พิมพ์หน้านี้ - The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Xenon ที่ 22-06-2011 12:17:08

หัวข้อ: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 22-06-2011 12:17:08
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)


กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 



----------------------------------------------

นิยายเก่า ๆ ที่ลงไว้ (จบแล้ว)
คุณตำรวจยอดรัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=16626.0)  ,  คุณอาที่รัก(แนวโชตะ) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=17582.0)  , กรงรัก...พันธนาการใจ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=19318.0)  , The Eden School (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=27513.0)  , ดวงใจจ้าวมังกร (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=24780.00) , ม่านราตรี (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=27757.0) ,   Miracle Café (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34057.0) 
ลิขิตรักอสุรกาย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=35637.0)    ,  เรื่องวุ่น ๆ ของคุณ รปภ. (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39294.0)    , ขอโทษที คนนี้พี่จองแล้ว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43240.0)    , กรงรัก พันธนาการใจ (ฉบับรีเมก) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43253.0)


เรื่องสั้น
คุณพี่...ที่รัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=20403.0)   ,  สัญญา สายใย เชื่อมใจรัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=33672.0)


นิยายที่ยังไม่จบ
-
หัวข้อ: Re: [J-novel] The Eden School.... Chp.1
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 22-06-2011 12:17:38
สารบัญ:
-----------

สวัสดีค่ะ ระหว่างที่กำลังปั่นนิยายเรื่องใหม่ติดพัน ก็เลยเอาเรื่องเก่ามาขัดตาทัพให้ลงอ่านกันอีกแล้วค่า
เป็นนิยายแนว J-novel หรือชื่อตัวละครเอกเป็นญี่ปุ่นนั่นเอง ...เหมือนกรงรักพันธนาการใจ งานอีกเรื่องของปัด (จะบอกว่ามันมีตัวละครในเรื่องนี้เกี่ยวโยงกันนิดหน่อยด้วย)

เรื่องนี้เขียนนานพอ ๆ กับเรื่องกรงรักฯ ดังนั้นก็อาจจะมีข้อผิดพลาดให้เห็นเยอะ ยังไงก็ขออภัยไว้ล่วงหน้าด้วยนะคะ ^ ^"

และจะทยอยแปะให้อ่านเรื่อย ๆ ค่ะ สำหรับนิยายเรื่องนี้ ตอนปกติจะค่อนข้างสั้นไปนิด แต่ตอนพิเศษนี่เยอะ พอ ๆ กับเรื่องหลักเลยทีเดียวค่ะ (ปัดถนัดเขียนตอนพิเศษจบเป็นตอน ๆ มากกว่าน่ะค่ะ)

-------------------แล้วเจอกันเรื่อย ๆ นะคะ   :pig4:



บทที่ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=27513.msg1525410#msg1525410)
บทที่ 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=27513.msg1526351#msg1526351)
บทที่ 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=27513.msg1527443#msg1527443)
บทที่ 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=27513.msg1528664#msg1528664)
บทที่ 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=27513.msg1530147#msg1530147)
บทที่ 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=27513.msg1530149#msg1530149)
บทที่ 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=27513.msg1531417#msg1531417)
บทที่ 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=27513.msg1532790#msg1532790)

Special #1 : Happy Birthday, Morpheus. (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=27513.msg1533423#msg1533423)
Special #2 : Festival (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=27513.msg1534870#msg1534870)
Special #3 : The Diary (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=27513.msg1535746#msg1535746)
Special #4 : Boyfriend (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=27513.msg1537841#msg1537841)
Special #5 : My sassy woman (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=27513.msg1537845#msg1537845)
Special #6 : Holiday / I (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=27513.msg1538899#msg1538899)
Special #7 : The Mafia Family (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=27513.msg1541335#msg1541335)
Special #8 : Holiday II (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=27513.msg1541337#msg1541337)
Special #9 : Story of Lee Chang (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=27513.msg1542301#msg1542301)
หัวข้อ: Re: [J-novel] The Eden School.... Chp.1
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 22-06-2011 12:24:31
Chp. 1


“นาโอกิ…นาโอกิ… นาโอกิ ยูยะ!!”

เสียงตะโกนดัง ๆ ใกล้ ๆ หู ทำเอาเด็กหนุ่มผมดำที่กำลังหลับสนิทอย่างเป็นสุขสะดุ้งเฮือก ก่อนที่นัยน์ตาสีดำจะกวาดมองไปเบื้องหน้า ด้วยความเบลอ แล้วก็ต้องพบกับสายตาของเพื่อน ๆ ร่วมชั้นหันกลับมามองยัง เขา อย่างสมเพช เวทนา แกมเห็นอก เห็นใจอย่างสุดซึ้ง

“ยังไม่หายง่วงดีสินะ นาโอกิ!”

น้ำเสียงเข้มข้าง ๆ ดังขึ้น นาโอกิ ยูยะ เริ่มรู้สึกหนาวสันหลังวาบ เพราะจำได้อย่างชัดเจนว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของใคร เขาค่อย ๆ หันไปทางด้านข้างช้า ๆ ก็พบว่าชายหนุ่ม รูปร่างสูงใหญ่ กำลังใช้นัยน์ตาสีเขียวคู่สวย จ้องมองเขาเขม็งอย่างน่ากลัว

“กล้าดีมากนะ นาโอกิ ที่บังอาจหลับในชั่วโมงเรียนของฉันอย่างนี้ หักคะแนนความประพฤติ 10 คะแนน แล้วเย็นนี้หลังเลิกเรียนแล้วตามไปพบฉันที่ห้องด้วย”

น้ำเสียงทุ้มเข้ม เอ่ยเน้นหนักอย่างแผ่วเบา หากทว่า บรรยากาศอันเงียบสงัดในห้องเรียนยามนี้ ก็ทำให้ทุกคนภายในห้องได้ยินเนื้อความนั้นถนัดชัดเจนทุกคน

เด็กหนุ่มมองตามเบื้องหลังของร่างสูงไปด้วยสีหน้าอยากจะร้องไห้ เต็มที่

…เส้นผมยาวสีทองสลวยถึงกลางหลัง ซึ่งเจ้าตัวมักจะมัดเอาไว้อย่างเรียบร้อยเสมอ รวมไปถึงนัยน์ตาสีเขียวสดใส จมูกโด่งคมสัน ริมฝีปากหนาได้รูป แล้วก็ผิวสีขาว เนียน น่าสัมผัสนั่น …ทั้ง ๆ ที่มีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา จนเด็กสาว ๆ ในโรงเรียน ตั้งฉายาว่าเทพบุตร แต่ทำไมสำหรับเด็กหนุ่มแล้วกลับดูเหมือนว่านายคนนี้ ดูยังไงก็เป็นซาตานร้ายกลับชาติมาเกิดเสียมากกว่า

และเขานั่นล่ะ …มอร์เฟียซ คาเตอร์ อาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์ ซึ่งควบตำแหน่งอาจารย์ฝ่ายปกครองจอมเฮี้ยบ ของสถาบันการศึกษาเอกชน อีเดน สถานที่รวบรวมบุคลากรหัวกะทิในด้านต่าง ๆ ทั่วทุกมุมโลก ตั้งแต่ระดับอนุบาล จนถึงระดับปริญญาเอก เข้ามาอยู่รวมกันด้วยความเสมอภาค โดยไม่มีการแบ่งแยกชั้น วรรณะ อย่างใดทั้งสิ้น

ยูยะเองก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนของเด็ก ๆ ที่ถูกเลือกให้มาเข้าเรียนในโรงเรียนแห่งนี้ ซึ่งตอนแรกนั้น เขาค่อนข้างแปลกใจและงุนงงเป็นอย่างมาก เมื่ออยู่ดีๆ ก็มีซองจดหมายสีเทาลึกลับประทับตรารูปอินทรีสีแดงสด ส่งมาที่บ้านของเขา พร้อมข้อความยินดีต้อนรับให้เข้าศึกษาในสถาบันอีเดนแห่งนี้ ซึ่งเมื่อพ่อและแม่เขาทราบก็ทำให้ท่านทั้งสองถึงกลับหลั่งน้ำตาด้วยความปลื้มปิติ เพราะต่างก็รู้กันดีว่า อีเดน คือสถาบันการศึกษาชั้นยอด และนักเรียนส่วนใหญ่ที่จบการศึกษาจากสถาบันนี้ ต่างก็ได้ทำงานในตำแหน่งใหญ่โต หรือกลายเป็นบุคคลสำคัญระดับโลกเกือบแทบทั้งสิ้น

จากนั้น ยูยะจึงเริ่มใช้ชีวิตอยู่ในสถาบันแห่งนี้เป็นต้นมา หากแต่เด็กหนุ่ม และบรรดานักเรียนที่ถูกพามา แต่ละคนไม่รู้เลยว่า อีเดนนั้นตั้งอยู่ส่วนใดในโลกใบนี้ รู้แต่เพียงว่า อีเดน เป็นสถาบันการศึกษาที่ใหญ่โตจนเปรียบได้ กับเป็นเมือง ๆ หนึ่ง ซึ่งครบไปด้วยสาธารณูปโภค รวมไปถึงสถานบันเทิงรูปแบบต่าง ๆ มากมาย เพียงแค่นั้น

เด็กหนุ่มถูกเลือกให้เข้าเรียนในห้อง ม.4 / Z ห้องซึ่งจัดว่าเป็นหัวกะทิที่สุดภายในสถาบัน และนับตั้งแต่วันที่เขาย้ายเข้ามาที่นี่ จนกระทั่งบัดนี้ที่เขากำลังศึกษาอยู่ชั้นม.5 แล้วนั้น มอร์เฟียซ คาเตอร์ ก็เปรียบเสมือน ซาตานร้ายที่คอยจะจ้องหาเรื่องแกล้งหักคะแนน และเรียกเขาไปอบรม จนหูชาเสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน

“ซวยชะมัดเลยนะยูยะ!”

เสียงจิมมี่ ชไนเดอร์ เด็กหนุ่มผมแดงตาสีฟ้า เพื่อนซี้ชาวอเมริกาของยูยะ โพล่งขึ้นดัง ๆ หลังจากที่คาเตอร์สอนเสร็จและออกไปจากห้องแล้ว

“ทำไมนายไม่ยอมปลุกฉัน จิมมี่! ฉันเลยต้องโดนเจ้าปีศาจนั่นหักคะแนนอีกจนได้ แถมเย็นนี้คงต้องอดข้าวเย็นอีกแน่ ๆ หมอนั่นเวลาเทศน์ที อย่างน้อย 3 ชั่วโมงอัพทุกครั้ง แย่ชะมัด!”

ยูยะบ่นอย่างหัวเสีย ส่วนจิมมี่ได้แต่ยิ้มแหย ๆ ก่อนจะแก้ตัวเสียงอ่อย

“ฉันก็พยายามจะปลุกนายอยู่หรอกนะ แต่ทีนี้ตาอาจารย์แกดันตวัดมาจ๊ะเอ๋ ฉันเข้าพอดี ฉันเลยอึ้ง ค้างไปอย่างนั้นเลย นายก็รู้ว่าตาของคาเตอร์ น่ะ เหมือนตาเมดูซ่า มองทีไรแทบจะแข็งเป็นหินไปทุกครั้ง”

ยูยะถอนหายใจแรง ๆ จะโทษจิมมี่ก็ไม่ถูกหรอก หากเขาเองเจอแววตาแบบนั้นเข้า ก็คงจะเป็นอาการเดียวกันนั่นแหละ ไม่รู้บรรดาแฟนคลับของหมอนั่น เทิดทูนให้เป็นเทพบุตรได้ยังไงกันนะ เฮอะ! ซาตานในคราบเทพบุตรล่ะสิไม่ว่า

“ว่าแต่ทำไมนายถึงหลับอุตุ ไม่รู้เรื่องอย่างนั้นล่ะยูยะ ทุกทีไม่เคยเห็นหลับในห้องเรียนไม่ใช่หรือไง”

จิมมี่ถามขึ้นด้วยความสงสัย ในขณะที่พวกเขากำลังเตรียมเก็บของเพื่อเปลี่ยนห้องเรียนกันอยู่นั้น

“พอดีเมื่อคืน ฉันเกิดครึ้มอกครึ้มใจอะไรขึ้นมาไม่รู้ แต่งเพลงใหม่ได้หลายเพลง ไป ๆ มา ๆ กว่าจะเขียนเสร็จก็ล่อเอาเกือบสว่าง มันก็เลยมีสภาพอย่างที่เห็นนั่นล่ะ”

ยูยะตอบเพลีย ๆ ซึ่งเมื่อเด็กหนุ่มพูดจบ คนอื่น ๆ ซึ่งอยู่แถว ๆ นั้น ก็หันขวับมาทางเขาทันที

“เฮ้! นาโอกิ แต่งเพลงเสร็จแล้วงั้นหรือ ไว้เย็นนี้เล่นให้ฟังหน่อยสิ!”

ราฟาเอล เพื่อนร่วมชั้นชาวอิตาลี โพล่งขึ้นมาทันทีด้วยความตื่นเต้น โดยที่อีกหลายคนที่เหลือต่างช่วยกันเสริมด้วยความสนใจ
“เพลงสำหรับเปียโน หรือ ไวโอลินล่ะนาโอกิ ฉันอยากฟังเปียโนฝีมือเธออีกจังเลย”

“เฮ้ย! ต้องไวโอลินสิ น่านาโอกิ คราวที่แล้วนายก็เล่นเปียโนไปแล้ว คราวนี้เล่นไวโอลินเถอะ อ๊ะ! แต่จะเป็นฟรุท ก็ได้นะ เสียงฟรุทของนายก็เพราะดี”

ทุกคนต่างแย่งกันเสนอความคิดเห็น ส่วนยูยะได้แต่ยิ้มแหย ๆ จะเป็นไวโอลิน เปียโน หรือว่า ฟรุท ก็ช่างมันเถอะ ที่แน่ ๆ เย็นนี้จะได้กลับหอกินข้าวเย็นหรือเปล่ายังไม่รู้เลย

“ถ้าพวกนายอยากฟังขนาดนั้น…” จิมมี่ออกมายืนกร่างขวางหน้า ร่างเล็ก ๆ ของเพื่อนรักของเขาไว้ให้พ้นจากการถูกมะรุมมะตุ้ม จากคนอื่น ๆ

“ตามไปฟังในห้องของคาเตอร์กันเองเถอะนะ ไม่ได้ยินหรือไงว่า ยูยะถูกเรียกตัวไปอบรมเย็นนี้น่ะ”

คำพูดนั้นเหมือนดังมีเวทมนตร์วิเศษ ให้ทุกคนหยุดชะงักนิ่งไปทันที ก็ใครจะกล้าไปเสี่ยงกับอาจารย์ฝ่ายปกครองสุดเฮี้ยบคนนั้นเล่า ถึงอยากจะฟังยูยะเล่นดนตรีขนาดไหนก็เถอะ

“ง่า…งั้นไว้เป็นพรุ่งนี้ก็ได้ พวกเราจะรอฟังนะนาโอกิ”

ราฟาเอล เอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะเดินออกไปยังอีกชั้นเรียน เพื่อเรียนวิชาต่อไป รวมถึงคนอื่น ๆ ที่เหลือด้วย

“เฮ้อ… เป็นนักดนตรีเนื้อหอมก็ลำบากหน่อยนะ ยูยะ”

จิมมี่ตบบ่าเพื่อนรักเบา ๆ แล้วยิ้มกว้าง ฝ่ายยูยะยิ้มรับน้อย ๆ อย่างไม่ใส่ใจเท่าใดนัก

ความอัจฉริยะด้านดนตรีของเขาเพิ่งจะมาปรากฏเอาตอนมัธยมต้น ซึ่งตอนนั้นเขาอยู่ปี 3 แล้ว ตั้งแต่เด็ก ยูยะอาจจะชอบฟังเพลงทุกประเภท และร้องเพลงได้เก่ง แต่เขาไม่เคยจับเครื่องดนตรีเลยสักครั้งเดียว จนมาถึงตอนปี 3 เพื่อนของเขาที่ได้เป็นตัวแทนแผนกมัธยมต้นแสดงเดี่ยวเปียโน เกิดบาดเจ็บไม่มีคนแทน ซึ่งยูยะเองก็มีส่วนร่วมรับผิดชอบในอาการบาดเจ็บครั้งนั้นด้วย จึงทำให้เขาตัดสินใจเล่นเปียโนแทนเพื่อนของเขา ซึ่งเวลานั้น เหลือเวลาก่อนวันการแสดงจริง อีกแค่เพียง 3 วันเท่านั้น

และเด็กหนุ่มก็ทำให้เพื่อนเขา รวมถึงทุกคนประหลาดใจไปตาม ๆ กัน เขารู้สึกว่าเจ้าเครื่องดนตรีตรงหน้าทำไมมันช่างเล่นได้ง่ายดายอะไรเช่นนี้ เขารู้สึกเพลิดเพลิน และสนุกกับมัน จนไม่ได้คิดถึงความตกตะลึงของคนรอบข้างเลยว่า ทำไมคนที่เพิ่งเคยได้จับเปียโน ครั้งแรกเพียงแค่ 3 วัน กลับสามารถเล่นได้ยอดเยี่ยมราวกับคนที่ฝึกเปียโนมาทั้งชีวิตยังไงยังงั้น

และไม่เพียงแต่เปียโนเท่านั้น ยูยะยังแสดงให้เห็นว่า เขาสามารถเล่นเครื่องดนตรีประเภทอื่น ๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว และชำนาญเช่นกัน เพียงแค่ดูผู้อื่นเล่น และเรียนรู้เพียงไม่นานเท่านั้น เขาก็ทำได้อย่างดี และต้องยอมรับความจริงว่าเขาทำได้ดีกว่าคนที่เป็นต้นแบบด้วยซ้ำไป

และนั่นก็คือความสามารถที่ทำให้อีเดนสนใจ และพิจารณาเลือกเด็กหนุ่มเข้ามาศึกษาต่อในสถาบันแห่งนี้ โดยที่เด็กหนุ่มสามารถฝึกเครื่องดนตรีชั้นเลิศได้ตามต้องการ และมีอาจารย์ดนตรี ที่เชี่ยวชาญแต่ละสาขา คอยให้คำชี้แนะมากมาย

ส่วนวิชาอื่น ๆ อาจารย์แต่ละท่านต่างก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านสาขานั้น ๆ ซึ่งล้วนมีมากมายหลายชาติหลายภาษา แต่ในสถาบันแห่งนี้ ภาษากลางที่ใช้กัน ก็คือ ภาษาอังกฤษนั่นเอง

“ทำไมคาเตอร์ต้องเหมาสอนวิชาประวัติศาสตร์ ห้อง Z ด้วยนะ ตามมาตั้งแต่ ม.4 แล้ว พอ ม.5 ฉันนึกว่าจะได้เรียกกับอาจารย์บินส์เสียอีก แต่ก็ดันมาเจอกับหมอนี่อีกจนได้”

ยูยะบ่นอุบ ขณะที่กำลังเดินเปลี่ยนห้องเรียนไปพร้อมเพื่อนคนอื่น ๆ

“ไม่แน่นะ บางทีหมอนั่นอาจจะติดใจนายก็ได้ยูยะ เลยต้องตามมาสอนห้องเราแบบนี้เรื่อย ๆ น่ะ”

จิมมี่พูดอย่างนึกสนุก หากแต่คนฟังกลับมีสีหน้าเหมือนกินยาเบื่อ

“เป็นข้อสันนิษฐานที่เลวร้ายที่สุด เท่าที่ฉันเคยฟังมาเลยนะจิมมี่  ทำไมไม่คิดว่าหมอนั่นหมายหัวนายไว้บ้างล่ะ”

จิมมี่ยักไหล่ยิ้มแหย ๆ ก่อนที่ทั้งคู่จะรีบวิ่งไปเข้าเรียนด้วยความรวดเร็ว เพราะเสียงกริ่งสัญญาณเริ่มเรียนชั่วโมงต่อไปดังขึ้นแล้ว


หลังเลิกเรียน ….

“โชคดีนะยูยะ ฉันจะพยายามเก็บของว่างเหลือไว้ให้นายก็แล้วกัน”

จิมมี่เอ่ยปลอบเพื่อนสนิท ขณะที่ยูยะกำลังจะเดินไปยังห้องพักอาจารย์ ฝ่ายเด็กหนุ่มหันมายิ้มเศร้า ๆ ก่อนจะเอ่ยขอบคุณความมีน้ำใจของเพื่อนรัก

“ขอบใจนะจิมมี่ แต่ไม่ต้องหรอก คราวนี้ฉันผิดเต็มประตู ดันนอนหลับในชั่วโมงหมอนั่นอย่างนั้น แน่นอนที่สุดว่าเขาต้องเทศน์ฉันแบบไม่มีติดเบรกแน่ ๆ เผลอ ๆ อาจจะให้ฉันนั่งคัดลายมือ ผมจะไม่ทำอีกแล้วครับต่ออีกพันจบก็ได้”

จิมมี่ยิ้มแห้ง ๆ สงสารเพื่อนรักจากใจจริง เพราะรู้ว่ายูยะไม่ได้ตั้งใจพูดติดตลกให้เขาขำ หากแต่ทุกอย่างที่เด็กหนุ่มพูดออกไปนั้น เจ้าตัวเคยผ่านประสบการณ์ มาหมดแล้วแทบทั้งสิ้น

“ง่า…ถึงยังไงฉันก็อวยพรให้นายโชคดี…แบบว่า ให้กลับมาเร็วกว่าที่คิดน่ะ”

“ก็สุดแล้วแต่ชะตากรรมล่ะนะ”

ยูยะถอนหายใจอย่างนึกปลง ก่อนจะเดินก้มหน้าคอตกไปตลอดทาง


เด็กหนุ่มมาหยุดยืนหน้าห้องทำงานส่วนตัวของมอร์เฟียซ คาเตอร์ด้วยใจหวาดหวั่น ก่อนจะตัดสินใจ สูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ แล้วผ่อนออกยาว ๆ จากนั้นจึงเคาะประตูห้องเบา ๆ

ก๊อก ก๊อก

“อาจารย์ครับ ผมนาโอกิครับ”

“ อืม เข้ามาได้”

เสียงตอบรับจากในห้องนั้น ทำให้เด็กหนุ่มลอบถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะเปิดประตูก้าวเข้าไปภายในห้องนั้นในที่สุด

ห้องทำงานของอาจารย์คาเตอร์ ก็ยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อยเช่นเคยเหมือนทุกครั้งที่เขาเข้ามา มันเป็นห้องทำงานที่แทบจะเรียกว่าเป็นห้องพักผ่อนได้ในตัวทีเดียว เพราะมีทั้งห้องน้ำส่วนตัว และโซฟายาว ๆ ที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้อง ซึ่งยูยะคิดว่า คงเป็นที่สำหรับนอนเวลาอาจารย์หนุ่มลุยงานยันดึกก็เป็นได้

เด็กหนุ่มยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่หน้าโต๊ะทำงานนั้น จนกระทั่งร่างสูงตรงหน้าละสายตาจากกองเอกสารกองใหญ่ ขึ้นมามองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น

“นั่งลงสิ ยืนอยู่ทำไมกันล่ะ”

“อ๊ะ …ครับ” ยูยะรีบนั่งลงทันที ก่อนจะนั่งก้มมองมือตัวเองอยู่เช่นนั้น เพราะดูเหมือนว่า อีกฝ่ายกำลังยุ่งอยู่กับงานเอกสาร และยังไม่มีเวลาพูดอะไรกับเขาแม้แต่น้อย

เวลาแห่งความอึดอัดผ่านไปเกือบ 20 นาที จนในที่สุดอาจารย์หนุ่ม ก็วางปากกาลงบนโต๊ะ ก่อนจะแหงนหน้านิด ๆ เพื่อลดอาการปวดเมื่อยที่ต้นคอ แล้วจากนั้นจึงหันมาให้ความสนใจกับร่างเล็ก ๆ ตรงหน้าแทน

“รู้ไหม ว่าฉันเรียกเธอมาทำไมที่นี่”

ชายหนุ่มถามเสียงเรียบ ยูยะกลืนน้ำลายนิด ๆ ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงแผ่วเบา

“เพราะผมหลับในห้องเรียนครับ”

“อืม…ถูกต้อง เธอคิดว่านั่นเป็นการกระทำที่สมควรไหมเล่า”

เด็กหนุ่มสั่นศีรษะเบา ๆ ก่อนจะตอบเสียงค่อยเช่นเคย

“ไม่ครับ…คือผมขอโทษ”

อาจารย์หนุ่มจ้องมองร่างตรงหน้าที่บัดนี้กำลังสั่นเทานิด ๆ ก่อนที่นัยน์ตาสีเขียวจะเปล่งประกายวาววับขึ้นมาวูบหนึ่ง

“แล้วทำไมเธอถึงหลับในวิชาของฉัน มีเหตุผลอะไรจะอธิบายไหม”

น้ำเสียงทุ้มนุ่มถาม จนคนถูกถามแปลกใจ เพราะน้อยครั้งนักที่ชายหนุ่มจะเป็นฝ่ายเปิดโอกาสให้เขาได้ชี้แจงเหตุผล

“ง่า…คือ เมื่อคืนผมแต่งเพลงใหม่ได้หลายเพลงครับ เลยนอนดึกไปหน่อย”

ร่างเล็กแก้ตัวแล้วก็ต้องรีบก้มหน้า เพราะเหตุผลส่วนตัวเช่นนี้ ก็ไม่อาจทำให้เขาพ้นผิดได้อยู่ดี

“อืม…แต่งเพลงใหม่งั้นหรือ เล่นให้ใครฟังแล้วหรือยังล่ะ”

ยูยะเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าทันทีด้วยความประหลาดใจ กับคำถามนั้น ก่อนจะสั่นศีรษะปฏิเสธเบา ๆ

“ยังครับ ยังไม่ได้เล่นให้ใครฟัง”

และถ้าเด็กหนุ่มตาไม่ฝาด เขาสังเกตเห็นรอยยิ้มแวบหนึ่งที่ริมฝีปากได้รูปนั้น ก่อนที่มันจะกลับเป็นปกติในเวลาอันรวดเร็ว หากแต่คำพูดที่ตามออกมาจากริมฝีปากนั้น ก็ทำให้เขาตะลึงไปอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเองเช่นกัน

“งั้นเล่นให้ฉันฟังหน่อยได้ไหม… หืม …ทำไม มีอะไรงั้นหรือ”

ชายหนุ่มถามเพราะเห็นอีกฝ่ายยังคงยืนตะลึง อยู่เช่นนั้น ด้านยูยะพอรู้สึกตัว จึงรีบแก้ตัวออกไป

“อะ… ปะ เปล่าครับ คือผมไม่ได้เอาเครื่องดนตรีมา”

“ใช้ไวโอลินได้ไหมล่ะ”

มอร์เฟียซถาม ก่อนจะเดินตรงไปหยิบกล่องไวโอลินในตู้เก็บของ ของเขาออกมา โดยไม่รอฟังคำตอบจากอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ชายหนุ่มยื่นส่งให้กับร่างเล็กตรงหน้าที่รีบยื่นมือออกมารับด้วยความกลัวทันที

ยูยะเปิดกล่องไวโอลินออกมา ก็พบว่า ภายในกล่องนั้น มันคือเครื่องดนตรีชั้นดี อย่างไม่น่าเชื่อว่า คนที่ค่อนข้างจะเจ้าระเบียบไปเสียทุกเรื่องอย่างคนตรงหน้า และดูเหมือนจะไม่มีอารมณ์สุนทรีย์อยู่ในหัวใจ จะมีเครื่องดนตรีเช่นนี้อยู่ในครอบครองได้

“เอ้าเล่นสิ! ฉันรอฟังอยู่นะ”

เสียงเข้มกำชับมาดุ ๆ เพราะเห็นว่าเด็กหนุ่มยังคงยืนเก้ ๆ กัง ๆ ไม่ยอมลงมือเล่นเสียที

“อะ…ครับ ครับ เล่นเดี๋ยวนี้แล้วครับ”

เสียงโน้ตดนตรีตัวแรกที่ดังขึ้นเปล่งกังวานไปทั่วห้อง แรก ๆ ดนตรีของเด็กหนุ่มค่อนข้างจะออกประหม่า หากแต่เมื่อเล่นไปได้สักพัก เขาก็กลับ มาเป็นตัวของตัวเองอีกหน เสียงคันชักกรีดไปบนเส้นสาย แต่ละครั้ง กรีดลึกเข้าไปถึงหัวใจของคนฟัง ซึ่งยามนี้มีสีหน้าที่อ่อนโยนอย่างน่าประหลาด หากแต่ผู้เล่นยังคงอยู่ในโลกส่วนตัวของตน ไม่ได้สนใจความเป็นไปของ สิ่งรอบข้างแม้แต่น้อย

จนกระทั่งเมื่อเสียงดนตรีหยุดลง เสียงถอนหายใจของคนที่ฟังอยู่ก็ดังขึ้นอย่างแสนเสียดาย เมื่อเด็กหนุ่มวางไวโอลินลงคืนเขาบนโต๊ะ

“เยี่ยมมาก นาโอกิ ฝีมือดนตรีของเธอยังคงเยี่ยมยอดเหมือนเดิม”

ยูยะอ้าปากค้างอย่างประหลาดใจเป็นรอบที่ไม่รู้เท่าไร เพราะไม่คิดว่าจะได้รับคำชมจากอีกฝ่าย เช่นนี้

“มีอะไรงั้นหรือ มองหน้าฉันแบบนั้นทำไมกัน”

น้ำเสียงทุ้มนุ่มถามยิ้ม ๆ ซึ่งก็ทำให้เด็กหนุ่มเผลอตัวตอบออกไปตามใจคิดทันที

“ผมกำลังคิดว่าผมฝันไปหรือเปล่า ที่อาจารย์ ชม…เอ่อ..คือ..”

พูดออกไปแล้วก็ต้องหน้าซีดเผือด เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าไม่ควรเลยที่จะพูดออกไปเช่นนั้น และขณะที่กำลังก้มหน้าเตรียมรอรับคำต่อว่าจากอีกฝ่าย ก็ทำให้เด็กหนุ่มต้องสะดุ้งโหยง เมื่อเสียงหัวเราะที่ขบขันดังขึ้นแทนที่

“หึ ๆ สำหรับเธอ ฉันคงดูน่ากลัว เหมือนภูตผี ปีศาจ ล่ะสินะ”

ยูยะเกือบจะตอบออกไปแล้วว่าใช่ หากแต่ก็ต้องรีบหุบปากฉับพลัน ใบหน้าซีดลงเรื่อย ๆ เมื่อแววตาสีเขียวคมกริบจับจ้องมายังเขาเหมือนจะรู้ทัน

เด็กหนุ่มรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง เมื่อร่างสูงเริ่มเดินเข้ามาใกล้เขาอย่างช้า ๆ แต่แล้วเจ้าตัวก็ต้องตาเบิกโพลงด้วยความตกใจสุดขีด เมื่อมือใหญ่ของคนตรงหน้าลูบไล้ที่แก้มของเขาแผ่วเบา ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นจับคางของเขาเชยขึ้น พร้อมกับโน้มหน้าลงมาหาอย่างรวดเร็ว

“อา...จารย์….อื้ม…”

ริมฝีปากหนาได้รูปของมอร์เฟียซ ประกบแนบชิดกับริมฝีปากบางของยูยะ ก่อนที่จะค่อย ๆ บดขยี้ทีละนิด ให้อีกฝ่ายยอมเผยอเปิดช่องทางให้เข้าไปสำรวจความหวานซ่านภายในอย่างที่ใจปรารถนา

“อื้ม…มะ..ไม่”

เด็กหนุ่มพยายามดันตัวออกมา หากแต่ร่างสูงก็จัดการรวบร่างเล็กกว่าตรงหน้าไว้จนได้ มือใหญ่ข้างเดียวเกาะกุมพันธนาการข้อมือเรียวทั้งสองข้างไพล่ไว้ที่ข้างหลัง ก่อนจะจัดแจงบดเบียดริมฝีปากเข้าไปใหม่อีกครั้ง

ด้วยรูปร่าง และพละกำลังที่เป็นต่ออยู่หลายขุม ทำให้ยูยะไม่อาจมีโอกาสดิ้นรนต่อสู้ได้แม้แต่น้อย เด็กหนุ่มรู้สึกว่าเขากำลังถูกดันตัวไปยังมุมห้อง ก่อนที่แผ่นหลังจะได้สัมผัสกับความนุ่มของโซฟา พร้อมกับร่างหนาที่ทาบทับตามมาติด ๆ โดยที่ยังคงไม่ยอมปล่อยให้ริมฝีปากของเขาเป็นอิสระแม้แต่น้อย


--- TBC ---
หัวข้อ: Re: [J-novel] The Eden School.... Chp.1
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 22-06-2011 13:35:20
มะ มะ ไม่ นะ  ........................................  :serius2:  ตัดจบแบบนี้ ก็ค้างนะสิ ม่ายยยยยย  :serius2:
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Chp.1
เริ่มหัวข้อโดย: darkeyes1 ที่ 22-06-2011 17:49:48
เหอๆ  อีเดนสคูลนี่ก็เคยเห็นๆอยู่อะนะ  แต่  คุณครูท่านจู่โจมเด็กเร็วเกินไป เลยเกิดอาการอิจฉา
เอ้ยไม่ใช่  เกิดอาการเหมือนเห็นผู้ใหญ่พยายามลวนลามเด็ก ก็เลย
ไม่ได้อ่านสักที

มาวันนี้ได้อ่านตอน1 เต็มๆก็ยังรู้สึกเหมือนเดิมอยู่  เหอๆๆ
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Chp.2
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 22-06-2011 21:24:49
มะ มะ ไม่ นะ  ........................................  :serius2:  ตัดจบแบบนี้ ก็ค้างนะสิ ม่ายยยยยย  :serius2:
มาต่อไม่ให้ค้างแล้วค่าา~

เหอๆ  อีเดนสคูลนี่ก็เคยเห็นๆอยู่อะนะ  แต่  คุณครูท่านจู่โจมเด็กเร็วเกินไป เลยเกิดอาการอิจฉา
เอ้ยไม่ใช่  เกิดอาการเหมือนเห็นผู้ใหญ่พยายามลวนลามเด็ก ก็เลย
ไม่ได้อ่านสักที

มาวันนี้ได้อ่านตอน1 เต็มๆก็ยังรู้สึกเหมือนเดิมอยู่  เหอๆๆ
นายเอกยังจะโดนรังแกอีกหลายรอบเลยล่ะ --+ เพราะเมะมันเป็นคนชอบแกล้ง (รักดอกจึงหยอกเล่น) แต่หลัง ๆ มีแต่ความหวานตลอดเลยนะ~



เอาล่ะค่ะ มาแปะ Chp.2 ให้อ่านกันต่อจ้า บกพร่องผิดพลาดตรงไหนขออภัยมา ล่วงหน้าค่ะ

----------------------------------------------


Chp.2


“อา…หยุดเถอะครับ…อาจารย์…”

ยูยะพยายามอ้อนวอนขอร้องให้ชายหนุ่มหยุดการกระทำเมื่อริมฝีปากของเขาถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระ

“ไม่ นาโอกิ…ฉันทนมานานเกินพอแล้ว และไม่คิดจะอดทนอีกต่อไปแล้วด้วย”

น้ำเสียงแหบพร่ากระซิบตอบใกล้ ๆ กับติ่งหูเนียนนุ่ม ก่อนที่จะขบกัดมันเล่นแรง ๆ อย่างกลั่นแกล้ง จนเด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือกทันที

มือข้างหนึ่งจัดการดึงเสื้อนอกของร่างข้างใต้ออก ก่อนจะเหวี่ยงทิ้งไปไกล ๆ อย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นจึงกลับมาจัดการกับเนคไทและกระดุมเสื้อเชิ้ตข้างในอย่างรวดเร็ว โดยที่เด็กหนุ่มไม่มีโอกาสได้ตอบโต้ปฏิเสธ เพราะมือทั้งสองข้างยามนี้ถูกพันธนาการไว้บนเหนือศีรษะด้วยมือใหญ่อีกข้างของร่างสูง

“อึ้ก..ไม่…ปะ…ปล่อย”

ยูยะพยายามฝืนดิ้นรนสุดกำลัง เมื่อปลายลิ้นอุ่น เริ่มไล้เลียอยู่บริเวณแผ่นอกขาวของเขา ก่อนจะเผลอร้องครางออกมาเบา ๆ อย่างลืมตัว เมื่อริมฝีปากหนาได้รูปตรงเข้าขบเม้นยอดอกสีชมพูเล็ก ๆ ทั้งสองข้างนั้นเล่นอย่างหยอกเย้า

“ไม่นะ…ไม่เอา…อย่า”

เสียงครางร้องขอ ขณะที่น้ำใส ๆ เริ่มปริ่มคลอเบ้าตา หากแต่ไม่ได้ช่วยหยุดการกระทำรุกรานนั้นแม้แต่น้อย มือข้างที่ว่างของอาจารย์หนุ่ม ค่อย ๆ เลื่อนลงมาปลดซิบกางเกงลูกศิษย์ของเขาออก ก่อนจะรูดกางเกงขายาวพร้อมกับกางเกงในสีขาวออกไปให้พ้นจากร่างข้างใต้ เช่นเดียวกับเสื้อผ้าด้านบนที่หลุดออกไปจากร่างบางจนหมดสิ้นก่อนหน้านั้นนานแล้ว

“อ๊ะ…อย่า…อาจารย์…ได้โปรด…อึ๊ก…อา”

เด็กหนุ่มครวญครางเสียงแหบพร่า เพราะพยายามสะกดกลั้นอารมณ์แปลกใหม่ที่กำลังพลุ่งพล่านขึ้น เมื่อริมฝีปากของชายหนุ่มเลื่อนลงมาหยอกเย้าอยู่กับแก่นกายของเขาในขณะนี้

อาจารย์หนุ่มจัดการครอบครองสิ่งนั้นไว้ในปาก ก่อนจะใช้เรียวลิ้นอุ่นชื้น ไล้เลียดุนดันส่วนที่อ่อนไหวที่สุดของเด็กหนุ่ม จนกระทั่งเขาไม่อาจที่จะทนอดกลั้นมันไว้ได้อีกต่อไป

“อ๊า!” ร่างของยูยะกระตุกขึ้นสองสามครั้ง ก่อนที่จะปลดปล่อยความอัดอั้นออกมาอย่างสุดฝืน แต่ก็ถูกมอร์เฟียซ คาเตอร์ดื่มกลืนมันผ่านลำคอไปจนหมดสิ้น โดยที่ไม่มีทีท่ารังเกียจแต่อย่างใด

และจังหวะเดียวกันกับที่เด็กหนุ่มกำลังหายใจหอบ และเผลอเผยอปากครางออกมาเบา ๆ ริมฝีปากหนาได้รูปก็ถือโอกาสเลื่อนขึ้นมาประกบทาบทับอีกครั้งทันที

เรียวลิ้นอุ่นชื้นแทรกผ่านเข้ามาภายในอย่างรุกเร้า ยูยะรู้สึกแปลก ๆ ที่ได้ลิ้มรสชาติของตัวเขาเอง หากแต่สัมผัสเร่าร้อนนั้น ก็ทำให้เด็กหนุ่ม เตลิดเปิดเปิงไปโดยไม่ได้นึกถึงอะไรอีกนอกเสียจากรสจูบที่อีกฝ่ายมอบให้อย่างดูดดื่มเท่านั้น

“อืม….อาจารย์”

เสียงครางจากในลำคอดังขึ้น มือที่ถูกปล่อยให้เป็นอิสระเริ่มไขว่คว้ากอดรัดคนตรงหน้าไว้อย่างแนบแน่นโดยไม่รู้ตัว

“เรียกชื่อชั้นสิ นาโอกิ”

มอร์เฟียซถอนริมฝีปากออก ก่อนจะกระซิบเสียงแหบพร่า พร้อมกับจุมพิตพรมไปทั่วดวงหน้าหวาน ๆ นั้นอย่างอ่อนโยน

“อืม…มอร์เฟียซ ….อ๊ะ…ไม่..ไม่เอา!”

เด็กหนุ่มผวาเฮือก ก่อนจะเบียดกายโอบรัดคนข้างบนแน่น เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว เมื่อนิ้วมือเรียวยาวของชายหนุ่ม เริ่มสอดแทรกเข้ามาภายในกายของเขาทีละนิ้ว ละนิ้ว

“อ๊า…จะ..เจ็บ..ไม่!!”

เด็กหนุ่มร้องขึ้นอย่างเจ็บปวด เมื่อบัดนี้นิ้วทั้งสามเริ่มขยับเข้าออกเป็นจังหวะ เปิดทางให้ร่างบางเริ่มชิน เพื่อเตรียมรอรับบางสิ่งที่มีขนาดใหญ่กว่านิ้วเหล่านั้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า

“มะ…ไม่เอา…พอแล้ว”

ศีรษะของคนข้างใต้สะบัดไปมา จนเส้นผมสีดำอ่อนนุ่มยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง มอร์เฟียซหยุดการกระทำของเขาลง โดยถอนนิ้วทั้งสามออกจากกายของเด็กหนุ่ม พร้อมกับยันกายลุกขึ้นยืนช้า ๆ นัยน์ตาสีเขียวคมกริบจ้องมองร่างเปลือยเปล่าบนโซฟา ประกายตาวาววับไปด้วยความปรารถนา ก่อนจะลงมือจัดการเสื้อผ้าของตนเองให้ออกจากร่างกายอย่างรวดเร็ว

ยูยะเขยิบกายถอยหนีอย่างอัตโนมัติ เมื่อแก่นกายที่เต็มไปด้วยอารมณ์ราคะของชายหนุ่ม เขยิบเข้ามาจ่อทางเบื้องล่างของเขาทุกขณะ หากแต่เมื่อเห็นเด็กหนุ่มขยับหนี ร่างสูงใหญ่ก็ตรงรี่เข้ามากดร่างบางกว่า ให้หยุดอยู่กับที่ทันที

“ต่อให้มีปีก เธอก็หนีฉันไปไม่พ้นหรอกนาโอกิ …ฉันบอกเธอแล้วว่าฉันทนมานานเหลือเกิน และไม่คิดจะทนอีกต่อไปแล้ว…”


..
...
.....
…อา…เจ็บ….เจ็บเหลือเกิน…ทำไมมันเจ็บอย่างนี้นะ…นี่เราเป็นอะไรไป…เป็นอะไร…

ขนตายาวหนาเป็นแพ กระพริบขึ้นถี่ ๆ สิ่งแรกที่เข้าครองจักษุของตนก็คือ ภาพเพดานห้องสีขาวที่ดูไม่คุ้นเคยตาเอาเสียเลย

“อุ๊บ!….เจ็บ…”

เด็กหนุ่มครางออกมาเบา ๆ เมื่อพยายามจะขยับกายเขารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่เกิดจากเบื้องล่างแปลบปลาบ ขณะที่เขาพยายามจะทบทวนว่ามันเกิดอะไรขึ้น เสียงทุ้มนุ่มข้าง ๆ หู จากร่างที่นั่งเฝ้าอยู่บนเก้าอี้ใกล้ ๆ ก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน

“ฟื้นแล้วหรือ นาโอกิ เป็นอะไรมากไหม เธอสลบไปเกือบชั่วโมงเชียวนะ สลบไปนานจนฉันใจไม่ดีทีเดียว”

นิ้วเรียวยาว ลูบไล้ปอยผมที่ตกลงมาบนใบหน้านั้นเล่นอย่างอ่อนโยน ก่อนจะก้มลงมาจุมพิตที่หน้าผากเกลี้ยงเกลาแผ่วเบา

เพียงเท่านั้นเอง ยูยะก็เบิกตาโพลง นึกทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเขาออกจนหมดสิ้น

“อาจารย์…ไม่จริงใช่ไหม..ไม่จริง…นั่นเป็นแค่ฝัน…ฝันร้าย..”

เด็กหนุ่มพึมพำไปมา เหมือนคนเสียสติ หากแต่คนฟังกลับรู้สึกฉุนกึกขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล มือใหญ่เอื้อมจับคางกลมมนแน่น ตรึงใบหน้านั้นให้หันกลับมามองแต่เขาเพียงผู้เดียว

“เธอไม่ได้ฝันนาโอกิ! เธอเป็นของฉันแล้ว! เป็นของฉัน ได้ยินชัดไหม!”

น้ำเสียงเข้มเอ่ยขึ้นอย่างดุดัน ยูยะพยายามเบี่ยงหน้าหลบ หากแต่อุ้งมือที่แข็งเหมือนคีมเหล็กนั้น ก็ไม่ทำให้เขาบ่ายเบี่ยงหลบไปไหนได้ดังใจคิด

“ไม่…ไม่จริง มันต้องไม่ใช่ความจริง”

หากแต่สัมผัสที่ยังคงหลงเหลือติดอยู่กับผิวกายเปลือยเปล่า รวมไปถึงความเจ็บปวดจากแผลที่ได้รับ ก็ทำให้เขาไม่อาจฝืนทนหลอกตัวเองได้อีกต่อไป

“ฮึก…ไม่…ไม่จริง”

น้ำใส ๆ ไหลรินลงมาอาบแก้มเนียนเป็นทาง จนมอร์เฟียซต้องปล่อยอุ้งมือที่พันธนาการดวงหน้างามนั้นออก อย่างนึกสงสาร

“นาโอกิ…ฉัน…”

ชายหนุ่มมีท่าทางเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วเขาก็กลับหยุดชะงัก และตัดบทขึ้นมาเอาดื้อ ๆ

“กลับหอเองได้ไหม”

ยูยะพยักหน้ารับทันที เขาอยากจะพาตัวเองไปให้พ้นจากห้องนี้ให้เร็วขึ้นอีกสักวินาทีก็ยังดี

เด็กหนุ่มยันกายจากโซฟาอย่างยากลำบาก ก่อนจะฝืนลุกขึ้นเดินไปหยิบเสื้อผ้าของตนที่กระจัดกระจายอยู่ตามพื้นห้องมาใส่อย่างลวก ๆ และเดินกระโผลกกระเผลกจากไป โดยไม่หันกลับมามองสายตาเศร้า ๆ จากเจ้าของห้องเลยแม้แต่น้อย…



ยูยะกลับไปถึงหอ ซึ่งก็เป็นเวลาหัวค่ำแล้ว เด็กหนุ่มหลบเลี่ยงผู้คน ซึ่งนั่งเล่นอยู่ในห้องรวมของหอขึ้นไปยังห้องของตัวเองอย่างเร่งรีบ และเนื่องจาก หอแห่งนี้คือหอ Z ที่ซึ่งรวบรวมบุคลากรอันทรงคุณภาพ ซึ่งมีจำนวนน้อยนิดเมื่อเทียบกับชั้นเรียนอื่น จึงทำให้นักเรียนแต่ละคนมีห้องส่วนตัวเป็นของตัวเองทุกคน

จนเมื่อยูยะได้มาถึงห้องของตัวเองแล้ว เขาก็ทิ้งตัวลงบนเตียงนอน ฟุบหน้าลงกับหมอน พร้อมกับปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น

‘ทำไม! ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้กับฉันด้วย! พระเจ้า ผมทำผิดอะไรอย่างนั้นหรือ ถึงได้ลงโทษผมแบบนี้…ทำไม!’

‘มอร์เฟียซ คาเตอร์ ฉันเกลียด! เกลียดคนอย่างหมอนั่นมากที่สุด! เกลียด!’

เด็กหนุ่มเฝ้าพร่ำเพ้ออยู่เช่นนั้นซ้ำไปซ้ำมาเนิ่นนาน จนกระทั่งหลับลงด้วยความอ่อนเพลียไปในที่สุด



“ยูยะ! ยูยะ! ตื่นเร็วเข้า สายแล้วนะ นายจะไม่ไปเรียนหรือยังไง!”

เสียงของจิมมี่ดังขึ้นแว่ว ๆ จากข้างนอก ยูยะปรือตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก แต่แล้วความเจ็บปวดจากแผลเมื่อคืน ก็ทำให้เขาถึงกับนิ่วหน้า ก่อนจะตอบกลับออกไปเสียงแหบแห้ง

“นายไปเถอะจิมมี่..ฉัน…ปวดหัว…ง่า ปวดท้องด้วย คงจะไปไม่ไหวแล้วล่ะ”

“ยูยะ! เสียงนายไม่ค่อยจะดีเลย ให้ฉันช่วยพานายไปห้องพยาบาลไหม”

น้ำเสียงที่แฝงความกังวล และเป็นห่วงจากภายนอกดังขึ้นอีกครั้ง ทว่ากลับทำให้ยูยะสะดุ้งโหยง เพราะถ้าเขาถูกพาไปห้องพยาบาล มิสเคธี่ อาจารย์ประจำห้องพยาบาลก็ต้องรู้ว่าเขาไม่ได้ป่วยอย่างที่อ้างไป แต่เป็น...

ไม่!! เขายอมให้ใครรู้เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด!

“ไม่ต้องจิมมี่! ฉันสบายดี เอ่อ ฉันหมายความว่า แค่นอนพักวันเดียวก็หายแล้วล่ะ นายรีบไปเรียนเถอะ เดี๋ยวจะสายนะ”

จิมมี่ไม่ค่อยสบายใจนัก ที่ต้องทิ้งเพื่อนสนิทไว้เช่นนี้ หากแต่เพราะ รู้ซึ้งถึงนิสัยของอีกฝ่ายดีว่า ถ้าลองพูดไม่เมื่อไหร่ เรื่องจะให้เปลี่ยนใจนั้น อย่าหวังเลยว่าจะทำได้ง่าย ๆ

“งั้นฉันไปนะยูยะ ไว้ตอนเย็น ๆ จะมาเยี่ยมใหม่”

“อืม…ขอบใจที่เป็นห่วงนะ จิมมี่”

ยูยะกล่าวขอบใจเพื่อนของเขา และเมื่อเสียงฝีเท้าของคนหน้าห้อง ค่อย ๆ ไกลออกไป เด็กหนุ่มก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกได้ในที่สุด


...
..
อืม หิวจังเลยแฮะ เอ๋ กลิ่นอะไรหอม ๆ น่ะ ใกล้ ๆ นี่เอง อะไรนะ …

เด็กหนุ่มทำจมูกฟุดฟิด ก่อนจะปรือตาขึ้นมาช้า ๆ สายตาสะดุดไปยังถาดอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานของเขา ด้วยความสงสัย

...ใครกันยกมาให้ แต่นี่ก็น่าจะเป็นเวลาเข้าเรียนแล้ว จิมมี่คงกำลังเรียนอยู่ แล้วอาหารนั่นมันมาได้ยังไง …ไม่สิ ใครกันที่เข้ามาในห้องของเขาได้ ทั้ง ๆ ที่เขาจำได้ว่ากดล็อกประตูห้องตอนเข้ามาแล้วแท้ ๆ ….

“แกร๊ก..” เสียงลูกบิดประตูที่ดังขึ้น ทำให้ยูยะหันขวับไปทันที แล้วเขาก็แทบอยากจะกระโดดลงหน้าต่างหนี หากทำได้ เพราะคนที่เข้ามาในห้องเขา ไม่ใช่ใครอื่น… มอร์เฟียซ คาเตอร์ นั่นเอง

“อา..อาจารย์..เข้ามาได้ยังไง”

เด็กหนุ่มถามตะกุกตะกัก ร่างกายขยับถอยหนีไปจนสุดหัวเตียงโดยอัตโนมัติ สายตาหวาดระแวง ระวังภัยเต็มที่

มอร์เฟียซยิ้มนิด ๆ ที่มุมปาก ก่อนจะปิดล็อคประตูห้องเหมือนเดิมแล้วเดินมานั่งที่ปลายเตียงของเด็กหนุ่ม โดยไม่สนใจท่าทางที่บ่งบอกชัดถึงอาการรังเกียจ และหวาดกลัวตัวเขาแม้แต่น้อย

“ก็ฉันเป็นอาจารย์ฝ่ายปกครอง และเป็นอาจารย์ประจำหอนี้ กับการที่ฉันจะมีกุญแจสำรองห้องพักทุกห้องภายในหอ เธอคงไม่คิดว่ามันจะน่าแปลกหรอกนะ”

ยูยะกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก เขาลืมไปเสียสนิทเลยว่ามอร์เฟียซ์ เป็นอาจารย์ประจำหอของเขาด้วย เมื่อก่อนก็ไม่ได้นึกสนใจอะไรหรอก เพราะเขาไม่เคยทำผิด หรือซ่อนอะไรผิดกฎหมายไว้ในห้องนี่นา อยากจะมาตรวจ มาค้นอะไรก็มาเถอะ แต่ว่าตอนนี้…โอ๊ย พระเจ้า เขาอยากจะย้ายหอเสียจริง ๆ ให้ตายสิ!

“เธอคงจะหิวแล้วสินะ นี่มันก็จะสี่โมงเช้าแล้ว ข้าวเช้าเธอยังไม่ได้กินเลยใช่ไหม”

อยู่ดี ๆ ชายหนุ่มก็ถามขึ้นมา ยูยะรีบสั่นศีรษะปฏิเสธ ทว่ากระเพาะเจ้ากรรมมันไม่ยอมให้ความร่วมมือด้วยแม้แต่น้อย แถมยังส่งเสียงประท้วงต่อว่าเจ้าของลั่นอีกต่างหาก

“หึ ๆ” มอร์เฟียซหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะเดินไปหยิบถาดอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ มาตั้งตรงหัวเตียงแทน

“มันเย็นหมดแล้วล่ะ ฉันยกมาให้เธอเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ทีแรกว่าจะนั่งเฝ้ารอเธอตื่นอยู่เหมือนกัน แต่เผอิญมีธุระด่วนต้องรีบไปทำเสียก่อน เป็นอาจารย์ฝ่ายปกครองก็ยุ่งยากอย่างนี้แหละ ว่าไหม”

หากแต่ยูยะกลับคิดขอบคุณพระเจ้าในใจ เพราะถ้าเขาลืมตาตื่นขึ้นมาแล้ว พบกับใบหน้าของมอร์เฟียซ คาเตอร์อยู่ใกล้ ๆ เขาคงจะช็อกหัวใจวายตายไปตอนนั้นเลยก็ได้

และเมื่อชายหนุ่มพยักหน้าให้เขาจัดการอาหารบนหัวเตียงเสีย ยูยะจึงเริ่มลังเลว่าจะกินดีหรือไม่ เนื่องจากเขาไม่อยากรับน้ำใจของคนที่เขาเกลียดเข้าไส้คนนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะหิวขนาดไหนก็เถอะ

แต่ดูเหมือนอาจารย์หนุ่มจะรู้ทันว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ เขาอมยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะแสร้งตีสีหน้าขึงขังเหมือนยามปกติ

“ตกลงว่าเธอจะกินเอง หรือให้ฉันป้อน”

โดยไม่ต้องรอให้บอกซ้ำสอง เด็กหนุ่มรีบหยิบถาดอาหารตรงหน้ามาลงมือจัดการแทบทันที ให้มอร์เฟียซ คาเตอร์ ป้อนข้าว ให้เขาไปกระโดดพุ่งหลาวลงมาจากหอคอยโตเกียวยังจะดีเสียกว่า

“ยังเจ็บอยู่อีกไหม”

น้ำเสียงทุ้มนุ่มถาม เล่นเอายูยะถึงกับสำลักข้าวที่กำลังกลืนลงไปทันที

“อุ๊บ!! แค่ก! แค่ก!”

เด็กหนุ่มหน้าแดงก่ำ เพราะสำลักมากเกินไป นัยน์ตาสีดำจ้องมองคนตรงหน้าเขม็งด้วยความขุ่นเคืองเต็มพิกัด

…บ้าชะมัด! ถามมาได้ว่าเจ็บไหม ถ้าสบายดี จะนอนซมอยู่บนเตียงแบบนี้น่ะเหรอ ทั้งหมดนี่ ความผิดใครกันเล่า!…

“อืม คงจะยังเจ็บอยู่สินะ”

อาจารย์หนุ่มสรุปจากสีหน้าและท่าทางเช่นนั้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย เขาล้วงอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะจัดการโยนมันลงตรงหน้ายูยะ ซึ่งเมื่อเด็กหนุ่มก้มมองก็พบว่า มันคือถุงพลาสติกเล็ก ๆ ซึ่งบรรจุยาเม็ดสีสวย ๆ 3 – 4 เม็ด

“ยา...กินซะ”

แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงลังเล ชายหนุ่มก็หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ฉันขอมิสเคธี่มา ไม่ใช่ยาพิษหรอก ยาของสถาบันอีเดนเรายอดเยี่ยมมากนะ รับรองว่า เธอจะลุกขึ้นวิ่งได้เหมือนเดิมในอีกวันสองวันนี่เชียวล่ะ”

ยูยะพยักหน้ารับอย่างจำใจ เขาเทยาทั้งหมดลงมือ ก่อนจะกลืนมันลงคอไปอย่างง่าย ๆ โดยไม่ต้องดื่มน้ำตามแม้แต่น้อย จากนั้นจึงเหลือบมองคนตรงหน้าอีกครั้ง

“…ง่า…อาจารย์ไม่มีสอนเช้าหรือครับ”

มอร์เฟียซเลิกคิ้วนิด ๆ ก่อนจะแย้มยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน ซึ่งนั่นก็ทำให้ยูยะถึงกับตกตะลึง

โอ้!พระเจ้า! มอร์เฟียซ คาเตอร์ ยิ้มโลกหมุนกลับไปแล้วงั้นหรือนี่!

“ ดูเหมือนเธอคงอยากจะไล่ฉันไปให้พ้น ๆ เต็มที่แล้วสินะ เอาเถอะ ฉันไปก็ได้ นอนหลับพักผ่อนให้ดีล่ะ”

ยูยะเผลอถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อเห็นว่าอาจารย์หนุ่มกำลังจะเดินออกไป คาเตอร์หยุดชะงักนิดหนึ่ง ก่อนจะหันมาแย้มยิ้มให้อย่างเจ้าเล่ห์

“แล้วคืนนี้ฉันจะมาเยี่ยมใหม่!”

กล่าวจบก็ปิดประตูดังปัง ก่อนจะมีเสียงตะโกนด้วยความตกใจสุดขีดจากคนภายในห้อง ตามไล่หลังมาติด ๆ


--- TBC ---
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Chp.2
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 22-06-2011 22:34:49
อาจารย์   กิน เด็ก 

 :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Chp.3
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 23-06-2011 14:46:26
Chp.3



ในคาบที่ 6 ของชั้น ม.5 / Z ซึ่งเป็นวิชาประวัติศาสตร์ สอนโดยอาจารย์มอร์เฟียซ คาเตอร์ อาจารย์ฝ่ายปกครองของระดับชั้นมัธยมปลาย และอาจารย์ประจำหอ Z

บรรยากาศในห้องเรียนยามนี้ เต็มไปด้วยความประหลาดใจเหลือจะบรรยายของบรรดาเด็กนักเรียนทั้ง 14 คนที่เหลือ

…โอ้ ไม่น่าเชื่อ! คาเตอร์กำลังฮัมเพลงขณะสอน นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่! …

ทุกคนต่างหันมาสบตากัน แล้วพากันแอบหยิกตัวเองคนละหนุบ ละหนับ เพื่อยืนยันให้แน่ชัดว่าพวกเขาไม่ได้ฝันไป

แต่ก็นั่นล่ะ ทุกคนก็ได้แต่คิดในใจ ไม่มีใครที่จะกล้าโพล่งถามตรง ๆ ถึงสาเหตุของความเปลี่ยนแปลงนั้นเลยสักคน จนกระทั่งเสียงกริ่งเตือนหมดชั่วโมงดังขึ้น

“โอเค เอาเป็นว่าวันนี้พอแค่นี้…”

อาจารย์หนุ่มเก็บของเตรียมเดินออกนอกห้องเรียนอย่างอารมณ์ดี โดยที่ทุกคนต้องเบิกตากว้างหันมามองตากันปริบ ๆ อีกครั้ง

…คาเตอร์ ไม่ได้ให้การบ้าน! เป็นไปได้ยังไงกัน! …

คิดแล้วก็พร้อมใจกันหันไปมองท้องฟ้าด้านนอกห้องเรียน อย่างไม่ได้นัดหมาย อากาศยังคงแจ่มใส เป็นปกติ แต่ถ้าเกิดมี ฝนตกฟ้าร้อง ฟ้าผ่าลงมาตอนนี้ พวกเขาก็จะไม่แปลกใจเลยแม้แต่นิดเดียว

“Oh My God! นี่ฉันกำลังฝันไปหรือเปล่าเนี่ย ชั่วโมงประวัติศาสตร์วันนี้ไม่มีการบ้าน Impossible!!”

จิมมี่โพล่งขึ้นมาดังลั่น หลังจากที่ลับร่างของคาเตอร์ไปแล้ว

“เฮ้! จิมมี่ อย่าตะโกนเสียงดังอย่างนั้นสิ เดี๋ยวคาเตอร์ก็ได้ยินหรอก พี่แกยิ่งหูดี ๆ อยู่!”

มิเชล ลูอิส เด็กหนุ่มหน้าสวย ผมทอง ตาสีฟ้า ชาวฝรั่งเศส ซึ่งเป็นอัจฉริยะทางด้านการแสดง เอ่ยท้วงขึ้น เพื่อน ๆ คนอื่นรีบพยักหน้าเห็นด้วยทันที ก็เสียงจิมมี่เบาเสียเมื่อไหร่ล่ะ

“ขอบคุณที่ชมฉันเรื่องหูดี มิสเตอร์ลูอิส แล้วก็ต้องขอบคุณเป็นอย่างยิ่งสำหรับมิสเตอร์ชไนเดอร์ ที่ช่วยเตือนความจำฉันเรื่อง การบ้าน ...”

นักเรียน ม. 5 / Z ทุกคนสะดุ้งเฮือก ตามมาด้วยอาการเสียวสันหลังวาบ เจ้าน้ำเสียงเย็น ๆ เรียบ ๆ ที่ไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าใครนั้น ทำเอาทุกคนเหงื่อแตกซิกขึ้นมาทันที

“เอาเป็นว่า เย็นนี้พวกเธอที่เหลือทั้ง 14 คน ไปช่วยกันค้นคว้า เรื่องที่เรียนไปในวันนี้ให้ละเอียด ฉันต้องการรายงานขนาด 30 หน้า ส่งพรุ่งนี้เช้า ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะบอกมิสซิสเมย์สัน ให้เลื่อนเวลาปิดห้องสมุดออกไปอีกสัก 2 – 3 ชั่วโมง”

สั่งจบ เจ้าตัวก็เดินจากไปอย่างไม่ใยดี โดยไม่หันกลับมามองสายตาโอดครวญ ร้องขอ ของบรรดาเด็ก ๆ ตาดำ ๆ รวมไปถึง เขียว ฟ้า น้ำตาล... ฯลฯ ที่เหลือเลยแม้แต่น้อย

แล้วความโศกา ก็พลันเปลี่ยนมาเป็นความแค้น ดวงตาวาววับทั้ง 13 คู่ หันขวับมาทางเด็กหนุ่มผมแดง ตัวต้นเหตุทั้งปวงทันที

“เฮ่ ๆ ทุกคน คือฉันไม่ได้ตั้งใจ จะ…ง่า…พวกนายคงไม่….อ๊ากกกก! ช่วยด้วย!!!!!”

แล้วเสียงกรีดร้องโหยหวนก็ดังลั่นออกไปถึงระเบียงด้านนอก ก่อนที่ทุกคนจะเดินออกมาจากห้องด้วยสีหน้าอันหงุดหงิดสุด ๆ โดยทิ้งร่างสะบัก สะบอมร่างหนึ่ง กองไว้กับพื้นห้องนั่นเอง



17.00 น. ของเย็นวันเดิม ณ หอ Z อาคาร 2 สถานที่ซึ่งเป็นหอพักของบรรดานักเรียนชั้น ม.5 / Z

“อืม…กี่โมงแล้วนะ”

ยูยะปรือตาขึ้นอย่างยากลำบาก เจ้ายาที่มอร์เฟียซเอามาให้เขากิน มันออกฤทธิ์ชะงัดน่าดูชม เขาหลับเป็นตายตั้งแต่ห้าโมงเช้า จนถึง ห้าโมงเย็นทีเดียว

“เอ ทำไมมันเงียบจัง … เงียบเกินไปแล้วนะ”

เด็กหนุ่มพึมพำด้วยความแปลกใจ เวลานี้ น่าจะเป็นเวลาซึ่งทุกคนเลิกเรียนแล้วกลับมายังห้องของแต่ละคนแล้วนี่นา แต่ดูเหมือนกับว่าทั้งหอนี้ จะมีเพียงแต่เขาคนเดียวที่อยู่ในห้องอย่างนั้นล่ะ

ยูยะยันกายขึ้นช้า ๆ ความเจ็บปวดจากแผลเก่ายังคงมีอยู่ แต่ก็ดีกว่าเมื่อตอนเช้าลิบลับ เพราะเขาเริ่มขยับกายเคลื่อนไหวได้บ้างแล้ว

เด็กหนุ่มพยายามลากสังขารออกไปข้างนอก เดินไปเคาะประตูห้องเพื่อนร่วมชั้นแต่ละคน แต่ปรากฏว่าไม่มีเสียงตอบมาจากภายในห้องเหล่านั้นแม้แต่น้อย

“ไปไหนกันหมดนะ”

น้ำเสียงเริ่มหงุดหงิดขึ้นทุกที ตอนนี้เขาอยากเจอหน้าใครสักคน ก็ได้ การที่ต้องมาอยู่คนเดียวแบบนี้ภายในหอ มันไม่น่าสนุกเลยสักนิด

“ชักหิวแล้วแฮะ”

เด็กหนุ่มเดินยันกำแพงมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงบันได ซึ่งเจ้าตัวกำลังลังเลว่า จะค่อย ๆ เดินลงไป หรือกลิ้งลงไปดี

“ฮึบ!” ยูยะพยายามฝืนกายลงบันไดมาทีละขั้นด้วยความยากลำบาก เพราะแต่ละขั้น ๆ มันก็ทำให้เขาเสียวแปลบที่แผลเก่าแทบทุกครั้ง จึงต้องทรุดลงพักอยู่ที่กลางบันไดนั่น จนกระทั่ง…

“ไปทำอะไรอยู่ตรงนั้นน่ะ นาโอกิ!”

น้ำเสียงห้วน ๆ อันแสนจะคุ้นเคยที่ดังขึ้น ทำเอายูยะสะดุ้งโหยง พอเห็นชัดถนัดว่าเจ้าของเสียงเป็นใคร เด็กหนุ่มก็ลุกขึ้นพรวด จนเผลอเสียหลักร่วงลงมาทันที

…โอ๊ย! ตายแน่ ต้องคอหักกระแทกพื้นตายแน่เลย!! ….

ยูยะร้องโอดครวญอยู่ในใจ แต่จนแล้วจนรอด เจ้าความรู้สึกเจ็บก็ยังไม่เห็นว่าจะมาเยือนเขาเสียที

…อืม…อุ่น ๆ นิ่ม ๆ เหมือนกับไม่ใช่พื้นห้องเลยแฮะ …

“เป็นอะไรไหม นาโอกิ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

น้ำเสียงทุ้มนุ่มหู กระซิบถาม ยูยะหน้าซีดเผือด รู้ซึ้งทันทีว่า เป็นเพราะสาเหตุใด ที่ทำให้เขาไม่ได้รับบาดเจ็บ จากการกลิ้งตกบันไดลงมาในครั้งนี้

ร่างที่กลายเป็นเบาะรองรับ บัดนี้เริ่มขยับกายพิงราวบันได ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน หากแต่อ้อมแขนอีกข้างก็ยังคงไม่ยอมปล่อยร่างเล็กในอ้อมกอด อยู่ดี แม้ว่าอีกฝ่ายจะเริ่มทำการดิ้นรนขลุกขลัก อยากจะลุกหนีไปเต็มที่แล้ว ก็ตาม

“อย่าดิ้นสิ นาโอกิ อยู่เฉย ๆ เป็นไหม”

น้ำเสียงทุ้มดุขึ้นอย่างไม่จริงจังเท่าใดนัก หากแต่คนถูกดุก็ไม่ยอมสนใจ จนชายหนุ่มสั่นศีรษะเบา ๆ อย่างนึกระอา จากนั้นจึงโน้มใบหน้าลงไปประกบริมฝีปากบางของคนในอ้อมกอดแผ่วเบา จนทำให้อีกฝ่ายหยุดดิ้น ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจแทนที่

“หยุดดิ้นได้แล้วสินะ”

มอร์เฟียซเอ่ยกลั้วหัวเราะ มองคนหน้าซีดในอ้อมกอดอย่างขบขันระคนสงสาร ก่อนจะยอมคลายอ้อมกอดให้อีกฝ่ายเป็นอิสระในที่สุด

“อ๊ะ!” ยูยะรีบสปริงตัวลุกขึ้นทันทีทันใด เมื่อเห็นว่าตัวเองเป็นอิสระจนได้ แต่แล้วเขาก็ต้องตกใจอีกครั้ง เมื่อร่างสูงที่ลุกขึ้นตามมานั้น ช้อนร่างของเขาอุ้มขึ้นไว้ในวงแขน ก่อนจะเดินย้อนกลับขึ้นไปยังห้องบนชั้นสองทันที

“อะ ...อาจารย์ จะทำอะไรน่ะ ปล่อยนะ!!”

เด็กหนุ่มร้องลั่นด้วยความตกใจ หากแต่มอร์เฟียซกลับก้มหน้าลงมองเขายิ้ม ๆ แทน

“ขืนปล่อยตอนนี้เธอก็ได้เจ็บตัวเท่านั้นสิ อยากลงไปกระแทกพื้นนักหรือ …นาโอกิ”

ยูยะอยากจะบอกว่า ให้เขาหล่นลงมากระแทกพื้นยังจะดีเสียกว่าที่ต้องทนอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่มนานกว่านี้อีกสักวินาทีเดียว แต่ว่า เมื่อสบกับนัยน์ตาสีเขียวไม่น่าไว้ใจนั้นแล้ว ก็ทำให้เขาคิดได้ว่า สงบปากสงบคำไว้น่าจะดีกว่า

มอร์เฟียซจัดการอุ้มร่างในอ้อมแขนกลับห้องของเจ้าตัว มือใหญ่เบี่ยงไปบิดลูกบิด ก่อนจะใช้เท้าสะกิดเบา ๆ บานประตูก็เปิดออกอย่างง่ายดาย

“เธอยังไม่หายเจ็บดีไม่ใช่หรือนาโอกิ ออกมาเดินแบบนั้นจะทำให้แผลหายช้าขึ้นรู้ไหม”

ชายหนุ่มดุค่อย ๆ เมื่อวางร่างเล็กลงบนเตียงอย่างเบามือที่สุดเรียบร้อยแล้ว

“เอ่อ…คือ ผมหิวข้าว” ยูยะเบือนหน้าไปอีกทาง ตอบอุบอิบ

ไม่ได้โกหกนะ ก็เขาหิวข้าวจริง ๆ นี่นา ถึงจะเป็นแค่ส่วนหนึ่งก็เถอะ มอร์เฟียซเลิกคิ้วนิด ๆ ก่อนจะแย้มยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน

“โทษที ฉันก็ลืมไป เดี๋ยวฉันจะไปเอาอาหารที่โรงอาหารมาให้นะ แล้วจะได้บอกทางโรงครัวว่า ให้เขาเก็บอาหารเย็นวันนี้ ไว้สำหรับเด็ก ม. 5 / Z ด้วย”

ยูยะหันหน้ากลับมามองทันทีด้วยความสงสัย ซึ่งเมื่อมอร์เฟียซเห็น สีหน้าเช่นนั้น ก็หัวเราะออกมาเบา ๆ

“เพื่อน ๆ ของเธอ ทั้ง 14 คนนั่นล่ะ ดูเหมือนว่าเย็นนี้ พวกเขาอยากจะใช้เวลาอยู่กับการค้นคว้าข้อมูลในห้องสมุดให้นานกว่าเดิมเป็นพิเศษ ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ตอนนี้ เด็ก ม.5 / Z ภายในหอนี้ก็มีแต่เธอคนเดียวยังไงล่ะ”

ยูยะหน้าซีดเผือด ง่า…นี่ก็หมายความว่า หอทั้งหอนี้ก็มีเพียงเขา กับอาจารย์หนุ่ม เท่านั้นสินะ …โอ้! พระเจ้า! ช่างเป็นตลกที่ร้ายกาจชะมัด!!

“คือ…แต่ว่า อีกเดี๋ยว อาจารย์ก็จะกลับไปแล้วใช่ไหมครับ”

เด็กหนุ่มถามกึ่งไล่ หากแต่เจ้าตัวมาสำนึกเสียใจภายหลังว่า ไม่น่าหลุดปากถามออกไปแบบนั้นเลยจริง ๆ

“ไม่อยากให้ฉันอยู่ด้วยถึงขนาดนี้เชียวงั้นหรือ นาโอกิ”

ใบหน้านั้นยังคงยิ้มแย้ม หากแต่ยูยะสังเกตได้ว่า แววตาสีเขียวสดใส กำลังส่องประกายวาวโรจน์อย่างน่าขนลุก

“ใช่ เอ่อ….มะ…ไม่ใช่ คือ ผมหมายความว่าอาจารย์น่าจะมีธุระสำคัญที่จะต้องทำ คือ …แบบว่า เอ่อ”

แก้ตัวไปแก้ตัวมา ก็ทำให้ยูยะนิ่งอึ้งนึกอะไรไม่ออกขึ้นมาดื้อ ๆ

มอร์เฟียซเหยียดยิ้มนิด ๆ ก่อนจะเดินตรงมายังที่เตียงของเด็กหนุ่ม ซึ่งออกอาการสะดุ้งเฮือกทันทีที่เขาทรุดนั่งลงบนเตียงใกล้ ๆ ตน

“ตอนแรกฉันก็กะว่าจะไปเอาอาหารมาให้เธอ แล้วอยู่ดูเธออีกสักพัก จากนั้นก็จะกลับไปทำงานต่อ …แต่เธอทำให้ฉันเปลี่ยนใจแล้วล่ะ นาโอกิ”

ใบหน้านั้นโน้มลงมาใกล้ ๆ จนยูยะใจเต้นตึกตัก ทั้งหวาดกลัว ทั้งรู้สึกแปลก ๆ ยังไงบอกไม่ถูก

“ถึงเธอจะบอกว่าเธออยู่คนเดียวได้ แต่ในฐานะที่ฉันทำให้เธอต้องลำบาก ฉันควรจะรับผิดชอบในสิ่งที่ฉันกระทำบ้างสินะ”

มอร์เฟียซถอนใบหน้าที่เกือบจะชิดกับอีกฝ่ายออกมาช้า ๆ ก่อนจะลุกขึ้น เดินออกไปจากห้อง ไม่ได้พูดอะไรอีก แต่นั่นก็ทำให้ยูยะยิ่งตกอยู่ในสภาวะสับสน และหวาดหวั่นเข้าไปยิ่งขึ้น ในสมองของเขามีแต่คำพูดของอาจารย์หนุ่มก้องไปมาภายในนั้น นัยน์ตาสีดำจ้องมองไปยังหน้าต่าง เป็นระยะ หากมอร์เฟียซ คาเตอร์เกิดบ้าเลือด จะปล้ำเขาอีกครั้งล่ะก็ เขาจะวิ่งพุ่งหลาวลงหน้าต่างหนีไป จริง ๆ ด้วย ตกจากชั้น 2 อย่างมากก็แค่แข้งขาหัก คงไม่ถึงตายหรอกน่า

ยูยะคิดในใจอย่างหนักแน่น ก่อนจะค่อย ๆ ลุกไปลากเก้าอี้มานั่งใกล้ กับหน้าต่าง ดวงตาหวาดระแวงมองไปที่ประตูเป็นระยะ เหมือนคนที่จวนเจียนจะเป็นโรคประสาทเต็มที

มอร์เฟียซเปิดประตูห้องเข้ามาพร้อมกับถาดอาหาร และก็ต้องพบกับภาพอันชวนให้ขบขัน เมื่อหนุ่มน้อยของเขา กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ ชิดริมหน้าต่าง แถมยังมองมาทางเขาด้วยสายตาหวาดระแวงสุด ๆ อีกต่างหาก

ชายหนุ่มสั่นศีรษะเบา ๆ ก่อนจะกล่าวลอย ๆ ขณะที่ถือถาดอาหารไปวางไว้บนโต๊ะทำงาน

“การกระโดดลงจากชั้น 2 น่ะ มันดูเหมือนว่าจะไม่เป็นอะไรมากก็จริง แต่ถ้าลงผิดท่า ก็ถึงขั้นคอหักตายเอาได้ง่าย ๆ เชียวนะ”

ยูยะสะดุ้งเฮือก ปีศาจ! หมอนี่ต้องเป็นปีศาจแน่ ๆ ถึงอ่านใจเขาได้ขนาดนั้น!

หากแต่เด็กหนุ่มกลับลืมนึกไปว่า คนที่ได้ชื่อว่าเป็นฝ่ายปกครอง สุดเฮี้ยบของระดับมัธยมปลายแห่งสถาบันอีเดนนั้น การจะอ่านพฤติกรรมจากสีหน้า ท่าทาง หรือแม้กระทั่งดวงตา เขาก็สามารถทำได้ง่าย ๆ เหมือนอ่านหนังสือทีเดียว ดังนั้น มอร์เฟียซ คาเตอร์ จึงถูกจัดอยู่ในอันดับต้น ๆ ของรายชื่อ ผู้ที่นักเรียนส่วนใหญ่ ไม่อยากพบหน้ามากที่สุดในสถาบัน

“อย่างน้อยก็กินข้าวเสียก่อนก็ยังดี เผื่อจะได้มีแรงไว้หนี หรือ ขัดขืนได้บ้าง”

ชายหนุ่มพูดขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนไม่ได้ใส่ใจ หากแต่คนฟังเริ่มสติแตกไปเสียแล้ว

… ทำไม ต้องหนี! ทำไมต้องขัดขืน! มอร์เฟียซ คาเตอร์ นายจะทำอะไรฉันอีกหรือไง หา!!….

แล้วยูยะก็ต้องตกใจซ้ำสอง เมื่ออยู่ดี ๆ คนตรงหน้าก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เด็กหนุ่มไม่รู้ตัวหรอกว่า สีหน้าหวาดระแวงสุดขีดของตน มันน่ารักมากในสายตาของคนอื่นขนาดไหน

และยูยะก็ต้องตระหนักได้ในที่สุดว่า ตนกำลังถูกแกล้ง ถูกแกล้งจากผู้ชายตรงหน้าที่เขาเริ่มเกลียดเข้าไส้ เด็กหนุ่มกัดฟันกรอด กำหมัดแน่น อยากจะตั๊นหน้าเจ้าคนที่กำลังหัวเราะร่วนอยู่นี่เสียเหลือเกิน ถ้าไม่ติดอยู่อย่างเดียวว่าจะโดน พักการเรียน หรือ ไล่ออก โทษฐานทำร้ายอาจารย์ฝ่ายปกครองล่ะก็ อ๊ะ แต่หมอนี่ก็เคยข่มขืนเขานี่นา เขาจะเอาเรื่องนี้ไปยันกับอาจารย์คนอื่นดีไหม …ไม่สิ ไม่ดีแน่ ถ้าเรื่องนี้หลุดออกไปให้คนอื่นรู้ เขาก็ไม่มีหน้าเรียนอยู่ที่นี่ได้อีกอยู่ดี โธ่โว้ย! ทำไม เขาต้องโชคร้ายแบบนี้ด้วยนะ!!

มอร์เฟียซที่เริ่มสงบสติอารมณ์ได้แล้ว มองหน้าลูกศิษย์ของเขาที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความสับสน แล้วก็ทำให้อาจารย์หนุ่มลอบอมยิ้ม เพราะ สีหน้าของอีกฝ่ายช่างอ่านง่ายดาย เสียยิ่งกว่าใครทุกคนที่เขาเคยพบมารวมกันเสียอีก

“เธอคงอยากจะชกชั้นเต็มที่แล้วสินะ นาโอกิ ถึงกำหมัดแน่นแบบนั้นน่ะ”

เจ้าตัวกระเซ้าเล่น ซึ่งทำให้คนที่เริ่มข่มอารมณ์ให้เย็นลงได้บ้าง กลับมาเดือดอีกครั้ง

“ฉันจะให้เธอชกหน้าก็ได้นะ นาโอกิ โดยที่ไม่มีการเอาเรื่องอะไรด้วย …เพียงแต่”

ชายหนุ่มเว้นวรรคนิดหนึ่ง ก่อนที่นัยน์ตาสีเขียวคมกริบ จะจับจ้องทั่วเรือนร่างคนตรงหน้า ชนิดที่ทำให้ยูยะขนลุกซู่ทั่วกายทีเดียว

“ค่าตอบแทนที่ถูกชกฟรีนี่มันค่อนข้างแพงนะ และบางที ฉันก็อาจจะไม่รอให้แผลเธอหายด้วย”

เท่านี้ก็ชัดเจนกับสิ่งแลกเปลี่ยนของอีกฝ่าย ยูยะนึกขอบใจตัวเองที่ไม่ใจเร็วด่วนได้ ชกหน้าชายหนุ่มออกไปเสียก่อน มิเช่นนั้นป่านนี้เขาคง... คิดแล้วเจ้าตัวก็ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวทันที

“อะ…อาจารย์ ยังไม่กลับห้องตัวเองอีกหรือครับ นี่มันก็เย็นมากแล้วนะครับ”

น้ำเสียงตะกุกตะกัก กับสายตาหวาดหวั่นนั้น ทำให้มอร์เฟียซเหยียดยิ้ม ชักนึกอยากจะแกล้งร่างเล็กตรงหน้าให้มากขึ้นกว่านี้อีกแล้วสิ

“รอให้เธอกินข้าวให้หมดก่อน นาโอกิ”

เจ้าตัวตอบง่าย ๆ ยูยะพยายามมองโลกในแง่ดี ว่า ประโยคนั้นคงจะหมายความว่า รอให้เขากินข้าวให้หมดเรียบร้อย แล้วเจ้าตัวก็คงจะกลับไปนั่นเอง

มอร์เฟียซนั่งลงบนเตียงของเด็กหนุ่ม มองดูอีกฝ่ายนั่งกินข้าว ที่ดูเหมือนกับว่าจะกลืนโดยไม่ได้เคี้ยวนั่น ด้วยความขบขัน

… ยังน่ารัก แกล้งง่ายเหมือนเดิมเลยแฮะ เด็กคนนี้ ...

ชายหนุ่มคิดในใจอย่างเอ็นดู แต่แรกนั้นเขาค่อนข้างจะเป็นกังวลกับปฏิกิริยาของ ยูยะเป็นอย่างมาก เกี่ยวกับการที่เขาตัดสินใจกระทำใจเร็วด่วนได้ลงไปเช่นนั้น

ทั้ง ๆ ที่ทนมาได้เป็นปี ๆ และคิดว่าจะทนต่อไปเรื่อย ๆ แต่พอเห็นเด็กนั่นใกล้ ๆ ได้เห็นสีหน้าท่าทาง ยามเป็นตัวของตัวเอง ขณะที่อีกฝ่ายเล่นดนตรี นั่นก็ทำให้ความอดทนที่เสมือนเชือกเส้นเล็ก ๆ ของเขาขาดผึงลงทันที

…อยากกอด อยากสัมผัส อยากให้ร่างตรงหน้าเป็นของเขาผู้เดียว …

และเมื่อมารู้สึกตัวอีกที ร่างเล็ก ๆ นั่นก็สลบคาอ้อมแขนของเขาเสียแล้ว

มอร์เฟียซเตรียมตัวยอมรับความเกลียดชังจากอีกฝ่ายเต็มที่ หากแต่ ยูยะ ก็ยังคงเป็นยูยะ เป็นเด็กหนุ่มที่มีจิตใจโอบอ้อมอารี ซื่อตรง มองโลกในแง่ดี เป็นคนที่เขาหลงรักเต็มหัวใจ นับตั้งแต่วันที่เห็นเด็กคนนี้เล่นดนตรีเป็นครั้งแรก

เด็กหนุ่มอาจจะแสดงท่าทางรังเกียจ หวาดระแวง เมื่อยามเขาเข้ามาใกล้ แต่มันก็ค่อนข้างห่างจากพื้นฐานความเกลียดชังที่เขาคาดว่าจะได้รับมัน แน่ ๆ พอสมควร

การที่ยูยะยังคงยอมพูดคุยกับเขา นั่นเป็นสัญญาณอันดี ที่พอจะทำให้เขามีความหวังขึ้นมาได้บ้าง

…คอยดูเถอะ นาโอกิ ยูยะ ฉันจะต้องเอาหัวใจของเธอมาเป็นของฉันให้ได้ สาบานกับนรกได้เลย! …


---TBC---

หัวข้อ: Re: The Eden School.... Chp.3 (23/06/54)
เริ่มหัวข้อโดย: Adinnav ที่ 23-06-2011 15:17:38
กรี๊ดดดด นิยายเรื่องนี้ เป็นนิยายวายเรื่องแรกที่เคยอ่านในเด็กดี เมื่อกี่ปีที่แล้วก็ไม่รู้

สมัยที่ในนั้นยังมีนิยายไม่เยอะเท่าตอนนี้

เป็นเรื่องแรกที่ทำให้รู้จัก โลกของ Y

Yaoi จงเจริญ อิอิ

---- ตามหามานาน แต่จำชื่อเรื่องไม่ได้ จำได้แค่ว่า อีเดน อะไรสักอย่าง เปิดเข้ามาในเรื่องนี้ด้วยใจระทึก แม่ง ใช่จริงๆด้วย 555--
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Chp.3 (23/06/54)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 23-06-2011 15:28:22
กรี๊ดดดด นิยายเรื่องนี้ เป็นนิยายวายเรื่องแรกที่เคยอ่านในเด็กดี เมื่อกี่ปีที่แล้วก็ไม่รู้

สมัยที่ในนั้นยังมีนิยายไม่เยอะเท่าตอนนี้

เป็นเรื่องแรกที่ทำให้รู้จัก โลกของ Y

Yaoi จงเจริญ อิอิ

---- ตามหามานาน แต่จำชื่อเรื่องไม่ได้ จำได้แค่ว่า อีเดน อะไรสักอย่าง เปิดเข้ามาในเรื่องนี้ด้วยใจระทึก แม่ง ใช่จริงๆด้วย 555--

โอ้ แฟนดั้งเดิม ~ ดีจริง ๆ  ^^  แนว y ในเด็กดีปัดลบทิ้งไปหมดแล้วค่ะ เรื่องที่เคยลงหลายเรื่องด้วย ตอนนี้ก็เหลือแต่เรื่องปัจจุบันไม่กี่เรื่อง ที่ไม่ใช่ Y ทิ้งไว้เท่านั้น จะได้ไม่มีปัญหา โดนไล่แบนมาให้กวนใจล่ะนะ 

สำหรับเรื่องนี้ ไว้เดี๋ยวจะลงตอนพิเศษที่เขียนหลังจากนั้นเพิ่มให้อ่านในเล้านะคะ เรื่องนี้ตอนพิเศษเยอะค่ะ หลายคู่อยู่ ~
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Chp.3 (23/06/54)
เริ่มหัวข้อโดย: gay_love ที่ 23-06-2011 16:00:08
 :L2:
กำลังใจ นักเขียน ค่ะ :L1:
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Chp.3 (23/06/54)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 23-06-2011 16:32:59
โรงเรียนอะไรเนี่ย  :z1:  น่าไปเรียนมั้งจัง  :o8: 

อาจารย์มอร์เฟียซ เป็นพระเอกสินะ  :o8:
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Chp.2
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 23-06-2011 17:23:43
เข้ามาอ่านด้วยคนครับ
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Chp.3 (23/06/54)
เริ่มหัวข้อโดย: Final_love ที่ 23-06-2011 17:46:29
กรี๊สสสสสสส...

หนูรักเรื่องนี้สุดๆเลยค่ะ

น่าลากมากกกกกกก :haun4:
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Chp.3 (23/06/54)
เริ่มหัวข้อโดย: July_Moon ที่ 23-06-2011 18:15:26
น่ารัก >< อาจารย์ขี้แกล้งงงงงง ฮา.....
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Chp.3 (23/06/54)
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 23-06-2011 18:17:15
น่าร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Chp.3 (23/06/54)
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 23-06-2011 21:44:24
จะสงสารเพื่อน ๆ ดีไหม๊
ที่โดนทำรายงาน เล่มอย่างหนา

 :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Chp.3 (23/06/54)
เริ่มหัวข้อโดย: SuSaya ที่ 23-06-2011 22:00:31
น่ารักมาก ๆ ถึงจะคิดว่ามอเฟียสลัดขั้นตอนไปหน่อยก็เถอะ
แต่พอเห็นปฏิกิริยาของยูยะก็ค่อยเบาใจ
ไม่เคียดแค้น หรือฟูมฟายทำร้ายตัวเองก็ถือเป็นแนวโน้มที่ดี
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Chp.4 (24/06/54)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 24-06-2011 10:55:04

Chp.4

ยูยะเหลือบชำเลืองมองคนที่นั่งอยู่บนเตียงไม่ยอมกลับไปเสียทีด้วยความหงุดหงิด ทั้ง ๆ ที่เขาเองก็ทานอาหารถาดนั้นเสร็จไปเรียบร้อย เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วด้วยซ้ำ

…มอร์เฟียซ คาเตอร์ นายจะเอายังไงกันแน่นะ ...

แล้วยิ่งได้ทานยาชุดเดิม ที่อาจารย์หนุ่มเอามาฝากให้ ยูยะก็ยิ่งรู้สึกมึน หัวขึ้นทุกที เด็กหนุ่มอยากจะนอนหลับเต็มทีแล้ว แต่ต้องไม่ใช่ต่อหน้า มอร์เฟียซ คาเตอร์ ตัวอันตรายคนนี้แน่

... โอ๊ย! ง่วงชะมัด! ไปเอาน้ำเย็น ๆ ราดหัวสักทีดีกว่า ….

