจริงๆ หน้าตาดูคล้ายคนไทย แต่ก็มองออกว่าคงมีเชื้อสายทาง เม็กซิโก หรือ เปอร์โตริโกมากกว่า ไม่ใช่คนเชื้อสายเดียวกับเขาหรือนทีแน่นอน แม้จะนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่แต่ก็มีบ้างที่ชำเลืองมองมาทางเขาสองคน
    ภาสกรไม่เคยเห็นนายคนนี้มาก่อน แต่ก็มีความรู้สึกว่าคน คนนี้น่าจะเคยเห็นเขา ไม่อย่างนั้น จะเหลือบตาขื้นจาก บางกอกโพสต์ ขึ้นมามองเขาทำไมบ่อยๆ ไม่แน่หนุ่มคนนี้อาจจะเคยเห็นเขา จากหน้าหนังสือพิมพ์บ้างก็ได้ ภาสกรไม่แน่ใจในข้อนี้ จึงไม่ได้หลบหน้าให้ยิ่งน่าสงสัยไปใหญ่ เท่าที่ทำได้ คือหันหลังให้ชายหนุ่มคนนั้นเสีย แล้วพูดกับนที
    “คุณจะเรียกนายฝรั่งนั่นก็ตามใจคุณซี”
    “แหม” นทียิ้ม กรุ้มกริ่ม “ให้ผมวาดคุณภาสกรเถอะ เอาไว้ดูเป็นที่ระลึก เผื่อไม่ได้เจอกันแล้ว จะได้ไม่ลืมกัน”
    ภาสกรประหลาดใจแต่ก็มิได้ยิ้ม หรือขมวดคิ้วให้เห็นอีก เขาได้แต่ฟังคำแนะนำของนทีให้นั่งพิงเสาของศาลา หันข้างให้จิตรกรหนุ่มน้อย ที่กำกับให้วางขาซ้ายแนบไปตามความยาวของที่นั่งศาลา ยกเข่าขวาขึ้น วางแขนพาดลงไป ราวกับนายแบบในนิตยสาร มีพื้นหลังเป็นต้นไม้นานาชนิด และบางส่วนของโรงพยาบาล จะติดนายฝรั่ง ก็ติดมาเพียงนิดเดียว
    นทีลงมือร่างก็ พอดีที่ภาสกรเห็นใบไม้บนหัวของเด็กหนุ่ม จึงขยับตัว อย่างลืมตัว หยิบใบไม้ออกจากผมยาวๆของหนุ่มน้อย
    “ใบไม้ติดผมเดี๋ยวใครก็มองว่าเป็นช่างวาดภาพทาร์ซานหรอก นที”
    เด็กหนุ่ม หน้าแดง ใจเต้นระรัวแปลกๆเมื่อภาสกรเข้ามาใกล้ถึงเพียงนี้ ห่างเพียงไม่เท่าไร มีเพียง กระดาษบนขาตั้งไม้เท่านั้นที่อยู่ข้างๆ ไม่อย่างนั้น เขาจะพลอยคิดว่าอยู่กับภาสกรสองคนเหมือนในห้องพักผู้ป่วยแล้ว
    จะกลบเกลื่อนท่าทีที่เขินอาย ก็ทำได้เพียงดุเท่านั้น
    “ขยับแบบนี้ ผมจะวาดคุณได้อย่างไรล่ะ” เขาว่า แม้ยังหน้าแดงอยู่ “เดี๋ยวกว่าจะเสร็จก็เย็นพอดี”
    ภาสกรหัวเราะร่า มองหนุ่มน้อยหน้าใสได้ก็เพียงตาเดียวเท่านั้น เพราะเขาต้องหันข้างให้ กระนั้น ใบหน้าสวยราวกับเด็กหญิงก็พลันให้เขานึกถึงผู้หญิงคนหนึ่ง ... คิดถึง ดาริกา บางส่วนในดวงหน้าของ หล่อน และ นทีคล้ายกันทีเดียว ปากบางเล็ก จมูกโด่งยาว แต่ไม่เป็นสันจนดูเหมือนฝรั่ง เวลายิ้ม ก็ยิ้มทั้งหน้า จนดวงตาสดใสเป็นประกาย
    ภาสกรใจเต้นไม่เป็นจังหวะอีก จนต้องถอนสายตาจากเด็กหนุ่มตรงหน้า ก่อนที่จะอดคิดถึงคุณหญิงไม่ได้ จนต้องโทรศัพท์หา
 
   ‘นายฝรั่งคนนั้น’ ลุกออกจากเก้าอี้ พอห่างไปได้สักพัก ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ชั่งใจ ว่าจะโทรหาทิฆัมพรดีหรือไม่ ใจหนึ่งก็อยากเล่าสิ่งที่ได้เห็นมาด้วยความสนุกปาก อีกใจหนึ่งก็ยังลังเล ว่าสิ่งที่เห็น เป็นสิ่งที่ควรเล่าหรือเปล่า เขามองท่าทีของผู้หญิงหลายล้านคนในประเทศได้ว่า เมื่อมีความรู้สึกหลงรักชายหนุ่มนั้น ผู้หญิงจะแสดงออกอย่างไร พอๆกับที่เขารู้ดีว่า เวลาชายหนุ่มหลงรักหญิงสาวนั้น เขาจะแสดงออกอย่างไร ก็ในเมื่อเขาเป็นผู้ชายที่มีผู้หญิงมาปลื้มเขาหลายคน
    แต่ผู้ชายที่กระมิด กระเมี้ยนมองผู้ชายด้วยกัน แล้วหลบตาต่ำ หน้าแดงเขินแบบนั้น เพิ่งเห็นใกล้ๆ ก็วันนี้เอง มันไม่ต่างจากหญิงสาวมองชายหนุ่มเท่าไหร่นัก ไอ้หนุ่มน้อยที่ชื่อ นที นั่น หน้าก็สวยคล้ายผู้หญิง ยิ่งมีจริตเขินอาย ก็ยิ่งดูคล้ายผู้หญิงเข้าไปกันใหญ่ เขาไม่อยากคิดว่าคุณชาย ภาสกร รชตานันต์ หนุ่มหล่อ ที่สาวๆเกือบทั้งประเทศต้องการได้มาเป็นพ่อของลูก จะมาอยู่กับคนแบบนี้
    ไหนจะท่าปัดใบไม้ออกจากผม
    ไหนจะสายตาของ เจ้าหนุ่มนั่นที่มองคุณชาย
    ไหนจะ ท่าทางของคุณชายที่หลบตาเด็กหนุ่มคนนั้นอีก
    อีริค ไม่อยากจะคิดเลย หรือว่าคุณชายที่ทิฆัมพร หมายมั่นจะแต่งงานด้วย มีรสนิยม รักเพศเดียวกัน!

    ไม่ทันจะได้ตัดสินใจ ว่าจะโทรหรือไม่โทรดี ทิฆัมพร ก็โทรศัพท์เข้ามาหาเขาก่อน เสียงจากปลายสายทำให้รู้ว่าเจ้าหล่อนดูร้อนใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับตวาดเขาลั่น แบบเมื่อเช้า
    “อีริค คะ เป็นอย่างไรบ้าง เจอหรือเปล่า”
    “เจอครับ ตอนแรกก็หาอยู่นานว่าไปชั้นไหน คลาดกันตอนเขาขึ้นลิฟต์ไปก่อน ไม่รู้ไปชั้นไหน ผมเลยเดินเซ็งๆอยู่พักหนึ่งก็เห็นเขาเข็นเก้าอี้เข็นผ่านไปพอดี” ชายหนุ่มตอบ
    “เข็นเก้าอี้เข็น หรือ”
    เท่านั้น ชายหนุ่มก็เลยต้องเล่าความจริงทั้งหมดให้ฟัง พอได้ยินคำว่า แขนหัก ขาหัก ก็พอจะอนุมานได้ว่า เป็นชายหนุ่มที่รถชนคนนั้นแน่ๆ หญิงสาวเลิกคิ้ว ให้กับกระจกรถที่หล่อนนั่งอยู่ด้านล่าง ราวกับชายหนุ่มที่กำลังคุยด้วยนั่งอยู่ตรงนั้น เห็นไหมเล่า ในที่สุดหล่อนก็รู้ว่าเบื้องลึกเบื้องหลังของเรื่องนี้มันเป็นอย่างไร คำอธิบายของทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในประโยคสุดท้ายที่ชายหนุ่ม นายแบบเล่าให้ฟัง
    คุณชายเป็นเกย์ นั่นเอง

    ภาสกร เริ่มกระสับกระส่าย แดดร้อนขึ้นเรื่อยๆ พอๆกับเวลาที่ผ่านไปมากขึ้น นทีวาดโครงร่างอย่างคร่าวๆ ก่อนจะค่อยๆลงรายละเอียดของ ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าทีละส่วนๆ เขากำกับภาสกร หันซ้ายหันขวาตามที่เขาพอใจ แต่เป็นเพราะความร้อนของประเทศไทยเวลาใกล้เที่ยง ทำให้ภาสกร ถึงกับต้องออกปากบ่น
    “นทีไม่ร้อนหรือ ผมร้อนจะแย่อยู่แล้ว พอก่อนได้ไหมครับ ไว้ค่อยวาดต่อพรุ่งนี้นะ”
    นทีหัวเราะลงลูกคอเบาๆ
    “นี่ยังไม่ทันได้วาดเลยนะครับ ทนต่ออีกนิดละกัน”
    ภาสกรบ่นพึมพำ ทำนองว่า ใครจะไปรู้ว่าเป็นแบบวาดภาพ มันต้องเหนื่อยขนาดนี้ ทั้งต้องเกร็ง ต้องอยู่นิ่งๆ เมื่อยก็เมื่อย เหงื่อก็ออกมากไปหมด ทำเอาคนฟังอย่างนทีขำขึ้นมาอีก
    “โธ่ นะ นทีพักทานข้าวกันก่อนก็ได้ ผมเมื่อยไปทั้งตัวแล้ว”
    หนุ่มน้อยทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ นั่งวาดรูปต่อไป ฝ่ายนายแบบแทนที่จะโกรธกลับนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ กับท่าทางของเด็กหนุ่มตรงหน้า กระนั้น ภาสกรก็ยังไม่อยู่นิ่ง ถ้าไม่เกานั่น ขยับนี่ ก็ชวนคุยพูดมากไปไม่จบ ไม่นานนัก นทีก็ยอมแพ้ วางดินสอลง แบมือสองข้างแบบ ทำอะไรไม่ได้
    “เอาเถอะครับ ทั้งๆที่คุณเป็นคนพาผมมาวาดรูปแท้ๆ แต่ถ้าร้อนนักก็พักเสียก่อน” ภาสกรยิ้มออกจนได้ในที่สุด
    “โอ๊ย เหงื่อออกจนอยากอาบน้ำ คุณนั่งรอผมที่นี่ไหม เดี๋ยวลงไปซื้ออะไรง่ายๆมากินกันตรงนี้”
    “ไม่เป็นไรครับผมอยากขึ้นห้องมากกว่า คุณอยากอาบน้ำก็อาบบนห้องก็ได้ เดี๋ยวผมทานอาหารโรงพยาบาลก็ได้ครับ”
    “แล้วผมจะทานอะไรล่ะ ไม่เอาหรอกอาหารโรงพยาบาลคุณทานได้ไม่อร่อย ผมลงไปซื้อข้าวหมูแดงแถวนี้มาให้ อร่อยมากเลยนะ ผมเคยผ่านมา แวะทานแล้วติดใจเลย อร่อยกว่าเจ้าประจำที่กรุงเทพอีก คุณไปรอผมที่ห้องจะได้เย็นๆ ผมรับรองว่าไปเดี๋ยวเดียวกลับ”
    
    ด้วยเหตุนี้ นทีถึงต้องอยู่ในห้องพักผู้ป่วยคนเดียว แต่ภาสกรก็คือภาสกร เขาบอกว่าไปเดี๋ยวเดียวกลับก็คือ เดี๋ยวเดียวกลับจริงๆ ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงภาสกรก็ชูถุงใส่ข้าวหมูแดงสองห่อให้นทีดู สองหนุ่มยิ้มให้กันก่อนที่ภาสกรจะบ่นว่าร้อนอีกครั้ง
    “ไม่ไหวเลย ถ้าเมืองไทยร้อนกว่านี้แค่ห้าองศาเท่านั้นผมคงเกรียมละครับ นี่เหงื่อออกแล้ว เหงื่อออกอีก”
    “ร้อนก็อาบน้ำก่อนซีครับ”
    “คุณไม่หิวหรือ”
    “ยังไม่หิวครับ ผมรอคุณก่อนก็ได้” นทีว่า ภาสกรจึงตัดสินใจเดินเข้าห้องอาบน้ำไปก่อน สิบกว่านาทีต่อมากภาสกรก็ออกจาห้องแต่งตัวใส่เพียงกางเกงขาสั้น และมีผ้าเช็ดตัวผาดอยู่บนไหล่เท่านั้น ท่อนบนเปลือยเปล่า ยังมีหยาดน้ำเกาะอยู่บนผิวกายเนียนละเอียด ผิวไม่ขาวสะอาดเท่ากับนที หากแต่เนียนสวย ดูออกว่าได้รับการดูแลมาอย่างดี
    “ผมหยิบเสื้อที่ใช้แล้วเข้าไปน่ะครับ ก็เลยไม่ได้เปลี่ยนในห้องน้ำ” เขาแก้ตัว กระนั้น นทีก็ยังรู้สึกวูบๆในท้อง ราวกับมีอะไรวิ่งวนอยู่ในนั้น ภาสกรหยิบเสื้อในกระเป๋าเดินทางออกมาสวม หลังจากเช็ดตัวจนแห้งสนิทแล้ว มีเวลาพอให้นทีเห็นรูปร่างที่สวยงามอยู่ระหว่างความผอมเพรียว กับ ความแข็งแกร่งกำยำ เป็นหุ่นดีที่นทีแอบคิดว่าอยากมีบ้างเท่านั้น
    เขาประหลาดใจเมื่อภาสกร ถืออ่างพลาสติกใบเล็กใส่น้ำ และผ้าขนหนูผืนเล็ก เหมือนผ้าเช็ดเหงื่อออกมาด้วย
    “นั่นไว้ทำอะไรน่ะครับ”
    ภาสกร ก้มมอง ก็รู้ว่าที่ชายหนุ่มถามไม่ใช่เพราะไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่เพื่อขอให้เขาย้ำให้มั่นใจมากกว่า เขาจึงเพียงตอบสั้นๆให้เข้าใจ
    “ก็เช็ดตัวให้คุณไง”
    “หา”
    “หาอะไรล่ะครับ ผมอยู่นี่แล้ว ก็คุณไปวาดรูปตากแดดเสียเหงื่อออกขนาดนั้น รอพยาบาลมาเช็ดตัวตอนเย็น เดี๋ยวกลากขึ้นพอดีมาผมจะเช็ดตัวให้”
    “เอ่อ...” นทีหน้าแดงพยายามจะหาทางหลีกเลี่ยง ภาสกรเห็นเข้าก็ขำ กับท่าทางของหนุ่มน้อย
    “แหมทีพยาบาลสาวๆ ให้เช็ดได้ ผมเป็นผู้ชายเหมือนกัน คุณจะอายทำไมล่ะครับ ลุกขึ้นเถอะ เดี๋ยวผมช่วยถอดเสื้อ” แล้วภาสกรก็ประคองนทีลุกขึ้น ก่อนจะค่อยๆถอดเสื้อของโรงพยาบาล แล้วลงมือเช็ดตัวให้ อย่างทะนุถนอม กลัวว่าเนื้อขาวบางตรงหน้าจะช้ำไป หากเขาลงมือแรงสักเพียงนิดเดียว
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 11 แค่ได้ใช้เวลาร่วมกัน - 21/03/11 - 21.05
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 21-03-2011 21:24:17
>//< คุณชายน่าร๊ากกกกกกกกก

เดี๋ยวมารก็จะมาผจญแล้วสิ เซ็งๆๆๆ

บวกๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 10 แค่ได้ใช้เวลาร่วมกัน - 21/03/11 - 21.05
เริ่มหัวข้อโดย: Little Devil ที่ 21-03-2011 21:33:03
  :-[
และใครก็ได้ช่วยจับชะนีงี่เง่าไปไกลๆ หน่อย :serius2:
+1
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 11 แค่ได้ใช้เวลาร่วมกัน - 21/03/11 - 21.05
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 21-03-2011 21:33:51
งานงอกอีกแล้วนทีของเรา  คุณชายน่ะไม่เท่าไหร่หรอก  เขายังมีสิ่งดี ๆ ชดเชยในชีวิตอีกมากมาย
แต่นทีนี่สิ  อะไรชีวิตจะซวยซ้ำซวยซ้อนขนาดนี้  แม่คุณเล่นให้คู่นอนตามจิกคุณชายถึงโรงพยาบาลเลย
อยากรู้ซะจริงเรื่องของคนอื่น  ทีเรื่องสำส่อนของตัวเอง .. เรื่องเล็ก .. เหมาะกับอีริกจริง ๆ พ่อคนใจกว้าง  เฮ้อ
...
ปล. ฟ้าม่วงอย่าลืมโครงการรวมเล่มปางบรรพ์น๊า  พี่รออยู่
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 11 แค่ได้ใช้เวลาร่วมกัน - 21/03/11 - 21.05
เริ่มหัวข้อโดย: yunjaejoong ที่ 21-03-2011 21:47:51
คุณชาย แค่เช็ดตัวให้อย่างเดียวนะอย่าทำอย่างอื่นเชียวละเดี๋ยวเป็นเรื่อง
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 11 แค่ได้ใช้เวลาร่วมกัน - 21/03/11 - 21.05
เริ่มหัวข้อโดย: nuewanda ที่ 21-03-2011 22:28:54
ไรกัน มีเช็ดตง เช็ดตัว
คนอ่านเขิลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลอ่ะ  :o8:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 11 แค่ได้ใช้เวลาร่วมกัน - 21/03/11 - 21.05
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 21-03-2011 23:33:00
อ๊ายยยยย

ฉากเช็ดตัว
จิ้นกระจายค่าาาาาาา
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 11 แค่ได้ใช้เวลาร่วมกัน - 21/03/11 - 21.05
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 21-03-2011 23:59:55
มีมารดี และ มารร้าย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 11 แค่ได้ใช้เวลาร่วมกัน - 21/03/11 - 21.05
เริ่มหัวข้อโดย: ♠♥♦♣ ที่ 22-03-2011 03:28:31
 :o8: หลงรักคุณชาย
 :beat:นังส์ฟ้า
ส่วนอีริคหล่อไม่เป็นไรอภัยให้ โฮะๆๆๆๆ :haun5:
กังวลกับคุณหญิงดาริกาแฮะ ถึงชีจะเป็นคนดีแต่คุณชายของเรานี่สิ จะก่อปัญหาให้เราหนักใจรึเปล่า :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 11 แค่ได้ใช้เวลาร่วมกัน - 21/03/11 - 21.05
เริ่มหัวข้อโดย: SuSaya ที่ 22-03-2011 15:27:42
งานจะเข้าคุณชายมั้ยอ่ะ...ทิฆัมพรชีท่าทางจะไม่ยอมง่าย ๆ นะ :angry2:
แล้วตกลงคุณชายจะเอาไงกันแน่...นทีหรือคุณหญิง :-[
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 11 แค่ได้ใช้เวลาร่วมกัน - 21/03/11 - 21.05
เริ่มหัวข้อโดย: maew189870 ที่ 22-03-2011 16:26:47
ต่อไปจะเจออะไรกันอีกหรือเปล่านะ

สงสารนทีอ่ะคับ

อย่าให้นทีเป็นรัยมากเลยนะคับ  เฉพาะหัวใจ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 11 แค่ได้ใช้เวลาร่วมกัน - 21/03/11 - 21.05
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 23-03-2011 16:36:53
คุณชายเริ่มหวิวๆกะน้องนิดๆๆเเล้วป่าว
เเต่น้องน้ำนี่ หลงคุณชายเเล้วเเน่ๆๆๆ

ชอบมากๆๆๆๆค่ะ จะติดตามเสมอนะคะ

ยกนิ้วให้เลย ภาษาสวย อ่านง่าย อ่านเเล้วรู้ว่าน้องน้ำเค้าเขินจริงอะไรจริง

ชอบมากค่ะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 11 แค่ได้ใช้เวลาร่วมกัน - 21/03/11 - 21.05
เริ่มหัวข้อโดย: 4559 ที่ 23-03-2011 20:07:05
อิอิ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 11 แค่ได้ใช้เวลาร่วมกัน - 21/03/11 - 21.05
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 23-03-2011 20:20:10
12


     ภาสกร ลากผ้าขนหนูไปตามท่อนแขนขาวละเอียดของหนุ่มน้อยตรงหน้า ไป ปากก็ชวนคุยไปไม่ให้หนุ่มน้อยเคอะเขิน สำหรับเขาเอง เขาไม่รู้สึกแปลกอะไร แต่กับนทีเขาสัมผัสได้จากลมหายใจที่ขาดเป็นห้วงๆ ว่าเด็กคนนี้คงเขินอายไม่น้อย เพราะ แม้แต่เพื่อนกันก็คงไม่มีโอกาสได้มาเช็ดตัว ลูบไล้ผ้าบางๆ ไปตามร่างกายของเพื่อนแบบนี้ แต่ทั้งเขา และนที ซึ่งก็ไม่ได้สนิทอะไรกัน กลับได้มามีโอกาส ใกล้ชิดกันขนาดนี้ ก็สัมผัสได้ว่าคงรู้สึกมีช่องว่างอยู่มาก แต่เขาก็ไม่ถืออะไร เพราะยังไงก็คิดเสียว่าเป็นผู้ชายเหมือนกัน
    ชายหนุ่มคุยกับนที เรื่องนอน ตรวจร่างกายที่แล็บ แม้จะลังเลในตอนแรก แต่ก็สรุปแล้วว่า หนุ่มน้อยตกลงเข้ารับการตรวจจริงๆ ด้วยเหตุผลของภาสกรที่ว่า หากมั่นใจแล้วว่าไม่เป็นอะไร ก็จะได้กลับไปอยู่บ้าน และไปเรียนหนังสือได้ตามปกติ พอนึกถึงเรื่องโลกภายนอก นทีก็ไม่ลังเลอีกต่อไป
    เช็ดตัวกันเสร็จแล้ว นทีก็ยังทำท่าอิหลักอิเหลื่อ ทำตัวไม่ถูกว่าจะพูดอะไรดี ทำอะไรดี ภาสกรจึงเป็นฝ่ายชวนคุยไปเรื่อย คุยกันไป กินข้าวหมูแดงกันไปก็เพลินจนเวลาล่วงเลยไปเยอะ ราวๆบ่ายสามโมงภาสกรก็โทรศัพท์บอกอาหมอมิ่งเมือง ว่านที ยอมเข้ารับการตรวจแล้ว ฝ่ายนั้นก็ยืนยันเวลารวมถึงสถานที่และข้อมูลรายละเอียดทั้งหมดให้กับภาสกร ซึ่งนำมาถ่ายทอดให้นทีฟังอีกต่อหนึ่งว่า ต้องทำอะไรบ้างตลอดขั้นตอนทั้งหมด คุยกันไปจนถึงเวลาเย็น จะชวนลงไปข้างล่างอีก ก็กลัวเหงื่อออกอีก นทีจึงตัดสินใจ นอนดูโทรทัศน์อยู่อย่างนั้น โดยที่คุณชายหนุ่มเลือกที่จะนั่งเขียนแบบ สำหรับงานแฟชั่นโชว์ที่ใกล้จะมาถึง อย่างเคร่งเครียดอยู่ในสายตาของผู้ป่วยบนเตียงที่ดูจะสนใจเขามากกว่าสนใจรายการในโทรทัศน์เสียอีก
    
    ภาสกรรู้ดีว่า ยังไงเสีย อยู่ในห้องแคบๆ ก็น่าเบื่อเสียยิ่งกว่าไปเปิดหูเปิดตาที่ไหน จึงชวนนทีลงไปอยู่ที่สวนหย่อมนั้นอีกในวันเสาร์ วาดรูปกันช่วงเช้าที่ไม่มีแดด พอบ่ายๆ ก็หลบแบบเข้านั่งในศาลา ให้นทีตกแต่งรูปเก็บรายละเอียดพวกวิวทิวทัศน์ไป ภาสกรก็ทำงานกราฟฟิกกับคอมพิวเตอร์โน้ตบุคไป บางครั้งก็มีให้นทียืมใช้เล่นอินเตอร์เน็ตบ้าง เมื่อเขาเริ่มรู้สึกเมื่อยและไม่อยากทำงาน
    นทีไม่เข้าใจว่า ภาสกรไปรู้จักร้านอาหารอร่อยๆ จากไหนเยอะแยะ เพราะอาหารสามมื้อในหนึ่งวันของเขา ล้วนแต่มาจากร้านเด็ดๆที่ภาสกรอ้างว่าอยู่ใกล้โรงพยาบาลบ้าง เคยเห็นตามข้างทางบ้างก็ซื้อมาฝากอยู่เรื่อย จนต้องยกเลิกอาหารจากโรงพยาบาลไม่ให้มาเสิร์ฟอีก อาหารแต่ละมื้ออร่อยมากเท่าที่นทีเคยกินมา ไม่ว่าจะเป็นเมนูธรรมดาๆ อย่างข้าวมันไก่ ก๋วยเตี๋ยว ข้าวขาหมู หรือแม้แต่อาหารตามสั่ง หากเป็นภาสกรซื้อมาแล้ว ย่อมเป็นอาหารอันโอชะ เรียกได้ว่าเหมือนออกมาจากภัตตาคารอย่างนั้น
    พอภาพวาดเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ภาสกรก็เพิ่งเห็นว่าหนุ่มน้อยมีฝีมือมากทีเดียว ต้นไม้ใบหญ้าดูพลิ้วสวย มีชีวิตชีวา พอๆกับใบหน้าของชายหนุ่มในภาพที่เขาเองรู้สึกราวกับว่ามันไม่ได้ออกมากจากปลายดินสอที่หนุ่มน้อยวาด หากเหมือนกับเอารูปถ่ายของเขามาทำ เอฟเฟคในคอมพิวเตอร์ให้ดูเป็นภาพขาวดำอย่างไรอย่างนั้น เพราะนทีเก็บรายละเอียดของใบหน้าเขาได้อย่างถูกต้อง สวยงามตรงกับความเป็นจริงไม่ต่างจากที่ภาสกรเห็นเวลา ส่องกระจก พอถามว่าทำไมไม่ทำขาย คำตอบก็เป็นเพียงคำถ่อมตัว ประเภท
    “ผมไม่ได้เก่งอะไรอย่างนั้นหรอกครับ”
    แต่ภาสกรรู้ดี เขาผ่านการเป็นแบบวาดรูปเหมือนมามาก ในวังของเขามีรูปเหมือนขนาดใหญ่ของ ท่านชายเรืองเดช หม่อมวิไลวรรณ และตัวเขาเองประดับอยู่มาก จากผลงานของจิตรกรหลายคนทั่วประเทศ เขาไม่รู้สึกว่าภาพเหล่านั้น บอกเรื่องราว หรือมีความรู้สึกอะไรแฝงอยู่ในภาพมากเท่าภาพที่นทีวาดภาพนี้เลย
    ภาสกรจำไม่ได้ว่าตัวเองทำหน้าเศร้า เหงาขนาดนั้นหรือเปล่าเมื่อตอนเป็นแบบให้นทีวาด แต่พอผลงานออกมาราว 60 เปอร์เซ็นต์ในวันนี้ ใบหน้าของเขากลับดูเศร้าสร้อย อ้างว้างราวกับนั่งอยู่คนเดียวในสวนหย่อม ทั้งที่ความจริงมีคนจำนวนมากอยู่ในบริเวณนั้นด้วย นทีวาดติด นายฝรั่งคนนั้นมาด้วย ภาพของหนุ่มละติน อยู่ตรงมุมขวามือของภาพไม่มีความโดดเด่นอะไร จะใส่ลงไปก็ได้ ไม่ใส่ก็ได้ แต่นทีก็เลือกใส่เอาไว้ให้ดูราวกับถ่ายภาพไว้ คือมีรายละเอียดทุกอย่างอยู่ในนั้นตามสภาพความเป็นจริง
    ด้วยเหตุนี้เอง ภาสกรจึงจำได้ทันทีเมื่อเห็นชายหนุ่มผิวเข้ม ผมหยักศกคนนั้นอีกครั้ง ที่ล็อบบี้ ที่ร้านอาหาร หรือแม้กระทั่งในลิฟต์ หนุ่มผิวเข้มไม่ได้แต่งตัวด้วยชุดของโรงพยาบาล ซ้ำยังมิได้มีลักษณะเหมือนผู้ป่วยเลยแม้แต่นิดเดียวอีกต่างหาก ภาสกรจึงคิดว่าน่าจะเป็นญาติของผู้ป่วยสักคนมากกว่า พูดถึงตอนเจอกันในลิฟต์ หนุ่มละตินคนนั้น เดินเบียดภาสกรเข้าไปในลิฟต์ก่อนทั้งๆที่ตัวเอง ก็เดินตามเขามาจากด้านล่าง อยู่ตั้งนานไม่มีทีท่าว่ารีบร้อน แถมเมื่อเข้าไปในลิฟต์กลับไม่กดชั้นที่ต้องการจะไปอีก ภาสกรจึงเป็นฝ่ายกดชั้นที่พักของนทีก่อน ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านในสุดของลิฟต์ จึงทำท่าเหมือนรู้ตัวว่าเหม่อลอยอยู่ แล้วกดชั้นที่อยู่ต่ำกว่าภาสกรไปชั้นหนึ่ง
    พอชายหนุ่มเดินออกจากลิฟต์ ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรแต่ประตูลิฟต์ปิดเสียก่อนที่ ภาสกรจะได้ยินว่า หนุ่มคนนั้นพูดภาษาอังกฤษ หรือฝรั่งเศส หรือสเปนกันแน่ จึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เพราะวันต่อมาก็ไม่เจอเขาอีกแล้ว
    ที่ภาสกรไม่รู้ คือเมื่อชายหนุ่มชาวต่างชาตินั้นลงจากลิฟต์แล้ว เขากดโทรศัพท์เรียกถึงทิฆัมพรทันทีพร้อมกับรายงานเสียเรียบร้อยว่าภาสกรลงชั้นไหน เมื่อเช็คดูแล้วพบว่าภาสกรเปิดประตูเข้าไปห้องไหนกันแน่ ก็สืบมาได้ว่าเป็นชั้นที่เป็นส่วนของห้องพักผู้ป่วยใน พอรู้ข้อมูลทั้งหมดชายหนุ่มก็ลงไปถามพนักงานต้อนรับว่า คนไข้ที่พักอยู่ห้องนั้น ชั้นนั้นชื่ออะไรเป็นใครมาจากไหน แต่แน่นอน ข้อมูลของคนไข้ย่อมเป็นความลับของทางโรงพยาบาล อีริค กอนซาเลซ จึงได้ข้อมูลมาได้เพียงเท่านั้น
    แต่สำหรับทิฆัมพร ข้อมูลเท่านั้นแหละที่มีค่ามหาศาลสำหรับหล่อน เพราะหัวค่ำนั้นเอง หญิงสาวก็สั่งให้อีริคขับรถของหล่อนไปดูที่วังพัทยา พบว่าประตูรั้วเหล็กยังล็อคสนิทไม่มีวี่แววของเจ้าของบ้านว่ากลับมาพักที่บ้านแต่อย่างใด แม้แอบจอดรถดูจนเที่ยงคืนก็ยังไม่กลับมา เท่านี้ หญิงสาวก็แน่ใจแล้วว่าภาสกรไม่ได้กลับมานอนที่วัง แต่นอนค้างอยู่กับใครที่โรงพยาบาล ทิฆัมพรไม่ได้ต้องการข้อมูลส่วนที่ว่าคนที่โรงพยาบาลเป็นใครมาจากไหน เพราะเมื่อคิดดูแล้ว หญิงสาวก็ปะติดปะต่อ เรื่องทั้งหมด รวมกันได้ว่า ภาสกร แอบมาอยู่กับใครสักคนที่เขารู้จัก ที่โดนรถชน รวมถึงเสียค่ารักษาพยาบาลให้ ที่โรงแรมในพัทยานี้เอง ไม่มีเมีย กกอยู่ที่วังพัทยาแน่นอน

    บ่ายๆ วันอาทิตย์ วันที่นทีต้องเข้านอนที่ห้องแล็บ ระหว่างที่สองหนุ่มกำลังนั่งกินแฮมเบอร์เกอร์ และ น้ำอัดลมกันอยู่ที่สวนหย่อมนั้นเอง เพื่อนสาวผิวคล้ำของนที ก็โทรศัพท์เข้ามา
    “ไงยะ อยู่ที่โรงบาล เป็นไงบ้าง” เสียแหลมแสบแก้วหูดังขึ้นแทบจะทะลุออกมานอกโทรศัพท์ ทำเอาภาสกรที่นั่งอยู่ข้างๆพลอยได้ยินไปด้วย
    “สบายดี แกล่ะเป็นไง ไม่โทรมาเลยนะ”
    “สบายดีย่ะ ก็แหม ฉันจะไปมีเวลาโทรหาได้ยังไงมัวแต่ไปหาญาติบ้านนั้นบ้านนี้ แม่ก็เกิดอยากเที่ยวขึ้นมาก็เลยข้ามสะพานมาภูเก็ตกัน นี่ก็ได้ฤกษ์กลับแล้วนะ โทรมาบอกว่าได้กลับเย็นนี้แหละ เดินทาง สิบชั่วโมง ถึงพัทยาก็เช้าๆ ต้องเข้าบ้านก่อนคงไปหาแกได้สายๆ”
    “เออไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ยังอยู่ดี”
    “แหม ไงล่ะ ติดใจคุณภาสกรแล้วละซี” หนุ่มน้อยไม่รู้ว่าชายหนุ่มข้างๆจะได้ยินหรือเปล่า แต่ก็รู้สึกหน้าแดงขึ้นมา พอหันมามองภาสกร คนที่ถูกมองก็อดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายไม่สบายใจหรือเปล่าที่อยู่ตรงนั้น
    “ขอไปห้องน้ำ แปบเดียวครับ” ภาสกรตัดสินใจบอกไปอย่างนั้น แล้วก็ลุกออกไปปล่อยให้นทีคุยกับเพื่อนสาวอย่างเต็มที่ไม่ต้องเกรงใจเขา
    “แกก็ พูดอะไรออกมา คุณภาสกรเขาจะได้ยินหรือเปล่าก็ไม่รู้”
    “แหม เดี๋ยวนี้ต้องเป็นกังวลเกรงใจเขาด้วยเหรอจ๊ะ” เสียงเพื่อนสาวยั่วล้อ นทีได้ยินเสียงคนโวยวายเป็นสำเนียงปักษ์ใต้ดังเข้าโทรศัพท์มา แต่เมื่อปุยฝ้ายไม่ได้สะดุ้งสะเทือน เดือดร้อนอะไรเรื่องนั้นก็คิดว่าคงไม่ใช่ญาติๆของหญิงสาวจึงไม่ได้ใส่ใจจะถาม
    “ก็แหม เขาก็ช่วยฉันไว้”
    “ตายจริง ทิ้งไว้ อยู่กับเขาแค่สามสี่วันเองมองเขาเป็นคนดีแล้วหรอพ่อคุณ” หญิงสาวยังคงล้ออยู่ไม่ขาดปาก
    “ก็เขาเป็นคนดีจริงๆ” นที ไม่รู้ตัวว่ายิ้มออกมาได้อย่างไร แต่เพียงนึกถึง ชายหนุ่มคนนั้นก็อดยิ้มให้กับความดี และความเอาใจใส่ของเขาไม่ได้ นทีไม่รู้ตัวหรอกว่า กำลังรู้สึกดีกับชายหนุ่มคนนี้อย่างมากเสียแล้ว
     “ไง แล้ววันๆทำอะไรกันบ้างล่ะ”
    “ก็จะไปทำอะไรได้ อยู่โรงพยาบาล ไม่ได้อยู่ห้างเสียหน่อย...” แล้วหนุ่มน้อยก็เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างสาม สี่วันนี้ให้เพื่อนสาวฟัง ฝ่ายเพื่อนที่อยู่ฝั่งโน้น ได้ยินก็สบายใจ เพราะหล่อนกลัวแสนกลัวว่านทีจะทำตัวขวางโลกไม่ยอมรับอะไรจากคุณชาย แล้วถ้าเกิดมีเรื่องขัดแย้งกันขึ้นมา ถ้าคุณชายหนีหายไป ไม่รับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลละก็ คนที่จะซวยคือหล่อน และ เพื่อนหนุ่ม เพราะจะไปเรียกร้องอะไรจากคุณชายย่อมไม่ได้เสียแล้ว
    อีกอย่าง ความจริงที่ว่าคุณชายเป็นคนขับรถชนนที ก็ยังไม่มีใครกล้าเปิดเผยให้เด็กหนุ่มรู้ ด้วยกลัวว่าหากพูดความจริงออกไป ความสัมพันธ์ที่สวยงามที่ทั้งคู่กำลังมีให้กันนั้น จะสูญหายไปหมด
    ภาสกรยืนมองนที จากที่ไกลๆ พอเห็นท่าทีที่สดใส พูดคุยกับเพื่อนอย่างมีความสุข ก็อดยิ้ม อย่างเอ็นดูไม่ได้ เขาอยากให้มันเป็นอย่างนี้ต่อไป ไม่อยากให้ความสัมพันธ์นี้มันถึงจุดจบเลย ทั้งๆที่ก็รู้ว่า พอเข้าแล็บแล้ว ผลออกมาว่าไม่เป็นอะไร ก็ต้องให้นทีกลับไปอยู่กับปุยฝ้าย ไปเรียน ไปมีเพื่อน มีชีวิตที่เขาเคยมี เหมือนก่อนที่ภาสกรจะหยิบยื่นชีวิตอีกแบบนี้ให้กับหนุ่มน้อย
    แล้วเขาก็จะไม่ได้เห็นใบหน้าที่อ่อนเยาว์ สดใส แต่ซึมเศร้าได้ในเวลาเดียวกันนี้อีกเลย
    ภาสกรก็ไม่รู้ว่า ทำไมเขาถึงต้องประคับประคองความสัมพันธ์ให้อยู่ในรูปแบบนี้ด้วย ความจริงหากเขาทิ้งเงินไว้ก้อนหนึ่ง เป็นค่ารักษาพยาบาล แล้วตัวเองก็ดำเนินชีวิตไปตามปกติ ไม่ต้องมาเป็นห่วง ไม่ต้องมาดูแลหนุ่มน้อยแบบที่เขาทำอยู่นี้ ก็ย่อมได้ แต่ไม่รู้ทำไม ทุกครั้งที่มองตาคู่เล็กแต่มีประกายสดใสของเด็กหนุ่มคนนี้ทีไร เขาก็ไม่อาจห้ามใจไม่ให้เข้าไปใกล้ ไม่ให้ไปดูแลเด็กคนนี้ได้สักครั้ง  
    ความรู้สึกนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิตของเขา จริงอยู่ภาสกรมีเพื่อน อยู่มากเมื่อตอนอยู่อังกฤษ แต่ก็ไม่เคยปฏิบัติกับเพื่อนคนไหน แบบที่ปฏิบัติกับหนุ่มน้อย แม้แต่กับ เจสสิกา แฟนสาวของเขาที่นั่น ภาสกรก็ยังไม่เคยเอาอกเอาใจ ดูแลขนาดนี้ พาลนึกไปถึงทิฆัมพร จริงอยู่ที่เขาต้องพาหล่อนไปโน่นไปนี่  ซื้อของ เลี้ยงข้าว เลี้ยงหนังหล่อน ตามคำสั่งของหม่อมวิไลวรรณ แต่ก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่เขาเต็มใจ ใจจดใจจ่อที่จะดูแลทิฆัมพร เหมือนที่เขาเต็มใจ และใจจดใจจ่อที่จะได้ดูแลนทีเลย
    ความรู้สึกแบบนี้มันเรียกว่าอะไร ภาสกรไม่อาจตอบตัวเองได้
    พอพิจารณาดู เขาก็พบว่าพี่น้องบางคู่ก็ดูแล รักใคร่กันแบบนี้ ไม่ต้องอื่นไกล บรรดา คุณลุง คุณป้าของเขานี่แหละ ต่างก็รักใคร่ เป็นห่วงเป็นไย ดูแลวิไลวรรณ น้องสาวคนสุดท้องของพวกเขาเป็นอย่างดี หรือแม้แต่ ญาติๆที่อายุใกล้เคียงกัน ก็สนิทสนม มีท่าทีต่อกัน คล้ายเขาและนที... อย่างนี้ละมัง ความรู้สึกแบบที่พี่มีต่อน้อง เพราะภาสกรไม่มีพี่หรือน้องนั่นเอง ถึงได้ไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองในรูปแบบนี้

    ภาสกรเดินกลับเข้าไปที่ศาลาแต่ก็ไม่ได้นั่งติดกันนทีอย่างก่อนที่โทรศัพท์จะเข้า มอบความเป็นส่วนตัวในนทีสักครู่หนึ่ง
    “เออ แล้วเดี๋ยว วันจันทร์สายๆฉันเข้าไปหาละกัน ไอ้เราก็อุตส่าห์เป็นห่วง กลัวจะเข้ากับคุณภาสกรเขาไม่ได้ เผลอ แป๊บเดียวกลายเป็นคู่ซี้กันไปแล้ว”
    “อืม”
    “เอาล่ะ เอาล่ะ ฉันวางละนะ เจอกันจ้ะแก”
    “เออ แล้วเจอกัน” นทีกดปุ่มวางสาย หันมายิ้มให้กับภาสกร ชายหนุ่มมีมารยาทพอที่จะไม่ถามว่าคุยอะไรกัน แต่นทีกลับรายงานเองเสียเสร็จสรรพว่าปุยฝ้ายโทรมาบอกว่าจะกลับวันจันทร์ และจะเข้ามาหาสายๆ
    “นั่นซีนะ” ภาสกรเอ่ยขึ้น แต่ไม่ได้มองหน้าหนุ่มน้อย เพราะเกรงว่าจะทำหน้ายักษ์ใส่เขาเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ “พอคุณเข้าตรวจร่างกายคืนนี้ที่แล็บแล้ว คุณฝ้ายกลับมาแล้ว อาหมอปล่อยคุณกลับบ้าน คุณก็คงลืมผม”
    ภาสกรหันหน้ามามองหนุ่มน้อย มองหน้าเขาราวกับประโยคที่เพิ่งพูดจบ เป็นประโยคคำถามที่รอคำตอบ แต่แม้ไม่ใช่คำถาม นทีก็เอ่ยตอบขึ้นด้วยเสียงต่ำๆ นุ่มๆตามแบบของเขา ทำเอาภาสกรอึ้งไปเหมือนกัน
    “จะลืมได้อย่างไรล่ะครับ คุณเป็นผู้มีพระคุณของผม ที่ยังไงผมก็ต้องตอบแทนบุญคุณ ผมไม่วันลืมหรอกครับ” แล้วจบประโยคด้วยรอยยิ้มที่ทำให้ภาสกรอดใจไม่ได้ ยื่นมือไปขยี้ผมหนุ่มน้อยด้วยความเอ็นดู
     ไม่รู้หรอกว่า หนุ่มน้อยคนนี้หน้าแดง แทบเก็บความรู้สึกไว้ไม่ได้ มันรู้สึกอบอุ่นที่สุด... อบอุ่นจริงๆ

    ห้องแล็บที่นทีมาอยู่คืนนี้ อยู่บนชั้นสูงๆ ของโรงพยาบาล ทั้งชั้นดูร้าง แทบจะไม่มีคน ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณหนึ่งทุ่ม ภาสกรเป็นคนประคองนทีขึ้นเก้าอี้เข็น พาร่างเด็กหนุ่มมาที่ห้องแล็บอย่างรวดเร็ว ทว่านุ่มนวลและมั่นคง เจ้าหน้าที่ที่เปิดประตูแล็บออกมาต้อนรับ เป็นหนุ่มใหญ่วัยสี่สิบต้นๆ ใส่แว่น ใบหน้าดูคร่ำเคร่ง ผมบนศีรษะบอกลาไปแล้วกว่าครึ่ง ทำให้ดูแก่กว่าวัย อย่างช่วยไม่ได้ ใบหน้า บ่งบอกว่า มีความสนใจและสนิทสนมกับพวกเครื่องจักรต่างๆมากกว่าผู้คนกันเองเสียอีก
    เห็นได้ชัดว่าดูประหม่าเวลาที่ต้องพูดคุยทักทายกับภาสกรและนที แต่เมื่อภาสกรกึ่งอุ้มกึ่งประคองหนุ่มน้อยขึ้นเตียงในแล็บนั้นแล้ว เจ้าหน้าที่คนนี้กลับพูดอธิบายเกี่ยวกับอุปกรณ์ต่างๆในห้องนั้นอย่างละเอียดและกระตือรือร้น ราวกับกำลังแนะนำญาติสนิทของตน ให้สองหนุ่มรู้จัก
    “เราจะวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ปริมาณออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย คลื่นสมอง และ การกระตุกของกล้ามเนื้อในระหว่างนอน นะครับซึ่งจะบ่งชี้ว่า คุณนทีเนี่ย มีความผิดปกติอะไรบ้างหรือเปล่าในขณะหลับโดยเจ้าเครื่องมือพวกนี้ จะเป็นสายแบบนี้ครับ” เจ้าหน้าที่ผมบาง คนนั้นชูสายพลาสติกใสๆ เส้นหนึ่งขึ้นให้นทีและภาสกรดู มันมีลักษณะไม่ต่างอะไรจากสายไฟ ปกติที่เราเห็นกันตามบ้าน หากแต่มีขนาดเล็กกว่า และใสมากๆเท่านั้น “สายพวกนี้ครับ มีมากหลายสิบสายทีเดียว ผมจะติดมันไว้ตามแขนขาของคุณนที เพื่อวัดการกระตุกของกล้ามเนื้อ แล้วก็จะมีติดที่ศีรษะเพื่อวัดคลื่นสมอง ที่หน้าอกวัดการเต้นของหัวใจ และ ที่จมูกเพื่อวัดปริมาณออกซิเจนที่ไหลผ่านเข้าร่างกาย อย่างที่ผมบอกไปแล้วครับนะ”
    ภาสกร มองหน้านทีเพื่อสร้างความมั่นใจ
    “มันจะเจ็บไหมครับ” ภาสกรถามแทนนที คำตอบที่ได้คือเสียงหัวเราะของเจ้าหน้าที่คนนั้น
    “อู๊ย จะไปเจ็บอะไรล่ะครับก็แค่แปะไว้แล้วสายเหล่านี้ก็จะส่งข้อมูลไปยังเครื่อง ผมจะอยู่ห้องข้างๆคอยดูจอประมวลผลต่างๆ แล้วพอผมประเมินทุกข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ผมก็จะส่งไปให้คุณทีหลัง เท่านั้นเองครับไม่ต้องห่วง”
    เจ้าหน้าที่พูดไปก็ติดสายต่างๆ ตามตัวนทีไป ภายในสิบนาทีต่อมา นทีก็กลายสภาพคล้ายหุ่นไซบอร์ก นอนอยู่บนเตียง มีสายโน่น สายนี่หลายสิบโยงไปทั่วตัวจนหนุ่มน้อยอดแซวเล่นๆ เมื่อเจ้าหน้าที่คนนั้น เดินออกไปอยู่ห้องข้างๆแล้ว
    “ถ้าผมหลับลงพร้อมไอ้เจ้าสายพวกนี้อยู่บนตัว คุณช่วยให้รางวัลผมด้วยนะครับ”

    อีริค กอนซาเลซ พารถคันสวยของทิฆัมพรกระโจนไปตามถนนสุขุมวิทมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพ พรุ่งนี้วันจันทร์ก็จริงแต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ทำงานกระนั้นเขาก็ยังต้องรีบบึ่งรถกลับกรุงเทพ ตามคำสั่งของทิฆัมพร หญิงสาวที่พูดถึงอยู่นี้นั่งกอดอกมองออกนอกหน้าต่าง ด้วยความรำคาญใจ แต่จะแสดงออกมากก็กลัว เสียบรรยากาศ อีริค เป็นคนที่ทิฆัมพรต้องยื้อไว้ก่อน ยังปล่อยให้หลุดมือไปไม่ได้ เพราะ บางสิ่งบางอย่างที่เขามี เป็นสิ่งที่หล่อนถูกใจ และไม่สามารถยอมให้ใครได้ไปได้เด็ดขาด
    กระนั้น หล่อนก็อดหงุดหงิดกับคุณชายไม่ได้
    “พี่ชาย นะพี่ชาย ไม่น่าเป็นเก้งเลย” ทิฆัมพรบ่นกระปอดกระแปด เมื่อตอนรู้ข่าวจากอีริค ว่า อะไรเป็นอะไร
    มาตอนนี้ ก็ได้แต่ นั่งกระฟัดกระเฟียด งอนชายหนุ่มที่ไม่ได้อยู่ตรงนั้นเสียด้วย อีริคก็รำคาญ แต่จะแสดงอาการไม่พอใจก็ไม่ได้ เดี๋ยวทิฆัมพรหลุดมือไปละแย่ เขาต้องกลับไปเป็นนายแบบมาดเซอร์มีงานบ้าง ไม่มีงานบ้างสวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์กินแต่บะหมี่ข้างถนน เพราะขาดการสนับสนุนทรัพย์จากหญิงสาวเหมือนเดิม
    “ฟ้า จะไปแวะที่ไหนกับผมก่อนไหม ไปฟังค์กี้กันก่อน ค่อยเข้าบ้านไหมครับ” ชายหนุ่มพยายามโน้มน้าวให้หญิงสาวอารมณ์ดีขึ้น
    “ไม่ค่ะ อีริค กลับบ้านอีริค หย่อนอีริคลง แล้วเดี๋ยวฟ้าขับรถกลับบ้านเอง”
    “อะไรกัน นี่เพิ่งทุ่มกว่าๆ ถึงบ้านไม่เกินสามทุ่ม ฟ้าจะรีบไปไหน”
    “รีบนอน” หล่อนตอบสั้นๆ พอรู้ตัวว่าห้วนเกินไปก็ต่อประโยคไม่ให้ฟังดูน่าเกลียด “พรุ่งนี้จะไปวังผกากรอง”
    “วังของคุณชายอะไรนั่นหรือ” ชายหนุ่มถาม โดยไม่หันมามองหน้าหญิงสาว คำว่า วัง ดูยิ่งใหญ่หรูหรา ในขณะที่ อีริค มีเพียงห้องเล็กๆ ในอพาร์ตเมนท์โทรมๆ แถวดินแดงเท่านั้น
    “ใช่ จะไปหา หม่อมวิไลวรรณ”
    “ไปเรื่องคุณชายหรือครับ ผมว่าอย่าไปยุ่งเลยดีกว่า เกิดเราเข้าใจผิด เขาไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด เราจะเสียเปล่าๆ” ชายหนุ่มพยายามโน้มน้าว จิตใจ แต่ทั้งๆที่รู้ว่ายังไงก็ไม่ได้ผล ชายหนุ่มก็อดหงุดหงิดไม่ได้ว่า ทิฆัมพรช่างหัวดื้อ และไม่ยอมฟังใครเลยเสียจริง
    “เอาเถอะ ฟ้ามีแผน ไม่ปล่อยให้ตัวเองแย่หรอกน่า”

***********************************************************************
จบแล้วล่ะครับสำหรับตอนนี้ ยำมาม่าที่หลอกให้กินมาเรื่อยๆ จะเริ่มปริมาณมากจึงถึงจุดพีคแล้วล่ะครับ แต่สัญญาว่าหลังจากนั้นไปจะเริ่มอ่านสบายขึ้นครับ เห็นหลายๆคนบอกว่าอึดอัด แต่อย่างที่บอกไปแล้ว(หรือเปล่า) ว่าเรื่องนี้จะดราม่าเยอะมาก อาจจะมากที่สุดเท่าที่เคยเขียนมาเลยก็ว่าได้ 5555
อย่าลืมติดตามนะครับ ตอนหน้าแอบมีกุ๊กกิ๊กเล็กน้อยก่อนมาม่าชามใหญ่ พุธหน้า อิอิ

ขอบคุณที่ยังติดตามนะคร้าบบ อย่าเพิ่งหนีกันล่าาา จุ๊บ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่12 ภาสกร-ความรู้สึกแบบนี้มันเรียกว่าอะไร? - 23/03/11 - 20.15
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 23-03-2011 20:24:45
จิ้มบวกซะ
กลัวจะจมน้ำมาม่าตายอ่าค่ะ ลดลงมั่งไม่ได้หรออออ  :3123:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่12 ภาสกร-ความรู้สึกแบบนี้มันเรียกว่าอะไร? - 23/03/11 - 20.15
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 23-03-2011 21:00:30
ถึงไม่ชอบมาม่าแต่ก็ไม่หนีไปไหน เพราะกลัวค้างคาในอารมณ์ที่ไม่ได้อ่านมากกว่า
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่12 ภ
เริ่มหัวข้อโดย: ♠♥♦♣ ที่ 23-03-2011 21:11:56
นึกว่าชื่อตอนนี้จะเป็น "แค่เพื่อนเท่านั้นแต่มันเกินห้ามใจ" ซะอีก
นึกว่าคุณฟ้าม่วงจะเอาให้จบเพลง 555
*******edit*******
อ้าว นี่หลอกให้เรากินมาม่าหรอเนี่ย OMG!
แล้วนี่ยังเป็นมาม่าชามใหญ่สุด ใหญ่กว่าปางบรรพ์อีกหรอ MY GODDDDDDDDD
อย่าเพิ่งเลย ขอทำใจก่อนนนนน
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่12 ภาสกร-ความรู้สึกแบบนี้มันเรียกว่าอะไร? - 23/03/11 - 20.15
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 23-03-2011 23:09:32
อ่านนิยายในบอร์ดเยอะมาก กินมาม่าก็เยอะหลายชาม

กิน"คุณชาย"ไปอีกชาม กลัวเป็นโรคขาดสารอาหารจัง
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่12 ภาสกร-ความรู้สึกแบบนี้มันเรียกว่าอะไร? - 23/03/11 - 20.15
เริ่มหัวข้อโดย: SuSaya ที่ 23-03-2011 23:15:56
นังคุณฟ้าท่าทางจะก่อเรื่องอีกแล้วสิ...คุณชายรับนทีเป็นน้องบุญธรรมเลยดิ อย่างน้อยก็จะยังได้ดูแลต่อไปอ่ะนะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่12 ภาสกร-ความรู้สึกแบบนี้มันเรียกว่าอะไร? - 23/03/11 - 20.15
เริ่มหัวข้อโดย: imsingularfc ที่ 23-03-2011 23:38:04
 :z6:ฝากสักทีให้นังฟ้าเหลือง
จะเกิดอะไรขึ้นกะน้องบ้างเนี่ย เป็นห่วงจัง
เป็นกำลังใจให้นะค่ะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่12 ภาสกร-ความรู้สึกแบบนี้มันเรียกว่าอะไร? - 23/03/11 - 20.15
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 23-03-2011 23:54:31
มาม่ากินจนอืด อิอิ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่12 ภาสกร-ความรู้สึกแบบนี้มันเรียกว่าอะไร? - 23/03/11 - 20.15
เริ่มหัวข้อโดย: Little Devil ที่ 24-03-2011 01:05:04
ไม่ชอบมาม่า
ช่วยบอกล่วงหน้าด้วย จะได้หลบทัน
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่12 ภาสกร-ความรู้สึกแบบนี้มันเรียกว่าอะไร? - 23/03/11 - 20.15
เริ่มหัวข้อโดย: Rhythm ที่ 24-03-2011 16:45:04
รออ่านนะค่ะ
 :L1:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่12 ภาสกร-ความรู้สึกแบบนี้มันเรียกว่าอะไร? - 23/03/11 - 20.15
เริ่มหัวข้อโดย: naja-kitase ที่ 25-03-2011 00:14:29
ง่าาา
ถ้าจะจัดมาม่าชามใหญ่ๆมา ก็ควรจัดฉากกุ๊กกิ๊กหนักๆมาด้วยสิคะ จะได้สมดุลกัน
ไม่งั้นคนอ่านช้ำแย่เลย  :serius2:

แต่แอบงอนพาร์ทก่อนที่คุณชายแอบคิดถึงคุณหญิงดาริกาไรนั่นน่ะ งอนจริงๆนะ
ถ้าคุณชายไปชอบดาริกาจริง เราจะโป้งคุณชายจริงๆด้วย!!

ส่วนนางร้าย ก็ :beat: ไม่สิแบบนี้ดีกว่า  :z6: ฮ่าๆๆๆ

หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่12 ภาสกร-ความรู้สึกแบบนี้มันเรียกว่าอะไร? - 23/03/11 - 20.15
เริ่มหัวข้อโดย: Rawint_PK ที่ 25-03-2011 00:40:12
จะอะไรก็กินได้ทั้งนั้นแหละครับ
ขอให้อร่อยเป็นดี
อิอิ
คุณชายนี่น้าา
อ่อนโยนซะ...
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่12 ภาสกร-ความรู้สึกแบบนี้มันเรียกว่าอะไร? - 23/03/11 - 20.15
เริ่มหัวข้อโดย: j4c9y ที่ 25-03-2011 21:07:40
ซี๊ดดดดดดดดดด   มาม่าแซ่บ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่12 ภาสกร-ความรู้สึกแบบนี้มันเรียกว่าอะไร? - 23/03/11 - 20.15
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 25-03-2011 22:30:03
คุณชายเริ่มหวั่นไหวอ๊ะป่าว
 :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่12 ภาสกร-ความรู้สึกแบบนี้มันเรียกว่าอะไร? - 23/03/11 - 20.15
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 28-03-2011 20:47:56
13

     “ต๊าย สวยนะยะ” เสียงนี้จะเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากปุยฝ้าย
    สิบนาฬิกาของวันจันทร์ หล่อนเข้ามาถึงห้องพักของ นทีด้วยความสดใสร่าเริงตามแบบฉบับของหล่อน ทำเอาห้องสีขาว น่าเบื่อของหนุ่มน้อย มีสีสันสดใสแต่งแต้มขึ้นมาจนฉูดฉาดในพริบตา
   หญิงสาวปรากฏกายในชุดเสื้อแขนกุดสีดำ และกางเกงยีนส์ขาสั้นสีเข้ม มีผ้าพันคอสีแดงสด พาดไว้ที่คอ ทำตัวเป็นสาวแฟชั่น อย่างที่คิดอยากจะเป็น หล่อนกรี๊ดกร๊าด ทักเรื่องรูปวาดภาสกร ที่นทีจัดการเสร็จเรียบร้อย และ วางพิงไว้ที่โซฟารับแขก ก่อนที่จะถามความเป็นมาของเพื่อนหนุ่ม ผิวของสาวน้อย เป็นสีเข้มไม่ปรากฏความไหม้เกรียมบนผิวแต่อย่างใด ทั้งที่หลายคนมักจะมีรอยแดงจากการที่แดดเผา หรืออาจมีผิวคล้ำมัวหมองติดตัวเป็นของฝากจากการไปเที่ยวทะเลกันเป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่รู้ว่าหญิงสาวคนนี้ดูแลตัวเองอย่างดีด้วยการทาซันบล็อก และหลีกเลี่ยงการเชิญกับแดดตรงๆ หรือเป็นเพราะหล่อนผิวดำเข้มอยู่แล้ว ต่อให้ออกแดดแค่ไหน ก็ไม่มีผลกระทบใดๆ นทีก็บอกไม่ได้
ได้แต่นึกอิจฉาในใจเท่านั้นว่า หากเขาไปออกแดดทางใต้เมื่อไหร่ วันต่อมาถ้าไม่ตัวแดงเป็นกุ้งสุก ก็ต้องไหม้เกรียมกลับมาด้วยเป็นแน่แท้
“แหม ทีฉันนะ ทั้งขอร้อง ทั้งขู่กรรโชก ทั้งจ้าง แกยังไม่เคยคิดจะวาดรูปให้เลย แล้วคุณภาสกรเขาเป็นใครมาจากไหนยะ มาทีหลังฉัน แกกลับลำเอียง ไปวาดรูปให้เขาก่อน” นทีรู้ดีว่าหญิงสาวพูดมากไปอย่างนั้น ใจจริงคงไม่ได้น้อยใจอย่างที่พูด แต่เขาก็อดปฏิเสธไม่ได้
 “คุณภาสกร เขาอุตส่าห์หาดินสอ กระดาษ ขาตั้งมาให้ฉันก็เลยตอบแทนวาดให้เท่านั้นเอง”
 “ย่ะ แต่คุณเขาก็ดีจริงๆนะอุตส่าห์หาอะไรต่ออะไรมาเอาใจด้วย” หล่อนว่าอย่างอารมณ์ดี พลางลากเก้าอี้จากโต๊ะกินข้าวมาข้างเตียง นั่งคุยใกล้ชายหนุ่ม แล้วโยนกระเป๋าสีดำใบใหญ่ไปไว้บนโซฟาอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะถามขึ้นมา ถึงชายหนุ่มที่เป็นหัวข้อสนทนาในครั้งนี้ “แล้วเขาไปไหนซะล่ะ”
“ไปทำงานล่ะมั้ง” นทีว่า แต่ความจริงคือไม่รู้เดาไปอย่างนั้นเอง เพราะพอเขาตื่นมาก็ไม่เห็นภาสกรเสียแล้ว
 “แต่ก็นะ ไหนๆ ก็วาดแล้ว ก็ถือเป็นของที่ระลึก เอาไว้ไปนอนดูต่างหน้าที่บ้านใช่ไหมล่ะ”
 นทีหน้าแดง จะหน้าแดงทำไมไม่รู้ กระนั้นเด็กหนุ่มก็ยังตอบเพื่อนสาวอย่างอายๆ “ก็แล้วจะทำไม ฉันวาดแล้ว ฉันจะเอาไปทำอะไรก็เรื่องของฉันไม่ใช่หรือไง”
 ปุยฝ้ายค้อนเพื่อนหนุ่มทีหนึ่ง ก็เหลือบไปเห็นว่าไม่มีถาดอาหารของโรงพยาบาลมาเสิร์ฟ จึงถามอย่างอยากรู้อยากเห็น คำตอบของหนุ่มน้อย คือ ภาสกรยกเลิกอาหารโรงพยาบาลไปแล้ว แล้วซื้อข้าวปลาอาหารมาขุนจนอ้วนด้วยตัวเองทุกวัน
 อย่างเช้านี้ แม้ตื่นมาแล้วภาสกรไม่อยู่ แต่ก็ยังมีน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋วางอยู่ที่โต๊ะข้างเตียงให้ชายหนุ่มรับประทานได้ในตอนเช้า นทีไม่ได้เล่าให้เพื่อนสาวฟังว่า พอไม่มีภาสกรคอยประคองไปเข้าห้องน้ำ หนุ่มน้อยก็จัดการ เดินขาเดียวไปเข้าห้องน้ำได้จนแล้วจนรอด แม้จะทุลักทุเลก็ตาม
 เวลาประมาณหกนาฬิกาของวันนี้ นทีตื่นขึ้นด้วยความที่ไม่คุ้นกับสถานที่อย่างห้องแล็บ และสายต่างๆ ที่ระโยงรยางค์อยู่บนตัว เจ้าหน้าที่ผมบางออกมาทักทายตอนเช้า แล้วก็เรียกพยาบาลมา ช่วยเข็นเก้าอี้เข็นกลับมาที่ห้องนี้ โดยภาสกรก็แย่งนางพยาบาล อาสาเข็นเก้าอี้ให้หนุ่มน้อยเองเหมือนทุกครั้ง
“คุณหลับเหมือนเด็ก มองดูนึกว่ามีเด็กน้อยหลับอยู่ข้างๆ” แม้จะงัวเงีย แต่นทีก็จำได้ว่าส่งค้อนอันใหญ่ให้ชายหนุ่มไปครั้งหนึ่ง
 ที่ว่านอนข้างๆ นั้นภาสกรไม่ได้พูดเกินจริงเลย
 เขานอนบนเก้าอี้โซฟาแต่ก็ไม่หลับ เพราะมัวแต่ห่วงหน้าพะวงหลัง ว่านทีจะหลับหรือเปล่า และพวกเส้นสาย เครื่องมือต่างๆ จะมีผลอะไรกับหนุ่มน้อยบ้าง แถมยังอยากสังเกตอาการของนทีเวลาหลับจริงๆจังๆดูสักครั้งว่า เขาเพ้อ หรือกระตุกบ้างไหมระหว่างหลับ เผื่อว่าอาหมอถามอะไร จะได้ตอบถูก
ก็พบว่านทีหลับง่ายมาก ขนตายาวหลับพริ้มเหมือนสาวน้อย มากกว่าเด็กหนุ่มไม่สงสัยเลยว่าที่นทีถูกเข้าใจผิดว่าเป็น ยายหนู อยู่บ่อยๆคงจะเป็นเรื่องจริง ยามหายใจเข้าออก หน้าอกของหนุ่มน้อยขยับขึ้นลงอย่างน่ากลัว ชายหนุ่มคล้ายจะหายใจดังเมื่อตอนหลับ ข้อนี้เป็นสิ่งที่ภาสกรสังเกตเห็น จึงมานั่งจ้องหนุ่มน้อยใกล้ๆ กลายเป็นว่าตัวเขาเองต่างหากไม่อาจบังคับใจให้หลับได้
ไม่รู้ว่าเป็นห่วงหนุ่มน้อย หรือรู้สึกเอ็นดูขึ้นมาก็ไม่รู้
ภาสกรพาหนุ่มน้อยกลับห้องก็บอกว่าจะไปซื้ออะไรให้กิน ก่อนจะอาบน้ำ แล้วออกจากห้องไป นทีไม่รู้ตัวว่าหลับไปหลังจากที่ภาสกรออกไปนานหรือเปล่า รู้แต่ว่าเมื่อตื่นขึ้นมาก็ไม่พบภาสกรแล้ว มีเพียงน้ำเต้าหู้แก้วใหญ่ใส่ธัญพืช และ ปาท่องโก๋ ซาลาเปาวางอยู่ข้างๆแล้ว
 “อะไรล่ะยะ พูดถึงคุณภาสกรแล้วก็นิ่งไปอีกแล้วสองครั้งแล้วนะ นี่แกอย่าบอกนะว่า...” ปุยฝ้ายฉุดเพื่อนหนุ่มขึ้นมาจากห้วงความคิด คราวนี้เลยเป็นฝ่ายหนุ่มน้อยบ้างที่ค้อนใส่เพื่อนอย่างขัดใจ
“ไม่บอกอะไรทั้งนั้นแหละ”
“เออ ก็แหย่เล่นเท่านั้นเอง แล้วไง ผลที่ไปตรวจอะไรมานี่จะได้วันไหน” เพื่อนสาวถามแบบเปลี่ยนเรื่องทันที ไม่ให้นทีมีเวลาโกรธได้อีก
“จริงๆ ต้องรออาทิตย์นึง แต่คุณภาสกรเขาก็ใช้เส้นสายอะไรเขาเนี่ย ก็เลยจะรู้ผลภายในสองสามวันนี้แหละ”
“เออดี แต่แกก็คงหายดีมากแล้วนะ ฉันว่าคงไม่ได้เป็นอะไรหรอก เดี๋ยวก็ได้ออกจากโรงพยาบาลแล้วเนอะ”
“อืม” นทีก้มหน้า... หายดีก็เท่ากับต้องออกจากโรงพยาบาลแล้ว แล้วออกไปแล้วจะไปอยู่ที่ไหน แฟลตของปุยฝ้ายเล็กเกินกว่าจะอยู่กันสองคน แต่จะให้หาที่ใหม่ ชายหนุ่มก็พอจะรู้ว่าไม่มีปัญญา เพราะนอกจากจะไม่มีเงินแล้ว ที่อยู่เดี๋ยวนี้ก็หายาก จะกลับไปอยู่กับพ่อเลี้ยง นทีก็บอกตัวเองเสียงดังลั่นในใจว่า ไม่ เราจะไม่กลับไปอีกแล้ว ขอนอนอยู่ข้างถนนก็ยังดีกว่าไปอยู่กับนายอดิสรณ์
“อ้าวๆ พูดเรื่องออกจากโรงพยาบาลก็เงียบอีกแล้ว ไม่อยากจากคุณภาสกรล่ะสิ” เพื่อนสาวว่า แต่คราวนี้ไม่ใช่ด้วยเสียงแหลมๆ แบบล้อเลียน แต่เป็นน้ำเสียงจริงจัง แบบที่หล่อนมักใช้เวลาคุยเรื่องคอขาดบาดตาย “ฉันไม่รู้ว่าแกจะตัดสินใจยังไงนะ แต่พอเรื่องมันใกล้เข้ามาแบบนี้ฉันก็อดลำบากใจแทนแกไม่ได้ แกจะไปอยู่ไหน คงไม่กลับไปหาคุณอดิสรณ์ใช่ไหม”
เมื่อเรื่องที่ปุยฝ้ายพูด มาตรงกับเรื่องที่เขาคิดพอดี นทีก็ไม่ลำบากใจที่จะพูดตอบ “ไม่กลับละ”
 “แล้วแกจะไปอยู่ไหน อยู่แฟลตกับฉัน ฉันก็คงต้องบอกว่าได้อยู่แล้ว แต่แกก็รู้ว่าห้องมันเล็กมากอยู่กันได้อาทิตย์เดียวแกก็คงอึดอัด ฉันก็คงอึดอัด ยังไงเสียฉันก็เป็นผู้หญิง แกก็เป็นผู้ชาย คงอยู่กันได้แปบเดียว แกต้องหาแผนสำรองแล้วนะ”
 “ฉันก็คิดอยู่ ฉันขออาศัยแกแค่พอให้กลับไปเดินได้เหมือนเดิมก็พอแล้ว แล้วฉันจะทำงาน ทำสองกะ สามกะก็ได้ จะเก็บเงิน อยู่หอแถวมหาลัย หรือไม่ฉันก็คิดไว้บ้างว่าจะลาออก”
“ลาออกได้ไง แกเรียนมา 2 ปีแล้ว ครึ่งทางแล้วนะโว้ย ออกตอนนี้เท่ากับฆ่าตัวตาย ถ้ายื่นเรื่องขอโอนมหาลัย ฉันก็ไม่รู้ว่าจะได้หรือเปล่า ถ้าแกไม่จบตรี ยังไงเสียแกก็ไม่มีวันหางานทำได้หรอก อย่างมากก็งานใช้แรงงาน แล้วขอบอกตามตรงแบบเพื่อนที่จริงใจกับแกเลยนะ แกทำงานใช้แรงงานไม่ได้ แกก็รู้ตัวว่าแกไม่ค่อยแข็งแรงเหมือนใครเขา แล้วตอนนี้ก็ยังมาเจ็บอีก”
 “ฉันรู้แล้ว แต่ค่าเทอมก็แพงอยู่ ฉันจะเอาเงินที่ไหนล่ะ”
 “พ่อแม่แกไม่มีสมบัติเลยหรือไง” ปุยฝ้ายถาม
 “เงินในธนาคารก็พอมี แต่ไม่กี่หมื่นกะว่าใช้คุณภาสกรเรื่องที่โรงพยาบาลนี่หมดแล้วก็คงหมดตัว บ้านอะไรต่ออะไรพ่อก็ยกให้คุณอดิสรณ์ไปแล้ว พินัยกรรมก็ไม่ได้ทำแบบในหนังหรอกนะ พ่อแม่ไม่ได้รวย”
 ปุยฝ้ายยกมือขึ้นกุมขมับ บ่งบอกว่า “เครียด” แล้วนะ แต่ก็ยังดีที่หล่อนไม่ได้แสดงออกให้เพื่อนหนุ่มรู้สึกแย่ลงไปกว่านั้นอีก ก็เลยแค่นั่งเงียบๆไปพักหนึ่งแล้วก็พูดขึ้นมาอีกที
 “เรื่องคืนเงินคุณภาสกร เขาคงไม่รีบหรอก แกเก็บไว้ส่งตัวเองเรียนก่อน เรื่องงานฉันฝากแกทำที่เดียวกับฉันได้ กะกลางคืน กลางวันเรียน กลางคืนแกก็มาทำงานกะฉัน เสาร์อาทิตย์ค่อยนอนทั้งวันทั้งคืนยังได้”
นทีเริ่มคล้อยตามเพื่อน อย่างไรก็ตาม เขาก็เป็นคนรักเรียน ที่บอกว่าลาออกนั้น พูดไปเพราะท้อใจเท่านั้น ให้ลาจริงๆ นทีก็คงทำไม่ได้
 “คุณภาสกรบอกว่า จะให้ฉันทำงานในบริษัทเขาแบบไม่กินเงินเดือน ครบพอค่ารักษาแล้วถึงจะให้เงินเดือน แต่ฉันยังคิดอยู่...”
 “คิดอะไร” ปุยฝ้ายสวนขึ้นมาทั้งๆ ที่เพื่อนหนุ่มยังพูดไม่จบประโยค
“คิดว่าจะเอาดีไหม ถ้าทำงานกับเขาก็เท่ากับเกาะเขาไปเรื่อย”
 “โอ๊ย จะคิดทำไมล่ะยะ เอาอย่างนี้ ฉันจะสรุปละ” เพื่อนสาวโวย เหมือนเวลาคุยเรื่องงานกลุ่มแล้วยืดเยื้อไม่ได้ข้อสรุปสักที “แกอยู่ที่นี่ จนผลออกแน่ใจแล้วว่ากลับบ้านได้ ก็ไปอยู่แฟลตกับฉัน ไปเรียนอะไรตามปกติ ไปทำงานให้คุณภาสกรพอขาหายแล้วอะไรแล้ว ก็ทำงานที่เดียวกับฉันไปด้วย แกก็จะมีเงินส่งตัวเองเรียนไปด้วย ใช้คุณภาสกรไปด้วย ถ้ามีมากๆหน่อยแกก็ค่อยหาที่อยู่ใหม่ จะได้ไม่ต้องเจอคุณอดิสรณ์อีก”
ใจจริง ปุยฝ้ายไม่อยากให้เพื่อนใช้หนี้คุณชายด้วยซ้ำ เพราะที่คุณชายจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลนี่ก็เท่ากับรับผิดชอบที่ขับรถชนนทีเองไปแล้ว ไม่ควรเอาจากชายหนุ่มอีก... นึกดูอีกที เพราะเหตุนี้คุณชายถึงไม่ให้เอาเงินมาใช้ไงล่ะ ถึงให้ไปช่วยทำงานที่บริษัท คงประเภทนั่งเรียงเอกสารอะไรไปเรื่อย พอพักหนึ่งก็ค่อยบอกนทีว่าใช้เงินครบแล้ว เท่านั้น ทีนี้ก็หายกันทั้งสองฝ่าย ทั้งภาสกรก็จะได้ให้เงินค่าเสียหายกับนทีโดยที่ไม่ได้เอาอะไรจากหนุ่มน้อยกลับคืน และนทีเองก็จะได้รู้สึกสบายใจ คิดว่าได้ใช้เงินคืนชายหนุ่มแล้วอย่างไรล่ะ
“อืม” เพื่อนหนุ่มรับคำอย่างว่าง่าย คงคิดว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วนั่นแหละ “เออจริงซี พูดถึงคุณอดิสรณ์ทำไมเขาไม่โทรหาฉันเลยล่ะ”
ปุยฝ้าย ทำท่าจะพูดว่า อ้าว ก็ฉันเล่าไปแล้วไม่ใช่หรือ แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าคราวที่แล้วยังไม่ได้เล่าให้ฟัง เพราะตอนนทีถาม คุณชายยังอยู่ตรงนั้นหล่อนเลยไม่กล้าบอก พอภาสกรออกไปแล้ว หล่อนก็เปลี่ยนประเด็นไปคุยเรื่องอื่นแทน หล่อนจึงต้องเล่าเท้าความ ตั้งแต่ที่นทียังไม่ฟื้นที่หล่อนคุยโทรศัพท์กับคุณอดิสรณ์ครั้งล่าสุดให้เพื่อนหนุ่มฟัง นทีจับใจความได้ว่า ป่านนี้พ่อเลี้ยงของเขาคงอยู่ที่ฮ่องกง ทำเรื่องธุรกิจ หรือไม่ก็กำลังมี “ความสุขส่วนตัว” เล็กๆ น้อยๆ อย่างที่เขาได้ไปรู้มาโดยบังเอิญล่ะสิ
“แต่คิดดีๆ แปลว่าเขาคงจะกลับมาภายในอาทิตย์นี้ไม่ก็อาทิตย์หน้าใช่ไหม” เพื่อนหนุ่มถาม
“ก็ประมาณนั้นละ”
 “กลับมาเขาต้องหาฉันพลิกแผ่นดินแน่ๆ” นทีบ่นพึมพำ
“ก็ไม่แน่เขาอาจจะหายไปเลย ไม่มาสนใจแกก็ได้นี่”
“ไม่หรอก” นทีตอบอย่างมั่นใจ แม้จะใช้เสียงนุ่มๆ เบาๆก็ตาม แต่ชายหนุ่มมั่นใจในความคิดของตัวเอง “เขาคงคิดว่าฉันอาจจะทำลายเขาได้ เพราะเรื่องตื้นลึก หนาบางของเขานี่แหละ เขากำลังรุ่งโรจน์ในทางธุรกิจ เขาไม่ปล่อยฉันให้ลอยไปลอยมาอยู่ข้างนอกหรอก เขาถึงร้อนรนมากยังไงล่ะ ตอนที่โทรมาหาแก”
 ปุยฝ้ายจ้องมองเพื่อนหนุ่ม โดยไม่ได้พูดอะไรอีก ด้วยความสงสารสุดหัวใจ นทีเด็กหนุ่มน่ารัก ใสซื่อ ไม่เคยทำผิดคิดร้ายกับใคร ทำไมต้องมาเจอกับเคราะห์ซ้ำกรรมซัดแบบนี้ด้วย ปุยฝ้ายสังเกตได้ว่า แม้เพื่อนหนุ่มจะอารมณ์ดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ขนาดไหนแต่ก็เทียบไม่ได้กับนทีที่หล่อนรู้จักก่อนที่ พ่อและแม่ของเขาจะตาย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคุณชาย ภาสกรสินะ หล่อนอดอมยิ้มนิดๆ ไม่ได้ ... ใครจะไปรู้ว่าจะเข้ากันได้ดีอย่างนี้ ทั้งๆที่นทีน่าจะต่อต้าน ไม่เชื่อฟัง กลับสนิทชิดเชื้อ พูดถึงทีไร ก็ทำยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่ ไม่ก็เงียบไปแบบคิดถึง
แต่เพื่อนฉันก็น่าสงสารอีกอยู่ดี
ต่อให้รักแท้แพ้ใกล้ชิดอย่างไร ใกล้ชิดก็คงต้องแพ้สิ่งที่สังคมเรียกว่า ขนบธรรมเนียมประเพณีอยู่ดี อย่างไรเสีย ภาสกรก็เป็นคนที่มีหน้ามีตาในสังคม แฟนสาวก็เป็นถึงดารา รู้ๆกันอยู่ว่าอย่างไรก็ต้องแต่งงานกัน และอีกอย่างมาดแมน เนี๊ยบไปทุกอย่างอย่างคุณชายภาสกร น่ะหรือจะเหลียวแลนที จริงอยู่ว่าทำดีด้วย แต่ก็ทำเพราะรู้สึกผิดไม่ใช่หรือ... มิได้ทำด้วยใจพิศวาสในตัวนทีแต่อย่างใดเลย เพื่อนหล่อนคงต้องเสียใจหากถลำลึกไปมากกว่านี้ ปุยฝ้ายมองไม่เห็นทางใดจริงๆ ที่ภาสกร และนที จะลงเอยกันได้ในที่สุด
เสียงหาวดังขึ้นจากหนุ่มน้อยบนเตียง
“เอ้า หาวอะไร เพิ่งตื่นไม่ใช่หรือ”
“เมื่อคืนหลับไม่ค่อยสบาย ฉันรู้สึกเพลียๆ ของีบสักแป๊บนะแก ไม่ว่ากันนะ” นทีว่าแล้วก็หลับตาลงเสียอย่างนั้น
“ย่ะ จะว่าอะไรได้ล่ะ คนป่วยนี่” แล้วทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ

ปุยฝ้าย นั่งอ่านแมกกาซีนที่เอามาด้วยจนจบแล้วก็ลุกขึ้นบิดตัวไปมาด้วยความเมื่อยล้า จากการนั่งรถจากพังงากลับมาชลบุรี หล่อนนึกอยากอาบน้ำ ก็เพราะอากาศมันร้อนเหลือเกิน ก็เลยไม่รีรอ เพราะมีเสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัวอะไรเรียบร้อยเตรียมมาในกระเป๋าอยู่แล้ว ก็เข้าไปอาบน้ำ
กลับออกมาอีกทีเพื่อนหนุ่มก็หลับปุ๋ยไปเสียแล้ว
นทีก็คือนที เหมือนชื่อนั่นแหละ บทจะสดใสก็ทอประกายล้อแสงแดด บทจะพิโรธก็ไหลเชี่ยวกรากเป็นคลื่นลมรุนแรง บทจะเศร้าก็เศร้าสร้อยดูมัวหมองแบบทะเลกลางคืน บทจะเงียบสงบก็สงบลงอย่างง่ายๆ อย่างนั้น ความเป็นศิลปิน ที่อารมณ์เปลี่ยนแปลงไปมาอย่างรวดเร็วตามสภาพแวดล้อม ทำให้หล่อนอดเป็นห่วงไม่ได้ หากเกิดเรื่องอะไรไม่ดีขึ้นมาอีกสักเรื่องสองเรื่อง นทีจะทนได้แค่ไหนกัน
“เรื่องอะไรไม่ดี” ทักทายหล่อนแทนนทีที่หลับปุ๋ยด้วยเสียงเคาะประตู
หญิงสาวไม่ได้เฉลียวใจจึงเปิดประตูออกไปอย่างไม่ได้คิดถามก่อนว่าเป็นใคร ปากก็เรียก “คุณชาย” ไปอย่างที่คิดว่าคงจะใช่
แต่ทว่า หล่อนกลับเป็นประตูรับสตรีสองคนที่ยืนทำหน้าเฉยชาใส่หล่อนราวกับว่าหล่อนเป็นเพียงมดแมลงอย่างไรอย่างนั้น คนหนึ่งหล่อนจำได้ว่าเป็นดารานางร้ายที่กำลังมาแรงในขณะนี้ เรียกตามที่คนเขาเรียกกันทั่วประเทศว่า
ฟ้า-ทิฆัมพร
ส่วนอีกคนหล่อนไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ดูจากการแต่งตัว ทรงผม บวกกับใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงกับคนที่หล่อนเพิ่งเอ่ยปากเรียกออกไปราวกับแกะ รวมไปถึงคำพูดของสุภาพสตรีท่านนี้ที่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเหมือนพูดกับอากาศธาตุด้วยแล้ว ปุยฝ้ายไม่จำเป็นต้องเดาเลยว่าสตรีวัยกลางคนดูสูงศักดิ์ผู้นี้คือใคร
“ฉันมาหา ลูก... ชายภาสอยู่ที่นี่ใช่ไหม”

***********************************************************************
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่13 คุณหลับเหมือนเด็ก นึกว่ามีเด็กนอนข้างๆ - 28/03/11 - 20.45
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 28-03-2011 20:50:47
พูดคุย : วันนี้ขอคุยยาวๆนะครับ
คนที่กำลังสงสัยเรื่องคุณชายกับดาริกา ผมว่าอาจเป็นเพราะคนผู้อ่านส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงมังครับเลยไม่เข้าใจเรื่องนี้
คุณชายเป็นผู้ชายทั้งแท่งใช้ชีวิตไม่ต่างจากชายรักต่างเพศทั่วไปมานาน เขาได้รับการปลูกฝังมาแต่อ้อนแต่ออกว่าผู้ชายต้องชอบผู้หญิง ใช้ชีวิตแบบลูกเจ้าลูกนายทุกสมัยคือ เกิด-เรียน-บวช-แต่งงาน-ทำงาน-มีลูก-ทำงานจนเกษียณ และให้ลูกเลี้ยงต่อไปจนตาย คุณชายคงสับสนอยู่บ้างช่วงนี้ว่าตัวเองชอบนทีจริงๆรึเปล่า เพราะไม่เคยมีความรู้สึกนี้กับใคร พอเจอดาริกาที่บังเอิญหน้าคล้ายนทีก็เลยพยายามชักจูง โน้มน้าวให้ตัวเองเชื่อว่า ไม่ได้ชอบนทีแต่จะหันไปชอบดาริกาแทน ถือเอาว่าหน้าคล้ายกัน แทนกันได้แถมดาริกาก็เป็นผู้หญิงที่เหมาะสมจะลากเข้าแผนผังชีวิตของตนพอดี ไม่รู้ว่าจริงๆจะชอบผู้ชายก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกนักหากรับตัวเองได้... ประเด็นคือคุณชายไม่รู้ตัว และ เมื่อรู้ก็อาจจะรับความจริงไม่ได้...

ผู้อ่านที่อ่านปางบรรพ์มาแล้วจะรู้ว่าตัวละครทุกตัวของผมมีความหมายและมีหน้าที่ของตนในเรื่อง ดาริกาก็เช่นกัน และดราม่าทุกอย่างที่เข้ามาจะเป็นจุดพลิกทางชีวิตของตัวละครไปเรื่อยๆ ถ้าไม่มีดราม่าชีวิตของตัวละครจะเท่ากันหมด ดังนั้นผู้อ่านที่รู้จักทางงานของผมดีจะรู้ว่า ผมไม่สักแต่เขียนให้มีดราม่าไปเรื่อยๆอย่างไม่มีทิศทาง ทุกเหตุการณ์มีความสำคัญมีผลลัพธ์ที่ส่งให้เกิดอีกเหตุการณ์หนึ่งจนสุดท้ายจะคลี่คลายเองทั้งหมด (อย่างในปางบรรพ์)

ฉะนั้นคนที่ไม่ชอบดราม่าอาจต้องทำใจอยู่มากว่าคุณชายไม่มีเหตุการณ์อภินิหารเหนือธรรมชาติอย่างในปางบรรพ์มาใช้เป็นจุดเปลี่ยนเรื่อง ก็เลยต้องใช้พวกดราม่ากินอารมณ์มาแทน สัญญาว่ามีฉากหวานๆให้อ่านเยอะพอๆกับดราม่าเช่นกันครับในเรื่อง

ตอนหน้าจะเรียกได้ว่าเป็นจุดแตกหักจุดแรกในเรื่องหลังจากที่นทีถูกรถชนตอนเริ่มเรื่อง อันจะเปลี่ยนชีวิตของคุณชายและความสัมพันธ์ระหว่างคุณชายกับนทีไปอีกขั้นหนึ่ง (แต่เปลี่ยนไปทางไหนรอติดตามนะครับไม่บอกละ) ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างคุณชายกับดาริกา ขออุบไว้ก่อนครับ ติดตามกันเอาเองด้วยนะคร้าบบ

วันพุธเตรียมซดมาม่าชามยักษ์ก่อนนะครับ ฉากหวานๆจะค่อยๆตามมาหลังจากมาม่าช่วงนี้

ประกาศ
ผมตัดสินใจรวมเล่มปางบรรพ์แล้ว!
ตามไปอ่านรายละเอียด + ลงชื่อแสดงความต้องการซื้อหนังสือที่กระทู้ปางบรรพ์นะครับ - http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=15938.1020
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่13 คุณหลับเหมือนเด็ก นึกว่ามีเด็กนอนข้างๆ - 28/03/11 - 20.45
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 28-03-2011 21:17:58
จะกลั้นใจรอมาม่ารสขมๆ ค่ะ
บวกเป็นกำลังใจให้ค่า
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่13 คุณหลับเหมือนเด็ก นึกว่ามีเด็กนอนข้างๆ - 28/03/11 - 20.45
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 28-03-2011 21:36:21
ไปลงชื่อจองปางบรรพ์ก่อน  อิ อิ 
ว่าแต่ฟ้าม่วงอย่าเพิ่งทิ้งทางสามสายไปน๊า  กำลังติดพันเลย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่13 คุณหลับเหมือนเด็ก นึกว่ามีเด็กนอนข้างๆ - 28/03/11 - 20.45
เริ่มหัวข้อโดย: Rhythm ที่ 28-03-2011 22:00:29
รออ่านค่ะ
 :L2:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่13 คุณหลับเหมือนเด็ก นึกว่ามีเด็กนอนข้างๆ - 28/03/11 - 20.45
เริ่มหัวข้อโดย: Mio ที่ 28-03-2011 23:39:14
 :a5:

ต้มน้ำรอมาม่า    :m15:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่13 คุณหลับเหมือนเด็ก นึกว่ามีเด็กนอนข้างๆ - 28/03/11 - 20.45
เริ่มหัวข้อโดย: Little Devil ที่ 28-03-2011 23:59:47
จะเสิร์ฟมาม่าแล้วเรอะ
+1
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่13 คุณหลับเหมือนเด็ก นึกว่ามีเด็กนอนข้างๆ - 28/03/11 - 20.45
เริ่มหัวข้อโดย: zeit ที่ 29-03-2011 00:21:05
เอิ่มมมมมม ชีวิตของนทีก็สุดแสนจะรันทด

รอช่วงแตกหัก ว่าคุณชายคิดจะทำไง??
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่13 คุณหลับเหมือนเด็ก นึกว่ามีเด็กนอนข้างๆ - 28/03/11 - 20.45
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 29-03-2011 01:35:34
ลุ้นๆ รอตอนต่อไปค่า

ไม่รู้คุณหญิงแม่กะแม่นางร้ายนั่นมานทีเราจะโดนอะไรบ้างง่า

คุณชายอยู่ไหนคะ ปรากฏตัวด่วนคร่า ก่อนที่นทีเราจะโดนรังแก
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่13 คุณหลับเหมือนเด็ก นึกว่ามีเด็กนอนข้างๆ - 28/03/11 - 20.45
เริ่มหัวข้อโดย: Rawint_PK ที่ 29-03-2011 05:17:59
อืม...งานเข้าอีกแล้วหรือนี่..
แล้วจะเป็นยังไงกันบ้างละทีนี้
ไม่แย่ไปเลยหรือ...เฮ้อ..
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่13 คุณหลับเหมือนเด็ก นึกว่ามีเด็กนอนข้างๆ - 28/03/11 - 20.45
เริ่มหัวข้อโดย: LoveNineTeen ที่ 29-03-2011 06:00:38
เนื้อเรื่องแนวนี้ มันต้องคู่กับดราม่าอยู่แล้ว ส่วนตัวเป็นคนชอบเสพดราม่า คงไม่มีปัญหาถ้าจะดราม่าเยอะ

มีความรู้สึกว่า ดาริกา นี้แหระจะทำให้ความรักของนทีกับคุณชายสมหวัง จะคิดไปเองหรือเปล่าต้องติดตามต่อไป ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่13 คุณหลับเหมือนเด็ก นึกว่ามีเด็กนอนข้างๆ - 28/03/11 - 20.45
เริ่มหัวข้อโดย: a_tapha ที่ 29-03-2011 13:09:31
เข้ามาอ่านรวดเดียวทันแล้วค่ะ
แล้วจะตามต่อไปนะค่ะ   o13
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่13 คุณหลับเหมือนเด็ก นึกว่ามีเด็กนอนข้างๆ - 28/03/11 - 20.45
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 29-03-2011 18:20:04
ถ้าดราม่าแล้วสนุก อ่่านแลิวอิน คนอ่านก็ชอบค่ะ

แต่บางทีเจอดราม่าพร่ำเพรื่อ อ่านจนเฝือก็เบื่อได้เช่นกัน

เป็นกำลังใจให้ค่ะ และจอรลุ้นพุธนี้
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่13 คุณหลับเหมือนเด็ก นึกว่ามีเด็กนอนข้างๆ - 28/03/11 - 20.45
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 30-03-2011 20:43:52
14

คำแรก ที่ปุยฝ้ายนึกถึงเมื่อพิจารณาสตรีที่หล่อนเชิญมานั่งที่โซฟารับแขกก็คือ “สวย” สวยจริงๆ ไม่รู้ว่าที่สวยนี้สวยจากธรรมชาติ หรือสวยด้วยแพทย์กันแน่ แต่ไม่ว่าจะสวยอย่างแรกหรือสวยอย่างหลัง เมื่อมองดูแล้วก็ไม่อาจถอดตาจากสตรีคนนี้ได้ หล่อนแทบไม่อยากเชื่อด้วยซ้ำว่าผู้หญิงคนที่ยืนอยู่ต่อหน้าหล่อนนั้นเป็นถึงแม่คนแล้ว หนำซ้ำ ยังเป็นแม่ของลูกที่อายุเฉียดสามสิบเสียอีก ทั้งๆที่สุภาพสตรีท่านนี้ก็ดูอายุไม่แก่กว่าลูกชายสักเท่าไร คงเพราะสบาย อยู่บ้านเฉยๆ ไม่ต้องมีเรื่องเครียด ไม่ต้องลำบากตรากตรำ ทำงานล่ะสิ ถึงสวยได้แบบคนดูแลตัวเองดีขนาดนี้
หม่อมแม่ของคุณชายภาสกรมีดวงหน้าขาวนวล คล้ายสาวเหนือ เสื้อผ้าที่ใส่ กรุยกราย บางเบาคล้ายเป็นผ้าห่มไว้เฉยๆ ผ้าสีครีมเข้ากับสีผิวของหล่อน และเครื่องประดับมุกที่เข้าชุดกันทั้งจี้ห้อยคอ แหวน ต่างหู กำไล ประกาศความ “รวย” ตัวใหญ่ๆ ให้เห็นจนไม่ต้องมีข้อสงสัยอะไร
คำต่อมาที่ตามมากับคำว่าสวยคือ “ดุ”
ปุยฝ้ายรู้ว่า พวกเจ้าพวกนายมักจะเข้มงวด ระเบียบจัด ค่อนแคะและ เสียดสีกันบ่อยๆ อย่างที่เห็นได้ตามละคร ไม่เคยนึกว่าต้องมาเจอ ตัวเป็นๆ อยู่ต่อหน้าหล่อนแบบนี้ หม่อม วิไลวรรณ ดูไม่เกรี้ยวกราดก็จริง แต่ทำหน้าตึงไม่ยิ้ม ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ อย่างมั่นใจว่า ฉันควบคุมทุกอย่างรอบๆ ตัวได้ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามที่ฉันต้องการ แม้จะตั้งใจมาเจอลูกชาย แต่เมื่อไม่พบก็ไม่มีท่าทีผิดหวัง หรือหัวเสียแต่อย่างไร กลับทำหน้าเรียบเฉยเหมือนจะบอกว่า ถ้าฉันไม่เจอลูกชาย ก็คุยกับหล่อนละกัน
หญิงวัยกลางคนนั่งอย่างงามสง่า ไม่สนแก้วใส่น้ำเปล่าใสสะอาดที่ปุยฝ้ายวางไว้บนโต๊ะน้ำชา ตรงหน้าหล่อน และผู้ติดตาม พอวางแก้วน้ำลงแล้ว หญิงสาวก็ถอยออกไป ยืนกุมมือประสานไว้ตรงหน้าอย่างสำรวมอยู่ข้างเตียง ไม่กล้านั่งโซฟาหรือแม้แต่เก้าอี้ที่อยู่ห่างออกไปก็ตาม
หม่อม วิไลวรรณ เอ่ยปากพูดทำลายความเงียบที่น่าลำบากใจขึ้นก่อน
“เธอไม่เรียนหนังสือหรืออย่างไร”
ปุยฝ้ายตกใจ ไม่รู้ว่าเรื่องที่พูดขึ้นมาเกี่ยวข้องมากหรือน้อยกับที่หม่อมแม่ ของคุณชายภาสกรมาปรากฏตัวอย่างไม่คาดคิดที่นี่ แม้ไม่ค่อยเข้าใจคำถามนัก แต่หล่อนก็ตีความไปเป็นว่า วันนี้วันจันทร์แล้วหล่อนยังมาอยู่โรงพยาบาลแบบนี้ ไม่มีเรียนหรือ ก็ตอบไปตามที่ตนเข้าใจ
   “เอ้อ จริงๆ มีเรียนค่ะ หนู...”หล่อนนิ่งไป ไม่รู้ว่าจะใช้สรรพนามใดดี แต่เอ่ยไปแล้วก็เลยตามเลย “หนูเรียนอยู่ ม. บูรพาค่ะ แต่วันนี้ เพิ่งเดินทางกลับมาจากต่างจังหวัดก็เลยถือโอกาสหยุดเรียนค่ะ”
   หม่อมวิไลวรรณ มองหน้าหล่อนอย่างไม่มีอารมณ์ใดๆเหมือนเดิม
   “อ้อ วันนี้ไม่ได้ไปเรียน... ถ้าอย่างนั้นวันที่ครูเขาสอนเรื่องมารยาทก็คงไม่ได้ไปเรียนเหมือนกันใช่ไหม ถึงมายืนค้ำหัวผู้ใหญ่อยู่แบบนี้” ถ้อยคำที่ผ่านปากออกมา แม้จะเป็นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ไม่ได้ใช้น้ำเสียงเหยียดหยามแต่อย่างใด แต่ก็กรีดลึกลงในหัวใจของผู้ฟังจน หน้าแดงซ่านด้วยความอายจนแทบจะแทรกแผ่นดิน
   อายก็อาย เจ็บก็เจ็บ แต่ปุยฝ้ายจะทำอะไรได้นอกจากทรุดตัวลงนั่งพับเพียบกับพื้น ไม่กล้าไปลากเก้าอี้ หรือนั่งโซฟาเพราะกลัวหม่อมจะหาว่าไปทำตัวเทียบเท่าผู้ใหญ่อีก
   “อุ๊ย” คราวนี้คนที่พูดพลางหัวเราะคิกคักไปพลาง คือทิฆัมพรที่นั่งสงบเสงี่ยมอยู่ข้างๆมานาน จนปุยฝ้ายผิดสังเกตว่าเป็นนางร้ายได้อย่างไร นั่งเรียบร้อยขนาดนั้น พอหล่อนพูดขึ้นมานั่งแหละถึงรู้ว่า บทในโทรทัศน์จะร้ายอย่างไรก็ร้ายสู้ที่หล่อนกำลังแสดงอยู่ตอนนี้ไม่ได้ “ตายจริง คุณน้าไปว่าเขา เลยทำอะไรไม่ถูกนั่งพื้นเสียเลยเห็นไหมคะ นี่น้อง ขึ้นมานั่งโซฟาก็ได้จ้ะ พื้นโรงพยาบาลไม่เหมือนพื้นเสื่อที่บ้านนะจ๊ะ ใครต่อใครเดินเหยียบกันสกปรกค่ะน้อง”
   พอปุยฝ้ายขึ้นมานั่งโซฟาตัวที่ไกลจากทั้งคู่ที่สุดด้วยสีหน้าของคนที่ถูกดูถูกจนหน้าชาไปทั้งหน้าแล้วทิฆัมพรก็พูดขึ้นอีก “เห็นไหม นั่งโซฟาสบายจะตาย ไม่ค่อยชินล่ะสิเรา เด็กต่างจังหวัดบางคนก็ไม่เคยนั่งโซฟานะคะ คุณน้า”
   ทั้งที่เจ็บแสบจนแทบจะลุกขึ้นไปตบทิฆัมพรสักฉาดสองฉาด แต่ปุยฝ้ายก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านั่งก้มหน้า ไม่มองหญิงสาว พอดีหม่อม วิไลวรรณพูดอะไรด้วย ก็เงยหน้าขึ้นมามอง
   “เอาละ ในเมื่อตั้งใจจะมาคุยกับลูกชายแล้วเกิดไม่อยู่ขึ้นมา ฉันก็คงต้องคุยกับเธอละ” หล่อนว่า แม้จะไม่ตั้งใจทำร้ายให้บาดเจ็บด้วยคำพูดอีกแล้ว แต่ก็ยังทำหน้าเฉยเมย แบบไว้ตัว และใช้น้ำเสียงที่เย็นชา ก็ฟังแล้วอึดอัดเหมือนเดิม “ฉันไม่อ้อมค้อมนะแม่หนู ฉันมาที่นี่ เพราะได้ยินมาว่าลูกชายของฉัน คุณชายภาสกร เข้าออกโรงพยาบาลนี้บ่อยมาก”
   ใครไปฟ้องเข้าละซี ปุยฝ้ายคิดในใจแต่ก็ได้แต่รับฟัง ด้วยท่าทีนิ่งเฉย
   “เข้าออกปกติ ฉันไม่สงสัยอะไรหรอกนะ เพราะพักนี้คุณชาย มาพักอยู่ที่พัทยาด้วยเรื่องงาน เขาอาจจะเข้ามาพูดคุยกับ คุณมิ่งเมือง ที่เป็นสหายของ สามีฉันก็ได้ แต่ที่ฉันประหลาดใจก็คือ เขาไม่เข้าบริษัทมาหลายวันแล้ว จริงอยู่ที่ชายภาส ไม่ค่อยชอบทำงานในห้องเล็กๆ ส่วนใหญ่ทำอะไร ก็มักจะไปตามร้านกาแฟ แต่ที่ว่าเข้าๆออกๆ โรงพยาบาลนี่ คือเข้าตอนเย็น ออกตอนเช้า แถมไม่กลับไปนอนบ้านอีก มันก็แปลกใช่ไหม ฉันเลยคิดว่าลูกชายฉันคงจะมาอยู่เฝ้าใครที่โรงพยาบาลแน่ๆ พอมีคนเห็นแล้วไปเล่าให้ฟังว่าเป็นห้องนี้ ฉันก็ตามมา กะจะมาคุยกับลูกชายให้รู้เรื่อง... แต่ในเมื่อไม่เจอเขา ฉันก็อยากจะถามเธอ”
หม่อม วิไลวรรณ พักหายใจ เหลือบมองร่างที่นอนอยู่บนเตียงก่อนจะถามคำถามที่หล่อนค้างคาใจ “เธอกับแม่หนู คนที่นอนป่วยอยู่น่ะ มีความสัมพันธ์อย่างไร กับลูกชายของฉันกัน หือ”
อีกแล้ว ปุยฝ้ายหัวเราะในใจ แต่เท่าที่แสดงออกคืออมยิ้มที่มุมปากเพียงนิดเดียว สมัยนี้ผู้ชายคนไหน หน้าใสๆ อ่อนๆ หน่อยไว้ผมยาวตามสมัยนิยม จะยาวแค่ต้นคอ หรือยาวประบ่าก็ดูเป็นผู้หญิงได้สบายแล้ว ไม่ได้ต่างกับผู้หญิงเดี๋ยวนี้ที่หั่นผมสั้นกันจนดูเหมือนผู้ชาย บางคนสั้นแค่คอก็ยังดี แต่บางคนถึงกับตัดรองทรง หรือสกินเฮด โดยไม่จำเป็นต้องเป็นทอมกันแต่อย่างใด
นทีเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ถ้าวันไหนใส่เสื้อตัวใหญ่หน่อย ไม่รัดรูปจนเห็นว่าไม่มีหน้าอกหน้าใจ ใครๆก็เข้าใจผิดได้ไม่ยาก อย่างตอนนี้ นทีนอนคลุมผ้าห่ม มิดจนถึงคอ จึงไม่แปลกที่หม่อมวิไลวรรณจะเห็นเขาเป็นสาวน้อย ผมสั้นทันสมัยคล้ายกับทิฆัมพร
“เปล่าค่ะ เพื่อนหนู นที เป็นพ่อหนุ่มค่ะ ไม่ใช่แม่หนู นทีเป็นผู้ชายค่ะ”
ทิฆัมพรยิ้มที่มุมปาก หล่อนเข้าใจไม่ผิดจริงๆ สิ่งที่อีริคเห็นและเล่าให้หล่อนฟังเป็นความจริง ภาสกร มานอนเฝ้าผู้ชายที่นี่ ส่วนหม่อมวิไลวรรณ ถึงจะไว้ท่าเหมือนเดิม แต่ก็ ผงะไปบ้าง แม้จะเล็กน้อยแต่ก็พอจะดูออกว่า ตกใจไปบ้างเหมือนกัน ปุยฝ้ายรู้ตัวว่า ยังไม่ได้ตอบคำถามหม่อม กลัวจะถูกค่อนแคะออกมาอีก จึงพูดต่อประโยคให้อีกฝ่ายพอใจ
“เราสองคนไม่เคยรู้จักคุณชายมาก่อนเลยค่ะ แต่เพื่อนของหนู นที ถูกรถชน คุณชายก็เลยช่วยส่งเขามาที่โรงพยาบาล นทีเป็นเด็กกำพร้า พ่อกับแม่เขาเสียแล้วค่ะ แล้วเขาก็ไม่มีใคร ไม่มีเงิน พอทราบ คุณชายก็เมตตาเขามากช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่าย ค่ารักษาพยาบาลที่นี่ มาตั้งแต่นั้น แล้วนทีก็สัญญากับคุณชายแล้วค่ะว่าจะทำงานหาเงินมาใช้ให้ ไม่เอาเงินของคุณชายมาฟรีๆ”
การบอกสิ่งที่ไม่จริงบ้าง เพื่อให้หลายฝ่ายสบายใจ ก็ถือว่าเป็นทางออกที่ดีมากกว่าบอกความจริงที่จะทำให้ หม่อมวิไลวรรณหงายท้องเป็นลม คุณชายภาสกรก็จะพลอยเดือดร้อนไปด้วย ...
แม้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นจะเป็นความผิดของชายหนุ่มก็ตาม แต่ปุยฝ้ายก็เห็นว่าเขาได้พิสูจน์ให้หล่อนมั่นใจแล้วว่าเขาสำนึกผิด และ พยายามที่จะแก้ไขมันให้ดีที่สุดแล้วเท่าที่ทำได้
หม่อมวิไลวรรณถอนหายใจ มองชายหนุ่มที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงอย่างสงสารอยู่พักหนึ่ง ก็หันกลับมาพูดกับปุยฝ้าย
“ได้ยินอย่างนี้ ฉันก็ค่อยสบายใจ” ท่าทีปั้นปึ่ง แบบไว้ตัว และอาการดูถูกทั้งหลายดูจะละลายไปบ้าง แต่ก็ยังไม่ถึงกับพูดจาอย่างมีอัธยาศัยใจคอเป็นกันเอง “ฉันได้ยินมาว่า ชายภาสไปไหนมาไหนตลอด ไม่เข้าบริษัท เพื่อนไปหาที่วังตอนค่ำๆก็ไม่อยู่ เห็นเข้าออกโรงพยาบาล ก็เลยลองสืบดูรู้มาว่ามาอยู่กับผู้หญิง ฉันก็นึกว่าชายภาส แอบคบใครที่ฉันไม่รู้หรือเปล่า พอผู้หญิงคนนี้ป่วยถึงกับต้องมาดูแล ฉันก็เป็นห่วงลูกชาย กลัวว่าจะมีความสัมพันธ์อะไรลึกซึ้ง”
หวงลูก นั่นเอง ปุยฝ้ายนึกขำลึกๆ อยู่ในใจ
“แต่ก็อีกนั่นแหละ ถึงจะไม่มีอะไร แต่ชายภาสมาอยู่ด้วยทั้งวันทั้งคืนแบบนี้ ฉันว่าก็ดูแปลกๆ”
“แต่ฟ้าว่า พี่ชายคงไม่คิดอะไรกับน้องคนนี้หรอกค่ะ คุณน้า เห็นอยู่ว่าไม่น่าจะชอบน้องคนนี้ ถ้าจะต้องกลัว ก็ต้องกลัวน้องที่ชื่อ อะไรนะคะ ทีๆ”
“นที”
“นั่นล่ะ ค่ะ ถึงต้องห่วงหน่อย จะว่าไปถ้าไม่บอกว่าเป็นผู้ชาย ฟ้าคงคิดว่าเป็นสาวน้อย หน้าตาน่ารัก ไม่น่าไว้ใจล่ะค่ะ สวยกว่าน้องคนนี้อีก”
ปุยฝ้ายนับหนึ่งจะถึงพันอยู่แล้ว ตั้งแต่ทิฆัมพรเริ่มประโยค คำพูดของฝ่ายนั้น เหมือนตบหน้าหล่อนแรงๆ ด้วยซ้ำ ไม่พูดก็เหมือนพูดแหละว่า หล่อนน่ะไม่สวย ไม่น่าสนใจสักนิดเดียว อย่างนี้พี่ชายคงชอบได้ไม่ลงหรอก
“ตายแล้ว หนูฟ้า พูดอะไรอย่างนั้น เรื่องวิปริตแบบนี้ น้าไม่ชอบนะจ๊ะ" วิไลวรรณนิ่วหน้าแบบรับไม่ได้ ราวกับเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องต้องห้าม ที่เอ่ยขึ้นเมื่อไหร่ คนฟังจะขาดใจให้ได้อย่างไรอย่างนั้น
“แหมฟ้าก็พูดเล่นค่ะ อย่างพี่ชาย ไม่มีทางที่จะเป็น เกย์ เป็นตุ๊ด อะไรอยู่แล้วค่ะ” หญิงสาวยิ้มอย่างประจบ ประแจง วิไลวรรณค้อนใส่หญิงสาวอย่างหงุดหงิด กึ่งขัน แล้วหันกลับมาพูดกับปุยฝ้ายต่อไป
“ขอโทษนะหนู อย่าหาว่าฉันใจร้ายเลย แต่ถ้าพ่อหนุ่มคนนี้สบายดีแล้ว ฉันอยากขอให้ช่วยบอกลูกชายของฉันด้วยว่าให้แยกย้ายกันไปสู่ชีวิตปกติของแต่ละคนได้แล้ว ฉันไม่ว่าที่ลูกชายเอาเงินมาใช้กับการช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ ยังไงเสียก็คนไทยด้วยกัน แต่มาให้เฉยๆ ฟรีๆ ฉันไม่เห็นด้วย ครอบครัวเราต่อให้มีเงิน ก็ไม่ใช่ว่าจะเอามาให้คนอื่นที่ไม่รู้จักกันได้ง่ายๆ แบบนี้”
ปุยฝ้ายไม่กล้าแม้แต่จะสบตา ได้แต่ก้มหน้านิ่ง เหมือนถูกครูใหญ่ที่โรงเรียน ตอนประถม ดุ อย่างไรอย่างนั้น
“หนูว่า พ่อนทีจะใช้คืนให้ ฉันก็สบายใจว่าไม่ได้มาเกาะ ขอโทษนะ ฉันเจอเรื่องแบบนี้มาเยอะแล้ว ฉันอาจจะฟังดูร้าย แต่ฉันก็เป็นคนมองโลกในแง่ของความเป็นจริง มีออกถมไปนะพวกที่เห็นว่าพวกเรารวยหน่อยก็พากันมาเกาะแกะ คิดว่าจะได้อะไรไปง่ายๆ เอาเถอะ เงินแค่นี้ฉันไม่ติดใจ ดีกว่าเอาไปซื้อเหล้า ซื้อบุหรี่ เล่นการพนัน แต่ต้องขอร้องว่า ถ้าหายดีแล้วก็อยากให้แยกย้ายไป ตาชายมาขลุกอยู่แต่ที่นี่ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร มันจะกระทบต่องานของเขา”
พูดจบคราวนี้ หม่อมวิไลวรรณลุกขึ้นยืน ก่อนหน้าทิฆัมพรนิดเดียว เดินออกจากบริเวณนั้น จะกลับไป ง่ายๆ อย่างนั้นเอง หม่อมวิไลวรรณหันหน้ามามอง ปุยฝ้ายเป็นครั้งสุดท้าย
“ยังไงก็ฝากหนูด้วยนะ เรื่องที่ฉันขอไว้ ชายภาสเป็นคนขี้สงสาร คงกำลังเพลินว่าได้เพื่อนใหม่ ในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน หนูก็เตือนเขาให้ด้วยแล้วกัน” หล่อนทำท่าจะจากไป แต่ก็ไม่ใจร้ายพอที่จะจากไปเฉยๆ แบบนั้น ยังพอจะมีน้ำใจที่จะหันมาหาหญิงสาว แล้วพูดว่า “ขอให้เพื่อนหนูหายไวๆ”
ปุยฝ้ายยกมือไหว้ เดินมาส่งที่หน้าประตู พอประตูปิดลง หล่อนก็น้ำตาคลอหันกลับมาเพื่อจะมองเพื่อนหนุ่มที่นอนหลับตานิ่งไม่รับรู้อะไรบนเตียง
แต่เปล่า นทีนอนนิ่งอยู่บนเตียงก็จริง แต่ดวงตาเบิกกว้าง รับรู้ทุกอย่างตั้งแต่แรก จนจบ แต่ที่ไม่แสดงตัวให้รู้ว่าตื่น ก็เพราะตกใจ และเสียใจ ซ้ำยังโกรธจนตัวสั่นที่ได้ยินคำสบประมาทต่างๆ ที่พร่างพรูมาจากผู้มาเยือนทั้งสองคน ไม่ทันที่ใครจะได้พูดอะไร เพียงปุยฝ้ายปิดประตูได้ไม่ทันจะสนิทดี เสียงจากข้างนอกก็ทำให้หล่อนสะดุ้ง
“ตาชาย มาพอดี แม่มีเรื่องจะคุยด้วย”
ได้ยินเสียงที่ชัดเจนของผู้ที่อยู่ข้างนอก นทีชันตัวลุกขึ้น พร้อมกับพูดด้วยเสียงที่สั่นเครือ ด้วยแรงที่ใช้ในการกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล ด้วยความแค้นใจ ในถ้อยคำดูถูกต่างๆ
“ฝ้าย ประคองฉันไปหน้าประตูที”

ภาสกร ตกใจแทบจะหงายหลัง เมื่อเดินออกจากลิฟต์มาพบกับบุคคลสองคนที่เขาไม่อยากพบมากที่สุด ในเวลานี้
“คุณแม่... ทิฆัมพร”
“ตาชาย” หม่อมวิไลวรรณเรียกลูกด้วยเสียงเดียวกับที่ใช้คุยกับปุยฝ้าย บ่งบอกว่า อารมณ์ของหล่อนไม่อยู่ในสภาพที่ดีพอ จะพูดเพราะๆ แบบแม่ลูกคุยกับเขาได้ “มาพอดีแม่มีเรื่องจะคุยด้วย”
“คุณแม่ คุณแม่มานานหรือยัง คุณแม่..”
“แม่เข้าไปในห้องนั้น หวังว่าจะพบแก แต่แกไม่อยู่ แม่พูดกับผู้หญิงคนนั้นแล้ว รู้ว่าอะไรเป็นอะไร... ชายคิดอะไรอยู่”
ภาสกรไม่ตอบ ปุยฝ้าย กับนทีที่ยืนพิงประตูอยู่ได้ยินแทบจะทุกถ้อยคำของหม่อมวิไลวรรณที่เสียงดังเป็นนิสัยแม้จะโกรธหรือไม่โกรธก็ตาม
“ชายมาอยู่ที่นี่กับใครก็ไม่รู้ ในขณะที่ท่านพ่อประชวร คาดหวังว่าแกกำลังได้ดิบได้ดีกับการทำงาน แกกลับเอาเงินของท่านพ่อมาใช้กับเด็กที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้แบบนั้น เรื่องเอาเงินมารักษาให้ แม่ไม่ว่า แต่ถึงกับมาอยู่ มาเฝ้าแบบนี้ แม่ไม่พอใจ”
“คุณแม่ ชายว่าไปคุยกันที่บ้านเถอะครับ”
“ไม่ แม่อยากรู้ว่าลูกคิดอะไร แม่ไม่ไปไหนถ้าแม่ไม่รู้ความจริง คนอย่างแก ให้เฝ้าหนูฟ้าที่ป่วยนอนซมเป็นไข้อยู่บ้านแกยังเบื่อ นี่แกมาเฝ้าใครก็ไม่รู้ที่ไม่รู้จัก ไม่เกี่ยวดองกันไม่ว่าจะในรูปแบบใดๆแบบนี้ แม่ว่ามันต้องมีอะไร อยู่เบื้องลึกเบื้องหลัง แกชอบเด็กคนนั้นหรือ”
ใจเต้นแรงแทบจะหลุดออกมาอยู่นอกอก ทั้งภาสกร ทั้งนที
เด็กคนนั้นที่หม่อมวิไลวรรณหมายถึงอาจเป็นปุยฝ้าย แต่ทำไม ใจของภาสกรถึงกระหวัดไปคิดถึงแต่ภาพของนทีที่นอนป่วยอยู่ก็ไม่รู้ ภาสกรรู้สึกตัวเพียงครู่เดียวก็ดึงตัวเองกลับมา แล้วเข้าใจความหมายที่แท้จริงของหม่อมแม่ว่า คงหมายถึงปุยฝ้ายมากกว่า เพราะหล่อนคือความเป็นไปได้แค่อย่างเดียวที่จะหม่อมวิไลวรรณจะเข้าใจผิดไปได้
ต่างจากเด็กหนุ่มที่เขาคิดถึงอยู่เมื่อครู่ที่ใจจดใจจ่อ รอเหตุผลของ ภาสกรแม้ในใจจะนึกโกรงเคืองเขาบ้างบางเรื่อง ก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่าบางทีเหตุผลง่ายๆ ที่ภาสกรมีตลอดเวลาที่มาเฝ้าไข้เขานั้น คือความผูกพันที่เกิดจากความใกล้ชิด ก็เป็นไปได้... จะผูกพันถึงขั้น ชอบหรือเปล่านทีไม่แน่ใจ
ที่แน่ๆ เขารู้สึกผูกพันกับภาสกร แม้เป็นเวลาเพียงไม่กี่วัน แต่ตื่นมาก็เจอเขา หลับก็หลับพร้อมเขา ตลอดเวลาที่ตื่นอยู่ก็อยู่กับเขา มีเขาคอยดูแล คอยเอาใจ ด้วยเหตุผลที่นทีก็ไม่รู้ว่าคืออะไรกันแน่ นทีเองก็ไม่แน่ใจว่าความผูกพันที่เขามีต่อภาสกรนั้น จะเรียกว่า ชอบได้หรือเปล่า
 “คุณแม่ คุณแม่ฟังชายก่อนนะครับ  ผู้หญิงคนนั้นกับชายไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย แล้วชายก็ไม่ได้ชอบเขา เหตุผลที่ชายมาอยู่เฝ้าไข้เด็กผู้ชายคนที่ป่วยก็เพราะว่าเพื่อนของเขา ปุยฝ้ายน่ะครับ ต้องไปต่างจังหวัดไม่มีใครมาเฝ้าไข้ ผมก็ต้องอยู่ช่วยสังเกตการณ์เผื่อว่าทีอาการอะไรผิดปกติ ชายจะได้แจ้งแพทย์ได้ทัน”คำตอบของภาสกร มั่นคง และหนักแน่นราวกับซ้อมมาแล้วอย่างดี
“แต่มันธุระอะไรของแกที่ต้องไปเฝ้าไข้เขา เพื่อนคนอื่นเขาไม่มีหรือไง ตาชาย มันเรื่องอะไรที่แกจะต้องเป็นห่วงเป็นไยเด็กคนนี้ ช่วยเงินค่ารักษาเสียตั้งแต่ตอนแรก แล้วก็กลับวัง ดำเนินชีวิตไปตามปกติ ก็ได้ ทำไมต้องเข้าไปข้องเกี่ยว ทำไมต้องมาค้างมาเฝ้าไข้ ฉันไม่เข้าใจแกเลย”
คำถามของหม่อมวิไลวรรณคำถามเดียวทำให้คนที่ฟังอยู่ทุกคนสะอึก เพราะมันเป็นคำถามที่ทุกคนมีอยู่ในใจอยู่แล้ว ทั้งทิฆัมพร ทั้งปุยฝ้าย ทั้งนที เรียกว่าถามทีเดียว แทนคน อีกสามคนที่ก็อยากรู้เรื่องนี้ด้วยไม่แพ้กัน
‘ใช่ ทำไมล่ะ ทำไมเขาต้องสนใจเรามากขนาดนี้ด้วย เขาทิ้งเงินค่ารักษาช่วยมาตอนแรกก็ได้ แล้วก็จบ เขาก็ไปทำงาน ไปหาเพื่อนไปไหนต่อไหน เราก็นอนป่วยอยู่อย่างนี้ เงินพอก็พอ ไม่พอปุยฝ้ายก็คงจะย้ายเราไปอยู่ตามโรงพยาบาลรัฐบาล ทำไมกัน’ นทีอยากรู้ แม้จะถามไปแล้ว และได้คำตอบมาแบบที่ เขาไม่คาดคิดมาแล้ว แต่มันจะแค่นั้นหรือ... การที่คนช่วยคนไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล อย่างที่เขาบอกแค่นั้นหรือ
ภาสกรยังคงนิ่ง ยังไม่ตอบ ยังคงทบทวนอยู่ในใจว่าคำตอบคราวนี้จะเป็นแบบไหน เพราะมีเขาเท่านั้นที่รู้ว่าทำไม เขาไม่อยากให้นทีรู้จึงเคยตอบเลี่ยงๆ ไปครั้งหนึ่งแล้ว คราวนี้ เขาก็ไม่อยากให้แม่รู้ แต่จะตอบเลี่ยงๆ ไปได้อีกครั้งหรือ... ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่จะบอกความจริง
ชายหนุ่มสูดหายใจเข้า ลึก ยาวก่อนจะสารภาพต่อผู้เป็นแม่ ไม่ต่างอะไรจากตอนประถมที่สารภาพว่าสอบตก
“เพราะคนที่ขับรถชนเขา คือชายเองครับแม่”
เพียงวิไลวรรณได้ยินคำตอบ ขาแข้งก็หมดแรง ไม่ต่างอะไรจากผู้สูงอายุทั่วไป ที่ไม่ว่าจะได้ยินอะไรที่บาดหู ก็จะรับไม่ได้ เป็นลมเป็นแล้งกันทั้งนั้น วิไลวรรณ เซติดผนัง ใช้มือยันไว้ไม่ให้ล้ม แต่ก็ยังขาแข้งสั่นรับไม่ได้กับสิ่งที่ได้ยิน คนแรกที่ได้สติก่อนคือทิฆัมพร
“ว้าย คุณน้าเป็นลม” หล่อนควานหายาดม ในกระเป๋าถือ ก่อนจะยื่นให้หม่อมวิไลวรรณอย่างทำตัวไม่ถูก “พี่ชายคะ รีบพาคุณน้าไปที่รถเถอะ พากลับบ้านที่พัทยาก่อน”
ภาสกรตรงเข้าประคองหม่อมแม่ของตนตั้งแต่หญิงสาวยังพูดไม่จบประโยคพากันเดินไปที่ลิฟท์ อดใจไม่ได้ที่จะหันมามองประตูห้องพักผู้ป่วยใจนึกเพียงว่า นทีจะตื่นหรือยัง ปุยฝ้ายมาเยี่ยมหรือยัง หนุ่มน้อยจะหิวหรือเปล่าเท่านั้น ไก่ทอดเคเอฟซีในมือก็ยังอยู่ในมืออย่างนั้นไม่ได้ตกถึงท้องหนุ่มน้อยอย่างที่ตั้งใจ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 14 "ขอให้ช่วยบอกลูกชายของฉันด้วยว่า..." 30/03/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 30-03-2011 21:03:28
ให้อารมณ์เหมือนดูหนังน้ำเน่าทางช่องหลายสีจริง ๆ
แบบนี้ถ้าได้อยู่ใกล้ ๆ จะเอาหนอนยัดปากนังคุณฟ้าซักกำมือนึง
ปากเน่าได้ใจมากค่ะ  เน่าพอกับกายและใจหล่อนเลยจริง ๆ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 14 "ขอให้ช่วยบอกลูกชายของฉันด้วยว่า..." 30/03/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 30-03-2011 21:04:34
นังฟ้าตอแหลที่สุดเลยนะย่ะ ชงหาเรื่องอยู่เรื่อย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 14 "ขอให้ช่วยบอกลูกชายของฉันด้วยว่า..." 30/03/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: zeit ที่ 30-03-2011 21:24:43
เอิ่ม จะเป็นไงต่อดีล้ะ นที?

คุณหญิงแม่ใจร้ายมาก

อีนังฟ้าหน้าตบมาก
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 14 "ขอให้ช่วยบอกลูกชายของฉันด้วยว่า..." 30/03/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 30-03-2011 21:27:56
คุณชายยยยยยยยย นทีได้ยินหมดแล้วววววว >"<
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 14 "ขอให้ช่วยบอกลูกชายของฉันด้วยว่า..." 30/03/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 30-03-2011 21:45:04
กรี๊ดดดดด มาต่อเเล้ว รอว่าเมื่อไหร่จะถึงวันจันทร์ วันพุธ อยากอ่านทุกวันเลยค่ะ

สนุกมากๆๆๆๆๆๆของมากๆๆๆๆๆๆ

คุณชาย น้องนทีได้ยินหมดเเล้ว จะเกิดอะไรขึ้นเนี่ย
เกลียดคุณทิฆัมพรจริงๆ ส่วนหม่อมเเม่ก็พูดจาเฉือนเเบบนิ่มๆ


ขอบคุณคุณฟ้าม่วงค่ะ ชอบคุณมากจริงๆ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 14 "ขอให้ช่วยบอกลูกชายของฉันด้วยว่า..." 30/03/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: parn11 ที่ 30-03-2011 23:40:23
ทีนี้จะทำยังไงดีละนที
ยากจะรู้จักกับคุณอดิสรณ์จะแย่อยู่แล้วคะ
ติดตามคะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 14 "ขอให้ช่วยบอกลูกชายของฉันด้วยว่า..." 30/03/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 31-03-2011 01:06:58
นทีรู้ความจริงว่าคุณชายเป็นคนขับรถชนคงจะเสียความรู้สึกมากทีเดียว

แต่ว่าน้าาา เมื่อไหร่คุณชายจะรู้ตัวซะทีล่ะว่าเริ่มรู้สึกพิเศษกะนทีแล้วอ่าาาา
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 14 "ขอให้ช่วยบอกลูกชายของฉันด้วยว่า..." 30/03/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: YMP ที่ 31-03-2011 03:52:13
 :L2:

นทีจะทำเรื่องออกจาก รพ.เลยมั้ยเนี่ย

ปล.
มีโฆษณาไก่ทอดเจ้าดังแอบแฝงด้วย  :laugh:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 14 "ขอให้ช่วยบอกลูกชายของฉันด้วยว่า..." 30/03/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: zeen11 ที่ 31-03-2011 04:20:22
เนื้อเรื่องเข้มข้นน่าติดตามมากๆ ค่ะ o13 o13
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 14 "ขอให้ช่วยบอกลูกชายของฉันด้วยว่า..." 30/03/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: นางคุ้ม ที่ 31-03-2011 12:41:17
ชอบค่ะ นานๆได้อ่านนิยายรักที่ตัวเอกวัยทำงานบ้าง
ส่วนมากเป็นรักในวัยเรียนเสียเยอะ  เปลี่ยนแนวบ้างก็น่าติดตามดี
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 14 "ขอให้ช่วยบอกลูกชายของฉันด้วยว่า..." 30/03/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: theblink ที่ 31-03-2011 14:25:33
ตามอ่านรวดเดียวจนถึงตอนนี้เลยค่ะ อิอิ
ฉากหวานชอบจริงๆนะ  แต่ไม่รู้เราเป็นคนเดียวรึเปล่า ที่แบบว่า
ยินดีได้ไม่สุดหัวใจคือ.. มันดีใจนะ  แต่ก็ไม่ดีใจเลย....
ยังคิด  ยังกังวลเรื่องนายพ่อเลี้ยงนั่นอยู่ตลอดเวลาที่มีฉากน่ารักๆระหว่างคุณชายกับนที  เราว่าเราเครียดเรื่องนายนั่นยิ่งกว่าหม่อมแม่ หรือ ยัยทิฆัมพรเสียอีก
มันคล้ายกับเป็นความรู้สึกอึดอัด ไม่สบายใจ
รู้สึกเกลียดนายนนั่น  ทั้งๆที่ยังไม่ออกมา   ยิ่งคิดว่าที่ผ่านมานทีต้องเจออะไรจากนายนี่บ้างก็ยิ่งสงสาร 
ถ้าตัีวละครตัวนี้ออกมาเมื่อไหร่  คาดว่าคงมีเรื่องทำให้ตับไตไส้พุ่งเราบิดเบี้ยวแน่นอน   เพราะแค่ตอนนี้ก็รู้สึกอึดอัดคับแค้นใจแทนนทีมากพอแล้ว

เราอยากให้คุณชายรับรู้เรื่องราวทั้งหมดของนทีัจังเลยค่ะ  เราเชื่อว่าคุณชายเป็นคนใจดี เป็นคนจิตใจดี  ถ้ารู้ชะตากรรมของนทีคงไม่ปล่อยเอาไว้เฉยๆ  คงต้องช่วยนทีจากเงื้อมมือของนายพ่อเลี้ยงได้แน่นอน

บาดแผลที่กว้างลึกในใจของนที  อยากให้คุณชายคนดี ผู้เพรียบพร้อม  ช่วยรักษาให้หายดีจังเลยค่ะ T T

ปล. รักคุณฟ้าม่วงมากเลย  ขอบคุณนะคะสำหรับนิยายสนุกๆ ^ ^  ใจดีมาอัพให้เร็ว ๆ หน่อยน้าค้า  โดยเฉพาะช่วงดราม่าจะได้ไม่มีใครลงแดงกัน ฮ่าฮ่า
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 14 "ขอให้ช่วยบอกลูกชายของฉันด้วยว่า..." 30/03/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: Rawint_PK ที่ 31-03-2011 14:27:22
เศร้าได้ตลอดเวลาสิน่า
เฮ้อ....
นี่แค่เริ่มต้นต้มน้ำใช่ไหมเนี่ย...
ยังไม่ได้ใส่เส้นใช่ไหม
โอย..
ชายจะเป็นลม
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 14 "ขอให้ช่วยบอกลูกชายของฉันด้วยว่า..." 30/03/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: Rhythm ที่ 31-03-2011 15:53:24
 :เฮ้อ:

รออ่านนะ
 :L2:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 14 "ขอให้ช่วยบอกลูกชายของฉันด้วยว่า..." 30/03/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 31-03-2011 19:09:17
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 14 "ขอให้ช่วยบอกลูกชายของฉันด้วยว่า..." 30/03/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 02-04-2011 20:47:39
อัพผิดเรื่องครับแหะๆ ตามไปอ่านทางสามสายด้วยนะคร้าบ
คุณชายเจอกันวันจันทร์ครับ

ปล. ใครยังไม่ลงชื่อแสดงความจำนงให้รวมเล่มปางบรรพ์ อย่าาลืมตามไปนะครับ อยากได้จำนวนคร่าวๆแล้วจะได้สั่งพิมครับ :) ขอบคุณล่วงหน้าครับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 14 "ขอให้ช่วยบอกลูกชายของฉันด้วยว่า..." 30/03/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: KIMKUNG ที่ 03-04-2011 15:22:39
มาต่อห่อยครับ  อิอิ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 14 "ขอให้ช่วยบอกลูกชายของฉันด้วยว่า..." 30/03/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: namwaan1992 ที่ 03-04-2011 21:14:20
ตามอ่านรวดเดียวจบ   ><

ฮ่าๆ    อยากอ่านอีกงับๆ    ชอบเรื่องนี้ม้ากกกกกกกกกกกกกก ก       ^^

มาต่อไวๆนะครับ  :'D
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 14 "ขอให้ช่วยบอกลูกชายของฉันด้วยว่า..." 30/03/11 - 20.40
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 04-04-2011 20:34:42
15

เรียน หม่อมราชวงศ์ ภาสกร รชตานันต์

   ขอโทษคุณชายจากใจจริงที่ไม่สามารถอยู่รอ บอกข้อความทั้งหมดในจดหมายนี้ด้วยตัวเองได้ หากคุณชายโกรธ ก็ต้องขอโทษด้วย
   ผมรู้สึกว่าตัวเองหายดีแล้ว ไม่มีอาการอะไรแปลกๆ น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้ ก็ออกมาโดยไม่ได้บอกคุณชายก่อน ผมไม่คิดจะกลับไปอีก ดังนั้นขอร้องคุณชายว่า อย่าได้ตามหาผมและให้ผมเข้ารับการรักษาอีกเลย ไม่ว่าผลทดสอบในคืนนั้นจะออกมาอย่างไรก็ตามคุณชายไม่มีอะไรติดค้างผมอีก ผมต่างหากที่ติดค้างคุณชาย เท่าที่กรุณาผมมาตั้งแต่วันแรก จนถึงในวันนี้ก็เป็นบุญคุณหาเปรียบไม่ได้จริงๆ
   ผมได้ยินที่คุณชายคุยกับหม่อมแม่ของคุณชายแล้ว ผมต้องขอโทษหากทำให้คุณชายต้องเดือดร้อนและมีปัญหากับครอบครัว ผมรู้เรื่องเกี่ยวกับเหตุผลที่คุณชายช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาล และช่วยดูแลผมมาตลอดแล้วจากที่ได้ยินคุณคุยกับหม่อมแม่ของคุณ และจากที่ผมคาดคั้นมาจากปุยฝ้ายเอง ว่าเป็นไปเพราะต้องการชดเชยความผิดที่คุณชายเป็นคนขับรถชนผม ขอให้คุณชายอย่าได้รู้สึกผิด เพราะคุณชายได้แสดงให้ผมเห็นแล้วว่าคุณชายสำนึกผิด และ พยายามอย่างเต็มที่ที่จะแก้ไขความผิดนั้นแล้วจริงๆ
   หากคุณชายกังวลว่าผมจะโกรธเรื่องที่คุณชายปกปิดความจริงกับผมทั้งเรื่องรถชน และเรื่องที่คุณชาย เป็นหม่อมราชวงศ์ ก็ขอให้คุณชายรู้ว่าผมไม่โกรธ และเข้าใจคุณชายดี
   คุณชายเป็นผู้มีพระคุณสำหรับผมอย่างที่ผมเคยบอกไปแล้ว เพราะอย่างน้อย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม คุณชายได้ดูแลผมมาตลอดตั้งแต่ผมถูกรถชน ทำให้ผมได้รู้ว่ายังมีคนที่ดีต่อผมอยู่บ้าง อย่างน้อยก็อีกคนหนึ่ง
    ผมยังยืนยันคำเดิมว่า ผมจะไม่วันลืมคุณชายเลย จริงๆ


นที
   เจ้าของจดหมายอ่านทบทวนครั้งสุดท้ายแล้ววางจดหมายลงบนเตียง ก่อนจะได้ยินเสียงเพื่อนสาวพูดเบาๆ จากข้างหลัง
    “แกแน่ใจนะไอ้น้ำ ว่าจะทำแบบนี้”
   “แน่ใจ” เขาได้ยินเสียงตัวเองตอบกลับไป แทบจำไม่ได้ว่าเป็นเสียงของเขา เพราะมันสั่นเครือ ฟังดูเศร้าอย่างน่าแปลกใจ ทั้งๆ ที่เขากำลังจะจากที่ที่เขาเบื่อเต็มทีนี้ไปสู่โลกภายนอกที่สดใสและสวยงาม นทีบอกตัวเองว่าที่เป็นอยู่นี้ เพราะความกลัวว่าจะต้องกลับไปเจออดิสรณ์ และเรื่องราวร้ายกาจต่างหาก
   ห้องพักผู้ป่วยในห้องนี้ ดูคล้ายจะเป็นสถานที่ที่ป้องกันเขาจากความเจ็บปวดจากโลกภายนอกได้มาเป็นเวลา เกือบสองอาทิตย์ พอจะจากไปก็ใจหายเท่านั้น ไม่ได้คิดถึงคนที่เคยมากิน อยู่ นอนหลับร่วมกันในห้องนี้แม้นิดเดียว
   ปุยฝ้ายประคองนที ที่อยู่ในชุดเสื้อยืด กางเกงยีนส์ของปุยฝ้าย มันเป็นเสื้อผ้าที่หล่อนจะเอามาเปลี่ยน แต่นทีขอใส่ไปก่อนเพราะไม่มีชุดแล้วจริงๆ ทั้งคู่เดินออกนอกห้องนี้ไปง่ายและเร็วเหมือนตอนที่เข้ามา หากแต่อะไรบางอย่างทำให้ ต้องหันกลับไปมองมันอีกครั้ง ด้วยความอาลัยอาวรณ์ ก่อนจะจากมันไปจริงๆ

   ภาสกรนอนไม่หลับทั้งคืน ใจคิดถึงแต่ นที
    เขาไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงต้องคิดถึงเด็กคนนั้นมากถึงขนาดนี้ด้วย ทั้งที่จริงๆแล้ว ความผูกพันเล็กๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างสี่ห้าวันที่อยู่ด้วยกันนั้น มันอาจจะดูน้อยนิดเกินไปด้วยซ้ำ ถ้าเทียบกับระยะเวลาที่เขารู้จักกับทิฆัมพร แต่ภาสกรก็ไม่เคยคิดถึงหญิงสาว มากเท่าที่เขาคิดถึงนทีอยู่ตอนนี้
    คุณชายหนุ่มพา หม่อมแม่กลับมาที่บ้าน ให้น้ำให้ท่าแล้วสักพัก หม่อมวิไลวรรณก็ถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด มีทิฆัมพรที่นั่งฟังอยู่อย่างประหลาดใจคอยปรนนิบัติหม่อมอยู่ข้างๆ พอเล่าจบ หม่อมวิไลวรรณก็พูดขึ้นมาคำเดียวว่า “อย่าให้ท่านพ่อทรงทราบเชียวนะ” จากนั้นสองสาวต่างวัยก็ไมพูดอะไรอีก ทิฆัมพรจัดแจงประคอง วิไลวรรณไปที่นอกชาน นั่งมองทะเลให้สงบใจ หม่อมวัยกลางคน มองขอบฟ้าด้วยตาละห้อย ไม่นึกว่าเรื่องราวแบบนี้จะเกิดขึ้นกับลูกชายที่แสนจะพร้อมสมบูรณ์ทุกอย่างของหล่อน ได้แต่หวังเพียงว่าเรื่องจะไม่บานปลายถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาล
   พอเย็นๆ สาวใช้ที่ตามมาจากวังผกากรองก็จัดแจงทำอาหารให้หม่อม ทิฆัมพรและคุณชาย ผลออกมาตรงกันว่าไม่มีใครเจริญอาหารเป็นพิเศษ เท่าที่ทำได้คือกินกันคำสองคำ หม่อมวิไลวรรณกำชับกับลูกชายระหว่างรับประทานอาหารเย็นนั้นด้วยว่า
   “แกอย่าไปยุ่งกับเขาเลยนะตาชาย ส่งเงินค่ารักษาไปก็พอ ถ้าไปใจดีกับเขามาก เดี่ยวเขาจะเรียกร้องค่าเสียหาย เราจะเสียเงินมากโดยใช่เหตุ”
   คนอย่างหม่อมวิไลวรรณ ต่อให้ต้องเสียเงิน เป็นแสนเป็นล้านกับการเข้าสปา หรือชอปปิ้ง ก็ย่อมทำได้โดยไม่ต้องคิดอะไร หรือจะให้บริจาคเงินเข้ามูลนิธิไหนก็ย่อมทำได้ หากหล่อนรู้สึกพอใจ และได้หน้าจากการกระทำนั้น
   แต่ถ้าหล่อนไม่ชอบ อะไรขึ้นมาละก็ สักบาท สักสตางค์เดียวก็ไม่เสียให้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม วิไลวรรณ ก็ไม่ชอบหน้าปุยฝ้าย หล่อนรู้สึกว่าหญิงสาวคนนี้เป็นเหมือนคนจนๆทั่วไป คือเห็นคนรวยไม่ได้ ต้องจ้องแต่จะเอาเปรียบเรื่องเงินจนไม่เป็นอันทำอะไร ฉะนั้น การที่หล่อนสั่งให้ภาสกรไม่เข้าไปยุ่งกับหญิงสาวคนนี้ รวมถึงเพื่อนหนุ่มของหล่อน ก็เพื่อกันลูกจากการถูกเอาเปรียบ แม้ในใจจะรู้สึกไม่แน่ใจกับ เหตุผลข้อนี้เท่าไรนัก แต่ก็ไม่สามารถหาเหตุผลมาได้จนแล้วจนรอดว่า จริงๆแล้วหล่อนไม่อยากให้ลูกชายเข้าใกล้ สองคนนี้เพราะอะไร
   ทิฆัมพร ลากลับโรงแรม ตอนค่ำๆ หม่อมวิไลวรรณก็เข้าห้องไปนอนโดยไม่กล่าวอะไรกับลูกชายอีก ทิ้งให้คุณชายนอนตาโพลงอยู่ในห้องของเขาไม่ว่าจะพยายามข่มตานอนอย่างไร ก็ไม่อาจทำใจให้สงบลงได้เลย
เขานึกถึงใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของนที รอยยิ้มที่ยากจะมีให้เห็น แต่เห็นคราใดก็ให้รู้สึกอบอุ่น อารมณ์ดีอย่างช่วยไม่ได้ นึกถึงใบหน้า ที่มีความสุข ดวงตาที่เป็นประกายเวลาเขาเพลินเพลินกับการวาดรูป และ ผิวเนื้อนวลเนียน ยามภาสกรเช็ดตัวให้ นึกถึงเมื่อไหร่ก็รู้สึกคะนึงหา และคงทนไม่ได้ ถ้าจะไม่สามารถกลับไปมีโอกาสได้สัมผัสอะไรอย่างนั้นอีก
   แวบหนึ่งเขาคิดถึงคุณหญิงดาริกา มันช่วยไม่ได้ที่จะคิดถึงคุณหญิง เพราะดาริกามีใบหน้าคล้ายกับนทีเสียเหลือเกิน และ เพราะรายนี้เป็นหญิงสาว เมื่อภาสกรนึกถึงจึงไม่ได้รู้สึกแปลกแต่อย่างใด แต่พอนึกถึงนที ในลักษณะเดียวกับที่นึกถึงหญิงสาว ภาสกรก็อดแปลกใจตัวเองไม่ได้ว่า เหตุใดเขาถึงได้นึกถึงเด็กหนุ่มคนนั้นแทบจะตลอดเวลาได้
   หม่อมวิไลวรรณไม่ให้เขาไปพบกับนที เขาจะทำได้หรือ ในเมื่อจากมาไม่กี่ชั่วโมงก็คิดถึงแล้วแบบนี้ เขาไม่อยากจบความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นกับชายหนุ่ม นอกเหนือจากเหตุผลที่ว่าเขาต้องรับผิดชอบที่เป็นคนทำให้นทีบาดเจ็บแล้ว ภาสกรก็ต้องยอมรับว่า เขาเอ็นดูนทีมาก ราวกับคนที่เพิ่งมีน้อง แล้วกำลังเห่อเล่นกับเด็กอย่างนั้น อยากพบหน้า อยากทำให้เขายิ้ม อยากดูแล
   ยังไงเสีย หม่อมวิไลวรรณก็ไม่ได้อยู่กับเขาทั้งวันเสียหน่อย สายๆ จะแวะไปหานที ก็ย่อมทำได้
    เพียงคิดได้เท่านี้ ภาสกรก็หลับไป
   
    วันรุ่งขึ้น เป็นวันที่ยากลำบากอีกวันหนึ่งของภาสกร
   ชายหนุ่มน่าจะรู้ว่าเมื่อวิไลวรรณ ตัดสินใจอะไรแล้ว ทุกอย่างต้องเป็นไปตามที่หล่อนคิดทุกประการ แต่เขาก็ไม่รู้อยู่ดีว่าวิไลวรรณจะทำได้ถึงขนาดนี้ แผนการอ้างว่าไปทำงานและแอบหนีไปหานทีตอนสายๆ พังทลายลงเพียงเขาก้าวลงมาจากห้องนอน
พอสิบโมงกว่าเขาอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วเดินลงบันไดมาเพื่อรับประทานอาหารเช้า ก็ต้องตกใจแทบสะดุดขาตัวเองล้ม เมื่อเห็นวิไลวรรณ และทิฆัมพรพูดคุยกันอยู่หนุงหนิงที่นอกชาน ต่างฝ่ายต่างมีแก้วน้ำส้มอยู่ในมือ จานอาหารบนโต๊ะ เป็นเพียงจานเปล่าที่ทั้งคู่กินกันเสร็จแล้ว ภาสกรจึงได้แต่นั่งกินอาหารของตนในขณะที่หัวก็คิดไปว่าจะหาข้ออ้างอะไรที่จะหนีไปให้ได้
“อ้าวพี่ชาย ลงมาแล้วหรือคะ” ทิฆัมพรเอ่ยขึ้น ก่อนจะชวน วิไลวรรณเดินเข้ามาในห้องอาหาร ทั้งคู่แต่งตัวสบายๆ แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะแต่งแต้มใบหน้าด้วยเครื่องสำอาง ตามเคย
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณแม่”
“ตาชาย วันนี้อากาศดี๊ดี แม่เพิ่งจะชวนหนูฟ้าออกไปเที่ยวเกาะกันน่ะลูก” มาถึง หม่อมวิไลวรรณ ก็มุ่งเข้าสู่ประเด็นทันที เป็นข้ออธิบายไปในตัวเรื่องที่ทั้งคู่แต่งตัวกันง่ายๆ ไม่หรูหราอย่างเคย กันอย่างนี้
“เกาะหรือครับ”
“เกาะล้านน่ะจ้ะ แม่เห็นในทีวี สวยเชียว หนูฟ้าเขาก็เคยไป บอกว่าอากาศดีเชียวล่ะ ไปฟอกปอด ฟอกสมองกันหน่อย หลังจากผ่านเรื่องเครียดๆกันมามากแล้ว แม่ก็เห็นเป็นโอกาสอันดีที่ไหนๆ แม่ก็มาถึงพัทยาแล้ว ก็เลยจะไปเที่ยวกับหนูฟ้าเขา”
“อ้อ” ภาสกร ถือส้อมอยู่ในมือ มีไข่ดาวหนึ่งชั้นอยู่บนนั้น ไม่กล้าเอาเข้าปาก เพราะกลัวว่าประโยคต่อมาของหม่อมแม่อาจจะทำให้ไข่ชิ้นนี้ ติดคอได้
“แม่ก็เห็นว่า ชายคงไม่น่าจะมีงานด่วนเลยจะชวนชายไปด้วยกันน่ะจ้ะ”

คุก นี่คุกชัดๆ ภาสกรอดคิดไม่ได้เมื่อก้าวเท้าลงจากเรือโดยสาร ขึ้นที่เกาะล้าน เกาะนี้นั่งเรือมาไม่นานก็จริง แต่เรือจะเข้าและออกทุกๆสองชั่วโมง  เท่ากับว่า จากนี้ไปสองชั่วโมงภาสกรจะต้องติดอยู่กับ หม่อมวิไลวรรณ และทิฆัมพร ไม่มีทางหนีไปได้เลย ยิ่งเมื่อหญิงสาวปากแดงเจ้าความคิดพูดออกมาทำนองว่า “อุ๊ยดีจริง เรือเที่ยวสุดท้ายออกหกโมงเย็น คุณน้าคะ เราอยู่กันจนถึงตอนนั้นเลยก็ได้นะคะ” แล้วล่ะก็ ภาสกรยิ่งคิดอยากจะ รีบวิ่งขึ้นเรือกลับไปพัทยาเสียเดี๋ยวนั้น
แต่วิไลวรรณก็ดันหลังเขาขึ้นไปบนตัวเกาะแล้ว ภาสกรได้แต่มองเรือ ค่อยๆ แล่นห่างออกไป ห่างออกไปจนเขาต้องถอนหายใจ ช่วยไม่ได้ อย่างน้อย อีกสองชั่วโมงค่อยหาทาง หาข้ออ้างกลับพัทยาก็แล้วกัน
จริงๆ เกาะล้านก็เป็นเกาะที่สวยพอสมควร หากเขาเต็มใจจะมาละก็ ภาสกรจะต้องตื่นตาตื่นใจ กับทะเลที่โอบล้อมไปทุกด้าน และ ผู้คนที่มาเล่นน้ำบ้าง อาบแดดบ้าง กินอาหารทะเลสุดแพงริมหาดบ้าง แต่ในเมื่อใจเขากำลังจดจ่ออยู่กับอะไรอย่างอื่นอยู่ สิ่งต่างๆรอบตัวก็ดูเหมือนจะไม่มีความสำคัญอะไร แม้แต่ตอนที่เขาถูกทิฆัมพรและ หม่อมแม่ของเขา ลากไปกินอาหารทะเลที่ริมหาด เขาก็ไม่ได้เพลิดเพลินกับรสชาติที่แสนอร่อยของอาหารทะเลเท่าไรนัก ทั้งๆที่เขาเป็นคนชอบอาหารทะเลที่สุดก็ตาม
เขานึกถึงตอนที่พาคุณหญิงดาริกาไปกินอาหารทะเลริมหาดพัทยา คิดถึงสีหน้าของนทีตอนที่ได้กินอาหารที่เขาซื้อกลับไปฝาก ตาก็เหม่อลอยมองออกไปทางแผ่นดินใหญ่ เขามองไม่เห็นพัทยาจากมุมนี้ กระนั้น ภาสกรก็ไม่เคยรู้สึกอยากกลับไปพัทยามากเท่าครั้งนี้เลย
“เอ๊ะ นั่นคุณชายภาสกร มิใช่หรือคะ”
เสียงของสาวน้อยดังขึ้นจากทางขวามือของชายหนุ่ม พอเขาหันไปก็พบกับหญิงสาวที่เขากำลังนึกถึงอยู่เมื่อครู่ การปรากฏตัวของหล่อนทำให้อารมณ์ของภาสกรดีขึ้นจนเกือบจะตะโกนออกมาด้วยความดีใจ แต่แน่ละเท่าที่ภาสกรทำก็เพียงเรียกชื่อหล่อนเสียงเบา แล้วลุกยืนขึ้นต้อนรับเท่านั้น
“คุณหญิงดาริกา มาได้อย่างไรครับ”
“ดิฉันมาเที่ยวกับพวกพี่ๆ น่ะค่ะ” หล่อนยิ้มให้อย่างเป็นมิตร บุ้ยใบ้ให้เห็นชายหนุ่มอีกสองคนที่กำลังนั่งอยู่ที่ชายหาดประกอบคำพูด ใบหน้าของหญิงสาว ไม่มีเครื่องสำอางแต่งแต้มตามเคย หากแต่ดูสวย และสง่างามจนหลายๆคนในร้านต้องหันมามอง
“คุณหญิงครับ นี่หม่อมแม่ของผม และนี่ ทิฆัมพร คนรู้จักของครอบครัวน่ะครับ หม่อมแม่ ทิฆัมพร นี่คุณหญิงดาริกา เพื่อนร่วมงานของผมครับ”
    ภาสกรผายมือแนะนำ แวบหนึ่งทิฆัมพรทำหน้าไม่พอใจเมื่อได้ยินภาสกรแนะนำหล่อนว่าเป็นเพียงคนรู้จัก แต่ก็ปั้นหน้ายิ้มให้อีกฝ่ายได้อย่างแนบเนียน พอๆกับหม่อมวิไลวรรณ ที่ได้ยินคำว่าคุณหญิงก็ยิ้มออกมาอย่างสาวสังคม หากผู้หญิงคนนี้เป็นคนธรรมดาไม่มียศศักดิ์ละก็ หม่อมก็จะเพียงแค่ปรายตามอง แล้ววางหน้าเฉยเมย อย่างที่ทำกับปุยฝ้ายแต่ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นทั้งคุณหญิง เป็นทั้งคนดัง หม่อมจึงพูดจาปราศรัยด้วยเป็นอย่างดี
ดาริกาน้อมตัวไหว้อย่างงดงาม
“ไหว้พระเถอะลูก ทานอะไรหรือยังจ๊ะ เชิญนั่งก่อนซี”
“หนูทานแล้วค่ะ หม่อม กำลังจะเปลี่ยนชุดว่ายน้ำลงทะเล ต้องขอโทษด้วยนะคะ” หล่อนตอบเสียงใส พร้อมกับรอยยิ้มแบบเด็กเรียบร้อยทำให้ผู้เชิญไม่รู้สึกเสียหน้าแต่อย่างใด “เสียดาย พี่ๆก็เปลี่ยนชุดว่ายน้ำหมดแล้ว จะให้ขึ้นมาไหว้หม่อม เกรงว่าจะไม่เหมาะค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกลูก” วิไลวรรณพูดเสียงหวาน “ไม่ต้องพิธีรีตอง หรอกจ้ะ น้าก็มาพักผ่อนสบายๆ เชิญคุณหญิงตามสบายเถอะจ้ะ”
ตลอดเวลาทิฆัมพรไม่พูด ได้แต่มองคุณหญิงตรงหน้า เพราะนอกจากหล่อนสวยแล้ว กิริยา มารยาทก็งดงาม แถมยังรู้สึกราวกับเคยเจอที่ไหนมาก่อนอีกต่างหาก
ดาริกาลาวิไลวรรณ ทิฆัมพร และ ภาสกรจะลงไปที่ชายหาด ทันใดนั้น ภาสกรก็รีบฉวยโอกาส ออกห่างจากทิฆัมพรเอาไว้ได้เหมาะเจาะ
“งั้นขอผมเดินไปส่งคุณหญิงที่ชายหาดนะครับ”
ภาสกรกลัวดาริกาจะปฏิเสธทำนองว่าหล่อนเดินไปเองได้ หรือเกรงใจไม่อยากให้ภาสกรเหนื่อย แต่หญิงสาวกลับรับคำอย่างง่ายดาย ภาสกรแทบกระโดดกอดดาริกาด้วยความดีใจให้ได้ แต่ก็ได้แต่ยิ้มให้เล็กน้อยและเดินเคียงคู่กันไปที่ชายหาด
“ขอบคุณนะครับที่อนุญาตให้ผมเดินมาส่ง”
ดาริกายิ้มอย่างเข้าใจ
“คุณชายอึดอัดใช่ไหมล่ะคะ หญิงเห็นจากสีหน้าคุณชาย คงมีอะไรไม่ค่อยสบายใจสิคะ”
ชายหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อยทำนองว่า ไม่แน่ใจว่าควรจะเล่ารายละเอียดออกมาดี หรือควรจะเงียบเอาไว้เฉยๆไม่ต้องพูดอะไรก็ตัดสินใจไม่ถูก
“เล่าให้หญิงฟังเถอะค่ะ เพื่อจะช่วยอะไรได้”
“คือว่า...” ภาสกรเล่าให้หล่อนฟังเพียงว่ามีธุระด่วนที่พัทยา แต่ถูกทิฆัมพร และหม่อมแม่ลากมาที่เกาะล้านนี้แทน ทั้งๆที่ไม่ได้อยากจะมาด้วย แต่ก็กลับพัทยาไม่ได้ต้องรออีกอย่างน้อยก็ชั่วโมงครึ่งกว่าเรือโดยสารจะมารับ
“ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางนี่คะ”
“เอ๋ ...”
“คุณชายเห็นเรือลำนั้นไหมคะ” ดาริกาชี้เรือส่วนตัว ขนาดย่อมลำหนึ่งให้ภาสกรดู มันจอดอยู่ข้างท่าเรือที่ภาสกรขึ้นมาเมื่อตอนสายๆ เรือลำสวยมีชื่อนามสกุล สุวรรณฉาย เขียนเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษสีทอง ส่องประกายล้อแสงอาทิตย์อยู่ตรงนั้น ทำให้เขาเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรตั้งแต่ ดาริกายังไม่ได้อธิบาย “เรือของพี่ชายค่ะ ถ้าเป็นธุระด่วน หญิงจะให้พี่ขับเรือไปส่งก่อน”
“ผมว่าคงยังไม่จำเป็นขนาดนั้นมังครับ ผมรอเรือโดยสารดีกว่า...” ยังไม่ทันพูดจบ เสียงโทรศัพท์มือถือของคุณชายหนุ่มก็ดังขึ้น ภาสกรหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก็พบว่าเป็นหมายเลขที่เขาไม่คุ้นเคย แต่ก็รีบกดรับก่อนที่สัญญาณจะตัดไป
“สวัสดีค่ะ คุณชายภาสกร ดิฉันโทรมาจากโรงพยาบาล... นะคะ ต้องขอโทษด้วยถ้าหากรบกวน แต่ดิฉันมีเรื่องด่วนต้องแจ้งให้ทราบค่ะ”
“ว่าไงครับ เรื่องอะไรกัน” ภาสกรเหงื่อตก เกิดอะไรขึ้น มีอะไรเกิดขึ้นกับนทีกันหรือ
“ผลตรวจแล็บของ นายนที เสถียรลาภ ออกแล้วนะคะ คนไข้ไม่มีอาการผิดปกติใดๆ คุณหมอลงความเห็นว่าให้ออกจากโรงพยาบาลได้ค่ะ”
“อ้อ” ภาสกรอุทานออกมาเพราะเรื่องกลับง่ายกว่าที่เขากลัว
“แต่ดิฉันต้องแจ้งให้ทราบอีกด้วยค่ะว่า...” เสียงนางพยาบาลเงียบหายไปพักหนึ่งก่อนที่หล่อนจะรวบรวมสติแล้วพูดประโยคที่ภาสกรไม่อยากได้ยินที่สุดในวันนั้น “คนไข้ หายตัวไปแล้วค่ะ”
“อะไรนะครับ” ภาสกรลืมตัว โพล่งขึ้นมาเสียงดังอย่างช่วยไม่ได้ จนคนหลายคนหันมามอง ดาริกายังยืนอยู่ข้างๆ ไม่ได้ลงไปเล่นน้ำกับพี่สีหน้าเป็นกังวล เมื่อเห็นท่าทีของชายหนุ่มเข้า “หายไปได้อย่างไรกัน”
“คือ พอเจ้าหน้าที่เข้าไปในห้องเพื่อแจ้งผลตรวจ ก็ไม่พบคนไข้แล้วค่ะ ข้าวของเก็บไปหมดแล้วมีเพียงจดหมายฉบับหนึ่งที่ดิฉันคิดว่าคุณชายควรจะมาอ่านเอง” นางพยาบาลยังพูดด้วยเสียงร้อนรนเรื่อยๆ
“ได้ครับ งั้นผมจะรีบเข้าไปที่โรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลย” ภาสกรวางสายจากนางพยาบาลคนนั้นแล้วก็ยกมือขึ้นกุมขมับ หันไปหาหญิงสาวที่ยังคงยืนอยู่ข้างๆ “คุณหญิงครับ เห็นที ผมคงต้องรบกวนพี่ชายของคุณหญิง ไปส่งผมที่พัทยาจริงๆ แล้วล่ะครับ”
ดาริกาไม่ถามอะไร นับว่าเป็นเรื่องดี เพราะภาสกรตอบไม่ถูก หล่อนเดินลงไปเรียกพี่ชายขึ้นมาจากทะเล โดยไม่ถามเหตุผลใดๆ ไม่กี่นาทีต่อมา  ภาสกรก็ขึ้นเรือ สุวรรณฉาย มุ่งหน้ากลับไปพัทยา
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 15 จดหมายจากนที T^T 04/04/11 - 20.30
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 04-04-2011 20:58:56
โอยยยย  ค้างค่ะ  บอกได้คำเดียว
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 15 จดหมายจากนที T^T 04/04/11 - 20.30
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 04-04-2011 21:13:59
ชีวิตธรรมดาๆ ของคุณชายจบลงไปแล้วจริงๆ
ขอให้หานทีเจอน๊า >.<
บวกให้ค่า
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 15 จดหมายจากนที T^T 04/04/11 - 20.30
เริ่มหัวข้อโดย: berlyn ที่ 04-04-2011 21:38:22
ผิดที่คุณชายโกหกไม่พูดความจริงตั้งแต่ทีแรก เมื่อรู้ความจริงแล้ว ความรู้สึกว่าห่างไกลก็ตามมา

ชอบคุณชายเวลาที่อยู่กับ ที มากกว่าเป็น หม่อมราชวงศ์ ถ้าหม่อมแม่รู้ว่าลูกชายแอบหนีไปละก็ คงอกแตกตาย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 15 จดหมายจากนที T^T 04/04/11 - 20.30
เริ่มหัวข้อโดย: KIMKUNG ที่ 04-04-2011 22:06:46
โอ้  อยากให้มาแวปางบรรพ์เลยอะ
อยากให้คุณชายเริ่มรักนที  ทีละนิด รักแบบขาดไม่ได้อ่าา 
โรแมนติกมากมาย  งิงิ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 15 จดหมายจากนที T^T 04/04/11 - 20.30
เริ่มหัวข้อโดย: zeen11 ที่ 04-04-2011 22:25:20
ผู้ชายกลัวแม่นี่ไม่เท่ห์เลยอะ อยากให้คุณชายเป็นคนแข็งกว่านี้จัง  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 15 จดหมายจากนที T^T 04/04/11 - 20.30
เริ่มหัวข้อโดย: yunjaejoong ที่ 04-04-2011 23:50:47
เอาล่ะมั้ยละ ชาย งานเข้าแล้วจะไปตามหานทีได้ที่ไหนน้อ อย่าลืมมาต่ออีกนะไรเตอร์ถ้ามาไวจะพาไปกินกุ้งเผาหมึกย่างที่เกาะล้านเลยเอ้า มาไว มาไว
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 15 จดหมายจากนที T^T 04/04/11 - 20.30
เริ่มหัวข้อโดย: Little Devil ที่ 05-04-2011 01:42:46
เฮ้อ..
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 15 จดหมายจากนที T^T 04/04/11 - 20.30
เริ่มหัวข้อโดย: naja-kitase ที่ 05-04-2011 10:12:12
อ๋อยยยยยยย ดราม่าได้ใจมากๆ อ่านแล้วปวดใจจี๊ดๆ :sad4: (แต่แอบชอบแบบนี้นะ ฮ่าๆ)
ดาริกาเหมือนจะช่วยคุณชายนะเนี่ย

งื้อ แต่ปวดใจแทน ทั้งนทีทั้งคุณชายเลยอ่ะ
รอตอนต่อไปนะคะ

หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 15 จดหมายจากนที T^T 04/04/11 - 20.30
เริ่มหัวข้อโดย: Rhythm ที่ 05-04-2011 15:48:03
 :เฮ้อ:
รอค่ะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 15 จดหมายจากนที T^T 04/04/11 - 20.30
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 05-04-2011 17:07:13
 :o12:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 15 จดหมายจากนที T^T 04/04/11 - 20.30
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 06-04-2011 02:12:40
คุณชาย

รีบกลับมาตามหานทีเลย

เห็นมั้ย หนีไปซะแล้วอ่าาาาาาาาาาาาาาา
 :m16: :m16:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 15 จดหมายจากนที T^T 04/04/11 - 20.30
เริ่มหัวข้อโดย: AAWW ที่ 06-04-2011 14:31:35
 :o12: :o12: :o12:


รอรอ  ตามมาจากเรื่องที่แล้วววว ชอบมากกกกก
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 15 จดหมายจากนที T^T 04/04/11 - 20.30
เริ่มหัวข้อโดย: Rawint_PK ที่ 06-04-2011 15:35:40
ปวดใจ...
แล้วอย่างนี้อีกนานเท่าไหร่ถึงจะได้เจอกันละเนี่ยย..
สงสารนทีจริงๆๆ
คุณชายรีบๆหน่อยนะครับบบ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 15 จดหมายจากนที T^T 04/04/11 - 20.30
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 06-04-2011 16:52:49
สงสารนที คุณชายตามหาให้เจอนะคะ ชอบเรื่องนี้มากค่ะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 15 จดหมายจากนที T^T 04/04/11 - 20.30
เริ่มหัวข้อโดย: jenzda ที่ 06-04-2011 18:13:01
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 15 จดหมายจากนที T^T 04/04/11 - 20.30
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 06-04-2011 20:35:14
16

   “ตาชาย ไปส่งกันถึงไหนน่ะลูก หนูฟ้าเขาไปหาที่ชายหาดไม่ยักเจอ” เสียงของหม่อมวิไลวรรณ ดังแว้ดมาตามสาย ภาสกรยินพิงกราบเรือสีขาวที่กำลังมุ่งหน้ากลับพัทยา เสียงดังทางฝั่งเขาคงกระทบโสตประสาตของหม่อมวิไลวรรณเสียมาก ทำเอาผู้เป็นแม่ต้องเพิ่มเสียงให้ดังขึ้นไปอีก กระแทกหูของภาสกรจนแทบจะหูอื้อ “เอ๊ะ แล้วนั่นเสียงอะไร ตาชายลูกอยู่ไหนกันแน่เนี่ย”
   “เอ้อ” ภาสกรนึกหาคำตอบ แต่ก็จนด้วยปัญหา ในเมื่อไม่อยากโกหก ก็ตอบไปตามความจริง “พอดีมีคนโทรมาว่ามีเรื่องที่พัทยาน่ะครับ ชายกำลังจะไปแก้ไขปัญหาให้มันหมดๆไปเสีย”
   “เอ๊ะ อะไรนี่ชายอย่าบอกแม่นะว่าชายจะไปหาพวกนั้นน่ะ”
   ภาสกรถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะว่าต่อไป
   “ชายจะไปจ่ายเงินที่โรงพยาบาล แล้วพวกเขาก็จะได้กลับบ้านเขาไป จะได้หมดปัญหาเรื่องนี้เสียทีครับ คุณแม่”
   ปลายสายเงียบเสียงไปเหมือนพิจารณาคำพูดของลูกชายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตัดบทเสียดื้อๆ
   “ตามใจชายเถอะ ถ้าชายคิดว่าเรืองมันจะจบ ก็ดีแล้วอย่างลืมนะ แม่ไม่อยากให้แกถูกใครเอารัดเอาเปรียบ” หล่อนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะลงท้ายประโยค “ชายโตแล้ว แล้วก็เป็นคนฉลาดคนหนึ่ง คิดดีๆแล้วกัน แม่จะไปสำรวจเกาะกับหนูฟ้าละ”
   แล้วหม่อมแม่ของเขาก็ตัดสายไป

   ภาสกรยืนมองท้องฟ้า แสงตะวันที่แผดแสงจ้ายามบ่ายทำให้ภาสกรเหงื่ออกเล็กน้อย ตัวเขายังอยู่ในเสื้อเชิ้ตแขนสั้นตัวบาง กางเกงขาสั้นและรองเท้าแตะแบบสบายๆอยู่ ส่วนดาริกา ก็ยังอยู่ในชุดเดรสสั้นครึ่งต้นขาสีฟ้าน้ำทะเล ผมที่เคยปล่อยยาวสยาย รวบไว้ข้างหลังแบบกันร้อน ไม่ให้เกะกะใบหน้า หญิงสาวมองภาสกรด้วยสายตาเป็นกังวลแทนเขา ก่อนจะพูดเสียงเบาๆอย่างเกรงใจว่า
   “เรียบร้อยดีไหมคะ เรื่องทางหม่อม”
   “ก็คงไม่น่ามีปัญหา ยังไงก็ขอบคุณคุณหญิงมากครับในเรื่องนี้ อ้อ ต้องขอบคุณ คุณชาย เตชวัฒน์ กับ คุณชาย นรัตถพล ด้วยครับที่อุตส่าห์ขับเรือมาส่ง” ภาสกรยกมือไหว้คุณชายสองคนที่อายุมากกว่า เขา พลางมองสำรวจพี่ชายของดาริกาเป็นครั้งที่สอง หลังจากได้เห็นมาแล้วที่เกาะ
   คุณชาย เตชวัฒน์ พี่ชายคนโต เป็นชายหนุ่มร่างสูง แม้ว่าภาสกรจะสูงอยู่แล้ว ชายหนุ่มคนนี้ก็สูงกว่าภาสกรขึ้นไปอีก กะคร่าวๆน่าจะเกิน 190 เซนติเมตรด้วยซ้ำ รูปร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำแดดเล็กน้อย กำยำราวกับทหาร ภาสกรมารู้ทีหลังว่า ไม่ใช่ทหารหรอก แต่เป็นตำรวจยศสูงเสียด้วย เคยไปศึกษาด้านการปกครองมาจาก อังกฤษ บุคลิกน่ายำเกรง แต่ก็ไม่ถึงกับดุ เขาอยู่ในกางเกงว่ายน้ำขาสั้นสีดำ เปลือยบน ทำให้ภาสกรเห็นได้ชัดว่า คนคนนี้เป็นคนที่ดูแลร่างกายของตนเป็นอย่างดี ไม่มีไขมันส่วนเกินใดๆบนร่างกาย ใบหน้าไม่เหมือนกับดาริกา ซึ่งภาสกรเดาว่าคงหน้าคล้าย ท่านชายพ่อของเขา ส่วนดาริกา คงคล้าย ท่านหญิง ทิพยวรรณมากกว่า
   พี่ชายคนโตคนนี้ แต่งงานแล้ว อายุน่าจะอยู่ ประมาณสามสิบปลายๆภรรยาและลูก ยังรออยู่ที่เกาะล้าน เจ้าตัวเป็นคนขับเรือพาภาสกรกลับพัทยา
   ส่วนพี่คนที่สองของดาริกา ที่ชื่อ นรัตถพล นั้นดูต่างจากพี่คนโต ซึ่งก็หมายความว่ามีส่วนคล้ายดาริกา ถ้าจะพูดให้ละเอียดคือ เหมือนดาริกาในร่างผู้ชาย จะต่างกันก็ตรงที่ไม่มีหน้าอก และมีลูกกระเดือกเท่านั้น นอกนั้นแล้ว หนุ่มคนนี้ อายุ ใกล้เคียงกับภาสกร อาจจะแก่กว่าสองสามปี แต่รูปร่าง ผอมเพรียวอ้อนแอ้น ราวกับสตรี ผมยาวหยักศกสีดำรวบไว้เป็นหางม้าเหมือนกับน้องสาว เมื่อยืนใกล้กัน ภาสกรยอมรับว่า หากชายหนุ่มคนนี้ ไม่เปลือยท่อนบนให้เห็นว่าเป็นผู้ชาย เขาคงคิดว่าเป็นพี่สาวของดาริกามากกว่าเป็นพี่ชายเสียอีก
   คุณชาย นรัตถพล ดูเป็นมิตรมากกว่า พี่คนโต เขารินน้ำจากกระติกน้ำแข็งให้ภาสกร ก่อนจะพูดจาอย่างเป็นกันเอง
   “แหมเรียกซะเต็มยศ เรียก พี่เต้ พี่รัต ก็แล้วกัน” ชายหนุ่มร่างบาง พูดจีบปากจีบคอแบบไม่ปกปิด เห็นได้ชัดว่าเป็นชาวรักร่วมเพศ แต่ทว่าไม่มีจริตจก้านท่าทางอื่นๆ ที่กระเดียดไปทางผู้หญิงมากไปกว่าสไตล์การพูด
   “ครับ” ภาสกรยิ้ม “ยังไงก็ขอบคุณอีกครั้งครับ”
   “จริงๆ เรามีโปรแกรมจะขึ้นเรือแล่นรอบเกาะล้านอยู่แล้ว ก็ขึ้นเร็วหน่อยคงไม่เป็นไร” พี่รัตว่าต่อไป “นี่เอง คุณชายภาสกร รัชตานันท์คนดัง พี่อยากเจอมานานแล้ว”
   ดาริกาช่วยอธิบายเสริมว่า
   “หญิงพูดเรื่องของคุณชายไว้เยอะค่ะ พี่รัตเขาก็สนใจ” ภาสกรเลิกคิ้ว “เอ้อ ไม่ได้สนใจอย่างนั้นค่ะ หมายถึง พี่รัตเขาชอบเพชร ชอบพลอย”
   “พี่เสียดาย หากว่าท่านพ่อ ท่านแม่ทรงยอมให้พี่ทำกิจการเพชรพลอยบ้างก็ดี” ที่คุณชาย รัต เรียกแม่ของตนว่า ท่านแม่ ก็เพราะ ท่านหญิงทิพยวรรณนั้น มีบรรดาศักดิ์ เป็นหม่อมเจ้าอยู่แล้ว ไม่เหมือนหม่อมแม่ของภาสกร ที่เป็นคนธรรมดา พอแต่งงานกับหม่อมเจ้าแล้ว ถึงถูก ยกขึ้นให้เป็นหม่อม
   “แล้วตอนนี้ คุณชายทำอะไรอยู่ล่ะครับ”
   “คุณชงคุณชาย บนเรือนี้มีคุณชายตั้ง 3 คนนะ เรียกพี่รัตเถอะพี่ไม่ถืออะไร”เจ้าตัวว่า น้องสาวก็ช่วยเสริมต่ออีกแรง
    “พี่รัต เขาไปเรียนที่อเมริกามาตั้งแต่เด็กค่ะ ใครๆก็เรียก you ทั้งนั้น พอกลับมาไทย เป็นคุณชายบ้าง ชายรัตบ้าง คุณบ้าง พี่รัตเขางงค่ะ ให้เรียก ชื่ออย่างเดียวพอ”
     “พี่เป็นที่ปรึกษาด้านการตลาดอยู่กับบริษัท... น่ะ”คุณชายรัตจีบปากว่าต่อไป บริษัท ที่คุณชายรัตพูดถึง เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ ของไทยที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยีทั้งหลายในไทย เป็นบริษัทที่เรียกได้ว่า ทำทุกอย่าง ขายทุกอย่างตั้งแต่ เอมพีสาม โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เนตสิ่งอำนวยความสะดวกครบวงจร ใหญ่ยักษ์ที่สุดในเมืองไทยขณะนี้
   “โอ้โห บริษัทนี้เชียวหรือครับ”
   “ใช่ แต่มันก็ลำบากนะ เราทำสิ่งที่เราถนัดก็จริง แต่ก็ไม่ได้ชอบมันเท่าไหร่” คุณชายรัตว่า
   ตลอดการเดินทาง คุณชายเต้ หรือ มรว. เตชวัฒน์ แทบจะไม่ได้พูดอะไรนัก แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่เต็มใจมาส่ง พอภาสกรกระซิบถามดาริกาว่าทำไมคุณชาย  เต้ ถึงเงียบอย่างนั้นก็ได้คำตอบว่า   
   “พี่เต้ โตที่สุดในบ้าน อายุห่างจากพี่รัต แล้วก็หญิงมาก ก็เลยไม่ค่อยสนิทกัน พี่รัตไม่ได้อยู่ไทยแต่เด็กก็จริง แต่เราก็คุยกันตลอด สนิทกับหญิงมากกว่าพี่เต้ที่แม้จะอยู่บ้านเดียวกันแต่ก็คุยกันไม่ได้ทุกเรื่องน่ะค่ะ”
   โตจนเหมือนเป็นญาติผู้ใหญ่ มากกว่าพี่น้องที่สนิทกันซีนะ ภาสกรคิด
   นรัตถพล ดาริกา และภาสกร สนทนากันอีกไม่กี่ประโยค เรือสุวรรณฉายก็เทียบท่าที่พัทยา ภาสกรไม่ลืมที่จะขอบคุณอีกครั้ง แล้วก็ลงจากเรือ มุ่งหน้าไปโรงพยาบาล ปล่อยให้สามพี่น้องตระกูล สุวรรณฉาย แล่นเรือกลับเกาะล้านไป

   ภาสกรใจหาย เขาไม่เคยชินกับสภาพห้องผู้ป่วยในห้องนี้ ที่ไม่มีเงาของนที ชายหนุ่มเคยชินกับการเปิดประตูเข้ามาในห้องแล้วเจอเด็กหนุ่มคนนั้นนอนหันหน้ามาทางเขา แล้วยิ้มให้ ก่อนที่จะกินกับข้าวที่เขาซื้อมาฝากอย่างเอร็ดอร่อย แต่แล้ว พอเปิดประตูเข้ามาเขาก็พบกับห้องที่ว่างเปล่า มีเพียงแผ่นกระดาษแผ่นเดียวที่ยังอยู่บนเตียงเหมือนตอนที่เจ้าของจดหมายเพิ่งวางมันเอาไว้เมื่อวานตอนค่ำๆ
   ภาสกรไม่คิดเสียเวลาที่จะหยิบมันขึ้นมาอ่าน
   “เรียน หม่อมราชวงศ์ ภาสกร รชตานันต์” ภาสกรหนาววาบไปถึงหัวใจ นทีจงใจใช้คำที่เป็นทางการแบบนี้กับเขา ราวกับจะยิ่งตอกย้ำให้เขารู้ตัวว่า เขาเป็นใครกันแน่ ภาสกรไล่อ่านจากบรรทัดแรก จนสะดุดที่ “ผมยังยืนยันคำเดิมว่า ผมจะไม่วันลืมคุณชายเลย จริงๆ”
    ภาสกรบอกไม่ถูกว่าความรู้สึกนี้คืออะไร เขาไม่เคยเข้าใกล้ความรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต มันเป็นครั้งแรกที่ภาสกรรู้สึกว่า ไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิตที่จะเป็นไปตามที่เขาต้องการ ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็เป็นเพียงคนธรรมดาที่ผิดพลาด และสูญเสียได้พอๆกับคนอื่น วันนั้นทั้งวันภาสกรรู้สึกว่างเปล่า ไม่เศร้า ไม่เสียใจ ไม่โกรธ ไม่รำคาญ ไม่อะไรทั้งนั้น เป็นอาการที่ภาสกรให้คำนิยามไม่ได้จนแล้วจนรอด
   
   สองสามวัน หลังจากนั้น ภาสกรรู้สึกแปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เคยผ่านมาในชีวิต เขากลายเป็นคนขี้เบื่อ ไม่สนอกสนใจอะไร ใครคุยด้วยก็จะพบว่าภาสกรเป็นคนไม่น่าคบไปเลย ทั้งที่ปกติ ใครๆก็รักเขา พูดด้วยแล้วสนุกและชื่นชอบในอัธยาศัยของเขา แต่ระยะนี้ ภาสกรเฉื่อยชา ไม่มีกำลังใจ ทำอะไรไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอัน จนหลายๆคนรอบข้างสงสัย
   เขาอยากเจอนที ใจจะขาด แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้ได้เจอ เขาไม่มีหมายเลขโทรศัพท์ของนที จึงไม่สามารถติดต่อหนุ่มน้อยได้ เขาไม่รู้แม้แต่ว่าเด็กหนุ่มพักอยู่ที่ไหน จึงไม่สามารถไปหาได้เช่นกัน ทั้งหมดที่ทำได้ คือทำใจ ว่านที และเขา ต่างเดินทางออกจากวงโคจรของอีกฝ่ายไปแล้วโดยสิ้นเชิง
   หม่อมวิไลวรรณ กับ ทิฆัมพรกลับกรุงเทพไปในวันที่สาม นับจากวันที่ทั้งคู่ไปเกาะล้านกันมา ไม่ว่าสองคนนี้จะบ่น จะว่า ภาสกรอย่างไร ชายหนุ่มก็ไม่รู้สึกเดือดร้อน ไม่รำคาญ หรือสนใจแต่อย่างใด ได้แต่นั่งรับฟังคำบ่นจนหูชาของผู้หญิงสองคนบนโลกที่ภาสกรอยู่ด้วยแล้วรู้สึกอึดอัดที่สุด
   “ถ้าคนพวกนั้นออกจากโรงพยาบาลแล้วแม่ก็วางใจ” เป็นคำพูดที่หม่อมวิไลวรรณพูดกับเขาแล้วทำให้เขาเจ็บปวดที่สุด เขาควรจะวางใจได้อย่างแม่แต่เหตุใดเขาถึงไม่สบายใจเลยเล่า แม้จะไม่ถึงกับทุกข์ใจ แต่ก็แน่ละ เขาไม่มีความสุขเหมือนก่อน “ที่นี่ไม่มีอะไรแล้ว ถ้าอย่างนั้นแม่จะกลับกรุงเทพ ไว้ท่านพ่ออาการดีขึ้นกว่านี้ เราค่อยลงมาเยี่ยมแกด้วยกัน”
    หม่อมวิไลวรรณ และ ทิฆัมพรกลับไปแล้ว ภาสกรก็โล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่สบายใจอยู่นั่น เขาไม่เข้าไปทำงาน ไม่ดูอะไรที่บริษัท ไม่แม้แต่นั่งทำงานที่บ้าน วันแต่ละวันของเขาเป็นเหมือนๆกันคือ ตื่นนอน กินอาหารเช้าสองคำ ดูทีวี จนเย็น แล้วดื่มนม หรือชาหนึ่งแก้ว แล้วก็นอน ผ่านไปอย่างนี้ จนเพื่อนฝูงชาวไทยที่มีน้อยอยู่แล้ว ก็ต่างพากันเงียบหายไปจนหมด
   พอภาสกรไม่ติดต่อใคร ก็ไม่มีใครติดต่อเขา
   จนกระทั่ง ดลนภา โทรเข้ามานั่นแหละ ภาสกรถึงจำได้ว่า เขาไม่ใช่นักศึกษาจบใหม่ที่อังกฤษ นอนรอวันถูกเรียกตัวกลับไทย หากแต่เป็นชายหนุ่มที่โตแล้ว มีการมีงานทำเป็นของตัวเอง ภาสกรรับโทรศัพท์ด้วยเสียงเนือยๆ จนอีกฝ่ายสังเกตได้โดยไม่ต้องจับผิดแต่อย่างใด
   “พี่ดล”
   “คุณชาย ทำไมเสียงนอย อย่างนั้นคะ” คำว่านอย เป็นคำใหม่ที่ภาสกรเพิ่งเรียนรู้มาเมื่อไม่นานมานี้ มันเป็นสแลงในหมู่วัยรุ่นที่ระบาดไปทั่วจนกลายเป็นคำปกติที่ใครๆก็ใช้กัน... นอย คำนี้นิยามอาการของภาสกรได้เป็นอย่างดี น่าแปลกที่เขาไม่นึกถึงมันตั้งแต่แรก
   “ผม เบื่อๆพี่ดล พี่มีอะไรหรือเปล่า”
   “แหม จะมีอะไรล่ะคะ” เสียงของดลนภาแม้จะไม่แหลมเล็กอย่างทิฆัมพร ก็ใกล้เคียงแล้วในคราวนี้ คล้ายกับพี่เลี้ยง ดุเด็กๆ เวลาเด็กเหล่านั้นทำผิด “คุณชายไม่เข้าออฟฟิศมา สามสี่วันแล้วนะคะ”
   “จริงด้วย” ภาสกรว่าอย่างคนเพิ่งรู้ตัว “วันนี้มีงานอะไรพิเศษหรือเปล่าครับพี่ดล”
   “วันนี้ยังไม่มีค่ะ แต่พรุ่งนี้ มีแน่ๆ”
   ภาสกรเงียบรอฟังเสียงของอีกฝ่ายหนึ่งว่าจะบอกอะไรเขากันแน่
   “คุณหญิงดาริกา โทรมาให้พี่แจ้งคุณชายว่าเธอจะขอพบคุณชายที่บริษัทพรุ่งนี้ตอน สิบเอ็ดโมงเช้า คุณหญิงเธอไม่มีเบอร์โทรศัพท์คุณชาย เลยติดต่อเองเป็นส่วนตัวไม่ได้ เรื่องที่คุณหญิงจะพูดเป็นเรื่องงาน แล้วก็คุณหญิงบอกว่าคุณหญิงติดค้างอะไรคุณชายอยู่”
   “คราวหน้า ต้องให้หญิงเลี้ยงจริงๆนะคะ จะเลือกร้านให้ด้วย ถ้ามีปฏิเสธอีกหญิงโกรธจริงๆ” ภาสกรจำประโยคที่ดาริกาเคยบอกเขาไว้ได้ เขาแน่ใจว่าต้องเป็นเรื่องนี้ ดังนั้น ภาสกรจึงไม่ได้ใส่สูท ผูกไท มาที่บริษัทในวันรุ่งขึ้น แต่ใส่เพียงกางเกงแสลค  และเสื้อเชิ้ตสีอ่อนตัวหนึ่งเท่านั้น ชายหนุ่มมาถึงบริษัทก่อนสิบเอ็ดโมงก็พบว่าดาริกามาถึงก่อน
   หล่อนสวยมาก ทุกครั้งที่เจอกันภาสกรจะคิดอย่างนี้ เท่าที่เขาเคยพบ ผู้หญิงไทยปัจจุบันน้อยคนจะเป็นอย่างดาริกา คุณหญิงไม่แต่งหน้าจัด แต่วันนี้ก็แต่มา เพียงทาแป้ง และ ทาปากสีอ่อน ดูแล้วสวยเป็นธรรมชาติ ผมสีน้ำตาลไหม้ ปล่อยลงมาเคลียบ่า ชุดที่ใส่เป็นเสื้อกล้ามสีดำ เผยให้เห็นต้นคอระหง และไหล่สีน้ำผึ้งนวลเนียน กระโปรงสีคัสตาร์ด ยาวเหนือเข่าเล็กน้อย รองเท้าส้นสูงดูเข้ากัน ส่งให้วันนี้ดาริกาสวยมากกว่าครั้งที่เจอกันบนเกาะล้าน แต่ก็ดูไม่สง่างามเป็นทางการเท่าวันที่มาประชุมกันที่นี่
   “คุณชาย มาตรงเวลามากค่ะ” หล่อนว่า
   “ผมทำให้คุณหญิงต้องรอหรือเปล่าครับ” ภาสกรถาม ก็เห็นว่าหญิงสาวกำลังสำรวจรูปร่างหน้าตาที่อิดโรย และซูบลงกว่าเดิมของเขา ชายหนุ่มสังเกตได้จากแววตาว่า แวบหนึ่งดาริการู้สึกเป็นห่วงเขา จะด้วยอะไรก็ตาม แต่หญิงสาวคนนี้เห็นความเปลี่ยนแปลงของเขา และรู้สึกแย่ไปกับมัน
   “รอไม่นานจริงๆค่ะ พอดีวันนี้ หญิงมีนัดกับเพื่อน ที่เป็นคนจัดสถานที่ให้กับงานแฟชั่นโชว์ที่จะถึงนี้ คอนเฟิร์มมาแล้วค่ะว่าได้ริมหาดอย่างที่คิดไว้ พอรู้ตารางว่า ต้องคุยกับเพื่อนตอนเช้า แล้วว่างตอนบ่ายก็เลยโทรบอกคุณดลนภา ให้รีบจองตัวคุณชายเอาไว้เลย คราวก่อนเจอกันแวบเดียว คุณชายก็รีบไปทำธุระ คราวนี้ ไหนๆหญิงก็ลงมาพัทยาแล้วต้องรีบพาคุณชายไปเลี้ยงให้ได้ค่ะ”
   หญิงสาวแจ้งว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว ภาสกรก็ยิ้มขึ้นมา เป็นยิ้มแรกในรอบ สี่ห้าวันมานี้ที่เขาไม่ได้ยิ้มเลย ไม่รู้เพราะอะไร เพียงพบกับหญิงสาวก็รู้สึกว่า สบายใจคิดมากว่าเดิม อาจเพราะดาริกาหน้าคล้ายนที... ไม่สิ อาจเพราะมีเรื่องอื่นให้สนใจ มากกว่าใจจดใจจ่อ คิดถึงหนุ่มน้อยอย่างเดียวก็เป็นได้
   “ถ้าอย่างนั้น คุณหญิงจะพาผมไปที่ไหน ผมก็พร้อมเป็นผู้ตามแล้วล่ะครับ” ภาสกรตอบอย่างพยายามอารมณ์ดี ทั้งคู่ยิ้มให้กัน ก่อนจะตัดสินใจว่า ภาสกรจะเป็นคนขับรถของเขาไปกับดาริกา แล้วขากลับค่อยกลับมาส่งหล่อน
   ร้านที่ ดาริกาเลือกมานั้นเป็นร้านอาหารสไตล์ฝรั่งเศส ร้านเล็กๆ อยู่ในบริเวณที่มีร้านค้าหนาแน่นในเมืองพัทยา กระนั้น ก็ยังเป็นร้านที่สวยงาม น่านั่งและ ทำให้ภาสกรไม่สนใจความวุ่นวายนอกร้านไปชั่วขณะ ป้ายร้านบ่งบอกว่าร้านอาหารนี้ชื่อ “Chez Moi” เป็นป้ายไม้เล็กๆน่ารัก สีครีมห้อยอยู่หน้าประตูกระจก มี ดอกไม้ปลอม และเถาวัลย์เลื้อยอยู่อย่างสวยงาม
   ภาสกรผลักบานประตูกระจกเปิด ให้ดาริกาก้าวเข้าไปในร้าน
   “ขอบคุณค่ะ”
   “De rien, mademoiselle.” ภาสกรโค้งให้อย่างล้อเลียน ชั่วขณะหนึ่งเขาลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังเศร้า อะไรบางอย่างในตัวผู้หญิงคนนี้ ทำให้  ภาสกรรู้สึกผ่อนคลาย สบายใจได้อย่างน่าประหลาด
   “คุณหญิง ดาริกา วันนี้ เป็นเกียรติมาที่ร้านเชียวหรือคะ” เพียงดาริกาเดินเข้าไปในร้าน หญิงสาวคนหนึ่งก็เดินออกมาจากหลังเคาน์เตอร์สีขาวด้วยท่าทางตื่นเต้น ลูกค้าในร้านมีอยู่สองสามคู่ และดูเป็นกันเองดังนั้นจึงไม่แปลกที่คนที่ภาสกรเดาว่าเป็นเจ้าของร้านจะเดินออกมา คุยกับหญิงสาวได้ในน้ำเสียงปกติ
   พอมาใกล้ๆ ภาสกรก็เพิ่งจะสังเกตได้ว่า หญิงสาวตรงหน้าไม่ใช่ผู้หญิง หากแต่เป็นสาวประเภทสอง หรือที่เรียกกันในระยะหลังๆนี้ว่า สตรีข้ามเพศที่ดูสวยงามราวกับผู้หญิงคนหนึ่งต่างหากเล่า
   “พี่เก๋ก็ อย่าแซว ดาซีคะ” เป็นครั้งแรกที่ภาสกรได้ยิน คุณหญิง ดาริกาเรียกชื่อตัวเองแบบนั้น “พี่เก๋ นี่คุณชายภาสกร รชตานันต์ค่ะ คุณชายคะ นี่พี่เก๋ เพื่อนสนิทของพี่รัต เป็นเจ้าของร้าน เชส์ มัว ค่ะ”
   ทั้งคู่ยิ้มให้กัน เพราะประมาณได้ว่าอายุไม่ต่างกันสักเท่าไหร่
   “วันนี้ ดามาคุยเรื่องงานน่ะค่ะ ขอนั่งตรงมุม ใกล้ๆ เคาน์เตอร์แล้วกันค่ะ เป็นส่วนตัวดี” ดาริกานำชายหนุ่มเดินเข้าไปนั่ง โต๊ะตัวใน ห่างจากลูกค้าสอง สามคู่ที่นั่งอยู่ก่อน ภาสกรนั่นหันหลังให้ประตูทางเข้า ส่วน ดาริกานั่งหันหน้าออกนอกประตู
   ทั้งสอง สั่งอาหารแล้วก็คุยเรื่องงานกันก่อน ดาริกาสรุปให้ภาสกรฟังอย่างแน่ชัดว่า วันงานคือวันที่ 25 เมษายน ตรงกับวัน เสาร์พอดี รันเวย์จะอยู่ยาวเลียบไปกับชายหาด เหมือนที่วางแผนไว้ทุกประการ พอออร์เดิร์ฟมาเสิร์ฟ ทั้งคู่ก็คุยเรื่องงานเสร็จพอดี วกเข้ามาเรื่องส่วนตัว ซึ่งดาริกาเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนอย่างเป็นห่วง เป็นใย “หญิงเห็นสีหน้าคุณชายไม่ค่อยดี มีอะไรในใจหรือเปล่าคะ”
   ภาสกรอึกอัก อยากตอบแต่ก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรถึงจะฟังดูดีที่สุด
   “คือ อย่างนี้ครับ คุณหญิงจำเรื่องที่ผมรีบขึ้นมาจากเกาะล้านได้ไหมครับ ที่ผมบอกว่ามีธุระ” ชายหนุ่มเริ่มอย่างเนิบๆ พยายามควบคุมสติ ไม่ให้ตื่นเต้นจนเกินไป หญิงสาวที่นั่งตรงข้าม ตักขนมปังที่ลอยหน้าซุปหัวหอมเข้าปาก แล้วก็พยักหน้า  “ผมมีเรื่องบางส่วนที่ยังเล่าให้คุณหญิงฟังไม่ได้ แต่ตอนนี้ผมอยากเจอคนคนหนึ่งมากๆ เราพบกันโดยบังเอิญ แล้วก็ต้องจากกันโดยไม่ได้ล่ำลา ผมยังรู้สึกติดค้างเขาอยู่ แต่ก็ไปหาไม่ได้... ผมไม่รู้แม้แต่ เบอร์โทรศัพท์ ไม่รู้แม้แต่ที่อยู่ ลึกๆแล้วผมก็เข้าใจว่า เราควรจะแยกย้ายกันไป แต่ผมก็อดใจไม่ให้คิดถึงเขาไม่ได้อยู่ดี”
   “คนคนนี้ คงทำให้คุณชายมีความสุขมากซีคะ ถึงลืมเขาไม่ลง”
   “ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไร ผมไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย มันไม่เหมือนกับที่ผมเคยมีมา” ภาสกรว่าต่อไป ตามที่เขารู้สึก ขณะที่อาหารทยอยเสิร์ฟลงที่โต๊ะ
   “หญิงไม่รู้อะไรละเอียด หญิงคงบอกไม่ได้ แต่เท่าที่หญิงดู อาการของคุณชายแบบนี้ เรียกว่า ตกหลุมรักเขาหรือเปล่าคะ”
   ภาสกรนิ่งอึ้ง รัก หรือ เขาไม่เคยนึกถึงคำนี้ จะนึกถึงได้อย่างไรในเมื่อคนที่เขารู้สึกด้วยนี้เป็นผู้ชายนี่นา
   “ไม่ใช่หรอกครับคุณหญิง คงคล้ายๆ ผูกพันมากกว่า”
   ดาริกา ยกสองมือขึ้นประสานแล้วเท้าคาง เวลาหล่อนทำแบบนี้ หล่อนจะดูสวยงามไปหมด จนหากภาสกรเป็นจิตรกร ก็ต้องเรียกว่าหล่อนเป็นภาพวาดที่เขาไม่สามารถวาดเลียนแบบได้... พูดถึงภาพวาด เขาไม่เห็นรูปเหมือนของเขาที่นทีวาดอยู่ที่โรงพยาบาลเลย นทีเก็บมันไปหรือเปล่านะ
   “แล้วที่คุณชายเป็นทุกข์อยู่นี่ คือคุณชายตัดใจจากเธอไม่ได้ แต่ก็ไม่สามารถหาเธอได้พบใช่ไหมคะ ผู้หญิงคนนั้น” ดาริกาถามเป็นประโยคเด็ด ยิงตรงเข้ากลางใจของภาสกร
   “เขาคนนั้นไม่ใช่ผู้หญิงหรอกครับ คุณหญิง เขาเป็นผู้ชาย แล้วก็เป็นชายที่อ่อนกว่าผมมาก ผมรู้สึกกับเขาเหมือนเป็นน้อง ผมไม่เคยมีน้อง ก็เลยไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไรเท่านั้นเอง”
   “อ้อ” ดาริกาดูแปลกใจ “อย่างนี้นี่เอง คุณชายถึงได้ว่าไม่ใช่รัก เป็นค่ะ ของแบบนี้มันเป็นกันได้ อย่างหญิงเนี่ยถ้าไม่ได้เจอพี่เก๋นานๆ ก็คงรู้สึกกระสับกระส่ายเหมือนกัน ทั้งๆที่ก็นะคะ ... พี่เก๋ก็ไม่ใช่ผู้ชาย”
   “นั่นซีครับ ความสัมพันธ์แบบนี้ มันก็แปลกนะครับผมเรียกไม่ถูกว่ามันคืออะไร”
   “บางครั้ง... ความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อนิยาม ก็ทำให้คนเรามีความสุขได้เหมือนกันนะคะ” ดาริกายิ้มหวาน ยิ้มจนตาแทบจะปิดกัน ทำเอาภาสกรใจเต้น ยิ้มแบบนี้ คล้ายกับยิ้มของนที เขาคิดว่าคุณหญิงดาริกา หน้าตาเหมือนนทีมากทีเดียว และเพราะเหตุนี้เขายังสงสัยอยู่ในใจว่า ที่เขารู้สึกอบอุ่นกับนที เป็นเพราะเขานึกถึงผู้หญิงคนนี้หรือ
   เสียงกระดิ่งที่ประตูหน้าดังขึ้น ใครคนหนึ่งเดินเข้ามา แต่ภาสกรไม่เห็นเพราะนั่งหันหลังอยู่ พอดาริกาเงยหน้าขึ้นจากเนื้อไก่อบไวน์แดงของอร่อยของร้านนี้ ตาก็ประสานกับหญิงสาวที่กำลังเดินเข้ามาในร้านพอดี
   “อ้าวน้องฝ้าย วันนี้ไม่มีเรียนหรือคะ”
   ภาสกรหันขวับไปมองคนที่ดาริกากำลังพูดด้วย เป็นไปได้หรือว่าเป็น ฝ้าย เดียวกับที่เขาคิด... นั่น ปุยฝ้าย เพื่อนของนที จริงๆใช่ไหม
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 16 ความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อนิยาม >.< 06/04/11 - 20.30
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 06-04-2011 21:08:36
+เป็นกำลังใจให้ครับ+
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 16 ความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อนิยาม >.< 06/04/11 - 20.30
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 06-04-2011 21:13:15
อยากให้เจอกันไวไว
รักเรื่องนี้ค่ะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 16 ความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อนิยาม >.< 06/04/11 - 20.30
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 06-04-2011 21:17:27
รู้สึกแปลก ๆ กับวลีที่บอกว่า  หน้าของดาริกาเหมือนกับนที  
ทำให้คิดว่าระหว่างสองคนนี้อาจมีอะไรเกี่ยวพันหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 16 ความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อนิยาม >.< 06/04/11 - 20.30
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 06-04-2011 21:35:07
คุณชาย จะรู้ใจตัวเมื่อสาย รึปล่าว

อย่างให้เป็นอย่างนั้นนะ คะ

สงสาร ทั่งคุณชายและนที
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 16 ความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อนิยาม >.< 06/04/11 - 20.30
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 06-04-2011 21:38:49
เอ้า ได้เบาะแสแล้ว
เอาใจช่วยให้คุณชายเข้าใจตัวเองสักที
บวกๆ ค่า
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 16 ความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อนิยาม >.< 06/04/11 - 20.30
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 06-04-2011 22:11:34
คุณชายนอยด์ไปเลย ตามลุ้นต่อไปขอรับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 16 ความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อนิยาม >.< 06/04/11 - 20.30
เริ่มหัวข้อโดย: zeen11 ที่ 07-04-2011 01:53:46
เบาะแสในการหาตัวนทีมาแล้ว คุณชายต้องหานทีให้เจอให้ได้นะ  :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 16 ความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อนิยาม >.< 06/04/11 - 20.30
เริ่มหัวข้อโดย: Rawint_PK ที่ 07-04-2011 03:26:42
คุณชาย...
เจอเพื่อนร่วมอุดมการณ์แล้วไหมล่ะ
แล้วๆ.
น้องฝ้ายมาทำอะไรที่นี่หรออ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 16 ความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อนิยาม >.< 06/04/11 - 20.30
เริ่มหัวข้อโดย: naja-kitase ที่ 07-04-2011 09:26:51
ค้างค่ะ ค้างจริงๆ
ขอให้เป็นฝ้ายเพื่อนนทีจริงๆเถอะ
 :call:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 16 ความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อนิยาม >.< 06/04/11 - 20.30
เริ่มหัวข้อโดย: namwaan1992 ที่ 07-04-2011 10:26:33
อะแฮ่มๆ  คุนชายเจอแ้ล้วๆ   ตัวช่วยๆ  ^^
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 16 ความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อนิยาม >.< 06/04/11 - 20.30
เริ่มหัวข้อโดย: KIMKUNG ที่ 07-04-2011 12:44:00
  นที หายไปกับสายลม  อิอิ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 16 ความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อนิยาม >.< 06/04/11 - 20.30
เริ่มหัวข้อโดย: Rhythm ที่ 07-04-2011 16:50:20
รออ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 16 ความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อนิยาม >.< 06/04/11 - 20.30
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 07-04-2011 20:38:31
โอ้วววว

หนทางค้นหานทีมาหาคุณชายแล้วววววววว

ฝ้ายจ๋า บอกคุณชายเถอะน้า เริ่มสงสารคุณชายแล้วอ่า
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 16 ความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อนิยาม >.< 06/04/11 - 20.30
เริ่มหัวข้อโดย: pichayakamon ที่ 08-04-2011 04:55:53
เพิ่งเข้ามาอ่านค่ะ
รวดเดียวมาถึงตอนล่าสุดนี้เลย
หลงรักคุณชายแล้วอ่ะ
เชียร์คุณชายนะคะ
สู้ๆ ตามหาน้องน้ำให้เจอเร็วๆ น๊าาาาาาาาาา ^_______^
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 16 ความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อนิยาม >.< 06/04/11 - 20.30
เริ่มหัวข้อโดย: j4c9y ที่ 08-04-2011 11:22:39
ฝ้ายเดียวกันไหมน้าาาา
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 16 ความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อนิยาม >.< 06/04/11 - 20.30
เริ่มหัวข้อโดย: BaII ที่ 08-04-2011 21:18:40
ฝ้ายไหนเนี่ย ?
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 16 ความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อนิยาม >.< 06/04/11 - 20.30
เริ่มหัวข้อโดย: BF-e ที่ 09-04-2011 13:19:23
 โลกลมดีเเท้หนอ??
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 16 ความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อนิยาม >.< 06/04/11 - 20.30
เริ่มหัวข้อโดย: fffx ที่ 09-04-2011 20:20:04
โอ้ววค้างมาก อย่างน้อยคุณชายก็เจอ ปุ้ยฝ้ายแล้วล่ะน๊า...
ต้องเจอน้ำซิ...รอตอนต่อไปค่ะ :o8:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 16 ความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อนิยาม >.< 06/04/11 - 20.30
เริ่มหัวข้อโดย: lomekung ที่ 09-04-2011 22:56:38
 :call: :call:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 16 ความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อนิยาม >.< 06/04/11 - 20.30
เริ่มหัวข้อโดย: SecondaryTrauma ที่ 10-04-2011 00:26:44
ความสนุกที่ไม่มีชื่อนิยาม (เช่นกัน)
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 16 ความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อนิยาม >.< 06/04/11 - 20.30
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 11-04-2011 21:18:18
จิบชารอค่ะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 16 ความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อนิยาม >.< 06/04/11 - 20.30
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 11-04-2011 22:16:51
เนื่องจากวันพรุ่งนี้ไป ผมจะเดินทางไปปฏิบัติภารกิจระดับชาติ (เที่ยวสงกรานต์ ^^) วันพุธจะมาโพสไม่ได้ ดังนั้นวันนี้จึงโพสให้ทีเดียว 2 ตอน ถ้าลงไปตอนเดียวเพื่อนๆ จะต้องลงแดงตายแน่เพราะ คุณชาย-นที ไม่เจอกันสักที ฝากไว้เป็นของขวัญวันสงกรานต์แล้วกันครับมีความสุขมากๆนะครับ สวัสดีปีใหม่ไทยคร้าบบบ

***********************************************************************

17

   นที นั่งอยู่ริมหน้าต่างในห้องแฟลตของปุยฝ้าย มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างที่เขาทำประจำ นับวันดูแล้ว วันนี้ครบกำหนดคุณอดิสรณ์ต้องกลับมาไทยพอดี หน้าต่างห้องจึงแง้มอยู่เล็กน้อย เขาจับจุดผิดสังเกตได้ตรงที่มีชายแปลกหน้า ยืนสูบบุหรี่ อ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่เสาไฟฟ้า ฝั่งตรงข้ามกับตึกนี้มาเป็นชั่วโมงแล้ว นานๆครั้งก็เหลือบตาขึ้นมามองหน้าต่างห้องนี้บ้าง แน่นอนว่าชายคนนี้เป็นคนที่อดิสรณ์ส่งมาเฝ้ เผื่อจะเห็นเขาเข้าออกตึกนี้บ้าง นั่นเป็นเหตุผลที่นที เก็บตัวอยู่แต่ในห้องมา สองสามวันแล้ว แต่พูดกันจริงๆ ต่อให้อยากออกไปไหน นทีก็คงทำได้ไม่สะดวกนัก เพราะขาเขายังไม่หายดี ยังคงเข้าเฝือกอยู่อย่างนั้น
   ห้องของปุยฝ้ายเล็กมาก เมื่อเปิดประตูห้องเข้ามา เดินมาได้สามก้าวจะเจอเตียงนอน ขนาดนอนได้สองคนเพราะปุยฝ้ายชอบนอนเตียงใหญ่ จึงไม่ลำบากเลยเมื่อนทีมานอนด้วยแบบนี้ ถัดจากเตียงคือโต๊ะทำงาน มีหนังสือวางระเกะระกะ ไม่เป็นระเบียบ ขอบโต๊ะชิดเตียงนอนฝั่งหนึ่ง อีกฝั่งติดกับกำแพงพอดิบพอดี ตรงกำแพงนั้นเอง มีหน้าต่างบานใหญ่อยู่สองบาน ปิดม่านสนิท แง้มไว้บานหนึ่งเล็กน้อยให้นทีได้คอยสังเกต คนที่อยู่ข้างนอก
   จากปลายเตียงเดินไปประมาณหกก้าว เป็นตู้เสื้อผ้า แบบเลื่อนเปิดเพราะหากเป็นแบบประตู จะเปิดไม่ออกเพราะติดเตียง ข้างตู้เสื้อผ้า เป็นห้องอาบน้ำ เป็นเข้าไป พบชักโครก ด้านซ้าย เป็นฝักบัว เท่านั้น ไม่มีพื้นที่อื่นใดมากกว่านี้อีก แม้นทีจะชินกับห้องเล็กๆ อยู่แล้ว แต่ห้องนี้เล็กมากๆจริงๆ
   นทีเลื่อนตัวจากเก้าอี้เลื่อน ลงไปนอนบนเตียงในมือถือหนังสือโรเมโอ กับจูเลียต ฉบับภาษาอังกฤษ เปิดแบบสุ่มๆ ก็เจอหน้าที่พอจะอ่านได้ฆ่าเวลา ก็มาพบประโยคที่ว่า
       
      O Romeo, Romeo! Wherefore art thou Romeo?
       Deny thy father and refuse thy name!
      Or, if thou wilt not, be but sworn my love,
        
   นทีจำได้ ล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 ทรงพระราชนิพนธ์แปลไว้ได้อย่างไพเราะนักว่า โอ้โรเมโอ! อ้า, เธอเปนโรเมโอใย? ตัดขาดจากบิดา และแปลงนามเสียเปนไร หรือเธอยอมมิได้, ขอเพียงปฏิญญารัก… นทีเอื้อมมือไปวางหนังสือไว้ที่เดิม พร้อมกับถอนหายใจเบาๆ
   “ทำไมคุณชาย ต้องเป็นคุณชาย” หนุ่มน้อยอดเอ่ยขึ้นไม่ได้ ทำไมคนที่ดีกับเขา จะต้องต่างจากเขาราวฟ้ากับดินอย่างนี้ด้วย ราวกับใครมากลั่นแกล้ง ตลอดชีวิต นทีไม่เคยมีความรักที่ดีกับใครสักคน คนที่เข้ามาก็ไม่มีใครจริงใจ ทนอยู่กับเขาไม่ได้นาน ไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียวที่ผ่านมาในชีวิตที่จะดีกับเขาได้เท่าภาสกร ทำไมไม่ใช่แค่ภาสกรทำไมต้องเป็น หม่อมราชวงศ์ ภาสกร รชตานันต์ด้วย
   นทีรู้สึกโชคดี และอบอุ่นมากที่ได้รู้จักกับภาสกร เขาสนิทกับชายหนุ่มมากขึ้น มากขึ้นทุกวันจนถึงขนาดแอบหวังในใจว่าพอออกจากโรงพยาบาลแล้ว เขาก็จะเข้าไปทำงานกับภาสกรเพื่อหาเงินใช้หนี้ค่ารักษาพยาบาล เขาก็จะได้ใกล้ชิดกับชายหนุ่มมากขึ้นไปอีก จนไม่แน่ว่าความผูกพันระหว่างนที และภาสกรอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้
   สักวัน ความผูกพัน อาจเปลี่ยนเป็น รัก ก็ได้
   แต่แล้วทุกอย่างกลับพังทลายลง ความฝัน ความสุขเล็กๆน้อยๆ ความโชคดี บนความโชคร้ายของหนุ่มน้อยนทีก็ได้พังทลายลง ภาสกรเป็นคนขับรถชนเขา และต้องการรับผิดชอบกับสิ่งที่ทำลงไป ไม่ได้รัก ไม่ได้ผูกพัน ไม่ได้สนใจเขาเลยแม้แต่เพียงนิดเดียว ทั้งๆที่นทีเอง มอบหัวใจให้กับคุณชายไปแล้วหมดทั้งหัวใจ แต่ก็ต้องเก็บเอาเศษหัวใจที่แตกสลายกลับมาเยียวยาด้วยตัวเอง
    “เหตุผลที่ชายมาอยู่เฝ้าไข้เด็กผู้ชายคนที่ป่วยก็เพราะว่าเพื่อนของเขา ปุยฝ้ายน่ะครับ ต้องไปต่างจังหวัดไม่มีใครมาเฝ้าไข้... เพราะคนที่ขับรถชนเขาคือชายเองครับแม่”
   นทีน้ำตาคลอเบ้า เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ก็รู้สึกราวกับกำลังถูกบีบหัวใจอยู่ทุกที รู้สึกราวกับว่า ตัวเองถูกจับโยนตกลงมาจากสวรรค์ที่คิดว่าได้ขึ้นไปมีความสุขชั่วครั้งชั่วคราว แต่จะตกลงมา ก็มิได้ตกลงมาบนพื้นดิน แต่กลับต้องตกลงเหว และอาจทะลุไปถึงนรกเลยด้วยซ้ำ
   แต่ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม ตลอดเวลามานี้ หนุ่มน้อยก็ไม่อาจลืม ภาสกรได้จนแล้วจนรอด คิดถึงเสียงของเขา รอยยิ้มของเขา กลิ่นน้ำหอมจางๆที่โชยเข้าจมูกมาตลอดเวลาที่เขาอยู่ใกล้ คิดถึงคำพูดที่ทำให้เขาประทับใจ และแปลกใจในความคิดของคุณชายหนุ่ม คิดถึงความกระตือรือร้นที่จะดูแลเขา คิดถึงเวลาตื่นเช้ามาแล้วมีคนมาบอกว่า “อรุณสวัสดิ์” คิดถึงเวลาดีๆที่ภาสกรพยายามทำให้เขาหายเกร็งตอนที่พาเขาไปวาดรูปที่สวนของโรงพยาบาล
   รูปวาดของภาสกรยังอยู่บนโต๊ะทำงานข้างๆเตียงเหมือนกับวันแรกที่นทีวางมันเอาไว้ ชายหนุ่มหยิบรูปนั้นมาใกล้ๆ แล้วมองชายหนุ่มในรูปราวกับว่าได้พบกับเขาจริงๆ เสียดายเพียงอย่างเดียว... นทีไม่ได้วาดภาพ ภาสกรตอนยิ้ม ทั้งยังอุตส่าห์จัดท่าให้นั่งแบบซึมเศร้า ดูเป็นงานศิลป์มากเกินไป เวลานี้เมื่อมามองดู ก็ยิ่งทำให้คนวาดเศร้าใจหนักขึ้นไปอีก
   เสียงเปิดประตูดังขึ้น นทีไม่จำเป็นต้องหันไปมองด้วยซ้ำก็เดาได้ว่าเป็นปุยฝ้ายเพราะคงไม่มีใครคนอื่นที่มีกุญแจจะเปิดประตูเข้ามาได้สบายๆแบบนี้ แต่ชายหนุ่มก็ยังหันไปมองแล้วเอ่ยทักทายเพื่อนสาว ทำให้เขาเห็นสิ่งผิดปกติที่ปุยฝ้ายถือเข้ามาด้วย
ปกติจะเป็นถุงข้าวแกงร้านหน้าปากซอยใส่ถุงใส ธรรมดา หญิงสาวมักจะซื้อมาสามห่อคือสำหรับเย็นวันนั้น เผื่อไว้ถึงเช้าและกลางวันของวันถัดไป เนื่องจากนทีไม่สามารถลงจากแฟลตไปไหนมาไหนเองได้ หนึ่งเพราะขาเจ็บ สองเพราะนทีกลัวใครจะมาเห็น กลัวว่าคนที่อดิสรณ์จ้างมาจะเห็นเขาแล้วจับเขาส่งคืนพ่อเลี้ยง
    วันนี้ถุงกับข้าวในมือของปุยฝ้ายแปลกไปมันเป็นถุงขาวขุ่น เขียนข้อความเป็นภาษาฝรั่งที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษเพราะนทีอ่านไม่ออก มันเป็นถุงขนาดย่อมๆ มีกล่องใส่อาหารอยู่ข้างในอย่างที่นทีดูออก
   “นั่นแกซื้ออะไรมาน่ะ” นทีเอ่ยถาม ก่อนจะเอื้อมมือ เอารูปของคุณชายไปวางเก็บไว้ที่เดิม
   “เดี๋ยวก่อน ก่อนฉันจะตอบและเล่าเรื่องทั้งหมดให้แกฟัง ฉันขอถามอะไรแกหน่อย” ปุยฝ้าย เดินอ้อมมา วางถุงกับข้าวจากร้าน Chez moi ไว้บนโต๊ะ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ทำงานแล้วมองหน้าเพื่อนหนุ่มที่ยังนอนอยู่บนเตียง “แกเห็นคนที่อยู่ข้างล่างไหม”
   “เห็นสิ นั่นเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ฉันปิดม่านเสียทึบหมด”
   “ฉันเดาว่า...”
   “...เป็นคนของคุณอดิสรณ์” นทีจบประโยคให้เพื่อนสาว
   “นที ฉันว่าแกควรทำอะไรสักอย่างว่ะ คือฉันมาคิดดู คุณอดิสรณ์เขาจะไปแจ้งความคนหายไหมวะ” ปุยฝ้ายขมวดคิ้วมองเพื่อนหนุ่ม เห็นได้จากท่าทางมากขึ้นว่าหล่อนกำลังจริงจังกับเรื่องนี้อยู่มาก
   “เขาไม่แจ้งความหรอก เขาคงกลัวฉันแจ้งความกลับเรื่องเขาเหมือนกัน” ชายหนุ่ม หนุนมือขวาของตน จ้องมองบนเพดานสีขาว ...ตลก อยู่ โรงพยาบาลได้แต่มองเพดานสีขาวอย่างไร ออกจากโรงพยาบาลแล้วก็ยังคงมองเพดานสีขาวอยู่เหมือนเดิม “เหมือนเขากับฉันต่างก็ไม่กล้าทำอะไร เขาไม่กล้าเพราะกลัวความแตกเรื่องความลับของเขา ฉันเองก็ไม่กล้า กลัวว่าทำอะไรลงไป เขาจะรู้ว่าฉันอยู่ไหน แล้วจะมาตามฉันกลับไปที่บ้านโดยเร็วที่สุด”
   “เอาเถอะ ฉันนับๆวันดูแล้วเหมือนวันนี้คุณอดิสรณ์มีกำหนดกลับมาเมืองไทย พอดีเพราะมันครบหนึ่งเดือนตามที่เขาบอกฉันไว้ก่อนหน้านี้แล้ว”
   “ถ้าเขากลับมา แล้วมาตามหาฉันที่นี่ ฉันจะให้เขาพาฉันไปไหนก็ได้ ฉันจะไม่หนีอีก แต่ถ้าไม่ก็ถือว่าโชคเข้าข้างฉัน ฉันก็จะหนีเขาไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้”
   ปุยฝ้ายถอนหายใจ
   “แกก็ พูดเหมือนอยู่ในหนัง เดี๋ยวเขาก็กลับมาจริงๆหรอก”
   ฉับพลัน เสียงโทรศัพท์ของปุยฝ้ายก็ดังขึ้น หญิงสาวขมวดคิ้ว บ่นประมาณว่าใครโทรมา แล้วก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู ฉับพลันที่เห็นชื่อ หญิงสาวก็ทำหน้าตกใจ ยื่นโทรศัพท์มือถือ หันหน้าจอให้เพื่อนหนุ่มดู
   คุณ อดิสรณ์
   นทีพยักหน้าทำนองว่าให้หญิงสาวรับ ปุยฝ้ายก็กดรับโทรศัพท์ตามที่เพื่อนหนุ่มบอก “สวัสดีค่ะ คุณอดิสรณ์”
   ปุยฝ้ายเงียบไปพักหนึ่งก็พูดทวนข้อความที่พ่อเลี้ยงของเพื่อนหนุ่มเพิ่งพูดจบไปในขณะเดียวกับที่นที หยิบสมุดเปล่าบนโต๊ะมาเขียนอะไรบางอย่าง
   “อ๋อ กลับมาถึงไทยแล้วหรือคะ กำลังนั่งรถเข้ามาพัทยาหรือคะ” หญิงสาวปั้นหน้าให้ดูใสซื่อ ไม่มีพิรุธที่สุดเผื่อว่าน้ำเสียงที่หล่อนพูดจะเป็นประมาณเดียวกับสีหน้าของหล่อน “หาอะไรนะคะ อ๋อ นทีโทรมาบ้างหรือเปล่าหรือคะ”
   ปุยฝ้ายทำหน้าลำบากใจ ก็พอดี นทีส่งสมุดนั้นให้เพื่อนสาวมันมีข้อความจดอยู่เป็นสิ่งนทีเพิ่งเขียนเมื่อครู่ ปุยฝ้ายก็พูดตามสิ่งที่เพื่อนหนุ่มเขียนไว้ ราวกับนักแสดงซ้อมท่องบทอย่างไรอย่างนั้น   
   “นทีโทรมาค่ะ บอกฝ้ายว่าเอ้อ มัน... คือนทีมันไม่ให้บอกอ่ะนะคะ แต่ฝ้ายรู้สึกว่ายังไงเสียคุณอดิสรณ์ก็เป็นพ่อเลี้ยง ควรจะได้รู้เรื่องนี้ด้วย” นทีชูนิ้วโป้งให้กับความสามารถทางการแสดงของเพื่อนสาว “คือฝ้ายไม่รู้ว่านทีมันเป็นอะไรหรือเปล่า แต่มันบอกฝ้ายแค่ว่ามันจะหนีไปกรุงเทพ”
   หญิงสาวยกมือถือห่างออกจากหูด้วยความตกใจ นทีสามารถได้ยินเสียงของคนที่เขาเกลียดที่สุดในชีวิต ดังลอดออกมาได้
   “อะไรหนีไปกรุงเทพอย่างนั้นหรือ แล้วทำไมเธอไม่โทรบอกฉัน”
   นทีรีบเขียนข้อความเพิ่มเติมให้ปุยฝ้ายอ่าน โต้ตอบกับพ่อเลี้ยงของเขา
   “ก็แหม เพื่อนมันให้ฝ้ายสัญญานี่คะว่าจะไม่บอก ฝ้ายสัญญาแล้วก็เลยคิดว่าไม่โทรบอกดีกว่าเดี๋ยวจะหาว่าฝ้ายเป็นเพื่อนทรยศ”
   คำว่า เพื่อนทรยศ ทำให้อดิสรณ์เงียบไปได้ ปุยฝ้ายพูดตามบทเป๊ะทุกประการทำให้หล่อนรู้สึกประหลาดใจอยู่พอควรว่า อะไรในข้อความนั้นที่ทำให้อดิสรณ์ถึงกับทึ่ง และเงียบไปแบบนี้ ปุยฝ้ายเห็นอีกฝ่ายไม่พูดอะไร หล่อนจึงพูดตามบทเมื่อครู่ที่ยังพูดได้ไม่จบ
   “ไอ้น้ำบอกว่า ถ้าคุณอดิสรณ์ถามอะไรให้บอกว่าไม่รู้ว่าไปไหน แต่ก็อย่างที่บอกแหละค่ะมันไปกรุงเทพ อ้อแล้วก็ยังบอกด้วยว่าถ้าคุณอดิสรณ์โทรมาเมื่อไร ให้บอกไปเลยค่ะว่า ไม่ต้องมายุ่งกับผมอีก เท่านั้นล่ะค่ะ”
   ปุยฝ้ายยกโทรศัพท์ออกจากหูอย่างประหลาดใจ
   “เอ้า วางสายไปแล้ว” หล่อนอุทานออกมา เหลือบมองสีหน้าของนที ก็เห็นว่ายังนิ่งสนิท เพียงแต่นิ่งมากไป ได้แต่จ้องมองรูปวาดของภาสกรที่วางอยู่บนโต๊ะข้างๆ ถุงกับข้าวจากร้าน Chez moi “แกคิดถึงคุณชายใช่ไหม ไอ้น้ำ”
   ไม่มีเสียงตอบจากนที มีเสียงเสียงถอนใจเบาๆ และน้ำตาที่เอ่อคลอเบ้าเท่านั้น ปุยฝ้ายเอื้อมมือไปกุมมือเพื่อนสนิทไว้เบาๆ แล้วพูดต่อไปว่า
   “ฉันจะถามแกเป็นครั้งที่ร้อยนับแต่วันที่แกออกจากโรงพยาบาล ว่าทำไมแกถึงออกมาก่อนโดยไม่บอกคุณชาย”
   “ฉันไม่อยากเจอเขานี่”
   “แกไม่อยากเจอแต่แกนั่งจ้องรูปเขาทั้งวันนี่นะ ถามจริงๆ แกชอบคุณชายหรือไง” ปุยฝ้ายยิงคำถามทะลุอกเพื่อนหนุ่มทีเดียวตรงเป้า หากมันเป็นศรละก็ นทีคงตามไปแล้ว ด้วยความคมกริบของมัน
   “ฉัน... คิดถึงเขา”
   เพื่อนสาวถอนหายใจ ก่อนจะลุกขึ้นไปแกะ มักกะโรนี โอ กราแตง ใส่จาน แล้วยื่นให้ชายหนุ่ม “เอ้า คุณชายเขาก็คิดถึงแกเหมือนกัน”

   คุณชายเขาก็คิดถึงแกเหมือนกัน นทีนิ่งเงียบไปนาน ก่อนจะทำความเข้าใจเองในใจว่า ภาสกรซื้อนี่ฝากให้ปุยฝ้ายเอามาให้เขาหรือ เป็นไปได้หรือว่าสองคนนี้จะได้เจอกัน แล้วเป็นไปได้หรือว่า คุณชายภาสกรจะคิดถึงเขาและซื้อของฝากมาให้เขา
   อาหารที่ภาสกรซื้อ จะมีไม่อร่อยก็คราวนี้ แปลกตรงที่ปกติไม่ว่าจะกินอะไร ถ้าเป็นภาสกรซื้อมาให้แล้ว ไม่ว่าจะเมนูปกติ ธรรมดาขนาดไหน นทีก็ว่าอร่อย ถูกใจทุกอย่างไป หรือที่อาหารคราวนี้ไม่อร่อยจะเป็นเพราะไม่มีชายหนุ่มตัวโต ตาคมคิ้วเข้ม นั่งกินอยู่ด้วยก็ไม่รู้... พอคิดถึงภาสกรและคำว่า คุณชายเขาก็คิดถึงแกเหมือนกัน มักกะโรนี โอ กราแตง นี้กลับรสชาติดีขึ้นมาฉับพลัน หอม มัน ได้รสชาติของอาหารฝรั่งที่นทีไม่ค่อยมีโอกาสได้กินจริงๆ
   นทีไม่อยาก คิดไปเองว่าอะไรเป็นอะไร สุดท้าย จึงตัดสินใจถามปุยฝ้าย เพื่อนสาวก็ไม่ลังเลที่จะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนเที่ยงของวันนี้ให้เพื่อนหนุ่มฟัง

   “อ้าวน้องฝ้าย วันนี้ไม่มีเรียนหรือคะ” ปุยฝ้ายเดินเข้าไปในร้านอาหารที่หล่อนทำงานอยู่ทุกวัน ก็เห็นลูกค้าประจำที่หล่อนเรียกว่า พี่ดา มานั่งทานอาหารอยู่กับชายหนุ่มคนหนึ่งพอดี
   เท่าที่ปุยฝ้ายรู้ เจ๊เก๋ เจ้าของร้าน Chez moi ที่หล่อนทำงานอยู่นั้น รู้จักกับดาริกา เป็นการส่วนตัว หญิงสาวแสนสวยคนนี้จึงมาอุดหนุนร้านอาหารฝรั่งเศสเล็กๆนี้อยู่เป็นประจำปุยฝ้ายที่เป็นเด็กเสิร์ฟ ก็พลอยรู้จักคุ้นเคยกับดาริกาอยู่บ้าง ด้วยความที่หล่อนเป็นคนบุคลิกร่าเริง โดดเด่น ถูกใจหญิงสาวคนนี้มากเป็นพิเศษเวลามาร้าน ‘พี่ดา’ ก็จะถามหาแต่ น้องฝ้าย ทุกครั้งไป
   เจอกับดาริกา ปุยฝ้ายไม่ค่อยแปลกใจ แต่พอหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ ‘พี่ดา’ หันมาเท่านั้น ปุยฝ้ายก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
   “คุณฝ้ายนั่นคุณจริงๆหรือ” ภาสกรร้องออกมาแบบนี้ ตอนที่เดินเร็วๆเข้ามาหาหล่อน ดาริกาเดินตามมาด้วยความฉงน
   “อ้าวนี่รู้จักกันหรือคะ”
   “เรื่องมันยาวครับคุณหญิง” คุณหญิงหรือนี่... ปุยฝ้ายได้ยินเข้าก็ตกใจ      ดาริกาที่หล่อนเรียก พี่ดาๆ อยู่ทุกวันเป็นถึงคุณหญิงหรอกหรือ “คุณฝ้ายคุณรู้ไหม ว่าผมดีใจแค่ไหนที่เจอคุณ”
   “เอ้อ คุณชายคะ หญิงว่าเราไปคุยกันที่โต๊ะดีกว่าไหมคะ ลูกค้าคนอื่นมองแย่แล้ว” คุณหญิง ดาริกาพาคุณชาย และปุยฝ้ายไปนั่งคุยกันต่อที่โต๊ะ เจ๊เก๋ เดินออกมาจากในครัวด้วยท่าทีตื่นตกใจ เพราะนึกว่าเกิดเหตุร้ายแรงขึ้น
   พอความตื่นเต้น และอะไรหลายๆอย่างหมดไป ภาสกรก็ได้คุยกับปุยฝ้ายจริงๆเสียที ซักถามกันสักครู่ภาสกรก็รู้จากหญิงสาวว่า หล่อนทำงานอยู่ที่นี่ เพราะร้านนี้ไม่ไกลจากแฟลตของหล่อนนัก แถมปุยฝ้ายยังพอพูดภาษาฝรั่งเศสได้นิดๆหน่อยๆ และบุคลิกที่ถูกใจเจ๊เก๋ทำให้หล่อนได้ทำงานพาร์ทไทม์อยู่ที่ร้านอาหารแห่งนี้ ถามถึงนที ภาสกรก็รู้ว่าชายหนุ่มยังอยู่สบายดี และอยู่ที่แฟลตกับปุยฝ้าย แต่พอขอร้องให้ปุยฝ้ายพาไปหาชายหนุ่ม หล่อนก็ปฏิเสธ
   “ไม่ดีหรอกค่ะคุณชาย ฝ้ายเป็นผู้หญิงคุณชายขึ้นไปหาฝ้ายถึงห้องมันไม่งามหรอกค่ะ เดี๋ยวคุณหม่อมแม่ของคุณชายจะว่าเอาได้”
   “คุณโกรธหม่อมแม่ของผมหรือ คุณฝ้าย หม่อมแม่เป็นคนปากร้ายใจดี ท่านอาจจะพูดไม่ดีไปกับคุณ แต่ท่านก็ไม่ใช่คนใจร้ายอะไรหรอกครับ” ภาสกรแก้ตัวแทนแม่ หญิงสาวผิวคล้ำก็รีบปฏิเสธว่าหล่อนไม่ได้โกรธแม่ของเขา
   “ไม่ได้โกรธ ก็ให้ผมไปพบนทีเถอะนะครับ” ภาสกรขอ หญิงสาวทำหน้าลำบากใจ เพราะหล่อนก็ไม่รู้ว่าเพื่อนหนุ่มจะอยากพบคุณชายตอนนี้หรือไม่ “ผมอยากจะขอโทษเขา อยากอธิบายหลายๆอย่างให้เขาเข้าใจ ผมรู้ว่าเขาโกรธ แต่ผมไม่อยากให้มันออกมาเป็นแบบนี้ ผมรู้สึกเหมือนได้มีน้องชายให้ดูแล ให้ปกป้อง ผมไม่อยากให้เราเดินจากกันโดยที่เข้าใจผิดกันอยู่ อย่างนี้”
   ปุยฝ้ายตกใจกับคำพูดของคุณชาย เพราะดูเหมือนชายหนุ่มคนนี้จะเป็นห่วงเป็นไยความรู้สึกของเพื่อนของหล่อนมากเกินไปเสียแล้ว
   “ถ้าอย่างนั้น ผมขอเบอร์โทรศัพท์ของนทีได้ไหมครับ ผมอยากโทรคุยกับเขาให้เขาเข้าใจ” ภาสกร ไม่ละทิ้งความพยายาม
   “อย่าเลยค่ะคุณชาย ถ้าฝ้ายให้ เดี๋ยวนทีจะหาว่าฝ้ายทำอะไรไปไม่บอกเขาก่อน นทีเป็นคนที่มีความเป็นส่วนตัวสูงนะคะ แล้วเขาก็ไม่ชอบคุยโทรศัพท์กับใคร” หล่อนตอบอย่างเกรงใจ “ฝ้ายอยากช่วยค่ะคุณชาย ฝ้ายเข้าใจว่าคุณชายไม่สบายใจ แต่ก็อย่างที่หม่อมแม่ของคุณชายพูด เราอย่าใกล้ชิดกันมากกว่านี้เลยดีกว่าค่ะ”
   “ไม่เป็นไรครับ” ภาสกร วางสีหน้าเรียบเฉยได้อย่างน่าอัศจรรย์ ภาสกร ฉีกกระดาษ จากสมุดโน้ตที่เขาพกติดตัวเป็นประจำเขียนหมายเลขโทรศัพท์ของเขา แล้วยื่นให้ปุยฝ้าย“อย่างน้อยให้ผมสั่งอาหารกลับไปให้นทีก็แล้วกันครับ และฝากบอกนทีด้วยว่าผมยังไม่ลืมเขา และฝากความคิดถึงมาให้ ถ้าหากเขายังไม่คิดจะลืมผมจริงๆละก็ ผมอยากขอร้อง ให้เขาโทรศัพท์หาผมด้วย ผมอยากจะคุยกับเขาจริงๆ ถ้าเขาไม่โทรมา ผมจะเข้าใจว่าเขาไม่อยากติดต่อกับผมอีกแล้วผมก็จะทำใจให้ลืมเขาให้ได้โดยเร็วที่สุด”
 

   “ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับแกแล้วนะว่าจะทำอย่างไร”
   “ฉันไม่ทำอย่างไรทั้งนั้น ให้ห่างกันไปแบบนี้แหละดีที่สุดแล้วสำหรับพวกเราทั้งหมด” นทียื่นคำขาดกับปุยฝ้าย แต่มิได้ยื่นคำขาดกับหัวใจของตัวเอง
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 16 ความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อนิยาม >.< 06/04/11 - 20.30
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 11-04-2011 22:23:08
18

   “ฮัลโหล”
   “สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าผมกำลังคุยอยู่กับใครครับ” ภาสกรรับโทรศัพท์อย่างเร็วที่สุด เรียกว่าสัญญาณดังไม่ถึงสองครั้งชายหนุ่มก็กดรับสายแล้ว นทีไม่ได้เตรียมตัวจึงตกใจพูดอะไรไม่ออก ชายหนุ่มรอจนเพื่อนสาวหลับแล้ว ค่อยแอบเดินกระต่ายขาเดียวออกมายืนที่ระเบียง เพื่อโทรศัพท์หาคุณชาย ถึงเขาจะปฏิเสธไปกับปุยฝ้ายอย่างไรก็ตามแต่เขาปฏิเสธเสียงเรียกของหัวใจตัวเองไม่ได้ คืนแรกนทีนอนไม่หลับ คืนที่สองก็เป็นอีก จนอดรนทนไม่ไหว ต้องโทรหาชายหนุ่มในคืนที่สองนั้นเอง
   เขายอมรับ เขาคิดถึงภาสกร
   แม้จะไตร่ตรองมาเป็นวันๆแล้วก็ตาม แต่นทีก็ไม่อาจโทรหาภาสกรได้หลังจากการตัดสินใจในคืนที่สอง พอตั้งใจแล้วว่าจะโทร ก็กดปุ่มโทรออกไม่ได้อยู่ดี เขาควรแล้วหรือที่จะโทรไปหาคุณชาย เขาควรแล้วหรือที่จะปล่อยให้ความสัมพันธ์ที่มันไม่ควรจะเกิดขึ้นแต่แรก ยืดยาวต่อไปอีก แต่ต่อให้คิดไปอย่างไร เหตุผล และความถูกต้องก็ไม่อาจเอาชนะหัวใจได้ ตอนนี้โทรหาชายหนุ่มแล้ว นทีจึงได้แต่ยืนตกใจเสียงรับสายของภาสกรจนพูดอะไรไม่ถูก พออีกฝ่ายถามย้ำอีกครั้งเท่านั้น ว่าเขาเป็นใครหนุ่มน้อยก็ได้สติ และตอบเสียงแผ่วเบา
   “ผมเอง นที”
   “นทีหรือ” เสียงของภาสกรฟังดูตื่นเต้น หนุ่มน้อยเห็นภาพคุณชายหนุ่มลุกขึ้นจากเตียงด้วยความตื่นเต้น ขวยเขิน ป่านนี้คงยืนอยู่ริมหน้าต่าง จ้องมองฟ้าที่กระจกห้องนอนที่บ้านในพัทยาแล้วเป็นแน่ แปลกตรงที่นทีคิดถึงภาพเหล่านี้ได้ในจินตนาการ ราวกับเห็นด้วยตาเปล่า เพราะคุณชายหนุ่มก็ทำอย่างนั้นจริงๆ “นที ผมดีใจเหลือเกินที่คุณโทรมา”
   หากคุณชายอยู่ตรงนี้ คุณชายก็คงเห็นว่าผมเองก็ดีใจเหลือเกินที่ได้ยินเสียงคุณชายเหมือนกัน แต่ที่ภาสกรดีใจที่เขาโทรไป จริงๆแล้วอาจไม่ใช่ด้วยเหตุผลเดียวกับที่เขาเป็นก็ได้
   “หวังว่า ผมคงไม่ทำให้คุณชายเดือดร้อน วันนั้น หลังจากที่หม่อมแม่ของคุณชายมาที่โรงพยาบาล” นทีพูดเสียงต่ำๆ พยายามกลั้นใจไม่ให้เสียงสั่นด้วยความคิดถึง
   “นที อย่าเรียกผมว่าคุณชายเลย เรียกว่าภาสกรอย่างเดิมเถอะนะ”
   “ไม่ได้หรอกครับ ผมไม่มีสิทธิ์ไปถอดยศคุณอย่างนั้น”
   ภาสกรเงียบไปนาทีกว่าๆ เป็นความเงียบที่น่าอึดอัดใจ มากกว่าความเงียบที่สงบ และมีความสุขอย่างที่ทั้งสองมักมีให้กันเหมือนตอนอยู่ที่โรงพยาบาล
   “นที สบายดีนะ”
   “ครับผมสบายดี ผมโทรมาเพื่ออยากจะย้ำกับคุณชาย อย่างที่ผมเขียนบอกคุณชายไว้แล้ว คุณชายไม่มีอะไรติดค้างผมอีก ผมว่าเราหายกันแล้ว สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น”
   ภาสกรเงียบไปอีกพักหนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยเสียงสั่นเครือ
   “คุณใจร้ายมากเลยนะนที อย่างน้อยคุณน่าจะอยู่รอพบผมที่โรงพยาบาล ไม่น่าปุบปับออกมาอย่างนั้น ผมเป็นห่วงคุณแทบแย่”
   “คุณชายไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอกครับ” นทีรู้ดีว่าคำพูดนั้นฟังดูร้ายกาจเหลือเกิน แต่ก็ต้องจำใจพูดแบบนั้น เพื่อให้ทุกอย่างจบลง เพราะหากเขาคุยกับคุณชายนานกว่านี้อีกแม้นิดเดียว เขาต้องอดใจไม่ไหว เผลอพูดอะไรที่ไม่ควรออกไป ยิ่งจะทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่มาถึงจุดแตกหักได้ สู้จากกันไป แบบยังมีความทรงจำดีๆ ของกันและกันอย่างนี้ น่าจะดีกว่า “ผมรู้ว่าคุณชายรู้สึกผิด แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างนั้นหรอกครับ ตอนนี้ผมหายดีแล้ว ได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ อย่างที่เคยเป็น คุณชายเองก็ต้องมีชีวิต มีสังคมแบบของคุณชาย ผมว่าคุณชายอย่าเอาเวลามาห่วงผมเลยครับ ต่างคนต่างไป อย่างที่หม่อมแม่คุณบอก น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วสำหรับเราสองคน”
   “ต่อให้คุณหายดีแล้ว เราก็ไม่เห็นต้องห่างกันเลยนี่ ผมยังอยากเจอคุณอยู่ ยังอยากคุยกับคุณ คบคุณเป็นเพื่อนเหมือนคนอื่นๆ อีกอย่าง ผมเคยสัญญากับคุณไว้แล้วเรื่องหนึ่ง” ชายหนุ่มเงียบเพียงนิดเดียวก็พูดต่อ “คุณจำได้ไหม ผมเคยบอกว่าถ้าออกจากโรงพยาบาลแล้ว ผมจะพาคุณไปตระเวน ชิมอาหารอร่อยๆ ผมยังคิดจะรักษาสัญญาอยู่นะ”
   เงียบ แต่คราวนี้ เป็นเงียบอย่างอบอุ่น เป็นเงียบอย่างที่มีความสุข เงียบเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาล
   “อย่าดีกว่าครับคุณชาย ถ้าใครมาเห็นผมอยู่กับคุณชาย ภาสกร              รชตานันต์ คุณชายอาจจะตกเป็นขี้ปากคนได้ ว่ามาคบกับคนอย่างผม”
   “คนอย่างคุณหรือ นทีคุณเอาความคิดพวกนี้มาจากไหน ผมไม่สนว่าคุณเป็นใครมาจากไหน ฐานะคุณ ระดับในสังคมของคุณ มันไม่เกี่ยวอะไรกับความผูกพันของเรา ผมรู้สึกว่าผมคุยกับคุณแล้วมีความสุข เห็นคุณยิ้มแล้วมีความสุข อยู่กับคุณแล้วผมมีความสุข จนอยากจะเห็นหน้าคุณอีกแทบจะตลอดเวลา เท่านั้นเอง เราเป็นเพื่อนกันได้นะ นที”
   นทีไม่ตอบ เพราะน้ำตาที่เอ่อคลอเบ้า บัดนี้ไหลพรากลงข้างแก้มอย่างช่วยไม่ได้ ถ้อยคำที่ได้ยิน มันบีบหัวใจของเขาทุกคำ คุณชายมีความสุขเวลาอยู่กับเขาจริงๆหรือ ต่อให้จริง คุณชายก็ไม่ได้อยู่กับเขาสองคนในโลก ยังไงก็ตามหม่อมแม่ของภาสกร ย่อมไม่เห็นด้วยกับความสัมพันธ์ของเขาสองคนอย่างแน่นอน
   “ขอร้องล่ะ นที ให้ผมแวะไปหาคุณบ้างได้ไหม”
   “เชื่อผมเถอะครับคุณชาย” นทีแข็งใจ รวบรวมความกล้า เอ่ยประโยคสุดท้ายของคืนนั้นออกมา “เราอย่ามาเจอกันอีกเลย”

   นทีไม่ได้มั่นใจตั้งแต่แรกว่า ภาสกรจะทำตามที่เขาขอ ในคืนแรกเขาปิดโทรศัพท์มือถือ หนีการติดต่อ จากคุณชายได้ แต่วันต่อๆมานทีก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการเปิดโทรศัพท์ได้ เพราะเขายังคงต้องติดต่อกับคนอื่นๆอีกมากมาย เท่าที่เขาทำได้ คือเวลาภาสกรโทรมา ก็เพียงแค่ปิดเสียงโทรศัพท์ทำเป็นไม่สนใจเท่านั้น
   เดือนสุดท้ายของชีวิต นักศึกษาปีที่สองของเขาผ่านไปครึ่งหนึ่งแล้ว และนทีก็ตัดสินใจไปเรียนในที่สุด
   หลังจากที่เขาให้ปุยฝ้ายยื่นคำขาดกับพ่อเลี้ยงของเขา ไม่ให้ตามหา และยุ่งวุ่นวายกับชีวิตของเขาอีก ชายหนุ่มประหลาดๆ ที่มักจะมายืนสูบบุหรี่หรืออ่านหนังสือพิมพ์ตรงข้ามแฟลตเล็กของปุยฝ้ายก็หายไป นทีจึงหมดห่วงเรื่องถูกคนของอดิสรณ์เฝ้ามอง ตัดสินใจกลับไปเรียนในที่สุด
   ปุยฝ้ายเรียกแท็กซี่มาจอดรับหน้าแฟลต นทีก็เดินกะโผลกกะเผลก ขึ้นรถตรงไปที่มหาวิทยาลัย วันนั้นทั้งวันผ่านไปด้วยดี นทีหยุดเรียนไป เดือนครึ่ง เกือบตามเพื่อนในเอกเดียวกันแทบไม่ทัน แต่ดีที่เขายังพอมีเพื่อนสนิทภายในเอกที่คอยช่วยจดเลกเชอร์ และทำงานให้อยู่บ้าง นทีจึงสามารถเอาตัวรอดจากการเรียนในแต่ละวันได้เป็นอย่างดี
   ตอนกลางวัน ปุยฝ้ายไม่ได้มากินอาหารกับเขา นทีจึงต้องไปกินที่ร้านอาหารเล็กๆ กับเพื่อนร่วมเอกเดียวกัน แม้ไม่สนิทเท่าปุยฝ้าย หนุ่มน้อยก็พอมีเพื่อนที่พูดคุยได้ ไปไหนด้วยได้อยู่หลายคน นทีเคยเป็นที่รักของเพื่อน และครูอาจารย์อย่างไรก็เป็นอย่างเก่า กลับมาจากการหยุดเรียนไปเดือนกว่าๆนี้ ยิ่งทำให้คนรุมรัก และสงสารมากขึ้น มีแต่คนอยากช่วยเหลือเรื่องเรียน และงานที่มีเป็นตั้งของเขา
   ที่นทีแปลกใจที่สุด ในวันนั้น อาจเป็นช่วงแวบเดียวของความคิด แต่ก็กวนใจเขาไม่น้อยคือ วันนี้ ไม่มีรายการโทรเข้าจากภาสกร
   แม้ปากบอกว่าอย่าเจอกันอีกเลย แต่นทีก็แอบหวังเล็กๆว่า ภาสกรจะยังโทรมาทุกวัน วันละหลายๆครั้ง หลังจากที่เขาได้ปฏิเสธไปแล้ว โอเค ภาสกรโทรมาทุกวันก็จริง และมันทำให้นทีมีกำลังใจในการผ่านชีวิตที่แสนน่าเบื่อไปได้ในแต่ละวันอีกด้วยเหมือนว่าแค่เห็นชื่อก็อุ่นใจแล้ว
    แต่เขาก็ยังใจแข็งไม่กดรับสายจากชายหนุ่มสักครั้ง
   แปลกตรงที่วันนี้พอเขาไม่โทรมา กลับทำให้นทีอยากเหลือเกินที่จะเป็นฝ่ายโทรไป พอรู้สึกตัวก็กลายเป็นว่า นั่งจ้องโทรศัพท์ทั้งวันจนเลิกเรียนราวๆสี่โมงเย็นนั่นแหละ นทีถึงรู้สาเหตุว่าทำไม ภาสกรไม่โทรมา
   ทันทีที่ก้าวลงจากตึกคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ นทีก็เห็นคนจำนวนมากยืนออกันอยู่ที่หน้าคณะ เพื่อนหนุ่มหลายคนของเขาถึงกับสบถออกมาเมื่อเห็นหญิงสาวมากหน้าหลายตาในคณะออกมาออกันอย่างนี้
   “แม่โว้ย มีดาราเกาหลีมาหรือยังไง กรี๊ดกร๊าดกันไม่หยุด”
   เปล่าไม่ใช่ดาราเกาหลี นทีเดินเข้าไปรวมกลุ่มกับบรรดาหญิงสาวเหล่านั้น ก็เห็นรถฝรั่งสีแดงสด ราคาแพงชนิดที่ว่า เอาเงินค่ารถมาให้เขาละก็ อยู่ได้ไปเป็นปีทีเดียว หัวใจของนทีเต้นเป็นจังหวะแปลกๆ เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้ของเจ้าของรถ
   กระจกหน้าต่างบานหน้า ข้างซ้ายเปิดออกไว้อยู่แล้วเป็นสาเหตุของเสียงกรี๊ดจากบรรดาสาวๆ เพราะคนที่นั่งอยู่ด้านคนขับเป็นคนที่นทีรู้จักดี มากกว่าพวกคนที่ยืนมุงกันอยู่ด้วยซ้ำ สำหรับคนอื่นนี่คือแฟนหนุ่มไฮโซ ของดารานางร้ายยอดนิยม ที่ดังพอๆกับหล่อน แต่สำหรับนที นี่คือคนที่เขาเฝ้าคิดถึง เป็นคนที่สำคัญที่สุดของเขา
   “นที” ภาสกรโบกมือให้ ก่อนจะเปิดประตูเดินอ้อมหน้ารถ ตรงเข้ามาหาหนุ่มน้อยที่ยืนหน้าแดงก่ำอยู่ท่ามกลางฝูงชน “ขึ้นรถเถอะ”
   “คุณชาย คุณชายมาทำอะไรที่นี่” นทีรู้สึกเหมือนคนโง่อยู่นาทีหนึ่งเต็มๆ เขาถามคำถามแบบนี้ออกไปได้ยังไงนะ คุณชายมาอยู่ที่นี่ก็เพราะต้องการมารับเขานั่นแหละ
   “ก็มารับคุณไง” ภาสกรยืนหน้าเข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะพูดให้ได้ยินกันสองคน “รีบไปกันเถอะ สถานการณ์ไม่ค่อยจะดี เดี๋ยวคนพวกนี้จะแตกตื่นไปใหญ่”
   “ไม่ ผมไม่ไปไหนกับคุณชายทั้งนั้น” นทีพูดด้วยเสียงระดับเดียวกับคุณชาย คนที่ได้ยินจึงเป็นเขา และคุณชายสองคนเท่านั้น
   “รีบไปกันเถอะเรากำลังทำให้คนพวกนี้สนใจกันอยู่นะ”
   “คุณชายไม่...” ไม่ทันแล้ว ภาสกรจูงมือนที ลากมาที่รถ ก่อนจะเปิดประตู ดันหลังให้ชายหนุ่มก้าวเข้าไปนั่งที่นั่งข้างคนขับอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นเจ้าตัวจึงเดิมอ้อมไปขึ้นรถฝั่งของตนแล้วขับรถออกไปจากบริเวณนั้น ทิ้งให้บรรดาแฟนคลับของคุณชายยืนอึ้งทำอะไรกันไม่ถูกอยู่นั่นเอง
   “แม่โว้ย ไอ้น้ำแม่งรู้จักคนระดับไฮโซ แถมยังโดนลากขึ้นรถไปอีก นี่มันอะไรกันวะ ทำไมพวกเราไม่รู้เรื่องเลย”

   ร้านอาหารที่ภาสกรพานทีไป เป็นร้านอาหารทะเล ตั้งอยู่ในเมืองพัทยา ไม่ได้อยู่ริมหาด และหรูหราอย่างที่นทีคิดไว้ ตลอดทางที่นั่งรถมา ภาสกรพยายามชวนชายหนุ่มคุยหลายๆเรื่องที่ทำให้บรรยากาศไม่ตึงเครียดเกินไป ทั้งเรื่องเรียน เรื่องสุขภาพ และเรื่องร้านอาหารที่เขากำลังจะพาไป แต่ตลอดทางนทีตอบเท่าที่จะตอบได้ บางครั้งก็ไม่พูดอะไรนอกจากพยักหน้า สับสนในใจไปหมดว่าควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร และจะจัดการอย่างไรกับภาสกรดี
   แต่พอมาถึงร้าน นทีก็เลิกคิดเรื่องควรหรือไม่ควร เพราะเขามีความสุขเหลือเกิน
   นอกจากภาสกรจะสั่งอาหารเหมือนอย่างที่เขาเคยซื้อมาให้เมื่อวันแรกที่รู้จักกันแล้ว เขายังคอยเอาใจ ตักอาหารจากจานนั้น จานนี้มาใส่จานข้าวของเขา ยิ้มให้ทุกครั้งราวกับผู้ใหญ่เลี้ยงเด็ก ตลอดการกินอาหารเย็นในวันนั้น นทีและภาสกรคุยกันหลายเรื่อง แต่ไม่วกกลับมาที่เรื่องจะไม่เจอกันอีกแม้ประโยคเดียว
   “ผมดีใจนะ” ภาสกรเอ่ยขึ้นเมื่อ ทั้งคู่เริ่มอิ่มกันแล้ว “ดีใจที่ได้เห็นคุณมีความสุข แล้วก็ดูทานเยอะกว่าตอนที่อยู่ที่โรงพยาบาล”
   นทีเขินจนหน้าแดง ทำไมภาสกรต้องทำท่าใจดี และจดจำทุกอย่างเกี่ยวกับเขาได้อย่างนี้ด้วยนะ
   “ใครบอกคุณชายครับ ว่าผมมีความสุข”
   “อ้าว แล้วกัน ก็ผมเห็นนทีกินเอาๆ แถมยังยิ้มไม่หยุดเลย ก็คิดว่าคุณมีความสุขน่ะซี” ชายหนุ่มยิ้มให้
   ผลที่ได้คือ หนุ่มน้อยเขินหนักกว่าเก่า ก้มมองจานข้าวที่ว่างเปล่าอย่างช่วยไม่ได้ ทำตัวไม่ถูก
   “ข้าวหมดแล้ว อิ่มหรือยังล่ะ ถ้าไม่อิ่มเดี๋ยวผมสั่งมาเพิ่มให้”
   “อย่าดีกว่าครับ ผมกินไป สามจานแล้วนะ กินอีก ได้อ้วนพอดี ออกกำลังกายก็ไม่ได้ ในเมื่อขาก็มาหักเสียอย่างนี้”
   ภาสกรเงียบทันที นทีมองหน้าชายหนุ่มก็รู้ตัวว่า ตัวเองคงพูดอะไรผิดไป ยังไม่ทันได้เอ่ยคำขอโทษ คุณชายหนุ่มก็เอ่ยปากขึ้นมาก่อน
   “ผมขอโทษนะ นที”
   “คุณชายขอโทษผมเรื่องอะไร ผมต่างหากที่ต้องขอโทษถ้าพูดอะไรที่คุณชายไม่ถูกใจ ให้ระคายหู” ชายหนุ่มก้มหน้างุด ไม่กล้าสบตาผู้ชายตรงหน้า
   “ผมขอโทษที่ทำให้นทีเป็นแบบนี้”
   “โธ่” นทีเงยหน้าในที่สุด ตอนแรกกะจะตอบโต้ไปตามนิสัย แต่เมื่อคิดถึงเวลาดีๆที่เกิดขึ้น ชายหนุ่มก็ตัดสินใจหัวเราะออกไป “คุณชายขอโทษทำไม ดีเสียอีกเดินไม่ได้ก็ไม่ต้องเหนื่อย แถมยังมีคนมาดูแลอีก รู้สึกเหมือนเป็นคุณชาย สบายจะตายครับ”
   “ผม...” ภาสกรตั้งใจจะตอบว่า ถึงผมเป็นคุณชายก็ไม่ได้สบายเท่าไหร่ แต่เมื่อมานึกขึ้นได้ ที่เขาไม่สบายก็เกิดขึ้นตั้งแต่ขับรถชนหนุ่มน้อยนี่แหละ ถ้าพูดออกไปละก็มีหวังจะทำให้บรรยากาศเสียมากขึ้นไปอีก “ถ้างั้น ให้ผมดูแลนทีเพิ่มขึ้นอีกคนนะ”
   นทีเขินจนทำอะไรไม่ถูก ก็เลยตัดสินใจลุก
   “คุณชายพูดอะไรไม่รู้ ผมไปห้องน้ำก่อนนะครับ”
   นั่นซี พูดอะไรไม่รู้ ภาสกร รีบลุกขึ้นยืนบ้าง เดิมอ้อมโต๊ะจะไปประคองชายหนุ่ม แต่พอเลื่อนมือไปโอบรอบเอวของนที หนุ่มน้อยก็เบี่ยงตัวออกห่าง “คุณชาย ผมมีไม้ค้ำ ผมไปเองได้ครับ”
   ภาสกร ทำอะไรไม่ถูกก็ได้แต่ยืนเกาหัว เอ่อ อ่า ไปตามเรื่องพอนทีเดินขาเดียวไปกับไม้ค้ำแล้ว ชายหนุ่มก็ลอบถอนหายใจ ก่อนจะนั่งลงตามเดิม เขาเป็นอะไรไป เขาพูดอะไรออกไป แล้ว ตอนโอบนทีเหมือนตอนอยู่ที่ โรงพยาบาล ทำไมต้องเขาต้องเขิน ทำไมนทีต้องเขิน นี่มันเกิดอะไรขึ้น นทีไม่ใช่สาวน้อยเสียหน่อย ทำไมภาสกรถึงเป็นไปได้ขนาดนี้ กับคุณหญิงดาริกา ภาสกรยังไม่เคยรู้สึกขวยเขิน เวลาอยู่ต่อหน้าเลยนี่
   แล้วทำไม กับชายหนุ่มตัวเล็กๆ โอบบ่าแค่นี้ถึงต้องขนลุกซู่ไปทั้งตัว
   ได้แต่หวังในใจเท่านั้นเองว่า นทีจะไม่รับรู้สิ่งที่เขารู้สึก

    คุณชายบ้า บ้าที่สุดนี่เขาเป็นอะไรของเขานะ
   นทีสบถกับตัวเองในใจ ขณะเข้าห้องน้ำ ที่เป็นห้องแบบเป็นตึกแยกออกมาจากตัวร้านอาหารอีกที ระหว่างตัวร้านมาถึงห้องน้ำโรยกรวดหินไว้เสียขรุขระ ยากสำหรับนทีที่ยังไม่ชินกับการเดินด้วยไม้ค้ำ จนเสียวว่าจะล้มอยู่ทุกก้าวที่เดิน พอเสร็จกิจแล้วก็ได้แต่ยืน ล้างมือล้างหน้าอยู่หน้ากระจกจมอยู่กับความคิดของตัวเอง
คุณชายคิดยังไงขอเขา มาพูดจาหวานเลี่ยน ให้ผมดูแลนทีเพิ่มอีกคนนะ หรือ ทำเอาอายจนพูดอะไรไม่ถูก แล้วยังจะมาโอบเอวอีก ทำเอานทีขนลุกไปหมด กลัวเหลือเกินว่าคุณชายจะรู้ทัน ว่าเขารู้สึกอย่างไร
    ไม่น่าหลวมตัวมาด้วยเลยจริงๆ
หนุ่มน้อยคิด ก่อนจะเช็ดมือกับกระดาษทิชชู แล้วคว้าไม้ค้ำมาถือในมือขวา ถอนหายใจแล้วค่อยๆเดินอย่างทุลักทุเลออกมาจากห้องน้ำ แต่ไม่ทันได้พ้นประตูห้อง นทีก็ได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นจากห้องน้ำหญิง
“นี่เธอเห็นคุณชาย ภาสกรหรือเปล่า” ทันทีที่ได้ยินคำว่าคุณชาย นทีก็หยุดชะงัก ไม่กล้าก้าวออกนอกห้องน้ำอีก กลัวจะกลับออกไปเจอผู้หญิงคนนี้แล้วทำหน้าไม่ถูก
“เห็นซี แหมเคยเห็นแต่ในทีวี นี่มีโอกาสได้เห็นตัวจริง เสียดายจะเข้าไปขอลายเซ็นก็ไม่ได้เขาไม่ใช่ดารา” เสียงหญิงสาวอีกคนพูด เสียงแหลมเล็ก สำเนียงจัดจ้าน พอๆ กับคนแรก “ตัวจริงหล่อกว่าในทีวีอีก นึกไม่ถึงเลยนะว่าฉันจะพูดประโยคงี่เง่าๆอย่างนี้”
หล่อนหัวเราะ แต่เสียงแรกก็พูดแทรกขึ้นก่อนพอดี
“แหม แหม ย่ะ หล่อนก็ดูแต่หน้าตาไม่ได้สนใจเรื่องอื่นเลย ไม่เห็นหรือว่าเขามากับใคร”
“อ้าว ก็เด็กหนุ่มหน้าซื่อๆคนนั้นไง ทำไม เธอจะบอกว่าเด็กคนนี้ก็หน้าตาดีหรือไง”
“เอ๊ เธอนี่พูดอะไรแต่ละอย่าง ทำไมไม่สังเกตดีๆบรรยากาศมันแปลกๆ เขามีตักอาหารให้กัน มีโอบกันด้วยไม่เห็นหรือ”
“ก็เห็น แต่ผู้ชายเหมือนกันไม่เห็นเป็นไรเลย ไม่เสียหายตรงไหน อีกอย่างคุณชายเขาก็คบอยู่กับคนที่เป็นดาราไม่ใช่หรือ น้องฟ้า ทิฆัมพรน่ะ”
“ก็ผู้ชายเหมือนกันไงยะ ถึงแปลก คบอยู่ก็ใช่ว่าจะปลอดภัย เก้งกวางเดี๋ยวนี้มันแอบจิตจะตาย คบคนนึงไว้หลอกประชาชนแล้วตัวเองก็แอบมามีชีวิตส่วนตัวเห็นไหม” นทีแทบไม่ได้ยินประโยคต่อมา เพราะเท่านี้ หน้าก็ร้อนผ่าวไปด้วยความอาย “แล้วเห็นหรือเปล่าล่ะ เวลาออกสื่อ เขาก็ไม่ค่อยทำตัวสนิทสนมกับน้องฟ้าด้วย”
“เธอนี่ก็ เขาอาจจะแค่ให้เกียรติน้องฟ้าก็ได้”
“อะไรกัน เธอไม่ได้อ่านข่าวหรือไง สักเดือนนึงมาแล้วน่ะ ว่าคุณชายอุปถัมภ์ดูแลเด็กที่ถูกรถชนคนหนึ่งอยู่ แถมยังบริจาคเลือดให้ด้วยนะ ถ้าเด็กที่โดนรถชนคนนี้ไม่มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคุณชาย เขาจะมาแลทำไม”
“แหมเขาอาจจะเป็นผู้ชายจริงๆก็ได้ เรื่องวิปริตๆ แบบนี้ไม่ต้องมาเล่าให้ฉันรับรู้หรอก ฉันละอยากจะทำใจให้เชื่อได้เหลือเกินว่าในสังคมนี้มันไม่มีอะไรที่มันวิตถาร แบบพวกเกย์ พวกทอม ดี้ อะไรเนี่ย ฉันไม่ชอบ ขยะแขยง”
“ขอโทษนะครับ” นทีโพล่งออกมาตรงนั้นเอง เพราะทนฟังต่อไปไม่ได้ “ผมว่าคนที่ยอมรับความจริงในโลกไม่ได้อย่างนี้ โรคจิต วิปริตมากกว่าพวกเราอีกนะครับ เราไม่ได้ไปทำอะไรให้ใครเดือดร้อน แล้วคุณชายก็ไม่ใช่เกย์ด้วย วันหลังพวกคุณจะนินทาใคร ช่วยนินทาให้มันเบาๆด้วยนะครับมันดังรบกวนมาถึงคนอื่น”
พูดจบแล้วนทีก็เดินกะเผลกๆ กลับไปหาภาสกร ด้วยสีหน้าโกรธจัด

***********************************************************************
ปล. เรื่องรวมเล่มปางบรรพ์ ผมจะเปิดโอนหลังจากกลับจากไปเที่ยว เอ๊ย ปฏิบัติภารกิจนะครับ อิอิ แล้วก็จะโพสต์ภาพปก และรูปแบบการจัดหน้าด้วยครับ รอหน่อยนะคร้าบบบ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 17-18 - 2ตอนควบ รับสงกรานต์ครับ :) 11/04/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: KIMKUNG ที่ 11-04-2011 22:44:28
เย้ๆ  มาต่อสักที  อ่า สนุกๆ อยากให่คุณชายรักนทีมากๆๆ นะครับอิอิ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 17-18 - 2ตอนควบ รับสงกรานต์ครับ :) 11/04/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: naja-kitase ที่ 11-04-2011 23:24:19
 :z2: ดีใจๆ เจอกันแล้ว