เมื่อเห็นเด็กหนุ่มลุกขึ้น ตรงเข้าไปหยิบผ้าขนหนูในตู้เสื้อผ้า และกำลังจะเลือกเสื้อผ้าตัวใหม่ไปเปลี่ยน มอร์เฟียซก็สั่นศีรษะช้า ๆ พร้อมกับลุกขึ้นไปปิดตู้ทันที

“เธอเป็นไข้ด้วยไม่ใช่หรือ นาโอกิ แล้วจะไปอาบน้ำได้ยังไงกัน”

ยูยะพยายามหลบตาคนรู้มากตรงหน้า พลางก้มหน้าตอบอุบอิบ

“ก็ผมเหนียวตัวนี่ครับ อีกอย่างอาการไข้ก็ค่อยยังชั่วแล้วด้วย”

เด็กหนุ่มไม่อยากจะบอกออกไปทั้งหมดหรอกว่ากลัวตัวเองเผลอหลับไปขณะชายหนุ่มอยู่ด้วย เลยต้องลงไปเอาน้ำเย็นราดหัวให้หายง่วงน่ะ

“เธอไม่ใช่หมอนะ นาโอกิ จะได้วินิจฉัยโรคตัวเองรู้เรื่อง ในสายตาของฉัน เธอยังดูไม่ดีขึ้นเลยด้วยซ้ำไป”

ยูยะคันปากยิบ ๆ เตรียมจะแย้งกลับเต็มที่ หากแต่ประโยคถัดมาของอีกฝ่าย ก็ทำเอาเขาถึงกับช็อก อ้าปากค้างทันที

“เดี๋ยวฉันจะเช็ดตัวให้เธอเอง”

เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนสมองของเขาจะว่างเปล่าไปชั่วขณะ นัยน์ตาสีดำเบิกกว้าง ก่อนจะตัดสินใจถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

“อะ..อะไร นะครับ”

มอร์เฟียซเหยียดยิ้มนิด ๆ ทีแรกก็กะว่าจะไม่แกล้งแล้ว แต่เห็นสีหน้าตกใจแบบนั้น มันทำให้อดใจไม่ได้สักทีสิน่า

“ฉันบอกว่า ฉันจะเช็ดตัวให้เธอเองยังไงล่ะ หึ ๆ ไม่ต้องห่วงหรอกนะ จะเช็ดให้สะอาดทุกซอกทุกมุมเลยทีเดียว”

ใบหน้าที่ยิ้มแย้มขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์นั้น ทำให้เด็กหนุ่มหน้าซีด ปากสั่น ตาเหลือบไปมองที่ประตูทันที ก่อนจะรีบวิ่งออกไปอย่างสุดแรงเกิด ไม่ได้สนใจเรื่องความเจ็บปวดของร่างกายแล้วในยามนี้ เขาคิดแต่เพียงว่า ทำยังไงก็ได้ ขอให้ไปพ้น ๆ จากที่แห่งนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้ล่วงหน้า ว่าจะต้องมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น มอร์เฟียซรีบไปดักอยู่ตรงบริเวณประตู พร้อมกับรวบร่างที่กำลังดิ้นอย่างเอาเป็นเอาตายไว้ในอ้อมอก

“ปล่อยผมนะ ปล่อยผม ได้ยินไหม!!”


ยูยะตะโกนเสียงดังลั่นด้วยความหวาดหวั่น จนชายหนุ่มเริ่มคิดได้ว่า เขาคงจะแกล้งเด็กคนนี้หนักเกินไปหน่อยแล้ว

“นาโอกิ… นาโอกิ ใจเย็น ๆ สิ ฉันก็แค่จะเช็ดตัวให้เธอเท่านั้น จะไม่ทำอะไรล่วงเกินอย่างอื่นแน่นอน สาบานได้”

น้ำเสียงทุ้มนุ่ม กระซิบเบา ๆ ข้างใบหูของอีกฝ่าย ทำให้อาการดิ้นรนลดลงไปได้บ้าง หากแต่ร่างเล็กก็ยังคงพยายามขืนตัวให้หลุดออกจากอ้อมกอดนั้นอยู่ดี

“ถ้าเธอสัญญากับฉันว่าจะไม่วิ่งหนีอีก ฉันถึงจะปล่อยเธอ สัญญาได้ไหมล่ะ”

ยูยะพยักหน้าหงึก ๆ อย่างว่าง่าย ถ้าทำให้เขาหลุดพ้นจากอ้อมกอดนี้ได้ เขายินดีทำทุกอย่าง

จากนั้นมอร์เฟียซ ก็คลายอ้อมกอดให้ร่างเล็กเป็นอิสระ เด็กหนุ่มถอยกรูดไปติดมุมห้องทันที มองเขาด้วยสีหน้าหวาดกลัวสุดขีด

อาจารย์หนุ่มยิ้มขึ้นเศร้า ๆ ปฏิกิริยาตรงหน้านั้น ถึงแม้จะเตรียมตัวเตรียมใจรับมาแล้วขนาดไหนก็ตาม หากแต่มันก็ทำให้เขารู้สึกปวดแปลบที่หัวใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกทุกทีที่ได้เห็น

“ฉัน…จะไปเอาน้ำมานะ”

แล้วร่างสูงใหญ่ก็เดินออกไปเงียบ ๆ เหลือไว้ก็แต่เด็กหนุ่มที่มองตามแผ่นหลังที่ดูเศร้าสร้อย นั้นไปด้วยความรู้สึกที่แสนสับสน





คาเตอร์ หมอนั่นไปไหนกัน บอกว่าจะลงไปเอาน้ำมาเช็ดตัวให้ แต่นี่มันก็นานแล้วนะ….เวลาผ่านไปเท่าไรแล้วนี่ อืม…ง่วงนอนชะมัดเลย

ความง่วงงัน เริ่มครอบงำมากขึ้นทุกที จนในที่สุดยูยะก็ทนไม่ไหว เขาทิ้งตัวลงกับที่นอนเบา ๆ ก่อนจะฟุบหลับไปในที่สุด

อืม …. เย็นสบายดีจัง …..

สัมผัสแผ่วเบาที่ลูบไล้ไปทั่วเรือนร่าง ปลุกให้คนที่กำลังหลับสบายปรือตาขึ้นมามอง หากแต่เจ้ายาที่กำลังออกฤทธิ์ ก็ทำให้เจ้าตัวได้แต่ปรือตาน้อย ๆ เท่านั้น ในสมองก็เบลอ ๆ ไปหมด จนจับต้นชนปลายไม่ถูก รู้อย่างเดียวในตอนนี้ก็คือเขาค่อนข้างชอบสัมผัสอ่อนโยน ที่กำลังลูบไล้ร่างกายเขาอยู่มากเหมือนกัน

“อ้าว…ทำให้ตื่นงั้นหรือ โทษทีนะ…”

น้ำเสียงทุ้ม ๆ ที่ค่อนข้างคุ้นเคยเอ่ยขึ้นเบา ๆ เมื่อสังเกตเห็นตาที่ปรือขึ้นน้อย ๆ ของคนบนเตียง

“อือ…ใครน่ะ…ทำอะไร”

ภาพที่เห็นจากสองตา มันกลายเป็นภาพเบลอ ๆ เลือน ๆ จนเด็กหนุ่มต้องพยายามเพ่งมองให้ชัด หากแต่สัมผัสเย็น ๆ ที่ย้ายขึ้นมาลูบไล้บริเวณใบหน้า ก็ทำให้เขาหลับตาพริ้มลงด้วยความสบายแทน

“ไม่ต้องกังวลอะไรหรอก …นอนต่อเถอะ”

น้ำเสียงอ่อนโยนกระซิบที่ข้างใบหูนั้นแผ่วเบา

“อืม…” เสียงครางตอบรับค่อย ๆ ดังรอดออกมาจากริมฝีปาก ก่อนที่เจ้าตัวจะกลับคืนเข้าสู่ห้วงนิทรารมย์อันแสนสุขอีกครั้งหนึ่ง

“หลับฝันดีนะ นาโอกิ”

ริมฝีปากหนาได้รูป ก้มลงจุมพิตแผ่วเบาที่หน้าผากเกลี้ยงเกลา หลังจากเช็ดตัว และเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เด็กหนุ่มเรียบร้อยแล้ว

มอร์เฟียซหันมายิ้มให้กับร่างเล็กบนเตียงอีกครั้ง ก่อนที่จะจัดการ ปิดไฟ พร้อมกับล็อคห้องให้อีกฝ่ายอย่างเรียบร้อย จากนั้นจึงเตรียมเดินกลับไปยังบ้านพักของตัวเองอย่างอารมณ์ดี



เสียงจ้อกแจ้ก จอแจที่ดังขึ้น จากบรรดาเด็ก ๆ นักเรียนชายที่เพิ่งกลับมา ทำให้ร่างที่กำลังก้าวเท้าลงมาจากบันไดชะงักเล็กน้อย ก่อนที่เจ้าตัวจะวางท่าทางให้กลับเป็นปกติได้ในเวลาอันรวดเร็ว

“โธ่โว้ย! ดูสิ กว่าจะเสร็จล่อเอาเกือบ 2 ทุ่ม ดีนะที่ยังมีข้าวเย็นเหลือให้กินบ้าง ให้ตายสิ! มอร์เฟียซ คาเตอร์ หมอนี่มันซาตานในคราบเทพบุตร เหมือนที่ยูยะ เคยบอกไว้เป๊ะเลย!”

เสียงโพล่งดังขึ้นมาแต่ไกล โดยที่มอร์เฟียซฟังดูก็รู้ว่าเจ้าของเสียงคือใคร หากแต่คำพูดของอีกฝ่ายนี่สิ สร้างความสนใจให้แก่เขาไม่น้อยเลยทีเดียว

…อืม เพิ่งรู้แฮะ ว่า เด็กนั่นมองเราแบบนี้มาตลอด ซาตานในคราบเทพบุตรอย่างนั้นรึ หึ ๆ …

คิดแล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้ ก่อนจะหันกลับไปมองยังห้องที่เพิ่งจากมาอยากรู้จริง ๆ ว่า ถ้าเจ้าตัวลงมาด้วยกันพร้อมกับเขา แล้วเวลาได้ยินประโยคนี้เข้าจะทำหน้ายังไงบ้าง

และขณะที่จิมมี่กำลังจะพล่ามต่อไป เด็กหนุ่มก็ต้องหยุดกึก อ้าปากค้าง เมื่อเห็นคนที่ตนเองกำลังนินทาอย่างมันปาก โผล่มาอยู่ต่อหน้าอย่างไม่คิดไม่ฝัน นักเรียนชายที่อยู่ด้วยทั้งหมด ก็ต่างพากันหน้าซีดเผือดโดยไม่ได้นัดหมายเช่นกัน

... ตาย! คราวนี้ ตายแน่ ๆ ….

นั่นคือสิ่งที่ทุกคนคิด หากแต่นับว่าเป็นโชคช่วยของพวกเด็ก ๆ โดยแท้ ที่ตอนนี้ชายหนุ่มอิ่มอกอิ่มใจ เสียจนไม่คิดจะเก็บเอาเรื่องหยุมหยิมอื่น ๆ มาเป็นอารมณ์ มอร์เฟียซส่งยิ้มให้กับทุกคน ที่พากันตกตะลึงช็อกไปกันอีกรอบ ก่อนที่เขาจะเอ่ยขึ้นช้า ๆ อย่างอารมณ์ดี

“เป็นยังไงบ้าง งานที่ฉันให้ทำเสร็จแล้วใช่ไหม”

“คะ...ครับ” ทุกคนตอบเสียงแผ่วเบา อาจารย์หนุ่มพยักหน้ารับ และขณะที่กำลังจะเดินจากไป เขาก็ชะงักเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง

“อ้อ! จริงสิ นาโอกิไม่สบาย กำลังพักผ่อนอยู่ ฉันให้ยาเขากินหลับไปแล้ว พวกเธอไม่ต้องไปกวนเขาล่ะ!”

ท้ายประโยคชายหนุ่มกำชับ เสียงหนักแน่น นัยน์ตาสีเขียวคมกริบบ่งบอกชัดเจนให้ทุกคนรับรู้ว่า มันจะไม่หยุดอยู่แค่ความไม่พอใจธรรมดาแน่ ๆ หากมีคนกล้าขัดคำสั่งเขาล่ะก็…

“ครับ!!” ทุกคนรีบรับคำพร้อมกับทันที ซึ่งก็สร้างความพึงพอใจให้กับมอร์เฟียซเป็นอย่างมาก และเมื่อชายหนุ่มเดินจากไปลับตาแล้ว ทุกคนก็หันขวับมาทางจิมมี่อย่างรวดเร็ว

“จิมมี่! นายได้ยินแล้วใช่ไหม! อย่าพยายามหาเรื่องเดือดร้อนมาให้พวกฉันอีก เข้า..ใจ..ไหม…”

มิเชลเน้นประโยคสุดท้ายช้า ๆ ชัด ๆ นัยน์ตาสีฟ้าเข้ม จับจ้องมายังเพื่อนร่วมชั้น ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อทีเดียว

“เออ ๆ เข้าใจแล้ว ฉันรู้อยู่แล้วน่าว่ายูยะไม่สบายตั้งแต่เช้า ถ้าเขาหลับแล้วฉันก็ไม่ไปกวนเขาหรอก แต่พวกนายไม่นึกสงสัยคาเตอร์บ้างเลยงั้นหรือ หมอนั่นมาที่หอตอนนี้ทำไม แถมยังช่วยพยาบาลยูยะอีกด้วยนะ อึ๋ย! แค่คิดก็สยองขวัญแล้วอ่ะ”

คนอื่น ๆ ต่างหันมามองตากันปริบ ๆ ไอ้เรื่องสงสัยน่ะมันมีอยู่แล้ว แต่ถึงสงสัยไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมา ใครจะกล้าไปถามคาเตอร์ได้บ้างล่ะ มีอยู่อย่างเดียวก็คือ รอให้ยูยะตื่น แล้วค่อยถามจากปากเด็กหนุ่มดีที่สุด

“ไว้ถามนาโอกิ พรุ่งนี้ก็ได้น่า”

ราฟาเอลตัดบท ก่อนจะขอตัวกลับเข้าห้องด้วยความเพลีย นักเรียนชายคนอื่น ๆ ก็ต่างพากันทยอยไปทีละคนสองคนจนเหลือจิมมี่อยู่คนเดียว

“เฮ้อ…ยูยะ อยากปลุกนายขึ้นมาถามตอนนี้เลยจริง ๆ ให้ตายสิ!”

จิมมี่บ่นเบา ๆ ด้วยความหงุดหงิด จากนั้นจึงตรงกลับเข้าห้องของตัวเองไปเช่นกัน




อืม … ใครน่ะ? …

เด็กหนุ่มปรือตามองร่างสูงใหญ่ ที่ทาบทับอยู่บนร่างเขา ริมฝีปากร้อนชื้นพรมจูบไปทั่ว จนร่างเล็กสั่นสะท้าน

…อา…อือ…อืม….

ริมฝีปากหนานุ่มเลื่อนขึ้นมาประกบบนริมฝีปากบางซึ่งเผยอรับนิด ๆ อย่างลืมตัว

…อืม…อา…

เรียวลิ้นอุ่นชื้น สอดแทรกเข้ามาหาความหวานซ่านภายในอย่างรุกเร้า มือเรียวบางของเด็กหนุ่มโอบกระชับรอบคอของร่างหนาด้านบนแน่น พลางเบียดกายของตนให้แนบชิดอีกฝ่ายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขณะที่เรียวลิ้นตวัดพัวพันกันจนแทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว

“อืม…มอร์…เฟียซ…”

…ยูยะ…

ร่างสูงครางชื่อเขาแผ่วเบา …แต่ เอ๋ … มอร์เฟียซ คาเตอร์ เรียกชื่อต้นเขาด้วยงั้นหรือ?

...ยูยะ…ยูยะ…

เสียงเรียกชื่อเขายังคงหลุดจากปากอีกฝ่ายเรื่อย ๆ จนกระทั่ง ...


“ยูยะ!! ตื่นหรือยังน่ะ ฉันจิมมี่นะ!!”

นาโอกิ ยูยะ ลืมตาโพลง ลุกขึ้นนั่งพรวดทันที

เขาฝันไป! ฝันบ้าอะไรแบบนั้นได้ยังไงกัน!!

เด็กหนุ่มใบหน้าแดงก่ำเมื่อหวนคิดถึงความฝันเมื่อสักครู่ หากจิมมี่ไม่ตะโกนเรียกเขา ป่านนี้คง…

ยูยะรีบสลัดความคิดทั้งหมดทิ้งไปทันที ก่อนจะโงนเงนออกไปเปิดประตูห้องให้เพื่อนสนิทเข้ามาข้างใน ส่วนตัวเองก็ทิ้งตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียงของตน ใบหน้ายังคงแดงระเรื่อไม่หาย

“อาการป่วยเป็นยังไงบ้างยูยะ หายดีหรือยัง”

จิมมี่ถามด้วยความเป็นห่วง ยูยะพยักหน้ารับยิ้ม ๆ เป็นการตอบรับ

“เอ่อ..คือยังนี้นะยูยะ คือฉันอัดอั้นตันใจมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว อยากรู้มาก ๆ แต่ก็ไม่อยากรบกวนนาย คือ จะเริ่มยังไงดีล่ะ”

ยูยะนึกสงสัยในท่าทีที่แปลกไปของเพื่อนสนิท จากนั้นเขาจึงเอ่ยถามขึ้นอย่างอ่อนโยน

“มีอะไรก็พูดมาสิ จิมมี่ ฉันรอฟังอยู่”

เมื่อเห็นดังนั้นจิมมี่จึงได้ตัดสินใจโพล่งเจ้าความรู้สึกสงสัยทั้งสิ้นทั้งปวงออกไปทันที

“เมื่อวานพวกเราเจอคาเตอร์ตอนกลับมาที่หอ เขาบอกว่าเพิ่งลงมาจากห้องนาย …ง่า บอกว่ามาดูแลจนนายหลับไป แล้วค่อยกลับ คือ..มันจริงหรือเปล่าที่เขาพูดน่ะ”

ยูยะหน้าซีดเผือดลงทันที ไม่คิดว่าเพื่อน ๆ จะมาเห็นคาเตอร์ออกจากห้องเขาแบบนี้ แล้วนี่ทุกคน จะมีใครคิดสงสัยอะไรมากไปกว่านี้อีกไหมนี่…

“เอ่อ คือ ฉันไปหาอะไรกินที่โรงอาหาร แล้วพอดีเจอกับคาเตอร์เข้า เขาเห็นฉันไม่ค่อยสบาย และ แบบว่า เห็นอยู่คนเดียวในหอ เลยมาอยู่เป็นเพื่อนน่ะ…” ยูยะตอบอึกอัก

…ไม่ได้พูดความจริง แต่ก็ไม่ได้โกหกทั้งหมดนี่นา ยังไงก็ขอโทษแล้วกันนะจิมมี่ …

ทว่า คำตอบของเด็กหนุ่มก็ทำเอาจิมมี่เบิกตาโพลงด้วยความตกตะลึง สิ่งที่เขาไม่คิดอยากจะยอมรับ กลับกลายเป็นเรื่องจริงงั้นแล้วหรือนี่

“Oh My God! ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเป็นความจริง หมอนั่นแปลกไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ สงสัยไปกินอะไรผิดสำแดงมาล่ะมั้งเนี่ย!”

หากแต่คำพูดเรื่อย ๆ ของเพื่อนสนิท ก็ทำให้ยูยะใบหน้าร้อนวาบขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ก็ไอ้เจ้าอาหารผิดสำแดงที่จิมมี่ว่า มันก็ตัวเขาเองนั่นล่ะ

“เฮ่! ยูยะ นายเป็นอะไรไปหรือเปล่า หน้าแดง ๆ นะ ไข้ยังไม่หายงั้นหรือ”

ยูยะอยากจะปฏิเสธ แต่เดี๋ยวก็ต้องมีคำแก้ตัวตามมาอีก เลยเออออรับไปเสียเลย

“อืม…ยังไม่หายดี จริงสิจิมมี่ วันนี้ฉันลาหยุดอีกวันนะ ฝากบอกทุกคนด้วยล่ะ”

เมื่อได้ฟังดังนั้น จิมมี่จึงจับศีรษะของเพื่อนรักเขย่าเบา ๆ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“เออ ๆ เดี๋ยวฉันบอกให้ นายนอนพักผ่อนให้เต็มที่เถอะน่า วันนี้ไม่มีชั่วโมงคาเตอร์ ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนทำรายงานมหาโหดนั่นด้วย เดี๋ยวเย็น ๆ ฉันจะมาอยู่เป็นเพื่อนนะ”

ยูยะผงกศีรษะเบา ๆ รับรู้ หากแต่ในใจกลับรู้สึกผิด ที่ต้องมาโกหกเพื่อนสนิทแบบนี้

“ขอโทษนะจิมมี่ แต่ฉันบอกนายไม่ได้จริง ๆ”

เด็กหนุ่มซึ่งเดินออกมาส่งเพื่อนของเขาหน้าห้อง พึมพำเบา ๆ หลังจากที่ร่างของเพื่อนสนิทลับไปจากสายตาแล้ว ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้อง ล้มตัวลงนอนต่อ โดยหวังว่าคงจะไม่ฝันพิลึกพิลั่นนั่นอีกหน





มอร์เฟียซ คาเตอร์ แวะมาคุยธุระ กับ อลัน วิลเลียม อาจารย์หนุ่มผู้รับหน้าที่สอนภาษาอังกฤษ ซึ่งกำลังทำการสอนนักเรียนชั้น ม.5 / Z อยู่ใน ขณะนี้ จุดประสงค์ที่แท้จริงของคาเตอร์ก็คือต้องการมาดูใบหน้า ลูกศิษย์สุดที่รักของเขา นาโอกิ ยูยะ แต่แล้ว เจ้าตัวก็ต้องพบกับความผิดหวัง ที่ไม่เห็นแม้แต่เงาของเด็กหนุ่มเลยสักนิด ใบหน้าบึ้ง ๆ นั่นเลยกวาดมามองทุกคนในห้องเป็นของแถมให้ชวนขนลุกก่อนจากไป

“ง่า…วันนี้ดูท่าจะอารมณ์ไม่ดีแฮะ ตาขวางเชียว”

จิมมี่กระซิบกับเด็กสาวผมดำผู้มีนัยน์ตาสีเทา และใบหน้าสะสวยที่นั่งข้างหน้าเขา ลี เหม่ยหลิง สาวน้อยจากจีนแผ่นดินใหญ่ ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะป้องกันตัวแทบทุกแขนง เก่งขนาดที่ชายอกสามศอกตัวสูงใหญ่กว่าเธอเป็นเท่า ยังต้องคุกเข่าขอยอมแพ้

“สงบปาก สงบคำบ้างเถอะน่า จิมมี่! เมื่อวานยังไม่เข็ดอีกหรือไง”

เหม่ยหลิงหันมาตะคอกใส่ดุ ๆ จิมมี่ยิ้มแหย ๆ ให้กับหล่อน ก็ในเมื่อบรรดาเท้าหลายสิบคู่จากเมื่อวานที่มะรุมมะตุ้มใส่ เขาจำได้ติดใจเลยว่า เท้าเรียวบางเล็ก ๆ ของเหม่ยหลิงนั่นแหละที่อัดเขาหนักมากที่สุดกว่าใครเพื่อนทีเดียว

“เอาล่ะ ทุกคน วันนี้พอแค่นี้ ไปเรียนชั่วโมงต่อไปได้”

อลัน วิลเลียม ยิ้มแย้มแจ่มใสให้กับนักเรียนของเขา ก่อนจะเก็บตำราเรียนออกไปจากห้อง ซึ่งเด็ก ๆ ที่เหลือ ต่างก็เก็บข้าวเก็บของ เตรียมวิ่งตามออกไปเช่นกัน ทว่า

ราฟาเอลซึ่งวิ่งออกไปเป็นคนแรก สะดุ้งเฮือกอยู่ตรงหน้าประตู ก่อนจะก้มโค้ง นิด ๆ และเดินออกไปอย่างสงบเสงี่ยม คนที่สอง คนที่สาม ก็มีอาการเช่นเดียวกับเด็กหนุ่มก่อนหน้านั้น จนกระทั่งมาถึงจิมมี่

… อ๊ากกกกกก!! คาเตอร์ มาทำอะไรฟะ!! …

เด็กหนุ่มผมแดง คิดในใจอย่างสยองขวัญ เมื่อเห็นใบหน้าบึ้ง ๆ บอกบุญไม่รับ อยู่ข้างนอกประตูห้อง และขณะที่เขาเดินก้มตัวลีบผ่านหน้าชายหนุ่ม เสียงเรียบ ๆ เย็น ๆ ก็ทักขึ้นมาทันที

“ขอเวลาสักประเดี๋ยวได้ไหม จิมมี่ ชไนเดอร์”

จิมมี่สะดุ้งเฮือก พลางชำเลืองมองมาทางเพื่อน ๆ อย่างขอร้อง หากแต่ไม่มีใครกล้าเสี่ยงอยู่เป็นเพื่อนเขาสักคน แต่ละคนก้มหน้างุด ๆ รีบเร่งฝีเท้าออกไปจากบริเวณนั้นทันที จนในที่สุดก็เหลือแต่มอร์เฟียซ และจิมมี่สองคนเท่านั้น

… ฮึ่ม! จำไว้เลยนะไอ้พวกบ้า ทิ้งเพื่อนเอาตัวรอดกันทั้งนั้น! ...

จิมมี่คิดในใจอย่างเคือง ๆ แต่ก็ฝืนปั้นยิ้มให้กับคนตรงหน้า

“มีอะไรหรือครับอาจารย์”

ชายหนุ่มเงียบไปสักพัก ก่อนที่น้ำเสียงทุ้มราบเรียบจะเอ่ยขึ้นมาอย่างช้า ๆ

“นาโอกิ เป็นยังไงบ้าง ทำไมวันนี้ไม่มาเรียน”

หากสังเกตดี ๆ จะพบได้ว่า น้ำเสียงนั้นมีความไม่พอใจแฝงอยู่ด้วยเล็กน้อย คงเป็นเพราะชายหนุ่มค่อนข้างมั่นใจว่า หากได้รับการพักผ่อนเพียงพอ วันนี้ ยูยะน่าจะกลับมาเรียนได้ตามปกติแล้ว

“เอ่อ..ยู..คือ นาโอกิ เขาบอกผมว่า ยังไม่ค่อยหายดี เลยอยากหยุดพักอีกสักวันครับ คือเมื่อเช้าเขาก็สีหน้าไม่ค่อยดีด้วย เดี๋ยวหน้าซีด เดี๋ยวหน้าแดง สลับไปมา ท่าทางก็ดูแปลก ๆ ไป คือผมคิดว่าเขาน่าจะยังไม่หายดีจริง ๆ น่ะครับ”

มอร์เฟียซขมวดคิ้วนิด ๆ ก่อนจะโบกมือเป็นสัญญาณให้จิมมี่ไปได้ ซึ่งไม่ต้องรอให้บอกซ้ำ เด็กหนุ่มผู้มีฝีเท้าเป็นเลิศในด้านกรีฑา รีบวิ่งแจ้นออกไปจากบริเวณนั้นโดยเร็ว จนถ้ามีนาฬิกาจับเวลา ก็จะพบได้ว่าขณะนี้เขาทำลายสถิติของตัวเองที่ดีที่สุดลงได้แล้ว

... เป็นอะไรมากหรือเปล่านะ ให้ตายเถอะ ดันมีสอนตอนบ่ายติดกันตั้งสามคาบ จะแวะไปดูก็ไม่ได้ น่าเบื่อจริง ๆ …

ชายหนุ่มคิดในใจอย่างหงุดหงิด ทว่า คนที่น่าสงสารที่สุดกลับกลาย เป็นเหล่าเด็ก ๆ ที่ต้องเรียนกับมอร์เฟียซ คาเตอร์ทั้งสามคาบบ่าย เพราะตลอดบ่ายนั้น ดีกรีความหงุดหงิดของอาจารย์หนุ่มเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวชนิดที่ปกติเวลาเรียนทุกคนก็เกร็งกันแทบแย่อยู่แล้ว มาวันนี้ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ห้องเรียน ทั้งห้องเงียบกริบ ราวกับไม่มีใครอยู่ภายในห้องแม้แต่คนเดียว แทบทุกคนได้แต่ภาวนาให้ชั่วโมงนั้นผ่านไปให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่แต่ละคนจะได้หายใจกันทั่วท้องได้เสียที


--- TBC ---


มาแปะตอนนี้ก็นึกได้ว่า อ.อลัน ยังไม่มีคู่กับเขาเลยแฮะ ถึงจะออกมาไม่เยอะ แต่บุคลิกใจดีแบบนี้น่าจะโดนเด็กกดมากมาย --+ ไปลองแต่งเพิ่มดีกว่าแฮะ หุๆ

ป.ล. ขอบคุณสำหรับกำลังใจของนักอ่านทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่นะคะ  เจอหลุด ๆ ตรงไหน อภัยด้วยค่ะ เพราะปัดหาต้นฉบับที่รีไรท์ครั้งสุดท้ายก่อนพิมพ์ไม่เจอ เลยต้องเอาฉบับก่อนหน้านั้นมาทวนก่อนแปะให้อ่าน มันเลยอาจจะมีคำผิดบ้าง ช่องไฟบ้าง หลงมาบ้าง (เพราะหยิบมาจากไฟล์พร้อมพิมพ์เลย)  ยังไงก็จะพยายามดูก่อนโพสนะคะ ^ ^"
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Chp.4 (24/06/54)
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 24-06-2011 15:02:50
มอร์เฟียซ์นี่มันจิตได้ใจเลย  หลอน!!!!!
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Chp.4 (24/06/54)
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 24-06-2011 15:36:59
ถ้าอาจารย์ไม่สมหวังในรัก
คิดภาพนักเรียน โรงเรียนนี้ไม่ออกจริง ๆ
ว่าแกจะสอนได้โหดแค่ไหน

 o18 o18
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Chp.4 (24/06/54)
เริ่มหัวข้อโดย: EunJin ที่ 24-06-2011 16:42:59
อาจารย์คะ โหดดีจริงๆ น่าสงสารบรรดานักเรียนที่ต้องรับระเบิดไปแทน ฮ่าๆๆๆ
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Chp.4 (24/06/54)
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 24-06-2011 16:47:43
จิ้มๆ ชอบอ่า หนุกๆ
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Chp.4 (24/06/54)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 24-06-2011 16:50:25
อ่านตอนนี้แล้วอย่างฮาอะ  เด็กๆ ดูจะขนหัวลุกกันมากเลยนะนั่น  :laugh:  :laugh:
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Chp.4 (24/06/54)
เริ่มหัวข้อโดย: SuSaya ที่ 24-06-2011 17:20:47
ยูยะฝันอย่างนี้ก็แสดงว่ามอร์เฟียซเริ่มมีหวังแล้วสิ :o8:
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Chp.5-6 (25 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 25-06-2011 13:34:52
ลงเรื่อย ๆ เรื่องนี้มี 8 ตอนจบ อาจจะสั้น แต่ตอนพิเศษ เพียบ --. (ถนัดเขียนเป็นตอน ๆ จบก็งี้ล่ะค่ะ)

----------------------

Chp.5


เวลา 16.30 น. ของวันเดียวกันนั้น…

ยูยะนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเซ็ง ๆ กว่าจิมมี่จะกลับมาก็คงราว ๆ ห้าโมงเย็น เพราะวันนี้หมอนั่นมีซ้อมจับเวลาของชมรมกรีฑาที่เจ้าตัวเป็นสมาชิกอยู่

ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงเดินออกมาจากห้องเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ เขาลงไปที่ห้องนั่งเล่นรวมชั้นล่าง แต่ก็ยังไม่พบว่าจะมีใครกลับมาสักคน เจ้าตัวจึงเดินออกไปเรื่อยเปื่อย ผ่านหอพักของพวก ม.4 และ ม.6 ซึ่งเป็นอาคารที่อยู่ ติด ๆ กัน ไปจนกระทั่งถึงสวนพักผ่อนริมสระน้ำ ซึ่งจัดไว้สำหรับเด็กหอ Z โดยเฉพาะ

ยูยะมองไปรอบ ๆ แล้วก็ต้องถอนหายใจเบา ๆ ดูเหมือนว่าวันนี้ เด็กทั้งหอ จะพร้อมใจกันทำกิจกรรม ไม่ก็ติดงาน ติดธุระบางอย่าง จึงไม่มีใครอยู่บริเวณนั้นเลยแม้แต่คนเดียว เด็กหนุ่มเลือกนั่งบนม้านั่งยาวริมสระน้ำ พลางมองไปข้างหน้าอย่างเหม่อลอยอยู่เช่นนั้นเนิ่นนาน จนกระทั่ง…

อ้อมกอดแผ่วเบานุ่มนวลจากเบื้องหลังที่จู่ ๆ ก็โผล่มาโอบกระชับรัดร่างของเขา ทำเอาเด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ ก่อนที่น้ำเสียงทุ้มนุ่มอันแสนคุ้นเคย จะกระซิบค่อย ๆ ที่ข้างใบหูนั้นอย่างอ่อนโยน

“ยังไม่หายดีแล้วออกมานั่งที่นี่คนเดียวทำไมกันล่ะหือ …นาโอกิ”

“อะ..อาจารย์”

ยูยะพูดขึ้นตะกุกตะกัก พยายามเบี่ยงตัวหนีจากอ้อมกอดนั้นทันทีหากแต่อีกฝ่ายยังคงกอดแน่นอยู่เช่นนั้นไม่ยอมปล่อย

“อาจารย์…ปล่อยเถิดครับ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”

แต่มอร์เฟียซก็ไม่ยอมฟัง แถมยังก้มหน้าลงซุกไซ้ ที่ซอกคอขาวนั้นอย่างช้า ๆ ก่อนจะขบเม้มแรง ๆ ลงไปครั้งหนึ่ง ซึ่งก็เรียกเสียงครางเบา ๆ จากร่างเล็กได้ทันที จากนั้นชายหนุ่มจึงยอมคลายอ้อมแขนของตน และขยับกายมายืนที่เบื้องหน้าของเด็กหนุ่ม ซึ่งบัดนี้มีสีหน้าแดงระเรื่อทีเดียว

… บ้าชะมัด! ทำไมถึงเผลอเคลิ้มตามไปได้นะ ต้องเป็นเพราะความฝันเมื่อเช้าแน่ ๆ …

“ยังไม่ตอบคำถามฉันเลยนะนาโอกิ ทำไมถึงมานั่งอยู่ที่นี่กันล่ะ”

เด็กหนุ่มก้มหน้าอึกอัก พยายามหลบสายตาคมกริบของคนตรงหน้า หากแต่ว่ามอร์เฟียซก็ไม่ยอมปล่อยให้เขาทำเช่นนั้นได้ ชายหนุ่มทรุดนั่งลงคุกเข่าให้สายตาเสมอกับอีกฝ่าย

“รู้ไหมว่าเธอทำให้ฉันเป็นห่วงจนไม่เป็นอันจะสอนเลยนะ เรื่องที่เธอไม่มาโรงเรียนในวันนี้ ตกลงเป็นยังไงกันแน่ หายดีแล้วหรือยัง”

ยูยะหลุบเปลือกตาลงต่ำ เจ้าความฝันเมื่อคืนมันยังคอยตามมาหลอกหลอนเขาไม่เลิก และยิ่งอยู่ต่อหน้ามอร์เฟียซ คาเตอร์ตัวจริงแบบนี้ มันยิ่งทำให้ความคิดของเขาฟุ้งซ่านหนักยิ่งขึ้นไปใหญ่

เด็กหนุ่มยังคงไม่ยอมตอบ แถมยังไม่ยอมสบตาของอีกฝ่ายตรง ๆ เช่นเคย การกระทำเช่นนั้น ทำให้มอร์เฟียซยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ ๆ พลางประกบริม ฝีปากของอีกฝ่ายแรง ๆ เป็นการลงโทษที่เด็กหนุ่มไม่ยอมให้ความร่วมมือเวลาที่เขาต้องการคำตอบ

“อื้ม..อาจารย์ เดี๋ยว อืม…” ริมฝีปากที่เป็นอิสระพอที่จะประท้วงได้ชั่วครู่ ถูกกดทับปิดลงไปใหม่อีกครั้ง คราวนี้ร่างสูงค่อย ๆ ยันกายขึ้น มือข้างหนึ่งดันพนักพิงเก้าอี้ ส่วนมืออีกข้างช้อนที่ใต้ศีรษะอีกฝ่าย เพื่อรองรับการรุกรานอย่างเร่าร้อนจากริมฝีปากของเขา

และก่อนที่ร่างตรงหน้าจะอ่อนระทวยเลื่อนลงไปกองกับพื้นด้าน ล่าง อ้อมแขนแข็งแกร่งก็ช่วยโอบประคองเอาไว้ได้ทันท่วงที

ร่างสูงใหญ่จัดการอุ้มร่างเล็กกว่าขึ้นมานั่งบนตักของเขาได้อย่างง่ายดาย ก่อนจะเริ่มต้นการจูบที่แสนหวานอีกครั้ง โดยคราวนี้อีกฝ่ายยอมให้ความร่วมมือโดยไม่อิดออดเช่นก่อนหน้า

“อืม…อาจารย์….”

ยูยะครางออกมาเบา ๆ เมื่อริมฝีปากร้อนชื้นเลื่อนลงมาขบเม้มอ้อยอิ่งที่แอ่งชีพจรของเขา

“เวลาแบบนี้ เรียกชื่อฉันสิ …นาโอกิ”

น้ำเสียงแหบพร่าออกคำสั่ง พร้อมกับทำการปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของอีกฝ่ายออกจนหมดสิ้น ยูยะแหงนหน้าไปด้านหลัง พลางร้องครางออกมา ดัง ๆ เมื่อหน้าอกขาวเนียน ตอนนี้กำลังถูกไล้เลีย ด้วยเรียวลิ้นอุ่นชื้นจนทั่ว

“อา…..มอร์เฟียซ”

และขณะที่เด็กหนุ่มกำลังเคลิบเคลิ้มไปกับรสสัมผัสที่อาจารย์หนุ่มบรรจงมอบให้ เขาก็ต้องพบกับความแปลกใจเป็นที่สุด เมื่ออยู่ดี ๆ อีกฝ่ายก็หยุดการกระทำทั้งสิ้นทั้งปวงลงทันที แถมยังช่วยติดกระดุมเสื้อคืนให้กับเขา แล้วจัดการดูแลความเรียบร้อยให้กับร่างบนตักอีกครั้งหนึ่ง

“…มอร์เฟียซ…ทำไม” ยูยะเรียกชื่อคนตรงหน้าอย่างนึกขัดใจ สัมผัสอันรัญจวนนั้นยังคงอยู่ในความรู้สึกเขาอย่างไม่จางหาย

“เธอกลับห้องของเธอไปดีกว่านะนาโอกิ มานั่งตากลมแบบนี้เดี๋ยวไข้กลับพอดี”

คำพูดตัดบทนั้นทำเอาเด็กหนุ่มแทบคลั่ง หมอนี่จะเอายังไงกันแน่

อยู่ดี ๆ ก็มาปลุกอารมณ์ให้เขา … ค้าง …แล้วก็คิดจะตัดบทหนีเอาเสียดื้อ ๆ อย่างนี้น่ะหรือ

“หรืออยากให้ทำต่อล่ะ?”

คำพูดต่อมาของชายหนุ่ม ทำให้นาโอกิ ยูยะ ฉุนจัด เจ้าตัวดันกายลุกขึ้นจากตักของอีกฝ่าย ก่อนจะโพล่งออกมาด้วยความฉุนเฉียว ที่ตัวเขาเองก็บอกไม่ถูกว่าเป็นเพราะอะไร

“ไม่ต้อง! ผมจะกลับล่ะ!!”

อาจารย์หนุ่มมองตามร่างเล็กที่เดินลงส้นไปด้วยความโกรธอย่างนึกขำพลางคิดในใจ

... จะรุกคนอย่างนาโอกิ ยูยะ มันต้องเล่นวิธีนี้แหละนะ…

มอร์เฟียซ คาเตอร์ เคยดำเนินการผิดพลาดมาแล้วครั้งหนึ่ง จนทำให้เขาเกือบจะเสียความไว้วางใจของร่างเล็กตรงหน้านี้ไป หากแต่คราวนี้มันจะไม่เป็นอย่างเดิมอีกแล้ว ชายหนุ่มมั่นใจว่า อีกไม่นานหรอก เด็กหนุ่มต้องเป็นฝ่ายที่เดินเข้ามาหา และขอร้องให้เขามอบความรักให้ ในไม่ช้านี้แน่นอน…



กลางดึกคืนนั้นเอง..

“อ๊าก!!!!!! ม่าย!!!!!!!!”

เสียงตะโกนโหยหวน ที่ดังขึ้นลั่นหอ ทำเอาทุกคนสะดุ้งตื่นแทบทันทีแล้วต่างพากันวิ่งออกมานอกห้อง เพื่อมาดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

“อะไรน่ะ! เมื่อครู่นี้! นั่นมันเสียงยูยะไม่ใช่หรือไง!!”

จิมมี่วิ่งพรวดพราดออกมาอย่างตกใจ เด็กผู้ชายทุกคนในที่นั้น ต่างหันมามองหน้ากัน ก่อนจะยกโขยงตรงไปที่ห้องของยูยะ พลางทุบประตูเรียกเจ้าของห้องดังลั่น

“ยูยะ! ยูยะ! เป็นอะไรไปหรือเปล่า! เฮ้! ตอบด้วยสิ!”

เงียบกริบ ไม่มีเสียงตอบ และขณะที่ทุกคนลงความเห็นว่าจะช่วยกันพังประตูเข้าไปนั้น เสียงลูกบิดประตูห้องก็เปิดขึ้นเบา ๆ พร้อมกับร่างเล็ก ๆ ที่บัดนี้มีใบหน้าซีดเผือด เดินก้าวออกมา

“โฮ!!! จิมมี่”

ทุกคนตกตะลึง ที่อยู่ดี ๆ นาโอกิ ยูยะ ก็โผเข้ากอดเด็กหนุ่มผมแดง พลางร้องไห้โฮลั่นเหมือนเด็ก ๆ จิมมี่อึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะลูบหลังอีกฝ่ายเบา ๆ เป็นการปลอบ

“เป็นอะไรยูยะ เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ”

ยูยะซึ่งบัดนี้เริ่มที่จะสงบสติอารมณ์ได้บ้างแล้ว เขาสะอื้นเบา ๆ พลางมองไปรอบ ๆ เห็นเพื่อน ๆ ทุกคนมองมาด้วยสายตาเป็นห่วงระคนสงสัย เด็กหนุ่มอึกอักไม่กล้าสบตาใครสักคน ก่อนจะตอบเสียงแผ่วเบา

“ขะ …ขอโทษ ทุกคน ฉันแค่ฝันร้ายไปหน่อยเท่านั้นเอง ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง …เอ่อ กลับไปนอนกันเถอะ ฉันจะพยายามไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก”

ทว่า จิมมี่ยังคงสงสัยไม่หาย ฝันร้ายแบบไหนกัน ที่ทำให้ นาโอกิ ยูยะ เพื่อนรักของเขาถึงกับร้องไห้โฮออกมาแบบนั้น

“ยูยะ บอกหน่อยได้ไหมว่าฝันอะไร”

ยูยะหน้าแดงก่ำทันที ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ตอบอุบอิบ ด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ

“ขะ ขอโทษนะ..พอตื่นมามันก็ลืมไปหมดแล้ว...ระ รู้ อยู่อย่างเดียวว่ามันเลวร้ายเอามาก ๆ เลย…คือ พวกนายกลับไปนอนกันเถอะ …ขอโทษอีกครั้ง ที่ทำให้เดือดร้อน”

เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวตัดบท ไม่ยอมพูดต่อ ทุกคนเลยหันมามองหน้ากัน ก่อนจะพยักหน้ารับรู้เบา ๆ แล้วจึงแยกย้ายกันกลับไปนอน โดยที่ยูยะรีบปิดห้อง ก่อนจะฟุบหน้าลงบนเตียงของตนทันที

… บ้าชะมัด! บ้าที่สุด! ฝันแบบนั้นไปได้ยังไงกัน ฝันว่า …

อีกครั้งที่ใบหน้าหวาน ๆ เริ่มแดงระเรื่อไปทั่ว ความฝันที่เลยเถิดไปได้ถึงขนาดนั้น ทุกอย่างมันเกิดจากเหตุการณ์เมื่อตอนเย็นนั่นทีเดียว ฝีมือของมอร์เฟียซ คาเตอร์ เจ้าซาตานในคราบเทพบุตร นั่นแหละ!!!

และแล้วคืนนั้นทั้งคืน ยูยะก็ไม่ได้นอนอีกเลย เพราะกลัวว่า หากเผลอหลับไปเมื่อไหร่ เจ้าซาตานร้ายนั่น จะกลับมาหาเขาในฝันอีก แถมที่เลวร้ายไปยิ่งกว่านั้น ตัวเขาในความฝัน ยังตอบสนองเจ้าปีศาจบ้ากามนั่นเป็นอย่างดีอีกด้วย เพราะฉะนั้นคืนนี้ ต่อให้ง่วงนอนขนาดไหน เขาก็จะถ่างตาตื่นมันทั้งคืนแบบนี้ล่ะ!!




“ฮ้าววววววว!!”

เสียงหาวยาวดังมาจากเด็กหนุ่มที่เงยหน้าจากการสัปหงก ก่อนที่จะฟุบหลับไปอีกครั้ง โดยที่ อลัน วิลเลียม ได้แต่มองตาปริบ ๆ พูดอะไรไม่ออก

“อาจารย์ครับ คือเมื่อคืนนี้ยูยะตื่นขึ้นมากลางดึก เพราะฝันร้ายน่ะครับ ดูท่าฝันจะน่ากลัวมาก เลยทำให้นอนไม่หลับทั้งคืน อีกอย่างเขาก็เพิ่งจะหายป่วยด้วย อาจารย์อย่าว่าเขาเลยนะครับ”

จิมมี่ ชไนเดอร์ ทำเสียงวิงวอน ขอร้องแทนเพื่อนรัก คนอื่น ๆ ในห้องก็ช่วยกันสนับสนุน ซึ่งอาจารย์หนุ่มผู้ถูกเรียกว่าเป็นพ่อพระของเด็ก ๆ ก็ไม่ได้เอ่ยปากว่าอะไร ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกขัดตาไปบ้าง ที่มีเด็กนักเรียนนอนหลับในชั่วโมงเรียนของตนก็ตามที

“เอ่อ…ครูว่า ใครก็ได้พาเพื่อนเธอไปนอนพักที่ห้องพยาบาลดีกว่า ไม่ได้นอนทั้งคืนแบบนี้ ถึงตื่นมาก็เรียนไม่รู้เรื่องอยู่ดีนั่นล่ะ”

อลันออกความเห็นเมื่อสังเกตว่า คนที่นอนหลับลืมตาตื่นขึ้นมาเป็นพัก ๆ ก่อนจะฟุบลงไปโขกกับโต๊ะ 2 – 3 หนแล้ว

“ผมพาไปเองครับ!” จิมมี่ยกมืออาสา ก่อนจะตรงไปสะกิดเพื่อนสนิทของเขาให้ตื่นขึ้น

“ยูยะ ..ยูยะ ไหวหรือเปล่า ตื่นแป๊บนึงนะ เดี๋ยวไปนอนต่อที่ห้องพยาบาลแทน”

ยูยะลืมตาเบลอ ๆ ก่อนจะพยักหน้าค่อย ๆ จิมมี่ เดินประคองเด็กหนุ่มไปด้วยกันอย่างไม่ลำบากมากนัก ทั้งนี้เพราะว่ายูยะตัวเล็กกว่าเขามากนั่นเอง

มอร์เฟียซ คาเตอร์ ที่กำลังเดินออกมาจากห้องทำงานของตน ถึงกับหยุดชะงัก เมื่อเห็นร่างสองร่างที่ประคองกันเดินมาตามระเบียง

“เกิดอะไรขึ้น ชไนเดอร์! นาโอกิ เป็นอะไรงั้นหรือ!”

อาจารย์หนุ่มจ้ำพรวดเดียวก็มาถึงเด็กทั้งสอง จิมมี่ยืนอึ้งอ้าปากค้าง ส่วนยูยะฟุบหลับลึกอยู่ตรงไหล่ของเขา

“คะ..คือ ยูยะ ไม่ค่อยสบายครับ คือ…เขานอนไม่ค่อยพอ ผมกำลังจะพาไปห้องพยาบาล”

มอร์เฟียซมีสีหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลา ที่มองใบหน้าหวาน ๆ ที่หลับสนิทนั้น เขาคว้าร่างเล็กมาจากอีกฝ่าย ก่อนจะช้อนอุ้มขึ้นแนบอก

“เธอกลับไปเรียนได้แล้ว ฉันจะพาเขาไปเอง”

แล้วก็ไม่รอให้อีกฝ่ายมีโอกาสซักถาม หรือปฏิเสธอะไรทั้งสิ้น โดยชายหนุ่ม เดินอุ้มร่างบอบบางในอ้อมแขนตรงไปยังห้องพยาบาลด้วยความรวดเร็ว ทิ้งให้จิมมี่ยืนตกตะลึงอ้าปากค้างอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง อยู่บนทางเดินตามลำพัง

“อ้าว มอร์เฟียซ เกิดอะไรขึ้นคะ เอ๋? เด็กนั่น นาโอกิ ยูยะ ม. 5 / Z ใช่ไหมคะเนี่ย”

หญิงสาว ผมทอง นัยน์ตาสีฟ้า ซึ่งเป็นอาจารย์สาวสวยประจำห้องพยาบาล กล่าวทักขึ้น มอร์เฟียซยิ้มเก้อ ๆ ตอบรับ เขาเองก็ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นห่วงเด็กหนุ่ม จนเผลอตัวทำแบบนี้เข้าต่อหน้าคนอื่นได้ แถมอีกฝ่ายยังเป็นอาจารย์ที่เคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนด้วยกันมา อย่าง เคธี่ มิลเลอร์ อีกด้วย

“เขาเป็นอะไร งั้นหรือคะ”

หญิงสาวถามขึ้น ขณะที่ชายหนุ่มวางร่างในอ้อมแขนลงบนเตียงอย่างแผ่วเบาและทะนุถนอม ซึ่งนั่นก็ล้วนอยู่ในสายตาของอาจารย์สาวตลอดเวลา

“เห็นบอกว่านอนไม่พอ … แล้วก็อ่อนเพลียน่ะ”

มอร์เฟียซอ้อมแอ้มตอบโดยไม่ยอมมองตา ซึ่งนั่นก็ยิ่งสร้างความสงสัยให้กับหญิงสาวเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

“แปลก..” เคธี่ พึมพำออกมาเบา ๆ ซึ่งก็ทำให้ชายหนุ่มหันกลับมามองเธอทันที

“อะไรแปลก เด็กนี่เป็นอะไรนอกจากนี้ยังงั้นหรือ”

น้ำเสียงนั้นแฝงแววตระหนกจนเห็นได้ชัด เคธี่เบิกตากว้าง ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ

“ที่ฉันบอกว่าแปลกน่ะ หมายถึงคุณต่างหากมอร์เฟียซ ฉันแปลกใจที่ร้อยวันพันปี ไม่เห็นคุณจะเอาใจใส่เด็กนักเรียนคนไหนเป็นพิเศษมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกนะ ที่ฉันเห็นคุณอุ้มนักเรียนหน้าตาตื่นเข้ามาในห้องพยาบาลแบบนี้ …เด็กคนนี้มีอะไรพิเศษกว่าคนอื่นอย่างนั้นหรือคะ”

กระแสเสียงหยอกเย้า หากคำพูดยิงเข้าประเด็นตรงจุด มอร์เฟียซ พึมพำเบา ๆ กับตัวเองอย่างหงุดหงิด เคธี่ มิลเลอร์ สมกับเป็นคนที่เขาไม่อยากยุ่งด้วยเป็นอันดับ 2 ของอีเดนแห่งนี้เลยจริง ๆ

“น่าเสียดาย…ถ้าชางอยู่ด้วย คงจะสรุปได้ดีกว่าฉันเยอะ”

หญิงสาวเอ่ยยิ้ม ๆ แค่ท่าทางของคนตรงหน้าก็คาดเดาได้แล้วล่ะว่าอะไรเป็นอะไร… ยังไงก็คบเป็นเพื่อนรู้ใจกันมาเกือบสิบกว่าปีแล้วนี่นา

“อย่าพูดถึงหมอนั่นได้ไหม เคธี่ ได้ยินชื่อหมอนั่นทีไร ผมพาลจะประสาทกินทุกที”

มอร์เฟียซกระแทกเสียงใส่ รู้สึกเสียหน้าที่โดนอ่านความในใจได้ทะลุปรุโปร่งแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่ยามปกติแล้ว คนที่ชอบอ่านความรู้สึกคนอื่น มักจะเป็นฝ่ายเขาเสียมากกว่า

“หึ ๆ ค่ะ ไม่พูดก็ไม่พูด ว่าแต่คุณเถอะมอร์เฟียซ มีสอนเช้าไม่ใช่หรือคะ ทางนี้ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ฉันจะดูแลเขาเอง”

มอร์เฟียซอยากจะอยู่เฝ้าดูอาการของยูยะอีกสักพัก หากแต่เมื่อเห็นหญิงสาวยืนยันเช่นนั้น ก็ทำให้เขาจำต้องออกมาจากห้องพยาบาลด้วยความไม่เต็มใจนัก

“ลี ชาง อยากให้คุณมาเห็นมอร์เฟียซ คาเตอร์ ตอนนี้จริง ๆ เลย ให้ตายสิ!”

เคธี่ มิลเลอร์ กล่าวกับตัวเองเบา ๆ ด้วยความขบขัน ก่อนจะลากเก้าอี้ไปนั่งเฝ้าอยู่ใกล้ ๆ เด็กหนุ่มคนพิเศษของเพื่อนชายคนสนิท พร้อมกับจ้องมองร่างที่หลับตาพริ้มอยู่บนเตียงอย่างเอ็นดู

… อืม…หลับสบายดีแฮะ… ว่าแต่…ทำไมเรามานอนอยู่อย่างนี้ล่ะ …เราน่าจะอยู่ในห้องเรียนไม่ใช่หรือตอนนี้….

นาโอกิ ยูยะ พยายามลำดับความทรงจำอันแสนสับสนของเขาทีละนิด ก่อนจะค่อย ๆ ปรือตาขึ้นมามองรอบด้านช้า ๆ

...ห้องพยาบาลนี่นา เรามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน….

“อ้าว…ตื่นแล้วหรือจ๊ะ นาโอกิ”

น้ำเสียงหวาน ๆ ที่คุ้นหู ทำให้ยูยะหันไปมองตามเสียงนั้น แล้วก็พบว่าอาจารย์สาวประจำห้องพยาบาล กำลังเดินตรงมาหาเขา ด้วยใบหน้า ยิ้มแย้ม

“มิสเคธี่ ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงครับ”

ยูยะเรียกชื่อของหญิงสาว เหมือนดังเช่นนักเรียนคนอื่น ๆ ในโรงเรียนเรียก ซึ่งเธอเองก็ชอบให้ทุกคนเรียกชื่อต้นของเธอมากกว่า อาจารย์มิลเลอร์ หรือ มิสมิลเลอร์ ที่เป็นนามสกุลของเธอ

“ก็มอร์….เอ่อ อาจารย์คาเตอร์อุ้มเธอมาส่งให้ฉันน่ะสิจ๊ะ…”

ยูยะใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาทันที เด็กหนุ่มพยายามหันหน้าหลบไปอีกทางเพื่อซ่อนความรู้สึกของเขา หากแต่ทุกปฏิกิริยา ที่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถรอดพ้นสายตาของอาจารย์สาวไปได้แม้แต่น้อย

และก่อนที่เคธี่จะเอ่ยปากพูดอะไรกับเด็กหนุ่มต่อไปนั้น เธอก็สะดุดเข้ากับรอยบางอย่างตรงซอกคอของอีกฝ่าย หญิงสาวเดินเข้าไปใกล้ ๆ แล้วพิจารณาดูให้แน่ชัด ก่อนจะแย้มยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์

...ตายจริง มอร์เฟียซ นึกไม่ถึงเลยว่า จะก้าวหน้าไปถึงขั้นนั้นแล้ว หึ ๆ น่าสนุกจริง ๆ เลยแฮะ…

“อุ๊ยตายแล้ว! นาโอกิ คอเธอไปโดนอะไรมาจ๊ะเนี่ย ดูซิ ช้ำเป็นรอยจ้ำแดง ๆ เชียว”

เสียงหวาน ๆ ของนางฟ้า(?) ประจำห้องพยาบาล แสร้งทำเป็นสงสัย สุดฤทธิ์ ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจดีแล้วว่าอะไรเป็นอะไรก็ตาม

ยูยะใจหายวูบ หันขวับกลับมาทันที มือจับต้นคอตรงตำแหน่งรอยแดงนั่นโดยอัตโนมัติ

“อ่า…คือ…เอ่อ” เด็กหนุ่มหน้าแดงก่ำ พูดอะไรไม่ออก ซึ่งเคธี่เห็นดังนั้น ก็ซ่อนยิ้มไว้ในหน้า ก่อนจะชวนอีกฝ่ายพูดคุยเรื่อย ๆ เหมือนปกติ

“เอ สงสัยจะโดนแมลงอะไรกัดเข้าล่ะมั้ง แย่จังเลยนะจ๊ะ”

ยูยะรีบพยักหน้าหงึก ๆ ตอบรับทันที ให้เข้าใจว่าเป็นรอยแมลงกัด ยังดีกว่าให้รู้ว่าเป็นรอยคิสมาร์ก นั่นล่ะ

“เฮ่อ…เธอต้องระวังหน่อยนะ นาโอกิ แมลงพวกนี้มันร้ายนัก ยิ่งเจ้าตัวที่มีพิษแล้วเธอแพ้เข้าจะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เพราะหากโดนเจ้าพวกนั้นกัดเข้าล่ะก็ ไม่จบแค่รอยที่คอนี่อย่างเดียวแน่ ๆ จ้ะ”

ยูยะรับฟังเรื่อย ๆ โดยที่ไม่รู้เท่าทันความนัยของประโยคนั้น หญิงสาวส่งยิ้มให้เด็กหนุ่มอีกครั้ง ก่อนจะเหลือบไปดูนาฬิกาที่แขวนอยู่ตรงผนังห้อง

“จะเที่ยงแล้ว เธอคงหิวแล้วสินะ ค่อยยังชั่วแล้วหรือยังจ๊ะ ถ้ายังฉันไปเอาข้าวเที่ยงมาให้เธอที่นี่แทนดีไหม”

“..ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมไปกินเองได้ อะ.. ผมขอตัวไปเลยดีกว่า ขอบคุณนะครับมิสเคธี่”

เด็กหนุ่มรีบยันกายลุกขึ้น แต่เขากลับรู้สึกหวิว ๆ ชอบกล แต่ถ้าเทียบกับเมื่อเช้านั่นนับว่ายังดีกว่ามากนัก

“ดูเธอยังไม่ค่อยดีเลย ฉันว่านอนพักอีกหน่อยดีกว่า นาโอกิ ฉันจะไปเอาข้าวเที่ยงมาให้นะ”

และขณะที่ยูยะกำลังจะปฏิเสธนั้น เสียงทุ้มนุ่มที่แสนจะคุ้นเคยก็ขัดจังหวะการสนทนาของทั้งคู่ขึ้นมาเสียก่อน

“งั้นคุณจะว่าอะไรไหม มิสเคธี่ ถ้าผมจะขอเฝ้าเด็กคนนี้แทน ระหว่างที่คุณไปเอาข้าวเที่ยงมาให้เขาน่ะ”

มอร์เฟียซ คาเตอร์ ยืนพิงประตูห้องพยาบาล พลางจ้องมองมาที่ร่างเล็ก ๆ ซึ่งรีบหลบสายตาคมกริบนั้นทันที

เคธี่มองไปที่ร่างสูง ก่อนจะส่งยิ้มหวานให้กับอีกฝ่าย

“ได้สิคะ… อาจารย์คาเตอร์ ฝากด้วยแล้วกันนะคะ”

และระหว่างที่เดินสวนกันนั้น หญิงสาวก็แอบกระซิบอะไรบางอย่าง กับชายหนุ่ม ซึ่งนั่นก็ทำให้มอร์เฟียซถึงกับหน้าแดงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“หึ ๆ ไปล่ะค่ะ… นาโอกิ รอฉันสักแป๊บนะจ๊ะ แล้วจะรีบกลับมาจ้ะ”

ยูยะอยากจะตะโกนเรียกให้เธออย่าพึ่งไป หากแต่ก็ติดอยู่ที่อีกคนซึ่งมองมาทางเขาเขม็ง จนทำให้เด็กหนุ่มไม่กล้าพูดอะไรออกไปแม้แต่คำเดียว

“ค่อยยังชั่วแล้วหรือยัง” น้ำเสียงอ่อนโยนจากคนที่เลื่อนเก้าอี้มานั่งใกล้ ๆ เตียงถามขึ้น

“เอ่อ…ครับ” ยูยะก้มหน้าตอบอุบอิบ ยิ่งนับวัน เขายิ่งไม่กล้าจะสบตากับคนข้าง ๆ มากขึ้นทุกที ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

“ทำไมถึงนอนไม่หลับ เป็นอะไรไปงั้นหรือ”

ใบหน้าคมเข้มก้มลงมากระซิบถามใกล้ ๆ เด็กหนุ่มรับรู้ได้ถึงลมหายใจร้อน ๆ ที่ปะทะมายังใบหน้าของเขา ดวงหน้าหวาน ๆ ของเจ้าตัวแดง ระเรื่ออีกครั้ง ก่อนจะพยายามเบือนหลบไปอีกทาง

“คือ ผะ..ผม ฝันร้ายครับ เลยไม่อยากนอน”

มอร์เฟียซเลิกคิ้วนิด ๆ ก่อนจะใช้มือใหญ่จับคางกลมมน บังคับให้ใบหน้านั้นหันกลับมาสบตาเขาขณะที่พูด

“ฝันร้ายแบบไหน …ฝันถึงฉันอย่างนั้นหรือเปล่า”

ยูยะหลุบเปลือกตาหลบ หากเด็กหนุ่มไม่รู้หรอกว่า ใบหน้าของตนยามนี้มันยิ่งแดงหนักเข้าไปอีก แดงเสียจนคนข้าง ๆ เริ่มชักจะอดใจไว้ไม่ไหว

“ว่าไงล่ะนาโอกิ…ฝันถึงฉันใช่ไหม…หือ”

ยูยะไม่ยอมตอบ นั่นก็ทำให้ริมฝีปากหนานุ่มนั้นโน้มลงมาประกบกับริมฝีปากบางแผ่วเบา ก่อนจะเลื่อนขึ้นไปจูบที่แก้มเนียนนุ่ม และเปลือกตาของอีกฝ่ายช้า ๆ

“ฝันว่าฉันทำแบบนี้กับเธอใช่ไหม?…”

ร่างสูงลุกขึ้นมาคร่อมร่างเล็กบนเตียง มือใหญ่เอื้อมมาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตทีละเม็ด ก่อนจะลูบไล้หน้าอกขาวเนียนนั้นเล่นไปทั่ว

“แล้วก็ทำแบบนี้….”

ริมฝีปากอุ่นร้อนเลื่อนลงมาเรื่อย ๆ ก่อนจะย้ายมาหยอกเย้ากับยอดอกสีชมพูเข้มเล็ก ๆ นั่น

“หรือแบบนี้…” มืออีกข้างรูดซิบกางเกงของร่างข้างใต้ลง ก่อนจะล้วงเข้าไปหยอกเย้ากับแก่นกายข้างใน จนเรียกเสียงครางอย่างลืมตัวจากอีกฝ่ายที่พยามอดกลั้นไว้จนได้

“อา…อ๊า…อย่า…อาจารย์..”

“หือ …เรียกฉันว่ายังไงนะ” ชายหนุ่มขบเม้มที่ยอดอกของร่างเล็ก แรง ๆ เหมือนจะกลั่นแกล้ง ยูยะหายใจหอบ ๆ ก่อนจะครางออกมาอีกครั้ง

“…..อา…มอร์เฟียซ…”

มอร์เฟียซ คาเตอร์ก็เริ่มชักจะทนไม่ไหวเหมือนกัน หากแต่ก็ต้องถอยออกมาตั้งหลักก่อนอย่างนึกเสียดาย เพราะสถานที่แห่งนี้ไม่เป็นสัดส่วนพอ ที่จะทำให้เขากระทำเรื่องอย่างว่ากับคนบนเตียงได้

“เย็นนี้มาหาฉันที่ห้องนะ นาโอกิ แล้วฉันสัญญาว่า คืนนี้ฉันจะทำให้ เธอนอนหลับฝันดีทีเดียว”

มอร์เฟียซก้มลงจูบที่หน้าผากเกลี้ยงเกลานั้นหนัก ๆ ครั้งหนึ่ง ก่อนจะช่วยจัดการแต่งตัวให้ร่างเล็ก ที่นอนกึ่งเปลือย ให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยตามเดิม และเมื่อชายหนุ่มห่มผ้าห่มให้กับอีกฝ่าย ก็เป็นเวลาเดียวกับที่ เคธี่กลับมาพร้อมกับอาหารกลางวันหนึ่งชุด

“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนล่ะนะมิสเคธี่ ฝากดูแลเขาด้วยล่ะ”

อาจารย์หนุ่มรีบขอตัวออกจากห้องพยาบาลทันที โดยไม่รอให้อีกฝ่ายซักถามหรือพูดจาอะไรทั้งนั้น เสียงหัวเราะใส ๆ ดังตามออกไปอย่างกลั้นไม่อยู่ เมื่อสังเกตเห็นคนที่อยู่บนเตียงนอนหน้าแดงก่ำ หายใจหอบ ๆ ขณะที่คนซึ่งปลีกตัวหนีไปแล้วนั้น กลับตีสีหน้าเรียบเฉย เหมือนกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นภายในห้องนี้ก่อนหน้านั้น



--- TBC ---
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Chp.5-6 (25 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 25-06-2011 13:36:08


Chp.6



…. จะไปดี หรือไม่ไปดีนะ …

ยูยะยังคงนอนก่ายหน้าผาก ความคิดเหม่อลอยไปถึงใครบางคน เขาไม่ได้กลับไปที่ห้องเรียน เพราะมิสเคธี่บอกให้เขานอนพักอยู่ที่ห้องพยาบาลนี่ จนกว่าจะถึงเวลาเลิกเรียน

…อืม…. ไปสิ…ต้องไป….หือ…อะ…เอ๋..เฮ้ย! บ้าน่า!! คิดบ้า ๆ อะไรแบบนั้น!! จะไปหาหมอนั่นทำไมกันเล่า!! นาโอกิ ยูยะ นี่นายบ้าไปแล้วหรือไง หา!!….

เด็กหนุ่มฟุบหน้าลงกับหมอน ใบหูทั้งคู่แดงก่ำ เช่นเดียวกับหน้า เขาชักเริ่มไม่เข้าใจความคิด และการกระทำของตัวเองเข้าทุกทีเสียแล้ว แม้จะย้ำกับตัวเองเสมอว่าเกลียดผู้ชายที่ชื่อ มอร์เฟียซ คาเตอร์ คนนั้นเข้าไส้ หากแต่ยามที่ริมฝีปากหนานุ่ม และเรียวลิ้นร้อนชื้น ลากไล้ผ่านทั่วร่างของเขา รวมไปถึงสัมผัสวาบหวาม เร่าร้อน จากมือใหญ่ทั้งสองข้างนั้น ก็กลับไม่ได้ทำให้เขานึกรังเกียจแต่อย่างใด

“ไม่นะ ไม่ ๆ ๆ ต้องไม่ใช่แบบนั้น ไม่ใช่!”

เด็กหนุ่มเผลอตะโกนออกมาอย่างลืมตัว จนเคธี่ มิลเลอร์ ซึ่งกำลังนั่งพักผ่อนอยู่แถวนั้น ถึงกับสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ

“…เกิดอะไรขึ้นจ๊ะ นาโอกิ เป็นอะไรไปงั้นหรือ”

น้ำเสียงหวาน ๆ ถามขึ้นด้วยความสงสัย หากแต่เมื่อเห็นใบหน้า แดงก่ำของร่างเล็กบนเตียง ก็พอจะทำให้หญิงสาวคาดเดาอะไรบางอย่างได้บ้างเล็กน้อย

“ว่าไงจ๊ะ มีอะไรไม่สบายใจก็บอกกับฉันได้ ไม่ต้องห่วงเห็นอย่างนี้ฉันเก็บความลับเก่งนะ”

น้ำเสียงหวาน ๆ ไพเราะนั้น ทำให้คนฟังรู้สึกสบายใจ ยูยะซึ่งกำลังสับสน จึงได้ตัดสินใจขอคำปรึกษาบางอย่างจากหญิงสาว ที่เขาเห็นว่าน่าจะพอเป็นที่พึ่งได้บ้าง

“เอ่อ…มิสเคธี่ครับ คือว่า ถ้าเราเกลียดคน ๆ หนึ่งมาก แต่พอเวลาเขาเข้ามาใกล้…เอ่อ …สัมผัส…ง่า คือ แตะต้องตัวเรา ทำไมเราถึงไม่รู้สึกรังเกียจเขาเลยล่ะครับ”

แววตาซื่อ ๆ ไร้เดียงสา ตรงหน้าทำให้ เคธี่ เผลอเอื้อมมือไปขยี้ศีรษะเล็ก ๆ นั้นเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู

...โถ เด็กน้อย นี่คงจะกลุ้มใจมากสินะ น่าสงสารจริง ๆ ที่ดันมาเป็นที่ถูกตาต้องใจ คนเอาแต่ใจตัวเอง แถมยังชอบแกล้งคนอื่น แบบนั้น …

“ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า เราไม่ได้เกลียดเขาจริง ๆ ยังไงล่ะจ๊ะ”

หญิงสาวตอบเสียงอ่อนโยน พลางส่งยิ้มหวานให้กับเด็กหนุ่ม

“ คนเรานะ ถ้าเกลียดกันจริง ๆ แล้ว อย่าว่าแต่จะยอมให้สัมผัสเลย แม้แต่หน้าก็ยังไม่อยากจะมองด้วยซ้ำไปรู้ไหมจ๊ะ”

ยูยะนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาหวิว

“…แม้กระทั่ง เขาจะเคยทำเรื่องที่เลวร้ายมาก ๆ กับเราอย่างนั้นหรือครับ”

เคธี่ชะงักนิดหนึ่ง …แสดงว่าสิ่งที่เธอคิดมันก็คงไม่ผิดเสียแล้ว

“เอ่อ…มันก็คงต้องดูที่เหตุผลของเขาด้วยนั่นล่ะจ้ะ”

หญิงสาวพยายามเลือกคำดี ๆ มาอธิบายให้อีกฝ่ายฟัง

“เหตุผล?”

“ใช่จ้ะ นาโอกิ …เขามีเหตุผลอะไรถึงได้ตัดสินใจทำเรื่องเลวร้ายนั้นลงไป และเมื่อทำมันลงไปแล้ว…เขาสำนึกเสียใจกับมันมากแค่ไหน…”

“ไม่เลยสักนิดครับ!” เด็กหนุ่มรีบตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด

“หมอนั่นไม่เห็นจะสำนึกเสียใจอะไรแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังจะ….”

ยูยะชะงัก ก่อนจะกลืนคำพูดทั้งหมดลงคอ พลางยิ้มแหย ๆ ให้กับอีกฝ่าย เพราะดูเหมือนว่าเขาจะลืมตัวจนเผลอพูดอะไรเกินจำเป็นไปเสียแล้ว

“ยังจะ…?” เคธี่ทวนคำ ด้วยใบหน้ายิ้ม ๆ

“เอ่อ เปล่าครับ” เด็กหนุ่มตอบอย่างไม่ยอมมองหน้า อาจารย์สาว หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน

“หึ..นาโอกิจ๊ะ ถ้าเขาไม่สำนึกเสียใจ นั่นก็ตีความได้อีกอย่างคือเขา ตั้งใจจะทำเช่นนั้นนั่นแหละจ้ะ”

“ตั้งใจ..”

“ใช่จ้ะ…ตั้งใจ…ทำตามที่หัวใจตัวเองเรียกร้องและปรารถนา แม้จะรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งผิดขนาดไหนก็ตาม”

ยูยะนิ่งอึ้ง จ้องมองคนตรงหน้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม หากแต่เสียงฝีเท้าหลายคู่ที่ก้าวเข้ามาภายในห้อง ทำให้ทั้งสองละความสนใจจากเรื่องตรงหน้า หันไปมองผู้มาเยือนใหม่แทน

“ทุกคน…มาได้ยังไงกัน”

ยูยะถามเพื่อน ๆ ของเขาด้วยความสงสัย ถ้าจำไม่ผิดตอนนี้น่าจะยังมีชั่วโมงเรียนอยู่นี่นา

“พอดีชั่วโมงสุดท้าย อาจารย์ฟาเรียส ติดธุระด่วนมาสอนไม่ได้ พวกเราเลยพากันมารับนายกลับหอน่ะ มิสเคธี่ครับ พวกผมพายูยะกลับไปเลยได้หรือเปล่าครับ”

จิมมี่เอ่ยถามเสียงแจ่มใส ซึ่งอาจารย์สาวประจำห้องพยาบาลก็พยักหน้ายิ้มน้อย ๆ เป็นเชิงอนุญาต

“เอ่อ…มิสเคธี่ครับ ขอบคุณสำหรับคำปรึกษานะครับ”

ยูยะหันมาบอกกับหล่อนค่อย ๆ ก่อนจะเดินตามเพื่อน ๆ ออกไป หญิงสาวมองตามเด็กหนุ่มไปด้วยความเอ็นดู จากนั้นจึงถอนหายใจออกมา

...มอร์เฟียซ คาเตอร์ ฉันช่วยให้เครดิตคุณขนาดนี้ ที่เหลือก็แล้วแต่ตัวคุณเองแล้วนะ…

แล้วหญิงสาวก็นิ่งเงียบไปสักพัก เหมือนกับจะนึกอะไรบางอย่าง ก่อนจะเหยียดยิ้มนิด ๆ อย่างเจ้าเล่ห์ จากนั้นจึงเดินไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ ๆ หนึ่งลงไป

“…สวัสดีค่ะ ฉันมิลเลอร์ ขอเรียนสายดอกเตอร์ลีหน่อยค่ะ”




สองทุ่มแล้ว… ยูยะเหลือบดูนาฬิกาด้วยความรู้สึกสับสน คน ๆ นั้นจะยังคงรอเขาอยู่ไหมนะ แล้วจะโกรธมากหรือเปล่า ที่เขาไม่ไปหาแบบนี้

“ก็…ไม่ได้รับปากนี่นา แล้วอีกอย่าง เราก็…เกลียด..เขา”

เด็กหนุ่มเริ่มพูดคำว่าเกลียดได้ไม่เต็มปากเหมือนทุกครั้ง เขาจ้องมองนาฬิกาอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจปิดไฟที่หัวเตียงแล้วคลุมโปงเข้านอนทันที

…..นา….
….นาโอกิ…

“อื้ม…” ยูยะพลิกกายเบา ๆ เมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อของเขาข้าง ๆ หู หากแต่เจ้าตัวง่วงมากเสียจนไม่อยากจะรับรู้อะไรทั้งสิ้น

ยวบ!

เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนกับว่า มีน้ำหนักของอะไรบางอย่างกดเพิ่มลงที่บนเตียงซึ่งเขานอนอยู่ ก่อนที่จะรับรู้ถึงลมหายใจร้อน ๆ ที่เป่ารดลงมาบนใบหน้า

“..นาโอกิ ยูยะ…เด็กบ้า.. นี่เธอปล่อยให้ฉันรอเก้ออยู่ได้หลายชั่วโมงเชียวนะ แล้วตัวเองมานอนหลับสบายอย่างนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน”

ยูยะรู้สึกเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น เขาได้ยินน้ำเสียงดุ ๆ กำลังต่อว่าเขา แต่มันก็ฟังดูเลือนลาง คล้าย ๆ จะจริงก็ไม่ใช่ ฝันก็ไม่เชิงเสียอย่างนั้น

“อื้ม…ผมไม่ได้บอกว่าจะไปเสียหน่อย…ใครใช้ให้คุณรออยู่กันเล่า…”

เพราะมั่นใจว่านั่นคงเป็นเสียงในความฝันเหมือนดังเช่นเคย เจ้าตัวเลยงัวเงีย โต้ตอบออกไป อย่างที่ไม่เคยจะทำได้แน่ หากอยู่ในสภาพตามปกติ

“อ๋อ…เป็นแบบนั้นใช่ไหม ดีล่ะ งั้นฉันก็ขอรวบรายการที่คิดจะทำในตอนเย็นมาทำในตอนนี้เลยแล้วกัน เธอคงจะไม่ว่าอะไรใช่ไหม”

น้ำเสียงนั้นเข้มขึ้น ทว่า ยูยะกลับงึมงำตอบออกไปอย่างนึกรำคาญ

“อืม…อยากจะทำอะไร ก็ตามใจคุณแล้วกัน…”

แต่พอสักพักเด็กหนุ่มก็ต้องขมวดคิ้วยุ่ง เมื่อเจ้าความรู้สึกที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ มันช่างแตกต่างออกไปจากทุกครั้งเสียเหลือเกิน

…ฝัน..ทำไม..ถึงรู้สึกแปลก ๆ เอ๋? ฝันจริง ๆ หรือ ….

เจ้าตัวค่อย ๆ ปรือตาขึ้นช้า ๆ และเมื่อเห็นเงาตะคุ่ม ดำ ๆ ของบางคนที่กำลังคร่อมอยู่บนร่างของเขา เด็กหนุ่มก็เตรียมแหกปากร้องออกมาสุดเสียง แต่บังเอิญร่างข้างบนไวกว่า เขารีบเอามือใหญ่ตะปบริมฝีปากบางนั่นไว้ทันที ก่อนจะเอ่ยเสียงดุ ๆ ด้วยความไม่พอใจ

“อะไรกัน นาโอกิ เธอเป็นคนอนุญาตฉันเองไม่ใช่งั้นหรือ แล้วจะมาโวยวาย อะไรตอนนี้กันหือ? ”

“..อะ..อาจารย์…ตัวจริง หรือเนี่ย”

ยูยะเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก หลังจากที่ริมฝีปากของเขาได้รับอิสระแล้ว

“อ้าว…แล้วที่คุยกันอยู่ได้ตั้งนานน่ะ ไม่รู้หรือยังไง”

ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ พอจะเข้าใจแล้วว่า ทำไมเด็กหนุ่มถึงตกปากรับคำเขาได้ง่าย ๆ แบบนี้

…หึ! เด็กหนอเด็ก นึกว่าฝันไปเองงั้นหรอกหรือ ไอ้เราก็นึกว่าจะใจอ่อนแล้วเสียอีก…

อยู่ดี ๆ ยูยะก็รู้สึกว่าหนาวเยือกขึ้นมาทันที ก่อนจะมารู้ตัวทีหลังว่า เสื้อผ้าที่เขาใส่ก่อนเข้านอนตอนนี้ มันอันตรธานหายไปจนหมดสิ้นแล้ว

“อะ…อาจารย์ เสื้อผ้าผมล่ะ”

ยูยะชะงักเมื่อมีเสียงกระแอมด้วยความไม่พอใจดังขึ้นเบา ๆ

“เอ่อ…มอร์เฟียซ คือเสื้อผ้าผม ไปไหนหมดแล้วล่ะครับ”

เด็กหนุ่มรีบเปลี่ยนสรรพนามเรียกเสียใหม่ ซึ่งก็สร้างความพอใจให้อีกฝ่ายพอสมควร

“ก็มันเกะกะ ขวางหู ขวางตา เลยจับถอดออกโยนทิ้งไว้แถว ๆ นี้นั่นล่ะ”

ชายหนุ่มตอบหน้าตาเฉย ทำเอายูยะถึงกับต้องบ่นพึมพำออกมาเบา ๆ

“…คนเอาแต่ใจตัวเอง…”

โชคร้ายของเด็กหนุ่มที่อีกฝ่ายดันเป็นคนหูดี เสียจนจับใจความคำพูดค่อย ๆ นั้นได้อย่างถนัดชัดเจน ผลก็คือเด็กหนุ่มถูกจูบหนัก ๆ เนิ่นนาน เสียจนแทบขาดใจเป็นการลงโทษฐานพูดไม่เข้าหู

“อื้ม….อืม….” เรียวลิ้นอุ่นชื้นสอดแทรกเข้าไปหาความหวานซ่านภายในปากของอีกฝ่าย และขณะที่ยูยะกำลังเคลิบเคลิ้มกับรสจูบแสนหวานที่ชายหนุ่มมอบให้อยู่นั้น เจ้าตัวก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อมือใหญ่ข้างหนึ่งย้ายไปลูบคลำอยู่แถวบริเวณสะโพกของเขา

“อะ…มะ…ไม่นะ…”

เด็กหนุ่มรีบผลักร่างข้างบนให้พ้นตัวเขาทันที อาการหวาดกลัวจนตัวสั่นของร่างข้างใต้ ทำให้มอร์เฟียซหยุดการกระทำทุกอย่างของเขาลงโดยอัตโนมัติ ยูยะยังไม่พร้อมที่จะให้เขาเข้าไปในร่างเล็ก ๆ นั่นตอนนี้ และดูเหมือนว่าเขาก็คงใจร้อนไปหน่อย เขาควรจะดำเนินตามขั้นตอนที่ตั้งใจไว้อย่างเคร่งครัด ถ้าเขายังไม่อยากจะสูญเสียเด็กหนุ่มคนนี้ไปจริง ๆ

“นาโอกิ…อย่ากลัวไปเลยนะ…ถ้าเธอยังไม่พร้อม ฉันก็จะไม่ทำ”

ยูยะ ซึ่งอยู่ในอาการหวาดหวั่น ค่อย ๆ คลายความกังวลไปทีละนิด เมื่ออ้อมแขนแข็งแกร่งโอบกระชับร่างของเขาเข้ามาแนบอก ก่อนจะจุมพิตแผ่วเบาทั่วทั้งใบหน้านั้นเป็นการปลอบขวัญ

“คืนนี้ ขอฉันนอนกอดเธอแบบนี้จะได้ไหม หือ นาโอกิ”

เสียงทุ้มนุ่มอ่อนโยนกระซิบข้าง ๆ ใบหู ยูยะหน้าแดงเล็กน้อย แล้วจึงพยักหน้ารับเบา ๆ พลางเบียดกายซุกตัวกับอกกว้างทีละนิด จนมอร์เฟียซ แอบอมยิ้ม ก่อนจะจูบหนัก ๆ ที่ขมับของเด็กหนุ่มด้วยความพอใจ

“เฮ่อ…ชื่นใจเหลือเกิน ถ้าทำตัวน่ารักแบบนี้ได้ตลอดก็ดีน่ะสิ ”

เงียบ ไม่มีเสียงตอบกลับอะไรทั้งสิ้น แต่ถ้าหากแสงสว่างในห้องนี้มีเพียงพอ ก็จะเห็นได้ว่า บัดนี้เด็กหนุ่มหน้าแดงขนาดไหน

ทว่า คนอย่างมอร์เฟียซ คาเตอร์ย่อมรู้ดีในข้อนั้น เพราะเสียงหัวใจจากร่างที่แนบชิดกันและกัน มันบ่งบอกถึงความรู้สึกในยามนี้ของผู้เป็นเจ้าของได้เป็นอย่างดีที่สุด

“ราตรีสวัสดิ์ นาโอกิ …หลับฝันดีนะ เด็กน้อยของฉัน”

จุมพิตแผ่วเบา อ่อนโยนที่ตรงหน้าผาก และอ้อมกอดที่ถ่ายทอดไออุ่นของอีกฝ่าย ทำให้ยูยะซึ่งกำลังใช้นิ้วพันเส้นผมสีทองสลวยนั่นเล่น เริ่มเคลิ้มลงทีละนิด ก่อนที่จะหลับสนิทอย่างเป็นสุขในเวลาไม่นานนัก



“อืม…มอร์เฟียซ…”

แขนเรียวบางควานสะเปะสะปะหาร่างที่เคยอิงแอบซุกนอนตลอดคืน แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วยุ่ง ทั้ง ๆ ที่หลับตา เมื่อรู้สึกได้ถึงความว่างเปล่าข้างกาย

…มอร์เฟียซ คาเตอร์หายไปแล้ว…

ยูยะลืมตามองด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มสงสัยทีละนิดว่า แท้จริงแล้วเหตุการณ์เมื่อคืนนั้น เป็นความฝันอีกหรืออย่างไร

... ไม่สิ มันไม่ใช่ความฝัน ก็มัน...

เด็กหนุ่มหน้าแดงระเรื่อ เมื่อก้มลงสำรวจตัวเอง แล้วพบกับสภาพเปลือยเปล่าของตน

...อย่างน้อยเขาก็จำได้หรอกนะว่าไม่ได้ถอดเสื้อผ้าก่อนเข้านอนน่ะ….

ร่างเล็กค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเตียง ก่อนจะก้มลงหยิบเสื้อผ้าที่วางกระจัดกระจายอยู่ตรงพื้นห้องขึ้นมาสวมใส่ให้เรียบร้อย แต่แล้วสายตาก็พลันสะดุดเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งวางไว้บนโต๊ะ ซึ่งมีหนังสือวางทับไว้อีกชั้นหนึ่ง

‘ฉันกลับออกไปตอนเช้ามืด เห็นเธอกำลังหลับสบายเลยไม่อยากปลุก เอาไว้เจอกันที่โรงเรียนนะ จาก... มอร์เฟียซ คาเตอร์’

ยูยะยิ้มให้กับกระดาษแผ่นนั้น ก่อนจะตรงไปหยิบผ้าขนหนูในตู้ และเดินฮัมเพลงไปที่ห้องอาบน้ำรวมชั้นล่างอย่างอารมณ์ดีผิดจากปกติ



ชั่วโมงเช้าของวันศุกร์ เป็นชั่วโมงคณิตศาสตร์ ซึ่งสอนโดย หลุยส์ ฟาเรียส หนุ่มใหญ่อารมณ์ดี วัย 45 ปี ชาวฝรั่งเศส แม้จะเป็นวิชาที่จัดว่ายาก หากแต่คนสอนมีศิลปะในการสอนพอที่จะทำให้เด็ก ๆ ไม่เบื่อ และสนุกในการเรียน ซึ่งวันนี้เด็ก ๆ ในห้อง ม.5 / Z ก็ตั้งใจรอเรียนกับอาจารย์ฟาเรียสผู้นี้ เหมือนเช่นปกติ เพราะส่วนใหญ่นอกจากเรื่องเรียนแล้ว ฟาเรียสก็มักจะมีเรื่องตลก ๆ มาคลายเครียดระหว่างเรียนให้เด็ก ๆ ฟังเสมอ

ทว่า ..

“นับจากนี้หนึ่งเดือนเป็นต้นไป อาจารย์ฟาเรียสจะไม่สามารถมาสอนพวกเธอได้ เนื่องจากท่านติดอบรมศึกษาดูงานต่างประเทศ ดังนั้น ฉันจึงมารับผิดชอบชั่วโมงคณิตศาสตร์แทนเขาไปก่อน อ้อ…แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะ วิชาประวัติศาสตร์ฉันก็ยังคงสอนพวกเธอตามปกติเหมือนเดิม”

ทั่วทั้งห้องเงียบกริบทันทีราวกับว่าสถานที่แห่งนี้ไม่มีใครอยู่เลยสักคนเดียว

…เรียนคณิตศาสตร์ กับคาเตอร์ ตลอดเดือน โอ้! ไม่! นรกชัด ๆ! …

แทบทุกคนในห้องต่างพากันคิดเช่นนั้น โดยเฉพาะยูยะซึ่งเหลือบมองชายที่ยืนอยู่หน้าห้องด้วยความกังวลหนักขึ้นไปอีก เพราะปกติเขาก็อ่อนวิชาคณิตศาสตร์อยู่แล้ว ขนาดฟาเรียสที่ว่าสอนดีจนเขาพอจะเข้าใจบ้าง คะแนนวิชานี้ของเขาก็ยังคงร่องแร่งอยู่ดี และยิ่งมาเจอคนดุ ๆ ชอบแกล้งชาวบ้าน อย่างมอร์เฟียซ คาเตอร์ มาสอนแทนด้วยล่ะก็ คะแนนคณิตศาสตร์เขาไม่ยิ่งดิ่งลงเหวไปมากกว่านี้หรอกหรือ

“เปิดไปหน้าที่ 147!” ไม่ต้องพูดพล่ามทำเพลง หรือแนะนำอะไรให้มันยืดเยื้อ เจ้าตัวจัดการเปิดตำรา และลงมือสอนทันที โดยที่นักเรียนทุกคนต่างพากันรีบเปิดหนังสือตามอย่างรวดเร็ว

“อืม…นาโอกิ ยูยะ ออกมาทำข้อที่ 5 ให้ทุกคนดูหน่อยสิ”

ยูยะสะดุ้งเฮือก เขาเกลียดการแก้โจทย์หน้าชั้นเรียนเป็นที่สุด เพราะยิ่งเขาคิดไม่ออก ก็เหมือนกับว่าเขาทำให้เพื่อน ๆ ที่เหลือต้องมาพลอยเสียเวลาไปด้วย

เด็กหนุ่มเดินออกมาหน้าชั้นด้วยใบหน้าซีด ๆ และขณะที่กำลังเดินผ่านร่างสูง เขาก็เหลือบมองชั่วแวบหนึ่ง แล้วก็ต้องไปสะดุดกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่าย

…คนบ้า! ตั้งใจแกล้งกันชัด ๆ เลยนี่นา! …

ยูยะหน้ามุ่ย ก่อนจะเริ่มลงมือแก้โจทย์ปัญหาข้อนั้นทีละนิด แล้วก็ไปสะดุดเอาตรงสมการช่วงสุดท้าย ที่ทำยังไงก็แก้ไม่ตกเสียที จนกระทั่งอาจารย์หนุ่มทักขึ้นมาในที่สุด

“หือ…นาโอกิ ความจริงเรื่องนี้เธอน่าจะเรียนไปแล้วนี่นา ทำไมถึงยังทำไม่ได้อีกล่ะ”

ยูยะสาบานได้เลยว่า เขาเห็นรอยยิ้มเย้าแหย่ของอีกฝ่าย ในขณะที่กำลังดุเขาอยู่ เด็กหนุ่มก้มหน้านิ่ง ก่อนจะกระซิบตอบเบา ๆ

“ขอโทษครับ คือผมทำไม่ได้”

มอร์เฟียซโบกมือไล่ให้อีกฝ่ายกลับเข้าไปนั่งที่ จากนั้นอาจารย์หนุ่มผมทอง จึงตรงไปที่กระดาน เขียนแก้สมการที่เหลืออย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินกลับมายังโต๊ะ พร้อมกับเอ่ยด้วยเสียงห้วนดังฟังชัดไปทั้งห้อง

“อาจารย์ฟาเรียส เอาผลการเรียนในวิชานี้ของพวกเธอมาให้ฉันดูแล้วซึ่งส่วนใหญ่ก็อยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ จะมีแค่บางคนเท่านั้น ที่ผลยังไม่เป็นที่น่าพอใจนัก

ยูยะนั่งหน้าจ๋อย เพราะนั่นย่อมหมายความว่าชายหนุ่มเจาะจงมายังเขาเต็ม ๆ คนเดียว

“เพราะฉะนั้น ในวันศุกร์หน้า เราจะมีการ Test เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาในการเรียนขึ้นบ้าง อ้อ! ไม่ต้องห่วงนะ คะแนนในครั้งนี้ จะรวมเข้ากับการสอบปลายภาคที่จะมาถึงในอีกไม่กี่เดือนนี้ด้วย”

นั่นเป็นข่าวที่เลวร้ายในความคิดของยูยะเป็นอย่างมาก แล้วเวลาที่เหลืออีกแค่ไม่กี่วัน จะทำให้เขาท่องจำเจ้าพวกสูตรที่แสนจะเกลียดเข้าไส้ จับอัดลงสมองน้อย ๆ ของเขาได้ยังไงกันเล่า!

และแล้วมอร์เฟียซก็เริ่มต้นสอนตามแบบฉบับของเขา ซึ่งก็สร้างความแปลกใจให้กับทุก ๆ คนเป็นอย่างมาก เพราะชายหนุ่มสามารถอธิบายในบางเรื่องที่พวกเขาไม่เข้าใจได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ซึ่งจะว่าไปแล้วหากไม่ติดเรื่องการวางตัว หรือท่าทางที่น่าเกรงขามนั้น มอร์เฟียซสอนได้เข้าใจง่ายกว่าที่ฟาเรียส สอนพวกเขาเสียด้วยซ้ำไป

“เอาล่ะทุกคน วันนี้พอแค่นี้ แล้วก็อย่าลืมทำแบบฝึกหัดหน้า 150–155 มาส่งฉันพรุ่งนี้ด้วย เลิกเรียนได้!”

และขณะที่ทุกคนกำลังเตรียมเก็บข้าวของเพื่อย้ายลงไปเรียนวิชาพละที่โรงยิม มอร์เฟียซก็เดินตรงมายังโต๊ะของยูยะ ซึ่งกำลังหันไปคุยกับจิมมี่ข้าง ๆ โดยไม่ทันสังเกตว่าชายหนุ่มเดินเข้ามาหยุดอยู่ใกล้ ๆ กับเขาแล้วตอนนี้

“นาโอกิ ยูยะ”

ยูยะสะดุ้งเฮือก ก่อนจะหันกลับมามองคนข้าง ๆ ด้วยสีหน้าหวาด ๆ

“มะ…มีอะไรหรือครับอาจารย์”

“ผลการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เธอย่ำแย่มาก เมื่อเทียบกับวิชาอื่น ๆ ที่อยู่ในเกณฑ์พอใช้ ดังนั้น ถ้าไม่อยากจะสอบตกในวิชาบังคับล่ะก็ ต่อไปนี้ ทุกเย็น หลังทานข้าว เธอจะต้องมาที่ห้องพักของฉัน เพื่อเรียนเสริมวิชาคณิตศาสตร์ วันละหนึ่งชั่วโมง เข้าใจไหม”

ยูยะนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ขณะที่รอบข้างต่างพากันเงียบกริบ..ไร้การเคลื่อนไหว ใด ๆ ทั้งสิ้น

“หรือถ้าคนอื่นสนใจ จะมาเรียนด้วยกันกับนาโอกิ ฉันก็ไม่ขัดศรัทธาหรอกนะ”

เจ้าตัวเสริมต่อด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก ทุกคนที่เหลือพร้อมใจกันสั่นศีรษะปฏิเสธโดยไว โดยเฉพาะเพื่อนรักของเด็กหนุ่ม จิมมี่ ชไนเดอร์ ถึงกับตบบ่าให้กำลังใจเพื่อนของเขาเบา ๆ

“ง่า….ตั้งใจเรียนนะยูยะ”

ยูยะหันมามองหน้าเพื่อน ๆ ทีละคน ที่ต่างพากันหลบตาวูบ ทำไมนะ พอมีเรื่องเกี่ยวกับมอร์เฟียซ คาเตอร์ ขึ้นมาทีไร คนที่ซวยมักจะเป็นเขาคนเดียวเสมอ ยิ่งเรื่องคราวนี้ ถ้าอยู่เรียนอย่างเดียวก็จะไม่ว่าหรอก แต่ตัวอันตรายแบบนี้ ขืนปล่อยให้อยู่ด้วยกันสองต่อสอง มีหวังเขาจะต้องโดนลวนลามเข้าไม่วันใดก็วันหนึ่งแน่!



ณ โรงอาหารรวมของสถาบันอีเดน แผนกมัธยมปลาย

“ง่า…ยูยะ ขอโทษทีนะ เรื่องเรียนเสริมน่ะ คือฉันก็อยากจะไปด้วยกันกับนายหรอกนะ แต่ว่า..”

จิมมี่พยายามจะแก้ตัว ทว่า ยูยะก็ขัดขึ้นมาด้วยสีหน้าเนือย ๆ ทันที

“ไม่ต้องหรอก จิมมี่ ฉันเข้าใจดี อีกอย่าง คะแนนวิชานี้ของนายมัน ก็โอเค ไม่จำเป็นที่ต้องไปนั่งทนเรียนพิเศษอะไรกับฉันหรอก ฉันรู้ตัวดีว่าในบรรดา 15 คน ทั้งหมดนี่นะ ฉันมันเรียนห่วยที่สุด จนไม่น่าจะอยู่ห้อง Z เลยด้วยซ้ำ”

ว่าแล้วเจ้าตัวก็ทำหน้าจ๋อยอีกครั้ง จนเพื่อน ๆ ที่นั่งกินข้าวด้วย ต้องคอยพูดปลอบให้เด็กหนุ่มร่าเริงเหมือนเดิม

“ไม่เอาน่า นาโอกิ แต่วิชาอื่นนายก็ทำคะแนนได้ดีนี่นา ดูอย่างวิชาภาษาอังกฤษของ อาจารย์วิลเลียมอย่างไงล่ะ นายก็ทำได้ดี จนอาจารย์ชมเอาบ่อย ๆ ไม่ใช่หรือไง”

มิเชลเอ่ยขึ้นเป็นคนแรก ซึ่งคนอื่น ๆ ต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย รวมทั้งช่วยเสริมกันยกใหญ่

“ใช่ ๆ ขนาดวิชาประวัติศาสตร์โลกที่ว่ายาก นายก็ยังสอบผ่านได้เลย นี่นา”

จิมมี่รีบเสริมแต่ก็ต้องชะงักเมื่อสบกับสายตาดุ ๆ หลายคู่ที่จ้องมองมา

“มันก็แน่อยู่แล้วล่ะจิมมี่ มีใครบ้างล่ะที่จะกล้าเสี่ยงตกในวิชานี้ ถึงต่อให้รู้ว่าตัวเองป่วยใกล้จะตายเต็มทน ก็ต้องกระเสือกกระสนมาสอบให้ผ่านอยู่ดี ไม่มีใครคิดจะขอสอบซ่อมแบบตัวต่อตัวกับคาเตอร์หรอกนะ”

เหม่ยหลิงประชดใส่ ก่อนจะหันไปปลอบยูยะต่อไป

“นี่ยูยะ อย่าคิดมากไปเลยนะ จะว่าไปแล้ว คาเตอร์เขาก็สอนใช้ได้ เข้าใจง่ายดีออก อ่า…ถ้าตัดความน่ากลัวนั่นออกไปเสียอย่างเดียวล่ะนะ”

ยูยะยิ้มรับอ่อย ๆ สำหรับตอนนี้ เรื่องเรียนเสริมน่ะเขาไม่ค่อยกังวลเท่าใดนักหรอก แต่เรื่องที่ต้องกังวลมันอีกเรื่องต่างหากล่ะ

“ยังไงก็ขอให้โชคดีนะยูยะ”

“เอาใจช่วยนายเสมอนะนาโอกิ”

“สู้เขาล่ะเพื่อน!”

คำอวยพรและกำลังใจของเพื่อน ๆ แต่ละคน ทำให้ยูยะรู้สึกซาบซึ้งจนลืมเรื่องเมื่อตอนเช้าที่ทุกคนคิดเอาตัวรอดโดยไม่สนใจเขาไปเสียสนิท เด็กหนุ่มพยายามมองโลกในแง่ดีว่า บางทีมอร์เฟียซ คาเตอร์ อาจจะคิดตั้งใจสอนเขาจริง ๆ ก็ได้



--- TBC ---
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Chp.5-6 (25 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 25-06-2011 13:53:20
อาจารย์ จะสอนพิเศษหรือจะทำอะไรกันแน่

 :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Chp.5-6 (25 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: k00_eng^^ ที่ 25-06-2011 14:02:20
น่าสงสารนาโอกิอ่ะ
โดนอาจารย์แกล้งตลอดเรย o18
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Chp.5-6 (25 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: w1234 ที่ 25-06-2011 15:14:39
อาจารย์จะสอน หรือทำไรหว่า :impress2:
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Chp.5-6 (25 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 25-06-2011 15:37:55
 :z1:

ติวไรกันหว่า
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Chp.5-6 (25 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 25-06-2011 15:40:33
งานนี้ จะแก้สมการกัน xyz ขนาดไหนเนี่ย  อย่าสอนกันหนักหน่วงมากนะคะ สงสารเด็กบ้างไรบ้างนะ  :z1:  :z1:
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Chp.5-6 (25 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: SuSaya ที่ 25-06-2011 19:22:08
จะเป็นอย่างนั้นแน่เหรอ  :-[
แต่คราวนี้มอเฟียสรุกได้ถูกทางจริง ๆ นะ o13
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Chp.5-6 (25 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: LadyOneStar ที่ 26-06-2011 00:33:25
ง่า ยูยะไม่รอดแน่ๆเลยอ่ะ

อิอิ
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Chp.7 (26/06/54)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 26-06-2011 11:34:29

Chp.7


ทั้ง ๆ ที่เตรียมใจมาแล้ว แต่ทำไมเวลามายืนอยู่หน้าห้องชายคนนี้ทีไร มันต้องกลัวจนตัวสั่นเสียทุกครั้งไปสิน่า

…จะกลับดีไหมนะ…เอ…อย่าดีกว่า ขืนหนีกลับ มีหวังคืนนี้พี่แกบุกเข้าห้องอีกแน่ …เฮ่อ…

หลังจากที่เถียงกับตัวเองได้สักพักแล้ว ยูยะจึงตัดสินใจเคาะประตูห้อง ที่ไม่คิดอยากจะย่างกรายเข้าไปอีกเบา ๆ

“นาโอกิหรือ เข้ามาสิ”

เสียงเรียกออกมาจากในห้อง ทั้ง ๆ ที่ยูยะยังไม่ทันได้พูดอะไรด้วยซ้ำ ดังขึ้น เด็กหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนที่จะตัดสินใจผลักประตูห้องเข้าไป มอร์เฟียซซึ่งกำลังนั่งทำงานอยู่บนโต๊ะ เงยหน้าขึ้นมายิ้มรับ ก่อนจะดุเบา ๆ เมื่อเห็นเด็กหนุ่มทำท่าจะเปิดประตูแง้มไว้น้อย ๆ

“ปิดด้วยสิ แล้วก็ล็อกด้วยล่ะ จะได้ไม่มีใครพรวดพราดเข้ามาทีหลัง”

ยูยะมองตาอีกฝ่ายปริบ ๆ อยากจะเถียงอยู่หรอกว่าถึงต่อให้เปิดโล่ง อ้าซ่า ก็ไม่มีใครกล้าเฉียดกรายเข้ามาในห้องนี้หรอก ถ้าคนนั้นไม่มีธุระจำเป็นอะไรจริง ๆ ล่ะก็นะ…

แต่เด็กหนุ่มก็จัดการปิดห้องตามคำสั่งอย่างขัดไม่ได้อยู่ดี เขาเดินเกร็งๆ มานั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของชายหนุ่ม จากนั้นจึงหยิบหนังสือคณิตศาสตร์ที่เตรียมมาขึ้นมาวางบนโต๊ะ พลางเหลือบมองคนตรงหน้าด้วยแววตาหวาดหวั่น

มอร์เฟียซค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้ของเขา ก่อนจะเดินอ้อมมายืนอยู่ข้างหลังเก้าอี้ของอีกฝ่าย พลางโอบกอดจากเบื้องหลังอย่างอ่อนโยน

“ไหน ลองบอกสิว่า เธอไม่เข้าใจเรื่องไหนบ้าง ฉันจะช่วยสอนให้ตั้งแต่ต้นเลย”

ยูยะยิ่งนั่งตัวแข็งทื่อเข้าไปใหญ่ ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นจึงหัวเราะในลำคอเบา ๆ เขาคลายอ้อมกอดออกช้า ๆ จนเด็กหนุ่มเผลอถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ทว่า ยังไม่ทันไร ร่างสูง ก็อ้อมมาจับร่างของอีกฝ่ายอุ้มขึ้นจากเก้าอี้ เอาพาดบ่าไป อีกมือหนึ่งก็เอื้อมไปหยิบตำราเรียน เอกสาร แล้วก็ดินสอ ตรงไปที่โซฟา จากนั้นจึงจัดแจงให้ร่างเล็กนั่งข้างบนตักเขา โดยที่มือใหญ่โอบเอวบางนั้นไว้หลวม ๆ กันไม่ให้เด็กหนุ่มลุกหนีไปได้

“เอาล่ะ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาเริ่มเรียนกันเลยดีกว่า”

ยูยะอยากจะร้องตะโกนถามออกไปว่า ทำไมต้องมานั่งเรียนท่านี้ด้วย หากแต่เมื่อสบกับนัยน์ตาสีเขียวคมกริบคู่นั้น ก็ทำให้เจ้าตัวไม่กล้าเสี่ยงถามออกไป จึงจำใจพยักหน้ารับค่อย ๆ พร้อมกับหยิบตำราเรียนที่อีกฝ่ายส่งมาให้อย่างไม่เต็มใจนัก

“อืม…นั่นล่ะ เอา Y มาแทนค่าตรงนี้ ใช่แล้วนาโอกิ เธอก็ทำได้นี่นา”

มอร์เฟียซเอ่ยปากชมเมื่อลูกศิษย์(สุดที่รัก) ของเขาจัดการแก้โจทย์ปัญหาที่เขาตั้งให้จนสำเร็จ ยูยะก้มหน้าลอบยิ้มน้อย ๆ อยากจะบอกว่า ที่เขาทำได้คงเพราะเจ้าน้ำเสียงกระซิบนุ่ม ๆ ที่ข้างหู แล้วก็ท่าทางอ่อนโยนเวลาสอน ที่ต่างจากปกตินั่นล่ะ หากชายหนุ่มเป็นแบบนี้ตลอดไป เขาคงจะเป็นที่รักของนักเรียนทุกคนได้ไม่ยากนักหรอก

“หือ? มีอะไรหรือนาโอกิ คิดอะไรอยู่”

มอร์เฟียซถามขึ้นหลังจากที่เห็นว่าอยู่ดี ๆ เด็กหนุ่มก็นิ่งไปเสียเฉย ๆ

“อะ..เอ่อ คือ เปล่าครับ”

ยูยะรีบปฏิเสธทันทีไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้หรอก ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ยามนี้

ทว่า ใบหน้าแดงระเรื่อนิด ๆ ก็ทำให้ชายหนุ่มมั่นใจว่า เด็กหนุ่มต้องกำลังคิดถึงเรื่องของเขาอยู่แน่นอน

“อืม…วันนี้พอแค่นี้แล้วกัน ...เวลาเหลืออีกตั้งเยอะ เธอว่าเราควรจะใช้ทำอะไรฆ่าเวลากันดีล่ะ”

น้ำเสียงและแววตาเจ้าเล่ห์ที่จ้องมองมา ทำเอายูยะเสียวสันหลังวูบ เด็กหนุ่มรีบบอกออกไปเสียงสั่น

“เอ่อ…ใช้ทบทวนบทเรียนที่เรียนมา ก็ได้นี่ครับ”

มอร์เฟียซพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย ทว่า…

“อืม แต่ฉันอยากจะทบทวนบทเรียนเมื่อคืนมากกว่านี่นา”

พูดจบก็จัดการจับร่างเล็กบนตัก กดลงกับโซฟา พร้อมกับตัวเองที่พลิกร่างขึ้นคร่อมตามไปโดยเร็วทันที

“รู้ไหม ทำไมฉันถึงรับวิชาคณิตศาสตร์ของอาจารย์ฟาเรียสมาสอน ทั้ง ๆ ที่นั่นก็เท่ากับเป็นการเพิ่มงานให้ฉันยุ่งยากมากขึ้นกว่าเดิม…”

ยูยะใจเต้นตึก ๆ เมื่อใบหน้าคมเข้มโน้มลงมาจนเกือบชิดกับใบหน้าของเขา

“…ก็เพราะว่าฉันอยากเจอหน้าเธอให้มากขึ้นน่ะสิ เรื่องเรียนพิเศษนี่ก็เหมือนกัน ไม่ใช่แต่ต้องการให้คะแนนเธอดีขึ้นอย่างเดียวหรอกนะ นาโอกิฉันยอมรับอย่างไม่อายเลยว่า เพราะฉันอยากอยู่กับเธอสองต่อสองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้”

ยูยะเริ่มรู้สึกเหมือนกับหัวใจถูกบีบคั้นอย่างหนัก เขากำลังต่อสู้กับจิตใจของตัวเองที่จะไม่พยายามโอบแขนกอดรัดคนตรงหน้าด้วยความซาบซึ้ง หากแต่เมื่อริมฝีปากอุ่น ๆ ประกบแนบลงมาอย่างอ่อนโยน ก็ทำให้ในสมองของเด็กหนุ่มว่างเปล่าไปหมด

“…อา…มอร์เฟียซ…ผมอยากได้จูบของคุณอีกครั้ง…ได้ไหมครับ”

เด็กหนุ่มครางร้องขอ เมื่อริมฝีปากร้อนชื้นเลื่อนไปซุกไซ้ที่ซอกคอขาวเนียนของเขาแทน

เหมือนดังเป็นเสียงสวรรค์ มอร์เฟียซ คาเตอร์ รีบบรรจงมอบจุมพิตที่แสนอ่อนหวานและเร่าร้อนในเวลาเดียวกัน ให้กับเด็กหนุ่มอย่างเต็มใจมากที่สุด

“อื้ม….อืม….อา….”

เป็นเวลาเนิ่นนานทีเดียว กว่าที่มอร์เฟียซจะจัดการถอนริมฝีปากออกมา ชายหนุ่มมองร่างเล็กที่นอนหายใจหอบ ๆ ดวงตาปรือ ๆ ก่อนที่น้ำเสียงทุ้มนุ่มจะกระซิบข้าง ๆ หูอย่างเว้าวอน

“นาโอกิ … ถ้าฉันจะขอมากกว่านี้ เธอจะอนุญาตไหม”

ยูยะหน้าแดงระเรื่อ เข้าใจความหมายนั้นเป็นอย่างดี ก่อนจะพยักหน้ารับนิด ๆ อย่างเอียงอายแทนคำตอบ

“อา…ขอบใจมากนาโอกิ … ขอบใจ…”

ชายหนุ่มมีสีหน้ายินดีเหลือที่จะกล่าว ทว่า ก่อนที่เขาจะเริ่มต้นลงมือทำอะไรต่อไปนั้น เสียงเคาะประตูเบา ๆ ก็ดังขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน

“ก๊อก ๆ”

มอร์เฟียซ คาเตอร์เหลือบมองไปที่ประตูอย่างไม่ค่อยจะสบอารมณ์นัก แต่ก็ไม่ได้คิดจะลุกไปเปิดมันแต่อย่างใด เขาหันมาให้ความสนใจกับการปลดเปลื้องเสื้อผ้าของร่างเล็กข้างใต้ต่อ แต่แล้ว เสียงประตูเจ้ากรรมก็ดังขัดขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ไม่ใช่เสียงเคาะธรรมดา หากแต่ว่ามันกลายเป็นเสียงทุบประตูแทนทีเดียว

“ปัง! ๆ ๆ”

เสียงทุบประตูรัว ๆ ทำเอายูยะสะดุ้งจากภวังค์วาบหวามก่อนหน้านั้น เด็กหนุ่มเหลือบไปมองมอร์เฟียซสลับกับประตูห้อง ด้วยใบหน้าซีดเผือด

... ใครกันที่กล้าท้าทายนรก โดยการทุบประตูห้องของมอร์เฟียซ คาเตอร์แบบนี้ …

“เอ่อ…มอร์เฟียซ คือ ผมว่า….”

ยูยะพยายามดันร่างสูงให้ลุกขึ้นจากร่างของเขา มอร์เฟียซ มองร่างเล็ก ๆ ข้างใต้ด้วยความเสียดาย หลังจากนี้ ถึงเขาลองขอเด็กหนุ่มดูอีกครั้ง ก็จะได้รับคำตอบเหมือนเดิมหรือเปล่าก็ไม่รู้

ชายหนุ่ม ค่อย ๆ ลุกขึ้นเดินไปยังประตูห้องด้วยสีหน้าที่บอกบุญไม่รับสุด ๆ เขาชำเลืองมาทางยูยะแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มแต่งกายเรียบร้อยดีแล้ว เจ้าตัวจึงจัดการเปิดประตูที่ใครบางคนกำลังใช้กริยา ที่เขาเรียกว่าแสนจะไร้มารยาท ทุบรัวอยู่ดังลั่น

“ทำอะไรอยู่วะ ไม่ยอมเปิด…อะ…อ้าว มอร์เฟียซ มาเปิดแล้วเหรอ”

ชายหนุ่มผมดำยาวถึงกลางหลัง ในชุดสูทสีเทาซึ่งถูกคลุมด้วยเสื้อคลุมสีขาวที่มองผ่าน ๆ คล้ายกับหมอหรือนักวิจัยตามห้องแลป เจ้าตัวชะงักมือที่กำลังทุบประตูอยู่ ใบหน้าคมเข้ม ที่ค่อนข้างจะออกไปทางสวย ยิ้มแย้มให้กับคนที่ยอมออกมาเปิดประตูให้เขา นัยน์ตาสีเทาคมกริบกวาดมองเข้าไปภายในห้องจนทั่วโดยอัตโนมัติ แล้วก็มาสะดุดอยู่ที่เด็กหนุ่มผมดำบนโซฟานั่นเอง

“โอ๊ะ! โอ๋ รู้แล้วว่าทำไมถึงมาเปิดห้องช้า กำลังติวกันดุเดือดอยู่ละสิท่า หึ ๆ”

น้ำเสียงกระเซ้านั่น ทำให้คนที่ระดับความอดทนต่ำ ชักจะเริ่มฟิวส์ขาด หากแต่เจ้าตัวกลับพยายามสูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะตั้งสติ และเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นสุดขั้ว

“นายมีธุระอะไร ลี ชาง ถึงมาหาฉันที่ห้องแบบนี้…”

ทว่า ชายหนุ่มอีกคนไม่ได้แสดงอาการวิตก หวาดหวั่น อะไรเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกับเหยียดยิ้มอย่างกวน ๆ ให้กับคนตรงหน้าอีกต่างหาก

“อะไรกัน… มอร์เฟียซ เพื่อนฝูงไม่ได้เจอกันตั้งนาน อยากจะแวะมาเยี่ยมเยียนบ้างไม่ได้หรือไง ไม่เห็นต้องมีเรื่องธุระอะไรนั่นเลยนี่นา”

คนพูดแกล้งพูดด้วยน้ำเสียงยานคาง กวนประสาท ก่อนจะผลักอกคนตรงหน้าไปให้พ้นทางเบา ๆ แล้วจึงเดินก้าวฉับ ๆ ตรงไปยังที่ยูยะอยู่ทันที

“ฮะ…เฮ้ย ชาง! เจ้าบ้าจะทำอะไรวะ!!” อาจารย์หนุ่มรีบปราดเข้าไปกระชากคอเพื่อนสนิทไปให้พ้นทาง เมื่ออยู่ดี ๆ ชางก็เดินเข้าไปจับคางของยูยะเชยขึ้น พร้อมกับชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ ๆ อย่างน่าหวาดเสียว

“อะไรกัน … มอร์เฟียซ คนแค่อยากดูหน้าของนักเรียนที่กล้าเข้ามานั่งในห้องทำงานนายสองต่อสอง ชัด ๆ เท่านั้นเอง แล้วไอ้ท่าทางที่ห้ามแตะต้องนี่มันหมายความว่ายังไง หึงหรือยังไงวะ”

คำพูดตรง ๆ ลุ่น ๆ ของชาง ทำเอาทั้งยูยะ และมอร์เฟียซ หน้าแดงวาบขึ้นมาพร้อมกัน โดยเฉพาะยูยะ เด็กหนุ่มแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปเสียตอนนี้เลยด้วยซ้ำ

“อะ..อาจารย์ครับ ผมขอตัวกลับก่อนได้ไหมครับ”

ยูยะเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก ก้มลงหยิบหนังสือเรียนที่ตกอยู่ใกล้ ๆ โซฟาขึ้นมาถือไว้ เจ้าสมกง สมการ ที่เรียนมาเมื่อครู่มันอันตรธานหายไปจากสมองจนหมดสิ้น ไม่ได้หลงเหลืออยู่แล้วตอนนี้

และขณะที่ยูยะกำลังก้มตัวนิด ๆ เดินผ่านชายหนุ่มทั้งสอง ลี ชาง ก็รีบคว้าข้อมืออีกฝ่ายไว้ทันที โดยที่มอร์เฟียซ จ้องมองมาตาเขียวปั้ด แต่ไม่ได้แสดงอาการโวยวายอะไรออกไปอีกเหมือนเมื่อสักครู่

“อ้าว จะกลับแล้วงั้นหรือ ยังไงก็ให้ฉันไปส่งเธอดีไหม ฉันกะว่าจะแวะไปเยี่ยมเหม่ยหลิงที่หอหญิงอยู่พอดีเลยด้วย”

“อะ...เอ๋ รู้จักเหม่ยหลิงด้วยหรือครับ”

ยูยะถามด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะทบทวนชื่อที่เขาได้ยินมาเมื่อสักครู่

“ลี ชาง อ๊ะ! คุณคือดอกเตอร์ลี พี่ชายของเหม่ยหลิงนั่นเองใช่ไหมครับ”

เด็กหนุ่มมีสีหน้าตื่นเต้น เมื่อได้เห็นพี่ชายของเพื่อนสาวที่หล่อนมักจะคุยนักคุยหนาว่า เขาเป็นดอกเตอร์อัจฉริยะประจำแผนกวิจัยและค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ของสถาบันอีเดนแห่งนี้

“ใช่แล้วล่ะ แล้วเธอก็คือ นาโอกิ ยูยะ หนุ่มน้อยจากญี่ปุ่นที่เป็นอัจฉริยะทางด้านดนตรีใช่ไหม”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับอาย ๆ รู้สึกเขินเมื่อมีคนเรียกเขาว่าเป็นอัจฉริยะ ก่อนจะเผลอยิ้มตอบโดยอัตโนมัติ เมื่อเห็นชางส่งยิ้มมาให้เขา

มอร์เฟียซเริ่มชักจะทนไม่ไหว กับสีหน้ายิ้มแย้มที่เหมือนจะเป็นการหว่านเสน่ห์ให้กับลูกศิษย์สุดที่รักของเขา มิหนำซ้ำเด็กหนุ่มก็ยังยิ้มตอบให้อีก มองดูแล้วมันชวนให้ต่อมหาเรื่องทำงานเสียเหลือเกิน

“แล้วตกลงที่นายมาหาฉันถึงที่ห้องนี่ แค่อยากมาเห็นหน้าฉันเท่านั้นเองหรือไงหา ชาง!”

เสียงห้วน ๆ ที่ขัดขึ้นมาทำให้ ชางชะงัก ก่อนจะหันมาทางเพื่อนสนิท โดยที่มือข้างนั้นยังคงเกาะกุมข้อมือเล็ก ๆ ของยูยะไม่ยอมปล่อย

…ไอ้บ้าเอ๊ย! ปล่อยได้แล้วโว้ย! มือน่ะ!! …

ชายหนุ่มจงใจส่งสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อไปให้อีกฝ่ายเต็มๆ ขนาดยูยะยังอดสยองแทนไม่ได้เมื่อเหลือบขึ้นไปเห็นสายตาคู่นั้น โดยบังเอิญ

แต่ว่าสำหรับคนที่คบกันมาเกือบสิบปี ก็ย่อมจะชินชากับสายตาแบบนั้น และยิ่งเป็นคนประเภทเดียวกันด้วยแล้วมันก็เหมือนกับว่ากำลังส่องกระจกอยู่นั่นล่ะ

“ไม่หรอก มอร์เฟียซ เรามีเรื่องต้องคุยกันอีกยาวแน่ แต่ตอนนี้ฉันขอตัวไปส่งหนุ่มน้อยคนนี้ก่อนนะ เด็กน่ารัก ๆ แบบนี้ขืนปล่อยให้เดินกลับมืด ๆ คนเดียวมันอันตรายจะตายไป จริงไหม ยูยะ...”

น้ำเสียงท้ายประโยคหยอดคำหวาน แถมยังสรรพนามที่เรียกชื่อนั่นอีก มันฟังดูน่าหมั่นไส้เสียจน อยากจะกระชากคอคนพูดมาอัดสักเปรี้ยง

“ไม่จำเป็นหรอก ลี ชาง ฉันนัดนาโอกิมาเรียน ฉันก็ต้องมีหน้าที่รับผิดชอบความปลอดภัยของเขาด้วยตัวเองอยู่แล้ว”

กล่าวจบเจ้าตัวก็จัดการดึงร่างเล็กเข้ามาหา พลางโอบไหล่อีกฝ่ายอย่างประกาศความเป็นเจ้าของเต็มที่ โชคดีที่ชางปล่อยมือที่จับแขนของเด็กหนุ่มก่อนหน้านั้นพอดี มิเช่นนั้นแรงฉุดที่ดูจะเป็นกระชากนั่น คงจะทำให้ยูยะเจ็บแทบตายเลยทีเดียว

“เอ่อ ...คือผมว่า ผมไปคนเดียวก็ได้ครับ ไม่ต้องให้ใครไปส่งหรอก”

เสียงเล็ก ๆ แย้งขึ้นเบา ๆ หากแต่ก็ต้องหุบปากเงียบ เมื่อสบกับนัยน์ตาสีเขียวเอาเรื่องคู่นั้น

ยูยะรีบก้มหน้าหลบสายตา ไม่อยากจะคิดว่าคนตรงหน้า ‘หึง’ ตน แต่มองยังไงมันก็เป็นอย่างอื่นเสียไม่ได้

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปด้วยกันทั้งหมดนี่เลยก็ได้ จริงไหมยูยะ”

ชางเสนอความเห็น เด็กหนุ่มรีบพยักหน้าหงึก ๆ เห็นด้วย เพราะสถานการณ์ที่มอร์เฟียซโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงแบบนี้ เขาก็ไม่ค่อยไว้วางใจในความปลอดภัยของตัวเองเสียเท่าไรนักหรอก

มือใหญ่ที่โอบไหล่หลวม ๆ บีบที่ต้นแขนของเด็กหนุ่มแรง ๆ ด้วยความไม่พอใจ

“อะ...โอ๊ย...มอร์เฟียซ ผมเจ็บแขน”

เด็กหนุ่มร้องครางขึ้นมาเบา ๆ น้ำตาคลอเบ้าด้วยความเจ็บปวด

มอร์เฟียซ คาเตอร์ ยอมรับว่ายามนี้ เขารู้สึกโมโหมากอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่ต้องการเห็นยูยะไปพูด หรือ ยิ้มให้กับผู้ชายคนไหนนอกจากเขาคนเดียวเท่านั้น

ลี ชาง เห็นว่าเรื่องราวดูท่าจะบานปลายเข้าไปใหญ่ จึงตัดสินใจเลิกแหย่ทันที เขาเดินมาตบบ่าเพื่อนสนิท พร้อมกับกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหู

“โทษทีว่ะเพื่อน แค่แหย่เล่นนิดหน่อย อย่าไปพาลเอากับเด็กนี่เลยนะน่าสงสารออก จะร้องไห้อยู่รอมร่อแล้วเห็นไหม..”

ก็นั่นล่ะ ถึงทำให้อาจารย์หนุ่มได้สติ เขาก้มลงพิจารณาใบหน้าหวาน ๆ ซึ่งมีสีหน้าซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว นัยน์ตาสีดำก็มีน้ำใส ๆ คลออยู่ทั่ว จนน่าสงสาร

“นาโอกิ”

เสียงเรียกชื่อนั้น ทำให้ยูยะสะดุ้งเฮือกด้วยความกลัว มอร์เฟียซเริ่มคิดได้ว่าเขาไม่น่าจะโมโหจนลืมตัวขนาดนี้

… ที่โมโห ก็เพราะว่า หึง และที่หึง ก็เพราะว่ารัก นาโอกิ ยูยะ เธอจะเข้าใจฉันบ้างไหมนะ…

“เจ็บมากไหม”

ชายหนุ่มจัดการถลกแขนเสื้อของอีกฝ่ายขึ้นมาดู ก็พบว่ามันแดงจ้ำเป็นรอยนิ้วมืออย่างเห็นได้ชัด

“นาโอกิ ฉันขอโทษ…”

น้ำเสียงสำนึกผิดที่แฝงไปด้วยความเจ็บปวดนั้น ทำให้ยูยะเงยหน้าขึ้นจ้องมองอีกฝ่ายเต็มตาเป็นครั้งแรก

“มะ..ไม่เป็นไรครับ”

ยูยะตอบเสียงแผ่ว …ก็โกรธอยู่บ้างหรอกนะ แต่ก็ไม่อยากเห็นคนตรงหน้าทำสีหน้าเหมือนกับจะเจ็บปวดแทนแบบนี้นี่นา

และโดยที่ไม่สนใจว่ามีบุคคลที่ 3 อยู่ด้วย ณ ที่นั้น อาจารย์หนุ่มก็โน้มศีรษะลงไปจุมพิตที่รอยฝ่ามือนั้นแผ่วเบา ก่อนจะช้อนร่างเล็ก ขึ้นมาอุ้มแนบอก

“ดะ...เดี๋ยวก่อน ..มอร์เฟียซ....เอ่อ อาจารย์จะทำอะไรน่ะ”

ยูยะละล่ำละลักถามด้วยความตกใจ ขณะที่ชาง มองภาพตรงหน้าด้วยความทึ่งจัด

… เจ๋งจริง ๆ เลย เคธี่ เป็นอย่างที่คุณบอกไม่มีผิด ถ้าไม่มาเห็นด้วยตาตัวเอง จะไม่เชื่อเลยนะเนี่ย…

“อย่าดิ้นสิ นาโอกิ ฉันก็จะไปส่งเธอที่หอยังไงล่ะ”

ยูยะยิ่งหน้าแดงหนักเข้าไปใหญ่ เมื่อหันไปสบสายตาของชาง ที่มองมาทางพวกเขายิ้ม ๆ

“ผะ…ผม ไม่ได้เจ็บขาสักหน่อย ..ผมเดินเองได้น่า คุณ …เอ่ออาจารย์ปล่อยผมลงเถอะ”

“ไม่!”

มอร์เฟียซ คาเตอร์ ตอบปฏิเสธอย่างหนักแน่นก่อนจะยื่นคำขาด

“ถ้าเธอไม่ให้ฉันอุ้มไปส่งที่หอ คืนนี้ก็นอนค้างที่นี่กับฉัน เลือกเอาแล้วกัน”

เท่านั้นเอง ยูยะก็เงียบกริบ และไม่คิดจะโต้แย้งอะไรอีกต่อไป ลี ชาง ซึ่งเดินตามหลังคนทั้งคู่อยู่ห่าง ๆ หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ หากแต่ความเงียบยามราตรี ก็ทำให้เด็กหนุ่มได้ยินเสียงหัวเราะนั้นอย่างถนัดชัดเจน

ร่างเล็กในอ้อมแขน ซุกหน้าเบียดชิดกับอกของชายหนุ่มด้วยความเขินอาย มอร์เฟียซ คาเตอร์ มองภาพ ๆ นั้นด้วยความเอ็นดู ก่อนจะกล่าวขึ้นมาอย่างลอย ๆ โดยไม่หันไปมองหน้าคู่สนทนาที่เดินตามมาข้างหลังแม้แต่น้อย

“ถ้าฉันเดาไม่ผิด นายได้รับการติดต่อเรื่องนี้ จากเคธี่ ใช่ไหม ชาง”

ลี ชาง ยักไหล่ นิด ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

“หึ ๆ ใช่แล้ว ถ้าฉันเป็นเขา ก็คงไม่คิดเก็บของสนุก ๆ แบบนี้ ไว้ดูเองคนเดียวหรอกน่า”

“ยุ่งเรื่องส่วนตัวของชาวบ้านนี่นะสนุก”

มอร์เฟียซประชด โดยที่ยูยะพยายามจะจับใจความสำคัญในการสนทนาเหล่านั้น แล้วก็ต้องพบกับความจริงที่ว่า ในตอนนี้เรื่องของพวกเขามีคนอื่นรับรู้ด้วยแล้วถึงสองคน ซึ่งก็คือ เคธี่ มิลเลอร์ อาจารย์ประจำห้องพยาบาล แล้วก็ ดร.ลี ชาง พี่ชายของเพื่อนร่วมชั้นของเขาเอง

“นาโอกิ?” ชายหนุ่มเรียกชื่อเด็กหนุ่มด้วยความประหลาดใจ เมื่อรู้สึกถึงแรงเล็บที่จิกลงไปที่หัวไหล่ของเขาเบา ๆ ก้มหน้าลงมองก็พบว่า บัดนี้ใบหน้าของร่างในอ้อมแขนกำลังซีดเผือดลงทุกขณะ เพียงแค่นั้นมอร์เฟียซก็เข้าใจในทันที โดยไม่ต้องอธิบาย

“ไม่เป็นไรหรอกนะ นาโอกิ ไม่ต้องห่วง ถึงยังไง ทั้งสองคนก็เป็นเพื่อนฉัน พวกเขาไม่เอาเรื่องของเธอกับฉันไปพูดให้คนอื่นๆ รู้หรอก สบายใจเถอะ”

หากแต่ ร่างเล็กยังคงสั่นเทานิด ๆ จนชายหนุ่มต้องทอดถอนหายใจ พลางหันไปหาอีกคน ซึ่งเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาขนาบข้างใกล้ ๆ

“ยูยะ ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ฉันสัญญาว่าเราจะรู้กันแค่ฉันแล้วก็เคธี่และรับรองว่าจะไม่บอกคนอื่น แม้แต่กระทั่งเหม่ยหลิง น้องสาวแท้ ๆ ของฉันเองก็ตาม!”

คำยืนยันหนักแน่น ทำให้ยูยะเงยหน้าขึ้นมามองคนทั้งคู่ ด้วยแววตาที่คลายความกังวลลงไปได้บ้าง สีหน้าแบบนั้น ทำให้มอร์เฟียซอยากจะก้มลงจูบปลอบขวัญ คนในอ้อมแขนเสียเหลือเกิน หากไม่ติดว่ามีส่วนเกินตามมาด้วยแบบนี้

“เอ่อ…คุณกับมิสเคธี่ ...ระ...รู้ ถึงขนาดไหน..กัน”

น้ำเสียงเล็ก ๆ ถามขึ้นอย่างตะกุกตะกัก

“ก็…” ชาง ค้างไว้แค่นั้น ในใจคิดว่าจะพูดดี ไม่พูดดี แต่เมื่อสบกับสายตาคมกริบของอีกคนที่มองมา เจ้าตัวก็ต้องยิ้มแหย ๆ

... มองแบบนี้ ถึงขั้นฆ่าคนได้เลยนี่หว่า เอาวะ อย่าเพิ่งหาเรื่องใส่ตัวเลยก็แล้วกัน …

“…กำลังเริ่มคบหา ดูใจ กันอยู่ไม่ใช่หรือยังไงพวกเธอน่ะ”

ชายหนุ่มเลี่ยงตอบ ที่คิดว่ามันน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด

“มะ…ไม่ นะครับ ไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด!”

ยูยะรีบปฏิเสธ ผลก็คือคนที่กำลังอุ้มเขาอยู่หยุดชะงัก สายตาคมกริบนั้นตวัดกลับมามองร่างเล็กในอ้อมแขนแทนทันที

“กะ...ก็ ไม่ได้คบกันจริง ๆ นี่นา...คือ”

เด็กหนุ่มแก้ตัวเสียงสั่น พยายามหลบสายตาคู่นั้นเต็มที่

“…เราไม่ได้คบกันอยู่”

น้ำเสียงเย็นเยียบเอ่ยขึ้นหลังจากนิ่งไปสักพัก

“คนอย่างฉัน ไม่มีใครเขาคิดอยากจะเข้ามาใกล้นักหรอก ถึงจะมีมันก็เป็นเพียงแค่ความพอใจชั่ววูบของทั้งสองฝ่าย …ก็แค่นั้น”

หลังจากนั้น ทั้งยูยะ และมอร์เฟียซ ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกเลยแม้ชางพยายามจะหาเรื่องมาชวนคุย แต่ทั้งสองคนก็เอาแต่ฟังเงียบ ๆ บางทีก็มีพยักหน้ารับบ้าง แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรมากไปกว่านั้น

และเมื่อมาถึงหอ อาจารย์หนุ่มก็ค่อย ๆ วางร่างในอ้อมแขนลงอย่างนุ่มนวล หากแต่ เขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรกับอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย ยูยะเองก็เช่นกัน เด็กหนุ่มก้มศีรษะโค้งให้ทั้งสองคนนิดหนึ่ง ก่อนจะวิ่งกลับเข้าหอไปโดยไม่หันกลับมามองด้านหลังอีกเลย

‘มันก็เป็นเพียงแค่ความพอใจชั่ววูบของทั้งสองฝ่าย …ก็แค่นั้น’

คำพูดนั้น ยังคงวนเวียนอยู่ในสมองของเด็กหนุ่มไม่ยอมจางหายไป

…เจ็บ…มันเจ็บที่หัวใจเหลือเกิน… ทำไมนะ แค่คำพูดเพียงไม่กี่ประโยคของเขา ทำให้เราเจ็บได้ถึงขนาดนี้ มันเพราะอะไรกัน…

น้ำตาเริ่มเอ่อขึ้นมาคลอเบ้า ยูยะกลืนก้อนสะอื้นลงในลำคอ ก่อนจะก้มหน้าเดินผ่านเพื่อน ๆ ที่ทำท่าว่าจะเข้ามาทักเขา เมื่อเห็นตัว

“ขอโทษนะ ทุกคน แต่ฉันรู้สึกเพลีย อยากจะพักผ่อนน่ะ”

เด็กหนุ่มกล่าวตัดบทขึ้นเบา ๆ พร้อมกับเร่งฝีเท้าเดินจากไป ทิ้งให้คนอื่น ๆ มองตากันปริบ ๆ ด้วยความสงสัย

“ปึง!”

เสียงปิดประตูดังขึ้น โดยที่ร่างบางซึ่งเข้ามาในห้องยืนนิ่งอยู่ตรงประตู ก่อนจะทรุดลงนั่งกับพื้น น้ำตาไหลรินอาบแก้มทั้งสองข้างอย่างเงียบ ๆ

…นี่เราเป็นอะไรไป ทำไมต้องเสียใจ ทำไมต้องร้องไห้ขนาดนี้ ด้วยเล่า …

“เขาไม่มีความสำคัญอะไรกับเราถึงขนาดนั้นหรอก ยูยะ เลิกร้องไห้เรื่องเขาเสียทีเถิด!”

เด็กหนุ่มกล่าวกับตัวเองด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะทิ้งตัวลงกับที่นอน และหลับลงในไม่ช้า ด้วยความอ่อนเพลีย ทั้งร่างกายและจิตใจ



--- TBC ---


...กำลังหวานกันได้ที่ กลายเป็นแอบมีมาม่าผสมซะงั้น หุ ๆ  ตอนหน้าจบแล้วค่ะ อาจจะคิดว่าจบไวจัง แต่เรื่องนี้ยังดำเนินเหตุการณ์ไปเรื่อย ๆ ผ่านตอนพิเศษในแต่ละคู่ค่ะ  เรื่องนี้มีวัตถุดิบให้เขียนอยู่หลายคู่ เลยกลายเป็นว่าจำนวนตอนพิเศษเยอะพอ ๆ กับเรื่องหลักเลยทีเดียว --
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Chp.7 (26 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 26-06-2011 19:02:12
เข้าใจผิดกันอยู่     :กอด1: :กอด1:


หัวข้อ: Re: The Eden School.... Chp.7 (26 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 26-06-2011 19:27:52
 :o12:

มาม่าๆๆ
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Chp.7 (26 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: LadyOneStar ที่ 26-06-2011 20:26:39
กดไลท์หลายๆที่
เพื่อจะมีพิเศษหลายๆตอน
อิอิ
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Chp.7 (26 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: SuSaya ที่ 26-06-2011 20:35:39
มอเฟียสทำเรื่องแล้วมั้ยล่ะ...ยูยะก็ใจเย็น ๆ นะ(หวังว่าตกดึกจะมีผีผ้าห่มมานอนด้วย ตอนเช้าจะได้ปรับความเข้าใจกัน)
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Chp.7 (26 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 26-06-2011 21:43:12
ปัดโธ่ มอร์เฟียซ เดี่ยวเจอเขวี้ยงดีมั้ย  :m16:
พูดอะไรออกมารู้ตัวมั้งป่ะ
แอบลอบเข้าหอมาเคลียร์ด่วน
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Chp.8 [END]
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 27-06-2011 11:37:32


Chp.8 (END)



วันเสาร์…

นักเรียนชั้น ม. 5 / Z มีเรียนเฉพาะช่วงเช้า ซึ่งก็คือวิชาคณิตศาสตร์ ต่อด้วยประวัติศาสตร์โลก ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่าพวกเขาจะได้เจอหน้ามอร์เฟียซ คาเตอร์ติด ๆ กันตลอดครึ่งวันเช้าเลยทีเดียว

“ฉันไม่ไปเรียนนะวันนี้” ยูยะเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ ในขณะที่กำลังทานข้าวเช้าร่วมกับเพื่อน ๆ ทุกคนที่หอ

จิมมี่ซึ่งเตรียมตั้งท่าจะซักถามถึงเหตุผลเต็มที่นิ่งเงียบไปทันที เมื่อเห็นสายตาคมกริบตวัดมายังเขา ที่น้อยครั้งนักที่เจ้าตัวจะได้เห็นสายตาแบบนี้จากเพื่อนสนิท

“บอกคาเตอร์ว่าฉันเป็นอะไรก็ได้ หรือจะบอกว่าฉันไม่อยากเห็นหน้าเขาก็ได้นะ แล้วแต่นาย”

ยูยะกล่าวทิ้งท้ายกับจิมมี่ ก่อนจะหยิบถาดอาหารไปเก็บ แล้วเดินกลับขึ้นห้องไปโดยไม่ได้สนใจสายตานับสิบคู่ของเพื่อน ๆ ที่ได้แต่มองตามไปด้วยความสงสัย แต่ที่รู้ ๆ พวกเขาคงไม่มีใครกล้าบอกกับอาจารย์หนุ่ม ตามที่เด็กหนุ่มฝากข้อความไว้ประโยคหลังสุดนั่นแน่

ยูยะกลับมานั่งพักเงียบ ๆ ในห้องครู่ใหญ่ ดวงตาทั้งคู่ยังคงแดงช้ำจากการร้องไห้อย่างหนักเมื่อคืน ก่อนจะเดินตรงเข้าไปเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงานของตน หยิบฮาร์โมนิกาอันเล็ก ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีชิ้นเดียวที่เขาพกมาด้วยจากญี่ปุ่น เด็กหนุ่มเริ่มเป่าเบา ๆ ในตอนแรก จากนั้นจึงเริ่มต้นบรรเลงเป็นบทเพลงที่ออกมาจากความรู้สึกของเขาในยามนี้

“เสียงฮาร์โมนิกาของยูยะนี่นา…”

คนอื่น ๆ ที่ขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมไปเรียน เงี่ยหูฟังเสียงเพลงไพเราะที่ดังขึ้นมาจากห้องริมสุดของทางเดิน หากแต่เมื่อฟังแล้ว ทุกคนก็ล้วนแต่มีคำถามอยู่ภายในใจแทบทั้งสิ้น

…เพราะ…แต่เศร้ายังไงก็ไม่รู้สิ…

นั่นคือความรู้สึกของทุกคนที่ได้ยินเสียงเพลงในยามนี้ ทว่าสักพัก ทุกคนก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อมีเสียงดังคล้ายกับอะไรบางอย่างแตกกระจาย หลังจากที่เสียงเพลงขาดตอนไปเสียเฉย ๆ และนั่นก็เป็นเหตุที่ทำให้ขาทุกคู่ พร้อมใจกันวิ่งมายืนหยุดอยู่หน้าประตูห้องริมสุด โดยที่จิมมี่ซึ่งมาถึงก่อนเป็นคนแรก กำลังทุบประตูห้องรัวด้วยความตกใจ

“ยูยะ!! เกิดอะไรขึ้น!! เป็นอะไรไป! เปิดประตูหน่อยสิ!!”

“…ไม่มีอะไร จิมมี่….นายไปเรียนเถอะ ไม่ต้องสนใจฉัน…ไปซะ! ฉันอยากอยู่คนเดียวเงียบ ๆ!!”

น้ำเสียงขาดเป็นห้วง ๆ นั้น ทำให้ทุกคนหันมามองตากันอย่างมีความหมาย ก่อนจะตัดสินใจช่วยกันพังประตูห้องเข้าไป โดยไม่สนใจคำทักท้วงของเจ้าของห้องเลยสักนิด

ภาพเบื้องหน้าที่ทุกคนเห็น ทำให้พวกเขาเหล่านั้นอยู่ในอาการตกตะลึงเป็นที่สุด

นาโอกิ ยูยะ กำลังยืนหอบพิงกระจกหน้าต่าง ที่บัดนี้แตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ มือข้างที่กำฮาร์โมนิกา มีเลือดอาบไหลลงมาอย่างน่ากลัว

“ยะ…ยูยะ…เกิดอะไรขึ้นน่ะ”

จิมมี่อ้าปากถามตะกุกตะกักเสียงสั่น ยังคงไม่หายตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“บ้าน่าจิมมี่! มัวถามอะไรไร้สาระอยู่ได้! รีบพานาโอกิไปห้องพยาบาลเร็วเข้าสิ!”

มิเชลซึ่งตั้งสติได้คนแรก รีบร้องตะโกนบอกคนอื่น ๆ ทันที จิมมี่รีบวิ่งไปหายูยะ แกะฮาร์โมนิกาที่มือข้างนั้นออกอย่างยากลำบาก เพราะเจ้าตัวกำมันไว้แน่นไม่ยอมปล่อย จากนั้นจึงพยายามที่จะดึงตัวเขาไปด้วยกัน หากแต่เด็กหนุ่มกลับยืนขาแข็ง ไม่ยอมร่วมมือด้วยแม้แต่น้อย

“…ฉันไม่เป็นอะไร แผลแค่นี้เดี๋ยวก็หาย พวกนายไปเรียนกันเถอะเดี๋ยวก็สายหรอก…”

ใบหน้าซีดเผือดนั้น พยายามกัดฟันพูดให้เป็นปกติ หากแต่บรรดาเพื่อน ๆ ที่ฟังอยู่ถึงกับฉุนกึกอย่างไม่มีเหตุผล

“เจ้าบ้า! เลือดไหลจ๊อกเป็นน้ำแบบนี้ยังบอกว่าไม่เป็นอะไรอีก! มานี่เลย เร็วเข้า!”

จิมมี่ตวาดลั่น จัดการกึ่งดึง กึ่งกระชากร่างเล็กให้เดินไปด้วยกัน หากแต่เมื่อก้าวไปได้เพียง 2 – 3 ก้าว ยูยะก็ทรุดฮวบลงกับพื้นอย่างหมดแรง

“เฮ้ย! ยูยะ เจ้าบ้า! เป็นยังไงบ้าง!”

จิมมี่เขย่าร่างเล็ก ๆ นั่นอย่างลืมตัว ทำเอาราฟาเอลซึ่งยืนอยู่ด้วยชักจะหัวเสียขึ้นมาตงิด ๆ เขาตรงเข้าไปแบกร่างของเด็กหนุ่มซึ่งอ่อนแรงขยับไปไหนไม่ไหว ขึ้นมาพาดบ่า ก่อนจะจ้ำพรวด ๆ ออกไปทันที โดยที่มีคนอื่น ๆ พากันวิ่งตามไปติด ๆ

“เดี๋ยวราฟาเอล ห้ามเลือดก่อน!”

มิเชลซึ่งวิ่งกวดมาคว้าผ้าเช็ดหน้ามากดที่บาดแผลของเด็กหนุ่ม ซึ่งเขาสำรวจแล้วว่ามันไม่มีเศษแก้วบาด หรือตำอยู่ ก่อนจะพันที่บาดแผลนั่นไว้แน่น ๆ อีกครั้ง

“เลือดออกมากเลย จะเป็นอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้”

ราฟาเอลบ่น ขณะที่รีบเร่งฝีเท้าเข้าไปอีกจนเกือบจะกลายเป็นวิ่ง

“ไม่โดนเส้นเลือดใหญ่ ... แต่ไม่แน่ใจว่าจะโดนเส้นประสาทส่วนไหนบ้าง …นาโอกินะนาโอกิ เกิดบ้าอะไรขึ้นมา นายเป็นนักดนตรีนะ”

มิเชลซึ่งเดินขนาบข้างบ่นขึ้นมาบ้างด้วยสีหน้าเป็นกังวล ส่วนจิมมี่นั้น เอาแต่เรียกชื่อของเพื่อนสนิทตลอดทางด้วยความเป็นห่วงอย่างยิ่ง

ยูยะซึ่งบัดนี้มีใบหน้าซีดเซียวไร้สีเลือด หากแต่เด็กหนุ่มก็ยังคงพอรับรู้ถึงเหตุการณ์รอบข้างได้อยู่ เจ้าตัวหัวเราะเสียงแหบแห้ง กับคำพูดของเพื่อนร่วมชั้น เชื้อสายฝรั่งเศส

“ดนตรีที่ใช้มือเล่นข้างเดียวก็ยังมีนี่นา…”

“หุบปากไปเลยนะเจ้าบ้า!!”

ทั้งราฟาเอล มิเชล และจิมมี่ตวาดขึ้นมาแทบพร้อมกัน ก็เข้าใจว่าเด็กหนุ่มแปลก ๆ ไปตั้งแต่เมื่อวาน แต่ถ้าพวกเขารู้ล่วงหน้าว่าเหตุการณ์มันจะกลายเป็นแบบนี้ล่ะก็ ต่อให้ต้องถึงขั้นบังคับขู่เข็น ก็ต้องเค้นเอาสาเหตุที่มันทำให้ร่างเล็ก ๆ นั่นเปลี่ยนไปให้จงได้

“มิสเคธี่ครับ!! มิสเคธี่!! เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ!!”

เสียงจิมมี่ตะโกนขึ้นมาก่อนที่เขาจะถึงตัวห้องพยาบาล ซึ่งก็ทำเอาลี ชาง ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาคุยกันอยู่ กับ เคธี่ มิลเลอร์ ถึงกับสะดุ้งโหยง

และเมื่อเห็นพวกเด็ก ๆ ที่มีสีหน้าแตกตื่น พร้อมกับร่างของนาโอกิ ยูยะ ในชุดไปรเวท ซึ่งที่ฝ่ามือยังมีเลือดไหลซึมออกมาอยู่ตลอดนั้น ทั้งสองคนก็ถึงกับตกตะลึง ก่อนจะรีบช่วยกันไปรับร่างของเด็กหนุ่มมาไว้ที่เตียงโดยทันที

“อะไรกัน! นี่มันเกิดอะไรขึ้น มีใครบอกฉันบ้างได้ไหม!”

เคธี่ ถามเสียงลั่น ขณะที่กำลังวิ่งเตรียมเครื่องมือเย็บบาดแผลฉุกละหุก

“..อุบัติเหตุนิดหน่อยครับ ….มิสเคธี่”

เสียงแผ่วเบา ดังขึ้นมาจากร่างเล็ก ๆ บนเตียง จิมมี่กัดฟันกรอดด้วยความโมโห หากแต่มิเชลก็สะกิดไหล่ของเด็กหนุ่มผมแดงเบา ๆ พร้อมกับสั่นศีรษะนิด ๆ เป็นการไม่ให้เขาพูดออกไป

“จะบ้าหรือยังไง ขืนบอกว่านาโอกิ จงใจทำตัวเองให้บาดเจ็บ อาจารย์ก็ต้องซักไซ้ถึงเหตุผล แล้วถ้าหมอนั่นยืนกรานไม่ยอมตอบ เรื่องมันก็ต้องบานปลายขึ้นไปเรื่อย ๆ จนอาจถึงขั้นโดนทำทัณฑ์บนก็ได้นะ”

เด็กหนุ่มกระซิบเบา ๆ ซึ่งจิมมี่ก็เข้าใจในเหตุผลนั้นแต่โดยดี แม้ออกจะเคือง ๆ อยู่บ้าง ที่ดูเหมือน คนซึ่งนอนเจ็บอยู่บนเตียง จะมีทีท่าเหมือนกับไม่ทุกข์ไม่ร้อนต่อเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ก็ตาม

“เอาล่ะ! พวกเธอไปเข้าห้องเรียนกันได้แล้ว ชั่วโมงเรียนเริ่มแล้วไม่ใช่หรือไง”

เคธี่ ไล่เด็ก ๆ ให้ออกไปในขณะที่เธอหันไปสั่งให้ชางช่วยเตรียมอุปกรณ์ในการเย็บบาดแผลของเด็กหนุ่ม

เมื่อเห็นพวกเขายังคงยืนลังเล ไม่ยอมไป หญิงสาวจึงถอนหายใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน

“วางใจเถอะ เพื่อนเธอไม่เป็นอะไรมากหรอก เดี๋ยวฉันเย็บแผลให้ แล้วนอนพักซะ ก็ค่อยยังชั่วแล้วล่ะ”

แทบทุกคนยิ้มขึ้นได้อย่างโล่งอก ก่อนจะพากันกล่าวขอบคุณ แล้วเดินออกจากห้องพยาบาล ตรงไปที่ห้องเรียนของพวกเขาต่อไป
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Chp.7 (26 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 27-06-2011 11:38:15

“อ้าวเฮ้ย! ฉันลืมเอาหนังสือเรียนมาว่ะ”

นักเรียนชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างนึกได้ คนอื่น ๆ รีบสำรวจตนเอง บางคนยังแต่งกายไม่เรียบร้อย ไม่ได้ใส่เสื้อนอกมา ซ้ำร้ายบางคนยังนุ่งแค่กางเกงขาสั้น กับเสื้อเชิ้ตข้างในเท่านั้นก็มี

“กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันก่อนดีไหม” อีกคนหนึ่งเสนอ

“แต่นี่มันเข้าเรียนแล้วนะ…คาเตอร์จะไม่ว่าอะไรงั้นเหรอ”

ทุกคนหันมามองตากันปริบ ๆ ก่อนที่มิเชลจะตัดสินใจโพล่งขึ้นดัง ๆ อย่างรำคาญใจ

“ก็เข้ากันมันไปสภาพนี้นั่นล่ะ คาเตอร์คงไม่ว่าอะไรหรอก ก็มันเหตุสุดวิสัยจริง ๆ นี่นา แล้วก็…มานี่สิ ราฟาเอล!”

เด็กหนุ่มกวักมือเรียกคนที่ยืนอยู่ไกล ๆ ให้เข้ามาหาเขา

“หมอนี่แหละเป็นหลักฐานอย่างดีที่แสดงว่าเรามาสาย เลือดนาโอกิเปื้อนเสื้อโชกออกแบบนี้ ยังไงคาเตอร์ก็คงไม่หาว่าพวกเรารวมหัวกันโกหกหรอกน่า”

ทุกคนพยักหน้าหงึก ๆ เห็นด้วยพร้อมกัน ก่อนจะตัดสินใจเคลื่อนพลตรงไปยังห้องเรียนทันที



มอร์เฟียซ คาเตอร์ กำลังหงุดหงิดเป็นอย่างมาก เมื่อเข้ามาถึงห้องเรียนแล้ว กลับไม่พบเด็กนักเรียนชายเลยสักคน นอกจากพวกนักเรียนหญิงที่ทำหน้างุนงง สงสัย ที่พวกเพื่อน ๆ ผู้ชายหายกันไปหมด เช่นกัน

“หายไปไหนกันหมดนะ!” เสียงบ่นพึมพำอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ พร้อมกับคิดในใจว่า หากไม่มีเหตุผลดีพอ วันนี้แหละ เขาจะตัดคะแนนเด็กห้อง Z ห้องนี้แบบไม่ให้ผุดไม่ให้เกิดเลยทีเดียว

… เด็กนั่นก็หายไปด้วยสินะ …

มอร์เฟียซ หวนคิดถึงใบหน้าหวานๆ ของเด็กหนุ่มคนสำคัญของเขา เมื่อคืนนี้ ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้นออกไปสักนิด หากแต่ความน้อยใจที่เห็นอีกฝ่ายพยายามปฏิเสธตัวเขาเต็มที่นั้น มันทำให้เผลอหลุดปากออกไป จนคำพูดนั้นย้อนกลับมาเล่นงานหัวใจของตัวเขาเองให้เจ็บปวดทั้งคืน จนแทบจะข่มตาหลับไม่ลง

เด็กนั่นจะเป็นแบบเราไหมนะ…จะรู้สึกเจ็บปวดกับคำพูดนั้น เหมือนกันไหม ...ไม่สิ นาโอกิ ยูยะ ...เธอคงไม่แคร์อะไรเลยใช่ไหม ทุกเรื่องที่มันเกี่ยวกับฉัน มันคงจะไม่สำคัญกับตัวของเธอเลยสินะ

ชายหนุ่มคิดในใจอย่างเศร้า ๆ ก่อนจะเปิดตำราเรียน พร้อมกับเริ่มอธิบายเนื้อหาให้นักเรียนที่อยู่ในชั้นฟังโดยไม่คิดจะรอคนอื่น ๆ ที่เหลือ ทว่า…

“อาจารย์ครับ ขออนุญาตเข้าห้องครับ!!”

เสียงหลายเสียงประสานขึ้นพร้อมกัน และเมื่อมอร์เฟียซ เหลือบไปมองสภาพของนักเรียนที่มาเข้าชั้นสายในวิชาเขา ก็ทำให้อาจารย์หนุ่มต้องขมวดคิ้วยุ่ง กับสภาพการแต่งกาย ที่ไม่ค่อยจะเรียบร้อยนั่นนัก

“พวกเธอไปทำอะไรกันมาน่ะ แล้วทำไมมาในสภาพแบบนี้”

เจ้าตัวถามพร้อมกับไล่สายตาไปทั่วอย่างรวดเร็ว

“นาโอกิ ไปไหน!”

ทุกคนทำท่าอึกอัก ตอนแรกพวกเขาคิดว่าคงจะพูดออกไปง่าย ๆ หากแต่ ต่อหน้าฝ่ายปกครองอย่าง มอร์เฟียซ คาเตอร์ จะให้พูดออกไปยังไงว่าอยู่ดี ๆ ยูยะ ก็เอามือฟาดกระจกหน้าต่างห้องตัวเองแตกน่ะ พวกเขายังไม่อยากจะให้เพื่อนต้องเดือดร้อนมากไปกว่านี้หรอกนะ

“เอ่อ…อ่า …มิเชล นายพูดสิ”

ราฟาเอล โบ้ยมาทางเด็กหนุ่มผมทอง ที่ยืนอึกอักหาคำพูดดี ๆ มาอธิบายอยู่ คาเตอร์ตวัดสายตามมายังทั้งสองคน แล้วก็มาสะดุดที่ราฟาเอล

“คามิโอ! ไหนเธอช่วยหันหลังให้ฉันดูชัด ๆ หน่อยสิ”

ราฟาเอลสะดุ้งโหยง ก่อนจะตัดสินใจหันหลังให้ชายหนุ่มดูช้า ๆ

“เป็นอะไรไปน่ะ คามิโอ! บาดเจ็บงั้นหรือ! ไปห้องพยาบาลมาหรือยังน่ะ!”

แม้จะอยู่ในอารมณ์หงุดหงิด หากแต่ความปลอดภัยของบรรดาลูกศิษย์ ก็ต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก น้ำเสียงที่แสดงความเป็นห่วงเป็นใยจากใจจริงนั้น ทำให้ทุกคนหันมามองหน้ากันอย่างสำนึกผิด ที่ดันหลงคิดว่า คนอย่างคาเตอร์ คงไม่สนใจ หรือ ห่วงใย พวกเขา นอกจากหน้าที่สอนของตนเท่านั้น

ราฟาเอลหันกลับมาเผชิญหน้ากับชายหนุ่มอีกครั้ง ก่อนจะตอบเสียงอ่อย ๆ

“ไม่ใช่เลือดของผมหรอกครับอาจารย์…เลือดของนาโอกิเขาน่ะครับ”

เหมือนดังมีใครเอาไม้มาทุบแรง ๆ ที่ศีรษะ มอร์เฟียซ คาเตอร์ ยืนตะลึงค้างไปสักพัก หัวสมองว่างเปล่าไปหมด ก่อนที่จะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเบาหวิว อย่างที่เขาเองก็แทบจะไม่รู้สึกตัว

“นา...โอกิ เป็นอะไรไป..”

“กระจกบาดน่ะครับ ตอนนี้ อยู่ห้องพยาบาล”

มิเชลเป็นฝ่ายตอบคำถามนั้น มอร์เฟียซสูดลมหายใจลึก ๆ พยายามตั้งสติของตนให้เข้มแข็งไว้ ก่อนจะหันไปสั่งคนอื่น ๆ ด้วยน้ำเสียงที่พยายามบังคับให้เป็นปกติ

“พวกเธอ...กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อน แล้วมานั่งรอฉันในห้องเรียน อ่านทบทวนไปก่อนล่วงหน้าได้เลย ฉันจะไปดูอาการนาโอกิที่ห้องพยาบาลสักหน่อย…”

หากทุกคนจะเห็นว่าท่าทางของชายหนุ่มแปลกไป แต่ก็ไม่มีใครสักคนที่จะกล้าพอที่จะถาม พวกเขาพยักหน้ารับคำสั่งนั้นง่าย ๆ พร้อมกับปฏิบัติตามทันที โดยที่นักเรียนหญิงที่เหลือ ต่างลุกจากโต๊ะ วิ่งตามพวกผู้ชายออกไปด้วย เพื่อต้องการทราบเรื่องทั้งหมด ซึ่งมอร์เฟียซเองก็ไม่ว่าอะไรพวกเธอเหล่านั้น เพราะหัวใจของเขาตอนนี้มันลอยไปอยู่ที่ห้องพยาบาลเรียบร้อยแล้ว ทั้ง ๆ ที่ร่างกายยังเดินไปไม่ถึงก็เถอะ

“นาโอกิ! เป็นยังไงบ้างน่ะ!!”

ร่างสูงที่วิ่งพรวดเข้ามา ทำให้คนทั้งสามในห้องพยาบาลชะงัก โดยเฉพาะเด็กหนุ่มที่นอนพักอยู่บนเตียง ถึงกับเบือนหน้าหนีไปอีกทาง

“มอร์เฟียซ! ใจเย็น ๆ ค่ะ นาโอกิ แค่เป็นแผลที่มือเท่านั้น..”

เคธี่ต้องรีบวิ่งไปกันร่างที่ทำท่าจะถลาเข้ามาด้วยความตระหนก ชายหนุ่มมองร่างเล็ก ๆ ที่บัดนี้กำลังหลับตาลง เพื่อจะไม่ต้องพบหน้าของเขา แล้วก็ใจหายวูบ

“ลูอิส บอกผมว่า เขาถูกกระจกบาด…”

น้ำเสียงนั้นเอ่ยขึ้นอย่างแหบแห้ง นัยน์ตาฉายแววกังวลอย่างไม่มีปิดบัง

“ใช่ค่ะ เย็บ 12 เข็ม แต่ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนักหรอกค่ะ คุณกลับไปสอนต่อเถอะ”

เคธี่ออกปากไล่ ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้กับชาง จากนั้นดอกเตอร์หนุ่มจึงเดินตรงไปฉุดแขนของอีกฝ่ายออกไป โดยที่เจ้าตัวไม่ค่อยจะเต็มใจนัก

“นาโอกิ เขาไปแล้วล่ะจ้ะ…ลืมตาขึ้นได้แล้วนะ”

น้ำเสียงหวาน ๆ เอ่ยขึ้นเบา ๆ ยูยะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ ขนตาหนาเป็นแพนั่นชุ่มชื้นน้อย ๆ ไปด้วยน้ำตา ที่เจ้าตัวพยายามระงับไม่ให้มันไหลออกมาเต็มที่

“เกลียดเขาจนไม่อยากมองหน้าเชียวงั้นหรือจ๊ะ นาโอกิ”

น้ำเสียงนั้นถามอย่างอ่อนโยน มันอ่อนโยนเสียจนยูยะไม่อาจกลั้นน้ำตาของตนไว้ได้อีก ต่อไป

“ผะ..ผมเกลียดตัวเองมากกว่า” เด็กหนุ่มสะอื้นตอบ

“เกลียดตัวเองที่คอยแต่จะคิดถึงแต่เรื่องเขาตลอดเวลา …เกลียดที่ต้องแคร์กับคำพูดของเขา ทั้ง ๆ ที่ ไม่น่าจะต้องสนใจ ….เกลียด….”

“นาโอกิ…” เคธี่ลูบเส้นผมดำสนิทนั้นแผ่วเบาอย่างเอ็นดู

“รักเขาแล้วใช่ไหมล่ะจ๊ะ..”

เด็กหนุ่มชะงัก หลุบตาลงนิด ๆ ไม่ยอมมองหน้าอีกฝ่ายตรง ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด

“จะมีประโยชน์อะไรล่ะครับ มิสเคธี่ ในเมื่อเขาบอกกับผมว่า ..ระหว่างเรา มันเป็นแค่ความพอใจชั่ววูบเท่านั้น …”

เคธี่ถอนหายใจแรง ๆ กับคำพูดของอีกฝ่าย เรื่องที่ลี ชาง กำลังคุยกับเธอ ก่อนที่ยูยะจะมา ก็คือเรื่องที่เด็กหนุ่ม กำลังเข้าใจผิดอยู่ขณะนี้แหละ ซึ่งทั้งชาง และเธอสรุปตรงกันว่า ที่มอร์เฟียซ คาเตอร์ พูดออกไปเช่นนั้น ก็เพราะกำลังอยู่ในอาการน้อยใจอย่างหนักนั่นเอง

“ถ้าฉันจะบอกว่าสิ่งที่เธอได้ยินเมื่อคืน เกิดจากความปากไม่ตรงกับใจอย่างไม่น่าอภัยที่สุดของฉันเอง เธอจะเชื่อไหม นาโอกิ ยูยะ”

น้ำเสียงนุ่ม ๆ ที่ขัดขึ้นระหว่างการสนทนา ทำให้ทั้งเคธี่ และยูยะ หันไปทางประตูพร้อมกัน มอร์เฟียซ คาเตอร์ ยืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ ชายหนุ่มกำลังมีสีหน้าปลื้มปิติ ยินดี อย่างไม่เคยมีมาก่อนเลยในชีวิต

“มอร์เฟียซ! มาได้ยังไงคะ แล้วชาง...”

หญิงสาวชะเง้อหาเพื่อนชายอีกคนที่น่าจะอยู่ด้วย หากแต่มอร์เฟียซกลับหัวเราะในลำคอเบา ๆ

“เจ้าบ้านั่นน่ะเหรอ พยายามจับผมกลับเข้าห้องเรียน เลยชกมันคว่ำเสียแถวนั้นน่ะแหละ”

“โธ่..ชาง” เคธี่อุทานอย่างสงสารชายอีกคน แต่เธอก็อดหัวเราะเบา ๆ ไม่ได้

“อาจารย์…มายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

ยูยะถามด้วยใบหน้าซีดเผือด น้ำเสียงตะกุกตะกัก โดยอัตโนมัติ

“ก็นานพอ ที่จะฟังคำบอกรักจากเธอนั่นล่ะ นาโอกิ”

มอร์เฟียซเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ก่อนจะเดินตรงมายืนใกล้ ๆ เตียงที่เด็กหนุ่มนอนอยู่

“บ้าน่ะสิ!…ผะ..ผม ไม่ได้พูดแบบนั้นสักหน่อย…ผม เกลียดอาจารย์ มากต่างหาก”

ทว่า คำพูดเหล่านั้น กลับไม่ได้กระทบกระเทือนหัวใจของมอร์เฟียซในยามนี้แม้แต่น้อย เขายังคงยิ้มแย้มแจ่มใส เสียจนน่าหมั่นไส้ในความคิดของเด็กหนุ่ม

“ตอนนี้คำพูดของเธอมันทำร้ายจิตใจฉันเหมือนเมื่อคืนนี้ไม่ได้แล้วล่ะนาโอกิ”

ชายหนุ่มจัดการลากเก้าอี้แถวนั้นมานั่งใกล้เตียง พร้อมกับลูบศีรษะ อีกฝ่ายเล่นอย่างรักใคร่ เอ็นดู

“รู้ไหมว่าเมื่อคืนฉันน้อยใจขนาดไหน ที่เธอทำเหมือนว่าฉันไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับเธอเลยสักนิด มันทำให้ฉันช็อก ช็อกจนต้องพูดอะไรบ้า ๆ ออกไปแบบนั้น ทั้ง ๆ ที่มันไม่ได้เป็นความจริงเลยแม้แต่น้อย”

และโดยไม่สนว่าจะมีใครนอกจากพวกเขาอยู่ในห้องพยาบาลอีกหรือไม่ ชายหนุ่มโน้มใบหน้าลงจุมพิตที่หน้าผากเกลี้ยงเกลานั้นอย่างอ่อนโยน

“อาจารย์…ไม่ได้แค่ต้องการเฉพาะร่างกายของผมอย่างนั้นหรือครับ”

ยูยะถามด้วยน้ำเสียงเบาหวิว นัยน์ตาสีดำสบตากับอีกฝ่ายอย่างไม่มั่นใจนัก

“เด็กบ้า! ถ้าต้องการแค่นั้น ฉันไม่คอยมาแคร์ มาห่วงเธอแบบนี้หรอกนะ นาโอกิ! ฉัน…”

มอร์เฟียซหยุดชะงักแค่นั้น ก่อนจะชำเลืองไปมองเคธี่ซึ่งทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ เดินเก็บข้าวของไปมาอยู่แถวนั้น ชายหนุ่มกระแอมเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ

“เอ่อ...เคธี่ คุณช่วยไปดูอาการของชางหน่อยได้ไหม ผมคิดว่าเขาต้องการหมอนะตอนนี้”

หญิงสาวถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างไม่ค่อยเต็มใจ

“ก็ได้ค่ะมอร์เฟียซ อ้อ แล้วพวกเด็ก ๆ ล่ะ จะทำยังไง”

มอร์เฟียซ คาร์เตอร์ ทำท่าคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่งยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเจ้าเล่ห์

“ก็คุณ หรือ ชาง ช่วยสอนแทนผมก็ได้นี่นา ถ้าไม่เพราะพวกคุณทั้งคู่เข้ามายุ่ง ทั้งผม ทั้งนาโอกิ ก็ไม่วุ่นวายกันถึงขนาดนี้หรอก”

เสียงหัวเราะใส ๆ ดังขึ้นจากเคธี่ มิลเลอร์ทันที ที่ชายหนุ่มพูดจบ

“โอเค ๆ มอร์เฟียซ เป็นความผิดของฉันก็ได้ แต่อย่าลืมล่ะ ว่าใครทำให้พ่อหนุ่มน้อยที่นอนอยู่นั่น ยอมสารภาพความรู้สึกออกมากัน หือ?”

“เอาไว้ผมจะตอบแทนคุณทีหลังนะ เคธี่ ตอนนี้พวกผมขออยู่กันตามลำพังสักพักได้ไหม…”

ชายหนุ่มบอกยิ้ม ๆ ซึ่ง เคธี่ก็ยักไหล่นิด ๆ ก่อนจะเดินไปหยิบกุญแจห้องพยาบาลมาจากลิ้นชักโต๊ะทำงานของเธอ

“ฉันจะล็อกห้องให้แล้วกันนะมอร์เฟียซ อ้อ อย่าทำอะไรหักโหมนักล่ะ นาโอกิ ยังเป็นคนเจ็บอยู่”

ยูยะหน้าแดงวาบ กับคำพูดทิ้งท้ายของอาจารย์สาวประจำห้องพยาบาล เด็กหนุ่มหันไปสบกับนัยน์ตายิ้มพรายของชายหนุ่มข้าง ๆ ก็ยิ่งทำให้ใจเขาเต้นแรงเข้าไปใหญ่

“เอาล่ะ ไม่มีใครมาเป็นก้างขวางคอแล้ว นาโอกิ ไหนลองพูดสิ่งที่เธอคิดกับฉันจริง ๆ มาให้ฟังหน่อยสิ”

น้ำเสียงนั้นค่อนข้างจะเป็นการบังคับขู่เข็ญอยู่พอสมควร ยูยะคิดในใจอย่างหมั่นไส้

...คนบ้า! จะพูดจา ขอร้องให้มันอ่อนโยนกว่านี้ไม่ได้เลยอย่างนั้นหรือไง เอะอะก็ชอบใช้กำลังบังคับกันเสียทุกที ฉันไม่ใช่ทาสนายนะ มอร์เฟียซ คาเตอร์! ...

มอร์เฟียซหัวเราะเบา ๆ กับสีหน้างอน ๆ นั้น เห็นแล้วมันทำให้ชายหนุ่มอดใจไม่ไหว เลยก้มลงหอมแก้มเนียนนุ่มนั้นแรง ๆ ฟอดใหญ่จนยูยะสะดุ้ง

“ทำอะไรน่ะ…อืม” เมื่อริมฝีปากบางเผยอออกมาเตรียมต่อว่าเขา ชายหนุ่มซึ่งรอโอกาสอยู่แล้ว ก็รีบประกบริมฝีปากลงไปทาบทับทันที ก่อนจะทำการสอดลิ้นเข้าไปสำรวจภายในปากของอีกฝ่าย โดยที่เด็กหนุ่ม ซึ่งกำลังตกใจที่ถูกจู่โจมในตอนแรก ค่อย ๆ เคลิ้มตามในรสสัมผัสที่ชายหนุ่มมอบให้ จนเผลอร่วมมือตอบสนองแต่โดยดีในเวลาต่อมา

“อืม….มอร์เฟียซ…อา…ได้โปรด…ช่วยผมด้วย”

ยูยะครางกระเส่า เมื่อร่างทั้งร่างถูกกระตุ้นด้วยอารมณ์พิศวาส ที่อีกฝ่ายมอบให้ เด็กหนุ่มแอ่นกายขึ้นเต็มที่ เมื่อริมฝีปากเร่าร้อน ย้ายมาไล้เลียอยู่ที่แก่นกายของตน

“อา…มอร์เฟียซ …อะ...อ๊า”

ยูยะบิดกายไปมา เมื่อมือใหญ่ข้างหนึ่งของชายหนุ่มจัดการรูดแก่นกายของเขาขึ้นลง สลับกับการเค้นคลึงตรงจุดที่อ่อนไหวที่สุด

มอร์เฟียซหัวเราะในลำคอเบา ๆ กับปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนั้นของเด็กหนุ่ม ก่อนจะเลื่อนใบหน้าขึ้นมาขบเม้มกับยอดอกสีชมพูเข้ม ข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างที่ยังว่างอยู่ ก็ช่วยบีบเค้นให้ความสุขกับยอดอกอีกข้างเท่า ๆ กัน

ยูยะครางเรียกชื่อของอีกฝ่ายดังลั่น เมื่อฝ่ามือใหญ่ที่อยู่เบื้องล่าง เร่งจังหวะรูดขึ้นรูดลง เร็วขึ้น ๆ ทุกที

“อา..มอร์เฟียซ ผะ…ผม ทนไม่ไหวแล้ว.. อ๊า!!”

ความต้องการของยูยะถูกปลดปล่อยออกมาจนชุ่มโชกทั่วมือของชายหนุ่ม เด็กหนุ่มนอนหายใจหอบแรง ๆ ใบหน้าและทั่วทั้งกายแดงระเรื่อไปทั่วมอร์เฟียซก้มลงมองเนื้อตัวเปล่าเปลือยน่าหลงไหล ของอีกฝ่ายด้วยดวงตายิ้มพรายอย่างเจ้าเล่ห์…

… ยังก่อน..เขายังไม่สนองตอบเต็มรูปแบบให้กับเด็กหนุ่มตอนนี้หรอก รอให้แผลที่มือของอีกฝ่ายหายดีก่อนแล้วกัน แล้วถึงตอนนั้น หึ ๆ …

ชายหนุ่มคิดอย่างครึ้มอกครึ้มใจ ก่อนจะช่วยจัดการทำความสะอาดให้ร่างเล็ก ๆ ด้วยวิธีที่ทำให้คนที่นอนหายใจหอบ ๆ นั่น ต้องสะดุ้งเฮือกขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะบิดกายด้วยความเสียวซ่านรันจวนสุดขีด

“อ๊ะ….ดะ…เดี๋ยว…มอร์เฟียซ…มะ..ไม่”

มอร์เฟียซเงยหน้าขึ้นมาจากหว่างขาของเด็กหนุ่ม ก่อนจะตวัดลิ้นไล้เลียสิ่งนั้นอย่างยั่วเย้า

“อยากให้หยุดงั้นหรือ …นาโอกิ”

“มะ…ไม่…มอร์เฟียซ ..ผมต้องการ..อะ…อีก..อา”

เด็กหนุ่มตอบรับอย่างเอียงอาย ก่อนจะครางด้วยน้ำเสียงกระเส่า เมื่อชายหนุ่มเริ่มลงมือจัดการทำความสะอาดร่างกายของเขาจนทั่วอีกครั้ง

“น่ารักจริง ๆ เด็กน้อยของฉัน”

มอร์เฟียซจุมพิตริมฝีปากบางนั่นอย่างดูดดื่มเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะช่วยจัดการแต่งกายให้ร่างเล็ก ๆ นั่นจนเสร็จเรียบร้อย

“คืนนี้ไปค้างที่ห้องฉันไหม นาโอกิ”

น้ำเสียงทุ้มนุ่มหู กระซิบอย่างอ่อนโยน โดยที่เรียวลิ้นอุ่นชื้น ก็ไล้เลียเข้าไปในร่องหูนั้น จนเด็กหนุ่มรู้สึกจั๊กกะจี้

“มะ…ไม่เอาดีกว่าครับ” ยูยะรีบปฏิเสธเสียงสั่น ก่อนจะพยายามขยับหนีอีกฝ่ายอย่างเต็มที่ เพราะดูเหมือนว่าร่างกายของเขากำลังจะเริ่มมีปฏิกิริยาสนองตอบรับการกระทำนั้นขึ้นมาอีกครั้ง

“หึ ๆ ก็ได้ วันนี้จะยอมให้สักครั้ง ฐานที่เธอทำตัวน่ารัก…”

มอร์เฟียซจูบที่ขมับของยูยะเบา ๆ ก่อนจะยันกายลุกขึ้น โดยที่เด็กหนุ่มเผลอจับที่แขนเสื้อของอีกฝ่ายทันที

“จะไปแล้วหรือครับ….เอ่อ…”

ชายหนุ่มหันมายิ้มให้อย่างอ่อนโยน ในขณะที่ยูยะรีบปล่อยมือ พร้อมกับหลบสายตาด้วยความเขินอาย

“จริงสินะ ฉันยังไม่ได้ยินคำบอกรักของเธอเลยนี่นา…”

เจ้าตัวเลื่อนเก้าอี้เข้ามานั่งข้าง ๆ อีกครั้ง พลางจ้องหน้าร่างเล็กอย่างไม่ยอมวางตา

“คุณก็ไม่เคยบอกเหมือนกัน นั่นล่ะ”

ยูยะบ่นอุบอิบ ซึ่งมอร์เฟียซก็ได้ยินอย่างชัดเจน เขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะก้มลงกระซิบที่ข้าง ๆ หู

“…I love you, Naoki …Remember it ,you belong only to me…”

ยูยะหน้าแดงวาบ ก่อนจะกระซิบตอบกลับไปอย่างแผ่วเบา

“Um…I love you too, Morpheus ….”




+++ End +++


สำหรับเรื่องนี้ มีจำนวนหน้าของตอนพิเศษ เท่ากับครึ่ง ๆ ของเนื้อเรื่องหลัก 8 ตอนเลยค่ะ
ส่วนตอนพิเศษ จะทยอยลงมาให้อ่านแล้วกันนะคะ
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Chp.8 (27 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: EunJin ที่ 27-06-2011 12:33:22
โอ้ยยยย กว่าจะเข้าใจกันได้นะคะ หุหุหุ มอร์เฟียร์ซเจ้าเล่ห์จริงๆๆ
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Chp.8 (27 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 27-06-2011 12:52:08
 :-[ :-[

รอตอนพิเศษ


+1  จ้า
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Chp.8 (27 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: SuSaya ที่ 27-06-2011 16:15:26
รอตอนพิเศษอย่างใจจดใจจ่อเลยค่ะ
แต่จบได้หวานมาก ๆ ถึงจะแอบหมั่นไส้มอร์เฟียสนิดหน่อยก็เถอะ

ตอนพิเศษขอคู่หลักซักสองถึงสามตอนนะคะ แล้วก็ชางกับใครก็ได้ มิเชล จิมมี่ อืม...นอกนั้นก็แล้วแต่คนเขียนค่ะ
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Chp.8 (27 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 27-06-2011 17:22:30
ทำเอาใจหายใจคว่ำเหมือนกันนะคู่นี้ แต่ดีแล้วที่ปรับความเข้าใจกันไว้

รอตอนพิเศษนะคะ
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Chp.8 (27 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: Gokusan ที่ 27-06-2011 19:58:17
เข้ามาตามอ่านเพราะชอบเรื่องสั้นๆ ค่ะ ^^

อาจารย์เก็บมาตั้งนาน...เก็กแตกเอาตอนเด็กเล่นดนตรี ฮาาา
เด็กน้อยน่ารัก ไร้เดียงสาอ่า...อาจารย์ยังมาขี้แกล้งอีก เฮ้ออออ

ลุ้นกับความน้อยใจของอาจารย์กะลูกศิษย์...สุดท้ายก็ได้กันด้วยดี ฮี่ๆ ^^

รอตอนต่อของหลายๆ คู่ค่ะ แอบลุ้นว่าเราจะจับคู่ถูกมั้ย อิอิ
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #1 : Happy Birthday, Morpheus. (27 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 27-06-2011 20:30:19

เอาของคู่หลักมาให้อ่านก่อนนะคะ อีตามอร์เฟียซนี่เป็นเมะขี้หึงมาก ๆ อีกคน เท่าที่ปัดเขียนมาเลยน่ะค่ะ-- (ชอบเขียนฝ่ายรุกหึงหวงแบบนี้น่ะค่ะ เร้าใจ(ตัวเอง)ดี ฮ่าๆ)

มาอ่านตอนพิเศษของมอร์เฟียซกับหนูยูยะกันก่อนดีกว่าค่ะ ไว้สักพัก จะหยิบคู่อื่น ๆ มาลงให้อ่านนะคะ ~

..
..

Special #1 : Happy Birthday, Morpheus.



       “ยูยะ ๆ มีโทรศัพท์ถึงนายน่ะ”

        เสียงตะโกนเรียกดังลั่นจากชั้นล่างของจิมมี่ ทำเอานาโอกิ  ยูยะ ซึ่งกำลังนอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียงสะดุ้ง ก่อนจะรีบวิ่งลงมาจากชั้น 2 เพื่อมารับโทรศัพท์โดยเร็ว

       “เสียงดังใช้ได้เลยจิมมี่  ขอบใจนะ”  เด็กหนุ่มกล่าวขอบใจอีกฝ่ายยิ้ม ๆ ซึ่งจิมมี่ก็โบกมือเบา ๆ  แทนคำว่าไม่เป็นไร ก่อนจะเดินไปนั่งรวมกับเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ ในห้องพักผ่อน

       “สวัสดีครับ นาโอกิพูดครับ”

        “…ยูยะเหรอ  นี่ฉันเองนะ” 

     เสียงร่าเริงดังมาตามสายโทรศัพท์  ยูยะขมวดคิ้วนิดหนึ่ง ก่อนจะร้องอ๋อเสียงดัง

       “ดอกเตอร์ลีหรอกหรือครับ  มีอะไรครับเนี่ยถึงโทรมาได้” เด็กหนุ่มถามด้วยความสงสัย หากแต่เสียงหัวเราะเบา ๆ กลับดังขึ้นมาตามสายแทนคำตอบ

        “ก็คิดถึงน่ะสิ ยูยะ ถึงได้โทรมา  จะไปหาก็กลัวมอร์เฟียซมันอัดเอา”

       ยูยะะหน้าแดงนิด ๆ  ลี ชาง เป็นอีกคนหนึ่ง ที่รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขาและ มอร์เฟียซ คาเตอร์  อาจารย์ฝ่ายปกครองระดับมัธยมปลายประจำสถาบันอีเดน และยังเป็นอาจารย์ประจำวิชาประวัติศาสตร์โลกของห้องเขาอีกด้วย

       “ก็ถ้าดอกเตอร์ไม่คอยไปแหย่เขา  เขาก็ไม่ทำอะไรคุณหรอกครับ …แล้วตกลงว่าที่โทรมานี่คิดถึงอย่างเดียวงั้นหรือครับ”

       ยูยะถามกลับด้วยน้ำเสียงร่าเริงไม่แพ้กัน  ลี  ชาง เป็นคนอารมณ์ดี คุยสนุก และมักจะทำให้เขามีเรื่องหัวเราะเสมอ  หากไม่นับเรื่องที่เจ้าตัวชอบใช้เขาเป็นตัวแหย่ให้มอร์เฟียซโกรธเอาบ่อย ๆ ล่ะก็

       “หึ ๆ ก็ไม่เชิงหรอกยูยะ  ชั้นแค่อยากจะชวนเธอไปช่วยเลือกของขวัญวันเกิดในวันเสาร์พรุ่งนี้หน่อยน่ะ ว่างหรือเปล่าล่ะ?”