ขอให้เที่ยวสงกรานต์ให้สนุกนะคะ
สวัสดีปีใหม่ไทยคะ

ปล.ปางบรรพ์เปิดให้โอนนานๆหน่อยก็ดีนะคะ พอดีเงินออกสิ้นเดือน 5555+
หัวข้อ: Re: ...รักล้นใจ...(อัพครั้งที่ 16)
เริ่มหัวข้อโดย: yunjaejoong ที่ 11-04-2011 23:24:32
โห ถ้าให้เป็นเราหน่อยไม่ได้มานินทากันแบบนี้
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 17-18 - 2ตอนควบ รับสงกรานต์ครับ :) 11/04/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: lomekung ที่ 11-04-2011 23:39:41
 :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 17-18 - 2ตอนควบ รับสงกรานต์ครับ :) 11/04/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 11-04-2011 23:51:04
เจอกันแล้ว  แต่อุปสรรคใหญ่เป้งรออยู่อีกเพียบ  
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 17-18 - 2ตอนควบ รับสงกรานต์ครับ :) 11/04/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: butterfly_bee ที่ 12-04-2011 00:46:00
ต่างคนต่างกลัว ไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ความรู้สึกของตัวเอง
แต่หารู้ไม่ ว่าทั้งสองคนน่ะหัวใจตรงกันอยู่
อุปสรรคความรักของทั้งคู่มันมากมายเหลือเกิน
ต้องเหนื่อยกันหน่อยละทั้งคุณชายทั้งนที  :เฮ้อ:
อ่านไปก็สงสารหนุ่มน้อยนทีของเราชะมัด
ชีวิตอาภัพจริงๆเลยน้อนที T T
ส่วนพ่อเลี้ยงอดิศรณ์ทำไมถึงเลิกตามนทีได้แล้วละเนี่ย
ไม่รู็เหมือนกันแต่เค้าแอบคิดว่าพ่อเลี้ยงไม่น่าจะปล่อยนทีไปง่ายๆแฮะ
หรือมันจะมีเบื้องหลังอะไรมากกว่านั้นกันแน่
แถมหลังจากปุยฝ้ายพูดคำว่าเพื่อนทรยศพ่อเลี้ยงก็ดูอึ้งๆไปด้วย
หรือพ่อเลี้ยงจะรู้สึกผิดต่อพ่อแม่ของนทีรึเปล่าหว่า
งืมม ต้องติดตามๆๆ

ขอให้(ปฎิบัติภารกิจ)เที่ยวสงกรานต์ให้สนุกนะคะั เดินทางปลอดภัยน๊าา
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 17-18 - 2ตอนควบ รับสงกรานต์ครับ :) 11/04/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: zeen11 ที่ 12-04-2011 00:50:29
มาต่อ 2 ตอนรวด รักกกกกกกกกกกกกไรเตอร์จริงๆ ค่ะ  :L1:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 17-18 - 2ตอนควบ รับสงกรานต์ครับ :) 11/04/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: theblink ที่ 12-04-2011 02:27:48
แงงงงงงงงงงง   

เครียดเรื่อง นายอดิสรณ์ ไม่ไหวแล้ว    :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 17-18 - 2ตอนควบ รับสงกรานต์ครับ :) 11/04/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: Little Devil ที่ 12-04-2011 03:00:35
น่าสงสาร
+1
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 17-18 - 2ตอนควบ รับสงกรานต์ครับ :) 11/04/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: pichayakamon ที่ 12-04-2011 03:19:23
มาให้กำลังใจน้องน้ำกะคุณชาย
สู้ๆ นะคะ
เค้าเชียร์อยู่น๊าาา อย่าได้แคร์ใคร
แคร์หัวใจตัวเองก็พอ ^^
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 17-18 - 2ตอนควบ รับสงกรานต์ครับ :) 11/04/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: SecondaryTrauma ที่ 12-04-2011 03:36:28
เฮ้อ ~ หนทางข้างหน้าแลดูจะมืดมนเหลือเกิน ผิดกับความรู้สึกที่กลับรุ่งโรจน์อยู่ในใจของคนทั้งคู่
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 17-18 - 2ตอนควบ รับสงกรานต์ครับ :) 11/04/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 12-04-2011 07:08:41
บวกให้นที ด่ามันเลย พวกปากเสีย >"<
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 17-18 - 2ตอนควบ รับสงกรานต์ครับ :) 11/04/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: Rhythm ที่ 12-04-2011 07:20:32
อ่านะ นินทาซะเบาเชียว 5555 ...รออ่านนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 17-18 - 2ตอนควบ รับสงกรานต์ครับ :) 11/04/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 12-04-2011 07:29:36
เข้ามาอ่านด้วยคนครับผม

เนื้อเรื่องน่าติดตามมากๆเลยครับ แต่แอบปวดหัวใจกับบางฉากเหลือเกิน



ปล.สาเหตุของอุบัติเหตุนี่ คุ้นๆนะครับ แหะแหะ
ปล2.น้ำนี่บทจะดุ ก็ดุใช้ได้เลยนะครับเนี่ย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 17-18 - 2ตอนควบ รับสงกรานต์ครับ :) 11/04/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 12-04-2011 15:01:50
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 17-18 - 2ตอนควบ รับสงกรานต์ครับ :) 11/04/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 16-04-2011 16:23:20
โอ้ววว นทีโกรธซะแล้ววววว

เหอๆ บทจะโกรธก็โพล่งขึนมาดื้อๆเลยนะเนี่ย สงสัยผู้หญิงสองคนนั้นจะดวงซวยจริงๆ เหอๆ

แอบดีใจ คุณชายเริ่มรู้ใจตัวเองขึ้นมานิดนึง(จริงๆ--;)แล้ว

แต่ก็สงสัยรอวันเฉลยจริงๆค่ะ ว่าคุณพ่อเลี้ยงไปทำอะไรไว้นักหนา นทีถึงต้องหนีออกจากบ้านอ่า อยากรู้ๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 17-18 - 2ตอนควบ รับสงกรานต์ครับ :) 11/04/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 18-04-2011 20:21:10
19


    “ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ” ภาสกรทักนทีเป็นประโยคแรก เมื่อหนุ่มน้อย เดินกะโผลกกะเผลกกลับมาที่โต๊ะ “เป็นอะไร ห้องน้ำสกปรกหรือ”
   “ไม่มีอะไรครับ คุณชาย ผมอยากกลับแฟลตแล้วครับ นี่ฟ้าก็มืดแล้ว เกรงใจคุณชาย ผมขอตัวละครับ” หนุ่มน้อยตอบเรียบๆ
   “อะไรกัน” ภาสกรลุกขึ้นจากโต๊ะ “ขอตัวอะไร คุณจะกลับยังไง ให้ผมไปส่งเถอะ”
   นทีก้มหน้างุด รู้จากหางตาว่ามีผู้หญิงสองคนเดินออกมาจากห้องน้ำกลับเข้านั่ง โต๊ะที่อยู่ใกล้ๆ โต๊ะของเขาและภาสกร
   “อย่าดีกว่าครับ แค่นี้คนก็มองคุณชายไม่ดีพอแล้ว ผมไม่อยากเป็นคนที่ทำให้คุณชายดูแย่มากไปกว่านี้”
   หนุ่มน้อยค่อยๆเดินออกจากร้านไป ระหว่างที่ภาสกรยังตกใจ ทำอะไรไม่ถูก กระทั่งได้สติคืนมา ภาสกรก็วิ่งตามนทีไป ยืนขวางหน้าชายหนุ่ม
   “คุณไม่ได้ทำให้ผมดูแย่อะไรทั้งนั้น ผมจะแย่กว่าเดิม ถ้าคุณกลับเองคนเดียวแบบนี้ ให้ผมไปส่งเถอะครับ ถ้าคุณปฏิเสธ ผมจะอุ้มคุณขึ้นรถเดี๋ยวนี้ คุณก็รู้ดีไม่ใช่หรือว่าผมพูดจริงทำจริง”

    นที จึงอยู่ในรถของภาสกรแล้วตอนนี้ ทั้งคู่ไม่ได้กำลังมุ่งหน้ากลับแฟลต แต่ภาสกรกำลังพาเขาไปที่ไหนก็ไม่รู้ที่เขาไม่ยอมบอก นทีนั่งเงียบมาตลอดทาง นอกจากถามว่า คุณชายจะพาผม ไปไหนแล้ว ชายหนุ่มก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความคิดด้านลบที่โจมตีตัวเองหนักขึ้น
   เขาทำให้ภาสกรดูแย่ขนาดนี้เลยหรือ ผู้หญิงคนนั้นใช้คำว่าอะไรนะ วิปริต วิตถาร ขยะแขยง อย่างนั้นหรือนี่ ใช่ซีเขามันวิปริตนี่นะ นทีก้มหน้างุดนั่งนึกว่าเป็นเวรเป็นกรรมอะไรของเขาที่ต้องเกิดมาเป็นแบบนี้ ใครจะพูดว่าการเป็นเกย์มันคือทางเลือก แต่นทีคิดว่า มันไม่ใช่ทางเลือก มันไม่เหมือนกับว่า โอเควันนี้อากาศร้อนใส่เสื้อยืด ดีกว่าเสื้อเชิ้ต แต่พ่อแม่ เห็นว่าไม่สุภาพค่อยเปลี่ยนเป็นเสื้อเชิ้ตแล้วกัน มันไม่ใช่ว่าตื่นมาแล้ว เอาล่ะ วันนี้ฉันจะชอบผู้ชาย ถ้าพ่อแม่ว่าค่อยเปลี่ยนไปชอบผู้หญิงเหมือนเปลี่ยนเสื้อ
   นทีลองมาแล้วทุกวิธีนับตั้งแต่รู้ความจริง นทีก็ไม่เคยมองผู้หญิงคนไหนเลยนับแต่จำความได้ แต่มันก็ไม่ใช่ว่าจ้องจะชอบผู้ชายทุกคนที่ผ่านมาในชีวิตเหมือนกัน ความรักของนที เกิดจากความผูกพัน อย่างที่ตอนนี้ แม้พูดออกมาดังๆไม่ได้ แต่นทีรู้ว่าเขารู้สึก “ผูกพัน”กับภาสกรมากแม้จะ มีคำว่า “ความเหมาะสม” ตัวใหญ่เบ้อเริ่ม ขวางอยู่ก่อนจะก้าวไปถึง “ความรัก” ได้ก็ตาม
   หนุ่มน้อยนึกถึงคำพูดของผู้หญิงสองคนในร้านอาหาร
“คบคนนึงไว้หลอกประชาชนแล้วตัวเองก็แอบมามีชีวิตส่วนตัวเห็นไหม เวลาออกสื่อ เขาก็ไม่ค่อยทำตัวสนิทสนมกับน้องฟ้าด้วย”
    นทีเป็นอะไรของภาสกร คุณชายกำลังมี “ชีวิตส่วนตัว” ของคุณชายกับเขา หรือ “คบอยู่กับคนที่เป็นดารา” จริงๆกันแน่ หมายความว่า คุณชาย “เป็นแบบเขา” หรือ “เป็นผู้ชายปกติ” ธรรมดาๆ กันเล่า
   แล้วมาคิดดู อย่างไหนดีกว่ากันล่ะ
   
ถ้าคุณชายเป็น”ผู้ชายปกติ” ธรรมดาๆคนหนึ่งที่ “คบอยู่กับคนที่เป็นดารา” จริงๆ นทีคงต้องเสียใจ คงต้องยอมรับความจริงว่าคุณชายไม่ได้ “เป็นแบบเขา” คุณชายมีแฟนแล้ว ไม่ได้มีใจให้เขาสักนิด และเขาก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคุณชายให้มากกว่านี้ เพราะเขาจะทำร้ายทั้งคุณชาย ทำร้ายทั้งตัวเองไปในเวลาเดียวกัน
แต่ถ้า คุณชาย “เป็นแบบเขา” และกำลังมี “ชีวิตส่วนตัว”อยู่จริงๆละก็ แปลว่าคุณชายมีใจให้เขาหรือ ถ้าเป็นแบบนั้น ก็ดีน่ะสิ เขาคงมีความสุข และลงตัวทุกอย่างกับคุณชาย แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้ว่าความสัมพันธ์แบบนี้ยิ่งจะทำให้คุณชายเสื่อมเสีย “ความถูกต้อง” ตัวใหญ่ยังคงมีให้นทีเห็นระหว่างเขากับคุณชาย ภาสกร มีชีวิตที่เป็นความคาดหวังของสังคม มีชีวิตแบบที่ว่าต้องดูดี เรียบร้อย แต่งงานก็ต้องกับคนที่มีชาติตระกูลสมกัน เป็นครอบครัวตัวอย่าง มีลูกที่เจริญรอยตามพ่อ เป็นสิ่งที่สังคมสามารถอ้างถึงในทางที่ดีได้
เขาจะทำให้ทุกอย่างที่เพอร์เฟคในสังคมของคุณชายพังทลายลงหรือ เขาต้องลืมคุณชาย... ต้องทำใจให้ลืมคุณชายให้ได้
ความกังวลคงฉายชัดบนใบหน้าของนที ชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆจึงเอื้อมมือมา วางลงบนศีรษะของชายหนุ่ม ลูบผมสีดำสนิทเป็นมันสวยนั้นเบาๆอย่างทนุถนอม
“เป็นอะไรหรือ เงียบมาตลอดทางเลย”
คลื่นความอบอุ่นแผ่มาจากฝ่ามือของชายหนุ่ม แทรกเข้าไปทุกอณูจนถึงหัวใจของนทีที่เต้นดังขึ้น ดังขึ้นเรื่อยๆ นทีได้แต่หวังว่าคุณชายจะไม่รู้สึกถึงมัน ไม่สนใจว่าเขากำลังขวยเขินจนถึงที่สุดอยู่
สัมผัสจากฝ่ามือนี้เอง เรียกความทรงจำของสัมผัสครั้งเก่านั้นได้   
   “จะลืมได้อย่างไรล่ะครับ คุณเป็นผู้มีพระคุณของผม ที่ยังไงผมก็ต้องตอบแทนบุญคุณ ผมไม่วันลืมหรอกครับ
   ใช่ เราจะไม่มีวันลืมคุณชาย จะผิดหรือถูก นทีไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว ถ้าหากความสัมพันธ์ในครั้งนี้จะผิด จริงๆก็ช่างมันเถอะ ถ้าความผิดมันจะรู้สึกดีได้ขนาดนี้ นทีก็คิดแบบคนเห็นแก่ตัวว่า  คงจะปล่อยให้มันผิดต่อไป
   “คิดอะไรนิดหน่อยครับ”หนุ่มน้อยรวบรวมความกล้าตอบไปในที่สุด
   “คิดอะไรอยู่ ให้ผมรู้ได้ไหม”
   นทีก้มหน้าอีกครั้ง จะบอกได้อย่างไรล่ะว่า คิดเรื่องคุณชายอยู่นั่นแหละ “คิดว่า คุณชายจะพาผมไปไหน”
   ภาสกรหัวเราะลงลูกคอเบาๆ
   “เอาเถอะน่าผมไม่เอาคุณไปฆ่าไปแกงหรอก คราวที่แล้วพาไปที่สวนคุณก็ชอบนี่นา คราวนี้ต้องชอบมากกว่าเก่าแน่” ชายหนุ่มว่า “แต่คราวนี้ไม่มีวาดรูปแล้วนะ ผมเข็ด ไม่เป็นแบบให้ใครอีกแล้ว”
   สองหนุ่มหัวเราะออกมาพร้อมกัน
   “ดีใจ” ภาสกรว่าต่อไป “ดีใจที่เห็นนทีหัวเราะ ไม่ได้ยินเสียงคุณหัวเราะมานานแล้วนะ” เขาว่า “คุณใจร้ายมากเลยนะ คราวที่โทรมาหาผม ไม่รู้หรือว่าเป็นห่วงแค่ไหน โทรมาแทนจะถามสารทุกข์สุกดิบ กลับตัดขาดไม่ให้ไปยุ่งได้เสียนี่”
   “ก็ผมคิดอย่างนั้นจริงๆนี่นา” นทีเงียบไปพักหนึ่งก็พูดต่อ “ผมเห็นว่ามันไม่เหมาะสมเท่าไหร่ ที่เราจะเจอกันหม่อมแม่ของคุณชายรู้เข้า คุณชายจะซวย”
   “ก็ไม่ต้องให้รู้ซี ผมจะมีเพื่อนของผม ไม่ได้ให้เป็นเพื่อนหม่อมแม่ซะหน่อย” ภาสกรยืนยันคำพูด หนักแน่น ราวกับคิด และฝึกซ้อมมาดีแล้วอย่างไรอย่างนั้น “นอกจากคุณบอกผมมาคำเดียวเท่านั้นว่าคุณไม่อยากเจอผมอีก เพราะคุณไม่ชอบผม ผมถึงจะยอม”
   จะให้ผมบอกคุณชายหรืออย่างไรล่ะว่า ผมชอบคุณชายน่ะ นทีคิดในใจ เงียบกันไปอีกพักใหญ่ หนุ่มน้อยในชุดนักศึกษาก็เอ่ยถามขึ้นมา
   “คุณชายจะว่าละลาบละล้วงไหมครับ ถ้าผมอยากถามเรื่องส่วนตัวคุณชายบ้าง” นทีหน้าแดง ตามองออกถนน ก็เห็นว่าออกมาไกลจากตัวเมืองและแฟลตของปุยฝ้ายแล้ว แต่กำลังมุ่งหน้าไปทางชายหาด ภาสกรคิดอะไรของเขาอยู่กันแน่นะ
   “ถามมาซี ถ้าตอบได้ผมจะตอบ”
   นทีก้มหน้า พูดเสียงเบา ราวกับไม่อยากให้คำพูดผ่านออกมาจากปากมากเกินไป “ข่าวที่ว่า คุณชายเป็นแฟนกับ ดาราที่ชื่อ ฟ้า ทิฑัมพรน่ะ จริงหรือเปล่าครับ”
    ภาสกรหัวเราะออกมาเสียงดังขณะเลี้ยวรถเข้าซอยเล็กๆ ที่นำไปสู่บ้านหลังขนาดย่อม อยู่ในบริเวณที่ไม่ค่อยมีบ้านคนอื่นอยู่ หรือแม้แต่โรงแรม และสถานที่ท่องเที่ยวใกล้ๆ พอภาสกรขับรถเข้าใกล้ๆประตูรั้วมันก็เปิดออกอย่างอัตโนมัติ ชายหนุ่มเคลื่อนรถเข้าจอดในโรงรถข้างๆรถยนต์สีขาวเงินที่จอดอยู่แล้ว แล้วดับเครื่องยนต์
   “ที่นี่ที่ไหนครับ”
   “บ้านผมเอง ไม่มีใครอยู่ ทุกคนกลับกรุงเทพไปแล้ว คุณเข้ามาก่อนซี” ชายหนุ่มว่าอย่างไม่คิดเล็กคิดน้อย ไขกุญแจเปิดเข้าบ้านจากโรงรถ ไม่ได้เข้าทางประตูใหญ่หน้าบ้าน เพราะจะดูเอิกเกริก ไปใหญ่ กระนั้น นทีก็ยังไม่ยอมเดินตามชายหนุ่มเข้าไป
   “คุณชายครับ ผมว่าอย่างนี้คงไม่เหมาะ ผมคงไม่เข้าไปดีกว่าเดี๋ยวมีใครมาเห็นเข้า จะน่าเกลียดนะครับ” นทีพูดอย่างอายๆ คาดหวังให้ภาสกรคิดได้และเข้าใจ “ผมรบกวนคุณชายไปส่งผมที่หน้าปากซอยให้ผมเรียกแท็กซี่กลับห้องดีกว่า”
   “น่าเกลียดยังไงล่ะ ผมจะพาเพื่อนมาบ้านไม่ได้เลยหรือ”
   คุณชายคิดอะไรอยู่เนี่ย ผมไม่ได้เป็นแม้แต่เพื่อนซะหน่อย
   “ไม่รู้ละ ถ้าคุณไม่เข้ามาผมจะถือว่าคุณรังเกียจผม ผมจะยอมขับรถไปส่งคุณที่แฟลตก็ได้ แต่ขอให้คุณรู้ไว้ว่า ผมเพียงต้องการหาที่นั่งคุยกับคุณ ในเมื่อคุณไม่อยากนั่งตามที่สาธารณะ ผมก็พาคุณมาที่ส่วนตัวของผมก็เท่านั้นเอง ไม่เห็นจะน่าเกลียดตรงไหน คุณกับผมก็ผู้ชายเหมือนกัน”
   นทีหน้าแดงหนักกว่าเก่า แต่ก็ไม่ได้พูดตอบอะไร
   “ก็ได้ถ้าอย่างนั้น ผมจะขับรถไปส่งคุณก็แล้วกัน ถ้าคุณรังเกียจละก็”
   “ไม่ได้รังเกียจซะหน่อย” นทีตอบเสียงเบา อย่างเขินอาย “ถ้าคุณไม่กลัวคนอื่นเขานินทา ก็ตามใจคุณ”
   “ไม่กลัวเลยครับผม แถวนี้ไม่มีใครเลย คุณก็เห็นมีบ้านผมบ้านเดียว บ้านอื่นเป็นของญาติๆทั้งนั้น ไม่มีใครอยู่ด้วย เข้ามาเถอะ”
   นทีจึงเดินเข้าไปในบ้านของคุณชายหนุ่ม พอคุณชายปิดประตู นทีก็ใจเต้นแรง จะเกิดอะไรขึ้นกับเขา คุณชายคิดอะไรกันแน่.... ไม่ซี คุณชายไม่ได้เป็นคนแบบนั้น ต่อให้คุณชายคิดอะไรกับเขา นทีก็เชื่อว่าคุณชายมีเกียรติพอ และก็คงให้เกียรติเขาด้วย.. คงไม่ทำอะไรเขาหรอกนะ นทีเดินตามชายหนุ่มไปยังห้องนั่งเล่น
   ภาสกรไม่ได้บอกให้นทีนั่ง หนุ่มน้อยจึงได้แต่ยืนพิงตู้หนังสือ สายตาเหลือบไปเห็นภาพเด็กน้อยคนหนึ่งในกรอบรูป ยืนยิ้มแฉ่งให้คนที่มองอยู่ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นรูปของภาสกรในยามเด็ก ชายหนุ่มใส่ชุดสูทเรียบร้อย ราวกับตามท่านพ่อ และหม่อมแม่ไปออกงานสังคม นทีเห็นภาพนั้นก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ มัวแต่ยิ้มให้รูป ไม่ทันได้เห็นว่า ชายหนุ่มที่เคยเป็นเด็กน้อยในรูป กำลังรูดม่านเปิดออก เผยให้เห็นประตูเลื่อนบานกระจก เปิดออกไป เป็นนอกชาน กว้างขวาง มองเห็นทะเลได้ จากข้างในบ้าน
   “นที ออกมานั่งข้างนอกซี”
   หนุ่มน้อยได้ยินภาสกรเรียกก็เงยหน้าจากรูปขึ้นมองชายหนุ่ม ภาพเบื้องหลังของเขา คือทะเลสีเข้มที่ถูกย้อมด้วยความมืด ซัดสาดเข้าหาฝั่งอย่างสงบเงียบในคืนนี้ ด้วยความที่ลมไม่แรงนัก
   นทีเดินออกไปยังนอกชานที่ปูพื้นไม้ไว้อย่างสวยงาม หนุ่มน้อยนั่งลงที่ม้านั่ง มันไม่ได้หันหน้าออกไม่ยังทะเล แต่หันข้างให้ ดังนั้น เมื่อนั่งบนเก้าอี้ตัวนั้นนทีจึงเห็นภาพของหาดทราย ทอดยาวออกไป ที่อยู่ไกลลิบนั้นคือเมืองพัทยาที่เต็มไปด้วยแสงสี ด้านซ้ายของนทีเป็นทะลีสีดำหากแต่สวยงามเป็นประกายยั่วล้อ กับแสงจันทร์เต็มดวง
   “สวยมากครับคุณชาย”
   ภาสกรยิ้มให้ เขาไม่ได้นั่งข้างๆหนุ่มน้อย หากแต่ยืนอยู่ใกล้ๆประตูกระจก ยืนนิ่งมองออกไปยังเส้นขอบฟ้าที่อยู่ไกลออกไป คิดถึงความฝันที่เขาเห็นคืนก่อนที่นทีจะฝื้นขึ้นมา เมื่อเรียกสติของตัวเองกลับมาได้แล้ว ภาสกรก็หันไปถามนที
   “กาแฟไหมครับ หรือน้ำชา หรือว่าน้ำผลไม้”
   “กาแฟก็แล้วกันครับ” จบประโยคชายหนุ่มก็เดินกลับเข้าไปในตัวบ้าน ทิ้งให้หนุ่มน้อย นั่งมองทะเลสีดำสนิทอยู่คนเดียว
   นานเป็นเดือนแล้ว ที่เขาไม่ได้เห็นทะเล ครั้งสุดท้ายคือคืนก่อนที่เขาจะถูกรถชน นทีมองเส้นขอบฟ้าด้วยความเศร้าใจ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น แต่ก็ส่ายหัวแรงๆ สลัดความคิดนั้นออกไป ในเมื่อเวลานี้ นทีกำลังมีความสุข ก็อยากซึมซับความสุขนั้น ให้อยู่กับเขาไปชั่วระยะหนึ่ง... ทั้งๆที่อยากพูดว่า ซึมซับความสุขนั้นตลอดไป แต่หนุ่มน้อยก็รู้ดีว่า ไม่มีอะไรอยู่กับเขาได้ “ตลอดไป” พ่อ... แม่... บุคคลที่เขารักมากที่สุดทั้งสองคนได้จากไปแล้ว คนรักของเขาแต่ละคนก็ไม่เคยกลับมาให้เขาได้เห็น หรือพูดคุยกันอีก ไม่มีใครอยู่กับเขาได้ตลอดไป
   ภาสกรก็จะเป็นหนึ่งในนั้น
   ไม่นาน หากคุณชายล่วงรู้ความจริงที่อยู่ในใจของเขา ชายหนุ่มจะมองหน้าเขาได้ไหม จะบอกเขาว่าจะเป็นอีกคนที่คอยดูแลเขาได้ไหม จะบอกเขาว่า ภาสกรเองก็รักเขาเหมือนกัน ได้ไหม หรือจะจากไป แล้วความสุขก็จะลาจากเขาไปพร้อมกันในที่สุด
   “ทิฆัมพรกับผมไม่ได้เป็นแฟนกัน” ภาสกรว่า ถือถ้วยกาแฟมาสองถ้วย ถ้วยหนึ่งยื่นให้นที อีกถ้วยเป็นกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาลสำหรับตัวเขาเอง ภาสกรหย่อนก้นนั่งลงข้างๆนที พอหนุ่มน้อยกล่าวคำขอบคุณ ภาสกรก็เล่าต่อ “หม่อมแม่ของผม หมายมั่นจะให้ผมแต่งงานกับทิฆัมพร แต่ก็ไม่เคยพูดอะไรให้ผมรู้ ผมเองเป็นคนที่ได้ยินจากคนอื่นมาด้วยตัวเอง แต่ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ทิฆัมพรก็เป็นเพียงเพื่อนที่รู้จักมาตั้งแต่เด็กเท่านั้น ผมไม่คิดจะแต่งงาน หรือแม้แต่เป็นแฟนกับเขา ข่าวที่ออกมาตามหน้าบันเทิง ก็เพราะทิฆัมพรใกล้ชิดกับผมเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่เคยมีอะไรมากกว่านั้น”
      นที จิบกาแฟรสเยี่ยมฝีมือคุณชาย เข้าไป ก่อนจะพยักหน้าให้คุณชายรู้ว่า เขาฟังอยู่ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ชายหนุ่มอีกคนจึงเป็นคนถามเขาเอง
   “คุณอยากรู้ทำไมหรือ”
   นทีเงยหน้าจากถ้วยกาแฟ สบตาเข้ากับชายหนุ่ม จะหลบตาก็ไม่กล้าเดี๋ยวคุณชายจะยิ่งเห็นพิรุธหนักเข้า ตราบใดที่นทียังไม่แน่ใจว่าคุณชาย คิดแบบเดียวกับเขา เขาก็ไม่อยากทำอะไรให้ชัดเจนนัก... อย่างน้อย เขาก็ได้รู้แล้วว่า คุณชายกับทิฆัมพร ดารานางร้ายคนนั้น ไม่ได้มีอะไรกันเลย
   “ก็ ผมเห็นเพื่อนๆ ที่ม.คุยกันผมก็อยากรู้ว่าจริงหรือเปล่า ก็เท่านั้นเองล่ะครับ” หนุ่มน้อยตอบแบบขอไปที โชคดีที่ภาสกรไม่ได้ติดใจอะไร จึงไม่ได้ถามต่อ
   “สวยไหม ชอบหรือเปล่า” คุณชายเอ่ยถาม
   “ชอบซีครับ ชอบมากบ้านสวย ทะเลก็สวย เงียบอีกต่างหาก ไม่น่าเชื่อว่าพัทยาจะมีที่แบบนี้” หนุ่มน้อย จ้องท้องฟ้าไกล ไม่ได้มองหน้าผู้ที่เขากำลังสนทนาด้วย “ขาดอย่างเดียว ถ้ามีกีตาร์ละก็ คงเหมือนในหนัง ฉากพระเอกอกหักนั่งดีดกีตาร์ให้ทะเลฟัง”
   นทีหันกลับมาเจอคุณชายยิ้มที่มุมปาก ดวงตาเป็นประกายเหมือนนึกอะไรได้    “เอ้า ถ้าอยากให้เหมือน งั้นผมก็จะทำให้เหมือนแล้วกัน”
   คุณชายพรวดพราดลุกออกไป ไม่ทันที่นทีจะได้พูดอะไร กลับมาอีกทีก็มีกีตาร์อยู่ในมือเสียแล้ว ภาสกรยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวเรียงสวยอยู่ในปากหนาสีชมพูเข้ม
   “มาแล้ว แต่ขออย่าง อย่าเอาฉากพระเอกอกหัก เอาฉากพระเอก มาบ้านเพื่อนพระเอก แล้วโชว์ฝีมือให้เพื่อนพระเอกฟังก็แล้วกัน”
   นทีหัวเราะเบาๆ
   “เสียอย่างเดียว แขนซ้ายผมหักอยู่ คงจับคอร์ดไม่ได้”
   “ถ้างั้น ผมจับคอร์ดให้ คุณดีดละกัน”
   ภาสกร กระเถิบตัวเข้าใกล้ชายหนุ่ม ทำให้ลำตัวแนบชิดกันอย่างไม่ตั้งใจ คุณชายคงไม่ได้คิดอะไรมาก แต่นทีสิใจเต้นจนกลัวว่าคนที่อยู่ข้างๆจะพลอยได้ยินมันด้วย ภาสกรนับหนึ่งถึงสามก็จับคอร์ดกีตาร์ ให้นทีใช้มือขวาที่เกาสายกีตาร์เบาๆ เสียงร้องเพลงของคุณชายทุ้มนิดๆ เมื่อร้องเพลงกลับฟังดูแหบห้าว ไม่เหมือนยามพูดหากแต่เมื่อฟังเอาเพลินๆ นทีรู้สึกว่าเสียงของคุณชายช่างเพราะจับใจเหลือเกิน
    หนุ่มน้อยมิได้สนใจเนื้อร้องในเมื่อมันเป็นภาษาอังกฤษ เขาฟังไม่ค่อยออกนักหากไม่ตั้งใจฟัง แต่เมื่อมาถึงท่อนสุดท้ายไม่รู้เพราะอะไร นทีกลับฟังออกทุกคำ เข้าใจได้โดยไม่ต้องตั้งใจฟัง
    
        There is only one wish on my mind,
    when this day is through; I hope that I will find
    that tomorrow will be just the same for you and me.
    All I need will be mine if you are here

มีสิ่งเดียวที่ใจฉันนั้นปรารถนา
เมื่อเวลาหมดลงแล้วในวันนี้ ให้ฉันได้พบว่า
วันต่อไปก็ยังเหมือนเดิมสำหรับเธอและฉัน
ฉันจะได้ทุกสิ่งที่ฉันต้องการหากเพียงมีเธออยู่ข้างกัน...


    “เพราะมากครับ คุณชาย” จะปรบมือให้ก็ทำไม่ได้นทีจึงได้แต่เอ่ยปากชม “แต่ว่า ผมไม่ค่อยรู้จักหรอกครับเพลงฝรั่ง”
   “อ้าวแล้วกัน เพลงนี้ดังออก” ภาสกรหัวเราะ “ชื่อเพลง Top of the world ดังสมัย ท่านพ่อ ตอนท่านเสด็จไปเรียนอยู่ที่ อเมริกา ช่วงนั้นเพลงของ The Carpenters นี่ดังมากๆ ใครไม่รู้จักถือว่าเชย เสียดายผมเกิดช้าไป 7-8 ปี ถ้าเป็นเพลง Yesterday Once more หรือ They long to be close to you คุณต้องรู้จักแน่ๆ”
   “every cha la la la every whoa whoa อันนี้พอรู้จักครับ”  
   ภาสกรหัวเราะ เมื่อได้ยินเสียงใสๆ ของนทีร้องเพลง
   “คุณร้องเพลงเพราะ เสียงใสอย่างกับเด็ก ผมนี่ ร้องเพลงไม่ว่าเพลงไหน ต้องเสียงแหบไม่รู้ทำไม”
   “คุณชายร้องเพลงเพราะออก”
   “คุณร้องให้ผมฟังบ้างซี” ภาสกรกระเซ้า แหย่
   “ไม่เอาหรอกครับ อายคุณชายจะแย่ ผมไม่ได้ร้องเพลงเพราะขนาดนั้น” นทีหน้าแดง รีบปฏิเสธเสียงดัง
   “ขี้โกงนี่ ผมร้องให้คุณฟังแล้ว คุณก็ต้องร้องให้ผมฟังบ้าง แลกกัน”
   มาไม้นี้ นทีไม่รู้จะทำอย่างไร เลยต้องร้องเพลงให้ภาสกรฟังอย่างอายๆ คุณชายหนุ่มดีดกีตาร์ให้ ปล่อยให้หนุ่มน้อยร้องเพลงไปอย่างเดียว ไม่รู้ทำไม แต่ภาสกรมีความสุขที่สุด เมื่อได้ยินเสียงของหนุ่มน้อย ร้องเพลง ผ่านเข้าหูของเขา คนดีดกีต้าร์มองหน้าหนุ่มน้อยข้างๆไป ก็ยิ้มไปตลอดเพลง ไม่ได้ฟังว่าเป็นเพลงอะไร หรือ มีความหมายอย่างไรด้วยซ้ำ แค่ได้เห็นหน้าของนที และได้ยินเสียงเขา ก็มีความสุขแล้ว
   เหมือนที่เขาร้องให้นทีฟังเมื่อครู่นั่นแหละ เขามีความสุขที่สุดเมื่อนทีอยู่ใกล้ และเขาหวังเพียงอย่างเดียวจริงๆว่า วันพรุ่งนี้และวันต่อๆไป เขาจะได้มีความสุขแบบนี้อีกเรื่อยๆ
    “คุณชายยิ้มทำไม ผมบอกแล้วว่าเสียงผมมันไม่เพราะ”
   “ไม่เห็นเป็นไรเลย ผมชอบของผมนี่นา” คุณชายว่า “เสียงคุณเพราะออกอย่างนี้ สาวๆคงติดกันตรึม”
   “ไม่เห็นมีมาติดเลย” นทีบ่นงึมงำ แต่ภาสกรก็ไม่ได้ใส่ใจ กระทั่งชายหนุ่มพูดประโยคต่อมา “คุณชายมากกว่า ร้องเพลงก็เก่ง หน้าตาก็ดี นิสัยก็ดีแบบนี้ คงมีผู้หญิงมาให้เลือกเยอะแยะ”
   “ก็มีให้เลือกนะ แต่ไม่เลือก” ภาสกรว่า “จริงๆผมมันเป็นคนน่าเบื่อ คุณเป็นคนแรกที่ชม คนอื่นๆเห็นหน้า และรู้จักว่าผมเป็นใครก็ชอบ พอผ่านๆไปก็ไม่เห็นจะสนใจผมจริงๆสักคน ผมคงน่าเบื่อเกินไป ไม่แพรวพราวอย่างใครเขา... อย่าว่าแต่แฟนเลย เพื่อนผมก็ไม่ค่อยมี”
   “อะไรกัน ผมไม่เชื่อหรอกอย่างคุณชายเนี่ยนะไม่มีเพื่อน”
   “ถ้าเพื่อนแบบคบกันหวังผลประโยชน์ หรือพูดจากันเพราะบทบาททางสังคมล่ะเยอะเลย นับไม่ไหวหรอก แต่เพื่อนสักคนที่จะไว้ใจ ไปไหนมาไหนด้วย คุยกันได้ทุกเรื่องอย่างถูกคอ ผมนับคนได้เลยว่าไม่กี่คน”
   คุณชายเงียบไปพักหนึ่งราวกับพักหายใจ แล้วพูดต่อ
   “ผมไปอยู่อังกฤษตั้งแต่ 10 ขวบ จบมหาวิทยาลัยตอนยี่สิบต้นๆ ถึงกลับมาอยู่ที่ไทย แล้วก็กลับไปเรียนออกแบบอัญมณีต่ออีก ปีสองปี เพื่อนผมส่วนใหญ่อยู่ที่อังกฤษ พอกลับมาไทยก็ขาดการติดต่อไปบ้าง ไม่มีเวลาคุยกัน ด้วยความต่างของเวลาบ้าง ก็ไม่ได้คุยกับเพื่อนคนไหนอีก
อยู่ไทยผมก็เอาแต่ทำงาน ช่วยท่านพ่อบริหารงานร้าน รชตานันต์  อัญมณี เพื่อนส่วนมากก็รู้จักผ่านท่านพ่อ เป็นลูกเจ้าลูกนาย คุยกันก็ต้องมีมารยาท วางตัวดี ห้ามพูดจาเล่นหัว คุยกับคนที่รู้จักผ่านงานก็ได้แต่คุยเรื่องงาน เพื่อนสนิทจริงๆของผม ผมบอกเลยว่า ไม่มี ผมไม่มีคนให้ไปทานข้าวด้วย ดูหนังด้วย หรือแม้แต่โทรหาเวลาดีใจ หรือเสียใจ คนที่ผมคุยได้ด้วยมากที่สุดก็ไม่ใช่ท่านพ่อ หรือหม่อมแม่แต่เป็นแม่นม ตลกไหมครับ ”
“คุณชาย” นทีมองหน้าชายหนุ่มด้วยความสงสาร นึกคำจะปลอบเขาอยู่แต่ไม่ทันพูดอะไร ภาสกรก็เอื้อมมือมาแตะหลังเขาเบาๆสองสามที ไม่ต่างจากเพื่อนชายทั่วไปปฏิบัติต่อกัน แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ทำให้นที รู้สึกหวั่นไหว ใจเต้นแรงจนต้องก้มหน้าด้วยความเขินอาย
“ไม่ต้องทำหน้าสงสารขนาดนั้น  ตอนนี้ผมมีความสุขแล้ว… มีความสุขตั้งแต่มีคุณ” ภาสกรยิ้มให้ โดยไม่รู้ตัวเลยว่า จิตใจของหนุ่มน้อยตรงหน้ากำลังปั่นป่วนราวกับมีพายุลูกน้อยๆ ก่อตัวขึ้นในใจมากขนาดไหน

สองทุ่มครึ่ง ภาสกรก็ตัดสินใจไปส่งนทีที่แฟลต ทั้งคู่คุยกันอย่างสนิทสนมเหมือนเดิม ไม่มีความอึดอัดใจ หรือความเงียบอย่างกระดาก เขินอายอีก จนลืมมองเวลาว่า มันล่วงเลยมาขนาดนี้แล้ว ภาสกรขึ้นรถเบนซ์สีขาวเงินอีกคันหนึ่งเพราะไม่อยากให้รถยนต์สีแดงสดเป็นที่ดึงดูดสายตาผู้คนแถวแฟลตของปุยฝ้ายมากนัก
“บ้านคุณชายสวยจริงๆเสียดายไม่มีสี กับกระดานวาดรูป” นทีชวนคุยเพื่อทำลายความเงียบนั้นลง แม้เป็นความเงียบแบบอุ่นใจ และมีความสุข ไม่ใช่ความเงียบที่อึดอัด ทำอะไรไม่ถูกก็ตาม
“ไม่เอาแล้ว คุณจะวาดก็วาดวิวไปนะ ผมไม่เป็นแบบอีกแล้ว เข็ดไปจนตาย” ภาสกรรีบปฏิเสธแบบทีเล่นทีจริง ที่ท่าทางจะแฝง “ทีจริง” ไว้เยอะเหลือเกิน นทีไม่ว่าอะไรได้แต่นั่งหัวเราะ จนรถเลี้ยวเข้าในซอยแฟลตของปุยฝ้ายพอดี“แน่ใจนะว่าไม่อยากให้ผมไปส่งข้างบน”
“แน่ใจครับ มีลิฟต์ ผมไม่ต้องเดินเยอะ” เขาว่า แต่ก็ไม่อาจเปิดประตูลงไปได้จนแล้วจนรอด ด้วยคิดว่า ไม่อยากให้ช่วงเวลานี้จบลงเลย “ขอบคุณ คุณชายมากครับ วันนี้ผมมีความสุขมาก ขอบคุณจริงๆ”
หนุ่มน้อยเปิดประตูทำท่าจะลงจากรถ พร้อมๆกับ ภาสกรที่เดินอ้อมมา เปิดประตูหลัง หยิบไม้ค้ำยื่นให้หนุ่มน้อยที่ลุกออกจากรถ แล้วยืนขาเดียว นิ่งอยู่พักหนึ่ง ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ตอนนั้นเป็นนาทีที่เงียบสงบ ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากัน ลุ้นอยู่ในใจว่าใครจะพูดอะไรก่อน
แล้วก็เป็นภาสกรที่ทำลายความเงียบนั้นก่อน
“นที คุณมีความสุขผมก็ดีใจ... หลังจากที่ผมได้เล่าอะไรให้คุณฟังหลายอย่าง หลังจากรู้จักกันมาก็พักหนึ่งแล้ว ผมอยากจะขอเป็น...”
นทีแทบกลั้นหายใจเพื่อฟังประโยคต่อมา
“เป็นเพื่อนกับคุณได้ไหม”
“เอ้อ...” หนุ่มน้อยอุทานออกมา เพราะคิดไปไกลแล้วว่าภาสกรจะพูดว่าอะไร ไกลจากความจริงไปมากพอควรทีเดียว “ก็ เป็นซีครับ”
ชายหนุ่มยิ้มให้กับหนุ่มน้อยตรงหน้าด้วยความเอ็นดู ก่อนจะเอ่ยตามต่อไป “แล้ว คุณไม่คิดว่าเราไม่ควรจะเจอกันแล้วใช่ไหม”
นทีพยักหน้าอายๆ
“แล้วถ้าผมจะโทรหาคุณบ้าง มาหาคุณบ้าง ไปรับคุณที่มหาวิทยาลัย แล้วไปทานข้าว ไปเที่ยวกันบ้างได้ไหม” คุณชายถามต่อ
“ไม่ได้ครับ”
“อ้าว” คนฟังหน้าเสีย เมื่อได้ยินคำปฏิเสธจากหนุ่มน้อยตรงหน้า
“ทุกข้อได้หมดยกเว้นข้อสุดท้าย ถ้าคุณชายเอารถสีแดง สะดุดตาคันนั้นไปรับผมที่มหาวิทยาลัยอีก คนในคณะก็จะแตกตื่นอย่างวันนี้ แล้วเขาก็จะเอาเรื่องคุณชายไปพูดกันให้สนุกปากอีก ฉะนั้นผมไม่อนุญาต”
“โธ่” คุณชายหัวเราะลงลูกคอเบาๆ “งั้นถ้าผมเอารถคันนี้ ไปรับคุณก็คงจะเต็มใจใช่ไหมครับ”
“ก็... อย่าจอดหน้าตึกก็แล้วกันมันจะขวางทางใครหลายๆคน” นทีก้มหน้าต่ำด้วยความอาย ไม่อยากเชื่อว่า คำพูดของตัวเอง มันเท่ากับบอกคุณชายว่า ผมอยากให้คุณชายมารับผม อย่างไรอย่างนั้น
ภาสกรหัวเราะเสียงดัง เอื้อมมือมาขยี้ผมหนุ่มน้อยด้วยความเอ็นดูอย่างเดิม รู้สึกถึงความอบอุ่นที่ต่างคน ต่างถ่ายทอดให้กัน ทั้งคู่ยืนยิ้มอยู่นานก่อนที่จะกล่าวราตรีสวัสดิ์ และแยกย้ายกันไป ภาสกรยังนั่งมองจากในรถจนแน่ใจว่านทีขึ้นห้องไปแน่แล้วจึงขับรถออกจากบริเวณนั้นด้วยความสุขล้นเต็มหัวใจ อย่างอธิบายเหตุผลไม่ได้ ฮัม เพลงที่เพิ่งร้องให้หนุ่มน้อยฟัง ตลอดทางกลับบ้าน

Everything I want the world to be
is now coming true especially for me.
And the reason is clear, it’s because you are here.
You're the nearest thing to heaven that I’ve seen


***********************************************************************
สวัสดีครับ ก่อนอื่นต้องขอรายงานตัวก่อนเลยว่า “ผมกลับมาแล้วคร้าบ”  เดินทางปลอดภัยหายห่วง แล้วก็สนุกมากๆเลยด้วยคงเพราะมีเพื่อนๆอวยพรให้แน่เลย ขอบคุณที่ยังติดตามกันอยู่ไม่หายไปไหนนะครับผม

สำหรับหลายๆคนที่สงสัยเรื่องอดิสรณ์ ตอนนี้เขาฝากผมมาบอกว่าอยู่ทางใต้ทำธุรกิจอยู่ครับ แต่ไม่ต้องกลัวเพราะเขาส่งลูกน้องไปตามหานทีเสียให้ทั่วกรุงเทพตามที่ถูกปุยฝ้ายหลอกไปเรียบร้อยแล้ว หารู้ไม่ว่านทียังอยู่พัทยาอยู่เลย 555+ เรื่องความชั่วของอดิสรณ์อย่าเพิ่งสนใจเลยครับ เอาใจช่วยให้ภาสกรรู้ใจตัวเองก่อนดีกว่า เพราะคุณชายน่ะ ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย... ใจตัวเองแท้ๆดูไม่ออกซะงั้น 555+

จากบทที่แล้วคงเห็นว่า นทีของเราเห็นเรียบร้อยๆ แต่บทจะโกรธก็โกรธจริงจังมากเลยนะครับ เหวี่ยงไม่แคร์ใครเลย 555+

สำหรับตอนนี้หลายคนก็คงเคลิ้มไม่น้อยกับบรรยากาศที่วังพัทยาของชายภาส แนะนำให้หาเพลงมาเปิดฟังคลอไปด้วยนะครับ จะรู้สึกเหมือนมีผี้สื้อมาบินอยุ่รอบๆทีเดียว

ปล.
ผมโพสต์รายละเอียดหนังสือ และระเบียบการโอนเงินที กระทู้ปางบรรพ์ แล้วนะครับ อย่าลืมตามไปดูนะคร้าบ
@คุณzeen11 คุณ zeen11 ใช่คนที่โพสต์คลิป พี-ก้อง ในยูทูปรึเปล่าครับ ชื่อ login เหมือนกันเลย 555+
@คุณpatz สาเหตุรถชนนี่ ผมแต่งไว้ก่อนเกิดเหตุการณ์คุ้นๆนั้นอีกนาครับ อิอิ

หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 19 "ผมมีความสุขแล้ว…มีความสุขตั้งแต่มีคุณ" 18/04/11 - 20.15
เริ่มหัวข้อโดย: naja-kitase ที่ 18-04-2011 22:25:14
โอ้วว บรรยากาศหวานมากๆ
เปิดเพลงฟังไปคลอๆยิ่งได้อารมณ์ ไม่ใช่แค่นทีที่เขินนะ เราก็เขิน  :-[ ฮ่าๆๆ
อยากให้คุณชายรู้ใจตัวเองเร็วๆจัง

ปล.สำหรับอดิสรณ์   :z6: (อันนี้ขอซ้อมไว้ก่อน 555)
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 19 "ผมมีความสุขแล้ว…มีความสุขตั้งแต่มีคุณ" 18/04/11 - 20.15
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 18-04-2011 23:10:56
นทีแอบเจ้าเล่ห์น๊า แต่ดีแล้ว เรามีโอกาสแล้วเราต้องพยายามเราจึงจะได้(เขา)มา 555
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 19 "ผมมีความสุขแล้ว…มีความสุขตั้งแต่มีคุณ" 18/04/11 - 20.15
เริ่มหัวข้อโดย: lomekung ที่ 18-04-2011 23:16:29
 :z13: :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 17-18 - 2ตอนควบ รับสงกรานต์ครับ :) 11/04/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 19-04-2011 04:19:36
ตอนใหม่มาแล้ว... ต่างฝ่ายต่างเริ่มจะเปิดใจให้กันแล้วสิเนาะ ถึงแม้คุณชายจะยังไม่รู้ตัว ว่านั่นจะเรียกว่ารักรึเปล่า แต่ก็ดูเป็นสัญญาณที่ดีอยู่


@คุณpatz สาเหตุรถชนนี่ ผมแต่งไว้ก่อนเกิดเหตุการณ์คุ้นๆนั้นอีกนาครับ อิอิ
ยังดีที่หลังเกิดเหตุ คุณชายไม่ไปยืนกดบีบีอยู่ข้างทางเนาะ หุหุ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 19 "ผมมีความสุขแล้ว…มีความสุขตั้งแต่มีคุณ" 18/04/11 - 20.15
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 19-04-2011 08:49:44
คุณชายเเมนมาก ทั้งเป็นสุภาพบุรุษ ปากหวาน พูดจาดี จิตใจดี น้องน้ำจะไม่ชอบไม่รักได้ยังไง
ชอบเรื่องนี้มากค่ะ ตื่นเต้นทุกครั้งเวลาจะอ่าน เเอบเขินตามน้องน้ำด้วย

ยังเเอบติดใจเรื่องพ่อเลี้ยง ทำอะไรไว้เนี่ย

ขอบคุณพี่ฟ้าม่วงมากค่ะ


** ชอบตอนเล่นกีตาร์ กรี๊ดดดดด เขินนนนนตามน้องน้ำ**
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 19 "ผมมีความสุขแล้ว…มีความสุขตั้งแต่มีคุณ" 18/04/11 - 20.15
เริ่มหัวข้อโดย: Little Devil ที่ 19-04-2011 09:16:10
มาให้กำลังใจ
+1
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 19 "ผมมีความสุขแล้ว…มีความสุขตั้งแต่มีคุณ" 18/04/11 - 20.15
เริ่มหัวข้อโดย: BF-e ที่ 19-04-2011 19:35:40
 ตอนนี้ผมมีความสุขแล้ว… มีความสุขตั้งแต่มีคุณ



  อ๊ายยยยยยยยยยย! ผีเสื้อบินว่อนน  :o8: :-[
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 19 "ผมมีความสุขแล้ว…มีความสุขตั้งแต่มีคุณ" 18/04/11 - 20.15
เริ่มหัวข้อโดย: zeen11 ที่ 19-04-2011 21:47:35
@คุณzeen11 คุณ zeen11 ใช่คนที่โพสต์คลิป พี-ก้อง ในยูทูปรึเปล่าครับ ชื่อ login เหมือนกันเลย 555+
++++++++++++++++++++
ใช่ค่ะ ดูด้วยเหรอค่ะ ^____^


เม้มท์นิยายก่อน ตอนนี้กำลังหวานเชียว ขอให้หวานต่อไปเรื่อยๆ อย่าเพิ่งดราม่านะ  o18
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 19 "ผมมีความสุขแล้ว…มีความสุขตั้งแต่มีคุณ" 18/04/11 - 20.15
เริ่มหัวข้อโดย: butterfly_bee ที่ 20-04-2011 17:20:54
 :เฮ้อ: คุณชายจะรู้มั้ยเนี่ยว่าทำให้หัวใจนทีวุ่นวายไปขนาดไหน
แต่คุณชายคงไม่รู้แน่ๆแหละ ขนาดหัวใจตัวเองยังไม่รู้เลย  :laugh:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 19 "ผมมีความสุขแล้ว…มีความสุขตั้งแต่มีคุณ" 18/04/11 - 20.15
เริ่มหัวข้อโดย: Rhythm ที่ 20-04-2011 18:02:06
เคลิ้มจริงๆด้วยอ่ะ
รออ่านนะคะ :L1:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 19 "ผมมีความสุขแล้ว…มีความสุขตั้งแต่มีคุณ" 18/04/11 - 20.15
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 20-04-2011 21:12:45
หวานมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
 :-[
ขนาดคุณชายยังไม่รู้ใจตัวเองนะเนี่ย

แต่แบบนี้เหมือนให้ความหวังนทีเลยอ่าาาาาาา

ลุ้นให้คุณชายรักนทีไวๆ
 :L1:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 19 "ผมมีความสุขแล้ว…มีความสุขตั้งแต่มีคุณ" 18/04/11 - 20.15
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 20-04-2011 21:44:23
20

    นทีเดินลงจากตึกเรียน ก็ตรงไปยังรถสีขาวเงินคันสวยของภาสกร ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงที่คนขับใส่แว่นกันแดด เพื่อป้องกันสายตาจากแสงอาทิตย์ที่นับวันจะมีแต่โหดร้ายขึ้นทุกที คุณชายภาสกร อ่านหนังสือนิยายฝรั่งอย่างสนใจแม้นทีจะขึ้นรถมาแล้วก็ไม่อาจละสายตาจากหนังสือเล่มนั้นได้อยู่ดี
   “อีกไม่ถึงอาทิตย์ผมก็สอบไฟนอลแล้วละ”
   “เหรอ” ภาสกรรับคำ ก่อนจะคั่นหนังสือหน้าที่ค้างไว้ แล้ววางไว้ข้างๆตัวเอง เขารับไม้ค้ำของนทีมาส่งไปหลังรถ
   “วันนี้ฝ้ายไม่ไปด้วยครับ เราไม่ต้องไปส่งฝ้าย” หนุ่มน้อยรายงาน ก่อนที่ภาสกรจะยื่นแซนวิช ทำเองให้ชายหนุ่ม
   “ผมทำแซนวิชทูน่ามาเผื่อ วันนี้คุณเลิกเร็ว ผมจะพาไปกรุงเทพ”
   “หา ไปกรุงเทพเลยหรือ” หนุ่มน้อยทวนคำ
   ภาสกรหัวเราะก่อนจะตอบ
   “ใช่ ไม่ถึงกับกรุงเทพดีหรอก อยู่ชานเมือง ขับรถชั่วโมงเดียวก็ถึง เป็นร้านอาหารของคนรู้จักผมเอง สวยมากเลยนะ เสียดายปุยฝ้ายไม่ได้ไปด้วย เป็นร้านอาหารไทย หลังๆนี้เราไม่ได้กินอาหารไทยกันเลยนี่นา”
    การพบกันระหว่างเขาและภาสกร กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ทุกเช้า ภาสกรจะขับรถมาจอดรอหน้าแฟลต เมื่อหนุ่มน้อย และเพื่อนสาวเดินลงมาถึงข้างล่างก็จะพบรถของภาสกรจอดอยู่ทุกครั้ง นทีจำได้ว่าเขาเคยบอกภาสกร ทำนองว่า “เกรงใจ คุณไม่เห็นต้องตื่นแต่เช้าไปส่งผมเลย”
   “คุณนั่งแท็กซี่ ไม่สบายขาก็ยังไม่หายดี นั่งรถผมไปนั่นแหละสะดวกกว่า” จะห้ามก็ห้ามไม่ได้ นทีก็ต้องปล่อยเลยตามเลย ดีเสียอีกที่ตื่นมาแต่เช้าก็ได้เจอภาสกรแบบนี้
   พอเรียนเสร็จ เขาก็จะพบว่ามีรถของคุณชายหนุ่มจอดรออยู่แล้วที่ลานจอดรถ แรกๆ เพื่อนๆก็ตื่นเต้นกันใหญ่ที่รู้ว่านที และปุยฝ้ายรู้จักภาสกร ถามไถ่เรื่องส่วนตัวของคุณชายหนุ่มกันอย่างไม่เกรงใจ แต่เมื่อนานๆเข้ารู้ว่าอย่างไร นทีก็ไม่มีวันปริปากบอกเสียงพูดคุยเหล่านั้นก็เงียบไปเอง กลายเป็นเรื่องเคยชินสำหรับทุกคนในคณะไปแล้วว่า พอเลิกเรียนวันไหน นที และ ปุยฝ้ายก็จะมี “ราชรถ มาเกย” ไม่เคยขาดสักวัน
   วันไหนที่มาไม่ได้ เพราะติดประชุม หรือกลับบ้านไปเยี่ยมท่านพ่อ ภาสกรก็จะส่งข้อความมาบอกว่ามารับไม่ได้
    วันไหนที่ปุยฝ้ายและนทีเลิกพร้อมกัน ภาสกรก็จะรับทั้งคู่ไปส่งที่ร้าน Chez moi ที่ปุยฝ้ายทำงานเป็น พนักงานเสิร์ฟ ตัวคุณชายก็จะ นั่งจิบกาแฟ และกินเค้กกับนที ภาสกรเพิ่งมารู้ว่านอกจากข้าวที่นทีชอบที่สุดแล้ว ยังมีเค้กที่เจ้าตัวกินได้ทุกวัน ทั้งวัน อย่างไม่มีเบื่อน่าแปลกที่กินเท่าไหร่ก็ไม่เคยอ้วนสักที พอภาสกรถาม นทีก็ตอบว่า
“ไม่อ้วน แต่รู้สึกตัวหนัก ผมไม่เคยอ้วนแบบลงพุงสักที แม่บอกว่าระบบเผาผลาญทำงานดีเกินไป เลยไม่ค่อยเหลือมาสะสมในร่างกาย”
วันไหนที่ปุยฝ้าย และนทีเลิกไม่พร้อมกันแต่จะกลับด้วยกัน ภาสกรก็ไม่เบื่อที่จะนั่งอ่านหนังสือในรถ หรือเปิดเพลงฟังกับนที หรือเดินชมบรรยากาศของมหาวิทยาลัย จุดที่ภาสกรชอบที่สุด คือสระน้ำขนาดใหญ่ ใกล้กับอาคารเรียน ทั้งคู่สามารถนั่งคุยกันตรงนั้นได้เป็นชั่วโมงระหว่างรอปุยฝ้ายเลิกเรียน
    “เวลาผมมีเรื่องทุกข์ใจ ผมก็มานั่งตรงนี้แหละครับ วันไหนแดดร้อนก็นั่งได้ไม่นาน วันไหนร่มเหมือนวันนี้ ผมนั่งได้เป็นวันเลย จนฝ้ายไล่ให้ผมไปเป็นเพื่อนกับสระน้ำแทน ไม่ต้องสนใจเขาแล้ว”
   นทีเคยเล่าให้ภาสกรฟัง และยังจำได้ว่าคุณชายยิ้มให้อย่างเข้าใจแล้วบอกว่า “แล้วตอนนี้รู้แล้วใช่ไหม ว่าถ้ามีอะไรไม่สบายใจให้มาคุยกับผมได้”
   
    วันไหนที่ปุยฝ้ายไม่กลับด้วยอย่างวันนี้ คุณชายหนุ่มก็จะพา นทีไปทานอาหารเย็นกันสองคน ค่ำๆก็พาไปส่งที่แฟลต รอจนแน่ใจว่าขึ้นห้องไปแล้วไม่มีปัญหาแน่ ก็กลับบ้าน เคยมีอยู่วันหนึ่งที่ทั้งปุยฝ้ายและ นทีเลิกเรียนเร็วอย่างวันนี้ ภาสกรก็พาทั้งคู่ไปที่บ้านของเขา ไปทำอาหารกินกันเองโดยแวะซื้อเครื่องปรุงจากซูเปอร์มาร์เก็ตกลับไปทำกินกัน
   ถึงบ้านประมาณบ่ายๆ นทีนึกสนุกก็ขอคุณชายเป็นแบบวาดภาพเขากับทะเล แต่คุณชายหรือจะยอมในเมื่อเคยทนร้อนอยู่นิ่งอย่างเดียวขยับตัวไม่ได้มาแล้วครั้งหนึ่ง ก็ไม่ทนอีก ปุยฝ้ายจึงเสนอ โพสต์ท่านางแบบที่นอกชานนั้น มีพื้นหลังเป็นเกลียวคลื่นจากทะเลสีครามดูสวยงาม โดยไม่รู้สักนิดว่าจริงๆแล้ว การเป็นนางแบบมันยากลำบากขนาดไหน ตอนนั้นเอง ที่ภาสกรขอตัวมาทำกับข้าวในห้องครัว
   ทำกับข้าวไปก็ได้ยินเสียงบ่น เมื่อย ร้อนไป จนนที มาเฉลยว่า วาดแต่รูปวิว ไม่ได้วาดปุยฝ้าย เพื่อนสาวผิวคล้ำก็กรี๊ดออกมาจน ภาสกรอดไม่ได้ต้องหัวเราะออกมาในความเป็นเด็กของทั้งคู่ เมื่อชีวิตของภาสกรไม่เคยมีอะไรสนุก และเรียบง่ายแบบนี้ พอได้อยู่กับนที และปุยฝ้ายเขาก็รู้สึกเหมือนได้มีคนมาเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปในชีวิต
   ปุยฝ้ายมาช่วยทำกับข้าวอีกแรง อาหารจึงเสร็จเร็วกว่าที่คิด มื้อนั้นมีแกงเขียวหวานเนื้อ ผัดผัก และน้ำพริก กินกับผักสดแบบง่ายๆ แต่อร่อยมากเมื่ออยู่พร้อมหน้ากันทั้งสามคน พอทานอาหารเสร็จ ตกเย็นทั้งสามก็ออกไปเดินเล่นกันริมชายหาด ภาสกรไม่ยอมให้นทีเอาไม้ค้ำมาช่วยเดิน เพราะไปปรึกษา หมอมิ่งเมืองแล้วว่านทีควรเข้ารับการทำกายภาพบำบัด เพื่อให้กลับมาเดินได้อีกครั้งได้แล้ว ยิ่งขยาด จะยิ่งทำให้เดินไม่ได้สักทีนทีเองก็กลัวเรื่องนี้อยู่จึงยอมลงไปเดินที่ชายหาดโดยมีเพียงภาสกร ประคองไป นั่งบนพื้นทรายนุ่มๆ มีปุยฝ้ายวิ่งไปวิ่งมา ทำท่าเป็นนางเอกมิวสิกวิดิโอ ให้สองหนุ่มนั่งขำกันไป
   เรื่องขาของนที กลายเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาในที่สุด
   ไม่กี่วันมานี้ ภาสกรคะยั้นคะยอให้นทีไปเอกซเรย์กระดูกขาว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่หนุ่มน้อยปฏิเสธการดูแลพิเศษทุกอย่างจากภาสกร อ้างว่าที่ทำมาตลอดก็มากพออยู่แล้ว เขาสามารถไปรักษาที่คลินิกแถวบ้านได้แต่ภาสกรก็ไม่ยอม เพราะถือว่าหากขา และแขนยังไม่กลับมาเป็นปกติ ก็ยังถือว่าเขายังมีสิทธิ์ดูแลนทีในเรื่องนี้อยู่ เถียงกันไปเถียงกันมา จึงพบกันครึ่งทาง
ภาสกรพานทีไปเอกซ์เรย์ ที่โรงพยาบาลเล็กๆ ไม่แพงเหมือนโรงพยาบาลแรกที่เขาพาหนุ่มน้อยไป ผลปรากฏว่า กระดูกใกล้จะประสานกันเป็นปกติแล้ว ปัญหาอยู่ที่นทีไม่ได้เดินมาพักใหญ่แล้ว กระดูกที่ขาจึงกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ช้า ส่วนที่แขน หมอบอกว่าเกือบจะเป็นปกติแล้วเพราะชายหนุ่มสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระโดยไม่เจ็บ แต่จะยืดแขนมากๆไม่ได้เท่านั้น หมอบอกว่าแขนไม่มีปัญหา หากไม่ใช้แขนซ้ายยกของหนัก แต่ขาจะต้องรับน้ำหนักทั้งหมดของร่างกายจึงจำเป็นที่จะต้องมาทำกายภาพบำบัด
เมื่อคำสั่งออกจากปากของหมอ นทีก็ปฏิเสธภาสกรไม่ได้ จำใจต้องยอมมากายภาพบำบัดที่โรงพยาบาล โดยมีภาสกรคนเดียว หรือไม่ก็มีปุยฝ้ายด้วย มายืนให้กำลังใจ กลับแฟลตก็ต้องพยายามเดินลงน้ำหนักที่เท้า ถ้ามีภาสกรอยู่ด้วยชายหนุ่มก็จะบังคับให้เดินลงน้ำหนัก โดยมีคนออกคำสั่งเดินประคองไปด้วยเสมอ จนนทีสามารถเดิน ลงน้ำหนักที่ขาขวาได้บ้างแล้วโดยไม่ต้องเดินขาเดียวอย่างแต่ก่อน แต่อย่างไรก็ตาม นทีก็ต้องไปทำกายภาพบำบัดที่ รพ. อาทิตย์ละครั้ง จนกว่าจะเดินได้คล่องตัว

 พอนทีเริ่มเดินลงน้ำหนักได้บ้าง คุณชายก็พาหนุ่มน้อยไปเดินห้างสรรพสินค้า ในวันอาทิตย์ที่ทั้งคู่ว่างตรงกัน ปุยฝ้ายบอกผ่าน เพราะต้องการทำงานเพิ่มในวันอาทิตย์ก็เลยไม่ได้ไปกับสองหนุ่มด้วย จริงๆแล้ว มีเพียงหล่อนที่รู้ว่าที่บอกอย่างนี้ก็เพื่อให้สองหนุ่มได้ไปไหนมาไหนด้วยกันสองคนให้บ่อยขึ้น โดยไม่มีหล่อนเข้าไปเป็นตัวกลาง
เพราะเพื่อนหนุ่มของหล่อนอาการดีขึ้นมาก กลับมาร่าเริง พูดมาก อัธยาศัยดีกับทุกคนอย่างเก่า แทบจะลืมกันไปแล้วว่าเคยมีช่วงเวลาที่ชายหนุ่มคนนี้เหงา เศร้าสร้อย ไม่สนใจใครอยู่ช่วงหนึ่ง เหตุผลที่นทียกมาบอกเพื่อนๆทุกคนคือ “อยู่โรงพยาบาลเสียนาน ได้มาเจอเพื่อนๆอีกก็ดีใจ”
แต่มีปุยฝ้ายคนเดียวที่รู้ว่า “มีความรักมากกว่ากระมัง”
สิ่งที่หญิงสาวผิวเข้มไม่รู้และไม่กล้าถามก็คือสถานะระหว่างเพื่อนหนุ่มของหล่อน และคุณชายตอนนี้ คืออะไรกันแน่ แน่ละทั้งคู่ไม่เคยจับมือถือแขน โอบกอด หรือเปลี่ยนสรรพนามให้สนิทสนมฟังดูเป็นแฟนกันแต่อย่างใด ยังคงเป็น “คุณชาย” และ “ผม” อยู่เหมือนเดิม และ ทั้งคู่ก็ยังรักษาระยะห่างระหว่างกันอยู่จะมีที่โอบบ่า กอดคอบ้างก็ตอนคุณชายทำกายภาพกับนทีที่บ้านของเขาไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากมายไปกว่านั้นจะให้เดินไปถามว่า “ไฮ! คุณชาย เป็นแฟนกับเพื่อนหนูหรือยังคะ?” ก็ไม่ใช่เรื่อง
ถามไปเกิดไม่ใช่ขึ้นมา นอกจากหน้าแตกแล้ว ยังจะกระทบถึงเพื่อนหนุ่มของหล่อนด้วย ดีไม่มีเกิดความสัมพันธ์ของทั้งคู่ต้องมาพังลงเพราะปุยฝ้าย หญิงสาวคงไม่มีวันให้อภัยตัวเองเป็นแน่
ภาสกรพานทีไปพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ อันเดอร์วอเตอร์เวิลด์ ในพัทยานี่เองจากนั้นจึงไปทานข้าว ดูหนัง จบลงที่พากลับไปส่งที่แฟลตอย่างทุกวันสำหรับนทีการไปเที่ยวแบบนี้ มันก็ไม่ต่างอะไรจากการไปออกเดทสักเท่าไรนัก ต่างกันตรงที่ทั้งเขาและภาสกรเป็นผู้ชายเท่านั้นเอง
นึกถึงตอนไปเที่ยว ภาสกรก็เอ่ยปากพูดขึ้น
“คุณสอบแล้วก็ปิดเทอมใช่ไหม ให้ผมพาไปเที่ยวนะ ไปใต้กัน ไปภูเก็ตหรือไม่ก็กระบี่ก็ได้”
“ดีสิครับ” หนุ่มน้อยนึกสนุกแบบเด็กๆ ภาสกรยังไม่ลืมว่าพ่อของนที เคยเป็นมัคคุเทศก์มาก่อน และยังชอบพาครอบครัวของตนไปเที่ยวที่โน่นที่นี่กันเสียบ่อยเขาตั้งใจว่า จะทำให้หนุ่มน้อยคนนี้ได้มีความสุข เหมือนเมื่อครั้งเขายังเด็กๆ อีกสักครั้งหนึ่ง “ผมอยากไปเที่ยว ตั้งแต่พ่อแม่เสียก็ไม่ได้ไปไหนเลย อยู่แต่ที่พัทยา”
นี่ก็เป็นอีกข้อที่เปลี่ยนไป นทีพูดถึงพ่อและแม่ได้อย่างสนิทปากอีกครั้ง เหมือนพูดถึงเพื่อนหรืออะไรสักอย่างที่ทำให้มีความสุขขึ้นมา โดยไม่ต้องทำหน้าเศร้า และคิดคะนึงหาอีกเหมือนแต่ก่อน
“แต่เลือกได้ผมไม่อยากไปทางใต้เลยครับ ไปทะเลก็เหมือนอยู่พัทยา”
“งั้นผมให้คุณเลือกแล้วกัน คุณอยากไปไหนได้ทั้งนั้น อยากขึ้นเหนือไปดูวิวบนดอย หรือไปเขาใหญ่ หรือจะไปเที่ยวน้ำตกแถวกาญจนบุรี หรือ นครนายกก็ได้ ผมรู้จักทางดี”
“ดีจังเลย ผมอยากขึ้นเหนือเหมือนกัน ผมชอบอาหารเหนือที่สุดในโลกเลย” ชายหนุ่มว่าเหมือนเด็กๆ พอนึกถึงเรื่องจะได้ไปเที่ยว ตาก็เป็นประกายสดใสเหมือนย้อนไปเป็นเด็กชาย นที ตอนอายุสัก 10 ขวบ
“คุณชอบทุกอย่างเลยนะ นที ถ้าเป็นของกิน”
“คุณชายอย่าขัดซีครับ”
“ครับผม ว่าต่อเลยครับ ผมจะไม่พูดแล้ว” คุณชายล้อเลียน แต่นทีก็ไม่ได้สนใจ ยังวางแผนเที่ยวออกมาเป็นคำพูดต่อไป
“แต่ไปเหนือถ้านั่งรถก็เป็นสิบชั่วโมง ถ้าขึ้นเครื่องผมก็ไม่ชอบครับ กลัวแถมยังเสียเงินเยอะอีก ถ้าไปเขาใหญ่ เราไปปากช่องกันไหมครับ อยู่แบบคาวบอย เท่ดีไปสักสองสามวัน วันไหนก็ขึ้นไปเขาใหญ่ส่องสัตว์”
“เอ แต่หน้าร้อน ไปแถวนั้นร้อนตายเลยครับ”
“งั้นไปน้ำตกก็ได้ครับ ช่วง มีนา เมษา คนชอบไปน้ำตกนี่นา ผมอยากไปเที่ยวน้ำตกจัง ปกติถ้าไม่ขึ้นเหนือก็ลงใต้ ไม่ค่อยสนใจตามแถวนครนายก หรือกาญจนบุรีนัก”
“ถ้าขาคุณหายดีนะ ผมจะพาไป ถ้ายังไม่หายผมก็ไม่อยากให้คุณไป โยกเยก แถวน้ำตก ตกลงมาจะแย่” ภาสกรว่าด้วยความหวังดี ตามองถนน ไม่ได้เห็นเลยว่าหนุ่มน้อยมองหน้าตนอยู่ด้วยความไม่พอใจ
“ไปเหนือก็นั่งรถนาน ไปอิสานก็ว่าร้อน ไปน้ำตกก็อ้างขาผมไม่ดี ผมไม่ไปไหนแล้วก็ได้ครับ อยู่พัทยานี่แหละ ไปค้างบ้านคุณชาย 3 วันกลับไปนอนแฟลตต่อ ก็ดีครับเปลี่ยนบรรยากาศดี”
ภาสกรรู้ตัวว่าชายหนุ่มประชดก็อดไม่ได้ที่จะหันมาหัวเราะเบาๆ
“ทำงอนไปได้ เอาเถอะ ใกล้ๆแล้วผมจะคิดอีกที เอาเป็นว่าเป้าหมายคร่าวๆ คือไปกาญจนบุรี หรือนครนายกก็แล้วกันนะ”
“ครับผม”

ทั้งคู่ มาถึงร้านอาหารในเวลาไม่นานร้านนี้ชื่อร้านกลางบึง เป็นร้านอาหารที่อยู่บนสระขนาดใหญ่ที่มองดูก็รู้ว่าขุดขึ้นมาเอง ลักษณะเหมือนแพไม้ยกสูงขึ้นจากน้ำ มีโต๊ะที่ค่อนข้างจะไม่ค่อยเหลือว่างแล้ว เรียงรายไปตามขนาดของแพ บางมุมมีห้องเล็กๆพอนั่งเป็นส่วนตัวได้ เวลามาเป็นครอบครัว
ภาสกรคงจองโต๊ะไว้แล้ว เพราะพอมาถึงก็มีคนพาไปที่โต๊ะที่อยู่ริมแพ เห็นน้ำได้ชัดเจน และค่อนข้างไกลจากผู้คน
คุณชายหนุ่มไม่ยอมให้นทีเอาไม้ค้ำลงมาจากรถด้วย บังคับให้ค่อยๆเดินลงน้ำหนักที่เท้า เป็นการกายภาพบำบัดไปในตัว นทีสังเกตหลายคนมองเขาก็อายจนหน้าแดง แต่ภาสกร กลับยิ้มกว้าง ราวจะบอกว่า ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัว และช่วยประคองเขามาจนถึงโต๊ะ
สั่งอาหารเสร็จ นทีก็เอ่ยปากชมสถานที่
“สวยมากครับคุณชาย คุณชายเก่ง รู้จักสถานที่สวยๆเยอะแยะไปหมด”
หนุ่มน้อยมองสระบัว ที่มีหมู่แมลงบินตอมอย่างตาศิลปิน เห็นมุมนั้นก็สวย มุมนี้ก็สวยได้อย่างลึกซึ้ง ไม่เหมือนคนทั่วไป ที่ต่อให้มองว่าสวย ก็สวยแบบธรรมดา ถือว่ามากินข้าวเก็บบรรยากาศ
“นทีมองอะไรก็สวย”
เขายิ้ม ให้กับหนุ่มน้อยที่ยิ้มตอบ หากทำได้ นทีคงตอบพร้อมกับรอยยิ้มนั้นด้วยว่า “มันสวยก็เพราะมากับคุณชายนั่นแหละครับ”
แต่ก็เงียบไว้ พออาหารมา ก็กินอาหารไป คุยไปไม่กี่คำก็ได้ยินเสียงโวยวายดังขึ้น “เฮ้ยย ไอ้คุณชายนี่หว่า”
ทั้งภาสกร และนทีเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหา เขาคนนั้นร่างสูงโปร่ง ผมเป็นสีฟาง แบบฝรั่งแต่ตาเป็นสีดำแบบคนไทย ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาด แกะกระดุมไว้สองสามเม็ด เพราะร้อนหรือต้องการโชว์แผงอกขาวเนียนล่ำสันก็ไม่อาจทราบได้ ขายาวใหญ่ด้วยมัดกล้าม อยู่ในกางเกงยีนส์แบบสบายๆ ก้าวยาวๆ ฉับๆ เข้ามาที่โต๊ะที่ทั้งคู่นั่งทานอาหารอยู่
“เฮ้ย ไอ้เตอร์นี่หว่า” ภาสกรก็เผลอพูดออกมาเสียงดังลุกขึ้นเดินเข้าไปหา หนุ่มร่างสูงคนนั้นเหมือนกัน พอถึงตัวต่างฝ่ายต่างก็รวบตัวอีกคนเข้าไปกอด ตบหลังกันเหมือนเพื่อนฝรั่ง
“ไปไงมาไง มาถึงนี่ครับไอ้คุณชาย ไม่ต้องอยู่เฝ้าหม่อมแม่ที่วังหรือ”
“มาถึงก็ปล่อยหมาออกมาเดินเล่นเลยนะ เรามากินข้าวกับเพื่อนรุ่นน้อง นายมาทำอะไรแถวนี้” ภาสกรเอ่ยตอบด้วยสรรพนามที่สุภาพเหลือเกินสำหรับคุยกับเพื่อน พอนทียกมือไหว้ชายหนุ่มที่ชื่อเตอร์ภาสกรก็ตัดสินใจแนะนำให้รู้จักกัน
“นี่นที เป็นเพื่อนรุ่นน้องที่เรารู้จัก นที นี่เพื่อนผม ชื่อเตอร์ เป็นเพื่อนสนิทกันอยู่ที่อังกฤษ เป็นรูมเมทผมมาสิบกว่าปีตอนอยู่ที่โน่น”
“รู้จักไส้พุง ไอ้คุณชายหมดครับน้อง” ชายหนุ่มที่ชื่อเตอร์ว่า “อยู่รอดมาได้เพราะฝีมืออาหารพ่อคนนี้แหละครับ ทำอาหารไทยเก่งเหลือเกิน”
นทียิ้มอย่างเห็นด้วย แม้มีโอกาสได้ทานกับข้าวฝีมือภาสกรแค่ครั้งสองครั้ง นทีก็มั่นใจว่า ชายหนุ่มคนนี้ทำกับข้าวเก่งจริงๆ
“แล้วเป็นไงบ้าง เฮ้ย นั่งก่อนซี ถ้าไม่รังเกียจจะมาทานด้วยกันไหม”
“ไม่รังเกียจนะ แต่วันนี้มากับลูกกับเมีย นั่งอยู่ตรงโน้น จำโรซาลีได้ไหม” คุณชายเข้าใจดีว่าหมายถึงแฟนสาวที่อังกฤษของเตอร์ ก็พยักหน้า “นั่นแหละมาไทยครั้งเดียวเท่านั้นติดใจบ้านเมือง ติดใจอาหารไทยไม่ยอมกลับอังกฤษ ทั้งที่แต่งงานมีลูกกันตั้งแต่อยู่โน่นแล้วนะ ก็หอบลูก หอบผ้าผ่อนมาอยู่นี่หมดเลย”
“เฮ้ย คาดไม่ถึงจริงๆ” ภาสกรทำหน้าทำตาว่าคำพูดกับสิ่งที่เขาคิดนั้นตรงกันจริงๆ “เห็นทะเลาะกันบ่อยๆ แต่งงานแล้วหรือ”
“นายกลับมาได้ สองสามปีก็แต่งแล้ว ตอนนี้ลูก ห้าขวบได้มั้ง” เตอร์ว่าต่อไป ไม่ได้สนใจว่านทีจะเข้าใจหรือไม่ “แล้วกับเจสสิกาแฟนนายล่ะ ติดต่อกันอยู่หรือเปล่า”
นทีเงยหน้าขึ้นทันทีที่ได้ยินคำว่าแฟน ทำทีเป็นมองอย่างไม่คิดอะไร ทั้งที่ในใจรอฟังจนแทบกลั้นหายใจว่า ชายหนุ่มจะตอบอย่างไร
“ไม่ได้ติดต่อละ ตอนนั้นคบกันก็เข้าใจว่าเหงา อยู่ห่างบ้าน ก็เท่านั้น เราจะกลับเขาก็ไม่แลมาส่งที่แอร์พอร์ต พอกลับมาจะติดต่อมาบ้างก็ไม่มี เราติดต่อไปก็ไม่ว่างๆ ไม่ได้คุยกันสักทีก็เลยค่อยๆห่างกันไปเอง” ภาสกรว่า “แล้วลูกเมียอยู่ไหนล่ะ ฉันจะไปทักโรซาลี เสียหน่อย”
“ไว้วันหลังจะพาไปเยี่ยมวันนี้ลูกงอแง ไปจะอารมณ์เสียเปล่าๆ เอ้า เอานามบัตรไปวันหลังแวะมาเจอกัน” ภาสกรรับนามบัตรของชายหนุ่มก็อ่านคร่าวๆอย่างไม่ใส่ใจ แต่พอเห็นคำว่า จังหวัด นครนายก ก็สะดุดตา ย้อนกลับไปตั้งใจอ่านตั้งแต่บรรทัดแรก
“เฮ้ย เป็นเจ้าของรีสอร์ตเลยหรือ”
“ใช่ อยู่ใกล้ๆน้ำตกสาริกา ขับรถไปไม่เกินยี่สิบนาที โรซาลีเขาชอบบรรยากาศแบบ ทรอปิคอล เลยตัดสินใจอยู่กันที่นั่น ทีนี้เห็นว่าที่มันเยอะ ก็เลยทำรีสอร์ตมันเสียเลย เป็นโฮมเสตย์ แล้วก็รีสอร์ต ทำเป็นบ้านไม้เป็นหลังๆ บรรยากาศแบบธรรมชาติจริงๆ สนใจแวะไปเที่ยวไหมล่ะ”
“เฮ้ย สนซีวะ กำลังหาที่เทียวอยู่ว่าจะไป อาทิตย์ สองอาทิตย์หน้านี่ล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น จะแวะมาก็โทรบอกล่วงหน้าสองสามวันนะ จะจองที่ไว้ให้เอาที่วิวดีที่สุด ติดลำห้วยเล็กๆ น่าอยู่มาก เฮ้ย ขอตัวละไว้เจอกัน” พอเพื่อนหนุ่มของคุณชายผละออกไป ภาสกรก็ยิ้มให้กับนทีอย่างกระตือรือร้น
“นที ไปนครนายกกันนะ ชวนปุยฝ้ายไปด้วย ไปกันสามคน ผมพาเที่ยวน้ำตกเอง ได้ที่พักแล้ว ไม่ต้องหาแล้วก็สบายล่ะ” หนุ่มน้อยยิ้มให้กับชายหนุ่มตรงหน้า เขาไม่แน่ใจเสียแล้วว่า จะทนจนกว่าจะปิดเทอมไหวหรือไม่

***********************************************************************
ต่อแล้วนะคร้าบบบ ตอนนี้คุณชายกะนทีตัวติดกันแจเลยไม่รู้จะโดนจับแยกเร็วๆนี้รึเปล่าไม่รู้ 5555+ (ยังหรอกเนอะๆ)
ใครที่ยังไม่ได้ส่งเมลล์มาเรื่องโอนเงินของปางบรรพ์อย่าลืมไปอ่านรายละเอียดแล้วก็ส่งเมลล์มากันนะครับ

ขอบคุณที่ยังไม่หายกันไปไหนนะครับ :P
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 20 "คุณชาย เป็นแฟนกับเพื่อนหนูหรือยังคะ?" 20/04/11 - 21.40
เริ่มหัวข้อโดย: Rhythm ที่ 20-04-2011 22:02:56
รออ่านนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 20 "คุณชาย เป็นแฟนกับเพื่อนหนูหรือยังคะ?" 20/04/11 - 21.40
เริ่มหัวข้อโดย: KIMKUNG ที่ 20-04-2011 22:31:01
โอ้ว  ผมอยากได้บรรยากาศแบบปางบรรพ์แบบค่อยๆรักแล้วลืมไม่ลงอะครับ  อิอิ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 20 "คุณชาย เป็นแฟนกับเพื่อนหนูหรือยังคะ?" 20/04/11 - 21.40
เริ่มหัวข้อโดย: butterfly_bee ที่ 20-04-2011 23:23:07
จะได้ไปเที่ยวด้วยกันแล้วว  :o8:
ไปเที่ยวคราวนี้จะทำให้ความรู้สึกระหว่างคุณชายกับนทีค่อยๆเพิ่มขึ้นทีละนิดมั้ยน๊า
กำลังมีความสุขแบบนี้ ชักกลัวมาม่าจะมาแบบไม่รู้ตัวแล้วสิ  :a5:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 20 "คุณชาย เป็นแฟนกับเพื่อนหนูหรือยังคะ?" 20/04/11 - 21.40
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 20-04-2011 23:39:47
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 20 "คุณชาย เป็นแฟนกับเพื่อนหนูหรือยังคะ?" 20/04/11 - 21.40
เริ่มหัวข้อโดย: zeit ที่ 21-04-2011 03:08:41
ภาวนาให้คุณชายรู้ใจเร็ววัน

สงสาร นทีที่รอรักตอบกลับนน้ะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 20 "คุณชาย เป็นแฟนกับเพื่อนหนูหรือยังคะ?" 20/04/11 - 21.40
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 21-04-2011 04:03:08
ตามทันแล้ว ตอนนี้ง่วงมากมาย ฝานดีทุกคนคร้าบบบ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 20 "คุณชาย เป็นแฟนกับเพื่อนหนูหรือยังคะ?" 20/04/11 - 21.40
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 21-04-2011 05:13:07
ตอนทั้งคู่อยู่ด้วยกัน บรรยากาศเหมือนคู่รักมากสวีทกันเลยเนาะ น้ำน่ะรู้อยู่แล้วว่ารู้สึกยังไงกับคุณชาย แต่คุณชายนี่สิเมื่อไหร่นะ ถึงจะรู้ใจตัวเอง


ปล.กลับไปอ่านทวนอีกรอบแอบรู้สึกว่า คุณชาย ในชื่อเรื่อง ไม่ได้หมายถึงคุณชายภาสกรคนเดียวรึเปล่า
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 20 "คุณชาย เป็นแฟนกับเพื่อนหนูหรือยังคะ?" 20/04/11 - 21.40
เริ่มหัวข้อโดย: naja-kitase ที่ 21-04-2011 06:13:00
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
อ่านแล้วเขิน

แล้วเมื่อไหร่คุณชายจะเป็นแฟนกับนทีซักทีหล่ะคะ คุณชายยยยยย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 20 "คุณชาย เป็นแฟนกับเพื่อนหนูหรือยังคะ?" 20/04/11 - 21.40
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 21-04-2011 06:49:45
บวกๆ ค่ะ
อ่านไประแวงไปจริงๆ กลัวดราม่าขึ้นสมอง >"<
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 20 "คุณชาย เป็นแฟนกับเพื่อนหนูหรือยังคะ?" 20/04/11 - 21.40
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 21-04-2011 11:11:13
อยากให้ทั้งสองเป็นแฟนกันเร็วๆ จัง  แต่คงนานน่าดู
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 20 "คุณชาย เป็นแฟนกับเพื่อนหนูหรือยังคะ?" 20/04/11 - 21.40
เริ่มหัวข้อโดย: YMP ที่ 21-04-2011 11:57:54
 :L2:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 20 "คุณชาย เป็นแฟนกับเพื่อนหนูหรือยังคะ?" 20/04/11 - 21.40
เริ่มหัวข้อโดย: the_pupae ที่ 21-04-2011 14:23:22
คุณชายเป็นผู้ชายที่อ่อนโยนมากๆเลยค่ะ o13
น้องน้ำก็น่ารักแต่ชีวิตรันทดเกิน.. :กอด1:....อยากรู้มากๆว่าไอ้พ่อเลี้ยงมันทำไรไว้
ปล.ผู้อ่านจะได้รู้พร้อมคุณชายใช่มั้ยค่ะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 20 "คุณชาย เป็นแฟนกับเพื่อนหนูหรือยังคะ?" 20/04/11 - 21.40
เริ่มหัวข้อโดย: babyfaibossy ที่ 21-04-2011 16:26:33
คุณชายให้ความหวังนทีมากไปไหม   :serius2: :serius2:


สงสารนทีนะ ถ้ารักแต่คบไม่ได้เนี่ย


 :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 20 "คุณชาย เป็นแฟนกับเพื่อนหนูหรือยังคะ?" 20/04/11 - 21.40
เริ่มหัวข้อโดย: IIMisssoMII ที่ 22-04-2011 23:08:19
ฝากตัวเป็นแฟนคลับด้วยคนคะ

 o13
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 20 "คุณชาย เป็นแฟนกับเพื่อนหนูหรือยังคะ?" 20/04/11 - 21.40
เริ่มหัวข้อโดย: J_Dargon ที่ 23-04-2011 15:49:48
สนุกมาก ๆ ค่ะ เพิ่งเข้ามาอ่าน
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 20 "คุณชาย เป็นแฟนกับเพื่อนหนูหรือยังคะ?" 20/04/11 - 21.40
เริ่มหัวข้อโดย: mildmint0 ที่ 23-04-2011 17:27:33
 :o8: คุณชายจะยอมรับความจิงได้ไหมเน้อ ว่าชอนที  ู^^
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 20 "คุณชาย เป็นแฟนกับเพื่อนหนูหรือยังคะ?" 20/04/11 - 21.40
เริ่มหัวข้อโดย: tuek ที่ 23-04-2011 23:08:06
เพิ่งเข้ามาอ่าน
และก็อ่านทันจนได้
เรื่องคุณชายกับน้ำมันจะเป็นยังไงต่อไปนะ
+ 1 นะคะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 20 "คุณชาย เป็นแฟนกับเพื่อนหนูหรือยังคะ?" 20/04/11 - 21.40
เริ่มหัวข้อโดย: J_Dargon ที่ 23-04-2011 23:41:34
อ่านถึงตอนที่ 11 แล้วค่ะ

ทนไม่ไหว ขอเม้นก่อน

กรี๊ ด ด ด ....ชอบ ๆ ค่ะชอบนทีอ่ะ น่ารัก คุณชายภาสกรก็สุภาพบุรุษมากๆ

แต่ไม่ชอบฟ้าเลยอ่ะ เหมือนจะมีแผนการไรไม่รู้

เป็นกำลังใจให้น่ะค่ะ  เด๋วขอตัวไปอ่านต่อก่อนน่ะค่ะ จะรีบอ่านให่ถึงตอนปัจจุบันเร็ว ๆ  ^^

เป็นกำลังใจให้น่ะค่ะ

หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 20 "คุณชาย เป็นแฟนกับเพื่อนหนูหรือยังคะ?" 20/04/11 - 21.40
เริ่มหัวข้อโดย: J_Dargon ที่ 24-04-2011 13:06:58
กรี๊ ด ด อ่านถึงตอนปัจจุบันแล้วค่ะ

เค้าจะไปเที่ยวกันแล้ว.....ไม่อยากจะคิดถึงเลยว่าพ่อเลี้ยงจะตามตัวนทีเจอเมื่อไหร่  คิดแล้วเศร้า

มาต่อไว ๆ น่ะค่ะ

เป็นกำลังใจเสมอค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 20 "คุณชาย เป็นแฟนกับเพื่อนหนูหรือยังคะ?" 20/04/11 - 21.40
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กกะโปโล ที่ 24-04-2011 15:59:04
2วัน อ่านทันจนได้ o7

อยากจะบอกเป็นอย่างแรกเลย ว่าช่วงที่มีมารผจญคุณชาย "เหมือนได้ดูละครเด๊ะๆ" เลย :laugh:
พอได้รู้การใช้ชีวิตของพวกเจ้าขุนมูลนายทั้งหลายแล้วปวดตับชะมัด o17 รู้สึกโชคดีที่ได้เกิดเป็นคนธรรมดา 5555
แม่ของคุณชายเค็มได้ใจ o6 ยัยฑิฆัมพรนี่ก็นางร้ายในละครชัดๆ :laugh:

ทั้งคุณชายและนทีต่างก็หัวใจตรงกัน :-[
นทีรู้ตัวแล้ว...เหลือแต่คุณชายเท่านั้นที่ยังไม่รู้ตัว
อยากให้ทั้ง2สนิทกันมากกว่านี้ไวๆจัง สรรพนามที่ทั้ง2ใช้มันยังดูเกร็งๆอยู่เลย

ช่วงนี้เติมแต่ความหวาน เพื่อรอมาม่าถ้วยโตใช่ไหมครับ :laugh:
ฝากตัวเป็นfcด้วยคน เป็นกำลังใจให้นะครับ :L1:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 20 "คุณชาย เป็นแฟนกับเพื่อนหนูหรือยังคะ?" 20/04/11 - 21.40
เริ่มหัวข้อโดย: heaven13 ที่ 24-04-2011 16:50:12
เขียนได้น่ารักดีคะ
กลัวมีดราม่าอ่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 20 "คุณชาย เป็นแฟนกับเพื่อนหนูหรือยังคะ?" 20/04/11 - 21.40
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 25-04-2011 22:05:36
นอนรอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 20 "คุณชาย เป็นแฟนกับเพื่อนหนูหรือยังคะ?" 20/04/11 - 21.40
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 25-04-2011 22:57:40
21


“สอบเสร็จแล้วโว้ย” เสียงแหลมเล็กกรี๊ดออกมาทันทีที่วิ่งลงจากบันไดตึกเรียน เจ้าของเสียงหมุนตัวสองรอบราวนางเอกมิวสิกวิดีโอ กระโปรงนักศึกษาหมุนพลิ้วไปรอบตัวราวนักเต้นระบำสเปน จากนั้นจึงชูสองมือขึ้นกลางอากาศทั้งที่มือหนึ่งก็ยังถือหนังสืออยู่ เพื่อนหลายคนที่เดินตามออกมาต่างก็หัวเราะกันคิกคักเมื่อเห็นท่าทางของหญิงสาว
อำลาเพื่อนๆเสร็จแล้ว ปุยฝ้ายก็เดินตรงไปยังรถยนต์สีขาวของคุณชาย ภาสกร แต่ยังไม่ทันเดินพ้นตัวตึก เสียงข้างหลังก็ดังทักขึ้น
“ปุยฝ้าย ผมอยู่นี่”
พอหันไปก็พบคุณชายโบกมือให้จากหน้าด้านข้างตึก ที่มีโต๊ะม้าหินตั้งอยู่ ชายหนุ่มอยู่ในเสื้อยืดกางเกงยีนส์แบบธรรมดาใส่แว่นตากันแดด อ่านหนังสือนิยายฝรั่งเล่มเดิมยังไม่จบ คงเพิ่งสังเกตเห็นหญิงสาว ตอนที่พูดคุยกับเพื่อน ไม่ทันเห็นตอนเดินลงจากตึก
“สวัสดีค่ะ คุณชาย” ปุยฝ้ายเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับชายหนุ่ม    “นที ยังไม่ลงมาหรือ”
“วิชาของไอ้น้ำมันเลิกบ่ายสามค่ะ แต่คงทำเสร็จก่อน มันเป็นคนทำข้อสอบเร็ว” ปุยฝ้ายพูดตอบ ทั้งที่ในใจนึกอยากแซวว่า ไม่ทันคุยกับหล่อนเลยก็พูดถึงเพื่อนหนุ่มของหล่อนเสียแล้ว
“อ้าว นั่นไง พูดถึงก็ลงมาพอดีเลย อายุยืนเสียจริง” ภาสกรยิ้ม
นทีในชุดนักศึกษาค่อยเดินเกาะราวบันไดลงมาจากตัวตึก บัดนี้เฝือกที่แขนและขาได้ถูกถอดออกไปแล้ว แม้จะเดินคล่องขึ้นกว่าเดิมแต่ก็ยังไม่กลับเป็นปกติดีนัก ภาสกรทำท่าจะลุกขึ้นไปช่วยประคอง นทีก็ขยับปากเป็นคำว่า “ผมลงไปเองได้” ภาสกรจึงยังนั่งอยู่ตรงนั้นเหมือนเดิม
ภาสกรรู้ว่า นทีคงไม่อยากให้เขาเข้าไปโอบประคองให้ดูเป็นคนอ่อนแอในสายตาของเพื่อนๆ และรุ่นพี่ เพราะเมื่อไม่มีเฝือกและไม้ค้ำ นทีก็ดูเป็นคนปกติ ไม่ได้เห็นชัดเจนว่าขาเจ็บอย่างแต่ก่อน เข้าไปประคองจะดูเหมือนเดินโอบกันแบบคู่รัก มากกว่าเข้าไปช่วยเหลือในฐานะที่หวังดี
พอลงมาถึงโต๊ะม้าหิน ชายหนุ่มก็นั่งลงข้างๆภาสกร พร้อมกับปาดเหงื่อที่เกิดจากความร้อนของแสงอาทิตย์ ก่อนจะได้ยินภาสกรพูดประโยคเดิมๆซ้ำแล้วซ้ำอีก “ผมบอกคุณแล้วไง ว่าให้พกผ้าเช็ดหน้า มือสกปรกจับหน้าเดี๋ยวก็เป็นสิว”
อย่าว่าแต่ผ้าเช็ดหน้าเลย ชุดนักศึกษาเขายังมีอยู่เพียงสองชุดเท่านั้น เพราะนทีซื้อใหม่ทั้งหมดไม่ได้กลับไปเอาที่บ้านเดิม เพราะกลัวคุณอดิสรณ์จะจับได้แล้วจะไม่สามารถหนีออกมาได้อีก ชุดไปรเวท เขาก็ซื้อมาเพียงสองสามชุด เอาไว้ใส่เวลาต้องออกไปไหนนอกบ้านจริงๆเท่านั้น แม้หลังๆ ไปเดินเที่ยวกับคุณชาย ฝ่ายนั้นจะซื้อให้เสื้อให้บ้างตัวสองตัว แต่ก็ถือว่านทีมีเสื้อผ้าน้อยมากๆ จำเป็นต้องใส่ซ้ำไปซ้ำมา
“ครับ ครับ คราวหลังจะพกครับ”
“คราวหลังตลอดละ ไม่เห็นจะทำตามที่บอกเลย” ภาสกรตำหนิ แกมแหย่ไม่ได้มีท่าทีจริงจังอะไรนัก “แล้วข้อสอบยากหรือเปล่า”
“ก็พอทำได้ครับ” นทีตอบสั้นๆ เพราะไม่อยากคุยเรื่องนี้ให้ยาวนัก เดี๋ยวซักไปซักมาจะรู้ว่า นทีแทบทำข้อสอบคราวนี้ไม่ได้เลย “คุณชาย หาที่นั่งที่อื่นเถอะครับ ที่นี่ร้อนจะแย่”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ ไปกินเค้กร้านChez moi ไหม”
“ดีค่ะ ฝ้ายจะได้ขอลางานเจ๊เก๋สำหรับ ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์นี้ ที่เราจะไปเที่ยวน้ำตกกัน” หญิงสาวผิวคล้ำเป็นฝ่ายตอบ
“นที โอเคไหม หรืออยากทานข้าวก่อน หิวหรือเปล่า”
“หิวนิดหน่อยครับ กินที่ Chez moi ก็ได้ เย็นนี้ผมจะกินร้านแถวๆแฟลต ผมอยากกลับห้องเร็วๆ ได้จัดกระเป๋ากับฝ้าย” ทั้งๆที่เสื้อผ้าจะมีอยู่ไม่กี่ชุดก็ตาม ความจริงแล้วนทีจะหาซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ ไว้ใส่วันเดินทางให้ดูดี สมกับคุณชายเสียหน่อย ก็ต้องรีบสลัดคุณชายทิ้งก่อนห้างปิด แล้วไปซื้อเสื้อกับปุยฝ้ายสองคน

ร้าน Chez moi แทบจะไม่มีลูกค้าตามเคย  เนื่องจากคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้จักอาหารฝรั่งเศส และอาหารที่ร้านนี้ก็ค่อนข้างแพง ลูกค้าส่วนมากมักจะเป็นฝรั่ง หรือไม่ก็คนมีฐานะพอสมควร กระนั้น เจ๊เก๋เจ้าของร้านก็ยังมีวิธีเรียกลูกค้า โดยขายเค้กราคาไม่แพงนัก ต่อเติมเป็นส่วนหนึ่งของร้าน ตรงนั้นเองเป็นที่ ที่ภาสกรมักพานทีมานั่งทานเค้กด้วยกันบ่อยๆ
“อ้าว คุณชายสวัสดีค่ะ” เจ๊เก๋เจ้าของร้าน ทักทายอย่างเป็นกันเอง “แหมเห็นท่าวันนี้ ร้านดิฉันจะดูดีมีระดับขึ้นมากทีเดียว มีทั้งคุณหญิงคุณชายอยู่ในร้าน นี่ตั้งใจนัดกันมาหรือเปล่าคะ”
ภาสกรหันไปก็เจอ ดาริกานั่งอยู่ทางขวามือของเขายิ้มให้ชายหนุ่มอย่างเปิดเผย “บังเอิญค่ะเจ๊เก๋ บังเอิญจริงนะคะคุณชาย” หญิงสาวกล่าว
“ไม่น่าเชื่อว่าจะเจอคุณหญิงที่นี่อีก แสดงว่ามาบ่อยนะครับ”
“คุณหญิงมาแทบทุกอาทิตย์ล่ะค่ะ” ปุยฝ้ายเป็นคนตอบคุณชาย “เอ้อ จริงซี คุณหญิงคะ นี่นทีเพื่อนฝ้ายค่ะที่เล่าให้ฟังบ่อยๆ”
ดาริกายิ้มให้กับนที ผู้ซึ่งค่อยๆ ยกมือไหว้อย่างเคอะเขิน
“น่ารักสมกับที่น้องฝ้ายเคยเล่าค่ะ แต่ไม่ต้องไหว้พี่ก็ได้นะคะน้อง อายุเราคงห่างกันไม่กี่ปี” พูดกับนทีจบ ดาริกาก็หันไปคุยกับภาสกร “คุณชายจะรังเกียจไหมคะ ถ้าหญิงจะขอเชิญร่วมโต๊ะเดียวกัน”
“เป็นเกียรติครับคุณหญิง” ภาสกร ยิ้มให้อย่างเรียบๆ ไม่มีความหมายเคลือบแฝงมากกว่านั้น หากแต่ไม่รู้ทำไม ชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ ถึงรู้สึกราวกับตัวเองหล่นวูบลงจากสวรรค์วิมาน ลงมาอยู่บนพื้นพิภพได้อย่างนั้น นทีรู้สึกราวกับมีอะไรเคลื่อนไหวอยู่ในท้อง จนไม่อยากที่จะมองหน้าคุณหญิง อย่างนี้ เขาเรียกว่า หวงหรือเปล่านะ
สองหนุ่มเดินไปนั่งร่วมกับดาริกา โดยทั้งคู่นั่งคู่กันอยู่ฝั่งตรงข้ามของคุณหญิง ในขณะที่สาวปุยฝ้ายเดินเข้าไปลางานกับเจ๊เก๋เจ้าของร้าน
“สั่งอะไรดีคะ” คุยกันเรื่องลางานเรียบร้อย สาวประเภทสองเจ้าของร้านก็ตรงเข้ามาพร้อมปุยฝ้ายเพื่อส่งรายการอาหารให้กับทั้งสามคน
คุณหญิงมีเค้กอยู่หน้าตัวเองอยู่แล้ว จึงนั่งยิ้มมองผู้ที่มาใหม่ทั้งสาม พากันเลือกสั่งเค้กอย่างเอ็นดู วันนี้คุณชายดูอารมณ์ดีต่างจากเมื่อคราวก่อนที่หญิงสาวพาภาสกรมารับประทานอาหารกลางวัน แสดงว่าคนที่ภาสกรกำลังมี “ความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อนิยาม” ด้วยก็คือเด็กหนุ่มคนนี้ละซี ท่าทางที่ภาสกรแสดงต่อเขา ไม่ต่างจากที่เขาแสดงต่อหล่อนก็จริง แต่ดาริการู้ดีว่า มันมีความอ่อนโยน มีความเอาใจใส่ แบบพิเศษอยู่ในท่าทีของเขา ยามภาสกรชี้นิ้วไล่ไปตามรายการอาหารบนเมนู และยามที่หนุ่มน้อยหน้าใส เงยหน้ามองภาสกร มันมีความรู้สึกประหลาด บางอย่างฉายออกมาจากทั้งคู่ อย่างที่ดาริกาเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรแน่ แต่เท่าที่หล่อนรู้สึก มันช่างเป็นความสัมพันธ์ที่น่ามองเสียนี่กระไร หล่อนยิ้มที่มุมปากเมื่อทั้งสองหนุ่มรู้ตัวว่าถูกจ้องอยู่ต่างพากันมองหล่อนด้วยแววตาแปลกๆ
    “ขอโทษนะคะ ถ้าหญิงมองอย่างเสียมารยาท ดูๆไป คุณชายกับน้องนทีนี่ เหมือนพี่รัต กับหญิงเลยนะคะ” หล่อนว่า ภาสกรอธิบายให้นทีฟังว่าใครคือพี่รัต ชายหนุ่มก็พยักหน้ารับรู้ข้อมูลนั้นอย่างเข้าอกเข้าใจ
    ดาริกาชวนหนุ่มน้อยคุยซักถาม เรื่องส่วนตัวกันอยู่พักหนึ่งเค้ก ก็มา เสิร์ฟที่โต๊ะทำให้นทีได้ใจจดใจจ่ออยู่กับความคิดตัวเอง ไม่ต้องพูดอะไรกับใครอยู่พักหนึ่ง แม้ดาริกาจะเป็นหญิงสาวที่ดูสะสวย จนผู้ชายไม่อาจละสายตามองหล่อนได้ แม้หญิงสาวจะเป็นคนมีอัธยาศัยดูเป็นกันเอง และไม่ทำให้นทีรู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด มันก็ไม่ทำให้หนุ่มน้อยรู้สึกระแวงถึงความสัมพันธ์ระหว่าง ภาสกร และหล่อนน้อยลงได้เลย
    คนหนึ่งเป็นคุณชาย คนหนึ่งเป็นคุณหญิง สมกันทั้งยศศักดิ์ ฐานะ รูปร่างหน้าตา นิสัยใจคอ ราวกับเกิดมาคู่กันแบบนี้ จะไม่ให้นทีคิดน้อยใจได้อย่างไร ชายหนุ่มไม่รู้ว่าตัวเองคิดมากไปหรือเปล่า แต่เมื่ออยู่กับดาริกา ดูเหมือนภาสกรจะลืมเขาไปช่วยขณะ ตั้งหน้าตั้งตาคุยกับหญิงสาว ราวกับว่านทีไม่ได้นั่งอยู่ตรงนั้น มีปุยฝ้ายคอยผสมโรงพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ทิ้งให้เขาจมอยู่กับความคิดของตัวเองอย่างไม่มีใครสนใจว่า นทีไม่ได้พูดอะไรสักคำเลยในบทสนทนา
    คุณชายคิดอะไรกับคุณหญิงหรือเปล่า เป็นคำถามตัวโตที่อยู่ในใจของหนุ่มน้อย จะทำอย่างไรก็ลบมันออกไปไม่ได้
    “จริงซีคะ คุณชาย เรื่องเที่ยวน้ำตก เราชวนพี่ดาไปด้วยกันดีกว่าไหมคะ” เสียงของปุยฝ้ายทำให้นทีตื่นจากความคิดของตัวเอง หันขวับไปมองเพื่อนสาวอย่างตกใจ
    “นั่นซี คุณหญิงเคยบ่นว่าอยากเที่ยวอยู่นี่นา สนใจไปด้วยกันไหมครับ” ภาสกรยิ้มให้คุณหญิงอย่างอบอุ่น ... รอยยิ้มที่ภาสกรเคยยิ้มให้เขาคนเดียว
    “เอ๊ะ เที่ยวน้ำตกอะไรกันคะ หญิงไม่เห็นรู้เรื่อง”
    “คืออย่างนี้ครับ ปุยฝ้ายกับนทีเขาสอบเสร็จแล้ว ผมก็เลยชวนเขาสองคนไปเที่ยวน้ำตกกัน เพื่อนผมมีรีสอร์ตอยู่ใกล้น้ำตกสาริกาที่นครนายก ผมก็กะว่าจะไปพักที่นั่น แล้วตระเวนเที่ยวกันพักหนึ่งฉลองปิดเทอมน่ะครับ ไปกันสามวันสองคืนเดินทางศุกร์นี้แล้วล่ะครับ”
    “อ้อ ฟังดูน่าสนุกค่ะ แต่ว่าคุณชายตั้งใจจะไปกันสามคน หญิงไปด้วยจะสนุกหรือคะ น้องนทีคงจะลำบากใจเพราะ เรายังไม่ค่อยสนิทกันเลยน่ะค่ะ” ดาริกา ส่งยิ้มให้นทีที่นั่งมองทั้งสามคนอยู่อย่างคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
               ถ้าคุณหญิงไปด้วย จะสนุกหรือ เขาก็จะมัวแต่เกรงใจคุณหญิง คุณชายก็จะมัวดูแลคุณหญิง ปุยฝ้ายก็จะเออออด้วยเพราะรู้จักกันอยู่ก่อนแล้วจะทิ้งเขาให้อ้างว้างอยู่คนเดียว เหมือนตอนนี้หรือเปล่า
               “ลำบากจง ลำบากใจอะไรคะ พี่ดา ไอ้น้ำมันอัธยาศัยดี เข้ากับคนง่ายคงไม่เป็นไรหรอกค่ะ เนอะไอ้น้ำเนอะ” ปุยฝ้ายถามเพื่อนหนุ่มอย่างไม่คิดอะไร
               นทีจะตอบอย่างไรได้ “ผมไม่อยากให้คุณไป เดี๋ยวคุณหญิงจะแย่งความสนใจของคุณชายไปจากผม” ตอบอย่างนี้มีหวังเสียมารยาทแย่เลย
               “อื้ม”
               “ดีจัง หญิงได้ไปเที่ยวด้วยขอบคุณคุณชายมากค่ะ ขอบใจนะ น้องฝ้าย น้องนที ที่ยอมให้พี่ไปด้วย” ดาริกาส่งยิ้มให้ทั้งสามคนอย่างเป็นกันเอง
“ดีครับ ไปกันหลายๆคนน่าจะสนุกดี”
    “ใช่ค่ะ ฝ้ายจะได้มีเพื่อนเม้า สองหนุ่มเขาคู่หูกันค่ะ คุณหญิงพี่ดาไปด้วยฝ้ายจะได้มีคู่หูบ้างค่ะ เริ่ด” หญิงสาวผิวคล้ำ ควงแขนดาริกาอย่างสนิทสนม คนทั้งโต๊ะหัวเราะกันอย่างมีความสุข ยกเว้นนทีที่หัวเราะตามมารยาทไปอย่างนั้น ได้แต่กังวลในใจว่า เหตุการณ์จะออกมากลับกัน เป็น...
    คุณชายไปสวีทหวานกับคุณหญิง ทิ้งเขาอยู่กับปุยฝ้ายอีกคู่หนึ่งน่ะซี
 
เสียงนาฬิกาปลุกดังตอนหกโมงเช้า หญิงสาวผิวคล้ำ เพื่อนสนิทของนที ขยี้ตาช้าๆ ก่อนจะลืมตาขึ้นมองแสงแดดอ่อนๆ ส่งลอดผ้าม่านเข้ามาให้ห้อง หล่อนเอื้อมมือไปปิดเสียงนาฬิกาปลุก อย่างกระตือรือร้น รีบลุกขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็วคล้ายกับนางเสือกระโจนตะครุบเหยื่อก็ไม่ปาน
                “กรี๊ดดด ไปน้ำตกกับคุณชาย อ๊ายย ตื่นเต้นมากกก” หล่อนหันไปมองเพื่อนร่วมห้องที่ยังคงนอนคว่ำมุดหน้าอยู่ใต้หมอนไม่ยอมลุกจากเตียงด้วยสายตาขำแกมหมั่นไส้ “นี่พ่อคุณ วันสำคัญนะค้า ไม่รีบตื่นอีก เดี๋ยวคุณชายของแกจะรอเก้อ เอาไงให้ฉันอาบน้ำก่อน หรือแกจะอาบก่อน”
                “แกอาบไปเหอะฝ้าย ฉันยังง่วงอยู่เลย”
                “โอ๊ยตาย ไม่อยากรีบไปเจอหน้าคุณชายสุดสวาทขาดใจของแกรึไง นี่ถ้าฉันไม่กลัวกระดูกแกหักอีกรอบฉันจะกระโดดทับให้แกรู้สึกตัว ไอ้น้ำ ตื่นค่ะ” ปุยฝ้าย ตีหลังเพื่อนหนุ่มเบาๆ
                “โอ๊ย ทีไปเรียนนะ ฉันปลุกแกวันละสิบกว่ารอบ ทีอย่างนี้ทำตื่นเร็ว”
                “เอ้ามันต่างกันนี่ยะ แกก็เหอะตอนยังไม่สอบล่ะดี๊ด๊านับวันรอ พอวันนี้มาถึงดันไม่รีบตื่น” หล่อนค้อนเพื่อนหนุ่มที่พลิกตัวนอนหงาย หยีตาสู้แสงแดดมองหน้าหล่อนกึ่งขำ กึ่งไม่พอใจ “ไม่รู้ละ ฉันไปอาบน้ำก่อนก็ได้ ไปสายเดี๋ยวคุณหญิงพี่ดา ทำแต้มกับคุณชายก่อน ฉันไม่รู้ด้วยนะ”
                พอพูดอย่างนี้ นที ก็รีบลุกขึ้นนั่งจ้องหน้าเพื่อนสาว
                “อะไร แกดูออกหรอ ว่าคุณหญิงอะไรนี่ มีใจให้คุณชายน่ะ”
                “อุ๊ยพูดถึงศัตรูหัวใจปุ๊บ รีบเด้งขึ้นจากเตียงอย่างกับโดนไฟช็อต”ปุยฝ้ายส่งค้อนยักษ์ให้เพื่อนหนุ่มก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำ เปิดน้ำอาบ แต่ปากยังตะโกนคุยกับเพื่อนหนุ่มต่อไปอย่างเมามัน “ก็นะฉันไม่รู้หรอก รู้แต่คุณชายน่ะ ใครอยู่ใกล้ก็ต้องชอบ จนทุกวันนี้ฉันยังหาข้อเสียเขาไม่เจอเลย แกระวังพี่ดาเหอะ สวยเว่อเพอร์เฟค อย่างนั้นปล่อยไว้ใกล้กันก็น้ำมันกับเปลวไฟ ดีๆน่ะแหละ”
                นที รีบเดินมาหน้าห้องน้ำ พูดต่ออย่างเป็นกังวล
                “แกก็รู้ใช่ไหม ว่าฉันไม่ได้หวังอะไรจากคุณชาย แต่ฉันก็อดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้เวลาคุณชาย อยู่ใกล้คุณหญิงเนี่ย”
                ปุยฝ้ายถอนหายใจ แต่เสียงน้ำกลบจนชายหนุ่มนอกห้องน้ำไม่ได้ยิน
                “แกถามใจตัวเองดีๆ ว่าแกคิดยังไงกันแน่ไอ้น้ำ ฉันรู้จักแกดี ฉันรู้ทันหรอก ถ้าแกมัวแต่กลัวนะ คุณชายก็หลุดไปเป็นของคุณหญิงพอดี”
                “แต่ ฉันไม่แน่ใจนี่นา ว่าคุณชายเขาจะ” นทีกลั้นหายใจ “ชอบฉันบ้างไหม”
                “แหม” ปุยฝ้ายโต้ตอบเสียงแหลม “ไปรับไปส่ง พาไปเที่ยว กินข้าวดูหนังอย่างนี้ ไม่มีใจฉันให้เหยียบ”
                “นั่นแหละ ฉันก็สงสัยแบบแก” นทีว่า “แต่คุณชายก็ไม่มีทีท่าเลยว่าจะชอบฉัน เท่าที่เขาทำกับฉันก็อาจเป็นเพราะเขารู้สึกผิดเรื่องทำฉันเจ็บเท่านั้น”
                “จนป่านนี้แล้วแกยังไม่เลิกคิดเรื่องนี้อีกหรือไง” ปุยฝ้ายขึ้นเสียงสูง “ถ้าเขารู้สึกผิดนะ พอแกหายดีเขาก็เลิกยุ่งกับแกแล้วย่ะ นี่หม่อมแม่เขาก็กีดกัน แกหนีมาเขาก็ยังมาตาม เขาพิสูจน์แล้วว่าเขามีความผูกพันกับแก”
                นทีเริ่มรู้สึกคล้อยตามทีละน้อย
                “ปัญหามันอยู่ตรงที่คุณชายเป็นแบบแกหรือเปล่า ถ้าเป็นฉันว่ายังไงเสียแกก็ไม่มีวันพลาด ถ้าเปล่าเขาก็คิดกับแกแค่เพื่อน แบบที่เขาไม่เคยมี อาจจะเผลอใจบ้าง แต่สุดท้ายถ้าเขาแมนเต็มร้อย เขาก็ต้องลงเอยกับผู้หญิงวันยังค่ำ แล้วฉันก็ไม่เห็นใครจะดีเท่าพี่ดา ถ้าให้โหวตได้แบบรายการทีวี ฉันโหวตให้พี่ดาเข้า โหวตยาย ฟ้า ทิฆัมพรอะไรนั่นออก”
                “เฮ้อ ก็นะ ฉันเห็นด้วย ถ้าไม่ใช่ฉัน เป็นคุณหญิงอะไรนี่ก็โอเค” นทีว่า แต่พอมานึกขึ้นได้ว่าประโยคนี้ มันเท่ากับประกาศออกมาโต้งๆเลยว่า ฉันชอบคุณชาย ก็เลยแก้ตัวว่า “แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าฉันชอบคุณชายจริงจังหรอกนะ”
                “จ้ะ พ่อ ถ้า พ่อจะหลอกตัวเองต่อไปก็เชิญ แต่อย่าหลอกฉัน ฉันรู้จักแกดี กว่าที่แกรู้จักตัวเองอีก”
นทีสะอึกกับประโยคนั้น จริง ปุยฝ้ายดูออกหมดทุกอย่าง เขาต่างหากที่ยังหลอกตัวเองอยู่ เขาไม่เคยแม้แต่จะแสดงออกให้ภาสกรรู้แม้แต่สักนิดว่า เขาชอบภาสกรเหลือเกิน
ปุยฝ้ายเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำ นุ่งผ้าเช็ดตัว แบบกระโจมอกออกมา หญิงสาวส่งสายตาพิฆาตแบบ “ฉันรู้ทันย่ะ” มาให้จนนทีต้องหลบหน้า
“ฝ้าย ฉันว่า ฉันไม่อยากไปแล้วล่ะ”
เพื่อนสาวกรี๊ดออกมา
“เดี๋ยวถีบเข้าให้ เข้าห้องน้ำไปเดี๋ยวนี้ อาบน้ำ แต่งตัวเสีย มาถึงขั้นนี้แล้ว แกหนีไปไหนไม่ได้แล้ว ยังไงก็ตาม แกต้องไปเที่ยวทริปนี้กับฉัน พี่ดา และคุณชาย ได้อยู่ใกล้ชิดกันถึงสามวันสองคืนแบบนี้ ถ้าไม่มีการตกหลุมรักกันนะ ฉันยอมกินเฝือกขาแกเลยเอ้า ทีนี้ แกช่วยเป็นคนกำหนดเองด้วยนะว่าจะให้ใครตกหลุมรักใคร คุณชายกับแก หรือ คุณชายกับคุณหญิงพี่ดา”
เวลาปุยฝ้ายตัดสินใจอะไรแล้ว ทุกอย่างจะต้องเป็นตามนั้นเสมอ สิ้นเสียงนั้น ราวกับสิ้นคำพิพากษา นทีเดินห่อไหล่เข้าไปในห้องน้ำ มีความคิดมากมายวิ่งวนอยู่ในหัว ไม่ยอมหยุดเสียที
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 21 "จะหลอกตัวเองต่อไปก็เชิญแต่อย่าหลอกฉัน" 25/04/11 - 21.40
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กกะโปโล ที่ 25-04-2011 23:40:24
 :z13:
ชอบดาริกาอ่ะ :กอด1:ตอนที่ดาริกามองคุณชายกะนที มันให้ความรู้สึกว่าดาริกาน่ารักมากๆอ่ะ
นทีแอบหวงคุณชายซะด้วย o17
รู้ใจตัวเองแล้วนี่ ยอมรับแล้วหันไปทำคะแนนกะคุณชายเถอะ :laugh3:

รอตอนต่อไปนะครับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 21 "จะหลอกตัวเองต่อไปก็เชิญแต่อย่าหลอกฉัน" 25/04/11 - 21.40
เริ่มหัวข้อโดย: Horizon ที่ 25-04-2011 23:53:43
อารมณ์เดียวกับนที
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 21 "จะหลอกตัวเองต่อไปก็เชิญแต่อย่าหลอกฉัน" 25/04/11 - 21.40
เริ่มหัวข้อโดย: naja-kitase ที่ 26-04-2011 00:16:10
สงสารนทีอ่ะ เป็นเรา เราก็คิด เฮ้ออออ
คุณหญิงขาาาาา เป็นนางฟ้าดีกว่านางร้ายนะคะ นางร้ายแค่ทิฆัมพรคนเดียวก็พอแล้ว
เค้าช้ำาาาาาาา :serius2:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 21 "จะหลอกตัวเองต่อไปก็เชิญแต่อย่าหลอกฉัน" 25/04/11 - 21.40
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 26-04-2011 00:27:54
แง่ะ  ไม่ได้มาอ่านนาน ยังอึมครึมเช่นเดิม :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 21 "จะหลอกตัวเองต่อไปก็เชิญแต่อย่าหลอกฉัน" 25/04/11 - 21.40
เริ่มหัวข้อโดย: butterfly_bee ที่ 26-04-2011 00:31:58
นทีคิดมากอีกแล้วนะเรา
แต่ยังดีที่คุณหญิงไม่คิดอะไรกับคุณชายนะเนี่ย
แถมยังมองคุณชายกับนทีออกอีกตะหาก
คุณหญิงเป็นสาววายใช่มั้ยเนี่ย 555  :m12:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 21 "จะหลอกตัวเองต่อไปก็เชิญแต่อย่าหลอกฉัน" 25/04/11 - 21.40
เริ่มหัวข้อโดย: primmi ที่ 26-04-2011 00:56:11
คุณหญิงเป็นคนดีมากเลยอ่ะ น่ารักๆ
แต่ว่าพอเห็นคุณหญิงดีขนาดนี้ก็แอบคิดว่าถ้าเป็นท่านชายที่แต่เดิมไม่ได้ชอบผู้ชายอาจเผลอใจแล้วหลงรักเข้าง่ายๆ
ท่านชายยังเคยคิดบ่อยๆว่ามีส่วนคล้ายนทีด้วย
ถึงแม้ท่านหญิงไม่มีเจตนามาแย่ง แต่ท่านชายอาจเป็นฝ่ายตกหลุมรักเองก็ได้ หรือไม่ก็เข้าใจผิดว่าตัวเองรักท่านหญิง
แถมท่านชายก็ยังไม่รู้ตัวว่ารักนที
ฮือออออ ตอนหน้าจะดราม่ามั้ยอ่า
อ่านตอนนี้ก็สงสารแล้วนะ โดนกันออกจากบทสนทนาโดยปริยาย
ยัยฝ้ายเนี้ยร้ายจริง พูดเหมือนไม่รู้จักเพื่อนตัวเอง ไม่ซิ ต้องเรียกว่ารู้แต่ก็แกล้งกันได้
นทีจะทำไงให้ท่านชายรู้ตัวหล่ะว่าอยากให้สนใจ นึกภาพไม่ออก
คิดว่าไงๆท่านชายก็รักนทีแหละ แต่กลัวท่ายชายไม่รู้ตัวแล้วคิดว่าตัวเองรักดาริกาเนี้ยซิ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 21 "จะหลอกตัวเองต่อไปก็เชิญแต่อย่าหลอกฉัน" 25/04/11 - 21.40
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 26-04-2011 01:03:51
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 21 "จะหลอกตัวเองต่อไปก็เชิญแต่อย่าหลอกฉัน" 25/04/11 - 21.40
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 26-04-2011 07:04:26
บวกให้จ้า
คุณหญิงดา ดูแล้วน่าจะเป็นตัวช่วยมากกว่านะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 21 "จะหลอกตัวเองต่อไปก็เชิญแต่อย่าหลอกฉัน" 25/04/11 - 2
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 26-04-2011 07:21:33
ถอนตัวซะดีไหมเนี่ยนที เง๊อๆๆๆๆ~~
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 21 "จะหลอกตัวเองต่อไปก็เชิญแต่อย่าหลอกฉัน" 25/04/11 - 21.40
เริ่มหัวข้อโดย: IIMisssoMII ที่ 26-04-2011 18:43:58
รึว่า...คุณหญิงจะเป็นสาววาย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 21 "จะหลอกตัวเองต่อไปก็เชิญแต่อย่าหลอกฉัน" 25/04/11 - 21.40
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 26-04-2011 19:46:11
สาธุ ขอให้ดาริกา อย่าเป็นศัตรูเล้ยยย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 21 "จะหลอกตัวเองต่อไปก็เชิญแต่อย่าหลอกฉัน" 25/04/11 - 21.40
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 26-04-2011 20:29:05
เมื่อไหร่จะรักกันเนอะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 21 "จะหลอกตัวเองต่อไปก็เชิญแต่อย่าหลอกฉัน" 25/04/11 - 21.40
เริ่มหัวข้อโดย: J_Dargon ที่ 26-04-2011 21:14:58
เอาแล้ว เอาแล้ว ไปเที่ยวกันจะเกิดไรขึ้นบ้างเนี้ย

แต่แลดูคุณหญิงจะเป็นคนดีน่ะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 21 "จะหลอกตัวเองต่อไปก็เชิญแต่อย่าหลอกฉัน" 25/04/11 - 21.40
เริ่มหัวข้อโดย: mildmint0 ที่ 26-04-2011 22:36:03
 :o8: ขอเผยใจกันนิสนึง ๅ^^
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 21 "จะหลอกตัวเองต่อไปก็เชิญแต่อย่าหลอกฉัน" 25/04/11 - 21.40
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 27-04-2011 17:42:37
ตอนนี้ยกบทเอกให้ฝ้ายเลยแฮะ เป็นเพื่อนที่ดีมากๆอะ แต่เหมือนจะแอบใช้คุณหญิงเป็นตัวกระตุ้นให้น้ำเลิกหลอกตัวเอง (ฝ้ายเองก็คงพอจะรู้แหละเนาะ ว่าคุณหญิงคิดยังไงกับคุณชาย เลยใช้วิธีนี้)
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 21 "จะหลอกตัวเองต่อไปก็เชิญแต่อย่าหลอกฉัน" 25/04/11 - 21.40
เริ่มหัวข้อโดย: tuek ที่ 27-04-2011 18:06:18
คุณชายจะชอบน้ำไหมเนี่ย
+1 นะคะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 21 "จะหลอกตัวเองต่อไปก็เชิญแต่อย่าหลอกฉัน" 25/04/11 - 21.40
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 27-04-2011 21:32:44
จะไปเที่ยวแล้ว ตื่นเต้นๆ
คุณชายต้องคู่น้องน้ำซิคะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 21 "จะหลอกตัวเองต่อไปก็เชิญแต่อย่าหลอกฉัน" 25/04/11 - 21.40
เริ่มหัวข้อโดย: BF-e ที่ 27-04-2011 21:47:03
 เอาเเล้วไงง !!
    รวบหัวรวบหางเลยค่ะคุณน้อง โฮ๊ะๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 21 "จะหลอกตัวเองต่อไปก็เชิญแต่อย่าหลอกฉัน" 25/04/11 - 21.40
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 27-04-2011 23:20:18
22

    ภาสกร มารับนที และปุยฝ้ายที่แฟลต ตอนใกล้ๆ เจ็ดโมงครึ่ง ทั้งที่นัดกันไว้ที่ร้าน Chez moi ตอนแปดโมงอยู่แล้ว ตอนนั้น นทีและปุยฝ้ายกำลังนั่งคุยกันฆ่าเวลาอยู่ คุณชายก็โทรศัพท์ขึ้นมาถามว่าสองเพื่อนซี้แต่งตัวกันเสร็จหรือยัง ตนมารอรับอยู่น่าแฟลตแล้ว ปุยฝ้ายก็ยักคิ้วหลิ่วตาล้อเพื่อนหนุ่ม ก่อนจะบอกคุณชายว่ากำลังลงไป และต่างคนก็ต่างยกกระเป๋าใส่เสื้อผ้าของตนลงไปข้างล่าง
               คุณชายอยู่ในเสื้อคอวีลายทาง กางเกงขาแคบสีเข้มพอดีตัว และรองเท้าผ้าใบแบบธรรมดาดูง่ายๆลำลองแบบคนตั้งใจไปเที่ยวจริงๆ พอเห็นสองเพื่อนรักลงมาจากบันไดหน้า ชายหนุ่มก็ตรงเข้ามารับกระเป๋าของทั้งคู่เอาไปไว้กระโปรงหลังอย่างคล่องแคล่ว หากไม่มีใครบอกก็คงไม่มีใครคิดว่าภาสกรเป็นคุณชายที่สะดวกสบายไปเสียทุกอย่างมีแต่คนคอยรับใช้ดูแลตลอดเวลา พาลแต่จะคิดไปว่าเป็นหนุ่มหัวสมัยใหม่ เป็นสุภาพบุรุษและคอยแต่จะดูแลคนอื่นอยู่ตลอดเวลา
               พอเก็บกระเป๋าเรียบร้อย ภาสกรก็ถือโอกาสสำรวจปุยฝ้ายและนที
               ไม่ต้องบอกว่าหญิงสาวผิวคล้ำตาคม ดูกระฉับกระเฉง และร่าเริงเป็นพิเศษ หล่อนอยู่ในเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่สีขาว พับแขนไว้แค่ศอก และผูกชายไว้เหนือเอวที่ค่อนข้างหนา มีแว่นตากันแดดแฟชั่นอันใหญ่เสียบเอาไว้ที่กระดุมเม็ดบน ท่อนล่างเป็นกางเกงยีนส์ขาสั้นครึ่งต้นขา ดูเรียบง่ายแต่ก็ถือว่ามีสไตล์ รองเท้าส้นเตี้ยก็ทำมาจากผ้ายีนส์รับกันกับกางเกง ยามก้าวขึ้นนั่งเบาะหลังของรถ ผมบ๊อบสั้นแค่ต้นคอก็วูบไหวไปตามการเคลื่อนที่ของร่างกาย
               ภาสกรปิดประตูให้ปุยฝ้ายก็ เดินอ้อมไปเปิดประตูข้างคนขับให้นที ที่ยังแปลกใจเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าภาสกรให้นั่งคู่กับเขา ไม่ใช่นั่งเบาะหลังกับปุยฝ้าย คุณชายหนุ่มพูดเบาๆ สั้นๆว่า “คุณหญิงกับปุยฝ้ายจะได้คุยกันสะดวก” ภาสกรขึ้นที่นั่งคนขับ ก็ออกรถ ตรงไปร้านอาหารฝรั่งเศสเพื่อรับคุณหญิงดาริกา
    “วันนี้นทีหล่อเชียวนะ”คุณชายยิ้มให้ ทักขึ้นเป็นประโยคแรกหลังจากที่ออกมาจากแฟลตแล้ว แม้ปากบอกว่าหล่อ แต่ภาสกรกลับคิดว่านทีดู “น่ารัก” มากกว่า หนุ่มน้อยใส่เสื้อกล้ามสีดำทับด้วยเสื้อนอกเเขนยาวที่รูดแขนเสื้อมากองไว้ที่ศอก เป็นลายทางเหมือนเขาราวกับนัดกันมา นทีใส่เสื้อพอดีตัว ทำให้เสื้อผ้าราบเรียบไปกับหน้าท้องแบนราบ ปราศจากไขมัน และเอวที่บางอ้อนแอ้นราวกับเอวหญิงสาว
กางเกงขากระบอกแคบผ้ายีนส์สีเข้มเข้ากันกับเสื้อ และรองเท้าผ้าใบที่ดูดีที่สุดเท่าที่ชายหนุ่มเคยใส่มา ผมยาวหยักศกดูเป็นคลื่นราวกับตั้งใจดัดเป็นสีดำสนิทรับกับดวงตา ผมด้านหน้ายาวลงมาปิดคิ้วเข้มไม่เป็นระเบียบของหนุ่มน้อยทำให้ ดูผ่านๆ จะนึกว่าเขาเป็นดาราเกาหลีตามสมัยนิยมที่เด็กผู้หญิงเดี๋ยวนี้เขากรี๊ดกัน ริมฝีปากที่เพิ่งผ่านการสัมผัสน้ำตอนแปรงฟันมา ดูเป็นสีชมพูใสราวกับทาลิปสติก แล้วอย่างนี้ จะไม่ให้คุณชายคิดว่า น่ารักเลยหรือ
    “หล่ออะไรกันครับ คุณชายอย่าล้อผมซี” นทีหลบหน้า ทั้งๆที่ในใจรู้สึกดีใจที่อย่างน้อยความตั้งใจแต่งตัวให้ดูดีก็ได้ผลที่น่าพอใจ
“ก็หล่อจริงๆนี่ ผมเพิ่งได้เห็นนทีแต่งตัวเต็มที่ ปกติเห็นแต่เสื้อยืดกางเกงยีนส์” คุณชายยิ้มกว้าง
    “คุณชายคะ ฝ้ายก็ประโคมแต่งมันเสียขนาดนี้ ไม่คิดจะชมบ้างหรือคะ” ปุยฝ้ายแกล้งทำเป็นน้อยใจ ทำเอาคุณชายหัวเราะออกมาด้วยความขำ
              “จ้ะสวย คุณฝ้ายสวยที่สุดเลย”
    สิ้นประโยคหญิงสาวก็อมยิ้มอย่างพึงพอใจ แล้วก็ชวนคุยกันอีกสองสามคำ ก่อนที่ภาสกรจะเลี้ยวรถมาจอดที่หน้าร้าน Chez Moi เนื่องจากร้านอยู่ไม่ไกลจากแฟลตของปุยฝ้ายนัก ทั้งสามจึงมาถึงร้านก่อนเวลานัด กระนั้น หญิงสาวที่ทั้งสามตั้งใจมารับ ก็กลับยืนรออยู่หน้าร้านเรียบร้อยเสียแล้ว
    ดาริกาอยู่ในชุดเดรสสายเดี่ยวสีขาว ลายดอกไม้กระจุ๋มกระจิ๋มพร่างพราวไปทั่วร่าง สั้นแค่ครึ่งต้นขา จนนึกหวาดเสียวว่าโป๊เกินไปหรือเปล่า แต่พอหล่อนจัดแจงเปิดประตูรถด้านหลังแล้วก้าวขึ้นมาโดยไม่รอให้ภาสกรเสียเวลาลงไปเปิดประตูให้ก็เห็นว่าภายใต้เดรสสวยชุดนั้นมีกางเกงขาสั้นสวมเอาไว้อยู่แล้ว
    หญิงสาวมัดผมสีน้ำตาลที่มักจะปล่อยยาวสลวยลงมาเคลียบ่า ขึ้นไปเป็นมวยเล็กๆอยู่กลางกระหม่อม ดูน่ารักเข้ากับชุด และรองเท้าแตะหนีบสีน้ำตาลราวกับพร้อมจะไปถ่ายแบบนิตยสารท่องเที่ยวเมื่อใดก็ได้อย่างนั้น พอขึ้นมาบนรถเรียบร้อยแล้วหล่อนก็กล่าวทักทายผู้ร่วมเดินทางของหล่อน ด้วยน้ำเสียงสดชื่น
    “สวัสดีค่ะ แหมมากันเช้าเชียว พี่เก๋ยังไม่มาเปิดร้านเลยค่ะ”
    “คุณหญิงต่างหากครับ ที่มาเช้านี่เพิ่งเจ็ดโมงสี่สิบห้าเอง ก็มาถึงแล้วทั้งๆที่นัดกันไว้ตั้งแปดโมง” ภาสกรยิ้ม ขณะที่มองลอดกระจกหลังมายังหญิงสาวที่หย่อนกระเป๋าผ้าสีครีมลงวางไว้ที่เท้า วางตระกร้าหวายสานไว้บนตัก
    “หญิงตื่นเต้นค่ะ นอนไม่หลับพอจะตื่นก็ตื่นง่ายหน่อย” หล่อนว่า “วันนี้พี่เตรียมแซนด์วิชทูน่า แล้วก็แอมชีสมาด้วยนะจ๊ะเผื่อน้องฝ้ายกับน้องนทีจะหิว”
    “ขอบคุณพี่ดาค่า”ปุยฝ้าย เอนตัวเข้าไปอิงสาวรุ่นพี่หัวเราะกรี๊ดกร๊าดอย่างมีความสุข คุณชายเห็นภาพทั้งหมดแล้วก็หัวเราะ หันมาหาหนุ่มน้อยที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็พบว่านทีกำลังหัวเราะจนตาหยีเล็กอยู่เช่นกัน พอรู้ตัวว่าถูกมองหนุ่มน้อยก็ลืมตาขึ้นมองคนขับรถที่จ้องหน้าเขาอยู่ ภาสกรจึงยิ้มให้อย่างอบอุ่น จนอีกฝ่ายเขินถึงกับต้องเฉไฉรีบพูดขึ้นว่า
    “ไม่รีบไป พอดีไม่ต้องเที่ยวแล้วล่ะครับ น้ำตก”
    ภาสกรหัวเราะ
    “งั้นถ้าพร้อมแล้วผมออกรถเลยนะ”
    คุณชายหนุ่มขับรถออกจากพัทยา ผ่านกรุงเทพมุ่งขึ้นเหนือไปยังนครนายก ระหว่างทางปุยฝ้ายกับดาริกาก็พูดคุยอะไรกันไปตามประสาสาวๆ ภาสกรกับนทีได้แต่นั่งหัวเราะตามไปด้วย นานๆครั้งชายหนุ่มจะเป็นฝ่ายชวนคุยเสียเอง คนที่เงียบที่สุดในรถคือนที ต่อให้พูดตอบหรือร่วมวงคุยกับสองสาวด้วยก็พูดเพียงไม่กี่คำเท่านั้น เวลาส่วนใหญ่ของหนุ่มน้อย หมดไปกับการจ้องมองวิวทิวทัศน์ที่สองข้างทางของถนน ตั้งแต่ตึกรามบ้านช่องของเมืองพัทยาไปจน สองข้างทางด่วนในกรุงเทพ จนถึงทุ่งกว้างสุดตาในขณะที่เขาเริ่มออกจากกรุงเทพมาแล้ว
     นทีอดประหลาดใจไม่ได้ว่า ตั้งแต่พ่อเขาเสียและแม่ของเขาป่วยเป็นต้นมาถึงตอนนี้เป็นเวลาหลายเดือนแล้ว ชายหนุ่มก็ไม่ได้ออกมาเห็นโลกกว้างอีกเลย ได้แต่อุดอู้อยู่แต่ในบ้าน อย่างดีก็ไปมหาวิทยาลัย ช่วงที่แย่ที่สุดก็คงเป็นช่วงที่อยู่ในโรงพยาบาล ถ้าหากไม่มีผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆเขาคนนี้ล่ะก็ ... ถ้าหากไม่มีชายหนุ่มคนนี้ โลกของเขาก็คงจะแคบๆ เป็นสีเทาอยู่อย่างนั้นไปจนตายกระมัง
    ถ้าไม่มีภาสกร พาไปกินข้าวที่นั่นที่นี่ พาไปเดินเล่น พาไปเปิดหูเปิดตา หนุ่มน้อยก็สงสัยเหลือเกินว่า ในชีวิตเขาจะมีอะไรที่เรียกได้ว่า “ความสุข” หรือไม่ จริงอยู่ สิ่งที่เขามี สิ่งที่เขารู้สึกอยู่ตอนนี้มันดีเหลือเกิน จนหาอะไรมาเปรียบไม่ได้ แต่ใช่ว่ามันจะอยู่กับเขาตลอดไป
    ถ้าพ่อแม่ที่อยู่กับเขามา 19 ปีจะจากเขาไปได้ง่ายๆ ภาสกรที่เพิ่งมาเจอกันไม่กี่เดือน ก็คงจะจากไป ไม่วันใดก็วันหนึ่งได้ไม่ยากเช่นกัน
    คิดมาถึงตรงนี้ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านข้าง
    ใบหน้าเพียงซีกซ้ายซีกเดียวของภาสกรก็ดูงดงามจนหาใครเปรียบไม่ได้แล้ว จมูกโด่ง ตาคม คิ้วเข้ม รูปหล่อราวพระเอกภาพยนตร์อย่างที่ใครๆต่างฝันหา ตัวเขาเอง ที่รู้สึกดีกับภาสกรขนาดนี้ จะบอกว่ารูปลักษณ์ภายนอกของเขาไม่มีส่วนเลยก็ไม่อาจพูดได้เต็มปาก แต่สิ่งอื่นๆเกี่ยวกับภาสกรที่เขาสัมผัสได้ด้วยใจกระมังที่มาประกอบกับสิ่งที่เขาสัมผัสได้ด้วยตาที่ทำให้เขารู้สึกดีกับภาสกรได้ถึงเพียงนี้
    เขารู้สึกดีทุกวันที่ลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วเจอภาสกรอยู่กับเขาเมื่อครั้งอยู่ที่โรงพยาบาล คอยซื้อข้าว ซื้อน้ำมาให้ คอยประคองดูแล เป็นธุระจัดการทุกอย่างให้ ไปจนถึงทุกวันที่เลิกเรียนแล้ว มีภาสกรคอยถามว่า “เรียนหนักหรือเปล่า” “ไม่เข้าใจตรงไหนหรือเปล่า” “สอบได้หรือเปล่า” มีภาสกรคอยพาไปกินข้าวเย็น ไปส่งที่แฟลตแล้วบอกว่า “ราตรีสวัสดิ์ครับ” และ “ฝันดีครับ ไว้เจอกันพรุ่งนี้” เมื่อภาสกรบอกว่า เจอกันพรุ่งนี้ เขาก็ได้เจอกับชายหนุ่มในวันรุ่งขึ้นจริงๆอย่างที่เขาบอก
    คนที่ไม่เคยมีใครมาดีด้วยอย่างนที ได้มาเจออย่างนี้ก็สุขใจเหลือเกิน
    ถามว่าเขาพอใจไหมที่เป็นอยู่อย่างนี้ เขาคงตอบว่าพอใจ แต่ลึกๆแล้ว ใครจะรู้ดีไปกว่านที ว่า เขาอยากเป็นมากกว่านั้น... อยากเป็นคนที่ภาสกรกระซิบบอกว่า “รัก” คู่กับคำว่า “ราตรีสวัสดิ์” และ “ฝันดีครับ” อย่างที่ชายหนุ่มบอกเขาอยู่แล้วทุกวัน อยากให้การที่เขาลืมตาตื่นขึ้นมามีภาสกรอยู่ด้วยนั้น คือ อยู่ในอ้อมแขนเขา อยากให้การไปไหนมาไหน การประคองดูแล และ กินข้าวร่วมกัน เป็นไปอย่าง คนรักกัน มีคำว่า “รัก” เป็นเหตุผลหลักเหนือเหตุผลใดๆ ไม่ใช่เพียงแค่ “เพราะชายขับรถชนเขาครับ” อย่างที่นทีคิดว่าเป็นมาโดยตลอด
    ภาสกรคิดแบบเดียวกับเขาหรือเปล่านะ... จริงอยู่ชายหนุ่มเคยบอกว่า
    “ตอนนี้ผมมีความสุขแล้ว มีความสุขตั้งแต่มีคุณ”
    แต่มีความสุขเพราะ “รัก” อย่างที่นทีมีหรือเปล่าก็ไม่รู้ ชายหนุ่มไม่กล้าถาม ไม่กล้าเป็นฝ่ายบอกก่อน หรือแม้แต่จะแสดงให้เขารู้ แต่คำพูดเมื่อเช้านี้ของปุยฝ้ายก็สะท้อนก้องขึ้นในหัว
    “ถ้าแกมัวแต่กลัวนะ คุณชายก็หลุดไปเป็นของคุณหญิงพอดี...
    ...ปัญหามันอยู่ตรงที่คุณชายเป็นแบบแกหรือเปล่า ถ้าเป็นฉันว่ายังไงเสียแกก็ไม่มีวันพลาด ถ้าเปล่าเขาก็คิดกับแกแค่เพื่อน แบบที่เขาไม่เคยมี อาจจะเผลอใจบ้าง แต่สุดท้ายถ้าเขาแมนเต็มร้อย เขาก็ต้องลงเอยกับผู้หญิงวันยังค่ำ”
    นทีสั่นหัวแรงๆ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้  โชคดีเหลือเกินที่ภาสกรยังมีสมาธิอยู่กับการขับรถ ชายหนุ่มผู้นั้นจึงไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติใดๆ จากหนุ่มน้อยข้างๆ ตัว นทีหันหน้าออกนอกกระจกอีกครั้ง ถามตัวเองในใจว่า
    “ถึงเวลาที่จะต้องลุยหรือยังนะ นที”

    เดินทางมาได้สองชั่วโมง ปุยฝ้ายก็ร้องออกมาเป็นคนแรกว่า
    “หิวค้า” จนดาริกาต้องหัวเราะออกมาแล้วก็เปิดตะกร้า ส่งแซนด์วิชทูน่าให้สาวผิวคล้ำ ที่อยู่ข้างๆกินด้วยหล่อนไม่ลืมที่จะเอ่ยปากถามว่า
    “น้องนที จะทานด้วยไหมคะ”
    “ก็ดีครับผมก็หิวแล้วเหมือนกัน” หนุ่มน้อยตอบ แล้วหันไปถามคนข้างๆก่อนที่หญิงสาวข้างหลังจะทันได้พูดว่า “คุณชายหิวหรือยังครับ”
    “หิวแล้วครับผม” เขาตอบ แต่ตายังมองถนน มือยังคงจับพวงมาลัย อยู่มั่นแล้วคุณชายจะกินยังไงของคุณชายได้เล่า นทีแอบคิดในใจ ไม่ทันได้คิดต่อ ดาริกาก็ส่งแซนวิช 2 ชิ้นมาข้างหน้า เนื่องจากหญิงสาวนั่งหลังที่นั่งของคุณชายพอดี ชายหนุ่มคนขับรถจึงไม่อาจเอี้ยวตัวไปหยิบมาได้ นทีก็เลยต้องรับมาถือไว้ทั้งสองอัน รับของตัวเองไว้อันหนึ่ง ยื่นให้คุณชายหนุ่มอีกอันหนึ่ง
    อึดใจเดียว นทีก็ต้องตกใจเมื่อพบว่า ภาสกรไม่ได้ละสายตาออกจากถนน ปล่อยมือออกจากพวงมาลัยแล้วรับแซนด์วิชไปกิน แต่กลับก้มหัวลงมางับแซนด์วิชเข้าปากไปคำหนึ่ง เคี้ยวอย่างไม่รู้สึกรู้สาว่า ทำเอาใจของคนข้างๆ เต้นไม่เป็นจังหวะ ทำตัวไม่ถูกเสียแล้ว
    “ผมไม่กล้าถอนตาจากถนนอีกเลย” เขาว่า “ถ้ารถแล่นฉิวๆแบบนี้ ผมจะไม่ปล่อยมือจากพวงมาลัยเด็ดขาด คุณคงรู้นะว่าเพราะอะไร”
    นที งงไปพักหนึ่งก่อนจะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร ภาสกรก็เอ่ยขึ้น
    “ผมจะไม่มีวันให้ใครมาเจ็บเพราะผมอีก ฉะนั้น จนกว่าผมจะหาที่จอดรถได้ รบกวนนทีป้อนผมไปก่อนนะครับ”
    เสียงนั้นแผ่วเบา จนหญิงสาวสองคนแทบไม่ได้ยิน คนที่ได้ยินเต็มๆ คือคนที่นั่งอยู่ข้างๆ กว่าจะรู้ตัวว่าอายจนหูแดง ภาสกรก็กินแซนด์วิชทูน่าหมดไปชิ้นหนึ่ง จนนทีต้องป้อนแซนด์วิชแอมชีสให้ไปอีกคำหนึ่ง
    “อ้าว ลืมไปชิ้นนี้ของคุณนี่ นทีกินเถอะผมไม่แย่งแล้ว”
    “ไม่เป็นไรครับ ถ้าคุณชายยังไมอิ่ม”
    “หญิงยังมีอีกเยอะเลยนะคะคุณชาย” ดาริกาว่า “จะรับเพิ่มไหมคะ”
    “ผมหาจุดชมวิวแล้วแวะกินกันก่อนดีกว่าครับ” เขาว่า “ขับรถอยู่ผมกินไม่ถนัด จะให้นทีป้อนอีกก็เกรงใจนทีไม่ได้กินเองหิวตายพอดี”
    หนุ่มน้อยก้มหน้างุดด้วยความเขินอาย ยกแซนด์วิชขึ้นกัดก็พบว่า ตรงนี้ เป็นบริเวณที่ภาสกรเพิ่งประกบปากลงไปมิใช่หรือ ... อย่างนี้ไม่เท่ากับว่า ปากของทั้งคู่ สัมผัสกันทางอ้อมไปแล้วหรือเปล่านะ
    นทีมองลอดกระจกส่องหลัง พบว่าปุยฝ้ายส่งยิ้มแบบรู้ทันมา แล้วก็เลิกคิ้วข้างหนึ่งให้ราวกับจะบอกว่า “แรง นะยะ”

    จุดพักชมวิวที่ว่า อยู่แทบจะติดกับถนนใหญ่ เลี้ยวรถเข้าทางลูกรังไปนิดเดียวก็พบกับลานกว้าง มีหญ้าขึ้นสูงอยู่รอบๆ มองเลยไปนิดหนึ่งมีสระน้ำ อาจจะมีอยู่แล้วตามธรรมชาติ หรือมีคนขุดไว้ก็ไม่รู้ตั้งอยู่ พอจอดรถได้ต่างคนต่างก็เดินลงมา หยิบของอะไรที่ต้องการมาด้วย ดาริกาสังเกตเห็นชุดของสองหนุ่มเข้าเต็มตาเป็นครั้งแรก ก็อมยิ้ม พร้อมกับพูดขึ้นว่า
    “ตายจริง เพิ่งจะสังเกต คุณชายกับน้องนทีใส่ลายทางเหมือนกันเลย นี่นัดกันมาใช่ไหมคะน้องฝ้าย รึพี่ดาคิดไปเอง” ไม่ทันที่นทีจะฟังว่าเพื่อนสาวตอบอะไร หนุ่มน้อยก็เดินหูแดงนำไปก่อนแล้ว
    คุณชายเตรียมเสื่อผืนเล็กๆมาด้วย พอเดินเข้ามาถึงลานกว้างตรงนั้น ชายหนุ่มก็กางผ้าออกปู แล้วนั่งลงพร้อมๆกับ สองสาวและหนึ่งหนุ่ม กินแซนด์วิชไปพลาง พูดถึงสถานที่ที่กำลังมุ่งหน้าไปพลาง
    “รีสอร์ตที่จะไปพัก เป็นของเพื่อนผมเอง” เขาว่ากับปุยฝ้ายและดาริกา เพราะนทีพอจะรู้อยู่แล้ว “สวยมากอยู่ใกล้ๆน้ำตาสาริกาเลยนะ ในตัวรีสอร์ตเองก็มีธารน้ำไหลผ่าน มีสระว่ายน้ำแล้วก็ร้านอาหารอะไรอยู่แล้วในตัว ทีนี้ห้องพักน่ะ ผมจองเป็นแบบบ้านไว้ บ้านหนึ่งมีสองห้องนอนห้องหนึ่งนอนได้สองคน หวังว่าจะไม่เป็นไรนะครับถ้าคุณฝ้ายกับคุณหญิงจะต้องร่วมห้องกัน” ชายหนุ่มถามสองสาว ไม่ได้รู้เลยว่าคนที่จะ “เป็นไร” น่ะคือคนที่นั่งอยู่ข้างๆตัวต่างหาก
    “ว้าย ไม่เป็นไรเลยสักนิดค่ะ” ฝ้ายหัวเราะ “เนอะพี่ดาเนอะ สงสัยได้นอนเม้ากันเพลินเลย”
    “นั่นสิคะ นี่พี่ดาเอาครีมมาสก์หน้ามาด้วย เดี๋ยวคืนนี้เราเสริมสวยกันตามประสาสาวๆดีกว่าเนอะ” ดาริกาหัวเราะคิกคักกับปุยฝ้ายก่อนจะถามภาสกร “เอ๊ะ ว่าแต่คุณชายเถอะค่ะ นอนร่วมกับน้องนทีจะ “เป็นไร” หรือเปล่าคะ”
    แววตาของดาริกา มีประกายแห่งความสนุกซ่อนอยู่แต่ไม่มีใครเห็น
    นทีสะดุ้งกับคำถามคิดไปเองว่าคุณหญิงนี่จะมีอะไรเป็นนัยซ่อนอยู่ในคำถามบ้างหรือเปล่า แล้วก็หันไปมองคุณชายว่าจะคิดมากอย่างเขาหรือไม่ก็พบว่าคุณชายหนุ่มตอบอย่างหน้าตาเฉย
    “อ๋อ ไม่ล่ะครับ จะเป็นไรได้อย่างไร ช่วงที่อยู่โรงพยาบาลเราก็เคยนอนด้วยกันตั้งหลายคืน ใช่ไหมนที”
    หนุ่มน้อยก้มหน้านิ่ง หน้าแดงจัดอย่างช่วยไม่ได้พลางนึกในใจ
    “คุณชายครับ อย่าเที่ยวไปบอกใครที่ไหนอีกนะครับว่าเราเคยนอนด้วยกัน คุณชายรู้หรือเปล่าว่าสำหรับคนอื่นน่ะ คำว่า “นอนด้วยกัน” มันไม่ได้มีแค่ความหมายนัยตรงอย่างนั้น อย่างเดียวนะคร้าบ”

***********************************************************************
ขอโทษด้วยนะครับที่มาต่อให้ดึกมาก พอดีช่วงนี้มีเหตุให้ออกจากบ้านบ่อย แถมที่ที่จะไปก็เนตเสียมาต่อให้ไม่ได้
นี่ก้อเพิ่งถึงบ้านครับ ตอนนี้อาจจะไม่อะไรนัก คงแค่พอเรียกยิ้มที่มุมปากได้บ้างแต่อาทิตย์หน้าจะมีฉากกุ๊กกิ๊กมาเป็นคอมโบแน่ครับ สัญญา :)
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 22 “ถึงเวลาที่จะต้องลุยหรือยังนะ นที” 27/04/11 - 23.15
เริ่มหัวข้อโดย: YMP ที่ 27-04-2011 23:44:24
 :L2:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 22 “ถึงเวลาที่จะต้องลุยหรือยังนะ นที” 27/04/11 - 23.15
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 27-04-2011 23:51:49
รอเวลาที่คุณชายสุดหล่อจะลุยซะทีนะค๊า
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 22 “ถึงเวลาที่จะต้องลุยหรือยังนะ นที” 27/04/11 - 23.15
เริ่มหัวข้อโดย: naja-kitase ที่ 27-04-2011 23:55:21
ฮิ้วววววว เขินแทนนทีจริงๆ  :-[

นอนห้องเดียวกัน หึหึ ไม่อยากจะคิด ><

เหมือนดาริกาจะเป็นสาววาย ฮ่าๆ (แซววววววว)
หัวข้อ: Re: ...รักล้นใจ...(อัพครั้งที่ 16)
เริ่มหัวข้อโดย: yunjaejoong ที่ 28-04-2011 00:02:37
อาทิตย์หน้าเชียวเหร่อ นทีได้นอนห้องเดียวกับคุณชายด้วย อยากรู้จะเป็นยังงัยต่อ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 22 “ถึงเวลาที่จะต้องลุยหรือยังนะ นที” 27/04/11 - 23.15
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 28-04-2011 00:30:03
นอนด้วยกัน ฮ้า~~
นอนๆด้วยกัน ลั้ลลา~
*เพ้อ*

T H A N K S !!!!
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 22 “ถึงเวลาที่จะต้องลุยหรือยังนะ นที” 27/04/11 - 23.15
เริ่มหัวข้อโดย: zeit ที่ 28-04-2011 01:18:34
น่ารักจัง

อยากให้หวานกันให้เยอะ

คูณหญิงมาเป็นกามเทพตัวน้อยค่อยแผลงศรให้คู่นี้ทีสิ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 22 “ถึงเวลาที่จะต้องลุยหรือยังนะ นที” 27/04/11 - 23.15
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 28-04-2011 01:20:10
รอครับๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 22 “ถึงเวลาที่จะต้องลุยหรือยังนะ นที” 27/04/11 - 23.15
เริ่มหัวข้อโดย: primmi ที่ 28-04-2011 01:20:41
๕๕๕๕
แอบฮาตัวชงเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง คุณหญิงสุดยอดดด
คุณชายรู้ตัวเร็วๆน้า อกแม่ยกจะแตก

หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 22 “ถึงเวลาที่จะต้องลุยหรือยังนะ นที” 27/04/11 - 23.15
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 28-04-2011 01:30:55
คุณหญิงท่าทางจะเป็นสาววาย  ตอนนี้ขอมากรี๊ดดดดดดรอตอนหน้า
ชอบอะไรที่มันกุ๊ก ๆ กิ๊ก ๆ อ่ะ  ชอบบบบบบบ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 22 “ถึงเวลาที่จะต้องลุยหรือยังนะ นที” 27/04/11 - 23.15
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 28-04-2011 02:10:41
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 22 “ถึงเวลาที่จะต้องลุยหรือยังนะ นที” 27/04/11 - 23.15
เริ่มหัวข้อโดย: butterfly_bee ที่ 28-04-2011 03:51:15
นทีน่ารักก โดนปุยฝ้ายกับคุณหญิงแซวซะหน้าแดงหูแดงเชียว หุหุ
ส่วนคุณชายก็ไม่รู้อะไรบ้างเลยสิน่า ทำไงคุณชายจะรู้ใจตัวเองรู้ใจนทีบ้างหนออ
แล้วจะรอฉากกุ๊กกิ๊กตอนต่อไปนะค๊า  :impress2:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 22 “ถึงเวลาที่จะต้องลุยหรือยังนะ นที” 27/04/11 - 23.15
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 28-04-2011 05:35:05
ลุยได้แล้วนที ดูสิคุณชายเปิดทางให้ขนาดนี้ละ ถ้าขืนยังชักช้าอยู่อีก คุณชายจะลุยเข้าหาก่อนนะเออ หุหุ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 22 “ถึงเวลาที่จะต้องลุยหรือยังนะ นที” 27/04/11 - 23.15
เริ่มหัวข้อโดย: J_Dargon ที่ 28-04-2011 15:33:41
นอนด้วยกันก็ดีน่ะ เผื่อว่าอะไร ๆ จะได้คีบหน้าขึ้นหน่อย ^^
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 22 “ถึงเวลาที่จะต้องลุยหรือยังนะ นที” 27/04/11 - 23.15
เริ่มหัวข้อโดย: ทับทิมกรอบ ที่ 28-04-2011 15:53:11
ตามอ่านมาจนทัน

และอยากบอกไรเตอร์ว่า ติดเรื่องนี้มากๆ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 22 “ถึงเวลาที่จะต้องลุยหรือยังนะ นที” 27/04/11 - 23.15
เริ่มหัวข้อโดย: Rhythm ที่ 28-04-2011 16:26:06
ว้าวๆ น่ารักๆ เขินๆ
รออ่านนะคะ :L1:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 21 "จะหลอกตัวเองต่อไปก็เชิญแต่อย่าหลอกฉัน" 25/04/11 - 21.40
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กกะโปโล ที่ 28-04-2011 23:35:36
“เอ๊ะ ว่าแต่คุณชายเถอะค่ะ นอนร่วมกับน้องนทีจะ “เป็นไร” หรือเปล่าคะ”
    แววตาของดาริกา มีประกายแห่งความสนุกซ่อนอยู่แต่ไม่มีใครเห็น
คุณหญิงเป็นสาววายใช่ม้ายย?! o17
เหมือนคุณหญิงจะเป็นแม่สื่อมากกว่าศัตรูหัวใจของนที
นทีน่าร้าก!! :-[ พูดอะไรนิดหน่อยก็หน้าแดงหูแดง คิดไปไกล

ขอบคุณไรเตอร์นะคร้าบ มาต่อไวๆนะ :L1:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 22 “ถึงเวลาที่จะต้องลุยหรือยังนะ นที” 27/04/11 - 23.15
เริ่มหัวข้อโดย: IIMisssoMII ที่ 29-04-2011 00:44:14
คุณหญิงเป็นสาววายจริงๆด้วย :a2: กามเทพสองสาวมาแล้วววว
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 22 “ถึงเวลาที่จะต้องลุยหรือยังนะ นที” 27/04/11 - 23.15
เริ่มหัวข้อโดย: Horizon ที่ 29-04-2011 01:12:11
 :-[
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 22 “ถึงเวลาที่จะต้องลุยหรือยังนะ นที” 27/04/11 - 23.15
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 02-05-2011 18:03:34
อยากอ่านเเล้วอะๆๆ

รักคุณชายสุภาพบุรุษมากกก

เเต่ขอเเอบเเซว เเหมๆๆๆ คุณชายสงสัยหิวมากจนต้องทานจากมือน้องน้ำ อิอิอิ

น่ารักมาก ชอบมากค่ะ อ่านไปเขินไป

รักพี่ฟ้าม่วง
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 22 “ถึงเวลาที่จะต้องลุยหรือยังนะ นที” 27/04/11 - 23.15
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 02-05-2011 21:57:42
เมื่อไหร่คุณชายจะรุกบ้างอะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 22 “ถึงเวลาที่จะต้องลุยหรือยังนะ นที” 27/04/11 - 23.15
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 02-05-2011 23:41:05
23

  กว่าจะถึงรีสอร์ตที่ว่า ก็เกือบๆ บ่ายโมงแล้ว ป้ายทางเข้าทำจากแผ่นไม้ ปักอยู่บนเสาสูงหน้าซุ้มโค้งมีเถาไม้เกาะ ขับเข้ามาก็ผ่านทางที่เป็นถนนยาวๆ มีต้นไม้ประดับเต็มสองข้างทาง เลยทางเข้ามาแล้วนิดหน่อย ก็พบว่ามีบ้านทำจากไม้ทั้งหลังตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น พนักงานต้อนรับสวมชุดไทยแบบง่ายๆยืนรออยู่ ภาสกรจอดรถข้างๆบ้านหลังนั้น ก่อนจะตกลงกันว่าจะทำอะไรกันก่อน ก็พบว่าต่อให้กินแซนด์วิชมาแล้วแต่ทุกคนก็หิวกันอีกครั้ง ภาสกรจึงตัดสินใจว่า ให้กินข้าวเสียที่นี่ให้เรียบร้อยแล้วค่อยเข้าไปเก็บข้าวของ พอทิ้งกระเป๋าไว้ในรถแล้วทั้งหมดก็ลงจากรถเดินเข้าไปยังบ้านหลังนั้นทั้งที่ยังไม่ทันได้เห็นส่วนอื่นๆของรีสอร์ต
“สวัสดีค่ะ หม่อมราชวงศ์ ภาสกร และเพื่อนๆใช่ไหมคะ”
“ครับ” ภาสกรรับไหว้พนักงานสาวก่อนที่หล่อนจะบอกว่า
“คุณชายจะเช็คอินเลยไหมคะจะได้ให้พนักงานช่วยนำทางไปให้”
“ยังครับ เดี่ยวจะทานข้าวกันก่อน”
“ได้ค่ะ ร้านอาหารอยู่ชั้นบนค่ะ” หล่อนผายมือ จากนั้นทั้งสี่ก็เดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง ห้องอาหารมีทั้งที่อยู่ในตัวบ้าน และอยู่บนระเบียงด้านนอก ภาสกรเลือกนั่งสูดอากาศที่ริมระเบียง โดยนั่งโต๊ะที่อยู่ที่มุมหนึ่งของระเบียง
มองลงไปด้านล่างเห็นลานสนามหน้ากว้างใหญ่ มีต้นไม้ใหญ่ปลูกไว้เป็นระยะ มีม้านั่งตั้งอยู่ตามจุดต่างๆ จากนั้นก็มีถนนตัดผ่านข้างๆ ยาวลึกเข้าไปมองเห็นไกลๆว่ามีบ้านหลังเล็กหลังน้อยอยู่เรียงรายเต็มไปหมด
 พอสั่งอาหารหมดแล้ว ยังไม่ทันที่อาหารจะมาเสิร์ฟ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“คุณชาย” ปีเตอร์นั่นเอง หนุ่มเจ้าของรีสอร์ตในเสื้อโปโล กางเกงยีนส์แบบธรรมดาๆ เดินเข้ามาต้อนรับ พอภาสกรเห็นเขาเข้าก็ลุกขึ้นเข้าไปกอดลูบหลังกันสองสามที มองเลยไปเห็นสาวฝรั่งร่างสูงผมทองมัดไว้เป็นหางม้าจูงมือลูกวัยห้าขวบเข้ามาด้วยก็ทักเป็นภาษาฝรั่ง
“สวัสดีโรซาลี จำผมได้ไหม”
“ได้ซีคะ ดีใจจังเลยที่ได้เจอกันอีก ในประเทศของคุณ” หล่อนว่า เข้ามาจับมือภาสกร ก่อนที่จะแนะนำลูกสาวของตนให้ภาสกรรู้จัก “นี่ แมรี่ ลูกสาวฉันค่ะ เตอร์เขาเรียกว่า มะลิ เป็นภาษาไทย”
ภาสกรนั่งยองๆลงทักสาวน้อย
“น่ารัก น่าชังเหมือนแม่เลยนะ” เด็กน้อยยังไม่คุ้นกับคนแปลกหน้า จึงหลบไปอยู่หลังแม่ ภาสกรเห็นท่าทางก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะแนะนำให้เพื่อนๆของเขารู้จักกับ ดาริกา ปุยฝ้าย และ นที
“เฮ้ยนี่ กินข้าวหรือยัง” ภาสกรถามเพื่อนหนุ่ม
“ยังเลย ยังๆ” เตอร์ตอบเสียงดังอย่างร่าเริง “งั้นขอนั่งกินด้วยนะ เพิ่มอีก 3 ที่เอง ไม่ได้เจอกันนานจะได้คุยกันด้วย หวังว่าจะไม่ว่าอะไรนะ”
“เอาซี” คุณชายรับคำ ก่อนจะทันได้ว่าอะไรเจ้าของรีสอร์ตก็จัดแจง เรียกพนักงานสาวเข้ามาต่อโต๊ะ สั่งอาหารเพิ่มอีกสองสามอย่าง อย่างไม่คิดเสียเวลา
 ตอนแรกนทีค่อนข้างเกร็งเมื่อคิดว่ามีฝรั่งมานั่งอยู่ด้วย แล้วภาสกรเองก็เจอเพื่อนเก่าคุยกันสนุกสนาน เขาคงจะทำตัวไม่ถูกแน่ๆ แต่กลับเป็นว่าปีเตอร์นั่งตรงหัวโต๊ะ ติดกับภาสกร คุยกันอย่างออกรสก็จริงแต่ก็ไม่ลืมชวนนทีคุยด้วยไม่ให้อึดอัด ส่วนโรซาลีพอนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับสามี ข้างๆดาริกา ก็ชวนหล่อนคุย คุยไปคุยมาดาริกาก็พบว่า จริงๆแล้ว สาวผมทองเป็นลูกครึ่งฝรั่งเศส-อเมริกัน หล่อนเองก็เคยไปเรียนที่ฝรั่งเศสมา กลายเป็นนั่งคุยภาษาฝรั่งเศสกันอย่างสนุกสนาน มีปุยฝ้ายคอยถามคำศัพท์สนุกไปหมด
นทีอยู่ตรงกลางก็ถูกทั้งสามี ทั้งภรรยาเจ้าของรีสอร์ตผลัดกันซักถามพูดคุยไม่ให้เขารู้สึกโดดเดี่ยวจนมื้อนั้นเป็นอีกมื้อหนึ่งที่มีความสุขเหลือเกิน
 โดยเฉพาะกับเด็กหญิงตัวน้อย แมรี่ ที่พูดคล่องทั้งไทย ทั้งอังกฤษ พอหายตื่นคนแล้วก็ชวนหนุ่มน้อยที่นั่งข้างๆหล่อนคุยเป็นภาษาไทยบ้างอังกฤษบ้าง เล่นกันสนุกสนานบ้าง จนนทีต้องหัวเราะออกมาหลายครั้ง ไปๆมาๆ โรซาลีคุยกับดาริกาเพลิน ลืมดูแลลูกสาว ไม่ได้เห็นว่าหล่อนไม่ได้กินอะไรถนัดนัก นทีจึงกลายเป็นพี่เลี้ยงจำเป็นไปเลย
 “กินอะไรคะ คนสวย” นทีถามหญิงสาว ใช้คำลงท้ายว่า “คะ” คุยกับเด็กหญิงจนหนูน้อยหัวเราะคิก ตอบไปว่าอยากกินกุ้ง หนุ่มนทีก็จัดแจงแกะเปลือกส่งให้เด็กน้อยกินอย่างเอร็ดอร่อย คนที่นั่งถัดจากเขาไปหันมามองก็อดอมยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นนทีก้มลงหน้าเกือบจะชิดกับเด็กหญิงฟังเรื่องที่หล่อนพูดอย่างสนุกสนาน แล้วก็หัวเราะออกมาเหมือนเด็กๆ นทีรู้สึกว่าภาสกรมองอยู่ก็เงยหน้าขึ้นยิ้มให้ชายหนุ่มด้วย
    เวลาที่นทีพูดว่า
“เก่งจังค่ะ แม่รี่” ภาสกรก็อดหน้าแดงอย่างไม่รู้ตัวไม่ได้ จู่ๆก็เห็นภาพตัวเองกับนที จูงมือเด็กหญิงตัวเล็กๆไปเที่ยวที่โน่นที่นี่ กัน มีนทีคอยป้อนข้าวเด็กน้อยแล้วเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ตน... คงจะดีหากเขามีครอบครัวเป็นของตัวเอง
มีครอบครัวกับนทีเนี่ยนะ!
ภาสกรสั่นหัวแรงๆราวกับว่า หากทำอย่างนั้นแล้ว ความคิดจะถูกสลัดหลุดออกไปจากหัวได้อย่างนั้น... เขาจะบ้าไปแล้วหรือ อยากมีครอบครัวกับผู้ชายเนี่ย พอมองไปอีกทีก็พบว่า เมื่อเห็นหน้านที ก็เหมือนภาพของดาริกาซ้อนอยู่อีกชั้นหนึ่ง เพราะสองคนนี้หน้าคล้ายกันอย่างน่าประหลาดกระมังเขาจึงเผลอคิดว่าอยากให้นทีเป็นแม่ของลูกเขา ... ความจริงคงอยากให้เป็นดาริกามากกว่าที่อยู่ตรงนั้นในมโนภาพของเขา เขาคงไม่ได้อยากมีลูกกับผู้ชายจริงๆหรอกนะ ถ้าอย่างนั้นก็น่าขำเกินไปแล้ว
    อิ่มข้าวแล้วแมรี่ก็จูงนที หรือที่หล่อนเรียกว่า แนทที่ ลงไปวิ่งเล่นข้างล่าง พอคนพ่อร้องห้ามเพราะเกรงใจ กลัวว่านทีจะกินข้าวไม่อิ่ม หนุ่มน้อยก็บอกว่าตนมีความสุขดีที่ได้เล่นกับเด็กหญิง วิ่งตามไปอย่างสนุกสนาน เหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ทำเอาสองหนุ่มที่โต๊ะอาหารหัวเราะขึ้นเบาๆ
“รุ่นน้องนายนี่ ทำลูกฉันติดแล้วไหมล่ะ”
“น้ำก็อย่างนี้ล่ะค่ะรักเด็ก เด็กเล่นด้วยแล้วก็ติดใจ” ปุยฝ้ายแย่งภาสกรตอบ “แต่เอาเข้าจริงจะเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ติดใจทั้งนั้นแหละค่ะ”
“เห็นด้วยค่ะ” ดาริกายิ้ม “ขนาดหญิงเพิ่งเจอไม่กี่วันยังติดใจเลยคนอะไรหน้าตาก็น่ารัก นิสัยก็น่ารัก ใครได้มารู้จักก็ต้องติดล่ะค่ะ ใช่ไหมคะคุณชาย”
คำถามนั้นเป็นคำถามที่ธรรมดาเหลือเกินแต่ภาสกรกลับตอบไม่ได้ หรือตอบอืมรับไปแล้วเบาๆ ชายหนุ่มก็ไม่แน่ใจ เพราะเสียงหัวใจของเขา มันเต้นดังเหลือเกินจนกลบเสียงอื่นๆที่เขาได้ยินไปจนหมด เมื่อเห็นภาพของนที กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปกับเด็กน้อย มีคำว่า “จะเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ติดใจทั้งนั้นแหละค่ะ” ที่ปุยฝ้ายว่าก้องอยู่ในหัว
เขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ภาสกรยอมรับ อยากเห็นหน้า อยากพูดคุย อยากอยู่ใกล้นทีตลอดเวลา... คำนี้หรือเปล่านะ คำที่จะมานิยามความรู้สึกที่เขามีต่อนที ที่คิดแล้วคิดอีกอย่างไรก็คิดหาคำมาเรียกไม่ได้
เขา“ติดใจ”นที เข้าแล้ว...
“ติดใจ” คงไม่เหมือน “ชอบ”... คงไม่เหมือน “รัก” หรอกนะ

ภาสกรเดินมาตามนทีเมื่อหลายคนกินข้าวเสร็จแล้วพร้อมจะเช็คอินเข้าพักผ่อนที่บ้านพัก ก็พบว่า นทีกำลังวิ่งไล่จับเด็กน้อยอยู่ พอหนุ่มน้อยก้มลงกอด แมรี่ไว้ได้ เด็กหญิงตัวเล็กเหมือนตุ๊กตาก็ร้องกรี๊ดออกมา คุณชายหนุ่มเดินเข้าไปนั่งที่ม้านั่งใกล้ๆ พอนทีเห็นว่าภาสกรเดินเข้ามาก็อุ้มแมรี่เข้าไปหานั่งลงข้างๆภาสกร
“อิ่มแล้วหรือครับคุณชาย”
“อืม” เขารับ เขยิบตัวเข้าไปใกล้นทีเพื่อเล่นกับเด็กหญิงด้วย “คุณเถอะ อิ่มแล้วหรือมาเล่นอยู่แต่กับเด็กน้อยคนนี้”
 “อิ่มแล้ว ผมกินแซนด์วิชมาแล้วตั้งเยอะ” หนุ่มน้อยตอบ เห็นคุณชายหนุ่มก้มหน้าลงมาใกล้ๆเด็กหญิงจี้เอวเล่นจนดิ้นพล่านร้องกรี๊ด หัวเราะอย่างเสียงดังก็หน้าแดง ในเมื่อยิ่งใบหน้าของภาสกรอยู่ใกล้เด็กหญิงมากเท่าใด ก็เท่ากับว่ามันใกล้เขามากเท่านั้น
 “หรอ” เขาว่าพูดเบาๆ อย่างไม่รู้ตัวพอพูดจบประโยคไปแล้วถึงได้รู้ว่าตัวเองพูดอะไรที่ประหลาดได้มากเพียงใด “คุณดูเด็กเก่งจังนะ นที คงจะเป็นพ่อที่ดีได้แน่ๆเลย”
นทีหน้าแดง ไม่รู้จะตอบอย่างไรก็เฉไฉว่า
“หาแม่ให้เด็กยังไม่ได้เลย จะเป็นพ่อที่ดีได้ยังไง” สิ้นประโยค คุณชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นมามองหนุ่มน้อยที่กอดเด็กหญิงอยู่ หัวใจเต้นแรงเมื่อเห็นใบหน้าขาวนวลเนียน รื้นเป็นสีชมพูไปด้วยเลือดฝาด ปากสีชมพูใสอ้าออกเล็กน้อยเพราะเพิ่งพูดจบประโยค เหมือนจะเชิญชวนให้เข้าเคลื่อนตัวเข้าไปหา
ถ้านทีเป็นผู้หญิง ถ้าเขายังอยู่ที่อังกฤษ และถ้าประโยคของเขาเป็น “คุณคงเป็นแม่ที่ดีได้แน่” แล้วนทีตอบว่า “หาพ่อให้เด็กยังไม่ได้เลย...”แล้วล่ะก็ ภาสกรคงจะประทับริมฝีปากของเขาลงบนริมฝีปากสีชมพูที่อยู่ตรงหน้าก่อนจะพูดว่า
“ผมไงครับ พ่อของเด็ก” ไปแล้ว แต่ประโยคใดก็ตามที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า “ถ้า” ละก็ในเชิงไวยากรณ์แล้วมันก็เป็นการสมมติสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ภาสกรจึงเรียกสติของตัวเองกลับมา คิดได้ในที่สุดแล้วก็ค่อยๆ ถอนตัวออกจากนที หันไปทางอื่นแล้วพูดเสียงอ่อยๆว่า “เขาทานข้าวกันอิ่มแล้ว ไปเช็คอินกันเถอะ”

   “เอ๊ะ น้องฝ้ายดูสองคนนั้นซีคะ” ดาริกาสะกิดให้ปุยฝ้ายหันไปดู ตอนที่ภาสกรจ้องหน้านทีอยู่ด้วยแววตาลึกซึ้ง ในขณะที่นทีก้มลงคุยกับเด็กหญิงในอ้อมกอดของตนอย่างไม่รู้เรื่องพอดี “นั่นพี่คิดไปเองหรือว่า เขา... เอ้อ เขาดูเหมือน ... อุ๊ยพูดยังไงล่ะคะ เขาดูแปลกๆกันหรือเปล่าคะนี่”
    ปุยฝ้ายหัวเราะ แต่ไม่ตอบอะไรดาริกา
    คนที่ถูกมองไม่เห็นอะไร จึงเดินนำนทีออกมาก่อน ปล่อนให้หนุ่มน้อยเล่นจี้เอวเด็กหญิง แมรี่ดิ้นพล่าน หันไปขยี้หัวนทีจนผมพันกันยุ่ง หนุ่มน้อยร้อง “โอ๊ย” ขึ้นมาเบาๆ แล้วก็ปล่อยมือออกจากตัวของเด็กหญิง ปล่อยให้หล่อนหัวเราะเสียงดัง พร้อมกับวิ่งหนีจากไป
    ภาสกรหันหน้ามาดูแล้วก็อมยิ้มที่มุมปาก เดินเข้ามาหานที
    “ผมยุ่งหมดแล้ว ไปแกล้งแมรี่เขาทำไมล่ะ คุณนี่”
    ไม่พูดเปล่า ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ก็เอื้อมมือมาลูบผมของนทีให้เข้ารูปเข้าทรง หนุ่มน้อยเขินอายอีกครั้งเมื่อนึกถึงสัมผัสนี้ เมื่อครั้งอยู่ที่โรงพยาบาล และตอนที่ไปที่บ้านของคุณชายหนุ่ม สัมผัสที่อบอุ่นแบบนี้ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว แต่นี่ถึงสาม ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า หนุ่มน้อยมีความสุขเพียงใด
    แล้วเมื่อคิดว่า สักวัน เมื่อภาสกรรู้ว่าเขาคิดอย่างไรกับคุณชายอยู่กันแน่ ความรักความเอ็นดูแบบพี่มีต่อน้องที่ภาสกรมีให้เขาจะเปลี่ยนไปในทิศทางเดียวกับเขา หรือว่าต้องจากกันไปเพราะกลายเป็นความเกลียดชังกันแน่
    นทีไม่อยากคิดต่อ จึงยิ้มให้ภาสกร คุณชายหนุ่มก็ยิ้มตอบแล้วเดินกลับเข้าไปหาดาริกา และปุยฝ้าย ความกระดากอายอย่างอึดอัด และน่าลำบากใจนั้น มลายหายไปสิ้น เหลือไว้แต่ความอุ่นใจ สบายใจ และสุขใจเหลือเกิน จนแม้แต่ต้นไม้เพียงไม่กี่สิบต้น ระหว่างทางจากตรงนั้นไปบ้านพักของเขานั้นก็กลับสวยงามขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด

   บ้านพักของภาสกร นที ปุยฝ้าย และดาริกา อยู่บนเนินสูงตรงบริเวณเกือบในสุดของรีสอร์ต มันเป็นบ้านหลังย่อม ทำจากไม้ทั้งหลังมีลำธารสายเล็กไหลเอื่อยๆ ผ่านจากหลังบ้านอ้อมไปด้านข้าง บริเวณหลังบ้านนั้นแหละ มีโต๊ะไม้สีขาวสะอาดตั้งอยู่ ไว้ให้นั่งชมวิวกันตอนเช้าๆ
   เพียงเปิดประตูเข้าไปด้านในก็พบว่า ทางซ้ายมือมีบันไดไม้ขึ้นไปยังชั้นสอง ด้านขวามือ มีโต๊ะกระจกกลมมีเก้าอี้เรียงอยู่รอบๆสี่ตัวครบจำนวนคน เดินเลยเข้าไปข้างในก็พบว่า มีเก้าอี้ยาวรับแขก และชุดโทรทัศน์ตั้งอยู่ ห้องใต้บันใดมีบาร์ไม้เล็กๆ เป็นบาร์เครื่องดื่ม มีตู้เย็นขนาดย่อมอยู่ตรงนั้นด้วยด้านในมีทั้งน้ำเปล่า น้ำอัดลม และ ไวน์ฝรั่งเศสอย่างดีอีกหนึ่งขวดบรรจุไว้ เดินเลยห้องครัวเข้าไปด้านในก็พบว่ามีห้องนอนขนาดเล็กอยู่คู่กับห้องน้ำที่เปิดโล่งออกข้างนอก มีเพียงฉากไม้ไผ่กั้น กันอุจาดไว้ หากมองขึ้นไปตรงๆจะเห็นกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ใหญ่ข้างนอก ได้เต็มตา มีเสียงลำธารไหลเอื่อยๆอยู่ใกล้ๆ เรียกได้ว่า อาบน้ำกันใต้ร่มไม้ทีเดียว
    แค่เห็นปุยฝ้ายก็ร้องว่า
    “อี๊ ไม่อยู่ล่ะค่ะ คุณชายกับนทีอยู่กันไปนะคะ เป็นผู้ชายอาบอย่างนี้คงไม่เป็นไร แต่ฝ้ายไม่เอาด้วยค่ะ ยิ่งสวยๆอยู่ใครมาปีนดูล่ะก็จบ”
    เรียกเสียงหัวเราะไปยกหนึ่งก็เดินกลับเข้ามาในบ้าน คุณชายและนทีทิ้งกระเป๋าของตนไว้ตรงนั้น แล้วช่วยพวกผู้หญิงขนของขึ้นไปด้านบน
    บันไดทอดตัวขึ้นไปยังระเบียงทางเดินที่อยู่ด้านหน้าห้องก่อนจะเปิดเข้าไปเป็นห้องนอนห้องหนึ่งพร้อมห้องน้ำขนาดใหญ่ มีอ่างอาบน้ำอยู่อย่างน่าสะดวกสบาย เป็นอันว่าพวกผู้หญิงได้ห้องที่เหมาะสมแล้ว
    “คุณสองคนอยากไปไหนไหม หรือจะพักผ่อนกันก่อน” คุณชายถาม
    “ขับรถมาเหนื่อยๆ คุณชายไปพักก่อนเถอะค่ะ พวกเราอาจจะเปลี่ยนเสื้อผ้าหน่อย แล้วก็ไปเดินเล่นแถวนี้ไม่งั้น ถ้าไม่มีอะไร หญิงคงต้องรบกวนคุณชายนำเที่ยวนอกรีสอร์ตแล้วค่ะ” ดาริกาชี้แจง ภาสกรก็เห็นด้วย จึงปล่อยสองสาวไว้
    ตัวเองเดินกลับลงมาข้างล่างพร้อมนที
    พอเอาของเข้าไปเก็บในห้อง นทีก็ง่วนอยู่กับการจัดกระเป๋าให้ดูวุ่นวายไปอย่างนั้นเอง ยังไม่อยากพูด หรือทำอะไรไปตอนนี้ เพราะ บรรยากาศที่อึดอัด และน่าใจหาย แต่มีความสุขอย่างประหลาด ยังคงอบอวลอยู่จนปรับตัวไม่ทัน พอหันกลับมาอีกทีนทีก็พบว่าภาสกรทิ้งตัวลงนอนบนเตียงแล้วเรียบร้อย นอนคว่ำ แต่หันหน้ามามองทางหนุ่มน้อยถามว่า “เก็บของอะไรหรอ”
    “เอ้อ พวกของใช้ส่วนตัว ผ้าเช็ดตัวอะไรอย่างนี้ล่ะครับ” นทีว่ามุบมิบ เดินมานั่งที่ปลายเตียง หันหน้ามองภาสกรเช่นกัน
    “นอนพักกันก่อนเถอะ เดินทางมาเหนื่อย”
    ภาสกรบิดตัวไปมา แล้วก็หาวออกมาเสียงดัง ปากกว้างแบบไม่คิดจะปิดปากรักษาภาพจนนทีอดยิ้มไม่ได้ เขาไม่เคยใกล้ภาสกรขนาดนี้เลย ไม่เคยเห็นภาสกรทำตัวเหมือนเด็กอย่างนี้ ตอนที่อยู่ที่โรงพยาบาลถึงใกล้กันทางกายก็จริงแต่ทางใจแล้วไม่ได้ใกล้ชิดราวกับเป็นเพื่อนสนิทสนมกันมานานเท่านี้
    หนุ่มน้อยทิ้งตัวลงนอนตะแคงหันไปทางภาสกรบ้างนอนจ้องตากันอยู่พักหนึ่ง ในความเงียบ ... เงียบอย่างอบอุ่น และสงบอย่างทุกครั้งที่อยู่ด้วยกันสองคน ต่างฝ่ายต่างไม่ได้สังเกตหรอกว่า ระยะห่างของเตียง เพียงโต๊ะเล็กข้างเตียงกั้นนั้น มันไม่ได้ต่างจากนอนบนเตียงเดียวกันสักเท่าไหร่ ภาสกรยิ้มขึ้นมาก่อน นทีก็ยิ้มตาม “คุณมีความสุขหรือเปล่าครับ” ภาสกรถามเบาๆคล้ายจะกระซิบ
    “ครับ” นทีตอบเบาๆเช่นกัน ทั้งคู่เงียบไปพักหนึ่งก่อนที่ภาสกรจะบอกว่า
    “ดีใจนะ ที่คุณมีความสุข... ผมก็มีความสุข มากเหมือนกัน” ชายหนุ่มพูดเสร็จก็หลับตาลงนิ่งๆอย่างนั้น ไม่ได้พูดอะไรต่อ ทิ้งให้นทีนอนจ้องหน้าเขาต่อไปอีกนานหลายสิบนาที จนหนุ่มน้อยเกือบจะห้ามใจไม่ไหว คิดว่านอนอยู่บนเตียงเดียวกันแล้วกระเถิบตัวเข้าไปซุกอยู่บนอกกว้างที่แน่นไปด้วยมัดกล้ามนั้น ก่อนจะแอบกระซิบเบาๆว่า “ผมมีความสุขมากแล้ว ตั้งแต่มีคุณชายเช่นกันครับ”
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 23 - เขา“ติดใจ”นที เข้าแล้ว - 2/05/11 - 23.35
เริ่มหัวข้อโดย: SecondaryTrauma ที่ 03-05-2011 00:18:01
ดูท่าว่าคุณหญิงดาริกาจะเป็นสาววายด้วยคนหนึ่ง แอบคิดเตลิดไปด้วยว่าคุณหญิงน่าจะเป็นพี่สาวของนทีด้วย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 23 - เขา“ติดใจ”นที เข้าแล้ว - 2/05/11 - 23.35
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 03-05-2011 00:33:20
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 23 - เขา“ติดใจ”นที เข้าแล้ว - 2/05/11 - 23.35
เริ่มหัวข้อโดย: Horizon ที่ 03-05-2011 00:57:25
คุณชายจะสับสนอีกนานมั๊ย
เป็นกำลังใจให้นที
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 23 - เขา“ติดใจ”นที เข้าแล้ว - 2/05/11 - 23.35
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 03-05-2011 02:21:19
ถ้าดาริกาเป็นพี่สาว หรือ ญาติ ของนทีคงจะดีนะ ดูท่าจะเป็นสาววายด้วย   ...เหรอ

อ่านแล้ว ยิ้มตามไปเลย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 23 - เขา“ติดใจ”นที เข้าแล้ว - 2/05/11 - 23.35
เริ่มหัวข้อโดย: A-J.seiya* ที่ 03-05-2011 02:39:27
+1 ค่ะ
ติดใจมาตั้งแต่คราวปางบรรพ์แล้ว
เรื่องนี้ไม่ผิดหวังเลยค่ะ
อ่านแล้วรู้สึกมีความสุขมาก อ่านรวมเดียวเลย
^^ คุณชายน่ารักมากอ่ะ
อาจจะยังสับสนกับตัวเองอยู่ แต่คงอีกไม่นาน (มั้ง?)
เฮ้ออ ปัญหาเรื่องของที่บ้านคุณชาย คงยิ่งใหญ่
ไหนจะเรื่องพ่อเลี้ยงของน้ำอีก
เอาใจช่วยให้ทั้งคู่ผ่านไปได้ ,,
ปล. คุณหญิงดาริาน่ารักมาก ชักชอบแล้วสิ  ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 23 - เขา“ติดใจ”นที เข้าแล้ว - 2/05/11 - 23.35
เริ่มหัวข้อโดย: PandP ที่ 03-05-2011 04:33:01
รอตอนต่อไป...
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 23 - เขา“ติดใจ”นที เข้าแล้ว - 2/05/11 - 23.35
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 03-05-2011 05:53:26
ความรู้สึกของคุณชายยังติดอยู่ในกรอบอยู่ แต่เชื่อว่าอีกไม่นาน คงจะเข้าใจความรู้สึกของตัวเองมากขึ้น

แล้วจะรู้ว่า "ติดใจ" "ชอบ" หรือ "รัก" ใช่ความหมายเดียวกันรึเปล่า  :impress2:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 23 - เขา“ติดใจ”นที เข้าแล้ว - 2/05/11 - 23.35
เริ่มหัวข้อโดย: butterfly_bee ที่ 03-05-2011 06:28:39
คุณชายยังไม่รู้ใจสินะ
ทำยังไงน้อคุณชายถึงจะเข้าใจตัวเองซักที
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 23 - เขา“ติดใจ”นที เข้าแล้ว - 2/05/11 - 23.35
เริ่มหัวข้อโดย: kakuro ที่ 03-05-2011 08:15:41
คุณชาย“ติดใจ”นที
แต่เรา“ติดใจ”คุณฟ้าม่วง
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 23 - เขา“ติดใจ”นที เข้าแล้ว - 2/05/11 - 23.35
เริ่มหัวข้อโดย: Rhythm ที่ 03-05-2011 12:25:47
น่ารักอีกเเล้ว น่ารักทั้งคู่เลย :L1:
รออ่านนะคะ :L1:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 23 - เขา“ติดใจ”นที เข้าแล้ว - 2/05/11 - 23.35
เริ่มหัวข้อโดย: maew189870 ที่ 03-05-2011 12:36:28
ได้เห็นหน้าทุกวันก็มีความสุขแล้วคับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 23 - เขา“ติดใจ”นที เข้าแล้ว - 2/05/11 - 23.35
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 03-05-2011 15:31:53
น่ารักมาก ขอบคุณพี่ฟ้าม่วงค่ะ
อยากให้หวานอีกๆ กรี๊ดด
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 23 - เขา“ติดใจ”นที เข้าแล้ว - 2/05/11 - 23.35
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 03-05-2011 15:48:43
คุณชายเริ่มรู้ใจตัวเองมาขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว 
แต่เชื่อว่าอุปสรรคเป้ง ๆ รออยู่อีกเพียบ
แค่คิดถึงหม่อมแม่ก็ท้อใจแทน  เฮ้อออ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 23 - เขา“ติดใจ”นที เข้าแล้ว - 2/05/11 - 23.35
เริ่มหัวข้อโดย: IIMisssoMII ที่ 03-05-2011 18:55:53
สงสารคุณดาริกา จะชวนปุยฝ้ายเม้าท์เธอก้อไม่เล่นด้วย
  :laugh:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 23 - เขา“ติดใจ”นที เข้าแล้ว - 2/05/11 - 23.35
เริ่มหัวข้อโดย: namngern ที่ 03-05-2011 21:02:45

แอร๊ยยย คุณชายกนนทีน่ารักจัง
ดูท่าแล้วคุณหญฺงดาริกานี่ใช่เล่นจริงๆ ฮ่าๆ ตัวแปรสำคัญนะคะเนี่ยะ เอิ๊กก
ชอบบบบคะ ชอบมากกกกก

รออ่านตอนต่อไปอยู่นะคะ +1 ให้จ้าา
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 23 - เขา“ติดใจ”นที เข้าแล้ว - 2/05/11 - 23.35
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 03-05-2011 21:11:22
คุณหญิงตอมจิ้นเริ่มทำงานแล้วววว ^^
บวกให้ค่า
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 23 - เขา“ติดใจ”นที เข้าแล้ว - 2/05/11 - 23.35
เริ่มหัวข้อโดย: namwaan1992 ที่ 03-05-2011 23:14:05
อ้ากกก ก~
หวานอ่ะ   ^^
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 23 - เขา“ติดใจ”นที เข้าแล้ว - 2/05/11 - 23.35
เริ่มหัวข้อโดย: J_Dargon ที่ 03-05-2011 23:31:41
อ่านไปยิ้มไป มีความสุขจิง ๆ  o18
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 23 - เขา“ติดใจ”นที เข้าแล้ว - 2/05/11 - 23.35
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 04-05-2011 00:38:12
รอคร้าบบบ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 23 - เขา“ติดใจ”นที เข้าแล้ว - 2/05/11 - 23.35
เริ่มหัวข้อโดย: babyfaibossy ที่ 04-05-2011 12:40:00
ดูท่าว่าคุณหญิงดาริกาจะเป็นสาววายด้วยคนหนึ่ง แอบคิดเตลิดไปด้วยว่าคุณหญิงน่าจะเป็นพี่สาวของนทีด้วย

เห็นด้วยๆ   :laugh:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 23 - เขา“ติดใจ”นที เข้าแล้ว - 2/05/11 - 23.35
เริ่มหัวข้อโดย: zeit ที่ 04-05-2011 15:47:31
คุณชายรู้ใจตัวเองเร็วๆหน่อยสิค่ะ

คนอ่านลุ้นจะแย่แล้ว

ห้าๆๆ

หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 23 - เขา“ติดใจ”นที เข้าแล้ว - 2/05/11 - 23.35
เริ่มหัวข้อโดย: BF-e ที่ 04-05-2011 16:28:43
 ~~ ครอบครัวที่อบอุ่น   :-[
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 23 - เขา“ติดใจ”นที เข้าแล้ว - 2/05/11 - 23.35
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 04-05-2011 22:27:08
24

    ภาสกรตื่นขึ้นมาอีกที ก็พบว่าหนุ่มน้อยไม่ได้นอนอยู่ตรงข้ามแล้ว
ทิ้งโน้ตไว้ว่า “ไปขี่จักรยานเล่นครับ” เท่านั้น พอออกมาข้างนอกก็พบว่าไม่มีใครอยู่ บ้านเลยสักคน ตนจึงเปลี่ยนกางเกงเป็นขาสั้นแบบสบายๆ ล็อกบ้านพักเสียแล้วก็เดินออกไปตามหานที บริเวณโดยรอบของรีสอร์ทจัดไว้ไม่หรูหราก็จริง แต่ก็สวยงามเมื่อคิดว่าไม่ค่อยได้มาสัมผัสบรรยากาศแบบนี้ บ้านพักกระจายตัวเรียงรายรอบถนนที่มีอยู่สองฟาก ตรงกลางเป็นเกาะกลางปลูกไม้พุ่มบ้าง ไม้ยืนต้นบ้างสลับกันไป ตัดแต่งไว้งดงามแต่ก็ยังดูเป็นธรรมชาติเหมือนงอกขึ้นมาเอง
    บ้านของภาสกรอยู่บนเนินตรงทางโค้งของถนน มองตรงไปด้านหน้าก็คือส่วนต้อนรับที่เขาเพิ่งจากมาเมื่อบ่าย มีถนนแยกตัวไปทางซ้ายตอนเข้ามาพอจะจำได้ว่ามีป้ายบอกไว้ว่าไปสวนดอกไม้ และสระว่ายน้ำ ในใจพิจารณาว่าอย่างนทีคงไม่ไปว่ายน้ำแน่ แต่ถ้าจะไปขี่จักรยานอย่างที่เขียนบอกไว้ก็คงต้องไปทางสวนซึ่งเท่ากับว่าไปทางเดียวกับสระว่ายน้ำอยู่ดีกระมัง
    แต่ทางจากบ้านพักไปถึงทางแยกก็ไกลพอตัวอยู่แล้ว เลยไปสวนก็ไกลกว่าเดิมอีกถ้านทีไม่อยู่ที่นั่นจริง จะไม่ยิ่งเสียเวลาหรือ
    ชายหนุ่มไม่ทันได้คิดอะไรมากก็เหลือบไปเห็นป้ายบอกทางอยู่ใกล้ๆบ้านพักของตน จึงเดินไปดู ปรากฏว่าป้ายบอกทางว่าเลยบ้านพักเขาเข้าไปด้านในอีกเรื่อยๆ จะเป็นคลับแอนด์สปา และเรือนผีเสื้อ หนุ่มอารมณ์ศิลปินอย่างนทีน่าจะอยากไปดูผีเสื้อมากกว่ากระมัง อีกอย่างดาริกาและปุยฝ้ายคงไปเข้าสปานวดกันตามประสาผู้หญิง ไม่แน่ถ้าเริ่มจากที่นี่ ไปถามก่อนว่าพอเห็นนทีบ้างไหมก็อาจจะทำให้พบตัวหนุ่มน้อยเร็วขึ้น
    ภาสกรจึงเดินพาตัวเองไปตามทางเล็กๆนั้น
    ทางลาดยางแบบให้รถเดินก็จริง แต่ข้างทางเริ่มไม่มีบ้านพักแล้ว กลับเห็นเป็นลานหญ้ามีต้นไม้ขึ้นเป็นหย่อมๆ มีม้านั่งอยู่ตามจุดต่างๆ มองข้ามลานนั้นไป เห็นไกลๆว่ามีอาคารไม้หลังหนึ่งตั้งอยู่ คงเป็นคลับ แอนด์สปาอย่างที่ป้ายบอก คุณชายหนุ่มจึงเดินออกจากทางลาดยางตัดผ่านสนามหญ้าไปด้วยอารมณ์ดีเหลือเกิน ได้ยินเสียงนกร้องราวกับคณะประสานเสียง มีลมพัดเป็นระยะเจือคล้ายเสียงดนตรี ก็รู้สึกเหมือนได้มาอยู่ในสวรรค์ชั้นฟ้าก็ไม่ปาน ชายหนุ่มกวาดตาเก็บบรรยากาศไปเรื่อยๆ ก็เห็นม้านั่งตัวหนึ่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านครอบคลุมไปทั่ว เห็นแล้วอดคิดถึงนทีไม่ได้
    คิดถึงเมื่อไม่กี่ชั่วโมงมานี้ที่หนุ่มน้อยนั่งบนม้านั่ง มีเด็กหญิงแมรี่อยู่บนตัก ริมฝีปากแดงซ่านเพราะเพิ่งกินอาหารเผ็ด อ้าเผยอออกเพราะเพิ่งจบประโยค ดูช่างเซ็กซี่ เย้ายวน น่าหลงใหล... อย่างนั้นหรือ... ภาสกรตกใจ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เขาไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับผู้ชายคนไหน แม้กับผู้หญิงก็ตาม
    กับเจสสิกาที่เคยคบกันที่อเมริกา ภาสกรก็ไม่เคยรู้สึกแบบนี้ โอเคเขาเคยจูบหล่อน แต่เพราะฝ่ายนั้นเริ่มก่อน กับทิฆัมพร เขาก็เคยจูบหล่อนเพราะฝ่ายหญิงเริ่มก่อนเช่นกัน มาครั้งนี้เองที่ภาสกรเป็นฝ่ายนึกอยากโน้มคอนทีลงมา แล้วบรรจงประกบริมฝีปากอวบอิ่มของเขา เข้ากับปากแดงระเรื่อของหนุ่มน้อยเองเหลือเกิน
    นึกภาพตัวเองจูบกับนทีเข้าจริงๆ แทนที่จะขยะแขยง ชายหนุ่มกลับขนลุก หน้าร้อนผ่าวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน รีบเร่งฝีเท้าตรงไปยังสปาแห่งนั้น เพื่อที่ว่าใจจะได้ไม่จดจ่ออยู่แต่กับนทีมากไป ภาสกรไม่เคยคิดว่าตนเป็นเกย์ และยังไม่มีแผนว่าจะกลายเป็นในเร็วๆนี้ด้วย

    อาคารไม้สองชั้น ขนาดใหญ่นั้นเป็นทั้งสปา และสปอร์ตคลับ เข้าไปด้านในก็พบว่ามีห้องฟิตเนส และห้องเทเบิลเทนนิส ด้านหลังเป็นคอร์ตแบดมินตัน และเทนนิสด้วย แต่กลับไม่มีสระว่ายน้ำทั้งๆที่ควรจะเอามาไว้รวมกัน แต่แยกไปอยู่ท่ามกลางหมู่แมกไม้กลางสวนออกไปต่างหาก
    พนักงานต้อนรับออกมาทักทายภาสกรก่อน  เขารับไหว้หล่อนก่อนจะถามหาดาริกาและปุยฝ้าย ได้ความว่าทั้งคู่นวดอโรมาอยู่ชั้นสอง เข้าไปไม่ได้เพราะต้องถอดเสื้อผ้านวด จะนั่งรอก็กลัวเสียเวลาถามหานทีก็ได้ความอีกเช่นกันว่า หนุ่มน้อยขี่จักรยานวนไปด้านเรือนผีเสื้อ ซึ่งจะไปบรรจบกับสวนดอกไม้ และสระว่ายน้ำเป็นวงกลมพอดี
    ชายหนุ่มกล่าวขอบคุณแล้วก็ รับแผนที่ของรีสอร์ตมาดูก็พบว่า รีสอร์ตนี้แต่งเป็นวงกลม ด้านหน้าเป็นแผนกต้อนรับ ถนนแยกเป็นสองทางเลี้ยวซ้ายมาจะมีศูนย์สมุนไพรต่างๆ ที่เขาขับผ่านมาตั้งแต่บ่ายแต่ไม่ได้สนใจ วนขวามาเรื่อยๆจะเห็นอาคารแห่งนี้ เรือนผีเสื้อ สระว่ายน้ำ และสวนดอกไม้ตามลำดับ ก่อนจะวนรอบกลับมาเจออาคารต้อนรับอีกที ตรงกลางรีสอร์ตคือบ้านพัก ทั้งแบบโฮมสเตย์ และแบบรายคืน ถือว่าจัดได้น่าประทับใจดี
    ภาสกรเดินออกมาจากอาคารหลังนั้นก็พบว่าตนเดินเข้าไปในตึกด้วยสมองที่มีแต่นทีวนเวียนอยู่จนไม่ได้สนใจว่า ด้านหน้ามีจักรยานจอดอยู่ด้วยสองคัน ของปุยฝ้ายหนึ่ง ของดาริกาอีกหนึ่ง ส่วนนทีไม่ได้ลงอยู่กับสาวๆแต่คงไปขี่เล่นดูวิวไปตามอารมณ์ศิลปิน ภาสกรจึงเดินเรื่อยๆไปอย่างไม่มีจุดหมาย ชะเง้อหานทีไปด้วยตลอดทาง
    กระทั่งมาถึงหมู่เรือนเกษตรคลุมผ้าขาว อย่างที่เคยเห็นในโรงเรียนมัธยม มีป้ายไม้ขนาดใหญ่เขียนไว้ว่า เรือนผีเสื้อ ชายหนุ่มก็แวะเข้าไปเดินวนอยู่พักหนึ่ง พบว่าหน้าเรือนที่อยู่เกือบในสุด มีจักรยานสีแดงคันหนึ่ง จอดพิงไว้ง่ายๆ ก็อมยิ้ม เดาว่าคงเป็นนทีที่อยู่ในนั้นแน่ เขาเดาไม่ผิดแต่แรกว่าหนุ่มน้อยน่าจะมาที่นี่ทั้งที่ยังไม่รู้อะไร แปลกใจว่าตนเดาใจเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เพิ่งรู้จักกันไม่นานได้อย่างไร
    ในเมื่อใจตัวเองที่รู้จักกันมานานชั่วชีวิต ยังเดาไม่ออกเลย
     นทียืนหันหลังให้ทางเข้า ใส่เสื้อตัวเดิมแต่กางเกงและรองเท้าเปลี่ยนเป็นขาสั้นสบาย คีบแตะแบบลำลองจะได้ไม่ต้องเดินลำบาก นับว่าประหลาดมากที่ภาสกรมุ่งความสนใจไปที่หนุ่มน้อยมากกว่าผีเสื้อหลายสิบตัว ที่บินว่อนตอมดอกไม้นานาชนิดอยู่ตรงนั้น ภาสกรเดินเงียบๆเข้าไปถึงตัวหนุ่มน้อยเอื้อมมือไปบีบหัวไหล่เบาๆ พลางพูดว่า
    “ว่าแล้วว่าคุณต้องอยู่ที่นี่”
    นทีหันมากลายเป็นว่าเกือบอยู่ในอ้อมกอดของคุณชายที่ยืนอยู่ใกล้เหลือเกินไม่ได้ถอยหนีไปไหน ดวงตาคู่โตสวยสองคู่สบประสานกันนิ่งนานจนเห็นภาพสะท้อนของตัวเองชัดเจนในดวงตาของอีกฝ่าย มองกันอยู่นานแทบว่ามีกันและกันอยู่เพียงสองคนบนโลกนี้ ทั้งคู่ก็หลบตากันแทบจะพร้อมๆกันโดยไม่ได้นัดหมาย ทั้งที่ในใจกกลับคิดตรงกันอีกว่าอยากยืนจ้องอยู่อย่างนั้นนานๆ
    นทีแก้เก้อด้วยการพูดทำลายความเงียบขึ้นก่อนว่า
    “คุณชายหาผมเจอได้ไง”
    “ก็เดินมาเรื่อยๆ เดาว่าอย่างคุณคงมาดูผีเสื้อแน่ๆ เห็นไหมล่ะว่าเดาไม่ผิด” ชายหนุ่มว่าเห็นนทีค่อยๆเดินออกไป ก็รีบเดินตามเหมือนกลัวว่าอีกฝ่ายจะวิ่งหนีหายไปเฉยๆ หากเท้าของทั้งคู่ไม่ได้ย่ำพื้นที่แฉะจากการรดน้ำจนมีเสียง แต่เดินบนพื้นหญ้านุ่มๆละก็ ต่างฝ่ายต่างก็คงจะได้ยินเสียงใจของกันและกัน เต้นโครมครามอย่างชัดเจนแน่ๆ
    “อย่างผมที่มันอย่างไหนหรือ” นทีถามอายๆ หยุดลงที่ดอกไม้ดอกหนึ่ง มีผีเสื้อตัวใหญ่สีฟ้าเหลือบลายสวยเกาะอยู่ ภาสกรก็หยุดตามนึกอยากเข้าไปใกล้กว่านั้น วางคางบนไหล่อ่อนนุ่มอย่างที่เคยทำกับเจสสิกา แล้วหอมแก้มเนียนใสเบาๆ แต่เท่าที่ทำได้ คือยืนห่างออกมาสองสามก้าวแล้วตอบเสียงอ่อนว่า
    “ก็อย่างที่คุณเป็นไง อ่อนไหว อ่อนโยน อ่อนหวาน”
    “อ่อนเยาว์ และอ่อนแอด้วยหรือเปล่าครับ” นทีหัวเราะแล้วหันมาพบว่าภาสกร ยืนยิ้มกว้างให้อยู่ไม่ไกลตอบว่า
    “ถ้าเป็นสักเดือนที่แล้วก็คงอ่อนแอจริงๆ แต่ตอนนี้มาเดิน มาขี่จักรยานได้ คงไม่อ่อนแอแล้วมังครับ” ภาสกรรู้สึกกลัวเหลือเกินกับบรรยากาศ กลัวว่ามันจะพาใจเขาเตลิดไปไกลกว่านี้ เท่าที่เป็นอยู่ก็เรียกได้ว่า ผิดปกติมากแล้วสำหรับคุณชายหนุ่ม น้ำเสียงที่เขาใช้ทั้งเบา ทั้งนุ่มนวล อ่อนหวานคล้ายเสียงรำพัน พร่ำรักของชายหนุ่มที่กำลังจีบหญิงสาว มากกว่าผู้ชายเต็มตัวสองคนคุยกันอย่างที่มันควรจะเป็น
    บรรยากาศไม่เป็นใจอย่างไร ในเมื่อคนสองคนอยู่ในที่ที่เกือบเงียบสงัด ไม่มีใครอยู่ด้วย มีแต่เสียงพูดของกันและกัน เสียงหายใจ และเสียงฝีเท้าเท่านั้น มีดอกไม้รายรอบ ซ้ำยังมีผีเสื้อสีสวยบินล้อมอยู่อีก ราวกับจะสะกดจิตให้ทั้งคู่เคลิบเคลิ้มอ่อนไหวไป เหมือนฉากหนึ่งในนิยายที่ พระเอกพึงบอกนางเอกว่า
    “วันนี้คุณสวยกว่าผีเสื้อทุกตัวในนี้ รวมกันกับดอกไม้ทุกดอกเสียอีก” แล้วเชิดคางขึ้นประทับริมฝีปากลงไป เป็นฉากที่งดงามเท่าที่นักเขียนคนหนึ่งจะพึงโน้มน้าวให้ผู้อ่านเคลิบเคลิ้มและประทับใจได้
    แต่ภาสกรรู้ดีว่า หากเรื่องนี้เป็นนิยายและเขาเป็นพระเอกละก็ นทีคงเป็นอะไรไปไม่ได้มากกว่าแค่พระรอง หรืออาจเป็นเพียงเพื่อนพระเอกด้วยซ้ำ ส่วนนางเอกนั้น เขายังหาไม่ได้ แน่ละว่าคงไม่รีบหาด้วย กระนั้นในความเงียบที่แสนสุขนั้น ภาสกรอดคิดไม่ได้ว่า หากตัวเองดึงนทีเข้ามาจูบอย่างที่ใจนึกจริงๆ อีกฝ่ายจะโกรธเขาหรือเปล่า แล้วตัวเขาเองจะกลายเป็นเกย์หรือไม่
    เกย์คือผู้ชายที่ชอบผู้ชาย แต่เขาไม่ได้ชอบผู้ชายเสียหน่อย เขาแค่ชอบนที
     เดี๋ยวนะ เขาเพิ่งจะคิดว่าตัวเองชอบนทีหรือ
    หม่อมราชวงศ์ ภาสกร รชตานันต์ รีบดึงตัวเองขึ้นมาจากความหลงใหลลุ่มหลงเพียงชั่ววูบ ก่อนจะปล่อยให้บรรยากาศพาใจไปให้เตลิดยิ่งกว่านั้น ดึงนทีเข้ามากอดแล้วบรรจงจูบอย่างแผ่วเบาจริงๆ รู้ตัวว่ามือเริ่มเคลื่อนไปหาหนุ่มน้อยตรงหน้าอย่างห้ามไม่ได้เสียแล้วก็เลยแตะบ่าเขาสองสามทีอย่างที่เพื่อนชายพึงทำเท่านั้น ไม่มากไปกว่านั้นเลย
    “คุณแข็งแรงดีแล้ว ไปขี่จักรยานกับผมดีกว่าเร็ว” แล้วชายหนุ่มก็รีบเดินออกไป ปล่อยให้อีกฝ่ายยืนใจเต้น หูแดงด้วยความเขินอาย พอๆกับอีกคนที่รีบหนีไปก่อน นทีทำอะไรไม่ถูกอยู่พักเดียวก็รู้สึกตัวตะโกนถามว่า
    “คุณเช่าจักรยานมาแล้วหรือ”
    ได้รับคำตอบว่ายัง นทีก็ประหลาดใจว่าทั้งคู่จะขี่จักรยานด้วยกันยังไง จึงรีบเดินออกมาดูปรากฏว่าภาสกรขึ้นขี่จักรยานของนทีปั่นออกไปแล้ว ซ้ำยังโบกมือให้อย่างล้อเลียนเอ่ยเสียงดังอีกว่า
    “รีบเดินตามมาเร็วพ่อหนุ่ม! ให้ขาทำงานเยอะๆได้หายไวๆ ถึงที่เช่าจักรยานแล้ว ผมได้ของผมถึงจะคืนของคุณให้”

    ภาสกรไม่ใจร้ายพอให้นทีวิ่งตามมาอย่างกระหืดกระหอบก็จริง แต่ทั้งคู่ก็มาไกลเหลือเกินจนนทีหอบแฮก เสียงหัวเราะในตอนแรกว่ามีความสุขดี เริ่มกลายเป็นเสียงหอบตัวโยน จนในที่สุด นทีเดินตามมาไม่ไหว ค้อมตัวลงมือวางบนเข่าที่ย่อไว้อย่างเมื่อยล้า แล้วก็พูดว่า
    “เอาจักรยานผมคืนมานะคุณชาย”
    ภาสกรวนจักรยานไปมารอบหนุ่มน้อยพลางบอกว่า
    “เหนื่อยจนหายใจไม่ทันยังจะพูดอีก เอ้าขึ้นมา”
    นทีเงยหน้ามองภาสกรงงๆ เพราะเจ้าตัวไม่ยอมลงจากจักรยานเสียก่อน จะให้เขาขึ้นไปอย่างไร งงอยู่พักหนึ่งก็เข้าใจ ถามเขาตามข้อสันนิษฐานของตัวเอง
    “คุณจะให้ผมซ้อนหรือ”
    “ใช่ไงขึ้นมาเร็ว”
    “ทำไมคุณไม่ให้ผมขี่ แล้วไปวิ่งตามผมเหมือนที่ผมวิ่งตามคุณล่ะ”
    “เพราะผมไม่อยาก” ภาสกรเลิกคิ้วกวนๆ จนนทีส่งค้อนอันใหญ่ให้ ก็หัวเราะ แล้วบอกว่า “ให้คุณขี่เองก็ยิ่งเหนื่อยสิมาซ้อนผมดีกว่าน่า นั่งเฉยๆพักหนึ่งหายเหนื่อยเมื่อไหร่เดี๋ยวผมคืน”
    “ไม่เอาล่ะคุณชาย ผมเดินต่อก็ได้ใครมาเห็นจะน่าเกลียดมีผู้ชายที่ไหนเขาซ้อนจักรยานผู้ชายด้วยกันบ้าง”
    “เอ๊า ผมเห็นหนุ่มแว้น เขาก็ซ้อนกันยกพวกไปตีกันบ่อยออก”
    “อ๋อ เป็นแว้นจักรยานเนี่ยนะ”
    “ทำไมล่ะ ไม่มีใครเห็นหรอกน่า ขึ้นมาเหอะ” เป็นอย่างทุกครั้งคือไม่ว่านทีจะค้านอย่างไร ภาสกรก็จะรบเร้าจนหนุ่มน้อยต้องยอมทุกที นทีปีนขึ้นไปซ้อนท้าย ให้ภาสกรปั่นไปสักพัก ชายหนุ่มก็เอื้อมมือมาจับมือเขา ไปวางแปะไว้บนไหล่พูดเบาๆว่า “ทางข้างหน้าเนินเยอะ คุณเกาะไว้ดีกว่าเดี๋ยวตก”
    ไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นข้ออ้างที่ทำให้นทีเข้าใกล้ชิดคุณชายหนุ่มมากขึ้นไปอีกต่างหาก ไม่มีใครรู้เลยแม้แต่คนพูดเองก็ไม่เข้าใจเหตุผลที่แท้ของตัวเองเช่นกัน
    สองหนุ่มก็ไม่รู้อีกนั่นแหละว่า “ไม่มีใครเห็นหรอก” ของคุณชายมันไม่ได้เป็นไปตามเขาว่า เพราะปุยฝ้ายกับคุณหญิงดาริกาพอนวดเสร็จก็ออกจากสปาขี่จักรยานมาทางเดียวกันกะว่าจะไปว่ายน้ำในสระ พอเห็นภาสกรจอดรถให้นทีขึ้นซ้อนสองสาวก็หยุดมองดู จนภาสกรขี่จากไปพร้อมหนุ่มน้อยซ้อนอยู่ด้านหลัง มีมือขาวนุ่มเกาะไหล่อยู่แน่น เพราะภาสกรปั่นเร็ว ปุยฝ้ายและดาริกาก็มองหน้ากันอย่างเข้าใจ หัวเราะคิกคักเบาๆกันสองคนตัดสินใจขับอ้อมไปทางอื่น ไปดักรอสองหนุ่มที่หน้าอาคารต้อนรับ
    ต่อเวลาให้เขาตกอยู่ในห้วงแห่งความสุข เหมือนมีกันอยู่แค่สองคนบนโลกไปอีกสักครู่หนึ่งแล้วกัน


    ดาริกา กับปุยฝ้ายทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เมื่อเจอสองหนุ่มที่อาคารต้อนรับ ภาสกรกับนที พอเข้าใกล้ตึกนั้นก็เห็นตรงกันว่าคงมีคนเยอะจึงตัดสินใจลงจากรถแล้วต่างฝ่ายต่างจูงจักรยานมาคนละข้างจนถึงที่ พอทั้งสี่เจอกันภาสกรกับนทีก็มีท่าทีประดักประเดิดพอกัน ทำตัวไม่ถูกดูมีพิรุธทั้งที่เมื่อครู่ก็ไม่เกิดอะไรขึ้นมากไปกว่าที่มันควรจะเป็น จนดาริกาที่ต่อให้ไม่คิดอะไร เห็นแล้วก็อดคิดต่อไปไม่ได้ว่าความจริงความสนิทสนมระหว่างสองหนุ่มนั้นนอกจากจะมากล้นจนดูเกินเพื่อนแล้ว ยังมีอะไรบางอย่างที่บ่งบอกหล่อนด้วยว่า ความรู้สึกเกินเพื่อนที่หล่อนคิดว่ามีจากภาสกรฝ่ายเดียวเท่าที่หล่อนรับรู้เวลาภาสกรเล่าถึงนทีให้หล่อนฟังแล้ว ยีงมีมาจากนทีด้วยก็คราวนี้ที่ได้มาเห็นกับตานี่เอง แต่ในเมื่อทั้งสองฝ่ายไม่พูดถึงหล่อนก็ไม่ปริปากให้ใครระคายหู เก็บความอยากรู้อยากเห็นไว้อย่างผู้ดีคนหนึ่งที่ไม่คิดละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวใคร
    พอได้จักรยานกันครบแล้ว ทั้งสี่ก็วนรถไปที่สวนดอกไม้ ขี่ชมความงามกันพักหนึ่ง ก็พบมุมสวยของสวน คือมีดอกไม้ปลูกเรียงกันเป็นรูปกลีบดอกไม้ขนาดยักษ์บนพื้นหญ้าสีเขียวสด ปุยฝ้ายเป็นคนออกความเห็นให้ทิ้งจักรยานไว้ แล้วลงเดินแทนได้ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศไปด้วย
    ตากล้องคือดาริกา นอกจากจะถ่ายรูปเดี่ยวของปุยฝ้ายไปเสียมากมายราวกับวันนั้นเป็นวันถ่ายโฟโต้ชูตของหญิงสาวให้กับนิตยสารสักฉบับแล้ว หล่อนก็ไม่ลืมจัดแจงกำกับให้คุณชายยืนถ่ายรูปข้างนที ไปหลายใบด้วย ยิ่งมองผ่านเลนส์ไปเรื่อยๆหล่อนก็ยิ่งรู้ว่ามี “อะไร” บางอย่างระหว่างสองหนุ่มเป็นแน่ เพราะไม่นที ก็ภาสกร จะผลัดกันมองอีกฝ่ายด้วยแววตาลึกซึ้งอยู่เป็นระยะแล้วบางครั้งเวลาหล่อนแนะนำให้กอดคอกัน หรือเอาแขนเท้าไหล่อย่างเพื่อนชายสักคู่พึงทำได้โดยไม่กระดาก หล่อนก็จะเห็นแววเคอะเขิน ไม่แน่ใจในดวงตาของภาสกร ไม่ก็นทีด้วย   น่าสงสารที่ต่างฝ่ายต่างก็ดูเหมือนไม่รู้ใจตัวเอง แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่สองหนุ่มจะได้รู้ใจกันและกันสักทีเล่า
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 24 - ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับผู้ชายคนไหน 4/05/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: BF-e ที่ 04-05-2011 22:56:31
โอ้ววว   ผีเสื้อบินว่อน  :-[ :-[
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 24 - ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับผู้ชายคนไหน 4/05/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: MoPPeT ที่ 04-05-2011 23:03:11
ลุ้นให้คุณชายตบะแตกเร็วๆค่ะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 24 - ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับผู้ชายคนไหน 4/05/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 04-05-2011 23:05:22
น่ารักจังเลย
ตามที่คุณหญิงว่าเมื่อไรจะรักกันเนี่ย แต่ชอบแบบนี้ค่อยๆรักกันเนอะ
Thank you ka!!!

หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 24 - ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับผู้ชายคนไหน 4/05/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: A. marco ที่ 04-05-2011 23:14:42
สวัสดีครับ   ตอนนี้ผมอ่านถึงตอน 20 แล้วครับ
พึ่งเริ่มอ่านเมื่อวาน   ยังไงก็รอนะครับ  ผมจะตามให้ทันแล้ว

ขอบคุณครับ !!
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 24 - ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับผู้ชายคนไหน 4/05/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: IIMisssoMII ที่ 04-05-2011 23:52:37
อ้างถึง
น่าสงสารที่ต่างฝ่ายต่างก็ดูเหมือนไม่รู้ใจตัวเอง แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่สองหนุ่มจะได้รู้ใจกันและกันสักทีเล่า
สาววายอย่างเราต้องมาเป็นกามเทพเสียแล้ว !!!!!!!!
 :fire:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 24 - ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับผู้ชายคนไหน 4/05/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 05-05-2011 00:02:18
คุณหญิงช่วยสงเคราะห์หน่อย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 24 - ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับผู้ชายคนไหน 4/05/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 05-05-2011 00:46:36
เมื่อไหร่คุณชายจะบอกรักนทีนะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 24 - ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับผู้ชายคนไหน 4/05/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กกะโปโล ที่ 05-05-2011 01:45:03
ฟันธงได้แล้วว่าคุณหญิงเป็นสาววาย :laugh3:
คุณชายตอนที่แล้วแค่"ติดใจ" แต่ตอนนี้เหมือนจะ"หลงไหล"เสน่ห์ของนทีเข้าแล้ว อะไรๆก็นที :m3: เชียร์ให้คุณชายตบะแตกไวๆ
สู้ๆนะไรเตอร์ :L1: เป็นกำลังใจให้
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 24 - ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับผู้ชายคนไหน 4/05/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: Piaanie ที่ 05-05-2011 02:41:32
อูยยย หวานๆ ว่าแต่ว่าคุณหญิง กับ นที นี่มีอะไรๆหรือป่าว รู้สึกเหมือนคุณชายจะมองว่าทั้งสองคล้ายกัน มีเบื้องหลังไรอยู่อีกน๊า

ปล.เพิ่งมาอ่าน ขอติดตามผลงานด้วยคน  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 24 - ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับผู้ชายคนไหน 4/05/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: naja-kitase ที่ 05-05-2011 05:42:01
 :-[ :-[ :-[


นั่นนะสิ เมื่อไหร่จะรู้ใจตัวเองหล่ะจ๊ะ หนุ่มๆ
คุณหญิงกะปุยฝ้ายก็เป็นตัวช่วยซะเลยสิคะ ฮ่าๆๆๆ

ปล. รู้ใจตัวเองเสร็จปุ๊บ กลัวจัง ว่าดราม่าชามโตกำลังจะมา โฮวววว
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 24 - ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับผู้ชายคนไหน 4/05/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 05-05-2011 06:09:14
หวานกันแบบไม่รู้ตัวสินะ หุหุ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 24 - ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับผู้ชายคนไหน 4/05/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: kakuro ที่ 05-05-2011 06:29:40
ขอบคุณคุณฟ้าม่วง :L2:
บรรยายบรรยากาศได้หวานจัง
ความรู้สึกดีดีที่ค่อยๆพัฒนา
คุณหญิงกับปุยฝ้ายต้องช่วยแล้วล่ะ
ไม่งั้นก็คงไม่ยอมรับใจตัวเองกันซะที
รู้ใจกันจะได้จับมือกันก้าวเดินต่อไป
ทางข้างหน้าท่าจะหนักหนาสาหัสอยู่
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 24 - ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับผู้ชายคนไหน 4/05/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: butterfly_bee ที่ 05-05-2011 06:31:22
ค่อยๆรักกันเบาๆ  :o8:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 24 - ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับผู้ชายคนไหน 4/05/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: Rhythm ที่ 05-05-2011 07:59:01
น่ารักๆ :man1:
รออ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 24 - ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับผู้ชายคนไหน 4/05/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: fffx ที่ 05-05-2011 08:11:26
โรแมนติก:o8: :o8: :o8: :o8:
หวังว่าคุณชายกะบนทีจะได้รู้ว่าใจมันตรงกันเร็วๆสักที อิอิ :-[ :-[
ดาริกาน่ารักอ่ะ ฮ่าๆๆๆ รอตอนต่อไปค่าาาาาาาา
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 24 - ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับผู้ชายคนไหน 4/05/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: jay_tt ที่ 05-05-2011 09:31:37
หวานจนผีเสื้อไม่มีน้ำหวานจะกิน :o8:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 24 - ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับผู้ชายคนไหน 4/05/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: ease supsnerv ที่ 05-05-2011 10:35:32
อ่านทันแล้วจ้า!!

โฮะๆ คุณหญิงต้องเป็นสมาชิกเล้าเป็ดแล้วหล่ะแบบนี้  5555  ส่วนสองหนุ่มนั่น บอกตามตรงเลยว่าอ่านแล้วลุ้นตัวโก่งมากค่ะ ประมาณว่า ซักทีเซ่ 5555  แต่ก็น่ารักมากๆ

ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆค่ะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 24 - ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับผู้ชายคนไหน 4/05/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: babyfaibossy ที่ 05-05-2011 10:40:18
คุณหญิงดาริกาเป็นสาววายจริงๆ  :-[
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 24 - ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับผู้ชายคนไหน 4/05/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: A-J.seiya* ที่ 05-05-2011 11:22:25
><
แล้วเมื่อไรจะได้รู้ใจกันสักทีเล่า
โฮยยยย
แต่ว่านะ เขินมากๆเลยอ่ะ ^^
คุณชายอ้ะ เล่นอะไรก็ไม่รู้!!
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 24 - ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับผู้ชายคนไหน 4/05/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 05-05-2011 15:09:36
แค่นี้ก็เขินจะแย่แล้ว
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 24 - ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับผู้ชายคนไหน 4/05/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: namwaan1992 ที่ 05-05-2011 17:29:39
อ้าก~      หวานนิดหน่อย

คุณหญิง = กามเทพ  ใช่ป่าว~
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 24 - ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับผู้ชายคนไหน 4/05/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: maew189870 ที่ 05-05-2011 17:58:48
อิอิ

เขินอ่ะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 24 - $
เริ่มหัวข้อโดย: namngern ที่ 05-05-2011 19:21:23
น่าร้ากกกกก  :-[
ชอบบบจังเลย นทีกับคุณชาย 5555
เอาเลยคะคุณหญิงจัดเต็มเลยคะ ให้เขาสองคนได้รู้ใจตัวเองเสียที
รออ่านจ้าาาาา ..  เอาอีกๆ ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 24 - ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับผู้ชายคนไหน 4/05/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: A. marco ที่ 05-05-2011 20:44:12
ขอแค่คุณชายรู้ว่าตัวเอกรักนายเอกเข้าแล้ว ผมจะไม่กลัวไม่ว่าแม่คุณชายจะขัดขวางเท่าไหร่

อยากเห็นคุณชายหึงนทีกับผู้ชายคนอื่นที่มาชอบนทีจัง คงสนุก แล้วคุณชายจะได้รู้สักที
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 24 - ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับผู้ชายคนไหน 4/05/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 05-05-2011 21:31:04
สาววายจัดไป  ให้คุณชายกับนทีได้รู้ใจตัวเองซักที
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 24 - ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับผู้ชายคนไหน 4/05/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: J_Dargon ที่ 05-05-2011 22:02:33
ตอนนี้ยังหวานได้อีกอ่ะ กลัวว่าพอกลับไปแล้วจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นนี่สิ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 24 - ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับผู้ชายคนไหน 4/05/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: ● MaYa~Boy ● ที่ 07-05-2011 10:21:27
ขออย่างคุณชายสักคนได้มั้ยเนี่ย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 24 - ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับผู้ชายคนไหน 4/05/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: คนริมคลอง ที่ 07-05-2011 22:19:55
ขอหวานๆแบบนี้ไปอีกสัก 10 ตอนนะครับ

หม่อมแม่ นางร้าย พ่อเลี้ยง ยังไม่ต้องเอาออกมาก็ได้นะครับ

ฉากตอนนอน อย่าลืมเอายานอนหลับให้ 2 สาวกินด้วยนะครับ

ไม่งั้นเดี๋ยว 2 หนุ่มเค้าสยึมกึ๋ยกันได้ไม่เต็มที่

หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 24 - ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับผู้ชายคนไหน 4/05/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: namngern ที่ 08-05-2011 20:29:04
ขออนุญาต  :z10: :z10: :z10: หน่อยนะคะ TT รออ่านอยู่น้า
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 24 - ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับผู้ชายคนไหน 4/05/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: BaII ที่ 08-05-2011 21:22:45
คุณหญิง เป็นสาววายแน่ๆ คริ คริ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 24 - ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับผู้ชายคนไหน 4/05/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: iota ที่ 09-05-2011 08:13:15
เข้ามาลงชื่อในการอ่านนิยายเรื่องนี้ :L2:
+1 กับการอ่านครั้งแรก
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 24 - ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับผู้ชายคนไหน 4/05/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 09-05-2011 13:15:33
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 24 - ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับผู้ชายคนไหน 4/05/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: Pumpkin ที่ 09-05-2011 13:47:25
เข้ามาอ่าครั้งแรก อ่านแล้วประทับใจคุณหญิงดาริกามากเลยอ่ะ ชอบผู้หญิงคนนี้จังเลย น่ารักมากๆ เหมือนคุณหญิงเธอจะเป็นสาววายใช่ไหม?


หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 24 - ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับผู้ชายคนไหน 4/05/11 - 22.20
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 09-05-2011 23:14:02
25

    ทั้งสี่ตัดสินใจกันแล้วว่า วันนี้จะไม่ออกไปไหนกันแต่หาที่เที่ยวเล่นเก็บบรรยากาศกันภายในรีสอร์ตไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยตระเวณเที่ยวน้ำตกทีละแห่ง ตอนแรกนทีก็เข้าใจว่าหาที่เที่ยวเล่นในรีสอร์ตนั้นก็แค่เดินชมสวน ขี่จักรยาน ถ่ายรูปอะไรไปตามเรื่อง แต่สุดท้ายกลายเป็นว่าปุยฝ้ายกลับชวนทุกคนลงเล่นน้ำในสระว่ายน้ำใกล้ๆสวนนั้น ซึ่งทุกฝ่ายก็เห็นด้วยกันหมด จึงต้องกลับบ้านไปเอาชุดว่ายน้ำมาเปลี่ยน นทีทำหน้าแปลกๆเหมือนไม่เต็มใจ คนที่สังเกตเห็นคือภาสกร เขาถามหนุ่มน้อยว่า
    “เป็นอะไร ไม่อยากว่ายน้ำหรือ”
    “เปล่าครับ ว่ายน่ะอยาก แต่ผมก็อยากไปเที่ยวเล่นข้างนอกด้วย”
    “อ้อ” ภาสกรเข้าใจจึงบอกว่า “งั้นว่ายน้ำกันเสร็จ ออกไปหาอะไรทานกันข้างนอกไหมล่ะ เดี๋ยวผมลองถามเจ้าเตอร์ดูก่อนว่ามีที่เดินเล่นตอนกลางคืนบ้างหรือเปล่า ถ้ามีแล้วไม่ไกลมากเดี๋ยวผมพาไป”
    นทีก็เลยสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย เพราะคิดว่าถ้ามาเที่ยวแล้วนอนอยู่ในรีสอร์ตเฉยๆ ก็เหมือนไม่ได้มาเที่ยวเท่านั้นเอง อีกอย่างเขาก็ไม่ค่อยอยากให้ภาสกรเข้าใกล้คุณหญิงดาริกามากๆด้วย หากดาริกาสนใจภาสกรจริงฝ่ายนั้นก็มีโอกาสทำคะแนนได้มากขึ้น เพราะคงไม่มีหนุ่มที่ไหนอยู่เฉยได้หรอกถ้ามีสาวสวยอย่างดาริกาใส่ชุดว่ายน้ำมาคลอเคลียข้างๆ
    นทีกังวลไปเรื่อยเปื่อย ยิ่งพอเอาชุดว่ายน้ำมาเปลี่ยนเตรียมจะลงสระเห็นภาสกรยืนคุยอยู่กับดาริกาก็ยิ่งอดทำหน้าแปลกๆไม่ได้ จนปุยฝ้ายเดินผ่านมาด้านหลังแล้วพูดเบาๆว่า
    “หึงหรือไงยะ”
    “จะบ้าหรอ จะหึงทำไมคุณชายไม่ได้เป็นอะไรกับฉันซะหน่อย”
    ปุยฝ้ายหัวเราะหึหึในลำคอแล้วก็ปลดผ้าคลุมออกจากตัว เผยเห็นร่างอวบเตี้ยในชุดว่ายน้ำวันพีซสีดำก่อนจะกระโดดลงน้ำไปคนแรก ส่วนภาสกรและดาริกาที่เดินกันมาคุยกันมาเรื่อยๆใกล้ถึงตัวนทีนั้นก็อยู่ในชุดว่ายน้ำกันเรียบร้อยพร้อมลงสระได้ทุกเมื่อ กระนั้นก็ยังไม่คิดจะตามปุยฝ้ายลงน้ำ แต่นั่งคุยกันอยู่ที่บาร์ริมสระมีนทีนั่งเอนหลังอยู่บนเก้าอี้สีขาวใกล้ๆ
    ดาริการวมผมขึ้นไปเป็นมวยอย่างเมื่อตอนออกเดินทาง เผยให้เห็นคอยาวระหง ต่ำลงมาคือเนินอกสีน้ำผึ้งนวลเนียนที่ปิดไว้ด้วยชุดว่ายน้ำแบบทูพีซ หน้าท้องราบเรียบ มีส่วนเว้าเป็นเอวสวยดูงามอย่างปฏิเสธไม่ได้ ท่อนล่างเป็นบิกินี่สีเหลืองเข้มเว้าโค้งขึ้นอย่างพองาม ดูสวยสง่าราวกับนางแบบ โดยเฉพาะเรียวขายาวราวกับขาหงส์ที่เมื่อนั่งไขว่ห้างรับแสงไฟจากข้างๆบาร์นั้นแล้วยิ่งดูเรียบเนียนจนนทีเองก็ต้องจ้องด้วยความชื่นชม
    เขายังหาข้อเสียของดาริกาไม่พบสักข้อ
    ขณะที่ดาริกาคุยกับภาสกรนิ่งๆ ตามแบบของหล่อนเวลาคุยกันเป็นการเป็นงาน สายตาของหญิงสาวก็ชำเลืองมาทางหนุ่มน้อยเป็นระยะ พอเห็นว่านทีจ้องอยู่แต่หลบตาเมื่อหล่อนมองไปก็เข้าใจความคิดของหนุ่มน้อย จึงเขยิบเข้าไปใกล้ภาสกรอีกนิดจนแทบจะตัวชิดกัน ชายหนุ่มร่างใหญ่ข้างๆไม่ได้รู้สึกอะไรเพราะยังคุยธุระอยู่ แต่หนุ่มน้อยที่นั่งห่างออกมาอีกคนนี่สิเห็นแล้วก็ต้องเมินหน้าหนี เปลี่ยนที่วางสายตามาเป็นที่ผิวน้ำสีเขียวมรกตที่เกิดจากน้ำในสระสีฟ้าใส รวมกับแสงไฟสีเหลืองที่ส่องอยู่ใต้น้ำในยามค่ำแทน
    ดาริกายิ้มที่มุมปากเมื่อเห็นท่าทีของนที ก็มั่นใจแล้วว่าตนเดาความคิดของเขาไม่ผิดเลย พอคุยจบธุระกับภาสกร ดาริกาก็ขอตัวเดินนวยนาดมาทางนที
    “น้องน้ำคะ ไม่ลงว่ายหรือเห็นไหมปุยฝ้ายเขาดำผุดดำว่ายอยู่สนุกเชียว”
    นทีเก็บอาการ “หวง” คุณชายไว้ในอกแล้วตอบไปอย่างสุภาพว่า
    “รอสักพักก็จะไปครับ ยังเหนื่อยจากที่เดินชมสวนอยู่เลย”
    ดาริกายิ้มให้อย่างมีนัย ดวงตาหล่อนเป็นประกายเมื่อพูดว่า
    “รีบเข้านะคะ รอนานไปเดี๋ยวจะอด” หล่อนเดินจากไปได้สองก้าวก็หันกลับมา “พี่หมายความว่าถ้าอากาศมันเย็นกว่านี้ จะอดว่ายนะหนาวเกินว่ายน้ำไม่สบายตัว”
    หล่อนปีนบันไดลงน้ำไป มิได้กระโดดตูมอย่างปุยฝ้าย นทีได้ยินคำพูดนั้นก็หูแดงตามนิสัย ดาริกาจงใจหมายถึงภาสกรหรือเปล่า หล่อนดูออกหรืออย่างไรแล้วที่มาพูดนี่จงใจจะประกาศสงครามกับเขาหรือ
    ได้แต่คิดเท่านั้นไม่ทันได้แสดงออกทั้งทางสีหน้าหรือคำพูดภาสกรก็นั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆหนุ่มน้อย นทีรู้ว่าคุณชายมานั่งอยู่ข้างๆ ก็ลุกขึ้นนั่งตัวตรงหันไปมองชายหนุ่มพบว่าอีกฝ่ายยื่นมะพร้าวลูกหนึ่งมาให้ตนจึงรับเอาไว้ไม่ให้น่าเกลียด
    “ไม่อยากว่ายน้ำหรือนที”
    “เปล่าครับ” เขาว่า “รอสักพักก็คงจะลง”
    “รอผมหรือไง” เขาหัวเราะเบา “ผมกะจะว่ายที่น้ำตกพรุ่งนี้อยู่แล้ว แต่วันนี้เห็นคุณฝ้ายชวนก็เลยตามเลย”
    “ผมก็เหมือนกัน” นทีว่าเบาๆ ความอึดอัดใจค่อยๆก่อตัวขึ้นในอกของหนุ่มน้อย ไม่กล้ามองไปด้านข้างเพราะภาสกรไม่ได้นั่งอยู่ใกล้ๆอย่างเดียว แต่ยังชะโงกหน้าเข้ามาแทบจะชิดกับเขาด้วย
    ภาสกรหุ่นดีอย่างคนรู้จักดูแลตัวเอง ท่อนแขนและหน้าท้องมีกล้ามเนื้อขึ้นเป็นเนินเล็กน้อย มิได้เต็มไปด้วยมัดกล้ามอย่างนักกีฬาแต่ก็ไม่ได้อ้วนเผละน่าเกลียด ผิวสีเข้มดูจางลงบริเวณใต้ร่มผ้าที่ไม่ได้โดนแดด ในขณะที่นทีขาวใสทั้งตัวไม่มีรอยด่างดำจนภาสกรมองแล้วมองอีก แล้วก็เปรยขึ้นมาว่า
    “นทีขาวไปทั้งตัวทำได้ยังไงนะ ไม่ออกแดดบ้างเลยหรือ”
    “ผมก็เป็นอย่างนี้แหละ” หนุ่มน้อยหน้าแดงเมื่อมีสายตาของอีกฝ่ายจับจ้องอยู่ที่ร่างของเขาไม่วางตาจึงทำไม่รู้ไม่ชี้ก้มลงดื่มน้ำมะพร้าวในมือ ต้นขาเนียนไร้ขนยกขึ้นงอเข่ากันไม่ให้ภาสกรเห็นอะไรมากไปกว่านั้น แต่นั่นก็เท่ากับว่า เผยให้คุณชายหนุ่มเห็นด้านข้างของต้นขาเนียนสวยของหนุ่มน้อยเต็มตา
    ผมของนทีบัดนี้ยาวขึ้นกว่าเดิมจนปิดคิ้วและหน้าผากไปหมด จนดูผ่านๆเหมือนมีสาวน้อยสวยใสมานั่งอยู่ข้างๆ เนินอกสีขาวแทบจะแบนราบและเปิดเปลือยโล่งเหมือนจะเป็นสิ่งเดียวที่บ่งบอกว่าหนุ่มน้อยเป็นชายมิใช่หญิง ในเมื่อนทียกขาขึ้นอยู่ตอนนี้บังส่วนที่แสดงความเป็นชายชัดเจนของหนุ่มน้อยไว้ ภาสกรจึงไม่รู้สึกอะไรที่มานั่งจ้องร่างขาวสะอาดอย่างนี้
    พาลนึกไปว่าร่างนุ่มนิ่มน่าถนอมอย่างนี้ เมื่อมาอยู่ในอ้อมกอดของเขาแล้วจะเป็นอย่างไร ก็พอดีนทีลุกขึ้นด้วยความที่อดรนทนไม่ไหว เรื่องอะไรจะให้ชายหนุ่มมานั่งจ้องเขาจนต้องขวยเขิน ถึงเป็นชายเหมือนกันก็เถอะ
    พอลุกขึ้นเท่านั้น สายตาของภาสกรก็มาสะดุดอยู่ที่กางเกงว่ายน้ำสีฟ้าสดใสที่ปกปิดบางสิ่งที่นทีเองมีเหมือนเขาเอาไว้พอมิให้น่าเกลียด ตอนนั้นเองที่คุณชายหนุ่มได้สติว่าคนที่อยู่ข้างๆเป็นชายเหมือนกับเขานะ ไม่ใช่สาวน้อยผู้อ่อนหวาน พอดีกับที่นทีเอ่ยเบาๆว่า
    “ผมไปว่ายน้ำละ” ยื่นมะพร้าวให้คุณชายหนุ่ม ก่อนจะเดินหูแดงไปที่ริมสระ ปีนบันไดลงไปในน้ำ
    ภาสกรมองด้านหลังของนทีก็พบว่า หุ่นของหนุ่มน้อยที่อยู่เบื้องหน้าแทบไม่เหมือนหุ่นของเขาเอาเสียเลย ส่วนเอวเว้าเข้าเล็กน้อยด้วยความที่นทีผอมมาก ในขณะที่สะโพกสวยกลมกลึงอยู่ในกางเกงว่ายน้ำตัวจิ๋วกลับสร้างมิติให้ดูเหมือนหญิงสาวสักคนเปลือยอกเดินผ่านหน้าไปเท่านั้น
    คุณชายยอมรับว่าเห็นภาพนี้แล้วนึกถึงอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากเรื่องที่ไม่ควรนึกถึงนั้นแหละ ในขณะที่เมื่อครู่นั่งคุยอยู่กับดาริกาตั้งนานสองนาน กลับไม่คิดจะใส่ใจมองส่วนเว้าส่วนโค้งของหญิงสาวเท่าไร
    ภาสกรขมวดคิ้วแน่น นี่เขาชอบผู้ชายจริงๆอย่างนั้นหรือ
    ตอนนั้นเองที่เพื่อนหนุ่มของเขา ปีเตอร์ เดินเข้ามาทักภาสกร คุณชายหนุ่มนั่งคุยอยู่พักใหญ่ๆจนแทบลืมเรื่องน่าอายที่คิดถึงนทีเมื่อครู่ไปแล้วก็ดันมานึกขึ้นได้อีกทีตอนที่ปีเตอร์ผู้ใส่กางเกงว่ายน้ำแบบเดียวกับนทีเป๊ะๆ เดินไปลงน้ำเช่นกัน เปรียบเทียบกันแล้ว เขาก็ไม่เห็นรู้สึกอะไรกับปีเตอร์เช่นเดียวกับไม่รู้สึกอะไรกับ ดาริกาหรือแม้แต่กับทิฆัมพรที่เห็นอยู่ในสภาพกึ่งเปลือยเช่นนี้ประจำ
    ถ้าเขาเป็นเกย์จริง เขาต้องชอบปีเตอร์ด้วยซีแต่นี่กลับไม่รู้สึกอะไร
    เป็นไปได้ไหมว่าเพราะปีเตอร์เป็นเพื่อนเขา เขาถึงคิดอะไรกับเพื่อนคนนี้ไม่ลง หรือในทางกลับกันเป็นไปได้ไหมว่า เพราะเป็นนทีต่างหากเขาถึงคิดถึงเรื่องนี้เฉพาะกับนทีเท่านั้น กับใครไม่ว่าเพศใดคนไหนก็ไม่คิดด้วย
    นึกถึงหลายครั้งที่เข้าใกล้หนุ่มน้อย ภาสกรจะรู้สึกอยากโอบกอด อยากเคล้าคลึงคลอเคลีย แม้กระทั่งอยากจุมพิตนทีด้วยอย่างเมื่อเช้านี้อีกต่างหาก เขาไม่ได้ชอบผู้ชายคนอื่นฉะนั้นเขาก็คงไม่ได้เป็นชายรักร่วมเพศแน่นอน
    หรือเพราะนทีเหมือนผู้หญิงเกินไปเขาถึงชอบนที ก็เปล่า ผู้หญิงเขาก็ไม่ชอบเหมือนกัน ...หรือต้องเป็นนทีคนเดียวเท่านั้นบนโลกนี้ที่เขาจะถูกใจ ใฝ่หา... ตอนแรกสนิทด้วยรู้สึกดีที่ได้อยู่ใกล้ก็ยังไม่เป็นอะไรหรอก แต่ถ้าถึงกับมีความรู้สึกดึงดูดทางเพศกับหนุ่มน้อยด้วยแล้วอย่างนี้
    เห็นทีภาสกรจะปล่อยใจให้ถลำลึกไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้วกระมัง!
    
    ตอนนั้นนทียืนเฉยอยู่ริมสระ มือสองข้างเท้าขอบสระใบหน้าซบลงที่แขนของตัวเอง ดวงตาเหม่อลอยมองหมู่ดาวดารดาษบนฟ้า ใจคิดเรื่อยเปื่อยไปถึงชายหนุ่มที่ว่ายน้ำเล่นอยู่กับปุยฝ้ายและดาริกาส่งเสียงหัวเราะดังลั่นก้องไปทั่วบริเวณ เขาไม่รู้หรอกว่าที่ตัวเองกำลังรู้สึกอยู่นี้มันถูกต้องสำหรับคุณชายหรือเปล่า เท่าที่นึกได้หม่อมแม่ของคุณชายก็แทบจะฉีกเขาเป็นชิ้นๆแล้วตอนที่คุณชายมาเฝ้าเขาที่โรงพยาบาล เพราะคิดว่าเขาจะไปเกาะเอาเงินทองจากคุณชาย
    นี่ถ้ารู้ว่าเขาชอบลูกชายของตัวเองด้วย เขาจะทำอย่างไร
    เท่าที่เห็นเลือนลางตอนนี้ ทางออกมีอยู่สองทางคือหนึ่งภาสกรไม่ได้คิดอะไรกับเขาเลย สองคุณชายหนุ่มมีใจให้เขาด้วย ถ้าเป็นทางแรกนทีเจ็บหน่อยแต่คงหายเร็วเพราะเป็นแผลใหญ่ แต่ไม่ลึกทายาปิดปากแผลไว้ไม่ให้เชื้อโรคเข้าก็หายแล้ว ถ้าเป็นข้อสองหม่อมแม่ของคุณชายเข้าใจก็ดีไป แต่ถ้าเขาต้องมาถูกกีดกันออกจากคุณชายละก็ อาจจะเป็นแผลไม่ใหญ่มาก แต่ลึกนักจะรักษาให้หายย่อมทำได้ยากเหลือเกิน
    สู้เขาอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรกระโตกกระตากให้อีกฝ่ายรู้ดีกว่า อย่างน้อยก็ยังมีกันและกันอยู่อย่างนี้ เห็นได้ เข้าใกล้ได้ สัมผัสได้ ดีกว่าต้องถูกแยกจากกัน
    คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนไม่รู้ว่าคุณชายค่อยๆ ว่ายเข้ามาใกล้ๆยืนอยู่เคียงข้างหันหลังพิงขอบสระ ใบหน้าจับจ้องอยู่ที่สายตาครุ่นคิดของเขา สำหรับคุณชายแล้วคำที่บอกกันว่า ไม่ว่าใครถ้าเปียกน้ำละก็จะดูไม่ได้เป็นลูกหมาตกน้ำก็พูดไป แต่สำหรับเขานทีที่ตัวเปียกน้ำไปหมดอย่างตอนนี้ช่างน่ามองเสียเหลือเกิน
    ผมสีดำสนิทเปียกลูกลงแนบหน้า ใบหน้านวลเนียลขาวใสไร้หนวดเคราสิวฝ้าหรือแม้แต่ริ้วรอยยับย่นสักรอยมีหยดน้ำเกาะอยู่พร่างพราว พอกับลำตัวท่อนบน ราวกับใครแกล้งเอาเพชรเม็ดเล็กเม็ดน้อยมาโรยประดับไว้รอยตัวของหนุ่มน้อยอย่างนั้น ริมฝีปากเปียกน้ำเป็นสีแดงสด เผยอออกเย้ายวนให้เข้าไปใกล้ อีกครั้งแล้วที่ใจภาสกรเต้นรัว ถ้าหากอกเขาเป็นกลองละก็ป่านนี้ผิวน้ำคงกระจายตัวเป็นวงตามแรงตีลั่นของใจเขาเป็นแน่ ภาสกรอยู่ห่างนทีเพียงไม่กี่นิ้ว
    ถ้าจะโน้มคอลงมาจูบเสียตอนนั้นก็ทำได้ง่ายเหลือเกิน
    “นที เขาขึ้นสระกันหมดแล้ว” ภาสกรกระซิบเบาๆ หนุ่มน้อยข้างจึงสะดุ้งสุดตัวราวกับว่าสิ่งสุดท้ายที่เขาหวังจะได้ยินตอนนั้นคือเสียงของชายหนุ่มที่เขาหมายปองกระนั้น หนุ่มน้อยหันมายิ้มให้ภาสกรก่อนจะบอกว่า
    “แล้วคุณชายไม่ตามไปหรือครับ”
    “ก็มาตามนทีไปด้วยกัน” ชายหนุ่มไม่เข้าใจว่าจะกระซิบเสียงสั่นทำไมทั้งที่พูดเสียงปกติก็ได้ รู้แต่ตอนนั้นปุยฝ้ายและดาริกาขึ้นจากน้ำไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เหลือเขาอยู่กับนทีสองคนอีกครั้งมีดอกไม้นานาชนิดอยู่รายล้อมสระว่ายน้ำสีเขียวใสแบบนี้ ชายหนุ่มแทบจะอดใจไว้ไม่อยู่
    แน่ละถ้านทีเป็นหญิงสาวละก็ภาสกรคงรวบตัวเข้ามากอดจูบให้สมใจแล้ว มีเพียงสิ่งเดียวที่เป็นอุปสรรคใหญ่ขวางไว้คือ ความเหมาะสมนั่นเอง
    แม้ภาสกจะดูเหมือนไม่แน่ใจในความรู้สึกของตัวเองนักว่าความรู้สึกนี้เรียกว่าอะไร... ถูกใจ ชอบ หรือ รัก หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ชายหนุ่มมั่นใจละว่ามันคือความรู้สึกดี อย่างที่เขาไม่เคยมีให้ใคร อย่าพูดถึงทิฆัมพร แม้แต่เจสสิกาแฟนเก่าเขาก็ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้ด้วย ชายหนุ่มเอื้อมมือไปเสยผมที่เปียกลู่ลงมาปิดหน้าปิดตาของนทีขึ้นไปทัดหูของหนุ่มน้อยด้วยความรักใคร่
    แกล้งลากมือช้าๆลงมาตามสองข้างแก้ม สัมผัสแผ่วเบาราวกับคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นสมบัติราคาแพงที่จะให้มีรอยขีดข่วนใดๆไม่ได้
    “ไปกันเถอะครับ เดี๋ยวผมพาไปทานข้าว”
    นทีแทบจะดำลงไปใต้น้ำแล้วกลั้นใจตายให้ได้เดี๋ยวนั้นเพราะไม่แน่ใจว่าถ้ามีชีวิตอยู่ต่อไปจะมีโอกาสได้สัมผัสความสุขที่มากล้นได้ถึงขนาดนี้หรือไม่ ภาสกรปล่อนให้นทีว่ายน้ำนำไปก่อน ตัวเองว่ายตามมาไม่รู้ตัวว่าเมื่อครู่ทำอะไรลงไป ภาสกรเอ๋ย ไหนบอกตัวเองว่าจะเอาตัวเอาใจออกห่างจากนทีไม่ให้ถลำลึกไปมากกว่านี้ไม่ใช่หรืออย่างไร... ไม่เห็นทำได้อย่างที่พูดเลย
    
     อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากันเสร็จแล้ว ชายหนุ่มเจ้าของรีสอร์ตก็พาเพื่อนหนุ่มออกมาทานร้านอาหารไทยง่ายๆ ใกล้ๆกับรีสอร์ตของเขา อาหารอร่อยทุกอย่างทุกคนดูเจริญอาหารแม้แต่ดาริกา และปุยฝ้ายที่แม้ปากจะบอกว่าไดเอต แต่มือกลับตักอาหารเอาๆ จนแทบไม่ได้คุยกัน ส่วนทางนทีก็เช่นกันกินเอาๆอย่างไม่สนใจใครตามนิสัยคนกินเก่ง คนพามาอยากตักอาหารใส่จานให้อย่างเคยแต่ก็ห้ามใจตัวเองเอาไว้ ไม่ได้ทำอย่างที่ใจอยาก กลัวว่าเพื่อนหนุ่มจะผิดสังเกต
    พอกินกันเสร็จทั้งหมดก็ตรงกลับรีสอร์ต เพราะเห็นตรงกันว่าจะออกมาเที่ยวน้ำตกกันแต่เช้าจะได้ไปเที่ยวกันได้ทั้งน้ำตกนางรอง และสาริกาที่เจ้าของพื้นที่บอกว่าสวยหนักหนา ไม่ได้ไปหาที่เที่ยวกลางคืนเดินเล่นกันอย่างที่ตั้งใจแต่แรก ที่นครนายกอาจจะมีที่แบบนั้นก็ได้ แต่ปีเตอร์ไม่รู้จักก็เลยไม่ได้ไปกัน แยกย้ายกันกลับบ้านพักตั้งแต่ยังไม่ทันสามทุ่มดี ภาสกรว่าดีเหมือนกันจะได้พักผ่อนเก็บแรงไว้วันพรุ่งนี้     
    นทีอาบน้ำก่อนภาสกรเพราะตอนขึ้นจากสระเมื่อตอนเย็นนั้น หนุ่มน้อยล้างตัวด้วยน้ำเปล่าเฉยๆ ไม่ได้อาบน้ำถูสบู่ให้สะอาด ภาสกรก็เลยนั่งดูโทรทัศน์รอในห้องนั่งเล่น ส่วนสาวๆทั้งสองยังไม่เหนื่อยก็เลยออกไปนั่งคุยกันที่โต๊ะไม้ยาวหลังบ้านพักภาสกรรอจนเสียงน้ำหมดแล้วจึงเข้าไปอาบบ้าง
    พอชายหนุ่มกลับออกมาอีกครั้งนทีก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อแขนยาวสีขาวสะอาด ซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าห่มหนานุ่มหลับตาพริ้มเหมือนจะหลับไปแล้วด้วยความเหน็ดเหนื่อย แต่เพื่อความแน่ใจภาสกรร้องเรียกชื่อหนุ่มน้อยเบาๆเห็นว่าไม่ตอบแน่แล้วตัวเองจึงเดินมาที่เตียงฝั่งของตัวเองจะล้มตัวลงนอนอยู่แล้วพอดีเห็นใบหน้าที่เหมือนเด็กน้อยของนทีนอนหลับตาพริ้มอยู่ก็อดไม่ได้
    คุณชายเดินเข้าไปใกล้นที ค่อยๆโน้มตัวลงเหนือหนุ่มน้อย ค่อยๆเลื่อนหน้าคมเข้มของตนเข้าไปใกล้คนตัวเล็กกว่าที่กำลังหลับปุ๋ยไม่รู้เรื่อง กลิ่นสบู่อ่อนๆผสมกับกลิ่นแชมพูหอมตรึงใจเมื่อใบหน้าของคุณชายอยู่ห่างจากนทีเพียงไม่ถึงนิ้ว
 
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 25 - รวบตัวเข้ามากอดจูบให้สมใจ 9/05/11 - 23.10
เริ่มหัวข้อโดย: namwaan1992 ที่ 09-05-2011 23:28:09
โพสดึกจัง~
รักษาสุขภาพด้วยนะคับ  ไรเตอร์!!~?

----------------------------------------------------------------
ู^
^
^
^
จิ้มไรเตอร์คับๆ  ;'p    สองคนนั้นน่ะทำไรกันน่ะ!!~?  ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 25 - รวบตัวเข้ามากอดจูบให้สมใจ 9/05/11 - 23.10
เริ่มหัวข้อโดย: BaII ที่ 09-05-2011 23:44:51
จูบเลยๆๆๆๆ  :oo1: :haun4:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 25 - รวบตัวเข้ามากอดจูบให้สมใจ 9/05/11 - 23.10
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 09-05-2011 23:47:52
จูบเลยคุณชาย

คนอ่านเขินแทนแล้วนะ
หัวข้อ: Re: ...รักล้นใจ...(อัพครั้งที่ 16)
เริ่มหัวข้อโดย: yunjaejoong ที่ 09-05-2011 23:57:44
โอ้ย โอ้ย ค้างง่ะไรเตอร์ คุณชายจะทำไรนะ นทีหลับอยู่น่ะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 25 - รวบตัวเข้ามากอดจูบให้สมใจ 9/05/11 - 23.10
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 10-05-2011 00:07:09
นทีเนียนรึเปล่าจ๊ะ จุ๊บๆ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 25 - รวบตัวเข้ามากอดจูบให้สมใจ 9/05/11 - 23.10
เริ่มหัวข้อโดย: Piaanie ที่ 10-05-2011 00:10:31
อ๊ากกกกกกกกก รักแล้วก็ลุยเลยคุณชายจะรั้งรออาร๊ายยยยยย ขัดใจๆ มาต่อไวๆเน้อ  :serius2:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 25 - รวบตัวเข้ามากอดจูบให้สมใจ 9/05/11 - 23.10
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 10-05-2011 00:18:40
อร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 25 - รวบตัวเข้ามากอดจูบให้สมใจ 9/05/11 - 23.10
เริ่มหัวข้อโดย: BF-e ที่ 10-05-2011 00:49:37
 เอาเเล้วไง  :laugh: :laugh:

     จูบเลยยยย!!!!!!
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 25 - รวบตัวเข้ามากอดจูบให้สมใจ 9/05/11 - 23.10
เริ่มหัวข้อโดย: SecondaryTrauma ที่ 10-05-2011 01:58:08
"จูบ ใครนะ ว่าไม่สำคัญ
ตั้งใจไว้ใช่ฝัน จะทำให้สั่นไปถึงหัวใจ
บังเอิญคนจูบ ก็วูบหวั่นไหว
ถึงหนาวถึงร้อน ถึงนอนเป็นไข้
เหมือนกัน นะเธอ

จูบไม่ช้ำ ยังด่ำหัวใจ
ตอบให้ซึมซาบไว้ มันทำฉันให้ใฝ่ฝันละเมอ
เต็มใจ จะจูบ จูบเพียงแต่เธอ
เพราะได้ลมโลมละเมอ
เพ้อคลั่งมากมาย

ดินยังรู้แยก แตกเพราะรอยไถคราด
แก้มน้องยังสะอาด เฉิดฉาย
ไม่หม่นหมอง มองไม่เห็นร่องรอยกลับกลาย
พี่รักจึงจูบเจ้าอย่าใจหาย
หวั่นใจ หวั่นใจ

จูบ ใครนะว่าไม่สำคัญ
จูบเบาๆ เท่านั้น ยังทำให้สั่นสะท้านทรวงใน
จะลืมรอยจูบ ไปได้อย่างไร
ไม่รัก ไม่จูบ ไม่ฝากรอยไว้
รู้ใจพี่ด้วยเถิดเอย"
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 25 - รวบตัวเข้ามากอดจูบให้สมใจ 9/05/11 - 23.10
เริ่มหัวข้อโดย: coffin ที่ 10-05-2011 02:08:21
ค้างมากกกกกกกกอะ :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 25 - รวบตัวเข้ามากอดจูบให้สมใจ 9/05/11 - 23.10
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 10-05-2011 04:40:29
ไม่ไหว ไม่ไหว
เพิ่งเข้าอ่าน
จะคลั่งตายแล้ว
คุณชายยยยยยยย รีบๆจัดการกับความรู้สึกตัวเองหน่อย
น้องน้ำเขารู้ตัวนานแล้วว่าคิดอะไรกับคุณชาย
น้องฝ้ายกับคุณหญิงน่ารักมากค่ะ
ชอบๆๆๆๆ หวานกันไปก่อนนะคะ อย่าเพิ่งให้รีบกินมาม่า 555555555
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 25 - รวบตัวเข้ามากอดจูบให้สมใจ 9/05/11 - 23.10
เริ่มหัวข้อโดย: naja-kitase ที่ 10-05-2011 05:44:56
งื้อออออออออออ ทำไมคุณฟ้าม่วงทำอย่างนี้กับประชาชน
แบบว่า ...........