       “ก็ว่างอยู่หรอกครับ… ว่าแต่วันเกิดของใครหรือครับ”  ยูยะถามไปด้วยความสงสัยนิด ๆ

       เสียงตามสายนั้นเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหวั่น ๆ

       “….ยูยะ…อย่าบอกนะว่าเธอไม่รู้…ซวยล่ะสิ” 

       “เอ๋…เกี่ยวอะไรกับผมด้วยงั้นหรือครับ”  เจ้าตัวยิ่งงงหนักไปกันใหญ่ วันเกิดของใครกันที่ถ้าเขาไม่รู้ แล้วต้องเดือดร้อนขนาดนั้น

       “มอร์เฟียซ ไม่ได้บอกอะไรเธอเลยงั้นหรือ”  น้ำเสียงนั้นถามด้วยความสงสัย  หากแต่ยูยะซึ่งไม่เข้าใจในคำถามนั้น กำลังใช้ความคิดเต็มที่….และแล้ว

       “อ๋อ…ผมพอจะเข้าใจอะไรบ้างแล้วล่ะครับดอกเตอร์”  เด็กหนุ่มถอนหายใจหนัก เสียจนปลายสายอีกฝ่ายได้ยิน

       “…คือเมื่อวานอยู่ดี ๆ มอร์เฟียซเขาก็ถามผมขึ้นมาว่า  รู้ไหมว่าวันที่ 29  สิงหาคม  ที่จะถึงนี่มันวันอะไร  ผมก็ตอบไปง่าย ๆ ว่าวันอาทิตย์  เขาก็ทำหน้ายุ่ง ๆ ใส่ แล้วเขาก็ซักผมอีก  ผมเลยบอกไปว่าไม่รู้  เท่านั้นแหละครับดอกเตอร์  ไม่ยอมพูดกับผมอีกเลย  …มิน่าล่ะ  วันเกิดเองหรอกหรือนี่”

       “จะว่าไปแล้วก็น่าสงสารมอร์เฟียซเขานะ ยูยะ  เขาคงอยากให้เธอสนใจเรื่องราวของตัวเขาให้มากกว่านี้นั่นล่ะ ถึงได้จงใจถามออกไปแบบนั้น” ชางพูดมาตามสายอย่างเห็นใจเพื่อนสนิท

       “…ก็แหม  แล้วทำไมไม่บอกออกมาตามตรงเล่าครับ” ยูยะแก้ตัวเบา ๆ ก็จริงอยู่ที่ถึงแม้ตอนนี้เขาจะคบกับมอร์เฟียซในฐานะคนรักมาเกือบเดือนแล้วก็ตาม  แต่ทว่า เรื่องส่วนตัวของชายหนุ่มนั้น ยูยะกลับไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักนิดเดียว

       “เป็นเธอ เธอจะพูดหรือเปล่าล่ะยูยะ  บอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าวันเกิดเธอใกล้จะถึงแล้วนะ แล้วให้เขาไปเตรียมหาของขวัญมาให้เธอน่ะ”

       ยูยะเงียบไป ก่อนจะตอบเสียงอ่อย  “คนอื่นผมไม่รู้…แต่ถ้าเป็นผมคงไม่กล้าหรอกครับ  ของขวัญวันเกิดที่เหมือนบังคับเอาจากอีกฝ่ายแบบนั้น”

       “ก็นั่นล่ะ มอร์เฟียซ ก็คงคิดแบบนั้น เลยไม่กล้าบอก  แต่วันเกิดของเขาก็ใกล้จะถึงแล้วทุกที แต่เธอยังทำตัวเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรเลยแบบนี้ เขาก็คงจะทนไม่ไหว เลยต้องเกริ่น ๆ ออกมาบ้างนั่นล่ะ”

       ยูยะหน้าจ๋อย ก่อนจะพูดไปด้วยน้ำเสียงที่สำนึกผิดเต็มที่  เพราะความจริงแล้ว หากเขาสนใจจะถามจริง ๆ ทั้ง เคธี่ และ ชาง ก็ต้องรู้อยู่แล้ว …

       “ตอนนั้นที่เขาถามผมไม่รู้เลยจริง ๆ แล้วก็ตอบออกไปโดยไม่ทันคิดเอะใจ …มอร์เฟียซคงโกรธผมมากแน่เลย”

       “ไม่หรอกน่ายูยะ”  อีกฝ่ายรีบปลอบทันที  “หมอนั่นก็แค่งอนเท่านั้นล่ะ  เอางี้สิ  พรุ่งนี้เธอก็ไปเลือกซื้อของขวัญให้เขาพร้อมกับฉันเสียเลยดีไหม”

       “ครับ!  ผมไปแน่ ว่าแต่กี่โมงดีครับ!”   ยูยะรีบตอบรับด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น

       “เอาเป็นว่าหลังเลิกเรียนครึ่งวันเช้า  เจอกันที่หน้าศูนย์การค้าโซน D  แล้วกันนะ  แถวนั้นมีของที่น่าจะถูกสเป็ก ของมอร์เฟียซอยู่มากพอเหมือนกัน”

       “ครับ ดอกเตอร์ พรุ่งนี้เจอกัน”

       ยูยะวางสายโทรศัพท์แล้วถอนหายใจยาว  ก่อนจะเอ่ยพึมพำปลอบใจกับตัวเองเบา ๆ

       “…ถึงจะรู้ช้าไปหน่อย แต่ถ้าให้ของขวัญแล้วก็คงไม่โกรธหรอกมั้ง..”

        แล้วเจ้าตัวก็รีบวิ่งกลับขึ้นห้อง เพื่อไปสำรวจดูจำนวนเงินเก็บที่เหลืออยู่ในขณะนี้

        “อืม…100 เหรียญเองงั้นหรือ …จะซื้ออะไรได้มั่งนะ”

       เด็กหนุ่มเอนกายพิงผนังห้องอย่างครุ่นคิด  ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ  เกิดมาก็เพิ่งรู้สึกเครียดเรื่องเลือกซื้อของขวัญวันเกิดให้ผู้ชายเป็นครั้งแรกนี่ล่ะนะ  หากเป็นแค่เพื่อนกันธรรมดา ก็คงไม่แคล้ว ถุงเท้า  ปากกา  ซีดี หรืออะไรก็ได้ทั่วไปง่าย ๆ

     …แต่สำหรับคนสำคัญแบบนี้ ขืนให้ของพวกนั้นไป มันก็ไม่น่าประทับใจน่ะสิ…



       เช้าวันเสาร์  หลังจากที่ทุกคนเรียนวิชาคณิตศาสตร์ซึ่งสอนโดยอาจารย์ฟาเรียส ที่ตอนนี้กลับมาสอนเหมือนเดิมตามปกติเสร็จสิ้นลง พวกเขาต่างก็รีบหยิบตำราวิชาประวัติศาสตร์โลกขึ้นมาเตรียมเรียนต่อทันที

       “ยูยะ..เลิกเรียนแล้วไปหาอะไรกินกันแถว โซน F ดีไหม   พวกมิเชล กับ ราฟาเอลก็ไปด้วย”   จิมมี่กระซิบถามเบา ๆ เมื่อเห็นมอร์เฟียซ  คาเตอร์ กำลังเดินเข้ามาในห้องเพื่อเตรียมทำการสอน

       ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ที่เขาทำร้ายตัวเองเมื่อเดือนก่อน  ยูยะก็เริ่มสนิทกับทุกคนในห้องมากขึ้นกว่าเดิม  เพราะเขาซาบซึ้งในน้ำใจ และความห่วงใยที่เพื่อน ๆ ทุกคนมีให้ต่อเขา  และตอนนี้ นอกจากจิมมี่แล้ว เขามีเพื่อนซี้อีกสองคนที่เพิ่มมาด้วย นั่นก็คือ  ราฟาเอล กับมิเชลนั่นเอง

       “โทษทีนะจิมมี่ …วันนี้ขอผ่าน เผอิญมีนัด”  ยูยะกระซิบตอบ ชำเลืองมองทางหน้าห้องเป็นระยะ เพราะกลัวจะโดนว๊ากใส่เอาอีก ในฐานะที่แอบคุยกันโดยไม่สนใจการเรียน

       “เดท?”  จิมมี่กระซิบถาม  ซึ่งผลก็คือ ศอกเล็ก ๆ กระทุ้งเข้าให้ที่สีข้างเบา ๆ แต่ก็เล่นเอาจุกเหมือนกัน

       “บ้า!…ไปซื้อของกับดอกเตอร์ลีต่างหากเล่า  เลิกถามได้แล้ว  คาเตอร์ มองมาแล้วเห็นไหม”

       เด็กหนุ่มตัดบท ก่อนจะเก๊กท่าทำเป็นสนใจเรียนเต็มที่   อาจารย์หนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อยด้วยความสงสัย   ก่อนจะสั่นศีรษะเบา ๆ พลางหันไปสนใจกับการสอนของเขาต่อไป

       “เอาล่ะวันนี้พอแค่นี้…เลิกเรียนได้”  มอร์เฟียซจัดการปิดตำรา  พร้อมกับชำเลืองมองไปยังร่างเล็ก ๆ ที่เตรียมเก็บของอย่างกระตือรือร้น แล้วก็ถอนหายใจเบา ๆ  เมื่ออีกฝ่ายรีบจ้ำอ้าวออกจากห้อง  แต่ก็ยังดีที่อย่างน้อยก็ยังหันมามองหน้า  พลางโค้งให้กับเขานิด ๆ ก่อนออกไป

       “ยูยะจะรีบไปไหนกัน”  มิเชลถามเบา ๆ ขณะที่พวกเขาและจิมมี่กำลังเดินโค้งศีรษะ ผ่านมอร์เฟียซ  คาเตอร์ที่ยังคงนั่งอยู่ไม่ยอมกลับห้องพัก

       “ไปออกเดทกับดอกเตอร์ลีน่ะสิ”  จิมมี่ตอบร่าเริงอย่างไม่คิดจะยั้งเสียง และคำพูดนั้นก็ทำให้คนที่กำลังนั่งเหม่อ ๆ  อยู่บนเก้าอี้ ชะงักพร้อมกับหันขวับมาทางคนทั้งสองทันที

       ….ซวยแล้วสิ  ไอ้บ้าจิมมี่ปากเสียชะมัด ….

       มิเชลคิดในใจอย่างขยาด ก่อนจะแกล้งทำเป็นพูดจากลบเกลื่อน

       “ฮ่า ๆ นายล่ะก็  ชอบพูดเล่นเรื่อยเลยนะจิมมี่”

       แต่ว่าน่าเสียดายที่จิมมี่ไม่ค่อยจะเข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายนัก จึงไม่ยอมรับมุกที่ส่งมาให้

       “พูดเล่นอะไร  ก็ยูยะบอกเองว่าจะไปซื้อของกับดอกเตอร์ลี  เมื่อวานก็เห็นโทรศัพท์คุยกันอยู่ตั้งนาน ฉันชำเลืองไปดูก็เห็นคุยกันถูกคอดีออก  ดูท่าหมอนั่นจะชอบดอกเตอร์มากพอดูเลยนะ”

       จิมมี่พูดอย่างไม่คิดอะไร แต่มิเชลกลับกุมขมับถอนหายใจเบา ๆ เมื่อมอร์เฟียซ คาเตอร์ ลุกจากเก้าอี้พรวด  พร้อมกับเดินลงส้นแรง ๆ ผ่านคนทั้งคู่ออกไปอย่างฉุนเฉียว

       “เอ๋  คาร์เตอร์เขาเป็นอะไรไปน่ะ มิเชล”  จิมมี่ถามด้วยความงุนงง ปนตกใจ

      “…จะไปรู้เรอะ  แต่ที่แน่ ๆ ช่วยสวดมนต์อ้อนวอนให้ยูยะรอดพ้น ดีกว่านะ”

       มิเชลเอ่ยเสียงสะบัด ๆ ด้วยความรำคาญใจ  จิมมี่นะจิมมี่ เสียแรงเป็นเพื่อนสนิทกันแท้ ๆ แต่ดูแค่นี้ยังไม่รู้เรื่อง  ขนาดเขาที่เพิ่งจะมารวมกลุ่มคลุกคลีกับยูยะไม่เท่าไร ยังพอจะมองออกเลยว่าอะไรเป็นอะไร

       มิเชล ถอนหายใจเบา ๆ  เขาก็พอจะรู้ตื้นลึกหนาบางอยู่บ้าง ในเรื่องความสัมพันธ์ของนาโอกิ ยูยะ และมอร์เฟียซ  คาเตอร์  …ด้านยูยะ ไม่ต้องพูดถึง  เด็กหนุ่มซ่อนสีหน้า และแววตา จากสายตาของนักแสดงระดับอัจฉริยะอย่างเขาไม่พ้นหรอก   ต่อให้คาเตอร์เองก็เถอะ  เจ้าโป๊กเกอร์เฟกนั่น แม้จะอ่านยากขนาดไหน  แต่ยามอยู่ต่อหน้ายูยะ สายตาของอีกฝ่ายก็อ่อนโยนลงจนเขาจับได้อยู่ดีนั่นล่ะ

       …แต่ในเมื่อเรื่องนี้มันเป็นความพอใจ แถมยังเป็นเรื่องส่วนตัวของเพื่อนสนิท   มิเชลเองก็ไม่คิดจะบอกใครออกไปหรอก  โดยเฉพาะเจ้าหัวแดงจอมซื่อบื้อใกล้ ๆ นี้ด้วยแล้ว  หมอนี่คงโวยวาย หรือไม่ก็พาลช็อกไปเลยก็ได้ หากรู้เรื่องนี้เข้าล่ะก็

       แล้วเจ้าตัวก็เหล่ตามาทางคนข้าง ๆ พร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่  ทำเอาจิมมี่ต้องวิ่งตามถามเซ้าซี้ตลอดเวลา ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่  เล่นเอาเด็กหนุ่มหงุดหงิดไปตลอดทั้งวันทีเดียว




หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #1 : Happy Birthday, Morpheus. (27 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 27-06-2011 20:31:30


    6.00 PM

       ยูยะกลับมาจากการเลือกซื้อของขวัญอย่างอารมณ์ดี  เขาหอบถุงกระดาษใบใหญ่ในมือด้วยความทะนุถนอม พร้อมกับเดินฮัมเพลงไป ยิ้มแย้มไปตลอด  จนกระทั่งถึงทางเข้าหอพัก

       “อุ๊บ!”  เด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ  เมื่ออยู่ดี ๆ ก็มีมือใหญ่มาตะปบปิดปากเขาไม่ให้ร้อง  พร้อมกับลากร่างของเขาไปยังที่ลับตาคนทันที

       “ใครกัน!…อ๊ะ…มอร์เฟียซ”  ยูยะรู้สึกทั้งตกใจและแปลกใจเล็กน้อย และขณะที่กำลังจะถามถึงเหตุผลว่าทำไมต้องทำแบบนี้  เขาก็ต้องเบิกตาค้าง เมื่อใบหน้าคมเข้ม โน้มลงมาประกบริมฝีปากทาบทับกับริมฝีปากบางของเขาอย่างรวดเร็ว

       “อ๊ะ..อืม …ดะ..เดี๋ยว  มอร์เฟียซ  นี่มันอะไรกัน….อื้ม!!”

       ริมฝีปากร้อนผ่าว วนเวียนจูบทั่วใบหน้าหวาน ๆ นั้นอย่างบ้าคลั่ง   จากนั้นจึงค่อย ๆ   จับกดร่างเล็กลงบนพื้นหญ้า  พร้อมกับร่างสูงของตัวเองที่ค่อย ๆ ทาบทับลงมา

       “เดี๋ยว…มอร์เฟียซ …ที่นี่ไม่ได้นะ…อ๊ะ…”

       มือใหญ่ข้างหนึ่งจัดการปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตตัวในที่อีกฝ่ายสวมอยู่อย่างรวดเร็ว  ก่อนจะโน้มใบหน้าลงมาละเลงลิ้นบนแผ่นอกขาว สลับกับการตะโบมจูบแรง ๆ อย่างไม่ปรานี จนเกิดรอยช้ำเป็นจ้ำแดง ๆ จนทั่ว

       จากนั้นมือที่ว่างอยู่จึงจัดการปลดเข็มขัด และตะขอกางเกงออก ก่อนจะพยายามดึงมันให้พ้นไปจากร่างของอีกฝ่าย โดยที่มือเล็ก ๆ นั่นยังคงดึงดันจับที่กางเกงของตนไว้แน่น ไม่ยอมให้เขาทำเช่นนั้น

       “…มะ…มอร์เฟียซ  คุณจะบ้าไปแล้วหรือไง …ปล่อยมือเดี๋ยวนี้นะ!!”

       ยูยะโวยลั่นด้วยความกลัว  หากแต่มอร์เฟียซ ยามนี้คลั่งไปแล้ว  คลั่งด้วยความหึงรุนแรง ชนิดที่เจ้าตัวเองยังตกใจ

       “ใช่สิ! ฉันมันบ้า! บ้าเพราะรักเธอยังไงล่ะนาโอกิ!  จำได้ไหมว่าเธอเป็นของฉันคนเดียวเท่านั้น! และฉันไม่มีวันยอมยกเธอให้ใครเด็ดขาด!”   ชายหนุ่มคำรามลั่น    ยูยะสะดุ้งเฮือก  ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงสั่น  น้ำตาคลอเบ้าด้วยความหวาดกลัว

       “…มอร์เฟียซ…คุณเป็นอะไรไป…ทำไมทำกับผมแบบนี้.. ผมทำอะไรผิดอย่างนั้นหรือ…บอกหน่อยได้ไหม”  น้ำเสียงสะอื้น ๆ และหยาดน้ำใส ๆ ที่ไหลรินอาบแก้ม ทำให้ชายหนุ่มชะงัก  แต่ก็เพียงชั่วครู่ เมื่อหวนนึกถึงต้นเหตุที่ทำให้เขาโมโหอยู่ขณะนี้ขึ้นมาอีกครั้ง

       “ทำอะไรอย่างนั้นหรือ….วันนี้เธอไปไหนมาล่ะ   ไปเดทกับเจ้าชางมาใช่ไหม  หมอนั่นมันคงบริการเธอถูกใจมากสินะ  เธอถึงทำท่าทางมีความสุขกลับมาแบบนี้ หา!!”

       ยูยะตะลึงกับถ้อยคำนั้น  ชายหนุ่มกำลังเข้าใจผิดเรื่องเขา กับชาง เขาต้องบอกออกไปว่ามันไม่ใช่แบบนั้น ….ต้องบอก……

       “แย่แล้ว! ถุงของผม!”  จู่ ๆ  ยูยะก็นึกขึ้นได้ถึงของสำคัญของเขา   จากนั้นจึงดันร่างหนา ๆ ของอีกฝ่ายขึ้นทันที  และด้วยความไม่ทันระวังตัว  มอร์เฟียซจึงเสียหลักถูกผลักกระเด็นออกไป เด็กหนุ่มรีบสำรวจดูรอบ ๆ ด้วยความตกใจ

       “ถุงกระดาษของผม…ไปไหนแล้ว…”  เจ้าตัวพึมพำเบา ๆ ใบหน้าซีดเผือด ก่อนจะลุกขึ้นวิ่งย้อนกลับไปทางเก่า ทั้ง ๆ ที่เสื้อผ้ายังหลุดรุ่ย ไม่เรียบร้อย

       “นาโอกิ!”  มอร์เฟียซเองก็ตกใจเหมือนกัน ที่เห็นท่าทางร้อนรนเช่นนั้น เป็นครั้งแรกของเด็กหนุ่ม  เขารีบวิ่งตามมา ก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังนั่งกอดถุงกระดาษใบใหญ่สีน้ำตาลด้วยความทะนุถนอม แถมใบหน้านั้นยังยิ้มแย้มออกมาอย่างโล่งอก …

       “ข้างในนั้นมีอะไร!”  ชายหนุ่มตวาดลั่นด้วยความหงุดหงิด  เริ่มชักจะไม่สบอารมณ์อีกครั้ง  เขาคิดไปเองว่า บางทีนั่นอาจจะเป็นของบางอย่างที่ลี ชาง ซื้อให้ยูยะก็เป็นได้

       “มะ..ไม่มี”  ยูยะรีบปฏิเสธ พยายามเอาถุงนั้นไปซ่อนข้างหลัง  แต่ท่าทางเช่นนั้น กลับยิ่งทำให้อีกฝ่ายหวาดระแวงยิ่งขึ้นไปอีก

       “ส่งมาให้ฉันดูนาโอกิ!” ชายหนุ่มพยายามกระชากถุงกระดาษออกจากมือของอีกฝ่าย  จนกระทั่งถุงกระดาษใบนั้นขาดแควก  ส่งผลให้ของที่อยู่ในนั้นร่วงลงมาบนพื้น

       กล่องสี่เหลี่ยมซึ่งผูกโบว์ห่อของขวัญอย่างสวยงาม  พร้อมกับการ์ดอวยพรวันเกิดใบเล็ก ๆ ที่ติดอยู่บนกล่อง  ทำให้มอร์เฟียซ  คาร์เตอร์ชะงัก ก่อนจะก้มลงหยิบมันมาดูใกล้ ๆ

       “นาโอกิ…นี่มัน”

       ยูยะเบือนหน้าหลบ  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาตั้งใจจะทำเซอร์ไพรส์ ในวันพรุ่งนี้มันพังหมดแล้ว  คิดได้ดังนั้นเด็กหนุ่มก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ 

       น้ำใส ๆ ไหลรินออกมาอาบแก้ม  และเสียงสะอื้นเบา ๆ นั่น ทำให้มอร์เฟียซ คาเตอร์  อยากจะเอาหัวโขกกำแพงตายให้รู้แล้วรู้รอด ในความงี่เง่าของตัวเอง 

       “นาโอกิ…ฉันขอโทษ…ฉันไม่คิดว่าเธอจะ..ไปซื้อของขวัญวันเกิดให้ฉัน..”

       “…ฮึก….”  ไม่มีคำพูดใด นอกจากเสียงสะอื้น  เด็กหนุ่มยันกายลุกขึ้น ก่อนจะเดินก้มหน้าคอตกกลับขึ้นหอ ด้วยสีหน้าที่ทำให้คนที่เตรียมจะรั้งตัวไว้ ถึงกับหยุดชะงัก

       มอร์เฟียซ  คาเตอร์ ซึ่งได้แต่ยืนตะลึง พูดอะไรไม่ออก ทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่คิดว่าเหตุการณ์จะกลับตาลปัดได้ขนาดนี้  เขายืนนิ่ง ๆ อยู่อย่างนั้นพักใหญ่ ก่อนที่จะตัดสินใจวิ่งตามร่างเล็ก ๆ นั่นไปในที่สุด

     “กลับมาแล้วหรือยูยะ … เกิดอะไรขึ้นน่ะ!”

       จิมมี่ซึ่งตั้งท่าทักทาย ถึงกับชะงัก เมื่อเห็นสภาพของอีกฝ่าย   แม้เสื้อผ้าที่หลุดรุ่ยจะถูกเจ้าของจัดแจงให้เข้าที่เข้าทางแล้ว แต่สภาพยับ ๆ กับเศษหญ้าที่ติดอยู่ตามเส้นผม และเนื้อตัว นั้น ก็ทำให้เด็กหนุ่มผมแดงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

       “มะ…ไม่มีอะไรหรอก…ฉันหกล้มน่ะ…ขอตัวก่อนนะ”

       จิมมี่เตรียมอ้าปากถามต่อ แต่มิเชลที่นั่งอยู่แถวนั้นเดินมากดบ่า พลางส่ายหน้าไม่ให้เขาถามอีก  และขณะที่ยูยะกำลังเดินกลับขึ้นห้อง เสียงตึงตัง พร้อมกับเสียงตะโกนเรียกชื่อของเขาก็ทำให้เด็กหนุ่มถึงกับหยุดชะงัก

       “นาโอกิ!!”

       ร่างของชายหนุ่มที่วิ่งกระหืดกระหอบตามมา มือข้างหนึ่งถือห่อของขวัญของเขาติดมาด้วย

       “…มอร์เฟียซ”  ยูยะอุทานแผ่วเบา ก่อนจะพยายามวิ่งหนีกลับขึ้นห้อง แต่ก็ไม่เท่ากับความเร็วของอีกฝ่ายที่วิ่งไปทันรวบตัวของเขาไว้ได้

       “ปะ…ปล่อยผมนะ  …ปล่อยสิ!”   ยูยะดิ้นเต็มที่ เมื่อร่างสูงจัดการรวบเอวของเขาเอาไว้   ก่อนจะจับร่างยกขึ้นพาดบ่า   พลางเดินจ้ำพรวด ๆ ออกไปข้างนอก

       “อะ…อาจารย์”  จิมมี่พยายามเอ่ยปากทักท้วง  หากแต่เมื่อสายตาอีกฝ่ายตวัดกลับมามองก็ทำให้เขาถึงกับเงียบกริบ

       “ฉันมีเรื่องสำคัญบางอย่าง ที่ต้องปรับความเข้าใจกับเพื่อนของพวกเธอหน่อยในคืนนี้  ไว้พรุ่งนี้เช้าฉันถึงจะเอาตัวมาส่งคืนทีหลัง”

       อาจารย์หนุ่มกล่าวเสียงเรียบ ทว่าชัดเจน  โดยไม่สนใจสายตาหลาย ๆ คู่ที่จ้องมองตามไปด้วยความสงสัย ปนตกตะลึง และงุนงง เหล่านั้นแม้แต่น้อย

       “เกิดอะไรขึ้น…น่ะ  เมื่อครู่”   จิมมี่หันมาถามทุกคนในห้อง  โดยบางคนก็มีสีหน้างุนงง เหมือนเขา ในขณะที่บางคนก็มีสีหน้ากระอักกระอ่วน ไม่กล้าตอบอะไร  แต่สักพักเสียงของเด็กหนุ่มชาวฝรั่งเศสก็โพล่งขึ้นดังลั่นอย่างรำคาญใจ

       “เรื่องส่วนตัวของเขาสองคนน่า! พวกนายก็อย่าไปสนใจอะไรมากนักเลย  มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกนายไม่ใช่งั้นหรือไง!!”

       ก็นั่นล่ะทำให้แต่ละคน พยายามลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้  แม้จะคิดว่ามันออกจะแปลก ๆ อยู่บ้าง แต่ก็ถูกอย่างที่มิเชลพูด เรื่องส่วนตัวของคนอื่น ก็อย่าไปยุ่งมันเลยดีกว่า …

       คิดได้ดังนั้น  เหล่าเด็ก ๆ (ที่ไม่อยากจะคิดมาก)  ก็ต่างหันไปสนใจกับกิจกรรมก่อนหน้านั้นของแต่ละคน ที่ทำค้างไว้  โดยราวกับว่าไม่มีเรื่องเมื่อครู่นี้เกิดขึ้นมาก่อนแม้แต่น้อย



       “ปล่อยนะ!! มอร์เฟียซ!! ปล่อยผมสิ!” ยูยะทั้งโวย ทั้งดิ้น หากแต่ร่างสูงที่แบกเขาไปนั้นกลับตะคอกขึ้นด้วยเสียงเข้มทันที

       “เอาสินาโอกิ!!  อยากโวยให้ทุกคนในหอ Z นี่รู้กันทั้งหมดก็ตามสบาย! ดีเหมือนกัน ทุกคนจะได้รู้กันเสียทีว่าเธอกับฉันเป็นอะไรกัน! ฉันจะได้ไม่ต้องคอยกังวลว่าจะมีใครเข้ามายุ่มย่ามกับเธอตอนฉันไม่อยู่!”

       ก็เท่านั้น  นาโอกิ ยูยะ  เงียบกริบทันที  อีกทั้งยังหยุดดิ้นโดยอัตโนมัติ   ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอเบา ๆ อย่างพอใจ ก่อนจะพาร่างเล็กบนบ่าเดินตรงไปยังบ้านพักส่วนตัวของเขาอย่างรวดเร็ว

       มอร์เฟียซ  คาเตอร์ จัดการไขประตู   ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ยอมวางร่างบนบ่าลง  เขาผลักประตูเข้าไปเบา ๆ ก่อนจะจัดการดันประตูปิด พร้อมกับล็อกประตูทันที

       จากนั้นชายหนุ่มก็จัดแจง เดินเลี้ยวเข้ามาในห้องนอนของเขา  โยนเจ้ากล่องของขวัญที่หนีบติดมาด้วยลงบนเตียงใหญ่ของตน  ก่อนจะวางร่างเล็ก ๆ ตามลงไปติด ๆ

       ยูยะเบือนหน้าหนีอีกฝ่าย ที่คร่อมตัวขึ้นมาบนร่างของเขา  เด็กหนุ่มยังคงไม่หายโกรธเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่  ซ้ำร้าย มอร์เฟียซ ยังทำเหมือนกับประกาศความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาต่อหน้าเพื่อน ๆ ร่วมชั้นของเขาอีกด้วย

       “ยังไม่หายโกรธอีกเหรอ นาโอกิ”   ใบหน้าคมเข้มชะโงกมาใกล้ ๆ จนรับรู้ได้ถึงลมหายใจร้อน ๆ ที่เป่ารดลงมาบนใบหน้า

       “เฮ่อ….”  ชายหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ  เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมสบตาตนแม้แต่น้อย   จากนั้นเจ้าตัวจึงยันกายขึ้นจากเตียงลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องนอน   ทิ้งให้ยูยะที่อยู่บนเตียงมองตามไปด้วยสายตางุนงงเพียงลำพัง



       ดึกมากแล้ว  ยูยะยังคงไม่หลับ  มองไปที่ประตูห้องนอน ก็ไม่เห็นว่า มอร์เฟียซจะกลับเข้ามา  เด็กหนุ่มลุกขึ้นนั่งขมวดคิ้วยุ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินออกจากห้องไปดูว่าชายหนุ่มหายไปไหนกันแน่

       …ภาพที่ยูยะเห็นยามนี้ ก็คือมอร์เฟียซ  คาเตอร์ กำลังนั่งรินเหล้าดื่มอยู่ที่โซฟาห้องรับแขก ด้วยสีหน้าเศร้า ๆ  ยูยะขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก เพราะจำนวนขวดเหล้าบนโต๊ะมันมีอยู่ถึง 3 ขวดด้วยกันแล้วตอนนี้

       “นี่พอแล้วน่า! เดี๋ยวคุณก็เมาตายหรอก!”  เด็กหนุ่มตรงเข้าไปกระชากแก้วเหล้าจากอีกฝ่ายมาถือไว้  ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินเซ ๆ นิด ๆ เพื่อดึงแก้วเหล้ากลับมา พร้อมกับกระดกลงคอไปทีเดียวหมดแก้ว

       “อย่ามายุ่งกับฉันน่า นาโอกิ! เธอเข้าไปนอนซะเถอะ แล้วอย่าลืมล็อกห้องด้วยล่ะ! ฉันไม่รับประกันหรอกนะ ว่าเมา ๆ แบบนี้ แล้วฉันจะควบคุมตัวเองอยู่น่ะ!”  มอร์เฟียส ออกปากไล่ โดยไม่ยอมมองหน้า

       แต่ ยูยะก็ชักจะฉุนขาดเอาเหมือนกัน   แทนที่อีกฝ่าย จะเอาเวลามาง้อให้เขาหายโกรธ กลับมานั่งกินเหล้าเป็นบ้า เป็นหลังแบบนี้

       “ของบ้า ๆ พรรค์นี้มันอร่อยนักใช่ไหม  ดีแล้ว! ผมก็จะกินเหมือนกัน!”

       ว่าแล้วเจ้าตัวก็คว้าขวดที่ยังมีเหล้าเหลืออยู่มากระดกลงคอพรวด ๆ โดยไม่ยั้ง  ท่ามกลางความตกตะลึงของมอร์เฟียซที่ยืนอ้าปากค้างอย่างคาดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มจะกล้าทำเช่นนั้น

       และเมื่อน้ำสีอำพันไหลรินผ่านลำคอไปจนหมดสิ้น  เด็กหนุ่มก็ยืนโซเซสักพัก  ก่อนจะทรุดฮวบลงกองลงกับพื้นทันที  รู้สึกว่าในหัวยามนี้มันหมุนติ้วไปหมด

       “บ้าจริง ๆ นาโอกิ! เหล้านี่มันแรงมากนะ  ขนาดคนที่ดื่มเหล้าบ่อย ๆ ยังแทบจะไม่ไหว  แล้วเด็กที่ไม่เคยดื่มอย่างเธอมันจะไปเหลืออะไรเล่า…เฮ้! นี่ เธอฟังที่ฉันพูดรู้เรื่อง หรือเปล่าน่ะ”

      มอร์เฟียซรีบประคองร่างของอีกฝ่ายขึ้นมาเขย่า  ด้วยอาการที่แทบจะสร่างเมาทันที

       “เอิ๊ก…ว่า..อารายนะ…ทำมาย…ห้องมันหมุนแบบนี้..ล่ะ”

       ยูยะเริ่มมึน และเบลอจนไม่รับรู้อะไรรอบข้างทั้งสิ้น  แม้กระทั่งยามที่ร่างของตนถูกอุ้มขึ้นด้วยอ้อมแขนแข็งแรง  กลับเข้าไปยังห้องนอนเดิมอีกครั้งก็ตาม

       “มอร์เฟียซ…”  เสียงครางเรียกชื่อเบา ๆ ของคนที่นอนสลบไสล ไม่ได้สติอยู่บนที่นอน ทำให้มือที่กำลังชุบผ้าขนหนูในขันใส่น้ำเย็นชะงัก  ก่อนจะลูบไล้เส้นผมสีดำอ่อนนุ่มอย่างแผ่วเบา

       “รู้สึกตัวแล้วงั้นหรือ..นาโอกิ  เป็นยังไงบ้าง”  มอร์เฟียซก้มลงถามคนที่กำลังลืมตาปรือ ๆ มองเขา  ก่อนที่สายตาคู่นั้นจะเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวอย่างน่ากลัว

       “คนเฮงซวย!”

       ชายหนุ่มสะดุ้งโหยง ก่อนจะกระพริบตามองร่างเล็ก ๆ นั้นอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง

       “ตลอดเวลาที่เราคบกันมา คุณไม่เคยเชื่อใจผมเลยสักครั้งใช่ไหม  หา!  บอกผมมาสิ!!”

       ยูยะลุกขึ้นนั่ง กระชากคอเสื้อของอีกฝ่ายเขย่าไปมาแรง ๆ ด้วยท่าทางเอาจริงเอาจังผิดปกติ

       “เอ่อ  นาโอกิ…ดูท่าทาง เธอจะยังไม่หายเมาเลยนะ”

       ชายหนุ่มกล่าวเสียงอ่อย ๆ ไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะเป็นพวกเมาแล้วชอบอาละวาดแบบนี้  เห็นทีคราวหลัง ต้องห้ามไม่ให้แตะเหล้าอีกแล้ว

       “ผมม่ายมาว!!”  ยูยะตวาดเถียงลั่นแม้จะยังคงออกอาการอ้อแอ้ให้เห็น

       “คุณมันบ้า!  ขี้หึงไม่เข้าเรื่อง!  ไม่เคยฟังเหตุผลอะไรคนอื่นเลย …ทั้ง ๆ ที่ผม…ทั้ง ๆ ที่ผม…รักแต่คุณคนเดียวเท่านั้น…..”

        แล้วเจ้าตัวก็ฟุบหน้าลงไปกับอกกว้างของอีกฝ่าย  หลับสนิทไปอีกครั้ง  ทิ้งให้คนที่เหลือนั่งหน้าแดงระเรื่ออย่างไม่อาจห้ามได้

       …เอ หรือจะให้ดื่มอีกบ่อย ๆ ท่าจะดีแฮะ …

       เจ้าตัวคิดในใจ ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี  เพราะนาน ๆ ครั้ง ที่เด็กหนุ่มจะเป็นฝ่ายบอกรักให้เขาชื่นใจอย่างนี้สักที    ทั้ง ๆ ที่ตัวเขาก็พูดให้ฟังกรอกหูอยู่แทบทุกวันด้วยซ้ำไป

       พอก้มมองใบหน้าหวาน ๆ ที่หลับตาพริ้มอยู่บนเตียง เจ้าใจที่สงบนิ่งมันก็ชักจะเต้นแรงขึ้นมาอย่างหยุดไม่อยู่  แต่ขืนไปทำอะไรเจ้าตัวตอนเมา ๆ แบบนี้ล่ะก็ มีหวังสร่างเมาขึ้นมาต้องโกรธอีกแน่ ๆ แล้วเขาก็ไม่อยากให้มีเรื่องผิดใจกัน ในวันเกิดของเขาพรุ่งนี้หรอกนะ…

        “Good night นาโอกิ…”

       มอร์เฟียซก้มลงจุมพิตที่หน้าผากเกลี้ยงเกลาเบา  ๆ  หลังจากที่จัดการเช็ดตัวอีกฝ่ายให้สะอาดทุกซอกทุกมุมเรียบร้อยแล้ว  เขาหยิบผ้าห่มมาคลุมกายให้กับร่างเล็ก ก่อนจะมองด้วยสายตาอ่อนโยนอีกครั้ง  จากนั้นจึงปิดไฟ และปิดประตูห้องนอน  โดยที่ตัวเขาเองยึดเอาโซฟาข้างนอกเป็นที่ข่มตาหลับสำหรับค่ำคืนอันแสนสั้นที่เหลือนี้

..
...
หัวข้อ: Re: The Eden School....Special #1 : Happy Birthday, Morpheus. (27 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 27-06-2011 20:33:28



       เช้าวันอาทิตย์….

       …อุ๊บ..ปวดหัวจัง…เราเป็นอะไรไปเนี่ย …

       ร่างเล็กกุมขมับของตนแรง ๆ ก่อนจะพยายามปรือตาขึ้นมองสภาพรอบกาย

       …ห้อง…ของมอร์เฟียซนี่นา …ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้…เมื่อคืน…อาใช่แล้ว เราถูกพาตัวมา…แล้วก็ดันโมโหจัด จนดื่มเหล้าเข้าไป…อูย …นี่น่ะเหรอ อาการเมาค้างที่ว่า…ทรมานชะมัดเลยแฮะ….

       ยูยะพลิกกายตะแคงมองไปข้างกายของเขา  ทว่า กลับไม่พบร่างสูงที่น่าจะนอนอยู่ข้าง ๆ   เลยแม้แต่น้อย

        “……มอร์เฟียซ..หายไปไหน”

       เด็กหนุ่มพึมพำ ก่อนจะยันกายลุกขึ้นช้า ๆ  ในหัวตอนนี้ยังคงรู้สึกเหมือนมีใครเอาอะไรมาทุบอยู่ตลอดเวลา  จนเจ้าตัวสาบานไว้เลยว่า ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ก็จะไม่แตะเหล้าอีกเด็ดขาด 

       ต่อจากนั้นจึงเริ่มสำรวจตัวเอง แล้วก็พบว่า เสื้อผ้าติดกายของตน มีแค่เพียงเสื้อนอนตัวใหญ่ของคนรัก เพียงตัวเดียวเท่านั้น

       ยูยะหน้าแดงนิด ๆ แต่เด็กหนุ่มก็รู้ตัวดีว่า อีกฝ่ายยังไม่ได้ทำอะไรเขาเมื่อคืน…

       “มอร์….เฟียซ”  เสียงเรียกแผ่วลงจนเกือบเป็นกระซิบ เมื่อร่างเล็ก ๆ เดินออกจากห้อง และมาหยุดยืนอยู่ที่ตรงหน้าห้องรับแขก

       ยูยะยิ้มน้อย ๆ  ก่อนจะเดินย่องเข้าไปค่อย ๆ พร้อมกับทรุดตัวลงคุกเข่าตรงหน้าโซฟา ที่มีร่างสูงนอนหลับสนิทอยู่บนนั้น

       “บ้าจัง…ที่นอนก็ออกกว้าง  มานอนขดตัวทนหนาวบนโซฟาเล็ก ๆ นี่อยู่ได้…” เด็กหนุ่มบ่นพึมพำเบา ๆ ก่อนจะชะโงกหน้าไปจุมพิตที่หน้าผากของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน

       “อรุณสวัสดิ์ …มอร์เฟียซ  แล้วก็ สุขสันต์วันเกิดด้วยนะ..”

       ยูยะกระซิบที่ข้างหูของชายหนุ่ม   ก่อนจะนั่งเท้าคางมองใบหน้ายามหลับไหลของอีกฝ่ายอย่างเหม่อลอย  เพราะไม่บ่อยครั้งนักที่เด็กหนุ่มจะมีโอกาสได้เห็นใบหน้าเช่นนี้ของชายคนรัก   เนื่องจากตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันสองต่อสอง  เขามักจะถูกชายหนุ่มทำให้เคลิบเคลิ้ม และเป็นฝ่ายหลับไปก่อนเสียแทบทุกครั้งไป

       “อืม…..นาโอกิ…”   

       ยูยะสะดุ้งตื่นจากภวังค์ เมื่อเสียงเรียกชื่อเขาดังขึ้นจากปากของอีกฝ่าย

       “อ๊ะ…อ้าว…ละเมอหรอกหรือนี่”

       เด็กหนุ่มหัวเราะเบา ๆ  ก่อนที่สายตาจะเผลอไล่มองไปที่ขนคิ้วงอนหนาเป็นแพ   จมูกโด่งคมสัน และริมฝีปากหนาได้รูป 

       ...ทำยังไงดีล่ะ …อยากจูบเขาจังเลย …

       ยูยะคิดในใจอย่างเขินอาย  ก่อนจะสูดลมหายใจลึก ๆ เข้าปอด  จากนั้นจึงค่อย ๆ โน้มใบหน้าของตนเข้าใกล้อีกฝ่ายมากขึ้นทุกที จนริมฝีปากบางนั้นสัมผัสกับริมฝีปากหนาได้รูปแผ่วเบา….ทว่า

       “…อุ๊บ!”   อยู่ดี ๆ เด็กหนุ่มก็ต้องตกใจ เมื่อคนที่คิดว่าน่าจะหลับสนิทอยู่บนโซฟา กลับใช้มือใหญ่กดศีรษะเขาให้โน้มลงไป ก่อนจะเป็นฝ่ายรุกรานริมฝีปากบางนั้นเสียเอง

       “…อืม…อา…”

       ร่างเล็ก ๆ ถูกรั้งให้อยู่บนกายของชายหนุ่ม ก่อนที่มือใหญ่จะล้วงผ่านเสื้อนอนตัวโคร่ง   เข้าไปลูบไล้แผ่นหลังขาวนวลนั้นจนทั่ว  โดยที่ทั้งคู่ยังคงแลกจุมพิตกันอย่างดูดดื่มไม่ยอมเลิกรา

       “อา…มอร์เฟียซ”

       ยูยะครางเบา ๆ เมื่ออีกฝ่ายจัดการถอนริมฝีปากออกในที่สุด

       มอร์เฟียซลืมตาขึ้นมองดวงหน้าหวาน ๆ บนร่างของเขาด้วยแววตาอ่อนโยน  ก่อนจะชะโงกหน้าขึ้นไปหมายจะจูบซ้ำอีกหน ทว่า ร่างเล็กบนกายรีบดันตัวลุกขึ้นนั่งทันที

       “คนบ้า! ตื่นแล้วก็ไม่บอก!”  ยูยะตวาดใส่แก้เขิน ในขณะที่คนซึ่งนอนอยู่บนโซฟาหัวเราะในลำคอเบา ๆ

       “อ้าว..ถ้าบอกว่าตื่นแล้ว เธอจะกล้าลักหลับฉันแบบเมื่อครู่หรือยังไง…นาโอกิ”

       ชายหนุ่มกล่าวตอบอย่างอารมณ์ดี ส่วนยูยะนั้นตอนนี้ใบหน้าแดงก่ำ หมดแล้ว

       “คนบ้า!” เด็กหนุ่มตวาดใส่อีกครั้ง ก่อนจะลุกเดินหนี  ทว่า มือใหญ่ก็รีบคว้าข้อมือเล็ก ๆ นั้นไว้ก่อน

       “เดี๋ยวสิ นาโอกิ…อย่าพึ่งไป”  ชายหนุ่มยันกายขึ้นนั่ง พร้อมกับรั้งร่างเล็กมานั่งลงบนตักของเขาอีกทีหนึ่ง

       “หายโกรธฉันเรื่องเมื่อวานแล้วหรือยัง”   น้ำเสียงทุ้มนุ่มกระซิบ   อ้อน ๆ  ข้างหู   ยูยะถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเอียงกายหันหน้าเข้าหาอีกฝ่าย  แขนเล็ก ๆ ทั้งสองข้างโอบรอบคอของชายหนุ่มไว้อย่างหลวม ๆ

       “….ตอนแรกว่าจะโกรธต่อหรอก…แต่เห็นว่าวันนี้เป็นวันพิเศษ  ยกโทษให้ก็ได้”

       ยูยะกระซิบเบา ๆ และโน้มใบหน้าลงไปจุมพิตอีกฝ่ายอย่างดูดดื่ม จนมอร์เฟียซเองยังแปลกใจ แต่ก็ยังคงร่วมมือตอบรับสัมผัสนั้นเป็นอย่างดี

       “สุขสันต์วันเกิดครับ …มอร์เฟียซ”

       “อา… เป็นของขวัญวันเกิดที่วิเศษที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้รับมาเชียวล่ะ นาโอกิ”

       แล้วเจ้าตัวก็ชะโงกหน้าไปกระซิบอะไรบางอย่างกับเด็กหนุ่ม ซึ่งยูยะก็หน้าแดงวาบทันที  หากแต่ก็ยังคงพยักหน้ารับเบา ๆ ด้วยความเขินอาย

       “…ตรงนี้..หรือที่ห้องนอนดีล่ะ… นาโอกิ”   น้ำเสียงทุ้มกระซิบแหบพร่า ขณะที่ฝ่ามือใหญ่ล้วงเข้าไปลูบไล้แผ่นหลังขาวเนียนไปมา

       “…เอ่อ…คือ….”  แล้วเด็กหนุ่มก็ชะโงกหน้าเข้าไปกระซิบที่ข้างหูของอีกฝ่าย ใบหน้าหวาน ๆ นั้นแดงก่ำ   ซึ่งชายหนุ่มเมื่อฟังแล้วก็หัวเราะในลำคอเบา ๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นอุ้มร่างเล็กตรงไปยังห้องนอนของตนทันที…

       มอร์เฟียซจัดการวางร่างบางลงบนเตียงนอน ก่อนที่ตัวเขาเองจะทาบทับร่างหนาของตนตามลงไปติด ๆ

       “อืม…อ๊ะ…ดะ…เดี๋ยวก่อน มอร์เฟียซ..” ยูยะรีบดันอกกว้าง ยั้งไว้ก่อน

       “มีอะไรหรือ …นาโอกิ”  ชายหนุ่มเงยหน้าจากซอกคอขาวของอีกฝ่าย  ขึ้นมามองด้วยสายตางง ๆ

       “ของขวัญผม…คุณเปิดมันดูหรือยัง” 

       ชายหนุ่มยิ้มนิด ๆ ก่อนจะกดริมฝีปากลงบนหน้าผากเกลี้ยงเกลานั้นหนัก ๆ จากนั้นจึงเอื้อมมือไปหยิบกล่องของขวัญซึ่งเขาวางไว้แถว ๆ หัวเตียงเมื่อคืน ขึ้นมาแกะออก

       …สเวตเตอร์สีเขียวเข้ม ตัวใหญ่  ที่คนได้รับมองด้วยตาก็พอจะรู้ว่าเป็นของเบรนเนมด์ ชั้นดี  มอร์เฟียซอมยิ้มนิด ๆ ก่อนจะขยี้หัวร่างเล็ก ซึ่งลุกขึ้นมานั่งลุ้นขณะที่ชายหนุ่มแกะของขวัญด้วยความตื่นเต้น

       “ชางช่วยเลือกให้ล่ะสิ”   ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเอ็นดู  ยูยะพยักหน้ารับค่อย ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทางเขิน ๆ

       “คือ…ผมไม่รู้ว่าคุณชอบอะไร แบบไหน  จะเลือกเองก็ไม่กล้า เลยปรึกษาดอกเตอร์ลี เขาก็ช่วยเลือกให้น่ะครับ”

       “แล้วทำไมถึงเลือกสีเขียวมาล่ะ…” ชายหนุ่มถามต่อ  ไม่คิดหรอกว่าชางจะเป็นคนเลือกสีให้ด้วย  เพราะหมอนั่นน่าจะรู้ว่า ส่วนใหญ่แล้วเขามักจะใส่แต่เสื้อผ้าสีพื้น ๆ  เช่น ขาว  ดำ แล้วก็เทา เท่านั้น

       “…เพราะว่าผม คิดว่ามันเข้ากับสีตาของคุณ….คุณคงไม่ชอบมันใช่ไหมครับ…”  ท้ายประโยคน้ำเสียงของเด็กหนุ่มแผ่วลง  ก็ตอนที่เขาเลือกสีเขียวมา  ชางก็แย้ง ๆ มาบ้างเหมือนกัน ว่า มอร์เฟียซมักจะชอบสีพื้น ๆ  แต่เขาก็ยังอยากจะให้ชายหนุ่มใส่สีนี้นี่นา

       “เด็กโง่…”  มือใหญ่โอบร่างเล็กเข้ามากอดแนบอก  “ของที่เธอเลือกให้ฉัน มีหรือที่ฉันจะไม่ชอบ…ฉันชอบมันมากเลยนะ  ชอบมากกว่าเสื้อผ้าทุกชุดที่ฉันมีด้วยซ้ำ”

       ยูยะเงยหน้ามองชายคนรักอย่างไม่ค่อยแน่ใจ  หากแต่เขาก็พบเพียงแต่ความจริงใจ และความซื่อตรงที่ฉายอยู่ในดวงตาสีเขียวทั้งสองข้างเท่านั้น

       “มอร์เฟียซ…”   ยูยะกระชับอ้อมกอดตอบอีกฝ่ายแน่น  มอร์เฟียซ  คาเตอร์ค่อย ๆ เอื้อมมือไปวาง สเวตเตอร์ไว้ตรงหัวเตียง   ส่วนทั้งเขา ทั้งยูยะ ก็ล้มตัวเอนลงนอนบนเตียงนั้นไปด้วยกัน



      “ตื๊ด…ตื๊ด…ตื๊ด…ตื๊ด…ตื๊ด…ตื๊ด…”

       เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นขัดจังหวะ ทำเอามอร์เฟียซทรุดฮวบลงบนแผ่นอกเปลือยเปล่าของอีกฝ่าย ในขณะที่ยูยะนอนหอบ  ใบหน้าแดงก่ำ

       “…ใครโทรมากันนะ!”   ชายหนุ่มคำรามขึ้นอย่างหงุดหงิด  ลุกขึ้นไปหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะมาดูเบอร์ แล้วก็ยิ่งใบหน้าบึ้งตึงมากขึ้นกว่าเดิม

       “มีธุระอะไร!!”  น้ำเสียงตะคอกห้วน ๆ นั้น ทำเอายูยะซึ่งนอนอยู่บนเตียงสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ  ในขณะที่ปลายสายที่โทรเข้ามา กลับหัวเราะเบา ๆ อย่างไม่สะทกสะท้าน

     “โอ้! แย่จริง ๆ เสียงหงุดหงิดแบบนี้ แสดงว่าฉันโทรมาขัดจังหวะอะไรบางอย่างนายใช่ไหมล่ะ  มอร์เฟียซ…  อืม….จริงสิ ยูยะอยู่แถวนั้นด้วยหรือเปล่า  ตามมาพูดสายหน่อยสิ”

       “ทำไม!  นายมีธุระอะไรกับนาโอกิกันแน่!!”  น้ำเสียงเริ่มพาลขึ้นทุกที  จนยูยะที่ฟังอยู่ถึงกับเหงื่อตก เพราะดันมีชื่อของเขาโผล่มาเกี่ยวข้องด้วย

       “มีสิ…สำคัญด้วย  แหม  ยังไง ๆ ฉันกับยูยะก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล  มิหนำซ้ำ ระหว่างเราก็ยังมีความลับต่อกัน ที่นายไม่รู้อีกตั้งหลายเรื่องเชียวนะ”

       ถ้าหากชางกำลังพูดอยู่ต่อหน้าเขา  มอร์เฟียซ คาเตอร์คงชกหน้าเพื่อนสนิทคว่ำลงไปแล้ว  ชายหนุ่มยามนี้รู้สึกเหมือนว่าขีดความอดทนที่มีอยู่ในตัวจะเริ่มหมดลงไปทุกที

       “มอร์เฟียซครับ…”  เสียงเล็ก ๆ เอ่ยขัดขึ้นมาเบา ๆ ชายหนุ่มหันไปมองก็เห็นว่าใบหน้าหวาน ๆ นั้นซีดลงเล็กน้อยด้วยความเป็นกังวล

       “นาโอกิ…ชางจะพูดด้วย”

       ชายหนุ่มพยายามข่มอารมณ์เดือดพล่านของตัวเองเต็มที่  เขาไม่อยากที่จะเห็นน้ำตาแห่งความเสียใจของร่างเล็ก ๆ ตรงหน้าที่เกิดขึ้นเพราะตัวเขาอีกครั้ง

       “คะ…ครับ”  ยูยะรับโทรศัพท์ขึ้นพูดอย่างหวาด ๆ  ซึ่งพอชางได้ยินเสียงของเด็กหนุ่ม เจ้าตัวก็ทักขึ้นด้วยความร่าเริงทันที

       “ยูยะเหรอ! กำลังทำอะไรอยู่หรือเปล่า!”

       ยูยะสะอึก ใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นทันที

       “ปะ…เปล่า ครับ…ไม่ได้ทำ”

       เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังมาตามสาย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงที่ค่อนข้างจริงจังกว่าเดิม

       “เป็นไงของขวัญที่ซื้อไป  มอร์เฟียซชอบหรือเปล่า”

       “อ่ะ…ครับ…ชอบครับ”

       มอร์เฟียซชะงักนิดหนึ่ง  ก่อนจะจ้องมองที่เด็กหนุ่มเขม็ง พยายามจะตีความหมายของคำว่าชอบที่อีกฝ่ายพูดออกมาว่ามันหมายถึงอะไรกันแน่

        “อืม…ดีแล้ว  แต่ฉันว่านะ  มอร์เฟียซมันน่าจะถูกใจคนให้มากกว่าตัวของขวัญมากกว่าล่ะมั้ง”   ชางแกล้งพูดลอย ๆ ยังผลให้ยูยะใบหน้าแดงก่ำทันที

       เสียงกระแอมเบา ๆ ดังขึ้นจากคนที่อยู่ในห้องนั้นอีกคน  ยูยะเหลือบมองก่อนจะยิ้มแหย ๆ ให้ด้วยความกระอักกระอ่วน

       “อ่า…ดอกเตอร์ครับ  แล้วมีอะไรอีกหรือเปล่าครับ”

       “อ๋อ มีสิ  คือฉันอยากจะมาย้ำเรื่องเย็นนี้อีกที ยังไงก็ต้องมาให้ได้ล่ะ  ดึงมอร์เฟียซมาด้วย  ฉันกับเคธี่เตรียมงานรอกันอยู่แล้วนะ”   น้ำเสียงเป็นการเป็นงานนั้น ทำให้ยูยะคลายความตึงเครียดไปได้บ้าง ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเป็นปกติ

       “ได้ครับ  เดี๋ยวผมจัดการทางนี้เอง”

       “ดีล่ะ  ไว้ใกล้ ๆ  ฉันจะโทรมาเรียกอีกครั้ง  ว่าแต่คนที่อยู่ข้าง ๆ เธอเป็นยังไงบ้างล่ะ  คงหงุดหงิดน่าดูล่ะสิ”  ชางแซวมาตามสาย ซึ่งยูยะก็กระซิบกระซาบเบา ๆ เพราะเกรงว่าคนที่อยู่ด้วยจะโมโหเอา

       “ก็พอควรล่ะครับ”

       “คุยอะไรกันนักหนา! มีธุระอะไรสำคัญมากมายขนาดนั้นเชียวงั้นรึ!!”

       เสียงนั้นดังเล็ดรอด เข้าไปถึงปลายสายอีกฝ่าย ชางหัวเราะดังลั่นด้วยความถูกใจ  ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

       “หึ ๆ ยูยะ  ส่งโทรศัพท์ ให้มอร์เฟียซสิ  ฉันมีเรื่องจะบอกเขาหน่อย”

       “ตะ…แต่”  ยูยะเริ่มลังเล เพราะกลัวจะเกิดการยั่วโมโหกันขึ้นอีก  แน่นอนว่าคนที่รับเคราะห์นอกจากเขา ก็คงไม่มีใครอื่น

       “ไม่ต้องห่วง ฉันไม่แหย่เขาแล้วล่ะ  มีเรื่องสำคัญจะบอกจริง ๆ”

       “ก็ได้ครับ ..เอ่อ มอร์เฟียซครับ  ดอกเตอร์ต้องการพูดสายกับคุณครับ”

  ยูยะยื่นโทรศัพท์ให้อีกฝ่าย ที่กระชากรับไปเหมือนกับไม่ค่อยจะเต็มใจนัก

       “มีอะไร!”  น้ำเสียงห้วนตวาดถามทันที

       “ผมรักมอร์เฟียซ..”  คำพูดที่ชางตอบกลับมาตามสาย  ทำเอามอร์เฟียซ  คาเตอร์แทบจะแข็งค้างเป็นก้อนหิน

       “นะ..นาย ว่ายังไงนะ  ..ชาง  หูฉันฝาดไปมั้ง…” น้ำเสียงนั้นถามตะกุกตะกักอย่างไม่ค่อยอยากเชื่อหูตัวเอง   จนชางเผลอหลุดหัวเราะออกมาดังลั่นอย่างลืมตัว

       “ฮ่า ๆ ๆ  ไอ้บ้า! นี่นายคิดอะไรของนายวะ มอร์เฟียซ  คาเตอร์! ไอ้ที่ฉันบอกรักออกไปน่ะ  มันไม่ใช่คำพูดของฉันสักหน่อย  ฉันจำเขามาบอกให้ฟังอีกทีต่างหาก!”

       ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก  ก่อนจะตวาดกลับไป อย่างฉุน เฉียว

       “แล้วดันพูดออกมาทำหอกอะไรกันวะ!  ทำเอาคนตกอกตกใจหมด! … แต่ เอ๋ ..นายจำคำพูดใครเขามา…อย่าบอกนะว่าเป็นของ…”

       มอร์เฟียซ  คาเตอร์ ใบหน้าแดงระเรื่อนิด  ๆ เมื่อหันไปสบตากับยูยะ เขาก็รีบเบือนหน้าหนี ก่อนจะกลับไปซักคู่สนทนาอีกครั้ง

       “เฮ้! ลี  ชาง  ไอ้บ้า! บอกมาสิ! ตกลงมันคำพูดของใครกันแน่หา!”

       ลี ชาง หัวเราะในลำคอ  ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่พยายามเก๊กให้อ่อนหวานเต็มที่

        “…ยามปกติ เขาอาจจะดูเหมือนคนชอบแกล้ง  ชอบทำให้ผมโมโห หรือไม่ก็แหย่ให้กลัวอยู่บ่อย ๆ แต่ความจริงแล้ว มอร์เฟียซ เป็นคนอ่อนโยน  น่ารัก  เป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิตของผม …โอ๊ย!!  ยังมีอีกสารพัดคำหวาน แต่ฉันขี้เกียจจำว่ะ! จำได้แค่นี้แหละ  พูดก็พูดเถอะนะ   ฟังแล้วฉันอิจฉานายชะมัด  ที่มีคนที่ให้ความสำคัญขนาดนี้เนี่ย!”

       ทว่า  เสียงบ่นประโยคหลัง ไม่ได้เข้าหู มอร์เฟียซแล้วตอนนี้   ชายหนุ่มแทบจะหุบยิ้มลงด้วยความยากลำบาก  อาการหงุดหงิด อารมณ์เสียก่อนหน้านั้น หายไปหมดจนไม่เหลือเลยแม้แต่น้อย

       “เออ ๆ งั้นแค่นี้ก่อนนะ  ตอนนี้ฉันมีงานด่วน  งั้นแค่นี้ล่ะ!”

       แล้วเจ้าตัวก็กดวางสายฉับพลัน  มอร์เฟียซวางโทรศัพท์ลง ก่อนจะหันมายิ้มให้กับร่างเล็กที่นั่งอยู่ข้าง ๆ

       “นาโอกิ …เมื่อวานไปคุยอะไรกับชางมาอย่างนั้นหรือ”

       ยูยะเลิกคิ้วด้วยความสงสัย กับท่าทีที่เปลี่ยนไปของชายหนุ่ม หากแต่เมื่อมอร์เฟียซ  คาเตอร์ทวนถ้อยคำประโยคที่เขาได้ยินมาทางโทรศัพท์  เด็กหนุ่มก็ใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที

       “ดอกเตอร์นะดอกเตอร์…ก็บอกแล้วว่าจะไม่พูดให้ใครฟัง…เชื่อไม่ได้เลยจริง ๆ”

       ยูยะบ่นอุบ ทั้งเขิน ทั้งอาย จนแทบจะมองหน้าอีกฝ่ายไม่ติดเสียแล้วยามนี้

       “..วันหลังพูดต่อหน้าฉันตรง ๆ ก็ได้นะ  ไม่ต้องไปฝากให้คนอื่นมาบอกหรอก” 

       น้ำเสียงและแววตากรุ้มกริ่มของอีกฝ่าย ทำเอายูยะต้องฟุบหน้าหนีลงกับหมอนใบใหญ่ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามอง  คอและใบหูแดงก่ำ  จนมอร์เฟียซถึงกับหัวเราะเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู

       “น่ารักจริง ๆ เด็กน้อยของฉัน …”

       ชายหนุ่มขยี้เส้นผมดำนุ่มดุจแพรไหมชั้นดีนั้นเล่น  ก่อนจะฝังจมูกลงไปซุกไซ้ที่ซอกคอขาวเนียนเบื้องหลังอย่างรุกเร้า

       “อ๊ะ…..อา…มอร์เฟียซ”    ยูยะครางเบา ๆ เมื่อริมฝีปากร้อนไล่จูบไปตามแผ่นหลังของเขา  ก่อนที่มือใหญ่ทั้งสองข้างจะจัดการพลิกกายของอีกฝ่าย  พร้อมกับดึงสะโพกของร่างเล็กให้ยกขึ้นเล็กน้อย จากนั้นจึงค่อย ๆ สอดแทรกนิ้วเรียวยาวทั้งสองเข้าไปสำรวจช่องทางภายในเสียก่อนอย่างช้า  ๆ

        “อ๊ะ….อะ…อา…”

       “นาโอกิ…พร้อมหรือยัง…ฉันจะเข้าไปแล้วนะ”  น้ำเสียงทุ้มนุ่มกระซิบถามข้าง ๆ หู  ยูยะหายใจหอบแรง ๆ ก่อนจะพยักหน้าค่อย ๆ

       “อะ…โอเค….มอร์เฟียซ….อ๊ะ….อา!!”

       เด็กหนุ่มผวาขึ้นกอดอีกฝ่ายแน่น  ก่อนจะจิกเล็บเข้ากับแผ่นหลังกว้างจนเลือดไหลซิบ ๆ เมื่อร่างสูงเคลื่อนสะโพกเข้าออกช้า ๆ พร้อมกับเร่งจังหวะขึ้นไปเรื่อย ๆ

       “อา…เจ็บมากไหม นาโอกิ…จะให้ฉันเอาออกไปไหม”  ร่างสูงเอ่ยถามปนเสียงหอบ  ยูยะลืมตาขึ้นมามองหน้าชายหนุ่มทั้งน้ำตา  ก่อนจะโอบแขนเล็ก ๆ ทั้งสอง คล้องที่คอของอีกฝ่าย พร้อมกับเบียดร่างกายเข้าไปจนชิดกับ    แผ่นอกกว้าง

       “…มอร์เฟียซ….ผมรักคุณ…ต้องการคุณ…”

       ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะก้มลงจูบที่ริมฝีปากบางอย่างดูดดื่ม  พร้อมกับเร่งจังหวะที่สะโพกด้านล่างให้เร็วขึ้นอีก

       “อ๊ะ …อา …มอร์เฟียซ…อ๊า!!!”

       ร่างเล็กกรีดร้องสุดเสียง  ก่อนจะฟุบลงหายใจหอบคาอกกว้าง  โดยที่ชายหนุ่มก้มลงจูบที่ขมับของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน หลังจากที่พวกเขาขึ้นสู่จุดสูงสุดยอดแห่งความหรรษาเกือบจะเป็นเวลาเดียวกัน

       “อืม…มอร์เฟียซ …เย็นนี้คุณว่างไหมครับ”

       ยูยะเอ่ยปากชวน หลังจากที่ทั้งคู่ได้พักผ่อนกันมาสักพักใหญ่แล้ว

       “ก็ว่างอยู่หรอกนะ…ว่าแต่ทำไมหรือนาโอกิ”

       ชายหนุ่มพูดพลางโอบกอดร่างบางเข้ามาแนบกับอกกว้างอย่างทะนุถนอมและหวงแหน

        “ดอกเตอร์ กับมิสเคธี่ จะจัดปาร์ตี้วันเกิดให้คุณครับ  จัดกันที่บ้านพักของมิสเคธี่  ดอกเตอร์สั่งให้ผมพาคุณไปด้วยให้ได้”

       เด็กหนุ่มตอบยิ้ม ๆ ซึ่งมอร์เฟียซก็หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะก้มลงจูบที่หน้าผากเกลี้ยงเกลานั้นอย่างเอ็นดู

       “ถ้าเธอไป ฉันก็ต้องไปอยู่แล้ว…ว่าแต่เธอเถอะ ไปไหวงั้นหรือ”

        ยูยะหน้าแดงระเรื่อ  ก่อนจะตอบเสียงอุบอิบ

       “ยังไงงานนี้ ถึงไม่ไหวก็ต้องไหวล่ะครับ…”

       ชายหนุ่มแย้มยิ้มให้อีกฝ่าย ก่อนจะกระซิบแผ่วเบาข้างหู

       “เอาเถอะ…ถ้าเธอเดินไม่ไหวฉันจะอุ้มเธอไปเองก็ได้นะ”

       เด็กหนุ่มหน้าแดงวาบอีกครั้ง ก่อนจะรีบสั่นศีรษะปฏิเสธทันที

       “อย่าเลยครับ…แค่นี้ก็ไม่รู้ว่าจะไปแก้ตัวกับทุกคนที่หอยังไงแล้ว  …ขืนคุณอุ้มผมจากที่นี่ไปบ้านพักของมิสเคธี่  มีหวังทั้งโรงเรียนคง…”

       “ก็ไม่เห็นจะเป็นไร”   มอร์เฟียซขัดขึ้นมาเรียบ ๆ

       “ใครเขาอยากจะพูดก็ให้พูดไป  สำคัญที่เธอต่างหาก นาโอกิ … ถ้ามีข่าวลือเรื่องนี้เกิดขึ้นจริง ๆ เธอจะเลิกคบกับฉันไหมล่ะ”   ชายหนุ่มตั้งคำถาม หากแต่ยูยะรีบผวากอดอีกฝ่ายแน่นทันทีด้วยความตกใจ

       “ไม่นะครับ!  ผมไม่ยอมหรอก! …. เอ่อ… คือ  ผม….” เจ้าตัวเริ่มตะกุกตะกักตอบด้วยความเขินอาย  เพราะดันเผลอลืมตัวแสดงความรู้สึกจากส่วนลึกออกไปโดยไม่ทันคิด  หากแต่การกระทำเช่นนั้น กลับทำให้ชายหนุ่มที่ฟังอยู่ยิ้มหน้าบานด้วยความดีใจ

       “วันนี้เป็นวันที่ฉันมีความสุขมากที่สุดรู้ไหม…ฉันรักเธอ..นาโอกิ”

  ยูยะตอบรับคำบอกรักอ่อนโยนนั้นด้วยจุมพิตแสนหวานของเขา 

       “ผมก็รักคุณ…มอร์เฟียซ…”

       ไม่ว่าวันที่ 29 สิงหาคมนี้ จะเวียนผ่านมาอีกสักกี่รอบก็ตาม ….เราก็ยังจะคงอยู่เคียงข้างกันไปเช่นนี้เสมอ  และจะยังคงกระซิบคำบอกรักที่แสนหวานอย่างนี้ต่อกัน ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง…..

       Happy birthday to you, Morpheus…I love you.




+++  End +++

ลงยาวรวดเดียวให้อ่านให้จุใจเลยค่ะ  ^ ^ ตอนหน้าก็ยังมีเรื่องราวของคู่นี้อีก ส่วนคู่อื่น ๆ จะตามมาภายหลังนะคะ โดยเฉพาะอีตาชางตัวแสบ เรื่องสั้นของอีตานี่ก็มีให้อ่านอย่างจุใจเช่นกัน (แต่รอสักพักเน้อ)
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #1 : Happy Birthday, Morpheus. (27 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: LadyOneStar ที่ 27-06-2011 21:28:26
เย้ๆๆ
รอคอนทินิวค่ะ
อยากรุจัง ใครจะทำให้ชางหัวปั่น
หรือ...ชางจะไปปั่นหัวใคร??? ^____^
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #1 : Happy Birthday, Morpheus. (27 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 27-06-2011 22:05:42
รอค่ะ

 :impress3: :impress3:
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #1 : Happy Birthday, Morpheus. (27 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: jaymaza ที่ 27-06-2011 22:26:53
สนุกมากค่ะ

อยากให้เป็นเรื่องยาวๆเลย ยิ่งดี

รออ่านค่ะ ,,,:]

หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #1 : Happy Birthday, Morpheus. (27 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 27-06-2011 22:34:03
หวานนนนนน
อ่านแล้วอิจฉา
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #1 : Happy Birthday, Morpheus. (27 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: SuSaya ที่ 27-06-2011 22:40:08
น่าอิจฉามอร์เฟียสจริง ๆ ได้ทั้งของขวัญได้ทั้งคนให้ แต่อย่าหึงรุนแรงบ่อยนักล่ะอดสงสารยูยะไม่ได้อ่ะ เดี๋ยวช้ำหมด
ตอนหน้าจะเป็นคู่ไหน...รอนะคะ
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #1 : Happy Birthday, Morpheus. (27 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: Gokusan ที่ 27-06-2011 22:55:08
อาจารย์หึงโหด แต่น่ารักอ่ะ
เป็นวันเกิดที่น่าจดจำไปตลอด ^^
ยูยะยังคงน่ารัก...แถมแสดงออกมากกว่าเดิมด้วย

ตอนต่อของชางนี่น่าสนใจเชียวค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #2 : Festival (28 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 28-06-2011 21:42:45


Special #2 : Festival



  ร่างเล็ก ๆ ซึ่งกำลังวิ่งหน้าตาตื่นไปยังห้องเรียนอย่างรีบด่วน เพราะตื่นสาย ต้องอุทานด้วยความตกใจ เมื่ออยู่ดี ๆ ก็มีมือใหญ่จากข้างหลังเอื้อมมาปิดปากบางอย่างรวดเร็ว ก่อนจะดึงร่างของเขาเข้าไปยังมุมตึกลับตาผู้คน

       “ดะ…เดี๋ยวก่อน..มอร์เฟียซ  อย่าเพิ่ง”  ยูยะรีบร้องห้าม เมื่อคนที่ออกแรงฉุดเขาเข้ามา เริ่มก้มใบหน้าลงซุกไซ้ที่ซอกคอขาวนั้นอย่างโหยหา

       “ไม่เดี๋ยวแล้วนาโอกิ… สามวันมานี่ฉันงานยุ่งจนไม่มีเวลาอยู่กับเธอสองต่อสองเลยนะ  รู้ไหมว่าฉันอยากกอดเธอมากขนาดไหน…”

       ยูยะพยายามต้านทานอีกฝ่ายสุดกำลัง  ความจริงเขาเองก็ไม่ได้รังเกียจอ้อมกอดอะไรของชายหนุ่มนักหรอก  ตรงกันข้ามกับชอบมากด้วยซ้ำไป แต่ต้องไม่ใช่ในเวลาเร่งด่วนเช่นนี้

       “อื้ม..ตอนนี้ไม่ได้…ผมต้องไปเรียนวิชาของอาจารย์ฟาเรียสนะ!”

       มอร์เฟียซชะงักเล็กน้อย  ก่อนจะฝังรอยจูบไว้ที่ซอกคอขาวแรง ๆ ครั้งหนึ่ง  จากนั้นจึงแย้มยิ้มขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์   

       “งั้นหรือ? โอเค  ถ้าอย่างนั้นก็มาด้วยกันสิ  ฉันจะไปส่งเธอเอง”

       ยูยะมองร่างสูงตรงหน้าด้วยความแปลกใจ  เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะว่าง่ายผิดคาดแบบนี้

        ยูยะเดินตามชายหนุ่มไปต้อย ๆ ก่อนจะเหลือบชำเลืองมองคนตรงหน้าเป็นระยะ ๆ ด้วยความหวาดระแวง   แต่หลังจากนั้น  เขาก็ถอนหายใจได้อย่าง โล่งอก เมื่อมอร์เฟียซพาเขามาส่งถึงหน้าห้องเรียนจนได้

       “ขอโทษทีครับอาจารย์ฟาเรียส”   ชายหนุ่มเอ่ยทักขัดจังหวะชายวัยกลางคนที่กำลังสอนอยู่หน้าห้อง ซึ่งอีกฝ่ายพอหันมาเห็นเขาเข้าก็ส่งยิ้มให้  ก่อนจะเดินเข้ามาหาตรงหน้าประตู

       “มีอะไรงั้นหรือ  มอร์เฟียซ   อ้าว  นาโอกินี่ มาด้วยกันงั้นหรือ?”  ท้ายประโยคหันมาถามด้วยความสงสัย  ยูยะยิ้มแห้ง ๆ ให้  ก่อนจะโค้งตัวเดินผ่านฟาเรียสเข้าห้องเรียน ทว่า มือใหญ่แข็งแรงข้างหนึ่งก็รั้งแขนของเขาเอาไว้ไม่ให้ไปเสียก่อน

       “คือผมมาขอยืมตัวนาโอกิ ให้ไปช่วยงานอะไรบางอย่างผม ในชั่วโมงของคุณสักหน่อย ไม่ทราบว่าจะขัดข้องไหมครับ”

       ยูยะสะดุ้งเฮือก  ก่อนจะหันขวับมายังชายหนุ่มข้าง ๆ ทันที

       “อ๋อ! ไม่มีปัญหาหรอก  เชิญคุณตามสบายเลย   จะว่าไปแล้วเพราะคุณนั่นล่ะ   ทำให้เด็กคนนี้ทำคะแนนวิชาคณิตศาสตร์ดีขึ้นผิดหูผิดตาเชียว  เอ้า! นาโอกิ  ยังไงก็ช่วยงานอาจารย์คาเตอร์เขาให้สุดความสามารถเลยล่ะ!”

       ฟาเรียสหันมาตบบ่าของเด็กหนุ่มพลางหัวเราะ  โดยไม่ได้ทันสังเกตใบหน้าซีดเผือดของร่างเล็กนั้นเลยแม้แต่น้อย

       “เอาล่ะ! ไปกันเถอะนาโอกิ  เดี๋ยว‘งาน’ ของเราจะเสร็จไม่ทันเวลานะ”

       มอร์เฟียซ  คาเตอร์  กล่าวขึ้นพร้อมเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปากนิด ๆ ซึ่งยูยะเห็นแล้วก็อยากจะวิ่งหนีเข้าห้องเรียนไปเสียตอนนี้จริง ๆ

       “ไปล่ะครับอาจารย์ฟาเรียส  ไม่รบกวนคุณแล้วล่ะ”   มอร์เฟียซกล่าวลาชายวัยกลางคนอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะฉุดแขนของเด็กหนุ่มที่ทำหน้าเหมือนกับจะร้องไห้ ให้ตามเขาไปติด ๆ

 

      ยูยะมีท่าทีลังเลไม่กล้าเข้าไปในห้องพักของอีกฝ่าย  ซึ่งอาจารย์หนุ่มก็หยุดมอง พลางเลิกคิ้วถามด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจนัก

             “ทำไมล่ะ ไม่อยากอยู่กับฉันสองต่อสองอย่างนั้นหรือ”

       “ปะ … เปล่าครับ”

       “งั้นทำไมถึงทำท่าไม่อยากเข้ามาขนาดนี้ หือ?”

       “เอ่อ….”   ยูยะอ้ำอึ้งไม่กล้าตอบ ก่อนที่ใบหน้าหวาน ๆ จะแดงระเรื่อขึ้นอย่างหยุดไม่อยู่

       มอร์เฟียซจ้องพิจารณาอาการเช่นนั้นของเด็กหนุ่มสักครู่  ก่อนจะแย้มยิ้มออกมาได้ในที่สุด

       “อืม..เข้าใจล่ะ เอาเป็นว่าวันนี้ฉันจะไม่ทำอะไรรุนแรงกันเธอก็แล้วกัน”

       ยูยะใบหน้าแดงก่ำ  ก่อนจะก้มหน้าลงพูดอุบอิบเบา ๆ

       “ตะ…แต่ …คราวก่อนหน้านั้นก็พูดแบบนี้  แล้วก็…”

       เสียงหายเงียบไปในลำคอ  หากแต่คนฟังรีบพูดกำชับให้อีกฝ่ายเชื่อมั่นทันที

       “เอาน่า! คราวนี้ฉันสัญญา  ถึงอยากจะกอดเธอใจจะขาดขนาดไหน แต่ก็จะไม่ทำรุนแรงเด็ดขาด”

       “แน่นะครับ”  ยูยะเงยหน้ามองอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อคำพูดนั้นนัก จนชายหนุ่มที่ยืนจ้องมองมาชักจะเริ่มหมั่นไส้นิด ๆ

       “เฮ่อ!…แน่สิ…เลิกพูด เลิกถามได้แล้วน่า”  เจ้าตัวตัดบท  ก่อนจะดึงร่างเล็กเข้ามาในห้อง จัดการล็อกประตู และกึ่งจูง กึ่งลาก เด็กหนุ่มไปยังโซฟามุมห้องทันที
 

     “อะ..อา  มอร์เฟียซ”

       ยูยะครางชื่อของอีกฝ่ายเบา ๆ เมื่อกระดุมเสื้อเชิ้ตถูกปลด และเรียวลิ้นอุ่นชื้นลากไปทั่วหน้าอกขาวเนียนนั้น

       “ใช่แล้ว นาโอกิ ไม่ต้องพูดอะไร…นอกจากชื่อของฉัน เท่านั้นก็พอ”

       ชายหนุ่มกระซิบ  จากนั้นจึงวกริมฝีปากกลับไปยังเรียวปากนุ่ม ที่เผยอขึ้นน้อย ๆ  อย่างเชื้อเชิญ  เรียวลิ้นช่ำชองรุกล้ำเข้าไปภายในปากของอีกฝ่ายเพื่อแสวงหาความหวานภายในอย่างโหยหา

       “อืม….อือ..”

       เป็นเวลานานหลายนาทีทีเดียว ที่ร่างสูงจะยอมปล่อยให้ริมฝีปากบางเป็นอิสระ  ซึ่งนั่นก็ทำให้เด็กหนุ่มถึงกับอ่อนระทวยทั้งร่าง  พลางจ้องมองอีกฝ่ายด้วยดวงตาปรือนิด ๆ ที่บ่งบอกถึงความปรารถนาไม่แพ้กัน

       “อา…มอร์เฟียซ…ผม…..”

       ยูยะโอบแขนทั้งสองรั้งศีรษะของชายหนุ่มเข้ามาใกล้ ๆ ก่อนจะกระซิบอะไรบางอย่างด้วยใบหน้าแดงก่ำ

       มอร์เฟียซเหยียดยิ้มขึ้นนิด ๆ ก่อนจะจูบปากบางที่บัดนี้บวมแดงจากการจูบก่อนหน้านั้นอีกครั้งหนึ่ง  แล้วจึงจัดการปลดเปลื้องเสื้อผ้าที่มันเกะกะทั้งของตัวเขา และตัวของเด็กหนุ่มออกไปเสีย ในเวลาอันรวดเร็ว

       “อะ… เบา ๆ หน่อยนะครับ มอร์เฟียซ…”   เด็กหนุ่มยังไม่วายเตือนคนบนร่างเขาด้วยใบหน้าแดงซ่าน  ยังผลให้คนถูกเตือนนึกอยากจะแกล้งร่างเล็กขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

       “ก็…สำหรับฉัน..มันก็ถือว่าไม่รุนแรงเท่าไรหรอกนะ…”

       ทั้งสีหน้า  น้ำเสียง และแววตา นั้น  ทำให้ยูยะสะดุ้งเฮือก  ก่อนจะร้องครางลั่นออกมาอย่างลืมตัว เมื่ออีกฝ่ายเริ่มขยับสะโพกเบื้องล่างแรง ๆ อย่างกลั่นแกล้ง

       “อ๊ะ…มอร์เฟียซ…ไม่นะ…อ๊า!!”

       มือเล็ก ๆ ที่โอบกอดร่างสูง จิกเล็บฝังลงไปบนแผ่นหลังกว้างนั้นอย่างลืมตัว  น้ำตาเริ่มซึมออกมาคลอเบ้า  จนชายหนุ่มนึกสงสาร

       “อืม…อย่าร้องไห้สิ นาโอกิ…ขอโทษนะ… ฉันไม่แกล้งเธอแล้วล่ะ”

       ชายหนุ่มกระซิบแผ่วเบา พร้อมกับจูบที่เปลือกตาของยูยะอย่างอ่อนโยน  ก่อนจะเล้าโลมร่างบางให้หายหวาดกลัว และผ่อนคลายลงอย่างช้า ๆ

       “อา…มอร์เฟียซ….”   

         …ผม….รัก…

       …คุณ…..
       …..

       เมื่อบทรักที่นุ่มนวลและแสนจะอ่อนโยนผ่านพ้นไป  ร่างเล็กก็ฟุบลงบนโซฟานั้น โดยมีร่างสูงนั่งอยู่ใกล้ ๆ พลางลูบไล้เส้นผมดำนุ่มดุจแพรไหมนั้นเล่นด้วยความเอ็นดู และรักใคร่

       “เป็นไง…คราวนี้ฉันรุนแรงกับเธอบ้างไหมล่ะ”  น้ำเสียงนุ่มถามหยอกเย้า  ยูยะได้ฟังแล้วก็ต้องหน้าแดง  ไม่ได้ตอบอะไรออกไป ทั้ง ๆ ที่ในใจคิดว่า วันนี้ มอร์เฟียซ ปฏิบัติต่อเขาอย่างอ่อนโยนกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ถึงจะมีรายการแกล้งกันบ้างเล็กน้อยก็เถอะ

       “หึ ๆ”   ร่างสูงหัวเราะในลำคอแผ่วเบา  ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มคนรักคิดอะไรอยู่ในใจ  ก็เมื่อใบหน้าแดง ๆ หวาน ๆ นั่น มันเขียนบอกความรู้สึกให้เขารู้จนหมดอย่างนั้น

       “เย็นนี้ แวะมาหาฉันที่ห้องอีกสินาโอกิ  อืม … หรือจะแวะไปที่บ้านพักเลยก็ได้นะ  ค้างคืนกับฉันสักคืนก็ได้..”   น้ำเสียงทุ้มพูดอ้อนข้าง ๆ หู  จนยูยะเกือบจะเคลิ้มตาม แต่ก็ต้องรีบสั่นศีรษะปฏิเสธทันที

       “ไม่ได้ครับ! ผมมีซ้อม…ทั้งอาทิตย์นี้  แล้วก็อาทิตย์หน้าด้วย”

       ชายหนุ่มขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจนักที่เห็นคนรักตัวน้อยปฏิเสธ

       “ซ้อม?  เนื่องในโอกาสอะไร?  มันสำคัญถึงขนาดทำให้ไม่มีเวลามาพบฉันเชียวงั้นหรือ?”

        ยูยะยิ้มแห้ง ๆ  ดูท่า มอร์เฟียซ คาเตอร์ จะงานยุ่งจริง ๆ จนลืมเทศกาลสำคัญของสถาบันอีเดนไปเสียได้

       “ก็ซ้อมไว้แข่งขันดนตรี  ในงานประจำปี สถาบันน่ะสิครับ”

       “หือ?”  ชายหนุ่มขมวดคิ้วฉงน ก่อนจะร้องอ๋อ อย่างนึกได้ขึ้นมาทันที

       “อ๋อ! งานประจำปีเองงั้นหรือ  ใช่สินะ  อีกไม่กี่อาทิตย์ก็จะถึงแล้ว  ฉันเองก็ลืมไปเสียสนิทเชียว  จะว่าไปแล้ว ฉันก็ไม่ได้อยู่ฝ่ายที่ต้องรับผิดชอบเสียด้วย เลยไม่ได้สนใจนัก  ว่าแต่เธอก็จะลงแข่งอีกงั้นหรือปีนี้?”

       มอร์เฟียซถามด้วยความสนใจ   เพราะปีที่แล้ว ยูยะก็ลงแข่ง  แถมยังได้รับรางวัลชนะเลิศ ไปครองอีกต่างหาก

       “ครับ  ปีที่แล้วผมลงแข่งประเภทเปียโน  แต่ปีนี้ผมว่าจะลงประเภทไวโอลิน”

       “ไวโอลิน?  ฉันนึกว่าเธอจะลงป้องกันแชมป์เปียโนเสียอีกน่ะ”

       “ปีนี้ผมอยากเล่นไวโอลินน่ะครับ”

       ยูยะตอบยิ้ม ๆ เขาไม่ได้บอกถึงเหตุผลที่เลือกเล่นไวโอลิน  เพราะขืนบอกไป จะทำให้คนตรงหน้าได้ใจเสียเปล่า  ในเมื่อเหตุผลที่แท้จริงก็เพราะว่า ความผูกพันและความสัมพันธ์อันแนบแน่นของพวกเขาทั้งสอง จะว่าไปแล้ว ก็เกิดขึ้นมาจากเหตุการณ์ที่เขาเล่นไวโอลินต่อหน้าชายหนุ่มในวันนั้นนั่นเอง

       “แต่ถึงยังไงก็ไม่เห็นต้องซ้อมอะไรจริงจังขนาดนั้นเลยนี่นา  เธอเองก็มีพรสวรรค์ทางด้านนี้ออก  ที่สำคัญ ถึงจะแพ้ก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่นา  นี่มันก็แค่งานเทศกาลเท่านั้นเอง”

       มอร์เฟียซให้เหตุผล เพราะไม่อยากให้คนรักตัวน้อยของเขา ทุ่มเทกับดนตรีมากเกินไปจนลืมเขา

       “ไม่ครับ! ผมจะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด!”

       ยูยะยืนยันเสียงหนักแน่น  ด้วยใบหน้าจริงจัง

       “ทำไมล่ะ?” ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสงสัย

     เด็กหนุ่มเงียบกริบไปสักพัก  ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เน้นชัด ๆ ทีละคำ ด้วยความไม่ค่อยสบอารมณ์นัก

       “ก็เพราะคะแนนพฤติกรรมที่มันห้อยรุ่งริ่งในเทอมนี้น่ะสิครับ  ถึงมันจะไม่โดนตัดมากเท่ากับปีที่แล้วก็เถอะ  แต่ยังไงมันก็ยังดูน่าสมเพชอยู่ดี”

       เท่านั้นเอง มอร์เฟียซก็เข้าใจทะลุปรุโปร่ง   เขาหัวเราะออกมาดัง ๆ อย่างลืมตัว ซึ่งก็เรียกอาการค้อนขวับ จากเด็กหนุ่มได้ทันที

       “โอเค ๆ ฉันเข้าใจแล้ว  คนชนะนอกจากจะได้รางวัล ยังได้คะแนนพิเศษแถมด้วยนี่นา  หึ ๆ ขอโทษที ที่ฉันแกล้งตัดคะแนนเธอหนักไปหน่อยเมื่อต้นเทอม”

       “อ๊ะ! ยอมรับแล้วสินะครับว่าแกล้งตัดคะแนนผมจริง ๆ!!”

       เด็กหนุ่มรีบสวนขึ้นทันควัน  ซึ่งมอร์เฟียซก็ยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะขยี้เส้นผมดำขลับนั้นเบา ๆ อย่างเอ็นดู

       “ก็เธอมันอยากน่ารัก น่าแกล้งเองทำไมล่ะ   และที่สำคัญ ฉันก็อยากเรียกร้องความสนใจจากเธอบ้างสิ  ไม่ดีหรอกหรือ  เธอเองยังประทับใจ จนตั้งฉายา ‘ซาตานในคราบเทพบุตร’ ให้ฉันเลยไม่ใช่หรือไง”

       ยูยะสะดุ้งเฮือก  มองอีกฝ่ายด้วยสายตาตั้งคำถามว่าเขารู้ได้ยังไง

       “หน้าต่างมีหู ประตูมีช่องนะนาโอกิ   แล้วเธอคิดหรือว่า คนหูไว ตาไวอย่างฉัน จะไม่รู้อะไรบ้างเชียวงั้นหรือ”  มอร์เฟียซพูดพลางเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างน่าหมั่นไส้  หากแต่ยูยะพอจะรู้บ้างแล้ว ว่าชายหนุ่มได้ฟังฉายานั้นมาจากใคร

       “จิมมี่!”  ยูยะกัดฟันกรอด เตรียมคาดโทษเพื่อนรักไว้เต็มที่  เพราะนอกจากจิมมี่แล้ว เขาก็ไม่เคยพูดเรื่องนี้ให้ใครฟังมาก่อนเลย

       “อย่าไปโทษคนอื่นเลยน่า  เธอที่แอบนินทาฉันลับหลังต่างหากล่ะที่ผิด  อืม…ตกลงจะให้ลงโทษยังไงดี หืม?”

       น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ และแววตากรุ้มกริ่มที่มองมา  ทำเอายูยะต้องกระเถิบกายหนีไปไกล ๆ แต่แน่นอนว่า ยังไงก็ไม่พ้นอ้อมแขนนั้นอยู่ดี

       “ต่ออีกรอบดีไหม หือ นาโอกิ?”  น้ำเสียงนุ่มกระซิบเบา ๆ ในขณะที่เด็กหนุ่มรีบสั่นศีรษะปฏิเสธทันที พร้อมกับรีบชี้แจงเหตุผลให้อีกฝ่ายรับฟัง

       “มอร์เฟียซครับ  ชั่วโมงต่อไป ชั่วโมงของคุณนะ แล้วนี่ก็ใกล้จะหมดชั่วโมงของอาจารย์ฟาเรียสแล้วด้วย  คุณจะไม่ไปสอนหรือยังไงกันครับ!”

       “จริงสิ ชั่วโมงของฉัน” อาจารย์หนุ่มทวนคำ  ก่อนจะทำเสียงหัวเราะใน  ลำคอเบา ๆ

       “หยุดสอนวันหนึ่ง ให้ทบทวนบทเรียนกันเองดีไหม?  ฉันว่าเพื่อน ๆ ของพวกเธอคงจะดีใจกันนะ”

       ชายหนุ่มแกล้งเสนอ ซึ่งผลก็เป็นอย่างที่เขาคิด  ยูยะรีบสั่นศีรษะปฏิเสธ จนหัวสั่นหัวคลอน ดูแล้วน่ารัก น่าเอ็นดูยิ่งนัก

        “โอเค ๆ  งั้นคาดโทษไว้ก่อนแล้วกัน”  ชายหนุ่มพูดจบก็โน้มใบหน้าลงจุมพิตร่างเล็กทันที 

       “…อืม”

       เวลาผ่านไปเนิ่นนาน จนยูยะเริ่มไม่รับรู้อะไรรอบข้าง รู้แต่เพียงอย่างเดียวว่า เขาทั้งทรมานและมีความสุขจนแทบจะขาดใจพร้อม ๆ กัน จากการจูบนั้น  จนในที่สุดชายหนุ่มก็ถอนริมฝีปากออกมาอย่างช้า ๆ  ซึ่งร่างเล็กก็แทบจะทรุดลงไปทันที

       “นี่แค่คาดโทษเล็กน้อยเท่านั้นนะ ….ของจริงจะยิ่งกว่านี้ จำไว้!”