ค้างงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง  :serius2:


อ่านไปอ่านมาแล้วบอกตรงๆว่าคลั่งมากกกกก  :impress2:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 25 - รวบตัวเข้ามากอดจูบให้สมใจ 9/05/11 - 23.10
เริ่มหัวข้อโดย: Rhythm ที่ 10-05-2011 06:15:38
ค้างงง :sad4: ว่าแต่จะจูบกันรึป่าว ...รออ่านค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 25 - รวบตัวเข้ามากอดจูบให้สมใจ 9/05/11 - 23.10
เริ่มหัวข้อโดย: kakuro ที่ 10-05-2011 07:11:01
ขอบคุณคุณฟ้าม่วง :L2:
คุณชายภาสกรจะรู้ใจตัวเองคืนนี้หรือเปล่านะ
หรือยังคงสับสนกล้ากล้ากลัวกลัวอยู่อีก
ใครจะช่วยคุณชายได้ล่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 25 - รวบตัวเข้ามากอดจูบให้สมใจ 9/05/11 - 23.10
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 10-05-2011 07:53:28
อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกว่ามันช่างละมุนละไมต่อความรู้สึกจริง ๆ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 25 - รวบตัวเข้ามากอดจูบให้สมใจ 9/05/11 - 23.10
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 10-05-2011 08:10:58
น้องนทีโดนคุณชายจู่โจมทั้งกายและใจ เขินอะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 25 - รวบตัวเข้ามากอดจูบให้สมใจ 9/05/11 - 23.10
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 10-05-2011 08:21:22
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 25 - รวบตัวเข้ามากอดจูบให้สมใจ 9/05/11 - 23.10
เริ่มหัวข้อโดย: ease supsnerv ที่ 10-05-2011 08:36:43
คุณชายกำลังจะต้านใจตัวเองไม่ไหว
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 25 - รวบตัวเข้ามากอดจูบให้สมใจ 9/05/11 - 23.10
เริ่มหัวข้อโดย: babyfaibossy ที่ 10-05-2011 09:15:33
 :impress2:

เขินจังเลย อ่านแล้ว อยากจะตะโกนว่า น่าร๊ากกกกกกกกกกก!!!!!!!~
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 25 - รวบตัวเข้ามากอดจูบให้สมใจ 9/05/11 - 23.10
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 10-05-2011 09:43:22
นี่ขนาดว่ายังไม่รู้ใจตัวเอง ว่าความรู้สึกต่อนทีคืออะไร ยังเผลอตัวไปตั้งหลายที ถ้าคุณชายรู้ใจตัวเองเมื่อไหร่ นทีไม่รอดแน่ๆ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 25 - รวบตัวเข้ามากอดจูบให้สมใจ 9/05/11 - 23.10
เริ่มหัวข้อโดย: A-J.seiya* ที่ 10-05-2011 10:45:01
><
เขินมากกกกกกก
ห่างกันไม่กี่นิ้ว!!
คุณชายหาช่องตลอดๆๆๆ
*3*
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 25 - รวบตัวเข้ามากอดจูบให้สมใจ 9/05/11 - 23.10
เริ่มหัวข้อโดย: คนริมคลอง ที่ 10-05-2011 10:47:40
ใกล้กันไม่ถึงหนึ่งนิ้ว ทันใดนั้น..........

รอลุ้นของจริงดีกว่า เอิ๊กๆ

หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 25 - รวบตัวเข้ามากอดจูบให้สมใจ 9/05/11 - 23.10
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กกะโปโล ที่ 10-05-2011 11:26:01
จูบเลยๆ!! :L1:
อยากให้คุณชายหมดความอดทนแล้วเข้าไปกอดจูบนทีให้สมใจอยากไวๆ :z1:
ดาริการู้แล้วสินะว่านทีแอบชอบคุณชาย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 25 - รวบตัวเข้ามากอดจูบให้สมใจ 9/05/11 - 23.10
เริ่มหัวข้อโดย: J_Dargon ที่ 10-05-2011 12:03:11
จัดการเลยค่ะคุณชาย..จะได้รู้ใจตัวเองสักที
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 25 - รวบตัวเข้ามากอดจูบให้สมใจ 9/05/11 - 23.10
เริ่มหัวข้อโดย: qq_oo ที่ 10-05-2011 12:18:46
จูบเลยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อิอิอิ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 25 - รวบตัวเข้ามากอดจูบให้สมใจ 9/05/11 - 23.10
เริ่มหัวข้อโดย: นนพี ที่ 10-05-2011 12:37:33
อร๊ายยยยยยยยชอบบบบบบมากกกกก
เพิ่งเข้ามาอ่านคร่าแต่โดนเลย!!!
คุณชายยรีบๆนะ
โฮๆๆ
ขอบคุณคร่า
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 25 - รวบตัวเข้ามากอดจูบให้สมใจ 9/05/11 - 23.10
เริ่มหัวข้อโดย: butterfly_bee ที่ 10-05-2011 16:12:12
จุ๊บนทีเลยค่ะคุณชาย  :จุ๊บๆ:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 25 - รวบตัวเข้ามากอดจูบให้สมใจ 9/05/11 - 23.10
เริ่มหัวข้อโดย: precious ที่ 10-05-2011 16:34:31
ตามอ่านทันแล้วค่า อร๊ายยยยยยยยยยย ค้างๆๆๆ  :-[
จุ๊บเลยค่า คุณชาย จะได้รู้ใจตัวเองยิ่งขึ้น
ค่อยๆ รักกันเบา เบา
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 25 - รวบตัวเข้ามากอดจูบให้สมใจ 9/05/11 - 23.10
เริ่มหัวข้อโดย: namngern ที่ 10-05-2011 20:06:32
กรี๊ดดดดด มานั่งรอเบาเบากับตอนต่อไปคะ 55  :really2:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 25 - รวบตัวเข้ามากอดจูบให้สมใจ 9/05/11 - 23.10
เริ่มหัวข้อโดย: VICTORY ที่ 10-05-2011 21:33:09
คุนชายสู้ๆ เมื่อไหร่จะรู้ใจตัวเองเนี่ยย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 25 - รวบตัวเข้ามากอดจูบให้สมใจ 9/05/11 - 23.10
เริ่มหัวข้อโดย: A. marco ที่ 10-05-2011 22:23:47
จูบเลย  จูบเลย จูบเลย
จูบเลย  จูบเลย  จูบเลย
จูบเลย จูบเลย  จูบเลย
~~~~
เชียร์หน่อยเร็วทุกคน!!!!
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 25 - รวบตัวเข้ามากอดจูบให้สมใจ 9/05/11 - 23.10
เริ่มหัวข้อโดย: IIMisssoMII ที่ 10-05-2011 22:41:49
ฟันธง นทีไม่ได้หลับหรอก ฮุ ๆ :laugh:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 25 - รวบตัวเข้ามากอดจูบให้สมใจ 9/05/11 - 23.10
เริ่มหัวข้อโดย: namngern ที่ 10-05-2011 23:01:53
จูบเลย  จูบเลย จูบเลย
จูบเลย  จูบเลย  จูบเลย
จูบเลย จูบเลย  จูบเลย
~~~~
เชียร์หน่อยเร็วทุกคน!!!!

จูบบบบบบบบบบบ เลย !!! 5555 ด้วยคนคะ นั่งรีบอร์ดรอ 555
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 25 - รวบตัวเข้ามากอดจูบให้สมใจ 9/05/11 - 23.10
เริ่มหัวข้อโดย: |ψ|PEAT_ZA|ψ|℠ ที่ 11-05-2011 01:08:20
กำลังตามอ่านครับ


ภาสกรกับนที


ปล. ภาสกรนที รวมกันกลายเป็นนามสกุล ตัน โออิชิ ซ่ะงั้น อิอิ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 25 - รวบตัวเข้ามากอดจูบให้สมใจ 9/05/11 - 23.10
เริ่มหัวข้อโดย: maew189870 ที่ 11-05-2011 09:56:18
รอให้ท่านชายรักนทีนะคับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 25 - รวบตัวเข้ามากอดจูบให้สมใจ 9/05/11 - 23.10
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 11-05-2011 10:57:04
ความสัมพันธ์คู่นี้อึมครึมจริงๆ

แต่แหม อยากให้นทีเป็นน้องคุณหญิงจัง ยิ่งหน้าเหมือนๆอยู่555 อย่างน้อยอาจจะเหมาะสมกับคุณชายมากขึ้นกว่าตอนเป็นคนธรรมดาล่ะน่า

เรื่องนี้กลัวมีดราม่าจัดหนักจังTT^TT
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 25 - รวบตัวเข้ามากอดจูบให้สมใจ 9/05/11 - 23.10
เริ่มหัวข้อโดย: Crossley ที่ 11-05-2011 11:56:03
พึ่งเข้ามาอ่านก็ติดใจแล้วค่ะ ไรเตอร์
นั่งบิดตัวอยู่หน้าคอมพ์จนแม่เครียดแล้วเนี่ย  :-[
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 25 - รวบตัวเข้ามากอดจูบให้สมใจ 9/05/11 - 23.10
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 11-05-2011 18:16:59
อดใจไม่อยู่แล้วหรอ ท่านชาย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 25 - รวบตัวเข้ามากอดจูบให้สมใจ 9/05/11 - 23.10
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 11-05-2011 20:57:03
26

    ลมหายใจของภาสกรเป่ารดลงบนแก้มของนที หากหนุ่มน้อยเป็นน้ำแข็ง ป่านนี้คงถูกลมหายใจอุ่นๆของภาสกรละลายไม่ต้องเป็นน้ำแต่ระเหิดกลายเป็นไอไปทีเดียวแล้ว หัวใจของภาสกรเต้นแรงแทบจะหลุดออกมานอกอก หากเข้าแนบจมูกของตนลงแก้มนทีแล้ว ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าหนุ่มน้อยจะลืมตาตื่นขึ้นมาหรือเปล่าเมื่อถึงเวลานั้นเขาจะทำหน้าอย่างไร เมื่อนทีพบว่าคุณชายหนุ่มลอบหอมแก้มเขาขณะหลับอย่างนั้น
    แต่เป็นใครจะอดใจไหวเมื่อมีหนุ่มน้อยน่ารักมานอนหลับตาพริ้มอยู่ตรงหน้าแบบนี้ ริมฝีปากสีชมพูใสเหยียดออกคล้ายอมยิ้มทำให้นทีแลดูเหมือนอะไรอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากเจ้าหญิงนิทราในความคิดของภาสกร แต่หากเขาจุมพิตเจ้าหญิงของเขาตอนนี้ เจ้าหญิงคงลืมตาขึ้นมาเป็นเจ้าชายอีกองค์หนึ่ง แล้วเจ้าชายสององค์จะอยู่เคียงคู่กันได้อย่างไรเล่า
    สูดกลิ่นสบู่หอมจากแก้มเนียนใสของนทีได้ไม่นาน ภาสกรก็ได้สติ เหยียดตัวขึ้นยืนตรงลังเลอยู่ในหัวใจ สับสนจนทำอะไรไม่ถูก รู้ตัวว่าหากขยับไปเพียงนิ้วเดียวตนก็จะได้สมหวังในสิ่งที่ต้องการอยู่ลึกๆข้างใน แต่หากทำตามอารมณ์แล้วเขารู้ดีว่าผลเสียคงมีมากกว่าผลดีนักก็เลยตัดสินใจถอยออกมา นั่งลงขอบเตียงทำอย่างไรก็ไม่อาจถอนตาออกจากหนุ่มน้อยได้ก็เลยตัดสินใจเดินออกจากบ้านพักไปที่โต๊ะยาวด้านหลัง ทิ้งให้นทีนอนใจสั่นอยู่คนเดียว
    มีเพียงดาริกาเท่านั้นที่นั่งมองน้ำใสหลังบ้านอยู่
    “ปุยฝ้ายไปไหนเสียล่ะครับ” ภาสกรเอ่ยขึ้น ดาริกาจึงหันมา บัดนี้หล่อนแกะผมของตนออกจากมวยแล้วปล่อยให้ตกลงมาล้อมกรอบหน้าดูเผินๆจะเหมือนนทีแทบแยกไม่ได้ แต่พอเพ่งดีๆ ความงามของดาริกาต่างหากที่เรียกได้เต็มปากว่า “งาม” นทีเป็นชาย จะบอกว่างามก็คงพูดได้ไม่ชัดนัก หญิงสาวในเสื้อนอนตัวใหญ่ยิ้มแล้วตอบว่า
    “คุณฝ้ายนอนแล้วค่ะ หญิงยังนอนไม่หลับก็เลยออกมานั่งชมวิวเล่น” หล่อนหญิงอย่างเป็นกันเอง กระเถิบตัวห่างออกไปอย่างรู้จักไว้ตัวเมื่อภาสกรนั่งลงข้างๆหล่อน “เดาว่าคุณชายคงเป็นเหมือนกันมังคะ”
    “ครับ” เขาตอบ นึกอยากยิ้มแต่ก็รู้ตัวว่าคงยิ้มแหยๆแทนที่จะยิ้มอย่างสดชื่นเหมือนหญิงสาวตรงหน้าก็เลยไม่ยิ้มเสียเลย
    “คุณชายมีอะไรในใจก็เล่าให้หญิงฟังเถอะค่ะ” หล่อนบอกอย่างรู้ทัน “ดูจากสีหน้าก็รู้แล้วค่ะว่าคุณชายคงไม่สบายใจเท่าไหร่”
    “ครับ” เขายอมรับแต่ไม่รู้จะพูดต่ออย่างไร จึงหยุดคิดสักครู่แล้วแทนที่จะตอบดาริกา เขากลับตั้งคำถามให้หล่อนแทน “คุณหญิงอย่าหาว่าผมละลาบละล้วงนะครับ ถ้าผมอยากถามอะไรคุณหญิงสักหน่อย”
    หญิงสาวยิ้มกว้าง
    “ถามมาซีคะ ถ้าตอบได้หญิงก็เต็มใจตอบค่ะ”
    “คุณหญิงเคยชอบใครทั้งที่รู้ตัวดีว่าไม่ควรชอบไหมครับ” ภาสกรถามออกไปในที่สุด ก้มหน้านิ่งเมื่อรู้ตัวว่าถามเรื่องอย่างนี้ออกไปคุณหญิงต้องเดาได้แน่ว่าเขาเองก็คงกำลังรักใครหรือชอบใครอยู่แต่ไม่กล้าบอก
    “แหม คุณชายคะ” หล่อนยิ้มให้ทั้งที่รู้ตัวว่าคนตรงหน้าคงไม่ค่อยอยากให้หล่อนยิ้มเท่าไรนักในเวลานี้ “เคยซีคะ บ่อยด้วย ความรักความชอบมันห้ามกันไม่ได้หรอกค่ะคุณชาย มันอยากเกิดขึ้นตอนไหนกับใครก็ได้ทั้งนั้นให้ใครมาบอกเราไม่ได้หรอกค่ะว่าควรหรือไม่ควร”
    “คุณหญิงคงเข้าใจผมดีว่า คนอย่างเรา... ผมหมายถึงเรื่องทางสังคมทางชาติตระกูล ...ใครๆก็จับตามอง ใครๆก็ต้องการให้เราดีเลิศ เป็นตัวอย่างให้สังคมในทุกๆด้านถ้ามีเรื่องด่างพร้อยขึ้นมาเมื่อไหร่จะถูกมองว่าไม่ดีก็ได้ง่ายๆจริงไหมครับ เรื่องคู่ครองผมว่าก็ต้องเป็นเรื่องของผู้ใหญ่อีกนั่นละที่จะมองแทนเราว่าควรหรือไม่ควร คุณหญิงเห็นด้วยไหมครับ”
    “ค่ะเห็นด้วย” หล่อนว่า “คุณชายเขื่อไหมคะ ว่าท่านแม่ประสงค์ให้หญิงไปเข้าพิธีดูตัวกับคนโน้นคนนี้ ไม่ใช่ลูกรัฐมนตรี ก็ลูกทูต ไม่งั้นก็พวกคุณชายหลายๆตระกูล ท่านแม่รับสั่งว่ารักก็เรื่องหนึ่ง ความถูกต้องก็เรื่องหนึ่งถ้าแต่งไปแล้วก็รักกันเอง เพราะเราไม่ได้เลือกคนมารักเพื่อสนองความต้องการของเราคนเดียว เราต้องเลือกคนที่ถูกต้องเหมาะสมมารักษาไว้ซึ่งตระกูลของเราด้วย จะให้มาด่างพร้อย บกพร่องเพราะอารมณ์อย่างเดียวไม่ได้”
    ดาริกาเงียบไปพักหนึ่งเปิดโอกาสให้ภาสกรถามต่อไปเขาจึงพูดว่า
    “แล้วคุณหญิงทำอย่างไรครับ ขอโทษด้วยถ้าผมต้องพูดว่าผมไม่เห็นว่าคุณหญิงมีทีท่าจะแต่งงาน ถ้าต้องไปดูตัวใครต่อใครก็น่าจะมีข่าวแต่งได้แล้ว”
    “หญิงก็ไม่เลือกไงคะ” หล่อนตอบเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ “หญิงก็ทูลท่านแม่ว่ายังอยากเรียน ยังอยากรับใช้ท่านแม่ไปเรื่อยๆ อ้อนเข้าก็ใจอ่อนค่ะ”
    ภาสกรตัดสินใจเข้าประเด็นทันที
    “ผมคงทำอย่างคุณหญิงไม่ได้ ผมเป็นผู้ชายแล้วก็เป็นลูกคนเดียว ท่านพ่อ หม่อมแม่คงจะหวังกับผมอยู่มาก”
    “คุณชายถูกบังคับแต่งงานหรือคะ”
    “ยังครับ แต่หม่อมแม่เปรยๆหลายรอบแล้ว ผมเห็นว่าถ้าเสร็จงานกับคุณหญิงคราวนี้หม่อมแม่ต้องรบเร้าผมหนักแน่ ปีนี้ผมจะสามสิบแล้วผมผลัดหม่อมแม่มาหลายปี คราวนี้ถ้าท่านพ่อทรงร่วมรับสั่งด้วยอีกผมก็คงปฏิเสธไม่ได้”
    “หญิงเข้าใจค่ะ แต่หญิงเห็นว่าถ้าคุณชายยังไม่มีคนรัก จะแต่งกับใครไปก่อนก็คงไม่เสียหายสักวันคงรักกันเองอย่างเจ้าอย่างนายคู่อื่นๆจริงไหมคะ” คุณหญิงมองภาสกรอย่างรู้ทัน ยิ้มที่มุมปากใจกระหวัดไปถึงหนุ่มน้อยที่นอนอยู่ในห้องใกล้ๆนี้จนภาสกรรู้สึกร้อนๆหนาวๆ “เว้นแต่คุณชายจะรักใครแล้วแหละค่ะ”
    ภาสกรไม่ตอบหล่อนเลยรุกหนักเข้า
    “พึงใครไว้แล้วหรือคะคุณชาย ถ้าเป็นอย่างนั้นหญิงว่านั่นล่ะค่ะถึงจะเริ่มก่อปัญหา” หล่อนลดรอยยิ้มกลายเป็นวางหน้าเฉยแทน
     “ก็” ภาสกรอ้ำอึ้ง “ผมก็ยังไม่แน่ใจ”
    “ระวังนะคะคุณชาย” หล่อนยิ้มกว้าง “โอกาสดีๆมีวันหมดอายุเหมือนกันนะคะ ถึงเวลาเขาไม่อยู่ข้างเราแล้วกว่าเราจะแน่ใจก็สายไปแล้วนะคะ”   
    “ผมอยากปรึกษาคุณหญิง แต่ผมก็ยังไม่กล้าบอก ตัวผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่ามันเรียกว่ารักได้หรือเปล่า ไม่รู้ว่าคนคนนี้จะเป็นคนที่ผม... อยากได้เป็นคู่รักหรือยัง” ภาสกรเงียบไปนาน ดาริกาจึงตัดสินใจเอื้อมมือมากุมมือภาสกรเอาไว้ บีบเบาๆอย่างให้กำลังใจก่อนจะถามว่า
    “ไหน คุณชายลองบอกหญิงซีคะที่บอกว่าไม่แน่ใจน่ะ รู้สึกอย่างไรกับคนคนนั้นกันแน่” หล่อนพยายามยิ้มให้กำลังใจเขา แอบเห็นแววไม่แน่ใจในดวงตาของภาสกร ราวกับว่าจะกระหวัดไปหาหนุ่มน้อยที่อยู่ในห้องนอนข้างๆนี้แล้วภาสกรจึงเอ่ยกับหล่อน
    “ผม... อยากอยู่ใกล้เขาตลอดเวลา อยากรู้ว่าเขามีความสุขหรือเปล่า ถ้าไม่ ผมก็อยากเป็นคนทำให้เขามีความสุข ผมอยากดูแล อยากปรนนิบัติเอาใจ ชอบเวลาเขายิ้มให้ผมเหมือนว่าผมเป็นคนสำคัญของเขา ชอบเวลาอยู่ข้างๆเขาเพราะผมรู้ว่าเขารู้สึกสงบ สบายใจ และอบอุ่นเวลาอยู่ใกล้ผม เพราะผมก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน พอไม่เจอกันผมก็คิดถึงอยากไปหา อยากเจอหน้า อยากได้ยินเสียงเป็นห่วงจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ แต่ก็ไม่รู้ว่าที่เป็นอย่างนี้เพราะผมเหงา หรืออะไรกันแน่ รู้แต่ว่าผมพยายามลืมเขาแล้ว แต่จนแล้วจนรอดก็ลืมได้ไม่ถึงห้านาที มองไปทางไหนก็คิดถึงแต่เขา... จนคิดว่าตัวเองเป็นบ้าไปแล้ว
    ผมไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อนก็เลยไม่แน่ใจว่าผมรู้สึกไปเอง หรือว่าสิ่งที่ผมรู้สึกนี้มันเรียกว่ารักได้หรือยัง”
    “คุณชายคะ” ดาริกายิ้ม “ถ้ามีกระจกหญิงจะยกให้คุณชายเห็นหน้าตัวเองชัดๆค่ะ ว่าเวลาคุณชายพูดถึงคนๆนี้สีหน้า แววตา น้ำเสียงของคุณชายมีความสุขแค่ไหน”
    ภาสกรประหลาดใจเพราะเขาไม่รู้ตัวว่าน้ำเสียงเขาจะเปลี่ยนไปอย่างไรเวลาพูดถึงนที เขาเงียบรอให้ดาริกาถามอะไร หรือพูดอะไรก่อนเพราะถ้าให้เขาเป็นฝ่ายพูดเขาอาจจะพูดมากไปจนดาริการู้ความในใจก็ได้
    “อย่างนี้ไม่เรียกว่าคู่รักหรอกค่ะคุณชาย... แต่เป็นคู่ชีวิต หญิงว่าความรู้สึกของคุณชายมันเกินความรักไปแล้วมังคะ กลายเป็นความผูกพัน กลายเป็นความเคยชินว่าในชีวิตต้องมีคนคนนี้อยู่ด้วยเท่านั้น คุณชายจึงจะมีความสุข”
    ดาริกาควรไปเป็นจิตแพทย์ ภาสกรคิดในใจแทบจะทันทีที่ได้ยินหล่อน
    “ผมควรทำอย่างไร”
    “ทำให้เขารู้ซีคะ บอกเขาอย่างที่บอกกับหญิงเมื่อครู่ หญิงแน่ใจนะคะว่าไม่ว่าใครมาได้ยินคุณชายพูดถึงตัวเองอย่างนั้นก็ยอมให้คุณชายได้ทุกอย่างล่ะค่ะ ทั้งร่างกาย ความรัก และชีวิต”
    “คุณหญิงครับ ปัญหามันอยู่ที่...”
     “อยู่ที่คุณชายคิดไปเองแหละค่ะ” หล่อนว่า “ถ้าปัญหายังไม่เกิดจะไปคิดถึงมันเผื่อไว้ก่อนทำไมล่ะคะ”
    “ผมกลัวว่ามันจะไม่ถูกต้อง” ใช่ ถ้าเป็นผู้หญิงก็ว่าไปอย่าง ถ้าดาริการู้ว่าคนที่เขาพูดถึงคือนที อยากรู้เหลือเกินว่าหล่อนจะทำหน้าอย่างไรเทียว
    “จริงอยู่ค่ะว่าความรักมันต้องอยู่ในกรอบของความถูกต้องด้วย แต่คุณชายอย่าลืมนะคะว่าความรักเป็นเรื่องของคนสองคน คนอื่นเป็นปัจจัยรองลงมา อย่างน้อยๆ ให้เขารู้ว่าเรารักเขาก่อนเท่านั้นก็น่าจะดีนะคะ”
    ภาสกรนิ่งไปพักหนึ่งก็ถามอีก
    “ผมขออนุญาตคุณหญิงพูดถึงคุณชายนรัตถพล คุณหญิงจะถือว่าผมล่วงเกินหรือเปล่าครับ”
    “พูดมาเถอะค่ะ หญิงยินดีตอบถ้าหญิงทำได้”
    “คุณชายรัตแต่งงานหรือเปล่าครับ”
   “ไม่แต่งค่ะ” หล่อนตอบ “พี่ชายรัตไม่แต่งงาน”
    “เอ้าแล้วคุณชายทำอย่างไรครับ”
    ดาริการู้ทัน แทบไม่ต้องให้ภาสกรบอกความคิดทั้งหมดของเขาออกมาด้วยซ้ำ ก็พี่ชายหล่อนเป็นเกย์แสดงออกชัดขนาดนั้นภาสกรถามถึงพี่หล่อนก็เหมือนจะถามว่า ถ้าผมเป็นเกย์ผมจะทำอย่างไรอย่างนั้นแหละ
     “ท่านแม่จะทรงบังคับอย่างไรก็ไม่แต่ง เขาบอกอยู่เสมอว่าว่าถึงเขาจะเป็นคุณชายเป็นโอรสของท่านแม่ก็จริง แต่เขาก็เป็นเขาเองครึ่งหนึ่งด้วย เขาเป็นอะไร รักใครชอบใครก็ไม่ใช่เรื่องผิด นี่มันปี 2011 แล้วนะคะ ถ้าโลกจะแตกปี 2012 จริงๆก็แทบไม่เหลือโอกาสทำอะไรตามใจตัวเองแล้ว”
    ดาริกาลุกขึ้นในที่สุด บอกภาสกรเบาๆว่า
    “คุณชายมาเที่ยว มาพักผ่อนก็ทำตัวให้สนุกเถอะค่ะอย่าคิดมากเลย กลับจากนครนายกแล้วเรานัดเจอกันก็ได้ค่ะถ้าคุณชายยังไม่สบายใจ หญิงจะชวนพี่ชายรัตมาคุยด้วย” หล่อนแตะหลังมือภาสกรสองสามทีแล้วบอกว่า “พี่ชายรัตบอกดาเสมอค่ะว่า ชีวิตของเรามันสั้นเกินกว่าจะเป็นคนอื่นเอาเวลาไม่กี่ปีที่มีโอกาสอยู่บนโลกมาเป็นตัวของตัวเองเถอะค่ะ ตราบใดที่เราทำความดี ทำประโยชน์ให้คนอื่นได้ ไม่ว่าเราจะเป็นใคร รักใครชอบใคร ก็ไม่น่าจะต้องกลัวนี่คะคุณชาย”
    ภาสกรถามตัวเองทันทีที่หล่อนพูดจบว่า ทำไมเขาไม่รักดาริกานะ แน่นอนว่าหม่อมแม่คงจะยิ่งกว่าพอใจถ้าเขาจะไปขอดาริกาแต่งงาน แต่พอมานอนจ้องหน้าหนุ่มน้อยในความมืด มีแสงสว่างจากไฟนอกบ้านส่องมากระทบดวงหน้าให้เห็นรางๆในความมืด และคิดถึงเหตุการณ์ระหว่างเขากับนทีที่ผ่านมาทั้งหมดแล้วเขาก็กลับมาถามตัวเองใหม่ว่า...
    ทำไมเขาถึงจะไม่รักนทีเล่า เพียงเพราะหนุ่มน้อยเป็นผู้ชายเท่านั้นเองหรือ
    
    ภาสกรอยู่ในช่วงสับสนจนหัวแทบจะระเบิด ไม่มีสติ ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งนั้น เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าสิ่งที่เขารู้สึกกับนทีมันเรียกว่ารักได้หรือเปล่า ในเมื่อเขาไม่เคยชอบผู้ชาย เขาจะรักนทีซึ่งเป็นผู้ชายได้อย่างไร แต่ภาสกรก็นั่งเครียดอยู่ได้ไม่นานเท่านั้นแหละ ระหว่างทานอาหารเช้าในรีสอร์ต จู่ๆหนุ่มน้อยก็เดินเข้ามาถามหน้าซื่อๆว่า
    “คุณชายเป็นอะไรหรือเปล่า ผมทำอะไรให้คุณชายไม่พอใจหรือครับ เช้านี้ไม่เห็นคุณชายคุยกับผมเลย” นทีถามทั้งที่ใจเต้นเร็วอย่างอึดอัด เมื่อคืนคุณชายทำอะไรทำไมเขาจะไม่รู้  คุณชายจะจูบเขา! ทำไมทั้งที่รู้อย่างนี้ นทีไม่ยักรู้สึกดีใจ กลับหนักใจด้วยซ้ำ... มันเกิดขึ้นเพราะอะไร เพราะรักหรือเปล่า หรือหวั่นไหวไปชั่ววูบ...  ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล ใบหน้าที่รู้สึกผิดทั้งที่ไม่รู้ว่าผิดอะไร ใบหน้าที่ไม่มีความสุขของนทีเตือนให้ภาสกรคิดถึงคำพูดของตัวเองเมื่อคืน... คำพูดที่กลั่นออกมาจากความรู้สึกจริงๆของตัวเองว่า
    อยากรู้ว่าเขามีความสุขหรือเปล่า
    ถ้าไม่ ผมก็อยากเป็นคนทำให้เขามีความสุข

    แต่เขากำลังทำสิ่งกลับกัน เขากำลังทำให้นทีเป็นทุกข์... เพราะเขา เขาทำให้นทีต้องบาดเจ็บเข้าโรงพยาบาลจนแทบจะหมดซึ่งความสุขใดๆไปแล้วครั้งหนึ่ง เขาจะไม่ทำร้ายนทีอีก เขาจะไม่ทำให้หนุ่มน้อยเป็นทุกข์อีกเด็ดขาด เขาเอื้อมมือไปลูบผมยุ่งๆของนทีสองสามที แล้วก็บอกว่า
    “คุณจะทำให้ผมไม่พอใจได้ยังไงเล่า คุณยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย ทานข้าวเถอะนะผมคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้นเอง สัญญาครับว่าผมจะไม่ทำหน้าเครียดแล้ว โอเค้” หนุ่มน้อยส่งยิ้มมาให้เขา ฉับพลันความกังวลใดๆก็ถูกผลักออกไปจากใจของเขาจนหมดสิ้น
    นทีเหมือนน้ำตามชื่อของเขา เมื่อใดที่ใจของภาสกรขุ่นมัวน้ำก็จะชำระความขุ่นมัวนั้นให้สิ้น เมื่อใดที่เขาร้อนรุ่มน้ำก็จะเข้าลูบไล้ให้เขาเย็นสบาย ในขณะที่เมื่อไรก็ตามที่เขาเหงาใจและแห้งแล้งน้ำก็จะพรมลงเรียกชีวิตชีวาของเขากลับมา
    ดาริกาและปุยฝ้ายเดินเข้ามายังห้องอาหาร เห็นภาพนั้นพอดีก็หยุดลงไม่กล้าเดินเข้าไปทำลายบรรยากาศ ดาริกาเล่าเรื่องเมื่อคืนให้ปุยฝ้ายฟังในฐานะที่ปุยฝ้ายเป็นเพื่อนสนิทของคนที่ถูกพาดพิงในบทสนทนา และหล่อนก็มั่นใจว่าปุยฝ้ายเป็นคนที่คุยด้วยได้และสมควรรับรู้เรื่องนี้ด้วยที่สุด อีกอย่างปุยฝ้ายก็คงไม่เอาเรื่องนี้ไปเที่ยวโพนทะนานบอกคนอื่นอยู่แล้วสองหัวดีกว่าหัวเดียว ได้ช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรให้สองคนนี้ได้รู้ความในใจของกันและกันสักที
    “น้องฝ้ายคะ พี่ดาว่าคนที่คุณชายพูดถึงเมื่อคืนคงเป็นใครไม่ได้นอกจากน้องน้ำหรอกค่ะ” หล่อนว่าเสียงเรียบเหมือนคุยกันเรื่องอื่นขณะที่ค่อยๆเดินมาหาภาสกรและนที
    “น้องก็ว่างั้นค่ะ แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้... เฮ้อทำไมคุณชายต้องเป็นคุณชายด้วยนะ ถ้าเป็นคนธรรมดาๆคนหนึ่งฝ้ายจะไม่หนักใจเท่านี้เลย”

    ภาสกรตั้งใจแล้วว่าจะไม่รีบบอกความในใจให้นทีรู้ในเมื่อยังไม่แน่ใจอยู่อย่างนี้ ปล่อยให้อะไรๆเป็นไปตามที่มันควรเป็นอย่างนั้นแหละไม่รีบร้อนอะไรเป็นอยู่อย่างนี้เขาก็พอใจแล้ว ได้เห็นหน้าหนุ่มน้อยทุกวัน ได้คุย ได้ใกล้ชิดแบบนี้ไปเรื่อยๆเขาก็ไม่คิดอะไรเป็นอื่นอีก
    จะมากังวลให้นทีเห็นทำให้หนุ่มน้อยต้องทุกข์ใจไปด้วยอีกคนละก็ไม่เอาอีกแล้ว ในเมื่อความรู้สึกของหนุ่มน้อยนั้นมีค่าแก่เขากว่าสิ่งใดๆ เขาก็จะไม่ยอมเอาสิ่งนี้มาทำลายเด็ดขาด ...ต่อจากนั้น Come what may เขาจะรับมือกับมันเอง
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 25 - รวบตัวเข้ามากอดจูบให้สมใจ 9/05/11 - 23.10
เริ่มหัวข้อโดย: IIMisssoMII ที่ 11-05-2011 20:58:51
มาแล้ววว วันนี้มาเร้ว

อ้างถึง
ภาสกรตั้งใจแล้วว่าจะไม่รีบบอกความในใจให้นทีรู้ในเมื่อยังไม่แน่ใจอยู่ อย่างนี้ ปล่อยให้อะไรๆเป็นไปตามที่มันควรเป็นอย่างนั้นแหละไม่รีบร้อนอะไรเป็นอยู่ อย่างนี้เขาก็พอใจแล้ว ได้เห็นหน้าหนุ่มน้อยทุกวัน ได้คุย ได้ใกล้ชิดแบบนี้ไปเรื่อยๆเขาก็ไม่คิดอะไรเป็นอื่นอีก

ระวังมันจะสายไปนะคุณชาย....

ว่าแล้ว นทีต้องรู้ตัว คุณชายนี่ป๊อดอ่ะ จูบ ๆ ไปเลย
ขอบคุณมากนะคะ บวกหนึ่งเป็นกำลังใจ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 26 - ผมก็อยากเป็นคนทำให้เขามีความสุข 11/05/11 - 20.50
เริ่มหัวข้อโดย: k00_eng^^ ที่ 11-05-2011 21:10:24
เอาใจช่วยคุณชายกับนทีน๊า^^
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 26 - ผมก็อยากเป็นคนทำให้เขามีความสุข 11/05/11 - 20.50
เริ่มหัวข้อโดย: A-J.seiya* ที่ 11-05-2011 21:22:26
คุณชายยยย  ยู้ฮู !!~
โอเคมั้ยเนี่ย
จะจัดการยังไงต่อไปก็คิดดีดี นะ
^^
กลฃัวว่าถ้าพลาดพลั้ง จะสายไปปปป
หญิงดา นี่ดีจัง ,, คงจะเจอ ผช. ดีดี นะ
ฮูววว ชายรัต เราแอบชอบคนนี้
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 26 - ผมก็อยากเป็นคนทำให้เขามีความสุข 11/05/11 - 20.50
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 11-05-2011 21:30:45
ได้กลิ่นมาม่ามาแล้วนะ  อ่านเรื่องนี้แล้วเกร็งนิด ๆ แบบเตรียมรับสถานการณ์ไม่พึงประสงค์ตลอดเวลา
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 26 - ผมก็อยากเป็นคนทำให้เขามีความสุข 11/05/11 - 20.50
เริ่มหัวข้อโดย: MoPPeT ที่ 11-05-2011 22:22:31
กลัวคุณหญิงแม่จะโผล่มาตอนที่อะไรๆกำลังจะดีขึ้น :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 25 - รวบตัวเข้ามากอดจูบให้สมใจ 9/05/11 - 23.10
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กกะโปโล ที่ 11-05-2011 23:15:39
มีแม่สื่อตั้งสองคน นทีก็รักคุณชายอยู่แล้ว เหลือแค่ให้คุณชายยอมรับเสียงของหัวใจตัวเองเท่านั้นแหละ :กอด1:
หลังจากทั้งคู่รักกัน คงได้เจอมาม่าอีกหลายถ้วยแน่ๆ o2 ไหนจะเรื่องพ่อแม่คุณชาย เรื่องตาอดิสรณ์อีก
ชอบดาริกาอ่ะ :กอด1: :กอด1:
   “อย่างนี้ไม่เรียกว่าคู่รักหรอกค่ะคุณชาย... แต่เป็นคู่ชีวิต หญิงว่าความรู้สึกของคุณชายมันเกินความรักไปแล้วมังคะ กลายเป็นความผูกพัน กลายเป็นความเคยชินว่าในชีวิตต้องมีคนคนนี้อยู่ด้วยเท่านั้น คุณชายจึงจะมีความสุข”
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 26 - ผมก็อยากเป็นคนทำให้เขามีความสุข 11/05/11 - 20.50
เริ่มหัวข้อโดย: evilheart ที่ 11-05-2011 23:21:03
อ่านทันแล้ว
ลุ้นไปกับคุณชายจริงๆ
เมื่อไหร่จะมั่นใจซะที :m31:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 26 - ผมก็อยากเป็นคนทำให้เขามีความสุข 11/05/11 - 20.50
เริ่มหัวข้อโดย: FÂntastic 1st™ ที่ 11-05-2011 23:31:27
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 26 - ผมก็อยากเป็นคนทำให้เขามีความสุข 11/05/11 - 20.50
เริ่มหัวข้อโดย: J_Dargon ที่ 12-05-2011 00:05:58
ตอนนี้กำลังไปได้สวยแล้วน่ะ ไม่อยากให้ใครมาขัดขวางเลย.....สาธุ ๆ :t4:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 26 - ผมก็อยากเป็นคนทำให้เขามีความสุข 11/05/11 - 20.50
เริ่มหัวข้อโดย: naja-kitase ที่ 12-05-2011 05:53:03
เหมือนจะไปได้ด้วยดี
แต่ตอนนี้ เราต้องต้มน้ำร้อนรอชงมาม่ากันรึเปล่าคะ? ฮ่าๆ

คุณชายคะ ก่อนมันจะดราม่าช่วยเคลียร์ความรู้สึกตัวเองกับนทีให้มันชัดเจนก่อนเถอะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 26 - ผมก็อยากเป็นคนทำให้เขามีความสุข 11/05/11 - 20.50
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 12-05-2011 06:44:48
ถึงเวลานั้นมันจะไม่ Come What May สิค๊า คุณชาย เฮ่อออออ
คุณหญิงมีพี่ชายเป็นอย่างนี้นี่เอง มิน่ามีเลือดวายเต็มขั้น ^^
บวกเลยค่า บวกๆๆ  o13
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 26 - ผมก็อยากเป็นคนทำให้เขามีความสุข 11/05/11 - 20.50
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 12-05-2011 11:56:15
กรุ่นกลิ่นดราม่า เหมือนว่าอีกไม่นาน จะมีเรื่องเครียดๆของจริงจะเกิดขึ้น


ขอเวลาให้ทั้งคู่ ได้มีความสุขกันนานๆกว่านี้ได้ไหมครับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 26 - ผมก็อยากเป็นคนทำให้เขามีความสุข 11/05/11 - 20.50
เริ่มหัวข้อโดย: ease supsnerv ที่ 12-05-2011 11:56:19
เหมือนแอบรักกันอยู่เลยอ่ะค่ะ 5555  แต่แบบ แอบไม่ให้เค้ารู้ว่ารักนะคะ T^T อึดอัดแทน
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 26 - ผมก็อยากเป็นคนทำให้เขามีความสุข 11/05/11 - 20.50
เริ่มหัวข้อโดย: jojobuffy ที่ 12-05-2011 12:14:40
กลัวท่านพ่อท่านแม่ ของคุณชายจังเยย

กลัวเค้ามาพรากออกจากกัน :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 26 - ผมก็อยากเป็นคนทำให้เขามีความสุข 11/05/11 - 20.50
เริ่มหัวข้อโดย: Piaanie ที่ 12-05-2011 12:32:55
มัวแต่ลังเลอยู่นั่นละคุณชายน่ะ เดี๋ยวเหอะหลุดมือไปแล้วจะมาร้องโอดครวญ คุณหญิงแม่ของคุณชายก็ร้ายซะเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 26 - ผมก็อยากเป็นคนทำให้เขามีความสุข 11/05/11 - 20.50
เริ่มหัวข้อโดย: คนริมคลอง ที่ 12-05-2011 14:03:12
จริงอย่างคุณหญิงดาพูดครับ นี่ปี 2011 แล้ว เซเลปเค้าเปิดตัวกันคึกคัก อย่าได้แคร์สื่อครับคุณชาย หุหุ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 26 - ผมก็อยากเป็นคนทำให้เขามีความสุข 11/05/11 - 20.50
เริ่มหัวข้อโดย: butterfly_bee ที่ 12-05-2011 15:22:05
โธ่ คุณชายคะ
ปล่อยไปเรื่อยๆไม่ทำอะไรต่อไป
ไม่คิดว่ามันก็ทำให้นทีไม่สบายใจเหมือนกันหรอคะ
อยากให้มีคนมาจีบนทีมั่งซะแล้ว จะได้เป็นตัวเร่งปฎิกิริยา  o18
แอบอยากเห็นเวลาคุณชายหึงมั่งเหมือนกันนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 26 - ผมก็อยากเป็นคนทำให้เขามีความสุข 11/05/11 - 20.50
เริ่มหัวข้อโดย: qq_oo ที่ 12-05-2011 15:27:47
คุณชายสู้ๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 26 - ผมก็อยากเป็นคนทำให้เขามีความสุข 11/05/11 - 20.50
เริ่มหัวข้อโดย: A. marco ที่ 12-05-2011 15:44:08
พี่ฟ้าม่วงครับ โปรดส่งใครก็ได้มาจีบนทีตอนนี้ที!!!!!!!!!!!!

อยากได้ฉากที่คุณชายหึงครับ แบบหึงแล้วโมโห นทีโดยไม่รู้ตัวไรงี้ 
จะได้รู้ใจตัวเอง คุณชายจะได้รู้อีกว่าของดีอย่ารอช้า
รอออออออออออ(ลากเสียงยาว)
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 26 - ผมก็อยากเป็นคนทำให้เขามีความสุข 11/05/11 - 20.50
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 12-05-2011 16:33:19
คุณชาย บอกๆๆไปเลย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 26 - ผมก็อยากเป็นคนทำให้เขามีความสุข 11/05/11 - 20.50
เริ่มหัวข้อโดย: namwaan1992 ที่ 12-05-2011 19:21:02
คุณชายคับ~

สับสนซะจิง!!~?       รู้ใจตัวเองแล้วก้ลุยเล้ย>.<
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 26 - ผมก็อยากเป็นคนทำให้เขามีความสุข 11/05/11 - 20.50
เริ่มหัวข้อโดย: ● MaYa~Boy ● ที่ 12-05-2011 20:26:05
ชอบเรื่องนี้มากๆ ถึงมากที่สุด
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 26 - ผมก็อยากเป็นคนทำให้เขามีความสุข 11/05/11 - 20.50
เริ่มหัวข้อโดย: VICTORY ที่ 12-05-2011 21:18:12
หนูชอบคุนชายจังเลยยย  อิอิ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 26 - ผมก็อยากเป็นคนทำให้เขามีความสุข 11/05/11 - 20.50
เริ่มหัวข้อโดย: Rhythm ที่ 12-05-2011 21:30:39
เป็นกำลังใจให้คะ :L2: :call:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 26 - ผมก็อยากเป็นคนทำให้เขามีความสุข 11/05/11 - 20.50
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 13-05-2011 01:48:29
คุณชายรู้ใจตัวเองเร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 26 - ผมก็อยากเป็นคนทำให้เขามีความสุข 11/05/11 - 20.50
เริ่มหัวข้อโดย: Namtarn ที่ 13-05-2011 19:33:30
คุณชายขา อาการหนักแล้วค่า จะทำอะไรก็ทำเถอะ  :oni3:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 26 - ผมก็อยากเป็นคนทำให้เขามีความสุข 11/05/11 - 20.50
เริ่มหัวข้อโดย: Crossley ที่ 13-05-2011 19:53:14
ลุ้นแทบตายว่าคุณชายจะจูบนทีไหม
จบสไตล์คุณชายดีแท้  :-[
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 26 - ผมก็อยากเป็นคนทำให้เขามีความสุข 11/05/11 - 20.50
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 14-05-2011 00:20:58
สู้ๆค่ะคุณชาย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 26 - ผมก็อยากเป็นคนทำให้เขามีความสุข 11/05/11 - 20.50
เริ่มหัวข้อโดย: oilzii ที่ 14-05-2011 16:16:25
กะลังได้ฟีลเลยเจ้าค่ะ มาเร็วๆน้อ :กอด1:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 26 - ผมก็อยากเป็นคนทำให้เขามีความสุข 11/05/11 - 20.50
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 15-05-2011 01:43:00
ตามมาจากปางบรรพ์ ว่าจะค่อยอ่านแล้วนะ กลัวค้าง

...แต่ก็หลวมตัวมาอ่านก่อนจนได้   :serius2:  :z3:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 26 - ผมก็อยากเป็นคนทำให้เขามีความสุข 11/05/11 - 20.50
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 16-05-2011 21:50:37
27

     น้ำตกสาริกาอยู่ห่างจากรีสอร์ตไปไม่ไกล ขับรถออกไปได้ยังไม่รู้สึกว่านานก็ถึงแล้ว ระหว่างทางคนขับรถแวะตลาดเล็กๆที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกับน้ำตกนักให้สาวๆลงไปซื้อขนม ผลไม้ รวมไปถึงอาหารกลางวันและน้ำดื่มติดมือไปด้วยเพราะเพื่อนหนุ่มของเขาบอกไว้ว่าแถวน้ำตกไม่ค่อยมีของขาย ต่อให้มีก็ราคาแพงซื้อเอาเข้าไปเองจะถูกกว่า
    ภาสกรก็เลยนั่งอยู่กับนทีสองคนในรถรอสาวๆ แม้จะอยากลงไปด้วยแค่ไหนแต่ปุยฝ้ายกับดาริกาก็ปฏิเสธเสียงแข็งไม่ยอมให้สองหนุ่มตามไปซื้อของ อ้างว่าสาวๆจะได้เดินกันได้สบายใจไม่ต้องคอยเกรงใจหนุ่มๆ เพราะธรรมชาติของผู้หญิงเมื่อได้มีเวลาเลือกซื้อของกันแล้วก็จะลืมทุกอย่างรอบตัวตกอยู่ในโลกของพวกหล่อนเองได้ทั้งวัน
    ชายหนุ่มพยายามผลักความคิดที่สับสนอยู่ในใจออกไปให้พ้นเสียก่อนรู้ตัวดีว่าเวลาจะได้อยู่กับนทีมากขนาดนี้เหลือน้อยเต็มทีแล้ว ต่อให้พอกลับไปพัทยาจะยังคงไปมาหาสู่กันได้ก็ตาม แต่คงไม่ได้ใกล้ชิดนอนห้องเดียวกัน ตื่นมาพร้อมกัน กินข้าวด้วยกัน อยู่ด้วยกันแทบจะตลอดเวลาอย่างนี้หรอก ภาสกรจึงชวนนทีคุยเล่นไปเรื่อยเปื่อยมากกว่าจะนั่งเงียบปล่อยให้บรรยากาศพาไปให้ใจไหวหวั่นอีก นทีเองก็ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใดๆ ยังพูดคุยกับภาสกรเหมือนทุกๆวัน
    นทีต่างจากภาสกรตรงที่ หนุ่มน้อยมั่นใจในความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อภาสกร เพราะรู้ดีว่าตนเป็นใคร รู้สึกอย่างไร ในขณะที่ภาสกรอยู่ในกรอบมานาน มีชีวิตอยู่ตามใจคนอื่นมาตลอดจึงไม่เข้าใจตัวเองนัก ความรู้สึกนี้จึงแปลกใหม่ไม่รู้ว่าการมีความรักมันเป็นอย่างไร เพราะไม่เคยรักใครแต่ไหนแต่ไรมาก็รู้เพียงว่าถึงเวลาก็ต้องแต่งงานกับคนที่เหมาะสมเท่านั้น
    นทีจึงสุขุมกว่าภาสกรมาก เมื่อรู้ใจตัวเองแล้ว ย่อมรู้จักควบคุมดุแลไม่ให้มันเตลิดได้ ในขณะที่ภาสกรเมื่อไม่รู้อะไรเลยพอมีอะไรเกิดขึ้นก็ถลำลึกตามความรู้สึกและแรงปราถนาภายในมากเกินไปไม่รู้จักคุมให้อยู่ เวลานทีอยู่ใกล้ภาสกรต่อให้รู้สึกดีแค่ไหน อยากใกล้ชิดกว่านั้นเพียงใดก็จะรู้จักยับยั้งชั่งใจ เมื่อรู้สึกหวั่นไหวก็จะรู้จักวางตัวเฉยๆไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกผิดปกติ
    ในขณะที่ภาสกร รู้สึกอย่างไรก็แสดงออกอย่างนั้น จะปกปิดก็ได้แต่เฉไฉ แสร้งทำ ไม่ได้แนบเนียนอะไรเลย อดไม่ได้ต้องใช้น้ำเสียงอ่อนโยนพูดกับนทีอย่างหวานซึ้งทุกที แม้เรื่องที่พูดอยู่จะเป็นเรื่องปกติธรรมดาเพียงใด
    คุยกันไปได้พักใหญ่ปุยฝ้ายและดาริกาก็กลับมา มีผลไม้ที่ขายตามรถเข็น ขนมขบเคี้ยวหลายอย่าง รวมถึงข้าวเหนียวไก่ย่างติดมือมาด้วย
    “กางเสื่อปิกนิกกันค่ะ ใครหิวก็มากินใครอยากว่ายน้ำถ่ายรูปอะไรก็ไป ดีไหมคะ” ดาริกาออกความเห็นไว้ล่วงหน้า “ได้ไม่ต้องเสียเวลาหาข้าวเที่ยง”
    “เห็นด้วยครับ จากสาริกาถ้ามีเวลาเราคงได้ไปเที่ยวนางรองกันต่อ”
    “ดีค่ะ แต่ชื่อน้ำตกก็เหลือเกินนะคะชื่อ นางรอง แหมถ้าทริปนี้เป็นหนังสักเรื่อง ใครจะเป็นนางรองดีล่ะคะ... สงสัยต้องเป็นฝ้ายแน่เลย” ปุยฝ้ายเอ่ยขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย “คุณชายว่าใครเป็นนางเอกดีคะ”
    คนถูกถามเลือดฝาดขึ้นหน้าจนแดงซ่านไปหมด ชำเลืองมองคนข้างๆได้แวบหนึ่งก็สังเกตได้จากหางตาว่าหน้าแดงไม่แพ้กัน กระนั้นก็ไม่ยอมตอบอะไรหัวเราะเบาๆ แล้วก็เปิดวิทยุแก้เขินแทน โชคดีที่เพลงที่เปิดอยู่ตอนนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่เพิ่งพูดกันเลย ก็เลยรอดตัวไป นั่งฟังเพลงกันไปจนถึงน้ำตก
    
    จริงๆแล้ว น้ำตกสาริกามีทั้งหมด 7 ชั้นไล่ลดหลั่นกันไปตามแนวเขา มีทางเดินเล็กๆเชื่อมระหว่างชั้น แต่ละชั้นมีแอ่งน้ำรองรับให้ลงเล่นน้ำได้อย่างสบาย โชคดีที่ตอนนั้นไม่ใช่ช่วงเทศกาลคนก็เลยไม่เยอะเท่าไหร่ อีกอย่างหนึ่งตอนนั้นก็ไม่ใช่ฤดูน้ำหลากน้ำในน้ำตกจึงไม่เชี่ยวมาก เหมาะที่จะมาพักผ่อนหย่อนใจที่สุด นับว่าดีแล้วที่ภาสกรตัดสินใจมาเที่ยวช่วงนี้ ทุกอย่างดูจะลงตัวไปหมด
    ดาริกาและปุยฝ้ายยึดต้นไม้ได้ต้นหนึ่ง กิ่งก้านสาขาแผ่กว้างไปพอประมาณกันแดดเปรี้ยงในขณะนั้นได้เป็นอย่างดี จึงเอาเสื่อที่เตรียมมาด้วยคลี่ปูไว้อย่างเหมาะเหม็ง วางอาหารเรียงไว้ตรงกลางเสื่อ ปุยฝ้ายนั่งพิงต้นไม้อ่านหนังสือที่เอามาด้วยอย่างสบายอกสบายใจ ในขณะที่ดาริกานั่งฟังเพลงอย่างสบายอารมณ์ไปนั่งมองบรรยากาศไปด้วยความอิ่มเอมใจ
    ภาสกรกับนทีเดินคู่กันไปตลอดความยาวของทางเดินเล็กๆที่นำทั้งคู่ไปสู่อีกชั้นหนึ่งของน้ำตก ทางไม่ลำบากมากนักแต่ก็ไม่ใช่ทางลาดยางที่เดินได้สะดวกสบาย ภาสกรจึงเดินช้าๆคอยระวังไม่ให้นทีลื่นล้มหรือสะดุดไปตอนไหน เลยกลายเป็นว่าทั้งคู่เดินเรื่อยเฉื่อยชมนกชมไม้ไป คุยกันไปหนุงหนิงคล้ายคู่รัก ผิดวิสัยชายหนุ่มที่มักจะเดินเร่งรีบก้าวยาวๆคุยกันเสียงดังและหยาบโลน
    คุยกันเรื่องปกติธรรมดาก็ดีอยู่แล้ว จู่ๆภาสกรก็นึกชวนนทีว่า
    “เราขึ้นไปจุดสูงสุดกันไหม” เขามองนทีอย่างกระตือรือร้น ดวงตาเป็นประกายคล้ายเด็กอ้อนผู้ปกครองให้ซื้อของเล่นให้ “ผมอยากเห็นตาน้ำ นทีว่าไง”
    “โห ถ้าขึ้นไปขนาดนั้นผมไม่ไหวหรอกนะครับ” หนุ่มน้อยมองคุณชายขวางๆ คล้ายจะส่งค้อนให้ราวกับหญิงสาว “ขาผมเพิ่งหายเดินไปถึงโน่นขาหักใหม่อีกรอบพอดี”
    ภาสกรหัวเราะลงลูกคอ
    “ตามใจ แต่ขอไปอีกชั้นนะ ยังไม่อยากหยุดเดิน”
    หนุ่มน้อยจะว่าอย่างไรได้นอกจากเดินตามคุณชายหนุ่มไปเรื่อยๆ พอเริ่มเหนื่อยก็เริ่มเดินช้าลง ภาสกรก็เลยตัดสินใจให้หนุ่มน้อยนั่งพักที่โขดหินข้างทาง ได้ยินเสียงน้ำตกดังซ่ามาจากที่ไม่ไกลนัก นทีนั่งหอบสักพักก็มองไปรอบๆตัวราวจะซึมซับเอาความสงบบริสุทธิ์ของบรรยากาศเข้าไปฟอกความเจ็บปวดในใจ
    เรื่องของอดิสรณ์ไม่หายไปจากใจของหนุ่มน้อยง่ายๆหรอก เพียงแต่ไม่มีเวลาคิดบ่อยนัก เพราะเดี๋ยวนี้มีเรื่องอื่นให้คิดเพิ่มขึ้นมา... จะเรื่องอะไรล่ะก็เรื่องชายหนุ่มที่ยืนมองต้นไม้รอบๆอย่างตื่นตาตื่นใจอยู่ข้างหน้านี่น่ะสิ คิดไม่คิดเปล่าจู่ๆ หนุ่มน้อยก็พูดขึ้นมาว่า
    “ไม่น่าเชื่อเลยนะครับ ว่าน้ำตกที่ไหลซู่ลงมาจนเสียงดังขนาดนี้ แท้จริงแล้วมาจากตาน้ำเล็กนิดเดียวเท่านั้น” นทีหยุดนิ่งรู้ตัวว่าพูดสิ่งที่คิดออกมาด้วยอย่างนี้แล้วก็สายไปที่จะทำไม่รู้ไม่ชี้เพราะภาสกรเดินเข้ามานั่งข้างๆ มองเขาอย่างตั้งใจฟัง ก็เลยต้องพูดต่อไปเท่านั้น “เหมือนความสัมพันธ์ของคนเราทุกคนเกิดจากสิ่งเดียวกันหมดคือ ไม่รู้จักกันเลย แต่ก็มักจะมีอะไรบางอย่างมาช่วยให้ความไม่รู้จักนั้นกลายเป็นรู้จัก สนิทสนม บางครั้งก็ถึงกับผูกพันไปเลย รู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าความรู้สึกของเรานั้นแม้เริ่มจากจุดเล็กๆอย่างตาน้ำ พอมาถึงตอนนี้ก็กว้างใหญ่เป็นแอ่งน้ำข้างล่างนี่แล้ว”
    ภาสกรยิ้ม
    “เหมือนผมกับคุณเลยนะ”
    นทีหันไปยิ้มให้ภาสกรเช่นกัน ยังไม่ทันได้เขินอายหรอกเพราะคิดไม่ทันว่าสิ่งที่ตนพูดออกไปนั้นฟังดูแปลกเพียงใดสำหรับจะเอามาพูดกับผู้ชายด้วยกันอย่างนี้ จนเมื่อตาประสานกันนั่นแหละจึงรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป
    “คุณจำได้ไหมว่าคุณพูดอะไรกับผมเป็นประโยคแรกที่ทำให้คนไม่รู้จักกันสองคนกลายเป็นสนิทกันได้ขนาดนี้” ภาสกรถามเสียงอ่อนลงเหมือนทุกครั้งที่อยู่กับนทีแค่สองคน รอบตัวมีเพียงต้นไม้ใบหญ้า นกตัวเล็กตัวน้อยบินผ่านไปสองสามตัว พร้อมกับเสียงน้ำตกซ่าอยู่เป็นเสียงพื้นหลัง
    “จำได้ซีตอนอยู่โรงพยาบาลผมถามคุณชายว่า คุณเป็นใคร ผมมาทำอะไรอยู่ที่นี่ ตอนนั้นผมเพิ่งฟื้นขึ้นมาทำไมจะจำไม่ได้” เขาว่า ภาสกรยิ้มที่มุมปากก่อนจะเอ่ยขึ้น
   “สำหรับผม ผมจะบอกว่าคำว่า ฮัลโหล คำแรกที่คุณพูดตอนโทรมาหาผมหลังจากที่คุณหนีออกจากโรงพยาบาลนั้นแหละ เป็นคำที่ทำให้ผมรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของเรามันเริ่มขึ้นแล้วจริงๆ เพราะนั่นคือเราเริ่มรู้จักกันภายใต้ความพึงพอใจของเราทั้งคู่ ไม่ใช่เหตุผลของความรับผิดชอบหรืออะไรทั้งสิ้น คำคำนั้นแหละที่ทำให้ความสัมพันธ์ที่เหมือนตาน้ำเล็กๆ เอ่อล้นมากขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นแอ่งใหญ่อย่างที่นทีบอก”
    เงียบไปนานเหลือเกิน นานจนได้ยินเสียงใจของกันและกันเท่านั้นที่เต้นระรัว แม้เสียงน้ำตกดังซ่าจนแสบหูก็ไม่ได้มีความหมาย
    “น่าแปลกจริงๆ ที่คนที่อยู่กันแทบจะคนละโลกอย่างผม กับคุณชายได้มาเจอกัน ทั้งที่ไม่ควร ทั้งที่ยากเหลือเกินที่จะเป็นจริงได้” นทีพูดเสียงเบาไม่แน่ใจว่าตัวเองทำอะไรอยู่กันแน่
    “ความสัมพันธ์ของเราอาจจะไม่ควรเกิดขึ้นจริงๆตั้งแต่แรก แต่ในเมื่อมันดำเนินมาถึงตอนนี้แล้ว นทียังจะคิดว่าเราไม่ควรมาเจอกันอีกหรือเปล่า ”
    หนุ่มน้อยยิ้มมุมปาก ไม่มีเสียงตอบ แต่รอยยิ้มนั้นแหละตอบภาสกรได้มากยิ่งกว่าคำพูดใดๆ ภาสกรมีแต่ความสุขมาตลอดชีวิตแทบไม่เคยได้พบความทุกข์ร้อนก็จริง แต่เขาก็จำไม่ได้เลยว่า เขาเคยมีความสุขมากเท่าตอนนี้หรือไม่... 
    ฉากหลังที่เขามองอยู่นั้นทำให้ใจกระหวัดนึกไปถึงสถานที่หนึ่งในนิยายที่ตนเคยอ่าน และแน่นอนว่านทีก็ต้องเคยอ่าน “น้ำตกมิตาเกะ ในเรื่องข้างหลังภาพ” นั่นเอง... เอ ตอนนั้นคุณหญิงกีรติกับนพพรก็อยู่ใกล้กันเท่านี้เองไม่ใช่หรือ ตอนนั้นคุณหญิงยืนพิงต้นไม้ใหญ่ นพพรอยู่ตรงหน้าหล่อนยื่นหน้าเข้าไปจูบหล่อนอย่างที่ใจอยากทำมานานแสนนาน ถึงเขาจะอ่านนิยายเรื่องนี้เข้าใจดีทุกตัวอักษร เพราะมันเขียนด้วยภาษาไทยก็ตาม แต่เขาก็ไม่เคยเข้าใจความรู้สึกของตัวละครได้ดีเท่านี้    เขาไม่เคยเข้าใจความรู้สึกของคุณหญิงกีรติเลย มาเข้าใจก็ตอนนี้เอง
    ความสุขแทบล้นออกมานอกอกมันเป็นอย่างนี้เองหรือ
   ก่อนจะปล่อยให้ตัวเองฟุ้งซ่านไปนานกว่านั้นภาสกรก็ชวนนทีเดินขึ้นไปจนถึงน้ำตกชั้นที่สาม ปีนขึ้นไปบนหินแต่ละก้อน มีนทีตามมาด้วยอย่างกล้าๆกลัวๆ ภาสกรเดินไปทางไหน หนุ่มน้อยก็ก้าวตาม กลัวพลาดตกน้ำไปก่อน หนุ่มน้อยยังไม่อยากเปียก อย่างน้อยให้กินข้าวเที่ยงก่อนค่อยเปียกก็ยังได้เลยต้องระวังตัวหน่อย
    “นทีตรงนี้ลื่น ยื่นมือมาผมจะช่วยประคอง” ภาสกรร้องบอก
    หนุ่มน้อยทำตามอย่างว่าง่าย ก้าวขึ้นไปบนหินที่มีตะไคร่เกาะ มั่นใจว่าคงลื่นล้มไปแล้วหากไม่ได้ยึดภาสกรเอาไว้ก่อน คุณชายหนุ่มเดินจูงมือนทีไปอีกไกล แม้จะบอกว่า “ตรงนี้ลื่น” ก็เถอะแต่ตรงนี้ของคุณชายแลดูจะกินอาณาเขตกว้างไป แต่ในเมื่อไม่มีคนนัก และใครดูก็ไม่น่าจะผิดสังเกตเพราะเหมือนจะช่วยประคองกันไปตามทางจริงๆ ก็เลยไม่ว่าอะไรปล่อยให้ภาสกรจูงมือไปเรื่อยๆ
    คนจูงใจเต้นแรงกลัวว่าคนถูกจูงจะรู้ทันความคิด แต่ก็ทำไม่รู้ไม่ชี้เดินจูงมือกันไปเรื่อยจนถึงโขดหินก้อนหนึ่ง ใหญ่พอประมาณจะให้นั่งกันสองคนได้ ก็เลยชวนนทีนั่งลง คุณชายเอนหลังเท้าศอกไว้กับหินสภาพเหมือนกึ่งนั่งกึ่งนอน ส่วนนทีนั่งหย่อนขาลงน้ำอย่างสบายใจ
    “สวยจังเลยครับคุณชาย” เขาว่าหันมายิ้มให้คนข้างๆอย่างมีความสุข
    “นทีมีความสุขผมก็ดีใจ” ตอบเพียงเท่านั้นแล้วก็นั่งอยู่เงียบๆ ข้างๆกันความรู้สึกประหลาดแล่นเข้ามาในร่างยิ่งทำให้ภาสกรสับสนในใจเข้าไปใหญ่ อยากโอบหนุ่มน้อยเข้ามาไว้ในอ้อมแขน ชี้ดูโน่นดูนี่เหมือนคู่รักที่อยู่ใกล้กันนั้นกำลังทำอยู่ แต่ก็รู้ตัวดีว่าทำอย่างนั้นไม่ได้ จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ รู้แต่ว่าไม่ได้เท่านั้น
    อกเขาจะแตกตายอยู่แล้ว ทำไมจะทำอะไรตามใจก็ทำไม่ได้สักอย่างนะ
    แต่ถึงโอบมาไว้ในอ้อมแขนไม่ได้ ภาสกรก็ยกมือขึ้นโอบรอบคอของนทีไม่ต่างจากพี่ชายกอดคอน้องชายนั่งเล่นอยู่หลังบ้าน รู้สึกได้ถึงไออุ่นจากความใกล้ชิดของอีกฝ่ายแม้ไม่ได้โอบกอดพลอดรักกัน แต่ได้อยู่ใกล้กันแทบจะใช้ลมหายใจร่วมกันอย่างนั้นก็มีความสุขแล้วเหลือเกินสำหรับภาสกร
    “พรุ่งนี้ต้องกลับแล้ว เสียดายผมมีงานสำคัญต้องทำ ไม่งั้นน่าจะอยู่กันต่อได้นานๆ” ภาสกรเอ่ยขึ้น
    “ครับ” หนุ่มน้อยรับคำ “ไม่รู้จะขอบคุณคุณชายยังไง ที่ทำให้ผมได้มาเห็นอะไรสวยๆอย่างนี้ ได้มีเวลาดีๆ ได้มีเรื่องให้จดจำ แทนที่จะนั่งจมอยู่ในความทุกข์เรื่องพ่อกับแม่”
    คุณชายหนุ่มบีบไหล่ของหนุ่มน้อยเบาๆ ปล่อยมือออกแล้วก็เอ่ยว่า
    “อยากรู้ไหมว่าจะขอบคุณผมยังไง”
    นทีหันไปมองหน้าไม่รู้คุณชายจะมาไม้ไหน แต่เขินไปก่อนล่วงหน้าแล้ว กลัวอีกฝ่ายจะเห็นว่าหน้าแดงซ่านด้วยความอายก็เลยก้มลงถามเบาๆเสียงแทบไม่หลุดจากลำคอ
    “ยังไงก็ว่ามาเถอะครับ”
     ปลาหลายๆตัวที่ว่ายวนอยู่ใกล้สองหนุ่ม ว่ายหนีห่างออกไปราวกับรู้ตัวดีว่ากำลังเป็นส่วนเกิน ภาสกรก้มหน้าเช่นกันไม่รู้ตัวว่าพูดประโยคต่อมาออกไปตอนไหนรู้อีกทีก็นั่งอมยิ้มอยู่ในความเงียบเหมือนกับหนุ่มน้อย ราวกับว่าทั้งโลกมีกันอยู่สองคนเท่านั้นแล้ว
    “อย่าทิ้งผมไม่ไหน อยู่ข้างๆผมอย่างนี้ตลอดไปก็พอแล้ว”
    ภาสกรก้มหน้าอมยิ้มอยู่คนเดียวเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ต่อว่า หรือพูดอะไรให้ยิ่งกระดากอาย กลับนั่งอยู่เงียบๆเหมือนกับเขา เหลือบไปก็เห็นว่าอีกคนก็นั่งกอดเข่ายิ้มให้สายน้ำเหมือนกับเขานั่นแหละ ภาสกรเงยหน้าขึ้น มองตรงไปเบื้องหน้าเห็นต้นไม้เขียวขจีดูสดใสไปหมด นกหลายต่อหลายตัวที่บินผ่านไปมาส่งเสียงร้องคู่ไปกับเสียงดังซ่าของน้ำตก หลายคู่บินอยู่เคียงกันไปราวกับว่าไม่อยากจากกันแม้นาทีเดียว ต่ำลงไปคือแอ่งน้ำที่มีปลาตัวเล็กตัวน้อยดูหลากหลายแตกต่างกันว่ายเคล้าเคลียกันมาลึกลงไปบ้าง ใกล้กับผิวน้ำบ้าง ลมพัดเอื่อยๆ นำความเย็นสบายมาให้เป็นพักๆทำให้แดดที่แม้ส่องจ้าอยู่ก็ไม่ร้อนอะไรนัก
    เขาสงสัย ว่าธรรมชาติมันสวยงามเหลือเกิน แทบจะหลุดออกมาจากภาพเขียนของจิตรกรเอกด้วยตัวของมันเอง หรือว่ามันงามจนหาที่เปรียบไม่ได้เพียงเพราะมีคนที่อยู่ข้างๆเขาเป็นส่วนหนึ่งของมันด้วยก็ไม่รู้
    แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยรู้สึกว่าอะไรรอบกายมันงดงามน่าประทับใจขนาดนี้ มีครั้งนี้แหละที่อยากจะอยู่ตรงนั้นตลอดไป ไม่ต้องกลับไปทำงาน ไม่ต้องทำตัวให้ดูดีตลอดเวลาเป็นคุณชายของใครหลายๆคน ไม่ต้องปวดหัวกับทิฆัมพร ไม่ต้องคอยวางตัวเป็นโอรสที่ดีของท่านพ่อ และหม่อมแม่ อยากจะอยู่เฉยๆตรงนั้น ซึมซับความสุขที่ทำให้อิ่มอกอิ่มใจเหลือเกินไปตลอด
    นึกถึงวันแรกที่รู้สึกคล้ายๆอย่างนี้ก็ตอนที่นทีไปที่บ้าน นึกขึ้นมาได้ก็ฮัมเพลงที่เคยร้องให้นทีฟังในวันนั้นออกมา แม้จะไม่มีเสียงกีตาร์ดังคู่ไปด้วยแต่ก็มีเสียงนกร้อง และเสียงน้ำตกขับคลอกันไปราวกับมีวงดนตรีใหญ่อยู่ตรงนั้น
        
       I'm on the top of the world lookin' down on creation
    And the only explanation I can find
    Is the love that I've found ever since you've been around
    Your love's put me at the top of the world    
    
    ภาสกรรู้สึกเหมือนได้อยู่บนจุดสูงสุดของโลกจริงๆอย่างในเนื้อเพลง เมื่อเขาขึ้นมามองโลกจากที่สูงอย่างนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีนทีอยู่ใกล้ๆ เขารู้สึกเหมือนเขาอยู่เหนือทุกสิ่ง เขามีความสุขมากแทบจะเรียกได้ว่าไม่ต้องการอะไรอีกแล้วเหมือนได้ทุกอย่างที่เขาต้องการมาไว้ในครอบครองเสียคนเดียว อะไรๆก็ดูสวยงามไปหมดในเมื่อเขาเห็นภาพเหล่านั้นได้ผ่านม่านแห่งความสุขที่ปกคลุมอยู่รอบเขาและนที
    เขาหันไปมองหนุ่มน้อย เพียงมองตาก็รู้ว่าอีกฝ่ายก็คงคิดไม่ต่างกัน
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 27 - ทำไมจะทำอะไรตามใจก็ทำไม่ได้สักอย่างนะ 16/05/11 - 21.45
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 16-05-2011 22:12:23
^
^
จิ้ม
ลงจบตอนแล้วรึเปล่าคะ (กลัวปาด >.<)
อยากอ่านต่อ แต่เหมือนได้กลิ่นมาม่าโชยมา
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 27 - ทำไมจะทำอะไรตามใจก็ทำไม่ได้สักอย่างนะ 16/05/11 - 21.45
เริ่มหัวข้อโดย: BaII ที่ 16-05-2011 22:18:37
หวานนน
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 27 - ทำไมจะทำอะไรตามใจก็ทำไม่ได้สักอย่างนะ 16/05/11 - 21.45
เริ่มหัวข้อโดย: berlyn ที่ 16-05-2011 22:21:39
บรรยากาศเป็นใจ  ชวนให้น่าทำอะไรมากกว่าการชมวิว  คิดอยากให้คุณชายจูบน้ำสักที

แต่ก็รู้  ว่าคุณชายยังไม่มั่นใจถึงความรู้สึกมากนัก  และคงยังกลัว  ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน   แต่ก็ต้องอาศัยปัจจัยของคนรอบข้างด้วย

หวังว่าฟ้าสดใสจะอยู่คู่กับทั้งสองไปนานๆ  พายุร้ายอย่าพึ่งเข้ามาเลยนะ  เพราะขืนท่านพ่อ หม่อมแม่รู้ล่ะก็ หึๆ ดราม่าแน่ๆ

  
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 27 - ทำไมจะทำอะไรตามใจก็ทำไม่ได้สักอย่างนะ 16/05/11 - 21.45
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 16-05-2011 22:22:33
สองสาวเป็นใจให้คุณชายกับนทีมาก ๆ กลับไปนี่สองคนนี้คงต้องเผชิญกับอุปสรรคนานับประการแล้วมั๊ง
ว่าแต่ฟ้าม่วงไม่อัพเรื่องทางสามสายแล้วเหรอคะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 27 - ทำไมจะทำอะไรตามใจก็ทำไม่ได้สักอย่างนะ 16/05/11 - 21.45
เริ่มหัวข้อโดย: Crossley ที่ 16-05-2011 22:42:01
โอ๊ยย เขินแทนนที
รูปหล่อพ่อรวย เจนเทิ้ลแมนสุดยอด เพอร์เฟ็ค (ถ้าตัดทิฆัมพรได้จะเจ๋งมาก)
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 27 - ทำไมจะทำอะไรตามใจก็ทำไม่ได้สักอย่างนะ 16/05/11 - 21.45
เริ่มหัวข้อโดย: BF-e ที่ 17-05-2011 00:12:49
 ทุกอย่างเป็นสีชมพู  :m1:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 27 - ทำไมจะทำอะไรตามใจก็ทำไม่ได้สักอย่างนะ 16/05/11 - 21.45
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 17-05-2011 00:14:32
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 27 - ทำไมจะทำอะไรตามใจก็ทำไม่ได้สักอย่างนะ 16/05/11 - 21.45
เริ่มหัวข้อโดย: Piaanie ที่ 17-05-2011 03:58:46
บรรยากาศดี ความรักเบ่งบาน แต่...เหมือนอยู่ในฝันพอตื่นกลับเข้าสู่โลกของความจริง ต่างก็ต้องเจ็บปวดด้วยกันทั้งคู่ เฮ่อ  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 27 - ทำไมจะทำอะไรตามใจก็ทำไม่ได้สักอย่างนะ 16/05/11 - 21.45
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 17-05-2011 04:26:39
หุหุ top of the world ^^
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 27 - ทำไมจะทำอะไรตามใจก็ทำไม่ได้สักอย่างนะ 16/05/11 - 21.45
เริ่มหัวข้อโดย: namngern ที่ 17-05-2011 09:04:09

หวานมากกก ก็ลองทำตามใจตัวเองดูบ้างสิ่คะคุณชาย
จะได้ไม่ต้องทนอึดอัดอยู่อย่างนี้
เห็นแต่ทางข้างหน้าอุปสรรคมันเยอะมากๆเลย  :เฮ้อ:
ยังไงก็ขอให้นทีแล้วก็คุณชายผ่านมันไปได้ก็แล้วกัน
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 27 - ทำไมจะทำอะไรตามใจก็ทำไม่ได้สักอย่างนะ 16/05/11 - 21.45
เริ่มหัวข้อโดย: babyfaibossy ที่ 17-05-2011 10:32:34
อ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึกอบอุ่นจังเลย

 o13
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 27 - ทำไมจะทำอะไรตามใจก็ทำไม่ได้สักอย่างนะ 16/05/11 - 21.45
เริ่มหัวข้อโดย: Horizon ที่ 17-05-2011 11:11:44
มาให้กำลังใจทั้งสองคน
หวานเกิน..อิจฉา.. :laugh:
ไม่เสิร์ฟมาม่านะ ขอร้อง
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 27 - ทำไมจะทำอะไรตามใจก็ทำไม่ได้สักอย่างนะ 16/05/11 - 2
เริ่มหัวข้อโดย: Rhythm ที่ 17-05-2011 11:16:06
รออ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 27 - ทำไมจะทำอะไรตามใจก็ทำไม่ได้สักอย่างนะ 16/05/11 - 21.45
เริ่มหัวข้อโดย: oilzii ที่ 17-05-2011 12:04:08
โอ๊ยยยย จะละลาย~ :give2:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 27 - ทำไมจะทำอะไรตามใจก็ทำไม่ได้สักอย่างนะ 16/05/11 - 21.45
เริ่มหัวข้อโดย: คนริมคลอง ที่ 17-05-2011 19:17:29
บรรยากาศเป็นใจ มีแค่เรา 2 คน  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 27 - ทำไมจะทำอะไรตามใจก็ทำไม่ได้สักอย่างนะ 16/05/11 - 21.45
เริ่มหัวข้อโดย: namwaan1992 ที่ 17-05-2011 20:06:31
อยากอ่านต่อ แต่เหมือนได้กลิ่นมาม่าโชยมา
^
^
^
มาม่าคงไม่ต้องชงใช่ป่ะค๊าบ  T[   ]T


อ๊า~    ละลายหมดเลย  ^_____^
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 27 - ทำไมจะทำอะไรตามใจก็ทำไม่ได้สักอย่างนะ 16/05/11 - 21.45
เริ่มหัวข้อโดย: jojobuffy ที่ 17-05-2011 20:25:29
อยู่ด้วยกันนะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 26 - ผมก็อยากเป็นคนทำให้เขามีความสุข 11/05/11 - 20.50
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กกะโปโล ที่ 17-05-2011 20:43:45
   “อย่าทิ้งผมไม่ไหน อยู่ข้างๆผมอย่างนี้ตลอดไปก็พอแล้ว”
คุณชายพูดชวนจิ้นไปไกล :z1:
บรรยากาศก็เป็นใจ ไม่มีคนรบกวน อยากให้คุณชายเผลอตัวจูบนทีจริงๆ ♥
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 27 - ทำไมจะทำอะไรตามใจก็ทำไม่ได้สักอย่างนะ 16/05/11 - 21.45
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 17-05-2011 20:57:40
เมื่อไหร่จะบอกรักกันงะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 27 - ทำไมจะทำอะไรตามใจก็ทำไม่ได้สักอย่างนะ 16/05/11 - 21.45
เริ่มหัวข้อโดย: IIMisssoMII ที่ 17-05-2011 21:17:36
โรแมนติกจริง ๆ ท่ามกลางป่าไม้ขุนเขาน้ำตกและสองเรา
ยังไม่มาม่าหรอกมั้ง 555
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 27 - ทำไมจะทำอะไรตามใจก็ทำไม่ได้สักอย่างนะ 16/05/11 - 21.45
เริ่มหัวข้อโดย: A-J.seiya* ที่ 17-05-2011 22:27:44
><
คิดไม่ต่างกัน แต่สิ่งที่คิด มันมีอุปสรรค สินะ
งื้ออออออออ
อยากให้เป็นแบบ นี้ต่อไปเรื่อยๆจัง
คุณชายน่ะ จะรุก ก็รุกเลย !!!
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 27 - ทำไมจะทำอะไรตามใจก็ทำไม่ได้สักอย่างนะ 16/05/11 - 21.45
เริ่มหัวข้อโดย: J_Dargon ที่ 18-05-2011 00:55:21
หวาน ๆๆ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 27 - ทำไมจะทำอะไรตามใจก็ทำไม่ได้สักอย่างนะ 16/05/11 - 21.45
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 18-05-2011 06:01:49
หวานได้ละมุนละไมมากๆครับ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 27 - ทำไมจะทำอะไรตามใจก็ทำไม่ได้สักอย่างนะ 16/05/11 - 21.45
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 18-05-2011 21:00:08
28

    หลังจากนั้นแล้ว สองหนุ่มก็ลงมากินข้าวเหนียวไก่ย่างที่ปุยฝ้ายซื้อมา พูดคุยเล่นกันพักใหญ่ นั่งพักจนหายอิ่มแล้วก็ลงเล่นน้ำกันอย่างมีความสุข มีดาริกาคนเดียวที่ตัดสินใจไม่ลงน้ำแต่อาสาคอยเก็บภาพให้กับเพื่อนๆอีกสามคน เห็นภาพตรงหน้าแล้วก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มที่มุมปากเล็กๆ ด้วยความเอ็นดูในความสุภาพอ่อนโยนของคุณชายภาสกร ทุกครั้งที่อยู่ใกล้กับนที
    แทบจะทุกรูปที่มีสองหนุ่มอยู่ด้วยกันดาริกาก็จะสัมผัสได้ถึงความสัมพันธ์ลึกซึ้งที่แยกไม่ออกระหว่างทั้งคู่เหมือนมีเชือกที่มองไม่เห็นรัดเขาสองคนเอาไว้
    ดูแต่ตาไม่ต้องฟังคำอธิบาย หรืออ่านความคิดของสองหนุ่มก็รู้ดีว่าทั้งคู่ผูกพัน รักใคร่กันเพียงใด มีอย่างหรือเพียงนทีว่ายห่างไปไกลหน่อยภาสกรก็เริ่มมองหาด้วยความเป็นห่วงพยายามว่ายตามไปอยู่ใกล้ๆ ราวกับว่าจะห่างกันแม้นาทีก็ไม่ได้ ส่วนนทีเองก็มองคุณชายอย่างอบอุ่น สายตาบ่งบอกถึงความประทับใจ เคารพ นับถือ ในขณะเดียวกันก็คือรักและโหยหาอย่างแรงกล้าแม้สังเกตได้เพียงเสี้ยวนาทีก็จะสัมผัสได้ว่าเขาคิดอย่างไรกับคุณชายหนุ่ม เวลาสองคนปีนป่ายไปตามโขดหินคุณชายก็จะชำเลืองมาทางนทีเป็นพักๆ คอยดูว่าอีกคนตามมาอย่างปลอดภัยหรือเปล่า นานๆครั้งก็มียื่นมือไปให้หนุ่มน้อยจับยึดเอาไว้ด้วย
    แต่น่าสงสารก็ตรงที่ทั้งคู่เป็นประเภทเก็บความรู้สึกเก่งพอกัน ภาสกรนั้นแน่ละในเมื่อต้องใช้ชีวิตเป็นคุณชายแสนเพอร์เฟกต์ของผู้ใหญ่ ใช้ชีวิตไปตามทางที่คนอื่นปูไว้ให้ไม่ค่อยมีสิทธิ์แสดงความรู้สึกที่แท้จริงของตนนัก ส่วนนทีเองหล่อนเดาว่าเป็นเพราะหนุ่มน้อยคงลำบากมามาก ฟังจากคำบอกเหล่าของปุยฝ้ายก็พอเข้าใจได้รางๆว่า คงไม่มีสิทธิเลือกอะไรมากนักในชีวิต ประเภทว่าใช้ชีวิตไปตามชะตาลิขิต ไม่มีโอกาสได้ทำอะไรตามใจ
    หล่อนเข้าใจความรู้สึกของการที่คนเรารักใครสักคน แต่ก็ไม่อาจเข้าถึงอีกฝ่ายได้ดี ในกรณีหล่อนคือหล่อนรักเขาข้างเดียว แต่ในกรณีของภาสกร และนทีต่างฝ่ายก็ต่างรักกันจนไม่ต้องมีใครมาบอกก็รู้อย่างนี้ เข้าทำนอง “เพียงแค่มองนัยน์ตาก็รู้ว่าเราชอบกัน แต่เราสองคนต้องเก็บมันไว้” อย่างนั้น น่าสงสารถ้าจะไม่มีโอกาสได้ล่วงรู้ความในใจของกันและกัน แม้หล่อนจะทำอย่างที่ปุยฝ้ายบอกว่า
    “เราต้องสร้างซีนให้เขาค่ะ” แล้วก็ตาม แต่ทั้งคู่ก็ทำได้มากสุดเท่านี้ คือใกล้กันได้แค่นั้นไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนความสัมพันธ์เป็นอื่น นทียังเรียกภาสกรว่า “คุณชาย” และแทนตัวเองว่า “ผม” เหมือนผู้ต่ำต้อยกว่าอยู่อย่างนั้นเป็นไปได้ยากที่จะเปลี่ยนความสัมพันธ์ให้ไปในทางของคู่รัก
    “พี่ดาไม่ว่ายจริงหรือคะ” ปุยฝ้ายตามมาในที่สุด หล่อนนั่งลงข้างๆดาริกา เนื้อตัวเปียกโชกอยู่ใต้ผ้าขนหนูผืนหนา มองหน้าคุณหญิงสาวสวยอย่างเพ่งพิศ
    เอาเป็นว่าดาริกาไม่ได้ชอบคุณชาย หรือถ้าชอบอย่างน้อยคุณหญิงคนนี้ก็แสดงออกว่าสนับสนุนเพื่อนของหล่อนมากกว่าจะแย่งคุณชายมาเป็นของตัวเอง ปุยฝ้ายดีใจที่อย่างน้อยอุปสรรคของนทีก็ไม่ได้มีดาริกาเข้ามารวมอยู่ในนั้นด้วย
    “ไม่ล่ะค่ะให้คุณชายกับน้องน้ำเขาอยู่ด้วยกันดีกว่า น่ารักดีค่ะ”
    ปุยฝ้ายถอนใจ
    “แต่ยังไม่มีใครแสดงอะไรมากไปกว่าเดิมเลยนี่คะ”
    “ก็อย่างที่พี่บอกแหละค่ะ” ดาริกาเอ่ยเบาๆ “คุณชายเธอยังไม่รู้ใจตัวเอง หรือต่อให้รู้ก็รับความเป็นตัวเองไม่ได้ มันยากนะคะน้องฝ้ายถ้าผู้ชายสักคนจะยอมรับว่าตัวเองชอบผู้ชายด้วยกัน ยิ่งผู้ชายอย่างคุณชายภาสกรที่ต้องมีชีวิตตั้งอยู่บนความถูกต้องมาตลอดอย่างนั้น ความรักร่วมเพศของคุณชายยิ่งเป็นพฤติกรรมที่เรียกว่า ต้านสังคมแบบมหันต์เลยล่ะค่ะ”
    “แล้วพี่ดาไม่คิดว่ามันผิดหรือคะ”
    “โถน้องฝ้าย พี่ดูหัวโบราณขนาดนั้นเลยหรือคะ”
    ปุยฝ้ายหัวเราะแหะๆ แล้วก็ว่าต่อไปด้วยความเป็นห่วงเพื่อน
    “ฝ้ายไม่รู้เลยค่ะว่าควรจะช่วยเหลือสนับสนุนมันต่อไปดีหรือว่าเตือนให้ตัดใจเสียดีกว่า เพราะดูไปแล้วไม่ว่าอย่างไรทางของไอ้น้ำกับคุณชายก็ดูแทบจะไม่เหลือทางไปแล้วนะคะ ไม่ว่าจะเรื่องหน้าตาของคุณชายในสังคม เรื่องของท่านพ่อ หม่อมแม่ เรื่องคุณฟ้าทิฆัมพรอะไรอีก ฝ้ายว่านทีมีแต่เจ็บกับเจ็บค่ะ”
    ดาริกามองสองหนุ่มตรงหน้าตอนนี้ทั้งคู่กำลังคุยอะไรกันอยู่หล่อนก็ไม่อาจรู้ได้ แต่เห็นว่ากำลังหัวเราะกันเสียงดังก็เลยถามปุยฝ้ายว่า
    “แล้วน้องฝ้ายไม่เห็นหรือคะว่าเขามีความสุขเวลาได้อยู่ด้วยกันแค่ไหน” อีกฝ่ายเงียบไป ไม่อาจตอบคำถามของคุณหญิงได้คนถามก็เลยพูดต่อไปอีก “ไม่ว่าเราหรือใครก็ไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินใจแทนพวกเขาหรอกค่ะ ถ้าเรารักกัน มีความสุขเมื่อได้อยู่ด้วยกันก็คือเขาเกิดมาคู่กัน ไม่ว่าอุปสรรคจะมีเท่าไหร่ก็ต้องฝ่าฟันกันไปค่ะ”
    ดาริกาก้มลงยิ้มให้รูปที่โชว์ขึ้นบนหน้าจอกล้องของหล่อน เป็นรูปนทีที่นั่งอยู่บนโขดหิน มีภาสกรกำลังว่ายเข้าไปหาด้วยแววตากระตือรือร้น พอๆกับหนุ่มน้อยอีกคนที่ก้มมองต่ำมีแววสุขใจฉายชัดอยู่บนสีหน้า
    “ไม่ใช่ว่ารักร่วมเพศทุกคู่ต้องมีปัญหาและไม่มีทางออกเสมอไปนี่คะน้องฝ้าย พอๆกับคู่รักต่างเพศบางคู่เองก็ใช่ว่าจะราบรื่นตลอดรอดฝั่ง จริงไหมคะ”

    หลังจากน้ำตกสาริกาแล้ว ทั้งสี่ก็ยังไปน้ำตกนางรองกันต่อแม้จะไม่ได้ลงว่ายน้ำอีกครั้งได้แต่เดินชมวิวถ่ายรูป แต่ก็พบว่ามีความสุขกันดีไม่ต่างจากที่แรกที่ไปกันมา หลังจากนั้นแล้วทุกคนก็แวะตลาดอีกครั้งซื้อของสดกลับเข้ารีสอร์ตเพราะคืนนั้นจะจัดปาร์ตี้อำลากัน
    กลับมาถึงที่พักภาสกรก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน แล้วจึงปล่อยให้นทีอาบน้ำไปในห้องอาบน้ำน่าหวาดเสียวนั้นกระจกห้องน้ำเป็นกระจกขุ่นก็จริง แต่มองเห็นเรือนร่างของคนที่อยู่ข้างในได้แม้ไม่ชัดเจนก็เอาไปจินตนาการต่อได้ว่าอะไรเป็นอะไร คุณชายหนุ่มแต่งตัวแล้วก็เดินออกมากำลังจะตามไปสมทบกับเพื่อนๆที่อยู่นอกบ้านก็เหลือบไปเห็นร่างขาวบางในห้องน้ำพอดี
    นทีเอวเล็กคอดแบบหนุ่มน้อยร่างบาง ยืนหันหลังให้ภาสกรเห็นทรวดทรงชัดเจนแทบจะรู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน หนุ่มน้อยทำอะไรอยู่ มองไปก็เกิดความกระดากอายค่อยๆวิ่งขึ้นหน้า ก็เลยแกล้งพูดแก้เก้อไปให้หนุ่มน้อยในห้องอาบน้ำได้ยินว่า
    “ผมออกไปข้างนอกแล้วนะ นทีเสร็จแล้วค่อยตามมาแล้วกัน”
    ไม่ทันรอคำตอบคุณชายก็เผ่นออกมาข้างนอกกลัวเหลือเกินว่าอารมณ์จะถึงจุดระเบิดและไม่อาจควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป เขาค่อนข้างรู้ทันจิตใจของตนมากขึ้นเรื่อยๆแล้วกระนั้นก็ยอมรับไม่ได้จนแล้วจนรอด ไม่รู้เลยว่าจุดระเบิดของอารมณ์ที่คิดถึงอยู่นี้จะมาถึงเร็วเหลือเกิน
 
    ปีเตอร์จัดแจงให้พนักงานเตรียมเตาย่างบาร์บีคิวไว้ข้างๆโต๊ะไม้ยาวหลังบ้านพักของภาสกร  พอคุณชายหนุ่มออกมาข้างนอกก็เห็นว่าเพื่อนของตนมานั่งคุมงานอยู่ตรงนั้นเอง ก็เดินเข้าไปคุยด้วย ดีเหมือนกันที่อย่างน้อยก็มีคนให้พูดด้วยจะได้ไม่ต้องนั่งฟุ้งซ่านอยู่คนเดียว
    “ไง เที่ยวสนุกไหมล่ะ”
    “ก็ดี น้ำตกสวย” ภาสกรตอบ
    “น้ำตกสวยแล้วคนที่ไปด้วยล่ะสวยหรือเปล่า” ใจกระหวัดไปถึงร่างขาวบางในห้องน้ำแล้ว ไม่ทันได้คิดว่าที่อีกฝ่ายพูดถึง คือดาริกาต่างหากมิใช่นที
    “ไอ้บ้า จะสวยได้ไง”
    “เอ้า สวยออกนา คุณหญิงดาริกาอะไรนี่” ปีเตอร์ว่ามองเพื่อนหนุ่มอย่างล้อเลียน คนถูกมองได้ยินชื่อดาริกาก็แทบร้องอ้อออกมาแต่โชคดีที่ไม่ได้แสดงพิรุธอะไรนักเจ้าของรีสอร์ตก็เลยว่าต่อไป “คิดจะจริงจังด้วยหรือเปล่า”
    “เพื่อนกันโว้ย เพื่อนกัน” ภาสกรร้อง แทบจะยกขาขึ้นถีบเพื่อนหนุ่มของตนแล้วเชียว แต่คนที่ถูกพูดถึงรวมทั้งคนที่เขากำลังคิดถึงอยู่และเพื่อนสาวก็เดินออกมาพอดีภาสกรจึงไม่ได้ว่าอะไร บทสนทนาก็เลยจบลงเท่านั้น
    งานเลี้ยงเริ่มตอนค่ำ
    ในบรรยากาศมืดๆ มีเพียงแสงไฟจากเสาไฟฟ้าส่องมาเท่านั้น เตาบาร์บีคิวตั้งไว้ข้างๆมีเนื้อหมู และไก่ที่ดาริกากับปุยฝ้ายช่วยกันปรุงย่างอยู่บนนั้น ส่งกลิ่นหอมและควันฟุ้งไปทั่วบริเวณ นทีนั่งข้างๆภาสกรปีเตอร์นั่งฝั่งตรงข้าม ส่วนลูกและภรรยาไม่ได้มาด้วยเพราะลูกสาวตัวน้อยหลับไปแล้วตั้งแต่หัวค่ำ
    “นทีกินเยอะๆ อยากกินอะไรผมจะไปหยิบให้” ภาสกรยังรักษามาตรฐานของตนไว้ได้ดี คอยให้บริการนทีด้วยทั้งอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งก็คือเหล้าบ้างเบียร์บ้าง แม้นทีจะปฏิเสธดื่มของมึนเมา แต่ปีเตอร์ก็ปฏิเสธบอกว่า
    “ตรงนี้มีแต่เหล้ากะเบียร์ครับน้อง ถ้าไม่ดื่มก็ต้องดื่มน้ำคลอง”
    ทั้งที่อายุเพิ่ง 19 แต่นทีก็ปล่อยเลยตามเลยไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยดื่มหรอก แต่ไม่อยากเมาให้ภาสกรเห็นพอนทีเมาหนุ่มน้อยก็จะหมดสติมึนไปหมดไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรทุกครั้ง เดือดร้อนปุยฝ้ายแบกไปส่งบ้านตลอด มาครั้งนี้เขาก็ย่อมไม่อยากเมาจนเดือดร้อนไปถึงภาสกรที่ต้องอุ้มเขาไปส่งในห้องนอนด้วย
    แต่ต่อให้ไม่อยากอย่างไร นทีก็เมาจนแทบไม่รู้ตัวเสียแล้ว
    พอเริ่มเมา ภาสกรก็ยิ่งพูดเยอะ คึกครื้นเฮฮามากเป็นพิเศษตรงข้ามกับนที ที่ค่อยๆเงียบลงๆเรื่อยๆกลายเป็นคนไม่พูเอยู่คนเดียวตรงนั้น ส่วนปุยฝ้ายพอได้ฤทธิ์แอลกอฮอล์ บวกกับเสียงดนตรีสร้างความคึกครื้นเข้าไปแล้ว ก็ลุกขึ้นมาเต้นสร้างเสียงหัวเราะให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้น เต้นไม่เต้นเปล่าเดินเข้ามาดึงปีเตอร์ลุกไปเต้นด้วย ปีเตอร์ก็เลยบังคับภาสกร และดาริกาที่ดื่มอย่างไรก็ไม่เมาลุกขึ้นไปร่วมกับเขา ด้วยความต้องการเป็นพ่อสื่อให้กับเพื่อนนั่นเอง
    “ไอ้คุณชาย มาเลยมาเต้นกัน คุณหญิงครับเชิญครับผม”
    จะทำอย่างไรได้ ภาสกรก็เลยลึกขึ้นโค้งดาริกาล้อๆ อีกฝ่ายก็เช่นกันยื่นมือให้ก่อนจะหัวเราะเสียงดังกับท่าทางของภาสกรแล้วก็ออกไปเต้นกันหมด
    ปล่อยให้นทีนั่งอยู่คนเดียวหนุ่มน้อยก็จมอยู่กับความคิด และความเมามายจนกระทั่งหลับไปไม่รู้ตัว หนุ่มสาวสองคู่ที่เต้นอยู่ก็ไม่ได้รู้เรื่องยังเต้นกันอยู่ตรงนั้นจนกระทั่งจบเพลงนั้นแหละ จึงเดินกลับมาที่โต๊ะ ปุยฝ้ายเป็นคนที่สังเกตเห็นเพื่อนของหล่อนหลับไปเป็นคนแรก
    “ตายแล้วดูไอ้น้ำซีคะ เมาแอ๋ไม่รู้เรื่องแล้วค่ะ” หล่อนร้อง
    นทีนอนฟุบลงกับโต๊ะ แขนขวาวางพาดไว้บนโต๊ะมือยังจับแก้วเบียร์ที่ไม่ได้พร่องไปนักเอาไว้อย่างไม่รู้ตัว หน้าแดงซ่านด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์วางอยู่บนท่อนแขนเล็กขาวหันมาทางภาสกรแต่หลับตาลงสนิทด้วยความง่วงผสมกับความเมามายไม่ได้สติ ปากเผยอออกคล้ายว่ากำลังหายใจทางปาก ดูเป็นภาพที่ทำให้กระแสเลือดของภาสกรไหลแรงขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ เลือดลมฉีดซ่านไปทั่วร่างหัวใจเต้นรัวเร็วเรียกร้องให้ทำอะไรบางอย่าง แต่สติสัมปัญญะที่ยังมีเหลืออยู่แม้เพียงน้อยนิดก็ต่อต้านเขาอยู่ในใจ
    “คุณชายพานทีไปนอนดีกว่าไหมคะ ดูน้องจะไม่ไหว” ดาริกาว่า หล่อนเองต่อให้ดื่มไปกี่แก้วต่อกี่แก้วก็ไม่เมาเพราะคอแข็งเหลือเกิน
    “ก็ดีครับ” คุณชายตอบเสียงอ้อแอ้ ตามมาด้วยเสียงหัวเราะลงลูกคอ “ผมก็จะนอนแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ขับรถกลับไม่ไหว”
    ชายหนุ่มลุกขึ้น เวลาเขาเมาก็จะกล้าขึ้นเล็กน้อย อารมณ์ดีและพูดมากกว่าเดิม แต่จะไม่ใช่ตัวอ่อนปวกเปียกไม่ได้สติแบบนที เขายังจะมีแรงทำอะไรก็ได้เหมือนยามปกตินั้นแหละ ดังนั้นชายหนุ่มจึงเดินเข้ามาหานทีแต่หันไปบอกกับคนอื่นว่า “ถ้างั้นผมไปนอนละ ถ้าพวกคุณยังไหวก็ฉลองกันต่อเถอะนะ ไม่ต้องห่วงผม”
    ภาสกรเข้าซ้อนหลังนที เขย่าตัวแล้วก็ร้องเรียก
    “นที ไปนอนในห้องกันไปอยู่ตรงนี้เดี๋ยวยุงกัด”
    หนุ่มน้อยส่งเสียงอือเบาๆ ไม่ยอมลุกเขาก็เลย จัดแจงจับแขนข้างที่ว่างอยู่ของนทีพาดไปรอบบ่าแข็งแกร่ง ปีเตอร์ช่วยประคองให้นทีลุกขึ้นจนได้จนอยู่ในสภาพอิงแนบเข้าหาภาสกร
    “คุณชาย... คุณชาย...”
    “เมาไม่รู้เรื่องซะแล้ว” ปีเตอร์ส่ายหัว “เอ้าไอ้คุณชายแบกคนเดียวไหวเร้อ ให้ช่วยไหมล่ะ”
    “ไม่เป็นไร กูสบายดี” ภาสกรหลุดคำหยาบ แล้วก็หัวเราะเสียงดัง “โอ๊ะพูดหยาบเสียแล้ว ขอประทานอภัยกระหม่อม”
    เดินหิ้วปีกนทีไปจนถึงหน้าบ้านเปิดประตูอย่างทุลักทุเล หนุ่มน้อยที่เดินมาด้วยอย่างไม่ค่อยรู้ตัวนักได้สัมผัสเย็นเฉียบจากแอร์ก็นึกว่าถึงห้องนอนแล้วจะทิ้งตัวนอน ภาสกรก็เลยหิ้วปีกต่อไปไม่ไหวจู่ๆฝ่ายนั้นก็ทำตัวหนักจนเขาเองก็เซไปด้วย  ก็เลยตัดสินใจอุ้มหนุ่มน้อยขึ้นมาไว้แนบอกอย่างง่ายดาย เพราะนทีเองก็ตัวเบาอยู่แล้ว หนุ่มน้อยได้ไออุ่นจากคนที่ตนรักก็เลยซุกเข้าหาร่างนั้น มือดึงเสื้อของคุณชายหนุ่ม ซุกหน้าเข้าหาอกแข็งแกร่ง
    “คุณชาย... ผมหนาว คุณชาย...”
     “ไม่เป็นไรนะ ผมอยู่นี่แล้ว” ภาสกรกระชับอ้อมกอดแน่นเข้า แล้วก็ค่อยๆเดินไปจนถึงห้องนอน จัดแจงวางหนุ่มน้อยลงบนเตียงปิดประตูแล้วก็ถอดรองเท้าถุงเท้าให้กองไว้ข้างประตู
    นทีสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวเล็กพอดีตัว และกางเกงยีนส์หนาแทบจะเล็กไปสักนิด จะให้นอนอย่างนั้นก็กลัวว่าหนุ่มน้อยจะไม่สบายตัว ก็เลยควานหาชุดนอนจากกระเป๋าเสื้อผ้าของเด็กหนุ่มเตรียมจะเปลี่ยนให้ จัดแจงถอดเสื้อผ้าของหนุ่มน้อยตรงหน้าออกด้วยความหวังดีไม่มีสิ่งใดเคลือบแฝงไว้สักนิด
    จนเมื่อนทีอยู่ในสภาพกึ่งเปลือยมีเพียงกางเกงในสีขาวสะอาดปกคลุมร่างกายอยู่เท่านั้น ภาสกรก็ไม่อาจทำอะไรได้อีกนอกจากยืนมองร่างขาวสะอาดตรงหน้านิ่งขยับไปไหนไม่ได้ เขามองตั้งแต่ปลายเท้าเล็กๆ ไล่ไปตามท่อนขาเรียวขาไร้ขนปกคลุม ผ่านหน้าท้องราบเรียบไปถึงเนินอกสีขาวสะอาด และยอดอกสีชมพูใสขึ้นไปผ่านลำคอยาวระหงไปสะดุดที่ดวงหน้าสีแดงซ่านของหนุ่มน้อย
    เพราะสัมผัสและความเคลื่อนไหวรอบตัวเมื่อตอนภาสกรจัดแจงถอดเสื้อผ้าให้ หรือเพราะว่าจู่ๆหนุ่มน้อยก็รู้สึกเย็นเฉียบไปทั้งตัวก็ไม่รู้ นทีลืมตาขึ้นจ้องมองภาสกรนิ่งอยู่ในความมืด มีเพียงแสงไฟจากภายนอกส่องลอดม่านมาได้ส่วนหนึ่งเท่านั้นที่อนุญาตให้ภาสกรมองเห็นหน้าหนุ่มน้อยได้ แม้ไม่ชัดเท่าเปิดไฟ แต่ก็น่ามองเสียยิ่งกว่าเวลาไหน ดึงดูดให้ภาสกรไม่อาจขยับเขยื่อนไปที่ใดได้เลย ได้แต่ยืนจ้องมองนทีอยู่ตรงนั้น แววตาแฝงไปด้วยความรัก และความปราถนา โหยหาหนุ่มน้อยตรงหน้าอย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน
    ดวงหน้าแดงซ่านด้วยฤทธิแอลกอฮอล์หรือความเขินอายก็ไม่สำคัญทั้งนั้นเพราะบัดนี้มันเข้ามาอยู่ใกล้กับหน้าของใครอีกคนจนเงาของชายหนุ่มที่ร่างใหญ่กว่าพาดทับลงไปแทบมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ดวงตาหวานเยิ้มเชยขึ้นมองชายหนุ่มที่ค่อยๆปืนขึ้นมาคร่อมอยู่บนตัว ก่อนจะปิดสนิทเมื่อริมฝีปากแดงสดของตนที่เผยอออกกำลังเรียกชื่อชายหนุ่มตรงหน้านั้นถูกทาบทับด้วยริมฝีปากหนาของอีกฝ่าย เสียงเพลงจากข้างนอก รวมถึงความเมามายไม่ได้สติช่วยกล่อมให้นทีปล่อยเลยตามเลย มิได้ขัดขวางหรือปัดป้อง เมื่อมือของภาสกรค่อยๆช้อนตัวของเขาเข้าไปไว้ในอ้อมกอด... โดยไม่ต้องให้ใครบอกหรือบังคับ นทีก็กระหวัดแขนขาวเล็กของเขาไปรอบตัวภาสกรเช่นกัน ตอบสนองต่อเสียงเรียกในใจของตน และไฟปราถนาที่ภาสกรมอบให้กับเขา
    เหตุผลและความผิดชอบชั่วดีคืออะไร ทั้งคู่ไม่อาจเข้าใจได้อีกแล้วในนาทีนั้น เข้าใจแต่ว่าคนที่อยู่ในอ้อมกอดมีค่าเหลือเกินสำหรับตน ต่อให้ใครเข้ามาแยกเขาออกจากกันในตอนนั้น ทั้งคู่ก็จะไม่ปล่อยอีกฝ่ายไปเด็ดขาด
    ราวกับว่าทั้งสองร่างจะหลอมรวมกันเข้าเป็นร่างเดียวได้กระนั้น

***********************************************************************

เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีเวลามาพูดคุยกับคนอ่านเลยครับขอโทษนะคร้าบ
ช่วงนี้มีหวานๆ น่ารักๆมาไว้ให้อ่าน หวังว่าจะชอบนะครับ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะพัฒนาไปทางไหนก็มาติดตามกันนะครับผม :)
มีคนคิดว่านทีเป็นน้องชายของดาริกา ผมขอบอกว่าไม่ใช่เลยครับ เป็นไปไม่ได้ 555
แล้วเรื่องดาริกาเป็นสาววาย ผมไม่รู้หรอกครับว่าสาววายต้องเป็นยังไงบ้าง แต่ดาริกาเป็นคนไม่มีเพื่อน ทั้งๆที่เป็นคนน่ารักแท้ๆแต่ตามฐานันดรศักดิ์แล้ว คนอย่างดาริกาจะหาเพื่อนยากมาก พอมาเจอคุณชายที่เท่ากันในทุกๆอย่าง แล้วก็นิสัยดี ชอยลุยๆ ไปเที่ยวเหมือนกันด้วยก็เลยเข้ากัน ทีนี้ตามนิสัยดาริกา เขาก็จะชอบช่วยเหลือคนอยู่แล้ว อีกอย่าง อาจจะแอบเห็นว่าความสัมพันธ์ ชาย-ชาย มันก็น่ารักดี (ตามประสาเด็กนอกที่เชื่อเรื่องสิทธิอะไรแบบนี้มากด้วย)  แบบนี้แปลว่าสาววายหรือเปล่าครับ555+

วันนี้ขอไปก่อนดีกว่า ไว้จะมาคุยใหม่นะครับ
ยังไงก็อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหนนะคร้าบบ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 28 - คนที่อยู่ในอ้อมกอดมีค่าเหลือเกิน 18/05/11 - 20.55
เริ่มหัวข้อโดย: IIMisssoMII ที่ 18-05-2011 21:09:24
 :เฮ้อ:ปีเตอร์ ไม่ไหวนะคะ หัดดูคุณดาริกาเป็นตัวอย่างบ้างอะไรบ้าง

นทีก็กระหวัดแขนขาวเล็กของเขาไปรอบตัวภาสกรเช่นกัน ตอบสนองต่อเสียงเรียกในใจของตน และไฟปราถนาที่ภาสกรมอบให้กับเขา

เอาให้จริงนะคะ เชียร์อยู่  :laugh:
รอตอนตื่นขึ้นมานี่แหละ กลัวว่านทีจะหนี
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 28 - คนที่อยู่ในอ้อมกอดมีค่าเหลือเกิน 18/05/11 - 20.55
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 18-05-2011 21:14:04
อร๊ากกก น้ำเมาเป็นพ่อสื่อแม่สื่อให้จนได้ >//<
ตื่นมาจะทำอย่างไรต่อละเพคะคุณชาย
บวกๆ ค่า
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 28 - คนที่อยู่ในอ้อมกอดมีค่าเหลือเกิน 18/05/11 - 20.55
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 18-05-2011 21:25:47
และแล้วววววว
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 28 - คนที่อยู่ในอ้อมกอดมีค่าเหลือเกิน 18/05/11 - 20.55
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 18-05-2011 21:42:48
 :haun4:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 28 - คนที่อยู่ในอ้อมกอดมีค่าเหลือเกิน 18/05/11 - 20.55
เริ่มหัวข้อโดย: Piaanie ที่ 18-05-2011 21:45:06
อูววว พัฒนาไปอีกขั้นแล้ว แต่ก็นะกลับไปจะเป็นไงมั่งเนี่ย :sad4:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 28 - คนที่อยู่ในอ้อมกอดมีค่าเหลือเกิน 18/05/11 - 20.55
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 18-05-2011 22:10:59
บรรยากาศเป็นใจ ทั้งสองคนก็เป็นใจ

แต่สังคมของคุณชาย ไม่เป็นใจแน่ๆอ่ะ :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 28 - คนที่อยู่ในอ้อมกอดมีค่าเหลือเกิน 18/05/11 - 20.55
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 18-05-2011 22:55:56
ตื่นมาทั้งสองคนจะทำไงต่อหล่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 28 - คนที่อยู่ในอ้อมกอดมีค่าเหลือเกิน 18/05/11 - 20.55
เริ่มหัวข้อโดย: oilzii ที่ 18-05-2011 23:01:48
นที~คุณชาย~ :-[
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 28 - คนที่อยู่ในอ้อมกอดมีค่าเหลือเกิน 18/05/11 - 20.55
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 18-05-2011 23:23:26
และแล้ว...............................
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด
ตื่นมาจะเป็นยังไงเนี่ย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 28 - คนที่อยู่ในอ้อมกอดมีค่าเหลือเกิน 18/05/11 - 20.55
เริ่มหัวข้อโดย: BF-e ที่ 18-05-2011 23:26:32
 o13
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 28 - คนที่อยู่ในอ้อมกอดมีค่าเหลือเกิน 18/05/11 - 20.55
เริ่มหัวข้อโดย: babyfaibossy ที่ 19-05-2011 00:07:30
 :a5:

กรี๊ด!! พรุ่งนี้จะเป็นยังไงต่อเนี่ีย

สงสารทั้งสองคนเลย  :o12:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 28 - คนที่อยู่ในอ้อมกอดมีค่าเหลือเกิน 18/05/11 - 20.55
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 19-05-2011 00:24:01
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 28 - คนที่อยู่ในอ้อมกอดมีค่าเหลือเกิน 18/05/11 - 20.55
เริ่มหัวข้อโดย: BaII ที่ 19-05-2011 01:48:22
ฮาคุณชายอ่ะ ขอประทานอภัยกระหม่อม คิกๆ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 28 - คนที่อยู่ในอ้อมกอดมีค่าเหลือเกิน 18/05/11 - 20.55
เริ่มหัวข้อโดย: Horizon ที่ 19-05-2011 03:36:05
ขอบคุณบรรยากาศ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 28 - คนที่อยู่ในอ้อมกอดมีค่าเหลือเกิน 18/05/11 - 20.55
เริ่มหัวข้อโดย: KIMKUNG ที่ 19-05-2011 09:49:09
อ้ากก ได้กันแล้ววว
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 28 - คนที่อยู่ในอ้อมกอดมีค่าเหลือเกิน 18/05/11 - 20.55
เริ่มหัวข้อโดย: ต่ายน้อย ที่ 19-05-2011 12:17:30
อ๊ากกกกก~ ได้กันแล้วๆ  :mc4: :impress2:
ลุ้นมาตั้งนาน
ขอบคุณนะคะที่แต่งนิยายดีๆ มาให้อ่าน
รอรวมเล่ม คุณชายคร่า :กอด1: o13
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 28 - คนที่อยู่ในอ้อมกอดมีค่าเหลือเกิน 18/05/11 - 20.55
เริ่มหัวข้อโดย: jojobuffy ที่ 19-05-2011 12:56:01
สาววายเป็นยังไง ก็ลองหาๆดุในบอร์ดเนี่ยแหละคะ  :z3:


แหมะ ดีจัง ที่มีความสุข แต่เค้าก้อกลัวอุปสรรคที่จะตามมานะเนี่ย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 28 - คนที่อยู่ในอ้อมกอดมีค่าเหลือเกิน 18/05/11 - 20.55
เริ่มหัวข้อโดย: ณ ที่เดิม™ ที่ 19-05-2011 17:53:09
ตอนหน้าๆ  :z1:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 28 - คนที่อยู่ในอ้อมกอดมีค่าเหลือเกิน 18/05/11 - 20.55
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กกะโปโล ที่ 19-05-2011 21:19:19
สุดท้ายน้ำเมาก็เป็นพ่อสื่อ :try2: (ส่วนตัวอยากให้ทั้งคู่เต็มใจ)
ความสัมพันธ์ทั้งคู่พัฒนาขึ้นมาอีกขั้นจนได้

ได้กลิ่นมาม่ามาแต่ไกล o6 หลังจากทั้งคู่ตื่นแล้วปัญหาตามมาแน่ๆ
ขอเดาว่าสวนใหญ่เป็นของคุณชายแน่ๆ เรื่องที่ยังยอมรับใจตัวเองไม่ได้ เรื่องหม่อมแม่ ทิฆัมพร แล้วยังเรื่องหน้าตาในสังคมอีก
งานนี้นทีได้เจ็บอีกหลายดอกแน่  :try2:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 28 - คนที่อยู่ในอ้อมกอดมีค่าเหลือเกิน 18/05/11 - 20.55
เริ่มหัวข้อโดย: J_Dargon ที่ 19-05-2011 23:59:48
เค้าทำอ่ะไรกันอ่ะ //^^//
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 28 - คนที่อยู่ในอ้อมกอดมีค่าเหลือเกิน 18/05/11 - 20.55
เริ่มหัวข้อโดย: คนริมคลอง ที่ 20-05-2011 00:18:01
ในที่สุด คุณชายก็เหวยน้องไปซะแล้ว
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 28 - คนที่อยู่ในอ้อมกอดมีค่าเหลือเกิน 18/05/11 - 20.55
เริ่มหัวข้อโดย: ease supsnerv ที่ 20-05-2011 13:52:29
คุณชายอ่ะ!  กล้าๆหน่อย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 28 - คนที่อยู่ในอ้อมกอดมีค่าเหลือเกิน 18/05/11 - 20.55
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 20-05-2011 13:58:16
น้ำเสร็จคุณชาย หรือคุณชายเสร็จน้ำ ???
อยากอ่านบทหวานๆอย่างนี้อีกหลายๆตอน ยังไม่อยากกินมาม่าอะ
คุณหญิงอาจจะไม่วายเต็มขั้น แต่พฤกติกรรมอย่างนี้ก็เข้าเกณฑ์อยู่นะ ไม่ขัดขวาง หรือต่อต้าน และไม่เชิงว่าจะสนับสนุนจนออกนอกหน้าื
ชีเหมือนเป็นตัวแทนสาววายในเล้านี้หรือปล่าว 555....เค้าชอบหญิงดานะ และขอแบ่งปันความชอบไปถึงชายรัตด้วยอารมณ์ประมาณอยากหาพวกไว้ก่อนตอนนี้
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 28 - คนที่อยู่ในอ้อมกอดมีค่าเหลือเกิน 18/05/11 - 20.55
เริ่มหัวข้อโดย: A-J.seiya* ที่ 20-05-2011 16:36:24
อ๊ายยยยยยยยย
หลอม กันไปแล้ว สองคนนั้น
ตื่นมาแล้ว นทีจะจำได้มั้ยอ่ะ
แต่คุณชายนี่ เมาเบาๆนะ ,, น้ำอ่ะเมาหนัก
เหอะๆ ...
ลุ้นให้คู่นี้ ผ่านอุปสรรค (ที่กำลังจะตามมา) ให้ได้ !!!
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 28 - คนที่อยู่ในอ้อมกอดมีค่าเหลือเกิน 18/05/11 - 20.55
เริ่มหัวข้อโดย: namwaan1992 ที่ 20-05-2011 22:53:34
เว้ยๆ ^^,,,,,

หวานซะ!!~?
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 28 - คนที่อยู่ในอ้อมกอดมีค่าเหลือเกิน 18/05/11 - 20.55
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 21-05-2011 07:55:41
อ่านไปยิ้มไป


ว่าแต่ หลังจากตื่นนอนแล้ว จะเป็นยังไงกันบ้างน้า...
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 28 - คนที่อยู่ในอ้อมกอดมีค่าเหลือเกิน 18/05/11 - 20.55
เริ่มหัวข้อโดย: ● MaYa~Boy ● ที่ 22-05-2011 14:18:30
สงสัยคงจะตอนนี้แล้วมั้งรออ่านตอนต่อไปค้าบ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 28 - คนที่อยู่ในอ้อมกอดมีค่าเหลือเกิน 18/05/11 - 20.55
เริ่มหัวข้อโดย: seedsaRT ที่ 23-05-2011 04:23:28
คนเเต่งหายไปปป


แบบ....ไม่สนไจจจ่ะ  T^T
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 28 - คนที่อยู่ในอ้อมกอดมีค่าเหลือเกิน 18/05/11 - 20.55
เริ่มหัวข้อโดย: naja-kitase ที่ 23-05-2011 12:54:14
น่านนนนนนนนนนนนนนนนนน
อยากรู้ตอนตื่นมาเร็วๆจังเลยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 28 - คนที่อยู่ในอ้อมกอดมีค่าเหลือเกิน 18/05/11 - 20.55
เริ่มหัวข้อโดย: IIMisssoMII ที่ 23-05-2011 22:49:14
มารอคุณชาย กะ นที
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 28 - คนที่อยู่ในอ้อมกอดมีค่าเหลือเกิน 18/05/11 - 20.55
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 23-05-2011 23:38:15
29

    ถ้าจะบอกว่า เป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ ภาสกรจึงกล้าทำในสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ขณะนี้ก็คงได้ ตื่นมาก็โมเมเสียว่าไม่รู้ตัวและจำอะไรไม่ได้เลยชายหนุ่มก็จะเอาไปอ้างได้เต็มปากเต็มคำ เพราะรูปการณ์ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น แต่เอาเข้าจริงแล้วภาสกรรู้ตัวดีว่าตนกำลังทำอะไรอยู่
    เขารู้ดีว่าเมื่อเขาถอนปากอวบอิ่มของตนออกจากปากแดงซ่านที่เขาได้แต่มองอยู่ไกลๆมาตลอด คิดอยากทำอย่างนี้มาแทบทุกครั้งที่เห็นแล้วลืมตาขึ้นนั้นเขาได้มองเห็นหนุ่มน้อยนทีเต็มสองตา รู้แน่ว่านี่คือนที คือชายหนุ่มที่เขาขับรถชนเมื่อเดือนสองเดือนก่อน นี่คือชายหนุ่มที่เขาผูกพันแทบจะเรียกได้ว่ารักใคร่ คือ “ชายหนุ่ม” มิใช่หญิงสาว ร่างกายตรงหน้าเป็นร่างกายของเด็กหนุ่มวัย 19 เป็นร่างกายที่เหมือนกับเขาแทบทุกประการ ต่างกันเพียงว่ามันบอบบาง นุ่มนิ่ม น่าทะนุถนอมไปหมดเท่านั้น เขารู้ดีว่านี่คือผู้ชาย และเขากำลังกอดจูบอยู่กับผู้ชาย ไม่ใช่หญิงสาวอย่างที่ควรจะเป็น
    กระนั้น ภาสกรก็อดไม่ได้ที่จะก้มลงจูบนทีอีกครั้ง เนิ่นนานอ้อยอิ่งราวกับว่าไม่มีสิ่งใดในโลกให้ทำอีกแล้วนอกจากจูบหนุ่มน้อยคนนี้
    รู้ทั้งรู้ว่าไม่ควร แต่ภาสกรก็ทำ 
    “ควร”  กับ “ไม่ควร” ใครเป็นคนบอก เอาอะไรมาบอก และใช้อะไรเป็นเกณฑ์หรือ ต่อให้สิ่งที่เขากำลังทำอยู่นี้มัน “ไม่ควร” สำหรับใคร แต่มันควรสำหรับเขา ในเมื่อคนตรงหน้าเป็นคนที่เขาฝันถึง คะนึงหา รักและปราถนาแน่แล้ว จะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงเขาไม่สนใจทั้งนั้น
    ชายหนุ่มถอนปากของตนออกจากปากบางแดงใสนั้นอีกครั้ง ค่อยๆเลื่อนมันไปที่แก้มขาวเนียน ซุกจมูกเข้าไซร้ ได้กลิ่นสบู่กลิ่นเดิมที่เมื่อคืนนี้ได้แต่สูดดมอยู่ไกลๆ มาตอนนี้ได้อิงแอบแนบชิดแล้ว ก็เหมือนว่าหัวใจที่อยู่ในอกจะกระเด็นหลุดออกมาให้ได้  ฝ่ามือหนาของเขาลากไปทั่วร่างของหนุ่มน้อย ผิวเนื้อเนียนนุ่มไร้รอยตำหนิหรือแม้แต่ขนสากมือสักเส้น ภาสกรสัมผัสร่างกายของนทีช้าๆ แผ่วเบา ราวกับหนุ่มน้อยคือดวงแก้วที่มีค่าเหลือเกินสำหรับเขา
    ใบหน้าค่อยๆ เลื่อนลงมาที่คอระหง ฝังจมูกเข้ากับเนื้อเนียนหอมสะอาดของนที ได้ยินเสียงครางกระเส่า เบาๆจากร่างที่อยู่ในอ้อมกอดอารมณ์ของเขาก็ยิ่งกระเจิงไปไกล จนเมื่อสัมผัสเริ่มหนักหน่วงขึ้น ร่างทั้งสองก็ยิ่งเบียดแน่นเข้าหากัน ร่างกายเคลื่อนไหวไปตามอารมณ์ปราถนา จากความอบอุ่น เริ่มกลายเป็นความเร่าร้อนอยู่ในอก แทบจะลุกไหม้ หยาดเหงื่อซ่านกระเซ็นไปตามจังหวะการเคลื่อนไหว มีเสียงเรียกชื่อของหนุ่มน้อยดังอยู่ข้างหูของเจ้าตัว ซ้ำไปซ้ำมาราวกับกลัวจะลืมว่าคนตรงหน้านี้ชื่ออะไรอย่างไรอย่างนั้น
    “นที จ๋า... นที...”
    หนุ่มน้อยบีบแขนภาสกรแน่น ร้องหาคุณชายของเขาแผ่วเบา แต่ชัดเจนด้วยแรงอารมณ์ไม่แพ้กัน จากนั้นแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็คลายสภาพกลับสู่ความนุ่มนวล เงียบ และสงบตามเดิม มีกันและกันอยู่ในอ้อมกอดหลับตาพริ้มไม่มีเสียงใดนอกจากเสียงหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อยเท่านั้น ความสุขล้นราวกับว่าไม่มีสิ่งใดบนโลกจะดีไปกว่าสิ่งที่เขามีอยู่ข้างๆเป็นอย่างนี้
    ความสุขที่ใครต่อใครก็บอกว่ามากล้นจนไม่อาจเปรียบประมาณได้ มันเป็นอย่างนี้เอง ถ้าไม่ได้มาสัมผัสกับตัว ภาสกรจะไม่มีวันรู้เด็ดขาด ความสุขทางเพศไม่ใช่ประเด็นเพราะภาสกรเคยสัมผัสมาแล้วไม่น้อย แต่ความสุขทางใจที่มีคนข้างๆอยู่ด้วยต่างหาก ที่ภาสกรกำลังคิดถึง อิ่มเอมจนไม่อยากลืมตาขึ้นมาอีกเลย
    แม้ภาสกรจะหลับตาสนิท และเหน็ดเหนื่อยแทบจะหลับไปเพียงใดแต่สติของเขาก็ยังไม่ขาดหายไปเมื่อนทีกระซิบข้างๆตัวเขาเบาๆว่า
    “คุณชายครับ... ผมรักคุณชาย”
    แม้จะอยากได้ยินเท่าไร และแม้ว่าพอได้ยินแล้วหัวใจจะพองโตขึ้นมาด้วยความสุข แทบลอยขึ้นไปสัมผัสสวรรค์เพียงใด แต่ภาสกรก็พบว่าประโยคนี้เองที่ดังก้องสะท้อนอยู่ในหัวเขาซ้ำไปซ้ำมา ยิ่งนานเข้าก็ยิ่งนำพาความลำบากใจ ความละอาย ความรู้สึกผิดและ ความกังวลแทบจะไม่อยากตื่นขึ้นมารับรู้ว่าสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นนั้นเป็นความจริงมาสู่เขามากขึ้น... กระนั้นชายหนุ่มก็เหนื่อยเกินกว่าจะนอนตาโพลงคิดอะไรอยู่ในใจอย่างนั้น
    เขาหลับไปในอ้อมกอดของคนที่เพิ่งบอกว่ารักเขา...
    แต่เขาก็ไม่ได้ตอบไปสักคำ ว่าเขารู้สึกเช่นไรกับคนที่อยู่ข้างๆเขาเลย

    นทีตื่นขึ้นด้วยความมึนงง ตัวของเขาปวดร้าวระบมไปหมด ไม่ใช่จากสัมผัสที่ภาสกรมอบให้เขา เพราะสัมผัสเหล่านั้นช่างเบาหวิว และทะนุถนอมมากที่สุดเท่าที่ใครเคยสัมผัสเขามาตลอดชีวิต แต่ความเจ็บปวดทั้งหมดมาจากความว่างเปล่าของพื้นที่ข้างตัว หนาวเย็นยะเยือกจนแสบผิวกาย เมื่อตื่นมาไม่พบภาสกร
    มีรอยยับของเตียง เสื้อผ้าของตนที่กองไว้ไม่เป็นระเบียบที่ปลายเตียง และชุดนอนที่จนแล้วจนรอดภาสกรก็ไม่ได้ใส่ให้เขาวางอยู่ที่เตียงอีกเตียงข้างๆ เป็นพยานหลักฐานบอกเขาว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนั้นเป็นความจริง
    น้ำตาไหลลงอาบแก้มของนที ด้วยความปิติ ระคนกังวลใจอย่างที่ไม่ควรรู้สึกเมื่อพบว่าตนเพิ่งได้ร่วมรักกับคนที่ตนรัก และเฝ้าใฝ่ฝันมาตลอด นทีกังวลใจไปหมด กลัว ระแวงไม่กล้าดึงผ้าห่มผืนหนาออกให้พ้นร่าง แล้วเดินไปอาบน้ำแต่งตัวออกไปข้างนอกเลย กลัวเหลือเกินว่าการที่ภาสกรหายไป ไม่ได้นอนกอดเขาอยู่ข้างกันนั้นมันจะหมายถึงว่า ชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรกับเขาเลย
    แน่ละภาสกรหรือจะรู้สึกอะไรกับเขา เขามีอะไรดี ก็แค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่แสนธรรมดาเท่านั้น ภาสกรจะรักเขาอย่างที่เขารักภาสกรเหลือเกินได้อย่างไร
    สิ่งที่เกิดขึ้น เกิดมาจากความเมาเท่านั้น ภาสกรคงไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
    ขณะที่นทีรู้ตัวดีทุกสัมผัส ทุกลมหายใจ ทุกเสียงร้องของภาสกร เขายังมีสติอยู่ไม่ได้ลืมไปหมดเสียทุกอย่าง เขาจึงยอมภาสกรด้วยความรัก และอยากให้ชายหนุ่มตรงหน้ามีความสุข ผลพลอยได้คือเขาเองก็มีความสุขมากแทบจะเปรียบไม่ได้เช่นกัน
    แต่ทำไมฟ้าถึงแกล้งเขาได้ลง
    ทำไมต้องส่งคนมาให้เขารัก ทำไมต้องให้คนนั้นดีกับเขามากมาย ทำไมถึงต้องให้เขามีสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับคนนั้นด้วย และทำไมถึงต้องให้ชายคนนั้นมาหายตัวไปอย่างง่ายดายแทนที่จะนอนกกกอดกันในเช้าวันแรกหลังจากได้ร่วมรักกันด้วย
    ต่อให้มองออกว่าอะไรเป็นอะไร แต่นทีก็ไม่อยากฟูมฟาย คิดมากไปเองอยู่ฝ่ายเดียว จึงตัดสินใจเหวี่ยงผ้าห่มออกจากร่าง ลุกขึ้นไปอาบน้ำ ลูบไปจากจุดที่ภาสกรสัมผัส แม้หวั่นใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แต่ก็มั่นใจว่าสิ่งที่เกิดไปแล้ว คือความสุขที่สุดในชีวิตแล้วนับแต่พ่อตายไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกในไม่กี่นาทีข้างหน้า ก็ไม่น่าจะแย่เท่ากับสิ่งที่เขาได้รับมาตลอดก่อนจะเจอภาสกรหรอก
    ถึงจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เขาจะจำเมื่อคืนนี้ได้ไปตลอดชีวิต คืนที่เขาขึ้นไปสัมผัสสิ่งที่ใกล้เคียงกับสวรรค์ที่สุดที่เขาเคยสัมผัสมาในชีวิต

    ภาสกรนั่งอยู่ริมน้ำ ขาหย่อนลงไป มองไปยังป่าละเมาะฝั่งตรงข้ามกับทางน้ำสายเล็กๆที่ไหลเอื่อยๆอยู่หลังบ้านพัก ในใจยังคงคิดสับสนอยู่มาก วนเวียนคิดถึงแต่หนุ่มน้อยที่ยังคงหลับไม่รู้เรื่องอยู่ข้างใน หากเขามีนทีอยู่ด้วยเพียงคนเดียวในโลก ไม่ต้องเจอ ดาริกา และปุยฝ้าย ไม่ต้องกลับไปทำงาน ไม่ต้องกลับกรุงเทพไปพบท่านพ่อ หม่อมแม่ ไม่ต้องทำหน้าที่ลูกที่ดี แต่งงานสืบสกุลไป ไม่ต้องเดินไปบนทางที่มีกรอบของความถูกต้องเหมาะสมตามทำนองคลองธรรมขนาบข้างทางอยู่ละก็ เขาจะมีความสุขมากทีเดียว
    แต่ในเมื่อทุกสิ่งที่เขาคิดมาทั้งหมดมันเป็นสิ่งที่เขาต้องสัมผัสพบเจอไปตลอดชีวิต การมีนทีเข้ามาอยู่ในนั้น ดูเหมือนจะทำให้ทางที่สวยงามของเขานั้นขาดสะบั้นลงเท่านั้น ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและนที ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด เขาจะเดินไปไหนมาไหน จูงมือหนุ่มน้อย นั่งกินข้าวกัน ดูหนังกัน อิงแอบแนบชิดกัน เข้านอนด้วยกัน ร่วมรักกันอย่างคู่รักคู่อื่นได้อย่างไร ในเมื่อทั้งเขาและนที ต่างก็เป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่...
    หากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานเป็นไปเพราะฤทธิ์เหล้า ตื่นมานทีก็ลืมไปไม่รู้ตัวก็ดีอยู่หรอก เขาจะถือว่าเป็นกำไรชีวิตและจะยังทำดีกับนทีต่อไปเรื่อยๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ในเมื่อประโยคสุดท้ายที่เขาได้ยินเมื่อคืนนี้มันออกมาจากปากของนทีชัดเจนราวกับฝ่ายนั้นก็รู้ตัวดี และยอมให้เขาทำอะไรต่อมิอะไรเพราะ “รัก” เขาแล้วละก็เรื่องนี้ย่อมต่างออกไป
   หากนทีบอกว่า “รัก” เขาก็แปลว่านทีเป็นเกย์แน่นอน ส่วนเขาไม่ใช่ ความสัมพันธ์นี้ก็ไม่ควรจะดำเนินต่อไปไม่ใช่หรือ ในเมื่อเขาแน่ใจว่าตัวเองเป็นผู้ชายทั้งแท่ง เรื่องที่เกิดขึ้นมันก็น่าจะเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดได้กับชายหนุ่มทั่วไปเพราะความเมา แต่ตื่นขึ้นก็กลับไปใช้ชีวิตปกติ แต่งงานมีลูกเมียไปตามเรื่องไม่ใช่หรือ... เหมือนนทีเป็นเพียงเครื่องมือระบายอารมณ์ทางเพศเท่านั้น
    เขาไม่ผิดไม่ใช่หรือไง เขาไม่ได้ชอบผู้ชายนี่ เขายังอยากใช้ชีวิตของเขาไปตามปกติ สักวันก็คงชอบผู้หญิง แต่งงานสืบสกุลไปตามที่ควรจะเป็นไม่ใช่หรือ... แล้วเขาจะมารู้สึกผิดทำไม
    เขากลัวหรืออย่างไรว่า จริงแล้วเขาเองต่างหากที่รักนทีมากเกินกว่าที่นทีรักเขา เขาเป็นเดือดเป็นร้อนไม่ใช่หรือไงตอนที่หม่อมแม่แยกเขาออกจากนทีเมื่อคราวที่แล้ว เขากลัวหรือไงว่าหากเจอนทีอีกครั้งแล้ว เขาจะบอกนทีว่าเขาเองก็รักนทีเช่นกัน เขากลัวหรืออย่างไรว่าเมื่อเขารักนทีแล้ว ก็หมายความว่าเขาเปลี่ยนจากชายหนุ่มธรรมดาๆคนหนึ่ง กลายเป็นชายรักร่วมเพศ เป็นคนส่วนน้อยของสังคม เป็นคนที่น่ารังเกียจและเป็นส่วนเกินที่คนส่วนใหญ่รับไม่ได้ เขากลัวชีวิตเขาจะเปลี่ยนไป แทนที่จะภูมิใจในคู่รักและเชิดหน้าชูตาหล่อนในสังคม เหมือนที่ท่านพ่อเขารักและภูมิใจในตัวหม่อมแม่ของเขา หากเขายอมรับว่ารักนที เขาคงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ ให้ใครรู้เรื่องของเขาไม่ได้ ชีวิตเขาจะมีความสุขหรือชีวิตเขาจะเป็นเหมือนท่านพ่อได้อย่างนั้นหรือ
    แน่ละเขามีความสุขเมื่อได้อยู่กับนที นึกถึงว่าหากมีโอกาสได้ใกล้ชิดหนุ่มน้อยมากเท่าเมื่อคืนอีกครั้ง เขาก็คงสุขใจเกินกว่าจะหาที่เปรียบได้ แต่เขาก็ไม่ได้อยู่กับนทีเพียงสองคนบนโลกนี่นา
     ถามตัวเองจนแน่ใจแล้วภาสกรก็ต้องยอมรับกับตัวเองว่า เขารักนทีจริงๆ รักเท่าที่ชายหนุ่มสักคนจะพึงรักผู้หญิงสักคนได้ ที่เขาคิดมาตลอด ที่เขาไม่แน่ใจในความรู้สึก และความสัมพันธ์ระหว่างเขาและนทีนับแต่เริ่มรู้สึกแปลกๆกับหนุ่มน้อยเมื่อได้มาเที่ยวกันที่นี่ ความจริงแล้วเขาแทบจะแน่ใจมากด้วยซ้ำว่าเขาคงรู้สึกเป็นอื่นกับนทีไม่ได้ นอกจากเขา “รัก” หนุ่มน้อย แต่เขาหลอกตัวเอง ปฏิเสธตัวเอง เพราะเขาคงยอมรับไม่ได้ว่าตัวเองเป็นเกย์ เขากลัวเหลือเกินว่าชีวิตเขาจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป...
    ชายหนุ่มเครียดจัดจนปวดขมับเหลือเกิน รู้สึกถึงแรงกระตุกของเส้นเลือดที่ขมับเต้นดัง ตุบ ตุบ เพราะไม่สามารถหาทางออกให้ตัวเองได้
    ถ้าเขายอมรับว่าเขารักนที ชีวิตเขาก็คงเปลี่ยนไป
    แต่ถ้าเขาปฏิเสธนที ก็เท่ากับว่าเขาจะต้องทำร้ายนทีอีกครั้งเมื่อรู้อยู่เต็มอกว่านทีรักเขา... ไหนเขาสัญญากับตัวเองว่าจะไม่มีวันทำร้ายนทีอย่างไรเล่า

    จุดที่เขาต้องตัดสินใจไม่ได้อยู่ไกลเลย เขามาถึงมันแล้วเมื่อนทีนั่งลงข้างๆ
    นั่งข้างกัน ไม่ได้ไกลไปกว่าเมื่อคืนที่นอนก่ายกันเท่าไหร่ แต่นทีกลับรู้สึกว่าภาสกรอยู่ห่างไกลเขาเหลือเกินจนไม่อาจสัมผัสได้ ความเงียบชวนอึดอัดใจทอดตัวลงปกคลุมบรรยากาศ ไม่มีใครยอมเอ่ยอะไรขึ้นทักใครก่อน ไม่รู้ว่าจะเริ่มเรื่องอย่างไร ให้ต่างฝ่ายต่างเจ็บ ต่างลำบากใจให้ได้น้อยที่สุด
    ใบไม้สีน้ำตาลแก่ใบหนึ่งร่วงลงระหว่างเขาทั้งคู่ เหมือนหัวใจของนที เมื่อภาสกรพูดเบาๆ ราวกับเสียงติดอยู่แค่ในลำคอว่า “ผมเสียใจ”
    เงียบ นทีไม่ตอบแม้แต่นกที่มักบินไปร้องเพลงไปรอบตัวพวกเขายามที่อยู่กันสองคนก็ไม่โผล่มาเลยสักตัวราวกับธรรมชาติก็กำลังตั้งใจรอฟังคำที่นทีจะตอบคุณชายหนุ่มเช่นกัน อกของภาสกรแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อเห็นดวงหน้ากังวลใจ และเศร้าใจเกินกว่าจะบรรยายได้ของอีกฝ่าย
    รู้ดีว่าเอื้อมมือไปดึงหนุ่มน้อยเข้ามากอดเท่านั้นเอง อีกฝ่ายคงหายกังวล คงยิ้มได้ คงไม่ต้องทำหน้าเศร้าแบบที่เขาไม่ชอบเห็นนี้อีก แต่ก็รู้ดีว่าหากทำอย่างนั้นความสัมพันธ์ระหว่างเขาและหนุ่มน้อยก็จะยืดเยื้อออกไป จนสุดท้ายผลเสียก็จะตกเป็นของเขาทั้งคู่เอง ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก
    น้ำคลอคลอเบ้านที แต่ภาสกรไม่เห็นเพราะไม่กล้ามองหน้าหนุ่มน้อยอีกแล้วได้แต่ก้มหน้านิ่งเฝ้ารอคำพูดอะไรสักคำจากอีกฝ่ายเท่านั้น
    “คุณชายไม่ต้องเสียใจหรอกครับ...” นทีพยายามสะกดใจไม่ให้ร้องไห้ออกมาแต่ยากเหลือเกิน เมื่ออีกฝ่ายแก้ตัวว่า
    “เมื่อคืนผมเมา แล้วมันก็มืดมากผมไม่รู้ตัวเลยว่าผมทำอะไรลงไป” ภาสกรแก้ตัวได้อย่างหน้าด้านที่สุด ผิดมหันต์ที่สุด หากธรณีจะสูบเขาลงไปเดี๋ยวนั้นเพราะทำให้หนุ่มน้อยผู้น่าสงสารคนนี้ต้องเสียใจทั้งๆคนที่ผิดก็ไม่ใช่นที เขาก็คงไม่แปลกใจเลย “นที ถ้าคุณโกรธที่ผม... ที่ผม... ทำอย่างนั้นกับคุณละก็ผมขอร้องให้คุณยกโทษให้ผม และลืมเรื่องนั้นไปได้ไหม”
    “ผมไม่ยกโทษอะไรให้คุณชาย เพราะผมไม่ได้โกรธอะไร” น้ำตาไหลอาบลงทั้งสองแก้มเนียนของนที แต่เสียงกลับไม่สั่นอย่างที่คิด เพราะเขาพยายามทำทุกวิถีทางที่จะทำให้ตัวเองดูอ่อนแอน้อยที่สุด “แต่จะให้ผมลืมผมทำไม่ได้”
    นทีลุกขึ้นหันหลัง กลั่นความรู้สึกจากใจทั้งหมดออกมากองวางเอาไว้ให้ผู้ชายคนนี้เห็นเสียทีเดียว เจ็บทีเดียวแล้วก็พอกันทีก่อนจะเดินหนีไปให้พ้น 
    จบแล้วนที... จบแล้ว... ยอมรับ แล้วเดินจากมาเสียเถอะ
    ภาสกรลุกขึ้นในที่สุด พอคว้าไปจับมือนทีไว้แน่นเท่านั้นน้ำตาของหนุ่มน้อยก็ไหลท่วมลงมาคล้ายน้ำตกสาริกาที่เขาเห็นเมื่อวานนี้
    “...นที ที่คุณบอกผมน่ะจริงหรือเปล่า เมื่อคืนที่ผมได้ยิน คุณไม่รู้ตัวใช่ไหม คุณเมาใช่หรือเปล่านที” หนุ่มน้อยไม่ได้หันมาแต่ตอบว่า
    “ถึงคุณชายจะบอกว่าคุณชายเมาและจำอะไรไม่ได้เลยก็เถอะ แต่ผมจำได้ ผมจำได้ว่าผมมีความสุขที่สุดในโลก ผมยอมให้มันเกิดขึ้นไม่ใช่เพราะผมเมาไม่ได้สติ แต่เพราะผมมีสติครบถ้วนดีทุกอย่างต่างหาก ที่ผมบอกคุณชายเป็นคำที่มีความหมายที่สุดในชีวิตของผม เป็นคำที่ผมไม่เคยพูดให้ใครฟัง มีเพียงสามคนบนโลกเท่านั้นที่มีสิทธิ์ได้ยิน คือพ่อ แม่ แล้วก็คุณชาย... ผมรักคุณชาย และผมหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ”
    “นที” ภาสกรหมุนตัวหนุ่มน้อยมาสบตาเขา เห็นน้ำตาที่ไหลรินเรื่อยๆไม่ยอมหยุดก็ตกใจ แทบจะอยากฆ่าตัวเองให้ตายไปเดี๋ยวนั้นที่ทำให้หนุ่มน้อยเสียใจอีกแล้ว “ผมขอโทษนที... คุณเข้าใจผมนะ ผมไม่ได้ชอบผู้ชาย นที ผมไม่ได้เป็นเกย์”
     หนุ่มน้อยไม่อยู่ฟังอีกต่อไป ทิ้งให้คุณชายหนุ่มยืนกำมือแน่น โกรธแค้น และไม่ให้อภัยในสิ่งที่ตัวเองทำไป น้ำตาค่อยๆไหลลงมาเช่นกัน ด้วยความที่เจ็บเหลือเกิน ... เจ็บที่สุดที่เคยเจ็บมาในชีวิต เหมือนหัวใจของเขาหลุดติดมือนทีไปด้วยเมื่อหนุ่มน้อยสะบัดตัวออกจากภาสกรแล้วเดินจากไปช้าๆ

    สายๆภาสกรก็ขับรถพาทุกคนกลับกรุงเทพ นทีไม่คุยกับเขาอีกเลยแม้แต่คำเดียว ดาริกาและปุยฝ้ายก็รู้สึกได้ แต่ไม่มีใครกล้าพอจะเอ่ยปากถาม ต่อให้ไม่ถามก็น่าจะเดาได้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ภาสกรนั่งน้ำตาคลอไปตลอดทาง
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 29 - “ควร” กับ “ไม่ควร” ใครเป็นคนบอก 23/05/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: autumm_99 ที่ 23-05-2011 23:48:24
สงสารนที

มาม่าอีกแล้วววววววววววววววววววววววว

 :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 29 - “ควร” กับ “ไม่ควร” ใครเป็นคนบอก 23/05/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: IIMisssoMII ที่ 23-05-2011 23:54:35
 :m15: นทีของเค้า

 :m16: ภาสกร โกรธนะ แต่เข้าใจ เอาไว้ได้สูญเสียหัวใจของตัวเองก่อนแล้วจะรุ้สึก

เอาใจช่วยคุณชายให้เข้าใจตัวเองได้เร็ว หัวโขนที่ใส่ไว้ทิ้งมันไปซะ

ขอบคุณคนแต่งมากนะคะ
ได้อ่านแล้วสบายใจไปนอนแล้ว...บวกหนึ่งสำหรับการถ่ายทอดความรุ้สึกสับสนของคุณชาย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 29 - “ควร” กับ “ไม่ควร” ใครเป็นคนบอก 23/05/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: ต่ายน้อย ที่ 23-05-2011 23:58:35
คุณชายใจร้ายอ่า
สงสารนทีสุดๆ :a5: :sad4: :m15:
ขอบคุณคนแต่งคร่า
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 29 - “ควร” กับ “ไม่ควร” ใครเป็นคนบอก 23/05/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: Horizon ที่ 24-05-2011 00:20:08
:monkeysad:
เคืองคุณชาย :m16:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 29 - “ควร” กับ “ไม่ควร” ใครเป็นคนบอก 23/05/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: Piaanie ที่ 24-05-2011 00:23:09
คุณชายใจร้ายที่สุด สงสารนที :o12: เชอะ แล้วจะคอยดูต่อไปว่าไอ้ที่ว่าไม่ได้เป็นเกย์ของคุณชายน่ะจะทำใจมีอะไรกับผู้หญิงอื่นได้จริงๆ หรือป่าว  :z6:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 29 - “ควร” กับ “ไม่ควร” ใครเป็นคนบอก 23/05/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 24-05-2011 00:45:10
คุณชาย !
มาทำอย่างนี้กับน้องนทีได้ไง ~>_<~
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 29 - “ควร” กับ “ไม่ควร” ใครเป็นคนบอก 23/05/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: primmi ที่ 24-05-2011 01:03:01
เข้าใจคุณชายนะ
และก็คิดว่าคุณชายคงเจ็บไม่แพ้นที
แต่ขออนุญาตไม่สงสารนะ
รอตอนคุณชายต้องเสียนทีไปเมื่อไร เดียวค่อยเห็นใจแหละกัน ๕๕๕
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 29 - “ควร” กับ “ไม่ควร” ใครเป็นคนบอก 23/05/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 24-05-2011 01:11:02
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 29 - “ควร” กับ “ไม่ควร” ใครเป็นคนบอก 23/05/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: lucifel ที่ 24-05-2011 01:40:28
เครียด  อึดอัด

เห็นแก่ตัวสุดๆ

พูดจาเก็นแก่ได้

คุณชายตกกระป๋องเลยตอนนี้
ไม่เชียร์แล้ว :m31:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 29 - “ควร” กับ “ไม่ควร” ใครเป็นคนบอก 23/05/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: butterfly_bee ที่ 24-05-2011 01:50:59
ึโห อ่านแล้วแบบว่า.. :a5:
ทำแบบนี้มันทำร้ายจิตใจนทีสุดๆเลยนะนั่น
ถ้าอยากใช้ชีวิตสบายๆแบบที่คุณคิดว่ามันดีกับตัวเองนักก็เชิญเหอะคุณชาย
คุณชายก็คงจะเจ็บเหมือนกัน
แต่เราก็ขอไม่สงสารคุณชายด้วยคน  
แล้วทีหลังอย่ามาร่ำร้องหานทีแล้วกัน เชอะ  :a14:
ส่วนนที เข้มแข็งไว้ เชิดใส่ไปเลยค่ะ (ยุสุดๆ555)

ปล.เราว่านทีเข้้มแข็งใจกล้ากว่าคุณชายอีกนะ
สงสัยคุณชายถูกเลี้ยงมาแบบทนุถนอมมากกว่าละมั้ง
มีนั่นมีนี่เป็นห่วงเยอะไปหมด เลยไม่กล้าข้ามออกมาจากโซนปลอดภัยของตัวเอง  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 29 - “ควร” กับ “ไม่ควร” ใครเป็นคนบอก 23/05/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: babyfaibossy ที่ 24-05-2011 02:02:47
เข้าใจคุณชายนะ  บางครั้งคำว่าเหมาะสมมันก็ค้ำคอเราอยู่จริงๆ

 :o12:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 29 - “ควร” กับ “ไม่ควร” ใครเป็นคนบอก 23/05/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 24-05-2011 05:55:47
กุว่าแล้ววววว   :angry2:
อิพวกคนรวย  :m16:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 29 - “ควร” กับ “ไม่ควร” ใครเป็นคนบอก 23/05/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 24-05-2011 06:45:19
มาม่ามาแล้วเหรอ กาซิกๆๆ ขอเป็นชามพอนะคะ ไม่เอาเป็นหม้อ >"<
บวกให้ความสิ้นคิดของอิตาคุณชาย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 29 - “ควร” กับ “ไม่ควร” ใครเป็นคนบอก 23/05/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 24-05-2011 06:57:21
สงสารนที :m15: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 29 - “ควร” กับ “ไม่ควร” ใครเป็นคนบอก 23/05/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 24-05-2011 07:05:59
โธ่เอ๊ยยย คุณชายยย

คิดว่าตัวก่อดราม่าจะเป็นคนอื่น ที่ไหนได้ กลับเป็นตัวคุณชายซะเอง


เซ็ง เคือง แอนด์โกรธมากมาย  :m16:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 29 - “ควร” กับ “ไม่ควร” ใครเป็นคนบอก 23/05/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: ● MaYa~Boy ● ที่ 24-05-2011 09:01:39
นทีหนีไปไกลๆกเลย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 29 - “ควร” กับ “ไม่ควร” ใครเป็นคนบอก 23/05/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: A. marco ที่ 24-05-2011 09:57:40
พี่ฟ้าม่วง ส่งใครก็ได้มาจีบนทีเหอะ
อยากให้คุณชายหึง คงจะสะใจน่าดูเลย ก็ตัวเองปฎิเสธเค้าเองนี่นา 

รอครับ  จะมีฉากคุณชายหึงมั้ยนะ?
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 29 - “ควร” กับ “ไม่ควร” ใครเป็นคนบอก 23/05/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: k00_eng^^ ที่ 24-05-2011 10:15:51
คุณชายใจร้าย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 29 - “ควร” กับ “ไม่ควร” ใครเป็นคนบอก 23/05/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: MaeMoo ที่ 24-05-2011 10:17:11
หวัดดีค่า คุณฟ้าม่วง

ตามมาให้กำลังใจอีกเรื่องนึงนะคะ (แต่ยังไม่ได้ไปที่ทางสามสายเลย อีกไม่นาน..)
อ่านทันแล้วค่ะ

ตอนแรกก็นึกเคืองคุณชายนะ แต่คุณฟ้าม่วงอธิบายความคิดของคุณชายได้ละเอียดดีจัง
จนความเคือง กลายเป็นเข้าใจ และเห็นใจ รวมทั้งเศร้าใจกับนทีไปด้วย

ก็ต้องรอดูว่า จะมีเหตุการณ์ใดที่ช่วยให้เรื่องราวยุ่งยากนี้คลี่คลายลงไปได้บ้าง

เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 29 - “ควร” กับ “ไม่ควร” ใครเป็นคนบอก 23/05/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: bbyuqin ที่ 24-05-2011 11:16:54
เข้าใจว่าคุณชายคงสับสน แต่ระหว่างที่สับสนนี่ คำที่คุณชายพูดแก้ตัวออกมามันทำให้ทั้งคุณชายเองและนทีเจ็บปวด..  :z3:

รออ่านต่อค่ะ +1 จ้า
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 29 - “ควร” กับ “ไม่ควร” ใครเป็นคนบอก 23/05/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: MoPPeT ที่ 24-05-2011 12:32:27
สมน้ำหน้าคุณชาย ให้เจ็บปางตายไปเลยก็ดี
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 29 - “ควร” กับ “ไม่ควร” ใครเป็นคนบอก 23/05/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: soul_merupa ที่ 24-05-2011 12:38:26
ก่อนอื่น ขอขอบคุณที่นำมาโพสนะคะ ตามอ่านจนรู้เรื่องแล้ว เย้!
 แล้วก็มาจบที่พาร์ทที่ดราม่าสุดๆ เข้มข้นสุดๆ

สงสารนทีมาก เหมือนชีวิตนี้เจอแต่เรื่องเลวร้าย พอเห็นโอเอซิส คิดว่าคงมีแต่สุข แต่จริงๆมันกลับทุกข์หนักกว่าเก่า
สงสารที่นทีโดยตอกย้ำให้ได้ยินชัดๆว่า คุณชายไม่ใช่เกย์ รักกันไม่ได้
ก็เข้าใจสถานะคุณชายนะ เหมือนคุณชายเองก็ต้องแคร์วงศ์ศาคนาญาติของตัวเองเหมือนกัน คงละทิ้งทุกอย่างเพื่อนทีคนเดียวไม่ได้
แล้วทีนี้นทีจะทำยังไง จะเข้าหน้ากันติดมั้ยนะ
สงสารทั้งคู่เลยอ่ะ  :m15:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 29 - “ควร” กับ “ไม่ควร” ใครเป็นคนบอก 23/05/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: คนริมคลอง ที่ 24-05-2011 12:41:54
ไอ้คุณชายคิดจะฟันแล้วทิ้งกันเหรอ  :beat:

หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 29 - “ควร” กับ “ไม่ควร” ใครเป็นคนบอก 23/05/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 24-05-2011 14:23:35
คุณชายไม่ผิดหรอกที่ตัดสินใจอย่างนั้น

แต่ผิดมหันต์ที่แก้ตัวอย่างหน้าด้านที่สุดและปฏิเสธตัวเอง เอาเถอะค่ะ จะทำอะไรก็ทำ หากคิดว่าดีที่สุดแล้ว แต่อย่ามาง้องอนขอคืนดีกับนทีทีหลังก็แล้วกัน เพราะใจคนเมื่อมันแตกสลายแล้วก็ยากจะทำให้กลับเป็นเหมือนเดิมได้ (ยาก แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นไปไม่ได้นะคะ  o18)

ขอบคุณคุณฟ้าม่วงนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 29 - “ควร” กับ “ไม่ควร” ใครเป็นคนบอก 23/05/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: A-J.seiya* ที่ 24-05-2011 14:46:13
เข้าใจคุณชายว่าสับสน
แต่ไม่ไหวนะ ที่ทำแบบนี้
โฮๆๆ สงสารนทีมากอ้ะ ,,
พูดแบบนั้นออกมาได้ยังไง!!!
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 29 - “ควร” กับ “ไม่ควร” ใครเป็นคนบอก 23/05/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: evilheart ที่ 24-05-2011 16:18:47
คุณชายอย่าสับสนนานนักนะ(http://i273.photobucket.com/albums/jj225/tangtang_jar/anigif-1.gif)
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 29 - “ควร” กับ “ไม่ควร” ใครเป็นคนบอก 23/05/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 24-05-2011 16:42:22
ทั้งสุขและเศร้า
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 29 - “ควร” กับ “ไม่ควร” ใครเป็นคนบอก 23/05/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: oilzii ที่ 24-05-2011 17:13:29
อยู่ๆก็มาม่า!!
 :a5:

กรี๊ดดดดดดดดด ไม่ทันจะได้เตรียมใจเล้ยยย :o12:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 29 - “ควร” กับ “ไม่ควร” ใครเป็นคนบอก 23/05/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: jamesnaka ที่ 24-05-2011 18:27:11
คำแก้ตัวแบบนั้นของคุณชายไม่ต่างอะไรกับผู้ชายมักง่ายเลยนะ  :z6:
เข้าใจว่าคุณชายมีเหตุผล แต่แล้วยังไงละ ทำไมต้องแก้ตัวแบบนั้น
บอกนทีไปตรงๆเลยก็ได้ว่า 'รัก' แต่เราเป็นคนรักกันไม่ได้ บอกเหตุผลนทีไปตรงๆเลยจะดีกว่าไหมว่าทำไม
โดยส่วนตัวเราคิดว่า นทีเป็นคนที่มีความคิดและมีเหตุผลคนหนึ่ง เมื่อได้ฟังเหตุผลตรงๆก็น่าจะยอมรับได้
และจะเสียใจน้อยกว่านี้แน่นอน  :m16:

ขอบคุณสำหรับตอนที่ 29 ค่ะ  :pig4:

หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 29 - “ควร” กับ “ไม่ควร” ใครเป็นคนบอก 23/05/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: namngern ที่ 24-05-2011 20:51:01

สมน้ำหน้า ไอ้บ้าเอ๊ย!! ห่วงแต่ตัวเอง ถุยยย
ไม่เคยจะใส่ใจในความรู้สึกของอีกฝ่าย
พูดพล่อยๆ อารมณ์สุดยอดดดด ขอออกไประงับสติก่อนคะ
+1 ให้นะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 29 - “ควร” กับ “ไม่ควร” ใครเป็นคนบอก 23/05/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 24-05-2011 20:54:04
นที!!!~  หึก   :monkeysad:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 29 - “ควร” กับ “ไม่ควร” ใครเป็นคนบอก 23/05/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 24-05-2011 20:55:28
สงสารนทีมากกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 29 - “ควร” กับ “ไม่ควร” ใครเป็นคนบอก 23/05/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 24-05-2011 21:19:55
คุณชายทำไมพูดแบบนี้ ไม่รักนทีเหรอ น้อยใจแทน อินมากค่ะตอนนี้
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 29 - “ควร” กับ “ไม่ควร” ใครเป็นคนบอก 23/05/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: naja-kitase ที่ 24-05-2011 21:34:45
เจ็บ ฉึก ฉึก
อ่านไปกุมหัวใจตัวเองไป จะร้องไห้ (ประหนึ่งตัวเองเป็นนที  :m15:โฮวววว)
คุณชายคะ ถ้าคิดได้อย่างนั้นก็ไม่ว่าอะไรค่ะ กลับไปแต่งงานกับคุณหญิงทิฆัมพรอะไรนั่นเถอะ เชิญญญญญญ  :beat:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 29 - “ควร” กับ “ไม่ควร” ใครเป็นคนบอก 23/05/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: J_Dargon ที่ 24-05-2011 22:21:52
ซื้ดดดดดดดดด  ม่ามาถ้วยใหญ่
หัวข้อ: Re: ...รักล้นใจ...(อัพครั้งที่ 16)
เริ่มหัวข้อโดย: yunjaejoong ที่ 24-05-2011 23:05:03
ไม่ชอบไอ้คุณชายเลยตอนนี้น่ะ ทำร้ายจิตใจน้องน้ำง่ะ  น้ำเอ้ยหนีไปที่ที่ไม่มีไอ้คุณชายเลย ดูซิว่ามันจะตามหาม่ะกำลังอินกับน้องน้ำ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 29 - “ควร” กับ “ไม่ควร” ใครเป็นคนบอก 23/05/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: precious ที่ 25-05-2011 10:10:35
สงสารนที โกรธคุณชาย ก็รู้ว่าคงทำใจยอมรับตัวเองลำบาก แต่เล่นพูดไม่มีตัดเยื่อใย ไร้ความรู้สึกเยี่ยงนี้ มันก็เกินไปจริงๆ
อยากให้นทีได้พบกับความสุขสักที
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 29 - “ควร” กับ “ไม่ควร” ใครเป็นคนบอก 23/05/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 25-05-2011 22:03:47
ก่อนจะอ่าน แนะนำให้เปิดเพลงคลอไปด้วยนะครับ
http://www.youtube.com/embed/ZCghVAHKzYQ

*******************************************************

30

    เสียงเพลงดังแผ่วเบามาจากวิทยุเก่าๆที่โต๊ะข้างเตียง เสียงกีต้าร์โปร่งฟังดูเศร้าจับใจ แทบจะเรียกได้ว่าแต่ละโน้ตกรีดลงไปในหัวใจของผู้ฟัง ทิ้งแผลไว้ลึกชนิดที่ว่าไม่มีวันรักษาให้หายได้
    ดวงตาแดงก่ำแห้งแทบไม่เห็นประกายของน้ำตาจับจ้องที่ท้องฟ้าภายนอก ทำไมมันจึงเป็นสีเทาอย่างน่าใจหายได้ขนาดนั้นนะ อึมครึมราวกับอีกไม่กี่นาทีต่อมาจะสาดซัดฝนให้เปียกไปทั่วบริเวณ ทั้งที่ตอนนี้เป็นหน้าแล้งไม่สมควรจะมีฝนเลยแม้แต่น้อย เมฆสีเข้มลอยตัวต่ำแทบจะสัมผัสได้พาดผ่านดวงอาทิตย์ทำให้แสงแห่งวันแทบจะดับมืดลง เหมือนกับคนคนหนึ่งที่ชื่อของเขาหมายถึง ดวงอาทิตย์ ก็ถูกเมฆหนาบดบังเสียหมดเช่นกัน
    ไม่นานฝนก็กลั่นตัวตกลงมาพรำๆ ราวกับท้องฟ้าเองก็กำลังร้องไห้ให้กับเขา คลอไปกับเสียงแหบต่ำ แผ่วเบาของนักร้องฟังดูคล้ายเสียงรำพึงของคนอกหัก ทำให้เนื้อความในเพลงดูจริงจัง ชัดเจนมากเท่าที่มันควรจะเป็น
    
         อาจมีฝนที่หล่นมาชั่วคราว และเมฆขาวที่ผ่านมาเพียงชั่วคืน
    เจอะกับลมก็ปลิวไปไม่มีใครรื้อฟื้นไม่ได้เป็นความยั่งยืนเสมอไป
     
    หนุ่มน้อยคว้าเอารูปของคนที่เขาคิดถึงจับใจมาถือไว้ในมือ จ้องมองใบหน้าอมทุกข์ของชายหนุ่มในนั้นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะยกมือของตนขึ้นลูบใบหน้าหล่อคมของชายหนุ่ม ก่อนจะหลับตาแน่นคิดถึงสัมผัสที่เขาใช้กับตน ทะนุถนอมเรากับตนเป็นสมบัติที่เจ้าตัวหวงแหนเหลือเกิน ทำไมนะ ทำไมเขาถึงไม่ลืมภาสกรเสียที จะใช้ความพยายามสักเท่าใดก็ไม่สามารถลืมรอยยิ้มที่อบอุ่น และน้ำเสียงแผ่วเบาแต่หนักแน่นที่เคยพูดกับเขาได้ คิดถึงสิ่งต่างๆที่ผ่านมาในชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างหลุดลอย ผ่านพ้นไปจากใจ หายไปจากความคิดของหนุ่มน้อยได้รวดเร็ว

        แต่กับเธอที่ผ่านมาชั่วคราว และเรื่องราวที่เปลี่ยนไปชั่วข้ามคืน
    กับอะไรที่เป็น ก็ยังไม่เคยลืม เหมือนว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของหัวใจ

    ใจจะขาด... เจ็บเหลือเกิน เจ็บจนไม่อาจทนอยู่ได้อีกแล้ว น้ำตาที่ร้องไปจนแทบไม่เหลืออีกกลับเอ่อล้นขึ้นมาอีกครั้งจนหนุ่มน้อยปวดตาเหลือเกิน คิดถึงคำพูดของภาสกร แล้วก็แทบไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป... “ผมขอโทษนที... คุณเข้าใจผมนะ ผมไม่ได้ชอบผู้ชาย นที ผมไม่ได้เป็นเกย์” จริงซีเหมือนกับนักร้องเพลงนี้จะรู้ทันความคิดของเขา ใช่...เราไม่เคยจะรักกันมีแต่วันที่อ่อนไหว ผ่านเลยไปและไม่เคยจะกลับมา
    เจ็บเพราะเขา แต่เกลียดเขาไม่ลง โกรธเขาไม่ได้ ลืมเขายิ่งไม่มีทางแทนที่จะเข็ดไม่อยากเข้าใกล้ แต่เมื่อนึกถึงภาสกรทีไรก็จะสัมผัสได้ว่าเรื่องระหว่างเขาและภาสกรกลายเป็นแค่ความประทับใจที่ยังคงแน่นหนา อย่างในเพลง มีแต่ฝนมีแต่ฟ้าที่เข้าใจ... แต่ฝนกับฟ้าจะมาเข้าใจอะไรเขา
    ไม่มีใครเข้าใจเขาหรอก
    หนุ่มน้อยเอื้อมมือปิดวิทยุ วางรูปของคุณชายไว้ที่เดิมเขาควรจะย้ายออกไปจากห้องของปุยฝ้ายในอีกวันสองวันนี้ แต่ก็ยังตัดสินใจไม่ได้จนแล้วจนรอดว่าควรจะไปจริงๆหรือเปล่า แม้จะจ่ายค่าเช่าห้องไปแล้วแต่ก็ทำใจออกไปอยู่คนเดียวไม่ได้... ความจริงไม่มีใครรู้หรอกว่าเหตุผลเดียวที่นทีไม่ยอมไปจากแฟลตนี้คือ
    มันเป็นที่เดียวที่ภาสกรจะหาเขาพบ ถ้าชายหนุ่มจะกลับมาหาเขาสักวันชายหนุ่มจะหาเขาพบได้ที่นี่เท่านั้น เขาจึงไม่ยอมย้ายออกไปจนแล้วจนรอด

    นทีไม่เจอภาสกรอีกเลยเป็นเดือน นับแต่วันที่กลับมาจากนครนายก
    หนุ่มน้อยตกอยู่ในสภาพที่แทบจะแย่กว่าตอนพ่อและแม่เสีย ตอนที่ยังไม่เคยเจอภาสกรอย่างไรอย่างนั้น นทีนอนร้องไห้อยู่สองสามวันแรก ซึมเศร้าไม่พูด
ไม่คุยอะไรกับใคร ปุยฝ้ายชวนไปทำงานที่ร้าน Chez Moi ก็ไม่ไป แต่ไปสมัครงานพาร์ทไทม์ร้านอาหารใกล้ๆนั้นแทน ทั้งที่เงินก็ได้น้อยกว่า งานก็หนักกว่า เพื่อนสาวเข้าใจโดยไม่ต้องให้ใครมาบอกเลยว่า นทีกับภาสกรคงทะเลาะกัน หรือผิดใจกัน ไม่ก็มีอะไรสักอย่างระหว่างกันที่ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่อาจเป็นเหมือนเดิมได้
    หล่อนเป็นห่วงเพื่อนเกินกว่าจะอยากรู้อยากเห็นเรื่องของเขาสองคน หล่อนก็เลยไม่ได้ถามนที ได้แต่ปลอบใจและหาอะไรให้ทำแก้เครียดเท่านั้น
    นทีใจสลาย เจ็บเกินกว่าที่จะเชื่อว่าตัวเองจะเป็นได้เพียงเพราะคนคนเดียวเขารักภาสกรมาก คิดถึง อยากเจอหน้า อยากพูดคุยด้วย อยากอยู่ใกล้ชิดกับคุณชายหนุ่มอีกครั้ง แต่ก็รู้ดีว่าคงเป็นไปไม่ได้อีก เมื่อภาสกรเป็นฝ่ายบอกเองว่าเขาไม่ได้ชอบผู้ชาย... ก็คือไม่ได้ชอบเขาเลย ไม่ได้รู้สึกต่อเขาอย่างที่เขารู้สึกต่อคุณชาย
     เรื่องที่เกิดขึ้นคืนนั้นก็ไม่ต่างจากที่มันเคยเกิดครั้งแล้วครั้งเล่า คือเป็นไปเพราะตัณหา เหมือนเขาเป็นเครื่องระบายอารมณ์ทางเพศเท่านั้น มิได้มีความหมายอื่นสำหรับใคร แม้สำหรับภาสกรที่เขาเชื่อว่าดีกับเขามากกว่าใครในโลกแล้วก็ตาม นทีสิ้นหวังไม่มีกำลังใจในการใช้ชีวิต กินไม่ได้นอนไม่หลับจนไม่สบาย นอนซมอยู่หลายวัน ผ่ายผอมไปจนผิดตา
    “ไอ้น้ำเอ๊ยลืมเขาเถอะแก”
    “เป็นแก แกจะลืมคนที่ทำให้แกเกือบตาย แต่ก็ให้มีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งได้หรือ... เขาเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของฉัน เขาทำให้ฉันดีขึ้นจากตอนที่สิ้นหวังเหลือเกิน แล้วก็อีกครั้งทำให้ฉันหมดแรงจะใช้ชีวิตต่อไป คุณชายภาสกร กลายเป็นคนสำคัญในชีวิตฉันไปแล้วไม่ว่าแกจะว่าอย่างไรก็ตาม เขามีอิทธิพลต่อฉันอย่างที่ฉันปฏิเสธไม่ได้เลย”
    ปุยฝ้ายโทรไปปรึกษาดาริกาแต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา เพราะดาริกาเองก็ไม่ได้เจอภาสกรเช่นกัน เป็นเพราะต่างฝ่ายต่างก็ยุ่งกับงานของตนจนไม่มีเวลามาพบหน้าสังสรรค์กันอีก กระทั่งวันที่ดาริกาต้องมาประชุมกับภาสกรเป็นครั้งสุดท้ายก่อนถึงวันงานแฟชั่นโชว์หล่อนถึงตั้งใจจะพูดเรื่องนทีกับคุณชายหนุ่ม
    หล่อนพูดเรื่องของภาสกรกับนรัตถพล ก็ได้คำตอบจากพี่ชายของตัวเองว่า “เรื่องของคนอื่นเขา เธออย่าเข้าไปยุ่งจนกว่าเขาจะต้องการความช่วยเหลือจากเราเอง ตอนนั้นจะช่วยเขาอย่างไรก็ได้ แต่ถ้าเขาไม่พูดอะไรก็แสดงว่าเขาไม่ต้องการให้ช่วย ไปยุ่งกับเขาก็คือแส่หาเรื่องเท่านั้นแหละ”
    วันงานแฟชั่นโชว์คือวันเสาร์นี้ อีกสามวันนับจากวันนี้ วันที่จู่ๆฝนก็ตกหนักเหลือเกิน ดาริกาได้เครื่องประดับทั้งหมดที่ต้องใช้มาจากดลนภาแล้วแยกเป็นชุดไว้กับเสื้อผ้าของหล่อนเอง ภาสกรไม่ได้มายุ่งกับขั้นตอนนี้ เพราะอีกฝ่ายไม่ได้เข้าออฟฟิสทำงานมาหลายวัน ถามเอาจากดลนภาก็ได้ความแค่ว่า
    “คุณชายไม่ค่อยสบายค่ะ”
    จนดาริกาต้องเป็นฝ่ายรวบรวมความกล้าโทรไปหาชายหนุ่มเอง
    “คุณชายพอจะว่างคุยกับหญิงไหมคะ หญิงอยากจะพูดกับคุณชายเรื่องวันงาน แล้วก็... เรื่องส่วนตัวบางเรื่องด้วย”
    “ผมว่างทุกวันคุณหญิงนัดผมมาเลยครับ”
    “วันนี้ค่ะ หญิงอยู่พัทยาแล้วถ้ารออีกจะไม่ได้คุย ถ้าไม่ใช่วันนี้หญิงไม่รู้แล้วค่ะว่าจะว่างวันไหนบางทีอาจเป็นวันงานทีเดียวก็ได้” ดาริกาพุ่งเข้าเป้าหมายทีเดียวจนภาสกรเงียบไปหลายนาทีกระทั่งตอบว่า
    “ผมออกไปหาคุณหญิงได้ที่ร้าน Chez Moi เดี๋ยวนี้ แต่คุณหญิงจำได้ไหมครับ เรื่องที่เราคุยกันที่นครนายก... ผมอยากพบคุณชายนรัตถพล คุณหญิงพอจะรู้ไหมครับว่าผมจะไปหาเขาได้ที่ไหน”
    “พี่ชายรัตเองก็มาเที่ยวพัทยาเหมือนกัน หญิงจะพาพี่ชายรัตไปหาด้วยค่ะ... อ๋อใช่ค่ะ วันนี้ เดี๋ยวนี้เลยค่ะ... ค่ะ ทั้งๆที่ฝนตกหนักราวกับฟ้าถล่มนี่ล่ะค่ะ”

     ภาสกรผอมลง แทบจะเรียกได้ว่ากลายเป็นคนละคนจนดาริกาเกือบจำไม่ได้ แก้มตอบลงชัดเจนเพราะไม่ยอมกินอะไร ใต้ตาก็คล้ำเห็นชัดว่าขาดนอนมาหลายคืน สีหน้าอมทุกข์ไม่เหมือนกับภาสกรที่หล่อนรู้จัก เรียกได้ว่าครบตามคุณสมบัติของผู้มีอาการ “อกหัก” ทุกประการ
    นรัตถพลปล่อยผมดำลงมาเคลียบ่า สายตาเป็นมิตรเช่นเดียวกับดาริกา ส่งยิ้มให้ภาสกรอย่างเป็นกันเอง ชายหนุ่มตรงหน้านี้ก็เป็นหนุ่มร่างบาง สะโอดสะอง หน้าสวยราวกับหญิงสาวเช่นกัน แต่แปลกเหลือเกินที่ภาสกรกลับไม่ได้สนใจเขามากเท่าที่สนใจนทีเลย
    ทักทายกันไม่ให้เสียมารยาทแล้วดาริกาก็พูดขึ้น
    “ดีใจเหลือเกินที่ได้เจอคุณชายค่ะ แต่คุณชายผอมลงมากนะคะมีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าคะ” นี่แหละดาริกา มุ่งตรงเข้าประเด็นอย่างไม่อ้อมค้อม แต่ใช้น้ำเสียงเรียบสงบ นุ่มนวลน่าฟังจนชายหนุ่มไม่รู้สึกว่าถูกโจมตี
    ภาสกรถอนใจ
    “คุณหญิง พอจะทราบเรื่องผมกับนทีหรือเปล่า”
    ดาริกายิ้มหวานดูสวยจับใจจนภาสกรอดไม่ได้ที่จะแอบชมในใจ ตอบว่า
    “ไม่ทราบค่ะ ทราบแต่นทีป่วยซมไปหลายวัน คุณชายก็ดูผอมๆแปลกๆ เป็นโรคอะไรแล้วติดกันหรือเปล่าไม่รู้นะคะ” หล่อนพูดอย่างขำๆ จนนรัตถพล
อดไม่ได้ที่จะเสริมว่า
    “โรคอกหักหรือเปล่าครับ”
    ภาสกรเงียบ นี่เขาจะต้องยอมรับกับดาริกาจนได้หรือนี่
    “คุณหญิง คุณชายรัตอย่าบอกใครเลยนะครับผมขอร้อง...”รวบรวมความกล้าพูดไปได้เพียงครึ่งประโยคก็หยุดเท่านั้น นึกอายเหลือเกินที่พูดออกมา “ผมไม่เคยรู้สึกกับใครอย่างนี้มาก่อนผมพูดจริงๆ อย่างที่เคยคุยกับคุณหญิงไปบ้างแล้ว จนกระทั่งที่นครนายก... ผมปล่อยให้ใจของผมถลำลึกลงไปมาก จนมาบัดนี้แม้จะไม่ได้เจอเขาอีก ผมก็ไม่สามารถลืมเขาได้เลย”
    ดาริกาขยับเหมือนจะเอื้อมมือมาจับมือภาสกรบีบเบาๆ ด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ไม่ได้ทำเพราะอยู่ในที่สาธารณะที่คนพลุกพล่านเกินไป
    “คุณหญิงคงพอเดาออกว่าเขาที่ผมพูดถึงนี้เป็นใคร”
    ภาสกรเงียบไปในที่สุด พูดอะไรไม่ออกอีกต่อไปได้แต่มองหน้าดาริกาด้วยคงามไม่สบายใจจน นรัตพลเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน
    “พี่กับคุณชายก็ไม่สนิทอะไรกับเท่าไหร่หรอกนะ พี่ไม่รู้นิสัยใจคอคุณชายแต่พี่รู้ว่าอาการของคนมีความรัก และอกหักน่ะเป็นยังไง... คุณชายจะยอมรับกับตัวคุณชายเองไหมว่าคุณชายอกหักเพราะคนคนนี้”
    “ผม... ครับ ผมยอมรับ ผมไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร รู้ตัวอีกทีก็รักไปแล้ว แล้วก็รู้ว่าเขาเองก็คิดไม่ต่างจากผม แต่ผมก็โง่เหลือเกินที่ได้ปฏิเสธเขาไปแล้วด้วยไม่ทันได้มีโอกาสคิดดูดีๆ” เขาเงียบไปพักหนึ่ง ราวกับจะเรียบเรียงคำพูดในหัว แล้วก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ผมโตมาในครอบครัวที่ค่อนข้างซีเรียส จริงจังกับทุกๆอย่าง พี่ชายรัตคงเข้าใจว่าการเป็นคนมียศ มีศักดิ์มันลำบากมาก ทำอะไรต้องนึกถึงบรรพบุรุษไว้ให้มาก จะให้เสื่อมเสียมาถึงวงศ์ตระกูลไม่ได้เด็ดขาด
    ผมถูกปลูกฝังมาแต่ไหนแต่ไรแล้วว่าผู้ชายเกิดมาคู่กับผู้หญิง ผมไม่เคยคิดว่าการเป็นเกย์เป็นเรื่องผิดก็จริง แต่ผมก็ยอมรับไม่ได้จนแล้วจนรอดว่าตัวเองก็เป็นด้วย ผมไม่รู้ว่าชีวิตผมจะเป็นอย่างไรถ้าผมเลือกเดินทางสายนี้ ผมกลัวครับว่าจะไม่มีคนยอมรับ กลัวหม่อมแม่ กลัวท่านพ่อ กลัวสังคม ผมไม่กล้าปล่อยให้ความสัมพันธ์ของผมกับเขาดำเนินต่อไปก็เพราะแบบนี้”
    “คุณชายบอกผมว่าคุณชายไม่รู้ว่าถ้าคุณชายเป็นเกย์แล้ว ชีวิตคุณชายจะเป็นอย่างไร ไหนคุณชายบอกผมทีซิว่า ถ้าคุณชายเลือกที่จะไม่เป็นเกย์ ชีวิตคุณชายจะเป็นอย่างไรครับ”
    ภาสกรนิ่งไป คำถามของนรัตถพลยากกว่าข้อสอบข้อไหนที่เขาเคยทำมา สุดท้ายเมื่อถูกสายตาของนรัตถพลรบเร้าเข้าก็เลยจำใจตอบว่า
    “ชีวิตของผมถูกวางไว้แล้วว่าต้องเข้าเรียนโรงเรียนดีๆ ประพฤติตัวดีๆ จบออกมาทำงานดีๆซึ่งก็คือสืบทอดกิจการของท่านพ่อ จากนี้ไปผมก็คงจะต้องแต่งงานมีลูกมีภรรยา เป็นพ่อที่ดี เป็นสามีที่ดีเป็นตัวอย่างให้คนในสังคมให้ใครเขาตำหนิไม่ได้มังครับ”
    นรัตถพลยิ้มที่มุมปากแล้วพูดว่า
    “คงจะต้อง... มังครับ คุณชายรู้ไหมว่าคำเหล่านี้เขาใช้กับประโยคแบบไหน” คุณชายหนุ่มผมยาวดำขลับหยักศกเป็นคลื่น ยิ้มให้ภาสกร “ประโยคที่เป็นข้อสันนิษฐานไงครับ ประโยคทรรศนะที่แสดงอาการคาดคะเน แสดงความไม่แน่ใจของตัวผู้พูด ไม่ใช่ประโยคที่เป็นข้อเท็จจริง”
    ภาสกรรู้สึกเหมือนถูกจับกดน้ำ แล้วกระชากศีรษะขึ้นมาอีกครั้งทำให้ได้สติ มองเห็นอะไรที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
    “คุณชายจะรู้ได้อย่างไรว่าถ้าคุณชายไม่เป็นเกย์คุณชายจะมีชีวิตแบบนั้น” ถูกของนรัตถพล ภาสกรเถียงไม่ได้เลย “ถ้าผมพูดว่า พรุ่งนี้พระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันออก ก็หมายความว่ายังไงเสียมันก็จะเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่ถ้าผมพูดว่าพรุ่งนี้ ฝนคงตกอีกแน่ๆ ถึงจะมั่นใจแค่ไหนแต่ความจริง มันจะตกหรือไม่ก็ได้จริงไหมครับ ชีวิตของคุณชายก็เหมือนกัน
    คุณชายจะรู้ได้อย่างไรว่าถ้าคุณชายเลือกไม่รักคนคนนี้ คุณชายจะได้แต่งงานมีลูก มีเกียรติมีหน้ามีตาอย่างที่คุณชายบอก แล้วคุณชายจะรู้ได้อย่างไรว่าถ้าคุณชายเลือกจะรักเขา เป็นแฟนกับเขาแล้วคุณชายจะถูกสังคมกีดกัน ไม่ยอมรับ อนาคตเป็นเรื่องของอนาคตครับคุณชาย ต่อให้เราคิดรอบคอบดีแล้วแค่ไหน ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่จำเป็นจะต้องตรงกับที่เราคิดเสมอไป เรื่องสังคมไม่ยอมรับ ผมว่า... คนเราไม่ชอบคุยเรื่องดีๆของคนอื่นหรอกครับมันไม่สนุก ต่อให้คุณชายไม่ได้เป็นเกย์ใครต่อใครก็หาเรื่องมาว่าคุณชายได้อยู่แล้ว ยังไงเสียพูดให้คนอื่นเสียหายก็มันส์ปากกว่ากันเยอะครับ ฉะนั้นคุณชายอย่ากลัวข้อนี้เลย”
    ภาสกรไม่เถียง แต่ก็ไม่ได้คล้อยตามเสียทีเดียว ปล่อยให้นรัตถพลพูดต่อไป ตัวเขาจะเป็นฝ่ายเก็บข้อมูลไปก่อน
    “ผมไม่ได้บอกว่าเป็นเกย์แล้วดีเป็นไปเถอะ หรือจะบอกว่าเป็นชายแท้มันไม่ดีอย่าเป็นเลยนะ... แต่ผมจะบอกคุณชายว่า ถ้าคุณชายเป็นอะไรไปแล้วก็ยอมรับมันเถอะครับ ชีวิตมันมีข้อดี ข้อเสียอยู่ในตัวมัน ยอมรับมันให้ได้ แล้วอยู่กับมันเสียเถอะครับ” นรัตพลมองหน้าเขาด้วยแววตาจริงจังเคร่งเครียดจนดาริกาต้องเสริมมาว่า
    “มันมีหลายวิธีที่จะพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นคนดีค่ะคุณชาย ไม่ใช่ว่าต้องเป็นชายแท้แต่งงาน มีลูกสืบสกุลให้พ่อแม่อย่างเดียวนี่คะ” หล่อนยกมือวางบนบ่าของพี่ชาย “ดูพี่ชายรัตซีคะ เขารักใครชอบใครก็ไม่ได้เอามาเที่ยวโชว์ให้คนอื่นเห็นจริงไหมคะ เขาก็มีชีวิตของเขาก้าวเข้าบ้านเขาก็มีคู่รักที่รอเขากลับมา ออกนอกบ้านเขาก็ทำหน้าที่ที่ดี คุณชายเคยได้ยินใครมาว่าอะไรพี่ชายรัตหรือคะนอกจากเรื่องที่เขาไม่แต่งงานเสียที เราไม่สนใจเป็นทุกข์เป็นร้อนเสียอย่างคุยไปคุยมาคนก็ลืมค่ะ”
    “ใครก็บอกอะไรเราได้ทั้งนั้น แล้วคุณชายจะคิดยังไงก็ได้ทั้งนั้น แต่ความจริงก็คือความจริง คุณชายเป็นอะไร รู้สึกอย่างไรกับใครคุณชายก็รู้ตัวเองดี แล้วคุณชายจะไปหนีความจริงทำไมเล่าครับ คุณชายรักเขาไปแล้วไม่ใช่ไม่รัก ถ้าไม่รัก ถ้าเลือกได้จะมานั่งทุกข์ใจอยู่อย่างนี้หรือครับ อนาคตเป็นเรื่องของอนาคต รีบตัดสินใจเสียครับ ก่อนที่เขาจะหลุดมือไปไม่กลับมาอีกเลย”
    “เอาอย่างนี้ดีกว่าค่ะ คุณชายยังอยากเจอน้องน้ำอีกไหมคะ” ดาริกาถาม
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 30 “เราไม่เคยจะรักกัน มีแต่วันที่อ่อนไหว” 25/05/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: evilheart ที่ 25-05-2011 22:25:41
กว่าจะรู้ตัว ก้อเจ็บปวดกันไปพอสมควร (http://i273.photobucket.com/albums/jj225/tangtang_jar/b4.gif)
รีบไปตามหัวใจกลับมาเลยนะ อีกฝ่ายเค้ารออยู่(มั้ง(http://i273.photobucket.com/albums/jj225/tangtang_jar/010-1.gif))
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 30 “เราไม่เคยจะรักกัน มีแต่วันที่อ่อนไหว” 25/05/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: IIMisssoMII ที่ 25-05-2011 22:30:24
สภาพของทั้งสองคน โทรมได้ใจทั้งนั้นเลย
สุ้ๆ  คุณชาย..
ยอมรับตัวเองแล้วก็ไปยอมรับกับนทีเถอะ...
มีความสุขกันเสียที เรื่องหม่อม ๆ ทั้งหลาย ค่อยไปจัดการทีหลัง
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 30 “เราไม่เคยจะรักกัน มีแต่วันที่อ่อนไหว” 25/05/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 25-05-2011 22:36:02
ค้างไปค่ะ แงๆ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 30 “เราไม่เคยจะรักกัน มีแต่วันที่อ่อนไหว” 25/05/11 - 22
เริ่มหัวข้อโดย: ต่ายน้อย ที่ 25-05-2011 22:39:19
อาคุณชายเริ่มคิดได้แล้ว รีบไปตามน้องน้ำเลยน้าเฟ้ย~ :m31:
เป็นกำลังใจให้คร่า :L2:
มีลุ้นรวมเล่มคุณชายมั้ยคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 30 “เราไม่เคยจะรักกัน มีแต่วันที่อ่อนไหว” 25/05/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: Piaanie ที่ 25-05-2011 22:47:02
แง๊ว...ค้างเลย กำลังได้จังหวะดีทีเดียว น่าจะกระจ่างอะไรมั่งนะนี่คุณชาย เค้าพูดตรงประเด็นซะขนาดนั้นแล้ว ถ้าไม่รู้สึกตัวให้ไว
เกิดอะไรขึ้นมาจะมาแก้ไขไรไม่ได้แล้วละทีนี้  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 30 “เราไม่เคยจะรักกัน มีแต่วันที่อ่อนไหว” 25/05/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กกะโปโล ที่ 25-05-2011 22:51:22
โกรธคุณชายนิดๆที่ทำกับนทีแบบนั้น
ถ้าเอาแต่กลัวแบบนี้ พอวันหนึ่งคุณชายคิดขึ้นมาได้ว่าตัวเองต้องการใคร บางทีมันอาจจะสายเกินกว่าจะแก้อะไรแล้ว
ไม่ยอมรับความจริง กลัวนู่นกลัวนี่ แล้วสุดท้ายจะต้องใช้ชีวิตอยู่กับความทุกข์แบบนี้เหรอฮะ??
กลับไปหานทีเถอะคุณชาย ก่อนที่อะไรๆจะสายเกินไป แล้วค่อยช่วยกันหาทางออกของปัญหาดีกว่าฮะ :กอด1:

ขอบคุณคุณฟ้าสีม่วงนะฮะ (สำหรับมาม่าถ้วยโต o17) มาลงตอนต่อไปไวๆนะฮะ ^^
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 30 “เราไม่เคยจะรักกัน มีแต่วันที่อ่อนไหว” 25/05/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 25-05-2011 23:03:08
รีบๆคิดและตัดสินใจนะคุณชาย
ก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายไป เหมือนที่พี่ชายรัตว่า
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 30 “เราไม่เคยจะรักกัน มีแต่วันที่อ่อนไหว” 25/05/11 - 22
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 25-05-2011 23:04:22
เจ็บกันพอหรือยังเนี่ย??
ขอบคุณฮะ!!
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 30 “เราไม่เคยจะรักกัน มีแต่วันที่อ่อนไหว” 25/05/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: babyfaibossy ที่ 25-05-2011 23:14:03
 :o12: :o12:

ไร้คำพูด แต่เห็นด้วยกับท่านพี่รัต(ยกย่องเป็น่ทานพี่ไปเลยครับ 555) สุดๆ

 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 30 “เราไม่เคยจะรักกัน มีแต่วันที่อ่อนไหว” 25/05/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: A-J.seiya* ที่ 25-05-2011 23:37:28
สงสารน้ำ เรื่องที่แบบต้องคิดมากที่ว่า
คุณชายก็เหมือนกับ พ่อเลี้ยง
โฮวววววว ม่เอานะ ไม่เหมือนกัน
คุณชาย ยังสติลกินหญ้า แต่คาดว่าพี่ชายรัต คงช่วยได้
ฮึกกก!!!
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 30 “เราไม่เคยจะรักกัน มีแต่วันที่อ่อนไหว” 25/05/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: jojobuffy ที่ 25-05-2011 23:45:39
เจอกันไวๆนะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 30 “เราไม่เคยจะรักกัน มีแต่วันที่อ่อนไหว” 25/05/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: bbyuqin ที่ 26-05-2011 00:20:01
คงต้องพามาเจอกันอีกที น่าจะชัดเจนในความรู้สึกมากขึ้น
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 30 “เราไม่เคยจะรักกัน มีแต่วันที่อ่อนไหว” 25/05/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: jamesnaka ที่ 26-05-2011 00:24:01
สงสารนที  :monkeysad:
แต่กับคุณชายนี่สมน้ำหน้า ทำตัวเองแท้ๆ  :m16:

ขอบคุณสำหรับตอนที่ 30 ค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 30 “เราไม่เคยจะรักกัน มีแต่วันที่อ่อนไหว” 25/05/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: J_Dargon ที่ 26-05-2011 00:25:26
คุณหญิงกับพี่ชายรัต ช่างเป็นคนดีเหลือเกินนนนน o13
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 30 “เราไม่เคยจะรักกัน มีแต่วันที่อ่อนไหว” 25/05/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: butterfly_bee ที่ 26-05-2011 00:32:54
คุณชายนรัตถพลสุดยอดค่าา  o13  o13
ชี้ทางสว่างให้คุณชายเรียบร้อย
เหลือแต่คุณชายไปคิดเอาเองแล้วกันว่าจะทำไงต่อไป
ตอนนี้ไม่ไหวแล้ว สงสารนทีมาก  :o12:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 30 “เราไม่เคยจะรักกัน มีแต่วันที่อ่อนไหว” 25/05/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 26-05-2011 00:56:55
แล้วก็ฉับ!! ไปดื้อๆซะอย่างงั้น  o22
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 30 “เราไม่เคยจะรักกัน มีแต่วันที่อ่อนไหว” 25/05/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: naja-kitase ที่ 26-05-2011 08:04:07
กะลังได้ที่เลย ค้างซะงั้น
ไปตามเค้ากลับมาเห๊ออออคุณชาย ก่อนที่นทีจะหนีหายไปอีกครั้ง
ปลื้มคุณชายรัตกะคุณหญิงดา  o13
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 30 “เราไม่เคยจะรักกัน มีแต่วันที่อ่อนไหว” 25/05/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: ● MaYa~Boy ● ที่ 26-05-2011 09:04:31
ค้างนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 30 “เราไม่เคยจะรักกัน มีแต่วันที่อ่อนไหว” 25/05/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: คนริมคลอง ที่ 26-05-2011 09:55:20
ฟังเพลงเพลินๆ อ่านกำลังซึ้งๆ  o22

จูนอารมณ์ใหม่ตอนหน้าครับ

หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 30 “เราไม่เคยจะรักกัน มีแต่วันที่อ่อนไหว” 25/05/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 26-05-2011 10:38:48
รีบๆคิด รีบๆตัดสินใจได้แล้วนะคุณชาย ก่อนที่อะไรๆมันจะสายเกินไป
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 30 “เราไม่เคยจะรักกัน มีแต่วันที่อ่อนไหว” 25/05/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: A_ay ที่ 26-05-2011 11:37:29
*ตามมาสามวัน  ทันแล้ว  เย้ๆๆ

โอ่ยย
คุณชายยย
ไม่สงสารตัวเองก็สงสารน้องน้ำบ้างง :m15:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 30 “เราไม่เคยจะรักกัน มีแต่วันที่อ่อนไหว” 25/05/11 - 22
เริ่มหัวข้อโดย: A. marco ที่ 26-05-2011 12:12:00
รอตอนต่อไปครับ   เพราะตอนนี้เหมือนจะค้าง  อิอิ

อยากให้อดิศรกลับมาจัง มางาบนทีไป คุณชายจะได้ไปแต่งงานกับผุ้หญิงและมีลูกแล้วเรื่องนี้ก็จบ

เฮ้ออออออออออออ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 30 “เราไม่เคยจะรักกัน มีแต่วันที่อ่อนไหว” 25/05/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 26-05-2011 14:37:28
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 30 “เราไม่เคยจะรักกัน มีแต่วันที่อ่อนไหว” 25/05/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: oilzii ที่ 26-05-2011 19:36:15
อดทนไว้นะนที :o12:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 30 “เราไม่เคยจะรักกัน มีแต่วันที่อ่อนไหว” 25/05/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: BF-e ที่ 26-05-2011 21:29:34
 o13
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 30 “เราไม่เคยจะรักกัน มีแต่วันที่อ่อนไหว” 25/05/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: soul_merupa ที่ 26-05-2011 23:03:49
รีบตามมาให้ว่องเลยนะคะคุณชาย ก่อนที่ทุกอย่างจะสายนะเออ...
ช่วงนี้เริ่มระแวงพ่อเลี้ยงนทีแล้วด้วย กลัวโผล่มางับนที = =
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 30 “เราไม่เคยจะรักกัน มีแต่วันที่อ่อนไหว” 25/05/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: ณ ที่เดิม™ ที่ 26-05-2011 23:21:07
สงสารนทีสุดๆ  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 30 “เราไม่เคยจะรักกัน มีแต่วันที่อ่อนไหว” 25/05/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: namwaan1992 ที่ 28-05-2011 00:11:46
คำตอบง่ายๆคับ

'คับๆ  ผมอยากเจอ'  แค่เนี้ย!!~?  ^^
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 30 “เราไม่เคยจะรักกัน มีแต่วันที่อ่อนไหว” 25/05/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 28-05-2011 18:39:01
^U^
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 30 “เราไม่เคยจะรักกัน มีแต่วันที่อ่อนไหว” 25/05/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: K3n0 ที่ 29-05-2011 03:36:18
ในที่สุด  ก็มาตามทัน...  อ่านเรื่องนี้แล้ว  ผมรู้สึกถึงบรรยากาศ และหน้าตา บุคลิกของตัวละครได้เลยครับ

คุณนักเขียน เก่งจริงครับ ที่บรรยาย และพรรณนาถึงทุกสิ่งอย่างได้อย่างดี

ขอบคุณสำหรับ ข้อคิดดีๆ จากเนื้อหานะครับ    จะคอยเป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 30 “เราไม่เคยจะรักกัน มีแต่วันที่อ่อนไหว” 25/05/11 - 22
เริ่มหัวข้อโดย: A. marco ที่ 29-05-2011 10:54:06
มาต่ออีกไวๆนะคร้าบ   
ปูเสื่อรอ  อิอิ

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 30 “เราไม่เคยจะรักกัน มีแต่วันที่อ่อนไหว” 25/05/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 29-05-2011 15:19:35
ชายภาสนี่ไม่ไหวจริงๆ ขอ  :z6: ทีเหอะ ฮ่าๆๆๆๆ
ศิรานีหญิงดาคงได้ช่วยกันไม่หวาดไม่ไหวละคราวนี้ .... สงสารน้องน้ำ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 30 “เราไม่เคยจะรักกัน มีแต่วันที่อ่อนไหว” 25/05/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: oilzii ที่ 29-05-2011 21:08:39
 :เฮ้อ: ละเหี่ยใจ
ถ้าคุณชายไม่ใช่คุณชาย...
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 30 “เราไม่เคยจะรักกัน มีแต่วันที่อ่อนไหว” 25/05/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: little_nok ที่ 29-05-2011 21:28:26
เกือบสาย แต่ไม่สายซะทีเดียว
ไม่อยากจะนึกเลยว่า คุณชายอ่อนแอขนาดนี้
จะไปปกป้องนทีได้อย่างไร ถ้าต่อไป
เจอกับพ่อเลี้ยงแสนร้ายกาจ
หรือเจอกับความจริงที่โหดร้ายของนที :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 30 “เราไม่เคยจะรักกัน มีแต่วันที่อ่อนไหว” 25/05/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 30-05-2011 16:52:10
ไม่อยากให้คุณชายมาหานทีแล้วเจอ  มันง่ายไปสำหรับคุณชาย
ผู้ถูกกระทำอย่างนทีเจ็บช้ำ  รู้สึกตกต่ำและไร้ค่ามากนักกับสิ่งที่เกิดขึ้น
อย่างคุณชายก็แค่เสียใจ  มันต่างกันมากมาย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 30 “เราไม่เคยจะรักกัน มีแต่วันที่อ่อนไหว” 25/05/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 30-05-2011 21:24:34
31

     เอาเป็นว่าความกังวลใจในขั้นแรกหมดไปแล้ว แต่ความกังวลข้ออื่นๆก็ยังวนเวียนอยู่ในหัว เอาออกไปไม่ได้ง่ายๆอยู่ดี นรัตถพลมีเหตุผลที่ดีที่ถูกต้องจนแทบโน้มน้าวเขาได้แล้ว แต่ภาสกรก็ยังไมเห็นหนทางว่าความรักของเขาและนทีจะเป็นไปได้ได้อย่างไร กระทั่งเจอคำถามของดาริกาเท่านั้นแหละทำเอาเขาคิดหนักไปเลย จะตอบอย่างไรก็ตอบไม่ถูก
    เรื่องที่เขากังวลคือเขาไม่อยากยอมรับว่าตัวเองเป็นเกย์ แต่เขาก็ปฏิเสธไม่ได้อีกแล้วว่าเขาไม่ได้รักนทีเพราะเขารักหนุ่มน้อยคนนั้นมากจนกินไม่ได้นอนไม่หลับทุกครั้งที่ไม่ได้พบกัน ต่อเมื่ออยู่ด้วยกันเท่านั้นแล้วจึงจะรู้สึกว่าตนมีความสุขเหลือเกิน เขาเป็นเกย์ไปแล้วไม่ใช่ยังมีสิทธิ์ย้อนกลับ
    ในเมื่อทั้งกายและใจของเขามันถลำลึกไปมากเพียงนี้ เขาจะหนีต่อไปไม่ได้อีก ต่อให้เขาไม่กลับไปเจอกับนทียังไงเขาก็ต้องคิดถึงหนุ่มน้อยจนเป็นบ้าไปอยู่ดี สู้รับความจริงอย่างที่คุณชายนรัตถพลบอกไม่ดีกว่าหรือ สุขยังไงก็รู้ว่าสุขแน่ๆเมื่อมีนทีอยู่ด้วย... ส่วนเรื่องทุกข์ในเมื่อยังไม่รู้ว่าจะต้องเจอแน่ๆ ก็ช่างมันไหมเล่า เจออะไรก็ค่อยแก้ไปทีละเรื่อง
     “ผมอยากเจอเขามากครับ” น้ำตาคลอมาอยู่ที่เบ้าของภาสกรอย่างห้ามไว้ไม่อยู่ เขาเป็นคนสุภาพอ่อนโยนก็จริง แต่เขาไม่เคยอ่อนไหวกับใคร หรืออะไรขนาดนี้ “ผมคิดถึงเขาเหลือเกิน คิดถึงจนทนไม่ได้อยากโทรไปหา อยากไปเจอหน้า อยากบอกเขาว่า ผมรักเขาหมดหัวใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน แต่ผมไม่กล้าผมมันขี้ขลาด ผมไม่ยอมรับความจริงสุดท้ายผมก็ลืมเขาไม่ลง”
    “คุณชายคะ จำได้ไหมที่คุณชายเคยบอกกับหญิงว่า คุณชายอยากรู้ว่าเขามีความสุขหรือเปล่า ถ้าไม่ก็อยากเป็นคนทำให้เขามีความสุข ในเมื่อความสุขของเขาคือเรื่องง่ายๆอย่างการที่มีคุณชายอยู่เคียงข้าง... คุณชายจะให้เขาไม่ได้หรือคะ”
    เหมือนถูกดาริกาตบหน้าจนชาไปหมด ภาสกรน้ำตาร่วงเผาะ ไหลเป็นทางพอมารู้ตัวอีกทีก็ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรอย่างไม่เคยเป็นเพราะใครมาก่อน
    “ใช่ ผมมันโง่เหลือเกินผมลืมไปแล้วว่าความสุขที่สุดของเขาและผมคืออะไร... คือการได้มีกันและกัน ทำไมผมถึงลืมข้อนี้ไปได้นะ”
    “คุณชายเชื่อผมเถอะครับ การที่คุณชายรักเขามันไม่ผิดหรอก ความรักมันเป็นสิ่งสวยงาม มันย่อมพามาแต่สิ่งดีงาม เมื่อไหร่ที่มีอุปสรรคก็คือเครื่องทดสอบเท่านั้น เรื่องนี้ก็เหมือนกับบททดสอบแรกเท่านั้นเอง คุณชายอย่าใส่ใจเลยทำตามหัวใจตัวเองเถอะครับ”
    “ไปหาเขาเถอะค่ะคุณชาย เขาเองก็คงรอคุณชายอยู่นะคะ”
    “เขาอาจจะเกลียดผมไปแล้วก็ได้ ผมทำร้ายจิตใจเขามากเหลือเกิน... ทำไมนะทั้งที่สัญญากับตัวเองแล้วว่าจะไม่มีวันทำร้ายเขาอีกหลังจากขับรถชนเขาวันนั้น แต่สุดท้ายก็ทำร้ายเขาจนปางตายจนได้”
    “คุณชายชนเขา แต่ก็ช่วยเขามาได้หนหนึ่งแล้วนี่คะ คราวนี้ทำไมจะทำไม่ได้จริงไหมคะ” ดาริกายิ้มอย่างอ่อนโยน ตอนนั้นเองที่ภาสกรเข้าใจว่า เพื่อนแท้ที่เขาไม่เคยมีนั้น ตอนนี้นั่งอยู่ตรงหน้าของเขาแล้วอย่างน้อยก็หนึ่งคน
    “ครับ... ขอบคุณคุณหญิงและคุณชายรัตมากครับที่ทำให้ผมตาสว่าง ผมจะไปหาเขาเดี๋ยวนี้ล่ะครับ”

    ฝนตกหนักจนแทบจะมองทางไม่เห็น แต่ภาสกรก็อุตส่าห์ขับรถมาจนถึงหน้าแฟลตเล็กๆ เก่าๆโทรมๆที่เคยเห็นมาหลายต่อหลายครั้งจนได้ เขาไม่เคยขึ้นไปจนถึงห้องของปุยฝ้ายก็จริงแต่เมื่อกี้นี้ก็เพิ่งโทรถามหล่อนซึ่งตอนนี้ไม่อยู่ที่ห้องว่านทีอยู่ห้องไหนชั้นไหนจะได้ขึ้นไปหาถูก ได้ความแล้วก็ไม่คิดจะรอช้าเปิดประตูรถ วิ่งฝ่าฝนไปถึงตัวอาคาร
เขาหันหลังมามองบริเวณหน้าตึกนั้น ในขณะที่ฝนเริ่มซาลงแล้วจำได้ถึงวันแรกที่ตนเห็นตึกนี้ครั้งแรก ตรงนั้นเองที่เขาบอกนทีว่า “หลังจากที่ผมได้เล่าอะไรให้คุณฟังหลายอย่าง หลังจากรู้จักกันมาก็พักหนึ่งแล้ว ผมอยากจะขอเป็น...เป็นเพื่อนกับคุณได้ไหม”  จู่ๆก็มีรอยยิ้มเศร้าๆ ปรากฏขึ้นบนสีหน้า คิดอยู่ในใจว่าถ้าหากวันนี้ได้พบหน้าหนุ่มน้อย เขาจะบอกนทีให้ได้เลยว่า
    “ผมมาคิดดูแล้วหลังจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมด... หลังจากเราเป็นเพื่อนกันมาได้พักหนึ่งแล้ว ผมอยากจะขอ... ขอคบกับคุณได้ไหม”
    ถึงจะน่าอายแค่ไหนก็เถอะ ภาสกรก็มั่นใจว่าจะต้องพูดประโยคนี้ให้ได้
    
    เนื้อตัวเปียกโชก รองเท้าก็ลื่นจนแทบจะพลาดตกบันได แต่ภาสกรก็ยังอุตส่าห์วิ่งขึ้นมาได้จนถึงห้องที่นทีอยู่ เขายืนจ้องประตูไม้สีน้ำตาลเก่าๆแทบจะพังนั้นอยู่อึดใจ นึกถึงหน้าหนุ่มน้อยที่อยู่ในนั้น น้ำตาก็พาลเอ่อล้นมาคลอเบ้าอีกครั้ง
    เคาะประตูสองทีแล้วก็พูดว่า
    “นที...ผมเอง ภาสกร เปิดประตูให้ผมได้ไหม”
    เงียบไม่มีเสียงตอบ ไม่มีแม้แต่เสียงเคลื่อนไหวในห้อง ไม่แปลกหรอกนทีคงจะงอน หรือไม่ก็โกรธเขามากจนไม่ยอมพูดด้วยก็เป็นได้
    “นที... เปิดประตูให้ผมเถอะนะ ผมขอร้อง ขอให้ผมได้อธิบาย ให้ผมได้ขอโทษ ได้คุยกับคุณสักครั้งเถอะครับ” เงียบอีก ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ “นที คุณโกรธผมใช่ไหม ผมขอร้องนะออกมาพูดกับผมก่อน”
    น้ำตาพาลไหลลงมาอาบแก้มอีกครั้ง จนเสียงพูดกลายเป็นเสียงสะอื้น ชายหนุ่มร้องไห้ไปเคาะประตูไป พูดไปอย่างพระเอกละครน้ำเน่า ไม่ได้สนใจว่าใครจะได้ยินอะไรทั้งนั้นขอให้หนุ่มน้อยในห้องได้ยินแล้วเปิดประตูมาคุยกับเขาเถอะ
    “นที ผมขอโทษ ผมผิดเองที่งี่เง่า ผิดเองที่ไม่ยอมรับความจริง ผมทำร้ายจิตใจคุณ ทำให้คุณเสียใจมากแต่ผมอยากให้นทีรู้นะว่าผมก็เสียใจไม่น้อยกว่านทีเลย ขอร้องล่ะนะเปิดประตูออกมาคุยกับผมเถอะนที นะครับ นที”
    “นี่คุณ” ใครคนหนึ่งเปิดประตูออกมาจากห้องที่อยู่ข้างๆนั้น สตรีร้างท่วมอายุราวสี่สิบปลายๆเดินเข้ามาหา แล้วบอกเขาว่า “เรียกยังไงเขาก็ไม่เปิดหรอก เด็กที่อยู่ในห้องนี้น่ะ เขาย้ายออกไปแล้ว ป้ายังช่วยเขาขนของอยู่เลย”
    ภาสกรตะลึง เหมือนถูกทุบหัวด้วยท่อนไม้ ปวดระบมมึนไปหมดจนทำอะไรไม่ถูก “ไป... ไปแล้ว ออกไปแล้ว... ไปไหน”
    “ไม่รู้หรือ ไม่ได้บอกไว้นี่รู้แต่ขนของไปเยอะเลย เหมือนจะไม่กลับมาอีก คุณนี่หน้าคุ้นๆนะ” ป้าคนนั้นยืนนิ่งเหมือนจะคิดให้ออกว่าชายหนุ่มเป็นใคร “อ่อ นึกออกแล้ว น้องเขามีรูปคุณด้วยนี่... กอดไว้แน่นไม่ยอมปล่อยเลย ทั้งที่ของก็เต็มไม้เต็มมือ ป้าจะช่วยเขาก็ไม่ยอมให้ช่วย ถึงจะเห็นแว้บๆแต่มั่นใจว่าใช่คุณแน่ล่ะ”
    “ป้า... เขาเอารูปผมไปด้วยหรือ”
    “ใช่ซีไม่ยอมปล่อยเลย ขึ้นรถไปแล้วก็ยังกอดเอาไว้”
    ภาสกรแทบจะลืมไปแล้วว่าเพิ่งตกใจ และเสียใจแค่ไหนที่รู้ว่านทีเพิ่งจะจากไป อย่างไม่รู้ว่าจะไปตามที่ไหน... นทียังไม่ลืมเขา นทีไม่ได้โกรธเกลียดเขาเลย
    “ขอบคุณป้ามากครับ แต่ไม่รู้จริงๆหรือว่าเขาย้ายไปไหน”
    “ไม่รู้เลยลูกเอ๊ย โทรถามหนูฝ้ายสิ เจ้าของห้องน่ะเขาเป็นเพื่อนกัน มีเบอร์ไหมล่ะ ป้ารู้จักเดี๋ยวจะเอาเบอร์โทรให้”
    “อ๋อมีครับป้า... มี” ภาสกรยกมือขึ้นปาดน้ำตาเริ่มรู้สึกอายนิดๆที่โตเป็นผู้ชายเต็มตัวแล้วยังมายืนร้องไห้อย่างกับเด็กๆอย่างนี้อีก
    “แฟนกันเหรอลูก” หล่อนถาม หัวเราะเสียงดังเมื่อรู้ว่าภาสกรอ้ำอึ้งไม่กล้าตอบ “เอ้อ รีบตามไปง้อเถอะ รายนั้นก็เดินไปร้องไห้ไปเหมือนหนูนี่แหละ โชคดีนะป้าจะไปจ่ายตลาดละ...”
    พอหล่อนเดินลับตาไป ภาสกรก็ทิ้งตัวนั่งหลังพิงประตูโทรไปหาปุยฝ้าย
    “คุณฝ้าย ผมภาสกรนะ” คุณชายหนุ่มพูดไปก็ห้ามเสียงสะอื้นไว้ไม่ได้ “นทีเขาย้ายออกไปแล้วหรือ เขาย้ายไปไหนครับ... ไม่รู้! อะไรกันเขาไม่ได้บอกคุณไว้หรือครับ... ไม่หรือ”
    ภาสกรน้ำตาไหล หลับตาแน่นราวกับว่ากำลังฝันร้ายอยู่พอลืมตาอีกทีจะตื่นมาอยู่ที่วังอย่างไรอย่างนั้น
    “ไม่เป็นไรคุณไม่ต้องมาหาผมหรอก... ผมมันผิดเองแต่แรก ถ้าเขาจะไม่อยากพบผมอีกก็เข้าใจ แต่ถ้าเขาโทรมาหาคุณเมื่อไหร่...” คุณชายหนุ่มสะอื้น “ช่วยบอกเขาทีว่า ผมคิดถึงเขาเหลือเกิน”
    ชายหนุ่มวางสายปุยฝ้าย แล้วก็โทรศัพท์หาหนุ่มน้อยที่เขาคิดถึงแทน ปรากฏว่านทีไม่รับสักสาย โทรไปกี่ครั้งก็ไม่รับมีเสียงบอกให้ฝากข้อความไว้เท่านั้นชายหนุ่มจึงไม่ทำอะไรนอกจากนั่งอยู่ตรงนั้นโทรศัทพ์ไปฟังเสียงให้ฝากข้อความซ้ำแล้วซ้ำอีก วนไปวนมาราวกับว่านั่นคือเสียงของนที
    ภาสกรสะอื้นไห้ หงายศีรษะพิงประตูไว้เสียใจและหมดแรงเกินกว่าจะทำอะไร ไม่แน่ใจว่าเนื้อตัวที่เปียกปอนนั้นเปียกเพราะฝน หรือเพราะน้ำตาของตัวเอง กันแน่ ถ้าเขาจะไม่ได้เจอนทีอีกเขาก็เข้าใจว่าโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง
    ถ้าเขาต้องเสียใจขนาดนี้เพราะนทีบ้าง ก็สมควรแล้ว... บางทีอาจจะน้อยไปด้วยซ้ำเมื่อคิดถึงว่าอีกฝ่ายต้องเสียใจเพราะเขาเพียงใดตลอดเวลาที่ผ่านมานี้
    
    นทีนั่งอยู่ในห้องพักใหม่ เล็กพอๆกับห้องของปุยฝ้ายมองรูปของภาสกรที่เอามาด้วย ไม่แน่ใจว่าที่ตัดสินใจย้ายมานี้คิดถูกหรือผิด อยากจะบอกปุยฝ้ายก็ทำไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าโทรศัพท์หล่นหายตอนไปไหนรู้อีกทีก็ไม่เจอเสียแล้ว คนที่เก็บได้ก็ไม่รู้เลยว่าจะมีสายโทรเข้าเครื่องนั้นเป็นสิบ เป็นร้อยสายตลอดคืนนั้นในเมื่อถอดซิมทิ้ง แล้วขายเครื่องไปเรียบร้อยแล้ว

งานแฟชั่นโชว์ของคุณหญิงดาริกากำลังจะเริ่มในไม่กี่นาที ดีไซเนอร์สาวเดินนวยนาดตรวจตราเครื่องแต่งกายของบรรดานางแบบทั้งหลายจะพอใจ วางใจว่างานจะออกมาเพอร์เฟกต์แล้วก็เดินออกมาที่ห้องแต่งตัวของแขกวีไอพี ตรงเข้าไปหาชายหนุ่มที่หล่อนต้องการคุยด้วยเหลือเกิน
 ภาสกรนั่งอยู่ตรงนั้น ใบหน้าอยู่ใต้เครื่องสำอางค์ทำให้ไม่รู้ว่าหน้าซีดตอบ ผิวแห้งและขอบตาคล้ำสนิทอย่างไรมองเผินๆจะเหมือนแค่ว่าคุณชายไปลดน้ำหนักมาเท่านั้น หากไม่พิจารณาสีหน้าเศร้าสร้อยปราศจาครอยยิ้มก็คงไม่รู้หรอก
ว่าคุณชายหนุ่มกำลังเศร้าเสียแทบจะอยากละลายหายไปจากโลกนี้
หล่อนเดินเข้าไปจะถึงตัวชายหนุ่มแล้วเชียวพอดี เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นด้านหลังจนหล่อนต้องหันไปมอง
“พี่ชายคะแต่งตัวเสร็จแล้วออกไปนั่งกับฟ้าดีกว่าค่ะ” เจ้าของประโยคเดินเข้ามาในห้องราวกับเป็นงานของตัวเอง เดินผ่านไปไม่สนใจดาริกาที่ยืนอยู่ไม่ห่างเป้าหมายของหล่อนนักนั่งลงข้างภาสกรแล้วก็ควงแขนเอาไว้ราวกับเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ “ไปค่ะไปอยู่กับหม่อมแม่ด้วย น้าวิไลถามหาแล้ว ถามหาอีก”
 “คุณไหว้ดาริกาแล้วหรือทิฆัมพร” ภาสกรตำหนิเห็นแววไม่พอใจในดวงตาของเจ้าของชื่ออันหลังเล็กน้อยก่อนที่หล่อนจะหันไปยิ้มให้ดาริกา
 “แหม อายุห่างกันปีสองปีพี่หญิงดาคงไม่อยากให้ฟ้าไหว้มังคะ”
 “ค่ะ ไม่ต้องไหว้กันหรอกค่ะน้อง” ถ้าหล่อนไม่อยาก ดาริกาเกือบจะหลุดคำหลังไปแล้วเชียว โชคดีที่กลืนคำนั้นลงคอไปได้ก็เลยไม่เกิดศึกขึ้นตรงนั้น
 “คุณหญิงมีอะไรจะพูดหรือเปล่า เห็นเดินเข้ามาก่อนทิฆัมพรเขา”
“อ๋อค่ะ” หล่อนยิ้มหวานจน หญิงสาวผมสั้นข้างๆอดหมั่นไส้ไม่ได้ “จะมาชวนออกไปพูดคุยกับแขกค่ะในฐานะเจ้าของงานด้วยกัน”
 ดาริกาปราดตาไปทางทิฆัมพรราวกับจะพูดว่า “ไม่เกี่ยวกับแขกผู้ติดตามนะคะ” แล้วภาสกรก็ยิ้มอย่างเหนื่อยอ่อนลุกขึ้นเข้ามาหาหล่อนก่อนจะเดินออกไป โดยไม่สนใจหญิงสาวอีกคนนัก
ทิฆัมพรแทบจะกรี๊ดแต่เสียดายว่าคนอยู่ด้วยเยอะก็เลยเดินตามมาเงียบๆ โชคดีของคุณชาย แต่โชคร้ายของทิฆัมพร ที่จู่ๆบรรดาแม้บ้านทำความสะอาดก็โผล่มาเห็นหล่อนเข้าเลยกรูกันมาขอลายเซ็นภาสกรกับดาริกาจึงแยกออกไปกันสองคนได้โดยไม่มีหล่อนตามมาด้วย   
“เหนื่อยไหมคะคุณชาย ดูจะซีดๆอีกแล้วนะคะ”
“เหนื่อยครับ ห่วงเรื่องงานแล้วก็... เป็นห่วงเรื่องอีกเรื่องด้วย”
 ดาริกายิ้มอย่างเข้าใจเห็นว่าตรงนั้นไม่มีใครเลยหยุดเดินแล้วบีบต้นแขนภาสกรเบาๆ พร้อมกับเอ่ยขึ้นมา
 “เชื่อหญิงนะคะ ให้งานผ่านไปก่อนคุณชายหายเหนื่อยแน่ค่ะ” หล่อนยิ้มเหมือนรู้อะไร จนภาสกรเกือบจะถามแล้วว่ามีข่าวเกี่ยวกับนทีบ้างไหมแต่ไม่ทันเสียแล้วเพราะทิฆัมพรโผล่มาแทรกกลางระหว่างเขากับดาริกาพอดี
 “กว่าจะหนีมาจากแฟนคลับได้แทบแย่ ไปกับค่ะพี่ชายไปหาน้าวิไลกัน”
 ภาสกรส่งสายตาเป็นเชิงขอโทษมาให้ แล้วก็เดินตามทิฆัมพรไปอย่างช่วยไม่ได้ พอดีโทรศัพท์หล่อนมาก็เลยกดรับไม่ได้เดินตามไป
“จ้ะน้องฝ้าย ว่าไง... ยังไม่รู้ใช่ไหม ดีแล้วอย่าเพิ่งให้รู้ให้มาเจอกันเองในงานดีกว่าจ้ะ... โอเคๆรีบมาเลยนะจ๊ะ” หล่อนยิ้มหน้าบาน นทีซื้อโทรหาปุยฝ้ายเมื่อวานแล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังก็เลยรู้ว่าหนุ่มน้อยอยู่ไหน เป็นอย่างไรบ้าง ปุยฝ้ายรู้อย่างนั้นก็ปรึกษาดาริกาก่อนยังไม่โทรบอกภาสกร หล่อนก็เลยวางแผนอย่างแนบเนียนให้ปุยฝ้ายพานทีมาดูงานแฟชั่นโชว์เสียเลย บอกว่าเป็นงานของดาริกา
ทีนี้ล่ะ สองหนุ่มจะได้มีโอกาสเจอกันริมทะเลหลังงานเสร็จ บรรยากาศ
โรแมนติกอย่างนี้แหละเหมาะแก่การบอกรักกันยิ่งนัก
 ดาริกาเดินออกมาพบกับภาสกรที่กำลังยืนคุยอยู่กับหม่อมแม่ของเขา ส่งสายตาอ้อนวอนขอความช่วยเหลือมาให้ช่วยพาเขาไปจากทิฆัมพรที แต่ดาริกาก็ไม่รู้จะช่วยยังไงก็เลยเข้าไปคุยเสียก่อนฆ่าเวลา
“สวัสดีค่ะหม่อม ดิฉันดาริกาเองค่ะหวังว่าจะจำดิฉันได้”
วิไลวรรณเห็นหล่อนเข้าอีกครั้ง คราวนี้อยู่ในชุดเดรสสั้นสีเหลืองมะนาว แต่งหน้าสวยไม่เหมือนคราวก่อนที่มีเพียงชุดว่ายน้ำและหน้าใสๆแบบธรรมชาติก็รู้สึกดีกับหล่อนขึ้นมานิดหนึ่ง
“สวัสดีจ้ะหนู แหมจำได้ซีจ๊ะ ธิดาท่านหญิงทิพวรรณกับ ท่านชายเกรียงศักดิ์ใช่ไหม” หญิงสาวยิ้มกว้างตอบไปว่าใช่ “ดีใจที่ได้คนเก่งๆอย่างหนูมาร่วมงานกับชายภาสจ้ะ เก่งเชียวนะจ๊ะเลือกสถานที่ได้เหมาะจะจัดงานมากเลย”
“ไม่ใช่หนูคนเดียวหรอกค่ะ เรื่องสถานที่เนี่ยมีคนช่วยด้วยมีผู้สนับสนุนให้ความช่วยเหลือด้านค่าใช้จ่ายอยู่ค่ะ อ๊ะ” หล่อนปราดตาไปเห็นคนคนหนึ่งที่จะช่วยแยกภาสกรไปจากทิฆัมพรที่ยังยืนกอดแขนชายหนุ่มอยู่ราวกับตุ๊กแกไม่ยอมห่างแม้สักพัก “นั่นไงคะผู้สนับสนุนรายใหญ่ คุณชายคงยังไม่เคยพบเดี๋ยวหญิงพาไปทำความรู้จักค่ะ หม่อมคะขออนุญาตเถอะนะคะ อย่าว่าหนูเสียมารยาทเลย”
 “เชิญจ้ะหนู ถ้าเป็นเรื่องธุรกิจละก็เชิญเลยจ้ะน้าไม่ค่อยรู้เรื่อง... ไปตาชายไปคุยธุระกับคุณหญิงเธอเสียก่อนค่อยกลับมาหาหนูฟ้า ดูซิรักกันเหลือเกิน เกาะแกะกันไม่ยอมปล่อยเลย” หม่อมวิไลวรรณหัวเราะคิกคักปล่อยให้ดาริกายิ้มหวานพาภาสกรไปจากทิฆัมพร
“ไม่รู้จะขอบคุณ ยังไงคุณหญิง” ภาสกรถอนใจอย่างโล่งอก ดาริกาเองก็หัวเราะเบาๆอย่างขำขันในตัวของทิฆัมพร ดูก็รู้ว่าผู้ชายไม่รักยังจะเกาะแกะเสียจนน่ารังเกียจ หล่อนเดินพาภาสกรมาอยู่แทบถึงบริเวณที่หนุ่มใหญ่คนหนึ่งเดินเข้ามาหา ชายคนนั้นเห็นดาริกาก็ยิ้มให้ หญิงสาวยิ้มตอบแล้วแนะนำว่า
 “คุณชายคะนี่คุณอดิสรณ์ ผู้สนับสนุนรายใหญ่ของงานนี้ค่ะ”
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 30 “เราไม่เคยจะรักกัน มีแต่วันที่อ่อนไหว” 25/05/11 - 22.00
เริ่มหัวข้อโดย: evilheart ที่ 30-05-2011 21:26:39
(http://i273.photobucket.com/albums/jj225/tangtang_jar/yenta4-emoticon-0041.gif) กว่าคุณชายจะคิดได้ น้องนทีก้อย้ายไปแล้ว แถมโชคร้ายมือถือหายอีก แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่จะได้ปรับความเข้าใจกัน
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 31 ผมอยากจะขอ... ขอคบกับคุณได้ไหม 30/05/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 30-05-2011 21:43:55
อรั้ยยย จะเกิดเหตุอะไรให้คลาดกันอีกมั้ย
ถ้ายังไงก็ต้องต้มมาม่า ก็ขอช่วงเวลามีน้ำซุปหวานๆ ให้กินก่อนบ้างอะไรบ้างนะคะ Pleaseeee
รอต่อค่าๆๆ เศร้าใจจริงๆ นี่แหละน๊าคุณชาย ผลของการรู้ตัวช้า
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 31 ผมอยากจะขอ... ขอคบกับคุณได้ไหม 30/05/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 30-05-2011 21:47:36
สงสัยจะกดโค้ดผิด เลยขึ้นไม่หมดนะครับ ตอนนี้ผมแก้ใหม่แล้วครับผม จบเท่านี้จริงๆ***
ติดตามต่อวันพุธนะครับ :)
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 31 ผมอยากจะขอ... ขอคบกับคุณได้ไหม 30/05/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 30-05-2011 21:52:47
สมน้ำหน้าคุณชายเล็กๆ
ซึนดีนัก!!
 :pig4: พี่คนแต่งฮะ !
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 31 ผมอยากจะขอ... ขอคบกับคุณได้ไหม 30/05/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 30-05-2011 21:55:21
งานเข้านทีชุดใหญ่  เมื่ออดิสรณ์เป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ของงานนี้
ซวยซ้ำซวยซากจริง ๆ นทีเอ๊ยยยย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 31 ผมอยากจะขอ... ขอคบกับคุณได้ไหม 30/05/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: little_nok ที่ 30-05-2011 22:19:11
เฮ้ย อดิสรณ์มา
มันจะเกิดอะไรขึ้นละเนี่ยะ
โอ๊ย สงสารนทีน่ะ
ทำไมโชคร้ายแบบนี้ :m31:
อิคุณชายมันจะปกป้องนทีได้เหรอ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 31 ผมอยากจะขอ... ขอคบกับคุณได้ไหม 30/05/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: YANIZAxx™ ที่ 30-05-2011 22:30:23
อดิสรณ์โผล่มาแล้ว ..
อยากให้หนูนทีกับคุณชายพากันหนีไปอยู่บนภูเขาจังเลย - -
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 31 ผมอยากจะขอ... ขอคบกับคุณได้ไหม 30/05/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 30-05-2011 22:41:29
อ่ะเฮ้ย
คุณหญิง  แทนที่จะพานทีขึ้นสวรรค์เพราะได้เจอคุณชาย

กลับพามาลงนรก เพราะได้เจอไอ้เวรนี่เสียซะงั้น
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 31 ผมอยากจะขอ... ขอคบกับคุณได้ไหม 30/05/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 30-05-2011 23:45:55
อ๊ากกกกกกกก ตัวร้ายโผล่มาแล้วอ่า
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 31 ผมอยากจะขอ... ขอคบกับคุณได้ไหม 30/05/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 31-05-2011 00:06:04
งะ ซะงั้น อดิสร โผล่มาแล้ว นทีมาจะลงเอยยังไงกันละทีเนี่ย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 31 ผมอยากจะขอ... ขอคบกับคุณได้ไหม 30/05/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: K3n0 ที่ 31-05-2011 00:20:00
จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปเนี่ยๆๆๆ   ลุ้นครับๆๆ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 31 ผมอยากจะขอ... ขอคบกับคุณได้ไหม 30/05/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: A-J.seiya* ที่ 31-05-2011 00:31:43
งานเข้ากว่าเดิมว่ะเฮ้ย!!
อดิสรณ์ นี่พ่อเลี้ยงใช่มั้ย?
งื้อออ ยังไงล่ะน้องนที เคราะห์ซ้ำกรรมซัดจริงๆ !!!
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 31 ผมอยากจะขอ... ขอคบกับคุณได้ไหม 30/05/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: bbyuqin ที่ 31-05-2011 00:46:26
อ่ะ...น้องน้ำ หนีเสือปะจระเข้ !
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 31 ผมอยากจะขอ... ขอคบกับคุณได้ไหม 30/05/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: naja-kitase ที่ 31-05-2011 06:50:50
 o22


อดิสรณ์โผล่มาแล้วเหรอ งื้ออออออออ เตรียมซับน้ำตาไว้เลยดีมั้ยเนี่ย
สงสารนทีจับใจ ซวยจริงๆ
แล้วอย่างภาสกรจะทำอะไรได้ แค่เคลียร์เรื่องความรู้สึกตัวเองยังต้องให้คนอื่นมาช่วยเลย
ถ้าอดิสรณ์มันจับนทีไปต่อหน้า คุณชายคงได้ยืนมองเฉยๆกระมัง (<<< โหมดงอนคุณชายอย่างแรง)
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 31 ผมอยากจะขอ... ขอคบกับคุณได้ไหม 30/05/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: คนริมคลอง ที่ 31-05-2011 09:42:27
เง้อ จะน้ำตาทะลักอีกกี่ตอนเนี่ย อุปสรรคช่างมากมาย

คุณชายก็ง่อยซะเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 31 ผมอยากจะขอ... ขอคบกับคุณได้ไหม 30/05/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: lucifel ที่ 31-05-2011 12:27:51
ยังไม่ทันดีกัน
มารก็มาผจญซะแล้ว

คุณชายนี่ชักช้าตลอด
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 31 ผมอยากจะขอ... ขอคบกับคุณได้ไหม 30/05/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: ● MaYa~Boy ● ที่ 31-05-2011 12:29:52
เอาแล้วไง งานเข้า
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 31 ผมอยากจะขอ... ขอคบกับคุณได้ไหม 30/05/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 31-05-2011 12:49:12
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 31 ผมอยากจะขอ... ขอคบกับคุณได้ไหม 30/05/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: Piaanie ที่ 31-05-2011 12:54:44
อ่าวเวรแล้วไม๊ โผล่มาไงละนั่นอดิสรณ์เนี่ย แล้วถ้านธีมาเจอ โหยยงานช้างเลย มาม่าชามใหญ่ เฮ่อ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 31 ผมอยากจะขอ... ขอคบกับคุณได้ไหม 30/05/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: A. marco ที่ 31-05-2011 14:01:37
พระเจ้า!!! อ่านถึงประโยคสุดท้ายแล้วแทบเอามือปิดปากเลยครับ ตาโตด้วย


อึดอัด ขัดใจ ไม่ได้ใจไปหมดอ่ะ  เฮ้อออออ
อย่าบอกนะว่าคุณอดิศรจะเจอนทีก่อนอ่ะ 

มาต่ออีกไวๆนะครับ 
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 31 ผมอยากจะขอ... ขอคบกับคุณได้ไหม 30/05/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: ต่ายน้อย ที่ 31-05-2011 14:41:54
เวรแล้ว   :a5: ไอ้อดิสรณ์ มา จะโผล่มาทำไมตอนนี้วะเนี่ย :m31:
แอบสมน้ำหน้าคุณชายนิดนึง :z3:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 31 ผมอยากจะขอ... ขอคบกับคุณได้ไหม 30/05/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: butterfly_bee ที่ 31-05-2011 15:15:20
เอาล่ะเซ่ อิพ่อเลี้ยงปรากฎตัวแล้ว
บทบาทของอิพ่อเลี้ยงจะเป็นยังไง จะเกิดอะไรต่อไป
น่าลุ้นยิ่งนัก
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 31 ผมอยากจะขอ... ขอคบกับคุณได้ไหม 30/05/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: IIMisssoMII ที่ 31-05-2011 19:16:29
ตายแล้ว นที(ของคุณชาย) จะเป็นไงบ้างเนี่ย จะเจอพ่อเลี้ยงไหม หรือแค่คลาด ๆกัน
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 31 ผมอยากจะขอ... ขอคบกับคุณได้ไหม 30/05/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: oilzii ที่ 31-05-2011 20:14:33
มาม่าต่อเนื่องงงงงงงง ม๊ายยยยยยย :m8:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 31 ผมอยากจะขอ... ขอคบกับคุณได้ไหม 30/05/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: pplotti ที่ 31-05-2011 22:36:17
 สงสารนทีมาก
 
 
     :เฮ้อ: 
 

มาต่อเร็วๆนะครับ  เป็นกำลังใจให้นะครับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 31 ผมอยากจะขอ... ขอคบกับคุณได้ไหม 30/05/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 01-06-2011 07:40:03
คุณพระ งานเข้าจังเบ้อเร้อเลย อุปสรรครักครั้งนี้ ใหญ่หลวงนัก แต่ก็ดี จะได้พิสูจน์ใจคุณชายไปด้วย


ยังไงก็หวังว่า ทั้งคู่จะพากันฟันฝ่าอุปสรรคครั้งนี้ และที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ไปด้วยกันให้ได้นะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 31 ผมอยากจะขอ... ขอคบกับคุณได้ไหม 30/05/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กกะโปโล ที่ 01-06-2011 11:36:55
เอาแล้วไง!! งานเข้าแล้ว!! อะไรมันจะบังเอิญแบบนี้ อยู่กันครบทุกองค์เลย
งานนี้ได้ตะลุมบอนกันเละตุ้มเป๊ะแน่ o6

อดิสรณ์หายไปซักพัก โผล่มาอีกทีก็มาพร้อมกับมาม่าถ้วยเบ้อเร่อ
แล้วนทีกับคุณชายจะได้คุยกันไหมเนี่ย ยังมียัยฑิฆัมพรเป็นก้างกับตาอดิสรณ์ที่จะทำอะไรกับนทีก็ไม่รู้
อุปสรรค์ความรักทำไมมันเยอะจังฮะ o17

ปล.แอบฮาฑิฆัมพร อะไรมันจะเหมือนนางอิจฉาในละครหลังข่าวแบบนี้เนีั่ย :laugh:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 31 ผมอยากจะขอ... ขอคบกับคุณได้ไหม 30/05/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: BF-e ที่ 01-06-2011 19:10:18
เอาเเล้วไง งานเข้า :เฮ้อ:

  น้องนทีจะรอดมั้ยลูก????
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 31 ผมอยากจะขอ... ขอคบกับคุณได้ไหม 30/05/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: tuek ที่ 01-06-2011 19:11:20
สงสารน้ำอะ :monkeysad:
+1 นะคะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 31 ผมอยากจะขอ... ขอคบกับคุณได้ไหม 30/05/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: jamesnaka ที่ 01-06-2011 19:24:55
เหอๆ อยากให้นทีหายไปจากชีวิตคุณชายสัก ปีสองปีจริงๆ ให้ตายสิ
ยังเคืองคุณชายไม่หาย  :m16:

ขอบคุณสำหรับตอนที่ 31 ค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 31 ผมอยากจะขอ... ขอคบกับคุณได้ไหม 30/05/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: zatamare ที่ 01-06-2011 19:32:03
เอาแล้วไงพ่อเลี้ยงโผล่มาสะนี่
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 31 ผมอยากจะขอ... ขอคบกับคุณได้ไหม 30/05/11 - 21.20
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 01-06-2011 20:37:11
32

ภาสกรรู้สึกคุ้นชื่อของผู้ชายคนนั้นอย่างประหลาด แต่ด้วยความที่ไม่คุ้นหน้าก็เลยสรุปกับตัวเองว่า คงจะคิดไปเองมากกว่าในเมื่อเขาไม่เคยเจอกันเลย
 คุณอดิสรณ์ เป็นหนุ่มใหญ่อายุราวๆ สี่สิบกลางๆไปถึงสี่สิบปลาย กระนั้นก็ยังดูดีเท่าที่จะดูได้ ใบหน้าบ่งบอกว่ามีเชื้อสายจีนคือตาเล็กชี้แหลมที่อยู่หลังแว่นกรอบสี่เหลี่ยม มีพลังอยู่ในแววตาบ่งบอกว่าเป็นคนมีอำนาจ และมั่นใจในตัวเองมาก จมูกโด่งเล็กน้อยริมฝีปากเหยียดยาวออกคล้ายยิ้มหยันอยู่ตลอดเวลา ริ้วรอยบนใบหน้ามีบ้างเท่าที่วัยขนาดนั้นควรมี ผมของอดิสรณ์คงเป็นสีขาวแค่บางส่วนเจ้าตัวเลยรำคาญย้อมจนมันขาวโพลนไปทั้งหัวทำให้ดูแก่กว่าความจริงเล็กน้อย กระนั้นคิ้วเข้มหนาก็ยังพอทำให้ดูหน้าคมได้บ้าง
 หุ่นสูงใหญ่กำยำอยู่ใต้ชุดสูทอย่างดีมองปราดเดียวก็รู้ว่าของมียี่ห้อ ไม่ก็ตัดมาราคาแพงแน่ มือแข็งแกร่งยื่นมาจับมือภาสกร เชคแฮนด์แบบฝรั่งตัดปัญหาว่าใครควรจะเป็นฝ่ายไหว้ใครแน่ ในเมื่อฐานันดรศักดิ์ของฝ่ายที่อายุน้อยกว่าดันสูงกว่าคนสามัญที่อาวุโสกว่าอย่างนั้น
“สวัสดีครับคุณชายภาสกร” น้ำเสียงหนักแน่นกล่าวทั้งรอยยิ้มบ่งบอกว่าถ้าคนคนนี้ไม่ใช่คนเสียงดังประเภทเฮฮา ขี้เล่นละก็คงเป็นประเภทโวยวาย เอาแต่ใจอารมณ์ร้อนเป็นแน่ “ได้ยินชื่อมานานเพิ่งมีโอกาสได้รู้จักกันก็วันนี้นะครับ”
“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มยิ้มเนือยๆ ตามประสาคนที่ทำไปเพื่อผลประโยชน์ไม่ได้อยากสมาคมด้วยนัก “คุณหญิงก็พูดถึงคุณอดิสรณ์ไว้มากเหมือนกันครับ”
“คงพูดไว้ว่าผมน่ากลัวมากล่ะสิ” อดิสรณ์หัวเราะตัวโยน ก่อนจะหันไปหาลูกน้องที่ใส่ชุดสูทยืนเป็นกลุ่มอยู่ด้านหลัง พยักหน้าให้น้อยๆก่อนที่ชายเหล่านั้นจะแยกย้ายกันไป ทิ้งให้นายของมันยืนอยู่กับภาสกรอย่างนั้น
“ไม่หรอกครับ คุณหญิงเล่าว่าเป็นคนเก่ง มีความสามารถมากครับ” ภาสกรว่าไปตามบททั้งที่จำไม่ได้หรอกว่า ความจริงได้ยินชื่ออดิสรณ์ที่ไหน... ที่แน่ๆคือไม่ได้มาจากปากของดาริกา
“คุณอดิสรณ์ทำธุรกิจอยู่หลายอย่างค่ะ มีทั้งนำเข้า ส่งออกพลอยไปถึงทำการค้ารังนกกับจีนแล้วก็ฮ่องกงใช่ไหมคะ”
“ครับ ก็เรื่องรังนกนี่เพิ่งมาทำยังไม่ได้ชำนาญอะไร ดีที่ว่าไปเจอถ้ำในเกาะส่วนตัวเข้าพอดีมันมีรังนกเยอะ ก็เลยผันตัวไปเล่นทางนี้บ้าง” อดิสรณ์เล่าไปเรื่อยเปื่อยไม่ได้คิดคุยหรืออะไร
“โอ้โห มีเกาะส่วนตัวด้วยอยู่ที่ไหนหรือครับในพัทยาหรือว่าแถวทางใต้”
“อยู่ทางใต้น่ะครับ” เจ้าตัวตอบเท่านั้น เห็นว่าไม่อยากคุยเยอะเรื่องเกาะ ภาสกรก็เลยเลิกสนใจเรื่องนี้ แล้วพยายามชวนคุยเรื่องอื่นไปเท่าที่จะทำได้ สองหนุ่มวิสาสะกันอยู่ไม่นานภาสกรก็ต้องแยกออกมาดูแลความเรียบร้อยของเหล่าเครื่องประดับหลังเวที เพราะงานเดินแฟชั่นจะเริ่มในไม่กี่นาทีนี้แล้ว
ไม่ได้สังเกตว่ามีใครบางคนเพิ่งจะเข้ามาในบริเวณงาน

 นทีสวมเสื้อเชิ้ตสีอ่อน เปิดกระดุมไว้สองสามเม็ดเพราะความร้อน ปล่อยผมเผ้ายุ่งเหยิงไปหมด เดินช้าๆตามปุยฝ้ายเข้ามาในงานเดินแบบอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก พอแจ้งชื่อกับพนักงานว่าเป็นแขกของเจ้าของงานแล้วก็เดินเข้าไปนั่งกันอยู่เกือบสองแถวสุดท้ายถัดมาจากรันเวย์ไม่ทันได้เข้าไปคุยกับดาริกาก่อนเพราะว่างานเริ่มไปแล้วกว่าทั้งคู่จะเข้ามาถึงที่นั่งได้
 หนุ่มน้อยนั่งลงข้างๆเพื่อนสาวที่ดูร้อนรน ตาลอกแลกมองซ้ายมองขวาอยู่ไม่เป็นสุข ไม่ได้สนใจบรรดานางแบบที่เดินออกมาในชุดว่ายน้ำสีสดใสเลย
 “ฝ้ายเป็นอะไร ดูแปลกๆนะแกไม่เห็นสนใจนางแบบเลยแล้วจะลากฉันมาแต่แรกทำไม” หนุ่มน้อยอดไม่ได้พูดบ่นขึ้นมา
เพื่อนสาวได้ยินดังนั้นก็แทบจะสะดุ้ง กลบเกลื่อนด้วยการหัวเราะแหะๆ อย่างไม่ใส่ใจแล้วก็ดูแฟชั่นต่อไปแต่พอนทีผิดสังเกตแล้ว หนุ่มน้อยก็อดที่จะระแวงไม่ได้ต้องมองซ้ายมองขวาหาความผิดปกติที่ทำให้เพื่อนสาวกระสับกระส่าย แต่หาไม่เจอก็เลยหันมาคาดคั้นเอาจากเพื่อนแทน
“แกหาใครอยู่ล่ะ หาคุณหญิงหรือ”    
“เปล่าๆ คุณหญิงก็น่าจะอยู่หลังเวที ดูแลนางแบบให้เรียบร้อยไม่งั้นก็คงนั่งอยู่ที่ใดที่หนึ่งในนี้แหละ” หล่อนว่าอย่างมีพิรุธ แล้วก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ดูนางแบบสาวสวยร่างสูงเดินไปตามความยาวของรันเวย์ที่วางตัวขนานไปกับชายหาด เห็นเกลียวคลื่นด้านหลังสาดซัดเข้าหาฝั่งอย่างสวยงาม
“เอ้าแล้วแกหาใคร คนรู้จักหรือไง”
“เปล่า ก็บอกว่าเปล่า เอ๊” ปุยฝ้ายขึ้นเสียงแหลมอย่างไม่พอใจ กลัวว่าเพื่อนหนุ่มจะรู้ทันแผนการของหล่อน แล้วก็กลัวด้วยว่า หากต่างฝ่ายต่างเห็นกันเองก่อน แล้วดันเล่นตัวไม่ยอมอ่อนเข้าหากันละก็ แผนของหล่อนคงล่มแน่ๆ ปุยฝ้ายจึงรีบผละออกมาจากนที แล้วตัดสินใจโทรรายงานดาริกา แม้ว่าหล่อนอาจจะยุ่งอยู่ก็ตาม แต่แผนนี้จะต้องไม่ล่ม ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

หลังเวที ภาสกรดูภาพนางแบบสาวสวยแต่ละคนเดินกระฉับกระเฉงไปบนรันเวย์ มีเครื่องประดับที่ตนออกแบบและควบคุมผลิตเองอยู่บนเรือนร่าง ผ่านจอมอนิเตอร์ที่ถ่ายทอดภาพจากด้านนอกมาฉายให้เขาได้เห็นข้างในแล้วก็รู้สึกสบายใจไปเปราะหนึ่งว่าอย่างน้อย คนก็พอจะชอบผลงานของเขาอยู่บ้าง แต่ใจหนึ่งก็แอบกังวลไม่น้อยเกี่ยวกับนที
เขายังไม่ได้คุยกับหนุ่มน้อยแม้สักครั้งเดียวหลังจากกลับมาจากนครนายกแล้ว ต่อให้เขาจะตั้งเป้าไว้กับตัวเองแล้วว่าให้ทำงานให้เสร็จเสียก่อนค่อยไปสนใจเรื่องส่วนตัวของตัวเองก็ตาม แต่เขาก็ยังคิดถึงอยู่นั่นแหละ
นทีคงชอบอะไรแบบนี้ คุณชายหนุ่มคิดแล้วก็ได้แต่เพียงก้มหน้านิ่งโทษตัวเองว่าไม่ควรปล่อยให้ฝ่ายนั้นหายไปจากชีวิตของตนเลยจริงๆ เมื่อไม่ได้เจอหน้า ไม่ได้คุยกันแล้ว ภาสกรก็รู้สึกว่าชีวิตของตนนั้นขาดอะไรที่ไม่ควรขาดไป... คนเราต่อให้มีอาหารดีๆกินสักกี่มื้อ หากขาดน้ำสักเพียงแก้วเดียวในแต่ละวันก็คงจะรู้สึกไม่สบายตัวแน่ๆ
 ดาริกาเดินเข้ามาหาภาสกรจากด้านข้าง ชายหนุ่มก็คงจะพอรู้ตัวก็เลยหันมากำลังจะอ้าปากทัก โทรศัพท์ก็ดังเข้าเครื่องของหม่อมราชวงศ์หญิงเสียก่อน ดาริกาจึงส่งสัญญาณทำนองขอตัวมาให้ แล้วหล่อนก็ผละออกไปสักพัก
 คุณชายหนุ่มดูแลนางแบบจนแน่ใจว่าเรียบร้อยดีแล้วก็เลยออกมาสูดอากาศริมทะเลข้างนอกบ้าง พอออกมาจากหลังเวทีก็แทบจะชนเข้ากับอดิสรณ์ที่กำลังเดินจ้ำๆ คุยโทรศัพท์เสียงเครียดอยู่ผ่านออกไป คุณชายเอ่ยขอโทษเบาๆแล้วก็ปล่อยให้นักธุรกิจหนุ่มเดินหายไปด้านหลังเวที ตัวเองเดินไปมองเกลียวคลื่นในทะเลที่สาดซัดเข้าระรอกแล้วระรอกเล่า แสงของดวงอาทิตย์ฉายอยู่บนผิวน้ำระยิบระยับราวอัญมณี
น้ำทะเลจะสวยได้อย่างไรหากไม่มีแสงอาทิตย์สาดส่องมาอย่างนี้ และดวงอาทิตย์ไม่ว่าจะทอแสงไปกระทบสิ่งใด ก็คงสู้ไม่ได้กับส่องมากระทบผืนน้ำ
ภาสกรขมวดคิ้วแน่น หรือเป็นเพราะเขาและนทีเกิดมาคู่กัน จะแยกออกจากกันไม่ได้เล่า... เมื่ออยู่ไกลกันถึงได้ทุกข์ใจเช่นนี้
“น้องฝ้ายโทรมาค่ะว่าถึงแล้ว เสร็จงานจะมาพบคุณชายทนรอหน่อยเดียวค่ะ” เสียงหวานนุ่มของดาริกาดังมาจากด้านหลัง ภาสกรได้ยินคำว่าปุยฝ้ายก็รีบหันไปมองโดยไม่คิดถึงสิ่งอื่นใดนอกจากเพื่อนชายคนสนิทของเจ้าของชื่อนั้น ประกายแห่งความสุขฉายชัดอยู่ในแววตาของภาสกรจนดาริกาเองก็สัมผัสได้
 “คุณฝ้ายมางานหรือครับ” ภาสกรถามอย่างร้อนรน “แล้วเขาเจอนทีแล้วหรือยัง นทีจะมางานนี้ด้วยหรือเปล่าครับ”
“ใจเย็นๆค่ะคุณชาย ถามเสียหลายคำถามจนหญิงตอบไม่ถูกแล้ว” 
ดาริกาหัวเราะร่า ไม่รู้ว่านักธุรกิจหนุ่มใหญ่ได้ยินทั้งคู่คุยกันแทบทุกคำจากด้านหลัง
“น้องฝ้ายอยู่ในงานแล้ว ส่วนน้องนทีก็มาด้วยค่ะ”
ในโลกนี้จะมีคนชื่อฝ้ายสักกี่คนที่มีเพื่อนชื่อนทีพอดีเล่า เหมาะเจาะเสียจนไม่ต้องเดาแล้วว่าเป็นคนคนเดียวกับที่อดิสรณ์ต้องการพบเช่นกัน เขาควานหาตัวหนุ่มน้อยคนนี้อยู่ตั้งนานไม่คิดเลยว่าจะมาเจอเอาง่ายๆโดยบังเอิญขนาดนี้
อดิสรณ์มีรอยยิ้มแสยะขึ้นบนใบหน้า ราวกับรอยยิ้มของพญามารที่พร้อมจะดึงเอานทีกลับเข้าขุมนรก เด็กคนนี้เป็นคนที่เขารักมากก็จริง แต่ในขณะเดียวกันมันก็สร้างแผลให้เขามากเหลือเกิน... สาหัสเพราะมันมากเสียจนต้องเอาคืนให้สาสม! นักธุรกิจหนุ่มใหญ่รอจนดาริกากลับเข้าหลังเวทีไปดูแลนางแบบเสียเรียบร้อยแล้วจึงเดินเข้าไปหาภาสกรช้าๆ
“คุณชายครับ” เขาเอ่ยเรียกชายหนุ่มเบาๆ เจ้าของชื่อไม่รู้หรอกว่า หากตนทำหูทวนลมไม่รู้เรื่องแล้วเดินหายไปเสีย ความหายนะต่อตนและคนที่ตัวเองรักก็คงจะไม่บังเกิดขึ้น... เพราะไม่รู้นี่เอง ภาสกรจึงหันไปหาอดิสรณ์ด้วยความแปลกใจ เอ่ยปากทักอีกฝ่ายขึ้นว่า
“มีอะไรหรือครับคุณอดิสรณ์”
“ขอโทษที่ต้องเข้ามาทักทั้งๆที่คุณก็ดูเหมือนอยากอยู่คนเดียวอย่างนี้” เขามุ่งเข้าประเด็นแทบทันทีหลังจากหยอดคำทักทายโปรยไว้ให้ตายใจเสียก่อน ด้วยมาด และชั้นเชิงของนักธุรกิจใหญ่ที่โน้มน้าวให้ใครต่อใครก็คล้อยตามเซ็นสัญญาใบละสิบล้านให้เขาได้นั้นเอง อดิสรณ์กำลังจะกล่อมภาสกรให้เข้าไปติดกับ “ผมบังเอิญได้ยินคุณชายคุณกับคุณหญิงดาริกา เกี่ยวกับคนที่ชื่อ ฝ้าย และ นที”
“อ้อครับ”
“จะเป็นไปได้แม้สักนิดไหมครับว่า นทีที่พูดถึงอยู่นี้ คือคนที่ชื่อ นที เสถียรลาภน่ะครับ” เขาพูดเสียงเรียบแต่วางหน้าราวกับร้อนใจเหลือประมาณจนไปกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของภาสกรเข้า ชายหนุ่มไม่ทันได้คิดหน้าคิดหลังเลยตอบไปตามความจริง
“ใช่ครับน้องน้ำ นที เสถียรลาภ เอ...ท่าทางคุณอดิสรณ์จะรู้จักเด็กคนนี้นะครับ” ชายหนุ่มไม่สังเกตเห็นแววแห่งชัยชนะในดวงตาของคนตรงหน้าเอาเลย
“แหม จะให้พูดว่ารู้จักคงไม่ได้มังครับ ในเมื่อมันยิ่งกว่ารู้จักเสียอีก” เขาเงียบไปพักหนึ่งให้ภาสกรลุ้นเล่นๆก่อนจะตบท้ายประโยคว่า “ก็ผมเป็นพ่อเลี้ยงของเขานี่ครับ แล้วคุณชายภาสกรเล่าไปรู้จักกับเด็กคนนี้ได้อย่างไรครับ”
 ภาสกรตกใจจนอ้าปากค้าง นทีมีพ่อเลี้ยง! ทำไมไม่เคยบอกเขาเลย
“เห็นทีคุณชายกับผมคงจะต้องคุยกันนานเสียแล้ว” นักธุรกิจหนุ่มพยักเพยิดให้ลูกน้องที่ยืนประสานมือรออยู่เบื้องหลัง ก่อนจะเดินนำภาสกรไปที่ห้องแต่งตัวหลังรันเวย์ ลูกน้องที่ว่าเดินไปอีกทางหนึ่งตรงข้ามกับนายโดยสิ้นเชิง เรียกลูกน้องรายอื่นมารวมตัว แล้วแยกกันไปปิดทางเข้าออกงานทุกทาง
เพื่อว่าเมื่อเห็นนทีโผล่มาใกล้ทางออกใดก็ตาม เขาจะได้รวบตัวหนุ่มน้อยคนนั้นเอาไว้ก่อน เมื่อโทรแจ้งนาย ฝ่ายนั้นจะได้มาจัดการกับนทีได้ด้วยตัวเอง
 
คุณหญิงดาริกา เดินปรบมือไปตามรันเวย์ในฐานะดีไซเนอร์เสื้อผ้า ในขณะที่คุณชายภาสกรก็เดินเคียงคู่ไปกับหญิงสาวด้วยราวกับคู่รักหวานชื่นก็ไม่ปาน พอเดินไปสุดปลายรันเวย์ดาริกาก็คล้องแขนภาสกรโพสต์ท่าให้บรรดาช่างภาพถ่ายรูปกันยกใหญ่
 ทิฆัมพรแทบจะหยิกท่านหญิงวิไลวรรณ์ที่นั่งอยู่ข้างๆหล่อนแล้วถ้าหล่อนทำได้ เรื่องอะไรของดาริกาที่มาเข้าใกล้คุณชายของหล่อนถึงขนาดนั้น แต่จะโวยวายไปก็เท่านั้นเอง เสียภาพพจน์ของหล่อนเปล่าๆ ทิฆัมพรจึงเพียงแต่นั่งไขว่ห้างมองไปอย่างไม่สบอารมณ์ยกมือขึ้นปรบไปตามคนอื่นเท่านั้น
 อีกฟากหนึ่งของรันเวย์ ก็มีอีกคนที่คราวนี้รู้สึกไม่ต่างจากทิฆัมพร
 นทีนั่งจ้องคุณชายตาเขม็งทันทีที่ฝ่ายนั้นปรากฏกายขึ้นบนรันเวย์ โกรธหรือเปล่า นทีก็บอกไม่ได้ ดีใจที่ได้พบไหม นทีก็ไม่แน่ใจกับความคิดของตัวเองนัก เขาไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจของปุยฝ้ายหรือเปล่าที่ให้เขามาพบกับภาสกรวันนี้ หรือไม่แน่ก็อาจเป็นความบังเอิญก็ได้ แต่พอหันไปมองหน้าเพื่อนสาวจนเต็มตาแล้ว หนุ่มน้อยก็มั่นใจว่าคงเป็นแผนการของหล่อนนั่นเอง
“แกเป็นคนวางแผนให้ฉันมาเจอคุณชายใช่ไหม”
 ปุยฝ้ายไม่ยอมรับ เพียงนั่งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ จนนทีถองหล่อนแรงๆ หล่อนจึงยอมหันมาสบตาเพื่อนหนุ่ม จ้องกันได้ไม่นานหรอกหล่อนก็เป็นฝ่ายแพ้
“ย่ะๆ ฉันพาแกมาเจอกับเขาเอง ทำไมหรือแกจะบอกว่าแกไม่อยากเจอเขาล่ะ” ปุยฝ้ายมองจิกนทีด้วยสายตาทำให้อีกฝ่ายร้อนวูบวาบไปหมด รู้ดีว่าปฏิเสธปุยฝ้ายไปก็เท่านั้น เพราะหล่อนรู้จักเขา ดีกว่าเขารู้จักตัวเองเสียอีกแต่ก็อดไม่ได้ที่จะถือทิฐิตอบไปว่า
“ก็ไม่อยากเจอน่ะสิ ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายไม่อยากเจอฉันเองแต่แรก”
“อย่ามาปากแข็งหน่อยเลย” ปุยฝ้ายจ้องเพื่อนหนุ่มเขม็ง “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าระหว่างแกกับคุณชายมีอะไรหรือเปล่า แต่ฉันก็ไม่อยากให้แกจากเขามาเฉยๆอย่างนี้ ตั้งแต่ที่นครนายกวันสุดท้ายนั่นแกก็ไม่คุยกับเขาอีกเลย กลับมาแกก็ย้ายห้องหนี แกจะให้ฉันคิดยังไง นอกจากแกงอนอะไรคุณชาย แต่แกก็ปฏิเสธไม่ได้
หรอกว่า แกก็คิดถึงเขา”
 นทีไม่เถียงอะไรแต่ลุกขึ้นเฉยๆ อย่างนั้นก้าวเท้าหนีมาจากเพื่อนสาวคนสนิท ฝ่ายนั้นพยายามวิ่งตามเขามา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าพยายาม เพราะนทีสูงกว่า ขายาวกว่า ก้าวได้ไกลกว่าเผลอแปบเดียวหนุ่มน้อยก็หายไปจากสายตาของปุยฝ้ายเสียแล้ว หญิงสาวเดินตามไปอย่างท้อใจกระทั่งถูกมือแข็งแกร่งของคนคนหนึ่งคว้าหมับเข้าที่แขนของหล่อน หันไปก็จำได้ว่าเป็นลูกน้องคนหนึ่งของ
อดิสรณ์! “น้องฝ้าย... ไปเดินเล่นดูทะเลกับพี่ดีกว่า”
น้ำตาของนทีเอ่อคลอเบ้า... เพราะอะไร? ทำไมเขาต้องหนี ทำไมเขาต้องแคร์ภาสกรในเมื่ออีกฝ่ายไม่เคยแคร์เขาเลย เมื่อเขาหนีออกมาจากห้องของปุยฝ้าย คุณชายก็น่าจะใส่ใจตามหาเขาบ้างซี ไม่ใช่ก็ปล่อยเลยตามเลยหายไปด้วยแบบนี้ ความหวังลึกๆว่าคุณชายจะมาตามหาเขา บอกว่าคิดถึงเขา บอกว่าอยากอยู่กับเขาตลอดเหมือนที่เคยๆบอกมานั้น พังทลายลงไปแล้ว จนจู่ๆ ปุยฝ้ายลากเขามาเจอกับภาสกรในวันนี้มันก็ก่อตัวขึ้นอีก แต่ทั้งๆที่อยากเข้าไปหา อยากเข้าไปพูดคุยและบอกรักเท่าไร นทีก็ไม่อาจทำได้ในเมื่อคุณชายก็กำลังเจริญก้าวหน้าไปเป็นคนใหญ่คนโต อนาคตดูสดใส และรุ่งเรือง ดูจากงานนี้ก็รู้ได้แล้วว่าเขาเองก็มีความสุขและประสบความสำเร็จได้โดยไม่ต้องพึ่งนทีเลยแม้แต่น้อย...
 “ผมไม่ได้เป็นเกย์” คำพูดของภาสกรดังก้องขึ้นในใจ... ใช่นี่แหละคือคำตอบของปัญหานี้ คุณชายไม่ได้เป็นแบบเขา ฉะนั้นคุณชายก็ไม่จำเป็นต้องแคร์เขา ไม่จำเป็นต้องใส่ใจหรือห่วงใยจนต้องตามมาง้องอนอย่างที่เขาหวัง นึกไปถึงสิ่งที่ปุยฝ้ายเคยพูดเมื่อครั้งก่อนไปเที่ยวกับภาสกรแล้ว นทีก็รู้สึกกลัวขนลุกไปหมด
“...เขาก็คิดกับแกแค่เพื่อนแบบที่เขาไม่เคยมี อาจจะเผลอใจบ้างแต่สุดท้ายถ้าเขาแมนเต็มร้อย เขาก็ต้องลงเอยกับผู้หญิงวันยังค่ำ แล้วฉันก็ไม่เห็นใครจะดีเท่าพี่ดา”
รอยยิ้มบนหน้าคุณชายบอกเขาชัดเจนอยู่แล้วว่า ผู้หญิงที่เขาจะลงเอยด้วย ก็คงเป็นคุณหญิงดาริกาอย่างที่ปุยฝ้ายเคยเชียร์ออกหน้าออกตานั้นแหละ
คิดไปคิดมาไม่ทันได้สนใจสิ่งรอบตัว พอนทีเงยหน้าขึ้นแล้วก็พบว่า มีชายใส่สูทสีดำร่างสูง สวมแว่นสี่เหลี่ยมส่องประกายล้อแสงแดดยืนยิ้มกว้างอยู่ต่อหน้าเขา... ไม่ใช่รอยยิ้มของพ่อเลี้ยงที่ดีใจเมื่อได้พบลูก แต่เป็นรอยยิ้มของผู้ชนะ รอยยิ้มของปีศาจที่แสยะออกเมื่อรู้ว่าเหยื่อของตนได้กลับมาตายรังอยู่ในนรกขุมเดิมแล้ว
 “เอ้า ลูก! ดีใจเหลือเกินที่ได้มาพบกันที่นี่ แหมถ้าไม่ได้คุณชายภาสกรมาช่วยไว้ เห็นทีเราคงไม่ได้พบกันอีกแล้วกระมัง!” นทีเหลือบไปเห็นภาสกรยืนยิ้มอยู่ด้านหลังของอดิสรณ์ ไม่ได้รู้เรื่องเลยว่าทำให้นทีอยากตายไปเสียเดี๋ยวนั้นเพียงใด
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 32 "คุณชายกับผมคงจะต้องคุยกันนานเสียแล้ว" 1/06/11 - 20.35
เริ่มหัวข้อโดย: IIMisssoMII ที่ 01-06-2011 20:58:16
กรรม คนไม่รู้ถือว่าไม่ผิดนะ
อดิสรณ์ ท่าทางร้ายน่าดู หลังว่าคงไม่เคยข่มขืนนทีได้สำเร็จนะ ขอให้แค่พยายามเถอะ ได้โปรดดดดดดด

หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 32 "คุณชายกับผมคงจะต้องคุยกันนานเสียแล้ว" 1/06/11 - 20.35
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 01-06-2011 21:00:50
กำๆๆๆ นทีจะต้องตกนรกทั้งเป็นอีกแล้วหรอ
อิตาคุณชาย ไม่ได้รู้เรื่องเล้ยยยย >"<
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 32 "คุณชายกับผมคงจะต้องคุยกันนานเสียแล้ว" 1/06/11 - 20.
เริ่มหัวข้อโดย: naja-kitase ที่ 01-06-2011 21:28:24
ตายๆๆๆๆ ถ้าอีตานั่นได้ตัวนทีไป ไม่อยากจะคิดเลย  ดูไม่มีหนทางรักกันดีๆเลย กรรมของคนอ่าน
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 32 "คุณชายกับผมคงจะต้องคุยกันนานเสียแล้ว" 1/06/11 - 20.35
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 01-06-2011 21:41:05
เจ๊ยยยยยยย!!!!!!  โผล่มาได้ ให้ตายเถอะ!!!!
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 32 "คุณชายกับผมคงจะต้องคุยกันนานเสียแล้ว" 1/06/11 - 20.35
เริ่มหัวข้อโดย: คนริมคลอง ที่ 01-06-2011 21:42:11
ไม่อยากจะลุ้นตอนต่อไปเลย จัดหนักหรือจัดเบา

หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 32 "คุณชายกับผมคงจะต้องคุยกันนานเสียแล้ว" 1/06/11 - 20.35
เริ่มหัวข้อโดย: Rhythm ที่ 01-06-2011 21:47:33
 :เฮ้อ:
 อยากอ่านๆๆๆๆๆๆๆๆ :z3: :z2:
รออ่านนะคะ :L1:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 32 "คุณชายกับผมคงจะต้องคุยกันนานเสียแล้ว" 1/06/11 - 20.35
เริ่มหัวข้อโดย: pochu52 ที่ 01-06-2011 21:52:54
โมโหคุณชาย ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยยยย ดันนนพาพ่อเลี้ยงมาเจอนทีอีก นทีหนีให้ได้น่ะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 32 "คุณชายกับผมคงจะต้องคุยกันนานเสียแล้ว" 1/06/11 - 20.35
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 01-06-2011 22:18:49
นทีตายแหงๆเรย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 32 "คุณชายกับผมคงจะต้องคุยกันนานเสียแล้ว" 1/06/11 - 20.35
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 01-06-2011 22:51:25
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 32 "คุณชายกับผมคงจะต้องคุยกันนานเสียแล้ว" 1/06/11 - 20.35
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 02-06-2011 00:58:31
อ๊ายยยยยยยยยยย
ไม่เอา ไม่เอา
ทำไมคุณชายต้องลากอิตาพ่อเลี้ยงมาด้วยล่ะ
กรี๊ดๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 32 "คุณชายกับผมคงจะต้องคุยกันนานเสียแล้ว" 1/06/11 - 20.35
เริ่มหัวข้อโดย: K3n0 ที่ 02-06-2011 01:11:49
ไม่อยากจะคิดเล้ยยย  ว่าจะเกิดไรขึ้นอีก  เฮ่ออออออออออ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 32 "คุณชายกับผมคงจะต้องคุยกันนานเสียแล้ว" 1/06/11 - 20.
เริ่มหัวข้อโดย: ต่ายน้อย ที่ 02-06-2011 01:20:04
 o22อ๊าาาาาาก :angry2:คุณชายช่วยนทีด้วยน้า :m15:
อย่าปล่อยให้นทีไปกับไอ้อดิสรณ์น้าเฟ้ย
สงสารนที :o12:
รักคนแต่ง :กอด1:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 32 "คุณชายกับผมคงจะต้องคุยกันนานเสียแล้ว" 1/06/11 - 20.35
เริ่มหัวข้อโดย: lucifel ที่ 02-06-2011 01:21:06
คุณชายนี่ตัวปัญหาจริงๆ หาเรื่องมาให้นทีไม่ได้หยุด
เลวบริสุทธิ์รึเปล่าแบบนี้
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 32 "คุณชายกับผมคงจะต้องคุยกันนานเสียแล้ว" 1/06/11 - 20.35
เริ่มหัวข้อโดย: Piaanie ที่ 02-06-2011 03:56:22
อ่าวไหง๋เป็นงี้ไปได้ นทีหนีอีตาพ่อเลี้ยงจะตายนี่อะไร ลากมาเจอกันจนได้ มันน่านักคุณชายนี่
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 32 "คุณชายกับผมคงจะต้องคุยกันนานเสียแล้ว" 1/06/11 - 20.35
เริ่มหัวข้อโดย: evilheart ที่ 02-06-2011 07:25:33
(http://i273.photobucket.com/albums/jj225/tangtang_jar/906479168.gif) งานเข้าแล้วไง
พ่อเลี้ยงไปพูดอะไรกับคุณชายบ้างก็ไม่รุ้
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 32 "คุณชายกับผมคงจะต้องคุยกันนานเสียแล้ว" 1/06/11 - 20.35
เริ่มหัวข้อโดย: ● MaYa~Boy ● ที่ 02-06-2011 09:06:35
ง่ะเอาล่ะสิ งานใหญ่แน่งานนี้
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 32 "คุณชายกับผมคงจะต้องคุยกันนานเสียแล้ว" 1/06/11 - 20.35
เริ่มหัวข้อโดย: babyfaibossy ที่ 02-06-2011 09:23:12
สงสารนทีจัง

  :o12:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 32 "คุณชายกับผมคงจะต้องคุยกันนานเสียแล้ว" 1/06/11 - 20.35
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 02-06-2011 12:36:27
เนื่องจากเรื่องนี้มันคงมาม่าสุด ๆ ดังนั้นแล้วนทีคงโดนพ่อเลี้ยงทำอะไรทุเรศ ๆ มามากมายก่ายกองเป็นแน่แท้
ไม่อย่างนั้นคงไม่อยากตายไปจากโลกนี้หรอก  คุณชายเอ๊ยยยย  ไม่ได้รู้เรื่องอะไรกับเขาเล๊ยยยยยย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 32 "คุณชายกับผมคงจะต้องคุยกันนานเสียแล้ว" 1/06/11 - 20.35
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 02-06-2011 13:43:03
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 32 "คุณชายกับผมคงจะต้องคุยกันนานเสียแล้ว" 1/06/11 - 20.35
เริ่มหัวข้อโดย: chalermchai ที่ 02-06-2011 15:15:31
ยังไงต่อละเนี้ย...........อารมณ์ค้าง

คุณชายภาสกร.....ทำอะไรลงไป.... :o12: โกรธแล้วนะ

หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 32 "คุณชายกับผมคงจะต้องคุยกันนานเสียแล้ว" 1/06/11 - 20.35
เริ่มหัวข้อโดย: bbyuqin ที่ 02-06-2011 17:05:08
นทีจะหนียังไงล่ะเนี่ย....พ่อเลี้ยงก็ไม่ยอมให้นทีไปง่ายๆหรอก
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 32 "คุณชายกับผมคงจะต้องคุยกันนานเสียแล้ว" 1/06/11 - 20.35
เริ่มหัวข้อโดย: soul_merupa ที่ 02-06-2011 17:59:02
สงสารนที อยู่กับค.คิดของตัวเองที่คิดว่าคุณชายไม่รักก็ช้ำแล้ว ยังต้องมาเจอเหตุการณ์ชวนเข้าใจผิดแบบนี้อีก T^T
คุณชายหวังดีแบบไม่รู้อะไร แย่เลย แล้วทีนี้จะทำไงหว่า นทีจะโดนพ่อเลี้ยงใจร้ายทำอะไรมั่ง ฮึกๆ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 32 "คุณชายกับผมคงจะต้องคุยกันนานเสียแล้ว" 1/06/11 - 20.35
เริ่มหัวข้อโดย: A-J.seiya* ที่ 02-06-2011 22:17:21
คุณชายจะรู้มั้ยเนี่ย
ว่าส่งนทีไปอยู่ในนรกอ้ะ
โฮวๆๆๆ
สงสารนทีมากเลย จะทำไงดี
เจอเรื่องเลวร้ายแบบซ้ำซ้อนมาก !!
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 32 "คุณชายกับผมคงจะต้องคุยกันนานเสียแล้ว" 1/06/11 - 20.35
เริ่มหัวข้อโดย: tuek ที่ 02-06-2011 23:50:01
งานเข้าน้ำอย่างแรงเลย
สงสารน้ำมากๆ
+ 1 นะคะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 32 "คุณชายกับผมคงจะต้องคุยกันนานเสียแล้ว" 1/06/11 - 20.35
เริ่มหัวข้อโดย: little_nok ที่ 02-06-2011 23:56:17
โห กรรมของนที
ไม่รู้ไอ่พ่อเลี้ยวเลวแค่ไหน
ก็แ่ค่ทำให้นทีแทบจะฆ่าตัวตายนั่นแหละ :เฮ้อ:
ต่อไป อะไรจะเกิดขึ้น
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 32 "คุณชายกับผมคงจะต้องคุยกันนานเสียแล้ว" 1/06/11 - 20.35
เริ่มหัวข้อโดย: J_Dargon ที่ 03-06-2011 00:57:17
ซวยแล้วน้องน้ำ  มันโผล่มาแล้ววววว
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 32 "คุณชายกับผมคงจะต้องคุยกันนานเสียแล้ว" 1/06/11 - 20.35
เริ่มหัวข้อโดย: pandorads ที่ 03-06-2011 01:00:35
ซวย!! -O-
กำลังจะได้ปรับความเข้าใจกัน
ไหงมีมารมาผจญงี้อ่ะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 32 "คุณชายกับผมคงจะต้องคุยกันนานเสียแล้ว" 1/06/11 - 20.35
เริ่มหัวข้อโดย: namwaan1992 ที่ 04-06-2011 00:52:00
อยากฆ่าอดิสรณ์~   -*-
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 32 "คุณชายกับผมคงจะต้องคุยกันนานเสียแล้ว" 1/06/11 - 20.35
เริ่มหัวข้อโดย: BF-e ที่ 04-06-2011 09:06:45
โอ้วววว  งานเข้าอีกเเล้ว!
  น้องนทีจะเป็นไงมั้ง???????
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 32 "คุณชายกับผมคงจะต้องคุยกันนานเสียแล้ว" 1/06/11 - 20.35
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กกะโปโล ที่ 05-06-2011 13:35:26
ไอ้อดิสรณ์จะโผล่มาทำไมตอนนี้ฟระะะะ!! :o211:
แทนที่จะได้ดีกัน กลายเป็นนทีจะเข้าใจคุณชายผิดซะอีก o6
แล้วนทีจะเป็นยังไงละเนี่ยโดนเจอตัวแล้วเนี่ย ลุ้นมากๆคร้าบ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 32 "คุณชายกับผมคงจะต้องคุยกันนานเสียแล้ว" 1/06/11 - 20.35
เริ่มหัวข้อโดย: myapril ที่ 05-06-2011 15:33:07
 :z3: :z3:
ไม่อยากจะคิดไปเองว่าไอ้พ่อเลี้ยงนั่นมันทำอะไรกับน้ำไปบ้าง
ทำไมต้องเป็นคุณชายภาสกร ทำไมไม่เป็นนายภาสกร  :monkeysad:
ผมไม่ได้เป็นเกย์ ผมเมา ไอ้คำแบบนี้ออกจากปากคนที่เรารักแถมเรายังเต็มใจให้ร่างกายกับเขาไปแล้วด้วย
เจ็บจี๊ดถึงไส้ติ่งเถอะ :o12:

รอตอนนหน้า มาม่าเบาๆ หรือ มาม่าจัดหนัก
 :catrun:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 32 "คุณชายกับผมคงจะต้องคุยกันนานเสียแล้ว" 1/06/11 - 20.35
เริ่มหัวข้อโดย: hardened-boy ที่ 06-06-2011 21:28:51
ตามทันแล้ว
ตอนนี้เครียดแล้ว  ลุ้นสุดๆ
คนแต่งเขียนบทได้ละเอียดมาก บรรยายซะเห็นภาพไปหมด ยังกะนักเขียนบทมืออาชีพเลยครับ
นับถือๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 32 "คุณชายกับผมคงจะต้องคุยกันนานเสียแล้ว" 1/06/11 - 20.35
เริ่มหัวข้อโดย: IIMisssoMII ที่ 06-06-2011 22:38:32
รอนทีไม่ไหวแล้ว ไปนอนก่อนนะคะ ^ ^
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 32 "คุณชายกับผมคงจะต้องคุยกันนานเสียแล้ว" 1/06/11 - 20.35
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 13-06-2011 21:55:17
ดันค่ะ

คิดถึงแล้วน้า
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 32 "คุณชายกับผมคงจะต้องคุยกันนานเสียแล้ว" 1/06/11 - 20.35
เริ่มหัวข้อโดย: naja-kitase ที่ 13-06-2011 21:58:13
ิคิดถึงนที

รอนานแล้วน้าาาา คิดถึ๊งคิดถึง
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 32 "คุณชายกับผมคงจะต้องคุยกันนานเสียแล้ว" 1/06/11 - 20.35
เริ่มหัวข้อโดย: Non_stop ที่ 13-06-2011 22:06:22
 :call: :call:

คิดถึงนทีเหมือนกัน

รอนานแล้วก็จะรอต่อไปน่ะค่ะ

เป็นกำลังใจให้คนแต่งค่ะ

 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 32 "คุณชายกับผมคงจะต้องคุยกันนานเสียแล้ว" 1/06/11 - 20.
เริ่มหัวข้อโดย: A. marco ที่ 14-06-2011 13:26:37
มารอนทีคร้าบ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 32 "คุณชายกับผมคงจะต้องคุยกันนานเสียแล้ว" 1/06/11 - 20.35
เริ่มหัวข้อโดย: jojobuffy ที่ 14-06-2011 14:09:29
 :z3: :z3: :z3: :z3: :z3:


ไม่ไหวจะเครียล์ อีรุงตุงนังมากมาย  :fire:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 32 "คุณชายกับผมคงจะต้องคุยกันนานเสียแล้ว" 1/06/11 - 20.35
เริ่มหัวข้อโดย: evaeveevaeve ที่ 14-06-2011 14:28:20
เพิ่งเข้ามาอ่าน ขอฝากตัวด้วนน่ะครับ แต่งได้ดีมาก เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 32 "คุณชายกับผมคงจะต้องคุยกันนานเสียแล้ว" 1/06/11 - 20.35
เริ่มหัวข้อโดย: myapril ที่ 14-06-2011 21:03:33
 :เหอะ1: :เหอะ1:
มารอคุณชายกะน้องน้ำ  .....  ปูเสื่อๆ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 32 "คุณชายกับผมคงจะต้องคุยกันนานเสียแล้ว" 1/06/11 - 20.35
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 15-06-2011 22:26:46
33

นทีไม่รู้ว่าควรจะดีใจที่ได้พบ หรือโกรธคุณชายดีในเวลานี้
ดวงหน้าคมสันที่เขาคิดถึงสุดหัวใจ ตอนนี้ได้มาอยู่ต่อหน้าแล้ว แต่กลับไม่ได้ทำให้นทีรู้สึกสมใจที่รอมานานอย่างที่ควรจะเป็นเลย ในเมื่อมันมีหน้าของใครอีกคนอยู่ข้างกันแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใบหน้านั้นก็เป็นใบหน้าที่เขาไม่อยากเห็นแม้อีกสักแวบเดียวในชีวิต
หนุ่มใหญ่กางแขนออกดึงนทีเข้าไปในอ้อมกอด แม้จะขืนตัวไว้มิได้โอนอ่อนตาม แต่อดิสรณ์ก็บีบต้นแขนเขาจนเจ็บไปหมดดึงพรวดเดียวเข้าไปชิดกับตัวจนหนุ่มน้อยตัวสั่นระรัวด้วยความโกรธ เกลียดและขยะแขยงเหลือประมาณ เมื่อใบหน้าขาวสะอาดแต่สูงวัยนั้น แนบเข้าข้างใบหน้าของเขา นทีก็รู้สึกราวกับตัวเองเป็นหนอนเป็นแมลงที่น่ารังเกียจ จนอยากละลายหายไปจากโลกนี้เดี๋ยวนั้น พออดิสรณ์ถอนร่างของเขาออกจากตัวฝ่ายนั้นก็ยังยึดไหล่เขาไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง มิได้ปล่อยให้เขาหลุดเป็นอิสระ
“ไม่ได้เจอกันนานเลยลูก พ่อคิดถึงเรามากนะ” นทีตัวสั่นเทาราวจะร้องไห้ แต่ก็อดกลั้นใจเอาไว้ไม่ให้แสดงตัวอ่อนแอต่อหน้าอดิสรณ์ ยังคงวางหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มองพ่อเลี้ยงด้วยแววตาเย็นชาที่สุดเท่าที่จะใช้มองใครได้
 “ไงนที ดีใจจนพูดไม่ออกเทียวหรือที่ได้เจอพ่อเลี้ยง” ภาสกรว่าในที่สุด ยิ้มให้เขาอย่างประหม่าทำให้นทีตีความไปว่าคุณชายยิ้มอย่างฝืนใจให้เขาเท่านั้น
“คงยังไม่หายโกรธผมนั่นเอง” อดิสรณ์กล่าวเสียงเรียบอย่าง ธรรมดาที่สุดเหมือนพูดเรื่องลมฟ้าอากาศ “คงยังโกรธที่ผมไม่มีเวลาให้ จนต้องหนีออกจากบ้าน”
ดวงตาเฉียบหลังเลนส์แว่นจับอยู่ที่หน้าของนที ทำให้หนุ่มน้อยแก้ตัวหรือเถียงอะไรไม่ได้ รู้ทันทีว่าอดิสรณ์คงเล่าให้ภาสกรฟังไปอย่างนี้ หากเขากระโตกกระตากพูดอะไรออกมาละก็เขาคงเสร็จมันอีกแน่แล้ว มองไปรอบๆหากำลังสนับสนุน ก็ไม่เห็นว่าปุยฝ้ายจะอยู่ส่วนไหนใกล้ๆ เห็นแต่ลูกน้องของอดิสรณ์ที่เขาพอจำได้บางคน... ด้วยเหตุผลบางประการที่ลืมอย่างไรก็ลืมไม่ลง ...ยืนอยู่รอบตัวเขาเท่านั้น
 หากว่าพูดความจริงออกมา คงถูกรุมทำร้ายเข้าเดี๋ยวนั้นแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อตอนนี้อดิสรณ์คว้าต้นแขนเขาลากออกมาไกลจากบริเวณงานมีภาสกรเดินตามมาด้วย รถของอดิสรณ์จอดอยู่ข้างๆ ใครจะมาเห็นถ้าเขาโดนรุมจริงๆ ส่วนถ้าคิดหนีก็คงไปไหนไม่ได้เลย หากออกวิ่งลูกน้องของอดิสรณ์ก็คงล้อมจับได้อยู่แล้วในเวลาชั่วพริบตา ส่วนหากอยู่ตรงนี้ต่อไปไม่นานนัก อดิสรณ์ก็จะเอาเขาขึ้นรถไปได้ ทีนี้นทีไม่แน่ใจว่าจะหนีออกมาได้อีกเป็นครั้งที่สองหรือไม่
หนุ่มน้อยพยายามส่งสายตาของความช่วยเหลือจากภาสกรแต่ดูเหมือนรายนั้นจะไม่เข้าใจอะไรเลย ยังเอ่ยถามอดิสรณ์อย่างธรรมดาที่สุด
“คุณอดิสรณ์คงรับนทีกลับบ้านเสียเลยมังครับ”
“ใช่  ปล่อยเถลไถลไปอีกไม่ได้หรอกเห็นจะต้องให้รีบกลับเต็มที เพราะผมเองก็ต้องไปทำงานแถวทางใต้ ให้อยู่แถวนี้ผมไม่ค่อยสบายใจ เท่าที่รบกวนคุณชายที่ผ่านมาก็ถือว่าหนักหนาแล้ว ช่วงนั้นผมอยู่ฮ่องกงก็เลยไม่ได้มาดูแล บอกให้พวกลูกน้องดูไว้ดีๆก็ไปหาเรื่องจนเข้าโรงพยาบาลมาครั้งหนึ่ง คราวนี้เห็นจะไม่ปล่อยไปไหนละครับ”
ภาสกรหน้าเสียเพราะคำว่าหาเรื่องเข้าโรงพยาบาล ก็เลยพยายามกลบเกลื่อนด้วยการเอ่ยอย่างธรรมดาที่สุดว่า “สบายแล้วนะนที เจอพ่อเลี้ยงแล้ว” เท่านั้นเองมิได้คิดจะคุยเรื่องของเขาสองคนหรืออย่างน้อยคุยถามสารทุกข์สุขดิบนทีแต่อย่างใดเลย
 “คุณอดิสรณ์ ผมต้องไปหาฝ้ายก่อนละ มาด้วยกันถ้าจะไปไหนก็ควรจะต้องไปบอกก่อน” นทีรีบหาทางหนี กะว่าพอพ้นสายตาอดิสรณ์เมื่อไหร่ วิ่งแฝงตัวเข้าไปในหมู่แขกงานแฟชั่น แล้วค่อยปลีกตัวขึ้นแท็กซี่ หรือรถแดงสองแถวไปก็คงจะพอหนีได้อยู่
 “ปุยฝ้ายเจอพ่อละ บอกว่าต้องกลับก่อน” อดิสรณ์มองลอดแว่นสายตาเฉียบคม จนนทีหนาวเกร็งไปหมดขนลุกไปทั่วร่างแน่ใจว่าปุยฝ้ายคงไม่ได้ “กลับไปก่อน” ด้วยความสมัครใจแน่ๆ
 “ของของผม ยังอยู่ที่...”
 “เรื่องของช่างมันเถอะ วันหลังผมไปเอาให้ก็ได้” ภาสกรยิ้มให้นที ทำไมนะ ทำไมภาสกรจะต้องผลักไสเขาอย่างนี้ ราวกับว่าไม่เคยต้องการให้เขาอยู่เคียงข้างแต่อย่างใด มองตาแล้วก็เห็นว่าภาสกรมีท่าทีอย่างธรรมดาที่สุด เหมือนตั้งใจแล้วว่าจะลืมเรื่องที่นครนายกไปเสียสิ้น ลืมกระทั่งความรู้สึกดีที่เคยมีให้กันอย่างน้อยก็ก่อนจะพลาดพลั้งปล่อยตัวไปตามใจในคืนนั้น
 เหมือนว่าภาสกรจะหลุดจากมือเขาไปแล้วตลอดไป
 “เอ้า คุณชาย มาทำอะไรอยู่ตรงนี้เองคะ” ดาริกาพูดขึ้นเสียงนุ่มจากด้านหลัง หล่อนเดินเข้ามาอย่างมาดสาวสวยไร้ที่ติ พอพบเข้ากับอดิสรณ์ก็ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม เหลือบมาเห็นนทีก็ร้อง เอ๊ะ เบาๆอย่างประหลาดใจ
“โลกกลมเชียวครับคุณหญิง คุณหญิงคงยังไม่รู้กระมังว่าคุณอดิสรณ์เป็นพ่อเลี้ยงของนที” ภาสกรเล่าให้คุณหญิงฟังน้ำเสียงกระตือรือร้นขึ้นมาแทบจะทันที
“หรือคะ แหมน้องน้ำไม่เคยบอกเลย.... เอ เห็นจะไม่จำเป็นต้องบอกมังคะไม่ใช่เรื่องอะไรของพี่นี่นา” ดาริกายิ้มหวานให้นที ก่อนจะถามอดิสรณ์ว่า “คุณอดิสรณ์ หญิงรบกวนขอตัวคุณชายสักครู่นะคะ ท่านหญิงแม่โปรดจะพบ”
 “เชิญเถอะครับ”อดิสรณ์โค้งให้ดาริกาน้อยๆ จากนั้นภาสกรก็เลยเอ่ยอำลานที แม้ใจจะไม่อยากแต่ก็พยายามสะกดอารมณ์ไว้ให้พูดเป็นปกติที่สุด ในเมื่ออยู่ต่อหน้าสาธารณชนก็ไม่อยากจะเผยความในใจของตนให้คนอื่นรู้ด้วย
“นที ผมไปก่อนนะไว้ผมจะโทรไปหา” เท่านั้นแล้วก็จากไป
ภาสกรเดินจากมาไม่กี่ก้าวดาริกาก็หันมาถามคุณชายเบาๆเหมือนไม่ได้เป็นเรื่องสลักสำคัญอะไรนัก กระนั้นน้ำเสียงก็เจือความร้อนรนเอาไว้มาก
“คุณชายคะ อย่าหาว่าหญิงละลาบละล้วงเลย”
“ว่ามาเถอะครับ”
     “หญิงจำได้ว่าคุณชายเล่าให้หญิงฟังนี่คะว่า น้องน้ำแกไม่มีญาติพี่น้อง จู่ๆพ่อเลี้ยงโผล่มาจากไหนกันคะ” ดาริกาหันไปยิ้มให้แขกที่เดินสวนกันอย่างกลบเกลื่อนก่อนจะหันมามองภาสกรอย่างเคร่งเครียดอีกครั้ง
    “นั่นซี” ภาสกรยอมรับงงงันและนึกไม่ถึงเรื่องนี้ แม้จะคุยกับอดิสรณ์ไปแล้ว ฝ่ายนั้นเล่าให้คุณชายหนุ่มฟังเรื่องความสัมพันธ์ของตนและนที ตบท้ายบทสนทนาว่านทีงอนที่เขาไม่มีเวลาให้ พอไปฮ่องกงหนุ่มน้อยเลยสบโอกาสหนีออกจากบ้านไป อดิสรณ์เพิ่งกลับมาก็เลยยังไม่มีโอกาสได้คุยกัน พอถ่ายทอดเรื่องทั้งหมดให้ดาริกาฟังแล้วก็ตั้งข้อสันนิษฐานว่า “คงงอนอะไรกันมังครับ นทีก็ดูไม่ค่อยชอบพ่อเลี้ยงอยู่บ้างแต่ก็อาจเพราะรักพ่อแท้ๆของเขามากจริงๆ”
    “แต่คุณอดิสรณ์เขาก็ทำตัวเป็นคนโสดมากอยู่นะคะ ไม่ได้ทำเหมือนว่ามีภรรยา มีลูกแล้วเลยนี่” หล่อนตั้งข้อสังเกต “แล้วก็กลับจากฮ่องกงมานานแล้วด้วยไม่ใช่เพิ่งกลับ หญิงว่าเรื่องนี้ประหลาดๆอยู่นะคะ”
    ภาสกรกำลังจะพูดอะไร แต่พอดีรถตู้ที่อดิสรณ์และนทีขึ้นนั่งดันแล่นผ่านหน้าเขาไปเสียก่อน มีเวลาแวบหนึ่งสังเกตได้ว่า นทีนั้นมองออกมาจากในรถดวงตาหม่นหมองเป็นทุกข์อย่างเห็นได้ชัด จนภาสกรอดสงสัยไม่ได้ในเมื่อไม่เจอหน้าพ่อเลี้ยงนานขนาดนี้ทำไมถึงไม่คิดดีใจบ้างเลยก็ไม่รู้
    “แล้วคุณชายคุยกับเขาหรือยังคะ”
    ภาสกรถูกเสียงของดาริกาปลุกออกมาจากห้วงความคิด
    “คุยเรื่องอะไรครับ”
    “เรื่องคุณชายกับนทีไงคะ เคลียร์กันหรือยัง”
    “จะคุยได้อย่างไรเล่าครับ ก็พ่อเลี้ยงเขาอยู่ด้วย” ภาสกรหน้าแดง “แล้วในเมื่อเขาก็จะไปอยู่กับพ่อเลี้ยงอยู่แล้ว ข้อเสนอที่ผมอยากจะให้เขามาอยู่กับผมก็เลยต้องพับไว้ก่อน นทีไม่ใช่เด็กตัวคนเดียวอีกแล้วผมคงทำอะไรตามใจไม่ได้อีก คงต้องแล้วแต่พ่อเลี้ยงเขาด้วย”
    ดาริกาขมวดคิ้วจนเกือบหมดสวย
    “ระวังเถอะค่ะ นทีจะหลุดมือไปจนกลับมาไม่ได้อีก” คุณหญิงหลุดปากไปแล้วก็รู้ตัวว่าพูดไม่ดีจึงขอโทษขอโพยเสียยกใหญ่ เดินกันไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถึงตัว ท่านหญิงทิพวรรณ จึงหยุดบทสนทนาไว้เท่านั้นมิได้คุยกันต่อเรื่องนทีอีก ดาริกาลืมคิดถึงปุยฝ้ายไปด้วยซ้ำว่าหญิงสาวหายตัวไปไหนเสียเฉยๆแล้ว ส่วนภาสกร ใครบอกอะไรก็ฟังอยู่แล้วฉะนั้นจึงเชื่อไปจริงๆว่าปุยฝ้ายกลับแฟลตไปก่อนนทีแล้ว ไม่ได้รู้ว่าปุยฝ้ายมิได้เห็นแฟลตของตัวเองอีกเลยนับแต่นั้น

    รถตู้สีขาวนั้นจอดอยู่หน้าแฟลตหลังใหม่ของนที เด็กหนุ่มเดินช้าๆ ขึ้นไปยังห้องของตน โดยลูกน้องของอดิสรณ์ควบคุมมาด้วยคนหนึ่ง เขาขอร้องอดิสรณ์ว่าไม่ว่าอดิสรณ์ตั้งใจจะทำอะไรเขา หรือพาเขาไปไหนก็ตาม อย่างน้อยขอให้เขาได้มาเอาของที่เขารักติดตัวไว้ด้วยสักชิ้น ทีแรกหนุ่มนักธุรกิจใหญ่ไม่ได้ยอมตามใจหรอก แต่เมื่อนทีลงทุนก้มลงกราบแล้วฝ่ายนั้นก็ชะงัก และยอมให้อย่างเสียมิได้ เพราะต่อให้เขาทำเรื่องร้ายแรงเพียงใดกับนที และต่อให้เขาเกลียดชังนทีเท่าใด เขาก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่ผูกติดอยู่ในใจก็คือ... เขารักนทีจริงๆ
     ตั้งแต่เห็นนทีมาตั้งแต่เล็กๆนั่นแหละ เขารักอย่างหลานคนหนึ่ง กระทั่งนทีเริ่มโตมา เขาจึงเปลี่ยนใจมาเป็นรักอย่างสุดใจ จนกลายเป็นหวงแหนอยากครอบครองไว้คนเดียว... รักของอดิสรณ์ตรงข้ามกับรักของใครก็ตามที่ต้องเสียสละ ที่ต้องอยากให้คนที่ตนรักได้ดี รักของอดิสรณ์คือการครอบครองให้นทีอยู่กับตนแต่เพียงผู้เดียว และเขาก็ยอมทำทุกอย่างไม่ว่าจะร้ายกาจเพียงใดให้นทีอยู่กับเขา
    พอนทีหนีไป คืนที่โดนรถชนนั้นอดิสรณ์ก็แค้นแทบกระอักเลือด ตั้งใจไว้ว่าจะฆ่าให้ตายได้ทีเดียวเมื่อเจอกัน แต่เอาเข้าจริงๆพอได้เจอแล้วก็ทำอะไรไม่ลง ก็อย่างที่บอกเพราะรักนั้นแหละ แม้เดี๋ยวนี้ตั้งใจจะพานทีไปที่เกาะส่วนตัว แล้วขังตายให้อยู่ที่นั่นไปตลอดก็เถอะ เมื่อนทีอุตส่าห์ขอร้อง อย่างนอบน้อมโอนอ่อนให้เขามากมายอย่างนั้นเขาถึงได้ตามใจนที
    หนุ่มน้อยต้องยอมให้ลูกน้องของอดิสรณ์เดินตามมาถึงห้อง เข้ามานั่งถึงบนเตียงดูว่าหนุ่มน้อยมีพิรุธอะไรบ้างไหมก็พบว่าไม่มี นทีเพียงหยิบรูปวาดของภาสกรที่ตนเป็นคนลงมือวาดเองเมื่อครั้งอยู่โรงพยาบาลนั้นแหละใส่กระเป๋าติดตัวไปด้วย พอกลับไปขึ้นรถตู้แล้ว ก็โชว์ให้อดิสรณ์เห็นรูปวาดนั้นเสียว่าตนไม่มีพิรุธอะไรแล้วก็นั่งเงียบไปอีกตลอดทาง
    ในที่สุด รถก็แล่นมาถึงบ้านเดี่ยวสองชั้น หลังธรรมดาที่สุดหลังหนึ่งซึ่งเป็นบ้านของนทีเอง แต่บัดนี้ตกอยู่ในอำนาจเบ็ดเสร็จแล้วทั้งบ้านและเจ้าของที่แท้จริง อดิสรณ์กำมือใหญ่หนาทรงพลังไว้รอบแขนเล็กๆขาวบางของนที กึ่งลากกึ่งจูงเข้าไปในบ้าน ไม่มีคำพูดใดเปล่งออกจากปากของทั้งสองฝ่ายในเวลานี้ต่างก็โกรธเกลียดกันและกันจนอยากจะให้อีกฝ่ายตายไปเสียจากโลกนี้
    กระนั้นแล้วคงเป็นเพียงนทีเท่านั้นกระมังที่อยากให้อดิสรณ์ตายจากไปจริงๆ ไม่อย่างนั้นก็เป็นเขาเองที่ตายจากไปเสียก่อน เมื่อบัดนี้ไม่มีอะไรในชีวิตเป็นเป้าหมายให้เขาอยู่ต่อไปอีกแล้ว พ่อแม่จากเขาไปแล้วอย่างไม่มีวันกลับ... คุณชายเองก็จากเขาไปอีกคน อย่างไม่มีวันหวนคืน เสียแรงที่รัก เสียแรงที่ผูกพันเสียเต็มที สุดท้ายก็จบแบบเดิมที่เขารักคุณชายฝ่ายเดียว อีกฝ่ายหนึ่งมิได้รักเขาตอบเสียเลย ซ้ำยังผลักไสไล่ส่งให้เขาจากมาอยู่กับอดิสรณ์เสียอย่างนี้ โดยไม่มีความอาวรณ์แต่อย่างใดอีกต่างหากแล้ว มันช้ำใจเสียยิ่งกว่าช้ำ
    หากอดิสรณ์จะฆ่าเขาตายไปตอนนี้ นทีก็ไม่เสียดายในเมื่อไม่รู้จะอยู่ไปทำไม เพื่อใครอีก... คิดอย่างนี้ทั้งที่แน่ใจเพียงใดก็ตามว่าตนคงไม่ถูกอีกฝ่ายฆ่าหรอก ในเมื่ออดิสรณ์ได้ทำสิ่งที่เลวร้ายกว่าฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็นมาแล้ว จบชีวิตเขาลงง่ายๆอย่างนี้ คงไม่สะใจอดิสรณ์เสียกี่มากน้อย
    กระนั้นนทีก็ยังมีความหวังอยู่ แม้เพียงน้อยนิดอย่างไร ก็หวังอยู่ดีนั่นแหละว่าคุณชายจะต้องมาช่วยเขาได้แน่นอน
    อดิสรณ์เปิดประตูบ้าน ลากนทีผ่านห้องรับแขกไป หนุ่มน้อยเห็นจากหางตาว่ามีร่างของหญิงสาวร่างหนึ่งนอนอยู่ที่โซฟา กำลังจะร้องเรียกชื่ออดิสรณ์ก็เอ่ยขึ้นมาเสียก่อนว่า
    “ฉันรู้ว่าเธอคงห่างเพื่อนไม่ได้ก็ตั้งใจจะเอาไปด้วย...” พูดเสียงเยือกเย็นราวกับพร้อมจะชำแหละร่างของนทีออกเป็นชิ้นๆตรงนั้น “ฉันเสียใจนะที่เธอหนีฉันไปอย่างนั้น ทั้งที่ฉันก็รักและให้เธอได้ทุกอย่าง ฉันผิดหวังในตัวเธอมากแต่ยิ่งผิดหวังเธอก็ยิ่งจะต้องตอบแทนฉันให้สมหวังมากขึ้น”
    อดิสรณ์เหลือบไปมองรูปของภาสกรที่นทีกอดไว้แนบอก
    “รักมันมากหรือไอ้คุณชายนั่น”
   นทีไม่ตอบ แต่อดิสรณ์ถือเป็นคำอธิบายที่เข้าใจง่ายพอแล้วจึงว่าต่อไป
    “ฉันขอโทษด้วยนะ แต่ฉันก็รักเธอเหมือนกัน ถึงฉันจะไม่ได้แสนดีอย่างมันแต่ฉันก็มั่นใจว่ารักเธอไม่น้อยกว่ามันหรอก” เขาดันหลังนทีเข้าไปในห้องนอน ยืนพิงขอบประตูอยู่ไม่ได้คิดจะไปไหน “โลกนี้ไม่ยุติธรรมพอให้ตัวร้ายอย่างฉันได้เผยความในใจบ้างหรอกนะ ขุนช้างก็รักนางพิมไม่น้อยกว่าขุนแผนหรอกโชคร้ายที่รูปมันไม่หล่อเท่านั้น ทศกัณฐ์ก็คงรักสีดามากแต่เสียดายมันเป็นยักษ์แถมยังเป็นพ่อแท้ๆของสีดาเสียอีก”
    นทีนั่งคอแข็ง สีหน้าไร้อารมณ์ใดๆแม้อดิสรณ์จะพูดไปเรื่อยๆ อย่างนึกเสียใจมากก็ตาม แต่นทีก็ไม่ได้เห็นใจ
    “ถึงฉันจะรักเธอแค่ไหน แต่ฉันก็คงเป็นได้แค่ยักษ์แค่มารในสายตาเธอเท่านั้น” อดิสรณ์กล่าวเสร็จแล้วก็ทำท่าจะปิดประตู “จัดกระเป๋าเสีย เครื่องบินไฟลท์สุดท้ายไปลงภูเก็ตตอนห้าทุ่ม แล้วฉันจะพาเธอไปเกาะ ขอโทษนะที่ต้องทำอย่างนี้ แต่เธอจะต้องเป็นของฉันตลอดไป”
    อดิสรณ์คงปิดประตูไปได้แล้วหากนทีไม่โพล่งออกมาเสียก่อนว่า
    “คุณรู้ไหม ถึงคุณชายเขาจะไม่บอกสักคำว่ารักผมแต่เขาก็ดีกับผมมากเหลือเกินผมถึงได้รักเขา แต่กับคุณ ต่อให้คุณพร่ำบอกว่ารักผมเพียงใดแต่สุดท้ายคุณมันก็ดีแต่ทำให้ผมเจ็บ ดีแต่เอาความสุขเข้าหาตัว รักแบบเห็นแก่ความสุขของตัวเอง ดีแต่ทำร้าย ย่ำยีความเป็นมนุษย์ของผม... คุณไม่เคยแสดงออกว่ารักผมเลยฉะนั้นต้องขอโทษด้วยที่ต้องบอกว่ายังไงผมก็รักคุณไม่ลง”
    อดิสรณ์ยิ้มแห้งๆ อย่างคนอมทุกข์แววตาเปี่ยมไปด้วยความเศร้าใจเหลือประมาณ ใจหนึ่งอยากเข้าไปบีบคอนทีให้ตาย แต่อีกใจก็ยังอยากเก็บนทีไว้ให้กับตัวเองไปอีกเรื่อยๆ
    “ก็ใช่ซี” เขาปิดประตู “ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ”
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.22
เริ่มหัวข้อโดย: myapril ที่ 15-06-2011 23:00:00
สงสารไอ้หนูน้ำอ่ะ :m15:
คุณชายจะซื่อไปไหนคะ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.22
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 15-06-2011 23:03:10
โถ คุณชายอ่าาาาาาาาาาาาาา ไม่เอะใจเลย โถๆๆๆๆๆ นที ทำไงดี >"<
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.22
เริ่มหัวข้อโดย: jojobuffy ที่ 15-06-2011 23:15:26
ถึงร้ายก็รักนะ เกเรยังไงก็รักนะ ใช่ป่ะพ่อเลี้ยง

ไม่ได้เข้าข้างพ่อเลี้ยงนะ ยังเป็นแม่ยกคุณชายอยู่
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.22
เริ่มหัวข้อโดย: Piaanie ที่ 15-06-2011 23:27:56
คุณชายทำไมโง่แบบนี้ คราวนี้ละจะไปตามหาที่ไหน มารู้เรื่องทีหลังก็ทำไรไม่ได้แล้ว ถ้าจะด่าก็ต้องด่าตัวเองแหละที่โง่ ส่งเนื้อเข้าปากหมา  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.22
เริ่มหัวข้อโดย: babyfaibossy ที่ 15-06-2011 23:40:09
ความรักของคุณชายคือ การดูแลเอาใจใส่

แต่ความรักของพ่อเลี้ยงคือการเห็นแก่ตัว

ความรักที่นทีต้องการพ่อเลี้ยงให้ไม่ได้... สงสารพ่อเลี้ยงอยู่นะ แต่หัวใจของคนมันบังคับไม่ได้

 :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.22
เริ่มหัวข้อโดย: primmi ที่ 15-06-2011 23:59:53
เริ่มเคลิ้มไปกับพ่อเลี้ยงแล้วอ่า
เพราะส่วนตัวก็ชอบคนแก่อยู่แล้ว
แถมนับวันพระเอกยิ่งพระเอ้กพระเอกขึ้นเรื่อยๆ เริ่มจะเบื่อแล้วนะ
ขอเปลี่ยนฝั่งมาเชียร์ตัวร้ายแทนแล้วกัน 555
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.22
เริ่มหัวข้อโดย: naja-kitase ที่ 16-06-2011 00:09:48
เช้ออออ คุณชาย กว่าจะคิดอะไรๆได้ก็คงไม่ได้เจอนทีอีกแล้วหล่ะ ชิ!!

แต่แอบสงสารอดิสรณ์เล็กๆ แต่เพราะแสดงออกไม่ถูกต้องนะแหละ เลยทำให้ตัวเองเป็นตัวร้าย
ฉะนั้นก็โทษใครไม่ได้หรอกนะ

หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.22
เริ่มหัวข้อโดย: butterfly_bee ที่ 16-06-2011 02:36:26
คุณชายเป็นพระเอกที่สุภาพ นุ่มนวล จนบางครั้งแลดูอ่อนแอ
ถ้านทีโดนพาตัวไปภูเก็ต คุณชายจะช่วยได้มั้ยเนี่ย
ตอนนี้อยากเชียร์พ่อเลี้ยงอ่ะ จริงๆนะ
ถ้าอิตาพ่อเลี้ยงไม่ข่มขืนทำร้ายร่างกายจิตใจนทีนี่จะเชียร์จริงๆ
พ่อเลี้ยงก็รักนที แต่แสดงความรักผิดๆจนทำร้ายร่างกายจิตใจนทีจนนทีเกลียด
แบบนี้นทีจะไปรักตอบคุณได้ยังไง
พลาดไปแล้วล่ะคุณพ่อเลี้ยงเอ้ย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.22
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 16-06-2011 05:47:47
ปวดหัวใจแทนนที


ส่วนคุณชาย ก็ขอให้กล้ามากกว่านี้ รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี มาช่วยนทีให้ทันเวลาด้วย ก่อนที่จะเสียนทีไปตลอดกาล
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.22
เริ่มหัวข้อโดย: A-J.seiya* ที่ 16-06-2011 09:29:00
เหอะ !!
คุณชายแบบ ประเคน นที ใส่มือคุณพ่อเลี้ยงเลยอ่ะ ,,
งื้อออ ทำยังไงดีล่ะ จะไปกันแล้วด้วย ...
คุณพ่อเลี้ยง อาจจะได้เจอคนใหม่นะ ,,
ปล่อยนทีไปเหอะนะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.22
เริ่มหัวข้อโดย: คนริมคลอง ที่ 16-06-2011 09:56:13
พูดได้คำเดียว "เกลียดคุณชาย" หว่ะ  :seng2ped:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.22
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 16-06-2011 10:05:33
นี่มันละครหลังข่าวชัด ๆ พระเอกหล่อ รวย  โง่  หูเบา  ต้องมีตัวช่วยเป็นตัวประกอบ
คิดอยู่แล้วเชียวว่าพ่อเลี้ยงต้องอึ๊บนทีแน่ ๆ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.2
เริ่มหัวข้อโดย: A. marco ที่ 16-06-2011 13:39:21
อ่านไปแล้วสงสารพ่อเลี้ยงอ่ะ   นี่ถ้านทีรักพ่อเลี้ยงตอบมั่งคงจะมีความสุขมากอ่ะคูนี้  การที่รักใครแล้วเค้าไม่รักตอบมันเจ็บมากเลยนะ  สงสารพ่อเลี้ยงอ่ะ  ฮือๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.22
เริ่มหัวข้อโดย: J_Dargon ที่ 16-06-2011 15:23:47
บางทีเราก็สงสารคุณอดิสรน่ะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.22
เริ่มหัวข้อโดย: Rhythm ที่ 16-06-2011 17:56:54
จิ๊ดเลย! :call:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.22
เริ่มหัวข้อโดย: ● MaYa~Boy ● ที่ 16-06-2011 18:54:05
เซ็งๆคุณชาย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.22
เริ่มหัวข้อโดย: IIMisssoMII ที่ 16-06-2011 19:07:00
โอ้ววววววว ตายแระ นทีอยู่ในมือพ่อเลี้ยงจนได้
อะไรกันนะที่ทำให้พ่อเลี้ยงรักและยึดติดกับนทีขนาดเน้

เซ้นคุณหญิงนี่ดีจริงๆ เลยนะ มีเรดาร์จับตรงไหนเปล่าเนี่ย ชอบเธอจริง ๆ

คนแต่งหายไปนาน  :bye2:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.22
เริ่มหัวข้อโดย: Non_stop ที่ 16-06-2011 19:46:53
บอกได้คำเดียวว่า

 :เฮ้อ: :เฮ้อ:

คุณชายมัวทำไรอยู่มาช่วยนทีเร็วๆเถอะ

เดี๋ยวมันจะสายไปน่ะ  :angry2:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.22
เริ่มหัวข้อโดย: evilheart ที่ 16-06-2011 20:37:15
อย่าให้เป็นอย่างที่คิดเลย :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.22
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 16-06-2011 21:18:31
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.22
เริ่มหัวข้อโดย: BF-e ที่ 16-06-2011 21:45:25
ให้ตายเถอะโรบินส์!!!   
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.2
เริ่มหัวข้อโดย: ต่ายน้อย ที่ 16-06-2011 22:55:42
อ่านแล้วปวดหัวจาย สงสารนทีแบบสุโค่ยเลย   อดิสรณ์เอยที่เมิงทำแม่งโครตเห็นแก่ตัวเลย :serius2:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.22
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 16-06-2011 23:49:23
อ่านตามทันแระ หลังจากไม่ได้เข้ามาอ่านตั้งนาน

ร้องไห้ สงสารนทีไปตั้งหลายรอบ (เกือบสงสารคุณชาย แต่ก็สงสารไม่ลง ทำตัวเองแท้ๆ)

แถมพ่วงนานยอดิสรมาอีก เพิ่งรู้ว่าเบื้องหลังมันเพราะ "รัก" แต่ที่อยากรู้ใจจะขาดคือ ทำไมนทีถึงเกลียดอดิสรนัก อยากรู้ๆ


รอ รอ รอ และรอ ค่า มาอัพไวๆนะคะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.22
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กกะโปโล ที่ 17-06-2011 00:29:21
ฮ่วย!! ทำไมคุณชายไร้น้ำยาแบบงี้เนี่ย!? หัวก็ไวสู้คุณหญิงดาริกาไม่ได้ ใครพูดอะไรก็เชื่อโม้ดดด o6
คิดว่าตาอดิสรณ์จะมีเรื่องอะไรกับนทีซะอีก ที่ไหนได้กลับกลายเป็น"หลงรัก"นทีซะงั้น = ="
แถมจะเอานทีไปอยู่ที่เกาะส่วนตัวอีก งานเข้านทีจริงๆ

อยากจะบอกว่าตอนนี้ "เซ็งเป็ด" คุณชายอย่างแรงฮะ :seng2ped:
หวังว่าตอนหน้าคุณชายจะฉุกคิดเรื่องนทีได้นะฮะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.22
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 17-06-2011 00:32:33
 :เฮ้อ: ทุกคนล้วนมีเหตุผลของตัวเอง
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.22
เริ่มหัวข้อโดย: pochu52 ที่ 17-06-2011 20:01:44
เบื่อจริงคุณชายซื่อบื้อตลอด นทีโดนพาตัวไปแล้ว จะช่วยได้เหร๊อ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.22
เริ่มหัวข้อโดย: MoPPeT ที่ 17-06-2011 20:08:14
เอาคุณชายไปเก็บทีเหอะ เบื่อมากกกกกก ทำอะไรช้าตลอด พอรู้อีกทีนทีก็โดนคาบไปแล้ว
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.2
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 17-06-2011 22:36:16
โว้วๆ ไม่ติดว่าทำร้ายจิตใจนที จะเชียร์แล้วนะเนี่ย คุณพ่อเลี้ยง :))
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.22
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 17-06-2011 22:45:53
ช้าเข้าไปสิ อิคุณชาย :serius2:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.22
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 17-06-2011 22:57:19
 :เฮ้อ: ขัดใจคุณชายจริงๆ
อ่านตอนนี้ก็เห็นใจพ่อเลี้ยงนะ แต่ทำไงได้
ก็เขาไม่ได้รัก แต่ก็ยังจะหาทางยึดเขาไว้เป็นของตัวเอง มีแต่เจ็บทั้งคู่อะนะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.22
เริ่มหัวข้อโดย: YANIZAxx™ ที่ 19-06-2011 09:08:25
เชียร์พ่อเลี้ยงดีกว่า ฮ่าๆๆ
ยุคนี้มันเป็นยุคของพระเอก(ตัวร้าย?) เลวๆ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.22
เริ่มหัวข้อโดย: myapril ที่ 22-06-2011 12:59:52
ยังไม่กล้าอ่านตอนที่แล้ว :เฮ้อ:
แวะเข้ามาดันจ้า :z10:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.22
เริ่มหัวข้อโดย: chalermchai ที่ 23-06-2011 12:25:02
 :a5: จะตามไปช่วยนทีที่ภูเก็ตเอง  คุณชายอะ...ตลอดเลย...
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.22
เริ่มหัวข้อโดย: Piaanie ที่ 24-06-2011 18:06:08
เข้ามารอตอนต่อไปจ้า  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.22
เริ่มหัวข้อโดย: Non_stop ที่ 24-06-2011 18:39:25
 :z3: :z3:

ความรักมันก็มีหลายๆรูปแบบน้อ

มาให้กำลังใจและรอตอนต่อไปน่ะค่ะ

 :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.22
เริ่มหัวข้อโดย: K3n0 ที่ 25-06-2011 01:23:57
คุณชาย คงจะติดกับมารยาทในวัง จนลืมกำพืดของคนเราไปแล้วกระมัง
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.22
เริ่มหัวข้อโดย: Trainee ที่ 26-06-2011 09:47:25
มารอด้วยความจดจ่อ

ความรู้สึกว่า อ่านเรื่องนี้แล้ว "คุณชายกับนที" เหมือน "คุณหลวงกับเส็ง" กลับชาติมาเกิดเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.22
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 27-06-2011 10:49:15
คนแต่งหายไป
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.22
เริ่มหัวข้อโดย: Trainee ที่ 27-06-2011 20:34:04
อ่าววว  หายไปไหนแล้วหว่า? T__T
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.22
เริ่มหัวข้อโดย: Non_stop ที่ 27-06-2011 23:04:45
 :call: :call:

มารอตอนต่อไปน่ะค่ะ

เป็นกำลังใจให้ผู้แต่งด้วยค่ะ

 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.22
เริ่มหัวข้อโดย: CofFee ที่ 27-06-2011 23:26:32
 :z3: :z3: :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.22
เริ่มหัวข้อโดย: «ƤȑǃǹĉΞḠ○ḺҒ™» ที่ 29-06-2011 21:29:08
รอ ๆอยู่ นะคับ

คิดถึงคุณชายกับนที
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.22
เริ่มหัวข้อโดย: IIMisssoMII ที่ 29-06-2011 21:32:35
รออยู่เหมือนกันนะคะ แวะดูตลอดเลย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 33 "ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ” 15/06/11 - 22.22
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 29-06-2011 23:36:18
34

คุณชายครับ

    ผมรักคุณชายมากอย่างที่บอกคุณชายไปแล้ว แต่เราคงต้องทำในสิ่งที่
ถูกที่ควรใช่ไหมครับ หากดันทุรังต่อไป สักวันหนึ่งคุณชายถูกท่านชายหรือหม่อม
จับได้ก็คงจะแย่เลย ผมคงทำให้คุณชายเสื่อมเกียรติมาก แต่ก็ไม่ต้องห่วงนะ ผมรู้
ตัวดีว่าคุณชายคงไม่ได้รักผมอย่างที่ผมรักคุณชาย อย่างไรเสียก็ต้องปล่อยคุณชาย
ไปในทางที่เหมาะสม จะได้ไม่มีใครมาตำหนิคุณชายได้ หากชาติหน้ามีจริงละก็
ไว้เราเกิดมาเจอกันอีกนะครับ ถือว่าทำบุญร่วมกันมาแค่นี้คงต้องลากันเสียทีแล้ว
ที่ผ่านมาผมมีความสุขมากอย่างไม่เคยมีมาก่อน ผมยังจำได้ดีเชียวละครับว่าเคย
เกาะหลังคุณชายขี่จักรยานที่รีสอร์ตที่นครนายกตอนนั้นเหมือนเรามีกันสองคน
ส่วนตอนนี้ก็ต้องแยกไปตามทางแล้วคุณชายคงมีคนที่จะอยู่ร่วมกับคุณชายไปผมก็
ตัวคนเดียวอย่างที่เป็นมาตลอด ไม่ต้องห่วงนะครับผมสบายมาก
    ของชิ้นนี้เป็นสิ่งที่ผมใช้ดูต่างหน้าคุณชาย แต่ตอนนี้ไม่ต้องใช้แล้วเพราะ
คุณชายอยู่ในใจผมเรียบร้อยไม่ต้องดูรูปอีกก็จำได้ขึ้นใจ ผมฝากคืนให้คุณชายด้วย
อะไรที่ดีระหว่างเราก็ขอให้คุณชายจดจำไว้เพราะผมก็จะทำเช่นนั้น อะไรก็ตามที่ไม่
ดีที่ผมเคยพูดหรือทำไปก็ขอให้ลืมเสียเถอะครับ สุดท้ายนี้ผมขอขอบคุณคุณชายที่
สอนให้ผมรู้ว่า ชีวิตเราบางทีก็ควรมองแต่ข้างหน้าให้มาก อย่าสนใจข้างหลังนักเลย

    
หวังว่าจะได้เจอกันอีกสักครั้ง ขอบคุณนะครับ
นที

    หนุ่มน้อยมองจดหมายในมือของตนอ่านทวนซ้ำแล้วซ้ำอีกก็มั่นใจว่าอดิสรณ์จะไม่มีวันจับพิรุธใดในจดหมายฉบับนี้ได้ คงคิดว่าเป็นเพียงจดหมายลาภาสกรเท่านั้น แต่หนุ่มน้อยก็ไม่แน่ใจว่าหากมันถึงมือภาสกรแล้วจริงๆ คุณชายหนุ่มจะเข้าใจความหมายในจดหมายมากน้อยเพียงใด เอาละให้มันรู้กันไปเลยว่าฟ้าจะเอาอย่างไรกับเขา... ให้จดหมายฉบับนี้เป็นตัวตัดสินก็แล้วกัน หากคุณชายอ่านจดหมายแล้วไม่ติดต่อมาหรือพยายามมาช่วยก็แสดงว่าเขาหมดบุญกับคุณชายแล้วเท่านี้ แต่หากผลลัพธ์เป็นทางกลับกัน เขาก็คงขอบคุณสวรรค์มาก
    นทีจัดกระเป๋าอย่างเนือยๆ ไม่มีความรู้สึกใดอยู่ในใจอีกไม่ว่าจะดีใจ เสียใจ หรือทุกข์ใจเป็นความรู้สึกเฉยๆ ยอมรับชะตากรรมของตนว่า คงต้องเป็นไปแล้วอย่างนั้น ตัวเขาก็เหมือนชื่อเขาแหละ... หากเอาน้ำบรรจุใส่ภาชนะใดมันก็จะเปลี่ยนรูปร่างของมันไปตามภาชนะนั้น ในเวลานี้เมื่ออดิสรณ์จะให้รินใส่ขวด แช่ตู้เย็นไว้ตลอดการ เขาก็คงต้องยอมให้เป็นไปอย่างนั้น
    จะสู้กับอดิสรณ์ นทีมั่นใจว่าไม่มีทางใดจะเป็นไปได้เลย
    นอกจากอดิสรณ์จะทำธุรกิจมากมาย รวมถึงค้ารังนกจนร่ำรวยแล้ว เขาก็ยังเป็นผู้ทรงอิทธิพลมากด้วย เขาค้ามนุษย์ ค้ายา ค้าอาวุธ ทำความชั่วทุกอย่างผ่านเกาะเล็กๆที่ดูเหมือนสวยงามที่อยู่ห่างจากเกาะภูเก็ตไปไกลนั้นเอง นทีรู้ดีว่า
อดิสรณ์ชั่วช้าเพียงใด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
    ตำรวจหลายๆคนก็เป็นพวกของอดิสรณ์ ดังนั้นจะจับให้มั่นคั้นให้ตายอย่างไรก็ไม่ได้ เคยมีอยู่เหมือนกันที่มีคนสงสัยว่าเกาะเล็กๆส่วนตัวของอดิสรณ์นี้มีไว้ทำอะไร แต่เนื่องจากเป็นเกาะส่วนตัว ก็เหมือนกับเป็นที่ดินส่วนตัวของอดิสรณ์ตำรวจจะเข้ามาขอค้นไม่ได้ นอกเสียจากต้องมีหมายค้น... แล้วจะมีหมายค้นได้อย่างไรหากไม่มีข้อสันนิษฐาน และหลักฐานที่เพียงพอ สายของอดิสรณ์ในกรมตำรวจก็ช่วยกันทุกวิถีทางที่จะปกป้องอดิสรณ์ไม่ให้เกิดการค้นเกาะสักครั้ง
    อดิสรณ์จึงลอยนวลมาตลอดนับแต่แรกเริ่มไม่มีทางที่ใครจะเปิดโปงความชั่วของเขาได้เลย... แม้จะรู้เรื่องนี้โดยบังเอิญมานานแล้ว นทีก็ไม่คิดจะใส่ใจเพราะถือว่าตัวเองเป็นแค่เด็ก ไม่มีสิทธิ์ไปยุ่งกับเรื่องใหญ่โตขนาดนี้อยู่แล้วเท่าที่ทำได้คือหลีกเลี่ยงอดิสรณ์ให้มากไว้เท่าที่จะทำได้เท่านั้น แต่ความชั่วใดก็ตามที่อดิสรณ์ทำก็ไม่นักหนากับเรื่องที่ทำกับเขา และมารดาของเขา พอเกิดเรื่องขึ้นก็ถึงจุดแตกดับ จุดที่นทีไม่ทนอดิสรณ์อีกต่อไป และหนีออกจากบ้านมาในคืนนั้น
    นทีนึกมาถึงเรื่องของตนกับแม่ นักธุรกิจหนุ่มใหญ่ก็เปิดประตูเข้ามาในห้องพอดี ความคิดของหนุ่มน้อยจึงหยุดอยู่แค่นั้น
    “จัดของเสร็จแล้วหรือ”
    “เสร็จแล้ว” เขาตอบเสียงเย็นชา ไม่มองอดิสรณ์เดินเข้ามาหยิบภาพวาดมาถือไว้แน่นในมือ “จะไปแล้วหรืออย่างไร”
    “ใช่” อดิสรณ์ตอบเดินเข้ามาลูบผมที่ยุ่งเหยิงไม่เข้าทรงของนทีให้ดูเรียบร้อยขึ้น แต่นทีกลับสะบัดตัวออกทำให้อดิสรณ์เริ่มจะอารมณ์เสียขึ้นมาอีกครั้ง “ทำเป็นสะบัดสะบิ้ง จับนิดจับหน่อยก็ไม่ได้ใช่ไหม หรือไอ้คุณชายนั่นมันจดชื่อเอาไว้แล้วว่าเธอเป็นกรรมสิทธิ์ของมัน ห้ามคนอื่นแตะต้อง!”
    “อย่าเอาคุณชายมาเกี่ยวนะ”
    “ทำไม มันเป็นเทพบุตรงั้นซี ชาติตระกูลมันสูงส่งมากก็ใช่ แต่มันก็คงไม่ได้รวยกว่าฉันสักเท่าไหร่หรอก คิดจะจับมันไว้ได้มีหน้ามีตาละซี ไม่มีทางเสียหรอกมันไม่มีวันยกย่องเธอเชิดหน้าชูตาเธอในสังคมหรอก” อดิสรณ์วรรคด้วยความหงุดหงิด เท้าเอวหันหลังให้นที ทันทีที่เห็นหนุ่มน้อยทำหน้าจะปฏิเสธ “ทำไม หรือมันจ่ายเงินเธอมากกว่าฉัน ไหนบอกมาซิมันให้เธอเท่าไหร่เวลานอนกันแต่ละครั้ง ให้มากเท่าฉันทีเดียวหรือ!”
    “คุณอดิสรณ์ คุณชายกับผมไม่ได้มีอะไรกัน!”
    “ไม่มีแล้วนี่อะไร” อดิสรณ์ปรี่เข้ามาคว้ารูปวาดของภาสกรถือไว้แน่นในมือพร้อมจะฉีกทิ้งทำลายเมื่อไหร่ก็ได้ เมื่อยกขึ้นก็พบว่ามีกระดาษแผ่นหนึ่งร่วงลงมาจากแผ่นภาพนั้น... จดหมายที่นทีเพิ่งจะนั่งเขียนอยู่เมื่อครู่นี้ “ผมรักคุณชายมาก... นี่อะไร ไหนบอกว่าไม่มีอะไรกันไงเล่า” 
    “ถ้าคุณอ่านภาษาไทยออก คุณก็จะพบว่าผมรักคุณชายอยู่ฝ่ายเดียว คุณอดิสรณ์” นทีว่า พลางน้ำตาก็เอ่อขึ้นคลอเบ้า “คุณจะเห็นว่าคุณชายเธอไม่ได้สนใจผมเลย ผมรักเธออยู่ฝ่ายเดียวเท่านั้น”
    พอเห็นน้ำตาของนทีไหลลงอาบแก้ม อดิสรณ์ก็ชะงัก วางรูปวาดของคุณชายลงบนเตียงอ่านจดหมายนั้นซ้ำสองรอบ เห็นว่าไม่ได้มีพิรุธอะไรคล้ายจดหมายลาเท่านั้นก็พอใจวางมันลงข้างๆรูปวาด แล้วนั่งลงข้างนที
    “อย่าร้องเลย” อดิสรณ์ลูบหัวหนุ่มน้อย แต่นทีก็เบี่ยงตัวหลบ “ลืมเขาเถอะนะ เขาไม่ได้รักเธอหรอก ไปอยู่ที่เกาะกับฉัน ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายเธออีกแล้ว ต่อไปนี้ฉันจะปฏิบัติกับเธออย่างดีที่สุด อยากได้อะไรก็บอกฉันจะหามาให้ทุกอย่าง ขออย่างเดียวอย่าหนีไปจากฉันอีกก็แล้วกัน”
    นทีรวบรวมความกล้า หลับตาแน่นปล่อยน้ำตาหยาดสุดท้ายไหลอาบแก้ม แล้วก้มลงกราบกับอกของอดิสรณ์
    “ผมจะตกลงทุกประการด้วยความยินดี ผมจะไปอยู่กับคุณโดยที่คุณไม่ต้องบังคับผมเลย หากแต่คุณยอมทำตามข้อตกลงของผมเช่นกัน”
    “ว่ามาซี” อดิสรณ์ยิ้ม เขาดูออกว่าที่นทีทำนั้นก็เพื่อหลอกให้เขาดีใจทำตามข้อตกลงของนทีเท่านั้น หนุ่มน้อยไม่ได้โอนอ่อนเข้าหาเขาอย่างเต็มใจหรอก แต่ทั้งๆที่รู้ว่าโดนหลอกอดิสรณ์ก็เต็มใจ ในเมื่ออีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า เขาจะได้ขังนทีเอาไว้กับเขาเองแล้วตลอดไป
    “ผมขอให้คุณส่งรูปนี้ รวมถึงจดหมายฉบับนี้ให้คุณชายภาสกรได้หรือไม่”
    อดิสรณ์ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะถามว่า
    “เธอบอกจะเอารูปนี้ไปไว้ดูต่างหน้าไม่ใช่หรือ”
    “ครับแต่ผมตัดสินใจแล้วว่า ต่อไปนี้ผมจะลืมเขาเสียอย่างที่บอกในจดหมาย ขอคุณอดิสรณ์เข้าใจและส่งให้กับเขาด้วยเถอะครับ” นทีว่าก่อนจะตบประโยคสุดท้ายย้ำความมั่นใจให้กับอดิสรณ์ “คุณก็ตรวจดูแล้วนี่ว่าไม่มีพิรุธอะไรเป็นจดหมายลาเท่านั้น”
    อดิสรณ์พยักหน้า
    “ตกลง ฉันจะส่งให้มัน แต่ฉันไม่ให้เธอพบกับไอ้คุณชายนั่นหรอกนะ”
    “ครับผมยอม”
    นักธุรกิจหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัยว่าเหตุใดนทีจึงยอมง่ายเสียเหลือเกินแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรลุกไปเปิดประตูเตรียมออกจากห้อง
    “ถ้างั้นก็ไป ฉันจะพาเธอไปทานข้าวก่อน สี่ทุ่มเราค่อยไปสุวรรณภูมิ”
    “ผมขอทำใจสักครู่แล้วจะตามคุณไปได้ไหม”
    อดิสรณ์มองนทีอย่างไม่ไว้ใจ แต่พอเห็นว่าหนุ่มน้อยมีแววทุกข์โศกจับอยู่ในแววตาอย่างมากล้น อดิสรณ์ก็ยอมแพ้เดินออกไปจากห้องทิ้งให้นทีอยู่ในห้องเพื่อพับจดหมายใส่ซองให้เรียบร้อยคนเดียว ไม่รู้ว่าหนุ่มน้อยหย่อนแผ่นซีดีแผ่นหนึ่งลงไปในซองด้วยก่อนปิดผนึก หวังว่าภาสกรจะเข้าใจความในจดหมายและเห็นทุกอย่างในซีดีแผ่นนั้นแล้ว คุณชายหนุ่มจะตามมาช่วยเขาได้ทันท่วงที
    หากนิยายเรื่องนี้จะเป็นอย่างเทพนิยายเจ้าชายจะต้องขี่ม้าขาวมาช่วยเขาได้ทันแน่ แต่นทีคิดว่าไม่ใช่ เรื่องวุ่นวายนี้คงต้องจบลงแบบโศกนาฏกรรมด้วยฉากที่เขาฆ่าตัวตายที่เกาะนั้นอย่างแน่นอน

    อดิสรณ์ใช้คนสนิทคนหนึ่ง ที่ชื่อไพศาลไปทำงานส่งจดหมายและรูปวาดนั้นแทนตน ส่วนตัวเองและนทีก็ไปทานข้าวอย่างน่าอึดอัดในบรรยากาศสวยงามบนยอดตึกใบหยกก่อนออกเดินทางไปภูเก็ตเรียบร้อยในคืนนั้น
    ไพศาลไม่รู้จะไปส่งได้ที่ไหนก็เลยเอาไปให้ที่ร้านรชตานันต์อัญมณี ปรากฏว่าร้านยังเปิดอยู่ไปจนถึงสองทุ่ม ขณะนั้นหมดเวลาทำงานของคุณชายแล้วก็คงกลับบ้านนอน ไม่ก็ออกไปไหนกับใคร ชายหนุ่มก็เลยจนซึ่งปัญญาจำเป็นต้องฝากรูปนั้นไว้กับผู้หญิงสวยเก๋คนหนึ่งในร้านไว้ก่อน แล้วตัวเองก็ออกไป
    ผู้หญิงคนนั้นคือดลนภา หล่อนเลิกคิ้วอย่างสงสัยทันทีที่เห็นรูปวาดของคุณชาย มองผ่านๆก็รู้ว่าคนวาดเป็นคนมีฝีมือ เก็บรายละเอียดของภาพบรรยากาศไว้ได้ดี เมื่อพินิจอยู่แล้วก็พบว่าด้านซ้ายมือมีภาพของหนุ่มฝรั่งคนหนึ่งนั่งอยู่ แม้จะนั่งอยู่ไกลๆในภาพ แต่หล่อนก็พบว่าหล่อนจำเขาได้ ผู้ชายคนนั้นคืออีริค นายแบบหนุ่มที่ทิฆัมพรควงอยู่นั่นเอง
    หล่อนไม่รู้หรอกว่าเรื่องเป็นยังไงมายังไง รู้แต่ว่าเมื่อมีหนุ่มฝรั่งคนนี้อยู่ในภาพก็เท่ากับว่าทิฆัมพรต้องมีส่วนรู้เห็นด้วย จดหมายที่แนบมาฉบับหนึ่งนั้นก็คงมีเรื่องราวอะไรใหญ่โตอยู่ ถึงเอามาให้ตอนค่ำเสียขนาดนี้แทนที่จะเป็นตอนเช้า เนื้อความจะเป็นไปในเชิงไหนหล่อนไม่รู้ แต่มั่นใจว่าเมื่อมีทิฆัมพรมาเกี่ยวข้องละก็ต้องเป็นเรื่องไม่ค่อยดีแน่ หล่อนจึงโทรไปหาภาสกรแทบจะทันทีโดยไม่ลังเล
    
    คุณชายภาสกร มาถึงร้านในเกือบครึ่งชั่วโมงต่อมาเพียงได้ยินคำว่า “ภาพวาด” ชายหนุ่มก็รีบบึ่งมาถึงร้านแทบจะทันทีที่รู้ตัว แม้จะอยู่ระหว่างการร่วมรับประทานอาหารเย็นกับท่านหญิงทิพวรรณ และท่านชายเกรียงศักดิ์ก็เถอะ
ดาริกาอาสามากับภาสกรด้วย เพราะเดาออกว่าคงเป็นเรื่องอะไรก็ตามเกี่ยวกับนที และอาจไม่ใช่เรื่องดีในเมื่อนทีส่งของมาให้ตอนค่ำมืดอย่างนี้ อาจเป็นเรื่องด่วนก็ได้
    พอถึงร้านภาสกรก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง รับจดหมายมาแกะอ่านเสียเดี๋ยวนั้น นั่งอยู่บนโซฟารายล้อมด้วยเครื่องเพชรสวยหรูมากมาย แต่ภาสกรก็ไม่ได้รู้สึกว่าใจเขาสงบ เยือกเย็นเท่ากับบรรยากาศในร้านนั้นเลย
    “คุณหญิง มันเป็นจดหมายลาจากนที”
    ภาสกรบอกดาริกาทันทีที่อ่านจบ หญิงสาวก็เข้าใจพยายามไม่ทำตัวเหมือนสนใจมากนัก เพียงวางหน้าเฉยๆอย่างเข้าใจเท่านั้น ภาสกรจึงตัดสินใจยื่นจดหมายให้ดาริกาอ่าน
    จดหมายนั้นเขียนด้วยลายมือเดิมที่ภาสกรเคยอ่านเมื่อครั้งที่มีจดหมายในลักษณะนี้อยู่ที่เตียงในโรงพยาบาลครั้งที่นทีหนีไป อีกครั้งแล้วที่เขาได้รับจดหมายอย่างนี้ อีกครั้งที่เขารู้สึกทุกข์ร้อนในหัวใจ จนทำให้อยากพบนทีเสียเดี๋ยวนั้น ความร้อนรนนี้เองที่ทำให้ภาสกรไม่ทันได้สังเกตว่าจดหมายนั้นออกจะประหลาดอยู่สักหน่อย ใจความของมันไม่ค่อยจะสัมพันธ์กันนักเหมือนนึกอยากเขียนอะไรก็เขียน ทั้งๆที่นทีก็เป็นคนที่มีความสามารถทางภาษาอยู่บ้าง ไม่น่าจะเขียนอะไรวกวนอ่านแทบไม่รู้เรื่องแบบนี้
    สายตาของผู้หญิงละเอียดกว่าสายตาผู้ชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ชายที่อ่านจดหมายนั้นมีอารมณ์ร่วมกับจดหมายมากเหลือเกิน ก็เลยมีแต่อารมณ์อยู่เหนือทุกอย่างไม่เห็นความผิดปกติในจดหมาย ดาริกาเป็นคนผิดสังเกตเรื่องเนื้อความ แต่ก็เท่านั้นไม่ได้พยายามจับผิดว่ามันแปลกอย่างไร หรือมีอะไรซ่อนอยู่
    ภาสกรรีบลาดลนภา เดินมาขึ้นรถบึ่งไปหาปุยฝ้ายแทบจะทันที ขอร้องให้ดาริกาไปเป็นเพื่อนเพราะเขาร้อนใจมาก ดาริกาก็ว่าง่ายโอนอ่อนตาม โทรไปบอกคุณชายนรัตถพลพี่ชายคนกลางของหล่อนว่าภาสกรมีเรื่องด่วนไม่กลับไปทานข้าวแล้ว ในขณะเดียวกันคุณชายก็พยายามโทรหาเพื่อนสาวคนสนิทของนที แต่โทรเท่าไรๆ ก็ไม่มีคนรับ
    พอถึงแฟลตเล็กๆนั้นภาสกรก็เลยตัดสินใจวิ่งขึ้นไปหาหญิงสาวถึงบนห้อง ถือวิสาสะว่าติดต่อไม่ได้จึงใจร้อนไปหมดขึ้นไปหาโดยเจ้าของห้องไม่ได้ลงมาต้อนรับ ซ้ำยังทิ้งดาริกาไว้เสียบนรถไม่ได้ให้ตามมาด้วย เขาเคาะประตูอยู่ไม่นาน หญิงชราร่างท้วมคนที่อยู่ห้องข้างๆคนเดิมที่เขาเคยคุยด้วยแล้วก็เปิดประตูออกมา
    “เอ้าพ่อคู้ณ ยังมาตามหาพ่อหนุ่มคนนั้นอยู่อีกหรือ เขาไม่อยู่แล้วละ อีหนูผู้หญิงก็เหมือนกันคงจะย้ายออกไปถาวร”
    “ว่าอย่างไรนะครับคุณป้า” ภาสกรแทบจะหมดสติไปตรงนั้นเมื่อได้ยินคำกล่าวของหญิงชรา
    “ก็เมื่อตอนบ่ายๆเย็นๆ ฉันเห็นแม่หนูที่ชื่อปุยฝ้ายน่ะเข้ามาเก็บข้าวของออกไปเสียน่ะสิ ชาวแฟลตเขาลือกันทั่วว่าได้ผัวรวย ใส่สูทผูกไท สวมแว่นดำมาช่วยถือกระเป๋าไปด้วย มือนี่ประคองกันอย่างกับกลัวว่ายายฝ้ายจะเป็นลมไปต่อหน้าอย่างนั้นละ พ่อหนุ่มลองโทรหาฝ้ายมันดูสิ แสดงความยินดีหน่อยที่มันเป็นฝั่งเป็นฝา” สิ้นคำเล่าของหญิงคนนั้นภาสกรก็ลากลับลงมาที่รถ ดาริกายังง่วนอยู่แต่กับการอ่านจดหมายนั้นอยู่นานทีเดียว จนในที่สุดพอภาสกรเล่าเรื่องจบดาริกาก็เอ่ยปากว่า
    “หญิงว่าเรื่องนี้ออกจะประหลาดไปเสียหน่อยแล้วล่ะค่ะ” หล่อนทิ้งตัวเอนหลังมองนอกกระจกรถ ภาสกรก็ขับรถไปเรื่อยๆอย่างร้อนใจทั้งที่ไม่รู้จะไปไหน “น้องฝ้ายไม่มีทางมีผัวรวยอะไรอย่างที่ป้าคนนั้นบอก อีกอย่างนะคะ มาหายไปทั้งปุยฝ้าย ทั้งนทีแบบนี้ เมื่อกี้หญิงติดต่อคุณอดิสรณ์พ่อเลี้ยงของนทีก็ติดต่อไม่ได้เลย เห็นว่าจะบังเอิญไปมังคะ”
    ภาสกรหันมามองหน้าดาริกาอย่างสนใจ
    “หายไปกันทั้งสามคน อีกอย่างผู้ชายใส่สูท ผูกไท ใส่แว่นดำฟังแล้วทำให้นึกถึงลูกน้องคุณอดิสรณ์อย่างไรชอบกลค่ะ แล้วในจดหมายนี่หญิงก็ว่ามันแปลกๆ ดูซีคะน้องนทีใช้คำแปลกๆ ยังพูดถึงอะไรเละเทะไปหมดเนื้อความไม่สัมพันธ์กันเลย อยู่ดีๆก็พูดเรื่องเกาะหลังขี่จักรยาน แล้วก็มาพูดเรื่องมองข้างหน้าข้างหลังอะไรอีก อีกอย่างแต่ละบรรทัดก็เขียนเว้นช่องไฟแปลกๆ เหมือนตั้งใจจะให้แต่ละบรรทัดนั้นจบลงที่ใดที่หนึ่งด้วยความตั้งใจ ดูซีคะ ”
    ดาริกายื่นจดหมายให้ภาสกรอ่านข้อความตอนหนึ่ง
 “ผมรู้... ตัวดีว่า ตรงนี้จริงๆ เขียนคำว่าผมรู้ตัวดีไว้บรรทัดเดียวกันก็ได้ แต่น้องนทีเอาคำว่า “ตัวดีว่า” ไปไว้อีกบรรทัด เขียนคำว่าผมรู้ เสียตัวใหญ่เหมือนกับตั้งใจจะให้จบบรรทัดตรงคำว่า รู้ พอดีอย่างนั้นแหละค่ะ ไม่ใช่แค่บรรทัดนี้นะคะ ที่อื่นก็เป็นตรง เคย... เกาะหลังคุณชาย แล้วก็ อะไรที่ไม่...ดีก็ เห็นไหมคะเขียนติดกันเสียในบรรทัดเดียวก็ได้ เว้นไว้ทำไมก็ไม่รู้ดูแปลกๆนะคะ”
ภาสกรมองหน้าดาริกาอย่างชั่งใจว่าเรื่องแบบนี้มันสำคัญจริงๆหรือ
ดาริกาเห็นแววไม่แน่ใจในตาคุณชายก็เอ่ยขึ้นมาเฉยๆว่า
“ช่างมันเถอะค่ะ หญิงคงคิดมากอะไรไปเอง”
“ผมไปส่งคุณหญิงที่โรงแรมละกันครับ วันหน้าวันหลังจะมาหาอีก”
ดาริกาได้ยินประโยคนั้นก็ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ โวยวายออกมาเสียงดังเหมือนได้รับชัยชนะ
“ใช่แล้วค่ะ วันหน้าวันหลัง นึกออกแล้วหญิงก็ว่ามันประหลาดแต่ไม่รู้ประหลาดอย่างไร ข้อความสุดท้ายนี่ไงคะคุณชาย น้องนทีเขียนไว้ว่า ชีวิตเราบางทีก็ควรมองแต่ข้างหน้าให้มาก อย่าสนใจข้างหลังนักเลย คุณชายไม่คิดว่ามันแปลกหรือคะ น้องนทีควรใช้คำว่า ชีวิตเราบางทีก็ควรมองแต่วันข้างหน้าให้มาก อย่าสนใจความหลังนักเลย อย่างนี้มากกว่า แต่ที่เขียนมาอย่างนี้เพราะอะไรรู้ไหมคะ”
 ภาสกรเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
 “โธ่ ใบ้ขนาดนี้ยังไม่รู้อีกหรือคะคุณชาย!” ดาริกาค้อนใส่คุณชายเสียใหญ่ “หญิงรู้ข้อความแฝงในจดหมายนี้แล้วคุณชายไม่เห็นอะไรเลยหรือคะ”
ภาสกรใจเต้นรัวรับเอาจดหมายไปอ่าน แต่สุดท้ายก็ไม่พบอะไร
“ผมไม่เข้าใจอะไรเลยครับคุณหญิง นทีก็บอกแล้วว่าให้ผมสนใจแต่เรื่องของวันข้างหน้า ไม่ให้นึกถึงความหลังที่ผ่านมาระหว่างเราก็แสดงว่านทีต้องการให้ผมลืมเขา ก็ชัดเจนอยู่นี่ครับ จะมีความหมายแฝงอะไรอีก”
ดาริกากลอกตาแล้วพูดขันๆ ว่า “คุณชายไม่เคยอ่านนิยายสืบสวนมังคะ”
 
***ขอโทษที่ทำให้คอยนะครับ พอดีมีปัญหาชีวิตนิดหน่อย ต่อไปจะพยายามมาโพสตามปกติให้ได้ครับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 34 "ต่อไปนี้ผมจะลืมเขาเสียอย่างที่บอก” 29/06/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: kenshinkenchu ที่ 29-06-2011 23:48:39
โห....................

สุดยอดดดดดดดดดดดดดดดดดด

กดบวกแทบไม่ทัน  เก๋กู๊ดที่สุด.......   มอบจุ๊บสิบทีค่าจดหมาย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 34 "ต่อไปนี้ผมจะลืมเขาเสียอย่างที่บอก” 29/06/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 29-06-2011 23:52:24
-*- เหนื่อยใจแทนนทีและคุณหญิง
คุณชายคะ รีบเข้าใจไวๆซักทีเถอะค่ะ :m15:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 34 "ต่อไปนี้ผมจะลืมเขาเสียอย่างที่บอก” 29/06/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 29-06-2011 23:59:58
เศร้าใจมาก อ่านเรื่องนี้นะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 34 "ต่อไปนี้ผมจะลืมเขาเสียอย่างที่บอก” 29/06/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 30-06-2011 00:15:42
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 34 "ต่อไปนี้ผมจะลืมเขาเสียอย่างที่บอก” 29/06/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: «ƤȑǃǹĉΞḠ○ḺҒ™» ที่ 30-06-2011 00:45:51
เซง คุณชาย จริงๆ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 34 "ต่อไปนี้ผมจะลืมเขาเสียอย่างที่บอก” 29/06/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: jojobuffy ที่ 30-06-2011 00:52:05
คุณหญิงอ่านโคนันบ่อยละซิ555
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 34 "ต่อไปนี้ผมจะลืมเขาเสียอย่างที่บอก” 29/06/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: myapril ที่ 30-06-2011 01:09:13
จดหมายถึงมือคุณชายแล้ว
ช่วยกันถอดรหัสเร็วๆเข้า
 :z3:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 34 "ต่อไปนี้ผมจะลืมเขาเสียอย่างที่บอก” 29/06/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: teukkie ที่ 30-06-2011 01:15:59
บอกได้คำเดียวว่า คุณชายไปแด๊กปลาทู!!ซะนะค่ะ :m31:

 จะได้ฉลาดขึ้นนนนนนนนนนน!! อิช้านอยากจะตบกะโหลกคุณชายสักสามสิบที - -"
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 34 "ต่อไปนี้ผมจะลืมเขาเสียอย่างที่บอก” 29/06/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 30-06-2011 01:23:35
ขอปลดคุณชายออกจากตำแหน่งพระเอกได้มั้ย
ถ้าคุณหญิงเจ๊ดาเป็นผู้ชายนะ มันควรจะยกตำแหน่งนี้ให้เธอเสียเลย ไม่ไหวจะเคลีย
ไม่ได้ช่วยอะไรให้มันดีขึ้นมาเล้ยยยย ดีแต่ทำให้น้ำเจ็บช้ำน้ำใจ
ตอนนี้และหลายๆตอนที่ผ่านมาก็เอาตำแหน่งพระเอกไร้น้ำยาไปก่อนแล้วกันนะคุณชาย 55555555
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 34 "ต่อไปนี้ผมจะลืมเขาเสียอย่างที่บอก” 29/06/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: Piaanie ที่ 30-06-2011 01:46:38
คุณชายนี่ยังซื่อบื้อคงเส้นคงวา ถ้าไม่ได้คุณหญิงดาริกาละก็สงสัยทั้งชาติก็ไม่เข้าใจ  :z6:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 34 "ต่อไปนี้ผมจะลืมเขาเสียอย่างที่บอก” 29/06/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: A-J.seiya* ที่ 30-06-2011 01:54:14
บทจะโง่ พ่อคุณก็โง่ขึ้นมากะทันหันเลยนะ
นี่ถ้าไม่มีคุณหญิงดาริกา ฉันไม่อยากจะคิด
เหอๆ ,, ขอให้ตามเจอเร็วๆแล้วกัน
เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ  ^^
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 34 "ต่อไปนี้ผมจะลืมเขาเสียอย่างที่บอก” 29/06/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: naja-kitase ที่ 30-06-2011 01:59:40
คุณชายอ่ะ เฮ้อออออ
คุณหญิงดาชนะเลิศ!  o13

ปล.เราก็ยังไม่รู้ความหมายแฝงเหมือนกัน 555 (ยังมีหน้าไปว่าคุณชายอีกนะ)
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 34 "ต่อไปนี้ผมจะลืมเขาเสียอย่างที่บอก” 29/06/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 30-06-2011 02:06:45
คุณชายขาาาาา
ไม่ทราบว่า ไม่เคยอ่านนิยายหรอคะ?  :m16:

ได้ข่าวว่าเรียนสูงนี่คะ? ปริศนาแค่นี้  อ่านป๊าดเดียวก็น่าจะรู้นะคะ   :angry2:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 34 "ต่อไปนี้ผมจะลืมเขาเสียอย่างที่บอก” 29/06/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: pochu52 ที่ 30-06-2011 06:11:53
คุณชายนะคุณชาย  :เฮ้อ: จะฝากความหวังให้ช่วยนทีได้มั้ย
หันไปพึ่งคุณหญิงดาดีกว่าเรา
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 34 "ต่อไปนี้ผมจะลืมเขาเสียอย่างที่บอก” 29/06/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: evilheart ที่ 30-06-2011 07:30:41
คุณหญิงรู้แล้วก้อเงียบๆ ไว้ คุณชายเค้าอาจจะแกล้งบื้อก้อได้ (มั้ง)
ถอดรหัสลับเร็วๆ แล้วรีบไปช่วยนทีได้แล้ว(http://i273.photobucket.com/albums/jj225/tangtang_jar/a-9.gif)
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 34 "ต่อไปนี้ผมจะลืมเขาเสียอย่างที่บอก” 29/06/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: ● MaYa~Boy ● ที่ 30-06-2011 09:01:59
โห สุดๆ อย่างกับนิยายสอบสวนเลย ^^
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 34 "ต่อไปนี้ผมจะลืมเขาเสียอย่างที่บอก” 29/06/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 30-06-2011 09:17:05
คนแต่งก็แต่งให้ได้รู้สึกว่าคุณชายนี่ช่าง ... สุด ๆ จริง ๆ
อ่านตอนนี้แล้วชอบคุณอดิสรณ์จริง ๆ พับผ่า
เลวได้ใจ  รักจริงได้อีก  เปลี่ยนพระเอกเลยดีมั๊ย ฮึ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 34 "ต่อไปนี้ผมจะลืมเขาเสียอย่างที่บอก” 29/06/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: คนริมคลอง ที่ 30-06-2011 09:32:11
คุณชาย.....จะทำตัวให้โกรธอีกนานไม๊เนี่ย



หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 34 "ต่อไปนี้ผมจะลืมเขาเสียอย่างที่บอก” 29/06/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 30-06-2011 11:22:50
เวรกรรม รหัสลับออกจะโจ่งแจ้งปานนั้น คุณชายนะคุณชาย

--+ ดีนะที่อ่านโคนันมาจนถอดความได้ ฮ่า ๆ

ขอบคุณผู้แต่งมากค่ะ มันส์มากสำหรับตอนนี้  คุณหญิงขา เอาโคนันไปให้คุณชายอ่านเหอะ เผื่อจะปิ๊งอะไรขึ้นมาบ้าง


ใครถอดรหัสไม่ออก แนะนำให้ลองอ่านเฉพาะตัวหน้าประโยคของข้อความนะคะ ~
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 34 "ต่อไปนี้ผมจะลืมเขาเสียอย่างที่บอก” 29/06/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: IIMisssoMII ที่ 30-06-2011 20:29:39
คุณหญิงเธอมาแรงจริง ๆ ชอบมากกกกกก

คุณชายคะ ตอนนี้ไม่เอาใจช่วยนะ โงหัวออกจากกรอบได้แล้วคะ

รอเสมอคะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 34 "ต่อไปนี้ผมจะลืมเขาเสียอย่างที่บอก” 29/06/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: SoN ที่ 30-06-2011 21:09:56
^^
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 34 "ต่อไปนี้ผมจะลืมเขาเสียอย่างที่บอก” 29/06/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: minchy ที่ 30-06-2011 21:26:24
ทำไมคุณชายถึงได้โง่นักหล่ะ


ขัดใจพระเอกโง่
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 34 "ต่อไปนี้ผมจะลืมเขาเสียอย่างที่บอก” 29/06/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: K3n0 ที่ 01-07-2011 13:48:36
มาต่อไวไว นะครับ

เอาใจช่วยนที  ให้พ้นจากเงื้อมมือของผู้ร้ายนะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 34 "ต่อไปนี้ผมจะลืมเขาเสียอย่างที่บอก” 29/06/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: butterfly_bee ที่ 01-07-2011 14:54:36
เย่ ดีใจจัง เรากดบวกได้แล้ว งั้นขอ+1 ให้คุณฟ้าม่วงเลยนะคะ
นทีทิ้งโค้ดลับไว้ให้ด้วยแบบนี้ ถ้าไม่มีคุณหญิงดาริกานี่แย่เลย
คุณหญิงดาริกาเท่จริงๆ เจิดค่ะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 34 "ต่อไปนี้ผมจะลืมเขาเสียอย่างที่บอก” 29/06/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: ณ ที่เดิม™ ที่ 01-07-2011 17:18:40
ปลื้มคุณหญิงดาที่สุดในโลกหล้า  :a2:
ส่วนคุณชายรับหญ้า ผัดเผ็ดสักจานไหมฮะ   :m7:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 34 "ต่อไปนี้ผมจะลืมเขาเสียอย่างที่บอก” 29/06/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: J_Dargon ที่ 01-07-2011 17:26:54
คุณชายยยย...บื้อมากกกอ่ะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 34 "ต่อไปนี้ผมจะลืมเขาเสียอย่างที่บอก” 29/06/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 04-07-2011 10:49:11
ตอนแรกเข้าใจว่า คุณชายคงกำลังสติแตก เลยไม่ได้สังเกตความไม่ปกติในจดหมาย แต่ถึงขนาดที่ว่าคุณหญิงใบ้ให้แล้ว ยังไม่รู้อีกนี่ ยอมรับเลยจริงๆครับว่า คุณชายโง่จริงอะไรจริง

นี่ถ้าไม่มีคุณหญิง เรื่องนี้คงจบลงที่นทีจบชีวิตตัวเองที่เกาะเป็นแน่
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 34 "ต่อไปนี้ผมจะลืมเขาเสียอย่างที่บอก” 29/06/11 - 23.30
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 04-07-2011 21:07:58
35

    ภาสกรใจเต้นรัวเร็ว เพ่งมองจดหมายในมือ ราวกับว่าจดหมายมันจะเรียบเรียงความอะไรได้ขึ้นมาใหม่ได้ด้วยตัวมันเองอย่างนั้น พยายามคิดไปด้วยว่า มองแต่ข้างหน้าอย่างไปสนใจข้างหลังจะหมายความว่าอะไรได้อีก นอกจากให้มองอนาคตแล้วลืมอดีตเสีย แต่เมื่อมาคิดถึงข้อสังเกตของดาริกาว่า ข้อความในจดหมายไม่สัมพันธ์กันเป็นหนึ่งเดียว อีกทั้งการเว้นวรรคตอน การขึ้นบรรทัดใหม่ก็ดูแปลกๆ ไม่สมเหตุสมผลอย่างที่ควรทำ
    ข้างหน้า... อย่าดูข้างหลัง
    “อ้อ!” ภาสกรร้องออกมาในที่สุด “ผมเข้าใจแล้วครับคุณหญิง ที่นทีขึ้นบรรทัดใหม่แปลกๆนั้น ไม่ใช่ว่าเขาต้องการให้ทิ้งคำไหนไว้หลังสุดในแต่ละบรรทัดด้วยความตั้งใจอย่างที่เราคิดหรอกนะ แต่เขาต้องการขึ้นบรรทัดใหม่ทุกบรรทัดด้วยคำที่เขาต้องการต่างหาก! นี่แหละเป็นสาเหตุที่ทำให้เนื้อความในจดหมายมันแปลกๆ เพราะเขาไม่ได้ตั้งใจสื่อความตามนั้นเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงแต่หาถ้อยคำมาใส่ในแต่บรรทัดให้ต่อกันโดยไม่มีพิรุธเท่านั้น ความหมายที่เขาตั้งใจจะสื่อถึงผมอยู่ในพยางค์หน้าสุดของแต่ละบรรทัด เนื้อความข้างหลังไม่ได้มีความหมายอะไรเลย ถึงบอกว่าอย่าไปสนใจมันอย่างไรล่ะครับ!”
    ภาสกรหันไปมองดาริกาที่ยิ้มและพยักหน้าให้อย่างสร้างความมั่นใจ ชายหนุ่มก็เลย ลงมืออ่านจดหมายนั้นอีกครั้งคราวนี้อ่านเฉพาะพยางค์แรกของแต่ละบรรทัดเท่านั้น
    “คุณชายครับ-ผม-ถูก-จับ-ตัว-ไป-ไว้-ที่-เกาะ-ส่วน-ตัว-ของ-คุณ-อะ-ดี-สอน” พอรู้เนื้อความเท่านั้นภาสกรก็ร้องออกมาอีกครั้ง เป็นประโยคสมบูรณ์ที่เจ้าตัวเข้าใจถูกต้องแล้วว่านทีต้องการให้เขารู้อย่างนั้น “คุณชายครับผมถูกจับตัวไปไว้ที่เกาะส่วนตัวของคุณอดิสรณ์ หวังว่าจะได้พบกันอีกสักครั้ง ก็หมายความว่าเขาต้องการให้ผมไปช่วย ขอบคุณนะครับก็คือขอบคุณล่วงหน้าที่ต้องให้ผมลำบากไปหาถึงเกาะของพ่อเลี้ยง!”
    “ค่ะ หญิงคิดว่าเราเข้าใจตรงกันแล้ว และก็คงจะเข้าใจถูกด้วยมังคะ” ดาริกายิ้มกว้างออกมาอย่างที่หล่อนมักจะยิ้มให้เขาประจำ “น้องฝ้ายก็คงจะถูกจับไปด้วย ที่น้องน้ำต้องแต่งจดหมายนี้ขึ้นแสดงว่าคุณอดิสรณ์นี่ก็คงทำอะไรที่เลวร้ายมากทีเดียว น้องน้ำถึงต้องหลบเลี่ยงบอกคุณชายด้วยวิธีนี้ ไม่อย่างนั้นคุณอดิสรณ์คงตัดทางติดต่อแล้วทุกทาง เหลือแต่จดหมายนี่ที่อ่านผ่านๆคงไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร คิดว่าเป็นจดหมายลาเท่านั้น”
    “คุณหญิง แต่คุณอดิสรณ์เป็นพ่อเลี้ยงของนที ต่อให้เขาพานทีไปเกาะจริงๆเราก็คงไม่มีสิทธิ์ไปห้ามไม่ใช่หรือครับ ถ้าเป็นความต้องการของพ่อเลี้ยง ผมที่ไม่ใช่ญาติเกี่ยวดองอะไรกันทางกฏหมายคงไม่มีสิทธิ์ไปห้าม”
    “ไม่แน่ค่ะ คุณอดิสรณ์อาจจะทำอะไรผิดมากมายกับนที ที่เราอาจใช้เป็นข้ออ้างในการรับตัวเขากลับมาก็ได้นะคะ” หล่อนออกความเห็น
    “แล้วอะไรที่ว่ามันอะไรล่ะครับ ผมจะรู้ได้อย่างไร”
    เงียบไปนานมาก ภาสกรก็นึกออกทันที เพราะในซองจดหมายมีแผ่นซีดีแผ่นหนึ่งใส่มาด้วย เขาหยิบแผ่นนั้นขึ้นมาก็เกิดตุ๋มๆต้อมๆ ในใจคิดอะไรที่เลวร้ายไปแล้วไกลมากมายโดยยังไม่ทันรู้ความจริง
    “คุณหญิง หรือจะเป็นนี่ครับ”
    “ลองเปิดดูซีคะคุณชาย” หล่อนว่า ภาสกรก็เลยเลี้ยวรถเข้าไปจอดในปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง เอื้อมมือคว้าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คขึ้นมาเปิด ใส่แผ่นซีดีเข้าไป พร้อมจะเปิดดูสิ่งที่อยู่ข้างใน
    ตอนแรกคิดว่าจะเป็นเอกสารอะไรที่ไม่ดี ที่ผิดกฏหมายเกี่ยวกับอดิสรณ์แต่เปล่า สิ่งที่บรรจุอยู่ในนั้นเป็นไฟล์วิดีโอ
    “คุณหญิง...” พอเห็นว่าเป็นวิดีโอ ภาสกรก็พอจะเดาอะไรต่อมิอะไรได้โดยไม่ต้องเปิดดูด้วยซ้ำ แต่ในเมื่อมันเป็นเรื่องร้ายแรงเพียงนี้ก็ต้องเปิดดูให้แน่ใจ
    “ถ้าคุณชายไม่สบายใจ หญิงจะลงไปเข้าห้องน้ำละค่ะ” คุณหญิงก็คงคิดว่าเป็นสิ่งเดียวกันกับที่เขาคิดเช่นกัน จึงเปิดประตูลงไปจากรถทั้งที่ยังไม่ทันรู้เรื่องอะไรดี เดินหายไปในห้องน้ำ ภาสกรก็ใจเต้นกดคลิกดูภาพในวิดีโอนั้นทั้งที่ไม่เต็มใจ คิดว่าตัวเองคงใจสลายหากเห็นอะไรก็ตามที่เขาคิดไปเองว่าจะได้เห็น
    นทีนอนอยู่บนเตียงสีขาว ไม่ปรากฏลักษณะพิเศษว่าเป็นที่ไหน ใบหน้านองด้วยน้ำตา หันหนีออกจากกล้องอย่างไม่คิดจะอยากมองร่างกายไหวสั่นไปตามจังหวะเคลื่อนไหวของอีกร่างที่ทาบทับอยู่ด้านบนถือกล้องถ่ายอิริยาบถของหนุ่มน้อยอย่างวิปริต มีเสียงผู้หญิงร้องไห้คร่ำครวญอยู่ในฉากหลัง โดยไม่รู้ว่าเป็นเสียงใคร และกำลังระล่ำระลักว่าอย่างไรบ้าง มีเพียงเสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น ที่ตวาดขึ้น
    “มองหน้าพ่อ... ไอ้น้ำ ฉันบอกให้เธอมองฉัน!” เสียงที่ภาสกรเพิ่งได้ยินเมื่อบ่ายวันนี้ดังขึ้นอีกครั้งในวิดีโอ เสียงเหี้ยมโหดเย็นชาสั่งให้นทีมองกล้องอย่างกับหนุ่มน้อยเป็นดาราหนังโป๊อย่างนั้น แต่นทีไม่ยอมทำตาม ตากล้องจึงใช้อีกมือที่ว่างจับหน้าบีบบริเวณแก้มหันหน้าของหนุ่มน้อยให้มองกล้องจนได้ แต่นทีก็หลับตาแน่น น้ำตาไหลลงอาบแก้มดูน่าสงสารที่สุด
    คนถ่ายตบหน้านทีสุดแรงจนหนุ่มน้อยเลือกไม่ได้ ต้องมองกล้องวิดีโอนั้นอย่างโกรธแค้น ตากล้องก็เหมือนจะยิ่งได้ใจหัวเราะดังลั่นก่อนที่จะออกแรงมากขึ้นจนนทีดิ้นพล่านเหมือนปลาถูกทุบ ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร
    “คุณคะ อย่าทำลูกฉันค่ะ ขอร้องทำฉันแทนเถอะอย่าทำลูกฉัน”
    เสียงผู้หญิงคนหนึ่งที่ร้องซ้ำไปซ้ำมาในฉากหลัง ตั้งแต่เริ่มวิดีโอมาถึงตอนนี้ดังขึ้นจนภาสกรจับความได้ หล่อนคงเข้ามาช่วยเหลือลูก แต่ก็คงถูกผลักออกไป เพราะกล้องสั่นจนจับภาพได้ไม่ชัดไปพักใหญ่ ชุลมุนจนสุดท้ายภาพก็ตัดมาที่นทีนอนร้องไห้อยู่เหมือนเดิม
    “มึงจะโดนเป็นคนถัดไป ไม่ต้องขอกูหรอกเดี๋ยวกูก็จัดให้มึงเอง”
    “คุณอดิสรณ์อย่าทำร้ายแม่ผม... โธ่แม่... แม่”
    เท่านี้ก็เพียงพอ ภาสกรเบือนหน้าออกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คของตน น้ำตาไหลอาบลงแก้มด้วยความสงสารนที... นี่กระมังเป็นเหตุผลที่ทำให้นทีหนีออกจากบ้าน และอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้แม่ของเขาตายด้วย จะตรอมใจตายหรือฆ่าตัวตายก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่แน่ละนี่คือความชั่วร้ายของอดิสรณ์ที่ซุกซ่อนไว้ไม่ให้ใครเห็น นทีก็คงอับอายจึงไม่ได้บอกใครเลยแม้แต่ภาสกร
    พอคุณชายหนุ่มสบตาดาริกาที่ยืนอยู่นอกรถก็ปิดเครื่องคอม หล่อนเดาได้จากท่าทางของคุณชายหนุ่มว่าอะไรเป็นอะไรก็เลยเดินมาขึ้นรถในที่สุด
    “คุณชายคะ เราต้องแจ้งตำรวจละค่ะ”
    “แจ้งไม่ได้หรอกครับคุณหญิง ในวิดีโอไม่มีหน้าของเขาเลยครับมีแต่เสียง เสียงก็ไม่ชัดอู้อี้จนฟังไม่ได้ว่าเป็นเสียงเขาแน่หรือเปล่า เราแจ้งไปคงไม่ได้อะไรขึ้นมา ผมคงต้องไปช่วยนทีด้วยตัวเอง”
    “เอาตำรวจไปเถอะค่ะ เผื่อจะจับได้คาหนังคาเขา ทีนี้ไม่ต้องพึ่งหลักฐาน หรือคำให้การใดแน่ เอาตำรวจไปบุกถึงที่กันเถอะค่ะ” ดาริกาว่าอย่างเด็ดเดี่ยว น่าแปลกใจที่ผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างหล่อน เอาเข้าจริงแล้วกับตัดสินใจได้ฉับไว หนักแน่นสมเหตุสมผลกว่าเขาเสียอีก
    “แต่หากมันเป็นเกาะส่วนตัวที่เป็นกรรมสิทธิ์ของเขา เห็นเราจะเข้าไปไม่ได้หรอกครับถ้าไม่มีหมายค้น ต่อให้เราจะไปขอหมายค้นด้วยหลักฐานแค่นี้ตำรวจจะหาว่าเรากุขึ้นเพราะบ้านิยายสืบสวนเสียอีก”
    ดาริกายิ้มออกมาอย่างใจเย็น
    “คุณชายคงลืมพี่ชายเต้ พี่ชายคนโตของหญิงไปแล้วมังคะ พี่ชายเตชวัฒน์ เป็นนายตำรวจค่อนข้างใหญ่อยู่บ้างในกรม หญิงว่าเราคงไปเกาะนั้นได้ไม่ยาก รวมถึงเอากำลังตำรวจไปด้วย พี่ชายเต้คงเชื่อใจคุณชาย ถึงจะเสี่ยงต่อหน้าที่การงานสักหน่อย เขาคงต้องยอมแน่ละค่ะ” ดาริกายิ้ม เอื้อมมือเล็กนุ่มของหล่อนมากุมมือของภาสกรไว้แน่น พูดขึ้นอย่างให้กำลังใจว่า
    “พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย เรื่องนี้ต้องจบลงด้วยดีค่ะ”
    
    ทะเลเบื้องหลังนทีคำรามก้อง ฟ้ามืดครึ้มไปหมดราวกับเป็นเวลากลางคืน ทั้งที่ตอนนี้เวลาคงยังไม่ถึงห้าโมงเย็นดี คลื่นสูงสาดซัดเข้ากระทบฝั่ง ฝนก็ตกหนักราวกับท้องฟ้าเข้าใจความทุกข์ระทมในอกของนทีแล้วร้องไห้คร่ำครวญให้กับเขาด้วยอย่างไรอย่างนั้น
    นทีมาอยู่ที่นี่ได้วันหนึ่งแล้ว ยังไม่มีเรื่องร้ายใดๆเกิดขึ้นกับเขา เพียงประหลาดใจเล็กน้อยเท่านั้นว่าเหตุใด อดิสรณ์ จึงจับเอาเขามาขังไว้เสียเฉยๆ ไม่ได้คิดจะทำร้ายข่มเหงเขาอย่างที่แล้วๆมา กระนั้นเด็กหนุ่มก็ไม่ได้นอนใจว่าอดิสรณ์คิดจะทำดีกับเขาจริงๆอย่างที่บอก คิดเอาเองแล้วว่าตอนนี้ฝ่ายนั้นคงจะเคลียร์งานอะไรที่คั่งค้างอยู่ถึงไม่มีเวลามาทำอะไรเขาได้ แต่ยิ่งอดิสรณ์ทิ้งเวลาไว้นานเท่าใด เมื่อถึงขีดสุด โทสะก็คงจะระเบิดออกมารุนแรงมากเมื่อนั้น... จะมากเกินเขาจะรับได้กว่าครั้งไหนหรือไม่ก็ไม่รู้
   หนุ่มน้อยนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงนอน หลังพิงหัวเตียง ที่อยูใต้หน้าต่างที่เปิดออกไปเห็นทะเลได้พอดี ใบหน้าซบอยู่บนหัวเข่านุ่มนิ่มนั้น ผมยาวรุงรังปรกลงมาปิดหน้าไปเสียหมดราวกับว่าหากเป็นอย่างนี้ต่อไปมันจะซ่อนเขาไว้จาก
อดิสรณ์ได้กระนั้น น้ำตาไหลอาบลงจนรู้สึกว่าเข่าเปียกไปหมด ทั้งวันไม่ได้ทำอะไรเลย พอมาถึงเกาะก็ถูกแยกกับปุยฝ้ายที่ทำหน้าตื่นตระหนกไม่รู้ว่าชะตาชีวิตของตนจะเป็นอย่างไร ตอนแยกจากกันปุยฝ้ายบอกนทีว่า
    “แกไม่ต้องห่วงฉัน เราต้องหาทางหนีไปจากที่นี่ได้สักวันแน่ๆ”
    แล้วเขาก็ถูกลากเข้าบ้าน ขณะที่ปุยฝ้ายถูกพาไปอีกทาง อาจจะเป็นเรือนคนใช้หรือไม่ก็บ้านเล็กอีกหลังที่ปลูกไว้ใกล้กันก็เป็นได้ แม้อดิสรณ์จะบอกนทีก่อนจะหายตัวไปทั้งวันว่า “คิดเสียว่าเป็นบ้านตัวเอง นึกอยากทำอะไรก็ทำ อยากหนีก็หนี ถ้าคิดว่าว่ายน้ำกลับภูเก็ตได้ก็เอา” แต่หนุ่มน้อยก็หมดอาลัยตายอยากเกินกว่าจะทำสิ่งใด ได้แต่ขังตัวเองไว้ในห้องนอนที่ชั้นสอง ในหัวคิดถึงแต่ใบหน้าของผู้ชายคนเดียวเท่านั้น...
    คุณชายภาสกร
    ป่านนี้ฝ่ายนั้นจะได้จดหมายเขาแล้วหรือยังนะ จะเข้าใจความหมายที่เขาตั้งใจแฝงเอาไว้หรือเปล่า หรือไม่ต้องคิดไกลไปถึงเพียงนั้น เอาแค่ให้เข้าใจเพียงว่าเขาเขียนจดหมายมาลาจริงๆ ภาสกรจะยังมีความอาลัยในตัวเขาอยู่บ้างไหม หรือว่าจะดีใจว่าในที่สุดชีวิตก็ไม่ต้องดำเนินเรื่อยไปอยู่บนทางเดียวกับเขาแล้ว
    ทำไมภาสกรไม่ปล่อยเขาตายไปตั้งแต่ครั้งถูกรถชนนะ
    ทำไมภาสกรต้องดีกับเขาขนาดนั้น... แล้วทำไมเขาถึงต้องรักภาสกร ในเมื่อความรักครั้งนี้ ดูไม่น่าจะเป็นไปได้แม้เพียงนิด เขาจะทำอย่างไรถ้าภาสกรไม่มาช่วย... หนีปัญหาด้วยการฆ่าตัวตายหรือ
    แต่ต่อให้ภาสกรมาช่วยจริงๆ แล้วหนีรอดไปได้ จะไม่ถูกอดิสรณ์ตามล่ากลับมาอีกหรือ แล้วต่อให้หนีไปพ้นจากอดิสรณ์ได้จริงๆ ก็ต้องกลับไปเผชิญหน้ากับความโหดร้ายของโชคชะตาว่าภาสกรไม่ได้รักเขาแม้เพียงนิด อย่างไรเสียกลับไปอยู่คนเดียวก็ต้องทุกข์ใจพอกันกับอยู่ที่นี่อยู่ดี
    นรกในใจมันเป็นอย่างนี้นี่เองนที ...
    นอนคิดอะไรฟุ้งซ่านอยู่คนเดียว จู่ๆ ประตูห้องก็เปิดออก ประตูไม้กระแทกเข้ากับผนังห้องดัง ปัง! คนที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามา ก้าวช้าๆเข้ามาในห้อง ทิ้งตัวลงนอนข้างๆหนุ่มน้อย ใบหน้าแดงก่ำ กลิ่นเหล้าเหม็นคลุ้งไปหมดจนนทีอดไม่ได้ที่จะกระถดตัวหนี แต่แล้วร่างที่นอนอยู่ข้างๆก็กระชากเขาให้ล้มลงก่อนจะพลิกตัวขึ้นคร่อม
    ใบหน้าชรา รุ่นราวคราวเดียวกับผู้เป็นบิดาอยู่ห่างไปไม่ถึงนิ้ว ลมหายใจเจือกลิ่นแอลกอฮอล์รดลบนใบหน้าของนทีจนต้องหันหน้าหนีด้วยความรังเกียจ และขยะแขยง หนุ่มน้อยพยายามขืนตัวออกห่างจากพ่อเลี้ยงเท่าที่จะทำได้ แต่ต้องไม่รุนแรง รวดเร็วเกินไปจนอีกฝ่ายโมโห ผลที่ได้จึงคล้ายกระมิดกระเมี้ยนอย่างเขินอายเท่านั้น อดิสรณ์จึงได้ใจซุกหน้าเข้าหาซอกคอขาว บดขยี้ลงไปเต็มแรง
    “ทำงานเหนื่อยสายตัวแทบขาด คิดถึงเมียแทบขาดใจ” คำว่าเมียบาดลงไปในใจของนที จนน้ำตาแทบจะเล็ดออกมาให้ได้ เขาไม่ใช่เมียของใคร! ต่อให้จะยอมเป็นของใครสักคน คนนั้นต้องไม่ใช่อดิสรณ์!
    “ผมไม่ใช่เมียคุณ อย่ามายุ่งกับผม” นทียันสองมือเข้ากับอกของชายวัยกลางคนที่เขาเกลียดเข้าไส้ อยากจะผลักออกไปให้พ้นตัว และผลักออกจากชีวิตเขาไปด้วยเสียให้ได้ แต่ด้วยแรงอันน้อยนิดทำให้เขาทำได้แค่ผลักพ่อเลี้ยงออกห่างไปไม่กี่คืบเท่านั้น
    “เธออย่าทำขืนหน่อยเลย! ฉันได้เธอมาแล้วตั้งหลายต่อหลายครั้ง ทำไมเธอจะไม่ใช่เมียฉัน!” อดิสรณ์ซุกไซ้หน้านั้นหนักหน่วง รุนแรงจนผิวขาวบางของนที แดงแสบไปหมด
    “คุณได้ผมเพราะคุณบังคับขืนใจผมต่างหาก! ผมไม่ได้ยินยอมคุณเลยแม้สักครั้ง ออกไปให้พ้นอย่ามายุ่ง ผมขยะแขยงคุณเต็มทีแล้ว” หนุ่มน้อยตวาดลั่น แต่ก่อนจะทันได้ทำอะไร อดิสรณ์ก็ขบเข้าที่หัวไหล่ของหนุ่มน้อย จนฝ่านนั้นร้องลั่นด้วยความเจ็บ ดิ้นสุดแรงจนเข่ากระแทกเข้ากลางตัวของพ่อเลี้ยงพอดี อาศัยช่วงนี้เองดิ้นหนีมาได้ นทีออกวิ่ง คิดจะเข้าไปอยู่อีกห้องแล้วล็อกตัวเองเอาไว้จากอดิสรณ์สักพัก รอให้ฝ่ายนั้นหายบ้าก่อนค่อยคุยกันให้รู้เรื่อง
    แต่ไม่ทันจะก้าวไปไหนได้ไกล อดิสรณ์ก็คว้าผมของหนุ่มน้อยได้ จิกกระชากกลับมาใกล้ตัว คว้าไหล่แล้วโยนร่างขาวบางขึ้นไปบนเตียง ถอดเสื้อของตัวเองโยนทิ้งไปให้พ้น แล้วย่างก้าวเข้ามาหานทีอย่างหื่นกระหาย
    “เธอไม่มีสิทธิ์หนีฉันไปไหนทั้งสิ้น ฉันเป็นเจ้าของเธอ ทั้งโดยตัวบทกฏหมาย และโดยพฤติการณ์ เธอจะต้องอยู่กับฉันที่นี่ตลอดไปเข้าใจไหม!” เขาว่า เสียงลั่น นทีนอนสั่นด้วยความกลัว เขารู้ฤทธิ์อดิสรณ์ดีว่าเมื่อใดที่เมา โกรธ และต้องการเขาในเวลาเดียวกัน ฝ่ายนั้นจะน่ากลัวไม่ต่างไปจากสัตว์ป่าสักตัวหนึ่ง
    ศีลธรรมคืออะไร ผิดชอบชั่วดีคืออะไรอดิสรณ์ไม่รู้ทั้งนั้น
    “เสียแรง เสียแรงที่ฉันรักใคร่เธอมาแต่เด็ก” อดิสรณ์ปลดกระดุมกางเกงออก ปีนขึ้นเตียงมากระชากเสื้อของนที ออกไปจนพ้นตัว “ทะนุถนอมเลี้ยงดูมาตั้งแต่ตัวเล็กๆ อยากให้โตมาเป็นเด็กบริสุทธิ์ทั้งกายใจ ฉันจะได้เชยชมเธอให้สมใจที่รอมาแสนนาน... เธอจะได้เป็นของฉันแต่เพียงผู้เดียว... ที่ไหนได้ แทนที่เธอจะรักและภักดีกับฉัน  แต่เธอกลับไปเอาไอ้คุณชาย!”
    “คุณอดิสรณ์ หยุดพูดจาว่าร้ายคุณชายได้แล้ว เขากับผมไม่เคย...” นทีจะบอกว่าไม่เคยทำอะไรอย่างอดิสรณ์ แต่ใจก็ประหวัดไปถึงเหตุการณ์ที่นครนายก
    ครั้งนั้นเองคุณชายก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือ เมา เอาราคะมาอยู่เหนือสติสัมปชัญญะ ปล่อยให้เรื่องราวเลยเถิดแบบไม่คิดจะห้ามใจ คุณชายอาจจะแย่กว่าอดิสรณ์ด้วยซ้ำที่ไม่เคยคิดจะถือเอาเป็นเรื่องจริงจัง กลับผลักไสและปฏิเสธไม่คิดจะรับผิดชอบดูแลเขาอย่างอดิสรณ์ คิดไปคิดมา ใครกันแน่ที่จริงจังกับเขา...
    อดิสรณ์ที่ดูเหมือนเลวร้าย แต่ก็ไม่คิดจะทิ้งเขาสักครั้ง
    หรือภาสกรที่มาแบบผู้ดี สุดท้ายได้เขาแล้วก็ตั้งใจจะทิ้ง!
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: naja-kitase ที่ 04-07-2011 21:19:37
 :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4:

น้ำจะโดนข่มเหงอีกแล้วหรือนี่ ง่ะ ไม่อยากอ่านฉากนี้  :z3: (ขอให้อะไรสักอย่างมาขัดจังหวะทีเถอะ)
นทีอย่าเพิ่งลังเล รอคุณชายมาช่วยก่อน
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: Rhythm ที่ 04-07-2011 21:42:37
รออ่านๆๆๆๆๆๆๆ :z3:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 04-07-2011 21:45:34
ไม่นะน้องน้ำ
คุณพ่อเลี้ยงอย่าทำอะไรน้องน้ำนะ
คุณชายกำลังจะมาช่วยแล้ว เร็วๆหน่อยสิคุณชายยยยยยยยยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 04-07-2011 21:52:16
เป็นอย่างที่คิดเลย  ไม่ใช่สิ  แย่กว่าที่คิดไว้ซะอีก
มันโรคจิตแล้วนะเนี่ยะ  ข่มขืนลูกให้แม่เขาดู  แม่ที่ว่าก็เมียมันอีก
เปลี่ยนพระเอกเป็นคุณหญิงดาริกายังทันมั๊ยเนี่ยะ
คุณชายดูจะเชื่องช้า  ไม่ทันการยังงัยก็ไม่รู้สิ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: evilheart ที่ 04-07-2011 21:54:38
รันทดเกินไปแล้ว (http://i273.photobucket.com/albums/jj225/tangtang_jar/b5.gif)
สงสารนที คุณชายรีบมาช่วยด่วน
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: ต่ายน้อย ที่ 04-07-2011 22:11:27
อ๊ากกก อ่านแล้วโคตรเครียดอ่ะ ไอ้อิดสรณ์ แมร่งเลวสุดๆ
คุณชายรีบไปช่วยนทีด้วยน้า
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: K3n0 ที่ 04-07-2011 22:15:40
ไม่น้าาาาาา

ไอ้คุณอดิสรณ์ สันดานชั่ว!!!
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 04-07-2011 22:17:45
ถ้าคุณหญิงเป็นพระรองคงเชียร์ให้มาแทนคุณชายขาดใจ --+ 

เฮ้อ ...สงสารนทีจริง  คุณชายไม่มาช่วยซักทีเลยเริ่มลังเล  จริงอยู่ถึงอดิสรณ์จะมั่นคงกับนที แต่ก็ต้องอย่าลืมว่านั่นมันไม่ใช่รัก เพราะถ้ารักใครก็ไม่ควรทำให้คนที่รักต้องเจ็บช้ำ เพราะงั้นไม่ใช่ความรักหรอกนะ  ...ปากบอกรักแต่ลงมือทำร้าย ยังไงก็รับไม่ได้อยู่ดีคนแบบนี้

หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: IIMisssoMII ที่ 04-07-2011 23:03:00
ไม่กล้าอ่านต่อเลย
สงสารนที ตอนหน้าฉากนี้ตัดฉึบไปเลยนะคะ ได้โปรด  :sad4:

คุณชายมาเร็ว ๆ เข้า  :m31: ถึงจะสายไปหน่อยก้อยังดีกว่าไม่มานะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: lucifel ที่ 04-07-2011 23:09:00
อื้อนะ...   ดูๆไปอดิสรณ์ก็รักฝังใจกว่าคุณชาย  รักฝังลึก  ส่วนคุณชายได้แล้วถีบหัวส่ง  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: J_Dargon ที่ 04-07-2011 23:09:16
กรี๊ดดดดดด   ลุ้น ๆ คุณชายจะมาช่วยทันมั้ยยยอ่ะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: Non_stop ที่ 05-07-2011 00:22:16
 :m15: :m15:

สงสารนทีทำไมไอ้พ่อเลี้ยงมันชั่วอย่างงี้น่ะ

ตั้งแต่แรกแล้ว  คุณชายอย่ามัวแต่พะวงอยู่

นทีจะแย่อยู่แล้ว  :z3: :angry2:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: «ƤȑǃǹĉΞḠ○ḺҒ™» ที่ 05-07-2011 00:30:20
โฮฮฮฮฮ

สงสารนที...
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: A-J.seiya* ที่ 05-07-2011 00:47:18
ง่าาาา
ยังไงล่ะเนี่ย ,,
คุณชายรู้เรื่องแล้วนะ แค่มาช้านิดหน่อย
นทีใจเย็นๆนะ !!!!
เอาใจช่วย!
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 05-07-2011 03:21:43
พูดอีก ก็ถูกอีก  :impress3:
ถึงอดิสรณ์จะเลว  แต่มันก็จริงจังจริงใจ
แต่คุณชาย ถึงจะดีแสนดี  แต่ก็ทำตัวโลเล วางหัวใจไว้ไม่ได้พอๆกัน  :เฮ้อ:

สรุป  นที - ดาริกา ไปเลยดีไหม  :laugh: :laugh:


(อิบ้า  นี่มันนิยาย ช-ช เฟ้ย  :beat: )
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: myapril ที่ 05-07-2011 04:26:20
ต้องให้หนูน้ำมันตายก่อนใช่ไหมคะ  คุณชายถึงจะเสด็จมาช่วยได้
ช่วยทำอะไรให้มันเด็ดขาดรวดเร็วหน่อยเถอะ
ความรู้สึกช้าไปไหม
 :beat:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: pochu52 ที่ 05-07-2011 07:27:12
ชีวิตของนทีจะมีแย่กว่านี้อีกไหม โปรดส่งมาช่วยนทีที
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: SoN ที่ 05-07-2011 09:50:32
^^
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: คนริมคลอง ที่ 05-07-2011 10:01:20
อีตาคุณชายนี่ถ้าไม่ได้คุณหญิงดาช่วย คงมึนอึนอยู่อย่างนั้น
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 05-07-2011 12:19:33
แงงงงงงงงงงงง

สงสารน้องน้ำอ่า ไม่เอาไม่คิดแบบนั้นนะ ถึงคุณชายจะบื้อๆไปบ้าง แต่ก็มีใจให้น้าาาาา

อย่าทำร้ายตัวเองนะน้ำ แค่นี้คนอ่านก็น้ำตาซึมแล้ว
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 05-07-2011 14:23:47
คุณชายรู้แล้วก็รีบมาเข้าซี่ แต่ตำรวจมันจะไว้ใจได้เร๊อะ พี่คุณหญิงคงเชื่อได้ แต่ถ้ารั่วถึงหูพรรคพวกอดิสร...ไม่อยากจะคิด

 :z6:  :beat: สำหรับ อดิสร

น้องน้ำ  :o12: นายเอกคุณฟ้าม่วง มีชีวิตรันทดทุกเรื่องเลยมั้ยเนี่ย

+1 ให้สำหรับนิยายที่แสนบีบหัวใจอีกเรื่องคร๊าบบบ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: butterfly_bee ที่ 05-07-2011 14:40:18
 :o12: สงสารนทีสุด ชีวิตอาภัพสุดๆเลย T T
เห็นความเลวของพ่อเลี้ยงอดิสรณ์แบบนี้แล้ว มันเลวบริสุทธิ์จริงๆ
ทำเลวขนาดนั้นอย่าหวังความรักจากนทีเลยแก เลวมากกก  :angry2:
ขอให้คุณชาย คุณหญิง กับพี่คุณหญิงช่วยนทีกับปุยฝ้ายสำเร็จด้วยเถอะ สาธุ  :call:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: jojobuffy ที่ 05-07-2011 18:55:42
อ่า รู้สึกเหมือน ขุนช้าง ขุนแผน เลยยย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 05-07-2011 19:39:11
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: from_mars ที่ 05-07-2011 21:06:26
พระเอก ไ้ด้โปรดมาให้ทัน...อย่าให้นทีต้องเสียใจไปกว่านี้เลย..ได้โปรด...
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 07-07-2011 00:36:08
36