       ชายหนุ่มเอ่ยขู่ด้วยใบหน้าขึงขัง  จนยูยะมีสีหน้าเหมือนจะร้องไห้  เขาจึงได้หัวเราะออกมาให้ทราบว่า นั่นคือการแกล้งอีกครั้งหนึ่ง

       “คนบ้า!”  ยูยะค้อนขวับให้ด้วยความงอน  ลุกขึ้นหยิบเสื้อผ้ามาใส่  ก่อนจะเดินลงส้นหนัก ๆ กลับเข้าห้องเรียนไปก่อน  โดยที่มอร์เฟียซได้แต่นั่งอมยิ้มมองตามไปอย่างอารมณ์ดี


            วันนั้น ชั่วโมงประวัติศาสตร์เต็มไปด้วยความสงสัย และคำถามมากมายที่อยู่ในใจของเด็ก ๆ แทบทั้งชั้น  ยกเว้นบางคนเท่านั้นที่รู้อยู่แก่ใจดีแล้ว

       และเมื่อหมดชั่วโมงเรียน ระหว่างเปลี่ยนคาบ  พวกเขาก็เดินคุยกันถึงชั่วโมงที่ผ่านมากันอย่างออกรสชาติ

       “วันนี้คาเตอร์อารมณ์ดีจังนะ ว่าไหม  สอนไปยิ้มไปอีกต่างหาก”  จิมมี่ว่าพลางแล้วทำท่าขนลุกเมื่อนึกถึงรอยยิ้มนั้น  มันไม่ใช่ไม่น่าดูหรอก  เพียงแต่ว่า เพราะความที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก มันจึงดูน่าหวาดระแวงมากกว่า

       “จริงสิ ชั่วโมงแรกไปทำอะไรกันมางั้นหรือยูยะ”  คำถามนั้นถามอย่างธรรมดา ๆ ไม่มีแฝงความนัยอะไรทั้งสิ้น  หากแต่คนมีชนักติดหลังเช่นเด็กหนุ่ม ถึงกับสะดุ้งเฮือก ใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นทันที

       “อ่า…จะ..จัด เรียงเอกสาร อะไรพวกนั้นนั่นล่ะ..”   ยูยะตอบปัด ๆ ให้พ้นตัวไป  แล้วก็ต้องลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อจิมมี่ไม่ได้ซักอะไรต่ออีก

        “ยูยะ…กระดุมเสื้อเชิ้ตยังติดไม่เรียบร้อยเลยนะ”   มิเชลซึ่งเดินตามมาใกล้ ๆ  กระซิบบอก ซึ่งเด็กหนุ่มก็สะดุ้งเฮือก ก่อนจะรีบติดกระดุมของตนเองทันที

       “หึ ๆ คราวหลังก็ระวังหน่อยล่ะ  เดี๋ยวใครเขาเห็นเข้าแล้วจะสงสัยเอา”  เด็กหนุ่มชาวฝรั่งเศสเอ่ยเตือนด้วยใบหน้ายิ้ม ๆ อย่างเข้าใจในเรื่องราวทะลุ  ปรุโปร่ง  ยูยะใบหน้าร้อนวาบ รีบจ้ำอ้าวไปยังห้องเรียนในชั่วโมงต่อไปทันที

       “ไปแกล้งแหย่อะไรยูยะอีกล่ะ  มิเชล”  เสียงถอนหายใจ พร้อมเสียงบ่นจากข้างหลัง ทำให้มิเชลหันกลับมามองด้วยใบหน้ายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

       “ก็หมอนั่นน่ะน่ารัก น่าแกล้งดีออก  พอจะเข้าใจความรู้สึกของคาเตอร์ขึ้นมาบ้างแล้วล่ะ”

       ราฟาเอลถอนหายใจอีกครั้ง  ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ ๆ พร้อมกระซิบข้าง ๆ หูอีกฝ่ายแผ่วเบา

       “แล้วฉันล่ะ… นายไม่อยากจะแกล้งฉันบ้างงั้นหรือ”

       มิเชลสะดุ้ง หน้าแดงนิด ๆ ก่อนจะรีบผลักอีกฝ่ายไปให้ห่าง ๆ ตนเอง

       “อย่างนายน่ะไปให้ห่าง ๆ ฉันเลยไป๊!!”

       แล้วเจ้าตัวก็เดินดุ่ม ๆ จากไปทันที ทิ้งให้เด็กหนุ่มอีกคนมองตามไปด้วยสีหน้าขบขัน

       “ตัวเองก็น่าแกล้งเหมือนกันนั่นแหละ หึ!”
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #2 : Festival (28 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 28-06-2011 21:43:19



       เสียงไวโอลินหวานแว่ว ดังมาจากห้องของนาโอกิ  ยูยะ  ซึ่งนั่นก็ไม่ได้สร้างความรำคาญให้กับเพื่อน ๆ ในหอแต่อย่างใด  ตรงกันข้าม พวกเขากลับรู้สึกขอบคุณงานเทศกาลประจำปีที่จะจัดขึ้นเสียด้วยซ้ำ  เพราะนาน ๆ จะได้ฟังเพลงของยูยะแบบนี้บ่อย ๆ ติด ๆ กันสักครั้งหนึ่ง

       “โฮ่!! โชคดีชะมัดเลยนะ ได้ฟังไวโอลินของยูยะทุกวันแบบนี้!”  จิมมี่กล่าวอย่างสบายอารมณ์ เขากำลังนั่งเล่นหมากรุกกับราฟาเอล ในห้องนั่งเล่นรวม โดยที่คนอื่น ๆ บ้างก็อ่านหนังสือ  บ้างก็นั่งคุยกันไปตามประสา

       “อืม…ฉันก็ว่าอย่างนั้น..เฮ่  ราฟาเอล ตัวนั้น เดินไปตรงนั้นไม่ได้นะ”

       “อ๊ะ… ขอบใจมิเชล”

       ราฟาเอลชะงักตัวหมากที่กำลังจะเดินทันที  โดยที่จิมมี่ซึ่งกำลังได้โอกาส ต้องถอนหายใจแรง ๆ อย่างเสียดาย

       “มิเชล ไม่แฟร์นี่นา  อย่าช่วยกันสิ!” เด็กหนุ่มบ่นอุบ ซึ่งก็ทำให้อีกฝ่ายหัวเราะเบา ๆ

       “โทษที จิมมี่ คราวหน้าฉันไม่ยุ่งแล้วล่ะ  เออจริงสิ!  ว่าแต่ พวกนายมีใครรู้จักเพลงที่ยูยะกำลังซ้อมอยู่บ้างล่ะ  ฉันว่าฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยนะ”

       “อืม…ฉันก็ไม่เคยได้ยิน  แต่คิดว่าคงจะเป็นเพลงใหม่มั้ง  หมอนั่นไม่ได้เก่งแค่เล่นดนตรีอย่างเดียวนี่นา”  ราฟาเอลให้เหตุผล ซึ่งจิมมี่ก็พยักหน้าเห็นด้วย

       “แต่เป็นเพลงที่เพราะนะ  ฟังแล้วกินใจยังไงไม่รู้สิ  ถ้าเป็นเพลงนี้บวกกับฝีมือของยูยะ ฉันว่าคราวนี้ก็ต้องชนะเลิศอีกแน่”  จิมมี่ว่าบ้าง

       “คงจะเป็นเพลงที่มีความหมายพิเศษอะไรแน่เลย ไม่อย่างนั้นคงไม่ตั้งใจซ้อมขนาดนี้หรอก”  มิเชลออกความเห็นแล้วก็ต้องลืมตัวแย้งออกมาอีกครั้ง เมื่อเห็นราฟาเอลกำลังจะลงหมากพลาด

       “มิเชล!!”  จิมมี่เน้นเสียงหนักด้วยความไม่สบอารมณ์ ซึ่งเด็กหนุ่มตาสีฟ้าก็ได้แต่ยิ้มแหย ๆ

       “น่า ๆ คราวนี้ไม่อีกแล้ว …จริง ๆ จิมมี่  ไม่ยุ่งแล้ว!”

       เจ้าตัวรีบกำชับ เมื่อเห็นสายตาดุ ๆ ของอีกฝ่ายจ้องมองมาเขม็งด้วยอาการคาดคั้นเต็มที่


     วันอาทิตย์…

       ยูยะตื่นขึ้นมาด้วยอาการงัวเงีย   เมื่อคืนเขาซ้อมไวโอลินดึกไปหน่อย กว่าจะได้เข้านอน ก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว

       "อืม…สามโมงเช้าแล้วงั้นเหรอ"

       เด็กหนุ่มมองนาฬิกา แล้วถอนหายใจเบา ๆ  ก่อนจะเดินออกจากห้องนอนของตนลงไปยังห้องนั่งเล่นรวม

       "เฮ่! รอย! คนอื่น ๆ ไปไหนกันหมดล่ะ!"  ยูยะตะโกนถามเด็กหนุ่มเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งซึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียวในห้องนั้น

       "ไปโรงเรียนน่ะ  เมื่อชั่วโมงที่แล้ว อาจารย์วิลเลียมแกมาตามพวกเราที่ว่าง ๆ อยู่  ให้ไปช่วยเตรียมงานประจำปีที่จะถึงนี่ล่ะ  แต่เพราะนายมีแข่งดนตรี ก็เลยไม่ต้องไปช่วยไงล่ะ"

       ยูยะพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ก่อนจะมองหน้าคนพูดด้วยความสงสัย

       "แล้วนายไม่ไปกับเขาด้วยงั้นเหรอ?"

       "ฉัน?"  เจ้าตัวทวนคำ ก่อนจะยกเท้าที่เข้าเฝือกอ่อนให้เด็กหนุ่มดูอย่างเซ็ง ๆ

       "อ้าว? โดนอะไรเข้าล่ะนั่น!"  ยูยะถามงง ๆ เพราะเมื่อเย็นวาน ก่อนเขาจะขึ้นห้องไปซ้อมดนตรี  ถ้าจำไม่ผิด เพื่อนของเขาคนนี้ ยังอาการปกติครบ 32 อยู่เลย

       "ก็เพื่อนรักตัวดีของนาย 3 คนนั่นล่ะ  จิมมี่  มิเชล  ราฟาเอล ไงล่ะ  เกิดบ้าอะไรกันไม่รู้ เมื่อคืนวานดันมาวิ่งเล่นไล่จับกันแถวบันได แถมดันวิ่งสวนพรวดขึ้นมาจากข้างล่างชนฉันที่กำลังเดินลงบันไดกลิ้งตกลงมาด้วยกัน  แต่เจ้า 3 ตัวนั่น ไม่มีใครเป็นอะไรเลยสักคน เห็นอย่างมากก็หัวโน  แต่ขาของฉันนี่สิ ต้องเข้าเฝือกเป็นเดือนเลยกว่าจะหาย  เซ็งชะมัด!"

       ยูยะหัวเราะแห้ง ๆ ก่อนจะเดินเลี่ยงไปทางอื่น เพราะขืนเขานั่งอยู่ คงต้องฟังอีกฝ่ายบ่นต่ออีกยาวเป็นแน่


       ยูยะเดินเลี่ยงออกมาข้างนอกหอ เพื่อสูดอากาศสดชื่นยามเช้า ที่แม้จะเป็นเวลาสามโมงแล้ว แต่แดดก็ยังไม่แรง  และมีลมพัดเย็นสบาย

       "อืม…ไปหามอร์เฟียซดีกว่า!"

       เจ้าตัวคิดในใจอย่างนึกสนุก  อยากเห็นสีหน้าของชายหนุ่มว่า ถ้าเขาเกิดโผล่หน้าไปหาในวันหยุดเช่นนี้ ทั้ง ๆ ที่เคยบอกไว้แล้วว่าจะไม่ไปพบ จะเป็นยังไงบ้าง

       ว่าแล้วเด็กหนุ่มก็เดินตรงไปยังบ้านพักของอีกฝ่ายอย่างอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

       "ก๊อก ๆ ๆ ๆ" 

              ยูยะยืนเคาะประตูอยู่สักครู่ใหญ่ แต่ก็ไม่มีวี่แววเจ้าของบ้านจะลุกขึ้นมาเปิดแต่อย่างใด

       "ไม่อยู่ หรือยังไม่ตื่นนะ"  เด็กหนุ่มพึมพำเบา ๆ ยืนลังเลสักพัก ก่อนจะล้วงหยิบกุญแจที่ห้อยคอไว้ติดตัวแทนจี้ มาไขประตู  ซึ่งเป็นกุญแจสำรองบ้านพักที่คาเตอร์มอบไว้ให้นั่นเอง

       "รบกวนหน่อยนะครับ!"  ยูยะเอ่ยขึ้นตามมารยาท  ก่อนจะเดินสำรวจไปแต่ละห้องไล่ไปตั้งแต่ห้องรับแขก ห้องครัว  ห้องนอน  จนมาสะดุดอยู่หน้าประตูห้องทำงาน

       เด็กหนุ่มยืนหยุดอยู่หน้าประตูห้องทำงาน พร้อมกับแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยน เมื่อเห็นร่างสูงตรงหน้ากำลังฟุบหลับอยู่บนโต๊ะทำงาน

       "โหมงานจนดึกอีกล่ะสิท่า …เฮ่อ! ไม่ไหวเลยน้า.."

       เด็กหนุ่มพึมพำเบา ๆ ก่อนจะก้มลงหยิบผ้าห่มที่เลื่อนลงมากองอยู่บนพื้น ขึ้นห่มให้ชายคนรักอย่างอ่อนโยน  แต่แล้วมือใหญ่ของร่างสูงที่คิดว่าหลับ ก็จับหมับเข้าที่ข้อมือบางทันที

       "นาโอกิ…"

       เสียงเรียกชื่อเบา ๆ พร้อมกับร่างสูงที่พลิกกายกลับมาหาพร้อมกับรั้งร่างเล็กที่ยืนตกใจอยู่เข้าไปยังอ้อมกอดของตน

       "อืม…นาโอกิ…"

       "อา…มอร์….อืม…."

       ริมฝีปากของร่างเล็กถูกครอบครองอยู่เนิ่นนาน จึงถูกปล่อยให้เป็นอิสระในที่สุด

       "ไหนบอกว่าจะไม่มาหาฉันช่วงนี้แล้วไงล่ะ"

       ชายหนุ่มถามยิ้ม ๆ มือยังกอดเอวบางหลวม ๆ รั้งกายไว้ ไม่ยอมปล่อย

       "งั้นผมกลับก็ได้!"  ยูยะแกล้งทำเป็นค้อนใส่ และพูดกระแทกเสียง  หากแต่ความจริงแล้วเขาเองไม่ได้นึกงอน หรือน้อยใจอะไรสักนิดเดียว

       "ไม่เอาน่า…นาโอกิ  เอาเป็นว่าฉันผิดเองก็ได้ ยกโทษให้เถิดนะ…."

       ชายหนุ่มรีบอ้อน ก่อนจะรั้งร่างของเด็กหนุ่มเข้ามาใกล้  ใช้ลิ้นเลียตวัดซอกคอขาว ไล่ขึ้นมาจนกระทั่งถึงใบหู และซุกไซ้เข้าไปในร่องหูนั้น  เพื่อเป็นการกระตุ้นอารมณ์ให้อีกฝ่าย

       "อา…อ๊า…มอร์เฟียซ"

       ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ อย่างคนที่ถือไพ่เหนือกว่าอีกครั้ง เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเด็กหนุ่ม  เขารู้ดีว่า ควรจะทำยังไง ให้ร่างตรงหน้า มีอารมณ์ตอบสนองได้

       "…เดี๋ยวก็ต้องกลับไปซ้อมดนตรีใช่ไหม"    มอร์เฟียซกระซิบถามเสียงแหบพร่า เพราะอารมณ์ที่เริ่มคุกรุ่นขึ้น

       "อา….ครับ"  ยูยะตอบเสียงหอบ ๆ รู้สึกเสียวซ่าน กับฝ่ามือใหญ่สากที่ลูบไล้ไปทั่วร่างของเขาในยามนี้

       "…งั้นก็ต้องใช้เวลาให้คุ้มค่ามากที่สุด"  ชายหนุ่มกระซิบ ก่อนจะช้อนร่างเล็กขึ้น อุ้มไปยังห้องนอนของตนทันที

       "มอร์เฟียซ…ผมยังไม่ได้อาบน้ำเลยนะ" ยูยะท้วงอาย ๆ ขณะที่มอร์เฟียซซึ่งกำลังจะก้าวเข้าห้องนอนชะงัก

       "ไม่เห็นจะเป็นไร….."  เจ้าตัวหยุดคิดนิดหนึ่ง ก่อนจะเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์  "อืม…ฉันก็ยังไม่ได้อาบ  ถ้ายังไงเราไปอาบพร้อมกันเลยดีไหม…"

       ยูยะเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้ารับด้วยใบหน้าที่แดงก่ำไปจนถึงคอ


       เสื้อผ้าของคนทั้งคู่ ถูกถอดทิ้งไปตามทางเดินตลอดจนถึงห้องน้ำ  และภายในนั้น มีร่างสองร่างที่กำลังปฏิบัติภารกิจในการอาบน้ำอย่างเร่าร้อน  เสียงครวญครางที่ดังขึ้นเป็นระยะ ๆ สลับกับเสียงหายใจหอบ ๆ  หนัก ๆ  ดังแว่วมาเป็นระลอก  จนกระทั่งค่อย ๆ เงียบหายไปในที่สุด

       "….เป็นไง นาโอกิ  อยากจะอาบต่ออีกรอบไหม"

       ชายหนุ่มกระซิบถามร่างเล็กที่ยันฝ่ามือพิงผนังห้องหอบ ๆ โดยมีร่างสูงของตนแนบชิดอยู่ด้านหลัง

       "มะ…ไม่ครับ…พอแล้ว"   เจ้าตัวตอบด้วยน้ำเสียงที่ขาดเป็นห้วง ๆ ยังคงยืนหอบพักเหนื่อยอยู่เช่นนั้นในท่าเดิมสักพัก  ก่อนจะพลิกกายกลับ และดันร่างสูงที่เริ่มเข้ามานัวเนียเขาอีกครั้งให้ห่างออกไป

       "ผมบอกว่าพอก่อนยังไงล่ะครับ!"  เด็กหนุ่มเริ่มขึ้นเสียง เพราะอีกฝ่ายดูเหมือนว่าจะไม่ยอมฟังเอาเสียเลย

       "เฮ่อ! ก็ได้!"  มอร์เฟียซยอมเลิกราด้วยความไม่ค่อยสบอารมณ์นัก  ชายหนุ่มมีสีหน้าบึ้งตึงลงไป จนยูยะชักใจไม่ดี

       "ผมแค่อยากพักสักครู่เท่านั้นเอง…"  เจ้าตัวอธิบายเสียงอ่อย  ซึ่งใบหน้าบึ้งตึงนั้นก็หันมามองทางเขา  ก่อนจะเปลี่ยนเป็นคลายยิ้ม

       "ฉันรู้…ไปที่ห้องกันเถอะ"

       ชายหนุ่มเป็นฝ่ายชวน ซึ่งยูยะก็ถอนหายใจเบา ๆ เพราะดูเหมือนว่าอีกฝ่ายคงจะไม่ยอมยกเลิกรายการที่ตั้งใจไว้แน่นอน

       "ก็ได้ครับ…"   

       แล้วร่างสูงก็จัดการอุ้มร่างเปล่าเปลือยไปด้วยกัน ยังห้องนอนของตนเองทันที  โดยไม่ยอมรีรอให้เสียเวลาเลยแม้แต่น้อย


       มอร์เฟียซ  คาเตอร์ มองร่างเล็ก ที่นอนหลับตา หน้าแดงบนเตียงนอนของเขา ด้วยแววตารักใคร่ และเสน่หายิ่งนัก

       นาโอกิ  ยูยะ  เด็กหนุ่มคนรักของเขา นับวันก็จะยิ่งดูน่ารักขึ้นเรื่อย ๆ จนเขาแทบจะอดใจไม่ไหวทุกครั้งยามเจอหน้า

       ที่สำคัญ ไม่ใช่มีเพียงเขาเท่านั้นที่รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ได้  คนอื่น ๆ ก็เช่นกัน  สังเกตดูสายตาแปลก ๆ ที่มองมายังเด็กหนุ่ม ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง  บางทีอาจจะเป็นเพราะว่า เขากำลังมองผ่านม่านตาแห่งความหึงก็เป็นได้  แต่ยังไงเขาก็ไม่ชอบใจอยู่ดี ที่เห็นคนอื่น ๆ เข้ามาสนิทสนมกับคนรักตัวน้อยของเขาเช่นนั้น

       อยากจะเก็บยูยะไว้ในห้องของเขา ไม่ให้ออกไปพบเจอกับคนอื่น  ทว่า มันก็คงจะเป็นไปไม่ได้

       ดังนั้น  สิ่งเดียวที่เขาจะทำได้ ก็คือ การใช้ความรัก และความผูกพันทางกายระหว่างกัน เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เด็กหนุ่มเผลอใจไปมองใครอื่นนอกจากเขา

       และดูเหมือนว่า  วิธีนี้จะสำเร็จโดยดีด้วยสิ….

       "อา…มอร์เฟียซ  มาเสียทีสิครับ.."

       เด็กหนุ่มร้องครางขึ้นอย่างขัดใจ  ที่อยู่ดี ชายหนุ่มก็หยุดเล้าโลมไปเสียเฉย ๆ แบบนั้น

       "หึ..ได้สิ นาโอกิ"

       ชายหนุ่มตอบรับยิ้ม ๆ และก่อนที่ทั้งคู่จะเริ่มบรรเลงบทเพลงแห่งรักต่อกันอีกรอบ  เสียงทุบประตูบ้านดังลั่น ก็ดังขึ้น

       "ปึง! ๆ ๆ ๆ"

       มอร์เฟียซหยุดกึก ก่อนจะสบถออกมาด้วยความหัวเสีย ไม่ต้องสงสัยเลยว่า คนไร้มารยาทที่กล้าทุบประตูบ้านพักเขาดังลั่นอย่างนี้โดยไม่เกรงใจเจ้าของบ้านแม้แต่น้อย  คือใคร

       "ไอ้หมอนั่น!"

       "..ดอกเตอร์มาหรือครับ มอร์เฟียซ"

       ชายหนุ่มหันมายิ้มให้ยูยะ ก่อนจะลูบศีรษะร่างเล็กแผ่วเบา

            "ไม่ต้องห่วงหรอก จะไปไล่ให้เดี๋ยวนี้ล่ะ"

       ยูยะยิ้มแหย ๆ ถ้าคนอย่างดอกเตอร์ลี ไล่ไปง่าย ๆ แบบนั้น  ก็คงไม่ใช่คนที่คอยก่อเรื่องป่วนประสาทชายคนรักเขาเสมอหรอก
       มอร์เฟียซคว้าเสื้อคลุมในตู้มาใส่ลวก ๆ ก่อนจะเดินตรงไปยังประตูบ้าน ในขณะที่ยูยะค่อย ๆ ย่องตามมาเก็บเสื้อผ้าของตัวเองที่ถูกถอดเกลื่อนตามทางเดินมาใส่เตรียมพร้อมเอาไว้ก่อน


หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #2 : Festival (28 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 28-06-2011 21:44:52
       "มาทำไม!"  น้ำเสียงห้วน ๆ กล่าวทักทันทีที่เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของคนที่เข้ามาขัดจังหวะเกมรักของเขา

       "อะไรกัน! นายเองเป็นคนโทรไปบอกให้ฉันเอาเอกสารนี่มาให้นายไม่ใช่หรือไงมอร์เฟียซ! ฉันอุตสาห์ค้นทั้งคืน และเอามาให้ถึงที่บ้านยังจะมาบ่นใส่ฉันอีก!"

       ชายหนุ่มทำเสียงกระแทกใส่คืนด้วยความไม่พอใจบ้าง หากแต่ในดวงตาสีเทายังคงมีประกายยิ้มแย้มอยู่เช่นนั้น

       มอร์เฟียซนึกขึ้นมาได้  ก่อนจะลดเสียง  และใบหน้าคลายบึ้งตึงลงไปบ้าง

       "อืม…โทษที  ฉันลืมไป  ไหนล่ะเอกสาร  เอามาสิ  แล้วก็รีบ ๆ กลับไปได้แล้ว"

       ชางที่กำลังยื่นเอกสารส่งไปให้ ชะงักมือนิดหนึ่ง ก่อนจะพิจารณาคนตรงหน้าอีกครั้งอย่างละเอียด ด้วยสายตาที่ชายหนุ่มไม่ชอบเอาเสียเลย

       "อื้อหือ?  มีอะไรแปลก ๆ ไปนะ  รีบไล่ฉันแบบนี้ แถมยังออกมาหาด้วยหน้าตาบอกบุญไม่รับแบบนั้น … อืม ..ยูยะมาที่นี่ใช่หรือเปล่า?"

       คำถามแทงใจดำชนิดตรงเป้านั่น ทำให้ใบหน้าหล่อเหลากลับมาเคร่งขรึมอีกครั้ง

       "จะมีใครมาก็ไม่ใช่เรื่องของนาย  เอาเอกสารมาให้ฉัน แล้วรีบกลับไปได้แล้ว!"

       มอร์เฟียซรีบเอ่ยปากไล่  ในขณะที่เพื่อนตัวแสบของเขาหัวเราะเบา ๆ อย่างไม่สนใจ ก่อนจะดันร่าง แทรกตัวเข้ามาในบ้านพักของชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว

       "ไหน ๆ หนูน้อยของฉันอยู่ที่ไหนกันล่ะ  อ้าว  ยูยะ"

       เจ้าตัวหันไปเห็นร่างเล็ก ที่เดินออกมาให้พบเงียบ ๆ  มอร์เฟียซหันไปมองเด็กหนุ่มคนรักที่แต่งตัวเรียบร้อย แล้วก็ต้องขมวดคิ้วยุ่ง

       "จะไปไหน นาโอกิ!?"

       "อ่า…จะกลับไปซ้อมดนตรีต่อแล้วครับ"

       ยูยะอ้อมแอ้มตอบ  การอยู่ตามลำพังกับมอร์เฟียซที่อารมณ์เสีย หลังจากโดนชางแหย่แล้ว ย่อมไม่เป็นผลดีกับเขาเท่าไรนักหรอก  ดีไม่ดี วันนี้ทั้งวัน เขาอาจจะไม่ได้กลับหอเลยก็ได้

       "…….." 

       ยูยะมองหน้าชายหนุ่มที่เงียบไปด้วยสีหน้าหวาด ๆ เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายเอื๊อกลงคอ ก่อนจะรีบจ้ำอ้าวแผ่นแนบออกไปทันที  โชคดีที่ชางก็ยืนอยู่ในห้องด้วย  ไม่อย่างนั้นเขาแน่ใจว่า มอร์เฟียซคงไม่ปล่อยเขากลับไปง่าย ๆ แบบนี้หรอก

       ดอกเตอร์หนุ่มมองยูยะที่วิ่งแผ่นแนบออกไป ก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับอีกคนที่เหลืออยู่  แล้วก็ทำให้เขาถึงกับเสียวสันหลังวาบ

       "ง่า …มอร์เฟียซ  ฉันวางเอกสารไว้ตรงนี้นะ  แล้วก็ฉันนึกขึ้นได้ว่ามีธุระด่วนมาก ๆ รออยู่น่ะ  กลับก่อนนะ!"

       เจ้าตัวรีบหลบฉากวูบออกมาอย่างนกรู้  เพราะหากขืนอยู่ช้าอีกนิดเดียว  เพื่อนของเขาต้องกลายเป็นฆาตกรแน่ ๆ   และที่สำคัญเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายคงจะไม่ใช่คนอื่น นอกจากเขานี่แหละ!

       "ชิ!  บ้าชะมัด!!"  ชายหนุ่มสบถอย่างหัวเสีย   ไม่มีอะไรที่ทรมาน และหงุดหงิดเท่ากับถูกปล่อยให้อารมณ์ค้างแบบนี้อีกแล้ว

       จากนั้นเจ้าตัวจึงเดินเข้าห้องอาบน้ำ  เปิดฝักบัวเย็น ๆ รดศีรษะอยู่พักใหญ่  จนทำให้อารมณ์ที่ร้อนรุ่มอยู่ เริ่มเย็นลงได้บ้างบางส่วน หากแต่วันนั้นทั้งวัน เขาก็แทบจะตั้งสมาธิให้จดจ่ออยู่กับงานของตนไม่ได้อยู่ดี


       ในที่สุดงานวันเทศกาลประจำปีของสถาบันอีเดนก็มาถึง   ทุกคนต่างพากันตื่นเต้นกับเทศกาลนี้เป็นพิเศษ  เพราะนอกจากจะมีการจัดนิทรรศการ    ในแต่ละวิชาแล้ว  ยังมีการแข่งขันประกวดประชันระหว่างนักเรียนที่มีความสามารถ ในสาขาต่าง ๆ อีกด้วย และหนึ่งในนั้นก็คือการประกวดดนตรี  ที่ยูยะลงแข่งขันด้วยนั่นเอง

       เด็กหนุ่มปรากฏตัวขึ้นบนเวที ด้วยชุดสูทสีขาวทั้งชุด โดยที่มอร์เฟียซ คาเตอร์ ซึ่งถูกรับเชิญมาเป็นคณะกรรมการตัดสิน ถึงกับจ้องมองตะลึงตาค้าง จนเคธี่ มิลเลอร์ เพื่อนสาวซึ่งถูกเชิญมาเป็นกรรมการด้วยกัน ต้องสะกิดเบา ๆ เพื่อเตือนสติชายหนุ่ม

       "มอร์เฟียซ คุณเป็นกรรมการนะคะ  อย่าแสดงออกนอกหน้าแบบนั้นสิ"

       "เคธี่! ผมลาออกจากการเป็นกรรมการตอนนี้ยังทันไหม ให้ตายเถอะผมไม่มั่นใจหรอกนะว่าผมจะตัดสินได้อย่างยุติธรรม โดยไม่ลำเอียงแล้วน่ะตอนนี้"

       มอร์เฟียซกระซิบเบา ๆ กับเพื่อนสาว  ซึ่งพอหล่อนได้ฟังก็หัวเราะเสียงใสทันที

       "ค่า ๆ ฉันรู้ว่าคุณรู้สึกยังไง   ก็ยูยะคุงออกจะน่ารักขนาดนี้  แค่ยังไม่เล่นดนตรีก็แทบจะให้คะแนนเต็มกับแกแล้ว"

       "มันไม่ยุติธรรมกับเด็กคนอื่น ๆ หากผมทำตัวไม่เป็นกลางแบบนั้น"

       มอร์เฟียซมีสีหน้าเป็นกังวล  จนเคธี่นึกเห็นใจ  เธอจึงหันไปถามกรรมการคนอื่น ๆ

       "เอ่อ…คืออาจารย์คาเตอร์รู้สึกไม่สบายน่ะค่ะ  พวกคุณคิดว่าเราเปลี่ยนตัวกรรมการตอนนี้ทันไหมคะ"

       "เฮ้ย! อะไรกันคุณมาบอกอะไรเอาตอนนี้  รอตัดสินนาโอกิ  ยูยะก่อนได้ไหม  แล้วเราจะใช้กรรมการสำรองทีหลัง  เอ้า! เด็กเขาเริ่มเล่นแล้วล่ะ!!"

       จากนั้นทั้งหมดจึงหันไปให้ความสนใจกับเด็กหนุ่มบนเวที  เมื่อสายคันชักไวโอลินเริ่มกรีดบรรเลงบทเพลง ขึ้นในที่สุด

       มอร์เฟียซพยายามที่จะตั้งใจฟังด้วยความเป็นธรรมให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้  แต่เมื่อฟังไปได้เพียงแค่ครึ่งเพลง เขาก็ต้องชะงักนิ่ง เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก

       "…เพลงนี้"

       ชายหนุ่มพึมพำออกมาเบา ๆ และยูยะซึ่งกำลังบรรเลงเพลงบนเวที  ก็มองลงมายังเขาและยิ้มให้อย่างอ่อนโยน  เท่านั้นเองมอร์เฟียซก็นึกออกในที่สุดว่าบทเพลงนี้เขาเคยได้ยินมาก่อนจากที่ไหน

       "นาโอกิ…."   

       ชายหนุ่มมองร่างเล็กในสูทขาวบนเวทีอย่างเหม่อลอย  ไม่คิดว่ายูยะจะหยิบเพลงที่เคยเล่นให้เขาฟังในวันนั้นมาใช้แข่งขันแบบนี้  ความจริงทั้ง ๆ ที่มันน่าจะเป็นความทรงจำอันเลวร้ายของเด็กหนุ่มแท้ ๆ  แต่ยูยะกลับเล่นมันอย่างอ่อนโยน น่าประทับใจได้อย่างไม่น่าเชื่อ

       "…Sweet Memory Song สินะคะ มอร์เฟียซ"

       เคธี่กระซิบ ซึ่งมอร์เฟียซก็สะดุ้งน้อย ๆ ก่อนที่ใบหน้าจะเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่ออย่างห้ามไว้ไม่อยู่

       "อ่า…คือ"

       "สำหรับเด็กคนนี้ ถึงคุณจะลำเอียงให้เต็มก็ไม่มีใครว่าหรอกค่ะ มอร์เฟียซ…ดูสิ"

       เคธี่บุ้ยใบ้ให้ดูกรรมการท่านอื่น ๆ ซึ่งต่างก็ตกอยู่ในภวังค์เสียงไวโอลินของเด็กหนุ่มด้วยกันแทบทั้งสิ้น

       "นั่นสินะ…นาโอกิ เกิดมาเพื่อดนตรีจริง ๆ นั่นล่ะ"   มอร์เฟียซเอ่ยขึ้นยิ้ม ๆ รู้สึกปลาบปลื้มในตัวคนรักหนุ่มน้อยของเขายิ่งนัก

       "แต่ฉันว่า เขาเกิดมาเพื่อใครบางคนมากกว่านะ"  เคธี่กระเซ้า  เลยยิ่งทำให้ใบหน้าของชายหนุ่มที่แดงน้อย ๆ อยู่แล้ว ยิ่งแดงหนักเข้าไปใหญ่  โชคดีที่ทุกคนให้ความสนใจกับยูยะบนเวทีกันหมด จึงไม่มีใครมาสังเกตสีหน้าของชายหนุ่ม ยกเว้นเคธี่ซึ่งนั่งกลั้นหัวเราะกึก ๆ จนตัวสั่น

       "คุณไม่เจอคนที่สำคัญที่สุดกับคุณบ้างก็ให้มันรู้ไปนะเคธี่"  มอร์เฟียซกระซิบรอดไรฟันดุ ๆ

       "แล้วใครว่าฉันไม่มีล่ะ" หญิงสาวตอบยิ้ม ๆ ซึ่งทำเอาชายหนุ่มตะลึง

       "ใคร! ผมรู้จักไหม?!"

       "คิดว่าน่าจะรู้นะ  ก็คุณเป็นอาจารย์ฝ่ายปกครองนี่นา"  เคธี่หัวเราะเบา ๆ ซึ่งก็ทำให้อีกฝ่ายถึงกับขมวดคิ้วยุ่ง

       "อย่าบอกนะว่าเป็นนักเรียน?"  น้ำเสียงนั้นถามด้วยความไม่ค่อยเชื่อถือสักเท่าไรนัก

       "แล้วยูยะคุง ไม่ใช่เด็กนักเรียนหรือคะ"  เคธี่ย้อนถามยิ้ม ๆ ก่อนจะสะกิดให้ชายหนุ่มหันไปให้ความสนใจบนเวที  เพราะตอนนี้ยูยะเล่นเพลงจบแล้ว

       … บ้าจริง! มัวแต่คุยอยู่กับเคธี่  เลยไม่ได้ตั้งใจฟังเพลงของนาโอกิจนจบเลย …อ๊ะ! แต่ไม่เป็นไร  ไว้ให้ไปเล่นให้ฟังสองต่อสองทีหลังก็ได้ หึ! …

       เจ้าตัวคิดอย่างอารมณ์ดี  ก่อนจะกรอกคะแนนเต็มไปให้อย่างไม่ลังเล  เพราะดูจากเสียงปรบมือของทั้งกรรมการและผู้ชมอย่างยาวนานนั่น ก็การันตีฝีมือหนุ่มน้อยคนรักของเขาได้เป็นอย่างดีแล้ว

      "อ้าว! อาจารย์คาเตอร์ จะไปไหนครับนั่น!"  กรรมการคนหนึ่งเอ่ยถาม เมื่อเห็นชายหนุ่มรีบลุกขึ้น หลังจากที่ยูยะเดินเข้าเวทีไปแล้ว

       "ผมรู้สึกไม่สบายมาก ๆ เลย   พวกคุณหาใครแทนผมทีนะ"

       มอร์เฟียซตอบโดยไม่มองหน้า ก่อนจะรีบก้าวพรวดไปให้พ้นจากบริเวณนั้นทันที  โดยที่เคธี่ได้แต่อมยิ้มอยู่คนเดียว เพราะรู้เหตุผลที่แท้จริงของชายหนุ่มดี


       "นาโอกิ!"

       มอร์เฟียซตามมายังห้องพัก ซึ่งเป็นสถานที่พักผ่อนรอฟังผลสำหรับนักดนตรีที่เล่นเสร็จแล้ว

       "มอร์…เอ่อ  อาจารย์คาเตอร์"

       ยูยะเปลี่ยนสรรพนามเรียกชื่อชายหนุ่ม เพราะเห็นว่ามีนักเรียนคนอื่น ๆ อยู่ในห้องนี้ด้วยนอกจากพวกเขา

       "ออกไปกับฉันหน่อยสิ  เดี๋ยวนี้เลยนะ!"

       ชายหนุ่มเร่งมา ซึ่งยูยะก็อึกอัก  เพราะเกรงต่อสายตาคนอื่น ๆ ที่เหลือ

       "ตะ…แต่  ผลการตัดสิน"

       "ไม่ต้องไปรอแล้ว  จะแพ้หรือชนะก็ช่างมันเถอะน่า  ธุระของฉันสำคัญกว่าเรื่องนั้นเยอะ!"

       ยูยะถอนหายใจเบา ๆ เรื่องเอาแต่ใจตัวเองของชายหนุ่มนี่ดูท่าจะแก้ไม่หายอย่างแน่นอน

       "ครับ ๆ  ไปก็ไป"   เจ้าตัวรับคำอย่างจำใจ  เดินตามชายหนุ่มไปต้อย ๆ ในขณะที่คนอื่น ๆ พากันก้มหน้าก้มตา  ไม่มีใครกล้าปริปาก หรือซักถามอะไรแม้แต่น้อย  เพราะชื่อเสียงความน่าสะพรึงกลัวของอาจารย์ฝ่ายปกครองผู้นี้  นักเรียนในโรงเรียนต่างรู้อยู่แก่ใจกันดีอยู่แล้ว


       ยูยะเดินตามชายหนุ่มไปเรื่อย ๆ ตามทางเดินในอาคารเรียน  แล้วก็ต้องสะดุ้ง เมื่อร่างสูงตรงหน้าหยุดชะงักไปเสียเฉย ๆ และหันกลับมาหาเขาทันที

       "นาโอกิ.."

     มอร์เฟียซเรียกชื่อเด็กหนุ่มแผ่วเบา ก่อนจะรั้งร่างเล็กเข้ามากอดไว้แนบอกแน่น  โดยที่ยูยะดิ้นอึกอักด้วยความตกใจ

       "เดี๋ยวครับ! มอร์เฟียซ! นี่มันกลางทางเดินนะครับ  ถ้าใครมาเห็นเข้าจะว่ายังไง!!"

       หากชายหนุ่มไม่สนใจ  เขาแก้ตัวพร้อมกับซุกไซ้จมูกไปตามซอกคอขาว ๆ นั่นอย่างซุกซน

       "ไม่เป็นไรน่า …คนอื่น ๆ ก็อยู่ที่งานเทศกาลกันหมด ไม่มีใครขึ้นมาบนตึกนี่หรอก.."

       "ตะ..แต่ มอร์เฟียซ"    ยูยะยังคงดิ้นรนไม่ยอมท่าเดียว  จนชายหนุ่มอ่อนใจ

       "ถ้าเปลี่ยนที่จะโอเคไหม… นาโอกิ"

       เด็กหนุ่มหน้าแดง พยักหน้าน้อย ๆ

        "…ถ้าเป็นที่ลับตาคน …ก็..โอเค ครับ"

       พูดจบก็แดงก่ำไปหมดทั้งหน้า  หู  ลงไปกระทั่งคอ  จนมอร์เฟียซเห็นแล้วแทบอยากจะกดร่างเล็กลงไปกับพื้นเสียเดี๋ยวนั้นเลยทีเดียว

       "…งั้นไปห้องฉัน"

       ชายหนุ่มเสนอ และโดยไม่ต้องรอฟังคำตอบ  เขาก็ช้อนร่างเล็กขึ้นในอ้อมแขน เดินก้าวพรวด ๆ ด้วยขายาว ๆ ของตน ไปยังห้องทำงานส่วนตัวอย่างเร่งรีบ  โดยที่ร่างเล็กซุกหน้าแนบชิดกับอกกว้างด้วยความเขินอายไปตลอดทาง



       "ผู้ชนะการแข่งขันดนตรีสากล ประเภทไวโอลิน  ในปีนี้ ได้แก่ นาโอกิ ยูยะ นักเรียนชั้น ม.5 / Z ครับ!!"

       ขาดคำพิธีกรประจำเวทีประกาศ  เสียงเฮ และเสียงปรบมือก็ดังลั่น  คะแนนที่ยูยะได้ออกมาอย่างเป็นเอกฉันท์   คือกรรมการจำนวน  5  ท่าน ให้เต็มทุกท่าน

       เสียงปรบมือที่ดังยาวนาน เริ่มซาลง  และเสียงฮือฮาก็ดังขึ้นมาแทน  เมื่อเจ้าของรางวัลไม่ยอมขึ้นมารับเสียที

       เคธี่  มิลเลอร์  ถอนหายใจเบา ๆ กับสถานการณ์ตรงหน้า   ก่อนจะก้าวขึ้นไปบนเวที  พลางโปรยยิ้มหวานที่ทำให้แทบทุกคนเผลอเคลิ้มตามไปชั่วขณะ  จากนั้นน้ำเสียงใส ๆ จึงประกาศผ่านไมค์ที่ยืมมาจากพิธีกรบนเวทีให้ทุกคนได้รับฟัง

       "คือตอนนี้  นาโอกิ  ยูยะ  ไม่ค่อยสบายนัก จึงขออนุญาตกลับไปพักผ่อน ดังนั้นรางวัลนี้ ทางคณะกรรมการจะขอเก็บไว้มอบให้กับเจ้าตัวในภายหลังนะคะ  ต้องขออภัยท่านผู้ชมทุกท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ"

       เสียงฮือฮาที่แสดงถึงความเข้าใจดังขึ้น  เมื่อเห็นดังนั้นอาจารย์สาวจึงขอตัวลงจากเวที และให้พิธีกรดำเนินการมอบรางวัลรายการอื่นต่อไป

       "เรื่องใจร้อนนี่ก็แก้ไม่หายเลยนะมอร์เฟียซ  แทนที่จะให้ยูยะรับรางวัลให้เรียบร้อยเสียก่อน  รอแค่นี้ก็รอไม่ได้เลย แย่จริง ๆ เฮ่อ!"

      เคธี่บ่นเบา ๆ ก่อนจะแย้มยิ้มน้อย ๆ อย่างนึกขำ ไม่คิดว่าเพื่อนชายจะตกหลุมรักใครอย่างจริงจังได้ถึงเพียงนี้

       "หึ!  ฉันก็ไปหาคนของฉันบ้างดีกว่า  ป่านนี้นั่งรอแหง่ก แล้วแน่!"

       หญิงสาวหัวเราะเบา ๆ เมื่อนึกถึงหนุ่มน้อยคนสำคัญของหล่อน  ที่ไม่เคยเปิดเผยให้ใครรู้มาก่อนแม้แต่กระทั่งกับเพื่อนสนิททั้งสองอย่างชาง และมอร์เฟียส

     … เรื่องอะไรจะให้สองคนนั่นเข้ามาป่วนล่ะ  ฉันเก็บไว้แกล้งของฉันคนเดียวก็พอแล้ว …

       จากนั้นเคธี่ก็เดินฮัมเพลงไปตามทางอย่างอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ……



+++ End +++


ตอนหน้า จะเป็นตอนพิเศษสั้น ๆ ของหนุ่มน้อยทั้งสอง ราฟาเอลและมิเชลค่า ใครจับคู่สองคนนี้ถูกมั่งเอ่ย~
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #2 : Festival (28 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 28-06-2011 22:47:11
ตอนพิเศษนี่หวานจริงจังเลย ชอบมากๆๆๆ

แล้วเด็กน้อยของมิสเคธี่ คือใคร อะ คงไม่ใช่ จิมมี่ นะ
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #2 : Festival (28 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: SuSaya ที่ 28-06-2011 23:03:55
คงไม่ใช่จิมมี่ใช่มั้ย  :-[
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #2 : Festival (28 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 29-06-2011 00:16:32
อ่า... แล้วคนสำคัญของเคธี่เป็นไผล่ะ
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #2 : Festival (28 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 29-06-2011 00:51:55
เหอะๆ เรื่องนี้มีแต่การกินเด็กอ่านะ

ว่าแต่น่ารักดีเนอะคู่นี้ พอหวานก็ไม่มียั้งเลย อิๆ
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #3 : The Diary (29 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 29-06-2011 12:01:27
Special #3 : The Diary


...
..
ผมชื่อมิเชล ลูอิส ย้ายมาอยู่ที่อีเดนนี่ตั้งแต่ ม.4 เพราะทางสถาบันเขาบอกว่า ผมมีพรสวรรค์ด้านการแสดง อันที่จริงผมก็พอจะรู้ตัวเองอยู่เหมือนกัน และก็เพราะแบบนั้น ผมเลยรู้สึกว่าตัวเองแตกต่างจากเด็ก ๆ คนอื่นอยู่เสมอ จนกระทั่งมาอยู่ที่อีเดนนี่ล่ะ

     สถาบันแห่งนี้เป็นสถาบันที่แปลกประหลาดกว่าที่อื่น ๆ มันเป็นแหล่งรวบรวมเด็กอัจฉริยะในด้านต่าง ๆ จากทั่วโลก ผมไม่แปลกใจเลยว่าตัวเองจะดูเป็นเด็กธรรมดาเป็นครั้งแรก เมื่อได้มาอยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้น

     ผมถูกจัดให้อยู่ห้อง Z ที่นั่นผมพบเพื่อน ๆ ร่วมชั้นอีก 14 คน พวกเขาเก่งกันไปคนละด้าน และแต่ละคนก็มีมนุษยสัมพันธ์ดีกันทั้งนั้น ผมเองก็พูดคุยและเข้ากับคนพวกนั้นได้ทุกคนนะ แต่ก็ไม่ได้มีเพื่อนสนิทคนไหนเป็นพิเศษ จนกระทั่ง มีไอ้บ้าคนหนึ่งมาพูดกับผมว่า ให้ผมหัดมีความจริงใจต่อคนอื่นเขาบ้างนั่นล่ะ

     ผมจำได้ว่าตอนนั้นผมโกรธมาก หมอนั่นมีสิทธิอะไรมาพูดกับผมแบบนั้น แต่ที่ยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น ผมรู้สึกเสียหน้า มันเหมือนกับว่าตัวเองถูกอีกฝ่ายอ่านออก ทั้ง ๆ ที่ผมเองก็มั่นใจในฝีมือการแสดงของผมมาก

     ใช่แล้ว…ถ้าจะเรียกสิ่งที่ผมแสดงต่อคนอื่นว่าความไม่จริงใจ ผมก็ยอมรับ ก็ผมไม่คิดว่าคำว่ามิตรภาพมันจะสำคัญอะไรขนาดนั้น ไหน ๆ เวลาเรียนจบ เราก็ต่างคนต่างไปกันอยู่แล้ว ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องไปแคร์อะไรในเรื่องส่วนตัวของคนอื่นเขาด้วย ใช่! ผมคิดแบบนั้นมาตลอด จนกระทั่งเพราะคำพูดของไอ้บ้าคนนั้น นั่นล่ะที่ทำให้ความคิดของผมมันเริ่มเปลี่ยนแปลง และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของเรื่องต่าง ๆ ระหว่างผมกับหมอนั่นที่เกิดขึ้นตามมาอีกภายหลัง …


     ราฟาเอลรีบปิดสมุดบันทึกลงทันทีที่ได้ยินเสียงเปิดประตูแกรก เขาหันกลับมาปั้นสีหน้ายิ้มแย้มให้เด็กหนุ่มเจ้าของห้อง ที่เพิ่งเข้ามา แต่ดูเหมือนว่านั่นจะไม่เป็นผล เมื่ออยู่ต่อหน้าของคนที่มากพรสวรรค์ทางด้านการแสดงอย่างมิเชล ลูอิส

     “นายกำลังปิดบังอะไรบางอย่างกับฉันหรือเปล่า ราฟาเอล!” ถามออกไปด้วยเสียงดุ ๆ พลางจ้องจับผิดอีกฝ่ายเต็มที่

     “มะ…ไม่มีนี่ นายคิดมากไปแล้วมิเชล ฉันจะไปมีอะไรปิดบังนายล่ะ”

     เด็กหนุ่มบอกออกไปกุกกักอย่างอัตโนมัติ เพราะขืนหากปล่อยให้คนตรงหน้ารู้ว่าเขาแอบอ่านสมุดบันทึกของเจ้าตัวแล้วล่ะก็ มีหวังโดนฆ่าทิ้งแน่ ๆ

     “หือ? แล้วทำอะไรอยู่ที่โต๊ะของฉัน”

     มิเชลถามพลางชะโงกหน้าไปดู โดยที่ราฟาเอล รีบใช้ร่างสูงของตัวเองขยับบังสายตาไม่ให้เด็กหนุ่มเห็นของที่อยู่บนโต๊ะทันที

     “ราฟาเอล! ถอยไป!”

     “มะ…ไม่” ให้ตายก็ไม่ถอย เพราะขืนถอยก็ตายอยู่ดี คิดได้ดังนั้น ราฟาเอลก็เลยยืนบังอยู่แบบนั้น จนมิเชลชักจะขัดใจ

     “เชอะ! ไม่ให้ดูก็ไม่เห็นอยากรู้เลย!”

     เด็กหนุ่มประชดใส่ พลางเดินไปนั่งที่เตียง ถอดเสื้อเชิ้ตตัวนอกออก เหลือแต่เสื้อยืดตัวบางข้างในเท่านั้น เล่นเอาราฟาเอลเผลอกลืนน้ำลายลงคอทันทีอย่างลืมตัว

     “มะ…มิเชล นายไม่หนาวหรือไง นี่มันกลางเดือนธันวาคมนะ ถอดเสื้อแบบนั้นเดี๋ยวเป็นหวัดหรอก”

     ราฟาเอลบอกอีกฝ่ายด้วยเสียงตะกุกตะกัก มิเชลซ่อนยิ้มไว้ในสีหน้า ก่อนจะแกล้งถอดเสื้อตัวในโยนทิ้งไว้ข้าง ๆ อวดหน้าอกเปลือยเปล่าขาวเนียนน่าสัมผัสให้อีกฝ่ายได้เห็นถนัดตา

     “ไม่นี่ ….ฉันว่า อากาศวันนี้มันร้อนออกจะตายไป ร้อนจนอยากจะแก้ให้มันหมดเลยด้วยซ้ำ” พูดแล้วก็ส่งสายตายั่วยวนคนตรงหน้า ที่ความอดทนใกล้จะถึงขีดสุดแล้วในยามนี้

     เมื่อเห็นอาการอดกลั้นของคนรักมิเชลก็เหยียดยิ้มนิด ๆ อย่างเป็นต่อ จากนั้นจึงแกล้งเอนกายลงนอนบนเตียง ช้อนตามองราฟาเอล มือบางไล้เล่นที่ผิวเนียนนุ่มของตน พลางส่งเสียงครางน้อย ๆ

     “…อืม…อา…..”

     เท่านั้นเอง ความอดทนทั้งหมดของราฟาเอลก็ขาดสะบั้น เด็กหนุ่มเดินปรี่เข้ามาหา แล้วกดร่างบางที่ยั่วเย้าบนเตียง ไว้ใต้ร่างของเขาทันที

     “…นายยั่วฉันเองนะมิเชล”

     เด็กหนุ่มบอกแล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นว่าสายตาของมิเชลไม่ได้จับจ้องที่ตัวเขา แต่กำลังจับจ้องเจ้าสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานของตัวเองอยู่แทน

     “นายอ่านไดอารี่ของฉัน…”

     น้ำเสียงนั้นเยียบเย็นจับใจจนราฟาเอลถึงกับขนลุกซู่ด้วยความสยดสยอง

     “อะ..เอ่อ มิเชล ใจเย็น ๆ นะ ฟังฉันอธิบายก่อน”

     มิเชลค่อย ๆ หน้าแดงขึ้นทีละนิด จนกลายเป็นแดงก่ำ ทั้งอาย ทั้งโมโห เด็กหนุ่มผลักคนตัวโตกว่าบนร่างออกไป พลางวิ่งไปหยิบไดอารี่มากอดไว้อย่างหวงแหน ปากก็ตวาดใส่เสียงดังลั่นอย่างโกรธสุดขีด

     “นายอ่านไปแค่ไหน!”

     “เอ่อ…คือ” ราฟาเอลตอบตะกุกตะกัก ซึ่งนั่งก็ทำให้เสียงตวาดดังขึ้นมาอีกครั้ง

     “ฉันถามว่านายอ่านไปแค่ไหน บอกมาสิ!!”

     “หน้าแรก ๆ แค่หน้าแรก ๆ เท่านั้น!!”

     ราฟาเอลรีบตอบกลับทันที เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะโมโหไปมากกว่านั้น

     “หน้าแรก ๆ …. แรก ๆ แค่ไหน!”

     มิเชลยังตะคอกถามต่อไปอีก แต่ก็รู้สึกโล่งใจนิด ๆ หากว่าราฟาเอลอ่านแค่หน้าแรก ๆ อย่างที่บอกไว้จริง

     “กะ...ก็ถึงตอนที่ ฉันเคยว่านายเรื่องให้คบคนอื่นด้วยความจริงใจเท่านั้นเอง แล้วก็ไม่ได้อ่านต่ออีก” อธิบาย พลางปาดเหงื่อไปด้วย ราวกับว่าอุณหภูมิภายในห้องจะเพิ่มสูงขึ้นกว่าปกติ เช่นนั้น

     “แค่นั้น?” มิเชลย้อนถามเสียงสูง ซึ่งราฟาเอลก็รีบพยักหน้ารับคำทันที

     “ใช่แค่นั้น ไม่ได้มากกว่านั้น คือ...ง่า ...ฉันไม่ได้ตั้งใจ กะว่าจะหาหนังสืออ่านรอนาย แต่มันดันกลายมาเป็นไดอารี่ เสียได้”

     มิเชลกอดอก มองคนตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้ราฟาเอลถึงกับแทบสะอึก

     “ถ้าขืนนายทำแบบนี้อีก พวกเราสองคนจบกัน!”

     “ร้ายแรงขนาดนั้นเชียวเหรอมิเชล!” เด็กหนุ่มร่างสูงครางประท้วง แต่เมื่อสบกับสายตาเย็นชา คมกริบที่จ้องมองมาก็ทำให้เขาหุบปากเงียบสนิทไม่กล้าพูดอะไรต่อไปอีก

     “การกระทำของนายมันเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอย่างร้ายกาจที่สุด รู้บ้างไหม!”

     มิเชลพูดกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ ยังคงโกรธไม่หายที่ถูกแอบอ่านไดอารี่ของตนเอง

     “ฉันบอกแล้วไม่ตั้งใจ ถ้าเป็นของคนอื่นฉันก็ไม่คิดจะอ่านหรอก”

     คำแก้ตัวที่ทำให้คนฟังทะแม่งหู ก่อนจะตวาดใส่ ด้วยความโมโห

     “แล้วถ้าเป็นของฉันก็อ่านได้งั้นเรอะ!!”

     “โธ่! มิเชล ฉันรู้ว่าฉันเสียมารยาทมากที่แอบอ่านไดอารี่ของนาย แต่ฉันก็แค่อยากจะรู้จักนายให้มากกว่านี้ ก็นายน่ะชอบปิดกั้นตัวเองจะตายไป นึกอะไร คิดอะไร ไม่เคยจะยอมให้ใครรู้ ขนาดเราก็คบกันมาเกือบ 2 ปีแล้ว นายยังไม่ยอมเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฉันฟังบ้างเลย ในฐานะคนรัก ฉันก็อยากรู้จักตัวนายในทุก ๆ ด้านบ้างสิ”

     น้ำเสียง สีหน้า และคำพูดที่ออดอ้อนให้ใจอ่อน ทำให้มิเชลถอนหายใจเฮือกใหญ่ ถ้านั่นเป็นการแสดงเพื่อให้ตัวเองพ้นผิด เขาก็คงสามารถมองออกได้ทันที แต่สิ่งที่ ราฟาเอล กระทำออกมาทั้งหมด หาใช่การแสดงไม่ เพราะสิ่งเหล่านั้นมันออกมาจากใจจริงของเด็กหนุ่มทั้งสิ้น

     “ยังไงก็เถอะ ... ฉันไม่ชอบ อย่าทำอีกก็แล้วกัน”

     น้ำเสียงอ่อนลงมามาก จนทำให้ราฟาเอล ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก และก็ต้องอมยิ้มนิด ๆ เมื่ออีกฝ่ายจามกันติด ๆ หลายที

     “ก็บอกแล้วว่าอากาศข้างนอกมันหนาว เล่นถอดเสื้อแบบนี้เดี๋ยวหวัดก็กินหรอก”

     ราฟาเอลพูดกลั้วหัวเราะ พลางหยิบเสื้อของเจ้าตัวส่งให้ ทว่า มิเชลกลับไม่ยอมรับมาใส่ หากกลับจ้องหน้าของเด็กหนุ่มเขม็งแทน

     “ถ้าอย่างนั้น นายก็ช่วยทำให้ฉันอุ่นแทนสิ”

     น้ำเสียงและสีหน้าที่จริงจังนั้น ทำให้ราฟาเอลอ้าปากค้างอย่างลืมตัว ก่อนจะรีบถามเด็กหนุ่มกลับทันที

     “มะ...มิเชล นี่นายพูดจริง หรือพูดเล่นน่ะ”

     มิเชลเลิกคิ้วนิด ๆ ก่อนจะบอกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่เริ่มห้วนขึ้น

     “ฉันดูเหมือนคนล้อเล่นงั้นเหรอ! ให้ตายสิ! ไม่อยากทำก็อย่าทำ เอาเสื้อมา!”

     มือบางเตรียมจะคว้าเสื้อของตัวเองกลับคืนมา หากแต่ร่างสูงกว่า โยนเสื้อในมือทิ้งไปอีกทาง พลางรวบร่างบางเข้าหาอ้อมกอดตัวเองทันที

     “ขอโทษ ... อย่าโกรธนะ ใครว่าฉันไม่อยากทำล่ะ ฉันอยากทำกับนายทุกวัน ทุกคืนเลยรู้ไหม"

     มิเชลค้อนขวับ ก่อนจะดันร่างสูงให้ถอยไปติดเตียง และผลักให้ล้มลงบนนั้น จากนั้นตัวเขาเองก็เป็นฝ่ายขึ้นไปนั่งคร่อมบนร่างของอีกฝ่าย

     “มะ...มิเชล” ราฟาเอลเรียกชื่อคนรักเสียงแหบพร่า เพราะว่ามิเชลกำลังลากลิ้นอุ่นชื้น ไปบนหน้าอกเปลือยของเขา ซึ่งถูกอีกฝ่ายถอดเสื้อทิ้งไปแล้วก่อนหน้านั้น

     มิเชลมองคนรักของตน ก่อนจะเหยียดยิ้มด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ จากนั้น เขาจึงเริ่มเคลื่อนกายลงสู่เบื้องต่ำของราฟาเอล ปลดเปลื้องกางเกง และชั้นใน เบื้องล่างของเจ้าตัวออก เผยให้เห็นความต้องการของเด็กหนุ่ม ที่ตั้งตระหง่านต่อหน้า

     “อืม...อา มิเชล ...วิเศษมาก...” ราฟาเอล ครางออกมาอย่างลืมตัว เมื่อคนรักครอบครองความเป็นชายของเขาทั้งหมดไว้ในปากเล็ก ๆ นั่น เด็กหนุ่มรู้สึกสะท้านไปทั้งกาย จนต้องใช้ มือทั้งสองขยี้ ที่ศีรษะของอีกฝ่าย จนเส้นผมสีทองสลวยนั้นยุ่งเหยิง แต่เมื่อมิเชลมอบความสุขให้กับเขา จนเกือบจะถึงที่สุดแล้ว ... อยู่ดี ๆ เจ้าตัวก็ถอนศีรษะออกมา และเหยียดยิ้มมองร่างที่นอนอยู่บนเตียงอย่างเจ้าเล่ห์

     มิเชลเช็ดริมฝีปากของตน พลางลุกขึ้นเดินไปหยิบเสื้อที่ถูกโยนทิ้งไว้ที่พื้นมาใส่ และเดินไปที่ประตู ในขณะที่ราฟาเอลนอนมองตาค้าง

     “มิเชล นายจะทำอะไรกันแน่...”

     ราฟาเอลถาม พลางกลืนน้ำลายลงคอ เพราะความทรมานที่ ถูกทิ้งไว้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ เช่นนี้

     “ฉันไม่มีอารมณ์แล้ว จะไปนั่งคุยกับพวกยูยะข้างล่างดีกว่า”

     มิเชลบอกหน้าตาเฉย ทำเอาราฟาเอลลุกขึ้นมาประท้วงดังลั่น

     “นายจะทำอย่างนี้ไม่ได้นะมิเชล! มาเล่นปลุกอารมณ์คนอื่นเขาแบบนี้ แล้วจะปล่อยทิ้งไว้ ไม่ยอมต่อให้เสร็จได้ยังไงล่ะ!!”

     “นายก็ช่วยตัวเองแทนไปก่อนสิ!”

     เด็กหนุ่มบอกสวนกลับ พลางยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ แต่ก่อนที่จะก้าวออกไป ก็ทำท่าเหมือนนึกได้ และรีบวิ่งไปหยิบไดอารี่ของตัวเองติดมือมาด้วย

     “เกือบลืม ทิ้งไว้ให้กับคนชอบสอดรู้สอดเห็นอย่างนายไม่ปลอดภัยแน่!”

     มิเชลบอกพร้อมแลบลิ้นใส่ และรีบแวบออกไปทันที ก่อนที่จะถูกราฟาเอลรวบตัวเอาไว้ได้

     “เดี๋ยวมิเชลอย่าหนีนะ!!” เด็กหนุ่มตะโกนตามไปข้างหน้าห้อง แต่ก็วิ่งตามไปไม่ได้ เพราะทั้งเสื้อทั้งกางเกง ถูกคนรักถอดทิ้งไว้ทั้งหมด จึงจำต้องกลับเข้าไปในห้อง และช่วยตัวเองให้มันเสร็จ ๆ ไป อย่างเซ็ง ๆ

     “คนอะไรไม่รู้ เจ้าเล่ห์ชะมัด”

     เด็กหนุ่มบ่นกับตัวเองด้วยความหงุดหงิด และขู่คาดโทษเอาไว้กับคนรักที่แสนเจ้าเล่ห์ แต่น่ารักของเขา

     “มิเชลนะ มิเชล คราวหน้าจะเอาคืน ให้ลุกไม่ขึ้นไปสัก 2 – 3 วันเลย คอยดูเถอะ!
     


+++ End +++
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #3 : The Diary (29 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 29-06-2011 13:13:36
เด็กน้อยของเคธี คิดว่าน่าจะเป็น จิมมี่ 

 :L2: :L2:

+1  จ้า
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #3 : The Diary (29 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: SuSaya ที่ 29-06-2011 13:59:08
คู่นี้ร้อนแรงอ่ะ...อย่าเพิ่งหมดแค่นี้นะคะ
อยากรู้ว่าทั้งสองคนเริ่มคบกันได้ยังไงอ่ะ ทั้งที่ตอนแรกมิเชลน่าจะไม่ชอบหน้าราฟาเอลเท่าไหร่แท้ ๆ
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #3 : The Diary (29 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 29-06-2011 14:29:14
อ้างถึง
คู่นี้ร้อนแรงอ่ะ...อย่าเพิ่งหมดแค่นี้นะคะ
อยากรู้ว่าทั้งสองคนเริ่มคบกันได้ยังไงอ่ะ ทั้งที่ตอนแรกมิเชลน่าจะไม่ชอบหน้าราฟาเอลเท่าไหร่แท้ ๆ

ว่าจะ ๆ เขียนก็ยังไม่ได้เขียนเต็ม ๆ สักที แหะ ๆ เอาเป็นว่าจะพยายามเขียนของคู่นี้ ตอนเจอกันแรก ๆ ให้ได้นะคะ ^ ^"

ตอนหน้าอ่านของเคธี่กับแฟนหนุ่มไปก่อนเน้อ ^ ^ ถึงไม่วายแต่ก็น่ารักนะคะ หุๆ
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #3 : The Diary (29 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 29-06-2011 18:06:41
ไม่คิดว่า มิเชล จะแสบเหมือนกันนะเนี่ย   :laugh:
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #3 : The Diary (29 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: LadyOneStar ที่ 29-06-2011 19:52:35
มิเชลน่ารักเหมือนกันนะเนี่ย ^^
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #3 : The Diary (29 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 29-06-2011 20:05:23
ราฟาเอลตามมิเชลไม่ทันแน่ๆ
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #3 : The Diary (29 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 29-06-2011 21:41:18
มิเชลแสบซ่าจิงๆ หุๆ
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #3 : The Diary (29 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 29-06-2011 23:02:40
 :o8:
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #3 : The Diary (29 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: jaymaza ที่ 30-06-2011 00:33:28
แสบจริงๆเรย

มิเชลลลล,,,ราฟาเอลตามไม่ทัน ๕๕๕

อยากอ่านจิมมี่บ้างงงง

,,, :]
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #3 : The Diary (29 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: Yunatsu ที่ 30-06-2011 00:55:08
คบกันมา2ปี

ไม่มีใครรู้ สุดยอดมากจิงๆ
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #3 : The Diary (29 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: darkeyes1 ที่ 30-06-2011 04:43:41
...... ง่า...... ถึงเป็นของส่วนตัว  แต่เป็นผม  ผมก็คงเผลออ่านอะ

เหอๆ  แต่มายั่วแล้วทิ้งไปนี่....  เจ็บนะเนี้ย
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #3 : The Diary (29 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: EunJin ที่ 30-06-2011 14:56:19
ไม่บอกไม่รู้เลยนะคะเนี่ย ว่ามิเชลคบกับราฟาเอลมาตั้งเป็นปีๆแล้วววว
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #4 - 5 (30 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 30-06-2011 21:53:05
มาแล้วค่าตอนพิเศษ 4 กับ 5  ตอน 4 เป็นของเจ๊เคธี่ ส่วนตอน 5 นี่เป็นญาติตัวป่วนของยูยะคุงค่า สองตอนนี้สาว ๆ ขอเป็นตัวหลักบ้างนะคะ ไว้ตอนหน้าุเป็นเรื่องหวาน ๆ ของคู่หลักเราีเหมือนเดิมค่ะ (คู่อื่น ๆ คงต้องรอคิวค่ะ เพราะของเก่าที่เขียนจบไปหมด ส่วนใหญ่จะเน้นคู่หลักค่ะ ^ ^")

---------------------------------------------------------

Special #4 : Boyfriend



     “อาจารย์... ผมไปก่อนนะครับ มีประชุมกรรมการนักเรียนในตอนเช้า”

     ร่างสูงของเด็กหนุ่มชะโงกหน้ามากระซิบข้าง ๆ หูร่างบาง ที่ยังคงนอนแช่อยู่บนเตียง ด้วยความเกียจคร้าน

     “อืม...มอร์นิ่งคิสล่ะ...” เสียงพึมพำทั้งหลับตาแบบนั้น ทำให้เด็กหนุ่มถอนหายใจค่อย ๆ ก่อนจะก้มลงจูบเบา ๆ ที่ริมฝีปากอวบอิ่มนั่น

     “...แล้วตอนพักกลางวัน แวะมาหาฉันที่ห้องพยาบาลด้วยนะ”

     หญิงสาวออกคำสั่งตามหลังไปด้วยความงัวเงีย ทำให้คนถูกสั่งสั่นศีรษะอย่างระอา แต่ก็ยังอดยิ้มออกมาไม่ได้ด้วยความเอ็นดูในตัวหญิงสาวคนรัก ที่แม้จะอายุมากกว่า แต่เจ้าตัวก็ยังคงน่ารักเหมือนเด็ก ๆ อยู่เสมอในสายตาของเขา

     “ครับ แล้วผมจะแวะไป”

     เด็กหนุ่มร่างสูงกล่าวทิ้งทาย ก่อนจะปิดประตูห้องค่อย ๆ ทิ้งให้ร่างบางนอนพักผ่อนต่อภายในห้องเช่นนั้น



     เคธี่ กึ่งเดินกึ่งวิ่งมาที่ห้องพยาบาลอย่างอารมณ์เสีย เพราะเธอนอนเพลินไปหน่อย ทำให้มาทำงานสาย แต่จะว่าไปแล้ว ก็คงเป็นเพราะเด็กหนุ่มคนรักนั่นล่ะ ที่ไม่ยอมปลุกให้เธอตื่น

     หญิงสาวคิดอย่างพาล ๆ แล้วก็เหยียดยิ้มนิด ๆ ด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ นึกถึงแผนการลงโทษมากมายในคืนนี้ ที่ยังไงก็จะไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายรอดมือไปได้แน่ ๆ

     “ทำหน้าตาชั่วร้ายเชียวเคธี่ คิดอะไรอยู่งั้นเหรอ”

     เสียงร่าเริงของชายหนุ่มคนหนึ่งทักขึ้น เคธี่มองไปข้างหน้าก็พบว่าชางยืนคอยเธออยู่ที่หน้าประตูห้องพยาบาล

     “อ้าวชาง มารออยู่นานแล้วหรือคะ”

     ชางยักไหล่นิด ๆ พลางตอบกลับยิ้ม ๆ

     “มาได้สักพักแล้วล่ะ ว่าจะแวะมาหาน้ำชากับขนมทานในตอนเช้าสักหน่อย แต่เจ้าของห้องกลับไม่อยู่เสียนี่”

     เคธี่หัวเราะเบา ๆ เดินมาไขกุญแจประตูห้องพยาบาล พลางหันมาเชิญให้ชายหนุ่มเข้าไป

     “เชิญค่ะ น่ากลัววันหลังต้องเก็บค่าน้ำชา จากแผนกวิจัยฯ เสียแล้วสินะ”

     หญิงสาวหยอกอย่างไม่จริงจังเท่าใดนัก และเมื่อชางเดินผ่านหญิงสาวเข้ามาเขาก็ชะงัก เมื่อสายตาคมกริบดันเหลือบไปเห็นรอยอะไรบางอย่างที่ซอกคอ

     “หืม...ที่บ้านพักคุณคงยุงชุมสินะ เคธี่ ถึงโดนกัดเป็นรอยแดงจ้ำซะอย่างนั้น”

     ชายหนุ่มถามอีกฝ่ายยิ้ม ๆ ด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ เล่นเอาเคธี่สะดุ้งโหยง รีบตะปบมือปิดรอยนั้นทันที แต่ดูเหมือนว่ามันจะสายไปเสียแล้ว

     “ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะชาง”

     เคธี่พยายามแก้ตัว แต่ดูเหมือนไม่เป็นผล เพราะคนตรงหน้ากำลังแย้มรอยยิ้ม เหมือนกับว่ากำลังได้พบของเล่นชิ้นใหม่ที่ถูกใจ

     “....เฮ่อ...โอเคก็ได้ ๆ อย่างที่คุณคิดนั่นล่ะ ถูกแล้ว!” เคธี่ถอนหายใจ และยักไหล่อย่างยอมแพ้ เพราะเจ้าหลักฐานที่ติดตัวอยู่นี่มันบ่งบอกอะไรชัดเจนได้ดีจนปฏิเสธไม่ขึ้น

     “ใครกัน? ผมรู้จักหรือเปล่า?”

     “ถามเหมือนมอร์เฟียซเชียวนะ แต่สำหรับคุณฉันคิดว่าอาจจะรู้ หรือไม่รู้จักเขาก็ได้”

     ชาง ทำท่าเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อเคธี่พูดถึงชื่อมอร์เฟียซ คาเตอร์ออกมา ก่อนจะโวยใส่เพื่อนสาวด้วยความไม่พอใจ

     “ฮ้า! มอร์เฟียซก็รู้ด้วยเหรอ ให้ตายเถอะเคธี่ บอกมอร์เฟียซได้ ทำไมไม่บอกผมด้วย”

     “ใครว่ามอร์เฟียซรู้” เคธี่รีบสวนกลับทันที ก่อนที่ชางจะพาลไปมากกว่านี้

     “เขาก็รู้แค่ฉันมีคนรัก เป็นเด็กนักเรียนในอีเดนนี่เท่านั้น ส่วนจะเป็นใคร คนไหน เขาก็ไม่รู้หรอก เพราะฉันไม่อยากบอกนี่!”

     หญิงสาวพูดไปแล้วก็ต้องชะงัก พลางเหลือบสายตามองมาทางเพื่อนชาย  ซึ่งยืนอ้าปากค้างอยู่เช่นนั้นสักพัก ก่อนจะตั้งสติได้ และรีบยิงคำถามใส่เธอด้วยความสนใจยิ่งกว่าเดิม

     “นักเรียนงั้นเหรอ ใครกัน อยู่ชั้นไหน อายุเท่ากับยูยะหรือเปล่า ให้ตายเถอะเคธี่ คุณกับมอร์เฟียซนี่รสนิยมเดียวกันจริง ๆ ด้วยสิ!”

     เคธี่เงยหน้ามองเพดาน ก่อนจะทอดถอนหายใจอย่างนึกปลง  ชาง ต่างกับมอร์เฟียซอยู่อย่าง ที่ว่า ถ้าหากสนใจ หรืออยากรู้คำตอบเรื่องไหนแล้วล่ะก็ จะคอยตามขุดคุ้ยไม่เลิกจนกว่าจะทราบคำตอบ และที่สำคัญเป็นพวกกัดไม่ปล่อยอีกต่างหาก

     “ถ้าอยากเจอ...กลางวันนี้ก็อยู่รอพบเองแล้วกัน”

     เคธี่บอกออกไปอย่างเซ็ง ๆ ซึ่งแน่นอนว่าอีกฝ่ายย่อมไม่มีทางพลาด เห็นได้จากการยอมลงทุนนั่งเฝ้าอยู่ในห้องพยาบาลกับเธอไม่ยอมไปไหน ตั้งแต่ตอนนี้เลยด้วยซ้ำ




     “อาจารย์ครับ ขออนุญาตเข้าไปนะครับ”

     เสียงเคาะประตูดังขึ้น พร้อมกับการปรากฏตัวของเด็กหนุ่มร่างสูง ผมดำ นัยน์ตาสีเขียว ‘เควิน ไลเนอร์’ ประธานนักเรียนระดับมัธยมปลาย ของสถาบันอีเดน

     ชาง อ้าปากค้างด้วยความไม่อยากเชื่อสายตา นี่เคธี่กล้าควงเด็กหนุ่มอัจฉริยะในทุกด้าน อย่างเควิน ไลเนอร์ เชียวงั้นหรือ... คนที่แม้แต่เขาก็เตรียมจองตัวไว้ตั้งแต่ที่เด็กหนุ่มยังเรียนไม่จบ เพื่อหวังจะให้เป็นผู้สืบทอดในแผนกวิจัยและค้นคว้า ต่อจากเขาในอนาคต

     เควิน มองคนทั้งสองด้วยความสงสัย และเมื่อเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนของเคธี่ และสีหน้าตกตะลึงของดอกเตอร์หนุ่ม สมองของเขาก็ประมวลเหตุการณ์เบื้องหน้าที่เกิดขึ้นได้ทันที

     “สวัสดีครับดอกเตอร์ลี” เควินกล่าวทักทายกับชางอย่างสุภาพ ก่อนจะเดินอ้อมไปข้างหลังเคธี่ วางมือบนไหล่ของร่างบางอย่างถือสิทธิ และจูบเบา ๆ ที่เส้นผมอ่อนนุ่มนั้นเป็นการทักทาย ทำเอาชางกลืนน้ำลายลงคออย่างลืมตัว

     “เควิน...เลิกเล่นเถิดน่า!”

     เคธี่บ่นใส่ เมื่อเห็นเด็กหนุ่มคนรัก ทำเหมือนว่าการที่เรื่องของพวกเขาถูกเปิดเผย เป็นเรื่องธรรมดาไปเสียอย่างนั้น

     “ไม่เห็นเป็นไรนี่ครับ อย่างดอกเตอร์คงไม่เอาเรื่องของเราไปพูดให้ใครฟังอยู่แล้ว ใช่ไหมครับ”

     เพราะรู้ดีว่าชาง เป็นเพื่อนสนิทของคนรักตัวเอง ทำให้เควินมั่นใจว่า คนตรงหน้า คงไม่หักหลัง และทำให้เคธี่ต้องเสื่อมเสียอย่างแน่นอน

     “ก็ไม่คิดจะพูดให้ใครฟังอยู่แล้ว....ง่า แต่ขอบอกต่อแค่คนเดียวได้ไหม”

     เคธี่ถอนหายใจยาวกับข้อต่อรองนั้น ไม่บอกก็รู้ว่าชายหนุ่มคิดจะบอกใคร

     “ถ้าเป็นมอร์เฟียซ ก็ไม่เป็นไร เพราะเขาเป็นคนที่รู้ว่าอะไรควรพูด หรือไม่ควรพูด”

     ชาง ฉีกยิ้มรับ โดยที่เคธี่ได้แต่เอนกายพิงลงบนอกกว้างของเควิน พลางเอามือก่ายหน้าผากอย่างเซ็ง ๆ

     “ไม่น่าเลย! ฉันไม่อยากบอกเรื่องนี้กับพวกคุณเลยนะ โดยเฉพาะมอร์เฟียซ เพราะตอนเขาฉันทั้งล้อ ทั้งแกล้งเขาไว้เยอะ ไม่รู้ว่าคราวตัวเองจะโดนอะไรบ้าง”

     ชายหนุ่มเผลอหลุดคิกออกมาอย่างลืมตัว ในขณะที่เควินเองก็แอบอมยิ้ม เมื่อได้ยินคำพูดนั้น หากแต่เคธี่ รีบตวัดสายตาขวับไปยังเพื่อนชายทันที

     “อย่ามาทำเป็นหัวเราะฉันนะ คอยดูเถอะชาง ถ้าคุณมีคนรักขึ้นมาเมื่อไหร่ คุณนั่นล่ะจะโดนหนักที่สุด เคยทำอะไรกับมอร์เฟียซ กับฉันไว้บ้าง จะคืนให้เป็นเท่าตัวเลยล่ะ!”

     ชางสะดุ้งโหยงกับคำขู่อาฆาตนั้น แม้แต่เควินยังแอบกลืนน้ำลายลงคอด้วยความสยองอย่างลืมตัว

     “เดี๋ยวก่อนสิ เคธี่ ผมยังไม่ได้มายุ่มย่ามอะไรกับพวกคุณเลยนะ อย่าขู่กันแบบนั้นสิ!”

     เคธี่ค้อนขวับ ก่อนกล่าวเสียงห้วนใส่ “ไม่รู้ล่ะ! บอกเอาไว้ก่อน เพราะถ้าคิดจะมาป่วนจริง ๆ จะได้รู้ว่าจะเจออะไรภายหลังยังไงล่ะ!”

     “จ้า ๆ แม่คุณ ไม่คิดจะยุ่งด้วยเลยจริง ๆ ถ้าอย่างนั้นก็เชิญใช้เวลาภาษาคู่รักตามสบายนะ ผมว่าผมไปหามอร์เฟียซก่อนดีกว่า!”

     ชายหนุ่มกล่าวลาแล้วก็รีบแผ่นแนบ เพราะบทจะเอาเรื่องขึ้นมา นางฟ้า ก็กลายเป็นนางมารได้เอาดื้อ ๆ เหมือนกัน

     ชางไปแล้วก็เหลือแต่เควินกับเคธี่สองต่อสอง ซึ่งเด็กหนุ่มก็เริ่มใจเต้นตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ เพราะไม่แน่ใจว่าหญิงสาวคนรักกำลังอยู่ในอารมณ์เช่นใด

     “เควิน!”

     เสียงห้วน ๆ เรียกชื่อเขา ทำให้เควินรีบขานรับทันที “ครับ!”

     เคธี่หันกลับมาหาเด็กหนุ่ม พลางจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยแววตาดุ ๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นแย้มยิ้มออกมาในที่สุด

     “กลัวเหรอ” น้ำเสียงถามกลั้วหัวเราะ ทำเอาเควินรับรู้ได้ทันทีว่าตัวเองกำลังถูกอีกฝ่ายล้อเล่นเอาอยู่

     “ก็กลัวสิครับ คุณน่ะน่ากลัวออก”  เด็กหนุ่มบอกออกไปเล่น ๆ พลางดูปฏิกิริยาของคนตรงหน้า ซึ่งก็เป็นไปอย่างที่คิด หญิงสาวชักสีหน้าบึ้งตึง พลางค้อนขวับใส่เขาทันที

     “ใช่สิ! ฉันมันน่ากลัวนี่นา ไหนจะอายุมากกว่า ใครจะไปน่ารักเหมือนพวกเด็กสาว ๆ เพื่อน ๆ ของเธอล่ะ”

     เคธี่ประชดใส่ด้วยความไม่พอใจ ทำให้เควินสั่นศีรษะน้อย ๆ ด้วยความระอา ก่อนจะเอื้อมมือไปจับคางบังคับให้หญิงสาวหันมาสบตากับเขา

     “บอกตั้งกี่ครั้งแล้วครับ ว่าอย่าเอาเรื่องอายุมาพูดกันอีก ผมรักคุณที่เป็นตัวคุณ ไม่ได้รักที่อายุ หรืออะไรแบบนั้นสักหน่อย จะว่าไปแล้วคนที่ควรกังวลเรื่องอายุน่ะ น่าจะเป็นผมมากกว่านะ”

     น้ำเสียงที่เศร้าลงทำให้เคธี่เริ่มคลายความไม่พอใจลง มือบางลูบไล้ใบหน้าคมเข้มของคนรักเล่นเบา ๆ

     “ทำไมล่ะ เธอมีอะไรต้องกังวลด้วยงั้นเหรอ”

     เควินจับมือบางนั้นขึ้นมาจูบเบา ๆ พลางยิ้มให้กับหญิงสาว

     “มีสิครับ เพราะคุณทั้งสวย ทั้งน่ารักแบบนี้ และรอบข้างคุณก็มีคนเท่ ๆ ดี ๆ และก็เป็นผู้ใหญ่กว่า พึ่งพาได้ดีกว่า อย่างดอกเตอร์ลี อย่างอาจารย์คาเตอร์เต็มไปหมด แล้วเด็กอย่างผมจะไปสู้คนพวกนั้นได้ยังไงกัน”

     เคธี่ชะโงกหน้าไปจูบเบา ๆ ที่ปากของเด็กหนุ่มอย่างเอาใจ เมื่อรับรู้ถึงความกังวลของอีกฝ่าย

     “ฉันไม่สนใจใคร นอกจากเธอ พอใจหรือยัง”

     “ยังครับ …ยังไม่พอใจ”

     เด็กหนุ่มกระซิบเบา ๆ พร้อมกับดึงร่างบางเข้าหาตัว และจูบหนัก ๆ ที่กลีบปากนุ่มนั้นเนิ่นนาน จนเคธี่แทบขาดใจ

     “อื้ม….อืม…”

     หญิงสาวรวบรวมแรงผลักที่อกกว้างของอีกฝ่าย ดันกายออกมา หายใจหอบ ๆ

     “บ้า! จะฆ่ากันหรือยังไง”

     เควินยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ และชะโงกหน้าไปจูบแถมท้ายอีกครั้งหนึ่งเมื่อเห็นเคธี่เผลอ

     “เควิน!”

     เคธี่โวยใส่อีกฝ่าย ที่ชอบทำตัวฉวยโอกาสกับเธออยู่เสมอ แต่เด็กหนุ่มกับหัวเราะเบา ๆ ในลำคออย่างชอบใจ

     “จะหมดเวลาพักแล้ว ผมว่าผมขอตัวก่อนดีกว่า ยังไงวันนี้ก็ได้กำไรไปแล้ว”

     เควินบอกยิ้ม ๆ พลางเดินฮัมเพลงออกไปอย่างอารมณ์ดี ทิ้งให้เคธี่ยืนหงุดหงิดอยู่ตามลำพังที่เอาคืนอีกฝ่ายไม่ได้

     “ให้ถึงคืนนี้ก่อนแล้วกัน! จะไม่ให้ได้นอนเลยคอยดู!”

     หญิงสาวตะโกนไล่หลังตามไป ในขณะที่คนซึ่งถูกคาดโทษก็โบกมือรับเหมือนดังไม่ใส่ใจเสียอย่างนั้น ….



+++ END +++

หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #4 - 5 (30 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 30-06-2011 21:53:58


Special #5 : My sassy woman


  “หืม…นี่น่ะเหรอ สถาบันอีเดนที่เขาล่ำลือกัน …ก็น่าอยู่ไม่เลวนะ”

     ร่างสูงเพรียวบางของสตรีหน้าตาสะสวยในชุดเดินทางคนหนึ่ง กำลังยืนเท้าเอวมองไปรอบ ๆ ด้านของหล่อน ก่อนจะหันมาหยุดชะงักที่กลุ่มของเด็กผู้ชายสี่คน ที่กำลังเดินคุยกันมาอย่างสนุกสนาน

     “ยูยะคุง!”

     เสียงหวาน ๆ ที่ตะโกนเรียกชื่อเขาทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือก ก่อนจะหันไปมองทางต้นเสียงก็พบกับร่างของหญิงสาวหน้าตาคุ้นเคยกำลังวิ่งตรงมาหาเขา

     “พะ…พี่ เรนะ มาได้ยัง…อุ๊บ…”

     คำถามทั้งหมดถูกกลืนลงลำคอ เมื่อหญิงสาวผู้นั้นวิ่งเข้ามากอดและประกบริมฝีปากกับเด็กหนุ่มด้วยความรวดเร็ว

     “เฮ้ย!! พี่เรนะ!! ผมบอกตั้งกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าอย่าจูบทักทายแบบนี้!!”

     ยูยะผลักร่างบางออกจากตัวเขาเบา ๆ ซึ่งหญิงสาวที่ชื่อเรนะ ก็อมยิ้ม ก่อนจะทำเป็นเฉไฉ ไม่ใส่ใจ ในขณะที่เพื่อนทั้งสามที่เดินมาด้วยกัน กำลังอยู่ในอาการอ้าปากค้างกันถ้วนหน้า

     “พี่มาที่นี่ได้ยังไงกัน ที่อีเดนนี่เขาไม่ให้คนนอกเข้ามาไม่ใช่หรือไง”

     ยูยะถามเสียงห้วน ๆ ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะไม่ค่อยยินดีเท่าไรนักที่เห็นหน้าของหญิงสาวอีกครั้ง

     “อะไรกัน..ยูยะ…เราไม่ได้เจอหน้ากันตั้งเกือบ 3 ปี แต่เธอกลับทำท่าทางรังเกียจพี่ถึงขนาดนี้ พะ…พี่ เสียใจเหลือเกิน”

     เรนะ สะอื้น น้ำตาคลอเบ้าอย่างน่าสงสารในสายตาของคนอื่น ๆ ที่มองมา หากแต่มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงมองเธอด้วยสีหน้าเย็นชา

     “หยุดเลยพี่เรนะ ไม่ต้องมาทำเป็นบีบน้ำตาเรียกร้องความเห็นใจเลย ให้ตายเถอะ คราวนี้พี่จะมาหาเรื่องกลุ้มใจอะไรให้กับผมอีกล่ะเนี่ย!”

     เพื่อน ๆ อีกสามคนต่างหันมามองหน้าของยูยะด้วยความแปลกใจ ปกติแล้ว เด็กหนุ่มจะเป็นคนที่สุภาพ อ่อนโยน เรียบร้อย โดยเฉพาะกับเพศตรงข้ามด้วยแล้ว เด็กหนุ่มจะดีด้วยเป็นพิเศษทีเดียว

     “นาโอกิ ยูยะ! นี่เธอกล้าขึ้นเสียงกับฉันแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันหา!!”

     เรนะเปลี่ยนท่าทางเป็นขึงขัง น้ำเสียงและแววตาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

     “กะ ก็พี่..” ยูยะตั้งท่าจะเถียง หากแต่เสียงตวาดแว๊ด ก็ดังสวนขึ้นมาทันที

     “หนอย! เจ้าเด็กไม่รักดี ลืมแล้วหรือว่า เมื่อตอนห้าขวบ ใครกันที่เปลี่ยนกางเกงให้ตอนเธอฉี่ราด และตอนสิบขวบใครกันที่ไปช่วยเธอไว้ ตอนกำลังโดนเด็กผู้ชายในห้องแกล้งจับถอดเสื้อผ้า แล้วตอน….”

     “พอแล้วพี่!! ผมผิดเอง ผมขอโทษ ผมจะไม่ขึ้นเสียง ไม่เถียงพี่อีกแล้ว!!” ยูยะรีบตะโกนห้ามทันที ก่อนที่อดีตที่แสนจะน่าอายของเขาจะถูกเปิดเผยต่อหน้าสาธารณชนมากยิ่งขึ้นกว่านี้

     “หึ! ก็แค่นั้น” หญิงสาวหัวเราะในลำคอ ก่อนจะเชิดหน้าอย่างคนที่เหนือกว่า ในขณะที่เพื่อน ๆ ของยูยะ ซึ่งได้แก่ ราฟาเอล มิเชล จิมมี่ ยืนตกตะลึงตาค้างกันเป็นรอบที่เท่าไรไม่รู้ เมื่อเห็นสภาพของสาวสวยผู้น่าสงสาร กลับกลายเป็นนางมารร้าย ต่อหน้าต่อตาแบบนี้

     “เอ๋? นี่เพื่อน ๆ ของเธอหรือยูยะ น่ารักกันทั้งนั้นเลยนะ ช่วยแนะนำหน่อยสิ…”

     ยูยะยิ้มแห้ง ๆ ไม่อยากจะทำตามคำขอนั้นเท่าไรนัก แต่ก็ขัดไม่ได้ จึงจำต้องแนะนำเพื่อนรักของเขาต่อหญิงสาวอย่างจำใจ

     “ทุกคน นี่ คาโต้ เรนะ เป็นลูกพี่ลูกน้องของฉัน อายุมากกว่าพวกเรา สิบ… โอ๊ย!!”

     ยูยะเอามือกุมหัวตัวเองทันที เมื่อมะเหงกจากหญิงสาวเขกให้เข้าที่กลางศีรษะของเขา

     “ไม่ต้องบอกอายุก็ได้ย่ะ!” เจ้าตัวค้อนขวับแถมให้ ซึ่งยูยะก็หันไปบ่นอุบอิบอีกทางก่อนจะทำการแนะนำตัวคนอื่น ๆ ต่อ

     “เอ่อ คนนี้ชื่อคามิโอ ราฟาเอลครับ เป็นเพื่อนของผมมาจากอิตาลี ส่วนนี่ก็ลูอิส มิเชล มาจากฝรั่งเศส แล้วก็จิมมี่ ชไนเดอร์ มาจากอเมริกา”

     เรนะ ยิ้มหวานให้ทั้งสามหนุ่ม ก่อนจะชะโงกหน้าไปจูบแก้มของพวกเขาคนละที ทำเอาหนุ่มน้อยทั้งสามหน้าแดงขึ้นมาพร้อมกันอย่างช่วยไม่ได้

     “สวัสดีจ้ะ ทุกคน อย่างที่ยูยะบอกไปแล้ว ฉันคาโต้ เรนะ จะมาประจำอยู่ที่แผนกวิจัยและค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ของสถาบันอีเดนตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฝากตัวด้วยนะจ๊ะ”

     นาโอกิ ยูยะ รู้สึกราวกับแผ่นดินตรงหน้ากำลังถล่ม เขาเอ่ยปากถามอีกฝ่ายเสียงสั่น

     “อะ…อะไรนะครับ พะ …พี่ จะมาอยู่ที่ อีเดนนี่นะเหรอ…โกหกใช่ไหม..”

     เรนะเหยียดยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะจับคางของเด็กหนุ่มร่างเล็กเชยขึ้น

     “เสียใจด้วยนะจ๊ะ ที่ต้องบอกว่ามันเป็นความจริง … จะว่าไปแล้ว ถ้าไม่มีเธออยู่ที่นี่ด้วยล่ะก็ ฉันก็คงไม่ตอบตกลงมาหรอกนะ”

     เมื่อเห็นแววตาหวาดหวั่นของร่างเล็ก ๆ ตรงหน้า มันทำให้เรนะเริ่มรู้สึกมันเขี้ยวขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ หญิงสาวขบกัดที่ปลายจมูกที่เชิดขึ้นนิด ๆ นั้นเล่นแรง ๆ ก่อนจะปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระ

     “ฉันไปอเมริกาแค่ 3 ปี กลับมาญี่ปุ่นก็รู้จากคุณลุง คุณป้า ว่าเธอมาเรียนอยู่ที่นี่ได้ 2 ปีแล้ว ฉันก็เลยรีบตามมาทันที ลำบากแทบแย่ กว่าจะติดต่อกลับมาที่นี่ได้อีกครั้ง”

     “หมายความว่ายังไง ที่ว่าติดต่อกลับมาอีกครั้ง”

     ยูยะซึ่งกระเถิบถอยหนีออกไปยืนห่าง ๆ ถามขึ้นด้วยความสงสัย

     “อ้าว! เธอจำไม่ได้หรือยูยะ ที่ฉันเคยเล่าว่ามีสถาบันอะไรชื่อแปลก ๆ ไม่รู้ ส่งบัตรเชิญฉันให้เข้าร่วมทำงานภายในสถาบัน แต่ตอนนั้นฉันบังเอิญตอบรับการค้นคว้าวิจัยกับทางสถาบันของอเมริกาไปแล้ว ก็เลยตอบปฏิเสธไป มารู้ตอนหลังว่าใช่ที่เดียวกับที่ ๆ เธอไปเรียนก็เลยติดต่อกลับมาอีกครั้ง ซึ่งก็ไม่มีปัญหา คนอย่างฉันไปที่ไหนใครก็อ้าแขนรับอยู่แล้ว”

     ยูยะรู้สึกหมั่นไส้ กับความหลงตัวเองของหญิงสาว หากเขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ผู้หญิงอย่างคาโต้ เรนะ เป็นอัจฉริยะตัวจริง

     หญิงสาวเรียนจบปริญญาเอกตั้งแต่อายุเพียงแค่ 22 ปี และทำงานอยู่ในสถาบันวิจัยชั้นแนวหน้าของญี่ปุ่นเรื่อยมา ก่อนที่ทางอเมริกาจะทำการขอเชิญตัวให้เธอไปร่วมค้นคว้ากับสถาบันทางนั้น ในฐานะตัวแทนแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ

     “ยูยะคุง…” น้ำเสียงหวาน ๆ หากแต่ว่าเยือกเย็นเรียกชื่อของเด็กหนุ่มขึ้น ซึ่งยูยะรู้ตัวดีว่า หากเรนะใช้น้ำเสียงนั้นเมื่อไหร่ นั้นหมายถึงอันตรายกำลังจะเกิดขึ้นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

     “ยังไม่ได้คบกับผู้หญิงคนไหนเป็นพิเศษใช่ไหมจ๊ะ”

     ยูยะกลืนน้ำลายเอื๊อกลงคอ ก่อนจะพยักหน้ารับเสียงสั่น ๆ

     “ครับ..ยังไม่ได้คบกับ ‘ผู้หญิง’ คนไหนเลยครับ”

     “หืม…งั้นเหรอ” เรนะพยายามจ้องมองนัยน์ตาสีดำคู่นั้น ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ ในที่สุด

     “อืม…ดีแล้วล่ะ ผู้หญิงสำหรับยูยะ ต้องให้ฉันเป็นคนเลือกสิ ยูยะเป็นคนน่ารัก สุภาพ หากโดนผู้หญิงไม่ดีที่ไหนหลอกเข้าจะว่ายังไง อย่างยูยะต้องได้คนที่น่ารักอ่อนหวาน เอาอกเอาใจเก่ง และใจเย็นยอมรับฟังเหตุผลของคนอื่น มาเป็นแฟน มันถึงจะเหมาะสมกับเธอหน่อย”

     ยูยะกลืนน้ำลายลงคออย่างลืมตัว …น่ารักอ่อนหวาน เอาอกเอาใจเก่ง และใจเย็นยอมรับฟังเหตุผลของคนอื่น …ทำไมหนอ มันช่างห่างไกลจากบุคลิกของคนที่เขากำลังคบอยู่ด้วยตอนนี้ลิบลับเสียเหลือเกิน

     ส่วนเพื่อน ๆ ที่เหลือต่างหันมามองตากันปริบ ๆ ถ้าเจ๊คนสวยจอมโหดนี่เกิดรู้ขึ้นมาว่า ยูยะกำลังคบกับใครอยู่ตอนนี้ มีหวังแม่คุณคงอาละวาดจนอีเดนวุ่นวายเป็นแน่

     “เฮ่อ…ฉันต้องไปรายงานตัวกับหัวหน้าของฉันเสียก่อนนะ แล้วจะมาหาเธอใหม่ อ้อ! ฟังจากคุณลุง คุณป้า เรื่องดนตรีแล้ว ฉันยังไม่เคยมีโอกาสได้ฟังเธอเล่นดนตรีเลย มาที่นี่ฉันต้องหาโอกาสสักครั้งแน่ ไว้เจอกันนะยูยะ”

     เรนะก้มลงจูบปากของเด็กหนุ่มโดยเร็ว ชนิดที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ตั้งตัว หากแต่คราวนี้ กลับสะดุดเข้ากับสายตาของคนที่บังเอิญผ่านมาเห็นเข้าจัง ๆ

     “ไปล่ะนะจ๊ะ ดาร์ลิง ไว้ฉันจะมาหาเธอใหม่นะ ยูยะ!”

     เรนะจากไปแล้ว แต่ทิ้งให้นาโอกิ ยูยะ เผชิญหน้ากับ ภัยอันตรายจากคนที่กำลังอยู่ในอารมณ์เดือดดาลสุดขีด ที่ตรงรี่เข้ามาหาเขาแทบทันทีหลังจากที่พ้นร่างหญิงสาว

     “ใครกัน นาโอกิ!”

     “อะ…เอ่อ …ลูกพี่ลูกน้องครับ”

     “ลูกพี่ลูกน้อง?” มอร์เฟียซทวนคำเสียงสูง อย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไรนัก

     “ญาติ ๆ ของเธอ เขาคิส ทักทายกันดูดดื่ม แบบนั้นเสมอเหรอ?”

     ยูยะหน้าซีด เรนะทำพิษเขาอีกจนได้ นี่แค่หล่อนโผล่มาวันแรก ก็หาเรื่องเดือดร้อนมาให้เขาเสียแล้ว

     “ปะ..เปล่า ครับ แต่พี่เรนะ…ชอบทำกับผมแบบนี้ประจำ…เอ่อ..ไม่สิ คือ พี่เขาชอบล้อเล่นน่ะครับ”

     “ล้อเล่น?” มอร์เฟียซทวนคำอีกครั้ง ซึ่งยูยะบอกได้เลยว่าชายหนุ่มไม่เชื่อคำพูดของเขาเลยสักนิด

     “อะ..เอ่อ อาจารย์ครับ คือ พวกผมสี่คนได้รับคำสั่งจากอาจารย์วิลเลียม ให้ไปพบที่ห้องพักครูน่ะครับ อาจารย์อยากให้พวกเราช่วยจัดนิทรรศการเกี่ยวกับละครภาษาอังกฤษ ที่จะมีในอาทิตย์หน้านี้น่ะครับ”

     เหตุการณ์ตรงหน้าคงจะตึงเครียดมากไปกว่านี้ หากเพื่อนทั้งสามซึ่งยืนอยู่ด้วยกันจะไม่ช่วยหาเหตุผลดึงตัวยูยะออกมาเสียก่อน อาจารย์หนุ่มพยักหน้ารับอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก ก่อนจะเดินจากไปด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิดเต็มพิกัด



     “ซวยแล้วไง…งานนี้ฉันต้องแย่แน่ ๆ” ยูยะบ่นพึมพำด้วยความหวาดวิตกสุดขีด

     “เฮ่ย! คงไม่เป็นอย่างนั้นหรอกน่า คาเตอร์ก็คงแค่โกรธนิด ๆ หน่อย ๆ เอ่อ..แบบว่า หึง อะไรทำนองนี้ล่ะ” ราฟาเอลรีบเอ่ยปากปลอบใจเด็กหนุ่ม ทว่า ระหว่างพูดใบหน้าก็แดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย

     “..ก็ เพราะหึงน่ะสิ ถึงว่าซวยน่ะ …พวกนายไม่รู้หรอกว่าเวลามอร์เฟียซหึงแล้ว ส่วนมากเขาจะชอบ…” ยูยะชะงัก ก่อนจะรีบกลืนคำพูดลงไปในลำคอ ใบหน้าแดงนิด ๆ ขึ้นมาทันที ซึ่งเมื่อเห็นเช่นนั้น มิเชลก็ถอนหายใจเบา ๆ ในขณะที่ราฟาเอลใบหน้าแดงระเรื่อ รีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่น มีแต่จิมมี่ ซึ่งยังคงทำหน้าเหรอหราด้วยความไม่เข้าใจ

     “ทำไม? คาเตอร์ชอบทำอะไรงั้นหรือ?”

     อีกสามคนเงียบกริบทันที โดยเฉพาะยูยะบัดนี้ใบหน้าของเขาแดงก่ำจนทั่ว

     “มานี่จิมมี่ มันก็คือ…”

     มิเชลซึ่งทนรำคาญความไร้เดียงสาของเด็กหนุ่มผมแดงไม่ไหว ก็กระชากคอเสื้ออีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ๆ ก่อนจะกระซิบอะไรเบา ๆ ที่ข้างหูของอีกฝ่าย สักพัก ใบหน้าของจิมมี่ก็แดงเข้มขึ้นจนแทบจะเหมือนกับสีผมของเขาเลยทีเดียว

     “อะ…..เอ่อ…..กะ…..ก็” จิมมี่เริ่มพูดไม่เป็นภาษา ซึ่งอาการเช่นนั้นก็ทำให้คนอื่น ๆ ที่เหลือหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งยูยะเองก็ตาม

     “อืม…เรื่องนั้นช่างมันเถอะจิมมี่ แต่ว่าฉันขอเตือนอะไรพวกนายอย่างหนึ่งนะ!”

     อยู่ดี ๆ ยูยะก็เปลี่ยนสีหน้ากลับมาเป็นเคร่งเครียดทันที

     “อะไรเหรอ?” ทั้งสามคนเอ่ยถามขึ้นแทบพร้อมกัน

     “อย่าพยายามให้ความสนิทสนมกับพี่เรนะเกินคนรู้จักธรรมดาเด็ดขาด ถ้าพวกนายไม่อยากให้เขาต้องมาวุ่นวาย วอแว กับเรื่องส่วนตัวตลอดอย่างฉันล่ะก็”

     “นายพูดเหมือนพี่นายเป็นพวกที่ไม่ควรคบอย่างนั้นล่ะ” มิเชลเอ่ยท้วงติง ๆ ซึ่งยูยะก็รีบปฏิเสธทันที

     “ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น … ฉันยอมรับว่าพี่เรนะเป็นห่วงเป็นใยฉันมาตั้งแต่เด็ก แต่ความเป็นห่วงถ้ามากเกินไป มันก็ทำให้เรารู้สึกอึดอัดใจได้นะ ความสัมพันธ์ของฉันกับพี่เรนะก็เป็นแบบนี้นั่นล่ะ …ฉันไม่ได้เกลียดเขานะ แต่พวกนายก็ต้องเข้าใจคือฉัน…”

     “โอเค ๆ พวกฉันเข้าใจ” ราฟาเอลสรุป ก่อนจะตบบ่ามิเชลที่ทำท่าจะแย้งเบา ๆ ส่วนจิมมี่ก็พยักหน้ารับค่อย ๆ ไม่ได้พูดอะไรออกไป

     “เอาล่ะ พวกเราไปกันเถอะ เดี๋ยวอาจารย์วิลเลียมจะรอนาน”

     ราฟาเอลตัดบท จากนั้นทั้งสี่คนจึงมุ่งตรงไปยังห้องพักของอาจารย์ อลัน วิลเลียม อันเป็นเป้าหมายเดิมต่อไป



     “ยังไงฉันก็คิดว่ายูยะทำไม่ถูกอยู่ดี คุณเรนะ เขาอาจแสดงออกเว่อร์ไปนิด แต่ฉันก็เห็นว่าเขาเป็นห่วงเป็นใยยูยะจากใจจริงนะ”

     มิเชลบ่นขึ้น หลังจากที่กลับมาห้องพักที่หอของตนแล้ว

     “ฉันรู้ว่านายไม่พอใจ แต่นายอย่าลืมสิมิเชล ยังไงนายกับยูยะก็เป็นคนละคนกัน พื้นเพครอบครัว นิสัยใจคอ ความคิด ก็ต่างกัน บางทีถ้านายเป็นยูยะ นายอาจจะไม่พูดแบบนี้ก็ได้”

     ราฟาเอลที่แวะเข้ามานั่งเล่นในห้องของเด็กหนุ่มเอ่ยท้วงขึ้น ซึ่งมิเชลก็ค้อนใส่อีกฝ่ายด้วยความไม่พอใจที่ไม่เห็นด้วยกับความคิดของเขา

     “หึ ๆ ฉันอยากให้ยูยะ กับจิมมี่มาเห็นสีหน้างอน ๆ ของนายตอนนี้จัง หน้ากากเฉยชาที่นายมักชอบใส่ในเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นน่ะ หายไปไหนหมดเสียแล้วล่ะ”

     เด็กหนุ่มหน้าสวยหันขวับมาทันที และก่อนที่เขาจะเตรียมอ้าปากโวยวายต่อว่าคนข้างหน้า ร่างสูงกว่าก็ก้าวพรวดเข้ามาประชิดกายเขา พร้อมกับประกบริมฝีปากของตนลงบนริมฝีปากบางน่าจูบนั้นอย่างรวดเร็ว

     “อืม…”

     มือที่ทำท่าจะผลักดันร่างสูงออกไป เปลี่ยนเป็นเอื้อมมาโอบคล้องคออีกฝ่ายแทนทันที ก่อนจะเบียดชิดกายของตนเข้าไปอีก

     “ราฟาเอล…เจ้าคนบ้า…ชอบฉวยโอกาส” มิเชลเอ่ยต่อว่าหอบ ๆ ก่อนจะผลักร่างสูงออกห่าง ริมฝีปากบางบวมแดงขึ้น จากการที่ถูกบดเคล้าอย่างหนัก

     “หึ ๆ ก็นายอยากน่ารัก น่ากิน เองทำไมล่ะ มิเชล ฉันก็อดใจไม่ไหวน่ะสิ” เด็กหนุ่มผมดำ นัยน์ตาสีเขียวเอ่ยขึ้น พลางแย้มยิ้มให้อย่างเจ้าเล่ห์ ซึ่งก็ทำให้นัยน์ตาสีฟ้าที่สบมองมา ต้องเมินหลบด้วยความเขินอาย

     …เจ้าบ้า ราฟาเอล ทำไมนะอยู่กับหมอนี่ตามลำพังทีไร ทำให้เขาลืมหน้ากากนักแสดงที่ตัวเองมักใช้ต่อหน้าคนอื่นประจำ และเผลอแสดงความรู้สึกจริง ๆ ของตัวเองออกไปทุกทีสิน่า …

     และราฟาเอลก็เหมือนจะรู้ เด็กหนุ่มเขยิบเข้ามาใกล้มิเชล พร้อมกับจับร่างบางลงนั่งบนเตียงพร้อมกับเขา ก่อนจะกดร่างนั้นให้นอนราบลงไปบนเตียง โดยที่มีร่างของเขาเองทาบทับไปติด ๆ

     “เรื่องของยูยะ เราเก็บไว้ก่อน…ตอนนี้มาสนใจเรื่องของพวกเราเองดีกว่านะมิเชล”

     ราฟาเอลเอ่ยพร้อมเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์ มิเชลพูดว่าบ้า ได้คำเดียว ก็ถูกอีกฝ่ายจัดการปิดปากโดยริมฝีปากนุ่ม และสัมผัสที่ชวนเคลิบเคลิ้มจากฝ่ามือทั้งสอง จนเด็กหนุ่มหลงลืมเหตุการณ์อื่นไปชั่วคราว ได้แต่เพลิดเพลินกับสัมผัสอันน่าหลงไหลที่ราฟาเอลมอบให้เพียงเท่านั้น
..
..
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #4 - 5 (30 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 30-06-2011 21:55:10
     มอร์เฟียซ คาเตอร์ เดินตรงไปยังห้องพยาบาลด้วยอารมณ์อันหงุดหงิด ซึ่งเมื่อเคธี่ได้เห็นสีหน้าแบบนั้นของเพื่อนชาย ก็ทำให้เธอละงานเอกสารที่กำลังทำอยู่ พลางเอ่ยทักขึ้นมาด้วยความแปลกใจ

     “เป็นอะไรหรือมอร์เฟียซ ทำไมทำหน้าบึ้งแบบนั้นล่ะ”

     “ฮึ! ลองคุณเห็นแฟนตัวเองไปจูบกับคนอื่น ต่อหน้า ต่อตาแบบนั้น คุณก็ต้องทำหน้าแบบผมเหมือนกันนั่นล่ะ เคธี่!”

     คำตอบของชายหนุ่ม ทำเอา หญิงสาวตาลุกวาวด้วยความสนใจ ก่อนจะรีบป้อนคำถามรัวทันทีด้วยความตื่นเต้น

     “ต๊าย! ยูยะน่ะเหรอ ไปจูบกับคนอื่น กรี๊ด! อยากเห็นจัง เอ๊ย! ไม่ใช่ เรื่องมันเป็นยังไงมายังไงกันเหรอมอร์เฟียซ เล่าให้ฟังหน่อยสิ!”

     มอร์เฟียซยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะถามตัวเองว่าคิดผิดหรือเปล่า ที่นำเรื่องมาระบายให้หญิงสาวฟังในครั้งนี้

     “คือว่า…” แล้วชายหนุ่มก็เล่าให้ฟังตามที่ตาเห็น รวมไปถึงคำพูดแก้ตัวของยูยะ ซึ่งหากไม่มีคนอื่นอยู่ในที่นั้น เขาคงจะลงโทษเด็กหนุ่ม ในแบบฉบับของตนเองไปนานแล้ว

     “ก็แค่ญาติไม่ใช่เหรอ” เคธี่สรุปหลังฟังจบ

     “ญาติที่ไหนเขาคิสดูดดื่มกันแบบนั้น หา!” มอร์เฟียซเริ่มฉุนขึ้นมาอีกครั้ง ไม่รู้เพราะอะไร หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับ นาโอกิ ยูยะ เขามักจะควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้ทุกที

     “ก็คุณหึงอยู่นี่นา เลยมองภาพตรงหน้ามันเกินจริงไปก็ได้” เคธี่พูดอย่างไม่ทุกข์ร้อน ก่อนจะเดินไปรินน้ำชาของตนเอง และเผื่อให้ชายหนุ่มด้วย

     “ดื่มนี่ก่อน แล้วใจเย็นหน่อยดีกว่ามอร์เฟียซ”

     “คุณไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองก็พูดได้นี่นาเคธี่” ชายหนุ่มบ่น ก่อนจะรับถ้วยน้ำชาที่หญิงสาวยื่นให้มาดื่ม เพื่อดับอารมณ์หงุดหงิดของตนเสีย

     “ฉันก็อยากเห็นนะ ไว้ให้พวกเขาลองทำให้ดูใหม่สิ ฉันจะได้สรุปว่า มันเป็นคิสทักทาย หรือคิสที่แอบแฝง” หญิงสาวพูดยั่ว ซึ่งก็ทำให้ชายหนุ่มทำเสียงในลำคออย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรออกไป

     “แล้วคุณจะทำยังไงต่อล่ะมอร์เฟียซ” เคธี่ถาม เมื่อเห็นมอร์เฟียซดื่มน้ำชาเสร็จเรียบร้อย และกำลังจะเดินกลับไปห้องพักของตนเอง

     “บ่ายนี้ จะเรียกนาโอกิมาอธิบาย ถ้าเหตุผลฟังขึ้น ก็จะปล่อยกลับหอตามปกติ แต่ถ้าฟังไม่ขึ้น ก็จะกักตัวไว้จนถึงตอนเช้า” ชายหนุ่มบอกพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ ซึ่งหญิงสาวก็ส่ายหน้านิด ๆ ด้วยความระอาใจ ก่อนจะอดสงสารเด็กหนุ่มชาวญี่ปุ่นไม่ได้ งานนี้ ดูเหมือน ไม่ว่าจะถูกหรือผิด ยูยะก็ต้องรับไปเต็ม ๆ คนเดียวอยู่ดี

     “เฮ่อ….ดูท่าคงจะมีเรื่องวุ่น ๆ ตามมาอีกเยอะเลยมั้ง งานนี้” หญิงสาวบ่นเบา ๆ กับตัวเอง หลังจากลับร่างชายหนุ่มแล้ว จากนั้นจึงกลับไปยังโต๊ะทำงานของเธอ เพื่อจัดการเอกสารที่ค้างอยู่ต่อไป



     “คุณเป็นญาติกับนาโอกิ ยูยะ จริง ๆ อย่างนั้นหรือเรนะ!”

     น้ำเสียงตื่นเต้นเอ่ยถาม หลังจากที่คุยกันด้วยความถูกคอมาได้สักพัก จนเรนะเผลอหลุดชื่อของยูยะออกไป

     “หัวหน้ารู้จัก ยูยะด้วยงั้นหรือคะ?”

     หญิงสาวถามขึ้นด้วยความแปลกใจ ที่หัวหน้าแผนกวิจัยและค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ของสถาบันอีเดน อย่าง ลี ชาง มารู้จักมักจี่ กับ เด็กม.ปลายธรรมดา อย่างยูยะ ลูกพี่ลูกน้องของเธอ

     “โธ่เอ๊ย! ทำไมจะไม่รู้จักล่ะ ก็ยูยะน่ะเป็นแฟนกับเพื่อนสนิทของผมเองนี่นา!”

     เจ้าตัวเผลอโพล่งออกไปอย่างลืมตัว ก่อนจะรีบตะครุบปิดปากตัวเองแทบไม่ทัน หากแต่ก็สายไปเสียแล้ว….

     “ยูยะนี่นะมีแฟนแล้ว! แถมแฟนของยูยะยังเป็นเพื่อนสนิทของหัวหน้าอีกนี่นะคะ!”

     สีหน้าและน้ำเสียงที่แสดงถึงความตกใจ ปนแปลกใจนั่น ทำให้ชาง ยิ้มแหย ๆ ในขณะที่สมองพยายามหาข้อแก้ตัวสุดฤทธิ์

     “ใครคะ!?” น้ำเสียงสงสัยแกมคาดคั้นถามขึ้น ชางเกาศีรษะแกรก ๆ ด้วยความยุ่งยากใจ ก่อนจะตัดสินใจบอกความจริงออกไป เพราะเขาคิดว่านี่เป็นเรื่องส่วนตัวและการตัดสินใจของยูยะ และคิดว่าเรนะ คงจะรับได้ หากแต่ชายหนุ่มดูเหมือนจะคิดผิดไปเสียแล้ว

     “แฟนของยูยะเป็นผู้ชาย …แถมยังเป็นอาจารย์นี่นะ” เรนะพึมพำแผ่วเบาในลำคอ ก่อนที่นัยน์ตาจะวาววับขึ้นมาอย่างน่ากลัว

     “เป็นไปไม่ได้ …ยูยะนี่นะ จะชอบ …ผู้ชายด้วยกัน”

     “เอ่อ…เรื่องของความรักไม่มีพรมแดน ไม่มีเหตุผล หรือความผิดถูกหรอกนะ” ชางพยายามให้เหตุผล แต่ดูเหมือนเรนะจะฟังอะไรไม่เข้าหูเสียแล้ว

     “หัวหน้าคะ บ่ายนี้ไม่มีงานใช่ไหมคะ ฉันขอตัวเข้าไปในสถาบันหน่อยนะคะ มีเรื่องอยากจะคุยอะไรกับอาจารย์ มอร์เฟียซ  คาเตอร์เสียหน่อย”

     ชางกลืนน้ำลายเอื๊อกลงคอด้วยความลำบากใจ หากเขาก็ทำได้แต่เพียงพยักหน้าอนุญาตเท่านั้นเอง

     “โทษทีว่ะ มอร์เฟียซ ไม่คิดเลยว่าเรื่องจะกลายมาเป็นแบบนี้เข้าได้” ชางพึมพำกับตนเองด้วยความสำนึกผิด หลังจากที่ลับร่างของหญิงสาวไปแล้ว



     มอร์เฟียซ  คาเตอร์ ซึ่งกำลังนั่งรอให้ยูยะเข้ามาพบเขาภายในห้อง หลังจากที่โทรศัพท์ไปตามที่หอได้สักพัก ยิ้มออกมาเล็กน้อย เมื่อเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น

     “นาโอกิเหรอ? เข้ามาสิ” เสียงเคาะประตูเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะมีเสียงหวานที่ไม่คุ้นเคยตอบกลับมา

     “คาโต้  เรนะ เจ้าหน้าที่คนใหม่จากแผนกวิจัยและค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ของสถาบันอีเดนค่ะ”

     “เอ๋?” ชายหนุ่มอุทานด้วยความแปลกใจ ก่อนที่ประตูจะเปิดออก และเผยให้เห็นร่างของสาวสวย คนเดียวกับที่ทำให้เขาหงุดหงิดเมื่อเช้านี้

     “คุณ! … ลูกพี่ลูกน้องนาโอกิสินะ” มอร์เฟียซ พยายามข่มอารมณ์หงุดหงิดซึ่งปะทุขึ้นมาอีกระลอก ขณะที่เรนะเดินเข้ามาตรงหน้าโต๊ะทำงานของชายหนุ่มด้วยท่าทางสงบนิ่ง ไม่หวั่นเกรงอะไรทั้งสิ้น

     “เชิญ!” ชายหนุ่มเชิญอีกฝ่ายนั่งด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ ซึ่งเรนะก็เลิกคิ้วมองคนตรงหน้านิดหนึ่ง ก่อนจะนั่งลงด้วยท่าทางเชิดใส่ ไม่แพ้อีกฝ่าย

     “คุณมีธุระอะไร” มอร์เฟียซ ยิงคำถามตรงประเด็น จากเหตุการณ์เมื่อเช้า ทำให้เขารู้สึกไม่ชอบผู้หญิงตรงหน้าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก หรืออาจจะเป็นเพราะเขากำลังหึงยูยะ อย่างที่เคธี่บอกไว้ก็ได้

     “อยากให้คุณเลิกยุ่งกับยูยะ!” คำตอบที่ออกมาจากปากของอีกฝ่าย ทำให้ชายหนุ่มชะงักกึกไปชั่วครู่ …หล่อนรู้ความสัมพันธ์ของเขากับยูยะ …ใช่หล่อนรู้ ดูจากสีหน้า คำพูดและแววตานั่นก็บอกได้ชัดเจนแล้ว

     “คุณมีสิทธิ์อะไรไม่ทราบ” ชายหนุ่มย้อนถามกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หากแต่นัยน์ตาสีเขียวนั้นวาวโรจน์อย่างน่ากลัว

     “สิทธิ์ที่ฉันเป็นญาติ และเป็นพี่สาวของยูยะยังไงล่ะ คุณกำลังล่อลวงน้องชายของฉันให้หลงผิด ฉันจะไม่ช่วยเหลือได้หรือไรล่ะ!” หญิงสาวโต้ตอบอย่างไม่ยอมลดละ ซึ่งมอร์เฟียซเมื่อได้ฟัง ก็รู้สึกฉุนขึ้นมาทันที

     “ใครล่อลวงใครกัน! ผมกับนาโอกิใจตรงกันทั้งคู่ต่างหาก!”

     “แต่ทั้งคุณทั้งยูยะเป็นผู้ชายทั้งคู่! สังคมรับเรื่องแบบนี้ไม่ได้หรอก!” เรนะยังคงไม่ยอมแพ้ และเถียงใส่ ด้วยน้ำเสียงที่เพิ่มความดุเดือดขึ้นทุกทีเช่นกัน

     “ใครจะมอง จะคิดยังไงผมไม่แคร์ ผมรู้แต่ว่า ผมรักนาโอกิ และนาโอกิก็รักผม แค่นั้น!!”

     “คุณ!!”

     เรนะค้างไว้แค่นั้น เมื่อเสียงเปิดประตูห้องดังขึ้น พร้อมกับการปรากฏตัวของคนกลางของเรื่องครั้งนี้

     “นาโอกิ!!”   “ยูยะ!!” ทั้งมอร์เฟียซ และเรนะ ทักขึ้นมาพร้อมกัน เมื่อเห็นสีหน้าตะลึงปนตกใจของเด็กหนุ่มที่ยืนอ้าปากค้างอยู่หน้าประตูห้อง

     “…พะ…พี่เรนะ ….มอร์เฟียซ …”

     “มาก็ดีแล้วนาโอกิ! มายืนยันให้พี่สาวของเธอรับรู้เสียที ว่าเธอกับฉันเป็นอะไรกัน และเธอคิดยังไงกับฉัน!” มอร์เฟียซออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ซึ่งก็ทำให้เรนะหันขวับมาทางชายหนุ่มด้วยความไม่พอใจ

     “เผด็จการชัด ๆ  ยูยะไม่ต้องกลัวนะ ฉันอยู่ด้วยทั้งคน จะไม่ยอมให้ใครมาบังคับฝืนใจเธอเด็ดขาด อยากพูดอะไรก็พูดออกไปเลย!”

     “ผะ…ผม” ยูยะยังคงยืนขาแข็งอยู่หน้าประตู ไม่คิดว่าจะต้องมาพบกับเรื่องแบบนี้แท้ ๆ แต่ก็เจอจนได้ แล้วนี่เขาจะบอกความจริงกับเรนะให้ทราบดีไหม แต่ถ้าเผื่อเรนะไปเล่าให้พ่อกับแม่ของเขาฟังล่ะ เขาจะทำยังไงดี

     “นาโอกิ!! บอกออกไปเลยสิ!”

     “ยูยะ!! มีอะไรอยากพูดก็พูดเร็วเข้า!!”

     จอมบงการทั้งสองคาดคั้นหนักขึ้น ซึ่งยูยะก็มองทางซ้ายที ขวาที แล้วก็กลับหลังหัน วิ่งหนีออกไปจากห้องเฉย ๆ เสียอย่างนั้น ทำเอาคนทั้งคู่ที่เหลือ อึ้งเงียบ ด้วยความคาดไม่ถึง ไปพักใหญ่

     “เด็กบ้า! พอตัดสินใจอะไรไม่ได้ก็วิ่งหนีทุกที นิสัยนี้เมื่อไหร่จะแก้หายนะ!” เรนะบ่นอุบ ซึ่งมอร์เฟียซ ก็หันมามองทางหญิงสาว ด้วยสายตาไม่ค่อยพอใจนัก ที่เห็นเรนะรู้เรื่องเกี่ยวกับยูยะมากกว่าเขา

     “หึ! ยูยะกับฉันน่ะสนิทกันมากเลยรู้ไหม หากเขาไม่ใช่ลูกพี่ลูกน้องนะ ฉันคง…”

     หญิงสาวที่อ่านสายตาอีกฝ่ายออก แกล้งพูดทิ้งค้างไว้ให้คิด ก่อนจะทำท่าเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

     “อ๊ะ! จริงสิ ฉันขออนุญาตหัวหน้าลี ออกมาแค่ไม่นาน เดี๋ยวคงต้องกลับแล้วล่ะ ขอตัวก่อนนะคะ”

     ในขณะที่เรนะกำลังจะออกพ้นจากห้อง หญิงสาวก็หันกลับมาทางมอร์เฟียซอีกครั้ง

     “แต่เรื่องของยูยะฉันยังไม่ยอมแพ้หรอกนะ ฉันไม่ยอมให้น้องชายที่แสนน่ารักของฉัน หลงเดินทางผิดไปตลอดชีวิตแน่!”

     พูดจบก็สะบัดหน้าเดินจากไป ทิ้งให้ชายหนุ่มนั่งกัดฟันกรอดด้วยความโมโหตามลำพัง

     “ยัยตัวแสบ!! เจ้าพวกแผนกวิจัยนี่มีแต่พวกกวนประสาท ชอบหาเรื่องปวดหัวให้ชาวบ้านทุกคนหรือเปล่านะ!!”

     หงุดหงิดหนักเข้าชายหนุ่มก็พาลใส่ไปถึงแผนกวิจัยฯ อีกคน ซึ่งกำลังนั่งจามอย่างหนัก เพราะถูกบ่นถึงนั่นเอง



     “โอ๊ย! กลุ้ม!! จะทำยังไงดีนะ!!”

     ยูยะกลับมาถึงหอก็วิ่งขึ้นห้อง พลางเดินบ่นไปมาเบา ๆ พอหนัก ๆ เข้าก็โวยลั่นทั่วห้อง และก็เงียบไปอีก จน คนที่อยู่ห้องอื่น ๆ พากันแปลกใจไปตาม ๆ กัน ยกเว้นเพื่อนทั้งสามคน ซึ่งตามเด็กหนุ่มเข้ามาภายในห้องด้วยกัน

     “ก็อธิบายให้เจ๊แกเคลียร์ซะสิ จะได้ไม่ต้องปวดหัวแบบนี้” จิมมี่เสนอความเห็น โดยที่ ราฟาเอลนั่งฟังเฉย ๆ ส่วนมิเชลยักไหล่นิด ๆ ในขณะที่ยูยะถอนหายใจเฮือกใหญ่

     “ถ้าพี่เรนะ เป็นพวกฟังความเห็นชาวบ้าน ฉันก็คงไม่มานั่งกลุ้มแบบนี้หรอก เขาเป็นพวกถ้าลองเชื่อมั่น หรือตั้งใจอะไรแล้ว จะไม่ยอมเปลี่ยนความคิดเด็ดขาด แม้ว่าตัวเองจะผิดก็ตามน่ะสิ!”

     “แต่ถ้านายลองให้เหตุผลดี ๆ คุณเรนะเขาอาจจะยอมฟังก็ได้นะยูยะ” มิเชลเอ่ยขึ้นมาบ้าง ซึ่งราฟาเอลก็อมยิ้มนิด ๆ เพราะเห็นว่ามิเชล ยังมีใจเข้าข้างเรนะอยู่เหมือนเดิม

     “พันเปอร์เซ็นต์ ไม่ยอมฟังชัวร์! ให้ตายเถอะ! ไม่รู้ใครกันที่เป็นคนบอกเรื่องของฉันกับมอร์เฟียซให้เขาฟัง … ถ้ารู้ตัวนะ!” ท้ายประโยคเด็กหนุ่มเน้นเสียงหนักอย่างน่ากลัว ขนาดที่เพื่อน ๆ ที่นั่งฟังอยู่ฟังแล้วถึงกับหวาดเสียวแทนคนผู้นั้นเลยทีเดียว

     “…คนอะไรก็ไม่รู้ เอาแต่ใจ ถือความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ จอมเผด็จการ วางอำนาจ ไม่ยอมฟังความเห็นของคนอื่น!!” ยูยะยังคงบ่นอุบไปอีก ด้วยสีหน้าหงุดหงิดสุด ๆ แต่หากเพื่อน ๆ ที่นั่งอยู่ด้วยกันในห้อง ฟังแล้ว กลับหวนคิดถึงคนอีกคนอย่างน่าประหลาด

     “เดี๋ยวก่อน….ที่พูดมาน่ะ หมายถึงคุณเรนะอย่างงั้นหรือ” มิเชลลองถามดู ซึ่งยูยะก็หันมามองเขา ก่อนจะกระแทกเสียงใส่ด้วยความหงุดหงิด

     “ก็ทั้งคู่นั่นล่ะ!!”

     เพื่อนทั้งสามถอนหายใจขึ้นมาพร้อมกัน จะว่าไปแล้ว ก็ถูกอย่างที่ยูยะบ่นมาแทบทุกประการ มอร์เฟียซ คาเตอร์ และ คาโต้ เรนะ เป็นคนประเภทเดียวกันจริง ๆ นั่นล่ะ!

     “ไม่รู้แล้ว! อยากจะทะเลาะอะไรกันก็เชิญ แต่อย่ามายุ่งกับฉันแล้วกัน ไม่อยากจะยุ่งกับทั้งคู่นั่นล่ะ!!”

     ยูยะโวยขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะกระโดดขึ้นที่นอนคลุมโปงไม่สนใจรอบด้าน ทำเอาเพื่อน ๆ อีกสามคนที่เหลือมองตากันปริบ ๆ

     “ดูท่าจะเครียดจริง ๆ นั่นล่ะนะ” ราฟาเอลพูดขึ้นมาเบา ๆ กับคนอื่น ๆ

     “สติแตกไปแล้วล่ะแบบนี้!” จิมมี่เอ่ยขึ้นบ้าง ซึ่งคำพูดของเด็กหนุ่มผมแดง ก็ทำให้ร่างที่คลุมโปงอยู่ใต้ผ้าห่ม ลุกขึ้นพรวดมาทันที

     “ฉันยังปกติดีอยู่!” ยูยะเน้นเสียงเข้ม ซึ่งจิมมี่ก็หัวเราะแห้ง ๆ ก่อนจะถูกมิเชลและราฟาเอล ดึงตัวออกไปนอกห้อง เพราะเกรงว่าปากไม่มีหูรูดของเด็กหนุ่มผมแดง จะก่อเรื่องให้คนที่เครียดอยู่แล้ว เครียดหนักยิ่งขึ้นไปอีก



     “ง่า…ยูยะปวดหัว ปวดท้อง ลงมาพบใครไม่ได้ครับ” จิมมี่รับหน้าหญิงสาวที่มาขอพบยูยะ เป็นการส่วนตัว ซึ่งเจ้าตัวที่ถูกขอพบฝากคำพูดลงมาว่า หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่อยากเจอหน้า แต่จะให้เขาพูดแบบนั้นได้ยังไง ดังนั้น เด็กหนุ่มผมแดง จึงจำต้องโกหกสด ๆ ด้วยความจำเป็น

     “เขาไม่อยากเจอหน้าฉันล่ะสิ!” เรนะดักคออย่างรู้ทัน ซึ่งก็ทำให้จิมมี่ถึงกับลอบกลืนน้ำลายเอื๊อกลงคอ …ทำไมนะ เวลาแบบนี้ มิเชล กับ ราฟาเอล ดันหายไปไหนก็ไม่รู้!

     “ปะ…เปล่า นะครับ” จิมมี่แก้ตัวอึกอัก เรนะทำเสียงฮึในลำคอ แต่ก่อนที่หญิงสาวจะกลับไป จิมมี่ก็เรียกเธอไว้เสียก่อน

     “เอ่อ…คุณเรนะครับ”

     “หือ มีอะไรเหรอจิมมี่” หญิงสาวหันกลับมา ซึ่งก็เห็นจิมมี่ทำสีหน้าเหมือนลำบากใจ และเงียบไปพักใหญ่ ก่อนที่เจ้าตัวจะตัดสินใจพูดออกมาในที่สุด

     “…ผมพูดไม่ค่อยเก่ง แต่…คือ…ยูยะ เขาลำบากใจนะครับ …เขาชอบอาจารย์คาเตอร์ และก็ไม่ได้เกลียดคุณเรนะด้วย คือ เขาไม่อยากให้คุณทั้งคู่ทะเลาะกันน่ะครับ …”

     จิมมี่พยายามอธิบายอย่างอึกอัก แต่แววตาที่จริงใจนั้น ก็ทำให้หญิงสาวสนใจฟังขึ้นมาได้

     “หมายความว่าเธอก็ยอมรับเรื่องที่ผู้ชายชอบผู้ชายอย่างนั้นหรือไง” เรนะถามขึ้นมาบ้าง หลังจากเงียบฟังจิมมี่ยกเหตุผล ที่ตัวเขาเองคิดว่าน่าจะดี มาให้หญิงสาวฟังจนหมดสิ้น

     “ผะ…ผม” จิมมี่หน้าแดงก่ำทันที ก่อนจะตะกุกตะกักตอบ

     “ผมไม่ได้ชอบ หรือ รังเกียจอะไรหรอกครับ …ตะ แต่ผมคิดว่า ถ้าเขารักกันจริง …มันก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีไม่ใช่หรือครับ …ผมหมายความว่า ความรัก ไม่ว่ามันจะเกิดในรูปแบบไหน มันก็เป็นสิ่งที่ดี และน่ายอมรับน่ะครับ”

     เรนะเลิกคิ้วนิด ๆ อย่างสนใจในคำพูดนั้น ก่อนจะย้อนถามกลับไปอีกประโยค

     “แต่สังคมส่วนใหญ่ ไม่ยอมรับในเรื่องนี้นะ เธอคิดว่ายูยะจะทนได้หรือไง หากสังคมรับรู้เรื่องนี้เข้า เด็กคนนั้นต้องทนไม่ได้แน่”

     “ยูยะเข้มแข็งกว่าที่คุณคิดนะครับ!” จิมมี่เถียงกลับทันทีอย่างลืมตัว ก่อนจะเอ่ยขอโทษเบา ๆ เพราะอีกฝ่ายอายุมากกว่าเขาหลายปี

     “…ที่สำคัญ ถึงสังคมจะไม่ยอมรับ แต่ยูยะก็ยังมีพวกผมอยู่ทั้งคน … และ ยูยะที่ขาดมอร์เฟียซ คาเตอร์ ก็เป็นแค่เพียงคนที่มีชีวิต แต่ไร้จิตใจนั่นล่ะครับ ที่สำคัญ ถ้าทั้งคู่ต้องเลิกรากันจริง ๆ ผมกลัวว่ายูยะจะ …”

     จิมมี่เงียบไปเฉย ๆ จนทำให้เรนะซึ่งกำลังตั้งใจฟังขัดใจ
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #4 - 5 (30 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 30-06-2011 21:55:58
   “ยูยะจะอะไร พูดต่อสิ!”

     “คือ…” จิมมี่เงียบ คิดทบทวนว่าจะเล่าเรื่องเมื่อก่อนให้คนตรงหน้าฟังดีหรือไม่ … เมื่อก่อน เพียงแค่เข้าใจผิดว่า มอร์เฟียซ คาเตอร์ไม่มีใจให้ ก็ทำให้ยูยะเพี้ยนไป จนถึงขนาดลงมือทำร้ายตัวเองมาแล้วด้วยซ้ำ

     “โอเค! ผมจะเล่า ถ้านั่นมันจะทำให้คุณได้คิดว่า ยูยะจำเป็นต้องมีมอร์เฟียซ คาเตอร์ เหมือนกับที่มอร์เฟียซ คาเตอร์ จำเป็นต้องมียูยะ นั่นล่ะ!”

     แล้วจิมมี่ ก็ตัดสินใจเล่าให้หญิงสาวฟังในส่วนที่เขารับรู้ทั้งหมด ซึ่งเรนะก็ได้แต่นิ่งเงียบฟังโดยดี มีบางครั้งที่เธอทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็เงียบไป และก็นิ่งฟังจนกระทั่งเด็กหนุ่มเล่าจบ

     “เรื่องมันก็เป็นแบบนี้ล่ะครับ” จิมมี่บอก พลางสังเกตท่าที ของเรนะ แต่ก็จับความรู้สึกของหญิงสาวไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

     “ยูยะมีเพื่อนที่ดีจริง ๆ” เรนะเอ่ยออกมาในที่สุด หลังจากที่เงียบมานาน

     “ถ้ายูยะเป็นคนมาเล่าเอง ฉันจะไม่เชื่อเลยแม้แต่น้อย เพราะฉันคิดว่าเขาคงจะหลงหมอนั่นจนลืมหู ลืมตาไม่ขึ้น และกุเรื่องขึ้นมาหลอกฉัน… แต่พอฟังเธอเล่าแล้ว….ฉันเชื่อ”

     หญิงสาวส่งยิ้มให้ ซึ่งก็ทำให้จิมมี่รู้สึกดีใจที่ทำให้คนตรงหน้าเริ่มคล้อยตามได้ในที่สุด

     “แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ฉันก็ยังยอมรับไม่ได้อยู่ดีนั่นล่ะ”

     ประโยคถัดมาทำให้จิมมี่ ซึ่งกำลังดีใจ ห่อเหี่ยวลงทันที และขณะที่กำลังผิดหวังกับการที่เจรจาไม่สำเร็จ เรนะก็พูดต่อขึ้นมาอีกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

     “จนกว่าจะมีการพิสูจน์ความรักของคนทั้งคู่เกิดขึ้นให้ฉันเห็นกับตา ฉันถึงจะยอมเชื่อ”

     “เอ๋? พิสูจน์งั้นหรือครับ!” จิมมี่ทวนคำด้วยความแปลกใจ

     “ใช่! แล้วเธอก็ต้องช่วยร่วมมือกับฉันด้วย จะได้ไหมล่ะ!”

     เรนะยื่นข้อเสนอ ซึ่งจิมมี่ก็มองหญิงสาวอย่างชั่งใจ สักพัก ก่อนจะตอบรับเสียงอ่อย ๆ

     “ถ้าจะช่วยให้คุณเข้าใจยูยะได้ …ผมก็ยินดี”

     “ดีมาก! เธอเป็นเด็กดีจริง ๆ จิมมี่!” เรนะก้มลงจูบที่ปากของเด็กหนุ่มผมแดงเบา ๆ ซึ่งก็ทำให้อีกฝ่ายตกใจ กระโดดถอยหลังหนีออกมาตั้งหลักอย่างรวดเร็ว

     “อะ…เอ่อ..” เด็กหนุ่มพูดตะกุกตะกัก ใบหน้าแดงก่ำ ซึ่งเรนะเห็นแล้วก็รู้สึกชอบใจขึ้นมาทันที และก่อนที่หญิงสาวจะกลับ ก็สั่งกำชับไว้เสียก่อน

     “ไว้เดี๋ยวฉันจะบอกว่าต้องทำอะไรบ้าง ตอนนี้เธอก็ทำตัวปกติ เหมือนว่าไม่เคยคุยอะไรเรื่องนี้กับฉันมาก่อนก็แล้วกันนะ”

     “คะ…ครับ” จิมมี่ตอบรับเบา ๆ ใบหน้ายังไม่หายแดง เรนะยิ้มให้อีกครั้ง ก่อนจะเดินจากไป ด้วยอารมณ์ที่ดีกว่าขามา ซึ่งเจ้าตัวเองก็ยังรู้สึกประหลาดใจเหมือนกันที่ยอมรับอะไรได้ง่าย ๆ แบบนี้ สาเหตุหลักคงเป็นเพราะแววตาซื่อ ๆ จริงใจ ของเด็กหนุ่มผมแดง ตลอดเวลาที่คุยกับเธอ คนนั้นด้วยกระมัง



     เหตุการณ์มันช่างดูราบรื่น เสียจนน่าแปลกใจ …

     จากที่เคยคิดว่าจะโดนลูกตื๊อของลูกพี่ลูกน้องสาวของเขา ทุกวัน กลับกลายเป็นว่า เจ้าหล่อนหายเงียบไปเลยหนึ่งอาทิตย์เต็ม ๆ

     มันก็น่าจะดีอยู่หรอก ที่เป็นแบบนี้ แต่มันผิดปกติไปจากนิสัยของเรนะที่เขาเคยรู้จัก

     …มันต้องมีอะไร ผิดปกติแน่ ๆ!!…

     “ก็ดีแล้วนี่ เขาอาจจะเข้าใจนายแล้วก็ได้” จิมมี่พูดโดยไม่ยอมมองหน้า เด็กหนุ่มก็เป็นอีกคนที่ผิดปกติไป เพราะหลังจากออกไปรับหน้าเรนะเมื่ออาทิตย์ก่อนแล้ว จิมมี่ก็แทบจะไม่ค่อยเข้าหน้าเขาเสียเท่าไรนัก เวลาคุยกันก็มักจะหลบตาเสมอ ๆ อย่างน่าสงสัย จนวันนี้ ที่เขากึ่งขอร้อง กึ่งบังคับ เจ้าตัว จึงยอมมานั่งคุยด้วยกันจนได้

     “จิมมี่ …ถามจริงเถอะ นายกำลังปิดบังอะไรบางอย่างฉันอยู่ได้ไหม”

     เพราะคบกันมา 2 ปีแล้ว แถมยังสนิทกันขนาดนั้น อีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ เขาจะไม่รู้สึกเชียวงั้นหรือ

     “ปะ…เปล่า สักหน่อย” เจ้าตัวอึกอัก พยายามแสร้งมองไปทางอื่น หากอาการเช่นนั้นก็ยิ่งทำให้ยูยะสงสัยหนักเข้าไปอีก

     “จิมมี่ … รู้ตัวไหมว่านายน่ะเป็นคนโกหกใครไม่เป็น ดังนั้นเวลามีอะไร มันเลยปิดพิรุธไม่ค่อยอยู่น่ะ” ยูยะพูดเสียงเรียบ หากแต่นัยน์ตาจ้องเพื่อนของเขาเขม็ง เหมือนดังกำลังจะคาดคั้นเอาความจริงให้ได้

     “มะ...ไม่มีสักหน่อย นายคิดมากไปเองต่างหาก”

     “แน่ใจเหรอ?”

     “อะ….อืม”

     “นายโกหก!” ยูยะเน้นเสียงเข้ม และก่อนที่เขาจะรุกอีกฝ่ายให้ยอมเปิดเผยความจริง เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขัดจังหวะขึ้นมา

     “ก๊อก ๆ”

     “ใคร!” ยูยะถามเสียงห้วน เพราะกำลังหงุดหงิดที่ถูกขัดจังหวะ หากแต่จิมมี่ลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก

     “ฉันเอง…” เสียงตอบพร้อมกับประตูห้องที่ถูกเปิดออก

     “มิเชล เองเหรอ มีธุระอะไร!”

     ฟังดูก็รู้ว่าเด็กหนุ่มกำลังหงุดหงิด หากแต่มิเชลก็ไม่ได้ใส่ใจ กับอาการเช่นนั้น

     “มีคนต้องการพบนายน่ะ เขารออยู่ข้างล่าง”

     “ใคร?” ยูยะถามด้วยความสงสัย แต่เมื่อมิเชลบอกชื่อของคนที่ต้องการพบเขา เด็กหนุ่มก็รีบวิ่งพรวดพราดลงไปข้างล่างทันที

     “หึ ๆ” มิเชลหัวเราะตามหลังไปเบา ๆ ขณะที่จิมมี่ เดินเข้ามาเลียบ ๆ เคียง ๆ ถาม

     “เขา มาจริง ๆ น่ะเหรอ”

     “อืม...” มิเชลตอบสั้น ๆ ซึ่งเมื่ออีกฝ่ายได้ฟัง ก็ยิ้มออกอย่างโล่งใจ ดูท่าคราวนี้ เพื่อนรักของเขา คงจะหายหงุดหงิดได้สักทีสินะ



     ยูยะ รีบวิ่งลงบันได อย่างรวดเร็ว จนเกือบจะเสียหลักล้มกลิ้งลงมา โชคดี ที่เขาคว้าราวบันไดไว้ได้ ก่อนจะพยายามตั้งสติ และลงมาอย่างระมัดระวังมากกว่าเดิม

     …ร่างสูงที่ยืนหันหลังให้เขา ภายในห้องนั่งเล่นรวม ทำให้ยูยะแทบจะกลั้นสะอื้นไว้ไม่อยู่ เป็นเวลาเกือบอาทิตย์แล้ว ที่เขาไม่ได้พบกับมอร์เฟียซ คาเตอร์ แม้กระทั่งในชั่วโมงเรียน ชายหนุ่ม ก็ให้อาจารย์คนอื่นมาสอนแทน แถมพอเขาไปพบทั้งที่ทำงาน และที่บ้านพัก ชายหนุ่มก็ยังไม่ยอมให้เข้าพบอีกต่างหาก …

     “…มอร์เฟียซ”

     “…นาโอกิ” เสียงเรียกชื่อของเขา พร้อมกับใบหน้าที่หันมาพร้อมรอยยิ้มนิด ๆ ทำให้ยูยะผวาเข้ากอดชายหนุ่มเบื้องหน้าทันที พร้อมกับปล่อยโฮลั่นอย่างลืมตัว จน ชายหนุ่มเองยังตกใจ

     “เป็นอะไรไป นาโอกิ! ร้องไห้ทำไม!”

     “ผะ…ผม คิดว่าคุณเกลียดผมแล้วเสียอีก”

     มอร์เฟียซลูบศีรษะร่างเล็กในอ้อมกอดแผ่วเบา ก่อนจะปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

     “ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ ฉันไม่เคยเกลียดเธอเลยนะ”

     “กะ… ก็คุณไม่ยอมให้ผมพบ แถมชั่วโมงเรียนก็ยังไม่ยอมเข้าสอนอีก แล้วจะให้ผมคิดยังไงล่ะครับ” ยูยะตอบปนสะอื้น มอร์เฟียซถอนหายใจยาว ๆ ก่อนจะจูบที่หน้าผากของอีกฝ่ายเบา ๆ อย่างสำนึกผิด

     “ขอโทษ  ฉันก็แค่ ‘หึง’ เธอเท่านั้นเอง เลยไม่อยากให้เธอเห็นสภาพทุเรศ ๆ ของฉันตอนนั้นน่ะสิ”

     “หึง?…ทำไมล่ะครับ ผมไม่ได้มีอะไรกับพี่เรนะสักหน่อย”

     ยูยะถามขึ้นมาทั้งน้ำตาด้วยความสงสัย หากแต่มอร์เฟียซกลับขมวดคิ้วยุ่ง สีหน้าเคร่งขรึมลงอย่างเห็นได้ชัด

     “แล้วที่ไปช้อปปิ้ง ดูหนังหลังเลิกเรียนบ้างล่ะ ไปกินข้าวด้วยกันบ้างล่ะ ใจคอเธอคงไม่คิดว่าฉันจะทนอยู่เฉย ๆ ได้หรอกนะ แถมอีกฝ่ายยังโทรมาเย้ยแทบทุกวันแบบนั้นด้วยน่ะ!”

     พูดแล้วก็ยิ่งทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บใจมากขึ้นไปอีก หากแต่สีหน้างงจริง ๆ ของเด็กหนุ่ม ก็ทำให้เขารู้สึกเอะใจขึ้นมาตงิด ๆ

     “อย่าบอกนะว่าเธอไม่ได้ทำอย่างที่ฉันพูดมาน่ะ”

     “ผมไม่เห็นรู้เรื่องอะไรเลยนะครับ” ยูยะสั่นหน้าปฏิเสธ ทั้งน้ำเสียง สีหน้า และแววตา บอกอย่างชัดเจน ว่าไม่รู้เรื่องจริง ๆ จนชายหนุ่มขมวดคิ้วยุ่ง

     “ก็เพื่อนเธอยังยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงเลยนะ!”

     “เพื่อน? …. ใครครับ” ยูยะถาม พลางนึกไปถึงใครคนหนึ่ง …. คนที่แปลก ๆ ไปตั้งแต่อาทิตย์ก่อน

     “จิมมี่ ชไนเดอร์”

     “จิมมี่!! หมอนั่น…นึกแล้วเชียว!!”

     ยูยะเอ่ยเสียงเครียด ก่อนจะรีบวิ่งพรวดพราด กลับไปยังห้องของตนทันที โดยที่มอร์เฟียซ คาเตอร์ ยืนอึ้งมองอยู่สักพัก ก่อนที่สมองจะประมวลเหตุการณ์ทั้งหมด และเข้าใจแจ่มชัดในเวลาไม่นานนัก

     ...ชไนเดอร์ …นิสัยอย่างเด็กนั่นคงไม่ได้คิดแผนเองแน่ ๆ ถ้างั้นก็ต้องเป็นยัยตัวแสบนั่นสินะ!…

     มอร์เฟียซคิดอย่างเจ็บใจ แล้วที่เขามัวแต่หึงบ้า หึงบอเป็นอาทิตย์ จนเกือบจะบาดหมางกับยูยะ ตรงตามแผนของหล่อน ป่านนี้หล่อนคงนั่งหัวเราะเยาะอยู่ล่ะสิ!!

     โชคดี ที่เป็นเพราะเขารักยูยะมากเหลือเกิน ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มจะนอกใจเขาจริง ๆ เขาก็คงตัดใจไม่ได้ …ใช่แล้ว ตัดใจไม่ได้ จนต้องมาเห็นหน้าอีกสักครั้ง เพื่อถามให้แน่ใจกันชัด ๆ ไปเลยว่า ในใจของเด็กหนุ่มยังมีเขาอยู่อีกไหม

     แล้วสรุปก็กลายเป็นว่า ยูยะไม่ได้รู้เรื่อง รู้ราวอะไรแม้แต่น้อย ทั้งหมดเป็นเพราะเขามันโง่เอง ที่ดันไปหลงกลลูกไม้ตื้น ๆ ของหล่อน เชื่อได้แม้แต่คำพูดของเด็กที่โกหกไม่เป็นเสียด้วยซ้ำ …จริงสินะ ตอนนั้นเขาก็คิดว่าท่าทีของจิมมี่ ค่อนข้างแปลกไป แต่เพราะความหึงมันบังตา จนทำให้เขา ขาดสติไตร่ตรองไปเสียหมด

     …และต่อจากนี้ หล่อนจะมาไม้ไหนกับเขาอีกก็ไม่รู้สินะ! …



     “เอาล่ะ! ไหนนายอธิบายมาสิว่า ทำไมถึงต้องโกหกมอร์เฟียซ เรื่องของฉันกับพี่เรนะด้วย!”

     ยูยะยืนเท้าเอวมองอีกฝ่ายด้วยแววตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ซึ่งมิเชล และราฟาเอลที่เข้ามาทีหลัง ถึงกับยืนหลบเงียบ ๆ อยู่มุมห้อง ไม่กล้าเข้าไปยุ่งด้วยแม้แต่น้อย

     “ง่า….คือ ใจเย็น ๆ สิ ยูยะ ฉะ…ฉันอธิบายได้นะ” จิมมี่พูดตะกุกตะกัก ก็นึกแล้วว่าสักวันความมันต้องแตก แต่ไม่คิดว่าเขาจะต้องมารับหน้าคนเดียวแบบนี้น่ะสิ

     “ก็อธิบายมาสิ!” ยูยะกระแทกเสียง จากคนที่อ่อนโยน ยิ้มแย้มอยู่เสมอ กลับกลายเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็รู้สึกขยาดกันแทบทั้งนั้น

     …โธ่ ๆ ๆ คุณเรนะ นะคุณเรนะ ไหนคุณว่าสบายมาก ไม่มีปัญหายังไงล่ะ แล้วที่ยูยะโกรธจนแทบจะกินผมได้แบบนี้ คุณจะว่ายังไงกัน หา! ….

     “คือ…ฉัน …คุณเรนะ ..เอ่อ” เอาเข้าจริง ๆ จิมมี่ก็เริ่มเรียบเรียงคำพูดไม่เป็นประโยค แต่เพียงแค่นั้น ก็ทำให้ยูยะพอจับเค้าได้ว่า ใครกันที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้

     “พี่เรนะอีกแล้วสินะ!!”

     “กะ…ก็ประมาณนั้นล่ะ” จิมมี่ไม่รู้จะบอกว่ายังไงดี เลยรับคำไปแบบนั้น แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นเลย ตรงกันข้ามกับทำให้ยูยะยิ่งคลั่งเข้าไปใหญ่

     “ฉันจะไปหาพี่เรนะ!!”

     แล้วเจ้าตัวก็รีบวิ่งพรวดพราดออกไป จนเกือบจะชนกับมอร์เฟียซที่เดินสวนขึ้นมาบนบันได

     “จะไปไหนนาโอกิ!”

     “จะไปพบพี่เรนะครับ!!” ยูยะบอก ก่อนจะรีบวิ่งจากไป โดยที่ไม่ได้ฟังเสียงทัดทานของชายหนุ่มเลยแม้แต่น้อย

     “เฮ้! ยูยะ เดี๋ยวก่อนสิ ….อ๊ะ …อาจารย์” จิมมี่ชะงักกึก เมื่อออกมาเจอกับมอร์เฟียซ ซึ่งยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ชายหนุ่มจ้องมองจิมมี่ ด้วยสายตาที่เด็กหนุ่มผมแดงมักจะเรียกว่าดวงตาเมดูซ่า ก่อนจะตามมาด้วยน้ำเสียงทุ้มเรียบ แต่แฝงไว้ด้วยอำนาจเต็มเปี่ยม

     “ไหนลองเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฉันฟังอย่างละเอียดเลยนะ ชไนเดอร์”

     คราวนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่คำพูดมันไหลพรั่งพรูออกจากปากของจิมมี่ได้อย่างลื่นไหล ชนิดที่เจ้าตัวเองก็บอกไม่ถูก แต่ที่แน่ ๆ สาเหตุหนึ่งในนั้นเห็นจะไม่พ้นเจ้าดวงตาและน้ำเสียงน่ากลัว ๆ ของคนตรงหน้านั่น อย่างแน่นอน



     “จะมาขอพบใครครับ”

     เจ้าหน้าที่ที่เฝ้าอยู่หน้าแผนกวิจัยฯ กล่าวถามขึ้น เมื่อเห็นเด็กหนุ่มมายืนจด ๆ จ้อง ๆ อยู่หน้าแผนก

     “อะ…เอ่อ…ขอพบ คาโต้  เรนะ ครับ …คือ ผมเป็นลูกพี่ลูกน้องเธอครับ”

     “มีบัตรอนุญาตผ่านทาง จากหัวหน้าแผนกหรือเปล่าครับ ถ้าไม่มีก็เข้าไปพบไม่ได้นะครับ”

     เจ้าหน้าที่คนนั้นกล่าวต่อ ซึ่งยูยะก็สั่นหน้าปฏิเสธ เจ้าหน้าที่จึงถามเด็กหนุ่มต่อ

     “แล้วมีธุระอะไรสำคัญหรือเปล่าครับ ถ้ายังไงเดี๋ยวผมจะติดต่อเข้าไปยังแผนกให้”

     “อะ…เอ่อ” มาถึงตอนนี้ ยูยะกลับนึกข้ออ้างไม่ออก ระหว่างที่เด็กหนุ่มกำลังอึกอักอยู่นั้น ก็มีเสียงตะโกนทักอย่างร่าเริงดังมาจากด้านใน

     “อ้าว! ยูยะคุงนี่นา เกิดอะไรขึ้นถึงมาที่นี่ได้ล่ะ!!”

     ลี ชาง นั่นเอง เผอิญเขามีธุระผ่านมาพอดี จึงทำให้เจอกับเด็กหนุ่มโดยบังเอิญเช่นนี้

     “อ้อ! เด็กนี่ คนรู้จักผมเอง ให้เข้ามาได้เลย” ชางหันไปบอกกับทางเจ้าหน้าที่ ซึ่งพวกเขาก็ปฏิบัติตามแต่โดยดี ทั้งนี้เพราะนั่นเป็นคำสั่งโดยตรงของหัวหน้าแผนกวิจัยฯ แห่งอีเดนนั่นเอง

     “ไง มาถึงที่นี่มีธุระอะไรอย่างนั้นเหรอ หรืออยากจะคุยอะไรเกี่ยวกับเรื่องมอร์เฟียซล่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยแซว แต่ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ขำแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกับตีสีหน้าเคร่งขรึมเสียจนชายหนุ่มเป็นฝ่ายประหลาดใจเสียเอง

     “มีอะไรเกิดขึ้นหรือยูยะ” น้ำเสียงถามเป็นการเป็นงานขึ้น จึงทำให้ยูยะบอกสาเหตุที่มาที่นี่ให้อีกฝ่ายได้ทราบอย่างคร่าว ๆ

     “โอ๊ย! ให้ตายสิ เป็นเรื่องจนได้หรือนี่!…นึกแล้วเชียว”

     ยูยะมองไปทางชาง ด้วยสายตาค้นหาความจริงอะไรบางอย่าง ที่ทำให้ชายหนุ่มต้องหลบตาวูบทันที และแล้วเด็กหนุ่มก็พอจะเข้าใจแล้วว่า ทำไมเรนะถึงได้รู้เรื่องความสัมพันธ์ของเขากับมอร์เฟียซ ได้รวดเร็วขนาดนั้น

     “อย่าบอกนะครับว่า สาเหตุของเรื่องทั้งหมด มาจากที่ดอกเตอร์พลั้งปากไปบอกอะไรพี่เรนะเข้า”

     คำถามตรงประเด็นทำให้ชางสะดุ้งเฮือก ก่อนจะรีบมองซ้ายมองขวา และเมื่อเห็นเรนะเดินมา ชายหนุ่มก็รีบโยนเรื่องส่งต่อให้หญิงสาวทันที

     “อ๊ะ!! นั่นไง คนที่เธออยากพบมานั่นแล้ว ฉันขอตัวก่อนนะ เฮ่อ! งานเยอะจริงจริ๊ง!!”

     “เดี๋ยวครับดอกเตอร์!” ยูยะตะโกนไล่ตามหลัง คนที่รีบแผ่นแนบจากไปโดยเร็ว ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด

     “อ้าวยูยะ มีอะไรงั้นเหรอ ถึงมาที่นี่ได้?” เรนะถามขึ้นด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ราวกับว่าหล่อนไม่ได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวก็รู้แต่แรกแล้วว่า เหตุผลที่เด็กหนุ่มมาหาหล่อนถึงแผนกวิจัยแห่งนี้ เนื่องมาจากสาเหตุใด

     “พี่เรนะ! พี่ต้องการอะไรกันแน่!”

     “ต้องการ? ต้องการอะไรงั้นเหรอยูยะคุง?” หญิงสาวยังคงถามด้วยสีหน้าสงสัย จนยูยะเริ่มชักจะหมดความอดทนเข้าทุกขณะ

     “อย่ามาแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องเลยนะ ผมรู้เรื่องทุกอย่างหมดแล้ว พี่ทำอย่างนั้นทำไมกัน!”

     คราวนี้เรนะเปลี่ยนสีหน้าจากใสซื่อ กลับมาเป็นยิ้มเยือกเย็นอย่างน่ากลัว

     “ก็ต้องการให้เธอเลิกกับเขาน่ะสิ …ยูยะ”

     “ทะ…ทำไม” ยูยะถาม น้ำเสียงสั่น ๆ ก็สีหน้าและแววตาของเรนะแบบนี้ เขาสู้ไม่ได้มาตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ แล้ว

     “เพราะฉันไม่อยากให้น้องชายที่น่ารักของฉัน หลงเดินทางผิดน่ะสิ หมอนั่นเป็นอาจารย์แท้ ๆ แต่กลับทำเรื่องอย่างนี้กับเด็กนักเรียนได้ ดูยังไง ๆ ก็ไม่ใช่คนที่เธอจะฝากอนาคตได้หรอกนะยูยะ”

     “แต่ว่า!…” ยูยะเตรียมตั้งท่าที่จะเถียง หากแต่น้ำเสียงทุ้ม ๆ ที่ขัดขึ้นมาเสียก่อนก็ทำให้การสนทนานั้นหยุดชะงักลงทันที

     “ถ้าฉันลาออกจากการเป็นอาจารย์ของสถาบันนี้ เธอก็คงจะยอมรับฉันกับนาโอกิ ได้สินะ”

     มอร์เฟียซที่เดินเข้ามาพร้อมกับเพื่อน ๆ ทั้งสามของเขา ทำให้เรนะลอบยิ้มนิด ๆ หากแต่ยูยะที่ฟังประโยคนั้น ถึงกับตะโกนห้ามออกมาอย่างตกใจ

     “ไม่นะครับ! คุณจะลาออกไม่ได้นะ! ผมไม่ยอมให้คุณออกหรอก!”

     หากแต่มอร์เฟียซกลับมองไปยังยูยะยิ้ม ๆ และหันมาทางเรนะ ก่อนจะพูดต่อด้วยสีหน้า และแววตาหนักแน่น เอาจริง

     “ว่ายังไงล่ะ ถ้าฉันยอมลาออก เธอคงยอมรับสินะ”

     เรนะ ยักไหล่นิด ๆ ก่อนจะเหยียดยิ้มที่มุมปาก

     “แน่ใจหรือคะ อาจารย์คาเตอร์ งานนี้ไม่ใช่ใครนึกอยากเป็นก็เป็นกันได้นะ คุณจะเอาอนาคตมาทิ้งง่าย ๆ แบบนี้น่ะเหรอ …อีกอย่าง เด็กที่น่ารัก และมีความสามารถมากกว่ายูยะ ก็ยังมีอีกตั้งเยอะนะ”

     มอร์เฟียซยอมรับว่า เมื่อฟังครั้งแรกเขารู้สึกฉุนมาก หากแต่ พอเห็นสีหน้าของหญิงสาวแล้ว เจ้าตัวก็รับรู้ได้ว่า อีกฝ่ายกำลังพูดยั่วให้เขาโมโห เขาจึงพยายามข่มอารมณ์สุดฤทธิ์ ก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น

     “จริงอยู่ที่ฉันชอบความสามารถของนาโอกิในการเล่นดนตรี และหน้าตาของเขาก็น่ารักถูกใจฉัน … แต่ ถึงแม้จะมีใครที่เก่งกว่า ดีกว่านาโอกิ ฉันก็ไม่คิดจะสนใจอีกแล้ว …”

     เจ้าตัวหันมาทางยูยะ พร้อมกับยิ้มให้เด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน

     “สำหรับฉันแล้ว ไม่ใช่นาโอกิ ไม่ได้ ….เขาคนเดียวเท่านั้น ที่ฉันจะรักตลอดไป”

     “…มอร์เฟียซ..” ยูยะเรียกชื่อชายหนุ่ม ด้วยเสียงสะอื้นนิด ๆ น้ำตาคลอเบ้าด้วยความปลาบปลื้มใจที่สุด


     …แปะ ๆ…

     เสียงปรบมือดังขึ้นมาจากเรนะที่ยืนฟังอยู่ เจ้าตัวแย้มยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเดินผ่านคนทั้งคู่มาหาจิมมี่ที่ยืนฟังอยู่ด้วยความซาบซึ้งเช่นกัน

     “เป็นอย่างที่เธอบอกฉันจริง ๆ จิมมี่ …ตกลงเอาเป็นว่าฉันยอมแพ้แล้วล่ะ”

     “คุณยอมรับความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่แล้วใช่ไหมครับ!” จิมมี่ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

     “อืม … คงต้องเป็นแบบนั้นล่ะ ก็เขารักกันเหลือเกินนี่นะ จะให้ฉันทำตัวเป็น นางอิจฉา ไปจับแยกพวกเขาอยู่ได้ยังไงกันล่ะจริงไหม”

     เรนะพูดพลางหัวเราะเบา ๆ อย่างถูกใจ จิมมี่เองก็หัวเราะเช่นกัน หากแต่คนอื่น ๆ กลับมีสีหน้างง ๆ โดยเฉพาะยูยะ

     “ฉันพนันกับจิมมี่ไว้” เรนะอธิบายเมื่อเห็นท่าทางสงสัยของลูกพี่ลูกน้อง

     “ฉันอยากรู้ว่ารักที่พวกเธอมีให้กัน มันเป็นรักแท้ แน่หรือเปล่า แต่เห็นท่าทางไม่ลังเล ตอนที่เขาเลือกเธอมากกว่าความก้าวหน้าของตัวเองแล้ว บอกได้เลยว่าฉันประทับใจมาก”

     เรนะกล่าวยิ้ม ๆ ก่อนจะเดินเข้ามาลูบศีรษะยูยะอย่างเอ็นดู

     “เธอได้รักแท้มาไว้ในมือแล้วนะ ยูยะ รักษาไว้ อย่าปล่อยให้หลุดมือไปได้เสียล่ะ”

     “…พี่เรนะ” ยูยะพึมพำเบา ๆ พูดอะไรไม่ออก ได้แต่พยักหน้ารับหงึก ๆ เท่านั้น

     “ส่วนคุณ…” หญิงสาวหันมาทางมอร์เฟียซ เปลี่ยนท่าทีเป็นขึงขังแทน

     “ถ้าทำให้ยูยะต้องเสียใจ ฉันไม่ยอมอภัยให้แน่ ๆ!”

     “ฉันสัญญา” มอร์เฟียซรับคำสั้น ๆ ทว่า ทั้งแววตา และสีหน้า ที่จ้องตอบกลับมา ก็ทำให้เรนะยิ้มอย่างโล่งอก ก่อนจะเดินจากไป โดยผ่านเด็ก ๆ สามคนซึ่งยืนอยู่แถวนั้น

     “เฮ่อ….ของเล่นของฉัน โดนคนอื่นแย่งไปเสียแล้ว” หญิงสาวพึมพำเบา ๆ กับตัวเองอย่างเสียดาย หากแต่คำบ่นของเธอ กระทบเข้าหู จิมมี่ มิเชล และราฟาเอล เข้าอย่างจัง

     เด็กทั้งสามกลืนน้ำลายเอื๊อกลงคอแทบพร้อมกัน และก็เป็นเคราะห์ดี หรือร้ายของจิมมี่ก็ไม่รู้ ที่ดันไปสบตากับเจ้าหล่อนพอดีตอนที่เดินผ่านตัวเขา

     “อืม…ไม่สินะ…ยังไม่เลวร้ายนักหรอกน่า”

     คำพูดพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ที่ผุดขึ้นมาชั่วแวบหนึ่งให้เด็กหนุ่มผมแดงเห็นนั้น ทำเอาเจ้าตัวชักหนาว ๆ ร้อน ๆ ขึ้นมาทันที หันไปมองเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ ก็พากันส่ายหัวไปมา โดยเฉพาะยูยะ ที่เดินเข้ามาตบบ่าเพื่อนสนิทเบา ๆ อย่างปลอบใจ

     “เอาเถอะจิมมี่ ….อีกเดี๋ยวก็ชินไปเองนั่นล่ะ”

     แล้วเจ้าตัวก็หันไปยิ้มให้กับชายคนรัก ซึ่งทั้งหมดที่อยู่ที่นั่น ก็มองสบตากันไปมา ก่อนจะหัวเราะขึ้นมาดัง ๆ พร้อมกัน ยกเว้นคนเพียงคนเดียว ที่ทำหน้าเหมือนจะหัวเราะก็ไม่ใช่ ร้องไห้ก็ไม่เชิงอยู่เช่นนั้น 



+++ End +++
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #4 - 5 (30 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 30-06-2011 22:09:27
555 สงสารจิมมี่จิงๆ
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #4 - 5 (30 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: LadyOneStar ที่ 30-06-2011 23:17:44
ตกลง...จิมมี่คือรายต่อไป
ใช่ไหมค่ะ??? 555
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #4 - 5 (30 มิ.ย. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 01-07-2011 16:23:27
ผิดคาด  คิดว่าจิมมี่จะคู่กับเคธี

 :กอด1:

แต่พี่เรนะ  ก็ร้ายนะเนี๊ยะ  หนุ่มซื่อ ๆ อย่างจิมมี่ จะเป็นไงน๊า

หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #6 : Holiday / I (1 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 01-07-2011 19:56:13

Special #6 : Holiday / I

เสร็จจากงานโรงเรียน ก็เป็นการสอบปลายภาคอันแสนทารุณ ช่วงนี้นักเรียนแต่ละคนแทบจะไม่ต้องพูดจาอะไรกัน เพราะต่างฝ่ายต่างสนใจกับตำรับตำราเรียนภายในมือของตนเท่านั้น และเมื่อสอบปลายภาคเสร็จ ก็เป็นช่วงเวลาที่นักเรียนทุกคนรอคอยกันมากที่สุด นั่นก็คือ ปิดภาคฤดูหนาว เป็นเวลา 2 อาทิตย์

     แม้จะเป็นระยะเวลาสั้น ๆ แต่เด็ก ๆ ก็ถือโอกาสในช่วงนี้ กลับบ้านไปเยี่ยมครอบครัว บ้างก็ไปท่องเที่ยวกับเพื่อนฝูง หรือกับคนรักสองต่อสอง

     ‘ยูยะลูกรัก แม่กับพ่อมีโปรแกรมฮันนีมูนรอบสองที่ปารีสเป็นเวลา 2 อาทิตย์ ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ลูกปิดเทอมนั่นล่ะ ดังนั้น ถ้ายูยะจะกลับมาบ้านล่ะก็ ดูแลตัวเองให้ดี ๆ ด้วยนะจ๊ะ และถ้าเป็นไปได้ ชวนเพื่อนของลูกมาด้วยจะดีมากเลย จะได้อยู่เป็นเพื่อนคอยช่วยเหลือกัน ไว้เจอกันอีกทีตอนซัมเมอร์นะลูกรัก ……แม่’

     ยูยะอ่านจดหมายด่วนจากแม่ที่ส่งมาถึงเขาด้วยสีหน้าที่บอกไม่ถูก ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างหมดแรง

     “มาบอกตอนนี้ แล้วจะชวนใครไปเป็นเพื่อนทันล่ะแม่ พรุ่งนี้ก็จะปิดเทอมแล้ว”

     เด็กหนุ่มหวนคิดถึงเพื่อน ๆ ที่ต่างก็มีโปรแกรมในวันหยุดกันหมดแล้ว เขาเองก็เช่นกัน กะว่าจะกลับไปพักผ่อนที่ญี่ปุ่นให้สบายใจเสียหน่อย แต่การที่ต้องอยู่คนเดียวตลอดสองอาทิตย์ เห็นจะไม่ใช่เรื่องที่น่าสนุกแน่

     “ก๊อก ๆ”

     เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้น ทำให้ยูยะตื่นจากภวังค์ และรีบลุกเดินมาเปิดประตูทันที

     “อ้าว มิเชล มีอะไรเหรอ?”

     “คาเตอร์โทรมาน่ะ เขารอพูดสายกับนายอยู่”

     ยูยะหน้าแดงนิด ๆ ก่อนจะกล่าวขอบใจอีกฝ่ายเบา ๆ พลางกึ่งเดินกึ่งวิ่งลงไปรับโทรศัพท์ทันที

     “สวัสดีครับ ยูยะพูดครับ”

     “นาโอกิ เหรอ พรุ่งนี้ออกเดินทางกี่โมงน่ะ”

     เสียงจากปลายสายเอ่ยถาม ยูยะเงียบไปพักหนึ่ง  ก่อนจะตอบเสียง  อ่อย ๆ

     “อาจจะมีการเปลี่ยนโปรแกรมก็ได้ครับ”

     “อ้าว? ทำไมล่ะ” มอร์เฟียซถามขึ้นด้วยความสงสัย

     “คือว่า …” แล้วยูยะก็เล่าเนื้อความในจดหมายที่แม่ของเขาเขียนส่งมาให้ชายหนุ่มฟังจนหมด มอร์เฟียซเงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยปากในที่สุด

     “พรุ่งนี้เช้าเดี๋ยวฉันจะไปหาที่หอนะนาโอกิ”

     ชายหนุ่มตัดบทแค่นั้นแล้วก็วางสาย ทำเอายูยะขมวดคิ้วด้วยความงง ก่อนจะวางหูโทรศัพท์ และเดินกลับขึ้นห้องไป
     


     เช้าวันเสาร์ 8.00 AM

     ยูยะออกมาส่งเพื่อน ๆ ที่เดินทางกลับบ้านตอนวันหยุดฤดูหนาว ด้วยใบหน้าฝืนยิ้ม เมื่อรู้ดีว่าตัวเขาเอง ต้องอยู่คนเดียวตลอดปิดเทอมฤดูหนาวนี้

     “ไง นาโอกิ ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ” มอร์เฟียซเอ่ยทักขึ้น เมื่อเขามาถึงหอพัก ยูยะยิ้มรับนิด ๆ ก่อนจะแปลกใจที่เห็นชายหนุ่มในชุดเดินทางพร้อมสัมภาระเตรียมพร้อม หากแต่ก็คิดได้ในเวลาต่อมา ว่าเขาคงกลับไปเยี่ยมบ้านในช่วงวันหยุดเช่นกัน

     “กลับบ้านเหมือนกันหรือครับมอร์เฟียซ” เด็กหนุ่มเอ่ยถาม หากแต่คนฟังสั่นศีรษะปฏิเสธ

     “เปล่านี่ เตรียมตัวไปท่องเที่ยวต่างหาก”

     “ท่องเที่ยว?”

     “ใช่” มอร์เฟียซตอบสั้น ๆ พลางแย้มยิ้มมาทางคนรักของเขาอย่างค่อนข้างเจ้าเล่ห์

     “แล้วเธอล่ะ จะไปสนามบินด้วยกันทั้งชุดนั้นหรือไง”

     คำถามที่ฟังแล้วค่อนข้างจะแปลก หากแต่เด็กหนุ่มก็ไม่ทันได้สังเกต กลับคิดไปว่าชายหนุ่มคงถามถึงการเดินทางกลับบ้านที่ญี่ปุ่นของเขาแทน

     “ผมโทรไปแคนเซิลตั๋วตั้งแต่เมื่อเย็นวานแล้วล่ะครับ สองอาทิตย์นี้ผมกะว่าจะอยู่ที่หอนี่ล่ะ” ยูยะตอบสีหน้าเศร้า ๆ หากแต่คนฟังกลับเหยียดยิ้มนิด ๆ ที่มุมปาก

     “ก็ดีน่ะสิ เพราะฉันไปจองตั๋วเผื่อเธอไว้เรียบร้อยแล้วเหมือนกัน นี่ก็กะจะมาให้เธอยกเลิกตั๋วเก่าอยู่เลยนะนี่”

     คราวนี้เด็กหนุ่มมองหน้าคนพูดด้วยความตกใจ ก่อนที่สมองจะทำงานตามไปอย่างรวดเร็ว และสรุปสถานการณ์ตรงหน้าได้เรียบร้อยในเวลาต่อมา

     “หมายความว่าจะให้ผมไปกับคุณ…งั้นเหรอครับ”

     ยูยะถามเสียงแผ่วเบา หากแต่อาการยืนนิ่งยิ้มรับนิด ๆ ของคนตรงหน้า ก็ตอบคำถามแทนได้เป็นอย่างดีโดยไม่จำเป็นต้องมีคำพูดอันใดมายืนยัน

     “แต่จะดีหรือครับ” ยูยะเอ่ยถามขึ้นด้วยความไม่มั่นใจนัก

     “เราไม่เคยได้ไปเที่ยวค้างคืนที่ไหนกันสองต่อสองเลยนะนาโอกิ นี่เป็นโอกาสดีที่สุดแล้ว ….หรือว่าเธอจะปฏิเสธ” ท้ายประโยคเจ้าตัวก้มลงกระซิบถามที่ข้าง ๆ หูเนียนนุ่มนั้น ทำเอายูยะใบหน้าขึ้นสีเรื่อนิด ๆ ด้วยความเอียงอาย ก่อนจะอ้อมแอ้มตอบ

     “คือ…ผมก็ดีใจนะครับ แต่ว่าจะรบกวนเวลาคุณหรือเปล่า เอ่อ…ผมหมายถึง คุณไม่ได้กลับไปเยี่ยมครอบครัวนานแล้วเหมือนกันไม่ใช่หรือครับ”

     ยูยะถามขึ้น เพราะจากข้อมูลที่ได้เคยฟังมาจากเคธี่ ในเรื่องที่ว่า มอร์เฟียซยังมีพ่อและแม่อยู่ที่อังกฤษ และชายหนุ่มเองก็ไม่ค่อยจะได้กลับไปเยี่ยมที่บ้านเลยเพราะยุ่งอยู่กับงานสอน หากแต่ ชางที่นั่งอยู่ด้วยกัน มีกระซิบแถมท้ายหลังจากที่เคธี่พูดว่า ที่มอร์เฟียซไม่ได้กลับบ้านความจริงไม่ใช่เพราะเจ้าตัวงานยุ่งหรอก เพียงแต่ไม่ยอมกลับเองต่างหาก ซึ่งดอกเตอร์หนุ่มก็พูดทิ้งไว้แค่นั้น แล้วก็ไม่ยอมชี้แจงรายละเอียดอะไรอีกตามเคย

     “หือ? เคธี่สินะ หรือว่าชางล่ะ? แต่ช่างเถอะ! เรื่องบ้านของฉันเธอไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ฉันไม่กลับไป ก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาตายเสียหน่อย”

     น้ำเสียงและสีหน้าที่ดูหงุดหงิดขึ้น ทำเอายูยะไม่คิดจะปริปากถามต่อไปอีก และมอร์เฟียซ ก็เหมือนจะรู้ เขาก้มลงจูบที่หน้าผากของเด็กหนุ่มเบา ๆ ก่อนจะสั่งให้เจ้าตัวรีบไปเก็บสัมภาระส่วนตัวให้เรียบร้อยโดยเร็วที่สุด

     “ฉันให้เวลาเธอ 30 นาที เก็บของและลงมาที่ห้องนั่งเล่นนี่ ไม่อย่างนั้น …ฉันจะขึ้นไปช่วยเธอเก็บของในห้องเอง” นัยน์ตาวาววับด้วยความเจ้าเล่ห์จ้องมาขณะที่พูด ทำเอายูยะเสียวสันหลังวูบ ก่อนจะรีบวิ่งแจ้นกลับขึ้นห้องไปทำตามคำสั่งนั้นทันที ทิ้งให้ชายหนุ่มยืนหัวเราะเบา ๆ ตามหลังไปเช่นนั้น
     


     6 ชั่วโมงต่อมา …

     “เป็นประเทศที่น่าอยู่ดีนะ นาโอกิ” มอร์เฟียซเอ่ยปากชม ขณะที่เขาและยูยะนั่งรถแท๊กซี่ออกจากสนามบินนาริตะ มุ่งตรงไปยังเรียวคังขึ้นชื่อแห่งหนึ่ง ณ เมืองหลวงเก่า ‘เกียวโต’

     “น่าจะนั่งรถไฟไปกันแทนนะครับ มอร์เฟียซ จากนี่ไปเกียวโต ค่ารถมันแพงนะครับ”

     ยูยะยังคงท้วงติงอีกครั้ง แม้ มอร์เฟียซจะยืนยันแล้วก็ตามว่าเรื่องเงินไม่เป็นปัญหาสำหรับเขาก็ตาม

     “เอาน่า ฉันอยากเดินทางแบบสบายนี่นา ถ้าไม่ติดเรื่องใบขับขี่ล่ะก็ ฉันเช่ารถขับไปเองแล้วล่ะ”

     เมื่อเห็นว่าไม่มีประโยชน์จะทักท้วง เด็กหนุ่มจึงเงียบเสีย ทว่า นั่งรถแบบนี้ไปเรื่อย ๆ มันก็สบายอย่างที่อีกฝ่ายบอกจริง ๆ นั่นล่ะ

     “จะนอนพักก่อนก็ได้นะ กว่าจะถึงก็คงมืดพอดีนั่นล่ะ” ชายหนุ่มหันมาบอกกับร่างเล็กข้าง ๆ ที่กำลังอ้าปากหาว ด้วยความอ่อนเพลีย ปน ง่วงนิด ๆ

     “ครับ…” ยูยะตอบรับเบา ๆ ในลำคอ ศีรษะซบพิงไหล่กว้าง หลับสนิทในเวลาต่อมา



     “หืม หิมะ” ชายหนุ่มพึมพำเบา ๆ เมื่อมองไปข้างทาง เกร็ดขาวขุ่น จากฟากฟ้าเริ่มโปรยปรายลงมาทีละน้อยจนหนาตาขึ้น

     “เข้าหน้าหนาวก็อย่างนี้ล่ะครับ บางทีหิมะก็ลงหนา จนรถวิ่งไม่ได้เลยก็มี” คนขับชวนคุยเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งชายหนุ่มก็พยักหน้ารับเป็นเชิงเข้าใจ

     “เลี้ยวข้างหน้านี่ก็ถึงแล้วล่ะครับ คุณปลุกคุณหนูนั่นเถอะ”

     คนขับบอก และดังที่เขาว่า เพียงเลี้ยวขวาตรงถนนข้างหน้า หลังคาทรงญี่ปุ่นของเรียวคังขนาดใหญ่ ก็เด่นสง่าให้เห็นมาแต่ไกล

     “นาโอกิ … นาโอกิ ตื่นเถอะ ถึงแล้วนะ” มอร์เฟียซเขย่าร่างเล็กเบา ๆ ซึ่งอีกฝ่ายก็งัวเงียลืมตามามองเขา

     “….ถึงแล้วหรือครับ”

     “อืม ถึงแล้ว”

     ยูยะขยี้ตาเบา ๆ ก่อนจะเพ่งมองไปทางกระจกเบื้องหน้าแล้วก็ต้องอุทานเบา ๆ

     “โห…หรูจังเลยนะครับ”

     มอร์เฟียซยิ้มแย้มอย่างพอใจ ที่สถานที่ซึ่งเขาได้จองไว้ถูกใจคนรักตัวน้อยของเขา

     “ไว้เข้าไปข้างในก่อนดีกว่านะ แล้วเธอจะชอบยิ่งกว่านี้” ชายหนุ่มบอกยิ้ม ๆ แต่นั่นก็ทำให้ยูยะรู้สึกประหลาดใจนิด ๆ

     “คุณเคยมาแล้วงั้นหรือครับมอร์เฟียซ”

     “อืม …เมื่อก่อนเคยมาพักกันอยู่เกือบอาทิตย์ ติดใจมากเลย ตอนโทรมาจองห้องพักเมื่อคืนก็กลัวไม่ว่าง แต่นับว่ายังโชคดี เราเลยได้มาพักกันที่นี่ไงล่ะ” มอร์เฟียซบอกอย่างอารมณ์ดี หากคนที่นิ่งฟังข้าง ๆ กลับเริ่มคิดมากขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

     ‘…เคยมาพักกันอยู่เกือบอาทิตย์ … กับใคร? …’

     แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้เอ่ยปากถามออกไป เพราะความกลัวในความจริงที่จะได้รับฟังนั่นเอง

     “นาโอกิ! จะไม่ลงจากรถงั้นเหรอ?” ชายหนุ่มเรียกชื่ออีกฝ่ายดัง ๆ อีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวกำลังเหม่อมองไปข้างหน้า ไม่ยอมลง ทั้ง ๆ ที่ถึงเรียวคังแล้วก็ตาม

     “อ๊ะ! ลงครับ!” ยูยะสะดุ้งโหยง ก่อนจะรีบร้อนลงมาจากรถแท๊กซี่โดยเร็ว

     “เป็นอะไรหรือเปล่า” มอร์เฟียซถามอย่างเป็นห่วง แต่เด็กหนุ่มก็รีบสั่นศีรษะปฏิเสธโดยเร็ว

     “ไม่เป็นไรครับ …เอ่อ แค่ยังไม่ค่อยหายงัวเงียน่ะครับ” ยูยะแก้ตัว ซึ่งมอร์เฟียซก็ไม่ได้ติดใจซักถามต่อไปอีก คนทั้งคู่ก้าวเท้าเข้าไปในเรียวคัง เก่าแก่ ใหญ่โต แห่งนั้น โดยที่มีพนักงานภายในเรียวคัง รีบออกมาต้อนรับทันที

     “ดีใจที่ได้รับใช้คุณอีกครั้งนะคะมิสเตอร์คาเตอร์ เชิญค่ะ” สตรีหน้าตาสดสวย อายุราว ๆ 25 –30 ผู้หนึ่งก้าวออกมาต้อนรับและทักทายเป็นภาษาอังกฤษ หล่อนแต่งกายในชุดกิโมโนที่ยูยะมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นของชั้นดี และราคาแพงลิบ ที่สำคัญหญิงผู้นั้นดูมีสง่าราศีเกินกว่าจะเป็นพนักงานภายในเรียวคัง

     “สวัสดีครับ ชิโนะซัง ดีใจที่ได้เจอคุณอีก” มอร์เฟียซโค้งศีรษะให้นิด ๆ พร้อมกับยิ้มหวานให้ อย่างที่ยูยะถึงกับตะลึง เพราะไม่เคยเห็นชายหนุ่มยิ้มแบบนี้ให้ใครบ่อยนัก นอกจากตัวเขา

     ‘หล่อนเป็นผู้หญิงที่สวยมากเลย …เป็นอะไรกับมอร์เฟียซกันแน่นะ…’

     ยูยะคิดอย่างสงสัย พร้อมกับหลบสายตาอีกฝ่ายที่เลื่อนมาจับจ้องยังเขา หลังจากที่ได้ทักทายปราศรัยกับคาเตอร์พอเป็นพิธีแล้ว

     “คุณหนูคนนี้ ที่บอกว่าจะมาพักด้วยกันใช่ไหมคะ”

     “ครับ” มอร์เฟียซรับคำสั้น ๆ ด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับโอบไหล่รั้งร่างของยูยะให้เข้ามาใกล้ชิดกับเขายิ่งขึ้น

     “นาโอกิ ยูยะ คนสำคัญของผมเองครับ”

     ยูยะช้อนตาขวับขึ้นมองคาเตอร์ด้วยสายตาที่คาดไม่ถึง ไม่คิดว่าชายหนุ่มจะกล้าประกาศความสัมพันธ์ของพวกเขาต่อหน้าคนอื่นแบบนี้ หากแต่หญิงสาวผู้นั้นกลับไม่ได้ตกใจอะไรแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกับยิ้มแย้มอย่างยินดีเสียด้วยซ้ำ

     “แหม ๆ น่ารักจังเลยนะคะ คุณก็ช่างตาแหลมจริง ๆ นะคะมิสเตอร์คาเตอร์”

     “ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มยิ้มรับ

     “อ๊ะ! ตายจริง ดิฉันนี่แย่จัง ดันชวนแขกยืนคุยอยู่หน้าประตูอยู่ได้ตั้งนาน เอ้า พวกเธอ ช่วยพาแขกคนสำคัญของเรียวคังไปพักที่ห้องเร็วเข้า”

     “ค่ะ นายหญิง” บรรดาพนักงานต้อนรับเอ่ยปากขึ้นพร้อมกัน พร้อมกับแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตน ยูยะจึงได้ทราบในที่สุดว่าหญิงสาวที่ชื่อชิโนะผู้นี้เป็นใคร

     “ดิฉันคงต้องขอตัวก่อนนะคะ มิสเตอร์คาเตอร์ เชิญคุณพักผ่อนตามสบายนะคะ ทางโรงแรมเราได้จัดให้คุณพักในห้องซากุระที่คุณต้องการเรียบร้อยแล้วค่ะ”

     “ขอบคุณมากครับชิโนะซัง” มอร์เฟียซโค้งรับ ก่อนจะหันไปทางยูยะ

     “เราก็ไปกันเถอะนาโอกิ”

     “อ่ะ …. ครับ”

     ยูยะที่กำลังจับต้นชนปลายไม่ถูก เดินตามไปต้อย ๆ แต่ในสมองของเขากลับมีคำถามมากมายวนเวียนเต็มไปหมด ทว่า ในความสับสนนั้น อย่างน้อย เขายังคงรู้สึกดีใจนิด ๆ ในเรื่องที่มอร์เฟียซกล้าบอกว่าเขาเป็นคนสำคัญต่อหน้าคนอื่นเช่นนั้น

..
..
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #6 : Holiday / I (1 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 01-07-2011 19:57:00

..
..
 “อ๊ะ! ว้าว! มีบ่อน้ำร้อนกลางแจ้งนอกห้องด้วย!!” ยูยะตะโกนขึ้นด้วยความดีใจทันทีที่เข้ามาเห็นสภาพภายในห้อง ซึ่งมองออกไปตรงระเบียงบริเวณสวนกลางแจ้งมีบ่อน้ำร้อนขนาดย่อมอยู่ด้วย เด็กหนุ่มวิ่งออกไปสำรวจพื้นที่โดยรอบด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงกระแอมเบา ๆ

     “ไว้เดี๋ยวเก็บของเรียบร้อย แล้วเราค่อยลงอาบพร้อมกันทีหลังก็ได้นาโอกิ บ่อน้ำร้อนมันไม่หนีไปไหนหรอก”

     เสียงหลุดหัวเราะคิก จากพนักงานเรียวคังสาวที่นำสัมภาระมาเก็บให้ ก่อนที่เจ้าหล่อนจะรีบโค้งขอตัวออกจากห้องไปโดยไว ทิ้งให้ มอร์เฟียซ ยืนกอดอกมองไปทางเด็กหนุ่มที่ใบหน้าแดงก่ำด้วยความเอ็นดู     

     ยูยะก้มหน้างุด ๆ กลับมาเก็บข้าวของของตนเองเข้าตู้เสื้อผ้าที่ทางเรียวคังจัดเตรียมไว้ให้ อย่างเรียบร้อย เพราะชายหนุ่มบอกว่า พวกเขาจะพักอยู่ที่เรียวคังแห่งนี้ จนกว่าปิดเทอมฤดูหนาวจะหมด ซึ่งก็เป็นเวลา 2 อาทิตย์นั่นเอง

     “…นาโอกิ” ร่างสูงอ้อมเข้ามากอดจากทางด้านหลังให้ร่างเล็กสะดุ้ง ก่อนที่จะพยายามบ่ายเบี่ยงไม่ยอมให้กอดท่าเดียว

     “ยังไม่หายงอนอีกเหรอ … นาโอกิ” มอร์เฟียซก้มลงกระซิบเบา ๆ ลมหายใจร้อน ๆ ที่รดใบหู ทำเอายูยะ ต้องขบกรามแน่น พยายามบังคับไม่ให้ตัวเองเผลอใจให้อ่อนตามสัมผัสนั้น

     “ผม…ไม่ได้งอนอะไรสักหน่อย” เด็กหนุ่มกล่าวปฏิเสธโดยไม่ยอมมองหน้า

     “โกหก!” ชายหนุ่มดุด้วยเสียงกระซิบ

     “หึงฉันกับชิโนะซังใช่ไหมล่ะ?”

     “…….” ยูยะเงียบกริบ กับคำถามที่แสนจะแทงใจดำนั้น เด็กหนุ่มพยายามเบือนหน้าหนีไปอีกทาง เมื่อมอร์เฟียซ จับร่างของเขาให้หมุนมาเผชิญหน้ากัน

     “ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าเธอคิดอะไร สงสัยอะไรอยู่ หือ …อย่าลืมสิ ว่าฉันมีหน้าที่ต้องจับผิด และอ่านความรู้สึกของคู่สนทนาอยู่บ่อย ๆ นะ”

     ชายหนุ่มบอกยิ้ม ๆ หากแต่ยูยะไม่ได้ขำไปด้วย เด็กหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเบาหวิว และตัดพ้อ

     “แล้วคุณ … เคยมีอะไรกับชิโนะซังหรือเปล่าล่ะครับ …ผมสังเกตว่าคุณทั้งสองคนสนิทสนมกันเป็นพิเศษนะครับ…”

     มอร์เฟียซถอนหายใจยาว ก่อนจะรวบร่างเล็กให้ขึ้นมานั่งบนตักของเขา

     “อย่าหาเรื่องให้ฉันเป็นชู้กับเมียชาวบ้านสิ ชิโนะซังน่ะแต่งงานแล้วนะ แล้วสามีของเขาก็เป็นพี่ชายของเพื่อนสนิทที่ญี่ปุ่นของฉันด้วย”

     “จริงหรือครับ!” ยูยะรีบถามขึ้นมาทันทีที่ชายหนุ่มพูดจบ

     “ก็ใช่น่ะสิ ที่ฉันรู้จักที่นี่ ก็เพราะเพื่อนของฉันพามานั่นล่ะ เอาเป็นว่า เขาเลี้ยงรับรอง และให้ฉันพักที่เรียวคังของพี่ชายตัวเอง ตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ฉันมาเที่ยวที่ญี่ปุ่นนั่นยังไงล่ะ”

     คำอธิบายที่ไขข้อข้องใจ และความกังวลใจทั้งหมดของเด็กหนุ่มจนหมดสิ้น ยูยะถอนหายใจยาว ๆ ก่อนจะยิ้มออกเป็นครั้งแรก

     “ดีจังครับ … คิดว่าพวกคุณเคย …คบกันเสียอีก”

     “บ้าสิ…ตอนที่รู้จักเขา ฉันมีคนที่รักอยู่แล้วต่างหาก”

     คำพูดนั้นทำให้ใบหน้ายิ้มแย้มของยูยะกลับมาซีดเผือดอีกครั้ง แววตาเจ็บปวดไม่อาจปิดซ่อน ที่มองมายังชายหนุ่ม ทำให้คนตรงหน้าไม่อาจจะแกล้งให้เด็กหนุ่มเข้าใจผิดได้อีกต่อไป

     “….ก็เธอยังไงล่ะ” อ้อมแขนที่โอบกระชับขึ้น และน้ำเสียงอ่อนโยน ทำให้ยูยะมองหน้าอีกฝ่ายเต็มตาด้วยความแปลกใจ

     “เอ๋…”

     “ก็ตั้งแต่ตอนที่เธอเข้ามาเรียนตอน ม.4 ยังไงล่ะ ปิดเทอมฤดูหนาวปีนั้น ฉันเองก็ตามเธอมาที่ญี่ปุ่นเหมือนกันนะ ตามไปจนรู้จักบ้านของเธอนั่นแหละ แต่จะให้หน้าด้านขอไปพักด้วยก็ไม่ได้ใช่ไหม ฉันเลยไปพักกับเพื่อนฉันแทนยังไงล่ะ”

     คำตอบที่ทำให้ยูยะอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ปนคาดไม่ถึง ก่อนจะกลับมาเป็นหน้าแดงก่ำ ด้วยความเขินอายในเวลาต่อมา

     “…คุณชอบผม …มาตั้งแต่ ม.4 แล้วยังงั้นหรือครับ”

     เด็กหนุ่มอุบอิบถาม ซึ่งมอร์เฟียซก็ยิ้มที่มุมปากนิดหนึ่ง ก่อนจะย้อนถามกลับด้วยใบหน้าเรียบเฉย

     “ฉันไม่เคยบอกเธอเลยยังงั้นเหรอ”

     “มะ…ไม่เคยบอก ครับ” ยูยะตอบเสียงค่อย ก่อนจะอุทานออกมาเบา ๆ ด้วยความตกใจ

     “อ๊ะ!”

     อยู่ดี ๆ มอร์เฟียซก็ลุกขึ้น โดยที่ช้อนร่างบนตักตามไปด้วย ก่อนจะตรงไปยังบ่อน้ำร้อนด้านนอกห้องพักอย่างว่องไว

     “ไว้เดี๋ยวฉันจะบอกเธอให้หมดเลย ว่าฉันคิดยังไงกับเธอ และรักเธอตั้งแต่เมื่อไหร่”

     ยูยะหน้าแดงก่ำ พยายามหลบตาสีเขียวคมกริบคู่นั้นสุดฤทธิ์ เมื่อเห็นดังนั้น มอร์เฟียซจึงจัดการวางเด็กหนุ่มลงที่ขอบบ่อ ก่อนจะปลดเปลื้องเสื้อผ้าของอีกฝ่ายออกทีละชิ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงตามด้วยเสื้อผ้าของตนเองในเวลาต่อมา

     “มาสิ…. นาโอกิ” ชายหนุ่มที่ลงไปแช่ตัวในบ่อน้ำร้อนก่อนหน้านั้น ยื่นมือมาให้เด็กหนุ่มที่ยังคงลังเลอยู่ขอบบ่อสักพัก ก่อนจะค่อย ๆ ยื่นมือของตนส่งให้กับชายหนุ่ม ที่ดึงรั้งร่างเล็กนั้นให้ลงตามมาด้วยกันทันที

     “ฉันอยากให้เราอยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไปเลยรู้ไหม…” มอร์เฟียซบอกขณะที่ก้มลงซุกไซ้ที่ซอกคอของเด็กหนุ่ม

     “ อืม…มอร์เฟียซ”

     มือใหญ่ใต้น้ำ ลากผ่านลูบไล้ไปทั่วผิวเนียนนุ่มละเอียด น้ำร้อนว่าร้อนแล้ว แต่ยังไม่อาจเทียบเท่าสัมผัสจากฝ่ามือนั้นได้ มันชวนให้ร้อนรุ่มจนเด็กหนุ่มแทบจะทนไม่ไหว

     “..อะ……อา” ยูยะครางแผ่วเบาอย่างลืมตัว ใบหน้าหวาน ๆ ที่แดงซ่านจากความร้อน และอารมณ์ปรารถนา ปลุกเร้าให้บางส่วนของมอร์เฟียซตื่นตัวขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้

     “บอกสิ…นาโอกิ…ว่าเธอก็ต้องการฉันเหมือนกัน ” ชายหนุ่มกระซิบเสียงแหบพร่า ยูยะใบหน้าแดงก่ำ ก่อนจะพยักหน้าตอบรับอย่างแหบพร่าด้วยฤทธิ์แห่งความปรารถนาไม่แพ้กัน

     “มาสิครับ…มอร์เฟียซ….ผมต้องการคุณ”

     “อา…นาโอกิ”



     ละอองหิมะที่เริ่มโปรยปรายลงมาหนาเม็ดมากขึ้น มิอาจหยุดยั้ง เสียงเสียดสีระหว่างเนื้อกับเนื้อ และเสียงร้องครางสลับกันอย่างเร่าร้อนของคนสองคนในบ่อน้ำร้อนส่วนตัวแห่งเรียวคังหรูหรา เก่าแก่ ที่ปลูกสร้างมาเกือบร้อยปีได้เลย กิจกรรมหฤหรรษ์ ยังคงถูกดำเนินต่อเนื่องไปเช่นนั้น นานเท่านาน ตราบจนกระทั่ง ความสุขของทั้งคู่ถูกปลดปล่อยออกมาในที่สุด

     “อา…มอร์เฟียซ ผมมึนหัวจังครับ” ยูยะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเบาหวิว ใบหน้าหวาน ๆ ฟุบลงกับอกกว้างอย่างหมดแรง ซึ่งมอร์เฟียซเห็นดังนั้นก็รีบอุ้มร่างเล็กขึ้นมาจากบ่อน้ำด้วยความตกใจ

     “เพราะแช่น้ำร้อนนานเกินไปน่ะสิ ขอโทษนะนาโอกิ…” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด หลังจากที่อุ้มร่างเล็กเข้ามาในห้อง หยิบยูคาตะที่ทางโรงแรมพับเตรียมไว้ มาใส่ให้กับเด็กหนุ่ม และตนเอง

     “เอายาไหม ฉันจะไปขอชิโนะซังให้” มอร์เฟียซเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง หากแต่ร่างเล็กที่นอนหนุนตักของเขาสั่นหน้านิด ๆ ก่อนที่มือบางจะจับที่มือใหญ่ของอีกฝ่ายแน่น

     “…แค่อยู่เป็นเพื่อนผมก็พอแล้วครับ”

     ทั้งคำพูด และนัยน์ตาที่อ้อน ๆ นั้น ทำให้มอร์เฟียซ แทบจะกดร่างเล็กลงไปกับพื้นอีกครั้ง หากไม่เกรงว่าอีกฝ่ายกำลังไม่สบายอยู่เพราะตนเองล่ะก็…

     “อา…ห้ามไปมองใครนอกจากฉันด้วยสายตาแบบนี้เด็ดขาด รู้ไหม!” ชายหนุ่มออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงกระซิบดุ ๆ ซึ่งเมื่อยูยะได้ฟัง เด็กหนุ่มก็ถึงกับหัวเราะออกมาเบา ๆ

     “ทำไมล่ะครับ มองแบบนี้แล้วจะเกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ” ถามออกไปทั้ง ๆ ที่รู้ความหมายดี ผลก็คือถูกลงโทษด้วยริมฝีปากเร่าร้อน ที่ประกบลงมาทาบทับริมฝีปากบางของตนทันที

     “อื้อ…อืม…”

     จูบยาวนานที่เหมือนจะกลั่นแกล้งให้ขาดใจนั้น ต้องหยุดชะงักค้าง เมื่อเสียงหวาน ๆ จากข้างนอกดังขึ้น

     “อาหารค่ำมาแล้วค่ะ ขออนุญาตเข้าไปได้ไหมคะ”

     มอร์เฟียซถอนริมฝีปากออกไปอย่างเสียดาย ก่อนจะเอ่ยปากตอบรับคนข้างนอก ทั้ง ๆ ที่มือยังคงกดศีรษะให้ร่างเล็กที่ทำท่าจะลุกขึ้นนอนหนุนตักของตนเหมือนเดิม

     “เชิญครับ”

     อาหารค่ำสุดหรู ถูกทยอยนำมาเสิร์ฟเรื่อย ๆ ซึ่งระหว่างนั้น แม่พวกพนักงานสาว เหล่านั้น ก็แอบชำเลืองมองมาทางยูยะ และมอร์เฟียซเป็นระยะ ก่อนจะแอบหันไปอมยิ้มกับพรรคพวกของตนเอง ซึ่งนั่นก็แทบอยากทำให้ยูยะหนีหน้าแทรกแผ่นดินหากทำได้ ก่อนจะช้อนตามองคนที่ตนนอนหนุนตักอยู่อย่างหมั่นไส้ เพราะท่าทางที่เอาแต่นั่งเฉย ทำทองไม่รู้ร้อนอยู่เช่นนั้น

     “มอร์เฟียซครับ อาหารตั้งเสร็จแล้วนะ!” ยูยะบอก พลางพยายามลุกจากตักของชายหนุ่ม เมื่อเห็นอาหารเตรียมเสร็จเรียบร้อย แต่ มอร์เฟียซก็ยังไม่ยอมให้เขาลุกไปเสียที แถมยังทำหน้าตายไม่ทุกข์ไม่ร้อนอีกต่างหาก

     “อื้อ! ลุกเถอะครับ เดี๋ยวอาหารเย็นหมดนะ” เจ้าตัวพยายามเปลี่ยนมาใช้ลูกอ้อนบ้าง ซึ่งก็ได้ผล ชายหนุ่มก้มลงจูบหน้าผากร่างเล็กที่นอนหนุนตักเบา ๆ หนึ่งที โดยไม่เกรงว่าจะมีสายตาคู่อื่น ๆ ที่มองพวกเขาอยู่ในห้องเลยแม้แต่น้อย

     เสียงกระซิบกรี๊ดกร๊าด ที่แม้จะเบาแสนเบา แต่มันก็ยังคงได้ยินอยู่ดี ทำเอายูยะใบหน้าแดงก่ำ รีบลุกจากตักของชายหนุ่ม พลางนั่งก้มหน้าก้มตา ไม่ยอมเงยหน้ามองใครอีกเลย ตลอดอาหารมื้อค่ำนั้น …


     “จะให้ปูที่นอนเลยหรือเปล่าคะ” พนักงานสาวเรียวคังคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น หลังจากที่เห็นแขกทั้งสองรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว

     “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพวกผมจัดการเอง” มอร์เฟียซปฏิเสธพร้อมรอยยิ้ม และเมื่อพนักงานสาวเหล่านั้น เก็บกวาดสถานที่เรียบร้อยและจากไปหมดแล้ว ชายหนุ่มก็หันไปหาคนรักที่นั่งหันหน้าไปอีกทาง

     “นาโอกิ……นี่นาโอกิ …งอนอะไรอีกล่ะทีนี้”

     มอร์เฟียซพยายามชวนเด็กหนุ่มพูดด้วย เพราะหลังจาก ที่รับประทานอาหารเสร็จแล้ว ยูยะ ก็ไม่ยอมพูดอะไรกับเขาอีก หนำซ้ำยังไม่ยอมมองหน้าอีกต่างหาก

     “ไม่ชอบใจที่ฉัน แสดงออกกับเธอต่อหน้าคนอื่นสินะ”

     ยูยะสะดุ้งเล็กน้อยที่ถูกอ่านความคิดได้ แต่ก็รีบทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เหมือนเดิมโดยไว

     “หืม…กับการที่ฉันอยากจะแสดงให้ทุกคนรู้ว่าเธอคือคนสำคัญของฉัน มันผิดมากใช่ไหม” น้ำเสียงนั้นเบาลงไปอย่างเห็นได้ชัด จนยูยะใจหาย รีบหันหน้ากลับมามองชายหนุ่ม พร้อมกับเขย่าแขนของเขาอย่างตกใจ

     “ไม่ใช่นะครับ มอร์เฟียซ ! อย่าเข้าใจผิดสิครับ! ผมก็แค่…” ยูยะก้มหน้างุดลงไปอีกครั้ง หากแต่มอร์เฟียซก็สังเกตเห็นได้ถึงใบหูที่แดงก่ำทั้งสองข้าง

     “ผมก็แค่… อะไรเหรอนาโอกิ” น้ำเสียงทุ้มรุกถาม ซึ่งดูเหมือนตอนนี้อาการที่ซึมเศร้าเมื่อครู่จะหายไปจนหมดสิ้น เหลือแต่เพียงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏให้เห็นเท่านั้น

     “ผม…ผม…ก็แค่ อาย เท่านั้นเองครับ” ยูยะก้มหน้าตอบอุบอิบ ซึ่งท่าทางเขิน ๆ ของเด็กหนุ่มนั้น ช่างน่ารักเสียเหลือเกินในสายตาของเขายามนี้

     “นาโอกิ…มองหน้าฉันสิ” ชายหนุ่มพยายามจะจับใบหน้าหวาน ๆ นั้นให้สบตากับเขา หากแต่เด็กหนุ่มก็ยังคงบ่ายเบี่ยงสุดฤทธิ์

     “มะ…ไม่เอาครับ” ยูยะพยายามเบี่ยงหน้าหลบ เขาไม่อยากให้มอร์เฟียซเห็นสีหน้าเขายามนี้ เขารู้ว่ามันคงต้องแดงมาก ๆ แน่ และท่าทางน่าอายแบบนี้ เขาไม่อยากให้คนที่เขารักได้เห็นเป็นอันขาด

     “อย่าดื้อสิ…นาโอกิ”

     “ไม่ครับ…ไม่อยากให้คุณมองผมตอนนี้”

     “ทำไมล่ะ ?”

     “กะ…ก็ มันคงไม่น่าดู” เด็กหนุ่มตอบพร้อมกับอาการหน้าแดงหนักเข้าไปใหญ่ ซึ่งก็ทำให้อีกฝ่ายถึงกับหัวเราะในลำคอเบา ๆ

     “ใครบอกเธอล่ะ” มอร์เฟียซบอกยิ้ม ๆ ไม่คิดเลยว่าคนรักของเขาจะช่างน่ารักน่าเอ็นดูขนาดนี้ ถ้าเป็นไปได้ เขาอยากจะเก็บยูยะไว้คนเดียว ไม่อยากให้ออกไปพบใครทั้งสิ้นด้วยซ้ำไป

     “สำหรับฉัน ไม่ว่าเธอจะแสดงสีหน้าแบบไหน มันก็น่ารัก น่ามองทั้งนั้นล่ะ”

     ชายหนุ่มพูดพร้อมกับช้อนคางของใบหน้าหวาน ให้สบตากับเขาจนสำเร็จ ดวงหน้าแดงก่ำนั้น มองเขาด้วยสายตาเอียงอาย ก่อนจะหลุบเปลือกตาลงน้อย ๆ เพื่อหลบสายตา หากแต่เจ้าตัวไม่ได้รู้หรอกว่า อาการที่ตัวเองทำลงไปนั้น จะทำให้คนที่จ้องมองอยู่เป็นเช่นไร

     “นาโอกิ….ดูเหมือนฉันจะทนไม่ไหวแล้วล่ะ”

     ยูยะสะดุ้งเฮือก เข้าใจความหมายนั้นได้เป็นอย่างดี

     “ดะ….เดี๋ยว สิครับ มอร์เฟียซ …” เด็กหนุ่มพยายามดันร่างแข็งแกร่งออกไปจากกาย หากแต่ ก็ต้องรู้สึกถึงน้ำหนักตัวที่กดลงมา จนหลังของเขาสัมผัสได้ถึงความเย็นของพื้นเสื่อทาทามิ

     “ยะ…ยังไม่ได้ปูที่นอนเลยนะครับ” ยูยะพยายามถ่วงเวลาออกไป หากอีกฝ่ายก็ไม่ได้สนใจฟังอะไรอีกในตอนนี้

     “ไม่จำเป็นนี่ พื้นเสื่อก็โอเค ดีแล้วไม่ใช่หรือไง”

     “อะ…เอ่อ ตะ…แต่ ผม” เด็กหนุ่มพยายามหาข้ออ้างเต็มที่ แต่ก็ต้องจบลงด้วยการตัดบทของชายหนุ่ม ที่ทำให้เขาแทบจะขาดอากาศหายใจไปพักใหญ่ทีเดียว

     “เลิกหาข้ออ้างได้แล้วนาโอกิ ยังไงคืนนี้ ฉันไม่ยอมปล่อยให้เธอได้นอนแน่” มอร์เฟียซเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด หลังจากที่ถอนริมฝีปากออกมาแล้ว

     “มอร์เฟียซครับ….” น้ำเสียงและดวงตาวิงวอนคู่สวยที่สบตากับเขา ทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนที่จะจูบที่แก้มเนียนนุ่มนั้นเบา ๆ ครั้งหนึ่ง

     “เอาเถอะ…ฉันจะอ่อนโยนนะ”

     “…ครับ” ยูยะรับคำแผ่วเบา ยังไงก็คงจะปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้ว โชคดีที่ชายหนุ่มบอกว่าจะอ่อนโยน แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เวลามอร์เฟียซลืมตัวขึ้นมาก็มักจะเผลอตัวรุนแรงทุกทีไป คนที่ลำบากทีหลังน่ะ ก็คือเขาเองเสมอนั่นล่ะ

     “นาโอกิ..คืนนี้เธอสวยมากเป็นพิเศษเลยรู้ไหม” ชายหนุ่มกระซิบ ขณะที่มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในยูคาตะของร่างเล็ก สำรวจเรือนร่างใต้เนื้อผ้าบาง จนเจ้าของร่างทนไม่ไหว เผลอหลุดเสียงครางออกมาเบา ๆ

     “อ๊ะ…อา…”

     สายโอบิที่ผูกอย่างหลวม ๆ ถูกแก้ออกอย่างง่ายดาย เผยให้เห็นผิวขาวนวล ซึ่งมีรอยแดงเป็นจ้ำ ๆ เพราะเกิดจากกิจกรรมร่วมของคนทั้งสอง ตอนช่วงหัวค่ำ ภายในบ่อน้ำร้อนนั่นเอง

     ความหนาวเย็นอันเกิดจากหิมะที่ตกโปรยปรายลงมาจากด้านนอก มิอาจทำให้ความร้อนแรง ของแขกภายในห้องซากุระ ลดลงไปได้เลย เสียงกรีดร้องปนเสียงครวญครางดังขึ้นเป็นระยะ ๆ และค่อย ๆ แผ่วเบาลงไปในที่สุด จนได้ยินเพียงแค่เสียงหายใจหอบเบา ๆ เท่านั้น

     “มอร์เฟียซครับ ….ผมรักคุณ…” ยูยะกระซิบกับอ้อมอกกว้างของชายคนรักเบา ๆ ก่อนจะผลอยหลับลงไปด้วยความอ่อนเพลีย โดยไม่อาจได้ยินคำตอบกลับของอีกฝ่ายที่ตอบกลับมาอย่างอ่อนโยน และอ่อนหวานยิ่งกว่าครั้งไหน

     “ฉันก็รักเธอ…ยูยะ…”

     … คนรักที่น่ารักที่สุดของฉัน …



+++ The End +++
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #6 : Holiday / I (1 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 01-07-2011 19:58:17
มาแปะตอนพิเศษ ตอนที่ 6 ต่อแล้วค่ะ ถึงจะสั้นแต่ก็เต็มไปด้วยความหวาน (หรือเปล่า?) เอาให้ไม่ต้องกินน้ำตาลกันไปอีกหลายวันเลยค่ะ หุ ๆ

ตอนที่ 7 พรุ่งนี้เย็น ๆ ค่ำ ๆ จะมาแปะนะคะ (ถ้าไม่ยุ่งจนลืมล่ะนะ~)
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #6 : Holiday / I (1 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: heaven13 ที่ 01-07-2011 21:54:15
เรื่องนี้เคยอ่านเมื่อนานมาแล้ว
มาอ่านอีกรอบก็ยังชอบอยู่
กรี๊ดมอร์เฟียซ ที่สุดเลยคะ
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #6 : Holiday / I (1 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 01-07-2011 22:01:09
อยากจะตายคาบ่อน้ำร้อน :o8:
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #6 : Holiday / I (1 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: Gokusan ที่ 02-07-2011 18:01:35
เอ่อ...ตอนพิเศษ...พิเศษจริงๆ ค่ะ ^^
หลายคู่ หลายรุ่น...น่าร้ากกกก

อยากเจอคู่จิมมี่แฮะ ^^ รอต่อปายยย
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #6 : Holiday / I (1 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 02-07-2011 22:23:43
ง่า คู่นี้น่ารักจริงๆ  :-[
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #6 : Holiday / I (1 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: SuSaya ที่ 02-07-2011 23:38:55
ยูยะน่ารักมากเลยค่ะ
คู่นี้อ่านทีไรไม่เคยผิดหวัง
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #6 : Holiday / I (1 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 03-07-2011 00:23:34
 :o8:

น่ารักเป้นบ้าาาาาเลย
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #6 : Holiday / I (1 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 03-07-2011 19:21:50
ขอโทษค่า~ แปะช้าไปนิด มาแปะต่อทีเดียว 2 ตอนเน้อ~


Special #7 : The Mafia Family



     ยูยะ ซึ่งกำลังนอนหลับซุกตัวอยู่ในผ้าห่มภายในห้อง  ของมอร์เฟียซ  คาเตอร์อย่างสบายใจ ต้องสะดุ้งตื่น  เมื่อเสียงโวยวายของชายหนุ่มคนรัก ดังขึ้นใกล้ ๆ

     “อะไรนะ! คริสต์มาสงั้นเหรอ! ทำไมผมต้องกลับบ้านในวันนั้นด้วย!”

     “ประสาท! ให้ตายผมก็ไม่กลับ วันอื่นมีตั้งหลายวันทำไมต้องเจาะจงเป็นวันนั้นวันเดียวล่ะ!!”

     ยูยะมองภาพตรงหน้าอย่างอึ้ง ๆ ไม่เคยเห็นมอร์เฟียซฉุนเฉียวอย่างนั้นมาก่อน เด็กหนุ่มจ้องมองอยู่เช่นนั้น จนกระทั่ง ชายหนุ่มหันกลับมาพอดี

     “อ๊ะ! นาโอกิ ตื่นแล้วเหรอ”

     “คะ…ครับ” ยูยะตอบเสียงเบา ๆ ด้วยสีหน้าหวั่น ๆ จนอีกฝ่ายต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่

     “ขอโทษทีที่เสียงดังไปหน่อย” พูดแล้วชายหนุ่มก็เดินไปอีกห้อง เสียงโวยวายยังแว่วเข้ามาเป็นระยะ ๆ จนกระทั่งเงียบไป และมอร์เฟียซก็โผล่เข้ามาในห้องด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

     “มีอะไรหรือเปล่าครับมอร์เฟียซ”

     ยูยะถามด้วยความเป็นห่วง ซึ่งเมื่อเห็นสีหน้ากังวลใจของเด็กหนุ่มคนรัก ก็ทำให้มอร์เฟียซยิ้มออกมาได้

     “ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่ปัญหาครอบครัวนิดหน่อย ….แต่ว่านะ นาโอกิ”

     เจ้าตัวมีสีหน้าลำบากใจ ที่จะพูด จนยูยะต้องแตะแขนชายหนุ่มเบา ๆ พลางยิ้มส่งกำลังใจให้

     “มีอะไรหรือครับมอร์เฟียซ”

     “อืม…คือว่า คริสต์มาสที่เคยสัญญาว่าจะไปเที่ยวด้วยกัน คงจะต้องยกเลิกแล้วล่ะ”

     ยูยะพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เพราะเมื่อครู่ที่ฟังบทสนทนา ก็พอจะเข้าใจคร่าว ๆ แล้ว

     “ไม่เป็นไรหรอกครับ ที่สำคัญเราก็เจอกันแทบทุกวันอยู่แล้ว ไม่ได้ไปเที่ยวกันวันเดียวก็ไม่เป็นไร คุณกลับบ้านอย่างสบายใจเถอะครับ”

     ยูยะพูดพลางยิ้มแย้มอย่างอ่อนโยน จนมอร์เฟียซ อดดึงร่างเล็กตรงหน้า เข้ามากอดแน่นไม่ได้ ในเมื่อคนรักของเขาช่างน่ารัก และมีน้ำใจอย่างนี้ จะไม่ให้เขาทั้งรัก ทั้งหลงยังไงไหว

     “ถ้าอย่างนั้นไปบ้านฉันด้วยกันนะ นาโอกิ”

     ชายหนุ่มตัดสินใจพายูยะไปด้วยกันกับเขา โดยไม่สนเสียงคัดค้านของร่างเล็ก ๆ นั่นแม้แต่น้อย เพราะเจ้าตัวได้ตัดสินใจเอาเองแล้วว่า ควรจะเปิดเผยเรื่องของเขาและเด็กหนุ่ม ให้ทางบ้านรับรู้เสียที

     “ตะ..แต่ ถ้าพ่อ แม่คุณไม่พอใจขึ้นมา”

     ยูยะแย้งด้วยความกังวล ทว่า มอร์เฟียซไม่ใส่ใจ เขาลูบศีรษะเด็กหนุ่มเบา ๆ พลางเอ่ยอย่างปลอบโยน

     “ไม่ต้องกังวลอะไรหรอกนาโอกิ ฉันจะไม่ให้ใครมาวุ่นวาย และว่าเธอได้เด็ดขาด และถ้าพวกเขาโกรธ จนคิดจะตัดความสัมพันธ์กับฉัน…” คนพูดเงียบไปเหมือนกำลังจะครุ่นคิด ซึ่งยูยะเมื่อได้ฟังก็พลอยกังวลตามไปด้วย แต่แล้วรอยยิ้มที่ตามมา กลับทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกฉงน

     “นั่นสิ …ถ้าพวกนั้นโกรธจริง ๆ จนทำแบบนั้นมันจะดีแค่ไหนกันนะ”

     ว่าแล้วก็หยิบข้าวของออกจากตู้ แพ็คลงกระเป๋าอย่างอารมณ์ดี ซึ่งพอหันมาเห็นยูยะยืนงง ๆ ชายหนุ่มก็ไล่ให้คนรักกลับไปจัดเสื้อผ้ามาโดยด่วนที่สุด

     “เราจะเดินทางกันพรุ่งนี้เช้า ไปถึงก่อนหน้าวันคริสต์มาสหนึ่งวัน และถ้าเป็นอย่างที่ฉันคิด เราอาจจะได้กลับมาฉลองคริสต์มาสที่นี่ก็ได้”

     ยูยะจำต้องทำตามคำสั่งนั้นอย่างงงๆ แต่อีกใจก็ทั้งกังวล และตื่นเต้น ที่จะได้พบกับครอบครัวของคนรัก เพราะจากที่ฟังดอกเตอร์ลีเล่า ความสัมพันธ์ระหว่างมอร์เฟียซและครอบครัวดูท่าจะไม่ค่อยดีนัก ซึ่งยืนยันได้ดีจากบทสนทนาเมื่อเช้านี้

     “ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้างนะ”

     เด็กหนุ่มบ่นพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ในขณะที่เดินกลับหอ หวังเพียงแต่ว่า เหตุการณ์ข้างหน้ามันคงจะไม่เลวร้ายจนเกินไปนัก …



     วินาทีที่ยูยะ เหยียบย่างเข้าสู่แผ่นดินอังกฤษ เด็กหนุ่มก็ต้องตะลึง เมื่อมีชายใส่สูท สวมแว่นตาดำ ท่าทางคล้ายบอดี้การ์ดจำนวนกว่าสิบคน ยืนต้อนรับเขาและมอร์เฟียซอยู่ที่สนามบิน

     “ยินดีต้อนรับกลับบ้านครับนายน้อย นายท่าน และนายหญิงให้พวกเรามารอรับท่านครับ”

     ชายหนุ่มทำสีหน้าเบื่อหน่ายสุด ๆ ก่อนจะส่งกระเป๋าทั้งของเขาและยูยะให้คนพวกนั้น และเดินตามไปขึ้นรถลีมูซีนสุดหรู ที่จอดรออยู่

     “อ้าว เป็นอะไรไปล่ะ ขึ้นมาสินาโอกิ”

     มอร์เฟียซทักยูยะซึ่งยืนตะลึงไม่กล้าตามขึ้นไปบนรถ และเมื่อเห็นเด็กหนุ่มยังคงยืนอยู่ เจ้าตัวก็จัดการฉุดอีกฝ่ายเข้ามา และจับให้นั่งบนตักเขา ชนิดที่บรรดาลูกน้องที่มารับ ต่างพากันกลืนน้ำลายลงคออย่างลืมตัวไปตาม ๆ กัน

     “เดี๋ยวมอร์เฟียซ ….ให้ผมนั่งบนเบาะดีกว่านะครับ”

     ยูยะซึ่งบัดนี้หน้าแดงก่ำไปหมด พยายามลุกขึ้นจากตักของชายหนุ่ม ทว่า อีกฝ่ายกลับไปยอมปล่อย และโอบรัดเอวบางแน่นอยู่แบบนั้น

     “ทำไม ตักฉันมันนุ่มสู้เบาะรถไม่ได้หรือยังไง ถึงนั่งไม่ได้”

     “มะ…ไม่ใช่ แต่คุณจะหนักนะ” ยูยะพยายามอธิบายเหตุผลให้ชายหนุ่มฟัง ซึ่งก็แน่นอนว่าเจ้าตัวไม่สนใจฟัง แต่เอนพิงไปกับพนักเบาะ และจับกดศีรษะของร่างเล็กให้ซบตามลงไปกับอกของเขาโดยไม่เกรงสายตาของคนอื่น ๆ ที่นั่งรถมาคันเดียวกัน

     มอร์เฟียซ มองร่างเล็ก ๆ บนตัก ซึ่งตอนนี้กำลังซุกหน้ากับอกของเขา ทั้งใบหน้า หู และลำคอ แดงก่ำไปหมดจนตัวเขาเองชักจะเริ่มอดใจไว้ไม่อยู่

     “นาโอกิ…จูบได้ไหม”

     ยูยะสะดุ้งเฮือก เงยหน้าขึ้นมอง ส่ายศีรษะปฏิเสธทันที

     “ไม่ได้ครับ!…อุ๊บ!”

     ริมฝีปากบางถูกปิดทับด้วยริมฝีปากหนาได้รูปของอีกฝ่าย ก่อนจะผละจากริมฝีปากไปซุกไซ้ตามซอกคอขาวเนียน จนเด็กหนุ่มสะท้าน

     “อา….มอร์เฟียซ…หยุดเถอะ”

     คนอื่น ๆ ทั้งคนขับ และคนติดตามอีก 2 – 3 คนที่นั่งมาด้วยกันภายในรถคันนั้น ต่างพากันนิ่งเงียบนั่งตัวตรงแข็งทื่อ ไม่มีใครสักคนกล้าปริปาก หรือแม้แต่จะกล้ามองคนทั้งคู่ ตรง ๆ มอร์เฟียซ หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ก่อนจะจับร่างเล็กวางข้าง ๆ ซึ่งเจ้าของร่างก็อ่อนระทวยไปหมด จนต้องซบพิงกับไหล่ของเขาหอบ ๆ

     “นอนไปก่อนก็ได้นะ นาโอกิ อีกสักพักนั่นล่ะ กว่าจะถึงบ้านฉัน”

     ยูยะปรายตามามองคนชอบแกล้งอย่างไม่ค่อยจะพอใจนัก แต่เมื่อสบกับนัยน์ตาเจ้าเล่ห์สีมรกตที่ยังคงแพรวพราวอยู่เช่นนั้น ก็ทำให้เขาต้องหลบสายตาวูบทันทีอย่างอาย ๆ

     “…นี่ยังดีนะ ที่ฉันยังเกรงใจอยู่ ถ้าไม่เกรงใจล่ะก็ จะจับเธอกดบนรถนี่ล่ะ…”

     มอร์เฟียซก้มลงกระซิบกับเด็กหนุ่มแผ่วเบา ทำเอาคนฟังสะดุ้งเฮือก พลางกระเถิบถอยหนีไปชิดกับอีกมุมหนึ่งของรถอย่างลืมตัว

     “หึ ๆ” ชายหนุ่มอดหัวเราะไม่ได้กับท่าทางน่ารัก ๆ ของอีกฝ่าย ซึ่งยูยะก็สำนึกได้ทันทีว่า เขาถูกอาจารย์หนุ่มแกล้งเอาอีกแล้ว

     “คนบ้า!”

     ยูยะตวาดใส่อย่างงอน ๆ แม้จะคบกันแล้ว แต่มอร์เฟียซก็ยังไม่เลิกแหย่ เลิกแกล้งเขาสักที เด็กหนุ่มเมินใส่อีกฝ่ายไปตลอดทาง จนกระทั่ง รถยนต์ที่เขานั่งเลี้ยวเข้าสู่ประตูทางเข้าคฤหาสน์ใหญ่โตแห่งหนึ่ง



     พื้นที่อาณาเขตนับร้อย ๆ ไร่ ภายในคฤหาสน์แห่งนั้น ทำเอาเด็กหนุ่มที่ก้าวลงจากรถ ถึงกับมองไปรอบ ๆ และอ้าปากค้างอย่างลืมตัว

     “เอ้า! เข้าบ้านกันเถอะนาโอกิ เธอพักห้องเดียวกันกับฉันนั่นล่ะ”

     มอร์เฟียซโอบบ่าร่างเล็กประคองเข้าไปด้วยกัน ท่ามกลางสายตานับสิบ ๆ คู่ ของบรรดาคนรับใช้ ที่ออกมาตั้งแถวต้อนรับ นายน้อย ของบ้าน

     “มะ…มอร์เฟียซ ผมเดินเองได้ครับ” ยูยะรู้สึกอึดอัดกับสายตาอยากรู้อยากเห็นของคนอื่น ๆ ที่มองมายังพวกเขา แต่ดูเหมือนมอร์เฟียซจะไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้น ชายหนุ่มพาเขาเดินไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเสียง ๆ หนึ่งดังขึ้นเพื่อเรียกให้พวกเขาหยุด

     “กลับมาถึงบ้านทั้งที จะไม่แวะมาทักทายพ่อ กับแม่เลยหรือไง มอร์เฟียซ!”

     น้ำเสียงทรงอำนาจ ดังขึ้น ยูยะมองตามเสียงเรียกนั้นไปทันที ขณะที่มอร์เฟียซหันไปมองอย่างเซ็ง ๆ

     “สวัสดีครับพ่อ แม่”

     บอกแค่นั้นแล้วก็เตรียมจะไปต่อ ทำเอาชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายกับชายหนุ่มตวาดใส่ด้วยความโมโห

     “สวัสดีครับอะไรกัน เจ้าลูกบ้า! ร้อยวันพันปี ไม่เคยกลับมาเยี่ยมบ้าน กลับมาทั้งทีก็ทำเป็นไม่สนใจ อย่างนี้จะให้เรียกว่าลูกได้อีกหรือไงหา!!”

     ชายหนุ่มชะงัก และหันกลับไปมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

     “ถ้าไม่อยากเรียกก็ไม่จำเป็นต้องเรียกก็ได้นี่ครับ ผมก็บอกไปตั้งหลายครั้งแล้วว่า ไม่อยากกลับมาเหยียบที่นี่อีก พ่อก็พยายามจะบังคับให้ผมกลับมาอยู่ได้!”

     ยูยะซึ่งยืนอยู่ท่ามกลางการสนทนาที่เคร่งเครียด มองคนโน้นที คนนี้ที ด้วยความหวั่นวิตก จนเสียงหวาน ๆ ของหญิงสาวหน้าตาสะสวย ดังขัดการสนทนาของพ่อลูกอารมณ์ร้อนทั้งคู่

     “พอ ๆ อะไรกันคะ อิริค มอร์เฟียซ มาทะเลาะกันต่อหน้าแขกตัวน้อย ๆ ของเราได้ยังไง ดูสิ ตัวสั่นกลัวไปหมดแล้ว”

     พูดพลางเดินเข้ามาหยุดยืนพิจารณาเด็กหนุ่มด้วยความสนใจ ก่อนจะกล่าวทักทายเสียงหวาน

     “สวัสดีจ้ะหนูน้อย ฉันชื่อ มาเรีย เป็นแม่แท้ ๆ ของมอร์เฟียซเขา ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ”

     ยูยะอ้าปากค้างด้วยความตะลึง ก่อนจะสวนกลับไปอย่างลืมตัว

     “แม่งั้นเหรอ? ผมนึกว่าเป็นพี่สาวมอร์เฟียซเสียอีก อุ๊บ! ขอโทษครับ”

     มาเรียหัวเราะเบา ๆ อย่างชอบใจ รู้สึกถูกชะตากับเด็กตรงหน้าเข้าไปอีก

     “ต๊าย! ปากหวานเอาใจคนแก่จังนะจ๊ะ”

     “ใช่แก่! ปีนี้ก็ 45 แล้ว อย่าให้รูปลักษณ์ภายนอกมันหลอกตาเอาสินาโอกิ!”

     มอร์เฟียซสำทับตามมาทันที ทำเอามาเรียตวัดสายตาคมกริบกลับไปยังลูกชาย ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น

     “ถึงแม่จะแก่ แต่ก็ยังดีกว่าบางคนที่ริทำตัวเป็นโคแก่ ชอบกินหญ้าอ่อนนะจ๊ะ”

     ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก มองมารดาเขม็งทันที

     “อย่านึกว่าแม่ไม่รู้นะ มอร์เฟียซ ว่าเด็กนี่เป็นอะไรกับลูก จะดูถูกข่าวสารของตระกูลคาเตอร์มากไปแล้วนะ”

     มอร์เฟียซยิ้มเครียด ๆ ก่อนจะยักไหล่ตามมาอย่างไม่ใส่ใจ

     “ก็แล้วไง บอกไว้ก่อนนะว่าถ้าคิดขัดขวางผมไม่มีทางยอมเด็ดขาด ถ้าอยากจะตัดขาดผมจากตระกูลก็เชิญตามสบาย ผมไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว!”

     ทันทีที่ชายหนุ่มพูดจบ เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นมาจากอิริค ซึ่งนิ่งฟังอยู่ได้สักพัก

     “หึ ๆ มอร์เฟียซ แกคิดหรือว่า พวกฉันจะบ้องตื้นหลงคารมแกง่าย ๆ แบบนั้น คิดจะตัดขาดจากตระกูลงั้นเหรอ ฝันไปเถอะ แกต้องเป็นคนรับสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าของตระกูลคาเตอร์ และปกครองแก๊งค์ ต่อจากฉันอยู่วันยังค่ำนั่นล่ะ!”

     ยูยะยืนฟังอึ้ง ๆ ถ้าเขาแปลไม่ผิด อิริคพูดว่าให้มอร์เฟียซปกครองแก๊งค์ต่อจากตนเองใช่ไหม ถ้าอย่างนั้น ที่บ้านของชายหนุ่มก็ต้องเป็น…

     “ต๊าย! ดูสิตัวสั่นเชียว ...มอร์เฟียซลูกไม่ได้บอกหนูน้อยนี่หรือว่า ตระกูลเราเป็นพวกมาเฟียน่ะ หือ”

     มาเรียแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหวาน ๆ หากแต่นัยน์ตาประกายพราวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

     “มะ…มาเฟีย” ยูยะทวนคำเสียงสั่น สมองมันรับไม่ทันจริง ๆ กับเรื่องราวเหลือเชื่อที่ได้รับฟัง

     มอร์เฟียซมองคนรักของเขาอย่างเป็นกังวล ตลอดเวลาชายหนุ่มไม่เคยเล่าให้ยูยะฟังเลยเกี่ยวกับเรื่องทางบ้าน เพราะเขากลัวยูยะจะรับไม่ได้ และพอเห็นสภาพเช่นนี้ มอร์เฟียซเองก็ชักไม่แน่ใจแล้วว่า ยูยะจะมองเขาเป็นแบบไหนกันแน่

     “นาโอกิ…”

     “มอร์เฟียซ…” ยูยะเงยหน้ามองชายหนุ่ม เนื้อตัวสั่นเทานิด ๆ จนมอร์เฟียซใจหาย ทว่า…

     “เท่จังเลย! ทำไมคุณถึงไม่บอกผมเลยล่ะครับ ว่าบ้านคุณเป็นมาเฟีย!”

     ประโยคที่ถัดมาของเด็กหนุ่ม ทำเอาคนอื่น ๆ ในบ้าน อึ้งกันเป็นแถบ ๆ โดยเฉพาะ มอร์เฟียซ อิริค และมาเรีย

     “ผมชอบดูหนังเกี่ยวกับพวกมาเฟียมาก ๆ โดยเฉพาะเวลาฉากยิงปืน หรือขับรถไล่ยิงกัน มันทั้งตื่นเต้น ทั้งหวาดเสียวบอกไม่ถูก อีกอย่างพวกมาเฟียแต่ละคนก็เท่ ๆ ทั้งนั้นเลย!”

     มอร์เฟียซอึ้งไปสักพัก ไม่อยากจะเชื่อว่าคนรักตัวน้อยของเขาจะชอบอะไรแบบนี้ด้วย มันดูไม่ค่อยเข้ากับคนอ่อนโยน ที่รักเสียงดนตรีอย่างยูยะ เลยแม้แต่น้อย

     “แต่ว่าพวกมาเฟียมันไม่ใช่อย่างในหนังเสมอไปนะนาโอกิ บางพวกก็ค้าอาวุธ บางพวกก็ค้ายา บางพวกก็ฆ่าคนด้วยนะ”

     ชายหนุ่มพยายามอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ เพราะเขาเดาว่า ยูยะคงจะอ่อนต่อโลกมากเกินไป จึงทำให้มองอะไรในแง่ดีไปเสียหมด

     “พ่อค้าปลา ก็ขายปลา พ่อค้าผัก ก็ขายผัก มาเฟีย จะค้ายา ค้าอาวุธสงครามก็ไม่น่าแปลกอะไรนี่ครับ”

     ยูยะบอกด้วยสีหน้าปกติ ทำเอามอร์เฟียซกลืนน้ำลายลงคอฝืด ๆ ขณะที่อิริคหัวเราะลั่นชอบใจ

     “ใช้ได้ ๆ เจ้าหนูนี่พูดถูกใจฉันจริง ๆ แหม น่าเสียดายนะที่เธอเป็นเด็กผู้ชาย ถ้าเป็นผู้หญิง ฉันจับหมั้นและจัดพิธีแต่งงาน ให้กับเจ้าลูกชายไม่รักดีนี่ไปนานแล้ว!!”

     “โธ่ อิริคคะ ถึงเป็นผู้ชายก็รับเข้าตระกูลได้ เรื่องทายาทน่ะ หาใครเป็นก็ได้ แต่สะใภ้ที่มีอุดมการณ์ร่วมกันแบบนี้น่ะ หายากนะคะ”

     มาเรียรีบเสริม ซึ่งอิริคก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย

     “ถ้ายังไงมาคุยกันหน่อยดีไหมจ๊ะ จะได้ทำความรู้จักกันมากขึ้นยังไงล่ะ”

     มาเรียเชิญชวน แต่มอร์เฟียซรีบดึงร่างเล็กมาไว้กับตัวเขาทันที

     “พวกผมเดินทางมาเหนื่อย ๆ อยากพักผ่อนเต็มที่แล้วครับ คงต้องขอตัวด้วย”

     แล้วก็ไม่ต้องรอคำคัดค้านชายหนุ่มกึ่งลาก กึ่งจูง ยูยะขึ้นไปชั้นบน ที่ห้องพักของเขา ทันที ตามมาด้วยเสียงบ่นของอิริค และมาเรีย ไล่หลังมาติด ๆ


     มอร์เฟียซปิดประตูห้องดังปัง ดึงร่างของเด็กหนุ่มคนรักมาเผชิญหน้ากับเขา ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

     “เธอคิดอย่างที่พูดมาจริง ๆ น่ะหรือนาโอกิ ที่ว่าเห็นดีด้วยกับครอบครัวของฉันน่ะ!”

     “ก็อย่างนั้นน่ะสิครับ ผมไม่เห็นว่าทุกคนจะเลวร้ายตรงไหนเลย ทั้งคุณอิริค และคุณมาเรีย ก็เป็นคนดีด้วยกันทั้งคู่” ยูยะตอบยิ้ม ๆ อย่างจริงใจ

     “คนดีตรงไหนกัน?”

     มอร์เฟียซบ่นใส่ ทว่าคำพูดประโยคถัดมาของคนรักของเขา ก็ทำให้ชายหนุ่มถึงกับอึ้งไปทันที

     “ก็ถ้าพวกเขาไม่ใช่คนดี จะเลี้ยงคุณมาเป็นคนอ่อนโยน และน่ารักแบบนี้ได้ยังไงล่ะครับ”

     ยูยะตอบยิ้ม ๆ ก่อนจะลูบใบหน้าคมเข้มนั้นเล่นอย่างรักใคร่

     “อีกอย่างถ้าไม่พูดแบบนั้น คิดหรือครับว่าคุณพ่อ และคุณแม่ของคุณจะยอมรับเรื่องของเราง่าย ๆ ผมว่านะ บทจะดื้อพวกเขาก็ดื้อเหมือนกับคุณนั่นแหล่ะครับ”

     ประโยคถัดมาทำให้มอร์เฟียซถอนหายใจเฮือกใหญ่ นิสัยเจ้าเล่ห์แบบนี้ ไม่รู้ว่ายูยะติดมาจากใคร สงสัยเขาคงปล่อยให้เด็กหนุ่มคลุกคลี กับเคธี่ และชางมากเกินไปเสียแล้ว

     “เจ้าเล่ห์แบบนี้ต้องโดนลงโทษรู้ไหม?” บอกแล้วก็จัดการอุ้มร่างเล็กไปวางบนเตียง โดยที่ยูยะยินยอมให้ชายหนุ่มพาไปแต่โดยดีอย่างไม่ขัดขืน เพราะต้องการที่จะเอาใจอีกฝ่ายให้อารมณ์ดีขึ้นนั่นเอง

     “แล้วจะอยู่ถึงวันคริสต์มาสไหมครับเนี่ย”

     ยูยะถามขัดขึ้นในขณะที่ชายหนุ่มโน้มใบหน้าจะก้มลงมาจูบเขา

     “ก็เมื่อเป็นแบบนี้ก็คงจะต้องอยู่....” มอร์เฟียซตอบเซ็ง ๆ แต่ก็เริ่มเอะใจ ที่เห็นนัยน์ตาแวววาว ด้วยความชอบใจจากคนรัก

     “นาโอกิ...คงไม่ใช่ชอบมาเฟียจริง ๆ อย่างที่บอกไว้หรอกนะ”

     ยูยะสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ฟังประโยคนั้นจากชายหนุ่ม ก่อนจะรีบกล่าวปฏิเสธทันที

     “มะ...ไม่ครับ ไม่ได้ชอบจริง ๆ....”

     เจ้าตัวบอกพลางพยายามหลบตาสุดฤทธิ์ จนชายหนุ่มต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ เห็นทีเขาคงจะต้องกันยูยะให้ออกห่างจากพ่อและแม่เขาให้มากที่สุดเสียแล้ว มิเช่นนั้นเด็กหนุ่มคงหลวมตัวหลงคารม เข้ากลุ่มกับทั้งคู่แน่ ๆ ขนาดแค่พ่อและแม่รบเร้าให้เขาสืบทอดแก๊งค์ต่อ เขาก็จะปวดประสาทอยู่แล้ว ถ้าลองยูยะให้ความร่วมมืออีกคนมีหวังเขาคงจะดิ้นไม่หลุดคราวนี้แน่

     “ฉันนี่นะหนีเสือปะจระเข้ จริง ๆ เชียว”

     ชายหนุ่มบ่นกับตัวเองเบา ๆ ในขณะที่ร่างเล็กข้างใต้หูผึ่ง

     “ว่าอะไรนะครับ!”

     มอร์เฟียซหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะจูบหนัก ๆ ที่กลีบปากบางนั้นแรง ๆ เป็นการแกล้ง

     “ใครจะว่าอะไรได้ ก็แค่อยากจะบอกว่า ฉันมันตกหลุมรักเธอจนโงหัวไม่ขึ้นแล้วน่ะสิ!”

     ชายหนุ่มบอกหลังจากถอนริมฝีปากออกมาแล้ว ทำเอาคนฟังที่ตั้งท่าจะหาเรื่องเล่นงานชะงัก ใบหน้ายามนี้แดงก่ำไปหมด

     “พูดอะไรก็ไม่รู้ บ้าจัง!”

     “หึ! ถึงจะบ้าก็บ้ารักเธอนั่นแหละ ยูยะ!”

     มอร์เฟียซบอกยิ้ม ๆ ในขณะที่คนฟังชะงักอ้าปากค้างที่ถูกอีกฝ่ายเรียกชื่อต้นให้ได้ยินเป็นครั้งแรก และก็ต้องเอ่ยประท้วงในลำคอ เมื่อถูกเริ่มต้นรุกจูบอีกหน ...

     “รักเธอนะยูยะ” คำสารภาพรักอ่อนโยนกระซิบแผ่วเบาข้างหู ยูยะน้ำตาเอ่อล้นคลอเบ้าด้วยความปลาบปลื้ม กระซิบตอบกลับไปด้วยความอ่อนโยนไม่แพ้กัน

     “ผมก็รักคุณครับ มอร์เฟียซ ....รักคุณยิ่งกว่าใคร ๆ ทั้งนั้น ....”

     แม้เรื่องวุ่น ๆ ในครอบครัวของเขาจะยังคงไม่จบ แต่มอร์เฟียซก็ไม่คิดจะไปสนใจกับเรื่องที่ยังมาไม่ถึง ขอแค่วันนี้ เวลานี้ เขามีคนรักที่น่ารักของเขาอยู่เคียงข้างตลอดไป สำหรับเขา นั่นถือเป็นความสุขที่สุดในชีวิต ยามนี้แล้ว....



+++ END +++
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #6 : Holiday / I (1 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 03-07-2011 19:24:05
สำหรับตอน 8 นี้ ตัวละครบางตัวเป็นออริจินอลจากเรื่องอื่นของปัดค่ะ~ 
แต่บางคาแรกเตอร์เป็นแฟนฟิคที่นำมาเขียนจากการ์ตูนค่ะ


Special #8 : Holiday II


     ร่างสูงสง่า ของชายหนุ่มผมยาวสลวยสีทอง สวมแว่นตาดำ ที่บัดนี้กำลังยืนอยู่ ณ อาคารผู้โดยสารขาเข้า ของสนามบินนาริตะ  เจ้าตัวกำลังก้มดูนาฬิกาข้อมือของตัวเองอย่างหงุดหงิด และเมื่อเห็นว่าร่างของคนที่ตนนัดไว้ กึ่งเดิน กึ่งวิ่งมาหา  ชายหนุ่มก็สูดลมหายใจลึก ๆ เพื่อข่มอารมณ์สุดขีด

    “โทษที ๆ มอร์เฟียซ รถติดไปหน่อยน่ะ!”

    ชายหนุ่มผู้มาใหม่ รีบแก้ตัวก่อนทันทีที่อีกฝ่ายจะเอ่ยอะไรออกมา

    “นายทำให้ฉันคลาดกับยูยะแล้วนะ ยูโตะ!”

    มอร์เฟียซ บอกอย่างหงุดหงิด และเดินดุ่ม ๆ นำไป ซึ่งชายที่ชื่อว่ายูโตะ ก็เดินจ้ำอ้าวกวดตามชายหนุ่มไปอย่างว่องไว

    “โธ่เอ๊ย! ยังไงก็รู้จักบ้านเขาแล้วนี่นา  เดี๋ยวก็ตามไปที่บ้านเสียก็หมดเรื่อง!”

    ยูโตะ กล่าวพลางยักไหล่ ซึ่งก็ทำให้มอร์เฟียซใช้สายตาเย็นชาเหล่มามองเพื่อนสนิทแวบหนึ่ง แล้วจึงบ่นอะไรเบา ๆ กับตัวเอง ซึ่งคนถูกบ่นก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เสียอย่างนั้น



    “แล้วทำไมต้องแอบตามมาอย่างนี้ด้วยล่ะ  น่าจะไปค้างที่บ้านของเขาเลยก็สิ้นเรื่อง”

    ยูโตะบอกในขณะกำลังขับรถพามอร์เฟียซ ไปที่บ้านของยูยะ

    “ไปให้พ่อแม่เขาช็อกตาย หรือไม่ก็หาอะไรมาตีหัวฉันงั้นหรือ?”

    มอร์เฟียซบอกอย่างเซ็ง ๆ ก่อนจะเอนกายพิงพนักอย่างเหนื่อยใจ

    “ใช่ว่าฉันไม่อยากแสดงตัวหรอกนะ แต่ยูยะน่ะสิห้ามเอาไว้ เขาบอกว่าจะหาเวลาพูดกับพ่อแม่ของตัวเองไม่วันใดก็วันหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องของเราสองคน”

     “เอาน่า มอร์เฟียซ ฉันว่ายังไงรักแท้ ก็ต้องชนะอุปสรรคว่ะ!”

    ยูโตะปลอบใจเพื่อนสนิท ซึ่งมอร์เฟียซก็ยิ้มน้อย ๆ แทนการขอบคุณ



     แต่แล้ว เมื่อไปถึงยังบ้านของยูยะ   มอร์เฟียซก็ต้องตกตะลึงอยู่กับที่ แม้กระทั่งยูโตะเองยังแอบกลืนน้ำลายลงคออย่างหวาด ๆ 

     ทั้งนี้ เพราะภาพของเด็กหนุ่ม ที่กำลังยืนพูดคุยสนิทสนม โอบกอดเอว อยู่ตรงสวนในบ้าน กับชายแปลกหน้าที่มอร์เฟียซไม่เคยรู้จัก  รอยยิ้มหวาน ๆ ที่มีให้เฉพาะเขา แต่ยามนี้กลับมีให้กับคนอื่น  มองแล้วมันช่างแสนบาดหัวใจยิ่งนัก  ถ้าไม่ติดว่าเขาแอบตามมาโดยไม่อยากให้ยูยะรู้ตัวแล้วล่ะก็ ชายหนุ่ม คงจะเข้าไปกระชากร่างเล็กออกมา และชกหน้าผู้ชายคนนั้นเสียแล้วก็ได้ …

     “ใจเย็น ๆ น่ามอร์เฟียซ อาจจะเป็นญาติกันเฉย ๆ ก็ได้ ....เอ่อ ว่าแต่ผู้ชายคนนั้น ถ้าจำไม่ผิด น่าจะใช่เขานะ...”

    ยูโตะเพ่งมองผ่านรั้วไม้ระแนง ไปตรงสวนในบ้าน  เพราะว่าพวกเขาแอบดูอยู่ห่าง ๆ ทำให้เห็นหน้าคนในนั้นไม่ชัดเจนนัก

    “ใครกัน! หมอนั่น! นายรู้จักใช่ไหม?!”

    มอร์เฟียซกระชากคอเสื้อเพื่อนคาดคั้นถามอย่างลืมตัว ซึ่งยูโตะก็ถอนหายใจเฮือก ก่อนจะผลักอกชายหนุ่มออกไปแรง ๆ เพื่อเตือนสติ

    “ไอ้บ้า! จะฆ่ากันหรือไงวะ!”

     “แล้วใครล่ะ!” มอร์เฟียซถามต่อ แต่อารมณ์หงุดหงิดลดลงมาบ้างแล้ว ยูโตะสั่นศีรษะไปมาก่อนตอบเพื่อนสนิทเสียงห้วน

    “คนที่ฉันไม่อยากยุ่งด้วย ถ้าไม่จำเป็น!  มุราคามิ  ริวยะ  ยังไงล่ะ!”



     มอร์เฟียซนั่งตีหน้าบึ้ง อยู่ภายในแมนชั่นของฮานามูระ  ยูโตะ  ทั้งนี้ เพราะชายหนุ่มเป็นคนลากเขากลับมา ด้วยเหตุผลที่ว่า ถ้าอีกฝ่ายคือ มุราคามิ  ริวยะ   มอร์เฟียซ ก็ไม่สมควร โผล่พรวดออกไปหาเรื่อง โดยไม่ได้เตรียมแผนการรับมืออะไรไว้ก่อน

    “กับแค่ยากูซ่าญี่ปุ่นธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ทำไมคนอย่างฉันต้องกลัวมันด้วยวะ!”

    มอร์เฟียซบอก อย่างหงุดหงิด  ซึ่งยูโตะก็ชำเลืองมองเพื่อนของตนแวบหนึ่งก่อนย้อนถาม

    “ก็อย่างฉัน นายคิดว่าน่าจะมีอิทธิพลพอตัวไหมล่ะ?”

    มอร์เฟียซมองเพื่อนของเขาซึ่งประกอบธุรกิจส่งออกใหญ่โต ก่อนจะตอบสั้น ๆ ด้วยความรำคาญ

    “เออ! แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วยเล่า!”

     “ก็ไม่อะไรหรอก  แค่อยากบอกว่า ถึงจะเป็นฉัน ก็ยังไม่อยากเสี่ยงกับหมอนั่นเลยยังไงล่ะ!”

    มอร์เฟียซถอนหายใจเฮือกใหญ่ ลองยูโตะพูดออกมาอย่างนี้ ก็แสดงว่า ผู้ชายที่ชื่อมุราคามิ ริวยะ คงจะร้ายพอตัว  แต่เขาก็ไม่เข้าใจว่า คน ๆ นั้นมาเกี่ยวข้องกับยูยะของเขาได้เช่นไร

    “ลองขอแรงริวอิจิช่วยดูไหม?”  ยูโตะเสนอความเห็น ขณะที่มอร์เฟียซกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่

    “หือ? ริวอิจิน่ะเหรอ? หมอนั่นไม่อยู่ญี่ปุ่นตอนนี้หรอก!”

    มอร์เฟียซบอกอย่างเซ็ง ๆ ซึ่งก็ทำให้ยูโตะเลิกคิ้วด้วยความสงสัย

    “ไม่อยู่? ไปไหนล่ะ จริงสิ จะว่าไปช่วงนี้ก็ไม่ค่อยได้ข่าวหมอนั่นเท่าไหร่เหมือนกันนี่นา”

    ยูโตะกล่าวเปรย ๆ ถึงเพื่อนสมัยเรียนร่วมรุ่นกันมาอย่าง อาซามิ ริวอิจิ   เมื่อได้ยินดังนั้น มอร์เฟียซ จึงเฉลยสาเหตุให้ชายหนุ่มได้ฟัง

    “ฉันโทรไปหาหมอนั่น ก่อนจะมาหานาย เลยรู้ว่า เขาไปฮ่องกง รู้สึกว่าคนสำคัญจะโดนใครไม่รู้จับตัวไปล่ะมั้ง หมอนั่นก็ไม่ค่อยได้บอกรายละเอียดสักเท่าไหร่หรอก นายก็น่าจะรู้นิสัยหมอนั่นดีนี่ ปากหนักจะตาย คิดอะไรอยู่ก็ไม่มีใครรู้”

    “แต่ทำให้หมอนั่นเคลื่อนไหวได้แบบนี้ ก็คงจะเป็นคนสำคัญมากพอดูเชียวล่ะ”

    ยูโตะพูดขึ้นมาบ้าง ซึ่งมอร์เฟียซก็พยักหน้าเห็นด้วย

    “อืม ฉันก็ว่าอย่างนั้น จะว่าไปก็อยากเจอสักครั้ง คนที่ทำให้คนเย็นชาอย่างหมอนั่น ร้อนรุ่มได้ถึงขนาดนี้”

    “ว่าแต่กลับมาเรื่องของนายเถอะ ตกลงจะเอายังไง”

    ยูโตะวกกลับมาเรื่องยูยะอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้มอร์เฟียซนิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

    “ฉันจะไปหายูยะที่บ้าน ไปถามให้รู้เรื่องเลยว่า เกี่ยวข้องอะไรกับผู้ชายที่ชื่อริวยะกันแน่!”

    ยูโตะฟังแล้วก็ถอนหายใจยาว แต่ก็ยังยิ้มขึ้นได้

    “ก็สมกับเป็นตัวนายนั่นล่ะนะ เอาเถอะยังไงฉันจะไปเป็นเพื่อน เผื่อเจอหมอนั่นอีก ยังไงคนในแวดวงธุรกิจเหมือนกัน ก็น่าจะเกรงใจกันบ้าง”

    “อืม ขอบใจนะ”

    มอร์เฟียซยิ้มรับน้ำใจของเพื่อน และคิดถึงว่าหากไปเจอยูยะอยู่กับชายคนนั้นอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเขาจะทนทำใจเย็นเข้าไปถามได้หรือไม่



     ยูยะนั่งจามติด ๆ กันหลายครั้ง จนทำให้ มุราคามิ  ริวยะ ยิ้มน้อย ๆ ให้ด้วยความเอ็นดู

    “โดนใครนินทาล่ะสิ ยูยะ  ดูท่าอยู่ที่อีเดนโน่น คงทำตัวไม่ดีไว้มากใช่ไหม?”

    เด็กหนุ่มสะดุ้ง ก่อนจะค้อนขวับให้อีกฝ่ายทันทีด้วยความงอน

    “ฮึ! ผมอยู่ที่อีเดนเป็นเด็กดีจะตาย ไม่เหมือนพี่หรอก อยู่ที่ญี่ปุ่นมีเรื่องกับเขาได้ทุกวัน”

    “ใครบอกเธอล่ะ ว่าพี่ชอบมีเรื่องกับชาวบ้านเขา?”  ริวยะย้อนถามด้วยความเอ็นดู ไม่นึกโกรธญาติผู้น้องตรงหน้าแม้แต่น้อย

    “ก็พี่ริวจิ กับ คุณลุงเซอิจิน่ะสิครับ”

    ยูยะลอยหน้าตอบ ซึ่งก็ทำให้ริวยะส่งยิ้มให้ แต่ในใจแอบแค้นคนที่คาบข่าวไร้สาระมาบอกเรียบร้อย

    “อ้อ! เห็นพี่ริวจิ บอกว่า พี่ริวยะเตรียมว่าที่พี่สะใภ้ไว้เรียบร้อยแล้วนี่ครับ ผมอยากเจอจังเลย พี่พามาหาที่บ้านนี่ได้ไหม หรือจะให้ผมไปหาที่บ้านพี่ก็ได้นะ!”

    จู่ ๆ ยูยะก็เปลี่ยนเรื่อง แถมเรื่องดังกล่าว ก็ทำให้คนที่กำลังยกน้ำขึ้นดื่ม แทบจะสำลักพรวด ก่อนจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เมื่อนึกถึงหน้าเจ้าน้องชายตัวแสบ

    “ไอ้น้องบ้านั่น บอกเรื่องนั้นด้วยหรือไง!”

    “ทำไมล่ะครับ? เรื่องพี่มีแฟนนี่มันไม่ใช่เรื่องน่ายินดีหรอกหรือครับ?”

    ยูยะถามด้วยความสงสัย ซึ่งแววตาจริงใจที่มองมา ทำให้ ริวยะ พอจะคาดเดาได้ว่า ริวจิยังคงบอกออกไปไม่หมด ว่า ‘คนรัก’ ของเขา คือใคร

    “มันก็ไม่ใช่ไม่ดี....แต่ ยูยะจะรับได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง”

    “ทำไมล่ะครับ แฟนพี่เป็นใครหรือครับ”

    ยูยะซักไซ้ต่อ ซึ่งก็ทำให้ริวยะลังเลว่าจะพูดดีหรือเปล่า

    “เอ่อ...คือ เขา อายุประมาณยูยะนั่นล่ะ…”

    ชายหนุ่มตอบอ้ำอึ้ง แต่ก็ทำให้ยูยะผงกศีรษะรับรู้ โดยเดาไปอีกความหมายหนึ่ง

    “สมัยนี้อายุน้อยกว่า ก็ไม่เห็นแปลกนี่ครับ อีกอย่างพี่ริวยะก็ยังไม่แก่สักหน่อย ทีคู่ของพี่ริวจิ กับสึมิเระจัง ยังห่างกันตั้งหลายปี”

    “เอ่อ...แล้วไม่ใช่แค่อายุห่าง คือ เขา....”

    ริวยะค้างไว้แค่นั้น เพราะจู่ ๆ หญิงสาวมีอายุ แต่หน้าตาสะสวย ก็โผล่เข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน

    “ขอโทษที่ขัดจังหวะนะจ๊ะ  แต่มีคนอยากพบยูยะน่ะจ้ะ”

    “พบผม??”  ยูยะทวนคำด้วยความงุนงง

    “ถ้าอย่างนั้นผมว่าผมกลับก่อนดีกว่าไหมครับ คุณน้า”

    ริวยะเตรียมจะลุกขึ้นลา แต่ยูคาริ แม่ของยูยะรีบห้ามไว้ก่อน

    “เดี๋ยวก่อนสิริวยะ อย่าเพิ่งรีบกลับ วันนี้น้าอุตสาห์ทำอาหารเย็นที่เธอชอบไว้ด้วยนะ ไหนสัญญาไว้ว่าเย็นนี้จะอยู่ทานข้าวด้วยกันไงล่ะ”

    “แต่ยูยะมีแขก…”  ริวยะแย้งเบา ๆ ซึ่งยูคาริ ก็ยิ้ม พลางเดินไปดันร่างให้หลานชายแท้ ๆ ของตนนั่งลงรอที่โซฟาเหมือนเดิม

    “ไม่ใช่แขกอะไรหรอก อาจารย์ที่สถาบันเขาน่ะ  คงจะมาเยี่ยมบ้านนักเรียนนั่นล่ะ ดังนั้นพวกเราที่เป็นญาติ ก็น่าจะอยู่ฟังความประพฤติของยูยะด้วยกันจริงไหม??”

    ยูคาริบอกยิ้ม ๆ ซึ่งก็ทำให้ริวยะสนใจ และยอมอยู่ต่อ แต่ตัวคนที่จะถูกเยี่ยมเองถึงกับตกตะลึง สมองคิดไปถึงคนคนหนึ่งทันที

    ‘…บ้าน่า เขาน่ะหรือจะตามมาถึงบ้านเรา...ไม่น่าจะ...แต่ว่า ก็ไม่น่าจะใช่คนอื่น...’

    “อาจารย์คาเตอร์คะ เชิญค่ะ”

    พอสิ้นเสียงยูคาริ ยูยะก็ถึงกับนั่งอึ้ง เพราะดันเดาได้ถูกเผง ซึ่งพอเห็นหน้าชายคนรักเดินเข้ามา เจ้าตัวก็ยิ้มหน้าซีด ๆ รับทันที

    “สวัสดีนาโอกิ  แล้วก็....”

    สายตาคมกริบ เย็นชาปราดไปยังแขกที่นั่งอยู่ก่อนหน้าตนมาถึง พร้อมกับคำทักทายที่เป็นภาษาญี่ปุ่นชัดเจน โดยที่เจ้าตัวพยายามสงบสติอารมณ์ให้เยือกเย็นมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ทั้งนี้สายตาที่แสดงออกมา ก็ยังทำให้ฝ่ายตรงข้ามจับพิรุธได้อยู่ดี

    “มุราคามิ  ริวยะ ญาติผู้พี่ของ ยูยะครับ”

    ริวยะแนะนำตัว พลางยื่นมือออกมาสัมผัส ซึ่งอาจารย์หนุ่มแห่งอีเดน ก็สัมผัสมืออีกฝ่ายเช่นกัน

    “ญาติหรือครับ?”  น้ำเสียงไม่ค่อยแน่ใจย้อนถาม ซึ่งก็สร้างความประหลาดใจเล็กน้อยให้กับอีกฝ่าย

     “ครับ”

    มอร์เฟียซพอได้ฟังก็ส่งยิ้มให้ชายหนุ่ม บรรยากาศเคร่งเครียดเมื่อสักครู่หายวับไปในพริบตา ทำเอา ยูโตะเผลอถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

    “คุณฮานามูระ ใช่ไหมครับ?”

    คราวนี้ริวยะหันมาทางยูโตะ ซึ่งสะดุ้งโหยงทันที

    “ครับ คือผมเป็นเพื่อนกับหมอนี่ เลยอาสาเป็นไกด์นำทัวร์ตลอดที่หมอนี่อยู่ญี่ปุ่นน่ะครับ”

    ยูโตะรีบอธิบาย ซึ่งริวยะก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะหันมาคุยกับมอร์เฟียซต่อ

    “ว่าแต่อาจารย์คาเตอร์นี่ดีจังนะครับ มาเยี่ยมบ้านลูกศิษย์ถึงต่างประเทศเชียว แล้วเวลาอยู่โรงเรียนยูยะเกเรบ้างไหมครับ?”

    มอร์เฟียซชำเลืองตามามองยูยะซึ่งนั่งตีสีหน้าลำบากใจ   แล้วก็เผลอนึกอยากแกล้งอีกฝ่ายขึ้นมาเสียอย่างนั้น

    “ก็มีบ้างน่ะครับ มีเรื่องที่ต้องทำให้หักคะแนนพฤติกรรมกันบ่อยเชียว!”

    ยูยะสะดุ้งโหยง มองชายคนรักอย่างตกใจ ปากอ้าพะงาบ ๆ อยากอธิบาย แต่ก็พูดอะไรไม่ออก

    “ขนาดนั้นเลยหรือครับ?”  ริวยะถามด้วยความแปลกใจ ส่วนยูคาริผู้เป็นมารดา ก็ส่งยิ้มหวานให้ลูกชาย แต่นัยน์ตาวาววับอย่างเอาเรื่อง

    “ก็ประมาณนั้นล่ะครับ  แต่ว่า ถ้าพูดถึงมนุษยสัมพันธ์ในการเข้าสังคม เขาทำได้ดีทีเดียว นาโอกิ เป็นที่รักของเพื่อนในห้อง และหลายคนในโรงเรียน  รวมไปถึงบรรดาอาจารย์ด้วยครับ”

    มอร์เฟียซพูดต่อ ซึ่งคราวนี้ก็ทำให้ยูยะโล่งอก ในขณะที่ริวยะเองกลับลอบสังเกตสายตาอ่อนโยนของผู้พูดที่ส่งมาให้ญาติผู้น้องของเขาเป็นระยะ …แล้วจึงปรากฏรอยแย้มยิ้มบาง ๆ ที่ริมฝีปากได้รูปนั้น

     “งั้นหรือครับ”  บอกได้แค่นั้น จู่ ๆ ก็โอบไหล่ของเด็กหนุ่มเข้ามาใกล้ตัว และจูบศีรษะของอีกฝ่ายเบา ๆ พร้อมกับส่งยิ้มให้ฝ่ายตรงข้าม

    “ยูยะเขาก็น่ารักแบบนี้ล่ะครับ เข้ากับคนง่าย ใคร ๆ ก็เลยรัก”

    มอร์เฟียซแทบจะกระโจนไปต่อยหน้าอีกฝ่ายเสียแล้ว แต่ก็พยายามเก็บท่าทีอย่างเต็มความสามารถ เพราะพอจะรู้สึกได้ว่า อีกฝ่ายกำลังยั่วโมโหเขาอยู่

    “ใช่ครับ...ใคร ๆ ก็รัก”

    บอกพร้อมกับใช้นัยน์ตาสีเขียวคมกริบ จับจ้องไปยังเด็กหนุ่ม ที่นั่งอึ้ง ทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่รู้จะรับมือกับเรื่องตรงหน้ายังไงดี

    “แหม ๆ ขอบคุณอาจารย์จริง ๆ นะคะ ที่อุตสาห์มาเยี่ยมเยียนกันแบบนี้ ถ้ายังไงเย็นนี้อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันนะคะ”

    ยูคาริซึ่งไม่ได้รับรู้ถึงการลองเชิงของสองหนุ่มเอ่ยชวนขึ้นอย่างอารมณ์ดี เนื่องจากลูกชายคนเดียวได้รับคำชมจากอาจารย์ฝ่ายปกครองของโรงเรียนเช่นนี้

     “ขอบคุณครับ ผมชอบทานอาหารญี่ปุ่นอยู่แล้ว และอีกอย่าง นาโอกิ เคยบอกผมว่า คุณแม่ทำอาหารอร่อยมาก ยังไงวันนี้ผมคงต้องขอชิมเสียแล้วล่ะครับ”

    ยูยะกลืนน้ำลายลงคอฝืด ๆ  ก็พอจะรู้อยู่บ้างว่า มอร์เฟียซ กำลังโกรธ และเขาก็ไม่แน่ใจแล้วสิว่า ญาติผู้พี่จะจับพิรุธเรื่องของพวกเขาได้มากแค่ไหนแล้ว

    ฝ่ายริวยะซ่อนยิ้มไว้ในสีหน้า เขาเดาได้ว่า ความสัมพันธ์ของอาจารย์ผู้นี้กับญาติผู้น้องของเขา คงจะไม่ใช่ แค่ความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์กับอาจารย์ธรรมดาเสียแล้ว สังเกตแววตาคู่นั้นก็พอจะรู้ เขาเองเวลามองเด็กหนุ่มคนรัก ก็คงใช้สายตาที่แทบจะไม่ต่างกันเท่าไหร่นักหรอก
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #6 : Holiday / I (1 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 03-07-2011 19:32:16




“หมอนั่นรู้ว่าฉันเป็นอะไรกับยูยะล่ะสิ เลยคิดยั่วโมโหเอาแบบนั้น”

มอร์เฟียซบ่นกับยูโตะ หลังจากที่ทั้งคู่ออกมาเดินเล่นในสวนหน้าบ้าน ตามลำพัง

“แล้วจะทำยังไงต่อล่ะ” ยูโตะถาม เมื่อพอจะเดาได้ว่าเพื่อนคงยังไม่ยอมถอยกลับง่าย ๆ แน่

“ก็จะดูท่าทีไปก่อน อยากรู้เหมือนกันว่าจะมาไม้ไหน อีกอย่างถึงเป็นญาติก็ยังไว้ใจไม่ได้อยู่ดี!”

“ไอ้เจ้านิสัยขี้หึงไม่เลือกน่ะ เมื่อไหร่จะเลิกสักที” ยูโตะบ่นอย่างเซ็ง ๆ ซึ่งริวยะก็เหลือบมองเพื่อนสนิท ก่อนจะเปรยออกมา อย่างไม่สบอารมณ์

“คนที่ไม่มีคนสำคัญบ้าง ยังไงมันก็ไม่เข้าใจหรอก”

“เออ ๆ มีแล้วต้องวุ่นวายแบบนี้ ฉันก็ยังไม่อยากมีหรอกน่า อยู่เป็นโสดแบบนี้ล่ะดีแล้ว” ยูโตะตอบพลางยักไหล่ อย่างไม่ใส่ใจ แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อร่างสูงของใครคนหนึ่ง ก้าวเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย

“ขออนุญาตพูดธุระอะไรบางอย่างกับอาจารย์คาเตอร์ตามลำพังได้ไหมครับ”

ยูโตะยิ้มแห้ง ๆ เพราะถึงจะขออนุญาตอย่างสุภาพ แต่กระแสเสียงนั้นก็แฝงแววบังคับอยู่กลาย ๆ

“เชิญครับ ตามสบาย”

บอกแล้วสั่นศีรษะเบา ๆ อย่างนึกระอา กับเจ้าความรักที่แสนจะน่าปวดหัวของเพื่อนสนิทของตน



เมื่อลับร่างของยูโตะไปแล้ว ริวยะก็หันมาเผชิญหน้ากับมอร์เฟียซ พลางยิ้มให้น้อย ๆ ซึ่งอีกฝ่ายก็แค่นยิ้มตอบให้อย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก

“ผมอยากพูดเรื่องของยูยะ”

“เกี่ยวกับเรื่องไหนมิทราบล่ะครับ” มอร์เฟียซย้อนถาม

“หึ! คุณก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้ว ผมหมายถึงเรื่องความสัมพันธ์ของคุณ กับญาติผู้น้องของผม”

เมื่อริวยะพูดตรง ๆ ออกมา มอร์เฟียซก็เงียบไปสักครู่ ก่อนจะกล่าวกับอีกฝ่ายด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่แสนจะจริงจัง

“ถึงยังไงผมก็ไม่มีวันยกเด็กนั่นให้ใครเด็ดขาด และจะไม่มีวันเลิกยุ่งกับเขาด้วย ไม่ว่าใครหน้าไหนจะคัดค้านก็ตาม!”

ริวยะหัวเราะในลำคอเบา ๆ เมื่อเรื่องเป็นไปอย่างที่คิดไว้ เขาเองก็ไม่ได้คิดรังเกียจอะไร หากคนที่ยูยะรักจะเป็นผู้ชาย แถมผู้ชายตรงหน้านี้ ริวยะเชื่อมั่นว่า แม้จะเกิดอะไรขึ้น ชายหนุ่มก็ต้องช่วยปกป้องยูยะไม่ให้ได้รับอันตรายใด ๆ แน่นอน

“สำหรับผม การตัดสินใจของยูยะถือว่าสำคัญที่สุด” ริวยะบอกยิ้ม ๆ ก่อนจะเดินผ่านชายหนุ่มกลับเข้าห้องรับแขกของบ้าน ซึ่งเขาก็กระซิบอะไรบางอย่างกับมอร์เฟียซประโยคหนึ่ง ซึ่งก็ทำให้เจ้าตัวถึงกับถอนหายใจยาว ก่อนจะยิ้มกับตัวเองคนเดียวในเวลาต่อมา



พอถึงมื้อเย็น ยูยะรู้สึกแปลกใจยิ่งนัก เมื่อเห็นท่าทีของชายคนรักเปลี่ยนไป เจ้าตัวพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับญาติผู้พี่ของเขาอย่างถูกคอ ซึ่งนั่นก็สร้างความโล่งอกให้กับเด็กหนุ่ม และยูโตะยิ่งนัก

“ถ้าไม่เป็นการรบกวนมากเกินไปนัก ผมอยากให้นาโอกิ ช่วยเป็นไกด์นำเที่ยวโตเกียวสักวันได้ไหมครับ เพราะพรุ่งนี้ยูโตะติดธุระด่วนพอดี”

มอร์เฟียซบอกกับยูคาริหลังทานอาหารเย็นเรียบร้อย โดยที่ยูโตะได้แต่ยิ้มให้แห้ง ๆ เพราะเขาจำไม่ได้เลยว่า ตนมีธุระด่วนในวันพรุ่งนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

“แหม~ ได้สิคะอาจารย์คาเตอร์ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง จริงไหมยูยะ?”

ยูคาริยิ้มตอบรับอย่างอารมณ์ดี ในขณะที่ยูยะก็ได้แต่หัวเราะแหะ ๆ เพราะรู้ดีว่าคนรักนั้นจงใจ

“ความจริงถ้าไม่รังเกียจ ผมยินดีพาอาจารย์คาเตอร์เที่ยวแทนได้นะครับ”

ริวยะกล่าวแทรก พร้อมกับส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ชายหนุ่มที่มีสีหน้าเครียดลง แต่แล้วก็แทบสะดุ้งที่จู่ ๆ ยูยะก็ขัดขึ้นมา

“ดีสิครับ พา ‘ยูคิจัง’ มาด้วยก็ดีนะครับ”

“เอ๋? ยูคิจัง น่ะใครหรือจ๊ะ ยูยะ”

ยูคาริถามด้วยความสงสัย แต่ก่อนที่ริวยะจะชิงอธิบาย ยูยะก็รีบแย่งพูดเสียก่อน

“ก็ว่าที่พี่สะใภ้ผมไงครับแม่ พี่ริวจิเขายืนยันเลยนะว่าคนนี้น่ะตัวจริง”

ริวยะกุมขมับ ขืนพายูคิมาโชว์ตัว มีหวังยูคาริต้องลมใส่แน่ ๆ ถึงบางทียูยะอาจจะรับได้ก็เถอะ

“เอ่อ ขอโทษทียูยะ พอดีพี่นึกได้ว่ามีธุระด่วนพอดีในวันพรุ่งนี้ คงพาอาจารย์คาเตอร์ไปเที่ยวไม่ได้แล้วล่ะ อ๊ะ จริงสิ วันนี้รู้สึกอากิระบอกว่าจะมีงานด่วนให้เข้าไปเคลียร์นี่นา ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกลับก่อนดีกว่าครับคุณน้า ลาล่ะครับ อาจารย์คาเตอร์ คุณฮานามูระ”

แล้วเจ้าตัวก็เดินจ้ำอ้าว ๆ จากไป ทำเอาคนแถวนั้นยืนอึ้งไปตาม ๆ กัน และเสียงถอนหายใจของยูยะก็ดังขึ้น

“อีกแล้ว! เรื่องชอบเลี่ยงนี่เก่งเป็นที่หนึ่งเลยนะ!”

เด็กหนุ่มบ่น ในขณะที่ มอร์เฟียซซึ่งยืนฟังอยู่อมยิ้มน้อย ๆ เมื่อหวนนึกถึงประโยคคำพูดที่ริวยะกระซิบกับเขาในสวน

‘ผมเองก็มีคนรักแล้ว …น่ารักพอ ๆ กับของคุณนั่นล่ะ...’



เช้าวันรุ่งขึ้นมอร์เฟียซขับรถมารอยูยะตั้งแต่หกโมงเช้า แถมยังขออนุญาตยูคาริ ขึ้นมาปลุกเด็กหนุ่มเองอีก เล่นเอายูยะแทบตกใจตายตอนที่ตื่นขึ้นมาเห็นหน้าชายคนรัก

“ความจริงรออยู่ข้างล่าง แล้วให้แม่ขึ้นมาบอกผมก็ได้นี่ครับ”

ยูยะบอกขณะที่กำลังหยิบเสื้อผ้าเพื่อไปผลัดเปลี่ยนในห้องน้ำ ซึ่งร่างสูงที่ยึดเตียงของเด็กหนุ่มเป็นที่พักผ่อน ก็อมยิ้มน้อย ๆ ก่อนแกล้งหยอกอีกฝ่ายเล่น

“ก็อยากเห็นหน้าเธอตอนหลับนี่นา ว่าแต่ ต้องให้ไปช่วยอาบให้ด้วยไหม?”

ยูยะสะดุ้งก่อนจะหันมามองอีกฝ่ายด้วยแววตาดุ ๆ แต่ใบหน้าหวาน ๆ นั้นแดงระเรื่อ

“ไม่ต้องครับ!”

ยูยะตอบเสียงแข็ง ก่อนจะเดินเข้าห้องอาบน้ำส่วนตัวซึ่งตั้งอยู่ภายในห้อง แต่แล้วก็แทบจะสะดุดล้มหัวคะมำตรงหน้าประตูด้วยความตกใจ เมื่อได้ยินประโยคถัดมาของชายหนุ่ม

“ จริงสิ ถ้าฉันขอร้องแม่เธอว่าขอค้างด้วยคืนนี้ เธอคิดว่าคุณแม่ของเธอจะอนุญาตให้ฉันค้างห้องเดียวกับเธอไหม?”

“ไม่มีทางหรอกครับ!” ยูยะตะโกนด้วยใบหน้าแดงหนักกว่าเดิม และปิดประตูดังโครมทันที ซึ่งมอร์เฟียซซึ่งอยู่ข้างนอก ก็หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ด้วยความเอ็นดูเด็กหนุ่มคนรักยิ่งนัก



.... บ้า ๆ แต่ไหนแต่ไรเรื่องเอาแต่ใจนี่ไม่เคยเปลี่ยนสักที ฮึ ขอค้างงั้นหรือ อยากให้เรื่องแตกก็เอาสิ! ที่สำคัญคุณน่ะหรือจะกล้าให้คนอื่นรู้เรื่องของตัวเองแบบนั้น มันเสี่ยงกับชื่อเสียง และหน้าตา ของคุณจะตายไป ...

คิดได้ดังนั้นใบหน้าหวานก็สลดลงทันที

.... ถึงผมจะเป็นฝ่ายบอกคุณให้รอจนกว่าจะถึงเวลา แต่ความจริง ผมก็อยากให้เรื่องของเราเป็นที่รับรู้นะครับ มอร์เฟียซ แต่ผมกลัว ...กลัวว่า หากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ แล้ว คุณนั่นล่ะ จะเป็นฝ่ายยอมรับไม่ได้ และทิ้งผมไปในที่สุด ...

ยิ่งคิด ยูยะก็ยิ่งรู้สึกปวดใจจี๊ดขึ้นมา เด็กหนุ่มเปิดน้ำฝักบัว ทิ้งไว้ ปล่อยให้มันราดลดศีรษะของตน เพื่อให้ชะล้างความไม่สบายใจที่ก่อตัวขึ้นลงไปเสีย แม้จะรู้ดีว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นี้มันจะไร้ประโยชน์ก็ตาม



มอร์เฟียซรู้สึกผิดสังเกตที่เห็นยูยะเข้าไปนานจัด เขาจึงเดินไปที่ประตูห้องน้ำและทุบมันเบา ๆ

“ยูยะ เธอโอเคไหม?”

“......ครับ ใกล้เสร็จแล้วครับ”

น้ำเสียงเบาหวิวกล่าวตอบ แต่คนฟังขมวดคิ้วยุ่งเรียบร้อย เพราะจับได้ว่า มีเสียงสะอื้นปนมากับกระแสเสียงนั่นด้วย

“ยูยะ! เป็นอะไรไปหรือเปล่าน่ะ!”

มอร์เฟียซทุบประตูอีกครั้งดังกว่าเดิม ทำให้คนในนั้นต้องรีบเปิดประตูด้วยความตกใจ ซึ่งพอเด็กหนุ่มออกมา มอร์เฟียซ ก็รีบดึงร่างบางในชุดเสื้อยืด กางเกงยีนส์ เข้ามาสำรวจความเรียบร้อยของร่างกายทันที

“มะ...มอร์เฟียซ”

“ตาแดง...ร้องไห้มาใช่ไหม!?”

น้ำเสียงทุ้มกล่าวคาดคั้น ซึ่งยูยะก็รีบปฏิเสธทันที

“มะ...ไม่ใช่นะครับ ก็แค่แชมพูเข้าตาเอง”

ชายหนุ่มหรี่ตามองคนตรงหน้าอย่างพิจารณา และเมื่ออีกฝ่ายหลบตาวูบ เขาก็รู้แน่ว่า เจ้าตัวโกหก

“แล้วเสียงสะอื้นนั่นล่ะ จะให้เหตุผลว่ายังไง”

“คะ...คุณฟังผิดมากกว่าครับ”

เด็กหนุ่มยังคงเถียงโดนไม่ยอมสบตาเช่นเคย ทำเอามอร์เฟียซเริ่มชักจะหมดความอดทนขึ้นทุกที

“มานี่!” ร่างสูงจูงมือของเด็กหนุ่ม ซึ่งก็ออกแรงจนเหมือนจะเป็นกระชาก ไปจากห้องนอน ลงมายังด้านล่างทันที

“อ้าว อาจารย์คาเตอร์ ไม่ทานเข้าเช้ากันก่อนหรือคะ?”

ยูคาริเอ่ยถามเมื่อเห็นชายหนุ่มกับลูกชายลงมาพร้อมกัน ซึ่งมอร์เฟียซก็ยิ้มให้หล่อน พลางตอบอย่างสุภาพ

“เผอิญมีโปรแกรมหลายที่ต้องไปน่ะครับ ขอตัวเลยนะครับ เย็น ๆ จะมาส่งให้ที่บ้านแน่นอน”

“ตามสบายค่ะ ยูยะเป็นไกด์ดี ๆ นะจ๊ะ”

ยูคาริโบกมือให้ทั้งคู่ อย่างไม่คิดอะไรมาก แม้จะเห็นยูยะถูกอีกฝ่ายจูงมือเดินไปขึ้นรถด้วยก็ตาม



มอร์เฟียซขับรถไว จนยูยะใจเต้น เพราะชายหนุ่มไม่ยอมพูดจาอะไร แถมไม่ถามเขาสักคำว่าจะไปไหน และที่แน่ ๆ มอร์เฟียซ ไม่น่าจะมีใบขับขี่ที่ญี่ปุ่นหรอกนะ

“มอร์เฟียซครับ...เอ่อ เรื่องรถนี่น่ะ ...คือ คุณขับได้หรือครับ”

ยูยะพยายามชวนคุย แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อนัยน์ตาสีเขียวคมกริบ ตวัดขวับมายังเขาวูบหนึ่ง ก่อนจะเบือนกลับไปมองทางด้านหน้า พลางตอบเสียงห้วน

“ยูโตะเขาจัดการให้แล้ว เธอไม่ต้องห่วงหรอกน่า!”

...ไม่ให้ห่วงได้ยังไง ก็ขับไวขนาดนี้ ถึงจะไม่ถูกตำรวจเรียก ก็มีสิทธิลงไปนอนแอ้งแม้งที่ข้างถนนนี่นา ...

เด็กหนุ่มคิดอย่างกังวล แต่ก็ไม่กล้าพูดออกไป เพราะรู้ดีว่าคนข้างกายกำลังอารมณ์เสียอย่างหนัก

“ผมขอโทษนะครับ...”

ในที่สุดก็ตัดสินใจพูดออกไป เพราะหากขืนไม่บอก เขาอาจจะไม่มีโอกาสได้พูดอีกเป็นครั้งที่สองก็ได้

“......” มอร์เฟียซชำเลืองมองเด็กหนุ่มคนรักที่นั่งก้มหน้าคล้ายดังจะสำนึกผิดข้าง ๆ ก่อนจะชะลอรถไปจอดยังข้างทางแห่งหนึ่ง ซึ่งเนื่องจากทางเส้นนั้นเป็นทางที่ไม่ค่อยมีรถแล่นมากนัก จึงไม่มีใครสนใจรถสปอร์ตสีดำที่จอดแช่อยู่ข้างทางเลยสักคน

“จะบอกได้แล้วใช่ไหม ว่าทำไมถึงร้องไห้”

น้ำเสียงที่อ่อนโยนลง ทำให้ยูยะเริ่มลังเล เขาตัดสินใจจะพูดก็จริง แต่พอจะพูดออกไป มันก็คล้ายจะพูดไม่ออกเอาเสียดื้อ ๆ

“ยูยะ...”

มอร์เฟียซเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน ก่อนจะดึงร่างเล็กเข้ามากอดแนบอก และบรรจงมอบจุมพิตอันอ่อนหวาน เพื่อปลอบโยนให้เด็กหนุ่มสบายใจ   

“เล่าได้หรือยัง หือ?”

ยูยะเงยหน้าขึ้นมองชายคนรัก ก่อนจะซุกหน้ากับอกกว้างนั้น และเล่าในสิ่งที่ตนกังวลทั้งหมดให้อีกฝ่ายฟัง



พอได้รับฟังเรื่องกังวลในใจของเด็กหนุ่มคนรักเรียบร้อย มอร์เฟียซก็ถอนหายใจยาว ก่อนจะขับรถย้อนกลับไปยังเส้นทางเดิม โดยไม่พูดไม่จาอะไร ทำเอายูยะงง และเริ่มคิดมากอีกครั้งว่าชายหนุ่มอาจจะโกรธ

จนเมื่อมอร์เฟียซขับรถมาจอดยังหน้าบ้านของเขา และจัดการเปิดประตูให้เขาลง ยูยะก็เข้าใจไปเองว่า ชายหนุ่มคงจะรำคาญ และเบื่อหน่ายเขาแล้วจริง ๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้ยูยะโค้งลา ก่อนจะรีบเดินจ้ำอ้าว ๆ เข้าบ้านตนทันที เพราะกลัวว่าจะเผลอร้องไห้ออกมาให้อีกฝ่ายได้เห็น

“อ้าว? ทำไมกลับไวจังจ๊ะยูยะ อาจารย์คาเตอร์ก็ด้วย”

เสียงทักทายจากยูคาริผู้เป็นแม่ ทำให้ยูยะต้องหันกลับไปมองด้านหลัง ซึ่งก็พบว่ามอร์เฟียซกำลังเดินตามเขามาด้วย

“มิสซิสนาโอกิ เอ่อ...คุณแม่ครับ คือผมมีเรื่องสำคัญอยากให้คุณแม่รับทราบไว้เรื่องหนึ่งครับ”

ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง จนยูคาริมองเขาอย่างงุนงง ทว่า ยูยะ กลับใจเต้นแรงมากขึ้นทุกที

“ผมรักยูยะ....รักลูกชายของคุณแม่คนนี้เหลือเกิน ผมขออนุญาตคบหากับเขาอย่างเป็นทางการจะได้ไหมครับ”

มอร์เฟียซกล่าวพร้อมโค้งศีรษะต่อหน้าหญิงสาว ซึ่งยูยะเองถึงจะตกใจแต่ก็ตื้นตันใจมากเช่นกัน

“.....ยูยะ แล้วลูกล่ะ คิดยังไงกับอาจารย์คาเตอร์”

ยูคาริซึ่งยืนอึ้งและเงียบไปนานพอสมควร หันไปถามผู้เป็นลูกชาย ซึ่งยูยะ ก็เบือนหน้าไป คล้ายไม่อยากพูด แต่พอหันไปสบกับสายตาจริงจังของมอร์เฟียซที่เงยหน้าขึ้นและจับจ้องมายังเขา เด็กหนุ่มก็สูดลมหายใจเข้าปอดแรง ๆ พลางหันมาเผชิญหน้ากับมารดา พร้อมกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ผมรักเขาครับแม่!”

ยูคาริถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อลูกชายพูดจบ ก่อนจะยิ้มและดึงร่างของบุตรชายมากอด

“ถ้าเป็นการตัดสินใจของยูยะ แม่ก็ไม่คิดขัดขวาง แต่อย่าลืมบอกพ่อเขาตอนที่กลับมาด้วยล่ะ”

ยูยะแทบจะไม่อยากเชื่อเลยว่ามารดาจะรับได้ เขากอดยูคาริแรง ๆ พร้อมกับพยักหน้าลงกับอกอบอุ่นนั้น

“ครับแม่ ผมจะบอกกับพ่อ ว่าผมได้ตัดสินใจแล้ว และจะไม่เสียใจเด็ดขาด ...แม่ครับ ผมขอโทษนะครับ”

ท้ายประโยคเจ้าตัวพึมพำเสียงสั่น ซึ่งยูคาริผู้เข้าใจบุตรชายดีก็ขยี้ศีรษะอีกฝ่ายเบา ๆ

“ขอโทษอะไรกันล่ะลูก ลูกไม่ได้ทำผิดอะไรนี่ จริงไหม?”

“แต่ผมเป็นลูกชายคนเดียว...” ยูยะแย้ง ซึ่งมอร์เฟียซพอได้ฟังก็พาลรู้สึกผิดตามไปด้วย

“เพราะเป็นลูกชายคนเดียวน่ะสิ ถ้าลูกมีความสุข พ่อกับแม่ก็มีความสุขด้วย”

บอกแล้วหญิงสาวก็หันไปทางมอร์เฟียซซึ่งยืนอยู่ด้วยกัน

“ฉันฝากลูกชายด้วยนะคะ อาจารย์คาเตอร์ ฉันคิดว่าถ้าเป็นคุณคงจะดูแลลูกชายฉันได้ดีแน่นอน”

“ผมจะดูแลยูยะด้วยชีวิตครับ” มอร์เฟียซรับคำอย่างหนักแน่น ซึ่งก็สร้างความพอใจให้กับยูคาริยิ่งนัก

“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ผมขอตัวก่อนนะครับ”

ชายหนุ่มกล่าวอำลา ซึ่งยูคาริก็กล่าวชวนให้อีกฝ่ายอยู่ต่อด้วยกันก่อน

“จะกลับแล้วหรือคะ ไม่อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนหรือคะ”

“ไม่ดีกว่าครับ วันนี้ผมตั้งใจมาบอกถึงความรู้สึกของผมเท่านั้น จะว่าไปแล้ว ตอนนี้ผมก็ยังตื่นเต้นจนยืนแทบไม่อยู่เหมือนกัน”

มอร์เฟียซบอก ซึ่งไม่ว่าจะเป็นจริงหรือไม่ นั่นก็เรียกรอยยิ้มได้จากทั้งยูยะ และยูคาริ ทั้งคู่

“ถ้าพรุ่งนี้อาจารย์ยังไม่มีธุระอะไร ขอเชิญมาทานข้าวเย็นที่บ้านสักมื้อนะคะ พอดีคืนนี้ คุณพ่อของยูยะเขากลับจากทำงานต่างจังหวัดน่ะค่ะ พรุ่งนี้จะได้เจอกัน”

“ผมจะโดนคุณพ่อของยูยะต่อยไหมครับ?” มอร์เฟียซถามยิ้ม ๆ ซึ่งยูคาริก็หัวเราะเสียงใส ส่วนยูยะแอบหันไปอมยิ้มไม่ให้ชายหนุ่มเห็น

“แหม ๆ จะต่อยอะไรกันคะ คุณมาซาบุ เขาเป็นคนใจเย็น รับฟังเหตุผลจะตายไป”

“แต่ผมล่วงเกินลูกชายของเขานี่ครับ”

มอร์เฟียซแย้งอ่อย ๆ ซึ่งยูคาริพอได้ฟังก็หัวเราะชอบใจ

“ไม่เป็นไรค่ะ กว่าจะถึงเย็นพรุ่งนี้ ถ้าคุณมาซาบุโกรธจริง ๆ ฉันก็มีวิธีที่จะทำให้เขาใจเย็นลงอีกตั้งเยอะแยะ”

“ขอบคุณครับ ถ้าอย่างนั้นผมลาล่ะนะครับ ไปนะยูยะ”

“เดี๋ยวผมไปส่งที่รถครับ”

ยูยะบอก พลางเดินออกมาส่งชายหนุ่มถึงรถ

“มอร์เฟียซครับ”

“หือ?”

“ผมรักคุณนะครับ” ยูยะบอกพลางเขย่งขึ้นจูบปากชายหนุ่ม และวิ่งหน้าแดงกลับเข้าบ้านไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้มอร์เฟียซยืนอึ้ง ก่อนจะหัวเราะกับตัวเองเบา ๆ

“อยากให้เปิดเทอมไว ๆ จริง ๆ น้า”

ชายหนุ่มพึมพำด้วยจิตใจเบิกบาน ในที่สุดความสัมพันธ์กับคนรักตัวน้อยของเขาก็ไม่ต้องหลบซ่อนอีกต่อไป และถ้าหากไม่เกรงใจว่ายูยะยังเรียนไม่จบ เขาคงจะไปขอยูยะมาเป็นของตัวเองกับพ่อและแม่ของเด็กหนุ่มเรียบร้อยไปแล้ว

แต่ว่าความสัมพันธ์ระดับนี้ ก็ถือว่าก้าวหน้าพอสมควร ต่อจากนี้ ยูยะก็ไม่ต้องคิดมากเกี่ยวกับความรู้สึกของเขา และเขาก็ประกาศให้คนได้รู้เพิ่มขึ้น เพื่อเป็นการกันไม่ให้ใครเข้ามาวอแวกับยูยะได้อีกทางหนึ่งด้วย

... วันหยุดยาวปีนี้ มันช่างมีความสุขเสียจริง ๆ แฮะ ...



+++ End +++


หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special # 7 - 8 (3 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 03-07-2011 19:56:23
ถ้าครอบครัวยอมรับแล้ว ก็ไม่มีอุปสรรคใดจะมาขวางกั้นได้อีก
เหลือแต่ประคับประคองความรักของกันและกันให้ดี
แต่แอบสงสารยูยะจัง มีแฟนเป็นพวกขี้แกล้ง น่าเบิร์ดกระโหลกจริง
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special # 7 - 8 (3 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 03-07-2011 20:18:59
 :o8:


ไร้ซึ่งอุปสรรคแล้วววว


หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special # 7 - 8 (3 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 03-07-2011 20:29:12
 :o8: :o8:

พ่อ แม่ ทั้งสองฝ่าย รับรู้แล้ว และก็ไม่ขัดขวางด้วย
ดีใจจัง
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special # 7 - 8 (3 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 03-07-2011 20:30:15
น่ารักจิงๆน้า  :กอด1: ว่าแต่ชื่อตัวละครคนอื่นคุ้นๆนะ  :z2:
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special # 7 - 8 (3 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: Gokusan ที่ 03-07-2011 21:19:37
ยาววว พิเศษ ^^ น่าร้ากกกก

ช่างเป็นพ่อแม่ที่น่ารักอะไรเช่นนี้...
ครอบครัวมาเฟียก็อบอุ่น ครอบครัวญี่ปุ่นก็ใจดี อิอิ

ไม่มีอะไรน่ากังวลเท่าไหร่แล้ว...รอเด็กเรียนจบก็เรียบร้อย ^^
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special # 7 - 8 (3 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: jaymaza ที่ 03-07-2011 23:16:44
น่ารักจังงง

มีอีกไหม

อยากอ่านอีก

,,, :]
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special # 7 - 8 (3 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 03-07-2011 23:30:32
ชอบครับ มาต่ออีกนะครับ
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special # 7 - 8 (3 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 04-07-2011 13:53:53
คู่คาเตอร์กับยูยะ เนี่ย น่ารักที่สุดดดดดดดดดดดดดดดดดด เลยอะ
ยิ่งอ่านตอนพิเศษ มาดโหดของคาเตอร์ ชักจะไม่ค่อยเหลือแล้วนะ เหลือแค่ความหวานอย่างเดียวเลย กรี๊ดดดด  :o8:
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special # 7 - 8 (3 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: SuSaya ที่ 04-07-2011 14:39:12
ว้าว...แต่อดเห็นหน้ายูคิจังเลยแฮะ
ดีจังที่ทุกฝ่ายยอมรับ ผิดคาดนิดหน่อยที่ครอบครัวมอร์เฟียสเป็นมาเฟีย
ริวยะเป็นยากูซ่า ญาติอย่างยูยะน่าจะไม่ธรรมดาเหมือนกันนะ นึกถึงบ้านทรงญี่ปุ่น ยูยะใส่กิโมโนคงทั้งน่ารักทั้งเซ็กซี่เลยล่ะ
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special # 7 - 8 (3 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 04-07-2011 15:21:05
ว้าว...แต่อดเห็นหน้ายูคิจังเลยแฮะ
ดีจังที่ทุกฝ่ายยอมรับ ผิดคาดนิดหน่อยที่ครอบครัวมอร์เฟียสเป็นมาเฟีย
ริวยะเป็นยากูซ่า ญาติอย่างยูยะน่าจะไม่ธรรมดาเหมือนกันนะ นึกถึงบ้านทรงญี่ปุ่น ยูยะใส่กิโมโนคงทั้งน่ารักทั้งเซ็กซี่เลยล่ะ

น้องยูคิ กับป๋าริวยะ มาจากเรื่องนี้ค่ะ กรงรักพันธนาการใจ  ~
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=19318.0
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 04-07-2011 17:44:31
ตอนนี้เป็นตอนพิเศษสุดท้ายของ The Eden School ที่แต่งไว้แล้วนะคะ ^ ^
(ความจริงมีอีกตอนแต่สั้น ๆ และคิดว่าจะแต่งแทรกเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นด้วย เลยไม่เอามาลง)

ถ้าจะคิดแต่งหลังจากนี้ ก็จะเป็นแต่งสดใหม่ ๆ ทั้งหมด สนใจอยากอ่านคู่ไหนก็รีเควสไว้ล่วงหน้าได้เลยค่ะ
ถ้าไม่หัวหมุนกับเรื่องอื่นจะสลับมาเขียนให้นะคะ ^ ^"

สุดท้ายก็ขอบคุณนักอ่านที่ตามอ่าน ตามคอมเมนต์กันค่ะ  ถ้ายังไงจะทิ้งไว้สักพักแล้วค่อยแจ้งย้ายนะคะ และถ้าจะลงตอนพิเศษต่อไป ก็จะมาลงกระทู้เดิมค่ะ

-----------------------------------------------

Special #9 : Story of Lee Chang


    ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ผู้เป็นเจ้าของเรือนผมดำยาว และใบหน้าคมเข้ม ที่ออกไปทางสวย เจ้าตัวกำลังฟุบหลับอยู่บนโซฟาภายในห้องทำงาน เพราะความเหนื่อยล้าที่ต้องลุยงานมาตลอดตั้งแต่หัวค่ำของเมื่อวาน จนถึงตอนเย็นของวันนี้โดยไม่ได้หยุดพัก

     ภาพดังกล่าว ทำให้ร่างสูงในชุดสูทที่กำลังก้าวเท้าเข้ามาในห้องชะงัก ก่อนที่ริมฝีปากได้รูปจะแย้มยิ้มน้อย ๆ ด้วยความเอ็นดู

     “อืม...” เสียงละเมอเบา ๆ และการพลิกตัวน้อย ๆ ของร่างตรงหน้า ทำให้คนที่กำลังจับจ้องมองภาพดังกล่าวได้สติ พลางขยับเท้าพาตัวเอง มายืนอยู่ใกล้กับร่างนั้น แล้วจึงทรุดนั่งคุกเข่าลงให้ระดับสายตาอยู่พอดีกับอีกฝ่าย
     มือใหญ่ลูบไล้เรือนผมนุ่มสลวยของคนหลับเบา ๆ อย่างไม่อาจอดใจไหว นัยน์ตาสีเขียวฉายแววอ่อนโยน ยามเมื่อจับจ้องใบหน้านั้นที่ไม่ได้เห็นมานานถึง 3 ปี

     “อืม...ใคร...” เสียงพึมพำ พร้อมกับเปลือกตาที่ปรือขึ้นมอง ก่อนที่นัยน์ตาสีเทาจะเบิกกว้างด้วยความตกใจ เมื่อพบว่า คนที่กำลังอยู่ตรงหน้าของตนเป็นใคร

     “เอ็ดเวิร์ด! นายทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ ... แล้วนายเข้ามาห้องฉันได้ยังไงกัน!”

     ลี ชาง โพล่งพร้อมยันกายลุกขึ้น ก่อนจะกระเถิบหนีอีกฝ่าย ด้วยท่าทีรังเกียจสุดฤทธิ์ ทำให้คนมองนัยน์ตาสลดลงวูบหนึ่ง แล้วจึงเปลี่ยนทีท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     “ผมก็เดินเข้ามาเรื่อย ๆ นั่นล่ะครับ ไม่เห็นจะแปลกอะไร ในเมื่อสถาบันวิจัยนี้ สร้างขึ้นได้ก็ด้วยเงินทุนของผม ถ้าผมเข้ามาไม่ได้นี่สิถึงจะแปลก”
     ชายหนุ่มผมทองตอบกวน ๆ ซึ่งก็ทำให้ชาง กำหมัดแน่นด้วยความเจ็บใจ เพราะเถียงอีกฝ่ายไม่ออก

     อีเกิล เอ็ดเวิร์ด เป็นบุตรชายคนรองของตระกูลอีเกิล ซึ่งเป็นตระกูลมหาเศรษฐี ตระกูลหนึ่งของโลก ที่สำคัญตระกูลนี้ยังเป็นตระกูลผู้สนับสนุนการก่อตั้ง สถาบันอีเดนแห่งนี้อีกด้วย ซึ่งก็แน่นอนว่า แผนกวิจัย และค้นคว้า ที่ ลี ชาง เป็นหัวหน้าอยู่ตอนนี้ก็ได้รับเงินทุนจากตระกูลอีเกิลสนับสนุน เช่นกัน
     “ถ้านายอยากจะมาสำรวจความคืบหน้าของงานวิจัย ก็เชิญที่ห้องค้นคว้าแล้วกัน ฉันจะให้คนพาไปให้”

     ชางตัดบท จากนั้นจึงยันกายลุกขึ้นเดินโงนเงนเพื่อไปตามคนอื่น ทว่า เพราะความที่ลุยงานหนักจนล้า เจ้าตัวจึงเกือบสะดุดขาตัวเองล้ม
     “ระวังหน่อยสิครับ ชาง”

     ร่างสูงที่คว้าเอวอีกฝ่าย พร้อมดึงร่างนั้นเข้ามาแนบอกกระซิบที่ใกล้ ๆ หู ดอกเตอร์หนุ่มหน้าแดงก่ำด้วยความโมโห ก่อนจะผลักอกของเอ็ดเวิร์ดให้ออกห่างตัวเอง

     “ปล่อยฉัน!”

     นัยน์ตาสีเขียวฉายแววเศร้า กับปฏิกิริยาดังกล่าว ซึ่งทำให้คนมองชะงัก แต่ก็จำต้องสะบัดหน้าหนี พร้อมกล่าวเสียงห้วนโดยไม่ยอมมองหน้าอีกฝ่าย

     “ฉันจะไปตามเจ้าหน้าที่ให้ แล้วจะขอตัวกลับบ้านไปพักผ่อนสักหน่อย”
     กล่าวจบ ชายหนุ่มก็เดินจากไป โดยไม่คิดแม้แต่จะหันกลับมามองคนข้างหลัง และเมื่อลับร่างของชางไปแล้ว เสียงถอนหายใจยาวก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงพึมพำเศร้า ๆ ของคนที่เหลืออยู่

     “คุณจะไม่ยอมให้อภัยผมไปตลอดชีวิตเลยหรือชาง ทั้ง ๆ ที่ผมทำอย่างนั้นลงไป ก็เพราะว่าผมรักคุณแท้ ๆ”




     ลี ชาง เดินเรื่อย ๆ เพื่อตรงกลับบ้านพัก แต่แล้วเจ้าตัวก็ตัดสินใจหยุดฝีเท้า และเปลี่ยนทิศไปอีกทางตรงข้าม

     สักพัก ชายหนุ่มก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูบานใหญ่ ของห้องทำงานส่วนตัวของอาจารย์ฝ่ายปกครองแห่งอีเดน ....มอร์เฟียซ คาเตอร์

     ...ก๊อก ๆ...

     เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้คนที่กำลังทำงานอยู่ข้างในชะงักปากกาในมือ ก่อนเอ่ยถาม

     “ใคร?”

     “...ฉันเอง มอร์เฟียซ”

     เสียงแผ่วตอบ ทำให้เจ้าของห้องแปลกใจ เพราะจำเสียงคนพูดได้ดี ชายหนุ่มลุกขึ้นมาเปิดประตูให้อีกฝ่าย ซึ่งพอเห็นสีหน้าของชาง เขาก็เงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยปากชวนอีกฝ่ายเข้าห้อง

     “เข้ามาข้างในก่อนสิ”

     ชางเดินเข้ามาในห้อง และทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา เปลือกตาทั้งสองข้างปิดลงด้วยความอ่อนล้า เห็นดังนั้นมอร์เฟียซเลยเดินไปชงกาแฟมาให้ และยืนพิงโซฟาแถวนั้น โดยไม่คิดจะถามอะไร หากอีกฝ่ายยังไม่เอ่ยปากเล่าด้วยตนเอง
     กลิ่นกาแฟที่โชยเข้ามา ทำให้ชางลืมตาขึ้นมามอง เจ้าตัวยิ้มน้อย ๆ และเอ่ยขอบคุณเบา ๆ เขาดื่มเข้าไปได้นิดเดียว ก็วางถ้วยกาแฟลง
     “หมอนั่นกลับมาแล้ว”

     น้ำเสียงแผ่วเบาของชางกล่าว มอร์เฟียซชะงัก พร้อมกับเดินมานั่งข้าง ๆ ชายหนุ่ม

     “เอ็ดเวิร์ดน่ะเหรอ?”

     “ใช่...หมอนั่นมาหาฉันที่แผนกเมื่อครู่นี้ ทั้งที่ตั้งแต่เกิดเรื่องนั้นขึ้น เขาก็ไม่เคยมาให้ฉันเจอหน้าตั้ง 3 ปีแล้วแท้ ๆ”

     ชางบอกด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความเจ็บปวด จนมอร์เฟียซต้องถอนหายใจเบา ๆ และใช้มือข้างหนึ่งลูบศีรษะชายหนุ่มราวปลอบโยน โดยไม่พูดอะไร การกระทำเช่นนั้น ทำให้คนถูกปลอบยิ้มน้อย ๆ ในน้ำใจของเพื่อนสนิท ก่อนแกล้งแซวกลับ

     “อย่าทำมาเป็นใจดีกับฉันเลยน่า เดี๋ยวยูยะคุงมาเห็นก็เข้าใจผิดกันหรอก”

     “เด็กนั่นไม่ใช่คนที่จะตัดสินผิดถูกคนอื่น แค่มองภายนอกหรอกน่า” มอร์เฟียซบอกอย่างมั่นใจ ซึ่งก็ทำให้ชางหัวเราะเบา ๆ

     “น่าอิจฉานะ ที่มีคนรักที่เข้าใจตัวเองแบบนี้”

     มอร์เฟียซมองเพื่อนสนิทของตน ด้วยสายตายากอ่านใจ พลางเอ่ยบางคำที่ทำให้ชางชะงัก

     “ฉันว่า ความจริงแล้ว หมอนั่นเองอาจจะคิดแบบนั้นกับนายก็ได้นะ”
     “ไม่จริงสักหน่อย!”

     ชางตวาดพร้อมกระชากเสื้อร่างสูงข้าง ๆ อย่างลืมตัว

     “หมอนั่นน่ะเหรอ! มันก็แค่ต้องการทำให้ฉันเจ็บ เพื่อแก้แค้นที่ฉันชนะเขาในทุกด้านนั่นต่างหากล่ะ! แล้วพอทำสำเร็จ หมอนั่นก็หนีหน้าไปเกือบ 3 ปี! 3 ปี เชียวนะมอร์เฟียซ! ที่ฉันต้องทนอยู่กับฝันร้ายบ้า ๆ นั่น อยากจะลืมมันก็ไม่ลืม ตราบใดที่ต้องข้องเกี่ยวกับพวกอีเกิลอยู่แบบนี้น่ะ!”

     แต่เมื่อมอร์เฟียซนิ่งเงียบไม่ตอบโต้ ชางก็ค่อย ๆ ปล่อยคอเสื้อนั่นออก ก่อนนอนเอนหลังพิงไปกับพนักโซฟา หลับตาลงด้วยความอ่อนล้า
     “บ้าชะมัด...ฉันไม่สนหรอกว่าหมอนั่นจะคิดอะไรอยู่ ขอแค่อย่ามายุ่งกับฉันเกินเรื่องงานก็พอแล้ว ...แค่นั้นก็พอแล้ว….”

     เสียงพึมพำดังขึ้นจากร่างที่หลับตาอยู่ จากนั้นไม่นาน มอร์เฟียซก็ได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอจากร่างนั้น ชายหนุ่มถอดสูทด้านนอก คุมให้คนหลับ และชะงักเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของคนที่หยุดอยู่ตรงประตู

     “อ๊ะ...ขอโทษครับ คือผมไม่ได้ตั้งใจจะมารบกวนพวกคุณ” ยูยะพูดเสียงตะกุกตะกัก เพราะไม่คิดว่าชางจะมาหลับในห้องของมอร์เฟียซแบบนี้
     ชายหนุ่มเจ้าของห้องยกนิ้วทำสัญลักษณ์ให้เด็กหนุ่มเงียบ แล้วจึงเดินเบา ๆ ออกไปนอกห้อง พร้อมอีกฝ่าย จากนั้นจึงจัดการปิดประตูเพื่อให้คนในห้องได้พักผ่อนอย่างสงบ

     “ตอนนี้หมอนั่นค่อนข้างจะแย่... ในหลาย ๆ เรื่อง ปล่อยให้เขาพักผ่อนไปแบบนั้นล่ะ”

     มอร์เฟียซตอบสายตาที่ตั้งคำถามจากเด็กหนุ่มคนรัก และเดินโอบบ่าอีกฝ่าย ไปทางห้องสมุดของโรงเรียน

     “ฉันว่าเราเปลี่ยนที่ติวของพวกเราเป็นที่ห้องสมุดแทนแล้วกัน ถึงมันจะทำอะไรได้ไม่สะดวกนัก แต่ก็ยังมีความเป็นส่วนตัวอยู่บ้าง อย่างน้อยตอนนี้ก็เย็นแล้ว คงไม่มีใครเหลืออยู่ในห้องหรอก”

     ชายหนุ่มบอกพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เล่นเอาคนที่ตั้งใจจะมาติวหนังสือ หน้าแดงน้อย ๆ เพราะเข้าใจความนัยที่แฝงมากับประโยคดังกล่าวดี
     “ผมว่า ถ้ายังไงไว้พรุ่งนี้....” ยูยะตั้งท่าจะแย้ง แต่ก็ต้องเงียบกริบเมื่ออีกฝ่ายขัดขึ้นมาเสียก่อน

     “ถ้าไม่ติวเย็นนี้ คืนนี้ไปค้างที่บ้านฉัน แล้วฉันจะติวให้เธอเองทั้งคืน ตกลงไหม?”

     “งั้นไปเย็นนี้ก็ได้ครับ” เด็กหนุ่มตอบเสียงอ่อย เพราะไม่ว่าเขาจะเสนออะไร หากมอร์เฟียซตัดสินใจแล้วว่าจะทำ ยังไงเขาก็คงไปเปลี่ยนใจชายหนุ่มไม่ได้อยู่ดีนั่นล่ะ




     ดอกเตอร์หนุ่มลืมตาตื่นขึ้นมาท่ามกลางความมืดของห้อง เจ้าตัวยิ้มกับตัวเองน้อย ๆ เมื่อพบว่ามีเสื้อของใครบางคนคลุมร่างให้เขาแทนผ้าห่ม
     “กลับแผนกดีกว่าแฮะ ป่านนี้เจ้าบ้านั่นคงกลับไปแล้วล่ะ”

     เจ้าตัวบ่นพึมพำ ก่อนจะเดินฝ่าความมืดไปที่ประตู เพื่อตรงกลับแผนกวิจัยของตน เพราะต้องการสะสางงานที่ยังคงคั่งค้างอยู่ต่อไป

     ลี ชาง หยุดชะงักฝีเท้า เมื่อเข้ามาในห้องทำงานส่วนตัวแล้วยังคงพบว่า อีเกิล เอ็ดเวิร์ด ยังนั่งอยู่ในห้องเขา ไม่ยอมกลับไปสักที

     “ผมเดาไม่ผิดเลยนะชาง ว่าคุณต้องกลับมาสะสางงานที่เหลือต่อ เรื่องนิสัยรับผิดชอบต่อหน้าที่สูงอย่างคุณ ก็เป็นอีกอย่างที่ผมชอบนะ”

     เอ็ดเวิร์ดบอกยิ้ม ๆ ทว่า คนฟังแทบไม่อยากสนใจฟัง เพราะกำลังคิดว่าจะอยู่หรือจะกลับดี

     โดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายตัดสินใจ ชายหนุ่มผมทองลุกขึ้นจากโซฟา เดินเพียงไม่กี่ก้าว ก็ไปถึงตัวของชาง เขาใช้อ้อมแขน รวบเอวของคนตรงหน้าเข้ามาภายในห้อง และจัดการปิดล็อกห้อง โดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ตั้งตัว ก่อนจะรวบมือที่เตรียมจะป้องกันตัวเองของชายหนุ่มพร้อมดันทั้งร่างนั้นไปติดกับผนัง
     “ถึงด้านความเป็นอัจฉริยะของคุณจะเหนือกว่าผม แต่เรื่องกำลังกาย คุณสู้ผมไม่ได้หรอกนะชาง”

     เอ็ดเวิร์ดกระซิบกับร่างที่พยายามขัดขืนนั้น นัยน์ตาสีเขียวไล่มองลงมาเรื่อย ๆ นับตั้งแต่ นัยน์ตาสีเทาดื้อดึงคู่สวย จมูกโด่งคมสัน ริมฝีปากได้รูป ไล่มาจนถึงลำคอขาว และเรือนร่างงดงามตามแบบบุรุษเพศของอีกฝ่าย

     ลี ชาง รู้สึกร้อนวูบวาบ ที่ถูกคนตรงหน้าโลมเลียด้วยสายตาร้อนแรง พลางพยายามเบือนหน้าหลบเมื่อนัยน์ตาสีเขียวไล่ขึ้นมาสบกับนัยน์ตาของตนอีกครั้ง

     “นับตั้งแต่ 3 ปี ที่ได้กอดคุณ ... ผมไม่เคยลืมคุณสักครั้งเลยนะชาง ทุกครั้งที่คิดถึงคุณใจผมมันร้อนรุ่มไปหมด อยากจูบ อยากกอดคุณอีก จนทนไม่ไหว ...”

     น้ำเสียงแหบพร่า กระซิบข้างหู พร้อมกับใช้ลิ้นไล้เลียเล่น จนทำให้ชางหลุดครางเบา ๆ ออกมาอย่างลืมตัว

     “อา...หยุดนะ...”

     ชายหนุ่มพยายามขัดขืน ทว่า เขากลับรู้สึกเหมือนทั้งร่างจะพาลหมดแรงเอาเสียเฉย ๆ อย่างน่าประหลาด

     “ผมอยากกอดคุณอีกครั้งเหลือเกินชาง...คุณจะอนุญาตผมได้ไหม”

     เอ็ดเวิร์ดพร่ำกระซิบอ้อนวอนข้างหู มือข้างที่ว่าง ก็แหวกผ่านสาบเสื้อที่ถูกปลดกระดุมออกเรียบร้อย ชางสะท้านไปทั้งกาย สัมผัสเก่า ๆ ย้อนคืนเข้ามาในความทรงจำ แต่แล้วชายหนุ่มก็พลันชะงัก เมื่อมือนั้นเริ่มไล่ลงไปวนแถวท้องน้อยของตน

     “ปล่อยฉัน...”

     ชางกลั้นใจสะกดความต้องการทางธรรมชาติของตน ริมฝีปากมีเลือดไหลน้อย ๆ เนื่องจากเจ้าของตั้งใจกัดให้เจ็บ เพื่อเรียกสติของตัวเอง

     “ชาง!” เอ็ดเวิร์ดตกใจเมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย แววตาที่เต็มไปด้วยความรังเกียจนั้นสั่นระริก และเริ่มมีน้ำใส ๆ คลอเบ้าตา

     “ฉันไม่ใช่ของเล่นที่เวลานายนึกสนุกก็หยิบมาเล่น พอเบื่อก็โยนทิ้งหรอกนะ!”

     คำพูดตวาดตามมา ทำให้ชายหนุ่มผมทอง ปล่อยมือข้างที่รวบมืออีกฝ่ายให้เป็นอิสระ ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นจับบ่าคนตรงหน้าเขย่าด้วยความหงุดหงิด ที่ถูกเข้าใจผิด

     “ชาง! ทำไมคุณพูดแบบนั้นออกมา ผมไม่เคยคิดแบบนั้นกับคุณเลยนะ!”

     “ไม่เคยคิดงั้นรึ!” ดอกเตอร์หนุ่มสวนกลับทันควัน

     “ใช่สิ...นายมันไม่เคยคิดอะไรสักนิด ไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำว่าฉันจะรู้สึกยังไง หลังจากที่นายทำเรื่องนั้นกับฉัน และหนีหน้าหายไปเกือบ 3 ปีแบบนั้นน่ะ!”

     น้ำเสียงเจ็บปวด พร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินออกมาจากสองตานั้น ทำเอาเอ็ดเวิร์ดอึ้งพูดอะไรไม่ออก เขาปล่อยมือทั้งสองที่จับบ่าคนตรงหน้าเสีย จากนั้นจึงถอยออกมายืนห่าง ๆ สีหน้าบ่งบอกถึงความสำนึกผิด และเป็นทุกข์ยิ่งนัก
     “ชาง...ผม....”

     “ฉันเกลียดนาย! และจะไม่มีวันให้อภัยสิ่งที่นายทำกับฉันไว้ตลอดชีวิตนี้!”

     ดอกเตอร์หนุ่มตวาดใส่ พลางจัดการเสื้อผ้าของตัวเองลวก ๆ ก่อนจะสะบัดหน้าเดินหนีออกจากห้องไป โดยทิ้งให้ร่างสูง ได้แต่มองตามไปจนร่างนั้นลับตา จากนั้นเจ้าตัวจึงเดินมาที่โซฟา ทรุดนั่งลงอย่างอ่อนแรง มือทั้งสองยกขึ้นปิดหน้าตนเอง พร้อมพึมพำถึงคนที่จากไปแผ่วเบา

     “ชาง....ผมขอโทษ”

     ร่างสูงโปร่งเดินกระแทกเท้ากลับบ้านพักด้วยความโมโห มือไม้ไล่เช็ดหน้าเช็ดตา ในส่วนที่ถูกสัมผัส ยิ่งหวนนึกถึงอดีตเมื่อสามปีที่ผ่านมา ก็ทำให้เขารู้สึกเจ็บใจ ที่ไม่อาจโต้ตอบอะไรอีกฝ่ายได้ นอกจากคำพูด และการกระทำที่แสดงออกว่ารังเกียจเท่านั้น



     ชาง ยังคงจำได้ไม่ลืมเลือน ถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา 3 ปีก่อน ทั้งเขาและเอ็ดเวิร์ด เพิ่งเข้าทำงานในแผนกค้นคว้าและวิจัย และก็เป็นเขากับเอ็ดเวิร์ดที่ถูกคนอื่นมองว่า หนึ่งในสองคนนี้ ต้องมีสักคนที่จะได้รับตำแหน่งหัวหน้าแผนกค้นคว้า และวิจัย ต่อไปในอนาคต

     แน่นอนเวลานั้นเขาไม่เคยสนใจถึงตำแหน่งหัวหน้าเลยสักนิด แค่มีความสุขที่ได้ทำงานที่ตัวเองชอบก็พอ และเขาก็คิดว่าเอ็ดเวิร์ดก็น่าจะคิดเหมือนเขาเช่นกัน ใช่แล้ว ...ตอนนั้น เขายังไม่มีความรู้สึกเกลียดชังชายหนุ่ม เหมือนอย่างเช่นทุกวันนี้

     หลังจากเพียงเข้าทำงานแค่ 3 เดือน หัวหน้าแผนกคนเก่าลาออกกะทันหันเพราะความจำเป็นบางอย่าง คณะกรรมการทุกคนเสนอชื่อเขาและเอ็ดเวิร์ดให้เป็นหัวหน้าแผนกตามคาด และเป็นเอ็ดเวิร์ดที่ได้รับการคัดเลือก ส่วนเขานั้นถูกเสนอให้เป็นรองหัวหน้าแผนก คอยช่วยชายหนุ่มทำงานแทน

     จะว่าไป พอทราบเรื่องเขากลับรู้สึกเฉย ๆ เพราะไม่เคยแคร์กับตำแหน่งนี้อยู่แล้ว แต่ดูเหมือนเอ็ดเวิร์ด พอรับทราบผล เขากลับดูเงียบ ๆ ไป แต่ชางก็ไม่ได้ถามอีกฝ่าย ทว่า วันนั้น ทั้งแผนกยกกันไปดื่มฉลองให้กับหัวหน้า และรองหัวหน้าคนใหม่นอกสถานที่ ซึ่งตอนนั้นเขาซึ่งกำลังเมาได้ที่ และลุกไปเข้าห้องน้ำ ก็บังเอิญเจอเอ็ดเวิร์ดยืนอยู่หน้าห้อง ซึ่งพอตัวเขาเองจะเข้าไปถามว่าชายหนุ่มกำลังทำอะไรอยู่ ก็บังเอิญได้ยินเสียงคนคุยกันในห้องน้ำแวบเข้ามาพอดี

     ชางอึ้งอยู่กับที่ เมื่อรู้ว่า แท้จริงแล้ว ที่พวกคณะกรรมการ ตัดสินใจเลือกเอ็ดเวิร์ดเป็นหัวหน้าแผนก ก็เพราะอำนาจของตระกูลอีเกิล ผู้สนันสนุน สถาบันที่ชายหนุ่มมีอยู่

     เขาชำเลืองมองสีหน้าของเอ็ดเวิร์ด ที่ซีดเผือดและเจ็บปวด แต่เมื่ออีกฝ่ายรู้สึกตัวว่าเขามายืนอยู่ด้วย เจ้าตัวก็ตกใจ ก่อนมีสีหน้าปวดร้าวตามมา และเดินหนีไปทั้งแบบนั้น

     หลังจากเกิดเหตุ เอ็ดเวิร์ดไม่มาทำงาน 3 วัน โทรไปก็ไม่มีคนรับ ทำให้ชางอาสาเพื่อน ๆ ไปตามตัวชายหนุ่มที่บ้านพักเอง

     บ้านพักเงียบสนิท ชางกดออด ซึ่งก็เงียบไม่มีเสียงตอบ เขาเลยตัดสินใจทุบประตู และตะโกนเรียกอีกฝ่าย

     "เอ็ดเวิร์ด! นายอยู่ข้างในบ้านใช่ไหม? เป็นอะไรไปหรือเปล่า! นี่ฉันชางนะ!"

     ไม่มีเสียงตอบรับพักใหญ่ แต่เมื่อชางกำลังจะตัดสินใจ ว่าจะหาทางไหนงัดเข้าบ้านดี ประตูบ้านก็เปิดออก พร้อมกับร่างสูงในสภาพที่ดูแทบไม่ได้

     "เอ็ดเวิร์ดนี่นายดื่มจัดขนาดนี้ได้ยังไง! แล้วทำไมถึงไม่ยอมไปทำงาน!"

     ชางตวาดใส่ เมื่อได้กลิ่นเหล้าคุ้งมาจากอีกฝ่าย

     "คุณมาทำไมกัน"

     น้ำเสียงที่ถาม ทำเอาคนฟังหงุดหงิด เพราะมันฟังดูห้วน และเย็นชา ไร้มนุษยสัมพันธ์ ผิดกับที่เจ้าตัวเคยมีต่อเขาลิบลับ

     "ก็มาลากตัวนายกลับไปทำงานน่ะสิ เป็นหัวหน้าแผนกประสาอะไร ถึงทำตัวไร้ความรับผิดชอบแบบนี้!"

     ชางตวาดใส่ แต่ก็ต้องชะงัก เมื่ออีกฝ่ายหัวเราะออกมาอย่างเหยียด ๆ

     "หึ ๆ หัวหน้าแผนกที่ใช้เส้นตระกูลเอาตำแหน่งมาน่ะเหรอ ไปทำให้เขาแอบนินทาลับหลังน่ะสิ"

     คนฟังกำมือแน่น ก่อนจะกระชากเสื้อของอีกฝ่ายเข้ามา พร้อมโพล่งใส่ด้วยความโมโห

     "ใครเขาจะว่าอะไรทำไมต้องไปใส่ใจด้วย! ความสามารถที่นายมีมันของแท้ไม่ใช่หรอกรึ! แสดงให้ทุกคนเห็นไปสิ! แสดงให้พวกนั้นยอมรับในตัวนาย! ฉันคนหนึ่งล่ะที่เชื่อว่านายน่ะมีความสามารถที่แท้จริง ไม่จำเป็นต้องมีเรื่องอิทธิพลเข้ามาเกี่ยว นายก็ทำได้ ฉันเชื่อนะ!"

     คนฟังอึ้งไปสักพัก นัยน์ตาสีเขียวฉายแววปวดร้าว ก่อนจะสะบัดตัวหนีอีกฝ่าย เดินเข้าไปในบ้าน หยิบเหล้ารินใส่แก้วกระดกเข้าปากรวดเดียวหมด ชางรีบวิ่งมาแย่งแก้วเหล้าของอีกฝ่ายทันที พลางตวาดใส่

     "เจ้าบ้า! นี่ยังไม่เข้าใจอีกงั้นรึ! จะให้ฉันพูดยังไงนายถึงจะเข้าใจได้นะ! นายไม่ใช่คนท้อถอยอะไรง่าย ๆ แบบนี้นี่เอ็ดเวิร์ด!"

     "ผมไม่เหมือนคุณสักหน่อยชาง!" เอ็ดเวิร์ดตะโกนกลับ

     "คุณมันเป็นอัจฉริยะโดยกำเนิด เป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดี ไม่ว่าจะทำอะไรก็มีแต่คนนิยมชมชอบ ไม่เหมือนกับผม ที่ต้องทนต่อสู้สายตาของคนอื่นที่ว่าเข้ามาเรียนที่นี่ได้ ก็เพราะบารมีครอบครัว ขนาดตั้งใจเรียนแทบตายได้คะแนนดี ยังไม่วายโดนนินทาหาว่าใช้เส้นโกงข้อสอบ พอจบมาทำงานที่ตัวเองรัก ได้รับการเสนอชื่อเป็นหัวหน้าแผนก นึกว่าเพราะเป็นความสามารถของตัวเอง แต่กลับเป็นเพราะอิทธิพลของตระกูลที่มีอยู่ ถ้าเป็นคุณคุณจะทำยังไงชาง!"

     ชางอึ้ง หาคำพูดปลอบไม่ถูกไปชั่วขณะ ระหว่างที่กำลังลังเลว่าจะใช้คำพูดอะไร จู่ ๆ ร่างสูงตรงหน้า ก็ผลักร่างของเขาให้ลงไปนั่งบนโซฟา พร้อมกับใช้มือจับร่างนั้นกดพิงไปกับเบาะ ใช้เข่าข้างหนึ่งดันเข้าไปในหว่างขา คร่อมร่างเขาอยู่เช่นนั้น

     "เอ็ดเวิร์ด! นายจะทำบ้าอะไรน่ะ! ปล่อยนะ!"

     ชางตวาดใส่ด้วยความตกใจ ทว่า ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะไม่สนใจฟังเสียแล้ว

     "ชาง...ผมอิจฉาคุณเหลือเกิน ผมเคยอยากเป็นแบบคุณมาตลอด"

     เอ็ดเวิร์ดพึมพำ พร้อมกับซุกไซ้ จูบไปทั่วใบหน้าและลำคอของอีกฝ่าย
     "ผมไม่อยากให้คุณรับรู้เรื่องนี้เลยชาง...คุณคนเดียวเท่านั้น ที่ผมไม่อยากให้เห็นส่วนที่น่ารังเกียจของผม.. ผมอยากเป็นเพื่อนที่แสนดีในสายตาของคุณ... อยากเป็นคนที่คุณมอบความสำคัญให้.. ชาง..."     

     ชางพยายามจะต่อต้าน ทว่า พละกำลังของเขา และอีกฝ่ายนั้นผิดกันลิบลับ และเมื่อมือทั้งสองถูกมือใหญ่จัดการใช้เสื้อเชิ้ตของตัวเอง ที่ถอดออกมามัดพันธนาการไว้ เขาก็ยิ่งหมดหนทางต่อต้านมากขึ้นไปอีก

..
..
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special # 9 (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: Xenon ที่ 04-07-2011 17:45:52

เสียงลมหายใจหอบสม่ำเสมอของร่างหนา ที่ทาบทับอยู่บนตัวของตน ทำให้ชางปรือตาขึ้นมอง ก่อนจะนิ่วหน้า เมื่อรู้สึกปวดแปลบบริเวณที่ถูกอีกฝ่ายล่วงล้ำ

     น้ำใส ๆ คลอที่เบ้าตาน้อย ๆ ด้วยความรู้สึกสมเพชตัวเอง ที่ต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้

     ร่างหนาที่หลับสนิท ถูกพลิกดันให้นอนหงายไปบนโซฟา ส่วนตัวของเขาขยับออกมา ยืนมองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกที่ทั้งขุ่นแค้น ทั้งสมเพชเวทนา และลึก ๆ ในใจ กลับรู้สึกสงสารคนตรงหน้า คนที่เฝ้าพร่ำเรียกว่าเขาเป็นคนสำคัญ ตลอดเวลาที่กอดเขา คนที่มอบจุมพิตอ่อนโยน อันเต็มไปด้วยความรู้สึกเต็มเปี่ยมไปด้วยรักให้แก่เขา ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

     ชางก้มลงเก็บเสื้อผ้าขึ้นสวมใส่ และเดินกระโผลกกระเผลก จากไปโดยไม่คิดปลุกเจ้าของบ้าน ในใจนึกเพียงแต่ว่า พรุ่งนี้ หากเจอกันแล้วคงต้องหาเวลาคุยเรื่องส่วนตัวที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ว่า อีกฝ่ายคิดจะทำยังไงต่อไป...

     ทว่าวันรุ่งขึ้น เอ็ดเวิร์ดก็ไม่มา ชางยืนแข็งค้างทั้งตัวเมื่อได้ฟังจากคนในแผนกว่า เอ็ดเวิร์ดโทรมาลาออกจากสถาบันไปแล้ว และเมื่อเขาถามถึงเหตุผล ก็ไม่มีใครสามารถตอบได้ เพราะข้อความที่ฝากมาจากเจ้าตัวมีเพียงแค่นั้น ซึ่งไม่ว่าใครจะพยายามติดต่อกับชายหนุ่มไม่ว่าทางไหน ก็ไม่อาจสาวถึงเจ้าตัวโดยตรงได้แม้แต่น้อย

     จากวันนั้น ชางได้เลื่อนเป็นหัวหน้าแผนกแทนเอ็ดเวิร์ด หากแต่ความไม่เข้าใจในตัวของคนที่จู่ ๆ ก็จากไป ไร้ซึ่งการติดต่อ กลับย้อนเข้ามาทำร้ายความคิดของเขา จากความสงสัย ความกังวล เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชัง และข้อสรุปที่เขาให้กับตัวเองได้ในยามนั้นก็คือ ...อีกฝ่ายไม่ได้คิดจริงจังอะไรกับเขา ที่ทำเช่นนั้นลงไป ก็เพราะแค้นที่ตัวเองไม่ได้รับการยอมรับนั่นเอง...


 
     "ชาง...เฮ่ย! ชาง! ได้ยินไหม!"

     เสียงตะโกนที่ดังขึ้นใกล้ ๆ และมือใหญ่ที่จับบ่า ทำเอาชายหนุ่มชะงัก ชางหันกลับไปมองเจ้าของเสียง แล้วจึงยิ้มน้อย ๆ ให้อีกฝ่าย ทว่า นัยน์ตาสีเทาคู่สวยกลับดูว่างเปล่าจนน่าวิตก

     "มอร์เฟียซ...มีอะไรเหรอ?"

     อาจารย์หนุ่มขมวดคิ้ว และจึงหันไปทางเด็กหนุ่ม ซึ่งเดินมาด้วยกัน  กับเขา

     "ยูยะกลับหอเองได้ไหม ฉันมีธุระจะคุยกับหมอนี่หน่อย"

     ยูยะพยักหน้าหงึก ๆ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจ ว่าทั้งคู่มีปัญหาอะไรก็ตาม แต่การที่เห็นดอกเตอร์หนุ่มไม่ร่าเริงแบบนี้ เขาก็รู้สึกเป็นห่วงมากเช่นกัน

     "ครับ ผมกลับเองได้...เอ่อ..คือ ดอกเตอร์ครับ"

     ชางเลิกคิ้ว เมื่อถูกเด็กหนุ่มเรียก

     "มีอะไรหรือ ยูยะคุง?"

     ยูยะอ้ำอึ้ง ก่อนตัดสินใจตอบ

     "ถึงผมจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ...แต่ผมไม่อยากให้ดอกเตอร์คิดมากคนเดียว ถึงบางครั้งผมจะให้คำปรึกษาอะไรดี ๆ ไม่ได้ แต่ผมก็พร้อมรับฟังปัญหาของคุณเสมอนะครับ"

     มอร์เฟียซยิ้มให้กับคนรักของเขา ชางเองก็เช่นกัน ชายหนุ่มลูบศีรษะร่างเล็กตรงหน้าด้วยความเอ็นดู

     "ขอบใจที่เป็นห่วงนะ ฉันไม่เป็นอะไรมากหรอกยูยะ แค่เครียดเรื่องงานนิดหน่อย เดี๋ยวก็กลับมาร่าเริงเหมือนเดิมได้แล้ว"

     ยูยะยิ้มรับ ก่อนจะโค้งลาทั้งคู่และวิ่งกลับหอไป จากนั้นมอร์เฟียซจึงชวนชางไปที่บ้านพักของเขา ซึ่งชายหนุ่มก็ตามไปเงียบ ๆ โดยไม่คิดปฏิเสธ

     เมื่อถึงบ้านพัก มอร์เฟียซจัดการชงนมอุ่น ๆ ส่งให้กับเพื่อนของเขา ซึ่งชางก็รับมา พร้อมกับยิ้มขำ ๆ ตอบคนให้

     "ฉันไม่ใช่เด็กสักหน่อย ถึงต้องดื่มนม .. ว่าแต่ที่บ้านนายมีนมผงกับเขาด้วยงั้นหรือ?"

     "ฉันติดไว้เพราะยูยะชอบดื่ม" มอร์เฟียซตอบง่าย ๆ โดยไม่สนใจคำแซว หากแต่เมื่อเห็นชางยังไม่ยอมดื่มนมนั่น เจ้าตัวจึงกล่าวต่อ

     "ดื่มไปซะ มันทำให้หลับสบาย สภาพอย่างนายตอนนี้สมควรพักผ่อนให้มากจะดีที่สุด"

     ชางยิ้มรับในความเป็นห่วงของเพื่อน และจึงดื่มนมในแก้วนั้นจนหมด ก่อนจะเอนกายลงนอนบนโซฟา ซึ่งมอร์เฟียซก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่กลับเปรยบางอย่างให้คนที่กำลังนอนหลับตาฟังแทน

     "ชาง...รู้ไหม ที่นายเครียดแบบนี้ เพราะนายเฝ้าแต่สงสัยเรื่องของเขามาตลอด 3 ปี ...แต่เขากลับไม่เคยยอมโผล่หน้ามาตอบคำถามนายเลยสักครั้ง แต่ตอนนี้มันไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้ว ...ทำไมนายไม่ถือโอกาสขจัดข้อสงสัยเมื่อ 3 ปีก่อนไปเสียเลยล่ะ ไม่ลองถามเขาไปเลยว่า ทำไมถึงได้ทำแบบนั้นกับนายแล้วหายตัวไป"

     ชางลืมตาขึ้นมองมอร์เฟียซ เพื่อนสนิทที่รู้เรื่องทุกอย่างดี โดยที่เขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจบอก หากแต่เพราะดื่มหนักเกินไป และในตอนนั้นคนที่อยู่ด้วยก็คือมอร์เฟียซ คงเพราะว่าเขาเพิ่งผ่านเรื่องกลุ้มต่าง ๆ นานา เอ็ดเวิร์ดหายตัวไปหลังจากเกิดเรื่องดังกล่าวและไม่สามารถติดต่อได้ เขาต้องรับผิดชอบตำแหน่งหัวหน้าแทน ปัญหาต่าง ๆ สุมประดัง จนในที่สุดเขายามไม่มีสติ ก็ไม่อาจปิดบังความกลัดกลุ้มนั้นเอาไว้กับตัว จึงระบายออกไปให้ชายหนุ่มรับฟังจนหมดสิ้น

     แต่ มอร์เฟียซ ก็ยังคงเป็นผู้รับฟังที่ดี ชายหนุ่มเก็บเรื่องดังกล่าวไว้เป็นความลับ ไม่เคยแพร่งพรายให้ใครทราบ แม้แต่เคธี่ เพื่อนสาวที่สนิทกับพวกเขามากที่สุด ก็ยังไม่เคยรับรู้เรื่องดังกล่าวนี้

     คำแนะนำของชายหนุ่มเองก็มีเหตุผล แต่จะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อเรื่องมันก็ผ่านมานานถึง 3 ปี

     3 ปี ...มันนานพอ จนทำให้หัวใจของเขาด้านชาไปเสียแล้ว...

     สายตาที่ตอบกลับมา โดยไม่มีแม้แต่คำพูด ทำให้มอร์เฟียซถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะคบกันมานาน ทำไมจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่

     "นอนซะ...พักให้เต็มที่ก่อนเถอะ อย่าเพิ่งไปคิดอะไรดีกว่า"

     อาจารย์หนุ่มบอก พร้อมกับหยิบผ้าห่มที่เข้าไปเอามาจากในห้อง โยนให้อีกฝ่าย ชางรับมาพร้อมกล่าวขอบคุณเบา ๆ และเมื่อเจ้าของบ้าน ปิดไฟ เขาก็ลืมตาอยู่ในความมืดสักพัก ความคิดลอยไปถึงใครคนหนึ่ง.... คนที่เขาให้สัญญากับตัวเองว่าจะไม่มีวันอภัยให้อีกฝ่ายตลอดชีวิต...



     ชางปรือตาตื่นขึ้นอย่างงัวเงีย ก่อนจะยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมอง แล้วต้องสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ

     "ห้าโมงเช้า!" ชายหนุ่มรีบลุกผลุนผัน ตรงไปยังห้องน้ำล้างหน้าล้างตาอย่างลวก ๆ แล้วจึงวิ่งออกจากบ้านพัก ไปยังแผนกวิจัย และค้นคว้าของตนทันที

     "เจ้าบ้านั่นต้องใส่อะไรไว้ในนมแก้วนั้นแน่!" ชางบ่นด้วยความหงุดหงิด เมื่อนึกถึงเพื่อนสนิท เขาคาดเดาว่า มอร์เฟียซอาจจะใส่ยานอนหลับ เพื่อต้องการให้เขาพักผ่อนได้เต็มที่ แต่ดูเหมือนว่าจะเต็มที่เกินไปหน่อย เพราะตอนนี้มันทำให้เขามาทำงานสายกว่าที่ควรจะเป็นเกือบสามชั่วโมง

     "หัวหน้าครับ....เอ่อ..ข้างในนั่น..."

     เสียงทักเบา ๆ จากเจ้าหน้าที่ซึ่งประจำอยู่ทางเข้าแผนก ไม่ได้เข้าหูชางที่กำลังรีบร้อนแม้แต่น้อย คนทักหันมาทำหน้าเสียกับเพื่อน หากแต่อีกคนก็ตบบ่าปลอบเบา ๆ

     "เอาน่า ...คงไม่เป็นไรหรอก ยังไงเขาก็เพื่อนเก่ากัน"

     ชางยืนพักหอบอยู่หน้าประตูห้องตัวเองครู่หนึ่ง จากนั้นจึงผลักประตูห้องเข้าไป แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นร่างสูงคุ้นตา กำลังนั่งตรวจเอกสารอยู่บนโต๊ะทำงานของเขา

     "นาย!  ทำไมยังไม่กลับไปอีก!"

     ชางโพล่งด้วยความหงุดหงิด พลางหวนคิดถึงเมื่อครู่ว่าเหมือนจะมีเสียงเจ้าหน้าที่เรียกเขาตอนวิ่งเข้ามา เพราะเขาสั่งไว้ว่าถ้าเอ็ดเวิร์ดอยู่ให้เตือนเขาก่อน เพื่อที่เขาจะได้เลี่ยงไม่ต้องเจออีกฝ่าย แต่นี่คงเพราะเมื่อครู่รีบไปหน่อย เลยไม่ทันได้เอะใจ นึกแล้วมันก็น่าโมโหตัวเอง รวมไปถึงมอร์เฟียซด้วยอีกคนที่ทำให้เขาตื่นสายแบบนี้

     "เพราะผมอยากอยู่คุยกับคุณน่ะสิชาง เลยต้องมาดักรอพบแบบนี้ ก็คุณเล่นไม่ยอมให้โอกาสผมพูดด้วยเลยนี่"

     เอ็ดเวิร์ดตอบยิ้ม ๆ ซึ่งก็ทำให้คนฟังฉุนกึก ก่อนโพล่งกลับไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่

     "โอกาสงั้นรึ! ฉันให้โอกาสนายพูดมานานแล้วตั้ง 3 ปี แต่นายไม่เคยใช้โอกาสนั้นเองต่างหาก แล้วตอนนี้จะมาขอโอกาสเพื่อพูดกับฉัน มันจะไม่ตลกไปหน่อยงั้นรึ!"

     คนฟังหน้าสลดลง แล้วจึงฝืนยิ้มเศร้า ๆ ให้อีกฝ่าย

     "ผมรู้ คุณคงไม่มีวันให้อภัยผมในเรื่องที่ผมทำลงไป แต่ผมอยากให้คุณรู้เอาไว้ว่า สิ่งที่ผมทำลงไปกับคุณนั้น มันมาจากความปรารถนาส่วนลึกของผมอย่างแท้จริง เพราะผมรักคุณ ผมต้องการคุณ ผมถึงทำแบบนั้นกับคุณ"

     คำพูดจริงใจไร้การเสแสร้งที่ออกมาจากปาก ทำให้คนฟังนิ่งเงียบ ภาพเมื่อครั้งอดีตย้อนกลับมาทาบทับกับความเป็นจริงตรงหน้า ....ตอนนั้นก็เช่นกัน เพราะรู้ดีถึงความรู้สึกจริงใจนั้น เขาถึงยอมให้โอกาสอีกฝ่ายอธิบายในการกระทำของตน ทว่า ชายหนุ่มกลับทำลายโอกาสนั้นด้วยมือของตัวเอง และทิ้งให้เขาต้องจมอยู่กับความทุกข์ จนแปรเปลี่ยนเป็นความแค้นเช่นนี้

     "มันสายไปแล้ว....เอ็ดเวิร์ด ถึงสิ่งที่นายพูดออกมาจะเป็นเรื่องจริง มันก็ไม่มีความหมายอะไรกับฉันในตอนนี้แม้แต่น้อย ...และถึงฉันจะยอมให้อภัยนาย แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะยอมให้นายเดินเข้ามาในชีวิตฉัน ... เรื่องของพวกเรามันจบไปแล้ว..."

     นัยน์ตาสีเทาคู่สวยว่างเปล่า น้ำเสียงราบเรียบเย็นชา จนคนฟังรู้สึกว่าหัวใจตัวเองมันโหวงเหวง เอ็ดเวิร์ดก้มหน้ารับคำตอบนิ่ง มือใหญ่ค่อย ๆ กำแน่นจนรู้สึกถึงความเจ็บที่อุ้งมือนั้น ก่อนจะคลายออก และเงยหน้ามองอีกฝ่ายนิ่ง

     "ผมเข้าใจแล้ว"

     คำตอบสั้น ๆ แต่กลับสะกิดหัวใจคนฟังให้รู้สึกปวดแปลบอย่างน่าประหลาด

     เอ็ดเวิร์ดลุกขึ้นจากโต๊ะทำงาน และเดินผ่านร่างสูงโปร่งที่ยืนนิ่งไม่ไหวติง สีหน้านั้นยังคงเรียบเฉยจนเขาอ่านความรู้สึกไม่ออกเช่นเคย

     "…ถึงจะรู้ว่าคำตอบเป็นแบบนี้ แต่ผมก็ยังแอบหวังนะชาง...หวังว่าคุณจะให้อภัยผม และเราสองคนจะเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้ง..."

     เอ็ดเวิร์ดเดินออกจากห้องไปนานแล้ว แต่ชางกลับยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เขาเองก็ไม่อาจทราบ แต่มารู้สึกตัวเมื่อสัมผัสถึงความเย็นบนแก้มทั้งสอง

     ...น้ำตา...

     น้ำใส ๆ ที่ไหลรินออกมา ทำให้เจ้าของร่างชะงัก ถึงแม้สมองจะปฏิเสธ แต่หัวใจไม่อาจโกหกได้...

     "...บ้าที่สุด...งี่เง่าที่สุด..." น้ำเสียงพึมพำดังขึ้น หากเจ้าตัวรู้ดีว่า ที่ต่อว่าไปนั้นหาใช่ ผู้ชายที่เดินจากไปแต่อย่างใด แต่กลับเป็นตัวเอง ที่ถือทิฐิ ไม่ยอมอ่อนข้อให้กับอีกฝ่ายแบบนี้

     ชางหลับตาลง เพื่อตัดสินใจ ว่าจะเลือกศักดิ์ศรี หรือ เลือกในสิ่งที่หัวใจตนปรารถนา...

     และเขาก็ต้องหัวเราะกับตัวเองเบา ๆ พลางลืมตาขึ้นมองโลกตรงหน้า

     … นี่เขามัวทำบ้าอะไรมาตลอด 3 ปีนี้ คนอย่างเขา หากคิดจะตามหาตัวอีกฝ่ายจริง มันก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถ แต่เพราะส่วนลึกแล้ว เขากลัวต่างหาก กลัวว่า ถ้าเอ็ดเวิร์ด ทำกับเขาลงไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ เขาอาจจะเจ็บหากต้องรู้คำตอบนั้น ...

     ขาทั้งสองข้าง พาร่างตัวเองเดินออกไปนอกห้อง ก่อนจะกลายเป็นวิ่ง เมื่อทราบจากเจ้าหน้าที่ว่า เอ็ดเวิร์ดกลับไปแล้ว

     ....ไม่ยอมให้กลับไปง่าย ๆ หรอก ก็เขายังไม่รู้ถึงเหตุผลที่อีกฝ่ายหายตัวไปเลยนี่นา หมอนั่นบอกแต่เพียงว่าเขาสำคัญ บอกแต่เพียงว่ารักเขา แต่ไม่ยอมบอกเลยสักนิด ว่าทำไมถึงทิ้งเขาไปตั้ง 3 ปีแบบนี้ !....

     ชางมองไปยังถนนว่างเปล่าที่ทอดยาว ไปข้างหน้า เจ้าตัวหายใจหอบเพราะรีบวิ่งมาโดยไม่หยุดพัก ก่อนจะทรุดนั่งลงกับพื้นถนนก้มหน้าลง พร้อมกับแค่นหัวเราะ ด้วยความสมเพชเวทนาตัวเองที่กว่าจะรู้ใจตัว มันก็สายเกินไป ...อีกครั้ง

     "ชาง..."

     เสียงทุ้มที่ดังขึ้นจากเบื้องหลัง ทำเอาชางชะงัก ไม่กล้าที่จะหันกลับไปมอง เพราะกลัวว่าตัวเองจะเพียงแค่หูแว่วไปเท่านั้น

     "ชาง....ทำไมมานั่งอยู่ที่กลางถนนนี่ล่ะ มันอันตรายนะครับ"

     คำพูดด้วยความเป็นห่วง พร้อมกับมือที่ยื่นมาตรงหน้า ทำให้ชางค่อย ๆ เงยหน้ามองคนพูด ก่อนหลุบตาลง พร้อมกับยื่นมือตัวเองส่งให้อีกฝ่ายช่วยฉุดให้ลุกขึ้น

     "...เห็นว่ากลับไปแล้วไม่ใช่หรือไง ทำไมยังอยู่แถวนี้อีก"

     คำถามที่คนถามไม่ยอมสบตา เอ็ดเวิร์ดมองปฏิกิริยา ดังกล่าวแล้วรู้สึกเจ็บแปลบ เพราะคิดว่าอีกฝ่ายยังคงรังเกียจ และไม่ยอมให้อภัยเขาอยู่เช่นเคย

     "ว่าจะกลับเหมือนกันล่ะครับ...แต่ไม่รู้ทำไม ถึงตัดใจไปไม่ได้สักที อาจเป็นเพราะไม่อยากหนี เหมือนเมื่อ 3 ปีที่แล้วก็ได้...แต่ว่าถึงจะอยู่ต่อไป มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี"

     คำตอบเศร้า ๆ ของคนตรงหน้า ทำให้คนฟังกำหมัดแน่น ก่อนจะกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายมาเขย่าถามอย่างหงุดหงิด

     "มันไม่มีประโยชน์แน่อยู่แล้ว ในเมื่อนายไม่ยอมพูดในสิ่งที่ฉันอยากรู้จริง ๆ สักที! ทำไมนายถึงหนีไปเมื่อ 3 ปีก่อน ไม่ยอมติดต่อฉันเลย นี่ล่ะที่ฉันอยากรู้ มากกว่าคำบอกรักอะไรนั่นของนายอีก!"

     เอ็ดเวิร์ดอึ้งพูดอะไรไม่ออก กับท่าทีที่เปลี่ยนไปของคนตรงหน้า เมื่อเห็นเช่นนั้น ชางจึงโพล่งตามมา โดยไม่คิดจะเก็บสิ่งที่อยู่ในใจของตัวเองไว้อีกต่อไป

     "นายบอกว่ารักฉัน บอกว่าฉันเป็นคนสำคัญ! แต่นายกลับทิ้งฉันไป! นายคิดว่าการกระทำที่มันขัดกันกับคำพูดแบบนั้น มันจะทำให้ฉันยอมรับ และเชื่อนายหรือว่า นายคิดถึงฉันตลอดเวลา และรักฉันน่ะ! งี่เง่าชะมัด!"

     เอ็ดเวิร์ดยังคงนิ่งเงียบ แต่ในหัวใจของชายหนุ่ม กลับรู้สึกถึงความอบอุ่นประหลาด เมื่อเริ่มสัมผัสได้ถึงตัวตนเดิม ๆ เมื่อก่อนของคนที่เขารักเต็มหัวใจตรงหน้านี้

     "ชาง...ผมขอโทษ ผมมันคนขี้ขลาด ผมกลัวว่าคุณจะรังเกียจผม จะปฏิเสธผม ...ซึ่งผมในตอนนั้น คงจะทนรับสภาพดังกล่าวเพิ่มอีกไม่ไหว ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าจะมีวิธีไหนดีนอกจากหนีไปให้พ้น เพื่อที่จะได้ไม่รับรู้ถึงปัญหารอบด้าน ไม่ต้องรับรู้ว่า คุณไม่ต้องการผม... ถ้าผมรู้ว่าคุณแคร์ผมแบบนี้ ผมคงไม่ตัดสินใจงี่เง่าแบบนั้นลงไปแน่นอน"

     เอ็ดเวิร์ดกระซิบข้างหูอีกฝ่าย ชางรับฟังด้วยความนิ่งเงียบ ก่อนชะงักกึก เมื่อได้ยินประโยคท้ายสุด

     "ใครแคร์นาย! คิดเข้าข้างตัวเองมากไปแล้ว! ฉันเกลียดนายจะตายไป แน่นอนว่า ถ้าขืนนายไม่หนีไปเมื่อ 3 ปีก่อน ฉันได้ชกนายให้หายแค้นแน่"

     เจ้าตัวโพล่งโวยวายแก้ตัว แต่ใบหน้านั้นกลับแดงระเรื่อด้วยความเขินอายผิดกับคำพูดที่แสดงออกมาลิบลับ

     ชายหนุ่มผมทองยิ้มอย่างยินดีกับท่าทีของอีกฝ่าย เขากอดรัดร่างที่ดิ้นโวยวายขัดขืน โดยไม่เกรงว่าจะมีคนผ่านมาเห็นแต่อย่างใด

     "ดีใจจริง ๆ ชาง ผมดีใจจริง ๆ ที่ตัดสินใจกลับมาหาคุณอีกครั้ง ...ผมมันบ้า ผมมันงี่เง่าเอง ผมขอโทษ"

     น้ำเสียงยินดีอย่างไม่มีปิดบังของเจ้าตัว ทำให้คนในอ้อมกอดถอนหายใจ หยุดดิ้น และจึงพึมพำตอบกับอกกว้าง

     "ใช่แล้ว...นายมันบ้า นายมันงี่เง่า ชอบทำอะไรไม่เคยคิดหน้าคิดหลังเสมอ...แต่ฉันมันบ้ายิ่งกว่า ที่เอาแต่คิดถึงคนงี่เง่าอย่างนายอยู่ได้มาตลอด 3 ปีนี่"

     เอ็ดเวิร์ดกอดกระชับร่างโปร่งในอ้อมกอดแน่นขึ้นไปอีก ราวกับกลัวว่า ถ้าปล่อยไปแล้ว ร่างในอ้อมกอดจะหลุดลอยหายไปจากเขาเสียอย่างนั้น

     "เอ็ดเวิร์ด...ฉันอึดอัดนะ ปล่อยได้แล้ว!"

     ชางดุ เมื่ออีกฝ่ายกอดแน่นจนเขาเกือบหายใจไม่ออก

     "ไม่ปล่อย...นับแต่นี้ต่อไปผมจะกอดคุณแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ไม่ยอมปล่อยอีกเด็ดขาด ..."

     ชางถอนหายใจอย่างระอา ตอนนี้ก็คงต้องยอมให้หมอนี่ทำตามใจตัวเองไปก่อน แต่อีกสักพักพอเข้าที่เข้าทางแล้ว เขาคงต้องจับอบรมนิสัยเอาแต่ใจนี่เสียใหม่ อย่างน้อยก็ต้องให้อยู่ในโอวาทของเขา และฟังที่เขาพูดบ้างนั่นล่ะ

     ดอกเตอร์หนุ่มยิ้ม เมื่อคนตัวสูงกว่าโน้มหน้าลงมาจูบแก้มของเขาเบา ๆ ก่อนจะสะดุ้งโหยง และผลักอีกฝ่ายออกไปเต็มแรง เมื่อเห็นร่างของเพื่อนสนิทที่กำลังเดินมาทางนี้

     "ทำอะไรกันอยู่น่ะชาง?" มอร์เฟียซถามพลางขมวดคิ้ว เมื่อเห็นเอ็ดเวิร์ดลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้าบนพื้นถนน ส่วนชางยืนหน้าแดงก่ำ

     "ปะ...เปล่าสักหน่อย นายต่างหากล่ะมาทำอะไรแถวนี้ นี่มันชั่วโมงสอนไม่ใช่หรือไง"

     น้ำเสียงถามตะกุกตะกัก กับสถานการณ์ตรงหน้า ทำให้มอร์เฟียซประมวลเหตุการณ์ได้ไม่ยาก ชายหนุ่มซ่อนยิ้มไว้ในหน้า ก่อนตอบกลับด้วยใบหน้าเรียบเฉย

     "ฉันแค่ลืมเอกสารไว้ที่บ้านพักเลยกลับมาเอา พวกนายสองคนเองก็เถอะ ถ้าจะหาที่คุยกัน น่าจะเลือกที่ที่มันมิดชิดหน่อยนะ"

     บอกแล้วเจ้าตัวก็เดินจากไปอย่างไม่ใส่ใจ หากแต่คนมองตามรู้ดีว่าอีกฝ่ายรู้เรื่องหมดแล้ว

     "บ้าจริง...แต่ก็ดีที่เป็นมอร์เฟียซ ไม่ใช่เคธี่"

     ชางพึมพำกับตัวเอง และก็ต้องสะดุ้ง เมื่อนึกถึงอีกคนหนึ่งที่อยู่ด้วยกันขึ้นมาได้

     "เอ็ดเวิร์ด! …ขอโทษทีเป็นอะไรหรือเปล่า"

     ชายหนุ่มฉุดให้ร่างสูงที่นั่งอยู่ลุกขึ้น เอ็ดเวิร์ดสั่นศีรษะน้อย ๆ กับพฤติกรรมเขินอายที่ค่อนข้างรุนแรงของอีกฝ่าย ก่อนจะยิ้มและกระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างหูของดอกเตอร์หนุ่ม

     "บ้า! กลางวันแสก ๆ แบบนี้นี่นะ และอีกอย่างฉันก็มีงานค้างอยู่อีกเพียบ ไม่มีเวลาพอจะทำเรื่องไร้สาระแบบนั้นหรอก!"

     ชางโวยลั่น หน้าแดงน้อย ๆ จากนั้นเขาก็สะบัดหน้าหนี และเตรียมเดินกลับแผนกตัวเอง โดยมีเอ็ดเวิร์ดที่มีสีหน้าผิดหวัง เดินตามมาด้วย

     "...แต่ถ้างานเสร็จเมื่อไหร่ ก็ไม่มีปัญหานะ..."

     ประโยคที่ตามมา ทำให้คนฟังหูผึ่ง แล้วจึงรีบวิ่งตามคนที่พูดแล้วก็วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วด้วยความเขินอายให้ทัน เพื่อถามให้แน่ชัดอีกทีว่า ตัวเขาหูฝาดไปหรือเปล่า



+++ End +++
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: yeyong ที่ 04-07-2011 18:09:28
คู่นี้ดูคิกขุกว่าที่คิดอีก
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 04-07-2011 19:10:06
 :o8: :o8:

สุดท้ายก็เข้าใจกัน

หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special # 7 - 8 (3 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 04-07-2011 22:46:34
น้องยูคิ กับป๋าริวยะ มาจากเรื่องนี้ค่ะ กรงรักพันธนาการใจ  ~
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=19318.0

อ้อออออออ นึกออกแล้ว ว่าแล้วว่าชื่อคุ้นๆ  :laugh: พระเอกโหดเหมือนกันเลย หุๆ โหดซ่อนหวาน  o22
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 04-07-2011 23:22:34
โอ้ ชางมีอดีตที่เศร้ามากกว่าที่คิดนะ
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: debubly ที่ 04-07-2011 23:54:16
 :o8: :-[
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 05-07-2011 14:29:47
คู่นี้  น่ารักจังครับ
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 05-07-2011 16:48:32
ไม่คิดว่า ชาง จะมีบท อาย บทเขิน กับคนอื่นด้วยนะเนี่ย 5555
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: SuSaya ที่ 05-07-2011 21:11:46
เหมือนจะเคยอ่านแฮะ...แต่จำได้ว่าริวยะมันเย็นชากว่านี้นี่นา
ทำไมโผล่มาเรื่องนี้แล้วดูยียวนอย่างนี้ล่ะคะ
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: SuSaya ที่ 05-07-2011 22:52:34
เอ็ดเวิร์ดนิสัยไม่แมนเลย...แต่ชางน่ารักจังเลยค่ะ แอบกรี๊ดเบา ๆ ด้วยแหละ
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 16-07-2011 15:24:12
ชาง น่ารักเกินไปแล้ว
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 16-07-2011 17:36:10
ก็ว่าป๋าริวยะชื่อคุ้นๆ555

อยากอ่านชางกะเอ็ดเวิร์ดเพิ่มจัง แล้วก็อยากอ่านคู่อื่นๆเพิ่มด้วย ว่าแต่ ไม่มีเด็กในห้องพิเศษที่มาจากแอฟริกาบ้างเหรอคะ เห็นมีแต่เอเชีย ไม่ก็อเมริกา
ถ้ามีแอฟฟริกากับทางฝั่งยุโรปตอนบนอย่างรัสเซีย ตุรกี หรือประเทศที่คนไม่ค่อยรู้จัก คาแรกเตอร์คงแปลกๆดี เรื่องคงสนุก^^
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: gumrai3 ที่ 21-07-2011 11:57:06
สนุกมากๆ มอร์เฟียรก้อนะไม่พูดไม่กล่าวจับกดเฉย 555
ยูยะก็มีตกใจบ้าง

ชางไม่คิดว่าเลยว่าจะน่ารักเเบบนี้ 555
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: PAAPAENG~ ที่ 23-07-2011 03:45:55
ตามมากรี๊ดเรื่องนี้อีกเรื่องค่ะ  กรี๊ด!!
ชอบจริงอะไรจริง  คาเตอร์อย่างกับหมาบ้า!!

สุดท้ายแล้วชอบคู่ชางรุนแรง
คนอะไรเขินได้ไม่มีใครเกิน  ฮ่าๆ

อยากอ่านผลงานของคุณ Xenon อีกจังเลยค่ะ
คลอดผลงานออกมาอีกเยอะๆนะคะ  ชอบมากกกกกกกกกกกกกก!!!
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: aa_mm ที่ 25-07-2011 00:23:48
อ่านยาวเลย สนุกจังค่ะ แล้วมาต่อตอนพิเศษอีกนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: fay_13 ที่ 25-07-2011 13:52:22
อ่านรวดเดียวจบ.... สนุกมากเลยค่ะ  o13

คาร์เตอร์เหมือนคนบ้าเลยอ่ะวิ่งไปวิ่งมาแต่ก็น่ารักไปอีกแบบเพราะปกติเมะแนวนี้ไม่เคยอยู่ในหัวเลย

แต่ชอบๆๆๆ แล้วออกผลงานมาอีกนะคะ จะรออ่านเรื่องต่อไปค่ะ  :man1: :man1:
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: natalee22 ที่ 29-07-2011 01:32:12
อ่านรวดเดียวจบเลย สนุกมากๆ

อิอิอิ ยูยะได้เป็นคุณนายมาเฟียสินะ ^^
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: reborn23 ที่ 31-07-2011 20:15:28
น่ารักทุกคู่เลย
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: entirom ที่ 07-08-2011 00:59:30
น่ารักอ่า

สนุกมากเลย
ขอให้มีตอนพิเศษของหลายคนหลายคู่น้า
ติดหนึบ
เดียวตามอ่านอีกเรื่อง
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: CHADMM ที่ 08-08-2011 12:15:12
อ่านจบแล้ววว   สนุกดีค่า  ,,
พ่อพระเอกมอเพียซเท่ม้ากมาก เป็นมาเฟียซะด้วยย  ถ้าให้รีเควสตอนพิเศษ อยากอ่านตอนยูยะเรียนจบแล้วมอเพียซกลับไปรับช่วงต่อมาเฟียอ่ะคะ (555+ )

คู่รองลงมาชอบเอ็ดเวิร์ดกับชางอ่ะ คู่นี้ก็แอบน่ารักกกก  ^^

ขอบคุณสำหรับเรื่องสนุกๆอีกเรื่องนะคะ +1 ให้ด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 09-12-2011 22:20:28
น่ารักอะ ชอบบบบ หลากหลายคู่ดีจังเลย

ขอบคุณนะคับ
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 21-12-2011 08:46:26
ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: zetsubo ที่ 19-01-2012 01:18:46
อ้า จบแล้วหรอ อยากอ่านต่อ 5555  คู่ชาง ได้ใจอะ 55555

เห็นแล้วอยากอ่านต่อไปเรื่อยๆ ><
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: som~ ที่ 08-04-2012 14:45:08
อ่านจบเล้วๆๆๆ  :-[  ทุกคู่น่ารักมากเลย    ขำในใจตอนที่ยูยะชอบมาเฟีย  :m20:
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 06-06-2012 16:09:18
มอร์เฟียสใจร้อนเหมือนกันนะั่นั่น แล้วยังขี้แกล้งอีก พูดอะไรไม่คิด สงสารยูยะ แต่ยูยะก็เหมือนกัน ตอนนั้นมอร์เฟียสก็คงเสียใจเหมือนกัน ยูยะอย่างฮาเลยตอนที่ไปพบพ่อแม่มอร์เฟียส มอร์เฟียสก็เท่มาก ๆ เลยนะนั่นตอนที่ไปพูดกับแม่ยูยะ ราฟาเอลกับมิเชลก็น่ารักดี ชางใจแข็งนะนั่น แต่ก็ใจอ่อนจนใจ แต่เอ็ดเวิร์ดก็จริง ๆ เลย ทำแบบนั้นกับชางแล้วหายไป ชางไม่คิดมากก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: shogun chai ที่ 07-07-2012 11:33:50
ชอบๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: indyska ที่ 08-07-2012 22:23:06
เอาอีกกกกกกกกกกกก ชอบๆ
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 19-11-2012 00:22:27
 :pig4: ขอบคุณค่า ชอบมาก
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: AoMSiN555 ที่ 19-11-2012 17:42:19
 :z13:
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 21-11-2012 20:26:57
 :z1: สนุกมากกกกกกก  o13
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 12-02-2013 00:55:39
สนุกทุกคู่เลยจ้า
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 06-03-2013 15:49:13
น่ารักทั้งสามคู่เลยนะ

 :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: nemesis ที่ 18-06-2013 17:20:51
สนุกๆดีคับ
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: NIMME ที่ 22-06-2013 19:59:28
เห้ย!!! สนุกอ่ะ
ชอบทุกคู่เลยย :hao6:
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 23-06-2013 09:07:29
สนุกมากค่ะ :)
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆนะคะ
อิอิ
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: Chk~a ที่ 24-07-2013 00:28:42
อ่านรวดเดียวเลยค่ะ สนุกทุกคู่ลยย ย
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: Vavaviz ที่ 15-08-2013 18:50:38
อ่านเรื่องนี้ กรี๊ดแล้วกรี๊ดอีก

น่ารักทุกคู่เลยยยยยย~~
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: paladin.kn ที่ 26-12-2013 22:06:31
เรื่องนี้น่ารักมากๆเลย
ชอบคุณแม่มอเฟียซจัง
น่ารัก  :mew1:
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: +zoLoMegWoz+ ที่ 03-07-2014 15:28:36
 :pig4:
มอร์เฟียซแอบกินเด็กนักเรียนยังงี้ น่ารักจริงๆ
ในที่สุดลีก็สมหวัง 555
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: poppee ที่ 27-08-2014 23:36:37
น่ารักมากอ่านแล้วรู้สึกว่าพระเอกรักนายเอกมากกกก

อยากอ่านต่อไปเรื่อยๆไม่อยากให้จบเลยอ่าาาา :hao7:
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: Sohso ที่ 30-09-2014 22:55:34
สนุกทุกคู่ ชอบมากๆ

ยังไม่อยากให้จบเลย
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: pp_song ที่ 07-09-2015 21:55:30
 :pig4:
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 25-02-2016 01:06:19
 :pig4: :pig4: :pig4: :L1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 30-07-2016 18:41:01
สนุกมากครับ น่ารักทุกคู่เลย ยูยะน่ารัก มอร์เฟียชโคตรขี้หึงเลย

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: poppee ที่ 24-05-2017 12:19:48
 :-[ o13สนุกมากเลย
ขอบคุณที่แต่งนิยายสนุกๆมาให้อ่านนะคะ

หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 05-08-2017 07:52:35
 o13
หัวข้อ: Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
เริ่มหัวข้อโดย: Psycho ที่ 27-08-2019 14:38:15
 o13