    “ไม่เคยอะไร!” เสียงของอดิสรณ์ปลุกนทีขึ้นมาจากความคิดของตัวเอง “ไม่เคยมีอะไรกับไอ้คุณชายนั่นรึ เธอยอมรับได้เต็มปากหรือไง!” นทีอึกอัก น้ำตาไหลอาบแก้มเถียงอดิสรณ์ไม่ออกสักคำ “นั่นไง เธอมันก็ร่าน! ไม่ต่างอะไรจากอีผู้หญิงโสเภณีตามข้างถนน ทั้งที่เธอมีฉันเป็นผัวอยู่แล้วทั้งคน”
    “คุณอดิสรณ์!” นทีตวาดลั่น จนเจ็บคอ คำด่าของอดิสรณ์บาดลงลึกไปในใจอย่างเดียวไม่พอ มือของชายคนนั้นก็ล้วงลึกลงไปในที่ที่เขาไม่เคยนึกอยากให้ใครมาสัมผัสสักครั้ง นทีน้ำตาเล็ดด้วยความเจ็บปวด
    “ในเมื่ออยากนัก ได้! ฉันจะจัดให้เธอสักดอก ให้มันรู้ว่าระหว่างฉันกับไอ้คุณชายผู้สูงส่งของเธอนั่น ใครมันจะลีลาดีกว่ากัน!” นทีสะดุ้งเฮือกเมื่ออดิสรณ์จู่โจมเข้ามารวดเร็วจนเขาแทบไม่มีเวลาทำใจ หนุ่มน้อยกัดริมฝีปากด้านในของตนด้วยความเจ็บแค้น จะร้องก็ร้องไม่ได้ นอนน้ำตาไหล นึกอยากละลายหายไปจากตรงนั้นเสียทีเดียว
     พออดิสรณ์โน้มตัวลงมาจูบเท่านั้น นทีก็กลั้นใจกัดลิ้นของอีกฝ่ายเต็มแรง ไม่แรงพอให้มันขาด เลือดกระฉูดอย่างในหนังแต่ก็แรงพอให้อดิสรณ์ร้องโวยขึ้น นทีรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายยันเท้าทั้งสองข้างเข้าที่ท้องน้องของอดิสรณ์ พลิกตัวหลุดจากพันธนาการ คว้าผ้าห่มพันร่างเพียงไม่ให้อุจาดตา แล้วเตรียมออกวิ่งหนีไปจากนรกขุมนี้ให้เร็วที่สุด
    แต่นทีคงช้าไป ไม่ก็ออกแรงน้อยไปทำให้อดิสรณ์หายเจ็บเร็วกระมัง หนุ่มใหญ่ คว้าแขนนทีได้ก็ต่อยเปรี้ยงเข้าที่หน้าจนนทีล้มลงไปกองกับพื้น
    “มึง! ไอ้อกตัญญู มึงกล้าทำกูหรือ มึงกล้าทำระยำกับกูขนาดนี้หรือ!” ชายร่างใหญ่ ตามไปที่ร่างอ่อนเปลี้ยบอบบางจะลากกลับมาขึ้นเตียง แต่หนุ่มน้อยก็รีบคลานหนีหัวซุกหัวซุน จนเมื่อลุกยืนได้ก็เตรียมจะวิ่งออกไปนอกห้อง อดิสรณ์จึงคว้าเสื้อไว้ กระชากหนุ่มน้อยข้ามห้องกลับไปที่เตียง โชคร้ายที่นทีสะดุดผ้าห่มที่คลุมตัวไว้อยู่ ล้มหัวฟาดโต๊ะร้องโอ๊ยขึ้นดังลั่น
    อดิสรณ์เห็นนทีลงไปกองอยู่กับพื้นก็วิ่งเข้ามาซ้ำ ระบายโทสะลงบนร่างบอบบางนั้น ราวกับไม่ใช่คนที่ตนรัก ทั้งเตะทั้งถีบจนนทีแทบจะตายแทบเท้าลงไปตรงนั้น ปากก็ตะโกนด่าไปด้วย
    “ไอ้เลว! มึงมันระยำตำบอน เลี้ยงเสียข้าวสุก ไม่รู้จักบุญคุณกู มึงกล้าทำกูรึ มึงกล้าดีรึ ไหนมึงลุกขึ้นมาสู้กับกูซิ มึงลุกขึ้นมาสิ! ถ้ามึงเก่งจริง มึงลุกขึ้นมา”
    นทีเจ็บระบมไปทั้งตัว สติสัมปชัญญะแทบจะหลุดลอยไปจากร่าง กระนั้นก็ยังพอมีแรงลืมตาขึ้นมองคนที่เขาเกลียดฝังใจ สาบานแลกอะไรก็ได้ให้ได้ล้างแค้นครั้งนี้ พ่อเลี้ยงของเขายืนอยู่คร่อมร่าง เห็นหน้าของนทีจ้องกลับมาก็เพิ่งรู้สำนึก เนื้อตัวของฝ่ายนั้นฟกช้ำไปหมด บอบช้ำเกินกว่าจะมีแรงไปทำอะไรอย่างอื่น
    อดิสรณ์กำลังจะอุ้มนทีขึ้นมาไว้บนเตียง พร้อมจะขอโทษที่ทำไปเกินกว่าเหตุเพราะฤทธิ์สุรา แต่นทีก็พึมพำอะไรออกมาสองสามคำ
    “คุณ... คุณชาย”
    ภาสกร ผมอยากให้คุณอยู่ตรงนี้ ผมอยากให้คุณมาช่วยผม คุณใจร้ายมานะ ที่ทิ้งผมไปได้แบบนี้ ทั้งๆที่ผม... ทั้งๆที่ผม รักคุณคนเดียวเท่านั้น
     นทีมั่นใจว่าตัวเองกำลังจะหมดลมหายใจแน่แล้ว จึงลืมตาขึ้นมองโลกครั้งสุดท้าย สายตามองแน่วไปที่ประตู... คาดหวังให้เจ้าชายขี่ม้าขาวมาช่วยเขาไว้ได้ทันเวลา คุณชาย... คุณชายมาแล้ว คุณชาย... หนุ่มน้อยคิดว่าสติตัวเองหลุดจากร่างไปแล้วเมื่อมองเห็นใบหน้าของคนที่ตนรักเหลือเกินยืนมองด้วยสายตาโกรธแค้นมาตรงนั้น... คุณชายไม่มีวันตามมาที่นี่ได้หรอก นี่ใกล้ตายจนเพ้อแล้วนทีเอ๋ย
    แต่เสียงหวาดหวั่นของอดิสรณ์ดังขึ้นปลุกเขาขึ้นมาจากภาวะไร้สติของตัวเอง ทันทีที่หลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง  เขาก็เห็น ภาสกรเดินเข้ามาช้าๆ
    ภาสกรไม่เคยมีแววตาโกรธจัด ขยะแขยง สมเพทเวทนารวมกันเอาไว้ในสองตาเพื่อใช้มองใครมาก่อนเท่าที่นทีเคยเห็น ตอนนี้แม้ภาสกรจะน่ากลัวสักเพียงใด แต่นทีก็มั่นใจ และอุ่นใจเหลือเกินว่าชายหนุ่มคนนี้คือคนที่จะปกป้อง ดูแลเขาได้ เป็นทั้งคนที่อ่อนหวาน และอ่อนโยนเมื่ออยู่กับเขาเพียงสองคน แต่ก็แข็งแกร่ง หนักแน่นพอที่จะไม่ให้มีอันตรายใดมาแผ้วพานเขา
    ชายหนุ่มตัวเปียกโชกเพราะสภาพอากาศข้างนอก หนาวจนตัวสั่น แต่ก็อุ่นในอกเมื่อเหลือบไปเห็นคนที่ตนรัก ขอเพียงเรื่องวุ่นวายนี้จบลงเท่านั้น นทีจะไม่มีวันได้อยู่ที่ไหนในโลกนอกจากในสายตาของเขาเท่านั้น มองไปทั่วตัวนทีก็เห็นว่าฝ่ายนั้นอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า นอนหายใจรวยรินอยู่กับพื้นอย่างน่าเวทนา ต่อให้อุ่นใจเพียงใดที่ได้เจอคนรัก ภาสกรก็ไม่หายโกรธแค้นอดิสรณ์ที่ทำให้นทีเป็นแบบนั้น ชายหนุ่มเดินตรงเข้ามา กระชากคอเสื้อดึงเอาอดิสรณ์เข้ามาติดอก
    “คุณอดิสรณ์ อย่ามายุ่งกับคนรักของผม!” ขาดคำภาสกรก็ต่อยหน้าชายฉกรรจ์นั้น จนล้มลงไปที่โต๊ะเดียวกับนทีนั้นเอง เจ้าชายที่ขี่ม้าขาวมาช่วยกำลังจะตรงเข้ามาประคองนทีลุกขึ้นพอดี แต่แล้วเหตุการณ์กลับพลิกผันให้ทุกอย่างเลวร้ายไปกว่าเดิมเมื่ออดิสรณ์คว้าปืนออกมาชี้ตรงแน่วตรงหน้าของภาสกร
    ปืนอยู่ในลิ้นชักโต๊ะนั้นเอง
    “แกมาได้ยังไง! นี่มันเกาะส่วนตัวของฉันแกกำลังบุกรุกพื้นที่ส่วนตัว ถ้าก้าวเข้ามาอีกก้าวเดียวสมองแกระเบิดแน่!”
    “ผมไม่กลัว ถ้าคุณอยากให้เสียงปืนดังไปถึงตำรวจที่อยู่ข้างล่างละก็เอาเลย คุณได้ข้อหาฆ่าคนโดยเจตนาเพิ่มไปอีกข้อหาแน่” ภาสกรพูดอย่างใจเย็นก้าวเข้ามาใกล้อดิสรณ์โดยไม่กลัวอันตรายอะไรทั้งสิ้น
    “อย่ามาขู่หน่อยเลย” อดิสรณ์ว่าเสียงหนักแน่นอย่างไม่กลัวอะไรทั้งนั้น หากแต่แววตาล่อกแล่กนั้นบ่งบอกได้ว่าเจ้าตัวชักไม่แน่ใจแล้วว่าที่อีกฝ่ายหนึ่งพูดมานั้นจริงหรือไม่ “ตำรวจจะมาที่นี่ได้อย่างไร นี่มันพื้นที่ส่วนตัว ถ้าตำรวจเข้ามาก็ถือว่าบุกรุกละ”
    “ไม่บุกรุก เพราะเขามีหมายจับ คุณฉุดคร่าคนรักของผมมาไว้ที่นี่ หลักฐานมัดตัวเป็นดีวีดีทั้งหมดที่คุณมีอยู่ในครอบครอง ในนั้นมีใบหน้าของคุณกระทำอุบาทว์เอาไว้กับนทีหลายฉากจนตำรวจต้องออกหมายจับคุณ”
    “แกตามมาเจอฉันได้อย่างไร!”
    “นทีเขียนจดหมายบอกผม คุณคงไม่รู้หรอกว่าเราสองคนรักกันมากถึงขั้นสื่อสารกันเข้าใจทุกอย่างโดยที่คุณไม่มีวันจับผิดได้เลย”
    อดิสรณ์โกรธจนเส้นเลือดปูดโปนขึ้นหน้า อยากจะฆ่าภาสกรให้ตายไปเดี๋ยวนี้ แต่ก็นึกหวั่นว่าหากภาสกรพาตำรวจมาด้วยจริงๆ เขาก็คงจะต้องติดคุกติดตะรางจนหัวโตไม่มีวันดิ้นได้เลย แม้จะใจชื้นอยู่บ้างว่า ตำรวจไม่ได้ติดตามภาสกรขึ้นมาถึงห้องนอนนี่ ทั้งที่ควรจะเป็นตำรวจมากกว่าภาสกรที่ขึ้นมาจับเขา จึงอุ่นใจได้อยู่บ้างว่าภาสกรคงไม่มีปัญญาลากตำรวจมาถึงนี่ได้จริงๆ ก็คงจะขู่ให้เขากลัวไปอย่างนั้นเฉยๆ กระมัง
    “แกก็แค่ขู่เท่านั้น จริงๆไม่มีตำรวจหรอกจริงไหมเล่า” อดิสรณ์ตวาดก้อง
    “ก็แล้วแต่ซี จะเชื่ออย่างนั้นก็ตามใจ ลดปืนลงเสียเถอะคุณอดิสรณ์ คุณทำอย่างนี้กับนทีไม่ได้ ถ้าเขาไม่เต็มใจมากับคุณ คุณก็ควรจะส่งเขาคืนให้เจ้าของเขาได้แล้ว” ภาสกรว่า “ผมเป็นเจ้าของของนที ทั้งตัวและหัวใจโดยไม่ต้องใช้วิธีบีบบังคับอย่างหน้าด้านๆ แบบที่คุณทำเลยคุณอดิสรณ์ ถ้าคุณคิดว่าตัวเองมีศักดิ์ศรีพอ ส่งนทีคืนมาให้ผม!”
    คำพูดของภาสกรแล่นเข้าหูของหนุ่มน้อยที่นอนหอบแทบหมดสติ กระนั้นคำพูดก็ผ่านซึมเข้าไปได้ถึงหัวใจ ความหนาวเหน็บเพราะร่างเปลือยเปล่าแทบจะเปลี่ยนเป็นความอบอุ่น ความเจ็บปวดตามบาดแผลแทบจะกลายเป็นสุขสบายสำหรับนที รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหนุ่มน้อยก่อนที่จะสะดุ้งสุดตัว
    สิ้นประโยคของภาสกร อดิสรณ์ก็ลั่นปืน
   ปัง!
    กระสุนพุ่งเข้าถูกกลางลำตัวของคุณชายหนุ่มพอดิบพอดีจนตัวงอ กระเด็นไปด้านหลังสุดแรงจนล้มลง กระนั้นเสียงร้องเดียวที่ดังผ่านปากหม่อมราชวงศ์หนุ่มคือเสียงร้อง “โอ๊ะ” เบาๆ ก่อนที่นที จะร้องออกมาด้วยความตกใจ ดังก้องในความคิดของตัวเอง แต่ความเป็นจริงกลับเบาไม่ต่างจากเสียงกระซิบ
    “คุณชาย!”
    ฉับพลัน เสียงปืนก็ลั่นขึ้นอีกสองครั้ง ทีแรกนทีคิดว่าอดิสรณ์ยิง
ภาสกรซ้ำให้แน่ใจว่าคุณชายหนุ่มตายลงกับที่จริงๆ แต่ภาพที่เห็นคืออดิสรณ์ผงะถอยหลังมือซ้ายกุมแขนขวาเปล่าเปลือยที่ถูกเจาะเป็นรูสีแดงสด เลือดสาดกระจายน่ากลัวอย่างกับในหนัง ปืนของตัวเองกระเด็นหายไปจากมือแล้วจะยิงสวนกลับไปเพื่อป้องกันตัวเองก็ไม่ได้ 
    พอก้มลงเห็นเลือดสีแดงฉาน อดิสรณ์ก็ล้มลงไปกองกับพื้นแทบจะทันที
    เสียงฝีเท้าดังโครมคราม เสียงคนโวยวายโหวกเหวกดังก้องไปหมดทั้งห้อง แต่นทีไม่รู้ว่าใครเป็นใครแล้ว รู้แต่ภาสกรตายไปเขาก็ไม่อยากอยู่อีก เด็กหนุ่มนอนหลับตากับพื้นห้อง น้ำตาไหลเป็นทางไม่มีแรงแม้แต่จะสะอื้นร้อง ปล่อยให้น้ำใสๆ ไหลมาอาบหน้าท่านั้น
    กระทั่ง สองมือแข็งแกร่งคว้าเข้ากับต้นแขนของเขา ล้วงลงไปที่หลังกอดร่างเปื้อนเลือดไว้กับอกด้วยความรักใคร่ทะนุถนอม ริมฝีปากอุ่นประทับลงกลางกระหม่อม กระซิบเบาๆว่า
    “ไม่เป็นไรนะนที ไม่เป็นไรนะครับ”
    “คุณชาย...” นทีกระซิบตอบเสียงแห้งเท่าที่แรงของเขาจะอนุญาต พยายามจะลืมตาขึ้นมองแต่ก็บาดเจ็บเกินกว่าจะทำอะไรได้นอกจากนอนนิ่งในอ้อมกอดของชายที่เขารักหมดใจเท่านั้น ไม่อยากเชื่อว่าคุณชายถูกยิงเข้ากลางท้องอย่างนั้นแต่กลับไม่เป็นอะไรเลย
    “ตำรวจมาแล้วครับ จับคุณอดิสรณ์ไปแล้ว นทีไม่ต้องกลัวนะ ผมมาช่วยนทีแล้วคราวนี้ผมจะไม่มีวันปล่อยนทีไปไหนอีกแล้ว” ภาสกรกอดร่างบางไว้แนบอกพักหนึ่งแล้วก็อุ้มหนุ่มน้อยขึ้นวางอย่างทะนุถนอมบนเตียง ห่มผ้าห่มให้กับนทีก่อนจะหันไปคุยกับใครสักคนที่นทีไม่รู้เป็นใคร ได้ยินแต่เสียงก็ไม่คุ้นสักนิดว่าเป็นเสียงใคร “คุณชายเต้ ขอบคุณมากครับ”
    “ไม่เป็นไรหรอก” เสียงห้าวตอบกลับมา “คุณเล่าเจ็บหรือเปล่า นาย
อดิสรณ์ยิงเข้ากลางท้องพอดี”
    “เกราะกันกระสุนของคุณชายได้ผลดีครับแม้จะจุกอยู่บ้างก็ตามตอนแรกแต่หายแล้วล่ะครับ” ภาสกรว่า “คุณชายว่า อดิสรณ์จะมีสิทธิ์รอดตัวไปไหมครับ”
    “ไม่มีทางครับคุณชาย ฉุดคร่า ข่มขืน พยายามฆ่า ค้าอาวุธ และยาเสพติด นายคนนี้ไม่มีวันได้เห็นโลกอีกนอกจากเห็นผนังคุกเท่านั้นละคุณ” คนที่ชื่อคุณชายเต้ตอบขรึมๆ “คุณดูแลคนเจ็บเถอะ ผมจะคุมตัวนายอดิสรณ์ไปเอง ปฐมพยาบาลให้คนเจ็บแล้ว นรัตถพลคงรอคุณอยู่ด้านล่าง”
    เสียงฝีเท้าดัง ตึก ตึก ตึก ห่างไกลออกไป นทีตระหนักว่าเขาอยู่ในห้องตามลำพังกับภาสกร แต่นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่เขาจำได้ เพราะสติสัมปชัญญะของเขาหลุดลอยออกไปจากร่างเสียแล้ว ด้วยความที่ทั้งเจ็บ ทั้งช็อกกับหลายๆอย่าง นทีสลบไปและไม่ฟื้นอีกเลยกระทั่งถึงเมืองภูเก็ต

    ชายหนุ่มลืมตาขึ้น ก็พบว่าตัวเองอยู่ในรถที่กำลังแล่นอยู่คันหนึ่ง เสื้อผ้าอยู่ติดร่างครบทุกชิ้น ศีรษะพิงอยู่บนไหล่กว้างของคุณชายภาสกร พอได้สติก็รีบลุกขึ้นนั่งตรงลูบจุดที่เจ็บที่สุดบนร่างของตนก็พบว่า ศีรษะที่แตกนั้นปิดไว้ด้วยผ้าพันแผลแล้วเรียบร้อย นอกนั้นตามเนื้อตัวก็เพียงแต่ช้ำเพราะถูกซ้อมเท่านั้นเอง กระดูกกระเดี้ยวไม่ได้แตกหักไปอย่างที่กลัวไว้แต่แรก
    “ตื่นแล้วหรือ” ภาสกรว่าเมื่อนทียกหัวที่พาดอยู่บนตัวเขาออก หนุ่มน้อยกำลังจะขืนตัวออกจากภาสกรก็พบว่ามือของฝ่ายนั้นกุมอยู่บนไหล่ของเขากระชับแน่นไว้กับตัวไม่ยอมปล่อย... ภาสกรไม่เคยแสดงออกซึ่งความรักกับเขามากเท่านี้มาก่อนเลย นทีไม่รู้ตัวว่าหน้าแดงเพราะเขินอาย จึงไม่ได้จมอยู่กับอารมณ์หวานนานนัก เมื่อนึกไปถึงส่วนหนึ่งของร่างที่เจ็บเหลือประมาณ
    ตอนนอนเจ็บกองอยู่ที่พื้นนั้นเขาสัมผัสได้เลยว่ามีเลือดไหลออกมามากอยู่พอควร มันคงจะฉีกขาดไปแล้วด้วยน้ำมือของอดิสรณ์ หากแต่ตอนนี้แม้จะเจ็บมากอยู่ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีเลือดไหลเปียกอยู่แต่อย่างใด ภาสกรคงจะเช็ดเลือดให้เขาแล้ว... จะเห็นไปถึงไหน สัมผัสไปถึงไหนก็ไม่รู้
    “คุณชาย อย่ามาใกล้ผมเลยครับ ผมถูกทำเสียขนาดนั้นคุณชายก็เห็น อย่าเข้ามาใกล้ชิดกับผมเลย” นทีกลั้นใจพูด เสียงแหบพร่าเบาจนแทบฟังไม่ได้ยิน “ร่างกายของผมถูกกระทำราวกับไม่ใช่คน ผมไม่เหลืออะไรที่น่าภิรมย์อีกแล้ว คุณชายปล่อยผมเถอะนะครับ”
    “ยิ่งเห็นก็ยิ่งอยากปกป้อง อยากดูแล” เขาว่า “ใครจะทำให้นทีเจ็บผมไม่รู้ แต่แผลของนที ผมต้องเป็นคนรักษาเท่านั้น”
    “ครับ รู้ครับว่ารักกันมาก แต่ยังมีพวกเราอยู่ตรงนี้นะครับ จึงเรียนมาเพื่อทราบ” เสียงชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นมาจากข้างหน้า นทีจึงเพิ่งจะรู้สึกว่าตนไม่ได้อยู่บนรถกับภาสกรเพียงสองคน มองไปเบื้องหน้าก็เห็นว่ามีทั้งดาริกาและชายหนุ่มอีกคนนั่งเป็นคนขับอยู่ มีปุยฝ้ายหลับไม่รู้เรื่องอยู่ด้านหลัง
    “ไอ้ฝ้ายเป็นอย่างไรบ้างครับ”
    “ปลอดภัยดีทุกอย่างค่ะ คุณชายไปช่วยคุณฝ้ายก่อนคนแรกทันทีที่ถึงเกาะ ตอนนั้นนะคะพวกลูกน้องของนายอดิสรณ์แทบจะเข้ามารุมทึ้งเราทีเดียว แต่พอเห็นตำรวจก็หน้าถอดสี วิ่งหนีกันหัวซุกหัวซุน โชคดีที่พี่ชายเต้เอากำลังมาแทบจะหมดทั้งกองเลยตามจับมาได้ครบ บีบคั้นความจริงมาว่าคนที่ถูกลักมาอยู่ไหนก็เลยรู้ว่าน้องฝ้ายอยู่ที่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากที่ที่น้องน้ำอยู่ก็เลยเข้าไปช่วยไว้ทัน จากนั้นคุณชายก็ตกลังกับตำรวจว่าจะเข้าไปช่วยน้องน้ำเอง ถ้าท่าไม่ดีเมื่อไหร่ตำรวจคอยเข้าไปช่วยเขาอีกแรง” ดาริกาอธิบาย “น้องน้ำไม่ต้องกลัวอะไรแล้วนะคะ คุณอดิสรณ์ถูกจับไปแล้ว และคุณชายก็จะไม่มีวันปล่อยให้ใครมาทำร้ายน้องน้ำอีกแน่ค่ะ”
    นทียิ้มให้หญิงสาว น่าแปลกเขาเคยคิดว่าผู้หญิงคนนี้จะมาแย่งภาสกรไปจากเขา แต่ตอนนี้หล่อนยิ้มให้เขาอย่างให้กำลังใจ แถมพูดสนับสนุนเขากับคุณชายอีกต่างหาก นทีซึ้งใจจนน้ำตาคลอ
    “ขอบคุณคุณหญิงมากครับ”
    “ค่ะ ขอบคุณพี่ชายรัตเถอะน้องน้ำ คนนี้เป็นคนหาตั๋วเครื่องบิน บินด่วนมาภูเก็ต สืบหาเกาะลับอะไรของคุณอดิสรณ์มาได้ รวมถึงขับเรือไปส่งคุณชายถึงที่เกาะด้วยค่ะ พี่หญิงรออยู่ที่ท่าเรือที่ภูเก็ตอย่างเดียว ส่งใจไปช่วยทางเดียวเท่านั้นพี่รัดไม่อนุญาตให้ตามไปถึงที่เกาะ” ดาริกาว่า
    “ขอบคุณมากครับ คุณชาย” นทีประนมมือไหว้อย่างงดงาม สรุปเอาเองว่าถ้าดาริกานับชายคนนี้เป็นพี่ก็ย่อมเป็นหม่อมราชวงศ์เหมือนกัน “ไม่รู้จักกันแท้ๆ”
    “จ้ะ ไม่เป็นไรหรอก คนดีถูกคนชั่วรังควานยังไงก็ต้องมีใครช่วย จะรู้จัก
ไม่รู้จักไม่รู้ แต่รู้จากปากใครหลายๆคนว่าน้องเป็นคนน่ารักนิสัยดีที่หนึ่งก็ต้องยื่นมือมาช่วย” นรัตถพลว่ามองหน้านทีผ่านกระจกมองหลัง “คุณชายภาส จะลงที่ไหนดี”
    “คุณชายกรุณาส่งผมที่สถานทีรถทัวร์เถอะครับ ผมจะหาทางกลับบ้านเอง” นทีเอ่ยขึ้นเสียงอ่อนๆ คิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องแยกกับภาสกรในเมื่ออีกฝ่ายมาช่วยเพราะเขาขอ ช่วยแล้วก็ควรแยกย้ายกันไป คงเพราะสงสารคุณชายถึงพูดจาอะไรอย่างเมื่อสองสามประโยคก่อนๆ แต่พอถึงเวลาคุณชายก็คงจะต้องทิ้งเขาไปอยู่ดีในเมื่อคุณชาย... ไม่ได้ชอบผู้ชายนี่นะ
    “เหลวไหลน่านที” ภาสกรว่า “ผมปล่อยคุณหลุดมือไปสองครั้งแล้วนะ ถ้าครั้งนี้จะเป็นครั้งที่สามผมคงเป็นคนโง่ที่สุดในโลก ที่นอกจากจะไม่มีปัญญาเข้าใจหัวใจตัวเองแล้ว ยังจะโยนเพชรน้ำหนึ่งทิ้งไปอย่างง่ายดายอีก”
    นทีหน้าแดงซ่านด้วยความเขินอาย นี่คุณชายเมาหรืออย่างไรทำไมพูดอย่างนี้ เห็นนทีหน้าแดงไม่ว่าอะไรภาสกรก็เลยหันไปตอบนรัตถพลว่า
    “ผมรบกวนพี่ชายรัตส่งผมที่โรงแรมที่ไหนก็ได้ที่ใกล้ที่สุดแล้วกันครับ นทีกำลังเจ็บมาก เดินทางกลับกรุงเทพคืนนี้เลยคงไม่ไหว”
    คุณหญิงดาริกาเอ่ยเสียงใสแย้งในทันที
    “ไปนอนโรงแรมทำไมคะ ไปนอนบ้านหญิงดีกว่า ซื้อทิ้งไว้เฉยๆไม่เคยได้ไปนอนเลย หญิงจะทิ้งกุญแจไว้ที่คุณชายแล้วกันนะคะ กลับกรุงเทพเมื่อไหร่ค่อยเอาไปคืน” ภาสกรกำลังจะปฏิเสธ แต่หญิงสาวก็ชิงพูดดักคอไว้อีก “ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ หญิงกับพี่ชายรัตจองตั๋วเครื่องบินกลับกรุงเทพไว้แล้ว ไม่รู้ทำไมลืมจองเผื่อคุณชายกับน้องน้ำ อยู่ภูเก็ตไปก่อนล่ะค่ะดีแล้วกลับไหวเมื่อไหร่ก็ค่อยกลับ”
    นทีอ้าปากเตรียมบอกว่าเกรงใจอีกฝ่าย  นรัตพลคงรำคาญก็เลยเป็นฝ่ายพูดเสียเองเลยว่า “อย่าเถียงนะ ถ้าคิดว่าเป็นข้อเสนอแล้วไม่ยอมทำตามละก็ พี่จะถือว่านี่คือคำสั่ง ถ้าคิดจะขัดคำสั่ง พี่จะฟ้องท่านชายเรืองเดชทันทีที่เจอพักตร์เลยทีเดียว” สิ้นเสียงคุณชายนรัตถพลก็ถือว่าสิ้นบทสนทนาในคืนที่แสนเหน็ดเหนื่อยและตื่นเต้นนี้แล้ว เท่ากับว่านทีเองก็ต้องจำยอมหมดซึ่งคำโต้แย้งใดๆด้วย
    หันหน้าไปมองภาสกรก็พบว่าคุณชายกำลังยิ้มให้เขาอยู่
    รอยยิ้มของคุณชายยังเหมือนเดิม คือเรียบๆ แต่อ่อนหวาน ดวงตาแฝงไปด้วยความรู้สึกมากมายที่เมื่อก่อนนทีต้องเพ่งผ่านหมอกมัวแห่งความลังเลสงสัยในแววตาเพื่อให้เห็น... แต่บัดนี้ความรู้สึกของคุณชายช่างชัดเจนเหลือเกิน
    ภาสกรบรรจงวางร่างบอบบาง และบอบช้ำทั้งกายใจลงบนเตียงสี่เสากลางห้องนอนในบ้านพักของดาริกา ชายหนุ่มค่อยๆดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างบางข้างๆ ช้าๆแผ่วเบา ลืมตามองคนรักของเขาข้างกายใจสั่นระรัวไม่คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นจริง อีกฝ่ายก็เหนื่อยและบอบช้ำเกินกว่าจะคิดเล็กคิดน้อยจึงปล่อยเลยตามเลยหายใจลึกๆอย่างสงบอยู่ข้างๆ
    “เจ็บไหมนที” เสียงของเขาอ่อนโยน อ่อนโยนกว่าครั้งใดที่นทีเคยได้ยินจากชายหนุ่ม เขาลูบผมของหนุ่มน้อยที่เพิ่งเช็ดให้จนแห้งดีเบาๆ แล้วเลยมาที่แก้มขาวเนียนลูบไล้อยู่นานสองนาน นทีพยักหน้าช้าๆ แทนคำตอบแล้วบอกว่า
    “ผมหนาว”
    ร่างหนากว่าจึงดึงร่างเล็กเข้าไปกอดไว้แนบอก หลับตาพริ้มอย่างมีความสุขเกินจะบรรยาย ซุกใบหน้าคมสันของตนเข้ากับผมนุ่มละเอียด หอมกรุ่นกลิ่นแชมพูของนที 
    “คุณชาย ทำอย่างนี้ทำไม... เรื่องของเรา...”
    “หายหนาวแล้วหรือยัง” ภาสกรถามขัดขึ้นเบาๆที่ข้างหู หนุ่มน้อยก็พยักหน้าอย่างเขินอาย จากนั้นคุณชายหนุ่มก็กระชับอ้อมกอดให้แน่นเข้าก่อนที่จะกระซิบบอกคนรักอีกครั้ง เป็นประโยคสุดท้ายของคืนนั้นว่า “หลับเสียเถอะนะ เรื่องของเรา... ไว้พรุ่งนี้ค่อยตื่นมาคุยกัน”
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 07-07-2011 00:59:24
ให้ความรู้สึกเหมือนเรื่องจริงอิงนิยาย  นิยายส่วนใหญ่ (เน้นว่าส่วนใหญ่) พระเอกจะมาทัน
สำหรับกรณีนี้ต้องถือว่าไม่ทัน  เพราะโดนไปแล้ว  ยังงัยพ่อเลี้ยงก็คงไม่ฆ่า
ตั้งใจแค่จะกระทำชำเราอยู่แล้ว  เฮ้อออ  อ่านไปก็เผลอกลั้นหายใจไปด้วย  เหนื่อยเลย
กลับไปนี่ก็ต้องไปรบกับหม่อมแม่  และยัยนางเอกละครนั่นอีก  โฮ้ยยยยย  แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว
+1
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 07-07-2011 10:57:23
น้องน้ำน่าสงสารมากค่ะ ดีที่คุณชายมาช่วย ตอนนี้อ่านหลายรอบเพราะคุณชายบอกรักน้องน้ำแล้ว   
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: fffx ที่ 07-07-2011 12:33:50
ลืมเปลี่ยนวันอัพเดทรึเปล่าคะ อิอิ
โอ้ยยย ในที่สุดคนเลวก็โดนจับไปซักทีค่อยยังชั่ว
ส่วนเรื่องอื่นๆคงต้องรอวันพรุ่งนี้อย่างที่คุณชายบอก
น้องน้ำหายเร็วๆน๊าาาาาา
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: lee-jeans ที่ 07-07-2011 20:06:42
ตัวละครโปรดในนิยายเรื่องนี้คือ คุณชาย ค่ะ o13
ถึงจะดูไม่มั่นใจและบื้อๆในความรัก แต่ก็อภัยให้ได้เพระาความน่ารักของคุณชาย

ตอนแรกนึกว่าคุณชายจะเป็นพวกมากประสบการณ์ เพลย์บอยตัวพ่อ อะไรประมาณนี้นะคะ
ที่ไหนได้ พอเจอน้องน้ำแล้ว เหมือนปั๊ปปี้เลิฟซะงั้น เหมือนหนุ่มน้อยพบรักครั้งแรกยังไงยังงั้นเลย อิอิ
อีกอย่างที่ชอบคือ เวลาคุณชายพูดจีบน้องน้ำ ดูเป็นจีบแบบฉบับผู้ดี น่ารักมากกก555

ในที่สุดก็มาช่วยทันนะคะ รู้อยู่แล้วว่าคุณชายต้องมาช่วยทัน
อดิสรณ์ก็น่าสงสารนะคะ เค้ารักน้องน้ำจิง เพียงแต่รักแบบไม่ถูกต้อง
ชอบมุมมองนี้มากเลยค่ะ...
v
v
อดิสรณ์ที่ดูเหมือนเลวร้าย แต่ก็ไม่คิดจะทิ้งเขาสักครั้ง
    หรือภาสกรที่มาแบบผู้ดี สุดท้ายได้เขาแล้วก็ตั้งใจจะทิ้ง

พอเห็นก็ เออจิงว่ะ...
คุณชายเล่นไปทำร้ายจิตใจน้องเค้าซะขนาดนั้น น้องคิดงี้ก็ไม่แปลกค่ะ -_-"
ชื่นชมอดิสรณ์ตรงที่เป็นพวกซื่อสัตย์กับความรัก
รักระหว่างพ่อเลี้ยง-ลูก มันร้ายแรงกว่าเคสของคุณชายเยอะเลย
คุณชายแค่รับไม่ได้กับการที่ตัวเองจะเป็นเกย์ ก็ทิ้งน้องซะแล้ว


“ใครจะทำให้นทีเจ็บผมไม่รู้ แต่แผลของนที ผมต้องเป็นคนรักษาเท่านั้น”
คำพูดนี้กินใจมากค่ะ คุณชายน่ารักมากกกกก เป็นแฟนคลับคุณชายนะคะ o13
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 07-07-2011 20:26:36
สงสารนที ฮืออออออ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 07-07-2011 23:43:31
ในที่สุด ในที่สุด

55555555

คุณชายเริ่มเปิดเผย อิอิ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: ● MaYa~Boy ● ที่ 07-07-2011 23:46:37
ดีนะเนี่ย ที่คุณชายมาช่วยไว้ได้ทัน
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 08-07-2011 21:41:43
แอบลุ้นตาม นึกว่านทีจะต้องช้ำในตายซะก่อน ที่คุณชายจะไปช่วยทันซะแล้ว
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กกะโปโล ที่ 10-07-2011 22:53:02
    “ยิ่งเห็นก็ยิ่งอยากปกป้อง อยากดูแล” เขาว่า “ใครจะทำให้นทีเจ็บผมไม่รู้ แต่แผลของนที ผมต้องเป็นคนรักษาเท่านั้น”
เอาใจคนอ่านไปเลยฮะคุณชาย :give2:

อ่านรวบยอดมา3ตอน อยากจะบอกว่า

"ทำไมคุณชายถึงบื้อขนาดนี้---!!!! :o211:"
ไม่คิดจะเอะใจอะไรบ้างเลยใช่ไหมเนี่ย คุณหญิงดาริกาหัวไวกว่าตั้งหลายเท่า
ถ้าคุณหญิงดาริกาเป็นผู้ชายนะจะเชียร์สุดใจให้เป็นพระเอกแทนเลย (ว่าแต่คุณหญิงชอบดูโคนันรึเปล่าเนี่ย o17)
เรื่องนี้ถ้าขาดคุณหญิงดาริกาไปเนี่ย ป่านนี้คุณชายกะนทีคงไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้วหล่ะ

ลุ้นมากๆช่วงที่คุณชายมาช่วยนที(ถึงจะช้าไปหน่อยก็เถอะนะ ^^") โชคดีที่ใส่เสื้อกันกระสุนไว้นะคุณชาย
ไอ้อดิสรณ์เข้าคุกไปจนได้ ตัวร้ายหมดไปอีกหนึ่งตัว(แต่ยังเหลืออีกให้รึ่ม :try2:)

นทีกับคุณชายได้รักกันซะที แต่ยังมีมาม่ารอต้มอีกหลายถ้วยเหมือนกัน = ="
+1ให้คนเขียนนะคร้าบ~ ขอบคุณสำหรับนิยายนะฮะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: Non_stop ที่ 10-07-2011 23:31:59
 :impress3: :impress3:

คุณชายค่ะจะดีๆแบบนี้ได้ที่ไหน

สงสารนทีได้อีก สู้ต่อไปน่ะค่ะ

ความรักจะชนะทุกอย่างจริงๆรึเปล่า

ต้องให้กำลังใจทั้งสองคนจริง  :กอด1: :L1:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 11-07-2011 04:38:49
ต่อไปนี้ ด่านใหญ่ที่สุด คงจะเป็นครอบครัวคุณชาย :เฮ้อ:

ยัยดารานั่น คิดว่าไม่น่าวิตกเท่าไรนะ  เพราะชีก็มีจุดอ่อนตรงที่ความเน่าเฟะของชีอยู่เหมือนกัน ซึ่งถ้าคุณชายเปิดขึ้นมาเมื่อไหร่ หม่อมแม่คงไม่คิดจะเผาผียัยนี่เลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 11-07-2011 21:01:22
37

     พอแสงแรกแห่งอรุณรุ่งฉายพาดมาบนดวงหน้าเรียบเนียนคมสันของภาสกร ชายหนุ่มก็ลืมตาขึ้นสู้แสงช้าๆ ก่อนจะพบว่าข้างกายมีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น ใจหนึ่งเป็นกังวลไปว่านทีคงทิ้งเขาไปเสียแล้ว จะด้วยไม่แน่ใจว่าเขายังโลเลไม่รู้ใจตัวเองอยู่หรือไม่ หรือว่ายังกังวลเรื่องท่านพ่อ หม่อมแม่ของเขาอยู่ภาสกรก็สุดจะเดา แต่อีกใจหนึ่งชายหนุ่มก็มั่นใจว่าเมื่อคืนนี้เขาได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเขายอมตายแทนหนุ่มน้อยได้ ฝ่ายนั้นคงไม่ใจร้ายพอจะทิ้งเขาไปไหนหรอก
    พอเปิดประตูห้องออกมา ภาสกรก็เดินผ่านห้องนั่งเล่นเห็นเคาน์เตอร์ครัวทางซ้าย เลยลึกเข้าไปเป็นโต๊ะกินข้าว เมื่อคืนนี้เขาไม่ทันเห็นความสวยงามของบ้านหลังนี้ เพราไม่ได้เปิดไฟดูอะไร เพียงแต่เข้าบ้านมาก็พานทีเข้านอนเลย แต่แม้ตอนนี้จะเป็นเวลากลางวันสว่างจนเห็นทุกอย่างแน่แล้วเขาก็ไม่สนใจเครื่องรือนสวยงามราคาแพงของคุณหญิงดาริกานัก เพราะทางขวาของเขานั้นเป็นร่างของหนุ่มน้อยคนหนึ่งที่เขาเพิ่งรู้ตัวว่ารักหมดใจมานานแสนนานแล้ว ร่างนั้นเองที่ดึงดูดทั้งสายตา และความสนใจไปจากเขาจนหมดไม่เหลือไว้สนบรรยากาศรอบข้างเลย
    นทียืนอยู่บนระเบียงบ้านชั้นเดียวที่อยู่บนเขาสูงในอำเภอเมืองภูเก็ตนี้ มองออกไปยังเนินเขาเขียวสลับซับซ้อนตลอดไปจนตัวเมืองและชายหาดที่บัดนี้มีเพียงคลื่นลูกน้อยๆซัดเข้าฝั่งเท่านั้น ราวกับว่าพายุเมื่อคืนที่พัดที่เกาะของอดิสรณ์ และกระหน่ำซัดในใจของเขานั้นได้สงบหายไปพร้อมกับการติดคุกของชายชั่วแล้ว
    หนุ่มน้อยยืนหันหลังให้เขา จึงไม่รู้ตัวเมื่อภาสกรเดินตามออกไปถึงระเบียงสวมกอดที่เอวบางอ้อนแอ้นจากด้านหลัง ก่อนจะก้มลงจูบที่ซอกคอของหนุ่มน้อยคนรักของเขาเบาๆ
    “อรุณสวัสดิ์ครับนที” ภาสกรกระซิบข้างหู พบว่าหนุ่มน้อยเพียงสะดุ้งด้วยความตกใจชั่วขณะแรกเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้คิดปัดป้อง หรือต่อต้านสัมผัสของเขาแต่อย่างใด คุณชายหนุ่มจึงกระชับอ้อมกอดแน่นเข้า แนบหน้าลงข้างๆหนุ่มน้อย
    “คุณชายตื่นเร็วจัง”
    “ครับ” เขารับคำ “พลิกตัวมาหาคนรักไม่เจอ เลยต้องรีบออกมาตามกลับไปนอนด้วยกัน”
    นทีตัวสั่นน้อยๆ ขนลุกจนภาสกรสัมผัสได้ ไม่รู้ว่าที่ขนลุกนี้หนาวเพราะลมที่พัดมาหรือเพราะว่าเขินคำหวานของเขากันแน่ หนุ่มน้อยตอบเบาๆว่า
    “ใครเป็นคนรักคุณชายกันครับ”
    เจ้าแง่แม่งอนเสียด้วย!
    “นทีไงครับ” เขาว่าซุกจมูกเข้ากับแก้มขาวเนียน สิ่งนี้แหละ ช่วงเวลานี้ บรรยากาศนี้ การกระทำอย่างนี้แหละที่เขาต้องการมาตลอดชีวิต... กับหนุ่มน้อยคนนี้ ไม่ใช่ทิฆัมพร ไม่ใช่ดาริกา หรือใครก็ตาม
    หนุ่มน้อยแทบจะดิ้นออกจากอ้อมกอด แต่ก็ไม่อยากทำลายบรรยากาศจึงปล่อยให้ภาสกรยืนกอดอยู่อย่างนั้น
    “คุณชายบอกว่าคุณชายไม่ได้ชอบผู้ชาย...”
     “ครับ ผมไม่ได้ชอบผู้ชาย แต่ผมรักนที” เขาว่าเสียงแผ่วเบา อ่อนโยนจนทำให้นทีรู้สึกราวกับมีผีเสื้อนับร้อยมาพร้อมใจกันกระพือปีกข้างในตัวเขา “นทีเป็นคนเดียวในโลกเลยนะ ที่ทำให้ผมรู้สึกแบบนี้ได้”
    ภาสกรโยกตัวช้าๆอย่างรักใคร่ นทีก็พลอยเคลิ้มไปด้วยจนปล่อยให้คุณชายกอดอยู่อย่างนั้น ไม่ได้ขัดขืนอย่างที่ตั้งใจไว้เมื่อแรกตื่นนอนว่า จะปฏิเสธทุกอย่างไม่ว่าคุณชายจะพูดอะไรอย่างไร เพราะแน่ใจเหลือเกินว่าคุณชายภาสกรคงไม่ได้รักอะไรเขา คงจะเผลอใจไปอย่างคนโลเลไม่รู้ใจตัวเองเหมือนเดิม
    แต่พอมาได้ยินเสียงที่แสนจะอ่อนโยนแต่หนักแน่นนี้ นทีก็แพ้เสียราบคาบ
    “ผมรักนทีมาตลอด ตั้งแต่อยู่ที่โรงพยาบาลจนนทีหนีผมไปครั้งแรก ตอนนั้นผมกินไม่ได้นอนไม่หลับ คิดถึงแต่นทีแล้วก็ไม่รู้เลยว่าความรู้สึกนี้คืออะไร พอเทียวไปเทียวมาตื๊ออยู่นั่นแหละ จนเราใกล้ชิดกันจนไปที่นครนายกผมถึงรู้สึกอย่างแรงกล้าว่า ผมอยากจะเป็นคนเดียวที่อยู่ข้างๆนทีตลอดเวลา รัก ทะนุถนอม คอยดูแล เป็นห่วงเป็นใย จนคืนนั้น... คืนแรกของเรา รู้ไหมว่าผมมีความสุขที่สุดตั้งแต่เกิดมาไม่เคยสุขเท่านั้นมาก่อน
    แต่ผมก็ยังลังเล ไม่เข้าใจตัวเอง เพราะผมโตมาไม่ต่างจากผู้ชายคนอื่นๆทั่วไป ผมคิดแต่ว่าสักวันผมต้องรักผู้หญิงสักคน แล้วก็แต่งงานมีลูก จนคุณนั่น
แหละมาทำให้แผนชีวิตของผมพังไปเลย จะกลับไปใช้แผนเดิมก็ไม่ได้ จะใช้ชีวิตแบบไหนก็ไม่ได้ถ้าไม่มีคุณ”
    “คุณชายไปหัดพูดแบบนี้มาจากไหน” นทีเบี่ยงตัวออกจนได้ เดินหนีไปแทบสุดปลายระเบียงจนภาสกรต้องอมยิ้มแล้วเดินตามไป ยืนเท้าระเบียงจ้องออกไปยังผืนน้ำกว้างไกลสุดสายตา “ทั้งที่เป็นฝ่ายทิ้งผมไปแท้ๆ”
    “ผมคิดถึงคุณตลอดเลยนะนที” ภาสกรแก้ตัว “ตั้งแต่กลับจากนครนายก ผมไปหาคุณที่หอคุณฝ้ายคุณก็หายไป ผมตามหาอยู่นานก็ไม่เจอ จนร้องไห้น้ำตาแทบหมดร่างแล้ว ผมถึงจะรู้ตัวว่า ผมรักคุณนั่นเอง”
    นทีแสร้งทำเสยผมที่เริ่มจะยาวรุงรังเกินไปแล้วออกให้ผมไปจากหน้า เผยให้เห็นดวงตาที่เริ่มแดงรื้นไปด้วยน้ำตา
    “คุณชายจะรักผมได้ยังไง... คุณชายไม่ได้เป็นเกย์ไม่ใช่หรือ”
    “ผมไม่ได้เป็นเกย์เพราะผมไม่ได้รักผู้ชายทุกคนในชีวิตผม แต่ผมรักคุณคนเดียวเท่านั้น... นทีทำให้ผมรู้จักโลกใบหนึ่งที่แสนสวยงาม ที่เรียกว่าโลกแห่งความรัก บนโลกนั้นมีเราอยู่แค่สองคน ใครคนอื่นไม่ว่าใครก็ตามไม่มีตัวตนบนโลกนั้นเลยสำหรับผม...”
     “แต่คุณก็ผลักไสผมไปให้คุณอดิสรณ์”   
    “เพราะผมคิดว่ายังไงพ่อเลี้ยงก็ต้องสำคัญกว่าผมอยู่แล้ว ผมตัดใจจากคุณทันทีที่รู้ว่าคุณมีพ่อเลี้ยงและต้องกลับไปอยู่กับพ่อ คุณไม่รู้หรอกว่าผมทำใจลำบากแค่ไหน ผมอยากรั้งคุณไว้แล้วไม่ยอมปล่อยคุณให้คุณอดิสรณ์ แต่ก็ตัดสินใจทำสิ่งที่ผมคิดว่าถูกในตอนนั้น ไม่รู้เลยว่าจริงๆคุณอดิสรณ์จะ....”
    ภาสกรเว้นวรรคอย่างไม่อยากพูดถึงอดิสรณ์
    “ผมคลั่งแทบเป็นบ้าตอนเห็นในดีวีดีว่าคุณโดนอะไรมาบ้าง ผมรู้สึกว่าคุณเป็นของผมคนเดียว ใครก็ไม่มีสิทธิ์เข้าใกล้คุณ ไม่มีสิทธิ์สัมผัสคุณ กอดคุณ จูบคุณอย่างที่ผมทำ คุณไม่รู้หรอกนที ว่าผมปวดใจแค่ไหนที่ต้องเอาภาพพวกนั้นมาดู ซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อหาภาพหน้าของอดิสรณ์ชัดๆ ใช้เป็นหลักฐานออกหมายจับ
ผมสาบานว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมก็ต้องตามหาคุณให้เจอ แล้วก็พาคุณไม่อยู่กับผมให้ได้... และคราวนี้ผมจะไม่มีวันปล่อยคุณไปไหน ไปเป็นของใครอีกเลย”
    ภาสกรพูดจบเท่าที่คิดทบทวนมาแล้วตลอดเวลา ทำเอานทีน้ำตาคลอเบ้าด้วยความซึ้งใจ แต่หนุ่มน้อยก็ยังจะหันกลับมาแล้วพูดว่า
    “คุณชายดูดีวีดีนั้นแล้วคุณไม่เห็นหรือครับ ไม่ใช่มันคนเดียว เพื่อนมัน ลูกน้องมัน... ของอะไรหลายอย่างที่คุณชายคิดไม่ถึงว่าเขาจะใช้... ทำอะไร ผมก็โดนมาหมดแล้ว ร่างกายผมพังหมดแล้ว ไม่ใช่อะไรน่าพึงใจสักนิด คุณชายยังจะรักผมได้ลงอีกหรือ...”
    “นที” ภาสกรเอ่ยชื่อคนรักแผ่วเบา เห็นหนุ่มน้อยหลบตาก็พูดขึ้นว่า “มองตาผมซีครับ นที... นที มองตาผม”
    พอเห็นว่านทีไม่ทำตาม ภาสกรก็ประคองใบหน้าของหนุ่มน้อยให้มองหน้าตนเต็มๆ ตา จ้องอยู่นานจนนทีเห็นเงาสะท้อนของตัวเองในแววตาของคุณชายหนุ่มตรงหน้าเขา
    “นทีเคยเห็นผมมั่นใจเท่านี้ไหม แต่ก่อนมองกันแวบหนึ่งผมก็หลบตา จะพูดอะไรก็ไม่กล้า จะทำอะไรอย่างใจคิดก็ไม่กล้า คราวนี้นทีเห็นหรือเปล่าว่าผมแน่ใจ ผมตัดสินใจแล้ว... ว่าผมรักนที ผมรักนทีเข้าใจไหมครับ” นทีพูดอะไรไม่ออก เงียบไปนานแทบจะกลายเป็นใบ้ไปแล้วกระทั่งภาสกรพูดประโยคต่อมา “นทีกลับไปอยู่กับผมที่วังที่พัทยานะ”
    คำว่า วัง ปลุกนทีให้ตื่นจากฝันเดี๋ยวนั้น ความจริงที่ว่าภาสกรไม่ใช่ “แค่ภาสกร” แต่เป็น “หม่อมราชวงศ์ ภาสกร รชตานันต์” ก็กลับเข้ามาหลอกหลอนเข้าจนได้ กำแพงใหญ่ที่เคยเขียนว่า “ความเหมาะสม” ที่กั้นอยู่ระหว่างเขาและภาสกร ถูกทั้งคู่ทำลายทิ้งไปแล้วชั่วขณะหนึ่ง แต่ก้อนอิฐเล็กๆก็เริ่มก่อตัวเป็นกำแพงของความเหมาะสมอีกครั้ง
    “คุณชาย... จะเป็นไปได้อย่างไร คุณชายเป็น... หม่อมราชวงศ์นะครับ สักวันคุณชายก็ต้องแต่งงานกับคุณทิฆัมพร คุณชายกับผม... เราเป็นไปไม่ได้สักนิด ถ้าหม่อมแม่ของคุณชายรู้ ถ้าท่านชายเรืองเดชทรงทราบ...”
    “นที” ภาสกร เอื้อมมือหนุ่มน้อยเข้ามากุมไว้ “ท่านพ่อ กับหม่อมแม่ไม่เกี่ยว ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน แต่ก่อนผมเคยกังวลเรื่องนี้มากนะ แต่หลังจากที่ผมใช้เวลาทบทวนอยู่นานสองนาน ผมก็คิดได้ว่า ท่านพ่อกับหม่อมแม่ หรือใครในสังคมก็ไม่ได้มาเป็นทุกข์เป็นร้อน กินไม่ได้ นอนไม่หลับกับผมสักคน เวลาผมทุกข์เพราะไม่เจอนที ผมทุกข์ของผมคนเดียวคนอื่นไม่มีส่วนได้ส่วนเสียด้วย เวลาผมสุขก็ไม่มีใครสนใจจะมาแบ่งความสุขไปด้วยเช่นกัน”
    “แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจะไม่เห็นแก่ตัวไปหรือคุณชาย...”
    “เราไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนนะครับ” ภาสกรว่า “ผมเชื่อว่าถ้าท่านมีโอกาสได้มารู้จักกับนทีของผม ท่านทั้งคู่ก็จะรักและเอ็นดูนทีมากเช่นกัน”
    เงียบ เงียบไปนานจนนทีถอนหายใจ เดินกลับเข้ามาทิ้งตัวนั่งที่โซฟา มีคุณชายที่รักของเขาเดินตามเข้ามาด้วย คุณชายนั่งข้างๆ จ้องหน้านทีด้วยแววตาร้อนใจเหลือเกิน
    “ถ้าเพียงนทีบอกผมมาคำเดียวว่า นทีไม่ต้องการผม ให้ผมออกไปจากชีวิตนทีเสีย เมื่อนั้นแหละผมจะยอมไปโดยไม่มีข้อแม้ แต่หากใจเราตรงกัน ผมจะไม่ยอมให้มีอะไรก็ตามมาพรากเราจากกันอีกเด็ดขาดครับ”
    หนุ่มน้อยหลบตา ไม่กล้าตอบจะให้เขาพูดได้อย่างไรว่าเขาไม่ต้องการภาสกร ในเมื่อเขารักภาสกรหมดใจไปแล้วเรียบร้อย
    “นที จำได้ไหมที่นทีบอกรักผม... ที่นครนายก ที่บอกว่าผมเป็นคนหนึ่งในเพียงแค่สามคนเท่านั้นที่มีสิทธิ์ได้ยินคำว่ารักจากนที” หนุ่มน้อยหันกลับมามองหน้าภาสกร ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะจำคำพูดของเขาได้แทบทุกคำ “พูดให้ผมฟังอีกครั้งนะครับ”
    “ไม่เอา พูดไปแล้วคำพูดแบบนั้นพูดได้ครั้งเดียว ไม่พูดแล้ว” หนุ่มน้อยเดินไปเข้าครัว โดยไม่หันมามองภาสกรสักนิด แต่เมื่อพิจารณาใบหน้าที่แดงซ่านด้วยความเขินอายแล้ว ภาสกรก็ไม่ต้องการคำพรรณนาอะไรอีก “คุณชายจะรับอะไร ผมจะทำให้กิน”
    เท่านี้ก็เท่ากับว่า นทียอมรับแล้วว่าตัวเองไม่ได้รังเกียจภาสกร ซ้ำก็เหมือนบอกอยู่กลายๆด้วยซ้ำว่ารักภาสกรเช่นกัน
    คุณชายหนุ่มเดินเข้าไปหาพ่อครัวจำเป็น
    “รับรักนที”
    สิ้นประโยคนทีก็ก้มหน้าขำอย่างห้ามไม่ได้ โผเข้ากอดภาสกรจนชายหนุ่มร่างใหญ่ตกใจแทบหงายหลังล้มตึงไป
    “ยังไม่ได้บอกสักหน่อยว่ารักคิดไปเองฝ่ายเดียว” กระนั้นก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของภาสกรที่ยกมือขึ้นลูบผมของคนรักช้าๆ “คุณชายเล่นเขียนเรียงความมาแสดงปาฐกถาส่งผมเสียเกือบสิบหน้ากระดาษขนาดนี้...”
    เขาได้ยินเสียงนทีกระซิบกับหัวใจของเขา
    “ผมจะบอกก็ได้... ผมรักคุณชาย เหมือนกัน”
    หลังจากปล่อยให้ภาสกรแทบจะพูดอยู่คนเดียวจนนานสองนานแล้ว นทีจึงเป็นฝ่ายพูดแทน ขณะที่ภาสกรกินอาหารเช้าแบบง่ายๆ ที่นทีเป็นคนลงมือทำให้ด้วยตัวเอง นทีเริ่มเล่าเรื่องของอดิสรณ์อย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยทั้งที่เขาไม่ได้ขอให้นทีเล่าแต่อย่างใด ตอนแรกภาสกรอยากจะบอกให้นทีหยุดเล่าเพราะคิดว่าในเมื่อมันเป็นเรื่องน่าอายก็ไม่อยากจะให้นทีเล่า แต่พอคิดอีกที ถ้าหากนทีตัดสินใจเล่าให้เขาฟังแล้วก็แสดงว่า นทีไว้ใจเขามากพอที่จะระบายเรื่องที่ไม่ควรพูดที่สุดให้เขารับรู้เขาก็ดีใจที่จะนั่งรับฟัง แม้ว่าจะต้องสลดใจกับหลายๆอย่างที่ผ่านปากนทีมา
    “คุณอดิสรณ์เป็นเพื่อนของพ่อผมเอง เป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยเรียน แต่พอเรียนจบก็ไม่ค่อยได้เจอกัน คุณอดิสรณ์หัวดี ดวงก็ดี จับอะไรก็ขึ้นเป็นเงินหมด ส่วนพ่อผมก็มาแต่งงานกับแม่ ทำมาหากินไม่ค่อยจะได้ดีนัก เพราะไม่ค่อยตั้งใจเรียน อีกอย่างก็ไม่ชอบทำงานที่มันเป็นงานประจำด้วย พอใจที่จะนำเที่ยวฝรั่งที่พัทยาเท่านั้นเองก็เลยไม่ได้รวยล้นฟ้าเหมือนกับเพื่อนรัก
    จนวันหนึ่ง พ่อก็เจอคุณอดิสรณ์โดยบังเอิญเข้านัดกันไปคุยเฮฮาสังสรรค์ตามประสาเพื่อนเก่า แล้วก็ชวนกันมาที่บ้านผม วันนั้นเป็นวันที่ผมเจอเขาครั้งแรก ผมยังเด็กอยู่เลยจำอะไรไม่ได้มาก จำได้แต่ว่าโตมาเรื่อยๆก็มีคุณอดิสรณ์อยู่ในความทรงจำแล้ว เขามาที่บ้านผมบ่อยขึ้น บ่อยขึ้นเรื่อยๆ เอาอาหารมาเลี้ยงบ้างคอยช่วยพ่อเรื่องเงินบ้าง หลายครั้งก็ช่วยแม่เลี้ยงผม ผมก็โตมาจนเป็นวัยรุ่นแล้วยังหาเรื่องเป็นธุระไปประชุมผู้ปกครองให้บ้างละ พาไปเที่ยวบ้างละ ไม่งั้นก็มาติวการบ้านให้บ้าง ตอนนั้นผมคงไม่ค่อยประสีประสาเลยไม่ได้สังเกตอะไร
    มารู้ตัวเอาอีกทีก็ตอนเริ่มขึ้นม.ปลาย
    ผมเริ่มสังเกตว่าคุณอดิสรณ์ชอบมองผมแปลกๆ บางครั้งก็โอบกอดผมเกินความจำเป็นหลายๆครั้งก็เอาอะไรต่อมิอะไรมาชนผมบ้าง ไม่ก็จับโน่นจับนี่ผมบ้าง ผมอยากจะฟ้องใครก็ฟ้องไม่ได้ อายไปหมด...ผมเริ่มรู้เรื่องเพศมากขึ้นก็รู้เลยว่าผมไม่ค่อยปลอดภัยแล้ว
    ผมพยายามตีตัวออกห่างเขา พยายามเรียนให้มากๆ แล้วก็ไปติวหนังสือบ้านเพื่อนเพื่อจะได้ไม่ต้องอยู่ใกล้เขา จนเขาเองนั่นแหละที่ค่อยๆหายไปจากชีวิตของผมเอง ตอนนั้นผมคิดว่าโชคดีแล้วนะที่เขาไปจากชีวิตผมได้ แต่เปล่าหรอกเขาไปเข้าทางแม่ผมแทนต่างหาก”
    ภาสกรฟังมาถึงตรงนี้ก็แทบจะเดาตอนต่อได้โดยไม่ต้องฟังจากปากนทีเลยด้วยซ้ำ “คุณอดิสรณ์ตีสนิทกับแม่เพราะถ้ายิ่งใกล้ชิดแม่ได้แค่ไหน ก็เท่ากับว่าได้ใกล้ผมมากขึ้นด้วย มันอาศัยจังหวะที่แม่ว้าเหว่จากการที่พ่อมัวแต่นำเที่ยวลูกค้าจนไม่ค่อยสนใจแม่ทำให้แม่โอนอ่อนเข้าหาทั้งที่มันไม่ได้คิดอะไรกับแม่ด้วยซ้ำ”
    นทีเปลี่ยนสรรพนาม เขา เป็น มัน เมื่อพูดมาถึงตรงนี้หากแต่น้ำเสียงของเด็กหนุ่มยังราบเรียบไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรนัก
    “มัน... ทำไม่ดีกับแม่ผมหลายครั้งผมก็พอจะรู้บ้าง อาการของผู้หญิงเวลาที่คิดว่ามีความรักนี่มันอ่านง่ายมากนะครับ พ่อเองก็คงดูออกเหมือนผมเลยวางแผนทำให้มันตายใจ มาตีท้ายครัวถึงบ้านแล้วก็เข้าไปจับได้คาหนังคาเขา พ่อโกรธมันมาก ด่าว่ามันเป็นเพื่อนทรยศแล้วก็หุนหันออกจากบ้านไป คืนนั้นเองที่พ่อถูกรถชนตาย”
    ภาสกรเอื้อมมือมากุมมือขาวนุ่มนิ่มของนที ยิ้มเศร้าๆให้กำลังใจแล้วนทีก็ตัดสินใจเล่าต่อไป
    “พอไม่มีพ่อ อดิสรณ์ก็ทำอะไรง่ายขึ้น มันรับผมเป็นลูกบุญธรรมทันที ส่วนแม่ก็ไปซื้อบ้านใหม่อยู่กับมัน บ้านที่ผมหนีออกมาแล้วก็... มาเจอคุณชายนั่นแหละ” หนุ่มน้อยตาลอยมองออกไปนอกหน้าต่างในใจคิดอะไรหลายอย่างจนชายหนุ่มข้างๆเดาไม่ถูกว่าคิดเรื่องไหนอยู่แน่ “โชคดีมากที่มาเจอคุณชายไม่งั้นผมคงไม่มีวันได้พ้นจากขุมนรก”
    หนุ่มน้อยเว้นไปนิดหนึ่งแล้วก็พูดเล่าต่อว่า “ดีวีดีที่คุณชายเจอและที่ผมส่งไปนั้นก็แค่เบาๆหลังจากหลายๆครั้งมาแล้ว แต่ครั้งแรกๆ เนี่ยสิผมไม่มีวันลืม”
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 11-07-2011 21:16:58
 “คุณชายดูดีวีดีนั้นแล้วคุณไม่เห็นหรือครับ ไม่ใช่มันคนเดียว เพื่อนมัน ลูกน้องมัน... ของอะไรหลายอย่างที่คุณชายคิดไม่ถึงว่าเขาจะใช้... ทำอะไร ผมก็โดนมาหมดแล้ว"

ชั่วกว่าที่คิดไว้มาก  เลวสุดขั้ว  ชั่วสุดขีด
ตอนนี้ชอบคุณชายมาก ๆ เป็นคนอื่นจะรับนทีได้แบบนี้บ้างมั๊ย
คุณชายรักนทีด้วยหัวใจจริง ๆ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: IIMisssoMII ที่ 11-07-2011 22:39:32
อ้างถึง
  “นทีเขียนจดหมายบอกผม คุณคงไม่รู้หรอกว่าเราสองคนรักกันมากถึงขั้นสื่อสารกันเข้าใจทุกอย่างโดยที่คุณไม่มีวันจับผิดได้เลย”

เอ่อ...จริง ๆแล้วต้องคุณหญิงไม่ใช่เหรอ 555

ตอนต่อไปเริ่มหวานแล้วใช่ไหมคะ หวังว่าคงไม่มีใครมาวุ่นายอีก เอ๊ะ ลืมดาราสาวกะคุณหญิงแม่ไปเลย  :เฮ้อ:
ขอบคุณคนแต่งมากๆคะ เนื้อเรื่องสนุกภาษาสวยเหมือนเดิม

อ้างถึง
หนุ่มน้อยเว้นไปนิดหนึ่งแล้วก็พูดเล่าต่อว่า “ดีวีดีที่คุณชายเจอและที่ผมส่งไปนั้นก็แค่เบาๆหลังจากหลายๆครั้งมาแล้ว แต่ครั้งแรกๆ เนี่ยสิผมไม่มีวันลืม”

อ่านมาถึงตรงนี้ ใจคนอ่านจะขาดรอน ๆ สงสารนทีเหลือเกิน แค่ในดีวีดีนั่นก็รับไมได้แล้ว ยังเจอหนักยิ่งกว่านี้อีกเหรอ T T
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: ● MaYa~Boy ● ที่ 13-07-2011 09:11:35
สงสารนทีจัง คงผ่านเรื่องร้ายๆมาเยอะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 13-07-2011 17:10:15
อดิสรณ์เลวมากกกกก
ขอให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี
เดี่ยวต้องเจอคุณหญิงเเม่อีก เฮ้อ

*คุณฟ้าม่วงลืมเปลี่ยนตอนตรงหัวเรื่องค่ะ *
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 15-07-2011 04:16:08
นทีน่าสงสารมากๆอะ

อุปสรรคจากด่านของอดิสรณ์ผ่านไปแล้ว รอลุ้นอุปสรรคด่านต่อไป อยากรู้ว่าคุณชายจะไฟท์ได้แค่ไหน
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: theman92 ที่ 17-07-2011 09:51:09
writer ลงเยอะๆด็จะดีนะครับ
แห่ๆ
ผมอ่านมาตั้งแต่หน้าแรกละ
แต่ไม่ได้เม้นให้เลยขอฝากตัวด้วยนะครับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 18-07-2011 16:12:37
คิดถึงนทีแล้วสิ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 25-07-2011 22:41:43
คิดถึงแล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 27-07-2011 10:31:32
หายไปนานเลยอ่าาา
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: theman92 ที่ 31-07-2011 09:28:38
อ่านไปซึ้งไปครับ

เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะครับ
สู้ๆ
เอาลงเยอะๆเลยก็ดีนะครับ
แห่ๆ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: Non_stop ที่ 31-07-2011 09:50:45
 :impress3: :impress3:

คิดถึงนทีกับคุณชายมากๆเลย

ถึงผู้แต่งที่รักขา คนอ่านรอตอนต่อไปน่ะค่ะ :กอด1:

เป็นกำลังและจะรอน่ะค่ะ :L2: :m13:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 31-07-2011 13:57:54
โหยยยยยยยยย

รู้สึกเรื่องวัยเด็กนทีนี่มีนายอดิสรมาทำลายเลยอ่า  เลวๆ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กกะโปโล ที่ 25-08-2011 22:31:57
หัวเรื่องไม่ได้อัพเดต เลยเพิ่งเห็นว่ามีตอนใหม่อีกตอน :try2:

อดิสรณ์มันยังชั่วได้อีก!! :m16: ยิ่งรู้เรื่องก็ยิ่งเกลียดมัน ขออย่าให้มันออกมาจากคุกอีกเลยเถอะ!!!
ดีชะมัดเลยที่นทีได้เจอกับคุณชาย ในที่สุดเลยหลุดออกมาจากนรกได้

รอคนเขียนกลับมาอยู่นะ คิดถึงนทีกับคุณชายแล้วฮะ
+1 เป็นกำลังใจให้ฮะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 27-08-2011 14:21:49
เฮ้ออ่านทันจนได้
 
ไอ้พ่อเลี้ยงเนี่ยสารเลวจริง สัตว์นรกมาเกิดชัดๆ เดรัจฉานจริงๆ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: u_cosmos ที่ 28-08-2011 19:54:13
ปรับความเข้าใจกันได้แล้ว ^^
สงสารนที ทำไมก่อนหน้านี้ชีวิตถึงได้รันทดนัก
ไปเจอพ่อเลี้ยงมหาประลัยนั่นแล้วไหนจะยังเรื่องๆร้ายๆที่มันประเคนมาให้อีก
แต่อยู่มาได้จนเจอกับคุณชายนี่ก็โชคดีจริงๆแล้วแหละเนอะ ^^

อ่านแล้วเคลิ้มคุณชายมากนะคะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: u_cosmos ที่ 16-09-2011 21:28:42
คิดถึงคุณชายกับนทีค่ะ
คุณคนเขียนไปไหนแล้วค้าาาาาาาา
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: oilzii ที่ 27-09-2011 14:53:09
นที :o12:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: Non_stop ที่ 27-09-2011 14:58:50
 :call: :call:

รอๆๆอยู่น่ะค่ะ

คิดถึงนทีกับคุณชายจังเลย :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: myapril ที่ 27-09-2011 19:54:58
เข้ามารอน้ำกับคุณชายค่ะ :L1:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: autumnale ที่ 27-09-2011 20:07:18
มารอน้องน้ำกับคุณชายค่ะ
อดิสรณ์เลวมาก
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: A-J.seiya* ที่ 27-09-2011 23:57:48
มิสยูว
เบ่เบ๋!!
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 28-09-2011 02:48:58
คุณฟ้าม่วงหายไปหนายยย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: u_cosmos ที่ 28-09-2011 18:02:53
คุณชาย
 :L2:    :L2:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 35 "พระเจ้าไม่ทิ้งคนดีหรอกค่ะคุณชาย ” 04/07/11 - 21.00
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 29-09-2011 11:37:25
สงสารน้องน้ำใจจะขาด
หมดจากเรื่องนี้
ต้องไปสู้มาม่าหม่อมแม่อีกสินะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : คิดถึงฉันไหม? เวลาที่เธอ . . . 17/10/11 - 1.45
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 17-10-2011 01:54:56
จากคุณชาย
คิดถึงผมไหมครับทุกคน เรื่องของผมกับนทียังไม่จบลงง่ายๆหรอกนะครับ ที่ผ่านมาความขัดแย้งทั้งหมดมาจากความซื่อบื้อของผมเอง ต่อไปนี้แม้จะแน่ใจว่าคงมีความขัดแย้งจากภายนอกเข้ามาอีกมาก แต่ผมก็จะพยายามทำทุกอย่างเพื่อผมและนที . . . ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมจะไม่ปล่อยเขาไปอีกแล้ว

จากนที
ผมไม่ใช่คนที่ดีที่สุดในโลก ชีวิตผมผ่านอะไรมาก็มากที่ต้องแปดเปื้อนต้องเสื่อมเสีย ขอบคุณทุกคนนะครับที่คอยติดตามเรื่องราวของผม คิดถึงผมไหมครับ? ผมจะกลับมาแล้วนะ ที่ผ่านมาคุณชายจะเป็นยังไงก็แล้วแต่ ผมไม่สนหรอก แต่ต่อไปนี้ คุณชายต้องยอมผมบ้างแล้วล่ะ 555+ เจอกันเร็วๆนี้ครับ

จากดาริกา
สวัสดีค่ะผู้อ่านทุกคน ดิฉันได้ข่าวว่าดิฉันมีแฟนคลับอยู่ไม่ใช่น้อยเลยนะคะ (ขอเสียงหน่อย ฮี๊วววว) อยากจะบอกทุกคนว่า ฉันไปจิกคุณฟ้าม่วงให้กลับมาเขียนต่อแล้วค่ะ หลังจากที่ฝ่ายนั้นไปมีปัญหาชีวิตอยู่นาน พอฉันช่วยจัดการให้ได้ก็ตามลากมาเขียนต่อทันที ... ต่อไปอุปสรรคจะเยอะขึ้นค่ะ แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ ยังไงดิฉันจะทำหน้าที่แทนทุกคน ชี้ทางสว่างให้คุณชายเหมือนเดิมค่ะ

จาก นรัตถพล
ใครที่ชอบผม ... รอก่อนนะ คราวนี้ผมมาเต็ม

จากผมเอง
ขอโทษที่หายไปนะครับ ยังคิดถึงกันไหมครับ? ถ้ายังคิดถึงและยังอยากอ่านกันต่อ ผมจะมาตามลงให้จบ แน่นอนครับ แต่ถ้าบางคนต่อไม่ติดและกลัวขาดตอน ผมก็จะแต่งเรื่องใหม่มาลงแทน ยังไงก็แล้วแต่เจอกันเร็วๆนี้ฮะ ;))
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : คิดถึงฉันไหม? เวลาที่เธอ . . . 17/10/11 - 1.45
เริ่มหัวข้อโดย: hobazaki ที่ 17-10-2011 02:59:15
ฮือออออออออ นทีคุณชายยยยยยยยย หายไปจนเค้าเกือบลืมแหนะ T^T
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : คิดถึงฉันไหม? เวลาที่เธอ . . . 17/10/11 - 1.45
เริ่มหัวข้อโดย: ต่ายน้อย ที่ 17-10-2011 03:47:50
คิดถุงมากๆ~ครับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : คิดถึงฉันไหม? เวลาที่เธอ . . . 17/10/11 - 1.45
เริ่มหัวข้อโดย: CofFee ที่ 17-10-2011 03:56:05
ฮืออออ หายไปนาน เสียใจ เสียใจ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : คิดถึงฉันไหม? เวลาที่เธอ . . . 17/10/11 - 1.45
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 17-10-2011 04:30:10
คิดถึงมากๆเลนครับบ
ดีใจมากที่จะมาต่อ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : คิดถึงฉันไหม? เวลาที่เธอ . . . 17/10/11 - 1.45
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 17-10-2011 05:29:46
มาต่อแล้วดีใจ มือไม้สั่น
มาต่อนะคะ ตามอ่านเเน่นอน
คิดถึงงงงงงง
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : คิดถึงฉันไหม? เวลาที่เธอ . . . 17/10/11 - 1.45
เริ่มหัวข้อโดย: fffx ที่ 17-10-2011 07:40:41
ว้าวเรื่องนี้มาต่อแว้ว นทีน่าสงสารต่อจากนี้คงเป็นเรื่องที่บ้านซินะ
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : คิดถึงฉันไหม? เวลาที่เธอ . . . 17/10/11 - 1.45
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 17-10-2011 08:21:55
มารอค่ะ  แล้วอย่าลืมต่อเรื่องทางสามสายด้วยนะ 
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : คิดถึงฉันไหม? เวลาที่เธอ . . . 17/10/11 - 1.45
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 17-10-2011 09:02:59
มาเร็วๆเน้อ
คิดถึงน้องน้ำาาาาาาแว้ว  :impress3:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : คิดถึงฉันไหม? เวลาที่เธอ . . . 17/10/11 - 1.45
เริ่มหัวข้อโดย: naja-kitase ที่ 17-10-2011 09:48:28
โอ้วววว ยินดีต้อนรับกลับเล้าค่ะ
ปล.แค่นี้อุปสรรคยังเยอะไม่พออีกเหรอคะ? ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : คิดถึงฉันไหม? เวลาที่เธอ . . . 17/10/11 - 1.45
เริ่มหัวข้อโดย: MoPPeT ที่ 17-10-2011 09:53:03
คิดถึงค่า~ อยากอ่านต่อ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : คิดถึงฉันไหม? เวลาที่เธอ . . . 17/10/11 - 1.45
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 17-10-2011 12:35:37
 ยังรออยู่เสมอจ้า มาต่อไวไวเน้อ คิดถึงงง

(แอบไปโหวต ลุงอดิสรณ์มา ตัวร้ายยอดแย่ .....เอ้ย!! เยี่ยม  ฮ่าๆๆ )
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : คิดถึงฉันไหม? เวลาที่เธอ . . . 17/10/11 - 1.45
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 17-10-2011 13:03:51
คิดถึงสิคะ คุณชายขา มาให้บ่าวได้หายคิดถึงบ้างเถิดเจ้าค่ะ.  :impress2:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : คิดถึงฉันไหม? เวลาที่เธอ . . . 17/10/11 - 1.45
เริ่มหัวข้อโดย: «ƤȑǃǹĉΞḠ○ḺҒ™» ที่ 17-10-2011 15:06:29
มาต่อให้จบเลยนะผู้แต่งสุดหล่อ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : คิดถึงฉันไหม? เวลาที่เธอ . . . 17/10/11 - 1.45
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 17-10-2011 22:43:14
คิดถึงค๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา รอวันที่คุณชายและนทีจะสมหวังอยู่
แอบมารายงานตัวว่าโหวตอดิศรด้วย ขอให้ได้ตัวร้ายยอดเยี่ยม อิอิ

ปล...เรื่องใหม่ก็อยากอ่านด้วยค่ะ แต่ขอไม่ดราม่าได้ไหมมมม 555+
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : คิดถึงฉันไหม? เวลาที่เธอ . . . 17/10/11 - 1.45
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 17-10-2011 23:46:01
38

     นทียังคงเล่าเสียงเรียบๆต่อไปแม้ว่าบางตอนจะมีเสียงสั่นเครือบ้าง มีน้ำตาคลอมาที่เบ้าตาบ้าง แต่ก็ยังคงเล่าไปอย่างไม่คิดจะหยุด แม้ภาสกรจะหดหู่จนไม่อยากฟังต่อแล้วก็ตาม
    “วันนั้นแม่ไม่อยู่บ้าน  ผมก็เลยพาแฟนมาหาที่บ้าน” คำว่าแฟนทำให้คิ้วของภาสกรกระตุกเลิกขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะตีหน้านิ่งตามเคยแล้วปฏิบัติตนเป็นผู้ฟังที่ดีต่อไป “ผมจะไม่เล่าให้คุณชายฟังหรอกครับว่าเขาเป็นใครมาจากไหน เพราะตอนนี้เขาไม่ได้สำคัญอะไรกับผมอีกแล้ว ที่ผมจะเล่าก็คือวันนั้นเขามาค้างที่ห้อง เราทั้งคู่ก็ยังเป็นวัยรุ่นเป็นนักศึกษาปีหนึ่งเหมือนกันเท่านั้น ก็เลยไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ปล่อยอะไรๆเลยเถิดไปจนจบที่เตียง
    จู่ๆ คุณอดิสรณ์ก็โผล่เข้ามาอย่างบ้าคลั่งกลิ่นเหล้าคลุ้งเหมือนครั้งที่คุณชายไปช่วยผมที่เกาะนั่นแหละ เขาไม่รู้ตัวเพราะเมามาก แต่ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าเลวอยู่ในนิสัยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอยิ่งเมาก็ยิ่งบ้าทำอะไรไปไม่ถูกมนุษย์มนา มันทำร้ายแฟนผมแล้วก็ตัวผมด้วยจนเจ็บไปหมด ช่วยตัวเองไม่ได้แล้วมันก็จับแฟนของผมข่มขืน!
    มันบังคับให้ผมนั่งดูแฟนตัวเองโดนข่มขืนขณะที่มันจับผมมัดไว้กับเก้าอี้ สักพักพอมันสาแก่ใจ มันก็มาลงที่ผมอีกแล้วก็ให้แฟนผมดูอยู่ด้วยเหมือนตอนที่ให้ผมดู คุณรู้ไหม มันเป็นประสบการณ์ชีวิตที่แย่ที่สุดเท่าที่ใครจะเคยมีโอกาสได้ประสบ ผมมั่นใจว่าไม่มีใครทั้งบ้า ทั้งเลวได้เท่าอดิสรณ์”
    “แล้วทำไมคุณถึงไม่แจ้งความ” ภาสกรถามเบาๆ
    “ผมบรรลุนิติภาวะแล้ว แล้วตอนมันทำผมก็ไม่มีร่องรอยการถูกทำร้ายมากไปกว่าโดนต่อยท้องน้อยจนช้ำ ซึ่งก็ไม่มีหลักฐานปรากฏที่ตัว จะแจ้งความตำรวจก็คงไม่เชื่อ เพราะมันดูดีมากในสายตาของคนอื่น อีกอย่างมันก็มีสายอยู่ในหมู่ตำรวจอยู่ด้วยพร้อมจะช่วยมันอยู่ตลอดเวลา”
    นทีนิ่งไปเหมือนจะรอให้ภาสกรถามอะไรเขาอีก แต่ท้ายที่สุดภาสกรก็ไม่มีคำถามใดจะถามนที หนุ่มน้อยก็เลยถอนหายใจแล้วเล่าต่อ
    “พอผมแจ้งความไม่ได้ ผมก็ตัดสินใจหนี แต่จะหนีไปไหนมันก็ตามกลับมาได้ทุกครั้ง แล้วผมก็จะโดนหนักกว่าเดิม ตอนนั้นผมโดนเพื่อนมันด้วย บางทีก็มากันทั้งกลุ่ม แม้บางทีจะมีคนสองคนเท่านั้น แต่ก็บ่อยที่ผมจะโดนของอะไรที่ไม่ควรเอามาใช้... เหมือนในหนังโป๊ทุกอย่าง ผมถูกทำจะไม่เหลือค่าความเป็นมนุษย์จนสุดท้ายก็มาถึงจุดที่ผมทนไม่ได้อีกต่อไป
    “แม่ผมเคยกลับบ้านมาเจอผมกับมันครั้งหนึ่ง แม่ตกใจมากแล้วก็โกรธมันมากด้วย แม่ไล่มันออกจากบ้าน ด่าว่ามันปาข้าวปาของใส่มัน แต่มันก็ไม่ได้คิดกลัวหรือละอายใจเลย มันกลับทำร้ายร่างกายแม่ บังคับให้แม่ดูผมจนมันพอใจแล้วก็ข่มขืนแม่ให้ผมดู”
    “นที... คุณไม่ต้องเล่าแล้วก็ได้นะ” ภาสกรขัดเมื่อเห็นว่านทีเริ่มจะร้องไห้แล้ว เขาดึงหนุ่มน้อยเข้าไปไว้ในอ้อมแขน  คนเล่าเรื่องหยุดเล่าแล้วตั้งต้นร้องไห้ ร้องอยู่นานก็สะอื้นออกมาเป็นคำพูดว่า
    “แม่ผมฆ่าตัวตายหลังจากคืนนั้นเอง”
    ภาสกรกระชับฝ่ามือที่กุมหัวไหล่ของนทีดู ค่อยๆกลึงไหล่กลมมนนั้นเบาๆ ปลอบใจไม่ให้หนุ่มน้อยร้องไห้ แต่ก็ยิ่งทำให้เขาร้องหนักกว่าเดิม
    “แล้วผมก็โดนเรื่องนั้นมาคอยหลอกหลอนอยู่ทุกคืน จนหมดงานศพแม่ จนทุกอย่างเริ่มดี อดิสรณ์เริ่มหายไปจากชีวิตผม ห่างกันไปเรื่อยๆ ผมก็หาโอกาสที่พอจะวิ่งหนีได้ หนีออกจากบ้านไปตั้งใจว่าจะไปหาปุยฝ้าย แต่... แต่แล้วผมก็ได้มาพบกับคุณ”
    ภาสกรก้มลงจุมพิตไหล่ขาวเปลือยของนทีเบาๆ ก่อนที่หนุ่มน้อยจะพูดต่อว่า “คุณชายก็รู้แล้วว่าผมไม่ได้บริสุทธิ์ ไม่ได้มีเพียงคุณชายคนเดียวทั้งชีวิต ผมผ่านอะไรมาเยอะ ผมมีสัมพันธ์กับใครมาหลายคนก่อนได้เจอคุณชายทั้งกายและใจ
ทีนี้คุณชายยังจะยืนยันอีกไหมครับว่าคุณชายจะรักผมได้ คุณชายจะไม่รังเกียจผม”
    “ไม่หรอกนที... ไม่ว่าคุณจะผ่านใครมา เป็นสิบ เป็นร้อยผมก็ไม่สน ตอนนี้คุณมีผมคนเดียว และจะไม่มีคนอื่นอีก มีผมเป็นคนสุดท้ายผมก็จะรักและภักดีกับคุณตลอดไปเช่นกัน” ภาสกรยิ้ม “เว้นเสียแต่คุณจะบอกผมว่าคุณกำลังรักใครอยู่อีก คุณไม่ต้องการผมแล้วนั่นละ ผมถึงจะยอมเดินจากไป”
    หนุ่มน้อยหัวเราะเบาๆ แต่ไม่ได้ตอบอะไร เบี่ยงตัวออกจากอ้อมกอดของหนุ่มคนรัก ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินไปล้างจานด้วยกัน
    “เอ้อ จริงซีผมเพิ่งนึกขึ้นได้ ป่านนี้ไอ้ฝ้ายยังไม่ตื่นอีกหรือครับ”
    “ตื่นแล้วย่ะ!” เสียงแหลมๆแผดออกมาจากห้องนอนของหล่อนที่อยู่ตรงข้ามกับห้องที่ภาสกรและนทีเพิ่งนอนด้วยกันมา ไม่นานปุยฝ้ายก็เดินออกมาจากห้องนอน ตีหน้าไม่พอใจแต่ดูก็รู้ว่าแอบมีรอยยิ้มประดับอยู่เมื่อสองหนุ่มไม่ได้สังเกต
    “เพิ่งตื่นหรือครับ ทำไมเพิ่งออกมา” ภาสกรเอ่ยถามเบาๆ พยายามซ่อนพิรุธอยู่ห่างจากนทีออกไปอีกนิดเมื่อหญิงสาวค่อยๆเดินเข้ามาใกล้จ้องมองทั้งคู่แปลกๆแบบครูฝ่ายปกครองจับได้ว่านักเรียนทำผิดระเบียบ
    “ตื่นนานแล้วค่ะคุณชาย แต่ได้ยินเสียงหนังรัก บอกรักกันดังลั่น นึกว่าดูหนังกันอยู่ก็เลยไม่อยากรบกวนค่ะ” หล่อนว่าขำๆ  แต่แล้วก็กางแขนรวบเอานทีเข้าไปกอด ต่างฝ่ายต่างก็ร้องไห้น้ำตานอง ภาสกรยืนมองอยู่อย่างห่างๆ มองสองเพื่อนรักแล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้อยู่ตรงนั้น

    “ผมอยากตัดผม คุณชายพาผมไปตัดผมที” คำพูดนี้เป็นเหตุที่ทำให้ภาสกรและปุยฝ้ายได้มานั่งอยู่ในบาร์เบอร์เล็กๆแห่งหนึ่งในภูเก็ต มองผมหนาหยักศก ยาวแนบต้นคอจนปิดหน้าปิดตาของนทีค่อยๆถูกหั่นออกทีละน้อยๆ จนกระทั่งสุดท้ายจบลงด้วยการที่ผมนั้นหายไปเกือบจะหมด แทบจะเป็นทรงสกินเฮด หากว่ามันสั้นกว่านี้สักนิดคงดูคล้ายกับว่านทีเพิ่งไปบวชมา
    ปุยฝ้ายโวยวายเมื่อรู้ว่านทีจะตัดทรงอะไร แต่พอตัดเสร็จก็ไม่ได้บ่นอะไรสักคำ มัวแต่นั่งจ้องภาสกรยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ตั้งนาน
    “คุณชายยิ้มอะไรครับ หน้าผมมันตลกมากหรือไง” นทีว่าเสียงมุบมิบแทบไม่หลุดจากริมฝีปาก หลบตาภาสกรมีความไม่พอใจแฝงอยู่ทั้งในน้ำเสียง สีหน้าและท่าทางจนภาสกรต้องหัวเราะออกมาดังๆ แล้วเอื้อมมือมาลูบหัวกลมๆของนทีอย่างรักใคร่ ตอบกวนๆว่า
    “ยิ้มเอ็นดูคนน่ารัก”
    นทีได้ยินอย่างนั้นก็ถลึงตาใส่ภาสกร จริงอยู่ที่เวลานี้ทั้งคู่ขึ้นมานั่งอยู่บนรถกำลังมุ่งหน้าหาที่เที่ยวภายในเกาะภูเก็ตกันตามลำพัง แต่ก็มีปุยฝ้ายนั่งอยู่ที่เบาะหลังพร้อมรับรู้ทุกสิ่งที่คุณชายพูด อีกทั้งต่อให้อยู่ในรถก็อยู่นอกบ้าน ใครต่อใครผ่านมาอาจจะจำภาสกรได้ แล้วภาสกรก็ต้องมีข่าวไม่ดีอีก
    “คุณชายพูดอะไรน่ะ เดี๋ยวใครก็ได้ยินหรอก”
    “ใครจะมาได้ยินได้ยังไง บนรถมีแต่เราแล้วก็ปุยฝ้าย”
    “อุ๊ย ฝ้ายไม่ได้ยินค่ะ ฝ้ายหูตึงพูดอะไรกันดังๆยังไม่ได้ยินค่ะ คงต้องตะโกนถึงจะรู้เรื่องด้วยได้” หล่อนประชดแต่ก็หยิบหูฟังขึ้นเสียบเครื่องเล่นเอ็มพีสาม ฟังเพลงไปไม่สนใจสองหนุ่ม
    ที่ภาสกรพูดไม่ได้เกินจริงเลยแม้แต่น้อย นทีน่ารักจริงๆ
    พอผมยาวรุงรังหายไปแทบจะหมดจากหัวแล้ว ใบหน้าคล้ายคนอมทุกข์ของนทีก็หายไปด้วย เหลือแต่หน้าขาวใสสะอาดเรียบเนียนของเด็กหนุ่มวัยยี่สิบ ดวงตาใสเป็นประกายเหมือนจะยิ้มได้ตลอดเวลา หน้าผากเป็นรูปหัวใจสวยน่ามอง โดยเฉพาะปากแดงๆ ที่เหยียดออกเป็นรอยยิ้มตลอดเวลาทำให้นทีดูหน้าเด็กลงไปหลายปีคล้ายเด็กมัธยมต้นเท่านั้น
    ตอนตัดผมเสร็จภาสกรก็มองแล้วมองอีก ยิ่งขึ้นรถมาชายหนุ่มก็แทบไม่ได้มองถนน ตาจับจ้องอยู่ที่ดวงหน้าใสสะอาดน่ารักน่าเอ็นดูของนทีอยู่ตลอด
     น่าแปลกที่เมื่อนทีตัดผมจนสั้นเพียงนี้แล้ว ใบหน้าของหนุ่มน้อยกลับไม่ไปคล้ายกับดาริกาอีกต่อไปแล้ว พิจารณาดีๆ ออกจะต่างกันมากด้วยซ้ำ จนภาสกรแทบจะมั่นใจแล้วว่าตัวเองคิดไปเองเรื่องที่ว่านทีหน้าเหมือนดาริกา เพื่อใช้เป็นข้ออ้างมาแก้ตัวว่าตัวเองไม่ได้มีความเบี่ยงเบนทางเพศแต่อย่างใด ตอนนี้เมื่อยอมรับกับตัวเองแล้วว่ารักหนุ่มน้อยข้างๆนี้แน่แล้ว ก็เลยเห็นนทีอย่างที่เขาเป็นจริงๆ คือเป็นเด็กน่ารัก จะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็น่ารักจนมองได้ไม่เบื่อ
    ยิ่งนิสัยของนทีที่เปลี่ยนไปด้วยแล้ว รวมๆกันทำเอาคุณชายหนุ่มหลงนทีจนแทบโงหัวไม่ขึ้น
    แต่ก่อนหนุ่มน้อยเป็นเด็กเรียบร้อย ขี้เกรงใจไม่พูดมาก ไม่ต่อล้อต่อเถียง มักจะวางตัวต่ำต้อยกว่าภาสกรแทบจะตลอดเวลา จะพูดจาอะไรก็ต้องมีครับ เลือกใช้คำที่ห่างเหินดูเป็นการเป็นงานกว่า มาตอนนี้นอกจากจะเปลี่ยนไปเป็นกันเองมากขึ้น จนถึงขั้นชวนภาสกรคุยก่อนหลายๆครั้งแล้ว ก็ยังจะมีคำพูดประชดประชัน อย่างเจ้าแง่แสนงอนหลายๆครั้ง
    ภาสกรเห็นว่านทีแบบก่อนก็น่ารักพออยู่แล้วแต่พอได้มารู้จักกับนทีคนนี้เขากลับคิดว่าน่ารัก น่าเอ็นดูมากขึ้นไปอีกอย่างน่าประหลาดใจ
    “นที ผมจะพาไปกิน โอ๊เอ๋ว ขนมพื้นเมืองของภูเก็ตนี่ อร่อยมากไปกินกันนะ” ดูเหมือนคุณชายหนุ่มจะรู้จักร้านอาหาร ร้านขนมอะไรอร่อยๆเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด มาอยู่ภูเก็ตยังจะอุตส่าห์รู้จักที่ทางพานทีไปหาของแปลกๆกินได้
    คุณชายหนุ่มพานทีมาเที่ยวที่ย่านเมืองเก่าของภูเก็ต อาคารบ้านเรือนต่างๆก่อสร้างแบบสถาปัตยกรรมชิโนโปรตุกีส คือผสมผสานแบบของจีน และโปรตุเกสไว้ได้อย่างลงตัว ภาสกรให้ปุยฝ้ายถ่ายรูปตนกับนทีไว้หลายภาพ คิดว่ากลับไปจะต้องมีหน้านทีหลายๆหน้าเอาไว้ดูเวลาทำงาน และเวลาคิดถึงให้ได้
    ภาสกรโทรหาเพื่อนคนหนึ่งเช่ารถเขามาขับทั้งวัน จึงไม่ต้องคอยโบกรถสองแถวหรือนั่งรถตู้เที่ยวแบบแพงๆ นึกจะไปไหนก็ไปได้โดยไม่ต้องวางแผน
    ก่อนได้กินโอ้เอ๋ว ปุยฝ้ายก็บ่นหิวข้าวขึ้นมาเสียก่อน เพราะหล่อนไม่ได้กินข้าวเช้าด้วยกันกับสองหนุ่ม ภาสกรเห็นว่าใกล้เที่ยงแล้วเดี๋ยวถ้าหิวจะหาของกินลำบากก็เลยพาทั้งคู่ไปยังร้านอาหารแห่งหนึ่งอยู่ไม่ไกลจากย่านเมืองเก่านั้นเท่าไร
    ร้านอาหารเป็นเพียงบ้านไม้เล็กๆ สองชั้นดูโบราณได้บรรยากาศย้อนยุค โต๊ะก็เป็นโต๊ะไม้สัก ไม่ก็โต๊ะหินกลมๆแบบโต๊ะน้ำชาจีน ทั้งสามไม่ได้ขึ้นไปชั้นสองเพราะคนยังไม่เยอะนักในตอนนั้นจึงนั่งกันอยู่ที่โต๊ะเล็กๆตัวหนึ่ง ในมุมห้องของร้าน คนที่มารับรายการอาหารใส่ชุดง่ายๆดูเป็นชาวบ้านธรรมดา ตาสวยกลมดุแบบสาวชาวใต้แต่กิริยากลับเรียบร้อย นุ่มนิ่มไปหมด
    “รับอะไรบ้างคะ” สำเนียงเหน่อบ่งบอกความเป็นสาวใต้ทำให้ ปุยฝ้ายเป็นฝ่ายสั่งอาหารเอง หล่อนเป็นคนพังงาจึงพูดใต้ได้ คุยภาษาใต้กันโฉงเฉงแบบคนบ้านเดียวกัน เวลาผ่านไปพักใหญ่ ทั้งสามก็ได้อาหารขึ้นชื่อของภูเก็ตมาลองชิมอย่างละหน่อย
    มีแกงปูสีเหลืองสดกินกับเส้นหมี่ขาว ใบเมี๊ยะซึ่งเป็นผักพื้นเมืองของภูเก็ตรูปร่างเหมือนใบไม้เขียวๆทั่วไปผัดกับไข่และกระเทียมหอมกรุ่น หมูฮ้องหมูสามชั้นชิ้นใหญ่เคี่ยวกับเครื่องเทศจนเป็นสีน้ำตาลเหมือนหมูพะโล้ น้ำพริกกุ้งเสียบผักลวกและ สะตอผัดกุ้งใส่กะปิ ส่งกลิ่นยั่วปุยฝ้ายและนทียิ่งนักทำให้ทั้งคู่ไม่รีรอตักของกินเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย
    นทีลองชิมแกงปูเป็นอย่างแรก ด้วยความที่มันเป็นสีเหลืองนวลข้นไปด้วยกะทิคล้ายสีแกงเลียง หรือแกงเหลืองที่เขาเคยเห็น นทีจึงตักน้ำแกงเต็มช้อนซดเข้าไปทีเดียว พักเดียวเท่านั้นแหละหนุ่มน้อยแทบร้องจ๊ากออกมาด้วยความที่มันเผ็ดเหลือเกิน ร้องเรียกหาน้ำ ภาสกรก็ไม่ยอมส่งให้ นั่งขำหนุ่มน้อยที่เผ็ดจนหน้าแดง เส้นเลือดขึ้น แกล้งจนนทีส่งค้อนวงใหญ่มาให้ภาสกรจึงยื่นแก้วน้ำให้นทีดื่ม
    “เข้าใจนะว่าอาหารใต้ต้องเผ็ด แต่จะเผ็ดอะไรขนาดนี้”
    ภาสกรหัวเราะดังๆก่อนจะพูดว่า
    “เขาเอาไว้กินกับเส้นหมี่นี่... ซดเสียอย่างกับเป็นน้ำแกงจืด”
    “ก็ผมไม่รู้นี่นา” นทีส่งสายตาดุๆไปให้ แต่ด้วยความที่หน้าไม่ดุสักนิด จึงทำให้ภาสกรขำมากขึ้นไปอีก แทนที่จะเป็นกลัวเกรง
    
    กินร้านนั้นเสร็จแล้ว ทั้งสามก็ไปกิน โอ้เอ๋ว ขนมพื้นเมืองเป็นของหวาน จริงๆ ก็ไม่ได้พิเศษอะไรนักก็แว่วุ้นสีขุ่นๆ ใส่ถั่วแดง กล้วยไข่ โปะน้ำแข็งไสแล้วก็ราดน้ำแดงเท่านั้น จริงๆแล้วก็เหมือนน้ำแข็งไสที่หากินได้ทั่วไปทั้งในกรุงเทพและพัทยา ภาสกรจึและยทีงไม่ได้ตื่นเต้นอะไรนัก แต่ในเมื่ออาการที่ภูเก็ตร้อนตับแทบสุกอย่างนี้ ทั้งสามจึงกินขนมเย็นๆ หวานๆนั้นหมดได้ในเวลารวดเร็ว
    จากนั้น ภาสกรก็พานทีและปุยฝ้ายค่อยๆขับรถชมเมืองไปเรื่อยๆ พาแวะไปเที่ยวหาดอยู่กันสามสีชั่วโมง ซึ่งมีปุยฝ้ายคนเดียวที่จะมีกะใจเล่นน้ำ ภาสกรและนทีต่างก็ทั้งเหน็ดเหนื่อย ฝังใจกับเหตุการณ์เมื่อคืนอยู่จึงได้แต่นอนข้างกันบนเตียงผ้าใบ จ้องผืนน้ำกว้างใหญ่ และเพื่อนสาวผิวคล้ำวิ่งไปวิ่งมาอย่างมีความสุขเท่านั้น
    ตลอดเวลาที่หาดนั้น ภาสกรและนทีต่างก็ไม่ได้พูดกันมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ได้พูดเรื่องของทั้งคู่เลยแม้แต่น้อย จะมีหันมาจ้องตากันบ้างหลายครั้ง แต่เท่านั้นก็อุ่นใจเกินกว่าจะพูดจาอะไรกัน
    นทีสังเกตว่าภาสกรจะยกมือดูนาฬิกาอยู่บ่อยๆ จนอดไม่ได้เอ่ยถามขึ้น
    “คุณชายเป็นอะไร ดูนาฬิกาอยู่นั่น”
    ภาสกรยิ้มแล้วก็บอกว่า “เตรียมของไว้เซอร์ไพรส์คุณ ต้องคอยเช็คว่าถึงเวลาหรือยัง ไม่อย่างนั้นอาจจะไม่ได้ให้คุณดู”
    “ของอะไร” นทีเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ แต่คุณชายกลับยักไหล่น้อยๆ บอกเพียงว่า เดี๋ยวก็รู้ไปเอง ไม่ได้เปิดเผยอะไรให้นทีรู้มากกว่านั้น จนกระทั่งห้าโมงเย็น คุณชายหนุ่มก็ตะโกนเรียกปุยฝ้าย พากันขึ้นรถมุ่งหน้าไปดูอะไรก็ตามที่ภาสกรบอกว่าเตรียมไว้เซอร์ไพรส์หนุ่มน้อย
    พอเห็นป้ายบอกทางนทีถึงได้เข้าใจว่า “เซอร์ไพรส์” ที่ว่านั้นคืออะไร
    “คุณจะพาผมไปดูพระอาทิตย์ตกที่แหลมพรหมเทพเนี่ยนะ” หนุ่มน้อยถามเมื่อทั้งคู่เริ่มเข้าใกล้ปลายทางมากขึ้น ภาสกรหันมายิ้มให้แล้วก็ไม่ได้ตอบอะไร วนหาที่จอดรถจนเรียบร้อยแล้วก็พานทีลุยฝ้ายขึ้นไปถึงจุดชมวิว
    หญิงสาวผิวคล้ำคงพอจะรู้อยู่บ้างว่าตัวเองกำลังจะเป็นก้างขวางคอ คุณชายหนุ่มกับนที ก็เลยขอตัวไปทำท่าจะไปโทรศัพท์ แต่ก็คือแอบหนีไปยืนดูอยู่ไกลๆนั่นเอง หล่อนเห็นสองหนุ่มเต็มสายตา     
   
    “สวยไหม” ภาสกรถามเมื่อแสงตะวันเริ่มจางลง พระอาทิตย์เคลื่อนตัวต่ำลงจนเกือบจะสัมผัสผิวน้ำ ถามว่าสวยไหมเพราะตัวเขาไม่ได้มองมันอยู่เลย ได้แต่มองใบหน้าของนที อยากดึงหนุ่มน้อยเข้ามากอดไว้หลวมๆอย่างรักใคร่แต่ก็ไม่ทำ อยากจับมือ หรือโอบบ่า กอดคอเหมือนเพื่อนรักก็ไม่ทำ เพียงยืนข้างๆ มือเท้าขอบรั้วห่างกันไม่ถึงเซนติเมตรเท่านี้ก็อุ่นใจมากเหลือเกินแล้ว ที่ไม่ทำอย่างนั้น ไม่ใช่ไม่รักนที แต่เพราะรักมากจนต้องให้เกียรติเขาอยู่ตลอดเวลาต่างหาก
    “สวย” หนุ่มคนรักตอบเบาๆ “แต่เห็นหลายครั้งแล้วก็เลยเฉยๆ”
    “งั้นหรอ” ถาสกรว่า คราวนี้ถอนตาออกจากนทีในที่สุด มองดวงอาทิตย์ตรงหน้าสัมผัสกับผืนน้ำพอดี “แต่ผมชอบมากเลยนะ เวลาพระอาทิตย์ตกเนี่ย”
    นทีกำลังจะถามว่าทำไมแต่ภาสกรก็ชิงตอบเสียก่อนว่า “เพราะชื่อผมแปลว่าดวงอาทิตย์ ชื่อนทีแปลว่าน้ำ ตอนพระอาทิตย์ตกคือตอนที่พระอาทิตย์ได้สัมผัส หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับน้ำที่เขารัก”
     หนุ่มน้อยคิดว่าภาสกรจะพูดอะไรต่อไปอีกยาว แต่เขาคิดผิดเพราะภาสกรไม่พูดอะไรอีกเลย ถ้อยคำที่กล่าวไป กินใจมากพอแล้วโดยไม่ต้องพรรณนาอะไรให้ยืดยาวอีก มือของภาสกรเขยิบเข้ามาใกล้จนชนกับมือของเขา ค้างไว้อย่างนั้นเนิ่นนานจนอาทิตย์ลับขอบฟ้ารวมเป็นหนึ่งเดียวกับผืนน้ำ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 17-10-2011 23:53:32
จบแล้วเหรอ แงๆ
อ่านไปยิ้มไป มีความสุขที่ได้อ่านเรื่องนี้มากครับ
ขอบคุณนะครับที่แต่งนิยายดีๆ มาให้อ่าน
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: Non_stop ที่ 18-10-2011 00:04:25
 :impress3: :monkeysad:

ทั้งซึ่งทั้งน่าสงสารนทีเป็นที่สุด

คุณชายอยู่ข้างๆน่ะนทีน่ะ :กอด1:

ขอบคุณผู้แต่งน่ะค่ะที่มาให้หายคิดถึงกัน :L2:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: oilzii ที่ 18-10-2011 00:37:02
อบอุ่นจริงๆเจ้าค่ะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: u_cosmos ที่ 18-10-2011 00:44:55
คิดถึงคุณฟ้าม่วงมากกก
คิดถึงทุกคนเลยด้วยค่ะ

ตอนนี้มีแต่ความหวาน
คุณชายถนอมและเอ็นดูนทีจนเราอิจฉา  รักมากจริงๆสิเนี่ย ^^
ชอบพระอาทิตย์ตกดินของคุณชายจังเลย โรแมนติกแบบละมุน
ชอบมากกกกกกกก ค่ะ
ตอนที่สองจะเป็นยังไง รอติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: hobazaki ที่ 18-10-2011 01:29:33
กรีซซซซซซซซซ จบภาคแรกแสดงงว่าเดี๋ยวจะมีภ่คสองใช่มั๊ยคะ
รอบนี้สงสัยต้องผจญกับหญิงแม่ของคุณชายแน่เลย T^T  :o12:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: K3n0 ที่ 18-10-2011 01:46:34
คิดถึงคุณชายมากมาย   มาต่อไวไวนะครับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 18-10-2011 06:56:39
รอภาคต่อนะคะ หวานนนนนนนจริง
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: naja-kitase ที่ 18-10-2011 09:23:47
ตอนนี้มันช่างละมุน (ตัดตอนที่นทีเล่าย้อนหลังไปนะ อันนั้นหดหู่มาก)
กำลังหวานๆ แต่จะหวานได้ซักกี่ตอน เดี๋ยวจะมีมาม่าชามใหญ่มาเสิร์ฟใช่มั้ยคะ ฮือออ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: ต่ายน้อย ที่ 18-10-2011 09:55:39
น่ารักมาก อ่านแล้วยิ้มตามเลยอ่ะ
รอภาคสองครับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 18-10-2011 10:04:44
นทีน่าสงสาร เกลียดไอ้พ่อเลี้ยง เลวจริง
คุณชายต้องปกป้องน้องน้ำนะคะ

รออ่านต่อคะ
ขอบคุณ คุณฟ้าม่วงมากคะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 18-10-2011 11:20:18
เลวสุดขั้ว  ชั่วสุดขีด  แกรเลย  อดิสรณ์
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: MoPPeT ที่ 18-10-2011 12:52:09
อดิสรณ์เลวมากกกกก สมควรแล้วที่ถูกจับ แค้นแทนน้ำสุดๆเลยอ่ะ

คุณชายนี่น่ารัก อบอุ่นสุดๆเลย>//<
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: shizame ที่ 18-10-2011 13:49:29
กรี๊ด จบแล้ว...ภาคต่อไปคงเป็นเกี่ยวกับปัญหาชีวิตของฝั่งคุณชายที่ทำให้น้องน้ำต้องหวั่นไหว่บ้างแน่ ไหนจะสถานะทางสังคม ความเหมาะสม ฯลฯ

ชอบเรื่องนี้นะคะ เข้ากับธีมที่คุณฟ้าม่วงกล่าวไว้แต่ต้นว่าตัวละครมิติไม่ซับซ้อน แต่สามารถใช้ความสามารถทางภาษาเขียนบรรยายออกมาแสดงถึงอารมณ์ได้เยี่ยมเลยค่ะ

จะติดตามต่อไปนะคะ แล้วยังไงอย่าลืมหนุ่มๆในทาง3สายนะคะ เป็นเรื่องที่คาดเดาอะไรไม่ จนทำให้หน้าติดตามค่ะ :)
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: gumrai3 ที่ 18-10-2011 15:47:53
 :sad4:เค้าไม่ค่อยอยากให้มีภาค2เค้ากลัวน้ำต้องมาเจออะไรไม่ดีๆอีก ถ้าจะมีของให้น้ำมีความสุขนะๆ

:m31:พ่อคุณชายบทจะโง่ก็โง้โง่ ปล่อยหนูน้ำไปตั้งหลายครั้งจนไม่หวังอะไรกับคุณชายเลย

ที่ไม่ว่าอะไรก็เพราะหนูน้ำรักนะเนี่ย

ทำไมพ่อเลี้ยงมันเลวขนาดนี้ถ้ารักน้ำทำไมต้องให้คนอื่นข่มขื่นน้ำด้วย :m31:

+1 คะ   :pig4:ที่หนุน้ำปลอดภัยเเล้ว
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: from_mars ที่ 18-10-2011 19:08:28
ภาสกร นที บรรจบ แอร้ว...เขิลลค่ะ อิอิ
น่ารักนะ นที คุณชายรักษาไว้ และเตรียมจัดการกับครอบครัวเสียให้อยู่หมัดนะคะ!!!
แม่ยกรอถือป้ายเชียร์ค่ะ ขอบคุณที่มาลงต่อจ๊ะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: Rhythm ที่ 18-10-2011 20:06:59
ชอบอ่ะ สนุกมากเลยค่ะ o13
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: kogomon ที่ 19-10-2011 19:29:29
 :o8:
 :-[ :-[

ไม่มีคำบรรยาย
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: indy❣zaka ที่ 19-10-2011 19:57:17
ไอ้อดิสรณ์ เลวขนาดนั้นนนน ยังเรียกว่าเป็นคนได้อีกหรอออออออ  :angry2: :angry2:
ส่วนคุณชาย  มาแอบหวานส่งท้ายหรอคะ แหมๆๆๆ  :m3:

แต่ก็ยังเหลืออุปสรรคอีกเยอะ  ทั้งยัยคู่หมั้น ทั้งครอบครัวคุณชาย  :เฮ้อ:  ยังไงก็สู้ๆนะจ๊ะน้องน้ำ  :a2:
แล้วคุณชาย  ก็ขอให้คงความฉลาดอย่างงี้ต่อไปนะคะ
อย่าไปควาย แบบที่ผ่านๆมาอีก ก็แล้วกัน  o18
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: milkshake✰ ที่ 20-10-2011 02:14:18
ขอให้คุณชายกับนทีรักกันไปนานๆ ด้วยเถอะ > <~
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: Still_14OC ที่ 21-10-2011 01:54:48
สงสารน้องน้ำ มรสุมชีวิตเยอะโคตร นี่จบภาค1

ภาค2 นี่ น้องน้ำ ต้องเข้าวังผกากรอง ฟาดฟันกับหม่อมแม่ และยัยฟ้า ใช่มั้ย

แต่ แบล็คน้องน้ำ ก็แน่นอยู่นะ ทั้งฝ้าย คุณหญิงดา พี่ชายรัตอีกคน รอๆๆๆ ภาค2 เร็วๆ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: A-J.seiya* ที่ 25-10-2011 00:52:29
ไม่ได้ตามมาซักพัก
จู่ๆ ก็จบภาค ๑  ,,, งงเล็กน้อยยย
แต่ว่า น้องน้ำ!!! ทำไมชีวิตบัดซบได้ขนาดนี้วะคะ?
โฮววว สงสารหนูจริงๆ
ต่อไปนี้คุณชายต้องดูแล ดีดี นะะะะ
^^
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 25-10-2011 15:19:29
รอตอนกลับวังคร้าบบบบบ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: boworange ที่ 25-10-2011 15:35:55
บอกได้คำเดียว  o13 o13
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: viky_mama ที่ 25-10-2011 23:03:16
ผู้ชายดีๆ แบบคุฌชายจะหาได้ที่ไหนค้า
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: nona159 ที่ 27-10-2011 21:53:31
จบซะและภาคแรกไปกินมาม่าต่อภาคสอง
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: ♫~Eristneth~♪ ที่ 29-10-2011 16:31:45
เเล้วภาค 2 จะมาเเนวไหนเนี่ย  o18
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: TDDTDO ที่ 31-10-2011 01:38:17
สนุกมากๆเลยครับ รอติดตามภาค 2  ... นทีตัวน้อยคงต้องไปสู้รบปรบมือกับหม่อมแม่ หม่อมพ่อ แล้วก็นังฟ้านั่น
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: howru ที่ 31-10-2011 21:03:10
ต้องบอกไว้ก่อนว่า เคยเข้ามาอ่านครั้งนึงแล้ว แต่อ่านไม่จบเพราะไม่มีเวลาอ่านนิยายในเล้าเลย
พอมีเวลากลับมาอ่านนิยาย เจือกลืมอ่านเรื่องนี้.. ในหัวจำได้คร่าวๆว่าตอนแรกๆมันรันทดจิต แต่จำชื่อเรื่องไม่ได้  :z3:
ที่กลับมาอ่านได้เนี่ยก็เพราะอยากอ่านนิยายที่โพสต์จบแล้วดูบ้าง แล้วบังเอิญมากดเรื่องนี้อ่านพอดีเลย อ้ากกก

บอกตรงๆ อ่านตอนแรกๆ อึดอัด รันทดจิต ทำไมชีวิตนายเอกมันช่าง  :o12:
แล้วยิ่งมารู้ตอนจบว่าโดนอะไรมาบ้าง(เล่นเล่าให้คุณชายฟังซะละเอียด ยิ่งดราม่าจริงๆ) แต่ก็ขอบคุณคนแต่งที่ทำให้มันจบ Happy Ending ได้

ติดตามผลงานต่อไป.. มีภาคสองหรือยังอะ หรือมีแล้ว หรือยังไม่มี ???
(ชั้นไม่เคยตามอะไรทันเลยจริงๆ  :serius2:)
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: ToffeE_PrincE ที่ 08-11-2011 20:34:15
จะมีภาคสองไหมนะ
รอติดตามครับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 12-11-2011 13:53:23
อ่านภาค 2 ได้ที่นี่นะครับ: http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,29623.msg1681811.html#msg1681811
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: momotar ที่ 30-01-2012 23:22:48
คุณชายภาสกรกับน้องนที
กว่จะเข้าใจกันได้ก็เกือบสายไปเสียแล้ว

ชีวิตน้องน้ำรันทดมาก แต่น้องก็ยืนหยัดสู้จนมาถึงทุกวันนี้ได้
วันที่มีคนปกป้อง วันที่มีคนคอยดูแลแล้ว ><

เราประทับใจตอนที่คุณชายกำลังสับสนเป็นอย่างมาก
ตอนไปเที่ยวน้ำตกกัน
คุณชายอยากทำอย่างนั้นอย่างนี้กับน้องน้ำ ได้แต่วาดฝัน
อดกลั้นไว้ ตอนนั้นรู้สึกได้ถึงความอัดอั้นที่จวนเจียนจะล้นอยู่แล้ว
อยากทำ อยากรู้ว่าที่ทำนั้นจะให้ความรู้สึกแบบไหน
คนอ่านก็ โอ๊ยยยยยยยยยยยยย คุณชายผู้มีความอดทนสูง
ทนได้เยี่ยงไรเล่านั้น
แล้วตอนที่เรียก "นทีจ๋า"
เขินมากกกกกก สิ้นสุดเสียทีที่อดกลั้นมานาน
ต้องขอบคุณกามเทพคนเป็นในเรื่องทุกคนที่ช่วยให้น้องน้ำกับชายภาสใจตรงกันเสียที
ปล.ชอบยัยปุยฝ้ายมาก 5555
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: pure_ka ที่ 04-02-2012 10:28:05
เข้ามาดัน เรื่องดีดีให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: kaowkong ที่ 09-02-2012 01:48:48
ชอบอ่ะๆๆๆ...รอต่อภาคสองนะคร้าบบ.. :impress2:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: express_men ที่ 04-03-2012 11:03:56
รออ่านภาคต่อไปครับ ยังต้องผ่านด่านพ่อแม่ อีก
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: pplotti ที่ 12-03-2012 20:16:23
 :o8:คุณชายดูอบอุ่นจริงๆๆๆๆๆ   รักตายเลยยยย...
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: kisz ที่ 30-04-2012 08:57:46
ภาคสองนี่จะลุยกับทางบ้านของคุณชายใช่มั้ยคะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 02-05-2012 15:01:32
คุณชาย..... หวานได้อี๊กกกกกก
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: มะขวิด ที่ 03-05-2012 23:07:50
แต่งได้ดีมาก o13  ไม่เวอร์เกินไป  แล้วก็ดูน่ารักมากเลยด้วย  เป็นธรรมชาติที่สุด
ฉากมาม่านี่นะ  กินทีน้ำตาจะไหล :sad4: :sad4:  อิอิ  เป็นกำลังใจให้เขียนต่อไปนะครับ  :3123:
ชอบ ฝ้ายอ่ะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: Yร้าย ที่ 30-05-2012 18:51:51
ก่อนอ่านเม้นก่อน..ถึงอ่านช้าไปเป็นปีก็ช่างเถอะเนอะ....
ปางบรรพ์ข้าพเจ้าอ่านแล้วชอบมาก....
สงสารพาทิศนะ..อยากให้มีใครซักคนอยู่ข้าง ๆ พาทิศ...
แต่จบแบบนั้นก็ดีเหมือนกัน...
เอาล่ะจะเริ่มอ่าน..คุณชาย...แล้วนะเจ้าคะ :bye2:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: Homepage ที่ 10-06-2012 17:30:31
ประทับใจกับภาษาในเรื่องนี้มากเลยครับ อ่านแล้วอบอุ่นทั่วไปทั้งหัวใจ
แอบคิดเหมือนกันว่าชีวิตของนทีน่าสงสารมาก ในโลกนี้จะมีใครพบเจอเหตุการณ์แบบนี้อีกมั้ยนะ ?
แต่อย่างน้อยนทีในตอนนี้ก็มีความสุข (: เดี๋ยวจะตามไปอ่านภาคสองต่อนะครับ

ขอบคุณที่นำเรื่องราวดี ๆ แบบนี้มาแบ่งปันกัน ^ ^"
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: sam15225 ที่ 22-06-2012 11:26:16
 o13

ประทับใจมากครับ
ตามไปอ่านภาค 2 ต่อ  :bye2:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: Final_love ที่ 17-10-2012 21:23:24
บอกได้คำเดียวว่า

" ชอบบบบบบบบบบบบ " o13

อ่านได้อารมณ์มากเลยอ่า ตอนจบเขินนะว้อย :-[

ตูฟินนนน~ ^w^

 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: Baitaew ที่ 20-10-2012 02:10:33
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วสนุก o13

ตอนแรกที่อ่านอ่านนั้น ก็คิดขึ้นมาทันทีเลยว่า...

เรื่องนี้มันจะดำเนินไปยังไงนะ จะจบลงยังไง ในเมื่อทั้งสองต่างกันมากเพียงนี้

ด้วยเพราะความคิดนี้จึงอ่านตอนต่อๆไป ยิ่งอ่านยิ่งสนุก

เพลินไปกับภาษาที่ใช้ เป็นภาษาที่สวยงาม มีผิดบ้างก็คงเพราะเขียนตกเขียนผิดแบบไม่ตั้งใจนั่นแหละ

ตัวละครที่ชอบมากเห็นจะเป็น คุณหญิงดาริกา เธอช่างเป็นผู้หญิงที่น่าคบหาอย่างยิ่ง และเป็นตัวกระตุ้นคุณชายได้ดีทีเดียว

นทีนี่ก็ช่างน่าสงสาร ถ้าหากเป็นเราเจออย่างนั้นจะมีสภาพแบบไหนกันนะ

จะแบบนทีหรืออาจจะหนักกว่า ก็เรื่องมันช่างโหดร้าย

คุณชายภาสกรนี่ช่างดีแสนดี แต่ติดตรงอยู่ในกรอบ จนน่ารำคาญ กว่าจะคิดได้ก็เกือบเสียนทีไปเสียแล้ว

ชีวิตของคนมียศมันช่างน่าอึดอัด

เอาเป็นว่าจะรออ่านภาคสองนะคะ จะเป็นอย่างไรหนอ ก็คงจะเจออุปสรรคมิใช่น้อยเลยทีเดียว สู้ๆคุณชาย-นที

แล้วก็คุณนักเขียน :)

ตอนจบคุณชายพูดซะซึ้ง >.<



(รู้สึกเหมือนตัวเองติดภาษามาจากเรื่องนี้ ฮ่าๆๆ)
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 29-10-2012 02:02:44
รอภาคสองครับ :pig4:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 10-12-2012 19:44:03
ผมเพิ่งเคยเห็นเรื่องนี้ ส่วนตัวเพิ่งรู้จักบอร์ดนี้ได้ไม่นาน จึงไม่ได้มีโอกาสได้ติดตามเรื่องนี้ เพิ่งจะเคยอ่าน จึงขอออกความเห็นเชิงวิเคราะห์เอาไว้สักนิด

อันกับแรกแรก ผมชอบใจมากเกี่ยวกับการ 'ชี้แจ้งแถลงไข' ของผู้ประพันธ์ เป็นการสื่อประเภทของนิยายได้ครบถ้วนกระบวนความ และสื่อถึงเจตนารมย์และจุดมุ่งหมายในการแต่งได้อย่างครบถ้วน

แต่อย่างไรก็ดี การดำเนินของเรื่องขัดกับสิ่งที่เกิดขึ้นในด้านความเป็นจริงหลายๆตัวอย่าง ต้องขออธิบายไว้ตรงนี้เสียก่อน ว่านิยายแนว 'สมจริง' นั้น ทุกการกระทำที่ไม่ใช่อารมณ์หรือความรู้สึกต้องเกิดขึ้นอย่างสมเหตุสมผล ผลลัพธ์ทุกสิ่งต้องสมเหตุสมผล แม้การกระทำส่วนตัวจะเป็นเรื่องของดุลยพินิจส่วนบุคคล แต่การจั่วหัวเอาไว้ก็ทำให้ผู้อ่านที่มีความรู้ลึกหลายๆคนมีความคาดหวังที่สูง บางสิ่งที่เกิดมัน 'บังเอิญ' จนเกินไป มันก็ทำให้อาจผิดหวัง

เช่น การบุกตรวจโดยไม่มีหมายจับและหมายค้น ในทางกฏหมายและคดีความ หากกระทำการที่ผิดกฏหมายในเชิงเบื้องต้น ในชั้นความของตะวันตก หลักฐานเหล่านั้นทั้งหมดจะถูกยกเป็นโมฆะ อดิสรณ์จะไม่มีวันเข้าคุกได้เลยถ้ามีทนายดี หรือจะเป็นข้อเท็จจริงในบางเรื่องต่อมา เช่น การมีชนชั้นเป็นหม่อมราชวงศ์ มิได้ปิดกั้นสมาคมฉันท์มิตรสหาย พระสหายบางคนของผมมีศักดิ์เป็นบุตรของหม่อมราชวงศ์ แต่นั้นก็ไม่ได้ปิดกั้นความเป็นกัลยาณมิตรและมิตรแท้ของเรา รวมถึงการศึกษาที่อีตันในวัยเด็กก็ทำให้ผมเห็นว่าชนชั้นปกครองนั้นอาจมีท่าทางการวางตัวที่ค่อนข้างเคร่งครัด แต่ลึกๆแล้วปัจจุบันข้อบังคับของชนชั้นสูงชาวไทยเดี๋ยวนี้ลดหย่อนและผ่อนผันได้พอสมควร ทำให้ไม่ต้องเกร็งมากนัก

นั้นเป็นสองข้อแรกที่ผมมองว่าค่อนข้างจะออก 'นิยาย' เล็กน้อย แต่โดยรวมถือว่าผู้แต่งเขียนได้ดีมาก การค้นคว้าข้อมูลต่างๆก็ทำได้ดี กลอนหลายตัวยกมาได้เหมาะสม การบรรยายความคิดสับสนของตัวละครทำได้ดี ความเห็นแก่ตัวเบื้องลึกและความปรารถนาความรักของตัวนางก็ทำได้สมจริง เพราะไม่มีใครหรอกที่ไม่โหยหาความรักและไม่เห็นแก่ตัว (ยกเว้นถ้าผู้นั้นเข้าถึงความเพียงพอและสัจธรรมในระดับพุทธศาสนา) ยิ่งถ้าแบ็คกราวน์แบบนทียิ่งสมควรเห็นชัด ซึ่งก็บรรยายออกมาได้ดี ความโลเลของพระเอกจากชาติตระกูลก็เขียนออกมาโอเค

ผมชอบเรื่องนี้มาก ถ้าตัดสองข้อแรกที่ดูไม่สมเหตุสมผลออกไป เรื่องนี้จะมีคุณค่าทางวรรณศิลป์และคุณค่าทางสังคมสูง แต่เนื่องจากยังมีจุดผิดพลาดอยู่บ้าง ก็ยังนับว่าใช้ได้และดีพอสมควรครับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: Purple_Sky ที่ 10-12-2012 20:05:20
ตอบคุณ Grey Twilight

ขอบตุณมากครับที่มาแสดงความคิดเห็นครับจะนำข้อมูลไปปรับปรุงต่อไปให้นิยายดียิ่งขึ้นครับ
และขออนุญาตชี้แจงด้วยว่า ที่บอกว่าเป็นนิยาย "สมจริง" นั้นหมายถึง เป็นนิยาย Realistic ที่ไม่ใช่นิยายแฟนตาซี ไซไฟ อะไรพวกนี้ แต่จะเห็นได้ชัดว่าในเรื่องที่เขียนมาค่อนข้าง Melodramatic คือเว่อร์ๆ ฟุ้งๆ มีความบังเอิญ มีความเป็นไปไม่ได้เกิดขึ้นดูเป็นนิยายไม่ใช่เรื่องจริง ทั้งนี้เพราะเป็นความตั้งใจของผมครับที่จะคงความเป็นนิยายไว้ เพราะไม่ได้ตั้งใจให้เขียนเหมือนเรื่องจริงหรือเล่าประสบการณ์แต่อย่างใด ในส่วนของความไม่สมจริงทั้งหลายเช่น สิ่งที่เกิดขึ้นในนิยาย ไม่สามารถเกิดได้ในความเป็นจริง หรือผิดเพี้ยนไปจากความเป็นไปได้ทางกฏหมาย หรือฐานันดรศักดิ์ และสภาพทางสังคมของชนชั้นต่างๆ อันนี้เกิดจากความบกพร่องของผมเองล้วนๆที่หลายๆครั้งก็ไม่ได้ทำการบ้านและเข้าใจบริบทต่างๆของเรื่องที่ต้องการจะเขียนได้ดีพอครับ ยังไงก็ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้ผิดหวัง และขอบคุณอีกครั้งที่ช่วยมาวิจารณ์ครับ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: Number1_90 ที่ 11-12-2012 19:02:05
สนุกมากค่ะ o13

เเต่คุณชายนี่ ตอนเเรกๆเเทบอยากจะยื่นน้ำมันตับปลาให้เลย ฉลาดน้อยเสียจริง  :angry2:

ส่วนน้องน้ำชีวิตคุณน้องช่างบัดซบเสียนี่กระไร เหนื่อยเเทน  :เฮ้อ:

รอภาคต่อไปค่ะ :bye2:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: automaton ที่ 11-01-2013 13:29:50
สนุกอย่างแรง อ่านจนไม่กินข้าวกินปลา ปวดหลังกันเลยทีเดียว

ขอบใจที่สละเวลาส่วนตัวมาแต่งนิยายเพื่อความบันเทิงแก้เล้านี้
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: l2_in* ที่ 08-04-2013 23:16:34
แอร๊ยยย ในที่สุดก็รักกันได้
พ่อเลี้ยงเลวมากอ่ะ คุณชายก็ซื่อเกิ๊นนนน
เชียร์คุณหญิงดาริกากับนที  ฮิ้วววววว 55

ตามมาจากปางบรรพ์ อ่านทั้งวันเลย ชอบคนแต่งมาก ><
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 08-05-2013 00:48:00
เคยอ่านปางบรรพ์แล้วชอบมากมาแล้ว
ถึงเรื่องนี้จะไม่แนวพีเรียดแบบที่ชอบ แต่ก็ชอบมากเหมือนกันค่ะ

คุณหญิงดาวิกาน่ารักมากๆเลย อิอิอิ

เรื่องนี้มีช่วงให้อึน หน่วงอยู่บ้าง และต้องคอยลุ้นเรื่องอดิสรณ์ว่าจะโผล่มาเมื่อไหร่
เรียกได้ว่าอ่านไปก็ระแวงไป แต่โชคดีได้อ่านแบบที่ภาคนี้จบแล้วอย่างต่อเนื่อง
ความระแวงเลยหายไปอย่างรวดเร็ว

เป็นกำลังใจสำหรับเรื่องต่อๆไปตลอดนะคะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: Chichi Yuki ที่ 30-07-2013 14:54:27
แว๊บมาลงชื่อไว้ก่อน เดี๋ยวหาไม่เจอ อิอิ  :mew3:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: TiwAmp_90 ที่ 08-09-2013 03:41:46
เป็นเรื่องที่น่ารักและหวานมากกก
คือแบบให้อารมณ์แฟนกันตั้งแต่แรกๆแล้วจริงๆ
มองตาก็เข้าใจ อบอุ่น
พูดแล้วอิจฉาา 5555555+
 :mew3:
แต่สงสารน้ำเหมือนกันที่ถูกกระทำแบบนั้น
ไอ้อดิสรณ์ไม่สมควรเข้าคุกเฉยๆนะเนี่ย
น่าจะถูกยิงพรุนทั้งตัวอะไรประมาณนั้นมากกว่า (โหด!!!!)

เอาเป็นว่าจะติดตามภาคต่อนะคะ
คิดว่าน่าจะมีนะ เพราะมันจบแบบแปลกๆมากเลย 5555
อันที่จริงคือ อยากให้มีมากกกกก
ไม่อยากให้จบเลยจริงๆค่ะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: The_Beggar ที่ 11-09-2013 12:19:37
 :z10: :z10:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: miyuujung ที่ 10-04-2014 21:57:17
ที่เกาะนั่นตำรวจคงเจอหลักฐาน อื่นอีกแหละ ไม่งั้นพี่เต ไม่พูดว่า ค้ายา ค้าอาวุธด้วยหรอก โทษฐานมีอาวุธเถื่อน ยาเสพติดไว้ในครอบครอง แถมยังอยู่ในเกาะส่วนตัวอีก ต่อให้ทนายเก่งระดับปรมาจารย์แค่ไหนก็ช่วยอีตาพ่อเลี้ยง(เลว)อดิสรณ์ไม่ได้หรอก
เรื่องนี้ให้อารมณ์ดาร์คๆ หน่วงๆผสมกับ อบอุ่น อ่อนโยน
ณ จุดนี้ ขอชื่นชมคุณหญิงดาริกา และครอบครัว เป็นก๊วนกามเทพช่วยพระนายที่ดีมากๆ ยิ่งคุณหญิงดา เป็นมิตรแท้ที่น่าคบที่สุด ฝ้ายก็ดีมากๆ
นทีเจอเรื่องเลวร้ายมากนะ เกินกว่าที่คนๆหนึ่งจะอยากดำรงชีวิตอยู่เลยแหละ แค่เรื่องตัวเองโดนกระทำก็หนักหนาเอาการแล้ว ยังต้องเห็นแม่อีก โชคดีที่นทีได้เจอคุณชาย แต่เคราะห์ก็ซ้ำกรรมก็ซัด ต้องไปปะฉะดะ กับหม่อมแม่อีก แค่คิดก็ เฮ้อออออ
จะตามไปอ่านต่อแน่ๆๆค่ะ ขอบคุณคนเขียนสำหรับนิยายค่ะ 
*โน้ตไว้สำหรับข้อความประทับใจ ("นที..จ๋า"-โดยคุณชายภาสกร//ตอนที่อ่าน:กรี๊ดแทบลั่น อิอิ)
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 17-11-2015 15:49:34
น้องน้ำน่าสงสารมาก
อ่านแล้วเจ็บแทนจริงๆ
อดิศรแย่มากๆ เลวร้ายที่สุด

ขอบคุณคนเขียนมากนะคะ
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: akeins ที่ 20-11-2015 16:51:06
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง ที่ 12-12-2015 11:51:02
ถ้าสังคมเปิดกว้างกว่านี้ นิยายเรื่องนี้เหมาะที่จะเอาไปสร้างเป็นละครมากๆเลย เนื้อเรื่องได้ใจมาก ว่าแล้วก็ตามไปอ่านภาค 2 ต่อ

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: sawapalm ที่ 12-12-2015 21:49:27
ภาค 2 จะดราม่าขนาดไหน ต้องติดตามจริงๆๆๆๆ :mew4:
หัวข้อ: Re: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
เริ่มหัวข้อโดย: GMT101 ที่ 25-06-2017 12:15:12
 :mew1: